สูจิบัตรออนไลน์ “ดนตรีร่วมสมัย & ไทยประยุกต์” วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม 2565

Page 1


ดนตรีร่วมสมัยไทยประยุกต์ ตามที่สำนักบริหารศิลปวัฒนธรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เชิญให้ข้าพเจ้า รองศาสตรจารย์ ดร. โกวิทย์ ขันธศิริ(ศาสตรเมธี ดนตรี) แสดงดนตรีในรายการฟังดนตรี ที่จุฬา ข้าพเจ้า ขอขอบคุณสำนักบริหารศิลปวัฒนธรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นัก ดนตรี นักร้อง นักแสดง และผู้เป็นหัวหน้าวงและสมาชิก วงจามจุรี วงOMS และวงคชา และในครั้งนี้ข้าพเจ้าได้จัดการแสดงดนตรีไทย และเพลงไทยประยุกต์ ซึ่งตรงกับวาระที่ ข้าพเจ้าได้รับรางวัล เพ็ชรสยาม จาก มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม ข้าพเจ้ารู้สึกเป็น เกียรติที่ได้รับเชิญ และยินดีจัดการฝึกซ้อม และเตรียมการแสดง ในรูปแบบดนตรีร่วม สมัยไทยประยุกต์ รูปแบบดนตรีไทยเดิม ดนตรีร่วมสมัย ที่ไพเราะและแนวดนตรีแบบ สร้างสรรค์ความร่วมมือ อุทิศเวลาในการเตรียมการฝึกซ้อม และแสดงคอนเสิร์ต ประเภท “ดนตรีประยุกต์ ทั้งไทยและสากล” รวมทั้งผลงานประพันธ์ใหม่ๆ ที่เป็นการนำนวัตกรรม สร้างสรรค์ ที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับยุค ดิจิตอล 4.0 อีกด้วย ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านผู้ชมจะได้รับ อรรถรสจากการแสดงคอนเสิร์ต “ดนตรีร่วมสมัยไทยประยุกต์” ในครั้งนี้อย่างมีความสุขโดยทั่วกัน รองศาสตรจารย์ ดร. โกวิทย์ ขันธศิริ (ศาสตรเมธี ดนตรี) ประธานจัดคอนเสิร์ต 1 กรกฎาคม 2565


รายการแสดง เพลงโหมโรงปฐมดุสิต การแสดงชุด 80 ปี คุณความดีในดวงใจ ฟ้อนลาวคำหอม บรรเลงโดย วงจามจุรี (วงพิเศษ) ------เพลงคำหวาน เพลงรักบังใบ บรรเลงโดย วงคชา ร่วมกับ วง OMS ------เพลงลาวแพน บรรเลงโดย วง OMS ------เพลงเดือนเพ็ญ เพลงเมดเลย์ เพลงลาวดวงเดือน บรรเลงโดย วงคชา ร่วมกับ วง OMS -------เพลงปะโอ เถา บรรเลงโดย วงจามจุรี (วงพิเศษ) -------เพลงข้างขึ้นเดือนหงาย เพลงสายทิพย์ บรรเลงโดย วงคชา ร่วมกับ วง OMS


ประวัติเพลง เพลงโหมโรงปฐมดุสิต เพลงนี้เป็นเพลงหนึ่ง ซึ่งอยู่ในประเภทที่เรียกว่า "หน้าพาทย์" ที่ใช้บรรเลงในชุดโหมโรง เย็น และสำหรับใช้บรรเลงประกอบกิริยาของตัวละคอนที่จะออกไปจัดพล เช่น สุครีพหรือมะโหธร เป็นต้น เรียกกันว่าเพลง "ปฐม" ต่อมาตรูแตง(ปี่) ได้นำเอาเพลงอีกเพลงหนึ่งซึ่งอยู่ในเพลง เรื่องมาแต่ง ให้ชื่อว่า "ปฐมดุสิต" ในระยะหลังนี้ หลวงประดิษฐ์ไพเราะ(ศร ศิลปบรรเลง) ได้คิด แต่งเพลงปฐมดุสิตขึ้นอีกทางหนึ่ง มีสำเนียงและทำนองเยือกเย็นไพเราะน่าฟัง และได้ใช้เป็น เพลงโหมโรงเสภาและมโหรีมาจนบัดนี้

80 ปี คุณความดีในดวงใจ เหล่าลูกศิษย์ด้านดนตรีไทยและดนตรีสากล กล่าวถึงความศัทธาความเป็นครู ของท่าน รองศาสตราจารย์ ดร. โกวิทย์ ขันธศิริ ศาสตรเมธี ดนตรี ท่านเป็นครูผู้ให้ มีเมตตาต่อศิษย์และ สังคมมาโดยตลอด มีผลงานเป็นที่ประจักษ์จนได้รับรางวัลยกย่องเชิดชูเกียรติต่าง ๆ อย่าง มากมาย ซึ่งรางวัลเหล่านั้นเป็นสิ่งที่การันตีบอกถึงความทุ่มเท ความเสียสละและความ เหน็ดเหนื่อยของการทำงานที่ผ่านมา และด้วยขณะนี้ท่านมีอายุครบรอบวาระ 80 ปี ด้วยความ เป็นครูก็ยังคงดำเนินอยู่ไม่มีคำว่าหยุดพัก เหล่าลูกศิษย์จึงขอมอบบทเพลงนี้ 80 ปี คุณความดี ในดวงใจ ให้แก่ท่าน คำร้อง อาจารย์นวลนุช ใจบรรจง ทำนอง เพลงเทวาประสิทธ์ และเพลงสะสม ขับร้องโดย อาจารย์พิมลภาวรรณ ทวัฒน์อัษฎางค์ 10 พ.ย. มาบรรจบให้ครบรอบ พระคุณท่าน 80 ปีที่หมุนเวียน นักกดนตรีสองวิญญาณประสานศิษย์ ประมวลปราชญ์ศาสตร์ศิลป์สืบสานไป อันในความปราณีท่านมีมาก เจตจำนงอุทิศตนมอบปัญญา ศาสตรเมธีเป็นศรีก้อง ขอให้ครูชื่นอุราในสกล

ศิษย์น้อมนอบน้อมประณตจรดเศียร ดุแสงเทียนที่ส่องทางไม่จางใจ เป็นมิ่งมิตรแด่ทุกชนสิ้นสงสัย มอบด้วยใจให้ด้วยรักและศรัทธา ยากลำบากเพียงไหนไม่โหยหา สร้างคนเก่งสร้างคนกล้าสู่สังคม สิ่งรับรองคุณความดีที่สร้างสม บันดาลดลให้ครูสุขนิรันดร์


ฟ้อนลาวคำหอม เพลงลาวคำหอมเป็นเพลงที่แต่งขึ้นเพื่อร้องอวดกันในการเล่นสักวา โดยจะแต่งขึ้นโดย อัตโนมัติ ไม่มีเพลงใดเป็นสมุฏฐาน โดยเพลงเหล่านี้จะมีทำนองที่แต่งขึ้นอย่างไพเราะคมคาย เพลงลาวคำหอมเป็นเพลงที่จ่าเผ่นผยองยิ่ง (โคม) ซึ่งเรียกโดยทั่วไปว่า "จ่าโคม" นักร้องและนัก แต่งเพลงสักวามีชื่อผู้หนึ่งแต่งขึ้นโดยอัตโนมัติทั้งบทร้องและทำนองเพลง เพลงลาวคำหอมนี้ แม้จะมีประโยคคล้ายและลีลาเป็นอัตรา 2 ชั้นก็จริง แต่มีความยาวไล่เลี่ยกับเพลงอัตรา 3 ชั้น บางเพลง และมีทำนองไพเราะน่าฟังมากจนเป็นที่นิยมแพร่หลายเข้ามาในวงการร้องส่งดนตรี โดยทั่วไป เมื่อทำนองเพลงลาวคำหอมได้รับความนิยมเข้ามาในวงการร้องส่งดนตรี พระยา ประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) จึงแต่งทำนองดนตรีขึ้นสำหรับบรรเลงรับร้อง โดย ถอดจากทำนองร้องของจ่าเผ่นผยองยิ่งอีกชั้นหนึ่ง และก็ได้รับความนิยมแพร่หลายในวงการ ดนตรีทุกชนิดจนปัจจุบัน ขับร้องโดย อาจารย์กัญจนปกรณ์ แสดงหาญ คีตศิลปิน กรมศิลปากร อาจารย์พิมลภาวรรณ ทวัฒน์อัษฎางค์ (ญ) ยามเมื่อลมพัดหวน (ช) ลมก็อวล (ญ) แต่กลิ่นมณฑาทอง (ช) ไม้เอยไม้สุดสูง (ญ) อย่าสู้ปอง ไผเอย (ญ) บ่ได้ต้อง แต่ยินนามดวงเอย (ช) โอ้เจ้าดวง เจ้าดวงดอกโกมล กลิ่นหอมเพิ่งผุดพ้น พุ่มในสวนดุสิตา แข่งแขอยู่แต่นภา ฝูงภุมราสุดปัญญาเรียมเอย (ญ) โอ้อกคิดถึง คิดถึงคะนึงนอนวันนอนไห้ใฝ่ฝัน เห็นจันทร์แจ่มฟ้า โอ้อกคิดถึง คิดถึงคะนึงนอนวัน นอนไห้ใฝ่ฝัน เห็นจันทร์แจ่มฟ้า (ช) ทรงกลด สวยสดโสภา แสงทองส่องหล้า ขวัญตาเรียมเอย ทรงกลด สวยสดโสภา แสงทองส่องหล้า ขวัญตาเรียมเอย ผู้แสดงจาก ชมรมศิษย์เก่านาฎศิลป็ ดนตรีไทย ล้านนา พลอากาศตรี หญิง ศาสตราจารย์ ยลสลวย วาริทสวัสดิ์ ศิษย์เก่า มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดร. อัญชุลี สิมะเสถียร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คุณบุศยรัตน์ แก้วไพฑูรย์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย คุณพิรีย์ธร อภิชาติธรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร


เพลงคำหวาน บทเพลงคำหวาน เป็นเพลงอัตราจังหวะสองชั้น สมัยอยุธยา เป็นเพลงท่อนเดียวอยู่ใน เพลงตับเรื่องนางไห้ซึ่งมีอยู่ 5 เพลง คือ เพลงนางไห้ เพลงชมทะเล เพลงลมพัดชายเขา เพลง คำหวาน และเพลงเบ้าหลุด ซึ่งเพลงนี้ได้แรงบันดาลใจจากหนังเรื่องโหมโรง ทำให้วงคชาได้นำ บทเพลงนี้มาเป็นเพลงโหมโรงเพื่อบอกถึงความรักที่มีต่อผู้ฟัง

เพลงรักบังใบ เพลงบังใบเป็นเพลงอัตราจังหวะสองชั้น เป็นเพลงเก่าไม่ทราบนามผู้แต่ง ประเภทหน้า ทับสองไม้ มีสองท่อน ใช้ขับร้องในการแสดงโขนละคร ภายหลังมีผู้นำมาแต่งขยายขึ้นเป็นอัตรา สามชั้น และตัดลงเป็นชั้นเดียวครบเป็นเพลงเถา มีอยู่หลายทางด้วยกัน ทางที่นิยมมากคือ ทาง ปี่พาทย์ของจางวางทั่ว พาทยโกศล ทางของครูช้อย สุนทรวาทิน และทางของพระยาประสาน ดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) เพลงบังใบเป็นเพลงในตับวิวาห์พระสมุทรเช่นเดียวกับเพลง คลื่นกระทบฝั่ง และแขกสาหร่าย เพลง "รักบังใบ" วิวัฒนาการมาเป็นท่วงทำนองสากล โดยฝีมือครูเอื้อ สุนทรสนาน แล้ว ครูท่านก็ให้นักร้องหญิงในวงสุนทราภรณ์ขับร้องต่อ ๆ กันมา ซึ่งเข้าใจว่ารวงทอง ทองลั่นทม จะได้รับโอกาสขับร้องอัดแผ่นเป็นคนแรก ครั้งนี้วงคชาได้นำบทเพลงนี้มาแสดงเป็นท่วงทำนองแบบบูลส์ แจ๊สที่ยังคงทำนองเดิมไว้ คำร้อง ชอุ่ม ปัญจพรรค์ ทำนอง เอื้อ สุนทรสนาน ขับร้องโดย อาจารย์ กาม-เทพหลอกลวง เสียบศรปักทรวง ให้ห่วงหา ให้รักแล้วไยมา ริดรักราแรมไกล รัก ของข้าดั่งบัวบังใบ บัง มิให้ ใครเห็น คร่ำครวญหวนทุกเช้าเย็นตรอม ตรม สุดหักสุดหาย หัวใจมิวาย ระบม สุดตรอมสุดตรม ใจ ยิ่งคิดให้ โหย หา ต้องบังรักไว้ไม่กล้า บอก ใคร เย็น ย่ำ สุริยา ตะวันจากตา พามืดมิด โอ้ช่างเหมือน ดวงจิต มิดมืดยามรักไกล น้ำ ตาตกตาม ตะวัน นึกแล้วหวั่น พรั่น ใจ อกเอ๋ยทำฉันใด เล่า เอยคู่ชื่นเคยเชยรักร้างเลย แรมรา ยิ่งพาให้หนาว ไฉน ปองรักอย่าง บัวบังใบ ต้องช้ำ หัวใจ เรื่อย มา


เพลงลาวแพน เป็นเพลงที่นักดนตรีนิยมนำมาบรรเลงเป็นเพลงเดี่ยวอวดฝีมือกันมากเพลงหนึ่ง ประวัติ เดิมนั้นเล่ากันว่า เพลงนี้มีต้นเค้ามาจากเพลงที่นิยมร้องเล่นกันในหมู่เชลยชาวลาวที่ไทย กวาดต้อนมาจากเมืองเวียงจันทน์ในสมัยตอนต้น ๆ ของยุครัตนโกสินทร์ ท่วงทำนองเพลงนี้มี ทั้งความอ่อนหวานรำพึงรำพันและโศกเศร้าระคนกัน ต่อมานักดนตรีหลายท่าน เห็นว่าเพลงนี้มีท่วงทำนองแปลกไพเราะน่าฟังจึงนำมาปรุง แต่งเสียใหม่ให้เข้ากับอรรถรสของเพลงไทยที่มีสำเนียงลาว และเนื่องจากเค้าโครงของเพลงนี้มี ลักษณะพิเศษที่เปิดโอกาสให้ปรุงแต่งท่วงทำนองที่แปรเปลี่ยนไปได้มากมายหลากหลายรูปแบบ จึงมีการคิดประดิษฐ์ทางเพลงที่แตกต่างกันออกไปหลายแนวทางด้วยกัน ครั้งนี้พวกเราลูกศิษย์ รองศาสตราจารย์ ดร.โกวิทย์ ขันธศิริ จึงอยากนำเสนอบทเพลงนี้ หลายมุมมองที่สะท้อนถึง คำว่า “สองวิญญาณ” ที่ครูถ่ายทอดให้แก่ศิษย์ทั้งสาม และได้เป็นแรง บันดาลใจที่ทำให้ศิษย์มีความอนุรักษ์ดนตรีไทย รักและชื่นชอบดนตรีที่ไม่มีขีดจำกัด จะเป็น อย่างไร แล้วจะเสนอมุมมองทั้งสามในแบบไหน มาร่วมฟังความภูมิใจของพวกเรา รายชื่อผู้แสดง ไวโอลิน ไวโอลิน ไวโอลิน โทน รำมะนา ฉิ่ง

มัลลิกา ธนลาภประเสริฐ ธมลวรรณ พุ่มเจริญ อมเรศ คำสม รองศาสตรจารย์ ดร. โกวิทย์ ขันธศิริ ศาสตรเมธี ดนตรี อาจารย์ชาติชาย ศรีสมุทร

เพลงเดือนเพ็ญ เพลงเดือนเพ็ญหรือเพลงคิดถึงบ้าน ได้ทำนองจากเพลงไทยเดิมเพลง “พม่าเห่ ” และ เขียนเนื้อร้อง โดยอัสนี พลจันทร (นามปากกานายผีหรือสหายไฟ) เพลงนี้ถูกแต่งขึ้นจากความ รู้สึกคิดถึงบ้านของตัวเขาเองโดยเหตุการณ์ทางสังคมในสมัยนั้นและเพลงนี้ได้รับการยกย่องว่า เป็นสุดยอดเพลงเพื่อชีวิต เนื่องด้วยเป็นเพลงที่ถูกบันทึกเสียงและขับขานในวาระต่าง ๆ มาก ที่สุดเพลงหนึ่งในรอบทศวรรษที่ผ่านมา ในครั้งนี้วงคชาได้นำมาเรียบเรียงใหม่ให้เข้ากับยุคสมัย โดยใช้ทางเดินคอร์ดแบบสากลมาประยุกต์เป็นสมัยใหม่แต่ยังคงทำนองเดิมอยู่


เพลงเมดเลย์ เพื่อความบันเทิงสนุกสนานวงคชาได้เรียบเรียนเสียงประสานโดยนำบทเพลงใน 3 ภาค ของประเทศไทยมาเล่นเป็นเมดเล่ย์ เป็นเพลงที่ให้ความบันเทิงสนุกสนาน รื่นเริง เรียบง่าย มี เพลงดังนี้ 1.นกกระเต็นเต้นระบำ แต่งโดยศิลปินแห่งชาติอาจารย์ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี เป็นแบบฝึกหัดสำหรับมือขลุ่ย เปรียบ เสมือนเป็นเพลงครูที่ต้องใช้ความชำนาญในการบรรเลง 2.เต้ยโขง เป็นเพลงอีสานสั้น ๆ ที่ใช้รำเกี้ยวกันหรือนำมารำแทรกในขณะลำเรื่องยาว ๆ (ที่เรียกว่าลำ ล่อง) เพื่อเปลี่ยนอารมณ์เพลงให้สนุกสนานน่าฟัง เต้ยโขงเป็นเพลงทำนองลายที่ดังที่สุดใน บรรดาเพลงเต้ยทั้งหมด แต่ในครั้งนี้จะถูกนำเสนอเป็นดนตรีประยุกต์สมัยใหม่ โดยใช้ทางเดิน คอร์ดแบบสากลแต่ยังคงเอกลักษณ์ของเพลงไว้ 3.ตารีกีปัส คำว่า "ตารีกีปัส" มาจากภาษามลายูสองคำที่ว่า "ตารี" ที่แปลว่า ระบำ หรือ ฟ้อนรำ และ คำว่า "กีปัส" ที่แปลว่า พัด ดังนั้นคำนี้จึงแปลว่า การฟ้อนรำที่ใช้พัดประกอบการแสดง บทเพลงนี้เป็นศิลปะการแสดงระบำพื้นเมืองที่เป็นวัฒนธรรมร่วมของทางภาคใต้ของ ประเทศไทย มาเลเซีย และซูลาเวซีใต้ของอินโดนีเซีย ที่ใช้พัดประกอบการแสดง ประกอบกับ เพลงที่มีความไพเราะน่าฟัง ลีลาท่ารำจึงอ่อนช้อย และเป็นการแสดงที่แพร่หลายในหมู่ชาวไทย มุสลิม โดยเฉพาะในจังหวัดปัตตานี นอกจากนั้นยังได้นำไปเผยแพร่ยังต่างประเทศ ในงาน มหกรรมพื้นบ้านโลกอีกด้วย เพลงลาวดวงเดือน เพลงลาวดวงเดือน พระนิพนธ์ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์ กรม หมื่นพิไชยมหินทโรดม เป็นเพลงที่ได้รับความนิยมแพร่หลาย นำมาขับกล่อมบรรเลง ในอารมณ์ที่ แสดงออกถึงความรักที่ไม่สมหวัง ในบทเพลงนี้วงคชาได้แต่งบทกลอนเพื่อบ่งบอกความหมาย และความเป็นมาของบทเพลงในรูปแบบดนตรีร่วมสมัย


เพลงปะโอ เถา เพลง ปะโอ เถา ประพันธ์เพลงโดย รองศาสตราจารย์ ดร. โกวิทย์ ขันธศิริ (ศาสตรเมธี ดนตรี) แรงบันดาลใจที่ได้ประพันธ์เพลง ผู้ประพันธ์นึกถึงความสุขที่แท้ของชีวิตมนุษย์คืออะไร ความสุขที่แท้นั้น บ้างอาจคิดว่าเกิดจากการรักสงบ การอยู่อย่างสันโดษ หรืออยู่ร่วมกันแบบหมู่ คณะ อย่างไรก็ตาม ความรักดังกล่าว จำต้องมีสุนทรียภาพในอารมณ์ มาเกี่ยวข้องเพื่อให้ชีวิตมี ความสุขอย่างสมบูรณ์ขึ้น ผู้ประพันธ์ได้มีโอกาสสัมผัสเรียนรู้กับชีวิตความเป็นอยู่ของชาวปะโอที่อยู่ท่ามกลาง ธรรมชาติ รักสงบ มีวัฒนธรรมเป็นของตนเองและอยู่อย่างมีความสุขร่าเริงสนุกสนาน จึงคิด ประพันธ์เพลงปะโอขึ้น เพื่อเป็นการให้กำลังใจเพื่อนมนุษย์ และพี่น้องชาวปะโอที่อาศัยอยู่ใน ประเทศไทย ผู้ประพันธ์ได้นำเพลงพม่าแทงกบ อัตราจังหวะสองชั้น มาขยายเพิ่มในอัตราจังหวะ สามชั้น และอัตราจังหวะชั้นเดียว และตั้งชื่อเพลงนี้ว่า เพลงปะโอ เถา เป็นเพลงที่มีท่วงทำนองที่ โลดแล่นสอดรับกับความดั้งเดิมของชาติพันธุ์และจิตวิญญาณของหน้าทับอันเป็นองค์ประกอบ สำคัญ และประพันธ์คำร้องเพลงปะโอ เถา เพื่อเป็นการเผยแพร่ชีวิตความเป็นอยู่อย่างสงบของ ชาวปะโอ

โน้ตเพลงปะโอ เถา ผู้ประพันธ์ รองศาสตราจารย์ ดร.โกวิทย์ ขันธศิริ



โน้ตเพลงปะโอ เถา ผู้ประพันธ์ รองศาสตราจารย์ ดร.โกวิทย์ ขันธศิริ


เนื้อร้องเพลงปะโอ เถา คำร้อง รองศาสตราจารย์ ดร. โกวิทย์ ขันธศิริ (ศาสตรเมธี ดนตรี) ขับร้องโดย อาจารย์พิมลภาวรรณ ทวัฒน์อัษฎางค์ สามชั้น ค่ำคืนเดือนหงาย ฉันนั่งขี่ควายไปตามทุ่งนา ได้ยินเสียงหริ่งเรไรก้องมา สุขใจหนักหนา เมื่อเวลาเดือนเพ็ญ กลุ่มดวงดาวแสนพร่างพราว ส่องสกาวงามเด่น ลมพัดเย็นๆ แสนสบายอุรา สองชั้น วัฒนธรรม ล้ำค่า สืบกันมาลูกนาคา ยึดมั่น (สร้อย)ปะโอเรานั้นลูกนาคา นาคา เอกลักษณ์นั้น สีสันงามตา เสน่ห์หนักหนา ผ้าอาภรณ์ ประดับกาย จิตใจงามเหลือหน้าสดใส ด้วย Smile แย้มยิ้มสดสวย ด้วยใจ ผ่อนคลาย ทั้งหญิงทั้งชาย ผูกมิตรไมตรี ปะโอเรานี้ สุขีร่มเย็น (สร้อย)ปะโอเรานั้น รักกันสามัคคี ชั้นเดียว ปะโอชนเผ่าเหล่านี้ แสนชอบดนตรีร้องรำทำเพลง มีนิสัยที่ชอบครื้นเครง ร่วมกันบรรเลงสนุกเฮฮา


เนื้อแปลเพลงปะโอ เถา คำร้องโดย รองศาสตราจารย์ ดร. โกวิทย์ ขันธศิริ (ศาสตรเมธีดนตรี) ပအိုဝ်းမယ်တော်သီချင်း တွဲဖက်ပါမောက္ခ ဒေါက်တာ Kowit Khansiri က ရေးသားခဲ့သည်။

ปะโอสามชั้น แสงจันทร์ส่องผ่านทุ่งนา ในคืนพระจันทร์เต็มดวง ระฆังดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า สายลมเย็น ๆ ของดวงดาวระยิบระยับทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ပအိုဝ်းအလွှာသုံးလွှာ လရောင်သည် လယ်ကွင်းများတစ်လျှောက် လင်းလက်နေသည်။ ကဆုန်လပြည့်ည၌ ခေါင်းလောင်းသံက အထပ်ထပ် မြည်နေပြီး၊ မှိတ်တုတ်မှိတ်တုတ် ကြယ်ပွင့်တွေရဲ့ အေးမြ တဲ့လေနုအေးက ကျွန်တော့်ကို အေးချမ်းစေတယ်။

ปะโอสองชั้น วัฒนธรรม ล้ำค่า พวกเขาได้รับมรดกจากกันและกัน เป็นบุตรของป่าอ้อ หลักฐานสีสวยงามหนักตา จิตใจที่งดงามด้วยใบหน้าที่ชัดเจน สร้างมิตรภาพอันสงบสุขกับชาย หญิงคู่นี้ด้วยรอยยิ้มที่สวยงามและจิตใจที่สงบ รักกันดี. ပေါလ်နှစ်လွှာ ယဉ်ကျေးမှု၊ အဖိုးတန်၊ အချင်းချင်း အမွေဆက်ခံကြသည်။ (လည်ဆွဲ) ပအိုဝ် သည် ၏သားဖြစ်သည်။ အထောက်အထား လှပသောအရောင်များ, လေးလံသောမျက်စိဆွဲဆောင်မှု။ အထည် ကြည်လင်သောမျက်နှာဖြင့် လှပသောစိတ်၊ လှပသောအပြုံးဖြင့် စိတ်အေးလက်အေးရှိသော ယောက်ျားရော မိန်းမပါ ဤပအိုရအိုနှင့် ငြိမ်းချမ်းအေးဆေးသော မိတ်သဟာရဖွဲ့ပါ။ (လည်ဆွဲ) ပအိုဝ် အချင်းချင်းချစ်ကြလော့။

ปะโอชั้นเดียว จำพวกนั้นคือดนตรี ฉันชอบร้องเพลงและเต้น ทำให้เป็นนิสัยที่จะชื่นชมยินดี พวกเขาหัวเราะและ เล่นด้วยกัน အလွှာတစ်ခုတည်း အဲဒီအနွယ် ဆန်း သည် ဂီတ၊ သီချင်းဆိုခြင်းနှင့် အကများကို နှစ်သက်သည်။ ရွှင်လန်း သော အလေ့အထ ရှိပါစေ။ အတူတူ ရယ်မော ဆော့ကစားကြသည်။

ผู้แสดงประกอบจาก คณะหุ่นปัญจสิกขรา แสดงโดย อาจารย์ศรุต แจ้งอนันต์


เพลงข้างขึ้นเดือนหงาย เพลงนี้บันทึกเสียงไว้สองครั้ง บันทึกเสียงครั้งแรก ประมาณปี พ.ศ. 2485 ครั้งแรก คุณเลิศเป็นผู้ร้อง แต่มีครูเอื้อร้องประสานเสียงในท่อนสุดท้าย แต่การบันทึกครั้งที่สองคุณเลิศ ร้องคนเดียวจนจบเพลงเลย ในการบันทึกเสียงครั้งที่สอง ในท่อนที่สองคุณเลิศร้องผิดเป็น "ข้างขึ้นเดือนหงาย" ซึ่ง ซ้ำกับท่อนแรก ที่จริงแล้วที่ถูกคือ "อยู่นาเดือนหงาย" จังหวะรัมบ้า เพลง "ข้างขึ้นเดือนหงาย" ครูแก้ว อัฉริยะกุล เคยเล่าไว้ว่า ได้ความบันดาลใจเมื่อครั้งที่ หลบภัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ไปอยู่ต่างจังหวัด แล้วเห็นเด็กเลี้ยงควายมีความสุขตามประสาเด็ก บ้านนอก ไม่ต้องรับรู้เรื่องราวความเดือดร้อนยามสงครามอะไรกับเขาเลย แสดงถึงความบ้าน ๆ ของไทยที่หาชมได้เฉพาะในต่างจังหวัดได้ดีจริง ๆ เนื้อเพลง ข้างขึ้นเดือนหงาย คำร้อง แก้ว อัจฉริยะกุล ทำนอง เอื้อ สุนทรสนาน ขับร้อง อาจารย์จินตนา กล้ายประยงค์ รองศาสตรจารย์ ดร. โกวิทย์ ขันธศิริ (ศาสตรเมธี ดนตรี) ข้างขึ้นเดือนหงาย เราขี่ควายชมจันทร์ เพลิดเพลินใจฉัน โคมสวรรค์พราวพราย ไขว่ห้างนั่งเฉย เออระเหยลอยชาย เป่าขลุ่ยเพลงหนัง บนหลังควาย ชื่นพระพายโชยมา แม้ว่าต้องการ เพื่อนคุย ฉันมีเจ้าทุยสนทนา พูดจาตอบถามตามประสา ลัดเลี้ยวคันนาตามชอบใจ สุขใจจริงหนอ เราไม่ง้อใคร ๆ เจอะหน้าคนรัก ก็รับไป เป่าขลุ่ยสอดคล้องเราร้องไป ขี่ควายชมฟ้าเพลินตาเพลินใจ จันทร์แจ่มใสเต็มดวง ข้างขึ้นเดือนหงาย เราขี่ควายพาควง แต่หนุ่มชาวเมืองหลวง พาคู่ควงเปลืองครัน อยู่กรุงอยู่นา ไอ้มันก็ฟ้าเดียวกัน ขี่ควายขี่เก๋ง ก็เหมือนกัน มันก็พระจันทร์ดวงเดียว เขาว่ารถยนต์ สบาย แต่ฉันว่า แพ้ควายแท้เทียว อยู่กรุงไปไหนให้หวาดเสียว ปรู๊ดปร๊าดโครมเดียวเราก็ตาย ต้นข้าวอ่อนพริ้ว ชูยอดริ้วเรียงราย ค่อยชมแช่มช้อย ค่อยเยื้องกราย ขี่ควายแช่มช้า ประสาควาย อยู่นาสุขแสนเมืองแมนกลาย ๆ เดือนก็หงายพอกัน


เพลงสายทิพย์ เป็นเพลงที่ประพันธ์คำร้อง โดยแพทย์หญิง ปานทิพย์ (โลจายะ) วิริยะพานิช กุมารแพทย์ อดีตรองผู้อำนวยการ โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน ทำนองโดย ดร.สายสุรี จุติกุล นักวิชาการ ด้านสิทธิสตรีและเด็ก ชื่อเพลงสายทิพย์นี้มีที่มาจากชื่อของผู้แต่ง ทั้งสองท่าน เพลงนี้แต่งเมื่อ ท่านทั้งสองกำลังศึกษาที่โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย เมื่อ พ.ศ. 2490 ครั้งนี้วงคชา นำบทเพลงนี้เพื่อสื่อถึงความรักถึงเพื่อนที่ต้องจากลากันเพื่อกลับมาพบ กันใหม่ จึงอยากให้ทุกคนร่วมร้องเพลงนี้ด้วยกันเพื่อมอบเป็นความรักที่เราได้พบกันครั้งนี้ เนื้อเพลงสายทิพย์ คำร้อง พญ.ปานทิพย์ (โลจายะ) วิริยะพานิช ทำนอง ดร.สายสุรี จุติกุล ขับร้อง โดย อาจารย์จินตนา กล้ายประยงค์ แสงดาวสวยพราวดูเด่น เฝ้าเผลอหัวใจละเมอรำพัน แสงเดือนเหมือนเตือนใจเศร้า คอยไปถึงตัวแสนไกลรักมั่น จากเธอไปแล้วใจหาย รักมั่นมิวายคลายจาง ขอเดือนช่วยเตือนใจมั่น มองจันทร์นึกความสัมพันธ์ครั้งก่อน จากเธอไปแล้วใจหาย รักมั่นมิวายคลายจาง ขอเดือนช่วยเตือนใจมั่น มองจันทร์นึกความสัมพันธ์ครั้งก่อน

เพ่งเห็นเหมือนตาของเธอ โอ้เรารักร้าวดวงใจ ดวงใจยังคิดถึงสายสัมพันธ์ ใฝ่ฝันถึงเธอทุกวัน ดวงใจยังคิดถึงสายสัมพันธ์ ใฝ่ฝันถึงเธอทุกวัน


ประวัติวงจามจุรี วงดนตรีจามจุรี มีกำเนิดเริ่มจากการรวมตัวจากคณาจารย์ และนิสิตจุฬาฯ ได้จัดการฝึก ซ้อมและจัดแสดงออกเป็นเอกเทศจากวงของครุศาสตร์ดนตรี ตั้งแต่เริ่มมีสาขาวิชาเอกดนตรี ศึกษาที่คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ ในขณะนั้น ผู้ควบคุมวงดนตรีสากลคือ รองศาสตราจารย์ ดร.โก วิทย์ ขันธศิริ และรองศาสตราจารย์อรวรรณ บรรจงศิลป เป็นผู้ควบคุมส่วนของดนตรีไทย และ ทั้งสองท่านได้มีส่วนในการก่อตั้ง ควบคุมการฝึกซ้อม และร่วมแสดงดนตรีมาโดยตลอด รูปแบบ การแสดงดนตรีจัดแบบวงดนตรีประยุกต์ โดยมีการคัดนักดนตรีที่มีฝีมือระดับอาจารย์ รวมทั้ง นิสิตที่มีฝีมือเป็นเลิศ มาร่วมวงและออกแสดงในงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิ งาน คอนเสิร์ต การแสดงตามเวทีต่าง ๆ งานในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ งานมงคล ทั้งในกรุงเทพฯ และ ต่างจังหวัด รวมทั้งงานเชิญให้แสดงที่สำคัญ ๆ ในโรงแรม ระดับ 5 ดาวทั่วกรุงเทพฯ ศูนย์ วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย วงจามจุรีได้รับเชิญไปแสดงดนตรีไทยในยุโรปและเอเซีย ได้รับความ ร่วมมือจากอาจารย์ทางนาฎศิลป์มาร่วมแสดงในครั้งทำการแสดงในต่างประเทศ และงานอื่น ๆ ในนามทูตวัฒนธรรมทางดนตรี ในส่วนวงจามจุรีออเคสตร้า เริ่มเป็นที่รู้จักกันทั่วไปเนื่องจาก ทางวงได้รับเชิญแสดงออกอากาศทางทีวีโทรทัศน์ ช่อง 9 ที่มีชื่อว่า รายการศรีนครคอนเสิร์ตที่ เป็นวงแรก ๆ ที่มีการบรรยายเพลงคลาสสิก ไลท์คลาสสิกที่บรรเลงเพลงสากลที่นิยม และเพลง จากภาพยนต์ เพลงคลาสสิก และเพลงไทยเดิมมาเรียบเรียงใหม่ มีการเดี่ยวและขับร้องโดยนัก ดนตรีและนักร้องระดับมืออาชีพ จนวงจามจุรีเป็นที่รู้จักกันทั่วไป และในส่วนวงดนตรีสากล ขนาดใหญ่ในรูปแบบวงซิมโฟนี และวงเชมเบอร์มิวสิคออเคสตร้า ในปัจจุบันได้ตั้งชื่อขึ้นมาใหม่ว่า วง OMS โดยการควบคุมของ รองศาสตราจารย์ ดร.โกวิทย์ ขันธศิริ และ อาจารย์ปิยะวิทย์ ขันธ ศิริ รายนามผู้แสดง วงจามจุรี (ประเภทวงพิเศษ) ระนาดเอก อาจารย์ชาติชาย ศรีสมุทร ระนาดทุ้ม อาจารย์ทะเบียน มาลัยเล็ก ซอด้วง/ ไวโอลิน รองศาสตราจารย์ ดร.โกวิทย์ ขันธศิริ ซอด้วง อาจารย์วิศรุต แซ่จุ่ง ซอสามสาย อาจารย์เอกวิทย์ ศรีสำอางค์ ซออู้ อาจารย์ณิชกานต์ เขียวแก้ว, นางสาวมนนัทธ์ นิลกลัด ขลุ่ย นายกิตติพล มั่นชาวนา เครื่องหนัง อาจารย์ไกรฤทธิ์ กันเรือง, นายธนินทร์ธร ใบบุญ ฉิ่ง นายพิพัฒพงษ์ วงศ์เจียก ฉาบเล็ก อาจารย์ปิยะวิทย์ ขันธศิริ กรับ อาจารย์จินตนา กล้ายประยงค์ ขับร้อง อาจารย์พิมลภาวรรณ ทวัฒน์อัษฎางค์


OMS String Ensemble ได้เริ้มต้นเมื่อปี พ.ศ. 2559 โดย อาจารย์ปิยะวิทย์ ขันธศิริ และได้รับการสนับสนุนจาก รองศาสตราจารย์ ดร. โกวิทย์ ขันธศิริ "OMS String Ensemble" ได้จัดขึ้นมาเพื่อรองรับกลุ่มคนผู้อยากพัฒนา การศึกษา การสร้างสรรค์ ศิลปะ ศักยภาพทางดนตรีอย่างแท้จริง เนื่องจากปัจจุบัน การเรียนดนตรีส่วน ตัว(private) อย่างเดียว จึงไม่พอสําหรับการเป็นนักเล่นที่ดีให้ครบถ้วนได้ การร่วมกิจกรรมซ้อม รวมวงอย่างสมํ่าเสมอควบคู่กับการเรียนจึงเป็นสิ่งจําเป็น และเป็นประโยชน์ในการพัฒนา ทางการเล่นได้ดีมาก ทั้งการอ่านโน้ต การฟัง การมีความสามัคคี การเตรียมความพร้อมก่อนมา ร่วมซ้อม ความรับผิดชอบต่อส่วนรวม ซึ่งทักษะต่าง ๆ ผู้เข้าร่วมกิจกรรม สามารถนําทักษะนี้ไป ใช้ในวงที่เป็นอาชีพต่อไปได้ การรวบรวมซ้อมต่อเนื่องอย่างสมํ่าเสมอ และเอาใจใส่ โดย อาจารย์ ปิยะวิทย์ ขันธศิริ และ รองศาสตราจารย์ ดร. โกวิทย์ ขันธศิริ การนําบทเพลงที่หลากหลายแนวเพลงมาผสมผสาน ซ้อมในวง ทําให้นักดนตรีได้ประโยชน์จากการซ้อมเพลงที่หลากหลายแนวมากขึ้น ทั้งยุคสมัยใหม่ และยุคสมัยเก่า ซึ่งบางโอกาสได้เชิญวิทยากรที่มีความรู้ความสามารถ มาช่วยถ่ายทอดให้แก่นัก ดนตรีอีกด้วย โดยสมาชิกส่วนใหญ่เป็นนักเรียนไวโอลินที่ "ORKESTA MUSIC STUDIO" และ นักดนตรีผู้สนใจกิจกรรมการซ้อม Ensemble จากที่อื่น ๆ ทุกคนสามารถมาร่วมซ้อมในวงได้ โดยจะต้องผ่านการคัดเลือกตามที่กําหนดไว้ ก่อนเข้าร่วมกิจกรรมกับวง ปัจจุบัน วง OMS String Ensemble เปิดรับงานการแสดง หรือ รับพิจารณางานกิจกรรมต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ ต่อสังคมและประเทศชาติ รายนามผู้แสดง ไวโอลิน ขจิตทัต ศรีบุญ ไวโอลิน มัลลิกา ธนลาภประเสริฐ ไวโอลิน อมเรศ คำสม ไวโอลิน ธมลวรรณ พุ่มเจริญ ไวโอลิน ธนโชติ ผตัณฑพฤกษ์ผล ไวโอลิน พิชชาภา อ้นมาตร ไวโอลิน ขจิตทัต ศรีบุญ ไวโอลิน อาจารย์ปิยะวิทย์ขันธศิริ ไวโอลิน รองศาสตรจารย์ ดร.โกวิทย์ ขันธศิริ (ศาสตรเมธี ดนตรี)


วงคชา แสดงร่วมกับ วง OMS เกิดจากแนวคิดอนุรักษ์ศึกษาวัฒนธรรมไทยโดยนำบทเพลงไทยมาประยุกต์ผสมผสาน กับดนตรีสากลจึงเกิดวงคชาขึ้น คำว่า "คชา" หมายถึงช้างชื่อของวงจึงหมายถึง ความยิ่งใหญ่ อีกทั้งช้างเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองของไทย และอีกความในหนึ่งคือช้างเป็นตัวแทนของ องค์พระพิฆเนศ ซึ่งเป็นเทพที่มีแต่ความสำเร็จในทุกประการ รายนามผู้แสดง ขลุ่ย/ กีตาร์ ระนาดเอก เปียโน ไวโอลิน ขลุ่ย กลองชุด กีตาร์

ผู้ช่วยศาสตราจารย์วิเชียร ธนลาภประเสริฐ อาจารย์มานพ สุขสุเดช ศิริพร ธนลาภประเสริฐ มัลลิกา ธนลาภประเสริฐ ธัญญ์ชนพร ธนลาภประเสริฐ ชินกฤต ใบราตรี ณัฎฐภพ ชรานนท์

พิธีกร อาจารย์นวลนุช ใจบรรจง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ยุทธกร สาริกขกานนท์


สำนักบริหารศิลปวัฒนธรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย CU Art Culture @cuartculture CU Art Culture cu.art.culture 099-328-1616 cuartculture@chula.ac.th www.cuartculture.chula.ac.th


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.