หนังสือที่ระลึกพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน(เล่มเล็ก) ประจำปี 2564 ณ วัดบุปผาราม กรุงเทพมหานคร

Page 1


จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดพิมพ์เป็นที่ระลึก ในการถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน พุทธศักราช ๒๕๖๔ วันอังคารที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ ณ วัดบุปผารามวรวิหาร กรุงเทพมหานคร



ค�าปรารภ จุ ฬ าลงกรณ์ ม หาวิ ท ยาลั ย ได้ รั บ พระมหากรุ ณ าให้ เชิ ญ ผ้ า พระกฐิ น พระราชทานไปถวายยั ง พระอารามหลวงต่ า งๆ เป็ น ประจ� า ต่ อ เนื่ อ งมาทุ ก ปี ในพุทธศักราช ๒๕๖๔ นี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทาน ผ้าพระกฐินพระราชทานให้มหาวิทยาลัยเชิญไปถวายพระภิกษุสงฆ์ผู้จ�าพรรษากาล ถ้ ว นไตรมาส ณ วั ด บุ ป ผาราม ซึ่ ง ตั้ ง อยู ่ ใ นพื้ น ที่ ฝ ั ่ ง ธนบุ รี กรุ ง เทพมหานคร พระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นเกล้าล้นกระหม่อมหาที่สุดมิได้ ในห้ ว งเวลาปั จ จุ บั น จุ ฬ าลงกรณ์ ม หาวิ ท ยาลั ย มี ค วามประสงค์ ที่ จ ะ ท�านุบ�ารุงพระอารามหลวงขนาดเล็กหรือกลางที่มีความส�าคัญทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ ตลอดจนสถาปัตยกรรมซึ่งมีที่ตั้งอยู่ในฝั่งธนบุรี ด้วยความหวังที่ว่าปัจจัย และความช่วยเหลือทีม่ หาวิทยาลัยได้ถวายแด่พระอารามเพือ่ โดยเสด็จพระราชกุศล ในการถวายผ้าพระกฐินพระราชทานนั้น จะเป็นประโยชน์แก่พระอารามอย่างเต็มที่ ตามสมควร จึงได้ขอพระราชทานผ้าพระกฐินพระราชทานไปถวายยังพระอาราม หลวงที่อยู่ในเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น เริ่มต้นตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป โดยมีวัดบุปผาราม ซึ่งมีความส�าคัญในด้านต่าง ๆ ดังประวัติของพระอารามที่ได้พิมพ์ต่อท้ายค�าปรารภ นี้ไว้แล้ว เป็นพระอารามแรก เพื่อเป็นที่ระลึกในการถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ณ วัดบุปผาราม ศกนี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเห็นว่าหากได้พิมพ์หนังสือเก่าที่ทรงคุณค่าและมี เนื้อหาเกี่ยวเนื่องกับพระอารามขึ้นไว้ ก็จะได้ประโยชน์ทั้งในทางเป็นที่ระลึก และ ยังจะได้รกั ษาต่ออายุหนังสือเก่าให้เป็นสมบัตทิ างปัญญาของชาติอยูไ่ ม่รเู้ สือ่ มสูญด้วย มหาวิทยาลัยจึงได้เลือกเรื่อง “พุทธศาสนวงศ์” พระนิพนธ์สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร อันเป็นพระนิพนธ์ที่ทรงคุณค่า มีเนื้อหาว่าด้วยประวัติ แห่ ง คณะธรรมยุ ติ ก นิ ก ายโดยละเอี ย ดพิ ส ดาร มี อ ารามิ ก โวหารดี เ ด่ น เกิ ด แต่ พระอั จ ฉริ ย ภาพในทางพระนิ พ นธ์ แ ละพระวิ ริ ย ภาพในทางค้ น คว้ า ของสมเด็ จ พระสังฆราชเจ้าพระองค์นั้นมาตีพิมพ์ เพราะเหมาะสมที่จะเป็นที่ระลึกในการถวาย ผ้าพระกฐินพระราชทาน ณ วัดบุปผาราม อันเป็นหนึ่งในพระอารามซึ่งมีพระเถระ


ผู ้ เ ป็ น พระศิ ษ ย์ ห ลวงเดิ ม ของพระบาทสมเด็ จ พระจอมเกล้ า เจ้ า อยู ่ หั ว แต่ แรก ตั้งคณะธรรมยุติกนิกายไปครองวัด และเป็นวัดธรรมยุตวัดหนึ่งซึ่งได้ประดิษฐาน มาตั้งแต่ยุคแรกของคณะธรรมยุติกนิกายด้วย โดยได้ตีพิมพ์โดยใช้วิธีถ่ายภาพ จากหนังสือพุทธศาสนวงศ์ ฉบับพิมพ์เมื่อพุทธศักราช ๒๕๑๗ ดังปรากฏหนังสือนั้น เป็นเล่มสมุดอยู่ในบัดนี้ มหาวิทยาลัยใคร่ขอกราบขอบพระคุณสมเด็จพระวันรัต เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารทีอ่ นุญาตให้จดั พิมพ์และเผยแพร่หนังสือนีท้ างออนไลน์ ผ่านช่องทางต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยได้สมดังความประสงค์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยขอเชิญชวนท่านทั้งหลายบรรดาที่ได้ร่วมโดย เสด็จพระราชกุศล หรือได้รับหรือได้พบหนังสือนี้ จงพร้อมใจกันน้อมเกล้าน้อมกระหม่อม ถวายส่วนกุศลอันพึงบังเกิดจากทีไ่ ด้รว่ มโดยเสด็จพระราชกุศล หรือได้รว่ มอนุโมทนา ในการถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ณ วัดบุปผาราม ศกนี้ แด่พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงคุณประเสริฐ กับทั้งขอเชิญชวนท่านทั้งหลายได้พร้อมกับ อธิษฐานโดยอาศัยบุญญานุภาพเพื่อความวัฒนาถาวรของชาติไทย และความสุข สวัสดีของเราทั้งหลายต่อไปเทอญ

ศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดี


ก�าหนดการ พิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พุทธศักราช ๒๕๖๔ ณ วัดบุปผาราม แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร วันอังคารที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๔

เวลา ๑๑.๓๐ น. เวลา ๑๒.๓๐ น. เวลา ๑๓.๐๐ น. เวลา ๑๓.๑๕ น.

ผู้ร่วมพิธีพร้อมกันที่หน้าเรือนจุฬานฤมิต ขึ้นรถที่มหาวิทยาลัยจัดไว้ เดินทางไปวัดบุปผาราม ผู้ร่วมพิธีเดินทางถึงวัดบุปผาราม ผู้ร่วมพิธีพร้อมกันในพระอุโบสถวัดบุปผาราม นายกสภามหาวิทยาลัย ประธานในพิธี ลงจากรถยนต์ (ดนตรีบรรเลงเพลงมหาฤกษ์) นายกสภามหาวิทยาลัยเดินไปที่ม้าหมู่ซึ่งตั้ง ผ้าพระกฐินพระราชทานไว้ ผู้ร่วมพิธีทุกคนลุกขึ้นยืน นายกสภามหาวิทยาลัยถวายความเคารพ พระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วเปิดกรวยกระทงดอกไม้ธูปเทียนแพ และเชิญผ้าพระกฐินพระราชทาน อุ้มประคองไว้ ยืนตรงถวายความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (ดนตรีบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี) นายกสภามหาวิทยาลัยเชิญผ้าพระกฐินพระราชทาน เข้าสู่พระอุโบสถ นายกสภามหาวิทยาลัย จุดธูป เทียน บูชาพระรัตนตรัย ณ ที่บูชาหน้าพระพุทธปฏิมาประธาน กราบ แล้วไปที่พานแว่นฟ้า เชิญผ้าห่มพระประธานที่วางอยู่ บนผ้าพระกฐินพระราชทานส่งให้ไวยาวัจกร ยกผ้าพระกฐินพระราชทานขึ้นประคอง หันหน้าไป ทางพระพุทธปฏิมาประธาน ประนมมือว่า


นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ ๓ จบ แล้วหันหน้ามาทางพระสงฆ์ กล่าวค�ำถวาย ผ้าพระกฐินพระราชทาน (พระสงฆ์รับสาธุพร้อมกัน) นายกสภามหาวิทยาลัยวางผ้าพระกฐินพระราชทาน บนพานแว่นฟ้า ยกประเคนพระภิกษุรูปที่ ๒ ซึ่งนั่งอยู่ ตรงพานแว่นฟ้า ประเคนเทียนปาฏิโมกข์แด่พระภิกษุ รูปที่ ๒ แล้วไปนั่ง ณ ที่ที่จัดไว้ ผู้ร่วมพิธีนั่งลง พระสงฆ์ประกอบพิธีกฐินกรรม นายกสภามหาวิทยาลัยถวายเครื่องบริวารพระกฐิน พระราชทานแด่เจ้าอาวาส ถวายพัดรอง ย่าม และ เครื่องไทยธรรมของมหาวิทยาลัยแด่เจ้าอาวาส ผู้ร่วมพิธีทุกคนลุกขึ้นยืน นายกสภามหาวิทยาลัยกลับมานั่ง ณ ที่ที่จัดไว้ ผู้ร่วมพิธีนั่งลง อธิการบดีและรองอธิการบดี (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปมทอง มาลากุล ณ อยุธยา) ถวายพัดรอง ผ้าไตร ย่าม และเครื่องไทยธรรมแด่พระคู่สวด ทั้ง ๒ รูป ผู้แทนกรรมการสภามหาวิทยาลัย ผู้แทนผู้บริหาร ผู้แทนคณาจารย์ ผู้แทนบุคลากร ผู้แทนนิสิตเก่า และผู้แทนนิสิตถวายย่ามและเครื่องไทยธรรม แด่พระอันดับ อธิการบดีอ่านค�ำปวารณาถวายปัจจัยโดยเสด็จพระราชกุศล บ�ำรุงพระอาราม พระสงฆ์อนุโมทนา ประธานสงฆ์ถวายอดิเรก นายกสภามหาวิทยาลัยและอธิการบดีกรวดน�้ำ รับพร รองอธิการบดี (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปมทอง มาลากุล ณ อยุธยา) กล่าวถวายเงินบ�ำรุงการศึกษา แด่ผู้แทนโรงเรียนปริยัติธรรมวัดบุปผาราม อธิการบดีถวายเงินบ�ำรุงการศึกษาแด่ผู้แทนโรงเรียน พระปริยัติธรรมวัดบุปผาราม


เวลา ๑๔.๓๐ น. เวลา ๑๕.๐๐ น.

นายกสภามหาวิทยาลัยกราบพระพุทธปฏิมาประธาน แล้วกราบประธานสงฆ์ ผู้ร่วมพิธีทุกคนลุกขึ้นยืน นายกสภามหาวิทยาลัยออกจากพระอุโบสถ (ดนตรีบรรเลงเพลงมหาฤกษ์) ผู้ร่วมพิธีออกจากพระอุโบสถ เสร็จพิธี ผู้ร่วมพิธีออกเดินทางจากวัดบุปผาราม กลับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เดินทางถึงจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

อนึ่งในวันเดียวกันนี้ เวลา ๑๐.๓๐ น. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะเป็น เจ้าภาพถวายภัตตาหารเพลพระสงฆ์และสามเณรวัดบุปผารามทั้งพระอาราม

การแต่งกาย กรรมการสภามหาวิทยาลัย เครื่องแบบปกติขาว/เครื่องแบบเบลเซอร์/ ชุดเบลเซอร์ สนจ. ผู้บริหารมหาวิทยาลัย เครื่องแบบปกติขาว บุคลากร เครื่องแบบปกติขาว นิสิต เครื่องแบบส�าหรับงานพระราชพิธี หรืองานรัฐพิธี หมายเหตุ

- ประธานสงฆ์และเจ้าอาวาสเป็นรูปเดียวกัน - ผู้เข้าร่วมพิธีตอ้ งปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ที่กระทรวงสาธารณสุข และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก�าหนดอย่างเคร่งครัด กลุ่มภารกิจพิธีการและกิจการพิเศษ ศูนย์บริหารกลาง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย



พุทธศิลปกรรมวัดบุปผารามวรวิหาร กรุงเทพมหานคร และพระพุทธปฏิมา จุลศักราช ๑๒๔๑ รองศาสตราจารย์ ดร.จีราวรรณ แสงเพ็ชร์ * วัดบุปผาราม เป็นพระอารามหลวงชั้นตรีชนิดวรวิหาร สังกัดคณะสงฆ์ ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ตั้งอยู่เลขที่ ๒๙๓ แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร อาณาเขตพระอารามทิศตะวันออกติดถนนอรุณอมรินทร์ ทิศใต้ตดิ คลองวัดบุปผาราม ซึ่งจะไปเชื่อมต่อกับแม่น�้าเจ้าพระยาสายใหม่ ทิศตะวันตกติดถนนเทศบาลสาย ๒ ทิศเหนือติดถนนเทศบาลสาย ๑ พื้นที่บริเวณวัดเป็นที่ราบลุ่มตั้งอยู่ในเขตชุมชนเก่า และศาสนสถานโบราณ ใกล้กับชุมชนคริสตังวัดซางตาครู้ส ย่านกุฎีจีน ชุมชนจีน ศาลเจ้าเกียนอันเกงและชุมชนมุสลิม มัสยิดบางหลวงหรือกุฎีขาว (รูปที่ ๑) วั ด บุ ป ผารามเป็ น วั ด โบราณที่ ส ร้ า งมาแต่ ค รั้ ง กรุ ง ศรี อ ยุ ธ ยาเดิ ม ชื่ อ ว่ า วัดดอกไม้ ต่อมาปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้าเจ้าอยูห่ วั ท่านผูห้ ญิงจันทร์ ภรรยาสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) มารดาสมเด็จเจ้าพระยา บรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ได้เริ่มการปฏิสังขรณ์ เนื่องจากวัดดอกไม้อยู่ ใกล้นิวาสสถานบ้านของท่าน ซึ่งต่อมาสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์๑ เมือ่ ครัง้ ยังเป็นจมืน่ ไวยวรนาถภักดีศรีสรุ ยิ วงศ์และน้องชายต่างมารดาคือ เจ้าพระยา *

ภาควิชาทัศนศิลป คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นบุตรคนโตของสมเด็จเจ้าพระยา บรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) พระยาพระคลังเสนาบดี ว่าการต่างประเทศและปกครอง หัวเมืองชายทะเลฝั่งตะวันออกกับท่านผู้หญิงจันทร์ เกิดเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๕๑ ในปลายแผ่นดิน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เข้ารับราชการเป็นมหาดเล็กในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย นามมหาดเล็กช่วง รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้าเจ้าอยูห่ วั ได้เลือ่ น เป็ น นายชั ย ขั น มหาดเล็ ก หุ ้ ม แพร และเลื่ อ นบรรดาศั ก ดิ์ เ ป็ น หลวงสิ ท ธิ น ายเวรมหาดเล็ ก หลวงนายสิทธิเป็นขุนนางหนุ่ม รอบรู้สรรพวิชาการต่างๆ และเป็นนายช่างสยามคนแรกที่ต่อเรือ ก�าปั่นรบนาม เรือแกล้วกลางสมุทร หรือ เรือเอริล ซึ่งเป็นเรือฝรั่งแบบเรือยุโรป ต่อที่อู่ต่อเรือ จันทบุรี แล้วล่องมาถวายพระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้าเจ้าอยูห่ วั ปี พ.ศ. ๒๓๗๘ หลวงสิทธินายเวร


ทิ พ ากรวงศ์ (ข� ำ บุ น นาค) เมื่ อ ครั้ ง เป็ น จมื่ น ราชามาตย์ พ ลขั น ธ์ ๒ ได้ ร ่ ว มกั น บูรณะปฏิสังขรณ์๓ ซึ่งในการบูรณะครั้งนี้สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้ามงกุฎสมมติ เทววงศ์พงศ์อดิศรกษัตริย์ ซึ่งต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมือ่ ครัง้ ทรงผนวชเป็นพระวชิรญาณภิกขุสถิต ณ วัดบวรนิเวศ ได้ทรงร่วมช่วยในการ ปฏิสังขรณ์ ดังปรากฏในต�ำนานพระอารามหลวงความว่า ได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น จมื่นไวยวรนาถ ปี พ.ศ. ๒๓๘๘ หลังจากการท�ำสงครามกับญวนท่านได้ รับพระราชทานสร้อยนามเป็น จมื่นไวยวรนาถภักดีศรีสุริยวงศ์ ต่อมาได้เลื่อนบรรดาศักดิ์ เป็ น พระยาศรี สุ ริ ย วงศ์ นั บ เป็ น ข้ า ราชบริ พ ารที่ พ ระบาทสมเด็ จ พระนั่ ง เกล้ า เจ้ า อยู ่ หั ว ทรงไว้วางพระราชหฤทัยยิ่ง ท่านมีบทบาทในการเถลิงถวัลยราชสมบัติของพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแต่งตั้ง พระยา ศรีสุริยวงศ์จางวางมหาดเล็กขึ้นเป็น เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ว่าที่สมุหพระกลาโหม พ.ศ. ๒๓๙๘ โปรดให้ เจ้ า พระยาศรี สุ ริ ย วงศ์ เ ลื่ อ นบรรดาศั ก ดิ์ เ ป็ น เจ้ า พระยาบรมมหาศรี สุ ริ ย วงศ์ อัครมหาเสนาบดี สมุหพระกลาโหมแทนบิดาที่ถึงแก่พิราลัย เจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ มีส่วนส�ำคัญในการเจรจาสนธิสัญญาเบาริ่งของอังกฤษและมีส่วนในการพัฒนาสาธารณูปโภค ทีส่ ำ� คัญมากมาย ทัง้ การตัดถนน สร้างสะพาน ตลอดจนการขุดคูคลองต่าง ๆ ครัน้ รัชสมัยพระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านด�ำรงต�ำแหน่งเป็นผู้ส�ำเร็จราชการแผ่นดินในพระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๑๑-๒๔๑๖ ครั้นถึงปีพุทธศักราช ๒๔๑๖ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบรรลุนิติภาวะ ภายหลังการพระราชพิธี บรมราชาภิเษกครั้งที่ ๒ โปรดเกล้าฯ เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ นับเป็นสมเด็จเจ้าพระยาคนสุดท้ายของกรุงรัตนโกสินทร์ ๒ เจ้ า พระยาทิ พ ากรวงศมหาโกษาธิ บ ดี (ข� ำ บุ น นาค) ท่ า นเป็ น บุ ต รสมเด็ จ เจ้ า พระยา บรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) กับหม่อมรอด เข้ารับราชการในแผ่นดินพระบาทสมเด็จ พระนัง่ เกล้าเจ้าอยูห่ วั โปรดเกล้าฯ ให้เป็น นายพลพันมหาดเล็กหุม้ แพร ต่อมาได้เลือ่ นบรรดาศักดิ์ เป็น จมื่นราชามาตย์พลขันธ์ ต�ำแหน่งปลัดกรมพระต�ำรวจ ปี พ.ศ. ๒๓๗๓ เป็นแม่กองสร้าง ป้อมภัยพินาศที่แหลมด่านปากน�้ำ ป้อมพิฆาตปัจจามิตรที่เขาแหลมสิงห์ และมีผลงานไปจับโจร ที่ปล้นเมืองสมุทรสงคราม ออกไปช�ำระฝิ่นหัวเมืองตะวันตก ตั้งแต่ปราณบุรีถึงนครศรีธรรมราช เมืองตะกั่วป่า เมืองถลาง ได้ฝิ่นของกลางเป็นจ�ำนวนมาก ครั้นต่อมารัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตั้งจมื่นราชามาตย์เป็น เจ้าพระยารวิวงศ์ ผู้ช่วยราชการกรมท่า ต่อมา พ.ศ. ๒๓๙๘ เป็นเจ้าพระยารวิวงศ์มหาโกษาธิบดี และได้รับพระราชทานเปลี่ยนนามเป็น เจ้าพระยาทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี ต�ำแหน่งเจ้าพระยาพระคลัง ๓ พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓ กล่าวถึงวัดที่เจ้านายและขุนนางสร้างถวาย มีรายละเอียดความว่า “... พระยาศรีสุริยวงศ์กับจมื่นราชามาตย์ ช่วยกันบูรณะวัดบุปผาราม....” รายละเอียดดูที่ ทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี (ข�ำ บุนนาค), เจ้าพระยา, พระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓, กรุงเทพฯ: ไทยควอลิตี้บุ๊คส์ (๒๐๐๖), ๒๕๖๐, หน้า ๓๔๖.


“... วัดบุปผารามอยู่ในคลองวัดบุบผาราม เดิมชื่อวัดดอกไม้ เปนวัด โบราณ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานนาม ใหม่วา่ วัดบุบผาราม พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั แลสมเด็จ เจ้าพระยาบรมมหาศรีสรุ ยิ วงษ์ แลเจ้าพระยาทิพากรวงษ์ สร้าง อุดหนุน เจือจานกันเปน ๓ ส่วน เจ้าพระยาภาณุวงษ์ปฏิสังขรณ์บ้าง ....”๔ ส�ำหรับการปฏิสังขรณ์ครั้งนั้นท่านได้สร้างถาวรวัตถุแลเสนาสนะส�ำคัญ คือ พระอุโบสถ พระวิหาร ศาลาการเปรียญและหมู่กุฏิสงฆ์ ครั้นเมื่อแล้วเสร็จ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ได้กราบทูลขอคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย ให้ปกครองวัด โปรดฯ ให้พระอมรโมลี (นพ พุทธิสัณหเถระ)๕ จากวัดบวรนิเวศ มาปกครองเป็นเจ้าอาวาสองค์แรก นับว่าวัดบุปผารามเป็นพระอารามฝ่ายธรรม ยุติกนิกายล�ำดับแรกที่สืบต่อมาจากวัดราชาธิวาสและวัดบวรนิเวศ พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชนามโดยแปลงนามพระอารามจากวัดดอกไม้ เป็น วัดบุปผาราม๖ ๔

ต�ำนานพระอารามหลวง เป็นผลงานนิพนธ์ของ เจ้าพระยาวิชิตวงษ์วุฒิไกร (หม่อมราชวงศ์ลี่ สุทัศน์) ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ด�ำรงต�ำแหน่งเสนาบดีกระทรวง ธรรมการ เป็นเอกสารคัดส�ำเนาชือ่ วัดตามอักขราภิธานคือเรียงตามล�ำดับอักษร ได้ทลู เกล้าฯถวาย ทรงตรวจแล้ว ฉบับพิมพ์ครัง้ แรก พุทธศักราช ๒๔๕๗ ซึง่ วัดบุบผารามเป็นพระอารามในกรุง ล�ำดับ ที่ ๒๙ รายละเอียดดูที่ ต�ำนานพระอารามหลวง, พิมพ์ครัง้ ที่ ๙ กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร กระทรวง วัฒนธรรม, ๒๕๖๓, หน้า ๙-๑๐. ส�ำหรับนามเจ้าพระยาภาณุวงษ์ ทีต่ ำ� นานพระอารามหลวงกล่าว ว่า ช่วยปฏิสังขรณ์บ้างนั้น หมายถึง เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค) บุตร สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) กับกับหม่อมพึง่ และเป็นน้องต่างมารดาของ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ๕ พระอมรโมลี (นพ พุทธิสัณหเถระ ป.ธ.๙) เป็นพระเถระฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ท่านเป็นศิษย์ พระวชิรญาณเถระ ซึง่ กาลต่อมาคือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั โดยเป็นหนึง่ ในจ�ำนวน ๑๐ รูปที่ปรากฏในพระราชนิพนธ์ สีมาวิจารณ์ ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมี พระราชนิพนธ์เป็นพระคาถาภาษาบาลี พระราชทานไปยังลังกาทวีปนาม “... เถโร พุทฺธิสรณฺ หนาโม ....” คือ พระอมรโมลี พุทธิสัณหเถระ เจ้าอาวาสรูปที่ ๑ วัดบุปผาราม ๖ ทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี (ข�ำ บุนนาค), เจ้าพระยา, พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔, พิมพ์ครั้งที่ ๖ กรุงเทพฯ: บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จ�ำกัด (มหาชน), ๒๕๔๘, หน้า ๒๘๓.


ครั้นเมื่อสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ถึงแก่พิราลัย วันศุกร์ขึ้น ๑๑ ค�่ำ เดือนยี่ ปีมะเมีย จัตวาศก จุลศักราช ๑๒๔๔ (พ.ศ. ๒๔๒๕) ครั้นรุ่งขึ้น ปีถัดมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯจัดงานพระราชทานเพลิงศพ ณ เมรุวัดบุปผาราม ดังปรากฏความจากจดหมายเหตุพระราชกิจรายวันในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว ความว่า “... วันศุกร์ ขึ้น ๙ ค�่ำ เดือน ๕ ปีวอก เบญจศก จุลศักราช ๑๒๔๕ (พ.ศ. ๒๔๒๖) วันนี้เริ่มการท�ำศพ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ไปเข้าเมรุวดั บุปผาราม เวลาเช้า ๔ โมงเศษ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ วั เสด็จออกทางพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ทรงพระราชยานไปประทับ ท่าราชวรดิษฐ์ เสด็จทรง เรือพระทีน่ งั่ กราบกลีบสมุท๗ เสด็จพระราชด�ำเนิน พร้อมด้วยกระบวนน�ำและตามเสด็จโดยชลมารค ไปประทับพลับพลา ตรีมุขหน้า เมรุผ้าขาว๘ วัดบุปผาราม กระบวนแห่เจ้าพนักงานยก โกศศพสมเด็ จ เจ้ า พระยาบรมมหาศรี สุ ริ ย วงศ์ ขึ้ น เสลี่ ย งสามคาน เดิ น กระบวนแห่ แ ต่ ห น้ า บ้ า นสมเด็ จ เจ้ า พระยา ไปตามหน้ า บ้ า น ๗

เรือพระทีน่ งั่ กราบ เป็นเรือพระทีน่ งั่ ขนาดเล็ก ใช้ตามเสด็จไปพร้อมกับเรือพระทีน่ งั่ ศรี ส�ำหรับ ถ่ายล�ำประทับ เพื่อเสด็จพระราชด�ำเนินเข้าคลองเล็กคลองน้อยได้สะดวก สมเด็จพระเจ้า บรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายไว้ว่า เรือกราบเป็นเรือรบแบบไทยใช้มา แต่เดิม ล�ำเรือขัดเกลี้ยงไม่มีลายจ�ำหลัก เพราะประสงค์ให้มีน�้ำหนักเบา พายแล่นเร็วเปนส�ำคัญ เรือในขบวนแห่เสด็จใช้เรือกราบมากกว่าเรือประเภทอื่น... จดหมายเหตุรัชกาลที่ ๓ แห่ง กรุงรัตนโกสินทร์ เรือ่ ง บัญชีรายชือ่ เรือพระทีน่ งั่ บอกขนาดและก�ำลังของเรือ จ.ศ. ๑๑๙๐ ปรากฏ ชื่อเรือพระที่นั่งกราบ เช่น ทิพากร ขจรกรุง รุ้งประสารสาย ชายลมหวน กระบวนร�ำ ประจ�ำ ทวีป กลีบสมุท สุดสายตา รายละเอียดดูที่ คณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์งานพระราชพิธี บรมราชาภิ เ ษก กรมประชาสั ม พั น ธ์ ค� ำ เกี่ ย วกั บ พระราชพิ ธี บ รมราชาภิ เ ษก พระราชพิ ธี บรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒ www.phralan.in.th เข้าถึงเมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๔. ๘ สมเด็จเจ้าฟ้าฯกรมพระบ�ำราบปรปักษ์ทรงก�ำหนดรูปแบบเมรุและเครื่องประกอบเกียรติยศ โดยปรับแบบรูปแบบจากพระเมรุพระเจ้าน้องนางเธอ กรมขุนขัติยกัลยา แก้ทรงเมรุเป็นสี่เหลี่ยม ไม่ย่อมุมอย่างเมรุเจ้านาย รายละเอียดดูที่ หจช.ร.๕ นก ๒๘/๙๒ สมเด็จฯ กรมพระบ�ำราบ ปรปักษ กราบบังคมทูลเรื่อง เมรุสมเดจเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศษ จ.ศ. ๑๒๔๔๕. อ้างถึง ใน วิ ภั ส เลิ ศ รั ต นรั ง สี “อวสานสมเด็ จ เจ้ า พระยาบรมมหาศรี สุ ริ ย วงศ์ (ช่ ว ง บุ น นาค)” www.academia.edu เข้าถึงเมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๔


เจ้าพระยาสุรวงศ์ อ้อมวิหารวัดบุปผาราม ผ่านมาหน้าพระอุโบสถ ตรงไปข้างเมรุด้านเหนือ เมรุนั้นตั้งที่สนามข้างอุโบสถ...ด้านตะวันออก พลับพลานั้นตั้งริมก�ำแพงอุโบสถ...จรดหน้าเมรุมุขตะวันตก...”๙ ครั้นถึงช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา วันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๗ วัดบุปผารามได้ถูกระเบิด อาคารเสนาสนะโดยเฉพาะพระอุโบสถ ศาลาการเปรียญ ตลอดจนกุฏิสงฆ์ ได้รับความเสียหายอย่างหนัก เกินกว่าที่จะปฏิสังขรณ์ได้ เมื่อเสร็จ สงครามพระธรรมวราลังการ (กล่อม อนุภาสเถระ) ท่านเจ้าอาวาสขณะนั้นพร้อม ผู ้ มี จิ ต ศรั ท ธาได้ ด� ำ เนิ น การสร้ า งพระอุ โ บสถ กุ ฏิ ส งฆ์ เสนาสนะขึ้ น ใหม่ แ ละ เจ้าจอมมารดาเลียมในรัชกาลที่ ๕ สร้างศาลาสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ หรือศาลาการเปรียญหลังใหม่ ตลอดจนตึกประยูรวงศ์ในเขตสังฆาวาส เพื่ออุทิศ ส่วนกุศลสนองพระคุณแด่เจ้าคุณพระประยูรวงศ์ พระสนมเอกในรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็ จ พระบรมชนกาธิ เ บศรมหาภู มิ พ ลอดุ ล ยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชด�ำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรม ราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวงทรงประกอบพิธีผูกพัทธสีมาพระอุโบสถ เมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๗ กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานวัดบุปผาราม ปรากฏ ในราชกิจจานุเบกษา ณ วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๒๐๑๐ ปัจจุบันมี พระอุดมศีลคุณ (บรรจบ ตาที) ด�ำรงต�ำแหน่งเจ้าอาวาสตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๔๓ ถึงปัจจุบัน การแบ่งเขตพระอารามแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือ เขตพุทธาวาสและ สังฆาวาส โดยมีกำ� แพงล้อมรอบและมีซมุ้ ประตูทางเชือ่ มฝัง่ ด้านทิศตะวันตก ภายใน เขตพุทธาวาสประกอบด้วย พระวิหาร ซึ่งเป็นพระวิหารหลังเดิม ส่วนพระอุโบสถ และศาลาการเปรี ย ญ พระวิ ห ารคดเป็ น อาคารที่ ส ร้ า งขึ้ น ใหม่ ดั ง จะได้ ก ล่ า ว รายละเอียดงานพุทธศิลปกรรมที่ส�ำคัญตามล�ำดับต่อไป ๙

จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน จุลศักราช ๑๒๔๕, อ้างถึงในพาสุข ชาติกานนท์. “รูปแบบ ศิลปกรรมของพระวิหาร วัดบุปผาราม”. รายงานการค้นคว้าอิสระหลักสูตร ปริญญาศิลปศาสตร บัณฑิต ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๘, หน้า ๘. ๑๐ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๔ ตอนที่ ๗๕, หน้า ๓๔๒๕, ๑๖ สิงหาคม ๒๕๒๐


พระวิหารวัดบุปผาราม พระวิหารวัดบุปผารามวางตัวในแนวเหนือใต้ โดยพระวิหารหันหน้าไปทาง ทิศเหนือรับแนวแม่น�้ำเจ้าพระยาสายเก่าคือ คลองบางกอกใหญ่หรือคลองบางหลวง พระวิหารเดิมคงสร้างมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา และมีการปฏิสังขรณ์ในสมัย รั ต นโกสิ น ทร์ ตั้ ง แต่ ค รั้ ง ปลายรั ช กาลพระบาทสมเด็ จ พระนั่ ง เกล้ า เจ้ า อยู ่ หั ว ถึ ง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั ลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นแบบไทยประยุกต์ โดยผสมผสานรูปแบบศิลปะระหว่างศิลปะไทยและศิลปะจีน พระวิหารมีขนาด กว้าง ๑๔ เมตร ยาว ๑๙ เมตร ส่วนฐานก่อเป็นฐานบัวหรือฐานปัทม์ยกพื้นสูง ประมาณ ๑ เมตร มีบันไดทางขึ้นด้านทิศเหนือและทิศใต้ ๒ ข้างบันไดประดับ เสาสิงโตจีน (รูปที่ ๒) ถัดขึ้นไปเป็นพระระเบียงและประตูทางเข้าออกด้านหน้า และด้านหลังด้านละ ๒ ประตู ผนังพระวิหารประดับช่องหน้าต่างข้างละ ๕ ช่อง มีเสาพาไลและระเบียงล้อมรอบ พนักระเบียงกรุกระเบื้องเคลือบปรุสีเขียว ที่ เสาพาไลก่อเป็นเสาเหลี่ยมรองรับชายคา เพดานเป็นเครื่องไม้ลงพื้นสีแดงชาดเขียน ลายรดน�้ำลงสีปิดทองเป็นลายพันธุ์พฤกษา ส�ำหรับคอสองเหนือคานเสาพาไล ด้านนอกพระวิหารมีจิตรกรรมสีฝุ่นที่น่าชมยิ่ง เขียนเป็นรูปท้องฟ้าหมู่เมฆบน สรวงสวรรค์ที่แตกต่างจากพระอารามอื่นคือ เขียนรูปเทวดาฝรั่งเหาะเป็นเด็กน้อย อ้วนจ�้ำม�่ำมีปีกท�ำนองเดียวกับรูปคิวปิดหรือกามเทพ ถือช่อมะกอกสีทองหรือ ตะกร้าดอกไม้แบบฝรัง่ เหาะล่องลอยหยอกล้อกันท่ามกลางหมูเ่ มฆแบบเหมือนจริง แทนการเขียนภาพรูปเทวดาเหาะแบบไทยประเพณี (รูปที่ ๓) ส�ำหรับกรอบหน้าบันพระวิหารเป็นงานปูนปั้นก่ออิฐถือปูนประดับช่อฟ้า ใบระกาและหางหงส์ที่ปั้นเป็นรูปนกเจ่า ๑๑ ผสมนาค ตัวล�ำยองที่พาดหลังแป เป็นเส้นตรงปั้นลายเกล็ดนาคด้านบนประดับใบระกาและลายกนกเรียงเป็นแถว ที่ ส ่ วนกลางหน้ า บั นเป็นรูป ตราสุ ริ ย มณฑล อันเป็นตราสัญลักษณ์ประจ�ำตัว ๑๑

ช่ อ ฟ้ า และหางหงส์ รู ป นกเจ่ า เป็ น รู ป แบบการประดั บ ตกแต่ ง เครื่ อ งบนพระวิ ห ารและ พระอุโบสถ ที่มีลักษณะคล้ายหัวนก มีจะงอยปากคล้ายนก ปรากฏเป็นช่อฟ้าพระอาราม รูปแบบหนึ่งช่วงสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เช่น พระอุโบสถและพระวิหาร วัดโสมนัสราชวรวิหาร พระอุโบสถและพระวิหารวัดมกุฎกษัตริยารามราชวรวิหาร กรุงเทพ มหานคร เป็นต้น


สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) รูปพระสุริยเทพทรงราชรถ เทียมด้วยคชสีห์ พระสุริยเทพหรือพระอาทิตย์ประทับนั่งในบุษบก พระหัตถ์ซ้าย ทรงถือพระขรรค์ โดยมีมาตุลีเทพบุตรท�ำหน้าที่สารถี บนราชรถมีเครื่องสูงประดับ และนกยูงอันเป็นสัญลักษณ์พระอาทิตย์เกาะที่กระหนกท้ายเกรินด้านหลังราชรถ แต่เดิมตราสุริยมณฑลนี้ เป็นตราประจ�ำสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) บิดาสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ครั้นเมื่อท่านถึงแก่พิราลัย เจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ได้ใช้ตราสุริยมณฑลต่อมา โดยเพิ่มรูปพระสุริยเทพ ประทับนัง่ ภายในบุษบก ทีห่ น้าบันพระวิหารวัดบุปผารามปัน้ รูปมาตุลเี ทพบุตรสารถี บรรจุในดวงดาราอีกรูปหนึ่งด้วย เป็นที่น่าสังเกตว่าตราสุริยมณฑลดวงนี้มีรัศมี ดวงอาทิตย์แบบตะวันตก ปรากฏเพิ่มเติมที่เบื้องบนบุษบกพระสุริยเทพ ซึ่งรับกัน กับชุดลายดารา ตราสุริยมณฑลแบบฝรั่ง ที่จ�ำหลักประดับกลางบานพระทวาร และพระบัญชร ดังนั้นตราสุริยมณฑลที่ประดับหน้าบันพระวิหารวัดบุปผาราม จึ ง แสดงให้ เ ห็ น ถึ ง การผสมผสานรู ป แบบศิ ล ปะไทยประเพณี กั บ อิ ท ธิ พ ลศิ ล ปะ ตะวันตก รวมทั้งศิลปะจีนที่ปั้นลายเครือเถาดอกพุดตาน ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับ ดอกบุนนาค อันเป็นดอกไม้ประจ�ำสกุลบุนนาคประดับแวดล้อมดาราสุริยมณฑล มีความงดงามทั้งความหมายและสัญลักษณ์ เพื่อสื่อถึงนามของสมเด็จเจ้าพระยา และสายสกุลบุนนาคได้อย่างงดงาม (รูปที่ ๔, ๕) ซุ้มพระทวารและพระบัญชรที่ประดับผนังด้านนอกพระวิหาร เป็นลาย ปูนปั้นลงรักปิดทองประดับกระจก ประกอบด้วยลายช่อดอกพุดตานอย่างเทศ ผู ก กระหวั ด จั ด เป็ น ช่ อ ดอกพุ ด ตานผสมผสานแบบอิ ท ธิ พ ลศิ ล ปะตะวั น ตกและ ศิ ล ปะจี น ตอนกลางซุ ้ ม เป็ น ตราสุ ริ ย มณฑลแบบไทย ๑๒ อั น เป็ น ตราประจ� ำ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เหนือขึ้นไปบนสุดประดับ พระบรมราชสั ญ ลั ก ษณ์ พระปรมาภิ ไ ธยใน พระบาทสมเด็ จ พระปรมิ น ทร ๑๒

มีข้อสังเกตว่าตราสุริยมณฑลอย่างไทย ประดับเหนือพระทวารและพระบัญชร ปั้นเป็นลาย สุรยิ มณฑลเดิม อันเป็นตราสัญลักษณ์อคั รมหาเสนาบดี สมุหพระกลาโหมทีไ่ ด้รบั พระราชทานมา ตั้งแต่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) และต่อเนื่องถึงสมเด็จเจ้าพระยา บรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นดาราสุริยมณฑลแบบเดิมที่ไม่มีรูปพระสุริยเทพประทับ ภายในบุษบก แตกต่างจากตราสุริยมณฑลที่ประดับเหนือหน้าบันพระวิหาร


มหาจุฬาลงกรณ์พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ เครื่องหมาย จุลมงกุฎหรือ พระเกี้ยว พระนาม จุฬาลงกรณ์ ประดิษฐานบนพานแว่นฟ้า๑๓ ขนาบข้างด้วย ฉัตรเป็นบริวาร กรอบพระทวารด้านในและสันกรอบอกเลาเป็นลายรดน�้ำที่มี โครงสร้างผูกลายอย่างเทศ อิทธิพลศิลปะมุสลิม ศิลปะจีนและศิลปะตะวันตก เป็นลวดลายที่ผสานกันงดงามและหาดูได้ยากยิ่ง กรอบด้านข้างเป็นลายหงส์ เฟิ่งหวาง (Feng Huang) ต้นไม้ กอบัวตามคติสัญลักษณ์มงคลแบบจีน ตอนล่าง เป็นภาพประกอบโคลงสุภาษิตโลกนิติ๑๔ จ�ำนวน ๒๘ บท เป็นค�ำสุภาษิตสอนใจ ให้ ป ระพฤติ ป ฏิ บั ติ มุ ่ ง แสดงหลั ก ธรรมความจริ ง ของโลกและสั จ ธรรมในชี วิ ต (รูปที่ ๖, ๗, ๘) ส� ำ หรั บ บานพระทวารและพระบั ญ ชรด้ า นนอกเป็ น ไม้ แ กะสลั ก ลาย ดอกพุดตานอย่างเทศ ส่วนกลางจ�ำหลัก ลายสุริยมณฑลแบบฝรั่ง อันเป็นตราที่ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ใช้เมื่อครั้งด�ำรงต�ำแหน่ง ๑๓

ในอดีตมีการวิเคราะห์พระบรมราชสัญลักษณ์เหนือพระทวารและพระบัญชรวัดบุปผาราม ว่า เป็นพระปรมาภิไธยในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั รูปพระมหาพิชยั มงกุฎประดิษฐาน บนพานแว่นฟ้า แต่จากการศึกษาวิเคราะห์ครั้งนี้ ได้พบข้อค้นพบใหม่คือ พระปรมาภิไธยใน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั เครือ่ งหมายจุลมงกุฎ หรือพระเกี้ยว พระนาม จุฬาลงกรณ์ ประดิษฐานบนพานแว่นฟ้า ซึ่งความคลาดเคลื่อนในการ พิจารณาในอดีตอาจเกิดขึ้นจากการวิเคราะห์ภาพที่ถ่ายจากมุมด้านล่าง รวมทั้งความส�ำคัญของ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ซึ่งท่านด�ำรงต�ำแหน่งอัครมหาเสนาบดีคนส�ำคัญตั้งแต่รัช สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั จนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ หัว อาจท�ำให้เกิดความสับสนระหว่างภาพพระมหาพิไชยมงกุฎ ส่วนทีเ่ ป็นกรอบพระพักตร์ประดับ ลายกรรเจียกจร กับองค์ประกอบของพญานาคที่มุมพานแว่นฟ้า ๔ ทิศ ที่เชื่อมระหว่างพานแว่น ฟ้าชั้นล่างและชั้นบน ซึ่งหากพิจารณารายละเอียดจะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน ๑๔ โคลงสุภาษิตโลกนิติ สันนิษฐานว่ามีมาแต่ครัง้ กรุงศรีอยุธยา โดยคัดเลือกพระคาถาภาษาบาลี และภาษาสันสกฤตในคัมภีรต์ า่ งๆมาแต่งบทประพันธ์ เพือ่ สอนประชาชนให้ประพฤติปฏิบตั ดิ ี ให้ ข้อคิดเตือนใจต่างๆ ในสมัยรัชกาลที่ ๓ โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอกรมขุนเดช อดิศร ทรงช�ำระโคลงโลกนิติส�ำนวนเก่า แต่งเป็นโคลงสี่สุภาพ เพื่อจารึกประดับผนังด้านนอก ศาลาทิศของพระมณฑปวัดพระเชตุพนฯทั้ง ๔ หลัง มีจ�ำนวน ๔๓๕ บท นอกจากนี้ยังปรากฏ อีกหลายส�ำนวน


ผู้ส�ำเร็จราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๔๑๑-๒๔๑๖ (รูปที่ ๙, ๑๐) บานพระทวารและ พระบัญชรพระวิหารด้านใน เขียนภาพเป็นเครื่องตั้งหรือเครื่องบูชา หากแต่ที่พิเศษ แตกต่างไปจากพระอารามอื่นคือ รูปแบบเครื่องตั้งเครื่องบูชาและเครื่องโต๊ะคือ เครื่องโต๊ะบูชาแบบศิลปะตะวันตกซึ่งนับเป็น เครื่องตั้งอย่างเทศ ลายวิจิตร เขียน รูปโต๊ะยุโรปไม้แกะสลักลายขลิบทองตอนบนประดับหินอ่อน เป็นเครื่องโต๊ะซ้อน ลดหลั่นเป็นชั้นส�ำหรับวาง นาฬิกาตั้งโต๊ะ แจกันแก้ว แจกันเครื่องกระเบื้องปัก ดอกกุหลาบ เชิงเทียนโลหะ ชุดตะเกียงและครอบแก้ว ตะกร้าผลไม้ แจกันแก้ว เจียระไนขลิบทอง ตอนบนสุดเขียนเป็นเครือ่ งแขวนแบบไทย ตรงส่วนบานแผละบาน พระทวารเขียนเป็นตุก๊ ตาฝรัง่ รูปเด็กชายอุม้ แจกันปักดอกไม้แบบฝรัง่ ตอนล่างเป็นเขียน เป็นแท่นวางหากแต่ประดับกระเบื้องยุโรปที่ท�ำให้ภาพมีความนูนจากระนาบมีมิติ หรือเขียนภาพชุดแจกันเครื่องแก้วเจียระไนลายเถาองุ่นปักดอกกุหลาบและพู่ขนนก ส�ำหรับภาพจิตรกรรมเครือ่ งตัง้ อย่างเทศชุดนีพ้ บเพียงแห่งแรกและแห่งเดียว สะท้อน ให้เห็นถึงรสนิยม เครื่องใช้ของสะสม ซึ่งเป็นที่นิยมของเจ้านายตลอดจนขุนนาง หรือคหบดีผู้มีฐานะ เปรียบเสมือนเครื่องบันทึกประวัติศาสตร์ อันเป็นภาพสะท้อน ของการเจริญพระราชไมตรีในช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รูปที่ ๑๑, ๑๒) ภายในพระวิหารประดิษฐานพระพุทธปฏิมาบนฐานชุกชียกพื้นกรุด้วย หินอ่อนสีเทาที่เจาะเป็นช่องซุ้มวงโค้งประดับด้วยหินอ่อนสี ลายที่มุมยกเป็นเสา หินอ่อนเซาะร่องตอนบนตัดแผ่นหินอ่อนวางสลับสีรูปดวงอาทิตย์แบบเทคนิค ตะวั น ตก ๑๕ บนฐานชุ ก ชี ป ระดิ ษ ฐานพระพุ ท ธปฏิ ม าประธานปางมารวิ ชั ย ใน ซุ้มเรือนแก้วแบบพระพุทธชินราช หล่อด้วยส�ำริดขนาดหน้าตักกว้าง ๑.๑๒ เมตร สูง ๑.๕๕ เมตร มีนามว่า หลวงพ่อบุปผา ที่เบื้องหลังส่วนฐานซุ้มเรือนแก้วเป็น เสาสี่เหลี่ยมรองรับตัวเหราปลายกรอบซุ้ม ตัวเสานี้ตกแต่งด้วยงานปูนปั้นลาย ๑๕

การประดิษฐานพระพุทธปฏิมาประธานบนฐานชุกชีหินอ่อน กรุด้วยหินอ่อนสีและลวดลาย ที่ตัดสลับจากหินอ่อนสีต่างๆ ซึ่งเป็นหินอ่อนจากประเทศอิตาลี มีปรากฏในพระอารามส�ำคัญ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เช่น ฐานชุกชีพระพุทธอังคีรส วัดราชบพิธ และฐานชุกชีพระพุทธชินราชจ�ำลอง วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กรุงเทพมหานคร


ดอกบัวบานและแจกันทรงสูงลงรักปิดทองประดับกระจก ถัดออกไปตัดกระจก เกรียบรูปดารา ๖ แฉกยาวเป็นชุดอุดช่องทางเดินที่เชื่อมระหว่างพระพุทธปฏิมา กับผนังพระอุโบสถ ท�ำให้ไม่สามารถเดินรอบพระพุทธชินราชจ�ำลองได้ สันนิษฐาน ว่าคงเป็นการต่อขยายฐานชุกชีเพื่อรับกับการประดิษฐานพระพุทธปฏิมาส�ำคัญ ๒ องค์ ดังที่จะได้กล่าวในการวิเคราะห์พระพุทธปฏิมา จ.ศ. ๑๒๔๑ ต่อไป ถัดลงมา จากพระพุ ท ธปฏิ ม าประธาน ประดิ ษ ฐานพระอั ค รสาวกนั่ ง บนฐานเตี้ ย ๆ นั่ ง พั บ เพี ย บพนมมื อ ประคองอั ญ ชลี ถ วายสมเด็ จ พระบรมศาสดาเบื้ อ งขวาคื อ พระสารีบุตร เบื้องซ้ายคือพระมหาโมคคัลลานะ (รูปที่ ๑๓, ๑๔, ๑๕) ส�ำหรับภาพจิตรกรรมภายในพระวิหาร คงเขียนขึ้นในรัชกาลพระบาท สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั ถึงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั ตอนบน เป็นภาพพุทธประวัติ ตอนล่างระหว่างกรอบช่องหน้าต่างเขียนเรื่องทศชาติชาดก ซึ่ ง ทิ ศ ทางการล� ำ ดั บ ภาพระหว่ า งภาพพุ ท ธประวั ติ ต อนบนและทศชาติ ช าดก ตอนล่างเป็นเส้นทิศทางสลับกัน ภาพจิตรกรรมผนังตอนบนเหนือกรอบช่องหน้าต่าง ทั้ง ๔ ด้าน เขียนเรื่องพระปฐมสมโพธิกถาฉบับพระนิพนธ์ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชติ ชิโนรส เขียนเพียงบางตอนโดยอาจจะผสมผสานกับแนวความคิด พระปฐมสมโพธิ ก ถาฝ่ า ยธรรมยุ ติ ก นิ ก าย ฉบั บ สมเด็ จ พระอริ ย วงศาคตญาณ (สา ปุสฺสเทโว) ทรงเรียบเรียงและสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณ วโรรส ทรงช�ำระ ซึ่งเน้นความส�ำคัญของเหตุการณ์หลักและการล�ำดับเหตุการณ์ ส�ำคัญตลอดพระชนม์ชีพของสมเด็จพระบรมศาสดา นอกจากนี้รายละเอียดที่ ปรากฏในงานจิตรกรรม ยังสะท้อนให้เห็นถึงลักษณะและวิถีชีวิตช่วงรัชสมัยรัชกาล ที่ ๔-๕ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลจากวัฒนธรรมตะวันตก อาทิ ภาพการแต่งกาย เครื่องแบบของเหล่าทหาร ขุนนาง สภาพบ้านเรือนและตึกรามบ้านช่อง ตลอดจน ภาพพระมหาปราสาทภายในพระบรมมหาราชวัง อาคารสถาปัตยกรรมตะวันตก ที่เป็นฉากในเหตุการณ์พุทธประวัติตอนต่างๆ ผสมผสานกับวิถีชีวิตแบบไทยได้ อย่างกลมกลืน ซึ่งจะขอน�ำมากล่าวเป็นตัวอย่างเฉพาะตอนส�ำคัญดังนี้ ๑. ผนังแปด้านทิศตะวันออกห้องด้านนอก เบือ้ งขวาของพระพุทธปฏิมา ประธาน เขียนเป็นภาพพุทธประวัติตอนประสูติ ตอนแรกนาขวัญ ทรงพบเทวทูต เสด็จจากกรุงกบิลพัสดุ์ เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ (รูปที่ ๑๖)


- ปริจเฉทที่ ๓ คัพภานิกขมนปริวรรต ภาพจิตรกรรมตอนบนสุดเป็น รูปเหล่าเทวดามาอ�ำนวยพรในหมู่เมฆที่เขียนแบบเหมือนจริงเป็นแนวยาวตลอด ตอนบนของผนังทั้ง ๔ ด้าน ถัดลงมาเป็นภาพพุทธประวัติตอนประสูติ พระนาง สิ ริ ม หามายาปรารถนาที่ จ ะกลั บ ไปยั ง เทวทหะนครอั น เป็ น ชาติ ภู มิ เมื่ อ ขบวน เสด็จผ่านมาถึงสวนป่าลุมพินีวัน สถานที่ระหว่าง ๒ นคร พระนางทรงพระด�ำเนิน ไปยังไม้สาละ (ต้นรัง) ที่ก�ำลังผลิดอกส่งกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณ บัดนั้นก็บังเกิด ลมกัมมัชวาตเจ็บพระครรภ์ เหล่าบริวารพากันกั้นพระวิสูตร (ม่าน) เพื่อเป็นที่ ประสูติ พระนางสิริมหามายาทรงประทับยืนประสูติพระโพธิสัตว์อันเป็นธรรมเนียม ของพระพุทธมารดา ทรงหันพระปฤษฎางค์พิงต้นสาละ พระหัตถ์ขวาจับเหนี่ยวกิ่ง ครั้นถึงเวลามงคลฤกษ์ พระโพธิสัตว์ได้ประสูติออกมามีพระวรกายบริสุทธิ์ โดยมิได้ บังเกิดความเจ็บปวดแก่พระพุทธมารดา ถัดออกมาเขียนภาพพระกุมารทรงย่างก้าวพระบาท ๗ ก้าว มีดอกบัวรองรับ แวดล้อมด้วยเหล่าเทวดา พระกุมารโพธิสัตว์ชี้พระดัชนีเปล่งวาจาว่า อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺมิ เป็นอาทิ แปลความว่า เราเป็นผู้เลิศเป็นยอดแห่งโลก... อยมนฺติมา ชาติ ความบังเกิดชาตินี้มี ณ ที่สุด นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว บัดนี้ความบังเกิดอีกมิได้มี เมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติได้ ๗ วัน พระมารดาก็สิ้นพระชนม์ - ปริเฉทที่ ๔ ลักขณาปริคาหกปริวรรต, ปริจเฉทที่ ๕ ราชาภิเษก ปริวรรต พระโพธิสัตว์ราชกุมารทรงแสดงปฐมปาฏิหาริย์ เสด็จขึ้นไปประดิษฐาน ยืนอยู่บนชฎาของกาฬเทวิลดาบส จิตรกรรมเขียนเป็นภาพที่มุมด้านบนสุดของผนัง มีรูปพระเจ้าสุทโธทนะที่ประทับอยู่ด้านนอกอาคาร ทอดพระเนตรเห็นบังเกิด ความอั ศ จรรย์ พ นมมื อ ถวายอั ญ ชลี แ ด่ พ ระกุ ม าร กาฬเทวิ ล ดาบสพิ จ ารณา พระกุมารพบว่า ทรงประกอบด้วย ทวัตดึงสมหาปุริสลักขณะ (มหาบุรุษลักษณะ ๓๒ ประการ) ที่จะทรงเป็นหน่อพุทธางกูรตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เหตุการณ์ต่อมา พระเจ้าสุทโธทนะโปรดให้ประชุมวิทยาจารย์ พร้อมทั้งเหล่าพราหมณาจารย์ ประจ�ำราชส�ำนักตั้งพระนามพระราชกุมารว่า พระสิตธัตถะราชกุมาร มีความหมายว่า จะทรงสัมฤทธิ์ผลในประโยชน์ทุกประการ ถัดมาเป็นภาพพระกุมารในพิธีวัปปมงคล แรกนาขวั ญ ทรงแสดงปาฏิ ห าริ ย ์ ป ระทั บ นั่ ง สมาธิ ภ ายใต้ ร ่ ม ไม้ เ ป็ น ที่ อั ศ จรรย์ พระเจ้าสุทโธทนะพระราชบิดาถวายทุติยวันทนาการแด่พระกุมาร


- ปริเฉทที่ ๔ ราชาภิเษกปริวรรต ครั้นเมื่อพระสิตทัตถะราชกุมาร ทรงเจริญพระชันษาได้ ๑๖ ปี พระเจ้าสุทโธทนะโปรดให้สร้างพระมหาปราสาท ๓ ฤดูที่ประทับและตั้งพระนางพิมพาเป็นอัครมเหสี ทรงมีชีวิตที่รื่มรมย์ท่ามกลาง เหล่าสนมก�ำนัล ครั้นอยู่มาวันหนึ่งได้เสด็จออกไปประพาสพระอุทยาน ซึ่งเขียน ที่กลุ่มภาพเบื้องล่างพระโพธิสัตว์ประทับบนราชรถพร้อมเหล่าทหาร ทอดพระเนตร เห็ น เทวทู ต ทั้ ง ๔ คื อ คนชรา คนป่ ว ย คนตายและบรรพชิ ต ตรั ส ถามสารถี เมื่อทราบความจริงจึงบังเกิดความสลดพระทัย ส�ำหรับภาพจิตรกรรมตอนนี้เขียนที่ ผนังตอนล่าง ชิดกับแนวป่าพระราชอุทยานโดยเขียนเป็นเทวทูตไม่มีรูปบรรพชิต ที่น่าสนใจคือมีภาพประชาชนและร้านค้าที่แขวนโคมหรือตะเกียงแก้วแบบยุโรป ภาพผู้หญิงนุ่งผ้าโจงกระเบนไว้ผมปีก ผู้ชายตัดผมทรงมหาดไทยอุ้มลูกเด็กเล็กแดง บ้างก็อยู่บนถนนบ้างก็นั่งอยู่ในร้านค้า สะท้อนให้เห็นถึงสภาพสังคมและวิถีชีวิต คนในช่วงสมัยรัชกาลที่ ๔-๕ ที่ด้านในของก�ำแพงวังที่มีป้อมปราการทรง ๘ เหลี่ยม คล้ายกับป้อมมหากาฬหรือป้อมพระสุเมรุ เป็นตอนที่พระโพธิสัตว์ทอดพระเนตร พระนางพิมพา พระราหุลราชกุมาร ก่อนจะทรงม้ากัณฐกะที่มีนายฉันนะสารถี รอเฝ้าเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ๒. ผนังหุ้มกลองตรงข้ามพระประธาน ด้านทิศเหนือ (รูปที่ ๑๗) แสดง ภาพพุทธประวัติ ปริจเฉทที่ ๖ มหาภินิกขมนปริวรรต ทรงตัดพระเมาลี ภาพ พระอินทร์อัญเชิญไปประดิษฐานบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระโพธิสัตว์บรรพชา เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ปริจเฉทที่ ๗ ทุกรกิริยาปริวรรต ทรงบ�ำเพ็ญทุกรกิริยา ภาพพระอินทร์ดีดพิณทิพย์ ๓ สาย ถัดลงมาเบื้องล่างเป็นภาพนางสุชาดาถวาย ข้าวมธุปายาส ในเหตุการณ์ปริจเฉทที่ ๘ พุทธบูชาปริวรรต ล�ำดับนั้นพระโพธิสัตว์ มหาบุรุษทรงเหยียดพระบาทรับน�้ำทักษิโณทกในการถวายภัตตาหาร นางสุชาดา จึงยกถวายทั้งมธุปายาสและถาดทองวางบนพระหัตถ์ เมื่อพระโพธิสัตว์มหาบุรุษ ทรงกระท�ำภัตกิจฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว เสด็จไปยังริมฝั่ง แม่น�้ำเนรัญชรา อันเป็น สถานที่สรงสนานแห่งพระอดีตพุทธเจ้า ทรงตั้งสัตยาธิษฐานว่า หากพระองค์จะได้ ตรัสรู้เป็นพระบรมโลกนาถที่พึ่งแห่งโลก ขอให้ถาดนี้จงเลื่อนลอยทวนกระแสน�้ำ ขึ้นไป แม้มิได้ส�ำเร็จสมประสงค์ขอให้ถาดทองลอยตามกระแสน�้ำ


เมื่อกล่าวจบถาดทองที่เคยรองรับมธุปายาสได้ไหลทวนกระแสน�้ำขึ้นไป ราว ๘๐ ศอก ก็จมลงเบือ้ งล่าง กระทบและประดิษฐานทีใ่ ต้ถาดทองอันเป็นพระพุทธ บริโภคแห่งพระอดีตสัพพัญญู ๓ พระองค์ คือ อดีตพุทธเจ้ากกุสันธะ พระอดีต พุทธเจ้าโกนาคมนะ และอดีตพุทธเจ้ากัสสปะ ภาพที่ปรากฏในงานจิตรกรรม เป็นเหตุการณ์ขณะที่พระโพธิสัตว์มหาบุรุษ ทรงตั้งสัตยาธิษฐานและถาดทอง ได้ไหลทวนกระแสน�้ำ จมลงไปประดิษฐานที่ใต้ถาดทองของพระอดีตพุทธเจ้า พระยากาฬนาคราช ที่ประทับในวิมานผู้เฝ้ารักษาพระสุพรรณภาชนะ ก็ตื่นจาก บรรทมโสมนัสเปรมปรีดดิ์ ว้ ยว่า พระชินสีหจ์ ะได้บงั เกิดอีกพระองค์หนึง่ พระโพธิสตั ว์ มหาบุ รุ ษ ทอดพระเนตรเห็ น นิ มิ ต ดั ง นั้ น ก็ เข้ า พระทั ย ว่ า พระองค์ จ ะได้ ต รั ส รู ้ พระสัพพัญญู ทรงพระด�ำเนินกลับไปยังสาลวันป่าไม้รัง แล้วผันพระพักตร์ทรง พระด�ำเนินไปยัง พระมหาโพธิ ภาพที่เขียนต่อเนื่องจากภาพพระยากาฬนาคราช ผูร้ กั ษาถาดทองคือ ภาพโสตถิยพราหมณ์ถวายหญ้าคา ๘ ก�ำ สมเด็จพระบรมศาสดา ทรงรับมารองปูเป็นรัตนบัลลังก์ที่ใต้ต้น อสัต พฤกษ์โพธิ ทรงตั้งสัตยาธิษฐาน เปล่งพระสุรเสียงว่า หากพระองค์จะทรงตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณ ขอจงบังเกิด รัตนบัลลังก์ในที่นี้ ณ เบื้องนั้น พระวชิรอาสนรัตนบัลลังก์ อันสูง ๑๔ ศอก ก็อุบัติขึ้น เสด็จสถิตเบื้องบน ทรงบ่ายพระพักตร์ไปทางทิศตะวันตก แปรพระปฤษฎางค์ ประทับข้างพระศรีมหาโพธิพฤกษ์ ประทับนั่งสมาธิด�ำรงพระสติมั่น เจริญสมาธิ ภาวนา ทรงตัง้ สัตยาธิษฐานเป็นค�ำรบสองว่า จะไม่ทรงละจากรัตนบัลลังก์ แม้พระหฤทัย แลหนั ง เนื้ อ และอวั ย วะต่ า งๆ จะสลายจากสรี ร กาย ตั้ ง พระทั ย หมายมั่ น พระ สัพพัญญุตญาณ ทรงถือเอาซึ่งพุทธสมบัติชนะสัตว์โลกทั้งปวง ในครั้งนั้นเทพยดา ต่างชื่นชมโสมนัส กระท�ำสักการบูชาพระโพธิสัตว์มหาบุรุษทั่วมงคลจักรวาล ภาพจิตรกรรมทีก่ งึ่ กลางของผนังพระวิหารตรงข้ามพระพุทธปฏิมาประธาน เขียนเป็นภาพเหตุการณ์พุทธประวัติตอนตรัสรู้ ปริจเฉทที่ ๙ มารวิชัยปริวรรต ปริเฉทที่ ๑๐ อภิโพธิสัพพัญญูปริวรรต และปริจเฉทที่ ๑๑ โพธิสัพพัญญูปริวรรต คือ เหตุการณ์ชุดสัตตมหาสถาน ทรงประทับเสวยวิมุตติสุขภายหลังเหตุการณ์ตรัสรู้ พระสัมมาสัมโพธิญาณเป็นเวลา ๗ แห่ง รวม ๔๙ วัน ประกอบด้วย - สัปดาห์ที่ ๑ ประทับ ณ มหาโพธิบัลลังก์ ทรงเข้าสู่สมาบัติปุพพวิหาร ปรากฏนามว่า โพธิบัลลังก์


- สัปดาห์ที่ ๒ ทรงพระด�ำเนินไปประดิษฐาน ณ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ของไม้มหาโพธิ ทรงยืนลืมพระเนตรบูชาพระมหาโพธิอสัตพฤกษ์ เป็นเวลา ๗ วัน ปรากฏบัญญัตินามว่า อนิมิสเจดีย์ - สัปดาห์ที่ ๓ ทรงกระท�ำปาฏิหารย์ให้สิ้นความกังขาแก่เหล่าเทพยดา เนรมิ ต รั ต นจงกรมฝ่ า ยอุ ต รทิ ศ (ทิ ศ เหนื อ ) จากพระมหาโพธิ เนื้ อ ความใน พระปฐมสมโพธิกถากล่าวว่า เขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ) ในจักรวาลน�ำมามาเป็นเสาทอง รองรับ เอาทรายในท้องมหาสมุทรทั่วจักรวาล มาเรียงรายบนพื้นรัตนจงกรมสถาน ทรงแสดงปาฏิหาริย์เสด็จพุทธด�ำเนินจงกรมบนรัตนจงกรมสถาน ๗ วัน ณ ที่นั้น บัญญัตินามว่า รัตนจงกรมเจดีย์ - สั ป ดาห์ ที่ ๔ เสด็ จ ไปประทั บ ยั ง รั ต นฆระคื อ เรื อ นแก้ ว (อาคาร) อันประดิษฐานในทิศตะวันตกเฉียงเหนือ (พายัพ) แห่งไม้พระมหาโพธิ รัตนฆระ คือ พระสัทธรรม ทั้งสิ้น ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ล�ำดับนั้น พระฉัพพรรณรังสี ก็โอภาสแผ่ออกจากพระสรีรกาย แผ่ไพศาลออกไปโดยรอบก�ำหนด ๑๖ ศอก แม้ แ สงอาทิ ต ย์ แ สงจั น ทร์ ห รื อ ดวงดาราก็ อั บ แสงดุ จ หิ่ ง ห้ อ ย ล� ำ ดั บ นั้ น พระผู ้ มี พระภาคทรงพิจารณาพระปริยัติพระไตรปิฎกในเรือนแก้วเป็นเวลา ๗ วัน ณ ที่นั้น มีปรากฏนามว่า รัตนฆรเจดีย์ - สัปดาห์ที่ ๕ เสด็จไปนั่งประทับบนบัลลังก์ ภายใต้ไม้อัชปาลนิโครธ พฤกษ์ (ต้ น ไทร) ในหมู ่ ข องคนเลี้ ย งแพะ ทางทิ ศ ตะวั น ออกของพระมหาโพธิ ประทับเสวยวิมุตติสุขเป็นเวลา ๗ วัน ณ ที่นั้นบัญญัตินามว่า อัชปาลนิโครธ ธิดาพระยามารทั้ง ๓ คือ นางราคา นางอรดี นางตัณหา มิได้เห็นพระยาวัสวดีมาร ในเทวโลก จึงเล็งดูด้วยทิพยจักษุเห็นบิดาบนมนุษยโลก นางทั้งสามจึงมาเฝ้า พระยามารและอาสา กระท�ำการยั่วยวนบ�ำเรอด้วยอิตถีมารยา เนรมิตรูปเป็นสตรี ในวัยต่างๆ ลีลาศช�ำเลืองเนตร ฟ้อนร�ำขับร้อง แต่สมเด็จพระสัพพัญญูก็มิได้ ทรงหวาดหวัน่ สมเด็จพระสัพพัญญูทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสขับธิดาพญามาร แล้วทรง ประทับใต้ต้นอัชปาลนิโครธพฤกษ์เวลา ๗ วัน - สัปดาห์ที่ ๖ เสด็จพุทธด�ำเนินประทับใต้ต้นมุจลินทพฤกษ์ (ไม้จิก) อันอยูท่ างทิศตะวันตก (ปราจีณทิศ) ล�ำดับนัน้ บังเกิดฝนตกหนักมิได้ขาด พระยานาค


นามว่า มุจลินทนาคราช อาศัยในสระโบกขรณีที่ใกล้มุจลินทพฤกษ์ ครั้นเมื่อ แลเห็นพระพุทธองค์คิดว่าเป็นเทพยดา ก็มิอาจะอยู่ในนาคพิภพได้จึงเลื้อยขึ้น มาจากสระ กระท�ำซึง่ กายป้องกันขดขนดกายเป็น ๗ รอบ แวดวงรอบองค์พระศาสดา แผ่พงั พานปกป้องเบือ้ งบนพระเศียร มิให้ทรงต้องแดดลมแลฝนหรือสรรพสัตว์สมั ผัส พระสรีระกาย เมื่อล่วงเข้า ๓ วัน ฝนก็หยุด พระยานาคมุจลินท์จึงคลายขนดที่ขดออก แปลงกายาเป็นมนุษย์มานพเข้าถวายอภิวาทอัญชุลีอยู่ในที่เฉพาะพระพักตร์สมเด็จ พระสัพพัญญู ณ ที่นั้นปรากฏนามว่า มุจลินทพฤกษ์ - สัปดาห์ท่ี ๗ ทรงพระด�ำเนินไปประทับยังราชายตนพฤกษ์ (ไม้เกด) ทางทิศใต้ของไม้พระมหาโพธิ ประทับนั่งสมาธิเสวยวิมุตติผลสุขสมาบัติเป็นเวลา ๗ วัน ณ ที่นั้นบัญญัตินามว่า ราชายตนพฤกษ กาลนั้นมีพานิชสองพี่น้องนาม ตปุสสะและภัลลิกะ พาหมู่เกวียนบรรทุกสินค้าผ่านมาพลางน�ำ ข้าวสัตตุก้อน สัตตุผง มาถวายและขออาราธนาพระพุทธองค์ทรงอนุเคราะห์รับบิณฑบาตนับ เป็น ปฐมอุบาสก สมเด็จพระบรมศาสดาจึงพระราชทานพระเกศาธาตุแก่พานิช สองพี่น้อง ปริจเฉทที่ ๑๒ พรหมัชเฌสนปริวรรต ขณะที่สมเด็จพระบรมศาสดา ประทับจากราชายตนะไม้เกดไปยังอัชปาลนิโครธพฤกษ์คือต้นไทร ท้าวสหัมบดี มหาพรหมทูลอาราธนาให้ทรงพระกรุณาแสดงพระสัทธรรม กล่าวเป็นพระคาถาว่า พรหมฺมา จ โลกาธิปตี สหมฺปติฯ ซึ่งกาลต่อมาได้ใช้เป็นค�ำอาราธนาก่อนการแสดง พระสั ท ธรรมสื บ ต่ อ มาจนถึ ง ปั จ จุ บั น ล� ำ ดั บ ถั ด ไปคื อ ภาพตอนบนเบื้ อ งซ้ า ย สมเด็จพระบรมศาสดาที่เสด็จโปรดปัญจวัคคีย์ทรงแสดงปฐมเทศนา ดังปรากฏ เนื้อหาปริจเฉทที่ ๑๓ ธัมมจักกปริวรรต ๓. ผนังแปด้านทิศตะวันตกห้องด้านนอก (รูปที่ ๑๘, ๑๙) แสดงภาพ สมเด็จพระบรมศาสดาทรงเผยแผ่พระสัทธรรม ภายหลังแสดงปฐมเทศนาท�ำให้ มีการอุปสมบท เกิดพระสงฆ์สาวกและพุทธบริษัทผู้อุปถัมภ์พุทธศาสนาจ�ำนวนมาก ประกอบด้วยภาพ ปริจเฉทที่ ๑๔ ยสบรรพชาปริวรรต ปริจเฉทที่ ๑๕ อุรุเวลคมน ปริวรรต ปริจเฉทที่ ๑๖ อัครสาวกบรรพชาปริวรรต ปริจเฉทที่ ๑๗ กบิลวัตถุคมน ปริวรรต เสด็จกลับกรุงกบิลพัสดุ์ โปรดพระพุทธบิดาและเหล่าพระประยูรญาติ ปริจเฉทที่ ๑๘ พิมพาพิลาปปริวรรต โปรดพระนางพิมพาและพระราหุลราชกุมาร


ปริจเฉทที่ ๑๙ สักยบรรพชาปริวรรต ปริจเฉทที่ ๒๐ เมตไตรยพยากรณ์ปริวรรต สมเด็ จ พระบรมศาสดาทรงมี พุ ท ธฎี ก าตรั ส พยากรณ์ พระอชิ ต ราชกุ ม ารโอรส พระเจ้ า อชาตศั ต รู ที่ บ วชเป็ น พระอชิ ต ภิ ก ษุ ว ่ า ในกาลอนาคตจะบั ง เกิ ด เป็ น พระเมตไตรยโพธิ สั ต ว์ พระอนาคตพุ ท ธเจ้ า ปริ จ เฉทที่ ๒๑ พุ ท ธปิ ตุ นิ พ พาน ปริวรรต สมเด็จพระบรมศาสดาทรงทอดพระเนตรด้วยฌานว่า พระเจ้าสุทโธทนะ พระพุ ท ธบิ ด าทรงพระประชวรหนั ก เหล่ า ศั ก ยวงศ์ มี พ ระนางประชาบดี โ คตมี แลพระนางพิมพาพระสุณิสา ช่วยกันบริบาลพระโรคก็มิอาจบรรเทาลงได้ พระเจ้าสุทโธทนะพระพุทธบิดาทรงระลึกถึงสมเด็จพระบรมศาสดา หากได้ เสด็จมาแล้วปรามาสลูบทีเ่ หนือพระเศียร พระนันทะแลพระอานนท์ลบู พระสรีรกาย ซ้ายขวา พระราหุลนัดดาได้ลูบเบื้องพระปฤษฎางค์ ความอาพาธทุกขเวทนาของ พระองค์ก็จะทุเลาลง สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสเรียกพระอานนท์ให้ประชุมสงฆ์ว่า จะเสด็จไปเยี่ยมพระพุทธบิดา แล้วเสด็จโดยทางอากาศพร้อมเหล่าพระขีณาสพ กระท�ำฤทธานุภาพปาฏิหาริย์เหาะไปยังนครกบิลพัสดุ์ ครั้นเข้าสู่พระราชมณเฑียร ทอดพระเนตรเห็นพระสรีระกายของพระพุทธบิดา ก็ทรงสังเวชสลดพระทัย ทรง ถวายปรนนิบตั แิ ด่พระพุทธบิดา ทรงเหยียดพระหัตถ์ตงั้ สัตยาธิษฐานว่า หากตถาคต บ�ำเพ็ญกฤษฎาภินหิ ารพระสมดึงสบารมีมา ๔ อสงไขยแสนกัป หมายจะท�ำประโยชน์ โปรดสัตว์โลก แม้นปรามาสลงที่พระเศียรเกล้าของพระพุทธบิดา ขอจงระงับ ความทุกข์อนั มีในพระเศียรอันตรธานหายไป ทรงลูบลงทีพ่ ระเศียร ความทุกขเวทนา ในพระเศียรเกล้าของพระเจ้าสุทโธทนะก็ดับสูญ ล�ำดับต่อมาพระอานนท์ถวาย อภิวันทนาการกระท�ำสัตยาธิษฐานว่า ข้าพระบาทติดตามเสด็จเปรียบดังฉายา เงาของพระทศพล แม้ว่าจะยกทักขิณาหัตถ์คือ มือขวาขึ้นปรามาสลูบพระกร เบือ้ งขวาของพระปิตลุ าธิบดี ขอจงทุกขเวทได้อนั ตรธาน แลพระนันทะเถระก็ประนม ถวายอภิวันทนาการ ท�ำสัตยาธิษฐานดุจเดียวกันเป็นค�ำรบ ๓ ว่า ทรงปฏิบัติตาม พระพุทธโอวาทพระศาสดาจารย์พร้อมทุกสิ่ง แม้ว่าปรามาสพระวามพาหาคือ ไหล่แห่งพระปิตรุ าช ขอทุกขเวทนาจงอันตรธาน ต่อมาถึงพระราหุลก็กระท�ำอัญชลี ตั้งสัตยาธิษฐานเป็นค�ำรบที่ ๔ ว่า กาลเมื่อพระพุทธองค์ทรงเสวยพระชาติเป็น พระเวสสันดร ทรงปลดเปลื้องสละข้าพระพุทธเจ้าแก่ชูชกพราหมณ์ พระองค์ก็ ไม่ทรงขัดขืน แม้ว่าปรามาสลงที่พระปฤษฎางค์เบื้องหลัง ขอทุกขเวทนาอันตรธาน ไปจากสมเด็จพระอัยกาธิราช


เมื่อทั้ง ๔ พระบรมวงศ์ศักยราชทรงตั้งสัตยาธิษฐาน อันว่าโรคาพยาธิ ที่ปรากฏเบื้องพระเศียร พระกร พระพาหาและพระปฤษฎางค์ของสมเด็จพระพุทธ บิดา ก็ระงับอันตรธานหายไปอย่างอัศจรรย์ พระเจ้าสุทโธทนะจึงเสด็จจากแท่นบรรทม ด้วยความปีตโิ สมนัส ครัน้ ถึงวันค�ำรบที่ ๗ พระเจ้าสุทโธทนะพระพุทธบิดาก็กราบทูล ถวายนมัสการลาพระศาสดาดับขันธ์เข้าสู่อมตนิพพาน ภาพจิตรกรรม (รูปที่ ๑๙) เขียนฉากพระราชวังนครกบิลพัสดุ์ เป็นพระทีน่ งั่ และพระมหาปราสาทภายในพระบรมมหาราชวัง ลักษณะคล้ายพระที่นั่งดุสิต มหาปราสาทแต่ตัดทอนรายละเอียด ฉากถวายพระเพลิงพระพุทธบิดา ตั้งพระ จิตกาธานถวายพระเพลิง สมเด็จพระอัมรินทราธิราชคือ พระอินทร์ประทับอัญเชิญ ดวงแก้วมณีนามว่า โชติรงั สี สมเด็จพระบรมศาสดาทรงจุดอัคคีจากดวงแก้วโชติรงั สี ถวายพระเพลิง ฝ่ายพระประยูรญาติทั้ง ๖ แคว้น ประกอบด้วย นครกบิลพัสดุ์ นครเทวทหะ โกลิยนคร สักกนคร สุปวาสนคร เวรนคร ต่างประชุมกันบ�ำเพ็ญกุศล มหาทาน เพื่ออุทิศผลบุญกุศลถวายแด่พระเจ้าสุทโธทนะ ภาพจิตรกรรมล�ำดับ ถัดไปบนผนังแปทิศตะวันตกห้องด้านใน เป็นภาพพระนางประชาบดีพระมาตุฉา ทูลขอบวชเป็นภิกษุณี โปรดประทานบรรพชาโดยมีข้อประพฤติปฏิบัติที่เคร่งครัด เรียกว่า อัฏฐครุธรรมแปดประการ ล� ำ ดั บ ถั ด ไปเป็ น ปริ จ เฉทที่ ๒๒ ยมกปาฏิ ห าริ ย ปริ ว รรต (รู ป ที่ ๑๙) ภาพจิตรกรรมผนังแปทิศตะวันตกห้องด้านใน สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ยมกปาฏิ ห าริ ย ์ ทรมานซึ่ง เหล่าเดียรถีย์ตามอย่างพระพุทธประเพณีของพระ อดีตพุทธเจ้า ในวันอาสาฬหปุณมีเพ็ญเดือน ๘ ณ ต้นคัณฑามพฤกษ์ คือ ไม้มะม่วง ฝ่ายเดียรถีย์เฝ้าติดตามสมเด็จพระสัพพัญญู ครั้นเมื่อทราบข่าวว่าสมเด็จพระบรม ศาสดาจะทรงแสดงปาฏิหาริย์ ณ คัณฑามพฤกษ์ไม้มะม่วง ก็กว้านซื้อต้นมะม่วง แล้วขุดรากถอนโคนไปทิ้งในป่าทั้งสิ้น ครั้นถึงวันเพ็ญเดือน ๘ เพลารุ่งเช้านายอุทยานบาลผู้รักษาพระอุทยาน ได้ทัศนาเห็นผลมะม่วงสุกอยู่บนต้นมีใบห่อก�ำบังไว้ จึงด�ำริจะถวายผลมะม่วง แด่พระตถาคต อันเป็นกุศลที่จะน�ำมาสิ้นกาลช้านาน ก็น้อมผลอัมพวันถวายแด่ พระชินสีห์ พระอานนท์เถระได้กรองอุทกวารีแล้วคั้นซึ่งผลอัมพวัน กระท�ำเป็น น�้ำอัมพบานปาณะถวายสมเด็จพระบรมศาสดา เมื่อเสวยแล้วตรัสสั่งนายคัณฑ


อุทยานบาลขุดดิน แล้วเพาะเมล็ดอัมพวัน ทรงล้างพระหัตถ์รดลงที่เมล็ดมะม่วง ขณะนั้นเม็ดอัมพวันไม้มะม่วงก็แตกงอกขึ้นไป มีขนาดสูงใหญ่บริบูรณ์ด้วยช่อแลผล อันสุกหล่นตกมายังพื้นดินเป็นอันมากได้นามปรากฏว่า คัณฑามพฤกษ์ ด้วยเหตุที่ นายคั ณ ฑอุ ท ยานบาลเป็ น ผู ้ เ พาะ ครั้ น เพลาบ่ า ยมหาชนบรรษั ท ได้ ม าประชุ ม ชุมนุมกัน สมเด็จพระบรมศาสดาทรงกระท�ำปาฏิหาริย์ เพื่อทรมานซึ่งเหล่าเดียรถีย์ ให้พ่ายแพ้ฤทธานุภาพ จึงทรงนฤมิตพระรัตนจงกรมในอากาศ ทรงเข้าสู่จัตุตถญาณ สมาบัติอันเป็นที่ตั้งแห่งอภิญญากระท�ำพระอิทธิปาฏิหาริย์เหาะขึ้นไปในอากาศ เสด็จพุทธลีลาศไปมา ณ พืน้ รัตนจงกรมสถานแล้วนฤมิตพุทธนฤมิต (พระพุทธนิมติ ) เหมือนดังพระพุทธองค์ สมเด็จพระสัพพัญญูทรงกระท�ำซึง่ ยมกปาฏิหาริย์ ยังขอบเขต แห่งจักรวาลทั้งหมื่นให้โอภาสเป็นที่อัศจรรย์ ๔. ผนังหุ้มกลองหลังพระประธาน ทิศใต้ (รูปที่ ๒๐) ผนังตอนบนสุด เขียนบรรยายภาพพระปฐมสมโพธิกถา ปริจเฉทที่ ๒๓ เทศนาปริวรรต สมเด็จพระ ผู้มีพระภาค ทรงพระพุทธด�ำริว่า ตามพระพุทธประเพณีของพระชินสีห์ในอดีตกาล เมื่ อ กระท� ำ ยมกปาฏิ ห าริ ย ์ แ ล้ ว จะเสด็ จ ขึ้ น ไปจ� ำ พรรษาใน ดาวดึ ง ส์ เ ทวโลก ตรัสเทศนาพระสัตตปกรณาภิธรรมปิฎกในไตรมาส ๓ เดือน เพื่อสนองพระคุณ พระพุทธมารดา สมเด็จพระชินสีห์ก็เสด็จจากพระรัตนบัลลังก์ที่ทรงแสดงยมก ปาฏิหาริย์ อันตั้งเหนือยอดคัณฑามพฤกษ์ ขณะนั้นยอดบริภัณฑ์คือ ยุคันธร และ อิ สิ น ธรคี รี ก็ ไ ด้ ค ้ อ มน้ อ มยอด เป็ น คู ่ เ คี ย งรองรั บ ขณะก้ า วที่ ๒ ของพระบาท ยอดสิเนรุราช ก็น้อมยอดลงมารองรับพระบาทก้าวที่ ๓ เสด็จมาประทับเหนือ บัณฑุกมั พลศิลาอาสน์ ของสมเด็จพระอมรินทราธิราชภายใต้ ต้นปาริฉตั ร อันเปรียบ เสมือนธงชัยเฉลิมดาวดึงสพิภพเทวโลก สมเด็จพระอมรินทราธิราช ถวายอัญชลี นมัสการสมเด็จพระบรมศาสดาทรงทราบพระพุทธอัธยาศัย ถวายอภิวาทแล้วขึ้นไป ยัง ดุสิตเทวโลก ถึงทิพยวิมาน พระสิริมหามายาเทพบุตร น้อมอภิวาททูลเชิญ เสด็จลงมาสูด่ าวดึงสพิภพ เพือ่ สดับฟังพระสัทธรรมเทศนาของสมเด็จพระบรมศาสดา พระสิริมหามายาทรงมีพระทัยปีติปราโมทย์ เสด็จแวดล้อมลงมาพร้อมด้วยบริวาร ลงจากดุสิตสถานเทวโลกมาสู่พิภพเทวดึงส์ สมเด็จพระชินสีห์มีพระทัยปรารถนาที่ จะสนองคุณพระพุทธมารดา ซึง่ จะได้ทรงตรัสพระสัทธรรมเทศนาสาธยาย พระวินยั ปิฎก พระสุตตันตปิฎก สิ่งละ ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ รวมทั้งพระอภิธรรมปิฎก


๔๒,๐๐๐ รวมจ�ำนวนแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ แต่ก็มิอาจเทียบได้กับคุณ พระมารดาที่ได้ทรงเลี้ยงพระตถาคตมาแต่ชาติอดีตภพ การเสด็จขึ้นไปเทศนาธรรม โปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ถือเป็นพุทธประเพณีที่สืบมา และด้วยทรงพิจารณาเห็นอานิสงส์ที่พระพุทธมารดา จะเสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดุสิต เพื่อสดับพระสัทธรรมนั้นมีผลมาก จึงทรงมี พระประสงค์ ดั ง นี้ ครั้ น เมื่ อ สมเด็ จ พระบรมศาสดาตรั ส เทศนาจบลงครบถ้ ว น ๓ ไตรมาส พระสิริมหามายาเทวีเทพบุตรพุทธมารดา ก็บรรลุพระโสดาปัตติผล เป็นพระอริยบุคคล ส�ำหรับรายละเอียดภาพจิตรกรรม มีค�ำอธิบายใต้ภาพที่ยัง คงเห็นชัดเจนความว่า “...ห้ อ งนี้ พ ระพุ ธ เจ้ า ตรั ษ เทษนาพระสั ต ปกรณาภิ ธ รรม ฉลองคุ ณ พระพุธมารดาไต้ไม้ปาริฉัตชั้นดาวดึงษ์เทวสถานา มีพระพุธมารดา เปนประธาน ท้าวมัควาฬและมหาพรหมเทวบุศเทวธิดา ได้ส�ำเร็จ มักผลเปนอันมาก ครัน้ ปวารณาพระวษาแล้ว พระอินทร์จงึ เนรัมมิตบันได ตั้งแต่ดาวดึงส์ถึงเมืองสังกัศนคร พระองค์ก็เทษนาเปิดโลกย์....” ๑๖ ปริจเฉทที่ ๒๔ เทโวโรหนปริวรรต เขียนต่อจากฉากตอนโปรดพระพุทธ มารดา ขณะเมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ บนยอดคัณฑาม พฤกษ์ไม้มะม่วง มหาชนที่ได้สโมสรสันนิบาตในที่นั้น ต่างได้แลดูพระพุทธสรีระกาย หายลับไปในเทวโลก ชนทัง้ หลายต่างร�ำ่ ไห้ปริวติ กว่า สมเด็จพระบรมศาสดาประทับ อยู่ ณ ที่ใด จึงพากันมาหาพระมหาโมคคัลลานะ พระมหาโมคคัลลานะปรารถนา จะประกาศเกียรติคุณของพระเถระองค์อื่น จึงกล่าวว่าท่านทั้งหลายจงไปถาม พระอนุรุธ ล�ำดับนั้นพระอนุรุธได้วิสัชนาตอบให้มหาชนทราบว่า สมเด็จพระบรม ศาสดาเสด็จประทับเทศนาพระสัทธรรมแก่เหล่าเทพยดาสถิต ณ ดาวดึงสพิภพ เทวโลกเป็นเวลา ๓ เดือน เมือ่ ถึงวันมหาปวารณา จะเสด็จจากดาวดึงสพิภพเทวโลก มาสู่มนุษยโลก ณ ที่ใกล้ประตูเมืองสังกัสสะ (รูปที่ ๒๐)

๑๖

ตัวสะกด ทับศัพท์ตามค�ำศัพท์ในภาพจิตรกรรม


ครั้นถึงวันมหาปวารณาเพ็ญเดือน ๑๑ สมเด็จพระอมรินทร์ได้ทรงนฤมิต บันไดทิพย์ทั้ง ๓ คือ บันไดทองเบื้องขวา บันไดเงินเบื้องซ้าย บันไดแก้วอยู่ตรงกลาง ศีรษะบันไดเบื้องบนจรดยอดเขาพระสุเมรุอันเป็นที่ตั้งดาวดึงสเทวพิภพ ทอดยาว ลาดลงมาจรดพื้นปฐพีเมืองสังกัสสะนคร บันไดทองเป็นทางที่ลงของหมู่เทพยดา ข้างฝ่ายบันไดเงินเป็นที่ลงแห่งหมู่พรหม ส่วนบันไดแก้วนั้นเป็นทางเสด็จของ สมเด็จพระบรมศาสดา สมเด็จพระบรมครูสถิตบนยอดเขาพระสุเมรุ ทรงทอด พระเนตรเหล่าเครื่องสักการะแห่งเทพยดาและมวลมนุษย์เต็มไปทั่วพื้นจักรวาล ทอดพระเนตรไปยังทิศทั้ง ๘ ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์เป็นค�ำรบสอง แล้วทรงแสดง โลกวิวรรณปาฏิหาริย์ เปิดโลกทัง้ ๓ อันว่า เทวโลก พรหมโลก มนุษยโลกและอเวจี มหานรก ทัง้ ๓ ภูมคิ อื กามภูมิ รูปภูมแิ ละอรูปภูมิ ต่างแลโล่งโดยตลอดเป็นมหัศจรรย์ ปรากฏทั่วทั้งหมื่นโลกธาตุ สมเด็จพระชินสีห์เสด็จลงจากดาวดึงสพิภพ ท่ามกลางเหล่าเทพยดา ทั่วจักรวาลมีองค์อัมรินทราธิราชน�ำทางพระพุทธด�ำเนินพระกรทรงอุ้มบาตรของ พระชินสีห์ เสด็จลงมาทางสุวรรณบันไดเบือ้ งขวา ท้าวสหัมบดีมหาพรหมกับหมูพ่ รหม ตามเสด็จลงมาทางบันไดเงินที่เบื้องซ้าย ปัญจสิขรคนธรรพ์เทพบุตร ถือพิณมี พรรณดังผิวมะตูมสุก ดีดขับร้องน�ำเสด็จพระสัพพัญญูไปเบื้องหน้า ส่วนสันดุสิต เทวราชกับสยามเทวราช ทรงทิพยจามร ด�ำเนินลงทางบันไดแก้ว ท้าวปชาบดี มหาพรหม ทรงทิพยเศวตรฉัตรกางกั้นพระบรมครู เบื้องหลังพระมาตลิสังคาหก เทพบุตรถือผอบทองเต็มไปด้วยดอกไม้ทพิ ย์โปรยปรายลงมาตามขัน้ บันได เบือ้ งหน้า ทวยเทพแลเหล่านาค สุบรรณ กุมภัณฑ์ คนธรรพ ในหมื่นจักรวาลก็ถือซึ่งทิพยฉัตร เครื่องสักการะบูชาต่างๆ เสด็จลงมา อนึ่ง สมเด็จพระสัพพัญญูพุทธเจ้าในมหาภัทรกัป ทั้ง ๕ พระองค์ ทรงมีพระพุทธประเพณีที่เหมือนกัน ๒ ประการคือ หลังจาก ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ ก็จะเสด็จขึ้นไปจ�ำพรรษาบนพิภพดาวดึงส์เทวโลกและ เสด็จลงจากพิภพดาวดึงส์เทวโลก ณ ที่ใกล้ประตูเมืองสังกัสสนคร ส�ำหรับภาพ จิตรกรรมตอนนี้ มีค�ำอธิบายที่ใต้ภาพว่า “... ห้องนี้พระพุธเจ้าเสดจ์จากดาวดึงส์ลงทางบันได ที่พระอินทร เนรัมมิต มีพรหมถือเสวตรฉัตกัน พระเจ้า เทวบุศทั้งหลายก็ดีษสีตีเป่า ห้อมล้อมเปนอันมาก ครั้นถึงเมืองสังกัศนคร พระพุธเจ้าทรงเทษนา


โปรฎพระยาสังกัศชนพร้อมกันเปนอันมาก แล้วสมเด็จพระพุธเจ้าก็ เสดจ์ไปโปรฎพระยาลิชิวีในเมืองไภย์ษาลี....” ๕. ผนังแปด้านทิศตะวันออกห้องด้านใน (รูปที่ ๒๑) ปริจเฉทที่ ๒๕ อัครสาวกนิพพานปริวรรต เป็นภาพพระสารีบุตรปรินิพานในห้องประสูติ ตาม พระพุทธประเพณี พระอัครสาวกจะเข้าสู่นิพพานก่อนพระชินสีห์ ด�ำริที่จะไป โปรดนางพราหมณีสารีมารดาและนิพพานในห้องที่ก�ำเนิด ณ หมู่บ้านนาลันทาคาม โดยเขียนเป็นรูปเรือนไทยเครื่องไม้ ฝ่ายพระมหาโมคคัลลานะสถิตยัง กาฬสิลา ประเทศ ในมคธชนบท หมู่เดียรถีย์ได้ว่าจ้างมหาโจรให้มาประทุษร้ายฆ่าพระมหา โมคคัลลานะ ซึ่งเป็นกรรมที่ท�ำไว้แต่อดีตชาติติดตามมา พระมหาโมคคัลลานะ ก็มิได้คิดหนีปล่อยให้ฝูงโจรทุบตีจนอัฐิแหลกละเอียด แล้วได้ท�ำปาฏิหาริย์เหาะ ไปเฝ้าสมเด็จพระสัพพัญญูกราบทูลถวายบังคมลานิพพาน พระธรรมเสนาบดีสารีบตุ รอัครสาวกเบือ้ งขวานิพพานวันกติกมาส ขึน้ ๑๕ ค�ำ่ เดือน ๑๒ พระธรรมเสนาบดีมหาโมคคัลลานะ อัครสาวกเบื้องซ้ายนิพพานในวันดับ แห่งเดือนกติกมาส แรม ๑๕ ค�ำ่ เดือนเดียวกันทัง้ สององค์ เมือ่ สมเด็จพระบรมศาสดา ทรงปราศจากพระอัครสาวกทั้ง ๒ ดุจดังไม้หว้าอันแก่ที่มีกิ่งใหญ่ ๒ ข้างหักลง เหลือแต่พระอานนท์พระพุทธอุปัฏฐากองค์เดียว สมเด็จพระบรมศาสดาทรงปรารภถึง ความชราภาพแห่งพระวรกายที่เจริญมา เปรียบอินทรีย์ประดุจไม้เกวียนอันเก่า ทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสแก่พระอานนท์ว่า “... อานนท์ท่านจงอาศัยตนของตนเองนั้นเป็นที่พึ่งที่พ�ำนัก ที่อันอื่น ซึ่งจักเป็นที่พึ่งแก่ตนนั้นมิได้มี....” ส�ำหรับภาพจิตรกรรมตอนบนของอัครสาวกนิพพาน เขียนเป็นภาพตอน ปริจเฉทที่ ๒๖ มหาปรินิพพานปริวรรต ในพรรษาที่ ๔๕ สมเด็จพระบรมศาสดา ทรงมีพระชนมายุ ๘๐ พรรษา ขณะที่ทรงจ�ำพรรษาไตรมาสนั้นทรงอาพาธหนัก โดยทรงเยียวยารักษาพระโรคด้วย สมาบัติโอสถ ครั้นออกพรรษาทรงปวารณา ตรัสพยากรณ์พระองค์เองว่า ตถาคตจะปรินิพพาน เพลาเช้าตรู่เสด็จเข้าไปในนคร เวสาลีกับพระภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ หลังจากทรงกระท�ำภัตกิจในพระราชนิเวศน์ โปรด ประทานธรรโมวาทแก่เหล่ากษัตริย์ทั้งปวง แล้วเสด็จออกจากพระนคร ทรงหยุดยืน


อยูด่ า้ นนอกพระทวารแปรพระกายผันพระพักตร์ทอดทัศนาทรงแสดงซึง่ นาคาวโลก คือ การจะมิได้กลับมาเห็นอีกต่อไป แล้วมีพระพุทธฎีกาว่า “...ตถาคตจะเล็งแลดูนครเวสาลี เป็นปัจฉิมทัศนาคราวนี้ ....” (รูปที่ ๒๑) สมเด็จพระบรมศาสดา ทรงก�ำหนดปลงอายุสังขารในวันมาฆปุรณมีเพ็ญเดือน ๓ ณ ปาวาลเจดีย์ว่า แต่นี้ไปอีก ๓ เดือน ตถาคตจักเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน แล้ว ตรัสเรียกพระอานนท์เถระ แจ้งในสิ่งทั้งปวงแม้พระอานนท์จะทูลวิงวอนก็มิอาจ เปลี่ยนแปลงได้ เสด็จออกจากนครเวสาลีไปยังหมู่บ้านภัณฑคาม ภาพจิตรกรรมตอนต่อไปบนเขียนเป็นรูปหมู่บ้านภัณฑคาม ลักษณะเป็น เรือนไทยฝาปะกน สมเด็จพระบรมศาสดามีพระพุทธฎีกา ตรัสแก่พระอานนท์ว่า ตถาคตจะไปสู่บ้านภัณฑคามแล้วเสด็จไปพร้อมด้วยสงฆ์สาวก เสด็จไปทรงตรัส พระสั ท ธรรมเทศนาโปรดมหาชนยัง ที่ต�ำบลต่างๆ แล้ว เสด็จไปยัง ปาวานคร ประทับในอัมพวันสวนไม้มะม่วงของนาย จุนท์กัมมารบุตร ซึ่งเป็นบุตรช่างทอง สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสแสดงพระสัทธรรมเทศนา เมื่อสิ้นสุดนายจุนทก็บรรลุ โสดาปัตติผล แล้วเสด็จมารับภัตตาหารบิณฑบาต ครั้นรุ่งเช้านายจุนทได้จัดเตรียม โภชนียาหารอันประณีตกับ สุกรมัทวะ๑๗ ทรงตรัสแก่นายจุนทะว่า สุกรมัทวะ ซึ่งตกแต่งไว้จงถวายแต่ตถาคตผู้เดียว ตถาคตมิได้เห็นผู้ใดในมนุษยโลก เทวโลก มารโลก พรหมโลก แลสมณาจารย์ ที่จะบริโภคสุกรมัทวะนี้ อันจะท�ำให้เตโชธาตุ พึงย่อยยับ เว้นแต่ตถาคต ที่เหลืออยู่นั้นขอให้ขุดหลุมฝัง ภิกษุสงฆ์อ่ืนขอให้ฉัน โภชนียาหารอื่น

๑๗

สุกรมัทวะ เป็นอาหารชนิดหนึ่ง สันนิษฐานว่าเป็นทั้งอาหารคาวและหวาน มีส่วนผสมที่ ประกอบด้วย โอทนะ (ข้าวสุก) กุมมาส (ถั่วนึ่ง) และเบญจโครส (นมโค ๕ ชนิด คือ นมสด นมส้ม เนยใส เนยข้น เปรียง) เป็นอาหารที่ย่อยยาก ไม่เหมาะกับผู้สูงอายุ หรืออาจหมายถึง เห็ดชนิด หนึ่ง หรือเนื้อหมูอ่อน รายละเอียดดูที่สุทธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์, อุปกรณ์วรรณคดีพุทธศาสนา คู่มือพระปฐมสมโพธิกถา, พิมพ์ครั้งที่ ๒ กรุงเทพฯ : ส�ำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช จ�ำกัด, ๒๕๑๕, หน้า ๑๒๕.


เมื่อเสวยภัตตาหารแล้วบังเกิดพระอาพาธ โลหิตปักขันทิกโรค๑๘ ลง พระโลหิ ต สมเด็ จ พระบรมศาสดาทรงเปล่ ง พระพุ ท ธอุ ท านแสดงบุ พ พกรรม ของพระองค์ ครั้งตถาคตเป็นนายแพทย์ได้เยียวยารักษาโรคบุตรเศรษฐีท�ำให้ โรคก�ำเริบหนัก ด้วยวิบากกรรมครั้งนั้นได้ติดตามมา แล้วทรงตรัสแก่พระอานนท์ว่า จะเสด็จไปสู่ กุสินารานคร เสด็จจากปาวานครพร้อมกับเหล่าภิกษุสงฆ์ทั้งปวง ทรงมี พ ระพุ ท ธฎี ก าตรั ส แก่ พ ระอานนท์ ว ่ า เบื้ อ งหน้ า ต่ อ ไปหากมี ค นติ เ ตี ย น จุนท์กัมมารบุตรว่า พระชินสีห์ฉันซึ่งบิณฑบาตของนายจุนท์ เป็นปัจฉิมบิณฑบาต ขอจงเปลื้องเสียซึ่งความสงสัยให้ได้สดับว่า “...บิณฑบาต ๒ ประการ คือ บิณฑบาตอันตถาคตได้ฉัน แล้วบรรลุ พระโพธิญาณ กับบิณฑบาตอันตถาคตฉันแล้วปรินิพพาน ทั้งสองนี้ มีผลานิสงส์มากเสมอกัน ล้วนวิเศษกว่าบิณฑบาตทั้งหลายอื่น....” สมเด็จพระบรมศาสดาทรงมีอรรถาธิบายว่า บิณฑบาตในวาระแรกจาก นางสุชาดา ทรงมีกมลสันดานประกอบด้วย ราคะ โทสะและโมหะ ส่วนบิณฑบาต จากนายจุนท์กัมมารบุตรวาระนี้ ตถาคตปราศจากราคะ โทสะและโมหะ ซึ่งมีผล เสมอกันถึงเหตุปรินิพพานสมาบัติ วาระแรกนั้นทรงดับสูญซึ่งกองกิเลส ส่วนวาระนี้ จะทรงดับสูญปราศจากวิบากขันธ์แลกัมมัชรูป (รูปที่ ๒๒) ภาพตอนบนของผนังพระวิหารทิศตะวันออกห้องด้านใน แสดงเหตุการณ์ ทีเ่ สด็จมาถึง สาลวันอุทยาน พระราชอุทยานใกล้นคร กุสนิ ารายราชธานี ณ ทีใ่ กล้ กุฎาคารศาลา มีไม้รังคู่โน้มเข้าหากันมี มัญจาอาสน์ อันเป็นที่ไสยาสน์แห่งพระยา มัลลราช สมเด็จพระบรมศาสดาทรงบรรทมสีหไสยาสน์ พระบาทซ้ายซ้อนพระบาท ขวา เหล่ า สาลบุ ป ผาชาติ ก็ เ บ่ ง บาน หล่ น เรี่ ย รายทั่ ว พระพุ ท ธสรี ร ะกายาบู ช า พระสัพพัญญู ทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า กุสินารายนครนี้ ในอดีตกาลมีชื่อว่า กุสาวดีราชธานี สมเด็จพระบรมจักรพรรดิ์ทรงพระนามว่า มหาสุทัศน์ ทรงมี เดชานุภาพบริบูรณพร้อมด้วยสัตตรัตนะที่ยิ่งใหญ่กว่านครทั้งปวง โปรดให้พระอานนท์ เข้าไปในกุสินารายนครบอกความแก่กษัตริย์มัลลราชว่า คถาคตจะเข้าสู่ปรินิพพาน ที่สาลวโนทยาน ในปัจฉิมราตรีวันนี้ ๑๘

โลหิตปักขันทิกโรค หมายถึง อาการท้องร่วงอย่างแรง มีโลหิตออกมา


สุภทั ทปริพพาชก๑๙ สดับเหตุวา่ สมเด็จพระบรมศาสดาจะเข้าสูป่ รินพิ พาน จ� ำ ต้ องเข้ า ไปทู ล ถามปัญ หาทั้ง มวล ครั้นเมื่อจะเข้าไปเฝ้าพระอานนท์เถระได้ กล่าวห้ามถึงสามครั้ง สมเด็จพระบรมครูสดับฟัง จึงทรงโปรดให้เข้าเฝ้ากราบทูล ถามปัญหาจนสิน้ ความสงสัยมีหฤทัยปิตโิ สมนัสทูลขอบรรพชา สมเด็จพระบรมศาสดา ตรัสสั่งพระอานนท์บวชสุภัททปริพาชก ครั้นล่วงเข้าสู่ปัจฉิมยามสมเด็จพระบรมศาสดาโปรดประทานพุทธโอวาท แก่พระภิกษุทั้งปวง พระอานนท์เถระสดับพระพุทธโอวาท ก็ออกไปสู่วิหารสองกร เหนีย่ วหน่วงกลอนประตู ร�ำพันพิลาปอัสสุชนไหลอาบพักตร์รำ�่ ปริเวทนาการ เมือ่ มิได้ ทรงเห็นพระอานนท์พุทธอุปปัฏฐาก ในระหว่างที่แห่งสงฆ์ทั้งปวงก็ตรัสให้ภิกษุสงฆ์ ไปเรียก ทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า อานนท์อย่าเศร้าโศกมิสมควร แล้วทรงตรัส แก่พระสงฆ์ทั้งปวงว่า “...กาลเมื่ อ ตถาคตปริ นิ พ พานแล้ ว อั น ว่ า พระปริ ยั ติ ธ รรมทั้ ง ๘๔,๐๐๐พระธรรมขั น ธ์ จะเป็ น ครู สั่ ง สอนท่ า นทั้ ง ปวงแทนองค์ ตถาคต....” จบแล้วทรงตรัสจ�ำแนกข้อธรรมทั้งหลายประกอบด้วย พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ครั้นจบลงทรงมีพระพุทธฎีกาเป็นปัจฉิม โอวาทว่า “...ตถาคตจะอ�ำลาท่านทั้งหลายสู่พระปรินิพพานในกาลบัดนี้ ดูกร สงฆ์ ทั้ ง ปวง อั น ว่ า สั ง ขารทั้ ง หลายมี ส ภาวะจะฉิ บ หายประลั ย ใน เบื้องหน้า ท่านจงตกแต่งรักษาตนให้บริบูรณ์ด้วย อัปมาทธรรม๒๐ เป็นนิจเทอญ....” ๑๙

สุภัททปริพพาชก ในอดีชาติสมัยพระปทุมุตรสัมมาสัมพุทธเจ้า บังเกิดเป็นน้องของอัญญา โกณฑัญญะ ผู้ซึ่งได้บรรลุอริยมรรคพระองค์แรก ซึ่งพี่ชายได้ถวายทานในกาลเมื่อข้าวตั้งท้อง จ�ำนวน ๙ ครั้ง ฝ่ายน้องชายถวายทานเมื่อภายหลัง รายละเอียดดูที่ พระปฐมสมโพธิกถา, หน้า ๒๔๕.

๒๐

อัปมาทธรรม หมายถึง ธรรมะที่ว่าด้วยความไม่ประมาท รายละเอียดดูที่ พระพรหม คุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม, พิมพ์ครั้งที่ ๑๓ กรุงเทพฯ: บริษัท เอส.อาร์พริ้นติ้ง แมสโปรดักส์ จ�ำกัด, ๒๕๔๘, หน้า ๕๘.


ในวาระที่สุดก็เสด็จดับขันธ์เข้าสู่พระปรินิพพานในวันวิสาขบุณมี เพ็ญเดือน ๖ อนึง่ ก่อนกาลปรินพิ พาน สมเด็จพระบรมศาสดาได้ทรงตรัสพุทธฎีกาสัง่ พระอานนท์ เถระในการจัดการพระพุทธสรีระ ดังความปรากฏใน มหาปรินพิ พานสูตร ฑีฆนิกาย มหาวรรค๒๑ ความว่าสังเวชนียสถาน ๔ คือ สถานที่ประสูติ สถานที่ตรัสรู้ สถานที่ แสดงปฐมเทศนาและสถานที่ปรินิพพาน จะเป็นที่ควรเห็นของเหล่าพุทธบริษัท ผู้มีศรัทธา อันจักได้เดินทางจาริกไปน้อมน�ำให้มีจิตเลื่อมใส เมื่อสิ้นกาลกิริยากาย แตกดับลงแล้วจักได้เข้าถึงสุขคติโลกสวรรค์ ส�ำหรับการปฏิบัติต่อพระพุทธสรีระ สมเด็จพระบรมศาสดาทรงโปรด ให้กระท�ำ เหมือนที่ปฏิบัติต่อสรีระพระเจ้าจักรพรรดิ ซึ่งจะมีการห่อด้วยผ้าใหม่แล้ว ซับด้วยส�ำลี ๕๐๐ คู่ เชิญพระสรีระลงในรางเหล็กอันเต็มไปด้วยน�้ำมัน๒๒ ครอบด้วย รางเหล็ก กระท�ำจิตกาธานด้วยไม้หอม ถวายพระเพลิงพระสรีระ แล้วก่อสถูป ไว้ที่หนทางใหญ่ ๔ แพร่ง ซึ่งจักเป็นประโยชน์เกื้อกูลเพื่อความสุขแก่ชนเหล่านั้น สิ้นกาลนาน อนึ่ง ตถาคตถือเป็น ถูปารหบุคคล หนึ่งในสี่จ�ำพวก อันเป็นบุคคลที่ ชนรุ่นหลังพึงสร้างสถูปไว้ เคารพบูชา เพื่อยังจิตใจให้บุคคลที่ได้พบประกอบกรรมดี และเลื่อมใส อันจะท�ำให้บุคคลนั้นเมื่อสิ้นชีวิตกายแตกดับลงแล้ว ย่อมเข้าถึงสุคคติ โลกสวรรค์ ประกอบด้วย - พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า - พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า - พระตถาคตสาวก - พระเจ้าจักรพรรดิ์ ปริจเฉทที่ ๒๗ ธาตุวิภัชนปริวรรต (รูปที่ ๒๒-๒๓) ภาพจิตรกรรมเขียน เรื่องถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระและแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ กาลเมื่อสมเด็จ พระบรมศาสดาปรินิพาน ก็บังเกิดมหัศจรรย์ต่างๆ ครั้งนั้นเหล่าภิกษุสงฆ์แลเหล่า เทพยดาทีย่ งั คงด�ำรงเป็นปุถชุ น ยังไม่พน้ จากราคะกิเลสก็รำ�่ ปริเวทนาการโศกพิลาป ๒๑

มหาปรินิพพานสูตร ฑีฆนิกาย มหาวรรค, [๑๓๓-๑๓๔] พระปฐมสมโพธิ ก า ฉบั บ สมเด็ จ พระมหาสมณเจ้ า กรมพระปรมานุ ชิ ต ชิ โ นรส กล่ า วว่ า น�ำพระสรีระแช่ลงในน�้ำมันหอม

๒๒


อาลัย พระอานนท์พระพุทธอุปัฏฐากมีความโศกเสียใจเป็นอย่างยิ่งชลนัยน์ไหลนอง ไม่ขาดสาย พระอนุรุทธเถระ กล่าวระงับความเศร้าโศกให้บรรเทาลง ฝ่ายองค์ขัตติยกษัตริย์มัลลราชก็ได้จัดเตรียมพิธีการเกี่ยวกับพระบรมศพ โดยให้น�ำผ้าสาฎก ๕๐๐ คู่ เข้าไปสู่ที่พระพุทธอสุภสรีรกาย สักการบูชาด้วย สุคนธบุปผานานาประการ ผูกเพดานและม่านกั้นบริเวณมหาปรินิพพานพระแท่น มัญจาอาสน์คลุมด้วยพิพัทธภูษา ตกแต่งพระศพอย่างพระศพสมเด็จพระบรม จักรพรรดิราชบูชาด้วยขัตติยราชูปโภค ประโคมด้วยเบญจางคดุริยภัณฑ์ ระดม ศัพท์เสียงนฤนาท ในพระราชอุทยาน สาลวันสักการบูชาสิ้น ๖ วัน ครั้นถึงวัน ค�ำรบ ๗ จึงเชิญพระบรมศพไปยัง มกุฎพันธนเจดีย์ ที่ถวายพระเพลิง ล�ำดับนั้น พระอานนท์เถระได้กล่าวถึงขั้นตอนต่างๆ อย่างละเอียด ตามที่ทรงมีพระพุทธฎีกา ท�ำจิตกาธานคือ เชิงตะกอนด้วยไม้แก่นจันทน์สูง ๑๒๐ ศอก แล้วเชิญพระหีบทอง ที่ใส่พระบรมศพ ประดิษฐานที่เบื้องบน ครั้นจะท�ำการถวายพระเพลิงก็จุดอัคคี ไม่ติด พระอนุรุทธจึงกล่าวว่า พระพุทธสรีระและเทพยดาทั้งหลายคงจะคอย พระมหากัสสปะเถร อันเป็นพระสาวกผู้ใหญ่ซึ่งจะมาถึงในกาลวันนี้ ครัน้ เมือ่ พระมหากัสสปะเถรเดินทางมาถึงก็พาบริวารไปยังมกุฏพันธนเจดีย์ เข้าไปถึงที่ใกล้เชิงตะกอน เฉวียงจีวรเหนืออังสะซ้าย ถวายอัญชลีกระท�ำประทักษิณ สิ้น ๓ รอบ แลเตโชธาตุจึงบันดาลติดเชิงตะกอนขึ้นเองด้วยอานุภาพแห่งเทพยดา ก็กระท�ำฌาปนาการพระพุทธอสุภสรีระกาย ซึ่งในภาพจิตรกรรมเขียนเป็นรูป พระเมรุมาศประดิษฐานพระบรมพระโกศ ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ๒๓ ประมวล ๒๓

ส�ำหรับการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระมีเหตุอัศจรรย์ คู่ผ้าสาฎก ๕๐๐ ชั้นกับหีบทองแล พระจิตกาธานไหม้หมดสิน้ ครบถ้วน ๗ วัน ก็บงั เกิดท่ออุทกธาราตกลงมาแต่อากาศดับพระเพลิง ให้อันตรธาน โดยมีสิ่งที่เพลิงมิได้ไหม้ คือ ๑. ผ้าสาฎกห่อหุ้มพระสรีรกายชั้นใน ๒. ผ้าสาฎกที่ห่อหุ้มในชั้นนอกสุด ๓. พระเขี้ยวแก้ว ๔ องค์ ๔. พระรากขวัญ ๒ องค์ ๕. พระอุณหิส คือ อัฐิเบื้องบนพระเศียร ๑ องค์ รวมพระบรมสารีริกธาตุ ๗ องค์ที่คงอยู่ ดังปรกติ


ล�ำดับความตั้งแต่วันปรินิพพาน เทพยดาแลมนุษย์กระท�ำสักการะบูชาพระบรมศพ ๗ วัน จึงถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ พระเพลิงไหม้เชิงตะกอนอยู่ ๗ วันจึงดับ เก็บพระบรมสารีริกธาตุ กระท�ำการสักการะบูชาสมโภช ๗ วัน สิริรวม ๒๑ วัน พระเจ้าอชาตศัตรูทรงสดับข่าวสมเด็จพระบรมศาสดาปรินิพพาน ก็ทรง พระวิสัญญีภาพแน่นิ่งไป ครั้นเมื่อทรงคลายความโศกทรงด�ำริว่าพระองค์สมควร ที่จะได้อัญเชิญพระสรีระธาตุมาประดิษฐาน โปรดให้ราชทูตส่งพระราชสาส์นไปถึง กษัตริย์มัลลราชว่า พระองค์เป็นขัตติยราชราชาสมควรที่จะได้พระบรมสารีริกธาตุ มาก่อพระสถูปบรรจุบูชาไว้ หากมิได้ก็จะตระเตรียมยกทัพตามไป ข้างฝ่ายกษัตริย์ ลิจฉวี แคว้นเวสาลี กษัตริย์ศักยราช กรุงกบิลพัสดุ์ แล กษัตริย์ถุลิยราช เมือง อัลกัปปนคร กษัตริย์โกลิยราช เมืองรามคาม กับทั้ง พราหมณ์ เมืองเวฏฐทีปปกนคร กษัตริย์มัลลราช เมืองปาวา เมื่อทราบข่าวสมเด็จพระบรมศาสดาปรินิพพานก็ ต่างจัดแต่งราชทูตมาถึงกษัตริย์มัลลราช ขอแบ่งส่วนพระบรมสารีริกธาตุ แล้วจะ ท�ำการยกพหลพลโยธาหาร รวมทัง้ กองทัพพระเจ้าอชาตศัตรูนครราชคฤห์ ๗ กองทัพ เข้ามาประชิดติดประตูเมือง กาลนั้น โทณพราหมณาจารย์ ผู้เป็นอาจารย์ของเหล่าขัตติยกษัตริย์ แลอาศั ย อยู ่ ใ นนครกุสินาราย ครั้นสดับ เหตุวิวาทจนเกือบจะเป็นสงครามของ เหล่ากษัตริย์ ก็คิดว่าตนสมควรที่จะออกไปห้ามระงับด้วยโอวาทกถา มิให้เกิด ยุทธนาการ ด้วยจะแบ่งปันพระบรมสารีริกธาตุออกเป็น ๘ ส่วนอย่างเสมอกัน เพื่อจะได้อัญเชิญไปก่อพระสถูปบรรจุไว้ทุกพระนคร เป็นที่สักการบูชาแห่งมหาชน แล้วให้เปิดประตูพระนครเชิญเหล่าขัตติยกษัตริย์เข้าไปในนคร แล้วจึงเปิดออก ซึ่ ง สุ ว รรณโทณี คื อ พระหี บ ทองน้ อ ย อั น บรรจุ พ ระบรมสารี ริ ก ธาตุ ทั้ ง มวล เหล่ากษัตริย์ทั้งหลายก็เข้าไปอภิวาท ถวายนมัสการพระบรมสรีระธาตุที่มีวรรณ สั ณ ฐานดั ง ทองพากั น เศร้ า โศกศั ล ย์ ข ณะนั้ น โทณพราหมณาจารย์ ก็ ฉ วยเอา พระสรีรธาตุที่กระจัดกระจาย มีสัณฐาน 3 ขนาด และพรรณวรรณสีที่แตกต่างกัน คือ - พระธาตุขนาดใหญ่ ขนาดประมาณเท่าเมล็ดถั่วแตก มีพรรณสีเหลืองคล้ายสีทอง - พระธาตุขนาดกลาง ขนาดประมาณเท่าเมล็ดข้าวสารหัก มีพรรณสีดังแก้วผลึก - พระธาตุขนาดเล็ก ขนาดประมาณเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาด มีพรรณดังสีดอกพิกุล


พระทักษิณฑาฒธาตุ (พระเขี้ยวแก้วเบื้องบน) ซ่อนไว้ ณ ภายในผ้าโพกศีรษะ แล้วจึงใช้ ตุมพะ คือ ทะนาน ตวงพระบรมสารีริกธาตุได้ ๑๖ ทะนาน๒๔ แบ่งโดย ล�ำดับทั้ง ๘ นคร องค์ละ ๒ ทะนานเสมอกัน สมเด็จพระอมรินทราธิราชได้ทอด ทัศนาด้วยทิพยจักษุฌานว่า โทณพราหมณาจารย์ผู้แจกพระบรมธาตุได้ลอบลัก น�ำเอาพระทักษิณฑาฒธาตุซ่อนไว้ที่ระหว่างผ้าโพก ทรงพิจารณาว่าพราหมณ์ผู้นี้ มิควรคู่แก่การครอบครอง สมเด็จพระอมรินทร์จึงเสด็จลงมาถือเอาพระทักษิณ ทัณฑาฒธาตุจากผ้าโพกแห่งโทณพราหมณ์ ประดิษฐานลงในสุวรรณโกศแก้ว อัญเชิญไปสู่ดาวดึงส์เทวพิภพ บรรจุไว้ใน พระจุฬามณีเจดีย์ (รูปที่ ๒๓) ฝ่ายโทณพราหมณ์เมื่อแจกแบ่งพระบรมสารีริกธาตุเสร็จแล้ว ยกหัตถ์ ขึ้นค้นหาพระฑาฒธาตุก็มิพานพบ ครั้นจะไต่ถามว่าใครเป็นโจรมาลอบลักไปก็ คิดละอายใจมิอาจพูดได้ จึงด�ำริว่า อันตุมพะทะนานทองที่ตวงพระบรมสารีริกธาตุ จะน�ำไปก่อพระเจดียบ์ รรจุเป็นทีส่ กั การบูชา เหล่ากษัตริยท์ งั้ หลายก็ยนิ ยอม ขณะนัน้ กษัตริย์โมริยะนครอันสถิตอยู่ ณ ใกล้ป่าปิปผลิวัน ทราบข่าวสมเด็จพระบรมศาสดา ปรินิพพาน จึงส่งราชทูตให้มาทูลกษัตริย์มัลลราช ณ นครกุสินาราย ขอส่วนแบ่ง พระบรมสารีริกธาตุ แล้วจะเสด็จยกพยุหยาตราติดตามมาภายหลัง ครั้นทราบ ความจากกษัตริย์กุสินารายว่า พระบรมสารีริกธาตุนั้นได้แจกปันกันแล้ว ๘ ส่วน จึ ง อั ญ เชิ ญ เถ้ า พระอั ง คารธาตุ กลั บ มาประดิ ษ ฐานสั ก การะเป็ น กองทั พ กลุ ่ ม สุดท้าย เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจากมกุฏพันธนเจดีย์ กลับสู่กรุงราชคฤห์เป็นเวลา ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน โปรดให้ก่อพระสถูปบรรจุ พระบรมสารี ริ ก ธาตุ ท� ำการฉลองพระสถู ป ฝ่ า ยกษั ต ริ ย ์ ขั ต ติ ย ราชทุ ก ๆ เมื อ ง ก็อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุส่วนตนกลับมายังนคร แล้วก่อสถูปบรรจุพระบรม สารรีริกธาตุไว้ ณ เมืองนั้นท�ำการฉลองพระสถูป ซึ่งนับเป็น พระปฐมธาตุสถูป ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ๘ แห่ง ส�ำหรับภาพจิตรกรรมอันเป็นฉากสุดท้าย

๒๔

ประกอบด้วย พระบรมสารีรกิ ธาตุขนาดใหญ่ ตวงได้ ๕ ทะนาน ขนาดกลาง ตวงได้ ๕ ทะนาน อย่างน้อยตวงได้ ๖ ทะนาน สิริรวมพระบรมสารีริกธาตุที่แตกท�ำลายนี้เป็น ๑๖ ทะนาน


ของพระวิหารวัดบุปผารามเขียนบรรยายเหตุการณ์ ธาตุวิภัชนปริวรรต ปริจเฉท ที่ ๒๗ โทณพราหมณ์แบ่งพระบรมสารีริกธาตุ ปรากฏบนผนังแปด้านทิศตะวันออก ห้องด้านใน ที่จะกั้นด้วยแนวทิวทัศน์และต้นไม้ เวียนมาบรรจบกับผนังแปห้อง ด้านนอกที่เขียนภาพพุทธประวัติตอนประสูติ ภาพจิตรกรรมผนังระหว่างช่องหน้าต่าง เขียนภาพทศชาติชาดก เริ่มจาก ผนังแปทิศตะวันออกเบื้องขวาของพระพุทธปฏิมาประธานจากห้องด้านนอกไปสู่ ด้านห้องด้านใน ๔ ตอน คือ เตมียชาดก มหาชนกชาดก สุวรรรสามชาดก และ เนมียราชชาดก ล�ำดับถัดไปคือผนังแปฝั่งทิศตะวันตกห้องด้านในต่อไปถึงห้อง ด้านนอก ๔ ตอนคือ มโหสถชาดก ภูริทัตชาดก จันทกุมารชาดก นารทชาดก ส่ ว นวิ ธู ร บั ณ ฑิ ต ชาดก จะเขี ย นเป็ น ภาพขนาดเล็ ก ข้ า งผนั ง บานแผละ เพื่ อ ให้ ความส�ำคัญกับพื้นที่ชาดกเรื่องสุดท้ายคือ เวสสันดรชาดก ซึ่งเป็นชาดกเรื่องยาว เขียนเต็มครบ ๑๓ กัณฑ์ ๒ ผนัง คือผนังหุ้มกลองทิศเหนือตรงข้ามพระพุทธปฏิมา ประธานระหว่างช่องประตู เขียนตอนต้นเรื่อง (รูปที่ ๒๔) ผนังแปด้านทิศตะวันตก ห้องด้านนอกเขียนช่วงปลาย เวสสันดรชาดกนับเป็น มหาชาติ แปลว่า ชาติใหญ่ กล่าวถึงพระโพธิสัตว์ เสวยพระชาติ เ ป็ น พระเวสสั น ดรทรงบ� ำ เพ็ ญ ทานบารมี อ ย่ า งสู ง สุ ด ครบถ้ ว น ๑๐ ประการ เป็นเรื่องที่มีความยาวที่สุดจ�ำนวน ๑,๐๐๐ พระคาถา แบ่งเป็นตอน หรือกัณฑ์จ�ำนวน ๑๓ กัณฑ์ ทั้งนี้ภาพทศชาติชาดกทั้ง ๑๐ เรื่อง ที่เขียนภายใน พระวิหาร ภาพส่วนใหญ่ชำ� รุดและมีการเขียนซ่อมหลายวาระ และเป็นทีน่ า่ สังเกตว่า ทิศทางการล�ำดับภาพทศชาติชาดก จะสลับกับทิศทางการด�ำเนินเรื่องเหตุการณ์ ภาพพุทธประวัติที่อยู่ตอนบนพระวิหาร

พระพุทธปฏิมา จุลศักราช ๑๒๔๑ บนแท่นฐานชุกชีภายในพระวิหารวัดบุปผาราม มีการตกแต่งอย่างประณีต กรุด้วยหินอ่อนสีเทาที่เจาะเป็นช่องซุ้มวงโค้งประดับหินอ่อนสลับสีเทคนิคแบบ ตะวันตก ส�ำหรับประดิษฐานพระพุทธปฏิมา หลวงพ่อบุปผา จ�ำลองแบบมาจาก พระพุทธชินราชและพระอัครสาวก บนแท่นฐานดังกล่าวหากพิจารณารายละเอียด


จะพบว่ามีการต่อเสริมด้วยฐานไม้ทแี่ นบสนิทเสมือนฐานเดียวกัน ทัง้ ฝัง่ ซ้ายและขวา ตกแต่งระบายสีเป็นลายหินอ่อน ลักษณะดังกล่าวมีความคล้ายคลึงกับงานประดับ ผนังพระอุโบสถวัดศรีสุริยวงศารามวรวิหาร จังหวัดราชบุรี ซึ่งสร้างขึ้นโดยสมเด็จ เจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ จากการต่อขยายแท่นฐานชุกชี ท�ำให้ไม่สามารถ เดินรอบพระพุทธปฏิมาและฐานชุกชีได้ ทั้งนี้การต่อเสริมส่วนฐานดังกล่าวนี้คงมี มูลเหตุ ตลอดจนความส�ำคัญเกี่ยวข้องกับการอัญเชิญพระพุทธปฏิมา ๒ องค์ ประดิษฐานที่เบื้องซ้ายและเบื้องขวาดังที่จะกล่าวต่อไป พระพุ ท ธปฏิ ม าปางห้ า มสมุ ท ร จ.ศ.๑๒๔๑ ประดิษฐานที่เบื้องซ้าย ของหลวงพ่อบุปผา เป็นพระพุทธปฏิมาที่มีพุทธลักษณะงดงาม พระพักตร์สงบนิ่ง มีเกตุมาลาหรือพระรัศมีเป็นเปลวไฟต่อกับพระเศียรโดยปราศจากอุษณีษะ ที่เชื่อม รัศมีกับพระเศียร พระกรรณมีติ่งสั้นแบบมนุษย์ พระพุทธปฏิมาประทับยืนในท่า สมภังค์คือ ยืนตรง ครองจีวรห่มคลุมพระอังสาทั้ง ๒ ข้างโดยตลบชายจีวรคล้อง ที่พระศอวนอ้อมพระพาหา ท�ำให้ส่วนปลายแหวกแยกเป็น ๒ ข้างแบบเดียวกับ การครองจีวรห่มแหวกมีริ้วแบบธรรมชาติ ซึ่งเป็นลักษณะการครองจีวรแบบหนึ่ง ของคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย ช่วงปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากการครองจีวรพระภิกษุมอญโบราณ (รูปที่ ๒๙) ส� ำ หรั บ การสร้ า งพระพุ ท ธปฏิ ม าที่ ป ราศจากอุ ษ ณี ษ ะ ครองจี ว รที่ มี ริ้ ว แบบธรรมชาติ นับเป็นการสร้างพระพุทธปฏิมาทีใ่ ห้ความส�ำคัญกับความเหมือนจริง (Realistic) ตามแนวคิดสัจนิยมที่ปรากฏในงานศิลปกรรมตั้งแต่ปลายรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึง รั ช สมั ย พระบาทสมเด็ จ พระจุ ล จอมเกล้ า เจ้ า อยู ่ หั ว อาทิ พระสั ม พุ ท ธพรรณี พระนิ รั น ตรายองค์ น อก พระสั ม พุ ท ธพรรณี จ� ำ ลอง พระพุ ท ธอั ง คี ร ส เป็ น ต้ น อย่างไรก็ดีพระพุทธปฏิมารูปแบบดังกล่าวส่วนใหญ่จะสร้างเป็นพระพุทธปฏิมา ประทับนั่งปางสมาธิ ส�ำหรับกรณีที่สร้างพระพุทธปฏิมาประทับยืน ปางห้ามสมุทรและครอง จีวรห่มแหวกในลักษณะเดียวกับพระพุทธปฏิมาวัดบุปผารามองค์นี้ นับเป็นรูปแบบ ที่พบน้อยมากจากการศึกษาปรากฏเพียง ๒ องค์ คือ


๑. พระสมุทรนินนาท วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นพระพุทธปฏิมาขนาดเล็ก ปางห้ามสมุทรประทับยืนบนฐานบัว เหนือพระเศียรไม่มอี ษุ ณีษะ ครองจีวรห่มแหวก เป็นริ้วแบบธรรมชาติ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้าง เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๐๙ ครั้งบรรพชาเป็นสามเณร สมเด็จฯ กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ พระอุปัชฌายาจารย์ ถวายพระนามว่า พระสมุทรนินนาท๒๕ โดยปรากฏค�ำจารึก ที่ฐานว่า “... พระพุทธสาสนากาลเปนอดีตภาค ๒๔๐๙ พรรษา สมเด็จ พระเจ้ า ลู ก เธอ เจ้ า ฟ้ า จุ ฬ าลงกรณ์ ทรงพระราชศรั ท ธาสถาปนา พระพุ ท ธปฏิ ม ากรองค์ นี้ ไว้ ใ นพระพุ ท ธศาสนา....” ๒๖ ครั้ น เสด็ จ เถลิ ง ถวั ล ยราชสมบั ติ แ ล้ ว โปรดฯ ให้ ก าไหล่ ท องและจารึ ก ที่ ฐ าน พระพุทธปฏิมา ๒. พระพุทธปัญญาอัคคะ (รูปที่ ๒๘) ประดิษฐานภายในพระวิหารเก๋ง วัดบวรนิเวศวิหาร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้าง อุทิศถวาย สมเด็จฯ กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ พระอุปัชฌายาจารย์ ฝีมือช่างพระองค์เจ้า ประดิษฐวรการ๒๗ ที่ส่วนฐานบรรจุพระอังคารสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ๒๘ ๒๕

ด�ำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา, ต�ำนานพระพุทธรูปส�ำคัญ, พิมพ์แจกในการพระกฐินพระราชทาน พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ ณ วัดชุมพลนิกายาราม วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พระพุทธศักราช ๒๔๖๘, พระนคร: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, หน้า ๕๔.

๒๖

วั ด บวรนิ เวศวิ ห าร, กรุ ง เทพฯ: มู ล นิ ธิ ม หามงกุ ฎ ราชวิ ท ยาลั ย ในพระบรมราชิ นู ป ถั ม ภ์ , ๒๕๔๖, หน้า ๑๘๗-๑๘๘. ๒๗

นายแพทย์ถนอม บรรณประเสริฐ, พระประวัติ พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าประดิษฐวรการ แม่กองสร้างวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม พุทธศักราช ๒๔๑๒-๒๔๒๘, กรุงเทพฯ: บริษัท อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จ�ำกัด (มหาชน), ๒๕๖๓, หน้า ๑๑๙. ๒๘

ด�ำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา, ต�ำนานพระพุทธรูปส�ำคัญ, หน้า ๕๓. และ พิชิต อังคศุภรกุล, “งานพุทธศิลป์ในพระราชด�ำริพระบาทสมเด็จพระจุลจอม เกล้ า เจ้ า อยู ่ หั ว ” วิทยานิพนธ์ป ริญญาปรัช ญาดุษ ฎีบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศ าสตร์ศิล ปะ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๖๓, หน้า ๒๖๒.


ส�ำหรับข้อแตกต่างระหว่างพระสมุทรนินนาท พ.ศ. ๒๔๐๙ และพระพุทธ ปั ญ ญาอั ค คะคื อ พระพุท ธปัญ ญาอัคคะ พ.ศ. ๒๔๒๘ จะมีอุษณีษะนูนต่อกับ พระเศียร ในขณะที่พระสมุทรนินนาท ซึ่งมีอายุการสร้างเก่ากว่าจะไม่มีอุษณีษะ นอกจากนี้ ยังมีตัวอย่างพระพุทธปฏิมาที่ครองจีวรลักษณะเดียวกัน ได้แก่ พระพุทธ ปฏิ ม าปางอุ ้ ม บาตร ประดิ ษ ฐานภายในอนุ ส าวรี ย ์ รั ง สี วั ฒ นา พระบาทสมเด็ จ พระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแด่สมเด็จพระศรีสวริน ทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เป็นพระพุทธปฏิมาปางอุ้มบาตรซึ่งตรง กั บ วั น พุ ธ อั น เป็ น วั น ประสู ติ ส ร้ า งเมื่ อ ปี พ.ศ. ๒๔๒๔ ๒๙ เป็ น พระพุ ท ธปฏิ ม าที่ ครองจีวรคลุมพระอังสา ตลบส่วนปลายจีวรห่มแหวกแยกเป็น ๒ ข้าง แบบเดียวกับ พระพุ ท ธสมุ ท รนิ น นาทและพระพุ ท ธปั ญ ญาอั ค คะ ที่ พ ระเศี ย รปั ้ น เป็ น สั น มี อุษณีษะนูนขึ้นเล็กน้อย

การก�ำหนดอายุ พระพุทธปฏิมาปางห้ามสมุทรวัดบุปผาราม จากการส�ำรวจพบค�ำจารึกที่ ฐานพระพุทธปฏิมา (รูปที่ ๒๗) หากแต่ตัวอักษรค่อนข้างลบเลือนบางส่วนเป็น ลายเส้นนูนบรรจุภายในกรอบทีส่ ว่ นฐาน กล่าวถึงประวัตกิ ารสร้างซึง่ นับเป็นหลักฐาน ส�ำคัญที่ช่วยในการก�ำหนดอายุและการศึกษารูปแบบศิลปกรรม “... จุลศักราช ๑๒๔๑ ปีเถาะ เอกศก........ นายวร ............กลิ่น มารดา สร้างพระพุทธปฏิมากร…. ….” จุลศักราช ๑๒๔๑ ปีเถาะ เอกศก ตรงกับปีพุทธศักราช ๒๔๒๒ นายวร และนางกลิน่ มารดา บุคคลทีส่ ร้างพระพุทธปฏิมาองค์นสี้ นั นิษฐานว่าคือ เจ้าพระยา สุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) ท่านเป็นบุตรชายคนโตของสมเด็จเจ้าพระยา ๒๙

พิ ชิ ต อั ง คศุ ภ รกุ ล , “งานพุ ท ธศิ ล ป์ ใ นพระราชด� ำ ริ พ ระบาทสมเด็ จ พระจุ ล จอมเกล้ า เจ้าอยู่หัว”, หน้า ๒๔๗, อ้างถึง สุริยวุฒิ สุขสวัสดิ์, หม่อมราชวงศ์, พระพุทธปฏิมาในพระบรม มหาราชวัง, กรุงเทพฯ: ส�ำนักราชเลขาธิการ, ๒๕๓๕, หน้า ๓๙๐.


บรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) กับ ท่านผู้หญิงกลิ่น มารดา ท่านด�ำรงต�ำแหน่ง ส�ำคัญทั้งด้านการต่างประเทศและด้านกลาโหม รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอม เกล้าเจ้าอยู่หัวเป็น จมื่นไวยวรนาถ อุปทูตติดตามพระยาศรีพิพัฒน์ (แพ บุนนาค) ออกไปเจริญพระราชไมตรีกับฝรั่งเศส ต่อมาโปรดเกล้าฯ เป็น พระยาสุรวงศ์ ไวยวัฒน์ ต�ำแหน่งราชทูตไปฝรั่งเศสอีกครั้งเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๐๙ รัชสมัยพระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั โปรดเกล้าฯ เลือ่ นเป็น เจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ ด�ำรงต�ำแหน่งสมุหพระกลาโหม พ.ศ. ๒๔๑๒ ถึง พ.ศ. ๒๔๓๑ ราษฎรจึงเรียกท่าน ว่า “เจ้าคุณทหาร” หรือ “เจ้าคุณกลาโหม” เจ้าพระยาสุรวงศ์ไววัฒน์มีผลงานใน ราชการมากมาย อาทิ ต่อ เรือพระทีน่ งั่ สยามอรสุมพล เป็นแม่กองและผูอ้ ำ� นวยการ ขุดคลองส�ำคัญต่างๆ๓๐ ส�ำหรับรูปแบบพระพุทธปฏิมาปางห้ามสมุทร จ.ศ. ๑๒๔๑ ที่เจ้าพระยา สุรวงศ์ไวยวัฒน์และท่านผูห้ ญิงกลิน่ มารดา สร้างถวายเป็นพุทธบูชา ณ วัดบุปผาราม นั้น นับเป็นพระพุทธปฏิมาที่มีพุทธลักษณะเก่าแบบเดียวกับ พระสมุทรนินนาท คือยังไม่ปรากฏการท�ำอุษณีษะ อันเป็นรูปแบบทีส่ บื มาจากพระพุทธปฏิมาทีพ่ ระบาท สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั ทรงมีพระราชด�ำริและจัดสร้างขึน้ มีพระสัมพุทธพรรณี เป็นองค์แรก อย่างไรก็ตามส�ำหรับการเลือกแบบพระพุทธปฏิมาปางห้ามสมุทรทีค่ รอง จีวรห่มคลุมพระอังสา พาดเฉวียงแหวกแบบการครองจีวรพระสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติก ๓๐

เรือพระที่นั่งสยามอมรสุมพล เป็นเรือกลไฟล�ำแรก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ สมุหพระกลาโหมสั่งเครื่องจักรกลไฟ, จากอังกฤษเข้ามา โดยต่อเป็นเรือพระที่นั่งย่อมๆ ดูก่อน จมื่นไวยวรนาถ ได้ช่วยบิดาสร้าง แล้วเสร็จเมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๓๙๘ (ขณะที่ท่านมีอายุ ๒๗ ปี) พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔, เรื่องต่อเรือพระที่นั่งและเรือกลไฟ หน้า ๒๐๖. www.vajirayanna.org เข้าถึง เมื่อ ๗ พย. ๒๕๖๔. นอกจากความสามารถด้านการต่างประเทศและการทหาร ปี พ.ศ. ๒๔๑๒ ท่านยังมีส่วนในการพัฒนาพื้นที่ ขุดคลองหลายสาย อาทิ เป็นแม่กอง ขุดคลองเปรมประชากร พ.ศ. ๒๔๑๒ เป็ น ผู ้ อ� ำ นวยการขุ ด คลองประเวศบุ รี ร มย์ โดยขุ ด ต่ อ คลองพระโขนงเชื่ อ ม แม่น�้ำบางปะกง แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๔๒๑ คลองทวีวัฒนา คลองนราภิรมย์ คลองเปรง เมืองฉะเชิงเทรา เป็นต้น และท่านยังเป็นบิดาของเจ้าจอมมารดา ๒ ท่าน คือ ท่านเจ้าคุณ พระประยูรวงศ์ (เจ้าจอมมารดาแพ) พระสนมเอก และ เจ้าจอมมารดาโหมด ในพระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว


นิกาย ก็เป็นแนวพระราชด�ำริของพระวชิรญาณภิกขุ ในระยะเวลาที่ทรงครอง วัดบวรนิเวศ ด้วยทรงมีความเลื่อมใสในวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์รามัญ ครั้นต่อมา ก็ได้ยกเลิกรูปแบบการครองจีวรนี้ไป๓๑ ส�ำหรับพระพุทธปฏิมาที่เจ้าพระยาสุรวงศ์ ไวยวัฒน์ สร้างขึ้นเมื่อปีจุลศักราช ๑๒๔๑ (พ.ศ. ๒๔๒๒) องค์นี้อาจสร้างโดยฝีมือ ช่างพระองค์เจ้าประดิษฐวรการ อธิบดี กรมช่างสิบหมู่นายช่างศิลปกรรมฝีมือเอก เสมือนเป็นเครื่องบันทึกประวัติศาสตร์ เฉกเช่นแนวพระราชด�ำริในการสร้างพระพุทธ ปฏิมาที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น รวมถึง แสดงพัฒนาการการสร้างพระพุทธปฏิมากลุ่มนี้ เริ่มต้นจากพระพุทธสมุทรนินนาท พ.ศ. ๒๔๐๙ พระพุทธปฏิมา จ.ศ. ๑๒๔๑ (พ.ศ. ๒๔๒๒) และพระพุทธปัญญาอัคคะ พ.ศ. ๒๔๒๘ นับเป็นพระพุทธปฏิมาที่มีรูปแบบพิเศษ มีความงดงามและหาชมได้ ยากยิ่งถวายเป็นพุทธบูชา พระพุทธปฏิมาปางห้ามพระแก่นจันทน์ ครองจีวรผ้ายกลายดอก ประดิษฐาน ที่เบื้องขวาของหลวงพ่อบุปผา (รูปที่ ๓๐) ซึ่งคงอัญเชิญมาประดิษฐาน ในวาระ เดียวกับพระพุทธปฏิมาปางห้ามสมุทร จ.ศ. ๑๒๔๑ ที่เจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ และท่านผู้หญิงกลิ่น มารดาสร้างพระพุทธปฏิมาหล่อส�ำริดประทับยืนแบบสมภังค์ (ยืนตรง) พระหัตถ์ซ้ายยกขึ้นเสมอพระอุระ แสดงมุทราปางห้ามพระแก่นจันทน์ พระพุทธรูปปางห้ามพระแก่นจันทน์ ตามต�ำนานกล่าวว่าเป็นพระพุทธ ปฏิ ม าองค์ แรกที่ ส ร้ า งในวาระที่ ส มเด็ จ พระบรมศาสดาเสด็ จ ขึ้ น ไปจ� ำ พรรษา แสดงพระสัทธรรมโปรดพระพุทธมารดาบนดาวดึงส์เทวพิภพ เป็นเหตุให้พระเจ้า ปเสนทิโกศลทรงระลึกถึงสมเด็จพระบรมศาสดา รับสั่งให้หาไม้แก่นจันทน์หอม อย่างดี โปรดให้นายช่างฝีมือดีชั้นเลิศแกะไม้แก่นจันทน์เป็นรูปพระพุทธองค์ อั ญ เชิ ญ มาประดิ ษ ฐานที่ พ ระราชนิ เวศน์ ภายหลั ง เมื่ อ สมเด็ จ พระบรมศาสดา เสด็จจากดาวดึงส์เทวพิภพก็ทูลอาราธนามายังนครสาวัตถี ให้ได้ทอดพระเนตร ๓๑

พระราชปรารภและกระแสพระราชด�ำริถึงผู้สืบราชสมบัติ เรื่องสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้ามงกุฎทรงถืออย่างมอญ ครั้นต่อมาได้ทรงยกเลิกการครองผ้าอย่างมอญ ก่อนที่พระบาท สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต รายละเอียดดูที่ เจ้าพระยาทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี (ข�ำ บุนนาค) เรียบเรียง, พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓, กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๔๗, หน้า ๑๕๒.


พระพุทธปฏิมาไม้แก่นจันทน์ เมื่อเสด็จถึงพระพุทธปฏิมาก็ลุกขึ้นถวายความเคารพ สมเด็จพระบรมครูได้ยกพระหัตถ์ซา้ ยขึน้ ห้ามพร้อมตรัสว่า “เอวํ นิสที ถ” ขอพระองค์ จงประทับนั่งอยู่อย่างนั้น พระพุทธจริยาที่ทรงแสดงยกพระหัตถ์ซ้ายห้ามพระพุทธ ปฏิ ม า จึ ง เป็ น มู ล เหตุ ก ารณ์ ส ร้ า งพระพุ ท ธปฏิ ม า ปางห้ า มพระแก่ น จั น ทน์ ในกาลต่อมา๓๒ พระพุ ท ธปฏิมาองค์นี้มีพระพัก ตร์คล้ายหุ่น ถัดขึ้นไปเป็นอุษณีษะรูป ครึง่ วงกลมเหนือพระเศียร ต่อด้วยพระรัศมีเปลว ครองจีวรห่มเฉียงเปิดพระอังสาขวา ชายสังฆาฏิยาวลงมาจรดพระนาภี ปลายตัดเป็นเส้นตรง ส�ำหรับผ้าอันตรวาสก คือสบงและอุตราสงค์หรือจีวร มีการดุนนูนลวดลายคมชัดเป็นลายดอกไม้บรรจุ ในช่องตาตาราง สันนิษฐานว่ามีที่มาจากการทอจีวรผ้ายกลายดอก ส�ำหรับเทคนิค การดุนลายที่นูนคมชัด มีมิติที่จีวรลายดอกหล่อโลหะดังกล่าว คือการพัฒนาเทคนิค การหล่ อ โลหะจากแม่ พิ ม พ์ หิ น สบู ่ ที่ ส ามารถเก็ บ รายละเอี ย ดสร้ า งลวดลายที่ คมชัด ฝีมือช่างพระองค์เจ้าประดิษฐวรการ อธิบดีบัญชาการกรมช่างสิบหมู่๓๓ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การสร้ า งพระพุ ท ธปฏิ ม าปางห้ า มพระแก่ น จั น ทน์ เพื่ อ ประดิ ษ ฐาน คู่กับพระพุทธปฏิมา จ.ศ. ๑๒๔๑ ที่เจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์และท่านผู้หญิงกลิ่น มารดาสร้างขึ้น อาจมีนัยยะที่สื่อถึงความเกี่ยวข้องของสายสกุลบุนนาค สันนิษฐาน ว่า ท่านเจ้าคุณพระประยูรวงศ์ (เจ้าจอมมารดาแพ) พระสนมเอกและเจ้าจอม มารดาโหมด ธิดาทั้ง ๒ ท่านของเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ อาจเป็นผู้ด�ำริสร้าง ๓๒

กรมการศาสนา, พระพุ ท ธรู ป ปางต่ า งๆ, กรุ ง เทพฯ : โรงพิ ม พ์ ก ารศาสนา, ๒๕๒๕, หน้า ๑๘๑-๑๘๓. ๓๓

ปีพุทธศักราช ๒๔๑๒ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนา หม่อมเจ้าดิศ เป็นพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าประดิษฐวรการ และโปรดเกล้าเลื่อน ต� ำ แหน่ ง จาก หม่ อ มเจ้ า จางวางช่ า งสิ บ หมู ่ เป็ น อธิ บ ดี บั ญ ชาการช่ า งสิ บ หมู ่ พระองค์ เจ้ า ประดิษฐวรการทรงก�ำกับกรมช่างสิบหมู่ พ.ศ. ๒๔๑๒-๒๔๒๘ รายละเอียดดูที่ นายแพทย์ ถนอม บรรณประเสริฐ, พระประวัติ พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าประดิษฐวรการ แม่กองสร้าง วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม พุทธศักราช ๒๔๑๒-๒๔๒๘, กรุงเทพฯ: บริษัทอัมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์พับลิชชิ่ง จ�ำกัด (มหาชน), ๒๕๖๓, หน้า ๖๕-๖๖.


พระพุทธปฏิมาองค์ดังกล่าว อย่างไรก็ตามประเด็นนี้เป็นเพียงข้อสัณนิฐานที่ควร จะได้ตรวจสอบหลักฐานที่แน่ชัดต่อไป การประดิ ษ ฐานพระพุ ท ธปฏิ ม า จ.ศ. ๑๒๔๑ และพระพุ ท ธปฏิ ม า ปางห้ามพระแก่นจันทน์ นับเป็นวาระพิเศษที่แสดงกตัญญุตาต่อบุพการี เป็น พระพุ ท ธปฏิ ม าที่ มี ค วามงดงามในเชิ ง ช่ า งและรู ป แบบศิ ล ปกรรมอย่ า งพิ เ ศษที่ หาชมได้ยากยิ่ง ถวายเป็นพุทธบูชา

พระอุโบสถ พระอุโบสถหลังปัจจุบันสร้างขึ้นใหม่แทนพระอุโบสถหลังเดิม ที่ถูกระเบิด เสียหายหนักจากเหตุการณ์สงครามมหาเอเชียบูรพา (สงครามโลกครั้งที่ ๒) โดย ขยายขนาดพระอุโบสถเดิมให้ใหญ่ขนึ้ สถาปนิกผูอ้ อกแบบ คือ หลวงวิศาลศิลปกรรม (เชื้อ ปัทมจินดา) ลักษณะเป็นอาคารทรงไทยประเพณีก่ออิฐถือปูนขนาดใหญ่ ฐานชั้นล่างสุดก่อเป็นฐานสิงห์ขนาดกว้าง ๑๔ เมตร ยาว ๓๔ เมตร มีบันได ทางขึ้นด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก รอบพระอุโบสถประดับระเบียงและเสา พาไลกลม บัวหัวเสาปั้นปูนประดับเป็นบัวแวงและคันทวยรับเชิงชายชั้นหลังคา ตามแบบอย่างศิลปะรัตนโกสินทร์ตอนต้น๓๔ ที่น�ำกลับมาสร้างใหม่ ฝ้าเพดาน ประดับดวงดาราจ�ำหลักไม้แกะสลักลงรักปิดทองประดับกระจก (รูปที่ ๓๑, ๓๒) ส่ วนหลั ง คาพระอุโบสถลดชั้นประดับ ช่อฟ้า ใบระกาและหางหงส์ ที่ ส่ ว นกลางหน้ า บั น จ� ำ หลั ก เป็ น รู ป ตราสุ ริ ย มณฑล คื อ รู ป พระสุ ริ ย เทพหรื อ พระอาทิตย์มีพระอรุณเทพบุตรเป็นสารถี ประทับนั่งบนราชรถเทียมคชสีห์โดยมี นกยูงเกาะทีก่ ระหนกท้ายเกริน อันเป็นตราสัญลักษณ์ประจ�ำตัวของสมเด็จเจ้าพระยา ๓๔

การประดั บ ระเบี ย งด้ ว ยเสาพาไล บั ว หั ว เสาปั ้ น ปู น ประดั บ บั ว แวงรั บ คั น ทวยที่ ร องรั บ ชายคาตามแบบศิลปะรัตนโกสินทร์ตอนต้น รวมถึงมีบันไดทางยกพื้นขึ้นบนชาลาเป็นบันได ทางขึ้นด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก มีตัวอย่างที่น่าจะเป็นแรงบันดาลใจในการสร้าง พระอุโบสถหลังใหม่ของวัดบุปผาราม คือ พระอุโบสถวัดพระศรีรตั นศาสดาราม กรุงเทพมหานคร หากแต่ พระอุ โ บสถวั ดบุป ผาราม ประดับ เสาพาไล เป็นสากลม และก่อพระระเบียงโปร่ง ประดับลูกกรงตั้ง


บรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ที่พื้นหลังจ�ำหลักลายเมฆประกอบลายกระหนก ลงรักปิดทองประดับกระจก ถัดลงมาเบือ้ งล่างจ�ำหลักเป็นเสาและซุม้ รูป พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ใ นภัท รกัป๓๕ ประทับยืนยกพระหัตถ์ขวาเสมอพระอุระแสดงปาง ประทานอภัย ซุ้มประตูและซุ้มหน้าหน้าต่างก่อเป็นซุ้มยอดมงกุฎทรงสูงด้านหน้า มี ๓ ประตู ส่วนด้านหลังมี ๒ ประตู บานประตูและบานหน้าต่างด้านนอกออกแบบ ลวดลายทีม่ คี วามสัมพันธ์กบั พระบรมราชสัญลักษณ์ของพระมหากษัตริย์ สัญลักษณ์ ประจ�ำกรมกองและเครือ่ งอิสริยยศขุนนางทีเ่ กีย่ วพันเชือ่ มโยงกับสายตระกูลบุนนาค ประดับเป็นลายดุนนูนโลหะลงรักปิดทอง ลายดอกพุดตานประกอบลายพันธุพ์ ฤกษา อย่างเทศ ตอนบนสุดดุนเป็นตราพระมหาพิชัยมงกุฎประดิษฐานบนพานแว่นฟ้า มีฉัตรประกอบขนาบข้างซ้ายขวา อันเป็นตราพระบรมราชสัญลักษณ์ในพระบาท สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ช่วงกลางดุนเป็นลายบัวแก้วรูปเทวดาประทับนั่ง พระหัตถ์ขวาถือดอกบัวพระหัตถ์ซ้ายถือวัชระ อันเป็นตราประจ�ำกรมท่า ก�ำกับ ราชการด้านการต่างประเทศ และตราเป็นสัญลักษณ์กระทรวงการต่างประเทศ ที่ใช้มาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจนถึงปัจจุบัน๓๖ ตอนล่ า งเป็ น เครื่ อ งประกอบอิ ส ริ ย ยศสมเด็ จ เจ้ า พระยาบรมมหาศรี สุ ริ ย วงศ์ (ช่วง บุนนาค) เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ข�ำ บุนนาค) และเจ้าพระยาภานุวงศ์ มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค) (รูปที่ ๓๓) พื้นที่ระหว่างประตูด้านหลังพระอุโบสถ ตรงกลางมีซุ้มประดับแผ่นทองแดงดุนเป็นภาพเล่าเรื่อง มหาเวสสันดรชาดก ครบทัง้ ๑๓ กัณฑ์ ทีใ่ ต้ภาพนครกัณฑ์ดนุ เป็นข้อความว่า พระเวสสันดรบรมโพธิสตั ว์ ๓๕

พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ในภัทรกัป อันหมายถึงกัปปัจจุบนั ทีจ่ ะมีพระพุทะเจ้าอุบตั ติ ดิ ต่อกัน ๕ พระองค์ คือ พระอดีตพุทธเจ้ากกุสันธะ พระอดีตพุทธเจ้าโกนาคมณะ พระอดีตพุทธเจ้า กัสสปะ พระพุทธเจ้าโคตมะองค์ปัจจุบัน และพระศรีอริยเมตไตรย พระอนาคตพุทธเจ้า

๓๖

รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้แยกกรมพระคลังมหาสมบัติ ออกจากกรมท่า โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค) บุตรสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) กับกับหม่อมพึ่ง และเป็นน้องต่างมารดาของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ด�ำรงต�ำแหน่ง ผู้ว่าการต่างประเทศ ดังนั้นกระทรวงการต่างประเทศจึงถือว่า วันที่ ๑๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๑๘ เป็นวันสถาปนากระทรวงการต่างประเทศ


ทรงบ�ำเพ็ญบารมีทงั้ หลาย คือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิรยิ ะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา ครบบริบูรณ์เป็นพระสมดึงสบารมี ขอท่านทั้งหลายได้ศึกษาแล้ว โปรดเมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ร่วมโลก ดั่งพระเวสสันดรเถิด ๒ ข้ า งมี รู ป กระต่ า ยชู ช ่ อ ดอกไม้ ข ้ า งซุ ้ ม มี ร ะบุ ว ่ า สร้ า งขึ้ น เมื่ อ ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ (รูปที่ ๓๔) ภายในพระอุโบสถแบ่งพืน้ ทีเ่ ป็น ๗ ห้อง โดยก่อฐานชุกชีทรงสูงประดิษฐาน พระพุทธวรนาถ เป็นพระพุทธปฏิมาประธานปางมารวิชัย ประทับนั่งขัดสมาธิราบ (รูปที่ ๓๕) ลงรักปิดทองขนาดหน้าตักกว้างประมาณ ๑ เมตร ความสูงถึงยอด พระรัศมี ๑.๗๕ เมตร ประทับนั่งบนฐานบัวที่รองรับด้วยฐานสิงห์ ถัดลงมาเบื้องล่าง ประดิษฐานรูปพระอัครสาวกเบื้องขวาและซ้ายนั่งประคองอัญชลีพนมมือถวาย สมเด็จพระบรมศาสดา ส�ำหรับเสมารอบพระอุโบสถ ส่วนฐานก่ออิฐถือปูนเป็น ฐานสิงห์เตี้ยๆ ตอนบนประดับเสมาศิลาจ�ำหลักหินสีเขียวทรงแท่งสี่เหลี่ยมบนฐาน บัวกลุ่ม รองรับส่วนเอวที่คอดจ�ำหลักตกแต่งเป็นลายกนก ๔ ด้าน ต่อด้วยส่วนบน เป็นแนวโค้งรับส่วนยอดที่จ�ำหลักเป็นรูปทรงคล้ายหัวเม็ดทรงมัณฑ์ จากรูปแบบ ศิลปกรรมสันนิษฐานว่า เสมาส่วนหนึ่งคงเป็นเสมาเดิมจากพระอุโบสถหลังเก่า ที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ บางส่วนสร้างเลียนแบบของเดิมประดิษฐานรอบ พระอุโบสถที่ได้สร้างขึ้น

ศาลาสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ศาลาสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์หรือศาลาสมเด็จฯ เป็นศาลา การเปรียญหลังใหม่ที่เจ้าจอมมารดาเลียมในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอม เกล้าเจ้าอยู่หัว ธิดาเจ้าพระยาสุรวงศ์วัฒนศักดิ์ (โต บุนนาค) กับท่านผู้หญิงตลับ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๑ เพื่ออุทิศถวายแด่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เจ้าจอมมารดาเลียม ท่านเป็นผู้ที่มีจิตศรัทธาในการพระศาสนา ท�ำนุบำ� รุงบริจาคทรัพย์สร้างเสนาสนะและสาธารณะกุศลต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะ วัดบุปผาราม ท่านได้สร้างศาลาสมเด็จเจ้าพระยาฯและสร้างตึกประยูรวงศ์ พ.ศ. ๒๔๙๘ ภายในเขตสั ง ฆาวาสวั ด บุ ป ผาราม เป็ น อาคารตึ ก ๒ ชั้ น ที่ พ� ำ นั ก ของ พระสงฆ์ เพื่ออุทิศส่วนกุศลสนองพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระประยูรวงศ์


(เจ้าจอมมารดาแพ) พระสนมเอกในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นอาของท่าน ศาลาสมเด็ จ เจ้ า พระยาฯสร้ า งเป็ น ศาลาการเปรี ย ญเอนกประสงค์ สถาปัตยกรรมทรงไทยประยุกต์ (รูปที่ ๓๖) ส่วนฐานยกพื้นราว ๑ เมตร เครื่องบน ประกอบด้วยช่อฟ้า ใบระกาและหางหงส์ ที่หน้าบันประดับดารา สุริยมณฑล แบบฝรั่ง อันเป็นตราประจ�ำตัวสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ เมื่อด�ำรง ต�ำแหน่งเป็นผู้ส�ำเร็จราชการแผ่นดินรวมทั้งประดับบนเครื่องใช้ของท่าน ภายใน ศาลาประดิษฐานพระพุทธชินราชจ�ำลอง มีจารึกที่ฐานพระพุทธปฏิมาว่า เจ้าจอม มารดาเลียมสร้างอุทิศแด่เจ้าพระยาสุรวงศ์วัฒนศักดิ์ (โต บุนนาค) ผู้เป็นบิดา

หลวงพ่อด�ำ เศียรพระพุทธปฏิมาศิลาทราย สมัยอยุธยา (รูปที่ ๓๗) เศียรพระพุทธรูปศิลาทรายประดิษฐานภายในพระวิหารคด ลักษณะเป็น เศียรศิลาขนาดใหญ่ พระพักตร์ยาวรีเป็นวงรูปไข่ล้อมรอบด้วยเส้นกรอบพระพักตร์ จ�ำหลักเป็นวงโค้ง เม็ดพระศกจ�ำหลักเรียงเป็นแถวขนาดเล็ก เหนือขึ้นไปเป็น อุษณีษะและพระรัศมี ตามประวัติกล่าวว่าเดิมบรรจุอยู่ในพระเจดีย์หลังพระวิหาร ครั้นเมื่อสงครามมหาเอเชียบูรพา พระเจดีย์ถูกระเบิดทางวัดได้รื้อเจดีย์จึงพบ เศียรพระพุทธรูป จากรูปแบบศิลปกรรม สันนิษฐานว่าเป็นพระพุทธปฏิมาศิลาทราย ที่สร้างขึ้นในศิลปะอยุธยา แต่ยังคงมีลักษณะบางประการของพระพุทธปฏิมา ศิลปะอู่ทองปะปนอยู่ด้วย จากการพบเศียรพระพุทธรูปหินทรายดังกล่าว ตลอดจน ทิศทางการวางแผนผังของพระอารามที่หันไปสู่แม่น�้ำเจ้าพระยาสายเดิม นับเป็น หลั ก ฐานส� ำ คั ญ ที่ ส นั บ สนุ น เหตุ ผ ลว่ า วั ด บุ ป ผาราม เป็ น พระอารามที่ มี ป รากฏ หลักฐานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา จากพุทธศิลปกรรมแขนงต่างๆ ทีป่ รากฏในพระอารามและพระพุทธปฏิมา ร.ศ. ๑๒๔๑ ที่กล่าวมา ล้วนแสดงให้เห็นถึงความส�ำคัญของรูปแบบศิลปกรรม ที่เชื่อมโยงกับวัตถุประสงค์การสร้าง ความสัมพันธ์และความจงรักภักดีระหว่าง สายสกุลบุนนาคกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ตลอดจนเป็นภาพสะท้อนของชุมชน โดยรอบที่มีความผสมผสานเกื้อกูลระหว่างศาสนิกชนที่สืบมาจนถึงปัจจุบัน


จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในฐานะผู้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก พระบาท สมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยูห่ วั ให้เชิญผ้าพระกฐินพระราชทานมาถวายยังพระอาราม วัดบุปผารามวรวิหารในปีพุทธศักราช ๒๕๖๔ และด้วยเหตุดังกล่าวนับเป็นนิมิต มงคลสมัยสมดัง พระบรมราชสัญลักษณ์พระปรมาภิไธยใน พระบาทสมเด็จพระ ปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เครื่องหมายจุลมงกุฎหรือ พระเกี้ยวพระนาม จุฬาลงกรณ์ ที่ประดับเหนือซุ้มพระทวารและพระบัญชรของ พระวิหาร จะได้สถิตเป็นเครือ่ งแสดงพระเกียรติยศปรากฏเป็นมิง่ ขวัญแก่ปวงพสกนิกร ชาวไทยสืบไป


บรรณานุกรม กรมการศาสนา. พระพุทธรูปปางต่างๆ. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์การศาสนา, ๒๕๒๕. ด�ำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา, ต�ำนานพระพุทธรูป ส� ำ คั ญ , พิ ม พ์ แจกในการพระกฐิ น พระราชทานพระเจ้ า บรมวงศ์ เ ธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ ณ วัดชุมพลนิกายาราม วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พุทธศักราช ๒๔๖๘, พระนคร: โรงพิมพ์โสภณ พิพรรฒธนากร. ๒๕๖๘. ต�ำนานพระอารามหลวง, พิมพ์ครั้งที่ ๙ กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร กระทรวง วัฒนธรรม, ๒๕๖๓. ทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี (ข�ำ บุนนาค), เจ้าพระยา. พระราชพงศาวดารกรุง รัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๔๗. ----------------. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔. พิมพ์ครั้งที่ ๖ กรุ ง เทพฯ: บริ ษั ท อมริ น ทร์ พ ริ้ น ติ้ ง แอนด์ พั บ ลิ ช ชิ่ ง จ� ำ กั ด (มหาชน), ๒๕๔๘. นายแพทย์ถนอม บรรณประเสริฐ. พระประวัติ พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้า ประดิษฐวรการ แม่กองสร้างวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม พุทธศักราช ๒๔๑๒-๒๔๒๘. กรุงเทพฯ: บริษัทอัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จ�ำกัด (มหาชน), ๒๕๖๓. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต). พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม. พิมพ์ครั้งที่ ๑๓ กรุงเทพฯ: บริษัท เอส.อาร์พริ้นติ้ง แมสโปรดักส์ จ�ำกัด, ๒๕๔๘. พาสุข ชาติกานนท์. “รูปแบบศิลปกรรมของพระวิหาร วัดบุปผาราม”. รายงาน การค้นคว้าอิสระหลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิต ภาควิชาประวัตศิ าสตร์ ศิลปะ มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๘. พิชิต อังคศุภรกุล, “งานพุทธศิลป์ในพระราชด�ำริพระบาทสมเด็จพระจุลจอม เกล้าเจ้าอยูห่ วั ” วิทยานิพนธ์ปริญญาปรัชญาดุษฎีบณั ฑิต สาขาวิชาประวัตศิ าสตร์ ศิลปะ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร.


วัดบวรนิเวศวิหาร. กรุงเทพฯ: มูลนิธมิ หามงกุฎราชวิทยาลัยในพระบรมราชินปู ถัมภ์, ๒๕๔๖. สุ ริ ย วุ ฒิ สุ ข สวั ส ดิ์ , หม่ อ มราชวงศ์ . พระพุ ท ธปฏิ ม าในพระบรมมหาราชวั ง . กรุงเทพฯ: ส�านักราชเลขาธิการ, ๒๕๓๕. สุทธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์. อุปกรณ์วรรณคดีพุทธศาสนา คู่มือพระปฐมสมโพธิกถา. พิมพ์ครั้งที่ ๒ กรุงเทพฯ : ส�านักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช จ�ากัด, ๒๕๑๕. สมเด็ จ พระสั ง ฆราช (ปุ สฺ ส เทว). ปฐมสมโพธิ พิ ม พ์ ค รั้ ง ที่ ๒๗. กรุ ง เทพฯ: มหามกุฎราชวิทยาลัย, ๒๕๕๕. สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส. ปฐมสมโพธิกถา. กรุงเทพฯ : กองวรรณคดีและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, ๒๕๓๐.


ภาพที่ ๑ วัดบุปผารามและชุมชนโบราณ

ภาพที่ ๒ พระวิหาร

ภาพที่ ๓ คอสองเขียนรูปเทวดาฝรั่งเหาะเป็นเด็กน้อยอ้วนจ�้ำม�่ำมีปีกท�ำนองเดียวกับรูปคิวปิดหรือกามเทพ

ภาพที่ ๔ หน้าบันพระวิหารลายสุริยมณฑล

ภาพที่ ๕ ซุ้มพระบัญชรประดับผนังพระวิหาร


ภาพที่ ๖ จุลมงกุฎหรือพระเกี้ยว ในพระนาม จุฬาลงกรณ์ ประดิษฐานบนพานแว่นฟ้า พระปรมาภิไธยในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

ภาพที่ ๙ ตราสุริยมณฑลแบบฝรั่ง จ�ำหลักที่กลางบาน พระทวารพระวิหาร ภาพที่ ๗ พระเกี้ยว พระปรมาภิไธยในพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเหนือซุ้มพระบัญชร

ภาพที่ ๘ บานแผละพระทวารประดับลายรดน�้ำ อิทธิพลศิลปะอิสลาม และศิลปะจีน

ภาพที่ ๑๐ ตราสุริยมณฑลแบบฝรั่งของ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ผู้ส�ำเร็จราชการในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว (พ.ศ.๒๔๑๑-๒๔๑๖)


ภาพที่ ๑๒ เครื่องตั้งอย่างเทศ จิตรกรรมด้านใน บานพระบัญชรพระวิหาร

ภาพที่ ๑๑ เครื่องตั้งอย่างเทศ

ภาพที่ ๑๓ ฐานชุกชีและการประดิษฐาน พระพุทธปฏิมาภายในพระวิหาร

ภาพที่ ๑๔ พระพุทธชินราชจ�ำลอง (หลวงพ่อบุปผา) ภาพที่ ๑๕ ลวดลายประดับด้านหลังพระพุทธชินราช จ�ำลอง (หลวงพ่อบุปผา)


ภาพที่ ๑๖ ปริจเฉทที่ ๓ คัพภานิกขมนปริวรรต พุทธประวัติตอนประสูติ

ภาพที่ ๑๗ ปริจเฉทที่ ๘ พุทธบูชาปริวรรต พุทธประวัติตอนตรัสรู้

ภาพที่ ๑๘ ปริจเฉทที่ ๑๗-๒๑ พุทธปิตุนิพพานปริวรรต

ภาพที่ ๑๙ ปริจเฉทที่ ๒๒ ยมกปาฏิหาริยปริวรรต

ภาพที่ ๒๑ ปริจเฉทที่ ๒๕ อัครสาวกนิพพพาน ปริวรรต - ปริจเฉทที่ ๒๖ มหาปรินิพพานสูตรปริวรรต ภาพที่ ๒๐ ปริจเฉทที่ ๒๔ เทโวโรหนปริวรรต


ภาพที่ ๒๒ ปริจเฉทที่ ๒๖ มหาปรินิพานสูตร

ภาพที่ ๒๓ ปริจเฉทที่ ๒๗ ธาตุวิภัชนปริวรรต โทณพราหมณ์แบ่งพระบรมสารีริกธาตุ

ภาพที่ ๒๔ เวสสันดรชาดก

ภาพที่ ๒๕ ฐานชุกชีหินอ่อนและฐานไม้ระบายสี ลายหินอ่อนที่ต่อเพิ่ม เพื่อประดิษฐานพระพุทธปฏิมา

ภาพที่ ๒๖ พระพุทธปฏิมาปางห้ามสมุทร จุลศักราช ๑๒๔๑ (พ.ศ.๒๔๒๒)


ภาพที่ ๒๗ ค�ำจารึกที่ฐานพระพุทธปฏิมาปางห้ามสมุทร เจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) และ ท่านผู้หญิงกลิ่นมารดา สร้าง

ภาพที่ ๒๘ พระพุทธปัญญาอัคคะ พ.ศ.๒๔๒๘ ประดิษฐานภายในพระวิหารเก๋ง วัดบวรนิเวศวิหาร

ภาพที่ ๒๙ ภาพถ่ายเก่าพระภิกษุชาวมอญ ประเทศเมียนมา ภาพที่ ๓๐ พระพุทธปฏิมาปางห้ามพระแก่นจันทน์ ครองจีวรผ้ายกลายดอก


ภาพที่ ๓๒ หน้าบันพระอุโบสถ ตราสุริยมณฑลและ พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ภาพที่ ๓๑ พระอุโบสถหลังใหม่ ออกแบบโดย หลวงวิศาลศิลปกรรม

ภาพที่ ๓๔ มหาเวสสันดรชาดก ๑๓ กัณฑ์ (พ.ศ. ๒๕๒๐) ด้านหลังพระอุโบสถ ภาพที่ ๓๓ ลายดุนโลหะลงรักปิดทองประดับบาน พระทวารและพระบัญชร


ภาพที่ ๓๕ พระพุทธวรนาถ พระพุทธปฏิมาประธาน ปางมารวิชัย

ภาพที่ ๓๗ หลวงพ่อด�ำ เศียรพระพุทธปฏิมาศิลาทราย สมัยอยุธยา

ภาพที่ ๓๖ ศาลาสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์


จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดพิมพ์ต่ออายุหนังสือทรงคุณค่า เรื่อง “พุทธศาสนวงศ์” พระนิพนธ์ของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร พุทธศักราช ๒๕๑๗



ค�าชี้แจง สําหรับการพิมพหนังสือพุทธศาสนวงศดวยวิธีการถายภาพจากฉบับพิมพ เมื่อพุทธศักราช ๒๕๑๗ นั้น มีขอที่พึงจะตองชี้แจงไวในที่นี้สองประการ ประการแรก ในพระนิพนธคํานําของสมเด็จพระสังฆราชเจา กรมหลวง วชิรญาณวงศ ที่ปรากฏความวา “หนังสือนี้ไมประสงคใหพิมพแจกทั่วไปในงานใด งานหนึ่ง หรือแมพิมพจําหนาย แตประสงคใหพิมพแจกเฉพาะบุคคลผูตองการ ความรูเทานั้น” ในภายหลังไดประทานพระอนุญาตพิมพเผยแพรในโอกาสตาง ๆ แล ว หลายครั้ ง และในการพิ ม พ ค รั้ ง นี้ ก็ ไ ด รั บ อนุ ญ าตจากสมเด็ จ พระวั น รั ต (พฺรหฺมคุตฺตเถร) เจาอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร แลว ประการที่ ส อง นั บ แต พุ ท ธศั ก ราช ๒๕๑๗ อั น เป น ป ที่ ตี พิ ม พ ห นั ง สื อ พุทธศาสนวงศคราวนั้นมา คณะธรรมยุติกนิกายก็เจริญรุงเรืองแพรหลายไปในที่ ตาง ๆ มีจํานวนวัดในสังกัดเพิ่มขึ้นเปนอันมาก มีเจาคณะใหญธรรมยุตตอเนื่องมา โดยลําดับอีกคือ ลําดับที่ ๘ พระสุวัฑฒนมหาเถระ คือ สมเด็จพระสังฆราชเจา กรมหลวงวชิรญาณสังวร (พุทธศักราช ๒๕๓๒ ถึง ๒๕๕๖) ลําดับที่ ๙ พระพรหม คุตตเถระ คือ สมเด็จพระวันรัต (พุทธศักราช ๒๕๕๙ ถึง ๒๕๖๐) และลําดับที่ ๑๐ พระอั ม พรมหาเถระ คื อ สมเด็ จ พระอริ ย วงศาคตญาณ สมเด็ จ พระสั ง ฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เจาคณะใหญธรรมยุตพระองคปจจุบัน (พุทธศักราช ๒๕๖๐ ถึงปจจุบัน) พฤศจิกายน ๒๕๖๔














































































































“วัดบุปผาราม” หนังสือที่ระลึกพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ประจ�ำปี ๒๕๖๔

ภาพลายเส้น : ผู้ช่วยศาสตราจารย์พงศกร ยิ้มสวัสดิ์ ออกแบบปก : นายอธิภัทร แสวงผล

พิมพ์ที่ ส�ำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นางอรทัย นันทนาดิศัย ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา โทร. ๐ ๒๒๑๘ ๓๕๖๓ โทรสาร ๐ ๒๒๑๘ ๓๕๔๗ http://www.cupress.chula.ac.th



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.