เศรษฐศาสตร์
่ นแปลง การเปลีย สภาพภูมิอากาศ ว่าด้วย
ภาคการท่องเที่ยว
Climate Change International Technical and Training Center: CICT
CONTENT j
01 02 03 04 05
ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อการ ท่องเที่ยวและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง มาตรการทางเศรษฐศาสตร์เพื่ อส่งเสริมการ ท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน การวิเคราะห์ความคุ้มค่าการลงทุนเพื่ อสร้างภูมิคุ้มกันต่อ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การวิเคราะห์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับการปรับตัวต่อการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การวิเคราะห์แบบหลายเกณฑ์เพื่ อการตัดสินใจเชิง นโยบายการท่องเที่ยว
00
01
ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศต่อการท่องเที่ยว และการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง
ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อ การท่องเที่ยวและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง การท& อ งเที ่ ย วมี ส ภาพอากาศเป4 น สิ ่ ง ดึ ง ดู ด ทางการท& อ งเที ่ ย ว (climate attraction) เนื ่ อ งจากสภาพอากาศที่ เหมาะสมเป4นส&วนสนับสนุนที่สำคัญอย&างมากต&อกิจกรรมการท&องเที่ยว ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส&งผลกระทบ ต&อการท&องเที่ยวทั้งทางตรงและทางอUอม
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
และผลกระทบต่อการท่องเที่ยว คณะกรรมการระหว*างรัฐบาลว*าด1วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change; IPCC) ได1สรุปการผลกระทบการท*องเที่ยวจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ออกเปXน 3 กลุ*ม (UNWTO: 2008) ดังนี้ 1. ผลกระทบทางตรง: ผลกระทบที่เกิดขึ้นโดยตรงต&อการท&องเที่ยว เช&น ภาวะน้ำ ท&วม ความแหUงแลUง ความหนาวเย็น คลื่นความรUอน พายุไซโคลน ซึ่งส&งผลกระทบ โดยตรงต&ออุตสาหกรรมการท&องเที่ยว พรUอมกันนั้น ยังส&งผลใหUเกิดการหยุดชะงัก ของธุรกิจการท&องเที่ยว อันเนื่องมาจากความไม&แน&นอนใจดUานความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย^สิน 2. ผลกระทบทางอ1อม: ผลที่สืบเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดลUอมและ สภาพนิเวศ อันเป4นผลมาจากการเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศ การเปลี่ยนแปลงดังกล&าว ส&งผลต&อการท&องเที่ยวเนื่องจากการท&องเที่ยวจำเป4นตUองอาศัยทรัพยากรธรรมชาติ และวัฒนธรรมเป4นสิ่งดึงดูดทางการท&องเที่ยว 3. ผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ: ผลกระทบทางอUอมในอีก รูปแบบหนึ่งซึ่งส&งผลมาสู&การท&องเที่ยว กล&าวคือ การชะลอตัวทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่ เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศย&อมส&งผลถึงกระทบถึงการท&องเที่ยว ดUวย ทั้งกิจการโรงแรม รUานอาหาร รถเช&า และสินคUาทางการท&องเที่ยวต&าง ๆ
1
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบต่อ
การท่องเที่ยวเชิงนิเวศและวัฒนธรรม จากการประชุมองคeกรระหว*างประเทศต*าง ๆ ในปi 2007 หรือที่เรียกว*า “ปฏิญญาดาวอส” โดยมี เปqาหมายเพื่อบรรเทาผลกระทบของการท*องเที่ยวที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่จะเกิดขึ้นใน อนาคต พบว*าปtญหาต*อการท*องเที่ยวที่เกิดขึ้นจากเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่แก1ไขได1ยากที่สุด คือ ปtญหา ด1านแหล*งท*องเที่ยว ทั้งเชิงนิเวศและวัฒนธรรม 1. การเปลี่ยนแปลงทาง ภูมิอากาศที่มีผลกระทบต:อ แหล:งท:องเที่ยวเชิงนิเวศ วัฒนธรรม 1.1
1.2
2. การเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิ-อากาศที่มีผลต:อแหล:ง ท:องเที่ยวดCาน ประวัติศาสตรEและ
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ กระทบต*อแหล*งท*องเที่ยวประเภท พื้นที่ชุ*มน้ำที่เปXนแหล*งอพยพของนก และสัตวeหายากซึ่งเปXนหนึ่งในแหล*ง ท*องเที่ยวที่สำคัญ
เช*น น้ำท*วม อาจสร1างความเสียหายต*อวัสดุ
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มี ผลกระทบต* อ ระบบนิ เ วศทางทะเล ซึ่ ง เปX น แหล* ง ท* อ งเที ่ ย วสำคั ญ ทาง ธรรมชาติ เช*น การพบปะการังฟอก ขาวรุนแรงในช*วงฤดูร1อน
ก*อให1เกิดการพังทลายของสิ่งก*อสร1าง ความ
ก* อ สร1 า งของโบราณสถานที ่ ไ ม* ไ ด1 ร ั บ การ ออกแบบให1ทนทานต*อการจมน้ำเปXนระยะ เวลานาน กระแสน้ำที่ไหลอย*างฉับพลันอาจ รุนแรงของพายุอาจสร1างความเสียหายเชิง โครงสร1 า งและมรดกที ่ เ คลื ่ อ นที ่ ไ ด1 ระดั บ อุณหภูมิ ความชื้นและรังสี UV ที่เพิ่มขึ้น เช*น ในพื้นที่มรดกโลกสมัยสุโขทัยและอยุธยาอาจ ตกอยู*ในภาวะเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายที่ ไม*อาจประเมินค*าได1
2
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและ
ผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของประเทศไทย โครงการศึกษาเพื่อวางแผนการปรับตัวต*อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห*งชาติที่สำนักงาน นโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล1อมและมหาวิทยาลัยนเรศวรได1ร*วมกันจัดทำขึ้น พบว*า สถานการณeที่ประเทศไทยต1องเผชิญในปi พ.ศ. 2598 มีทั้งหมดอย*างน1อย 3 ประเภท ได1แก* น้ำท*วม ความแห1ง แล1ง และอุณหภูมิที่สูงขึ้น สถานการณ์น้าํ ท่วม
พื้นที่ท&องเที่ยวจะเผชิญกับน้ำท&วมเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ภาคกลาง ภาค ตะวันออก และภาคใตU โดยปริมาณน้ำที่มากขึ้นจะส&งผลใหUแหล&งท&องเที่ยวโบราณ สถานที่สำคัญเกิดการทรุดตัวจากการกัดเซาะ ตลอดจนส&งผลโดยตรงต&อกิจกรรม การท&องเที่ยว และการเดินทางตUองหยุดชะงัก ความแห้งแล้ง
พื้นที่ท&องเที่ยวเชิงที่คาดว&าจะเผชิญกับความแหUงแลUงมากขึ้น ไดUแก& พื้นที่ภาค ตะวันออกเฉียง เหนือตอนบน และภาคเหนือ โดยจะส&งผลต&อการท&องเที่ยวใน ประเด็นต&าง ๆ ต&อไปนี้ [1] สิ่งดึงดูดใจของแหล&งท&องเที่ยงเที่ยวอาจสูญเสียไป จากภาวะความแหUงแลUง [2] สิ่งอำนวยความสะดวกทางการท&องเที่ยว โดยเฉพาะ น้ำประปาอาจเกิดความขาดแคลน [3] ที่พักที่อยู&ในพื้นที่ชายหาดและภูเขาจะเกิด ภาวะขาดแคลนน้ำสำหรับนักท&องเที่ยว [4] กิจกรรมการท&องเที่ยว รวมไปถึง ประเพณีวัฒนธรรมที่เกี่ยวกับน้ำจะไม&สามารถเกิดขึ้นไดU อุณหภูมิสูงขึ้น
โดยรวมประเทศไทยจะมีความรUอนเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะตอนกลางของประเทศทั้ง ภาคกลางและภาคตะวันออก โดยจะส&งผลต&อการท&องเที่ยวในประเด็นต&าง ๆ ต&อไปนี้ [1] สิ่งดึงดูดใจของแหล&งท&องเที่ยงเที่ยวจะไดUรับผลกระทบ โดยเฉพาะ สถานที่แบบเปlดโล&ง [2] ที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวกตUองมีภาระค&าใชUจ&ายที่ สูงขึ้นจากการติดตั้งเครื่องปรับอากาศ [3] กิจกกรมกลางแจUงต&าง ๆ จำเป4นตUอง ปรับตัวเนื่องจากอากาศที่รUอนมากขึ้น
3
สถานการณ์น้าํ ท่วม
พื้นที่แหล*งท*องเที่ยวเชิงนิเวศที่จะเผชิญกับปtญหาน้ำท*วมจากสถานการณe RCP4.5 และ RCP5.8 ปi 2558 2578 และ 2598 ตามลำดับ
หมายเหตุ: RCP หรือ Representative Concentration Pathways คือ แบบจำลอง สภาพภูมิอากาศรูปแบบหนึ่ง
4
พื้นที่แหล*งท*องเที่ยวเชิงประวัติศาสตรeและวัฒนธรรมที่จะเผชิญกับปtญหาน้ำท*วมจากสถานการณe RCP4.5 และ RCP5.8 ปi 2558 2578 และ 2598 ตามลำดับ
หมายเหตุ: RCP หรือ Representative Concentration Pathways คือ แบบจำลอง สภาพภูมิอากาศรูปแบบหนึ่ง
5
ความแห้งแล้ง
พื้นที่แหล*งท*องเที่ยวเชิงนิเวศที่จะเผชิญกับปtญหาภัยแล1งจากสถานการณe RCP4.5 และ RCP5.8 ปi 2558 2578 และ 2598 ตามลำดับ
6
อุณหภูมิสูงขึ้น พื้นที่แหล+งท+องเที่ยวเชิงนิเวศที่จะเผชิญกับป<ญหาอุณหภูมิสูงขึ้นจากสถานการณH RCP4.5 และ RCP5.8 ปi 2558
2578 และ 2598 ตามลำดับ
หมายเหตุ: RCP หรือ Representative Concentration Pathways คือ แบบจำลอง สภาพภูมิอากาศรูปแบบหนึ่ง
7
พื้นที่แหล+งท+องเที่ยวเชิงประวัติศาสตรHและวัฒนธรรมที่จะเผชิญกับป<ญหาอุณหภูมิสูงขึ้นจากสถานการณH RCP4.5 และ RCP5.8 ปi 2558 2578 และ 2598 ตามลำดับ
หมายเหตุ: RCP หรือ Representative Concentration Pathways คือ แบบจำลอง สภาพภูมิอากาศรูปแบบหนึ่ง
8
ความสามารถในการปรับตัว ที่เป็นไปได้ในปัจจุบันของประเทศไทย
ด้านเศรษฐกิจสังคม
ด้านเทคโนโลยี
ด้านโครงสร้างพื้ นฐาน
พื้นที่ที่มีรายไดUจากการท&องเที่ยวเป4น หลัก ย&อ มสามารถปรับ ตัวไดUม ากกว&า พื ้ น ที ่ ท ี ่ ม ี ส ั ด ส& ว นรายไดU จ ากการ ท&องเที่ยวนUอย
การมีเทคโนโลยีที่เหมาะสมและพรUอม รั บ ต& อ การเปลี ่ ย นแปลงสภาพภู มิ อากาศจะส&งผลต&อขีดความสามารถใน การปรั บ ตั ว ไดU ด ี ก ว& า อย& า งไรก็ ต าม จำเป4 น ตU อ งมี ก ารลงทุ น พั ฒ นาและ ศึกษาเพิ่มเติมอย&างต&อเนื่อง
พื ้ น ที ่ ท ี ่ ม ี ด ั ช นี ก ารคมนาคมและการ สื ่ อ สาร คุ ณ ภาพระบบไฟฟo า ระบบ ประปา และอินเทอร^เน็ตที่ดี มักจะมี ความสามารถในการรั บ มื อ กั บ การ เปลี่ยนแปลงที่มาก
ด้านองค์กรและการบริหาร จัดการ
ด้านความรู้
ปริ ม าณงบประมาณและแผนการ จัดการทำนุบำรุงแหล&งท&องเที่ยวที่ดี และเพี ย งพอย& อ มสะทU อ นถึ ง ขี ด ความสามารถในการปรั บ ตั ว ต& อ การ เปลี่ยนแปลงที่สูง
ดั ช นี ช ี ้ ว ั ด การศึ ก ษา และดั ช นี ค วาม กU า วหนU า ที ่ ส ู ง จะเป4 น ตั ว สะทU อ นถึ ง ความรู U พ ื ้ น ฐานที ่ จ ะตอบสนองต& อ ความรู U ความเขU า ใจต& อ การเปลี ่ ย นแปลงและการนำความรูUไปปรับตัว
9
แนวทางการปรับตัว
ของภาคการท่องเที่ยวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
Media for Tourism
Night Tour Pattern
Tourism Diversity
พัฒนาระบบการสื่อสารดUานการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มี ผลต&อการท&องเที่ยว เพื่อช&วยใน การตัดสินใจเดินทางหรือพำนักใน พื้นที่ของนักท&องเที่ยว ซึ่งจะช&วย จั ด การการท& อ งเที ่ ย วในสภาพ อากาศที่ไม&แน&นอนใหUเป4นระบบ และปลอดภัยมากขึ้น
ส&งเสริมและจัดการการท&องเที่ยว แนวใหม& โดยเฉพาะการท&องเที่ยว ในช& ว งหั ว หรื อ ภาคกลางคื น เพื่ อ หลักเลี่ยงการเผชิญกับความรUอน สูงในช&วงเวลากลางวัน
พั ฒ นาสถานที ่ ท & อ งเที ่ ย วใหU มี ศั ก ยภาพและความสามารถใน การรองรั บ การท& อ งเที ่ ย ว ผ& า น การสรUางความหลากหลายของ รูปแบบการท&องเที่ยว เพื่อไม&ใหU เกิ ด ความแออั ด และช& ว ยใหU นักท&องเที่ยวเกิดประสบการณ^ที่ ดี
Weather Information
จั ด ทำรายงานสภาพอากาศเพื่ อ การท&องเที่ยวใหUทันสมัย แม&นยำ และเขUาใจง&าย เพื่อเป4นขUอมูลเพื่อ การตัดสินใจและสรUาง ประสบการณ^ที่ดีแก&นักท&องเที่ยว
Alert System
พัฒนาระบบและขUอมูลการเตรียม ความพรU อ มในภาวะวิ ก ฤต เพื่ อ รั บ มื อ กั บ ภั ย ที ่ เ กิ ด จากการ เปลี ่ ย นแปลงที ่ อ าจเกิ ด ขึ ้ น อย& า ง แบบฉับพลัน เช&น ระบบเตือนภัย ปoายบอกทางอพยพ
10
01
02
มาตรการทางเศรษฐศาสตร์เพื่ อ ส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
แนวคิดการท่องเที่ยว เชิงนิเวศและการท่อง เที่ยวอย่างยั่งยืน แนวคิด
7 Greens
แนวคิด 7 Greens ถูกกำหนดขึ้นโดย ททท. ตามองค์ประกอบต่าง ๆ ที่เป็น Element ของ การท่องเที่ยว มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ท ุกภาค ส่วนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้ ดำเนินกิจกรรมท่องเที่ยวพร้อมกับการปกป้อง สิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อย่างเป็นรูปธรรม โดยแนวคิดนี้อ้างอิงหรือ ประยุกต์จาก “หลักการของการท่องเที่ย ว อย่างยั่งยืน” ซึ่งประกอบด้วย 4 หมวด คือ หมวด A การบริหารจัดการดUานความ ยั่งยืนที่มีประสิทธิภาพ หมวด B การเพิ่มผลประโยชน^ในทาง เศรษฐกิ จ แก& ช ุ ม ชนเจU า ของสถานที่ และการลดผลกระทบเชิงลบ หมวด C การเพิ่มผลประโยชน^ใหUแก& ชุมชน นักท&องเที่ยว วัฒนธรรม และ การลดผลกระทบเชิงลบ หมวด D การเพิ ่ ม ผลประโยชน^ ใ หU สิ่งแวดลUอมและลดผลกระทบเชิงลบ
01
Green Heart: หัวใจสีเขียว
ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรมท่องเทีย่ วมีทศั นคติความรู้สึกนึกคิด การ รับรู้และตระหนักถึงคุณค่าของสิ่งแวดล้อมและภัยคุกคามจากภาวะโลกร้อนที่มตี อ่ การท่องเที่ยว พร้อมทั้งปฏิบัติตนเพื่อป้องกันรักษาและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมควบคู่ไป กับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
02
Green Community: ชุมชนสีเขียว
แหล่งท่องเที่ยวชุมชนทั้งในเมืองและชนบทมีการบริหารจัดการการท่องเที่ย วใน ทิศทางที่ยั่งยืน พร้อมทั้ง มีการดำเนินงานที่เน้นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะ อย่างยิ่งการดำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรมและวิถีชีวิตอันเป็นอัตลักษณ์ของชุมชน
03
Green Activity: กิจกรรมสีเขียว
กิ จ กรรมท่ อ งเที ่ ย วมี ค วามสอดคล้ อ งกลมกลื น กั บ คุ ณ ค่ า ของทรั พ ยากรและ สิ่งแวดล้อมของแหล่งท่องเที่ยว เป็นกิจกรรมที่ให้ความเพลิดเพลิน หรือสนุกสนาน ให้ โ อกาสในการเรี ย นรู้ แ ละเพิ ่ มพู น ประสบการณ์ แก่ น ั ก ท่อ งเที ่ ย ว โดยสร้าง ผลกระทบเชิงลบต่อทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด
04
Green Service: การบริการสีเขียว
รู ป แบบการให้ บ ริ ก ารของธุ ร กิ จ ท่ อ งเที ่ ย วแขนงต่ า ง ๆ สามารถสร้ า งความ ประทับใจแก่นักท่องเที่ยว ด้วยมาตรฐานคุณภาพที่ดีควบคู่ไปกับการมีปณิธานและ การดำเนินการรักษาสิ่งแวดล้อม พร้อมช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการ ให้บริการต่าง ๆ
Green Attraction: แหล่งท่องเที่ยวสีเขียว
05
แหล่งท่องเที่ยวมี การบริห ารจัด การตามกรอบนโยบายและการดำเนินงานใน ทิศทางของการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้ความระมัดระวังหรื อ มี ปณิธานอย่างชัดเจนในการปกป้องรักษาสิ่งแวดล้อมและช่วยลดการปล่อยก๊าซ เรือนกระจกอย่างถูกวิธี
06
Green Logistics: รูปแบบการเดินทางสีเขียว
วิธีการเดินทางและรูปแบบการให้ บ ริก ารในระบบการคมนาคมหรื อการขนส่ ง ทางการท่อ งเที่ ยวจากแหล่ง พำนั ก /อาศัย ไปยั ง แหล่ ง ท่อ งเที ่ ยวต้อ งเน้ นการ ประหยัดพลังงาน การใช้พลังงานทดแทน การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและ ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม
Green Plus: ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
07
การแสดงออกของบุคคล กลุ่มบุคคลและองค์กรในการสนับสนุนแรงกาย หรือ สติปัญญา หรือบริจาคทุนทรัพย์ เพื่อร่วมมือดำเนินการในการปกป้องรักษาและ ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมของแหล่งท่องเที่ยว หรือกิจกรรมที่ช่วยลดภัยคุกคามอั นเกิดจาก ภาวะโลกร้อน
1
มาตรการทาง เศรษฐศาสตร์เพื่ อส่งเสริม ่ ยืน การท่องเที่ยวอย่างยัง
ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีได้มีการระบุให้มีระบบเศรษฐศาสตร์และเครื่องมือทางการคลังที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดความรับผิดชอบโดยผู้ใช้ประโยชน์ หรือต่อผู้ทำความเสียหายต่อทรัพยากร เพื่อให้เกิดการ ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและมีความยั่งยืน ผ่านเครื่องมือทางนโยบายการคลัง (fiscal policies)
1. หลักผู้ก่อมลพิ ษเป็นผู้จ่าย
การจัดเก็บภาษีท่องเที่ยว
01
การเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวชาวไทยและการเข้ามาของนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ส่งผลให้ แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญเกิดความเสื่อมโทรม ก่อให้เกิด ภาระในการจัดการดูแลความเรียบร้อยของพื้นที่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวตามมา แนวคิดในการ จัดเก็บ “ภาษีการท่องเที่ยว” จากนักท่องเที่ยวจึงเกิดขึ้น เพื่อนำรายได้ภาษีนี้มาใช้ในการ จัดการและบำรุงรักษาทรัพยากรทางธรรมชาติในพื้นที่ท่องเที่ยวให้เกิดความยั่งยืนต่อ ไป เช่น การจัดเก็บภาษี ณ สถานที่พักแรม
ปัจจุบัน ประเทศไทยมีเพียงมาตรการที่ใกล้เคียงกับ “ภาษีการท่องเที่ยว” เท่านั้น เช่น ค่าธรรมเนียม การใช้ ส นามบิ น ของนั ก ท่ อ งเที ่ ย ว/ผู ้ เ ดิ น ทางในอั ต รา 200 บาท/คน สำหรั บ การเดิ น ทาง ภายในประเทศ และ ในอัตรา 500 บาท/คน สำหรับการเดินทางระหว่างประเทศ
02
การจัดเก็บภาษีมลพิษทางน้ำจืด และมลพิษทางน้ำทะเล มาตรการจัดการมลพิษทางน้ำของไทยส่วนใหญ่อาศัยกฎหมายควบคุมโรงงานและสถานประกอบการ ต่าง ๆ เช่น โรงแรม ภัตตาคาร ให้เป็นไปตามมาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด อย่างไรก็ตาม มาตรการ ด้านมาตรฐานมักไม่ส่งเสริมให้เกิดความพยายามในการพัฒนาเทคโนโลยีในการบำบัดน้ำ เสีย ให้ดี มาก ยิ่งขึ้น เนื่องจากเพียงแค่บำบัดให้ได้ตามมาตรฐานก็เพียงพอแล้ว จึงเกิด “การจัดเก็บภาษีม ลพิ ษทาง น้ำ” ขึ้นมาเพื่อแก้ไขจุดบกพร่องนี้ โดยจัดเก็บเป็นอัตราต่อปริมาณมลพิษในน้ำที่ ปล่ อยลงสู่แ หล่ง น้ำ สาธารณะ
ปัจจุบัน ประเทศไทย มีบางท้องที่ได้ดำเนินการจัดเก็บ “ค่าธรรมเนียมการบำบัดน้ำเสีย” เช่น เมือง พัทยาได้มีการก่อสร้างศูนย์กำจัดน้ำเสียและบังคับให้อาคารและสถานประกอบการที่ตั้งอยู่ในเขต พื้นที่ศูนย์กำจัดน้ำเสียต้องทำการต่อท่อระบายน้ำเสียจากอาคารหรือสถานประกอบการ หรือต้องมี การจ่ายเงินค่าธรรมเนียมและใบอนุญาตตามประเภทอาคาร โดยเมืองพัทยาจะนำค่าธรรมเนียมที่ เก็บได้นี้ไปใช้ดำเนินการดูแลและบำรุงรักษาระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียของเมืองพัทยาต่อไป
2
การเก็บภาษีถุงพลาสติกหูหิ้ว
03
ปัญหาขยะพลาสติกเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไข เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยใช้ถุงพลาสติก หูหิ้วเป็นจำนวนมากเกินความจำเป็น แนวคิด “การจัดเก็บภาษีถุงพลาสติกหูหิ้ว” จึงเข้ามามีบทบาท ในการช่วยแก้ไขปัญหา ซึ่งนอกจากภาษีดังกล่าวจะสามารถสร้างรายได้ให้กับรัฐบาลเพื่อนำไปใช้ใน กิจการด้านสิ่งแวดล้อมแล้ว มาตรการภาษีถุงพลาสติกหูหิ้วนี้ยังถือเป็นภาระที่ไม่มากนักต่อผู้บริโภค เนื่องจากผู้บริโภคสามารถเลี่ยงการจ่ายภาษีได้ด้วยการปรับพฤติกรรมการใช้ถุงพลาสติก หู หิ้ว เท่านั้น เช่น การพกถุงผ้าติดตัว หรือไม่ใช้ถุง
ปัจจุบัน ภาษีถุงพลาสติกหูหิ้วมีการบังคับใช้ในประเทศพัฒนาแล้ว (เช่น เดนมาร์ก) และประเทศ กำลังพัฒนา (เช่น จีน) หลายประเทศ โดยพบว่า ประเทศเหล่านี้ประสบความสำเร็จในการลดการใช้ ถุงพลาสติกหูหิ้วที่มีประสิทธิผลมากกว่ามาตรการรณรงค์อื่น ๆ
2. หลักผู้ได้ประโยชน์เป็นผู้จ่าย
การกำหนดพื้นที่อนุรักษ์และคุ้มครอง ธรรมชาติ
การกำหนด “พื้นที่ป่าอนุรักษ์ขั้นต่ำ” เป็นการคุ้มครองพื้นที่สำหรับให้สิ่งมีชีวิตที่สำคัญต่อ ระบบนิเวศหรือต่อความหลากหลายทางชีวภาพได้สามารถดำรงชีวิตอยู่รอดหรือมีโ อกาสที่จ ะ รอดและดำรงความหลากหลายทางชีวภาพได้ ในระยะยาว ซึ่งในหลายกรณีพื้น ที ่คุ ้ม ครอง เหล่านี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศไทย พื้นที่อนุรักษ์ขั้นต่ำนี้อาจเรี ยกว่ าเป็นการ กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำของการคุ้มครองความหลากหลายทางชีวภาพก็ได้
01
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 เป็นต้นมา ภาครัฐได้มีการกำหนดเป้าหมายในรักษาพื้นที่ป่าให้ได้ร้อยละ 40 ของ พื้นที่ประเทศ ด้วยเหตุผลที่เชื่ อว่ า สัดส่วนพื้นที่ป ่า ร้ อยละ 40 จะช่วยให้ระบบนิเ วศและความ หลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทยมีความมั่งคงยั่งยืน ในขณะที่พื้นที่ป่าในประเทศไทยในช่วง ทศวรรษ 2550 มีเพียงร้อยละ 33 เท่านั้น
How to measures?
วัดอย่างไร?
3
หลักเกณฑ^ในการพิจารณาว&าสิ่งมีชีวิตชนิดใดควรจะไดUรับการคุUมครอง ประกอบดUวย 2 ส&วนสำคัญ คือ [1] ประโยชน^ที่คาดว&าจะไดUรับทั้งทางตรงและทางอUอมจากการอนุรักษ^สิ่งมีชีวิตนั้น และ [2] ตUนทุนในการ อนุรักษ^สิ่งมีชีวิตนั้น หากผลประโยชน^ของการอนุรักษ^มากกว&าตUนทุนในการอนุรักษ^สิ่งมีชี วิต นั้น ก็สมควร ตัดสินใจลงทุนเพื่อการอนุรักษ^และกำหนดพื้นที่อนุรักษ^ขั้นต่ำไวU แต&หากผลประโยชน^ในการอนุรักษ^นUอย กว&าตUนทุนในการอนุรักษ^ สิ่งมีชีวิตนั้นก็อาจจะไม&จำเป4นตUองไดUรับการคุUมครองมากเท&าใดนัก
การเก็บค่าธรรมเนียมเข้าใช้ประโยชน์ ธรรมชาติ
การจัดเก็บค่าธรรมเนียมการเข้าไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่จากนักท่องเที่ยว เป็นการผลักภาระ ต้นทุน (บางส่วน) ในการบริหารจัดการอนุรักษ์พื้นที่ป่าสงวน ไปยังผู้เข้ามาใช้ประโยชน์จาก พื้นที่ป่านั้นหรือเข้ามาเยี่ยมชมพื้นที่ ซึ่งหากไม่มีการจัดเก็บค่าธรรมเนี ยมย่อมส่ งผลให้ ต้น ทุน ของนักท่องเที่ยวมีน้อยเกินไป ในขณะที่ภาระต้นทุนส่วนใหญ่จะตกอยูก่ ับภาครัฐหรือชุมชนที่ ดูแล นำมาซึ่งการเข้ามาใช้บริการที่อาจมากเกินกว่าที่ทรัพยากรในสถานที่นั้นจะรองรับได้
02
ในปrจจุบัน อัตราค&าธรรมเนียมเขUาใชUบริการของอุทยานแห&งชาติของไทยยังอยู&ระดับ ที่ต่ ำเกิน กว&า จะ สะทUอนผลกระทบจากการท&องเที่ยวที่เกิดขึ้นกับธรรมชาติไดUดีนัก นักวิชาการหลายฝtายจึงไดUพยายาม เสนอใหU ป รั บ ขึ ้ น ค& า ธรรมเนี ย มการเขU า อุ ท ยานต& า ง ๆ เพื ่ อ สะทU อ นถึ ง ตU น ทุ น ในการดู แลรั ก ษา ทรัพยากรธรรมชาติที่เพิ่มมากขึ้น อีกทั้ง การจัดเก็บค&าธรรมเนียมการเขUาอุทยานที่เหมาะสมจะทำใหU จำนวนผูUเยี่ยมชมอุทยานมีระดับเหมาะสมมากขึ้นดUวย
ระบบกองทุนป่าไม้/พันธบัตรป่าไม้ ธรรมชาติ
“พันธบัตรป่าไม้” (forest bond) คือพันธบัตรซึ่งมีวัตถุประสงค์คือ เพื่อนำเงินทุนที่ระดมได้ ไปลงทุน หรือสนับสนุนกิจกรรมในภาคป่าไม้ พันธบัตรป่าไม้ถือเป็นส่วนประกอบสำคัญของการดูแลและอนุรักษ์ ป่าไม้แบบยั่งยืน ข้อดีของการใช้พันธบัตรป่าไม้เป็นกลไกในการระดมทุนคือ ช่วยให้สามารถระดม เงินทุนจำนวนมากจากภาคเอกชนในลักษณะ Front-load ภายในระยะเวลาอันสั้น แต่มีเงื่อนไขว่าผู้ ออกพันธบัตรจะต้องสามารถบริหารจัดการและใช้เงินทุนที่ระดมได้จากการออกพันธบัตรอย่ า งมี ประสิทธิภาพด้วย [อดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา และ คณะ, 2556]
03
ระบบกองทุนปtาไมU (forest fund) หรือ พันธบัตรปtาไมU (forest bond) เป4นมาตรการรูปแบบใหม& ที่ ไม&เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยมาก&อน ในขณะที่หลายประเทศไดUเริ่มใหUความสนใจในการใชU พันธบัต ร ปtาไมUเป4นเครื่องมือในการระดมทุนเพื่อสนับสนุนกิจกรรมอนุรักษ^ปtา ปลูกปtา ดูแล และฟ•‚นฟูปtา
ทําอย่างไรให้
ประสบความ สําเร็จ?
(1) ควรระบุและใหUขUอมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับสิทธิในการถือครองพื้นที่ปtาไมU (ownership rights) (2) ควรเพิ่มคุณภาพสินทรัพย^หรือเพิ่มความน&าเชื่อถือของตราสาร (credit enhancement) เพื่อสรUาง แรงจูงใจใหUนักลงทุนมาลงทุนในพันธบัตรปtาไมU (3) ควรคำนึงถึงนโยบายทางดUานภาษี (tax treatment) และมาตรการอุดหนุนโดยภาครัฐ (subsidies) (4) ภาครัฐควรใหUการสนับสนุนโดยรับซื้อคาร^บอนเครดิตและไมUที่ผ&านการรับรองมาตรฐาน (5) ภาครัฐควรใหUการสนับสนุนโดยช&วยผลักดันใหUมีการรวมเอาประเด็นเรื่องการลดการปล&อยก•าซเรือน กระจกซึ่งเกิดจากการบุกรุกและทำลายพื้นที่ปtาเขUามาเกี่ยวขUองในเชิงโครงสรUางดUวย
4
การจ่ายเงินตอบแทนคุณผู้ดูแลระบบ นิเวศ
04
ความใส่ใจในการดูแลพื้นที่ป่าไม้ของชุมชนที่ตั้งอยู่ในป่าและที่อยู่ตามชายขอบของป่า และของ ชุมชนที่ได้ใช้ประโยชน์โดยตรงจากป่า เช่น เก็บของป่า และ ใช้ไม้ในป่าเพื่อใช้สอย ถือได้ว่ามี ความสำคัญอย่างมากต่อ “Environmental Service” ของป่า ด้วยเหตุนี้ นักวิชาการจึงเสนอ ให้มีการจ่ายเงินเพื่ออนุรักษ์ป่า “สำหรับชุมชนผู้ดูแลป่า” นอกเหนือไปจากภาษีที่จ่ายให้แก่รัฐ เรียกกันว่า Payments for Environmental/Ecosystem Services (PES)
PES คืออะไร? แนวคิดหลักของ PES คือการนำกลไกทางด้านราคาเข้ามาใช้ในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะป่าไม้และแหล่งความหลากหลายทางชีวภาพและ แหล่งต้นน้ำ เพื่อแก้ไขปัญหา “Free Riders” จากการที่มีกลุ่มบุคคลช่วยดูแลทรัพยากรป่าไม้และความหลากหลายทางชีวภาพ ทั้ง ๆ ที่กลุ่มผู้ดูแลป่าไม้นั้น ได้รับประโยชน์จากป่าไม้เพียงบางส่วนเท่านั้น และยังมีกลุ่มบุคคลอื่นที่อยู่ห่างไกลจากป่าไม้ ก็ได้รับประโยชน์จากป่าไม้ผืนนั้นด้วยเช่นกัน
คุณลักษณะของ PES 6 ประการ
[Wunder, 2005 และ Forest Trends & Ecosystem Marketplace, 2008] (1) เป็นมาตรการสมัครใจของผู้จ่ายเงินเพื่อบริการ สิ่งแวดล้อม (2) บริการสิ่งแวดล้อมของป่านั้นต้องมีความชัด เจน และสามารถวัดได้ (3) ความเป็นเจ้าของพื้นที่ในการปลูกป่าจะต้องมี ความชัดเจนว่าเป็นของชุมชนหรือของรัฐ
วิธีการจ่ายเงิน PES 2 รูปแบบ [Wunder, 2005: 15-16]
1
(4) ผู้จ่ายเงินต้องมีความเข้าใจในประเด็นความไม่ แน่นอนต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น (5) จะต้องมีอย่างน้อย 1 คนที่เป็นผู้จ่ายเงินเพื่อดูแล ระบบนิเวศป่าและอย่างน้อย 1 คนที่เป็นผู้ดูแล (6) ผู้ดูแลจะต้องสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ซื้อได้ว่า ระบบนิเวศป่าจะเกิดขึ้นอย่า ต่อเนื่อง
2
การจ่ายด้วยเงินสด เพื่อสนับสนุนการดูแลป่า วิธีการลักษณะ นี้ ม ี พ ื ้ น ฐานความคิ ด มาจากแนวคิ ดเรื ่ อ ง “ค่ า เสี ย โอกาส” (opportunity cost) ของชุมชนหรือประชาชนที่ดูแลป่า เพื่ อ ประโยชน์ของป่าที่มีต่อประชาชนกลุ่มอื่นที่อยู่ห่างไกล ค่าเสีย โอกาสดังกล่าวนี้อาจเกิดจาก รายได้ที่สูญเสียไปจากการดูแล อนุรักษ์ป ่านั้ น หรือ การสูญเสียรายได้ จากการทำงานหรื อ ประกอบอาชีพของตน การจ่ายด้วยสิ่งของ โดยจ่ายเป็นสิ่งของที่เป็นสิ่งจำเป็น ต่ อ ครอบครัวและสอดคล้องกับบริบททางสังคมของชุมชนนั้น ๆ นอกจากนี ้ ข้ อ ได้ เ ปรี ย บหลั ก ของการจ่ า ยด้ ว ยสิ ่ ง ของ คื อ ประโยชน์ของบริการด้านสิ่งแวดล้อมหรือของระบบนิ เวศนั้ นก็ ไม่สามารถประเมินเป็นตัวเงิน ทำให้บางครั้งอาจเป็นเรื่องยากที่ จะประเมินมูลค่า PES เพื่อจ่ายเป็นเงินสดได้ อีกทั้ง ยังสามารถ ป้องกันให้ไม่เกิดความขัดแย้งกันเองในชุมชน ในกรณีท ี่อาจมี การจ่ายเงินไม่เท่ากันในแต่ละบุคคล
อย่างไรก็ตาม ระบบ PES ยังมีข้อกังวลอยู่หลายประการ เช่น ระบบ PES อาจกลายเป็นการสร้างกำแพงแบ่งแยก ระหว่างการอนุรักษ์ (conservation) และการพัฒนา (development) ได้ถ้ามีความเข้าใจไม่ถูกต้อง หรือ ระบบ PES อาจกลายเป็นการอนุรักษ์ป่าเชิงพาณิชย์ (commercial conservation) เช่น การดูแลป่าโดยหวังรายรับ จากการดู แล ป่า ซึ่งอาจจะเป็นการทำลายการอนุรักษ์ตามวัฒนธรรมของชุมชน (cultural conservation) โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่ การอนุรักษ์ไม่ได้แสวงหากำไร
5
มาตรการอื่นใช้ประกอบเพื่ อควบคุมการปล่อย ก๊าซเรือนกระจกที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว 1. มาตรการอื่นที่ภาครัฐไทยดําเนินการ (นับตั้งแต่แผนพั ฒนาฯ ฉบับที่ 10)
การปรับปรุงระบบขนส่งมวลชนที่ ปราศจากมลพิษ เช่น รถไฟฟ้า
การรณรงค์การประหยัดพลังงานและการส่งเสริม การใช้พลังงานสะอาด เช่น การใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ชีวภาพ การใช้ไฟฟ้าจากพลังงานชีวมวล
การเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเขตเมือง เช่น การเพิ ่ ม สวนสาธารณะ การปลู ก ต้นไม้เพิ่มในพื้นที่สาธารณะ
การส่งเสริมการพัฒนาเครื่องจัก รหรือ อุป กรณ์ เพื่อลดการใช้พลังงานหรือเพิ่มประสิทธิ ภาพการ ใช้พลังงาน ตลอดจนการคิดค้นเทคโนโลยีในการ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
การลดและการปรับปรุงการใช้พลังงานของภาคธุรกิจ และประชาชน เช่ น การส่ ง เสริ มการใช้ผ ลิต ภัณฑ์ ฉลากเบอร์ 5
การส่งเสริมการปลูกป่าภายในชุมชนเพื่อให้ป่าไม้เป็น แหล่งดูดซับก๊าซเรือนกระจก และเพื่อส่งเสริมการ พัฒนาทรัพยากรป่าไม้และการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ ป่าอย่างยั่งยืน
2. มาตรการเรื่อง “ป่าชุมชน”
แนวคิดเรื่องการอนุรักษ^ปtาไมUแบบ “ปtาชุมชน” ไดUรับอิทธิพลมาจากทั้งภาครัฐและภาค ชุมชน รวมทั้งองค^กรระหว&างประเทศที่เกี่ยวขUองกับการพัฒนา โดยเกิดจาก 2 แนวคิด สำคัญคือ แนวคิดแรก การจัดการเพื่อการพัฒนาชุมชนทUองถิ่น เนื่องดUวยประชาชน ส&วนใหญ&ของประเทศพึ่งพิงเกษตรกรรมและการใชUทรัพยากรธรรมชาติเ ป4น สำคัญ ดังนั้น การพัฒนา-คุUมครอง-อนุรักษ^ปtาไมU ก็เปรียบเสมือนการพัฒนา ชนบทและการเกษตรเช&นกัน แนวคิดที่สอง สิทธิมนุษยชน ของชุมชนที่มีสิทธิ์ในการใชUประโยชน^ สิทธิ์ ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่เกิดขึ้นในชุมชนของตน เพื่อประโยชน^ เชิงพาณิชย^-เชิงวัฒนธรรม-เชิงสังคม-มิติสิ่งแวดลUอมของชุมชนตน ในปrจจุบัน แนวคิดดังกล&าวยังคงมีความขัดแยUงทางดUานทัศนคติของหลายๆ ฝtาย ในหลายประเด็น เช&น หลักการของปtาชุมชน พื้นที่ตั้งของปtาชุมชน ส&งผลใหUเกิดความล&าชUาในการร&างกฎหมายปtาชุมชน ทั้งในระดับผูU ร&างกฎหมายเพื่อเสนอสภาผูUแทนราษฎร และกระบวนการสอบถามความเห็นจากสาธารณชนและองค^กรต&างๆ
6
การใช้ประโยชน์จากมาตรการ ด้ า นเศรษฐศาสตร์ เ พื่ อการ ท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
01 02 03 7
นักวิชาการได้เสนอให้มีการจัดสรรรายได้จากค่าธรรมเนียม/ภาษี/PES/พันธบัตรป่าไม้ ดังที่ กล่าวข้างต้น คืนสู่ท้องถิ่นในระดับที่เหมาะสม แนวคิดดังกล่าวข้างต้นเรียกว่า “Recycling Fiscal Revenue” ซึ่งอาจดำเนินการจัดสรรได้อย่างน้อย 3 วิธี โดยวิธีที่ 2 และวิธีที่ 3 จะ สามารถช่วยให้เกิดการประหยัดพลังงาน การใช้พลังงานทางเลือก และลดมลพิษทาง อากาศที่ทำให้โลกร้อนได้
Fiscal Reform หรือ การปรับโครงสร้างภาษีโดยรวมของประเทศ กล่าวคือ เมื่อภาครัฐเก็บ ค่าธรรมเนียม/ภาษีแล้ว ภาครัฐก็สามารถลดรายได้ภาษีจากแหล่งอื่น เช่น ภาษี จากเงินได้ ภาษีการค้า หรือภาษีที่ดิน เป็นต้น ทั้งนี้ จะต้องไม่ให้รายรับ จากภาษี รวมของประเทศลดลง นอกจากนี้ ยังอาจส่งผลกระทบเชิงบวกต่อภาคเศรษฐกิจที่ ได้รับประโยชน์จากการลดหย่อนภาษีอีกด้วย
Earmarked Option หรือ การนำเงินค่าธรรมเนียม/ภาษี/PES/พันธบัตรป่าไม้ ไปใช้เพื่อแก้ไขปัญหา ทรัพยากรธรรมชาติ เสื่ อมโทรมและปัญหามลพิ ษโดยตรง กล่าวคือ การนำ รายรับจากค่าธรรมเนียม/ภาษี/PES/พันธบัตรป่าไม้ มาใช้เพื่อส่งเสริมการพัฒนา วิจัยอุปกรณ์เครื่องจักรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น (หรือ กองทุนเพื่อการ พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม) หรือเพื่อส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และสังคมที่ช่วยลดการปล่อยมลพิษ/ก๊าซเรือนกระจก หรือ เพื่อส่งเสริมโครงการ ที่ช่วยบรรเทาปัญหาที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นต้น
Compensation Measure หรือ มาตราการจ่ายค่าชดเชย หมายถึง การนำรายรับจากค่าธรรมเนีย ม/ ภาษี/PES/พันธบัตรป่าไม้ ไปจ่ายชดเชยให้แก่ผู้ที่จ่ายค่าธรรมเนี ยม/ภาษีนี้ ซึ่งได้รับความเดือดร้อน (มาก) โดยผู้ที่จ่ายค่าธรรมเนียม/ภาษี อาจแบ่ง ออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มแรก ผู้บริโภคที่มี รายได้ มาก กลุ่ม ที่ส อง ผู้บริโภคที่มีรายได้น้อย และ กลุ่มที่สาม ผู้ประกอบการ โดยจัดสรรตาม ระดับความเดือดร้อนของแต่ละกลุ่มตามลำดับ
02
03
การวิเคราะห์ความคุ้มค่าการลงทุนเพื่ อ สร้างภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศ
ต้น ของการเปลี่ยนแปลง และ ประ ของภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยน ทุน สภาพภูมิอากาศ โยชน์ แปลงสภาพภูมิอากาศ ตUนทุน/ประโยชน^ของโครงการที่อาจจะไดUรับผลกระทบ จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยหากประเมิน แลUว § มู ล ค4 า ป7 จ จุ บั นสุ ทธิ ( Net present value: NPV) ไม4เปลี่ยนแปลง ก็ควรจะดำเนินการโครงการต&อ §
มู ล ค4 า ป7 จจุบั นสุท ธิ ( Net present value: NPV)
ความเสี่ยงดUานสภาพภูมิอากาศ (เช&น การ เปลี่ยนแปลงดUานความรุนแรงและเกิดซ้ำของพายุ)
ความเปราะบาง (เช;น ความสุ;มเสี่ยงในการได"รับผลกระทบ และ ความอ;อนไหว ของโครงสร"างพื้นฐานต;อพายุ)
ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (CC) ต&อทรัพย^สิน/สมรรถนะของโครงการเป4นอย&างไร? ตUนทุนและประโยชน^เปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากผลของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือไม&?
ลดลง ควรมีการพิจารณาถึงความเป4นไปไดUแ ละ แต&ละทางเลือก
ใช4
ไม4ใช4
การวิเคราะห^เชิงเศรษฐกิจเพื่อสรUางภูมิคุUมกันของ
ดำเนินโครงการ (ถ"า NPV เปLนบวก)
มีผลกระทบเชิงบวกต;อ NPV ประเมินความเปLนไปได"ในการ ปรับแบบโครงการเพื่อเพิ่ม NPV
01
มีผลกระทบเชิงลบต;อ NPV วิเคราะหXเชิงเทคนิคและเชิง เศรษฐกิจของแต;ละภูมิคุ"มกัน
ต้นทุนของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประชากร สังคม เศรษฐกิจ และสภาวะภูมิอากาศปrจจุบัน
ประชากร สังคม เศรษฐกิจใน อนาคต
ไม&มีการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศ (CC) (ใชUสภาวะ ปrจจุบัน)
ประชากร สังคม เศรษฐกิจใน อนาคต
Baseline แบบ ไม&มี CC Scenario 1: สวัสดิการ แบบไม;มีโครงการ ไม;มี CC
มีการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศ (ใชUสภาวะ อนาคต)
Baseline แบบ มี CC
Scenario 2: สวัสดิการ แบบมีโครงการ ไม;มี CC
ประโยชน^สุทธิของโครงการ แบบไม&มี CC NPVP (NoCC)
Scenario 3: สวัสดิการ แบบไม;มีโครงการ มี CC
Scenario 4: สวัสดิการ แบบมีโครงการ มี CC
ประโยชน^สุทธิของโครงการ แบบมี CC NPVP (CC)
ผลกระทบทางเศรษฐกิจของ CC: การเปลี่ยนแปลง NPV ของโครงการ
NPV ของโครงการจะพิจารณาจากสถานการณ^ที่อาจ เกิดขึ้นไดU 2 กรณีหลัก คือ
1
กรณีท ี่ไม&เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศ (Scenario 1 และ 2)
2
กรณี ท ี ่ เ กิ ด การเปลี ่ ย นแปลงสภาพ ภูมิอากาศ (Scenario 3 และ 4)
ดังนั้น การวัดตUนทุนทางเศรษฐกิจ ของการเปลี่ ย น แปลงสภาพภูมิอากาศ มีสูตรที่ใชUคำนวณ คือ NPVP (NoCC) – NPVP (CC) ถ" า NPVP (NoCC) > NPVP (CC) หรื อ ผลกระทบของ CC ที่เกิดขึ้นนั้ น ไม;ไ ด"สู ง มากนัก โครงการนั้นยังสมควรดำเนินต;อไป ถ" า NPVP (NoCC) < NPVP (CC) หรื อ ผลกระทบของ CC อยู ; ใ นระดั บ ที ่ ม าก เกินไป โครงการนั้นจำเปLนต"องพิจารณา มาตรการลดผลกระทบก; อ นดำเนิ น โครงการต;อไป
1
กรณี ตัวอย่าง
การคํานวณต้นทุนทางเศรษฐกิจของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
โครงการสรUางถนนในบริเวณหุบเขาบริเวณลุ&มแม&น้ำโขงมีระยะเวลาก&อสรUาง 3 ป• ประมาณการ ตUนทุนทางการเงินอยู&ที่ 20 ลUานดอลล&าร^ต&อป• เมื่อโครงการเสร็จสิ้น โครงสรUางจะมีอายุ 25 ป• โดย มีค&าซากเท&ากับ 0 ค&าดำเนินการรายป•และค&าบำรุงรักษาอยู&ที่ประมาณ 2 ลUานดอลล&าร^ ประโยชน^ ของโครงการมีมลู ค&า 15 ลUานต&อป•ตั้งแต&ป•ที่ 4 ถึงป•ที่ 28 $18.95
การคํานวณแบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
01
หากมีสถิติมีน้ำท&วมรุนแรงในพื้นที่ 10 ครั้งในช&วง 50 ป•ที่ผ&านมา คิดค&าความเป4นไปไดUในการ เกิดน้ำท&วมรุนแรงคิดเป4น 20% ประมาณการตUนทุนค&าซ&อมมีมูลค&าเฉลี่ย 5 ลUานดอลล&าร^ต&อ ครั้ง ดังนั้น ตUนทุนค&าซ&อมรายป•ที ่คาดการณ^ คิดเป4นมูลค& า 1 ลUานดอลล&าร^ ค&า NPVP (NoCC) = $18.95 (อัตราคิดลด หรือ Discount rate เท&ากับ 12%)
$13.37
การคํานวณแบบมีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
02
หากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส&งผลใหUความถี่และความรุนแรงของน้ำท&วมจะเพิ่ม มากขึ้น ตUนทุนค&าซ&อมรายป•เพิ่มจาก 1 ลUานเป4น 2 ลUานดอลล&าร^ ซึ่งพบว&าแมUใน worst case scenario (โดยเพิ่มตUนทุนค&าซ&อมรายป•ท ี่คาดการณ^สูงสุดตั้งแต&ป•ที่ 4) โครงการยังมี NPV เป4นบวก คือ NPVP (CC) = $13.37
$5.58
ดังนั้น ในกรณีนี้ จะเห็นไดUว&า NPV ลดลงแต&ยังคงเป4นบวกแมUว&าจะไม&มีมาตรการภูมิคุUมกัน จึงยังควรทำโครงการต&อไป โดยที่มูลค&า NPV ที่ลดลง หรือ ตUนทุนของการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศต&อโครงการ คือ NPVP (NoCC)- NPVP (CC) = $5.58
SENSITIVITY ANALYSIS: ค่าความเปลี่ยนแปลง การทำ sensitivity analysis จะช&ว ยเพิ ่ ม ระดั บ ความเชื ่ อ มั ่ น ในการตั ด สิ น ใจดำเนิ น โครงการ เนื่องจากยังมีความไม&แน&นอนจากผลกระทบของความถี่และความรุนแรงของน้ำ ท&วม เช&น การทดสอบค&าความเปลี่ยนแปลง (switching values) คือ การคำนวณการ เปลี่ยนแปลงของปrจจัยที่เชื่อว&ามีอิทธิพลต&อความเป4นไปไดUของโครงการ ที่จะทำใหU NPV = 0 จากตัวอย&างขUางตUน NPV ของโครงการจะเท&ากับศูนย^เมื่อ ค&าซ&อมแซม (ในที่นี้ถือเป4น switching values) เท&ากับ 4.4 ลUาน ตลอดอายุของโครงการ กล&าวคือ หากค&าซ&อมแซม ไม&เกิน 4.4 ลUาน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศก็ไม&ไดUทำใหUโครงการนี้ไม&คุUมค&าต&อการ ลงทุน
2
02
ประโยชน์ของมาตรการภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
การประมาณการประโยชน^ ส ุ ท ธิ ข องมาตรการภู ม ิ ค ุ U ม กั น ต& อ การ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate-Proofing) สามารถจำแนกออก ไดUเป4น 2 ประเด็น คือ 1. ตUนทุนส&วนเพิ่มจากผลของการเปลีย่ นแปลงสภาพภูมิอากาศ 2. ประโยชน^ของภูมิคุUมกันต&อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
1
ดังนั้น ประโยชนXสุทธิของมาตรการภูมิคุ^มกัน คือ “ผลต&างระหว&าง NPV ของโครงการที่ไม&มีภูมิคุUมกันหรือ NPVP (NoCP) และ NPV ของโครงการ ที่มีภูมิคุUมกัน หรือ NPVP (CP)1” หรือสามารถเขียนสมการไดUเป4น NPVP (CP) - NPVP (NoCP) ถUา NPVP (CP) > NPVP (NoCP) แนะนำใหUลงทุนใน มาตรการภูมิคุUมกัน ถUา NPVP (CP) < NPVP (NoCP) ไม&แนะนำใหUลงทุนใน มาตรการภูมิคุUมกัน
NPV ตลอดช;วงอายุของโครงการ ซึ่งรวมเอาต"นทุนและประโยชนXทั้งของโครงการและมาตรการภูมิคุ"มกัน ตลอดจนประโยชนXอื่น (Ancillary benefits/ co-benefits) เอาไว"ด"วย
กรณี ตัวอย่าง
การคํานวณผลประโยชน์ของมาตรการภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศ
จากตัวอย&างที่ผ&านมา การพัฒนาระบบระบายน้ำจะช&วยลดความเสียหายของถนนที่เกิดจากน้ำ ท&วม โดยคิดเป4นมูลค&าประมาณการค&าซ&อมรายป•ที่ลดลงจาก 2 ลUานเป4น 1 ลUานดอลล&าร^ โดยระบบ ระบายน้ำจะเพิ่มตUนทุนเงินทุนจาก 20 ลUานเป4น 21 ลUานดอลล&าร^ต&อป• ใน 3 ป•แรกของโครงการ โดยที่ค&าดำเนินการยังคงเท&าเดิม และค&าซ&อมรายป•จะเริ่มลดลงในป•ที่ 4
ประโยชน(สุทธิของภูมิคุ5มกัน มีมูลค&าดังนี้ NPVP (NoCP) = $13.37 NPVP (CP: ระบบระบายน้ำ) = $16.55 NPVP (CP) - NPVP (NoCP) = $3.18 เนื่องจาก NPVP (CP) > NPVP (NoCP) จึงควรใหUดำเนินการพัฒนาระบบระบายน้ำต&อ
$13.37 $3.18
$16.55
3
ผลประโยชน์อื่น
และ Ecosystem-based climate change proofing measures มาตรการภูมิคุUมกันบางมาตรการอาจใหUประโยชน^ทางเศรษฐกิจอื่นหรือ NPV(AncB) นอกเหนือจากการเป4น ภูมิคุUม กัน เช&น การปลูกตUนไมUตามแนวเขา นอกจากจะปoองกันโครงสรUางของถนนแลUว ยังสรUางผลผลิต และเป4นกลไกปo องกัน น้ำ ท&วมดUวย ฯลฯ ดังนั้น เราจึงควรจะพิจารณาตUนทุนและประโยชน^ทุกมิติ ซึ่งรวมไปถึงผลประโยชน^ดUานอื่นดUวย การวัดประโยชน^สุทธิของทางเลือกภูมิคุUมกันจะเท&ากับ
[NPVP (CP) - NPVP (NoCP)] + NPV(AncB)
กรณี
ตัวอย่าง
การคํานวณโดยการรวมประโยชน์อน ื่ กับ Ecosystem-based approaches to climate proofing
$4.97
จากตัวอย&างที่ผ&านมา นอกจากการพัฒนาระบบระบายน้ำแลUว การปลูกตAนไมAต าม แนวเขาก็ใหUประโยชน^แบบเดียวกัน คือ ลดค&าซ&อมรายป•จาก 2 ลUานเป4น 1 ลUานดอล ล&าร^ แต&มีประโยชน^อื่นเพิ่มเติม เนื่องจากตUนไมUที่ปลูกใหUผลผลิตกับชุมชนอีก ป•ล ะ 2 ลUาน (เริ่มในป•ที่ 10) อย&างไรก็ดีการปลูกตUนไมUตามแนวเขาจะทำใหUตUนทุนค&าก&อสรUาง เพิ่มขึ้นจาก 20 ลUานเป4น 22 ลUาน และทำใหUตUนทุนในการดูแลรักษาอยู&ที่ป•ละ 2.2 ลUาน (เริ่มในป•ที่ 4) ดังนั้น
$3.18
NPVP (ระบบระบายน้ำ) = $16.55 NPVP (ปลูกต^นไม^) = $18.35 ประโยชนXทางเศรษฐกิจมาตรการภูมิคุ^มกัน = NPVP (CP) - NPVP (NoCP) เพราะฉะนั้น ประโยชนXทางเศรษฐกิจของระบบระบายน้ำ = $3.18 ประโยชนXทางเศรษฐกิจของการปลูกต^นไม^ = $4.97 สรุปไดUว&า ทางเลือกในการปลูกตUนไมUจะมีความคุUมค&ามากกว&าการทำระบบระบายน้ำ
SENSITIVITY ANALYSIS: ค่าความเปลี่ยนแปลง ค4าความเปลี่ยนแปลงแบบที่ 1 ค&าประมาณผลประโยชน^อื่นๆ จากการปลูกตUนไมUท ี่ประเมินไวUรายป• เป4นมูลค&า 2 ลUานดอลล&าร^ นั้นอาจมีความไม&แน&นอน ซึ่งเราสามารถ วิเคราะห^ค&าความเปลี่ยนแปลง (switching value) ไดUว&าผลประโยชน^ อื่นๆ จากการปลูกตUนไมUจะตUองมีค&าอย&างนUอย 1.3 ลUานดอลล&าร^ต&อ ป• ทางเลือกการปลูกตUนไมUจึงจะคุUมค&ามากกว&าการสรUางระบบระบายน้ำ
ค4าความเปลี่ยนแปลงแบบที่ 2 จากขUอสมมติที่ใหUประโยชน^อื่นของการปลูกตUนไมUเริ่มในป•ที่ 10 อาจมีความ ไม&แน&นอนซึ่งเป4นไปไดUว&าผลประโยชน^ดังกล&าวอาจเกิดขึ้นเร็ว หรื อชUา กว&าที่ คาดการณ^ไวU จึงสามารถกำหนดค&าความเปลี่ยนแปลงไดUเช&นกัน ซึ่งในกรณี นี้คือ ป•ท ี่ 13 ป• กล&าวคือ หากประโยชน^อื่นๆ เกิดขึ้นก&อนป•ที่ 13 นับจาก เริ่มโครงการ ทางเลือกการปลูกตUนไมUก็ยังมีความคุUมค&ามากกว&าการสรUาง ระบบระบายน้ำ
4
กฎในการตัดสินใจ การวิเคราะห^ความคุUมค&ามีหลักเกณฑ^ที่ตUองประเมินการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวมของโครงการลงทุนอยู&หลายรูปแบบ ในที่นี้จะสรุปเป4น 3 รูปแบบ ไดUแก&
การตัดสินใจสามารถแบ&งไดUเป4น 2 กรณี ไดUแก& 2.
เมื่อ NPV ของโครงการที่เผชิญหนUากับการเปลี่ยนแปลง
1.
เมื ่ อ NPV ของโครงการที่ เ ผชิ ญ หนU า กั บ การเปลี ่ ย นแปลงสภาพ
สภาพภูมิอากาศ เป4นบวก แต& NPV ลดลงเมื่อเทียบกับ
ภูมิอากาศ เป4นลบ ในกรณีนี้ก็ไม&ควรดำเนินโครงการ เวUนเสียแต&ว&าจะ
กรณีไม&มี CC และไม&มีทางเลือกภูมิคุUมกันที่เหมาะสม ทั้ง
มีทางเลือกภูมิคุUมกันที่มีความเหมาะสมเชิงเทคนิคและเศรษฐกิจ ที่จะ
เชิ ง เทคนิ ค และเชิ ง เศรษฐกิ จ ในกรณี น ี ้ ไ ม& ต U อ งทำ
ช&วยเพิ่ม NPVP (CC) ใหUมีค&าเป4นบวก
มาตรการภูมิคุUมกัน
การประเมินมาตรการภูมิคุAมกัน ในเชิงเศรษฐกิจ (Economic analysis)
ทำโครงการ
ทำโครงการและมี มาตรการภูมิคุAมกัน
ทำโครงการโดยไมGมี มาตรการภูมิคุAมกัน
ทำโครงการและมี มาตรการภูมิคุAมกัน
ไมGทำโครงการ
5
03
04
การวิเคราะห์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับ การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศ
การวิเคราะห์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสี ยกับการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
(Stakeholder Analysis and Climate Adaptation) ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป4นกระบวนการที่ซับซUอน คนที่ไดUรับ ผลกระทบมีจำนวนมากไดUรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต&ความ รุนแรงของผลกระทบไม&เท&ากันขึ้นอยู&กับระดับของความเปราะบางของคนแต&ละกลุ&ม
กระบวนการวิเคราะห์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder Analysis) จึงมีความจำเป็น ต่อการดำเนินนโยบายด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งหากภาครัฐ มีการวิเคราะห์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่ดี ย่อมนำไปสู่การสร้างการมีส่วนร่วมต่อสาธารณะ (Public Participation) ได้อย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย
การวิเคราะห์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียคืออะไร Brugha และ Varvosovszky (2000) และ Reed และคณะ (2009) ได้ให้คำจัดความว่าการวิเคราะห์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียคือกระบวนการวิเคราะห์ที่ (1) มีการกำหนดปรากฏการณ์ทางสังคมหรือธรรมชาติที่ได้รับผลกระทบ จากการดำเนินการหรือการตัดสินใจบางอย่าง (2) แล้วจึงระบุบุคคล กลุ่มและองค์กรที่จะได้รับผลกระทบหรือสร้าง ผลกระทบให้กับบางส่วนของปรากฏการณ์ดังกล่าวได้ ซึ่งอาจรวมถึง ปัจจัยที่ไม่ใช่มนุษย์หรือไม่มีชีวิตก็ได้ และอาจรวมถึงลูกหลานในอนาคต ด้วยก็ได้ (3) จั ด ลำดั บ ความสำคั ญ หรื อ กำหนดระดั บ หรื อ ลั ก ษณะของความ เกี่ยวข้องของปัจเจกชนและกลุ่มคนเหล่านี้เพื่อพิจารณาผนวกเขาเข้า มา ในกระบวนการตัดสินใจปัจจัยที่ไม่ใช่มนุษย์หรือไม่มีชีวิตก็ได้ และอาจ รวมถึงลูกหลานในอนาคตด้วยก็ได้ การวิเคราะห์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การวิเคราะห์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย มีความสำคัญต่อการดำเนินนโยบายการปรั บตัว ต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและนโยบายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากเป็น ขั้นตอนสำคัญในการสร้างการมีส่วนร่วมของสาธารณะ ซึ่งการมีส่วนร่วมของ สาธารณะนี้ได้ถูกระบุไว้ในเอกสารสำคัญระดับโลกหลายฉบับ ตั้งแต่ใน Article 6 ของกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่เน้น ให้ ม ี “การมี ส ่ วนร่ว มของสาธารณะในการรั บ มื อ กั บ การเปลี ่ย นแปลงสภาพ ภูมิอากาศและผลกระทบของมันและพัฒนาการตอบสนองที่เพียงพอ”
1
ขั้นตอนในการวิเคราะห์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและกระบวนการที่เกี่ยวข้อง
02
01 การระบุตัวผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
01
การจำแนกแบ่งกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
03 การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างผู้มี ส่วนได้ส่วนเสีย
การระบุตัวผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
กระบวนการที่ทำไดUอาจใชUกระบวนการทางการวิจัยทั่วไป เช&น การขอความเห็นจากผูUเชี่ยวชาญ การจัด Focus groups ของคนที่เกี่ยวขUองเพื่อใหUช&วยกันระบุผูUมีส&วนไดUส&วนเสีย การสัมภาษณ^ การสุ&มตัวอย&างแบบ Snow-ball ซึ่งใหUคนที่เราสุ&มตอนตUนช&วยแนะนำต&อว&าควรจะสัมภาษณ^ใคร หรือดึงใครเขUามามีส&วนร&วมบUาง ยิ่งหากขอบเขตของปรากฏการณ^ที่เราพิจารณามีความชัดเจนจะ ทำใหUการระบุผูUมีส&วนไดUส&วนเสียเป4นไปไดUง&ายยิ่งขึ้นดUวย การมองผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างครอบคลุม โดยให้ความสำคัญกับความยุติธรรมทางสังคมมีความสำคัญมาก นั่น หมายถึงว่า กลุ่มที่มีอำนาจในการตัดสินใจน้อยที่สุดหรือไม่มีเลยควรจะได้รับโอกาสให้แสดงความเห็นด้วย เนื่องจากนโยบายด้านการพัฒนา และทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมักส่งผลกระทบต่อคนกลุ่มนี้ในระดับ ที่รุนแรงกว่าคนกลุ่มอื่นและคนเหล่านี้เป็นกลุ่มที่มักจะเป็นเป้าหมายของนโยบายการพัฒนาต่าง ๆ อยู่แล้ว การ รวมผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เหมาะสมเข้ามาในกระบวนการก็มีผลอย่างสำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายของนโยบาย
02
การจําแนกแบ่งกลุ่มผูม ้ ีส่วนได้ส่วนเสีย
แบบที่ 1 Top-down “Analytical Caterizations” เป็นกระบวนการแบ่งกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่ทำโดยผู้ดำเนินนโยบายหรือผู้วิจัยเอง เกณฑ^ที่ไดUรับความนิยมมาก คือ ประโยชน^ที่ไดUรับ (Interest) และอิทธิพลที่มีต&อองค^กร/นโยบาย (Influence) ตามตารางในตัวอย&างที่ 1 ไดU ใชUตารางเมทริกซ^ 2x2 ในการจับเกณฑ^ทั้งสองมาประกอบกัน กลายเป4นประเภทของผูUมีส&วนไดUส&วนเสีย 4 ประเภท คือ Key Players เป4นกลุ&มคนที่ควรใหUความสำคัญอย&างยิ่งเนื่องจากมีอิทธิผลต&อการบรรลุเปoาหมายมากและมี ผลประโยชน^เกี่ยวขUองมาก กลุ&มนี้สามารถเป4นไดUทั้งอุปสรรคสำคัญของการดำเนินโครงการในฐานะคู&แข&งหรืออาจจะ เป4นพันธมิตรที่สำคัญที่สุดของโครงการก็ไดU
2
Context Setters มีความสำคัญรองลงมา มีอิทธิพลต&อการบรรลุเปoาหมายมากแต&อาจจะไม&ไดUมีผลประโยชน^ เกี่ยวขUองอะไร กลุ&มนี้จะช&วยในการอำนวยความสะดวกใหUโครงการดำเนินไปไดUอย&างราบรื่น Subjects เป4นกลุ&มที่มีผลประโยชน^เกี่ยวขUองมากแต&มีอิทธิพลนUอย โดยมากมักหมายถึงคนที่เป4นเปoาหมายของ นโยบายหรือโครงการ แมUว&ากลุ&มนี้จะมีอิทธิพลนUอยดUวยตัวเอง แต&พวกเขาอาจมีอิทธิพลต&อโครงการเพิ่มขึ้นหาก เขาไปรวมตัวกับผูUมีส&วนไดUส&วนเสียกลุ&มอื่น นอกจากนี้ กลุ&ม subjects ที่เป4นกลุ&มเปราะบางนี่เองที่โครงการ พัฒนาควรใหUความสำคัญ Crowds กลุ&มนี้มีประโยชน^เกี่ยวขUองนUอยและมีอิทธิพลนUอย แปลว&ากลุ&มนี้อาจจะไม&มีความจำเป4นที่จะตUอง ดำเนินการใด ๆ ตัวอย่างที่ 1 การแบ่งกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียแบบ Top-down: Analytical Catergorization โดยใช้เกณฑ์มีอิทธิพล (Influence) และมีผลประโยชน์ (Interest) High Influence Low Influence High Interest Key Players Subjects Low Interest Context Setters Crowds แบบที่ 2 Bottom-up: Reconstructive Categorizations เป็นกระบวนการจัดกลุ่มที่ตรงข้ามกับแบบแรก คือ ให้การจัดกลุ่ม หรือการกำหนดเกณฑ์ในการจำแนกผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยตัวผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเอง กระบวนการที่อาจใช้ได้คือ การจัด Focus group แล้วใช้เครื่องมือประเภท “บัตรคำ” ที่ในแต่ละบัตรคำมี ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียแต่ละคน/แต่ละกลุ่มอยู่ แล้วจากนั้นให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จัดกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดย ใช้บัตรคำนั้น
03
การวิเคราะห์ความสัมพั นธ์ระหว่างผูม ้ ีส่วนได้ส่วนเสีย
Actor-Linkage Matrices เป4นวิธีการที่ดำเนินการไดUง&ายที่สุด เพียงแค&มีอุปกรณ^คือกระดาษ กับปากกา ก็สามารถวิเคราะห^ความสัมพันธ^ระหว&างผูUมีส&วนไดUส&วนเสียแต&ละกลุ&มไดUแลUว วิธีการคือ ลิสต^ผูUมีส&วนไดUส&วนเสียแต&ละคนในตารางทั้งแถวและคอลัมน^ แลUวจึงใส&ประเภทความสัม พั นธ^เ ป4น คำสำคัญ (Keyword) ในช&องในตารางนั้น ตัวอย&างของชุดคำสำคัญที่ใชUกันมากคือ Conflict (ขัดแยUงกัน) Complementary (ส&งเสริมกัน) Cooperation (ร&วมมือกัน) แต&คำสำคัญในการ วิเคราะห^แต&ละกรณีอาจเป4นคำอื่นก็ไดU ตัวอย่างที่ 2 Actor-Linkage Matrices นาย ก นาย ก นาย ข นาย ค
นาย ข
นาย ค Cooperation
Cooperation Complementary/Conflict
Conflict Complementary
Complementary
3
04
05
การวิเคราะห์แบบหลายเกณฑ์ เพื่ อการตัดสินใจเชิงนโยบาย การท่องเที่ยว
การวิเคราะห์
Multi-Criteria Analysis: MCA
แบบหลายเกณฑ์ การวิ เ คราะหb แ บบหลายเกณฑb หรื อ Multi-Criteria Analysis (MCA) เป4 น อี ก เครื ่ อ งมื อ หนึ ่ ง ที ่ ม ี ป ระโยชน^ ส ำหรั บ ช& ว ยในการ เปรียบเทียบและการตัดสินใจระหว&างทางเลือกเชิงนโยบาย และ/หรือ ทางเลือกการดำเนินงานต&างๆ เพื่อใหUสามารถระบุทางเลือกที่ดีที่สุด หรื อ เพื ่ อ การจั ด ลำดั บ ของทางเลื อ ก หรื อ เพื ่ อ จำแนกกลุ & ม ของ ทางเลือก MCA เหมาะสมกับสถานการณ^ที่ตUองมีการพิจารณาเปoาหมายการ ดำเนินงานที่แตกต&างหลากหลาย ซึ่งอาจครอบคลุม ทั้งในมิติดUาน สิ่งแวดลUอม สังคม และ เศรษฐกิจ ซึ่งโดยส&วนใหญ& เรามักจะพบว&าผูUกำหนดนโยบายมีความตUองการ พิจารณาเปoาหมายการดำเนินงานที่แตกต&างหลากหลายมิติเช&นกัน โดยที่เปoาหมายของการตัดสินใจในดUานต&างๆ อาจมีลักษณะหรือมี ผลกระทบที่ขัดแยUงกัน ทำใหUมีความจำเป4นที่จะตUองมีการพิจารณา ในเชิงของการ “แลกเปลี่ยนชดเชย” ระหว&างเปoาหมายที่แตกต&าง กัน MCA จึงถือเป4นเครื่องมือการวิเคราะห^ที่มีประโยชน^อย&างมาก ในกรณีเช&นนี้ การพิจารณาความเหมาะสมของทางเลือ กรูป แบบการ วิ เ คราะหY ห ลั ก ระหว; า ง Cost-Benefit Analysis, CostEffectiveness Analysis และ Multi-Criteria Analysis ใน กรณี ข องการพิจ ารณาทางเลือ กการดำเนิน งานด"า นการ ปรั บ ตั ว ต; อ การเปลี ่ ย นแปลงสภาพภู ม ิ อ ากาศ สามารถ พิจารณาได"จากแผนภูมิด"านข"าง
ตAนทุนและผลประโยชนYของโครงการสามารถประเมินออกมาในรูปตัวเงิน (monetary terms) ไดAหรือไมG?
ไดA
ไมGไดA
การวิเคราะหYตAนทุน-ผลประโยชนY (Cost-Benefit Analysis: CBA) การวิเคราะหYตAนทุน-ประสิทธิผล (Cost-Effectiveness Analysis: CEA)
หากประเมินผลประโยชนYไมGไดA สามารถประเมินตAนทุนของโครงการใน รูปตัวเงินไดAหรือไมG?
ไดA
ไมGไดA
สามารถจัดลำดับความสำคัญของโครงการโดยอาศัยเกณฑYที่กำหนดขึ้น เชGน เกณฑY เชิงคุณภาพ ไดAหรือไมG?
ไดA การวิเคราะหYแบบหลายเกณฑY (Multi-Criteria Analysis: MCA)
ท
ไมGไดA ใชAวิธีการอื่น ๆ ทีไ่ มGใชGวิธีการทาง เศรษฐศาสตรY
ระเบียบวิธี MCA ที่ไดUรับความนิยมในการนำมาประยุกต^ใชUมากที่สุดคือ Linear Additive Models: Multi-Criteria Decision Analysis (MCDA) ซึ่งเป4นระเบียบวิธีที่สามารถใหUผลในลักษณะของการเรียงลำดับทางเลือก จากที่ดีสุดไปแย4ที่สุด
1
ข้อเสีย
ข้อดี เป4นการวิเคราะห^ที่เอื้อต&อการใชUขUอมูลที่มีรูปแบบและ ลักษณะที่หลากหลาย
1
ผลลัพธ^ของการวิเคราะห^ขึ้นกับความมีส&วนร&วม
สามารถใชU ใ นการวิ เ คราะห^ เ ปo า หมายและเกณฑ^ ที่ หลากหลาย ทั้งในส&วนที่สามารถประเมินค&าเป4นตัวเงิน ไดU และประเมินค&าเป4นตัวเงินไม&ไดU
2
อาจมีปrญหาความซับซUอนทางเทคนิคของการวิเคราะห^
3
ไม&เอื้อแก&การเปรียบเทียบผลขUามการวิเคราะห^ครั้ง ต&างๆ กัน
4
อาจมีปrญหาความยุ&งยากในการตกลงค&าน้ำหนัก หรือ ค&าคะแนนทำใหUตUองใชUเวลานานในการวิเคราะห^ใหU สมบูรณ^
5
ผูUมีส&วนไดUเสียกลุ&มที่ไม&มีความสามารถในการเขUาถึง ขUอมูลจะเป4นฝtายเสียเปรียบ
เปlดโอกาสใหUเกิดการมีส&วนร&วมในวงกวUาง สามารถ กระตุUนการแลกเปลี่ยนถกเถียงอันอาจนำไปสู&การหา ทางออกจากความขัดแยUงร&วมกัน มีความเป4นระบบและโปร&งใส
ช&วยสะทUอนและสรUางการยอมรับค&านิยมของผูUมีส&วนไดU เสีย และรวมทั้งผูUกำหนดนโยบาย
ขั้นตอนการวิเคราะห์แบบหลายเกณฑ์
01
STEP
02
STEP
การสร^าง/กำหนดบริบทในการตัดสินใจ การสรUางความเขUาใจร&วมกันของผูUมีส&วนไดUเสียต&างๆ เกี่ยวกับ “บริบทของการ ตัดสินใจ” (Decision Context) ที่กำลังร&วมกันพิ จารณาในมิติต&างๆ ทั้งการ บริหาร การเมือง สังคม เทคนิค และ สิ่งแวดลUอม ที่อยู&ลUอมรอบการตัดสินใจ
การระบุทางเลือก การระบุแนวทางที่แตกต&างกันในการเปลี่ยนแปลงจากสถานภาพในปr จ จุบั นไปสู& สถานภาพที่ตUองการใหUเกิดขึ้น อาจจะรวมถึงการพิจารณากลั่นกรองโดยเบื้ องตUน บนพื ้ น ฐานของขU อ จำกั ดเชิง กฎหมาย กฎระเบี ย บ และ/หรื อ ขU อ จำกั ดทาง เทคนิค/สังคม/สิ่งแวดลUอมต&างๆ ที่เกี่ยวขUอง
2
03
STEP
การกำหนดวัตถุประสงคXและเกณฑXในการประเมิน วัตถุประสงค^ที่กำหนดอาจเป4นเปoาหมายในมิติที่แตกต&างหลากหลายทั้งในเชิง มิติดUานสังคม สิ่งแวดลUอม เทคนิค เศรษฐกิจ หรือ การเงิน ส&วนการพิจารณา ความเหมาะสมของเกณฑ^การประเมิน อาจประกอบดUวย ความครอบคลุมรอบ ดUานทุกมิติทุกกลุ&มผูUมีส&วนไดUเสีย สามารถนำมาใชUไดUจริง วัดไดU ประเมินค&าไดU หรือสามารถใหUความเห็นในการประเมินไดU เป4นตUน
ลักษณะของเกณฑX และ การกำหนด เกณฑXการประเมินที่เหมาะสม
1
เกณฑ^ควรตUองมีความชัดเจน และ สามารถวัดประเมินไดU
2
เกณฑ^ควรมีความครอบคลุมและสะทUอนถึง “การใหUคุณค&า” ของผูUมี ส&วนไดUเสียทุกๆ กลุ&ม และ ของผูUกำหนดนโยบายที่มีอำนาจตัดสินใจ
จำนวนของเกณฑ^ควรมีปริมาณที่เหมาะสม คือ จำนวนของเกณฑ^ที่นUอยที่สุดที่จะเป4นไปไดU ในขณะที่ยัง มีความเพียงพอ/เหมาะสมแก&การนำไปสู&การตัดสินใจที่รอบดUาน โดยส&วนใหญ&จะมีจำนวนเกณฑXอยู4ใน ระหว4าง 6-20 เกณฑX
04
STEP
การพิจารณาขนาดผลสำเร็จและการให^คะแนน การประเมินขนาดผลสำเร็ จที ่เ กิด ขึ้ น/คาดว& าจะเกิดขึ้ น จากทางเลือ กการ ตัดสินใจต&างๆ ต&อวัตถุประสงค^ในมิติต&างๆ ทำไดUโดยการแปลงผลการประเมิน ผลสำเร็จดังกล&าว ออกมาเป4นค&าตัวเลขผลคะแนน ในขั้นตอนนี้อาจใชUวิธีการ อUางอิงจากการประเมินคะแนนโดยกลุ&มผูUเชี่ยวชาญ หรือ จากการประเมินผ&าน การรับฟrงขUอมูลและความคิดเห็นของผูUมีส&วนไดUเสียต&างๆ
โดยการประเมินอาจเป4นการประเมินในเชิงคุณภาพ การประเมินเชิงลำดับคะแนน การวัดค&าเชิงปริมาณ และ/หรือ การประเมินมูลค&า เป4นหน&วยตัวเงิน ประกอบกัน ขึ้นกับลักษณะเฉพาะของเกณฑ^ชี้วัดแต&ละรายการ ตัวอย4างการสรุปรวมผลการประเมินสำหรับแต4ละเกณฑXทั้งหมดในรูป ของตาราง Performance Matrix Performance Matrix ทางเลือก
ต^นทุนต4อหน4วย
การลดการปล4อยก€าซ
การประหยัดน้ำ
A B C D ขนาด (scale) แหล4งข^อมูล
350 200 250 225 USD/ตัน การวิเคราะห^ทาง เทคนิค
150 100 200 175 KgCO2e/ตัน วิเคราะห^จาก แบบจำลอง
สูง (2) ต่ำ (1) ต่ำ (1) สูง (2) คะแนน 2 ระดับ ความเห็นผูUเชี่ยวชาญ
การลดการสูญเสียของ พืชผลทางการเกษตร สูง (4) สูงมาก (5) ปานกลาง (3) ปานกลาง (3) คะแนน 5 ระดับ ความเห็นผูUเชี่ยวชาญ
3
แผนภาพการแปลงค4าคะแนนในรูปแบบของ Normalized Scoring System
Performance Matrix กรณีคะแนนยิ่งสูง ยิ่งดี
Normalized Scoring System เ ป 4 น แ บ บ แผนการใหUคะแนนที่ไ ดUร ับ ความนิ ยมแบบหนึ่ง เป4นการกำหนดใหUคะแนนสำหรั บเกณฑ^ต& าง ๆ ทั้งหมด มีค&าอยู&ในระหว&าง 0 ถึง 100 ซึ่งลักษณะ ดังกล&าวนี้ จะมีผลช&วยใหUเกิดความคงเสUนคงวา ของการประเมินระหว&างเกณฑ^ต&าง ๆ กัน
กรณีคะแนนยิ่งต่ำ ยิ่งดี
Normalized scoring Matrix (100 สำหรับทางเลือกที่ดีที่สุด และ 0 สำหรับทางเลือกที่แยAที่สุด)
ตัวอย4างการ คำนวณ ทางเลือก A
B
C
D
05
STEP
ต>นทุนตAอหนAวย (ค#ายิ่งต่ำยิ่งดี) 350 (350-350)/(350-200)*100 =0 200 (350-200)/(350-200) *100 =1 250 (350-250)/(350-200) *100 = 66.67 225 (3550-225)/(350-200) *100 = 85
Normalized Scoring Performance Matrix การลดการปลAอยกHาซ การประหยัดน้ำ การลดการสูญเสียของพืชผลทางการเกษตร (ค#ายิ่งสูงยิ่งดี) (ค#ายิ่งสูงยิ่งดี) (ค#ายิ่งต่ำยิ่งดี) 150 สูง (2) สูง (4) (150-100)/(200-100)*100 (2-1)/(2-1)*100 (5-4)/(5-3)*100 = 50 = 100 = 50 100 ต่ำ (1) สูงมาก (5) (100-100)/(200-100)*100 (1-1)/(2-1)*100 (5-5)/(5-3)*100 =0 =0 =0 200 ต่ำ (1) ปานกลาง (3) (200-100)/(200-100)*100 (1-1)/(2-1)*100 (5-3)/(5-3)*100 = 100 =0 =0 175 สูง (2) ปานกลาง (3) (175-100)/(200-100)*100 (2-1)/(2-1)*100 (5-3)/(5-3)*100 = 75 = 100 =0
การกำหนดค4าถ4วงน้ำหนักของเกณฑXในการประเมิน เนื่องจากเกณฑ^แต&ละตัวอาจมีระดับของ “คุณค&า” ที่แตกต&างกันก็ไดU จึงตUองมี การประเมินค&าน้ำหนักเปรียบเทียบที่จะใหUแก&ค&าคะแนนของเกณฑ^ต&างๆ ที่แปลง มา เพื ่ อ ใหU ส ามารถคำนวณคะแนนรวมที ่ส ะทUอ นระดั บ ความพึ ง พอใจของ ผลสำเร็จที่แต&ละทางเลือกจะสรUางใหUเกิดขึ้นในภาพรวมไดU
ตัวอย4างการการกำหนดค4าถ4วงน้ำหนัก
แบบแผนในการกำหนดค&าน้ำหนักที่ไดUรับความนิยมกัน คือ การ กำหนดค&าน้ำหนักในลักษณะที่ใหUผลรวมของค&าน้ำหนักของการ เกณฑ^ทั้งหมด มีค&าเท&ากับ 100% กลุ4มเกณฑX ตUนทุน ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ผลกระทบทางสังคม ผลกระทบทางสิ่งแวดลUอม รวม
น้ำหนัก 20% 30% 30% 20% 100%
4
06
STEP
การปรับค4าคะแนนและการรวมคะแนน นำค&าถ&วงน้ำหนักที่ไดUจากการวิเคราะห^ในขั้นตอนที่ 5 มาเป4นตัวปรับค&าคะแนนที่ ไดUจากผลการวิเคราะห^ในขั้นตอนที่ 4 ก&อนที่จะรวมผลของค&าคะแนนทั้งหมด เป4นค&าคะแนนในภาพรวมของแต&ละทางเลือก
สูตรและตัวอย4าง ในการรวมคะแนน
โดย
ทางเลือก
ต^นทุนต4อหน4วย
การลดการปล4อยก€าซ
การประหยัดน้ำ
A B C D
น้ำหนัก=20% 0 100 66.67 85
น้ำหนัก =30% 50 0 100 75
น้ำหนัก=30% 100 0 0 100
07
STEP
08
STEP
si = คะแนนของทางเลือก i wj = น้ำหนักของเกณฑ^ j (เปอร^เซ็นต^) sij = คะแนนของเกณฑ^ j สำหรับทางเลือก i n = จำนวนเกณฑ^
การลดการสูญเสียของ พืชผลทางการเกษตร น้ำหนัก=20% 50 100 0 0
การพิจารณาผลการวิเคราะหX พิจารณากำหนดทางเลือกที่ใหUผลดีที่สุด หรือ ใชUจัดเรียงลำดับทางเลือก หรือ ใชU ใ นการจั ด กลุ & ม เพื ่ อ แยกทางเลื อ กที ่ น &า สนใจมาเพื ่ อ พิ จ ารณาศึก ษาใน รายละเอียดเพิ่มเติม (Short-Listing)
การวิเคราะหXความอ4อนไหว พิจารณาความอ&อนไหวของผลการวิเคราะห^ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงในค&า ของปrจจัยต&าง ๆ หรือ สมมติฐานต&าง ๆ ที่ใชUในการวิเคราะห^ เช&น การเปลี่ยนค&า น้ำหนักของเกณฑ^ต&าง ๆ เพื่อใหUสามารถบ&งชี้ปrจจัยที่มีอาจก&อผลที่สำคัญใหUเกิด การเปลี่ยนแปลงของผลการวิเคราะห^ ใหUมีทิศทางหรือผลที่ผิดเปลี่ยนไปจากเดิม
คะแนนรวม
55 40 43.3 69.5