[2]
[3]
[4]
[5]
Editor in Chief
ปราณีญา วิชัด
Associate Editor
เวธกา จารุพันธ์
Documentary Editor ธิมา ไหมแพง Article editor ภัทริศ ภิญโญพิพัฒน์ Short Stories Editor ปิยวรรณ มูลตรีแก้ว Column Editor กรณ์แก้ว ช้างศิริ Art
กลับมาพบกันอีกครั้งกับนิตยสาร Ars Magazine คราวนี้มาพบผู้อ่านภายใต้ธีม Alert สื่อถึงความ กระตือรือร้น ไม่หยุดนิ่งที่จะแสวงหาสิ่งใหม่ ๆ ให้กับชีวิต โดยได้ตัวพ่อของความ Alert อย่าง “ฟรอยด์” ณัฐฏพงษ์ ชาติพงษ์ นักแสดงหนุ่มอารมณ์ดีมากความสามารถมาขึ้นปก พร้อมบทสัมภาษณ์พิเศษแบบ Exclusive เจาะลึกถึงตัวตนที่แท้จริงทุกแง่มุมของผู้ชายคนนี้รับรองได้ว่าผู้อ่านจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน ... นอกจากนี้ยังมีเซตแฟชั่นที่ขนมาให้ผู้อ่านได้ยลอย่างจุใจ ทั้งแบบ in-door และ out-door ที่ได้ “จีจี้” จอมขวัญ ลีละพงศ์ประสูต และ “อุ๋งอิ๋ง” ณัชชา อารีรักษ์ สองนักแสดงสาวสวยหน้าใหม่ของช่องสาม มาเป็นนางแบบให้ โดยเซตแฟชั่น out-door ได้ยกกองไปเก็บภาพกันไกลถึงอู่รถไฟ บางซื่อ แม้ว่าการถ่าย ทำาจะเป็นไปด้วยความยากลำาบาก เจอทั้งแดดทั้งฝน แต่ก็คุ้มค่ากับภาพสวย ๆ ที่ได้มาเพื่อผู้อ่าน ... เท่านั้นยังไม่พอ ภายในเล่มยังมีคอลัมน์เด็ด ๆ ที่น่าสนใจรอคุณอยู่อีกมากมาย รับรองว่าเมื่อหยิบ Ars Magazine เล่มนี้ขึ้นมาอ่านแล้วต้องวางไม่ลงอย่างแน่นอน …หากคุณยังไม่เชื่อ เชิญพิสูจน์ด้วยตัวเอง เพราะคำาตอบรอคุณอยู่ เพียงแค่ปลายนิ้วพลิกเท่านั้น! ปราณีญา วิชัด คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยศิลปากร, คุณนุกุล - คุณมนัสนันท์ เตชศิโรดม, คุณสันติ - คุณวรรณี ภิญโญพิพัฒน์, ศ.นพ. ธนพล - พญ.เมธินี ไหมแพง, ว่าที่ ร.ต. บรรจง - คุณเกษสุดา มูลตรีแก้ว, คุณพิริยะ - คุณสุนันท์ นาคสกุล, (จีจี้) จอมขวัญ ลีละพงศ์ประสูต, (อุ๋งอิ๋ง) ณัชชา อารีรักษ์, (ฟรอยด์) ณัฏฐพงษ์ ชาติพงษ์, คุณพงศกร ประทีปถิ่นทอง
Thanks This Issue
Advisors ผู้ช่วยศาสตราจารย์ชัยชาญ ถาวรเวช, อาจารย์ณัฐสรวงพร ทองเนื้อนวล, อาจารย์สรลักษณ์ พงษ์โพธิ์, อาจารย์เขมิกา ธีรพงษ์
สถาปัตย์ รุจิไชยวัฒน์ (Art Director) ภัทริศ ภิญโญพิพัฒน์, ธนกร ศรีกำาเหนิด, ปิยวรรณ มูลตรีแก้ว, โสพิชา นาคสกุล, อภิชญา พฤกษอาภรณ,์ เวธกา จารุพันธ์
Fashion
สถาปัตย์ รุจิไชยวัฒน์
Photographer
ภัทริศ ภิญโญพิพัฒน์ (Photography Director) ธนายุต เตชศิโรดม, ธนกร ศรีกำาเหนิด
Advertising / Distribution ธนายุต Public Relations ภัทรา หงษ์ทอง Co-ordinator ปราณีญา วิชัด Account Manager ปิยนุช รักสัตย์ Proof Reader ปราณีญา วิชัด
เตชศิโรดม
Staff
กล้าณรงค์ มาโชค, เกษสุดา บูรณศักดิ์สถิตย์ ชุดามาส บู่บาง, ฐิติรัตน์ คอนอ้น ภัทรมนท์ สุขใจ, มัณฑนา เถื่อนนาดี วรฤทัย คงเปี่ยม, วรินทร์ กมลศักดิ์พิทักษ์ วีรชญา จารุปรีชาชาญ, ศิริรัตน์ วงศ์เหลือง เสาวรักษ์ กองสารศรี, อลงกต วรรณคำา อุษณา สุขเสมา
[7]
Index 28 46 54 68 96
COLUMNS_________ 11 12 14 16 18 20 22 24 26 43 44 53 59 80 81
come to be cool พูดไม่คิด ชีวิตไม่ Alert Fast/Free Life For Motorsport Sleepless in Metropolitan เน้น ๆ กับเบน ฟรีคิก Ardrenaline หนีตาย! Supakorn Sunanan : Thai graphic designer สวนเล็กในเมืองใหญ่ Alert Alive Teddy House’s Kitchen Green Fake 5 minutes chezz ball Art on Film Function military style in fall 2010 The new minimalism in fall 2010
82 84 86 88 89 90 104 108 110 112 114 120
3 Persons สามคนสามอาชีพ ที่แต่ละคนมีความพิเศษไม่เหมือนใคร ทั้งจ่าดี แท็กซี่คาราโอเกะ ลุงจำ�ลอง อาสาวัยเก๋ามูลนิธิ ร่วมกตัญญู ครูปุ่น ครูใหญ่ของเด็กพิเศษ
Be Froyd coverline ฉบับนี้จะพาคุณ ๆ ไปทำ�ความรู้จักกับ ตัวตนและ ธรรมชาติของ ‘ความอเลิร์ท’ ภายในตัว ของหนุ่ม ‘ฟรอยด์’ หรือที่คุ้นหูกันดีในนาม ‘ลิ้งก์ บ้านนี้มีรัก’ Palio สถานที่ท่องเที่ยวสวยท่ามกลางบรรยากาศสบาย อันแวดล้อมไป ด้วยธรรมชาติ กำ�ลังรอคุณไปสัมผัส ... หนาวนี้ Aggressive Attraction ฉบับนี้มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้รับเกียรติจาก ‘จีจี้’ จอมขวัญ มาถ่าย fashion set ที่ร้อนแรง ภายใต้ธีมที่ดุดันอย่าง Agressive Attraction Less is More ต้อนรับลมหนาวกับเทรนด์แฟชั่นคลาสลิกตลอดกาลอย่างเทรนด์ Minimalism ที่ได้สาวสวยอย่าง ‘อุ๋งอิ๋ง’ นักแสดงหน้าใหม่มา เป็นแบบให้ BJD ตุ๊กตาที่ไม่เป็นเพียงตุ๊กตา Technology Victim Cube by moody’s bar pub & restaurant ร้านอาหาร กิมจิ๊กิมจิ “ชั้น” นี้มีแต่ขนมไทยอร่อย Air Force United ตำ�นานที่กำ�ลังตื่น 5 สุดยอดเคล็ดลับหน้าใส ใคร ๆ ก็ไป New York Air Alert อยากเท่ ต้องทน! รวมเด็ดนิยายเกาหลี กระตุกต่อม Alert พระพิฆเนศวร นิทรรศน์รัตนโกสินทร์
SHORT STORIES_________ 92 106
รั้งรักด้วยรอ ขีด ๆ เขียน ๆ
116 118
สิ่งสำ�คัญ กรง
ARTICLES_________ 28
3 Persons
DOCUMENTARIES_________ 54 60 64
Palio Fashion comes & goes but style stays วันเดียวเที่ยวบางรัก
[9]
[ 10 ]
Come To Be
COOL C [ เรื่อง : วรฤทัย คงเปี่ยม]
H
ey,Alert guys!! สบายดีไหมคะ ถ้าท่านใด มีปัญหาชีวิตก็ขอให้สู้ต่อไป ฟ้าหลังฝนย่อม สวยงามเสมอค่ะ เมื่อวานระหว่างที่พี่นุ่นนี่กำาลังขับ รถกลับบ้านพร้อมกองทัพรถมากมายมหาศาล ก็เกิด ความเบื่อหน่ายกับการจราจรในกรุงเทพ ก็เลยเปิด วิทยุฟังซะหน่อย มีพี่ดีเจถามผู้ฟังที่โฟนอินเข้ามา ว่า “Hey,how are you doin?” เฮียคนนั้นก็อำ้า ๆ อึ้ง ๆ อยู่นานและตอบกลับมาว่า “ขายก๋วยเตี๋ยวอยู่ ครับ” !! เอิ่มม.... ??? เห็นไหมคะว่าภาษาอังกฤษในประเทศไทยตอน นี้มันอยู่รอบตัวเราจริง ๆ ไม่อยากเจอ มันก็ต้องเจอ แค่อยากจะโทรไปขอเพลงแท้ ๆ กลับต้องอับอายคน ทั้งประเทศซะงั้น.... และตอนนี้พี่ไทยก็ฮิตซะเหลือ เกินทั้ง Facebook, Twitter, My space ภาษา อังกฤษทั้งนั้นจะทำาไงดี อยากจะคอมเม้นท์ status หนุ่มตานำ้าข้าวคนนั้นซะเหลือเกิน แต่ดั๊น...เป็นภาษา อังกฤษ แปลผิดล่ะขายหน้าแย่เลย เพื่อน ๆ อย่า ชะล่าใจนะคะ ภาษาอังกฤษคืบคลานเข้าใกล้คุณ ทุกที ๆ แล้ว อย่าคิดว่าไม่ใช่ภาษาพ่อ แม่เรา เพราะ อาจจะเป็น “ภาษาพ่อแม่สามี” ในอนาคตก็ได้ค่ะ ^^
ร้อยวันพันปี เคยได้ยินแต่ “How are you?” แต่เมื่อวานมีฝรั่งหนุ่มหน้ามนคนซื่อ chat facebook ถามว่า “What’s up?” เพื่อน ๆ สามารถตอบ ได้ว่า “Nothing much” หรือ “Just chilling, what about you?” แปลว่า ก็เรื่อย ๆ ไม่มีอะไร มากก็ได้ค่ะ แต่กรุณาอย่าตอบว่า “I’m fine thank you,and you?”นะคะ เพราะมันเชยและไม่มีใครใช้ ตอบคำาถาม “What’s up” หรอกค่ะ มาอีกวันหนึ่ง ฝรั่งหนุ่มหน้ามนคนเดิมถามว่า “What are you up to?” .....&%$#”#£¥ ไอ้ What’s up เมื่อวานยังไม่หายงง วันนี้มาอีกแล้ว ประโยคนี้ แปลว่า “คุณกำาลังทำาอะไรอยู่” ดังนั้นเลิก งงและจัดรัวคีย์บอร์ดกลับไปเลยค่ะว่า “Nothing much” หรือ“I’m listening music” ก็ได้ค่ะ ก็สวย เริ่ด เชิด โฉด เอ้ยย...โสด ซะขนาดนี้ หนุ่ม ๆ ทักมาเกรียวกราว เผลอแชทผิดคน พิมพ์ชื่อ ผิดไป จะทำายังไงดี “It’s my bad” ใช้ได้ดีเลยล่ะ คะ “My bad” แปลว่า เป็นความผิดของฉันเอง ดังนั้น “sorry,It’s my bad” ขอโทษนะมันเป็น ความผิดของเราเอง หรือจะใช้ในสถานการณ์อื่น ๆ ก็ได้นะคะ เช่น กำาลังรีบวิ่งไปดู Blue Man Show ที่ Las Vegas เผลอเหยียบเท้าคนอื่นเข้า ก็ “sorry,It’s my bad” ได้ค่ะ ส่วนคำาที่หลาย ๆ คนอยากพูด แต่ไม่รู้จะพูดยัง ไง ก็ตอนเวลาที่คุย ๆ กันแล้วเราปวดฉิ้งฉ่องขึ้นมาน่ะ สิคะจะพูดยังไงดีน้า? แต่อย่าได้กลัวพี่นุ่นนี่อยู่นี่แล้ว I need to pee หรือ I need to piss แปลว่า ฉันต้องไปฉิ้งฉ่อง “I have to pee,i be right
back.” ฉันต้องไปฉิ้งฉ่องแป๊ป เดี๋ยวกลับมานะจ๊ะ และคำาสุดท้ายของวันนี้ “Gut feeling” หลาย ๆ คนคงคุ้นคำานี้ เพราะคล้าย ๆ กับชื่อเพลง I gotta feeling ของ Black Eyed Peas คำาว่า “Gut feeling” แปลว่า ความรู้สึกลึก ๆ ข้างใน หรือ ลางสังหรณ์ก็ได้ค่ะ จริง ๆ แล้วคำาว่า “Gut” แปล ว่า ไส้ พุง คำานี้จึงประมาณว่า “butterflies in stomach” ที่เป็นสำานวนอังกฤษ หรือง่าย ๆ แบบ ไทย ๆ เลยก็คือ อาการปั่นป่วนในท้องแหละค่ะ เช่น “I have that gut feeling that he is cheating on me.” ฉันรู้สึกว่าเขาจะนอกใจฉัน เพื่อน ๆ สามารถใช้คำาเหล่านี้ไปพูดกับ เพื่อน ๆ ชาวอเมริกันได้อย่างมั่นใจ ไม่ต้องอำ้า ๆ อึ้ง ๆ อีกต่อไป รับรองว่าคุณจะดู awesome ขึ้น มาทันทีเลยค่ะ แต่ระวังนิดนึงกับการใช้ American slang นะคะ เพราะแต่ละคำาที่ใช้ไม่เหมือนกัน ถ้า ดันไปพูดผิดขึ้นมาล่ะก็ จะหาว่าพี่นุ่นนี่ไม่เตือนนะคะ Have a good day and bye now guys. ^^
[ 11 ]
พูดไม่คิด ชีวิตไม่
ALERT
[ เรื่อง : ภัทรมนท์ สุขใจ ]
การพูดถือเป็นเรื่องสำ�คัญในชีวิต เพราะ ตลอดทั้งชีวิตเราต้องอาศัยการพูดเป็นการสื่อสาร ที่สำ�คัญ เราจึงได้ยินสุภาษิตโบราณกล่าวเตือน อยู่เสมอว่า “พูดดีเป็นศรีแก่ตัว พูดชั่วอัปราชัย” หรือ“พูดดีเป็นศรีแก่ปาก พูดมากปากจะมีสี” ซึ่งจะ ยึดคำ�กล่าวใดก็ได้ เพราะหัวใจสำ�คัญอยู่ที่การ “พูดให้ดี” นั่นคือฟังแล้ว “เข้าหู” ชวนฟัง ชวนให้ คล้อยตาม ชวนให้รู้สึกประทับใจและก่อให้เกิดสิ่งดี ๆ ตามมาได้อีกมากมายนั่นเอง
[ 12 ]
Quiz Outlet สำ�หรับคอลัมน์ quiz ทายใจใน ARS magazine เล่มนี้ อยากจะลองถามคุณผู้อ่านทุกท่านดูว่า เคยตกอยู่ในสถานการณ์ปากพาจน หรือเฝ้าแต่คิดทบทวน ซํ้าไปซํ้ามาว่า ไม่น่าพูดเล๊ย ไม่น่าพูดเลยบ้างรึเปล่า? ถ้าเป็นอย่างนั้นบ่อย ๆ คงต้องหันกลับมาพินิจพิจารณาตัวเองและปรับปรุงอะไรบางอย่างให้ดีขึ้นแล้วล่ะ เราลองมาดูสิว่า quiz ทายใจจากการพูดจาต่าง ๆ ของคุณ จะทำ�ให้ชีวิตคุณ “รุ่ง” หรือ “ร่วง” เพราะปากของตัวเองกันแน่…
1 เมื่อคุณชวนเพื่อนไปดูเสื้อผ้า พอเห็นเพื่อนถูกใจเสื้อตัวหนึ่งที่คุณไม่ชอบ เลย คุณจะพูดกับเพื่อนคุณว่าอย่างไร ? • “อืม… ถ้าฉันเป็นเธอ ฉันจะไม่ลองเสื้อผ้าตัวนั้นแน่ ๆ ” (ไปที่ข้อ 2) • “ก็ลองดูสิ แล้วฉันจะช่วยดูว่าเป็นยังไง” (ไปที่ข้อ 4) 2. ในกลุ่มเพื่อน คุณเป็นคนพูดเสียงดัง และช่างพูดที่สุด แบบมาก ๆ จริง ไหม ? • ไม่จริงเลย ฉันเป็นคนเงียบ ๆ เรียบร้อย (ไปที่ข้อ 3) • ถูกต้อง นั่นแหละ ฉันเอง (ไปที่ข้อ 5) 3. คุณบังเอิญได้ยินคนนินทา เพื่อนในกลุ่มของคุณคนใดคนหนึ่งอย่าง สนุกสนาน คุณจะ… • ตัดสินใจเดินหนีไปเลยดีกว่า อย่ายุ่ง ไม่ใช่เรื่องเราสักหน่อย (ไปที่ข้อ 4) • ตรงเข้าไปต่อว่าพวกที่นินทาทันที เพื่อปกป้องเพื่อนของคุณ (ไปที่ข้อ 5) 4. ระหว่างคุณคุยโทรศัพท์กับแฟน เขาเกิดพูดถึงแฟนเก่าขึ้นมา คุณจะ... • คุณแกล้งเฉไฉทำ�เป็นไม่ได้ยิน แล้วเปลี่ยนเรื่องคุยใหม่ (ไปที่ข้อ 6) • คุณแกล้งเป็นพูดติดตลกแกมต่อว่า แฟนเก่าคนนั้นเสียเลยโทษฐาน แฟนเรายังไม่ยอมลืม (ไปที่ข้อ 8) 5. วันหนึ่งคุณไปเจอเพื่อนเรียนสมัยมัธยม ที่ชอบแกล้งคุณมาก หลังจากที่ไม่ เคยเจอกันเลยตั้งแต่จบ คุณจะทักเขาว่าอย่างไร ? • “สวัสดี เธอเป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม” ( ไปที่ข้อ 8) • “เธอนี่ดูเปรี้ยว เฉี่ยว ร้าย เหมือนเดิมเลยนะ (ไปที่ข้อ 7) 6. เพื่อนเพิ่งขอยืมเงินที่แม่เพิ่งโอนเข้าบัญชีมาให้ แบบสด ๆ ร้อน ๆ สัก 3,000บาท คุณจะยอมไหม ? • ก็ได้ เอาไปเลย เพราะยังไงก็ยังไม่ได้ใช้จ่ายไรอยู่ดี (ไปอ่านคำ�ตอบที่ข้อ 1) • ไม่ได้หรอก จะบ้าหรอ แม่ฉันเพิ่งโอนมาให้นะภาระค่าใช้จ่ายอีกเยอะ (ไปที่ข้อ 7) 7. เพื่อนคุณได้รองเท้ามาคู่หนึ่ง ที่คุณเห็นว่ามันไม่มีความงดงามในสายตา คุณเลย แต่เพื่อนกลับชื่นชมสิ่งของของตัวเอง ด้วยความปลาบปลื้ม และใส่ มาเรียนทุกวัน คุณจะทำ�ยังไง ? • ก็อยู่เฉย ๆ ทำ�เป็นไม่สนใจ รองเท้าคู่นั้น (ไปอ่านคำ�ตอบข้อ 2) • ถามเพื่อนไปว่า “คิดว่ารองเท้านั่นสวยมากหรอ” (ไปที่ข้อ 8) 8 . คุณแม่ทำ�อาหารจานโปรดของคุณ แต่กลิ่นอาหารนั้นแปลก ๆ คุณจะ…. • สงบปากสงบคำ� แล้วลองชิมรสชาติดูก่อน ส่วนเรื่องกลิ่นไม่ไหว ค่อยถาม (ไปอ่านคำ�ตอบข้อ 1) • ถามทันที ว่าทำ�ไมกลิ่นมันเป็นแบบนั้น แล้วพูดว่า “กลิ่นแบบนี้ขอหลีก หนีดีกว่า” (ไปอ่านคำ�ตอบข้อ 3)
คำ�ตอบข้อที่ 1 คุณจะเป็นคนที่คิดก่อนพูดเสมอ รู้จักกาลเทศะ เก็บถ้อยเก็บคำ� และ รู้ว่าอะไรควร ไม่ควร เพราะคุณจะเป็นคนใส่ใจความรู้สึกของคนอื่น และ คิดถึงผลที่จะเกิดขึ้นจากสิ่งที่พูด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะเป็นคนที่ กลัวหรือไม่กล้าที่จะพูดอะไร หากคุณคิดว่าสิ่งที่ถูกและเป็นผลดีต่อตัวคุณ เองและคนอื่น คุณจะแสดงมันออกมาอย่างเต็มที่ คำ�ตอบข้อที่ 2 คุณเป็นคนรู้จักคิด รู้จักพูด รู้ว่าเมื่อไหร่ควรเปิดปาก เมื่อไหร่ควรรูด ซิปปากให้สนิท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่อ่อนไหวและเปราะบาง คุณจะคิดและตริตรองก่อนจะพูด แต่หากสถานการณ์ไม่แย่นัก คุณก็อดไม่ ได้ที่จะพูดมันออกไปเลย เพราะไม่อยากทรยศสิ่งที่ตัวเองคิดหรือรู้สึก มิเช่นนั้น คุณอาจจะอกแตกตายก็เป็นได้ คำ�ตอบข้อที่ 3 คำ�พูดต่าง ๆ ในทุกสถานที่ ทุก ๆ เวลา มันพร้อมจะหลุดออกมาจาก ปากคุณได้อย่างง่ายดายและว่องไว เสมอต้นเสมอปลายจริง ๆ คุณต้องระงับคำ�พูด พร้อมกับเตือนตัวเองบ่อย ๆ ว่า ควรหยุดคิดสัก นิดก่อนคุณจะพูดอะไรออกไป เพราะถ้อยคำ�เหล่านั้นอาจมีผลกระทบต่อ ความรู้สึกของผู้อื่นเป็นอย่างมาก โดยที่คุณไม่คาดคิดมาก่อน ซึ่งถ้าทำ� บ่อย ๆ ก็จะทำ�ให้คุณเป็นคนระแวดระวังเรื่องคำ�พูดคำ�จามากยิ่งขึ้น แม้บางครั้งคุณอาจไม่ได้ตั้งใจจะทำ�ร้ายใครด้วยคำ�พูด แต่จะทำ� เช่นไร ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว และในแต่ละนาทีนั้นคนที่รับฟังสักกี่คนที่จะ มาคอยใส่ใจ หรือเข้าใจว่าคุณไม่ได้มีเจตนาเยี่ยงนั้นกับเขา เพราะในเมื่อคน ถูกกระทำ�ทางวาจา “ไม่ใช่ตัวคุณ” ดังนั้นอย่าให้คำ�พูดมาทำ�ลายมิตรภาพของคุณกับคนที่คุณรักโดย เฉพาะกับ “เพื่อน” ของคุณ เพราะบางทีคำ�ว่า “ขอโทษ” ก็อาจจะไร้ค่า ในสายตามิตรภาพซึ่งกันและกันอีกต่อไป จงอย่าลืมว่า ปากเป็นอวัยวะที่ ทำ�ให้คนเราได้ดิบได้ดีก็มีมาก และเดือดร้อนก็มากเหมือนกัน ฉะนั้นเมื่อเรา คิดจะพูดอะไรไปก็ขอให้ใช้สติก่อนพูดทุกครั้ง เพราะ... “เสน่ห์นั้นอยู่ที่ปาก เสนียดก็อยู่ที่ปากด้วยเช่นกัน”
[ 13 ]
LIFE FOR
FAST FREE
MOTORSPORT
[ เรื่อง : เสาวรักษ์ กองสารศรี / ภาพ : ธภัทร พงษ์ปวน]
[ 14 ]
“
Cool Lifestyle
ชีวิตที่ Alert อย่างสร้างสรรค์และมีคุณค่าคือ ชีวิตที่มีการเตรียมตัวที่ดี ในหน้าที่ การงาน จิตใจ แล้ว พร้อมที่จะเป็นผู้มอบรอยยิ้มให้กับคนอื่น
“
ความเร็ว ความท้าทาย กับผู้ชายใจเย็น
ไผ่ พาทิศ พิสิฐกุล แนะนำ�ตัวเองก่อนเลยค่ะ ตอนนี้มีผลงานหรือทำ�อะไรอยู่บ้าง ชื่อ ไผ่ พาทิศ พิสิฐกุล ครับ ตอนนี้มีละครอุบัติรักเกาะสวรรค์ และกิจกรรม แข่งขันรถยนต์ทางเรียบของโตโยต้าครับ จุดเริ่มต้นเป็นมายังไงถึงได้มาเล่นกีฬามอเตอร์สปอร์ตคะ คือมีความชอบส่วนตัวทางด้านความเร็วอยู่แล้ว พอดีทางโตโยต้าเปิดโอกาส ให้ได้เป็นนักแข่ง ก็เลยได้โอกาสนี้มา ครับ ทำ�ไมจึงสนใจหรือเลือกเล่นกีฬานี้ เป็นความชอบส่วนตัวที่มีมาตั้งแต่เด็ก ๆ ครับ เริ่มจากการที่เราชอบรถยนต์ ก็เริ่มอ่านนิตยสารเกี่ยวกับรถยนต์ เริ่มเล่นเกมเกี่ยวกับความเร็ว และพอมีโอกาส ได้ทำ�งานเก็บเงินก็ได้ทำ�สิ่งที่ชอบได้ โดยคิดว่ากีฬาแข่งรถยนต์นี้ก็ได้ให้อะไร หลาย ๆ อย่าง ทั้งการฝึกสมาธิ ความใจเย็น การสนใจในรายละเอียดต่าง ๆ ครับ เริ่มเล่นตั้งแต่เมื่อไหร่ แข่งรถยนต์มาได้ 3 ปี แล้วครับ คือเริ่มตั้งแต่ ปี 2008 ตอนนี้มีผลงานในวงการบันเทิงอยู่ด้วย แล้วจะมีเวลาว่างไปทำ�กิจกรรมนี้ได้บ่อย มากน้อยแค่ไหน ก็ถ้ารถยนต์ว่าง ช่างพร้อม ผมพร้อมก็จะหาโอกาสไปซ้อมเสมอ ๆ ครับ เดือนละครั้งถ้าเป็นไปได้ครับ คิดว่าเสน่ห์ของกีฬานี้ คืออะไร การฝึกสมาธิ ใจเย็น หลายคนอาจจะคิดว่า พวกแข่งรถยนต์มักจะใจร้อน แต่ ในการแข่งแล้ว ต้องใจเย็น แล้วมีสมาธิมาก ๆ ครับ และอีกอย่าง มันส์มากครับ ปัญหาหรืออุปสรรคที่พบในระหว่างการแข่งขัน ปัญหา คือ บางคนจะใจร้อนเกินไป บางคนก็ใจเย็นเกินไป สำ�หรับผม บาง ช่วงใจร้อนก็จะขาดสมาธิ ทำ�ให้การทำ�เวลาออกมาไม่ดีครับ และ ต้องหมั่นฝึกซ้อม ให้มาก ๆ
ประโยชน์ที่ได้รับจากการเป็นนักแข่งมอเตอร์สปอร์ต ได้เรียนรู้ทักษะการขับรถที่ถูกต้อง ฝึกตัวเองให้มีสมาธิมากขึ้น ใจเย็น มีนํ้าใจนักกีฬา ช่วยให้การขับขี่รถยนต์บนถนนดีขึ้นเช่นกัน ตั้งแต่ที่ได้เริ่มเล่นกีฬานี้มา มีความประทับใจอะไรบ้าง ประทับใจทุกอย่างเลยครับ ที่เป็นการแข่งขันรถยนต์ในสนามแข่ง ต้องสัมผัส ดูครับ โดยเฉพาะความปลอดภัยของนักแข่งและคนดู คิดอย่างไรกับคำ�ว่า Alert แวบแรกที่รู้สึก คือ ต้องตื่นตัว เตรียมพร้อมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น อยากให้บอกถึงความ Alert กับกีฬามอเตอร์สปอร์ต เหมือนกับ ไฟแดงที่จุดสตาร์ท เริ่มติด และ เรากำ�ลังรอให้ไฟทั้งหมดดับ เพื่อปล่อยตัวรถเริ่มการแข่งขัน วางแผนหรือมีเป้าหมายอะไรต่อไปในชีวิต ปล่อยครัช เหยียบคันเร่ง ให้พอดีกับจังหวะไฟดับหมด เป้าหมายคือ ทำ�เวลา ให้ดีที่สุด อยากให้ฝากอะไรถึงผู้อ่านและผู้ที่สนใจเกี่ยวกับกีฬามอเตอร์สปอร์ตด้วยค่ะ ฝากติดตามผลงานละครทางช่องเจ็ดทุกเรื่องเลยครับ สำ�หรับผู้ที่สนใจด้าน มอเตอร์สปอร์ต ก็ขอเชิญชวนให้มาชม หรือ ร่วมแข่งขันกัน อย่างถูกต้อง และ ปลอดภัยนะครับ ปีนี้ยังมี สนามที่ 3 วันที่ 18-19 กันยายน แข่งที่ จ.สงขลา สนามที่ 4 วันที่ 2-3 ตุลาคม แข่งที่ กทม. สนามราชมังคลากีฬาสถาน สนามสุดท้าย 13-14 พฤศจิกายน แข่งที่ บางแสน จ.ชลบุรี สุดท้ายแล้วคิดว่าชีวิตที่ Alert อย่างสร้างสรรค์และมีคุณค่าเป็นอย่างไร ชีวิตที่ Alert อย่างสร้างสรรค์และมีคุณค่าคือ ชีวิตที่มีการเตรียมตัวที่ดี ใน หน้าที่ การงาน จิตใจ แล้ว พร้อมที่จะเป็นผู้มอบรอยยิ้มให้กับคนอื่นครับ
[ 15 ]
SLEEPLESS IN
METROPOLITAN
[ เรื่อง : ธนายุต เตชศิโรดม ] [ ภาพ : ภัทริศ ภิญโญพิพัฒน์ ]
[ 16 ]
เคยรู้สึกไหมว่าเหนื่อยล้าจากการทำ�งาน ปฏิเสธเพื่อนจากการชวนไป เที่ยวทั้ง ๆ ที่มีสาว ๆ เต็มไปหมด กะว่าจะกลับบ้าน อาบนํ้าเช็คอีเมล hi5 facebook สักพักแล้วก็เข้านอน แต่กลายเป็นว่าเวลาเดินไปเรื่อย ๆ จนถึง เที่ยงคืนก็ยังนอนไม่หลับ นับแกะก็แล้ว ทำ�อะไรก็แล้ว ตาก็ยังสว่างอยู่ เราเลย รวบรวมวิธีแก้ปัญหานอนไม่หลับเด็ด ๆ ทั้ง Indoor และ Outdoor รับรองได้ ผลล้านเปอร์เซ็นต์
1. ถ้าเป็นคืนวันศุกร์หรือเสาร์แล้วอยากเห็น บรรยากาศแปลก ๆ เราขอแนะนำ�ให้ออกจากบ้าน พร้อมไฟฉาย 1 กระบอก…เราไม่ได้แนะนำ�ให้คุณไป ถํ้ามองใคร แต่อยากให้ไปเดินแถวคลองถมเพราะที่ นั่นตอนกลางคืนจะมีตลาดนัด ไม่ต้องคิดว่าจะไปซื้อ อะไร เอาแค่ไปเดินชิล ๆ ดูหญิงดูของก็พอ มิเช่นนั้น คุณอาจจะโดนหว่านล้อมให้ซื้อขยะหรือเศษเหล็ก กลับบ้าน แล้วกลับมารำ�พันกับตัวเองที่บ้านว่าคน ขายก็ไมได้สวยหรือหุ่นทรมานใจขนาดน้องคริส หอวังซะหน่อย แล้วจะซื้อมาหาอะไร? 2. เดินช้อปปิ้งกลางคืนจนเหนื่อย ก็ยังไม่ง่วงแต่ ดันหิวขึ้นมาแทนให้ตรงไปที่ถนนเยาวราชหรือแถว ๆ ประตูผี ที่นั่นคือสวรรค์ของชูชกกลับชาติมาเกิด ของกินเพียบ ไม่ต้องมองหาป้ายแม่ช้อยหรือหมึกแดง ให้เสียเวลาเพราะส่วนใหญ่ขึ้นชื่อเกือบทุกร้าน โดยเฉพาะ ผัดไทประตูผี ส่วนที่เยาวราชก็จะเป็น สไตล์จีน ๆ พวก หูฉลาม ก๊วยจั๊บ บะหมี่เกี๊ยวหรือ อาหารทะเลที่สำ�คัญถึงจะเห็นว่าเป็นร้านข้างถนนก็ อย่าชะล่าใจเพราะราคาค่าเสียหายก็หนักเอาการ 3. แต่ถ้าพาสาว ๆ ในสังกัดไปด้วยก็ต้องที่นี่เลย ปากคลองตลาด ถึงแม้ว่าคุณจะเป็นผู้ชาย ปากคลอง ตลาดก็ยินดีต้อนรับเสมอ ยิ่งพาสาว ๆ ไปด้วยคุณจะ ได้แต้มเพิ่มขึ้นเป็นกอบเป็นกำ� เพราะสาว ๆ จะมอง คุณว่าเป็นผู้ชายโรแมนติก แต่ถึงจะไปคนเดียวก็ไม่ เป็นไรเพราะจะเพลิดเพลินกับนักศึกษาหญิงที่มาเดิน หาซื้อดอกไม้ 4. ใครเป็นพวกชอบขอหน่อย ก็ลองไปกราบ ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามสถานที่ต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ ก็ ไม่เลว อย่างเช่นวันอังคารก็ต้องพระบรมรูปทรงม้า เพราะถือว่าเป็นวันพระราชสมภพ แต่อย่าลืมของ
สำ�คัญอย่าง ซิการ์หรือเชี่ยนหมากล่ะเพราะเป็นของ โปรดของท่าน แต่ถ้าลืมก็ไม่เป็นไร แถวนั้นมีคนคอย บริการไว้เพียบ หรือใครกำ�ลังอกหักอยู่ก็ลองไปขอ พระตรีมูรติแต่ลองเช็คเวลากับคนแถว ๆ นั้นดูว่าเวลา ไหนเหมาะที่สุด 5. สำ�หรับคนที่เห็นเวลาว่าง “เป็นของมีค่า” ถ้านอนไม่หลับจริง ๆ แล้วอยากใช้เวลาว่างให้เป็น ประโยชน์เราขอแนะนำ�ให้ขับรถออกจากบ้านแต่อย่า ขับตระเวนไปเรื่อย เปลืองนํ้ามันเปล่า ๆ เลือกจอดที่ เหมาะ ๆ ย่านที่น่าสนใจคือบริเวณหน้าสถานเริงรมย์ แถว ๆ ทองหล่อหรือเอกมัย เผื่อบางทีจะมีส้มหล่น รับสาว ๆ ที่เมาไปต่อได้อีก แต่ขอแนะนำ�ว่าอย่าคาด หวังกับหน้าตามากนัก ดึก ป่านนี้แล้วจะเอานางฟ้า หรือ ๆ ไง! พยายามอย่าเลือกไปที่หรูมากเพราะกลุ่ม เป้าหมายมักจะขับรถมาเอง ผู้ชายไม่ต้องไปรับให้ อาสาไปส่งเฉพาะกลุ่มหญิงล้วนเท่านั้น แต่อย่าหน้า มืดรับไม่เลือกหละ ให้ดูอาการว่าผู้หญิงเมามาก รึเปล่าเพราะเธออาจจะอ้วกใส่รถคันงามของคุณ 6. ลองใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ซักผ้า กวาดบ้าน ล้างห้องนํ้า กรอกนํ้าใส่ตู้เย็น จัดหนังสือ โป๊ที่ซ่อนไว้ใต้เตียงให้เป็นหมวดหมู่หรือแยกตามนาง แบบ ตามยี่ห้อฯลฯ เล่มไหนที่เบื่อนางแบบแล้วก็โละ ให้คนอื่นซะบ้าง 7. ถ้าเป็นคืนวันเสาร์ จะลองตั้งเป้ามาราธอน ดู บอลติดกันซัก 3-4 คู่ก็ไม่เลว ดูโปรแกรมถ่ายทอดสด ลีกต่าง ๆ ทั้งทางช่องปกติและเคเบิลทีวีแล้วลองชวน เพื่อนคอเดียวกันมาดูกันให้หนำ�ใจ จะมีเดินพัน นิด ๆ หน่อย ๆ ติดปลายนวมด้วยก็ไม่เลว (แต่ระวัง อย่าเผลอติดพนันบอลเข้าละ) 8. อันนี้แนะนำ�สำ�หรับคนมีฐานะ ลองซื้อเวลา
ของรายการวิทยุสักคลื่น แต่เจาะจงเอาเฉพาะเวลา ช่วงกลางคืนนะ แล้วสอบใบอนุญาต DJ แล้วจัด รายการตามใจคุณให้สนุกไปเลย แถมยังมีคน (สาว) โทรมาคุย แซว เล่นเกม ให้คุณไม่เหงาอีกด้วย 9. เปิดกิจการที่ให้บริการ 24 ชั่วโมงซะเลย ลองมองหาธุรกิจที่น่าจะเข้าท่าแต่ยังไม่ค่อยมีคนทำ� กันหรือไม่มีในเมืองไทยแล้วหาที่ทางเปิดก่อน เช่น สปาโต้รุ่ง (สำ�หรับคนที่มีเงินหลายล้านเท่านั้น) 10. ถ้าคุณไม่ชอบเดินแต่เป็นนักสังเกตการณ์ ชีวิต (ชาวบ้าน) ลองไปนั่งเล่นที่แมคโดนัลด์สาขาสีลม หรือที่ตึกอัมรินทร์ เพราะ 2 สาขานี้เปิด 24 ชั่วโมง เอกลักษณ์ของสาขาสีลม คือ ดึก ๆ คุณจะได้เรียน ภาษามือฟรี เพราะผู้พิการทางหูจะมานั่งสมาคม สนทนาจีบกันผ่านแก้วกาแฟร้อน ๆ 11. ถ้าไม่กลัวหาว่าเป็นโรคจิตลองโทรคุยกับ พนักงานคอลเซ็นเตอร์ 24 ชั่วโมงดู พยายามชวน คุยเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับหน้าที่การงานเธอ แล้วก็อย่า ชวนคุยลามกหรือแนวทะลึ่งเพราะจะทำ�ให้คุณดูเป็น โรคจิตในสายตาสาว ๆ (เอ๊ะ ๆ หรือเป็นอยู่แล้ว?) 12. สำ�หรับคนที่รักการถ่ายภาพ น่าจะแบกขา ตั้งกล้องดี ๆ สักอัน แล้วลองชวนเพื่อนสัก 2-3 คน หรือจะไปคนเดียวก็ไม่เป็นไร ไฟกลางคืนในกรุงเทพ เราก็สวยไม่แพ้เมืองใหญ่ ๆ อย่างนิวยอร์กหรือ โตเกียว เราแนะนำ�ให้ไปแถวมาบุญครอง สะพาน สาทรหรือสะพานพระราม 8 ก็ไม่เลว แล้วคุณจะได้ สัมผัสถึงความสวยงามของกรุงเทพมากขึ้นอีกเป็น กอง 13. ลองทุกอย่างแล้วไม่ได้ผลก็ง่าย ๆ เลย ซัดยา นอนหลับสัก 2 เม็ด อย่ากินเป็นกำ�เดี๋ยวหลับ ยาวไป
[ 17 ]
Into The Pitch
์¹กÑæº เบน ¿รี¤ิก [ เรื่อง : กล้าณรงค์ มาโชค ]
หลาย ๆ คนอาจจะไม่คุ้นชื่อ ๆ นี้ แต่ถ้าถามกลุ่มผู้ชายที่ชื่นชอบ กีฬาฟุตบอลและชอบเปิดเว็บไซต์ ซอคเกอร์ซัคดอทคอมล่ะก็ พวกเขาร้องอ๋อ กันทุกคนแน่ ๆ ชายชื่อแปลก ๆ คนนี้คือผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ยอดฮิตของคอบอล ชาวไทยครับ คงเชือ่ ว่าหลาย ๆ คน ก็อยากรูจ้ กั กับเขา เลยจับมานัง่ คุยกันสักหน่อย เราไปรู้จักกับชายคนนี้ไปพร้อม ๆ กันกับเว็บไซต์ของเขากันเลยดีกว่าครับ
ARS: แรงบันดาลใจที่ให้พี่เลือกทำางานสายนี้คืออะไร ครับ เบน ฟรีคิก: สมัยนั้นใคร ๆ ก็อยากทำางานกับสยาม กีฬา พี่สมัครไปเยอะมาก เคยทดสอบแปลข่าวด้วย แต่ไม่ผ่าน คือก็ไม่แปลกใจเพราะคนสมัครเป็นพันเอา แค่ 2 คนอะไรงี้ มันจะไปได้ที่ไหน ตอนนั้นเราก็แปล ไม่เก่ง ตอนนี้ก็ใช่ว่าจะแปลถูกต้องตามหลักการแปล ARS: อาจจะมีหลายคนทีไ่ ม่รู้ (ผูเ้ ขียนก็ไม่ร)ู้ ทำาไมพีถ่ งึ ข่าว ของพี่ออกแนวลูกทุ่งมากกว่า ทีนี้เราทำางานกับ เจ้านายเก่าเลยมีโอกาสเจอ “นอสตราดามุส” เขา ตั้งนามปากกาว่า เบน ฟรีคิก ครับ เบน ฟรีคกิ : อ๋อ เจ้านายเก่าตัง้ ให้นะนานมากแล้วตัง้ แต่ ออกจากคิกออฟมาทำาที่นี่ เพราะว่าขัดแย้งอะไรกัน ปี 2544 ก่อนเข้าคิกออฟอีกนะ ตอนนัน้ ทำางานเว็บไซต์ นิ ด หน่ อ ย พี่ เ ลยมี โ อกาสเจอเขาพอเค้ า กลั บ ไปทำ า ให้บริษัทก็ไม่ใหญ่มาก ทำาขำา ๆ เพราะเราเองก็ไม่เก่ง คิกออฟอีก 2 ปีพี่เลยตามไปทำาน่ะ เว็บไซต์ แล้วทีนี้บริษัทซื้อเวลารายการเจาะสนาม เรา เลยมีโอกาสได้ทายผลสกอร์ เปิดแผ่นป้ายโดยจะมีชื่อ ARS: แล้วความเป็นมาของเว็บไซต์ ซอคเกอร์ซัค เป็น ของคนดัง ๆ อย่างแจ็คกี้ ตอนนั้นพี่ไม่มีชื่ออะไร แล้ว ไงมาไงบ้างครับ ก็ไม่มีคนรู้จักด้วย (ตอนนี้ก็รู้จักบ้างในกลุ่มเล็ก ๆ ) เบน ฟรีคิก: ก็สิบปีก่อนก็ทำาเว็บไซต์เล่น ๆ ตั้งชื่อ เจ้านายพีอ่ ยากให้พที่ ายสกอร์ เลยคิดชือ่ ให้โดยเอาชือ่ ว่า ซอคเกอร์ซัค (Soccersuck) ตั้งใจให้คนเข้ามาด่า เล่นคือเบน และต่อท้ายด้วยฟรีคิก พอดีตอนนั้นแกบ้า นั ก เตะที่ เ ล่ น ห่ ว ย ๆ ช่ ว งนั้ น แรงบั น ดาลใจ นี่ เ ลย เดวิด เบคแฮมน่ะ (ฮา) เจมี่ คาร์ราเกอร์ ช่วงดาวรุง่ เลย ตอนนัน้ เราแปลข่าวไม่ ARS: สวัสดีครับพี่เบนสุดหล่อ แนะนำาตัวกับพวกเรา นิดนึงครับ เบน ฟรีคิก: สวัสดีครับ ผม เบน ฟรีคิก ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ นี้ ตอนนีก้ ็ 10 ปีแล้ว ทำางานเป็นนักข่าวและคอลัมนิสต์ กีฬาครับ ควบตำาแหน่ง นายกฯบอร์ดซอคเกอร์ซัค ด้วยครับ (ยิ้ม)
[ 18 ]
เป็น เลยก็อปของคนอื่นมา ก็เลยเกิดปัญหา สุดท้ายก็ หัดแปลเองครับ ARS: ขั้นตอนการทำางานร่วมกัน ระหว่าง คอลัมน์ของ หนังสือพิมพ์ กับ การทำาเว็บไซต์ เป็นอย่างไรบ้างครับ เบน ฟรีคิก: ก็ค่อนข้างจะไปในทางเดียวกันนะ คือ ข่าวที่เราแปลลงหนังสือพิมพ์หรือเขียนคอลัมน์ เราก็ มาเอาลงเว็บ แรก ๆ ทางคิกออฟก็ไม่ว่าอะไร หลัง ๆ ช่วงปีทา้ ย ๆ เขาอยากให้เปลีย่ นหัวข่าว ส่วนคอลัมน์ให้ เอาลงอีกวันถัดไป บอกมีผลต่อยอดขายหนังสือพิมพ์ พี่ก็หงุดหงิดเพราะคิดว่าไม่น่าจะเกี่ยวกัน ถ้าเว็บพี่มี อิทธิพลขนาดนั้นก็คงดี ARS: รู้สึกอย่างไรบ้างกับงานที่ต้องตื่นตัว และดูจะ รัดตัวตลอดเวลา แทบไม่ได้นอนครับ เบน ฟรีคิก: อายุน้อย ๆ เราก็ไม่มีปัญหาหรอก ภาระ ไม่มี ธุระน้อย ทำาอะไรคล่องตัว แต่ตอนนี้อายุมากแล้ว เรื่องความรับผิดชอบยังไงก็ต้องมีมากขึ้น หรือไม่น้อย ไปกว่าเดิม แต่จะเพลียง่ายแล้วก็หงุดหงิดง่าย นี่ยังดี
“ไม่เคยคิดว่าจะหันหลังใหŒ¿ุตบอล เพราะเปšนงานที่รักและคิดว่าเรา¶นัดที่สุด แลŒว ไม่ไดŒทำข่าวไม่ไดŒตามข่าวหงุดหงิด”
จ้างน้อง ๆ มาทำาข่าวเราเลยได้รีแล็กซ์มากขึ้น ARS: พี่คิดว่า การตื่นตัว นี่สำาคัญกับการทำางานพี่ ไหมครับ เบน ฟรีคิก: ก็มีส่วนนะ แต่พี่อยากให้มองถึงความรับ ผิดชอบต่องานที่เรามีมากกว่า เราอยากเจริญก้าวหน้า อยากเหนือคนอืน่ อยากมีอนาคตหรือเปล่า ถ้าเรามอง ถึงจุดนี้คำาว่าตื่นตัวไม่ใช่ปัญหาเลย พี่เคยคิดว่าพี่ไม่ อยากเป็นลูกน้องใครไปตลอดชีวิต พี่อยากทำาอะไรให้ ตัวเองเลยเกิดเป็นแรงผลักดันและแรงจูงใจ ARS: มีวางแผนไว้เล่น ๆ ไหมครับว่า ถ้าเกิดหันหลังให้ วงการฟุตบอลแล้วจะทำามาหากินอะไรต่อไป เบน ฟรีคิก: ไม่เคยคิดว่าจะหันหลังให้ฟุตบอลครับ เพราะเป็นงานที่รักและคิดว่าเราถนัดที่สุดแล้ว ไม่ได้ ทำาข่าวไม่ได้ตามข่าวหงุดหงิดแน่นอน ARS: สุ ด ท้ า ยแล้ ว ครั บ ก็ ข อข้ อ เสนอแนะสำ า หรั บ เด็ก ๆ ที่อยากจะก้าวมาทำางานเหมือนพี่ หรือมีพี่เป็น
แรงบันดาลใจครับ เบน ฟรีคิก: พี่ว่าคนมีฝีมือไม่เท่าไหร่นะ มันอยู่ที่ โอกาสมากกว่า มีฝีมือไม่มีโอกาสก็ไม่มีทางถึงฝั่งฝัน คนที่อยากทำางานด้านข่าวหรือหนังสือพิมพ์เนี่ย จาก ประสบการณ์ส่วนใหญ่แล้วคนที่ยื่นใบสมัครแล้วรอ เรียกน้อยมาก ถ้าจะให้ดีนอกจากฝึกงานแล้วหาช่อง ทางในนั้น อาจจะไปคุยกับบก.ว่าฝึกงานเสร็จแล้ว ขอมาช่วยได้ไหม ถ้าบริษัทรับคนพี่ช่วยดันผมหน่อย อะไรแบบนี้ คื อ ชี วิ ต คนเราไม่ ส วยงามอยู่ แ ล้ ว ต้ อ ง ดิ้นรนยอมลำาบากกันหน่อย เพราะสังเกตพวกเจ้าสั๋ว ทุกคนตอนเริ่มต้นเป็นขี้ข้าเขาทั้งนั้น ใครไม่ลำาบาก ก่อนโอกาสรุ่งยากนะพี่ว่า นอกจากพวกลูกเศรษฐีที่ รับมรดกพวกนี้สบายหน่อย ทีนี้พี่อยากฝากอีกเรื่อง ทำางานหนังสือพิมพ์เงินเดือนมันน้อยต้องทำาใจไว้ด้วย ส่วนหนึ่ง ช่วงแรก ๆ เราไม่มีภาระอะไรก็น่าสู้เผื่อรุ่ง แต่ถ้าปล่อยให้เวลาผ่านไป อายุมากแล้วมันจะยากขึ้น โอกาสและทางเลือกก็จะน้อยลง คนรับเขาก็ไม่อยากได้ คนอายุมาก ๆ หรอก (ยกเว้นเข้ามารับตำาแหน่งซีเนียร์)
ARS: ตรงนีย้ กให้พเี่ ป็นศาสดา พีจ่ ะสอนผูอ้ า่ นว่าอะไร ครับ ขอประโยคเด็ด ๆ สักชุด เบน ฟรีคิก: แหม ศาสดาก็เกินไป พี่คงไม่เก่งถึงขนาด สอนใครได้หรอกนะ พี่มีแต่ความอึดและความใจสู้ เพื่อบรรลุให้ถึงเป้าหมาย พี่เคยนอนหน้าคอมตอนทำา เว็บใหม่ ๆ นอนวันละ 4-5 ชั่วโมงเพื่ออัพเดทเว็บให้ คนติด พอคนเข้าเยอะแล้วทีนี้เราสามารถทำาอะไรได้ อีกเยอะ ต้องใจสู้ครับอดทนยอมลำาบากช่วงที่มีแรงมี กำาลังดีกว่าตอนอายุมาก พออยากทำานู่นทำานี่แล้วมัน หมดโอกาสแล้ว สู้ ๆ ครับน้อง ๆ เพื่อน ๆ คงจะรู้จักกับหนุ่มสุดหล่อคนนี้ไม่มากก็ น้อยแล้วนะครับ สำาหรับเพือ่ น ๆ ทีอ่ ยากจะทำางานแบบ เดียวกับพี่เบน ฟรีคิก แล้วละก็ สามารถนำาข้อเสนอ แนะจากพี่เขาไปเป็นแบบอย่างได้นะครับ ไม่สงวน ลิขสิทธิ์ และถ้าเพื่อน ๆ สนใจอยากติดตามเว็บไซต์ ที่ เ กิ ด จากหยาดเหงื่ อ ของพี่ เขาแล้ ว ละก็ เชิ ญ ได้ ที่ www.soccersuck.com ได้เลยนะครับ และคุณจะ รู้จักฟุตบอลมากกว่าฟุตบอลครับ [ 19 ]
Adrenaline ห นี ต า ย! [ เรื่อง : วีรชญา จารุปรีชาชาญ ]
Adrenaline เป็นฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่สร้างจากอะดรีนัลเมดัลลาของต่อม หมวกไต ฮอร์โมนนี้จะถูกกระตุ้นให้หลั่งออกมาเมื่อร่างกายเกิดอารมณ์เครียด เช่น โกรธ หวาดกลัว หรือตื่นเต้น อะดรีนาลีนเป็นยากระตุ้นหัวใจที่มีฤทธิ์แรง ออกฤทธิ์โดยการกระตุ้นกล้ามเนื้อหัวใจ เซลล์ของอวัยวะควบคุมการเต้นของหัวใจ จะทำ�ให้อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น การทำ�งานของหัวใจและการใช้ออกซิเจน ก็จะเพิ่มมากขึ้น หลัก ๆ คือจะส่งผลต่อจังหวะการเต้นของหัวใจ อย่างเวลาเรา ตื่นเต้น หรือตกใจกลัว สมองจะหลั่งสารอะดรีนาลีนออกมามากกว่าปกติ ทำ�ให้ หัวใจเราเต้นแรงขึ้น รวมถึงเราจะรู้สึกตื่นตัวมากกว่าปกติ - Adrenaline สันชาตญาณการเอาตัวรอดทางธรรมชาติ! อะดรีนาลินเป็นสารกระตุ้นที่มีต้นกำ�เนิดมาจากไต มีชื่อทางชีววิทยาว่า Epinephrine ซึ่งมีที่มาจากภาษากรีกคือ nephros แปลว่าไต อะดรีนาลินคือ สารกระตุ้นที่มีผลโดยตรงต่อการเต้นของหัวใจ และยังมีผลต่อการหลั่งของเหลว จำ�พวกเหงื่อและนํ้าลาย - สู้หรือหนี (Fight or Flight) อะดรีนาลินคือสารกระตุ้นที่ตอบสนองต่ออารมณ์ โกรธ กังวล กลัวและ ตื่นเต้น สิ่งนี้คือที่มาของปฏิกิริยาตอบสนองที่เรียกว่า สู้หรือหนี (Fight or Flight) เป็นสัญชาตญาณการเอาตัวรอดขั้นพื้นฐานที่มีอยู่ทั้งในคนและสัตว์ ลองจินตนาการดูว่าหากคุณไปอยู่ในหนัง Hollywood สักเรื่องหนึ่ง ประเภทที่หนีตายเลือดท่วมจอ ฆาตกรโรคจิตไล่ฆ่าคนและคุณคือ เหยื่อ! วินาทีนี้ เองที่จิตใต้สำ�นึกของคุณจะถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง (ก่อให้เกิดอารมณ์หวาดกลัว) และเริ่มสร้างภาพจินตนาการอันบรรเจิด อาทิเช่น มีดคมกริบปาดผ่านคอหอย ของคุณ เลือดสด ๆ พุ่งกระฉูดออกมาจากเส้นเลือด จมูกและปากเปิดอ้าพยายาม สูดอากาศหายใจ ดวงตาเบิกโพลงกับนาทีสุดท้ายของชีวิต โดยมีฆาตกรยืนแสยะ ยิ้มอยู่ตรงหน้า ถึงตอนนี้เองที่อะดรีนาลีนของคุณจะพุ่งไปตามกระแสเลือดชนิด ปรอทแตกเลยทีเดียวและกฎการเอาตัวรอดก็จะเริ่มขึ้นนั้นคือ หนี! วิ่งไปให้ไกล ที่สุด ซ่อนให้มิดชิดที่สุด และหลบให้เงียบเชียบที่สุด หลายคนคงส่ายหน้าและคิด ว่าโง่สิ้นดีจะหนีไปทำ�ไม ๆ ไม่สู้
[ 20 ]
เหตุผลที่เป็นเช่นนี้เพราะอะดรีนาลีนที่ถูกหลั่งออกมาในขณะนี้นั้นเป็น อะดรีนาลีนที่ถูกกระตุ้นอันเนื่องมาจากความหวาดกลัว ร่างกายจะตอบสนองต่อ สัณชาตญาณการเอาตัวรอดและ Take Flight (ปฏิบัติการหนี!) โดยอัตโนมัติ เป็น ความจริงที่ว่าในหนังส่วนใหญ่ตัวละครพวกนี้มักจะไปไม่รอด เนื่องจากแม้ อะดรีนาลีนจะทำ�ให้หนีไปได้ไกลและทนต่อบาดแผล (ที่เกิดขึ้นจากความซุ่มซ่ามซะ เป็นส่วนใหญ่) ได้ก็จริงแต่สิ่งหนึ่งที่ทำ�ให้พบจุดจบเดียวกันคือ ขาดสติ แม้ อะดรีนาลีนจะกระตุ้นให้สมองทำ�งานเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า แต่ด้วยความกลัวและตื่น ตระหนกก็สามารถทำ�ให้เกิดการตัดสินใจผิดพลาดได้เช่นกัน แล้วทำ�อย่างไรถึงจะ รอด! เราก็จะเริ่มเข้าสู่ขั้นที่สองของการเอาตัวรอด ในตอนนี้ที่ทุกอย่างเลวร้ายถึง ขีดสุดคนรอบข้างล้มตายเป็นใบไม้ร่วงและคุณ! คือคนสุดท้ายที่เหลือรอด นาทีนี้ เราจะเริ่มเข้าใจความรู้สึกของบรรดาตัวเอกในหนังพวกนี้ เมื่ออารมณ์หวาดกลัวพุ่ง สูงเกินควบคุมและการหนีตายไม่สามารถช่วยอะไรได้ อารมณ์ที่จะเข้ามาแทนที่ต่อ จากนี้คือความโกรธ สภาวะอารมณ์ทับซ้อนที่เกิดขึ้นในขณะเดียวกันกับที่สภาวะ จิตใต้สำ�นึกถูกกดดันอย่างหนักหน่วง อะดรีนาลีนจะถูกกระตุ้นอย่างเฉียบพลัน หัวใจและสมองจะเริ่มทำ�งานอย่างคลุ้มคลั่ง อันเนื่องมาจากความตื่นเต้นที่เกิดขึ้น ในขณะนั้น (นึกถึงตอนเวลามีเรื่องและกำ�ลังจะตบหรือจะต่อยใครสักคน มันจะ โกรธผสมตื่นเต้นจนเนื้อตัวสั่นระริกอย่างช่วยไม่ได้) ถึงตอนนี้ล่ะได้เวลาของการเอาคืน Take Fight (ปฏิบัติการสู้!) คุณจะลืม ความเจ็บปวดและเริ่มกรีดร้อง คุณจะกระหนํ่าฟาด ทุบ กระทืบด้วยทุกอย่างที่มี หรือไม่ก็ประเคนหมัด เท้า เข่า ศอก ใส่ไอ้ฆาตกรแบบไม่ยั้ง (ชนิดชาติหน้าไม่ต้อง เกิด) จนกระทั่งมันหัวแบะหรือไม่ก็จมกองเลือดตาย พล็อตนี้เองที่เห็นได้ชัดในหนัง เรื่อง Scream ทั้งสามภาค ที่นางเอก Sydney วิ่งหนีไป-มา (ยิ่งกว่าหนังอินเดีย) กับฆาตกรหน้ากากปากเบี้ยวแล้วสุดท้ายก็ส่งมันลงโลงซะทุกภาค ในระหว่างนั้น อะดรีนาลีนจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งของเหลวนั้นคือเหงื่อและนํ้าลาย ออกมา มากเป็นพิเศษ ซึ่งเหงื่อนี้เองที่ทำ�ให้ในฉากหนีตายของหนังเรื่อง House of wax นางเอก Elisha Cuthbert กับเสื้อกล้ามตัวเดียวและกางเกงยีนส์ sexy ได้อย่างไม่น่าเชื่อ! ส่วนนํ้าลายก็เป็นที่รู้กันดีว่ามันจะถูกเหล่าตัวเอกใช้เป็นสสาร แลกเปลี่ยนกันด้วยปาก (กรณีที่ตัวเอกเกิดรอดเกิน 1 คนขึ้นไป ในที่นี้คือรอดตาย) ในฉากสุดท้าย...
ฆาตกรโรคจิตจาก Scream
“คุณจะลืมความเจ็บปวดและเริ่มกรีดร้อง คุณจะกระหนํ่าฟาด ทุบ กระทืบ ด้วยทุกอย่างที่มี หรือไม่ก็ประเคนหมัด เท้า เข่า ศอก ใส่ไอ้ฆาตกรแบบไม่ยั้ง” จึงสรุปได้ว่าอะดรีนาลีนนั้นมีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับสภาวะอารมณ์และสันชาตญาณการเอาตัวรอด ที่สามารถทำ�ให้สิ่งมีชีวิตทำ�อะไรที่เกินขีดความสามารถของตัวเองได้ หากแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอะดรีนาลีนนั้นจะ ต้องเกิดจากสภาวะกดดันอันโหดร้ายแต่เพียงอย่างเดียว ในความเป็นจริงอะดรีนาลีนสามารถเกิดได้ทุกที่ ทุกเวลาที่ สภาวะทางอารมณ์ถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง ในที่นี้หากมีโอกาสได้ลองใช้อะดรีนาลีนหนีตายดูสักครั้ง คุณจะอยากลองไหม?...
Scream trilogy
อ้างอิงจาก http://www.ch.ic.ac.uk/rzepa/mim/drugs/html/adrenaline_text.htm
Elisha ในชุดเสื้อกล้ามสุดsexy
Thriller movies
20 หนังทำ�เงินสูงสุดตลอดกาล จากรายรับทั่วทั้งโลก 1 Titanic Par. $1,845.0 2 The Lord of the Rings : The Return of the King NL $1,118.9 3 Harry Potter and the Sorcerer’s Stone WB $976.5 4 The Lord of the Rings: The Two Towers NL $926.3 5 Star Wars: Episode I - The Phantom Menace Fox $924.3 6 Shrek 2 DW $920.7 7 Jurassic Park Uni. $914.7 8HarryPotterandtheChamberofSecretsWB $876.7 9 The Lord of the Rings: The Fellowship of the Ring NL $871.4
10 Finding Nemo BV $864.6 11 Star Wars: Episode III - Revenge of the Sith Fox $846.3 12 Spider-Man Sony $821.7 $403.7 13 Independence Day Fox $817.0 14 E.T.: The Extra-Terrestrial Uni. $792.9 15 Harry Potter and the Prisoner of Azkaban WB $789.8 16 Spider-Man 2 Sony $784.0 17 The Lion King BV $783.8 18 St ar Wars F ox $775.4 19 The Matrix Reloaded WB $738.6 20 Forrest Gump Par. $677.4 http://club.truelife.com/club/club_contentdetails.php?
[ 21 ]
Showcase
SUPAKORN SUNANAN :
NEW GENERATION OF THAI GRAPHIC DESIGNER [ เรื่อง : อภิชญา พฤกษอาภรณ์ ] เมื่อดูจากผลงานที่ผ่านมานั้น แทบไม่น่าเชื่อว่า หนุ่ม อารมณ์ดี หัวใจศิลป์อย่าง ‘ทีม ศุภกร สุนานันท์’ นักออกแบบหน้าใหม่แห่งวงการแฟชั่นไทยคนนี้ จะ เพิ่งจบจากรั้วศิลปากรมาได้เพียงปีเดียวเท่านั้น มา ลองดูกันซิว่า หนุ่มคนนี้ จะมีอะไรดี ๆ มาเล่าให้เรา ฟังบ้าง แนะนำ�ตัวเองหน่อยค่ะ ชื่อทีมครับ ชื่อจริง ศุภกร สุนานันท์ อายุ 22 ปี จบ จากคณะมัณฑนศิลป์ ภาควิชาออกแบบนิเทศศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ปัจจุบันทำ�งานฟรีแลนซ์ ก่อนหน้านี้เคยทำ�งานอะไรมาบ้าง ก็มีทำ�ภาพประกอบให้กับหนังสือ Volume, ออกแบบ ลายเสื้อ work shop, ทำ� visual motion dive ให้กับ bouton, ทำ� Ad Magazine ให้กับ Olivia Diamonds Gaysorn, ทำ�เสื้อให้กับ Absolute, ทำ� web ให้กับแบรนด์ต่าง ๆ และอื่น ๆ อีกหลายงาน ครับ [ 22 ]
[ 22 ]
โดยส่วนตัวชอบออกแบบแนวไหนคะ ชอบงานสไตล์ Street Art ครับ ได้แรงบันดาลใจมาจากอะไร ตอนเด็ก ๆ พี่ชอบการ์ตูนเรื่อง “เจ้าขุนทอง” มาก ครับ การวาดภาพเลยเริ่มจากตรงนี้ เริ่มมาจากการ หัดวาดเจ้าขุนทองนี่แหละ (หัวเราะ) เทคนิคและวิธีการฝึกฝนในการทำ�งานด้านนี้เป็น อย่างไรบ้าง ส่วนใหญ่ก็จะดูจากเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่จะมีคนมาแลก เปลี่ยนความรู้กัน มีเทคนิคอะไรแปลก ๆ ใหม่ ๆ มา บอกต่อ ก็เข้าไปดู แล้วก็จำ� ๆ มา ทดลองทำ� พี่ว่ามัน ได้อะไรเยอะนะจากสิ่งพวกนี้ มีหลักในการทำ�งานอย่างไรบ้าง คิดแล้วค่อยทำ� ก่อนจะลงมือทำ�งาน ก็ต้องดูให้ดีก่อน ว่า ลูกค้าต้องการอะไร ต้องการงานในสไตล์ไหน
ถ้าอันไหนไม่ตรงกับเราก็จะให้เพื่อนช่วยดูให้ เพราะ ต้องคำ�นึงถึงการตลาดด้วย อย่างเวลาออกแบบ ลวดลายบนเสื้อผ้า เราก็ต้องดูก่อนว่า ทั้งสีและลาย นี้ จะแรงไปไหม ซึ่งบางทีมันมีปัจจัยการผลิตเรื่องสี เพี้ยนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งในจุดนี้เราไม่สามารถ ควบคุมได้ คิดว่าสิ่งที่ยากที่สุดในการทำ�งานออกแบบคืออะไร อืม.. พี่ว่าการจะทำ�ให้ถูกใจลูกค้านี่แหละยาก ก่อนจะ รับงานก็จะตกลงกันให้ดีก่อน ถ้าไม่ถูกใจก็ไม่รับ แต่ที่ ผ่านมาก็ไม่ค่อยเจอลูกค้าที่เรื่องมากเท่าไหร่ เวลาที่คิดงานไม่ออก พี่ทำ�อย่างไร ก็จะออกไปข้างนอก สูดอากาศบริสุทธิ์ ไปเที่ยว(ยิ้ม) หาอะไรทำ�ให้มันผ่อนคลายขึ้น มีอุปสรรคในการทำ�งานบ้างไหม แล้วทำ�อย่างไร มีอยู่แล้ว อย่างเรื่องโดนโกงนี่ก็เยอะ แบบ..ทำ�งาน ให้เสร็จก็ชิ่ง ไม่ส่งเงินมาให้ หลัง ๆ ก็เลยส่งงานเป็น
ไฟล์ตัวอย่างให้ดูก่อน ถ้าทางนั้นโอเค ก็ให้โอนเงินมา ทั้งหมด หรือครึ่งหนึ่ง เราถึงจะส่งไฟล์งานของจริงให้ ยากไหมกับการเป็นเด็กจบใหม่ แต่ต้องหางานแข่ง กับบรรดามืออาชีพ ไม่ยากหรอก เดี๋ยวนี้ลูกค้าจะชอบพวกเด็กจบใหม่ เพราะค่าจ้างจะถูกกว่ามาก แล้วงานก็ออกมาดี ถ้า เรามีผลงานดี ๆ ไปให้เขาดู เขาก็จะเชื่อในฝีมือเรา แล้วอย่างนี้มีคู่แข่งบ้างไหม ก็เด็กจบใหม่อีกนั่นแหละ มีเด็กเก่ง ๆ ออกมาเรื่อย ๆ เล่าถึงความรู้สึกที่มีต่องานของพี่หน่อยค่ะ ก็พอใจนะ เวลาทำ�งานออกมาแล้วพอใจ คนดูก็พอใจ ต่างฝ่ายต่างมีความสุข เราเองก็มีความสุขเวลาที่งาน สำ�เร็จลุล่วงไปด้วยดี และจะยิ่งมีความสุขเวลาที่เห็น คนใส่เสื้อที่เราเป็นคนออกแบบ หรือเวลาที่มีคนชื่น ชอบในผลงานของเรา
มุมมองทีม่ ตี อ่ วงการกราฟฟิกไทยตอนนีเ้ ป็นอย่างไร ก็เดิม ๆ นะ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง อยากจะเห็นคนที่ กล้าคิด กล้าทำ� มากกว่านี้ ที่สำ�คัญคิดแล้วต้องทำ�ให้ ได้ด้วยนะ แนะนำ�อะไรให้กับวัยรุ่นยุคใหม่ที่สนใจจะทำ�งาน ด้านนี้ เห็นงานไม่ท้อเห็นหม้อไม่ถอย อยากทำ�อะไรก็ทำ�กัน เลยครับ (หัวเราะ) ความพยายามและความใส่ใจในการทำ�งาน คงจะเป็นเหตุผลที่ชัดเจนพอแล้วสำ�หรับชายคนนี้ ที่ทำ�ให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นนักออกแบบหน้าใหม่ ประดับวงการกราฟิกไทยได้อย่างเต็มภาคภูมิ และแม้เขาจะยังใหม่ต่อวงการนี้ แต่เชื่อเถอะว่า ในอนาคตอันใกล้ เขาจะไปยืนอยู่ในระดับแนวหน้า ของวงการนักออกแบบได้ไม่ยาก
[ 23 ]
สวนเล็กในเมืองใหญ่ [ เรื่อง / ภาพ : ธนกร ศรีกำ�เหนิด ]
สวัสดี คนเมือง... เคยรู้สึกเบื่อที่ต้องใช้ชีวิต อยู่แต่ในตึกหรือเปล่า เบื่อบ้างไหมที่ต้องเดินบน พื้นปูน พื้นกระเบื้อง ใช้ออกซิเจนสังเคราะห์เย็น ๆ อยู่ใต้แสงนีออน แทนที่จะเป็น แสงอาทิตย์อุ่น ๆ วัน ๆ อยู่แต่ในห้อง สี่เหลี่ยม ชีวิตมีแต่การแข่งขัน งาน ๆ เรียน ๆ อยู่ในป่าคอนกรีต จนร่างกาย ไม่ได้ เสพสิ่งที่ธรรมชาติ สร้างไว้ให้ เหมือนกับการที่เรา ต้องกินแต่อาหารแช่แข็ง ทุกวัน ๆ ไม่อิ่มแถมยังไม่มี ประโยชน์อีก ร่างกายเริ่มอ่อนแรงลง เพราะชีวิตแทบ จะไม่ได้สัมผัสกับธรรมชาติที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง
[ 24 ]
หากใครอยากปรับเปลี่ยน Lifestyle แบบ เดิม ๆ เราขอแนะนำ� สวนวชิรเบญจทัศ หรือ สวนรถไฟ สถานที่ที่ช่วยให้คนเมืองอย่างเรา ๆ ได้ กลับไปเยี่ยมเยียนธรรมชาติ ที่อยู่กับเรามาทั้งชีวิต เป็นที่ชาร์ตแบตอย่างดี เหมาะแก่การพักผ่อน มอง ไปทางไหน ก็เจอแต่ความรมรื่น มีต้นไม้ใหญ่ ให้เรา แอบอิง สัมผัสแสงอาทิตย์ ผ่านช่องที่ต้นไม้ได้เว้นไว้ นั่งสูดอากาศสด ๆ จากต้นไม้
สวนรถไฟมีพื้นที่ 375 ไร่ ได้ยินแล้วอย่าเพิ่ง ท้อใจและกลัวว่าจะเดินไม่ไหว เพราะตั้งแต่หน้าทาง เข้ามี รถจักรยาน ให้เช่า ในราคาย่อมเยา คันละ 20 บาท นอกจากนั้น ที่นี่ยังมีอุทยานการเรียนรู้ที่ รับรองว่าจะทำ�ให้คุณประทับใจได้อย่างแน่นอน อุทยานผีเสื้อและแมลง มีลักษณะเป็นอาคาร สวนปิกนิก “ฟ้าใส ไม้สวย ด้วยแรงใจ ปตท. รูปโดม ภายในจัดแสดง นิทรรศการ ห้องวีดีทัศน์ให้ สผ.” ลักษณะเป็นลานปิกนิกหรือ ลานบาร์บีคิว ความรู้ และกรงผีเสื้อแบบ เดินดู ที่จัดภูมิทัศน์งดงาม ใต้ร่มไม้ ริมบึงนํ้า บรรยากาศอบอุ่นท่ามกลางทุ่ง สบายตาด้วยนํ้าตก ธารนํ้าและมวลดอกไม้นานาชนิด ดอกไม้ป่า มีเตาปิ้งบาร์บีคิว ไว้ให้บริการบริเวณริม เป็นโอกาสดีที่จะได้ ชื่นชมผีเสื้อ บึงนํ้ามีจักรยานนํ้าและเรือพาย ให้เช่า 30 บาท/ชม. แต่แนะนำ� ให้เล่นเป็นคู่ เพราะเรือถีบต้องปั่น 2 คน ตอนเย็นจะดีกว่า เพราะตอนกลางวันแดดแรงมาก เปิดบริการตั้งแต่เวลา 07.00 - 21.00 น. ของทุกวัน ศูนย์นันทนาการชุมชนสวนรถไฟ เป็นสถานที่ เหมาะสำ�หรับเด็ก ๆ อย่างมาก มีสระว่ายนํ้า สำ�หรับ เด็กที่ตกแต่งด้วยนํ้าพุ พร้อมด้วยบริการเช่าจักรยาน ลานกีฬา เป็นที่ตั้งของศูนย์ฝึกกีฬาประชา และสนามเด็กเล่นที่มีชุดเครื่อง เล่นสำ�หรับเด็กหลาย นิเวศน์ ให้บริการด้านสถานที่ และอุปกรณ์กีฬา วัย ถึง 15 ชุด แบ่งเป็น กลางแจ้งและในร่ม แถมยังมี มีสนามฟุตซอล 5 สนาม สนามฟุตบอล 4 สนาม จุดพ่นละอองนํ้าสร้างไอเย็นดับร้อน เรียกความสนใจ สนามสตรีทบอล ลานเปตอง อุปกรณ์ยกนํ้าหนัก เปิดบริการตั้งแต่เวลา 10.00 - 18.00 น. ของทุกวัน จากเด็กได้เป็นอย่างดี เปิดบริการตั้งแต่เวลา 06.00 - 20.00 น. ของวันจันทร์- เสาร์ ค่ายพักแรม เป็นสถานที่ไว้สำ�หรับ จัดกิจกรรม กลางแจ้ง เช่น เล่นสเก็ตบอร์ด เต้นแอโรบิกภายใต้ บรรยากาศสวย ๆ ของสวนวชิรเบญจทัศ สวนป่าใหญ่ในเมือง เป็นสวนป่าจำ�ลองที่ รวบรวมพันธุ์ไม้โดยเน้นการอนุรักษ์ต้นไม้ขนาดใหญ่ อายุนับร้อยปี ที่ถูกรุกรานจากการพัฒนาเมืองให้มา เกิดชีวิตใหม่ในป่าสาธิต แห่งนี้
นอกจากนี้ในสวนวชิรเบญจทัศยังมีจุดที่น่า สนใจอื่นที่กระจายอยู่ตามจุดต่าง ๆ อย่าง นํ้าพุสูง ที่สุดในประเทศไทย อยู่ตรงกลางบึงนํ้าหรือจะเป็น ประติมากรรมอิริยาบทร่าเริงของเด็ก สื่อถึงอารมณ์ สนุกสนาน ช่วยสร้างสีสันและทำ�ให้สวนดูมีชีวิตชีวา มากขึ้น สวนรถไฟนับเป็นสถานที่พักผ่อนที่ดีอีกที่หนึ่ง ของคนเมืองก็ว่าได้ ซึ่งถ้าได้ลองปลีกเวลาสักนิดให้ ร่างกายและจิตใจที่เหนื่อยล้าจากการทำ�งาน ได้ พักผ่อน แล้วคุณจะรู้ว่า พื้นหญ้านิ่ม ๆ อากาศที่ สดชื่น ร่มเงาของต้นใหญ่ที่มีเงาแดดอุ่น ๆ ลอดผ่าน ก็สามารถ...สัมผัสได้ใจกลางเมืองที่วุ่นวาย
[ 25 ]
A “ถ้าหากเรามัวคิดถึงแต่เครื่องอำ�นวย ความสะดวกนอกกาย เราอาจจะหลงลืม สิ่งที่มีอยู่แล้วภายในตัวของเราได้”
[ 26 ]
ALERT ALIVE
Alert living
[เรื่อง : ปิยวรรณ มูลตรีแก้ว / ภาพ : ธิมา ไหมแพง]
เสียง
เรียกแห่งการดำ�รงชีพที่ดังกังวานไปทั่วห้องในยามฟ้าสาง เสียงนี้คงเป็นเสียงที่ใครต่อใครหลายคนคงไม่ใคร่ได้ยินนัก แต่ก็คงปฏิเสธได้ยากว่ามันไม่มีส่วนร่วมกับหน้าที่ภารกิจประจำ�วันของเรา เพราะมันเป็นเสียงเรียกแรกที่ทำ�ให้เราหลุดออกมาจากห้วงนิทราในยามเช้า แต่สำ�หรับหลาย ๆคนก็ยังคงนอนบิดไปมาอยู่บนเตียงอย่างไม่รู้เวลา ทุก ๆ วันก็มีเจ้าสิ่งนี้แหละที่คอยปลุกให้สมองสั่งการทำ�งานในตอนเช้าตรู่ รุ่งอรุณ แต่ก็จะมีในบางครั้งคราวที่ไม่สามารถทำ�หน้าที่ได้ตามปกติ และในวันนั้น ก็อาจทำ�ให้เราสายจนโดนใครต่อใครว่าเอาได้ แต่จะเอามันมาอ้างเป็นเหตุก็คง ไม่ใช่เรื่องถูกต้องนัก หากสมมุติว่าชีวิตคนเราสามารถมีนาฬิกาปลุกอยู่ในร่างกาย ตัวเองได้ล่ะ คงจะมีประโยชน์ไม่น้อยทีเดียว ในบางเวลาที่เราเหี่ยวเฉาหรือ ซึมเศร้าก็สามารถใช้มันให้คอยตั้งเตือนสติ และปลุกตัวเองให้กลับมาจากความคิด ที่เถลไถลไปไกล หรือบางทีเราอาจจะใช้มันตั้งปลุกสมองตนเองในเวลาที่ต้องการ ความกระตือรือร้นทางความคิดก็น่าจะเข้าที และอาจจะใช้ให้คอยเตือนความจำ� ต่าง ๆ ก็ยังได้ หากแต่ในความเป็นจริงแล้วคงจะดูทะแม่ง ๆ ชอบกลถ้าเราฝังสิ่งแปลก ปลอมเข้าไปในร่างกาย แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ทีเดียว เพราะถ้าหากเรามัวคิดถึง แต่เครื่องอำ�นวยความสะดวกนอกกาย เราอาจจะหลงลืมสิ่งที่มีอยู่แล้วภายในตัว ของเราได้ สิ่ง ๆ นั้นมันก็มีอยู่ในตัวคนเราทุกคนอยู่แล้ว เพียงแต่อยู่ที่ใครจะนำ�มัน ออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์มากน้อยเพียงใดเท่านั้น นาฬิกาปลุกที่อยู่ในตัวเรานั้นก็ คือ “ความมุ่งมั่น” นั่นเอง ถ้าหากเราขาดความมุ่งมั่นในใจแล้ว คงจะเป็นเรื่องยากที่จะทำ�สิ่งใดให้ สำ�เร็จตามคาดหวัง หรือทำ�ตามความฝันอันสวยสดงดงามที่ใคร ๆ หลายคนมี อาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่ดูง่าย ๆ พื้น ๆ ธรรมดาดาษเดื่อนที่ใคร ๆ ก็คงจะรู้ หากแต่ว่าเรารู้แต่เราไม่ทำ� หรือจะเป็นนิสัย(เสีย)ของใครหลายคนที่ในบางเวลา ควรกระตือรือร้นกลับนิ่งเฉย แล้วพอสายเกินแก้ค่อยกระตือรือร้น กระวีกระวาด รีบร้อน (เหมือนผู้ใหญ่ในบางอาชีพ ที่วัวหายแล้วล้อมคอก มือถือสากปากถือศีล หน้าเนื้อใจเสือ กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา ฯลฯ) มันก็คงจะไม่ทันการ เพราะ พรุ่งนี้ก็สายเสียแล้ว เพราะฉะนั้นความมุ่งมั่นกระตือรือร้นนี่แหละที่จะนำ� ความสำ�เร็จมาสู่เรา
คงไม่มีใครไม่รู้จักศิลปินชื่อก้องโลกอย่าง วินเซนต์ แวนโก๊ะห์ กับรูปเขียน ราคาหลายสิบล้าน ในชีวิตของเขานั้นช่างอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว โดดเดี่ยวเดียวดาย และลำ�บากยากแค้นเสียเหลือเกิน แต่เขาก็หารู้ไม่ว่าปัจจุบันราคางานของตนจะ มีค่ามากมายเพียงใด ในสมัยตอนที่เขียนรูปนั้นแวนโก๊ะห์มีจิตใจที่มุ่งมั่นเต็มเปี่ยม อย่างมาก เพราะขนาดเงินที่เอาไว้ซื้ออาหารกิน ยังยอมอดอาหารเอาไปซื้อสีเลย! หรือกระทั่ง ไมเคิล จอร์แดน และ เดวิด เบคแฮม ที่ซ้อมด้วยตนเองต่อหลังจาก หมดเวลาซ้อมในแต่ละวัน บุคคลเหล่านี้ที่ประสบความสำ�เร็จได้ไม่ใช่เพราะ ความมุ่งมั่นและความซื่อสัตย์ต่อความฝันของตนเองหรอกหรือ บางทีหากในวัย หนุ่มของแวนโก๊ะห์เขียนรูปเพียงปีเดียวแล้วเลิกเพราะไม่ดังซักที จึงลองเปลี่ยน งานไปทำ�งานอย่างอื่นที่ได้เงิน เค้าก็อาจจะไม่ต้องลำ�บากยากจนในชีวิตมากนัก อาจจะกินอยู่สุขสบายเหมือนคนทั่วไป หรือเบคแฮมอาจจะซ้อมเส็รจตรงเวลาที่ กำ�หนดและกลับบ้านหาลูกหาเมียทันที ลูกยิงฟรีคิกของเค้าอาจจะไม่โด่งดังเป็น ตำ�นานแบบนี้ก็ได้ และเนื่องด้วยในสภาพแวดล้อมปัจจุบันที่มีแต่ความบันเทิงอยู่รอบกายและ ความเมามายอยู่รอบตัว อาจจะทำ�ให้เราหลงลืมละเลยไม่สนใจใยดีต่อความ มุ่งมั่นในใจตนเองอยู่บ่อยครั้ง อาจเปรียบได้ว่านาฬิกาปลุกในใจเรานั้นหายไป หรือถ่านหมด หรือเสียไปแล้วก็เป็นได้ แต่หากเราลองมองและไตร่ตรองดี ๆ ก็จะ พบว่า แท้จริงแล้วนาฬิกาเรือนนี้ไม่ได้หายหรือเสียแต่อย่างใดเพียงแต่เราอาจจะ ลืมหยุดมองดูมัน มองดูเข็มนาฬิกาทั้งสามบนหน้าปัดนาฬิกาของความมุ่งมั่นอัน แรงกล้าเรือนงามเรือนนี้ ซึ่งก็ต่างภูมิใจในหน้าที่ของพวกตน โดยที่เข็มวินาทีเป็น ความซื่อสัตย์ต่อความฝัน เข็มยาวคือความศรัทธาต่อตนเอง และเข็มสั้นซึ่งเป็น เข็มที่เดินช้าที่สุดคือความอดทน เชื่อว่าใคร ๆ ก็อยากสบายด้วยกันทั้งนั้น แต่มันคุ้มแล้วหรือ? กับการไหล ไปตามกระแสสังคมที่เชี่ยวกรากไปด้วยกิเลสรอบกาย ปล่อยตัวตามสบายโดย ปราศจากความมุ่งมั่นในสิ่งที่คิดฝัน แล้วถ้าเราลองเปรียบเทียบกันดูในผลแห่ง ความสำ�เร็จล่ะ แน่นอนอยู่แล้วว่าสิ่งใดที่ให้ผลตอบแทนมากมันก็ต้องใช้ความมุ่ง มั่นและความกระตือรือร้นที่จะพยายามมากกว่าอยู่แล้ว มันอาจจะไม่ได้มีค่า แปรเปลี่ยนเป็นค่าทางทรัพย์เงินทองที่มากมายนัก แต่ความสำ�เร็จนั้นมีค่าทาง จิตใจมากกว่าสิ่งอื่นแน่นอน… [ 27 ]
Individual
[ เรื่อง : ภัทริศ ภิญโญพิพัฒน์ ปราณีญา วิชัด ชุดามาส บู่บาง ภาพ : ภัทริศ ภิญโญพิพัฒน์ ]
[ 28 ]
PERSONS
3
จ่าดี
แทçก«ี่¤าราโอเกะ
[ เรื่อง / ภาพ : ภัทริศ ภิญโญพิพัฒน์ ]
[ 29 ]
ท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าว การจราจรที่แสนแออัด การแข่งขันอันรีบเร่ง กับอีกทั้งสารพันปัญหาต่าง ๆ
อีกมากมายที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ในกรุงเทพมหานคร การที่ต้องมานั่งขับรถโดยสารรับส่งให้กับคนที่เราไม่รู้จักหรือไม่ใช่คนใน ครอบครัวของเราซํ้าแล้วซํ้าเล่าอยู่ทั้งวัน คงจะไม่ใช่สิ่งที่คนส่วนใหญ่นั้นอยาก “เลือก” ที่จะทำ�
[ 30 ]
จ่าสิบเอก ดี ประสิทธิ์สุวรรณ หรือ “จ่าดี แท็กซี่คาราโอเกะ” อดีตข้าราชการกองบินทหารบก โดยมีหน้าที่เป็นทั้งช่างซ่อมและอารักขาที่ได้รับ การไว้วางใจเป็นอันดับต้น ๆ ของนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ก่อนจะสอบเข้าเป็นครูสอนช่างซ่อมเครื่องบิน กิตติมศักดิ์ให้กับนักเรียนทหาร และจ่าดีก็ได้ปฏิบัติ ทำ�หน้าที่ที่ได้รับมาจนกระทั่งเกษียณอายุ จ่าดีในวัย 68 ปี เริ่มหันมาขับแท็กซี่ทันทีหลัง จากตัวเองเกษียณอายุจากข้าราชการ แต่การเริ่มต้น ในอาชีพใหม่กลับเริ่มต้นได้ไม่น่าประทับใจ เมื่อจ่าดี ต้องพบกับความผิดหวังที่ไม่ค่อยจะมีผู้โดยสารเรียก ใช้บริการมากนัก “ความผิดหวัง” กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ ทุกสิ่ง เมื่อวันหนึ่งจ่าดีสังเกตเห็นเด็กกำ�ลังจูงปู่อยู่ หน้าร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น และพยายามที่จะ ให้ปู่พาเข้าไปในร้าน จุดสังเกตเล็ก ๆ สิ่งนี้เอง ที่ทำ�ให้จ่าดีเกิดความ สงสัยว่าทำ�ไมเด็กตัวเล็ก ๆ แค่นี้ถึงรู้จัก เซเว่นอีเลฟเว่นได้ ซึ่งคำ�ตอบที่ได้ก็คือ “จุดเด่น” “เอกลักษณ์” และ “ความแตกต่าง” จ่าดีเริ่มสร้างสามสิ่งนั้นให้กับรถตัวเอง ด้วย การนำ�ธงชาติ 100 แผ่นมาติดรอบรถเพื่อสร้าง จุดสนใจ และตามด้วยคาราโอเกะ ซึ่งแน่นอนว่าไม่มี ใครที่อยู่ดี ๆ ขึ้นรถมาจะมาจับไมค์ร้องเพลง จ่าดีจึงทำ�การลดค่าโดยสารให้กับผู้โดยสารที่ร้อง คาราโอเกะซึ่งก็ได้รับการตอบรับกลับมาจาก ผู้โดยสารเป็นอย่างดี “ยิ้มหวาน ๆ ลดค่าโดยสาร 5 บาท” เป็นอีก หนึ่งสิ่งที่จ่าดีคิดขึ้นมาเพื่อเรียกรอยยิ้มจากผู้โดยสาร และสิ่งนี้ก็สามารถเรียกได้ทั้ง รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ พูดเพราะ และความเป็นกันเอง การที่เริ่มต้นด้วยสิ่ง เหล่านี้จ่าดีคิดว่า จะเป็นการทำ�ให้ผู้โดยสารรู้สึกมี ความสุข ผ่อนคลาย และลืมเรื่องราวความวุ่นวาย ต่าง ๆ ไปจนถึงจุดหมายปลายทาง เหนือสิ่งอื่นใดที่จ่าดีอยากได้ ไม่ใช่เพียงการ ทำ�ให้รถแท็กซี่คันนี้โดดเด่นมากกว่าคันอื่น ๆ แต่สิ่ง ที่สำ�คัญที่สุดคือ “รอยยิ้ม” ของผู้โดยสาร ผู้โดยสาร ที่มาใช้บริการในแต่ละวันสีหน้าเครียดกันทุกคน และ หากเมื่อเข้ามาในรถแท็กซี่คันนี้แล้วจ่าดีจะพยายาม ทุกอย่างเพื่อให้ผู้โดยสารอารมณ์ดีขึ้น และหากยังคง
ไม่สามารถเรียกรอยยิ้มได้ จ่าดีก็พร้อมที่จะไม่เรียก ค่าโดยสารสักบาทหากไม่สามารถทำ�ให้ผู้โดยสารรู้สึก ดีขึ้นได้หลังออกไปจากรถ การกล้าที่จะเป็นผู้ให้เสียก่อนของจ่าดี ทั้งการ ดูแลเอาใจใส่และให้ความสำ�คัญกับผู้โดยสารมากเป็น พิเศษ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วจ่าดีอาจจะไม่จำ�เป็น ที่จะต้องทำ�เช่นนี้ และอาจเพียงทำ�หน้าที่ขับรถแท็กซี่ ส่งผู้คนไปตามปกติเหมือนแท็กซี่คันอื่น ๆ ก็ได้ “ต้องรู้จักให้เสียก่อน และทำ�วันนี้ให้ดีกว่า เมื่อวาน” เป็นคำ�ขวัญประจำ�ใจที่สามารถสร้าง ไอเดียใหม่ ๆ ให้กับจ่าดีเพื่อมาบริการผู้โดยสารได้อยู่ เสมอซึ่งหลายคนในบรรดาเพื่อนขับแท็กซี่ของจ่าดี ไม่เข้าใจและสงสัยสิ่งที่จ่าดีทำ�อยู่มันจะคุ้มค่ากันที่ ตรงไหน แต่ในความเป็นจริงแล้วการลดค่าโดยสาร 5 บาทหรืออีกหลาย ๆ อย่างที่จ่าดีทำ�ลงไปให้ผู้ โดยสารกลับสามารถเรียกค่าตอบแทนกลับคืนมาได้ เป็นร้อยเป็นพัน จำ�นวนธนบัตรและเหรียญมากมายทั้งไทยและ ต่างประเทศที่ติดอยู่ภายในรถเป็นสิ่งตอบแทนที่ผู้ โดยสารทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศให้เป็นค่า ตอบแทนพิเศษเนื่องจากความประทับใจในการให้ บริการของจ่าดี ถือเป็นค่าตอบแทนมหาศาลที่ จ่าดีได้รับจากการ “กล้า” ที่จะเป็นผู้ให้เสียก่อน ส่วนจำ�นวนเงินที่ติดอยู่โดยรอบรถ ภายหลังจากไม่มี ที่ให้ติดแล้ว จ่าดีก็ได้แปลค่าตอบแทนทั้งหมดที่ได้นี้ กลายเป็นการให้อีกครั้งด้วยการแกะออกและนำ�ไป ทำ�บุญแทน ถือเป็นการสร้างกุศลให้ผู้โดยสารจาก การเป็นผู้ให้เช่นเดียวกัน น้อยคนนักที่จะมีความสุขและสนุกไปกับการ ขับแท็กซี่ จ่าดีเป็นหนึ่งในจำ�นวนนั้นที่ภูมิใจกับเครื่อง แบบขับแท็กซี่ของตัวเองและมีความสุขไปกับการ ขับรถบนท้องถนนโดยไม่ฝืนกฎจราจร ในช่วงเวลา 6 โมงเช้า ถึง 5 โมงเย็นของจ่าดีจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว และมีความสุข ไม่เหมือนกับแท็กซี่บางคันที่บ่อยครั้ง จอดรถคุยกันเป็นชั่วโมงและบ่นภายหลังออกจากรถ รถว่าปวดหลังปวดเอว หนำ�ซํ้ำ�ยังบ่นว่าค่าโดยสารที่ ได้แต่ละวันไม่พอเลี้ยงปากท้องคนเราจะมีความสุข กับหน้าที่ของตนเองได้ด้วยวิธีการ “ถามตัวเองอยู่ตลอดเวลา”
[ 31 ]
Individual
แนวคิดแบบนี้ของจ่าดี ต้องการที่จะบอกว่าคน เรานั้นมีสิทธิที่จะ “เลือก” เราสามารถถามตัวเองได้ ว่าเราชอบหรือไม่ชอบ และ “การค้นหาตัวเอง” ก็จะให้คำ�ตอบแก่เราเอง ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราได้ เริ่มทำ�อะไรใหม่ ๆ เราต้องอยู่กับมันหรือคลุกคลีเสีย ก่อนแล้วจึงตัดสินใจว่าเราพร้อมที่จะทำ�มันอย่าง เต็มใจและมีความสุขกับมันหรือไม่ ไม่ใช่ว่าเมื่อเริ่มทำ� อะไรใหม่แล้วต้องเจอปัญหาในช่วงแรกก็ตอบตัวเอง ไปเลยว่าไม่ใช่ตัวเรา หรือแม้จะเลือกว่าชอบไปแล้ว แต่แล้วใน อนาคตก็ไม่แน่นอน วันข้างหน้าอาจไม่มีความสุขกับ สิ่งที่เลือกไปก็เป็นได้ และเมื่อเป็นเช่นนี้ การถามตัว เองก็จะกลับมา จ่าดีเองก็เคยตกอยู่ในสถานการณ์ใน ลักษณะนี้ในการเป็นเถ้าแก่หวยซึ่งแม้จะเคยสร้าง รายได้ให้กับจ่าดีมาก่อนในอดีต แต่แล้วก็กลับ ถามตัวเองใหม่อีกครั้งแล้วจึงมาลงตัวในการขับแท็กซี่ การลงตัวกับการขับรถแท็กซี่มาประมาณ 8 ปีของจ่าดี ต้องใช้ชีวิตควบคู่ไปกับการจราจรใน กรุงเทพฯ ที่ใครหลายคนนั้นรังเกียจ ซึ่งประสบการณ์ จากการเห็นอะไรมามากในการขับแท็กซี่อยู่นาน หลายปี จ่าดีมีความเห็นว่าคนที่ขับรถส่วนใหญ่นั้น [ 32 ]
“มองเห็นความผิดคนอื่นเท่าภูเขา มองเห็นความ ผิดตัวเองเท่ารูเข็ม” การจราจรไทยที่มีอยู่ตอนนี้ได้จัดทำ�มาอย่าง เรียบร้อยดีทุกอย่างแล้ว ขาดก็เพียงแต่คนใช้เท่านั้นที่ ไม่สามารถสอดคล้องไปกับจราจร ห้ามจอดกลับจอด ห้ามเลี้ยวกลับเลี้ยว ห้ามกลับรถก็ยังคงที่จะกลับรถ ซึ่งหากเป็นตัวเองที่เป็นผู้ที่กระทำ�ความผิดนั้นเอง ตัวเองก็จะไม่มีความรู้สึกผิดใด ๆ แต่หากคนอื่นทำ�ผิด บ้างแล้วความผิดนั้นส่งผลเสียมาถึงตัวเรา คำ�หยาบ คายทั้งหลายของเราจะหลุดออกจากปากตอบแทน กลับทันที โดยที่ไม่เคยนึกย้อนไปดูตัวเราเลยว่าเราทำ� ดีพอที่จะไปว่าคนอื่นแล้วหรือยัง ตลอดระยะเวลา ที่ผ่านมาภายหลังเกษียณของจ่าดี “รอยยิ้ม” ของ ผู้โดยสารคือสิ่งสำ�คัญที่สุดที่สามารถทำ�ให้จ่าดี มา ได้ไกลขนาดนี้ รวมถึงคำ�ติชม ความคิดเห็นและคำ� แนะนำ�ต่างๆก็เป็นเหมือน “ยาวิเศษ” ที่ทำ�ให้จ่าดี ต้องยิ่งใส่ใจดูแลและมีความกระตือรือร้นในการสร้าง ไอเดียหาอะไรใหม่ ๆ มาให้กับผู้โดยสารอยู่เสมอ ด้วยการมีใจรักที่จะบริการบวกกับความสนใจ และภูมิใจในอาชีพของตน กับอีกหนึ่งสิ่งที่ใครใน สังคมยังไม่มีความกล้าที่จะทำ�นัก คือการเป็นผู้ให้เสีย
ก่อน จึงไม่แปลกที่จ่าดีจะเคยเป็นถึงแท็กซี่ตัวอย่าง ของสนามบินสุวรรณภูมิ และยังสามารถสร้างรอยยิ้ม ความประทับใจให้กับผู้โดยสารที่มาใช้บริการได้แทบ ทุกคน ไม่ใช่เรื่องน่าอัศจรรย์แต่อย่างใดที่ชายในอายุที่ จัดว่าค่อนข้างมากจะมีเรี่ยวแรงกระตือรือร้นในการ ทำ�งานได้มากขนาดนี้ ความคิดต่าง ๆ ของจ่าดีก็ล้วน แต่เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเคยได้ยินกันมาแล้วทั้งนั้นไม่ว่า จะเป็นการเป็นผู้ให้ก่อน หรือจะเป็นการทำ�วันนี้ให้ดี กว่าเมื่อวาน ความคิด คำ�พูด หรือตัวอย่างดี ๆ นั้นล้วนจะมี ให้เห็นมากมายในสังคมอยู่แล้ว ขึ้นอยู่แค่ว่าใคร ที่จะกล้านำ�สิ่งได้รู้ได้เห็นไปปฏิบัติจริงในหน้าที่การ งานของตนได้อย่าง “จ่าดี แท็กซี่คาราโอเกะ” เท่านั้นเอง
* จ่าดี ประสิทธิ์สุวรรณ 08 - 9486 - 5334
ลุงจำลอง อาสาวัยเกŽาแห่งร่วมกตัÞ Ù
[ เรื่อง : ปราณีญา วิชัด / ภาพ : ภัทริศ ภิญโญพิพัฒน์ ]
[ 33 ]
มูลนิธิร่วมกตัญญู ถือเป็นหน่วยงานเพื่อการ กุศล ถือกำ�เนิดขึ้นในช่วงที่มูลนิธิปอเต๊กตึ๊งปิดตัวลง จนในปัจจุบันมูลนิธิปอเต๊กตึ๊งได้กลับมาดำ�เนินการ ทำ�งานอีกครั้ง ทั้งสองมูลนิธิจึงมีการประสานและ ทำ�งานร่วมกัน โดยผลัดการทำ�งานของมูลนิธิร่วม กตัญญูจะมี 2 ผลัด ผลัดแรก 8 เช้าโมงถึง 2 ทุ่ม กับ 2 ทุ่มถึง 8 โมงเช้า ในสมัยก่อนจะทำ�งานกัน ตลอด 24 ชั่วโมง เพราะยังมีคนทำ�จำ�นวนน้อย แต่ใน ปัจจุบันมีอาสาฯ เพิ่มมากขึ้นจึงต้องมีการจัดระเบียบ การทำ�งานเพื่อให้เกิดความเรียบร้อย โดยจะมีวัน หยุดงาน 1 วันต่อสัปดาห์ซึ่งจะหมุนเวียนกันหยุด มี การแบ่งย่อยหน้าที่ความรับผิดชอบออกเป็น 3 ฝ่าย ด้วยกัน คือ ฝ่ายกู้ชีพ ฝ่ายพยาบาล และฝ่ายเก็บศพ ซึ่งฝ่ายสุดท้ายคงเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย รถสี ขาวสกรีนโลโก้ของมูลนิธิ มีไซเรนสีสดเสียงดังแหลม หูติดอยู่บนหลังคา วิ่งโฉบเฉี่ยวด้วยความเร็วสูงเพื่อให้ ไปถึงเป้าหมายให้เร็วที่สุด กลายเป็นสัญลักษณ์สำ�คัญ อีกอย่างหนึ่ง ที่เป็นตัวบ่งบอกให้ทราบว่ามีการตาย เกิดขึ้นที่จุดหมายปลายทางของรถคันนี้ มูลนิธิร่วมกตัญญู หน้าวัดหัวลำ�โพงคือ เป้าหมายในการตามหาอาสาสมัครเพื่อไปทำ�การ ติดตามชีวิตการทำ�งานในครั้งนี้ บรรยากาศที่คึกคัก คลาคลํ่าไปด้วยผู้คนซึ่งผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมา ทำ�บุญอย่างไม่ขาดสาย เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าสถาน ที่แห่งนี้มีชื่อเสียงเรื่องการทำ�บุญบริจาคโลงศพและ ผ้าดิบ เพื่อนำ�ไปประกอบพิธีกรรมให้ศพไร้ญาติ ท่ามกลางความวุ่นวายจอแจของผู้ที่มาทำ�บุญ ควันธูปที่ถูกจุดลอยคละคลุ้งตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ จนแสบตา จะปรากฏเสียงหนึ่งที่ทำ�หน้าที่อำ�นวย ความสะดวกและคอยบอกวิธีการไหว้อยู่ตลอดเวลา ภาพของชายวัยเลยเกษียณอายุผิวเนื้อดำ�คลํ้าจาก การทำ�งานกรำ�แดด อยู่ในชุดสีเหลืองบอกให้ทราบ ว่าเป็นอาสาสมัครของมูลนิธิฯ สิ่งที่เด่นสะดุดตาอีก อย่างหนึ่งคือสร้อยพระและวัตถุมงคลจำ�นวนมากทั้ง ที่ห้อยคอและติดอยู่ตามหน้าอก ยังมีหมวกแก๊ปที่ถูก สวมให้ปีกไปอยู่ด้านหลังเหมือนที่วัยรุ่นชอบทำ� นั่นคือ ภาพที่ผุดขึ้นมาในหัวทันทีที่นึกถึงคุณลุง จำ�ลองอาสาสมัครวัยเก๋าแห่งมูลนิธิร่วมกตัญญู เมื่อ เราได้พบเห็นครั้งแรกก็สัมผัสได้ถึงความพิเศษที่มีอยู่ ในตัวและทำ�ให้รู้ได้ในทันทีว่าเราพบเป้าหมายของ ภารกิจนี้เข้าแล้ว! “จำ�ลอง สวยลึก” หัวหน้าแผนกเก็บศพของ มูลนิธิร่วมกตัญญู อายุ 64 ปี ทำ�งานที่นี่มาตั้งแต่ [ 34 ]
ปี พ.ศ. 2512 นับเป็นระยะเวลากว่า 40 ปี ถือ เป็นอาสาสมัครยุคแรก ๆ เรียกภาษาชาวบ้านว่ารุ่น บุกเบิก เติบโตมาพร้อม ๆ กับมูลนิธิเลยก็ว่าได้ เหตุผลที่เข้ามาทำ�งานนี้เนื่องมาจากความคุ้นเคย เพราะมีโอกาสได้ช่วยเก็บศพมาก่อน ในเหตุการณ์ ร้อยศพที่สลัมคลองเตย ซึ่งเป็นที่อยู่ของคุณลุงในสมัย นั้น หลังจากออกจากทหารจึงตัดสินใจมาทำ�งานที่นี่ ต่อทันที เหตุผลง่าย ๆ เพียงเท่านี้สามารถทำ�ให้ คน ๆ หนึ่ง กล้าที่จะเข้ามาทำ�หน้าที่ที่คนส่วนใหญ่ ต่างหลบเลี่ยง ทำ�ให้เรารู้สึกทึ่งและเกิดความสงสัย ตามมามากมาย เพราะงานนี้ถือเป็นการทำ�งานเพื่อ การกุศลซึ่งเมื่อก่อนจะไม่มีเงินเดือนหรือค่าตอบแทน ให้ และไม่สามารถเรียกร้องใด ๆ ได้เลยทั้งสิ้น ซึ่งถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะมีการให้เงินเดือนแต่ก็ไม่ได้ มากมายเมื่อเทียบกับความยากลำ�บากและ เหน็ดเหนื่อยจากการทำ�งาน แล้วเพราะอะไรที่ทำ�ให้ คุณลุงทำ�งานนี้มาเป็นระยะเวลายาวนานเกินครึ่งชีวิต นั่นคือคำ�ถามที่เราจะต้องหาคำ�ตอบต่อไป ด้วยบุคลิกลักษณะที่เป็นกันเอง คุยเก่ง อัธยาศัยดีของคุณลุง ทำ�ให้การพบกันครั้งแรกของ พวกเรา เป็นไปอย่างราบรื่น เป็นกันเอง เหมือน ญาติผู้ใหญ่คุยกับลูกหลาน ไม่มีความเกร็งหรือความ ตึงเครียดเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย หลังจากที่เราพูดคุย ทำ�ความรู้จักกันพอสมควร พวกเราจึงบอกลาพร้อม ทั้งขออนุญาติตามติดชีวิตการทำ�งานของคุณลุงหนึ่ง วัน ตั้งแต่เริ่มปฏิบัติงานจนเสร็จสิ้นภารกิจ ซึ่งก็ได้ รับการตอบรับด้วยความยินดี โดยเราเรียกภารกิจใน ครั้งนี้ว่า “ ภารกิจวัดใจ ตามติดชีวิตอาสาฯ เก็บศพ ” ในเช้าวันรุ่งขึ้น ตรงกับวันเสาร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 การทำ�งานของคุณลุงเริ่มต้นตั้งแต่เวลา 8 นาฬิกา โดยจะตื่นแต่เช้าเดินทางมาจากบ้านพักที่ บางบ่อ สมุทรปราการ แวะเข้าไปที่มูลนิธิร่วมกตัญญู หน่วยกล้วยนํ้าไทย ก่อนจะกลับมาประจำ�ที่หน่วย วัดหัวลำ�โพง โดยวันนี้คุณลุงมีหน้าที่รับผิดชอบใน เขตเหนือ ซึ่งภารกิจในช่วงเช้าของวันนี้ค่อนข้างยุ่ง กว่าทุกวัน แทบไม่ได้เห็นคุณลุงอยู่เฉย ๆ เลย เพราะ ต้องเดินทางไปที่ต่าง ๆ เพื่อติดต่อและประสานงาน เนื่องจากวันนี้จะมีพิธีย้ายเจ้าขึ้นศาล ที่มีการบูรณะ ปรับปรุงใหม่จนแล้วเสร็จ โดยบรรยากาศที่มูลนิธิ ในวันนี้ผู้คนดูหนาตามากกว่าทุกวัน เนื่องจากเป็น วันหยุด จากที่สังเกตผู้ที่มาทำ�บุญมีด้วยกันหลาก หลายทั้งที่มากันเป็นครอบครัว คู่รัก กลุ่มเพื่อนและ
คนตาย หรือเรียกกันง่าย ๆ ว่า “ศพ” เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ต่างหวาดกลัว พยายามที่จะหลีกเลี่ยง
ให้ตัวเองอยู่ให้ห่างไกลมากที่สุด แต่ในขณะเดียวกันยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องทำ�งานอยู่ใกล้ชิดกับศพทุกวันจนเป็นกิจวัตร เนื่องจากเป็นภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบหรือจะเป็นเพราะความชอบส่วนตัวก็ตาม ซึ่งทุกคนน่าจะรู้จักและคุ้นเคยกันเป็น อย่างดีในชื่อของ “มูลนิธิร่วมกตัญญู”
[ 35 ]
มาเดี่ยว ๆ ตั้งแต่วัยรุ่น ไปจนถึงคนชราที่ลูกหลาน ต้องจับจูงมา จากความเชื่อที่ว่าการบริจาคโลงศพ ถือเป็นการต่ออายุให้ผู้ทำ�บุญและช่วยให้มีสุขภาพ แข็งแรง ความเชื่อนี้จะเป็นจริงหรือไม่ก็ตาม แต่จาก ใบหน้าอิ่มบุญของผู้ที่มาบริจาคก็สามารถเป็นเครื่อง พิสูจน์ความเชื่อนี้ได้เป็นอย่างดี หากผู้ใดมีความ สนใจที่จะมาทำ�บุญที่นี่ก็สามารถมาได้ทุกวัน โดย การบริจาคก็ไม่ได้มีขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อนแต่อย่าง ใด เพราะเมื่อเข้ามาภายในมูลนิธิจะพบเคาเตอร์รับ บริจาคของเจ้าหน้าที่ตั้งเรียงกันเพื่อบริการแก่ผู้มีจิต ศรัทธา โดยสามารถทำ�บุญได้ตามกำ�ลังทรัพย์จะไม่มี การกำ�หนดหรือตั้งราคาใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งที่นี่ก็นับเป็น สถานที่ทำ�บุญยอดฮิตของคนเมืองที่หนึ่ง เพราะทำ�เล ที่ตั้งอยู่กลางใจเมือง มีความสะดวกในการเดินทาง อยู่ห่างจากย่านการค้าและมหาวิทยาลัยชื่อดังเพียง ไม่กี่ร้อยเมตร ถือเป็นตัวเลือกที่ดีมากสำ�หรับชีวิตคน เมืองที่เร่งรีบ เพียงแค่หาเวลาสักนิดให้ชีวิตได้พบกับ ความสงบสุข ความอิ่มเอมใจจากการเป็นผู้ให้ถือเป็น กุศลและความสุขทางใจอันยิ่งใหญ่ที่สามารถทำ�ได้ โดยง่าย [ 36 ]
เมื่อนาฬิกาบอกเวลา 12.30 น. วิทยุสื่อสาร แจ้งเหตุระเบิดที่บริษัทเทเวศ ประกันภัย โดยขณะ นั้นทราบว่ามีผู้เสียชีวิตหนึ่งราย “ไม่มีคนตายเรา ไม่ไป” สโลแกนที่คุณลุงบอกเรา ทำ�ให้เรารู้ได้ทันที ว่าช่วงเวลาของการปฏิบัติงานจริงของเรามาถึงแล้ว ทันทีที่เสียงรายงานจบลง พวกเราทั้งหมดก็อยู่ในรถ คันเก่งของมูลนิธิพร้อมออกเดินทาง โดยมีคุณลุง ทำ�หน้าที่เป็นพลขับพาพวกเราสู่จุดหมาย การเดิน ทางในครั้งนี้ถือเป็นประสบการณ์ที่ตื่นเต้นที่สุดใน ชีวิตก็ว่าได้ เสียงไซเรนที่ถูกเปิดร้องดังกังวานไป ตลอดเพื่อขอเส้นทาง ภายในรถยังมีเสียงวิทยุรายงาน เหตุการณ์ดังขึ้นสลับกันอย่างไม่ขาดสาย มีบางช่วง ที่คุณลุงต้องโต้ตอบกับเจ้าหน้าที่ที่ศูนย์วิทยุกลับไป ผ่านเครื่องมือที่ถูกติดตั้งอยู่ โดยตอนนี้เราได้รับมอบ หมายหน้าที่เลขาฯ คอยจดบันทึกรายละเอียดต่าง ๆ ที่เจ้าหน้าที่รายงานเพื่อให้ทราบข้อมูลให้ได้มาก ที่สุด แต่การเดินทางของพวกเราครั้งนี้ล่าช้าไปจากที่ ควรจะเป็นซึ่งเกิดจากความเข้าใจผิดและการสื่อสาร ที่คลาดเคลื่อน โดยคุณลุงเข้าใจว่าบริษัทเทเวศฯ ตั้ง อยู่ที่เทเวศ แต่หลังจากวนหาแล้วไม่เจอเมื่อทำ�การ
สอบถามจึงทราบว่า บริษัทเทเวศฯ ตั้งอยู่บริเวณ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำ�เนิน ทันทีที่รู้ ข้อมูลที่แท้จริงคุณลุงก็บึ่งรถด้วยความเร็วสูงมุ่งหน้า มายังจุดเกิดเหตุให้เร็วที่สุด ทั้ง ๆ ที่ทราบกันดีว่าสิ่ง ที่รออยู่ปลายทางคือ ร่างที่ไร้วิญญาณ แม้จะเร่งรีบ สักเพียงใดก็ไม่สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นขึ้นมา ได้ แต่เพราะชีวิตคนคือสิ่งที่สำ�คัญที่สุด ไม่ว่าคน ๆ นั้นจะมีลมหายใจหรือไม่ก็ตามล้วนแต่มีความหมาย เท่ากัน นั่นคือ สิ่งที่คุณลุงพยายามบอกกับเรา แต่ เมื่อยิ่งใกล้จุดหมายมากเท่าไหร่ ความตึงเครียดและ ความหวาดกลัวยิ่งเข้าเกาะกุมเด็กตามรถ(เก็บศพ) มือใหม่อย่างเรา คุณลุงคงจะรับรู้และสัมผัสได้จึงเล่า เรื่องสนุก ๆ พยายามสร้างบรรยากาศให้มีความผ่อน คลาย ซึ่งก็ได้ผล เพราะอย่างน้อย ๆ ก็ทำ�ให้เรา ลืมไปได้ชั่วขณะว่าจะต้องเจอกับอะไรในอีกไม่กี่นาที ข้างหน้า บ่ายนาฬิกาเศษ ๆ รถก็หยุดชะงักลงเมื่อมา ถึงที่หมาย ซึ่งตั้งอยู่ภายในบริษัทเทเวศฯ โดยด้าน หน้าอาคารพบว่ามีรถร่วมกตัญญูมาจอดรออยู่แล้ว มีบรรดาอาสาสมัครทั้งที่อยู่ในเครื่องแบบและนอก
เครื่องแบบจับกลุ่มกันอยู่ เมื่อไล่สายตาขึ้นไปด้านบน บริเวณระเบียงของชั้นสอง ก็พบคราบเลือดจำ�นวน มาก ทำ�ให้ทราบได้ทันทีว่าบริเวณนั้นคือจุดเกิดเหตุ โดยทันทีที่คุณลุงปรากฏตัวเหล่าอาสาฯ ต่างพากัน เข้ามาทักทายด้วยความสนิทสนมและรายงาน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำ�ให้ทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ ทาง บริษัทได้จ้างช่างมาซ่อมแอร์ แต่ระหว่างทำ�การซ่อม อยู่นั้นเกิดความผิดพลาด นํ้ายาแอร์ที่ทำ�การเติมลง ไปมีมากเกินขนาดซึ่งช่างก็ทราบและกำ�ลังจะทำ�การ แก้ไข แต่ด้วยแรงอัดประกอบกับถังแก๊สซึ่งเป็นวัตถุ ไวไฟที่ถูกนำ�มาใช้งาน ทำ�ให้เกิดการระเบิดขึ้น โดย แรงระเบิดส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตทันที 1 ราย และ ผู้บาดเจ็บอีก 3 ราย ซึ่งถูกนำ�ส่งโรงพยาบาลในเวลา ต่อมา หลังจากรับฟังการรายงานเสร็จสิ้นคุณลุงจึง เริ่มปฏิบัติงานโดยหน้าที่ความรับผิดชอบที่ต้องทำ� คือ การตรวจสอบดูแลการทำ�งานของหน่วยกู้ภัย เพื่อให้เกิดความเรียบร้อยและลุล่วงไปด้วยดี คุณลุง จึงเดินตรงดิ่งไปยังที่เกิดเหตุพร้อมกวักมือเรียกพวก เราที่ตอนนี้ยืนหน้าซีดคล้ายจะเป็นลมหลังจากเห็น แค่รอยเลือด แต่เมื่อมาคิดอีกทีว่าในชีวิตนี้จะมีโอกาส ที่จะทำ�แบบนี้อีกสักกี่ครั้ง จึงรวบรวมความกล้าแล้ว ตามขึ้นไปด้วย โดยจุดที่เกิดเหตุอยู่บริเวณระเบียง พบซากคอมเพรสเซอร์แอร์แตกกระจาย และศพผู้ เสียชีวิตที่ถูกปิดด้วยผ้าขาว เพื่อรอหมอมาเก็บราย ละเอียดและชันสูตรหาสาเหตุการตายเบื้องต้น ขณะเดียวกันก็มีผู้สื่อข่าวจากหลายสำ�นักทยอยเดิน ทางมาทำ�ข่าวมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งจากสายหนังสือพิมพ์ และสถานีโทรทัศน์ช่องต่าง ๆ หลังจากที่หมอชันสูตรศพพร้อมกับเจ้าหน้าที่ ตำ�รวจจดบันทึกรายละเอียดเสร็จสิ้น หน้าที่ต่อไป ก็จะถูกส่งต่อให้ทางฝ่ายเก็บศพ โดยจะนำ�ร่างผู้เสีย ชีวิตไปส่งโรงพยาบาลตำ�รวจเพื่อทำ�การชันสูตรอย่าง ละเอียดอีกครั้งหนึ่งและทำ�การติดต่อญาติเพื่อแจ้งให้ ทราบ ความรู้ใหม่ที่คุณลุงแอบกระซิบบอก คือ ที่โรงพยาบาลตำ�รวจจะมีการผ่าศพชันสูตรวันละ 40 ศพ ทุกเช้า หากผู้ใดมีความสนใจจะทำ�การศึกษาเพื่อ เป็นความรู้ก็สามารถไปดูได้ แต่เห็นทีพวกเราคงขอ ผลัดไปไว้โอกาสหน้า และเมื่อได้เข้ามาดูการทำ�งาน อย่างใกล้ชิดก็ทำ�ให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง จากเดิม ที่เคยคิดว่าเมื่อมีคนตายก็แค่นำ�ศพส่งโรงพยาบาล เพื่อไปผ่าพิสูจน์เพียงเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงกลับ มีกระบวนการหลายขั้นตอนด้วยกัน รวมทั้งยังมีการ ทำ�งานประสานกันระหว่างเจ้าหน้าที่ของหน่วยงาน
ต่าง ๆ ทั้ง หน่วยกู้ชีพ เก็บศพ หมอ ตำ�รวจ และ เจ้าหน้าที่องค์กรที่เกี่ยวข้อง หลังจากหมอและตำ�รวจเดินทางกลับ คุณลุง สั่งการให้ลูกน้องนำ�ศพไปส่งที่โรงพยาบาล เมื่อตรวจ สอบความเรียบร้อยจนแน่ใจแล้วจึงเดินทางกลับ มายังมูลนิธิร่วมกตัญญู ที่วัดหัวลำ�โพงตามเดิม โดย บรรยาศภายในรถขากลับเป็นไปด้วยความสนุกสนาน คำ�พูดตลก ๆ นิ้วที่ชี้ออกไปเพื่อบอกเล่าถึงสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่สองข้างทางของคุณลุง ทั้งเคยมาเก็บศพตรงนั้น ตรงนี้ ทั้งแนะนำ�ร้านอาหารอร่อย ๆ ทำ�ให้เผลอคิด ไปว่านี่คือการนั่งรถเที่ยว จากที่คิดไว้ว่าคงจะช็อกจน สติหลุดอย่างแน่นอนถ้าเห็นศพใกล้ ๆ แต่พอได้เห็น จริง ๆ กลับไม่รู้สึกกลัวสักนิด แต่เกิดความรู้สึกปลง ชีวิตมากกว่า คิดว่าชีวิตมนุษย์เป็นสิ่งที่ไม่มีความ แน่นอนเลยสักนิด วันนี้อาจจะมีลมหายใจแต่พรุ่งนี้ จะยังมีอยู่หรือก็ไม่อาจทราบได้ เหมือนคำ� ๆ หนึ่งที่ มีคนเคยพูดให้ฟังว่า “ ทุกคนรู้ว่าตัวเองใช้ชีวิตอยู่ บนโลกนี้มานานเท่าไหร่ แต่ไม่มีใครสักคนล่วงรู้ ได้เลยว่าตัวเองยังมีลมหายใจเหลืออีกนานแค่ไหน” ความรู้สึกสงสารต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิต ในวินาที ที่รู้ข่าวอันน่าสลดใจนี้ สลายความกลัวในใจไปได้ ทั้งหมด สภาพศพที่เกิดจากแรงระเบิดยังคงติดตาอยู่ จนถึงทุกวันนี้ แน่นอนว่ามันไม่ใช่สิ่งที่น่าจดจำ�เลย แม้แต่น้อย ซึ่งถ้าหากบรรยายรายละเอียดลงลึกไป มากกว่านี้เกรงว่าจากบทความในนิตยสารจะกลาย เป็นข่าวอาชญกรรมไป แต่ก็เป็นเพราะสิ่งที่ไม่น่า พิสมัยที่ได้พบเห็นในครั้งนี้ ได้สอนให้เรารู้ถึงสัจธรรม ของมนุษย์ที่ไม่ว่าตอนมีชีวิตอยู่จะสวย หล่อ รวย หรือจน สักเพียงใด สุดท้ายก็ต้องตายจะต่างกันก็แค่ ระยะเวลาและสาเหตุ “จงใช้ชีวิตให้เหมือนวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต” เป็นประโยคง่าย ๆ ที่สามารถใช้ในการดำ�เนินชีวิต ได้ดีที่สุด ภารกิจของคุณลุงในช่วงเวลาที่เหลือของวันนี้ คือ การทำ�หน้าที่ดูแลผู้ที่มาทำ�บุญอย่างเช่นทุกวัน จากที่ได้ติดตามการทำ�งานมาตลอดทั้งวัน ก็ยังไม่เคย เห็นคุณลุงอยู่นิ่ง ๆ สักครั้ง นอกเหนือจากตอนขับ รถ จะต้องเดินไปนู้นไปนี่ทำ�งานอยู่ตลอดเวลา ความ กระตือรือร้น ขยันขันแข็งในการทำ�งานคือสิ่งที่เรา เห็นอยู่ตลอด ถือเป็นเอกลักษณ์ประจำ�ตัวที่สามารถ เป็นแบบอย่างให้แก่ผู้อื่นได้เป็นอย่างดีทั้งในด้านการ ทำ�งานและการใช้ชีวิตที่สุด ๆ ไปเลยแบบนี้ ด้วยอายุ ที่ล่วงเลยวัยหกสิบปีมาแล้ว งานที่คุณลุงทำ�อยู่ทุก
วันนี้จึงถือเป็นกำ�ไรของชีวิต การได้ทำ�เพื่อคนอื่น ได้ พบปะพูดคุยกับผู้คน ถือเป็นความสุขที่ต่อให้มีเงิน มากมายเท่าไหร่ก็ไม่สามารถซื้อหาได้ เพราะความสุข ที่เกิดจากใจย่อมมีค่ามากกว่าเงินทอง “ ใจ ” คือคำ�ตอบของคำ�ถามทุกข้อที่เราเคย สงสัยคาใจ เป็นคำ�ตอบที่เรารับรู้และสัมผัสได้จาก การปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ “เก็บศพ” งานที่ถูก ท้าทายด้วยความกล้าของมนุษย์ “ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ใจ ถ้ามีใจรักที่จะทำ� ก็ไม่มี อะไรที่จะต้องกลัว ลุยเลย ทำ�เลย” คำ�พูดของคุณ ลุงยังคงดังก้องอยู่ในหัว ใครจะไปรู้ว่าคน ๆ หนึ่งที่ เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานจะสามารถส่งต่อสิ่งดี ๆ ที่น้อย คนนักจะมีโอกาสได้สัมผัสและพบเจอ ทั้งตามรถเก็บ ศพ ได้เห็นศพในระยะประชั้นชิด ช่วยถามทางไปยังที่ เกิดเหตุ ถ่ายรูปศพ หลายเรื่องราวที่เกิดขึ้นมากมาย พร้อมกันในวันเดียวถือเป็นประสบการณ์ดี ๆ ที่มีค่า อย่างมาก บางคนเฝ้าถามตัวเองว่าเกิดมาทำ�ไม? อยู่ไป เพื่ออะไร? อยากให้ลองเปลี่ยนจากการตั้งคำ�ถามมา เป็นการหาคำ�ตอบ ว่าทุกวันนี้เราใช้ชีวิตเพื่อคนอื่น บ้างหรือยัง? เพราะที่สุดแล้วความรู้สึกจากการเป็น ผู้ให้ย่อมมีมากกว่าการเป็นผู้รับเพียงอย่างเดียว อย่างที่เราได้สัมผัสจากชายผู้นี้ คนเล็ก ๆ แต่มีหัวใจที่ ยิ่งใหญ่ “จำ�ลอง สวยลึก” อาสาสมัครวัยเก๋าแห่ง มูลนิธิร่วมกตัญญู ภารกิจวัดใจตามติดชีวิตอาสาฯ เก็บศพ ลุล่วงไปได้ด้วยดี ขอจบการปฏิบัติงานเพียงเท่านี้!
[ 37 ]
ครูปุ่น แห่งบ้านแสงสว่าง [ เรื่อง : ชุดามาส บู่บาง / ภาพ : ภัทริศ ภิญโญพิพัฒน์ ]
[ 38 ]
Individual
“จินตหรา พงษ์พิพัฒน์” หรือที่ใคร ๆ ในมูลนิธิ เรียกเธอว่า ครูปุ่น ปัจจุบันดำ�รงตำ�แหน่งเป็นผู้ อำ�นวยการมูลนิธิบ้านแสงสว่างมาแล้วไม่น้อยกว่า 20 ปี โดยมูลนิธิแห่งนี้เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สอง ของเหล่าเด็กพิเศษในการพัฒนาศักยภาพในทุก ๆ ด้าน เพื่อให้เด็กพิเศษเหล่านี้สามารถใช้ชีวิตให้อยู่ รอดในสังคมได้มากที่สุดดั่งคำ�ขวัญของมูลนิธิที่ว่า “ผู้ด้อยโอกาส ก็มีสิทธิเท่าเทียมผู้พร้อมโอกาส” จากประสบการณ์ที่สั่งสมในการสอนเด็กพิเศษ มาเป็นเวลา 30 ปี วันนี้ครูปุ่นในวัย 50 ต้น ๆ ยังคง มีสีหน้าแจ่มใสยิ้มต้อนรับพวกเราเหล่าทีมงานอย่าง เต็มใจ มูลนิธิบ้านแสงสว่าง ตั้งอยู่บริเวณถนนสุขุมวิท ในมูลนิธิแบ่งพื้นที่เป็นอาคารเรียน 3 ชั้น 1 หลัง และ โรงอาหารขนาดกลางอยู่บริเวณด้านหลัง บรรยากาศ โดยรอบ ร่มรื่นไม่แออัดเพราะว่ามีการจัดสรรพื้นที่ใน การใช้สอยได้เป็นอย่างดี ด้วยเพราะสนใจในด้านภาษา มาตั้งแต่เด็ก ๆ ครูปุ่น จึงเลือกเรียน ในคณะคุรุศาสตร์ เอกภาษา ฝรั่งเศส จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้ไปสมัคร ทำ�งานที่บริษัทแห่งหนึ่งไว้แล้ว แต่พอดีได้มีโอกาส แวะมาเยี่ยมอาจารย์ที่เคยสอน ซึ่งตอนนั้นท่าน ได้ย้ายมาสอนที่นี่ จึงทำ�ให้ได้รู้จักมูลนิธิบ้านแสง สว่างประจวบกับตอนที่เริ่มโครงการนี้ได้เห็นแหม่ม อเมริกันสองคน มาเป็นอาสาสมัครดูแลเด็ก ๆ ที่นี่ แล้วเกิดความรู้สึกประทับใจแล้วคิดว่าเราเป็นคนไทย
ทำ�ไมไม่ช่วยเด็กเราเอง จากนั้นความคิดจึงเปลี่ยน จากที่ไม่คิดจะมาประกอบอาชีพครูเลยมุ่งมั่นและ ตัดสินใจมาทำ�งานกับเด็กที่นี้ “ได้เจอกับแหม่มอเมริกันสองคน คนหนึ่งเป็น กลุ่มที่เข้ามาในเชิงศาสนารับลูกบุญธรรมเป็น เด็กฟิลิปปินส์ที่เป็นออทิสติกมาเลี้ยง เธอก็ตั้งกลุ่ม เพื่อสอนลูกและสอนเด็กคนอื่นด้วย อีกท่านเป็น หนึ่งในภริยาคณะทูตสหรัฐ เรียนจบมาในด้านเด็ก บกพร่องในการเรียนรู้ เลยมาตั้งเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ตอนที่เข้ามาหาอาจารย์ ก็เกิดหลงเสน่ห์เด็ก ๆ ไป บอกแหม่มว่าอยากจะทำ�งานที่นี้ รับหนูได้ไหมคะ แหม่มก็ให้เราดูการเรียนการสอนก่อนหนึ่งอาทิตย์ พอครบหนึ่งอาทิตย์เราก็เดินเข้าไปตอบตกลงทันที” ทุกเช้าครูปุ่นจะมีหน้าที่ประจำ� ในการเดิน ตรวจตราดูตามห้องเรียนเพื่อคอยช่วยเหลืออาจารย์ ในการดูแลเด็ก ๆ ที่มีมากกว่าถึงเท่าตัวคือนักเรียน 165 คนกับบุคลากรทั้งหมด 74 คน คงจะไม่ใช่เรื่อง แปลกหากเปรียบเทียบกับ โรงเรียนประถมที่อื่นที่มี ปริมาณครูกับนักเรียนแตกต่างกัน แต่กับมูลนิธิแห่งนี้ ถือว่าเป็นงานหนักสำ�หรับ ครู อาจารย์ทุกคนที่ต้อง ผลัดเปลี่ยน หมุนเวียนกันดูแลเด็ก ๆ ตลอดเวลา ครูที่อยู่ที่นี่ หนึ่งคนจะต้องรับผิดชอบเด็ก 3-4 คน เช่น สอนทานข้าว อาบนํ้าแปรงฟัน อยู่เตรียม อุปกรณ์การเรียนการสอน คอยหากิจกรรมใหม่ ๆ ให้ เด็กทำ� ฉะนั้นช่วงพักเที่ยงจึงถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่
วุ่นวายอย่างมาก คุณครูจึงต้องผลัดเปลี่ยนกันไปทาน ข้าวและต้องรีบกลับมาคุมเด็ก ๆ ต่อทันที ถึงแม้ว่าตอนนี้ครูปุ่นจะรู้สึกรักและผูกพันกับ เด็กที่นี่มากแต่เธอก็มิอาจลืมเหตุการณ์ซึ่งทำ�ให้ตน รู้สึกน้อยเนื้อตํ่าใจจนทำ�ให้ไม่อยากจะเป็นครูอีกต่อ ไป โดยก่อนหน้าที่มาเป็นครูอยู่ที่นี่ ครูปุ่นเคยเป็นครู ฝึกสอนที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง ด้วยนิสัยส่วนตัว ที่เป็นคนอัธยาศัยดี ชอบให้คำ�ปรึกษากับเด็ก ๆ จึง ทำ�ให้ตัวครูกับเด็กเกิดความสนิทสนมกัน หลังเลิก เรียนเด็ก ๆ มักชวนครูปุ่นไปกินขนมหลังเลิกเรียน เสมอ จึงทำ�ให้ครูที่สอนด้วยกันเกิดความไม่พอใจและ ได้ตำ�หนิครูปุ่นด้วยเหตุผลที่ว่าเธอให้ความเป็นกันเอง กับเด็กนักเรียนมากเกินไป ด้วยเหตุนี้ทำ�ให้ตนรู้สึก ไม่ดีต่ออาชีพครูมันจึงเกิดคำ�ถามขึ้นมาในใจว่า ทำ�ไม เมื่อเราให้ความเป็นกันเองกับเด็ก แล้วเด็กเขามีแรง จูงใจ มีความสนใจใส่ใจในการเรียนมากขึ้นแล้วมันไม่ ดีหรือ ทำ�ไมครูต้องสร้างช่องว่างกับเด็ก ๆ ด้วย หาก วันหนึ่งเด็กต้องการที่พึ่ง ต้องการปรึกษาครูแต่ไม่กล้า แล้วเด็ก ๆ จะทำ�อย่างไร ช่วงนั้นตนจึงคิดว่า ถ้าเรา สอนในสไตล์เราไม่ได้หรือถ้าคนที่เป็นครูต้องเก็กว่า ฉันเป็นครูเพื่อสร้างช่องว่างกับเด็กนักเรียน ขอไม่ทำ� ดีกว่า จึงตัดสินใจลาออกจากการเป็นครูที่นั่นแล้วช่วง หลังจึงได้มาสอนเด็กที่มูลนิธิแห่งนี้แทน มูลนิธิบ้านแสงสว่าง ถือว่าเป็นองค์กรเอกชน ที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาล ที่เดิมใช้ชื่อว่า
[ 39 ]
สถาบันแสงสว่าง ที่คอยช่วยเหลือดูแลเด็กพิเศษตาม โรงพยาบาล คอยจัดกิจกรรมเพื่อช่วยเหลือเด็กพิเศษ เรื่อยมาจนทำ�ให้เกิดการเล่าแบบปากต่อปากของ ผู้ปกครอง จากสถาบันบ้านแสงสว่างจึงได้โตขึ้น เรื่อย ๆ และได้จดเป็นมูลนิธิเมื่อปี 2528 โดยมี นายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว เป็นประธานคณะ กรรมการคนแรก แต่ถึงอย่างไรตอนนั้นมูลนิธิบ้านแสงสว่างก็ ยังไม่ได้รับการยอมรับให้เป็นมูลนิธิที่ถูกต้องตาม กฎหมายซึ่งในขณะนั้นมูลนิธิยังอยู่ในความดูแลของ ผอ.คนเก่า ซึ่งเธอก็พยายามต่อสู้จนลมหายใจสุดท้าย ของเธอ ก่อนที่เธอจะจากไปด้วยโรคมะเร็ง ทำ�ให้เมื่อ ครูปุ่นได้เข้ารับหน้าที่สานต่อความตั้งใจของ ผอ. คนก่อน เธอจึงได้ตั้งปณิธานไว้แน่วแน่ว่าจะต้องทำ� ทุกวิถีทางทำ�ให้มูลนิธิผ่านการยอมรับจากรัฐบาลให้ ได้ จนในที่สุดความหวังที่รอมานานก็ประสบความ สำ�เร็จ เมื่อมูลนิธิสามารถผ่านการจดทะเบียนรับรอง เป็นมูลนิธิที่ถูกต้องตามกฎหมายเมื่อปี พ.ศ 2548 ครูปุ่นเล่าว่า วินาทีแรกที่ทราบว่ามูลนิธิได้ผ่านการ รับรองเธอได้รีบวิ่งไปที่ห้องผู้จัดการคนเก่า ยืนต่อ หน้ารูปพร้อมบอกว่า “เราทำ�ได้แล้วนะ” เมื่อคุยมาได้สักพักครูปุ่นจึงได้ชวนพวกเรา ออกไปเดินเยี่ยมชมบริเวณอาคารเรียน ที่ถูกจัดวาง ไว้อย่างลงตัวสะอาดตา ตรงส่วนของห้องเรียนถูกจัด แบ่งไว้เป็นสัดส่วนเหมือนห้องเด็กนั่งเรียนประถม ทั่ว ๆ ไปหากจะแตกต่างกันตรงที่ไม่มีโต๊ะ เก้าอี้วาง เป็นแถว ๆ เท่านั้นเพราะมีเพียงเก้าอี้ที่ถูกวางใน ลักษณะครึ่งวงกลม เพื่อให้เด็ก ๆ ทุกคนมีส่วนร่วมใน การเรียนการสอนและเพื่อความสะดวกของคุณครูที่ จะเข้าไปดูแลเหล่าเด็ก ๆ ครูปุ่นบอกว่าเด็กที่อยู่ที่นี่ แต่ละคนจะได้รับการสอนที่แตกต่างกันออกไป ตาม ศักยภาพและพัฒนาการทางสมองของเด็ก ใช้การ วางแผนการเรียนโดยให้ผู้ปกครองมีส่วนช่วยในการ คิดว่าจะจัดการหรือใช้แผนการเรียนการสอนแบบใด ที่เหมาะสมกับพฤติกรรมของลูกมากที่สุด เพื่อฝึกให้ เด็กสามารถช่วยเหลือตัวเองจนกระทั่งสามารถไป โรงเรียน เรียนหนังสือได้ตามปกติ การเลี้ยงเด็กพิเศษยากกว่าการเลี้ยงเด็ก ธรรมดา เพราะว่าเด็กจะมีพัฒนาการช้า ฉะนั้นเราจึง ต้องเช็กว่าช้ากว่าเด็กธรรมดามากน้อยเท่าไหร่ การ เลี้ยงเด็กพิเศษเป็นอะไรที่ท้าทาย รู้สึกว่าเราประสบ ความสำ�เร็จเมื่อเราเห็นเด็กพัฒนาขึ้น มีผู้ปกครอง หลายคนเกิดความรู้สึกท้อ ตนเคยบอกกับคุณแม่ท่าน [ 40 ]
หนึ่งว่าให้ลองฝึกลูกดู อย่างมากก็แค่เสียเวลาที่เราไป ไม่ถึงเป้าหมาย แต่เราจะไม่เสียใจที่เรายังไม่ได้ลอง กับลูก ทุกวันนี้น้องคนนั้นก็สามารถเดินได้ เวลาจะ คุยกับคุณแม่ก็ใช้พิมพ์คีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ คุยกับ แม่เพราะว่าน้องพูดไม่ได้ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ทำ�ให้ครูปุ่น ประทับใจมากเพราะน้องได้ถามคุณแม่ว่าแรงโน้มถ่วง คืออะไร คุณแม่เมื่อได้ฟังดังนั้นก็ไม่รู้จะอธิบายให้ลูก รับรู้ได้อย่างไร จึงได้มาปรึกษาตน ตนจึงนึกขึ้นมาได้ เลยบอกคุณแม่ท่านนั้นเอากระดาษวางบนแม่เหล็ก แล้วปล่อยคลิปกระดาษลงไป ให้มันดูด แล้วให้บอก ลูกว่า “ในโลกใบนี้มันมีแรงดึงดูดอยู่รอบ ๆ ตัวเรา เวลาปล่อยของแล้วของตก นั่นแหละที่เขาเรียกว่า แรงโน้มถ่วง” หากเราจะถามว่า ณ ตอนนี้สิ่งใดเป็นแรง บันดาลใจที่ทำ�ให้ครูปุ่นก้าวต่อไปโดยไม่ย่อท้อ เธอบอกกับเราว่า หากมองเยาวชนทั่วไปก็ยังมีคนที่ สามารถสอนเขาเหล่านั้นได้มากมายในสังคม อีกทั้ง พ่อแม่ส่วนใหญ่สามารถไขว่คว้าหาที่เรียนพิเศษให้ได้ แต่ว่าในกลุ่มเด็กพิเศษนั้นหายากที่จะมีใครมาสอน พวกเขาให้เติบโตขึ้นมาไม่เป็นภาระคนอื่น อีกอย่าง ที่สำ�คัญต้องการจะเปลี่ยนแนวคิดของผู้ปกครองที่ ดูแลลูกของตนมากเกินไปจนเด็กไม่รู้จักดูแลตัวเอง เพราะอยากให้เด็กโตขึ้นมาเป็นคนที่สังคมยอมรับใน ตัวเขาได้ ไม่ใช่มองเด็กพิเศษเป็นตัวอะไรที่น่ากลัว ไม่ เหมือนคนอื่น “เคยมีบางครั้งที่เบื่อเหนื่อยไม่อยากทำ� แต่ก็ คิดไว้เสมอว่าท้อได้แต่ถอยไม่ได้ เพราะถ้าเราถอย คนอื่นก็ต้องถอยด้วยแล้วใครจะช่วยเด็ก” บ่อยครั้งที่ต้องเจอกับเด็กที่ดื้อ สอนยาก แต่ ครูปิ่นก็ไม่เคยรู้สึกท้อเพราะถ้ามองไปในอีกด้านคิด ว่าการสอนเด็กพิเศษก็เหมือนกับการฝึกสมองของ ตัวเรา ว่าเราจะต้องทำ�อย่างไรให้เด็กเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมให้ได้ แต่สิ่งที่สำ�คัญคือความไว้วางใจที่เมื่อ เราได้ไปคลุกคลีอยู่กับเขา เราก็จะได้รับจากเด็กมา ในระดับหนึ่ง “คือถ้าได้ใจมาแล้วทำ�อะไรก็ไม่ยาก แต่ที่ สำ�คัญเด็กพวกนี้ไม่ชอบการผิดสัญญา เราต้องมี ความจริงใจให้เขา ถ้าเกิดเรามีอะไรแฝงอยู่เขารู้น่ะ เพราะว่าเขามีเซ้นส์ อย่างถ้าเกิดเราให้เขียนหนังสือ 5 ตัว ก็คือ 5 ตัว ถ้าไปสั่งเขาเพิ่มเขาจะไม่ทำ�เด็ด ขาด” ก้าวต่อไปของผู้หญิงคนนี้เธอบอกเราว่าเธอ ต้องการพามูลนิธิแสงสว่างเข้าสู่ระบบการเป็น
“ทีแรก คิดว่าจบไปจะไปทำ�งานในบริษัททัวร์ แต่ได้มีโอกาสแวะมาเยี่ยมอาจารย์ที่สอนอยู่ที่
มูลนิธินี้ จึงทำ�ให้ได้รู้จัก และรู้สึกประทับใจกับเด็ก ๆ ประจวบกับตอนที่เริ่มโครงการนี้ได้เห็นแหม่มอเมริกา สองคน มาเป็นอาสาสมัครดูแลเด็ก ๆ ที่นี่แล้วเกิดความรู้สึกประทับใจแล้วคิดว่าเราเป็นคนไทยทำ�ไมไม่ ช่วยเด็กเราเอง จากนั้นความคิดจึงเปลี่ยนจากที่ไม่คิดจะมาประกอบอาชีพครูเลยมุ่งมั่นและตัดสินใจมาทำ�งาน กับเด็กที่นี่” [ 41 ]
โรงเรียนที่ถูกต้องตามกฎหมายให้ได้ ถึงแม้ว่าตอนนี้ จะทำ�เรื่องส่งให้องค์กรรัฐบาลแต่ก็ยังไม่ได้รับการ อนุมัติ ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นการเรียนการสอนที่ไม่ ถูกต้องเพราะว่าเด็กเล็กไม่ได้แยกจากเด็กโต และ จำ�นวนครูต่อเด็กนักเรียนมากเกินไป ครูปุ่นเล่าว่าได้ เคยนำ�เรื่องนี้ไปปรึกษา ครูหยุ่ย วัลลพ ตังคณานุรักษ์ สมาชิกวุฒิสภา และยังเป็นกรรมการเลขาธิการมูลนิธิ สร้างสรรค์เด็ก ในเรื่องนี้ ครูหยุ่ยจึงตอบกลับตนมา ว่าก็ให้เถื่อนไปอย่างนี้ถ้ารัฐบาลจะมาจับเรา แล้วเขา สามารถหาคนมาทำ�หน้าที่นี้แทนเราได้ไหม พอได้ ฟังดังนั้นจึงคิดได้ว่า ถึงแม้จะเราจะเถื่อนแต่ก็ยังเป็น สถานที่ที่มีทั้ง คุณหมอ คุณครู นักการศึกษา มาใช้ดู งาน อีกทั้งยังเป็นที่ฝึกงานของนักศึกษามหาวิทยาลัย ต่าง ๆ ถึงแม้ว่าเราจะเถื่อนแต่เราก็เถื่อนแบบเท่ ต้องยอมรับว่าเด็กรุ่นใหม่สมัยนี้ หากเราตั้ง คำ�ถามถามพวกเขาว่า โตขึ้นมาอยากจะเป็นอะไร คำ�ตอบส่วนใหญ่ คงหนีไม่พ้นอาชีพ วิศวะ หมอ หรือ
[ 42 ]
ไม่ก็เทรนด์ใหม่ที่กำ�ลังนิยมในตอนนี้นั่นคือการเป็น นายตัวเองโดยการธุรกิจส่วนตัว น้อยคนนักที่จะตอบ ว่า ครู คืออาชีพที่อยากจะทำ� อาจเป็นเพราะด้วย เหตุผลหลาย ๆ ประการ ประกอบกับภาพลักษณ์ใน ปัจจุบันที่ครูยังคงเป็นเสมือนเรือจ้างที่ไม่ยอมติด เครื่องสักทีและมีครูจำ�นวนไม่น้อยต้องแบกรับภาระ หนี้สิน ก็ยิ่งสื่อให้เห็นว่า อาชีพครู คงไม่สามารถเลี้ยง ปากเลี้ยงท้องเราได้อีกแล้ว ทำ�ให้เด็กรุ่นใหม่จำ�นวน ไม่น้อยเลือกที่จะหันไปประกอบอาชีพอื่นที่สามารถ สร้างฐานรายได้ให้ตัวเองได้มากกว่า โดยคงลืมไป ว่าฐานของประเทศที่ดีนั้นมาจากคุณภาพของคนใน สังคม ที่ถูกสั่งสอน ขัดเกลามาจากครู หลายครั้งที่รู้สึกเหนื่อยล้าจากการทำ�งานแต่ เธอก็เลือกที่จะผ่อนคลายสมองโดยใช้ศิลปะเข้าช่วย อย่างเช่นการวาดรูปสีนํ้าซึ่งเป็นสิ่งที่เธอชอบและรู้สึก เพลิดเพลินไปกับมันอย่างไม่เบื่อ อีกอย่างหนึ่งนั่นคือ การออกไปถ่ายรูปธรรมชาติที่เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้
เธอผ่อนคลายและยังได้ออกกำ�ลังกายไปในตัวอีกด้วย ความสุขเล็ก ๆ ของครูปุ่นในการได้ทำ�เพื่อ เด็ก ๆ ในมูลนิธิแห่งนี้เป็นเหมือนกำ�ลังใจที่ทำ�ให้เธอ ไม่คิดย่อท้อ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่คนรํ่ารวยที่จะให้เงิน ทองได้ แต่เราสามารถให้กำ�ลังกายในการทำ�งานช่วย เหลือเด็ก ๆ และผู้ปกครองได้ เพียงแค่คิดว่าชีวิตนี้ เกิดมาทั้งทีเราไม่ได้หายใจทิ้งไปเปล่า ๆ ได้ทำ�ในสิ่งที่ เป็นประโยชน์ เห็นเด็ก ๆ ประสบความสำ�เร็จ บ่อย ครั้งที่เจอผู้ปกครองที่เข้ามาใหม่ ๆ มาด้วยใบหน้าที่ หม่นหมอง บางคนร้องไห้เพราะเครียดเรื่องลูกแต่ พอเรารับเข้ามาอยู่ในความดูแลของเรา เด็กมีความ เปลี่ยนแปลงสามารถทำ�อะไรได้มากขึ้น เราได้เห็นรอยยิ้มของเขา แค่นั้นที่มันคือ ความสุขของเรา
Dessert Society
[ เรื่อง / ภาพ : อภิชญา พฤกษอาภรณ์ ]
TEDDY HOUSE’S KITCHEN ปลีกตัวจากการจราจรอันแสนวุ่นวาย มาสู่โลก แห่งของหวานรสเยี่ยม ที่รายล้อมด้วยบรรยากาศอัน แสนน่ารัก โดยน้องหมีจาก Teddy House โซฟานุ่ม ๆ กับการตกแต่งร้านด้วยโทนสีขาว สะอาดตา จากเคาน์เตอร์ทางด้านขวา ขยับตัวเดิน มาทางซ้ายจะพบกับมุมตุ๊กตาหมีจาก Teira Zeira Collection ซึ่งคุณสามารถอุดหนุนกลับไปนอน กอดที่บ้านสักตัวสองตัว ให้ความรู้สึกเหมือนได้กลับ ไปเป็นเด็กอีกครั้ง ถัดมาจะพบกับมุมสบาย ๆ ที่มี ทั้งโซฟาหนานุ่ม หรือโซฟาไม้สีขาวที่ออกแบบให้ เป็นชิงช้าเล็ก ๆ ก็ดูเข้ากันดีกับบรรยากาศภายใน ร้าน คุณสามารถเลือกนั่งในมุมที่แสนจะส่วนตัวได้ ตามอัธยาศัย บนกำ�แพงสีขาวถูกตกแต่งด้วยกรอบ รูปสวย ๆ ที่มีรูปน้องหมีในอิริยาบถต่าง ๆ แลดูอ่อน หวาน เหมาะกับการนั่งละเลียดเค้กอร่อย ๆ สักชิ้น หรือเครื่องดื่มเย็น ๆ สักแก้ว
ถัดจากมุมส่วนตัว คุณจะพบกับ ตุ๊กตาหมีชายหญิง ตัวโตแต่งตัวด้วยชุดสีหวานยืนเคียงคู่กันอย่างน่า เอ็นดู ถัดมาอีกหน่อยก็เป็นน้องหมีในชุดพ่อครัวที่ คอยต้อนรับนักชิมทุกท่านอยู่อย่างอบอุ่น ทุกตัว ล้วนยืนต้อนรับการเยี่ยมเยือนของลูกค้าอย่างน่า รักเป็นที่สุด ไม่นานนัก ‘Passion-Pineapple Smoothie’ หรือนํ้าเสาวรสปั่นในแก้วใสพิมพ์ลาย ตุ๊กตาหมี ก็ถูกนำ�มาเสิร์ฟ พร้อมกับ ‘Marbled Chocolate Brownie’ ชิ้นนุ่มที่ถูกราดความหวาน ด้วยช็อกโกแลต ตกแต่งด้วยวิปครีมและสตรอเบอรี่สี สดดูน่าทานบนจานสวยลายตุ๊กตาหมีอีกเช่นกัน หาก สนใจทางร้านก็มีทั้งจาน ชาม และถ้วยกาแฟลาย น้องหมีให้ซื้อกลับไปใช้ที่บ้านด้วยนะคะ เพลิดเพลินกับบรรยากาศสบายๆ แล้ว อย่าลืม ปิดท้ายแบบหวาน ๆ กับ ‘แพนเค้ก แพนเค้ก’ ราด ด้วยนํ้าผึ้งชุ่มฉํ่า เมนูเด็ดจากคุณ แพนเค้ก เขมนิจ จามิกรณ์ นางเอกสาวสวยที่มาเปิดร้าน
Teddy House ร่วมกับหวานใจ คุณเวียร์ ศุกลวัฒน์ คณารศ ซึ่งจะมีน้องหมีมากมายหลายแบบให้คุณ เลือกซื้อกลับไปนอนกอดหรือเป็นของขวัญสำ�หรับ คนพิเศษได้ในบริเวณชั้นล่างของร้านอีกด้วย สำ�หรับการเดินทาง ร้านนี้ตั้งอยู่ที่สยาม สแควร์ซอย 11 ใกล้กับฮาร์ดร็อกคาเฟ่ ถ้าหาร้านไม่ ถูก กริ๊งกร๊างไปที่ 0-2658-3932 ได้เลยค่ะ
[ 43 ]
GRE “โลกร้อนเข้าขั้นวิกฤติ ภัยพิบัติทวีความรุนแรง แต่มนุษย์ยังไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทำาร้ายโลก” ไม่รู้ว่าเข้าใกล้ปี 2012 หรืออย่างไรโลกจึง เกิดภัยพิบัติร้ายแรงขึ้นเรื่อย ๆ เพียงแค่ปีเดียวโลก ส่งสัญญาณเตือนยำ้าให้เราตระหนักถึงภาวะโลกร้อน ยิ่งนับวันยิ่งเพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนเราไม่ สามารถนิ่งนอนใจกันได้อีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ฮีตเวฟในประเทศอินเดีย เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งอินเดียต้องเผชิญหน้า กับความร้อนขั้นรุนแรงด้วยอุณหภูมิถึง 44 องศา เซลเซียส สูงที่สุดในรอบ 52 ปี ส่งผลให้ประชากร ชาวอินเดียเสียชีวิตกว่า 80 คนในช่วงเวลาเพียง เดือนเดียว หรือเหตุการณ์ระเบิดของภูเขาไฟใต้ธารนำ้าแข็ง “เอยาฟยาลาเยอคูล” ในประเทศไอซ์แลนด์ เป็น [ 44 ]
การระเบิดครั้งใหญ่และต่อเนื่องยาวนาน จนทำาให้ เกิดเถ้าถ่านพวยพุ่งขึ้นสู่อากาศสูงราว 6 กิโลเมตร ส่งผลให้การจราจรทางอากาศในทวีปยุโรปเป็น อัมพาตไปถึง 5 วัน และล่าสุดการระเบิดของแท่นขุดเจาะนำ้ามัน กลางอ่าวเม็กซิโก คราบนำ้ามันดิบหลั่งไหลทั่วท้อง ทะเลก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ ส่งผลให้สภาพ แวดล้อมทั้งในทะเลและรอบชายฝั่งถูกทำาลาย ซึ่งทาง สหรัฐอเมริกาจำาเป็นต้องเร่งดำาเนินการแก้ไขก่อน ที่จะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศในบริเวณนั้น ในประเทศไทยก็ประสบกับภาวะโลกร้อนเช่น เดียวกัน นั่นคือปรากฏการณ์เอลนินโญ ซึ่งทำาให้เกิด ภัยแล้งอย่างหนักเป็นเวลานาน ส่งผลให้ปริมาณนำ้า
ในเขื่อนไม่เพียงพอต่อการทำาเกษตรกรรม จนทาง ราชการต้องออกมาประกาศงดทำานาปรังในบางพื้นที่ ทำาให้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ ถึงแม้ว่าจะมีการรณรงค์ลดภาวะโลกร้อนเพิ่ม ขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเป็นกระแสรักษ์โลกใน หลาย ๆ ประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วย ซึ่งได้รับ การตอบรับจากองค์กรของราชการ และเอกชน ต่าง ๆ ในการร่วมมือร่วมใจกันรักษ์โลกอย่างพร้อม เพียงกัน จนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถเป็นไปได้! เห็นได้ชัดจากสื่อบางประเภทที่ลุกขึ้นมาร่วม รักษ์โลกกันอย่างพร้อมเพรียงแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย จับดารานักร้องในสังกัดของตนสวมเสื้อเขียวร่วมกัน ร้องเพลงรณรงค์ให้ประชาชนเกิดจิตสำานึกรักษ์โลก
EEN
FAKE! [ เรื่อง : ปิยนุช รักสัตย์ / ภาพ : นราธร กระต่ายจันทร์
และช่วยลดปัญหาภาวะโลกร้อนกันอย่างแพร่หลาย หรือแม้กระทั่งห้างสรรพสินค้าที่ได้เสนอ โปรโมชั่นในการลดราคาสินค้าพร้อม ๆ กัน ถ้าหาก ผู้บริโภคไม่รับถุงพลาสติก หรือใช้กระเป๋าผ้าของห้าง สรรพสินค้านั้น ๆ แทน ซึ่งเป็นอีกหนทางหนึ่งใน การต่อสู้ทางธุรกิจ มีเจตนาสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้ แก่องค์กรของตนมากกว่ารณรงค์เพื่อลดปัญหาภาวะ โลกร้อน เสื้อผ้าสีเขียวสกรีนลายต่าง ๆ กลายมาเป็น แฟชั่นฮิตตามกระแสรักษ์โลก เป็นกรีนแฟชั่นเกลื่อน เมืองอยู่ช่วงหนึ่ง ซึ่งมาพร้อมกับกระเป๋าผ้ารักษ์โลก รณรงค์ให้ใช้แทนถุงพลาสติก แต่เป็นที่น่าแปลกใจ สำาหรับคนไทย กลับยังนำาถุงพลาสติกมาใช้ร่วมกับ กระเป๋าผ้า หรืออาจเป็นเพราะความคิดที่ว่าเมื่อซื้อ ของแล้วจะต้องใส่ถุงเพื่อให้คุ้มกับเงินที่เสียไป หรือความพยายามในการสร้างจิตสำานึกให้ ปลูกป่าทดแทน โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมเพียง แค่คลิกเลือกต้นไม้ รดนำ้า พรวนดินได้ตามใจชอบ บนโลกอินเทอร์เน็ต ถือเป็นความคิดที่ดีในการปรับ เปลี่ยนการรณรงค์ปลูกต้นไม้ให้เข้ากับสื่อ แต่หาก ผิดที่ผิดทางไปสักนิด เพียงแค่คุณกดปุ่มเปิดเครื่อง คอมพิวเตอร์ก็สามารถเพิ่มอุณหภูมิให้กับโลกได้ หากเปลี่ยนวิธีมาเป็นลงมือปฏิบัติจริง นอกจากจะ สร้างจิตสำานึกที่ดีได้ในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแล้ว
ยังเป็นการเพิ่มประสบการณ์การเรียนรู้และความรับ ผิดชอบในการดูแลเอาใจใส่ต้นไม้ อีกทั้งยังทำาให้เห็น ถึงการเจริญเติบโตของมันจนผลิดอกออกผลอีกด้วย การลดภาวะโลกร้อนมีหลายวิธีซึ่งเรารู้กันดีอยู่ แล้ว เพียงแค่เราหยุดพฤติกรรมทำาร้ายโลกโดยเริ่ม จากรอบตัวของเราเอง อาทิเช่น พกผ้าเช็ดหน้า แทน การใช้กระดาษทิชชู เพราะกระดาษทิชชูผลิตมาจาก ต้นไม้ ยิ่งปริมาณการใช้มากก็ยิ่งต้องตัดต้นไม้มาก ถ้า ไม่มีความจำาเป็นก็ควรใช้ผ้าเช็ดหน้าแทนน่าจะดีกว่า เพื่อเก็บต้นไม้ไว้เป็นปอดให้กับโลกเราบ้าง และช่วย กันปลูกต้นไม้ภายในบริเวณบ้านให้มากขึ้น นอกจาก จะเพิ่มความร่มรื่นแก่บ้านของเราแล้ว ยังช่วยลด มลพิษทางอากาศได้อีกด้วย หากเราทุกคนช่วยกันเลิกพฤติกรรมทำาร้ายโลก อย่างจริงจัง แม้ว่าจะไม่ทำาให้โลกลดความร้อนลง ก็ตาม แต่อย่างน้อยการกระทำาดีต่อโลกของเรา ก็อาจ ช่วยบรรเทาความร้อนระอุของอุณหภูมิโลกให้คงที่อยู่ ได้ เพียงแค่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราพอจะช่วยกันได้ แต่กลับมองข้ามไป ถ้าหากว่าทุกคนยังคงนิ่งนอนใจ ต่อไป เชื่อได้เลยว่าพวกเราคงต้องเผชิญกับภัยพิบัติที่ โหดร้ายกว่านี้แน่!
[ 45 ]
BE
‘FROYD’ ด้วยความจริงจังและทุ่มเทในแต่ละบทบาทที่เขาได้รับ ด้วยเสียงกรี๊ดอันเป็นเอกลักษณ์รวม กับหน้าตาท่าทางอันแสนทะเล้นที่ทำาให้ใครหลาย ๆ คนชื่นชอบและมีความสุขเมื่อเขาอยู่บนจอทีวี “บ้านนี้มีรัก” ซิทคอมที่เหมือนเป็นบ้านแจ้งเกิดให้เขาผู้นี้ “ฟรอยด์ ณัฏฐพงศ์ ชาติพงศ์”
[ 46 ]
[ 47 ]
Exclusive
Ars : คิดยังไงกับคำ�ว่า Alert Froyd : สำ�หรับในความคิดของผมมันคือการ กระโดด โลดเต้น เป็นอิสระ 3 อย่างนี้เป็นหลักเลย ครับ Ars : ทราบมาว่าเรียนจบจาก คณะวารสารศาสตร์ และสื่อสารมวลชน ม.ธรรมศาสตร์ Froyd : ใช่ครับ เรียนเอกโฆษณา คือที่ธรรมศาสตร์ แยกเป็นเอกโฆษณา เอกหนังสือพิมพ์และสิ่งพิมพ์ ก็คือพวกที่เกี่ยวกับวารสารโดยตรง แล้วก็มีเอก ประชาสัมพันธ์ เอกภาพยนตร์- วิทยุโทรทัศน์ และก็มี เอกบริหารการสื่อสาร รวมทั้งหมด 6 เอกครับ Ars : ทำ�ไมถึงเลือกเรียน ธรรมศาสตร์ และเลือก คณะนี้ Froyd : ที่เลือกเรียนที่ธรรมศาสตร์ ก็เพราะว่า ที่ บ้านส่วนใหญ่ ญาติ ๆ เค้าจะเรียนธรรมศาสตร์กัน หมดเลย ไม่ธรรมศาสตร์ก็จุฬาฯ แต่จริง ๆ ผมก็ อยากเข้าธรรมศาสตร์อยู่แล้วครับ เพราะญาติเข้า ธรรมศาสตร์กัน เราเห็นพวกเค้าแล้วก็เท่ดี และที่เข้า คณะวารสาร ก็เพราะว่ามันน่าจะเป็นอะไรที่ผมชอบ และตรงตัวที่สุด จะให้ไปเรียนนิติก็คงไม่ไหว เพราะ ผมเป็นคนขี้เกียจ จะไม่ค่อยจำ� ก็เลยไม่ชอบ คณะ สังคมสงเคราะห์ฯ ก็ไม่ได้ ผมไม่ได้เป็นคนใจดีอะไร ขนาดนั้น จะไปทำ�อะไรดี ๆ เพื่อสังคมได้ถึงขั้นนั้น ก็เลยเลือกคณะวารสารศาสตร์ เอกโฆษณา เพราะผม เป็นคนชอบอะไรแปลก ๆ ชอบไอเดีย ชอบดูหนังสือ ชอบดูคนอื่นเขาทำ�อะไรแปลก ๆ สวย ๆ เลยอยาก ลองเรียนดูครับ Ars : ตอนจบมาคิดว่าจะทำ�อาชีพอะไร Froyd : ผมอยากเป็น copy writer ครับ คือเป็น คนเขียน คิดคำ�ศัพท์ อย่างเช่น โซดาสิงห์ซ่าทุกหยด ประมาณนั้น copy writer จะทำ�งานกับ Art Director ก็คือเป็นคนออกแบบภาพรวม เป็นคนดีไซน์ production ทั้งหมด Ars : ตอนนี้จบมาได้ทำ�อาชีพ copy writer หรือ ยัง Froyd : คือก็มีโอกาสส่งเข้าประกวดกับทางมหาลัย ที่เรียนมา และในห้องเรียนเค้ามีการแข่งกันประกวด copy writer คือมันจะมี copy writer ที่ทำ�งานกับ art director และก็จะเป็น cd ( creative directer) [ 48 ]
คือเป็น head ใหญ่ทั้งหมด ก็ทำ�งานกันเหมือนเป็น Agency เนี่ยแหละ และก็คิดเหมือนทำ�งานจริง เป็น Agency หนึ่งจริง ๆ เลย ซึ่งก็จะมีการจัดส่งประกวด ของงานโฆษณาต่าง ๆ คือส่งไปก็ไม่เคยได้เลย แต่ อย่างน้อยเราก็ได้ลองทำ�แล้ว Ars : เข้าวงการได้ยังไง Froyd : คือเมื่อก่อนผมเป็นนักกีฬาเยาวชนทีมชาติ มาแข่งที่สนามนิมิตบุตร แข่งกีฬาแบดมินตัน เสร็จ แล้วก็มาเดินเล่นที่สยามฯ มาบุญครอง ซึ่งช่วงนั้นยัง ใส ๆ อยู่ประมาณ ม.2 และก็เจอโมเดลลิ่ง ตอนแรกก็ คิดเลยว่าไม่เอาแน่ ๆ คงมาหลอก ก็เลยรับนามบัตร มาเฉย ๆ พอกลับไปบ้าน พี่ที่เป็นญาติเขามาดู ก็เห็น ว่าเป็นเพื่อนเขาตอนเรียนธรรมศาสตร์ แม่ก็เลยไว้ใจ ขึ้นมานิดนึง หลังจากนั้นเขาก็โทรมาเรียกไปแคสงาน ซึ่งก็ไปแคสงานตามปกติเหมือนเด็กทั่วไป เอ่อ... แคสตัวแรกรู้สึกจะป็น 12 plus ก็ได้เลย เป็น extra man ตอนนั้นอยู่ประมาณ ม. 3 ครับ ก็จะมี พระเอก นางเอก และก็ตัวรอง ก็ได้เป็นตัวรองอีก ที ซึ่งตอนนั้นเป็นงานครั้งแรกเลย ได้มา 5,000 บาท และหลังจากนั้นก็ไปแคสงานเรื่อย ๆ จนถึง ม. 5 ซึ่งช่วงนั้นก็ถ่ายโฆษณา และก็เล่นละคร พอตอนจะ เข้าปี 1 มันมีโครงการประกวดหนุ่มสาวหน้าใส ของ โฟมล้างหน้าที ทรี เฟเชียลโฟม แล้วแม่ผมเป็นพวก ประเภท แม่ดัน คือให้ลองดูสิ ขำ� ๆ ได้ตั้ง 1 แสน บาท แล้วได้ไปเมืองนอกด้วย ผมก็บอกแม่ว่า “จะดีหรอแม่ อายนะ” เพราะผมไม่ใช่คนรักหล่อ ขนาดนั้น แต่เพื่อแม่ ก็ลองดูก่อนเข้ามหาวิทยาลัย เพราะตอนนั้น รู้แล้วว่าตัวเองติดมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ก็ถือว่าช่วงนี้เราโชคดี คือได้ทั้งเรียน ได้ ทั้งกีฬาด้วย ก็เลยลองดู เผื่อจะโชคดีอีกสักครั้ง แล้ว ก็ตรงกับวันเกิดพอดีด้วย ก็เลยไปประกวด สุดท้ายก็ ชนะเลิศครับ ได้ไปออสเตรเลียหนึ่งอาทิตย์ และก็ได้ เงินรางวัล หลังจากนั้นงานก็มีเข้ามา จน exact เขา เรียกเข้าไปคุย ก็คือพี่บอย ถกลเกียรติ ว่าอยากเล่น ละครซิทคอมไหม ซึ่งก็ลองแคสดูอีกทีหนึ่ง ดู คาแร็กเตอร์ว่าจะไปทางไหน คือจะไปทางกวน ๆ หรือจะแนวหล่อ หรือจะนิ่ง ๆ เป็นพระรอง สุดท้าย ก็ได้เป็นแนววัยรุ่นกวน ๆ ไป ก็ได้เป็น “ลิงก์” จน ทุกวันนี้ หลังจากได้เล่นละคร “บ้านนี้มีรัก” แล้วก็ มีงานเข้ามาเรื่อย ๆ ครับ ก็มีติดต่อให้เป็นพรีเซนเตอร์ ซึ่งการเล่นละครบ้านนี้มีรัก ถือได้ว่าเป็นงานแจ้งเกิด เลยครับ
Ars : ในละครบ้านนี้มีรัก การกรี๊ด หูแทบแตกของ ฟรอยด์ ทางผู้กำ�กับเขาสั่งให้ทำ�หรือเราเล่นเอง Froyd : เค้าไม่ได้สั่งให้กรี๊ดครับ แต่ผมอยากให้มันดู มีความแตกต่างจากบท ซึ่งเค้าเขียนบทมาว่า ประตู หนีบมือแล้วต้องกรี๊ด แล้วในความหมายของแต่ละ คนเวลาประตูหนีบก็จะร้อง “โอ๊ย ๆ” แต่ผมอยาก ลองฉีกแนวดู เลยกรี๊ดแบบเสียงแหลมเหมือนผู้หญิง ไปเลย (หัวเราะ) และมันก็ดูกวน ๆ ดี หลังจากนั้นก็ ถูกใจ ผู้กำ�กับและคนดูในห้องส่ง สุดท้ายก็เลยเป็น เหมือนจุดเด่นของตัวเรา เราก็เลยกรี๊ดมาเรื่อย ๆ Ars : เล่นซิทคอมเรื่องแรก ตื่นเต้นไหม Froyd : ตื่นเต้นมากครับ ถ้าไปดูช่วงปีแรก ๆ จะ เล่นแข็งมากปีที่สองก็ยังเล่นแข็งอยู่ แต่จะน้อยกว่า ปีแรก ปีที่สามก็ยังเล่นแข็งแต่ก็ยังน้อยกว่าเดิมมา นิดนึง ปีที่สี่ก็ยังเล่นแข็ง จนทุกวันนี้ก็ยังเล่นแข็งอยู่ เหมือนเดิม(หัวเราะ) คือทุกวันนี้ก็ไม่ได้เล่นดีน่ะ แต่ ก็ถือว่าคุ้นเคยขึ้นมา และก็พยายามปรับให้มันดีขึ้น เรื่อย ๆ อยากให้ทุกคนรักตัวละครตัวนี้ เพราะผม คิดว่าตัวละครลิงก์ในบ้านนี้มีรัก เป็นตัวละครที่มี เสน่ห์ และเหมือนกับคนรู้จักมาตั้งแต่เด็กแล้ว มัน ก็ต้องมีพัฒนาการที่โตขึ้น ซึ่งไม่เหมือนกับ พี่โจ้ (โจ โจ้ ไมอ็อกซิ) หรือพี่กัปตัน (ภูธเนศ หงษ์มานพ) ที่ดู เป็นวัยกลางคนที่อยู่ตัวแล้ว แต่ลิงก์นี่ตั้งแต่ มัธยม มหาวิทยาลัย จนตอนนี้มีลูกมีเมีย ทำ�งานเป็นดารา คือเรื่องมันต่อยอดมาได้ยาว ผมจึงอยากให้ทุกคนรัก ตัวละครลิงก์ครับ Ars : ภาพลักษณ์ฟรอยด์ดูเป็นคนตลก สนุกสนาน เฮฮา alert ตลอดเวลา เคยมีเรื่องที่เศร้าสุด ๆ บ้างไหม Froyd : ก็มีครับ คือจริง ๆ คนเราเรื่องเศร้ามันก็ มีอยู่หลายเรื่อง แต่มันอยู่ที่ว่าอันไหนจะมีนํ้าหนัก เศร้ามาก เศร้าน้อยที่สุด ถ้ามากที่สุดก็มีครับ แต่ มันไม่สามารถบอกได้ มันเป็นความลับมากจริง ๆ และมันก็ร้ายแรงมาก เพราะผมทำ�ให้คุณพ่อ คุณ แม่เสียใจ เหมือนรู้สึกว่า “เอ๊ะ ชีวิตเราก็ดี มีการ มีงานทำ�ก็ดี แต่ทำ�ไมถึงทำ�ตัวเองแบบนี้” คือชีวิต คนเราทุกคน ไม่มีใครที่จะสนุกสนาน หรือ alert ไป ได้หมดหรอกครับ มันก็ต้องมีเรื่องเศร้ากันได้ แต่ สำ�หรับตัวผม คิดว่า ผม alert 80% ส่วนอีก 20% ผมจะอยู่กับตัวเองกับเรื่องเก่า ๆ เรื่องเศร้า ๆ ครับ
[ 49 ]
Ars : บทลิงก์ในละครกับบทฟรอยด์ในชีวิตจริง ต่างกันไหม Froyd : ต่างไหม (คิด) นิดเดียวนะ เพราะว่าลิงก์ ชอบสร้างเรื่องไร้สาระ ทำาอะไรไม่คิด ทำาไปตาม อารมณ์ แต่ฟรอยด์ จะเป็นคนคิดก่อน วงเล็บว่าบาง ครั้งนะ มีการคิดกันนิดเดียว ที่เหลือ alert อะไรแบบ นั้น เหมือนกันหมดเลย คืออยู่สุขไม่ได้ เพราะบางที ยืนเฉย ๆ ตรง ๆ เกินหนึ่งนาทีก็คือไม่ได้แล้ว อึดอัด มาก
Ars : ถ้าให้พูดถึงคติประจำาใจ สำานวนไทย หรือ สุภาษิตที่เหมาะกับตัวเอง Froyd : สำาหรับผมนะ เพราะผมเคยผ่านจุดนี้มา เยอะ อันนี้น่าจะใช่ที่สุด “เมื่อหลังชนกำาแพง แล้ว ต้องก้าวไปข้างหน้า” ผมชอบคำานี้ ผมไม่ได้คิดเอง หรอก ผมเอามาจากหนังและผมชอบคำานี้ มันเป็น รูปธรรมที่ชัดเจนดี เหมือนว่าเราหลังชนกำาแพงแล้ว หรือเราเจอปัญหาอะไรที่มันถอยไปไม่ได้แล้ว มันต้อง ก้าวไปข้างหน้า พร้อมที่จะสู้กับปัญหาที่เราเจอ
Ars : มีคนเคยว่าสมาธิสั้นไหม Froyd : มีครับ ประจำาเลย ยิ่งตอนช่วงแสดงละคร เขาก็จะบอกว่า เฮ้ย! ฟรอยด์มีสมาธิหน่อย คือการ แสดงเราต้องมีสมาธิกับบทบาทที่เราเล่นอยู่ บางที่ หลุดก็ต้องถ่ายใหม่ ก็ยิ่งเสียเวลา หลังจากนั้นก็เลย พยายามนิ่ง
Ars : บทบาทที่อยากทำาในวงการบันเทิง Froyd : อยากเล่นเอ็มวี ยังไม่เคยเล่นเอ็มวีเลย เอ็มวีอะไรก็ได้ พิธีกรผมก็เป็นแล้ว หนังก็เล่นแล้ว ละครก็เล่นแล้ว สิ่งที่ยังไม่เคยทำาก็คือ เล่นเอ็มวีนี่ แหละ
[ 50 ]
Ars : ตอนนี้มีผลงานอะไรให้ติดตามบ้าง Froyd : ผลงานโปรเจคมีตายทั้งกลมครับ เล่นกับ แนนนี่ เข้า 23 กันยานี้ เล่นเป็นตัวเดินเรื่อง เป็นตัว ที่ทำาให้เกิดเรื่องราวทั้งหมด แล้วก็มีเรื่อง มหัศจรรย์ ของค่ายใหม่ ค่ายพัทยาฟิล์ม อันนี้โปรเจคสเกลใหญ่ นิดนึง Ars : ในหนึ่งวันรับงานกี่งาน Froyd : ในหนึ่งวัน ถ้ารับมากที่สุดที่เคยรับ คือ 4 งาน แต่จะน้อยมาก คือประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ แต่ ถ้าปกติ ผมจะบอกแม่ ๆ เป็นผู้จัดการ เป็นคนดูคิว ทุกอย่างว่า ถ้าได้วันละงานพอแล้ว เอาสบาย ๆ พอ แต่ถ้ามากสุดตอนนี้ หนึ่งวันก็เบียดกันได้ สองงาน อย่างวันนี้ไปงานนู้น ก็มางานนี้ ไม่งั้นผมต้องวิ่งหลาย ที่ แล้วเวลามันต้องเบียดกัน คือมันไม่ได้ชิลแบบนี้ไง แล้วเวลามันต้องเบียดกัน คือมันไม่ได้ชิลแบบนี้ไง
Ars : แล้วตอนเรียนแบ่งเวลาการทำางานยังไง Froyd : ตอนเรียน งานเริ่มมาเรื่อย ๆ แต่คือไม่เยอะ เหมือนช่วงนี้ ช่วงนี้รับเต็มที่หน่อย เพราะเราจบมา แล้ว ก็ผมจะเน้นเรียนเป็นหลัก วันไหนที่ขาดไม่ได้ จริง ๆ ผมก็จะแคนเซิล งานเลย หรือนอกจากละคร อย่างบ้านนี้มีรัก เค้าก็จะมีคิวประจำา ทุกพฤหัส-ศุกร์ ผมก็จะบอก พี่วันนี้ผมไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น เดี๋ยว วีคหน้า พี่เขียนบทตัดผมทิ้งไปไหนก็ได้ เพราะผมต้อง มีสอบ หรือมันจะมีคิวอาจารย์ติวเน้นให้หลัก ๆ ผมก็ จะบอกพี่ ๆ เค้า Ars : คือเรียนมาก่อน Froyd : ใช่ เรียนมาก่อน เรียน 80 เปอร์เซ็นต์ งาน 20 เปอร์เซ็นต์ จะได้ไม่เหนื่อยด้วย เพราะไม่งั้นเรา ต้องทำางานไปด้วยเรียนไปด้วย สู้เอาให้เสร็จเป็น อย่าง ๆ ไปก่อนดีกว่า แล้วคือเรียนต้องสำาคัญกว่า งานอยู่แล้ว เพราะเราเรียนจบมา เราก็ยังทำางานที่เรา เรียนได้ แต่ว่าอันนี้มัน อืม...ไม่รู้สิ อยากได้ปริญญาให้ แม่ก่อนด้วย Ars : จบสี่ปี Froyd : ครับ ภูมิใจมาก Ars : เห็นว่าชอบปั่นจักรยานด้วย Froyd : อ๋อ ใช่ ๆ เป็นจักรยานฟิคเกียร์ Ars : แล้วรู้จักกีฬา “จักรยาน ฟิคเกียร์” ได้ยังไง มันมี เสน่ห์ตรงไหน Froyd : คือเริ่มจากเปิด อินเตอร์เน็ตเนี่ยแหล่ะ ตอนนั้นเหมือนเด็ก ๆ ยังไม่รู้ จักมันเท่าไหร่ แต่ตอนนี้เป็น ที่รู้จักแล้ว เด็กสมัยนี้มี กันเกือบทุกคน ผมเริ่ม สนใจตั้งแต่ยังไม่มีใครรู้จัก “ฟิคเกียร์” ในประเทศไทย เลย คือในช่วงแรก ๆ ซึ่งก็อาจ จะมี แต่ยังน้อยอยู่ ที่สนใจเพราะ มันเป็นจักรยานทางเมืองนอกที่เค้าใช้ปั่น ส่งของ พวกแมสเซนเจอร์ แล้วก็รู้มาอีกทีว่า จริง ๆ แล้ว ก็คือที่เค้าใช้แข่งขันใน “เวลโลโดม”
แล้วก็แปลกใจว่า เอ๊ะ! มันแตกต่างจากจักรยาน ธรรมดายังไง ก็มาศึกษาดูเรื่อย ๆ ก็รู้ว่ามันไม่มี เบรก แล้วก็รู้อีกว่ามันล้อฟรีไม่ได้ เป็นจักรยานที่ บอบบางแต่ราคาสูง แต่เราชอบตรงเสน่ห์ของมัน คือ เป็นอะไรที่ minimal คือไม่มีกลไกอะไรมาก เพราะ จักรยานบางคันมันมีเกียร์มีเบรก มันก็ถือว่ามีกลไก แล้วนะ แต่อันนี้มันคลาสสิก เป็นฟันเฟืองแท้ ๆ ทุก อย่างทำาเองกับมือ คันนี้ (ชี้ไปที่จักรยานของตัวเอง) ภูมิใจมากที่ซื้อมาไว้ในครอบครองได้ Ars : จักรยานฟิคเกียร์นี้มีเบรกไหม Froyd : ไม่มีครับ คือมีหลายคนถามว่ามันเบรกยังไง เดี๋ยวจะทำาให้ดู (ยกจักรยานมาลองเบรกให้ดู) คือมัน ต้องใช้เท้าเบรกเอาครับ Ars : มีจักรยานฟิคเกียร์กี่คัน Froyd : มีคันเดียวครับ Ars : ปั่นไปที่ไหนมาบ้าง Froyd : ปั่นไปไกลสุดคือ นครปฐมกับชะอำา ครับ แต่คิดว่านครปฐมน่าจะไกลกว่า นครปฐมนี่ผม เริ่มจากวงเวียนใหญ่ แต่ไม่ได้ ไปเป็นทีมนะ เพราะ มีแค่สามคนคือ ไปกันเอง
และไม่มีอะไรไปเลย มีแค่ตัวกับเสื้อผ้า เพราะว่าเช้า วันนั้น งานถูกยกเลิก จึงว่างทั้งวันและก็เบื่อ ๆ เซ็ง ๆ เลยชวนเพื่อนฝูงไปปั่นจักรยาน แต่เพื่อนบอกว่า ไม่ปั่นในกรุงเทพฯ แล้วนะ เลยตกลงกันว่าจะปั่น ไปนครปฐม ซึ่งก็ไม่ได้เตรียมตัวอะไรทั้งนั้น ไม่มี แม้แต่กระเป๋าเป้ใส่ของ ถ้ายางแตกก็ต้องตามบุญ ตามกรรม หรือเกิดหิวนำ้าก็จอดซื้อเอาเลยนะ ได้ไป เหยียบมาแล้วด้วย (เสียงภาคภูมิใจ) ก็ประมาณ 80 กิโลเมตรได้ ส่วนตอนไปชะอำา ปั่นไปคนเดียว ซึ่งมัน เป็นเหตุการณ์ accident พอดี ที่เราไม่ได้คิดว่าเรา จะไปปั่น เพราะตอนนั้นไปกับเพื่อนคนหนึ่งคือเติม นำ้ามันไปกะว่าจะไปสำารวจ เส้นทางไว้ก่อน เพราะ ตอนนั้นผมเหมือนจะต้องทำาสารคดีสั้น 1 เรื่อง คือ การเดินทางจากกรุงเทพฯไปหัวหิน แต่ด้วยความที่ เรามาสำารวจ เส้นทาง เราจึงเอาจักรยานมาด้วย เสร็จ แล้วจอดแวะซื้อนำ้าเจอจักรยานเสือภูเขา เจอคุณ ลุง แก่ ๆ ประมาณ 50-60 ปี ซึ่งตอนแรกไม่เชื่อว่า พวก คุณลุงจะปั่นมาจากกรุงเทพฯ แน่นอน และพวกลุงเขา ก็ดันมาทักเราว่านี่คือ ดาราที่ชอบปั่นจักรยาน นี่หนา ลุงเคยเห็นใน ทีวี แล้วก็ถามว่าผมได้ เอาจักรยานมาไหม จะ มาชวนปั่นด้วยไหม “เนี่ย ปั่นไปเรื่อยๆ” เราก็คิดในใจ โอ๊ยสบายอยู่แล้ว ลุงพวกนี้ แก่แล้วจะมาสู้เราได้ยังไง
[ 51 ]
Exclusive
ก็ตอบตกลง สวมแจ็คเก็ตและแว่นดำ�เตรียมพร้อม เต็มที่ (นํ้าเสียงแน่ใจในฝีมือมาก) คิดในใจ เราต้องรอ แหง ๆ แต่สักพัก ทิ้งห่างเลยประมาณเกือบ ๆ กิโล คือพวกคุณลุงนำ�หน้านะ แบบว่าลุง ๆ เร็วมาก คิด ว่าเฉลี่ยประมาณ 60-70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเขา ปั่นแบบมีเทคนิคด้วย คือมีการบังลมให้กัน แต่เราไม่รู้ ไง เพราะเราโง่ แรก ๆ คือปั่นนำ�เลย ไม่รอใครทั้งนั้น เลยไม่มีคนบังลมให้ (หัวเราะชอบใจ) สุดท้ายคือตาม ไม่ทัน ไม่เห็นหัวไม่เห็นตูดแล้ว ก็เลยบอกเพื่อนที่ขับ รถตามอยู่ข้างหลังว่า ไม่ไหวแล้วและยกรถจักรยาน ขึ้นรถยนต์ เดินทางไปหัวหินต่อ Ars : เวลาปกติล่ะ ได้ปั่นไปไหนไหม Froyd : อ๋อ ก็ปั่นไปทำ�งาน อย่างวันนี้ก็ปั่นกลับบ้าน จากสยามฯ ถึงแถวเลียบทางด่วนรามอินทรา (ผู้สัมภาษณ์และตากล้องยังอ้าปากค้างอยู่) Ars : เวลาปั่นกลับบ้านเคยมีคนมาขอถ่ายรูปไหม Froyd : มีนะ เคยมี ตอนนั้นปั่นตั้งแต่เซ็นทรัล ลาดพร้าวกลับบ้าน ก็มีคนมาขอถ่ายรูปด้วย Ars : เคยเกิดอุบัติเหตุขึ้นบ้างไหม Froyd : เคยนะ เคยมีครั้งหนึ่ง ตอนนั้นฝึกงานอยู่ ฮับฮั่วฮิ่น อยู่ข้าง ๆ บริษัทจีทีเอช ซึ่งคือตอนนั้นจะ ปั่นไปกินข้าว แล้วมัวแต่มองด้านหลัง เพราะในซอย นั้นมันจะเป็นทางวันเวย์ หันมาอีกทีเป็นประตูบ้าน
[ 52 ]
ของคนในซอยนั้นที่เค้ากำ�ลังเปิดออกมา โอ้โห! เต็ม ๆ เลยครับ คือจังหวะมันประชันเข้าหากัน ระหว่างประตูกับหน้าผม ส่วนเรื่องปั่นไปชนกับรถ อื่น ๆ ไม่มีครับ Ars : รู้สึกยังไงที่ตัวเองสามารถทำ�ให้คนที่อยู่รอบ ข้างรู้สึก alert ไปด้วย Froyd : ผมชอบนะครับ คือน้อยคนมากที่จะเห็นผม เวลาเศร้า เพราะปกติผมจะเป็นคนเฮฮา สนุกสนาน และอีกอย่างคือผมไม่ชอบให้ใครต้องมารับรู้เรื่องที่เรา เศร้า เพราะว่าเวลาคนเราเจอกันเราก็ต้องการแฮปปี้ สนุกสนานกัน เหมือนกับการนัดเลี้ยงรุ่น เราก็ต้องมา แฮปปี้กัน ไม่ใช่ เฮ้ย! เพื่อนคนนี้เพิ่งเลิกกับแฟนหวะ หรือพ่อคนนี้เสียหวะ แล้วก็ต้องมาเจอกันแบบนี้ มัน ก็จะไม่มีความสุข เพราะฉะนั้นผมเลยไม่อยากให้คนที่ อยู่รอบ ๆ ตัวผมต้องซึมซับความเศร้าในตัวผมไปด้วย ก็เลยอยากให้ทุกคน alert ตลอดเวลา นั่นคือตัวตน ที่แท้จริงของผม Ars : จะ Alert ไปถึงเมื่อไหร่ Froyd : ก็จะเป็นไปเรื่อย ๆ ตราบใดที่ยังไม่มี ครอบครัวนะครับ Ars : คิดว่าจะทำ�อาชีพในวงการบันเทิงไปอีกนาน แค่ไหน Froyd : ก็คงทำ�ไปอีกเรื่อย ๆ แต่ผมก็ไม่ได้คาดหวัง
นะครับ ว่าจะอยู่ในวงการนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ เราจะ ไปคิดว่าเรามีคนชอบตลอดเวลาไม่ได้ เพราะวันนึงเรา ก็ต้องโตขึ้น แก่ขึ้นเรื่อย ๆ คนก็ต้องเบื่อคาแร็กเตอร์ เรา คาแร็กเตอร์เฮฮา Alert อย่างนี้ เดี๋ยวคนก็เบื่อ เพราะว่าเดี๋ยวนี้ก็มีเยอะแยะ เด็กใหม่ ๆ มีมาเรื่อย ๆ Ars : ถ้ามีธุรกิจเป็นของตัวเอง อยากทำ�อะไร Froyd : อยากจะทำ�อะไรหรอครับ จริง ๆ ผมอยาก เป็นพนักงานบริษัท อยู่เอเจนซี่อย่างที่ผมเรียนมา ทำ� เกี่ยวกับ โฆษณาเป็นลูกจ้างเขาก่อนก็ได้ เพราะเราไม่ ได้คิดถึงเรื่องเงินอยู่แล้ว เราอยากทำ�ในสิ่งที่เราเรียน มา ได้รับรู้มา เพราะทุกวันนี้ ยังไม่ได้ใช้เลยนะ ไม่งั้น ก็...เปิดร้านอย่างนี้ อย่างที่เพื่อนกำ�ลังจะเปิด (ร้าน ขายเสื้อผ้าในสยาม) ผมชอบพวกเสื้อผ้ากางเกงยีนส์ กับร้องเท้าผ้าใบ ก็อยากลองทำ�เป็นของตัวเองดู แต่ว่าก็ยังไม่มี skill ทางด้านการออกแบบขนาดนั้น แต่ก็ต้องศึกษาแล้วก็ดูแพทเทิร์นไปเรื่อย ๆ ก็อยากทำ� 2 อย่างนี้ ไม่อย่างไหนก็อย่างหนึ่ง Ars : ได้วางอนาคตไว้ไหมว่า อีกสิบปีข้างหน้า จะ ต้องเป็นแบบนี้นะ แบบนั้นนะ Froyd : ไม่เคยคิดเลย คือผมใช้ชีวิตให้สนุกมากกว่า นึกถึงวันนี้และพรุ่งนี้พอแล้ว เพราะวันต่อไป มันก็ ต้องดีตามมาใช่มั้ย ถ้าเกิดเรามัวแต่ไปคิดถึง สิ่งที่มัน อีกไกล คิดถึงว่าอีกสิบปีจะทำ�อะไร อ้าวแล้วทำ�ไม ไม่คิดถึงว่า วันนี้พรุ่งนี้จะทำ�อะไรดีกว่า คิดแค่ สเต็ป ใกล้ ๆ เหมือนเราเดิน เราไม่ต้องคิดว่า เราจะเดิน ไปไหน เราแค่เดินให้ตรงทางก็พอแล้ว
5
Enjoy Cooking
MINUTES [ เรื่อง : ฐิติรัตน์ คอนอ้น / ภาพ : ธนกร ศรีกำาเหนิด ]
CHEEZ BALL
ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้ หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยจากการทำางานมาแล้วทั้งอาทิตย์ หลายคนคงเลือก ที่จะออกไปเดินเล่นช้อปปิ้ง แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ก็คงอยากใช้เวลาว่างนอนเล่นพักผ่อนอยู่กับบ้าน ซึ่งถ้าใคร ไม่อยากปล่อยเวลาว่างให้ล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ ลองลุกขึ้นมาหากิจกรรมสนุก ๆ ที่คอยกระตุ้นพวกเรา ให้ตื่นตัวในวันชิล ๆ แบบนี้กันดีกว่า... และกิจกรรมสุดง่าย ที่อยากจะแนะนำา แถมยังได้อิ่มท้องด้วยนั้น มีชื่อเก๋ ๆ ว่า “5 minutes cheese ball” ซึ่งทุกคนสามารถทำาได้ด้วยตัวเองภายในเวลาเพียง 5 นาทีพร้อมเสิร์ฟ ขั้นตอนก็สุดแสนจะง่ายเพียงแค่ เตรียมตัวให้ Alert แล้วแปลงโฉมเข้าครัวลงมือทำาอาหารไปพร้อมกับพวกเรา
ส่วนผสมเครื่องปรุงต่าง ๆ มีดังนี้ แฮม 1 ปอนด์ (4-5 แผ่น) ครีมชีส 8 ออนซ์ หรือ 2 แท่งของครีมชีส มายองเนส 3 ช้อนโต๊ะ หัวหอม 1/3 ต่อหอม 1 หัว เชสดาร์ชีสหั่น 3 ช้อนโต๊ะ
เมื่อเตรียมเครื่องปรุงข้างต้นพร้อมแล้ว ก็ได้เวลาลงมือทำา เริ่มจากหั่น แฮมทั้งหมดเป็นสี่เหลี่ยมชิ้นเล็ก ๆ สำาหรับขั้นตอนนี้เรามีเคล็ดลับง่าย ๆ ที่ จะช่วยให้หั่นได้เร็วขึ้น คือนำาแฮมทั้งหมดมาวางซ้อนแล้วลงมือหั่นพร้อมกัน ทีเดียว เท่านี้ก็จะได้แฮมออกมาเป็นชิ้นเล็ก ๆ ขนาดค่อนข้างเท่ากันและ ช่วยย่นระยะเวลาในการทำาให้สั้นลงด้วย หลังจากนั้นก็ลงมือหั่นหัวหอมออก เป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า เราขอแนะนำาให้ทุกคนรีบหั่นอย่างรวดเร็วเพิ่มความ Alert ในการทำาไปพร้อมกัน เมื่อเสร็จแล้ว ขั้นตอนต่อไปเราก็จะนำาส่วนผสม ทั้งหมดที่เตรียมไว้ ตั้งแต่แฮม ครีมชีส มายองเนส หอมสับ เชสดาร์ชีสมาเท รวมกันในถ้วยขนาดกลางของ mixer แล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน เพียงเท่านี้ก็ จะได้อาหารกินเล่นแสนง่ายและหน้าตาน่ารับประทานที่จะช่วยกระตุ้นให้เรา Alert ได้ทั้งวัน Special trick: ในขั้นตอนการผสม สำาหรับเพื่อน ๆ ที่ไม่มีเครื่อง mixer เราขอแนะนำาให้เทส่วนผสมทุกอย่างลงในถ้วยขนาดพอเหมาะ แล้วลงมือ คนให้เข้ากัน ด้วยช้อนขนาดใหญ่ หรือ อาจใส่ส่วนผสมทั้งหมด (ยกเว้นหอมหั่น แฮม และเชสดาร์ชีสที่ต้องแยกไว้ใส่ทีหลัง) ลงในเครื่องปั่นนำ้าผลไม้แทนซึ่งจะช่วยให้เครื่องปรุงเข้ากัน ได้ดีกว่าการคนด้วยมือ หลังจากนั้นเมื่อปั่นเสร็จแล้วจึงนำาแฮมและหัวหอมหั่นมาเทลงแล้วคนให้เข้ากันอีกที
[ 53 ]
[ 54 ]
Palio เมืองเล็กในเขาใหญ่
[ เรื่อง : ธิมา ไหมแพง / ภาพ : ภัทริศ ภิญโญพิพัฒน์ / ธนกร ศรีกำ�เหนิด ]
[ 55 ]
ผม
เดินทางออกจากกรุงเทพฯ เวลาเกือบบ่ายโมง ฝ่าเปลวแดดที่ยังคงร้อนระอุในเมืองกรุงมุ่งหน้า ทางด่วนสายแจ้งวัฒนะ ลงทางด่วนที่ธรรมศาสตร์ก่อนจะมุ่งหน้ายาวสู่ถนนสายธนรัชต์ ผ่าน สระบุรี เข้าสู่เขาใหญ่ เลี้ยวกลับรถทางปากช่อง ก็เข้าสู่ทางขึ้นเขาใหญ่ ตรงไปอีกไม่ไกลก็ถึงปาลิโอ ถนนคน เดินรูปแบบใหม่ สไตล์เมืองโบราณแบบอิตาเลี่ยน เราเริ่มต้นการท่องเที่ยวด้วยความตื่นเต้นกับความอลังการของถนนคนเดินที่ถูกเนรมิตให้เป็นเมืองใหม่ ท่ามกลางขุนเขา หลังจิบกาแฟให้คลายความเหนื่อยเล็กน้อย แดดก็ร่มลมก็ตก ผมจึงขอทำ�หน้าที่นำ�พาผู้อ่าน ไปรู้จักกับร้านค้าใน ถนนคนเดินแห่งนี้กัน ร้านแรกที่เราจะพาผู้อ่านมารู้จักกัน อยู่เยื้องประตูทางเข้ามาเพียงเล็กน้อย เดินตรงเข้ามาทางด้านขวา มือก็จะพบกับร้านเล็ก ๆ ที่มีชื่อว่า ปีเตอร์เทรดเชอร์(Peter Tredsure) ผมสะดุดตากับ ภาพวาดรีปริ้นท์มากมายที่ถูกใส่ในกระบะด้านหน้า ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผลงานของศิลปินชื่อดังระดับโลก ภายในร้านยังมีสินค้าอีกมากมาย ทำ�ให้ร้านออกจะดูเล็ก แต่ก็มีบรรยากาศที่แสนจะอบอุ่น สินค้าภายในร้านส่วนใหญ่นำ�เข้ามาจากยุโรป ทั้งผ้าคลุมเตียง ปลอกหมอน ภาพรีปริ้นท์จากฝรั่งเศส และของเก่าเก็บจากประเทศเยอรมัน รวมทั้งยังมีเสื้อผ้าแนววินเทจวิคตอเรียน ที่ข้ามนํ้าข้ามทะเลมาจาก ประเทศใกล้ ๆ อย่างฮ่องกง ผมอยู่เก็บภาพบรรยากาศภายในร้านอีกเล็กน้อยมาฝากผู้อ่าน จากนั้นก็ออกมา จากร้านปีเตอร์ เทรดเชอร์ ไม่ทันได้ไปไหนไกลก็เหลือบไปเห็นตุ๊กตาอ้วนกลม หน้าตาน่ารักตัวใหญ่สะดุดตา เลยแวะเข้าไปดูสินค้าภายในร้านปิยชาติ ซึ่งตั้งอยู่ติดกันสักหน่อย ร้านปิยชาติ เป็นร้านที่ผสมผสานกลิ่นอายอินเดียและวัฒนธรรมร่วมสมัยเข้าด้วยกัน สินค้าเสื้อผ้าบาง ส่วนในร้านผลิตจากประเทศอินเดีย หากแต่ยังได้รับการออกแบบจากเจ้าของร้านที่เป็นคนไทยก่อนจะถูกส่ง ไปผลิตแล้วตีกลับมาอีก ผมมองดูเสื้อผ้าหลากสีสันอย่างชื่นชมในสไตล์ ก่อนที่จะถูกหันเหความสนใจไปยัง ตุ๊กตาตัวอ้วนกลม ที่มีมากมายในร้าน ทั้งขนาดเล็กบ้างใหญ่บ้าง เป็นรูปแบบมาตรฐานในแม่พิมพ์ลักษณะ เดียวกัน สีสันและเครื่องแต่งกายก็ดูโดดเด่นกันไปตามแต่คาแร็กเตอร์ของแต่ละตัว ร้านนี้ยังมีเสื้อผ้า กระเป๋าลายปักที่ทั้งออกแบบจัดทำ�เองและรับออเดอร์สินค้าให้กับลูกค้าที่มีความ สนใจ
[ 56 ]
ร้านต่อไปที่น่าจะถูกใจผู้หญิง คือร้าน คิส มี ดอล (Kiss Me Doll) ตั้งอยู่ บริเวณตรงข้ามหอนาฬิกา โดยรอบร้านเป็นกระจกใสมองทะลุเข้าไป เห็นรูปแบบ การจัดวาง และสินค้าที่น่าสนใจมากมาย สินค้าเด่นภายในร้านคิสมีดอลเป็นผ้า พันคอหลากหลายสีสัน ราคาเบา ๆ เริ่มต้นตั้งแต่ 155 ไปจนถึง 380 บาท รวมทั้ง สินค้าแฟชั่นอื่น ๆ ทั้งที่เป็นเครื่องประดับ และแว่นตากันแดด พระอาทิตย์คล้อยตํ่าลงมาอีก ขณะที่ผมหลบประกายแสงที่สะท้อนเข้าอาบ เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ หันมองอีกทีตัวเองก็แวะมาที่ร้าน ช็อคโกลาเทียร์ แอท เขาใหญ่ (Chocolatier @ Khao-Yai) ร้านขายช็อกโกแลตในปาลิโอ เขาใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณใต้หอนาฬิกา ตู้จัดแสดงหน้าร้านมีช็อกโกแลตรูปร่าง แปลกตา เรียงรายอยู่มากมาย ผมเปิดประตูเข้าไปเสียงทักทายสดใสก็ดังมา จากหลังเคาน์เตอร์ ชายหนุ่มรูปร่างสูงท่าทางใจดี ยิ้มให้ ในขณะที่เขากำ�ลังวาด ลวดลายทำ�ช็อกโกแลตพราลีน ซึ่งเรียงรายอยู่บนถาดอย่างสวยงาม ผมไม่รอช้า ขอลองหยิบช็อกโกแลตพราลีนเข้าปาก กัดเต็มคำ� ก็พบกับความ ขมและกลิ่นไวน์แดงที่ฟุ้งไปทั่ว ไม่ทันจะรับรสขมไว้นานช็อกโกแลตที่ละลายก็ ค่อย ๆ นำ�ความหวานละมุนเข้าแทนที่สร้างความกลมกล่อมอย่างน่าประหลาด หุ้นส่วนและพ่อครัวที่ร่ายมนต์ปรุงช็อกโกแลตแสนอร่อย อธิบายถึงสินค้าชิ้นนี้ ว่าเป็นการผสมผสานรสชาติความขมของไวน์ และช็อกโกแลตเอาไว้ เวลารับ ประทานต้องกินทั้งลูกอย่ากัดทีละนิด จะได้รสที่ละมุนไปทั่วทั้งปาก และยัง แนะนำ�ช็อกโกแลตดาร์คทรัฟเฟิล ช็อกโกแลตสดสูตรเฉพาะของทางร้านให้พวก ผมได้ลองชิมอีก
ผมซึมซาบความหวานหอมที่ละลายในปากได้ไม่นานนัก ก็หันกลับมาสนใจ สินค้าอื่น ๆ ภายในร้านต่อ ไวท์ช็อกโกแลตรูปอมยิ้มหน้าตากวน ๆ เรียกว่า โลลิป๊อปเหล่านี้ มีสามรูปแบบสองราคา เสนอราคาเบา ๆ เพียงยี่สิบและสี่สิบบาท เปลี่ยนระดับสายตาต่อมามองของที่แพงขึ้นหน่อยก็พบกับช็อกโกแลตพราลีนไส้ ต่าง ๆ ทั้งแอลกอฮอล์ และกาแฟสด พ่อครัวคนเก่งอธิบายว่าเมื่อถึงสุดสัปดาห์ จะมีรายการผลไม้ สตรอเบอรี่ แอปเปิ้ลและกล้วยหอมราดช็อกโกแลต เข้ามาเป็น สินค้าที่ได้รับความนิยมอีกด้วย รวมถึงแผนการตลาดในอนาคตที่อาจจะมีการทำ� ไอศครีมให้ทุกท่านได้ลองแวะเวียนมาชิม ผมแวะกลับที่พักเพื่ออาบนํ้าอาบท่า เพราะเหนื่อยจากการเดินทาง กลับมา ที่ปาลิโออีกครั้งก็ตอนที่พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว กระแสความเย็นก็เข้าปก คลุมไปทั่วหุบเขา ปาลิโอยังคงส่องแสงไฟสว่าง งดงามดั่งอัญมณีลํ้าค่าเคียงหุบ น้อยใหญ่ ผมกระชับเสื้อคลุมเข้าหาตัวพาร่างตัวเองกลับเข้าไปในถนนคนเดิน ที่ดู โรแมนติกยิ่งกว่าช่วงเวลาไหน สถาปัตยกรรมสไตล์อิตาเลี่ยน สะท้อนไปกับแสงไฟ สีส้ม ขับสีของกำ�แพงปูนให้ดูโดดเด่นสง่างามยิ่งขึ้นไปอีก “เป็นปาลิโอที่หลับใหล” เมื่อมันไร้ซึ่งผู้คน ร้านรวงต่าง ๆ ทยอยกันปิดตัว ลง ตามกำ�หนดการปิดทำ�การของสถานที่แห่งนี้ที่ใกล้เข้ามา ผมและเพื่อนแข่งกับ เวลา พยายามเก็บภาพในมุมมองต่าง ๆ ก่อนเวลาสองทุ่มจะมาถึง ถ้าหากคำ�ว่า ปาลิโอ มีความหมายว่ารางวัลจริง คงไม่มีของขวัญชิ้นไหนจะงดงามเท่ารัตติกาล ที่มาเยือนเมืองแห่งนี้อีกแล้ว...
[ 57 ]
ยามเช้าของเขาใหญ่ ขมุกขมัวไปด้วยเมฆที่เข้ามาปกคลุม ผมนั่งอยู่ที่ร้าน ปาลิโอ อิน เลิฟ (Palio in love) กับเพื่อน ๆ นั่งรออาหารที่จะมาเสิร์ฟ มอง ไปรอบ ๆ ก็เหมือนถนนโบราณในต่างประเทศ ที่ปกคลุมไปด้วยสายพิรุณ ใครคน หนึ่งพูดเล่น ๆ ว่าทางปาลิโอกดปุ่มให้ฝนตก สร้างบรรยากาศให้กับพวกเรา ในระหว่างรับประทานอาหาร ผมลองลิ้มรสข้าวหมูตุ๋น อันเป็นเมนูแนะนำ�อันดับแรก รสชาติความนุ่มของ หมูตุ๋นเข้ากับข้าวหุงร้อนอย่างพอเหมาะ อาหารจานนี้ออกจะเน้นรสหวานซึ่งต้อง กลบด้วยข้าวคำ�โตและผัก จะทำ�ให้รสชาติกลมกล่อมพอดี ผมชิมข้าวผัดอเมริกันที่ มาพร้อมกับไก่ทอด และไส้กรอกอย่างครบเครื่องเป็นจานต่อไป รสชาติของซอส มะเขือเทศที่ผัดคลุกมากับข้าว เข้ากันเป็นอย่างดีเมื่อตักรับประทานกับไก่ทอดและ ไส้กรอก ปีกไก่ทอดของที่นี่ถูกเสิร์ฟเป็นจานต่อมาด้วยความร้อนที่ระอุไปทั้งปีก เหมาะกับบรรยากาศหนาวที่ปกคลุมไปด้วยหยาดฝน ปีกไก่กรอบนอกและได้ รสนุ่มร้อนระอุไปทั้งปากเมื่อกัดเข้าไปข้างใน เป็นจานที่ผมการันตีให้กับท่านผู้ อ่านมากที่สุดสำ�หรับเป็นตัวเลือกมื้อหนัก ๆ ในยามเช้า เพื่อเติมพลังท่องเที่ยวได้ ตลอดวัน จานสุดท้ายที่จะขอแนะนำ�เป็นแหนมเอ็นข้อไก่ทอด ที่มาพร้อมสารพัด
[ 58 ]
เครื่องแนม แหนมไก่รสชาติเปรี้ยวเมื่อผสานกับความเผ็ดร้อนของทั้งเครื่องพริก หอมแดง กับมะนาวหั่นชิ้นเล็กแล้ว ส่งทั้งกลิ่นและรสไปทั่วทั้งปาก ฝนยังคงเทลงมาห่าใหญ่ กว่าจะซาตัวจนสามารถลงไปเดินได้ ก็เกือบถึงเวลา เที่ยงแล้ว ผมแวะเข้าไปในร้าน เดกูว์พาจ Découpage ที่มีกล่องไม้มากมายเรียง รายอยู่ กล่องไม้ที่นี่ใช้กระดาษเดกูว์พาจ ที่เพ้นท์สีแล้วแปะทับลงบนกล่องไม้ ให้ เป็นลวดลายที่สวยงาม มีสินค้ามากมายที่ได้รับความนิยม หลบออกไปดูตรงซอยใกล้ ๆ ก็เจอร้านที่เหมาะสำ�หรับการซื้อของฝาก ร้านนี้เป็นร้ายขายของเล่นและของเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จะนำ�ไปเป็นของฝาก ชื่อร้าน อันเดอร์เดอะทรี (Under The Tree) ผมสนใจหีบเพลงม้าหมุนที่ส่งเสียงเพลง คลาสสิกเป็นพิเศษ สินค้าภายในร้านยังมีของอื่น ๆ ให้เลือกชมอีกมากมาย โดย เป็นสินค้านำ�เข้ามาจากประเทศจีนและฮ่องกง บ่ายคล้อยลงเต็มทีพร้อมเมฆฝนที่กลับมาครึ้มปกคลุม “ปาลิโอ” ให้สีหม่น ลงอีกครั้ง ผมและทีมงานถอนตัวออกจากเมืองกลางหุบน้อย ๆ แห่งนี้ด้วย ความรู้สึก...ประทับใจ
Film Ars’s Art
ห
ARTONFILM [ เรื่อง : ปิยวรรณ มูลตรีแก้ว]
ากคุณคิดว่าการจะเป็นศิลปินนั้นเป็นเรื่องหอมหวานน่าลิ้มลองแล้ว นั่นเป็นเพียงเปลือกนอกที่ลวงหลอก ที่สุด แนะนำ�ให้หาหนังอาร์ต ๆ ที่นำ�เสนอชีวิตของศิลปินซึ่งไม่ได้สวยหรูราบรื่นอย่างที่เข้าใจมาดูกัน หนัง ทั้ง 4 เรื่องนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงเห็นถึงแก่นแท้ของการดำ�รงชีพของศิลปินที่ดูแล้วต้องบอกว่าสุดติ่ง วงษ์คำ�เหลาจริง ๆ
Jean Michel Basquiat (1996)
Jackson Pollock (2000)
รากเหง้า ของศิลปะ ที่เน้นความเรียบง่ายและ ซื่อสัตย์ ในยุค 80 ชื่อของศิลปินอย่าง บาสกียาต์ นั้น น้อยคนนักที่ไม่รู้จัก เขาเป็นเจ้าของการสร้างสรรค์ ผลงานศิลปะที่แปลกใหม่ให้แก่วงการในยุค ผลงาน ที่เป็นไปด้วยความดิบ สด และความเป็นเอกลักษณ์ ของตัวเอง ความสามารถพรสวรรค์บวกกับพรแสวง ของเขา ทำ�ให้เขาได้พบศิลปินที่เขานับถือ แอนดี้ วอร์ฮอล นั่นเอง แต่ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องสวย หรู เพราะในชีวิตเขานั้นต้องพบกับปัญหามากมาย ทั้งแฟนสาว เพื่อนร่วมงาน และนักข่าว ที่ทำ�ให้มี คำ�ครหาว่าพยายามตีสนิทกับวอร์ฮอล เพื่อไต่เต้าสู่ การเป็นศิลปินชื่อดัง มีเพียงยาเสพติดและความรัก เท่านั้นที่ช่วยเขาได้
นามธรรมและความจริงบนผืนผ้าใบ ปี 1941 แจ็คสัน พอลล็อค ประสบปัญหา มากมายในชีวิต ทั้งปัญหาครอบครัวและปัญหาติด เหล้า ขณะที่ความคิดเริ่มตีบตัน บังเอิญพรหมลิขิต ชักพาให้มาพบกับ ลี แครสเนอร์ จิตรกรหญิงที่มอง เห็นคุณค่าความสามารถของไอ้ขี้เมาพอลล็อค และ จะช่วยให้เค้ากลับมาทำ�งานที่ดีได้อีกครั้ง โดยมีข้อแม้ ว่าพอลล็อคต้องเลิกเหล้าให้ได้ทั้งเข้าพรรษาและออก พรรษา จนในที่สุดแม้พอลล็อคจะขายงานไม่ได้เลย แต่เขากลับได้ค้นพบสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ และนั่น ทำ�ให้เขาเป็นที่รู้จักโด่งดัง จนกลายเป็นตำ�นานจนถึง ทุกวันนี้
Frida Kahlo (2002)
Amedeo Modigliani (2004)
นัยยะซ่อนเร้นแห่งรัก และความเจ็บปวด หนังดำ�เนินเรื่องแรกย้อนไปในสมัยวัยเด็ก ของ ฟรีด้า คาห์โล สมัยที่ยังเป็นนักเรียนอยู่ เด็กสาว ธรรมดาที่แสนแก่นแก้วและชอบเล่นอะไร แผลง ๆ แต่แล้ววันหนึ่งชีวิตเธอก็ต้องเปลี่ยนไป เพราะอุบัติเหตุ และการเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้เองที่ทำ�ให้ งานของเธอมีอารมณ์ความรู้สึก เพราะแสดงออกถึง ความเจ็บปวด ทั้งทางร่างกายที่ต้องนอนอยู่บนเตียง และทางจิตใจที่เกี่ยวข้องและลึกซึ้งต่อความรักความ ซื่อสัตย์ต่อสามี งานเขียนของของฟรีด้านั้นถึงแม้ดูไม่ ได้มีเทคนิคหวือหวาอะไร แต่ก็เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ มากมาย ที่ดูแล้วชวนหดหู่และน่าสงสารผู้หญิงแกร่ง อย่างเธอเสียเหลือเกิน
ขี้เมา ไส้แห้ง และอีโก้ ชายผู้มีชัยชนะเหนือปิกัสโซ่! ชื่อของ ปิกัสโซ่ น้อยคนนักที่จะไม่เคยได้ยิน และยิ่งหากคุณสนใจในด้านศิลปะแล้วชื่อของ อเมเดโอ โมดิกลิอานี่ ก็ต้องเป็นอีกชื่อที่คุณคุ้นอย่าง ไม่ต้องสงสัย หนังเรื่องนี้สร้างจากชีวิตจริงของจิตรกร เอกระดับโลก โมดิกลิอานี่ คู่ปรับคนสำ�คัญของ ปิกัสโซ่ เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงสงครามโลก ครั้งที่ 1 ขณะที่ปิกัสโซ่เริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังจากการ ขายภาพวาดราคามหาศาล แต่โมดิกลิอานี่กลับเป็น ได้แค่จิตรกรยาจกผู้ทะนงในศักดิ์ศรี และเมาหยำ�เป หัวรานํ้ำ� อีกทั้งยังมีปัญหาครอบครัวที่ดูแล้วรันทด เหลือเกิน หนังจับเอาช่วงปลายของชีวิตศิลปินชาว อิตาเลี่ยนเชื้อสายยิวมานำ�เสนอ เปิดตัวด้วยภาพหญิง สาวท่าทางโศกเศร้าในชุดสีนํ้าเงินเข้ม ซึ่งถามเราว่า คุณเคยรักใครสักคนอย่างลึกซึ้งถึงขนาดยอมลงนรก ไปกับเขาไหม ? [ 59 ]
Personal Style
Fashion comes and goes but style stays. [ เรื่อง : ธนายุต เตชศิโรดม / ภาพ : ภัทริศ ภิญโญพิพัฒน์ ] ผมกำ�ลังนั่งอยู่ตรงหน้าชายสูงวัย ผู้ส่งสายตาใจดี และอาบรอยยิ้มเมตตาไว้บนใบหน้า ในวันที่ควรจะเป็น วันหยุดของคนอื่น ๆ อย่างวันนี้ร้านตัดเสื้อเล็ก ๆ ยังคงทำ�งานภายใต้หัวเรือใหญ่ของ ‘คุณลุงธีรยุทธ์ ศิลปะศุภกรวงศ์’ ชายผู้ใช้ชีวิตในการทำ�งานตัดเสื้อมากว่า 50 ปีแล้ว
[ 60 ]
[ 61 ]
“ตัดเสื้อมาตั้งแต่รุ่นพ่อแล้ว ตอนนั้นไม่ชอบ เรียน พ่อบอกว่าถ้าไม่เรียนก็ต้องอยู่ร้าน ลุงทำ�มา ตั้งแต่อายุ 12 จนตอนนี้อายุ 67 ก็กว่า 50 ปีมาแล้ว เมื่อก่อนร้านไม่ได้อยู่ตรงนี้ ร้านอยู่ตรงโรงเรียน อัสสัมชัญบางรัก อยู่มาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ สอง สมัยนั้นมีทหารญี่ปุ่นเยอะ ตัดเสื้อผ้า ซ่อมเสื้อผ้า ให้ทหารญี่ปุ่น” คุณลุงเล่าให้เราฟังถึงอดีต กับวิถีทาง แห่งการเป็นช่างตัดเสื้อ ทุกครั้งที่ผมมาร้านนี้ ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำ�ไม ลูกค้าส่วนใหญ่ที่แวะเวียนกันมาถึงเป็นชาวต่างชาติ แม้แต่วันนี้เองก่อนที่จะได้พูดคุยกับคุณลุง ผมได้นั่ง รอเจ้าหน้าที่สถานทูตฝรั่งเศสซึ่งพาเพื่อนมาแนะนำ� ให้ร้านนี้บริการตัดสูทให้ คุณลุงแนะนำ�ให้เราได้ฟังว่า ลูกค้าส่วนใหญ่ที่ นี่กว่า 70 เปอร์เซ็นต์เป็นชาวต่างชาติที่อยู่เมืองไทย มานานแล้ว ส่วนที่เหลือเป็นคนไทย เพราะว่าคนไทย ส่วนใหญ่นั้นชอบสินค้าแบรนด์เนม “คนไทยชอบแบรนด์เนม กลัวว่าแพงด้วย เพราะเห็นร้านเรามีแต่ฝรั่งเข้า คนไทยก็ไม่กล้าเข้า แล้ว คนไทยส่วนใหญ่ติดแบรนด์เนม” “คุณลุงสู้กับพวกแบรนด์เนมได้มั้ย?” เพื่อนผม ที่เป็นช่างภาพพูดเสริมขึ้นมา “บางอย่างมันสู้ผมไม่ได้นะ” คุณลุงยิ้ม ก่อนที่ จะตอบกลับมาอย่างภาคภูมิใจ เมื่อต้องพบปะกับลูกค้าชาวต่างชาติ หลากชาติ หลากภาษา ผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่า คุณลุงติดต่อกับ พวกเขาอย่างไร? “เรื่องภาษาผมก็ไม่ได้เข้าเรียนที่ไหน มาจาก ประสบการณ์จากลูกค้า อันไหนที่ผ้ามันมาเป็นภาษา อังกฤษก็ศึกษาเอา ตอนนี้พูดได้สองภาษาเยอรมัน กับอังกฤษ” [ 62 ]
ผมคุยกับคุณลุงจนยามเย็นยํ่าเข้ามาเยือน ก็คิด ว่าไม่ควรจะรบกวนเวลาคุณลุงมากกว่านี้ พวกเราจึง ตัดสินใจรํ่าลาคุณลุงและขอที่จะมาใหม่ในวันรุ่งขึ้น ... ผมกลับมาอีกครั้งตอนสิบโมงของวันรุ่งขึ้น ประตูของร้านปิดอยู่ ไม่เปิดเหมือนที่เคยเปิดเป็น ประจำ�อย่างทุก ๆ วัน แต่ไฟในร้านเปิดอยู่ทำ�ให้ผม กับเพื่อนช่างภาพตัดสินใจที่จะนั่งรอคุณลุงที่หน้าร้าน ไม่นานเกินคอย คุณลุงก็ไม่ทำ�ให้เราผิดหวัง เดินมา พร้อมด้วยถุงข้าวสารเต็มมือ เจ้าของร้านไม่รอช้าเปิด ประตูนำ�ข้าวสารไปเก็บเอาไว้ ก่อนจะกลับมาหาเพื่อ ที่จะให้พวกเราได้พูดคุยต่อ “เดี๋ยวสาย ๆ ลูกค้าจะเยอะ ต้องก่อน 11 โมง ถึงจะดี” เจ้าของร้านผู้ใจดีให้เหตุผลกับเรา ภายในร้านเต็มไปด้วยผ้ามากมายหลากหลาย รูปแบบ ผมจึงเริ่มต้นบทสนทนาของวันนี้ด้วยคำ�ถาม ที่ว่า ทำ�ไมมันจึงเป็นอย่างนั้น “ร้านเล็กอยู่ในซอยใครจะมาสนใจเรา เราก็ ต้องมีสินค้า ถ้าเราไม่มีผ้าเราอยู่ไม่ได้หรอก มีร้านใหม่ ข้างนอกเยอะแยะ เราต้องมีสินค้าเพื่อดึงดูดให้ลูกค้า ตกใจไปเลย ว่าทำ�ไมร้านเล็ก ๆ แบบนี้ แต่กลับมีผ้า เต็มไปหมด ต้องมีให้เขาเลือก” “ร้านใหญ่ ๆ บางร้านมีสินค้าอยู่นิดเดียว ม้วน ผ้ามันเอาไปไม่ได้หรอก มีผ้าสวย ๆ ให้เขาตัด ให้เขา เอาไปได้ ถ้าไม่มีอะไรเลย ก็ไปเที่ยวห้างดีกว่า” ผม ประหลาดใจกับทัศนคติของคุณลุงผู้เป็นเจ้าของร้าน ในปี 2006 ฌาคส์ ชีรัค อดีตประธานาธิบดี ฝรั่งเศส มาเมืองไทย ทำ�ให้คุณลุงธีรยุทธ์ ศิลปะศุภกร วงศ์ ได้มีโอกาสตัดเสื้อให้กับท่าน ถึงในสถานทูต ฝรั่งเศสนับเป็นเกียรติประวัติของร้านเก่า ๆ เล็ก ๆ จากพื้นที่บางรักแห่งนี้เป็นอย่างมาก ผมมองภาพถ่าย
คู่ระหว่างชายสองสัญชาติ ในใจนึกถึงความเป็นสุด ยอดของทั้งสอง หนึ่งช่างตัดเสื้อหนึ่งผู้นำ�ประเทศ ผมนั่งนิ่งมองภาพนั้นได้ไม่นาน คุณลุงก็หยิบ ปากกาสีทอง และประกาศนียบัตรออกมาอวด พร้อม กับบอกพวกเราว่า ได้รับของสองสิ่งนี้มาจากท่าน “ยังมีคนมีชื่อเสียงคนอื่นอีกมั้ย?” ผมถามด้วย ความอยากรู้ “มีสิ มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ อดีตรองนายก รัฐมนตรีก็เคยมา ยังมีแหม่ม แคทลียา แมคอินทอช พร้อมกับสามีเค้าอีก เจ มณฑล จิรา แต่หลัง ๆ ไม่ ค่อยได้มาแล้วเพราะเค้าไปอยู่ต่างประเทศ” ลุงตอบ อย่างถ่อมตัว เรานั่งคุยกันอย่างสนุกสนาน คุณลุงเล่าให้ฟังว่า ร้านตัดเสื้อที่เจ้าของเป็นแขกเพิ่งเข้ามาสมัยสงคราม เวียดนามจบลง คุยกันไปจนถึงว่าสมัยนี้ ห้างสรรพสินค้าเต็มไปหมดสูทสำ�เร็จรูปก็เยอะแล้ว มันต่างกับสูทตัดยังไง “มันต่างกันสิ สูทสำ�เร็จรูปต้องลองหลาย ๆ ตัว ลองจนพอดี ชอบก็ซื้อ แต่สูทตัดวัดจากตัวเรา คนอื่น ใส่ไม่ได้ มีตัวเดียว มันเป็นงานที่ต้องใช้ความละเอียด เป็นงานศิลปะ” “ร้านเราเหมือนอาหารตามสั่ง จะสั่งอะไรก็ได้ ใส่พริกหรือไม่ใส่ ไม่ใส่ผักหรือใส่ ก็เหมือนกับเสื้อตรง นี้ปกเล็กหน่อยใหญ่หน่อย เอาประเป๋าหรือไม่เอา เข้า รูปไม่เข้ารูป” คุณลุงอธิบายวิธีการของร้านให้พวกผม ฟัง พอฟังถึงตอนนี้ผมรู้แล้วว่าร้านตัดสูทไม่ใช่เรื่อง ง่าย ๆ เพราะต้องคอยตามใจลูกค้า ไม่มีแบบตายตัว แล้วแต่ลูกค้าต้องการ ร้าน A’song tailor ซ.เจริญกรุง 38 โทร 0 - 2235 - 3190
[ 63 ]
One Day Trip
วันเดียว เที่ยวบางรัก [เรื่อง / ภาพ : เวธกา จารุพันธ]์
[ 64 ]
เข้าสู่วันเสาร์-อาทิตย์ทีไร พวกเราหลายคนมักจะชอบนอนอุตุอยู่กับบ้าน แต่
ถ้ามัวนอนอยู่กับบ้านมาก ๆ อย่างนี้ก็น่าเบื่อแย่ ต้องลุกจากเตียงบิดขี้เกียจ หา กิจกรรมยืดเส้นยืดสายหน่อย วันหยุดแบบนี้ จะออกเดินทางไปไหนไกล ๆ ก็คง ไม่สะดวก อย่ากระนั้นเลยหาที่เที่ยวใกล้ ๆ สนุกและสบายตังค์ในกระเป๋าดีกว่า โดยทริปนี้เราจะพาเที่ยวในแบบที่สร้างสรรค์ แปลกใหม่ และที่สำ�คัญสบายเงินใน กระเป๋าแน่นอน ซึ่งแหล่งท่องเที่ยวในครั้งนี้ อยู่บริเวณใจกลางเมือง นั่งรถโดยสาร มาได้สะดวก ไม่ว่าจะเป็นรถโดยสารประจำ�ทาง รถไฟฟ้าหรือรถไฟใต้ดิน นั่นก็คือ ย่านบางรักและถนนเจริญกรุง เขตบางรักนับว่าเป็นย่านเมืองเก่าที่ยังรุ่งเรืองมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากเป็นแหล่งค้าขาย และแหล่งชุมนุมของคนหลากหลายเชื้อชาติ ทั้งแขก ไทย จีน ฝรั่ง ทำ�ให้ย่านบางรักแห่งนี้ มีกลิ่นไอของวัฒนธรรมต่างชาติผสมผสาน กันอย่างลงตัวไม่ว่าจะเป็นสถานที่สำ�คัญต่าง ๆ ในย่านบางรัก รวมถึงมีสถานที่ เที่ยวที่น่าสนใจหลายแห่ง เหมาะอย่างยิ่งสำ�หรับผู้ที่ชอบการถ่ายรูป เราเริ่มต้นการเดินทางที่ สวนลุมพินี สวนสาธารณะขนาดใหญ่ใจกลางเมือง ที่เดินทางมาแสนสะดวก เพื่อสูดอากาศสดชื่นยามเช้าจากแหล่งโอเอซิสใจกลาง เมืองหลวงที่แสนวุ่นวาย หลีกหนีความเครียดจากการทำ�งาน กระตุ้นร่างกาย ตัวเองเบา ๆ ให้พร้อมกับการเดินทาง ด้วยการวิ่งจ๊อกกิ้ง แอโรบิก หรือขี่จักรยาน ยืดเส้นยืดสาย ไล่ความง่วงยามเช้าออกไป
เมื่อร่างกายรู้สึกกระฉับกระเฉง ตื่นตัวจนพอใจแล้ว เราจึงเดินไปตามเส้น ถนนสีลมตอนเช้า ที่มีของกินของขายตั้งวางอยู่เรียงราย เติมพลังงานให้กับตัวเอง เพื่อมุ่งหน้าไปต่อยัง วัดพระศรีมหาอุมาเทวี หรือ วัดแขก ด้วยรถโดยสารประจำ� ทางสาย 77 โดยวัดนี้เป็นวัดของทางศาสนาฮินดู เจ้าแม่อุมา เป็นเจ้าแห่งความ เมตตากรุณา และงามสง่า ผู้คนจึงนิยมกราบไหว้บูชาและขอพร โดยเฉพาะอย่าง ยิ่ง เรื่องความรักและเรื่องการขอบุตร ซึ่งในช่วงปลายปี ราวเดือนกันยายนถึงต้น เดือนตุลาคม จะมีพิธี “นวราตรี” ที่เชื่อกันว่าในช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่เจ้าแม่และ ขบวนเทพจะเสด็จมายังโลกเพื่อประทานพรให้กับมนุษย์ หลังจากที่ขอพรเป็นที่เรียบร้อย เรานั่งรถเมล์สาย 77 ต่อเพื่อไปลงยัง เดอะ สีลมแกลเลอเรีย อาร์ตสเปซ เพื่อซึมซาบกับผลงานศิลปะที่ถูกนำ�มาจัด แสดงหมุนเวียนเปลี่ยนไปทุกเดือน โดยที่แกลลอร่่ีแห่งนี้ นับว่าเป็นที่จัดแสดงงาน ศิลปะที่ใหญ่และมีการจัดแสดงมากครั้งที่สุดแห่งหนึ่ง นอกจากเป็นที่ชุมนุมของ เหล่าผู้เสพงานศิลปะแล้ว ยังสามารถจุดประกายความคิดไอเดียสร้างสรรค์ จาก การดูสิ่งแปลก ๆ ใหม่ ๆ ต่อยอดความคิดอีกด้วย สถานที่อีกหนึ่งแห่งที่ไม่ควรพลาด คือ โบสถ์อัสสัมชัญ โบสถ์เก๋ ๆ สไตล์ ยุโรป และถ้าไปเช้าวันอาทิตย์ที่นี่จะมีพิธีสวดมิซซา โดยมีผู้คนที่นับถือคริสเตียน มากมายเดินทางมาเพื่อฟังสวด เสียงเพลงจากบทสวดทำ�ให้รู้สึกผ่อนคลายและ สงบได้เป็นอย่างดี
[ 65 ]
จากหน้าโบสถ์อัสสัมชัญ ต่อตุ๊กตุ๊กไปซอยเจริญกรุง 43 เพื่อไปยัง พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นฯเขตบางรัก ที่นี่เป็นแหล่งรวบรวมทั้งประวัติความเป็นมาของ เขตบางรัก จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้และบ้านโบราณ เพื่อถ่ายทอดสภาพวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของชาวบางกอกในช่วงก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประตูทางเข้าของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เป็นสิ่งที่ดึงดูดใจแต่แรก ด้วยบานประตู ไม้แบบโบราณ ที่โดยรอบถูกปกคลุมด้วยไม้เลื้อยสีเขียวเข้ม ตัดกับบานประตูสี ครีมอย่างลงตัว โดยเหนือบานประตูมีป้ายเขียนว่า “พิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก” เห็นอยู่เด่นชัด เมื่อเดินเข้ามาภายในก็จะพบกับสวนหย่อมบริเวณหน้าบ้าน ที่มี บรรยากาศร่มรื่น ทั้ง ๆ ที่เป็นเวลากลางวันและอยู่ข้างนอกอาคารแต่กลับไม่ รู้สึกร้อน เพราะร่มเงาของต้นไม้ช่วยลดทอนความร้อนจากดวงอาทิตย์ ทำ�ให้รู้สึก อากาศถ่ายเทปลอดโปร่ง เย็นสบาย โดยพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นของ คุณยายวราพร สุรวดี ซึ่งได้ยกบ้านให้ ทาง กรุงเทพมหานครเพื่อเป็นพิพิธภัณฑ์ให้แก่เขตบางรัก ภายในบริเวณมีอาคารหลัก 3 หลังและอาคารสำ�นักงานห้องสมุด อาคารหลังแรกเป็นเรือนไม้ทรงปั้นหยา ตกแต่งด้วยสไตล์ตะวันตก ส่วนอาคารหลังที่สองจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ของ [ 66 ]
คุณหมอฟรานซิส คริสเตียน นายแพทย์ชาวอังกฤษที่เคยมาเปิดคลินิกในบางรัก ส่วนอาคารหลังที่สามจะอยู่ด้านในสุดจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้และสภาพชีวิต ความเป็นอยู่ของคนสมัยก่อน ซึ่งที่นี่เปิดบริการตั้งแต่วันพุธถึงวันอาทิตย์ โดยไม่ เสียค่าเข้าชม เมื่อเราเดินออกจากพิพิธภัณฑ์ไปทางขวามือ เดินย้อนไปตามถนนสุรวงศ์ ก็ จะพบกับ ห้องสมุดเนียลสัน เฮส์ ที่ได้ชื่อว่าเป็นห้องสมุดที่สวยที่สุดในกรุงเทพ เป็นห้องสมุดหนังสือภาษาอังกฤษ ที่รวบรวมหนังสือ Fiction และ non-fiction ไว้มากมาย และยังจัดแสดงนิทรรศการศิลปะที่จัดเปลี่ยนเป็นประจำ�ทุกเดือน นอกจากนั้นยังมี คาเฟ่แกลลอรี่ในสวน ไว้นั่งผ่อนคลายยามบ่าย ดื่มนํ้าผลไม้นั่งชม งานศิลปะอย่างเพลิน ๆ จากนั้น เราก็เริ่มเดินทาง ไปยังวัดไทยในย่านคนจีนอย่าง วัดไตรมิตรวิทยา รามวรวิหาร โดยขึ้นรถเมล์สาย 93 จากหน้าห้องสมุด ไปลงหน้าไปรษณีย์กลาง เพื่อต่อรถเมล์สาย 1 ไปยังวัดไตรมิตร หรือเดิมเรียกว่า วัดสามจีน เป็นวัดโบราณ ขนาดใหญ่ที่ได้รับการบูรณะต่อเติมจนสวยงาม จุดเด่นของวัดนี้ คือ พระสุโขทัยไตรมิตร เป็นพระพุทธรูปทองคำ�ที่ใหญ่ที่สุด และได้รับการบันทึกใน
หนังสือกินเนสบุ๊คออฟเรกคอร์ด นอกจากนี้ภายในวัดยังมีพิพิธภัณฑ์จัดแสดงวัตถุ โบราณ เก็บรักษาของมีค่าเอาไว้อีกด้วย ข้ามจากฝั่งวัดไตรมิตรมาก็จะเป็นเส้นถนนเยาวราช ไชน่าทาวน์ของเมือง ไทย ที่นี่เหมาะกับการเดินหาของกินยามเย็น ถนนสองฝั่งข้างทางเรียงรายไปด้วย ร้านอาหารและร้านแผงลอย โดยตกดึกถนนเส้นนี้จะยิ่งคึกคักและคลาคลํ่าไปด้วย ผู้คนมากมายที่มาหาของอร่อย ๆ กินนอกบ้าน สายตาของพวกเราไปสะดุดกับ ร้านแคนตัน ที่ขายติ่มซำ� เข่งละ16บาท บรรยากาศในร้านกว้างขวาง นั่งสบาย เมื่อติ่มซำ�ถูกยกออกมา พวกเราไม่รอช้าที่จะจัดการบรรดาขนมจีบและของนึ่ง ร้อน ๆ รสชาติอร่อยอย่างรวดเร็ว ซึ่งนอกจากการทานอาหารในร้านแล้ว บรรดา แผงอาหารข้างทาง ก็มีผู้คนต่อคิวรอซื้อเยอะไม่แพ้กัน เมื่อกินอิ่มหนำ�สำ�ราญจนพอใจแล้ว จึงย้ายที่ไปเดินเล่นที่ ตลาดนัดไฟฉาย หรือตลาดนัดคลองถมตอนกลางคืน นับว่าเป็นตลาดนัดมือสองที่มีชื่อเสียงมา นาน เดินทางมาจากเยาวราชได้สะดวกเพราะอยู่ละแวกใกล้เคียงกัน ซึ่งที่นี่จะเปิด เฉพาะวันเสาร์ตั้งแต่ห้าโมงเย็นไปถึงเช้าวันอาทิตย์เท่านั้น โดยเริ่มตั้งแต่บริเวณ ร.พ.กลางและแยกวรจักร บรรยากาศของที่นี่คึกคักไม่แพ้คลองถมตอนกลางวัน
โดยสินค้าที่นำ�มาขาย มีตั้งแต่ของเล่นเด็ก กระเป๋า เสื้อผ้า รองเท้า หนังแผ่น ของ สะสม ของเก่าย้อนยุค มีดพับ ไฟฉาย อะไหล่รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ไปจนถึงขาย รถมอเตอร์ไซค์ จักรยาน โดยมีทั้งของมือหนึ่งและมือสอง ขึ้นอยู่กับว่า ใครตาดี ได้ตาร้ายเสีย เพราะด้วยร้านค้าที่เยอะแยะและผู้คนที่คับคั่ง สินค้าจึงมีปะปนกัน ไปหลายเกรด และเวลาเดินก็ควรระมัดระวังข้าวของมีค่าของตัวเองเนื่องจากเป็น เวลากลางคืน ควรหาเพื่อนไปด้วย นอกจากจะปลอดภัยกว่าแล้ว ยังซื้อของได้ สนุกกว่าด้วย ถึงช่วงเวลากลางคืนอากาศเย็น ๆ อย่างนี้ ขอแนะนำ�ให้ไปถ่ายรูปวิวสวย ๆ ของสะพานพุทธตอนกลางคืนเป็นการปิดท้าย ด้วยเสน่ห์ของสะพานโครงเหล็กสี เขียว ที่ตัดกับสีของท้องฟ้ายามคํ่าคืน มีแสงจากโคมไฟสีนวลช่วยเพิ่มความสว่าง แบบคลาสสิก ทำ�ให้เกิดเป็นภาพประทับใจส่งท้ายการเดินทางอย่างสนุกสนาน ตลอดทั้งวัน
[ 67 ]
AGGRESSIVE ATTRACTION Stylist : Sathapat Rujichaiyawat Photographer : Patarit Pinyopiphat
[ 69 ]
[ 70 ]
[ 71 ]
[ 74 ]
[ 75 ]
[ 76 ]
[ 77 ]
นางแบบ : จอมขวัญ ลีละพงค์ประสูต นายแบบ : กล้าณรงค์ มาโชค เครื่องสำ�อาง : BEAUTY BUFFET ทำ�ผม : อรรถพล จิรัฐิติกาลดำ�เกิง เสื้อผ้า : CHAPS รองเท้า : MANEESILP เครื่องประดับ : mob.F
Fashion Preview
หนุ่มสาวแฟชั่นนิสต้าที่กำ�ลังชั่งใจว่า จะโยน กองเสื้อผ้าและแอ็คเซสเซอรี่สไตล์ Army ที่เพิ่งจะ เหมากันมาในฤดูกาลที่ผ่านมาเข้าตู้ คงพอมีโอกาส ได้ถ่วงเวลากันสักเล็กน้อย… เมื่อบรรดาเหล่าดีไซเนอร์และเทรนด์เซตเตอร์ ชื่อดัง ออกมาประกาศอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “หนาวนี้ ... ทหารยังแรง!” วินาทีนี้คำ�ยืนยันชั้นดีคงหนีไม่พ้นบรรดางาน ดีไซน์จากหลายรันเวย์ ที่ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็ได้ สัมผัสกับกลิ่นไอของทหาร แต่ขอยํ้าว่าใช้เป็น “แค่กลิ่นไอ” เท่านั้น เล่นทำ�เอาใครที่จะหยิบเสื้อ ลายทหาร(แบบเก่า)ออกมา ...เป็นอันต้องพับเก็บไว้ก่อน...
FUNCTIONAL MILITARY STYLE in FALL 2010 [ เรื่อง : สถาปัตย์ รุจิไชยวัฒน์ ]
เพราะคีย์ลุคถูกกำ�หนดให้สะท้อนความเท่ของ เครื่องแบบทหาร ออกมาเพียงแค่ในรูปของสัญลักษณ์ ที่แว่วว่าส่วนใหญ่ได้รับแรงบันดาลใจจากยุค 20s จึงทำ�ให้มาดหนุ่มสาว Army ถูกซ่อนไว้ในดีเทลส่วน ต่าง ๆ บนเสื้อผ้าแทน ไม่ว่าจะเป็นจากกระดุมทอง เม็ดโต แจ๊คเก็ตหนัง รองเท้าบู๊ทสั้น สีหลักอย่างเขียว ทหาร หรือจาก สีรองอย่างนํ้าเงินนาวี หนุ่มสาวแฟชั่นนิสต้ารู้อย่างนี้แล้ว จากที่ต้อง พับเสื้อเก่าเข้ากรุ คงพอทำ�ให้ยิ้มออกกันได้บ้าง ... ใช่ไหมล่ะ?
[ 80 ]
THE NEW
MINIMALISM in FALL 2010
[ เรื่อง : สถาปัตย์ รุจิไชยวัฒน์ ]
เรากำ�ลังจะก้าวผ่านฤดูกาลแห่งไอแดดและ ลมร้อน สู่ความสดชื่นและหนาวเย็นแล้วนะ ... ฤดูที่คนรักแฟชั่นรอคอยมากที่สุด ที่บอกอย่างนั้นก็เป็นเพราะว่าลมหนาว ทำ�ให้ เรา ๆ กล้าที่จะสามารถแต่งตัวแบบสิบเต็มสิบ จะใส่ กี่ชิ้น กี่เลเยอร์ซ้อนทับกันก็ทำ�ได้อย่างใจ หรือถ้า อยากจะประโคมใส่ accessory หวือหวาก็ทำ�ได้ แบบไม่ต้องแคร์สภาพอากาศ ... แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า อาการ ‘เยอะ’ จะทำ�ให้คุณอยู่รอดได้เสมอไปในฤดูกาลนี้ ...
ตัวเลือกที่ดีที่สุดจึงหนีไม่พ้นการแต่งแบบ minimalism ที่พอจะให้คำ�จำ�กัดความได้ว่า เรียบ ๆ แต่เก๋ และสีที่จะทำ�ให้คุณดูคลาสสิกอยู่ ตลอดไม่ว่าจะเป็นหนาวไหน ๆ คือ สีดำ� สีขาว และ สีเทา ซึ่งต้องถูกนำ�มาแมตช์กับเสื้อผ้าที่มีดีเทล สะอาดตา ไม่เลอะเทอะ อีกสิ่งสำ�คัญที่ต้องระลึกไว้เสมอนั่นคือ เมืองไทยเราอุณหภูมิตํ่าสุดไม่เคยเกิน 28 องศา!! ชนิดที่ว่าออกไปหน้าปากซอย ก็ยังมีเหงื่อไหลซึมให้ เห็นอยู่ ฉะนั้นจะให้แต่งตัวถอดแบบจากรันเวย์แบบ head to toe มีหวังได้ลมจับกันไปข้าง คำ�เตือนคือเอาแบบพอดี ๆ รู้จักมิกซ์แอนด์ แมตช์ ... ไม่ต้องเต็มยศ เคยได้ได้ยินไหมล่ะ ... less is more
[ 81 ]
BJD
ตุ๊กตาที่ไม่เป็นเพียง ‘ตุ๊กตา’ [ เรื่อง : วรินทร์ กมลศักดิ์พิทักษ์ / ภาพ : jkboy / comichub]
[ 82 ]
Hobby Room
ไม่
ว่าจะเป็นเด็กคนไหน ในยุคสมัยไหนหรือเชื้อชาติใด ก็ต้องเคยมีสักครั้งที่ต้องมีตุ๊กตากอดไว้แน่น ๆ ในอ้อมแขน ข้อเท็จจริงนี้ได้ลามมาถึง ยุคปัจจุบันที่ของเล่นเด็กชนิดนี้จะกลายเป็นของเล่นที่ผู้ใหญ่ตัวโต ๆ อย่างเรา อยากมีไว้ในครอบครอง เห็นได้จากกระแส ‘ตุ๊กตาบลายธ์’ เจ้าหนูหัวโตตาใสแป๋วที่ฮิตติดลมบนอยู่ช่วงหนึ่งถึงขนาดที่ผู้คนแห่ซื้อมาสะสมกันเป็นสิบเป็นร้อยตัว แม้ว่ากระแสนิยมตุ๊กตา บลายธ์จะซาลงไปแล้ว แต่กลับทิ้งควันหลงค่านิยมหลงใหลตุ๊กตาไว้ หนึ่งในนั้น คือ ตุ๊กตา BJD
ตุ๊กตาชนิดนี้ มีชื่อเต็ม ๆ ว่า Ball joint doll มีที่มาจากลักษณะพิเศษ ของตุ๊กตา นั่นคือเป็นตุ๊กตาที่มีข้อต่อเป็นบอล และเบ้า คือชิ้นส่วนต่าง ๆ เช่น ระหว่างแขนท่อนบน และแขนท่อนล่างจะเป็นเบ้าลึกลงไป และมีชิ้นส่วนเป็นลูก กลม ๆ แทรกระหว่างท่อนแขนทั้งสองชิ้น และยึดชิ้นส่วนต่าง ๆ ด้วยเชือกยางยืด ผิวตุ๊กตาทำ�จากเรซิ่นให้ผิวสัมผัสเรียบลื่น ทั้งหมดนี้ส่งผลต่อการปรับท่าทางของ ตุ๊กตาที่ทำ�ได้โดยอิสระ ได้แทบจะเหมือนกับข้อต่อของมนุษย์ ชนิดที่ว่าทิ้งบาร์บี้ยุค เก่าไปอย่างไม่เห็นฝุ่น แต่สิ่งที่ทำ�ให้เหล่านักสะสมหลงรัก BJD เข้าให้ ก็เพราะหน้าตาที่น่ารัก รวม ทั้งรูปร่างสัดส่วนที่สวยหล่อได้เหมือนตัวการ์ตูนหรือคนจริง ทั้งยังมีรูปหน้าที่หลาก แบบ หลายบุคลิก ต่างจากตุ๊กตาบลายธ์ที่มีขนาดหัวใหญ่กว่าสัดส่วนลำ�ตัว และมี ใบหน้าแบบเดียวเท่านั้น และอย่าคิดว่าจะมีแต่สาว ๆ เท่านั้นที่เล่นตุ๊กตา หนุ่มตากล้องฝีมือดีอย่าง คุณบอย (jk boy) ก็หลงใหลตุ๊กตา BJD เข้าอย่างจังด้วยเช่นกัน จากที่เห็นครั้ง แรกใน Forward mail และได้พบกับตัวจริงที่ร้านขายฟิกเกอร์ และของสะสม ต่าง ๆ ด้วยความที่สนใจพวกฟิกเกอร์เป็นทุนเดิม และสะสมชุดผ้าของสะสมจาก หนังเป็นงานอดิเรกอยู่แล้ว ก่อเกิดเป็นแรงจูงใจให้เริ่มต้นซื้อ BJD ตัวแรก “BJD มีเสน่ห์ที่ไม่เหมือนตุ๊กตาแบบอื่นนะผมว่า สัดส่วนเหมือนคนด้วย ประกอบกับชอบถ่ายรูปอยู่แล้ว พอมาเจอนางแบบที่ถ่ายรูปขึ้นขนาดนี้ คง พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวงครับ นอกจากนี้ผมรู้สึกว่า BJD เหมือนเป็น ศิลปะแขนงหนึ่งที่รวมศาสตร์หลาย ๆ อย่างเข้าด้วยกัน ทั้งงานปั้น งานวาด งานดีไซน์ เช่นการออกแบบในเชิงสรีระ หรือการออกแบบเสื้อผ้า หน้า ผม ที่ ทำ�ให้ BJD แต่ละตัวมีเอกลักษณ์ นอกจากนี้ยังเป็นงานทำ�มือ ทำ�ให้ดูมีคุณค่า มาก ๆ ” นี่คือมุมมองหนึ่งของช่างกล้องผู้หลงเสน่ห์ BJD เข้าเต็มเปา BJD มีหลายรุ่น หลากขนาด แบ่งโดยพื้นฐานเป็นสามรุ่น คือ รุ่นใหญ่ (Large) จะมีขนาดประมาณ 45 เซนติเมตรขึ้นไป รุ่นกลาง (Mini) มีขนาด ประมาณ 35 – 45 เซนติเมตร และ รุ่นเล็ก (Tiny) ตุ๊กตาที่มีขนาดเล็กกว่า 35 เซนติเมตรลงไป ซึ่งแต่ละรุ่นถ้าตัวโตก็มักจะมีหน้าตาแบบผู้ใหญ่ หรือวัยรุ่นที่ ค่อนข้างโต ส่วนรุ่นเล็กสุดอย่าง Tiny ก็จะมีหน้าตาแบบเด็ก ๆ น่ารักน่าชัง หรือแม้กระทั่งตุ๊กตา BJD รูปสัตว์ก็มีให้เห็น ตุ๊กตา BJD ถูกผลิตออกมาจากหลากหลายบริษัท ส่วนใหญ่จะมาจากญี่ปุ่น จีน เกาหลี แต่บริษัทที่ให้กำ�เนิดตุ๊กตา BJD ขึ้นเป็นครั้งแรกคือบริษัทโวค (Volks)
จากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งในปัจจุบันก็ยังควบยึดตำ�แหน่งบริษัทยอดนิยม อันดับ ต้น ๆ ของเหล่านักเล่น BJD ทั่วโลก ด้วยทั้งหน้าตา และคุณภาพ แม้ว่าจะมี ราคาค่อนข้างสูงกว่าตุ๊กตาที่ผลิตโดยบริษัทอื่นก็ตามแต่กว่าจะมาเป็นตุ๊กตา สวย ๆ อย่างที่เห็นตามท้องตลาด ยังต้องผ่านขั้นตอนสารพัด ในเริ่มแรกตุ๊กตา BJD จะมีเพียงส่วนหัว กับส่วนลำ�ตัวเปล่า ๆ โล้นเกลี้ยง จึงต้องถูกจับแปลงโฉม เสียก่อน ตั้งแต่การแต่งหน้า (Face-up) ใส่ลูกตา และวิกผม ก่อนจะจบลงที่การ เลือกเสื้อผ้ากำ�หนดสไตล์ให้ตุ๊กตาของเรา ฟังดูยุ่งยากก็จริง แต่นั่นหมายความว่า เราสามารถเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของเด็ก ๆ เหล่านี้ได้แทบจะหัวจรดเท้า! ดังนั้นแม้ว่าจะเลือกตุ๊กตาจากบริษัทเดียวกัน รุ่นเดียวกัน เพียงแค่ปรับ เปลี่ยนรูปแบบเหล่านี้ ‘เด็ก ๆ’ ของเราก็จะแตกต่างจากตุ๊กตาตัวอื่นได้ เรียก ได้ว่าเราสามารถกำ�หนด ‘บุคลิก’ ให้กับตุ๊กตาเหล่านี้ได้อย่างไร้ขอบเขต พูดได้ ว่า BJD ไม่เป็นเพียง ‘ตุ๊กตา’ แต่ยังเป็น ‘เพื่อน’ หรือ ‘ลูกชายลูกสาว’ ที่น่ารัก ของบรรดาคุณพ่อคุณแม่อีกด้วย ความสนุกจากการเล่น BJD ยังไม่จบเพียงเท่านี้ นอกจากเอามาจับแต่ง ตัวถ่ายรูปแล้ว ยังสามารถที่จะออกแบบ และตัดเสื้อผ้า ให้เด็ก ๆ เหล่านี้ได้อีก ด้วย คุณแอน (comic hub) หนึ่งในเจ้าของร้าน Dollwhy ร้านขายสินค้า จำ�พวกเสื้อผ้า เครื่องประดับออนไลน์สำ�หรับ BJD โดยคนไทย กล่าวไว้ว่า เธอ เริ่มต้นจากความชื่นชอบในตัวตุ๊กตา และทำ�ของใช้สำ�หรับ BJD กับกลุ่มเพื่อนที่ ชอบ BJD ด้วยกัน พอหลายคนทักว่าของที่ทำ�ออกมาสวย เลยเกิดความคิดตั้ง เป็นร้านขึ้นมา โดยงานแทบทุกชิ้นเป็นงานทำ�มือ และมาจากใจรักของเธอ และ เพื่อนจริง ๆ ใช่ว่าทุกคนจะหาตุ๊กตา BJD มาครอบครองได้ง่าย ๆ เพราะราคาที่เล่นเอา เหงื่อตก ตั้งแต่ประมาณ $300 ไปจนถึง $900 ขึ้นอยู่กับขนาด วัสดุที่ใช้ ระบบ ข้อต่อที่ยิ่งขยับเปลี่ยนท่าได้ดีก็ยิ่งมีราคาสูง หากเป็นรุ่นที่หายาก และมีการ ประมูล ราคาก็ไปได้ถึงหลักแสนบาทของไทย! คุณแอนได้ฝากข้อคิดไว้ว่า ไม่อยากเห็นคนซื้อ BJD เพราะตามแฟชั่น เนื่องจาก BJD กำ�ลังเป็นกระแสบูม พอหายเห่อก็ทิ้งขว้าง หรือเด็ก ๆ ที่ยังไม่มี รายได้ แต่รบเร้าพ่อแม่ให้ซื้อ BJD ซึ่งมีราคาแพงให้ ในฐานะที่เราเป็นเหมือนรุ่น พี่ในวงการนี้ก็อยากให้ผู้เล่นใหม่ศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจซื้อ BJD มาเล่น ดังนั้นหากจะคิดรับตุ๊กตา BJD มาดูแลที่บ้านสักตัว ก็อย่าเผลอหลงเสน่ห์ ความน่ารัก จนลืมพิจารณาให้รอบคอบก่อนด้วยล่ะ! [ 83 ]
Mannerism
TECHNOLOGY
VICTIM [ เรื่อง : สถาปัตย์ รุจิไชยวัฒน์ / ภาพ : ภัทริศ ภิญโญพิพัฒน์
เดี๋ยวนี้ใครไม่มีบีบี (แบล็กเบอร์รี่) ในมือต้อง กลายตัวเลือก ‘ไม่เข้าพวก’ ในข้อสอบไปเสียอย่าง นั้น … ยุคนี้คงต้องเรียกว่า เป็นยุคแห่งการติดต่อ สื่อสาร ที่ถูกอำ�นวยความสะดวกด้วยอุปกรณ์ไฮเทค และ gadget เก๋ ๆ จำ�นวนมาก เพราะไม่ว่าจะหันไป ทางไหนก็มีแต่คนล้วงเอาบีบี ไอโฟน ออกมาแขวน คอไว้ ให้รุงรังกันไปเสียหมด แต่ก็เพราะความสะดวก ที่ถูกอำ�นวยให้นี่เอง ที่สุดท้ายกลายเป็นเครื่องมือ สร้าง ‘มารยาท’ ที่เสื่อมลงหรือพฤติกรรมเห็นแก่ ง่ายเข้าว่า อันผิดไปจากสังคมแต่ก่อน ... ก่อให้เกิด [ 84 ]
ความรำ�คาญใจแก่ผู้พบเห็นไม่มากก็น้อย ที่พบเห็นบ่อยคือในขณะที่กำ�ลังชมภาพยนตร์... บ่อยครั้งที่เราจะเห็นใบหน้าของคนในแถวเดียวกัน วูบขึ้นมาด้วยแสงไฟจากหน้าจอมือถือ คำ�ถามที่เกิด คือ ... ทำ�ไมไม่ปิดเครื่อง? กรุณาตัดเรื่องธุระสำ�คัญ ภารกิจเร่งด่วน ที่ จะนำ�มาเป็นข้ออ้างออกไป และทำ�ใจเสียว่าเวลาชม ภาพยนตร์ไม่ใช่เวลาสำ�หรับการติดต่อธุระ คุณต้อง รู้ตัวมาก่อนแล้วว่าคุณมีเวลา ‘ว่าง’ ถึงได้เลือกมานั่ง ไขว่ห้าง ทานป๊อปคอร์นกับคนรู้ใจ หรือกลุ่มเพื่อน สาวของคุณอย่างที่กำ�ลังทำ�อยู่ ฉะนั้น หากเห็นป้ายห้าม ‘กรุณาปิดเครื่องมือ
สื่อสารทุกชนิด’ ก็จงปิด อย่าทำ�เซียนแหกกฎ ปิด เฉพาะเสียง เพราะบางทีสัญญาณจากลูกรักของคุณ อาจก่อให้เกิดความรำ�คาญใจไปจนถึงความหายนะ ที่อาจสร้างความอันตรายถึงแก่ชีวิตก็เป็นได้ ถ้าป้าย ลักษณะนี้ดันไปติดอยู่บนเครื่องบิน หรือโรงพยาบาล พวกที่ปิดเสียงก็ถือว่าเป็นพระคุณอยู่มาก เพราะถ้าได้เจอกลุ่มที่เล่นเปิดเสียงเอาไว้แบบตั้งใจ ตั้งแต่หนังเริ่มยันหนังจบนี่สิ !!??!! เอาล่ะถ้า ‘แกร๊ก’ แรกมันไม่ได้ตั้งใจ ลืมปิด แล้วต่อไปเงียบอันนี้พอ อภัย แต่นี่มี ‘แกร๊ก’ สอง ‘แกร๊ก’ สาม ยาวไปถึง ‘แกร๊ก’ สิบห้า ... หมายความว่าคุณยังอยากจะดู หนังอยู่หรือเปล่า?
ความสะดวกสบายของการติดต่อสื่อสาร ที่ เวลานี้ทำ�ให้เรา ๆ สามารถอยู่ในสังคมออนไลน์ได้ ตลอดเวลาและที่สำ�คัญคือที่ใดก็ได้ จึงทำ�ให้พบอีก หนึ่งพฤติกรรมที่เห็นแล้วทนไม่(ค่อยจะ)ได้คือ พวกที่ชอบแสดงอาการ ‘ขี้เห่อ’ จนออกนอกหน้า เพราะเดี๋ยวเล่นหยิบเครื่องนี้ที เครื่องนั้นที เสียง ตอบรับบีบีดังที ต้องรีบตอบกลับชนิดที่เรียกว่ากลัว อีกฝ่ายจะต่อว่าถ้าปล่อยให้รอนาน หรือแสดงความ กังวลกับการอัพเดตสเตตัสเฟสบุ๊ค ไฮไฟว์ บอกพิกัด องศาตัวเองอยู่ทุก ๆ 5 นาที ... เห็นแล้วเหนื่อยแทน จริง ๆ ไม่รู้จะอเลิร์ทไปไหน
อีกพฤติกรรมที่ไม่ควรทำ�อย่างยิ่ง คือการ คุกคาม กดดันคนรอบข้างให้กลายเป็นพวก เทคโนโลยีจ๋าอย่างที่คุณเป็น เช่นการทำ�หน้าเหยเก เบ้ใส่คนที่ไม่มีหรือไม่รู้จัก ซํ้ายังพาลไปกดดันถาม คนรอบข้างว่า ‘เมื่อไหร่จะใช้บีบี’ ‘ไปซื้อไอโฟน 4ได้แล้ว’ ‘มีได้แล้วนะ… ก่อนเค้าจะเลิกใช้กัน’ !!!!???!!!! สิ่งที่คนเหล่านั้นควรทำ�กันตอนนี้คือการหัน กลับไปมองว่าเวลาที่ผ่านมาเราอยู่กันโดยไม่มีมัน ได้อย่างไร แน่นอนว่าผมเองไม่ได้ปฏิเสธการเข้ามา ของเทคโนโลยี และยอมรับด้วยว่าการเปลี่ยนแปลง
ของสังคมปัจจุบันเราที่จำ�เป็นต้องก้าวให้ทันโลก ซึ่ง ทั้งหมดต้องอาศัยความสะดวกและรวดเร็วในการ ติดต่อสื่อสารหรือค้นหาข้อมูล แต่ก็จงอย่าลืม ... ว่าวันหนึ่งเราเคยต้องเข้า ห้องสมุดเพื่อหาหนังสืออ้างอิงมาทำ�รายงาน ที่ นอกจากจะไม่ใช้ทักษะการคลิกเม้าส์ก็อปปี้เร็ว และ ใช้คีย์บอร์ดบรรจงชื่อผู้จัดทำ� ... วันนั้นเรายังต้องเขียนรายงานฉบับนั้นด้วยมือ ของเราอีกต่างหาก
[ 85 ]
CUBE by moody’s bar
pub and restaurant [ เรื่อง : เวธกา จารุพันธ์ / ภาพ : ภัทริศ ภิญโญพิพัฒน์ ]
[ 86 ]
บนถนนสาทรที่กำ�ลังจะเป็นถนนเส้นธุรกิจแห่งใหม่ในไม่ช้า ด้วยการที่มีรถไฟฟ้าบีทีเอสตัดผ่าน และเป็นจุดเริ่มของสถานีรถบี อาร์ที คอนโดมิเนียมที่เกิดขึ้นมากมายอย่างรวดเร็ว ได้มีร้านอาหาร เล็ก ๆแห่งหนึ่งเกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของคนเมืองย่าน ฝั่งธนฯ ที่มีไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปเป็นเหมือนฝั่งพระนครมากขึ้น พี่ตู่ เจ้าของร้าน CUBE เป็นสถาปนิกหนุ่มที่ผันตัวจากงาน ออกแบบตกแต่งภายในร่วมหุ้นกับเพื่อนอีกคนคือพี่ส้ม โดยต่อยอด ความคิดมาจากร้าน Moody ซึ่งเป็นร้านของพี่ชายพี่ส้ม โดยชื่อร้าน CUBE มีที่มาจาก พื้นที่สี่เหลี่ยม ที่เป็นที่ตั้งของร้าน การออกแบบ ตกแต่งจึงยึดหลักคอนเซ็ปต์ cube หรือ ลูกบาศก์สี่เหลี่ยม โดยตัว อาคารตกแต่งสไตล์ Modern Rods เน้นสีขาว ดำ� เทา เหลือง โดยมี พี่ตู่เป็นคนออกแบบเองทั้งหมด มาถึงด้านเมนูอาหาร ที่นี่ก็มีอาหารจานเด็ดมากมายกว่าร้อยเมนู ที่หน้าตาต่างมีสไตล์เชิญชวนไม่แพ้การตกแต่งร้าน โดยจานแรกชื่อฟัง แล้วสะดุดหู “ขออีกจาน” เป็นออเดิร์ฟเรียกนํ้าย่อย ด้วยปลาหมึกแห้ง ฉีกเป็นเส้น คั่วกับตะไคร้ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ปรุงรสด้วยนํ้าซอสสูตร เด็ด กินเพลินไม่รู้ตัว จนต้องสั่งขออีกจาน จานต่อมา “ปีกไก่ใบเตย กรอบ” ปีกไก่หมักทอดกรอบผ่าเป็นสองซีก เพื่อให้หยิบกินได้ง่าย โรย หน้าด้วยใบเตยซอยทอดกรอบ เพิ่มกลิ่นหอม ถ้าอยากซดนํ้าซุปรส เข้มข้นให้คล่องคอต้องชามนี้“ต้มแซบกระดูกอ่อนผักกาดดอง” จุด เด่นอยู่ที่ใช้ผักกาดดองเสริมรสเปรี้ยวนำ� ก่อนเคี้ยวกรุบ ๆ กับกระดูก อ่อนที่เนื้อเปื่อยนุ่มกำ�ลังดีผสานกับนํ้าซุปรสชาติกลมกล่อม มาถึงจาน เด็ดที่ทางร้านภูมิใจนำ�เสนอ “กุ้งฟู” ใช้กุ้งแม่นํ้า รสสดหวาน สับให้ เนื้อละเอียด แล้วเอาไปทอดจนขึ้นฟูผสมกับเกล็ดขนมปัง ทานคู่กับนํ้า ยำ�มะม่วง ได้รสสัมผัสแตกต่างจากปลาดุกฟูตรงที่หนึบกว่าและกลิ่น หอมกว่า
อีกหนึ่งเมนูนี้ชื่อเหมือนธรรมดา แต่รสชาติไม่ธรรมดากับ “ปลาช่อนลุยสวน” ที่ทางร้านนำ�ปลาช่อนทั้งตัวมาทอด จนเหลือง กรอบต่างจากปกติที่ใช้การนึ่ง ราดด้วยนํ้าจิ้มซีฟู้ดเสริมรส เสิร์ฟพร้อม ผักสดเป็นเครื่องเคียง ปิดท้ายด้วย “หมูตะไคร้” คอหมูหมักสูตรพิเศษ ของร้านนำ�ไปทอด จิ้มกับนํ้าจิ้มแจ่ว โรยหน้าด้วยตะไคร้ทุบทอดกรอบ ยิ่งได้ทานคู่กับ “นํ้าแตงโมปั่น” ที่เจ้าของร้านเลือกซื้อแตงโมเองกับมือ ช่วยเพิ่มความอร่อยเด็ดให้กับทุกจาน ร้าน CUBE เปิดตั้งแต่ ห้าโมงเย็นถึงตีหนึ่ง เหมาะเป็นช่วงผ่อน คลายสำ�หรับการเลิกงาน พบปะสังสรรค์กับเพื่อน ๆ และสักช่วง ประมาณสองทุ่มทางร้านจะมีวงดนตรีมาเล่นสด ๆ หมุนเวียนกันทุก วัน นอกจากนี้สำ�หรับใครที่ต้องการคุยงานไป ทานข้าวไป ทางร้านก็มี บริการ Wi-Fi ฟรี ไว้รองรับ ขอแนะนำ�สำ�หรับใครที่ยังไม่มีโปรแกรมที่ไหนสำ�หรับเย็นนี้ ร้าน CUBE ก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ ด้วยร้านสวยน่านั่ง อาหาร อร่อย บรรยากาศเป็นกันเอง ดนตรีเพราะ เดินทางสะดวกใกล้กับรถ ไฟฟ้าบีทีเอสสถานีวงเวียนใหญ่ หรือถ้าขับรถมาเองก็ไม่ต้องเป็นห่วง สำ�หรับที่จอด ที่นี่มีบริเวณที่จอดรถได้ถึง 50 คันค่ะ
CUBE 151/8 ถ.ราชพฤกษ์ แขวงบางยี่เรือ เขตธนบุรี เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่ 17.00-01.00 น. โทร. (02) 477-8335
[ 87 ]
Preserve
“กิมจิ๊กิมจิ” [เรื่อง /ภาพ : มัณฑนา เถื่อนนาดี]
บิบิมบับ
จาจังเมียน
เจินจูจอนโกล [ 88 ]
“กิมจิ๊กิมจิ” ร้านอาหารเล็ก ๆ น่ารักสไตล์เกาหลี๊เกาหลีร้านนี้ ตั้งอยู่ในซอย รังสิตภิรมย์ ข้างมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (ย่านรังสิต) ถ้าหากใครมีธุระแถวนี้ แวะ เข้ามาทักทายเจ้าของร้าน คุณจิ๊บและคุณคิม ที่คอยต้อนรับลูกค้าด้วยความเป็น กันเองได้เสมอ นอกจากเจ้าของร้านที่น่ารักแล้ว บรรยากาศภายในร้านยังอบอวล และอบอุ่นไปด้วยโทนสีนวลส้ม การตกแต่งภายในร้านเน้นสีสันสดใส คลอเคล้า ด้วยเสียงเพลงแนวสบาย ๆ ชวนให้เคลิ้มไปกับบรรยากาศสบาย ๆ และอาหาร อร่อย ๆ ซึ่งเมนูต่าง ๆ นั้นได้ดัดแปลงมาจากอาหารพื้นบ้านของเมืองเจินจู และ นำ�มาปรับให้ถูกปากคนไทย แต่ยังคงความดั้งเดิมด้วยการสั่งตรงเครื่องปรุงจาก ประเทศเกาหลีมาเลยทีเดียว เมนูในร้านมีให้เลือกลองลิ้มชิมรสมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเมนูเส้นทั้งหลาย หรือข้าวผัดสูตรเด็ด “ราเมน จาจังเมียน บิบิมบัม” รวมถึงเมนูแนะนำ�ที่มีชื่อ แปลกๆว่า “ต๊อกโปกิ” เป็นการนำ�เอาแป้งต๊อกมาผัดกับซอสพริกแดง ซึ่งคำ�ว่า “ต๊อก” คือ แป้งข้าวเจ้าที่นำ�มานวดแล้วปั้นให้เป็นแท่งหรือก้อนนั่นเอง เมื่อแวะมาที่ร้านกิมจิ๊กิมจิแล้วเมนูแนะนำ�ที่พลาดไม่ได้เลยคือ “เจินจูจอน โกล” เมนูที่ไม่ได้หาทานกันได้ง่าย ๆ แม้กระทั้งที่กรุงโซลยังไม่มี เพราะเป็นเมนู พิเศษที่มีเฉพาะในเมืองเจินจูเท่านั้น ซึ่งสืบทอดกันมากว่าห้าสิบปีแล้ว เจินจูจอน โกลเป็นแกงหมูใส่วุ้นเส้นเกาหลีและถั่วงอก ทานคู่กับผักสลัด กระเทียม พริกเขียว สด และนํ้าจิ้ม นำ�มาห่อรวมกัน มีรสชาติครบเครื่องความอร่อย แต่ทีเด็ดของเมนู นี้อยู่ที่เราจะต้องตั้งไฟเคี่ยวไปเรื่อย ๆ ให้เหลือนํ้าซุปนิดหน่อย จากนั้นทางร้านจะ นำ�ข้าวลงไปผัดกับนํ้าซุปที่เคี่ยวจนได้ที่ ซึ่งรสชาตินั้นบอกได้คำ�เดียวว่า “สุดยอด” ที่ร้านกิมจิ๊กิมจิ ไม่ได้มีแต่ของคาวเพียงอย่างเดียว เมนูหวาน ๆ อย่าง ไอศครีมที่นำ�เข้ามาจากเกาหลี มีให้เลือกหลากหลายรสชาติ หวาน ๆ เย็น ๆ ทำ�ให้เมื่อมาที่ร้านนี้แล้วรับรองได้เลยว่าไม่เสียเที่ยวแน่นอน ได้ทานครบทุกเมนูทั้ง คาว หวานกันเลย เริ่มหิวกันแล้วล่ะสิ งั้นมาอิ่มอร่อยกันได้เลยตั้งแต่เวลา 15.00 น. ไปจนถึง 23.00 น. เปิดทุกวันไม่เว้นแม้แต่วันหยุดนักขัตฤกษ์ สามารถติดต่อทางร้านได้ที่ เบอร์โทร 08-2008-2233 อาหารเกาหลีคุณภาพดี ราคาไม่แพง บรรยากาศชิล ๆ เหมือนนั่งทานอยู่ที่บ้าน มีที่กิมจิ๊กิมจิที่นี่ที่เดียวเจ้าค่ะ!!
Sweet Smell
“ชั้น”นี้มีแต่ขนมไทยอร่อย [ เรื่อง : ภัทรา หงษ์ทอง / ภาพ : ภัทริศ ภิญโญพิพัฒน์ / ธนกร ศรีกำ�เหนิด]
คำ�ว่าชั้นที่กล่าวถึงนี้ ไม่ใช่ชั้นที่หมายถึงภาชนะที่วางของ หรือ ชั้นที่ตรงกับ ภาษาอังกฤษว่า Floor แต่เป็นชื่อร้านขนมไทยแสนอร่อย ของ คุณพิม พิมวิไล เอี่ยมสอาด และ คุณเอิร์ธ ศัลย์ อิทธิสุขนันท์ ดาราพิธีกร ที่ได้ร่วมหุ้นกันเปิดร้าน นี้ขึ้นมา ร้านชั้นขนมหวาน เป็นร้านที่รวมเอาขนมไทยหลากหลายชนิดมาประยุกต์ ดัดแปลง ใส่ความคิดสร้างสรรค์ลงไป ทำ�ให้มีความทันสมัยและเป็นสากลมากขึ้น สมกับแนวคิดของร้านที่ว่า “ขนมไทยใส่ไอเดีย” จากการคิดสร้างสรรค์และใส่ ไอเดียในขนมไทยนี่เองที่ทำ�ให้ร้านชั้นขนมหวานแตกต่างจากร้านขนมไทยทั่ว ๆ ไป นอกจากรูปลักษณ์ที่สวยงามแปลกตาของขนมแล้ว เรื่องของรสชาติ แน่นอนค่ะว่าอร่อยชัวร์ จากการที่ได้ชิมด้วยตัวเอง ขนมมีทั้งความหอม หวาน นุ่มลิ้น รับรองได้ค่ะว่าถ้าใครได้ลองทานขนมไทยที่ร้านนี้ จะต้องรับรู้ได้ถึงความ Alert ที่เพิ่มขึ้นในร่างกาย สิ่งที่เป็นพระเอกของร้านก็คือ ขนมหวานพอดีคำ� ซึ่งมีลักษณะเป็นขนมไทย ชิ้นเล็ก ๆ ขนาดพอดีคำ� สามารถนำ�มาทานคู่กับนํ้าชา กาแฟแทนขนมพวกคุกกี้ได้ ขนมไทยก็มีหลายอย่างให้เลือก อาทิ จ่ามงกุฎ ทองเอก ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง กลีบลำ�ดวน ตะโก้ วุ้นแบบต่าง ๆ และขนมอีกกว่า 50 ชนิด สามารถซื้อไปเป็นของฝากได้ด้วย ซึ่งทางร้านก็มีการจัดเป็นชุดของขวัญ ชุดขนม หวานพอดีคำ� 8/16/20/50 และ 84 ชิ้น ในราคาที่ไม่แพง ไม่เพียงแต่มีขนมขายหน้าร้านเท่านั้น ทางร้านยังมีบริการส่งถึงบ้าน และรับ จัดเลี้ยงในงานต่างๆ ปัจจุบันมีทั้งหมด 2 สาขา คือ สาขาซอยข้างสนามศุภชลาศัย และสาขาสามย่าน อาคาร U-Center ถ้าใครคิดจะหาของฝากให้กับคนพิเศษ ก็อย่าลืมนึกถึงขนมไทยใส่ไอเดีย ที่ ร้านชั้นขนมหวานตามสโลแกนของร้านที่ว่า “เพราะเราอยากเป็นส่วนหนึ่งของ เหตุการณ์สำ�คัญในชีวิตคุณ” กันนะคะ
[ 89 ]
แอร ¿อร « ยูไนเต็ด ตำนานที่กำลังตื่น
[ เรื่อง / ภาพ : ภัทริศ ภิญโญพิพัฒน์ ]
ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ วงการฟุตบอลในบ้าน เราถือว่าพัฒนาไปได้แบบก้าวกระโดดปรากฏการณ์ ต่าง ๆ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในวงการฟุตบอลอาชีพไทยมา ก่อนได้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการจัดการแข่งขันที่มี ความเป็นระบบ การจัดการภายในทีมต่าง ๆ ที่มี ความเป็นมืออาชีพมากขึ้น และที่โดดเด่นที่สุดคงหนี ไม่พ้นเรื่องของแฟนบอลที่ให้ความสนใจเข้าไปเชียร์ ทีมรักของตนกันอย่างคึกคัก บางแมตซ์ถึงขั้นสนาม แตก บรรยากาศในสนามตอนนี้ จึงแตกต่างจากเมื่อ ก่อนโดยสิ้นเชิง ที่เมื่อก่อนนั้นจะมีคนเล่นในสนาม มากกว่าคนดูด้วยซำ้า มาถึงตอนนี้แล้วคนที่รู้จักแต่ เพียงแมนยู ลิเวอร์พูล ก็คงจะเริ่มคุ้นหูกับชื่อกับ เมืองทองยูไนเต็ด หรือ ชลบุรี เอฟซี บ้างแล้ว [ 90 ]
แต่ก่อนที่ฟุตบอลไทยจะฟีเวอร์อย่างที่เราเห็น ทุกวันนี้ หากย้อนหลังไปสัก 20-30 ปี ฟุตบอลไทยก็ เคยมีช่วงเวลาที่รุ่งเรืองอยู่สักพักหนึ่ง แล้วถ้าหากลอง ถามคอบอลไทยรุ่นเก๋าในยุคก่อน ๆ ถึงทีมฟุตบอลใด ที่เป็นตำานานสำาหรับวงการฟุตบอลบ้านเราแล้ว ทีม ที่จะได้รับเป็นคำาตอบอันดับ 1 คงจะหนีไม่พ้นทีม “ทหารอากาศ” หรือ “แอร์ฟอร์ซ ยูไนเต็ด” ในปัจจุบัน ความยิ่งใหญ่หรือความสำาเร็จของทหารอากาศ ในเวลานั้นก็ไม่ต่างจากเมืองทองหรือชลบุรีในปัจจุบัน ที่สามารถครอบครองความยิ่งใหญ่และคว้าแชมป์มา ได้หลายสมัยหลายรายการ
ทีมทหารอากาศเริ่มก่อตั้งเมื่อ ปี พ.ศ. 2489 ในสมัยจอมพลอากาศเฉลิม พระเกียรติวัฒนากูล เป็นผู้บังคับบัญชา ซึ่งท่านก็ได้ให้การสนับสนุนทีม มาเป็นอย่างดี ซึ่งในเวลานั้นไม่มีทีมใดที่จะสามารถ ต่อกรและต้านทานความยิ่งใหญ่ของทหารอากาศ ได้เลย สังเกตได้จากผลงานระดับตำานานด้วยการ คว้าแชมป์พระราชทานประเภท ก. ถ้วยรางวัลสูงสุด ในยุคนั้น โดยคว้ามาได้ถึง 12 ครั้งและในจำานวนนั้น เป็นการครองแชมป์ 7 ครั้งติดต่อกัน เป็นสถิติที่ยังไม่ เคยถูกทีมใดทำาลาย
นอกจากนั้นสโมสรทหารอากาศยังสามารถ สร้างนักเตะที่มีชื่อเสียงมากมายและที่เป็นตำานาน ลูกหนังตลอดกาลแห่งวงการฟุตบอลไทยไปเลยก็คือ “เพชรฆาตหน้าหยก” ปิยพงษ์ ผิวอ่อน และใน ช่วงนี้เองที่สโมสรสามารถเรียกแฟนบอลเข้าสนาม ได้เป็นจำานวนมากในทุกนัดที่ทีมลงแข่งในสนาม ธูปะเตมีย์แห่งนี้ ช่วงเวลารุ่งโรจน์ของสโมสรได้ค่อย ๆ ลดลง หายไปเรื่อย ๆ ภายหลังจากยุคของปิยพงษ์หมดไป จนตกมาถึงขีดสุดเมื่อปี พ.ศ. 2546 ที่ทีมต้องหล่น ร่วงลงมาจากไทยลีกที่เป็นลีกสูงสุดของประเทศลงไป สู่ลีกดิวิชั่น 1 จนถึงปัจจุบัน นับเป็นเวลา 7 ปี ที่สโมสรแห่งนี้ต้องทนต่อ ความผิดหวังต่าง ๆ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2553 สโมสร เริ่มมีความกระตือรือร้นในการกลับขึ้นไปเล่นใน ไทยลีกอย่างจริงจังอีกครั้ง สโมสรได้นำาหลักการของ Re-Branding เข้ามา ใช้ โดยเริ่มต้นจากการเปลี่ยนชื่อทีมจากสโมสร ทหารอากาศเป็น “สโมสรแอร์ฟอร์ซยูไนเต็ด” และ
ยังมีการปรับเปลี่ยนอีกมากมายให้เป็นไปตามข้อ บังคับของบริษัท ไทยพรีเมียร์ลีก จำากัด ทั้งระบบ การบริหารทีมฟุตบอลให้มีความเป็นสากลมากขึ้น รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพของบุคลากรทั้งนักกีฬา ไปจนถึงเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ และการให้ความสำาคัญกับ แฟนบอล ซึ่งถือเป็นสิ่งสำาคัญของสโมสรอย่างยิ่งใน การทำาให้สโมสรพัฒนาขึ้นไป สโมสรได้จัดกิจกรรมต่าง ๆ ให้กับแฟนบอลได้ ทำาร่วมกันและมีการจัดทำาสินค้าของที่ระลึกหรือ อุปกรณ์เชียร์ต่าง ๆ จำาหน่ายแก่แฟนบอล รวมไปถึง การเชิญชวนแฟนบอลให้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสโมสร ในรูปแบบสมาชิกรายปี โดยทั้งหมดนี้ก็ถือเป็นการเตรียมความพร้อมไว้ ล่วงหน้าหากสโมสรสามารถเลื่อนขึ้นจากดิวิชั่น 1 ไปสู่ไทยลีกได้จริงในฤดูกาลหน้า อีกหนึ่งโปรเจกต์ที่โดดเด่นและแสดงให้เห็นถึง ความตื่นตัวและความกระหายที่จะกลับเข้าไปสู่ ไทยลีก คือโปรเจกต์ “ONE DREAM” โปรเจกต์ที่ จะรวมสาวกชาวอินทรีทัพฟ้าให้มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน
คือ การกลับเข้าไปสู่ลีกสูงสุดของประเทศอีกครั้ง โดย เป็นการรณรงค์ทุกรูปแบบเพื่อให้ทีมไปสู่จุดมุ่งหมาย อันยิ่งใหญ่นี้ได้ จากความทุ่มเทและความมุ่งมั่นของทุกสิ่ง ทุกอย่างภายในทีมตอนนี้ส่งผลให้ทีม แอร์ฟอร์ซ ยูไนเต็ด สามารถรวมความเข้มแข็ง และจารีต ประเพณีอันดีงามที่ยังคงอยู่มาตั้งแต่สมัยทีมทหาร อากาศเข้าหลอมรวมกับความเป็นสากลอาชีพได้ อย่างลงตัวและคงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปที่เวลา 7 ปี ที่รอคอยของชาวทัพฟ้าจะสิ้นสุดลงและฟื้นคืนชีพสู่ ตำานานของวงการฟุตบอลไทยอีกครั้ง หากท่านผู้ใดที่อาศัยอยู่บริเวณดอนเมือง หรือ ยังไม่มีทีมที่จะเชียร์ เชิญสัมผัสบรรยากาศแห่งความ ขลังและเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์นี้ได้ด้วยตนเอง ที่สนามธูปะเตมีย์ รังเหย้าของชาวอินทรีทัพฟ้า “แอร์ฟอร์ซ ยูไนเต็ด” แล้วท่านจะรู้ว่า “บอลนอกแค่สะใจ แต่บอลไทยอยู่ในสายเลือด” [ 91 ]
Short Story
รัéงรัก´้วย “รอ” [ เรื่อง : ภัทรา หงษ์ทอง ] [ ภาพ : นทีกานต์ จันทร์ทองขาว ]
เสียงฟ้าร้องลั่นไปทั่วแผ่นดิน สายฟ้าฟาดลงสู่ พื้นดินเป็นบางช่วง รวมทั้งลมกรรโชกแรงที่อาจจะพัด พาหลังคาบ้านหลังนี้ให้ลอยละลิ่วตามลมไปได้ทุกเมื่อ มันปลุกให้หญิงชราที่กำาลังหลับใหลอยู่ในนิทราใต้ ผ้าห่มผืนหนา ตื่นขึ้นมากลางดึกอย่างหวาดหวั่น มือ ของหล่อนจับผ้าห่มแน่นขึ้นทุกครั้งที่ฟ้ากรีดร้องลั่น พลันให้ใจนึกถึงคนที่อยู่ห่างไกลที่หล่อนรักสุดชีวิต นึกอยากให้เขาคนนั้นมานอนกอดหล่อนอยู่ข้าง ๆ ให้ คลายความหวาดกลัว มันเป็นคำ่าคืนที่ยาวนานสำาหรับ หล่อนอีกคืนหนึ่ง ความกลัวทำาให้หญิงชราไม่สามารถ หลับตาลงได้ แต่อยู่ดี ๆ ก็มีบางสิ่งทำาให้เธอหลับลง อย่างง่ายดาย สติสัมปชัญญะดับวูบไปในทันที แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องผ่านผ้าม่านสีขาว ทะลุลอดมากระทบเปลือกตาคนที่กำาลังหลับใหล [ 92 ]
เปลือกตาค่อย ๆ ขยับและลืมขึ้นอย่างช้า ๆ เพื่อปรับ ให้ดวงตาชินกับแสงสีทอง ร่างบางค่อย ๆ ลุกขึ้นจาก เตียง บิดตัวทางซ้ายที ทางขวาที มันก็ช่วยให้เธอเริ่ม มีชีวิตชีวาขึ้นมาได้บ้าง นึกถึงเหตุการณ์ที่ฝนตกหนัก เมื่อคืน หล่อนยังนึกแปลกใจที่บ้านหลังนี้ผ่านพายุลูก นั้นไปได้ เพราะบ้านมันทั้งเก่าและไม่แข็งแรง หญิงสาวเปิดผ้าม่านออกเพื่อให้แสงผ่านเข้ามา ในห้องนอน แล้วมองออกไปรอบ ๆ บ้าน เห็นภูเขา สองลูกที่อยู่ไกลลิบ ๆ ปกคลุมไปด้วยหมอกหนา ต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่ม นำ้าค้างมากมายติดอยู่บนยอด หญ้า หญิงสาวรู้สึกได้ถึงความอุดมสมบูรณ์ ความ สดชื่นรอบ ๆ ตัว หล่อนค่อย ๆ หลับตา มือเกาะ อยู่กับขอบหน้าต่าง แล้วสูดลมหายใจยาว ๆ เข้าสู่ ปอด สูดเอาออกซิเจนที่ร่างกายต้องการเข้าไปให้ปอด สังเคราะห์อย่างเต็มที่ และทำาให้เธอกลับเข้าสู่ห้วง
แห่งความคิดถึงอดีตอีกครั้ง คิดถึงเมื่อครั้งที่หล่อนมา ยืนเกาะหน้าต่างเพื่อรับความสดชื่นของวันใหม่เช่น วันนี้ แค่ต่างกันที่วันนั้นเธอมีผู้ชายอีกคนสวมกอดเธอ อยู่ด้านหลังและมันไม่ใช่ที่นี่ เมื่อคิดถึงตรงนี้ก็ทำ�ให้ นํ้าใส ๆ ไหลออกจากดวงตากลมโตของหล่อนอย่าง ยากที่จะหยุด ปี๊น ๆ ๆ ๆ ๆ เสียงแตรรถดังลั่น ปลุกให้หญิง สาวหลุดจากภวังค์ และรีบปาดนํ้าตาที่อยู่บนใบหน้า หล่อนมองลงไปยังเบื้องล่างที่รั้วหน้าบ้าน มีรถกระบะ สีดำ�คุ้นตาจอดสนิทอยู่ คนขับเปิดประตูลงมาแล้ว มองมาที่หล่อนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “เพิ่งตื่นหรือครับคุณญ๋า” คนพูดนั้นเป็นชาย หนุ่มวัยเดียวกับหล่อน รูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาจัดได้ ว่าหล่อเหลาถึงขั้นพระเอกละครได้เลยทีเดียว และมี ตำ�แหน่งเป็นถึงนายอำ�เภอของอำ�เภอที่หล่อนอยู่ หญิงสาวพินิจพิจารณาคนเบื้องล่างอยู่ครู่หนึ่งก่อน ตอบชายหนุ่ม “ค่ะ ญ๋าเพิ่งตื่น นายอำ�เภอมีอะไรกับญ๋ารึเปล่า คะ มาแต่เช้าเชียว ญ๋าว่าเข้ามาในบ้านก่อนดีกว่าค่ะ เดี๋ยวญ๋าลงไปเปิดประตูให้” หญิงสาวร้องตอบออกไป เร็วไว ชายหนุ่มเพียงพยักหน้าเท่านั้น “นายอำ�เภอมีเรื่องด่วนหรือคะ ถึงได้มาถึงที่ นี่ได้” ณรญาเริ่มสนทนาก่อน เพราะตั้งแต่ชายหนุ่ม เดินเข้ามาในบ้านก็ยังไม่พูดกับหล่อนสักคำ�ได้แต่นั่ง มองไปรอบ ๆ บ้านสลับกับหน้าของหล่อน “ ครับ คุณญ๋าถามผมว่าอะไรนะครับ” “ญ๋าถามคุณว่ามีธุระอะไรเร่งด่วนรึเปล่าคะ ถึงได้มาหาญ๋าถึงที่บ้าน” หญิงสาวทวนคำ�ถามให้ ชายหนุ่มอีกครั้งและสังเกตได้ว่าชายหนุ่มก็ไม่สนใจ คำ�ถามของหล่อนเท่าไรนัก เพราะสายตาของเขายัง คงมองไปรอบ ๆ บ้านของหล่อนอยู่ “ เอ่อ... ก็ไม่มีอะไรเร่งด่วนหรอกครับ ผมเห็น ว่าเมื่อคืนฝนตกหนัก คุณเป็นผู้หญิงอยู่บ้านคนเดียว มันค่อนข้างอันตราย แล้วผมก็โทรติดต่อคุณไม่ได้ เอ่อ... อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะครับ คือผมแค่เป็นห่วง กลัวเด็กที่หมู่บ้านนี้จะขาดคุณครูที่จะมาให้ความรู้กับ พวกเขาก็เท่านั้น คนเก่ง ๆ และเสียสละอย่างคุณญ๋า ยิ่งหายากอยู่ด้วย” ชายหนุ่มก้มหน้าเล็กน้อยไม่กล้า สบตากับหญิงสาว จึงไม่ได้เห็นรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่อยู่บน หน้าหล่อน “แค่นั้นหรือคะ” ณรญาพยายามถามซํ้า ด้วย นํ้าเสียงหยอกล้อ เธอรู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้แหย่
ชายหนุ่มเล่น “เอ่อ... อ้อ คือผมเพิ่งซื้อกล้องตัวใหม่มา รุ่นที่ คุณญ๋าแนะนำ�ไปนั่นล่ะครับ แล้ววันนี้เป็นวันหยุด ผม ก็เลยอยากชวนคุณไปลองกล้องใหม่ของผมสักหน่อย ไม่ทราบว่าคุณญ๋าว่างรึเปล่าครับ” “วันนี้หรือคะ อืม ดีเหมือนกัน ญ๋ากำ�ลังเบื่อ ๆ อยู่พอดี ไม่ได้แตะกล้องมาหลายอาทิตย์แล้ว คันไม้ คันมือยังไงก็ไม่รู้ งั้น ญ๋าขอตัวไปอาบนํ้าแต่งตัวสัก ครู่นะคะ ” “ครับ” ณรญากลับเข้าห้องนอนอีกครั้ง อาบนํ้าชำ�ระ ร่างกาย วันนี้หญิงสาวเลือกใส่เสื้อยืดคอกลมสีเหลือง ลายดอกไม้ที่หล่อนชอบ นั่นคือดอกกุหลาบสีม่วง แต่ สิ่งที่ทำ�ให้เสื้อตัวนี้เป็นที่โปรดปรานของหล่อนมาก ที่สุดก็เพราะเป็นเสื้อที่ชายหนุ่มที่อยู่ที่ห้องรับแขก เป็นคนซื้อให้ในวันต้อนรับคุณครูคนใหม่ของที่นี่ ที่คน ทั่วไปมักเรียกว่า “เขาค้อ” การก้าวเข้ามาเป็นคุณครูญ๋าของเด็ก ๆ ใน หมู่บ้านแห่งนี้ เมื่อสองปีที่แล้วด้วยความไม่ตั้งใจนัก เพราะหล่อนแค่เพียงต้องการหลีกหนีโลกที่วุ่นวาย ของเมืองหลวง มาใช้ชีวิตที่เรียบง่ายดูบ้าง และหล่อน ก็หลงรักที่แห่งนี้เข้าเต็ม ๆ ทั้งคน ทั้งสิ่งแวดล้อม หมู่บ้านแห่งนี้ให้สิ่งที่หล่อนขาดหายมานาน นั่นคือ ความรักความอบอุ่น อย่างคนในครอบครัวที่หล่อน ไม่เคยได้รับจากพ่อแม่ของหล่อนเลย และมันน่าจะ ทำ�ให้หล่อนได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ หลังจากที่ชีวิตต้องพัง ทลายเพียงผู้ชายคนเดียว หลังจากหญิงสาวขึ้นไปแต่งตัว นายอำ�เภอหนุ่ม หรือธณัต ก็เดินสำ�รวจรอบ ๆ บ้านของหญิงสาวที่ เต็มไปด้วยรูปถ่ายมากมาย เขาพอรู้มาบ้างว่าณรญา ชอบการถ่ายรูปมาก แต่ก็ไม่คิดว่าความชอบของ หล่อนจะหมายถึงทั้งชีวิตของเธอเลย เพราะมีรูปถ่าย จำ�นวนมากที่ติดอยู่บนฝาผนังบ้าน มีอัลบั้มรูปอยู่ทุก มุมของบ้าน แม้แต่ขั้นบันได ก็เต็มไปด้วยรูปภาพ แต่ รูปภาพเหล่านี้ล้วนสื่อความหมายได้ทั้งสิ้น ธณัตเดินสำ�รวจบ้านอีกสักพัก หญิงสาวก็เดิน ลงมาจากชั้นบน เขาสะดุดตากับเสื้อยืดที่หล่อนใส่ เมื่อมันไปอยู่บนตัวของหญิงสาวมันดูสวยมาก เขา อาจมองเห็นความงามของมันแค่คนเดียว แต่แค่เพียง เขาเห็นมันก็พอเพียงแล้ว “ไปกันรึยังคะ” ธณัตสะดุ้งสุดตัวกับเสียงทัก ของหญิงสาว
“อ้อ ครับ ไปกันเลยครับ” ธณัตเดินนำ�หน้า ออกจากบ้านไป แต่ก็หยุดชะงักและหันมาหาณรญา “ผมว่าเราไปหาอะไรทานกันก่อน แล้วค่อยไปถ่ายรูป กันนะครับ” ณรญายิ้มให้กับชายหนุ่ม มันเป็นการตอบตกลง ที่ทำ�ให้เขารู้สึกวาบหวิวในใจขึ้นมาทันที มันไม่เคย เป็นเช่นนี้มาก่อน เธอมีอิทธิพลกับตัวเขาถึงขนาดนี้ เลยหรือ? เขาคิดพลางเดินไปเปิดประตูรถให้หญิงสาว จากการที่ฝนตกหนักเมื่อคืน ทำ�ให้มีทะเล หมอกเกิดขึ้นในหุบเขาของเขาค้อ มีนักท่องเที่ยว มากมายที่ยอมตื่นแต่เช้าเพื่อมาดูทะเลหมอกและเก็บ ภาพความสวยงามของมัน รวมทั้งคุณครูญ๋าและ นายอำ�เภอธณัตด้วย ทั้งคู่ดูจะสนุกสนานกับการ ถ่ายรูปมาก ผลัดกันเป็นตากล้องบ้าง เป็นนายแบบ นางแบบบ้าง ถ้าใครไม่รู้จักสองคนนี้ก็คงจะคิดว่าทั้งคู่ เป็นคู่รักกันอย่างแน่นอน หลังจากที่ธณัตและณรญาถ่ายรูปทะเลหมอก ได้มากจนพอใจ ทั้งคู่ก็ขับรถตระเวนถ่ายรูปที่ ท่องเที่ยวต่าง ๆ ที่อยู่บนเขาค้อ จนที่สุดท้ายที่ทั้งคู่ ไปด้วยกันในวันนี้ก็คือ หอสมุดนานาชาติเขาค้อ ที่นี่ มีดอกไม้สวยงามมากมาย แต่กว่าที่ทั้งคู่จะมาถึงหอ สมุดฯ ก็เป็นเวลาบ่ายแก่ ๆ แล้ว ซึ่งแสงช่วงนี้จะสวย มาก ทำ�ให้ภาพถ่ายสวยไปอีกอารมณ์หนึ่ง “เหนื่อยมากมั้ยครับ” นายอำ�เภอหนุ่มถาม หญิงสาวหลังจากที่เห็นเธอเดินมานั่งพักเหนื่อยใต้ ร่มไม้ “นิดหน่อยค่ะ ” ณรญาตอบพลางส่งนํ้าที่เพิ่ง ซื้อมาจากร้านค้าให้ชายหนุ่ม “ผมขอโทษนะครับที่พาคุณมาเหนื่อย วันนี้ เป็นวันหยุดแท้ ๆ แต่ผมกลับพาคุณมาตระเวนถ่าย รูปไม่ให้คุณพักผ่อน” “อย่าคิดแบบนั้นสิคะ ถึงเหนื่อยแต่ญ๋าก็สนุก แล้วก็มีความสุขมากด้วย ญ๋าไม่ได้มีความสุขแบบนี้ มานานแล้วนะคะ ต้องขอบคุณคุณด้วยซํ้า ที่ทำ�ให้ญ๋า สนุกแบบนี้” พอณรญาพูดจบก็หันไปมองชายหนุ่ม ก็เป็น จังหวะเดียวกันที่ธณัตหันมามองเธอเช่นกัน จึงทำ�ให้ ดวงตาของทั้งคู่มาบรรจบกัน ภายในดวงตาของคน สองคนได้บอกอะไรหลาย ๆ อย่างต่อกัน และหนึ่งใน นั้นก็คือ ความห่วงใย ความห่วงหา ที่มันสื่อได้ว่าทั้งคู่ ต่างก็มีใจให้กัน [ 93 ]
Short Story
ณรญาเป็นฝ่ายที่หลบตาก่อน เพราะเธอยังลืม ความหลังที่ทำ�ให้เธอเจ็บชํ้าจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ไม่ได้ และดูเหมือนว่าธณัตจะดูอาการของเธอออกจึง ยังไม่พูดในสิ่งที่ตนอยากจะพูดจนใจจะขาด เอาน่า โอกาสยังมีอีกเยอะ เขาคิด ทั้งคู่เงียบไปสักพัก จนคน หนุ่มทนไม่ได้ที่จะปล่อยให้บรรยากาศเป็นเช่นนี้ เขา ตัดสินใจที่จะพูดบางอย่างกับเธอและเขาก็จะยอมรับ ให้ได้กับคำ�ตอบที่จะได้รับจากหญิงสาว ไม่ว่าเธอจะ ตอบเขามาอย่างไรเขาก็จะไม่เสียใจเพราะการที่ได้ รู้จักกับเธอ แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำ�หรับชีวิตของเขา “คุณญ๋าครับ คือ...ผม มีเรื่องจะคุยด้วยครับ” เขาพูดพลางมองไปที่หล่อน “ค่ะ คุยได้เลยค่ะ เรื่องอะไรคะ” หญิงสาวพูด โดยที่ไม่ได้มองหน้าชายหนุ่ม เธอเอาแต่ก้มหน้าดูรูป ในกล้องตัวใหม่ของธณัต “คุณจะว่าอะไรมั้ย ถ้าผมจะชอบคุณ” หลังฟังประโยคนี้ออกจากปากของนายอำ�เภอ มือที่จับกล้องอยู่ก็ลดระดับลง และนิ่งไปสักพัก เธอ นึกไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าชายหนุ่มจะต้องพูดเรื่องนี้ แต่ก็ ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจรับกับสถานการณ์เช่นนี้ ความเงียบกลับมาอีกครั้ง ดูเหมือนว่าทุกสิ่งทุก อย่างจะหยุดอยู่กับที่ แต่ชายหนุ่มไม่อยากให้มันหยุด อยู่อย่างนั้นเพราะเขาต้องการคำ�ตอบจากหญิงสาว ไม่ต้องเป็นคำ�ตอบก็ได้ ขอแค่ให้เธอได้พูดกับเขาบ้าง แค่นั้นเขาก็พอใจแล้ว “ตั้งแต่ผมเจอกับคุณครั้งแรก ผมก็บอกกับตัว เองเสมอมาว่าคุณนี่แหละ ผู้หญิงที่ผมจะรัก และดูแล ไปตลอดชีวิต อยากให้คุณมาเดินอยู่ข้าง ๆ ผม ทั้งใน ยามทุกข์และสุข เราจะเดินเคียงคู่กันไปจนแก่เฒ่า” ชายหนุ่มเงียบไปสักพักและพูดขึ้นอีกครั้ง “คุณไม่ต้องตอบผมวันนี้ก็ได้ครับ แต่ผมอยาก ให้ความสัมพันธ์ของเราเป็นเหมือนเดิม ผมไม่อยาก ให้คำ�พูดของผมในวันนี้ทำ�ให้เราต้องมองหน้ากันไม่ ได้” ตั้งแต่ทั้งคู่มานั่งตรงนี้ นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่มี ความเงียบเกิดขึ้น “กลับกันเถอะครับ เดี๋ยวจะเย็น” ธณัตตัดสิน ใจลุกขึ้นเก็บข้าวของ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อณรญาเริ่มพูด “จากเหตุการณ์ตอนนั้นที่ญ๋าเกือบเอาชีวิตไม่ รอดจากความรัก ญ๋าต้องหนีมันมาไกลถึงที่นี่ มันเป็น บาดแผลที่ฝังลึกในใจของญ๋ามาก ญ๋าคิดมาตลอด ว่าญ๋าไม่สามารถจะเริ่มต้นชีวิตใหม่กับใครได้อีก แต่ พอญ๋ามาเจอกับคุณ คุณทำ�ให้ญ๋าอยากมีชีวิตใหม่ [ 94 ]
ชีวิตที่ไม่ต้องทนทุกข์อยู่กับความเจ็บชํ้าในอดีต แต่ มันยากเหลือเกินค่ะ ที่จะลบความเจ็บปวดตรงนั้นให้ ออกไปได้ ญ๋าขอเวลาอีกสักหน่อยได้มั้ยคะ มันน่าจะ ดีกับเราทั้งสองคน” “ไม่ว่าจะนานแค่ไหนผมก็จะรอครับ” ทั้งคู่ สบตากันชั่วเวลาหนึ่งแล้วก็พากันกลับบ้าพระอาทิตย์ ค่อย ๆ ลับขอบฟ้าลงเรื่อย ๆ และรอเวลาที่เหมาะสม ที่จะขึ้นมาอีกครั้ง ก็เหมือนกับคนทั้งสองที่ต้องใช้ เวลาเพื่อรอให้ได้เริ่มต้นใหม่ได้อย่างสวยงาม “วันนี้แล้วสินะ ที่ใจของฉันพร้อมที่จะเริ่มต้น ใหม่ พร้อมรับกับสิ่งใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นในชีวิต ใช่ ฉันต้องไปบอกเขา ฉันจะไม่ให้เขารออีกแล้ว” หลังจากณรญาสอนหนังสือเด็ก ๆ เสร็จแล้ว เธอก็รีบไปในตัวอำ�เภอทันที เมื่อมาถึงตัวอำ�เภอ ณรญาเลือกที่จะไปบ้านพักของเขาเพราะป่านนี้ธณัต คงจะเลิกงานแล้ว แต่เมื่อไปถึงบ้านพักนายอำ�เภอเธอ ก็เจอแค่แม่บ้าน “นายอำ�เภอไปต่างจังหวัดค่ะ เมื่อตะกี้เพิ่งโทร มาว่าใกล้จะถึงแล้ว คุณจะรอมั้ยคะ” “คือ เอ่อ... รอก็ได้ค่ะ” กริ๊ง กริ๊ง เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้นพอดี แม่บ้านรีบ ไปรับสาย แล้วพูดกับคนปลายสายอีกประโยคสอง ประโยค ก่อนเรียกให้เธอไปคุยกับคนปลายทาง “นายอำ�เภอจะคุยกับคุณค่ะ” แม่บ้านยื่น หูโทรศัพท์ให้เธอ ณรญารีบเดินไปรับสายอย่าง กระวนกระวาย “ค่ะ นายอำ�เภอ” เธอตื่นเต้นจนไม่สามารถ จะพูดอะไรที่ยาวกว่านี้ได้ แม้แต่จุดประสงค์ที่เธอมา หาเขาถึงที่นี่ “คุณญ๋ามีอะไรด่วนหรือครับ ถึงมาหาผมที่ บ้าน” นํ้าเสียงของชายหนุ่มดูจะเป็นห่วงหญิงสาว มาก มันเต็มไปด้วยความรัก ความห่วงใยที่เขาพร้อม จะมอบให้หล่อนได้ทุกเมื่อ “คือ...เอ่อ... คือญ๋ามีเรื่องจะบอกคุณค่ะ” ณรญาตอบไปอย่างตะกุกตะกัก “บอกทางนี้ได้มั้ยครับ” “คือ ญ๋าอยากบอกต่อหน้าคุณมากกว่าค่ะ” “โอเคครับ งั้นผมจะรีบไป อ้อ ผมก็มีอะไรจะ บอกคุณด้วย รอผมหน่อยนะครับ” “ค่ะ” ตู๊ด ๆ ๆ ๆ ๆ
การสนทนาของทั้งคู่จบลงเพียงเท่านั้นและมัน ก็ผ่านไปนานแล้ว แต่ใจของณรญายังไม่หยุดเต้นสักที กลับเต้นหนักกว่าเดิมเสียด้วยซํ้า เธอนั่งรอธณัตตั้งแต่ หกโมงเย็น จนตอนนี้เป็นเวลาเกือบสองทุ่มแล้วแต่ ก็ไม่มีวี่แววว่าธณัตจะกลับมา และฝนข้างนอกก็เริ่ม ตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ ฉันใจไม่ดีเลย เธอบอกกับตัว เอง แต่ก็ทำ�ได้เพียงรอ รอจนเธอเผลอหลับไป กริ๊ง กริ๊ง เสียงโทรศัพท์กรีดร้องไปทั่วบ้าน แข่งกับเสียงฝนข้างนอก แต่มันก็ดังพอที่ทำ�ให้ณรญา ตื่นขึ้นจากภวังค์ เธอมองไปทั่วบ้านแต่ก็ไม่เห็นแม่ บ้าน จึงตัดสินใจรับโทรศัพท์เอง “สวัสดีค่ะ บ้านนายอำ�เภอธณัตค่ะ” “คุณเป็น ญาติของคุณธณัตใช่มั้ยคะ คือ...... ดิฉันโทรมาจากโรงพยาบาล........... จะแจ้งให้ทราบ ว่า...คุณธณัตประสบอุบัติเหตุ เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ค่ะ ฮัลโหล ๆ ๆ ๆ ฮัลโหลคะ ฮัลโหล” สิ้นคำ�บอก ของพยาบาลที่บอกว่าเขาตายแล้วเธอก็ไม่ได้ยินเสียง ใด ๆ ในโลกอีกเลย เธอยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ก่อนที่นํ้า ตาหยดเล็ก ๆ จะรินไหลออกมาจากดวงตา และพา ให้ปากของเธอสั่นพร้อมกับร้องไห้ออกมาอย่างหนัก มีเพียงเสียงฝนและเสียงร้องไห้ของเธอเท่านั้นที่อยู่ ในอากาศตอนนี้ เรี่ยวแรงที่มีอยู่กลับหดหาย ร่างกาย อ่อนยวบ ทรุดลงนั่งกับพื้นและร้องเรียกเพียงแต่ชื่อ ของชายคนที่เธอรัก เธอนึกเสียใจที่ไม่บอกคำ� ๆ นั้น กับเขาไปตอนคุยโทรศัพท์ มันทำ�ให้ณรญารู้ว่า เมื่อ มีโอกาสแล้วก็ควรจะทำ� ไม่ควรรอให้ถึงที่สุด เพราะ ท้ายที่สุดแล้วเธอจะต้องเสียโอกาสนั้นไปตลอดกาล หลังจากธณัตเสียชีวิต ณรญาก็ใช้ชีวิตคนเดียว มาตลอด ไม่ยอมคุยกับใคร เอาแต่เก็บตัวเงียบอยู่ใน บ้านพัก พอสอนหนังสือเสร็จเธอก็จะกลับบ้านทันที และเธอก็มักจะฝันถึงตอนที่ธณัตยังมีชีวิตอยู่ ตอนที่ เขาและเธอได้มีวันดี ๆ ร่วมกัน จนกระทั่งวันนี้ เธอ มีอายุ 65 ปีแล้ว ความฝันเหล่านั้นก็ยังคงคอยตาม หลอกหลอนหล่อน ถึงแม้ว่าเธอจะไม่มีโอกาสได้ลืมตาตื่นขึ้นมา อีกเลยก็ตาม
[ 95 ]
LESS IS MORE Stylists : Sathapat Rujichaiyawat / Tanayuth Tachasirodom Photographer : Tanayuth Tachasirodom Assistant Photographer : Patarit Pinyopiphat
Model : Nutcha Areeruk Dresses : Playhound by Greyhound Make-up : Beauty Buffet (P’Tum 081 571 0027)
Beauty Tips
5
สุดยอดเคล็ดลับหนŒาใส คงความงามตลอดทุกÄดูกาล
1.เคล็บลับผิวอมชมพู วิธีที่หนึ่ง เราขอเสนอ การถนอมผิวหน้าด้วยโยเกิร์ต (สูตรธรรมชาติ) จะ ทำาให้สาว ๆ อย่างเรามีผิวสวยอมชมพูน่าทะนุถนอม ด้วยส่วนผสมในโยเกิร์ตมี คุณสมบัติในการช่วยย่อยสลาย ทำาให้ผิวที่ขาดความชุ่มชื่นในฤดูหนาวกลับมามี ชีวิตชีวาอีกครั้ง วิธีการทำา : ล้างหน้าให้สะอาด ซับเบา ๆ ด้วยผ้าขนหนู แตะโยเกิร์ต (ให้ใช้ชนิดที่ไม่ผสมเนื้อผลไม้) มาพอกให้ทั่วผิวหน้า เว้นรอบปากและดวงตา นวดและคลึงเบา ๆ พอกไว้ประมาณ 20 นาที จึงล้างออก ทำาเป็นประจำา 3 ครั้ง ต่อสัปดาห์ จากผิวหน้าหมองคลำ้าจะดูเปล่งปลั่งสดใสอมชมพูขึ้นอย่างเห็นได้ชัด 2.สูตรลดจุดด่างดำา วิธีที่สองที่จะมาแนะนำา เป็น เคล็ดลับสำาหรับสาว ๆ ที่มีปัญหาเรื่องจุดด่าง ดำาจากสิว โดยวิธีการก็ไม่ได้ยุ่งยากหรือซับซ้อนใด ๆ ใช้เพียงผลไม้ง่าย ๆ อย่าง แอปเปิ้ล กล้วยหอม แตงกวา หรือมะเขือเทศ ก็สามารถทำาให้ริ้วรอยจากสิวจางลง ได้โดยเร็ว ทั้งยังช่วยให้ผิวเรากลับมาเรียบเนียน เกลี้ยงเกลา ดูสดใส วิธีการทำา : นำาผลไม้ เช่น แอปเปิ้ล กล้วยหอม แตงกวา หรือมะเขือเทศ ไปปั่นให้เนื้อละเอียด แล้วนำาเนื้อผลไม้ที่ได้ มาพอกให้ทั่วหน้า ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยนำ้าเย็น ตามด้วยนำ้าอุ่น เพียงเท่านี้จุดด่างดำาที่คอยกวนใจก็จะจาง หายไปอย่างรวดเร็ว 3.สูตรกระชับรูขุมขน วิธีที่สาม รูขุมขนกว้าง นับว่าเป็นปัญหาหนักใจของสาว ๆ เราจึงขอ เสนอวิธีกระชับรูขุมขนโดยไม่ต้องเสีย เงินไปทำาเลเซอร์หรือเข้าคลินิก ความงามให้ยุ่งยาก เพียง คุณมี กล้วยหอม แตงกวา มะเขือเทศ อย่างใดอย่าง หนึ่งก็สามารถแก้ปัญหา นี้ได้แล้ว [ 104 ]
[ เรื่อง : อลงกต วรรณคำา ]
วิธีการทำา นำากล้วยหอม แตงกวา มะเขือเทศ (เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง) หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ เติมนมเปรี้ยวหรือนำ้าผึ้งลงไป นำาไปปั่นจนละเอียดเป็นเนื้อครีม นำามาพอกให้ทั่วใบหน้าและลำาคอ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วจึงล้างออกด้วย นำ้าอุ่น จะเป็นการช่วยทำาความสะอาดผิวหน้า บำารุงผิวให้ชุ่มชื้น สัมผัสได้ถึงความ กระชับของรูขุมขน 4.เคล็บลับรักษาฝ้า วิธีที่สี่ เคล็ดลับพิชิตฝ้า อีกปัญหาใหญ่ที่สาว ๆ หลบเลี่ยงได้ยาก เนื่องจาก ผิวหน้าต้องเจอกับแสงแดดที่คอยแผดเผาอยู่ทุกวัน แต่ไม่ต้องเป็นกังวลเพราะเรา มีวิธีการกำาจัดฝ้าแบบง่าย ๆ แต่ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจมานำาเสนอ ใช้เพียงมะขาม เปียกกับนำ้าผึ้งเท่านั้นเอง วิธีการทำา : ขั้นแรกนำามะขามเปียกมาคั้นให้เป็นนำ้า โดยให้นำ้าค่อนข้างใสสัก หน่อย ตั้งไฟอ่อน รอจนสุก จึงใส่นำ้าผึ้งลงไป คนให้เข้ากัน ขั้นตอนนี้ต้องทำาพร้อม กัน คือมือหนึ่งเท อีกมือก็คนให้ทั่ว เคี่ยวสักพักให้ได้ที่ เสร็จแล้วนำามาพอกหน้า ทำาเป็นประจำาอาทิตย์ละ 2 ครั้ง ครั้งละ 1 ชั่วโมง ก็จะช่วยรักษาฝ้า และทำาให้ผิว หน้านวลใสขึ้นได้ทันตาเห็น 5.วิธีการรักษาหน้ามัน วิธีที่สุดท้าย เป็นเคล็ดลับขจัดความมันบนใบหน้า ที่เป็นปัญหากวนใจวัยรุ่น ทุกยุคทุกสมัย ทั้งนี้ก็เพราะฮอร์โมนเพศที่พลุ่งพล่านจะเข้าไปกระตุ้นต่อมไขมันให้ ทำางานมากขึ้น แถมยังเป็นต้นเหตุของปัญหาผิวหน้าต่าง ๆ ที่ตามมาอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น สิว ริ้วรอย ฝ้า และความหมองคลำ้า ดังนั้นเราจึงขอเสนอให้คุณเดิน ไปที่ห้องครัวแล้วหยิบเอาไข่ไก่ มาสัก 2 ฟอง เพียงเท่านี้ก็สามารถแก้ปัญหาหน้า มัน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของความมันบนใบหน้า ได้อย่างชะงักงัน วิธีการทำา : ต่อยไข่ไก่ 1 ฟอง แยกไข่แดงออก เทเฉพาะไข่ขาวลงในถ้วย ใช้ ส้อมตีไข่ขาวจนเป็นฟองพอสมควร แล้วใช้แปรงนุ่ม ๆ จุ่มไข่ขาวทาให้ทั่วใบหน้า และลำาคอ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จนไข่ขาวเริ่มจับตัวแข็ง แล้วล้างออกด้วย นำ้าเย็น ก็เป็นอันเสร็จ
[ 105 ]
ครั้งแรกที่เริ่มจับดินสอ จำ�ได้ลาง ๆ ว่ามันก็แค่เส้นขีด ๆ เขียน ๆ ไม่เป็นรูปเป็นร่าง สื่ออะไรก็ไม่ได้ เผลอ ๆ ก็ไม่ได้อยู่บนกระดาษ แต่ไปลากเป็นทางยาวไว้บนกำ�แพงเสียอย่างนั้น พอโตขึ้นสักหน่อย โดนตีมือจนเริ่มเรียนรู้ ตามกำ�แพงก็เริ่มสะอาดขึ้น อาจจะมีบ้างที่ไปลากเส้นเวลาไม่มี ใครอยู่ แต่พอใครเห็นก็โดนดุอยู่ดี เลยต้องหาที่ใหม่ เห็นหนังสือเล่มไหน จะว่างเปล่าหรือมีตัวหนังสือ ก็คว้า มันมาลากเส้นไปเรื่อยเปื่อย จนบางทีข้อความเดิมก็ถูกเส้นเหล่านี้บดบังจนแทบอ่านไม่รู้เรื่อง เกิดไปลากบน หนังสือเล่มสำ�คัญ ก็กลายเป็นว่าโดนดุอีก พอโดนบทลงโทษจริงจังไปครั้งหนึ่ง ก็ไม่กล้าจะหาเรื่องใส่ตัวอีกแล้ว เลยไปลากเส้นบนกระดาษเปล่า ๆ ว่าง ๆ เช่นเดิม อยากสร้างสรรค์มากหน่อย ก็มีสมุดเป็นของตัวเอง แถมยังเริ่มสื่อความได้มากขึ้นอีกนะ วาด ตามสิ่งรอบตัว ใส่จินตนาการเข้าไปอีกนิดหนึ่ง เป็นช่วงเวลาที่สามารถเอางานขีดเขียนไปโชว์ให้คนอื่นแล้วเขา พอเข้าใจได้บ้าง เล่นเอายิ้มเผล่ไม่หุบก่อนจะกลับไปลากเส้นต่อ เข้าโรงเรียนแล้ว ลายเส้นก็เปลี่ยนไป กลายเป็นแบบบังคับมากกว่าใจอยากวาด แต่ก็เป็นลายเส้นแปลก ใหม่ที่ไม่เคยเห็น อยากให้วาดก็วาด เอาให้เหมือนต้นฉบับ เพราะคิดว่าเส้นเหล่านั้นมันเป็นลายเส้นที่ดี ตอนนี้เขียนลายเส้นบังคับเหล่านั้นคล่องแล้ว ก็เอาลายเส้นพวกนั้นมารวมกัน เอาลายเส้นแบบนี้กับแบบ นั้นมารวมกัน ก็สื่อความได้อย่างหนึ่ง พอเอาลายเส้นแบบนั้นกับแบบโน้นมารวมกัน ก็สื่อความได้อีกอย่างหนึ่ง รู้สึกสนุกไปกับสิ่งเพิ่งเรียนรู้ เป็นสิ่งแปลกใหม่ที่ทำ�ให้สนใจ ยิ่งขีดเส้นบังคับเหล่านี้ ยิ่งชำ�นาญขึ้นเรื่อย ๆ แถมยังใช้สื่อความได้อีก เลยกลายเป็นว่าเอาเส้นเหล่านี้มา ใช้สื่อความเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ ความรู้หลาย ๆ อย่างสื่อสารผ่านเส้นเหล่านี้ ต้องเขียนเส้นเหล่านี้เป็นจำ�นวน มากเพื่อแลกกับความรู้ ความรู้ที่บางทีก็เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง แต่ก็ค่อย ๆ เรียนรู้ไป [ 106 ]
Short Story
ขีดๆ เขียนๆ [ เรื่อง : อุษณา สุขเสมา / ภาพ : สถาปัตย์ รุจิไชยวัฒน์ ]
พอมีความรู้มาก ๆ ก็อยากจะให้ความรู้นั้นคงอยู่ต่อไปนาน ๆ เลยต้องกลับ ไปลากเส้นบังคับแทบทุกเวลา อยู่โรงเรียนก็ลาก อยู่บ้านก็ลาก ถ้าลากเส้นจาก บ้านไม่เสร็จ พอถึงโรงเรียนก็ถูกลงโทษอีก เส้นพวกนี้มันอะไรกันนักกันหนา ยิ่งนานวันความรู้ก็ยิ่งยากจะเรียนรู้ ไม่เข้าใจ ทำ�ไม่ได้ ลากเส้นก็ไม่ได้ ปวดหัว พาลหงุดหงิด แต่ก็ต้องทำ� ต้องให้เสร็จ บังคับมือให้ลากเส้นอยู่อย่างนั้น พยายามคิด พยายามทำ� เพราะคิดว่ามันดีกับตัวเอง ความกดดันมันสะสมขึ้นเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ และแน่นอนว่าถึงจุดหนึ่งก็ต้อง ระเบิด ดังเช่นตอนนี้ ก็กลายเป็นทนไม่ไหว ที่ทำ�ผ่าน ๆ มามันกลายเป็นความ กดดัน มันคือการบังคับ มือที่เคยอิสระจำ�ต้องมาลากเส้นบังคับ ๆ แบบนี้ พอกันที! คงจะทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ความรู้สึกนี้ตีตื้นขึ้น พร้อมๆ กับที่หยดนํ้า ใส ๆ ร่วงลงสู่กระดาษ และในช่วงเวลาที่คิดว่าถึงจุดสิ้นสุดของการลากเส้นแล้ว มือก็คว้าดินสออีก ครั้ง ลากเส้นไปตามแรงอารมณ์ เริ่มต้นจากเร็ว ๆ ขยุกขยิก วุ่นวาย รุนแรง ก่อน จะค่อยๆช้าลง ช้าลง ช้าลง และเริ่มหยุดนิ่ง เหตุการณ์เก่า ๆ วนกลับมา ความ รู้สึกเก่า ๆ กระตุ้นให้คิดถึง ตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่รู้สึกว่าพอมือจับดินสอ มันกลายเป็น ความรู้สึกขื่นขมทันที ลองคิดถึงแต่ก่อน สมัยจับดินสอใหม่ ๆ ไม่เห็นต้องสนใจ อะไรทั้งนั้น อยากจับดินสอเมื่อไหร่ก็ได้ที่อยากจับ อยากลากเส้นอะไรก็ทำ�เวลา อยากทำ� จะลากไปทางไหน อย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับความพอใจเราทั้งสิ้น แล้วนี่อะไร ดูที่ทำ�อยู่ตอนนี้สิ ทำ�ไมถึงต้องลากเส้นไปทางโน้นทีทางนี้ที แถมต้องมาอาศัย ปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ๆ ที่เป็นตัวกำ�หนดให้ลากเส้นเป็นแบบนู้นแบบนี้อีก คิดถึงตอนที่มือได้ลากเส้นตามใจฉันเหลือเกิน ทุกอย่างเกิดจากความรู้สึกอยากทำ� โดยทั้งสิ้น เพราะอยากทำ�เลยเกิดความพยายาม แม้การวาดรูปให้สวยในตอน เด็ก ๆ นั้น ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องยากเลยก็ว่าได้ แต่ก็ยังทำ� แถมยังทำ�ได้ดีสมกับ เด็กวัยนั้นจะทำ�ได้เสียด้วย ยิ่งคิดก็อยากหัวเราะเยาะตัวเองเสียเหลือเกิน ดูสภาพตัวเองตอนนี้กับใน อดีตสิ ในอดีต เวลาอยากวาดก็ตั้งใจวาดเสียเต็มที่ มั่นใจเสียเต็มประดาว่ามัน สวยงามที่สุดในโลกแล้ว แต่พอลองหยิบรูปพวกนั้นมาดูอีกครั้ง มันก็งานเด็กทำ�นั่น
แหละ ยิ่งพอมาเทียบงานเก่า ๆ นั่นกับงานในตอนนี้ งานที่เคยคิดว่าสวยที่สุดใน โลกก็หายไป ทว่ามันกลับกลายเป็นงานที่ใช้ความพยายามที่สุดในชีวิตเลยเชียวล่ะ ได้คิดอะไรวนไปวนมา ดินสอที่อยู่ในมือก็ถูกจับให้ลากไปตามอารมณ์อยู่ ยาวบ้าง สั้นบ้าง ตรงบ้าง โค้งบ้าง ไม่ยอมหยุดเสียที พอรู้ตัวอีกที ก้มลงมองดูกระดาษก็ เกิดความคิดเพิ่มขึ้นอีก งานที่ทำ�อยู่ทุกวันนี้แทบจะไม่ได้ลงแรงอะไรเลย เจอปัญหานิดหน่อยก็ไม่สู้ เสียแล้ว เส้นที่ลากก็ดูแห้ง ๆ เหลือเกิน ไม่ได้มีชีวิตชีวาเหมือนครั้งก่อน แต่ว่า มือก็ยังจับดินสอได้อยู่ ความรู้สึกอยากขีดอยากเขียนก็ยังไม่หายไปไหน เอาเป็นว่ามาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง จับดินสออย่างที่เคยจับ ลากเส้นอย่างที่เคยลาก ลากจนพอใจ ลากจนสบายใจ และกลับมาวกกลับเรื่องงานปัจจุบันอีกครั้ง ก็เส้น เหมือนกัน แต่ในวันที่ความสามารถเรามากขึ้น จะให้มาลากเส้นเดิม ๆ อยู่กับที่ สักวันความรู้สึกสนุกที่มีก็ต้องหายไป เพราะมันซํ้าซากจำ�เจ ลองทำ�ความเข้าใจกับ เส้นที่เพิ่งเรียนรู้ใหม่ มันก็มีจุด ๆ หนึ่งที่สนุกอยู่ ขอเพียงเปิดใจ เริ่มต้นใหม่เหมือน ครั้งแรกที่จับดินสอ ความรู้สึกนั้นมันขึ้นอยู่กับเรา คิดว่าสนุกมันก็จะสนุกได้เอง เชื่อได้เลยว่าไม่มีอะไรที่ชีวิตนี้ทำ�ไม่ได้หรอก ในเมื่อครั้งแรกก็ไม่รู้ว่าควรขีดเขียนแบบไหนถึงจะเรียกว่าถูกผิด หรือควรขีด เขียนบนที่ใดถึงจะเหมาะสม ก็อาศัยลองผิดลองถูกเหมือนกัน หลงทางก็วกกลับ มาที่ทางแยกเดิม เดินทางใหม่ เรียนรู้ใหม่ พอเข้าใจ เส้นที่ได้ก็จะสวยงามเหมือน เส้นแรกที่เราวาดแล้วคิดว่ามันสวยที่สุดในตอนนั้นได้เหมือนกัน
[ 107 ]
ã¤รã¤รกçไป
New York [ เรื่อง : ศิริรัตน์ วงศ์เหลือง ]
ถามใคร ใครก็ไป New York ... เสร็จภารกิจ work พวกเราก็ travel กันต่อ แบบติด ๆ แต่แล้วทำาไม อเมริกามีตั้ง 50 รัฐ ทุกคนต่างตอบเป็นเสียงเดียวกัน ว่า New York พูดได้ว่า New York เป็นเมืองที่น่าสนใจ และมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมมากที่สุด ประกอบด้วย 5 โบโรฮ์ (Borough) คือ Bronx, Queens, Manhattan, Brooklyn and Staten Island ซึ่งศูนย์กลาง ความเจริญของมหานครนิวยอร์ก ก็คือ แมนฮัตตัน ค่ะ แมนฮัตตัน มีลักษณะเป็นเกาะ เป็นศูนย์กลางความเจริญในทุกด้าน มีตึกระฟ้าจำานวนมาก เซ็นทรัลพาร์ค พิพิธภัณฑ์ รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ตั้งอยู่แมนฮัตตัน เป็นบริเวณที่มีประชากรหนาแน่น ที่สุด และค่าครองชีพสูงสุดในสหรัฐอเมริกา เมื่อทุกคนได้มาถึงที่หมายแล้ว แน่นอน ต้องไม่พลาดที่จะตะลุยเที่ยวในสถานที่เด่นดังของ NYC ด้วย เวลาที่มีอันจำากัด อย่าง Statue of Liberty, Times Square, Empire State Building, Central Park and Museum ต่าง ๆ ได้ถ่ายภาพความประทับใจ ให้ครบทุกองศา... เลิกกังวลเรื่องเวลาในการเดินทางไปได้เลย เพราะชาวนิวยอร์ก ใช้ระบบขนส่งสาธารณะ ถึง 90% ในการเดินทาง ซึ่งตรงกันข้ามกับวิถีของคนส่วนใหญ่ใน ประเทศที่ใช้รถยนต์ส่วนตัวไปทำางาน ซึ่ง Subway หรือ รถไฟใต้ดินนิวยอร์ก จัดว่าเป็นระบบขนส่งความเร็ว สูง ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทั้งยังให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ผิดกับเมืองอื่น ๆ ที่จะปิดให้บริการในเวลา กลางคืน ซึ่งกรุงเทพมหานครเราก็เช่นกัน ดังนั้น จึงไม่ต้องกังวลเลยว่ารถจะติด หรือ Subway จะปิด เริ่มต้นกางแผนที่ จะสัมผัสได้ถึงความง่ายดาย ในการค้นหาเส้นทางไปสถานที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะอยู่มุมไหน ของแมนฮัตตัน จับจุดง่าย ๆ จาก เซ็นทรัลพาร์ค สวนสาธารณะขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ uptown ตอนบนของ แมนฮัตตันค่ะ
[ 108 ]
แผนผังในนิวยอร์ก เป็นระบบที่มีคุณภาพ ด้วยโครงสร้างที่มีประสิทธิภาพ ผังเมืองในแมนฮัตตันถูกออกแบบมาในลักษณะแนวสี่เหลี่ยมตัดกัน (Grid Plan) โดยจะมีระบบชื่อเรียกถนนว่า “สตรีท ( Street )”และ“อเวนิว ( Avenue )” ซึ่งถนนที่วิ่งแนวตะวันออก-ตะวันตก จะใช้ชื่อว่า “สตรีท” ในขณะเดียวกันถนนที่ วิ่งแนวเหนือ-ใต้ จะใช้ชื่อว่า “อเวนิว” การวางผังเมืองในรูปแบบนี้ทำาให้สะดวก ต่อการค้นหาสถานที่ ไม่ว่าจะเลือกใช้ Subway หรือจะ sight seeing ชมเมือง ก็ง่ายไปหมดค่ะ ภูมิใจนำาเสนอ Times Square ย่านธุรกิจการค้าในเขต midtown ที่ตั้งของ สถานีออกอากาศต่าง ๆ สถานที่ลำ้าสมัยด้วยจอโฆษณาขนาดใหญ่ยักษ์ และเป็นที่ ตั้งของร้านค้าต่าง ๆ มากมาย มีถนนสำาหรับนัก Shop ของ Brandname ฟิฟท์ อเวนิว ( 5th Avenue ) ซึ่งจะมี Brand มากมายหลากหลายให้ได้เดินเข้า ร้านโน้น ออกร้านนี้กันให้เพลินทีเดียว เพียงไม่กี่ Street จาก Times Square ก็จะถึง Empire State Building ขึ้นไปชมทัศนียภาพของเมืองนิวยอร์กให้ทั่วทั้ง 360 องศา เห็นความสวยงามได้ ทั้งแสงอาทิตย์ส่องและแสงสียามคำ่าคืน ซึ่งก็จะได้ความประทับใจในอารมณ์ที่แตก ต่างค่ะ แต่ถ้าจะนั่งเรือไปหาคุณ Liberty ละก็ นั่ง Subway ลง downtown ไป ให้สุดเลยค่ะ แล้วลงเรือแล่นออกจากแมนฮัตตันไปที่เกาะลิเบอร์ตี้ Statue of Liberty เทพีเสรีภาพ เป็นอนุสาวรีย์ที่ยิ่งใหญ่ และมีคุณค่าทางจิตใจ เป็น ของขวัญที่ชาวฝรั่งเศสมอบเอาไว้ เพื่อทำาเครื่องหมาย Centennial ประกาศ อิสรภาพของอเมริกัน เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สากลที่สุดของเสรีภาพทางการเมือง และประชาธิปไตย
และถ้ามีเวลาต่ออีกนิด อย่าพลาดที่จะเข้าชมพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ ซึ่ง แสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการ ความหลากหลายทางวัฒนธรรม และชาติพันธุ์ อย่าง The Metropolitan Museum of Art, Museum of Modern Art และ American Museum of Natural History สถานที่ที่ทำาให้เราได้เรียนรู้อะไรขึ้น อีกเยอะเลยค่ะ ส่วนใครที่คิดจะมาทำางานที่ New York ก็คงต้องคิดมากหน่อย แม้ว่ารายได้ จะดีกว่าแต่ก็ต้องแลกด้วยค่าครองชีพสูงลิ่ว และการแข่งขันกันตลอดเวลา แต่ถ้า คุณจะมาเที่ยวละก็ อันนี้แหล่ะใช่เลย!...
[ 109 ]
Air Alert
อยากเท่ ตŒองทน [ เรื่อง : ชุดามาส บู่บาง / ภาพ : ภัทริศ ภิญโญพิพัฒน์ ] “I belive I can fly, I belive I can touch the sky” อ๊ะ ๆ เพื่อน ๆ อย่าเพิ่งคิดว่านี่เป็นคอลัมน์สอนศัพท์ภาษาอังกฤษจากบทเพลงดังแห่ง ยุคนะคะ เพราะถ้าวัดศักยภาพไอคิวของผู้เขียนในด้านนี้คงถึงขั้นโคม่าสุด ๆ ถึง แม้จะเคาะสนิมสักเท่าไหร่ผลที่ได้ก็คือ กองขี้เลื่อยเท่านั้น หากแต่เรื่องราวที่จะ นำาเสนอในคอลัมน์ฉบับนี้ จะต้องเป็นอะไรที่พิเศษ ซึ่งเกี่ยวข้องกับหนุ่ม ๆ (กล้าม โต+ปราดเปรียว ) ที่เป็นที่พึงปรารถนาของผู้เขียน 555++ ซึ่งสาว ๆ ทั้งหลาย อาจยังไม่เคยทราบมาก่อนก็เป็นได้ และสิ่งที่เรากำาลังพูดถึงนั่นก็คือ AIR ALERT (AA) หลาย ๆ คนคงคิดว่านี่เป็นชื่อสายการบินใหม่ที่เป็นคู่แข่งกับสายการบิน แอร์เอเซียหรือสายการบินไทยหรือเปล่า โอ้ว! โนว์ ๆ ๆ ๆ ไม่ใช่อย่างนั้นแต่เรา กำาลังพูดถึงกีฬาบาสเกตบอล กีฬาลูกหนังยอดฮิตอีกประเภทที่เหล่าคุณผู้ชาย หุ่นมาดแมนทั้งหลาย (ที่บอกว่ามาดแมนเพราะผู้อ่านได้ทำาการวิจัยมาแล้วว่าคุณ สุภาพบุรุษที่เล่นกีฬาประเภทนี้ได้ต้องมีส่วนสูงไม่ตำ่ากว่า 175 ทั้งนั้น อิิ ๆ) [ 110 ]
นิยมเล่นกันและก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเหล่าสุภาพสตรี ชะนี เก้ง กวาง ก็มักจะชอบดู พวกหนุ่ม ๆ ก้านยาวกันอย่างแน่นอน เบื้องลึกเบื้องหลังของผู้เขียน (ที่ไม่ใช่กลากและเกลื้อน) ที่ไม่ได้นึกว่า คัน ๆ อยู่แล้วอยากจะเขียนขึ้นมาก็เพราะว่าแรงบันดาลใจในการเขียนได้เริ่มขึ้น จากการนั่งรถเมล์สาย 57 (กราบขอบพระคุณงาม ๆ ) ที่ใครเคยได้ใช้บริการจะรู้ ว่าเป็นสายที่อ้อมโลกเป็นอย่างมาก ยิ่งถ้าอยู่ในชั่วโมงเร่งรีบโปรดหลีกเลี่ยง (นี่คือ คำาเตือน) แต่ถ้าหากผู้อ่านอยากจะลองนั่งเพลิน ๆ อันนี้เราก็ไม่ว่ากันเชิญใช้บริการ ได้เต็มที่ เต็มเวลา แต่วันหนึ่งผู้เขียนเกิดสวยเลือก (ไม่) ได้ ต้องจึงจำาใจต้องใช้ บริการ เพราะรถเมล์คันที่ต้องการนั้นแน่นขนัดจริง ๆ ระหว่างที่รถเมล์วิ่งลอดใต้สะพานพระรามแปด เป็นที่รู้กันว่าบริเวณนั้นคือ สวนสาธารณะ ซึ่งมีบรรดาผู้ที่รักสุขภาพไปทำากิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน อาทิ วิ่ง ขี่จักรยาน ตกปลา ซึ่งนั่นไม่ไช่ประเด็น เพราะสิ่งที่เป็นจุดสนใจ ทำาให้สายตา
Extreme Shot ของผู้เขียนไปจับอยู่คล้ายกับเลนส์ออโต้โฟกัส นั้นก็คือบริเวณสนามบาสที่เต็มไป ด้วยบรรดาชายหนุ่มมากหน้าหลายตากำาลังทำากิจกรรมกลางแจ้งร่วมกันอย่างเมา มันส์ ด้วยท่วงท่าลีลาที่สวยงาม พริ้วไหวดุจสายลม ทำาให้ผู้เขียนไม่สามารถละ สายตาไปจากจุดนั้นได้จริง ๆ หุ ๆ ยิ่งพอถึงท่าไคลแมกซ์ (อย่าเพิ่งคิดลึกค่ะ สาว ๆ ) ท่าดั๊ง (กระโดดชู้ตลูกบาสให้ลงห่วง ท่านี้สามารถโชว์พละกำาลัง และ สรีระที่สวยงามของผู้ชายได้เป็นอย่างดี) ยิ่งสามารถกระชากใจทั้งสาวน้อยสาว ใหญ่บริเวณนั้นให้ละลายไปตาม ๆ กัน และนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำาให้ผู้อ่านเกิดความสนใจในกีฬาบาสเกตบอล โดยเฉพาะท่าดั๊ง ที่ยิ่งดั๊งสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งเท่ ยิ่งโดดเด่น ถ้าเราย้อนกลับไปดูนักบาส ชื่อดังในอดีตอย่าง ไมเคิล จอร์แดน ผู้เล่นทรงคุณค่าของ NBA 5 สมัยซ้อน สังกัด ทีมชิคาโก บูลส์ ผู้มีความสูงถึง 198 ซม. เจ้าของท่าสแลมดั๊งที่สวยงาม ที่กลาย เป็นไอดอลของเด็กหนุ่มทั่วโลก หลาย ๆ คนคงเกิดอาการสงสัยว่าท่าสแลมดั๊งสุดเจ๋งนั้น เกิดมาจาก พรสวรรค์ที่มีติดตัวหรือพรแสวงที่เราต้องหาเองกันแน่ อ๊ะ! อย่ามัวเสียเวลา เพราะ ผู้เขียนได้ไปสืบเสาะหาข้อมูลเกี่ยวกับ Air alert มาใส่ไว้ในมือคุณเรียบร้อยแล้ว Air alert (แอร์อเลิร์ท) คือ เทคนิคอย่างหนึ่งที่ทำาให้คุณสามารถกระโดด ได้สูงขึ้น โปรแกรมการฝึกนี้ถูกออกแบบมาเพื่อปฏิบัติ 3 วันต่อ 1 สัปดาห์ ตาราง การปฏิบัติใน 3 วัน สำาหรับสัปดาห์ต่อสัปดาห์ ช่วยให้กล้ามเนื้อขาของคุณกระชับ และแข็งแรง สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำาคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยสร้างกล้ามเนื้อและความแข็งแรง ได้ดั่งที่คุณต้องการ ท่าแรกท่านี้มีชื่อว่า ... SQUAT HOPS ชื่อภาษาไทย “อุ้มบาสโดดกบเพื่อสยบมาร” 1.ยืนหลังตรง..สองเท้ามั่นคง มือกอดบาสไว้ในท่ากอดอก หรือจะใช้วอลเล่ย์บอล หรือฟุตบอลก็ได้ 2.ย่อตัวลงในท่ายอง ๆ หลังไม่ค่อม หน้าไม่ก้ม แล้วกระโดดกบสัก 2 ที สูง ประมาณ 3-5 นิ้ว 3.ครั้งสุดท้ายแทนที่เราจะกระโดดกบต่อ เราก็กระโดดเด้งตัวขึ้นไปสุดแรงเกิด ให้สูงเท่าที่จะทำาได้ 4.เป็นอันเสร็จพิธี นับเป็น 1 ครั้ง หรือ 1 reps.. Calf raises ชื่อภาษาไทย “เหยียบหนังสือ...ฝึกปรือลมปราณ” 1.ยืนหลังตรงให้ตำาแหน่งมั่นคง เท้าหนึ่งเหยียบหนังสือที่วางไว้เต็มเท้า อีกเท้าหนึ่ง ยกไปข้างหลัง ให้ตั้งฉากกับอีกข้างหนึ่ง หนังสือที่จะเอามาใช้ขอแนะนำาว่าอย่า เอาหนังสือเรียนเพราะจะรู้สึกบาปยังไงไม่รู้ เอาเป็นว่านิตยสารอะไรก็ได้ที่เก่า ๆ หลาย ๆ เล่มหน่อยมาเรียงกันให้มันหนา ๆ ก็ใช้ได้แล้ว 2.เขย่งเท้าขึ้น...ก็คือยืนด้วยปลายเท้าด้วยข้างที่เหยียบหนังสือนั่นเอง อย่าลืมหลัง ตรง ก้มหน้าได้ไม่เป็นไร 3.เอาเท้าที่เขย่งลงเหยียบเต็มเท้าเหมือนขั้นตอนที่ 1 นับเป็นหนึ่งครั้ง Thrust ups ชื่อภาษาไทย “กระเด้งตัวเหมือนปลากระดี่ได้นำ้า” 1.เริ่มต้นด้วยยืนตรงขาเหยียดตึง 2.โดดหรือเด้งตัวขึ้นไปสูงที่สุดเท่าที่จะทำาได้ 3.เมื่อตกถึงพื้นปั๊บให้เด้งไปข้างหลัง โดยที่ขายังเหยียดตึงอยู่ นับเป็นหนึ่ง reps ท่านี้จะช่วยเวลาเทคตัวขึ้นกระโดดชู้ตลูกบาส
Burnouts ชื่อภาษาไทย “เขย่งกระโดด...สุดโหด สุดฮา” 1.ยืนขาตึง 2.เหยียบพื้นเขย่งปลายเท้าทั้ง 2 ข้าง 3.กระโดดให้สูงที่สุด ลงพื้นไม่เอาส้นเท้าลงยังเขย่งไปเรื่อยเหมือนคนสิ้นคิด นับเป็นหนึ่ง Reps สัปดาห์แรกเค้าให้ทำา 100 Reps = 1 Set Leap ups (with/without rope) ชื่อภาษาไทย “งอเข่ากระโดดเชือก...” 1. งอเข่าประมาณ 1/4 ของตำาแหน่งร่างกาย (ความสูง) แขนเตรียมเหวี่ยงไปข้าง หลัง 2. เหวี่ยงแขนไปข้างหลังกระโดดสุดแรงเกิด 8-10 ครั้งต่อเนื่องกัน แบบขาตึง เหมือนสุนัขเห็นปลากระป๋องบนตู้กับข้าวแต่กินไม่ได้ 55555+ พอครบ 8-10 ครั้ง แล้วถึงพื้นปั๊บ ก็กลับไปท่าเริ่มต้น แล้วก็โดดต่อเลย 3. กลับไปอยู่ในท่าเริ่มต้นทันที...ไม่ต้องหยุดนะ ทำาต่อเนื่องกันไป ถ้าจะพักก็ค้างไว้ในท่าขั้นตอนที่ 1 นั่นแหละ เสร็จแล้วนับเป็น 1 reps ท่านี้จะ ช่วยคุณได้ในเรื่องข้อต่อตรงหัวเข่า Stepups ชื่อภาษาไทย “ สับขาหลอก” 1. ยกขาข้างหนึ่งเหยียบบนเก้าอี้ ให้ต้นขาข้างที่ยกขนานกับพื้น 2. ด้วยแรงทั้งหมด, เหยียบขึ้นไปเต็มแรง และกระโดดจากเก้าอี้ให้สูงเท่าที่จะ ทำาได้ 3. สลับขากลางอากาศ 4. สลับเอาขาข้างที่เหยียบบนเก้าอี้ลงข้างล่าง และขาที่อยู่ข้างล่าง วางบนเก้าอี้ใน ท่าแบบเดียวกับขั้นแรก นั่นคือ จบ 1 รอบ ถ้าอยากดั๊ง หรือ อยากโดด ต้องมีความตั้งใจที่จะฝึกความเเข็งเเรงของกล้าม เนื้อ เพราะ 175 นี่ดั๊งได้ การที่เราจะกระโดดไปดั๊งได้นั้น เราต้องฝึกจับลูกบาสให้ อยู่ นี่สำาคัญ เเละสิ่งที่ต้องมีอีกคือ 1.ต้องมีกล้ามเนื้อที่เเข็งเเรง 2.ต้องมีความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ 3.ต้องมีความเร็ว ***กล้ามเนื้อที่ทำาให้เราโดดได้สูงมากที่สุดคือกล้ามเนื้อขาส่วนบน นั่นก็คือ เหนือหัวเข่าขึ้นไป เเล้วก็กล้ามเนื้อบริเวณน่อง (จากเข่าลงมาที่อยู่หลังเเข้ง) ไม่ใช่ กล้ามเนื้อข้อเท้าเพราะข้อเท้าไม่มีกล้ามเนื้อ ข้อเท้าเป็นเพียงข้อต่อ ***สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการฝึก ก็คือรองเท้ากีฬา ที่สามารถรับแรงกระแทก เวลากระโดดได้ดีเพื่อป้องกันข้อต่อตรงบริเวณข้อเท้า เพราะถ้าข้อต่อส่วนนี้เสีย อาจส่งผลให้ไม่สามารถกระโดดสูงได้อีกต่อไป สุดท้าย ถ้าน้อง ๆ คนไหนฟิตซ้อมหนัก เพื่อมุ่งมั่นไปโอลิมปิกใน 4 ปีข้าง หน้า แนะนำาให้ดื่มนำ้าเยอะ ๆ ทานอาหารให้ครบห้าหมู่ และทานครบสามมื้อ นอนให้ครบ 8 ชั่วโมง ร่างกายจะฟื้นตัวได้ดีและหมั่นซ้อมทุกวันอย่างต่อเนื่อง (ถ้า ร่างกายล้าก็อย่าฝืน ควรพักบ้าง) เพียงเท่านี้ความฝันที่จะบินได้ของเด็กไทยก็อยู่ ไม่ไกลเกินเอื้อม ดั่งคำาที่พี่ตูน (บอดี้แสลม) บอกไว้ว่า “อยากเห็นคนไทยบินได้”
[ 111 ]
Books Review
รวมเด็ด Alert นิยายเกาหลีกระตุกต่อม
[ เรื่อง : ปราณีญา วิชัด ]
เสน่ห์ของนิยายเกาหลีที่แตกต่างจากนิยายชาติอื่น คงเป็นเนื้อเรื่องที่มีความสนุก ครบรส มีทุกอารมณ์ความรู้สึก อีกทั้งบรรดาตัว ละครหนุ่ม ๆ ที่ผู้แต่งสร้างสรรค์มาเพื่อเอาใจบรรดานักอ่านสาว ๆ โดยเฉพาะ นิยายทั้ง 4 เรื่องที่คัดมาแนะนำ�ให้ทุกคนได้รู้จักครั้งนี้ อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีที่สุดหรือสนุกที่สุด แต่เชื่อว่าถ้าใครได้ลองเปิดใจหามาอ่านจะได้รับความรู้สึกอิ่มเอมใจ เหมือนอย่างที่ีผู้เขียนเคยได้รับ เป็นความรู้สึกประทับใจที่ไม่อยากเก็บไว้คนเดียวแต่อยากบอกต่อให้คนอื่นได้รับรู้และสัมผัสมันเฉกเช่นเดียวกัน หนุ่มซึ้งหนุ่มแสบรักแนบหัวใจ ผู้แต่ง : Guiyeoni ผู้แปล : ธารนํ้า (4 เล่มจบ) เรื่องราวความรักของหนุ่มสาวม.ปลายแสนชุลมุน เมื่อ “ลีคังซุน” นางเอกของเราเกิดอาการภาวะหัวใจคับขัน เมื่อจู่ ๆ “ซึงฮยอน” หนุ่มหล่อแสน อบอุ่นที่เธอแอบปลื้มได้ก้าวเข้ามาในชีวิต แถมเขายังมีใจให้เธออีก แต่จะทำ� อย่างไรในเมื่อเธอก็มี “อึนฮยอง” แฟนหนุ่มแสนโหดห้าวอยู่แล้วทั้งคน เมื่อความ รักมีที่ให้คนเพียงสองคนยืน ใครคือคนที่เธอจะเลือกมาเดินเคียงข้าง หนุ่มสุด แสบที่ทำ�ชีวิตเธอวุ่นวาย หรือหนุ่มสุดซึ้งที่ทำ�ให้หัวใจเธอต้องสั่นไหวทุกครั้งที่ใกล้ กัน Note : ไม่ต้องตกใจหากนิยายเรื่องนี้ทำ�ให้ต้องเสียนํ้าตา เพราะเชื่อว่าใคร ที่เคยได้อ่าน ก็ล้วนแต่เกิดอาการบ่อนํ้าตาแตกกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะตอนที่ พระเอกกำ�ลังจะลาโลกนี้ไปด้วยโรคมะเร็ง แต่กลับปิดบังไว้ไม่ให้นางเอกรู้ ร้องไห้ ด้วยความซาบซึ้งและประทับใจความรักของพระเอกที่มีต่อนางเอก หลายสิ่ง หลายอย่างที่พระเอกทำ�ล้วนแต่มีความหมาย แต่เขากลับปกปิดมันไว้ภายใต้ ความหยาบกระด้างภายนอก เป็นข้อสรุปของความรักที่ว่า ความรักที่แท้จริงไม่ สามารถรับรู้ได้ด้วยตา แต่ต้องสัมผัสด้วยหัวใจ ^-^
[ 112 ]
Snow white เรื่องเล่าขาน...นิทานของความรัก ผู้แต่ง : จีซูฮยอน ผู้แปล : กะทิ (เล่มเดียวจบ) เรื่องราวความรักต่างวัยแสนสุดขั้วของ “อูยองฮี” นักเขียนการ์ตูนสาวไส้แห้งวัยยี่สิบแปดกับ “มยองซอนอู” ชายหนุ่มสุดหล่อวัยยี่สิบสอง เมื่อคน ทั้งคู่ต้องมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หนึ่ง สาวสุดเชยหัวโบราณผู้ที่มีบาดแผลจากความรักครั้งก่อนที่ไม่สมหวัง ยึดติดกับ อดีตจนไม่กล้าเปิดหัวใจรักใครอีกครั้ง หนึ่งหนุ่มผู้มีเรื่องราวในอดีตอันปวดร้าวที่ ยังคอยตามหลอกหลอน ทำ�ให้เขาไม่สามารถปริปากพูดออกมาได้ กลายเป็นคน ใบ้ เสียสติในสายตาคนอื่น หนึ่งคนกลัวที่จะรัก แต่อีกคนโหยหาที่จะได้รับความ รัก ความรู้สึกดีที่ค่อย ๆ เติมเต็มให้กันจึงเกิดขึ้นโดยที่คนทั้งคู่ไม่ทันรู้ตัว Note : เป็นนิยายอีกเรื่องหนึ่งที่อ่านแล้วอ่านอีกก็ไม่เบื่อ ตัวละครทุกตัว ล้วนแต่มีสีสัน โดยเฉพาะนางเอก ใครที่ได้อ่านต้องตกหลุมรักในความเปิ่นแสน เชยและความน่ารัก ไม่ต่างจากพระเอกที่ถือเป็นตัวชูโรงด้วยบุคลิกลักษณะที่ มั่นใจว่าไม่ซํ้าใครอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องราวความรักในเรื่องนี้อาจจะไม่ใช่ความรัก ที่หวานซึ้งชวนให้เพ้อฝัน แต่มันคือความรักที่เกิดจากความกล้าที่จะก้าวพ้นความ กลัวเรื่องราวในอดีตอันปวดร้าว เป็นความรักที่เกิดจากการที่คนทั้งสองคนต่างก็ ช่วยกันเติมเต็มในส่วนที่อีกฝ่ายหนึ่งขาดหายไปให้สมบูรณ์ ^-^
สาวใสตัวร้ายกับเจ้านายสุดแสบ ผู้แต่ง : อิมยองมี ผู้แปล : โพมุล (2เล่มจบ) เรื่องราวความรักของ “ชองจีซอง” ซุปเปอร์สตาร์หนุ่ม ของเกาหลีกับ “มูจี” สาวใช้สุดแสน ธรรมดา ที่เปลี่ยนจากคู่กัดกลายมา เป็นคู่รัก เปลือกนอกที่แสนจะขี้เหร่ของ เธอถูกกระเทาะออกให้เห็นถึงความงาม ภายในจิตใจ ทั้ง ๆ ที่ไม่อยากยอมรับ แต่เขากลับปฏิเสธตัวเองไม่ได้เลยว่ารักคนที่ เคยมองข้ามและเหยียดหยามเพราะรูปลักษณ์ภายนอกที่ไม่น่าพิสมัย ความรักบท นี้จะเป็นอย่างไรต่อไปเมื่อเจ้านายหนุ่มอยากเลื่อนสถานะมาเป็นเจ้านายของหัวใจ ในขณะที่หญิงสาวพยายามหลีกหนีเพราะความต่างทางชนชั้นและอายุ Note : เรื่องนี้แอบกรี๊ดความน่ารักแสนเอาแต่ใจของพระเอกที่มีภาพพจน์ ดีมากในฐานะซุปเปอร์สตาร์คนดังผู้ที่ได้รับสมญานามว่า ‘เจ้าชาย’ แต่เมื่ออยู่กับ นางเอกความชั่วร้ายและพฤติกรรมอันแสนร้ายกาจ กลับแสดงออกมาอย่างไม่คิด จะปิดบัง ถือว่านางเอกเป็นเพียงคนเดียวที่ได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของพระเอกเลย ทีเดียว แต่ความที่เป็นคนไม่ยอมคนของนางเอก จึงสามารถตอกกลับพระเอกได้ อย่างเจ็บแสบและสมนํ้าสมเนื้อทุกครั้ง ทำ�ให้เรื่องราวสนุกสนานน่าติดตาม อ่านแล้วรับรองว่าวางไม่ลงแน่นอน ^-^
รหัสลับสมการรักของยัยจอมห้าว ผู้แต่ง: SOI แปลโดย: ณัฐกุล (2เล่มจบ) เรื่องราวความรักสุดประหลาดของ สองเพื่อนซี้ เมื่ออยู่ ๆ “เชบิน” หนุ่มหน้า หวาน ร่างกายก็เกิดอาการผิดปกติจาก ชายกลายเป็นหญิงเพียงชั่วข้ามคืน ร้อน ถึง “จินอี” เพื่อนสนิท ที่แอบคิดไม่ซื่อ คอยมาเป็นไม้กันหมาไม่ให้หนุ่ม ๆ มากหน้าหลายตาเข้ามาจีบ ความรู้สึกรักที่ ก่อตัวตั้งแต่ตอนเป็นเพื่อนแต่หมดโอกาสที่จะสานต่อด้วยเหตุผลของธรรมชาติ ที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่เมื่อทุกสิ่งได้เปลี่ยนแปลงไป พระเจ้าบันดาลให้ เส้นทางความรักของทั้งคู่มาบรรจบกันได้ เหลือก็แต่เพียงความกล้าที่จะเปิดใจ ยอมรับความรู้สึกที่พยายามหนีมาตลอดเท่านั้นเอง Note : เรื่องนี้อ่านไปกรี๊ดไป ลุ้นว่านางเอกกับพระเอกจะได้รักกันรึเปล่า เพราะตอนแรกนางเอกเป็นผู้ชาย แถมพอเปลี่ยนมาเป็นผู้หญิงกลับไม่ยอมรับ ความรู้สึกตัวเอง เรียกได้ว่าลุ้นกันเหนื่อยทั้งพระเอกทั้งคนอ่าน ส่วนเนื้อเรื่องถือ เป็นอะไรที่แปลกใหม่เพราะไม่เคยเห็นมาก่อน อาจจะเกินจริงไปบ้างแต่ถือว่า เป็นการฉีกจากความซํ้ำ�ซากแบบเดิม ๆ โดยเรื่องราวความรักกุ๊กกิ๊กก็สามารถ สร้างรอยยิ้มให้ผู้อ่านได้ตลอดทั้งเรื่อง นางเอกที่พยายามจะทำ�ตัวแมนเพื่อตอกยํ้า ว่าตัวเองเป็นผู้ชายทั้ง ๆ ที่มีร่างเป็นผู้หญิงเพราะไม่กล้าที่จะรับความรู้สึกตัวเองที่ มีต่อพระเอก แต่ถึงอย่างไร ความรักมีเส้นทางของมันเอง บางครั้งอาจจะต้องเดิน อ้อม เจอทางที่คดเคี้ยว แต่ที่สุดแล้วก็ต้องมาถึงจุดหมายปลายทางอยู่ดี ^-^
ข้ามขอบฟ้ามาหาหัวใจ ผู้แต่ง : Choi Yu Ri ผู้แปล : โบ ยัมจอน (4เล่มจบ) เรื่องราวความรักของ “นากาตะ ฮิโระ” เจ้านายหนุ่ม ญี่ปุ่นสุดหล่อกับ “เชดามี” เลขา สาวเกาหลีสุดฮอต เป็นความรัก ที่แม้แต่ระยะทางก็ไม่สามารถมา ขวางกั้นได้ พรหมลิขิตขีดให้คนทั้งคู่ต้องมาเจอกัน นับตั้งแต่วินาที่แรกที่เขาได้ สบตาเธอ ก็แน่ใจได้ว่า นี่แหล่ะ! คือคนที่ฟ้าส่งมาให้ แต่จะทำ�อย่างไรเมื่อในใจของ เธอเหมือนมีเส้นคั่นบาง ๆ ที่ก่อตัวเป็นกำ�แพงไม่ให้เขาก้าวเข้าไป Note : นิยายเรื่องนี้มีทั้งหมด 4 เล่มจบ ถือว่ายาวนานมาก แต่เป็นความ รู้สึกมีความสุขที่ไม่อยากให้สิ้นสุด ด้วยเนื้อเรื่องที่น่ารักกุ๊กกิ๊กของคนทั้งคู่ ผสม กับความหลงตัวเองและความพยายามของพระเอกที่ต้องการจะพิชิตใจนางเอก สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะได้ตั้งแต่ต้นจนจบ เป็นอีกหนึ่งบทของความรักที่ แม้แต่เชื้อชาติและภาษาที่แตกต่าง ก็ไม่สามารถ กั้นขวางความรู้สึกดี ๆ ของ ความรักได้ ^-^ [ 113 ]
พระพิฆเนศวร สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำ� ม.ศิลปากร [ เรื่อง : เกษสุดา บูรณศักดิ์สถิตย์ ] [ ภาพ : ฐิติพร ลี้เลิศกิจ ]
[ 114 ]
“
อ
“
Faithful
โอม ศรี คะเณศายะ นะมะ (9 จบ) จากนั้นกล่าวคําอธิษฐานขอพร
งค์พระพิฆเนศวรหรือพระพิฆเนศสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพประจำาใจที่อยู่คู่ มหาวิทยาลัยศิลปากรของเรามาช้านาน ทรงเป็นเทพเจ้าแห่งความ สำาเร็จและผู้รอบรู้ทางด้านศิลปวิทยาการ รวมทั้งยังเป็นเทพผู้คอยขจัด อุปสรรคและความขัดข้องทั้งปวง ซึ่งมหาวิทยาลัยก็ได้ทำาการอัญเชิญพระรูปของ พระพิฆเนศมาเป็นตราประจำามหาวิทยาลัยโดยมีวงกลมเจ็ดวงล้อมรอบ ซึ่งหมาย ถึงแก้วเจ็ดดวงที่แสดงถึงศิลปะวิทยาการ 7 ประการ อันได้แก่ ประติมากรรม จิตรกรรม ดุริยางคศิลป์ นาฎศิลป์ วาทศิลป์ สถาปัตยกรรม และอักษรศาสตร์ องค์พระพิฆเนศที่ประดิษฐานอยู่ที่วิทยาเขตสารสนเทศเพชรบุรี ตำาบล สามพระยา อำาเภอชะอำา จังหวัดเพชรบุรีแห่งนี้ เริ่มสร้างขึ้นเมื่อปีพ.ศ.2549 โดย วัตถุประสงค์ของการจัดสร้างองค์พระพิฆเนศนี้ขึ้น เพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจและ ความเป็นสิริมงคลแก่นักศึกษาและบุคลากรทุกคน ซึ่งวิทยาเขตแห่งนี้เป็นที่ตั้งของ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ที่เริ่มจัดการเรียนการสอนครั้งแรกในปี การศึกษา 2545 ความพิเศษขององค์พระพิฆเนศแห่งนี้คือ เป็นพระพิฆเนศหล่อโลหะขนาด ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยประกอบกับในปี พ.ศ.2549 นั้นเป็นปีมหามงคลใน วโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ทาง มหาวิทยาลัยศิลปากรจึงถือโอกาสนำาโครงการจัดสร้างพระพิฆเนศนี้ เข้าเป็นส่วน หนึ่งในกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติในวโรกาสอันเป็นมหามงคลยิ่งดังกล่าวด้วย
อาจารย์เศวต เทศน์ธรรม ประติมากรอาวุโสซึ่งเป็นศิษย์คนสำาคัญของ ท่านอาจารย์ศิลป์ พีระศรี (ศิลปินชาวอิตาเลียนผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร) เป็นผู้ที่รับหน้าที่ในการออกแบบปั้นและหล่อ ซึ่งเริ่มต้นโดยการปั้นองค์พระ พิฆเนศต้นแบบให้มีขนาดหน้าตักกว้าง 9.60 นิ้ว โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้มีความ สอดคล้องกับตัวเลขอันเป็นมงคล 2 ประการ ซึ่งได้แก่เลข 9 เป็นการบ่งบอกถึง รัชกาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ 9) และเลข 60 เป็นการบ่ง บอกถึงการที่ทรงครองราชย์ครบ 60 ปี ในพ.ศ.2549 และเมื่อนำามาขยายแบบ เป็นองค์จริงขนาดใหญ่แล้วจะมีหน้าตักกว้าง 96 นิ้ว (หรือประมาณ 2 เมตร 45 เซนติเมตร) เทวลักษณะขององค์พระพิฆเนศนี้ มีพระอิริยาบถประทับนั่งมี 4 พระกร ทรงวัชระ ปัถมะ(ดอกบัว) ทันตะ(งา) ถ้วยขนมโมทกะซึ่งเป็นรูปหัวกะโหลก ทรง สวมสายสังวาลงู และทรงเครื่องพัสตราภรณ์เรียบง่าย การดำาเนินการหล่อองค์พระพิฆเนศนี้ ใช้เวลาประมาณ 1 ปี และจากนั้น จึงทำาการอัญเชิญ รูปหล่อพระพิฆเนศมาประดิษฐานไว้ที่วิทยาเขตสารสนเทศ เพชรบุรี ในวันที่ 19 กรกฎาคม 2550 เวลา 09.09 น. ซึ่งนับเป็นวันและเวลาที่ เป็นสิริมงคลอย่างยิ่ง สุดท้ายก็ขอฝากคาถาบูชาองค์พระพิฆเนศไว้เป็นของฝากให้กับทุกคน เพื่อ ให้บังเกิดความเป็นสิริมงคลกันถ้วนหน้านะคะ
[ 115 ]
[ เร่ื่อง : ธิมา ไหมแพง]
“แม่คงโกรธหนูมากใช่มั้ยคะ” “ออกไปแม่ไม่พร้อมจะพูดกับใครตอนนี้” เด็กผู้หญิงอายุราว แปดขวบยืนนิ่งจ้องหน้าแม่ ใบหน้านองไปด้วยนํ้าตา เธอทำ�สิ่งใดผิดไปหรือ? ผู้เป็นมารดาถึงได้ใจร้าย กับเธอขนาดนี้ หรือเธอลืมเอาชาที่คุณป้าข้างบ้านฝากมาให้ในเย็นวันก่อน ชงชาร้อน ๆ ให้แม่ของเธอ แม่คงรู้ว่า ชาไม่มีแล้ว เธอเอามันไปให้กับชายขอทานที่ ร้านขาย ของชำ�แถวบ้านหมดแล้ว “ให้คุณลุง จะได้ไม่หนาว” ความทรงจำ� แว็บนึงโผล่เข้ามาในสมองของเธอ ชายขอทานยิ้มให้เธอ ด้วยใบหน้าที่เหี่ยวย่น แต่งดงาม นี่กระมังที่เป็นความผิดอันทำ�ให้ผู้ เป็นมารดา นิ่งเฉยกับเธอนัก เอาชาไปให้คนอื่นและยืนคุยกับคนแปลกหน้า [ 116 ]
Short Story “แม่...” เธอได้แต่กล่าวเสียงสั่นเครือ พยายามที่จะขอโทษ หากแต่ไม่ทันได้ จบประโยค ก็ถูกสวนด้วยเสียงเรียบนิ่งว่า “ออกไป” เด็กหญิงได้แต่ยืนนิ่ง ในที่สุด เธอก็เดินออกจากห้อง ออกจากบ้านหลังนั้นไป กลางคืนที่แสนหนาวเหน็บของเดือนพฤศจิกายน หน้าร้านขายของชำ�ใจกลาง เมือง สมานพึ่งเอนกายลงนอนได้ไม่นาน เขาก็รู้สึกว่ามีเงาร่าง ๆ หนึ่งกำ�ลังบดบัง แสงของดวงไฟหน้าร้านอยู่ ชายขอทานผงกศรีษะขึ้นดูก็พบเจอกับร่าง ๆ เล็ก ๆ ที่ กำ�ลังจ้องมองเขาอย่างแน่นิ่ง ดวงตากลมแป๋วเหมือนทุกครั้งที่เธอมาหาและจ้อง มองเขา แตกต่างกันก็เพียงแค่วันนี้รอยยิ้มของเด็กหญิงตัวน้อยได้เหือดหายไป หมดสิ้นแล้ว ทอดมองไปยังดวงตาก็พบแววตระหนกผสมปนเปไปกับความเสียใจ สมานทอดสายตาไปตามใบหน้าของเธอ ก็พบรอยคราบนํ้าตาที่ยืนยันความเศร้า หมองนั้นได้เป็นอย่างดี “หนูไม่ได้ตั้งใจจะปลุกคุณลุง” เธอเอื้อนเอ่ยเสียงสั่นเครือ แล้วบทสนทนา ระหว่างเด็กหญิง กับชายวัยกลางคนก็เริ่มขึ้น เกือบยี่สิสิบสองนาฬิกาแล้ว จิตรารู้สึกตัวตื่นขึ้น เธอหลับไปเพราะความ เหนื่อยล้า และความเครียดจากการทำ�งานที่แสนจะล้มเหลวตลอดทั้งวัน มันไม่ เคยง่ายเลยกับการที่ต้องเป็นผู้หญิงที่คอยจัดการเรื่องราวต่าง ๆ มากมายด้วยตัว คนเดียว หลังจากสามีเธอเสียชีวิตไป หญิงสาวกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้องครัว พยามสลัดความเหนื่อยล้าที่มีออกไป เธอหลับไปตั้งแต่ตอนเย็น หลับไปในห้อง ครัวแห่งนี้ โดยที่ยังไม่ได้กินอะไร? และที่แย่กว่าคือลูกสาวของเธอ ก็ยังไม่ได้ทาน อะไรจนถึงป่านนี้เหมือนกัน สำ�นึกความเป็นแม่หรืออะไรก็ตามสั่นคลอนดวงใจ ของเธอ เธอเดินไปที่ห้องนอน แต่ไม่พบลูกสาว เสียงตะโกนเริ่มดังขึ้น และดัง ตลอดครึ่งชั่วโมงถัดมา ก่อนที่จะตามมาด้วยความตื่นตระหนกและหยาดนํ้าตา “ตามหาลูกหรอคุณ” เสียงแห้งกร้านของชายขอทานทักขึ้น เกือบห้าทุ่มแล้ว จิตราตามหาลูกสาวของเธอ ในทุกซอกมุมของบ้านและละแวกใกล้ ๆ สนามเด็ก เล่น หรือที่ไหนก็ได้ที่เธอคิดว่าลูกเธอจะไป “คุณรู้... รู้มั้ย?ว่าเธออยู่ไหน” หญิงสาวขยับตัวเดินไปหา “แปลกนะที่คุณยอมคุยกับผม คุณจำ�ได้มั้ย? ทุกครั้งเวลาคุณกับลูกกลับมาที่ บ้านแล้วต้องเดินผ่านร้านนี้ คุณมักจะเอ่ยบอกกับลูกเสมอ ว่าอย่าเข้ามาคุยกับผม หรืออยู่ให้ห่าง ๆ ผมไว้” ขอทานสมานเอ่ยเรียบ ๆ จิตรายืนนิ่ง เธอไม่ได้พูดอะไร “คุยกับผมซักครู่เถอะ ผมมีเรื่องจะเล่าให้คุณฟัง” “ ผู้ชายคนหนึ่งเคยมี บ้าน รถ ครอบครัวที่อบอุ่น เขามีเงินทองมากมาย และ คิดว่าตัวเองมีหลักประกันพอให้มีความสุขไปทั้งชีวิต... แต่แล้ววันหนึ่ง ด้วยพิษ เศรษฐกิจ ชั่วข้ามคืนมันทำ�ให้เขากลายเป็นบุคคลที่ล้มละลาย หลักประกันที่คิดว่า เคยมีสูญเป็นแค่กระดาษไร้ค่า” “จากบ้านที่สบาย กลายมาเป็นห้องเช่าเล็ก ๆ ไม่นานความรู้สึกผิดหวังก็ทำ�ให้ เขาคนนั้นติดเหล้า ดื่มเช้าเย็น เงินที่ร่อยหรอยิ่งสาปสูญ ภรรยาที่เคยอยู่ด้วยกันมา จากเขาไป เธอทนกับพฤติกรรมและความอ่อนแอของเขาไม่ได้ เธอพาลูกสาวไป ด้วยและไม่เคยติดต่อกลับมาหาเขาอีกเลย”
“มีเพียงลูกชายตัวน้อยที่ยังเด็ก เด็กชายคนนั้นร้องไห้ เขาติดพ่อเขามากและ ไม่ยอมที่จะไปกับแม่” “วันหนึ่ง ชายคนนั้นกลับมาบ้าน เหล้าของเขาหมดไม่มีเหลือ เขาออกคำ�สั่ง ให้เด็กชายตัวน้อยออกไปซื้อ” “เด็กชายพยายามท้วงติง เขาไม่อยากให้พ่อของเขาดื่มเหล้าเพราะรู้มาว่ามัน ไม่ดี” “หลังจากการโต้แย้งเกิดขึ้น ความเกรี้ยวกราดของชายคนนั้นเริ่มหนักขึ้น เรื่อย ๆ ในที่สุด เขาไล่เด็กชายด้วยคำ�ว่า “ออกไป”” ฟังมาถึงตอนนี้จิตราก็เริ่ม ร้องไห้ เธอนึกถึงคำ�ว่าออกไป ที่เธอกล่าวกับลูกสาว “คุณยังโชคดีกว่าชายคนนั้นนะ” สมานมองหน้าของหญิงสาวผู้เป็นแม่ “รักลูกสาวของคุณให้มาก ๆ ในเวลาที่คุณยังมีกันและกันอยู่ ผมสัมผัสได้ อย่างจริงจังว่าลูกสาวของคุณเป็นเด็กที่ดี” “เด็กชายคนนั้นในเรื่องของคุณกลับมาหาพ่อของเขารึเปล่า?” จิตราเสียงสั่น ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำ�ตาที่ไม่หยุดไหล “ไม่ได้กลับ จริง ๆ แล้วเขาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ ตอนที่พ่อเขาไปเจอ สภาพ ของเด็กชายนอนจมกองเลือด เศษแก้วของขวดเหล้าตกกระจายไปทั่วถนน รถยนต์สีขาวที่เปื้อนคราบเลือดจอดอยู่ใกล้ ๆ “ “คุณรู้มั้ย? ผู้เป็นพ่อหมดอาลัยตายอยาก เขารู้ว่าสิ่งสำ�คัญสิ่งสุดท้ายในชีวิต ได้จากเขาไปแล้ว ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็กลายมาเป็นขอทาน” “เขาคือคุณใช่ไหม?” ขอทานสมานพยักหน้า เงียบและนิ่งอีกอึดใจ สมานก็ กล่าวขึ้นว่า “กลับไปที่บ้านคุณเถอะ บางทีลูกของคุณอาจจะกลับบ้านแล้วก็ได้” แต่ที่บ้านก็ไม่มีใคร... จิตราคิดว่า บางทีเธอควรจะไปขอความช่วยเหลือจาก เพื่อนบ้านที่มีรถ ไม่ทันจะได้คิดอะไรต่อ เสียงเล็กใสสั่นเคลือก็ดังขึ้นที่หน้าประตู บ้าน “แม่คะ...” ไม่รอช้า หญิงสาววิ่งไปตามเสียงที่เรียก เด็กหญิงตัวน้อยยืนเอามือ สองข้างไพล่หลัง ก้มหน้ามองพื้นไม่กล้าสบสายตาของแม่ “หนูคิดว่าแม่จะไม่ยอมให้หนูเข้าบ้านอีกแล้ว” นํ้าตาหยดน้อย ๆ ค่อย ๆ ร่วง หล่นลงบนพื้นบ้าน “หนูพยายามตะโกนเรียกแม่อยู่ตั้งนาน แต่ประตูบ้านก็ล็อค ไฟเปิดอยู่แต่แม่ ไม่ยอมตอบหนูเลย” จิตราเดินเข้าไปโอบกอดลูกสาวตัวน้อย เธอร้องให้กับลูก ไม่รู้จะพูดอะไร บ้านทั้งหลังมีแต่เสียงสะอื้น ผ่านไปนานแสนนาน... “แม่คะ เมื่อวันก่อนคุณป้าข้างบ้านเอาชามาฝาก แต่หนูแอบเอาชาไปให้คุณ ลุงที่เป็นขอทานแล้ว แม่คงโกรธหนูมากใช่มั้ยคะ?” เธอค่อย ๆ คลายมือที่ไพล่ไว้ ข้างหลัง หยิบกล่องชาสีสันงดงามยื่นส่งให้แม่ของเธอ “หนูซื้อมาคืนให้แม่แล้วค่ะ เลิกโกรธหนูนะคะ...” แม้คราบนํ้าตา ไม่ได้ลบ เลือนไป แต่รอยยิ้มจากหัวใจได้ปรากฏขึ้นแล้ว [ 117 ]
[ เรื่อง : กรณ์แก้ว ช้างศิริ ]
กรง ในชีวิตของคนเรามักมีเรื่องให้ตั้งข้อสงสัยได้ตลอด บ้างก็หาคำาตอบได้ บ้างก็ไม่ เหมือนกับคำาถามที่พ่อมักถามฉันตอนเด็ก ๆ ว่า “ลูกรู้จักชีวิตดีแค่ไหนกัน?” ฉันก็ทำาได้แต่มองพ่อ พร้อมกับส่ายหน้าแทนเสียงพูดว่าไม่รู้ พ่อหัวเราะอยู่ น้อย ๆ และพ่อก็พูดประโยคที่ได้ยินจนคุ้นหูว่า “แล้วลูกจะรู้เอง” แน่นอนว่าคำาพูดเพียงไม่กี่คำาของพ่อ ไม่ได้ทำาให้สมองเล็ก ๆ ของฉันเข้าใจ ไปมากกว่าคำาสอนที่ไม่มีคำาตอบของพ่อในกว่าร้อยคำาสอนที่พ่อใช้มันสอนฉัน แต่มี ข้อสงสัยเรื่องหนึ่งที่ฉันได้พิสูจน์มันด้วยสองตาของฉันเองมาแล้ว มันเป็นเรื่องของ ชีวิตเล็ก ๆ สองชีวิต ที่ไม่มีวันได้รับอิสระ ไม่มีวันที่จะได้เห็นความหวังของ ตัวเอง และได้แต่ใช้ชีวิตในกรงเสมือนกับขวดแก้วที่เม็ดทรายแห่งกาลเวลาหมดลง ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะพบจุดจบของตัวเอง ฉันได้เห็นมาด้วยสองตาและหนึ่งหัวใจ ถึงชีวิตเล็ก ๆ สองชีวิตที่ฉันเป็นคน พรากอิสระด้วยมือของฉันเอง ใช่แล้ว….. มันเป็นเหมือนสิ่งที่เป็นประกายแห่งคำาตอบของคำาสอนของพ่อ ที่ฉันได้ยินจนชินชา และเป็นดั่งสิ่งที่เหมือนระลอกคลื่นที่ถาโถมเข้าในหัวใจ ว่าสิ่ง ทีเรียกว่า ชีวิต คืออะไร และ คำาพูดที่พ่อมักพูดสอนฉันว่า “แล้วลูกจะรู้เอง” มัน เป็นอย่างไร สมัยที่ฉันยังเด็ก ฉันไม่รู้จักคำาว่า “ชีวิต” ดีเท่าไรนัก และอาจเป็นเพราะยัง ไม่เข้าใจ ด้วยความที่ไม่รู้ของเด็ก ฉันจึงเป็นคนที่โหดร้ายมากพอดู ความทรงจำาที่ ฉันยังจำาได้อย่างแม่นยำามาจนทุกวันนี้ มันเริ่มด้วยเรื่องของลูกกระต่ายสองตัวที่ได้มาจากคนสวนข้างบ้าน สมัยก่อนบ้านของฉันนั้นอยู่ติดกับสวนมะพร้าว ตอนนั้นฉันยังไม่ได้ย้ายบ้าน เข้ามาในกรุงเทพมหานคร เรื่องที่จะเห็นสัตว์จำาพวกนก แมลง กระรอก
Short Story
หรือกระแตนั้นเป็นเรื่องธรรมดาที่ชินตามาก ๆ สำ�หรับชาวบ้านต่างจังหวัด ละแวกนั้นเต็มไปด้วยต้นไม้และพืชผักนานาชนิดที่สามารถให้สัตว์ตัวเล็ก ๆ ไม่ต้อง อดอยาก ความอุดมสมบูรณ์ของไร่นา เรื่องฝนตกตามฤดูกาลเป็นสิ่งที่ยืนยันได้เป็น อย่างดี วันนั้นฉันจำ�ได้ว่าคุณลุงที่อาศัยอยู่ห่างจากบ้านของฉันไม่ไกลไปถางหญ้าใน ป่า แล้วบังเอิญเจอโพรงของกระต่ายอยู่หนึ่งโพรง ในนั้นมีกระต่ายอยู่สองตัวเป็น ลูกกระต่ายตัวเล็ก ๆ ด้วยความที่เป็นคนทำ�ไร่ทำ�นา การที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสัตว์ เล็ก ๆ แล้วเอามาทำ�สัตว์เลี้ยงนั้นก็ไม่ได้เป็นนิสัยของคุณลุงท่าน แต่บังเอิญว่าตอน ที่ถางหญ้าอยู่นั้น คุณลุงดันไปทำ�ลายโพรงกระต่ายไปเกือบครึ่งแล้ว อีกทั้งในโพรง ก็ไม่ได้มีแม่กระต่ายอยู่ หากปล่อยไว้ลูกกระต่ายคงได้กลายเป็นอาหารของเหยี่ยว ที่บินรออยู่เป็นแน่ ความที่ไม่ใช่คนที่เห็นสัตว์เดือดร้อนแล้วปล่อยไว้ จึงทำ�ให้คุณ ลุงนำ�เจ้าลูกกระต่ายทั้งสองใส่เข่ง แล้วนำ�มาฝากไว้ที่บ้านของฉันที่อยู่ไม่ไกลจาก บริเวณที่ถางหญ้า ที่จริงแล้วถ้ามานึกย้อนดูอีกทีการที่คุณลุงตัดสินใจครั้งนั้นอาจเป็นการตัดสิน ใจที่ผิดด้วยความหวังดีก็ได้ เพราะตอนนั้นเมื่อฉันเห็นมันทั้งสอง ฉันก็ได้ตัดสิน ใจเอาเจ้าลูกกระต่ายมาเลี้ยงทันทีโดยที่ไม่ได้ฟังเสียงคัดค้านของใครเลย ตอนที่ ฉันเห็นพวกมัน แวบแรกความรู้สึกของฉันมันเป็นความรู้สึกของคนอยากได้เป็น เจ้าของ ฉันเงยหน้าถามคุณลุงทันที “เลี้ยงได้มั้ยคะ” ลุงคนนั้นชื่อว่า ลุงแช่ม เป็นคนที่รู้จักกับครอบครัวของฉันดี เห็นฉันมาแต่ เด็ก ๆ จนมองฉันเหมือนลูกเหมือนหลานคนหนึ่ง มองฉันด้วยสีหน้าฉงนก่อนจะ หัวเราะออกมา แล้วถามฉันว่า “คิดดีแล้วหรือ? จะเลี้ยงพวกมันน่ะ รับผิดชอบ ด้วยชีวิตเลยนะนั่น” ชีวิต…. คำ� ๆ นี้อีกแล้ว พูดไปในตอนนั้นฉันก็ไม่เข้าใจอะไรเลย ฉันพยักหน้ารับคำ� มั่นว่าฉันดูแลพวกมันได้ แรกเริ่มนั้นฉันหลงเจ้ากระต่ายน้อยสองตัวด้วยความเห่อ แบบเด็ก ๆ ฉันอ้อนพ่อขอเลี้ยงกระต่าย ซึ่งพ่อก็ให้ฉันเลี้ยง ลุงแช่มเองก็ไม่ได้ว่า อะไร แต่ก็มองฉันด้วยแววตาที่เหมือนจะบอกให้ฉันรู้ว่าสิ่งที่ฉันขอนั้นมีชีวิต ไม่ใช่ ของเล่นที่สามารถทิ้งขว้างได้ยามเบื่อหน่าย ตอนนั้นถึงแม้ฉันจะไม่เข้าใจเท่าไรถึงแววตานั้น แต่การที่ฉันเห็นคุณลุงเอา มือลูบหัวมันเบา ๆ ก็เข้าใจแล้วว่าสิ่งมีชีวิตทั้งสองต้องการการดูแล ฉันเข้าใจแต่ไม่เพียงพอ สาเหตุนั้นเพราะฉันไม่มีวันแทนความรักของแม่พวก มันได้ ฉันให้พ่อของฉันจ้างคนมาสร้างกรง กรงขนาดใหญ่ที่ทำ�จากไม้ไผ่อย่างดีไม่ พังง่าย ๆ กรงที่จะกลายเป็นบ้านของสัตว์เลี้ยงของฉันตลอดไปตามที่ฉันคิด ฉัน ไปเก็บหญ้ามากมายที่เป็นอาหารของพวกมันทุกวัน ไม่มีวันไหนเลยที่ฉันจะลืม เปลี่ยนนํ้า ไม่มีวันไหนเลยที่ฉันจะลืมให้อาหาร จนนานวันเข้าดูเหมือนพวกมันจะ รู้จักแต่การรอคอยเพื่ออาหาร นํ้า แล้วก็ความแปลกใหม่ที่ฉันมักนำ�มาเล่นกับพวก มัน อยู่ในสิ่งที่ฉันเรียกว่า “กรง” และ พวกมันคิดว่า “บ้าน” ทุก ๆ วันฉันสนุกมาก แต่ก็อย่างที่เข้าใจกันว่าความเห่อ หรือความหลงมัก อยู่ไม่ได้นาน
ในที่สุดฉันก็เบื่อพวกมัน สิ่งมีชีวิตที่เรียกกระต่ายนั้นมีชีวิตอยู่ได้หลายปี มัน สามารถโตได้อีกมากในธรรมชาติ ความน่ารักมักหมดไปกับสี่ถึงห้าเดือนแรก แต่ ฉันหมดรักมันเร็วกว่านั้นอีก ฉันเริ่มใช้คนอื่นให้อาหาร หรือไปเล่นกับมัน จนใน ที่สุดหน้าที่นั้นก็ไม่ได้เป็นของฉันอีก ฉันไม่สนใจมัน ฉันเบื่อมัน ฉันสั่งให้คนเอากรง ของมันไปวางไว้ที่ไกล ๆ ในเวลาต่อมาด้วยความที่ฉันพอจะรู้ว่าการขังมันไม่ดี อันที่จริงขอสารภาพ ว่ามันเบื่อ ฉันจึงสั่งให้คนเอามันไปปล่อยในป่าเดิมของมัน นานนับเดือน นานนับ ปี กระต่ายทั้งสองตัวที่รู้จักแต่กรงก็โดนปล่อย ฉันคิดว่ามันคงเหมือนนก ที่เปิดกรง แล้วมันจะบินหนี แต่มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น เจ้ากระต่ายสองตัวไม่ยอมออกจากรง จนฉันต้องขอร้องให้คนอื่นพามันไปไว้ในป่า แต่ทุกครั้งที่ปล่อย เจ้ากระต่ายสองตัว มันก็จะกลับมาเรื่อย ๆ ฉันจึงคิดว่าเจ้ากระต่ายสองตัวนั้นคงคิดว่ากรงคือบ้านของพวกมัน บ้าน แสนสุขของพวกกระต่าย ไม่สิ…ที่จริงฉันคิดว่า กรง คือโลกเพียงแห่งเดียวที่มันรู้จักเสียมากกว่า เพราะ ทั้งชีวิต มันเรียนรู้อยู่ในนั้น ผ่านไม้ไผ่ซี่เล็ก ๆ ที่ถูกสร้างไว้ เพื่อให้พวกมันอาศัย และเติบโต แน่นอน…. ว่าหากเป็นเช่นนั้น เรื่องร้าย ๆ ต้องมาเยือนพวกมันเป็น แน่ แล้ววันนั้นก็มาถึงเร็วกว่าที่ฉันคิด หลังจากที่ปล่อยพวกมันไปอีกครั้งได้หลาย สัปดาห์ วันหนึ่งฉันกลับบ้านมาจากโรงเรียน ฉันก็พบเจ้ากระต่ายสองตัวกำ�ลังโดน หมาไล่กัด สาเหตุที่มันโดนไล่ตามนั้นหนีไม่พ้นเรื่องที่มันมาวนเวียนในที่ ๆ มันเคย อยู่มาก่อน จนเจ้าหมานั้นจับทางถูกแล้ววิ่งไล่มัน ตอนนั้นที่ฉันเห็น ฉันตกใจ ฉันรีบวิ่งเข้าช่วยพวกมัน แต่ก็สายเกินไป ถึง ฉันจะไล่หมาไปได้ แต่กระต่ายตัวหนึ่งก็ต้องตายไป ฉันเสียใจมากจริง ๆ เลือดสี แดงที่ชุ่มโชกบนพื้นทรายหน้าบ้าน กับสองมือของฉันที่เปื้อนสีแดงฉาน และซาก กระต่ายที่ฉันเคยรักอีกหนึ่งตัว มันสอนอะไรหลาย ๆ อย่างให้แก่ฉัน หากว่าตอนนั้น….ฉันเข้าใจ เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้นแน่ ถ้าฉันไม่ได้เอามันมา เลี้ยงให้อยู่แต่ในกรง สิ่งที่พรากทุกอย่างของพวกมันไป ไม่เว้นแม้กระทั่ง สัญชาตญาณการดำ�รงชีวิตอย่างที่มันควรจะเป็น ฉันฝังร่างของกระต่ายที่โง่เง่าตัว หนึ่งไปพร้อมกับหยดนํ้าตาที่พรั่งพรูออกมา หากครั้งหน้าพ่อถามคำ�ถาม เรื่องชีวิต ฉันคงตอบทุกอย่างออกไปโดยง่ายตามที่ฉันได้เรียนรู้มา ณ วันนั้น สิ่งที่เรียกว่า ชีวิต คือ กรงขังตัวตนของเราเอง กรง… รอบตัวของฉันนั้นคือ กรง กักขังความต้องการไว้ภายใน และมองทุก ๆ อย่างลอดออกมาจากช่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ที่เรียกว่าตัวตน แต่ฉันคือคนที่มีกุญแจ ในการไขออกเพื่อที่จะทำ�ตามปรารถนาของตน ไม่ใช่พวกมันที่มีเพียงร่างที่กลวงโบ๋ และไร้ซึ่งเสียงที่ถามฉันว่า “ทำ�ไม? เพราะอะไร?” เสียงคำ�ถามของพ่อที่ก้องไปมาถามว่าชีวิตคืออะไร มันวนไปมาในหัวจนน่า วิงเวียน “ลูกรู้จักชีวิตดีแค่ไหนกัน?” มาในตอนนี้ ฉันคงตอบพ่อได้อย่างเต็มปากเต็มคำ� ว่า มันคือตัวของฉันเอง ทางเดินของฉัน และกรงของฉันนั่นเอง…..
Ars Exhibition
นิทรรศน์ ร ต ั นโกสิ น ทร์ เล่าขานตำ�นานราชธานีไทย [ เรื่อง : โสพิชา นาคสกุล /ภาพ : ภัทริศ ภิญโญพิพัฒน์ ]
[ 120 ]
“กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยามหาดิลก ภพนพรัตน์ราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรวิมานอวตารสถิตย์ สักกะทัตติยะวิศนุกรรมประสิทธิ์” นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ ได้ก่อตั้งขึ้นและอยู่ภาย ใต้การดูแลของสำ�นักงานทรัพย์สินส่วนพระมหา กษัตริย์ อาคารนี้ตั้งอยู่บนถนนราชดำ�เนินกลาง ถัด จากลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ จุดประสงค์ ในการก่อตั้งเพื่อเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ข้อมูล ทางประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมในสมัย รัตนโกสินทร์ที่ครบถ้วนที่สุด เป็นนิทรรศการที่จัด แสดงเรื่องราวในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ มีสโลแกนว่า Experience the best of Rattanakosin in a day แปล เป็นไทยคือ คุณค่าแห่งยุคสมัย สัมผัสได้ใน ๑ วัน ตัวอาคารสูง ๔ ชั้น โดยชั้นแรกคือส่วนของทาง เข้า ประชาสัมพันธ์ และที่จำ�หน่ายบัตรเข้าชม และ ในชั้นนี้ยังมีโถงกิจกรรมอเนกประสงค์ ร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึก ชั้นลอยต่อจากชั้น ๑ เป็น ส่วนของห้องสมุดนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ ชั้น ๒ และ ชั้น ๓ เป็นส่วนของห้องจัดแสดงนิทรรศการ และชั้น สุดท้าย ชั้น ๔ เป็นจุดชมวิวทิวทัศน์
ซึ่งภายในตัวอาคารเมื่อตกแต่งเสร็จสมบูรณ์ แล้วจะมีห้องนิทรรศการทั้งหมด ๙ ห้อง แต่ใน ปัจจุบันเปิดให้เข้าชมเพียง ๗ ห้อง และได้ตั้งชื่อไว้ อย่างไพเราะคล้องจองกัน อันได้แก่ รัตนโกสินทร์ เรืองโรจน์ เกียรติยศแผ่นดินสยาม เรืองนามมหรสพ ศิลป์ ลือระบิลพระราชพิธี สง่าศรีสถาปัตยกรรม ดื่มดํ่าย่านชุมชน และเยี่ยมยลถิ่นกรุง ในแต่ละห้องจะรวบรวมเรื่องราวความเป็น มาของกรุงรัตนโกสินทร์ตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ ๑) สถาปนากรุง รัตนโกสินทร์ขึ้นเป็นราชธานีของไทย จนถึงปัจจุบัน รวมระยะเวลากว่า ๒๒๘ ปี การเข้าชมจะมีเจ้าหน้าที่วิทยากรคอยแนะนำ� และบรรยายถึงเรื่องราวของแต่ละห้องให้ได้ฟังอย่าง ละเอียด ทำ�ให้การชมนิทรรศการแห่งนี้นอกจากจะได้ ชมความวิจิตระการตาของแสง สี เสียง และเทคนิค ต่าง ๆ ที่ทันสมัยแล้ว ยังจะได้ความรู้เกี่ยวกับเรื่อง ราวทางประวัติศาสตร์ของกรุงรัตนโกสินทร์ ราชธานี อันเก่าแก่ และยาวนานของไทย [ 121 ]
Ars Exhibition
นิทรรศน์รัตนโกสินทร์เปิดให้เข้าชมทุกวัน ยกเว้น วันจันทร์ วันอังคาร – วันศุกร์ เปิดให้บริการเวลา ๑๑.๐๐ – ๒๐.๐๐ น. วันเสาร์ – วันอาทิตย์ เปิดให้บริการเวลา ๑๐.๐๐ - ๒๐.๐๐ น. ราคาบัตรเข้าชม ผู้ใหญ่ ราคา ๑๐๐ บาท จากปกติ ๒๐๐ บาท เด็ก ราคา ๓๐ บาท จากปกติ ๕๐ บาท เข้าชมฟรีสำ�หรับ นักเรียน นิสิตนักศึกษา ในชุดเครื่องแบบหรือ แสดงบัตรประจำ�ตัว พระภิกษุ นักบวช ผู้สูงอายุ และผู้พิการ *หมายเหตุ โปรโมชั่นนี้ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓
[ 122 ]
[ 123 ]
[ 124 ]