สารจากผู้อานวยการดนตรี ตลอดเวลากว่า 35 ปี วงซิมโฟนีออร์เคสตราแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เราเติบใหญ่และ มีพัฒนาการทางด้านดนตรีอย่างต่อเนื่องในหลายๆ ด้าน ด้วยจานวนคอนเสิร์ตที่นาเสนอในแต่ละ ฤดูกาลคอนเสิร์ต ประเภทของบทประพันธ์เพลงที่มีความหลากหลายในคอนเสิร์ต อีกทั้งจานวน ผู้ชมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการขยายกลุ่มอายุของผู้ฟัง รวมทั้งการผลิดอกออกใบเป็นวง ดนตรีอีกหลายรูปแบบ ทั้งนี้เพื่อสืบสานพระดาริของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงฯ ในการเผยแพร่ ความรู้ทางด้านดนตรีคลาสสิกให้แก่เยาวชนและประชาชนทั่วไป วงเครื่องสายจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CU String Orchestra) อีกหนึ่งในการนาเสนอ โครงการทางด้านดนตรีของนิสิตแก่ผู้ชม จุดมุ่งหมายเพื่อมุ่งหวังพัฒนาทักษะทางด้านดนตรีการ บรรเลงกลุ่ม (Ensemble) ให้แก่นิสิตผู้เข้าร่วม การส่งเสริมพื้นที่การเรียนรู้สร้างสรรค์ การแสดง ครั้งนี้เป็นการต้อนรับผู้ฟังอย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง ภายหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด 19 ภายใต้มาตรการการคัดกรองผู้เข้าชม ซึ่งอาจจะทาให้ท่านไม่ได้รับความสะดวกบ้าง วง ซิมโฟนีฯ ขออภัยมา ณ โอกาสนี้ และนอกจากการรับชมสดแล้ว เราก็ยังคงเปิดรับชมทาง ออนไลน์ไว้สาหรับท่านที่ยังคงกังวลและไม่สะดวกในการเดินทางมารับชมที่หอแสดงดนตรีได้ ในนามของวงซิมโฟนีออร์เคสตราแห่งจุฬาฯ ผมขอขอบคุณสถาบันและหน่วยงานต่าง ๆ ที่ เกี่ยวข้องทุกฝ่าย รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทุกส่วน ตลอดจนนักดนตรีและผู้ปกครองที่มีส่วนร่วมให้การ แสดงครั้งนี้สาเร็จลุล่วงเป็นอย่างดี ผศ. พ.อ.ชูชาติ พิทักษากร ผู้อานวยการดนตรี
Program Appalachian Spring Aaron Copland Metamorphosis for String Orchestra II Stage 2 “Caterpillar” III Stage 3 “Chrysalis” Pattra Pongsangsuriya (b.1997) Intermission 15 Minutes Serenade for Strings in E major Op. 22 I. Moderato II. Tempo di Valse III. Scherzo: Vivace IV. Larghetto V. Finale: Allegro Vivace Antonin Dvorak (1841 1904) รวยชัย แซ่โง้ว Ruaychai Sae Ngow หัวหน้าวง Concert Master รองศาสตราจารย์ ดร.นรอรรถ จันทร์กล่า Assoc. Prof. Dr. Nora ath Chanklum ผู้อานวยเพลง Conductor ผู้ช่วยศาสตราจารย์ พันเอกชูชาติ พิทักษากร Asst. Prof. Col. Choochart Pitaksakorn ผู้อานวยการดนตรี Music Director
Appalachian Spring Aaron Copland Copland เป็นนักประพันธ์เพลงชาวอเมริกัน ท่าน สาคัญที่สุดท่านหนึ่งของวงการดนตรีในศตวรรษที่ 20 ท่านเริ่มทางานสร้างสรรค์ทางดนตรีในช่วงต้น ของคริสศตวรรษที่ 20 ซึ่งวงการดนตรีและศิลปะอเมริกัน กาลังอยู่ในช่วงการแสวงหาอัตลักษณ์ เพื่อต่อยอดจากประวัติ ความเป็นมา รวมทั้งเทคนิคการประพันธ์เพลงต่างๆ ที่สืบ ต่อมาจากดนตรีคลาสสิกของฝรั่งยุโรป การแสวงหาอัต ลักษณ์อเมริกันนี้ ส่งให้เกิดกระแสแนวคิดแบบ “ชาตินิยมอเมริกัน” ในศิลปะและดนตรีของ ศิลปินอเมริกันร่วมสมัยเดียวกับ Copland และผลงานที่สะท้อนความเป็นอเมริกันได้ชัดเจนและ ยอดเยี่ยมที่สุดบทหนึ่งก็คือ “The Appalachian Spring” ที่จะนาเสนอในคอนเสิร์ตครั้งนี้ “The Appalachian Spring” เป็นผลงานที่ Copland ได้รับ commission ในปี ค.ศ. 1942 จาก Martha Graham นักบัลเลต์ชาวอเมริกัน และได้รับการสนับสนุนจาก Elizabeth Sprague Coolidge เศรษฐีนีชาวอเมริกัน ผู้อุปถัมภ์คนสาคัญของวงการศิลปะอเมริกันในช่วงต้น ศตวรรษที่ 20 Graham และ Coolidge เสนอให้ Copland ร่วมกันรังสรรค์ผลงานที่เสนอเรื่องราว และแนวคิดที่แสดงถึงความ ‘เป็นอเมริกัน’ โดย Copland เป็นผู้ประพันธ์ดนตรีและ Martha Graham เป็นผู้ออกแบบท่าเต้นและเป็นผู้แสดงนาฝ่ายหญิง ศิลปินทุกฝ่ายใช้เวลารังสรรค์งานชิ้นนี้อยู่ราว 2 ปี จึงเสร็จสมบูรณ์ ออกแสดงรอบ ปฐมฤกษ์ที่เวทีหอประชุม Library of Congress ในปี ค.ศ. 1944 ประสบความสาเร็จและได้รับ การยกย่องอย่างมาก และส่งให้ Copland ได้รับรางวัล Pulitzer Prize อันทรงเกียรติในปี 1945 ในฐานะบทประพันธ์เพลงยอดเยี่ยม และกลายมาเป็นเพลงที่ได้รับความนิยมมากตลอดมาของ Copland
เรื่องราวของบัลเลต์เกิดขึ้นในชั่วเวลาเพียงหนึ่งวัน ซึ่งเป็นวันแต่งงานของบ่าวสาวชาวไร่ อเมริกันคู่หนึ่งที่กาลังจะเริ่มต้นสร้างครอบครัว ฉากของเรื่องเป็นดินแดนอเมริกาในยุคบุกเบิก แถบ Pennsylvania ท่ามกลางธรรมชาติในชนบทอันงดงามเรียบง่าย อารมณ์ของคู่บ่าวสาว มือใหม่สะท้อนถึงความสุขระคนความหวาดหวั่น แต่ก็เปี่ยมด้วยความหวังแห่งอนาคตในบทตอน ใหม่ของชีวิต เรื่องราวและดนตรีเริ่มต้นอย่างสงบในช่วงเช้าตรู่ยามอาทิตย์อุทัย เหตุการณ์ดาเนิน ไปจนสิ้นวันเมื่อแขกเหรื่อกลับ เหลือแต่บ่าวสาวยืนอยู่อย่างสงบ แต่อบอุ่นมั่นคงในบ้านหลังใหม่ ชีวิตใหม่ ดนตรีชุดนี้ฟังง่าย ทานองไพเราะ เสียงประสานและการใช้เครื่องดนตรีสวยงาม จังหวะ จะโคนมีชีวิตชีวา เหมาะแก่การเริงระบาแบบบัลเลต์สมัยใหม่ บรรยากาศโดยรวมฟังแล้วให้ ความรู้สึก Positive ต่างจากบทเพลงร่วมสมัยเดียวกันจานวนมากในยุคแห่งการแสวงหา ดนตรี ประกอบด้วยหลายท่อนหลายลีลา บรรเลงต่อเนื่องกันไป แต่ละท่อนสอดคล้องกับเรื่องราวแต่ละ ฉากของบัลเลต์ นอกจากนี้ จุดเด่นในเชิงดนตรีที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งของเพลงชุดนี้คือ ในช่วงเกือบ ท้ายเพลง ผู้แต่งใช้ทานองเพลง “Simple Gifts” ซึ่งเป็นเพลงพื้นบ้านกึ่งศาสนา ประเภทที่ เรียกว่า Shaker songs ที่ขับร้องกันในโบสถ์มาแต่โบราณ ผู้แต่งใช้เพลงนี้มาเป็นทานองหลัก แรกเสนอด้วยปี่คลาริเน็ท แล้วมีการแปรทานอง (variations) ออกอีกหลายทานองแปรอย่างมีชั้น เชิง ก่อนจะจบเพลงลงในลีลาและบรรยากาศเพลงอันสงบงดงาม คล้ายคลึงกับช่วงเริ่มต้นเพลง ดนตรีชุดนี้มีบทเรียบเรียงหลายบทด้วยกัน ทั้งสาหรับวงกลุ่มเล็กและวงดุริยางค์ขนาด ใหญ่เต็มวง สาหรับการบรรเลงคืนนี้นาเสนอบทเรียบเรียงต้นแบบสาหรับวงดุริยางค์ขนาดย่อม ประกอบด้วยฟลูต คลาริเน็ต บาสซูน เปียโนและกลุ่มเครื่องสาย คาบรรยายเพลงโดย สดับพิณ รัตนเรือง
นอกจากนี้ผู้ประพันธ์ได้ตีความหมายคาว่า
Metamorphosis for String Orchestra ภัทรา พงษ์แสงสุริยะ Pattra Pongsangsuriya บทประพันธ์เพลง “เมตามอร์โฟซิส” สาหรับวง ดุริยางค์เครื่องสาย เป็นผลงานสร้างสรรค์ในประเภท ดนตรีพรรณนา โดยมีการนาแนวคิดจากชีววิทยา จิตวิทยา และวรรณกรรม มาผนวกเข้าไว้ด้วยกัน คา ว่า “เมตามอร์โฟซิส” มีความหมายในทางชีววิทยาว่าเป็น ประเภทการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตซึ่งเป็นลาดับขั้นของ สัตว์หรือแมลง โดยบทประพันธ์เพลงชิ้นนี้ผู้ประพันธ์ กาหนดให้ผีเสื้อซึ่งเป็นสัญลักษณ์ในทางวรรณกรรมที่มี ความหมายที่เกี่ยวกับจิตวิญญาณมาเป็นหลักสาคัญในการตีความตามองค์ประกอบดนตรี ทั้งการ เลือกใช้เทคนิคพิเศษของเครื่องสาย การควบคุมลักษณะเสียง รวมถึงการเลือกใช้สังคีตลักษณ์ใน ท่อนทั้งสี่ตามลาดับขั้นของการเจริญเติบโตทางชีววิทยา โดยเริ่มจากระยะไข่ ตัวอ่อน ดักแด้ ไปสู่ ช่วงโตเต็มวัย
“เมตามอร์โฟซิส” ในความหมายทั่วไปที่ ไม่เกี่ยวข้องกับทางชีววิทยาว่า การเปลี่ยนแปลงรูปร่างของบางสิ่ง ซึ่งในที่นี้ไม่ได้ได้จากัดว่าเป็น สัตว์หรือสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติ แต่ต้องมีลักษณะการเปลี่ยนแปลงเป็นขั้นลาดับ และในบท ประพันธ์เพลงนี้ ผู้ประพันธ์ได้ตีความคาว่า “เมตามอร์โฟซิส” เป็นการเปลี่ยนรูปแบบของสภาวะ จิตใจ โดยอิงจากทฤษฎีความโศกเศร้าของ เอลิซาเบธ คือเบลอร์ รอสส์ (Elisabeth Kübler Ross) และนามาเป็นแก่นในการเลือกใช้ลีลาในแต่ละท่อน การกาหนดความเร็วช้า การเรียบเรียง เสียงประสาน รวมถึงการจัดการระบบศูนย์กลางเสียง ทั้งในรูปแบบดนตรีไร้กุญแจเสียงและอิง กุญแจเสียง สองท่อนที่นามาแสดง ได้แก่ ท่อนที่ 2 บรรยายถึงระยะตัวอ่อน มีการกาหนดลีลา จังหวะแบบเร็วอย่างบ้าคลั่ง (Presto Furioso) สลับกับส่วนที่ใช้อัตราจังหวะเชื่องช้าในลีลาที่นิ่ง เงียบ สงบ (Tranquillo) พร้อมกับการกาหนดการควบคุมลักษณะเสียง และเทคนิคพิเศษของ เครื่องสายที่แสดงออกถึงอารมณ์ต่าง ๆ อย่างชัดเจน เพื่อเป็นการบรรยายถึงลักษณะหนอนผีเสื้อ ที่ภายนอกจะมีลวดลายและสีสันฉูดฉาดแปลกตา โดยเป็นลักษณะการป้องกันตัวเองจากศัตรูทาง
ธรรมชาติ แต่แท้ที่จริงแล้วภายในมีความเปราะบาง ส่วนด้านจิตวิทยามีการบรรยายถึงความ สับสนและการล่มสลายของจิตใจ โดยจะจากัดได้ว่าอยู่ในสภาวะจิตไม่ปกติแบบอารมณ์แปรปรวน สองขั้ว ภายใต้การจัดการระบบเสียงแบบไร้กุญแจเสียงแบบดนตรี 12 เสียง ท่อนที่ 3 บรรยายถึงภาพการเจริญเติบโตของดักแด้ไปยังผีเสื้อ ลักษณะของดักแด้ ถูก กาหนดให้ดนตรีอยู่ในลีลาแบบมีความสงบเคร่งขรึม (Grave) และมีอัตราจังหวะที่เชื่องช้าอย่าง มาก ซึ่งลักษณะทางชีววิทยาของระยะดักแด้นี้ ภายนอกจะไม่มีการเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลง มาก แต่ภายในมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบจากทุกลาดับการเติบโตที่ผ่านมา และในทางสภาวะทางจิต จะเป็นช่วงที่ปรับสภาพอารมณ์เพื่อก้าวข้ามไปยังสภาวะปกติ หรือก็คือ การกาจัดปัญหาความทุกข์และความเครียดสะสมต่าง ๆ ไปสู่สภาวะการมีความสุข โดยระบบ ศูนย์กลางเสียงที่ใช้ในท่อนนี้จะใช้การจัดการระบบเสียงแบบระบบการอิงกุญแจเสียงที่มี ศูนย์กลางเสียงชัดเจน Serenade for Strings in E Major, Op 22 Antonin Dvorak Antonin Dvorak เป็นนักประพันธ์เพลงชาวโบฮีเมีย ซึ่งอยู่ในดินแดนประเทศเช็คในปัจจุบัน เป็นนักประพันธ์เพลง ชั้นแนวหน้า ท่านสาคัญที่สุดท่านหนึ่งในสมัยโรแมนติก ประพันธ์เพลงไว้มากมายในทุกรูปแบบบทประพันธ์เพลงที่นิยม กันในสมัยโรแมนติก (คริสต์ศตวรรษที่ 19) ไม่ว่าจะเป็น Symphony, Concerto, Opera, Lieder รวมทั้ง Chamber Music สาหรับหลากหลายกลุ่มเครื่องดนตรี ส่วนเพลงประเภท Serenade นั้น ท่านแต่งและ ตีพิมพ์ไว้ด้วยกัน 2 บท สาหรับเพลงประเภท Serenade สาหรับบรรเลงด้วยกลุ่มเครื่องดนตรี ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มเครื่องเป่า หรือวงเครื่องสาย นิยมแต่งและบรรเลงกันอย่างมากมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 18 ในสมัยคลาสสิก มักประกอบด้วยหลายท่อน เนื้อหาและสุ้มเสียงเพลงโดยรวมจะเป็นเพลงเบาๆ
ฟังและบรรเลงกันสบายๆ มีความรื่นรมย์งดงาม เหมาะสาหรับใช้ในงานเลี้ยงของสังคมไฮโซ หรูหรา อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่ยุคโรแมนติกหรือในราวอีกหนึ่งศตวรรษถัดมา เพลงประเภท Serenade กลับเสื่อมความนิยมลงไปมาก หลีกทางให้บทเพลงขนาดใหญ่ที่มีเนื้อหาดนตรีเข้มข้น จริงจัง ไม่ว่าจะเป็น Symphony, Concerto หรือ Symphonic Poem ที่เหมาะสาหรับเครื่อง ดนตรีและวงดุริยางค์แบบสมัยโรแมนติก ที่มีกลไกแข็งแรง รวมทั้งขนาดวงที่ใหญ่โตอลังการ นัก ประพันธ์เพลงชั้นนาทั้งหลายจึงไม่ค่อยสนใจประพันธ์เพลง Serenade ในลักษณะเดิมมากนัก Serenade ที่เป็น Masterpiece มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีจากสมัยโรแมนติก อาทิ Serenade for Strings in C, Op 48 ของ Tchaikovsky และ Serenade 2 บทของ Dvorak ได้แก่ Serenade in D minor, Op 44 สาหรับกลุ่มเครื่องเป่าผสมเครื่องสาย และ Serenade for Strings in E, Op 22 ที่จะเสนอในคอนเสิร์ตครั้งนี้ Serenade บทนี้ Dvorak แต่งในปี ค.ศ. 1875 ซึ่งเป็นปีที่ท่านได้รับ Commission ให้ แต่งเพลงหลายบทในรูปแบบต่างๆ ทั้ง Symphony หมายเลข 5, Opera เรื่อง Vanda, String Quintet หมายเลข 2, Piano Trio หมายเลข 1 ซึ่งล้วนเป็นงานชิ้นใหญ่เข้มข้นจริงจังทั้งสิ้น ส่วน Serenade for String in E, Op 22 เล่ากันว่า Dvorak ใช้เวลาแต่งเพียง 12 วัน ต่อมานาออก แสดงที่กรุง Prague ประเทศเช็ค ในปี 1876 และกลายมาเป็นผลงานที่ได้รับความนิยมมากที่สุด บทหนึ่งตลอดมาของ Dvorak Serenade ชุดนี้ประกอบด้วย 5 Movement ในลีลาช้าเร็วต่างๆ กัน: 1. จังหวะปานกลาง (Moderato) ในลีลาเลื่อนไหลราวเพลงขับร้อง (Cantabile) 2. ในลีลาเพลงเต้นราวอลทซ์อันรื่นรมย์ (Tempo di Valse) 3. สนุกสนาน มีชีวิตชีวา (Scherzo; Vivace) 4. ลีลาแช่มช้า งดงาม (Larghetto) 5. บทส่งท้ายในลีลาจังหวะเร็ว มีชีวิตชีวา (Allegro vivace) คาบรรยายเพลงโดย สดับพิณ รัตนเรือง
สิบสองเสียงที่เป็นดนตรีแบบไร้กุญแจเสียงให้เข้ากับดนตรีแบบ
ดนตรีคลาสสิกแบบดั้งเดิม
ภัทรา พงษ์แสงสุริยะ ผู้ประพันธ์เพลง ภัทรา พงษ์แสงสุริยะ สาเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ด้านการแสดงเดี่ยวจาก สาขาวิชาดุริยางคศิลป์ตะวันตก ภาควิชาดุริยางคศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย โดยมีรองศาสตราจารย์ดร นรอรรถจันทร์กล่า เป็นผู้สอนเครื่องเอกไวโอลิน ในระยะเวลา 4 ปีที่ภัทราได้ศึกษาในระดับปริญญาตรี นอกจากการบรรเลงไวโอลิน แล้ว ยังมีความสนใจในด้านประวัติศาสตร์ดนตรีทฤษฎีดนตรีสมัยใหม่ รวมถึงการประพันธ์เพลง ในแนวทางของดนตรีคลาสสิก จึงได้ศึกษาลงลึกถึงเนื้อหาด้านต่างๆ ของความรู้ในศาสตร์ดนตรี เพิ่มเติมด้วยตัวเอง โดยได้รับการสนับสนุนและคาแนะนาต่าง ๆ จากอาจารย์ทุกท่านเป็นอย่าง ดี นาไปสู่การศึกษาในระดับปริญญาโท ด้านการประพันธ์เพลง โดยอยู่ภายใต้การดูแลของ ศาสตราจารย์ ดร. ณรงค์ฤทธิ์ ธรรมบุตร ภัทรามีความสามารถในการประยุกต์และผสมผสาน การประพันธ์ในแนวทางของดนตรี
อิงกุญแจเสียงตามธรรมเนียมของ
โดยลักษณะผลงานส่วนใหญ่ของภัทราจะเป็นไปในแนวทางของดนตรี พรรณนา ที่ใช้สังคีตลักษณ์แบบดั้งเดิมโดยผ่านการประยุกต์ให้เข้ากับเรื่องราวของแต่ละบท เพลง รวมไปถึงการเชื่อมโยงเนื้อหาทางด้านศาสตร์ต่าง ๆ บนโลก และนามาตีความลงใน องค์ประกอบของดนตรีอย่างมีเหตุผล จึงทาให้บทประพันธ์เพลงของภัทรามีเอกลักษณ์โดดเด่น และแตกต่างจากบทประพันธ์เพลงทั่วไป ภัทราสาเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท ด้านการประพันธ์เพลงจากสาขาวิชาดุริยางค ศิลป์ตะวันตก ภาควิชาดุริยางคศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ. 2563 ปัจจุบันรับหน้าที่เป็นผู้ช่วยสอนและผู้ช่วยการวิจัยประจาสาขาดุริยางคศิลป์ตะวันตกคณะ ศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภายใต้การควบคุมการปฏิบัติงานของ รอง ศาสตราจารย์ ดร. ศศี พงศ์สรายุทธ
นรอรรถ จันทร์กล่า ผู้อานวยเพลง นรอรรถ จันทร์กล่า อาจารย์ประจา ภาควิชา ดุริยางค์ศิลป์ตะวันตก คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตาแหน่งรองศาสตราจารย์ จบการศึกษาระดับปริญญาโทด้านการแสดงไวโอลิน ณ สถาบันดนตรีนิวอิงแลนด์ เมืองบอสตัน ประเทศ สหรัฐอเมริกา และปริญญาดุษฎีบัณฑิต จาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นรอรรถมีผลงานสร้างสรรค์ทางดนตรีที่ หลากหลายอย่างมากมายและสม่าเสมอ ทั้งการอานวย เพลง การเรียบเรียงเสียงประสาน การประพันธ์เพลง การบรรเลงและการขับร้องในบางคราว นรอรรถและวงรอยัลบางกอกซิมโฟนีออร์เคสตรา (Royal Bangkok Symphony Orchestra; RBSO) ได้สร้างผลงานที่ถือเป็นนวัตกรรมทางดนตรีชิ้นสาคัญคือ อัลบั้ม “บีเอสโอ บรรเลงสุนทราภรณ์” ซึ่งเป็นการผสมผสานบทเพลงสุนทราภรณ์กับวงซิมโฟนีออร์เคสตราและ แนวทางการเรียบเรียงแบบดนตรีคลาสสิก อัลบั้มดังกล่าว เป็นที่ยอมรับของทั้งนักวิชาการด้าน ดนตรีและผู้ฟังดนตรีทั่วไป รวมถึงคนรุ่นใหม่ที่ได้รู้จักบทเพลงสุนทราภรณ์ผ่านอัลบั้มนี้ นอกจากนี้ นรอรรถได้มีโอกาสประพันธ์เพลงประกอบเอนิเมชันชุด ‘วรรคทอง’ ประกอบด้วยบทเพลง 26 บท มีผลงานการเรียบเรียงและอานวยเพลงชุด ‘สยามดุริยางค์ เครื่องสาย’ และได้จัดคอนเสิร์ตผลงานดังกล่าวขึ้น ซึ่งประสบความสาเร็จอย่างดียิ่ง ปัจจุบัน นอกเหนือจากงานสอนแล้ว นรอรรถมีผลงานการสร้างสรรค์และการแสดง อย่างต่อเนื่อง ทั้งการเป็นผู้อานวยเพลงประจาวงซิมโฟนีออร์เคสตราแห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย (CU Symphony Orchestra) วงเครื่องสายแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CU String Orchestra) ผู้อานวยเพลงรับเชิญประจาวง RBSO และการเป็นนักประพันธ์เพลงและนัก เรียบเรียงเสียงประสาน กระทั่งล่าสุด นรอรรถ ได้รับรางวัลศิลปินศิลปาธร สาขาดนตรี ประจาปี พ.ศ.2561
ไวโอลิน 1 1 st Violin รวยชัย แซ่โง้ว
Ruaychai Sae ngow พาคร อุดมทรัพย์
Pakorn Udomchub อติภา วิเศษโอภาส
Atipa Wisedopas สุชนา ชุณหะนันท์
Suchana Chuhanant ณิชชา แป้นเหมือน
Nicha Panmuan อติกานต์ นาคเสน
Atikarn Naksen เพ็ญพัชร์ สุวรรณกิจ
Phenpach Suwanakit ชินพงศ์ ไหลสกุล
Chinnapong Laisakul ไวโอลิน 2 2 nd Violin โชติ บัวสุวรรณ
Choti Buasuwan นิรัฐศา อยู่สมบูรณ์
Nirutsa Usomboon ณิชานันทน์ เอมอิ่ม
Nichanant Aim im วรากุล ศรีนวล
Warakul Srinoan ณัฐชา วงศ์อริยะกวี
Nuttacha Wongareyakawee พิยดา คงพรหม
Piyada Kongprom รัชพล แสงจันทร์
Rachapol Saengchan ปัญรัฏฐ์ วงศ์ปัทมภาส
PunRat Wongpattamapad วิโอลา Viola อัจยุติ
Ausjayut Sungkasem
Thanawan Ritdechkajorn
Phanupong Sermpongpaisal
Punbun Bunyakiat
Sirirak Deetana
Pattharapol Bunchim
นักดนตรี Musician
สังขเกษม
ธนวรรณ ฤทธิ์เดชขจร
ภาณุพงศ์ เสริมพงษ์ไพศาล
พันธุ์บุญ บุญยเกียรติ
สิริรักษ์ ดีตะนะ
ภัทรพล บุญฉิม
Cello สมัชชา
Smatcha Porkharue สมรรถยา
Smatya Wathawathana ณัฐนนท์
Nuttanon Googietgarn เสาวภา แจ่มโคกสูง
Saowapha Jamkoksoong อัญมณี ภคพรวิวรรธน์
Auyamanee Pakapornwiwat
Double Bass พีรภัค เฉลิมสุข
ดับเบิลเบส
ภูมิรพี วงศ์อนุสรณ์
ฟลูต
Perapark Chalermsuk
Phumrapee Wong anusorn
Flute
ปวเรศ มาตสิมา Pawarech Matsima
คลาริเน็ต
เจตดิลก อุ่มอาสา
บาสซูน
ณัฐพล โกสัลล์ประไพ
เปียโน
ศศิภา รัศมิทัต
Clarinet
Siradanai Liangarun
Bassoon
Natthapol Kosaiprapai
Piano
Sasipa Rasmidatta
เชลโล
พ่อค้าเรือ
วาทะวัฒนะ
กู้เกียรติกาญจน์