อานิสงส์ 10 ข้อ ของการไม่กินเนื้อสัตว์ เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า อานิสงส์ขั้นต้นของการไม่กินเนือ้ สัตว์ ไม่ฆา่ สัตว์และไม่ เบียดเบียนสัตว์คือจะทาให้ชีวิตของเราไม่ต้องตายด้วย ปืนผาหน้าไม้ คมหอกคมดาบ ไม่ตายด้วยเหตุกาณ์ อันน่าสยดสยองหรือภัยพิบัติต่างๆ ทั้งยังสามารถตัดกรรมในเรื่องการฆ่าและยุติการจองเวรกับสรรพสัตว์ ทั้งหลายอีกด้วย องค์สมเด็จพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระผูเ้ ปี่ยมล้นด้วยพระเมตตาอันมิอาจประมาณ ได้ทรงรักใคร่สรรพสัตว์ทั้งหลายประดุจลูกในอุทรของพระองค์เองเมื่อได้บรรลุอนุตตรสัมโพธิญาณสูงสุด แล้ว ก็ยังทรงมีพระทัยห่วงใยปรารถนาให้เวไนยสัตว์ทั้งหลายได้หลุดพ้นออกจากบ่วงกรรมและระงับดับ การจองเวรซึ่งกันและกัน ในบรรดาบาปกรรมทั้งหลายที่คนหลงผิดกระทาไปการเบียดเบียนฆ่าทาลายชีวิตผู้อ่นื ถือเป็น บาปกรรมที่รา้ ยแรงที่สุดแม้ว่าจะกระทาลงไปโดยไม่เจตนา ก็ยังต้องไปรับโทษ นับประสาอะไรกับการจงใจ เจตนาฆ่าเขาให้ตาย โทษทัณฑ์นั้นจะยิ่งใหญ่หลวงและไม่อาจให้อภัยได้ ด้วยเหตุที่พระพุทธองค์ทรงมีพระประสงค์ให้เราทุกคนละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวติ และเลิก เบียดเบียนผู้อ่นื โดยเด็ดขาด พระองค์จึงทรงบัญญัติศีลข้อ “ปาณาติบาต” คือห้ามการฆ่า เป็นข้อที่สาคัญ อันดับหนึ่ง ขอให้เราจงมาร่วมกันศึกษาพิจารณาพระพุทธวจนะว่าด้วยเรื่อง “อานิสงส์ 10 ข้อของการไม่กิน เนือ้ สัตว์” เพื่อจักได้นาไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติและบาเพ็ญธรรมให้สูงขึ้นไป ในพระสูตรของพระพุทธศาสนามหายานเล่าว่า “สมัยหนึ่ง... องค์สมเด็จพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จไปเทศนาโปรดบรรดาเหล่า พญานาคทั้งหลาย พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสธรรมกถาวิสัชนาแสดงแก่พญานาคราชความว่า “บุคคลใดหยุดการฆ่าสัตว์ตัดชีวติ และงดเว้นเสียจากการเสพเลือดเนื้อสัตว์ อีกทั้งยังชี้นา ส่งเสริมให้หมู่ชนทั้งหลายหยุดฆ่า หยุดเสพชีวติ เลือดเนื้อผู้อื่น บุคคลผู้นั้นย่อมห่างไกลจากอกุศล มูลทั้งปวง และบริบูรณ์พร้อมด้วยอานิสงส์ทั้ง 10 ประการอันได้แก่: 1.เป็นที่รักใคร่ของบรรดาเทพ พรมตลอดจนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย 2.จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น 3.สามารถตัดขาดความอาฆาต ดับอารมณ์เหี้ยมโหดเครียดแค้นในใจลงได้ 4.ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนร่างกาย 5.มีอายุมั่นขวัญยืน
6.ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากวัชรเทพทั้งแปด 7.ยามหลับนิมิตเห็นแต่สิ่งที่ดงี ามเป็นสิริมงคล 8.ย่อมระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้นซึ่งกันและกัน 9.สามารถดารงอยู่ในกระแสแห่งนิพพาน ไม่พลัดหลงตกลงสู่อบายภูมิ 10.ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตญาณจะมู่งสู่คติภพ อธิบายอานิสงส์ 10 ข้อ ของการไม่กินเนื้อสัตว์ 1.เป็นที่รักใคร่ของบรรดาเทพ พรหมตลอดจนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย บุคคลผู้ที่มจี ติ ใจโอบอ้อมอารี ไม่เบียดเบียนผู้ใด มีกิริยาสารวม จรรยามารยาทเรียบร้อย ไม่กล่าว คากระโชกด่าทอกับใครทั้งสิน้ บุคคลเช่นนีเ้ มื่อก้าวไปสู่แห่งหนใด ย่อมเป็นที่รักใคร่ มีแต่คนอยากเข้ามา ใกล้ชิด ในทางตรงกันข้าม หากเป็นคนที่สะสมไว้แต่อารมณ์รา้ ยๆ แววตาเต็มไปด้วยกลิ่นไอแห่งการ “ฆ่า” บุคคลเช่นนี้ไปถึงที่ไหน แม้ไม่ต้องถือมีดเข้ามาให้เห็นทุกคนก็อยากจะวิ่งหนีไปให้ไกล มีตานานชาดกโบราณเล่าว่า สมัยหนึ่งในอดีต นับย้อนไปเป็นเวลา 500 ชาติ ก่อนที่พระพุทธองค์จะ ตรัสรู้ ในเวลานั้นพระองค์ออกบวชเป็นดาบสมีนามว่า “ขันติ” พานักอยู่ในป่าลึกเพื่อบาเพ็ญธรรม มีอยู่วันหนึ่ง เหล่านางสนมของท้าวเทวทัตผู้เป็นราชาได้พลัดหลงขณะที่ตามเสด็จพระพาสป่า ทั้งหมดจึงพากันดั้นด้นไปจนกระทั่งพบพระดาบสกาลังเจริญภาวนาอยู่อย่างสงบ มีลักษณะอันสง่างดงาม แต่ทว่าใกล้ๆกันนั้นเต็มไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิดมาห้อมล้อมอยู่โดยรอบ ในบรรดาสัตว์เหล่านั้นมีทั้ง เสือ สิงห์โต ซึ่งเป็นสัตว์ที่ดุร้าย แต่ช่างน่าประหลาดที่มันกลับดูเชื่องและอ่อนโยน มิได้ลุกขึ้นวิ่งไล่ทาร้ายแม้ กระต่าย กระรอก นก ซึ่งมาหากินอยู่ใกล้ๆ บรรดานางสนมจึงได้พากันเข้าไปกราบนมัสการพร้อมกับทูลถามพระดาบสว่า “ท่านปฏิบัติธรรม บาเพ็ญเพียรอยู่ในป่าลึกเช่นนีไ้ ม่กลัวสิงสาราสัตว์ที่ดุร้ายมาทาอันตรายหรอกหรือ?” พระดาบสจึงตรัสตอบว่า “เมื่อภายในจิตของเรา ไม่มีแม้แต่เศษเสีย้ วธุลีของความคิดที่จะไปเบียดเบียนทาลายชีวิตผู้อ่ืน เช่นนีแ้ ล้วย่อมจะไม่เป็นที่หวาดกลัวหรือตื่นตระหนกต่อผูใ้ ด ฉะนัน้ สัตว์รา้ ยทั้งหลายย่อมไม่ทาอันตรายแก่ เรา”
พระธรรมโอวาทบทนี้ ยังคงปรากฏเป็นจริงแม้ในกาลปัจจุบัน ดังปรากฏตัวอย่างที่..ประเทศไต้หวัน มีเด็กหญิงเล็กๆหนึ่ง ทุกวันยามเช้าตรู่เธอจะนาเอาเมล็ดข้าวไปหว่านให้นกกระจอกกินเป็นประจา นานวัน เข้า เมื่อพบหน้าบรรดานกกระจอกเหล่านั้นก็จะพากันโผบินเข้ามาหยอกเย้ากระโดดโลดเต้นและเกาะอยู่ ตามตัวของเธอ นี่ก็เป็นเพราะแม่หนูน้อยเป็นผู้ที่มจี ติ เมตตาโดยแท้ การกระทาของเธอจึงเป็นการผูกบุญ บารมีแห่งเมตตาไว้กับสัตว์ทั้งหลาย ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ และปราศจากสิ่งเคลือบแฝงใดๆ
2.จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น จิตเมตตา คือ ความรูส้ ึกนึกคิดที่อยากให้สรรพสัตว์ทั้งหลายได้มีชีวติ อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข เหตุฉะนี้คนที่มีความเมตตากรุณาอยู่ในใจ อย่าว่าแต่เห็นสัตว์ทั้งหลายต้องตายไปต่อหน้าเลยแค่ เพียงเห็นเขาต้องประสบเคราะห์กรรมถูกเฆี่ยนตี ก็ย่อมจะไม่สบายใจ ดังนัน้ ผูป้ ฏิบัติธรรม ไม่เพียงแต่จัก ต้องไม่เข่นฆ่าทาลายชีวติ ผู้อื่นให้ดับดิน้ เท่านั้น แม้แต่จะเอ่ยวาจาด่าทอให้ระคายหูก็จะไม่กระทาโดย เด็ดขาด เมื่อจิตเมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย ค่อยๆถูกสะสมเพิ่มพูนจนเปี่ยมล้น ก็จะบังเกิดเป็นมหาเมตตา ขึน้ ในใจ มหาเมตตานีจ้ ะเพิ่มพลังจิตขึ้นในตัว นับเป็นเหตุปัจจัยสาคัญอันจะนาพาให้ผู้บาเพ็ญสามารถ สาเร็จธรรมบรรลุสู่ขนั้ “พระโพธิสัตว์” เจ้าชายสิทธัตถะ พระองค์เป็นพระโอรสของพระเจ้าแผ่นดินไม่เคยประสบความทุกข์ความลาบาก อย่างใดเลยก็จริงแต่น้าพระทัยของพระองค์ก็ยังทรงหยั่งทราบถึงจิตใจของสัตว์เหล่าอื่น ด้วยความเห็นใจว่า “สัตว์ทั้งหลายย่อมปรารถนาความสุขเกลียดความทุกข์เช่นเดียวกัน ไม่ว่าสรรพสัตว์นั้นๆจะเป็น มนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉาน” (จากหนังสือพุทธประวัติพระกอบภาพ สาหรับเยาวชน โดยท่านพุทธทาสภิกขุ)
3.สามารถตัดขาดความอาฆาต ดับอารมณ์เหี้ยมโหดเครียดแค้นในใจลงได้ นอกเหนือจากความเห็นแก่ตัวในเรื่องปากท้องของตนทั้งกินดื่มเสพ อันเป็นเหตุให้คนเราต้อง เข่น ฆ่า ทาลายชีวิตผูอ้ ื่นสาเหตุใหญ่ของการทาลายล้างซึ่งกันและกันอีกประการหนึ่ง ก็คือความโกรธแค้น อาฆาตพยาบาท จองเวรต่อกัน คนที่มอี ารมณ์โกรธเกลียดเครียดแค้น มักจะก้าวร้าวชอบดุด่าและทาร้ายผู้อื่น นานวันเข้าก็ กลายเป็นคนโหดเหี้ยมอามหิตหยาบกระด้าง ใจหิน ใจทมิฬ ใจด้านชาจนกระทั่งแม้ความตายของผูอ้ ื่นก็เห็น ว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยไม่น่าใส่ใจในที่สุดก็จะกลายเป็นพวกยักษ์มารอสูรที่มีรูปร่างภายนอกเป็นคนซึ่งสามารถ เข่นฆ่าทาลายล้างได้แม้แต่พ่อแม่บังเกิดเกล้า พี่น้องตลอดจนห้าหั่นวงศาคณาญาติและฆ่าลูกเต้าในไส้ของ ตน ดังปรากฏอยู่ทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นผูท้ ี่ตงั้ ใจปฏิบัติธรรม จะต้องตัดเอาอารมณ์โกรธเกลียดอาฆาตพยาบาท ออกไปให้ หมดสิ้น อย่าให้หลงเหลือไม่เพียงแต่เราต้องรักทะนุถนอมชีวติ ของตนเองเท่านั้นแต่เรายังจะต้องรักและทนุ ถนอมชีวิตของผู้อ่ืนอีกด้วย มิเช่นนัน้ แล้วก็จะได้รับวิบากกรรม ต้องไปเกิดเป็นสัตว์เลือ้ ยคลาน งูและสัตว์ ประเภทดุร้ายทั้งหลาย การที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติให้พุทธบริษัทถือศีล ข้อปาณาติบาตก็เพื่อให้หยุดการจองเวรโดยยุติ การเข่นฆ่าเอาชีวิตผู้อ่นื ทั้งนี้เนื่องด้วยสาเหตุที่ว่า หากบุคคลผู้ใด มีอารมณ์เครียดแค้นพยาบาทในชาติน้ี มัน จะฝังแน่นอยู่ในกมลสันดานจนติดตามไปถึงภพหน้าชาติหน้า ฉะนั้นถ้าหากชาตินี้ เราเข่นฆ่า กินเลือดกิน เนือ้ เขา แน่นอน...ไม่วา่ กี่ภพกี่ชาติสบื ต่อไปภายหน้า ก็จะถูกเจ้ากรรมนายเวรในอดีต ติดตามรังควานทวง หนี้ชีวติ ทุกชาติๆไปเช่นนี้แล้ว ... บุคคลผู้นั้นจะสามารถปฏิบัติธรรมให้บรรลุถึงความมหลุดพ้นไปได้ อย่างไร?
4.ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนร่างกาย ความเจ็บไข้ได้ป่วยของคนเราซึ่งมีสาเหตุมาจากการผันแปรของดินฟ้าอากาศหรือจากเรื่องอาหาร การกินที่ผดิ ธรรมชาติความเจ็บป่วยจากสาเหตุทั้งสองนั้น อาจเยียวยารักษาให้หายได้ด้วยยา แต่โบราณ กล่าวว่า “ถึงยาวิเศษแค่ไหนก็ไม่สามารถรักษาโรคกรรมได้” โรคกรรมอันเกิดมาจากการเคยสร้างอกุศลกรรมร่วมกันมาในอดีต ที่สงผลให้คนเหล่านั้นต้องมา ตายพร้อมกันในชาติปัจจุบัน ได้แก่ -ตายด้วยโรคระบาดในคราวเดียวกันมากๆ เช่น กาฬโรค โรคเอดส์ ฯลฯ -ประสบอุบัติเหตุตายหมู่พร้อมกัน -ถูกฆ่าทาลายล้างเผ่าพันธุ์ในสงคราม เหล่านี้มีสาเหตุสาคัญ ก็คือ คนเหล่านั้นต่างเคยร่วมกันฆ่าสัตว์ตัดชีวิตร่วมเสพเลือดเนื้อผู้อ่นื ร่วม ส่งเสริมผู้อ่ืนให้ฆ่าให้กินให้เสพ ทั้งหมดเรียกว่า “กรรมหมู”่ จนกระทั่งมาเกิดในชาติน้ี ผลกรรมที่เคยกินเลือดกินเนือ้ เขาในอดีต ถึงเวลาสุกงอม ก็ต้องชดใช้คืน หนี้เลือดชดใช้ดว้ ยเลือด หนี้ชีวติ ใช้ดว้ ยชีวิต บางรายแม้ไม่ถึงตายก็ต้องพิการหรือไม่ก็เจ็บป่วยออดๆ แอดๆ ด้วยโรคประจาตัวไปหาหมอให้รักษาเยียวยาอย่างไรก็ไม่หายขาดต้องอยู่ทนทุกข์ทรมานไปตลอดชีวติ เรา มักจะได้ยินหลายคนพูดว่า “เฮ้อ...เราช่างมีกรรมมากเสียจริงๆ ถึงต้องเจ็บป่วยเป็นประจา” คาพูดเช่นนีจ้ ริงแท้ที่สุด เวรกรรมที่เป็นเหตุชักนาให้ผู้คนต้องประสบโรคภัยกลุ้มรุมทาร้าย ก็ เนื่องมาจากในอดีตพวกเขาต่างเคยเบียดเบียน เข่นฆ่า ทาลายชีวติ ผูอ้ ื่นมากินมาเสพนั่นเอง เราทุกคนก็ทราบกันดีแล้วว่า ถ้าหากร่างกายมีแต่โรคภัยเบียดเบียน เจ็บไข้ได้ป่วยอยู่เป็นประจา สุขภาพอ่อนแอทรุดโทรม บุคคลผู้นนั้ จะคิดอ่านทาการสิ่งใดก็จะพบแต่อุปสรรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งคิดจะ ฝึกฝนปฏิบัติธรรมก็จะยิ่งยากลาบากขึ้นไปอีก บางคนคิดจะนั่งสมาธิฟังเทศน์ฟังธรรมอ่านไปได้เพียงครึ่ง หน้าก็ง่วงเหงาหาวนอนเสียแล้ว ตรงกันข้าม...ถ้าหากร่างกายของเราแข็งแรงสุขภาพสมบูรณ์ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมารบกวนรังควาน เราคิดกระทาสิ่งใด ก็ย่อมจะสาเร็จสมประสงค์โดยง่าย ไม่วา่ จะศึกษาหลักธรรมคัมภีร์ ปฏิบัติธรรม บาเพ็ญสมาธิภาวนา ก็จะราบรื่นรุดหน้า บันดาลให้เกิดปัญญาญาณ รู้ผิดชอบชั่วดีมีสติสานึกระลึกได้ ตลอดเวลา ฉะนั้นจึงใคร่ขอฝากเตือนท่านทั้งหลายว่า ถ้าอยากจะเป็นผูท้ ี่มอี ายุมั่นขวัญยืน สุขภาพร่างกาย
สมบูรณ์แข็งแรงห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน ก็จงงดเว้นบริโภคเนือ้ สัตว์และหมั่นสร้างบุญสร้าง กุศล ปลดปล่อยช่วยเหลือชีวิตสัตว์ทั้งหลายเป็นประจา
5.มีอายุมั่นขวัญยืน ทุกชีวติ ที่เกิดมาบนโลกนี้ ทั้งคนและสัตว์ต่างล้วนอยากให้ตนมีอายุยืนยาว แต่ทว่าความมีอายุยืน นานนั้น มิใช่เพียงแต่คิดอยากจะได้ .. ก็ได้ เพราะถ้าหากในอดีต ท่านเป็นผูท้ ี่ชื่นชอบนิยมยินดีในการบริโภค เนือ้ สัตว์ ตลอดจนฆ่าและส่งเสริมให้ผู้อ่ืนฆ่าสัตว์ตัดชีวิต การที่จะหวังให้ตนมีชีวติ ที่ราบรื่นเป็นสุขและอายุ ยืนยาวนัน้ ... ย่อมเป็นไปไม่ได้! ขอยกตัวอย่างให้เห็น...ที่จังหวัดเกาสง ซึ่งอยู่ทางภาคใต้ของประเทศไต้หวัน มีแม่ค้าขายเนื้อเป็ด เนือ้ ไก่ คนหนึ่งเลีย้ งชีพด้วยการเชือดคอเป็ด คอไก่ ขายทุกวัน ต่อมาก็ล้มป่วยเป็นมะเร็งที่คอ อายุไม่ทันถึง 30 ก็ตาย! อีกรายหนึ่ง ...เป็นพ่อค้าขายเนื้อ จนมีฐานะร่ารวยต่อมาได้ซือ้ บ้านตึก 3 ชั้น หวังจะได้อยู่อย่างเป็น สุข แต่ก็กลับมีเรื่องทะเลาะวิวาทกัน จนในที่สุดเขาต้องพบจุดจบด้วยการผูกคอตายในบ้านหลังนัน้ อีกตัวอย่าง..ที่จังหวัด ถังซาน ประเทศไต้หวัน สามีภรรยาคู่หนึ่งค้าขาย เป็ด ไก่ ลูกชายของเขาพอ อายุได้ 12 ขวบก็ป่วยเป็นโรคลาไส้อักเสบ ต้องเข้าโรงพยาบาลผ่าตัดถึง 3 ครั้งอยู่ต่อมาไม่นานก็ป่วยเป็น โรคไตพิการ ไม่สามารถรักษาได้สุดท้ายก็ตาย! อีกตัวอย่าง ที่จังหวัดราชบุรี ตรงนั้นก็มคี ลองดาเนินสะดวก ผู้บาเพ็ญของเราเล่าให้ฟัง มีผชู้ ายคน หนึ่งเขาอยากจะกินตะพาบน้า คนต่างจังหวัด มักจะเอาไปผัดเผ็ด เขาก็เลยจับตะพาบน้ามาไว้ที่บ้านแล้วก็ เอากะละมังครอบไว้เขาก็เตรียมออกไปซือ้ เครื่องแกงเพื่อเอามาผัดเผ็ด เขาก็มีลูกสาวน่ารักมาก กาลังเดิน เตอะแตะเลย ประมาณ 3-4 ขวบ ลูกสาวเห็นว่ากะละมังมันเขยือ้ นได้ก็เลยไปเปิดดู เห็นว่าเป็นตะพาบน้า เด็กเขาก็สนุก ขี่หลังตะพาบน้าเล่น ผูช้ ายคนนีก้ ลับมาบ้านก็แปลกใจว่าทาไมบ้านเงียบลูกสาวตัวเองก็ไม่อยู่ ก็นึกว่าลูกสาวไปเล่นบ้านเพื่อน ด้วยความที่อยากกินตะพาบน้ามาก จึงมัวแต่หาว่าตะพาบน้าหายไปไหน ด้วยสัญชาตญาณของสัตว์ก็ต้องลงน้า เขาก็ตามไปที่คลองเห็นพายน้ากาลังผุดๆอยู่ แสดงว่ามันลงน้าไป แน่ๆ เขาคว้าฉมวกได้ก็แทงลงไปในน้า แทงเสร็จเขาก็งัดฉมวกเพราะกลัวว่าตะพาบน้าจะหลุดจากฉมวก พอเขายกฉมวกขึน้ มาเท่านั้นเขาก็ร้องไม่เป็นเสียง เพราะที่ยกขึน้ มาไม่ใช่ตะพาบน้าแต่เป็นลูกสาวของเขา อีกตัวอย่าง มีอาเสี่ยคนหนึ่งในจังหวัดนครปฐม เขามีอาชีพขายหมูหัน เขาไปซือ้ ลูกหมูไปผ่าแล้วก็ เอาไม้เสียบจากก้นจนทะลุปาก เขาทากิจการหมูหันจนร่ารวย มีรถเบนซ์ขับ ภรรยาเขาก็แต่งตัวดี มีทอง
เพชรเต็มตัว เขามีลูกชายหนึ่งคน วันหนึ่งเขาก็พาครอบครัวไปเที่ยว เขาเป็นคนขับ ภรรยานั่งข้างๆ ลูกนั่งอยู่ เบาะหลังคนขับ ขับรถไปปรากฏว่า รถคันหน้าเบรกกะทันหัน รถของเขาก็เบรกกะทันหันรถคันหนังก็เบรก ตาม แต่เผอิญรถคันหลังเป็นรถบรรทุกเหล็กเส้น บังเอิญมีเหล็กเส้นเส้นหนึ่งทะลุผ่านกระจกด้านหลัง ขณะที่เขาเบรกลูกชายของเขาก็คว่าหน้าก้นชีข้ นึ้ เหล็กเส้นก็เสียบก้นจนทะลุออกปากตายคาที่ เหมือนกับที่ เขาทาหมูหันไม่มีผดิ จากเรื่องราวที่หยิบยกมาเล่าให้ฟังนี้ เป็นเพียงเศษเสีย้ วหนึ่งของบรรดาผูซ้ ึ่งต้องประสบเคราะห์ กรรม อันสืบเนื่องมาจากผลของการฆ่าสัตว์ตัดชีวติ ในหลักธรรมคัมภีร์วา่ ด้วยเรื่อง “กฎแห่งกรรม” ได้ กล่าวถึงผูท้ ี่ชอบกินเลือดกินเนือ้ และเข่นฆ่าเอาชีวติ ผูอ้ ื่นว่า บุคคลเหล่านีเ้ มื่อตายแล้ว อันดับแรกดวง วิญญาณจะต้องไปรับโทษในนรกอย่างแสนทุกข์ทรมานต่อมาต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ต้องถูกฆ่าตาย เป็นเช่นนีไ้ ปจนกว่าจะชดใช้หนี้ชีวติ ที่ฆ่าผูอ้ ื่นให้หมด จากนั้นจึงจะได้มาเกิดเป็นคน แต่ก็จะมีอายุสั้น ทั้งนี้ ขึน้ อยู่กับบาปกรรมมากน้อยตามที่ตัวได้สร้างไว้ นี่คอื ...ผลกรรมของการฆ่า! ส่วนเรื่องราวของบุคคลผูท้ ี่มจี ติ เมตตา ชอบช่วยเหลือชีวติ สัตว์จนอานิสงส์ผลบุญทาให้มอี ายุยืน ยาวก็มีอยู่มากมายจะขอตัวอย่างสักสองตัวอย่าง .มีสามเณรรูปหนึ่งอายุ 8 ขวบ เพิ่งจะบวชได้ไม่กี่เดือนวันหนึ่งท่านเจ้าอาวาสผูเ้ ป็นอาจารย์ได้เข้า ญาณสมาธิ จึงล่วงรูว้ ่าอายุขัยของสามเณรน้อยมีเหลืออยู่เพียง 7 วันเท่านั้น ด้วยความเวทนาสงสารลูกศิษย์ตัวน้อยๆ ท่านจึงคิดว่าหากสามเณรจะต้องตาย อย่างน้อยก็ให้ได้ไป ตายที่บ้านเกิดจะดีกว่า พิจารณาเช่นนี้แล้วพระอาจารย์จงึ เรียกเณรน้อยลูกศิษย์เข้ามาสั่งเสียว่า “เจ้าจากบ้านมาก็หลายเดือนแล้ว โยมพ่อโยมแม่คงคิดถึงมาก อาจารย์อนุญาตให้เจ้า กลับไปเยี่ยมบ้านได้ 10 วันแล้ว...ค่อยกลับมา” สามเณรน้อยจึงกราบนมัสการลา แล้วรีบเดินทางกลับบ้านเกิด ระหว่างทางเจอกับพายุลมแรง ฝน ตกหนักจนทาให้เณรน้อยต้องหยุดพัก ขณะหลบฝน เณรน้อยได้มองเห็นรังมดรังหนึ่งกาลังถูกสายน้าไหลเข้าท่วม บรรดาฝูงมดต่างวิ่ง พล่านหาทางเอาชีวิตรอด สามเณรน้อยเห็นเช่นนั้นก็เกิดจิตเมตตารู้สกึ สงสารจึงหากิ่งไม้แห้งที่อยู่ใกล้มา พยายามขูดพื้นดินรอบรังมดให้เป็นร่องถ่ายเทให้นาฝนที ้ ่กาลังจะท่วมไหลไปทางอื่น การกระทาดังกล่าวได้ ช่วยให้มดทั้งหมดรอดตายจากภัยพิบัติ เมื่อพายุสงบฝนหยุดตก สามเณน้อยก็เดินทางต่อไปจนถึงบ้าน และพักอยู่กับโยมบิดาโยมมารดา
เวลาล่วงไปจนใกล้จะครบ 10 วัน เณรน้อยจึงเดินทางกลับวัด ครั้นท่านเจ้าอาวาสผูเ้ ป็นอาจารย์ ได้พบหน้าเณรน้อยลูกศิษย์ก็ให้รู้สกึ ดีใจ ระคนกับประหลาดใจยิ่ง นัก ในเย็นวันนั้นท่านจึงเข้าญาณตรวจดู จึงได้ทราบเหตุการณ์ที่ลูกศิษย์สร้างกุศลใหญ่ โดยการช่วยเหลือ ชีวติ มดทั้งรังให้รอดตาย ครั้นเมื่อสามเณรน้อยเติบใหญ่มอี ายุครบบวช จึงได้เข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุท่านอยู่ศกึ ษาปฏิบัติ บาเพ็ญจิตภาวนาจนสามารถสาเร็จเป็นพระอรหันต์ และออกเผยแผ่พระธรรมฉุดช่วยเวไนยสัตว์ตราบ จนกระทั่งละสังขารจากโลกไป รวมสิริอายุของท่านได้ 80 ปี 6.ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากวัชรเทพทั้งแปด วัชรเทพทั้ง 8 พระองค์ คือ เทพเจ้าผูพ้ ิทักษ์ธรรมในพระพุทธศาสนา เมื่อบุคคลใดมีจิตมุ่งมั่นที่จะ สร้างคุณงามความดีมีใจศรัทธาศึกษาปฏิบัติธรรมรักษาศีลกินเจ วัชรเทพทั้ง 8 พระองค์ก็จะมีบัญชาให้ เหล่าเทพบริวารทั้งหลายลงมาพิทักษ์รักษาปกป้องคุ้มครองบุคคลนั้นๆ มิให้ภูติผปี ีศาจ ยักษ์ มาร อสูรร้าย มารังควาน แต่หากเมื่อใดก็ตามที่บุคคลนั้นมีจติ ใจรวนเรไม่มั่นคงในการปฏิบัติธรรม บรรดาทวยเทพผูป้ ก ปักษ์รักษาก็จะพากันผละหนีไป ซึ่งเหล่ามารร้ายจะถือเป็นโอกาสเข้าจูโ่ จมทาอันตรายทันที ฉะนั้นขอให้ผทู้ ี่ตงั้ ใจจะปฏิบัติธรรม พึงมีความรอบคอบระมัดระวัง และหมั่นคอยสารวจตรวจตรา จิตของตนอยู่เสมอๆ ในปัจจุบันแม้ความเจริญในทางวัตถุจะรุดหน้าไปมาก แต่ยังมีสาธุชนจานวนไม่น้อยหัน มามุ่งมั่นฝึกฝนปฏิบัติธรรมเริ่มถือศีลกินเจนับเป็นนิมิตรหมายแห่งความเป็นผู้มเี มตตาจิต ถึงแม้ว่าด้วยตา เนือ้ ของปุถุชนคนธรรมดาจะมองไม่เห็นบรรดา เทพ พรหมทั้งหลายที่คอยเฝ้าพิทักษ์คุ้มครองพวกเขาอยู่ แต่เมื่อถึงคราววิกฤติตกอยู่ในที่คับขัน ต้องประจัญหน้ากับเภพภัยใหญ่หลวงสาหรับผูท้ ี่ประกอบแต่คุณงาม ความดีสร้างบุญสร้างกุศล ยึดมั่นอยู่ในศีลธรรมไม่เสื่อมคลาย เหล่าเทพ พรหม ทั้งหลายเหล่านั้นก็จะพลิก ผันเหตุการณ์ร้ายให้กลับกลายเป็นดี สามารถแคล้วคลาดรอดพ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวงได้ในที่สุด
7.ยามหลับนิมิตเห็นแต่สิงที่ดีงามเป็นสิรมิ งคล คนทั่วๆไปหากมีเรื่องราวรบกวนจิตใจให้วิตกกังวลว้าวุน่ เมื่อถึงยามพักผ่อนแม้ว่าร่างกายจะเหน็ด เหนื่อยเมื่อยล้าสักปานใดพอล้มตัวลงนอนก็ไม่สามารถจะหลับตาลงได้ หรือก็เพียงแค่หลับๆตื่นๆ และ ท้ายที่สุดเคล้มหลับไป ก็จะฝันร้ายตลอดคืนสาเหตุทั้งหมดมีมูลเหตุเกี่ยวเนื่องกับการดาเนินชีวติ ในแต่ละวัน คนที่ทุกวันๆ เอาแต่สร้างกรรมชั่ว ประพฤติตนมิชอบเมื่อยามหลับก็จะฝันเห็นแต่ส่ิงเลวร้าย น่าเกลียดน่า กลัว ยกตัวอย่าง...ที่ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ มีนักพรตรูปหนึ่งนามว่า “กวง ฮั่ว ฝ่า ซือ” ในสมัยที่ท่าน ยังอยู่ในวัยหนุ่มได้รับราชการเป็นทหารมีตาแหน่ง อาหารที่รับประทานทุกๆ มือจะต้องเพียบพร้อมไปด้วย เนือ้ วัว เนือ้ หมู เนื้อเป็ด เนื้อไก่ มิเคยขาด บางคราวในแต่ละมื้อท่านกินเนือ้ ถึงมื้อละ 2 ชั่งหรือเกือบ 2 กิโล ฉะนั้นในช่วงชีวติ ที่ผา่ นมา เป็ด ไก่ หมู วัว จานวนนับพันตัวต้องตายไปเป็นอาหารอันโอชะ ตราบ จนกระทั่ง ถึงปีหมินกั๋วที่ 42 ตรงกับปี พ.ศ. 2495 ท่านได้หันมาศึกษาหลักธรรม พอรู้ถึงเหตุต้นผลกรรม จึงเริ่มฝึกหัดกินเจถือศีล งดเว้นเนือ้ สัตว์ เพื่อลบล้างเวรกรรมที่เคยเบียดเบียนชีวติ สัตว์มามากมายให้เบา บางลง เป็นเช่นนี้เรื่อยมาจนกระทั่งถึงเวลาครบเกษียณอายุราชการ หลังจากปลดเกษียณแล้ว ใน ปีหมินกั๋วที่ 63 ตรงกับปี พ.ศ. 2516 สองวันก่อนหน้าที่จะถึงวันสารทขนมจ่าง วันที่ 5 เดือน 5 เทศกาลต วนอู่ ท่านได้เข้าไปไหว้พระสวดมนต์นั่งสมาธิภาวนาตามปกติ สักครู่ใหญ่ ...ก็มีเสียงเจี๊ยวจ๊าวดังระงมไป ทั่วบริเวณเสียงนั้นไม่ต่างไปจากเสียงร้องของเป็ดไก่วัวควายแต่อย่างใด เมื่อนักพรตผู้ชราหันหลัง ไปดูก็ปรากฏภาพ เป็ด ไก่ หมู วัว นับพันๆ ตัว พากันแยกเป็น 3 ทาง มีความยาวถึง 2 ลี้ พวกมันวิ่ง ไล่ติดตามท่านอย่างไม่ยอมลดละ ท่านนักพรตเหนื่อยแทบจะขาดใจและสะดุง้ ตื่นจากภวังค์ด้วยความตกใจจึงลุกพรวดพราดขึ้น เพราะไม่ระวังท่านจึงหกล้มขมาเป็นเหตุให้ขาซ้ายหักพับไปได้รับความเจ็บปวดอย่างยิ่งสุดท้ายก็กลายเป็น คนขาพิการ แต่เนื่องด้วยท่านเป็นผูเ้ ข้าใจในกฎแห่งกรรมอย่างถ่องแท้ ท่านจึงก้มหน้ารับผลกรรมในสิ่งที่ ท่านได้กระทามา ด้วยจิตใจที่มั่นคง อีกเรื่องหนึ่ง ...ที่จังหวัด ผิงตง บนเกาะไต้หวัน เจ้าสานักสถานธรรมแห่งหนึ่ง แซ่ “หวง” นางได้ เล่าเรื่องราวประสบการณ์ที่เกิดขึ้นให้ข้าพเจ้าผูบ้ รรยายฟังว่า ราว 40-50 ปีที่แล้ว เป็นสมัยที่เกาะไต้หวันกาลังอยู่ในระยะฟื้นฟูใหม่ๆ ยุคนั้นความเป็นอยู่ทุกอย่าง ลาบากมากขาดแคลนข้าวของอุปโภคบริโภค ตัวของนางเองทุกๆเช้าจะต้องออกไปขุดหอยทากตามพืน้ ดิน
มาทาอาหารกิน เป็นเช่นนีอ้ ยู่นาน...จนกระทั่งต่อมานางได้รับวิถีอนุตตรธรรมและตั้งใจศึกษาปฏิบัติธรรม เรื่อยมา นางเล่าว่า ก่อนหน้าที่จะปฏิญาณกินเจตลอดชีวิตนางมักจะฝันร้ายอยู่เสมอ และเรื่องที่ฝันเห็นเป็น ประจาก็คือ มีกองทหารกองใหญ่ทุกคนมือถือหอกถือดาบวิ่งไล่ตามมุ่งจะเอาชีวติ นางให้ได้ และน่า แปลกเหลือเกินที่เสื้อเกาะของนายทหารเหล่านั้น มีสีสรรและลวดลายเหมือนเปลือกหอยทากไม่มี ผิด นางฝันร้ายเช่นนี้แทบทุกคืนจนกระทั่งต่อมา นางได้เข้าชั้นศึกษาธรรมและทาพิธีขอขมากรรมพร้อมทั้ง ตั้งปณิธานกินเจตลอดชีวิต นับตั้งแต่นนั้ เป็นต้นมา ฝันร้ายดังกล่าวก็ไม่เคยเกิดขึ้นกับนางอีกเลย ฉะนั้น ในหลักธรรมคาสอนจึงบ่งบอกเอาไว้ว่า “ผู้ท่ลี ะเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวติ งดบริโภคเลือดเนื้อของผู้อื่น ไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย ย่อมไม่เกิดฝันร้าย จะหลับและตื่นอย่างเป็นสุข” บางครัง้ ผูท้ ี่ตงั้ ใจศึกษาและปฏิบัติธรรม ก็มักจะมีโอกาสนิมิตรฝันเห็นพระพุทธะ พระโพธิสัตว์ สิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายตลอดจนดอกบัวทิพย์ในแดนสุขาวดี ทั้งหมดนี้ถือเป็นนิมติ รหมายที่ดี เป็นศิรมิ งคลแก่ ตนเอง ขอให้ระลึกไว้เสมอว่า ผู้ที่มีจติ ใจดีงาม ไม่เคยแม้แต่จะคิดร้ายต่อผู้อ่ืน เมื่อถึงเวลานอนก็จะหลับ สนิทโดยง่าย ยามตื่นก็ไม่งัวเงีย อารมณ์จะปลอดโปร่งแจ่มใส ชีวิตมีอสิ ระ จิตใจย่อมเบิกบานเป็นสุขไป ตลอด 8.ย่อมระงับการาจองเวร สลายความอาฆาตแค้นซึ่งกันและกัน คัมภีร์แห่งสัจธรรม ได้กล่าวว่า “สรรพสัตว์ทั้งหลายกับข้านั้นเป็น “หนึ่ง” เดียวกัน ไม่แตกต่าง กัน แต่เป็นเพราะความหลงผิดไม่รู้เท่าทัน จึงทาให้ยึดเอากายสังขารรูปลักษณ์ภายนอกมาทาให้ เกิดเป็นความแตกต่าง” ผูม้ ีญาณปัญญาเห็นแจ้งในธรรม ย่อมตระหนักรู้ดีวา่ ท่ามกลางความแตกต่างหลากหลายและแม้แต่ จะขัดแจงไม่ลงรอยกันในความคิดเห็นของหมู่ชน ผู้ปฏิบัติธรรมที่แท้จริงจะต้องปราศจากจิตที่เคืองแค้นคิด อาฆาตผูอ้ ื่นโดยสิ้นเชิง ปมแห่งเวรกรรมนัน้ ต้องรีบแก้ไขคลายออก จิตต้องไม่ผูกความแค้น ใจต้องไม่อาฆาต กรรมเวร ทั้งหลายควรให้สลายไปด้วยการอโหสิกรรม อย่าผูกไว้ ควรให้อภัยซึ่งกันและกัน
ฉะนั้นจากเหตุผลดังกล่าว จะเห็นได้ว่าผูท้ ี่ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรม ต้องไม่เพียงแต่ไม่คดิ โกรธ เกลียด ไม่เข่นฆ่าไม่เบียดเบียนชีวติ ผู้อ่ืนไม่ว่าคนหรือสัตว์ แต่ยังจะต้องมีจติ เมตตากรุณา คิดสงสารต่อผูท้ ี่ หลงผิดประพฤติมิชอบ พร้อมทั้งเพียรพยายามหาวิธีฉุดช่วยเขาให้กลับเข้าสู่เส้นทางแห่งความถูกต้องดีงาม หากปฏิบัติได้เช่นนี้แล้ว ไม่เพียงแต่จะไม่มเี วรกรรมหนี้แค้นต่อกัน กลับจะเป็นการผูกบุญสัมพันธ์อันดีต่อกัน อีกด้วย ทั้งนีเ้ พราะการจะสาเร็จธรรมถึงขั้น “พุทธะ” ได้นนั้ จักต้องผูกบุญสัมพันธ์อันดีกับสรรพสัตว์เป็น ฐานบารมีก่อน ดังนัน้ พระโพธิสัตว์กวนอิม ผู้เปี่ยมด้วยมหาเมตตามหาการุณย์ต่อเวไนยสัตว์ทั้งหลาย จึงทรงตรัส เทศนาสั่งสอนเน้นหนักให้สาธุชนที่มุ่งมั่นปฏิบัติธรรม ต้องเลิกบริโภคเนือ้ สัตว์ อันเป็นการเจริญรอยตาม ปฏิปทาที่พระองค์ท่านและบรรดาพระโพธิสัตว์ทั้งหลายได้บาเพ็ญไว้เป็นแบบอย่างให้พวกเรายึดถือปฏิบัติ มาจวบจนทุกวันนี้ 9.สามารถดารงอยู่ในกระแสแห่งพระนิพพาน ไม่พลัดหลงตกลงสู่อบายภูมิ ตามกฎแห่งกรรม ผู้ที่ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวติ ชอบเสพเลือดเนื้อของสัตว์ทั้งหลาย เมื่อตายไปวิญญาณ จะต้องล่วงลงสู่อบายภูมิทั้ง 3 ได้แก่ 1.นรกภูมิ 10 ขุมซึ่งแต่ละขุมแต่ละแดนเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานอันแสนสาหัสต่างๆนานา 2.เปรตภูมิ เป็นแดนที่เหล่าวิญญาณบาปต้องได้รับทุกข์ทรมานอยู่กับความหิวโหยตลอดเวลา เพราะเมื่อยามใดที่อาหารเข้าปาก ก็จะลุกไหม้กลายเป็นไฟ ไม่สามารถกลืนลงคอได้เป็นเช่นนีอ้ ยู่ตลอดเวลา ตราบเท่าที่จะหมดสิ้นบาปกรรมที่ทาไว้ 3.เดรัจฉานภูมิ เมื่อวิญญาณบาปชดใช้หนีเ้ วรบาปกรรม พ้นจากขุมนรกและภพภูมเิ ปรตแล้วก็ ต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ต้องถูกเขาฆ่าตายชาติแล้วชาติเล่า จนกว่าจะครบตามจานวนที่ตนได้เคย เบียดเบียน ทาลายชีวิตผูอ้ ื่น
10.ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตญาณจะมุ่งสู่สุคติ ภพ ในมหายานสูตรมีเรื่องเล่าว่า สมัยหนึ่งพระโมคคัลลานะอัครสาวกเบือ้ งซ้ายผู้ทรงเป็นเลิศในทาง ฤทธิ์แห่งองค์สมเด็จพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะกาลังเจริญสมาธิภาวะนาอยู่ ณ ริมฝัง่ มหาคงคานที ได้ทรงพบเห็นเหล่าภูติเปรตมากมาย ขณะนั้นผีเปรตตนหนึ่ง ได้เข้ามาหมอบกราบนมัสการพร้อมกับทูลถามท่านว่า “เหตุใดข้าพระองค์ จึงต้องถูกเหล่าสุนัขปีศาจมารุมกัดกินเนื้อ ต่อเมื่อเนือ้ ถูกแทะกินจนหมดแล้วแค่ลมพัดโชยมากระทบเนือ้ กายของข้าพระองค์ก็กลับงอกสมบูรณ์เป็นปกติดังเดิม และแล้วก็จะถูกเหล่าสุนัขปีศาจ กรู่กันเข้ามากัดกิน กันต่อไปอีกเป็นเช่นนีค้ รั้งแล้วครั้งเล่าจนนับไม่ถ้วน ข้าพระองค์ได้ทากรรมอันใดไว้ จึงเป็นเหตุให้ตอ้ งมารับโทษอันแสนจะทุกข์ทรมานอย่างไม่รู้จักจบ สิน้ เช่นนี.้ ..พระเจ้าข้า...” พระโมคคัลลานะพุทธสาวกจึงตรัสชีแ้ จงแก่เปรตตนนัน้ ว่า “วิบากกรรมที่เจ้าได้รับอยู่ในขณะนี้ ก็เนื่องด้วยในอดีตเมื่อครั้งที่เจ้าเป็นมนุษย์ ได้ถูกมิจฉาทิฐิความหลงผิดความไม่รู้จริงเข้าครอบงาจึง ชอบเข่นฆ่าชีวิตสัตว์แล้วนาไปสังเวยฟ้าดิน ถวายต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การกระทาเช่นนี้นับเป็นบาปอย่าง มหันต์ อกุศลกรรมดังกล่าวเป็นเหตุทาให้เจ้าต้องมารับโทษทัณฑ์อันแสนสาหัส ดังที่เป็นอยู่นี้” เราลองมาพิจารณาดูเถิดว่า การที่ตอ้ งไปรับวิบากกรรมเช่นนั้น มันช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน แต่ถ้า หากยามมีชีวติ เรารู้จักหมั่นสร้างบุญสร้างกุศล ปลดปล่อยชีวิตสัตว์ให้รอดตาย ด้วยการกินเจรักษาศีลไม่ บริโภคเนือ้ สัตว์ เราก็ย่อมจะห่างไกลจากทุคติภพ ไม่ต้องไปรับโทษทัณฑ์อันน่าสะพรึงกลัวในชาติหน้า ฉะนั้นสาธุชนผูท้ ี่งดเว้นเนื้อสัตว์ ตั้งใจถือศีลกินเจเมื่อวาระสุดท้ายของชีวิตมาถึง จิตญาณจะละจาก สังขารอาศัยเหตุปัจจัยแห่งกุศลกรรมความดีที่สร้างสมไว้ในขณะที่มชี ีวติ อยู่ย่อมเป็นเหตุปัจจัยดลบันดาลให้ เหล่าทวยเทพเทวา พากันมาแซ่ซ้องรอรับขึ้นสู่แดนบรมสุขเบือ้ งบน สมดังพระพุทธวจนะ ที่ว่า “ทาดีได้ดี ทาชั่วได้ชั่ว ปลูกพืชพรรณใดไว้ ย่อมต้องได้รับผลอย่างนั้น” นี่คอื หลักสัจธรรมที่เที่ยงแท้แน่นอน กล่าวโดยสรุป การจะศึกษาและปฏิบัติธรรมให้ได้สาเร็จลุล่วงผูบ้ าเพ็ญธรรมจักต้องละเว้นจากการเสพเลือดเนือ้
ชีวติ สัตว์โดยสิน้ เชิงพร้อมกับตั้งจิตมุง่ มั่นอนุเคราะห์ช่วยเหลือเกือ้ กูลสรรพสัตว์ที่ตกทุกข์ได้ยาก มิเช่นนั้น หนทางการบาเพ็ญเพียรสู่ความหลุดพ้นของเราจะต้องถูกขัดขวางจากบรรดาเจ้ากรรมนายเวรจนไม่ สามารถก้าวหน้าขึน้ ไปได้ เป้าหมายของการบาเพ็ญธรรม คือ ได้บรรลุ “อนุตตรสัมโพธิญาณ” อันเป็นการบรรลุธรรมขัน้ สูงสุด ต้องเริ่มต้นจากการสะสมคุณงามความดี ประกอบแต่กุศลกรรม สุดท้ายนี้ขอเชิญบรรดาสาธุชนผู้ใฝ่ใจในการปฏิบัติธรรมจงเริ่มใช้วจิ ารณญาณแยกแยะเหตุและผล ที่ได้เรียนรู้มาแล้วจนมโนธรรมสานึกที่แท้จริงปรากฏชัดเจนออกมาจะได้ดาเนินชีวิตไปบนหนทางที่ถูกต้องดี งามเสียตั้งแต่บัดนีเ้ ป็นต้นไป