จงรักและภักดี ร่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก

Page 1


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

1


“จงรั “จงรักกและภั และภักกดีดี””

2

2


่ ำ ไห้ดด้ ว้ยหั ว ยหัววใจไหวสะทก” ใจไหวสะทก” “ร�“ร�่ำไห้

3

3


“จงรั ก และภั ก ดี ”

4


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

สารอธิการบดี ความโศกเศร้าและความรู้สึกสูญเสียที่เกิดขึ้นในจิตใจของคนไทยอันเนื่องมา จากเหตุที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จสวรรคตเมื่อ วันพฤหัสบดีที่ ๑๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ ที่ผ่านมา เป็นความวิปโยคที่คนไทย ผู้มีชีวิตที่สงบร่มเย็นมาตลอดเวลากว่าเจ็ดสิบปี ในรัชกาลไม่เคยรู้จักมาก่อน ยิ่งย้อนร�ำลึกว่าพระมหากรุณาธิคุณอันมากไม่มีประมาณมีความหมายส�ำหรับ เมื อ งไทยและคนไทยเพี ย งไร ความรู ้ สึ กโศกาดู ร ก็ ยิ่ ง เพิ่ ม พู น ขึ้ น เพี ย งนั้ น กล่าวเฉพาะจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ นั้นได้ทรงด�ำรงอยู่ในต�ำแหน่งพระบรมราชูปถัมภกมาช้านาน จนสามารถพูดได้ เต็มปากว่า มหาวิทยาลัยแห่งนี้ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณเสมอมาไม่ขาดสาย และเป็นก�ำลังอุดหนุนอย่างส�ำคัญให้มหาวิทยาลัยสามารถวิวัฒนามาจนถึง ทุกวันนี้ การที่จะมีโอกาสได้สนองพระเดชพระคุณไม่ว่าด้วยวิถีทางใดเป็นกิจที่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและชาวจุฬาฯ ทุกคนย่อมมีความตั้งใจมั่นเช่นนั้นเสมอ หนังสือเรื่อง จงรักและภักดี เล่มนี้ เป็นหนังสือที่รวบรวมข้อมูล ความรู้สึก และภาพเหตุการณ์ในช่วงเวลาส�ำคัญครั้งนี้ในประวัติศาสตร์ เพื่อเป็นส่วนหนึ่ง แห่งบันทึกความทรงจ�ำให้เราสามารถกลับมาทบทวนเรือ่ งราวต่าง ๆ ได้ในอนาคต และส�ำหรับจะได้เป็นพยานเตือนใจตัวเราเองด้วยว่า นอกจากความรู้สกึ โศกเศร้า ซึ่งเปี่ยมด้วยความจงรักภักดีผสมผสานกันแล้ว เรายังมีหน้าที่ที่จะต้องสนอง พระมหากรุณาธิคุณด้วยการท�ำหน้าที่ในความรับผิดชอบของแต่ละคน ให้เต็ม ก�ำลัง ให้สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่เติบโตมา อย่างเห็นได้ชัดในรัชกาลที่ ๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

5


“จงรั ก และภั ก ดี ”

คำ�นำ� เหตุการณ์ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จสวรรคต เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ ที่ผ่านมา เป็นความวิป โยค อย่างใหญ่หลวงที่ประชาชนคนไทยทั้งชาติ ไม่เคยได้พานพบมาก่อนในช่วงเวลา เจ็ดสิบปีที่ล่วงมา แม้จนทุกวันนี้ความรู้สึกส�ำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและความ ระลึกถึงวันคืนอันร่มเย็นในแผ่นดินของสมเด็จพระมหากษัตริย์เจ้าพระองค์นั้น ก็ยังฝังแน่นอยู่ในใจของเราทุกคน ในช่วงเวลาก่อนวันสวรรคตและหลังจากวัน สวรรคตมาจนถึงทุกวันนี้อาจกล่าวได้ว่าคนไทยทั้งหกสิบกว่าล้านคนต่างเป็น สมาชิกในครอบครัวใหญ่ที่อยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ร่วมกัน ขณะที่น�้ำตานอง อยู่บนใบหน้าของเรา ความรู้สึกเป็นน�้ำหนึ่งใจเดียวกัน ความเอื้ออาทรที่มีให้แก่ กันก็ปรากฏชัดและเป็นอีกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่ทับซ้อนกันอยู่กับความ โศกาดูรสูญเสียครั้งนี้ ตลอดเวลาของวันคืนในประวัติศาสตร์ ตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ ๙ ตุ ล าคม พ.ศ. ๒๕๕๙ จนกระทั่ ง ถึ ง ปลายเดื อ นตุ ล าคม ศกเดี ย วกั น ซึ่งเป็นเวลาครบก�ำหนดสิบห้าวันนับแต่วันสวรรคต สื่อนานาชนิดได้บันทึก ข้อเท็จจริงและความรู้สึกของคนไทยจ�ำนวนมากไว้เป็นหลักฐาน ไม่ว่าจะเป็นสื่อ หนั ง สื อ พิ ม พ์ สื่ อ โทรทั ศ น์ แ ละวิ ท ยุ ตลอดจนสื่ อ อิ เ ล็ ก ทรอนิ ก ส์ ใ นรู ป แบบ ต่าง ๆ รวมทั้งสื่อสมัยใหม่ที่เรียกว่าเฟซบุ๊ก (facebook) ด้วย นอกจากนั้นยังได้มี หน่วยงานต่าง ๆ จัดกิจกรรมหลากหลายด้วยความส�ำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ด้วยความอาลัย ด้วยความจงรักภักดีและยังต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

6


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

หนังสือเรื่อง “จงรักและภักดี” เล่มนี้แบ่งเป็นสองภาค ภาคแรกก�ำหนด ชื่อว่า “ร�่ำ ไห้ด ้ว ยหัว ใจไหวสะทก” รวบรวมภาพและเรื่ องราวหลากหลาย มาจากเฟซบุ ๊ ก ของศาสตราจารย์ พิ เ ศษธงทอง จั น ทรางศุ อุ ป นายกสภา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ได้บันทึกข้อเท็จจริงและความรู้สึกของวันคืนเหล่า นั้นไว้ตามล�ำดับเวลาตั้งแต่ก่อนวันสวรรคต จนกระทั่งถึงวันที่ ๒๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ และมีเนื้อหาหลายช่วงตอนที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน จุ ฬ าลงกรณ์ ม หาวิ ท ยาลั ย ส่ ว นภาคที่ ส องของเล่ ม นี้ ที่ ใ ช้ ชื่ อ ว่ า “พระบรม ราชูปถัมภกคระไลสวรรค์” เป็นการรวบรวมภาพและค�ำอธิบายจากการบรรยาย พิเศษของศาสตราจารย์พิเศษธงทอง จันทรางศุ และอาจารย์จรรมนง แสงวิเชียร อดีตคณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรือ่ ง “ใต้รม่ พระบรม ราชูปถัมภก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในรัชกาลที่ ๙” ทีส่ ภานิสติ ของจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยจัดขึน้ เมือ่ วันพุธที่ ๒๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ ณ อาคารมหิตลาธิเบศร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภาพดังกล่าวคณะผู้จัดงานได้สืบค้นมาจากหอประวัติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยบ้าง และจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติบ้าง หลายภาพ เป็นภาพหายากและบันทึกไว้เมื่อเกือบเจ็ดสิบปีมาแล้ว หนังสือเรื่องจงรักและภักดีเล่มนี้ขอท�ำหน้าที่เป็นแต่เพียงผู้บันทึกช่วงเวลา หนึ่งในวันคืนที่มีความหมายยิ่งต่อประชาชนคนไทยไว้เป็นเล่มสมุด ส�ำหรับผู้คน ในวันนี้ก็ดี หรือแม้ลูกหลานที่จะเกิดขึ้นมาในอนาคต จะได้กลับมาสืบค้น และ พบว่าความจงรักและความภักดีที่มีอยู่ในหัวใจของคนไทยและชาวจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยในยามนี้ ทรงคุณค่า มีความหมายยิ่ง และจะอยู่ในความคิดค�ำนึง ของเราต่อเนื่องไปไม่มีวันลบเลือน รองศาสตราจารย์ ดร.สันติ ฉันทวิลาสวงศ์ ที่ปรึกษาอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

7


“จงรั ก และภั ก ดี ”

8


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

ภาคแรก

“ร่ำ�ไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

9


“จงรั ก และภั ก ดี ”

10


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

วันอาทิตย์ที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๙ เวลาแห่งความรื่นร่มบรมสุข ปราศจากภัยทุกข์มาเบียนบ่อน ใจคนย่อมอยากจะวิงวอน นาฬิกาช่วยผ่อนผันเดิน ช้าช้าหรือหยุดขณะจะวิเศษ ภัยเภททั้งหลายให้หยุดเหิน คงไว้แต่นาทีที่เพลิดเพลิน ไม่ได้ขอก�้ำเกินนะเวลา นี้คือน�้ำใจของคนไทย มิได้ขอเกินไปพระเจ้าข้า ขอความสุขจุ่งด�ำเนินอยู่เนิ่นช้า ขอพระชนมพรรษาถาวรเทอญ

11


“จงรั ก และภั ก ดี ”

12


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

วันจันทร์ที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๙ พระทูลกระหม่อมแก้ว หากทอดพระเนตรทุกแนวแถวถนน ถ้วนทุกหย่อมย่านบ้านผู้คน คงจะชื่นพระกมลพ้นพรรณนา ตั้งแต่มีแถลงการณ์เมื่อวานนี้ ประชาชีพร้อมฉันท์กันทั่วหน้า สวดโพชฌงค์ประชุมเชิญประชันมา ทุกเถื่อนทุกท่าทุกต�ำบล ตั้งแต่วันวานนั้นจนวันนี้ ไม่มีที่จะขาดเสียงเลยสักหน เพราะทั้งห่วงทั้งหวงดวงใจคน อัญเชิญพระพุทธมนต์ช่วยดลพร ขอพระนวมราชบพิตร ทรงห่างไกลภัยพิษเร่งเพิกถอน เป็นร่มเกล้าร่มกระหม่อมจอมนาคร อย่ารู้หย่อนรู้หายสมหมายเทอญ

13


“จงรั ก และภั ก ดี ”

14


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

วันอังคารที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ คุณพระสัพพัญญูมีอยู่แน่ คุณพระธรรมเป็นของแท้สิ้นสงสัย คุณพระสงฆ์ทั้งหลายแหล่รู้แก่ใจ คุณพระรัตนตรัยพ้นร�ำพัน เชิญพระคุณแก้วสามดวงอันช่วงโชติ จงมาบันดาลโสตถิภาพผัน เข้าแวดล้อมบริรักษทรงธรรม์ ให้ผ่องแผ้วจากภยันตรายปวง พระยอดชายชื่นชีวันของชาวโลก สรรพโศกจงสูญสลายล่วง พระเกียรติก่องส่องเหมือนกับเดือนดวง ฤาสูริย์สรวงไม่มีวันจะอันตรธาน เป็นประธานปานเขาสุเมรุหลัก มหาชนได้พึ่งพักมหาศาล จะกี่กัปกี่กัลป์อนันตกาล พระบารมีแผ่ผ่านนานนิตย์เอย

15


“จงรั ก และภั ก ดี ”

16


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

วันอังคารที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ บรมบาทคือใบบุญอันอุ่นเศียร เอาผ้าซับพระบาทเพียรยกขึ้นจบ เอากระหม่อมค้อมคุดคู้อยู่ซุนซบ เอาหน้านบแนบบนหลังพระบาทไท เมืองอื่นหมื่นอาจประหลาดจิต อาจฉงนฉงายคิดเป็นเรื่องใหญ่ เจ้าเมืองนี้คงกดขี่ข่มเหงใจ คนจึงได้มายอบย่อต่อเกรงกลัว ไม่จ�ำเป็นต้องอรรถาธิบายมาก คนไทยรู้แต่ต้นรากจรดหัว ว่าที่กราบพระบาทบุญคือบุญตัว ที่ซบศีรษะทั่วเพราะความรัก รักที่ผูกพันนี้มีแต่เกิด จนเติบใหญ่นัยน์ตาเปิดเห็นประจักษ์ ว่าทรงธรรมทรงกระท�ำเป็นธรรมนัก ทรงพากเพียรพิทักษ์เป็นหลักไทย กายที่ก้มยังมิสมเท่าใจกราบ เศียรที่ราบมิอาจทาบส�ำนึกได้ ขอโอกาสไทยทั้งชาติกราบบาทชไม อย่างใกล้ใกล้ดั่งใจฝันดุจวันวาน โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชัชพล ไชยพร

17


“จงรั ก และภั ก ดี ”

18


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

วันพุธที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๙ ไทยเราได้อยู่สุขมาทุกศก เพราะพระคุณอยู่ปกกระหม่อมเสมอ เป็นวาสนายิ่งจริงเชียวเออ ที่ท้าวเธอเพียงเทพบ�ำรุง นวมรัชจึงจรัสจรูญโรจน์ เอิกอุโฆษพระเกียรติสกาวปานดาวรุ่ง กรุงสยามงามทั้งเมืองแสนเฟื่องฟุ้ง พระผดุงเลี้ยงหล้าด้วยบารมี พระรักราษฎร์ราษฎร์ประจักษ์จงรักตอบ ถวายมอบรอบรายใต้บทศรี เป็นก�ำแพงแกร่งกั้นสรรพกลี มิให้กรีฑากรายได้สักนิด แม้สักหน่อยอย่าได้หมายจะใกล้พระบาท จะต้องข้ามคนทั้งชาตินับอกนิษฐ์ พระโฉมชื่นจงเฉิดฉายไปทศทิศ เปี่ยมบุญฤทธิ์เกินศตวรรษชัดเจนเอย

19


“จงรั ก และภั ก ดี ”

20


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

วันพุธที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๙ ถ้าถามว่าหัวใจไทยวันนี้ ไปหลอมรวมร่วมฤดีอยู่ที่ไหน ค�ำตอบย่อมไม่เห็นเป็นอื่นไกล อยู่แทบพระบาทชไมพระจักรี ณ ที่ศิริราชพระราชฐาน มือพนมก้มกรานเหนือเกศี ตาทุกคู่ดูจ้องปองภักดี ไปตรงที่ชั้นสิบหกอกใจตัน ปากก็พร�่ำพระพุทธมนต์มงคลถวาย พระฦาสายจงเจริญพระชนม์มั่น ถ้าแลกได้ถวายพลีศิระประกัน ทรงครองฉัตรเก้าชั้นนิรันตราย

21


“จงรั ก และภั ก ดี ”

22


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

วันพฤหัสบดีที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙ ตื่นเช้ามาพบกับวันใหม่อีกหนึ่งวันในรัชกาลอันแสนสุข

23


“จงรั ก และภั ก ดี ”

Long Live The King 24


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

วันพฤหัสบดีที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙ เย็นวันนี้เวลา ๑๗.๓๐ น. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายชัยมงคลแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ศาลาพระเกี้ยวโดยอาราธนาพระสงฆ์เก้ารูป จากวัดเทพศิรนิ ทราวาสเจริญพระพุทธมนต์และน�ำผูร้ ว่ มพิธสี วดพระพุทธมนต์ บทโพชฌงคปริตรเก้าจบ ขอเชิญชาวจุฬาฯ และพี่น้องไทยทุกท่านครับ

25


“จงรั ก และภั ก ดี ”

26


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

วันพฤหัสบดีที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙ กวาดสายตาไปทั่วไทยในวันนี้ ทุกใบหน้าทุกท่าทีไม่แตกต่าง มือพนมน�้ำตาไหลไม่ละวาง คิดถึงพระคุณที่กลางกระหม่อมมา เกิดชาติใหม่ไม่มีวาสนาแล้ว ที่จะพบดวงแก้วจ�ำรัสค่า อย่างชาตินี้มีบุญอุ่นอุรา พึ่งเมตตาพระสรรเพชญเจ็ดสิบปี มาบัดนี้เวลาก็มาหมด หัวอกจึงรันทดอยู่เต็มที่ เถอะก็ต้องปลอบใจเราไทยนี้ พระภูมีเสด็จสวรรค์อย่ารันทด เป็นสถานเทพสถิตที่สมควร กับความดีทั้งมวลถ้วนทั้งหมด ที่ทรงบ�ำเพ็ญเสมอมาไม่ราลด และปรากฏอยู่แท้แน่แก่ใจ กราบลงที่ตรงรอยพระบาท อันจะโอภาสจ�ำรัสไข อยู่ที่เหนือทุกถิ่นแผ่นดินไทย และทุกที่ทุกหทัยของราษฎร ไปข้างหน้าไม่มีเวลาจะสิ้นสูญ มีแต่จะเพิ่มพูนยิ่งกว่าก่อน พระเกียรติจะตรึงตราอยู่ถาวร ตราบกัปกัลป์พุทธันดรไม่รอนรา

27


“จงรั ก และภั ก ดี ”

28


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

วันศุกร์ที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๙ (เวลา ๐๑.๐๐ นาฬิกา) ใจสั่งให้มาแถวนี้ เห็นแต่เพียงก�ำแพงวังหลวงก็ยังดี เงียบเหลือเกิน เงียบจนเยือกเย็นเข้าไปถึงหัวใจ

29


“จงรั ก และภั ก ดี ”

วันศุกร์ที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๙ หลายคนถามหาปาฏิหาริย์ เมื่อวันวานว่าไม่รู้อยู่ที่ไหน โดยละลืมความส�ำคัญหนึ่งนั้นไป เจ็ดสิบปีนั่นอย่างไรเคยได้พบ

30


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

วันศุกร์ที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๙ (เวลา ๑๐.๐๐ นาฬิกา บ่ า ยวั น นี้ ขบวนอั ญ เชิ ญ พระบรมศพพระบาทสมเด็ จ พระเจ้ า อยู ่ หั ว ในพระบรมโกศจากศิ ริ ร าชพยาบาลสู ่ พ ระบรมมหาราชวั ง จะต้ อ งใช้ เส้นทางสะพานปิ่นเกล้าซึ่งทอดข้ามแม่น�้ำเจ้าพระยา น�้ำตาของคนไทยที่ไหล อาบหน้าคนไทยทุกสารทิศตั้งแต่เมื่อวานเย็น ถ้าน�ำมาประมวลรวมกันได้ บางทีอาจมีปริมาณมากกว่าน�้ำในแม่น�้ำเจ้าพระยาเสียแล้วกระมัง ตัง้ แต่เกิดมาไม่เคยเห็นคนร้องไห้มากเท่านีม้ าก่อนเลย ส�ำหรับตัวเองแล้ว พ่อแม่ตายก็ยังร้องไห้ ไม่ถึงเพียงนี้ น�้ำแม่น�้ำเจ้าพระยาว่ามากแล้ว ครั้นเมื่อทูลกระหม่อมแก้วครรไลล่วง ถ้าเก็บรวมน�้ำตามาเต็มตวง ปวงน�้ำในแม่น�้ำก็ขามเกรง

31


“จงรั ก และภั ก ดี ”

วันศุกร์ที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๙ (เวลา ๑๕.๐๐ นาฬิกา) นั่งกับพื้นถนนเจ้าฟ้า รอกราบถวายบังคมพระบรมศพพระเจ้า แผ่นดิน พระผู้ทรงเป็นเจ้าหัวใจ

32


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

วันศุกร์ที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๙ อกเพียงทบท่าวแล้ว น�้ำเนตรนองปฐพิน ใจเอยประหนึ่งภิน สลบสลับกลับพลิกฟื้น พระยอดชายผู้ยอดฟ้า เสด็จโลกเผด็จทุกข์ผัน มาเป็นชื่นชีวัน เกือบศตวรรษชัดชี้ บรมสมภารพระก็พ้อง บุญบ่มบุญสารพัด วันหนึ่งจักอุปบัติ ปานประหนึ่งดวงแก้ว เราท่านเมื่อนึกฉะนี้ มีวาสนาได้พบพัก พระผู้โพธิสัตว์จักร พอปลอบหัวใจแผ้ว รอวันพระเสด็จยั้ง พุทธะภาวะเสถียร และระหว่างนี้ระเมียร ไว้ ณ ที่ระหว่างเผ้า

33

ลงดิน แลฤา ท่วมพื้น ทนาเวท นาเอย แหละแล้วสลบสลาย ฟากสวรรค์ แผกลี้ ชาวโลก ชื่นน�้ำใจชม พระโพธิสัตว์ ยิ่งแล้ว เปนพระพุทธ เจ้าเอย ก่องกล้าสาธุการ ชื่นหนัก หนาเฮย พึ่งแล้ว พรรดิเลิศ ผ่องน�้ำใจหนอ ยาตรเวียน วกเอย สถิตเกล้า มือกระพุ่ม ผนึกน้อมพระคุณเสมอ


“จงรั ก และภั ก ดี ”

วันศุกร์ที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๙ ริมถนนปนหมู่กับผู้อื่น นับแสนหมื่นชื่นหน้าหามีไม่ รอถวายบังคมให้สมใจ น�ำ้ ตาไหลรินรินเพียงสิ้นชนม์

34


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

วันศุกร์ที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๙ ถ้าถามว่าเหนื่อยไหม ก็จะตอบว่าเหนื่อยมาก เพราะนั่งบนพื้นถนน หน้ารับแสงอาทิตย์เต็มๆ ตัง้ แต่บา่ ยโมงจนบ่ายห้าโมง ด้วยอายุหกสิบเอ็ดปี แต่ถ้าถามว่าคิดผิดหรือเปล่าที่ ไปนั่งริมถนนอยู่กับเพื่อนไทยอีกนับแสนคน ก็ จ ะตอบว่ า คิ ด ถู ก ทุ ก ประการ ถ้ า ไปเที่ ย วเมื อ งนอกเสี ย ตามแผนเดิ ม ก็ดี นั่งดูโทรทัศน์อยู่กับบ้านก็ดี คงจะรู้สึกว่าตัวเองบกพร่องต่อหน้าที่ที่ ปฏิญาณไว้กับหัวใจตัวเองอย่างส�ำคัญ

35


“จงรั ก และภั ก ดี ”

36


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

วันศุกร์ที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๙ (เวลา ๒๓.๐๐ นาฬิกา) หลังจากร้องไห้อยู่ริมถนนเมื่อขบวนอัญเชิญพระบรมศพผ่านไปเมื่อเย็น วันนี้แล้ว ก็หยุดร้องไห้มาพักใหญ่ นี่พอจะนอนก็ร้องไห้อีกแล้ว

วันเสาร์ที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๙ วันอาทิตย์พรุ่งนี้ เวลาบ่ายสามโมงครึ่งถึงห้าโมงรับเชิญไปเป็นผู้สนทนา ในรายการพิเศษทางช่องเก้า อสมท. เพื่อบอกเล่าประสบการณ์ชีวิตของ คนรุน่ ผมว่าได้ผา่ นพบอะไรมาบ้างในแผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ วั ในพระบรมโกศ คนไทยแต่ละรุ่นก็มีประสบการณ์ที่แตกต่างกัน ถ้าไปถามคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ ของผม ท่านก็คงเล่าเรื่องราวได้อย่างหนึ่งที่ท่านได้พบเห็นมา ถ้าไปถามคน รุ่นลูกรุ่นหลานของผม เราก็จะได้ยินเรื่องราวอีกแบบหนึ่ง ต่างกันออกไป พรุ่งนี้ผมจะเล่าเรื่องของคนรุ่นผมครับ คนรุ่นเดียวกันหรือต่างรุ่นถ้าสนใจ ก็เชิญฟังนะครับ เมื่ อ กี้ ต อนเขี ย นย่ อ หน้ า แรก แรกที เ ดี ย วผมเขี ย นประโยคท้ า ยว่ า “...ประสบการณ์ชวี ติ ของคนรุน่ ผมว่าได้ผา่ นพบอะไรมาบ้างในรัชกาลปัจจุบนั ” ตามความคุ้นเคยที่เขียนมาตลอดชีวิต แต่...อนิจจา เมื่อได้สติ ก็ต้องกลับมา แก้ให้เป็นอย่างที่เห็นอยู่ข้างบนนี้ ร้องไห้ครับ:(

37


“จงรั ก และภั ก ดี ”

38


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

วันอังคารที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๙ “บ้าน” หลังใหญ่กลับไม่ได้อยู่โอ้ภูธเรศ ทรงเลือกประเวศตามเขาเขินเนินไศล เถื่อนท่าทุเรศทุรัศจังหวัดไกล ตลอดปีพระทรงชัยไม่ผ่อนพัก ประทับวังที่เทพสถิตเพียงนิดนึง ทรงคิดถึงไทยทั้งปวงอยู่หน่วงหนัก บัดนี้ประทับพระโกศทองอันผ่องลักษณ์ สามิภักดิ์กราบก�ำแพงแฝงน�้ำตา

39


“จงรั ก และภั ก ดี ”

40


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

วันพุธที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๙ บางขณะระหว่างบรรยายถ่ายทอดให้รู้สึกใจหายจนน�้ำตาริน โอ้! พระทูลกระหม่อมแก้ว

41


“จงรั ก และภั ก ดี ”

42


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๙ เช้าวันนี้ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งแต่เวลา ๐๗.๓๐ น. สมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชด�ำเนินแทนพระองค์ พระราชทานปริ ญ ญาบั ต รแก่ บั ณ ฑิ ต ผู ้ ส� ำ เร็ จ การศึ ก ษาจากจุ ฬ าลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ก่อนเวลาเสด็จพระราชด�ำเนินประมาณครึ่งชั่วโมง อธิการบดี และคณาจารย์พร้อมกันในหอประชุมเบือ้ งหน้าบัณฑิตอธิการบดีกล่าวข้อความ แสดงข้อความส�ำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแล้วทุกคนในที่นั้นร้องเพลง สรรเสริญพระบารมีพร้อมกัน

43


“จงรั ก และภั ก ดี ”

44


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

ค�ำกล่าวส�ำหรับอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ ๒๐ และ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ (ก่อนเวลาเสด็จพระราชด�ำเนินพระราชทานปริญญาบัตร) จุฬาบัณฑิตทุกท่าน อีกเพียงไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ จะเป็นวาระส�ำคัญครั้งหนึ่งในชีวิตของผู้เป็นบัณฑิต แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในปีนี้ทุกคน ทุกท่านทราบดีแล้วว่าขณะนี้เราผู้เป็นคนไทย อยู่ในห้วงเวลาแห่งความโศกเศร้าอาดูรร่วมกัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ และทรงเป็นพระบรมราชูปถัมภกแห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยได้เสด็จสวรรคตเสียแล้ว ในขณะที่งานพระบรมศพเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเพียง ไม่กี่วัน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชธิดาในสมเด็จพระเจ้า แผ่นดินพระองค์นั้น ได้ทรงพระมหากรุณาล้นเหลือเป็นพิเศษ ที่จะเสด็จพระราชด�ำเนิน แทนพระองค์มาพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตผู้ส�ำเร็จการศึกษา ผู้ประชุมพร้อม กันอยู่ ณ ที่นี้ ในพระปรมาภิ ไธย อันเป็นวาระที่สุดแห่งการพระราชทานปริญญาบัตร แก่บัณฑิตของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในรัชกาลที่เก้า ขอบัณฑิตทุกคน จงจดจ�ำเหตุการณ์ส�ำคัญครั้งนี้ ไว้ให้แม่นย�ำ ด้วยความส�ำนึกใน พระมหากรุณาธิคุณไว้ในดวงใจตลอดไป และมุ่งมั่นประพฤติปฏิบัติตนในทางที่ชอบธรรม ให้สมกับพระมหากรุณาที่ได้รับพระราชทาน ณ บัดนี้ เราจงมาร่วมกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี เพื่อสรรเสริญพระบารมีของ พระมหากษัตริย์เจ้าพระองค์นั้น ที่อยู่เหนือหัวของเราตลอดมาและตลอดไป

45


“จงรั ก และภั ก ดี ”

46


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๙ รับปริญญาปีไหนไม่เช่นนี้ เงียบงันไปทุกที่ไปทุกท่า มีแต่สีด�ำรายในสายตา แซมสีขาวบูชาพระเจ้าแผ่นดิน

47


“จงรั ก และภั ก ดี ”

วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๙ ตั้งใจสนองพระเดชพระคุณ

48


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

วันศุกร์ที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ พระวิสูตร อย่าเพิ่งรูดสนิทนิ่งจะได้ ไหม เราชมบุญพระจอมเกล้าเจ้าหัวใจ นานกี่ปีเพียงไรไม่อิ่มตา ก็รู้นะว่าพระเหน็ดเหนื่อยมาก แต่ไทยอยากจะบอกแค่เพียงว่า เมื่อถึงเวลาเสด็จสวรรค์ของผ่านฟ้า มันยากเกินกลั้นน�้ำตาความอาวรณ์ ก็เมื่อเป็นธรรมชาติไม่อาจหยุด ถึงคราวเสด็จเกษียรสมุทรบรรทมสถาน ขอเฝ้ารอวันที่พระจะอวตาร เป็นภูบาลอีกสักครั้งยังหวังเอย Wason Wanichakorn : ภาพและเรื่องเล่า ธงทอง จันทรางศุ : ร้อยกรอง

49


“จงรั ก และภั ก ดี ”

50


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

“เรื่องเล่าผ่านวิวไฟน์เดอร์ ช่างภาพบ้านนอก” เมื่อครั้ง ในหลวงเสด็จออกมหาสมาคม ในพระราชพิธี ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ @สีหบัญชร พระที่น่ัง อนันตสมาคม พระราชวังดุสิต พระบรมรูปทรงม้า วันชื่นคืนสุข วันที่เหล่าพสกนิกรของพระองค์ต่างเฝ้ารอที่จะได้เห็น ได้ชื่นชมพระบารมี ทุกคนไม่ว่าใกล้ ไกล ต่างเดินทางมาหาที่ มาจับจองพื้นที่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า ใครมาก่อนก็อยู่ด้านหน้า ใครมาหลังก็อยู่ ถัดออกไป บางกลุ่มบางคนมานั่งจับจองพื้นที่ตั้งแต่ช่วงค�ำ่ ก่อนวันงาน ในฐานะช่างภาพทีต่ อ้ งเข้าถวายงาน พวกเราต้องเข้าจุดทีท่ างราชการจัดให้ ไว้ตงั้ แต่ตี ๔ ตี ๕ เพราะไม่อย่างนัน้ เราจะเข้าไปที่จุดที่ก�ำหนดไม่ ได้เลย เพราะมีประชาชนแน่นขนัดไปทุกตารางนิ้ว เราขอใช้ค�ำว่าตารางนิ้ว เพราะคนที่ได้ ไปในวันนั้นทุกคนจะสัมผัสได้ว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อพระราชพิธีได้เริ่มขึ้น ท่ามกลางเสียงตะโกนร้อง “ทรงพระเจริญ” ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ขนลุกแล้ว ขนลุกอีก แม้ตัวช่างภาพบ้านนอกจะเคยเข้าถวายงานมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อครั้งพระราชพิธีเฉลิมฉลองสิริ ราชสมบัติครบ ๖๐ ปี ก็ยังอดตื่นเต้นไม่ได้ ข้าพเจ้ามองพระพักตร์ของพระองค์ท่านผ่านวิวไฟน์เดอร์ติดเลนส์เทเล่ระยะไกล ขนาดใหญ่อยู่ตลอดเวลา ไม่ทิ้งตาจากวิวไฟน์เดอร์ ไปไหน ในการเสด็จออกมหาสมาคมครั้งนี้ พระองค์ท่านพึ่งหายจากอาการประชวร พระพักตร์ของพระองค์ที่มองผ่านวิวไฟน์เดอร์ดูเหนื่อยแลอ่อนล้า พระองค์รับสั่ง ด้วยพระสุรเสียงที่สั่นเทา แผ่วเบา จนข้าพเจ้าแอบน�ำ้ ตาเอ่อซึม เพราะพระองค์ทา่ นคงเหนือ่ ยทัง้ กายและใจกับเรือ่ งราวในประเทศทีผ่ า่ นมา ในท้ายสุดของราชพิธี เมือ่ ทุกอย่างด�ำเนินไปเสร็จสิน้ พระทีน่ งั่ ทีท่ รงประทับอยูก่ ค็ อ่ ยๆ เคลือ่ นถอยหลังเข้าไป ด้านใน พร้อมกับม่านที่ค่อยๆ เลื่อนมาปิดลงมา วินาทีนั้น ภาพที่มองเห็นผ่านวิวไฟน์เดอร์ผ่านเลนส์ถ่ายภาพระยะไกล ๖๐๐ มม. “พระองค์ท่านค่อยๆ ไหลทรุดพระวรกายลงไปกับที่พิงของเก้าอี้พระที่นั่ง” ด้วยชุดคลุมทองทรงเครื่องบรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์ พร้อมเครื่องแบบเต็มยศ ที่มีน�้ำหนักถึง ๒๐ กิโลกรัม ที่พึ่งได้รับรู้ข้อมูลมาจากกรมวัง ในวันที่ได้เข้าไปถ่ายภาพ พระราชพิธีสรงน�ำ้ พระบรมศพในวันที่ ๑๔ ตุลาคมที่ผ่านมา โอ้...พระองค์ท่าน เครื่องทรงที่มีน�้ำหนักมากถึง ๒๐ กิโลกรัม พระองค์ทรงขืนพระวรกายที่ยังไม่แข็งแรงดี ของพระองค์ ยันพระองค์เองเอาไว้ด้วยเวลาเนิ่นนานหลายชั่วโมง ท่ามกลางแสงแดดร้อนที่สาดส่องทั่วบริเวณ เพียงเพื่อให้ประชาชนของพระองค์ ได้เห็น ได้ชื่นชมพระบารมี หลังวิวไฟน์เดอร์ ที่เคยมีน�้ำตาที่แค่เอ่อๆ แต่ ไม่ ไหลล้น คราวนี้มันไหลล้นออกมาพร้อมเสียงสะอื้นไห้ “ผมรักในหลวงเหลือเกิน”

51


“จงรั ก และภั ก ดี ”

52


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

วันศุกร์ที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ เมื่อวันเสาร์ที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๘ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของงานพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ในคราวนัน้ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เวลาบ่าย ขณะทีพ่ ระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ วั พระราชทานปริญญาบัตร แก่บัณฑิตผู้ส�ำเร็จการศึกษา จากคณะวิทยาศาสตร์อยู่นั้น ได้เกิดข้อขัดข้องขึ้นในระบบไฟฟ้าของการไฟฟ้า นครหลวงและส่งผลกระทบถึงหอประชุมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยด้วย เป็นเหตุให้ ไฟฟ้าในหอประชุมดับลง และระบบไฟฟ้าฉุกเฉินได้เริ่มท�ำงาน ท�ำให้พิธีการต่างๆ ด�ำเนินต่อไปได้โดยไม่หยุดชะงักแต่ไม่สามารถถ่ายภาพ บัณฑิตรับพระราชทานปริญญาบัตรได้เนื่องจากกระแสไฟฟ้าไม่เพียงพอ บัณฑิตจ�ำนวนแปดคนรับพระราชทาน ปริญญาบัตรโดยรู้แก่ใจว่าจะไม่ ได้มีภาพที่ระลึกนาทีส�ำคัญในชีวิตของตนเองอย่างเพื่อนบัณฑิตอีกหลายร้อย หลายพัน แต่หลังจากนั้นไม่นานไฟฟ้าก็กลับสว่างขึ้นเป็นปกติ ทั้งแปดคนก็ได้แต่เพียงนึกน้อยใจในจังหวะชีวิต ที่เหตุนี้มาเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน เมื่อกลับไปประจ�ำที่นั่งได้แล้วสักระยะหนึ่ง มีอาจารย์ ไปแจ้งให้ทราบว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรง พระกรุณาให้ตามบัณฑิตจ�ำนวนดังกล่าวขึ้นรับพระราชทานปริญญาบัตรอีกครั้งหนึ่ง เพื่อจะได้มี โอกาสมีรูป เป็นที่ระลึก โดยทางมหาวิทยาลัยจัดให้ ไปต่อแถวบัณฑิตคณะเศรษฐศาสตร์ ทุกอย่างก็เป็นไปโดยเรียบร้อย สมดังพระราชกระแส บัณฑิตทั้งแปดคนต่างมีความส�ำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นเกล้าล้นกระหม่อมหาที่สุดมิ ได้ บัณฑิต จ�ำนวนนี้ หนึ่งคนเสียชีวิตแล้ว อีกคนหนึ่งไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ ยังคงมีบัณฑิตอีกหกคนที่ยังท�ำงานและยัง อยู่ในประเทศไทย เมื่อสักสามสี่วันมานี้ผมสามารถติดต่อบัณฑิตท่านหนึ่งในจ�ำนวนนี้ ได้ และได้ประสานแจ้งว่าจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยขอเชิญทุกท่านมาเฝ้าทูลละอองพระบาทสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ในโอกาสที่ ได้เสด็จ พระราชด�ำเนินแทนพระองค์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร มาพระราชทาน ปริญญาบัตรแก่บัณฑิตผู้สำ� เร็จการศึกษา เป็นรุ่นสุดท้ายในรัชกาลที่เก้า เพื่อกราบบังคมทูลแสดงความส�ำนึกใน พระมหากรุณาที่เคยได้รับพระราชทาน การเข้าเฝ้าทูลละอองพระบาทบ่ายวันนี้ เป็นไปอย่างเรียบง่ายแต่ประทับใจทุกคนที่อยู่ในที่นั้น ได้ทรงซักถาม เหตุการณ์และทรงถ่ายภาพรวมหมูบ่ ณ ั ฑิตทัง้ หกคน พร้อมทัง้ อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ซงึ่ เป็นผูอ้ า่ นรายนาม บัณฑิตวิทยาศาสตร์ เมื่อขึ้นรับพระราชทานปริญญาบัตรเป็นครั้งที่สอง ไว้ด้วยพระองค์เอง นีเ่ ป็นเพียงเรือ่ งหนึง่ น้อยนิดเดียวในพระมหากรุณาธิคณ ุ มหาศาลที่ได้พระราชทานให้กบั คนไทย มาตลอดระยะ เวลา ๗๐ กว่าปีในรัชกาล 53


“จงรั ก และภั ก ดี ”

วันศุกร์ที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๙

๑๐๐ ปีของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คือ ๗๐ ปีในรัชกาลที่เก้า 54


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

55


“จงรั ก และภั ก ดี ”

56


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

วันเสาร์ที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๙ พ่อกับแม่ของผมเกิดเมื่อปลายพุทธศักราช ๒๔๗๑ เมื่อแผ่นดินรัชกาล ที่เก้า เริ่ม ต้นขึ้ น ทั้ ง สองท่ า นมี อายุ ประมาณ ๑๗ ปี ได้ ไ ปถวายบั ง คม พระบรมศพในหลวงรัชกาลที่แปดที่พระมหาปราสาท มีชีวิตที่ร่มเย็นเป็นสุข ในรัชกาลที่เก้ามาช้านาน ปลื้มใจมากที่ลูกชายได้รองพระบรมบาทยุคลหลาย วาระ และดีใจเป็นที่สุดเมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ผมเป็นนาคหลวง เมื่อพ่อตายในพุทธศักราช ๒๕๕๑ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รับศพของ พ่อไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์เจ็ดวัน ทรงบ�ำเพ็ญพระราชกุศลสัตตมวาร พระราชทาน พ่ อ แม่ ข องผมเสี ย ชี วิ ตไปหลายปี แ ล้ ว ถ้ า พ่ อ กั บ แม่ ยั ง มี ชี วิ ต อยู ่ จ น วันนี้ นึกไม่ออกเลยว่าทั้งสองคนจะโศกเศร้าอาดูรสักปานใด

57


“จงรั ก และภั ก ดี ”

วันเสาร์ที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๙ (เวลา ๐๘.๑๕ นาฬิกา) เช้านี้ที่รอบวังหลวง ผู้คนแต่งกายด้วยชุดด�ำจ�ำนวนมหาศาลมุ่งหน้า ไปทางเดียวกัน และด้วยหัวใจดวงเดียวกัน

58


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

วันเสาร์ที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๙ (เวลา ๐๘.๓๕ นาฬิกา) ผ่านมาทางหัวล�ำโพง ผู้คนจ�ำนวนนับไม่ถ้วนรอขึ้นรถประจ�ำทาง เดินทางไปสนามหลวง เพื่อ “สรรเสริญพระบารมี”

59


“จงรั ก และภั ก ดี ”

60


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

วันเสาร์ที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๙ (เวลา ๑๕.๐๐ นาฬิกา) ถอดยืนตรงอยู่หน้าจอขอร้องด้วย เนืองน�้ำตาคลอหน่วยอยู่ทุกบ้าน ปากร้องว่า “นบพระภูมิบาล” เสียงประสานส่งถึงฟ้าร�่ำอาลัย ถอดความเพลงสรรเสริญพระบารมี ข้าพระพุทธเจ้า ขอกราบถวายบังคมด้วยหัวใจและด้วยเศียรเกล้า แด่พระผู้อภิบาลรักษาแผ่นดิน ผู้เพียบพร้อมด้วยบุญคือคุณความดีอันรุ่งเรือง ทรงเป็นที่หนึ่ง และทรงเป็นที่สุดในบรรดาผู้มีจักรคือพระราชาทั้งปวง ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าเป็นใหญ่ในสยาม มีพระเกียรติยศอย่างยอดยิ่งและยั่งยืน ความร่มเย็นที่อยู่เหนือหัว (ราษฎร) ก็เพราะทรงดูแลรักษา ผลแห่งพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ได้ระวังป้องกัน ประชาราษฎร์ทั้งปวงให้เป็นสุขและศานติ ขอจงดลบันดาลให้สิ่งที่พระองค์ต้องพระราชประสงค์ ส�ำเร็จผลสมดังที่ทรงตั้งพระราชหฤทัย เหมือนชัยมงคลที่ถวายมานี้เทอญ Uma Surat : ภาพบน ธงทอง จันทรางศุ : ร้อยกรองและถอดความ

61


“จงรั ก และภั ก ดี ”

62


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

วันเสาร์ที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๙ จะว่าเทพก็แปลกใจไม่ไกลเอื้อม สวรรค์เชื่อมถึงพิภพพื้นดินหรือ จึงเราได้พึ่งพระคุณบุญระบือ แต่แล้วคือเสด็จสวรรค์ในวันนี้ ก็โชคดีของเรานะชาวสยาม บุญพระตามปกแผ่นดินทุกถิ่นที่ นานจ�ำเนียรที่พระเสด็จเจ็ดสิบปี ถ้าขอได้เจ็ดร้อยปีไม่มีพอ

63


“จงรั ก และภั ก ดี ”

64


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

วันอาทิตย์ที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๙ ณ สีหบัญชรในตอนนั้น เพิ่งเสด็จเถลิงถวัลย์บัลลังก์สยาม เผยพระรูปพระบารมีที่งดงาม อยู่ในความทรงจ�ำย�ำ้ ทุกวัน วันนี้ ณ ที่สีหบัญชร กลางหัวอกราษฎรที่โศกศัลย์ อยากจะเห็นพระรูปทองของทรงธรรม์ อีกครั้งครันแม้แวบหนึ่งก็พึงใจ

65


“จงรั ก และภั ก ดี ”

66


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

67


“จงรั ก และภั ก ดี ”

วันอาทิตย์ที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๙ เมื่อครั้งปู่ตาย่าและยาย ได้พึ่งพระฦาสายแผ่นดินที่ห้า ร่มเย็นเป็นสุขเสมอมา จน ‘๒๓ ตุลา’ เยือนเหมือนขาดใจ เคยได้ยินเคยอ่านกันทั้งนั้น แต่ไม่เคยนึกฝันว่าจะได้ ผ่านพบอีกเหตุการณ์เปรียบปานไป หัวใจไทยก็เจียนขาดชีวาตม์ท�ำลาย ที่ ‘๑๓ ตุลาคม’ ห่มน�้ำตา นองหน้าเนืองถนนอยู่ทุกสาย ถวายบังคมบรมศพพระยอดชาย ผันผายเสด็จสวรรค์ล่วงครรไล ป่านฉะนี้สองพระมหาราช แม้สถิตเทพอาสน์ปราสาทไหน โปรดเถิดทอดพระเนตรประเทศไทย ร�่ำน�้ำตาด้วยอาลัยถวายบังคม

68


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

วันจันทร์ที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๙ วันชื่นคืนสุขครั้งหนึ่งในชีวิต ได้รับเสด็จนิวัตพระนคร อยู่ริมถนน พหลโยธิน ย่านซอยอารี คราวนั้นเป็นครั้งแรกที่ได้ชมพระบารมีด้วยตา ของตัวเองขณะอายุราวห้าขวบเศษ

69


“จงรั ก และภั ก ดี ”

70


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

วันพุธที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๙ จากเวที ส นทนาที่ จุ ฬ าลงกรณ์ ม หาวิ ท ยาลั ย เย็ น วั น นี้ ผมได้ ฝ าก ข้ อ คิ ด ว่ า การเก็ บ เรื่ อ งราวที่ พิ ม พ์ ใจเราเกี่ ย วกั บ พระราชกรณี ย กิ จ และ พระมหากรุณาธิคุณต่างๆ ไว้ในความทรงจ�ำเพียงอย่างเดียวนั้น นานปีเข้า ความจ�ำลบเลือน ล่วงไป ๕๐ ปี ๑๐๐ ปี ความจ�ำก็สูญหายไปหมด ผมอยากให้พวกเราได้ช่วยกัน ‘จด’ เรื่องราวในช่วงชีวิตของเรา ที่ ได้ รั บ พระราชทานพระมหากรุ ณาธิ คุ ณ โดยประการต่ า งๆ ไว้ เ ป็ น หลั ก ฐาน วันข้างหน้าลูกหลานเหลนของเรา จะได้มีโอกาสทราบว่า เราผู้เป็นบรรพบุรุษ ของเขาโชคดีเพียงใด ที่ ได้เกิดมาในแผ่นดินรัชกาลที่เก้า ผู้มิ ได้ทรงเป็น แต่เพียงเรื่องเล่าที่ปราศจากหลักฐานร่องรอย หากแต่ทรงมีพระองค์จริง และพระมหากรุณาธิคุณก็เป็นของจริงของแท้เช่นเดียวกัน

วันพฤหัสบดีที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๙ พูดไปพลาง ยิ้มไปพลางเมื่อระลึกถึงเวลาแห่งความสุขครั้งนั้น ร้องไห้ ไปพลางเมื่อนึกว่าพระทูลกระหม่อมแก้วเสด็จสวรรคตเสียแล้ว

71


“จงรั ก และภั ก ดี ”

72


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

วันพฤหัสบดีที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๙ สองมือประนมก้มลงกราบ กลางพื้นที่นำ�้ อาบเอ่อไหล กราบท่านเถิดหลานผู้ปานใจ ภูวนัยพระองค์นั้นท่านควรนัก เสียดายที่หลานไม่ได้โตทัน หลายหมื่นวันที่พระองค์ผู้ทรงศักดิ์ สรงเสโททรงเปียกปอนไม่ผ่อนพัก วันนั้นจักคืนมาหาไม่แล้ว เขียนจากเหตุการณ์ที่รุ่นน้องของผมคนหนึ่ง ได้พบเห็นค�่ำวานนี้ที่ประตูวิมานเทเวศร์ “วันนี้มีคนขอให้พามากราบท่าน ผมตอบตกลงโดยไม่ผ่านกระบวนการคิดแม้แต่น้อย เราสองคนเดินเลาะก�ำแพงพระบรมมหาราชวังมาหยุดที่หน้าประตูวิมานเทเวศร์ “วันนี้เราใกล้ท่านได้เท่านี้” ผมหันไปบอกพี่ที่มาด้วยกัน ถนนหน้าประตูวิมานเทเวศร์ที่ทอดไปยังพระมหาปราสาทที่ประดิษ ฐานพระบรมศพของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศเบื้องหน้านั้น เจิ่งนองไปด้วยน�้ำท่วมขังจากสายฝนที่ตกลงมาตลอดค�่ำ แต่ก็ไม่เป็น อุปสรรคต่อประชาชนที่ตั้งใจมากราบพระบรมบาทยุคล ต่างคุกเข่าลงบนพื้นที่เปียกชุ่ม คลานเข้าไปหน้าประตู นั่งพับเพียบลงไปบนแอ่งน�้ำทั้งชุดที่ ใส่มา อาการย่นย่อท้อระทดต่อความเฉอะแฉะตรงหน้าแม้เพียงน้อยก็ ไม่ปรากฏให้เห็น ต่างค่อยๆ ค้อมตัวลงกราบและซบหน้านิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่มีใครเขย่งโขย่ง ไม่มีใครนั่งบนรองเท้า ไม่มีใครปูสาดลาดเสื่อให้เป็นที่เอิกเกริก ทุกคนมาด้วยใจ ทุกคนฝ่าฝนมา ทุกคนมาหาพ่อ ผมค่อยๆ นั่งลงด้วยความรู้สึกชื่นชมกิริยาของผู้คนเหล่านั้นอยู่ในใจ ระหว่างที่ก้มลงกราบและก�ำลังจะ ลุกขึ้น ก็พลันมีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เดินมาหยุดยืนอยู่ด้านข้าง ตามมาด้วยเสียงของคุณยายท่านหนึ่งที่พูดด้วย น�้ำเสียงสั่นเครือว่า “นั่งลงไปเลยลูก กราบท่าน ไม่ต้องกลัวเปียก หนูเกิดไม่ทันเห็นท่านท�ำงาน เสด็จทั่วไทย เปียกมามากกว่านี้ไม่รู้เท่าไร นั่งลงไปเลยลูก นั่งลง” วินาทีนั้นเหมือนสมองหยุดประมวลผล หูอื้อ น�้ำตาเอ่อจนเห็นไฟไม่เป็นดวง สีหน้าของเด็กคนนั้น ประกอบ กับน�้ำเสียงและสิ่งที่คุณยายพูด รวมกันเป็นแม่กุญแจไขประตูที่ปิดกั้นความโศกเศร้าที่ผมได้ซ่อนไว้อย่างมิดชิด ให้เปิดออกเสียจนหมดสิ้น ผมถือวิสาสะเอามือไปลูบหัวเด็กคนนั้นเบาๆ ยกมือไหว้คุณยายหนึ่งครั้ง คุณยายที่ ผมไม่เคยพบมาก่อนในชีวิต แต่กลับรู้สึกเหมือนเป็นญาติผู้ใหญ่ที่รู้จักกันมานานแสนนาน ก่อนเดินจากมา เรายิ้มให้กันน้อยๆ...ทั้งน�้ำตา” Paphonpat Ch. : ภาพและเรื่องเล่า, ธงทอง จันทรางศุ : ร้อยกรอง 73


“จงรั ก และภั ก ดี ”

74


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

วันศุกร์ที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๙ (เวลา ๐๘.๐๐ นาฬิกา) พระปรีชาของใต้ฝ่าละอองฯ นั้นของจริง เปนยอดยิ่งลือเลศทุกเขตขัณฑ์ โลกจึงเชิดชูพระคุณอดุลย์อนันต์ แม้ถึงวันสวรรคตยังงดงาม ทวีปห้าบรรดามีที่ในโลก ระบือโบกระบายบุญทูนหัวสยาม ลับพระองค์แต่พระบารมีที่เรืองราม ยังติดตามทุกปีเดือนไม่เคลื่อนเอย ที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติจะจัดการประชุมวาระพิเศษ เพื่อเฉลิมพระเกียรติและร�ำลึกถึงพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ค�่ำวันนี้ตามเวลาในประเทศไทย

75


“จงรั ก และภั ก ดี ”

76


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

วันศุกร์ที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๙ (เวลา ๑๐.๐๐ นาฬิกา) “บันทึกไว้ในมหานคร” ส�ำหรับลูกหลานในวันข้างหน้าจะได้หยัง่ รู้ หัวจิตหัวใจเปี่ยมกตัญญูของไทยทุกคนในวันนี้

77


“จงรั ก และภั ก ดี ”

78


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

วันศุกร์ที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๙ (เวลา ๒๓.๐๐ นาฬิกา) ทุกเทศทุกถิ่นน้อม ชื่นพระปัญญาอัน คราวเมื่อพระเสวยสวรรค์ โลกก็เฉลิมพระเกียรติคล้าย

มาคัล ขับร้าย สละโลก ขาดผู้ควรผคม

ใจไม่แข็งพอที่จะไม่ร้องไห้ เมื่อที่ประชุมใหญ่สมัชชาแห่งสหประชาชาติ เฉลิมพระเกียรติพระเจ้าอยู่หัวของเรา แม้เสวยสวรรค์แล้วพระบารมีก็ยัง ปกเกล้าปกกระหม่อมอยู่จนค�่ำคืนนี้และตลอดไป

79


“จงรั ก และภั ก ดี ”

80


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

บ่ายวันหนึ่งในชีวิต แต่ก่อนแต่ไรมาถ้าถามว่าวันที่ ๑๔ ตุลาคม มีความหมายอะไรเป็นพิเศษ ส�ำหรับผมหรือไม่ ส�ำหรับคนวัยเดียวกับผมที่เข้าเป็นนิสิตปี ๑ ในมหาวิทยาลัย เมื่อพุทธศักราช ๒๕๑๖ และนับว่าเป็นคนที่ได้ผ่านเหตุการณ์วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ มาด้วยตนเอง ก็ย่อมจะจดจ�ำได้เป็นอย่างดีว่าวันที่ ๑๔ ตุลาคม ปีนั้น เป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่งของเมืองไทย ยังจ�ำได้ดีว่าค�่ำวันนั้นเวลา ประมาณสักหนึ่งทุ่ม โทรทัศน์ของบ้านเราซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่ช่องถ่ายทอดสด ภาพ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” พระราชทานกระแสพระราชด�ำรัสเพื่อ ขอให้ทุกคนตั้งสติและระงับเหตุการณ์ความวุ่นวายจลาจลที่เกิดขึ้นมาตลอด ทั้งวัน ผมและครอบครัวนั่งร้องไห้ชมการถ่ายทอดครั้งประวัติศาสตร์หนนั้นอยู่ หน้าจอโทรทัศน์ หลังจากพระราชทานพระราชด�ำรัสองค์นั้นแล้วบ้านเมืองก็ กลับคืนสู่ความสงบโดยเร็ว เป็นที่มหามหัศจรรย์ของทุกคนทั้งในเมืองไทยและ ต่างประเทศ ทั้งนี้ด้วยเดชะพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อมโดยแท้ คนรุ่นผม เห็นจะยังจดจ�ำภาพและเหตุการณ์ครั้งนั้นได้ด้วยกันทั้งสิ้น แต่ถ้านับจากปีนี้ คือพุทธศักราช ๒๕๕๙ เป็นต้นไป ความทรงจ�ำพิเศษ ส�ำหรับผมเมื่อนึกถึงวันที่ ๑๔ ตุลาคมย่อมจะหมายรวมถึงครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้ ไปเฝ้ารออยู่ริมถนน เพื่อจะได้มีโอกาสเพียงเสี้ยวหนึ่งของนาทีสำ� หรับการหมอบ กราบถวายบังคมพระบรมศพ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ วั ” พระองค์เดียวกัน กับพระองค์ที่ผมเคยเฝ้าอยู่หน้าจอโทรทัศน์เมื่อสี่สิบสามปีก่อน ขณะขบวนเชิญ พระบรมศพจากโรงพยาบาลศิริราชก�ำลังเดินทางสู่พระบรมมหาราชวัง

81


“จงรั ก และภั ก ดี ”

หลังจากรับรู้ข่าวการเสด็จสวรรคตจากแถลงการณ์ของส�ำนักพระราชวังใน ตอนค�ำ่ วันพฤหัสบดีที่ ๑๓ ตุลาคม พร้อมกันกับประชาชนคนไทยทั้งหลาย ขณะ อยู่พร้อมหน้ากันกับชาวจุฬาอีกหลายคนที่ศาลาพระเกี้ยวแล้ว ผมก็เดินทางกลับ บ้าน ค�่ำวันนั้นถามตัวเองว่า ในวันรุ่งขึ้นซึ่งย่อมเป็นการแน่นอนว่าจะมีการเชิญ พระบรมศพจากโรงพยาบาลศิริราชไปยังพระบรมมหาราชวัง ผมจะท�ำอะไรกับ ชีวติ ของผม ใครต่อใครก็ยอ่ มคาดเดาได้วา่ ในวาระเช่นนี้โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ แห่งประเทศไทยย่อมจะได้ท�ำหน้าที่ถ่ายทอดเหตุการณ์สดจากพื้นที่ ให้คนไทย ได้รับทราบรายละเอียด แต่ครั้นจะให้นั่งชมการถ่ายทอดโทรทัศน์แล้วนั่งร้องไห้ อยู่กับบ้านนั้น ผมท�ำไม่ได้ ทางเลือกอีกทางหนึ่งคือบอกตัวเองว่าเป็นข้าราชการ ที่เกษียณอายุมาหนึ่งปีแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นถ้าแต่งตัวเต็มยศ ติดเหรียญตรา ใส่สายสะพายเข้าไปในพระบรมมหาราชวังก็คงมีโอกาสทีจ่ ะมีทนี่ งั่ เฝ้าตามต�ำแหน่ง ที่สมควร ขณะเดียวกันก็มีทางเลือกอีกทางหนึ่ง คือการบอกกับตัวเองว่า ผมเป็น พสกนิกรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ วั เหมือนกับคนไทยอีกหกสิบกว่าล้านคน ทัว่ ประเทศ ผมเชือ่ ว่าถ้าทุกคนสามารถท�ำได้ดงั ใจปรารถนา ทัง้ หกสิบกว่าล้านคน คงอยากมาอยู่เรียงรายตามสองข้างทางที่ขบวนพระบรมศพจะเคลื่อนผ่าน ผมก็เป็นคนหนึ่งในจ�ำนวนหกสิบกว่าล้านคนนั้น แถมตัวเองยังมีภาษีดีกว่า คนอื่นอีกมากเพราะมีบ้านช่องอยู่ในพระนคร แล้วท�ำไมเล่าจะไม่ท�ำอย่างที่หัวใจ ปรารถนา ค�่ำวันที่สิบสามนั่นเองผมจึงโทรศัพท์พูดคุยกับเพื่อนที่คุ้นเคยกันบ้าง กับลูกศิษย์ลูกหาที่ติดต่อกันอยู่เป็นประจ�ำบ้าง เพื่อสอบถามว่าวันพรุ่งนี้มีใคร คิดอ่านอะไรกันบ้าง หลังจากสอบถามกันแล้วก็ได้คนทีจ่ ะร่วมคณะกันไปถวายบังคม พระบรมศพอยู่ริมถนนที่ ใดที่หนึ่งสุดแต่จะเป็นไปได้ในราวสิบคน นัดหมาย กันเบื้องต้นว่าให้ ไปพบกันที่วัดชนะสงคราม เพราะนึกวางแผนการจราจรว่าถ้าใช้ เส้นทางถนนสามเสนและไปเสียตัง้ แต่เช้าก็เห็นจะพอน�ำรถเข้าไปถึงวัดชนะสงคราม ได้ อีกประการหนึง่ ทีว่ ดั นัน้ ก็มพี ระภิกษุทคี่ นุ้ เคยและได้รบั เมตตาจากท่านอยูเ่ ป็น

82


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

ประจ�ำ เห็นจะพออาศัยพักพิงได้ระหว่างรอเวลาให้พร้อมเพรียงกัน นอกจาก การโทรศัพท์นัดหมายกับเพื่อนและลูกศิษ ย์แล้ว ผมก็ ได้โทรศัพท์ ไปนมัสการ พระคุณเจ้ารูปนั้นให้ท่านทราบล่วงหน้าด้วยว่าผมจะไปรบกวนท่านตั้งแต่เวลา สาย ๆ ของวันที่ ๑๔ ตุลาคม เป็นต้นไป รุ่งเช้าผมแต่งกายด้วยเสื้อผ้าไว้ทุกข์แล้วเดินทางออกจากบ้านในราวแปดโมง ตลอดหนทางไม่เห็นใครใส่เสื้อผ้าสีอื่นนอกจากสีด�ำและสีขาว ใบหน้าของทุกคน ดูเรียบและหม่นหมอง ไม่เหมือนกันกับเช้าวันอื่น ๆ ที่ผมคุ้นเคย จากบ้านที่อยู่ ถนนรัชดาภิเษกในย่านลาดพร้าว รถของผมลัดเลาะใช้เส้นทางถนนวิภาวดีเพื่อ ขึ้นทางด่วนที่ด่านดินแดงมีปลายทางที่ด่านยมราช ระหว่างที่นั่งอยู่ในรถนั้นเอง ผมทราบข่าวจากรายการวิทยุซึ่งยกเลิกรายการปกติทั้งหมดและเหลือแต่เพียง การรายงานเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สวรรคต ว่าทางราชการประกาศให้วันนี้เป็น วันหยุดราชการแล้ว แต่ส�ำหรับผมซึ่งเป็นคนนอกราชการแล้วก็ไม่ต้องเป็นห่วง กังวลใด ๆ จากทางลงด่วนยมราชผมใช้เส้นทางถนนพิษณุโลกและถนนสามเสน สถานที่ราชการทุกแห่งตลอดสองข้างทางลดธงครึ่งเสา ผมไปถึงวัดชนะสงคราม ในเวลาราวเก้าโมง ได้เข้าไปอาศัยพักรอหมู่คณะที่กุฏิของพระมหาปกรณ์ซึ่งผม ได้ โ ทรศั พ ท์ ติ ด ต่ อ ไว้ แ ล้ ว ตั้ ง แต่ เ มื่ อ คื น ที่ ผ ่ า นมา ตั้ ง แต่ เ วลานั้ น เป็ น ต้ นไป ทั้งเพื่อนและทั้งลูกศิษ ย์ก็ทยอยกันมาสมทบจนคณะของเรามีจ�ำนวนประมาณ สิบคน พระมหาปกรณ์ ได้เมตตาจัดเทียนและธูป ไม้ระก�ำให้เราคนละหนึ่งชุด เผื่อว่ามีโอกาสจะได้จุดถวายสักการะพระบรมศพตามแบบธรรมเนียมอย่างเก่า การจราจรวันนั้นยิ่งสายทั้งรถทั้งผู้คนก็ยิ่งมากขึ้นโดยล�ำดับ ทุกคนมุ่งหน้ามา บริเวณท้องสนามหลวงเพื่อจะได้มีโอกาสครั้งส�ำคัญในชีวิต ที่จะได้ถวายบังคม พระบรมศพของพระเจ้าแผ่นดินที่เป็นยอดแห่งความรักเชิดชูบูชาของชาวเรา ไม่ต้องพูดถึงที่ศิริราช หรือละแวกสะพานอรุณอัมรินทร์ ที่ผู้คนแรมคืนเต็มพื้นที่ กันมาตั้งแต่เมื่อวานค�่ำแล้ว

83


“จงรั ก และภั ก ดี ”

84


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

กว่าจะรวมคนได้พรักพร้อมก็ ใกล้เที่ยงแล้ว เพื่อนบางคนต้องจอดรถไว้ กลางทางแล้วนั่งรถจักรยานยนต์เข้ามาพบกันเพราะถนนทุกสาย เรื่อยไปจนถึง ทางด่วน การจราจรติดขัดไปหมด บางคนเห็นการจราจรติดขัดมากก็ทิ้งรถแล้ว เดินเท้าเข้ามาหากันที่จุดนัดหมาย ผมหาอาหารง่าย ๆ รับประทานที่บริเวณ ร้านค้าหน้าวัดชนะสงคราม เข้าห้องน�้ำเสียให้เรียบร้อยเพราะนึกคาดการณ์ว่า ถ้าไปนัง่ อยูร่ มิ ถนนแล้วเห็นจะขยับขยายไปไหนยากเต็มที จากหน้าวัดเราเดินไปตาม ถนนจักรพงษ์ เลี้ยวโค้งนิดเดียวก็เข้าสู่ถนนเจ้าฟ้า เวลานั้นเกือบบ่ายโมงแล้ว ผู้คนมืดฟ้ามัวดินก�ำลังทยอยกันมาจับจองพื้นที่ พื้นที่ที่เป็นเกาะกลางถนนพอ มีต้นไม้ให้ร่มเงาได้บ้างก็เต็มจนแน่นขนัดแล้ว ระหว่างที่ผมก�ำลังงุนงงว่าจะนั่ง ลงตรงไหนได้บ้างนั้นเอง ผู้ส่ือข่าวและทีมกล้องจากสถานี โทรทัศน์แห่งหนึ่ง (ดูเหมือนจะเป็นเนชั่นทีวี) หันมาเห็นหน้าผมเข้าก็ขอสัมภาษณ์ผมว่ามีความรู้สึก อย่างไรในขณะนี้ ผมจ�ำไม่ได้จริง ๆ ว่าผมตอบไปว่าอะไร รู้แต่ว่าพูดไปพลาง ร้องไห้ ไปพลาง เมื่อให้สัมภาษณ์จบแล้ว ผมเดินย้อนขึ้นไปทางด้านสะพาน พระปิ่นเกล้ายังไม่ถึงหน้าหอศิลป์เจ้าฟ้า เห็นยังมีพื้นที่บนพื้นถนนยังพอว่างอยู่ หยั่งเชิงลงนั่งดูก็ไม่เห็นเจ้าหน้าที่ต�ำรวจที่อยู่ตรงนั้นห้ามปรามว่าอะไร นึกในใจ ว่าเจ้าหน้าที่ต�ำรวจคงนึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะหาที่ ให้คนจ�ำนวนนับหมื่นนับ แสนได้เฝ้าถวายบังคมพระบรมศพที่ตรงไหนได้บ้าง นั่งลงไปได้ ไม่นานก็มี เจ้าหน้าที่มาขอร้องให้ขยับถอยหลังจากแนวที่นั่งอยู่ ไปสักนิดแล้วน�ำกรวยยาง มาวางรักษาแนวเอาไว้ ผมและทุกคนก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือและปฏิบัติ ตามโดยไม่อิดเอื้อน หลังจากผมและคณะนั่งลงตรงนั้นแล้วผู้คนที่ตามมาข้างหลังอีกจ�ำนวนมาก ก็เดินไปทางด้านสะพานพระปิ่นเกล้าและนั่งต่อแถวยืดยาวไปจนถึงเชิงสะพาน ด้านหลังของเราก็มีคนนั่งซ้อนอีกไม่รู้กี่แถวต่อกี่แถวไปจนเต็มพื้นที่ถนน เลยไป จนถึงบาทวิถีข้างหลัง จนในที่สุดก็เต็มแน่นไปทั้งบริเวณ มองไปฝั่งตรงข้ามทาง ด้านอนุสาวรีย์ทหารอาสาและโรงละครแห่งชาติ จ�ำนวนผู้คนก็มากมายไม่แพ้กัน

85


“จงรั ก และภั ก ดี ”

กับฝั่งของเรา แต่ฝั่งทางนั้นอาจจะโชคดีกว่าฝั่งผมสักหน่อยเพราะผู้ที่นั่งอยู่แนว เดียวกับผมเป็นด้านที่รับแสงอาทิตย์เต็มใบหน้าตลอดบ่าย ส่วนฝั่งตรงกันข้าม ทุกคนหันหลังให้แสงอาทิตย์ แต่เอาเถิด ไม่เป็นไรหรอก ต่อให้ทุกข์ยากแค่ไหน ขอให้เพียงได้กราบถวายบังคมพระบรมศพ ใจของทุกคนก็ยอมได้ทั้งนั้น ที่นั่งของผมอยู่บนพื้นถนน ตอนแรกนั่งทีเดียวก็รู้สึกร้อนผ่าว แต่เมื่อเวลา ผ่านไปครู่หนึ่งทุกอย่างก็ค่อยคุ้นเคยขึ้น บางคนในคณะของเรามีพัดมีร่มก็น�ำขึ้น มาใช้ประโยชน์ ทางซ้ายมือของผมมีหญิงสาวอายุประมาณยี่สิบเศษ สังเกต เห็นว่า เธอมาคนเดีย ว ระหว่างเวลารอคอยที่ ยาวนานก็ สอบถามพู ดคุ ยกั น ได้ความว่า เธอมาจากจังหวัดราชบุรี ออกเดินทางมาตอนสาย ๆ เพราะต้องดูแล จัดยาให้คณ ุ ยายของเธอซึง่ สุขภาพไม่ดนี กั รับประทานเสียก่อน เธอขึน้ รถประจ�ำทาง แล้ ว ต่ อ รถอี ก หลายต่ อ กว่ า จะมานั่ ง ต่ อ แถวเดี ย วกั น กั บ เราได้ คนรอบข้ า ง ของเราต่างถ้อยทีถ้อยอาศัยช่วยกันดูแลซึ่งกันและกัน ใครมีน�้ำใครมีลูกอมก็ น�ำมาเผื่อแผ่เจือจาน ในท่ามกลางคนนับหมื่นนับแสนที่นั่งอยู่ด้วยกันริมถนน วันนัน้ เราเป็นเสมือนครอบครัวใหญ่ทกี่ ำ� ลังพบกับความสูญเสียครัง้ ส�ำคัญร่วมกัน สิ่งที่น่าแปลกใจส�ำหรับผมอยู่มิใช่น้อยคือผู้คนที่อยู่รายรอบผมตลอดบ่ายวันนั้น ไม่ได้มีแต่เพียงคนวัยผมหรือใกล้เคียงกับผมเท่านั้น หากแต่มีทุกวัย ทุกฐานะ ก็ว่าได้ บางคนก็มาเดี่ยว บ้างก็มากับครอบครัว บ้างก็มากับเพื่อนฝูงหรือคนรู้จัก คุ้นเคย ผมเห็นนักเรียน นิสิต นักศึกษาหลายสถาบันแต่งกายด้วยชุดเครื่องแบบ เดินมาเป็นกลุ่ม ๆ ผู้ใหญ่บางคนพาลูกหรือหลานมาด้วย นี่เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ผมได้เห็นบรรยากาศอย่างนี้ในเมืองไทย มองไปข้างไหนก็เห็นแต่คนใส่เสื้อผ้า สีด�ำใบหน้าอมโศกอย่างเห็นได้ชัด เราทุกคนนั่งตากแดดและอยู่กับอากาศร้อนตลอดบ่ายวันนั้นด้วยความตั้งใจ มุ่งมั่นเพื่อได้ก้มกราบกับพื้นสักครั้งหนึ่งเพื่อถวายสักการะแด่พระเจ้าแผ่นดิน ที่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวตั้งแต่ผมแรกเกิดมาและจ�ำความได้ จนถึ ง วั น นี้ ตลอดเวลาที่ เ รานั่ ง อยู ่ มี เ จ้ า หน้ า ที่ ค อยเดิ น ให้ บ ริ ก ารแจกส� ำ ลี

86


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

ชุบแอมโมเนียส�ำหรับคนที่มีท่าที ใกล้จะเป็นลม บางคนทนความอบอ้าวและ แสงแดดไม่ไหวก็เป็นลมพับลงไป ผูค้ นทีอ่ ยูข่ า้ ง ๆ ก็ชว่ ยกันดูแลปฐมพยาบาลบ้าง ร้องขอให้เจ้าหน้าที่มาดูแลบ้าง สุดแต่อาการหนักเบา หลายคนรวมทั้งผมด้วย นั่งพับเพียบก็แล้ว นั่งขัดสมาธิก็แล้ว เมื่ออยากจะผ่อนคลายอิริยาบถบ้างก็ ลุกขึ้นยืน มีน้องที่ ไปด้วยกันคนหนึ่งพอลุกขึ้นยืนดังว่าก็ โงนเงนเลยทีเดียว ต้องประคองให้นั่งลงแล้วช่วยกันพัดวี ครู่หนึ่งก็กลับฟื้นคืนแรงมาเป็นปกติ นอกจากประชาชนจ�ำนวนล้นหลามแล้ว ตลอดเส้นทางที่ขบวนรถอัญเชิญ พระบรมศพจะเคลือ่ นผ่านมีทงั้ แถวทหารและต�ำรวจเรียงรายถวายพระเกียรติยศ และดูแลความปลอดภัย ก่อนถึงเวลาทีข่ บวนจะเริม่ เคลือ่ นจากโรงพยาบาลศิรริ าช เจ้าหน้าที่เหล่านั้นได้ฝึกซ้อมการปฏิบัติด้วยท่าคุกเข่าและกระท�ำวันทยาหัตถ์ ซึ่งเป็นท่าที่แปลกตาแต่ดูงดงามเหมาะสมกับโอกาสเป็นอย่างยิ่ง ผมและทุกคนนั่งอยู่อย่างนั้นโดยไม่ถอยหนี ไปข้างไหน ตั้งแต่ก่อนบ่ายโมง จนเวลาก้าวเดินไปเรื่อย ๆ สองสามชั่วโมงแล้วทุกคนก็ยังอยู่ในที่เดิมด้วยความ อดทนและสงบนิ่ง ในราวบ่ายสี่โมงมีพระราชาคณะชั้นเจ้าคุณรูปหนึ่งถือพัดยศ ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าวินมอเตอร์ ไซค์ วิ่งลงมาจาก สะพานพระปิ่นเกล้า มุ่งหน้าไปทางพระบรมมหาราชวัง เข้าใจว่าท่านรีบเดินทาง ไปให้ทันงานพระราชพิธี เป็นภาพที่แปลกตาและสังเกตเห็นได้ชัดเจน จนใกล้ จะถึงบ่ายห้าโมง ด้วยสัญญาณการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์จากโรงพยาบาล ศิริราชและมีคนส่งข่าวต่อกันมาเป็นทอด ๆ ก็ท�ำให้เรารู้ว่าวินาทีที่เรารอคอย มาตลอดบ่ายก�ำลังจะมาถึง ทุกคนปรับอิริยาบถให้อยู่ในท่าที่เหมาะสม ผู้ท่ีนั่ง แถวหน้าเกือบทุกคนอยู่ในท่านั่งพับเพียบพร้อมที่จะประนมมือและก้มลงกราบ กับพื้นถนน ส่วนผู้ที่อยู่แถวหลังถัดเข้ามาจากแถวหน้า เช่นผมซึ่งอยู่แถวที่สอง พื้นที่ไม่เอื้ออ�ำนวยให้หมอบกราบลงไปได้ เราก็จัดท่านั่งของตัวเราเองให้อยู่ใน ท่าคุกเข่า ธูปเทียนทีเ่ ตรียมมาจะจุดถวายสักการะดูเป็นการพ้นวิสยั ทีจ่ ะปฏิบตั ิได้ เพราะไม่รู้ว่าจะจุดและปักวางลงที่ใดบนพื้นถนนที่มีสภาพเช่นนั้น ผมจึงตกลง

87


“จงรั ก และภั ก ดี ”

88


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

กับทุกคนที่ไปด้วยกันว่า เราจะท�ำได้แต่เพียงการถือธูปเทียนนั้นไว้ในมือ ประนม ขึ้นเหนือหัวของเราเพื่อถวายสักการะตามที่เราตั้งใจปรารถนา แล้วเก็บธูปเทียน นั้นไปจุดถวายที่บ้านในตอนค�ำ่ ยิ่งใกล้เวลา ทุกอย่างก็สงบเงียบ ทั้งเงียบทั้งวังเวง คนเป็นแสนอยู่ด้วยกัน โดยไม่มเี สียงเอะอะโวยวาย อีกไม่กนี่ าทีตอ่ มาผมมองขึน้ ไปบนสะพานพระปิน่ เกล้า ซึ่งอยู่ทางขวามือของผมก็แลเห็นรถต�ำรวจวิ่งน�ำขบวนอัญเชิญพระบรมศพ มาแต่ ไกล ถัดจากรถยนต์แล้วก็เป็นรถจักรยานยนต์ พ้นจากส่วนอารักขา ล่วงหน้าไปแล้ว ถัดจากรถพระน�ำคือเจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัต เจ้าอาวาสวัด บวรนิ เ วศวิ ห าร รถคั น แรกในขบวนคื อ รถโฟล์ ค ตู ้ ซึ่ ง จั ด เป็ น รถอั ญ เชิ ญ พระบรมศพ ต่อจากนั้นไปจึงเป็นรถพระที่นั่งของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ซึ่งมีธงเยาวราชใหญ่ติดอยู่ด้านซ้ายมือของรถ สามารถ สังเกตเห็นได้ชัดเจน แล้วต่อตามด้วยรถพระที่นั่งของเจ้านายอีกหลายพระองค์ และรถของข้าราชบริพารที่ตามเสด็จอีกหลายสิบคัน ในวินาทีที่รถอัญเชิญ พระบรมศพผ่านหน้าผมไปนั้น ผมยกมือที่ประคองธูปเทียนขึ้นกลางหน้าผาก ค้ อ มตั ว ลงถวายบั ง คมให้ ต�่ ำ ที่ สุ ด เท่ า ที่ จ ะท� ำ ได้ น�้ ำ ตาไหลออกมาเรื่ อ ย ๆ โดยไม่มีเสียงสะอึกสะอื้น หัวใจอยากจะปฏิเสธว่าภาพที่เห็นอยู่ข้างหน้าไม่ใช่ ความจริง เป็นเพียงความฝันร้ายอย่างที่สุดเท่าที่คนไทยคนหนึ่งจะนึกฝันได้ แต่สมองก็บอกว่า ทั้งหมดนี้คือความจริง วันคืนอันแสนสุขบนแผ่นดินของ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ได้เดินทางมาจนถึงวันสุดท้ายแล้ว รถในขบวนคันแล้วคันเล่าวิ่งผ่านหน้าของเราไป สมองที่ยังชาอยู่ พร้อมกับ ดวงตาที่ชุ่มด้วยน�้ำตาท�ำให้ผมจดจ�ำรายละเอียดส่วนนี้ ไม่ ได้มากนัก รู้แต่ว่า ตัวเองนั่งอยู่ตรงนั้นอีกครู่ใหญ่ จนรถทุกคันวิ่งผ่านหน้าไปหมดแล้ว คนที่อยู่รอบ ข้างก็เริ่มส่งสัญญาณว่าเราเห็นจะเดินกลับไปที่วัดได้แล้ว ผมค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน แล้วเพิ่งรู้สึกตัวเองว่า เหนื่อยและเพลียเหลือเกิน น้องที่ไปด้วยกันส่งมือให้จับ เพื่อประคอง ถ้าเป็นเวลาปกติคงไม่ยอมให้ใครมาท�ำอะไรอย่างนี้เป็นแน่ แต่ใน

89


“จงรั ก และภั ก ดี ”

วันนัน้ ยอมให้เขาประคองแต่โดยดี บอกตัวเองว่าเราอายุหกสิบกว่าปีแล้ว ถ้าไม่สบาย หรือเป็นอะไรไปตรงนี้จะล�ำบากคนอื่นเขายิ่งกว่านี้อีกมาก ผู้คนทั้งหลายที่อยู่ใน บริเวณนัน้ ต่างลุกขึน้ เดินเพือ่ หาทางออกจากพืน้ ที่ แต่กต็ อ้ งใช้เวลามากพอสมควร เพราะคนมีมากเหลือเกิน กว่าผมจะค่อย ๆ ลัดเลาะกลับมาที่วัดชนะสงครามได้ ก็เลยเวลาหกโมงเย็นไปแล้ว กลั บ มาได้ ดื่ ม น�้ ำ ดื่ ม ท่ า ที่ ลู ก ศิ ษ ย์ ข องพระมหาปกรณ์ เ อื้ อ เฟื ้ อ จั ด หาให้ จึงค่อยมีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาบ้าง เฝ้าติดตามดูการถ่ายทอดทางโทรทัศน์ก็ยัง ไม่เห็นว่ามีพระราชพิธอี ะไร จึงเข้าใจเอาเองว่า ระหว่างนีน้ า่ จะเป็นช่วงเวลาทีก่ ำ� ลัง ถวายสรงพระบรมศพที่พระที่นั่งพิมานรัตยา เมื่อเสร็จพระราชพิธีช่วงนี้และมา ถึงงานบ�ำเพ็ญพระราชกุศลที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทแล้ว โทรทัศน์คงจะได้ ถ่ายทอดให้เราได้เห็นงานพระราชพิธสี ว่ นนีต้ อ่ ไป และแล้วทุกอย่างก็เป็นไปอย่าง ที่เราเข้าใจโดยโทรทัศน์ ได้กลับมาถ่ายทอดงานพระราชพิธีอีกครั้งหนึ่งในเวลา ประมาณหนึง่ ทุม่ เศษ ทุกคนทีอ่ ยูด่ ว้ ยกันมีความเห็นร่วมกันว่าถ้ารีบเดินทางกลับ บ้านโดยเร็ว ก็จะต้องไปติดการจราจรอยู่กลางทาง เพราะมีคนประมาณตัวเลข ว่าบ่ายวันนั้นมีผู้คนอยู่สองข้างทางที่ขบวนรถเคลื่อนผ่านในราวห้าแสนคน ลูกศิษย์ของผมบางคนส่งข่าวว่าต้องเดินกลับจากสนามหลวงไปถึงสยามสแควร์ ฉะนั้น นั่งดูโทรทัศน์ถ่ายทอดสดอยู่ด้วยกันจะเป็นการดีกว่า จนงานพระราชพิธี จบแล้วจึงค่อยกลับบ้าน เห็นจะได้รับความสะดวกพอสมควร ค�่ำวันนั้น ผมออกจากวัดชนะสงครามในราวสามทุ่มเศษ ไม่ได้รับประทาน อาหารมื้อค�่ำ แต่ไม่ได้รู้สึกหิวโหยอะไร ถ้าใครหยิบยื่นอะไรมาให้ ท�ำท่าจะกิน ไม่ลงเสียด้วยซ�้ำ ไม่รู้สึกเลยว่าตัวเองจะมีอารมณ์ที่บันเทิงเริงรมย์อะไรได้ ระหว่างทางที่นั่งรถกลับบ้าน ใจก็แห้งผาก พร้อมกับความรู้สึกว่าการผลัด แผ่นดินคราวนี้มีความหมายมากส�ำหรับคนไทยทุกคน

90


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

ในวันคืนที่เสด็จขึ้นทรงราชย์ เมืองไทยเพิ่งพ้นผ่านสงครามโลกครั้งที่สอง มาหยก ๆ จากนั้นต่อมาอีกเจ็ดสิบปีเศษในรัชกาล แผ่นดินไทยได้ก้าวเดินมา จากวันเริ่มต้นแห่งรัชสมัยทีละน้อย ทีละน้อย อย่างมั่นคง ทรงครองแผ่นดิน โดยธรรมโดยแท้ทุกประการ เวลาเจ็ดสิบปีในรัชกาลที่เก้านี้ ผมมีโชควิเศษสุด ที่ได้เกิดและเติบโตมาบนแผ่นดินของท่านนานถึงหกสิบเอ็ดปี จากเด็กตัวเล็ก ๆ อายุห้าขวบ ที่รอรับเสด็จกลับจากยุโรปอยู่ริมถนนพหลโยธินเมื่อพุทธศักราช ๒๕๐๔ มาเป็นข้าราชการบ�ำนาญที่เฝ้าถวายบังคมพระบรมศพบนถนนเจ้าฟ้า ในวันนี้ ผมหมดค�ำพูดที่จะบอกได้ครบถ้วนว่า ในสมองของผมมีความทรงจ�ำ อะไรบ้างเกี่ยวกับ “ในหลวง” พระองค์นี้ มั่นใจอยู่แต่เพียงว่า จะทรงอยู่ “ในดวงใจ” ของผมเป็นนิรันดร์ ธงทอง จันทรางศุ

91


“จงรั ก และภั ก ดี ”

92


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

ภาคสอง

“พระบรมราชูปถัมภกคระไลสวรรค์”

93


“จงรั ก และภั ก ดี ”

94


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

“ใต้ร่มพระบรมราชูปถัมภก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในรัชกาลที่ ๙” ศาสตราจารย์พิเศษธงทอง จันทรางศุ และอาจารย์จรรมนง แสงวิเชียร ในวันพุธที่ ๒๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ เวลา ๑๖.๓๐ - ๑๘.๓๐ น. ณ ห้อง ๒๑๒ ชั้น ๒ อาคารมหิตลาธิเบศร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศ.(พิเศษ) ธงทอง : เมือ่ วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ และวันศุกร์ที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชด�ำเนินแทนพระองค์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ในการพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตผู้ส�ำเร็จการศึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแห่งนี้ ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่า เป็นบัณฑิตรุ่นสุดท้ายในรัชกาลที่ ๙ ในเวลาทีท่ รงพัก ระหว่างงานพระราชทานปริญญาบัตรช่วงเช้าและช่วงบ่าย มีพระราชกระแสเป็นการภายใน กับอาจารย์จุฬาฯ หลายท่านที่อยู่ในที่เฝ้าฯ ในขณะนั้นว่า “จุฬาฯ ก�ำลังจะฉลองร้อยปี อีกไม่กี่วันข้างหน้า ในเวลา ๑๐๐ ปีของจุฬาฯ นั้น มีระยะเวลาถึง ๗๐ ปี ในรัชกาลที่ ๙” นี่ คื อ นั ย ส� ำ คั ญ ในประวั ติ ศ าสตร์ ข องมหาวิ ท ยาลั ย แห่ ง นี้ ที่ ไ ด้ ส ถาปนาขึ้ น เมื่ อ ๑๐๐ ปี ม าแล้ ว ในรัชกาลที่ ๖ ในเวลาต่อมามีการพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกในรัชกาลที่ ๗ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๗๓ ในโอกาสนัน้ มีการกราบบังคมทูลพระกรุณาพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยูห่ วั อัญเชิญให้ทรงด�ำรงต�ำแหน่ง พระบรมราชูปถัมภกของมหาวิทยาลัย และได้ทลู เกล้าฯ ถวายเสือ้ ครุยพระบรมราชูปถัมภก ต่อมาในรัชกาลที่ ๘ ซึ่งมีเวลาในรัชกาลนั้นไม่นานปีนัก ได้ทรงพระมหากรุณาเสด็จพระราชด�ำเนินมาพระราชทานปริญญาบัตร แก่บัณฑิตผู้ส�ำเร็จการศึกษาเพียงครั้งเดียว เพราะประทับอยู่ต่างประเทศเป็นเวลานาน ในคราวนั้นพระบาท สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมพิ ลอดุลยเดช ได้โดยเสด็จพระราชด�ำเนินรัชกาลที่ ๘ มาด้วย และแผ่นดินรัชกาลที่ ๙ ก็เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ ด้วยเหตุการณ์ที่ทุกท่านทราบดีอยู่แล้ว

95


“จงรั ก และภั ก ดี ”

พระบาทสมเด็จพระอัฐมรามาธิบดินทร และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชด�ำเนินมาพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้ส�ำเร็จการศึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๑๓ เมษายน ๒๔๘๙

96


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

ในเวลานั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระชนมมายุได้ ๑๘ พรรษา พระชนมพรรษาก็เท่ากันกับอายุเฉลีย่ ของนิสติ ปีที่ ๑ ในมหาวิทยาลัยทุกแห่ง เรือ่ งราว พระมหากรุณาที่จะกล่าวต่อไป แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพระมหากรุณา ที่พระราชทานกับนิสิตในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ แต่ ไม่ ได้หมายความว่าพระมหา กรุณาจ�ำกัดอยูก่ บั เฉพาะจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเท่านัน้ พระมหากรุณานัน้ แผ่ไป ไม่เลือกสถาบัน ไม่เลือกหน้าผู้คน ขอให้เป็นคนไทย ผู้ใหญ่ผู้น้อย อยู่ท่ีไหน ก็อยู่ในข่ายแห่งพระมหากรุณาไม่ผิดเพี้ยนกัน เพียงแต่เรื่องที่จะมาเล่าสู่กัน ฟังนั้น เป็นเรื่องใกล้ตัวของเรา เป็นรูปที่เราค้นได้ จากความทรงจ�ำของเรา จากที่เราได้ยินได้ฟังจากผู้ที่เป็นรุ่นพี่รุ่นพ่อของเรา แล้วน�ำมาเล่าสู่กันฟัง ก่อนที่ ความทรงจ�ำเหล่านี้อาจจะกระจัดกระจายหรือสูญหายไปอย่างน่าเสียดาย

97


“จงรั ก และภั ก ดี ”

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงรับดอกไม้ที่นิสิตทูลเกล้าฯ ถวาย ณ บริเวณหน้าพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง ภายหลังที่นิสิตเข้าถวายบังคมพระบรมศพรัชกาลที่ ๘ บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๔๘๙

98


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

พระบรมฉายาลักษณ์นี้บันทึกไว้เมื่อต้นรัชกาล เพียงเวลาห้าวันหลังจากเริ่ม รัชกาลที่ ๙ ความสูญเสีย ความตระหนกตกใจจากการสวรรคตของพระบาท สมเด็จพระอัฐมรามาธิบดินทรนั้นยิ่งใหญ่มาก เราไม่ทันเหตุการณ์ครั้งกระนั้น เพราะพวกเราในที่ประชุมนี้ทุกท่านเกิดมาก็รู้จักพระเจ้าอยู่หัวอยู่พระองค์เดียว คือพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙

99


“จงรั ก และภั ก ดี ”

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชด�ำเนินผ่านแถวนิสิตที่มาเฝ้าทูลละองธุลีพระบาท และถวายบังคมพระบรมศพรัชกาลที่ ๘ บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๔๘๙

100


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

ในรูปนี้คือรุ่นพ่อ รุ่นแม่ รุ่นลุงของผม ในเวลาแห่งความทุกข์โทมนัสร่วมกัน ของคนไทยทั้งชาตินั้น นิสิตจุฬาฯ หมุนเวียนเปลี่ยนหน้ากันไปเฝ้าทูลละอองธุลี พระบาทที่พระมหาปราสาท เวลานั้นยังประทับอยู่ที่พระที่นั่งบรมพิมาน ซึ่งอยู่ ภายในพระบรมมหาราชวัง เสด็จพระราชด�ำเนินไป-กลับ ไม่ได้ประทับรถยนต์ พระที่นั่ง ทรงพระด�ำเนินผ่านแถวนิสิตที่มาเฝ้าถวายก�ำลังใจอยู่ทุกวัน งานพระบรมศพทีเ่ ริม่ ต้นตัง้ แต่เดือนมิถนุ ายน ด�ำเนินไปจนถึงเดือนกรกฎาคม สิงหาคม ถึงกลางเดือนสิงหาคม เมื่อทรงบ�ำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมศพ สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชได้ระยะหนึ่งแล้ว ท่านก็เสด็จพระราชด�ำเนินกลับไป สวิตเซอร์แลนด์ เพือ่ ไปทรงพระอักษร คือไปเรียนหนังสือต่อ แรกทีเดียวทรงศึกษาอยู่ในคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยโลซาน แต่ว่า เมื่อเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ต้องทรงเปลี่ยนวิชาที่ศึกษามาเป็นวิชารัฐศาสตร์และ นิ ติ ศ าสตร์ ซึ่ ง จ� ำ เป็ น ต่ อ พระราชภาระที่ ท รงเป็ น พระประมุ ข ของประเทศ พระราชนิพนธ์สำ� คัญองค์หนึง่ คือพระราชนิพนธ์ทพี่ ระราชทานมาส�ำหรับหนังสือชือ่ “วงวรรณคดี” เป็นพระราชนิพนธ์องค์แรกในรัชกาลที่ ๙ ชื่อว่า “เมื่อข้าพเจ้า จากสยามมาสู่สวิตเซอร์แลนด์” ทรงเล่าถึงเหตุการณ์ส�ำคัญหลาย ๆ เรื่องที่ ต่อเนื่องกันระหว่างวันที่ ๑๘ และ ๑๙ สิงหาคมปีนั้น ความตอนหนึ่งที่ว่า ระหว่างทีร่ ถยนต์พระทีน่ งั่ วิง่ ผ่านและมีคนร้องตะโกนว่าในหลวงอย่าทิง้ ประชาชน ก็อยู่ในพระราชนิพนธ์องค์นี้ ในวันที่ ๑๙ ซึ่งเป็นวันเสด็จพระราชด�ำเนินจากพระนครไปนั้น ทรงบันทึกว่า เมื่อไปถึงสนามบิน ซึ่งในเวลานั้นคือสนามบินดอนเมือง “มีนิสิตจากจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยผู้จงใจมาส่งเรา ได้น�ำเครื่องหมายของมหาวิทยาลัยมามอบให้ แก่เรา” ได้รับทราบจากนิสิตที่ ไปส่งเสด็จคราวนั้น ว่านิสิตทั้งมหาวิทยาลัย วันนั้นงดการเรียนการสอน ไปส่งเสด็จฯ ที่ดอนเมือง เมื่อเสด็จพระราชด�ำเนิน ไปแล้ว ก็ยังมีความผูกพันและความรู้สึกระลึกถึงอยู่ หลังจากนั้นได้พระราชทาน พระราชนิพนธ์สั้น ๆ มาลงในหนังสือ “มหาวิทยาลัย” เป็นหนังสือที่พิมพ์เป็น ประจ�ำทุกปีและเชิญพระราชนิพนธ์องค์นี้ลงพิมพ์ด้วย

101


“จงรั ก และภั ก ดี ”

ในวันที่ ๑๙ ซึ่งเป็นวันเสด็จพระราชด�ำเนินจากพระนครไปนั้น ทรงบันทึกว่า เมื่อไปถึงสนามบิน ซึ่งในเวลานั้นคือสนามบินดอนเมือง “มีนิสิตจากจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยผู้จงใจมาส่งเรา ได้น�ำเครื่องหมายของมหาวิทยาลัยมามอบให้ แก่เรา” ได้รับทราบจากนิสิตที่ ไปส่งเสด็จคราวนั้น ว่านิสิตทั้งมหาวิทยาลัย วันนั้นงดการเรียนการสอน ไปส่งเสด็จฯ ที่ดอนเมือง เมื่อเสด็จพระราชด�ำเนิน ไปแล้ว ก็ยังมีความผูกพันและความรู้สึกระลึกถึงอยู่ หลังจากนั้นได้พระราชทาน พระราชนิพนธ์สั้น ๆ มาลงในหนังสือ “มหาวิทยาลัย” เป็นหนังสือที่พิมพ์เป็น ประจ�ำทุกปีและเชิญพระราชนิพนธ์องค์นี้ลงพิมพ์ด้วย

102


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

103


“จงรั ก และภั ก ดี ”

บัตรอวยพรปีใหม่ และพระราชหัตถเลขาที่พระราชทานลงพิมพ์ ในหนังสือ “มหาวิทยาลัย” ระหว่างพุทธศักราช ๒๔๙๐ - ๒๕๙๒

104


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

ในปีต่อมา พุทธศักราช ๒๔๙๒ ได้พระราชทานพระราชนิพนธ์สั้น ๆ มา ลงหนั ง สื อ มหาวิ ท ยาลั ย อี ก องค์ ห นึ่ ง เราจึ ง อาจจะอนุ ม านได้ ว ่ า ในระหว่ า ง พุทธศักราช ๒๔๙๐ - ๒๔๙๒ นั้น แม้จะไม่ได้ประทับอยู่ในเมืองไทย แต่ว่า นิสติ จุฬาฯ คงจะได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานพระมหากรุณาในหลาย ๆ เรือ่ ง อย่างน้อยที่เราเห็นร่องรอยหลักฐานอยู่ในเวลานี้คือพระราชนิพนธ์สององค์ที่ว่านี้

105


“จงรั ก และภั ก ดี ”

บัตรอวยพรปีใหม่ และพระราชหัตถเลขาที่พระราชทานลงพิมพ์ ในหนังสือ “มหาวิทยาลัย” ระหว่างพุทธศักราช ๒๔๙๐ - ๒๕๙๒

106


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

ถึ ง พุ ท ธศั ก ราช ๒๔๙๓ ได้ เ สด็ จ พระราชด� ำ เนิ น กลั บ มาเมื อ งไทย เพื่ อ ทรงประกอบพระราชพิธีส�ำคัญสองงานด้วยกัน คือ ถวายพระเพลิงพระบรมศพ สมเด็ จ พระบรมเชษฐาธิ ร าช ในปลายเดื อ นมี นาคม ๒๔๙๓ ถั ด จากนั้ น อีกประมาณเดือนเศษ ๆ ต้นเดือนพฤษภาคม เป็นงานพระราชพิธบี รมราชาภิเษก ในวันที่ ๕ พฤษภาคม ที่เราได้ฉลองวันฉัตรมงคลเป็นประจ�ำตลอดชีวิตของเรา เสมอมา

107


“จงรั ก และภั ก ดี ”

นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระหว่างแต่งกายเพื่อปฏิบัติหน้าที่เทวดา พระต�ำรวจหลวงและมหาดเล็กคู่แห่ ริว้ ขบวนการเชิญพระสุพรรณบัตร ดวงพระบรมราชสมภพและพระราชลัญจกร ในพระราชพิธบี รมราชาภิเษก เมือ่ วันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๔๙๓

108


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

ในพระราชพิธีทั้งสองพระราชพิธีนั้น มีความจ�ำเป็นที่จะต้องจัดริ้วกระบวน หลายริ้วกระบวน มีการจัดมหาดเล็ก จัดเจ้าหน้าที่ประกอบกระบวนพระบรม ราชอิสริยยศหลายวาระด้วยกัน ล�ำพังเพียงแต่เจ้าหน้าที่ส�ำนักพระราชวัง ไม่มี จ�ำนวนพอที่จะปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวได้ อาศัยภูมิหลังที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นโรงเรียนมหาดเล็กมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า โปรดกระหม่อมให้นิสิตจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยปฏิบัติหน้าที่เป็นมหาดเล็ก ต� ำ รวจหลวง และคู ่ แ ห่ ใ นพระราชพิ ธี บ รมราชาภิ เ ษก ท่ า นเหล่ า นี้ คื อ นิ สิ ต รุ่นลุง รุ่นน้าอาของเรา นึกดูว่าส�ำหรับนิสิตแล้ว คงเป็นบรรยากาศที่น่าตื่นเต้น เป็นอย่างยิ่ง ปกติเราก็อยู่แต่ในมหาวิทยาลัย แต่งชุดนิสิต แต่งชุดล�ำลอง อะไร ก็แล้วแต่ ได้แต่งกายเป็นเทวดาสักครั้งหนึ่งก็น่าตื่นเต้นอยู่ และเป็นโอกาสแห่ง ความปีตยิ นิ ดีของคนทัง้ แผ่นดินด้วย เพราะเป็นการบรมราชาภิเษก เป็นพิธสี ำ� คัญที่ เฉลิมพระบรมราชอิสริยยศเป็นพระเจ้าแผ่นดินตามโบราณประเพณีของเรา การนุ่งโจงกระเบนนี่ก็ ไม่ ใช่ของที่ ใส่ทุกวัน คงต้องช่วยกันนุ่งช่วยกันห่มอยู่ พอสมควรในครั้งกระนั้น

109


“จงรั ก และภั ก ดี ”

นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ปฏิบัติหน้าที่เทวดาและมหาดเล็กคู่แห่ ถ่ายภาพร่วมกันที่บริเวณหน้าประตูพรหมศรีสวัสดิ์ พระบรมมหาราชวัง

110


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

บรรดานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแต่งกายเข้าริ้วกระบวน ส�ำหรับนิสิต แถวนั่งสวมหมวกที่อยู่ข้างหน้านี้ เรายังเห็นพระต�ำรวจหลวงสวมหมวกชนิดนี้อยู่ เขาเรียก “หมวกทรงประพาส” ส่วนที่เป็นคู่แห่เดินน�ำเสด็จพระราชด�ำเนิน สวมหมวกยอดแหลม ๆ นั้นคือ “ลอมพอก”

111


“จงรั ก และภั ก ดี ”

นายชัชวาลย์ ชุติมา นายกสโมสรนิ​ิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก�ำลังตรวจความเรียบร้อยของนิสิตที่ปฏิบัติหน้าที่ เป็นคู่แห่พระต�ำรวจหลวง บริเวณก�ำแพงแก้ว พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท

112


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

นิสิตจุฬาฯ ในครั้งนั้นโชคดีเหลือเกิน ที่ ได้สนองพระเดชพระคุณท�ำหน้าที่ ที่มีเกียรติยศยิ่งในครั้งนั้น บางคนเป็นพระต�ำรวจหลวงถือหอก คนที่อยู่ซ้ายมือ เป็นนายกสโมสรนิสติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในครัง้ กระนัน้ เป็นคนตรวจแถวอยู่ ดูเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ เข้าเเถว อาคารที่อยู่ด้านหลัง จ�ำได้แน่ว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ วัดพระศรีรัตนศาสดารามในปัจจุบันนี้ ในครั้งกระนั้นเป็นที่ตั้งของกองมหาดเล็ก ขวามือที่เห็นนั้นคือก�ำแพงแก้ว พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พ้นจากก�ำแพงนี้ เข้าไปก็เป็นพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทแล้ว อยากจะเสริมความอีกสักนิดว่า เรื่องราวต่าง ๆ ที่เราพบมาในชีวิตของเรา เราอาจจะรู้สึกว่าอยู่ในความทรงจ�ำก็มีคุณค่ามากแล้ว แต่อยากจะชวนท่าน ทั้งหลาย คือคนไทยไม่เฉพาะแต่ชาวจุฬาฯ พระมหากรุณาที่เราได้พบ ได้ผ่าน ได้สัมผัสมาด้วยตัวตนของเรา ขอให้ช่วยกันเขียน ช่วยกันบันทึกไว้เถิด คนไทย ไม่ค่อยชอบเขียนหนังสือ ดังนั้น เรื่องราวทั้งหมดจึงกลายเป็นเรื่องเล่าเสียมาก อาจจะขาดความชัดเจน ขาดการสืบทอดขึน้ มาในวันใดวันหนึง่ คิดว่าฝากส�ำหรับ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก็ ได้ เราอาจจะไม่สามารถไปขอร้องหรือไปชักชวนให้ ช่วยกันจดช่วยกันเขียนได้ แต่อย่างน้อยส�ำหรับชาวจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ละคนที่เคยได้รับพระมหากรุณา แม้เพียงแค่เข้าเฝ้าฯ รับพระราชทาน ปริญญาบัตร ความรู้สึกในวันนั้นของตัวเองเป็นอย่างไร ได้เห็นอะไรมาบ้าง รูปถ่ายของตัวเองที่ได้รับพระราชทานปริญญาบัตรน่าจะได้มีการบันทึกไว้

113


“จงรั ก และภั ก ดี ”

พระราชยานกงทรงพระสุพรรณบัตร พระราชลัญจกร ดวงพระบรมราชสมภพ แห่เชิญจากพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ไปยังพระแท่นมณฑล ในพระที่นั่งไพศาลทักษิณ เมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๔๙๓

114


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

สองสามวันนี้ผมเพิ่งตรวจสอบกับส�ำนักทะเบียนของจุฬาฯ เฉพาะบัณฑิตที่ ได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีจ�ำนวนมากกว่า ๑๒๐,๐๐๐ คน เฉพาะในชีวิตของเรา คน ๑๒๐,๐๐๐ คน เฉพาะที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ รับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นิสิตจุฬาฯ เข้าริ้วกระบวนแห่อัญเชิญพระสุพรรณบัตรในเวลาที่มีพระราชพิธี บรมราชาภิเษกนั้น จะมีการจารึกพระสุพรรณบัตร คือจารึกพระปรมาภิ ไธย ลงในแผ่นทองค�ำ พอถึงวันพระราชพิธีก็เชิญจากวัดพระศรีรัตนศาสดารามหรือ วัดพระแก้วซึ่งประดิษ ฐานพักอยู่ แห่เข้ามาในพระบรมมหาราชวัง ที่เราเห็น ตึกฝรัง่ ขวามือนัน้ เข้าใจได้วา่ คือชัน้ หนึง่ หรือชัน้ สองของพระทีน่ งั่ จักรีมหาปราสาท ที่เห็นอยู่บนพระราชยานนั้นคือพระสุพรรณบัตร ประดิษฐานอยู่บนพานแว่นฟ้า และมีผ้าปักอย่างสวยงามคลุมอยู่

115


“จงรั ก และภั ก ดี ”

สันนิษฐานว่าเป็นนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปฏิบัติหน้าที่พระต�ำรวจหลวงยืนประจ�ำเบื้องหน้าพระวิสูตร ในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย

116


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

นิสิตในสมัยนั้น แต่งตัวเป็นพระต�ำรวจถือหอกยืนประจ�ำหน้าทีอ่ ยู่ ไม่ทราบ เหมือนกันว่าเป็นใคร อยากจะหาข้อมูลต่อไป สมัยนีเ้ รามีกจิ กรรมทีเ่ ราพบเห็นบ่อย ๆ คือ “ตามหาบุคคลในรูป” ลูกหลานอาจจะพอจ�ำได้ว่านี่คือคุณพ่อหรือเจ้าตัวเอง ถ้าท่านยังมีชวี ติ อยู่ ถ้าค�ำนวณอายุวา่ เฉียด ๆ ๙๐ ปี แต่อาจจะยังแข็งแรงพอทีจ่ ะ มาช่วยเล่าอะไรเราฟังได้บ้าง นี่คือนิสิตจุฬาฯ ในวันนั้น ในงานพระราชพิธี บรมราชาภิเษก

117


“จงรั ก และภั ก ดี ”

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชด�ำเนินมา พระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้ส�ำเร็จการศึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๔๙๓

118


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

ถ้าเราไม่ลืมว่าทรงรับราชสมบัติเป็นพระเจ้าอยู่หัวในปี ๒๔๘๙ ผ่านไป สามสีป่ ี นิสติ ทีอ่ ยูป่ ี ๑ เมือ่ ตอนท่านเป็นพระเจ้าอยูห่ วั ใหม่ ๆ ก็ได้รบั พระราชทาน ปริญญาบัตรในพุทธศักราช ๒๔๙๓ พระบรมราชาภิเษกต้นเดือนพฤษภาคม หลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษกไม่นาน ปลายเดือนพฤษภาคมนั้นเอง ห่างมา เพี ย งสองสั ป ดาห์ เ ศษ วั น ที่ ๒๔ พฤษภาคม ได้ เ สด็ จ พระราชด� ำ เนิ น มา พระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้ส�ำเร็จการศึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ในเวลานั้นยังไม่มีพระอภิไธยว่า พระบรมราชินีนาถ ทรงด�ำรงพระราชอิสริยยศเป็นแต่เพียงสมเด็จพระบรมราชินี เพราะได้ทรงมีพระอภิไธยเติมสร้อยค�ำว่า “นาถ” นั้น เมื่อพุทธศักราช ๒๔๙๙ ในคราวที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ทรงพระผนวช

119


“จงรั ก และภั ก ดี ”

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ฉลองพระองค์ครุยรัฐศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ซึ่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทูลเกล้าฯ ถวายเป็นครั้งแรกในรัชกาลที่ ๙ ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร เมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๔๙๓

120


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

ประเพณีการพระราชทานปริญญาบัตรในเวลานั้น แม้กระทั่งการทรงฉลอง พระองค์ครุยนั้นก็ทรงอยู่ในหอประชุมนั่นเอง (ในปัจจุบันมีสถานที่ที่จัดถวาย ความสะดวกส� ำ หรั บ ทรงฉลองพระองค์ ใ นห้ อ งที่ จั ด ถวายไว้ เ ป็ น พิ เ ศษ) ในพระบรมฉายาลักษณ์องค์นี้นอกจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ แล้ว ยังมีสมเด็จพระนางเจ้าร�ำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ ๗ เสด็จพระราชด�ำเนินด้วย งานพระราชพิธีในครัง้ กระนัน้ ออกจะเป็น การยิ่ ง ใหญ่ เพราะว่ า มี เ จ้ า นายส� ำ คั ญ เสด็ จ ฯ มามากพระองค์ ด ้ ว ยกั น พระบรมราโชวาทที่ พ ระราชทานในวาระแรกที่ เ สด็ จ พระราชด� ำ เนิ น มาที่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถ้อยค�ำที่ส�ำคัญที่สุดก็คือถ้อยค�ำที่ทรงย�้ำเตือนว่า “ชื่อมหาวิทยาลัยของท่านคือ “จุฬาลงกรณ์” จะติดตัวท่านไปด้วยเสมอ ไม่ว่าจะประพฤติดีหรือประพฤติชั่ว ฉะนั้น ทุก ๆ ครั้งที่ท่านจะกระท�ำการใด สิ่ ง ใดลงไปจงคิ ด แล้ ว คิ ด อี ก ทบทวนดู ท้ั ง ทางได้ ท างเสี ย ให้ แ น่ ชั ด เสี ย ก่ อ น “จุฬาลงกรณ์” หาได้เป็นแต่เพียงชื่อของมหาวิทยาลัยนี้เท่านั้นไม่ ยังเป็นนาม ของผู้พระราชทานก�ำเนิดของสถานที่แห่งนี้ด้วย ฉะนั้น จึงเป็นการจ�ำเป็นอย่างยิ่ง ที่ท่านจะต้องปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับเป็นผู้ที่ ได้รับการอบรมสั่งสอนไปจาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนี้”

121


“จงรั ก และภั ก ดี ”

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จลง ณ สวนอัมพร พระราชวังดุสิต พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้คณาจารย์ และนิสิตเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๐๐

122


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

ในช่ ว งหลั ง จากที่ เ สด็ จ พระราชด� ำ เนิ น กลั บ มาประทั บ อยู ่ เ มื อ งไทยเป็ น การถาวรแล้ว ตั้งแต่พุทธศักราช ๒๔๙๕ เป็นต้นมา เรามีรูปภาพพระบรม ฉายาลักษณ์ที่เสด็จพระราชด�ำเนินมาทรงร่วมกิจกรรม หรือทรงเป็นประธาน ในงานต่าง ๆ มากมาย เช่น ทอดพระเนตรงานแสดงวิทยาศาสตร์ พุทธศักราช ๒๔๙๕ เมื่อสองวันก่อนสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ มีพระราชกระแสรับสั่ง เล่าพระราชทานว่ามีอาจารย์ของจุฬาฯ ท่านหนึ่งคือ หม่อมราชวงศ์สุมนชาติ สวัสดิกุล ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในครั้งนั้น และท่านเป็นสามีของท่านผู้หญิงสมโรจน์ สวัสดิกุล ณ อยุธยา อาจารย์สุมนชาติ ท่านนี้เองมี โอกาสก็ ได้กราบบังคมทูลพระกรุณาเชิญเสด็จพระราชด�ำเนินมา ในกิจกรรมในหลายวาระด้วยกัน

123


“จงรั ก และภั ก ดี ”

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จลงพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระราชโอรส พระราชธิดา ในการทรงดนตรีพระราชทานแก่นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ เวทีลีลาศสวนอัมพร พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๓

124


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

ในการพระราชทานปริญญาบัตรคราวหนึ่งในพุทธศักราช ๒๕๐๐ หลังจาก พระราชทานปริญญาบัตรแล้ว ก่อนจะเสด็จขึ้น มีพระราชกระแสท่ามกลาง ที่ประชุมนั้นว่าจะต้องรีบเสด็จพระราชด�ำเนินกลับ เพราะว่าสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชิ นี นาถ ก� ำ ลั ง จะมี พ ระประสู ติ ก าลทู ล กระหม่ อ มพระองค์ เ ล็ ก คือ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ ในวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๐๐ เมื่อผ่านไปสักระยะหนึ่ง บรรดาชาวจุฬาฯ ทั้งหลายก็ขอพระราชทาน เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เพื่อถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอที่ประสูติ ใหม่ ตอนนั้นพระชันษา ๒ เดือน แล้วก็ ได้รับพระราชทานพระนามเกี่ยวข้อง กับเหตุการณ์ที่มาพระราชทานปริญญาบัตรที่จุฬาฯ เพราะวันที่ประสูติเป็น วั น พระราชทานปริ ญ ญาบั ต รของจุ ฬ าฯ จึ ง ได้ รั บ พระราชทานพระนามว่ า เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ เรื่องนี้ก็เป็นความภาคภูมิใจของจุฬาฯ อีกส่วนหนึ่ง ที่พระนามของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระองค์เล็กคือความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ ที่เป็นพระราชกรณียกิจในวันนั้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เวลานั้นประทับอยู่ที่พระที่นั่งอัมพรสถานและเสด็จลงที่สวนอัมพร ท่าน ทั้งหลายคงพอจะนึกออกว่าเราหมายถึงเวทีลีลาศสวนอัมพรเป็นอาคารทรงกลม ไม่ใหญ่นกั และก็มบี อ่ น�ำ้ อยูข่ า้ งหน้า เหตุการณ์ครัง้ เดียวกันนัน้ และในวันเดียวกัน นั้น ได้ทรงพระมหากรุณาทรงดนตรีพระราชทานนิสิตที่ไปเข้าเฝ้าฯ ด้วย

125


“จงรั ก และภั ก ดี ”

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จลงพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระราชโอรส พระราชธิดา ในการทรงดนตรีพระราชทานแก่นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ เวทีลีลาศสวนอัมพร พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๓

126


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

ประเพณีการทรงดนตรี หรือธรรมเนียมการทรงดนตรีพระราชทานตาม มหาวิทยาลัยต่าง ๆ นั้น เริ่มต้นขึ้นครั้งนี้เอง เมื่อพุทธศักราช ๒๕๐๐ และ ไม่เฉพาะแต่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หากแต่ได้เสด็จพระราชด�ำเนินไปในอีก หลายมหาวิทยาลัยด้วย ระยะแรกเป็นการทรงดนตรีพระราชทานส�ำหรับนิสติ และ คณาจารย์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เวทีลีลาศสวนอัมพร ในปีพุทธศักราช ๒๕๐๐ จากนั้นตั้งแต่พุทธศักราช ๒๕๐๑ จนถึง ๒๕๑๖ ได้เสด็จพระราชด�ำเนิน มาทรงดนตรีที่หอประชุมจุฬาฯ ยกเว้นพุทธศักราช ๒๕๐๓ ซึ่งย้อนกลับไปจัดที่ เวทีลีลาศสวนอัมพร ส่วนการทรงดนตรีพระราชทานที่มหาวิทยาลัยต่าง ๆ นั้น มีอยู่ต่อเนื่องหลายปี ร่วมสิบปีเศษเห็นจะได้

127


“จงรั ก และภั ก ดี ”

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชด�ำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินนี าถ และพระราชโอรส พระราชธิดา ในวันทรงดนตรี ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๐๘

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ในวันทรงดนตรี ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๐๘

128


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

วั น ที่ ท รงดนตรี ที่ จุ ฬ าลงกรณ์ ม หาวิ ท ยาลั ย ทรงก� ำ หนดเป็ น กิ จ กรรม ประจ�ำปีในวันที่ ๒๐ กันยายน เพราะเป็นวันพระบรมราชสมภพของพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ และรัชกาลที่ ๘ ซึ่งมีความหมายส�ำคัญ ยิ่ ง ส� ำ หรั บ ชาวจุ ฬ าลงกรณ์ ม หาวิ ท ยาลั ย และส� ำ หรั บ พระองค์ เ องด้ ว ย จึ ง ทรงก� ำ หนดวั น ที่ ๒๐ กั น ยายนของทุ ก ปี ผมมาเป็ น นิ สิ ต ปี ห นึ่ ง ที่ จุ ฬ าฯ เมื่อพุทธศักราช ๒๕๑๖ วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๑๖ ผมอยู่ปี ๑ คณะนิติศาสตร์ ยั งได้ ทั น เห็ น การทรงดนตรี ค รั้ ง สุ ด ท้ า ยในจุ ฬ าลงกรณ์ ม หาวิ ท ยาลั ย เวลา นั้ น เป็ น นิ สิ ต ปี ๑ ยั ง ไม่ ไ ด้ เ ข้ า หอประชุ ม ตอนต้ น เพราะว่ า เขาให้ ไป รายแถวรั บ เสด็ จ พระราชด� ำ เนิ น ตามถนนในมหาวิ ท ยาลั ย จากเส้ น ทางด้ า น ถนนพญาไทมายังหอประชุม กว่าเราจะท�ำหน้าที่รับเสด็จฯ เสร็จแล้วเข้าไป อยู ่ ห อประชุ ม ได้ เราแทบจะเข้ า หอประชุ ม ไม่ ไ ด้ แ ล้ ว เพราะคนล้ น หลาม พี่ ๆ อยู่เต็มแล้ว แต่ไม่เป็นไร เราก็แอบดูตามช่องแสงข้างหอประชุม ท�ำตัวลีบ เล็ดลอดเข้าไปในหอประชุมเท่าที่เราจะท�ำได้ก็แล้วกัน เป็นบรรยากาศแห่ง ความสุขของทุกคน

129


“จงรั ก และภั ก ดี ”

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร (ต่อมาคือสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน) ทรงดนตรีพระราชทานแก่นิสิต ในวันทรงดนตรี ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๐๘

130


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

ภาพนี้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เสด็จพระราชด�ำเนินมาทรงดนตรี ใน ครั้งนั้นด้วย ทูลกระหม่อมฯ พระราชโอรสธิดาทุกพระองค์ก็เสด็จมา มีการกราบ บังคมทูลพระกรุณา “ขอเพลง” ได้ด้วย มีการแต่งตั้งโฆษกเฉพาะกิจส�ำหรับงาน แต่ละมหาวิทยาลัยจะมี โฆษกซึ่งเป็นผู้ที่มีทักษะในการที่จะกราบบังคมทูลและ พูดกับผู้ที่อยู่ในที่เฝ้านั้น ให้กิจกรรมทั้งหลายด�ำเนินไปได้ราบรื่น ถ้าจ�ำไม่ผิด เวลาที่เสด็จพระราชด�ำเนินมาน่าจะประมาณสักบ่ายสองโมง ถึงสองโมงครึ่ง ไม่น่าจะเกินนั้น แล้วประทับอยู่จนเกือบ ๆ สองทุ่มเห็นจะได้ เป็นเวลาร่วม ๆ ๕ - ๖ ชัว่ โมง แต่วา่ หลังจากการทรงดนตรีครัง้ สุดท้ายนัน้ แล้ว ไม่นานก็เป็นเหตุการณ์ ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งส�ำคัญในประเทศไทย คือเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ พระราชกรณียกิจในเรือ่ งการทีจ่ ะท�ำนุบำ� รุงพัฒนาประเทศ เรือ่ งของ การที่ จ ะพั ฒ นางานตามพระราชด� ำ ริ ต ่ า ง ๆ ในต่ า งจั ง หวั ด มี เ พิ่ ม มากขึ้ น เพราะฉะนัน้ ในวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๑๗ จึงไม่มกี ารทรงดนตรี และเว้นว่างตัง้ แต่ นั้นเป็นต้นมา แต่อย่างไรก็ดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก็ยังจัดกิจกรรมภายใน มหาวิทยาลัยที่เรียกว่า “วันที่ระลึกวันทรงดนตรี” ในวันที่ ๒๐ กันยายนของทุกปี เวลาทรงดนตรีนั้น ขอพระราชทานเพลงได้ มีการทูลเกล้าทูลกระหม่อม ถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศลด้วย เนื่องจากเป็นวันที่ ๒๐ กันยายน ก็ทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เงินที่ถวายในวันนั้น โดยเสด็จพระราชกุศลสมทบทุน มูลนิธิอานันทมหิดล แม้จนทุกวันนี้ รายได้จากวันที่ระลึกวันทรงดนตรีของจุฬาฯ ก็ยังทูลเกล้าฯ ถวายสมทบทุนมูลนิธิอานันทมหิดลตามพระราชประสงค์เดิมหรือ ตามแนวทางที่ได้ทรงเริ่มต้นไว้แล้ว

131


“จงรั ก และภั ก ดี ”

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมพิ ลอดุลยเดช ขณะประทับ ณ เวทีหอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในวันทรงดนตรี เมือ่ วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๑๑

132


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

ภาพนี้บันทึกเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๑๑ พระบรมฉายาลักษณ์องค์นี้ แสง เงา องค์ประกอบภาพงดงามมากส�ำหรับการบันทึกภาพในครั้งกระนั้น พระบรมฉายาลักษณ์องค์นี้บันทึกในตอนค�่ำมากแล้ว เพราะถ้าบันทึกในตอน บ่าย แสงคงจะจ้ากว่านี้ เสด็จฯ อยู่ครั้งใด ไม่เคยเสด็จพระราชด�ำเนินกลับก่อน พระอาทิตย์ตกดินเลย ประทับอยู่เป็นเวลานานพอสมควร

133


“จงรั ก และภั ก ดี ”

สมเด็จพระนางเจ้าสิรกิ ติ ิ์ พระบรมราชินนี าถ พระราชทานพระราชด�ำรัสแก่นสิ ติ ในวันทรงดนตรี ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมือ่ วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๑๑

134


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระราชทานพระราชด�ำรัสกับนิสิตและอาจารย์ทั้งหลาย ในหอประชุมจุฬาฯ ตอนนั้นยังไม่ติดเครื่องปรับอากาศ อากาศอบอุ่นหน่อย แต่อยู่กันด้วยความสุขในหัวใจ มี บั น ทึ ก พระสุ ร เสี ย งของพระบาทสมเด็ จ พระเจ้ า อยู ่ หั ว รั ช กาลที่ ๙ ซึ่งบันทึกไว้ในวันทรงดนตรี พุทธศักราช ๒๕๑๒ และขออัญเชิญมาให้ ได้รับฟัง มีความตอนหนึ่งดังนี้ “พวกที่นั่งอยู่ในที่นี้ อาจไม่ทันนึกว่าเป็นปีที่ ๑๒ แล้วที่มีการประชุมกันแบบ นี้ ครบรอบแล้ว ที่จ�ำได้ดีเพราะว่าผลงาน คือมีบุคคลหนึ่งในที่นี้อายุ ๑๒ แล้ว แล้วก็ขอเตือนความจ�ำหรือบอกว่า ที่เริ่มมีการประชุมอย่างเช่นวันนี้ก็ต่อเนื่อง มาจากการเกิดของบุคคลนี้ เมื่อ ๑๒ ปี เมื่อปี ๒๕๐๐ นั้นน่ะ วันหนึ่งมาแจก ปริญญาในหอประชุมนี้ แล้วก็เมื่อแจกปริญญาเสร็จแล้ว ก็ ได้ประกาศสิ่งที่ ไม่เคยประกาศเลย ณ ที่ใดว่า เมื่อแจกปริญญาเสร็จแล้วขอหนีกลับบ้าน วันนั้น ผู้ที่ได้รับปริญญาก็คงงงพอใช้ แต่ว่ากลับบ้านไป แล้วไปคอย แล้วเกิดมีบุคคล ผู้นี้เกิดขึ้นมา (หมายถึง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์)

135


“จงรั ก และภั ก ดี ”

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ประทับทรงดนตรี ณ เวทีหอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในวันทรงดนตรี เมือ่ วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๑๔

136


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

เมื่อเป็นเช่นนั้นได้ทราบข่าวว่ามีทั้งอาจารย์ทั้งนักศึกษาขอแสดงความยินดี ก็ติดต่อมาทางอาจารย์สุมนชาติ สวัสดิกุล ผู้ล่วงลับไปแล้วว่า นักศึกษาอยาก จะมาแสดงความยินดี ก็บอกว่าให้มาได้ที่พระที่นั่งอัมพร แล้วก็ยินดีจะต้อนรับ ให้ส่งจ�ำนวนและรายชื่อมาจะได้ให้ทางต�ำรวจ ทางทหาร ทางเจ้าหน้าที่ได้ทราบ จะได้ให้เข้ามาได้ ก็บอกว่ามีประมาณ ๔๐ คน ต่อมาก็บอกว่าขอเพิ่มจ�ำนวนเป็น สัก ๑๐๐ คน ต่อมาก็เพิ่มจ�ำนวนเป็น ๓๐๐ คน ก็เลยบอกว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ ขอเปลี่ยนสถานที่เป็นสวนอัมพร เพราะว่า ๓๐๐ คน จะมาประชุมในห้องหนึ่ง ก็รู้สึกว่าจะล�ำบาก ก็ ไปที่สวนอัมพร ในวันนั้นปรากฏว่ามาเป็นจ�ำนวนไม่ใช่ ๓๐๐ คน เป็นจ�ำนวน ๓,๐๐๐ คน คนเหล่านั้นก็คงได้ส�ำเร็จการศึกษามาแล้ว ก็หวังว่าอย่างนั้น เพราะ ๑๒ ปีมาแล้ว แล้วก็ ได้ท�ำประโยชน์แก่บ้านเมือง อย่างมากมายแล้ว ผู้ที่อยู่ในหอประชุมและรอบหอประชุมนี้ก็คงจ�ำไม่ได้ เพราะ ไม่ได้อยู่ในที่นั้น ก็ถึงต้องมาอธิบายว่าการมาอย่างนี้ก็มาเป็นประเพณีซึ่งก็ทุกปี ที่มาแบบนี้และทั้งมาเวลาแจกปริญญา ก็ได้เคยบอกว่าเป็นการให้โอวาท ในการ แจกปริญญานั้นเป็นวาท ในการมาอย่างเช่นวันนี้ ไม่ใช่โอวาท แต่ก็กลับกลาย มาเป็นประเพณีวา่ นายกสโมสรขอให้ให้โอวาท ก็จนใจ ไม่ทราบว่าถ้ามาออกตัวว่า วันนี้ไม่ใช่โอวาทก็จะหัวร่อกัน จึงยอมรับว่าวันนี้จะเป็นโอวาทก็ได้...”

137


“จงรั ก และภั ก ดี ”

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เสด็จพระราชด�ำเนินมาทรงฟังการอภิปรายเรื่อง “พระพุทธศาสนากับนิสิตในมหาวิทยาลัย” เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๔

138


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

ทรงพระมหากรุณาแม้กระทั่งเสด็จพระราชด�ำเนินมาทรงฟังการอภิปราย จัดโดยกลุ่มศึกษาพุทธศาสตร์และประเพณี อภิปรายเรื่อง “พระพุทธศาสนากับ นิสติ ในมหาวิทยาลัย” ทางด้านซ้ายมือ คือ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ซึ่งทรงรับกลุ่มพุทธศาสตร์และประเพณีนี้อยู่ในพระราชูปถัมภ์ด้วย จึงทรงเป็น ธุระในกิจการต่าง ๆ ของชมรมนี้ และเป็นโอกาสให้เสด็จพระราชด�ำเนินมา ในการอภิปรายของกลุ่มดังกล่าวนั้น

139


“จงรั ก และภั ก ดี ”

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงปลูกต้นจามจุรี ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมือ่ วันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๐๕

140


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

ในวั น ที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๐๕ พระบาทสมเด็ จ พระเจ้ า อยู ่ หั ว เสด็ จ พระราชด�ำเนินมาทรงปลูกต้นจามจุรีที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ ทรงเล่าพระราชทาน ในวันนั้นว่า ทรงเพาะต้นจามจุรีนี้ที่พระราชวังไกลกังวล และตอนนี้ต้นไม้โตมาก พอทีค่ วรจะเข้าโรงเรียนได้แล้ว ก็ทรงพามาฝากเข้ามหาวิทยาลัย และขอให้ทกุ คน ช่วยกันดูแลต้นไม้นี้ ถ้าท่านเดินไปที่หน้าหอประชุม ยังมีต้นจามจุรีขนาดใหญ่ ๕ ต้น มีข้อสังเกต ได้เห็นชัด คือมีรั้วล้อม มีเสาหัวเม็ดล้อมอยู่ แตกต่างกับต้นจามจุรีต้นอื่นใน มหาวิทยาลัย และมีจารึกอยู่บริเวณนั้น “ฝากต้นจามจุรีไว้ ๕ ต้น ให้เป็นที่ระลึก ตลอดกาล” นี่ก็เป็นเครื่องหมายของพระมหากรุณาที่หยั่งรากลึกลงในหัวใจ ของเราทุกคน ตั้งแต่ปี ๒๕๐๕ ในวันพระราชทานปริญญาบัตรเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จุฬาฯ บัณฑิตได้ออกมา พร้อมกันทีห่ น้าพระบรมราชานุสาวรียส์ องรัชกาล ถวายบังคมพระบรมราชานุสาวรีย์ แล้ว มาอยู่ใต้ต้นจามจุรีภายใต้ร่มเงาแห่งต้นไม้ทั้ง ๕ ต้นนั้น แล้วร้องเพลง “ต้นไม้ของพ่อ” ด้วยกัน

141


“จงรั ก และภั ก ดี ”

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชด�ำเนินมาทรงร่วมการอภิปรายเรื่อง “ปัญหาการใช้คำ� ไทย” ณ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๐๙

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ขณะประทับทรงร่วมการอภิปรายเรื่อง “ปัญหาการใช้ค�ำไทย” ของชุมนุมภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

142


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

การเสด็จพระราชด�ำเนินมาทรงฟังอภิปรายก็นับว่าเป็นพระกรุณาล้นเหลือ แล้ว ที่ยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ เสด็จพระราชด�ำเนินมาทรงร่วมอภิปราย เรื่อง “ปัญหา การใช้ค�ำไทย” เป็นกิจกรรมที่ไม่ใช่กิจกรรมของมหาวิทยาลัย แต่เป็นกิจกรรม ของชุมนุมภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ ชุมนุมเล็ก ๆ ชุมนุมหนึ่งในคณะหนึ่ง ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ เสด็จพระราชด�ำเนินมาทรงร่วมอภิปราย ผู้ที่อยู่ในภาพ นี้ได้แก่ อาจารย์สุมนชาติ (ศาสตราจารย์ หม่อมราชวงศ์สุมนชาติ สวัสดิกุล) ซึ่งล่วงลับไปแล้ว นี่คือบุคคลซึ่งเป็นผู้ประสานระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ห้องที่ทรงร่วมการอภิปรายครั้งนั้น น่าจะเป็นประวัติส�ำคัญประการหนึ่งของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยว่า ณ สถานที่นี้ ห้องนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชด�ำเนินมาทรงอภิปรายในห้องนี้ พระราชด�ำรัสที่พระราชทานใน การอภิปรายครั้งนั้น ยังมีบันทึกเป็นหลักฐานอยู่ ได้เคยมีการพิมพ์ซ�้ำเผยแพร่ มาหลายหนแล้ว และคิดว่าตอนนี้คงอยากมีผู้อยากอ่านอีกเหมือนกัน ถ้าจะน�ำ มาเผยแพร่อีกครั้งคงไม่ยากเกินไปนัก เพราะว่ามีต้นฉบับอยู่

143


“จงรั ก และภั ก ดี ”

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานพระเกี้ยว ซึ่งสมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทูลเกล้าฯ ถวาย แก่จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีจอมพลประภาส จารุเสถียร อธิการบดีในขณะนัน้ เข้าเฝ้าฯ รับพระราชทาน เมือ่ วันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๐๙

พระเกี้ยวทองค�ำ ที่สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ทูลเกล้าฯ ถวาย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแก่มหาวิทยาลัย ในโอกาสครบรอบ ๕๐ ปีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๐๙ (บันทึกภาพในพิธีอธิการปติประทานการ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๙)

144


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

เมื่ อ คราวงานฉลองครบรอบ ๕๐ ปี แห่ ง การสถาปนาจุ ฬ าลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๙ เวลานั้นอธิการบดี คือ จอมพลประภาส จารุเสถีย ร ได้รับ พระราชทานพระเกี้ ยวจากพระบาทสมเด็ จ พระเจ้ า อยู ่ หั ว เป็นพระเกี้ยวที่ ได้ใช้ในงานพิธีการส�ำคัญให้เข้าร่วมริ้วกระบวนแห่เกียรติยศ ต่าง ๆ เช่น พิธี “อธิการปติประทานการ” หรือพิธีรับมอบต�ำแหน่งอธิการบดี ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งมีการเดินริ้วกระบวนในพิธีการ มีการเชิญ พระเกี้ยวองค์นี้เป็นสัญลักษณ์ เครื่องหมายที่ ได้พระราชทานพระมหากรุณา เข้ากระบวนด้วย นอกจากพระเกี้ยวองค์นี้ มีพระเกี้ยวองค์อื่นที่พระราชทาน ให้ กั บ มหาวิ ท ยาลั ย แห่ ง นี้ อี ก ๒ องค์ องค์ ห นึ่ ง ที่ เ ห็ น ในภาพนี้ เป็ น ภาพ นายกสโมสรนิสติ ขณะรับพระราชทานพระเกีย้ ว เพือ่ ใช้ในกิจกรรมของนิสติ จุฬาฯ เช่น เชิญออกในเวลาแห่งานฟุตบอลประเพณี ส่วนของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เชิญธรรมจักร

145


“จงรั ก และภั ก ดี ”

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานพระเกี้ยว ซึ่งสมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทูลเกล้าฯ ถวายแก่นายธีรชัย เชมนะศิริ นายกสโมสรนิสิต เพื่อใช้ในกิจกรรมของนิสิต เมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๑๒

146


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

นอกจากนั้ น ยั ง มี กิ จ กรรมที่ นิ สิ ต ท� ำ ในมหาวิ ท ยาลั ย เก็ บ เงิ นได้ ก็ น� ำ ไป ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย เช่น มีกรณีอุทกภัยในจังหวัดราชบุรี เพชรบุรี เมื่อ พุทธศักราช ๒๕๑๒ นิสิตก็ร่วมใจกันท�ำกิจกรรมในนามของสโมสรนิสิต แล้วก็ ไปเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท โดยเสด็จพระราชกุศลในการนั้น

147


“จงรั ก และภั ก ดี ”

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชด�ำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเปิดฝายน�ำ้ ล้น “ยุววิศวกรบพิธ ๕” ณ บ้านโฮ้ง ต�ำบลออนใต้ อ�ำเภอสันก�ำแพง จังหวัดเชียงใหม่ จัดสร้างโดยชมรมค่ายอาสาพัฒนา คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐

148


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

ในพุทธศักราช ๒๕๑๕ มีการจัดกิจกรรมซึ่งถ้าเป็นสมัยนี้ต้องเรียกงาน “จุ ฬ าฯ วิ ช าการ” แต่ ต อนนั้ น ยั งไม่ มี ชื่ อ เป็ น ทางการหากแต่ เ รี ย กว่ า งาน “นิทรรศการทางวิชาการของสโมสรนิสิตฯ” ปีแรกที่เสด็จพระราชด�ำเนินคือ พุทธศักราช ๒๕๑๕ คณะวิศวกรรมศาสตร์นั้นมีประเพณีอยู่ว่าในเวลาปิดภาคเรียนฤดูร้อน ก็จะ ไปบ�ำเพ็ญสาธารณประโยชน์ด้วยการใช้ความรู้ทางวิศวกรรมศาสตร์ของตนเอง นั้น สร้างสะพานบ้าง สร้างฝายบ้าง สุดแท้แต่จะเลือกสถานที่ก่อสร้างในแต่ละ ปีไป ทรงพระมหากรุณาพระราชทานชื่อว่า “ยุววิศวกรบพิธ” ซึ่ง “บพิธ” ค�ำนี้ แปลว่า “สร้าง” สะกดเหมือนกับ “วัดราชบพิธ” ไม่ใช้ “บพิตร” ซึ่งแปลว่า “พระเจ้าแผ่นดิน” “ยุววิศวกรบพิธ” คือ “วิศวกรตัวน้อย ๆ เป็นคนสร้างขึ้น” ที่ส�ำคัญคือ ได้ทรงพระมหากรุณาเสด็จพระราชด�ำเนินไปทรงเปิดผลงานที่นิสิตสร้างเสร็จ เรียบร้อยแล้ว ดังเช่น เปิดฝายน�้ำล้นที่สันก�ำแพง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นโอกาส เดียวกันที่นิสิตมีโอกาสได้เฝ้าฯ กราบบังคมทูลพระกรุณาเรื่องราวต่าง ๆ เช่น เรื่องงานก่อสร้าง เป็นต้น “ยุววิศวกรบพิธ” ยังด�ำเนินอยูจ่ นปัจจุบนั นี้ ในเวลาปิดภาคเรียนฤดูรอ้ นสมัยก่อน ที่ปัจจุบันขยับการปิดภาคเรียนมาตรงกับอาเซียน ค่ายเช่นว่านี้ก็ยังมีอยู่ เมื่อ ไม่นานมานี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระราชกระแส รับสั่งเล่าว่า มีอยู่ปีหนึ่ง นิสิตมาปรึกษาท่าน แล้วทรงเลือกต�ำบลที่จะให้สร้าง สะพาน หรือสร้างฝายไม่แน่ใจนักเพราะฟังไม่ถนัด แต่วา่ ทรงเลือกในทีท่ ยี่ ากเหลือ เกิน เป็นทีน่ ำ�้ เชีย่ ว แล้วก็สร้างยาก ต้องใช้เวลาปิดเทอม ๒ ปีตอ่ กันถึงสร้างส�ำเร็จ “ยุววิศวกรบพิธ” ด�ำเนินต่อเนื่องมาปัจจุบัน ตัวเลขก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ปัจจุบัน อาจจะถึงสามสิบสี่สิบแห่งแล้วก็ ได้ เป็นโครงการของคณะวิศวกรรมศาสตร์ ที่สนองพระราชด�ำริ สนองพระราชปรารภ

149


“จงรั ก และภั ก ดี ”

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชด�ำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทอดพระเนตรนิทรรศการในงาน “จุฬาฯ วิชาการ ๓๐” ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๓๐

150


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

“จุฬาฯ วิชาการ” พุทธศักราช ๒๕๓๐ เป็นเหตุการณ์ส�ำคัญครั้งหนึ่งของ มหาวิทยาลัย มีการสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์หน้าหอประชุมของจุฬาฯ เสร็จ เรียบร้อยแล้ว เสด็จพระราชด�ำเนินมาทรงเปิดเมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายนปีนั้น เสด็จพระราชด�ำเนินมาที่บริเวณด้านหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยูห่ วั ทรงเปิด พระบรมราชานุ ส าวรี ย ์ นั่ น เป็ น ที่ ห มายหนึ่ ง แล้ ว เสด็ จ พระราชด� ำ เนิ น ที่ หมายสอง คือทีศ่ าลาพระเกีย้ ว ทอดพระเนตรกิจกรรมทางวิชาการต่างๆ มากมาย มีคอมพิวเตอร์ที่ได้ทรงทดลองโปรแกรม “อักษรเทวนาครี” ที่ได้ทรงประดิษฐ์ขึ้น

151


“จงรั ก และภั ก ดี ”

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงแสดงการสาธิตโปรแกรมอักษรเทวนาครีที่ทรงประดิษฐ์ขึ้นด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ ในงานจุฬาฯ วิชาการ ๓๐ ณ ศาลาพระเกี้ยว จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

152


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

อาจารย์จรรมนง : ขอเรียนว่าในปีนั้น ที่จุฬาฯ พยายามส่งเสริมให้คณาจารย์ ใช้คอมพิวเตอร์ หลายท่านที่อายุมากแล้วก็คงจะรู้จัก “แมคทู” (Macintosh II) ที่ ไม่ค่อยมี ใครอยากใช้ จนกระทั่งจุฬาฯ ต้องบอกว่าซื้อผ่อนส่งได้ จึงมีคนใช้ “แมคทู” (Macintosh II) ที่ว่านั้นเพิ่มขึ้น “แมคทู” (Macintosh II) นี้ต้องศึกษา อย่างละเอียดลออจึงจะใช้ ได้ ไม่ใช่ซ้ือมาแล้วใช้ ได้เลย ที่จุฬาฯ ช่วงนั้นมีอบรม กันมากมายที่จะใช้ “แมคทู” (Macintosh II) ขอเรียนมาเพื่อทราบว่า ไม่ใช่ของ ง่ายที่จะท�ำได้ สมัยนั้นต้องมีความรู้มากพอสมควรทีเดียวจึงจะใช้ ได้

153


“จงรั ก และภั ก ดี ”

แบบตัวอักษรจากโปรแกรมอักษรเทวนาครี ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงประดิษฐ์ขึ้นจากคอมพิวเตอร์ “แมคทู” (Macintosh II) และทรงสาธิตพระราชทานในงานจุฬาฯ วิชาการ ๓๐

154


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

ศ.(พิเศษ) ธงทอง : ทรงใช้คอมพิวเตอร์เครื่องที่ว่านี้ที่จัดสาธิตอยู่ในศาลา พระเกี้ยว ทรงเขียนนาม “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” ทรงใช้โปรแกรมที่ทรง ประดิษ ฐ์ขึ้นเขียนภาษาแขกที่เรียกว่า “อักษรเทวนาครี” มีท้ังภาษาอังกฤษ มี ทั้ ง ภาษาไทย มี ก ารถ่ า ยทอดสดทางโทรทั ศ น์ ใ นวั น นั้ น ด้ ว ย ที่ ห มายสาม เสด็จพระราชด�ำเนินไปคณะวิศวกรรมศาสตร์ มีกิจกรรมทางวิชาการที่ต้อง พระราชประสงค์จะทอดพระเนตรหรือจัดถวายอยู่ที่นั่น ผมจ�ำได้แต่ว่าตอนจะ เสด็จพระราชด�ำเนินกลับ ไม่ ได้ขึ้นประทับรถยนต์พระที่นั่งที่ศาลาพระเกี้ยว หากแต่มาขึ้นรถยนต์พระที่นั่งที่หอนาฬิกาหน้าตึกจักรพงษ์

155


“จงรั ก และภั ก ดี ”

เข็มพระเกี้ยวทองค�ำ ซึ่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทูลเกล้าฯ ถวายในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๓๐ ด้านหลังมีข้อความสลักว่า “ชาวจุฬาฯ ขอถวายด้วยความภักดียิ่งชีวิต”

156


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

ผมเองกับผู้บริหารมหาวิทยาลัยและนิสิตด้วย ช่วยคิดกันว่าอยากจะจัดหา สิ่งของอะไรสักอย่างหนึ่งทูลเกล้าฯ ถวาย เพื่อสนองพระมหากรุณาธิคุณที่ เสด็จพระราชด�ำเนินมาเป็นมิ่งขวัญของเราในโอกาสนั้น คิดกันแล้วก็ท�ำสิ่งหนึ่ง สิ่งนี้เกิดขึ้น เป็นเข็มพระเกี้ยว ลักษณะเหมือนเข็มพระเกี้ยวที่เป็นเข็มวิทยฐานะ ของมหาวิทยาลัย เพียงแต่ท�ำด้วยทองค�ำ ถ้าเป็นพระเกี้ยวของบัณฑิตทั้งหลาย ที่จบปริญญาตรี โท เอก จากที่นี่ก็ใช้เข็มพระเกี้ยวที่เป็นเงินเท่านั้น แล้วก็ค้น ประวัติศาสตร์ทั้งหลาย อย่างที่เมื่อในช่วงต้นได้เรียนแล้วว่า เมื่อพุทธศักราช ๒๔๘๙ ที่เสด็จพระราชด�ำเนินไปสวิตเซอร์แลนด์นั้น นิสิตจุฬาฯ ไปเฝ้าส่งเสด็จ ที่ดอนเมือง และพบพระราชนิพนธ์ท่ีว่า นิสิตได้น�ำเครื่องหมายมหาวิทยาลัยมา ให้ อาศัยเหตุนั้น เราพบจากบันทึกที่ปรากฏในพระราชนิพนธ์เท่านั้น แต่เรามั่นใจว่าพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต้องทรงจ�ำเหตุการณ์นั้นได้ เพราะเป็นเหตุการณ์ส�ำคัญ ที่ ท รงพระราชนิ พ นธ์ ไ ว้ มหาวิ ท ยาลั ย ก็ จั ด สร้ า งเข็ ม นี้ ขึ้ น แล้ ว ก็ ม อบให้ นายกสโมสรนิสิตฯ และกรรมการสโมสร และนิสิตจ�ำนวนมาก เฝ้าฯ รอส่ง เสด็จฯ ก่อนเสด็จพระราชด�ำเนินขึ้นรถยนต์พระที่นั่ง ก็ได้ทูลเกล้าฯ ถวายเข็ม นี้ และถ้าจ�ำไม่ผิด ข้อความที่กราบบังคมทูลพระกรุณามีใจความว่า ครั้งหนึ่งเมื่อ เสด็จพระราชด�ำเนินจากสยามไปสูส่ วิตเซอร์แลนด์ในพุทธศักราช ๒๔๘๙ นัน้ นิสติ จุฬาฯ เคยไปเฝ้าฯ และถวายเครือ่ งหมายมหาวิทยาลัยมาแล้วครัง้ หนึง่ บัดนี้ ผ่านไป ๔๐ กว่าปีแล้ว ขอพระราชทานทูลเกล้าฯ ถวายเครื่องหมายของมหาวิทยาลัยอีก ครั้งหนึ่ง ด้วยน�้ำใจที่เหมือนเดิม ด้วยความจงรักภักดี ทรงรับแล้ว ผมไม่ได้ยินว่า มีพระราชกระแสอะไรบ้างเพราะไม่ได้อยู่ในที่นั้น

157


“จงรั ก และภั ก ดี ”

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงประดับเข็มพระเกี้ยวทองค�ำที่ฉลองพระองค์เบื้องขวา เมื่อเสด็จพระราชด�ำเนินมา พระราชทานปริญญาบัตร ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประมาณปีพุทธศักราช ๒๕๓๑

158


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

วันเวลาที่ทูลเกล้าฯ ถวายเข็มนี้คือเดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๓๐ ต่อมาในเดือนกรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๑ การพระราชทานปริญญาบัตร ของจุฬาฯ ครั้งนั้น ปกติเป็นวันพฤหัสบดี วันศุกร์ และวันเสาร์ เฉพาะตอน บ่าย ผมเป็นเจ้าหน้าที่ร่างค�ำกราบบังคมทูลพระกรุณาทั้งหลายที่ต้องใช้ในงาน พิธีพระราชทานปริญญาบัตร จ�ำได้ว่าวันพุธก่อนถึงวันงานเพียงหนึ่งวัน ท่าน รองอธิการบดีเวลานั้น คือ รองศาสตราจารย์อ�ำพน นะมาตร์ โทรศัพท์มา ถามว่า “อาจารย์ทราบไหมว่า เข็มที่ถวายไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนนั้น ส�ำนัก ราชเลขาธิการถามว่าประดับอย่างไร ?” ผมเรียนท่านว่า ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน เพราะว่าไม่เคยมีระเบียบกติกาอะไรของมหาวิทยาลัยทัง้ นัน้ ถ้าเป็นเข็มวิทยฐานะ มีระเบียบ ให้ประดับที่อกซ้าย มีข้อมูลเพียงเท่านี้ แต่เข็มนี้ไม่ใช่เข็มวิทยฐานะ อาจารย์อ�ำพนก็คงจะน�ำความกราบเรียนราชเลขาธิการไปตามข้อมูลนั้น พอถึงวันพระราชทานปริญญาบัตร เสด็จพระราชด�ำเนินมาถึง ปรากฏว่า ทรงประดับฉลองพระองค์ที่พระอุระขวา ถ้าเวลาสวมฉลองพระองค์ครุยก็ ไม่คอ่ ยเห็นเท่าไหร่ เพราะแถบส�ำรดเสือ้ ครุยปิดทับ แต่ถา้ เมือ่ ไรก็ตามทีท่ รงเปลือ้ ง ฉลองพระองค์ครุย เช่น ตอนเสด็จพระราชด�ำเนินมาไม่ได้ฉลองพระองค์ครุยก็ดี ตอนจะเสด็จพระราชด�ำเนินกลับก็ดี ทรงเปลื้องฉลองพระองค์ครุยแล้ว โดย มากแล้ววันแรกของการพระราชทานปริญญาบัตรนั้นจะมีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ รับพระราชทานปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ หลังจากเสร็จพิธีในห้องประชุม ห้องใหญ่แล้ว จะเสด็จพระราชด�ำเนินมาทรงร่วมงานเลี้ยงรับรองช่วงสั้น ๆ อาจ จะสักครึง่ ชัว่ โมงก่อนเสด็จพระราชด�ำเนินกลับ เวลานัน้ ทรงเปลือ้ งฉลองพระองค์ ครุยแล้วเหลือแต่ฉลองพระองค์ปกติขาว มีพระราชกระแสกับหลาย ๆ ท่านใน ที่นั้น ซึ่งยังมีตัวอยู่ด้วยกันทั้งสิ้นในวันนี้ ทรงอวดเข็มที่ว่านี้ว่า “เข็มนี้ไม่ใช่เข็ม วิทยฐานะ ถ้าเข็มวิทยฐานะต้องอยู่ที่อกซ้าย เข็มนี้เป็นเข็มที่แฟนให้ จึงอยู่ที่ อกขวา” ตั้งแต่นั้นมา ทุกคราวที่เสด็จราชด�ำเนินมาจุฬาฯ ถ้าทรงฉลองพระองค์ ปกติขาวเมื่อไร จะทรงประดับเข็มพระเกี้ยวทองค�ำนี้เสมอ เป็นพระมหากรุณา จริง ๆ

159


“จงรั ก และภั ก ดี ”

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงรับพระมหาสังข์ทักษิณาวรรต ซึ่งนายอนุสรณ์ ธรรมใจ นายกสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทูลเกล้าฯ ถวายในโอกาสพระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก ๒ กรกฎาคม ๒๕๓๑ ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๓๑

160


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

ในพุ ท ธศั ก ราช ๒๕๓๑ เหมื อ นกั น มี เ หตุ ก ารณ์ ส� ำ คั ญ ต่ อ เนื่ อ งกั น อี ก เหตุการณ์หนึ่ง ผู้ที่เป็นนายกสโมสรนิสิตฯ เวลานั้น เวลานี้มีคนรู้จักมาก อยู่ คือ “นายอนุสรณ์ ธรรมใจ” ผมพยายามติดต่อทางโทรศัพท์พูดกันเมื่อ วานซืน ว่าอยู่ไหน ? นึกจะขอให้มาช่วยเล่าอะไรบ้าง ปรากฏว่าอยู่ต่างประเทศ แต่ว่าก็ส่งข้อความมาให้ เป็นข้อความที่เจ้าตัวบันทึกไว้ว่าเหตุการณ์เกิดขึ้น ในวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๓๑ พุทธศักราช ๒๕๓๑ เป็นปีส�ำคัญอีกปีหนี่ง เพราะเหตุว่าวันที่ ๒ กรกฎาคม ก่อนหน้านั้นเพียงสิบกว่าวัน เป็นพระราชพิธี รัชมังคลาภิเษก ทรงครองราชสมบัติเสมอด้วยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ มหาวิทยาลัยก็คิดว่าน่าจะมีของทูลเกล้าฯ ถวายเฉลิมพระขวัญในโอกาส ที่ เ ป็ น โอกาสส� ำ คั ญ แห่ ง รั ช สมั ย ในครั้ ง กระนั้ น เมื่ อ มาหารื อ สอบถามว่ า จะทูลเกล้าฯ ถวายอะไรถวายดี ? ผมไปค้นดูพบว่า ในเวลาเมื่อพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เสด็จพระราชด�ำเนินไปยังจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในพุทธศักราช ๒๔๕๑ ในคราวพระราชพิ ธี รั ช มั ง คลาภิ เ ษกในรั ช กาลที่ ๕ พระยาโบราณ ราชธานินทร์ (พร เดชะคุปต์) ซึ่งเป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลกรุงเก่า ได้สร้าง “พระมหาสั ง ข์ ทั ก ษิ ณาวรรต” บรรจุ ค� ำถวายพระพรลงในพระมหาสั ง ข์ นั้ น เป็นแบบอย่างที่เคยมีในสมัยรัชกาลที่ ๕ ผมก็น�ำความเรียนท่านผู้ใหญ่ทั้งหลาย เป็นอันตกลงว่าจุฬาฯ ขวนขวายไปหาสังข์ทักษิณาวรรตมาได้ขอนหนึ่ง แล้วก็จัด ท�ำตราพระปรมาภิไธย จปร. และ ภปร. อยู่คู่กัน เป็นนิมิต เป็นเครื่องหมาย แห่งการที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วยสมเด็จพระบรมอัยกาธิราช มีค�ำ ถวายพระพรจารึกลงในแผ่นทองค�ำสอดอยู่ในสังข์ขอนนั้นด้วย ให้คุณอนุสรณ์ เป็นผู้ทูลเกล้าฯ ถวาย มีบันทึกของคุณอนุสรณ์ว่า “ตอนถือพานรอเสด็จ พระราชด�ำเนินมานั้น มือสั่นเต็มทีแล้วนะครับ ต้องประคองไม่ให้ตกด้วยความ ตื่นเต้น ด้วยความยินดีที่ท�ำหน้าที่อันทรงเกียรติ พร้อมกับนิสิตอีกจ�ำนวนมาก ที่เฝ้าอยู่บริเวณด้านหน้าหอประชุม แล้วก็ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี แล้วก็ มีการร้องถวายชัยมงคลในที่นั้นด้วย”

161


“จงรั ก และภั ก ดี ”

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้บัณฑิตผู้เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร เมื่อพุทธศักราช ๒๔๙๓ เข้าเฝ้าฯ ในโอกาสครบ ๔๐ ปีแห่งการพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกในรัชกาล

162


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

เมื่อครู่นี้ผมเรียนว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาพระราชทานปริญญา บัตรแก่บัณฑิตจุฬาฯ ครั้งแรกปี ๒๔๙๓ มาจนถึงปีพุทธศักราช ๒๕๓๓ ภาพนี้ คือเหตุการณ์ในวาระครบรอบ ๔๐ ปีแห่งการเสด็จฯ พระราชทานปริญญาบัตร ในรัชกาลที่ ๙ ในครั้งนั้น มหาวิทยาลัยได้เชิญชวนบัณฑิตที่เคยรับพระราชทาน ปริญญาบัตร เมือ่ ๔๐ ปีกอ่ นหน้านัน้ มาเฝ้าทูลละอองธุลพี ระบาทอีกครัง้ หนึง่ ก็ได้ มาจ�ำนวนพอสมควรบัณฑิตเหล่านีอ้ ายุอานามต้องใกล้เคียงกันกับพระชนมพรรษา ของพระเจ้าอยู่หัว และหลายท่านเป็นผู้ที่ได้ปฏิบัติราชการสนองพระเดชพระคุณ อยู่ในหน้าที่ส�ำคัญต่าง ๆ ด้วย เช่น ท่านองคมนตรี พล.อ.อ.ก�ำธน สินธวานนท์ คุณหญิงเกื้อกูล เสถียรไทย ท่านผู้หญิงวิลาวัณย์ วีรานุวัตติ์ และท่านผู้หญิง มนัสนิตย์ วณิกกุล เป็นต้น ภาพนีเ้ ป็นภาพประวัตศิ าสตร์ภาพหนึง่ ของจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย พูดถึงรับปริญญาแล้ว ผมมีเรื่องจะเล่าเสริมตรงนี้ และไม่ใช่เรื่องที่จ�ำกัด ประเด็นแต่เฉพาะการพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาฯ เท่านั้น ในเวที อภิปรายของสภาการศึกษาแห่งชาติครั้งหนึ่งที่จุฬาฯ ผมได้เชิญผู้ใหญ่หลาย ๆ ท่านมาอภิปรายร่วมกัน มีศาสตราจารย์ ดร.วิษณุ เครืองาม เป็นต้น อาจารย์ วิษณุได้กรุณาเล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งท่านเคยเป็นเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และ เป็นช่วงเวลาที่จ�ำนวนบัณฑิตของแต่ละมหาวิทยาลัยมีเพิ่มมากขึ้นทุกปี ส�ำนัก เลขาธิการคณะรัฐมนตรีซึ่งมีหน้าที่ประสานราชการกับส�ำนักราชเลขาธิการเสมอ มา ท่านราชเลขาธิการเวลานั้นคือ หม่อมหลวงพีระพงษ์ เกษมศรี ท่านพยายาม จะปรึกษากันแล้วน�ำความกราบบังคมทูลพระกรุณาว่า จะขอผ่อนพระราชภาระ

163


“จงรั ก และภั ก ดี ”

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

164


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

อย่างไรได้บ้าง เช่น ขอให้มีการพระราชทานปริญญาบัตรโดยมหาวิทยาลัย เชิญพระบรมรูป หรือพระบรมฉายาลักษณ์ประดิษ ฐานแล้วให้บัณฑิตเข้ารับ พระราชทานปริญญาบัตรเบื้องหน้าพระบรมรูปหรือพระบรมฉายาลักษณ์นั้น สมควรแก่เวลาจึงเสด็จพระราชด�ำเนินมาพระราชทานพระบรมราโชวาท จะได้ เป็นพิธีการแต่เพียงสั้น ๆ บัณฑิตก็ ได้เฝ้าฯ แต่ทรงยืนยันว่าจะพระราชทาน ปริญญาบัตรด้วยประเพณีดั้งเดิม คือพระราชทานด้วยพระหัตถ์ มีพระบรม ราชาธิบายกับราชเลขาธิการ ซึ่งได้เชิญมาเล่าต่อให้ฟัง สาระคือว่า ต้องพระ ราชประสงค์ท่ีจะสื่อสารและติดต่อกับบัณฑิตแต่ละคนด้วยพระองค์เอง มีพระ บรมราชาธิบายว่า ในนาทีที่ส่งมอบปริญญาบัตรให้แก่กันนั้นหมายความว่า กระดาษแผ่นเดียวกันนั้น คนทั้งสองคนถือพร้อมกัน ถ้ามือใดมือหนึ่งไม่อยู่ พร้อมกัน กระดาษแผ่นนั้นก็จะร่วงหล่นลงเสีย เราไม่เคยนึกว่าในขณะจิตหนึ่งของเรานั้น เราได้เคยถือของชิ้นเดียว แผ่น เดี ย วกั น ร่ ว มกั บ พระบาทสมเด็ จ พระเจ้ า อยู ่ หั ว ยิ่ ง ไปกว่ า นั้ น ทรงมี พ ระ ราชประสงค์ที่จะสอนบัณฑิต ที่ว่าสอนนี้ไม่ได้หมายความถึงพระบรมราโชวาทซึ่ง เรื่องนั้นเป็นแบบแผนประเพณี แต่ทรงอธิบายว่า บัณฑิตเมื่อรับปริญญาแล้ว อาจจะไม่ ได้ย้อนกลับมาเรียนอะไรจากมหาวิทยาลัยแห่งนี้อีกเลย ต่างออกไป ท�ำมาหากินไปใช้ชีวิตของเขาเอง ทรงอยากจะให้บัณฑิตเห็นบทเรียนสุดท้าย โดยทรงท�ำเป็นตัวอย่าง ว่าบางครั้งคนเราต้องท�ำอะไรที่ ไม่ใช่ความสุขส่วนตัว แต่เพื่อประโยชน์ของคนอื่น การที่ทรงอดทนพระราชทานปริญญาบัตรหลาย ชั่วโมง หลายวันต่อเนื่องกัน สิ่งเหล่านี้ ไม่ ใช่ความสุข แต่เพื่อความสุขของ คนอื่นเพื่อประโยชน์ของคนอื่น ถ้าบัณฑิตได้สังเกต ได้รับบทเรียนนี้ไป สิ่งเหล่า นั้นก็มีค่าและมีความหมายมาก

165


“จงรั ก และภั ก ดี ”

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานปริญญาบัตรเป็นครัง้ ทีส่ อง แก่นายตราชู กาญจนสถิตย์ หนึ่งในบัณฑิตคณะวิทยาศาสตร์ ๘ ราย ซึ่งเกิดเหตุไฟฟ้าขัดข้องในเวลาที่ขึ้นรับพระราชทานปริญญาบัตร จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รบั พระราชทานอีกครัง้ เพือ่ บันทึกภาพ เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๒๘

166


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

เมื่ อ พุ ท ธศั ก ราช ๒๕๒๘ ผมอยู ่ ใ นเหตุ ก ารณ์ ด ้ ว ย อยู ่ ด ้ า นข้ า งเวที ใ น หอประชุม เกิดเหตุไฟดับระหว่างพระราชทานปริญญาบัตร เพราะระบบไฟฟ้า ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ขัดข้อง มีบัณฑิตคณะวิทยาศาสตร์จ�ำนวนหนึ่งรับ พระราชทานปริญญาบัตรโดยที่จะไม่มีรูปกลับไปอวดพ่อแม่ที่บ้าน บัณฑิตเหล่า นัน้ รับพระราชทานปริญญาบัตรเสร็จแล้วก็กลับไปนัง่ ที่ในแถวของตนเอง แล้วนึก เศร้าโศกเสียใจอยู่ แต่ว่าท�ำไมตัวเราจึงมีเคราะห์กรรมขนาดนี้ เขารับปริญญา บัตรกันทั้งหอประชุมเกือบสองพันคน มีเราไม่ได้ภาพถ่ายอยู่จ�ำนวนหนึ่งเท่านั้น ผมอยู่ข้าง ๆ เวที ก็สงสารแต่ท�ำอะไรไม่ได้ ทีนี้เวลาเปลี่ยนคณะ อาจารย์ที่เป็น คนถวายปริญญาบัตรก็จะกลับเข้าไปข้างเวที เพื่อเปลี่ยนให้อาจารย์ของคณะ ใหม่ขึ้นมาท�ำหน้าส่งปริญญาบัตรทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาบัตรแทน ธรรมเนียม เวลานั้นเป็นอย่างนั้น มีพระราชกระแสกับอาจารย์ของคณะวิทยาศาสตร์ที่ ก�ำลังจะกลับเข้าไปข้างเวที รับสั่งให้ ไปตามบัณฑิตเมื่อครู่นี้ มารับพระราชทาน ปริญญาใหม่อีกครั้ง อาจารย์ท่านนั้นเชิญพระราชกระแสนี้มาแจ้งให้ทราบ เราก็ เตรียมการปฏิบัติว่าท�ำอย่างไรดี ไปติดต่อในแถวให้บัณฑิตออกมาจากแถว ขอปริญญาบัตรคืนมาก่อน แล้วจัดใส่พานเข้าไปทูลเกล้าฯ ถวายใหม่ ให้บัณฑิต ไปต่อท้ายบัณฑิตคณะเศรษฐศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์นั้นแถบเสื้อครุยสีเหลือง ส่วนคณะเศรษฐศาสตร์สีทอง คนไม่ค่อยสังเกต แต่บัณฑิตคณะเศรษฐศาสตร์ ก็งุนงงสงสัยว่าฉันมีเพื่อนงอกมาจากไหนก็ ไม่รู้ ส่วนบัณฑิตคณะวิทยาศาสตร์ ซึง่ รูค้ วามก็ปรบมือดังเป็นพิเศษ ทัง้ ๆ ทีพ่ วกนีป้ ลืม้ ใจไม่ได้เกียรตินยิ ม แต่วา่ เป็น ความตื่นเต้นว่าเพื่อนได้ปริญญาหนที่สอง คนที่อยู่ในเหตุการณ์เวลานั้น ใครจะ รู้สึกปลื้มใจเท่ากับความรู้สึกของคน ๖ - ๘ คนตรงนั้น คงไม่มีอีกแล้ว

167


“จงรั ก และภั ก ดี ”

(จากซ้าย) รองศาสตราจารย์ศรีวงศ์ สุมิตร อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้กราบบังคมทูลเบิกบัณฑิต เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรในครั้งนั้น, ดุจฤดี สินธุมงคล, ดุษติ แซ่ล,ี้ ตราชู กาญจนสถิตย์, ทิพวรรณ เสงีย่ มมหาศาล, ธนสาร สุรวุฒิกุล และธนา ไตรรัตโนภาส บัณฑิตคณะวิทยาศาสตร์ทั้ง ๖ คน ผู้ ได้รับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณให้เข้ารับพระราชทาน ปริญญาบัตรเป็นครั้งที่ ๒ เมื่อพุทธศักราช ๒๕๒๘ เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในงานพระราชทานปริญญาบัตร เมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๙

168


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ผมอ่านเฟซบุ๊ก พบบัณฑิตท่านหนึ่งในจ�ำนวนนั้น ชื่อคุณตราชู กาญจนสถิ ต ย์ ได้ ติ ด ต่ อ ขอให้ ท ่ า นช่ ว ยติ ด ตามผู ้ ที่ ไ ด้ รั บ พระมหากรุ ณา ครั้งนั้น มาเฝ้าทูลละอองพระบาทสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรม ราชกุมารี ในงานพระราชทานปริญญาบัตร เมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๙ ที่ผ่านมา บัณฑิตทั้งหมดมีจ�ำนวน ๘ คน มาเฝ้าฯ ได้ ๖ คน คนหนึ่งมาเฝ้าฯ ไม่ได้เพราะเสียชีวิตแล้ว อีกคนหนึ่งอยู่ต่างประเทศ แต่อีก ๖ คนได้มาเฝ้าฯ สังเกตได้ว่าทุกคนมีความรู้สึกดีใจมากที่ได้รับภาพประวัติศาสตร์ครั้งนั้นในชีวิต มาเฝ้าฯ ครั้งนั้นก็มาเล่าเรื่องราวถวาย รองศาสตราจารย์ศรีวงศ์ สุมิตร คณบดี คณะเศรษฐศาสตร์ในเวลานั้น ซึ่งเป็นผู้ที่ขานนามบัณฑิตในการรับพระราชทาน ปริญญาบัตรครั้งที่สอง มาเฝ้าฯ ด้วย เป็นความทรงจ�ำอันหนึ่งที่งดงาม ถ้าเรา ไม่จด เราไม่จ�ำ เราไม่สืบค้น เราไม่บันทึกไว้ เรื่องบัณฑิตหกเจ็ดคนนี้ก็จะคล้าย เป็นต�ำนานของจุฬาฯ แต่จับไม่ได้ ไล่ไม่ทันว่ามีตัวตนจริงหรือไม่ อยู่ที่ไหนไม่รู้ เพราะฉะนั้น เป็นหน้าที่ของมหาวิทยาลัย ต้องเก็บเรื่องนี้ ให้เป็นชิ้นเป็นอันว่า อยู่ที่ไหนอย่างไร วันนี้ขนาดเราอายุเท่านี้ เรื่องราวยังกระท่อนกระแท่นอย่างนี้ อีกห้าสิบปี ใครมาถาม เราไม่อยู่ตอบค�ำถามแล้ว และทุกอย่างจะกลายเป็น ต�ำนานไปหมด จะมีคนไปเพิ่มบ้างลดบ้าง ทุกอย่างจะกลายเป็นจินตนาการไป หมด แต่พระมหากรุณาไม่ใช่จินตนาการ เป็นของจริง เป็นของแท้ ที่เกิดขึ้น กับเรา

169


“จงรั ก และภั ก ดี ”

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ฉลองพระองค์ครุยพระบรมราชูปถัมภกแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๓๙

170


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

เสื้อครุยพระบรมราชูปถัมภก ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสร้างถวายพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยอาศัยจากต้นแบบครุยพระบรมราชูปถัมภกที่อยู่ที่ พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่เคยสร้างถวายไปในครั้งหนึ่ง ในพุทธศักราช ๒๕๓๙ นั้นเป็นปีที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี พระราชพิธีกาญจนาภิเษก วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๓๙ มหาวิทยาลัยก็ต้องคิด ว่าเมื่อถึงวันพระราชทานปริญญาบัตรจะเสด็จพระราชด�ำเนินมา คราวนี้จะ ทูลเกล้าฯ ถวายอะไร ปริญญาบัตรของเราเฉลิมพระเกียรติยศเพียงไร ก็ ไม่ เท่าถ้วนกับพระปรีชาสามารถ ทูลเกล้าฯ ถวายทุกปริญญาในมหาวิทยาลัยแล้ว ก็ไม่เท่าถึงกับความสามารถที่แท้จริงของพระองค์ท่าน จึงนึกกันว่า น่าจะถวาย พระพุทธรูปสักองค์หนึ่งเป็นพระราชสิริ ถ้าจะเป็นพระพุทธรูปอย่างอื่น ไปหล่อ ไปสร้าง ไปปั้น ก็เห็นจะพอท�ำได้ แต่ถ้าเป็นโบราณนั้น พระพุทธรูปที่ท�ำจาก หินธรรมชาติที่สร้างจากแก้วผลึกเป็นของหายาก เป็นของที่วิเศษที่น่าจะมี การจัดสร้างขึน้ หินเช่นนี้ในเมืองไทยในเวลานัน้ เป็นของหายาก แม้จนเวลานีก้ ย็ งั คงหายากอยู่ เป็นการไม่ง่ายที่จะได้หินที่มีคุณภาพใสสวย บังเอิญต้นเดือน พฤษภาคมปีนั้น จ�ำได้ว่าผมลาราชการไปเที่ยวตอนวันฉัตรมงคล เวลานั้น เป็นคณะทัวร์ด้วยกันกับอาจารย์จรรมนง อาจารย์จรรมนงเป็นคณบดีคณะ ศิลปกรรมศาสตร์ ผมเป็นอาจารย์ธรรมดา ผมชอบไปเทีย่ วไปกับพรรคพวกเพือ่ นฝูง เราชวนกันไปเมืองจีน อาจารย์จรรมนง : ครั้งกระนั้น ผู้ที่ไปก็ได้บังเอิญไปเจอก้อนผลึก เขาน�ำมาให้ เราดูหลาย ๆ ชิ้นทีเดียว ชิ้นนี้เข้าตาของพวกเรา ศ.(พิเศษ) ธงทอง : เราบอกให้เขาหาก้อนหินมาให้ดู เขาก็หาก้อนหินต่าง ๆ มาให้เราดูที่โรงแรมตอนกลางคืน ทุกวันตอนเย็น เราถ่ายรูปมา แต่เราไม่กล้าซื้อ เพราะแพง แต่ก็ ไม่ ได้แพงลึกล�้ำจนสิ้นเนื้อประดาตัว แต่ถ้าซื้อแล้วอธิการบดี ไม่ถกู ใจ ผมจะไปท�ำอะไรกับก้อนหินก้อนนัน้ อธิการบดีในเวลานัน้ คือศาสตราจารย์ ดร.เทียนฉาย กีระนันท์ ท่านบอกไว้แต่แรกแล้วว่าให้อาจารย์ถ่ายรูปก้อนหินก้อน นั้นมา วัดขนาดสูงต�่ำด�ำขาวว่าพอจะท�ำพระได้หรือไม่ แล้วกลับมาหาอธิการบดี เทียนฉาย อาจารย์เทียนฉายก็บอกว่าตกลง ให้หามา ผมกับอาจารย์จรรมนงก็ ไปเมืองจีนอีกครั้งหนึ่ง แต่ไปคืนเดียว ไปซื้อก้อนหินที่ว่าเอากลับมา

171


“จงรั ก และภั ก ดี ”

ก้อนหินผลึกที่น�ำมาสร้างพระพุทธปฏิมา และพระพุทธรูปองค์ต้นแบบ ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานแก่เรือนไทย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

172


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

สุดท้ายเราได้ก้อนหินมาก้อนหนึ่ง ผมไม่กล้าน�ำลงใต้ท้องเครื่องบิน ลูกเรือ ช่วยผมยกก้อนหินขึ้นมาบนเครื่องบิน โดยผมบอกว่าอย่าให้ ไปตกแตกที่ ไหน เป็นอันขาดเชียว จะท�ำพระถวายพระเจ้าอยู่หัว ก็มาขึ้นอยู่บนห้องโดยสารนี่เอง แล้วน�ำกลับประเทศ จากนั้นอาจารย์จรรมนงน�ำก้อนหินไปเชียงใหม่ อาจารย์จรรมนง : สรุปว่าผมน�ำก้อนหินไปเชียงใหม่ คนที่แกะสลักพระแก้ว ในตอนนั้นเราหายากมาก แต่ในทางประวัติศาสตร์ที่เราสืบค้น เราพบว่าช่าง มีฝีมือมักจะเป็นช่างทางภาคเหนือ มีท่านผู้ใหญ่ท่านหนึ่งในส�ำนักราชเลขาธิการ บอกว่า มีช่างชื่อช่างจิ๋ว อยู่ท่ีเชียงใหม่ บังเอิญลูกศิษย์ช่างจิ๋ว ชื่อคุณมณเฑียร มาเที่ยวบ้านพอดี แล้วเราก็บอกว่า เราอยากจะท�ำหินก้อนนี้เป็นพระพุทธรูป แกก็บอก บังเอิญเหมือนกันทีม่ เี ครือ่ งตัดหินเพิง่ ได้มาใหม่ ตัดละเอียดดีมากเลย ขอเอาก้อนหินไปวันนีเ้ ลยได้ ไหม สุดท้ายเราก็เชิญพระพุทธรูปองค์ทอี่ ยู่ในภาพนี้ ซึง่ เมือ่ ตอนขึน้ เรือนไทยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงเชิญมาพระราชทานให้กับจุฬาฯ ไปเป็นต้นแบบ ศ.(พิเศษ) ธงทอง : กว่าจะได้ก้อนหินนี้ไปเชียงใหม่ก็กลางเดือนพฤษภาคม กว่าจะลงมือแกะสลัก เวลาก็หลงเหลือน้อยลงไปเรื่อย ๆ เพราะใกล้ถึงงาน พระราชทานปริญญาแล้ว อาจารย์อธิการบดีคืออาจารย์เทียนฉาย ได้มาพูด กับผมในเวลาต่อมาว่า ตอนนั้นได้ถูกผมหลอกลวงอย่างไรก็ ไม่ทราบ จึงได้ เขียนหนังสือไปกราบบังคมทูลพระกรุณาว่าจะถวายพระแก้ว โดยที่ยังสร้าง ไม่เสร็จเลย แล้วถ้าแกะสลักหินแล้วพระแก้วแตกสลายไป ถึงเวลานั้นจะเอา อะไรไปทูลเกล้าฯ ถวายก็ ไม่รู้เหมือนกัน ผมก็ ไม่ทราบเหมือนกันว่าท�ำอย่างไร แต่ท่านอธิการบดีก็เขียนหนังสือส่งไปถวายแล้ว อาจารย์จรรมนง : ผมไปเชียงใหม่หลายเที่ยว คนที่พวกเราตามหา คือ ช่างเชียงใหม่ประเภทต่าง ๆ ช่างแกะฐาน ช่างทอง ช่างอะไรต่าง ๆ นานา โดยช่ า งเหล่ า นั้ น ไม่ รู ้ ห รอกว่ า เราท� ำ ไปท� ำ ไม ท� ำ ไปให้ ใ คร แล้ ว เขาก็ พ บ ความจริงตอนที่เราทูลเกล้าฯ ถวายพระแก้ ว แล้ ว มี ข ่ า วออกโทรทั ศ น์ ไ ปทั่ ว ประเทศ ช่างทั้งหลายในเชียงใหม่เขาก็จ�ำได้ว่า เขาเคยเห็นพระองค์น้ีแล้ว เขาก็โทรศัพท์มาต่อว่าพวกเรา ว่าถ้าจะท�ำถวาย ท�ำไมไม่บอกตั้งแต่ต้น (หัวเราะ)

173


“จงรั ก และภั ก ดี ”

พระพุทธปฏิมาแก้วผลึก ประดับฉัตรคันดาน ๕ ชั้น ฐานแกะสลักจากงาช้าง

174


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

ศ.(พิเศษ) ธงทอง : พิธพี ระราชทานปริญญาบัตรนัน้ อยูใ่ นหอประชุมจุฬาฯ ล�ำพัง แต่เพียงบัณฑิตก็อยูเ่ ต็มหอประชุม ชาวจุฬาฯ อืน่ ๆ เข้าหอประชุมไปอีกไม่ได้แล้ว เราก็คดิ ว่าจะท�ำอย่างไรดีจงึ จะทูลเกล้าฯ ถวายได้อย่างงดงามเหมาะสม ทีจ่ ริงก็ไม่มี ทางเลือกอื่นเท่าไร จุฬาฯ ได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานพระมหากรุณาว่า หลั ง จากพระราชทานปริ ญ ญาบั ต รเสร็ จ เรี ย บร้ อ ยแล้ ว ขอเชิ ญ เสด็ จ ออก ที่ ด ้ า นหน้ า พระบรมราชาอนุ ส าวรี ย ์ ฯ ชาวจุ ฬ าฯ ทั้ ง หลายมาเต็ ม พื้ น ที่ จะเข้าเฝ้าฯ ถวายพระแก้ว และควรบันทึกไว้ด้วยว่าที่ศาลาพระเกี้ยว หนึ่งวันก่อน วันพระราชทานปริญญาบัตรมีพิธีสมโภชพระแก้วเพื่อเป็นสวัสดิมงคล และผู้คน ทั้งหลายจะได้มีโอกาสกราบไหว้พระแก้วองค์นี้ด้วย ระหว่างเวลาที่เสด็จพระราชด�ำเนินมาถึงจุฬาฯ แล้ว และก�ำลังพระราชทาน ปริญญาบัตรอยู่ในหอประชุม ทางนี้ก็ค่อยเชิญพระแก้วจากศาลาพระเกี้ยวไป กลางสนาม ที่กลางสนามนั้นตั้งบุษบกซึ่งยืมมาจากกองทัพเรือ เวลาที่เดินจาก ศาลาพระเกี้ยวมาที่กลางสนาม เดินมาเป็นริ้วเป็นแถว เป็นกระบวน แต่คน ที่รออยู่สองข้างทางเดินไม่มากนัก เพราะว่าคนส่วนใหญ่ ไปรออยู่ที่ปลายทาง คือไปรออยู่ที่สนามหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ เชิญพระแก้วขึ้นประดิษ ฐาน บนบุ ษ บก ครั้ น ถึ ง เวลาที่ เ สด็ จ พระราชด�ำ เนิ น มาประทั บ ด้ า นหน้ า พระบรม ราชานุสาวรีย์แล้ว จึงเชิญพระแก้วจากบุษบกที่ว่านั้น มีนายกสโมสรนิสิตเชิญ พระแก้วที่อยู่บนพาน มีผม พร้อมด้วยกรรมการผู้แทนนิสิตคณะต่าง ๆ เดินมา เป็นขบวน ระหว่างที่เดินมานั้น ทุกคนที่อยู่ในที่ประชุมสวดท�ำนองสรภัญญะ บทชัยมงคลคาถา ที่เราเคยเรียนสมัยเด็ก ๆ “ปางเมื่อพระองค์ปรมพุทธ วิสุทธ ศาสดา...” คืออ้างถึงพระพุทธองค์กับพุทธบารมีที่ชัยชนะเหนือพญามารวัสวตี ผู้มีพันแขน มีกองก�ำลังมากมายเหมือนน�้ำในมหาสมุทรหลั่งไหลมา แต่สุดท้าย ก็พ่ายแพ้แก่พระพุทธบารมี ด้วยอ�ำนาจแห่งความสัตย์ที่กล่าวถึงเรื่องนี้ ขอจง ท�ำให้ประเทศไทยมีความสวัสดิมงคล ท่านนายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในเวลานั้นคือ ศาสตราจารย์ ดร.เกษม สุวรรณกุล ท่านอธิการบดีคืออาจารย์ เทียนฉาย ทั้งสองท่านก็เดินตามไปบนลานหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ อาจารย์ เกษมทูลเกล้าฯ ถวายพระพุทธรูปดังกล่าว ฐานเป็นงา ฉัตรเป็นทองค�ำห้าชั้น ทรงรับแล้วพระราชทานให้รองเลขาธิการพระราชวัง คุณณรงค์ฤทธิ์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา เชิญเข้ากระบวนเสด็จพระราชด�ำเนินกลับพระต�ำหนักจิตรลดารโหฐาน 175


“จงรั ก และภั ก ดี ”

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงรับพระพุทธปฏิมาแก้วผลึก ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสร้างขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ในโอกาสพระราชพิธีกาญจนาภิเษก ๙ มิถุนายน ๒๕๓๙ ณ สนามหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๓๙

176


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

อาจารย์จรรมนง : เมื่อตอนที่เสด็จพระราชด�ำเนินขึ้นจากหอประชุม และ มาประทับอยู่ที่ห้องรับรองด้านหน้าหอประชุมแล้ว ขณะที่ทุกคนจะต้องลงไปที่ สนามหญ้า เป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องหน่วงเวลาไว้ ๑๕ นาที ก่อนที่จะกราบ บังคมทูลพระกรุณาเชิญเสด็จฯ ลงไปที่สนาม มีรับสั่งถามว่า รู้ ได้อย่างไรว่ามันใส กราบบังคมทูลว่า เราใช้ยาหม่อง ท�ำอย่างนี้ ใช้ ไฟฉายท�ำอย่างนี้ รับสั่งว่า รู้ ได้อย่างไรนี่ กราบบังคมทูลว่า ถามคนเก่าแก่มา รับสั่งต่อไปว่าแล้วช่างแกะเขาแกะอย่างไร ผมก็กราบบังคมทูล โดยละเอี ย ด สรุ ป ว่ า ท่ า นรั บ สั่ ง ถามทุ ก ขั้ น ตอน สุ ด ท้ า ยท่ า นรั บ สั่ ง ถามว่ า มี เ ศษที่ เ หลื อ ไหม ผมก็ ก ราบบั ง คมทู ล ว่ า มี พ ระพุ ท ธเจ้ า ข้ า รั บ สั่ ง ถามว่ า แล้วเอาไปไว้ที่ไหน ผมจึงกราบบังคมทูลว่า ถ้ามีพระราชประสงค์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิ ท ยาลั ย ก็ จ ะทู ล เกล้ า ฯ ถวายทั้ ง หมด ท่ า นบอกเอามาท� ำ ไม เมื่ อ กี้ บอกว่า ช่างเวลาเขาท�ำนี้ต้องมีการพักสายตา เพราะมันใส มันมองไม่เห็น ถ้าเช่น นัน้ ก็ตาเสียหมดสิ อย่างไรก็ดี หลังจากนัน้ เมือ่ เรากลับไปหาช่างคนเดิมเพือ่ ขอให้ น�ำหินที่เหลืออยู่แกะเป็นพระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ ส�ำหรับทูลเกล้าฯ ถวายหมด ทั้งจ�ำนวนช่างก็ดีใจมากที่ได้ท�ำงานที่มีความส�ำคัญยิ่งเช่นนี้ ก่อนเสด็จพระราชด�ำเนินไปที่สนาม ท่านรับสั่งว่า เขาไปยืนกันอยู่หน้า อนุสาวรีย์สองรัชกาลกันหมดหรือยัง แล้วรับสั่งต่อไปด้วยว่า ค�ำว่าอนุสาวรีย์ สองรัชกาลนี้ ใครตั้ง แล้วรู้ ได้อย่างไรว่ารัชกาลอะไร ศ.(พิเศษ) ธงทอง : ในภายหลังจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงเรียกพระบรม ราชานุ ส าวรี ย ์ ห น้ า หอประชุ ม ว่ า พระบรมราชานุ ส าวรี ย ์ พ ระบาทสมเด็ จ พระจุ ล จอมเกล้ า เจ้ า อยู ่ หั ว และพระบาทสมเด็ จ พระมงกุ ฎ เกล้ า เจ้ า อยู ่ หั ว เพื่อจะได้ ไม่มีความสับสนตามพระราชปุจฉาว่าสองรัชกาลไหน เป็นแนวปฏิบัติ ที่ตอนหลังมหาวิทยาลัยรับใส่เกล้าฯ มาปฏิบัติ ในเวลานี้ แม้จะยาวสักหน่อย แต่เข้าใจไม่คลาดเคลื่อนเป็นอย่างอื่นได้

177


“จงรั ก และภั ก ดี ”

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทอดพระเนตรนิทรรศการการจัดสร้างพระพุทธปฏิมาแก้วผลึก ณ ห้องรับรอง หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๓๙

178


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

ปี สุ ด ท้ า ยที่ เ สด็ จ พระราชด� ำ เนิ น มาพระราชทานปริ ญ ญาบั ต รแก่ บั ณ ฑิ ต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยคือ พุทธศักราช ๒๕๔๑ พระราชทานพระบรมราโชวาท ไว้ดังนี้ “ข้ า พเจ้ า มี ค วามยิ น ดี ที่ ไ ด้ ม าท� ำ พิ ธี ม อบปริ ญ ญาบั ต รของจุ ฬ าลงกรณ์ มหาวิทยาลัยวาระหนึ่ง ขอแสดงความชื่นชมกับผู้ทรงคุณวุฒิ ทรงกิตติคุณ และ บัณฑิตทุกคน ที่ ได้รับเกียรติและส�ำเร็จในการศึกษา เมื่อวันวาน ข้าพเจ้าได้ กล่าวกับบัณฑิตที่ประชุมนี้เป็นความว่า การรู้จักประมาณตน ท�ำให้คนเรารู้จัก ใช้ความรู้ความสามารถที่มีอยู่ได้เหมาะ พอเหมาะพอดีกับงาน และได้ประโยชน์ สูงสุดเต็มตามประสิทธิภาพ ทั้งยังท�ำให้รู้จักขวนขวายศึกษาหาความรู้ เพิ่มพูน ประสบการณ์อยู่เสมอ เพื่อปรับปรุงส่งเสริมศักยภาพในตนเองให้ยิ่งสูงขึ้น ผู้รู้จักประมาณตน จึงสามารถท�ำตนท�ำงานได้ผลดีกว่าคนอื่น ผู้ที่แม้จะมีความรู้ ความสามารถมากกว่าแต่ไม่รู้จักประมาณตน วันนี้ใคร่จะกล่าวกับท่านถึงเรื่อง การรู้จักการประมาณสถานการณ์ การรู้จักประมาณสถานการณ์ ได้แก่การรู้จัก พิจารณาสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้เห็นชัด ถึงความเป็นมาและที่เป็นอยู่ แล้ว คาดว่าควรจะเป็นไปอย่างไรในอนาคต อย่างเช่นเมื่อเกิดน�้ำท่วม ณ ที่ใดที่หนึ่ง ก็จะต้องศึกษาสถานการณ์ต่าง ๆ ให้รู้กระจ่างทั่วถึง เริ่มแต่น�้ำท่วมนั้นเกิดขึ้นมา อย่างไร ในพื้นที่นั้นมีสภาพเป็นอย่างไร เคยมีนำ�้ ท่วมมาแล้วกี่ครั้ง มีระยะถี่ห่าง อย่างไร แต่ละครั้งก่อให้เกิดความเสียหายมากน้อยเพียงใด และในปัจจุบันมี ลักษณะอย่างไร เหมือนกันหรือแตกต่างกันอย่างไร เมื่อรู้สถานการณ์ที่เป็นมา และที่เป็นอยู่แน่ชัด ก็ควรประมาณสถานการณ์ ได้ว่าในอนาคตจะเป็นอย่างไร และเกิดขึ้นอีกเมื่อใด การแก้ ไขป้องกันก็จะสามารถก�ำหนดวิธีการแก้ ไขได้ตรง กับปัญหาและสภาพพื้นที่ ทั้งสามารถก�ำหนดเวลาปฏิบัติ ได้ ว่าการได้ควรจะ ท�ำก่อนหลัง และการณ์ใดเป็นการดวน ที่จะต้องเร่งรัดท�ำให้แล้วเสร็จทันกาล ทันเวลา เพื่อป้องกันความเสียหายเพื่อไม่ให้เกิดมีขึ้นอีก การรู้จักประมาณ สถานการณ์จึงเป็นสิ่งที่ส�ำคัญยิ่งในการปฏิบัติงาน ยิ่งประมาณสถานการณ์ ได้ ถูกต้องเพียงใด ก็จะท�ำให้งานที่ท�ำส�ำเร็จผล สมบูรณ์ และได้ประโยชน์คุ้มค่า มากขึน้ เพียงนัน้ ขออวยพรให้บณ ั ฑิตใหม่ ประสบความสมประสงค์ในความดีงาม ความรุ่งเรือง ตามที่ปรารถนาทุกประการ และขอให้ทุกท่านที่มาประชุมพร้อมกัน พิธีนี้มีความสุขสวัสดีทั่วกัน” 179


“จงรั ก และภั ก ดี ”

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานพระบรมราโชวาท ในการพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้ส�ำเร็จการศึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประจ�ำปีการศึกษา ๒๕๔๐ เมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๔๑ อันเป็นครั้งสุดท้ายที่เสด็จพระราชด�ำเนิน ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

180


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

ในงานรับพระราชทานปริญญา ผมบังเอิญได้อยู่ในจังหวะที่ได้รู้ ได้เห็นอะไร บางอย่าง และเป็นความรู้ส่วนตัว ที่กลัวลืมก็ควรรีบน�ำมาเล่าสู่กันฟังก่อน เบือ้ งต้นจ�ำไม่ได้แล้วว่าปีไหน แต่เป็นช่วงเวลาทีย่ งั เสด็จมาพระราชด�ำเนินมาพระราชทาน ปริญญาบัตรที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อย่างที่เรียนว่าปกติแล้วจะเสด็จฯ มา พระราชทานปริญญาบัตรในวันพฤหัสบดี วันศุกร์ และวันเสาร์ รวมสามวัน ผมมี หน้าที่ร่างค�ำกราบบังคมทูลพระกรุณา และเตรียมเอกสารที่จะใช้ในงาน จ�ำได้ว่า วันพุธ รองศาสตราจารย์อ�ำพน นะมาตร์ รองอธิการบดีในเวลานั้น โทรศัพท์มา หาผมว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ วั มีพระอาการประชวร พระหทัยเต้นไม่เป็น จังหวะปกติ แพทย์ถวายค�ำแนะน�ำว่าควรจะงดพระราชกิจในการพระราชทาน ปริญญาบัตร เพราะต้องประทับนัง่ อยูห่ ลายชัว่ โมงและทรงปฏิบตั ภิ ารกิจดังกล่าว แต่ทรงต่อรองกับแพทย์วา่ เช้าวันพฤหัสบดี ให้ถวายตรวจพระอาการอีกครัง้ หนึง่ เถิด อย่างไรก็ดี ส�ำนักราชเลขาธิการก็กระซิบบอกเรื่องนี้มาให้มหาวิทยาลัยทราบ ไว้ล่วงหน้า เผื่อมีเหตุจ�ำเป็นจะมีสมเด็จพระบรมวงศ์ หรือเจ้านายพระองค์อื่น แทนพระองค์ อาจารย์ อ� ำ พนก็ ใ ห้ ผ มเตรี ย มค� ำ กราบบั ง คมทู ลไว้ ทุ ก กรณี ว่าถ้าทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระนางเจ้าฯ เสด็จฯ แทนพระองค์ ราชาศัพท์ก็อย่างหนึ่ง ถ้าโปรดเกล้าฯ ให้เจ้านายพระองค์อื่นแทนพระองค์ พระราชอิสริยยศแตกต่างกัน ถ้อยค�ำก็จะเป็นอีกอย่างหนึ่ง เราก็เตรียมไว้ทุก ๆ กรณี

181


“จงรั ก และภั ก ดี ”

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานปริญญารัฐศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ แก่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน เมื่อยังด�ำรงพระราชอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๓๐

182


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

พอถึงเช้าวันพฤหัสบดี อาจารย์อ�ำพนโทรศัพท์หาผมอีกครั้งหนึ่งแล้วบอกว่า แพทย์ถวายตรวจพระอาการแล้ว ยังไม่เป็นปกติ แต่ทรงยืนยันว่าจะมาแจก ปริญญาที่จุฬาฯ ทรงต่อรองครั้งที่สองว่า ขอให้แพทย์ถวายตรวจตอนบ่ายโมง อีกครั้งหนึ่ง เพราะก�ำหนดการเสด็จจุฬาฯ นั้น เป็นเวลาบ่ายสองโมง แพทย์เฝ้าฯ อีกครั้งตอนบ่ายสองโมง ส�ำนักราชเลขาธิการแจ้งมาว่าพระอาการยังไม่ดี แต่ยัง ทรงยืนยันว่าจะเสด็จฯ และสุดท้ายเป็นที่เข้าใจกันว่าจะทรงพักครึ่ง เพื่อผ่อน พระราชอิริยาบถ แล้วแพทย์ก็จะได้ถวายปฏิบัติได้บ้างในเวลานั้น หน้าที่ของผม คือการร่างค�ำกราบบังคมทูล เพราะเป็นครั้งแรกที่ระหว่างพระราชทานปริญญา บัตรแล้วจะต้องมีการหยุดพักครึง่ ไม่เคยปฏิบตั มิ าก่อน ผมร่างค�ำกราบบังคมทูล สั้นๆ เพียงสองสามประโยคเพื่อว่า คณบดีท่านสุดท้ายที่เป็นคนกราบบังคมทูล ในครึ่งแรกนั้น จะได้กราบบังคมทูลเชิญให้ทรงพักพระราชอิริยาบถ นอกจากนั้น แล้วเราได้รบั ค�ำแนะน�ำจากส�ำนักราชเลขาธิการอีกหลายอย่าง เช่น ปกติมพี ระสงฆ์ เจริญชัยมงคลคาถาอยู่ด้านข้างพระราชอาสน์ ใครที่คุ้นกับหอประชุมจุฬาฯ จะทราบว่า ถัดจากอาสน์สงฆ์ ไปมีห้องเล็ก ๆ อยู่ห้องหนึ่ง และสามารถจะเดิน ลงอ้อมไปด้านหลังได้ เราต้องจัดห้องนั้นให้คณะแพทย์และเครื่องมือฉุกเฉิน ทัง้ หลายมารออยู่ ด้านข้างหอประชุมจุฬาฯ มีรถพยาบาลและรถต�ำรวจ มหาวิทยาลัย ได้รับการแจ้งประสานให้กันเส้นทางจากหอประชุม ออกคณะอักษรศาสตร์ ออกถนนอังรีดูนังต์ ไปโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ต้องไม่มีสิ่งใดกีดขวางเส้นทาง แพทย์ที่ โรงพยาบาลจุฬาฯ ได้รับค�ำสั่งให้เตรียมการปฏิบัติ หากมีเหตุจ�ำเป็น ต้องเสด็จพระราชด�ำเนินไปโรงพยาบาล

183


“จงรั ก และภั ก ดี ”

184


“พระบรมราชูปถัม ภกคระไลสวรรค์ ”

ในเวลาที่ผมร่างค�ำกราบบังคมทูลสั้น ๆ ว่าขอให้ทรงพักนั้น ผมคิดว่าหัวใจ ของคนจุฬาฯ ทั้งหมดไม่ได้อยากรบกวนเบื้องพระยุคลบาทถึงเพียงนั้น อยาก ให้ท่านได้พัก แต่พระมหากรุณานั้นยิ่งใหญ่เกินกว่า เกินกว่าที่เราจะไปพูดอะไร ได้ นีค่ อื สิง่ เราใจหายใจคว�ำ่ กับเหตุการณ์นนั้ อยูส่ ามวัน ด้วยความหวังว่าทุกอย่าง จะผ่านไปได้ด้วยความเรียบร้อย และด้วยเดชะพระบารมี สามวันนั้นก็ผ่านไปด้วยความเรียบร้อย เหมือนกับ ๗๐ ปี ในรัชกาลของพระมหากษัตริย์พระองค์นี้ ที่ทุกอย่างผ่านไปด้วยความ เรียบร้อย ด้วยความสุขของเราทุกคน เมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคมที่ผ่านมา นิสิตจุฬาฯ ไปถวายบังคมพระบรมรูปทรงม้า อย่างที่เราเคยท�ำมาแล้วหลายสิบปี แต่ปีนี้เพิ่มการถวายบังคมขึ้นอีกแห่งหนึ่ง นิสิตจุฬาฯ เดินจากลานพระบรมรูปทรงม้า ไปถวายบังคมพระบรมรูปพระเจ้า แผ่นดินอีกองค์หนึ่ง ในพระบรมมหาราชวัง ด้วยความรู้สึกที่ ไม่แตกต่างจาก คนไทยทั้งประเทศในเวลานี้ ทีเ่ ล่ามาทัง้ หมด ไม่มที างทีจ่ ะครบถ้วน ไม่มที างจะเก็บรายละเอียดทุกอย่างได้ มี เ รื่ อ งอี ก มากมายมหาศาลที่ เ กิ ด ขึ้ น ในมหาวิ ท ยาลั ย แห่ ง นี้ ในอี ก หลาย ๆ มหาวิทยาลัย ในต�ำบล ในหมู่บ้าน ในตรอกซอกซอย อีกมากมายในเมืองไทย ของเรา ขอให้เราช่วยกันจด ช่วยกันจ�ำอย่างเดียว คงไม่พอ เพราะความจ�ำอาจ เลือนหายได้ ดังนั้น ช่วยกันจดสิ่งที่เราได้พบมานี้ ลูกหลานในวันข้างหน้าอีก ๕๐ ปี อีก ๑๐๐ ปี เขาจะได้รวู้ า่ ปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า น้า อาของเขา โชคดีเพียงใด

185


“จงรั ก และภั ก ดี ”

ที่ปรึกษา ศาสตราจารย์ ดร.บัณทิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดี รองศาสตราจารย์ ดร.สันติ ฉันทวิลาสวงศ์ ที่ปรึกษาอธิการบดี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิรงรอง รามสูต รองอธิการบดี

186


“ร�่ำไห้ด้วยหัวใจไหวสะทก”

ขอบคุณ อาจารย์จรรมนง แสงวิเชียร ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชัชพล ไชยพร ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฏฐิตา ชวนเกริกกุล วสันต์ วณิชชากร จิรนันทน์ พิตรปรีชา บุญพีร์ พันธ์วร สิริรัตน์ ประพัฒน์ทอง ปพนพัชร์ ชัยศิริวิกรม กฤช อัจฉริยาภิรมย์ ปฏิวัติ สุขประกอบ ชัยชาญ ปรางค์ประทานพร ส�ำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร ศูนย์สื่อสารองค์กร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สภานิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชมรมศิลปะการถ่ายภาพ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เรียบเรียง ศาสตราจารย์พิเศษธงทอง จันทรางศุ จัดพิมพ์โดย ส�ำนักบริหารศิลปวัฒนธรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 187


หน้าสุดท้าย



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.