ดูจิตปแรก โดย สันตินันท ISBN ๙๗๘-๖๑๑-๙๐๑๘๖-๐-๐
พิมพครั้งที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๒ จำนวนพิมพ ๑๐๐,๐๐๐ เลม พิมพครั้งที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๒ จำนวนพิมพ ๔๐,๐๐๐ เลม ที่ปรึกษา คณะผูจัดทำ ออกแบบปก ออกแบบรูปเลม
: คุณศรันย ไมตรีเวช : ทีมงานนิตยสารธรรมะใกลตัว : คุณกวิน ฉัตรานนท และ คุณอาบทิพย ธีรวงศกิจ : คุณอาบทิพย ธีรวงศกิจ
จัดพิมพโดย สำนักพิมพฮาวฟาร พิมพที่ บริษัท ยูไนเต็ด โปรดักชั่น เพรส จำกัด 285 ม. 13 ซ. เพชรเกษม 93 ถ. เพชรเกษม ต. ออมนอย อ. กระทุมแบน จ. สมุทรสาคร 7413 สงวนลิขสิทธิ์ หามพิมพจำหนาย และหามคัดลอกหรือตัดตอนไปเผยแพรทางสื่อทุกชนิด โดยไมไดรับอนุญาตจากผูเขียน ผูสนใจฟงบันทึกเสียงพระธรรมเทศนา หรืออานพระธรรมเทศนากัณฑอื่นๆ สามารถดาวนโหลดไดจาก http://www.wimutti.net หนังสือเลมนี้ จัดพิมพดวยเงินบริจาคของผูมีจิตศรัทธา เพื่อเผยแผเปนธรรมทาน หากทานไดรับหนังสือเลมนี้แลว ขอไดโปรดตั้งใจศึกษาและปฏิบัติธรรมจากหนังสือเลมนี้ ใหเกิดประโยชนสูงสุดทั้งแกตนเองและผูอื่น เพื่อใหสมตามเจตนารมณของผูบริจาคทุกๆทานดวยเทอญ
¤Ó¹ÓÊӹѡ¾ÔÁ¾ หากถามคนไทยในปจจุบันวานับถือศาสนาอะไร แมปญญาชน จำนวน หนึ่ง เริ่ม กลา ตอบ วา ‘ไม นับถือ ศาสนา ไหน เลย ไม เห็น ประโยชนของการมีศาสนาเลย’ แตก็เชื่อวาชาวไทยสวนใหญยังคง ปกหลักตอบวาตนนับถือศาสนาพุทธอยู หากสัมภาษณ ‘ชาวพุทธ’ แบบเจาะลึกสักพันคน ถามวารูจัก ศาสนาของตนเองดีแคไหน รูไหมวาพุทธศาสนาสอนอะไร สวนใหญ อาจ ยิ้ม เจื่อนๆ คิด ไมออก ใน ทันที หรือ ถา ทาดี หนอย ก็พูด ตาม สูตรสำเร็จ เชน ‘ทำวันนี้ใหดีที่สุด’ หรือ ‘ปลอยวางตัวกูของกูเสีย อยาไปยึดมั่นถือมั่น’ อันที่จริง คำตอบ ตาม สูตรสำเร็จ ขางตน ไมได ผิด อะไร เพราะ พุทธศาสนาสอนไวเชนนั้นจริงๆ แตหากเจาะรายละเอียดกันวาดีที่สุด ของแตละวันหมายถึงแบบไหน อาการไมยึดมั่นถือมั่นทำใหเกิดขึ้น ไดอยางไร อันนี้ยังตอบกันไปคนละทางสองทาง และหาไดนอยนักที่ ตอบอยางเชื่อมั่นวาตนรูจริง ไมใชตอบตามความรูสึก ศาสนาพุทธไมไดสอนใหพูดตามความรูสึก แตชาวพุทธจำนวน หนึ่งก็มักพูดตามความรูสึก ยกตัวอยางเชนธงชัยของพระพุทธศาสนา คือ มรรคผล นิพพาน ที่ ชาวพุทธ ทุกคน ควร แขง เวลา กับ ความตาย ไปความาใหได ตามทีพระพุ ่ ทธเจาทรงคะยั้นคะยอ แตพอตนทำไมได หรือไมรูรายละเอียดวิธี ก็ใชความรูสึกตัดสินวาหมดยุคของมรรคผล แลว เปนยุคที่ไมมีใครมีปญญาถึงอีกแลว พยายามใหตายก็ไมมีทาง บรรลุแมแตฌาน อยาวาแตจะเอาใหถึงมรรคถึงผลกัน
ความเชื่อเกี่ยวกับการเอามรรคผลนิพพานในชาติหนาเผยแพร อยางกวางขวาง และฝงลึกอยูในเสนทางทำบุญของชาวพุทธมานาน ดังจะเห็นไดวาแมแตพระสวนใหญก็อวยพรญาติโยมดวยถอยคำให ความหวัง เชน ขอใหถึงซึ่งพระนิพพานในอนาคตชาติ แทบไมมีพระ วัดไหนใหความเขาใจเลยวาพระนิพพานเปนสิ่งที่พึงหวังเขาถึงไดใน ชาตินี้ ดวยวิธีที่ถูกตอง ตามที่พระพุทธเจาทรงแสดงไว และยังคงหา หลักฐานไดจากพระไตรปฎก ไมใชหายสาบสูญไปไหนเลย ระหวาง ‘คำอวยพร’ กับ ‘ความเขาใจ’ ชาวพุทธเราเคยชิน กับการรับคำอวยพรมานานเกินไป โดยไมรูเลยวาพระพุทธเจาไม สรรเสริญ การ อวยพร แม ใคร มา ขอ พร จาก ทาน ทาน ก็ ตรัส วา เรา ตถาคตเลิกใหพรนานแลว และทานจะใหก็แตความเขาใจวิธีดำเนิน ชีวิตเพื่อความพนทุกขอันเปนของจริง เปนเหตุเปนผล ไมสักแตเปน ถอยคำ ประโลม ใจ สงเสริม ใหผูคน หลอก ตัวเอง ดวยความเชื่อ ลมๆ แลงๆ สำนักพิมพฮาวฟารเล็งเห็นความสำคัญของพระผูใหความเขาใจ ซึ่งนับวันจะนอยลงทุกขณะ และความภูมิใจของเราก็คงไมมีสิ่งใดยิ่ง ไปกวาการแนะนำใหชาวพุทธรูจักกับพระรูปหนึ่ง ที่เราเชื่อวาทาน รูจริง ใน สิ่ง ที่ พูด และ ทำ จริง ใน สิ่ง ที่สอน พระ รูป นั้น ก็คือ หลวงพอ ปราโมทย ปาโมชฺโช สวนสันติธรรม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี แม ปจจุบัน นามของ ทาน จะ ปรากฏ ติดปาก ใคร ตอ ใคร ทวา จะ ให ‘รูจัก’ จริงๆคงนอย เพราะการรูจักกับการ ‘เคยไดยินชื่อ’ นั้น แตกตางกันมาก และเราก็เชื่อวาวิธีที่ดีที่สุดที่จะแนะนำใหรูจักทาน
คงไมมีอะไรประเสริฐไปกวาการเผยแพรคำสอนงายๆของทาน ที่คน ทั่วไปยอยไปใชไดทันที หนังสือ ‘ดูจิตปแรก’ เปนการ รวม ขอเขียน เมื่อ ครั้ง หลวงพอ ปราโมทยยังเปนฆราวาส และใชนามปากกาวา ‘สันตินันท’ หรือ ลงชื่อจริงคือ ‘ปราโมทย’ ซึ่งเคยเผยแพรผานเว็บไซตลานธรรมเสวนา (larndham.net) และบทความทางอินเทอรเน็ต โดยเราไดคัดแนว ปฏิบัติที่เรียบงายและลัดสั้น เนนใหเกิดแรงบันดาลใจวาทำไดจริง กับ ทั้งมีวิธชัี ดเจนที่ชีให ้ เห็นวาจะทำเดี๋ยวนี้ไดอยางไร ไมตองรอชาติหนา หรือปตอๆไป การดูจิต เปน สิ่ง ที่ ตอง ทำ ไป ตลอด ชีวิต หรือ จน กวา จะ ประสบ ความสำเร็จทางธรรมขั้นสูงสุด หมดกิเลส หมดทุกขรอนชั่วนิรันดร อยางไรก็ตาม ไมมีใครดูจิตได หากทำผิดหรือเสียกำลังใจตั้งแตป แรกๆ หนังสือ ‘ดูจิตปแรก’ จึงเปนพี่เลี้ยงใหกับกาวแรกของมือใหม ชวยทำเรื่องยากใหเปนเรื่องงาย แตขณะเดียวกันชื่อหนังสือก็คงสอ ในตัวเองวาจะมีปตอๆไปตามมา ซึ่งจะนานกี่เดือนกี่ป ก็ดีกวาตอง เดินทางหลงวนอีกหลายกัปหลายกัลปแนนอน เราเชื่อวาการนำความเขาใจจากพระผูรูมาสูชาวพุทธ ทรงคา เหนือคำอวยพรทั้งโลก เพราะคำอวยพรชวยใหปลื้มไดเดี๋ยวเดียว แต ความเขาใจอาจนำไปสูบรมสุข พนทุกขพนภัยไปจนสิ้นกาลนาน
สำนักพิมพฮาวฟาร กุมภาพันธ ๕๒ หมายเหตุ: หนังสือเลมนีไ้ ดรบั เมตตาอนุญาตจาก หลวงพอปราโมทย ปาโมชฺโช ในการจัดพิมพ ขึ้นเปนธรรมทาน ทั้งนี้ หลวงพอมิไดมีผลประโยชนในการจัดพิมพหนังสือเลมนี้แตอยางใด
ÊÒúÑÞ คำนำสำนักพิมพ
๓
๑. การปฏิ การปฏิบัติธรรมเป รรมเปนเรื่องง งงายหรื ยหรือยาก
๙
๒. แนวทางปฏิบัติธรรมโดยสังเขป
๑๕
๓. การดู การดูจจิิตคืออะไร ปฏิบัติอย อยางไร ปฏิบัติแล แลวมีผลอ ผลอยยางงไร ไร ๒๗ ๔. ปญหา หาของผู ของผูปฏิ ปฏิบัติสวนนมากคื มากคืออะไร
๓๙
๕. ทำไม ทำไมคนส คนสวนนใหญ ใหญจึจึงไมสนใจ สนใจการปฏิ การปฏิบัติธรรม
๔๗
๖. การ การเดิ เดินจงกรม จงกรมและเจริ และเจริญสติตตอน อนนันั่งและนอน และนอน
๕๑
๗. ดูจจิิตอยางไรเป งไรเปนสมถะ อยางไรเป งไรเปนวิปสสนา
๕๕
๘. จิตตั้งมั่นเปนกลาง เปนอยางไร กลางเป
๕๗
๙. ขอ ขอเทคนิ เทคนิคดีๆ ใน ในการทำจิ การทำจิตใหเป เปนกลาง
๖๑
๑๐. วิธีการ เจริญสติทีที่ถูถูกตอง เพื่อใหได ผล ารเจริ ไดมรรค มรรคผล
๖๓
๑๑. พูดคุยกับคนอื คนอื่น มักแบงสติมมาาดูดูตัตัวเอง ไมทัน ๑ เวลา เวลาพู เองไม
๖๗
๑๒. เรา เราควรเรี ควรเรียนธ นธรรมเรื นธรรมเรื่องใดเป งใดเปนหลัก
๖๙
ทำไมแครรูู กิเลสก็ ลสก็สสิิ้นได ๑๓. ทำไมแค
๗๗ ๗
๑๔. จิตไไมใใชชขของ องเรา เรา เราไม เราไไมใใชชจจิิต แลวเราอยู เราอยููไไหน หน
๘๑
๑๕. พบคนหลายคนในตั พบคนหลายคนในตัวเรา
๘๕
๑๖. ทางสายกลาง งไรถึถึงจะเป ทางสายกลาง ทำอย ทำอยางไร จะเปนกลาง
๘๗
๑๗. กุศลจิ ลจิตเกิดยาก
๘๙
๑๘. ตามดู ตามดูจจิิตแลวพากยไไปปดวย
๙๓
๑๙. ธรรมะทิ ธรรมะทิ้งทายยเพื เพื่อเตือนสติ
๙๕
“¡ÔàÅÊÁѹËÅÍ¡àÍÒ¹‹Ð¤ÃѺ àÃÒ¨Ö§àË繼Դ໚¹ªÍº àË繡Òû¯ÔºÑμÔ¸ÃÃÁ·Õè໚¹¢Í§ÊºÒ NjÒÅÓºÒ¡àËÅ×Í»ÃÐÁÒ³”
การปฏิบัติธรรม เปนเรื่องงายหรือยาก
ถาม - เคยไดยนิ คนบนกันวาการปฏิบตั เป ิ นเรือ่ งยาก ไมวา การ ทำทาน รักษาศีล บำเพ็ญภาวนา ลวนยากและนาเหนื่อยหนาย ทอแทเสียเหลือเกิน แทที่จริงแลวการปฏิบัติธรรมเปนเรื่องยาก หรือไมครับ พิจารณาจากพระพุทธวจนะก็ไมพบวาทานระบุตายตัววา การปฏิบัติธรรมเปนเรื่องงายหรือยาก ทานเพียงแตกลาววา “คนดีทำดีงาย แตทำชั่วยาก สวนคนชั่วทำชั่วงาย แตทำดียาก” รวมความแลวคงตองสรุปวา การปฏิบัติจะยากหรืองาย ลำบากหรือสบาย มันขึ้นอยูกับเงื่อนไขที่แตกตางกันของแตละบุคคล หมายเหตุ: เนื่องจากเนื้อหาในหนังสือเลมนี้ รวบรวมจากขอเขียนและบทความของ หลวงพอ ปราโมทย ปาโมชฺโช เมื่อครั้งทานยังครองเพศฆราวาส จึงใชสรรพนามแทนตนวา ‘ผม’
๑๐
´Ù ¨Ô μ »Õ á Ã ¡
แตในแงของผมที่พิจารณาดูแลว กลับเห็นวา การปฏิบัติธรรมไมใชเรื่องยากเกินไป แถมมีผลเปนความสบายเสียอีก เราลองมาพิจารณาถึงการปฏิบัติธรรมกันเปนขั้นๆ ไปเลยดีกวา เริ่มจากการทำทาน เชน การใหวัตถุทาน ผมเห็นวาเปนเรื่องงายที่เราจะทำทานในขอบเขตที่ตนจะไมเดือดรอน คือการ “ให” ถาพอใจก็ใหไดแลว แตการจะเปนฝาย “เอา” นั้น ไมใชเรื่องงายเลย แมไดมาแลว การจะดูแลรักษาทรัพยสมบัติ ก็เปนงานทีน่ าปวดหัวอีก เชน ตอนนีจะ ้ นำเงินไปฝากธนาคาร ก็กลัวธนาคารลม แถมดอกเบีย้ ต่ำ จะเปลีย่ นไปเลนหุน ก็กลัวจะตองแปลงสัญชาติไปเกิดในภพแมลงเมา การใหอภัยทาน ก็งายกวาการตามจองลางจองผลาญใคร เพราะไมตองวางแผนอะไร ไมตองลงมือทำอะไร ใหอภัยไดเมื่อไร ก็นอนหลับสบายไดเมื่อนั้น ในขณะที่ถาจะตามจองลางจองผลาญใคร จะตองคิดวางแผน แถมถาดำเนินการไมดี อาจจะเปนฝายถูกเลนงานเสียอีก การใหอภัยจึงงายกวาเปนไหนๆ การถือศีลก็เปนเรื่องงายกวาการทำผิดศีล เชน ถาจะฆา จะตีคนอื่น ก็ตองวางแผน เตรียมอาวุธ ตอนไปตีเขาก็อาจถูกเขาตีตายเสียเองก็ได ทำรายเขาแลวก็ตองหลบซอนจากเงื้อมมือของกฎหมาย
ÊÑ ¹ μÔ ¹Ñ ¹ ·
๑๑
หรืออยางจะไปตกปลาลาสัตว ก็ลำบากกวาการไมทำเปนไหนๆ บางคนตองไปซื้อหาเบ็ดราคาแพงๆ ไปนั่งตากแดดตากลมอยูริมน้ำเพื่อจะตกปลา การไมลักทรัพยก็งายกวาการลักทรัพย การไมผิดลูกผิดเมียเขา ก็งายกวาการทำผิด เพราะเสี่ยงตอการเจ็บตัว เสี่ยงตอการเสียชื่อเสียงเกียรติยศ การพูดความจริง ก็งายกวาการโกหกพกลม อยางนอยที่สุด ก็ไมตองใชความจำเทากับคนพูดโกหก คนไมดื่มเหลาเมายาบา ก็สบายกวาคนดื่มเหลา ไมเสียเงิน ไมเสียเวลา ไมเสียสุขภาพ งายกวากันเปนไหนๆ พอมาถึงการภาวนา หรือการปฏิบัติในขั้นสมถะและวิปสสนา อันนี้ผมก็เห็นวามันสบายกวาการไมปฏิบัติเชนกัน เชน การทำสมถะ ถารูหลักแลวเอาจิตประคองรูเขากับอารมณ อันเดียวโดยตอเนื่อง ไมเห็นจะตองทำอะไรมากมายเลย แครูอารมณอันเดียวเรื่อยๆ ไปอยางสบายเทานั้นเอง หรือจะทำวิปสสนา ก็ทำจิตทำใจของตนเปนเพียงผูสังเกตการณ อะไรจะเกิดขึ้นกับกายกับจิตก็รูเรื่อยๆ ไป โดยไมตองเขาไปของแวะยินดียินรายอะไรเลย แทบจะเรียกวา เปนการไมทำอะไรเลย นอกจากรูท นั อยางเดียวเทานัน้ แบบนี้มันจะยากไดอยางไร ก็นึกไมออกเหมือนกันครับ
๑๒
´Ù ¨Ô μ »Õ á Ã ¡
บางคนปฏิบัติธรรมแลวรูสึกลำบากมาก ตองคอยกดขมบังคับจิตใจตนเองจนเครียดไปหมด อันนั้นไมใชวา การปฏิบัติธรรมทำใหยากลำบากหรอกครับ แตการปฏิบัติผิดๆ ตางหาก ที่ทำความลำบากใหเรา คนที่มีลูกออนจะบนวายากลำบากเหลือเกิน เดี๋ยวลูกก็รองกวน อดหลับอดนอน เวลาเด็กเจ็บไข พอแมก็เปนทุกขเปนรอนมากมาย เวลาเด็กจะเรียนหนังสือ ก็ตองวิ่งเตนหาที่เรียนให บางคราว โรงเรียนเขาจับพอแมไปนั่งสอบเขาเรียนดวย จนเด็กเลิกนับถือพอแม เพราะเด็กสอบได แตพอแมสอบตก ทำใหเด็กไมไดรับการคัดเลือกใหเขาโรงเรียนนั้น ตอนลูกยังเล็กก็หวงสารพัด กะวามันโตกวานี้หนอยคงจะสบาย แตแลวก็ไมสบาย เพราะพอเด็กโต พอแมก็มีรายจายมากขึ้น แถมตองหวงใยสารพัด เพราะสังคมของเรามันทารุณโหดรายเหลือเกิน พอลูกเรียบจบ พอแมก็ปวดหัวเรื่องอาชีพการงานของลูกอีก ถัดจากนั้นก็ปวดหัวเรื่องการหาคูของลูก หลังจากนั้น ก็เตรียมตัวรับภาระเรื่องหลานตอไปอีก เลี้ยงลูกแตละคนลำบากแทบตาย ก็ยังเห็นตั้งหนาจะมีลูกกันเปนสวนมาก บางคนตองเสียเงินทองมากมาย เพราะมีลูกยาก แตอยากจะมี
ÊÑ ¹ μÔ ¹Ñ ¹ ·
๑๓
พอบอกวาใหทำใจสบายๆ หายใจเขาก็รู หายใจออกก็รู แคนี้บอกวาทุกขยากเหลือเกิน ทำไมไหวแลว เรื่องของเรื่องก็ไมมีอะไรมากหรอก กิเลสมันหลอกเอานะครับ เราจึงเห็นผิดเปนชอบ เห็นการปฏิบัติธรรมที่เปนของสบาย วาลำบากเหลือประมาณ สวนการไมทำทาน ไมรักษาศีล ไมภาวนา และการคลุกคลีอยูกับโลกที่แสนจะลำบาก กลับรูสึกวาพอทนได ไมลำบากเทาไรเลย ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๔๒ ที่มา http://larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/000162.htm
“àÃÒ»¯ÔºÑμÔà¾×èÍÃÙŒ·Ñ¹¡ÔàÅÊμѳËÒ ·Õè¤ÍÂáμ‹¨Ð¤Ãͺ§Ó¨Ôμ㨠»¯ÔºÑμÔ仨¹¨Ôμ©ÅÒ´ ¾Œ¹¨Ò¡ÍÓ¹Ò¨¢Í§¡ÔàÅÊμѳËÒ”
แนวทางปฏิบัติธรรมโดยสังเขป
ถาม - อยากทราบแนวทางการปฏิบัติธรรมโดยสังเขปคะ เพื่อนรวมทุกขจำนวนมาก ไปศึกษาการปฏิบัติธรรมกับผม และผมไดเห็นปญหาที่ตามมาหลายอยาง เชนบางทานกลัววา พอไมไดอยูใกลผมแลว จะทำไมได หรือทำไมถูก ถาเปนคนกรุงเทพฯก็ยังอุนใจวา จะพบผมไดอีกไมยากนัก แตคนตางประเทศ หรือตางจังหวัด จะกังวลกันมากหนอย จึงอยากไดคูมือสำหรับการปฏิบัติ อยางงายๆ แตเปนระบบ เพื่อความอุนใจวา จะใชเปนแนวทางปฏิบัติตอไปไดเมื่อไมพบผม บางทานฟงแลวยังสับสน ไมเขาใจ หรือไปจำธรรมที่ผมตอบคนอื่น เอาไปปฏิบัติบาง ซึ่งเปนคนละขั้นตอน หรือคนละจริต ผลก็ไมตางจากการเอายารักษาโรคของคนอื่นไปรับประทาน
๑๖
´Ù ¨Ô μ »Õ á Ã ¡
จึงอยากเห็นภาพรวมของการปฏิบัติธรรมทั้งหมดที่ผมแนะนำ เพื่อจะคลี่คลายความสับสนตรงนี้ไดบาง ปญหาอีกประการหนึ่งที่ผมทราบก็คือ เพื่อนบางทานถกเถียงกันเรื่องการปฏิบัติธรรม โดยนำคำแนะนำของผมที่ไดยินมาตางกรรม ตางวาระ ไปเปนขออางอิงโตแยงกัน ผมจึงเห็นวา สมควรสรุปใจความยอของการปฏิบัติธรรม ตามที่ผมไดแนะนำหมูเพื่อน เพื่อใหเห็นภาพรวมของการปฏิบัติอยางเปนระบบ ตั้งแตเบื้องตนเปนลำดับไป เพื่อแกปญหาดังที่กลาวมาแลวขางตนนั้น ๑. การสรางความเขาใจขอบเขตของพระพุทธศาสนา เพื่อนที่มีพื้นฐานความเขาใจเกี่ยวกับพระพุทธศาสนามานอย จะไดรับการปูพื้นความเขาใจเสียกอนวา พระพุทธศาสนาไมใชยาแกสารพัดโรคครอบจักรวาล ไมใชเครื่องมืออยางเดียว ในการดำรงชีวิตอยูในสังคม ดังนั้น ไมใชวาเปนนักเรียน ก็เลิกเรียน เพื่อมาศึกษาพระพุทธศาสนา เพราะความรูทางโลก เปนสิ่งจำเปนสำหรับการดำรงชีวิตในทางโลก ผูศึกษาพระพุทธศาสนา จำเปนตองรอบรูในศาสตรสาขาอื่นๆ ดวย
ÊÑ ¹ μÔ ¹Ñ ¹ ·
๑๗
และอยาเขาใจวา พระพุทธศาสนา เปนเรื่องอื่น นอกเหนือจากการเรียนรูเรื่องความทุกข และการปฏิบัติเพื่อความพนทุกข (ทางใจ) เทานั้น พระพุทธศาสนา ไมไดมีไวเพื่อตอบปญหา เกี่ยวกับไสยศาสตร โชคลาง เจากรรมนายเวร ชาติโนนชาติหนา ผีสางเทวดา ฯลฯ ๒. เครื่องมือในการปฏิบัติธรรม ผูที่เขาใจแลววาพระพุทธศาสนาสอนเรื่องทุกขและการดับทุกข ก็จะไดรับการแนะนำใหรูจักเครื่องมือสำหรับการปฏิบัติธรรม ไดแก สติ และ สัมปชัญญะ ผมมักจะพยายามแนะนำใหพวกเรา รูทัน สิ่งที่กำลังปรากฏกับจิต เชน ความลังเลสงสัย ความอยาก ความกังวล ความสุข ความทุกข ฯลฯ เปนการหัดใหมี สติ ซึ่งเปนเครื่องมือรูอารมณที่กำลังปรากฏ และเฝากระตุนเตือนพวกเราใหทำความรูตัว ไมเผลอ ไมวาจะเผลอสงจิตไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือใจ สวนมากก็จะเผลอกันทางตา กับ ทางใจคือหลงเขาไปอยูใ นโลกของความคิด กับเผลอไปเพงจองอารมณ เอาสติจอแนนเขาไปที่อารมณที่กำลังปรากฏ การกระตุนความไมเผลอ และไมเผลอเพง ก็คือการพยายามใหพวกเรามี สัมปชัญญะคือความรูตัวไวเสมอๆ
๑๘
´Ù ¨Ô μ »Õ á Ã ¡
๓. การเจริญสติปฏฐาน เมื่อพวกเรามีเครื่องมือ หรืออาวุธในการปฏิบัติธรรมแลว ขั้นตอนตอไปผมจะแนะนำใหพวกเราเจริญสติปฏฐาน คือมีสติสัมปชัญญะระลึกรู กาย เวทนา จิต และ/หรือ ธรรม ตามความถนัดของแตละบุคคล เชน ใหรูอิริยาบถ รูความเคลื่อนไหวระหวางการเดินจงกรม รูลมหายใจเขาออก เบื้องตนถาจิตยังไมมีกำลัง ก็ใหรูไปอยางสมถะ คือเอาสติจดจอสบายๆ ลงในกายที่ถูกรูนั้น เมื่อจิตมีกำลังขึ้นแลว ก็ใหเห็นวา อิริยาบถ ความเคลื่อนไหวกาย หรือลมหายใจนั้น เปนเพียงสิ่งที่ถูกรู ถูกเห็น ไมใชจิต มีความไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตาปรากฏอยูตอหนาตอตานั้นเอง เมื่อทำไดอยางนั้นแลว จิตจะมีกำลังสติสัมปชัญญะมากขึ้นอีก หากนามธรรมใดปรากฏกับจิต ก็สามารถจะรูเทาทันได เชนเกิดความรูสึกสุข รูสึกทุกข เกิดกุศล อกุศล ตางๆ ก็ใหรูทันนามธรรมนั้น ในลักษณะสิ่งที่ถูกรู เชนเดียวกับการรูรูปนั่นเอง อนึ่ง คนไหนมีกำลังรูนามธรรมไดเลย ผมมักแนะใหรูนามธรรมไปเลย หรือผูไมถนัดจะระลึกรูนามธรรม สมัครใจจะรูรูปธรรมอยางเดียว ก็ได
ÊÑ ¹ μÔ ¹Ñ ¹ ·
๑๙
เมื่อจิตรู รูปธรรม หรือนามธรรมอยางตอเนื่องแลว พอมีกำลังสติปญญามากขึ้น ก็จะเห็นวา เมื่อจิตไปรูรูปธรรมหรือนามธรรมตางๆ แลว จิตจะมีความยินดี ยินราย หรือเปนกลางขึ้นมา ผมมักแนะนำหมูเ พือ่ น ใหระลึกรูค วามยินดี ยินราย หรือความเปนกลางนัน้ เมื่อจิตรูความเปนยินดี ยินรายแลว ก็จะเห็นความยินดี ยินรายนั้น เกิดดับเชนเดียวกับรูปธรรมและนามธรรมทั้งปวงนั้นเอง แลวจิตปลอยวางความยินดียินราย เขาไปสูความเปนกลางของจิต ตอนแรกความเปนกลางๆ จะมีสั้นๆ แลวก็มีความยินดี ยินรายเกิดขึ้นอีก ตอมาชำนิชำนาญขึ้น จิตจะเปนกลางมากขึ้นตามลำดับ ก็ใหผูปฏิบัติรูอยูที่ความเปนกลางของจิต เมื่อจิตมีกำลังขึ้น ก็จะสามารถจำแนกขันธละเอียดตอไปจนเขาถึง ใจ ได ในขั้นที่จิตเฝาระลึกรูความเปนกลางนั้น ปญญาชนจะเกิดโรคประจำตัว ๒ ประการเปนสวนมาก คือ (๑) เกิดความเบื่อหนาย แลวเลิกปฏิบัติ หรือ (๒) เกิดความลังเลสงสัย วาจะตองทำอะไรตอไปอีกหรือไม แลวเลิกปฏิบัติโดยการ รู หันมาคิดคนควาหาคำตอบดวยการคิดเอา แทจริงเมื่อจิตเขาไปรูอยูที่ความเปนกลางแลว ก็ใหรูอยูอยางนั้น แลวจิตเขาจะพัฒนาของเขาไปเองเมื่อกำลังของ สติ สมาธิ ปญญา สมบูรณเต็มที่
๒๐
´Ù ¨Ô μ »Õ á Ã ¡
นี้เปนขอสรุปแนวทางการปฏิบัติธรรมโดยสังเขป ที่ขอฝากไวใหกับหมูเพื่อนเพื่อประกอบการพิจารณาปฏิบัติตอไป จากแนวทางอันเดียวกันขางตน เมื่อแตละคนลงมือปฏิบัติธรรมจริงๆ กลับปรากฏปญหาปลีกยอยแตกตางกันเปนจำนวนมาก ปญหาหลักก็มาจาก การเจริญสติสัมปชัญญะ ไมถูกตอง พวกเราจำนวนมากในขณะนี้ ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งเกิดความคลาดเคลื่อน ยิ่งขยัน ยิ่งพลาดไปไกล จุดที่พากันพลาดมากในชวงนี้ก็คือ แทนที่จะ รู ตามความเปนจริง พวกเรากลับไป สราง อารมณอันหนึ่งขึ้นมา แลวพากันเขาไปติดอยูในอารมณอันนั้น ความผิดพลาดนั้นเกิดจากบางคนรูสึกวาตนฟุงซานมากไป จึงเห็นวาจำเปนตองฝกสมถกรรมฐานเสียกอน แลวการฝกสมถกรรมฐานนั้น ก็กระทำอยางผิดพลาด คือแทนที่จะกระทำสัมมาสมาธิ กลับไปทำมิจฉาสมาธิอันไมประกอบดวยความรูตัว โดยการเพงเขาไปที่อารมณอันเดียว กลอมจิตใหเคลื่อน เคลิ้ม เขาไปเกาะอารมณอันเดียว แทนที่จะมีสติระลึกรูอารมณอันเดียวไปอยางสบายๆ โดยมีความรูตัวไมเผลอ ไมเพง จิตแคระลึกรูอารมณอันเดียวอยางสบายๆ เปนธรรมเอก
ÊÑ ¹ μÔ ¹Ñ ¹ ·
๒๑
เมื่อทำมิจฉาสมาธิ จิตเคลื่อน ไปเกาะอารมณที่สรางขึ้นมา พอหยุดการทำสมาธิ หันมาดูจิต หรือเจริญสติปฏฐาน ก็เอาจิตที่เกาะติดอารมณนั้นเอง มาใชดูจิต ซึ่งจิตชนิดนี้ ใชเจริญสติปฏฐานไมไดจริง เพราะกระทั่งจิตติดอารมณอยูก็มองไมเห็นความจริงเสียแลว สาเหตุของความผิดพลาดที่เปนกันมากอีกอยางหนึ่งก็คือ แทนที่จะรูอารมณไปตามธรรมดา งายๆ สบายๆ พวกเราจำนวนมากกลัวจะเผลอ กลัวจะหลงมากเกินไป โดยเฉพาะอยางยิ่งในเวลาที่พบกับผม หรือใกลจะพบกับผม จิตจะเกิดการตื่นตัวขึ้น เกิดอาการเกร็ง ระวังตัวแจ ไมผิดอะไรกับนักวิ่ง เวลาเขาเสนสตารท สาเหตุอีกประการหนึ่งก็คือ การปฏิบัติธรรมดวยความอยาก เชนอยากรูธรรมเห็นธรรมเร็วๆ อยากเปนคนเกง เปนดาวเดน อยากไดรับการยอมรับและคำชมเชยจากหมูเพื่อน พออยากมาก ก็ตอง “เรงความเพียร” แตแทนทีจ่ ะเจริญสติสมั ปชัญญะอยางเปนธรรมชาติใหตอ เนือ่ งตลอดเวลา อันเปนความหมายที่ถูกตองของการเรงความเพียร กลับกลายเปนการปฏิบัติดวยความหักหาญ เครงเครียด ดูผิวนอกเหมือนจะดี แตจิตภายในไมมีความสงบสุขใดๆ เลย
๒๒
´Ù ¨Ô μ »Õ á Ã ¡
สาเหตุที่นึกไดในตอนนี้ทั้ง ๓ ประการนี้แหละ ทำใหพวกเราจำนวนมาก หลงไปยึดอารมณอันหนึ่งไว แลวคิดวา สามารถรูจิตรูใจไดอยางแจมชัด ตอนนี้บางคนพอจะแกไขไดบางแลว เมื่อเริ่มรูทัน การที่จิตไปสราง ภพของนักปฏิบัติขึ้นมา แทนที่จะ รู สิ่งที่กำลังปรากฏ ตามความเปนจริง มีเรื่องขำๆ เรื่องหนึ่งคือนองคนหนึ่งจิตติดอารมณภายในอยู ผมก็แนะนำวา ใหดูใหรูวากำลังติดอยู ถารูแลวจะไดกลับออกมาอยูขางนอก และแทนที่จะเพงเขาไปขางใน ใหพยายามรูตัวออกไปยังภายนอก ออกไปสัมผัสสิ่งแวดลอมใหดี จิตที่ติดอยูขางในจะไดหลุดออกมา นองคนนั้นฟงแลวกลุมใจมาก เพราะคิดวาผมสอนใหสงจิตออกนอก ยังดีวาสงสัยแลวถามผมเสียกอน ไมนำไปเลาถวายครูบาอาจารย วาผมสอนใหสงจิตออกนอก มิฉะนั้น ถาทานพบผม ทานคงทุบผมตกกุฏิเลย ความจริงการที่หลงสรางอารมณออกมาอันหนึ่ง แลวตนเองเขาไปติดอยูภายในนั้น ก็เปนการสงจิตออกนอกแลว คือออกไปนอกจาก รู ผมพยายามแกการสงจิตออกไปสรางภพโดยไมรูตัวให ไมไดปรารถนาจะใหหัด สงจิตออกนอก แตอยางใด
ÊÑ ¹ μÔ ¹Ñ ¹ ·
ปญหาอีกอยางหนึ่งที่พวกเราสวนนอยเปนกัน ไดแกการหลงตามอาการของจิต เชน หลงในนิมิต แสง สี เสียง ตางๆ หรือหลงในการกระตุกของรางกาย ฯลฯ พอเกิดอาการขึ้น บางคนก็ยินดี บางคนก็ยินราย ตองคอยปลอบคอยแนะใหหันมาสังเกตรูความยินดียินรายของจิต จนจิตเขาถึงความเปนกลางเอง แทนการไปเพงใสอาการตางๆ เหลานั้น และมีราคะ โทสะ หรือโมหะ ครอบงำโดยไมรูตัว การปฏิบัตินั้น ถาจะปองกันความผิดพลาด ก็ควรจับหลักใหแมนๆ วา “เราปฏิบัติเพื่อรูทันกิเลสตัณหา ที่คอยแตจะครอบงำจิตใจ ปฏิบัติไปจนจิตฉลาด พนจากอำนาจของกิเลสตัณหา” ไมใชปฏิบัติเพื่อสิ่งอื่น หากปฏิบัติโดยแฝงสิ่งอื่นเขาไป เชนความอยากรู อยากเห็น อยากเปน อยากได อยากเดน อยากดัง อยากหลุดพน โอกาสพลาดก็มีสูง เพราะจิตมักจะสรางบางสิ่งบางอยางขึ้นมา แทนที่จะรูทุกอยางตามความเปนจริง แลวก็ควรสังเกตจิตใจตนเองไวบาง หากรูสึกวา จิตใจเกิดความหนักที่แตกตาง หรือแปลกแยกจากธรรมชาติแวดลอม
๒๓
๒๔
´Ù ¨Ô μ »Õ á Ã ¡
ก็แสดงวาจิตไปหลงยึดอะไรเขาใหแลว เพราะโดยธรรมชาติของสิ่งภายในภายนอกนั้น มันไมมีน้ำหนักอะไรเลย ที่มีน้ำหนักขึ้นมา ก็เพราะเราไปแบกไปถือไวเทานั้นเอง ลองสังเกตดูตอนนี้ก็ไดครับ ลองทำใจใหสบายๆ สังเกตไปยังสิ่งแวดลอมภายนอก เชน อาคารบานเรือน โตะเกาอี้ ตนหมากรากไม จะเห็นวา สิ่งภายนอกนั้นโปรง เบา ไมมีน้ำหนัก เพราะเราไมไดเขาไปแบกหามเอาไว สวนจิตใจของเรานั้น มองยอนเขามาจะเห็นวามันหนักมากบางนอยบาง ถายึดมากก็หนักมาก ยึดนอยก็หนักนอย มันยังแปลกแยกออกจากธรรมชาติ ธรรมดา สิ่งที่แปลกแยกนั่นแหละครับ คือสวนเกินที่เราหลงสรางขึ้นมาโดยรูไมเทาทันมายาของกิเลส เมื่อรูแลว ก็สังเกตจิตตนเองตอไปวา มันยินดียินรายตอสิ่งที่แปลกปลอมเขามานั้นหรือไม แลวก็รูเรื่อยไป จนจิตเปนกลางตออารมณทั้งปวง ธรรมชาติภายใน กับธรรมชาติภายนอกก็จะเสมอกัน คือไมมีน้ำหนักใหตองแบกหามตอไป พระศาสดาทรงสอนวา ขันธทั้ง ๕ เปนของหนัก บุคคลแบกของหนักพาไป เขายอมไมพบความสุขเลย
ÊÑ ¹ μÔ ¹Ñ ¹ ·
๒๕
คำสอนของพระองคนั้น คำไหนก็เปนคำนั้น ขันธเปนของหนักจริงๆ สำหรับคนที่มีตาที่จะดูออกได ๗ มกราคม ๒๕๔๓ ที่มา http://www.bangkokmap.com/pm/content/view/29/37/
“¾¾Ö§ãËŒ¨Ôμ໚¹à¾Õ§¼ÙŒÊѧà¡μ¡Òó àËÁ×͹¤¤¹´ÙÅФà ·ÕèäÁ‹â´´à¢ŒÒä»àÅ‹¹ÅФ¤ÃàÊÊÕÂàͧ”
การดูจิตคืออะไร ปฏิบัติอยางไร ปฏิบัติแลวมีผลอยางไร ถาม - เปนนองใหมเพิ่งเริ่มตนคะ ไมทราบวาการดูจิตคืออะไร ทำอยางไร ดูแลวมีผลอยางไรคะ ความหมายของการดูจิต คำวา การดูจิต เปนคำที่นักปฏิบัติกลุมหนึ่ง บัญญัติขึ้นเพื่อใชสื่อความหมายกันเองภายในกลุม หมายถึงการเจริญ เวทนานุปสสนาสติปฏฐาน (ทุกบรรพ) จิตตานุปสสนาสติปฏฐาน (ทุกบรรพ) ่ นฝายนามธรรม) รวมถึง ธัมมานุปสสนาสติปฏ ฐาน (บางอยางทีเป กลาวอยางยอ ก็คือการเจริญวิปสสนาดวยอารมณฝายนามธรรม ไดแกการรูจิตและเจตสิกนั่นเอง
๒๘
´Ù ¨Ô μ »Õ á Ã ¡
วิธีการเจริญวิปสสนา (ดูจิต) การเจริญวิปสสนาทุกประเภท รวมทั้งการดูจิต ไมมีอะไรมาก เพียงแตใหผูปฏิบัติ “รูสภาวธรรมที่กำลังปรากฏตามความเปนจริง ดวยจิตที่เปนกลางเทานั้น” แตจะรูไดถูกตอง ก็ตอง (๑) มีจิตที่มีคุณภาพ และ (๒) มีอารมณกรรมฐานที่ถูกตอง เทานั้น ซึ่งจิตที่มีคุณภาพสำหรับการทำสติปฏฐานหรือวิปสสนา ไดแก จิตทีมี่ สติ (สัมมาสติ) สัมปชัญญะ (สัมมาทิฏฐิ) และสัมมาสมาธิ สวนอารมณกรรมฐานที่ถูกตอง คืออารมณที่มีตัวจริงที่สามารถแสดงไตรลักษณได หรือทีนั่ กปฏิบตั มัิ กจะเรียกวาสภาวะ และนักปริยตั เรีิ ยกวาอารมณปรมัตถ เมื่อจะลงมือปฏิบัติ ก็ให (๑) มีสติเฝารูใหทัน (มีสัมมาสติ) (๒) ถึงอารมณหรือสภาวธรรมทีกำลั ่ งปรากฏ (มีอารมณปรมัตถ) (๓) ดวยจิตที่ตั้งมั่น ไมเผลอสงสายไปที่อื่น และไมเพงจอง บังคับจิต (มีสัมมาสมาธิ) แลว (๔) จิตจะรูสภา วธรรมทัง้ ปวงตามความเปนจริง (มีสัมปชัญญะ/ สัมมาทิฏฐิ)
ÊÑ ¹ μÔ ¹Ñ ¹ ·
๒๙
การมีสติเฝารูใหทัน หมายถึงสิ่งใดเกิดขึ้น ตั้งอยู หรือดับไป ก็ใหรูเทาทัน เชน ขณะนั้นรูสึกมีความสุข ก็ใหรูวามีความสุข เมื่อความสุขดับไป ก็ใหรูวาความสุขดับไป มีความโกรธก็รูวามีความโกรธ เมื่อความโกรธดับไปก็รูวาความโกรธดับไป เมื่อจิตมีความทะยานอยากอันเปนแรงผลักดัน ใหออกยึดอารมณทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ใหรูวามีแรงทะยานอยาก เปนตน อารมณหรือสภาวธรรมที่กำลังปรากฏ ตองเปนอารมณของจริง ไมใชของสมมุติ โดยผูปฏิบัติจะตองจำแนกใหออกวา อันใดเปนของจริง หรือปรมัตถธรรม อันใดเปนของสมมุติ หรือบัญญัติธรรม เชน เมื่อจิตมีความสุข ก็ตองมีสติรูตรงเขาไปที่ความรูสึกสุขจริงๆ เมื่อจิตมีความโกรธ ก็ตองรูตรงเขาไปที่สภาวะของความโกรธจริงๆ เมื่อมีความลังเลสงสัย ก็ตองรูตรงเขาไปที่สภาวะของความลังเลสงสัย จริงๆ ฯลฯ และเมือ่ หัดรูม ากเขาจะพบวา นามธรรมจำนวนมากผุดขึน้ ทีอก ่ หรือหทยรูป แตผูปฏิบัติไมตองเที่ยวควานหาหทยรูป หากกิเลสเกิดที่ไหน และดับลงที่ไหน ก็รูที่นั้นก็แลวกันครับ
๓๐
´Ù ¨Ô μ »Õ á Ã ¡
ถาเอาสติไปตั้งจอดูผิดที่เกิด ก็จะไมเห็นของจริง เชน เอาสติไปจออยูเหนือสะดือสองนิ้ว จะไมเห็นกิเลสอะไร นอกจากเห็นนิมิต เปนตน และการมีสติรูของจริง ก็ไมใชการคิดถามตนเอง หรือคะเนเอาวา ตอนนี้สุขหรือทุกข โกรธหรือไมโกรธ สงสัยหรือไมสงสัย อยากหรือไมอยาก ตรงจุดนีสำคั ้ ญมากนะครับ ทีจะ ่ ตองรูสภา วธรรม หรือปรมัตถธรรมใหได เพราะมันคือ พยานหรือแบบเรียน ที่จิตจะไดเรียนรู ถึงความเกิดขึ้น ตั้งอยู และดับไปของมันจริงๆ ไมใชแคคิดๆ เอาวามันเปนอยางนั้นอยางนี้ เมื่อมีสติรูสภาวธรรมหรือปรมัตถธรรมที่กำลังปรากฏแลว ผูปฏิบัติจะตองมีจิตที่รูตัว ตั้งมั่น ไมเผลอไปตามความคิดซึ่งจะเกิดตามหลังการรูสภาวธรรม เชน เมื่อเกิดสภาวะบางอยางขึ้นในจิต อันนี้เปนปรมัตถธรรม ถัดจากนั้นก็จะเกิดสมมุติบัญญัติวา นี้เรียกวาราคะ สมมุตตรง ิ นีห้ ามไมได เพราะจิตเขามีธรรมชาติเปนนักจำและนักคิด ผูปฏิบัติจึงไมตองไปหามหรือปฏิเสธสมมุติบัญญัติ เพียงรูใหทัน อยาไดเผลอหรือหลงเพลินไปตามความคิดนึกปรุงแตงนั้น หรือแมแตการหลงไปคิดนึกเรื่องอื่นๆ ดวย แลวใหเฝารูสภาวะ (ทีสมมุ ่ ตเรีิ ยกวาราคะนัน้ ) ตอไป ในฐานะผูสั งเกตการณ จึงจะเห็นไตรลักษณของสภาวะอันนั้นได
ÊÑ ¹ μÔ ¹Ñ ¹ ·
๓๑
ในทางกลับกัน ผูปฏิบัติที่ไปรูสภาวะที่กำลังปรากฏ จะตองไมเพงใสสภาวะนั้นดวย เพราะถาเพง จิตจะกระดางและเจริญปญญาไมได แตจิตจะ “จำ และจับ” สภาวะอันนั้นมาเปนอารมณนิ่งๆ แทนการรูสภาวะจริงๆ พึงใหจิตเปนเพียงผูสังเกตการณ เหมือนคนดูละคร ที่ไมโดดเขาไปเลนละครเสียเอง จิตที่ทรงตัวตั้งมั่น นุมนวล ออนโยน ควรแกการงาน โดยไมเผลอและไมเพงนี้แหละ คือสัมมาสมาธิ เปนจิตที่พรอมที่จะเปดทางใหแกการเจริญปญญาอยางแทจริง คือเมื่อจิตมีสติ รูปรมัตถธรรม ดวยความตั้งมั่น ไมเผลอและไมเพง จิตจะไดเรียนรูความจริงของปรมัตถธรรมอันนั้นๆ ๔ ประการ คือ (๑) รูสภาวะของมันที่ปรากฏขึ้น ตั้งอยู และดับไป (รูตัวสภาวะ) (๒) รูวาเมื่อสภาวะอันนั้นเกิดขึ้นแลว มันมีบทบาทและหนาที่อยางไร (รูบทบาทของสภาวะ) (๓) รูวาถามันแสดงบทบาทของมันแลว จะเกิดอะไรขึ้น (รูผลของ สภาวะ) และเมื่อชำนาญมากเขา เห็นสภาวะอันนั้นบอยครั้งเขา ก็จะ (๔) รูวา เพราะสิ่งใดเกิดขึ้นแลว จึงกระตุนใหสภาวะอันนั้นเกิด ตามมา (รูเหตุใกลของสภาวะ) การที่จิตเปนผูสังเกตการณและเรียนรู หรือวิจัยธรรม (ธรรมวิจัย) อันนี้เองคือการเจริญปญญาของจิต หรือสัมปชัญญะ หรือสัมมาทิฏฐิ
๓๒
´Ù ¨Ô μ »Õ á Ã ¡
ตัวอยางเชน ในขณะที่มองไปเห็นภาพๆ หนึ่งปรากฏตรงหนา จิตเกิดจำไดหมายรูวา นั่นเปนภาพสาวงาม แลวสภาวธรรมบางอยางก็เกิดขึ้นในจิต (ซึ่งเมื่อบัญญัติทีหลังก็เรียกวา ราคะ) การรูสภาวะที่แปลกปลอมขึ้นในจิตนั่นแหละคือการรูตัวสภาวะของมัน แลวก็รูวามันมีบทบาทหรืออิทธิพลดึงดูด ใหจิตหลงเพลินพอใจไปกับภาพที่เห็นนั้น ผลก็คือ จิตถูกราคะครอบงำ ใหคิด ใหทำ ใหอยาก ไปตามอำนาจบงการของราคะ และเมื่อรูทันราคะมากเขา ก็จะรูวา การเห็นภาพที่สวยงาม เปนเหตุใกลใหเกิดราคะ จึงจำเปนจะตองคอยเฝาระวังสังเกต ขณะทีตาก ่ ระทบรูปใหมากขึน้ เปนตน ในสวนตัวสภาวะของราคะเอง เมื่อผูปฏิบัติมีสติรูอยูนั้น มันจะแสดงความไมเที่ยงใหเห็นทันที คือระดับความเขมของราคะจะไมคงที่ มันตั้งอยูไมนาน เมื่อหมดกำลังเพราะเราไมไดหาเหตุใหมมาเพิ่มใหมัน (ยอนไปมองสาว) มันก็ดับไป แสดงถึงความเปนทุกขของมัน และมันจะเกิดขึ้นก็ตาม ตั้งอยูก็ตาม ดับไปก็ตาม ลวนเปนไปตามเหตุปจจัยกำหนด ไมใชตามที่เราอยากจะใหเปน นอกจากนี้ มันยังเปนเพียงสิ่งที่ถูกรู ไมใชตัวเรา เหลานี้ลวนแสดงความเปนอนัตตาของสภาวะราคะทั้งสิ้น
ÊÑ ¹ μÔ ¹Ñ ¹ ·
๓๓
ผลของการดูจิต และขอสรุป จิตที่อบรมปญญามากเขาๆ ถึงจุดหนึ่งก็จะรูแจงเห็นจริงวา ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ไมวาจิต เจตสิก กระทั่งรูป ลวนแตเกิดขึ้นแลวดับไปทั้งสิ้น ถาจิตเขาไปอยาก เขาไปยึด จิตจะตองเปนทุกข ปญญาเชนนีแหละ ้ จะทำใหจิตคลายความยึดมัน่ ถือมัน่ ในตัวกูของกูลง ความทุกขก็จะเบาบางลงจากจิต เพราะจิตฉลาด ไมไปสายแสหาความทุกขมาใสตัวเอง (แตลำพังคิดๆ เอา ในเรื่องความไมมีตัวกูของกู ยอมไมสามารถดับ ความเห็นและความยึด วาจิตเปนตัวกูของกูได จะทำไดก็แค “กู ไมใชตัวกูของกู” คือจิตยังยึดอยู สวนการที่จะลดละไดจริง ตองเจริญสติปฏฐานจริงๆ เทานั้นครับ) สรุปแลว การดูจิตที่พูดถึงกันนั้น ไมใชการดูจิตจริงๆ เพราะจิตนั้นแหละ คือผูรู ผูดู ผูยึดถืออารมณ แตการดูจิต หมายถึงการเจริญวิปส สนา โดยเริม่ ตนจากการรูนามธรรม ซึ่งเมื่อชำนิชำนาญแลว ก็จะรูครบสติปฏฐานทั้งสี่นั่นเอง ดังนั้น ถาไมชอบคำวา ดูจิต ซึ่งนักปฏิบัติสวนหนึ่งชอบใชคำนี้เพราะรูเรื่องกันเอง จะใชคำวาการเจริญเวทนานุปสสนาสติปฏฐาน + การเจริญจิตตานุปสสนาสติปฏฐาน + การเจริญธัมมานุปสสนาสติปฏฐาน ก็ไดครับ
๓๔
´Ù ¨Ô μ »Õ á Ã ¡
แตการที่นักปฏิบัติบางสวนชอบพูดถึงคำวา “การดูจิต” ก็มีประโยชนอยูเหมือนกัน คือเปนการเนนใหทราบวา จิตใจนัน้ เปนใหญ เปนประธานในธรรมทัง้ ปวง และเปนการกระตุนเตือนใหหมั่นสังเกตพฤติกรรมของจิตเมื่อมันไปรู อารมณเขา เพราะถารูจิตชัด ก็จะรูรูปชัด รูเวทนาชัด รูกิเลสตัณหาชัดไปดวย เนื่องจากจิตจะตั้งมั่น และเปนกลางตออารมณทั้งปวง ในทางกลับกัน ถาจิตไมมีคุณภาพ คือไมมีสัมมาสมาธิ สัมมาสติ และสัมมาทิฏฐิ แมจะพยายามไปรูปรมัตถ ก็ไมสามารถจะรูปรมัตถตัวจริงได นอกจากจะเปนเพียงการ คิดถึงปรมัตถ เทานั้น ถาเขาใจจิตใจตนเองใหกระจางชัดแลว การเจริญสติปฏฐานก็จะทำไดงาย ถาไมเขาใจจิตใจตนเอง ก็อาจจะเกิดความหลงผิดไดหลายอยางในระหวางการปฏิบัติ เชน หลงเพง โดยไมรูวาเพง อันเปนการหลงทำสมถะ แลวคิดวากำลัง ทำวิปสสนาอยู พอเกิดนิมิตตางๆ ก็เลยหลงวาเกิดวิปสสนาญาณ หรือหลงเผลอ ไปตามอารมณ โดยไมรูวากำลังเผลอ หรือหลงยินดียินรายไปตามอารมณ หรือหลงคิดนึกปรุงแตง อันเปนเรื่องสมมุตบัิ ญญัติ แลวคิดวากำลังรูปรมัตถหรือสภาวะทีกำลั ่ งปรากฏ เปนตน
ÊÑ ¹ μÔ ¹Ñ ¹ ·
๓๕
ถาเขาใจจิตตนเองไดดีพอประมาณ ก็จะไมเกิดความหลงผิดเหลานี้ขึ้น ขอดีที่สำคัญอีกประการหนึ่งของการดูจิตก็คือ การดูจิตเปนวิปสสนาชนิดเดียวที่ทำไดทั้ง ๓ โลก คือในกาม (สุคติ) ภูมิ รูปภูมิ (สวนมาก) และอรูปภูมิ แมแตในเนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ อันเปนภวัคคภูมิหรือสุดยอดภูมิของอรูปภูมิ ก็ตองอาศัยการดูจิตนี้เอง เปนเครื่องเจริญวิปสสนาตอไปไดจนถึงนิพพาน อันที่จริงสิ่งที่เรียกวาการดูจิตนั้น แมจะเริ่มจากการรูนามธรรมก็จริง แตเมื่อลงมือทำไปสักระยะหนึ่ง ก็จะสามารถเจริญสติปฏฐานไดทั้ง ๔ อยาง โดยจิตจะมีสติสัมปชัญญะตอเนื่องอยูในชีวิตประจำวันนี่เอง เพียงกาวเดินกาวเดียว ก็เกิดการเจริญสติปฏ ฐานไดตัง้ หลายอยางแลว คือเมื่อเทากระทบพื้น ก็จะรูรูป ไดแก ธาตุดินคือความแข็งภายในกาย (รูปภายใน) และธาตุดินคือความแข็งของพื้นที่เทาเหยียบลงไป (รูปภายนอก) อันนี้ก็คือการเจริญ กายานุปสสนาสติปฏฐาน แลว และรูถึงความเย็น ความรอนคือธาตุไฟของพื้นที่เทาเหยียบลงไป เปนตน
๓๖
´Ù ¨Ô μ »Õ á Ã ¡
ขณะที่เหยียบพื้นนั้น ถาสติรูเขาไปที่ความรูสึกอันเกิดจากการที่เทากระทบพื้น เชน ความเจ็บเทา ความสบายเทา ก็คือการเจริญ เวทนานุปสสนาสติปฏฐาน แลว ขณะที่เหยียบพื้นนั้น ถาพื้นขรุขระ เจ็บเทา ก็สังเกตเห็นความขัดใจ ไมชอบใจ หรือถาเหยียบไปบนพรมนุมๆ สบายๆ เทา ก็สังเกตเห็นความพอใจ อันนี้ก็เปนการเจริญ จิตตานุปสสนาสติปฏฐาน แลว ขณะที่เหยียบนั้น ถารูตัวทั่วพรอมอยู ก็จะเห็นกายเปนสวนหนึ่ง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เปนแตละสวนๆ หรือรูถึงความทะยานอยากของจิตที่สงหลงเขาไปที่เทา หรือรูอาการสงสายของจิต ตามแรงผลักของตัณหาคือความอยาก แลวหนีไปเที่ยวทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หรือรูถึงความเปนตัวกูของกูที่เกิดขึ้นในจิต หรือรูถึงนิวรณที่กำลังปรากฏขึ้น แตยังไมพัฒนาไปเปนกิเลสเขามาครอบงำจิต หรือรูชั ดถึงความมีสติ มีสัมปชัญญะ มีความเพียร มีปติ มีความสงบระงับ ฯลฯ สิ่งเหลานี้ลวนแตเปน ธัมมานุปสสนาสติปฏฐาน ทั้งสิ้น
ÊÑ ¹ μÔ ¹Ñ ¹ ·
๓๗
ทีเ่ ลามายืดยาวนี้ เพือ่ นใหมทีไม ่ เคยลงมือเจริญสติสมั ปชัญญะจริงๆ มากอน อาจจะเขาใจยากสักหนอยครับ ดังนั้น ถาอานแลวเกิดความสงสัยมากขึ้น ก็ลองยอนมารูเขาไปที่ ความรูสึกสงสัยในจิต เลยทีเดียว ก็จะทราบไดวา ความสงสัยมันมีสภาวะของมันอยู (ไมใชไปรูเรื่องที่สงสัยนะครับ แตใหรูสภาวะหรือปรมัตถธรรมของความสงสัย) เมื่อรูแลวก็จะเห็นวา เมื่อความสงสัยเกิดขึ้น มันจะยั่วจิตใหคิดหาคำตอบ แลวลืมที่จะรูเขาไปที่สภาวะความสงสัยนั้น เอาแตหลงคิดหาเหตุหาผลฟุงซานไปเลย พอรูทันมากเขาๆ ก็จะเขาใจไดวา ความสงสัยนั้นมันตามหลังความคิดมา เปนการรูเทาทันถึงเหตุใกล หรือสาเหตุที่ยั่วยุใหเกิดความสงสัยนั่นเอง เมื่อรูที่ สภาวะของความสงสัย ก็จะเห็นสภาวะนั้นไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตา มันเกิดขึ้นเพราะความคิด พอรูโดยไมคิด มันก็ดับไปเอง หัดรูอยูในจิตใจตนเองอยางนี้ก็ไดครับ แลวตอไปก็จะทำสติปฏฐาน ๔ ไดในที่สุด เพราะจะสามารถจำแนกไดชัดวา อะไรเปนจิต อะไรเปนอารมณ อะไรเปนอารมณของจริง และอะไรเปนเพียงความคิดนึกปรุงแตง หรือสมมุตบัิ ญญัติที่แปลกปลอมเขามา รวมทั้งจำแนกไดดวยวา อันใดเปนรูป อันใดเปนจิต อันใดเปนเจตสิก
๓๘
´Ù ¨¨ÔÔ μ »Õ á á á
ขอย้ำแถมทายอีกนิดหนึ่งนะครับวา การดูจิต ไมใชวิธีการปฏิบัติธรรมที่ดีที่สุดเสมอไป เพราะในความเปนจริง ไมมีวิธีการปฏิบัติธรรมที่ดีที่สุดในโลก มีแต “วิธปฏิ ี บตั ทีิ เหมาะสม ่ ทีส่ ดุ ” เฉพาะของแตละบุคคลเทานัน้ ดังนัน้ ถาถนัดจะเจริญสติปฏ ฐาน อยางใดกอน ก็ทำไปเถิดครับ ถาทำถูกแลว ในที่สุดก็จะทำสติปฏฐานหมวดอื่นๆ ไดดวย ๑๙ ตุลาคม ๒๕๔๓ ที่มา http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/001773.htm
ปญหาของผูปฏิบัติสวนมากคืออะไร
ถาม - อยากทราบ าบววาคำถาม คำถามแและปญหาของผูปฏิบัติสวนมาก คืออะไรบางครับ การที่ผมอยูในแวดวงของผูปฏิบัติมานาน ไดพบเห็น รูจัก และคุนเคย กับผูปฏิบัติเปนจำนวนมาก ทำใหผมไดพบวา ผูปฏิบัติมักเกิดความสงสัยในเรื่องตางๆ มากมาย และคำถามของผูปฏิบัติสวนมาก จะวนเวียนอยูในเรื่องดังนี้ กลุมปญหาที่ชวนใหฟุงซาน เชน นิพพาน สวรรค นรก ชาติกอน ชาติหนา กรรมเกา กรรมใหม เทพ พรหม เปรต อสุรกาย ฯลฯ สิ่งเหลานี้มีหรือไมมี หรือความสงสัยหยุมหยิม เชน เชื้อโรคมีจิตหรือไม และนั่งสมาธิแลว จะรูเห็นสิ่งแปลกๆ ไดหรือไม ถารูเห็นแลว จะทำอยางไรดี เปนตน
๔๐
´Ù ¨Ô μ »Õ á Ã ¡
กลุมปญหาที่เกี่ยวกับเงื่อนไขของการปฏิบัติ เชน กอนจะปฏิบัติควรเตรียมตัวอยางไร ตองถือศีลกินเพล หรือควรจะกินอาหารมังสวิรัติหรือไม ควรนอนมากนอยเพียงใด เวลาใด จะตองนุงขาวหมขาวหรือไม จะตองสวดมนตกอนนั่งสมาธิหรือไม ถาสวด ควรสวดบทใดบาง ควรตักบาตรอุทิศสวนกุศลใหเจากรรมนายเวรกอนหรือไม เด็กหรือผูใหญ ผูหญิงหรือผูชาย ผูครองเรือนกับนักบวช ใครปฏิบัติงายกวากัน การปฏิบัติจำเปนตองไปวัดหรือไม จะตองเรียนปริยัติเพียงใด ตองใหจบอภิธรรมปริจเฉทที่ ๙ มหาปฏฐานกอนหรือไม กลุมปญหากับสภาพแวดลอม เชน มีครอบครัวที่สับสนวุนวาย ลูกยุง สามีกวน ภรรยาไมสนใจธรรมะ หรือมีภาระเรื่องการเรียนหรือการงาน ทำใหปฏิบัติไมได กลุมปญหาเกี่ยวกับวิธีเริ่มตนของการปฏิบัติ เชน จะตองนั่งสมาธิกอนเจริญวิปสสนาหรือไม ถาจะทำสมาธิ ควรทำอานาปานสติดี หรือจะบริกรรม พุทโธ ยุบหนอพองหนอ สัมมาอรหัง นะมะพะธะ หรือควรเพงกสิณอะไรบาง
ÊÑ ¹ μÔ ¹Ñ ¹ ·
๔๑
ทั้งนี้ เพราะไมทราบวาวิธีใดจะถูกจริต บางก็ลองวิธีนั้น วิธีนี้เรื่อยๆ ไป ยายวัดเปลี่ยนอาจารยไปเรื่อยๆ หรือสงสัยวา จำเปนตองเดินจงกรมหรือไม หรือจะนั่งอยางเดียวดี ถาจะนั่ง ควรนั่งเวลาไหน ทาไหน วันละกี่ชั่วโมง นั่งเมื่อยแลว ควรทนตอไป หรือควรเปลี่ยนอิริยาบถ เปนตน กลุมปญหาเกี่ยวกับอาการของจิตในขั้นการทำสมถะ ขั้นเริ่มตนก็จะมีปญหา เชน ทำอยางไรจิตก็ไมสงบเลย มีแตความฟุงซานสับสน หรือนั่งแลวเคลิ้มๆ หลับใน เงียบไปทุกครั้ง บางคนปฏิบัติไปสามวัน ก็เริ่มบนวาเบื่อ เพราะไมเห็นความกาวหนาอะไรเลย พอทำความสงบไดแลว ก็ถึงกลุมปญหานิมิตและโลกียญาณ มีทั้งที่นากลัว หรือที่นาภูมิใจ เชน นั่งสมาธิแลวรูสึกเหมือนมีมดหรือแมลงมาไตตอมรางกาย หรือสามารถรูเห็นออกไปภายนอกได มองเห็นนรก เห็นสวรรค เห็นเทวดาและภูตผี บางก็เห็นพระเกศแกวจุฬามณีบนสวรรค บางเห็นเมืองแกวพระนิพพาน ถอดจิตไปเฝาพระพุทธเจาได เห็นตนเองเปนโครงกระดูกเดินไปมาได โครงเดียวบาง หลายโครงบาง เห็นกลางคืนสวางเหมือนกลางวันบาง
๔๒
´Ù ¨Ô μ »Õ á Ã ¡
บางก็มีโลกียญาณ เชน รูวาระจิตผูอื่นได ระลึกชาติได แลวเทีย่ วรูและ ยึดวาคนนัน้ คนนีเคย ้ พบกันมาในอดีตชาติ รักษาโรคได รูการจุติอุบัติของสัตว แสดงฤทธิ์ได บางคนนั่งไปนิดหนอยก็เกิดความกลัว เชน กลัวจะเห็นภูตผีปศาจ กลัวจิตจะออกจากรางแลวไมกลับเขารางอีก บางคนไดยินเสียงคนเดินไปมา เห็นคนมานั่งใกลๆ รวมแลวสารพัดรูปแบบที่จะเปนไป กลุมปญหาเกี่ยวกับวิธีเจริญวิปสสนา เชน เมื่อทำสมถะไปแลว จะเริ่มทำวิปสสนาตรงไหน ในขณะที่บางคนบอกวาไมตองการทำสมถะ จะขอทำวิปสสนาเลย ถัดจากนั้น ก็เกิดปญหาวา ควรจะทำวิปสสนาอยางไร จะเขาสำนักไหนจึงจะดี เพราะแทบทุกสำนักลวนแตประกาศวา สำนักของตนเปนทางตรงที่สุด สำนักอื่นผิด และตางก็บอกวาตนเจริญสติปฏฐาน กำหนดรูรูปนามขันธ ๕ ปจจุบันอารมณกันทั้งนั้น บางก็มีปญหาวา ควรเจริญสติปฏฐานหมวดใดดี จะตองเริ่มตามลำดับคือ กาย เวทนา จิต ธรรม หรือไม บางคนกลัวจะติดวิปสสนูปกิเลส บางก็สนใจไถถามกับเรื่องญาณ วาตนทำไดถึงญาณชั้นใด บางคนตั้งเปาหมายจะทำใหถึงญาณนั้นญาณนี้ ในเวลาเทานั้นเทานี้
ÊÑ ¹ μÔ ¹Ñ ¹ ·
๔๓
สำหรับผูที ลงมื ่ อทำจริงๆ ก็ยังมีเรือ่ งใหตองถามครูบาอาจารยอยูเสมอ เชน ควรวางจิตอยางไร ควรกำหนดอยางไร อาการของจิตอยางนี้ จะแกอยางไร อาการของจิตอยางนั้น จะแกอยางไร เชน หัดรูตัวแลวเกิดอึดอัดขึ้นกลางอก เกิดปวดระหวางหัวคิ้วหรือปวดตา เห็นกิเลสเกิดขึ้นในจิตแลวจะทำอยางไรดี ควรจะปลอยมันเอาไวรู หรือควรพยายามละมัน จิตใจมันตื้อๆ ไมผองใส จะแกไขอยางไร ควรนำธรรมะบทนั้นบทนี้มานึกคิดพิจารณาดวยหรือไม เชน ควรเจริญอสุภกรรมฐานเพื่อขมราคะหรือไม หรือจะใหรูราคะไปเรื่อยๆ ไมตองไปแกไขมัน เปนตน ใครที่อยากจะทำ FAQ เกี่ยวกับปญหาธรรมะ ลองใชตัวอยางคำถามที่ผมยกมานี้ เปนตัวตั้งก็ได คำถามสวนมาก มักวนเวียนอยูในเรื่องเหลานี้นั่นเอง จะนอกเหนือไปกวานี้ก็ไมมากนักหรอกครับ คำถามเหลานี้ ผมเคยไดยินผูสงสัยเรียนถามครูบาอาจารยบาง ผมสงสัยเองบาง ซึ่งสวนมากจะพยายามพิจารณาแกไขเอาเอง ยกเวนที่ยากลำบากหรือละเอียดออนมากๆ หรือตองการความมั่นใจเปนพิเศษ จึงจะเรียนถามจากครูบาอาจารย ซึ่งทานจะเมตตาตอบคำถามใหเสมอ
๔๔
´Ù ¨Ô μ »Õ á Ã ¡
เมื่อหายสงสัยในเรื่องนั้นแลว จึงเกิดนึกขึ้นไดวา ที่จริงคำตอบในการแกปญหาที่ครูบาอาจารยใหมาแตละครั้งนั้น แทบจะเปนคำตอบเดียวกัน ทั้งที่คำถามนั้นหลากหลายมาก คำตอบที่ไดยินไดฟงเปนประจำก็คือ อยาเที่ยวรูออกไปนอก ใหรูปจจุบันธรรมในกายและจิตของตน ดวยจิตที่เปนกลาง คำตอบเพียงเทานี้ สามารถแกปญหาการปฏิบัติไดเกือบทั้งหมดแลว กลาวคือ กลุมปญหาที่ชวนใหฟุงซาน ลวนเปนผลพวงของความคิดเทานั้น ยิ่งคิดมากก็ยิ่งสงสัยมาก และยิ่งสงสัยมากก็ยิ่งคิดมาก และยิง่ คิดมาก ก็ยิง่ หางไกลจากการเจริญสติสมั ปชัญญะ ออกไปทุกที ถาหันมารูปจจุบันธรรมอยูภายในกายและจิตของตน จะตองสงสัยทำไมวา นรก สวรรค ชาติกอน ชาติหนา ผีสางเทวดา มี หรือไมมี เพราะพอจิตสงสัย ก็รูเ ทาทันความสงสัยใครรูนั น้ ความสงสัยก็ดับไปเอง เมื่อความสงสัยดับไปแลว จำเปนอะไรที่จะตองหาคำตอบตอไปอีก เมื่อรูปจจุบันธรรมอยูในกายและจิตของตนแลว กลุมปญหาที่เกี่ยวกับเงื่อนไขของการปฏิบัติ และปญหาสภาพแวดลอม ก็หมดความหมาย เพราะการปฏิบัติธรรมไมไดเบียดบังเวลาทำมาหากิน ไมเกี่ยวกับอาหาร เครื่องนุงหม เวลา หรือพิธีกรรมตางๆ
ÊÑ ¹ μÔ ¹Ñ ¹ ·
๔๕
เมื่อรูปจจุบันธรรมอยูในกายและจิตของตนแลว กลุมปญหาเกี่ยวกับวิธีเริ่มตนของการปฏิบัติ ก็หมดความหมาย คำบริกรรม กิริยาทาทาง อะไรตางๆ เหลานี้ ลวนไมใชสาระสำคัญ แตเปนเพียงอุบายเบื้องตน เพือ่ ใหผูปฏิ บตั สามารถ ิ เขามารูป จจุบนั ธรรมในกายในจิตของตนเทานัน้ เมื่อรูปจจุบันธรรมอยูในกายและจิตของตนแลว กลุม ปญหาเกีย่ วกับอาการของจิตในขัน้ การทำสมถะ ก็หมดความหมาย เพราะอาการทั้งหมด เปนเพียงสภาพธรรมที่ถูกรูเทานั้น พอรูแลว หากยอนมาอานจิตใจตนเองใหแจมแจง อาการของจิตก็หมดความหมายไปในทันที เชน เมื่อปฏิบัติอยู แลวเห็นภาพผีปรากฏขึ้นมา ผูปฏิบัติไมจำเปนตองวิเคราะหวิจัยวาผีจริง หรือผีปลอม เพราะจริงก็เหมือนเท็จ เท็จก็เหมือนจริง คือมันเปนสิ่งที่ถูกรูเหมือนๆ กัน ที่สำคัญคือ ใหยอนเขามาอานจิตตนเองใหดี มันกลัว มันอยากหนี มันสงสัย หรือมันอยากรู ใหรูเทาทันจิตตนเองไว สิ่งที่ปรากฏนั้น ก็ไมมีความหมายมากไปกวาการเห็นรูปธรรมดาๆ รูปหนึ่ง หรือเกิดรูเห็นพระจุฬามณี หรือพระพุทธเจา ก็ใหยอนมาอานจิตของตนเองเชนกัน เพราะรูปนิมิตภายนอกทั้งปวงนั้น ไมใชสาระแกนสารเพื่อการยึดถือแตอยางใด
๔๖
´Ù ¨¨ÔÔ μ »Õ á á á
เมื่อรูปจจุบันธรรมอยูในกายและจิตของตนแลว กลุมปญหาเกี่ยวกับวิธีเจริญวิปสสนา ก็หมดความหมาย จะตองคิดทำไมวาจะตองรูอะไร ในเมือ่ ทุกสิง่ ทีถู่ กรูก็ มีคาเทากันทัง้ นัน้ หากจิตเขาจะรูสิ่งใดชัด ก็เอาสิ่งที่กำลังรูชัดนั่นแหละมาเปนอารมณ หรือเรื่องญาณนั้นญาณนี้ก็เปนของสมมุติ เราไมไดปฏิบัติเพราะอยากไดญาณ มรรคผลนิพพานก็ไมเห็นจะตองอยากได เพราะหากจิตจะได เขาก็ไดของเขาเอง แตยิ่งเราอยาก ก็ยิ่งไมได สวนวิปสสนูปกิเลสก็เกิดไมได ถาไมหลงลืมตัวขาดสติสัมปชัญญะ นักปฏิบัติที่คิดมาก มีปญหามาก ก็เพราะไมพยายามรูตัว ไมมีสติพิจารณาอยูในกายในจิตของตนเอง เอาแตหลงไปกับสิ่งที่ถูกรู เอาแตพยายามแกอาการของจิต ปฏิบัติไปดวยความอยากรู อยากเห็น อยากเปน อยากได หากผูปฏิบัติพยายามรูตัวอยางตอเนื่องเขาไว และมีสติสอดสองอยูในกายในจิต หรือในวงขันธ ๕ ของตนอยางเปนปจจุบัน ก็แทบไมมีปญหาจะตองถามใครอีกตอไปแลว ๒๓ กันยายน ๒๕๔๒ ที่มา http://larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/000444.htm
ทำไมคนสวนใหญ จึงไมสนใจการปฏิบัติธรรม ถาม - ทำไมคนสวนใหญจึงไมสนใจการปฏิบัติธรรมคะ ผมเคยพิจารณาเรื่องนี้มานานแลววา ทำไมผูคนตั้งมากมายจึงหาที่สนใจการปฏิบัติยากนัก ก็พิจารณาเห็นวา เพราะสวนมากไมรูวาตนกำลังถูกจองจำอยู ไมรูวา ตนกำลังเปนทาสอยู แตคิดวาตนเปนไทแกตัว เหมือนคนที่เกิดมาติดคุก หรือติดเกาะอยูสักแหงหนึ่ง ไมเคยรูจักโลกภายนอก ไมเคยกระทั่งจะจินตนาการถึงโลกภายนอก ก็คือวา โลกมีแคสิ่งที่ตนรูเห็นเทานั้น เขายอมไมมีความคิด หรือความพยายามที่จะหักกรงขัง หรือหาทางออกจากเกาะนั้น คนในโลกสวนมากก็ยอมจำนนอยูกับโลก เพราะไมรูวา ยังมีสิ่งนอกเหนือออกไปอีก
๔๘
´Ù ¨Ô μ »Õ á Ã ¡
เมื่อเกิดมาก็เรียนหนังสือ เรียนจบก็หางานทำ แลวก็มีครอบครัว มีลูกหลาน แลวก็ตายไป ตางคนตางจำเปนตองทำตามอยางคนอื่นๆ เพราะไมรูวา ยังมีสิ่งที่ดีๆ อื่นๆ อีกในชีวิตนี้ อนึ่ง คนสวนมากมีมานะอัตตารุนแรง รูสึกวาตนเองเกง แน ไมมีใครบังคับได เขาไมเคยเฉลียวใจเลยวา ในความจริงแลว เขาตกเปนทาสของตัณหา ถูกตัณหาควบคุมบังคับสัง่ การอยูแทบ ทัง้ วัน เพียงแตนายทาสคนนี้ฉลาดแสนฉลาด มันปกครองทาสของมันดวยการทำใหทาสหลงผิดวาตนเองเปนไท จนทาสบางคนคิดวาตนเปนเจาโลก ทั้งที่ถูกเขาจูงจมูกอยูตอยๆ ทั้งวัน ผูไดฟงธรรมของพระศาสดา เกิดความรูตัววาตนติดคุกอยู ตนกำลังเปนทาสอยู ก็ยอมหาทางหนีออกจากที่คุมขัง หนีจากนายทาสผูทารุณรายกาจ ที่เลี้ยงทาสไวเพื่อฆาทิ้งตามอำเภอใจเมื่อถึงเวลาหนึ่ง ธรรมที่กลาวมานี้จึงสอดรับกับธรรมที่คุณดังตฤณกลาวไว คือจะทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ก็ตองรูตัววาทำเพื่อการปลดแอกตนเอง เพื่อความเปนอิสระ เพื่อความหลุดพน เพื่อความดับสนิทแหงทุกขหรืออนุปาทาปรินิพพาน
ÊÑ ¹ μÔ ¹Ñ ¹ ·
๔๙
ไมใชเพียงแคทำทานตามๆ เขา รักษาศีลตามๆ เขา เจริญภาวนาตามๆ เขา เหมือนที่เรียน ทำงาน มีครอบครัว เลี้ยงลูกหลาน แลวก็ตายตามๆ เขามานับภพนับชาติไมถวนนั่นเอง ๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๒ ที่มา http://www.bangkokmap.com/pm/content/view/122/37/
“§§Ò¹¡ÃÃÁ°Ò¹¹à»š¹§Ò¹ÅÐàÍÕ´ »¯¯ºμä»Í ÔºÑμÔä»ÍÍÂÒ§Ê Â‹Ò§Êº ʺÒÂæ ÒÂæ »Ã »Ãг ³Õμ ໹¸Ã ³μ »š¹¸ÃÃÃÁªÒ ÁªÒμ Òμ¸ÃÃÁ´Ò Ô¸ÃÃÁ´Ò Á´´Ò ´Ò Í‹Òä»»¯ÔºÑμÔ´ŒÇÂááç¨Ù§ã¨¢ ã¨¢Í ã㨢ͧ ¨¢Í ¨¢Í§ ¨¢ ¢Í§¡Ô ¢¢Í ¢Í§ ͧ§¡à §¡Ô §¡ §¡àÅÊ ¡ÔààÅ ¡àÅ ¡¡àÅÊ àÅÊ ÅÅÊÊ ¨¹μŒÍ§ÇÒ§ÁÒ´ Ò§Á Ò§ÁÒ §ÁÒ´ §ÁÒ ÁÒ´à ÁÒ´ ´´à» àà»»š»š¹¹¼¼¼Ù¼Œ»¯ Œ»Ù»¯º ¯Ôºμ ¯¯º ÔººÑμÑμ”Ô”
การเดินจงกรม และเจริญสติตอนนั่งและนอน ถาม - อยากใหคุณสันตินันทแนะนำการเดินจงกรมและเจริญ สติตอนนั่งและนอนครับ ผมเดินจงกรมเหมือนกับนั่งสมาธิครับ เพียงแตตอนเดิน จะรูการเคลื่อนไหวของกายกับจิต (แลวแตวา ขณะนั้นสติจะจดจอลงที่ใด) สวนตอนนั่งและนอน จะรูลมหายใจกับจิต จุดสำคัญไมไดอยูที่การยืน เดิน นั่ง นอน แตอยูที่ความตอเนื่องของสติและสัมปชัญญะ ระดับความเร็วของการเดิน เปนอีกเรื่องหนึ่งที่มีปญหามาก บางคนจะพยายามเดินชา-ชามาก-ชาที่สุด กาวหนึ่งกำหนดได ๖-๗ จังหวะ แตบางคนก็เดินเร็วเหมือนตามควาย
๕๒
´Ù ¨Ô μ »Õ á Ã ¡
การเดินเร็วโดยนับจังหวะกาวไปดวย หรือบริกรรมไปดวย อาจจะมีประโยชนบาง ในตอนที่จิตฟุงซาน คือเดินและนับหรือบริกรรมเร็วๆ จิตจะไดไมมีเวลาไปคิดเรื่องอื่น สวนการเดินชา-ชามาก-ชาที่สุดนั้น เขาวากันวาเพื่อใหกำหนดสติทัน แตผมเดินแบบนั้นไมเปน จึงไมเห็นประโยชนของการเดินชาเพื่อใหสติตามทัน กลับเห็นวา เราควรฝกสติสัมปชัญญะใหไว ใหทันการเดินปกติใหได เพื่อจะเจริญสติสัมปชัญญะไดจริงในชีวิตประจำวัน แตอันนี้ เปนเรื่องความถนัดสวนตัวครับ ใครอยากเดินอยางไรก็ไมวากัน ใหมีสติสัมปชัญญะใหตอเนื่องไดจริงๆ ก็แลวกัน ถาสติไวจริงๆ แคเอื้อมมือหยิบแกวน้ำมาดื่มดวยความเร็วปกติ หรือกาวเทาเดินจงกรมดวยความเร็วปกติ ก็จะเห็นรูปเกิดดับตอเนื่องกันถี่ยิบ ไมผิดกับภาพการตูนเลย นับไมทันดวยซ้ำไปวา มันกี่สิบกี่รอยจังหวะกันแน และการไลนับ ก็จะเปนภาระอันใหญหลวง เขาขั้นทรมานจิตทีเดียว เหมือนกับการพยายามนับเม็ดฝนที่ตกลงตอหนาเรา เวลาเดินจงกรมนั้น จุดสำคัญอยูตอนที่จะหยุด หมุนตัว และเริ่มกาวเดินใหม
ÊÑ ¹ μÔ ¹Ñ ¹ ·
๕๓
ยิ่งถาอายุมากแบบผม ขืนเดินพรวดพราดไปสุดทางจงกรม ก็เหวี่ยงเทาหมุนตัวกลับหลังหันทันที ถึงสติจะไมเคลื่อน แตสังขารรางกายเคลื่อนแนนอน ดีไมดีหนามืด ลมคว่ำเอางายๆ ดังนั้นเดินไปสุดทางจงกรมแลวหยุดอยางสบายๆ เสียกอน ทำความรูตัวทั่วพรอม แลวคอยหมุนตัวกลับ จะเห็นรูปกายเกิดดับตอเนื่องกันถี่ยิบในตอนหมุนตัว แลวก็มาหยุดรูรูปยืนสักหนอยหนึ่ง พอตั้งมั่นไมซวนเซแลวจึงคอยเดินตอไป งานกรรมฐานเปนงานละเอียด ปฏิบัติไปอยางสบายๆ ประณีต เปนธรรมชาติธรรมดา อยาไปปฏิบัติดวยแรงจูงใจของกิเลส จนตองวางมาดเปนผูปฏิบัติ แตถากำลังจงใจ กำลังวางมาด กำลังกดขมบังคับกายและจิต ก็ใหคอยรูเทาทันไว เดี๋ยวมันก็เปนธรรมดาเองแหละครับ ๑๔ กุมภาพันธ ๒๕๔๓ ที่มา http://www.bangkokmap.com/pm/content/view/126/38/
““àÁ× àÁ×Á×èͨÔμÔ ä» àÁ ä»»ÃÙÃÃÙÃŒŒÍÍÒ Ù ÒÒÃÁ ÍÒà ÒÃÁ³ Òà ÃÁÁ³ ³ÍÍÐä ³ ÍÐäà ÍÐ ÐÐäÃäÃà ¡ç¡ããË ãˌˌÃÙÌÌãã¹ Ù ¹°°ÒÒ¹ ҹР¹Ð໚ à»»š»¹¹š ¼Œ¼Ù¼ŒÃÃÙŒ¼Ù¼Œ´Ù´àà©Âæ à» ©©Âæ Âæ Í‹ҋ Ëŧ Í Í‹ Ëŧ ËŠŧà¢à¢Œà¢ŒÒÒä» Œ ä» ä»ÂÖ´´¶× Ö ¶×Í× ÂÔ¹¹´Õ ´¶ ¹´´ÕÂÔ¹¹Ã Ô ÃŒÒÒÂÂä» ä»¡ »¡Ñ¡ºÑ ÍÍÒà ÒÒÃÁ ÃÃÁ³ Á³¹ ¹Ñé¹Ñ ´´ŒÇ””
ดูจิตอยางไรเปนสมถะ อยางไรเปนวิปสสนา ถาม - ดูจิตอยางไรเปนสมถะ อยางไรเปนวิปสสนาครับ การดูจิตที่ผมแนะนำนั้น จะทำใหเปนสมถะก็ได เปนวิปสสนาก็ได คือถาเพงอยูในอารมณอันเดียวก็เปนสมถะ ถาสามารถจำแนกรูปนามออกไดก็เปนวิปสสนา คือจำแนกวา อันนี้รูป อันนี้นาม และนามนั้น ก็จำแนกตอไปไดวา นี้คือนามเจตสิก นี้คือนามจิต ในที่สุดก็จะเห็น จิต เจตสิก รูป แยกออกจากกัน ตางก็ทำหนาที่ของตนไปตามหนาที่ เกิดดับไปตามเหตุปจจัยของตนๆ ลวนแสดงความไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตา เหมือนๆ กัน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ตองรูสภาวะที่กำลังปรากฏจริงๆ ของรูปและนาม ไมใชแครูชื่อ รูบัญญัติ อันนั้นใชไมไดเลยครับ เชน ความโกรธผุดขึ้นมาก็รูทัน
๕๖
´Ù ¨Ô μ »Õ á á á
มันเกิดขึ้นไดเพราะอะไร อะไรเปนเหตุใกลใหมันเกิด ก็รู มันตั้งอยูแลวแสดงอิทธิฤทธิ์อันเปนหนาที่ของมันอยางไร ก็รู มันดับไป ก็รู ที่วามานี้ จิตเปนคนดูเฉยๆ นะครับ จิตเหมือนคนดูละคร ไมใชคนแสดงละครเสียเอง ตางจากสมถะ ที่จิตโดดลงไปแสดงเอง คือเขาไปเกาะอารมณอันเดียวโดยตอเนื่อง ๕ กรกฎาคม ๒๕๔๒ ที่มา http://larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/000092.htm
จิตตั้งมั่นเปนกลางเปนอยางไร
ถาม - สัมมาสมาธิ จิตตัง้ มัน่ เปนกลางเปนอยางไร แลวเราควร มีความเปนกลางของจิตไวกอนไหมคะ เมื่อจิตไหลไปก็เห็นทัน แบบนี้ใชหรือเปลาคะ หลักการขอแรกของวิปส สนา เปนเรือ่ งของการ “จำแนกรูปนาม” ครับ ซึ่งรูปนามนั้น ถาจำแนกใหละเอียดขึ้น ก็จะประกอบดวย (๑) รูป และ (๒) นาม = เจตสิก กับ จิต ถาจิตไมหลงตามรูป หรือหลงตามเจตสิก ก็ถือวาแยกออกจากกันแลว จิตในขณะนั้น จะรูอารมณ ไดชัดเจนในภาวะ “สักวารู” ไมวาจะเปนการรูรู ป เชน อิริยาบถของกาย หรือรูนามคือเจตสิก เชน กิเลสตางๆ แตเมื่อใดจิตหลงตามรูป หรือหลงตามเจตสิก จิตจะเกิดความยินดียินราย ไมตั้งมั่น ไมเปนกลาง ไมสักวารู
๕๘
´Ù ¨Ô μ »Õ á Ã ¡
ถากลาวกันตามตำราจะเห็นภาพยากครับ แตถามองในแงการปฏิบัติจะไมยากนักที่จะทำความเขาใจ คือถาเราเห็นอารมณเกิดขึ้น เชน เห็นความโกรธเกิดขึ้น โดยจิตไมเคลื่อนหลงไปตามความโกรธ หรือเห็นการเคลื่อนไหวของกาย โดยจิตไมเคลื่อนหลงเขาไปเพงจองกาย อันนี้คือจิตมีความตั้งมั่นเปนสมาธิ และเปนการเดินวิปสสนาแลว แตถาสังเกตใหดี เวลามีอารมณเชนความโกรธเกิดขึ้น เราจะเห็นแรงผลักดันบางอยาง (ตัณหา) เกิดขึ้นกับจิตใจของเราเอง แรงดันนั้น จะผลักดันใหจิตเคลื่อนเขาไปยึดอารมณ เชน พอเกิดความโกรธ จิตรูไมทัน จิตจะเคลื่อนไปตามแรงตัณหา มุงเขาไปหาอารมณที่ไมชอบใจนั้น หรือไปจองใสคนที่ทำใหโกรธ ไมยอนมาสังเกตจิตใจตนเองที่กำลังถูกความโกรธครอบงำ อันนี้เกิดขึ้นเพราะเรารูไมทัน และเพราะจิตไมมีความตั้งมั่นพอ ทานอาจารยแนบ ทานชอบพูดประโยคหนึ่งที่เห็นภาพชัดดีมาก คือทานบอกวา “ใหดูละคร แตอยาไปเลนละครเสียเอง” หมายความวาเมื่อจิตไปรูอารมณอะไร ก็ใหรูในฐานะเปนผูรูผูดูเฉยๆ อยาหลงเขาไปยึดถือยินดียินรายไปกับอารมณนั้นดวย กอนที่จะลงมือทำวิปสสนา ทานจึงสอนใหมีสัมมาสมาธิเสียกอน คือจะตองมีจิตที่ตั้งมั่น เปนกลาง วิธีการมาตรฐานที่สุดก็คือการทำสมถะจนจิตสงบ
ÊÑ ¹ μÔ ¹Ñ ¹ ·
๕๙
เมื่อจิตสงบแลวก็จะสังเกตเห็นชัดวา ความสุข ความสงบ เปนเพียงสิ่งที่ถูกรู จิตเปนผูรูความสงบเทานั้น แตบางคนทำสมถะกอนไมได จะกำหนดรูปนามไปกอนก็ได แตพึงทราบวานัน่ ยังไมใชวิปส สนาจริงๆ เมื่อทำไปชวงหนึ่งจึงคอยสังเกตวา รูปนามเปนสิ่งที่ถูกรู ไมใชจิต อันนั้นจึงเริ่มเปนนามรูปปริจเฉทญาณ หรือเปนการเริ่มตนทำวิปสสนาครับ เมื่อจิตรูตัว ตั้งมั่นอยูแลว หากไมหลงไปเพงจองใสจิต แตปลอยใหจิตรูอารมณที่กำลังปรากฏไปตามธรรมชาติธรรมดา จิตจะเปนผูรูผูดูละครของโลก โดยไมโดดเขาไปแสดงละครเสียเอง แตเมื่อใดจิตไมวิสุทธิ์ คือไมมีสัมมาสมาธิ พอมีอารมณมาลอ จิตก็จะเคลื่อนออกไปยึดเกาะอารมณ สรางภพสรางชาติขึ้นทันที ดังนั้นที่กลาววา เราควรมีความเปนกลางของจิตไวกอนนั้น ถูกตองแลวครับ ยิ่งถารูทันวาจิตหลง จิตเคลื่อน จิตไหล จิตวิ่งตามตัณหา ฯลฯ (แลวแตจะเรียก) อันนั้นดีมากเลยครับ เพราะผูปฏิบัติจำนวนมากนั้น จิตกำลังหลงอยูแทๆ กลับรูสึกวาตน กำลังเจริญสติสัมปชัญญะรูรูปนามอยู ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๔๒ ที่มา http://larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/000160.htm
“ËÁÑ ËÁѹè Êѧà¡μ¨Ô¨¨ÔμÔ ã¨μ¹àͧäÇŒ Áѹà¡Ô à ´¤ÇÒÁÂÔ¹´Õ¡çÃÙŒ·Ñ¹ Áѹà¡Ô´¤ÇÒÁÂԹÌÒ¡çÃÙŒ·Ñ¹”
ขอเทคนิคดีๆ ในการทำจิตใหเปนกลาง ถาม - ขอเทคนิคดีๆ ในการทำจิิตใหเปนกลางครับ จิตนั้นทีแรกมันก็เปนกลางอยูแลวครับ แตพอมันไปรูอารมณเขา มันเกิดความยินดียินรายขึ้นมา มันจึงเสียความเปนกลางไป ดังนั้น ถาหมั่นสังเกตจิตใจตนเองไว มันเกิดความยินดีก็รูทัน มันเกิดความยินรายก็รูทัน จิตจะกลับมาเปนกลางเองครับ ไมตองไปพยายามทำใหมันเปนกลางหรอกครับ ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๒ ที่มา http://larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/000089.htm
“¡ÒÃਨÃÔÞÊμÔ໚¹àÃ×èͧ·ÕèäÁ‹ÅÓºÒ¡àËÅ×ÍÇÔÊÑ ËÃ×ÍμŒÍ§·Ø¡¢ ·ÃÁÒ¹ã´æ áμ‹¡çäÁ‹ÊºÒÂẺμÒÁ㨡ÔàÅÊ ÁѹÁÕáμ‹·Ò§ÊÒ¡ÅÒ§ ¤×Í¡ÒÃÃÙŒÊÀÒ¾¸ÃÃÁ·Õè¡ÓÅѧ»ÃÒ¡¯ ´ŒÇ¤ÇÒÁ໚¹¡ÅÒ§àÃ×èÍÂä»à·‹Ò¹Ñé¹”
วิธีการเจริญสติที่ถูกตอง เพื่อใหไดมรรคผล
ถาม – วิธีการเจริญสติที่ถูกตองเพื่อใหไดมรรคผล ตองปฏิบัติ อยางไรคะ พวกเรามักถูกสอนวา การปฏิบัติธรรมเพื่อใหไดมรรคผลนั้น ตองอาศัยการสะสมบารมีมาเนิ่นนาน ถาไมมีบารมี ก็ไมมีทางประสบความสำเร็จได แลวก็พาลทอแทใจ คิดวาทางนี้ยังไกลนัก คอยๆ เดินไปก็แลวกัน เพราะขืนรีบเรงเกินไป จะเหนื่อยตายเสียกลางทาง ในความเปนจริงแลว จุดเริ่มตนของมรรคผลนั้นหายากจริง ถาพระพุทธเจาไมทรงเปดเผยไว เราไมมีทางหาพบไดเลย แตเมื่อหาพบและลงมือทำแลว มรรคผลไมใชสิ่งเหลือวิสัยที่เราจะทำไดโดยเร็ว จุดตั้งตนของมรรคผลอยูที่ไหน ขอเรียนวา อยูที ่ความเขาใจอยางถองแทถึงการเจริญสติ
๖๔
´Ù ¨Ô μ »Õ á Ã ¡
หากเจริญสติถูกตองแลว พระพุทธเจาทานรับประกันวา จะไดผลโดยเร็ว บางคนก็ ๗ ป บางคนก็ ๗ เดือน บางคนก็ ๗ วัน การปฏิบัติธรรมหรือการเจริญสติ ไมใชการกาวเดินไปทีละขั้น เพราะมันไมมีขั้นอะไรหรอก มีแตวา (๑) เจริญสติถูกตองอยู หรือ (๒) เผลอสติไปแลว มีอยูเทานี้จริงๆ ถาเจริญสติถูกตอง ก็จัดวาเดินอยูในทาง (มรรค) ที่จะกาวไปสูผล คือความพนทุกข เจริญสติทุกวัน ก็คือเขาใกลมรรคผลไปทีละนอย เจริญสติตอเนือ่ งมากทีส่ ดุ ก็คือการออกวิง่ ไปในทางทีไม ่ ไกลเกินไปนัก แตถาเผลอสติ ก็เหมือนเดินออกนอกทาง หรือกลับหลังหันออกจาก ผลที่ตองการ การเจริญสติเปนเรื่องที่ไมลำบากเหลือวิสัยหรือตองทุกขทรมานใดๆ แตก็ไมสบายแบบตามใจกิเลส มันมีแตทางสายกลาง คือการรูสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ดวยความเปนกลางเรื่อยไปเทานั้น อยางไรก็ตาม การรู เปนสิ่งที่ตองพากเพียรเรื่อยไป ดังที่พระพุทธเจาทรงสอนวา “บุคคลลวงทุกขไดเพราะความเพียร” เห็นไหมครับวา ทานสอนธรรมตรงไปตรงมาที่สุดแลว
ÊÑ ¹ μÔ ¹Ñ ¹ ·
๖๕
ดังนั้น ถาเจริญสติถูกวิธีแลว ก็เหลืออยางเดียว คือเพียรทำใหมาก เจริญใหมาก อันเปน “กิจของมรรคสัจจ” ซึ่งพระพุทธเจาก็ทรงสอนไวตรงๆ แบบไมตองตีความ อีกเชนกัน ๒๕ มิถุนายน ๒๕๔๒ ที่มา http://www.bangkokmap.com/pm/content/view/115/37/
¤ÓÊ͹à¾×èÍ¡Òû¯ÔºÑμÔ·Ñ駻ǧ¹Ñ¹é ŌǹÁÕËÅÑ¡»¯ÔºÑμÔÍѹà´ÕÂǡѹ ¤×Í “¡ÒÃãËŒàÃÒÁÕÊμÔÃÙŒÊÀÒ¾¸ÃÃÁ·Õè¡ÓÅÅѧ»ÃÃÒ¡¯ μÒ ¤ÇÒÁ໚¹¨ÃÔ§” μÒÁ
เวลาพูดคุยกับคนอื่น มักแบงสติมาดูตัวเองไมทัน ถาม - สังเกตวาเริ่มรูสติมากขึ้น เวลาอยูวางๆ หรือกำลังเดิน ก็มาจับลม จับความรูสึกสุขทุกข จับอิริยาบถตางๆ ตามเรื่อง ตามราว แตยังสังเกตวาเวลาพูดคุยกับคนอื่นนี่ มักแบงสติมา ดูตัวเองพูดไมทัน พอคุยจบ เดินจากมาก็นึกไดวาเมื่อกี้ ไมได กำหนดสติดูเลยครับ การปฏิบัติทางจิต กับการออกกำลังกายก็คลายกันครับ นักมวย หรือนักกีฬานั้น เขาตองฟตซอมรางกายใหแข็งแรง เชน ออกวิ่งตอนเชาๆ การวิ่งของนักมวยนั้น ไมไดเอาประโยชนที่การวิ่ง แตเอาประโยชนที่รางกายแข็งแรงแลว เอาไปใชชกมวย ทางจิตก็เหมือนกันครับ คือเราจะตองฟตซอมดวยการเฝารูเฝ าดูจิตใจ หรือทำความสงบสลับกับการเจริญวิปสสนาไป เพื่อใหมีสติสัมปชัญญะ มีปญญาวองไว แลวเอาไปใชในชีวิตประจำวันจริงๆ ได
๖๘
´Ù ¨Ô μ »Õ á á á
เชน เวลาเราทำงาน หรือคุยกับคนอื่น เราเฝารูอยูที่จิตไมได (เหมือนกำลังชกมวย จะตั้งทาวิ่งไมได) แตทันทีที่คุยแลวกิเลสเกิด ตัณหาเกิด จิตจะมีสติรูทันขึ้นมาอยางอัตโนมัติ ดังนั้น การฝกกับการออกสนามจริงจึงไมเหมือนกัน ถากำลังชกมวยอยู มัวคิดถึงทาวิ่ง ก็ถูกชกหมอบสิครับ หมายถึงวา ถากำลังคุยกับคนอื่น แลวยอนมาเฝาอยูที่จิต จนความคิดดับ ก็คุยกับใครไมไดเลย อีกอยางหนึ่ง จิตรูอารมณไดทีละอยางเทานั้นนะครับ ถาพยายามฝนจะรูหลายๆ อยางพรอมกัน จิตจะฟุงซาน ไมมีความเปนหนึ่ง จะทำวิปสสนาก็ไมได สมถะก็ไมได เปนการเพิ่มงาน เพิ่มภาระใหจิตโดยเปลาประโยชนครับ แตถาคุยแลวเกิดความมัน หรือเกิดราคะโทสะอะไรก็แลวแต ใหจิตมันรูทันขึ้นเองเปนอัตโนมัตินะครับ จึงจะเรียกวาพอจะทำไดจริงในชีวิตประจำวันแลว แตจะทำอยางนั้นได เราก็ตองฝกฝนเขมมาสักชวงหนึ่งแลว ๑๑ มิถุนายน ๒๕๔๒ ที่มา http://larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/000025.htm
เราควรเรียนธรรมเรื่องใดเปนหลัก
ถาม - ธรรมะขององคสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจามีมากมาย เหลือเกิน คิดวาคงไมสามารถเรียนไดทั้งหมดที่ทรงสอนไว ถา เปนเชนนี้เราควรเรียนเรื่องใดเปนหลักคะ พระผูมีพระภาคเจาทรงจำแนกแจกธรรมไวกวางขวางมาก ดังที่กลาวกันวามากถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ เกินวิสัยที่ผูใดจะเรียนรูใหทั่วถึงได แมเราจะไมสามารถเรียนธรรมทั้งหมดที่ทรงสอนไว แตเราก็สามารถเขาใจทั่วถึงหลักธรรมที่ทรงสอน ดวยการเขาใจอริยสัจจเพียงเรื่องเดียว เนื่องจากทรงสรุปไววา ธรรมทั้งปวงที่ทรงแสดงไว สามารถรวมลงไดในอริยสัจจ เหมือนรอยเทาของสัตวทั้งปวง รวมลงไดในรอยเทาชาง (ในยุคของพระองคไมมีไดโนเสาร)
๗๐
´Ù ¨Ô μ »Õ á Ã ¡
เพราะเพื่อจะใหมนุษยและเทวดาเขาใจอริยสัจจ พระผูมีพระภาคไดทรงจำแนกแจกธรรมไวมากมาย เพื่ออนุโลมตามจริตนิสัย และวาสนาบารมีของเวไนยชนซึ่งแตกตางกัน ถาเราจะสังเกตการสอนของพระองค เราจะพบเนืองๆ วา ทรงสอนแตละคนใหปฏิบตั ธิ รรมเพียงอยางหนึง่ อยางใด ก็เพียงพอที่ผูนั้นจะนำไปปฏิบัติเพื่อความรูแจงแทงตลอดในอริยสัจจได สิ่งที่เรานาจะพิจารณาก็คือ สิ่งใดเปน “ตัวรวม” หรือ “ขอปฏิบัติหลัก” ในธรรมทั้งปวงที่ทรงแสดงไวตางๆ กันนั้น ที่ทำใหผูปฏิบัติเขาใจอริยสัจจอันเดียวกันได ในความเขาใจของผมแลว ตัวรวมนั้นคือ “การเจริญสติที่ถูกตอง” แมพระพุทธองคเอง ก็ทรงเคยสอนใหเจริญสติอบรมจิตของตนเพียงอยางเดียว แทนการปฏิบัติทั้งหมดในพระพุทธศาสนามาแลว คือครั้งนั้น มีพระรูปหนึ่ง ทานอึดอัดกับการปฏิบัติธรรม ซึ่งมีทั้งขอหามและขอกำหนดมากมาย ทานไดเขาไปทูลลาสิกขา (ขอสึก) เพราะรูสึกวาทานทำไมไหว แตเมือ่ พระพุทธเจาทรงถามวา ถาใหปฏิบตั ธิ รรมขอเดียว จะทำไดไหม ทานรับวาถามีเพียงขอเดียว ทานทำได พระพุทธเจาจึงทรงสอนใหทานมีสติรักษาจิตของทานไวอยางเดียว และไมนานทานก็บรรลุพระอรหัตตผล
ÊÑ ¹ μÔ ¹Ñ ¹ ·
๗๑
ทั้งนี้เพราะการเจริญสติ คือหัวใจของการเดินมรรค เปนทางสายเอก สายเดียว ที่จะนำไปสูความรูแจงแทงตลอดอริยสัจจ และนำไปสูความบริสุทธิ์หลุดพนจากเครื่องของทั้งปวง เมื่อเจริญสติอยู ทุกขปรากฏทานก็รู เหตุแหงทุกขทานก็รู ความดับทุกขทานก็รู ศีลของทานก็เกิดขึน้ โดยอัตโนมัติ เพราะจิตไมถูกกิเลสหลอกใหทำชัว่ สมาธิก็เปนอัตโนมัติ เพราะจิตตัง้ มัน่ เนือ่ งจากไมกวัดแกวงตามนิวรณ ปญญาก็เปนอัตโนมัติ เพราะระลึกรูความเกิดดับของสังขารธรรม ทั้งปวงตามความเปนจริง จิตของทานละบาปทั้งปวง ทำกุศลใหถึงพรอม และมีความผองแผว บรรดากุศลธรรมทั้งหลายเจริญขึ้น บรรดาอกุศลธรรมทั้งหลายดับไป การปฏิบตั ธิ รรมนัน้ ถามีสติอบรมจิตของตนไดเพียงอยางเดียวก็พอแลว เพราะเทากับไดปฏิบัติทั่วถึงธรรมที่ทานทรงแสดงแลว ผมขอยกตัวอยางหัวขอธรรมอีกสักเรื่องหนึ่ง ซึ่งถาปฏิบัติแลว ก็มีผลครอบคลุมการปฏิบัติธรรมทั้งปวงเชนกัน ไดแก โอวาทปาฏิโมกข อันไดแก ๑.การไมทำบาปทั้งปวง ๒.การทำกุศลใหถึงพรอม และ ๓.การทำจิตใหผองแผว หากพวกเรายังรูสึกวา การปฏิบัติตามโอวาทปาฏิโมกขมีถึง ๓ ขอ ยังมากเกินไป จะปฏิบัติเพียงหัวขอเดียว ก็ทำได
๗๒
´Ù ¨Ô μ »Õ á Ã ¡
ทั้งนี้เพราะเอาเขาจริงแลว การปฏิบัติทั้ง ๓ ขอนั้น ก็หนีไมพนการเจริญสติเรียนรูจิตใจของตนนั่นเอง กลาวคือ ๑. การไมทำบาปทัง้ ปวง ทัง้ ทางกาย วาจา และทางใจ (ความคิดชัว่ ) กอนที่คนเราจะทำบาปทางกายและวาจาได จะตองทำบาปทางใจเสียกอน เพราะใจเปนใหญ ใจเปนหัวหนา กรรมทั้งหลายสำเร็จไดดวยใจ เชน กอนจะไปจี้ปลนใคร ก็ตองคิดจนตกลงใจจี้ปลนเสียกอนที่จะลงมือ กระทำจริง ดังนั้น ถาเราสำรวมระวังที่จะไมทำบาปทั้งปวง เราก็ตองมีสติเฝารูอยูที่ใจของตน มันจะคิดดี คิดชั่ว คิดเรื่อยๆ ไมดีไมชั่ว ก็ผุดขึ้นที่ใจนี่เอง ปฏิบัติอยูเพียงเทานี้ กุศลธรรมก็ถึงพรอมได จิตก็ผองแผวได ๒. การทำกุศลใหถึงพรอม ถากลาวกันอยางตรงไปตรงมาเพื่ออรรถเพื่อธรรม ไมพูดแบบประจบเอาใจกันแลว ผมอยากกลาววา จิตของคนเรานั้น แทบจะไมเคยมีกุศลจิตจริงๆ เลย มีแตอกุศลเปนสวนมาก แมแตในเวลาที่ทำบุญ จิตก็ยังเปนอกุศลอยู ดวยเหตุนี้เอง จึงหาผูที่บรรลุมรรคผลนิพพานไดยากเต็มที กระทั่งพระอริยบุคคลที่ไมใชพระอรหันต ก็ยังมีอกุศลมากนอยตามชั้นตามภูมิของตน
ÊÑ ¹ μÔ ¹Ñ ¹ ·
๗๓
การทำกุศลใหถึงพรอม เปนสิ่งที่ยากอยางยิ่ง เพราะกุศลนั้น ไดแกการที่จิตไมประกอบดวย ราคะ โทสะ และโมหะ การทำจิตใหพนชั่วคราวจากราคะและโทสะ ไมใชของยาก แมไมทำอะไรเลย ราคะและโทสะเมื่อเกิดขึ้นชวงหนึ่ง มันก็จะดับไปตามธรรมดา แตที่ยากที่สุด คือการทำจิตใหพนจากโมหะ เพราะจิตของสัตวทั้งปวงนั้น มีโมหะยืนพื้นอยูแทบทุกขณะ แมในขณะที่ไมมีราคะและโทสะ ก็ยังมีโมหะแฝงอยูเสมอ โมหะคือความหลงของจิต ทำใหไมรูสภาพธรรมตามความเปนจริง ผูที่เคยศึกษาธรรมกับผมนั้น จะทราบวา สิ่งแรกที่ผมสอนคือการทำความรูตัว นั่นคือการทำ “อโมหะ” นั่นเอง เพราะโดยธรรมชาติแลว จิตจะเหมือนน้ำทีไหล ่ รินไปเรือ่ ยๆ ไมหยุดหยอน จิตมันเคลื่อนเขาไปยึดถืออารมณ โดยเราไมเคยรูตัวเลย ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย อันเปนการไหลเขาไปในโลกของวัตถุกาม และทางใจคือไหลเขาไปในโลกของความคิด ตอเมื่อใดสามารถรูเทารูทันจิตตนเอง มันจะเคลื่อนไหวไปทางใดก็รู มันจะตั้งมั่นอยูก็รู มันจะปรุงดี ปรุงชั่ว ปรุงสิ่งที่เปนกลางๆ ก็รู มีแตรู รู รู ดวยความเปนกลาง สักแตรูจริงๆ นั่นแหละจิตจึงจะขจัดความหลงออกไปได
๗๔
´Ù ¨Ô μ »Õ á Ã ¡
เมือ่ จิตไมประกอบดวยโมหะ กิเลสใดๆ ก็ครอบงำจิตไมได (ยกเวนอวิชชา) จิตก็ทรงตัว รู ตื่น และเบิกบานอยูอยางนั้น โดยเราไมตองไปทำอะไรมันเลย เพราะจิตนั้นโดยตัวของมันเองผองใสอยูแลว ที่เศราหมองก็เพราะกิเลสมันจรมาหลอกเอาเปนคราวๆ เทานั้นเอง การที่จิตทำกุศลใหถึงพรอม จึงเปนทางละบาปอกุศลทั้งปวง และเปนการทำจิตใหผองแผวดวย ๓. การทำจิตใหผองแผว เมื่อกลาวถึงการไมทำบาปทั้งปวง และการทำกุศลใหถึงพรอมแลว แทบจะไมตองกลาวถึงการทำจิตใหผองแผว แตถาจะกลาวไวหนอยหนึ่งก็นาจะเปนประโยชน เพราะเปนวิธีปฏิบัติธรรมอยางละเอียดอันหนึ่งเหมือนกัน การทำจิตใหผองแผว ไมใชการเพงจิตใหหยุดนิ่ง แตตองใชปญญาพิจารณาใหออกวา อะไรเปนจิต อะไรเปนอารมณ เมื่อแยกออกไดแลว จิตไมถูกอารมณครอบงำ จิตก็จะผองแผวโดยตัวของมันเอง เพราะตัวของมันผองแผวอยูแลว แตเมื่อเราใชความพยายามอยางเต็มที่ ที่จะทำจิตใหผองแผวตลอดไปนั้น เราจะพบวาทั้งจิต ทั้งกิเลส และอารมณทั้งหลายทั้งปวง ไมใชสิ่งที่เที่ยงแท มั่นคง หรือเปนไปตามอำนาจบังคับของเรา ในที่สุดก็จะสามารถปลอยวางทั้งจิตและอารมณได
ÊÑ ¹ μÔ ¹Ñ ¹ ·
๗๕
ตอนผมเด็กๆ คิดวาการทำจิตใหผองแผวเปนผลของ ๒ สิ่งแรก แตความจริงโอวาทปาฏิโมกขทั้ง ๓ ขอ คือคำสั่งสอนเพื่อใหนำไปปฏิบัติเพื่อความหลุดพนทั้งสิ้น ไมไดสอนใหเราทำ ๒ ขอแรก เพื่อเขาถึงและยึดเอาสภาวจิตที่ผองแผว จิตที่มีสติสัมปชัญญะ รูอยู ศึกษาอยูที่จิต เปนจิตที่ไมทำบาปทั้งปวง ทำกุศลใหถึงพรอม และทำจิตใหผองแผว จิตชนิดนี้ เปนจิตที่สามารถรูสภาพธรรมทั้งปวงตามความเปนจริง อันเปนทางสายเดียวที่จะนำไปสูความหลุดพนได ยังมีธรรมอีกมากมาย ทีท่ านทรงสอนดวยคำสอนที่ตางๆ กัน แตถาพิจารณาใหถองแทแลว ก็จะพบวาคำสอนเพื่อการปฏิบัติทั้งปวงนั้น ลวนมีหลักปฏิบัติอันเดียวกัน คือ “การใหเรามีสติรูสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเปนจริง” เพราะเมื่อรูตามความเปนจริง จิตก็จะเบื่อหนาย คลายกำหนัด และหลุดพนไปเอง อันเปนเปาหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา ถามีสติที่ถูกตอง ก็คือการปฏิบัติธรรมทั้งปวงทางพระพุทธศาสนา เมือ่ หลง เผลอ ขาดสติ ก็คือไมไดปฏิบตั ธิ รรมอันใดเลยในทางพระพุทธศาสนา แมขณะนั้นจะกำหนดลมหายใจ หรือบริกรรมพุทโธ อยูก็ ตาม ที่มา http://www.bangkokmap.com/pm/content/view/31/37/
“àÃÒ»¯Ô àÃàÃÒ ÃÒ»¯ Ò»¯Ô »¯ÔºÔºÑÑμμÔÔ¸¸ÃÃÁäÁã »¯Ô ÃÃÁäÁ‹ Ãà ÃÃÁä ÃÃÁ ÃÃÁäÁ ÃÁä ÃÁäÁ㪋 ÁääÁã ÁäÁã ÁÁã㪋ªà‹à¾¾×¾¾ÍÅ Á㪠Á㪋 èÍ× ÅÐ¡Ô ÅÐ¡Ô ÅС ÅРСԡ¡à ¡àÅÊ àÔ ÅÊ Å áμ‹μ‹μμྠáμ à‹ ¾×¾ÍÅ ¾ÍÅÐ èÍÅФÇÒÁàËç ÅÐ ÅФÇÒÁàËç Ф¤ÇÒ ¤ÇÒÁàËçËç˹¼´ ¹¹¼Ô¼Ô¼´´¢Í§¨Ô ¢Í§¨Ô ¢Í§ ¢Í§¨μã¨·ä» Í§¨Ô¨μã¨·Õ ã㨷 㨨·Õ·ä»ËÅ èäÕä»Ëŧ ä»Ëŧàª× »Ëŧàªè »Ëŧàª× »»Ë »ËŧઠËŧàª× Ëŧàª× ŧàª× §àª×પ×èÍ× ÇÔÇÔè§μÒÁ¡Ô μÒÁÁ¡àÅÊ Å áŌŌnj ¾Ò·¡ ááÅÇ¾Ò áÅÇ ¾¾Ò·Ø ÒÒ··¡¢ÁÒãËμÇàͧ” ·Ø·Ø¡¡¢ÁÒã ¢ ÁÒãËμÇàͧ ¢ÁÒãËμÇàͧ ÁÒãËŒ ÒããË ãËŒËμÇàͧ μŒμÑÇàͧ ÑÇàͧ” àÍÍͧ§”
ทำไมแครู กิเลสก็สิ้นได
ถาม - ทำไมแครู กิเลสก็สิ้นไดครับ เรา รู เพื่อเขาใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเปนจริงเทานั้น คือรูวา สิ่งทั้งหลายที่เกิดมานั้น มันตองดับไปในที่สุด และไมเปนไปตามความอยากของเรา แตเปนไปตามเหตุของมัน เมื่อจิตรูความจริง จิตก็ปลอยวาง ไมเขาไปแทรกแซงสิ่งใด คือพอเห็นอารมณใดเกิดขึ้น ก็รูวา “มันก็เทานั้นเอง” “มันเปนอยางนั้นเอง” เมื่อจิตรูจักปลอยวาง จิตก็ไมทุกข การที่เรารูทันกิเลสที่กำลังปรากฏ แลวกิเลสออนกำลังลงหรือหายไปนั้น ไมใชเพราะเราไปไลกิเลสไปหรอกครับ อยางมีใครสักคนมาดาเรา เราฟงแลวโกรธ
๗๘
´Ù ¨Ô μ »Õ á Ã ¡
พอโกรธแลวก็จะยิ่งเพิ่มความสนใจคนที่มาดาเรามากขึ้น ยิ่งสนใจก็ยิ่งคิดยิ่งแคน ความโกรธก็ยิ่งรุนแรงขึ้น แตเมื่อใดเรายอนกลับมาเห็นความโกรธที่กำลังเกิดขึ้น แลวเห็นวามันทำใหจิตใจของเราเปนทุกข จิตใจของเราก็จะไมคลอยตามสิ่งที่กิเลสสอนใหทำ เชน ไมตัดสินใจโดดชกคนที่มาดาเรา และในขณะทีรู่ ท นั กิเลสอยูนั น้ ความสนใจของเราไมไดอยูที คน ่ ทีม่ าดาเรา ไมไดคิดปรุงแตงเพิ่มเติมวาเขาไมดีอยางนั้นอยางนี้ กิเลสก็เหมือนไฟที่ขาดเชื้อ มันก็ออนกำลังแลวดับไปเอง เราปฏิบัติธรรมไมใชเพื่อละกิเลส แตเพื่อละความเห็นผิดของจิตใจที่ไปหลงเชื่อวิ่งตามกิเลส แลวพาทุกขมาใหตัวเอง แตเราก็จำเปนตองรูกิเลส เพราะถารูไมทัน กิเลสมันจะทำพิษเอา คือถามันครอบงำจิตใจได มันจะพาคิดผิด พูดผิด ทำผิด แลวจะนำความทุกขความเดือดรอนมาให การที่เรารูกิเลสนั้น เราไมไดรูเพื่อจะละมัน เพราะตราบใดยังมีเชื้อของกิเลสหลบซอนอยูในจิตใจสวนลึกแลว หากมันมีผัสสะทางตา หู จมูก ลิ้น สัมผัส ใจ กิเลสที่ซอนนอนกนอยูในจิตใจก็จะผุดขึ้นมา เพื่อกระตุน เรงเรา ใหเราหลง ใหเรารัก ใหเราชัง สิ่งตางๆ จิตใจก็เสียความเปนกลางไป
ÊÑ ¹ μÔ ¹Ñ ¹ ·
๗๙
และเราไมตองไปคิดเรื่องตัวผูรูอะไรหรอกครับ ถากิเลสเกิดแลวรูวามีกิเลส และรูทันจิตใจตนเองวา มันยินดี ยินรายตามกิเลสหรือไม มันหลง มันเผลอ มันอยาก มันยึด หรือไม รูเรื่อยๆ ไป ถึงจุดหนึ่งจิตมันจะเขาใจเองวา “ถาจิตหลงตามแรงกระตุนของกิเลส แลวเกิดความอยาก ความยึดขึ้นมาเมื่อใด ความทุกขก็เกิดขึ้นเมื่อนั้น” จิตก็จะฉลาดพอ ที่จะไมหลงกลกิเลสที่มันรูทันแลวอีกตอไป ๗ กรกฎาคม ๒๕๔๒ ที่มา http://larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/000107.htm
“ÁѹäÁ‹ÁÕ¤ÇÒÒÁ໚¹àÃÒÁÒá Òáμ‹áááÅŒŒÇ áμ‹ÍÒÈѤÇÇÒÁ¤¤Ô´ ËÃ×ÍÊѧ¢Òâ âѹ¸ μ‹Ò§ËÒ ËÒ¡ ࢌÒä»á··Ã¡»»¹ ¨¹¨Ôμ¡çËŧ§àª×èÍμÒÁ¤ÇÒÁ¤Ô´ä»Ç ´ä»»Ç‹Ò ¹ÕèáËÅÐФ×ÍμÑÇàÃÒ””
จิตไมใชของเรา เราไมใชจิต แลวเราอยูไหน
ถาม - ถาจิตไมใชของเรา รา เราไม เราไมใใชจิต แลวเราอยูไหนคะ ในรางกายจิตใจเรานี้ ถาสังเกตใหดีจะเห็นวา มีความรูสึกอยูหยอมหนึ่ง ที่มันรูสึกวาคือ “ตัวเรา” “เรา” นั้น เปนผูคิด ผูนึก ผูตัดสิน ผูเสพอารมณตางๆ สิ่งนี้แหละครับ ที่บัญญัติกันวา “จิต” มันคือคนที่พูดแจวๆ ตลอดเวลา คอยตัดสินวาอันนั้นดี อันนี้ไมดี เวลามันไปรูอะไรเขา มันก็เกิดความชอบและความชังขึ้นมา ลองทำใจสบายๆ แลวทำสติระลึกรูเขาไปที่ความรูสึกวาเปนตัวเรา ดูสิครับ ปุถุชนกับพระโสดาบันนั้น ความรูสึกตรงนี้จะตางกันมาก เพราะปุถุชนถาดูเขาไปที่ความรูสึกนี้ จะรูสึกชัดเจนเลยวา มันเปน “เรา” แตพระอริยบุคคลตั้งแตพระโสดาบันขึ้นไป
๘๒
´Ù ¨Ô μ »Õ á Ã ¡
เวลามองดูความรูสึกอันนี้ จะเห็นเพียงวา มันเปนเพียงธรรมชาติรู ไมมีความเห็นสักนิดเดียววามันคือตัวเรา แตพระอริยบุคคลที่ไมใชพระอรหันตนั้น ในเวลาเผลอ ก็ยังยึดความรูสึกอันนี้วาเปน “เรา” เรียกวาบริสทุ ธิเพี ์ ยงความเห็นเทานัน้ เอาเขาจริงยังยึดมัน่ ถือมัน่ จิตอยู พูดใหมีศัพทแสงสักหนอยก็กลาวไดวา ความรูสึกวาเปน “เรา” นั้น มันคือจิตที่ประกอบดวยสักกายทิฏฐิ สวนความยึดจิตเปนตัวเราคือ อัตตวาทุปาทาน เปนคนละอยางกัน ลำพังจิตที่เปนเพียงผูรูอารมณลวนๆ นั้น มันไมมีความเปนเรามาแตแรกแลว แตอาศัยความคิด หรือสังขารขันธตางหาก เขาไปแทรกปน จนจิตก็หลงเชื่อตามความคิดไปวา นี่แหละคือตัวเรา ผมเคยภาวนาจนจิตดับ ขณะแรกตอนที่จิตกลับมารับรูอารมณนั้น จิตมันอุทานขึ้นมาดวยความอัศจรรยใจวา “เอะ จิตไมใชเรานี่” (จิตเปนสภาพธรรมอยางหนึ่ง ไมมีรูปราง แสงสี ตัวตนใดๆ สักนิดเดียวนะครับ ไมมีจุดมีดวงใดๆ ทั้งสิ้น) จิตมันอุทานไดเอง มันแสดงธรรมไดเอง ผมก็ตั้งคำถามขึ้นในใจวา “ถาอยางนั้น ความเปนเราเกิดมาจากไหนละ?” จิตก็ตอบวา “เพราะ (หลงตาม) ความคิดนึกปรุงแตง จิตจึงเปนเรา” กำลังจะถามมันตอไป ก็เกิดสิ่งหนึ่งขึ้นมาจากความวางเปลา คือแสงสวางปรากฏขึ้น ซึ่งในธรรมจักรทานเรียกวา อาโลโกอุทปาทิ
ÊÑ ¹ μÔ ¹Ñ ¹ ·
๘๓
ถัดจากนั้น จิตก็ราเริงเบิกบานในธรรม เพราะมันรูแลววา อวิชชา ตัณหา อุปาทาน หลอกมันไดอีกไมนานหรอก (ตรงนี้หลวงปูดูลยทานเรียกวา จิตยิ้ม คือมันเบิกบานยิ้มเยาะกิเลส และผมคิดวาที่พระพุทธเจาทานอุทานทักตัณหา ก็คือภาวะอันนี้เอง เพียงแตสภาวะของทานนั้น ทานสิ้นชาติ สิ้นภพ จบพรหมจรรยแลว) ถัดจากนั้น จิตก็ทบทวนทุกอยางที่เกิดขึ้น แลวเห็นวา ความเห็นผิดวาจิตเปนเรานั้น ขาดไมเหลือแลว แตความยึดมั่นวาจิตเปนเรายังเหลืออยู เพราะยึดวาจิตเปนเรานี้เอง ผูปฏิบัติจึงมีความพากเพียรเจริญสติปฏฐานเพื่อออกจากทุกข ถาจิตไมเปนเรา จิตจะจมทุกขจนตายไป มันก็เรื่องของจิตสิครับ แตเมื่อใดจิตเขาถึงภาวะที่ปลอยวางความยึดจิตชั่วขณะ จิตเองกลับวางขันธ ๕ (โดยยนยอคือกายใจนี้) แมขันธจะเปนทุกข จิตก็ไมเอาดวย เพราะกระทั่งจิต ยังไมยึดจิตเอง จิตจะไปยึดขันธมาทำไมกันอีก มันจึงเกิดภาวะวาง อิสระ หมดงานทีจะ ่ ตองทำ และมีความบรมสุขจริงๆ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๔๒ ที่มา http://larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/000016.htm
“à¾Õ§áμ‹àÁ×èÍÁÕÊμÔÊÑÁ»ªÑÞÞÐ ÃÙŒ¤ÇÒÁ¤Ô´áÅŒÇ ¤ÇÒÁ¤Ô´¨Ð¤‹ÍÂææ à§ÕºàÊÕ§ŧμÒÁÅӴѺ â´ÂÂäÁ‹μŒÍ§ä»ºÑ§¤ÑºÁÑѹ”
พบคนหลายคนในตัวเรา อบคุยกับตัวเองมานาน เผลอเปนไมได จะตอง ถาม – ผมมีนิสยั ชอบ คุยหรือระลึกเรือ่ งตางๆ กับตนเอง บางทีนัง่ อมยิม้ เพลินเลยครับ ทีนเวลา ้ี ปฏิบตั ธิ รรมใหสังเกตจิต หรือเวทนา ผมจะเอาจิตอีกดวง ทีชอบ ่ คุยดวยเปนตัวสังเกต หรือผูรู ผูสั งเกต ไดหรือไมครับ เวลาเรามีสติสัมปชัญญะแลวใชสติระลึกรูนามธรรมในจิตนั้น ถาดูไดละเอียด จะพบคนหลายคนในตัวเรา คนหนึ่งรูสึกสุข ทุกข เฉยๆ คนหนึ่งเปนคนคุยความจำตางๆ ขึ้นมา คนหนึ่งเปนคนคิด คิดตลอดเวลา แลวพูดแจวๆ ไมเลิก คนหนึ่งเปนคนรู อะไรผุดขึ้นก็มีหนาที่รูอยางเดียว ที่ดูแลวมันกลายเปนหลายคนนั้น ไมแปลกหรอกครับ คือนามทั้งหลายมันถูกจำแนกออก เปนเวทนา (ความรูสึกสุขทุกข) สัญญา (ความจำไดหมายรู)
๘๖
´Ù ¨¨ÔÔ μ »Õ á á á
สังขาร (เจตนาดีราย ความชอบความชัง) และวิญญาณ (การรับรูทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ) เดิมสิ่งเหลานี้รวมหัวจมทายกัน คอยกอปญหาใหเรา คือมันรวมกันเขามาเปนความรูสึกวา เรา เรา เรา เวลาปฏิบัติแลว จะมีกี่ตัวก็ชางมันเถอะครับ ใหมีตัวหนึ่งเปนคนดู อีกตัวหรือหลายตัวก็แสดงหนาที่ของมันไป อยางนี้ก็ใชไดแลวครับ นักปฏิบัติจำนวนมาก ตองการดับความคิด ตัวความคิดหรือสังขารขันธนั้น เปนสวนของทุกข ทานใหเรารู ไมใชไปละมัน เพียงแตเมื่อมีสติสัมปชัญญะ รูความคิดแลว ความคิดจะคอยๆ เงียบเสียงลงตามลำดับ โดยไมตองไปบังคับมัน มันจะพูดก็ชางมัน มันจะเงียบก็ชางมัน รูมันเรื่อยๆ อยาเผลอก็พอแลวครับ เราไมไดปฏิบัติเพื่อดับสังขารขันธ หรือเวทนาและสัญญาขันธ แตปฏิบัติเพื่อจะรูทันความเกิดดับของมัน ดวยจิตที่เปนกลาง ถาคิดจะดับมัน จิตจะเกิดความรำคาญใจขึน้ มาเล็กๆ แบบไมรูต วั ครับ เรียกวากิเลสเกิดขึ้น แตเรารูไมทัน จิตจึงไปปฏิเสธสภาพธรรมที่กำลังปรากฏอยู ๙ มิถุนายน ๒๕๔๒ ที่มา http://larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/000006.htm
ทางสายกลาง ทำอยางไรถึงจะเปนกลาง ถาม - ทางสายกลาง ทำอยางไรถึงจะเปนกลางไดคะ ทางสายกลางหรือความไมสุดโตงในการปฏิบัตินั้น ตองพิจารณาเอาที่จิตใจตนเองครับ เพราะการปฏิบัติที่เปนกลางของแตละคนไมเทากัน วิธีพิจารณางายๆ ที่พระปาทานใชกันก็คือ การสังเกตตนเองวา นอนแคไหนจึงจะพอ คือไมงวงเหงาเพราะพักนอยไป ไมซึมเซาเพราะนอนมากไป กินแคไหนจึงจะทำความเพียรสบาย อยูในอิริยาบถใด มากนอยเพียงใด การปฏิบัติทางจิตจึงคลองแคลว แม “กลาง” ที่เปนพฤติกรรมของแตละคนจะไมเทากัน แตความเปนกลางทางจิตนั้น เทากันทุกคน เชน เปนกลางคือ เปนปจจุบัน ไมเอนเอียงไปขางอดีต หรืออนาคต เปนกลางตออารมณที่จิตไปรูเขา ไมหลงยินดียินราย และเปนภาวะที่เหนือดี เหนือชั่ว
๘๘
´Ù ¨¨ÔÔ μ »Õ á á á
เหนือความปรุงแตงทั้งฝายบวกและฝายลบ คือถาพบวาจิตมีกิเลสแลวเกลียด ก็สุดโตงไปขางหนึ่ง ถาจิตหลงเชื่อ วิ่งตามกิเลส ก็สุดโตงไปอีกขางหนึ่ง รวมความแลวก็คือ จิตไมมีความสุดโตงในทุกๆ ดาน ระหวางธรรมที่เปนคูทั้งหลาย สำหรับผูปฏิบัติในขั้นที่ละเอียดเขาไปนั้น นอกจาก รู แลว ก็ไมใชความเปนกลาง เพราะในภาวะ รู นั้น ศีลก็เปนศีลอัตโนมัติ สมาธิและปญญาก็ประชุมลงที่เดียวกันเปนอัตโนมัติ ไมไหลไปสูอดีตและอนาคต เปนกลาง ปราศจากความยินดียินราย สรุปแลว ทางสายกลางที่เปนพฤติกรรมของแตละบุคคล เปนเรื่องที่ตองสังเกตเอาเอง วาทำอยางใด อกุศลจะลดลง กุศลจะเจริญขึ้น สวน “กลาง” ของจิตนั้น เหมือนกันทุกคน คือ รู ที่ไม ปลอยจิต ใหเพลิดเพลินยินดีไปกับอารมณ หรือเพงอารมณ เพื่อ บังคับจิต ใหแนบกับอารมณอันเดียว ที่กลาวนี้ ผมกลาวในเชิงของการปฏิบัติ เพราะในเชิงปริยัตินั้น พวกเราก็คงทราบๆ กันดีอยูแลวทุกคน ๑๘ กันยายน ๒๕๔๒ ที่มา http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/000422.htm
กุศลจิตเกิดยาก
ถาม - วันนี้ผมไดสังเกตจิตใจตัวเอง แลวพบวาในแตละวันนั้น กุศลจิต คือจิตอันไมถูกราคะ โทสะ โมหะครอบงำนั้นไมไดเกิด กันงายๆ เลยครับ เมื่อกุศลจิตเกิดยาก จึงทำใหคนที่ไปเกิดใน สุคติภูมิมีนอย ใชไหมครับ คุณเปนผูมีความละเอียดรอบคอบในการสังเกตจิตตนเอง สวนมากชาวโลกเขาคิดวา เขามีความรูตัว เพราะถาไมรูตัวก็คงอานหนังสือไมรูเรื่อง หรือขับรถไมได และนอยคนนักที่จะรูวา จิตของตนถูกกิเลสครอบงำ ในความเปนจริงแลว โอกาสที่เราจะมีกุศลจิตจริงๆ นั้น ยากมาก เพราะถึงไมมีราคะและโทสะ ก็ยังมี โมหะ ยืนพื้นอยูเสมอ อันไดแก ความหลง ความไมรูเทาทันจิตใจตนเอง
๙๐
´Ù ¨Ô μ »Õ á Ã ¡
แมในเวลาที่กำลังทำบุญ ก็ยังทำกันดวยกิเลสเปนสวนมาก คือเมื่อทำ “ทาน” เชน จะบริจาคเงินสรางเจดีย ก็ทำดวยความโลภ เชน หวังความร่ำรวย หรืออยากหายเจ็บไข หรือ อยากไดเกียรติยศ จะรักษา “ศีล” ก็รักษาแบบทรมานตนเองบาง รักษาเอาความภูมิใจบาง รักษาโดยเชื่อเอาวา จะทำใหรูธรรมบาง แมจะนั่ง “สมาธิ” ก็นั่งจมแชราคะและโมหะ หรือแมจะเจริญ “ปญญาวิปสสนา” ก็ยังหลงสงจิตไปเพงจองอารมณบาง เคลื่อนหลงตามอารมณบาง คนเราไมรูวากิเลสนั้นมีผลเผ็ดรอนเพียงใด โดยเฉพาะโมหะนั้น เปนภัยมืดจริงๆ เรามักจะเห็นวา โทสะ และราคะหยาบๆ มีโทษมาก เชน มีโทสะแลวไปฆาเขาตาย หรือมีราคะแลวไปขมขืนเขา แตนอยคนที่จะทราบวา โมหะนั้นเปนภัยที่นากลัวมาก เวลาผมเห็นคนนั่งเหมอลอย หลงไปเรื่อยๆ ในความคิดของตนเอง หรือลุมหลงเมามัน ไมรูตัว ไปกับ “ความสุข” แบบลมๆ แลงๆ เห็นแลวสงสารมากครับ ใครที่สังเกตจิตได ลองดูสัตวตางๆ เชน สุนัข เปนตน มันมีภาวะจิตแบบเดียวกันนั้นเอง
ÊÑ ¹ μÔ ¹Ñ ¹ ·
๙๑
คนเราสั่งสมสิ่งใดไว ก็ไดสิ่งนั้น สังสารวัฏจึงเปนเรื่องที่นากลัวมากสำหรับผูที่รูทัน ทวา มันเปนอันตราย แตไมนากลัว สำหรับผูที่กำลังหลงอยู ๑๗ สิงหาคม ๒๕๔๒ ที่มา http://larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/000277.htm
“ÃÙŒ ¤×Í¡ÒÃà¨ÃÔÞÊμÔÊÑÁ»ªÑÞÞР໚¹ÊÔè§à´ÕÂÇ·Õè¼ÁàËç¹Ç‹ÒÊӤѤÑÞ·ÕèÊÕ Ø´ ·ÕèÁ¹ØÉ ¼ÙŒË¹Ö觤Çû¯ÔºμÔÑμÔãˌ䴌 ä´”
ตามดูจิตแลวพากยไปดวย
ถาม - กำลังเริ่มฝกดูจิตอยูครับ เมื่อจิตถูกกระทบจนเกิดภาวะ ตางๆ ก็เฝาสังเกต และวินิจฉัย คอยพากยบอกกับจิตตัวเองวา อันนี้เปนราคะ อันนี้เปนโทสะ อันนี้เปนฟุงซาน อยากทราบวา การตามรูตาม ดูจิตแลวพากยไปดวยแบบนี้ ถูกตองหรือเปลาครับ ที่จริงในเบื้องตนที่หัดนั้น จิตมันอดพากยไมไดหรอกครับ แมไมจงใจจะคิดจะพากย มันก็อดวินิจฉัยไมไดวา “สิ่งนี้ชื่อนี้ เมื่อรูสิ่งนี้แลว ควรทำอยางนี้ๆ” เพียงแตเราควรทราบไววา ความรูที่เกิดจากการพากยและการสรุปประเด็น ไมใชจุดมุงหมายที่เราปฏิบัติ เพราะสิ่งที่ไดคือ “องคความรู” ซึ่งเมื่อถึงจุดหนึ่งมันจะกลายเปนสัญญา คอยรบกวนการปฏิบัติในขั้นละเอียด
๙๔
´Ù ¨Ô μ »Õ á á á
เมื่อปฏิบัติชำนิชำนาญไป เราจะเห็นเพียงสภาวะที่เกิดแลวก็ดับ จิตไมสนใจพากย เพราะการพากยนั้นก็เปนการทำงานของจิต เปนภาระ เปนทุกข ยืดยาวออกไปอีก ถึงจุดที่รูสักวารูสภาวธรรมที่กำลังปรากฏนั้น บางคราวเราจะเกิดความลังเลใจขึ้นมา เพราะเกรงวาจะสรุปความรูไมได หรือกลัววาจิตจะไมมีองคความรูนั่นเอง อันนี้เปนธรรมชาติของปญญาชนทั้งหลาย ผมเองบางทีก็เปนอยางนั้น ที่จริงเราปฏิบัติไมใชเพื่อเอาความรู แตปฏิบัติเพื่อความพนทุกขของจิต โดย จิต มีปญญา ไมไปยึดอารมณที่กำลังปรากฏ ไมใชโดย เรา มีความรู ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๔๒ ที่มา http://larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/000129.htm
ธรรมะทิ้งทายเพื่อเตือนสติ
ถาม - อยากขอธรรมะทิ้งทายเพื่อเตือนสติพวกเรากอนทาน จะออกบวช พระพุ ท ธเจ า ทรง แสดง ธั ม มจั ก กั ป ปวั ต ตนสู ต ร อั น เป น ปฐมเทศนา โดยทรงชี้ถึง ที่สุดสองอยางอันบรรพชิตไมควรเสพ คือ การ ประกอบ ตน ให พัวพัน ดวย กามสุข ใน กาม ทั้งหลาย เปน ธรรม อันเลว เปนของชาวบาน เปนของปุถุชน ไมใชของพระอริยะ ไม ประกอบดวยประโยชน และการประกอบความเหน็ดเหนื่อยแกตน เปนความลำบาก ไมใชของพระอริยะ ไมประกอบดวยประโยชน แลวทรงสรุปชี้ชัดลงถึงขอปฏิบัติเรื่องแรกที่ทรงสอน อันเปนการ ประดิษฐานพระพุทธศาสนาลงไวในโลก คือ “ปฏิปทาสายกลาง ไมเขา ไปใกลที่สุดสองอยางนั้น นั่นตถาคตไดตรัสรูแลวดวยปญญาอันยิ่ง ทำดวงตาใหเกิด ทำญาณใหเกิด ยอมเปนไปเพื่อความสงบ เพื่อ ความรูยิ่ง เพื่อความตรัสรู เพื่อนิพพาน
๙๖
´Ù ¨Ô μ »Õ á Ã ¡
ปฏิปทาสายกลางนั้น ไดแก อริยมรรค มีองค ๘ คือปญญาอัน เห็นชอบ ความดำริชอบ เจรจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีวิตชอบ พยายามชอบ ระลึกชอบ ตั้งจิตชอบ” ตลอดพระชนมชีพของพระองค ทรงสอนแนวทางปฏิบัติอยูใน กรอบของปฐมเทศนานี้เอง ตราบจนถึงวาระสุดทายแหงพระชนมชีพ ซึ่งทรงประทานปจฉิมโอวาทวา “ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือน พวกเธอวา สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเปนธรรมดา พวกเธอ จงยังความไมประมาทใหถึงพรอมเถิด ฯ” ผูไมประมาท ก็คือผูที ดำเนิ ่ นอยูในทางสายกลางนี้เอง นับเปน คำเตือนดวยพระมหากรุณาอยางแทจริง เพราะเมื่อทรงชี้ทางไวแลว ก็ยังพร่ำสอนใหสาวกพากเพียร เดินไปตามทางอยางไมเนิ่นชาเพราะ ความประมาท พวก เรา ควร สำรวจ ตน เอง วา เขา ขาย เปน ผู ประมาท หรือไม วิธีดูที่งายที่สุดก็คือ ใหหมั่นตรวจสอบวา เราไดพยายามเจริญสติ สัมปชัญญะอยูในปจจุบันหรือเปลา หรือเราผัดผอนเอาไวคอยเจริญ สติสัมปชัญญะทีหลัง เพราะยังมีเรื่องอื่นสนุกสนานที่จะตองสนใจกอน เพราะเห็นวา ยังเปนหนุมเปนสาว ยังมีเวลาที่จะปฏิบัติไดอีกถมเถไป เพราะเห็นวา เขาใจแนวทางแลว เอาไวสบายใจแลว จึงคอยปฏิบัติ เพราะ ... ฯลฯ
ÊÑ ¹ μÔ ¹Ñ ¹ ·
๙๗
พระ ศาสดา ท า น ทรง สอน ทิ้ง ท า ย ด ว ย เรื่อ ง ความ ไม ป ระมาท ผมจึงตองอัญเชิญเรื่องความไมประมาท มาเปนธรรมทิ้งทายใหกับ พวกเรา เพราะไมมีธรรมอันใด สมควรเปนของฝากสงทายมากกวานี้ อีกแลว เมื่อผมไมอยูแลว วันใดที่นึกถึงผม ขอใหนึกถึง รู คือนึกถึงการ เจริญสติสัมปชัญญะ ซึ่งเปนสิ่งเดียวที่ผมเห็นวาสำคัญที่สุด ทีมนุ ่ ษย ผูหนึ่งควรปฏิบัติใหได เพื่อใหเกิดประโยชนสูงสุด จากการไดเปน มนุษยในยุคที่พระศาสนายังรุงเรืองอยู ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๓ ที่มา http://www.bangkokmap.com/pm/content/view/228/41/
รกยผยนยทร รจรคยปร ร ยนร ร ยนฮผร ยธร ร ร
"0& 1 & 2
$ 8
'
% &(
) "" ( * , '
& -$ '
& % &( $ % .
"0& 1 9 1
-
( !)
$ &
1 " 6 7 7 % % $
! "#$ " %
& $
" # $ %&' * (+
%&' * * * % )
'
& %
/
) " !
4% " %&5
*
% ' *
) '
% ;<=>
% 3
& $
%" : &
¢ŒÍàʹÍá¹Ð ๑. ทาง สวนสันติธรรม มีกิจ ของสงฆ ที่จะตอง กระทำ จึง ขอ ความกรุณา ใหมาในชวงเวลา ๐๗.๐๐ - ๑๐.๐๐ น. เทานั้น (หมายถึงพระอาคันตุกะ ท่ี ไม ไ ด นั ด หมาย และ ญาติ โยม ทุ ก ท า น ที่ ไ ม มี หน า ที่ ด า น ภารกิ จ กั บ ทางสวนฯ) ๒. สามารถสอบถามกำหนดวันเปด-ปดสวนฯ ไดที่โทรศัพทหมายเลข ๐๘๑ ๕๕๗ ๙๘๗๘ หรือดูไดที่ http://www.wimutti.net/ ทั้งนี้ไมควร สอบถามกอนวันเดินทางนานเกินไปเพราะพระอาจารยอาจมีกิจฉุกเฉิน ไดเสมอ ๓. โปรด งดการ รอ ตักบาตร หนา ประตู สวนสันติธรรม หาก มี ความ ประสงค จะรวม ถวายภัตตาหาร ควร ไป ถึง กอน เวลา เพื่อ เตรียม จัด ภัตตาหารใหทัน กอนเวลา ๘.๐๐ น. ๔. ควรไปเพื่อศึกษาการเจริญภาวนาตามหลักสติปฏฐาน ๔ หรือตาม หลักการดูจิตเปนสำคัญ ๕. ขอให รั ก ษา เวลา ใน การอยู ฟ ง ธรรมตามเวลาที่ ก ำหนดไว เ ท า นั้ น (ขอ ๑) ๖. โปรดระวัง เรื่องการ รบกวน ระหวาง การแสดงธรรม และ อยา ทำการ บันทึกภาพในขณะแสดงธรรม
ÃÐàºÕº¢Í§ÊǹÊѹμÔ¸ÃÃÁ เพื่ อ ให การ ดำเนิ น กิ จ กรรม ของ สวนสั น ติ ธ รรม เป น ไป ด ว ย ความเรียบรอย คณะกรรมการสวนสันติธรรมไดกำหนดระเบียบปฏิบตั ิ สำหรับกิจกรรมตางๆ ดังนี้ ๑. การรับ พระภิกษุ สามเณร เขาพัก เปน การ ชั่วคราว เพื่อ ศึกษา ปฏิบตั ธิ รรม ใหพระภิกษแุ ละสามเณรทีได ่ รบั อนุญาตจากพระอาจารย เขาพัก เพือ่ ศึกษาปฏิบตั ธิ รรมในสวนสันติธรรมไดครัง้ ละไมเกิน ๗ วัน และ ระหวาง ที่พำนัก ใน สวนสันติธรรม จะ ตอง สำรวม อินทรีย สำรวม ใน พระปาฏิโมกข เรงความเพียร ไมคลุกคลีกับพระภิกษุสามเณรหรือ บุคคลอื่นๆ งดการโทรศัพท งดการสูบบุหรี่และสิ่งเสพยติดทุกชนิด รักษาเสนาสนะ รักษาขอวัตรของสวนสันติธรรม และเขาศึกษาธรรม กับพระอาจารยตามเวลาทีก่ ำหนดให เนื่องจากขณะนี้ยังไมมีกุฏิวางสำหรับพระภิกษุสามเณร จึงขอ งดเวนสำหรับขอนีไว ้ กอ นจนกวาจะพรอม ๒. การรับ อุบาสก อุบาสิกา เขาพัก เปนการ ชั่วคราว เพื่อ ศึกษา ปฏิบตั ธิ รรม ใหอุบาสก อุบาสิกา ที่ไดรับ อนุญาต จาก พระอาจารย เขาพัก เพือ่ ศึกษาปฏิบตั ธิ รรมในสวนสันติธรรมไดครัง้ ละไมเกิน ๕ วัน โดย แบงออกเปนสัปดาหละ ๒ รอบคือระหวางวันจันทรถึงวันศุกร และ
ระหวางวันศุกรถึงวันอาทิตย ขณะที่พำนักในสวนสันติธรรมจะตอง สำรวมอินทรีย รักษาศีล ๕ หรือศีล ๘ เรงความเพียร ไมรบกวน การปฏิบตั ธิ รรมของบุคคลอืน่ งดการโทรศัพทโดยพร่ำเพรือ่ งดการ สูบบุหรี่และสิ่งเสพยติด ทุกชนิด งดการทำอาหาร รักษาเสนาสนะ รักษาขอวัตรของสวนสันติธรรม และเขาศึกษาธรรมกับพระอาจารย ตามเวลาทีก่ ำหนดให แจงใหทุกทานทราบวา ทางสวนสันติธรรมใหเขาไปใชสถานที่ เพื่อการปฏิบัติภาวนาตามที่ทานเคยปฏิบัติมาเทานั้น ไมใชเปนการ เขาคอรสอบรมแตอยางใด พระอาจารยไมไดชีแ้ นะเปนการพิเศษหรือ เปลี่ยนแปลงแนวทางแกผูเขามาปฏิบัติ เพียงแตจะคอยสอบถามถึง การ ปฏิบัติ และ ความเปนอยูในสวนสันติธรรม ทุกเชา ที่ศาลา รวมกับ โยมอืน่ ๆ ทีม่ าปกติเทานัน้ และผูที จ่ ะเขามาขอใชสถานทีต่ องมีความ คุน เคยกับสวนสันติธรรมแลวระยะหนึง่ เสียกอน ๓. การเขาฟงธรรม ณ ธรรมศาลา สวนสันติธรรมเปดตอนรับสาธุชนเขาฟงธรรม ณ ธรรมศาลา ตัง้ แตเวลา ๐๗.๐๐ – ๑๐.๐๐ น. ในวันทีพระอาจารย ่ อยูแสดง ธรรม ทั้งนี้ไมควรสอบถามกอนวันเดินทางนานเกินไป เพราะพระอาจารย อาจมีกิจฉุกเฉินไดเสมอ ผูที่จะเขาไปฟงธรรม ณ สวนสันติธรรมและประสงคจะถวาย ภัตตาหารแดพระสงฆ โปรดงดการดักตักบาตร แตควรนำอาหาร บรรจุภาชนะของตนเองไปถวายแดผูมีหนาที่รับประเคนอาหาร ณ
ธรรม ศาลา ก อ น เวลา ๐๘.๐๐ น. และ รั บ ภาชนะ กลั บ หลั ง เวลา รับประทาน อาหาร ของ ญาติ โยม ทั้งนี้ เพื่อ ชวยกัน ลด ขยะโฟม และ พลาสติกเปนการชวยกันรักษาสภาพแวดลอม อยางไรก็ตามในกรณี จำเปน ก็ อาจ ใช ภาชนะ ของ สวนสันติธรรม ได โดย การ จัด อาหาร ใส ภาชนะของสวนสันติธรรมแลวนำไปมอบกับผูม หี นาทีด่ ว ยตนเอง โปรด งด การ กระทำ ที่ อาจ รบกวน สมาธิ ในการ ฟ ง ธรรม ของ ผูอ่นื เชนการพาเด็กเล็กที่ไมอาจดูแลใหอยูในความสงบไดไปที่สวน สันติธรรม การนำ สัตวเลี้ยง ไป ที่ สวน สันติธรรม การ ให อาหาร แก สุนขั และแมว และการพูดคุยเสียงดัง เปนตน นอกจากนีควร ้ ปดเสียง โทรศัพทมือถือในขณะทีฟ่ งธรรมดวย ๔. การขอรับหนังสือและสือ่ ธรรมะ สวน สันติธรรม ได พยายาม จัดพิมพ หนังสือ และ ผลิต สื่อ เผยแผ ธรรม เพือ่ แจกจายใหทานผูส นใจโดยไมคดิ มูลคา แตดวยความจำกัด ในดานกองทุนและบุคลากร ขอใหทานผูสนใจไปขอรับหนังสือและ สือ่ ธรรมะดวยตนเองทานละ ๑ ชุด ไดทสวน ่ี สันติธรรมระหวางเวลา ๐๗.๐๐ - ๑๐.๐๐ น. โดยงดการขอหนังสือหรือสือ่ ธรรมะไปแจกจาย ตอใหผอู น่ื หากตองการหนังสือหรือสือ่ ธรรมะจำนวนมากเพือ่ แจกเปน ธรรมทาน โปรดติดตอสัง่ พิมพหรือสัง่ ผลิตสือ่ ไดจากสำนักพิมพหรือผู รับผิดชอบในการผลิตสือ่ ไดโดยตรง
๕. อืน่ ๆ o พระอาจารยงดตอบปญหาธรรมทางจดหมายและโทรศัพท เนือ่ งจากมีภารกิจมากในแตละวัน o ขอความกรุณา อยาทำการบันทึกภาพในขณะแสดงธรรม o มีรถตู เดินทาง มาที่ สวนสันติรรม ทุกเสาร-อาทิตย ติดตอ สอบถามรายละเอียดไดทโ่ี ทร ๐๒ ๒๗๙ ๗๘๓๘