องคความรูแมน้ําโขง รายงานการประชุมองคความรูแมนา้ํ โขงเพื่อการพัฒนาอยางยั่งยืน วันที่ 8 มิถุนายน 2552 กรุงเทพมหานคร
ISBN:
978-974-8479-55-2
พิมพครั้งที่ 1
ธันวาคม 2553
บรรณาธิการ
ดร.สมฤดี นิโครวัฒนยิ่งยง และ ดร.ศุภสุข ประดับศุข
กองบรรณาธิการ
วรวรรณ ชายไพฑูรย มาดาพร ลาภโรจนไพบูลย และวรรณนิภา สุขสถิตย
จัดพิมพโดย
สถาบันสิ่งแวดลอมไทย
จํานวน
1,000 เลม
16/151 เมืองทองธานี ถนนบอนดสตรีท ต. บางพูด อ. ปากเกร็ด จ. นนทบุรี 11120 โทรศัพท 02-503-3333 ตอ 501 โทรสาร 02-504-4826-8 เว็บไซต www.tei.or.th สนับสนุนการจัดประชุม มูลนิธิฟอรด (Ford Foundation) สนับสนุนการพิมพ
มูลนิธิฟอรด
ออกแบบหนาปก
วาทิต พูนพนิช
ภาพถายหนาปก
ฐากูร โกมารกุล ณ นคร
พิมพที่
โรงพิมพ ส เจริญการพิมพ โทร. 02-913-2080
ขอมูลทางบรรณานุกรมแหงชาติ สมฤดี นิโครวัฒนยิ่งยง และ ศุภสุข ประดับศุข, บก. 2553. องคความรูแมน้ําโขง: รายงานการประชุม องคความรูแมน้ําโขงเพื่อการพัฒนาอยางยั่งยืน. นนทบุร:ี สถาบันสิ่งแวดลอมไทย. 350 หนา
องคความรูแมน้ําโขง
รายงานการประชุมองคความรูแมนา้ํ โขงเพื่อการพัฒนาอยางยั่งยืน วันที่ 8 มิถุนายน 2552 กรุงเทพมหานคร
Knowledge Base for Sustainable Development in Mekong Basin Proceedings of a National Dialogue 8 June 2009, Bangkok
ดร. สมฤดี นิโครวัฒนยิ่งยง ดร. ศุภสุข ประดับศุข บรรณาธิการ Dr. Somrudee Nicro Dr. Suphasuk Pradubsuk Editors
สถาบันสิ่งแวดลอมไทย Thailand Environment Institute (TEI) Nonthaburi, Thailand 2010
คํานํา แมน้ําโขงเปนสายน้ําหลักที่หลอเลี้ยงผูค นใน 6 ประเทศ ไดแก จีน พมา ลาว ไทย กัมพูชา และเวียดนาม แมวาการพัฒนาโครงการขนาดใหญในแมน้ําโขงและแมน้ําสาขาที่ผานมาจะสงผลใหเกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจ แตก็ไดกอใหเกิดผลกระทบตอระบบนิเวศ วิถีชีวิต และวัฒนธรรมพื้นถิน่ รวมถึงคําถามตอความยั่งยืนการจัดการ ทรัพยากรน้ําและทรัพยากรธรรมชาติที่เกี่ยวของ ดวยตระหนักถึงความเขมแข็งและพรอมตอการมีสวนรวมของภาค ประชาสังคมในประเทศไทย และความจําเปนในการเสริมสรางความเขาใจและการเขาถึงองคความรูของภาคสวน ตางๆในการกําหนดบทบาทของประเทศไทยตอทิศทางการพัฒนาในลุมน้ําโขง สถาบันสิ่งแวดลอมไทยจึงไดจัดการ ประชุม “องคความรูแมน้ําโขงเพื่อการพัฒนาอยางยั่งยืน” ขึ้นเมือ่ วันที่ 8 มิถนุ ายน 2552 โดยมีวัตถุประสงคหลัก ไดแก 1. รวบรวมองคความรูที่มีอยูเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรน้าํ ในลุมแมน้ําโขงในประเทศไทยและเสริมสราง ความรวมมือจากทุกภาคสวนเพื่อขยายขอบเขตการเขาถึงขอมูลใหกวางขวางขึ้น 2. เปดเวทีใหตัวแทนจากทุกภาคสวนที่เกี่ยวของในการพัฒนาแมน้ําโขงหรือแมน้ําสาขาในประเทศไทย จากภาครัฐ นักวิชาการ องคกรพัฒนาเอกชน ภาคประชาสังคม และบริษัทเอกชน ไดระดมขอมูล ความ คิดเห็น และประสบการณที่เกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรน้าํ ในลุมแมน้ําโขง การประชุมนี้เกิดขึ้นไดดวยความรวมมืออันดีจากทุกภาคสวน เริ่มจากการประชุมเตรียมงานซึ่งจัดขึน้ เมื่อ วันที่ 26 มกราคม 2552 ณ อาคารสถาบันสิ่งแวดลอมไทย ผูเขารวมประชุมไดรวมกันกําหนดโจทยความรูที่จําเปน ตอการพัฒนาอยางยั่งยืนของลุมน้ําโขงในสวนของประเทศไทย ดังนี้ 1. ความหลากหลายของการใชและการจัดการน้ําในลุมน้ําโขงในสวนของประเทศไทย 2. ประสิทธิภาพการจัดการน้ําในลุมน้ําโขงในสวนของประเทศไทย และคณะกรรมการลุมน้ํา 3. ความหลากหลายทางชาติพันธุ วัฒนธรรม และชีวภาพ ในลุมน้ําโขง 4. ประเทศไทยและความรวมมือกับภูมิภาค ในการจัดการน้าํ ในแมน้ําโขง จากนั้นสถาบันสิ่งแวดลอมไทยจึงไดเรียนเชิญตัวแทนจากภาคสวนตางๆ ซึ่งเปน “ผูร”ู หรือผูที่มีความรูจริง ในหัวขอนั้นๆ ไมวาจะเปนนักวิชาการจากมหาวิทยาลัย ปราชญชาวบาน ผูน ําชุมชน ผูทํางานองคกรพัฒนาเอกชน หรือผูมีหนาที่รบั ผิดชอบจากภาครัฐมารวมเตรียมขอเขียนภายใตโจทยความรูขางตนเพื่อประมวลองคความรูทั้ง จากภาควิชาการและภาคปฏิบัติ แลวจึงไดจดั ประชุมผูรูขนึ้ เมื่อวันที่ 14 และ 18 พฤษภาคม 2552 เพื่อใหความเห็น และคําแนะนําตอเนื้อหาบทความกอนที่จะไดนําเสนอบทความทั้งหมดในการประชุม “องคความรูแมน้ําโขงเพือ่ การ พัฒนาอยางยั่งยืน” ในวันที่ 8 มิถนุ ายน 2552 ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด กรุงเทพมหานคร การประชุมเรื่อง “องคความรูแ มน้ําโขงเพื่อการพัฒนาอยางยั่งยืน” นี้ มีผูเขารวมจากภาครัฐ ภาคเอกชน นักวิชาการ องคกรพัฒนาเอกชน องคกรชุมชน และสื่อมวลชน รวมทั้งสิ้น 190 คน เขารวมรับฟงการนําเสนอ บทความ รวมอภิปรายซักถาม และแสดงความคิดเห็นกันอยางเปดกวางเพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู รายงานการ I
ประชุมฉบับนีจ้ ึงเปนผลมาจากการรวบรวมขอมูลองคความรู และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตอการจัดการน้ําใน แมน้ําโขง จากภาคสวนตางๆ ของไทยทั้งในระดับทองถิน่ และระดับประเทศ เพื่อสะทอนใหเห็นถึงความสําคัญของ การจัดการน้ําในลุมน้ําโขงที่มตี อความหลากหลายทางชาติพันธุ วัฒนธรรม และทรัพยากรชีวภาพ และการใชภูมิ ปญญาเพื่อรักษาสิ่งแวดลอม สถาบันสิ่งแวดลอมไทยจึงหวังเปนอยางยิ่งวา การเผยแพรองคความรูน ี้จะนําไปสูการ ผลักดันใหเกิดกระบวนการการจัดการองคความรูขึ้นอยางตอเนื่อง สงเสริมใหเกิดความเขาใจกันของภาคสวนตางๆ และสงเสริมใหเกิดการมีสวนรวมในการตัดสินใจและการกําหนดนโยบายของประเทศไทยตอทิศทางการพัฒนาใน ลุมน้ําโขงใหเปนไปอยางมีประสิทธิภาพและเปนธรรมกับทุกฝายยิ่งขึ้น สถาบันสิ่งแวดลอมไทย ขอขอบคุณทุกทานที่ไดใหความรวมมือรวมใจในการเตรียมการและดําเนินการ จัดการประชุมนี้ ดังปรากฏรายชื่อใน “องคกรภาคีรวมจัดการประชุม” ในภาคผนวก ขอขอบคุณผูบรรยายและ ผูเขียนทุกทานและขอขอบคุณมูลนิธิฟอรด (Ford Foundation) ที่ใหการสนับสนุนการจัดการประชุมและการ จัดพิมพรายงานฉบับนี้
ดร. สมฤดี นิโครวัฒนยิ่งยง ผูอํานวยการอาวุโส สถาบันสิ่งแวดลอมไทย
II
สารบัญ คํานํา
I
อักษรยอ
VI
ทิศทางประเทศไทยในการสงเสริมการพัฒนาอยางยั่งยืนของลุมแมน้ําโขง บทที่ 1 ความรวมมือระหวางประเทศในการพัฒนาลุมน้ําโขงอยางยั่งยืน กฤต ไกรจิตติ
3
บทที่ 2 บรรยายพิเศษ ดร.ศิริพงศ หังสพฤกษ
10
บทที่ 3 บรรยายพิเศษ อาคม เติมพิทยาไพสิฐ
13
การจัดการน้าํ ในลุมน้ําโขงในสวนพื้นทีป่ ระเทศไทย: โครงการขนาดใหญ บทที่ 4 การบริหารจัดการระบบลุม น้ํา ประสิทธิ์ หวานเสร็จ
19
บทที่ 5 การศึกษาแนวทางการผันน้ําโขงโดยแรงโนมถวงและศักยภาพการพัฒนา เกษตรชลประทานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ฉวี วงศประสิทธิพร
46
บทที่ 6 การมีสวนรวมของกลุมผูมสี วนไดสวนเสีย และความโปรงใสของการพัฒนา โครงการเขือ่ นไฟฟาพลังน้ําบนแมน้ําโขงสายหลัก กรณีเขื่อนบานกุม (จ.อุบลราชธานี) มนตรี จันทวงศ
69
III
การจัดการน้าํ ในลุมน้ําโขงในสวนของประเทศไทยโดยการมีสวนรวมของประชาชน บทที่ 7 ทรัพยากรน้ําและแนวทางการจัดการน้าํ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผศ.ฤกษชัย ศรีวรมาศ
99
บทที่ 8 ชลประทานชุมชนในพื้นทีบ่ ุงทามลุมน้ํามูนตอนกลาง บานหนองแค-สวนสวรรค สนัน่ ชูสกุล
115
บทที่ 9 บทบาทคณะทํางานลุมน้ําหวยสามหมอกับประสิทธิภาพการจัดการทรัพยากรลุม น้ํา สมคิด สิงสง
145
บทที่ 10 โครงขายน้ํา 3 อําเภอ หนองเรือ ภูเวียง บานฝาง “แผนพัฒนาและบริหารน้ําอยางบูรณาการ” โยธิน วรารัศมี
179
บทที่ 11 การประเมินผลกระทบสิ่งแวดลอมทางสังคมเพื่อการจัดการทรัพยากรน้ําอยางมี ประสิทธิภาพ กรณีศึกษาฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ ผศ.ดร. กนกวรรณ มะโนรมย
197
ความหลากหลายทางชาติพันธุ วัฒนธรรม และทรัพยากรชีวภาพ ในลุมน้ําโขง บทที่ 12 นิเวศวัฒนธรรมทองถิ่นกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติลุมน้ําโขง กรณีแมน้ําของ-ลานนา นิวัฒน รอยแกว
225
บทที่ 13 ผลกระทบขามพรมแดนจากการพัฒนาแมน้ําโขง มิติดา นสังคมและสิ่งแวดลอม เพียรพร ดีเทศน
256
บทที่ 14 สานตองานวิจัยไทบาน นิเวศวิทยา และประวัติศาสตร ปาบุงปาทาม ลุมน้ําสงครามตอนลาง สรรคสนธิ บุณโยทยาน
272
บทที่ 15 แมน้ําโขง: ดินแดนงดงามแหง ความหลากหลายทางชีวภาพ ระบบนิเวศ ประวัติศาสตร และชาติพันธุ มุมมองจากประสบการณของสมาชิกรัฐสภา เตือนใจ ดีเทศน
280
IV
บทที่ 16 นิเวศวัฒนธรรมในลุมแมนา้ํ โขง ศ. ศรีศักร วัลลิโภดม
291
ประเทศไทยและความรวมมือระดับภูมิภาคในการจัดการน้ําในแมน้ําโขง บทที่ 17 ประเทศไทย และความรวมมือกับภูมิภาคในการจัดการแมน้ําโขง ดร. ปรเมธี วิมลศิริ
295
บทที่ 18 ความรวมมือเพื่อการพัฒนาลุมแมน้ําโขงอยางยั่งยืน ผกาวรรณ จุฟามาณี
308
บทที่ 19 ขอมูลและสารสนเทศเกี่ยวกับน้ําและทรัพยากรที่เกี่ยวของของลุมแมน้ําโขง “ขอเท็จจริงหรือความเขาใจผิด” รศ. ชัยยุทธ สุขศรี
325
บทที่ 20 ธรรมาภิบาลในลุมแมน้ําโขง ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ
327
ภาคผนวก กําหนดการสัมมนา
331
องคกรภาคีรวมจัดการประชุม
335
แนะนําผูเขียน
339
ประมวลภาพจากที่ประชุม
345
V
อักษรยอ กทช. กพช. ทน. ทส. พพ. ACD ACMECS ADB AIFP APEC ASEAN BCI BDP BDP CBTA CEO CSR DSF ECAFE EIA EOC EP EU FMMP FP GMS IAI ICBP IKMP IWRM MOU MRC MTCO NAFTA NC
คณะกรรมการทรัพยากรน้ําแหงชาติ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแหงชาติ กรมทรัพยากรน้ํา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษพลังงาน Asian Cooperation Dialogue Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy Asian Development Bank Agriculture, Irrigation and Forestry Programme Asia-Pacific Economic Cooperation Association of Southeast Asian Nations Biodiversity Conservation Corridor Initiative Basin Development Plan Basin Development Programme Cross Border Transport Agreement chief executive officer corporate social responsibility Decision Support Framework Economic Commission for Asia and Far East environmental impact assessment Environmental Operation Center Environment Programme European Union Flood Management and Mitigation Programme Fisheries Programme Greater Mekong Subregion Initiative for ASEAN Integration Integrated Capacity Building Programme Information and Knowledge Management Programme integrated water resources management memorandum of understanding Mekong River Commission Mekong Tourism Coordinating Office North American Free Trade Agreement national coordinator VI
NP PRA RBC RRA SA SEA TNMCS ToR UN ESCAP WB WUP
Navigation Programme participatory rural appraisal river basin committee rapid rural appraisal sub-area strategic environmental assessment Thai National Mekong Committee Secretariat Terms of Reference United Nations Economic and Social Commission for Asia and the Pacific World Bank Water Utilization Programme
VII
ทิศทางประเทศไทย ในการสงเสริมการพัฒนาอยางยั่งยืน ของลุมแมน้ําโขง
บทที่ 1 ความรวมมือระหวางประเทศในการพัฒนาลุมน้ําโขงอยางยั่งยืน กฤต ไกรจิตติ อธิบดีกรมเศรษฐกิจระหวางประเทศ
จากประสบการณการมีสวนรวมในการเจรจาจัดทําความตกลงวาดวยความรวมมือเพื่อการใช การบริหาร จัดการ การอนุรักษและการพัฒนาลุมน้ําโขงอยางยั่งยืนซึ่งไดมีการลงนามโดยกัมพูชา สปป. ลาว เวียดนาม และ ไทย เมื่อป ค.ศ. 1995 และในการกอตั้งคณะกรรมาธิการแมน้ําโขง (Mekong River Commission, MRC) จึงขอให ขอมูลและขอคิดเห็นเกี่ยวกับอดีต ปจจุบัน และอนาคตของความรวมมือระหวางประเทศในอนุภูมิภาคลุมน้ําโขงใน การใช การบริหารจัดการ การอนุรักษ และการพัฒนาลุมแมน้ําโขงอยางยั่งยืน โดยจะกลาวถึงภูมิหลังของการจัดทํา ความตกลง วัตถุประสงค พันธกรณี กลไกการดําเนินความรวมมือและการปฏิบัติตามความตกลงและใหขอคิดเห็น เกี่ยวกับปญหา อุปสรรคและขอเสนอแนะในการดําเนินความรวมมือเพื่อการพัฒนาลุมน้ําโขง ดังนี้
ภูมิหลัง การจัดทําความตกลงวาดวยการใช การบริหารจัดการ การอนุรักษและการพัฒนาแมน้ําโขงอยางยั่งยืนและ การจัดตั้งคณะกรรมาธิการแมน้ําโขงเมื่อป ค.ศ. 1995 ระหวางกัมพูชา สปป. ลาว ไทยและเวียดนาม เปนผลมาจาก การปรับปรุงปฏิญญาวาดวยความรวมมือ (statute) การสํารวจลุมแมน้ําโขงตอนลาง ซึ่งเปนความตกลงที่ใชเปน พื้นฐานในการดําเนินงานของคณะกรรมการประสานงานสํารวจแมน้ําโขงตอนลาง ที่กัมพูชา สปป. ลาว ไทยและ เวียดนามไดรวมกันกอตั้งขึ้นเมื่อป ค.ศ. 1957 โดยการสนับสนุนของ ECAFE หรือ ESCAP ในปจจุบัน และ ปฏิญญาการใชน้ําฉบับ ค.ศ. 1975 (The Joint Declaration of Principles for Utilization of the Waters of the Lower Mekong Basin) ในโอกาสการกลับเขามารวมเปนสมาชิกของคณะกรรมการประสานงานสํารวจแมน้ําโขง ตอนลาง (Committee of Investigations of the Lower Mekong Basin) อีกครั้งของกัมพูชาในป ค.ศ.1991 และ จากการที่ไทยมีโครงการโขง – ชี – มูล และ กก – อิง – นาน ซึ่งมีแผนการที่จะผันน้ําจากแมน้ําโขง ซึ่งตาม ปฏิญญาการใช แมน้ําโขง ค.ศ. 1975 โครงการของประเทศสมาชิก ที่มีการใชน้ําในปริมาณมากจากแม น้ําโขง ประเทศสมาชิกมีสิทธิที่จะคัดคาน ซึ่งเปนการจํากัดอธิปไตยของไทยในการใชแมน้ําโขงและเปนอุปสรรคตอการ ดําเนินโครงการ การดําเนินโครงการดังกลาวจะตองปรึกษาหารือกับประเทศสมาชิกอื่นกอน และประเทศสมาชิกอื่น มีสิทธิ์ที่จะคัดคานหากเห็นวามีผลกระทบอยางทั่วถึง เพื่อใหมีความยืดหยุน กัมพูชา สปป. ลาว ไทยและเวียดนาม ไดรวมกันเชิญจีนและพมาเขารวมในการเจรจาปรับปรุงความตกลงเพื่อเขารวมเปนภาคีความตกลงแตจีนและพมา แจงวายังไมพรอมจะเขารวมการเจรจา ทั้งนี้ หลังจากการเจรจาโดยไดรับการสนับสนุนจาก ESCAP UNDP ธนาคารโลก และเจตนารมณทางการเมืองที่จะดําเนินการในการพัฒนาแมน้ําโขงของประเทศสมาชิก ประเทศภาคีสี่ ประเทศ ซึ่งประกอบดวยกัมพูชา สปป. ลาว ไทย และเวียดนาม สามารถตกลงกันไดและไดลงนามในความตกลง ความรวมมือวาดวยการพัฒนาลุมน้ําโขงอยางยั่งยืนเมื่อป ค.ศ. 1995 (Agreement on the Cooperation for the Sustainable Development of the Mekong River Basin) ซึ่งใชเปนพื้นฐานทางกฎหมายในการดําเนินความ รวมมือในการพัฒนาแมน้ําโขงและการกอตั้ง MRC โดยมีพันธกรณีในการใชน้ําอยางสมเหตุสมผล และเปนธรรม (reasonable and equitable manner) การแจงขอมูล การปรึกษาหารือ และการใหความเห็นในการดําเนินโครงการ ใชน้ําจากแมน้ําโขงเพื่อจัดระบบการใชน้ํา การบํารุงรักษาและการใชน้ําอยางยั่งยืน
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ทิศทางประเทศไทยในการส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนของลุ่มแม่น้ําโขง
เมื่อป ค.ศ. 1991 กัมพูชาไดกลับเขารวมเปนสมาชิกคณะกรรมการประสานงานสํารวจแมน้ําโขงตอนลาง (Committee of Investigations of the Lower Mekong Basin) อีกครั้ง ประเทศสมาชิกคณะกรรมการฯ ซึ่ง ประกอบดวยกัมพูชา สปป. ลาว ไทย และเวียดนาม จึงถือโอกาสทบทวนปฏิญญาวาดวยความรวมมือ (statute) ซึ่ง เปนกรอบการดําเนินงานของคณะกรรมการประสานงานสํารวจแมน้ําโขงตอนลาง ที่กัมพูชา สปป. ลาว ไทยและ เวียดนามไดรวมกันกอตั้งขึ้นเมื่อป ค.ศ. 1957 โดยการสนับสนุนของ ECAFE หรือ ESCAP ในปจจุบัน และ ปฏิญญาการใชน้ําฉบับ ค.ศ. 1975 ทั้งนี้ เพื่อใหการใช การบริหารจัดการ การอนุรักษและการพัฒนาลุมแมน้ําโขง เกิดประโยชนสูงสุดและเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนโดยสามารถตอบสนองความตองการและลดขอกังวลของประเทศ สมาชิก ในการใชน้ําเพื่อการเกษตร อุตสาหกรรม การเดินเรือ ประมง ทองเที่ยว และการพัฒนาอยางยั่งยืนไดอยาง มีประสิทธิภาพที่สุด รวมทั้งเพื่อใหเหมาะสมกับสภาวการณทางการเมืองในขณะนั้นที่เปลี่ยนแปลงไป กอนที่จะเริ่มเจรจาปรับปรุงการดําเนินการของคณะกรรมการประสานงานสํารวจแมน้ําโขงตอนลางนี้ ประเทศสมาชิกเล็งเห็นความสําคัญของการมีสวนรวมของจีนและพมา ซึ่งเปนประเทศริมฝงแมน้ําโขง จึงเชิญจีน และพมาเขารวมเจรจายกรางความตกลงฉบับใหมตั้งแตเริ่มแรก อยางไรก็ดี จีนและพมาปฏิเสธที่จะเขารวมการ เจรจา โดยแจงวาขอรอดูผลการประชุมระหวางประเทศสมาชิกทั้ง 4 ประเทศในแมน้ําโขงตอนลางรวมดําเนินการ ตามความตกลงฉบับใหม กอนที่จะตัดสินใจเขารวม ในป ค.ศ. 1995 หลังจากประเทศสมาชิกเจรจาอยางตอเนื่องถึง 3 ปโดยไดรับการสนับสนุนจาก UNDP ธนาคารโลกในการสงผูเชี่ยวชาญดานกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารจัดการแมน้ําระหวางประเทศมาชวยประสานงาน และทาทีในการเจรจาในที่สุด และดวยเจตนารมณทางการเมือง (political determination) ที่จะรวมดําเนินการเพื่อ การพัฒนาแมน้ําโขง เพื่อประโยชนรวมกันประเทศริมฝงแมน้ําโขงตอนลาง 4 ประเทศ ซึ่งประกอบดวยกัมพูชา สปป. ลาว ไทยและเวียดนามจึงไดลงนามในความตกลงความรวมมือวาดวยการพัฒนาลุมน้ําโขงอยางยั่งยืนเมื่อ ค.ศ. 1995 (Agreement on the Cooperation for the Sustainable Development of the Mekong River Basin) ซึ่งใชเปนพื้นฐานทางกฎหมายในการดําเนินความรวมมือในการพัฒนาแมน้ําโขง และไดมีการกอตั้ง MRC ซึ่งเปน องคการระหวางประเทศ มีการประชุมของผูแทนระดับเจาหนาที่อาวุโสและระดับรัฐมนตรี และสํานักเลขาธิการ MRC เปนกลไกในการกําหนดนโยบายและการดําเนินความรวมมือในการดําเนินการตามความตกลงความรวมมือ วาดวยการพัฒนาลุมน้ําโขงอยางยั่งยืน โดยประเทศภาคีมีพันธกรณีในการใชน้ําอยางสมเหตุสมผล และเปนธรรม (reasonable and equitable manner) การแจงขอมูล การปรึกษาหารือ และการใหความเห็นในการดําเนินโครงการ ใชน้ําจากแมน้ําโขงเพื่อจัดระบบการใชน้ํา การบริหารจัดการ การบํารุงรักษา และการพัฒนาแมน้ําโขงอยางยั่งยืน การปรับแกปฏิญญาวาดวยความรวมมือในการใชน้ําในแมน้ําโขงตอนลาง ค.ศ. 1975 มาเปนความตกลง ค.ศ. 1995 ทําใหมีความยืดหยุนในการใชน้ําของประเทศสมาชิกเพื่อตอบสนองความตองการและลดขอหวงกังวล ของแต ล ะประเทศ สาเหตุ เ นื่ อ งมาจากประเทศสมาชิ ก มี วั ต ถุ ป ระสงค ข องการใช น้ํ า ในแม น้ํ า โขงแตกต า งกั น โดยเฉพาะอยางยิ่งในชวงหนาแลง ขณะที่ไทยตองการใชน้ําเพื่อการเกษตรสําหรับภาคตะวันออกเฉียงเหนือในชวง หนาแลง สปป. ลาว ตองการใชน้ําสําหรับการผลิตไฟฟาพลังน้ํา กัมพูชาตองการใชน้ําใน Tonle Sap สําหรับ การเกษตรและการประมง สวนเวียดนามมีขอหวงกังวลในผลกระทบจากโครงการโขง – ชี – มูล และ กก – อิง – นาน ของไทยที่จะสงผลตอระดับน้ําทะเลที่จะทวมมายังพื้นที่ปากแมน้ําโขงในเวียดนาม ซึ่งเปนพื้นที่เกษตรกรรมที่ สําคัญ รวมทั้งเพื่อปรับปรุงแกไขกฎกติกาในการใชประโยชนจากแมน้ําโขงที่เขมงวด ตามปฏิญญาการใชน้ําฉบับ 4
ความร่วมมือระหว่างประเทศในการพัฒนาลุ่มน้ําโขงอย่างยั่งยืน / กฤต ไกรจิตติ
ค.ศ. 1975 ที่ระบุวาการดําเนินโครงการใชน้ําที่สําคัญ (major use of water) จากแมน้ําโขงสายประธานจะตอง ไดรับความเห็นชอบจากประเทศสมาชิกกอน สงผลใหประเทศสมาชิกมีสิทธิคัดคานการดําเนินโครงการพัฒนา ซึ่ง กอใหเกิดความไมไววางใจซึ่งกันและกันของประเทศสมาชิก
สาระสําคัญของความตกลง ขอที่ 1 – 7 ของความตกลง ค.ศ. 1995 กําหนดพันธกรณีใหประเทศสมาชิกในการดําเนินความรวมมือใน การใชน้ําอยางสมเหตุสมผล และเปนธรรม (reasonable and equitable manner) รวมมือเพื่อจัดระบบการใชน้ํา การอนุรักษและการพัฒนาลุมแมน้ําโขงอยางยั่งยืนเพื่อใหเกิดประโยชนสูงสุดสําหรับการเกษตรกรรม อุตสาหกรรม การเดินเรือ พลังงาน การขนสง และการทองเที่ยวของประเทศสมาชิก รวมมือเพื่อคุมครองทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดลอมที่เกี่ยวของของแมน้ําโขงและความสมดุลของระบบนิเวศ หรือผลกระทบที่เปนอันตราย โดยประเทศภาคี ความตกลง ค.ศ. 1995 มีขอผูกพันที่จะตองแจงขอมูล ปรึกษาหารือประเทศภาคีอื่นๆ เกี่ยวกับการวางแผนและ ดําเนินโครงการใชน้ําจากลุมน้ําขนาดใหญที่จะตองใชน้ําจากลําน้ําสายประธานในชวงฤดูน้ําหลากและชวงหนาแลง และขอความเห็นชอบจากประเทศภาคีอื่นในกรณีที่มีการผันน้ําจากลําน้ําสายประธานขามลุมน้ําในชวงหนาแลง ทั้งนี้ เพื่อใหประเทศภาคีความตกลง ค.ศ. 1995 มีน้ําเพียงพอแกความตองการเพื่อวัตถุประสงคตางๆ ทั้ง การเกษตร การเดินเรือ ประมง และการปองกันผลกระทบจากน้ําโขงตอพื้นที่เกษตรกรรม ในหนาแลง ขอที่ 6 ได ระบุขอผูกพันที่ประเทศภาคีตองรักษาระดับต่ําสุดของน้ําตามธรรมชาติที่ยอมรับได (maintain the acceptable natural minimum flow) ในหนาแลง อยางไรก็ดี ขอที่ 6 นี้ตองการขอมูลดานเทคนิค ทําใหยังไมสามารถตกลงใน รายละเอียดได จึงมีการจัดตั้งคณะทํางานเพื่อดําเนินการศึกษาในรายละเอียดของการจัดทํารางกฎระเบียบในการใช น้ําในขอนี้ซึ่งมีทั้งเรื่องระดับปริมาณและคุณภาพน้ําที่ตองรักษาระดับไวตอไป
ความคืบหนาในการดําเนินความรวมมือในการพัฒนาลุมน้ําโขงตามความตกลง ที่ผานมา MRC มีความคืบหนาในการดําเนินงานในหลายๆ ดาน อาทิ การรางแผนการพัฒนาลุมน้ํา และ ระเบียบปฏิ บั ติเ พื่ อ การใช น้ํ า ความสํ าเร็ จในการศึก ษาดา นประมงและโครงการพั ฒ นาและความคืบ หนา ด า น การศึกษาการเดินเรือในลุมน้ําโขงตอนลาง ความรวมมือระหวางกัมพูชาและเวียดนามในโครงการคุมครองและ รักษาสิ่งแวดลอม โครงการเสริมสรางศักยภาพบุคลากรจากประเทศสมาชิกที่ครอบคลุมหลากหลายสาขา ทั้ง เกษตรกรรม ประมง การเดินเรือ และการคุมครองสิ่งแวดลอม อยางไรก็ดี การดําเนินงานของคณะทํางานในการรางกฎระเบียบการใชน้ําตามขอที่ 6 มีความคืบหนานอย มาก เนื่องจากในอดีตที่มีการเจรจาจัดทําความตกลง เมื่อป ค.ศ. 1995 การพัฒนาโครงการเขื่อนไฟฟาพลังน้ําในจีน และลาวยังกอสรางไมแลวเสร็จ การเก็บขอมูลระดับน้ําตามธรรมชาติอาจยอมกระทําได อยางไรก็ดี ในปจจุบันที่ โครงการเขื่อนไฟฟาพลังน้ําในจีนและลาวไดพัฒนาแลวเสร็จ จึงเปนที่สงสัยวาการเก็บขอมูลระดับน้ําตามธรรมชาติ จะยังกระทําไดอยูหรือไม ซึ่งเรื่องนี้ตองมีการทําความเขาใจความลําบากในการจัดเก็บขอมูลระดับน้ํากับประเทศ เวียดนามซึ่งเปนประเทศปลายน้ํา รวมทั้งตองสนับสนุนใหจีนเขารวมเปนภาคีความตกลง ค.ศ. 1995 อยางจริงจัง เพื่อแลกเปลี่ยนขอมูลสําหรับการกักและปลอยน้ํา อันจะชวยบรรเทาผลกระทบจากน้ําทวมในชวงน้ําหลากและรักษา ระดับต่ําสุดของน้ําในชวงหนาแลง เนื่องจากการที่จีนและพมายังไมไดเขารวมเปนสมาชิก MRC สงผลตอการ บริหารจัดการและการมีสวนรวมในการดําเนินโครงการเขื่อนเพื่อผลิตไฟฟาและการเดินเรือ ซึ่งสงผลใหเกิดผล 5
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ทิศทางประเทศไทยในการส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนของลุ่มแม่น้ําโขง
กระทบตอปริมาณและระดับน้ําในประเทศสมาชิกมีความตองการเพื่อการใชน้ําสําหรับอุปโภคบริโภคตางๆ ทั้งดาน การเกษตร ประมง การเดินเรือ และความรวมมือในการใช การบริหารจัดการ การอนุรักษ และการพัฒนาลุมน้ําโขง อยางยั่งยืน
ความสําคัญของการประสานขอมูลเกี่ยวกับการใช และการบริหารจัดการน้ําในแมน้ําโขง จากประสบการณในการเดินทางไปรวมพิธีลงนามความตกลงวาดวยการใช การบริหารจัดการ การอนุรักษ และการพั ฒ นาลุ ม น้ํ า โขงอย า งยั่ ง ยื น เมื่ อ ป ค.ศ. 1995 ที่ จั ง หวั ด เชี ย งราย ผู แ ทนกรมพั ฒ นาพลั ง งาน กระทรวงวิทยาศาสตรซึ่งเปนผูแทนคณะกรรมาธิการแมน้ําโขงของไทยมีแผนที่จะเชิญรัฐมนตรีและคณะผูแทน ประเทศสมาชิกที่มารวมพิธีลงนามใหเดินทางทางเรือจากบริเวณสามเหลี่ยมทองคํา ที่อําเภอเชียงแสน จังหวัด เชียงรายขึ้นไปถึงเมืองเม็งลาใน สปป. ลาว ระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตรหลังจากพิธีลงนามความตกลง แตแผน นี้ จํ า เป น ต อ งถู ก ยกเลิ ก เนื่ อ งจากผู แ ทนบริ ษั ท นํ า เที่ ย วแจ ง ว า ไม ส ามารถนํ า เรื อ เดิ น ทางขึ้ น ไปเมื อ งเม็ ง ล า ได เนื่องจากระดับน้ําในแมน้ําโขงลดลงอยางมากจาก 150 เซนติเมตรเหลือเพียง 50 เซนติเมตรเพียงชั่วขามคืน เนื่องจากเขื่อนไฟฟาพลังน้ําในจีนถูกปดเพื่อรักษาระดับน้ําสําหรับการผลิตไฟฟา จึงไมมีน้ําเพียงพอตอการเดินเรือ และไดรับแจงจากเจาหนาที่ประจําเขื่อนในจีนวา จะตองรอเวลาอีก 2 วันเพื่อปลอยน้ําจากเขื่อนมาถึงทาเรือเชียง แสนเพื่อใหสามารถเดินเรือไดตามปกติ ซึ่งเหตุการณนี้แสดงใหเห็นถึงความจําเปนที่จะตองมีความรวมมือในการ ประสานงานและขอมูลในการดําเนินโครงการในแมน้ําโขง ซึ่งจะมีผลกระทบตอระดับน้ํา ซึ่งมีความสําคัญอยางยิ่ง ตอการเกษตร การเดินเรือ และการประมงของประเทศที่อยูริมฝงแมน้ําโขง
การรวมมือของประเทศริมฝงแมน้ําโขงตอนบนและตอนลาง ประเทศภาคีความตกลง ค.ศ. 1995 มีความพยายามอยางตอเนื่องในการเชิญใหจีนและพมาเขารวม ประชุมคณะกรรมาธิการ MRC หลังจากที่ไดมีการลงนามความตกลงในการประชุมครั้งแรก H.E. Mr. Ing Kiet ประธานคณะกรรมาธิการ MRC มีหนังสือเชิญไปยังจีนและพมาใหเขารวมการประชุมของคณะกรรมาธิการแมน้ํา โขงในฐานะประเทศคูเจรจา (dialogue partner) เพื่อแลกเปลี่ยนขอมูลเกี่ยวกับแผนและโครงการใชน้ําจากลําน้ํา โดยไมมีขอผูกมัดทางกฎหมาย และเพื่อติดตามพัฒนาการของ MRC เพื่อเขารวมเปนสมาชิกในภายหลัง ซึ่งตอมา รัฐบาลจีนและพมายินดีสงผูแทนเขารวมการประชุมของคณะกรรมาธิการในระดับเจาหนาที่ทุกครั้ง และไดเชิญ ผูแทนคณะกรรมาธิการ MRC เยี่ยมชมโครงการเขื่อนไฟฟาพลังน้ําและแลกเปลี่ยนขอมูลการใชน้ําในแมน้ําลานชาง ความทาทาย โอกาส และประโยชนจากการดําเนินความรวมมือในการพัฒนาลุมน้ําโขงอยางยั่งยืน เพื่อใหการรวมมือในการพัฒนาลุมน้ําโขงของประเทศริมฝงแมน้ําโขงทั้ง 6 ประเทศ ไดแก จีน สปป. ลาว กัมพูชา พมา ไทยและเวียดนามเปนไปใหเกิดประโยชนสูงสุดและสามารถปองกันและลดผลกระทบทางลบที่เกิด จากการใชและการพัฒนาลุมแมน้ําโขง มีขอคิดเห็นและขอเสนอแนะ ดังตอไปนี้ 1) ในการพัฒนาลุมน้ําโขงควรใหมีการวางแผนการพัฒนาแมน้ําโขงตอนบนและตอนลางรวมกัน เนื่องจาก ประเทศในอนุภูมิภาคลุมน้ําโขงมีพื้นที่กวางขวางและอุดมไปดวยทรัพยากรธรรมชาติและทรัพยากรมนุษย ประกอบ กับมีประวัติศาสตรและวัฒนธรรมที่ยาวนานและหลากหลาย จึงมีศักยภาพสูงในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเพื่อ ขยายการคา การลงทุน และการทองเที่ยว ประกอบกับความคืบหนาของกระบวนการรวมตัวในภูมิภาค ทั้งกรอบ ความรวมมืออาเซียน ความตกลงการคาเสรี อาเซียน-จีน และกรอบความรวมมืออาเซียน+3 ซึ่งการรวมมือในการ 6
ความร่วมมือระหว่างประเทศในการพัฒนาลุ่มน้ําโขงอย่างยั่งยืน / กฤต ไกรจิตติ
ใช การบริหารจัดการ การอนุรักษและการพัฒนาลุมน้ําโขง รวมกันเพื่อการเกษตร อุตสาหกรรม พลังงาน การเดินเรือ การพัฒนาดานการทองเที่ยวที่เดินทางตามลําน้ําโขงจะเปนประโยชนตอการสงเสริมและขยายการคา การลงทุน และ การทองเที่ยวในอนุภูมิภาคลุมแมน้ําโขง อันจะสงผลตอการจางงานและการเพิ่มรายไดใหแกประชาชนและการ คมนาคมขนสงทางธุรกิจ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ยากจนที่สุดของอนุภูมิภาค โดยเฉพาะอยางยิ่งการเดินเรือเพื่อการ พาณิชยและการทองเที่ยวในลําน้ําโขงซึ่งมีทัศนียภาพตามลําน้ําสวยงามมากมีศักยภาพดานการทองเที่ยวสูง 2) การเดินเรือในแมน้ําโขง แมน้ําโขงเปนเสนทางคมนาคมขนสงที่มีศักยภาพอยางยิ่งสําหรับการเดินเรือ พาณิชยและการทองเที่ยว ในชวง 15 ปที่ผานมาหลังจากที่ไทย สปป.ลาว พมาและจีนไดลงนามในความตกลงวา ดวยความรวมมือในการเดินเรือพาณิชยในแมน้ําโขง สงผลใหปริมาณและมูลคาการคาระหวางไทยและจีนไดเพิ่มขึ้น เปนอยางมาก ทั้งนี้ การดําเนินการเพื่อประสานความรวมมือในการพัฒนาแมน้ําโขงตอนบนและตอนลางเขาดวยกัน สามารถดําเนินการเปนลําดับขั้นได ดังนี้ 1) ยกระดับผูแทนของจีนและพมาจากระดับเจาหนาที่ใหเปนระดับรัฐมนตรีเพื่อสามารถแลกเปลี่ยน ขอคิดเห็นและตัดสินใจในระดับนโยบายได และยกระดับผูแทนคณะกรรมาธิการแมน้ําโขงใหเขารวมการประชุม ความรวมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุมแมน้ําโขง (Greater Mekong Subregion, GMS) ใหเปนระดับรัฐมนตรี 2) ขยายการพัฒนาโครงสรางพื้นฐานในกรอบความรวมมือ GMS ใหครอบคลุมการเดินเรือในลุมน้ําโขง โดยสนับสนุนใหมีความรวมมือเพื่อการเดินเรือในลุมน้ําโขงตอนบนและตอนลาง โดยใชกรอบความตกลงวาดวย ความรวมมือในเรื่องการเดินเรือพาณิชยจีน สปป. ลาว พมา และไทย และความตกลงวาดวยความรวมมือในการใช การบริหารจัดการ และอนุรักษแมน้ําโขงอยางยั่งยืน ซึ่งประเทศภาคีตกลงที่จะเปดใหมีการเดินเรือโดยเสรีและ รวมมือในการพัฒนาแมน้ําโขง 3) สนับสนุนใหจีนและพมาเขารวมเปนสมาชิก MRC ซึ่งการเขารวมเปนสมาชิกของจีนและพมาจําเปน จะตองมีการเจรจาแกไขความตกลง ค.ศ. 1995 อีกครั้งหนึ่ง เพื่อใหจีนสามารถรับพันธกรณีในการรวมมือในการใช และการบริหารจัดการแมน้ําโขงอยางสมเหตุสมผลและเปนธรรม และมีกฎระเบียบที่ไมรัดกุมจนเกินไป ทั้งนี้ เนื่องจากกฎระเบียบการใชน้ําทั้งที่ระบุในความตกลง ค.ศ. 1995 และที่อยูในระหวางการดําเนินการเจรจายกราง ยังมีความเขมงวดมากโดยเฉพาะในขอ 6 ซึ่งจะทําใหจีนอาจไมยอมรับที่จะถูกควบคุมโดยประเทศสมาชิก และเปน การจํากัดสิทธิในการใชอํานาจอธิปไตยเหนือแมน้ําโขงสวนที่ไหลผานดินแดนของตน 4) ใชความตกลงวาดวยความรวมมือในการเดินเรือพาณิชยในแมน้ําลานชาง-แมน้ําโขง ขอ 27 ในการ ดําเนินความรวมมือในการแจงขอมูลเกี่ยวกับระดับและปริมาณน้ํา และการจัดการใหปลายน้ํามีน้ําพอเพียงสําหรับ การเกษตรกรรมตลอดป เพื่อขยายความรวมมือในเรื่องการแจงขอมูลเกี่ยวกับโครงการกอสรางและบริหารจัดการ ในประเทศริมฝงแมน้ําโขง ซึ่งแมจะมีสวนชวยลดผลกระทบจากการมีภาวะน้ําทวมในหนาน้ําและชวยเพิ่มระดับน้ํา ในหนาแลง แตหากขาดการประสานขอมูลเกี่ยวกับระดับและปริมาณน้ํา และการหารือเกี่ยวกับผลกระทบจากการ เปด-ปดเขื่อน 7
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ทิศทางประเทศไทยในการส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนของลุ่มแม่น้ําโขง
5) ควรสนับสนุนใหประเทศสมาชิกคณะกรรมาธิการแมน้ําโขงเขาเปนภาคีอนุสัญญาของสหประชาชาติวา ดวยการใชลําน้ําระหวางประเทศเพื่อวัตถุประสงคอื่นนอกจากการเดินเรือ เมื่อ ค.ศ. 1997 (The Convention on Non Navigational Use of Water from International River) ซึ่งจีนและพมาไดรวมเจรจาจัดทําดวย ซึ่งกําหนด พันธกรณีใหประเทศภาคีอนุสัญญาที่ใชน้ําจากแมน้ําระหวางประเทศรวมกันบนพื้นฐานของการใชน้ําที่สมเหตุสมผล และเปนธรรม โดยมีกลไกในการแจงขอมูล การปรึกษาหารือ และใหความเห็นชอบ สําหรับการใช การบริหาร จัดการ และอนุรักษลําน้ํา ซึ่งมีความยืดหยุนกวาความตกลง ค.ศ. 1995 มาใชในการปรับปรุงหลักการและกลไกใน การรวมมือเพื่อการใชและการบริหารจัดการแมน้ําระหวางประเทศ มาเปนพื้นฐานในการเจรจาปรับปรุงแกไข กฎระเบียบความตกลง ค.ศ. 1995 นาจะทําใหจีนและพมาสามารถยอมรับได 6) กระชับและขยายความรวมมือกับสถาบันการเงิน องคการระหวางประเทศ และรัฐบาลของประเทศที่ เปนหุนสวนเพื่อการพัฒนาในการพัฒนาลุมน้ําโขง ซึ่งใหการสนับสนุนคณะกรรมาธิการแมน้ําโขงซึ่งเปนองคการ ระหวางประเทศองคการแรกที่ทําหนาที่เปนหนวยประสานงานหลักของความรวมมือดานการพัฒนาในแมน้ําโขง ซึ่ง ที่ผานมา ไดมีการพัฒนาโครงสรางพื้นฐานและทรัพยากรมนุษยเพื่อสนับสนุนการใช การจัดการและการพัฒนา อย า งยั่ ง ยื น ของลุ ม น้ํ า โขง ด ว ยความร ว มมื อ จากประเทศหุ น ส ว นเพื่ อ การพั ฒ นา อาทิ สหภาพยุ โ รป ญี่ ปุ น ออสเตรเลีย ประเทศแถบแสกนดิเนเวีย และสถาบันการเงินตางๆ อาทิ ธนาคารโลก ธนาคารเพื่อการพัฒนาแหง เอเชีย (Asian Development Bank : ADB) และ JBIC 7) ควรสงเสริมและสนับสนุนการดําเนินโครงการตางๆ ของคณะกรรมาธิการแมน้ําโขงที่สอดคลองกับการ ดําเนินความรวมมือในการพัฒนาโครงสรางพื้นฐานและทรัพยากรมนุษย ตลอดจนการคา การลงทุน การทองเที่ยว และการอนุรักษทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมในกรอบความรวมมือในอนุภูมิภาคที่มีอยูแลว อาทิ ความ รวมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุมแมน้ําโขง (GMS) ยุทธศาตรความรวมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี – เจาพระยา – แมโขง (Ayeyawady – Chao Phraya – Mekong Economic Cooperation Strategy : ACMECS) อาทิ การพัฒนา ทาเรือเพื่อสนับสนุนการเดินเรือในลุมน้ําโขงตอนลาง การสงเสริมการบังคับใชกฎหมายสิ่งแวดลอมในประเทศ สมาชิก การพัฒนาการจัดการระบบน้ําใน Tonle Sap ในกัมพูชาเพื่อเพิ่มระดับน้ําสํารองสําหรับการเกษตรและการ ประมงในกัมพูชา และเพิ่มระดับน้ําในชวงหนาแลงเพื่อปองกันน้ําทะเลหนุนในปากแมน้ําโขงที่เวียดนาม ทั้งนี้ เพื่อ ยกระดับสถานะและความสําคัญของ MRC ในกรอบความรวมมือในอนุภูมิภาค 8) การสงเสริมและอํานวยความสะดวกใหแกการคาและการลงทุนของภาคธุรกิจเอกชนโดยเฉพาะในการ พัฒนาโครงสรางพื้นฐานดานคมนาคมขนสงและธุรกิจดานการผลิตและบริการสาขาตางๆ โดยเฉพาะเรื่องของการ ทองเที่ยว พลังงาน การคมนาคมขนสง ซึ่งเปนปจจัยสําคัญในการจางงาน การขยายการคา การลงทุน และการ ทองเที่ยว และการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยใชโอกาสจากกระบวนการเปดเสรีการคา การลงทุน และรวมตัว ทางเศรษฐกิจของประเทศในอนุภูมิภาคลุมแมน้ําโขงและอาเซียนในปจจุบัน ซึ่งทําใหมีการเคลื่อนยายผูโดยสาร สินคา บริการ การลงทุนไดอยางเสรีเพิ่มมากขึ้น
สรุป ตั้งแตมีการกอตั้งคณะกรรมการประสานงานสํารวจแมน้ําโขงตอนลาง (Committee of Investigations of the Lower Mekong Basin) เมื่อป ค.ศ. 1957 และตอมามีการปรับปรุงความตกลงรวมมือวาดวยการพัฒนาลุมน้ํา 8
ความร่วมมือระหว่างประเทศในการพัฒนาลุ่มน้ําโขงอย่างยั่งยืน / กฤต ไกรจิตติ
โขงอยางยั่งยืน เพื่อกอตั้งคณะกรรมาธิการแมน้ําโขง (Mekong River Commission, MRC) ในป ค.ศ. 1995 ซึ่งถือ เปนองคการระหวางประเทศเพื่อความรวมมือในการพัฒนาลุมน้ําโขงอยางยั่งยืน มีวัตถุประสงคหลักเพื่อการใชน้ํา อยางสมเหตุสมผล และเปนธรรม (reasonable and equitable manner) รวมมือเพื่อจัดระบบการใชน้ํา การบํารุงรักษาและใชน้ําอยางยั่งยืน อยางไรก็ดี จนถึงปจจุบันความพยายามในการรวมพัฒนาลุมน้ําโขงที่ผาน มาถึง 52 ป ยังมีไมมากเทาที่ควร สาเหตุอันเนื่องมาจากกฎระเบียบที่เขมงวดมากเกินไป และการไมเขารวมเปน สมาชิก MRC ของจีนและพมา ซึ่งสงผลใหไมสามารถรวมมือเพื่อพัฒนาลุมน้ําโขงไดอยางเต็มที่ จึงเห็นควรมุงเนน ใหเกิดความรวมมือระหวางการพัฒนาแมน้ําโขงตอนบนและตอนลาง โดยทางออกของความรวมมือประเทศ ลุมน้ํา โขงควรเชิญใหจีนและพมาเขารวมโดยปรับปรุงความตกลงใหม โดยหากประเทศสมาชิก MRC เขาเปนภาคี อนุ สั ญ ญาของสหประชาชาติ ว า ด ว ยการใช ลํ า น้ํ า ระหว า งประเทศเพื่ อ วั ต ถุ ป ระสงค อื่ น นอกจากการเดิ น เรื อ ปพ.ศ. 2540 (The Convention on Non Navigational Use of Water from International River ค.ศ. 1997) ซึ่งจีน และพมาไดรวมเจรจาจัดทําดวย ที่กําหนดพันธกรณีใหประเทศภาคีอนุสัญญาที่ใชน้ําจากแมน้ําระหวางประเทศ รวมกันบนพื้นฐานของการใชน้ําที่สมเหตุสมผลและเปนธรรม โดยมีกลไกในการแจงขอมูล การปรึกษาหารือ และให ความเห็นชอบ สําหรับการใช การบริหารจัดการ และอนุรักษลําน้ํา ซึ่งมีความยืดหยุนกวาความตกลง ค.ศ. 1995 มาใชในการปรับปรุงหลักการและกลไกในการรวมมือเพื่อใชน้ําจากลําน้ําระหวางประเทศ เพื่อเปนพื้นฐานในการ เจรจาปรับปรุงแกไขกฎระเบียบในการยกรางความตกลงสําหรับ 6 ประเทศในลุมน้ําโขง เพื่อสอดคลองกับทาทีของ ประเทศจีน ประกอบกับใชประโยชนจากความรวมมือ MRC ใหมากที่สุดทั้งการดําเนินการใหสอดคลองกับกรอบ ความรวมมือในอนุภูมิภาคที่มีอยูแลวและการสนับสนุนใหภาคเอกชนเขามามีสวนรวมในการพัฒนาเศรษฐกิจและ สังคมของอนุภูมิภาค
เอกสารอางอิง ผกาวรรณ จุฟามาณี, 2552. ความรวมมือเพื่อการพัฒนาลุมแมน้ําโขงอยางยั่งยืน. เอกสารประกอบการ บรรยายของสถาบันสิ่งแวดลอมไทย. Krit Kraichitti, 2005. The Past, Present and Future of Mekong Coperation. International Forum on Integrated Water Resources Management, Dusit Island Resort, Chiang Rai, Thailand.
9
บทที่ 2 ทิศทางประเทศไทยในการสงเสริมการพัฒนาอยางยั่งยืนของลุมแมน้ําโขง ดร. ศิริพงศ หังสพฤกษ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ํา
ลุมแมน้ําโขงมีพื้นที่ประมาณ 795,000 ตารางกิโลเมตร เมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่ประเทศไทยแลวลุมน้ํา โขงมี พื้ น ที่ ม ากกว า ถึ ง 1.6 เท า โดยมี ป ระเทศลาวเป น ประเทศที่ ใ ห น้ํ า แก แ ม น้ํ า โขงมากที่ สุ ด ถึ ง รอยละ 35 เปอรเซ็นตของปริมาณน้ําทั้งหมด รองลงมาไดแกประเทศไทยและประเทศกัมพูชาโดยคิดเปนประเทศละ 18 เปอรเซ็นต ประเทศจีน 16 เปอรเซ็นต และประเทศพมา 2 เปอรเซ็นต ปริมาณน้ําในลุมน้ําโขงตลอดปประมาณ 475,000 ลูกบาศกเมตร มีประชากรอาศัยอยูประมาณ 80 ลานคน มีสายพันธุสัตวน้ําไมนอยกวา 1,300 ชนิด และ ใหผลผลิตสัตวน้ําประมาณ 1.5 ลานตันตอป โดย 17 เปอรเซ็นต มาจากการเพาะเลี้ยง (พื้นที่ลุมน้ําโขงตอนลาง) มี การผลิตกระแสไฟฟาพลังน้ําได 1,600 เมกะวัตต จากศักยภาพรวม 30,000 เมกะวัตต (พื้นที่ลุมน้ําโขงตอนลาง) แตประเทศไทยกลับมีบทบาทหนาที่นอยมากในการนําศักยภาพของการผลิตกระแสไฟฟาพลังน้ําของลุม น้ําแมโขงมาใชประโยชน ทําใหประเทศไทยตองซื้อไฟฟาจากประเทศลาวเปนหลัก นอกจากนี้หากมองในแงของ การใชน้ําที่หลากหลายในลุมน้ําโขง ประเทศไทยยังไมไดพูดถึงน้ําที่ใชอยูในระบบนิเวศและน้ําที่ใชปองกันความเค็ม วาจะตองใชเทาไรและจัดการอยางไร และมีระบบควบคุมน้ําอยางไรใหสอดคลองกับการขึ้นลงของน้ําทะเล มีคําถามเกิดขึ้นมานานแลววา “ประเทศทายน้ําจะบริหารจัดการน้ําในลุมน้ําโขงใหเปนระบบไดอยางไร หากประเทศตนน้ํา (จีนและพมา) ไมเขารวมมือในการจัดการน้ําในลุมแมน้ําโขง” จากการประชุมเมื่อวันที่ 20-22 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ที่โรงแรมสยามซิตี้ซึ่งจัดโดย United Nations Environment Programme (UNEP) รวมกับ กรมทรัพยากรน้ํา ไดพบขอมูลวามีลุมน้ําระหวางชาติประมาณ 273 ลุมน้ํา ครอบคลุม 145 ประเทศทั่วโลก มี ประเทศตางๆ ประมาณ 20 เปอรเซ็นต ที่ใหความรวมมือในลักษณะที่ทุกประเทศในลุมน้ํารวมกันเปนสมาชิก ซึ่ง ขอมูลนี้ชี้ใหเห็นวาการจัดการน้ําระหวางพรมแดนเปนเรื่องที่ยากมากและสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ การใชประโยชนในลุมน้ํา พรมแดนนอยมากในขณะที่น้ําพรมแดนมีประมาณถึง 60 เปอรเซ็นตของน้ําบนโลก ในขณะเดียวกันสหประชาชาติ เรงรัดวาภายในป พ.ศ. 2558 ทุกคนจะมีน้ําสะอาดใช และระบบสุขาภิบาลที่ดีตองมีมากขึ้น องคกรสหประชาชาติ ดานสิ่งแวดลอมพยายามผลักดันใหดูแลสิ่งแวดลอมมากขึ้น โดยไมเรงรัดการพัฒนาจนลืมไปถึงความยั่งยืนของการ ใชทรัพยากร (Bangkok Regulation Plan) และเนนไปที่ความรวมมือมากกวากฎระเบียบ ประเด็นทาทายตอการพัฒนาลุมน้ําโขง ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรในลุมน้ําและการตัดไมทําลายปาเปนตนเหตุที่ทําใหเกิดภัยแลงและน้ําทวม ประเทศสมาชิกในลุมน้ําแมโขงแตละประเทศจะมีวิธีบริหารจัดการอยางไรในการอนุรักษและฟนฟูตนน้ําลําธาร วิธีการพัฒนาลุมน้ําโขงที่สําคัญ คือวิธีการบริหารจัดการอยางไรในการอนุรักษและฟนฟูตนน้ําลําธาร? วิธีการในการ พัฒนาลุมน้ําโขงที่สําคัญ คือ วิธีการบริหารจัดการน้ําอยางบูรณาการ (Integrated Water Resource Management, IWRM) โดยตองดูแลใหครอบคลุมทั้งลุมน้ํา โดยเฉพาะระบบนิเวศน้ําใหมีความหลากลายทางชีวภาพอยางยั่งยืน ดูแลเรื่องการเปลี่ยนแปลงการใชที่ดินและเรื่องสิ่งแวดลอมของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การใหการดูแล
บรรยายพิเศษ/ดร. ศิริพงศ์ หังสพฤกษ์
เรื่องลุมน้ําเริ่มตั้งแตป ค.ศ. 1957 และไดจัดทําออกมาเปนคูมือในป ค.ศ. 1995 การทําเปนคูมืออาจจะมีปญหาทํา ใหแตละประเทศไดรับโอกาสในการพัฒนาไมเทาเทียมกัน จึงทําใหเรื่องของการใชน้ํา เปนเรื่องที่เปนปญหามาโดย ตลอด สําหรับประเทศไทยการจัดการดานการใชน้ํายังคงเปนปญหาที่จัดการไดยาก ซึ่งเปนผลมาจากรัฐธรรมนูญ ป 50 เนื่องจากองคกรสูงสุดที่มีอํานาจในการจัดการ คือรัฐมนตรี ซึ่งแตเดิมนายกรัฐมนตรีเปนประธานแตตอมาได ลดระดับประธานเปนเพียงรัฐมนตรี ทําใหการประชุมเพื่อการแกไขปญหายังมีนอยมาก นอกจากนี้การทํางานของ คณะกรรมาธิการแมน้ําโขง (Mekong River Commission, MRC) โครงการพัฒนาความรวมมือทางเศรษฐกิจใน อนุภาคลุมแมน้ําโขง (Greater Mekong Subregion, GMS) และคณะกรรมการลุมน้ําแหงชาติของประเทศไทยเองก็ ยังทํางานไมเปนเอกภาพ นอกจากนี้ MRC ซึ่งมีสํานักงานใหญอยูที่กรุงเวียงจันทรและมีปญหาในการยายฐานที่ตั้ง ไปอยู พนมเปญ จึง ทําให ผูสนั บสนุ นมีค วามกั งวลเกี่ยวกับ การทํางานกับ MRC เนื่องจากไมคอ ยมั่น คง อีกทั้ ง ผูบริหารยังไมใชคนในภูมิภาคลุมน้ําโขงดันนั้นในอนาคตจึงควรมีผูบริหารที่มาจากประเทศลุมน้ํา ความสําเร็จแผนกลยุทธฉบับที่ 1 ระหวางป พ.ศ. 2544-2548 โดยเนนไปที่เรื่องของการจัดทําระเบียบ ปฏิบัติการใชน้ําอยางสมเหตุสมผลและเปนธรรมดาตามความตกลงวาดวยความรวมมือเพื่อการพัฒนาลุมแมน้ําโขง อยางยั่งยืนป พ.ศ. 2538 (1995 Agreement on the Cooperation for the Sustainable Development of the Mekong River Basin) การกําหนดกฎระเบียบที่มากขึ้นยิ่งทําใหการทํางานไดอยางอิสระมีนอยลง สงผลใหประเทศ จีนและพมาเขามารวมยากขึ้น ซึ่งในจุดนี้ตางกับ GMS ที่มีลักษณะของการทํางานโดยสมัครใจ การเชื่อมโยง ระหวาง GMS กับ MRC จึงนาจะเปนเรื่องที่ดี แตก็ยังไมมีการบรรจุวาระเรื่องน้ําเขาไปอยูใน GMS ในขณะเดียวกัน ประเทศจีนก็ไมเคยเขารวมกับองคกรความรวมมือ MRC ดังนั้นโอกาสในการปรึกษากันเรื่องการจัดการน้ําจึง เปนไปไดนอย นอกจากนี้ประเทศไทยก็คงตองพิจารณาวาแลวจุดยืนของไทยจะเปนอยางไรใน GMS เวลาพิจารณา ก็ จ ะสะดวกกว า เพราะมี ก ารต อ รองกั น ทั้ ง เรื่ อ งของการค า พลั ง งาน คมนาคม และสิ่ ง แวดล อ มด ว ย ซึ่ ง ข อ มู ล สิ่งแวดลอมทั้งหมดก็มาจาก MRC การเขาไปมีบทบาทจริงจังอยูใน GMS จึงเปนเรื่องที่มีประโยชนตอประเทศไทย แผนพัฒนาลุมน้ําของแตละประเทศที่นําเสนอสวนใหญจะเปนแผนที่พัฒนาเฉพาะลุมน้ําของประเทศตนเอง เป น หลั ก แต แ ผนพั ฒ นาที่ ดี ค วรเป น โครงการพั ฒ นาข า มลุ ม น้ํ า ให มี ก ารใช ป ระโยชน ร ว มกั น (transboundary project) ซึ่งโครงการเหลานี้มีนอยมาก ในบางครั้งมีการเสนอเขามาภายหลังแตไมไดเสนอเขามาในองคกร แสดงให เห็นถึงความไมเปนเอกภาพกัน ปญหาเรื่องความไมเปนเอกภาพของแตละประเทศจึงเปนปญหาสําคัญอีกประการ หนึ่ง
11
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ทิศทางประเทศไทยในการส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนของลุ่มแม่น้ําโขง
รูปที่ 1 กลไกการวางแผนพัฒนาลุมน้ํา
จากรูปที่ 1 คณะกรรมการทรัพยากรน้ําแหงชาติดูแลทั้งหมด 25 ลุมน้ํา รวมแมน้ําโขง แมน้ําชี น้ํามูล แมน้ํากก เขาไปดวย สวนคณะกรรมการแมน้ําโขงแหงชาติไทย ดูแลเฉพาะพื้นที่ในเขต 2T (กกและโขง) 3T (โขง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) และ 5T (ชีและมูล) อธิบดีกรมทรัพยากรน้ําดํารงตําแหนงเปนเลขาธิการ มีหนาที่ เชื่อมโยงระหวางคณะกรรมการทรัพยากรน้ําแหงชาติและคณะกรรมการแมน้ําโขงแหงชาติไทยเขาดวยกัน แผนการสร า งองค ค วามรู ใ นแม น้ํ า โขงมี ค อ นข า งมาก แต จุ ด ที่ สํ าคั ญ คื อ ต อ งมี ผู วิ เ คราะห อ งค ค วามรู เหลานั้นจึงจะเกิดประโยชน โดยแผนการพัฒนาลุมน้ํา (Basin Development Programme, BDP) ควรผลักดันให เป น แผนหลั ก ของกระบวนการทํ า งานในทุ ก ด าน นอกจากแผนงานพั ฒ นาลุ ม น้ํ ายั ง มี แ ผนงานอื่ น ๆ อี ก เช น แผนงานดานสิ่งแวดลอม (Environment Programme, EP) แผนงานการใชน้ํา (Water Utilization Programme, WUP) แผนงานบริหารจัดการและบรรเทาอุทกภัย (Flood Mitigation and Management Programme, FMMP) แผนงานการเดินเรือ (Navigation Programme, NP) แผนงานเกษตรกรรม ชลประทาน และปาไม (Agriculture, Irrigation and Forestry, AIFP) แผนงานประมง (Fisheries Programme, FP) โครงการไฟฟาพลังน้ํา (Hydropower project) แผนงานการพัฒนาบุคคลากรแบบบูรณาการ (Integrated Capacity Building Programme, ICBP) แผนงานการจัดการขอมูลและสนับสนุนการตัดสินใจ (Integrated Knowledge Management Programme, IKMP)
12
บทที่ 3 ทิศทางประเทศไทยในการสงเสริมการพัฒนาอยางยั่งยืนของลุมแมน้ําโขง อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รองเลขาธิการสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติ
การเขารวมของประเทศไทยในการเปนภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติเรื่องการจัดการลุมน้ําโขง นั้นสามารถ ดําเนินการได ในลักษณะของการจัดการที่เนนความรวมมือมากกวา กฎระเบียบ ในการดําเนินการภายใตกรอบ แผนงานการพัฒนาความรวมมือทางเศรษฐกิจในอนุภาคลุมแมน้ําโขง 6 ประเทศ (Greater Mekong Subregion, GMS) นั้น ประเทศสมาชิกรวมมือกันบนพื้นฐานของศักยภาพตามแผนแมบทเชิงวิชาการที่ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank, ADB) จัดทําขึ้นเปนแนวทางความรวมมือ และเห็นชอบรวมกันโดยการประกาศ เจตนารมณรวมกันของผูนําทั้ง 6 ประเทศ เปนขอผูกพันวาจะรวมมือกันพัฒนาอนุภูมิภาคลุมน้ําโขงใหเจริญรุงเรือง โดยมีการจัดตั้งกลไกคณะทํางาน (Working Group) และมี ADB เปนฝายเลขานุการกลาง ประสานกับหนวยงาน หลักในการดําเนินงานแผนงาน GMS ของประเทศสมาชิก (National Coordinator, NC) ซึ่งในสวนของประเทศไทย มีสํานักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติทําหนาที่ดังกลาว ในส ว นที่ เ ป น กฎระเบี ย บเพื่ อ ขั บ เคลื่ อ นการดํา เนิ น งานในกรอบ GMS นั้ น ริ เ ริ่ ม เฉพาะการ พั ฒ นาที่ จํา เป น ต อ งร ว มมื อ และมี ส ว นเกี่ ย วข อ งกั บ กฎระเบี ย บของสากล เช น ความตกลงการขนส ง ข า มพรมแดนในอนุ ภูมภิ าคลุมแมน้ําโขง (Cross Border Transport Agreement, CBTA) ซึ่งเกี่ยวของกับการ อํานวยความสะดวกการเคลื่อนยายคนและสินคา การตรวจสอบมาตรฐานพืชและสัตวขามพรมแดน การผลักดันประเทศจีนใหเขามามีสวนรวมในการจัดการลุมน้ําโขงตอนลาง ควรทําทางออมโดยการ ประสานเชื่อมโยงระหวางคณะกรรมาธิการแมน้ําโขง (Mekong River Commission, MRC) กับกรอบ GMS แต ความรวมมือในอนุภูมิภาคลุมน้ําโขงที่มีหลายกรอบยังขาดเอกภาพ นอกจากนี้องคกรและภาคสวนตาง ๆ ใน ประเทศไทยก็ ยั ง ไม เ ป น เอกภาพทํ า ให เ ป น อุ ป สรรคของการจั ด การลุ ม น้ํ า โขง กรอบความร ว มมื อ GMS ประกอบดวยหนวยงานปฏิบัติ 9 สาขาความรวมมือ ซึ่งบางสาขาก็มีการปฏิบัติงานที่คาบเกี่ยวกัน และความชัดเจน ของแต ล ะกรอบก็ ขึ้น อยู กั บ แผนและนโยบายของภาครัฐ ด ว ย หากมองภายใต ก รอบแผนชาติ ห รื อ แผนพั ฒ นา เศรษฐกิจและสังคมแหงชาตินั้น การจัดการลุมน้ําโขงไมไดมีการลงลึกถึงรายละเอียดในเรื่องของนโยบาย ทําให นโยบายตาง ๆ เปลี่ยนแปลงตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลแตละสมัยจะกําหนดนโยบายที่แตกตางกัน บาง สมัยมีการชี้แจงรายละเอียดในแตละกรอบของนโยบาย แตบางสมัยชี้แจงเพียงวาจะสงเสริมความรวมมือกับอนุ ภูมิภาคโดยไมไดระบุชี้ชัดไปที่กรอบใดกรอบหนึ่ง ดังนั้นกรอบความรวมมือ MRC และ กรอบความรวมมือ GMS จึงควรมีความรวมมือในเรื่องของวิธีการทํางานรวมกันมากขึ้น เชน เมื่อผูปฏิบัติรับคําสั่งจากผูนําก็แปลงไปสูการ ปฏิบัติ และเมื่อผูปฏิบัติมีความเห็นรวมกันก็อาจนําเสนอไปยังผูนําได การใหความรวมมือกันถือเปนสิ่งสําคัญที่ควร ทําเพื่อใหมีจุดมุงหมายประการเดียวกัน ที่ผานมาทิศทางการพัฒนาของกรอบความรวมมือ MRC ถูกผลักดันโดยผูสนับสนุนงบประมาณ (donor driven) มากกวาที่จะเปนการผลักดันโดยตรงจากกลุมประเทศผูเกี่ยวของ (country driven) ซึ่งประเทศไทยควรจะมี
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ทิศทางประเทศไทยในการส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนของลุ่มแม่น้ําโขง
บทบาทมากกวานี้ในการริเริ่มองคความรูใหม เชน การประยุกตใหเกิดการพัฒนาอยางยั่งยืน แตโดยสวนใหญแลว หนวยงานผูใหทุนสนับสนุน (donor) มักจะคัดเลือกผูปฏิบัติใหตรงตามคุณสมบัติที่ตองการ ในสวนของกรอบ GMS เองก็ไมตางกัน ในฐานะผูประสานงาน สํานักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติ จะเผยแพรขอมูล เชิญ ประชุมกับหนวยงานที่เกี่ยวของทราบกอน แตผลสุดทายก็ขึ้นอยูกับการตกลงรวมกันระหวางหนวยงานผูใหทุน สนับสนุนและประเทศสมาชิก แตสิ่งที่เปนปญหาสําคัญ คือ ความไมเปนเอกภาพของประเทศในกลุมสมาชิก โดย หนวยงานผูใหทุนสนับสนุนจะชี้แจงรายละเอียดแกประเทศสมาชิกในกรอบเดียวกัน แตขั้นตอนการตกลงระหวาง หนวยงานผูใหทุนสนับสนุนจะชี้แจงรายละเอียดแกประเทศแตกตางกัน โดยแตละประเทศอาจมีการปรับเปลี่ยน ขอตกลงใหเหมาะสมกับประเทศของตนเอง จึงเห็นไดวาความไมเปนเอกภาพมีทั้งภายในและระหวางประเทศดวย วิธีการทํางานของกรอบโครงการพัฒนาความรวมมือทางเศรษฐกิจในอนุภาคลุมแมน้ําโขง (Greater Mekong Sub-region, GMS) และคณะกรรมาธิการแมน้ําโขง (Mekong River Commission, MRC) - กรอบความรวมมือ GMS กอตั้งในป ค.ศ.1992 เปนการกอตั้งหลังกรอบความรวมมือ MRC ซึ่งกอตั้ง ขึ้นเมื่อป ค.ศ.1957 - ขอบเขตของความรวมมือในกรอบ GMS เริ่มจาก 9 สาขา ไดแก คมนาคมขนสง โทรคมนาคม พลังงาน การอํานวยความสะดวกการคา การลงทุน เกษตร สิ่งแวดลอม การทองเที่ยว และการพัฒนา ทรัพยากรมนุษย การทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม โดยมีการริเริ่มการจัดตั้งศูนยปฏิบัติการ กลางดานสิ่งแวดลอม (Environment Operation Center, EOC) และมีโครงการแนวเชื่อมตอเพื่อ อนุรักษความหลากหลายทางชีวภาพ เปน Flagship Project ซึ่งอยูในชวงเริ่มตน จึงยังไมมี ความกาวหนามากนัก - กรอบความรวมมือ GMS มีทั้งกลไกระดับคณะทํางาน ระดับเจาหนาที่อาวุโส ระดับรัฐมนตรี และ ยกระดับขึ้นมาเปนการประชุมระดับผูนํา (Summit) และมีความรวมมือในภาคธุรกิจ (business forum) ซึ่งเปนเวทีสะทอนปญหาการทําธุรกิจและกระจายขอมูลขาวสารของภาคธุรกิจ ดังนั้นการพัฒนากรอบ ความรวมมือ (forum dialog) จึงควรพัฒนาควบคูไปทั้ง 3 สวน ไดแก ภาครัฐ , ภาคเอกชน และ ประเทศคูเจรจา (dialogue partner) - โครงการที่อยูใน GMS มีทั้งโครงการกอสรางแบบกูยืม และแบบการใหความชวยเหลือแบบใหเปลา ระบบการทํางานภายใตกรอบ GMS มีการกําหนดวิสัยทัศน (vision) การจัดเก็บขอมูล (data collection) การวิเคราะห การใหคําแนะนํา การทํายุทธศาสตร (strategy plan) การทําแผนปฏิบัติการ (action plan) ระบบการติดตาม (monitoring system) ทุกป พรอมทั้งรายงานผลไปยังการประชุมผูนํา ทิศทางการพัฒนาอนุภูมิภาคในอนาคต เนื่ อ งจากโลกในยุ ค ป จ จุ บั น มี ก ารเปลี่ ย นแปลงไปอย า งรวดเร็ ว และผลจากกระแสโลกาภิ วั ต น (globalization) ทําใหกรอบ GMS ไดปรับตัวและทบทวนทิศทางการพัฒนาใหเปนไปตามกระแสและกฎระเบียบ ตาง ๆ ที่ เกิด ขึ้น ใหมในโลกด วย แนวโนม การพั ฒนาของโลกไดเ ปดใหมี การเคลื่อ นย ายอยางเสรี ของสิ นค า ประชาชน ขอมูล และเทคโนโลยี ซึ่งอาจกอใหเกิดผลกระทบทางลบที่ตามมาก็คือการแพรกระจายของโรคติดตอ และโรคอุบัติใหม นอกจากนี้ก็ยังมีประเด็นในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงเขาสูสังคมของผูสูงอายุ และประเด็นที่กําลัง ไดรบั ความสนใจอยางมากและถือเปนวาระโลกในขณะนี้คือเรื่องของสิ่งแวดลอม โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศ (climate changes) เรื่องทรัพยากรน้ํา และความเกี่ยวของกับเรื่องความมั่นคงของอาหารกับพลังงาน 14
บรรยายพิเศษ/ อาคม เติมพิทยาไพสิฐ
ดังนั้นเพื่อตอบสนองทิศทางดังกลาว ประเทศไทยจึงควรใหความสําคัญในเรื่องของการจัดการความรวมมือใน อนุภาคลุมแมน้ําโขงใหเปนไปอยางยั่งยืน โดยประเทศสมาชิกควรตื่นตัวและรวมมือกันใหมากขึ้นเพื่อปรับตัวและ สร า งประโยชน จ ากกระแสโลกให เ กิ ด แก ป ระชาชนอย า งสู ง สุ ด ทิ ศ ทางที่ ห น ว ยงานภายในประเทศไทยและ หนวยงานระหวางประเทศควรทําความเขาใจรวมกัน ประกอบดวย 5 เรื่องดังนี้ 1. กรอบการพัฒนาตาง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นมาเปนการดําเนินการที่ถูกทางแลว เนื่องจากแผนพัฒนาแตละแผน เนนการใหประชาชนเปนศูนยกลาง เพราะผูที่รับประโยชนโดยตรงจากการพัฒนา คือ ประชาชน ซึ่ง แผนพัฒนาก็จะสงผลกระทบตอวิถีการดําเนินชีวิตของคน โดยเฉพาะเรื่องการใชน้ํา หลักประกันในเรือ่ ง ของรายได และหลักประกันทางดานสังคม ซึ่งก็คือเรื่องของการสรางอาชีพและตลาดแรงงาน 2. การสร า งความมั่ น คงในอนุ ภู มิ ภ าคในด า นพลั ง งานและอาหาร เนื่ อ งจากพลั ง งานและอาหารใน อนุภูมิภาคนี้ถือวาเปนเรื่องที่สําคัญมาก และมีความจําเปนตอการพัฒนาประเทศ 3. การดูแลในเรื่องของระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ 4. การแลกเปลี่ยนองคความรูรวมกัน เชน วิสาหกิจขนาดยอม (SMEs) การศึกษา การเงิน สาธารณสุข โดยตองมีแนวทางปฏิบัติอยางเปนรูปธรรมเพื่อใหองคความรูในเรื่องเหลานี้ และสรางขีดความสามารถ ของบุคลากรในอนุภูมิภาค 5. การเปนหุนสวนความรวมมือ ที่ตองมีความเห็นชอบรวมกันจึงจะปฏิบัติได เชน ความรวมมือ GMS ประเทศสมาชิกประเทศใดมีการเตรียมพรอมกอน ก็ลงมือปฏิบัติไดกอน กลาวโดยสรุปคือ การสงเสริมการพัฒนาอยางยั่งยืนของลุมแมน้ําโขงนั้นโดยหลักการแลว ถือไดวาเปน แนวคิ ด ที่ จ ะส ง เสริ ม ให ป ระเทศพั ฒ นาได อ ย า งสมดุ ล ทั้ ง ด า นเศรษฐกิ จ สั ง คม และสิ่ ง แวดล อ มอั น จะส ง ผลให ประชาชนได รั บ ประโยชน อ ย า งแท จ ริ ง แต ใ นความเป น จริ ง แล ว การดํ า เนิ น งานในส ว นนี้ ยั ง ขาดเอกภาพ ทั้ ง ภายในประเทศเองและความรวมมือในระดับอนุภูมิภาค ดังนั้นผูมีสวนเกี่ยวของทุกฝายจึงควรหันมาใหความสําคัญ อยางจริงจังกับการพัฒนาใหมีความรวมมือเกิดขึ้นอยางแทจริง
15
การจัดการน้ําในลุมน้ําโขง : โครงการขนาดใหญ
บทที่ 4 การบริหารจัดการระบบลุมน้ํา ประสิทธิ์ หวานเสร็จ สํานักงานทรัพยากรน้ําภาค 4 กรมทรัพยากรน้ํา
บทคัดยอ บทความนี้นําเสนอการบริหารจัดการระบบลุมน้ํา โดยเนนพื้นที่ลุมน้ําโขงตอนลางที่อยูในสวนของประเทศ ไทย อันไดแกพื้นที่ทางภาคเหนือคือลุมน้ําโขง-กก พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือคือลุมน้ํา โขง-ชี-มูล และพื้นที่ ภาคตะวั น ออกคื อ ลุ ม น้ํ า โตนเลสาบ รวมพื้ น ที่ ลุ ม น้ํ า โขงที่ อ ยู ใ นส ว นของประเทศไทย 188,645 ตร.กม. การ ดําเนินการบริหารจัดการระบบลุมน้ํานี้ดําเนินการโดย 2 องคกรหลักอันไดแก คณะกรรมาธิการลุมน้ําแมน้ําโขง (Mekong River Commission, MRC) อันประกอบดวยสมาชิก 4 ประเทศ คือ ไทย ลาว เขมร และเวียดนาม และ รัฐบาลไทยซึ่งไดกําหนดวิสัยทัศนและนโยบายน้ําแหงชาติชัดเจนที่จะตองดําเนินการบริหารจัดการน้ําเปนระบบลุม น้ํา โดยผานกลไกคณะกรรมการลุมน้ําระดับตางๆ คณะกรรมาธิการลุมน้ําโขง ซึ่งมีการริเริ่มภายใตการอุปถัมภขององคการสหประชาชาติตั้งแตป พ.ศ. 2500 ตอมาไดมีการลงนามในธรรมนูญหรือความตกลงแมน้ําโขง (Mekong Agreement) ฉบับใหมเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2538 (ค.ศ.1995) และใชเปนกรอบในการดําเนินการมาถึงปจจุบัน มีการกําหนดแผนงาน/ โครงการตางๆ มากมาย ซึ่งทุกแผนงานฯ จะสอดคลองกับการทํางานเปนระบบลุมน้ําในพื้นที่ลุมแมน้ําโขงตอนลาง 4 ประเทศ นโยบายแผนการพัฒนาที่สําคัญ ตลอดจนองคกรและกฎหมายที่เกี่ยวของกับการบริหารจัดการระบบลุมน้ํา ไดถูกรวบรวมไวในบทความนี้ดวย สําหรับหัวขอนโยบายและแผนการพัฒนา องคกรและกฎหมายที่เกี่ยวของกับ การบริหารจัดการระบบลุมน้ําจะครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 25 ลุมน้ํา 254 ลุมน้ําสาขา และ 5,000 กวาลุมน้ําสาขายอยของ ประเทศไทย จะเห็นวาประสิทธิภาพการจัดการน้ําโขงในสวนของประเทศไทย โดยผานกลไกของคณะกรรมการ ลุมน้ําไดดําเนินการมาพอสมควรมีการจัดทําระบบฐานขอมูล GIS/MIS เพื่อใหเปนเครื่องมือในการทํางานของ คณะกรรมการลุมน้ํา มีการจัดฝกอบรมศึกษาดูงานเพิ่มศักยภาพคณะกรรมการลุมน้ําและองคกรเครือขายตางๆ มากมาย เนื่องจากรัฐบาลไดมีการกําหนดวิสัยทัศนน้ําแหงชาติและนโยบายแหงชาติ พรอมทั้งไดประกาศใหการ แกปญหาทรัพยากรน้ําเปนวาระแหงชาติดวย
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการขนาดใหญ่
บทนํา บทความการบริหารจัดการระบบลุมน้ํา โดยเนนประสิทธิภาพการจัดการน้ําโขงในสวนของประเทศไทย และคณะกรรมการลุม น้ํ า รวบรวมโดยส ว นประสานและบริห ารจั ดการลุ มน้ํ าชี สํ านั ก งานทรั พ ยากรน้ําภาค 4 กรมทรัพยากรน้ํา เปนรายงานที่ไดจากการรวบรวมงานเขียนดานนโยบายเกี่ยวกับการพัฒนา ซึ่งคณะทํางาน แผนพัฒนาลุมแมน้ําโขงระดับชาติ (BDP-NWG) เปนผูจัดทําขึ้น ตลอดจนเอกสารเผยแพรของกรมทรัพยากรน้ําที่ เกี่ยวของกับการบริหารจัดการระบบลุมน้ําและประสบการณของผูเขียนเอง ที่มีสวนรวมในการปฏิบัติงานเกี่ยวกับ การบริหารจัดการระบบลุมน้ําของกรมทรัพยากรน้ําและรวมเปนคณะทํางานในพื้นที่ลุมแมน้ําโขงตอนลางในสวน ของประเทศไทยดวย
วัตถุประสงค 1. เพื่อเผยแพรขอมูลเกี่ยวกับการบริหารจัดระบบลุมน้ําในสวนของลุมแมน้ําโขงที่อยูในสวนของประเทศ ไทย 2. เพื่อใหทราบถึงความเปนมาของคณะกรรมาธิการลุมแมน้ําโขง (MRC) และนโยบายที่เกี่ยวกับการ พัฒนา อันไดแก แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติ มติคณะรัฐมนตรี ที่เกี่ยวของ ตลอดจน องคกรและกฎหมายที่เกี่ยวของกับการบริหารจัดการระบบลุมน้ํา 3. เพื่อใหทราบถึงขอมูลพื้นฐานพื้นที่ลุมน้ําโขงที่อยูในสวนของประเทศไทย อันไดแก ลุมน้ําโขง-กก- ลุม น้ําโขง-ชี-มูล และลุมน้ําโตนเลสาบ ซึ่งมีพื้นที่ลุมน้ํารวมกันกวา 188,645 ตร.กม. 4. เพื่ อ ให ท ราบความก า วหน า เกี่ ย วกั บ การบริ ห ารจั ด การระบบลุ ม น้ํ า ในประเทศไทยตลอดจน ประสิท ธิ ภาพ ป ญ หาและอุ ปสรรคต างๆ อั น ได แ ก กฎหมายที่ ยั ง ไม ได บู ร ณาการและปรั บปรุ ง ให ทันสมัย รวมถึงจะตองมีการเพิ่มศักยภาพ คณะกรรมการลุมน้ํา คณะอนุกรรมการและคณะทํางานลุม น้ํา และเครือขายตางๆ ใหมีองคความรูทัดเทียมกันดวย
1. ความเปนมาและนโยบายที่เกี่ยวของ 1.1 แมน้ําโขงและคณะกรรมาธิการแมน้ําโขง แมน้ําโขงเปนลําน้ําสากล มีจุดกําเนิดในประเทศจีน ไหลผานพมา ไทย ลาว เขมร และเวียดนาม กอนไหล ลงทะเลที่บริเวณสามเหลี่ยมปากแมน้ําโขงของเวียดนาม รวมความยาวของแมน้ําทั้งสิ้น 4,173 กิโลเมตร ประมาณ ครึ่งหนึ่งของลําน้ํา (2,373 กิโลเมตร) อยูในสวนที่เรียกวา “ลุมน้ําโขงตอนลาง” ไหลผาน 4 ประเทศ คือ ลาว ไทย กัมพูชา และเวียดนาม พื้นที่ลุมน้ําในสวนนี้มีประมาณ 606,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเปนที่อยูอาศัยของผูคนของ 4 ประเทศจํานวนประมาณ 62 ลานคน เทาๆกับ ประชากรในปจจุบันของประเทศไทย งานพัฒนาลุมน้ําโขงตอนลางเริ่มมีขึ้นตั้งแตปพ.ศ. 2500 ภายใตการอุปถัมภขององคการสหประชาชาติ และการดําเนินงานของคณะกรรมการพัฒนาลุมแมน้ําโขง (Mekong Committee) ซึ่งประกอบดวย ผูแทนผูมีอํานาจ เต็มของ 4 ประเทศดังกลาว ในชวงป พ.ศ. 2518-2538 คณะกรรมการฯ นี้รูจักกันดีในชื่อของ คณะกรรมการพัฒนา ลุมน้ําโขงชั่วคราว (หรือเฉพาะกาล: Interim Mekong Committee) ดวยเหตุแหงสงครามและผลการเปลี่ยนแปลง ทางการเมืองในหลายประเทศลุมน้ําและทําใหเขมรไมสามารถเขารวมงานของคณะกรรมการฯ ไดตามปกติ ทําให เหลือประเทศสมาชิกเพียง 3 ประเทศ อยางไรก็ตามงานแผนพัฒนาลุมน้ํา(Indicative Basin Plan, IBP) ฉบับป 20
การบริหารจัดการระบบลุ่มน้ํา / ประสิทธิ์ หวานเสร็จ
พ.ศ. 2513 และแผนการทํางานเปนรายป (Annual Work Programme) ของคณะกรรมการฯ โดยไดรับความชวย เหลือดานการเงินจากองคการสหประชาชาติและจากประเทศที่ใหความชวยเหลือตางๆ มากกวา 10 ประเทศ ตลอดจนองคกร/สถาบันการเงินสากล เชน ธนาคารโลก และธนาคารพัฒนาเอเชีย เปนตน ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2538 (ค.ศ.1995) ภาคีสมาชิก เดิมทั้ ง 4 ประเทศของคณะกรรมการพั ฒนาลุมแมน้ํ าโขง ไดทํ าการลงนามใน ธรรมนูญ หรือความตกลงแมน้ําโขงฉบับใหมเปนการกอกําเนิด คณะกรรมาธิการแมน้ําโขงแทนคณะกรรมการฯเดิม ที่ถูกยุบเลิกไปปจจุบันสํานักงานใหญของคณะกรรมาธิการตั้งอยูที่กรุงเวียงจันทนประเทศลาว ความตกลงแมน้ําโขงไดกําหนดกรอบและหลักการตางๆ สําหรับการใชทรัพยากรน้ําจากระบบของ แมน้ําโขง รู ปแบบองค กร การบริ หารองค กรและโดยเฉพาะการประสานงานระหว างประเทศสมาชิ กเพื่ อให มี การอนุ รั กษ สิ่งแวดลอมและการพัฒนาอยางยั่งยืน และทําใหประเทศสมาชิกมีความเทาเทียมกันในดานโอกาสแหงการพัฒนา จากการใชทรัพยากรรวมกันที่มีอยู เพื่อสงเสริมคุณภาพชีวิตและความเปนอยูที่ดีของประชาชน ความตกลงแมน้ํา โขงถือเปนพื้นฐานสําคัญที่ทําใหความรวมมือระดับภูมิภาคดําเนินตอไปไดอยางเปนรูปธรรมยิ่งขึ้น มีการกําหนด แผนงานหลักเพื่อการดําเนินงานไว 3 แผนงาน คือ 1) แผนพัฒนาลุมน้ําโขง (Basin Development Plan, BDP) ซึ่งมีกิจกรรมหลักในดานการวางแผนพัฒนา และ จัดทําขอเสนอแนะเกี่ยวกับการใชน้ําในลุมน้ํารวมทั้งการพัฒนาเครื่องมือสําหรับการวางแผน และจัดการเพื่อใหเกิดการพัฒนาอยางยั่งยืน 2) แผนงานการใชน้ําในลุมน้ําโขง (Water Utilization Programme, WUP) มีกิจกรรมหลักในการจัดทํา กฎเกณฑการใชน้ําและการผันน้ํา 3) แผนงานดานสิ่งแวดลอม (Environment Programme, EP) มีกิจกรรมหลักในการศึกษา พิจารณา จัดทําและทบทวนงานดานสิ่งแวดลอม เพื่อใหสอดคลองและเกื้อกูลแผนงานการใชน้ําและแผนพัฒนาลุ มน้ําขาง ตน เพื่อการพัฒนาอยางยั่งยืนในระยะยาว นับตั้งแตไดมีการลงนามในความตกลงดังกลาว การดําเนินงานเพื่อจัดทําแผนงานตางๆ ขางตนไดรุดหนาไปแลวระดับหนึ่งและนอกจากแผนงาน หลักขางตน ยังมีการดําริและจัดทําแผนงานอื่นๆ เพิ่มขึ้นอีกหลายแผนงานและโดยเฉพาะแผนงาน การบริหารจัดการอุทกภัย ซึ่งถือเปนแผนงานหลักแผนที่ 4 แผนงานที่เหลือจะมีลักษณะเปนแผนงาน สนับสนุนและแผนงานเฉพาะดาน เชน แผนงานการพัฒนาทรัพยากรมนุษย คณะกรรมาธิการแมน้ํา โขง โดยความตกลงป พ.ศ. 2538 ไดทําใหงานวางแผนพัฒนา ลุมน้ําโขงตอนลางโดยภาคีสมาชิก ทั้ง 4 ประเทศ (BDP) เปนไปไดอยางเต็มรูปแบบอีกครั้งหนึ่ง 1.2 แผนพัฒนาลุมน้ําโขง ในฐานะ 1 ใน 3 แผนงานหลักของคณะกรรมาธิการฯ BDP มีแนวคิดและสาระเกี่ยวกับกระบวนการการ จัดทําที่ตางจากแผนชี้นํา (IBP) อยูหลายประการ ที่สําคัญคือ 1) เปนแผนพัฒนาฯ ที่เนนหลักการมีสวนรวมของผูมีสวนไดสวนเสียในการจัดทํา และตามกระบวนการ 5 ขั้นตอนที่กําหนดและเปนที่ยอมรับแลวของทุกฝาย คือ การวิเคราะหขอมูลลุมน้ํา และพื้นที่ยอย (subarea, SA) การจัดทําภาพฉายการพัฒนาของลุมน้ํา (scenarios) การจัดทํายุทธศาสตรลุมน้ํา การ 21
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการขนาดใหญ่
กําหนดโครงการศักยภาพระดับกวาง (long-list of programmes and projects) และการกําหนด โครงการศักยภาพเรงดวน (short-list of programmes and projects) 2) มีการแบงพื้นที่สําหรับการจัดทําแผนออกเปน 10 พื้นที่ลุมน้ํา (SA) บนพื้นฐานของลุมน้ํายอยลักษณะ ทางอุทกวิทยาลุมน้ํา ทั้งนี้ SA ในสวนของประเทศไทย ลุมน้ําและขอบเขตการปกครอง ประกอบดวย พื้นที่ 2T (คือ ลุมน้ํากกและลุมน้ําโขงภาคเหนือ) พื้นที่ 3T (ลุมน้ําโขงภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ) พื้นที่ 5T (ลุมน้ําชีและลุมน้ํามูล) และพื้นที่ 9T (ลุมน้ําโตนเลสาบ) 3) BDP มีกิจกรรมที่ตองดําเนินการไปพรอมๆ กัน 3 กิจกรรม คือ (1) การวางแผนพัฒนา (2) การ ปรึกษาหารือและการมีสวนรวมของประชาชน และ (3) การเสริมสรางขีดความสามารถขององคกร และผูเกี่ยวของในงานดานนี้ ดังนั้น BDP จะเปนแผนพัฒนาลุมน้ําที่เกิดจากการมีสวนรวมของผูมีสวนไดเสียในทุกระดับ กลาวคือ ระดับพื้นที่ลุมน้ํายอย ระดับภาค/ประเทศ และระดับนานาชาติซึ่งเปนขั้นที่แผนโครงการตางๆที่ไดรับการเสนอ จาก ประเทศภาคีสมาชิกทั้ง 4 ประเทศ จะไดรับการพิจารณารวมกันเปนขั้นสุดทาย กอนถูกนําไปปฏิบัติโดยความชวย เหลือของสากลภายใตการบริหารอํานวยการของคณะกรรมาธิการแมน้ําโขง หรือโดยประเทศสมาชิกเองตามความ เหมาะสมตอไป 1.3 การวางแผนพัฒนาลุมน้ําโขงในประเทศไทย ในฐานะประเทศสมาชิกกอตั้งของทั้งคณะกรรมการพัฒนาลุมน้ําและคณะกรรมาธิการพัฒนาลุมน้ําโขงใน อดีตลุมน้ําโขงในปจจุบัน ประเทศไทย โดยสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาลุมน้ําโขงฝายไทยและสวนราชการตางๆ ที่เกี่ยวของ ไดมีสวนรวมในการวางแผนพัฒนาลุมน้ํานี้อยางใกลชิดมาโดยตลอด ผลไดที่สําคัญคือ การเกิดโครงการ พัฒนาตางๆ จํานวนมากในพื้นที่ลุมน้ําโขงในสวนของประเทศไทย โดยการชวยเหลือดานเงินทุนและดานวิชาการ จากสากล ผานคณะกรรมการฯ/คณะกรรมาธิการลุมน้ําโขง ซี่งถือเปนองคการระหวางประเทศที่สําคัญในภูมิภาคนี้ องคการหนึ่ง ในการรวมจัดทํา BDP ฉบับปจจุบัน คณะกรรมการลุมแมน้ําโขงฝายไทย (TNMC) ไดมีการจัดตั้งกองการ วางแผนพัฒนาลุมน้ําโขง (BDP Unit) เปนการเฉพาะเพื่อรับผิดชอบดําเนินการ และนอกจากนี้ ดังที่กลาวถึงแลวใน หัวขอ 1.1 ไดมีการแตงตั้งคณะทํางานระดับชาติ (BDP-NWG) และระดับพื้นที่ (SAWG) ซึ่งประกอบขึ้น ดวย สมาชิกที่มาจากหนวยงานและหรือเอกชนจํานวนมาก เพื่อรวมกันศึกษาทํางาน อันเปนการสงเสริมการมีสวนรวม อยางใกลชิดและกวางขวางตามแนวคิดหลักของ BDP อยางไรก็ตาม เปนที่ตระหนักและทราบกันดีวา กระบวนการวางแผนพัฒนาเปนรายลุมน้ํา (River Basin Planning) โดยยึดหลักการการมีสวนรวมของประชาชน (public participation) ในประเทศไทย ไดมีการ ดําเนินการ ไปแลวอยางกวางขวาง รวมทั้งในพื้นที่ลุมน้ํายอย (SA) ตางๆที่กําหนดตามกรอบ BDP (กลาวถึงแลวใน 2.2) ดังนั้นการประสานงานอยางใกลชิดกับองคกรตางๆที่อาจมีการจัดตั้งอยููแลวในทุกระดับ เพื่อการเรียนรูขอมูล และ หรือ การหลีกเลี่ยงการทํางานที่จะมีลักษณะซ้ําซอนเพื่อประโยชนสูงสุดแหงการทํางานนับวาเปนสิ่งที่มีความจําเปน
22
การบริหารจัดการระบบลุ่มน้ํา / ประสิทธิ์ หวานเสร็จ
1.4 นโยบายและแผนการพัฒนาที่สําคัญ ปจจัยที่จะชวยใหสามารถมีสวนรวมในการพิจารณาหรือกําหนดโครงการตางๆ สําหรับ BDP ไดอยาง เปนผลที่สุดประการหนึ่งคือ การทราบนโยบายและแผนการพัฒนาที่เกี่ยวของทั้งในระดับพื้นที่(ภาค) และระดับชาติ ตัวอยางเชน แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแหงชาตินโยบายการบริหารจัดการลุมน้ํา มติคณะรัฐมนตรีแผน ยุทธศาสตรการพัฒนากลุมจังหวัดและหรือจังหวัด ที่เพิ่งไดมีการจัดทําขึ้นในประเทศไทย เปนตน 1.4.1 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติและการพัฒนาระยะยาว ประเทศไทยไดมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติ (แผน 5 ป) ตั้งแตป พ.ศ. 2504 ปจจุบันเปน แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 9 ซึ่งใหความสําคัญกับการพัฒนาทรัพยากรปาและดินมากที่สุด กอนหนานั้น แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 4-5 ไดเคยมีนโยบายเกี่ยวของกับการอนุรักษและจัดการทรัพยากรธรรมชาติอยูบางแลว และในชวงฉบับที่ 6 ไดเนนเรื่องการจัดการและพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติที่ยังคงเหลืออยูใหเปนระบบและมีความชัดเจนมากขึ้น แผนพั ฒ นาฯ ฉบั บ ที่ 8 ได ป รั บ นโยบายการพั ฒ นาเศรษฐกิ จ เป น การพั ฒ นาที่ มี ค นเป น ศู น ย ก ลาง โดยอาศั ย การบูรณาการทุกดานใหเชื่อมโยงเขาดวยกันทั้งดานทรัพยากรธรรมชาติชุมชนและสิ่งแวดลอม การประเมิ น ผลการพั ฒ นาในช ว ง 4 ทศวรรษที่ ผ า นมา ชี้ ใ ห เ ห็ น ถึ ง การพั ฒ นาโดยพึ่ ง พา ทรัพยากรธรรมชาติเปนหลักแตเพียงอยางเดียว ความสําเร็จที่เกิดขึ้นพบวาเปนเพียงดานเศรษฐกิจ ขาดความ สมดุลของทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดลอมเสื่อมโทรม และขาดการบริหารจัดการอยางเหมาะสม ผลการพัฒนาเปน เพียงการพัฒนาเฉพาะสวนของสังคมเทานั้น ขณะที่ประชาชนสวนใหญยังตองพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการยัง ชีพ ยังคงมีฐานะยากจน ดวยเหตุผลดังกลาว แผนพัฒนาฯฉบับที่ 9 ไดกําหนดยุทธศาสตรการพัฒนาที่เปนภารกิจรวมกันของคนใน ชาติเปน 3 เรื่องหลักคือ • การมุงขจัดปญหาความยากจนของประเทศ • การสรางฐานรากของสังคมใหเขมแข็งใหคนสวนใหญของประเทศอยูดีมีสุข • การปรับตัวทางเศรษฐกิจใหสามารถแขงขันและพึ่งตนเองไดพรอมไปกับการผนึกพลังความรวมมือ ของทุกฝายในการปฏิรูประบบบริหารจัดการที่ดีใหเกิดขึ้นในทุกระดับของสังคมไทย นอกจากขางตน มีการกําหนดยุทธศาสตรเพื่อการพัฒนาอยางยั่งยืนไว 7 ประการดังนี้ 1) การบริหารจัดการที่ดี 2) การพัฒนาคุณภาพคนและสังคม 3) การพัฒนาชนบทและเมืองอยางยั่งยืน เกื้อหนุนการสรางรายไดมีการพัฒนาชุมชนและเมืองใหนาอยู เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี 4) การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมอยางยั่งยืน สรางชุมชนใหมีจิตสํานึกและมีสวนรวม ดูแลรักษาอนุรักษ ฟนฟูและใชประโยชนทรัพยากรธรรมชาติอยางเหมาะสม 5) การบริหารและเรงฟนฟูเศรษฐกิจของประเทศใหเขมแข็งและวางรากฐานการขยายตัวอยางมีคุณภาพ ในระยะยาว 23
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการขนาดใหญ่
6) การเพิ่มขีดความสามารถในการแขงขันของประเทศ พัฒนาคุณภาพและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรโดยการพัฒนางานฝมือ พัฒนาโครงสรางพื้นฐาน ทักษะการตอรอง ทางการคา และอื่นๆ 7) การพัฒนาความเขมแข็งทางวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีสงเสริมการวิจัยและพัฒนา เปนตน เห็นไดวาในระยะยาว แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยใหความสําคัญอยางมากตอเรื่องการ พั ฒ นาอย า งยั่ ง ยื น ซึ่ ง หมายถึ ง การมี ส ว นร ว มอย า งเพี ย งพอ การธํ า รงรั ก ษาทรั พ ยากรธรรมชาติ แ ละสภาพ สิ่งแวดลอม เพื่อความอยูดีกินดีของประชาชนเปนสําคัญ 1.4.2 นโยบาย มาตรการ และการบริหารจัดการลุมน้ําของประเทศ การบริหารจัดการพื้นที่ลุมน้ําจะมีความแตกตางกันไป ขึ้นอยูกับขนาดพื้นที่ ลักษณะทางกายภาพลุมน้ํา จะ มีความแตกตางทางดานทรัพยากรธรรมชาติตลอดจนสภาพเศรษฐกิจและสังคมของราษฎร ดังนั้น การบริหาร จัดการลุุมน้ําที่จําเพาะเจาะจงในแตละลุมน้ําจึงอาจตองใชเวลาในการศึกษาวางแผน อยางไรก็ดี หลักการในเบื้องตน ที่สําคัญ มีดังนี้ 1) การฟนฟูสภาพปาไมในพื้นที่ลุมน้ํา คือการตองปลูกปาหรือฟนฟูสภาพปาไมใหสมบูรณเพียงพอ โดย เลือกพื้นที่ที่จะใชในการปลูกปา รวมทั้งชนิดของพันธุไมที่เหมาะสม 2) การบริหารจัดการน้ํา อาจโดยการสรางอางเก็บน้ําเพื่อสามารถเก็บกักน้ําไวในฤดูฝน และสามารถ นํา น้ํามาใชในฤดูแลงไดรวมทั้งการปรับปรุงระบบบริหารจัดสรรน้ํา เชน การควบคุมอางเก็บน้ํา การ บริหารจัดการสงน้ําบํารุงรักษาระบบชลประทาน ใหมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เปนตน 3) การพัฒนาน้ําใตดิน เพื่อการพัฒนานํามาใชประโยชนในดานตางๆ จําเปนตองมีการพิจารณาสภาพ ความสมดุลอาจจะเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะที่ไมเหมาะสมได เชน ระดับน้ําเค็ม ซึ่งอาจจะขึ้นมา สูงกวาระดับเดิมและเปนอันตรายตอสภาพแวดลอมในอนาคตไดดังนั้นการติดตั้ง เครื่องสูบน้ําใตดินใน บางพื้นที่จําเปนที่จะตองมีการดําเนินการเพื่อรักษาความสมดุลระหวางน้ําจืดกับน้ําเค็ม เปนตน 4) การอนุรักษน้ํา นอกเหนือจากการบริหารจัดการน้ําที่มีอยูภายในลุมน้ําใดลุมน้ําหนึ่งแลว การอนุรักษ น้ํามีความจําเปนที่จะตองดําเนินการควบคูไป ทั้งนี้เพราะทรัพยากรน้ํามีจํากัด ปจจุบันมีการใชน้ําตอ หน ว ยผลิ ต (โดยเฉพาะผลผลิ ต ทางการเกษตร) สู ง เกิ น ความจํ า เป น ดั ง นั้ น จึ ง จํ า เป น ที่ จ ะต อ ง ดําเนินการจูงใจและการมีสวนรวมของราษฎร รวมทั้งการนําเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใชในกระบวนการ ผลิต การปรับเปลี่ยนชนิดและรูปแบบการปลูกพืช เปนตน 5) การผันน้ําจากลุมน้ํา ไดแก การผันน้ําจากลุมน้ําขางเคียง มาตรการสุดทายที่จะเปนแนวทางในการ จัดการผันน้ําจากลุมน้ํา (ซึ่งรวมทั้งการผันน้ําจากแมน้ําโขง) ซึ่งจะตองคํานึงถึงความเปนไปไดในดาน กายภาพของพื้นที่ระหวางลุมน้ําทั้งสองที่จะมีการดําเนินการผันน้ําเปนอยางมาก กรณีที่ไมมีความ เหมาะสมฯ การผันน้ําขามลุมน้ําจะตองใชงบประมาณเปนจํานวนมหาศาล และอาจจะกอใหเกิดผล กระทบสิ่งแวดลอมได
24
การบริหารจัดการระบบลุ่มน้ํา / ประสิทธิ์ หวานเสร็จ
1.4.3 มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวของ ตัวอยางสําคัญของมติรัฐมนตรีที่เกี่ยวของกับการจัดการลุมน้ํา โดยเฉพาะลุมน้ําในภาคเหนือ และภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเกี่ยวของงานการพัฒนาลุมน้ําโขง มีดังนี้ 1) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2525 เรื่องโครงการศึกษาเพื่อกําหนดชั้นคุณภาพลุมน้ํา ของประเทศ ตามหลักเกณฑและมาตรการในการใชประโยชนทรัพยากรในแตละชั้นของลุมน้ํา โดย ดําเนินการศึกษาวิจัยลุมน้ําทางภาคเหนือ (ปง วัง ยม และนาน) พ.ศ. 2525 – 2528 ลุมน้ําภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ (ชี และ มูล) พ.ศ. 2528 – 2530 2) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2530 เรื่องหลักเกณฑและเงื่อนไขในการกําหนดสภาพปา เสื่อมโทรม ซึ่งไมรวมถึงพื้นที่ลุมน้ําชั้นที่ 1 A ชั้นที่ 1 B และชั้นที่ 2 และในการกําหนดพื้นที่ใด เปนปา เสื่อมโทรมตามพระราชบัญญัติปาสงวนแหงชาติ พ.ศ. 2507 จะไมมีผลผูกพันกับราษฎรที่เขาไปทํา ประโยชนอยูแลว และมีคุณสมบัติตามที่กําหนดไวในระเบียบกรมปาไม 3) มติ ค ณะรั ฐ มนตรี เมื่ อ วั น ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2531 เรื่ อ ง การกํ า หนดชั้ น คุ ณ ภาพลุ ม น้ํ า และ ขอ เสนอแนะลุ มน้ํ ามู ล และลุม น้ําชี โดยใหก ระทรวงวิทยาศาสตร แ ละเทคโนโลยี แ ละการพลั ง งาน มาตรการการใชที่ดินในเขตลุมน้ําโดยใหกระทรวงวิทยาศาสตรเทคโนโลยีและการพลังงานไปกํากับ และเรงรัดใหมีการจัดทําแผนปฏิบัติการ (action plan) ใหสอดคลองกับขอเสนอแนะมาตรการการใช ที่ดินในเขตลุมน้ําปง วัง ยม นาน 4) มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2532 เรื่อง แนวทางการปฏิบัติงานตามขอเสนอแนะ มาตรการการใช ที่ ดิ น ในเขตลุ ม น้ํ า เพื่ อ ใช เ ป น กรอบในการจั ด การอนุ รั ก ษ แ ละการใช ป ระโยชน ทรัพยากรธรรมชาติ ในบริเวณพื้นที่ลุมน้ําอยางเหมาะสมถูกตองตามหลักวิชาการ 5) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2535 เรื่อง การจําแนกเขตการใชประโยชนทรัพยากรและ ที่ดินปาไมในพื้นที่ปาสงวนแหงชาติและวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2535 เรื่องผลการจําแนกเขตการใช ประโยชนทรัพยากรและที่ดินปาไมในพื้นที่ปาสงวนแหงชาติเพิ่มเติม โดยไดแบงพื้นที่ปาสงวนแหง ชาติออกเปน 3 เขต คือ เขตพื้นที่เพื่อการอนุรักษ เขตพื้นที่ปาเพื่อเศรษฐกิจ และเขตพื้นที่ปาที่ เหมาะสมตอการเกษตร โดยเขตพื้นที่เพื่อการอนุรักษ ไดแบงออกเปน 2 ประเภท คือ • พื้นที่ปาอนุรักษตามกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีหมายถึง พื้นที่ในเขตรักษาพันธุสัตวปา อุทยานแหงชาติและพื้นที่ลุมน้ําชั้นที่ 1 • พื้นที่ปาอนุรักษเพิ่มเติม หมายถึง พื้นที่ที่ควรสงวนไวเพื่อรักษาสภาพแวดลอมและระบบ นิเวศแหลง ธรรมชาติอันควรอนุรักษพื้นที่ที่เปนเอกลักษณทองถิ่น เปนตน 6) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2536 เรือ่ งแนวทางการปฏิบัติงานการปฏิรูปที่ดินในเขต ปาสงวนแหงชาติและเขตปาไมถาวร กลาวคือ ในกรณีที่ราษฎรทําประโยชนอยูกอนทางราชการ 25
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการขนาดใหญ่
ประกาศเขตปาไมโดยการออกเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดิน และกรณีที่ราษฎรบุกรุก ภายหลัง จะไดสิทธิโดยผานกระบวนการปฏิรูปที่ดิน 7) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ พ.ศ. 2537 เปนมติเรื่องการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมใน พื้นที่ปาสงวนแหงชาติในเขตเศรษฐกิจที่เสื่อมโทรม 8) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ พ.ศ. 2538 เห็นชอบกับมติคณะกรรมการสิ่งแวดลอม แหงชาติ เรือ่ ง การกําหนดชั้นคุณภาพลุุมน้ําภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุมน้ําปาสัก และการกําหนด ชั้น คุณภาพลุุมน้ําภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือสวนอื่นๆ (ลุม น้ําชายแดน) 9) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2538 ใหยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2536 เรือ่ ง การแกไขปญหาเกี่ยวกับที่ดินในเขตปาไม ในกรณีที่ราษฎรทําประโยชนอยูกอนทาง ราชการประกาศเขตปาไมโดยการออกเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดิน และกรณีที่ราษฎรบุก รุกภายหลังจะไดสิทธิโดยผานกระบวนการปฏิรูปที่ดิน 10) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2540 ในการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่วังน้ําเขียว นครราชสีมา เปนมติที่เกี่ยวกับมาตรการและแนวทางการแกไขปญหาเกี่ยวกับพื้นที่ปาไม 11) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2541 เรือ่ งการแกไขที่ดินในพื้นที่ปาไม เปนการกําหนด รายละเอียดเพิ่มเติมจากมติรัฐมนตรีที่วังน้ําเขียว ที่สําคัญคือใหกรมปาไมประสานงานกับหนวยงานที่ เกี่ยวของ เพื่อตรวจสอบและดําเนินการจําแนกแยกแยะความรับผิดชอบพื้นที่ปาไมพื้นที่สาธารณประ โยชน และพื้นที่ที่อยูในความดูแลของราชการ โดยใหกรมปาไมพิจารณาโดยความรอบคอบวาไดจัด สาธารณูปโภคพื้นฐานหรือสิ่งอํานวยความสะดวกตางๆ ในพื้นที่เขตอนุรักษที่ราษฎรครอบครองอยู หรือไม 12) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2541 เรื่องหลักเกณฑการผอนผันการดําเนินการตาม ขอสังเกตตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ พ.ศ. 2538 เรือ่ ง กําหนดหลักเกณฑพื้นที่ที่ ควรผอนผันใหมีการอยูอาศัยและ/หรือใชพื้นที่ไดหากพิสูจนไดวาชุมชนหรือหมูบานไดครอบครองเปน การถาวร หรือไดจัดตั้งขึ้นโดยถูกตองตามกฎหมาย โดยใชภาพถายทางอากาศในแตละชวงเวลาของ แตละพื้นที่ หรือเอกสารหลักฐานขอเท็จจริง ตางๆ ประกอบวาราษฎรหรือชุมชนได ครอบครองพื้นที่ ดังกลาวโดยถูกตองตามกฎหมาย ตัวอยางที่สําคัญอีกประการหนึ่งคือ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ พ.ศ. 2547 ซึ่งอนุมตั ิ 5 ยุทธศาสตรในการพัฒนาขีดความสามารถการแขงขันเพือ่ ยกเครื่องเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ประกอบดวยดังนี้ • ยุทธศาสตรที่ 1: การยกระดับฐานการผลิตหลักของภาค 26
การบริหารจัดการระบบลุ่มน้ํา / ประสิทธิ์ หวานเสร็จ
• ยุทธศาสตรที่ 2: การรวมมือกับกลุมอินโดจีนขยายฐานอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจพื้นทีช่ ายแดนของ ภาค • ยุทธศาสตรที่ 3: การสรางศักยภาพและโอกาสใหคนจน • ยุทธศาสตรที่ 4: การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมอยางยั่งยืนเพือ่ คืนสมดุลสู ธรรมชาติ • ยุทธศาสตรที่ 5: การสรางคนเพื่อการพัฒนาอยางยั่งยืน 1.4.4 แผนยุทธศาสตรการพัฒนาจังหวัด/กลุมจังหวัด นอกจากขางตน ปรากฏการณเกี่ยวกับการพัฒนาลาสุดที่เพิ่งเกิดมีการจัดทําขึ้นในประเทศไทยในชวง 1-2 ปที่ผานมาคือ การกําหนดใหผูวาราชการจังหวัดทําหนาที่ประดุจหัวหนาคณะบริหาร (Chief Executive Officer, CEO) ในพื้นที่จังหวัดของตนเองแบบเบ็ดเสร็จ มีการกําหนดจังหวัดที่อยูบริเวณใกลเคียงกันและมีสภาพพื้นฐานทางกายภาพและอื่นๆใกลเคียงกันให เปนกลุมจังหวัด สามารถกําหนดวิสัยทัศนพันธกิจ ตลอดจนยุทธศาสตรเพื่อการพัฒนาตางๆ ของตนเองอยางเต็มที่ ตัวอยางเชน • วิสัยทัศนของจังหวัดเชียงรายคือ “ประตูทองของวัฒนธรรมลานนาและการคาสูสากล” • วิสยั ทัศนของกลุมจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ซึ่งประกอบดวยจังหวัดอุดรธานีหนองคาย หนองบัวลําภู และเลย คือ “แหลงพํานักแหงที่สองของนักลงทุนและนักทองเที่ยว” • วิสัยทัศนของกลุมจังหวัดสกลนคร นครพนม มุกดาหาร และกาฬสินธุ คือ “สะพานการคาและการทอง เที่ยวอินโดจีน” • วิสัยทัศนกลุมจังหวัดรอยเอ็ด ขอนแกน และมหาสารคาม คือ “ศูนยกลางทางการคา การลงทุน และ การบริการในภูมิภาคสูสากล” • วิสัยทัศนกลุมจังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ ยโสธร และอํานาจเจริญ คือ “หุนสวนเศรษฐกิจกับ ประเทศเพื่อนบาน” • วิสัยทัศนกลุมจังหวัดนครราชสีมา สุรินทร ชัยภูมิ และบุรรี ัมย คือ “ประตูสูอีสาน” เปนที่สังเกตไดวา วิสัยทัศนกลุมจังหวัด/ จังหวัดขางตน จะมีลักษณะเปนวิสัยทัศนระยะยาว ซึ่งตองการ กําหนดยุทธศาสตรและแผนงานรองรับอีกเปนจํานวนมาก การใชทรัพยากรน้ําเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเหลานั้นจะ เปนสิ่งที่หลีกเลี่ยงได และดวยเหตุนี้ การกําหนดโครงการ BDP ใหสอดคลองกับความตองการตางๆ ตามที่สะทอน อยูในวิสัยทัศนขางตน และหรือยุทธศาสตรรายจังหวัด จะเปนการชวยทําใหบทบาทของ BDP ในการมีสวนรวม พัฒนาพื้นที่ลุมน้ําโขงในประเทศไทยที่มีความชัดเชนมากยิ่งขึ้นไปอีก
27
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการขนาดใหญ่
2. ภาพรวมพื้นที่แมน้ําโขงในประเทศไทย 2.1 สภาพทางภูมิศาสตรและภูมิอากาศ พื้นที่ลุมน้ําโขงที่อยในเขตประเทศไทยมีทั้งหมด 188,645 กม. สามารถพิจารณาแบงออกไดเปน 3 สวน คือสวนที่อยููในภาคเหนือ สวนที่อยูในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และสวนที่อยูในภาคตะวันออกของประเทศไทย สภาพพื้นที่และสภาพทางภูมิศาสตรโดยสังเขปของแตละพื้นที่เปน ดังนี้ พื้นที่สวนที่อยูในภาคเหนือ เปนที่ตั้งของลุุมน้ํากกลุมน้ําอิงและลุมน้ําเล็กๆ อื่นๆ อีกจํานวนหนึ่ง อยูในเขตจังหวัดเชียงใหม เชียงราย และพะเยา สําหรับแมน้ํากกมีความยาวประมาณ 285 กม. ชวงแรกของแมน้ํากกมีพื้นที่ลุมน้ําประมาณ 8,160 กม. แมน้ํา (ประมาณ 128 กม.) อยูในเขตรัฐฉานประเทศเมียนมารมีตนน้ําอยูที่ระดับความสูงประมาณ +1,500 ม.รทก. ไหลลงสูแมน้ําโขงที่ระดับประมาณ +350 ม.รทก. ในเขตประเทศไทย พื้นที่สวนใหญเปนภูเขาสูงชัน เปนตนน้ํา ลําธาร แตพื้นที่ราบที่เหมาะแกการเพาะปลูกจะอยูในเขตจังหวัดเชียงรายเปนสวนใหญ สําหรับลุมน้ําอิงอยูในเขต จังหวัดพะเยาและเชียงราย แมน้ําอิงมีความยาวประมาณ 300 กม. พื้นที่ตนน้ําเปนภูเขาสูงระดับประมาณ +500 ถึง +450 ม.รทก. แหลงทรัพยากรน้ําที่สําคัญของลุมน้ําอิงไดแก กวานพะเยา และหนองเล็งทราย จังหวะพะเยา พื้นที่ ตอนปลายของลุมน้ําอิงชวงที่จะไหลลงแมน้ําโขงมักประสบปญหาเรื่องน้ําทวมในฤดูฝนอยูเสมอๆ เพราะการอัดเออ ของน้ําจากแมน้ําโขง พื้นที่ยอย (Sub-area) 2T ซึ่งกําหนดตามกรอบการแบงของ BDP ที่กลาวถึงแลวในตอนตนครอบคลุม พื้นที่ลุมน้ํากก สวนหนึ่งของพื้นที่ลุมน้ําอิงและลุมน้ําโขงภาคเหนือตามคําจํากัดความของการแบงลุมน้ําของประเทศ ไทย มีพื้นที่โดยรวม 18,859 ตร.กม. พื้นที่สวนที่อยูในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ครอบคลุมพื้นที่ที่เปนภาคตะวันออกเฉียงเหนือโดยทั้งหมด ซึ่งประกอบดวย 19 จังหวัด คิดเปนพื้นที่ ประมาณ 168,854 ตร.กม. หรือ 105,533,750 ไร พื้ นที่ ส วนใหญมี ลักษณะเปน ที่ร าบสู งลั กษณะกะทะหงาย ประกอบดวยเนินเขาเตี้ย ๆ กระจายอยูทั่วไป มีความลาดเอียงจากทิศตะวันตกของภาคไปทางทิศตะวันออก สูง จาก ระดับน้ําทะเลปานกลาง ประมาณ 100 – 300 เมตร มีเทือกเขาภูพานแบงพื้นที่ออกเปน 2 สวน คือ สวนที่ เปนที่ราบสูงโคราชทางตอนใตและสวนที่เปนที่ตั้งของจังหวัดตามแนวแมน้ําโขง แมน้ําสําคัญที่ไหลผาน คือ แมน้ํา โขง และแมน้ําสงครามทางทิศเหนือ แมน้ําชีไหลผานตอนกลาง และแมน้ํามูลอยูทางตอนลางของภาค ดังที่กลาว แลววา ตามกรอบ BDP ไดแบงพื้นที่นี้ออกเปน 3 พื้นที่ยอยดังนี้ • พื้นที่ยอย 3T ครอบคลุมพืน้ ที่ 8 จังหวัด อยูในเขตลุมน้ําโขง-อีสาน ไดแก จังหวัดอุดรธานี สกลนคร เลย หนองบัวลําภู หนองคาย นครพนม มุกดาหาร และอํานาจเจริญ ซึ่งมีอดุ รธานี สกลนคร หนองคาย อํานาจเจริญ และมุกดาหาร เปนเมืองสําคัญทางเศรษฐกิจ มีพนื้ ที่รวมกัน 46,460 ตร.กม. • พื้นที่ยอย 5T ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 11 จังหวัดในภาพตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย และมีพื้นที่ รวมกันกวา 119,000 ตร.กม. ตามสภาพลุมน้ํายอยและเพื่อความสะดวกในการศึกษาและหรือ ดําเนินงาน พืน้ ที่ยอย 5T สามารถแบงออกเปน 2 สวนสําคัญคือ 28
การบริหารจัดการระบบลุ่มน้ํา / ประสิทธิ์ หวานเสร็จ
1. พื้นที่ยอย 5T-1 เปนสวนของเขตลุมน้ําชีมีพื้นที่ทั้งหมด 49,476 ตร.กม.ครอบคลุม 6 จังหวัดคือ ชัยภูมิขอนแกน มหาสารคาม รอยเอ็ด กาฬสินธุ และยโสธร สําหรับขอนแกน นับเปนศูนยกลาง ทางเศรษฐกิจของอนุภาคและของภาคโดยรวมดวย 2. พื้น ที ย อ ย 5T-2 เป นส วนของเขตลุ ม น้ํามู ล มี พื้ นที่ ทั้ ง หมดถึง 69,700 ตร.กม. ครอบคลุ ม 5 จั ง หวั ด ประกอบด ว ย นครราชสี ม า บุ รี รั ม ย สุ ริ น ทร ศรี ส ะเกษ และอุ บ ลราชธานี โดยมี นครราชสีมาและอุบลราชธานีเปนศูนยกลางทางเศรษฐกิจ พื้นที่สวนที่อยูในภาคตะวันออก พื้นที่นี้เปนสวนหนึ่งของ “ลุมน้ําทะเลสาบเขมร (เขมรเรียกทะเลสาบและแมน้ําสายสําคัญที่เชื่อมทะเลสาบ แหงนี้กับแมน้ําโขงวาโตนเลสาบ)” สวนที่อยูในประเทศไทยเปน พื้นที่ตนน้ําดานทิศตะวันตกของลุมน้ําฯ เนื่องจาก สภาพพื้นที่สวนใหญเปนภูเขาสูงสลับที่ราบริมลําน้ํา และมีความลาดเทจากทิศตะวันตกไปสูทิศตะวันออก ลําน้ํา สายตางๆ จึงไหลออกไปทางประเทศกัมพูชาและลงทะเลสาบเขมร เรียกพื้นที่สวนนี้วา พื้นที่ลุมน้ําโตนเลสาบใน ประเทศไทย หรือ พื้นที่ยอย 9T ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 4,150 ตร.กม. ในด า นภู มิ อ ากาศ พื้ น ที่ ลุ ม น้ํ า โขงในส ว นของประเทศไทยมี ลั ก ษณะทั่ ว ไปคล า ยคลึ ง กั น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งมีพื้นที่ใหญที่สุดและเปนที่ตั้งของพื้นที่ลุมน้ํายอย 3T 5T-1 และ 5T-2 มีปริมาณน้ําฝน ที่ตก ตอประหวาง 800-2,000 มิลลิเมตร ในชวงเดือนพฤษภาคมและเดือนตุลาคม หรือเฉลี่ยปละ 1,400 มิลลิเมตร ซึ่ ง ไม น อ ยกว า ปริ ม าณน้ํ า ฝนที่ ต กในภาคเหนื อ และภาคตะวั น ออก แต เ นื่ อ งจากดิ น ในภาคนี้ ส ว นใหญ เ ป น ดินปนทรายซึ่งไมอุมน้ําและฝนมักจะตกหนักในชวงระยะเวลาสั้น ๆ ตอนปลายฤดูฝน จึงทําใหมีปญหาความ แหงแลงรุนแรงกวาบริเวณที่มีฝนตกชุกคือ บริเวณริมฝงแมน้ําโขงและคอยๆลดนอยลงเมื่อหางออกไปทางตะวันตก ของภาค ภาพรวมของพื้นที่ยอยของลุมน้ําโขงในประเทศไทยที่แบงตามกรอบของ BDP สรุปไดอีกครั้ง ดังตารางที่ 1 ตารางที่ 1 พื้นที่ยอ ยของลุมน้ําโขงในประเทศไทย ชื่อพื้นที่ (Sub-area)
ขนาดพื้นที่ (ตร.กม.)
2T
18,859
ลุมน้ํากก ลุมน้าํ อิงและ ลุมน้ําโขงบางสวน, ภาคเหนือ
3T
46,460
ลุมน้ําโขงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
5T-1
49,476
ลุมน้ําชี, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
5T-2
69,700
ลุมน้ํามูล, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
9T
4,150
ลุมน้ําโตนเลสาบ, ภาคตะวันออก
29
ที่ตั้งสังเขป
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการขนาดใหญ่
2.2 ทรัพยากรดินและการใชที่ดิน 2.2.1 ทรัพยากรดิน ในที่นี้จะกลาวถึงทรัพยากรดินที่มีศักยภาพในการพัฒนาเพื่อการเกษตรและการชลประทานเปนสําคัญ พื้นที่ยอย 2T จากพื้นที่ทั้งหมดของลุมน้ํากกที่มีอยูประมาณ 5.10 ลานไร พื้นที่ที่มีศักยภาพในการผลิต ทางการเกษตรและมีความเหมาะสมตอการพัฒนาการเกษตรในระบบชลประทานมีประมาณ 0.61 ลานไร เปนพื้น ที่ดินดอนที่มีศักยภาพสูงถึงคอนขางสูงทางการเกษตรมีอีกประมาณ 0.92 ลานไร นอกนั้น ลุมน้ํากกมีหนวยที่ลาด ชันเชิงซอน กวางขวางกวา 3.16 ลานไร (ประมาณ 62 %ของพื้นที่ทั้งหมด) ซึ่งสมควรอนุรักษไวเปนพื้นที่ปาไมตน น้ํา ลําธาร มากกวาการใชทางดานการเกษตร พื้นที่ที่ที่เหลือเปนภูเขาและที่สาธารณะอื่นๆ สําหรับในลุมน้ําอิงและ ลุมน้ําโขง สวนที่เหลือ ทรัพยากรดินที่มีศักยภาพคอนขางสูงตอการทําการเกษตรและการพัฒนาระบบชลประทาน มีอีกประมาณ 2.50 ลานไร (ประมาณ 40% ของพื้นที่ลุมน้ํา) พื้นที่ยอย 3T 5T-1 และ 5T-2 ทรัพยากรดินที่มีศักยภาพในการทําการเกษตรมีประมาณ 58 ลานไร แต สภาพดินสวนใหญ เปนดินรวนปนทราย มีความอุดมสมบูรณคอนขางต่ํา เชน เปนพื้นที่ดินเค็มประมาณ 17.80 ลานไร (30.7 %ของ พื้นที่เกษตรขางตน) ในจํานวนนี้เปนดินเค็มจัดไมสามารถเพาะปลูกไดจํานวน 1.50 ลานไรดิน เค็มปานกลาง 3.70 ลานไร และดินเค็มนอย 12.60 ลานไร นอกจากนี้พื้นที่ที่มีโอกาสจะเปนดินเค็มยังมีอีกประมาณ 19.60 ลานไร ซึ่งสวนใหญอยูในจังหวัดนครราชสีมา มหาสารคาม และอุดรธานี ดินในพื้นที่การเกษตร แบงออกได เปน 4 กลุมใหญคือ (1) กลุมดินไร ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 43% โดยมากอยูบริเวณทิศตะวันออกเปนแนวยาวลงไปทาง ใตและบางสวนในตอนกลางของภาค (2) กลุมดินนา ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 27% สวนมากอยูตอนกลางและตอนใตของภาค (3) กลุมดินคละ ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 18% โดยมากอยูบริเวณดานตะวันออกเปนแนวยาวลงไป ทางใตและทางตอนกลางของภาค (4) กลุมดินภูเขา ครอบคลุมพื้นที่ 12% สวนมากอยูบริเวณทิศตะวันตก พื้นที่ยอย 9T โดยเปรียบเทียบพื้นที่ลุมน้ํายอยนี้มีสัดสวนของพื้นที่ดินที่เหมาะกับการเพาะปลูก โดยเฉพาะพืชไรในระดับสูง กลาวคือ จากจํานวนพื้นที่ทั้งหมด 2.60 ลานไรเปนพื้นที่ที่เหมาะแกการปลูกพืชไรและ ไมผล ประมาณ 1.05 ลานไร (40.4%) รองลงมาคือพื้นที่ที่เหมาะแกการปลูกขาว ประมาณ 0.78 ลานไร (29.9%) โดยกลุมดินซึ่งมีความเหมาะสมสําหรับปลูกขาว และพืชอื่น ๆ สวนใหญจะอยูบริเวณที่ราบสองฝงลําน้ํา พื้นที่ที่ เหลืออื่นๆ เปนที่ปาตนน้ําลําธาร และที่สาธารณประโยชน 2.2.2 การใชที่ดิน พื้นที่ยอย 2T ในลุมน้ํากก มีการใชที่ดินทํานาถึง 0.82 ลานไรพื้นที่ที่เหลือเปนพื้นที่พืชไรในที่ดอนซึ่ง ประกอบดวย พืชเศรษฐกิจที่สําคัญ เชน ขาวโพด ถั่วลิสง ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ยาสูบ ไมผล และพืชผักตางๆ ไมผลที่ สําคัญ ประกอบ ดวยมะมวง ลําไย ลิ้นจี่ มะพราว มะขาม และกลวย พืชผักที่สําคัญมีกระเทียม หอมแดง ขิง พริก และผักกินใบตางๆ รวมทั้งไมผลเมืองหนาวและพืชผักเมืองหนาว ซึ่งเริ่มมีการนํามาปลูกในพื้นที่สําหรับในพื้นที่ 30
การบริหารจัดการระบบลุ่มน้ํา / ประสิทธิ์ หวานเสร็จ
ลุมน้ําอิงมีลักษณะคลายคลึงกันคือ กลาวคือ มีพื้นที่ปลูกขาวถึง 1.31 ลานไรที่เหลือเปนพื้นที่พืชไร และปาไมใน ลักษณะ ตางๆ ซึ่งมีความลาดชันอยูในพื้นที่ลาดชันเชิงซอน และมีความซับซอนของสภาพภูมิประเทศสูง พื้นที่ยอย 3T 5T-1 และ 5T-2 ลักษณะการใชที่ดิน 105.5 ลานไรของภาคตะวันออกเฉียงเหนือในปจจุบัน ประกอบดวยพื้นที่ชุมชนและเมือง ประมาณ 5.0 ลานไร พื้นที่ปา 13.1 ลานไร พื้นที่ชลประทาน 4.9 ลานไร พื้นที่ ชนบทประมาณ 60.0 ลานไร พื้นที่ภูเขา ถนน และที่เหลือเพื่อการอื่นๆ ประมาณ 20.8 ลานไร พื้นที่ยอยกลุมนี้มี ผลผลิตขาวมากที่สุดของประเทศคือประมาณ 9.6 ลานตัน คิดเปน 37.1% ของประเทศแตผลผลิตตอไรเพียง ประมาณ 300 กิโลกรัมตอไรเทานั้น เมื่อเทียบกับภาคกลางที่ผลิตไดประมาณ 500 กิโลกรัม ตอไรจึงนับวาต่ําอยู มาก บริเวณที่มีการเพาะปลูกขาวกันมากคือ พื้นที่ยอย 5T-2 (อีสานตอนลาง) คิดเปนประมาณ 40% ของการ เพาะปลูกในภาค ไดแก อุบลราชธานี (3.4 ลานไร) นครราชสีมา (3.2 ลานไร) บุรีรัมย (2.7 ลานไร) และ ศรีสะเกษ (2.3 ลานไร) พื้นที่ยอย 9T การใชประโยชนที่ดินในพื้นที่ยอยในเขตลุมน้ําโตนเลสาบพบวาสวนใหญเปนพื้นที่ปาไม คือ ประมาณ 1.0 ลานไร (47.6% ของพื้นที่ทั้งหมด) สวนใหญจะอยูบริเวณตนน้ํารองลงมาคือพื้นที่การเกษตร ซึ่งอยูบริเวณที่ราบสองฝงลําน้ํามีประมาณ 0.9 ลานไร (42.7%) พื้นที่อยูอาศัยประมาณ 0.082 ลานไร (3.9%) และที่เหลือคือแหลงน้ําและที่สาธารณประโยชนอื่นๆ พืชที่ปลูกกันมากในสวนของพื้นที่ลุมน้ําโตนเลสาบนี้คือ พืชไร และขาว กลาวคือเปนพื้นที่ปลูกพืชไร 47% ของพื้นที่การเกษตรทั้งหมด สวนใหญอยูบริเวณที่ราบแต หางไกลแหลงน้ํา เชน ในเขตอําเภอโปงน้ํารอนและเขาสอยดาว จังหวัดจันทบุรีสําหรับพื้นที่ปลูกขาวมีประมาณ 45.0% อยูบริเวณที่ราบลุมตอนบนของลุมน้ํา เชน ที่หวยตะเคียน และหวยพรหมโหด พื้นที่การเกษตรที่เหลือ ทั่วไปใชปลูกไมผลไมยืนตน 2.3 ทรัพยากรน้ํา 2.3.1 น้ําบนดิน พื้นที่ยอย 2T ปริมาณน้ําทาเฉลี่ยของ 2 ลุมน้ําหลักคือลุมน้ํากก และลุุมน้ําอิง เทากับ 5,200 ลาน ลบ.ม./ป และ 2,350 ลาน ลบ.ม./ปตามลําดับ พื้นที่ยอย 3T 5T-1 และ 5T-2 ปริมาณน้ําทาที่ไหลผานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีทั้งสิ้นประมาณ 61,513 ลานลบ.ม. ตอปโดยมาจาก ลุมน้ําประธาน 3 ลุมน้ํา ไดแก (1) ลุมน้ําโขงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มี ปริมาณน้ําทาเฉลี่ย 30,769 ลานลูกบาศกเมตร ตอป (2) ลุุมน้ํามูล ปริมาณน้ําทา 19,500 ลาน ลุมน้ําชีปริมาณน้ํา ทาเฉลี่ย 11,244 ลานลูกบาศกเมตรตอปและ (3) ลูกบาศกเมตรตอป พื้นที่ยอย 9T พื้นที่ยอยในเขตลุมน้ําโตนเลสาบมีปริมาณน้ําทาตามธรรมชาติรายปเฉลี่ยทั้งหมด 2,394 ลานลบ.ม. โดย เปนปริมาณน้ําทาเฉลี่ยในชวงฤดูฝน คิดเปนรอยละ 83.65 ของปริมาณน้ําทารายปเฉลี่ย และคิด เปนปริมาณน้ําทา รายปเฉลี่ยตอหนวยพื้นที่รับน้ําฝนเทากับ 18.30 ลิตร/วินาที/ตร.กม.
31
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการขนาดใหญ่
2.3.2 น้ําใตดิน ทรัพยากรน้ําใตดินในพื้นที่ลุมน้ําโขงในประเทศไทยมีอยูมาก และมีการนํามาใชประโยชนโดยเฉพาะ เพื่อ การอุปโภค บริโภค และการอุตสาหกรรม อยูบางในหลายพื้นที่ ตัวอยางเชน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไดมี การเจาะสํารวจเพื่อศึกษาปริมาณของน้ําใตดินที่สามารถนําเพื่อเปนแหลงน้ําดื่ม น้ําใชใหแกราษฎรในเขต ชนบท ตั้งแตป พ.ศ. 2495 โดยมีหลายหนวยงานรวมดําเนินงานทั้งที่เปนหนวยราชการและสถาบันนานาชาติ หลังจากนั้น กลาวคือ ตั้งแตป พ.ศ. 2498 เปนตนมา รัฐบาลไดสนับสนุนใหมีการพัฒนาแหลงน้ําใตดินมาใชเพื่ออุปโภคบริโภค ได อยางไรก็ตามการนําน้ําใตดินมาใชในระบบชลประทานยังอยูในขอบเขตจํากัด เนื่องจากมีศักยภาพในการพัฒนา คอนขางต่ํา ทั้งในดานของปริมาณและคุณภาพน้ํา 2.4 ทรัพยากรปาไม ทรัพยากรปาไมของลุมน้ําโขงในประเทศไทยมีคอนขางสมบูรณในพื้นที่ยอย 2T และ 9T แตเปนปญหา สําคัญของพื้นที่ยอย 3T และ 5T โดยรวม ปาไมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือไดลดลงอยางมากในชวงเวลา 4 ทศวรรษที่ผานมา กลาวคือ ในปพ.ศ. 2503 พื้นที่ปาไมในภาคนี้มีอยูถึง 44.3 ลานไร หรือรอยละ 42 ของพื้นที่ภาค แตไดลดลงเหลือเพียง 13.1 ลานไร ในปจจุบัน คิดเปนรอยละ 12.4 ของพื้นที่ภาคเทานั้น ทั้งนี้มาจากสาเหตุการ ลักลอบตัดไมและการถางปาบุกรุกพื้นที่เพื่อทําการเกษตร เปนสําคัญ 2.5 สภาพทางเศรษฐกิจและสังคม สภาพสังคมของประชาชนสวนใหญที่อาศัยอยูในพื้นที่ลุมน้ําโขงของประเทศไทย เปนสังคมชนบทหรือ สังคมเกษตรกรรม อาศัยน้ําฝนตามธรรมชาติทําการเกษตรเปนสําคัญ โดยมากจะอยูรวมกันเปนกลุมตามหมูบาน ตางๆ มีความรักสงบและรักษาจารีตประเพณีดั้งเดิม แตเนื่องจากปญหาการขาดความรูความเขาใจที่เพียงพอ เกี่ยวกับการอนุรักษดินและน้ํา ประกอบสภาพทรัพยากรธรรมชาติ เชน ดินและน้ําที่ไมเอื้ออํานวยตอการทํา การเกษตร (ดังที่กลาวถึงแลวเปนบางสวนขางตน) ทําใหพื้นที่ฯยังยากจนมากกวาพื้นที่อื่น ๆโดยทั่วไป พิจารณาขอมูลป พ.ศ. 2544 ของพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (พื้นที่ยอย 3T และ 5T) เปนตัวอยาง พบวา มีประชากรทั้งสิ้น 21.5 ลานคน ความหนาแนนคิดเปน 127.3 คนตอ ตร.กม. แบงเปนประชากรวัยเด็ก 5.5 ลานคน วัยแรงงานจํานวน 14.2 ลานคน และวัยสูงอายุ 1.8 ลานคน คิดเปนรอยละ 25.6, 66.0 และ 8.4 ของ ประชากรภาค ตามลําดับ รอยละ 83.2 ของประชากรทั้งหมด (17.9 ลานคน) อาศัยอยูในเขตชนบทในจํานวนนี้ เปนประชากรที่ถูกจัดวายากจนถึง 5.2 ลานคน คิดเปนรอยละ 24.2 ของประชากรในภาค พิจารณารายไดเฉลี่ยของ ชาวชนบทในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพียงประมาณ 5,000 บาท ตอคน ตอป (ขอมูลป พ.ศ. 2541) ซึ่งต่ํากวา รายไดเฉลี่ยของประเทศ ดานแรงงาน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีกําลังแรงงาน ทั้งหมด 11.1 ลานคน ในจํานวนนี้รอยละ 61.3 (หรือ 6.8 ลานคน) ทํางานอยูในภาคการเกษตร การอพยพของแรงงานในชนบทเพื่อไปทํางานนอกภาค โดยเฉพาะ กรุงเทพฯ ยังคงมีมาก สวนใหญไปประกอบอาชีพที่ใชแรงงาน ทําใหเกิดปญหาชุมชนแออัดในเมืองและอื่นๆ การศึกษาของประชากรสวนใหญจบระดับประถมศึกษา โดยเฉพาะประชากรวัยแรงงานอยูในระบบ โรงเรียนเฉลี่ย เพียง 6.3 ป 32
การบริหารจัดการระบบลุ่มน้ํา / ประสิทธิ์ หวานเสร็จ
เศรษฐกิจของภาคตะวันออกเฉียงเหนือขึ้นอยูกับการผลิต 4 สาขาหลัก ไดแก สาขาการเกษตร สาขา การคา อุตสาหกรรมและบริการ ขอมูลป พ.ศ. 2545 ระบุวา มูลคาผลผลิตภัณฑรวมของภาคจากทั้งสี่สาขาเปนดังนี้ สาขา การเกษตร 1.15 แสนลานบาท สาขาการคา 1.23 แสนลานบาท สาขาอุตสาหกรรม 1.05 แสนลานบาท และ สาขา บริการ 1.19 แสนลานบาท การผลิตภาคอุตสาหกรรมมาจากอุตสาหกรรมประเภทอาหารและเครื่องดื่ม รองลงมาเปนอุตสาหกรรม ประเภทเครื่องจักร อุปกรณขนสง และอุปกรณไฟฟา ตามลําดับ จํานวนโรงงานสวนใหญเปนโรงงานแปรรูปผลผลิต การเกษตรประเภทอาหารและเครื่องดื่ม อาทิ โรงสีขาว โรงงาน แปงมันสําปะหลังและมันอัดเม็ด กวยเตี๋ยวและ โรงงานน้ํ า ตาล เกื อ บทั้ ง หมดของโรงงานในภาคน้ํ า (97.7%) เป น โรงงานขนาดเล็ ก ที่ มี เ งิ น ลงทุ น ไม เ กิ น 10 ลานบาท โรงงานขนาดกลางที่มีเงินลงทุนไมเกิน 100 ลานบาท มีสัดสวนเพียง 2.1% ที่เหลือเปนโรงงานขนาดใหญ ที่มีเงิน ลงทุนเกิน 100 ลานบาท ซึ่งสวนใหญตั้งอยูในเขตจังหวัดนครราชสีมา ขอนแกน อุดรธานี อุบลราชธานี สุรินทร และรอยเอ็ด การคาชายแดนระหวางไทยกับ สปป.ลาวในปพ.ศ. 2545 มีจํานวน 19,006.6 ลานบาท แบงเปนมูลคา การสง ออกจํานวน 15,260.8 ลานบาท และนําเขาจํานวน 3,745.8 ลานบาท สินคาออกที่สําคัญ ไดแก สินคา อุปโภค บริโภค เครื่องใชไฟฟา น้ํามันเชื้อเพลิง รถยนต จักรยานยนต อะไหล และวัสดุกอสราง สําหรับสินคานําเขา ไดแก ไมแปรรูป สินแรโลหะและเศษโลหะ การคากับกัมพูชาผานทางดานจังหวัดสุรินทรและศรีสะเกษ มีมูลคา 315.5 ลานบาท (ขอมูลป 2545 เชนเดียวกัน) เปนการสงออก 295.0 ลานบาท และนําเขา 20.5 ลานบาท สินคาสงออกที่ สําคัญ ไดแก สินคา อุตสาหกรรม การเกษตร ยานพาหนะและอุปกรณ น้ํามันเชื้อเพลิง วัสดุกอสราง เครื่องดื่ม และ ของใชประจําวัน ด า นการท อ งเที่ ย วและบริ ก ารกล า วได ว า มี ค วามสํา คั ญ มากยิ่ ง ขึ้ น เรื่ อ ยๆแหล ง ท อ งเที่ ย วของภาค ตะวันออกเฉียงเหนือมีเอกลักษณเฉพาะตัว ไดแก การทองเที่ยวเกีย่ วกับอารยธรรมโบราณ เชน ปราสาทหินพิมาย ปราสาทหินพนมรุง และบานเชียง เปนตน สวนแหลงทองเที่ยวดานธรรมชาติ ไดแก อุทยานแหงชาติเขาใหญ ภูหลวง ภูเรือ ภูกระดึง ดานศิลปวัฒนธรรม ไดแก ประเพณีแหเทียนพรรษา และบุญบั้งไฟ นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมโยง กั บ แหล ง ท อ งเที่ ย วของกลุ ม ประเทศในอนุ ภ าคลุ ม แม น้ํา โขง ข อ มู ล ป พ .ศ. 2544 ระบุ ว ามี ผู ม าเยื อ น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจํานวนถึง13.6 ลานคน แยกเปนนักทองเที่ยว 8.6 ลานคน และนักทัศนาจร 5 ลานคน ในจํานวนนี้เปนชาวตางประเทศ จํานวน 6.8 แสนคน คิดเปนรอยละ 5.0 ของผูมาเยี่ยมเยือน รายไดจากการทอง เที่ยวประมาณ 19,678 ลานบาท การขยายตัวของสาขาบริการ เปนผลมาจากการขยายตัวของการทองเที่ยวเปนสําคัญ ทําใหธุรกิจดาน โรงแรม ภัตตาคาร และการบริการอื่น ๆ ขยายตัวขึ้น โดยเฉพาะในจังหวัดหลักของภาค เชน นครราชสีมา ขอนแกน อุดรธานี และอุบลราชธานี เปนตน
33
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการขนาดใหญ่
3.การบริหารจัดการลุมแมน้ําโขงตอนลางในสวนของประเทศไทยและคณะกรรมการลุมน้ํา 3.1 การบริหารจัดการระบบลุมน้ํา คณะกรรมาธิการแมน้ําโขงไดกําหนดแผนงานในการดําเนินการ เพื่อนําไปสูผลสําเร็จตามเจตนารมณของ ความตกลงความรวมมือ ค.ศ. 1995 ดังนี้ 1.แผนพัฒนาลุมน้ํา (Basin Development Plan, BDP) เพื่อจัดทําเครื่องมือและกระบวนการวางแผน (Planning Process) ในการกําหนดกรอบกลยุทธและโครงการพัฒนาตางๆ ภายใตพื้นที่ลุมน้ํา 2.แผนงานการใชน้ํา (Water Utilization Programe, WUP) เพื่อจัดทํากฎเกณฑการใชน้ําระหวางประเทศ สมาชิก 3.แผนงานสิ่งแวดลอม (Environment Programme, EP) เพื่อติดตามประเมินระบบนิเวศของลุมน้ํา 4.แผนงานการจัดการอุทกภัย (Flood Management and Mitigation Programme, FMMP) เพื่อบริหาร จัดการและบรรเทาอุทกภัยในลุมน้ําโขง 5.แผนงานดานประมง (Fisheries Programme) 6.แผนงานดานการเกษตร (Agriculture Irrigation and Forestry Programme) การชลประทาน และการ ปาไม 7.แผนงานการเดินเรือ (Navigation Programme) 8.แผนงานการทองเที่ยว (Tourism Programme) 9.แผนงานการจัดการความแหงแลง (Drougth Management) 10.แผนงานไฟฟาพลังน้ํา (Hydropower Programme) 11.แผนงานดานพัฒนาบุคลากรแบบบูรณาการ (Intergrated Capacity Building Programme, ICBP) เพื่อ ปรับปรุงศักยภาพของคณะกรรมาธิการแมน้ําโขงใหสามารถปฏิบตั ิงานตามพันธกิจ
34
การบริหารจัดการระบบลุ่มน้ํา / ประสิทธิ์ หวานเสร็จ
รูปที่ 1 การบริหารจัดการระบบลุมน้ําในสวนลุมแมน้ําโขงของประเทศไทย การบริหารจัดการระบบลุมน้ํ าในส วนลุ มแม น้ําโขงของประเทศไทย ได มีการดําเนินการคอ นขางเป น รูปธรรมชัดเจนโดยยึดกรอบขอตกลงวาดวยความรวมมือในการพัฒนาลุมแมน้ําโขงเมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2538 มีการจัดทําระบบฐานขอมูลลุมน้ํา มีการจัดตั้งคณะทํางานภายใตกรอบความรวมมือคณะกรรมาธิการลุมแมน้ําโขง มีพื้นที่นํารองการบริหารจัดการระบบลุมน้ํา สนับสนุนงบประมาณโดยคณะกรรมาธิการลุมแมน้ําโขงไดแก พื้นที่ 2T นํารองในลุมน้ําสาขาแมรองชาง พื้นที่ 3T นํารองในพื้นที่ลุมน้ําพุงและพื้นที่ 5T นํารองในลุมน้ําหวยสามหมอ โดยทั้ง 3 พื้นที่นํารองไดมีการแลกเปลี่ยนเรียนรูกับอีก 3 ประเทศเมื่อประมาณเดือนมีนาคม พ.ศ. 2552 นี้ 3.2 องคกรและกฎหมาย 3.2.1 องคกร (การปฏิรูปองคกรในป พ.ศ. 2545) กอนการปฏิบัติระบบราชการเดือนตุลาคม พ.ศ.2545 ประเทศไทยมีองคกรทํางานเกี่ยวของกับการจัดการ ทรัพยากรน้ําในดานตางๆ มีจํานวนถึง 9 กระทรวง รวมทุกกระทรวงแลวประกอบดวยหนวยงานระดับกรมและ รัฐวิสาหกิจเปนจํานวนหลายสิบหนวยงานดวยกัน หากวิเคราะหในเชิงการปฏิบัติงานของแตละหนวยงานที่สังกัด ตางกระทรวงกันนั้น ยอมตางคนตางทําโดยไมมีหนวยงานใดรับผิดชอบกําหนดทิศทางการบริหารจัดการใหเปน เอกภาพรวมได ตัวอยาง เชน การจัดการน้ําเพื่ออุปโภคบริโภค ดวยระบบประปา และการขุดบอน้ําบาดาล มี หนวยงานในหลายกระทรวงดําเนินการถึง 14 หนวยงาน แตกลับปรากฏวา ประชาชนตามชนบทจํานวนมากก็ยัง ขาดแคลนน้ําอุปโภคบริโภคในหนาแลงอยูทั่วไป สวนเมื่อพิจารณาถึงภารกิจในการแกไขปญหาอุทกภัยน้ําทวม รุนแรงกลับยังไมมีหนวยงานใดทําหนาที่รับผิดชอบเปนเจาภาพอยางจริงจังใด ดังนั้น องคการบริหารจัดการ ทรัพยากรน้ําที่มีอยูจํานวนมากมายไมสามารถทําหนาที่แกไขปญหาทรัพยากรน้ําที่มีใหสัมฤทธิ์ผลไดตามที่ควร
35
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการขนาดใหญ่
ในปจจุบันหลักจากการปฏิรูประบบราชการเดือนตุลาคม พ.ศ.2545 องคกรทําหนาที่เกี่ยวของกับการ จัดการทรัพยากรน้ําในดานตางๆ ก็ไดมีการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมทําใหลดภารกิจที่ซ้ําซอนของกรมที่สังกัด กระทรวงตางๆ โดยเฉพาะการการจัดหาน้ําเพื่อการอุปโภคและบริโภคแตก็ยังคงมีกระทรวงหนวยงานที่ทํางาน เกี่ยวกับทรัพยากรน้ําซึ่งประกอบดวย หนวยงานระดับกรมและรัฐวิสาหกิจเปนจํานวนมากกวาสิบหนวยงานเชนกัน ดังแสดงในตารางที่ 1 หากวิเคราะหในเชิงปฏิบัติงานแลวคาดวาจะยังไมมีความสอดคลองและประสานการบริหาร จัดการอยางมีเอกภาพเทาที่ควร เนื่องจากอยูตางกระทรวงกัน นอกจากนั้น หลักจากที่พระราชบัญญัติปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม พ.ศ.2545 ประกาศใชแลว ตาม พระราชบัญญัติกําหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอํานาจใหแกองคกรปกครองสวนทองถิ่น พ.ศ.2542 กําหนดให สวนราชการที่ทํางานเกี่ยวกับของกับการจัดการทรัพยากรน้ํา ตองถายโอนภารกิจในการจัดหาแหลงน้ําและงาน ซอมแซมปรับปรุงบํารุงรักษาใหองคกรปกครองสวนทองถิ่นดําเนินการ รูปแบบขององคกรที่เกี่ยวของกับการบริหารจัดการลุมน้ํา รูปแบบองคกรบริหารจัดการ ประกอบดวยหนวยงานในระดับตางๆ ดังแสดงในรูปที่ 2 แยก เปนองคกร ตางๆ ดังนี้
สัญลักษณ การกํากับดูแล การประสานงาน
รูปที่ 2 โครงสรางองคกรการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําของชาติ 1) องคกรในรูปแบบของระบบราชการ จากการประกาศการปฏิรูประบบราชการเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2545 ไดมีการจัดตั้งกระทรวงใหม ใหมีหนาที่บริหารจัดการทรัพยากรน้ํา และทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ ที่เกี่ยวของ 36
การบริหารจัดการระบบลุ่มน้ํา / ประสิทธิ์ หวานเสร็จ
กับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา ประกอบดวยหนวยงานระดับกรมใน 9 กระทรวง กรุงเทพมหานคร สํานักงาน คณะกรรมการวิจัยแหงชาติ และหนวยงานรัฐวิสาหกิจ ดังแสดงในตารางที่ 2 2) องคกรในรูปแบบของคณะกรรมการทําหนาที่การบริหารทรัพยากรน้ําของรัฐ การนําองคกรแบบ คณะกรรมการมาใช ใ นการบริ ห ารจั ด การทรั พ ยากรน้ํ า กล า วได ว า เป น ส ว นหนึ่ ง ของระบบประชาธิ ป ไตย คณะกรรมการประกอบดวยกลุมบุคคลซึ่งมีหนาที่เกี่ยวของกับทรัพยากรน้ําที่กําหนดขึ้นเพื่อใหดําเนินการบริหาร จัดการ การทํางานจะเปนการกระทําของกลุม มีการแลกเปลี่ยนความคิดระหวางกรรมการดวยกัน เปนรูปแบบที่ นํามาใชกันอยางกวางขวาง เมื่อมีการตั้งคณะกรรมการแลวควรกําหนดอํานาจหนาที่ของคณะกรรมการใหชัดเจน คุ ณ ลั ก ษณะของแต บุ ค คลจะต อ งเป น ข อ พิ จ ารณาเบื้ อ งต น ฉะนั้ น เวลาเลื อ กกรรมการควรคํ า นึ ง ถึ ง หน า ที่ คณะกรรมการดวย ควรกําหนดวิธีพิจารณาเพื่อใหมีการปฏิบัติที่รวดเร็ว การเลือกหรือการแตงตั้งประธานให ถูกตอง คณะกรรมการทํ า งานภายใต ก ระบวนการกลุ ม การพิ จ ารณาและการตั ด สิ น ของกลุ ม ซึ่ ง กลุ ม จะ ประกอบดวย ประสบการณของบุคลากรอยางกวางขวาง มีความชํานาญ เกิดจากการแลกเปลี่ยนความคิด ซึ่งจะ นํา ไปสู ค วามเข าใจที่ ก ระจ าง กลุม สามารถหลี ก เหลี่ ย งการใช อํ า นาจของบุ ค คลเดีย วตั ด สิ น ใจในป ญ หาสํ า คั ญ คณะกรรมการจะประกอบดวยตัวแทนของกลุมที่มีสวนไดสวนเสียอยูในการพิจารณาปญหาตางๆ จะทําใหเกิด การเรียนรูรวมกันในกลุมน้ํากระตุนสมาชิกกลุมใหเกิดการมีสวนรวมมากขึ้น และขอสําคัญสามารถหลีกเหลี่ยง การปฏิ บัติ ก ารที่ ไม ต อ งการได เนื่องจากอิ ท ธิพ ลของกลุ ม กอ ใหเ กิ ดอํ า นาจและพลั ง ในการดํา เนิน การมากขึ้ น การดําเนินการในรูปแบบคณะกรรมการตองใชเวลาและคาใชจายสูง จึงตองมีการพิจารณาดําเนินการการจัดเตรียม งบประมาณใหเพียงพอ ตารางที่ 2 หนวยงานของรัฐที่มีหนาที่เกี่ยวของการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา กระทรวง กรมทีท่ ํางานเกี่ยวของกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา 1.สํานักนายกรัฐมนตรี • สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติ • สํานักงบประมาณ • สํานักงานคณะกรรมการขาราชการพลเรือน 2.กระทรวงเกษตรและสหกรณ • สํานักงานปลัดกระทรวง • สํานักฝนหลวงและการบินเกษตร • กรมชลประทาน • กรมประมง • กรมพัฒนาที่ดิน • กรมสงเสริมสหกรณ • กรมสงเสริมการเกษตร • สํางานปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร 3.กระทรวงคมนาคม • กรมขนสงทางน้ําและพานิชยนาวี 37
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการขนาดใหญ่
กระทรวง 4.กระทรวงมหาดไทย
5.กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร 6.กระทรวงทรั พ ยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดลอม
7.กระทรวงอุตสาหกรรม 8.กระทรวงกลาโหม 9.กระทรวงพลังงาน 10.กรุงเทพมหานคร 11.สวนราชการอิสระ 12.รัฐวิสาหกิจ
กรมทีท่ ํางานเกี่ยวของกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา • กรมการปกครอง • กรมปองกันและบรรเทาสาธารณภัย • กรมโยธาธิการและผังเมือง • กรมอุตุนิยมวิทยา • • • • • • • • • • • • • • •
สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม กรมควบคุมมลพิษ กรมทรัพยากรน้ํา กรมทรัพยากรน้ําบาดาล กรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช กรมโรงงานอุตสาหกรรม หนวยบัญชาการทหารพัฒนา กองบัญชาการทหารสูงสุด กรมอุทกศาสตร กองทัพเรือ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษพลังงาน สํานักการระบายน้ํา สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแหงชาติ การไฟฟาฝายผลิตแหงประเทศไทย การประปานครหลวง การประปาสวนภูมิภาค การนิคมอุตสาหกรรมแหงประเทศไทย
สําหรับการแตงตั้งคณะทํางานลุมน้ําสาขา คณะทํางานระดับอําเภอ และคณะทํางานระดับตําบล จะเปน การสงเสริมการจัดตั้งองคกรจากระดับลางสุดคือระดับหมูบานขึ้นมาสูระดับสาขา ซึ่งองคประกอบขององคกรจะ ประกอบดวยสวนราชการ สวนการปกครองสวนทองถิ่น สวนประชาชน และสวนผูทรงคุณวุฒิหรือปราชญทองถิ่น หรือผูที่ไดรับการยอมรับจากชุมชน องคกรบริหารจัดการลุมน้ําในระดับตางๆ องคกรการบริหารจัดการน้ําแบงเปน 3 ระดับ คือ องคกรระดับชาติ องคกรระดับลุมน้ํา และองคกรระดับ พื้นที่ (รูปที่ 2) รวมจํานวนองคกรในระดับลุมน้ําและระดับพื้นที่ใน 25 ลุมน้ํา ดังนี้ 1) องคกรระดับชาติ ไดแก คณะกรรมการทรัพยากรน้ําแหงชาติ (กทช.) 1 คณะ จํานวน 35 คน เปน องคกรระดับชาติที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีวาดวยการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําแหงชาติ พ.ศ. 2550 มีนายกรัฐมนตรีเปนประธานและบุคคลซึ่งนายกรัฐมนตรีแตงตั้งเปนกรรมการประกอบดวย นายกรัฐมนตรี 1 คน ที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายใหเปนประธานกรรมการ รัฐมนตรี ปลัดกระทรวง อธิบดี หัวหนาสวนรัฐวิสาหกิจ 38
การบริหารจัดการระบบลุ่มน้ํา / ประสิทธิ์ หวานเสร็จ
ผูแทนองคกร ผูใชน้ําภาคสวนตางๆ นักวิชาการ ผูทรงคุณวุฒิ ผูแทนองคกรพัฒนาเอกชน ฯลฯ โดยมีอธิบดีกรม ทรัพยากรน้ําเปนกรรมการและเลขานุการ รองอธิบดีกรมทรัพยากรน้ําที่ไดรับมอบหมาย และผูอํานวยการสํานัก นโยบายและแผนทรัพยากรน้ําเปนผูชวยเลขานุการ 2) องคกรระดับลุมน้ํา ไดแก คณะกรรมการลุมน้ํา รวม 25 คณะ และคณะกรรมการลุมน้ําดานวิชาการ ดังนี้ (1) คณะกรรมการลุ ม น้ํ า ประกอบด ว ย 2 ส ว นหลั ก คื อ ภาคราชการและภาคเอกชน ซึ่ ง มี สั ด ส ว นที่ ใกลเคียงกัน • ผูแทนภาคสวนราชการที่เกีย่ วของในพื้นทีล่ ุมน้ําตามความจําเปนและเหมาะสม ไดแก • ขาราชการ และผูแทนรัฐวิสาหกิจ • ผูแทนภาคประชาชน ไดแก ผูแ ทนผูใชน้ําภาคเกษตรกรรม ผูแทนผูใชน้ําภาคอุตสาหกรรม/ธุรกิจ/ การทองเที่ยวและบริหาร ผูแทนองคกรปกครองสวนทองถิน่ (อบจ./อบต./เทศบาล) ผูแทน สถาบันการศึกษา/ผูทรงคุณวุฒิดานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม ผูแทนองคกรประชาชน/ องคกรพัฒนาเอกชน (NGOs) และผูแทนสถาบันการศึกษาในพื้นที่ลุมน้ํา (2) คณะกรรมการลุมน้ําดานวิชาการ คือ บุคคลที่คณะกรรมการลุมน้ําไดแตงตั้งขึ้นมาเพื่อหนาที่เฉพาะ ดานอาจจะมาจากกรรมการลุมน้ํา หรือจากบุคคลอื่นที่คณะกรรมการลุมน้ําเห็นเหมาะสม แตจะตองมี ผูแทนเกษตรกรระดับอําเภอเขามาเปนคณะทํางานแตละดาน ซึ่งคณะทํางานเฉพาะดาน ประกอบดวย คณะทํางานดานแผนบูรณาการลุมน้ํา ดานขอมูล และด านประชาสัม พันธและการมีสวนรวมของ ประชาชน หรือดานอื่นๆ ตามความจําเปน 3) องค ก ระดั บ พื้ น ที่ ได แ ก คณะกรรมการลุ ม น้ํ า ระดั บ จั ง หวั ด คณะทํ า งานระดั บ ลุ ม น้ํ า สาขา ซึ่ ง คณะทํางานระดับจังหวัด ระดับลุมน้ําสาขา ประกอบดวย ผูแทนหนวยราชการ ผูแทนกลุมผูใชน้ําภาคสวนตางๆ ไดแก ภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม พานิชยกรรม การทองเที่ยว ผูแทนองคกรปกครองสวนทองถิ่น (อบจ./อบต./ เทศบาล) ผูแทนสถาบันการศึกษา/ผูทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ องคกรพัฒนาเอกชนที่ไดรับการคัดสรรและแตงตั้งจาก คณะกรรมการลุมน้ําในจํานวนที่เหมาะสม ทั้งนี้ องคกรการบริหารจัดการลุมน้ํา โดยภาพรวมของทั้ง 25 ลุมน้ําจะมีความเชื่อมโยงกับกลุมเครือขาย ตางๆ ในชุมชน เชน กลุมเครือขายดูแลอนุรักษทรัพยากรน้ําระดับหมูบาน กลุมเครือขายเยาวชน นักเรียน กลุม เครือขายผูใชน้ําในโครงการตางๆ และกลุมเครือขายองคกรภาคประชาชน ซึ่งสวนใหญจะเปนกลุมองคกรผูใชน้ําใน โครงการตางๆ และกลุมเครือขายองคกรภาคประชาชน ซึ่งสวนใหญจะเปนกลุมองคกรผูใชน้ํา โดยแบงออกเปนสอง ประเภท คือ องคกรผูใชน้ําที่ไมมีสภาพนิติบุคคล และองคกรผูใชน้ําที่มีสภาพนิติบุคคล กลาวคือ • องคกรผูใชน้ําที่ไมมีสภาพนิติบุคคลนั้น ไมสามารถดําเนินกิจกรรมตางๆ ในนามตนเองเวนแตสมาชิก ขององคกรจะดําเนินการเปนสวนตัว
39
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการขนาดใหญ่
• องคกรผูใชน้ําที่มีสภาพนิติบุคคลนั้น ยอมสามารถดําเนินการตางๆ ไดในนามตนเองพรอมทั้งมีสิทธิ หนาที่และความรับผิดชอบของตนเองแยกตางหากจากสมาชิก องคกรผูใชน้ําดังกลาวอาจถูกตั้งขึ้นใน รูปแบบตางๆ ขึ้นอยูกับผูใชน้ําจะเห็นวารูปแบบใดเหมาะสมกับกลุมตนเอง บทบาทและอํานาจหนาที่ของคณะกรรมการลุมน้ํา คณะทํางานระดับพื้นที่ คณะกรรมการลุมน้ํา คณะทํางานระดับพื้นที่มีบทบาทอํานาจหนาที่ตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี วา ดวยการบริหารทรัพยากรน้ํา พ.ศ.2550 ดังนี้ (1) เสนอความเห็นตอ กทช. เกี่ยวกับการกําหนดนโยบายแผนงาน โครงการและแนวทางแกไขปญหาและ อุปสรรคในการพัฒนา การใช การอนุรักษ และการดําเนินการอื่นใดอันจําเปนเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากร น้ํา รวมทั้งการดําเนินงานใดๆ ของหนวยงานตางๆ ที่เกี่ยวของในพื้นที่ลุมน้ํา (2) จัดทําแผนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําในพื้นที่ลุมน้ํา (3) ประสานการจัดทําแผนปฏิบัติการของสวนราชการตางๆ ที่เกี่ยวของในพื้นที่ลุมน้ําใหเปนไปตาม แผนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําในพื้นที่ลุมน้ํา (4) ใหความเห็นชอบแผนงานงบประมาณในเชิงบูรณาการ “การบริหารจัดการทรัพยากรน้ําทั้งระบบ” พิจารณาจัดลําดับความสําคัญพรอมกําหนดปริมาณการใชน้ําและมาตรการเพื่อใหการจัดสรรน้ําดําเนินไปโดยความ เหมาะสมเปนธรรมและมีประสิทธิภาพ (5) ติดตามและประเมินผล การปฏิบัติงานของหนวยงานตางๆ ที่เกี่ยวของกับทรัพยากรน้ําในพื้นที่ลุมน้ํา (6) ขอเอกสารขอมูลและขอเท็จจริงตางๆ เกี่ยวกับทรัพยากรน้ําเพื่อรวบรวมสถิติ ขอมูล ความคิดเห็น ขอเสนอแนะตางๆ เกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา การพัฒนาและอนุรักษแหลงน้ํา การปองกัน แกไขการ ขาดแคลนน้ํา ปญหาน้ําทวม และการดูแลแกไขคุณภาพน้ําในพื้นที่ลุมน้ํา 3.2.2. กฎหมาย กฎหมายที่เกี่ยวของกับดานทรัพยากรน้ําทั้งดานการใชและอนุรักษทรัพยากรน้ํามีอยูอยางกระจัดกระจาย กฎหมายบางฉบับเกี่ยวของกับเรื่อ งน้ําโดยตรง แตบางฉบับไมคอยเกี่ยวของมากนัก จึงทําใหเกิดปญหาและ อุปสรรคทางกฎหมาย เปนเหตุใหการจัดการทรัพยากรน้ําไมบรรลุความสําเร็จตามเปาหมายเทาที่ควร นอกจากนั้น การที่มีหนวยงานจํานวนมากทํางานเกี่ยวของกับทรัพยากรน้ําหนวยตางๆ ก็จะมีกฎหมายที่ใหอํานาจในการ ดําเนินงานไวมีสภาพแตกตางกันบาง คลายกันบางอยูในกฎหมายตางฉบับกัน ซึ่งการบังคับใชกฎหมายและวิธีการ ปฏิบัติอาจมีความแตกตาง อีกทั้งกฎหมายบางฉบับใชมานาน ขาดการพิจารณาปรับปรุงแกไขทําใหมีความทันสมัย เหมาะสมกับสภาพแวดลอมขอเท็จจริงที่เปลี่ยนแปลงไปอยางมากในปจจุบัน และที่คาดวาจะเกิดขึ้นในอนาคต กฎหมายที่เกี่ยวของกับทรัพยากรน้ําในปจจุบัน พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ที่เกี่ยวของกับทรัพยากรน้ําสามารถแยกออกไดวา เปนกฎหมายทั่วไปและ กฎหมายเฉพาะ ดังแสดงในตารางที่ 2 และสามารถจําแนกตามกิจกรรมหลักในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา ได ดังนี้ • การพัฒนาและการอนุรักษทรัพยากรน้ํา • การจัดสรรทรัพยากรน้ํา 40
การบริหารจัดการระบบลุ่มน้ํา / ประสิทธิ์ หวานเสร็จ
• การปองกันแกไขปญหาอุทกภัย • การปองกันและแกไขปญหามลพิษทางน้ํา จากการที่มีหนวยงานจํานวนมากทํางานเกี่ยวของกับทรัพยากรน้ําและมีอํานาจในการดําเนินงานในสภาพ ที่คลายคลึงกันบางแตกตางกันบาง อยูในกฎหมายตางฉบับกัน ทําใหมีการบังคับใชกฎหมายและวิธีการปฏิบัติอาจ มีความแตกตางกัน กอใหเกิดปญหาในทางปฏิบัติ อีกทั้งกฎหมายบางฉบับใชมานานไมมีความทันสมัยและไม สอดคลองกับสถานการณที่เปลี่ยนแปลงไปอยางมากในปจจุบัน กอใหเกิดปญหาในความเทาเทียมและเสมอภาคใน สังคม ทําใหจําเปนตองมีการปรับปรุงกฎหมายที่มีอยูใหมีความสอดคลองกัน กฎหมายที่มีอยูไมครอบคลุมใหมีการจัดการน้ําไดอยางมีประสิทธิภาพ กฎหมายเกี่ยวกับทรัพยากรน้ําในปจจุบันมีหลายฉบับ และกลาวถึงทรัพยากรน้ําในหลายประเด็นไดกลาว แลว ประเด็นสําคัญที่มีอยูในหลายกฎหมาย และยังไมครอบคลุมใหการจัดการน้ําไดอยางมีประสิทธิภาพ ไดแก (1) สิทธิในการใชน้ํา น้ําที่อยูในแมน้ําลําคลองทั่วไปนั้นเปนสาธารณสมบัติของแผนดินประเภทหนึ่งเพราะ น้ําที่อยูในทางน้ํายอมมีไวสําหรับพลเมืองใชรวมกัน ผลทางกฎหมายที่ตามมาก็คือทุกคนมีสิทธิใชน้ําในแมน้ํา ลําคลองทั่วไป ไมมีความแตกตางกันวาเปน ผูใชน้ําภาคเอกชน หนวยราชการ หนวยงานของรัฐไมมีอํานาจในการ สั่งหามมิใหประชาชนใชน้ําจากทางน้ํา เพราะทุกคนมีสิทธิในการใชน้ําเทาเทียมกัน เพราะขณะที่มีการตรากฎหมาย นั้น ประชากรมีจํานวนไมมาก น้ํามีปริมาณเหลือใชไมตองควบคุมการใชน้ําอยางเขมงวดนัก (2) มลพิ ษ ทางน้ํ า ป ญ หามลพิ ษ ทางน้ํ า มิ ไ ด อ ยู ใ นความรั บ ผิ ด ชอบของกรมควบคุ ม มลพิ ษ กระทรวง ทรัพยากรน้ําธรรมชาติและสิ่งแวดลอมเพียงหนวยงานเดียว มีหลายหนวยงานที่เกี่ยวของในทางปฏิบัตินั้นเมื่อ ปญหาใดอยูในความรับผิดชอบของหลายหนวยงาน มีแนวโนมวาปญหานั้นมิไดรับการแกไขอยางทันการณและ เหมาะสม เพราะคิดวาหนวยงานของตนเองมิใชผูรับผิดชอบหลัก (3) องคกร ในอดีตกอนการปฏิรูประบบราชการเมื่อป พ.ศ.2545 มีหนวยงานระดับชาติหลายหนวยงานที่ มีอํานาจหนาที่เกี่ยวของกับการพัฒนา การบริหารจัดการและการอนุรักษทรัพยากรน้ํา แตในปจจุบันลดลงในสวนที่ เกี่ยวของกับการพัฒนา การบริหารจัดการและการอนุรักษทรัพยากรน้ํา แตในปจจุบันลดลงในสวนที่จะเกี่ยวกับ พระราชบัญญัติทรัพยากรน้ําจะมีเฉพาะในสวนขององคกรเพื่อการบริหารจัดการ ไดแก คณะกรรมการทรัพยากรน้ํา แหงชาติ คณะกรรมการลุมน้ํา คณะกรรมการลุมน้ํายอย โดยจะกําหนดใหในเรื่องขององคประกอบและอํานาจหนาที่ (4) การปองกันน้ําทวม โดยปกติการดําเนินการปองกันน้ําทวม ดําเนินการโดยหนวยงานทั้งสวนกลางและ สวนทองถิ่น โดยอาศัยมาตรการตามที่ตนเองเห็นสมควร เชน การสรางคันกั้นน้ําเขาสูพื้นที่ การขุดขยายคลองเพิ่ม การระบายน้ํา แตสิ่งที่เปนปญหา คือ การประสานงานของหนวยงานตางๆ ในการปองกันน้ําทวม เนื่องจากไมมี หนวยงานใดรับชอบโดยตรง ดังนั้นควรจะมีการมอบหมายใหหนวยงาน เชน กรมชลประทาน หรือกรมทรัพยากร น้ํารับผิดชอบและเปนหนวยงานในการประสานงาน (5) การพัฒนาอนุรักษแหลงน้ํา มีกฎหมายหลายฉบับและอยูในความรับผิดชอบของหลายหนวยงาน แมวาจะมีกฎหมายหลายฉบับที่เกี่ยวกับการพัฒนาและอนุรักษแหลงน้ํา แตมิได หมายความวา การพัฒนาแหลงน้ํา จะดําเนินการไปอยางเหมาะสมและแหลงน้ําจะไดรับการคุมครองอยางพอเพียงเสมอไป ดวยเหตุนี้จึงตองมีปรับปรุง กฎหมายและองคกรที่เกี่ยวของกับการพัฒนาและอนุรักษแหลงน้ําใหมีความสอดคลองกันในดานบทบาทหนาที่ใน การพัฒนาเพื่อใหมีการอนุรักษแหลงน้ําไดอยางมีประสิทธิผล (6) ปรับปรุงแกไข กฎหมายที่เกี่ยวของทรัพยากรน้ําใหสอดคลองกับพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ํา 41
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการขนาดใหญ่
ตารางที่ 3 กฎหมายที่เกี่ยวของกับทรัพยากรน้ํา ลําดับ กฎหมาย วัตถุประสงคที่เกี่ยวกับทรัพยากรน้ํา 1 พ.ร.บ.รักษาคลอง ร.ศ.121 - การใชน้ําเพื่อการอุปโภคบริโภค - การใชน้ําเพื่อการเกษตร - การใชน้ําเพื่อการคมนาคม - การควบคุมมลพิษทางน้ํา 2 พ.ร.บ.สําหรับกําจัดผักตบชวา - การใชน้ําเพื่อการอุปโภคบริโภค พ.ศ.2456 - การควบคุมมลพิษทางน้ํา 3 พ.ร.บ.การเดินเรือในนานน้ําไทย - การปองกันอุทกภัย พ.ศ.2456 - การใชน้ําเพื่อการคมนาคม 4 พ.ร.บ.ลั ก ษณะการปกครอง - การควบคุมมลพิษทางน้ํา ทองที่พ.ศ.2457 - การปองกันอุทกภัย - การใชน้ําเพื่อการอุปโภคบริโภค - การอนุรักษพันธุสัตวน้ํา 5 พ.ร.บ.เรือไทย พ.ศ.2481 - การใชน้ําเพื่อการคมนาคม 6 7
8
9
10 11
12
- การใชน้ําเพื่อการอุปโภคบริโภค - การใชน้ําเพื่อการเกษตร - การใชน้ําเพื่อการอุปโภคบริโภค - การใชน้ําเพื่อการเกษตร - การใชน้ําเพื่อการผลิตพลังงาน - การใชน้ําเพื่อการคมนาคม - การควบคุมมลพิษทางน้ํา โดยทั่วไปและภาคอุตสาหกรรม พ.ร.บ.การประมง พ.ศ.2490 - การใชน้ําเพื่อการประมง - การรักษาปริมาณน้ํา - การรักษาสิ่งแวดลอมทางน้ํา - การใชน้ําเพื่อการคมนาคม พ.ร.บ.การท า เรื อ แห ง ประเทศ - การใชน้ําเพื่อการคมนาคม ไทยพ.ศ.2494 โดยเฉพาะการจราจรและ การขนสงในทองที่เฉพาะ พ.ร.บ.สุขาภิบาล พ.ศ.2495 - การใชน้ําเพื่อการอุปโภคบริโภค - การใชน้ําเพื่อการคมนาคม พ.ร.บ.เทศบาล พ.ศ.2496 - การใชน้ําเพื่อการอุปโภคบริโภค - การใชน้ําเพื่อการคมนาคม พ.ร.บ.การชลประทานราษฎร พ.ศ.2482 พ.ร.บ.การชลประทานหลวง พ.ศ.2485
ประกาศของคณะปฏิ วั ติ ฉ บั บ ที่ - การใชน้ําเพื่อการคมนาคม 42
พื้นที่บังคับใช ทางน้ํ า ลํ า คลอง ลํ า คู ทั่วไป
ทางน้ํา ลําคลอง ทั่วไป นานน้ําไทย คลอง แมน้ํา บึง อางเก็บน้ํา ทะเลสาบ หมูบาน ตําบล อําเภอ
นานน้ําไทย เขตพื้นที่ชลประทาน ทางน้ํา แหลงน้ําที่ราษฎร จัดทําขึ้น เขตพื้นที่ชลประทาน
แมน้ํา ลําคลองทั่วไป
เขตการทาเรือ
เขตสุขาภิบาล เทศบาล (เทศบาลตํ าบล เทศบาลเมื อ ง เทศบาล นคร) แมน้ําลําคลอง
การบริหารจัดการระบบลุ่มน้ํา / ประสิทธิ์ หวานเสร็จ
ลําดับ 13 14 15
กฎหมาย 68 เรื่องการควบคุมการจอดเรือ พ.ร.บ.อุ ท ยานแห ง ชาติ พ.ศ. 2504 พ.ร.บ.คันและคูน้ํา พ.ศ.2505 พ.ร.บ.ป า สงวนแห ง ชาติ พ.ศ. 2507
วัตถุประสงคที่เกี่ยวกับทรัพยากรน้ํา - การรักษาสิ่งแวดลอมทางน้ํา - การควบคุมมลพิษทางน้ํา - การใชน้ําเพื่อการเกษตร - การรักษาสิ่งแวดลอมทางน้ํา
พื้นที่บังคับใช เขตอุทยานแหงชาติ คันคูน้ํา เขตปาสงวนแหงชาติ
บทสรุป การบริหารจัดการระบบลุมน้ําเปนสวนหนึ่งการพัฒนาอยางยั่งยืน โดยยึดหลักความสัมพันธของมนุษยกับ ระบบนิเวศวิทยา ทั้งสองสวนนี้จะตองสงเสริมกันและกันโดยใชแนวทางความยังยืนเปนตัวกําหนด วัตถุประสงค การจัดการระบบลุมน้ํา เพื่อใหไดน้ําปริมาณที่เหมาะสม มีคุณภาพดีและมีระยะเวลาในการไหลตลอดทั้งปอยาง สม่ําเสมอ รวมทั้งสามารถควบคุมเสถียรภาพของดินและการใชทรัพยากรอื่นฯในพื้นที่นั้นดวย มีการประกาศเขต การใชประโยชนที่ดิน ใหมีเขตกิจกรรม เขตพัฒนาและเขตที่ตองสงวน โดยอาศัยมาตรการกําหนดชั้นคุณภาพ ลุมน้ําที่วางอยูบนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร การดําเนินการตองจัดการใหมีน้ําใชตลอดเวลา โดยมีปริมาณ คุณภาพ และชวงเวลาการไหลเหมาะสม การบริหารจัดการระบบลุมน้ําเปนการบริหารจัดการเพื่อใหมนุษยอยูรวมกันไดกับสิ่งแวดลอมอยางยั่งยืน ดังนั้นรัฐบาลซึ่งเปนผูบริหารประเทศจะตองกําหนดเปนนโยบายโดยมีกฎหมายคอยควบคุมและกํากับ มีกลไกใน การบริหารจัดการ มีคณะกรรมการทรัพยากรน้ําแหงชาติ ซึ่งจะเปนหนวยงานคอยควบคุมและกําหนดนโยบาย ระดับประเทศ มีคณะกรรมการลุมน้ํา 25 คณะคอยดูแลกํากับลุมน้ําของตนเอง นอกจากนี้ยังตองมีคณะอนุกรรมการ ลุมน้ํา คณะทํางานลุมน้ําสาขา คณะทํางานอื่นๆ และกลุมเครือขายตางๆ ตามความเหมาะสมของแตละลุมน้ํา จึงจะ สามารถบริหารจัดการเปนระบบลุมน้ําได ปจจุบันประเทศไทยยังประสบปญหาเกี่ยวกับทรัพยากรน้ําในดานตางๆ ไมวาจะเปนปญหาขาดแคลนน้ํา ปญหาน้ําทวมและปญหาน้ําเสีย ลวนแตเปนปญหาที่สรางความเสียหายและสงผลกระทบตอระบบเศรษฐกิจและ วิถีชีวิตของประชาชนเปนอยางมาก ในการพิจารณาแกไขปญหาดังกลาวไดแบงพื้นที่ประเทศไทยออกเปน 25 ลุมน้ําหลักและ 254 ลุมน้ําสาขา 5,000 ลุมน้ําสาขายอย คิดพื้นที่ลุมน้ํารวมทั้งประเทศประมาณ 514,017 ตร.กม. ซึ่งเปนพื้นที่ที่มีปริมาณน้ําฝนเฉลี่ยตลอดทั้งปประมาณ 1,573 มม. คิดเปนปริมาณน้ําฝนรวมในแตละป 775,539 ลาน ลบ.ม. โดยปริมาณน้ําทาหรือน้ําที่ไหลตามแมน้ําลําคลองเฉลี่ยตอป 213,353 ลาน ลบ.ม. เฉลี่ย ตอคนตอปเทากับ 3,457 ลบ.ม. สําหรับพื้นที่ลุมแมน้ําโขงที่อยูในสวนประเทศไทยมีทั้งหมด 188,645 ตร.กม. สามารถแบงพื้นที่ออกเปน 3 สวนไดแก สวนที่หนึ่งอยูในภาคเหนือเรียกพื้นที่ยอย 2T ครอบคลุมพื้นที่ลุมน้ํากก สวนหนึ่งของพื้นที่ลุมน้ําอิง และลุมน้ําโขงภาคเหนือ มีพื้นที่ประมาณ 18,859 ตร.กม. สวนที่สองอยูในภาคตะวันออกเฉียงเหนือไดแกพื้นที่ ยอย 3T อยูในเขตลุมน้ําโขงอีสานมีพื้นที่รวมกัน 46,460 ตร.กม. และพื้นที่ยอย 5T อยูในเขตลุมน้ําชีและลุมน้ํา 43
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการขนาดใหญ่
มูล โดยลุมน้ําชีมีพื้นที่ 49,476 ตร.กม. ลุมน้ํามูลมีพื้นที่ 69,700 ตร.กม. และสวนที่สามในภาคตะวันออกไดแก พื้นที่ยอย 9T อยูในเขตลุมน้ําโตนเลสาบมีพื้นที่ประมาณ 4,150 ตร.กม. การบริหารจัดการระบบลุมน้ําในสวนลุมน้ําโขงของประเทศไทย ไดมีการดําเนินการคอนขางเปนรูปธรรม โดยยึดกรอบขอตกลงวาดวยความรวมมือในการพัฒนาลุมน้ําแมโขงเมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2538 มีการจัดทํา ระบบฐานข อ มู ล ลุ ม น้ํ า มี ก ารจั ด ตั้ ง คณะทํ า งานภายใต ก รอบความร ว มมื อ คณะกรรมาธิ ก ารลุ ม แม น้ํ า โขงซึ่ ง คณะทํางานดังกลาวแตงตั้งโดยคณะกรรมการลุมน้ําตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีวาดวยการบริหารจัดการ ทรัพยากรน้ําแหงชาติ พ.ศ. 2550 มีพื้นที่นํารองการบริหารจัดการระบบลุมน้ํา แตการบริหารจัดการระบบลุมน้ําก็มี อุปสรรคหลายอยางที่จะตองรีบแกไขเชนการออกพ.ร.บ.น้ําหรือกฎหมายน้ําเพื่อใหเปนเครื่องมือกลไกในการบริหาร จัดการในระบบลุมน้ํา การพัฒนาระบบฐานขอมูลใหทันสมัยอยูเสมอและเปนที่ยอมรับของทุกหนวยงาน การเพิ่ม ศักยภาพคณะกรรมการลุมน้ํา คณะอนุกรรมการลุมน้ํา คณะทํางานลุมน้ําและเครือขายตางๆจะตองดําเนินการอยาง เขมขนและตอเนื่อง รัฐบาลตองสนับสนุนงบประมาณใหเพียงพอ องคกรลุมน้ําจะตองมีสวนรวมในการคิด กําหนด นโยบายและกําหนดโครงการในทุกขั้นตอน สวนราชการจะตองยอมรับประชาชนในพื้นที่เปนผูที่มีสวนไดสวนเสียที่ แทจริงไมใชมีแตสวนราชการเหมือนในอดีต
เอกสารอางอิง กรมทรัพยากรน้ํา, 2546. บันทึกกาวแรก พ.ศ. 2546. กรุงเทพฯ: บริษัท ดาวฤกษ จํากัด. กรมทรัพยากรน้ํา, 2547. การศึกษาศักยภาพของคณะทํางานในกรอบการพัฒนาลุมน้ําโขง ของประเทศไทยภายใตแผนงาน BDP. คณะทํางานภายใตกรอบความรวมมือลุมแมน้ําโขง, 2547. รายงานการศึกษาและวิเคราะหพื้นที่ยอย 2T. คณะอนุกรรมการลุมน้ําโขงสวนที่ 1 และ กก. คณะทํางานภายใตกรอบความรวมมือลุมแมน้ําโขง, 2547. รายงานการศึกษาและวิเคราะหพื้นที่ยอย 3T-1. คณะอนุกรรมการลุมน้ําโขงสวนที่ 2. คณะทํางานภายใตกรอบความรวมมือลุมแมน้ําโขง, 2547. รายงานการศึกษาและวิเคราะหพื้นที่ยอย 3T-2. คณะอนุกรรมการลุมน้ําโขงสวนที่ 3. คณะทํางานภายใตกรอบความรวมมือลุมแมน้ําโขง, 2547. รายงานการศึกษาและวิเคราะหพื้นที่ยอย 5T. คณะอนุกรรมการลุมน้ําชีตอนลาง และมูลตอนลาง. ประสิทธิ์ หวานเสร็จ, 2552. ประสิทธิภาพการจัดการน้ําโขงในสวนของประเทศไทยและคณะกรรมการลุม น้ํา. ขอนแกน: สํานักงานทรัพยากรน้ําภาค 4. 44
การบริหารจัดการระบบลุ่มน้ํา / ประสิทธิ์ หวานเสร็จ
ศิริพงศ หังสพฤกษ และคณะ, 2550. ระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีวาดวยการบริหารทรัพยากรน้ําแหงชาติ พ.ศ.2550. กรุงเทพฯ: กรมทรัพยากรน้ํา. สํานักสงเสริมและประสานมวลชน, 2546. กรมทรัพยากรน้ํากับการบริหารจัดการน้ําของประเทศไทย. สํานักสงเสริมและประสานมวลชน, 2551. การบริหารจัดการลุมน้ํา. สํานักงานเลขาธิการคณะกรรมการแมน้ําโขงแหงชาติไทย, 2547. ระดับประเทศ. กรุงเทพฯ: กรมทรัพยากรน้ํา.
45
รายงานภาพรวมสาขาการพัฒนาใน
บทที่ 5 การศึกษาแนวทางการผันน้ําโขงโดยแรงโนมถวงและศักยภาพ การพัฒนาเกษตรชลประทานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ฉวี วงศประสิทธิพร สํานักบริหารโครงการ กรมชลประทาน
บทคัดยอ พื้น ที่ อี ส านมี พื้ น ที่ ร าบทํ า การเกษตรประมาณเกื อ บครึ่ ง ของพื้ น ที่ เ กษตรของประเทศ และมี จํ า นวน ประชากรมากถึงประมาณ 37% ของจํานวนประชากรของประเทศไทย พื้นที่อีสานจึงมีศักยภาพดานการเกษตรสูง ทั้งในดานทรัพยากรที่ดินและมนุษย อยางไรก็ตาม การพัฒนาเกษตรกรรมมีขอจํากัดในดานปริมาณน้ํา แมวาพื้นที่ อีสานจะมีปริมาณฝนตกอยูในเกณฑเฉลี่ยของประเทศ แตก็มีปญหาฝนกระจายในพื้นที่ไมสม่ําเสมอ เกิดปญหาฝน ตกน อ ยและฝนทิ้ ง ช ว งนานในพื้ น ที่ ต น น้ํ าชี แ ละต น น้ํ า มู ล ซึ่ ง เป น พื้ น ที่ ที่ มี ภู มิ ป ระเทศเป น แหล ง เก็ บ กั ก น้ํ า และ ประชากรอยูอาศัยเปนจํานวนมาก ทําใหพื้นที่ดังกลาวกลายเปนพื้นที่วิกฤติเสี่ยงภัยแลง ดวยเหตุที่มีภูมิประเทศ ที่แบนราบทําใหขาดแหลงเก็บกักน้ํา ทําใหในฤดูฝนมีปญหาน้ําทวมหลาก และในฤดูแลงมีปญหาขาดแคลนน้ํา ทั่วไปในพื้นที่ เกษตรกรสามารถทําการเกษตรไดเฉพาะในฤดูฝน และปญหาฝนทิ้งชวงทําใหผลผลิตเกษตรตกต่ํา จะเห็นวารายไดเกษตรกรในอีสานอยูที่ระดับประมาณครึ่งหนึ่งของรายไดเฉลี่ยของประเทศเทานั้น ขณะที่เมื่อ เปรียบเทียบแลว พื้นที่เกษตรชลประทานจะมีผลผลิตขาวสูงกวาพื้นที่เกษตรน้ําฝนประมาณ 1.8-2 เทา ดังนั้นหาก มีการพัฒนาเกษตรน้ําฝนซึ่งมักประสบปญหาฝนทิ้งชวงใหกลายเปนพื้นที่เกษตรชลประทานมากขึ้น จะเปนการเพิ่ม ผลผลิตตอพื้นที่ไดมากขึ้นและลดความเสี่ยงของเกษตรกร ในปจจุบันพื้นที่เกษตรชลประทานในลุมน้ําชีและมูลได พัฒนาแลวประมาณ 10% (4.68 ลานไร) ของพื้นที่เกษตร จึงมีความจําเปนตองเรงรัดพัฒนาชลประทานในอีสานให มากขึ้น เพื่อยกระดับรายไดและลดปญหาชองวางระหวางรายได กรมชลประทานจึงไดศึกษาจัดทําแผนแมบทพัฒนาลุมน้ําชีและมูลโดยพิจารณาใชยุทธศาสตรที่เขมขนเพื่อ พัฒนาแหลงน้ําภายในลุมน้ําชีมูลใหไดเต็มศักยภาพสูงสุด ผลการศึกษาพบวาสามารถพัฒนาพื้นที่ชลประทานโดย ใชน้ําภายในลุมน้ําชีมูลไดอีกประมาณ 5.82 ลานไร รวมพื้นที่ชลประทานปจจุบันและอนาคตภายใตการพัฒนา ภายในลุมน้ําชีมูลประมาณ 10.5 ลานไร ( 25% ของพื้นที่เกษตร) ยังคงเหลือพื้นที่ 75% ที่ยังคงเปนพื้นที่เกษตร น้ําฝนที่ยังมีความเสี่ยงการขาดน้ําในชวงฝนทิ้งชวง จึงจําเปนตองพิจารณาแหลงน้ําอื่นเพิ่มเติม จึงไดพิจารณา ยุทธศาสตรพัฒนาน้ําระหวางประเทศเปนยุทธศาสตรเพิ่มเติม ในอดีตไดมีการศึกษาแนวทางผันน้ําโขงเปนน้ํา ตนทุนเขามาพัฒนาพื้นที่อีสานไวหลายรูปแบบซึ่งโดยมากเปนการสูบน้ําโขงเปนน้ําตนทุน อีกทั้งการกระจายน้ําเขา สูพื้นที่ชลประทานโดยมากเปนการสูบน้ํา ดวยขอจํากัดของคาพลังงานในการสูบน้ําซึ่งมีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ จึง จําเปนตองพิจารณาแนวทางที่ประหยัดพลังงานในการผันน้ําโขง กรมชลประทานไดรับเรื่องเสนอแนวความคิดเบื้องตนในการผันน้ําโขงดวยแรงโนมถวงจากมูลนิธิน้ําและ คุณภาพชีวิตในการผันน้ําโขงโดยแรงโนมถวงที่ปากน้ําเลย จึงไดทําการศึกษาความเหมาะสมเบื้องตนพบวามี ความเปนไปไดทางวิศวกรรมและมีความคุมทุนในการผันน้ําโขงโดยแรงโนมถวงที่ปากน้ําเลยผานอุโมงคมายังตน น้ําชี และสามารถพัฒนาระบบชลประทานทั้งแบบสงน้ําดวยแรงโนมถวงและสูบน้ําใหพื้นที่ลุมน้ําชีมูลทั้งตอนตนถึง
การศึกษาแนวทางการผันน้ําโขงโดยแรงโน้มถ่วงและศักยภาพการพัฒนาเกษตรชลประทานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ/ฉวี วงศ์ประสิทธิพร
ตอนทายของลุมน้ํา คาดวาจะสามารถพัฒนาพื้นที่ชลประทานในลุมน้ําชีและมูลไดประมาณ 15-18 ลานไร รวมพื้นที่ ชลประทานทั้งหมดที่จะพัฒนาไดประมาณ 68% โดยการผันน้ําโขงนี้นอกจากจะเปนการผันน้ําโขงโดยแรงโนมถวง แลว ยังสามารถกระจายน้ําโขงเขาสูพื้นที่ชลประทานโดยแรงโนมถวงผานคลองชลประทานที่ขุดขึ้นใหม ซึ่งโดย ปกติในอีสานมีขอจํากัดในการพัฒนาพื้นที่ชลประทานแบบแรงโนมถวง เนื่องจากพื้นที่แบนราบทําใหสวนมากตอง พัฒนาเปนระบบชลประทานแบบสูบน้ําเปนสวนใหญ ในประเด็นการใชน้ําโขงและประเทศเพื่อนบานนั้น ปจจุบันประเทศไทยยังมีสัดสวนการนําน้ําโขงมาใช ประโยชนนอยเมื่อเทียบกับปริมาณน้ําทาในไทยที่ไหลลงแมน้ําโขงและเมื่อเทียบการใชน้ําโขงของประเทศเพื่อน บาน ตามขอตกลงในการใชน้ํารวมกัน 4 ประเทศในลุมน้ําโขงตอนลาง การนําน้ําโขงมาใชเพื่อใชประโยชนในลุม น้ําโขงนั้นจะเปนการแจงใหทราบหรือหารือลวงหนาทั้งนี้ขึ้นกับใชน้ําโขงจากแมน้ําโขงโดยตรง หรือใชผานลําน้ํา สาขา และขึ้นกับฤดูกาล จึงไมใชขอจํากัดหรือขอหามในการนําน้ําโขงมาใชประโยชน แตเปนการสงเสริมใหพัฒนา ใชประโยชนอยางเปนธรรมและยั่งยืน สวนการพัฒนาเขื่อนในตนน้ําโขงของประเทศจีนนั้นเปนการพัฒนาเพื่อผลิต กระแสไฟฟา ซึ่งจะเก็บกักน้ําในฤดูฝนและระบายน้ํามาผลิตกระแสไฟฟาตลอดทั้งป มีผลทําใหอัตราการไหลใน แมน้ําโขงในฤดูฝนลดลงและเพิ่มขึ้นในฤดูแลง ซึ่งจะชวยลดปญหาน้ําทวมริมแมน้ําโขงในฤดูฝนสวนในฤดูแลงการมี ปริมาณน้ําระบายมากขึ้นก็จะชวยเหลือปญหาภัยแลงได ปริมาณการไหลมากเกินความตองการของแตละประเทศ
บทนํา บทความนี้อางอิงจากผลการศึกษาแผนแมบทการพัฒนาแหลงน้ําในลุมน้ํามูลและชีของกรมชลประทานป พ.ศ. 2551 ซึ่งไดพิจารณายุทธศาสตรการพัฒนาแหลงน้ําภายในประเทศใหเต็มศักยภาพกอนแลวจึงพัฒนาโดยใช น้ํ า ระหว า งประเทศ (แม น้ํ า โขง) ทั้ ง นี้ โดยได พิ จ ารณากลยุ ท ธพิ เ ศษและเข ม ข น กว า ปกติ เ พื่ อ พั ฒ นาแหล ง น้ํ า ภายในประเทศใหเกิดศักยภาพสูงที่สุด สวนการพัฒนาโดยใชน้ําระหวางประเทศนั้น ไดอางอิงจากผลการศึกษา ความเหมาะสมเบื้องตน (pre-feasibility study) ของรายงานวางโครงการผันน้ําโขงเลยชีมูลป พ.ศ.2551 โดยไดรับ แนวคิดเบื้องตนจากโครงการโขงชีมูล (เดิมของกรมพัฒนาและสงเสริมพลังงาน) และแนวความคิดเบื้องตนในการ ผัน น้ํ าโขงโดยแรงโน มถ ว งของมูล นิ ธิ น้ํา และคุ ณ ภาพชี วิต ตั วเลขที่แ สดงในเอกสารนี้ เ ปน เพีย งตั วเลขจากผล การศึกษาความเหมาะสมเบื้องตน ซึ่งกรมชลประทานจะดําเนินการศึกษาความเหมาะสมและผลกระทบสิ่งแวดลอม และผลกระทบดานสังคมตอไป ขอมูลเชิงตัวเลขอาจจะเปลี่ยนแปลงไปจากนี้
วัตถุประสงค การศึกษานี้มีวัตถุประสงคเพื่อทําการศึกษาศักยภาพและรูปแบบการผันน้ําโขงที่ประหยัดพลังงาน เพื่อ ผันน้ําโขงมาใชเทาที่จําเปนในพื้นที่ลุมน้ําชีและมูล โดยพิจารณาการผันน้ําโขงเปนปริมาณน้ําเพิ่มเติมจากการ พัฒนาแหลงน้ําภายในประเทศใหเต็มศักยภาพเสียกอนรวมทั้งการปรับปรุงประสิทธิภาพชลประทาน การพัฒนา ชลประทานขนาดเล็กและการขุดสระน้ําในไรนา ทั้งนี้พิจารณาการรูปแบบการเพาะปลูกที่ใชน้ํานอยและประหยัด โดยเฉพาะในฤดูแลง
ขอบเขตการศึกษาและวิธีการศึกษา ขอบเขตพื้นที่ศึกษาไดแก พื้นที่ลมุ น้ําโขง ชี มูล ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีการศึกษาศักยภาพ ปริ ม าณน้ําที่ จ ะผั น น้ํา รายวั น เป น ระยะเวลาประมาณ 13 ป ย อ นหลั ง โดยพิ จ ารณาให ค รอบคลุ ม ทั้ ง ป น้ํา มาก 47
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการขนาดใหญ่
น้ําปานกลาง และน้ํานอย โดยศึกษาสมดุล (water balance simulation) รายวันระหวางระดับน้ําโขง ที่อําเภอเชียง คาน และปริมาณความตองการน้ําทั้งดานเกษตร อุปโภคบริโภค อุตสาหกรรม และอื่นๆ
ผลการศึกษา 1. ทําไมอีสานจึงแลง เปนคํากลาวที่คุนเคยวาอีสานแลง และในขณะที่ฤดูฝนก็จะมีปญหาน้ําทวมเสมอในพื้นที่ริมแมน้ํา และจะ ไดยินคํากลาววา อีสานไมไดแลง ปริมาณฝนในอีสานมีมากพอ เพียงแตไมไดพัฒนาแหลงน้ําใหมีประสิทธิภาพ คํากลาวเหลานี้เปนความจริง แตเมื่อนํามาพิจารณาขอเท็จจริงรวมกัน จะพบวาอีสานพบกับปญหาน้ําทวมในฤดู ฝน และแลงจัดในฤดูแลง แมวาปริมาณฝนเฉลี่ยในภาคอีสานประมาณ 1,200 มิลลิเมตรตอปนั้น จะเทากับปริมาณ ฝนเฉลี่ยของประเทศไทย แตทําไมอีสานจึงประสบปญหาทวม และแลงมากกวาพื้นที่อื่นๆ สภาพภูมิประเทศเปนคําตอบที่สําคัญ ดวยเหตุที่อีสานเปนพื้นที่ราบสูง กลาวคือเปนพื้นที่แบนราบแตยกตัว สูงขึ้นทั้งผืนเมื่อเทียบกับพื้นที่ภาคกลาง ทําใหอีสานมีพื้นที่ที่จะเก็บกักน้ําไดนอย ในฤดูฝนที่มีปริมาณฝนตกหนัก ปริมาณน้ําจะหลากและบาเปนแนวกวาง และในฤดูแลงปริมาณน้ําก็นอยมาก เพราะไหลลงแมน้ําโขงเกือบทั้งหมด ยกตัวอยางเชน ลุมน้ําก่ํา ในฤดูฝนมีปญหาการน้ําทวมมากแตในฤดูแลงมีปริมาณน้ํานอยมากและเกือบแหง ใน สวนของแมน้ําชี บางครั้งปลายฤดูฝนก็เริ่มมีปญหาน้ําประปาแลว สวนในแมน้ํามูลยังมีฝายธรรมชาติ เชน แกง สะพือ และแกงตะนะ ซึ่งชวยรักษาปริมาณน้ําในลําน้ํามูลในฤดูแลงไวได นอกจากนี้ ปริมาณฝนเฉลี่ย 1,200 มิลลิเมตรตอปนั้น เมื่อพิจารณาเปนพื้นที่ พบวาปริมาณฝนกระจายไม สม่ําเสมอ (ดังรูปที่ 1) โดยปริมาณฝนจะมากสุดในพื้นที่จังหวัดหนองคาย นครพนม ประมาณ 3,000-4,000 มิลลิเมตร ขณะที่มุกดาหารและอุบลราชธานีประมาณ 1,800 มิลลิเมตร เนื่องจากไดรับฝนจากอิทธิพลมรสุมจาก อาวตังเกี๋ยผานชองเขาขาดตามเสนถนนหมายเลข 8 และหมายเลข 9 ระหวางประเทศลาวและเวียดนาม แตเมื่อ ถัดเขามาในพื้นที่ตอนกลาง เชน สุรินทร บุรีรัมย ปริมาณฝนจะลดลงเหลือประมาณ 1,400-1,600 มิลลิเมตร ในขณะที่เมื่อขยับถัดเขามายังตนน้ําชีและมูลที่ ชัยภูมิ หนองบัวลําภู นครราชสีมา ปริมาณฝนลดลงเหลือเพียง 800-1,000 มิลลิเมตรเทานั้น เนื่องจากอยูหางไกลจากอิทธิพลพายุจากอาวตังเกี๋ยและเปนเขตเงาฝนของลมมรสุม จากตะวันออกเฉียงใต ในทางกลับกัน พื้นที่ที่มีฝนตกนอยกลับมีสภาพภูมิประเทศที่จะสามารถสรางอางเก็บกักน้ําได เชน ตนน้ํา ชีและมูล ที่จังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิ จึงเกิดปญหาน้ํามักไมเต็มอาง สวนพื้นที่ปลายน้ํา ริมแมน้ําโขง เชน หนองคาย นครพนม อุบลราชธานี มีปริมาณฝนตกมาก แตมีภูมิประเทศเก็บกักน้ําไดนอย ปริมาณฝนที่ตกมากมัก ทําใหเกิดปญหาน้ําทวม
48
การศึกษาแนวทางการผันน้ําโขงโดยแรงโน้มถ่วงและศักยภาพการพัฒนาเกษตรชลประทานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ/ฉวี วงศ์ประสิทธิพร
รูปที่ 1 ปญหาการกระจายตัวของฝนไมสม่ําเสมอ (เสนชั้นปริมาณน้ําฝนรายปของภาคอีสาน) นอกจากปญหาการกระจายตัวของฝนในพื้นที่ตางๆ ไมสม่ําเสมอแลว ยังมีปญหาฝนทิ้งชวง โดยจํานวนวัน ฝนทิ้งชวงในแตละพื้นที่ยังมีความแตกตางกันมาก จํานวนวันฝนทิ้งชวงจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจากพื้นที่ริมแมน้ําโขง จนถึงพื้นที่ตนน้ํามูลและชีจะมีฝนทิ้งชวงยาวนานถึง 20 วัน ซึ่งจํานวนวันฝนทิ้งชวงที่ยาวนานนั้นมีผลกระทบตอ ผลผลิตดานเกษตร สําหรับชวงปลายฤดูฝนและในฤดูแลงนั้น ปริมาณน้ําซึมน้ําซับจากภูเขาก็มีนอยเมื่อเทียบกับพื้นที่อื่นๆ เพราะพื้นที่รับน้ําตอนตนน้ํานอย และปาถูกบุกรุกเปนพื้นที่ทํากิน ซึ่งในชวงฤดูแลง ตนน้ํามูลและตนน้ําชี ในเขต จังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิ หนองบัวลําภู จะมีความแหงแลงมาก และจัดเปนพื้นที่วิกฤติภัยแลง เมื่อตนทุนและปจจัยไมเอื้ออํานวย ทัง้ จากปริมาณฝนกระจายตัวไมสม่ําเสมอ จํานวนวันฝนทิ้งชวงนาน พื้นที่ตนน้ํานอยและไมอุดมสมบูรณและชุมชื้น ภูมิประเทศแบนราบ ไมสามารถเก็บกักน้ําไดเหมือนภาคเหนือและ ภาคกลาง ในขณะที่มีภาคอีสานมีจํานวนประชากรและพืน้ ที่ที่สามารถทําการเกษตรไดเปนจํานวนมาก จึงทําให เกิดปญหาอีสานแลงทั้งดานน้าํ เพื่อการเกษตรและน้ําอุปโภคบริโภค 2. ความยากจนของคนอีสาน ภาคอีสานมีพื้นที่เกษตรประมาณ 44% ของพื้นที่เกษตรของประเทศไทย จํานวนประชากรในภาคอีสาน 37% ของประชากรของประเทศไทย ขณะที่รายไดของประชากรในภาคอีสาน 128,464 บาท/ครัวเรือน/ป เมื่อ เทียบกับรายไดเฉลี่ยทั้งประเทศประมาณ 247,352 บาท/ครัวเรือน/ป (52%) หากสามารถเพิ่มรายไดของคน อีสานไดใหใกลเคียงคาเฉลี่ยของรายไดเฉลี่ยทั้งประเทศ ก็จะชวยลดชองวางระหวางรายไดของคนจํานวนประมาณ 40% ของประเทศ (ดังตารางที่ 1) 49
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการขนาดใหญ่
ตารางที่ 1 ชองวางรายไดคนอีสานกับคาเฉลี่ยของรายไดทั้งประเทศ รายได รายไดเฉลี่ย (บาท/ครัวเรือน/ป) รายไดเฉลี่ยภาคอีสาน 128,464 รายไดเฉลี่ยทั้งประเทศ 247,352 รอยละ 52% 3. ความแตกตางระหวางเกษตรน้ําฝนและเกษตรชลประทาน ปจจุบันเกษตรกรในอีสานสามารถใชที่ดินไดเพียงในฤดูฝนระยะเวลา 3-4 เดือนตอป ปญหาการกระจายตัว ของฝนที่ไมสม่ําเสมอและจํานวนวันฝนทิ้งชวงยาวในพื้นที่ตางๆ และฝนมักทิ้งชวงในชวงเวลาที่ขาวออกรวงซึ่งเปน ชวงที่จําเปนตองไดน้ํา ทําใหผลผลิตในเขตนาน้ําฝนลดลงต่ํากวาในพื้นที่เกษตรชลประทานซึ่งสามารถสงน้ําได ในชวงที่ฝนทิ้งชวง ทําใหผลผลิตในเขตเกษตรชลประทานจึงสูงกวาในเขตเกษตรน้ําฝน หากสามารถพัฒนา ชลประทานในฤดูแลงซึ่งอาจจะเปนพืชไร พืชเศรษฐกิจ ก็จะเพิ่มรายไดและสามารถใชประโยชนทรัพยากรดินได หลายเดือนตอปทั้งในฤดูฝนและฤดูแลง (ตารางที่ 2) ตารางที่ 2 ผลผลิตขาวนาปของเกษตรกรในเขตเกษตรน้ําฝนและเกษตรชลประทาน รายการ พื้นที่บริเวณเขื่อนลําปาว พื้นที่บริเวณเขื่อนอุบลรัตน ผลผลิตขาวเกษตรชลประทาน 439 468 (กิโลกรัม/ไร/ฤดู) ผลผลิตขาวเกษตรน้ําฝน-มหาสารคาม 286 286 (กิโลกรัม/ไร/ฤดู) สัดสวน 1.54 1.64 และเมื่อเทียบรายไดของเกษตรกรในเขตน้ําฝนในพื้นที่ใกลเคียงกับเขตชลประทานที่สําคัญในภาคอีสาน ไดแก พื้นที่เขตชลประทานเขื่อนลําปาวและเขื่อนอุบลรัตน (ตารางที่ 3) จะพบวาผลผลิตและรายไดมีความแตกตาง อยางชัดเจน ตารางที่ 3 รายไดของเกษตรกรในเขตเกษตรน้ําฝนและเกษตรชลประทาน (บาท/ครัวเรือน/ป) รายการ ลําปาว รายไดในเขตเกษตรชลประทาน 191,341 รายไดในเขตเกษตรน้ําฝนพืน้ ที่ใกลเคียง 102,233 สัดสวน 1.87
อุบลรัตน 166,687 79,291 2.1
ดวยเหตุที่ภาคอีสานมีศักยภาพของทรัพยากรมนุษย ทรัพยากรดินและสภาพภูมิประเทศเปนที่ราบที่ สามารถทําการเกษตรได หากมีการพัฒนาแหลงน้ําที่เหมาะสม ก็จะสามารถพัฒนาเกษตรชลประทานทําใหให ประชากรมีรายไดสูงขึ้น จะชวยใหราษฎรมีรายไดมากขึ้นประมาณ 2 เทา และเปนการลดชองวางระหวางรายได อยางเปนรูปธรรม 50
การศึกษาแนวทางการผันน้ําโขงโดยแรงโน้มถ่วงและศักยภาพการพัฒนาเกษตรชลประทานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ/ฉวี วงศ์ประสิทธิพร
4. การพัฒนาแหลงน้ําในปจจุบันของลุมน้ําชีและมูล กรมชลประทานไดพัฒนาการเกษตรชลประทานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งในรูปโครงการขนาดใหญ กลาง และเล็ก โดยเฉพาะโครงการขนาดเล็กนั้นไดพัฒนาเพื่อสนองนโยบายรัฐบาลในการลดชองวางระหวางรายได จึงไดสรางโครงการชลประทานขนาดเล็กกระจายไปในพื้นที่ตางๆ ในภาคอีสาน โดยมีรายละเอียดดังนี้ พื้นที่ชลประทานโครงการขนาดใหญ กลาง และสถานีสูบน้ําดวยไฟฟาในลุมน้ําชีและมูล สําหรับลุมน้ํามูลและชี พื้นที่ชลประทานขนาดใหญและกลางไดพัฒนาแลวในพื้นที่ที่มีศักยภาพ ไดแก เขื่อนมูลบน เขื่อนลําตะคอง เขื่อนลําพระเพลิง เขื่อนอุบลรัตน เขื่อนลําปาว เขื่อนสิรินธร เปนตน ซึ่งเปนเขื่อนเก็บ กักน้ํา สามารถเก็บกักน้ําไวใชในฤดูแลง จึงสามารถเพาะปลูกไดทั้งในฤดูฝนและฤดูแลง และมีการพัฒนาฝาย ตางๆ ในตอนกลางแมน้ํามูลและชีตามโครงการโขงชีมูลระยะที่ 1 รวมทั้งโครงการสูบน้ําดวยไฟฟาที่ไดรับโอนมา จากกรมพัฒนาและสงเสริมพลังงาน (เดิม) ซึ่งเปนลักษณะฝายที่เก็บกักน้ําในลําน้ําและทดน้ําใหสูงขึ้น โดยมี จํานวนโครงการขนาดใหญรวม 17 โครงการ เก็บกักน้ําประมาณ 7,338 ลานลูกบาศกเมตร โครงการขนาดกลาง 259 โครงการ เก็บกักน้ําประมาณ 2,063 ลานลูกบาศกเมตร พื้นที่ชลประทานรวมประมาณ 4.68 ลานไรในฤดู ฝน และ 1.32 ลานไรในฤดูแลง รายละเอียดดัง ตารางที่ 4 และ ตารางที่ 5 พื้นที่รับประโยชนโครงการขนาดเล็กในลุมน้ําชีและมูล เนื่องจากโครงการขนาดเล็กเปนโครงการที่สรางตามคํารองขอของราษฎร ซึ่งจะเปนการสรางหัวงานและ ถายโอนในองคกรทองถิ่นซึ่งยังไมมีงบประมาณในการพัฒนาระบบชลประทาน เพราะตองสรางคลองชลประทาน และสถานีสูบน้ําเปนสวนมาก ดังนั้นพื้นที่รับประโยชนจึงเปนพื้นที่มีศักยภาพที่จะใชประโยชนจากโครงการ จึง พิจารณาเปนพื้นที่รับประโยชน หากในอนาคตมีการพัฒนาระบบชลประทาน พื้นที่รับประโยชน จึงจะนับเปนพื้นที่ ชลประทาน ในปจจุบัน กรมชลประทานไดพัฒนาโครงการขนาดเล็ก จํานวน 3,830 โครงการ เก็บกักน้ําประมาณ 7,338 ล านลบ.เมตร โครงการขนาดกลาง 259 โครงการ เก็บ กัก น้ําประมาณ 698 ลานลบ.เมตร พื้น ที่รั บ ประโยชนรวมประมาณ 1.99 ลานไรในฤดูฝน และ 1.32 ลานไรในฤดูแลง รายละเอียดดังตารางที่ 4 และ ตารางที่ 6 (โครงการขนาดเล็กโดยมากเปนการสรางหัวงานเก็บกักน้ําแลวถายโอนใหราษฎร แตไมมีการพัฒนา ระบบสงน้ําและกระจายน้ําเชน คู คลอง จึงเรียกเปนพื้นที่รับประโยชน แตไมจัดเปนพื้นที่ชลประทาน อยางไรก็ตาม ในยุทธศาสตรการพัฒนาแหลงน้ําในลุมน้ําชีมูลไดมียุทธศาสตรการพัฒนาพื้นที่ชลประทานของหัวงานโครงการ ขนาดเล็กที่สรางแลว เพื่อเพิ่มศักยภาพในการใชน้ํา)
51
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการขนาดใหญ่
ตารางที่ 4 จํานวนโครงการและปริมาณน้ําที่เก็บกักในการพัฒนาชลประทานลุมน้ํามูลและชี ปริมาณน้ําเก็บกัก (ลาน ลบ.ม.)
จํานวนโครงการ (แหง) ประเภทโครงการ
ประเภทโครงการ ชี
ขนาดใหญ
อาง ฝาย ระบบสงน้ํา รวม ขนาดกลาง อาง ฝาย ระบบสงน้ํา เขื่อนทดน้ํา ปตร./ฝาย รวม ขนาดเล็ก อาง ฝาย ระบบสงน้ํา ปตร./ทรบ. อาคารระบายน้ํา ทํานบ ขุดลอก ปรับปรุงอาง สระ รวม รวม สูบน้ําดวยไฟฟา รวม
3 1 2 6 80 8 1 2 5 96 713 570 11 4 0 10 2 1 3 1,314 1,416 447 1,863
มูล 8 1 2 11 121 39 1 0 2 163 1525 950 2 6 1 29 0 0 3 2,516 2,690 274 2,964
รวม 11 2 4 17 201 47 2 2 7 259 2238 1520 13 10 1 39 2 1 6 3,830 4,106 721 4,827
ชี 3,881.00 102.00 81.00 4,064.00 561.19 173.86 15.50 2.50 753.05 186.70 31.01 0.28 0.60 0.10 5.62 224.32 5,041.36
มูล รวม 3,260.90 7,141.90 12.80 114.80 81.00 3,273.70 7,337.70 998.39 1,559.57 296.91 470.77 15.50 14.40 16.90 1,309.69 2,062.74 430.15 616.84501 41.25 72.260214 0 0.283 0.01 0.01 1.83 2.433 0.1 0 0.61 6.226 473.84 698.16 5,057.23 10,098.60
5,041.36
5,057.23 10,098.60
ตารางที่ 5 พื้นที่ชลประทานที่พัฒนาในปจจุบันในลุมน้ําชีและมูล พื้นที่ชลประทาน (ไร) ประเภทโครงการ ขนาดใหญ
ชี 315,098.00 55,600.00 261,500.00 632,198.00 410,639.00 260,025.00 6,900.00 60,000.00 33,000.00 770,564.00
ฤดูฝน มูล 478,860.00 335,854.00 814,714.00 656,980.00 346,371.00 5,000.00 10,000.00 1,018,351.00
รวม 793,958 55,600 597,354 1,446,912.00 1,067,619 606,396 11,900 60,000 43,000.00 1,788,915.00
ชี 197,000.00 170,000.00 367,000.00 60,080.60 45,284.00 6,900.00 11,300.00 123,564.60
ฤดูแลง มูล 187,060.00 55,851.00 242,911.00 141,720.80 47,174.00 188,894.80
รวม 384,060.00 225,851.00 609,911.00 201,801 92,458 6,900 11,300 0.00 312,459.40
1,402,762.00 1,068,572.00 2,471,334.00
1,833,065.00 379,011.00 2,212,076.00
0.00 3,235,827.00 1,447,583.00 4,683,410.00
490,564.60 333,189.00 823,753.60
431,805.80 66,992.00 498,797.80
0.00 922,370.40 400,181.00 1,322,551.40
ประเภทโครงการ
อาง ฝาย ระบบสงน้ํา รวม ขนาดกลาง อาง ฝาย ระบบสงน้ํา เขื่อนทดน้ํา ปตร./ฝาย รวม ขนาดเล็ก อาง ฝาย ระบบสงน้ํา ปตร./ทรบ. อาคารระบายน้ํา ทํานบ ขุดลอก ปรับปรุงอาง สระ รวม รวม สูบน้ําดวยไฟฟา รวม
52
การศึกษาแนวทางการผันน้ําโขงโดยแรงโน้มถ่วงและศักยภาพการพัฒนาเกษตรชลประทานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ/ฉวี วงศ์ประสิทธิพร
ตารางที่ 6 พื้นที่รับประโยชนโครงการขนาดเล็กในปจจุบันของลุมน้ํามูลและชี พื้นที่รับประโยชน (ไร) ประเภทโครงการ
ประเภทโครงการ ชี
อาง ฝาย ระบบสงน้ํา รวม ขนาดกลาง อาง ฝาย ระบบสงน้ํา เขื่อนทดน้ํา ปตร./ฝาย รวม ขนาดเล็ก อาง ฝาย ระบบสงน้ํา ปตร./ทรบ. อาคารระบายน้ํา ทํานบ ขุดลอก ปรับปรุงอาง สระ รวม รวม สูบน้ําดวยไฟฟา รวม
มูล
รวม
ขนาดใหญ
257,745.00 351,129.60 5,905.00 12,100.00 2,977.00 1,500.00 1,000.00 10,800.00 643,156.60 643,156.60
682,097.00 656,846.00 2,000.00 3,950.00 1,500.00 7,004.00 300.00 1,353,697.00 1,353,697.00
939,842.00 1,007,975.60 7,905.00 16,050.00 1,500.00 9,981.00 1,500.00 1,000.00 11,100.00 1,996,853.60 1,996,853.60
643,156.60
1,353,697.00
1,996,853.60
เมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่เกษตรประมาณ 42 ลานไรในลุมน้ํามูลและชี แลวจะพบวาปจจุบันพื้นที่เกษตร ชลประทานสามารถพัฒนาไดเพียงประมาณ 10% ของพื้นที่เกษตร อีก 90% ยังเปนพื้นที่เกษตรน้ําฝนที่มีความ เสี่ยงของเกษตรกรในการลงทุน และทรัพยากรดินสามารถใชประโยชนไดเพียง 3-4 เดือนตอปเทานั้น 5. ยุทธศาสตรที่เขมขนและแผนแมบทพัฒนาแหลงน้ํามูลและชี เนื่องจากความจํากัดของสภาพภูมิประเทศ ภาคอีสานสามารถพัฒนาโครงการขนาดใหญและกลางไดเพียง 200-300 โครงการ และในอนาคตโครงการขนาดใหญและกลางที่มีศักยภาพยังเหลือเพียงตนน้ําชี ไดแก โครงการ ชีบน โปรงขุนเพชร และยางนาดี สวนในลุม น้ํามูล ไดแก โครงการลําโดมใหญ ศักยภาพที่จะพัฒนาระบบชลประทานที่สงน้ําโดยแรงโนมถวงจะมีในพื้นที่ตนน้ํามูลและชีเทานั้น เนื่องจาก เก็บกักน้ําในอางที่มีระดับสูงกวาพื้นที่ชลประทาน นอกจากนั้นแลวจะเปนการเก็บกักในลําน้ําซึ่งเปน “อางจม” หมายถึง อางเก็บกักน้ําที่มีระดับต่ํากวาพื้นที่ชลประทาน ทําใหในภาคอีสานสวนใหญตองพัฒนาพื้นที่ชลประทาน แบบสูบน้ํา ดวยขอจํากัดดานภูมิประเทศในการเก็บกักน้ํา การพัฒนาที่ผานมาสวนใหญจึงเปนโครงการขนาดเล็ก ถึงประมาณเกือบ 4,000 โครงการ ในปพ.ศ.2551 กรมชลประทานจึงไดศึกษาจัดทําแผนแมบทพัฒนาแหลงน้ําลุมน้ําชีและมูล โดยพิจารณา ยุทธศาสตรการพัฒนาแหลงน้ําที่เขมขนกวาพื้นที่อื่นๆ กลาวคือ นอกเหนือจากการสรางอาง ฝาย โดยปกติแลว ได พิจารณายุทธศาสตร การเพิ่มประสิทธิภาพชลประทาน การพัฒนาเพื่อเปลี่ยนพื้นที่รับประโยชนของโครงการขนาด 53
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการขนาดใหญ่
เล็กเปนพื้นที่ชลประทาน การพัฒนาโครงขายน้ําโดยเชื่อมโยงการผันน้ําจากจากอางที่มีน้ําลนมายังอางที่ขาดน้ํา การผันน้ําจากทายอางมาเก็บกักในอาง การพัฒนาสระน้ําในไรนา การปลูกพืชใชน้ํานอย การปรับระยะเวลาการ เริ่มเพาะปลูกใหมเหมาะสม เกษตรทฤษฎีใหม การประหยัดน้ําโดยการสงเสริมกลุมผูใชน้ํา เปนตน ทั้งนี้เนนการ พัฒนาแหลงน้ําภายในประเทศใหเต็มศักยภาพ หากไมเพียงพอจึงพิจารณาศักยภาพการใชน้ําระหวางประเทศ และจัดทําแผนแมบทในการพัฒนาลุมน้ําชีและมูล สรุปผลไดดังนี้ กลยุทธปกติ ปรับปรุงแหลงน้ําเดิม พัฒนาแหลงน้ําใหม (ใหญ กลาง เล็ก สถานีสูบน้ํา) พื้นที่ชลประทานตามกลยุทธปกติรวม กลยุทธพิเศษ พัฒนาพื้นที่ชลประทานในพื้นที่รับประโยชนชลประทานขนาดเล็ก เพิ่มประสิทธิภาพชลประทาน โครงขายน้ํา พื้นที่ชลประทานตามกลยุทธพิเศษรวม พื้นที่ชลประทานรวมที่จะพัฒนาในอนาคต
0.92 1.95 2.87
ลานไร ลานไร ลานไร
0.20 2.68 0.07 2.95 5.82
ลานไร ลานไร ลานไร ลานไร ลานไร
เมื่อรวมกับพื้นที่ชลประทานในปจจุบันและในอนาคตตามาแผนพัฒนาแหลงน้ําภายในประเทศ ซึ่งอาจใช ระยะเวลาพัฒนาประมาณ 20-30 ป พื้นที่ชลประทานจะเพิ่มขึ้นเปน 10.50 ลานไร หรือประมาณ 25% ยังคง เหลือพื้นที่เกษตรอีก 75% ที่ตองพึ่งพาน้ําฝน พื้นที่ชลประทานในแผนพัฒนาใชน้ําภายในประเทศ พื้นที่ชลประทานปจจุบัน รวมพื้นที่ชลประทานปจจุบันและในแผนแมบท พื้นที่เกษตร คงเหลือพื้นที่เกษตรน้ําฝน
5.82 4.68 10.50 41.84 31.34
ลานไร ลานไร ลานไร ลานไร ลานไร
13.91% 11.19% 25.09% 74.9%
6. จําเปนหรือไมที่ตองผันน้ําโขง จากการพัฒนาแหลงน้ําภายในประเทศพบวา จะสามารถเพิ่มพื้นที่ชลประทานไดประมาณ 5.82 ลานไร สามารถเพิ่มพื้นที่ชลประทานเปน 25% ของพื้นที่เกษตร ในดานการพัฒนาประเทศและเพื่อยกระดับรายได คุณภาพชีวิต กระจายรายไดและลดชองวางระหวางรายไดของคนอีสาน ยังมีความจําเปนตองพิจารณายุทธศาสตร การพัฒนาแหลงน้ําเพิ่มเติม จึงจําเปนตองพิจารณาการผันน้ําโขงซึ่งเปนแมน้ําระหวางประเทศมาใช ประโยชน 7. แนวคิดเดิมในการผันน้ําโขง ในอดีตไดมีการศึกษาการผันน้ําโขงมาใชภายใตโครงการโขงชีมูล ซึ่งปจจุบันไดพัฒนาในระยะที่ 1 (ขั้น 1 และ 2) ซึ่งเปนการใชน้ําในประเทศโดยการสรางฝายตางๆ ในแมน้ํามูลและชี สวนการผันน้ําโขงมาใชนั้นเปน การสูบน้ําโขงผานอางหวยหลวง – อางหนองหานกุมภวาป มายังอางลําปาว และกระจายน้ําตามลําน้ําชีและมูลเพื่อ 54
การศึกษาแนวทางการผันน้ําโขงโดยแรงโน้มถ่วงและศักยภาพการพัฒนาเกษตรชลประทานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ/ฉวี วงศ์ประสิทธิพร
สงน้ําในพื้นที่ลุมน้ําชีและมูลตอนลาง และสูบน้ําโขงอีกแหงที่จังหวัดเลย เพื่อสงน้ําชวยพื้นที่ตนน้ําชี อยางไรก็ตาม การสูบน้ําโขงดวยปริมาณที่มาก มีขอจํากัดในดานคาใชจายในการสูบน้ําขนาดใหญและคาพลังงานสูง ทั้งในการ สูบน้ําโขงเขามาเปนน้ําตนทุนผันลงสูลําน้ําธรรมชาติและการสูบน้ําจากลําน้ําธรรมชาติเพื่อสงเขาพื้นที่ชลประทาน 8. แนวคิดใหมในการผันน้ําโขง กรมชลประทานไดรับเรื่องรองเรียนใหพิจารณาแนวทางผันน้ําโขงโดยแรงโนมถวงจากมูลนิธิคุณภาพเพื่อ ชีวิต จึงไดทําการศึกษาวางโครงการเบื้องตน พบวาในดานวิศวกรรมมีความเปนไปได จึงไดทําการศึกษาความ เหมาะสมเบื้องตน พบวามีความเปนไปไดทางวิศวกรรมและความคุมทุน ในขณะนี้จะเริ่มดําเนินการศึกษาความ เหมาะสมและผลกระทบสิ่งแวดลอม เมื่อมีศักยภาพที่จะนําน้ําโขงมาใชโดยแรงโนมถวง จึงมีความเปนไปไดมากขึ้น ที่จะพัฒนาชลประทานโดยใชน้ําโขงเพิ่มเติมจากการพัฒนาแหลงน้ําในลุมน้ําชีและมูลซึ่งเปนการพัฒนาแหลงน้ํา ภายในประเทศ ผลการศึก ษาในการศึก ษาความเหมาะสมเบื้อ งตน โดยพิจ ารณาศัก ยภาพน้ํา โขงซึ่ง เปน น้ําตน ทุน ที่ ปากน้ําเลย และศักยภาพที่ผันน้ําโขงโดยแรงโนมถวงโดยผันผานปากแมน้ําเลย ผานอุโมงค และกระจายน้ําโขง ตนทุนที่ผันมานั้นเขาสูตนน้ําชีและมูล อางเก็บน้ําตางๆ ในตนน้ําชีและมูล และผานคลองชลประทานสายใหญ 2 สาย จากตนน้ําเขื่อนอุบลรัตนไปตามแนวคลองที่ขุดขึ้นผานตนน้ําเขื่อนลําปาว ไปยังลุมน้ําเซบาย เซบก และลงสู แมน้ํามูล และอีกสายจากตนน้ําเขื่อนอุบลรัตนไปยังตนน้ําชี ตนน้ํามูล ลอดผานตนน้ํามูล ไปยังพื้นที่ฝงขวาแมน้ํา มูล วางแนวคลองขนานแมน้ํามูลฝงขวา จากนครราชสีมาไปถึงอุบลราชธานี โดยสามารถสงน้ําใหพื้นที่ชลประทาน ทั้งโดยแรงโนมถวงและพื้นที่ชลประทานแบบสูบน้ําอีกประมาณ 17.9 ลานไร ในลุมน้ําชีและมูล จะทําใหพัฒนา พื้นที่ชลประทานทั้งหมดรวมปจจุบันและอนาคต เปน 28.9 ลานไร หรือประมาณ 68% (ดังรูปที่ 2) พื้นที่ชลประทานปจจุบัน พื้นที่ชลประทานในแผนพัฒนาใชน้ําภายในประเทศ พื้นที่ชลประทานในแผนพัฒนาใชน้ําโขง พื้นที่ชลประทานปจจุบันและในอนาคตทั้งหมด พื้นที่เกษตร คงเหลือพื้นที่เกษตรน้ําฝน
4.68 5.82 17.9 28.4 41.84 13.44
ลานไร (11.19%) ลานไร (13.91%) ลานไร (42.54%) ลานไร (67.64%) ลานไร ลานไร (32.36%)
โดยพื้นที่เกษตรน้ําฝนที่ไมสามารถพัฒนาไดจากการพัฒนาแหลงน้ําภายในประเทศและผันน้ําโขง ซึ่ง โดยมากจะเปนพื้นที่ตามเชิงเขา หางไกลจากแหลงน้ําแมน้ําลําธาร ไดพิจารณาแนวทางพัฒนาในรูปของสระน้ําใน ไรนา
55
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการขนาดใหญ่
พื้นที่ชลประทานเมื่อพัฒนาน้ําภายในประเทศและผันน้ําโขง
พื้นที่ชลประทานปจจุบัน
พื้นที่วิกฤติ ภัยแลง
รูปที่ 2 พืน้ ที่ชลประทานตามแผนพัฒนาโดยผันน้ําโขงดวยแรงโนมถวงที่ปากน้ําเลย 9. คํานึงถึงเพื่อนบานลุมแมน้ําโขง 9.1 สัดสวนของปริมาณน้ําทาและปริมาณการใชน้ําโขงและลําน้ําสาขาของแตละประเทศ ปจจุบันไทยยังไมมีการพัฒนาใชน้ําโขงโดยตรง ในพื้นที่ภาคอีสานจะเปนการพัฒนาลุมน้ําสาขาของโขง เปนหลัก จากผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการลุมแมน้ําโขง (Mekong River Committion, MRC) หากพิจารณา สัดสวนปริมาณน้ําทา และการพัฒนาชลประทานของแตละประเทศ แลวจะพบวา ดานปริมาณน้ําทา หากพิจารณาสัดสวนปริมาณน้ําทาของแตละประเทศที่ไหลลงโขง (รูปที่ 3) ประเทศ ลาวใหปริมาณน้ําทาที่ไหลลงแมน้ําโขงมากที่สุด 35% รองลงมาเปนไทยและเขมร 18% และเวียดนามประมาณ 11% (ขณะที่ปริมาณน้ําทาของจีนและพมา 16 และ 2% ตามลําดับ)
56
การศึกษาแนวทางการผันน้ําโขงโดยแรงโน้มถ่วงและศักยภาพการพัฒนาเกษตรชลประทานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ/ฉวี วงศ์ประสิทธิพร
รูปที่ 3 สัดสวนปริมาณน้ําทาที่ไหลลงแมน้ําโขงของแตละประเทศ ด า นการพั ฒ นาชลประทาน (รวมการใช น้ํ า จากแม น้ํ า สาขาและแม น้ํ า โขงโดยตรง) สั ด ส ว นพื้ น ที่ ชลประทานตอพื้นที่เกษตรของแตละประเทศ ตารางที่ 7) พบวา ประเทศไทยและลาวตางก็พัฒนาชลประทานได 8% ของพื้ น ที่ เ กษตรกรรม ประเทศเขมรพั ฒ นาชลประทานได 10% ประเทศเวีย ดนามในส ว นของพื้ น ที่ สามเหลี่ยมปากแมน้ําโขง 87% และในสวนของพื้นที่ดอนพัฒนาชลประทานได 37% ของพื้นที่เกษตรกรรม ตารางที่ 7 สัดสวนพื้นที่ชลประทานที่พัฒนาตอพื้นที่เกษตรของแตละประเทศในลุมน้ําโขงตอนลาง พื้นที่ดิน
ลาว
กัมพูชา
ไทย
พื้นที่ปาไม พื้นที่ไมและทุงหญา (wood& grassland)
41.22 42.07
56.18 15
15.74 3.47
พื้นที่เกษตรกรรม (% พื้นที่ชลประทาน)
14.01 (8%)
23.41 (10%)
79.28 (8%)
57
เวียดนาม (สามเหลี่ยม ปากน้ําโขง) 1.09 0.34 83.99 (87%)
เวียดนาม (ที่ดอน) 47.46 22.65 29.46 (36%)
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการขนาดใหญ่
ตารางที่ 7 สัดสวนพื้นที่ชลประทานที่พัฒนาตอพื้นที่เกษตรของแตละประเทศในลุมน้ําโขงตอนลาง (ตอ) พื้นที่ดิน พื้นที่ชุมน้ําและพื้นที่ ผิวน้ํา (wetland & water) อื่นๆ รวม
ลาว
กัมพูชา
ไทย
0.96
5.15
1.4
เวียดนาม (สามเหลี่ยม ปากน้ําโขง) 10.34
1.74 100
0.26 100
0.12 100
4.24 100
เวียดนาม (ที่ดอน) 0.27
0.16 100
ดานพื้นที่ชลประทานฤดูฝนและฤดูแลง พื้นที่ชลประทานฤดูฝนของลาว ไทย กัมพูชา เวียดนาม (ปากแมน้ําโขง) ประมาณ 1.4, 4.8, 1.6 และ 10.5 ลานไร ตามลําดับ พื้นที่นาปรัง (นาครั้งที่ 2) ของลาว ไทย กัมพูชา เวียดนาม (ปากแมน้ําโขง) 0.95, 0.45, 1.13 และ 8.86 ลานไร ตามลําดับ และพื้นที่นาปรัง (นาครั้งที่ 3) ของลาว ไทย กัมพูชา เวียดนาม (ปากแมน้ําโขง) 0, 0, 0 และ 2.20 ลานไร ตามลําดับ (ดังตารางที่ 8) จะ เห็นวาปริมาณการใชน้ําโขงและสาขาในการพัฒนาชลประทานของประเทศไทยเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบานยัง เปนสัดสวนที่นอยกวามาก ตารางที่ 8 พื้นที่ชลประทานฤดูฝนและฤดูแลงเทียบกับพื้นที่เกษตรของประเทศตางๆ ในลุมน้ําโขงตอนลาง เวียดนาม พื้นที่ ลาว ไทย (อีสาน) กัมพูชา (สามเหลี่ยมปาก แมน้ําโขง) พื้นที่เกษตรกรรม (ไร) 3,943,000 30,000,000 11,538,000 9,063,000 นาป (ครั้งที่ 1) 544,000 862,000 1,456,000 12,088,000 นาปรัง (ครั้งที่ 2) 0 0 0 3,769,000 นาปรัง (ครั้งที่ 3) พื้นที่ชลประทาน (ไร) 2,532 8,764 1,012 85 จํานวนโครงการ 1,401,000 4,800,000 1,555,000 10,519,000 นาป (ครั้งที่ 1) 950,000 451,000 1,134,000 8,860,000 นาปรัง (ครั้งที่ 2) 0 0 0 2,197.000 นาปรัง (ครั้งที่ 3) ผลผลิต 2,094 9,507 4,041 16,281 ผลผลิต (ตัน) 467 315 310 653 ผลผลิตตอไร (กก/ไร)
58
การศึกษาแนวทางการผันน้ําโขงโดยแรงโน้มถ่วงและศักยภาพการพัฒนาเกษตรชลประทานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ/ฉวี วงศ์ประสิทธิพร
9.2 ขอตกลงในการใชน้ําโขงตอนลางและสาขา ในกลุมประเทศในลุมน้ําโขงตอนลาง 4 ประเทศ ไดแก ไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ไดมีขอตกลง รวมกัน “Agreement on the Cooperation for the Sustainable Development of the Mekong River Basin” เมื่อ เดือนเมษายน 2538 ในมาตรา 5 เรื่องการใชน้ําอยางสมเหตุสมผลและเปนธรรม การนําน้ําโขงสายหลักมาใช ภายในลุมน้ําโขงในฤดูฝน จะเปนการแจงใหทราบ (notification) สวนในฤดูแลง หากนําน้ําโขงสายหลักมาใชจะ เปนการหารือลวงหนา (prior consultation) ตามตารางที่ 9 อยางไรก็ตาม หากพิจารณาวาการผันน้ําโขงจากปากน้ําเลย (ระยะทางประมาณ 20 กม) จากปากน้ําเลย เนื่องจากน้ําโขงไหลยอนเขาไปในแมน้ําเลย เปนกรณีเดียวกับการผันจากลําน้ําสาขาหรือใกลเคียงกับลุมน้ําโตนเล สาบที่ปริมาณน้ําโขงไหลยอนเขาไปในโตนเลสาบ การใชน้ําโขงผานปากน้ําเลยทั้งในฤดูฝนและฤดูแลงก็จะเปน เพียงการแจงใหทราบ (notification) ตารางที่ 9 ขอตกลงในการใชน้ําของกลุมประเทศษลุมน้ําโขงตอนลาง มาตรา 5 การใชน้ําอยางสมเหตุสมผลและเปนธรรม
การใชน้ํา 1. ลําน้ําสาขาและทะเลสาบในกัมพูชา 2. แมน้ําโขงสายประธาน 2.1 ฤดูน้ํามาก 2.1.1 ใชในลุมน้ําแมโขง 2.1.2 ผันน้ําขามลุมน้ํา 2.1 ฤดูแลง 2.2.1 ใชในลุมน้ําแมโขง 2.2.2 ผันน้ําขามลุมน้ํา
การแจง notifiction /
กรณีพิจารณาวาใชน้ําจากปากน้ําเลยที่ เป นสาขาของแมน้ํา โขง เป นการแจงใหทราบทั้ งฝนและแลง
การปรึกษาหารือลวงหนา ขอตกลง Agreement Prior Consultation
/ / / /
•การแจง คือการบอกใหทราบ ภาคีสมาชิกเพียงแตรับทราบ
กรณีพิจารณาวาเปนการใชน้ําจากแมน้ําโขงโดยตรง
•การหารือกันกอน คือการบอกใหทราบโดยใหภาคีสมาชิกมีโอกาสแสดงความคิดเห็น แตไมใชพิจารณา เห็นชอบหรือยับยั้งโครงการ 9.3 การพัฒนาเขื่อนตนน้ําโขงของจีน Mekong River Committee ไดประเมินเบื้องตนถึงความเปลี่ยนแปลงในแมน้ําโขงอันเกิดจากการพัฒนา เขื่อนตนน้ําโขงของจีน พบวา ประเทศจีนพัฒนาเขื่อนตางๆ ในตนน้ําโขง เพื่อการผลิตกระแสไฟฟา โดยไมได พัฒนาเพื่อการชลประทานหรืออุปโภคบริโภค รายละเอียดดังตารางที่ 10 ดังนั้นปริมาณน้ําจะเปนเพียงการถูก เก็บกักไวในเขื่อนในฤดูฝนและระบายลงทายน้ําผานเทอรไบนเพื่อผลิตกระแสไฟฟา ซึ่งจะมีผลทําใหลดอัตราการ ไหลของแมน้ําโขงในฤดูฝนและเพิ่มอัตราการไหลในฤดูแลง และอิทธิพลของการเปลี่ยนแปลงนี้จะมากในชวงตน น้ําโขงและลดลงในตอนกลางและตอนลาง ดังรูปที่ 4 เนื่องจากประเทศจีนมีสัดสวนพื้นที่ลุมน้ําในแมน้ําโขงเพียง ประมาณ 16% และปริมาณน้ําที่เก็บกักในเขื่อนตางๆ ประมาณ 30-40% ของปริมาณน้ําทาทั้งหมดในประเทศจีน 59
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการขนาดใหญ่
ตารางที่ 10 โครงการกอสรางเขื่อนไฟฟาพลังน้ําในตนน้ําโขงของจีน
การเปลี่ ยนแปลงปริมาณน้ําโขงที่ อ.เชียงแสน จากการกอสรางเขื่ อนในจีน
cumec
6,000
Baseline(ไมมีเขื่อนในจีน) ScenarioA(มีเขื่อนManwan,Dachaosan,Xiaowan) ScenarioF(มีเขื่อนManwan,Dachaosan,Xiaowan,Nuozhadu)
5,000 4,000 3,000
2.ปริมาณการไหลในฤดูแลงของ D/S เพิ่มขี้น
2,000
1.ปริมาณการไหลในฤดูฝนของ D/S ลดลง
1,000
3.ลดความแตกตางของปริมาณน้ําสูงสุดในฤดูฝนและต่ําสุดในฤดูแลง
0 ธ.ค.
ม.ค.
ก.พ.
มี.ค.
เม.ย.
พ.ค.
มิ.ย.
ก.ค.
ส.ค.
ก.ย.
รูปที่ 4 กราฟแสดงการเปลี่ยนปริมาณน้ําโขงที่ อ.เชียงแสน จากการสรางเขื่อนในจีน
60
ต.ค.
พ.ย.
การศึกษาแนวทางการผันน้ําโขงโดยแรงโน้มถ่วงและศักยภาพการพัฒนาเกษตรชลประทานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ/ฉวี วงศ์ประสิทธิพร
10. ผันน้ําโขงโดยแรงโนมถวงไดอยางไร แมน้ําโขงไหลผานภาคอีสานเริ่มจากจังหวัดเลยและสิ้นสุดที่จ.อุบลราชธานี มีระดับน้ําโขงจาก 210 ทม. รทก. ไปจนถึงระดับประมาณ 1055 ม.รทก. พบวาที่บริเวณปากน้ําเลย อ.เชียงคาน แมน้ําโขงมีระดับต่ําสุด ประมาณ 197 ม.รทก. ในฤดูแลง และประมาณ 211 ม.รทก. ในฤดูฝน ในขณะที่ทองน้ําที่ปากน้ําเลย อ.เชียงคาน ระดับประมาณ 197 ม.รทก. ดังนั้นจะเห็นวาแมน้ําโขงจะไหลยอนเขาไปในปากน้ําเลยเกือบตลอดทั้งป โดยเฉพาะ ฤดูฝนไหลยอนเขาไปประมาณ 40 กม. และในแมน้ําโขงดานทายน้ําของปากน้ําเลยมีแกงคุดคู ซึ่งชวยทดน้ําโขงให สูงกวาแมน้ําโขงในตอนลางแมในฤดูแลง ดังรูปที่ 5 จุดที่มีศักยภาพพีจ่ ะผันน้ําโดยแรงโนมถวงโดย การเจาะอุโมงค
ระดับน้ําสูงสุด (ม.รทก.) เฉลี่ย สูงสุด ต่ําสุด 208.10 211.24 203.78 204.03 206.77 199.76
400
500
600
700
อ.โขงเจียม
300
อ.เขมราฐ
200
DATUM MAX MIN AVG AVG APR
อ.เมืองมุกดาหาร
100
อ.เมืองนครพนม
0
อ.เมือง หนองคาย
ระดับน้ําโขงสูงสุด
อ.เชียงคาน
215 205 195 185 175 165 155 145 135 125 115 105 95 85
800
ระดับน้ําเฉลีย (ม. ระดับน้ําต่ําสุด (ม.รทก.) รทก.) เฉลี่ย สูงสุด ต่ําสุด ทัง้ ป เมษายน 196.63 197.38 195.90 200.65 196.99 191.32 192.95 189.22 196.90 192.45
รูปที่ 5 ระดับน้ําโขงที่ไหลผานภาคอีสานของไทย หากเจาะอุโมงคจากปากน้ําเลยมายังตนน้ําเขื่อนอุบลรัตนที่ระดับประมาณ 182 ม.รทก. จะสามารถผันน้ํา โขงมาในพื้นที่ลุมน้ําชีและมูลโดยแรงโนมถวง โดยในฤดูฝนจะเปนการไหลของน้ําภายใตแรงดัน และในฤดูแลงจะ เปน ไหลผ านอุโ มงค แ บบทางน้ําเป ด (น้ํา ไหลไมเ ต็ม ทออุ โมงค ) จะเปน การพัฒ นาน้ําตน ทุน โดยแรงโนม ถว ง (รูปที่ 6)
61
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการขนาดใหญ่
รูปที่ 6 ระดับพื้นที่ในภาคอีสานเทียบกับระดับน้ําโขง 11. กระจายน้ําโขงเขาสูพื้นที่ชลประทานโดยแรงโนมถวง การพัฒนาระบบชลประทานเมื่อสามารถผันน้ําโขงโดยแรงโนมถวงไดแลว สามารถผันน้ําโขงลงสูแมน้ํา ธรรมชาติ ไดแก ลําน้ําพอง แมน้ําชี แมน้ํามูล ซึ่งจะขยายพื้นที่ชลประทานริมฝงแมน้ํามูลและชี เพิ่มศักยภาพ โครงการฝายตางๆ ในแมน้ํามูลและชี สงน้ําโขงเขาสูพื้นที่ชลประทานโดยแรงโนมถวงผานระบบคลองชลประทาน ที่ขุดขึ้นใหม ซึ่งโดยปกติแลวในพื้นที่อีสานที่แบนราบนั้น การพัฒนาแหลงน้ําโดยมากจะเปนอางจม ตองสูบน้ําเขา สูพื้นที่ชลประทานเปนสวนมาก แตการผันน้ําโขงมายังตนน้ําพอง เขื่อนอุบลรัตน จะสามารถวางแนวคลอง ออกเปนสองแนว คือ 1) แนวคลองชลประทานจากเขื่อนอุบลรัตน – เขื่อนลําปาว – ลุมน้ําเซบายเซบก - มูลฝงซายที่ อุบลราชธานี 2) แนวคลองชลประทานจากเขื่อนอุบลรัตน – ตนน้ําชี – ตนน้ํามูล – ฝงขวาแมน้ํามูลไปจนถึง อุบลราชธานี (กอนจุดบรรจบลําโดมใหญ) ทําใหสามารถสงน้ําใหพื้นที่ชลประทานไดโดยแบบแรงโนมถวงสําหรับพื้นที่ขนาดใหญ และพื้นที่ตามริม ขอบคลองที่สู ง กว า คลองดั ง กล าว สามารถพั ฒ นาพื้ น ที่ช ลประทานแบบสู บ น้ํ าเพิ่ ม เติ ม ได ด ว ย รวมเป น พื้ น ที่
62
การศึกษาแนวทางการผันน้ําโขงโดยแรงโน้มถ่วงและศักยภาพการพัฒนาเกษตรชลประทานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ/ฉวี วงศ์ประสิทธิพร
ชลประทานประมาณ 17.9 ลานไรในฤดูฝน และฤดูแลงประมาณ 7-12 ลานไร (เพิ่มพื้นที่ฤดูแลง โดยพิจารณาปลูก พืชไรและมีแหลงสํารองน้ําในอาง สระน้ําในไรนาในชวงปลายฤดูฝนไวใชในฤดูแลง) (ดังรูปที่ 7)
รูปที่ 7 แนวคลองและพื้นที่ชลประทานโดยแรงโนมถวงและสูบน้ําของการผันน้ําโขงที่ปากน้ําเลย อัตราผันน้ําสูงสุดในฤดูฝนประมาณ 1,700 ลบ.ม/วินาที ปริมาณน้ําที่ผันทั้งปประมาณ 29,375 ลานลบ.ม กรณีควบคุมการผันน้ําทั้งปไมเกิน 18% ตามสัดสวนปริมาณน้ําทาที่โขงเจียมจะผันน้ําในฤดูฝน ประมาณ 20% และ ในฤดูแลงประมาณ 30% ของแมน้ําโขง (ดังรูปที่ 8)
63
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการขนาดใหญ่
กรณีผันน้ําไมเกิน 18 % ที่โขงเจียม
ผันน้ําฤดูฝน 19.65 %(23,032 ลานลบม.)
ฤดูฝน 17.9 ลานไร
ผันน้ําฤดูแลง 30.73 %(6,343 ลานลบม.)
ฤดูแลง 8.77 / 7.16 ลานไร CI. 1.49 / 1.40
รวมทั้งป
21.31 %(29,375 ลานลบม.)
30,000
20,000
60
50
40
29,375 ลาน ลบ.ม./ป
15,000
30
10,000
20
5,000
10
-
% การผันน้ํา
ปริมาณน้ําทา (ลานลบม.)
25,000
%การผันน้ํา inflow เชียงคาน ผัน น้ําไมเกิน 18 %
ปริมาณน้ําเฉลี่ย 137,846 ลาน ลบ.ม./ป
-
เม.ย
พ.ค.
มิ.ย.
ก.ค.
ส.ค.
ก.ย.
ต.ค.
พ.ย.
ธ.ค.
ม.ค.
ก.พ
มี.ค.
รูปที่ 8 ศักยภาพปริมาณการผันน้ําโขงที่ปากน้ําเลย อย างไรก็ตามปริ มาณน้ํ าที่ ผัน นี้เ ปน ตัว เลขเบื้อ งต นแสดงศั กยภาพที่ จะผัน ได ในการศึก ษาความ เหมาะสมที่จะดําเนินการตอไป จะมีการศึกษาศักยภาพไวหลายๆ กรณี โดยคํานึงถึงสัดสวนการใชน้ําแตละประเทศ ประกอบดวย 12. ผันน้ําโขงชวยแกปญหาฝนทิ้งชวงในภาคอีสาน เนื่องจากแมน้ําโขงมีตนน้ําจากจีน ทําใหชวงเวลาที่มีระดับน้ําสูงสุดไมตรงกับชวงเวลาระดับน้ําสูงสุดใน แมน้ํามูลและชี โดยแมน้ําโขงจะสูงสุดในชวงเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม ซึ่งเปนชวงที่ภาคอีสานมีปญหาฝนทิ้ง ชวง และในชวงเดือนกันยายน-ตุลาคม ระดับน้ําในแมน้ําโขงชวงภาคอีสานจะลดลง นอกจากนี้ เมื่อสิ้นสุดฤดูฝนในเดือนตุลาคม ระดับน้ําโขงจะสูงสุดในพื้นที่ปากแมน้ําโขงที่เวียดนามในชวง พฤศจิกายน-ธันวาคม ดังนั้นในชวงปลายฤดูฝนและตนฤดูแลงของไทย จะเปนชวงที่น้ําหลากสูงสุดในปากแมน้ําโขง จึงมีโอกาสที่ไทยจะนําน้ําโขงมาใชในตนฤดูแลงโดยไมเกิดปญหาน้ําเค็มรุกล้ําที่ปากน้ําโขงที่เวียดนาม 13. แนวผันน้ําโขงที่ปากน้ําเลยและการชวยเหลือวิกฤติภัยแลงพื้นที่ตน น้ํามูลและชี การผันน้ําโขงมาลงตนน้ําพอง คลองชลประทานจะวางแนวผานตนน้ําพอง ตนน้ําชี และตนน้ํามูล (เหนือ น้ําทุงสัมฤทธิ์) สามารถสูบน้ําจากคลองชลประทานเขาไปเติมอางลําเชียงไกร อางลําตะคอง ฯลฯ เพื่อชวยพื้นที่ ตนน้ํามูลและชีที่ชัยภูมิ ขอนแกน และนครราชสีมาซึ่งเปนพื้นที่วกิ ฤติภัยแลงและเปนชุมชนขนาดใหญ หรือแหลงน้ํา โดยตรงใหพื้นที่ชลประทานของอางเหลานั้น ที่ผานมา ไดมีการศึกษาหาแนวทางผันน้ําเพื่อชวยเหลือพื้นที่ตนน้ํา มูลและชี โดยการผันน้ําจากเขื่อนปาสัก แตก็สามารถผันน้ําไดชวงสั้นๆ ที่มีน้ําลนผานเขื่อน และระดับที่สูบน้ําเพื่อ ผันขามลุมน้ําสูงถึงประมาณ 380 เมตร หากมีการพัฒนาผันน้ําโขงจากปากน้ําเลย จะสามารถผันน้ําในปริมาณน้ํา ที่มากกวา สูบน้ําดวยระยะยกที่ต่ํากวามาก (ประมาณ 60-100 ม.) รวมทั้งระยะทางสั้นกวา และหากผันน้ําโขงที่
64
การศึกษาแนวทางการผันน้ําโขงโดยแรงโน้มถ่วงและศักยภาพการพัฒนาเกษตรชลประทานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ/ฉวี วงศ์ประสิทธิพร
ปากน้ําเลยจะสามารถชวยเหลือพื้นที่ตนน้ํา กลางน้ําไปจนถึงทายน้ําของลุมน้ําชีและมูล สวนแนวผันน้ําเดิมที่หวย หลวงนั้นจะสามารถชวยเหลือพื้นที่ตอนลางของลุมน้ําชีและมูล 14. ผลประโยชนของการผันน้ําโขงโดยแรงโนมถวงที่ปากน้ําเลย ภาพรวมของการพัฒนาโครงการผันน้ําโขง-เลย-ชี-มูล โดยการสงน้ําใหพื้นที่ชลประทานตามคลองสงน้ํา สําหรับพื้นที่ชลประทานเปดใหมฤดูฝน 17.9 ลานไร และฤดูแลง 10.7 ลานไร ในพื้นที่ชลประทานเปดใหมและพื้นที่ ชลประทานเดิม ตลอดจนการจัดหาน้ําอุปโภคบริโภคสําหรับชุมชน ทองเที่ยว อุตสาหกรรม ปศุสัตว การบรรเทาน้ํา ทวม การประมงและการเพาะเลี้ยงสัตวน้ํา ฯลฯ พื้นที่สวนใหญในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไดแก จังหวัดเลย ชัยภูมิ กาฬสินธุ ขอนแกน นครราชสีมา มหาสารคาม ยโสธร รอยเอ็ด ศรีสะเกษ อุบลราชธานี หนองบัวลําภู อุดรธานี บุรีรัมย สุรินทร และอํานาจเจริญ รวมทั้งสิ้น 15 จังหวัด 228 อําเภอ 1,760 ตําบล คาดวาจะกอใหเกิดผลประโยชนตอครัวเรือนเกษตรกรไมนอยกวา 895,000 ครัวเรือน หรือคิดเปนประชากร 3,580,000 คน โดยทําใหเกิดรายรับสุทธิเฉลี่ยทางดานการเกษตรเพิ่มขึ้น ในพื้นที่โครงการไมนอยกวา 40,438 ลานบาท/ป จากเดิมถาไมมีการพัฒนาโครงการ 6,478 ลานบาท/ป หรือเพิ่ม จากเดิมประมาณ 6.24 เทา โดยผลผลิตเกษตรในพื้นที่โครงการ เพิ่มขึ้นเปน 42.54 ลานตัน/ป เทียบกับผลผลิต 20.30 ลานตัน/ป กรณีไมมีการพัฒนาโครงการ ผลประโยชน ชวงเวลา 1) เปนคลองสงน้ําชลประทานใหแกพื้นที่ชลประทานเปดใหม ฝน แลง 2) เติมน้ําใหอางเก็บน้ํา หนองน้ํา แกมลิงตางๆ ปลายฝน - แลง (โดยเฉพาะพื้นที่ตนน้ําชีและมูล-วิกฤตภัยแลง) 3) เติมน้ําใหแมน้ํามูล แมน้ําชี และลําน้ําสาขา ปลายฝน - แลง 4) พัฒนาสถานีสูบน้ําดวยไฟฟาตามลําน้ํามูล ชี ปลายฝน - แลง 5) บรรเทาอุทกภัยในลุมน้ํามูลและชี โดยทําหนาที่เปนคลองดักน้ํา ฝน 6) การผลิตไฟฟาพลังน้ําในทายอุโมงคผันน้ํา และอางเก็บน้ําตางๆ ฝน แลง 7) เปนแหลงน้ําสําหรับการประปา การอุปโภคบริโภค ปลายฝน - แลง 8) ดานประมง อุตสาหกรรม ทองเที่ยว ปลายฝน - แลง 9) ดานคมนาคมทางน้ํา ฝน แลง 10) เพิ่มศักยภาพน้ําใตดิน และอื่น ๆ ฝน แลง ประโยชนอื่นๆ : สามารถพรองอางเพื่อบรรเทาอุทกภัยไดอยางมั่นใจมากขึ้น โดยไมตองกังวลฝนไมมา น้ําในอางนอย เพราะสามารถเติมน้ําจากโขงได เพิ่มการใชประโยชนที่ดิน สรางรายได และลดการอพยพแรงงาน 15. ความคุมทุนของการผันน้ําโขง โดยพิจารณาแบงการลงทุนออกเปน 6 ระยะในชวง 10 ป เจาะอุโมงคพรอมพัฒนาพื้นที่ชลประทานแตละ ระยะ พิจารณาคากอสรางหัวงาน (อุโมงค) และระบบชลประทานรวมคลองสายใหญและคลองซอย รวมทั้ง คาใชจายในการสูบน้ําในระหวางขั้นดําเนินงาน ซึ่งการวิเคราะหทางเศรษฐศาสตร พิจารณา 3 กรณี คือ 65
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการขนาดใหญ่
- กรณีใชน้ําโขงในฤดูแลงเต็มศักยภาพ - กรณีใชน้ําโขงในฤดูแลงไมเกิน 18% (พิจารณาจากสัดสวนปริมาณน้ําทาที่ไหลลงโขงจากประเทศไทย) - กรณีใชน้ําโขงในฤดูแลงเต็มศักยภาพและพิจารณาผลประโยชนทางออมในการจางงาน ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจประมาณ 14-21% ขึ้นกับกรณีในการพัฒนา (สูงสุดเมื่อมีการปลูกพืชไรในฤดู แลงและมีการสํารองน้ําในอางเก็บน้ําและสระน้ําในไรนาในปลายฤดูฝนไวใชในฤดูแลง) ตารางที่ 11 ผลการศึกษาผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตรโครงการผันน้ําโขงโดยแรงโนมถวงที่ปากน้ําเลย ผลการวิเคราะหทางเศรษฐศาสตรของแผนพัฒนาโครงการ กรณีใชนา้ํ โขงฤดูแลง กรณีใชนา้ํ โขงฤดูแลง กรณีใชนา้ํ โขงฤดูแลง เต็มศักยภาพ ไดไมเกิน18% เต็มศักยภาพและ พิจารณาผลประโยชน ทางออมจากการจาง งาน
ดัชนีชวี้ ดั
มูลคาปจจุบนั สุทธิ (NPV)
(ลานบาท)
608,873
สัดสวนผลประโยชนตอ คาลงทุน (B/C Ratio)
(สัดสวน)
2.08
(รอยละตอป)
19.29
อัตราผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ (EIRR)
301,112 1.53 14.21
727,500 2.29 21.18
สรุป ในการพัฒนาเกษตรชลประทานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้น มีขอจํากัดในดานภูมิประเทศที่เปนแหลง เก็บกักน้ํา แตมีพื้นที่ราบทําการเกษตรขนาดใหญ หากมีการพัฒนาแหลงน้ําที่เหมาะสม โดยพัฒนาแหลงน้ํา ภายในประเทศทั้งโครงการขนาดใหญ กลาง และเล็ก เพื่อกระจายการเก็บกักน้ําไปใหทั่วถึงในระดับชุมชนหรือ แปลงนา การพัฒนาระบบชลประทานใหกับหัวงานโครงการขนาดเล็กซึ่งองคกรบริหารสวนทองถิ่นไมมีงบเพียง พอที่จะดําเนินการได การเพิ่มประสิทธิภาพชลประทาน การปรับเปลี่ยนการเพาะปลูกเปนพืชใชน้ํานอย การปรับ ชวงเวลาเพาะปลูกใหสอดคลองกับการกระจายของฝน จะชวยเพิ่มพื้นที่ชลประทานในลุมน้ําชีและมูลจากปจจุบัน 4.68 ลานไร เปน 10.50 ลานไร ในชวงระยะเวลา 20-30 ป (ขึ้นกับงบประมาณรายป) เมื่อเทียบกับพื้นที่เกษตร ลุมน้ําชีและมูลแลวพื้นที่ชลประทานที่พัฒนาตามกลยุทธการพัฒนาแหลงน้ําในประเทศใหเต็มศักยภาพจะเพิ่มพื้นที่ ชลประทานเปนประมาณ 20% ในกรณีที่ยังเห็นวาจําเปนตองพัฒนาพื้นที่เกษตรน้ําฝนที่เหลือ 80% ใหเปนพื้นที่ เกษตรชลประทานจําเปนตองพัฒนานําน้ําโขงซึ่งเปนแมน้ําระหวางประเทศมาใช ในการศึกษานี้ไดพิจารณาวิธีการผันน้ําที่ประหยัดพลังงาน โดยพิจารณาการผันน้ําโขงซึ่งเปนน้ําตนทุน โดยแรงโนมถวง และกระจายน้ําตนทุนเขาสูพื้นที่ชลประทานโดยแรงโนมถวงเชนกัน ผานคลองชลประทานที่ขุด ขึ้นใหม อุโมงคที่เจาะเพื่อผันน้ําจากปากน้ําเลยมายังตนน้ําเขื่อนอุบลรัตนนั้นเปนเสมือนคาลงทุนในการสรางหัว งาน (ในสวนของแมน้ําโขงนั้น มีแกงคุดคูชวยทดระดับน้ําโขงใหอยูแลว) สวนคาลงทุนในการขุดคลองชลประทาน นั้ น มี ลั ก ษณะเดี ย วกั บ การขุ ด คลองส ง น้ํ า ชลประทานทั่ ว ไป มี ข นาดการลงทุ น เป น ไปตามสั ด ส ว นของพื้ น ที่ ชลประทาน 66
การศึกษาแนวทางการผันน้ําโขงโดยแรงโน้มถ่วงและศักยภาพการพัฒนาเกษตรชลประทานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ/ฉวี วงศ์ประสิทธิพร
จากการศึกษาความเหมาะสมเบื้องตน พบวามีความเปนไปไดในทางวิศวกรรม และมีความคุมทุน ซึ่งใน ขั้นตอนตอไปตองทําการศึกษาความเหมาะสมเบื้องตนและผลกระทบสิ่งแวดลอม รวมทั้งการพิจารณาการมีสวน รวมจากทุกภาคสวน การวางแผนเพาะปลูกพืชที่ ประหยัดน้ํา เหมาะสมกับสภาพดิน และการตลาด รวมทั้งการ พิจารณาระบบชลประทานและระบายน้ําที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ดินเค็มเพื่อปองกันการแพรกระจายของดินเค็ม อย า งไรก็ ต ามในภาคอี ส าน มี พื้ น ที่ ดิ น เค็ ม หลายระดั บ เป น ที่ ท ราบกั น ดี ว า แอ ง ที่ ร าบลุ ม ที่ มี ค วามเค็ ม เช น ทุงสัมฤทธิ์ ทุงกุลารองไห ลําเสียวใหญ เปนพื้นที่ที่เหมาะสมในการปลูกขาวหอมมะลิ และจากขอมูลของศูนยวิจัย ขาวพบวาดิน เค็มเป นปจ จัยที่ ทําให เกิดความหอมของขาวหอมมะลิดั งนั้น พื้นที่ดิ นเค็ มในภาคอี สานจึง เปนทั้ ง ขอจํากัดและโอกาสในการพัฒนาการเกษตรชลประทาน จึงตองการการพิจารณาวางแผนการใชที่ดินอยางเหมาะสม และรอบคอบจะทําใหสามารถพัฒนาพื้นที่ภาคอีสานใหความอุดมสมบูรณ ราษฎรมีรายไดและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และลดปญหาชองวางระหวางรายได อยางไรก็ตาม ตัวเลขทั้งหมดที่แสดงในเอกสารนี้ เปนตัวเลขจากการศึกษา เบื้องตน ซึ่งอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อมีการศึกษาความเหมาะสมและผลกระทบสิ่งแวดลอมในขั้นตอไป
กิตติกรรมประกาศ สําหรับแนวความคิดในการผันน้ําโขงโดยแรงโนมถวง กรมชลประทานไดรับแนวความคิดริเริ่มมาจาก มูลนิธิน้ําและคุณภาพชีวิต ซึ่งไดนํามาศึกษาและพิจารณารวมทั้งพิจารณารับฟงความคิดเห็นจากการมีสวนรวมใน ภาคสนาม ปรับปรุงในรายละเอียดจึงมีอาจมีแนวคลองสงน้ําและพื้นที่ชลประทานแตกตางไปจากความคิดริเริ่มเดิม ในบางสวน ในการวางระบบชลประทานทั้งโดยแรงโนมถวงและสถานีสูบน้ํานั้น กรมชลประทานไดรับแนวคิดของ โครงการโขงชีมูล (ที่ศึกษาโดยกรมพัฒนาและสงเสริมพลังงาน (เดิม)) และแนวความคิดจากมูลนิธิน้ําและคุณภาพ ชีวิต ในระหวางดําเนินการศึกษาจัดทําแผนแมบทและศึกษาความเหมาะสมเบื้องตน ไดรับความรวมมือและเอื้อเฟอ ข อ มู ล จากส ว นราชการท อ งถิ่ น ในส ว นกลาง ร ว มทั้ ง การจั ด การมี ส ว นร ว มของราษฎรในพื้ น ที่ ต า งๆ และการ สัมภาษณเกษตรกร รวมทั้งไดรับความรวมมือจากเจาหนาที่ของจังหวัดที่เกี่ยวของและเจาหนาที่กรมชลประทาน สวนทองถิ่น ในระหวางการศึกษา โครงการไดรับการสนับสนุนและความสนใจจากผูบังคับบัญชาทุกระดับ ตั้งแตระดับ สํานัก กรม กระทรวงเกษตรและสหกรณและรัฐบาล ซึ่งไดใหแนวคิดตางๆ นําไปไปศึกษาเพิ่มเติม นอกจากนี้ ยัง ไดรับความคิดเห็นและความสนใจจากจากราษฎร องคกรเอกชน องคกรบริหารสวนทองถิ่น ซึ่งสมาชิกสภาผูแทน ราษฎรในพื้นที่วิกฤติภัยแลง (ตนน้ําชีและตนน้ํามูล) ไดจัดประชุมระดมความคิดเห็นของผูแทนองคกรสวนทองถิ่น ผูแทนเกษตรกรและอาชีพอื่นๆ ที่เกี่ยวของในภาคอีสาน เพื่อแสดงความคิดเห็นตอการศึกษาแนวทางผันน้ําโขง รวมทั้งนักวิชาการตางๆ อยางกวางขวาง เนื่องจากเปนแนวคิดใหมในการผันน้ําโขงประกอบกับมีขนาดโครงการ ใหญมาก จึงทําใหมีโอกาสนําความคิดเห็นตางๆ จากการนําเสนอขอมูลในการศึกษาตอที่สาธารณะมาปรับปรุง แนวทางการศึกษามาโดยตลอด นอกจากนี้แลว ในการศึกษาขั้นความเหมาะสมและผลกระทบสิ่งแวดลอมและดาน สังคมที่จะดําเนินการตอไป จะใหความสําคัญและจัดใหมีขั้นตอนของการมีสวนรวมของราษฎรมากขึ้น
67
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการขนาดใหญ่
เอกสารอางอิง กรมชลประทาน, 2551. รายงานแผนหลักบรรเทาอุทกภัยและแกไขปญหาภัยแลงในลุมน้ําชีและมูล. กรุงเทพมหานคร. กรมชลประทาน, 2551. รายงานศึกษาวางโครงการผันน้ํา (โขง-เลย-ชี-มูล). กรุงเทพมหานคร. กรมชลประทาน, 2548. รายงานศึกษาความเหมาะสมงานจางบริหารโครงการที่แลวเสร็จ (ภายใต โครงการโขงชีมูล). กรุงเทพหานคร. กรมชลประทาน, 2550. รายงานศึกษาผลกระทบเพิ่มเติมและจัดทําแผนปฏิบัติการลดสิ่งแวดลอมตาม แผนพัฒนาโครงการโขง-ชี-มูลระยะที่ 1. กรุงเทพมหานคร. สุวิทย ธโนภานุวัฒน, 2550. การใชน้ําโขงบนหลักการผลประโยชนแหงชาติ. เอกสารวิจัยสวนบุคคล วิทยาลัย ปองกันราชอาณาจักรปการศึกษา 2549-2550. Mekong River Committee, 2003. The State of the Basin Report. Thai National Mekong Committee (TNMC). Mekong River Committee, 2005. Strategy Directions for Integrated Water Resources Management in the Lower Mekong Basin: Draft version. MTRC – Halgrow. Powerpoint presentation. MRC Basin Development Plan Unit, 2004. Integrated National Sector Review: Draft Final Report.
68
บทที่ 6 การมีสวนรวมของกลุมผูมีสวนไดสว นเสีย และความโปรงใสของการพัฒนา โครงการเขื่อนไฟฟาพลังน้ําบนแมน้ําโขงสายหลัก กรณีเขื่อนบานกุม (จ. อุบลราชธานี) มนตรี จันทวงศ โครงการฟนฟูนิเวศในภูมิภาคแมน้ําโขง
บทคัดยอ ในปจจุบันแนวความคิดเรื่องการมีสวนรวมของประชาชนในสังคมไทย ตอนโยบายการพัฒนาประเทศหรือ การพัฒนาโครงการตางๆของภาครัฐ เปนแนวคิดที่ไดรับการยอมรับอยางกวางขวาง โดยเฉพาะอยางยิ่งการพัฒนา โครงการขนาดใหญในอดีต ซึ่งมีบทเรียนเรื่องการละเลยกระบวนการมีสวนรวมของประชาชน หรือกลุมผูมีสวนได สวนเสียในโครงการนั้นๆ และไดนําไปสูปญหาตางๆที่ติดตามมาและยากที่จะเยียวยาแกไข เมื่อโครงการตางๆ จํานวนมากนั้นไดดําเนินการไปแลว กระบวนการมีสวนรวมของประชาชนหรือกลุมผูมีสวนไดสวนเสียในปจจุบัน ได รับรองไวโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญพ.ศ. 2550 ในมาตรา 57, 67 และอีกหลายมาตราที่รับรองโดยทางออมผาน ตัวแทนของประชาชนในกลไกของรัฐสภา เชน มาตรา 190 นอกจากนี้การดําเนินการของรัฐบาลและเจาหนาที่ของ รัฐ ก็ ถู ก กํ า หนดให มี ก ระบวนการทํ า งานที่โ ปร ง ใส มี ธรรมาภิ บ าลภายใต พ ระราชกฤษฎี ก าการบริ ห ารจั ด การ บานเมืองที่ดี ในกรณีของการลงนามในบันทึกความเขาใจเพื่อศึกษาโครงการเขื่อนบานกุม ระหวางประเทศไทยกับ ประเทศ สปป.ลาว ของรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2551 ที่ผานมานั้น กลาวไดวาเปน การเริ่มตนกระบวนการพัฒนาโครงการสรางเขื่อนบนแมน้ําโขง ซึ่งเปนพรมแดนระหวางประเทศทั้งสองนี้อยางเปน ทางการแหงแรกของประเทศไทย สําหรับในสวนของประเทศไทย ทั้งกอนและหลังการลงนามในบันทึกความเขาใจ นั้น กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษพลังงาน (พพ.) กระทรวงพลังงาน ไดริเริ่มศึกษาความเหมาะสมและ ความเปนไปไดเบื้องตน โครงการเขื่อนบานกุม มาตั้งแตป พ.ศ. 2548 แตยังไมไดเปดเผยและเผยแพรใหประชาชน และกลุมผูมีสวนไดสวนเสียจากโครงการไดรับรูขอมูลในดานตางๆ โดยเฉพาะกลุมประชาชนในพื้นที่โครงการที่จะ ไดผลกระทบโดยตรง ยังคงเปนกลุมผูมีสวนไดสวนเสียที่รับรูขอ มูลการพัฒนาโครงการนอยที่สุดจนถึงทุกวันนี้ ในบทความชิ้นนี้ จะไดทําการตรวจสอบ และชี้ใหเห็นประเด็นปญหาของ การขาดกระบวนการมีสวนรวม ของประชาชน และความโปรงใสในกระบวนการดําเนินการของภาครัฐและราชการ ที่เกิดขึ้นทั้งกอนและหลังการลง นามบันทึกความเขาใจที่กลาวไวขางตน เพื่อเปนบทเรียนและการปรับปรุงกระบวนการมีสวนรวมของประชาชนและ ความโปรงใส โดยเฉพาะในโครงการเขื่อนบนแมน้ําระหวางประเทศและมีผลกระทบขามพรมแดนตอไป
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการขนาดใหญ่
บทนํา เหตุการณที่คณะรัฐมนตรีที่มีนายสมัคร สุนทรเวชเปนนายกรัฐมนตรี ไดอนุมัติรางบันทึกความเขาใจ เรื่องความรวมมือในการพัฒนาพลังงานไฟฟาระหวางไทย - ลาว (โครงการเขื่อนบานกุม) ที่เสนอโดย กระทรวงการตางประเทศในวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2551 และไดอนุมัติใหนายนพดล ปทมะ รัฐมนตรีวาการ กระทรวงตางประเทศ ไปรวมลงนามกับรัฐบาล สปป.ลาว โดยมีการลงนามกันที่กรุงเวียงจันทน ในวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2551 ทั้งๆที่เพิ่งจัดตั้งรัฐบาลไดไมถึง 1 เดือน ในขณะที่กระทรวงที่เกี่ยวของและศึกษาเรื่องนี้มากอนอยาง กระทรวงพลังงาน ก็ปดปากเงียบ และปฏิเสธที่จะเขามาเกี่ยวของกับโครงการเขื่อนบานกุมจนถึงบัดนี้ เหตุการณตอมา นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ไดกลาวถึงเขื่อนบานกุมในรายการ สนทนาประสา สมัคร เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 วา ไดดําเนินการทําขอตกลงศึกษารวมกับรัฐบาลลาวแลว และจะ ผลักดันใหมีการสรางเขื่อนบานกุมใหไดโดยเร็ว รวมทั้งไมควรเรียกเขื่อนบานกุมวา เขื่อน แตควรเรียกวา Check Dam หรือฝายแมว ความจริงแลวเพียงสองเหตุการณนี้ ก็มากเพียงพอที่จะสรุปไดวา การตัดสินใจผลักดันโครงการเขื่อน บานกุมในสมัยรัฐบาลนายสมัครรวมกับรัฐบาล สปป.ลาวนั้น ไมมีอะไรเลยที่เรียกไดวา เปนการตัดสินใจบน หลักการเรื่องการมีสวนรวมของกลุมผูมีสวนไดสวนเสีย โดยเฉพาะประชาชนที่จะไดรับผลกระทบในจังหวัด อุบลราชธานี และเรื่องความโปรงใสในกระบวนการผลักดันโครงการของรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เขื่อนบานกุมไมไดเพิ่งจะมีการริเริ่มศึกษาในรัฐบาลสมัคร แตมีการศึกษาในภาพรวมของการพัฒนาเขื่อน ไฟฟาพลังน้ําบนแมน้ําโขงมานานรวม 4 ทศวรรษ เพียงแตที่ผานมา ยังไมเคยเกิดความรวมมือในการศึกษารวมกัน อยางเปนทางการ ระหวางสองประเทศนี้ การผลักดันโครงการเขื่อนบานกุมอยางปจจุบันทันดวน นาจะสะทอนให เห็นถึงพลังผลักดันภายนอกที่มองไมเห็น ผานกลไกทีส่ ลับซับซอนและตรวจสอบไดยากของทั้งสองประเทศ เพื่อ บุกเบิกโครงการเขื่อนบานกุมที่มีมูลคาเกือบหนึ่งแสนลานบาท โดยไมไดสนใจวาพลังงานไฟฟาสํารองของไทยนัน้ จะทวมลนเกินอยูในระบบมากนอยเพียงใด สถานการณขางตนนี้ ไดนําไปสูการตรวจสอบจากองคกรและหนวยงานตางๆของประเทศไทย อาทิเชน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแหงชาติ, คณะกรรมาธิการสิ่งแวดลอม วุฒิสภา, คณะกรรมาธิการตรวจสอบการทุจริต และเสริมสรางธรรมาภิบาล วุฒิสภา คณะกรรมาธิการพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย สภาผูแทนราษฎร รวมทั้ง องคกรภาคประชาสังคมอื่นๆ เชน เครือขายประชาสังคมไทยเพื่อแมน้ําโขง และเครือขายประชาสังคมใน จังหวัด อุบลราชธานี ผลการตรวจสอบโดยรวมชี้ใหเห็นแนวโนมที่ชัดเจน ในเรื่องการขาดกระบวนการมีสวนรวมของกลุมผู มีสวนไดสวนเสียและขาดความโปรงใส แตผลในทางปฏิบัติในอันที่จะนําไปสูการยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2551 และการยกเลิกบันทึกความเขาใจระหวางประเทศนั้น ก็อาจจะเปนสิ่งที่เกิดขึ้นไดยากและมี ความออนไหวตอความสัมพันธระหวางประเทศ ถึงแมวาในปจจุบันจะมีการเปลี่ยนรัฐบาล รัฐบาลในปจจุบันเคย วิพากษวิจารณโครงการนี้เมื่อยังคงเปนฝายคานในสภา ปจจุบันเมื่อเขามาเปนกุมอํานาจฝายบริหาร ก็ยังมิได ดําเนินการใดๆ ที่จะทําใหเกิดการมีสวนรวมของประชาชนและความโปรงใสมากกวารัฐบาลชุดที่ผานมา
70
การมีส่วนร่วมของกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และความโปร่งใสของการพัฒนา โครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ําบนแม่น้ําโขงสายหลัก กรณีเขื่อนบ้านกุ่ม (จ. อุบลราชธานี) / มนตรี จันทวงศ์
ขอบเขตการศึกษาและวิธีการศึกษา การศึกษานี้ จะเนนในเรื่อง กระบวนการมีสวนรวมของกลุม ผูมีสวนไดสวนเสียตางๆ และความโปรงใสของ การพัฒนาโครงการเขื่อนไฟฟาพลังน้ําบนแมน้ําโขงสายหลัก ซึ่งไดมีการพัฒนาโครงการมานานกวา 3 ทศวรรษ โดยจะดูในขอบเขตของประเทศไทยเปนหลัก สําหรับในสวนของประเทศ สปป.ลาวนั้น ซึ่งมีรูปแบบทางการเมือง การปกครองทีแ่ ตกตางไปนั้น ขอบเขตการศึกษาจะไมครอบคลุมถึงในสวนนี้ ขอบเขตการศึกษาที่กําหนดไวไดแก 1. ความเปนมาของโครงการ และสถานะปจจุบัน ของการพัฒนาโครงการเขื่อนบานกุม 2. กระบวนการมีสวนรวมและบทบาทของกลุมผูมีสวนไดสวนเสีย ตอการพัฒนาโครงการเขื่อน บานกุมทั้งกอนและหลัง การลงนามบันทึกความเขาใจระหวางรัฐบาลไทยกับสปป.ลาว 3. ความโปรงใสและธรรมาภิบาล ของกระบวนการพัฒนาโครงการเขื่อนบานกุม วิธีการศึกษา เปนการรวบรวมขอมูลที่เกี่ยวของ จากเอกสารรายงานการศึกษาตางๆ ที่มีการเผยแพรขอมูล จากเว็บไซดที่เกี่ยวของและขาวในสื่อมวลชน นํามาประมวลและวิเคราะหตามกรอบการศึกษาขางตน
ผลการศึกษา 1. ความเปนมาของโครงการ และสถานะปจจุบัน ของโครงการเขื่อนบานกุม 1.1 เขื่อนบานกุมกับแผนการสรางเขื่อนบนแมน้ําโขงสายหลักตอนลาง เขื่ อ นบ า นกุ ม เป น หนึ่ ง ในแผนพั ฒ นาเขื่ อ นไฟฟ า พลั ง น้ํ า ที่ จ ะถู ก สร า งกั้ น แม น้ํ า โขงสายหลั ก โดย คณะกรรมการแมน้ําโขงไดนําเสนอแผนการสรางเขื่อนไฟฟาพลังน้ําและการชลประทาน ในป พ.ศ.2513 ซึ่งมีกําลัง ผลิตไฟฟารวมกันถึง 23,300 เมกกะวัตต และโครงการหนึ่งที่เปนที่รูจักกันในขณะนั้นคือ โครงการเขื่อนผามอง ขนาด 4,800 เมกกะวัตต จะมีพื้นที่อางเก็บน้ํามากถึง 3,700 ตารางกิโลเมตร และตองอพยพประชาชนในขณะนั้น มากถึง 250,000 คน อยางไรก็ตามผลกระทบจากสงครามอินโดจีน ไดสงผลใหโครงการเขื่อนไฟฟาบนแมน้ําโขง ตอนลางทั้งหมดตองยุติลงชั่วคราว เมื่อสงครามอินโดจีนสิน้ สุดลง ในป พ.ศ. 2537 สํานักงานเลขาธิการ คณะกรรมการแมน้ําโขง ไดเผยแพร การศึกษาโครงการเขื่อน ไฟฟาพลังน้ําบนแมน้ําโขงขึ้นมาใหมรวม 11 เขื่อน (Mekong Secretariat Study Team, 1994) โดยไดเปลี่ยนแบบเขื่อนเปนเขื่อนแบบ Run-of-river ทั้งหมด มีความสูงระหวาง 30-60 เมตร เขื่อนไฟฟาชุด ใหมนี้จะสรางอางเก็บน้ํามีความยาวรวมกันกวา 600 กิโลเมตร โดยมีกาํ ลังผลิตติดตั้งทั้งหมดประมาณ 13,350 เมกกะวัตต และไฟฟาสวนใหญที่ผลิตไดจะขายใหแกประเทศไทย ในป พ.ศ. 2538 สี่ประเทศในลุมน้ําโขงตอนลาง ไดแก ไทย ลาว กัมพูชาและเวียดนาม ไดรวมกันลงนาม ในความตกลงวาดวยความรวมมือเพื่อการพัฒนาลุมแมน้ําโขงอยางยั่งยืน (Agreement on the Cooperation for the Sustainable Development of the Mekong River Basin) และจัดตั้งคณะกรรมาธิการแมน้ําโขง ที่ผานมา คณะกรรมาธิการแมน้ําโขงยังคงพยายามพัฒนาขอเสนอการสรางเขื่อนไฟฟาบนแมน้ําโขงใหเกิดขึ้นเปนรูปธรรม ลาสุดคณะกรรมาธิการแมน้ําโขง ไดจัดการประชุม Regional Multi-Stakeholder Consultation on the MRC Hydropower Programme ที่นครเวียงจันทน ระหวางวันที่ 25-27 กันยายน พ.ศ. 2551 การประชุมในครั้งนี้ได 71
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการขนาดใหญ่
ยืนยันใหเห็นวา ขอเสนอการสรางเขื่อนไฟฟาพลังน้ําบนแมน้ําโขงสายหลักตอนลางที่มีมากวาสามทศวรรษ และ เคยถูกละทิ้งไปแลวในอดีต ไดฟนคืนชีพขึ้นแลว โดยมีบริษัทเอกชนสัญชาติไทย มาเลเซีย เวียดนาม รัสเซีย และ จีน ไดรับไฟเขียวจากรัฐบาลในลุมแมน้ําโขงตอนลาง ใหเดินหนาศึกษาความเปนไปไดของโครงการ ในขณะนี้มี การศึกษาอยูดวยกัน 11 เขื่อน โดย 7 เขื่อนอยูในประเทศ สปป.ลาว สองเขื่อนอยูระหวางพรมแดนไทย-สปป.ลาว และอีก 2 เขื่อนอยูในประเทศกัมพูชา ในสวนของคณะกรรมาธิการแมน้ําโขงนั้น ไดรับการสนับสนุนดานงบประมาณจากประเทศฟนแลนด สําหรับใชใน The MRC Hydropower Programme ป ค.ศ. 2008 ถึง 286,000 ดอลลาหสหรัฐ เปรียบเทียบกับกอน หนานี้ใน MRC ไดเงินจากรัฐบาลญี่ปุนในป ค.ศ. 2007 สําหรับโครงการ Initial Analysis of Hydropower Potentials in LMB จํานวน 500,000 ดอลลาหสหรัฐ และชวงป ค.ศ. 2003 ค.ศ. 2004 และค.ศ.2005 รัฐบาลญี่ปุน ไดสนับสนุนงบประมาณในโครงการ Formulation of Hydropower Development Strategy จํานวน 3,884 และ 8,355 และ 2,862 ดอลลาหสหรัฐ ตามลําดับ (Mekong River Commission 2008) โครงการเขื่อนขนาดใหญบนแมน้ําโขงสายหลัก ถูกผลักดันภายใตขอกลาวอางถึงความตองการไฟฟาใน ภูมิภาคที่สูงขึ้นตลอดเวลา ทําใหรัฐบาลในภูมิภาคแมน้ําโขงตางใชมันเปนเครื่องมือในการผลักดันโครงการเขื่อน ขนาดใหญมูลคามหาศาล โดยมีประเทศไทยและประเทศเวียดนามรับบทเปนผูซื้อรายใหญของภูมิภาค และมี ประเทศลาวประกาศวาเปน “แบตเตอรี่” ที่จะปอนพลังงานใหกับภูมิภาค โดยมิไดพิจารณาวาจะมีไฟฟาลนเกิน ความตองการเพียงใด และมิไดใหความสําคัญกับพลังงานทางเลือกอื่น ๆ ที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนโดยที่ไมตอง ทุมทุนมหาศาล 1.2 การศึกษาเขื่อนบานกุม โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษพลังงาน ในสวนของประเทศไทย ในป พ.ศ. 2548 กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษพลังงาน (พพ.) กระทรวง พลังงาน ไดวาจาง บริษัท ปญญา คอนซัลแตนท จํากัด และ บริษัท มหานครคอนซัลแตนท จํากัด ศึกษาศักยภาพ การกอสรางเขื่อนไฟฟาพลังน้ําแบบขั้นบันไดในแมน้ําโขง ผลการศึกษาไดเสนอโครงการเขื่อนไฟฟาพลังน้ําที่มี ความเหมาะสมทางวิศวกรรมและทางเศรษฐกิจ 7 โครงการไดแก เขื่อนไฟฟาพลังน้ําคอนฟอล (ลาว) เขื่อนไฟฟา พลังน้ําบานกุมขนาด 2,175 เมกะวัตต (พรมแดนไทย-ลาว) เขื่อนไฟฟาพลังน้ําไชยบุรี (ลาว) เขื่อนไฟฟาพลังน้ําผา มอง (พรมแดนไทย-ลาว) เขื่อนไฟฟาพลังน้ําหลวงพระบาง (ลาว) เขื่อนไฟฟาพลังน้ําปากเบง (ลาว) และเขื่อน ไฟฟาพลังน้ําสามบอ (กัมพูชา) ในป พ.ศ. 2550 กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษพลังงาน (พพ.) กระทรวงพลังงาน ไดจาง บริษัท ปญญา คอนซัลแตนท จํากัด และบริษัท แมคโครคอนซัลแตนท จํากัด ทําการศึกษา “รายงานกอนรายงานความ เหมาะสมและรายงานสิ่งแวดลอมเบื้องตน” ในโครงการเขือ่ นไฟฟาปากชม และเขื่อนไฟฟาบานกุม (ซึ่งไดเปลี่ยนชื่อ เขื่อนใหมวา โครงการไฟฟาพลังน้ําฝายปากชมและโครงการไฟฟาพลังน้ําฝายบานกุมตามลําดับ) การศึกษานี้แลว เสร็จในเดือนเมษายน พ.ศ. 2551 สรุปลักษณะโครงการที่สําคัญไดดังนี้
72
การมีส่วนร่วมของกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และความโปร่งใสของการพัฒนา โครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ําบนแม่น้ําโขงสายหลัก กรณีเขื่อนบ้านกุ่ม (จ. อุบลราชธานี) / มนตรี จันทวงศ์
1) รายละเอียดดานเทคนิค เขื่อนบานกุม ไดแก 1. ติดตั้งเครื่องกําเนิดไฟฟาขนาด 1,872 เมกะวัตต และมีกําลังการผลิตพึ่งได 375.68 เมกะวัตต (ประมาณ 20% ของกําลังผลิตติดตั้ง) 2. มีระดับเก็บกักสูงสุดที่ 115 เมตร จากระดับน้ําทะเลปานกลาง (ม.รทก.) 3. เกิดอางเก็บน้ํายาว 110 กิโลเมตร มีความจุขนาด 2,111 ลาน ลูกบาศกเมตร 4. มีพื้นที่น้ําทวม 98,806 ไร จําแนกเปนพื้นทีน่ ้ําทวมตลิ่งฝงประเทศไทย 5,490 ไรและตลิง่ ฝง ประเทศลาว 8,368 ไร 5. ติดตั้งประตูระบายน้ําจํานวน 22 บาน ขนาด กวาง 20 เมตร สูง 25.50 เมตร 6. ชองเดินเรือ 2 ชอง ขนาด กวาง 20 เมตร ยาว 200 เมตร และชองทางปลาผาน (Fish way) หรือ บันไดปลาโจน 7. พลังงานไฟฟาสุทธิเฉลี่ยปละ 8,012.17 ลานหนวยและพลังงานไฟฟาพึ่งไดสุทธิเฉลี่ยปละ 3,078.74 ลานหนวย 8. ตนทุนโครงการรวม 95,348 ลานบาท และตนทุนโครงการเมื่อรวมเงินเฟอและดอกเบีย้ รวม 120,390 ลานบาท 9. ตนทุนพลังงานไฟฟา 1.37 บาทตอหนวย (คิดจาก พลังงานไฟฟาสุทธิเฉลี่ยปละ 8,012.17 ลาน หนวย) 2) รายงานการศึกษาเขื่อนบานกุม ไดคํานวณผลประโยชนในดานตางๆไวดังนี้ 1. รายไดจากการขายไฟฟาไฟฟา 14,181 ลานบาท (คิดจากพลังงานไฟฟาสุทธิเฉลี่ยปละ 8,012.17 ลาน หนวย) 2. ดานคมนาคมทางน้ํา 135 ลานบาท 3. ดานประมง 270 ลานบาท 4. ลดคารบอนไดออกไซด 5.49 ลานตัน/ป หรือ ลดการนําเขาน้ํามันเตา 24,168 ลานบาท/ป 5. สามารถพัฒนาโครงการสูบน้ําดวยไฟฟา 17 โครงการ ทั้งฝง ไทยและลาว ในพื้นที่ 56,600 ไร ดวยงบประมาณลงทุนรวม 422.842 ลานบาท 3) รายงานการศึกษาฯไดสรุปผลกระทบและแนวทางการลดปญหาผลกระทบไวดังนี้
73
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการขนาดใหญ่
ตารางที่ 1 ตารางสรุปผลกระทบและแนวทางการลดปญหาผลกระทบโครงการเขื่อนบานกุม ผลกระทบ แนวทางการลดปญหาผลกระทบ 1. น้ําทวมหมูบาน 4 หมูบานจํานวน 239 ครัวเรือน กอสรางคันปองกันน้ําทวม โดยไมตอง อพยพบานเรือนในไทยและลาว • ไทยมี 1 หมูบานคือ บานคันทาเกวียน อ.โขงเจียม จ. อุบลราชธานี จํานวน 29 หลังคาเรือน • ลาวมี 3 หมูบาน คือ บานกุมนอย บานคําตื้อ บานคันทุงไชย จํานวน 44 , 93 , 73 หลังคาเรือนตามลําดับ 2. เวนคืนพื้นทีห่ ัวงานเขื่อน ทีบ่ านทาลง และบานกุมนอย ชดเชยคาที่ดินและบานเรือน 3. พื้นที่น้ําทวมตลิ่งแมน้ําโขง ซึง่ เปนพืน้ ที่เกษตรกรรมริมแมน้ําโขง รวม ชดเชยคาที่ดินและพื้นที่เพาะปลูก 13,858 ไร ซึง่ เปนพื้นที่ปลูกพืชระยะสั้นในฤดูแลง เพือ่ เปน อาหาร (12,000 บาท/ไร) การทอผาและรายไดของชุมชน แบงเปน ตลิ่งฝงไทยจํานวน 5,490 ไร และตลิ่งฝงลาว สปป.ลาวจํานวน 8,368 ไร 4. อาชีพประมงของชุมชนดานเหนือเขื่อน ซึ่งมีรายไดหลักจากการ ชดเชยคาเสียโอกาสในการทํากิน ประมง เชน เทียบเทาการลงทุนเปลี่ยนอาชีพเปน เลี้ยงปลาในกระชัง (160,000 บาท/ • ไทย เชน บานคันทาเกวียน, ปากลา, ดงนา, ผาชัน, สําโรง, ปากหวยมวง, สองคอน, คันพะลาน, ดอนงิว้ , บุงแซะ, ปากแซง, ครัวเรือน) นาทราย, นาหินโงน, ลาดหญาคา, นาแวง, บุงของ, นาเมือง, หนองวิไล, บานเหนือ, นาสนาม, แกงเกลี้ยง, อุบมุง, หวยยาง, บุงซวย, บุงเขียว • ลาว เชน บานกุมนอย, คําตื้อ, คันกกมวง, คันทุงไซย, ปากหวยเดื่อ, หาดสะโน, แสนพัน 5. น้ําทวมเขตอุทยานแหงชาติผาแตม รวมพื้นที่ 480 ไร กอนเริ่มโครงการ ตองขอเพิกถอน พื้นที่อุทยานแหงชาติกอน 6. การปดกั้นการอพยพของปลาในแมน้ําโขง สรางบันไดปลาโจน และเพาะพันธุปลา ที่ผานไมได นํามาปลอยทั้งเหนือเขื่อน และใตเขื่อน 7. ผลกระทบดานอาชีพประมงดานใตเขื่อน เชน บานทาลง, บานตามุย, ไมระบุในการศึกษาฯ บานกุม, บานเวินบึก อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี 8. ผลกระทบดานการสูญเสียระบบนิเวศและแหลงทองเทีย่ วของ จ. ไมระบุในการศึกษาฯ อุบลราชธานี เชน ผาชัน, แกงสามพันโบก, แกงสะเลกอน-ดอนใหญ, หาดสลึง, หาดบานปากแซง, วังปลา ฯลฯ รวมทั้ง เถาวัลยยักษ และ น้ําตกแสงจันทร(น้ําตกลอดรู) ในเขตอุทยานแหงชาติผาแตม 9. ผลกระทบดานการเปลี่ยนแปลงระดับน้ําและอัตราการไหลของแมน้ํา ไมระบุในการศึกษาฯ โขงดานเหนือเขื่อนและทายเขื่อน 10. ผลกระทบตอระบบนิเวศแมน้ําโขงโดยรวม นอกพืน้ ที่โครงการเขือ่ น ไมระบุในการศึกษาฯ บานกุม 74
การมีส่วนร่วมของกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และความโปร่งใสของการพัฒนา โครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ําบนแม่น้ําโขงสายหลัก กรณีเขื่อนบ้านกุ่ม (จ. อุบลราชธานี) / มนตรี จันทวงศ์
รูปที่ 1 แผนทีแ่ สดงหมูบานดานเหนือและดานใต ของเขื่อนบานกุม
รูปที่ 2 ภาพตัดขวางแมน้ําโขง แสดงขอบเขตพื้นที่น้ําทวม และผลกระทบตอการจับปลา และการปลูกพืชริมตลิ่ง 75
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการขนาดใหญ่
4) รายงานการศึกษาฯ ไดเสนอแนวทางการบริหารโครงการ 3 แนวทาง ไดแก 1. การจัดตั้งคณะกรรมการรวม (joint committee) โดยกรรมการรวมจะทํา MOU เพื่อกําหนด เงื่อนไขและรายละเอียดของการเชิญชวนและคัดเลือกผูลงทุนพัฒนาโครงการ รวมถึงมูลคาการ ลงทุน การใหสิทธิประโยชน ภาระภาษี คาสิทธิหรือคาสัมปทานแกรัฐบาลทั้งสองประเทศ 2. การจัดตั้งบริษัทรวมทุนระหวางประเทศสองประเทศ (holding company) เพื่อใหสัมปทานแก บริษัทผูดําเนินการ เปนผูมีสิทธิเพียงผูเดียวในการพัฒนาโครงการ โดยมีรูปแบบของการรับโอน สิทธิในสัมปทาน ในระยะเวลา 25-30 ป และบริษัทผูดําเนินการอาจเชิญผูรวมลงทุนอื่นๆมารวม พัฒนาโครงการได 3. รัฐบาลทั้งสองประเทศดําเนินการโครงการโดยตรง โดยจัดตั้งบริษัทรวมทุนเพื่อดําเนินการเอง (Joint Operating Committee) ในสัดสวน 50:50 รายงานการศึกษาระบุวา ขั้นตอนการจัดตั้งคณะกรรมการรวมตามรูปแบบที่ 1 สามารถทําไดทันที แตใน กรณีมีการทํา MOU ตองดําเนินการรัฐธรรมนูญมาตรา 57 และ 190 กอน ในสวนการรับฟงความคิดเห็นจาก ประชาชน และการไดรับความเห็นชอบจากรัฐสภาในเนื้อหา เงื่อนไข รวมถึงรายละเอียดของขอตกลงตามบันทึก ความเขาใจในการพัฒนาโครงการรวมกันของทั้งสองประเทศ โดยหนวยงานหลักของไทยควรอยูในความรับผิดชอบ ของกระทรวงพลังงาน 5) รายงานการศึกษาระบุเรือ่ งการมีสวนรวมของประชาชนไวดังนี้ บริษัทที่ดําเนินการศึกษาฯ ไดจัดการประชุมเพื่อใหผูมีสวนไดเสียในพื้นที่โครงการ มีสวนรวมอยางเต็มที่ ในการศึกษาโครงการดานตางๆ โดยไดแบงการประชุมเปน 2 ระดับ คือ 1. การประชุมระดับพื้นที่โครงการ 2 ครั้ง ไดแก 1.1 การประชุมปฐมนิเทศโครงการ จํานวน 5 ครั้ง ที่อําเภอเขมราฐ อําเภอนาตาล อําเภอโพธิ์ไทร อําเภอ โขงเจียมและอําเภอศรีเมืองใหม จ.อุบลราชธานี ระหวางวันที่ 24-25 กันยายน และ 4-9 ตุลาคม พ.ศ. 2550 1.2 การประชุมระดับพื้นที่โครงการครั้งที่ 2 จํานวน 5 ครัง้ ที่อําเภอเขมราฐ อําเภอนาตาล อําเภอโพธิ์ไทร อําเภอโขงเจียมและอําเภอศรีเมืองใหม จ.อุบลราชธานี ระหวางวันที่ 11-14 กุมภาพันธ พ.ศ. 2551 2. การประชุมระดับประเทศ 2 ครั้ง (สปป.ลาว และประเทศไทย) ดังนี้ 2.1 การประชุมปรึกษาหารือ ในวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2551 ณ โรงแรมดอนจันทน กรุงเวียงจันทน สปป. ลาว เปนการประชุมรวมระหวางหนวยงานราชการและเอกชนของประเทศไทยและสปป.ลาว 2.2 การสัมมนาโครงการไฟฟาพลังน้ําฝายปากชมและฝายบานกุม ในวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2551 ณ โรงแรมเดอะทวิน ทาวเวอร กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย เปนการประชุมชี้แจงรายละเอียดและแนวทางการ ดําเนินงานโครงการไฟฟาพลังน้ําฝายปากชมและฝายบานกุมใหแกหนวยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ เอกชน และ บริษัทดานการลงทุน
76
การมีส่วนร่วมของกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และความโปร่งใสของการพัฒนา โครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ําบนแม่น้ําโขงสายหลัก กรณีเขื่อนบ้านกุ่ม (จ. อุบลราชธานี) / มนตรี จันทวงศ์
รูปที่ 3 สวนมันเทศ บนหาดทรายแมน้ําโขง ในฤดูแลง ทีบ่ านสองคอน อ.โพธิ์ไทร จ.อุบลราชธานี
รูปที่ 4 การทําประมงของชาวบานผาชัน อ.โพธิ์ไทร จ.อุบลราชธานี
77
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการขนาดใหญ่
1.3 สถานะปจจุบันของเขื่อนบานกุมในประเทศไทย ตั้งแตวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2551 เปนตนมา ในสวนของประเทศไทยมีการเคลื่อนไหวของภาคประชา 1 สังคม และกลไกตรวจสอบอิสระอยางตอเนือ่ ง2 ตอเหตุผลความจําเปนของโครงการ และกระบวนการที่รวบรัดตัด ตอนของฝายรัฐบาล อยางไรก็ตามรัฐบาลไดชี้แจงเรือ่ งการลงนามบันทึกความเขาใจเขื่อนบานกุม อยางเปนทางการ เพียงครัง้ เดียวเทานั้น การตอบกระทูถามสดของสภาผูแทนราษฎร ของนายเตช บุญนาค รมต.ตางประเทศใน ขณะนั้น ในวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2552 สรุปประเด็นสําคัญในเรือ่ งการใหบริษัทเอกชนเขามาเปนผูดําเนินการ ศึกษาความเปนไปไดวา (กระทรวงการตางประเทศ 2552) “...สําหรับประเด็นเรื่องการใหการสนับสนุนบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวลอปเมนต จํากัด (มหาชน) และบริษัท เอเชียคอรปโฮลดิ้ง ลิมิเต็ด เปนผูทําการศึกษาความเปนไปไดของโครงการนั้น เปนขอเสนอของรัฐบาล สปป.ลาว ที่เสนอใหภาคเอกชนที่จะทําการศึกษาความเปนไปไดของโครงการฯ ควรเปนผูที่มีประสบการณ และความนาเชื่อถือรวมถึงประสบการณดานการลงทุนประกอบธุรกิจใน สปป.ลาว.....อีกทั้งพิจารณาเห็นวา การเขามาลงทุนทําการศึกษาของบริษัทฯ ดังกลาว มิไดมีเงื่อนไขผูกพันรัฐบาล ทั้งในดานงบประมาณและ การดําเนินโครงการในระยะตอไป...” รวมทั้งไดชี้แจงในเรื่องการปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศไววา “.....หากตัดสินใจที่จะพัฒนาโครงการทั้งสองฝายตองดําเนินการตามระเบียบและขอกฎหมายภายในที่ เกี่ยวของ โดยในสวนของไทยที่สําคัญ ไดแก - รัฐธรรมนูญมาตรา 57 วาดวยสิทธิในขอมูลขาวสารซึ่งบุคคลยอมมีสิทธิไดรับขอมูล คําชี้แจงและ เหตุผลจากหนวยงานของรัฐ กอนการอนุญาตหรือการดําเนินโครงการหรือกิจกรรมใดที่อาจมีผลกระทบตอ คุณภาพสิ่งแวดลอมสุขอนามัย คุณภาพชีวิตหรือสวนไดเสียสําคัญอื่นใดที่เกี่ยวกับตนหรือชุมชนทองถิ่น และมีสิทธิแสดงความคิดเห็นของตนตอหนวยงานที่เกี่ยวของเพื่อนําไปประกอบการพิจารณาในเรื่อง ดังกลาว - รัฐธรรมนูญมาตรา 67 ซึ่งกําหนดวาการดําเนินโครงการหรือกิจกรรมที่อาจกอใหเกิดผลกระทบ ตอชุมชนอยางรุนแรงทั้งทางดานคุณภาพสิ่งแวดลอม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพ จะตองมีการศึกษา และประเมินผลกระทบตอคุณภาพสิ่งแวดลอมและสุขภาพของประชาชนในชุมชน และจัดใหมีกระบวนการ รับฟงความคิดเห็นของประชาชนและผูมีสวนไดเสียกอน - การดําเนินการตามกฎหมายอื่นๆ ไมวาจะเปนพระราชบัญญัติสิ่งแวดลอม พ.ศ. 2535 พระราชบัญญัติวาดวยการใหเอกชนเขารวมงานหรือดําเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 รวมทั้งความ
1
การตรวจสอบของภาคประชาสังคม เชน การออกแถลงการณของเครือขายประชาสังคมไทยเพื่อแมน้ําโขง วันที่ 26 มีนาคม 2551 และวันที่ 27 พฤษภาคม 2551 , เวทีสาธารณะ : คนอุบลและสังคมไทยกับโครงการเขือ่ นไฟฟาบานกุม จัดโดย ศูนยวิจัยสังคมอนุภูมิภาคลุมน้ําโขง คณะ ศิลปศาสตร มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี รวมกับ ภาควิชาการปกครองทองถิ่น คณะมนุษยศาสตรและสังคมศาสตร มหาวิทยาลัยราชภัฐ อุบลราชธานี ในวันที่ 6 กันยายน 2551 2 กลไกตรวจสอบอิสระที่เขามาตรวจสอบไดแก กรรมาธิการตรวจสอบการทุจริตและเสริมสรางธรรมาภิบาล วุฒิสภา, กรรมาธิการสิ่งแวดลอม วุฒิสภา, คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแหงชาติ
78
การมีส่วนร่วมของกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และความโปร่งใสของการพัฒนา โครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ําบนแม่น้ําโขงสายหลัก กรณีเขื่อนบ้านกุ่ม (จ. อุบลราชธานี) / มนตรี จันทวงศ์
ตกลงระหวางประเทศเกี่ยวกับระเบียบปฏิบัติของการใชน้ําในแมน้ําโขงในฐานะที่ไทยและลาวเปนสมาชิก คณะกรรมาธิการแมน้ําโขง (Mekong River Commission, MRC) - นอกจากนี้ เมื่อจะตองเจรจาจัดทําความตกลงกับฝายลาวเพื่อดําเนินโครงการดังกลาว ก็จะตอง ดําเนินการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ดวย” (เพิ่งอาง) ถึงแมวากระทรวงตางประเทศจะชี้แจงวา รัฐบาลไทยไมขัดของตอขอเสนอของรัฐบาลสปป.ลาว ที่ให บริษัทเอกชนเขามาดําเนินการศึกษา ไดแก บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวลอปเมนต จํากัด (มหาชน) และบริษัทเอเชีย คอรปโฮลดิ้ง ลิมิเต็ด แตในสวนของประเทศไทยนั้น การมอบหมายใหบริษัทเอกชนทั้งสองแหงดังกลาวนี้ เขามา ดําเนินการศึกษาอยางเปนทางการยังไมเกิดขึ้นจนถึงปจจุบันนี้ กระทรวงพลังงาน ซึ่งเปนกระทรวงที่ดูแลเรื่อง พลั ง งานไฟฟ า โดยตรง ได ชี้ แ จงตอกย้ํ า ในประเด็ น ที่ ค ณะรั ฐ มนตรี ยั ง มิ ไ ด ม อบหมายให เ อกชนรายใดเข า มา ทําการศึกษา ตลอดชวงป พ.ศ. 2551 และตอเนื่องมาจนถึงป พ.ศ. 2552 เชน กรณีที่ 1 นายพานิช พงศพิโรดม อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษพลังงาน ไดชี้แจงใน หนังสือพิมพ มติชน ในคอลัมน บ.ก. ฟอรัม่ กรณีเขื่อนกัน้ แมน้ําโขง (จดหมายถึงบก.) วันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2551 ในสองประเด็นสําคัญไดแก ประเด็นที่ 1 พพ.-อิตาเลียนไทยฯ แอบเรงศึกษาความเปนไปไดสรางเขื่อนกั้นแมน้ําโขงที่อุบลฯ ขอชี้แจง จากมติ ครม. เมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2551 ใหภาคเอกชนเปนผูศึกษาความเปนไป ได ดังนั้น พพ.จึงไมไดดําเนินการศึกษาโครงการฝายบานกุมตอ ซึ่งการศึกษาขั้นตอไปจะตองศึกษาความ เหมาะสม (feasibility) และศึกษาผลกระทบสิ่งแวดลอมระดับ EIA ดวย สําหรับกรณีบริษัท อิตาเลียนไทยฯ และบริษัท เอเชียคอรปฯ เรงการศึกษาโครงการฝายบานกุม นั้น พพ.มิไดมีสวนเกี่ยวของแตอยางใด แตคาดวาบริษัทดังกลาวดําเนินการตาม MOU ที่ไดลงนามรวมกับ สปป.ลาว เมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2551 ศึกษาความเปนไปไดของโครงการฝายบานกุม (feasibility) และเสนอใหรัฐบาล สปป.ลาว พิจารณา ซึ่งมิไดเกี่ยวของกับกระทรวงพลังงานและ พพ.แตอยางใด ประเด็นที่ 2 รัฐบาลไทย โดย อดีต รมว.ตางประเทศ (นายนพดล ปทมะ) และผูแทน สปป.ลาว ไดลงนาม ความรวมมือ (MOU) ที่นครเวียงจันทนโดยมอบให บริษัทอิตาเลียนไทยฯ และบริษัทเอเชียคอรป ศึกษา ความเปนไปไดในการสรางเขื่อนไฟฟาพลังน้ํากั้นแมน้ําโขง ที่ชายแดนไทย-ลาว ระหวางบานทาลง อ.โขง เจียม จ.อุบลฯ กับแขวงจําปาสัก สปป.ลาว ข อ ชี้ แ จง รั ฐ บาลไทย โดยกระทรวงการต า งประเทศ ได มี ก ารลงนามใน MOU ระหว า ง รัฐมนตรีวาการกระทรวงการตางประเทศ ของ สปป.ลาว และไทย เรื่องความรวมมือในการพัฒนาพลังงาน ไฟฟาระหวาง 2 ประเทศ เมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2551 โดยจะสนับสนุนใหภาคเอกชนดําเนินการศึกษา ความเปนไปไดของโครงการไฟฟาพลังน้ําฝายบานกุม ซึ่งใน MOU ดังกลาว ไมไดมีการมอบหมายให เอกชนรายใด เปนผูดําเนินการศึกษาโครงการฯ
79
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการขนาดใหญ่
กรณีที่ 2 จดหมายของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษพลังงาน โดยนายบุญสง เกิดกลาง (รอง อธิบดี รักษาราชการแทน) ถึงผูวาราชการจังหวัดอุบลราชธานี ลงวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2551 ชี้แจงใน ประเด็นบริษัทเอกชนตามมติครม. 11 มีนาคม พ.ศ. 2551 วา “.....เนื่องจากมติครม.เมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2551 ใหภาคเอกชนเปนผูศึกษาความเปนไปได (feasibility) ซึ่งจะ รวมถึงผลกระทบสิ่งแวดลอมระดับ EIA ดวย ดังนั้น พพ.จึงไมไดดําเนินการศึกษาในโครงการนี้...” กรณีที่ 3 คําชี้แจงของ นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ ผูอํานวยการสํานักพัฒนาพลังงาน 3 เรื่องบทบาท ของ พพ. ตอโครงการเขือ่ นบานกุม หลังมติ ครม. 11 มีนาคม พ.ศ. 2551 สรุปสาระสําคัญดังนี้ • มติ ครม. วันที่ 11 มีนาคม ซึ่งเสนอโดยกระทรวงตางประเทศ มีมติมอบหมายใหเอกชนศึกษาความ เปนไปได ดังนั้น พพ. จึงตองปฏิบัติตามมติ ครม. โดยไดหยุดการดําเนินการการศึกษาโครงการ เขื่อนบานกุมทั้งหมด • พพ. ไมไดรับแจงอยางเปนทางการจากกระทรวงการตางประเทศ หรือจากรัฐบาลไทย วามอบหมาย ใหเอกชนรายใดเปนผูศึกษา สําหรับ บริษัท อิตาเลียนไทย ที่เขามาดําเนินการศึกษาอยางไมเปน ทางการ กระทรวงพลังงานหรือ พพ. ไมไดรับทราบ ไมไดรับการติดตอมาวาจะเปนผูดําเนินการ ศึกษา • สําหรับกรณีประเทศไทย ถาเปนโครงการลักษณะที่กอใหเกิดผลกระทบ โดยปกติขั้นตอนศึกษา EIA สวนราชการจะเปนผูของบประมาณศึกษา เพราะรัฐจะเปนหนวยงานกลาง รัฐควรจะเปนผูรูขอมูล เพื่อที่จะควบคุมเอกชนซึ่งเปนผูดําเนินการได • การใหเอกชนเปนผูศึกษา อาจเกิดการบิดเบือนตัวเลขดานผลกระทบ หรือดานคาลงทุนหรือการแบง ผลประโยชน นอกจากนี้มติครม. ที่มอบหมายใหภาคเอกชนเปนผูศึกษานั้น ในสวนของไทย ตองดูใน เรื่องความถูกตองกับระเบียบพัสดุการจัดซื้อจัดจางดวย เพื่อปองกันความผูกพันตอเนื่องระหวาง บริษัทที่กําลังเขามาศึกษาความเปนไปไดในขณะนี้ กับการไดรับสัมปทานในอนาคต • กรมฯจะรางหนังสือตอบจังหวัดอุบลราชธานีวา กระทรวงพลังงานหรือรัฐบาลยังไมไดมอบหมายให เอกชนรายใดเปนผูดําเนินการศึกษา อยางไรก็ตามทามกลางความไมชัดเจนนี้ บริษัท อิตาเลียนไทยฯ ไดมีจดหมายถึงผูวาราชการจังหวัด อุบลราชธานี ขออนุญาตเขาทํางานเพื่อสํารวจดานธรณีวิทยาโครงการเขื่อนบานกุม เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2551 โดยระบุในจดหมายวาเปนบริษัทเอกชนที่ไดรับมอบหมายตามมติ ครม. 11 มีนาคม พ.ศ. 2551 อยางไรก็ ตาม ผูวาราชการจังหวัดอุบลราชธานี ไดมีจดหมายตอบกลับไปยังบริษัท อิตาเลียนไทยฯ ลงวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2551 มีสาระสําคัญคือ 3
การชี้แจงโดย นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ ผูอํานวยการสํานักพัฒนาพลังงาน (แทนอธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษพลังงาน) ตอ คณะอนุกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบโครงการไฟฟาพลังน้ําเขื่อนบานกุม จังหวัดอุบลราชธานี โดยไดรับมอบหมายจากคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสรางธรรมาภิบาล วุฒิสภา เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2551 ณ หองประชุม ศูนยศิลปวัฒนธรรมกาญจนา ภิเษก มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
80
การมีส่วนร่วมของกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และความโปร่งใสของการพัฒนา โครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ําบนแม่น้ําโขงสายหลัก กรณีเขื่อนบ้านกุ่ม (จ. อุบลราชธานี) / มนตรี จันทวงศ์
“...เนื่องจากทางจังหวัดยังไมไดรับแจงการดําเนินการตามโครงการดังกลาว จากหนวยงานของทางราชการ จึงไมสามารถพิจารณาไดวา บริษัท อิตาเลียนไทยฯ คือ ภาคเอกชน ที่ไดรับมอบหมายใหศึกษาความ เปนไปได ตาม มติ ครม. 11 มีนาคม 2551 ดังนั้นเพื่อไมไหเกิดความสับสนของประชาชนในพื้นที่ จึงขอ ความรวมมือบริษัท อิตาเลียนไทยฯ ชะลอการสํารวจดานธรณีวิทยาออกไปกอน จนกวาจังหวัดจะไดรับแจง จากหนวยงานที่รับผิดชอบตอไป...” ดั ง นั้ น ในส ว นของประเทศไทย ข อ มู ล ที่ ถู ก เผยแพร ท างสาธารณะนั้ น สรุ ป ได ว า รั ฐ บาลหรื อ คณะรัฐมนตรี ยังมิไดมอบหมายใหบริษัทเอกชนรายใด เขามาดําเนินการศึกษาอยางเปนทางการ รวมทั้ง ยังมิไดมอบหมายใหหนวยงานใด รับผิดชอบควบคุมดูแล การศึกษาความเปนไปไดของบริษัทเอกชนทั้ง สองแหง ซึ่งนาจะสะทอนใหเห็นถึงปญหาบางประการที่เกิดขึ้นระหวางฝายการเมืองกับระบบราชการ ที่ไมมี หนวยงานใดรับอาสาเปนเจาภาพดูแลการศึกษาโครงการเขื่อนบานกุม แมแตกระทรวงการตางประเทศอันเปนตน เรื่องของมติ ครม. 11 มีนาคม พ.ศ. 2551 ก็มิไดแสดงตัวรับผิดชอบดําเนินการตอแตอยางใด 1.4 สถานะปจจุบันของเขื่อนบานกุมในประเทศลาว นอกจากรัฐบาลสปป.ลาวจะมีบันทึกความเขาใจศึกษาความเปนไปไดในโครงการเขื่อนบานกุมกับรัฐบาล ไทย เมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2551 แลว ในวันเดียวกันรัฐบาลสปป.ลาวยังไดดําเนินการลงนามในบันทึกความ เขาใจกับ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวลอปเมนต จํากัด (มหาชน) และบริษัทเอเชียคอรปโฮลดิ้ง ลิมิเต็ด เพื่อศึกษา ความเปนไปไดและผลกระทบสิ่งแวดลอมของโครงการเขื่อนบานกุมดวย คาดวาจะใชเวลาศึกษาประมาณ 30 เดือน ขาวความเคลื่อนไหวของบริษัทอิตาเลียนไทยและบริษัทเอเชียคอรปฯที่ดําเนินการในประเทศสปป.ลาวนั้น ไมคอย เปดเผยเปนขาวมากนัก แตบริษัทฯทั้งสองยังคงดําเนินการสํารวจออกแบบอยางตอเนื่อง ขอมูลการออกแบบเขื่อนบานกุม ไมไดถูกเปดเผยออกมาจนถึงปจจุบัน คงมีเพียงขอมูลที่เผยแพรโดย เจาหนาที่ของรัฐบาลสปป.ลาว ในการประชุม Regional consultation on MRC’s Hydropower Programme โดย Mr.Viraphonh Viravong, Director General; Department of Electricity, Ministry of Energy & Mines เมื่อวันที่ 25-27 กันยายน พ.ศ. 2551 ที่กรุงเวียงจันทนวา เขื่อนบานกุมจะมีกําลังติดตั้งรวม 2,330 MW ซึ่งมากกวาที่ พพ. ไดออกแบบไวถึง 458 เมกะวัตต อยางไรก็ตามในระยะสั้นนี้ดูเหมือนวา แผนการขายไฟฟาจากเขื่อนบานกุมมายังประเทศไทย จะยังไมใช โครงการเรงดวนของรัฐบาลสปป.ลาว เนื่องจากรัฐบาลสปป.ลาวไดวางแผนขายไฟฟาจากเขื่อนไฟฟาพลังน้ําและ โรงไฟฟาลิกไนต ใหแกประเทศไทย โดยไดแสดงแผนดังกลาวในการประชุม 2008 Greater Mekong Subregion (GMS): Seventh Meeting of the Focal Group (FG-7) and Seventh Meeting of the Regional Power Trade Coordination Committee (RPTCC-7) ที่นครโฮจิมินห ซิติ้ ประเทศเวียดนาม เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 ไว ดังตารางที่ 2 ตอไปนี้
81
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการขนาดใหญ่
ตารางที่ 2 โครงการโรงไฟฟาที่จะขายสงออกใหประเทศไทย โครงการ กําลังผลิตสงออกใหประเทศไทย (MW) 1. เขื่อนน้ําเทิน 2 920 2. เขื่อนน้ํางึม 2 597 3. เขื่อนน้ําบาก 1 80 4. เขื่อนเทินนินบูนสวนขยาย 220 5. เขื่อนน้ํางึม 3 440 6. เขื่อนน้ําเทิน 1 523 7. เขื่อนน้ําเงียบ 1 260 8. โรงไฟฟาหงสาลิกไนต 1,570 9. เขื่อนน้ําอู 843 10. เขื่อนดอนสะโฮง 300 11. เขื่อนเซเปยน-เซน้ํานอย 390 12. เขื่อนเซกอง 4 300 13. เขื่อนน้ํากอง 1 150 14. เขื่อนไซยะบุรี/เขื่อนปากแบง 1,000 รวม 7,893 ที่มา: Presentation of Power Development Plans & Transmission Interconnection Projects Lao PDR 2008 2. กระบวนการมีสวนรวมและบทบาทของกลุมผูมีสวนไดสวนเสีย ตอการพัฒนาโครงการเขือ่ นบานกุมทั้ง กอนและหลัง การลงนามบันทึกความเขาใจระหวางรัฐบาลไทยกับสปป.ลาว 2.1 ใครคือผูม ีสวนไดสวนเสียในโครงการเขื่อนบานกุม การจําแนกกลุม ผูมีสวนไดสวนเสีย ซึง่ ใชกันอยูโดยทั่วไป สามารถจําแนกได 6 กลุมไดแก (King, Bird, and Haas March 2007) 1. องคกรระดับภูมิภาค เชน คณะกรรมาธิการแมน้ําโขง, ASEAN, GMS 2. รัฐบาลและกลไกของรัฐทุกระดับ เชน รัฐมนตรีดานพลังงาน-น้ํา-อุตสาหกรรม, หนวยงานกํากับดูแล, คณะกรรมการลุมน้ํา 3. กลุมผูสรางเขื่อน เชน การไฟฟาของประเทศไทย-สปป.ลาว-เวียดนาม, บริษัทเอกชน 4. ชุมชน เชน ชุมชนที่ไดรับผลกระทบจากโครงการ, ชุมชนอื่นๆในลุมน้ํา, กลุม ผูใชไฟฟาในเมืองหรือ อุตสาหกรรม 5. สถาบันการเงิน 6. กลุมที่เกี่ยวของอื่นๆ เชน NGO, องคกรชุมชน, นักวิชาการ, กลุมที่ปรึกษา, สถาบัน ในกรณีโครงการเขื่อนบานกุม เราสามารถจําแนกกลุมผูมสี วนไดสวนเสียกับโครงการ ตามการจําแนก ขางตน ก็จะไดกลุมที่มีความหลากหลายดังนี้ 82
การมีส่วนร่วมของกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และความโปร่งใสของการพัฒนา โครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ําบนแม่น้ําโขงสายหลัก กรณีเขื่อนบ้านกุ่ม (จ. อุบลราชธานี) / มนตรี จันทวงศ์
1) องคกรระดับภูมิภาค องคกรระดับภูมิภาค ที่มีความเกี่ยวของมาโดยตลอดตั้งแตการริเริ่มการศึกษาสรางเขื่อนบนแมน้ํา โขงมารวม 4 ทศวรรษ คือ คณะกรรมาธิการแมน้ําโขง (MRC) ในปจจุบันหนวยงานระหวางประเทศที่ใหความ ชวยเหลือทางวิชาการเรื่องเขือ่ นไฟฟาพลังน้ําแก MRC ไดแก ประเทศญี่ปุน และฟนแลนด นอกจากนี้แผน GMS ซึ่งริเริ่มโดยธนาคารพัฒนาเอเซีย (ADB) ไดเสนอแผนพัฒนาสายสงไฟฟาระดับภูมิภาคแมน้ําโขง และเขื่อนไฟฟา บนแมน้ําโขงก็จะถูกเชื่อมโยงเปนสวนหนึง่ ของแผนดังกลาวนี้ คณะกรรมาธิการแมน้ําโขง พยายามสรางกรอบการนิยามความหมายของกลุมผูมีสวนไดสวนเสียใน โครงการพัฒนาตางๆในลุมน้ําโขงนั้น ซึ่งเปนที่นาสังเกตวา ไดนําไปผูกติดกับระดับของการมีสวนรวมในการพัฒนา โครงการ ดังเชน ที่ปรากฏในเอกสาร The Current Status of Environmental Criteria for Hydropower Development in the Mekong Region: A Literature Compilation by Peter King, Jeremy Bird, Lawrence Haas, March 2007, หนา 57 หรือ Initiative on Sustainable Hydropower Work Plan, March 2009 โดย คณะกรรมาธิการแมน้ําโขง หนา 18, 19 โดยพยายามชี้ใหเห็นวา ชุมชนไมมีขีดความสามารถเพียงพอที่จะมีสวน รวมในระดับการตัดสินใจโครงการ ซึ่งตองการผูเชี่ยวชาญและการตัดสินใจในระดับนโยบายเปนหลัก และละเลยที่ จะกลาวถึงขอจํากัดดานสังคมการเมือง ซึ่งแตกตางกันมากในประเทศลุมแมน้ําโขง ดังนั้นการสรางกระบวนการมี สวนรวมของกลุมผูมีสวนไดสวนเสีย ภายใตการนิยามเชนวานี้ จึงเปนกระบวนการที่ทําไปเพื่อรักษาสถานะของ การตัดสินใจโครงการ ใหแยกออกมาจากการมีสวนรวมของชุมชน 2) รัฐบาลและกลไกของรัฐ 2.1 รัฐบาลและกลไกของรัฐ ในสวนประเทศไทย ไดแก • รัฐบาลไทย ไดแก นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และนายนพดล ปทมะ รัฐมนตรีวาการ กระทรวงการตางประเทศ เปนผูเกี่ยวของโดยตรง ในฐานะเปนฝายตกลงกับรัฐบาลสปป.ลาว และนํามาสูการมีมติ ครม.เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2551 • หนวยงานระดับกระทรวงที่เกี่ยวของ ไดแก กระทรวงพลังงาน (โดย กรมพัฒนาพลังงานทดแทน และอนุรักษพลังงาน) ในฐานะที่เปนหนวยงานรับผิดชอบศึกษาเขื่อนบานกุมมากอน และดูแลนโยบายพลังงานของ ประเทศและความรวมมือดานพลังงานกับประเทศเพื่อนบาน, กระทรวงการตางประเทศ(โดย กรมเอเชียตะวันออก) ในฐานะเปนตนเรื่องนําเสนอรางบันทึกความเขาใจ การศึกษาความเปนไปไดโครงการเขื่อนบานกุมรวมกับรัฐบาล ลาว • คณะกรรมการนโยบายพลังงานแหงชาติ เปนหนวยงานกํากับดูแลนโยบายพลังงานของประเทศ และกําหนดกรอบโครงการการรับซื้อไฟฟาจากประเทศเพื่อนบาน • คณะอนุกรรมการประสานความรวมมือดานพลังงานไฟฟาระหวางไทยกับประเทศเพื่อนบาน เปน หนวยงานระดับปฏิบัติการเพื่อประสานงานกับประเทศเพื่อนบานในระดับโครงการ กอนนําเสนอสูการพิจารณาของ กรรมการนโยบายพลังงานแหงชาติ • คณะกรรมการแมน้ําโขงฝายไทย เปนหนวยงานที่ดูแลการใชแมน้ําโขงในสวนของประเทศไทย ตามพันธะกรณีจากขอตกลงการใชแมน้ําโขงพ.ศ.2538
83
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการขนาดใหญ่
• สวนราชการใน จ.อุบลราชธานี ไดแก ผูวาราชการจังหวัด, พลังงานจังหวัด, นายอําเภอในพื้นที่ 5 อําเภอ (โขงเจียม, ศรีเมืองใหม, โพธิ์ไทร, นาตาล, เขมราฐ) เกี่ยวของกับโครงการเขื่อนบานกุม ในฐานะที่เปน หนวยงานในระดับพื้นที่ ที่ตองปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาล, การรับทราบขอมูลโครงการ, การชี้แจงโครงการแก ประชาชน และการอํานวยความสะดวกในกระบวนการศึกษาความเปนไปไดของโครงการ • กํานันผูใหญบานใน 5 อําเภอที่ติดแมน้ําโขง เปนกลไกระดับลางสุดของระบบราชการในจังหวัด ที่ จะตองทําหนาที่ตามที่ไดรับมอบหมายจากอําเภอหรือจังหวัด อยางไรก็ตามกํานันผูใหญบาน ก็เปนกลไกที่สามารถ สะทอนความคิดเห็นของประชาชนไดเชนกัน • องคกรปกครองสวนทองถิ่น คือ องคการบริการสวนตําบล ใน 5 อําเภอที่ติดแมน้ําโขง เปนองคกร ที่มีฐานะเปนตัวแทนของประชาชนในทองถิ่น ซึ่งมีอํานาจหนาที่ที่มีกฎหมายรองรับเฉพาะ อยางไรก็ตามการ ดําเนินงานบางสวนยังคงอยูในการกํากับดูแลของจังหวัดและอําเภอ 2.2 รัฐบาลและกลไกของรัฐทุกระดับ ในสวนประเทศสปป.ลาว • รัฐบาล สปป.ลาว ไดแก นายบัวสอน บุบผาวัน นายกรัฐมนตรี สปป. ลาว ในฐานะที่เปนผูเสนอ รัฐบาลไทย ในความรวมมือการศึกษาความเปนไปไดเขื่อนบานกุม และการเสนอใหบริษัทอิตาเลียนไทย และบริษัท เอเซียคอรปฯ เปนผูไดสิทธิศึกษาโครงการนี้ นายทองลุน สีสุลิด รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีวาการกระทรวง การตางประเทศสปป.ลาว ในฐานะที่เปนผูลงนามในบันทึกความเขาใจของสปป.ลาว เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2551 • หนวยงานระดับกระทรวงที่เกี่ยวของ ไดแก กระทรวงพลังงานและเหมืองแร (Ministry of Energy & Mines), กระทรวงวางแผนและการลงทุน (Ministry of Planning and Investment) ทั้งสองกระทรวงเกี่ยวของ โดยตรงในเรื่องการวางแผนดานพลังงานไฟฟาของสปป.ลาว และการกํากับดูแลการศึกษาความเปนไปไดของ บริษัททั้งสองแหง 3) กลุมผูพัฒนาโครงการและกลุมผูสรางเขื่อน • บริษัทผูไดรับสัมปทานการศึกษาความเปนไปไดกับประเทศลาว ไดแก บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวลล็อปเมนต จํากัด (มหาชน) และบริษัทเอเชียคอรป โฮลดิ้ง จํากัด (Asiacorp Holdings Ltd.) • การไฟฟาฝายผลิตแหงประเทศไทย เปนหนวยงานที่รับซื้อไฟฟาจากประเทศลาว ภายใตกรอบ ของแผนพัฒนาพลังงานของประเทศไทย รวมทั้งเปนผูลงทุนสรางเขื่อนไฟฟาพลังน้ําในประเทศสปป.ลาวดวย ไดแก เขื่อนน้ําเทิน 2 4) ชุมชน • ชุมชนที่ตั้งริมน้ําโขงหรือชุมชนที่มีอาชีพที่ผูกพันกับแมน้ําโขง ในขอบเขตอางเก็บน้ํา เหนือเขื่อน บานกุม ฝงไทย และ ลาว ที่ไดรับผลกระทบโดยตรง 1. ฝงประเทศไทย ไดแก บานทาลง, ทุงนาเมือง, คันทาเกวียน, ปากลา, ดงนา, ผาชัน, บานนอย, ปากหวยมวง,สําโรง, คําจาว, โปงเปา, จอมปลวกสูง, ปากกะหลาง, สองคอน, คันพะลาน, ดอนงิ้ว, บุงแซะ, ปากแซง, นาทราย, นาหินโงน, ลาดหญาคา, นาแวง, บุง ของ, นาเมือ, หนองวิไล, บานเหนือ, นาสนาม, แกงเกลี้ยง, อุบมุง, หวยยาง, บุงซวย, บุงเขียว 84
การมีส่วนร่วมของกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และความโปร่งใสของการพัฒนา โครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ําบนแม่น้ําโขงสายหลัก กรณีเขื่อนบ้านกุ่ม (จ. อุบลราชธานี) / มนตรี จันทวงศ์
น้ําทวมหมูบาน ไทยมี 1 หมูบานคือ บานคันทาเกวียน อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี จํานวน 29 หลังคาเรือน 2. ฝงประเทศลาวไดแก Ban Koum Noy, Ban Tha Kouian, Ban Keng-Gnaphet, Ban Khan Soum Sao, Ban Mae Keua, Ban Khon Kene, Ban Don Khieo, Ban Taphan, Ban Pak Se Nouan, Ban Hinkhok, Ban Phahang, Ban Nakho, Ban Thaphe, Ban Na Pak Soun, Ban Nongdeum, Ban Thadua, Ban Sabouxai, Ban Na Pho น้ําทวมหมูบาน ลาวมี 3 หมูบาน คือ บานกุมนอย บานคําตื้อ บานคันทุงไชย จํานวน 44 , 93 และ73 หลังคา เรือนตามลําดับ • ชุมชนที่ต้งั ริมน้ําโขงหรือชุมชนที่มีอาชีพทีผ่ ูกพันกับแมนา้ํ โขง ใตเขื่อนบานกุม ฝงไทย และ ลาว 1. ฝงประเทศไทยไดแก บานตามุย, บานกุม, บานหวยไผ, บานถ้ําตอง, บานหวยสะคาม, บาน หวยมาก, บานเวินบึก 2. ฝงประเทศลาวไดแก บานกุม • ชุมชนที่มีอาชีพประมง เหนืออางเก็บน้ําเขือ่ นบานกุม ในแมน้ําโขงและแมน้ําสาขา ในไทยและลาว 1. ฝงประเทศไทยไดแก ชุมชนตลอดแนวแมน้ําโขง ตั้งแตเขตอําเภอชานุมาน จ.อํานาจเจริญ ตอเนื่องใน จ.นครพนม, มุกดาหาร, สกลนคร, หนองคายและเลย และชุมชนในลุมน้ําสงคราม 2. ฝงประเทศลาวไดแก ชุมชนตลอดแนวแมน้ําโขง และในลุมน้ําสาขาโดยเฉพาะ แมน้ําเซบั้ง เหียง, แมน้ําเซบั้งไฟ • เจาของที่นา ที่จะไดรับน้ําจากโครงการสูบน้ําดวยไฟฟา ซึ่งเปนสวนหนึ่งของโครงการเขื่อน บานกุม ที่ศึกษาโดย พพ. ถือวาเปนผูไดรับประโยชนจากโครงการ • องคกรภาคประชาสังคมในไทย เปนองคกรที่ติดตามการสรางเขื่อนบนแมน้ําโขงสายหลัก และ เรียกรองใหรัฐบาลไทย, MRC และกลุมประเทศผูบริจาค ทบทวนแผนการสรางเขื่อนบนแมน้ําโขงที่ผานมา เชน เครือขายประชาสังคมไทยเพื่อแมน้ําโขง, เครือขายคนฮักน้ําของ จ.อุบลราชธานี 5) สถาบันการเงิน สถาบันการเงินที่ปรากฏชัดเจนในขณะนี้ เปนเพียงสถาบันการเงินในประเทศที่ใหเงินกูแก บริษัทอิตาเลียน ไทยฯ ในการศึกษาโครงการจํานวน 200 ลานบาท (บริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวลอปเมนต จํากัด 2552) 6) กลุมที่เกี่ยวของอืน่ ๆ • บริษัทผูศึกษาโครงการ คือ ปญญา คอนซัลแตนท จํากัด, บริษัท มหานคร คอนซัลแตนท และ บริษัท แมคโคร คอนซัลแตนท เปนกลุมบริษัทที่ปรึกษาที่รับศึกษาโครงการเขื่อนบานกุมให พพ. และเปนผูจัดทํา รายงานการศึกษาความเหมาะสมเบื้องตน • องคกรการตรวจสอบในไทย ไดแก กรรมาธิการตรวจสอบการทุจริตและเสริมสรางธรรมาภิบาล วุฒิสภา, กรรมาธิการสิ่งแวดลอม วุฒิสภา, คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแหงชาติ องคกรเหลานี้เขามาเกี่ยวของใน 85
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการขนาดใหญ่
การตรวจสอบโครงการเขือ่ นบานกุม ภายหลังจากมีประชาชนและเครือขายองคกรภาคประชาสังคมรองเรียนถึง หนวยงานเหลานี้ ใหตรวจสอบในประเด็นตางๆ เชน ความโปรงใส, ธรรมาภิบาล, ผลกระทบตอชุมชนและ สิ่งแวดลอมในดานตางๆ • สถาบันการศึกษาในจังหวัดอุบลราชธานี ไดแก มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, มหาวิทยาลัยราชภัฏ อุบลราชธานี • คณะกรรมการสุขภาพแหงชาติ เขามาเกี่ยวของภายหลังจากองคกรพัฒนาเอกชน จ.อุบลราชธานี ขอใชสิทธิตาม พรบ. สุขภาพแหงชาติ ยื่นเรือ่ งตอคณะกรรมการสุขภาพแหงชาติ เพือ่ จัดสมัชชาสุขภาพเชิงประเด็น เรื่องการพัฒนาแมน้ําโขงอยางยั่งยืน ซึ่งในกระบวนการจัดสมัชชาสุขภาพเชิงประเด็น จะตองมีการรวบรวมขอมูลที่ จะใหชุมชน สามารถวิเคราะหเปรียบเทียบใหเห็นความแตกตางระหวางกอนและหลังมีเขื่อนบานกุมดวย • องคกรพัฒนาเอกชน ที่ทํางานในชุมชนริมแมน้ําโขง จ.อุบลราชธานี และที่ทํางานดานติดตาม นโยบายการพัฒนาพลังงานไฟฟาของไทยและประเทศเพื่อนบาน และดานการพัฒนาลุม น้ําโขง 2.2 การมีสวนรวมและบทบาทของผูมีสว นไดสวนเสียในโครงการเขื่อนบานกุม การพิจารณาถึงกระบวนการมีสวนรวมของผูมีสวนไดสวนเสีย ในโครงการเขื่อนบานกุม สามารถแบง ชวงเวลากวางๆได 3 ชวงเวลา ไดแก 1. ช ว งการนํ า เสนอแผนการสร า งเขื่ อ นบนแม น้ํ า โขงสายหลั ก ตั้ ง แต พ.ศ.2513 ถึ ง พ.ศ.2551 ซึ่ ง ดําเนินการโดย คณะกรรมาธิการแมน้ําโขง 2. ชวงการศึกษาความเหมาะสมเบื้องตน โดย กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษพลังงาน ระหวาง พ.ศ. 2548 ถึงพ.ศ. 2551 3. ชวงเวลาที่ ครม.อนุมัติบันทึกความเขาใจเรื่องความรวมมือในการพัฒนาพลังงานไฟฟาระหวางไทย ลาว (โครงการเขื่อนบานกุม)ในวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2551 และการลงนามในบันทึกความเขาใจกับ รัฐบาลสปป.ลาว ในวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2551 จนถึงปจจุบัน (พฤษภาคม พ.ศ.2552) ในแตละชวงเวลาดังกลาวขางตน กระบวนการมีสวนรวมของผูมีสวนไดสว นเสีย มีความแตกตางกันไปดังนี้ 1. กระบวนการมีสวนรวมของผูมีสวนไดสวนเสีย ในชวงการนําเสนอแผนการสรางเขือ่ นบนแมน้ํา โขงสายหลักตั้งแต พ.ศ.2513 ถึง พ.ศ.2551 ซึ่งดําเนินการโดย คณะกรรมาธิการแมน้ําโขง การศึกษาเพื่อพัฒนาโครงการเขื่อนบนแมนา้ํ โขงสายหลัก โดยคณะกรรมาธิการแมน้ําโขงตั้งแต พ.ศ.2513 จนถึงปจจุบนั ยังเปนกระบวนการศึกษาภายใน ที่รับรูเพียงสํานักงานคณะกรรมาธิการแมน้ําโขง และขาราชการ ระดับสูงของประเทศสมาชิกเทานั้น ถึงแมวาในระยะหลังสํานักงานคณะกรรมาธิการแมน้ําโขง จะพยายามเปดเผย ขอมูล และเปดใหฝายตางๆไดรวมประชุมเพื่อเสนอแนะตอโครงการเขื่อนบนแมน้ําโขง แตยังคงเปนเพียงการสราง ภาพลักษณใหดูดีขึ้นเทานั้น กลุมผูมีสวนไดสวนเสียโดยตรง โดยเฉพาะที่เปนประชาชนในพื้นทีข่ องประเทศลุม แมน้ําโขง ยังคงไมมโี อกาสรับรูขอ มูลใดๆที่เปนทางการ และไดเขาไปมีสวนรวมอยางจริงจัง ในกระบวนรับฟง ความเห็นและกระบวนการตัดสินใจจากคณะกรรมาธิการแมน้ําโขง ปญหานี้ในดานหนึง่ อาจเกิดจากสภาพดานการ เมืองของประเทศที่แตกตางกัน อยางไรก็ตามในสวนของประเทศไทย ที่ถือวามีความกาวหนาในการรับรูขอมูล ขาวสารมากที่สุดแลว คณะกรรมการแมนา้ํ โขงของประเทศไทยเองก็ยังไมสามารถสรางกระบวนการมีสวนรวมของ ประชาสังคมไทย ในกรณีเขือ่ นบนแมน้ําโขงสายหลักได 86
การมีส่วนร่วมของกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และความโปร่งใสของการพัฒนา โครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ําบนแม่น้ําโขงสายหลัก กรณีเขื่อนบ้านกุ่ม (จ. อุบลราชธานี) / มนตรี จันทวงศ์
กลุ ม ผู มี ส ว นได ส ว นเสี ย ที่ สํ า คั ญ อี ก กลุ ม หนึ่ ง ในที่ นี้ คื อ กลุ ม ประเทศผู บ ริ จ าค ซึ่ ง ประเทศที่ บ ริ จ าคให คณะกรรมาธิการแมน้ําโขง เพื่อใชในการศึกษาและพัฒนาโครงการเขื่อนบนแมน้ําโขงสายหลัก ที่สําคัญในปจจุบัน คือ ประเทศฟนแลนดและญี่ปุน 2. กระบวนการมีสวนรวมของผูมีสวนไดสวนเสีย ชวงการศึกษาความเหมาะสมเบื้องตน โดย กรม พัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษพลังงาน (พพ.) ระหวางพ.ศ.2548 ถึงเดือนกุมภาพันธ พ.ศ. 2551 จากเอกสารรายงานความเหมาะสมเบื้องตน บริษัทที่ปรึกษาไดจัดชี้แจงโครงการเขื่อนบานกุม เพียงระดับ อํา เภอเท า นั้ น โดยผ า นการประชุ ม กํานั น ผู ใ หญ บ าน แบ ง เป น 2 ครั้ ง ครั้ ง แรกในช ว งเดื อ นกั น ยายน-ตุ ล าคม พ.ศ. 2550 และครั้งที่สองในเดือนกุมภาพันธ 2551 การชีแ้ จงระดับอําเภอแตละครั้งใชเวลาเพียงวันเดียวเทานั้น ซึ่ง กระบวนการเชนนี้เปนไปไมไดที่จะทําให “ผูม ีสวนไดเสียในพื้นทีโ่ ครงการ มีสวนรวมอยางเต็มที่ในการศึกษา” ดังที่ ระบุไวในรานงานการศึกษาความเหมาะสมเบื้องตน (หนา 3-11) โดยเฉพาะผูมีสวนไดสวนเสียที่เปนประชาชนใน หมูบานริมแมน้ําโขงไมนอยกวา 30 หมูบ าน ไมมโี อกาสไดรับฟงการชี้แจงขอมูลโดยตรงจากเจาหนาที่ของ พพ. หรือบริษัทที่ปรึกษาเลย แตในเอกสารรายงานการศึกษาความเหมาะสมเบื้องตน (หนา 3-11, 3-12) กลับระบุวา สวนใหญมีความเห็นดวยในการพัฒนาโครงการเขื่อนบานกุม ซึ่งเปนการสรุปเพียงฝายเดียวของบริษัทที่ปรึกษาใน ขณะที่ พพ. เองก็ไมมีขีดความสามารถเพียงพอที่จะตรวจสอบ การจัดกระบวนการมีสวนรวมของประชาชนในพื้นที่ และตรวจสอบขอสรุปในรายงานที่บริษัทไดจัดทําขึ้น วาถูกตองมากนอยเพียงใด ในทางกลับกัน พพ. จะใชขอมูล จากรายงานฯนี้มาสนับสนุนการดําเนินการในขั้นตอนตอไปคือ การศึกษาผลกระทบสิ่งแวดลอมและผล กระทบดานสุขภาพ (เปนการสะทอนใหเห็นถึง ความไมโปรงใสของการดําเนินการภายใน พพ.) ซึ่งพพ. ไมสามารถ ดําเนินการตอได เพราะมี มติครม. 11 มีนาคม พ.ศ. 2551 ใหเอกชนเขามาดําเนินการแทน แต พพ. ไดดําเนินการ ตอในกรณีเขื่อนปากชม สําหรับประชาชนในชุมชนริมแมน้ําโขงฝงประเทศไทยทั้งหมด ไมเคยไดรับทราบการชี้แจงขอมูลโครงการ อยางเปนทางการ ในระดับชุมชนจากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษพลังงานและบริษัททีป่ รึกษา ขอมูลที่ รับทราบมีเพียงคําบอกเลาผานผูใหญบานทีไ่ ดรวมประชุมในระดับอําเภอเทานั้น ซึ่งสวนใหญเปนขอมูลเพื่อการ ประชาสัมพันธโครงการเทานัน้ อยางไรก็ตามในบางหมูบานเชน บานผาชัน อ.โพธิ์ไทร ชาวบานบางคนไดพบกับ ทีมสํารวจปกหมุดริมแมน้ําโขงในเขตของหมูบานโดยบังเอิญ และไดรบั รูจากเจาหนาที่ที่มาปกหมุดเพียงวา เปน หมุดแสดงระดับน้ําทวมจากเขื่อนบานกุม โดยไมไดทราบรายละเอียดอื่นใดเพิ่มเติมหลังจากนั้น ดังนั้นในชวงการศึกษาความเหมาะสมเบื้องตน กลุมผูมีสวนไดสวนเสียที่มีบทบาทหลักมีเพียง กรมพัฒนา พลังงานทดแทนฯ และบริษัทที่ปรึกษาเทานั้น กระบวนการจัดการประชุมชี้แจงในระดับพื้นที่ ยังไมสามารถเรียกได วา เปนกระบวนการที่ใหผูมีสว นไดเสียในพืน้ ที่โครงการ มีสวนรวมอยางเต็มที่ในการศึกษาโครงการเขือ่ นบานกุม 3. กระบวนการมีสวนรวมของผูมีสวนไดสวนเสีย ในชวงเวลาที่ ครม.อนุมัติบันทึกความเขาใจ เรื่องความรวมมือในการพัฒนาพลังงานไฟฟาระหวางไทย - ลาว (โครงการเขือ่ นบานกุม) เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2551 กลาวไดวา ในขั้นตอนนี้เกิดขึ้นอยางรวดเร็วมาก ในชวงเวลาที่ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เดินทางเยือนประเทศสปป.ลาว ในโอกาสที่เขารับตําแหนงใหม ในวันที่ 28 ก.พ. – 1 มี.ค. พ.ศ. 2551 ชวงเวลา 87
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการขนาดใหญ่
ดังกลาวนี้ นายบัวสอน บุบผาวัน นายกรัฐมนตรี สปป. ลาว ไดมีขอหารือในการพัฒนาโครงการเขื่อนไฟฟาพลังน้ํา บนแมน้ําโขงรวมกัน คือเขือ่ นบานกุม และเสนอใหบริษัท บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวลล็อปเมนต จํากัด (มหาชน) และบริษัทเอเชียคอรป โฮลดิ้ง จํากัด (Asiacorp Holdings Ltd.) เปนผูดําเนินการศึกษาความเปนไปได และ หลังจากนั้นอีกเพียง 10 วัน คณะรัฐมนตรีกไ็ ดอนุมัติรางบันทึกความเขาใจเรื่องความรวมมือในการพัฒนาพลังงาน ไฟฟาระหวางไทย - ลาว (โครงการเขื่อนบานกุม) ซึ่งเสนอโดยกระทรวงการตางประเทศ และลงนามในบันทึกความ เขาใจกับรัฐบาลสปป.ลาว ในวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2551 การดําเนินการของรัฐบาลอยางรวบรัดตัดตอนเชนนี้ และตอกย้ําดวยเจตนาที่แนวแนในการผลักดันให โครงการนี้เกิดขึ้นใหได ของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ผานรายการสนทนาประสาสมัคร กลาวไดวาเปน การตัดสินใจที่ไมไดตระหนักถึงการมีสวนรวมของประชาชนโดยเฉพาะในพื้นที่ จ.อุบลราชธานีที่กําหนดไวใน รัฐธรรมนูญมาตรา 57 และ 67 แตอยางใด กรณีดงั กลาวนี้จึงติดตามมาดวยคําถามในเรื่องความโปรงใสและ หลักการธรรมาภิบาลของการดําเนินการของรัฐบาล ถึงแมวาขอชี้แจงของกระทรวงตางประเทศในภายหลังตอสภา ผูแทนราษฏรจะระบุวา โครงการเขื่อนบานกุมตองปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวของทั้งหมด หากผลการศึกษารวมกับ รัฐบาลสปป.ลาวระบุวาโครงการมีความเปนไปได แตก็ไมอาจลบลางคําถามขางตนได เพราะอยางนอยที่สุด ขั้นตอนการปฏิบัติกอนหลังสําหรับโครงการเขื่อนบนพรมแดนไทย-ลาวนี้ ควรจะใหผูมีสวนไดสวนเสียได เขาถึงขอมูลโครงการประเมินผลกระทบในดานตางๆอยางรอบคอบบนกรอบของระเบียบกฎหมายที่ กําหนดไวใหสามารถหาขอยุติไดกอนทีจ่ ะลงนามใดๆ กับรัฐบาลสปป.ลาว เพราะการลงนามในลักษณะของ MOU นั้น จะสงผลผูกพันตอเนื่องไปยังรัฐบาลชุดตอๆ ไป ในขณะเดียวกันผลของมติ ครม. 11 มีนาคม พ.ศ. 2551 ไดสรางชองวางของการกํากับดูแลโครงการเขื่อน บานกุม กระทรวงพลังงานและกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษพลังงาน ปฏิเสธความเกี่ยวของในขณะนี้ ทั้งหมด รวมทัง้ หากเปดเผยขอมูลรายงานการศึกษาเบื้องตน ซึง่ แลวเสร็จในเดือน เมษายน พ.ศ.2551 เรื่องนี้สง ผล โดยตรงตอประชาชนที่จะไดรับผลกระทบทัง้ หมดในพืน้ ที่ จ.อุบลราชธานี รวมทั้งสวนราชการและองคการปกครอง สวนทองถิ่นที่ติดแมน้ําโขงใน จ.อุบลราชธานี ที่จะตองรับทราบขอมูลและชี้แจงโครงการนี้ดวย เนื่องจากไม สามารถเขาถึงขอมูลโครงการใดๆไดทั้งๆที่เขื่อนบานกุมไมวาจะออกแบบโดย พพ. หรือ บริษัท อิตาเลียนไทยฯ ประเด็นปญหาผลกระทบสําคัญๆ จะไมแตกตางกันและมีขอมูลจากประเทศสปป.ลาววา บริษัท อิตาเลียนไทยฯ กําลังออกแบบเขื่อนบานกุมใหญกวาที่ พพ. ไดออกแบบไว ซึ่งจะสรางปญหาผลกระทบมากกวาดวยเชนกัน ดังนั้นการไมเปดเผยรายงานการศึกษาความเหมาะสมเบื้องตนของ พพ. จึงเทากับเปนการปดบัง ขอมูลผลกระทบตอประชาชนผูมีสวนไดสวนเสียสําคัญใน จ. อุบลราชธานี ผลต อ เนื่ อ งที่ สํ าคั ญ ประการหนึ่ ง ในกระบวนการศึ ก ษาเขื่ อ นบ า นกุ ม ซึ่ ง ได กี ด กั น การมี ส ว นร ว มของ ประชาชนออกไปนั้น คือ ภาคประชาสังคมตางๆและชุมชนริมแมน้ําโขงใน จ.อุบลราชธานี ไดรองเรียนตอองคกร อื่นๆใหเขามาตรวจสอบโครงการเขื่อนบานกุม ไดแก กรรมาธิการตรวจสอบการทุจริตและเสริมสรางธรรมาภิบาล วุฒิสภา กรรมาธิการสิ่งแวดลอม วุฒิสภา และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแหงชาติ ซึ่งเปนสวนหนึ่งของการใช สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ในการตรวจสอบโครงการเขื่อนบานกุม นับเปนชองทางสําคัญที่ภาคประชาสังคมตางๆและ ชุมชนริมแมน้ําโขงใน จ.อุบลราชธานี จะไดเขามารวมตรวจสอบโครงการเขื่อนบานกุม 88
การมีส่วนร่วมของกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และความโปร่งใสของการพัฒนา โครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ําบนแม่น้ําโขงสายหลัก กรณีเขื่อนบ้านกุ่ม (จ. อุบลราชธานี) / มนตรี จันทวงศ์
ในสวนของประเทศสปป.ลาวนั้น ยังไมปรากฏชัดเจนวา ทําไมนายบัวสอน บุบผาวัน นายกรัฐมนตรี สปป. ลาว จึงไดเลือก ใหบริษัท บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวลล็อปเมนต จํากัด (มหาชน) และบริษัทเอเชียคอรป โฮลดิ้ง จํากัด เปนผูดําเนินการศึกษาความเปนไปได เพราะเหตุผลที่อางวาเปนบริษัทที่มีความพรอมและมี ประสบการณในโครงการลงทุนขนาดใหญในลาว ไดแก การลงทุนพัฒนาและกอสรางโครงการไฟฟา “น้ําเทิน 2” ซึ่ง เปนโครงการไฟฟาพลังน้ําที่มีกําลังผลิตใหญที่สุดในปจจุบัน (920 MW) กําหนดเสร็จในป พ.ศ. 2552 อยางไรก็ตาม เขื่อนน้ําเทิน 2 บริษัทอิตาเลียนไทย มีสัดสวนการลงทุนเพียง 15 % เทานั้น ในขณะที่มีบริษัทเอกชนจากไทยเขา ไปลงทุนสรางเขื่อนไฟฟาพลังน้ําและสามารถจายไฟฟาเขาระบบไดแลวอีก 2 บริษัทใหญคือ บริษัท ช.การชาง จํากัด (มหาชน) และบริษัท เอ็ม ดี เอ็กซ จํากัด (มหาชน) ไมมีขอมูลที่ชัดเจนวา รัฐบาลสปป.ลาวไดพิจารณาสอง บริษัทนี้หรือไมอยางไร นอกจากนั้นในเดือนถัดมาคือ เมษายน พ.ศ. 2551 รัฐบาลสปป.ลาว ไดใหสัมปทานศึกษาความเปนไปได ในโครงการเขือ่ นลาดเสือ ขนาด 800 เมกะวัตต ซึ่งเปนโครงการเขื่อนกัน้ แมน้ําโขง ในแขวงจําปาสัก แกเครือบริษัท ซีพี จากประเทศไทย คือ Charoen Energy and Water Asia Co. ทั้งๆที่บริษัทนี้ไมมีประสบการณการสรางเขื่อน ไฟฟาพลังน้ําในประเทศ สปป.ลาว มากอนแตอยางใด รวมทั้งกรณีของ บริษัทเอเชียคอรป โฮลดิ้ง จํากัด ก็ยังไม ปรากฏวาเคยมีงานในอดีตดานโครงการเขือ่ นไฟฟาพลังน้ํา ในประเทศ สปป.ลาว เชนกัน 4. ความโปรงใสและธรรมาภิบาล ของกระบวนการพัฒนาโครงการเขื่อนบานกุม โดยรัฐบาลนาย สมัคร สุนทรเวช การยกระดับการศึกษาโครงการเขื่อนบานกุม ทั้งที่ศึกษาโดยคณะกรรมาธิการแมน้ําโขงที่มีมาเดิม และ โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษพลังงาน (พพ.) ใหเปนความรวมมืออยางเปนทางการของสองประเทศ ระหวางไทยกับสปป.ลาว ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2551 ถือวาเปนจุดเปลี่ยนที่สําคัญของกระบวนการพัฒนาโครงการ เขื่อนบานกุม และไดสรางคําถามอยางมากมายตอในสังคมไทย ตอกระบวนการขั้นตอนการปฏิบัติของฝายรัฐบาล ไทยในประเด็นตางๆ ดังนี้ 1. ราง MOU ที่ สํานักคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) เสนอใหครม.อนุมัติเมื่อ วันที่ 11 มีนาคม 2551 นั้น ไมสามารถอางอิงที่มาตามขั้นตอนปกติได เนื่องจากขั้นตอนปกติของ โครงการดานพลังงานกับประเทศเพื่อนบานนั้น จะตองผานคณะอนุกรรมการประสานความรวมมือดาน พลังงานไฟฟาระหวางไทยกับประเทศเพื่อนบาน และไดรับความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบาย พลังงานแหงชาติ (กพช.) กอน ซึ่งไมปรากฏวา กพช. ไดเคยพิจารณาเรื่องเขื่อนบานกุมและราง MOU กอนหนาวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2551 แตอยางใด (การประชุม กพช. ครั้งสุดทายกอนหนานี้คือ การ ประชุมครั้งที่ 1/2551 (ครั้งที่ 120) วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2551 ในรัฐบาลของ พลเอกสุรยุทธ จุลานนท และแมแตการประชุม กพช. หลังวันที่ 11 มีค. พ.ศ. 2551 คือ การประชุมครั้งที่ 2/2551 (ครั้งที่ 121) วันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2551 ก็ไมมีวาระเรื่องเขื่อนบานกุมแจงในที่ประชุมแตอยางใด (คณะกรรมการนโยบาย พลังงาน 2550; 2551) และนอกจากนี้ ในแผนพัฒนากําลังการผลิตไฟฟาของประเทศไทย 2550 - 2564 ของกระทรวง พลังงานและการไฟฟาฝายผลิตแหงประเทศไทย ซึ่งเริ่มใชเมื่อเดือนมิถนุ ายน พ.ศ. 2550 ก็ไมปรากฏ 89
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการขนาดใหญ่
แผนการสรางเขื่อนบานกุมแตอยางใด ถึงแมวาในปจจุบันจะมีการปรับปรุงแผนพัฒนากําลังการผลิตไฟฟา มาถึง 2 ครั้งแลวเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2551 และเดือนมีนาคม พ.ศ. 2552 ก็ยังไมปรากฏชื่อโครงการ เขื่อนบานกุม (การไฟฟาฝายผลิตแหงประเทศไทย 2550; 2551; 2552) 2. การดําเนินการของก.ต. อาจเขาขายเปนการกระทําที่เอื้อประโยชนใหกับบริษัทเอกชน ไวอยางชัดเจน โดยเห็นไดจากการดําเนินการตางๆดังนี้ (กระทรวงการตางประเทศ 2551) 2.1 ราง MOU ไดระบุชื่อบริษัทที่ใหดําเนินการศึกษาไดแก บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวลอปเมนต จํากัด (มหาชน) และบริษัท Asiacorp Holdings Ltd. โดยยังไมปรากฏวามีขั้นตอนการประกาศใหเอกชน เขารวมเสนอโครงการและไดผานการคัดเลือกแลวอยางถูกตองตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวของ 2.2 ราง MOU ขอ 3 ระบุวา เมื่อการศึกษาความเปนไปไดแลวเสร็จ ใหรัฐบาลทั้งสองประเทศ พิจารณาตกลงตอ ไป ซึ่งหมายความวา เปนการร างโดยจงใจที่จ ะไมปฏิบั ติตามกฎหมายรัฐธรรมนู ญ (เชน มาตรา 57, 67 และ 190) และกฎหมายอื่นๆที่เกี่ยวของ เชน กฎหมายสิ่งแวดลอม พ.ศ.2535 2.3 ในขณะที่ยังไมมีมติครม.มอบหมายใหเอกชนรายใดดําเนินการอยางเปนทางการนั้น ขาว สารนิเทศของ กต. ที่เผยแพรทางเว็บไซดในวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2551 กลับระบุชื่อบริษัท บริษัท อิตา เลียนไทย ดีเวลอปเมนต จํากัด(มหาชน) และบริษัท Asiacorp Holdings Ltd. เปนบริษัทที่เขามา ดําเนินการศึกษาไวอยางชัดเจน 2.4 ถึงแมวาขาวสารนิเทศของกต. วันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2551 จะใหเหตุผลวาเปนความ ตกลงเบื้องตนระหวางนายกรัฐมนตรีทงั้ สองฝาย ในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีไทยไปเยือนประเทศลาวเมื่อ วันที่ 29 กุมภาพันธ พ.ศ. 2551 และบริษทั เอกชนที่เขามาศึกษาเปนผูรับภาระคาใชจายทั้งหมด ไมมีขอ ผูกพันใดๆรวมทั้งหากตัดสินใจพัฒนาโครงการในภายหลังก็จะตองดําเนินการตามขอกฎหมายของประเทศ ไทยนั้น ยิ่งสะทอนการกระทําที่เอื้อประโยชนใหกับบริษัทเอกชน กลาวคือ (1) กต. ผลักภาระความรับผิดชอบของการเลือกภาคเอกชนไปใหแก สปป.ลาว (2) การยอมรับขอเสนอของฝายสปป.ลาวใหบริษัททั้งสองมาทําการศึกษา และสรุปวาเปน การศึกษาโดยไมมีขอผูกพันใดๆนั้น ขอยืนยันในเรือ่ งนี้ที่ดที ี่สุด คือ การเปดเผย บันทึก ความเขาใจที่ รัฐบาลสปป.ลาว ลงนามกับบริษัททั้งสองแหงนี้ (3) การที่บริษทั เอกชนทั้งสองแหงไดสิทธิเขามาศึกษาโครงการกอนนั้น เปนการเอื้อประโยชน โดยตรง และสรางความไมเทียมกันในการแขงขันประมูลโครงการเขือ่ นบานกุมในอนาคต กับบริษัทเอกชนรายอื่นๆซึ่งไมไดสิทธิดําเนินการศึกษา ตาม MOU ที่ลงนามเมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2551 3. การเสนอราง MOU ของกระทรวงการตางประเทศนั้น มีตนเรื่องจากกองเอเชีย ตะวันออก อาจจะพิจารณาไดวาเปนการดําเนินการที่อยูน อกเหนืออํานาจหนาที่ของหนวยงาน และอาจ เขาขายปฏิบัติหนาที่โดยมิชอบ เอื้อประโยชนตอบริษัทเอกชนเปนการเฉพาะหรือไม 4. การอนุมัตริ าง MOU ของกระทรวงตางประเทศ อาจเขาขายขัดรัฐธรรมนูญพ.ศ. 2550 มาตรา 190 ทั้งในเรือ่ งของการเปลี่ยนแปลงแนวเขตแดนระหวางประเทศ และการทําสัญญาระหวาง ประเทศ ทั้งนี้รายงานการศึกษาความเหมาะสมเบื้องตนโครงการเขือ่ นบานกุมที่ศึกษาโดย พพ. ระบุไว 90
การมีส่วนร่วมของกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และความโปร่งใสของการพัฒนา โครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ําบนแม่น้ําโขงสายหลัก กรณีเขื่อนบ้านกุ่ม (จ. อุบลราชธานี) / มนตรี จันทวงศ์
อยางชัดเจนวา กอนการลงนาม MOU นั้น ตองดําเนินการรัฐธรรมนูญมาตรา 57 และ 190 กอน ถึงแมวา จะเปนเพียงการลงนามเพื่อศึกษาความเปนไปไดก็ตาม เนื่องจากถือวาเปนขั้นตอนเริม่ ตนของการพัฒนา โครงการทั้งหมด 5. กรณีการลงนาม MOU กับประเทศสปป.ลาวนี้ จะเปนบรรทัดฐานใหมไดหรือไม วาใน อนาคตนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงการตางประเทศ สามารถลงนามใน MOU โครงการตางๆที่มี ผลกระทบขามพรมแดนกับประเทศเพื่อนบาน โดยไมจําเปนตองปรึกษาหนวยงานที่รับผิดชอบโดยตรง และไมจําเปนตองเคารพกระบวนการมีสวนรวมของประชาชนไทย ตามเจตนารมณของรัฐธรรมนูญที่ได กําหนดไว สรุปการมีสวนรวมของกลุม ผูมีสวนไดสวนเสีย ในโครงการเขื่อนไฟฟาบานกุม การสรางเขื่อนบานกุมบนแมน้ําโขง ในมุมมองของฝายนโยบายหรือรัฐบาล อาจกลาวไดวาเปนการจัดการ ใชน้ําโขงที่มีประสิทธิภาพ เชน ไดพลังงานไฟฟาราคาถูก ใชประโยชนจากน้ําโขงอยางเต็มที่ดีกวาปลอยใหไหลผาน ไปโดยไมไดใชประโยชน (ซึง่ ยังคงมีขอ ถกเถียงอยูมาก วาเปนการจัดการที่มีประสิทธิภาพไดจริงหรือไม) หากแต การคิดเฉพาะเรื่องประสิทธิภาพเปนหลักก็จะนําไปสูการจํากัดหรือละเลยหรือกีดกัน การมีสวนรวมของกลุมผูมีสวน ไดสวนเสียโดยเฉพาะประชาชนที่จะไดรับผลกระทบในพื้นทีโ่ ครงการและยังเปนการละเลยหลักการที่สําคัญที่จะตอง พิจารณาควบคูกันไปดวยอีก 2 หลักการใหญ คือ หลักการเรื่องความเปนธรรม ซึ่งหมายถึง “โอกาสที่ประชาชน จะเขาถึงทรัพยากร และเปนโอกาสที่ไดรับการคุมครองจากรัฐ ในระบบการเขาถึงโดยเสรีที่เปนอยูในประเทศไทยใน ปจจุบัน” โดยการบริหารเพื่อใหเกิดความเปนธรรมนั้น ตองอยูบนพื้นฐานของ “หลักธรรมาภิบาล กลไกลดความ ขัดแยง และไมขัดแยงกับจารีตประเพณีเดิมที่ดีงามที่สังคมยอมรับอยูแ ลว” และ หลักการเรื่องความยั่งยืน คือการ รักษาความเปนธรรมระหวางผูใชน้ําปจจุบันและในอนาคต โดยมีหลักการสําคัญคือ การปกปองผลประโยชนของ ลูกหลานในอนาคตและการรักษาระบบนิเวศ (มิ่งสรรพและคณะ 2544) ปจจุบันในประเทศไทย พัฒนาการของกระบวนการมีสวนรวมของประชาชนที่จะไดรับผลกระทบในพื้นที่ โครงการและภาคประชาสังคม ไดพัฒนาไปมากถึงในระดับการมีสวนรวมในการตรวจสอบนโยบายที่เกี่ยวของ (เชน การตรวจสอบนโยบายพลังงานไฟฟาและการเสนอแผนการพัฒนาพลังงานไฟฟาของประเทศใหม) และการมี สวนรวมในการตัดสินใจในระดับโครงการ (เชน โรงไฟฟาถานหินบอนอก หินกรูด) นอกจากนี้ประชาชนและภาค ประชาสังคมสามารถใชเครื่องมือทางกฎหมายที่หลากหลาย เพื่อพัฒนากระบวนการมีสวนรวมใหไดมากที่สุด ใน การตรวจสอบความถู ก ต อ ง ความโปร ง ใสและธรรมาภิ บ าลของโครงการ ดั ง นั้ น กระบวนการมี ส ว นร ว มของ ประชาชนและภาคประชาสังคมนี้ จะเปนหลักประกันในการสรางความเปนธรรมและความยั่งยืนของการใชแมน้ํา โขง มากกวาหลักคิดเรื่องประสิทธิภาพเพียงประการเดียว การริเริ่มจากฝายรัฐบาลและหนวยงานที่เกีย่ วของ เชน การยกเลิกมติครม.เมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2551, การเปดเผยรายงานการศึกษาเบื้องตน โครงการเขื่อนบานกุม ของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ พลังงาน, การพัฒนากระบวนการมีสวนรวมของประชาชนอยางจริงจัง เพื่อพัฒนาการใชแมน้ําโขงบนฐานของความ เปนธรรมและความยั่งยืนของระบบนิเวศแมน้ําโขง ทั้งในสวนของประเทศไทยและประเทศอื่นๆในลุมน้ําโขง ฯลฯ การริเริ่มเชนนีจ้ ากภาครัฐ จะนําไปสูการสงเสริมกระบวนการมีสวนรวมของประชาชน และสงเสริมดานธรรมาภิบาล 91
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการขนาดใหญ่
ของการพัฒนาโครงการเขื่อนบานกุม โดยเฉพาะอยางยิ่งในปนี้เปนปที่ประเทศไทยมีฐานะเปนประธานของอาเซียน ดวยแลว ก็จะยิ่งสงเสริมบทบาทของรัฐบาลไทย ในเวทีระหวางประเทศดวยเชนกัน
เอกสารอางอิง กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษพลังงาน กระทรวงพลังงาน รวมกับบริษัทปญญา คอนซัลแตนท จํากัด และ บริษัทแมคโครคอนซัลแตนท จํากัด, 2551. รายงานกอนรายงานความเหมาะสมและรายงาน สิ่งแวดลอมเบื้องตน ของโครงการไฟฟาพลังน้ําฝายปากชมและฝายบานกุม. กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษพลังงาน, 2551. จดหมายกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ พลังงาน ที่ พน 0506/42005, 21 สิงหาคม 2551 ขอเท็จจริงความเปนมาโครงการโรงไฟฟาพลังน้ํา ฝายบานกุม. กรมเอเชียตะวันออกกระทรวงการตางประเทศ, 2551. กรอบอํานาจหนาที่ตามกฎหมาย. [ระบบออนไลน]. แหลงที่มา http://www.mfa.go.th/web/847.php?id=1222. (30 มิถุนายน 2551) กระทรวงการตางประเทศ, 2551. ขาวกระทรวงการตางประเทศที่ 154/2551 วันที่ 27 มีนาคม 2551, 25 สิงหาคม 2551. รัฐมนตรีวาการกระทรวงการตางประเทศเปนผูแทนรัฐบาลไทยลงนามบันทึก ความเขาใจเรือ่ งความรวมมือในการพัฒนาพลังงานไฟฟาระหวางไทย-ลาว. [ระบบออนไลน]. แหลงที่มา http://www.mfa.go.th/web/463.php?id=19608&lang=th. (30 มิถุนายน 2551) กระทรวงการตางประเทศ, 2551. ขาวกระทรวงการตางประเทศ วันที่ 28 มีนาคม 2551, 22 สิงหาคม 2551 รัฐมนตรีวาการกระทรวงการตางประเทศเปนผูแทนรัฐบาลไทยลงนามบันทึกความเขาใจเรื่อง ความรวมมือในการพัฒนาพลังงานไฟฟาระหวางไทย-ลาว. กระทรวงการตางประเทศ. [ระบบออนไลน]. แหลงที่มา http://www.mfa.go.th/web/2662.php?id=24318. (30 มิถนุ ายน 2551) กระทรวงการตางประเทศ, 2551. ขาวสารนิเทศของกระทรวงการตางประเทศที่ 421/2551 วันที่ 14 สิงหาคม 2552, 22 สิงหาคม 2551 รัฐมนตรีวาการกระทรวงการตางประเทศตอบกระทูถ ามสดเรื่องโครงการ ไฟฟาพลังน้ําฝายบานกุม. [ระบบออนไลน]. แหลงที่มา http://www.mfa.go.th/web/463.php?id=20502&lang=th. (30 มิถุนายน 2551) กระทรวงการตางประเทศ, 2551. จดหมายกระทรวงการตางประเทศ ที่ กต 1303/655, 10 มีนาคม 25511 ขอ อนุมัติลงนามบันทึกความเขาใจเรื่องความรวมมือในการพัฒนาพลังงานไฟฟาระหวางไทย-ลาว.
92
การมีส่วนร่วมของกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และความโปร่งใสของการพัฒนา โครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ําบนแม่น้ําโขงสายหลัก กรณีเขื่อนบ้านกุ่ม (จ. อุบลราชธานี) / มนตรี จันทวงศ์
การไฟฟาฝายผลิตแหงประเทศไทย, 2550. แผนพัฒนากําลังผลิตไฟฟาของประเทศไทย พ.ศ. 2550 – 2564 (PDP2007). การไฟฟาฝายผลิตแหงประเทศไทย, 2551. แผนพัฒนากําลังผลิตไฟฟาของประเทศไทย พ.ศ. 2550 – 2564 (PDP2007 – ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1). การไฟฟาฝายผลิตแหงประเทศไทย, 2552. แผนพัฒนากําลังผลิตไฟฟาของประเทศไทย พ.ศ. 2550 – 2564 (PDP2007 – ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2). คณะกรรมการนโยบายพลังงานแหงชาติ, 2550. มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแหงชาติ ครั้งที่ 7/2550 (ครั้งที่ 116) วันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2550. [ระบบออนไลน]. แหลงที่มา http://www.eppo.go.th/nepc/kpc/kpc-116.htm. (1 สิงหาคม 2551) คณะกรรมการนโยบายพลังงานแหงชาติ, 2550.มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแหงชาติ ครั้งที่ 8/2550 (ครั้งที่ 117) วันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550. [ระบบออนไลน]. แหลงที่มา http://www.eppo.go.th/nepc/kpc/kpc-117.htm. (1 สิงหาคม 2551) คณะกรรมการนโยบายพลังงานแหงชาติ, 2550.มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแหงชาติ ครั้งที่ 9/2550 (ครั้งที่ 118) วันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2550. [ระบบออนไลน]. แหลงที่มา http://www.eppo.go.th/nepc/kpc/kpc-118.htm. (1 สิงหาคม 2551) คณะกรรมการนโยบายพลังงานแหงชาติ, 2550. มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแหงชาติ ครั้งที่ 10/2550 (ครั้งที่ 119) วันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2550. [ระบบออนไลน]. แหลงที่มา http://www.eppo.go.th/nepc/kpc/kpc-119.htm. (1 สิงหาคม 2551) คณะกรรมการนโยบายพลังงานแหงชาติ, 2551. มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแหงชาติ ครั้งที่ 1/2551 (ครั้งที่ 120) 17 มกราคม พ.ศ. 2551. [ระบบออนไลน]. http://www.eppo.go.th/nepc/kpc/kpc-120.htm. (1 สิงหาคม 2551) คณะกรรมการนโยบายพลังงานแหงชาติ, 2551. มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแหงชาติ ครั้งที่ 2/2551 (ครั้งที่ 121) วันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2551. [ระบบออนไลน]. http://www.eppo.go.th/nepc/kpc/kpc-121.htm. (1 สิงหาคม 2551) คณะกรรมการนโยบายพลังงานแหงชาติ, 2551. มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแหงชาติ ที่ 3/2551 (ครั้งที่ 122) วันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551. [ระบบออนไลน]. http://www.eppo.go.th/nepc/kpc/kpc-122.htm. (30 มกราคม 2552) 93
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการขนาดใหญ่
คณะกรรมการนโยบายพลังงานแหงชาติ, 2552. มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแหงชาติ ครั้งที่ 1/2552 (ครั้งที่ 123) วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2552. [ระบบออนไลน]. http://www.eppo.go.th/nepc/kpc/kpc-123.htm. (30 มกราคม 2552) จดหมายถึงบรรณาธิการกรณีเขื่อนกัน้ แมน้ําโขง. หนังสือพิมพ มติชน. วันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2551 ปที่ 31 ฉบับที่ 11110. บริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวลอปเมนต จํากัด (มหาชน), 2551. จดหมายบริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวลอปเมนต จํากัด (มหาชน) 18 มิถุนายน 2551 การขออนุญาตเขาทํางานสํารวจธรณีวิทยาในโครงการไฟฟา พลังน้ําฝายบานกุม. บริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวลอปเมนต จํากัด (มหาชน), 2551. หมายเหตุประกอบงบการเงิน งบการเงินประจําป สิ้นสุด ณ.วันที่ 31ธันวาคม 2551. [ระบบออนไลน]. แหลงที่มา http://www.itd.co.th/files/financial-y/th/itdt08_3.pdf. (วันที่ 25 พฤษภาคม 2552) ผูวาราชจังหวัดอุบลราชธานี , 2551. จดหมายผูวาราชจังหวัดอุบลราชธานี ที่ อบ 0016.1/16070, 22 สิงหาคม 2551 บันทึกความเขาใจระหวางรัฐบาลแหงราชอาณาจักรไทย กับ รัฐบาลแหงสาธารณรัฐ ประชาธิปไตยประชาชนลาว เรื่อง ความรวมมือในการพัฒนาพลังงานไฟฟาระหวางสองประเทศ. มิ่งสรรพ ขาวสะอาด และคณะ, 2544. แนวนโยบายการจัดการน้ําสําหรับประเทศไทย. สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี, 2551. จดหมายสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ นร 0506/4564, 14 มีนาคม 2551 ขออนุมตั ิลงนามบันทึกความเขาใจเรื่องความรวมมือในการพัฒนาพลังงานไฟฟาระหวาง ไทย-ลาว. สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล, 2551 มติคณะรัฐมนตรี ขาวที่ 01/03 วันที่ 11 มีนาคม 2551. [ระบบออนไลน]. แหลงที่มา http://www.thaigov.go.th. (12 มีนาคม 2551) King, P. Bird, J. and Haas, L., 2007. The Current Status of Environmental Criteria for Hydropower Development in the Mekong Region. Mekong River Commission, 2004. Expenditure Incurred and Fund Balances by Development Partner for the Year Ended, 2004, December 31. [online] available http://www.mrcmekong.org/download/finance/Statement_of_Contribution_Received_Donor2004.pdf ( 25 May 2009)
94
การมีส่วนร่วมของกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และความโปร่งใสของการพัฒนา โครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ําบนแม่น้ําโขงสายหลัก กรณีเขื่อนบ้านกุ่ม (จ. อุบลราชธานี) / มนตรี จันทวงศ์
Mekong River Commission, 2005. Expenditure Incurred and Fund Balances by Development Partner for the Year Ended, 2005, December 31. [online] available http://www.mrcmekong.org/download/finance/Statement_of_Contribution_Received_Donor2005.pdf ( 25 May 2009) Mekong River Commission, 2007. Expenditure Incurred and Fund Balances by Development Partner for the Year Ended, 2007, December 31. [online] available http://www.mrcmekong.org/download/finance/Statement_of_Contribution_Received_Donor2007.pdf. ( 25 May 2009) Mekong River Commission, 2008. Expenditure Incurred and Fund Balances by Development Partner for the Year Ended, 2008, December 31. [online] available http://www.mrcmekong.org/download/finance/Statement_of_Contribution_Received_Donor2008.pdf. ( 25 May 2009) Mekong Secretariat Study Team, 1994. Mekong Mainstream Run-of-river Hydropower. Bangkok, Thailand. Sourigna, V., 2008 Power Development Plans & Transmission Interconnection Projects. Department of Energy Promotion & Development, Ministry of Energy & Mines. [online] available http://www.adb.org/Documents/Events/Mekong/Proceedings/FG7-RPTCC7-Annex3.3-LaoPDRPresentation.pdf. ( 25 May 2009) Viravong, V., 2008. Regional consultation on MRC’s Hydropower Programme. Department of Electricity, Ministry of Energy & Mines. [online] available http://www.mrcmekong.org/download/programmes/hydropower/presentations/2.2%20MRCconsultation_LAOPDR.pdf. (25 May 2009)
95
การจัดการน้ําในลุมน้ําโขง : การมีสว นรวมของประชาชน
บทที่ 7 ทรัพยากรน้ําและแนวทางการจัดการน้ําในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบ วิโรจนกูฎ1, ฤกษชัย ศรีวรมาศ2, กฤษณ ศรีวรมาศ3 1 ศาสตราจารย คณะวิศวกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 2 ผูชวยศาสตราจารย คณะวิศวกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 3 ผูชวยศาสตราจารย คณะวิศวกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
บทคัดยอ บทความนี้นําเสนอผลการวิเคราะหปริมาณและลักษณะการกระจายของน้าํ ฝนและน้ําทา รวมทั้งสภาพ ปญหาและแนวทางการจัดการทรัพยากรน้าํ โดยใชขอมูลปริมาณน้ําฝนเฉลี่ยรายวันจากสถานีวัดน้ําฝนของกรม อุตุนิยมวิทยาที่กระจายอยูทั่วทั้งพื้นที่จํานวน 51 สถานี ในชวงปค.ศ.1985-1995 และขอมูลปริมาณน้ําทาเฉลี่ยราย เดือนจากสถานีวัดน้ําทาของกรมชลประทานและกรมพัฒนาและสงเสริมพลังงาน จํานวน 69 สถานี ในชวง ปค.ศ.1950-1995 ผลการศึกษาพบวาภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีปริมาณน้ําฝนเฉลี่ยประมาณ 1,200 มิลลิเมตรตอ ป ในชวงฤดูฝน (พ.ค.–ต.ค.) มีปริมาณน้ําฝนประมาณ 84% ของปริมาณฝนทั้งป โดยมีปริมาณฝนสูงสุด 200 มิลลิเมตร ในฤดูแลง (พ.ย.–เม.ย.) มีปริมาณน้ําฝนประมาณ 16% ของปริมาณน้ําฝนทั้งป ลําน้ําขนาดเล็กจะมีน้ํา ไหลเฉพาะในชวงฝนตก สวนลําน้ําขนาดกลางและขนาดใหญจะมีน้ําไหลตลอดทั้งป น้ําทาประมาณ 92% เกิดขึ้น ในชวง 6 เดือนของฤดูฝน (พ.ค.–ต.ค.) น้ําทารายเดือนสูงสุดเกิดขึ้นในเดือนกันยายนหรือตุลาคม ประมาณ 2930% ของน้ําทาเฉลี่ยรายป เมื่อหมดฤดูฝนปริมาณน้ําทาเฉลี่ยรายเดือนมีคานอยมากคือประมาณ 1-2% ของน้ําทา เฉลี่ยรายป และเนื่องจากพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีลักษณะคลายแองกระทะเมือ่ มีปริมาณฝนตกจํานวนมาก จึงทําใหเกิดน้ําทวมในชวงฤดูฝน พอเขาสูฤ ดูแลงประสบปญหาการขาดแคลนน้ําเนื่องจากมีปริมาณฝนตกคอนขาง นอยรวมทั้งขาดการกักเก็บน้ําฝนที่มปี ริมาณมากในชวงฤดูฝนไวใชในฤดูแลง นอกจากนี้การจัดการน้ําของภาครัฐ เพื่อแกปญหายังขาดการมีสวนรวมแบบบูรณาการของทุกภาคสวนโดยเฉพาะภาคประชาชนที่ไดรับผลกระทบจาก การจัดการน้ําโดยภาครัฐที่ไมตอบสนองความตองการของประชาชนในทองถิ่นอยางแทจริง ดังนั้นแนวทางการจัดการน้ําในภาคตะวันออกเฉียงเหนือจึงควรพิจารณาถึงการจัดการทั้ง 4 ดาน ไดแก 1) การจัดการองคกรรับผิดชอบขอมูลและระบบฐานขอมูลดานทรัพยากรน้ํา 2) การสรางและปรับปรุงแหลงน้ําให สามารถสนับสนุนกิจกรรมการใชน้ําใหไดอยางพอเพียงตลอดป 3) การบริหารและจัดการน้ําแบบบูรณาการทั้ง ความเชี่ยวชาญ แหลงงบประมาณและภูมิปญญาทองถิ่น และ4) การสรางจิตสํานึกที่ดีในการฟนฟูและอนุรักษ ทรัพยากรธรรมชาติของชุมชน
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน
บทนํา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือ “ภาคอีสาน” ของประเทศไทยมีขนาดพื้นที่ประมาณ 176,600 ตาราง กิโลเมตร ทิศเหนือและตะวันออกของภาคติดกับแมน้ําโขงที่ใชเปนเสนพรมแดนระหวางประเทศไทยกับประเทศ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ทิศใตมีเทือกเขาพนมดงรักกั้นพรมแดนระหวางภาคอีสานของไทยกับ ประเทศกัมพูชาประชาธิปไตยและประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เทือกเขาพนมดงรักมีความสูง เฉลี่ยประมาณ 400-700 เมตร จากระดับน้ําทะเลปานกลาง (รทก.) มียอดเขาเขียวเปนยอดเขาที่สูงที่สุดสูงประมาณ 1,292 เมตร รทก. ทิศตะวันตกของภาคอีสานติดกับภาคกลางและภาคเหนือโดยมีเทือกเขาเพชรบูรณ เทือกเขาดงพระยาเย็น และเทือกเขาสันกําแพงเปนแนวแบงเขต เทือกเขาทิศตะวันตกมีความสูงเฉลี่ยประมาณ 500-1,000 เมตร รทก. มี ยอดเขาที่สูงที่สุดในภาคอีสานคือ ยอดภูหลวง มีความสูงประมาณ 1,570 เมตร รทก. และภูกระดึงสูงประมาณ 1,330 เมตร รทก. เปนแหลงตนน้ําของแมนา้ํ หลายสาย ไดแก แมน้ําเลย แมน้ําพรม แมน้ําพอง แมน้ําชี เปนตน สวนตอนกลางของภาคมีเทือกเขาภูเกาและภูพานทอดตัวจากทิศเหนือลงสูทิศใตแบงพื้นที่ออกเปน 2 สวน ก็คือ แองสกลนครและแองโคราช ลักษณะพื้นที่ในแองสกลนครจะมีความลาดเอียงจากเทือกเขาภูพานไปยังแมน้ําโขง ใน สวนแองโคราชจะมีลักษณะคลายกะทะคือมีภูเขาลอมรอบบริเวณตรงกลางคอนขางราบลาดเอียงไปทางทิศ ตะวันออกเฉียงใต ดังรูปที่ 1 สําหรับพื้นที่ราบโดยทัว่ ไปของภาคอีสานมีความสูงเหนือระดับน้ําทะเลปานกลาง ประมาณ 140 - 200 เมตร ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีประชากรประมาณ 21.4 ลานคน หรือประมาณ 1 ใน 3 ของประเทศ แบงพื้นที่ การปกครองออกเปน 19 จังหวัด ประกอบดวย จังหวัดเลย หนองคาย นครพนม มุกดาหาร สกลนคร อุดรธานี หนองบัวลําภู ชัยภูมิ มหาสารคาม ขอนแกน กาฬสินธุ รอยเอ็ด ยโสธร อํานาจเจริญ นครราชสีมา บุรีรัมย สุรินทร ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ประชาชนสวนใหญประกอบอาชีพเกษตรกรรม พืชที่สําคัญไดแก ขาว มันสําปะหลัง ปอ ขาวโพด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเปนภาคที่มีพื้นที่เพาะปลูกมากกวาภาคอื่นๆ แตผลผลิตตอไรต่ําเพราะการ ทําเกษตรสวนใหญอาศัยน้ําฝนซึ่งไมคอยแนนอน บางปมีน้ํามาก บางปไมมีน้ําเลย พอถึงฤดูฝนก็ประสบปญหาน้ํา ทวมนองพื้นที่ ภาครัฐและประชาชนไมไดเตรียมการเก็บกักน้ําฝนไวใชเพื่อการเกษตรกรรม เวนแตเก็บน้ําฝนไว ดื่มกินเทานั้น พอถึงฤดูแลงปริมาณน้ําในแมน้ําลําธารจะเหือดแหงไปทําใหภูมิภาคนี้ไมคอยมีการปลูกพืชหลังการ เก็บเกี่ยวขาว เปนเหตุใหประชากรบางสวนตองเดินทางไปจังหวัดในภูมิภาคอื่นเพื่อขายแรงงานในชวงฤดูแลง นอกจากนี้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังประสบปญหาความขัดแยงเรื่องการใชน้ําของกลุมตางๆ ที่มีปริมาณ เพิ่มมากขึ้นทุกป อันเนื่องมาจากการขยายตัวทางสังคมและเศรษฐกิจ กอใหเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดลอมที่ ทําใหปริมาณน้ําจืดที่หมุนเวียนในกระบวนการอุทกวิทยาตามธรรมชาติลดนอยลง ซึ่งเปนผลจากการตัดไมทําลาย ปาเพื่อบุกเบิกหาที่ทํากินใหม การใชน้ํายังขาดประสิทธิภาพและคุณภาพน้ําในบางสวนก็เสื่อมลงจนยากตอการ นํามาใชประโยชนอัน เนื่องมาจากการปลอยน้ํ าเสีย จากแหลงชุ มชน อุตสาหกรรม ตลอดจนสารเคมีจากพื้น ที่ เกษตรกรรม ทําใหเกิดการแยงชิงน้ําเพื่อนํามาใชประโยชนกันมากขึ้นทั้งในระดับชุมชนจนถึงระดับประเทศ
100
ทรัพยากรน้ําและแนวทางการจัดการน้ําในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ / ผศ. ฤกษ์ชัย ศรีวรมาศ
ระดับความสูง 100-200 เมตร รทก. 200-500 เมตร รทก. 500-700 เมตร รทก.
รูปที่ 1 สภาพภูมิศาสตรของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แนวทางการจัดการทรัพยากรน้ําเพื่อการจัดหาน้ําใหเพียงพอตอความตองการใชน้ํา รวมทั้งการควบคุม การใชประโยชนอยางมีประสิทธิภาพจึงมีความสําคัญยิ่งตอการอนุรักษคุณภาพชีวิตของประชาชนและการพัฒนา เศรษฐกิจและสังคม การศึกษานี้จะวิเคราะหปริมาณและการกระจายของทรัพยากรน้ําในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งไดแกปริมาณและลักษณะการกระจายของน้ําฝนและน้ําทา พรอมทั้งนําเสนอสภาพปญหาและแนวทางการ จัดการทรัพยากรน้ําเพื่อใหเกิดประโยชนสูงสุดอยางมีประสิทธิภาพและเปนธรรม 1. ปริมาณและการกระจายตัวของน้ําฝนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนืออยูเหนือเสนศูนยสูตรเล็กนอย ปริมาณฝนที่ตกสวนใหญเกิดจากลมมรสุ ม ตะวันตกเฉียงใตซึ่งเปนลมจากมหาสมุทรอินเดียที่พัดพาฝนมาตกระหวางเดือนพฤษภาคมถึงปลายเดือนตุลาคม และลมพายุใตฝุนที่เกิดในทะเลจีนใตเปนครั้งคราวทําใหเกิดฝนตกมากสุดในเดือนสิงหาคมและกันยายน จากการ วิเคราะหปริมาณน้ําฝนเฉลี่ยรายปโดยใชขอมูลสถานีวัดน้ําฝนที่กระจายอยูทั่วภาคตะวันออกเฉียงเหนือจํานวน 51 สถานี ในชวงปค.ศ.1985-1995 พบวามีปริมาณน้ําฝนเฉลี่ยประมาณ 1,200 มิลลิเมตรตอป พื้นที่สวนบนของภาค บริเวณริมแมน้ําโขงในเขตจังหวัดหนองคายและนครพนมเปนเขตชุมชื้นมีฝนตกชุก โดยเฉพาะอยางยิ่งบริเวณ บนสุดของจังหวัดหนองคายที่อยูติดแมน้ําโขงในเขตอําเภอบึงกาฬ บุงกลา ศรีวิลัย และบึงโขงโหลง ที่ถือวาเปนเขต ฝนตกชุก ซึ่งมีฝนเฉลี่ยมากกวา 2,400 มิลลิเมตรตอป ดังแสดงในรูปที่ 2 อยางไรก็ตามปริมาณฝนที่ตกลงมาก็จะ 101
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน
เกิดการสูญหายเนื่องจากการระเหย การซึมลงใตดิน การคายระเหยของพืช การเก็บกักบนผิวดิน ปริมาณน้ําฝนที่ เหลือก็จะไหลกลายเปนน้ําทาตอไป
รูปที่ 2 เสนชั้นน้ําฝนเฉลี่ยรายปของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จากการวิเคราะหหาปริมาณน้ําฝนเฉลี่ยในแตละเดือนดังรูปที่ 3 พบวาฝนเริ่มตกประมาณปลายเดือน เมษายนและมีปริมาณน้ําฝนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงเดือนตุลาคมหลังจากนี้ฝนจะเริ่มมีปริมาณลดลง ฝนตกมากที่สุด ประมาณเดือนสิงหาคมและกันยายนมีคาประมาณ 200 มิลลิเมตร ในชวงฤดูฝน (พ.ค.–ต.ค.) มีปริมาณน้ําฝน ประมาณ 84% ของปริมาณฝนทั้งป ในฤดูแลง (พ.ย.–เม.ย.) มีปริมาณน้ําฝนประมาณ 16% ของปริมาณน้ําฝนทั้ง ป ดังนั้นจึงสรุปไดวาปริมาณฝนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีปริมาณคอนขางมากในชวงฤดูฝน
102
ทรัพยากรน้ําและแนวทางการจัดการน้ําในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ / ผศ. ฤกษ์ชัย ศรีวรมาศ
รูปที่ 3 ปริมาณน้ําฝนเฉลี่ยรายเดือนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยางไรก็ตามในความเปนจริงปริมาณน้ําฝนเหลานี้มิไดกระจายใหเกิดการใชประโยชนอยางทั่วถึง ฉะนั้น ขอมูลเกี่ยวกับน้ําที่ไหลในลําน้ําในสวนตางๆ ของลุมน้ําจึงมีความจําเปนตอการจัดการทรัพยากรน้ํา เพื่อใชเปน ประโยชนสําหรับทุกฝายโดยเฉพาะอยางยิ่งสําหรับชุมชนทองถิ่น 2. ลักษณะการไหลของน้ําทาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ น้ําฝนที่ตกลงมาจะไหลผานผิวดินลงสูรองน้ําเล็กๆ หรือเรียกวาตนน้ําลําธาร รองน้ําขนาดเล็กก็จะไหล รวมกันเปนลําน้ําที่ใหญขึ้นเรื่อยๆ จนสุดทายจะไหลออกสูทะเล ลําน้ําแตละลําน้ําจะมีรหัสที่บอกใหรูลักษณะการ เชื่อมโยงของลําน้ําเปนระบบเครือขายลําน้ําประกอบดวย ลําน้ําลําดับ 1 เปนลําน้ําเล็กสุด เมื่อลําน้ําลําดับ 1 ไหล รวมตัวกันก็จะเปนลําน้ําลําดับ 2 และถาลําน้ําลําดับ 2 ไหลรวมตัวกันก็จะเปนลําน้ําลําดับ 3 ซึ่งจะไหลรวมตัวกันใน ลักษณะนี้เรื่อยๆ จนกลายเปนลําน้ําลําดับที่ใหญขึ้นไปเรื่อยๆ โดยที่ลําน้ําลําดับ 1 (ตนน้ําลําธาร) ถึงลําดับ 4 ถือวา เปนลําน้ําขนาดเล็ก ลําน้ําลําดับ 5-6 เปนลําน้ําขนาดกลาง และลําน้ําลําดับ 7 ขึ้นไปถือวาเปนลําน้ําขนาดใหญ ลําน้ําในภาคตะวันออกเฉียงเหนือสามารถแบงตามสภาพพื้นที่รับน้ําหรือลุมน้ําหลักได 3 ลุมน้ําหลัก ไดแก ลุมน้ําโขง อยูในพื้นที่บริเวณแองสกลนคร ประกอบไปดวยลําน้ําสาขาตางๆ มากมายที่เกิดจากเทือกเขา ภูพานและเทือกเขาเพชรบูรณ น้ําในลําน้ําสาขาตางๆ จะไหลลงแมน้ําโขงโดยตรง ลุมน้ําชี อยูในพื้นที่บริเวณ แองโคราชมีลําน้ําสาขาตางๆ ที่เกิดจากเทือกเขาภูพานและเทือกเขาทางทิศตะวันตกของภาค น้ําในลําน้ําตางๆ ไหลรวมตัวลงสูลําน้ําชีแลวไหลลงลําน้ํามูลบริเวณรอยตอจังหวัดศรีสะเกษกับจังหวัดอุบลราชธานี ลุมน้ํามูล อยูใน พื้นที่แองโคราชเชนเดียวกันมีลําน้ําสาขาตางๆ ที่เกิดจากเทือกเขาดงพญาเย็น สันกําแพง และเทือกเขาพนมดงรัก น้ําในลําน้ําสาขาตางๆ ไหลรวมลงสูลําน้ํามูลแลวไหลลงลําน้ําโขงบริเวณอําเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ใน พื้นที่ลุมน้ําชี ลุมน้ํามูล และลุมน้ําโขงยังประกอบดวยลุมน้ําขนาดกลางและขนาดใหญประมาณ 59 ลุมน้ํา ดังแสดง ในรูปที่ 4 คุณสมบัติพื้นฐานของลุมน้ําขนาดกลางและขนาดใหญในภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งไดแกขนาดพื้นที่ 103
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน
รับน้ําของลุมน้ําแตละลําดับ ความชันของลุมน้ํา ปริมาณน้ําฝนเฉลี่ยที่ตกในแตละลุมน้ํา รวมถึงปริมาณน้ําทาที่ไหล ออกจากลุมน้ําในแตละลําดับ แสดงไวในตารางที่ 1
ลุมน้ําโขง
ลุมน้ําชี
ลุมน้ํามูล
รูปที่ 4 ลุมน้ําขนาดกลางและขนาดใหญในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตารางที่ 1 คุณสมบัติพื้นฐานของลุมน้ําแตละลําดับในลุมน้ําโขง ลุมน้ําชี และลุมน้ํามูล ปริมาณ ลําดับ ชื่อลุมน้ํา ลําดับ พื้นที่ลุมน้ํา ความชัน น้ําฝน ลุม (ตร.กม.) (ลุมน้ํา) (มม.) น้ํา ลุมน้ําโขง 1 หวยน้ําหมัน 5 658 0.00576 1,090 2 น้ําสาน 5 1,674 0.01084 1,180 3 ลําน้ําเลย 5 2,608 0.01386 1,260 4 หวยดาน 5 666 0.00007 1,470 5 หวยมุก 5 814 0.00713 1,600 6 หวยบางทราย 5 1,428 0.00351 1,600 7 หวยน้ําอูน 5 1,432 0.00370 1,340
104
ปริมาณน้ําทาเฉลี่ยทั้งป (ลาน ลบ. ม.) 294 545 1,024 214 262 464 500
ทรัพยากรน้ําและแนวทางการจัดการน้ําในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ / ผศ. ฤกษ์ชัย ศรีวรมาศ
ลําดับ
ชื่อลุมน้ํา
ลําดับ
8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18
หวยบังฮี หวยชม หวยน้ําก่ํา ลําน้ําสงคราม แมน้ําเลย หวยน้ําโมง หวยหลวง หวยสวย หวยน้ําอูน ลําน้ําสงคราม แมน้ําสงคราม
ลุม น้ํา 5 5 5 5 6 6 6 6 6 6 7
19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38
น้ําพรม ลําชี ลํากระจวน ลําเจา ลําเชิญ หวยสะทด น้ําพวย ลําปาว หวยสังกะ ลําพะยัง ลําชี ลําคันฉู ลําเชิญ ลําน้ําพอง ลําปาว ลําน้ํายัง ลําพันชาด ลําน้ําชี ลําน้ําพอง แมน้ําชี
5 5 5 5 5 5 5 5 5 5 6 6 6 6 6 6 6 7 7 8
พื้นที่ลุมน้ํา
ความชัน
ปริมาณ น้ําฝน
ปริมาณน้ําทาเฉลี่ยทั้งป
(ตร.กม.)
(ลุมน้ํา)
(มม.)
(ลาน ลบ. ม.)
1,458 2,969 3,468 4,067 3,803 2,750 3,968 1,834 3,487 9,022 13,007
0.00251 0.00531 0.00022 0.00015 0.00567 0.00301 0.00223 0.00007 0.00144 0.00010 0.00009 ลุมน้ําชี 0.00814 0.00815 0.00855 0.01212 0.00971 0.00738 0.01048 0.00169 0.00542 0.00696 0.00320 0.00958 0.00575 0.00010 0.00115 0.00016 0.00269 0.00120 0.00106 0.00055
1,680 1,330 1,600 1,720 1,330 1,390 1,470 1,730 1,790 2,030 2,300
669 977 1,144 2,141 1,494 873 618 598 1,235 8,079 11,648
960 1,000 1,030 1,030 1,140 1,180 1,200 1,280 1,430 1,580 1,000 1,010 1,060 1,190 1,240 1,320 1,340 1,100 1,170 1,260
693 723 204 485 392 226 305 808 169 210 917 504 1,100 1,660 2,177 1,257 227 1,893 1,684 8,253
2,627 2,780 516 1,632 1,231 590 881 3,148 401 536 4,079 1,717 4,853 7,230 8,025 4,198 594 12,735 14,386 46,915
105
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน
ลําดับ
39 40 41 42 43 44 45 46 47 48 49 50 51 52 53 54 55 56 57 58 59
ชื่อลุมน้ํา
ลําตะคอง ลํามูลบน ลําจักราช ลําพังชู ลําพระเพลิง หวยตะโคง หวยสําราญ ลําพลับพลา ลําโดมนอย ลําเชียงไกร ลําสะแทด ลําปลายมาศ หวยทับทัน ลําเสียวใหญ ลําชีนอย หวยขยุง ลําเซบาย ลําเซบก ลําโดมใหญ ลําน้ํามูล แมน้ํามูล
ลําดับ
พื้นที่ลุมน้ํา
ความชัน
ปริมาณ น้ําฝน
ปริมาณน้ําทาเฉลี่ยทั้งป
ลุม น้ํา
(ตร.กม.)
(ลุมน้ํา)
(มม.)
(ลาน ลบ. ม.)
ลุมน้ํามูล 3,538 0.00543 2,022 0.00725 1,371 0.00068 1,313 0.00063 2,345 0.00375 1,746 0.00192 3,417 0.00070 987 0.00026 2,199 0.00372 2,954 0.00105 3,810 0.00017 6,083 0.00189 3,592 0.00003 4,435 0.00020 4,936 0.00041 3,371 0.00078 3,990 0.00075 3,532 0.00011 4,803 0.00168 53,136 0.00140 70,740 0.00119
1,090 1,160 1,180 1,200 1,230 1,250 1,260 1,330 1,800 1,060 1,140 1,140 1,210 1,250 1,360 1,480 1,530 1,650 1,700 1,260 1,760
1,059 675 330 319 518 405 794 251 491 629 779 1,153 1,025 689 843 703 809 3,345 7,227 6,339 14,037
5 5 5 5 5 5 5 5 5 6 6 6 6 6 6 6 6 6 6 7 8
ลักษณะการกระจายของน้ําทาในแตละเดือนบอกใหทราบถึงปริมาณการใหน้ําตามธรรมชาติของลุมน้ําใน แตละชวงเวลาของป ซึ่งเปนคุณสมบัติทางอุทกวิทยาของลุมน้ําที่มีความสําคัญตอการวางแผนการใชประโยชนจาก น้ําทา จากการวิเคราะหขอมูลน้ําทาจากสถานีวัดน้ําทาของกรมชลประทานและกรมพัฒนาและสงเสริมพลังงาน จํานวน 69 สถานี ในชวงปค.ศ.1950-1995 ตามลําน้ําตางๆ สามารถแบงลําน้ําออกเปน 2 กลุม คือ กลุมลําน้ําใน เขตพื้นที่ฝนเฉลี่ยรายปนอยกวา 1,300 มิลลิเมตร และกลุมที่อยูในเขตพื้นที่ฝนเฉลี่ยรายปมากกวา 1,300 มิลลิเมตร ผลการวิเคราะหสรุปไดดังนี้ เขตฝนเฉลี่ยรายปนอยกวาหรือเทากับ 1,300 มิลลิเมตร ลักษณะการไหลของน้ําทาจากลุมน้ําลําดับ 5 และ 6 มีความคลายคลึงกันมาก กลาวคือ น้ําทาสวนใหญประมาณ 92% เกิดขึ้นในชวง 6 เดือนของฤดูฝน
106
ทรัพยากรน้ําและแนวทางการจัดการน้ําในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ / ผศ. ฤกษ์ชัย ศรีวรมาศ
(พ.ค.-ต.ค.) น้ําทารายเดือนสูงสุดเกิดขึ้นในเดือนกันยายน ประมาณ 29-30% ของน้ําทาเฉลี่ยรายป เมื่อหมดฤดูฝน ปริมาณน้ําทาเฉลี่ยรายเดือนมีคานอยมากคือประมาณ 1-2% ของน้ําทาเฉลี่ยรายป ลักษณะการไหลของน้ําทาจาก ลุมน้ําลําดับ 7 และ 8 มีความคลายคลึงกัน กลาวคือ ประมาณ 80% ของน้ําทาเกิดขึ้นในชวง 6 เดือน (พ.ค.-ต.ค.) น้ําทารายเดือนสูงสุดเกิดขึ้นในเดือนกันยายนหรือตุลาคมขึ้นอยูกับสภาพภูมิอากาศของลุมน้ํา ถา เกิดขึ้นในเดือนกันยายนจะมีคาประมาณ 25% ของน้ําทาเฉลี่ยรายป แตถาเกิดในเดือนตุลาคมจะมีคาสูงกวาคือ ประมาณ 30% ของน้ําทาเฉลีย่ รายป ปริมาณน้ําทาเฉลี่ยรายเดือนในฤดูแลงมีคานอยคือประมาณ 2-3% ของน้ําทา เฉลี่ยรายป ดังรูปที่ 5
รูปที่ 5 กราฟน้ําทา (hydrograph) ของลุมน้ําแตละลําดับในเขตปริมาณน้ําฝนเฉลี่ยทั้งป นอยกวาหรือเทากับ 1,300 มม. เขตฝนเฉลี่ยรายปมากกวา 1,300 มิลลิเมตร การกระจายของน้ําทารายเดือนมีลักษณะแตกตางกัน มากกวาในกรณีของลุมน้ําที่อยูในเขตฝนเฉลี่ยรายปนอยกวา 1,300 มม. ดังจะเห็นไดจากรูปที่ 6 น้ําทาจากลุมน้ํา ลําดับ 5 และ 6 มีลักษณะการกระจายคลายคลึงกัน กลาวคือ ประมาณ 92% ของน้ําทาเฉลี่ยรายปเกิดขึ้นในชวง 6 เดือนของฤดูฝน (พ.ค.-ต.ค.) น้ําทารายเดือนสูงสุดเกิดขึ้นในเดือนกันยายนมีคาประมาณ 28 % ของน้ําทาเฉลี่ยราย ป น้ําทารายเดือนในชวงฤดูแลงจะมีนอยมากคือประมาณ 1-2 % ของน้ําทาเฉลี่ยรายป น้ําทาจากลุมน้ําลําดับ 7 และ 8 มีลักษณะการกระจายคลายกับน้ําทาจากลุมน้ําลําดับ 5 และ 6 แตปริมาณน้ําทารายเดือนสูงสุดเกิดขึ้นใน เดือนตุลาคมมีคาประมาณ 33 % ของน้ําทาเฉลี่ยรายป
107
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน
รูปที่ 6 กราฟน้าํ ทา (hydrograph) ของลุมน้าํ แตละลําดับในเขตปริมาณน้ําฝนเฉลี่ยทั้งปมากกวา 1,300 มม. จากที่กลาวมาขางตนสามารถสรุปลักษณะการกระจายของน้ําทารายเดือนของลุมน้ําลําดับตางๆ ไดดังตารางที่ 2 ตารางที่ 2 การกระจายปริมาณน้ําทาเฉลี่ยรายเดือนของลุมน้ําแตละลําดับ ปริมาณ น้ําฝน นอยกวา หรือเทากับ 1,300 มม.
ลําดับ ลุมน้ํา 5 6 7 8 มากกวา 5 1,300 มม. 6 7 8
เม.ย. 1 1 3 3 1 1 1 1
เปอรเซ็นตการแพรกระจายปริมาณน้ําทาเฉลี่ยรายเดือน (%) พ.ค. มิ.ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย. ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ม.ค. ก.พ. 2 7 10 20 30 20 6 1 1 1 3 6 10 18 32 20 5 2 1 1 4 6 8 10 23 25 8 4 3 3 4 7 9 11 20 24 9 4 3 3 2 6 10 20 29 20 7 2 1 1 2 6 12 21 29 17 7 2 1 1 1 5 10 18 26 23 10 3 1 1 2 5 10 15 25 24 11 4 1 1
มี.ค. 1 1 3 3 1 1 1 1
เดือนที่เกิด เปอรเซ็นตปริมาณน้ําทาสูงสุดเฉลี่ย (%) ปริมาณน้ําทาเฉลี่ย ปริมาณน้ําสูงสุด ก.ย. ต.ค. นอกฤดูฝน (%) ก.ย. 29.0 2 ก.ย. 30.0 2 ก.ย.,ต.ค. 31.5 39.0 4 ก.ย.,ต.ค. 34.0 34.0 4 ก.ย.,ต.ค. 30.0 34.0 2 ก.ย.,ต.ค. 26.5 28.5 2 ก.ย.,ต.ค. 27.5 36.0 3 ก.ย.,ต.ค. 29.0 30.5 3
หมายเหตุ : ปริมาณน้ําทาเฉลี่ยรายเดือน หมายถึง ปริมาณน้ําทาในแตละเดือนเทียบกับปริมาณน้ําทาเฉลี่ยทั้งป ปริมาณน้ําทาสูงสุดเฉลี่ย หมายถึง คาเฉลีย่ ของน้ําทาในเดือนที่เกิดน้ําทาสูงสุด นอกจากนี้ ประกอบ และชูชยั (2539) ไดศึกษาความสัมพันธระหวางคุณสมบัติตางๆ ของระบบเครือขาย ลํา น้ํา ของภาคตะวั น ออกเฉี ย งเหนื อ และความสั ม พั น ธ ร ะหว า งปริ ม าณน้ํา ท า เฉลี่ ย รายป จ ากลุ ม น้ํา และคุ ณ สมบั ติ เครือขายลําน้ําสําหรับลุมน้ําขนาดไมเกิน 5,000 ตารางกิโลเมตร พบวา ลุมน้ําที่มีพื้นที่นอยกวา 100 ตร.กม. จะมีการไหลเปนครั้งคราวในฤดูฝนและเมื่อมีฝนตกเทานั้น ลุมน้ําที่มีพื้นทีร่ ะหวาง 100- 1,000 ตร.กม.
108
ทรัพยากรน้ําและแนวทางการจัดการน้ําในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ / ผศ. ฤกษ์ชัย ศรีวรมาศ
จะมีน้ําไหลเฉพาะในฤดูฝน ลุมน้ําที่มีพื้นทีม่ ากกวา 1,000 ตร.กม. จะมีน้ําไหลตลอดทั้งปและในพื้นที่ลุมน้ําขนาด เล็กกวา 5,000 ตร.กม. ปริมาณน้ําสวนใหญไหลในฤดูฝน ประมาณ 95-100 % ของปริมาณน้ําที่ไหลตลอดทั้งป สามารถสรุปลักษณะการไหลในลําน้ําแตละลําดับไดดังตารางที่ 3 ตารางที่ 3 ลักษณะการไหลในลําน้ําแตละลําดับในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขนาดลําน้ํา ลําดับลําน้ํา การเกิด ตนน้ํา 1 เปนลําน้ําเริ่มตน เล็ก
2 3 4
กลาง
5 6
ใหญ
7 8
ลักษณะการไหลของลําน้ํา มีน้ําไหลในขณะฝนตกและ หลังฝนตกประมาณครึ่งวัน เกิดจากลําน้ําลําดับ 1 มีน้ําไหลตอเนื่องหลังจาก ไหลมาบรรจบกัน ฝนตกประมาณ 1-2 วัน เกิดจากลําน้ําลําดับ 2 มีน้ําไหลตอเนื่องหลังจาก ไหลมาบรรจบกัน ฝนตกประมาณ 3-5 วัน เกิดจากลําน้ําลําดับ 3 มีน้ําไหลตอเนื่องหลังจากฝนตก ไหลมาบรรจบกัน ประมาณ 6-9 วัน สวนใหญจะมี น้ําไหลตลอดเวลา 5-6 เดือนของฤดูฝน เกิดจากลําน้ําลําดับ 4 มีน้ําไหลตลอดฤดูฝนนาน ไหลมาบรรจบกัน ประมาณ 7-8 เดือน เกิดจากลําน้ําลําดับ 5 มีน้ําไหลตลอดฤดูฝนนาน ไหลมาบรรจบกัน ประมาณ 9-12 เดือน เกิดจากลําน้ําลําดับ 6 เปนลําน้ําขนาดใหญมีน้ําไหล ไหลมาบรรจบกัน ตลอดป เกิดจากลําน้ําลําดับ 7 เปนลําน้ําขนาดใหญมีน้ําไหล ไหลมาบรรจบกัน ตลอดป
ตัวอยางลําน้ํา หวยบน หวยบอแก หวยดวน หายบก หวยหนองโคง หวยเหล็กเปยก หวยยาง หวยดวน หวยสามขา หวยแดง ลําน้ํายัง หวยขาวสาร หวยบังอี่ หวยน้ําก่าํ ลําเชิญ ลํามูลบน แมน้ําเลย ลําน้ําพอง ลําเซบก ลําโดมใหญ แมน้ําสงคราม ลําน้ําพอง ลําน้ํามูล ลําน้ําชี
สภาพปญหาทรัพยากรน้ําในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สภาพปญหาเกี่ยวกับทรัพยากรน้ําในภาคตะวันออกเฉียงเหนือสามารถแบงออกไดเปน 4 ประเด็นหลักๆ คือ 1) ปญหาการขาดแคลนระบบขอมูลดานทรัพยากรน้ํา 2) ปญหาน้ําทวมในชวงฤดูฝน 3) ปญหาการขาด แคลนน้ําในชวงฤดูแลง และ 4) ปญหาคุณภาพน้ําที่เสื่อมโทรมลง ซึ่งสามารถอธิบายไดดังนี้ 1) การขาดระบบขอมูลดานทรัพยากรน้ํา ระบบขอมูลดานทรัพยากรน้ํามีความสําคัญมากที่สุดเนื่องจาก เปนปจจัยพื้นฐานในการนําไปสูการจัดการทรัพยากรน้ําซึ่งจะบอกใหฝายตางๆ ทราบวาทรัพยากรน้ําตนทุนใน ลุมน้ํามีปริมาณมากหรือนอยเพียงใด จะนํามาใชประโยชนไดหรือไม และควรนํามาใชในชวงเวลาใด แตในปจจุบัน ขอมูลทรัพยากรน้ําขาดเอกภาพและอยูกระจัดกระจายตามหนวยงานตางๆ ไมไดถูกนํามาจัดเก็บในระบบที่สะดวก ตอการใชงานและไมถูกนํามาเผยแพรตอสาธารณชนทั่วไป นอกจากนี้ขอมูลการไหลในลําน้ําตางๆ โดยเฉพาะ 109
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน
ลําน้ําขนาดเล็กยังขาดแคลนและมีอยูนอยมาก ที่มีอยูบางก็เปนลําน้ําขนาดกลางและขนาดใหญ ทําใหไมมีขอมูล เกี่ยวกับทรัพยากรน้ําที่จะใชในการพิจารณาแนวทางการจัดการน้ํา ซึ่งในบางครั้งจําเปนตองทําการสังเคราะหขอมูล ทรัพยากรน้ําขึ้นมาใชเองทําใหขาดการจัดการน้ําอยางมีประสิทธิภาพ 2) ปญหาน้ําทวมในชวงฤดูฝน จากที่กลาวมาขางตนน้ําฝนที่ตกลงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือในชวง 6 เดือนของฤดูฝน (พ.ค.-ต.ค.) มีปริมาณคอนขางมาก คือ ประมาณ 200 มิลลิเมตรตอเดือน หรือคิดเปนปริมาตรน้ํา ประมาณ 36,000 ลานลูกบาศกเมตรตอเดือน ซึ่งปริมาณน้ําฝนดังกลาวบางสวนจะเกิดการดักเนื่องจากตนไมและ สิ่งกอสรางตางๆ การระเหย การคายระเหยของพืช การซึมลงใตดิน และการเก็บกักบนผิวดิน ปริมาณฝนสวนที่ เหลือจะไหลหลากตามผิวดินลงสูลําน้ําขนาดเล็กและไหลรวมตัวกันกลายเปนปริมาณน้ําทาซึ่งจากการวิเคราะห ขอมูลน้ําทาก็พบวาชวงฤดูฝนมีปริมาณน้ําทาคอนขางมากประมาณ 90 % เมื่อเทียบกับปริมาณน้ําทาเฉลี่ยทั้งป ประกอบกับสภาพภูมิประเทศของภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีลักษณะเปนที่ราบแองกะทะบริเวณตอนกลางของภาค ทําใหเกิดลักษณะความลาดชันของลุมน้ําที่แตกตางกัน คือลุมน้ําขนาดเล็ก (ตนน้ําลําธารบริเวณภูเขา) มีความ ลาดชันมากทําใหการระบายน้ําเกิดขึ้นอยางรวดเร็ว ลุมน้าํ ขนาดกลางและขนาดใหญ เชน ลุมน้ําชี และลุมน้ํามูล มีความลาดชันนอย (บริเวณที่ราบแองกะทะ) ทําใหการระบายน้ําเกิดขึ้นไดชา และเนื่องจากการขยายตัวของ ชุมชนและทางเศรษฐกิจทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลงการใชพื้นที่ เชนพืน้ ที่ปาลดลงทําใหเมื่อมีปริมาณฝนตกจํานวน มากจะเกิดการไหลหลากอยางรวดเร็วจนลําน้ําตางๆ ระบายน้ําไมทันจึงเกิดการทวมขังตามพื้นที่ตางๆ โดยเฉพาะ ริมตลิ่งลําน้ําบริเวณตอนกลางของภูมิภาค บริเวณริมตลิ่งดังกลาวในอดีตเปนปาบุงปาทามซึ่งเปนแหลงอาหารของ สิ่งมีชีวิตมากมาย ประกอบกับการกอสรางสิ่งตางๆ ที่ขวางการไหลของน้ําก็เปนสาเหตุที่ทําใหเกิดน้ําทวมขัง เชน การกอสรางถนนขวางทางเดินของน้ํา การกอสรางฝายหรือเขือ่ นเพือ่ กักเก็บน้ํา เปนตน ดังนั้นการพัฒนาพื้นที่ ชุมชนตางๆ ควรไดมีการพิจารณาพฤติกรรมการหลากของน้ําอยางเปนรูปธรรมเพื่อใหไมกอปญหาขึ้นในอนาคต 3) ปญหาการขาดแคลนน้ําในชวงฤดูแลง พบวาในชวงฤดูแลงฝนที่ตกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมี ปริมาณที่นอยมากรวมทั้งน้ําทาในลําน้ําตางๆ มีปริมาณคอนขางนอยหรือแทบไมมีเลยโดยเฉพาะลําน้ําที่อยูในเขต ลุมน้ําขนาดเล็ก ดังที่ไดกลาวมาแลว สาเหตุก็เนื่องมาจากลุมน้ําขนาดเล็กมีความลาดชันของลุมน้ําคอนขางมาก เมื่อมีปริมาณฝนตกปริมาณน้ําก็ไหลออกจากลุมน้ําคอนขางรวดเร็ว สวนลุมน้ําขนาดกลางและขนาดใหญถึงแม ความลาดชันของลุมน้ําจะมีคาไมคอยมากนักแตน้ําในลุมน้ําก็มีการไหลออกจากลุมน้ําตลอดเวลาในชวงฤดูแลง ประกอบกับพืชปกคลุมดินมีนอยลงมากทําใหน้ําไหลหลากอยางรวดเร็วและไมสามารถซึมลงไปเปนความชุมชื้นใน ดินได หากไมมีฝนตกลงมาเสริมก็จะทําใหปริมาณน้ําในลุมน้ํานอยลงจนไมเพียงพอตอปริมาณความตองการใชน้ํา อันเนื่องมาจากการขยายตัวที่รวดเร็วทางสังคมและเศรษฐกิจ ไดแก การเพิ่มของประชากร การขยายตัวของโรงงาน อุตสาหกรรม เปนตน ทําใหปริมาณความตองการใชน้ํามีปริมาณเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับระบบการกักเก็บน้ําในลําน้ํา และพื้นที่ที่อยูหางไกลลําน้ํายังขาดประสิทธิภาพและขาดการเชื่อมโยงในการดําเนินการ เชนระบบการกักเก็บน้ํา ของฝายแตละแหงในลําน้ําขาดการเชื่อมโยงกันทําใหปริมาณน้ําในลําน้ําบางแหงไมมีน้ําเก็บกัก หรือเมื่อทําการ สรางแหลงเก็บกักน้ําในพื้นที่ที่อยูหางไกลลําน้ําแตก็ยังขาดระบบสงน้ําเพื่อกระจายไปตามพื้นที่ตางๆ เปนตน อีก ปญหาหลักที่สําคัญไดแกปาไมที่เปนตนน้ําลําธารที่เคยทําหนาที่ซึมซับน้ําถูกทําลายและไมมีการปลูกทดแทนในที่ที่ เหมาะสมจึงไมสามารถทําใหคืนความอุดมสมบูรณใหแกลุมน้ําได
110
ทรัพยากรน้ําและแนวทางการจัดการน้ําในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ / ผศ. ฤกษ์ชัย ศรีวรมาศ
4) ป ญ หาคุ ณ ภาพน้ํ า ที่ เ สื่ อ มโทรม อั น เนื่ อ งมาจากการปล อ ยน้ํ า เสี ย จากแหล ง ชุ ม ชน อุ ต สาหกรรม ตลอดจนสารเคมีจากพื้นที่เกษตรกรรม ลงสูลําน้ําทําใหคุณภาพน้ําในลําน้ําเสื่อมโทรมลง ในบางแหงไมสามารถนํา น้ํามาใชประโยชนไดเลย จนทําใหปริมาณน้ําที่มีคุณภาพดีมีไมเพียงพอตอปริมาณความตองการใชน้ํา ปญหา ดังกลาวเกิดจากการขาดความรูความเขาใจ รวมไปถึงการขาดจิตสํานึกในการอนุรักษทรัพยากรน้ํา
ปญหาการจัดการน้ําในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จากสภาพปญหาเกี่ยวกับน้ําในภาคตะวันออกเฉียงเหนือดังที่ไดกลาวมาขางตน หนวยงานที่เกี่ยวของ พยายามเข า มาแก ป ญ หาโดยการพยายามหาแนวทางการจั ด การน้ํ า ในอดี ต ที่ ผ า นมาประชาชนในภาค ตะวันออกเฉียงเหนือไมมีสวนในการเขามาจัดการน้ํา การจัดการน้ําจะเปนหนาที่ของหนวยงานภาครัฐเปนหลัก ซึ่ง ยังไมไดผลในแงการตอบสนองความตองการของชุมชนอยางทั่วถึง อีกทั้งยังขาดประสิทธิภาพและความยุติธรรม ในการใชน้ํา สาเหตุเนื่องมาจาก 1) หนวยงานตางๆ ไมมีแผนการจัดการน้ําอยางเปนระบบที่สอดคลองกันกับหนวยงานอื่นที่เกี่ยวของ ตาง ฝายตางรับผิดชอบในขอบเขตงานที่แตกตางกันตามเงื่อนไขและหนาที่ โดยเฉพาะหนวยงานในทองถิ่นซึ่งเปน หนวยงานใหมในการเขามาจัดการน้ําทําใหเกิดความซ้ําซอนและขาดการประสานงานของแตละหนวยงาน บางครั้ง เกิ ด ช อ งว า งของป ญ หาที่ ไ ม มี ห น ว ยงานใดรั บ ผิ ด ชอบจึ ง ทํ า ให ก ารแก ป ญ หาทรั พ ยากรน้ํ า ไม เ ป น ไปอย า งมี ประสิทธิภาพ แมจะมีกฎหมายและระเบียบตางๆ แตกฎหมายบางฉบับก็ยังลาหลังไมสอดคลองกับสภาพความเปน จริง ดังนั้นหากไดมีการกอตั้งหนวยงานกลางที่เปนศูนยกลางรวบรวมและจัดทําระบบฐานขอมูลก็จะสามารถทําให การเริ่มตนการจัดการทรัพยากรน้ําไดในทิศทางที่ถูกตอง 2) การจัดการน้ํายังเปนการวางแผนและดําเนินการโดยสวนกลางคือในระดับกระทรวง กรมตางๆ โดยเปด โอกาสใหองคกรทองถิ่นและประชาชนผูมีสวนไดสวนเสียในพื้นที่รวมตัดสินใจในการจัดการน้ํานอยมาก ทําให ไมไดประโยชนจากความรอบรูในสภาพปญหาและแนวทางการแกปญหาที่เหมาะสมในทองถิ่น ตลอดจนไมเกิดการ มีสวนรวมในรูปของแรงงานและการลงทุน จึงทําใหการจัดการน้ําแบบรวมศูนยอํานาจไมเกิดความยั่งยืน มีปญหา เรื่องการบํารุงรักษา และไมตอบสนองตอความตองการที่แทจริงของประชาชน แตตอบสนองผลประโยชนของ หนวยงานเองและกลุมผลประโยชนอื่นๆ ที่เกี่ยวของเปนหลัก 3) ขาดการวางแผนอยางเปนระบบลุมน้ําและการประสานงานที่ดีในระดับจังหวัด อําเภอ และตําบล ทําให การพัฒนาขาดเปาหมายรวมที่ชัดเจน 4) ขาดการกระจายความรู ความเขาใจในระบบของหนวยงานของรัฐที่ดําเนินการจัดการทรัพยากรน้ํา ประชาชนไมสามารถติดตอประสานงานกับหนวยงานของรัฐไดอยามีประสิทธิภาพ ทั้งนี้อาจเกิดจากความไมเปน อันหนึ่งอันเดียวกันของหนวยงานภาครัฐที่จะจัดการปญหาแบบบูรณาการ ทั้งทางดานความรูและการจัดการน้ํา
111
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน
แนวทางจัดการน้ําในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จากสภาพปญหาเกี่ยวกับทรัพยากรน้ําและปญหาในการจัดการน้ําที่กลาวมาแลวขางตน นําเสนอแนวทางในการจัดการน้ําในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดังนี้
ในหัวขอนี้จะ
1) การจัด การน้ํ าในภาคตะวั น ออกเฉีย งเหนื อ ควรเริ่ ม ตั้ง แต จัด ตั้ ง องคก รกลางที่ดู แ ลและจัด ทํ าระบบ ฐานขอมูลที่เปนมาตรฐานเดียวกันเพื่อจัดเก็บขอมูลทรัพยากรธรรมชาติทั้งหมดในลุมน้ําเพื่อเปนขอมูลพื้นฐานที่จะ นํามาสูการหาแนวทางการจัดการน้ํา ในปจจุบันระบบที่นิยมนํามาใชกันก็คือระบบฐานขอมูลสารสนเทศภูมิศาสตร (GIS) ซึ่งเปนระบบที่สะดวกตอการนําขอมูลมาใชงาน รวมทั้งยังชวยในการวิเคราะหและนําเสนอขอมูลเชิงแผนที่ที่ งายตอการเขาใจสภาพพื้นที่ไดเปนอยางดี ในสวนขอมูลทรัพยากรน้ําที่ขาดแคลนในลําน้ําตางๆ ควรมีการติดตั้ง สถานีตรวจวัดเพิ่มเติมใหกระจายครอบคลุมทุกลําน้ําแมวาตองใชงบประมาณคอนขางมากแตก็มีความจําเปนตอ การจัด การทรัพยากรน้ํ าเปน อยางยิ่ ง เพราะหากไมมี ขอ มูลปริม าณและพฤติ กรรมการไหลของน้ํ าการจัดการ ทรัพยากรน้ําก็เปนไปดวยความยากลําบากและไมมีประสิทธิภาพเทาที่ควร 2) การจัดการปญหาน้ําทวมและการขาดแคลนน้ําตองดําเนินการควบคูกันไปเนื่องจากผลการดําเนินการ แกปญหาอยางหนึ่งจะสงผลตอการแกปญหาอีกอยางหนึ่ง การพิจารณาการจัดการควรมีการมองภาพรวมของ พื้นที่ซึ่งอาจแบงเปนลุมน้ําที่เปนระบบตอเนื่องกัน แนวทางที่สําคัญในการจัดการปญหาน้ําทวมและการขาดแคลน น้ําก็คือการขุดลอกลําน้ํา สระน้ํา และอางเก็บน้ําเดิมที่มีอยูเนื่องจากในชวงฤดูฝนจะมีน้ําหลากในพื้นที่ซึ่งจะกัด เซาะนําตะกอนมาทับถมในแหลงน้ําจํานวนมาก รวมทั้งโครงการจัดหาแหลงเก็บกักน้ําขนาดใหญ ขนาดกลาง และขนาดเล็กทั้งในลําน้ําและพื้นที่ที่อยูหางไกลจากลําน้ํา เนื่องจากในชวงฤดูฝนภาคตะวันออกเฉียงเหนือมี ปริมาณฝนตกคอนขางมาก ดังนั้นหากสามารถดําเนินการเก็บกักน้ําฝนเอาไวใชในฤดูแลงเพิ่มเติมไดก็จะทําให ปญหาเรื่องการขาดแคลนน้ําลดลงไปดวยนอกจากนี้แหลงเก็บกักน้ําเหลานี้จะเปนตัวชวยชะลอน้ําไมใหเกิดการ หลากอยางรวดเร็ว แตเนื่องจากสภาพภูมิประเทศของภาคตะวันออกเฉียงเหนือเปนที่ราบแองกะทะทําใหมีปญหา ในการกอสรางอางเก็บน้ําขนาดใหญในพื้นที่เพื่อวางระบบสงน้ําชลประทานขนาดใหญ ทําใหไมสามารถสงน้ําไป ในพื้นที่ที่อยูหางไกลจากลําน้ําไดมากนัก ประกอบกับในปจจุบันภาคประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเริ่มมี ความเข ม แข็ ง มากขึ้ น ทํ า ให ก ารก อ สร า งอ า งเก็ บ น้ํ า ขนาดใหญ ซึ่ ง มี ผ ลกระทบต อ การเปลี่ ย นแปลงสั ง คมและ สิ่งแวดลอมคอนขางมากสําหรับประชาชนในพื้นที่ทําไดไมสะดวกมากนัก ดังนั้น การกอสรางแหลงเก็บกักน้ําขนาด กลางและขนาดเล็กจึงเปนแนวทางที่จะสามารถกระทําไดโดยโครงการเหลานี้ตองอาศัยการมีสวนรวมของทุก ภาคสวนโดยเฉพาะภาคประชาชนที่มีสวนไดสวนเสียจากแนวทางการจัดการน้ํา การแกปญหาการจัดการ น้ําเปนการตอบโจทยที่ประชาชนเปนผูตั้ง ดังนั้นการเติมเต็มทางดานวิชาการ ภาคปฏิบัติการ และประสบการณ ของผูประสบปญหาจะเปนจุดเริ่มตนการพัฒนาอยางยั่งยืน 3) การจัดการน้ําตองทําเปนระบบลุมน้ํา เนื่องจากลุมน้ําเปนหนวยพื้นฐานตามธรรมชาติของ ทรัพยากรน้ํา ดิน ปาไม และสิ่งแวดลอม ซึ่งมีความสัมพันธเชื่อมโยงกันระหวางทรัพยากรธรรมชาติทุก ชนิด การจัดการน้ําอยางเปนระบบลุมน้ําเปนเครื่องมือสําคัญสําหรับการจัดการน้ําและสิ่งแวดลอมทั้งในระดับ ภูมิภาคและทองถิ่น ลุมน้ําขนาดใหญเหมาะสําหรับการวางแผนระดับประเทศ ลุมน้ําขนาดกลางเหมาะสําหรับการ วางแผนระดับภูมิภาค และลุมน้ําขนาดเล็กเหมาะสําหรับการวางแผนระดับทองถิ่น ในแตละลุมน้ําควรมีการจัดตั้ง
112
ทรัพยากรน้ําและแนวทางการจัดการน้ําในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ / ผศ. ฤกษ์ชัย ศรีวรมาศ
คณะกรรมการลุมน้ําประกอบไปดวยคณะทํางานจากทุกภาคสวนตั้งแตประชาชน เอกชน หนวยงานรัฐที่เกี่ยวของ และนักวิชาการหรือผูมีความรูเชี่ยวชาญในเรื่องน้ํา ทําหนาที่ในการชวยกันวางแผนและบริหารจัดการน้ําในแตละลุม น้ํารวมทั้งการประสานความรวมมือพัฒนากับลุมน้ําอื่นที่เกี่ยวเนื่องกัน ซึ่งการจัดการน้ําในแตละลุมน้ําจะมี รายละเอียดที่แตกตางกันออกไปขึ้นกับสภาพภูมิศาสตร เศรษฐกิจ และสังคมของแตละลุมน้ํา ที่ผานมาแมวา หลักการดังกลาวจะไดถูกริเริ่มและดําเนินการไปแลวแตบทบาทและหนาที่ของคณะกรรมการลุมน้ําก็ยังไมสามารถที่ จะปฏิบัติงานไดอยางจริงจัง ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากนโยบายการจัดสรรงบประมาณที่ไมเอื้ออํานวยตอการปฏิบัติ ควรออกกฎหมายที่ มี ก ารกํ า หนดสิ ท ธิ แ ละระเบี ย บปฏิ บั ติ ต า งๆ ของภาครั ฐ และประชาชนในการใช ประโยชน แ ละอนุ รั ก ษ น้ํ า ให ชั ด เจนและสามารถนํ า ไปปฏิ บั ติ ไ ด แม ป ระเทศไทยจะมี ก ฎหมายที่ เ กี่ ย วข อ งกั บ ทรัพยากรน้ํา แตกฎหมายเหลานั้นมีขึ้นเพื่อการดําเนินงานของแตละหนวยงานราชการเปนสําคัญ ไมแสดงถึงการ กระจายสิทธิการใชน้ําอยางชัดเจนโดยเฉพาะสิทธิการใชน้ําและการอนุรักษน้ําของชุมชนในทองถิ่น การจัดการน้ําควรกระจายอํานาจสูทองถิ่น แมในปจจุบันจะเนนใหประชาชนในทองถิ่นนําเสนอความ ต อ งการแต ใ นทางปฏิ บั ติ แ ล ว การวางแผน การตั ด สิ น ใจ และการดํ า เนิ น งานมาจากส ว นบนโดยกรมต า งๆ เหมือนเดิม กลาวคือองคกรปกครองทองถิ่นและองคกรชุมชนทองถิ่นมีหนาที่เสนอขอโครงการขึ้นไปตามกรอบที่ กระทรวงเปนผูกําหนดแตไมมีสวนในการวางแผนและพัฒนาแตอยางใด และเมื่อไดรับอนุมัติโครงการแลวกรมจะ เปนผูดําเนินการทุกขั้นตอน โดยที่ประชาชนหรือองคกรทองถิ่นไมมีโอกาสรวมตัดสินใจหรือรวมดําเนินงานให เปนไปตามความตองการของทองถิ่น ประกอบกับองคกรระดับทองถิ่นยังตองการความชวยเหลือในการเพิ่มขีด ความสามารถทางเทคนิคในการจัดการน้ํา หากยังไมมีการกระจายอํานาจการจัดการน้ําลงสูทองถิ่นไดก็จะไม สามารถจัดการการใชประโยชนและการควบคุมทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล อมอยางมีประสิทธิภาพและ ยุติธรรมไดอีกตอไป เนื่องจากความซับซอนและความตองการที่เพิ่มขึ้นของระบบสังคมและเศรษฐกิจที่ขยายตัวขึ้น อยางรวดเร็ว โครงการขนาดเล็กควรอยูในความรับผิดชอบขององคกรปกครองทองถิ่น สวนโครงการขนาดกลาง และขนาดใหญซึ่งครอบคลุมพื้นที่หลายตําบลหรือหลายอําเภอ จึงควรเปนหนาที่ความรับผิดชอบของหนวยงานสวน ภูมิภาคและสวนกลางในการดําเนินงาน รวมทั้งมีหนาที่กําหนดมาตรฐานทางวิชาชีพและเปนแหลงวิชาการและ ขอมูลเพื่อเปนที่ปรึกษาใหกับองคกรในระดับทองถิ่น
สรุป การบริหารและการจัดการน้ําในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีปริมาณน้ําตนทุนมากในชวงฤดูฝนและมี ปริมาณน้ํานอยในชวงฤดูแลง ซึ่งกอใหเกิดปญหา 2 แบบ คือ น้ําทวมและภัยแลง มีแนวทางในการดําเนินการสรุป ไดดังนี้ 1) ดําเนินการการกระจายของน้ําใหมีความเหมาะสมกับความตองการน้ําตามเวลาและกิจกรรมการใชน้ํา โดยการสรางอางเก็บน้ํา ฝาย ระบบสงน้ําและการชลประทาน การขุดลอกแหลงน้ําผิวดิน เปนตน 2) การรวบรวมขอมูลพื้นฐานทรัพยากรน้ําตางๆ ไดแก ขอมูลอุตุ-อุทกวิทยา ใหมีมาตรฐานเดียวกันและมี ความเปนเอกภาพ อยูในระบบฐานขอมูลกลางที่มีองคกรกลางดูแล มีการวิเคราะหและสังเคราะหขอมูลเพื่อการ บริหารจัดการดานขอมูลอยางยั่งยืนเปนระบบ
113
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน
3) การบริหารจัดการน้ําโดยมีทุกภาคสวนเขามามีสวนรวมรับผิดชอบ ไดแก หนวยงานวิชาการ หนวยงาน ภาคปฏิบัติการของรัฐ องคกรปกครองทองถิน่ และองคกรชุมชนทองถิ่น ผูซึ่งเปนเจาของพื้นที่ การบริหารจัดการ น้ําจะประสบความสําเร็จไมไดหากทั้ง 3 ฝายไมสามารถรวมมือกันที่ดีและจําเปนตองมีการประเมินผลการปฏิบัติ การอยางมีเปาหมายและมีพัฒนาการที่ดียิ่งขึ้นไป 4) การสรางจิตสํานึกการเปนเจาของทรัพยากรธรรมชาติและการคืนความอุดมสมบูรณใหแกทองถิ่นโดย การสรางความรวมมือกันระหวางภาคประชาชนที่เปนเจาของพื้นที่ ภาครัฐบาลที่ผานงบประมาณมายังหนวยงาน ตางๆ และภาควิชาการที่องคความรูที่หลากหลาย เพื่อใหทิศทางการพัฒนาเปนไปอยางถูกตองและยั่งยืนตอไป การประสบความสําเร็จในการบริหารจัดการน้ํามีความจําเปนที่ทุกภาคสวนตองรวมมือประสานงานอยาง จริงจัง การแกไขปญหาในพื้นที่ที่มีลักษณะใกลเคียงกันจะเปนประสบการณใหกับพื้นที่อื่นในอันที่จะทําใหปญหาถูก แกไขไดโดยงายยิ่งขึ้นและจะนําไปสูความสําเร็จในการแกปญหาในที่สุด ปญหาที่หลากหลายหากสามารถจัดแบง ใหเปนหมวดหมูและมีองคความรูที่ตรงกับปญหา ก็จะสามารถทําใหปญหาตางๆ ที่เกิดขึ้นแกไขไดอยางรวดเร็ว การแกไขปญหาที่ถูกตองตามหลักวิชาการโดยความรวมมือกันของทุกฝายก็จะนําไปสูการพัฒนาที่มีสวนรวมและ ยั่งยืนสืบไป
กิตติกรรมประกาศ ขอขอบคุณสถาบันสิ่งแวดลอมไทยที่จัดใหมีการประชุม เรื่อง ความหลากหลายการใชและการจัดการน้ําใน ลุมน้ําโขงในสวนของประเทศไทยในทุกภาคสวน เพื่อใหเกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการจัดการน้ําอันจะเปน ประโยชนสูงสุดในการใชน้ําอยางมีประสิทธิภาพในอนาคต
เอกสารอางอิง ประกอบ วิโรจนกูฏ และ พ.อ. ชูชัย สินไชย, 2539. การหาปริมาณน้ําทาเฉลี่ยจากลักษณะเครือขายลําน้ําของ ลุมน้ํา. วิศวกรรมสาร มข, ปที่ 23 ฉบับที่ 1. ประกอบ วิโรจกูฏ และ ธิดารัตน ติยะจามร, 2540. สภาวการณเกี่ยวกับทรัพยากรน้ําของประเทศไทย. วิศวกรรมสาร มข, ปที่ 24 ฉบับที่ 2. ประกอบ วิโรจกูฏ และ ฤกษชัย ศรีวรมาศ, 2543. คุณสมบัติการไหลของน้ําทาจากลุมน้ําในภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ. วิศวกรรมสาร มข, ปที่ 27.
114
บทที่ 8 ชลประทานชุมชนในพื้นที่บุงทามลุมน้ํามูนตอนกลาง บานหนองแค-สวนสวรรค สนั่น ชูสกุล ผูอํานวยการโครงการทามมูน
บทคัดยอ กรณีศึกษาเรื่องชลประทานชุมชนของชุมชนหนองแค-สวนสวรรค ตําบลหนองแค อําเภอราษีไศล จังหวัด ศรีสะเกษ เปนสวนหนึ่งของโครงการสิทธิชุมชนศึกษาภาคอีสานซึ่งมีการศึกษาสิทธิชุมชนลุมน้ํามูน ลุมน้ําชี และ กรณีปาไมที่ดินอีสาน ไดรับการสนับสนุนจากสํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย ระหวางปพ.ศ. 2545 -2549 บทความนี้ไดรับการปรับปรุงหลังการวิจัย 3 ป วัตถุประสงคเฉพาะของกรณีศึกษานี้ก็เพื่อศึกษาระบบการจัดการน้ําเพื่อการเกษตรในพื้นที่บุงทามเพื่อ ตอบสนองเศรษฐกิจของชุมชน วามีแบบแผนอยางไร ทั้งคุณคาประโยชนที่เกิดขึ้น เงื่อนไขและองคประกอบ ทั้ง ศึกษาบริบททางดานระบบนิเวศ ประวัติ ความเชื่อและประเพณีของชุมชน ความเหมาะสมที่จะนําไปใชในที่อื่นๆ ใช การศึกษาวิจัยแบบมีสวนรวมระหวางนักวิจัยไทบานและนักวิจัยองคกรพัฒนาเอกชน ศึกษาบริบทชุมชนทางดาน ประวัติศาสตร วัฒนธรรม ระบบนิเวศ เศรษฐกิจชุมชน โดยกระบวนการเสวนากลุมยอย สัมภาษณ จัดเวทีสรุป ประสบการณและบทเรียน และนําไปสูการยกระดับแผนการทํางานของกลุมชลประทานชุมชนในขณะเดียวกัน ตอเนื่องตลอด 3 ป ขอคนพบสําคัญคือ ชลประทานแหงนี้เปนการชลประทานขนาดเล็กที่เกิดจากความจําเปนในการแกปญหา ของชุมชนที่เผชิญหนากับภัยธรรมชาติรายแรง คือน้ําทวมใหญในปพ.ศ. 2521 ชาวหนองแค-สวนสวรรคมีตนทุน สําคัญอยูแลวคือ ทรัพยากรธรรมชาติทั้งแหลงน้ําธรรมชาติที่เพียงพอตอการจัดการจัดสรร เปนพื้นที่ทามที่มีเนื้อดิน อุดมสมบูรณดวยตะกอนแมน้ํา ทั้งมีพืชพรรณและสัตวตางๆ ในพื้นที่ปาทามอยางหลากหลายที่ชาวบานสามารถ เก็บหาเพื่อการยังชีพไดตลอดทั้งป ชาวหนองแค-สวนสวรรคเปนชาวชุมชนทองถิ่นที่มีรากฐานทางวัฒนธรรมที่ เขมแข็ง และใชเปนฐานของการรวมกลุมในการจัดการชลประทานชุมชนไดเปนอยางดี ในกรณีนี้ มีการสนับสนุน เครื่องสูบน้ําจากกรมชลประทานและคาน้ํามันเชื้อเพลิงจากองคการบริหารสวนทองถิ่น สงผลใหการชลประทาน ชุมชนดําเนินการไดตอเนื่องเปนเวลา 30 ปมาแลว การชลประทานขนาดเล็กแหงนี้ เปนรูปแบบที่สามารถตอบสนองเศรษฐกิจชุมชนไดเปนอยางดี มีความ คุมคาและผลตอบแทนทางเศรษฐกิจมากกวาโครงการจัดการน้ําขนาดใหญของรัฐโดยทั่วไป และไมกอผลกระทบ ดานสิ่งแวดลอมและสังคม มีการคํานึงถึงการจัดการทรัพยากรอยางเปนองครวม สอดคลองกับระบบนิเวศลุมน้ําที่ เปนพื้นที่ทาม และวิถีชีวิตวัฒนธรรมของชุมชน โดยเฉพาะชาวชุมชนมีองคความรูเกี่ยวกับระบบนิเวศทองถิ่นและ พันธุกรรมทองถิ่นที่ลุมลึก และมีฐานคิดเกี่ยวกับสิทธิชุมชนที่เขมแข็ง เปนการทาทายอยางยิ่งวาความเปลี่ยนแปลง ทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ที่กําลังถาโถมเขาสูชุมชนแหงนี้ ชุมชนจะตั้งรับ ตอสู ตอรอง หรือมีการปรับเปลี่ยน เพื่อการอยูรอดอยางไร
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน
บทนํา ความรู ท อ งถิ่ น ว าด ว ยการจั ด การน้ํ า ในท อ งถิ่ น ต า งๆ ของประเทศไทยและภู มิ ภ าคแม น้ํ า โขงนั้ น มี อ ยู มากมาย หลากหลายไปตามสภาพนิเวศและวัฒนธรรมของมนุษยที่ไดใชความรูเกี่ยวกับสภาพดินฟาอากาศ ที่ได เรียนรู สั่งสมถายทอดกันมารุนตอรุน มาสูการคิดคนวิธีการที่จะดัดแปลงสภาพทางธรรมชาติมารับใชชีวิตมนุษย เพื่ อ การอยู ร อด มี ก ารดั ด แปลงพั ฒ นา ผลิ ต ซ้ํ า ผลิ ต ใหม เ รื่ อ ยมาทุ ก ยุ ค สมั ย มนุ ษ ย เ รี ย นรู เ รี ย นรู จ นสามารถ คาดการณฟาฝนไดจากปรากฏการณทางธรรมชาติ รูระดับสูงต่ําและลักษณะของเนื้อดิน ระดับของน้ําหลากทวมแต ละชวงฤดู รูธรรมชาติของพืชพรรณธัญญาหาร ดั่งคําพูดที่วา “รูใจฟา เขาใจดิน” เชนนี้ เขาสามารถคิดคนวิธีที่จะ สรางเงื่อนไขและออกแบบการเพาะปลูก การเลี้ยงสัตว การเก็บหาผลผลิตจากธรรมชาติไดอยางเหมาะสม ในการจัดการเพื่อหาน้ําใหเพียงพอตอการเพาะปลูกมีตั้งแตการรูจักปนคันนาเพื่อการทํานาน้ําฝน ซึ่งเปน แบบดั้งเดิมและเปนแบบแผนหลักอยูในทุกภูมิภาคถึงปจจุบัน แมจะมีระบบการชลประทานแบบสมัยใหมมาเสริม อยางไร การทํานาก็ยังตองอาศัยรูปแบบการชลประทานพื้นฐานนี้อยู มีการวางระบบเหมืองนาเพื่อกระจายและ ระบายน้ําในทุงนา มีกติกาที่ไมเปนลายลักษณอักษรกํากับบอกขอบเขตของสิทธิและหนาที่ของเจาของนาแตละผืน เปนแบบแผนของการจัดการรวมกันของชุมชนที่อยูบนฐานของการแบงปนและรวมแกปญหาอยางแทจริง ยังมีการ ปนทํานบ ฝายเพื่อยกระดับน้ําในลําหวยนอยๆ เพื่อทดน้ําเขาที่นาตามความจําเปนของการหลอเลี้ยงตนขาว หรือ ทดน้ําเขาลําเหมืองสูการแบงปนแกผืนนาที่อยูต่ําลดหลั่นลงไป กอรูปเปนการจัดตั้งทางสังคมที่มีประสิทธิภาพและ อํา นวยความเป น ธรรมแก ทุ ก คนในกลุ ม ในชุ ม ชนให ไ ด “อยู ร อด” ร ว มกั น ดั ง ปรากฏในระบบเหมื อ งฝายทาง ภาคเหนือและบางพื้นที่ในภาคอีสาน ในที่สูงตนน้ํา ชาวนายังไดสรางระหัดวิดน้ําโดยใชพลังงานจากการไหลของน้ํา หมุนระหัดวิดน้ําทดเขานา และยังมีเทคโนโลยีที่ผลิตโดยใชความรูทองถิ่นอีกมากมาย เทคโนโลยีพื้นฐานที่เกิดขึ้นควบคูกับการจัดการทางสังคมเหลานี้ มีบทบาทในการตอบสนองการอยูรอด ของชุมชนทองถิ่นสวนใหญมาเปนเวลายาวนาน แตความรูการจัดการน้ําเหลานี้ที่ปรากฏอยูในปจจุบันกลาวไดวามี นอยเกินไป จนไมสามารถมีพื้นที่ที่จะมีสวนในการกําหนดนโยบายใดๆ องคความรูที่มีฐานะครอบงําและชี้นําการ พัฒนากลับเปนความรูที่เกิดจากการศึกษาเพื่อพัฒนาแหลงน้ําขนาดใหญเพื่อตอบสนองภาคอุตสาหกรรมเชน เขื่อน อางเก็บน้ําขนาดใหญ การผันน้ํา และไปไกลถึงขั้นการพยายามแปรรูปใหน้ําซึ่งเปนทรัพยากรสาธารณะกลายเปน สินคาเต็มรูปแบบ อยางไรก็ดี ผลกระทบจากการพัฒนาแหลงน้ําขนาดใหญที่ผานมาอันกอใหเกิดการสูญเสียระบบนิเวศ สําคัญและกอความขัดแยงขึ้นในสังคมอยางมากมาย ไดสรางความตื่นตัวใหมีการทบทวนบทเรียน และมีการศึกษา รวบรวมความรูทองถิ่นในการจัดการน้ํามากขึ้นโดยเฉพาะในระดับไรนาและลุมน้ําขนาดเล็กเพื่อการตอบสนอง เศรษฐกิจครอบครัวและชุมชนทองถิ่น และคํานึงถึงมิติตางๆ อยางหลากหลาย ในที่นี้จะกลาวถึงงานศึกษาบางเรื่อง ในพื้นที่ภาคอีสาน อรุณ หวายคํา (2540) ไดสรุปประสบการณการทําแหลงน้ําในไรนาในภาคอีสาน วามีการจัดการน้ําใน ระบบไรนาที่ใชไดผลหลายระดับ คือ การทําคันดินกั้นน้ํา ฝายน้ําลนกั้นลําหวย การขุดสระ การขุดบอน้ําตื้น การขุด บอบาดาล ในการจัดการน้ําในแปลงเกษตรอยางประณีตนั้นมีเทคนิคมากมาย เชน การจัดระบบพืช ใหมีพืชพี่เลี้ยง 116
ชลประทานชุมชนในพื้นที่บุ่งทามลุ่มน้ํามูนตอนกลาง บ้านหนองแค – สวนสวรรค์ / สนั่น ชูสกุล
การใหน้ําแบบขวด การสงน้ําตามทอ ทําน้ําหยด วิธีการและเทคนิคเหลานี้ไดประโยชนทั้งมีน้ําเพาะปลูกเพียงพอ มีปลากิน ประหยัดน้ํา ประหยัดเงิน สะดวก รุงวิชิต คํางามและคณะ (2548) โครงการวิจัยการจัดการน้ําระบบยอยโดยองคกรชุมชน กรณีศึกษากุดขา คีม ตําบลกุดขาคีม อําเภอรัตนบุรี จังหวัดสุรินทรพบวา กุดขาคีม ซึ่งเปนแหลงน้ําธรรมชาติอยูในลุมน้ํามูน ตอนกลาง ที่มีลักษณะพิเศษ คือ “กุด” มีน้ําขังตลอดป มีลักษณะภูมิสัณฐานหลากหลายอยูถึง 7 ประเภท มี จํานวนมากถึง 278 แหง มีหมูบานที่ใชประโยชนจากกุดขาคีม 9 หมูบาน 669 ครัวเรือน ประชากร 2,003 คน มี การใชน้ําจากแหลงน้ําธรรมชาติแหงนี้อยางเพียงพอ ทั้งดานการทํานาทามและนาแซง 2,259 ไร โดยสูบน้ําทดไป ตามคลองที่ชาวบานขุดเองงายๆ นอกนั้นก็ยังใชปลูกพืชผัก เลี้ยงสัตว อุปโภคและบริโภค ซึ่งชุมชนมีการจัดการ 4 ระดับคือ การจัดการระดับครอบครัว ระดับกลุมเครือญาติและกลุมยอยในระดับพื้นที่ การจัดการระดับชุมชน และ การจัดการระดับองคกรทองถิน่ ไดประโยชนสูงสุดโดยมีแบบแผนการใชประโยชนและการแบงปนแบบวัฒนธรรม ชุมชน ปจจุบันมีการจัดตั้งองคกรชาวบานอยางเปนทางการเพื่อการจัดการกุดขาคีมอยางเปนระบบและตอเนื่อง มากขึ้น ดนุพล ไชยสินธุและคณะ (2547) พบวา ชุมชนแสงภา มีอายุเฉลี่ยประมาณ 400 ป ตั้งอยูในเขตพื้นที่ปา สงวนแหงชาติปาภูเปอย ปาภูขี้เถา และปาภูเรือ ชุมชนแสงภามีการจัดตั้งกลุมเหมืองฝาย เปนกลุมที่ชาวบานตั้งขึ้น เอง เพื่อคอยทํานุบํารุงและใชประโยชนจากเหมืองฝายในการเพาะปลูก มีระบบการจัดตั้งกลุมตามพื้นที่และวิถี วัฒนธรรมชุมชน จํานวนทั้งสิ้น 6 กลุม เปนกลุมเหมืองฝายที่ใชน้ําจากลําน้ําภา 3 กลุม คือ กลุมเหมืองนาถ้ํา สมาชิก 42 ครัวเรือน กลุมเหมืองนากลาง สมาชิก 43 ครัวเรือน และกลุมเหมืองนาหิน สมาชิก 73 ครัวเรือน สวน ลําน้ําแพร 3 กลุม คือ กลุมเหมืองนาทุง สมาชิก 50 ครัวเรือน กลุมเหมืองนาปาคา สมาชิก 25 ครัวเรือน กลุม เหมืองโปงขาง สมาชิก 53 ครัวเรือน กอนถึงฤดูทํานาจะมีการลอกเหมืองฝายทุกป โดยนายเหมืองจะตีฆองรอบๆ หมูบานเพื่อประกาศให สมาชิก มาชวยกั นซอมแซมและขุดลอกเหมืองฝายที่เป นดิน ปจจุบัน ฝายทุก แหงเป น คอนกรีตหมดแลว Fukui Hayao (2550) แหง Southeast Asian Studies Ritsumeikan Asia Pacific University (APU) ได สํารวจทําเนียบทํานบดินในภาคอีสาน ประเทศไทย จากการสํารวจในภาคอีสานจาก 7 จังหวัดในภาคอีสาน พบ ทํานบดินจํานวน 18 แหง ดังนี้ นครราชสีมา 6 แหง สุรินทร 5 แหง ขอนแกน 2 แหง อุบลราชธานี 2 แหง ยโสธร 1 แหง และศรีสะเกษ 1 แหง ทํานบดินสวนใหญที่ยังคงรูปแบบเดิมมากที่สุด คือ คันดินและรองระบายน้ํา สามารถ ใชการไดมากและมีประสิทธิภาพอยางตอเนื่อง แตทํานบบางแหงก็ถูกปรับปรุงเปนคอนกรีต ทําใหทํานบไมสามารถ ใชการไดเชนเดิม ทําใหชาวบานตางก็ลดการใหความสําคัญเรื่องการดูแลรักษาและซอมแซมทํานบลง รวมทั้งการ ปรับเปลี่ยนการทํานาจากนาดําเปนนาหวานก็เปนสาเหตุหนึ่งที่ทําใหทํานบดินแบบดั้งเดิมลดความสําคัญและ ประสิทธิภาพลดลง จนกระทั่งพังทลายไปในที่สุด วิเชียร เจริญสุข และพัชรินทร ฤชุวรารักษ (2550) ศึกษาการจัดการฝายหินทิ้งวังบอน บานตาดโตน ต.ตาดโตน อ.เมือง จ.ชัยภูมิ พบวา เปนรูปแบบการจัดการน้ําของระบบครอบครัวและชุมชนมีอายุประมาณ 50 ป ดวยการทําฝายหินทิ้งในลําหวยลําปะทาวในพื้นที่เชิงเขาเขตอุทยานแหงชาติตาดโตน จ.ชัยภูมิ ความยาวประมาณ 10 - 15 เมตร สูงประมาณ 1 เมตร ทําดวยหินภูเขา ใบไม กิ่งไม ไมกระดาน ถุงปุยใสทรายปดระหวางซอกหิน 117
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน
เพื่อใหน้ําไหลเออสูง ไหลลงสูเหมืองที่เปนหินยาวแนวเปนรองประมาณ 300 เมตร ไหลเขาสูเหมืองนาในแปลงนา ของชาวบาน เพื่อใหชาวบานไดทํานาและปลูกพืชฤดูแลงไดประมาณ 31 ครอบครัว พื้นที่ประมาณ 500 – 600 ไร การดูแลรักษาใชลักษณะการลงแรง ลงเงินกันปละ 200 บาท เพื่อเปนกองทุนซอมแซมดูแลรักษาระบบของฝายหิน ทิ้ง เนนการใชวัสดุธรรมชาติ เปนระบบการจัดการน้ําที่ชาวบานชวยกันจัดการและใชประโยชนกวา 50 ป แลว ดิรก สาระวดี และคณะ (2550) ศึกษาภูมิปญญาการจัดการน้ําของชุมชนปาภูถ้ําภูกระแต ในพื้นที่น้ําและ ดินเค็ม ต.หนองดู อ.แวงนอย จ.ขอนแกนพบวา ภูมิปญญาในการจัดการพื้นที่เพื่อการอนุรักษดินและใชประโยชน จากการจัดการน้ําอยางคุมคา มี 7 ลักษณะคือ (1) การจัดการพื้นที่ปาตนน้ําดวย การปลูกปา บวชปา ติดตามการ เฝาระวังการบุกรุกและทําลาย และตัดไม (2) สรางฝายชะลอความชื้นในปา 8 แหง (3) การทําฝายและบอชะลอ น้ําฝนในนา (4)การขุดบอน้ําตื้นในไรนา (5) การทํานาแบบคันแท (คันนา) ใหญ (6) ระบบเกษตรผสมผสาน และ (7) การทําฝายหินทิ้งในแมน้ําชี วิเชียร เกิดสุข, ประสิทธิ ประคองศรี และพัชรินทร ฤชุวรารักษ (2551) ศึกษาเกี่ยวกับระหัดวิดน้ํา ภูมิ ปญญาทองถิ่นลุมน้ําลําปะทาว อ.เมือง จ.ชัยภูมิ พบวา พื้นที่ลุมน้ําลําปะทาวมีการใชระหัดวิดน้ํามานานประมาณ 200 – 250 ป ในอดีตเคยมีระหัดวิดน้ําจํานวน 43 ตัว ปจจุบันคงเหลือ 16 ตัว พื้นที่ใชประโยชนทั้งสิ้นประมาณ 401 ไร การทําระหัดวิดน้ํา อุปกรณสวนใหญทําจากไมและวัสดุธรรมชาติ ระหัดวิดน้ํา 1 ตัว สามารถใชไดกับพื้นที่ นาประมาณ 15 ไร สําหรับการปลูกขาวและพืชหลังเก็บเกี่ยว เชน ขาวโพด ถั่วลิสง แตงกวา ถั่วฝกยาว เปนตน การศึกษาไดเปรียบเทียบประสิทธิภาพการทํางานของระหัดวิดน้ํากับเครื่องสูบน้ํา พบวา ตลอดฤดูการปลูกขาว เกษตรกรมีตนทุนในการสูบน้ําดวยเครื่องสูบ 1,465.73 –1,755.50 บาท ขณะที่ระหัดวิดน้ํามีตนทุนในการวิดน้ํา 333.33 บาทตอไร แสดงวาการใชระหัดวิดน้ําสามารถลดตนทุนในการนําน้ํามาใชในการผลิตขาวได 4-5 เทาเมื่อ เปรียบเทียบกับการใชเครื่องสูบน้ํา หากปจจุบันราคาน้ํามันที่สูงขึ้น ความแตกตางระหวางตนทุนในการนําน้ํามาใช ก็ตางกันมากขึ้นดวย ปจจุบันมีการตั้งกลุมระหัดวิดน้ําลําปะทาว มีสมาชิก 16 คน เพื่อชวยเหลือพึ่งพากันในการ ซอมแซมระหัดวิดน้ําและแลกเปลี่ยนความรูซึ่งกันและกัน สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ําและการเกษตร กระทรวงวิทยาศาสตรฯ (มปพ.) พบวา การแกไขปญหา เรื่อง การขาดแคลนน้ําของชาวบานลิ่มทอง ต.หนองโบสถ อ.นางรอง จ.บุรีรัมยเกิดจากความรวมมือของชุมชนและ หนวยงานราชการหลายหนวยงาน สนับสนุนใหชุมชนเกิดการเรียนรูอยางเปนระบบ วางแผนบนฐานความพรอม ของระบบนิเวศและศักยภาพของชุมชนเอง มีการนําเอาเทคโนโลยีสารสนเทศ เชน ภาพถายดาวเทียมรายละเอียด สูง (ไอโอโนส) มาเปนเครื่องมือในการวางแผนสํารวจการจัดการน้ํารวมกับความรูภูมิปญญาเรื่องเสนทางน้ําโบราณ ของชาวบาน ทําใหชุมชนไดรับการแกไขปญหาเรื่องน้ําจนประสบความสําเร็จ ทําใหชุมชนมีแหลงกักเก็บน้ําเรียกวา ระบบแมลิง-ลูกลิง ที่มีปริมาณเพียงพอตอการเกษตรตลอดป และการจัดการน้ําประปาของชุมชนที่มีประสิทธิภาพ งานศึกษาเหลานี้มีทิศทางที่จะแสดงใหเห็นวา โดยแทจริงทองถิ่นไทยมีภูมิปญญาเพียงพอที่จะจัดการน้ํา ในระดับชุมชนทองถิ่น และถามีการสนับสนุนสงเสริมที่เหมาะสมก็จะเกิดการพัฒนาที่ไดประโยชนสูง คาใชจายนอย มีการกระจายประโยชนที่เปนธรรม และเปนหนทางที่จะสรางการพึ่งตนเองพึ่งกันเองของชุมชนอยางแทจริง
118
ชลประทานชุมชนในพื้นที่บุ่งทามลุ่มน้ํามูนตอนกลาง บ้านหนองแค – สวนสวรรค์ / สนั่น ชูสกุล
การศึกษาวิจัยทางเลือกในการจัดการน้ําระดับชุมชน หรือการชลประทานชุมชนที่บานหนองแค-สวน สวรรคตามเอกสารนี้ มีจุดเดนอยูที่เปนระบบการจัดการน้ําขนาดเล็กโดยองคกรชุมชนและมีการสนับสนุนจาก ภาครัฐและองคกรทองถิ่นอยางเหมาะสมตอเนื่องมา 30 ป เปนการจัดการที่มีประสิทธิภาพไดประโยชนสูงสุด สอดคลองกับระบบนิเวศและไมกอผลกระทบทางลบ แนวคิดหลักในการศึกษานี้คือแนวคิดเรื่องสิทธิชุมชนซึ่งมุง มองถึงการสรางความเขมแข็งของชุมชนโดยการจัดตั้งตัวเอง การประสานและตอรองกับภายนอก เพื่อความเปน ธรรมและยั่งยืนของการพัฒนา
วัตถุประสงคการศึกษา การศึกษานี้เปนสวนหนึ่งของการวิจัยสิทธิชุมชนภาคอีสาน (กันยายน 2549) การศึกษากรณีชลประทาน ชุมชนนี้ มีวัตถุประสงคเฉพาะเพื่อศึกษาระบบการจัดการน้ําเพื่อการเกษตรในพื้นที่บุงทามเพื่อตอบสนองเศรษฐกิจ ของชุมชน วามีแบบแผนอยางไร ทั้งคุณคาประโยชนที่เกิดขึ้น เงื่อนไขและองคประกอบ ทั้งศึกษาบริบททางดาน ระบบนิเวศ ประวัติ ความเชื่อและประเพณีของชุมชน ความเหมาะสมที่จะนําไปใชในที่อื่นๆ
ขอบเขตและวิธีการศึกษา พื้นที่ศึกษา คือชุมชนบานหนองแค หมูที่ 1,หมู 17 บานสวนสวรรค หมูที่ 12 ตําบลหนองแค (ทั้ง 2 หมูบานนี้ถือเปนชุมชนเดียวกัน) อําเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ อยูริมถนนสายราษีไศล–สุวรรณภูมิ (จ.รอยเอ็ด) หางจากตัวอําเภอราษีไศล 4 กิโลเมตร มีอาณาเขตทิศเหนือ ติดตอกับเขตบานตัง ต. หนองแค อ.ราษีไศล ทิศใต ติดตอกับปาทามและแมน้ํามูน ทิศตะวันออกติดตอกับบานรองอโศก ต.เมืองคง อ.ราษีไศล ทิศตะวันตกติดตอกับ บานดอนงูเหลือม ต.หนองแค อ.ราษีไศล บานหนองแค หมูที่ 1 มีครัวเรือนทั้งสิ้น 123 ครัวเรือน ประชากร 594 คน บานหนองแค หมูที่ 17 มีครัวเรือนทั้งสิ้น 105 ครัวเรือน ประชากรทั้งหมด 345 คน และ บานสวนสวรรคหมูที่ 12 มีครัวเรือนทั้งสิ้น 90 หลังคาเรือน ประชากร 444 คน รวมแลวในพื้นที่การศึกษานี้ มีประชากร 1,384 คน จาก ครัวเรือนทั้งสิ้น 318 ครัวเรือน บานหนองแค-สวนสวรรค ตั้งอยูริมเขตปาทาม1ผืนใหญริมฝงแมน้ํามูนตอนกลาง มีพื้นที่ประมาณ 2,300 ไร ซึ่งปาทามหรือ “พื้นที่บุงทาม” แหงนี้เปนพื้นที่หาของปา เลี้ยงสัตว จับสัตวน้ํา เปนแหลงเศรษฐกิจของสําคัญ ของชุมชนมาแตอดีต มีการคอยๆ บุกเบิกเปนที่ทํากินถาวรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และในปจจุบันเปนพื้นที่ที่ชาวบานได จัดทําระบบ “ชลประทานชุมชน” เพื่อการทํานาปรัง
1
ปาทาม คือพื้นที่ชุมน้ําประเภทหนึ่งซึ่งเปนที่ลุมต่ําอยูรมิ ฝงน้ํา มีน้ําจากแมน้ําเออทนลนตลิ่ง เจิ่งนองแผออกทวมเปนบริเวณกวางในชวงฤดูฝน หรือฤดูน้ําหลากเปนระยะเวลาหลายเดือน ทุกปมีดินตะกอนที่ไหลพัดมากับน้ําจากแมน้ําทับถมอุดมดวยธาตุอาหาร กอใหเกิดสัณฐานสูงต่ํา หลากหลาย เปนถิน่ ที่ขึ้นอยูของพืชพรรณปาไม ถิ่นที่อยูอาศัย หากิน สรางรัง แพรขยายพันธุของสิ่งมีชีวิตนานาชนิดที่ปรับตัวดํารงชีวิตอยูไดใน เขตนิเวศแหงนี้ และเปนเขตที่ชุมชนใชเปนที่ทํากินและแหลงยังชีพสําคัญ
119
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน
รูปที่ 1 แผนทีก่ ารจัดการน้ําโดยชุมชน ตําบลหนองแค อําเภอราศีไศล จังหวัดศรีษะเกษ วิธีการศึกษา ใชกระบวนการวิจัยอยางมีสวนรวม โดยมีการตั้งทีมนักวิจัยชาวบาน คัดเลือกจากกรรมการ กลุมทํานาปรังจํานวน 12 คน รวมกับนักวิจัยจากองคกรพัฒนาเอกชน (โครงการทามมูล) มีการรวมการศึกษาฐาน ทรัพยากรชุมชน ประวัติและความเชื่อ ประเพณีตางๆ ของชุมชน ดวยวิธีเสวนากลุมยอย การสัมภาษณ และการ สํารวจพื้นที่ ทําแผนที่ภายในภายนอก การศึกษาเกี่ยวกับระบบชลประทานชุมชนในพื้นที่บุงทามใชวิธีการรวมสรุป ประสบการณและบทเรียนการทํางานในอดีต มีการนําขอมูลที่ถูกบันทึกมารวมกันตรวจสอบเปนรอบๆ กระบวนการ เหลานี้เกิดขึ้นตอเนื่องระหวางป 2546-2549 ซึ่งมีรอบการดําเนินงานของระบบชลประทานชุมชน 3 ฤดูการผลิต ทามกลางการวิจัยนี้ กลุมชลประทานชุมชนก็ไดใชบทเรียนที่คนพบเพื่อการปรับปรุงแผนการทํางานในรอบตอๆไป ดวยในขณะเดียวกัน
ผลการศึกษา 1. บริบทชุมชน • พัฒนาการและการตั้งถิ่นฐานของชุมชน บานหนองแคและบานสวนสวรรคเดิมทีเปนชุมชนเดียวกันและมีประวัติศาสตรเชื่อมโยงถึงยุคการสรางบาน แปงเมืองยุคปลายกรุงศรีอยุธยาของพญากตะศิลา ซึ่งไดนาํ พาบาวไพรอพยพมาจากประเทศลาวขามลําน้ําโขง แลว ลองมาตามลําน้ํามูน ในระยะแรก ๆ ไดเขาจับจองตั้งบานเรือนริมฝงลําน้าํ มูน บริเวณบานหลุบโมก (ต.เมืองคง) แต เนื่องจากปญหาจากภัยธรรมชาติและลักษณะภูมิประเทศไมเหมาะสมกับการเพาะปลูกจึงมีการอพยพโยกย า ย หลายครั้งเรือ่ ยมาตามริมฝงน้ํามูนจนกระทั่งถึงบานหนองแค ต.หนองแค อ.ราษีไศล จ.ศรีสะเกษ ในปจจุบัน เมือ่ มี การขยายตัวของอัตราประชากร และการอพยพยายถิน่ กอใหเกิดประวัติศาสตรทองถิน่ ขึ้นตามชวงยุคสมัย เชน อีก 120
ชลประทานชุมชนในพื้นที่บุ่งทามลุ่มน้ํามูนตอนกลาง บ้านหนองแค – สวนสวรรค์ / สนั่น ชูสกุล
กระแสหนึง่ ก็เลาวา ผูที่มาตั้งบานเรือนอยูท ี่นี่คนแรกคือ ยาตู ซึ่งอพยพมาจากบานหนองตะมะ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ ยาตูถูกกลาวหาวาเปนผีปอบ จึงถูกขับไลออกจากหมูบานและเดินทางรอนเรมาเรื่อย ๆ จนมาพบแหลงทีอ่ ุดม สมบูรณ จึงตั้งบานเรือนขึน้ ทีน่ ี่ ประวั ติ ศ าสตร ข องบ า นหนองแคอี ก ชุ ด หนึ่ ง กล า วว า คนที่ ม าก อ ตั้ ง บ า นหนองแค คนแรกคื อ นายอ อ น สี ห บุ ต ร ซึ่ ง เป น กํ า นั น คนแรกของตํ า บลหนองแค ได พ าพรรคพวกอพยพมาจากบ า นหนองครก หนองตะมะ จ. ศรีสะเกษ เมื่อเห็นวาเปนพื้นที่มีความอุดมสมบูรณ จึงไดพากันตั้งบานเรือนเปนหมูบาน สวนชื่อ "บานหนองแค" นั้น ตั้งชื่อตามตนแคดําขนาดใหญที่ขึ้นอยูริมฝงหนองน้ํา ตอมาหมูบานไดขยายครอบครัวออกมา เรื่อยๆ จึงแยกการปกครองออกเปน 2 หมู คือ หมู 1 และหมู 17 และแยกออกเปนบานสวนสวรรค หมู 12 อยู ติดกัน บานสวนสวรรค นั้น ชาวบานหนองแคไดทยอยยายบานเรือน ขยายพื้นที่มาอยูในที่สวนชานบานตั้งแตป 2503 จนมีผูมาตั้งบานเรือนหนาแนนขึ้น จึงมีการแยกการปกครองออกมา บริเวณที่ตั้งบานมีสวนมะมวง และแปลง พืชผักสวนครัวหนาแนน จึงพากันตั้งชื่อวา “บานสวนสวรรค" จากประวัติการตั้งชุมชนทําใหทราบแนวคิดของบรรพบุรุษในการเลือกทําเลที่ตั้งของชุมชน กลาวคือ การ ตั้งชุมชนจะคํานึงถึงความปลอดภัย และปจจัยเอื้อตอการทํามาหากิน ซึ่งใหความสําคัญกับความอุดมสมบูรณของ พื้นที่เปนหลัก มีความสัมพันธอยางสําคัญกับทรัพยากรธรรมชาติลุมน้ํามูน บริเวณดังกลาวมีปาทามผืนใหญหลาย พันไรทงั้ สองฝง แมน้ํามูน ชาวบานใชพื้นที่ลุมต่ําบริเวณหนองน้ํา กุด ฮอง (รองน้ํา) ในการทํานาในฤดูแลง (พฤษภาคม-กันยายน) เรียกกันวา "นาหนอง" หรือนาทาม ทําการประมง เลี้ยงสัตว เก็บพืชผัก สมุนไพร ซึ่งใน ระบบเศรษฐกิจยังชีพในอดีตถือวาเปนชุมชนที่มีอยูมีกินอยางอุดมสมบูรณ • ทรัพยากรธรรมชาติ บานหนองแค-สวนสวรรค มีแหลงทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งชุมชนไดใชประโยชนทั้งในการหากินและทํา พิธีกรรมรวมกัน ทรัพยากรธรรมชาติของบานหนองแค-สวนสวรรคประกอบดวย (1) พื้นที่ทามตลอดริมฝงแมน้ํามูน เปนพื้นที่ตะพักลุมน้ําที่มีน้ําทวมถึงในฤดูฝนเกือบทุกปเปนเวลา 3 - 4 เดือน ประกอบไปดวยพื้นที่สูง ต่ํา ดานหนึ่งลาดขึ้นที่ดอนตีนบาน อีกดานลาดขึ้นสูฝงลําน้ํามูน ซึ่งมีฝงสูง มี ความกวางประมาณ 3-4 กิโลเมตร เปนพื้นที่ทํานาทําไรและใชประโยชนในการหาอยูหากินรวมกันของชาวบาน (2) กุด หนอง รองน้ําในพื้นที่ทามริมน้ํามูน ซึ่งเปนแหลงน้ําธรรมชาติที่มีตนทุนน้ําและทรัพยากรทางน้ํา อื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งชุมชนบานหนองแคและสวนสวรรคใชประโยชนในการทํานาปรังและการเกษตรอื่น ๆ แหลงน้าํ ที่สําคัญมีทั้งหมด 28 แหง แตละแหงมีขนาดพื้นที่ตั้งแต 2–500 ไร ดังนี้ 1. กุดปราการ (พื้นที่ 500 ไร) 2. หนอง ผักแวน (1 ไร) 3. หนองบึง (3 ไร) 4. หนองสองหอง (3 ไร) 5. หนองขอน (2 ไร) 6. หนองแหน (4 ไร) 7. กุด ปลากา (2 ไร) 8. กุดงูสิง (2 ไร) 9. กุดใหญ (6 ไร) 10. กุดนายไท (3 ไร) 11. กุดตากลา (3 ไร) 12. กุดนอย (8 ไร) 13. หนองเบ็น (3 ไร) 14. หนองหลม (2 ไร) 15. หนองน้ําจั้น (2 ไร) 16. หนองน้ําขุน (2 ไร) 17. หนองบักจับ (2 ไร) 18. หนองสิม หรือ หนองแคนอย (7 ไร) 19. หนองแค (94 ไร) 20. หนองไฮ (1 ไร) 21. หนองหมอแกง (2 ไร) 22. หนองสาง (2 ไร) 23. กุดหวาย (10 ไร) 24. หนองเตา (2 ไร) 25. กุดอีเข็ม (2 ไร) 26. กุดโดน (4 ไร) 27. กุดขอน (2 ไร) 28. กุดแขลอย (9 ไร ) 121
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน
สิทธิในหนองและกุดตาง ๆ เหลานี้ ในอดีตถือวาเปนพื้นที่สวนรวมที่ชาวบานใชประโยชนรวมกัน เมื่อ ครอบครัวหรือเครือญาติใดเขาไปใชประโยชน โดยเฉพาะทําการเพาะปลูก สิทธิครอบครองจึงเริ่มเกิดขึ้น โดยการ ยอมรับซึ่งกันและกันของคนในชุมชน แตไมมีการหวงหามหรือกีดกันผูอื่นในการเขามาใชประโยชนรวม เชน การ หาปลา หาหอย หาผัก หักฟน ฯลฯ (3) หนองแค เป น หนองน้ํา ขนาดใหญ มี พื้ น ที่ 95 ไร อยู ท างทิ ศ ใต ข องหมู บ าน ติ ด ถนนลาดยางสาย สุวรรณภูมิ - ราษีไศล ใชประโยชนในการสูบน้ําเพื่อทํานาปรังในของหมูบ าน และใชประโยชนทางประเพณีการแขง เรือของตําบลทุกป (4) ปาชา มีพื้นที่ประมาณ 7 ไร อยูบริเวณริมหนองแคทางทิศใตของหมูบาน ในอดีตใชในพิธีกรรมเผาศพ แตปจจุบันบานหนองแคมีเมรุใชในการเผาศพแทน ทําใหไมมีการใชประโยชนจากปาชา (5) ปาดอนปูตา เปนพื้นที่ทางวัฒนธรรม มี 2 ปาอยูทางทิศตะวันออกเปนปาดอนปูตาของบานหนองแค หมูที่ 1 มีพื้นที่ 11 ไร ทางทิศตะวันตกเปนดอนปูตาของบานหนองแคหมูที่ 17 มีพื้นที่ประมาณ 11 ไร ใชประโยชน ทางพิธีกรรม การเลี้ยงผีปูตาของหมูบาน เปนพื้นที่ที่ชาวบานเคารพนับถือ หวงหาม และไมมีใครกลาทําลายหรือ ตัดตนไมในปาดอนปูตาเลย แตชาวบานสามารถใชประโยชนในการเก็บพืชผัก ผลไม หาฟน และปลอยสัตวเลี้ยง นอกจากนั้น ไกลออกไปยังเปนลําน้ํามูน กุด หนองธรรมชาติและปาทามอีกมากมายเปนอาณาบริเวณ ตอเนื่องกันในเขตลุมน้ํามูนตอนกลาง เหลานี้นับเปนฐานทรัพยากรที่ชาวชุมชนแหงลุมน้ําแหงนี้สามารถเขาไปใช ประโยชนรวมกัน • เศรษฐกิจชุมชน ในอดีต บานหนองแคเปนหมูบานที่อาศัยปาทาม เปนแหลงเพาะปลูก (ขาวไร นาทาม) เลี้ยงสัตวและเก็บ หาของปา บางครอบครัวก็มีพื้นที่ทํากินที่เปนนาทุงในที่สูง ซึ่งชาวบานเรียกวา "นาเทิง" ควบคูกันไป แตการทํานา ทามมากกวานาทุง นาทามใหผลผลิตตอไรมากกวานาทุง ตนทุนต่ํา ไมตองใสปุย เพราะดินเปนดินตะกอนแมน้ําที่มี ความอุดมสมบูรณสูง พันธุขาวที่ใชเปนพันธุพื้นบานเชน ขาวอีขาว อีดํา ขาวหวิดหนี้ ขาวน้ําผึ้ง ขาวดอลาว ขาว เหลืองแกว ฯลฯ ระยะเวลาในการเพาะปลูกสั้นประมาณ 3 เดือนในฤดูแลง เก็บเกี่ยวเสร็จกอนฤดูน้ําหลากของทุกป พันธุขาวนาทามดังกลาวลวนเปนพันธุขาวเหนียวซึ่งชาวบานปลูกไวเพื่อบริโภคเปนหลัก ในพื้นที่ทามหรือ “นาทาม” มีการปลูกขาวไดปละ 3 ครั้ง คือ ทําขาวไรในที่สูง นาหนองหรือนาป และนา แซงหรือนาปรังในฤดูแลง ในพื้นที่โคกสูงติดกับหมูบาน ก็มีการทํานาป (นาทุง) ในนาทามจะเริ่มทําการผลิต ระหวางเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม ใชระยะเวลา 3 เดือน ก็สามารถเก็บเกี่ยวได ทุกปจะทําการเก็บเกี่ยวเสร็จกอน ชวงน้ําหลากขึ้นมาทวม สวนนาปชาวบานจะทําในพื้นที่นาทุง เริ่มตั้งแตเดือนพฤษภาคม - ธันวาคม ปจจุบันหากครอบครัวไหนขยัน ก็จะทํานา 3 ครั้งคือ นาทาม นาปและนาปรัง เพราะเมื่อปพ.ศ. 2521 กรม ชลประทานไดไปตั้งสถานีสูบน้ําริมฝงแมน้ํามูนแลวสงเสริมใหชาวบานทํานาปรัง โดยสนับสนุนน้ํามันในการสูบน้ํา 122
ชลประทานชุมชนในพื้นที่บุ่งทามลุ่มน้ํามูนตอนกลาง บ้านหนองแค – สวนสวรรค์ / สนั่น ชูสกุล
และพันธุขาวในการทํานาปรัง ชาวบานสวนใหญเปลี่ยนการทํานาทามมาทํานาปรัง เพราะมีความเสี่ยงตอภาวะน้ํา ทวมนอยกวา ตนทุนต่ํากวานาป และผลผลิตตอไรไดมากกวา การเลี้ยงสัตว บานหนองแค ถือวาเปนหมูบานที่มีการเลี้ยงวัว - ควายจํานวนมาก เชนเดียวกับชุมชนอื่น ๆ รอบพื้นที่ปาทาม ครอบครัวหนึ่ง ๆ จะมีวัว - ควายตั้งแต 5 - 100 ตัว ขึ้นไป และครอบครัวที่ถือวายากจนที่สุดของ หมูบานในอดีตก็ยังมีวัว ไมต่ํากวา 5 ตัว พื้นที่ในการเลีย้ งวัว - ควายที่สําคัญของชุมชนคือ ปาทาม ในอดีตจะเลี้ยงโดยการปลอย ไปเปนฝูงในปา ทาม ใหหากินเองและปลอยใหวัวควายอาศัยอยูในปาทาม ในรอบ 1 เดือน จะลงไปดูแล ประมาณ 2 - 3 ครั้ง บาง คอกก็จะมีการตอนกลับคอก เดือนละครั้ง หรือบางทีเจาของก็ไปทําคอกไวในปาทามเลย การมีวัวควายฝูงถือเปน สมบัติที่สําคัญของคนในชุมชน เปนฐานเศรษฐกิจสําคัญของคนลุมน้ํามูน แมไมมีนาทํา ครอบครัวเล็ก ๆ ก็สามารถ ขายวัวเพียง 1 ตัว ซื้อขาวกินไดตลอดป ตั้งแตป 2525 ไดมีการนํารถไถนาเดินตามมาใชไถนาแทนควาย ประกอบกับการสรางเขื่อนราษีไศลในป 2536 น้ําทวมปาทามสวนหนึ่งอยางถาวร ทําใหจํานวน วัว – ควายในชุมชนลดลงเรื่อยๆ สําหรับการแลกเปลี่ยนซื้อขายสินคาระหวางชุมชนในอดีตมีการเดินทางไปแลกขาว แลกสิ่งของอื่นๆ ที่ใน หมูบานขาดแคลน ซึ่งสวนใหญจะเปนของกินไปแลกเปลี่ยนในหมูบานอื่น ไปประมาณ 3 - 4 คนใชไมคานหาบไป สวนใหญจะเปนบานญาติหรือคนที่รูจัก ที่ไปไกลสุดคือที่อําเภอพยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม และมีการเดินทาง ไปคาขายถาคนที่มีเกวียนก็จะขี่เกวียนไป ถาคนไหนไมมีแตอยากไปคาขายก็จะอาศัยเกวียนเขาไปโดยเจาของ เกวียนไมคิดเงินคาสินคาที่อาศัยไปดวย ซึ่งสังคมสวนใหญในอดีตจะเปนสังคมของการแลกเปลี่ยนมากกวาที่จะขาย เพื่อเอาเงิน ตางจากสังคมในปจจุบันที่สวนใหญเปนสังคมของการซื้อขายมากกวาการแลกเปลี่ยนสินคา สาเหตุ เพราะในอดีตทรัพยากรธรรมชาติ เชน ในเรื่องของปจจัย 4 มีเหลือเฟอ ไมตองซื้อขายเหมือนปจจุบัน แมกระทั่ง ที่ ดิ น สมั ย ก อ นยั ง มี ก ารแบ ง ป น ให เ พื่ อ นบ า นที่ ยั ง ไม มี ที่ ดิ น ให ไ ด รั บ ที่ ดิ น ในการทํ า มาหากิ น แต ป จ จุ บั น ทรัพยากรธรรมชาติเหลือนอยลง ทําใหผูคนเห็นแกตัวกันมากขึ้น มีการซื้อ ขายกันมากขึ้น ความสัมพันธของคนใน ชุมชนและระหวางชุมชน ในอดีตมีความสัมพันธเหมือนพี่เหมือนนอง มีสังคมความเปนอยูแบบเรียบงาย เมื่อมี งานทําบุญในหมูบานจะมีความชวยเหลือกันทั้งบาน ในชวงการทํานาก็จะมีการลงแขกชวยกัน ทําใหคนในหมูบาน มีความสามัคคีกัน มีจิตใจที่เอื้อเฟอเผื่อแผ ไมเห็นแกตัว มีความสัมพันธระหวางกันอยางเหนียวแนน เนื่องจาก ตองใชแรงกายแรงใจจากคนในหมูบานชวยกัน • วัฒนธรรม ความเชื่อ และ ประเพณี ชาวบานหนองแค-สวนสวรรค เปนคนชาติพันธุ “เญอ” ผสมกวยและลาว มีการนับถือศาสนาพุทธมาตั้งแต บรรพบุรุษ อีกดานหนึ่ง ชาวบานมีความเชื่อเรื่องผีอยางแนบแนน และมีพิธีกรรมตาง ๆ ที่เกี่ยวกับการแสดงความ เคารพบูชาผีในเกือบทุกโอกาส นอกจากผีบรรพบุรุษที่เคารพกันในหมูเครือญาติแลว ยังใหการสักการะเซนไหวผี อื่น ๆ อีกและยังใหความเคารพยําเกรงแกมศรัทธาตอผูที่มีองคความรูในการติดตอสื่อสารกับผีตลอดจนผูที่มีพลัง ปดเปา รักษาโรคภัยตาง ๆ เชน 123
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน
(1) ผีปูตา ซึ่งเปนผูปกปกคุมครองคนทั้งหมูบาน โดยจะมีพิธีเลี้ยงผีปูตาในเดือน 6 ของทุกป โดยผูมี บทบาทหนาที่เปน "ขจ้ํา" (ผูติดตอสื่อสารระหวางผีกับคน) ซึ่งแตละหมูบานจะมี “ขจ้ํา” ประจําหมูบานเปนผู ติดตอสื่อสารกับผีปูตา ผีบรรพบุรุษในวันเลี้ยงผีปูตาเพื่อใหชวยดูแล ปกปกรักษาคนในชุมชนใหอยูเย็นเปนสุข การ สืบทอดการเปน "ขจ้ํา" จะมีการถายทอดตามระบบเครือญาติ บางครั้ง ผีปูตาจะมาเขาทรงผูที่ผีปูตาตองการใหเปน ผูตดิ ตอสื่อสารกับวิญญาณแทนคนเดิม (2) หมอธรรม ชาวบานมีความเชื่อเรื่องเกี่ยวกับ หมอธรรม หรือเรียกสั้นๆ วา "ธรรม" เปนคนที่มีวิชา อาคม ชวยปกปองดูแลใหอยูดีมีสุข ปองกันผีสางไมใหมารบกวนทําราย ชาวบานคนใดที่มีความศรัทธาจะตองนํา ขันธดอกไม ไปขออยูกับหมอธรรมคนนั้น ๆ และทุกวันพระจะตองนําดอกไมธูปเทียนไปถวายพระ บทบาทของ หมอธรรมในชุมชนคือ การเสกฝายผูกแขน เปาหัวเด็กที่รองไหไมหยุด ฯลฯ นอกจากนั้นยังมีพิธีที่เรียกวา "สอง" คือการตรวจดู ทํานายทายทักยามมีส่ิงของ วัว ควาย หายหรือกรณีเจ็บปวยไมรูสาเหตุ มีความเชื่อวา ผีบรรพบุรุษ มาทําใหเจ็บปวย หมอธรรมจะเปนผูสองหา และบอกถึงสาเหตุที่เกิด รวมทั้งวิธีแกไขใหหายจากอาการนั้น ๆ ได กระบวนการสืบทอดหมอธรรมสวนใหญจะเปนการถายทอดตามสายเลือดและระบบเครือญาติ โดยหมอธรรมคนเกา จะเปนผูเลือกเอง หมอธรรมในบานหนองแค มี 4 คน คือ ธรรมจันทร ธรรมบุ ธรรมเพ็ง และธรรมเบา (3) หมอสูตรขวัญ ชาวบานหนองแคมีประเพณี ความเชื่อ เชน การสูขวัญขาว การสะเดาะเคราะห งาน บวช งานแตงงาน ซึ่งจะมี นายแดง ชินราช เปนผูนําทางพิธีกรรม ตางๆ เปนการดูแลรักษาทางจิต โดยมีความเชื่อ วาหลังจากสูขวัญแลว จะหายเจ็บไขไดปวย จะไดรับแตสิ่งดี ๆ มีโชคมีลาภ (4) หมอยาสมุนไพร การรักษาโรคของชาวบานหนองแค ในยามเจ็บปวย นอกจากการรักษาโดยแพทย สมัยใหมแลว ชาวบานหนองแคยังนิยมรักษาดวยสมุนไพร แตสวนมากเปนโรคที่เจ็บปวยเพียงเล็กนอย เชน ผิดสําแดง ปวดเมื่อยตามรางกาย อีสุกอีใส ลมพิษ โดยมีพอเสถียร อาจหาญ เปนหมอยาสมุนไพรประจําหมูบาน ยาที่ใชรักษาเปนรากไม ยาชุม วิธีการรักษาใชการตม ดื่ม อาบ ฝนกับน้ํา ทาหรือดื่ม แหลงเก็บตัวยาสมุนไพรมีทั้ง ในปาทาม ปาโคก ทั้งใกลบานและไกลออกไป (5) ประเพณี ฮีต 12 คอง 14 ถือวาเปนประเพณีหลักที่ชุมชนถือปฏิบัติสืบทอดกันมาแตครั้งบรรพบุรุษ เชนเดียวกันผูม ีเชื้อสายลาวทั่วไป ฮีต 12 ถือวาเปนสิ่งรอยรัดผูคนในชุมชนใหมีความสามัคคีกันโดยกําหนดใหคน ในชุมชนไดมีกิจกรรมทางประเพณีรวมกันตลอด 12 เดือนในรอบป สวน คอง 14 ถือวาเปนระบบกฎหมายที่ กําหนดบทบาทหนาที่ของคนในสังคมที่มีตอกัน ตั้งแตพระเจาแผนดิน พระสงฆ จนถึงราษฎรทั่วไป (6) ประเพณีแขงเรือยาว ในอดีตจะทําในชวงออกพรรษาเสร็จในวันพุธแรกของกลางเดือน เปน การเชื่อมความสัมพันธกับคนในหมูบานอื่น ซึ่งกอนจะมีการแขงเรือยาวจะมีการบวงสรวงเจาพอภูดิกอน โดยมี นางเทียมเขามาเทียมกอนวาเรือจะแลนดีหรือไม ซึ่งศูนยรวมอยูวัดใต (วัดบานใหญ) จะบอกกลาวอยูวัดใตกอน ในปจจุบันเปนการแขงขันในเชิงธุรกิจ และไมมีนางเทียมแตยังมีการบวงสรวงเจาพอภูดินกอน (7) ประเพณีบุญกุมขาวใหญ ทําในเดือนสามของทุกป เปนการทําบุญสูขวัญขาว โดยชาวบานจะเอา ขาวเปลือกไปกองรวมกันไวที่วัดเมื่อทําพิธีเสร็จ ก็จะเอาขาวที่ชาวบานนําไปกองไวไปขายเพื่อนําเงินมาบูรณะวัด 124
ชลประทานชุมชนในพื้นที่บุ่งทามลุ่มน้ํามูนตอนกลาง บ้านหนองแค – สวนสวรรค์ / สนั่น ชูสกุล
ต อ ไป เสร็ จ จากทํ า บุ ญ กุ ม ข า วใหญ แล ว ก็ จ ะมาทํ า พิ ธี สู ข วั ญ ข า วตนเองในเล า โดยจะมี ห มอสู ต รมาทํ า พิ ธี สูตรขวัญขาว ในปจจุบันไมมีหมอสูตรมาทําการสูตรขวัญขาว เจาของขาวจะกลาวขวัญขาวเอง (8) ประเพณีบุญอัฐิ คือการทําบุญกระดูกอุทิศสวนกุศลแกผูลวงลับ ทําหลังจากเดือน 12 เพ็งถึงเดือน อาย เดือนยี่ อดีตมีการทําอัฐิเปนตน ทําหอเหมือนหอกฐิน มีเครื่องอัฐบริขาร เครื่องเรือน โดยชาวบานจะ ชวยกันสรางหออัฐิ ปจจุบันหออัฐทําเปนเครื่องสังฆทาน ไมไดทําเหมือนแตกอน ทําใหมีความสามัคคีลดนอยลง เพราะตางคนตางทํา 2. ระบบการจัดการน้ําโดยชุมชน พื้นที่ทามหนองแค-สวนสวรรค เปนพื้นที่ทามขนาด 2,300 ไร มีอาณาเขตติดตอเปนผืนเดียวกับทามพื้นที่ ทามอื่นๆ ในเขตสองฝงลําน้ํามูนตอนกลางหลายหมื่นไร อันเกิดจากสภาพพื้นที่ของแมน้ํามูนตอนกลางที่เปน บริเวณที่ราบลุมต่ํา ลักษณะพื้นที่เปนที่ราบลุม มีแหลงน้ําขนาดเล็กกระจายเต็มพื้นที่ ซึ่งนับได 28 แหง มีพื้นที่น้ําประมาณ 683 ไร ที่มีน้ําขังตลอดป เปนแหลงกักเก็บน้ําตามธรรมชาติที่มีประโยชนตอทั้งระบบนิเวศ สัตว และมนุษย เชน กุด หนองน้ํา บวก (หนองน้ําขนาดเล็ก) และฮองน้ํา (รองน้ํา) บางพื้นที่เปนเนินดินหรือดอนดินทามที่สูงกวาพื้นที่ ทามทั่วไป “ดินทาม” เปนเนื้อดินเหนียวปนดินรวนเหนียวปนดินทราย อันเกิดจากการตกตะกอนของน้ํากลายเปน ปุยธรรมชาติ สงผลใหดินในพื้นที่ทามเปนดินดี มีความอุดมสมบูรณ ทั้งยังเปนแหลงที่มีความหลากหลายทาง ชีวภาพ มีพืชพันธุที่เปนไมพุมเกิดขึ้นอยางอุดมสมบูรณ สัตวปา สัตวน้ํา และสัตวครึ่งบกครึ่งน้ํา ดังนั้น นอกจากพื้นที่โคกที่ดอนที่ชาวบานใชทํา “นาทุง” ในบริเวณทิศเหนือของหมูบานแลว พื้นที่ทามริม แมน้ํามูน จึงเปนอีกแหงที่ชุมชนไดพึ่งพาและเปนฐานการผลิตในการหลอเลี้ยงชุมชน โดยการทํานาทาม หาของปา หาปลา เลี้ยงสัตว สมุนไพร ฯลฯ หมุนเวียนกันไปตามฤดูกาลหรือเงื่อนไขของธรรมชาติ • ระบบจัดการน้ํานาทามในอดีต การทํา “นาทาม” หรือนาหนองในอดีตนั้น กอนจะลงมือทํา ชาวบานตองทําพิธีเลี้ยงปูตากอนในชวงเดือน เมษายน หวานกลาในหนองน้ําธรรมชาติ โดยการปนคันนาในหนองแลวนําคันโซ (โชงโลง)วิดน้ําออก หวานขาว พั น ธุ ล งในแปลงที่ เ ตรี ย มไว คอยดู แ ลไม ใ ห น้ํ า ไหลเข า แปลงกล า จนกว า ต น กล า จะแข็ ง แรงจึ ง ปล อ ยน้ํ า เข า ประมาณเดื อ นครึ่ง ถึ ง สองเดือ น ก็ ส ามารถนําไปป ก ดํา ไถแลว คราดนาดว ยแรงงานควาย แล วก็ ล งมื อ ปก ดํ า ชาวบานจะเลือ กวันพฤหัสบดีในระหว างเดือ นหกเป นวัน แรกดํานาเพราะถือเปน วันฟู ใชพั นธุขาวอีดอลาว ขาวอีดํา ขาวลูกผึ้ง ขาวหวิดหนี้ ขาวจําพวกนี้ใชเฉพาะนาหนองทาม สวนพื้นที่รอบหนองเปนลักษณะโนนจะ ปลู ก ข า วไร แผว ถางแล วเผาให เ รี ย บร อ ย แล วปลู ก ข า วอี โ ป ะ ข า วอี เ กาะ ปลู ก แตงไทย งา แซมห าง ๆ ไว บางสวนก็ปลูกเปนแปลงแยกกันตางหาก
125
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน
พื้นที่บริเวณรอบฝงกุดก็ใชทํานาแบบนี้ไดเปนอยางดี โดยปนคันนาคดไปคดมาตามความสูงต่ําของพื้นที่ เพื่อจัดระดับน้ําในแปลงใหเสมอกัน ในที่ลุมนั้น ดินตมจะอุมน้ําไวอิ่มตัวอยูกอนแลว ฝนตกเพียง 1-2 ครั้งก็จะมีน้ํา แลวเริ่มปกดําได การปนคันนา ตองเอาไมมาปกสองขาง เอากิ่งไมมาใสและเอาโคลนใสตรงกลางเพื่อไมใหคันนาพังหรือรั่ว เมื่อทําคันนาเสร็จก็เอาคันโซมาวิดน้ําออกและเขี่ยดินใหเสมอกอนแลวเอาเมล็ดพันธุมาหวาน เมื่อหวานขาวแลวเรา ตองคอยดูเพื่อไมใหน้ํารั่วเขาทวมเมล็ดขาว จะทําใหเมล็ดขาวเนาเสีย เมื่อมีน้ําเราตองใชคันโซวิดออกประมาณหนึ่ง อาทิตยหรือสองอาทิตย ตนกลางอก 2 ใบ ถึง 3 ใบ ก็เริ่มปลอยน้ําเขาไปแชตนกลาพอประมาณโดยเจาะรูคันนา ปลอยน้ําเขา ถาน้ําต่ํากวาแปลงกลาปลอยน้ําไมเขาตองใชคันโซวิดน้ําเขาจนกวาจะถอนตนกลาไปปกดําได • รูปแบบการจัดการน้ําในปจจุบัน ชาวหนองแค-สวนสวรรคนั้น เคยใชพื้นที่ทามเพื่อเพิ่มผลผลิตขาวโดยการทํานาปรังในทามตั้งแตประมาณ ป 2512 ชวงเดือนมกราคม-เมษายน โดยชาวบานที่อยูใกลหนองน้ําหรือกุดไดใชวิธีงายๆ ดวยการลงแขกออก แรงงานกันขุดคลองดินผานที่นาทําเปนคลองสงน้ํา และใชคันโซวิดน้ําจากกุดและหนองระบายสูแปลงนาตามคลอง ที่รวมกันขุด ผูที่ริเริ่มทํานาปรังในพื้นที่นี้ คือ นายจันดา เดียงสา นายแทน บุดดี และนายโสม บุตรวงษ ที่บริเวณ กุดนอย อีกกลุมหนึ่งประกอบดวยนายไล สมศรี นายทองมี สมศรี และนายสนั่น ศุภใส ทําที่บริเวณกุดปราการ สวนกลุมของนายเลง สมศรี และนายเพชร บุญตา ทําที่บริเวณกุดขอน และกลุมของนายหอม สมศรี นายบุญใส ติละบาล นายไพจิต สีหบุตร และนายรุน สมศรี ทํานาทามบริเวณกุดโดน ตอมาป พ.ศ.2521 ไดเกิดอุทกภัยน้ําทวมอยางรายแรงขาวนาทามและนาปเสียหายหนัก ทําใหชาวบาน ขาดแคลนขาวบริโภคโดยเฉพาะบานหนองแค–สวนสวรรค และหลายหมูบานในเขตติดกับลุมน้ํามูน ทางสวน ราชการไดมีการสนับสนุนและสงเสริมใหทํานาปรังเพื่อชดเชยภัยน้ําทวมแกชาวบาน เกิดการรวมกลุมเพื่อสูบน้ําทํา นาปรัง ตั้งแตชวงเริ่มทํานาปรังเดือนมกราคม–พฤษภาคม และมีการทําตอเนื่องมาทุกปถึงปจจุบัน โดยการสูบน้ํา จะทําทาสูบน้ําที่หางกันออกไปในแตละชวงของความยาวตามแนวฝงของลําน้ํามูน กลุมจะออกแรงหรือออกเงินจาง รถไถเพื่อทําคลองสงน้ําเลียบไปตามเนิน เพื่อทดน้ําที่สูบใหไหลไปตามคลองหลักแลวทดใสคลองซอยเขานาของ สมาชิก โดยพื้นที่การใชเครื่องสูบน้ํา 1 เครื่องจะตองมีที่นาที่จะใชน้ําไมต่ํากวา 600 ไร เครื่องสูบน้ําขนาดทอ 8 นิ้ว ครึ่ง 1 เครื่อง ทาน้ํา 1 ทา ประโยชนการใชสอยประมาณ 20-30 หลังคาเรือน แลวแตจํานวนที่นาของชาวบาน ขึ้นอยูกับใครมีที่นามากหรือนอยเพียงใด ขนาดของเครื่องสูบน้ําแตละทาน้ํานั้นเปนไปตามขนาดพื้นที่ที่ตองการใชน้ํา คือเครื่องสูบขนาดหนาทอ 8 นิ้วตอพื้นที่นาไมเกิน 600 ไร ขนาดหนาทอ 10 นิ้ว ตอพื้นที่นาไมเกิน 800 ไร และขนาดหนาทอ 12 นิว้ ตอพืน้ ทีน่ า ไมเกิน 1,000 ไร ในพื้นที่ทามบานหนองแค–สวนสวรรค มีกลุมผูใชน้ําทั้งหมด 8 กลุม สมาชิกแตละกลุมในแตละปจะไม คงที่ ขึ้นอยูกับความตองการทํานาปรังของแตละคนรวมประมาณ 200 ครอบครัว ไดแก 1) กลุมทาปากกุดนอย 126
ชลประทานชุมชนในพื้นที่บุ่งทามลุ่มน้ํามูนตอนกลาง บ้านหนองแค – สวนสวรรค์ / สนั่น ชูสกุล
(โนนเหมือด) มีประธานกลุมและกรรมการอีก 3 คน 2) กลุมปากกุดนอย บริเวณโนนพยอม มีสมาชิกประมาณ 20 คน โดยมีนายสายัณห ศรีธรรมเปนประธาน 3) กลุมหนองแคบริเวณโนนขี้กระตาย มีสมาชิกประมาณ 30 คน หัวหนาคือ นายสุดใจ ศรีธรรม 4) กลุมหนองแค 2 บริเวณโนนนอย มีสมาชิกประมาณ 30 คน หัวหนาคือ นายยศ บุญธรรม 5) กลุมทาทราย มีสมาชิก 24 คน หัวหนากลุมคือ นายแหวน สุรบุตร 6) กลุมทาหินลัด มี สมาชิกประมาณ 31 คน หัวหนากลุมคือ นายเลิศ สีหบุตร 7) กุดหวาย มีสมาชิก 19 คน หัวหนากลุมคือ นายสงา ติระบาล 8) ทาวังแคน มีสมาชิก 29 คน หัวหนากลุมคือ นายเลิศ สีหบุตร การทํานาปรังไมไดหมายความวาทําไดเฉพาะสมาชิกกลุมนาปรังที่กลาวมาเทานั้นสําหรับผูที่มีที่นาใกล แหลงน้ํา (กุด หนอง) ทั่วไปก็สามารถทําไดโดยใชเครื่องรถไถนาตัวเองสูบน้ําสวนตัวเพราะสภาพพื้นที่สูงไม สามารถทํารองน้ําสงถึงที่นาได
รูปที่ 2 การทํานาปรัง 127
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน
การรวมกลุม สิทธิการใชประโยชนและแบงปน กรณีศึกษา กลุมทาวังแคน (1) พั ฒ นาการกลุ ม ทา วั ง แคน การทํ า นาทามโดยการสู บ น้ํ าจากน้ํ ามู น เป น แห ง แรกคื อ บริ เ วณ “ทาวังแคน” เริ่มขึ้นเมื่อประมาณป พ.ศ. 2522 ซึ่งชาวบานประสบกับปญหาน้ําทวมจากป 2521 ทําใหขาวขาด แคลนจึงไดมีการขยายพื้นที่ทามเพื่อทํานาปรังใหมี “ขาวตอทอง” จนกวาฤดูกาลทํานาป (นาทุง) จะมาถึง ในตอน แรกเริ่มมีสมาชิก จํานวน 32 คน (เปนชาวบานจากบานหนองแคและบานสวนสวรรค) ไดลงทุนลงแรงรวมกันขุด คลองสงน้ําสายหลัก 3 สาย ขนาดกวางประมาณ 1.80 เมตร ลึก 50-80 ซ.ม. (ขึ้นกับสภาพพื้นที่) และมีความยาว รวมกันประมาณ 2 ก.ม. ในการการขุดคลองสงน้ําชาวบานตองคํานึงถึงลักษณะภูมิประเทศ ชาวบานจะเลือกจุดที่ สูบน้ําขึ้นที่สูงน้ําจึงจะไหลไปสูนาของสมาชิกที่อยูต่ําลงไปได หลังจากนั้นก็ชวยกันขุดคลองซอย (คลองยอย) ขนาด กวาง 30-60 ซ.ม. เพื่อแยกน้ําเขาพื้นที่นาของสมาชิก ขนาดความกวางของคลองจึงขึ้นกับสภาพพื้นที่และความ จําเปนในการใช (หากมีพื้นที่นามากคลองซอยก็จะใหญขึ้นเพื่อใหน้ําไหลทัน ไมเออทวมคลอง) เมื่อทําคลองเสร็จก็ พากันเชาเหมารถไถไปเอาเครื่องสูบน้ําขนาด 8 นิ้ว ที่ชลประทานจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งโดยเงื่อนไขการสนับสนุน ของชลประทานจังหวัดกอนไปรับเอาเครื่องตองมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นในกลุมกอน ในชวงการทํานาปรังในป แรกนี้ หนวยงานเกษตรอําเภอไดเขามาชวยเหลือดานพันธุขาว (ขาวเหนียว กข. 24, ขาวจาว กข. 7) อีกทางหนึ่ง ในป พ.ศ.2528–2529 ไดมีโครงการขุดคลองตามโครงการอีสานเขียว ซึ่งเปนโครงการของรัฐบาล เพื่อให เกษตรกรนําน้ําไปใชทํานา แตไมสามารถใชประโยชนไดเพราะการขุดคลองของรัฐบาลนั้นขุดลึกเกินไป ที่นาสูง กวาคลอง น้ําไมสามารถไหลเขานาชาวบานได ตางจากคลองที่ชาวบานขุดเองตองอยูที่สูงน้ําจึงจะไหลลงไปสูนา ชาวบานซึ่งอยูต่ํากวาคลองได ในปจจุบันกลุมทาวังแคน มีสมาชิกจํานวน 29 ราย พื้นที่ในการทํานาปรัง จํานวน 125 ไร (2) โครงสรางและการจัดการกลุม “ทาวังแคน” โครงสรางการจัดการของกลุมทํานาทาม(นาปรัง) เกิดขึ้นเนื่องจากเปนเงื่อนไขในการสนับสนุนเครื่องสูบน้ํา โดยมีเงื่อนไข คือ 1) มีการแตงตั้งประธาน 2) แตงตั้งรอง ประธาน 3) แตงตั้งคณะกรรมการ 3 คน 4) สมาชิกทุกคนจะตองขึ้นทะเบียน ลงชื่อ ที่อยู เลขบัตรประจําตัว ประชาชน แลวจากนั้นก็ใหประธานกลุมนําเอารายชื่อสมาชิกทุกคนสงใหกับทางเกษตรอําเภอในเดือนพฤศจิกายน ของทุกป เกษตรอําเภอจะสงตอใหชลประทานจังหวัด การประสานงานติดตามเรื่องเครื่องสูบน้ํากับสวนราชการที่ เกี่ยวของจึงเปนหนาที่ของประธานกลุมของแตละกลุม แมจะเปนโครงสรางที่เกิดจากเงื่อนไขในการสนับสนุนของทางราชการ แตสมาชิกในกลุมก็มีกระบวนการ เลือกประธานและกรรมการอยางอิสระ ซึ่งสวนมากจะเลือก (พรอมใจกันยกให) คนที่ “เคยพาเฮ็ดพาทํามาแตกอน เกา” หรือคนที่พาบุกเบิกในพื้นที่ขึ้นเปนประธานกลุม ซึ่งเปนบุคคลที่คนในกลุมใหความเคารพแตดั้งเดิม สวน รองประธานก็จะเสนอบุคคลที่มีความสําคัญรองลงไป (ตามลักษณะที่กลาวขางตน) สมาชิกใหสิทธิประธานและ รองประธานในการสรรหาคณะกรรมการ ซึ่งคณะกรรมการบางคนไดมาจากการอาสา กรรมการบางคนมาจากการ เลือกของประธานและรองประธาน เปนตน คณะกรรมการทาวังแคนปจจุบันมีดังนี้ นายเลิศ สีหบุตร ประธาน นาย 128
ชลประทานชุมชนในพื้นที่บุ่งทามลุ่มน้ํามูนตอนกลาง บ้านหนองแค – สวนสวรรค์ / สนั่น ชูสกุล
แหวน สุระบุตร รองประธาน นายรัตน สมศรี กรรมการ นายบุญมา บุญธรรม กรรมการ และนายมี สุทาจัน กรรมการ คณะกรรมการมีบทบาทและหนาที่ในการประสานทั้งภายในกลุม เชน การเรียกสมาชิกมาประชุม และ ประสานกั บ ภาคราชการ เช น การจัด ทํ า ทะเบี ย นสมาชิ ก การประสานติด ตามเครื่ อ งสู บ น้ํ า การประสานด า น งบประมาณในการสนับสนุนแตละป เปนตน คณะกรรมการมีบทบาทสําคัญในการบริหารจัดการและจัดระเบียบการ ใชน้ํา หรือเปนเจาภาพหลักในการจัดสรรผลประโยชนใหตกแกสมาชิกอยางทั่วถึงเทาเทียมกัน อีกทั้งยังเปนผู อํานวยใหเกิดการปฏิบัติตามความเชื่อและพิธีกรรมในการใชน้ํา ตลอดจนเขาไกลเกลี่ยความขัดแยงที่เกิดขึ้น ระหวางสมาชิก เชน กอนจะมีการทํานาปรังในแตละป ประธานกลุม หรือผูที่ประธานกลุมมอบหมายจะเรียกสมาชิก กลุมทุกคนเขารวมประชุม เพื่อชวยกันซอมบํารุงคลองสงน้ํา โดยการตัดตนไมเล็ก ๆ ที่ขึ้นอยูในคลองหรือทําการ ขุดเอาสิ่งที่กีดขวางทางน้ําออกใหหมด ตอไปก็นําทอลงพื้นที่ซึ่งเปนการรวมมือกันระหวางชาวบานกับชางผูดูแล ถาหากน้ําในลําน้ํามูนลดระดับลงมากก็ทําการตอทอลงไปใหถึงและตอทอขึ้นฝงในแตละทา กอนการการสูบน้ํา จะ มีการเลี้ยงผีปูตาและเลี้ยงทา และมีการลองเครื่อง พิธีเลี้ยงปูตาและเลี้ยงทาจะมีไก 1 ตัว กับเหลา 1 ขวด หลังจาก การเก็บเกี่ยวแลวยกเครื่องขึ้นก็มีพิธีเลี้ยงปูตาดวยหัวหมูและเหลา สมาชิกในกลุมถาใครตองการน้ําก็จะมาแจงตอประธานกลุม ประธานจะนําน้ํามันและอุปกรณติดตั้งเครื่อง ใหกับสมาชิกผูที่จะเอาน้ํา สมาชิกจะเอาน้ําตามคิวที่มาแจงไวตอประธานจะไมมีการลัดคิว การดูแลเครื่องสูบน้ํา และควบคุมเครื่องสูบน้ําเปนหนาที่ของประธานและกรรมการชวยกันรับผิดชอบ โดยจัดเวรสมาชิกภายในกลุม 4-5 คนตอวัน หมุนเวียนมาดูแลเครื่องสูบน้ํา ตลอดชวงฤดูกาลการทํานาปรัง ประธานและคณะกรรมการจะทําหนาที่ตรวจตราการสูบน้ําของสมาชิกแต ละราย เพื่อไมใหเปนการไดเปรียบเสียเปรียบ คณะกรรมการจะวากลาวตักเตือนหากเอาน้ําลงนามากเกินความ จําเปน ในกรณีที่เกิดปญหาความตองการน้ําในเวลาเดียวกันประธานและคณะกรรมการก็จะเรียกทั้งสองฝายมา เจรจากันและพิจารณาใหสิทธิแกผูที่มีความจําเปนเรงดวนกอน (เชน ในภาวะตนกลารอน้ํา) เปนอันดับแรก หรือ หากเกิดปญหาและสงผลกระทบตอคลองสงน้ําอันเปนสิทธิรวมกันของกลุม ประธานและคณะกรรมการก็จะเรียก สมาชิกทุกคนเขารวมหารือเพื่อหาทางออกและแกไข (3) ตนทุนและผลผลิตของนาทาม (นาปรัง) การทํานาทาม (นาปรัง) สวนมากจะใชพันธุขาวเหนียวซึ่ง ชาวบานจะเก็บไวกินในครอบครัวเปนหลัก สวนการทํานาป (นาทุง) ที่ปลูกขาวหอมมะลิจะปลูกไวขาย เมื่อพิจารณาผลผลิตและตนทุนตอไรกรณีการทํานาทาม (นาปรัง) จากการสัมภาษณสามารถจําแนก รายละเอียดเกี่ยวกับตนทุนของการทํานาและการใชน้ํามีดังนี้ (1) คาน้ํามันรถไถเดินตาม (ไถเอง) ใช 2 ลิตร/1 ไร คิดเปนเงินจํานวน 56 บาท (2) เมล็ดพันธุขาวเหนียว กข. 23 ใชจํานวน 10 กก./1 ไร คิดเปนเงินจํานวน 60 บาท (3) ฟูราดานกําจัดเพลี้ย 1 ถุง/ไร คิดเปนเงินจํานวน 60 บาท (4) คาจางเกี่ยว แรงงาน 1 ไร/2 คน คิดเปนคาแรง จํานวน 260 บาท (5) คาจางสี นวดขาว/ไร/15 กระสอบ ๆ ละ 6 บาท คิดเปนจํานวนเงิน 90 บาทตอไร (6) คาขน ผลผลิต (น้ํามัน) 20 บาท/ไร (7) คาน้ํามันสูบน้ําเขานา (2 ลิตร/ไร) คิดเปนจํานวนเงิน 56 บาท (8) ปุยเคมี 16– 129
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน
16-8 (กรณีที่ใช) จํานวน 25 ก.ก./ไร คิดเปนจํานวนเงิน 160 บาท (9) คาบํารุงกลุม 50 บาท/ไร รวมตนทุนในการ ทํานาปรัง/ไร ประมาณ 812 บาท ดังนั้นในภาวะฝนปกติหากเกี่ยวทันน้ําหลาก เฉลี่ยจะไดผลิต 15 กระสอบปุยตอไร น้ําหนักกระสอบละ 38 กก. ราคาขาย กิโลกรัมละ 6 บาท ถาขายจะไดเงินเทากับ 3,420 บาท เฉลี่ยกําไรจากการทํานาปรังประมาณ 2,608 บาทตอไร เมื่อเปรียบเทียบกับการทํานาป (นาทุง) แลวพบวา ตนทุนการทํานาปจะสูงกวาการทํานาในพื้นที่ทาม เนื่องจากการใชปุยที่มีตนทุนสูงกวานาในทามถึง 3 เทา (คาปุย 640 บาท/ไร) คาจางแรงงานสูงกวา เนื่องจากนาป เปนชวงที่มีการทํานามาก (เฉลี่ย 180บาทตอวัน หรือ 220 บาท/ไร) ดังนั้นตนทุนในการทํานาปจะสูงกวานาทาม คือ ประมาณ 1,512 บาท/ไร สูงกวาประมาณ 700 บาทตอไร ขณะที่ผลผลิตจากการทํานาปเมื่อเฉลี่ยแลว จะอยูที่ 10-12 กระสอบปุย เฉลี่ยราคาผลผลิตตอไรโดยประมาณจะอยูที่ 2,280 บาท หักตนทุนแลวเหลือประมาณ 768 บาท (4) ตนทุนดานโครงสรางพื้นฐานการจัดการน้ําโดยชุมชน การจัดการน้ําโดยชุมชนในระบบนี้มีการ ลงทุนดานโครงสรางเปนการลงทุนครั้งเดียวในครั้งแรกของการวางระบบการกระจายน้ํา ในกรณีของทาวังแคน ซึ่งมี การพัฒนาระบบโครงสรางพื้นฐานจัดการน้ําเมื่อประมาณ พ.ศ.2522 ไมสามารถประมาณในเชิงมูลคาได เนื่องจาก เปนการรวมแรงรวมใจ ขาวปลาอาหาร ลงแรงขุดดวยมือทั้งคลองสายหลักและคลองยอย ในกรณีที่มีการจางรถไถ เพื่อชวยในการทําคลอง จึงใชตัวอยางจริงของการลงทุนอีกทาน้ําหนึ่งคือ การใชน้ําเพื่อทํานาปรังบริเวณ “หนองแค (โนนนอย)” ซึ่งมีความยาวคลองสายหลักรวมกัน 1.4 กิโลเมตรกวางประมาณ 1.50 เมตร ลึกไมเกิน 0.80 เมตร จางขุดโดยใชงบประมาณ 8,500 บาท บริเวณดังกลาวมีสมาชิก 30 คน รวมพื้นที่การทํานาปรังประมาณ 130 ไร และคาขุดคลองซอยรายละประมาณ 500-1,000 บาท (ขึ้นอยูกับจํานวนพื้นที่) ตนทุนในโครงสรางการจัดการน้ํา ของกลุมอยูที่ไรละ 783.30 บาท สวนการซอมแซมคลองสายหลักแตละปก็เปนการลงแขก หรือเอาแรงของสมาชิกเนื่องจากคลองสงน้ําเปน สิทธิรวมของสมาชิก ซึ่งก็สามารถทําไดงายเนื่องจากเปนคลองดิน เมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนดานโครงสรางของโครงการขนาดใหญอยางโครงการฝายราษีไศลที่อยูหาง จากพื้นที่นาทามแหงนี้ไปทางเหนือน้ํา 2 กิโลเมตร ซึ่งมีพื้นพื้นที่เปาหมายในการจายน้ําของโครงการ 34,420 ไร มูลคาการลงทุนดานโครงสรางพื้นฐาน จํานวนเงิน 871,900,000 บาท คิดเปนมูลคาการลงทุน 25,305 บาทตอไร แ ล ะ ห า ก ร ว ม ค า ช ด เ ช ย ที่ จ า ย ไ ป แ ล ว 2 ค รั้ ง จํา น ว น 4 2 0 ,9 2 5 ,3 4 4 บ า ท แ ล ะ อ าจ ต อ ง จ า ย อี ก 1,664,000,000บาท เฉลี่ยแลวตนทุนจะเพิ่มขึ้นอีกเปน 85,904 บาทตอไร ซึ่งไมนับรวมคาซอมบํารุงและคาบริหาร จัดการทั้งโครงการ (สนั่น 2548) (5) การสนั บ สนุ น จากภาครั ฐ การช ว ยเหลื อ และสนั บ สนุ น ของกรมชลประทานจะช ว ยในกรณี ประสบภัยแลง หรืออุทกภัยน้ําทวมในรูปของคาชดเชย ในภาวะปกติกรมชลประทานจะใหยืมเฉพาะเครื่องสูบน้ํา เทานั้น ดังนั้นเรื่องน้ํามันเชื้อเพลิง น้ํามันหลอลื่น เดิมกลุมทํานาปรังจึงประสานของบประมาณจากองคการบริหาร 130
ชลประทานชุมชนในพื้นที่บุ่งทามลุ่มน้ํามูนตอนกลาง บ้านหนองแค – สวนสวรรค์ / สนั่น ชูสกุล
สวนจังหวัด (อบจ.) ศรีสะเกษเปนหลัก และตอมาจึงมีการโอนภารกิจและงบประมาณมายังองคการบริหารสวน ตําบล(อบต.) หนองแค กลุมชาวบานจึงไดประสานกับอบต.หนองแค และไดรับการจัดสรรงบประมาณใหเปนเงิน 150,000 บาทตอป ใหไปบริหารจัดการกันเองของชาวบานแตละกลุมทั้ง 8 ทา ในตําบลหนองแค เมื่อเฉลี่ยแลวคิด เปน 25 ลิตรตอครัวเรือน ซึ่งไมเพียงพอตอการใช ชาวบานจึงตองชวยกันออกคาน้ํามันเพื่อที่จะใหเครื่องยนตเดิน ตอและสูบน้ําเขานาอยางพอเพียง ในการดูแลรักษาเครื่องสูบน้ําในแตละทาจะมีชางเทคนิคควบคุมเครื่องจากกรมชลประทานมาดูแลโดย ชาวบานไดทําเรื่องขอชางจากกรมชลประทาน 1 คน ตอ 1 ทาเพื่อติดตั้ง ดูแลและรับผิดชอบในการเดินเครื่องยนต ในการติดตั้งจะมีการรวมมือกันระหวางกรมชลประทานกับชาวบานในเขตพื้นที่ที่มีการใชประโยชนจากการสูบน้ํา เขาที่นาในการทํานาปรัง (6) ปญหาและอุปสรรค ศัตรูของขาวนาปรัง คือ โรคหนอนกอ เปนหนอนชนิดหนึ่งชอบกัดกินยอดออน ของตนขาวอาศัยอยูในโคนตน สวนศัตรูอื่น ๆ คือ หนูและนก ซึ่งตองเฝาระวังขับไลแทบตลอดวัน เชน นกกระปด นกกระจาบ ฯลฯ นอกเหลือจากปญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติแลว กรณีการสรางเขื่อนราษีไศล ยังสงผล กระทบตอระบบความรูในเรื่องฤดูน้ําของชุมชน การทํานาทามในพื้นที่ทายเขื่อนราษีไศลจึงมีความเสี่ยงกับระดับน้ํา ที่อาจจะหลากมาทวมอันเนื่องมาจากการปลอยน้ํามาจากเขื่อนราษีไศลจนนาขาวเสียหาย • วิเคราะหเงื่อนไขและปจจัยความสําเร็จของการจัดการน้ําโดยชุมชน ระบบการจัดการน้ําแบบชลประทานชุมชนของชาวหนองแค-สวนสวรรค ถือวาเปนรูปแบบการจัดการน้ํา ของทองถิ่นที่เกิดขึ้นไดโดยการใชฐานทรัพยากรในระบบนิเวศทามแหงลุมน้ํามูน ใชชุดความรูทองถิ่นเกี่ยวกับน้ํา ดินและความรูเกี่ยวกับพันธุกรรมพื้นบานที่มีอยูเดิม ใชวัฒนธรรมชุมชนที่มีความเอื้อเฟอเกื้อกูล มีระบบความเชื่อ รวมกันทําใหเกิดความกลมเกลียวสามัคคี อีกดานหนึ่ง คือการสนับสนุนสงเสริมอยางเหมาะสมจากองคกรภายนอก ทั้งกรมสงเสริมการเกษตรและกรมชลประทาน รวมทั้งองคการบริหารสวนตําบล และทามกลางการทํางานมีการ จั ด การต อ เนื่ อ งมา 30 ป ชาวบ า นหนองแค-สวนสวรรค ไ ด เ รี ย นรู ที่ จ ะค อ ยๆ จั ด ปรั บ กระบวนการกลุ ม การ ปรับเปลี่ยนดานระบบการผลิตใหสอดคลองกับยุคสมัยมากขึ้น ทั้งดานการใชเทคโนโลยี พันธุขาว และการปรับ ความสัมพันธกับภายนอก ทั้งภาครัฐและตลาด 1. ปจจัยฐานทรัพยากรที่มีความอุดมสมบูรณและหลากหลายและเพียงพอ ปจจัยสําคัญที่เหมาะสมสําหรับการจัดการน้ําดวยระบบนี้ของชาวบาน เพราะลักษณะพื้นที่เปนที่ราบลุม มี แหลงน้ําขนาดเล็กเชน กุด หนองน้ํา บวก และฮองน้ํา กระจายเต็มพื้นที่จํานวน 28 แหง เปนพื้นที่น้ําถึง 683 ไร นับเปนพื้นที่เกือบ 1 ใน 3 ของพื้นที่ทามซึ่งกวาง 2,300 ไร เปนแหลงกักเก็บน้ําตามธรรมชาติที่สําคัญ และยังเปน ทําเลที่ตั้งติดลําน้ํามูน ที่นี่จึงเปนพื้นที่มีน้ําเหลือเฟอเกินความจําเปนและเปนอุปสรรคในการทํานาในฤดูน้ําหลาก แตชุมชนก็สามารถใชประโยชนในการทํานาในฤดูแลง โดยสรางระบบการผลิตนอกระบบการเกษตรกระแสหลัก ขึ้นมาอยางมีลักษณะเฉพาะตัว นอกจากการมีน้ําทาสมบูรณเพียงพอแลว คุณภาพของดินชุดตะกอนแมน้ํายังเปนขอไดเปรียบของชาว ชุมชนแหงนี้ ฤดูน้ําหลากทวมปละ 3-4 เดือน เปนฤดูแหงการสะสมอินทรียวัตถุที่น้ําพัดพามาจากพื้นที่ทั้งลุมน้ํา 131
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน
เพื่อใหพวกเขาใชเพาะปลูกในฤดูแลงถัดไป ทั้งยังเปนฤดูแหงการขยายพันธุของสัตวน้ํา สัตวครึ่งบกครึ่งน้ําและ พันธุพืชทาม ชุมชนสามารถใชประโยชนจากบุงทามมานานนับรอยปดวยวงจรการผลิตที่สอดคลองกับฤดูกาลเชนนี้ ชาวบานเกือบทุกครัวเรือนจะมีที่นาหรือถือครองที่ดินในทาม ชาวหนองแค-สวนสวรรค ครอบครองที่ดินทํานาทาม และเว น ป า ทามไว ที่ หั ว ไร ป ลายนาเพื่ อ ประโยชน อื่ น เพี ย งครอบครั ว ละประมาณ 4-5 ไร เท านั้ น แต ด ว ยการ เพาะปลูกที่ใหผลผลิตสูงและมีการผลิตและการใชประโยชนจากพื้นที่ทามอยางหลากหลาย ทําใหชาวชุมชนแถบนี้ อยูไดอยางพอเพียง ในพื้นที่ทามอื่นๆ ในลุมน้ํามูน โดยเฉพาะเขตตอเนื่องจากทามหนองแค สวนสวรรคลงไปทางทายน้ํา ดวย ความเหมาะสมของภูมินิเวศและฐานทรัพยากรแบบเดียวกัน จึงมีหลายบริเวณที่มีระบบชลประทานระดับชุมชน แบบเดียวกันนี้ ในลุมน้ําชี ลุมน้ําโขงและสายน้ําอื่นๆ ลวนมีภูมินิเวศแบบพื้นที่ทาม สามารถพัฒนาชลประทานขนาดเล็ก ระดั บ ชุ ม ชนโดยการสนั บ สนุ น ที่ เ หมาะสมจากรั ฐ ตามแบบนี้ ไ ด แต น า เสี ย ดาย ที่ ห น ว ยงานรั ฐ และหน ว ยงาน ภายนอกไมเขาใจคุณคาของทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ทามเพียงพอ จึงมองเห็นระบบนิเวศแหงนี้เปนพื้นที่ที่นาจะ นําไปสรางอางเก็บน้ําขนาดใหญ เชนโครงการโขง ชี มูล เกือบทุกพื้นที่จะใชพื้นที่ทามเชนพื้นที่นี้ในการเก็บกักน้ํา เพื่อสูบน้ําปอนให “นาดินทราย” ศักยภาพต่ําที่อยูสูงขึ้นไป ไมเวนพื้นที่ทามของชาวหนองแค-สวนสวรรคที่จะตอง ตกไปเปนพื้นที่อางเก็บน้ําเขื่อนหัวนาในไมชา 2. ปจจัยดานความรูนิเวศวิทยาทองถิ่นของชาวชุมชน องคประกอบสําคัญของการจัดการน้ําเพื่อใหเกิดประสิทธิภาพและสอดคลองกับความตองการของชุมชน นั้น ความรูเกี่ยวกับนิเวศวิทยาทองถิ่นถือเปนองคประกอบสําคัญ หรืออาจจะเรียกงาย ๆ วา ความรูความเขาใจ เกี่ยวกับสภาวธรรมชาติที่แทจริง การรับรู เรียนรู ที่เกิดขึ้นนี้ เกิดจากการสั่งสม สังเกต ถายทอดกันมาหลายรุน สําหรับเปนฐานขอมูลในการประกอบการตัดสินในการประกอบอาชีพ หรือทํากิจกรรมที่สอดคลองกับชีวิตใหเกิด ประโยชนและไมเปนผลกระทบตอธรรมชาติมากนัก ชาวชุมชนหนองแค-สวนสวรรค ไดใชความรูเรื่องนิเวศวิทยา ทองถิ่นเรื่อง “พื้นที่ทาม” ที่ผานการเรียนรู ถายทอดมาหลายรุน เปนองคประกอบหนึ่งในการตัดสินใจ ซึ่งองค ความรูดังกลาว มีดังนี้ (1) ระบบความรูในการจัดการทรัพยากรน้ําของชุมชน การจัดการน้ําเพื่อการทํานาปรัง พื้นที่ทามของชุมชนหนองแค-สวนสวรรค และอีกหลายชุมชนในลุมน้ํามูน แหงนี้ ถือวาชาวบานไดประยุกตเอาเครื่องมือสมัยใหม คือ การสูบน้ําดวยเครื่องยนตมาใช อยูบนฐานระบบความรู ดั้งเดิมเกี่ยวกับธรรมชาติ ทั้งเรื่องเกี่ยวกับน้ําฝน, ระบบนิเวศทาม, พันธุกรรมขาว และภูมิปญญาในการทํามาหากิน อันหลากหลาย ในระบบนิเวศทาม อันจะไดกลาวไปเปนลําดับถึงภูมิปญญาเหลานี้ ดังนี้
132
ชลประทานชุมชนในพื้นที่บุ่งทามลุ่มน้ํามูนตอนกลาง บ้านหนองแค – สวนสวรรค์ / สนั่น ชูสกุล
(1.1) ความรูเกี่ยวกับการพยากรณน้ําฝน จากประสบการณของคนลุมน้ําที่อยูกับการเปลี่ยนแปลงของ สายน้ํามาตลอดชีวิต สามารถหยั่งรูฤดูกาลไดวาปนี้น้ําจะทวมหรือไม สภาพอากาศในแตละฤดูเปนเชนไร ผูรูใน ชุมชนกลาววา ความรูตาง ๆ เหลานี้ไดมาจากการสังเกตสภาพธรรมชาติแวดลอม ซึ่งไดถายทอดใหคนรุนหลังไดใช ใหเปนประโยชนตอมา ซึ่งจากการศึกษา พบวา มีความรูเกี่ยวกับน้ําจํานวน 17 ลักษณะ เชน "ตนไผ" หากปไหน หนอมันขึ้นทวมหัวแม ปนั้นน้ําจะมาก คือ หนอไม หรือหนอไผที่กลายเปนลําออนขึ้นใหมในปนั้น ๆ สูงกวาลําเดิมที่ มีอยูในกอ, "ดอกมะมวงและ ดอกผักกระโดนน้ํา" จะสังเกตเฉพาะตนที่ขึ้นในปา ไมมีการบํารุงดูแลรักษา สังเกตได 2 แบบคือ การออกดอก หากมีดอกทั้งตนสม่ําเสมอทั้งตนแสดงวาปนี้ฝนดี แตถาเปนดอกแคขางเดียว ขางใดขาง หนึ่งของลําตน แสดงวาฝนจะดีแคครึ่งป ซึ่งอาจจะเปนตนปหรือปลายป และแบบที่สอง สังเกตจากชอดอก หาก ปนี้ชอดอกยาวแสดงวาฝนดี แตถาชอดอกสั้นแสดงวาฝนไมดี เปนตน (ดูรายละเอียดความรูการพยากรณน้ําฝน ภาคผนวก) ปจจุบัน สิ่งเหลานี้กําลังเลือนหายไปจากชุมชน ซึ่งมีคําอธิบายของผูเฒาวา “สิ่งแวดลอมมันเปลี่ยนไป” ตนไม พืชพันธุพื้นบานเคยอยูกับธรรมชาติ คนเราก็พากันไปตัดทําลาย แลวนําสายพันธุใหมมาปลูก เชน มะมวง ทุกวันนี้สังเกตไมได เพราะตนมะมวงไดรับการบํารุงใสปุยอยางดี และสิ่งแวดลอมอยางอื่นก็เปลี่ยนไป เพราะการ กระทําของมนุษยและธรรมชาติ สัตว ตนไม ตางแปรปรวน เพราะการนําสารเคมีเขามาใช และนําเครื่องจักรเขา มาบุกเบิกพื้นที่ แมน้ําถูกตัดขาดเปนตอน ๆ ดวยเขื่อนมาสรางกั้นทางเดินของน้ํา ฤดูกาลมันไมแนนอน น้ําอยาก มาตอนไหนก็มา ทวมนาขาวเสียหายหมด ชาวบานเตรียมตัวไมทัน ไมเหมือนสมัยกอน ชาวบานสามารถสื่อสาร กับเทวดาไดอยางแมนยํา โดยสังเกตจากสิ่งตางๆ ที่กลาวมาขางตน และจัดเตรียมแผนการผลิตไดอยางสอดคลอง ไมเคยมีปญหา ผูเฒาแหงลุมน้ํายืนยันวา ภูมิปญญาในการทํานายฝนฟา 17 ขอขางตน ในชวงชีวิตของพวกเขาหรือ ระยะเวลาเกือบ 80 ปที่ผานมานั้น มีความแมนยําถึง 95 % ภูมิปญญาเหลานี้เกิดขึ้นจากการเฝาสังเกต บันทึก ขอมูลไวในสมองของแตละคนและในความทรงจํารวมกันของคนในชุมชนปแลวปเลา บางอยางถูกปรุงแตงขึ้นเปน พิธีกรรมรวมของคนในชุมชนในทองถิ่น (1.2) ความรูเกี่ยวกับทางเดินน้ํา, ฤดูน้ํา การจัดการน้ําของชุมชน ชาวบานไดใชภูมิปญญาที่เขาใจ รูจัก ระบบภูมิศาสตรของพื้นที่และระบบการไหลเวียนของน้ําเปนอยางดี ที่เห็นไดชัดคือ การขุดคลองสงน้ําและสามารถ ทดน้ําจากจุดหนึ่งไปสูพื้นที่ทํานาที่อยูไกลออกไปได เพราะชาวบานรอบรูสภาพพื้นที่เปนอยางดี รูระดับสูง-ต่ําของ ที่ดิน จึงขุดตามสภาพของพื้นที่ ฤดูและการไหลของน้ําในแตละฤดู เปนดังนี้ - ฤดูแลง ระหวางเดือน ม.ค.–เม.ย. (ชวงที่น้ํานอยที่สุด) ตามกุด ตามหนอง จะมีน้ําขังอยูบาง แลวคอย ๆ แหงขอด บางแหงมีน้ําขังตลอดป เชน หนองแค กุดหวาย กุดปราการ - ฤดูฝน ระหวางเดือน พ.ค.–ส.ค. (ชวงที่น้ําฝนเริ่มมา) ตามกุด ตามหนอง จะมีน้ําขังตั้งแตระดับครึ่งเขา จนถึงระดับหนาอก เมื่อน้ําฝนจากทาบาน และที่โนนไหลมารวมใน กุด หนอง โดยมีสองกุดสําคัญที่เปนที่รองรับน้ํา คือ กุดปราการ และ กุดนอย ซึ่งมีทิศทางการไหลของน้ําเปนลักษณะจําเพาะพื้นที่ดังนี้ ตัวอยางเชน ระบบน้ํา บริเวณกุดปราการ ทางน้ําสายที่ 1 เริ่มจากกุดแขลอยไหลลงสูกุดขอน (บานสวนสวรรค) ไหลไปตามฮองกุดขอน ลงสูกุดปราการ ทางน้ําสายที่ 2 เริ่มจาก น้ําที่ทะลักจากหนองทม-กุดหวาย ไหลมาตามทํานบฮองอโศก ลงสูกุด 133
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน
ปราการ ทางน้ําสายที่ 3 เริ่มจากน้ําที่ทะลักจากหนองไฮ หนองหมอแกง ไหลลงสูหนองสาง และหนองเรือไหลไป ตามฮองหนองสาง ลงสูหนองควายเฒา และบรรจบกับกุดปราการ ทางน้ําสายที่ 4 เริ่มจาก น้ําที่ไหลมาจากหนองผี ปอบ–หนองทม–หนองสะเทือน ทางทิศเหนือของหมูบานลอดผานทอใตถนนราดยาง ไหลลงสู หนองแคลงสูหนอง ควายเฒา และกุดปราการ เมื่อน้ําจากทุกทางมารวมกันในกุดปราการแลว ก็จะทําใหเออลน ไหลลงสูแมน้ํามูน ในทางน้ําสายอื่นๆ ก็เปนเชนเดียวกัน ชาวบานลวน “หลับตาเห็นวาน้ําฤดูไหนจะมากจะนอยหรือหลากทวมจาก ไหนไปไหน - ฤดูน้ําหลาก ระหวางเดือน ก.ย.–พ.ย. (ชวงที่น้ําเยอะที่สุด) เมื่อน้ําทุกสายรวมกันที่กุดปราการแลว น้ํา จากแมน้ํามูนก็จะหลากเขามาสมทบอีกทางหนึ่ง น้ําจะตรึงกันและหลากไปตามกุดหนองตางๆ ไหลหลากไปตามที่ ลุมของที่โนน ทวมกระจายเต็มพื้นที่ทาม ซึ่งจะขึ้น ๆ ลงๆ ในแตละเดือน ตามแรงหนุนของน้ํามูน หรือแมน้ําสาขา ความรูเกี่ยวกับการพยากรณน้ําฝนและฤดูกาล ระดับการหลากทวมของน้ํานี้ เปนตนทุนสําคัญในการ คิดคนระบบการผลิต และการตัดสินใจทําการผลิตในแตละป โดยเฉพาะการทํานารูปแบบตางๆ ในพื้นที่ทามซึ่งปก ดําในเดือน 5 เดือน 6 และเก็บเกี่ยวใหทันกอนฤดูน้ําหลากทวม ระบบการผลิตนี้ผูมีชุดความรูเกษตรกรรมแผนใหม ไมเขาใจ (1.3) ความรูในเรื่องดินทาม พื้นที่ทามจะมีดินที่มีลักษณะเปนดินเหนียวปนดินรวนและดินทราย ซึ่งเปน ดินที่มีความอุดมสมบูรณสูง เนื่องจากในฤดูน้ําหลากพื้นที่ทามน้ําจะทวมถึงทุกป แมน้ําจะนําเอาตะกอนดินซึ่งมี อินทรียวัตถุมาสะสมไวมากมาย เหมาะในการเพาะปลูกเปนอยางยิ่ง และที่สําคัญ ชาวบานตางรูกันดีวา ดินทามนั้น มีคุณสมบัติเปนดาง (รสเปรี้ยว) เมื่อผสมกับน้ํากรอยที่สูบจากแมน้ํามูน (กรอยออกเค็ม) ก็จะทําใหมีสภาพเปน กลาง ซึ่งไมเปนอันตรายตอตนขาว และตางไปจากการทํานาปรังในนาโคกหรือนาในที่สูงซึ่งเปนดินทรายเมื่อสูบน้ํา จากแมน้ํามูนมูนไปใช ตองประสบกับปญหาดินเค็ม กอความเสียหายใหกับไรนา ชาวบานรูดีวาคุณภาพของดินทามซึ่งเกิดจากตะกอนแมน้ํานั้นมีอินทรียวัตถุที่สมบูรณ การเพาะปลูกใน พื้นที่นี้จึงไมตองใสปุยหรือใสแตนอยก็ไดผลผลิตสูง อีกประการหนึ่ง การกระจายน้ําของชุมชนไมจําเปนตองกอสรางเปนคลองคอนกรีต เพราะชาวบานมี ความรูเกี่ยวกับพื้นที่ดินทามวาเปนดินเหนียวอุมน้ํา ทําใหกระจายน้ําไดเต็มเม็ดเต็มหนวย รวมทั้งไรปญหาเรื่อง ดินเค็ม เพราะรูวา ดินเหนียวอุมน้ําไวไดนานโดยแสงแดดไมสามารถเผาผลาญหนาดินจนเกลือที่อยูใตน้ําแผ กระจายหรือผุดขึ้นมายังหนาดินใหเปนอันตรายตอการเพาะปลูก (1.4) ความรูเรื่องพันธุกรรมทองถิ่น การทํานาทามของชาวบาน ชาวบานมีการใชพันธุกรรมพื้นบานที่ สอดคลองและเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ เปนการผสมผสานกันมีการใชพันธุที่มีความหลากหลายตามพื้นที่และการใช ประโยชน การทํานาดวยพันธุขาวบางชนิดจึงตองทําไวเพื่อใชงานประเพณี พิธีกรรม บุญประจําป บุญประจํา ครอบครัวของแตละชุมชน ปจจัยที่มีผลตอการผลิตของชาวบานอีกประการหนึ่งคือ ความเปนชาติพันธุของคน ทองถิ่น คนในชุมชนทั้ง 3 หมูบาน มีชาติพันธุผสมผสานระหวาง คนลาว คนเยอ คนกวย และรับประทานขาวเจา เปนขาวหลักของครอบครัว ทําใหชาวบานใชพื้นที่ปลูกขาวเจามากกวาขาวเหนียว 134
ชลประทานชุมชนในพื้นที่บุ่งทามลุ่มน้ํามูนตอนกลาง บ้านหนองแค – สวนสวรรค์ / สนั่น ชูสกุล
จากการศึกษาพบวา พันธุขาวพื้นบานที่เปน พันธุขาวเจา 14 พันธุ เชน ขาวลูกปลา ประโยชนทําขนมจีน เพราะเสนจะเหนียวดี ลักษณะเมล็ดพันธุมีขนาดเล็ก มีสีแดง หุงขึ้นหมอ หุงดวยหมอดิน เปนขาวหนัก ขาวปลา สรอย ประโยชน ทําขนมจี น ลั กษณะเมล็ ดพัน ธุมีขนาดเล็ก มีสี คล้ํา ๆ จะมีก ลิ่น หอม เปน ขาวหนัก ขาวสมั น ประโยชนทําขนมจีน ลักษณะเมล็ดพันธุมีขนาดเล็ก สั้นๆ มีสีขาว เปนขาวหนัก เก็บเกี่ยวชวงปใหมเดือน 3 เปน ตน พันธุขาวเหนียว 23 พันธุ เชน ขาวดอขาวปลูกในนาโคกจะไดผลดี ขาวน้ําผึ้งแดงเมล็ดมีสีขาวตนมีสีแดงมี กลิ่นหอม ขาวบองแอวเมล็ดมีสีแดงโคง ๆเมล็ดสีขาวขนาดยาวมีกลิ่นหอม ขาวเหลืองบุญมาเมล็ดมีสีแดงเหมือน ขาวเหนียวมะลิ เปนขาวเบา เปนตน ปจจุบันพันธุขาวสวนใหญ ไดสูญพันธุไปหมดในชวงที่รถไถนาเดินตามเขามา และการปรับเปลี่ยนการผลิตเพื่อขายมากขึ้น นอกจากนี้ชาวบานยังมีภูมิปญญาในการแปรรูปขาวที่ เรียกวา “ขาวยาดน้ํา” (แยงน้ํา) หรือ ขาวที่ตองรีบ เก็บเกี่ยว เพราะน้ําแกงหลากทวม โดยการนําขาวนั้นมาทําเปน ขาวเมา และ ขาวฮาง ขาวทั้ง 2 ชนิดนี้มีความ แตกตางกันคือ ขาวฮางเมล็ดจะแกกวาขาวเมา ขาวฮาง วิธีการทําคือ จะเอาขาวเปลือกมานึ่งแลวมาตากแดดให แหง ถาไมมีแดดจะกอไฟยางใหแหงภาษาชาวบานเรียกวา “ฮาง” พอแหงจะเอาขาวเปลือกไปตําหรือไปสี ได เปนเมล็ดขาวสาร เอาไปแชน้ําประมาณ 1 ชั่วโมง แลวนําไปนึ่ง ที่กนหวดซึ่งเปนภาชนะในการนึ่งขาวจะเอา เปลือกหอยรองไวกอนเพื่อไมใหไอน้ําขึ้นมาหาขาวมากเกินไป เพราะจะทําใหขาวแฉะได ทําใหขาวขางบนไมสุก สวนขาวเมา คือ ขาวที่ยังไมแกเต็มที่ โดยเอามาคั่วใหสุกแลวเอาไปตําเอาเปลือกออก ขาวจะมีสีเขียว ๆ หอม ชาวบานจะนําไปถวายพระ ในชวงของการทํา การตําขาว ชาวบานจะออกมาชวยกันตําดวยกันหลายคน ทําใหคน บานใกลเรือนเคียงไดพูดคุยกัน หนุมสาวมีโอกาสพบปะกัน พันธุขาวที่ชาวบานใชในปจจุบันเปลี่ยนไปตามสภาพเศรษฐกิจ นาทุงหรือนาในที่ทําในที่สูงรอบหมูบาน สวนใหญปลูกขาวหอมมะลิเพื่อขายและบริโภคเองบาง สวนนาในพื้นที่ทาม เชนนาปนาแซงยังคงใชขาวพันธุ พื้นบาน เพราะมีธรรมชาติที่เหมาะสมกับสภาพนิเวศและความรูดั้งเดิมที่ชาวบานมีอยู ในการผลิตฤดูการผลิตนา ปรั ง ป 2552 นี้ เกิ ด การค น พบครั้ ง ใหญ ข องชาวบ าน มี ก ารนํ า เอาพั น ธุ ข า วชั ย นาทและปทุ ม ธานี ม าใช ใ นการ เพาะปลูก แลวไดผลผลิตถึงไรละมากกวา 1,000 กิโลกรัม โดยปกตินาในพื้นที่ทามจะไดผลผลิตประมาณไรละ 600700 กิโลกรัม ซึ่งสูงกวาคาเฉลี่ยของผลิตขาวในภาคอีสานซึ่งอยูประมาณ 350 กิโลกรัมตอไร เกิดการเรียนรูใหมใน หมูชาวบานแหงปาทามลุมน้ํามูนวาเปนความเหมาะสมของพันธุขาวดังกลาวกับสภาพดินน้ําของพื้นที่ทามจึงได ผลผลิตดี และตอนี้ไป พันธุขาวทั้งสองนี้คงจะไดรับความนิยมจากชาวลุมน้ํามูนในระดับซุปเปอรสตารเปนแน (1.5) ความรูในเรื่องการทํานาทาม การทํานาทาม เปนการทํานาทุกประเภทแตเปนการใชพื้นที่ทาม ทํานาชาวบานจึงเรียก “นาทาม” ในอดีตการทํานาทามจะมีชื่อเรียกการทํานาออกเปน นาป (นาหนอง) นาแซง ขาว ไร การทํานาในอดีตเปนการทํานาแบบรอฝนในชวงฤดูการทํานาซึ่งวาเสี่ยงตอการเกิดน้ําทวมนาขาวทําใหเก็บเกี่ยว ไมทัน ความรูในเรื่องการทํานาของชาวบานมีความเกี่ยวของและจะแตกตางกันตาม 1) สภาพพื้นที่ (สูง หรือต่ํา) 2) ปริมาณน้ํา 3) ชนิดของพันธุขาว และ 4) ชวงเวลาในการเพาะปลูก ดังนี้ - ปลูกขาวไร ในอดีตการปลูกขาวไร จะปลูกขาวในชวงเดือน 5 - 6 มีการเตรียมพื้นที่โดยถางปาแลวจุด ไฟเผา จากนั้นก็ใชเสียมสักเปนหลุมเพื่อหยอดเมล็ดขาว เก็บเกี่ยวขาวนาไร ในเดือน 9 - 10 กอนที่น้ําแกงตาม ธรรมชาติจะขึ้นมาทวมนาขาว จนกระทั่งในป พ.ศ. 2535 ชาวบานเลิกปลูกขาวนาไรเนื่องจากเจอปญหาน้ําทวม 135
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน
แบบเฉียบพลันตั้งแตมีเขื่อนราษีไศล เปนน้ําทวมที่ไมไดเกิดจากน้ําแกง (น้ําหลาก) ตามฤดูธรรมชาติและ นอกเหนือจากชุดความรูที่คนในทองถิ่นคุนเคยจึงกอใหเกิดความเสียหายตอผลผลิตทางการเกษตรเปนจํานวนมาก - นาปรัง เปนการทํานานอกฤดูทํานาป โดยอาศัยพื้นที่ใกลแหลงน้ําโดยใชน้ําจากแหลงน้ําเขามาชวยใน การปลูกขาว การทํานาปรังจะทํากันในเดือน มีนาคม–พฤษภาคม นาปรังเริ่มทําในป พ.ศ. 2522 ในปพ.ศ. 2536 เกิดปญหาน้ําทวมจากเขื่อนราษีไศลเก็บน้ํา ทําใหผลผลิตจากการทํานาป (นาทาม) ไดรับความเสียหายจนไมได เก็บเกี่ยวขาว ชาวบานจึงไดหันนาปลูกขาวนาปรังเปนการทดแทน การทํานาปรังจะเริ่มจากเตรียมพื้นที่ไถที่นาให เทากัน โดยเหลือปาหัวไรปลายนาไวเล็กนอย จากนั้นในเดือน 2 เริ่มมีการตกกลาเตรียมไวเพื่อนําไปปกดํา เดือน 3-4 ถอนตนกลามาปกดําในนาขาว การดูแลรักษานาขาวหลังจากดํานาเสร็จประมาณ 1-2 อาทิตย จะใส ปุยในนาขาวและหวานยาฆาปู หนอน เพลี้ย เดือน 7 เปนชวงของการเก็บเกี่ยวขาวนาปรัง พันธุขาวที่ใชในการทํา นาปรังขาวเจาพันธุ กข.7 กข. 5 ขาวเหนียวพันธุน้ําผึ้ง และ กข. 23 (มีเมล็ดคลายกับดอกมะลิ) - นาปหรือนาหนอง เปนการทํานาในฤดูฝนที่อาศัยน้ําฝนในการทํานา นาปจะใชพันธุขาวที่สุกเร็วใชเวลา นอยในการปลูก เพราะตองทํานาในชวงที่มีฝนตกน้ําขังในที่นา ตองรีบเก็บเกี่ยวเนื่องจากพอน้ําขึ้นจากน้ํามูนแลว จะทําใหขาวที่ปลูกไวเสียหายจากน้ําทวม ปจจุบันชาวบานรองอโศกไมไดทํานาปแลว นาป เปนนาที่อยูตามฝงกุด ตามหนอง ในเดือน 5 (เดือนเมษายน) เริ่มมีการปลูกขาว โดยตกกลาในหนอง กุด เดือน 6 ถอนตนกลาเพื่อ นํามาปกดํา เดือน 10-11 เก็บเกี่ยวขาวนาปตองเก็บเกี่ยวกอนที่น้ําแกงตามธรรมชาติจะขึ้นมาทวมนาขาว พันธุ ขาวที่ใชในการปลูกเปนขาวเหนียวพันธุดอลาว, น้ําผึ้ง, แมมิ้น, ดอกดู ปจจุบันชาวบานไดเลิกทําขาวนาป เนื่องจากเกิดปญหาน้ําทวมแบบฉับพลันทําใหไมไดเก็บเกี่ยวขาวนาป ชาวบานจึงไดหันมาทํานาปรังแทน - นาแซง เปนการทํานาเหมือนกับนาปทุกประการ อาจแตกตางกันบางในเรื่องพันธุขาวที่เลือกใชในการ เพาะปลูก ทําในเดือน 1-2 ในบริเวณบวก หนอง ที่มีน้ําเพียงพอ - นาป เปนการทํานาในฤดูทํานาปกติ นาปสวนมากจะทําในพื้นที่ที่มีน้ําขังเพียงพอตอการทํานาในชวง ตั้งแตเดือน มิถุนายน–พฤศจิกายน โดยระดับน้ําเสมอตนเสมอปลายคือไมใกลกับแมนํา้ ตาง ๆ พื้นที่สวนมากจะเปน ทุงกวาง ๆ พันธุขาวสวนมากจะเปนพันธุขาวตาง ๆ โดยเฉพาะขาวหอมมะลิที่ใชเวลาในการสุกนาน นาป (นาบาน/ นาทุง) สําหรับคนที่ทํานาดํา จะเตรียมไถนาฮุดไว และเตรียมไถนาเพื่อตกกลาในเดือนมิถุนายน ตกกลาเพื่อนําไป ปกดําในพื้นที่ที่เตรียมไว การดูแลรักษาตนกลาโดยใสปุยใหตนกลาแข็งแรงและโตเร็ว เดือนกรกฎาคม ถอนตน กลามาปกดําในนาขาว การดูแลรักษาตนขาวหลังจากปกดําเสร็จจะใสปุย 2 รอบ ใสปุยรอบแรกประมาณ 2 อาทิตยหลังจากปกดําเสร็จ ใสปุยรอบที่ 2 ในชวงที่ตนขาวแตกกอพรอมที่จะออกรวง ดูแลเรื่องน้ําในนาขาวใหมี น้ําพอเพียงสําหรับตนขาว ดูแลโรคที่มากับตนขาว ดูแลศัตรูของตนขาวเชน ปู เพลี้ย หญา เดือน 12-2 เปน ชวงการเก็บเกี่ยวขาว ในปจจุบันชาวบานไดเปลี่ยนจากการทํานาแบบดํานา มาเปนการทํานาแบบนาหวานมาก ขึ้น เนื่องจากการทํานาแบบนาดําจะใชแรงงานเยอะ ใชเวลานาน คาจางแพงตั้งแตมีการจางดํา จางไถ สวนการ ทํานาแบบนาหวานจะไมมีขั้นตอนการตกกลาและนําตนกลามาปกดํา จะหวานขาวเพียงครั้งเดียวจนถึงขั้นตอนการ เก็บเกี่ยว แตตองมีการดูแลเปนพิเศษในเรื่องหญาที่เกิดขึ้นพรอมกับตนขาว
136
ชลประทานชุมชนในพื้นที่บุ่งทามลุ่มน้ํามูนตอนกลาง บ้านหนองแค – สวนสวรรค์ / สนั่น ชูสกุล
• ปจจัยดานวัฒนธรรมชุมชน ระบบสิทธิของชุมชน “ชุ ม ชน” เป น ที่ ที่ ค นอยู ร ว มกั น อย า งมี ค วามผู ก พั น มี ค วามเอื้ อ เฟ อ เกื้ อ กู ล แบ ง ป น เป น สายใยยึ ด โยง โดยเฉพาะชุมชนดั้งเดิมจะมีสายสัมพันธของเครือญาติเปนหลักยึดที่เหนียวแนน เมื่อมีความขัดแยงภายในก็ยอมมี กลไกและกระบวนการเพื่อไกลเกลี่ย ตัดสินกันอยางเปนธรรมและกรณีที่ชาวชุมชนเผชิญทุกขภัยที่เกิดมาจาก ภายนอกก็จะมีการรวมกันตอตาน ตอสู ชุมชนจึงไมใชที่อยูรวมกันของปจเจกชน แตเปนที่อยู “รวม”ดวยความ รับผิดชอบซึ่งกันและกันแบบรวมหมู มีความเปน “พวกเดียวกัน” และมีเปาหมายที่จะอยูรอดรวมกัน แตละชุมชนจึงมีแบบแผนในการทํามาหากิน การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ แบบแผนในการดํารงชีวิต แบบแผนความเชื่อ พิธีกรรม ประเพณี การดูแลความปลอดภัย ความสงบสันติ การปกครอง ระบบยุติธรรม ระบบ ดูแลดานสุขภาพอนามัย แบบแผนในการเรียนรู การถายทอดความรูสูคนรุนหลัง แบบแผนในการตอสู ตอรองกับ อํานาจภายนอก เหลานี้ เรียกวาเปน “วัฒนธรรมชุมชน” สวน “สิทธิชุมชน” นั้นหมายเนนที่แบบแผนความสัมพันธ เชิงอํานาจระหวางมนุษย ซึ่งอาจกลาวไดวาเปนสวนหนึ่งในวัฒนธรรมของชุมชน กลาวไดวาความสําเร็จของระบบชลประทานชุมชนของชาวบานหนองแค-สวนสวรรค ที่สามารถจัดการ ทรัพยากรดินน้ําใหเกิดประสิทธิภาพและมีความตอเนื่องมา 30 ปไดนั้น เปนเพราะมีฐานของพลังชุมชนที่มีความ กลมเกลียว สามัคคี มีการจัดสรรแบงปนประโยชนกันอยางลงตัวและเปนธรรม มีการจัดตั้งกันเปนกลุม พัฒนา ระบบบริหารโดยอาศัยระบบดั้งเดิมของชุมชนผสมผสานกับระบบสมัยใหม เชน การเลือกประธานและกรรมการ กลุมจากคนที่เคยพิสูจนตัวเองในการแกปญหา มีความรับผิดชอบ มีบารมี อาศัยความเชื่อและพิธีกรรมดั้งเดิมของ ชุมชนเปนเครื่องสรางศรัทธาในการรวมกลุม ทั้งเรื่องผีปูตา ตาแฮก ขณะที่วิธีบริหารภายในมีการกระจายขาวสาร การสรางการมีสวนรวมกันอยางทั่วถึง เมื่อมองอีกดานหนึ่ง กรณีมีความขัดแยงเกิดขึ้นในกลุม และความขัดแยงระหวางกลุมกับภายนอก เราจะ สามารถมองเห็นกระบวนการ กลไกในการแก ปญหากัน เองอยางเดน ชัด โดยเฉพาะในกรณีศึ กษานี้ได ศึกษา กระบวนการ กลไก เหลานี้ของชุมชนไวอยางละเอียด ซึ่งจะนํามากลาวพอสังเขป คือ - กรณีความขัดแยงภายในชุมชน ที่เปนขอขัดแยงระหวางสิทธิบุคคลกับสิทธิบุคคล มักจะใชกระบวนการ การเวาความ (เจรจา) แบบเผชิญหนา โดยมีคนกลางเปนผูหลักผูใหญในชุมชนหรือผูที่ทั้งสองฝายตางใหความ เคารพยํ าเกรงเปน ผูดํ าเนิน การเวาความเพื่ อหาข อยุ ติข องขอ พิพ าท หากขอ พิพ าทที่ก อใหเ กิด ความเสี ยหาย ฝายละเมิ ดอาจจะตอ งชดใช คาสิน ไหม(ค าปรับ )ชดใช ดวยอะไร เปน จํา นวนเทาใดนั้ นจะขึ้ น อยูกั บขนาดความ เสียหาย และฐานะความเปนอยูของผูถูกปรับไหม ซึ่งอาจจะเปนเงิน สิ่งของสัตวเลี้ยง หรือบางครั้งปรับไหมเปน แรงงานก็เคยมี - กรณีความขัดแยงภายในชุมชนที่เปนขอขัดแยงในการละเมิดสิทธิชุมชนและสิทธิสาธารณะ เชน การบุก รุกแผวถางปาชา ปาดอนปูตา การถมบอน้ําตื้นที่ยังมีการใชประโยชนอยู หรือการใชประโยชนที่กอใหเกิดความ เสียหายตอสิทธิสาธารณะอันเปนประโยชนสวนรวม เชน การเบื่อปลา การเผาปา กระบวนการในการแกไขปญหา ในกรณีเชนนี้จะกระทําในลักษณะการไตสวนสาธารณะ คือ มีผูเฒาผูแก ผูที่คนในหมูบานเคารพ ผูใหญบาน หรือ 137
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน
คณะกรรมการหมูบานเปนคณะดําเนินการไตสวนทามกลางญาติพี่นองของผูละเมิดและผูที่มีสวนไดสวนเสียจากผล ของการละเมิดกรณีนั้นๆ อาจจะมีการปรับไหม และสินไหมนั้นตกเปนทรัพยสวนรวมของชุมชน - หากกรณีละเมิดเปนการละเมิดตอระบบความเชื่อ (ละเมิดหรือเปนการลบหลูตอสิ่งที่คนในชุมชนเคารพ) ก็จะใหผูละเมิด “แตงแก” (ขอขมาลาโทษ) กระบวนการบังคับเพื่อใหเปนไปตามมติของการไตสวนเปนกระบวนการ ทางสังคมของชุมชน ผูที่ขัดขืนไมปฏิบัติตามอาจจะถูกเพิกเฉยหรือถูกลิดรอนสิทธิ์ตามจารีตประเพณีในดานอื่นๆ เชน การเขารวมในการประกอบพิธีกรรมที่สําคัญของชุมชน เปนตน - กระบวนการแกไขปญหาในกรณีที่เปนขอพิพาทกับภายนอกชุมชน(ในที่นี้คือการกอสรางเขื่อนราษีไศล และเขื่อนหัวนาที่จะกอผลกระทบตอพื้นที่การทําชลประทานชุมชนของชาวบาน) ซึ่งกอใหเกิดผลกระทบตอระบบ สิทธิตามจารีตประเพณีทั้งระบบ เชน ผลกระทบจากโครงการพัฒนาขนาดใหญของรัฐ คนในชุมชนเกิดกระบวนการ เรียนรูและตอสูเพื่อ “ยืนยันสิทธิ” ตามจารีตประเพณี ดวยกระบวนการรวมกลุมเพื่อสรางอํานาจในการตอรองและทา ทายระบบสิทธิโดยรัฐ และมีความหลากหลายในแนวทางการตอรองกับสิทธิโดยรัฐ เชน การรวมตัวกับกลุมปญหา อื่นในสมัชชาคนจน การประทวง การขุดคุย ศึกษาหาขอมูลที่แทจริงนําตีแผสูสาธารณะชน การประสานองคกร ภายนอกชุมชนเพื่อรวมเปนพันธมิตร เปนตน นอกจากนั้น ในรายละเอียดของ “ระบบสิทธิชุมชน” ยังมีระบบกรรมสิทธิ์ที่ซับซอนหลายระดับ และมีความ ยืดหยุนเพื่อเปดโอกาสใหสมาชิกทุกคนของชุมชนสามารถเขาถึง ใชประโยชนในทรัพยากรอยางทั่วถึง เพื่อความ อยูรอดของทุกคน ทั้งที่ดินที่เปนกรรมสิทธิ์สวนบุคคลที่อยูบนหลักของผูมากอน เจาของมีสิทธิในการเพาะปลูก แต เป ดโอกาสใหสมาชิก อื่น ใชใ นการจับ สั ตว เลี้ย งสั ต ว และเก็ บ ผลผลิต ธรรมชาติ สิท ธิ การใชร วมในทรัพ ยากร สวนรวมรวมกันหรือสิทธิรวมของชุมชนโดยมีระเบียบกฎเกณฑที่ไมเปนลายลักษณอักษรกํากับอยู เชน พื้นที่ปาชา ปาดอนปูตา แหลงน้ําชุมชน โดยเฉพาะโครงสรางตางๆในการจัดทําชลประทานชุมชน และบางพื้นที่เปนพื้นที่ กรรมสิทธิ์ของรัฐ แตชาวบานสามารถเขาใชประโยชนได วัฒนธรรมชุมชนและระบบสิทธิชุมชนนี้ มักถูกละเมิดโดยหนวยงานภายนอกอยูเนืองๆ เปนเพราะมองไม เห็น หรือไมเห็นความสําคัญ โครงการจัดการน้ําโดยรัฐ เชนโครงการโขง ชี มูล โครงการอีสานเขียว กลายเปน โครงการที่ไมคุมคากับการลงทุน กอผลกระทบ เกิดความขัดแยงมากมาย เพราะไมคํานึงและไมเคารพตอวิถี ธรรมชาติและมองไมเห็นวัฒนธรรมชุมชน แตใชแผนงานของตนเปนตัวตั้ง นั่นเอง • การสนับสนุนจากรัฐและองคกรทองถิ่น การจัดการน้ําของชุมชนหนองแค-สวนสวรรค ถือวาเปนพื้นที่มีประสบการณในการประสานความรวมมือ กับรัฐและองคกรทองถิ่นมาตั้งแตเริ่มตน ซึ่งเปนเงื่อนไขสําคัญที่ทําใหชุมชนสามารถทํานาปรังตอเนื่องไดตลอด เกือบ 30 ปมาแลว การประสานรัฐงานกับรัฐหรือองคกรทองถิ่น เพื่อของบประมาณและเครื่องมือสนับสนุนการทํานาปรังของ ชาวบาน ผูนําหรือผูแทนของกลุมนับวามีความสําคัญอยางยิ่งในกระบวนการประสานกับภาครัฐ คุณลักษณะของ ผูนําหรือผูแทนกลุมนอกจากมีความสามารถและบารมีแลว มักตองพิจารณาดวยเสมอวาตอง “กลาเขาถึงเจาถึง 138
ชลประทานชุมชนในพื้นที่บุ่งทามลุ่มน้ํามูนตอนกลาง บ้านหนองแค – สวนสวรรค์ / สนั่น ชูสกุล
นาย” และจากการปฏิบัติจริงมาอยางตอเนื่อง เขาเกิดการเรียนรูระเบียบและขั้นตอนของราชการไดอยางแมนยํา บนจุดยืนของชาวบานที่มีสิทธิพึงมีพึงไดในระดับที่แนนนอน กระบวนการประสานราชการจึงเปนกระบวนการ เรียนรูในการเขาไปมีสวนรวมในการรับรูและการตอรองตลอดเวลา จากการรวมกลุมประสานกับ อบต. ทําให ชาวบานทราบวา กระบวนการประสานเปนแบบการตอรองเชิงอํานาจ (ในทองถิ่น) จะสามารถเขาถึงไดงายหากมี การรวมกลุมอยางมีพลังมีกระบวนการและมีเปาหมายในการรักษาไวซึ่งสิทธิที่พึงไดรับการพัฒนาสงเสริม ที่ผานมาการประสานของชุมชนหนองแค - สวนสวรรคไดรับความรวมมือเปนอยางดีจากหนวยงานรัฐทั้ง กรมชลประทาน องคกรปกครองสวนทองถิ่น เพราะถือวามีการชวยเหลือและสนับสนุนกันตอเนื่องทุกป แมบางปจะ มีปญหาเรื่ องความลาชา แตก็สามารถแกไขป ญหาได อาจจะนั บวาเปน การประสานความรวมมือที่ กลายเป น ประเพณีแลวระหวางรัฐกับชาวบานในพื้นที่นี่
สรุป : คุณคา คุณประโยชนและภาวะทาทายของชลประทานชุมชน ชลประทานชุมชนของชุมชนหนองแค-สวนสวรรค เปนการชลประทานขนาดเล็กที่เกิดจากความจําเปนใน การแกปญหาของชุมชนที่เผชิญหนากับภัยธรรมชาติรายแรง คือน้ําทวมใหญในป 2521 ชาวหนองแค-สวนสวรรคมี ตนทุนสําคัญอยูแลวคือ ทรัพยากรธรรมชาติทั้งแหลงน้ําธรรมชาติที่เพียงพอตอการจัดการจัดสรร เปนพื้นที่ทามที่มี เนื้อดินอุดมสมบูรณดวยตะกอนแมน้ํา ทั้งมีพืชพรรณและสัตวตางๆ ในพื้นที่ปาทามอยากหลากหลายที่ชาวบาน สามารถเก็ บ หาเพื่ อ การยั ง ชี พ ได ต ลอดทั้ ง ป ชาวหนองแค-สวนสวรรค เ ป น ชาวชุ ม ชนท อ งถิ่ น ที่ มี ร ากฐานทาง วัฒนธรรมที่เขมแข็ง และใชเปนฐานของการรวมกลุมในการจัดการชลประทานชุมชนไดเปนอยางดี ในกรณีนี้ มีการ สนับสนุ น เครื่อ งสู บน้ําจากกรมชลประทานและค าน้ํามัน เชื้ อ เพลิง จากองคก ารบริห ารสว นตําบล ส งผลให การ ชลประทานชุมชนดําเนินการไดตอเนื่องเปนเวลา 30 ปมาแลว เมื่อเปรียบเทียบกับโครงการชลประทานขนาดใหญทั่วไปของรัฐแลว การชลประทานชุมชนแหงนี้มีคุณคาที่ ควรกลาวถึง ณ ที่นี้ คือ 1. ดานเศรษฐกิจ ชลประทานชุมชนหนองแค-สวนสวรรคเกิดขึ้นเพื่อการมี “ขาวตอทอง”ของชาวบาน คือ บรรเทาความเดือ ดรอนจากภาวะน้ําท วม แม ตอมามีการดํ าเนิน การมาอยางตอเนื่อ ง แต ก็เปนการตอบสนอง เศรษฐกิจระดับครอบครัวประมาณ 200 ครอบครัวจาก 318หลังคาเรือนใน 3 ชุมชน ถือเปนระบบเศรษฐกิจแบบยัง ชีพของชาวนาจนหรือเกษตรกรรายยอยที่มีที่ดินจํานวนนอยเพียงรายละ 4-5 ไร ผลิตโดยแรงงานในครอบครัวและ เทคโนโลยีระดับกลาง เพื่อความอยูรอดของครอบครัวและชุมชน ชลประทานชุมชนหนองแค-สวนสวรรค มีความเหมาะสมคุมคาตอการลงทุนมากกวาการชลประทานขนาด ใหญ เชนการลงทุนดานโครงสรางที่เฉลี่ยลงทุนเปนเงินไรละ 783.30 บาทเทานั้น ขณะที่โครงการเขื่อนราษีไศลที่ สรางกั้นลําน้ํามูนหางออกไป 2 กิโลเมตร มีการลงทุนดานโครงสรางไรละ 25,305 บาท (ไมนับคาชดเชยที่ตองจาย มากกวาราคากอสรางและซอมบํารุง) ชลประทานชุมชนซอมบํารุงและดูแลโดยการลงแรงลงแขกของชาวบาน ไม ตองจางขาราชการและบริษัทรับเหมา ทั้งนี้ การสนับสนุนเครื่องสูบน้ําและเชื้อเพลิงโดยองคการบริหารสวนทองถิ่น ก็อยูในอัตราที่ไมสูงนักและอยูในวิสัยที่ราชการควรสนับสนุน ประชาชนควรไดรับสิทธิ์ 139
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน
และดวยการชลประทานนี้อยูในพื้นที่ทามที่มีดินเหนียวตะกอนแมน้ําเปนดินฐาน ความเหมาะสมในการทด น้ําโดยคลองดินที่ไมมีการระเหย ความพอดีของคากรดดางของดินน้ําเมื่อดินเปรี้ยวเจอกับน้ําเค็มกรอย ทําใหการ ทํานาปรังไดผลผลิตสูงกวาพื้นที่นาดินทรายทั่วไป และเมื่อใชพันธุขาวใหมในปนี้ก็ไดผลผลิตทะลุ 1,000 กิโลกรัม ตอไร จึงเปนเรื่องไรเหตุผลสิ้นดีที่จะมีโครงการสรางเขื่อนใชพื้นที่ทามเชนนี้ในการทําอางเก็บน้ํา สูบน้ําขึ้นที่สูงทํา นาปรังในพื้นที่นาดินทราย ขณะที่พื้นที่ทามในลักษณะนี้มีอยูในทุกลุมน้ํา ควรสนับสนุนสงเสริมชลประทานชุมชนใน ลักษณะนี้มากกวา 2. ดานการบริหารจัดการ ดวยเปนการจัดการน้ําขนาดเล็กไดประโยชนสูง ชาวบานสามารถจัดการดูแล เองไดตลอดทุกกระบวนการ สมาชิกมีสวนรวมและไกลเกลี่ยขอพิพาทของชุมชนเองได สามารถควบคุมเทคโนโลยี ถือเปนการทรัพยากรน้ําไดที่มีประสิทธิภาพ และมีความคุมทุนเนื่องจากเปนการเลือกพื้นที่ในการผลิตแบบจําเพาะ เจาะจง สามารถควบคุม จัดการ บํารุงรักษาใหสอดคลองกับสภาพเครื่องมือและสภาพภูมิประเทศได การจัดการน้ํา ของชุมชนหนองแค-สวนสวรรค ชาวบานไดใชภูมิปญญาที่เขาใจ รูจักระบบภูมิศาสตรของพื้นที่และระบบการ ไหลเวียนของน้ําเปนอยางดี การขุดคลองสงน้ําและสามารถทดน้ําจากจุดหนึ่งไปสูพื้นที่ทํานาที่อยูไกลออกไปได เพราะชาวบานรูวาพื้นที่ไหนต่ําพื้นที่ไหนสูง จึงขุดตามสภาพของพื้นที่และไมจําเปนตองเปนคลองคอนกรีตเพราะ พื้นที่ดินทามเปนดินเหนียวอุมน้ําทําใหไดน้ําเต็มเม็ดเต็มหนวย ทางดานการจัดการกลุม แมในระยะแรกๆ จะเปนการรวมกลุมแบบทางการ เปนโครงสรางการจัดการ สมัยใหมแบบราชการ ซึ่งสามารถระดมทรัพยากรและความรวมมือไดมาก ทั้งจากกรมชลประทาน องคการบริหาร สวนจังหวัด แตก็ไมมีการรวมศูนยอยูที่ผูนํากลุม เนื่องจากกระบวนการที่เปนที่มาการกอเกิดของโครงสราง ใช กระบวนการทางวัฒนธรรม ซึ่งเคารพในผูรูและความอาวุโสของผู “พาเฮ็ดพาทํา” และ “ผูพาทํา” จะพาทําอะไรได นั้น สมาชิกตองรับรูและเขาใจกระบวนการทั้งหมด ทําแลวนําไปสูอะไร ไดอะไร ดวยกระบวนการมีสวนรวมแบบ เสมอหนา คือปรึกษาหารือกัน (โสกัน) แบบเพื่อนบาน กระบวนการดังกลาวไมไดลดทอนอํานาจการตอรองของ กลุมลงแมแตนอย แตกลับเปนจุดแข็ง ในการเขาไปมีสวนรวม เชน การนําขอเสนอของกลุมนําไปเสนอยังองคการ บริหารสวนตําบลเพื่อขอรับการสนับสนุน หรือดึงใหเขามามีสวนรวม เชน การเชิญเจาหนาที่ชลประทาน หรือ นายกฯ อบต. เขารวมประชุมเพื่อรับทราบความตองการของกลุม เปนตน และเนื่องจากเปนกลุมที่มีความตองการ เหมือน ๆ กัน คือ การเขาไปจัดการทรัพยากรน้ํา อันมีรูปแบบวิถีการผลิตเหมือนกัน อยูในกลุมวัฒนธรรมเดียวกัน เปนทุนเดิมอยูแลว จึงสามารถสรางพลังการตอรองในระดับทองถิ่นไดในระดับหนึ่ง ดานการจัดสรร กระจายประโยชนแกสมาชิก ถือวามีความเสมอภาค ทั่วถึงและเปนธรรม สมาชิกทุกคนที่ ยึดถือกติกาเดียวกันจะไดรับการจัดสรรสวนแบงน้ําจนเพียงพอสําหรับการทํานาตลอดฤดู ทุกคนเสียสละและเต็มใจ ใหขุดคลองสงน้ําผานที่นาตนเองเพื่อทุกคนสามารถมีน้ําใชอยางเทาเทียม และเมื่อมีความขัดแยงก็มีกระบวนการ และกลไกในการเวาความ การไตสวน ไกลเกลี่ย ลงโทษหรือรอนสิทธิดังไดกลาวแลว ถือไดวากระบวนการดําเนินงานของกลุมนาปรัง หรือชลประทานชุมชนนี้ เปนกระบวนการเชิงรูปธรรมของ ประชาธิปไตยในระดับฐานรากโดยแทจริง ที่จะเปนแบบอยางของการจัดการสังคมสมัยใหมที่ผูคนโหยหาการ กระจายอํานาจ ซึ่งมักจะเปนการสรางความหมายที่เลื่อนลอย ติดอยูกับการสรางองคการบริหารที่ไรรูปธรรมเนื้อน้ํา 140
ชลประทานชุมชนในพื้นที่บุ่งทามลุ่มน้ํามูนตอนกลาง บ้านหนองแค – สวนสวรรค์ / สนั่น ชูสกุล
ของการพัฒนา ชลประทานชุมชนนี้เปนประชาธิปไตยที่ใกลตัว จับตองได กินได และประกอบสวนขึ้นดวยเนื้อหา ของสิทธิ เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ ตามหลักการของประชาธิปไตยอยางครบถวน 3. ดานสังคม การดําเนินการของชลประทานชุมชนเปนการสรางความสัมพันธระหวางสมาชิกชุมชน มี การประสานงานกันระหวางกลุมทํานาปรังวาจะทําชวงไหนเดือนใด การมีกิจกรรมทําดวยกันที่สอดคลองกับวิถีชีวิต คือเงื่อนไขเกิดการรวมกลุม กอเกิดกลุมองคกรขึ้น ทําใหคนมาพูดคุย ถกเถียง เสนอปญหา หาทางออกดวยกัน เกิดการอาศัยเกื้อกูลกัน รวมตอสูกับปญหาตาง ๆ ที่เกิดขึ้นไดอยางทันการณ การมีกลุมทําใหเกิดผูนําดานตางๆ เกิดขึ้น ซึ่งเปนการคัดเลือกผูนําอยางธรรมชาติ ทําเพื่อกลุม ทําเพื่อสวนรวม กลุมทํานาปรังทําใหเกิดความ สามัคคีขึ้นในหมูบาน จะทํากิจกรรมสาธารณะประโยชนอื่นก็งายขึ้น กลุมทํานาปรังจึงมีผลดีและเปนการสราง อัตลักษณของตนเองใหคนภายนอกไดรูจักในสิ่งที่กลุมกําลังทํา และสามารถเปนทางเลือกใหกับคนอื่นรวมเรียนรู เปนทางเลือกในการแกปญหา เปนองคความรูที่มีคุณคา ที่เปนการผลิตซ้ําและคนพบสิ่งใหม มีรูปธรรมจริง และ สามารถถายทอดใหคนรุนใหมและผูสนใจเรียนรูอื่นๆไดโดยงาย ตั้งอยูบนฐานของภูมิปญญาทองถิ่นที่เกิดจาก ความสัมพันธระหวางคนกับคน ชุมชนและสังคมที่อยูรวมกันอยางมีศักดิ์ศรี คนกับธรรมชาติที่อยูรวมกันอยาง กลมกลืน เคารพและไมทําลายลาง และคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติที่เปนเครื่องหลอเลี้ยงจิตวิญญาณและมีพลังใจใน การตอสูปญหา ตอสูสิ่งชั่วราย 4. ดานการอนุรักษฟนฟูระบบนิเวศ เนื่องจากการจัดการน้ําโดยชุมชนเปนการจัดการที่อยูบนพื้นฐาน การพึ่งพิงทรัพยากรธรรมชาติเปนหลัก เชน รูปแบบการจัดการที่ขึ้นอยูกับความสูง ต่ําของสภาพภูมิประเทศ และ การใชทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ ในระบบเดียวกันเปนปจจัยการผลิต (เชนไมทําดามจอบ เสียม เครื่องใชอื่นๆ ฯลฯ) จะพบวา เปนระบบการจัดการน้ําขนาดเล็กที่สอดคลองอยูกับระบบฐานทรัพยากรธรรมชาติทั้งระบบ เรื่องสําคัญประการหนึ่ง การใชประโยชนของมนุษยในพื้นที่ทาม จะถูกกํากับดวยกระบวนการเปลี่ยนแปลง ของฤดูกาลอยูแลว ในฤดูน้ําหลาก มนุษยตองหยุดกิจกรรมตางๆ ลง เหลือแตการจับสัตวน้ํา เปนฤดูแหงการสะสม ธาตุอาหาร ฤดูแหงการเพาะฟกชีวิตใหม การแพรขยายพันธุของพืชทาม เมื่อถึงหนาแลงจึงมีการใชพื้นที่ทํานาดวย ธาตุอาหารที่ธรรมชาติสั่งสมไวให ลักษณะการเชนนี้เปนกระบวนการที่เปดโอกาสใหธรรมชาติไดมีเวลาฟนตัว อีก ดานหนึ่ง สังคมชุมชนก็มีระบบ “สิทธิชุมชน”ในการกํากับดูแลการใชสอยทรัพยากรเชนเดียวกัน เปนการจัดการตาม แบบสิทธิจารีตประเพณี มีแนวคิดและกระบวนการที่เปนการจัดการ อนุรักษ และใชประโยชนที่เหมาะสม ไมทําลาย ลางดวย เชน การจัดการดวยสิทธิชุมชน (ปาชา ปาดอนปูตา แหลงน้ําชุมชน) เชนนี้ เปนการใชประโยชนจาก ทรัพยากรที่เปนประโยชนสูงสุดของคนรุนปจจุบัน แลวยังเปดโอกาสใหคนรุนตอไปไดใชประโยชนตอไปอยางยั่งยืน ทั้งนี้ทั้งนั้น มีภาวะทาทายที่สําคัญ คือ การที่สภาพนิเวศลุมน้ํากําลังถูกเปลี่ยนแปลงอยางรวดเร็ว โดยการ สรางเขื่อนทั้งตนน้ํา กลางน้ํา ปลายน้ํา ภาวะการไหลหลากของน้ําจะผิดแปลกไปจากธรรมชาติเดิมขึ้นเรื่อยๆ จะ เปนเงื่อนไขใหมนุษยบุกรุกเขาใชประโยชนอยางลางผลาญเพื่อตอบสนองความตองการที่ไมสิ้นสุดในยุคทุนนิยม บริโภคนิยม พรอมๆ กับการเขามาของเทคโนโลยีใหมๆ ที่สามารถเปลี่ยนสภาพของธรรมชาติไดในเวลาอันสั้น ขณะที่ “ระบบสิ ท ธิ ชุ ม ชน วั ฒ นธรรมชุ ม ชน” ก็ กํ า ลั ง ถู ก บ อ นเซาะด ว ยลั ท ธิ ป จ เจกนิ ย มของการเมื อ งแบบ ประชาธิปไตยตัวแทนอยางรุนแรง เชนนี้ ระบบชลประทานชุมชนที่เรากําลังพูดถึงนี้จะยืนยงอยูไดบนฐานของการ จัดการทรัพยากรของชุมชนทองถิ่นอยางยั่งยืน จึงอยูทามกลางภาวะทาทายที่สูงยิ่ง 141
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน
โดยเฉพาะพื้นที่ชลประทานชุมชนหนองแค-สวนสวรรคที่ถูกกําหนดใหเปนสวนหนึ่งของพื้นที่อางเก็บน้ํา เขื่อนหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ เขื่อนตัวที่ใหญที่สุดของโครงการโขง ชี มูล ชาวชุมชนแหงนี้มิไดนิ่งนอนใจหรือสยบ ยอม แตพวกเขากําลังแสดงสิทธิในการรวมกลุมตอตาน เรื่องจะจบลงอยางไร ยอมเปนตัวสะทอนคุณภาพของสังคม การเมืองไทยไดดีอีกบทหนึ่ง 5. อนาคต: สิทธิชุมชนในการจัดการน้ําและการเปลี่ยนแปลงที่จะมาถึง เนื่องจากขอจํากัดของระบบสิทธิโดยรัฐที่รับรองกรรมสิทธิ์ในทรัพยากรเพียง “ของรัฐ” และ “ของเอกชน” (บุคคล) โดยการรับรองสิทธิตามกฎหมาย ในไมชาไมนานจะมีการบังคับใช “พระราชบัญญัติทรัพยากรน้ําแหงชาติ” ซึ่งมีเปาหมายในการรวบอํานาจการจัดการสูศูนยกลาง และไมยอมรับสิทธิโดยจารีตประเพณีเขาสูกระบวนการมี สวนรวมในการจัดการ (การเขาถึง การใชประโยชน และการดูแลรักษา) ยอมจะกอใหเกิดความขัดแยงทั้ง 3 มิติที่ กลาวมาและกอใหเกิดผลกระทบและการละเมิดสิทธิโดยจารีตประเพณีระบบอื่น ๆ เชน สิทธิในภูมิปญญา ระบบ ความยุติธรรมและศีลธรรมในชุมชน โดยเฉพาะสิทธิในการอยูเปนชุมชน ในทิศทางการรวบอํานาจดังกลาวนี้ ระบบ สิทธิตามจารีตประเพณีจึงปะทะกับระบบสิทธิโดยรัฐ ตั้งแตระดับแนวคิดอุดมการณ กลไกทุกระดับ โดยเฉพาะ องคการบริหารสวนทองถิ่น ซึ่งอยูใกลชิดระบบสิทธิจารีตประเพณีมากที่สุด (ซึ่งอาจจะเกิดปญหาความขัดแยงใน ระดับทองถิ่นหากการบริหารการพัฒนาทองถิ่นโนมเอียงและรับใชสิทธิโดยรัฐเพียงระบบเดียวหรือมุงพัฒนาตาม ภาวะทันสมัย) อีกนัยยะหนึ่งนั้น เชื่อวาจะเปนการเพิ่มเชื้อแหงการตอสูและตอรองทางอํานาจ ทางความรู ในการ ปฏิบัติการใชสิทธิโดยจารีตประเพณี เพื่อยืนยันสิทธิของชุมชนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และระบบสิทธิ ตามจารีตประเพณีระบบอื่น ๆ ใหมีความเขมขนขึ้น เพราะชาวชุมชนทองถิ่นกําลังมีประสบการณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งดานการเห็นความลมเหลวของการพัฒนาที่ รวบอํานาจอยูสวนกลาง ความไรประสิทธิภาพและความไมเปนธรรมของระบบการเมืองแบบประชาธิปไตยตัวแทน และการลางผลาญทรัพยากรของระบบเศรษฐกิจทุนนิยม ที่สําคัญ พวกเขามีความกลาหาญขึ้นเรื่อยๆ ที่จะลุกขึ้นมา แสดงสิทธิอํานาจของตนเองเยี่ยงมนุษยที่มีศักดิ์ศรีเทาเทียมกับคนกลุมอื่นในสังคม
เอกสารอางอิง ดนุพล ไชยสินธุ และคณะ, 2547. สิทธิชุมชนทองถิ่น ภาคอีสาน. ดิรก สาระวดี และคณะ, 2550. รายงานผลการศึกษาวิจัย การศึกษาภูมิปญญาทองถิ่นและสถานภาพความรู การบริหารจัดการทรัพยากรน้ําในลุมน้ําชีตอนบน. โครงการศึกษาวิจัยการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา ในภาคตะวั น ออกเฉี ย งเหนื อ . คณะพหุ ภ าคี วิ จั ย มหาวิ ท ยาลั ย ขอนแก น และเครื อ ข า ยภาคี วิ จั ย ภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ. รุงวิชิต คํานาม และคณะ, 2548. รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ โครงการวิจัย การจัดการน้ําระบบยอยโดยองคกร ชุมชน กรณีการศึกษากุดขาคีม ตําบลกุดขาคม อําเภอรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร. สํานักงานกองทุน สนับสนุนการวิจัย. 142
ชลประทานชุมชนในพื้นที่บุ่งทามลุ่มน้ํามูนตอนกลาง บ้านหนองแค – สวนสวรรค์ / สนั่น ชูสกุล
วิเชียร เกิดสุข, ประสิทธิ ประคองศรี และ พัชรินทร ฤชุวรารักษ, 2551. รายงานผลการวิจัย ระหัดวิดน้ํา ภูมิ ป ญ ญาท อ งถิ่ น ลํ า น้ํ า ปะทาว ตํ า บลนาฝาย อํ า เภอเมื อ ง จั ง หวั ด ชั ย ภู มิ . สถาบั น วิ จั ย และพั ฒ นา มหาวิทยาลัยขอนแกน. วิเชียร เจริญสุข และพัชรินทร ฤชุวรารักษ, 2550. รายงานผลการศึกษาวิจัย การศึกษาภูมิปญญาทองถิ่นและ สถานภาพความรูการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําในลุมน้ําชีตอนบน. โครงการศึกษาวิจัยการ บริหารจัดการทรัพยากรน้ําในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. คณะพหุภาคีวิจัย มหาวิทยาลัยขอนแกน และเครือขายภาคีวิจัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ําและการเกษตร กระทรวงวิทยาศาสตรฯ, 2551. จากการเรียนรูสูการจัดการ ทรัพยากรน้ํา บานลิ่มทอง ตําบลหนองโบสถ อําเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย. สนั่น ชูสกุล, 2548. กรณีการจัดการพื้นที่ชุมน้ํา. เวทีนโยบายสาธารณะเพื่อการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอยาง เปนธรรมและยั่งยืน, 18-19 ธันวาคม 2548 ที่จังหวัดศรีสะเกษ. สนั่น ชูสกุล และคณะ, 2549. โครงการสิทธิชุมชนศึกษาภาคอีสาน กรณีศึกษาลุมน้ํามูน. สํานักงานกองทุน สนับสนุนการวิจัย. อรุ ณ หวายคํ า , 2550. วนเกษตร เกษตรกรรมยั่ ง ยื น ในภาคี อี ส าน. กรมส ง เสริ ม คุ ณ ภาพสิ่ ง แวดล อ ม กระทรวงวิทยาศาสตร เทคโนโลยีและสิ่งแวดลอม. Fukui Hayao, 2008. List of Thomnop Inventory in Northeast Thailand. Southeast Asian Studies Ritsumeikan Asia Pacific University (APU). March 1, 2008
รายชื่อนักวิจัยไทบาน บานสวนสวรรค ต.หนองแค อ.ราษีไศล จ.ศรีสะเกษ 1) นายดนตรี สีหบุตร 2) น.ส.เรือง นิละบุตร 3) นางสําราญ สุระบุตร 4) นายเล็ง สมศรี 5) นายไล สมศรี 6) นางหนูเต็ม ศรีสวยเปา 7) นางกองศรี สมศรี 8) นางเดือน ติละบาล
143
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน
บานหนองแค ต.หนองแค อ.ราษีไศล จ.ศรีสะเกษ 1) นายแหวน สุระบุตร 2) นายเพ็ง อาจศ
144
บทที่ 9 บทบาทคณะทํางานลุมน้ําหวยสามหมอ กับประสิทธิภาพการจัดการทรัพยากรลุมน้ํา สมคิด สิงสง ประธานคณะทํางานลุมน้ําหวยสามหมอ
ความเปนมา ประเทศไทยแบงพื้นที่ลุมน้ําหลักของประเทศออกเปน 25 ลุมน้ํา ลุมน้ําชีเปน 1 ใน 25 ลุมน้ําหลักของ ประเทศ มีการจัดตั้งองคกรลุมน้ําตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี วาดวยการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา พ.ศ. 2532 แกไขเพิ่มเติมฉบับที่ 2 พ.ศ. 2545 ซึ่งบังคับใชอยูในเวลานั้น1 คือมีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการลุมน้ําใน ป พ.ศ. 2546 โดยแบงคณะอนุกรรมการลุมน้ําออกเปน 2 สวน ไดแกคณะอนุกรรมการลุมน้ําชีตอนบน และ คณะอนุกรรมการลุมน้ําชีตอนลาง2 โดยมีสํานักงานทรัพยากรน้ําภาค 4 กรมทรัพยากรน้ํา (ทน.) กระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม (ทส.) ทําหนาที่เปนฝายเลขานุการของคณะอนุกรรมการลุมน้ํา มีการ ตั้งคณะทํางานลุมน้ําระดับตางๆ ตามทองที่การปกครอง คือคณะทํางานระดับจังหวัด ระดับอําเภอ และระดับตําบล ครอบคลุมพืน้ ที่ลุมน้ําชีทั้งหมด มีการจัดทําแผนแมบทในการบริหารจัดการลุมน้ํา มีระบบฐานขอมูล GIS/MIS ใหกับคณะอนุกรรมการลุมน้าํ และคณะทํางานตางๆ แตการปฏิบัติงานก็ยังไมมีประสิทธิภาพเทาที่ควร เนื่องจากมี งบประมาณไมเพียงพอ ทั้งสวนราชการตางๆ ก็ยังไมใหความสําคัญเทาที่ควร เนื่องจากยังไมมีกฎหมาย หรือ พ.ร.บ. รองรับการทํางานขององคกรลุมน้ําดังกลาว และสวนราชการตางๆ ยังไมมีความเขาใจเปนเอกภาพในเรื่อง การบริ ห ารจั ด การเป น ระบบลุ ม น้ํา ทํา ให ก ารปฏิ บั ติ ที่ เ ป น จริ ง ของส ว นราชการจึ ง มี ลั ก ษณะต า งฝ า ยต า งทํา การบูรณาการในเชิงพื้นที่ไมสามารถดําเนินการไดดี โดยเฉพาะในลุมน้ําที่มีพื้นที่คาบเกี่ยวหลายจังหวัด
คณะทํางานลุมน้ําสาขาหวยสามหมอ ลุมน้ําหวยสามหมอ เปนสาขา 1 ใน 20 ลุมน้ําสาขาของลุมน้ําชี ที่มีพื้นที่คาบเกี่ยวมากกวา 1 จังหวัด เนื่องจากครอบคลุมบางสวนของจังหวัดขอนแกนและจังหวัดชัยภูมิ จึงมีการเรียกรองของอนุกรรมการลุมน้ําชี ตอนบนในเวลานั้นและคนในพื้นที่ลุมน้ําสาขาหวยสามหมอใหมีการจัดตั้งองคกรลุมน้ําสาขาขึ้น เพื่อเปนองคกรที่ สามารถบริหารจัดการทรัพยากรน้ําเปนระบบลุมน้ําไดจริง ดังนั้นในปงบประมาณ พ.ศ. 2549 ชวงไตรมาสที่ 4 ของป พ.ศ. 2548 จึงมีการเคลื่อนไหวเตรียมการใน การจั ดตั้งองคก รลุม น้ําสาขาห วยสามหมอ ซึ่ งตอ มาก็ คือคณะทํางานลุ มน้ําหวยสามหมอ ประกอบกั บ ทน. มี นโยบายใหจัดตั้งการบริหารจัดการลุมน้ําสาขานํารอง เนื่องจากการบริหารจัดการลุมน้ําขนาดใหญไมสามารถ ดําเนินการไดเปนรูปธรรม เพราะงบประมาณมีจํากัด ลุมน้ําชีจึงไดกําหนดลุมน้ําหวยสามหมอเปนลุมน้ําสาขานํา รองของคณะอนุกรรมการลุมน้ําชีตอนบน โดยใหสํานักงานคณะอนุกรรมการลุมน้ําชีตอนบน สํานักงานทรัพยากร 1
ปจจุบันระเบียบดังกลาวไดแกไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2550 ภายใตระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี วาดวยการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําแหงชาติ แกไขเพิ่มเติมฉบับที่ 3 พ.ศ. 2550 คณะอนุกรรมการลุม น้ําหลักของประเทศ ยกฐานะขึ้นเปนคณะกรรมการลุมน้ํา เดิมองคกรลุมน้ําของลุมน้ําชีมี 2 คณะคือคณะอนุกรรมการลุมน้ําชีตอนบน และ คณะอนุกรรมการลุมน้ําชีตอนลาง ปจจุบันควบรวมเปนองคกรเดียว คือคณะกรรมการลุมน้ําชี 2
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน
น้ําภาค 4 เปนผูดําเนินการ และในเวลานั้นสํานักงานคณะอนุกรรมการลุมน้ําชีตอนบนไดเริ่มทํางานรวมกับ คณะกรรมาธิการแมน้ําโขงฝายไทย และกําลังหาพื้นที่นํารองดําเนินการเชนกัน สํานักงานคณะอนุกรรมการลุมน้ําชี ตอนบนจึงไดเสนอลุมน้ําหวยสามหมอเปนลุมน้ํานํารองในคณะกรรมาธิการแมน้ําโขงดวย โดยมีเหตุผลดังนี้ (1) ลุมน้ําหวยสามหมอมีพ้นื ที่การปกครองมากกวา 1 จังหวัด (2) คณะทํางานลุมน้ําหวยสามหมอมีความเขมแข็งและมีความตั้งใจในการทํางานสูง (3) เปนลุมน้ําสาขาขนาดเล็กสามารถจัดทําแผนการบริหารจัดการไดงาย (4) เหมาะสมที่ จ ะเป น รู ป แบบจํ า ลองการบริ ห ารจั ด การให กั บ ลุ ม น้ํ า สาขาอื่ น ของลุ ม น้ํ า ชี และลุมน้ําอื่นๆที่สนใจ
ลุมน้ําหวยสามหมอในฐานะโครงการนํารองของคณะกรรมาธิการลุมน้ําโขง ภายใตกรอบอนุ ภาคลุ มน้ําโขงตอนลาง ซึ่ง ครอบคลุมบางสวนของประเทศสาธารณรั ฐประชาธิ ปไตย ประชาชนลาว ประเทศไทย ประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และประเทศกัมพูชา มีองคกรความรวมมือ ระหวางประเทศคือคณะกรรมาธิการแมน้ําโขง (Mekong River Commission, MRC)3 ไดแบงพื้นที่ลุมน้ํายอยของ ลุมน้ําโขงตอนลางออกเปน 10 ลุมน้ํายอย ในจํานวนนี้มี 3 ลุมน้ํายอยที่อยูในพื้นที่ประเทศไทย คือลุมน้ํายอย 2T (อยูในพื้นที่ลุมน้ําโขงภาคเหนือ) ลุมน้ํายอย 3T (อยูในพื้นที่ลุมน้ําโขงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) และลุมน้ํายอย 5T (ในในพื้นที่ลุมน้ําชีและลุมน้ํามูล) คณะทํางานลุมน้ํายอย 5 T ภายใตสํานักงานคณะกรรมาธิการแมน้ําโขงแหงชาติไทย (TNMC) ไดเลือก ลุมน้ําหวยสามหมอเปนโครงการนํารองในพื้นวิกฤติดานการวางแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา เปนระบบลุมน้ํา คูขนานไปกับโครงการนํารองในพื้นที่ลุมน้ําสาขาของ ทน.
กระบวนการจัดตั้งคณะทํางานลุมน้ําหวยสามหมอ การดําเนินการเริ่มจากการจัดเวทีประชุมระดับตําบล วางเครือขายการบริหารจัดการลุมน้ําหวยสามหมอ จากนั้นคัดเลือกผูแทนเครือขายจัดตั้งคณะทํางานลุมน้ําขึ้น นําคณะทํางานที่เครือขายเสนอใหคณะอนุกรรมการลุม น้ําชีตอนบนพิจารณาแลวออกคําสั่งแตงตั้งตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี วาดวยการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา แหงชาติ ตอมาโครงการวางแผนลุมน้ํา (Basin Development Plan) ของ MRC ไดเขามารวมกับคณะทํางานฯ จัดทําวิสัยทัศนและแผนยุทธศาสตรลุมน้ํา เพื่อกําหนดทิศทางการทํางานของคณะทํางานลุมน้ําหวยสามหมอ ดําเนินการในชวงไตรมาสที่ 4 ของป พ.ศ. 2548 ตอเนื่องไปถึงไตรมาสที่ 3 ของป พ.ศ. 2549 และแลวเสร็จในเดือน กรกฎาคม 2549 วิสัยทัศนคณะทํางานลุมน้ําหวยสามหมอคือ “ลุมน้ําหวยสามหมอมีองคกรเขมแข็งเพื่อการจัดการน้ํา อยางยั่งยืน ฟนความอุดมสมบูรณใหธรรมชาติ โดยภูมิปญญาชุมชนและรัฐ” มีการกําหนดแผนชุมชนลุมน้ํา หวยสามหมอขึ้น องคประกอบที่สาํ คัญของแผนประกอบดวย (1) แผนแหลงน้ําชุมชน (2) แผนเกษตรอินทรีย อาชีพและรายได 3
รายละเอียดโปรดดู http://www.mrcmekong.org
146
บทบาทคณะทํางานลุ่มน้ําห้วยสามหมอกับประสิทธิภาพการจัดการทรัพยากรลุ่มน้ํา / สมคิด สิงสง
(3) แผนสงเสริมศักยภาพองคกรลุมน้ําและฟนฟูสิ่งแวดลอม (4) แผนหลักสูตรทองถิ่น องคความรูและระเบียบชุมชน (5) แผนสงเสริมบทบาทสตรีและเยาวชน ในชวงระยะบุกเบิก 3 ปแรก (พ.ศ. 2549–2551) มีการขับเคลื่อนแผนชุมชนลุมน้ําหวยสามหมอทั้ง 5 แผน ดวยความรวมมือและการสนับสนุนของสวนราชการ ทน. สถาบันอุดมศึกษาในทองถิ่น เชน มหาวิทยาลัยขอนแกน องค ก รปกครองส ว นท อ งถิ่ น และคณะกรรมาธิ ก ารแม น้ํ า โขง (MRC) โดยโครงการวางแผนลุ ม น้ํ า (BDP) และ โครงการจัดการลุมน้ํา (WSMP) ตอมาธนาคารโลก (World Bank, WB) ไดเห็นความตั้งใจจริงของสํานักงานคณะอนุกรรมการลุมน้ําชี ตอนบนและคณะทํางานลุมน้ําหวยสามหมอ จึงไดสนับสนุนงบประมาณจํานวนหนึ่ง ในป พ.ศ.2551 จัดทําโครงการ สงเสริมสนับสนุนแผนชุมชนลุมน้ําหวยสามหมอ จํานวน 25,000 เหรียญสหรัฐ โดยผานมูลนิธิน้ําและคุณภาพชีวิต เพื่อใหมีกระบวนการขับเคลื่อนแผนชุมชนลุมน้ํา จนถึงขั้นการการศึกษาความเหมาะและความเปนไปได สํารวจ ออกแบบสิ่งกอสราง และจัดทําแผนปฏิบัติการ (implementation plan) ผลักดันแผนงานโครงการทั้งหลายเขาสู ระบบการจัดทํางบประมาณเพื่อดําเนินการตอไป
สรุปและขอเสนอแนะ ขอจํากัดที่ทําใหองคกรลุมน้ําระดับตางๆ ยังไมเขมแข็งพอ สามารถสรุปไดดังนี้ 1. ปญหาระดับนโยบายของรัฐบาล ดานนโยบาย รัฐบาลยังไมมีความชัดเจนในนโยบายดานการอนุรักษ พัฒนา จัดหา และจัดการทรัพยากร น้ํา วาจะสามารถทําใหนโยบายดังกลาวกลายเปนแผนปฏิบัติการไดอยางไร รวมทั้งดานกฎระเบียบราชการ ยังไมมี กฎหมายที่วา ดวยการบริหารจัดการลุมน้ําตามหลักการบริหารจัดการแบบผสมผสานที่ชัดเจน ที่สําคัญคือรัฐบาลยัง ไมไดวางน้ําหนักที่สมควรและชอบดวยเหตุผล ในเรื่องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม ทําใหการบริหารจัดการ เรื่องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมไมมีงบประมาณเพียงพอสําหรับดําเนินการ กลาวโดยรวมคือรัฐบาลละเลย ที่จะปฏิบัติแนวนโยบายพื้นฐานแหงรัฐที่รัฐธรรมนูญกําหนดไว สมควรมีการหยิบยกขึ้นมาเปนประเด็นเรียกรองตอ รัฐบาลในเรื่องนี้ 2. ปญหาที่เกิดจากสวนราชการ สวนราชการที่มีอํานาจหนาที่ดานทรัพยากรน้ํามีจํานวนมาก แตการปฏิบัติไมมีเอกภาพ ระบบราชการไม สามารถบูรณาการกันไดจริง จึงไมอาจตอบสนองความตองการของประชาชนไดจริง เนื่องจากเปาหมายไมชัด ระบบฐานขอมูลความรูไมเพียงพอ ไมเปนปจจุบัน ไมสามารถเชื่อมโยงระบบไดจริง ทั้งขาดความตอเนื่อง จึงไมได รั บ การยอมรั บ จากประชาชน การบริ ห ารจั ด การเป น ระบบลุ ม น้ํ า ยั ง ไม ไ ด รั บ การยอมรั บ จากทุ ก ส ว นราชการ เนื่องจากมีระบบบริหารจัดการเปนระบบทองที่การปกครองที่ถือใชมากอนนับรอยป
147
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน
3. องคกรลุมน้ํา กฎระเบี ย บที่ มี ผ ลบั ง คั บ ใช อ ยู ใ นป จ จุ บั น คื อ ระเบี ย บสํ า นั ก นายกรั ฐ มนตรี ว าด ว ยการบริ ห ารจั ด การ ทรัพยากรน้ําแหงชาติ (แกไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2550) กําหนดหนาที่ใหแกองคกรลุมน้ํามากมาย แตไมมีอํานาจที่ แทจริงในทางปฏิบัติ ผนวกกับปญหางบประมาณไมเพียงพอ ทําใหการทํางานขององคกรลุมน้ําไมมีความตอเนื่อง ไมมีระบบฐานขอมูลและองคความรูที่ดีพอ ทั้งสัดสวนในคณะกรรมการลุมน้ําที่เปนภาคประชาชนก็มักจะมีจํานวน นอยกวาภาคราชการ การมีสวนรวมตามหลักการบริหารจัดการแบบผสมผสานจึงไมเปนจริง 4. ประชาชน ไมมีความเขาใจในบทบาทการมีสวนรวม ขาดโอกาสและขาดกระบวนการเรียนรู ทําใหไมมีขอมูล ไมมี องคความรู หรือรูแตไมมีจิตสํานึกที่จะปฏิบัติ เรียกรองสิทธิมากเกินไป สนใจแตการพัฒนาเชิงวัตถุ จึงขาดพลัง สรางสรรคที่จะนําพาชุมชนไปสูอนาคตที่ดีงาม
บทนํา หลังการปฏิรูประบบบริหารราชการแผนดินเมื่อป พ.ศ. 2545 มีการสถาปนากรมทรัพยากรน้ําขึ้นสังกัด กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม และมีการแกไขระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี วาดวยการบริหาร จัดการทรัพยากรน้ําแหงชาติ พ.ศ. 2532 ยังผลใหประเทศไทยเริ่มนําเอาระบบบริหารจัดการเปนระบบลุมน้ํามาถือ ใช โดยที่มีการจําแนกลุมน้ําภายในประเทศออกเปน 25 ลุมน้ําหลัก ในจํานวนนั้นมีลุมน้ําชีรวมอยูดวย ลุมน้ําหวยสามหมอเปน 1 ใน 20 ลุมน้ําสาขาของลุมน้ําชี ไดรับคัดเลือกใหมีการดําเนินงานบริหารจัดการ เป น ระบบลุ ม น้ํ า เป น โครงการนํ าร อ งภายใต ค ณะอนุ ก รรมการลุ ม น้ํ าชี ต อนบน (ในเวลานั้ น ) โดยมี สํ านั ก งาน ทรัพยากรน้ําภาค 4 กรมทรัพยากรน้ํา ในฐานะสํานักงานเลขานุการคณะอนุกรรมการลุมน้ําชีตอนบน เปนผูใหการ สงเสริมตอมาไดรับการสนับสนุนจากคณะกรรมาธิการแมน้ําโขง โดยหนวยงาน Basin Development Plan, BDP และ Watershed Management Project (MRC-GTZ Cooperation Programme) รวมทั้งธนาคารโลก (World Bank) และหนวยงานอื่นๆ ที่กําลังมีการติดตอสัมพันธกันในความรวมมือบริหารจัดการลุมน้ําหวยสามหมอ เปน ระบบลุมน้ํา เนื้อหาของบทความนี้มุงหมายใหเห็นกระบวนการและขั้นตอนตางๆ ในการดําเนินงาน ถือวาเปนการ รวบรวมบทเรียนในระยะบุกเบิก เพื่อนําเสนอสูเวทีการแลกเปลี่ยนเรียนรูรวมกัน ทั้งเวทีภายในและระหวางประเทศ เพื่อรวมกันสรางตนแบบการบริหารจัดการเปนระบบลุมน้ําภายใตสภาพเงื่อนไขเฉพาะของลุมน้ําหวยสามหมอ อัน อาจขยายผลใหลุมน้ําอื่นๆ ไดเรียนรูและนําไปสูการเริ่มตนบุกเบิกบริหารจัดการเปนระบบลุมน้ําในพื้นที่นั้นๆ เราเชื่อวาการบริหารจัดการเปนระบบลุมน้ําคงไมมีสูตรสําเร็จใหลอกเลียนกันไดโดยสิ้นเชิง ลุมน้ําหวยสาม หมอไดผานการลองผิดลองถูกมาในชวงระยะเวลา 3 ปเศษ (พ.ศ. 2549-2551) เพิ่งจะเริ่มมีการสรุปบทเรียนใน ระยะบุกเบิก ยังตองการระยะเวลาอีกยาวนานในการดําเนินงาน และสะสมบทเรียนที่ไดจากการปฏิบัติจริงใหอุดม สมบูรณยิ่งขึ้น ดวยหวังในการสงเสริมและสนับสนุนจากทางราชการและองคกรเอกชนทั้งภายในและระหวาง ประเทศเฉกเชนนี้สืบไป โดยที่ตองยืนอยูบนหลักการพึ่งตนเองอยางยิ่งยวดดวย 148
บทบาทคณะทํางานลุ่มน้ําห้วยสามหมอกับประสิทธิภาพการจัดการทรัพยากรลุ่มน้ํา / สมคิด สิงสง
วัตถุประสงค 1. เพื่อสรุปบทเรียนของคณะทํางานลุมน้ําหวยสามหมอในระยะบุกเบิก 3 ปแรก (พ.ศ.2549–2551) และนํา บทเรียนนี้มาทบทวนและพัฒนาในการขับเคลื่อนแผนชุมชนลุมน้ําในระยะตอไป 2. เพื่อนําเสนอบทเรียนดังกลาวในการแลกเปลี่ยนเรียนรูรวมกันในบรรดาองคกรลุมน้ําในประเทศไทย และ กลุมประเทศในลุมแมน้ําโขง 3. เพื่อนําเสนอประเด็นประสิทธิภาพการจัดการน้ําในลุมน้ําโขงในสวนประเทศไทย และบทบาทของ คณะกรรมการลุมน้ํา
ขอมูลทั่วไป 1. ขอมูลทางภูมิศาสตร ลุมน้ําหวยสามหมอเปน 1 ใน 20 ลุมน้ําสาขาของลุมน้ําชี ตั้งอยูในทองที่ 4 อําเภอของ 2 จังหวัด ไดแก อําเภอโคกโพธิ์ไชย จังหวัดขอนแกน อําเภอคอนสวรรค อําเภอแกงครอ และอําเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ มีพื้นที่ ลุมน้ําประมาณ 729 ตร.กม. หรือ 455,625 ไร คิดเปนรอยละ 1.47 ของพื้นที่ลุมน้ําชี พื้นที่ลุมน้ําประกอบดวยพื้นที่ ปาไมประมาณ 94,831 ไร พื้นที่แหลงน้ําประมาณ 1,358 ไร พื้นที่ชุมชนและอื่นๆ ประมาณ 40,718 ไร เหลือพื้นที่ ถือครองทางการเกษตรประมาณ 318,718 ไร ขอบเขตลุมน้ําสาขาหวยสามหมอ ภูมิประเทศของลุมน้ําหวยสามหมอ ดานทิศตะวันตกและทิศใตติดกับลุมน้ําชีสวนที่ 2 ดานทิศเหนือติดกับ ลุมน้ําลําน้ําเชิญ และทิศตะวันออกติดกับลุมน้ําลําน้ําชีสวนที่ 3 ทิศตะวันตก ดานทิศใตติดกับลุมน้ําลําน้ําชีสวนที่ 2 ลักษณะลุมน้ําเปนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส พื้นที่สันปนน้ําดานทิศใต และทิศตะวันออก เปนสันเขาสูงของเทือกเขา ระดับ ความสูงประมาณ 800 เมตร รทก. บริเวณเทือกเขาแลนคาทางดานทิศตะวันตก แลวออมไปทางทิศใต บริเวณ เทือกภูโคง และทิศตะวันออกเปนเทือกเขาภูเม็ง ซึ่งมีความสูงประมาณ 400-600 เมตร รทก. แลวลาดต่ําลงสูที่ราบ ลุมตรงกลางบริเวณอําเภอแกงครอ มีความสูง 100-200 เมตร รทก.แลวไหลในแนวตะวันตกเฉียงใตลงสูลําน้ําชี 2. จํานวนประชากร ขอมูลของระบบศูนยรวมของมูลกลางองคกรปกครองสวนทองถิ่น ระหวางป พ.ศ.2550–2552 รายงานวา ในพื้นที่ลุมน้ําหวยสามหมอมีจํานวนหลังคาเรือน 34,244 หลังคาเรือน มีจํานวนประชากรในลุมน้ํา 136,196 คน ดัง แสดงในตารางที่ 1 ขางลางนี้
149
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน
ตารางที่ 1 แสดงขอมูลจํานวนหลังคาเรือนและประชากรของลุมน้ําหวยสามหมอปจจุบัน4
3. ขอมูลทางอุตุและอุทกวิทยา สภาพภูมิอากาศของลุมน้ํา ไดรับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต ปริมาณฝนเฉลี่ยปละประมาณ 1,110 มม. โดยปริมาณฝนสูงสุดจะเกิดขึ้นในชวง เดือนกันยายน อุณหภูมิเฉลี่ยรายเดือนประมาณ 27.1 องศา เซลเชียส ความชื้นสัมพัทธ เฉลี่ยรายเดือนประมาณ 69 เปอรเซ็นต ปริมาณน้ําทาตามธรรมชาติเฉลี่ยปละประมาณ 149 ลาน ลบ.ม. มีปริมาณน้ําทารายเดือนเฉลี่ยสูงสุดในชวงเดือนตุลาคม ประมาณ 61.4 ลาน ลบ.ม. 4. ลักษณะทางธรณีวิทยา ภูมิสัณฐานและกลุมชุดดิน จากการศึกษาพบวาในพื้นที่ลุมน้ําชี มีลักษณะดินที่พบแบงเปน 3 ลักษณะ คือ ดินที่เกิดบริเวณที่ราบน้ําทวมถึงและที่ราบระหวางภูเขา ดินที่เกิดบริเวณลานตะพักลําน้ํา และดินบริเวณพื้นผิวที่ เหลือคางจากการกัดกรอน ภูมิสัณฐานและกลุมชุดดินในลุมน้ําหวยสามหมอ สภาพดินในพื้นที่ลุมน้ํา รอยละ 51.82 เปนดินที่เกิดบนพื้นผิวที่เหลือคางจากการกัดกรอน และที่ราบเชิงเขา พื้นที่ที่เหลือรอยละ 6.98 เปนดินที่เกิดบนที่ ราบน้ําทวมถึงและสันดินริมน้ํา รอยละ 6.71 เปนดินที่เกิดบนลานตะพักลําน้ําระดับต่ํา และลานตะพักลําน้ําคอนขาง ใหม รอยละ 26.65 เปนดินที่เกิดบนพื้นที่ลานตะพักลําน้ําระดับกลางและระดับสูง รอยละ 7.64 เปนพื้นที่ภูเขาที่ เหลือรอยละ 0.22 เปนแหลงน้ําและอื่นๆ
4
ขอมูลนี้อาจไมตรงตามความเปนจริงของขอมูลลุมน้ํา เนื่องจากบางตําบลมีเพียงบางสวนที่อยูในพื้นที่ลุมน้ําหวยสามหมอ แตขออางอิงขอมูลนี้ ไวกอน สวนขอเท็จจริงคณะทํางานลุม น้ําหวยสามหมอจะทําการทบทวนและตรวจสอบใหมใหเปนปจจุบัน
150
บทบาทคณะทํางานลุ่มน้ําห้วยสามหมอกับประสิทธิภาพการจัดการทรัพยากรลุ่มน้ํา / สมคิด สิงสง
5. การใชที่ดิน ระบบฐานขอมูล GIS ของลุมน้ําหวยสามหมอ รายงานเรื่องการใชที่ดิน ปรากฏดังภาพที่แสดงแสดงใน รูปที่ 1 ขางลางนี้
รูปที่ 1 แสดงการใชที่ดินพื้นทีล่ ุมน้ําหวยสามหมอ จากพื้นที่ลุมน้ํารวม 729 ตารางกิโลเมตร หรือ 455,625 ไร จําแนกเปนพื้นที่ปาไมประมาณ 94,831 ไร (20%) พื้นที่แหลงน้ําประมาณ 1,358 ไร (0.30%) พื้นที่ถือครองเพื่อการเกษตร 318,718 ไร (69.95%) พื้นที่ชุมชน และอื่นๆ ประมาณ 40,718 ไร (8.94%) ในพื้นที่ถือครองเพื่อการเกษตร 317,718 ไร เอกสารรายงานลุมน้ําสาขาหวยสามหมอ โครงการจัดทําแผน รวมการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําในพื้นที่ลุมน้ําชี (กรมทรัพยากรน้ํา 2549) ระบุวา ปจจุบันไดมีการพัฒนาพื้นที่ ลุมน้ําเพื่อการเกษตรในเขตชลประทานไปแลว แบงออกเปนโครงการชลประทานขนาดเล็ก 16,182 ไร โครงการ ชลประทานขนาดกลาง 11,000 ไร ดังนั้นพื้นที่ที่มีศักยภาพที่จะศึกษาความเปนไปไดในการพัฒนาทั้งหมดใน ปจจุบันมีประมาณ 297,555 ไร ขอมูลดังกลาวระบุวาเฉพาะโครงการขนาดเล็ก 32 โครงการ มีรายละเอียดแสดงตามตารางที่ 2 151
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน
ตารางที่ 2 แสดงขอมูลโครงการชลประทานขนาดเล็กที่พัฒนาแลวในลุมน้ําหวยสามหมอ
สวนขอมูลที่คณะทํางานลุมน้ําหวยสามหมอไดทําการสํารวจในพื้นที่จริงพื้นที่ชลประทานโดยรวมภายใน ขอบเขตลุ ม น้ํ า มี อ ยู ไ ม เ กิ น 5,000 ไร จํ า แนกเป น พื้ น ที่ รั บ น้ํ า ที่ ผั น ข ามลุ ม น้ํ า มาจากอ างลํ า ปะทาว ผ า นระบบ โรงงานผลิตไฟฟาพลังน้ําที่ตําบลนาหนองทุม อําเภอแกงครอ ถึงแมวาจะมีปริมาณน้ําถึงปละกวา 30 ลานลูกบาศก เมตร แตสามารถนําน้ําไปใชในระบบชลประทานไดเพียงไมเกิน 3,000 ไร เนื่องจากไมมีระบบคลองไสไกสงน้ําไป 152
บทบาทคณะทํางานลุ่มน้ําห้วยสามหมอกับประสิทธิภาพการจัดการทรัพยากรลุ่มน้ํา / สมคิด สิงสง
ยังพื้นที่การเกษตรนอกบริเวณสองฝงคูคลองสายประธานที่เหลืออีกไมเกิน 2,000 ไรทางที่ราบลุมทายน้ําเปนน้ําที่ ไดจากโครงการชลประทานขนาดกลางซึ่งก็เปนอานิสงจากปริมาณน้ําที่ไหลลงมาจากโรงไฟฟาพลังน้ําดังกลาวเปน สวนใหญ สําหรับโครงการชลประทานขนาดเล็ก 32 แหงที่ระบุวาไดพื้นที่ชลประทานถึง 16,182 ไรนั้น ขอเท็จจริงคือ ไมมีพื้นที่ชลประทานแมแตไรเดียว ทั้งนี้เนื่องจากตัวเลขดังกลาวคํานวณเอาจากศักยภาพของการเก็บกักในกรณีที่ มีปริมาณน้ําระบายออกสูพื้นที่ทําการเพาะปลูก ซึ่งในสภาพปจจุบันไมมีอางเก็บน้ําขนาดเล็กแหงใดเลยที่อยูใต เงื่อนไขดังกลาว เนื่องจากสภาพแวดลอมทางธรรมชาติของระบบนิเวศลุมน้ําในปจจุบันเปลี่ยนแปลงไปแลว พื้นที่ลุมน้ําหวยสามหมอประกอบดวยชุดดินตางๆ 16 ชุดดิน ที่สําคัญประกอบดวยชุดดินเลย จัตุรัส รวมกันไดทั้งหมดประมาณรอยละ 58.04 ของพื้นที่ ชุดดินเหลานี้เหมาะสําหรับการทํานาและปลูกพืชไร การศึกษา แผนการใชประโยชนที่ดินในอนาคตในลุมน้ําสาขาหวยสามหมอพบวา มีพื้นที่ดินที่มีความเหมาะสมดีสําหรับปลูก พืชไร 191,093 ไร เหมาะสมดีสําหรับปลูกไมผล 19,340 ไรและพื้นที่ดินที่ไมเหมาะสมสําหรับการเกษตร 25,712 ไร ปจจุบันพื้นที่ทั้งหมดดังกลาวเปนพื้นที่นาน้ําฝน การเกษตรพื้นที่นอกเขตชลประทาน พืชที่นยิ มปลูกคือขาวเพื่อการบริโภค สวนที่เหลือนําไปจําหนาย พันธุ ขาวที่นิยมคือขาวดอกมะลิ 105 กข6 กข15 ผลผลิตเฉลีย่ ประมาณ 350 กก./ไร พืชไรที่ปลูกคือมันสําปะหลัง ผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 2,500 กก./ไร ออยโรงงานผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 7,500 กก./ไร ขาวโพดเลี้ยงสัตวมีแนวโนม ตลาดที่ดี ผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 661 กก./ไร ถั่วเหลืองมีตลาดกวางขวาง ผลผลิตเฉลี่ย 250 กก./ไร ไมผลยืนตนที่ สําคัญคือมะมวง มีตลาดรองรับทั้งบริโภคสดและ แปรรูป การเลี้ยงสัตวมีโค กระบือ สุกร เปด ไก มีการเลี้ยงปลาใน บอ หรือในนาขาว เพื่อเสริมรายได พื้นที่ในเขตชลประทาน รูปแบบการปลูกพืชเปนขาว-ขาว ขาว-พืชไร (ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ถั่วเขียว) รวมทั้งมีการเลี้ยงปลา 6. สถานการณปาไม พื้นที่ลุมน้ําทั้งหมดมี 455,625 ไร เปนพื้นทีป่ าไมรวม 44,643.97 ไร หรือเทากับรอยละ 9.80 ของพืน้ ที่ลุม น้ํา จําแนกเปนปาไมที่ยังมีสภาพปาคอนขางดี 42,276.31 ไร หรือรอยละ 9.28 ของพืน้ ที่ลุมน้ําและปาไมเสื่อมโทรม 2,367.66 ไร หรือรอยละ 0.52 ของพืน้ ที่ลุมน้าํ พื้นที่เขตปาสงวนในลุมน้ําสาขาของลุมน้ําชีจําแนกออกเปน 3 ประเภท คือเขตพืน้ ทีป่ าอนุรักษ (C) เขต พื้นที่ปา เศรษฐกิจ (E) และเขตพื้นที่เหมาะสมกับการเกษตร (A) พืน้ ที่ปา สงวนแหงชาติทั้งสิ้น 81,206 ไรหรือรอย ละ 17.82 ของพื้นที่ลุมน้ํา สามารถจําแนกตามประเภทของปา คือเขตพื้นที่ปาอนุรักษ (C) 33,331 ไรหรือรอยละ 7.32 ของพืน้ ทีล่ ุมน้ํา เขตพื้นที่ปาเศรษฐกิจ (E) 42,144 ไรหรือรอยละ 9.25 ของพืน้ ที่ลมุ น้ํา และเขตพื้นที่เหมาะสม กับการเกษตร (A) 5,731 ไรหรือรอยละ 1.26 ของลุมน้ําสาขา สถานภาพทางกฎหมายของพื้นที่เขตปาอนุรกั ษปจจุบันในลุมน้ําหวยสามหมอสามารถสรุปไดดังนี้ จาก การตรวจสอบขอมูลเขตพื้นทีอ่ นุรักษ (C) เปรียบเทียบในชวงป พ.ศ.2535 (30,951 ไร) และ พ.ศ. 2545 (29,594 ไร) พบวาลุมน้ําหวยสามหมอมีพื้นที่ปาไมในเขตอนุรักษลดลงประมาณ 1,357 ไร สาเหตุที่ทําใหพื้นที่ปาไมในเขต 153
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน
อนุรักษลดลง อาจเนื่องมาจากปญหาการตัดไมทําลายปา การบุกรุกพื้นที่เพื่อทําการเกษตร และทําไรเลื่อนลอย 7. สถานการณและปญหาทรัพยากรน้ํา ลุมน้ําหวยสามหมอมีปริมาณน้ําทาตามธรรมชาติเฉลี่ยปละประมาณ 149 ลานลบ.ม. ปริมาณน้ําทา รายเดือนเฉลี่ยสูงสุดเดือนตุลาคมเทากับ 61.4 ลานลบ.ม. มีปริมาณน้ํานอกลุมที่ผันลงมาผลิตกระแสไฟฟา เฉลี่ย ประมาณ 30 ลาน ลบ.ม. รวมปริมาณน้ําประมาณ 180 ลานลูกบาศกเมตรตอป ความตองการใชน้ําปจจุบัน เปนความตองการน้ําเพื่อการเกษตรเฉลี่ยปละประมาณ 38.04 ลานลบ.ม. โดย แบงเปนฤดูฝน 32.74 ลานลบ.ม. และฤดูแลง 5.29 ลาน ลบ.ม. ความตองการใชน้ําเพื่อการอุปโภคบริโภค 4.14 ลาน ลบ.ม. ความตองการน้ําเพื่อการอุตสาหกรรม 0.81 ลาน ลบ.ม. และรักษาสมดุลนิเวศทายน้ํา ปละประมาณ 9.37 ลาน ลบ.ม. พื้นที่ชลประทานปจจุบันประมาณ 5,000 ไร
รูปที่ 2 แสดงความตองการใชน้ําในปจจุบันและอนาคต (องคการจัดการน้ําเสีย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม พ.ศ. 2550) จากขอมูลน้ําทาและความจุอางเก็บน้ําในพื้นที่ลุมน้ําหวยสามหมอ 455,625 ไร หรือ 729 ตร.กม. พบวามี ปญหาขาดแคลนแหลงน้ํา แหลงน้ําเดิมที่มีอยูแลวไมสามารถเก็บกักน้ําไดตามวัตถุประสงค รวมถึงพื้นที่ปาไมเสื่อม โทรมถูกบุกรุก สําหรับปญหาน้ําทวมมีเพียงเล็กนอยบริเวณจุดบรรจบลําน้ําหวยสามหมอกับลําน้ําชี 8. ทรัพยากรน้ําบาดาล ลักษณะทางอุทกธรณีวิทยาของลุมน้ําชีประกอบดวย (1) ชั้นน้ําบาดาลในหินรวนพวกกรวดทราย 154
บทบาทคณะทํางานลุ่มน้ําห้วยสามหมอกับประสิทธิภาพการจัดการทรัพยากรลุ่มน้ํา / สมคิด สิงสง
(2) ชั้นน้ําบาดาลในหินแข็งชุดโคราช ประกอบดวย (ก) ชั้นน้ําบาดาลในหินแข็งชุดโคราชตอนบน (ข) ชั้น น้ําบาดาลใน หินแข็งใหน้ําชุดโคราชตอนกลาง (ค) ชั้นน้ําบาดาลในชั้นหินแข็งใหน้ําชุดโคราชตอนลาง และ (3) ชั้นน้ําบาดาลในชั้นหินแข็งใหน้ําชุดราชบุรี ลุมน้ําหวยสามหมอพื้นที่สวนใหญรอยละ 80 รองรับดวยหินตะกอนกลุมหินโคราช ชุดหินภูกระดึง ซึ่ง ประกอบดวยหินทรายแปง หินทราย หินดินดาน และหินกรวดมน ซึง่ น้าํ บาดาลเกิดอยูตามชองวาง และรอยแตก ของหิน ที่เหลือรองรับดวยชุดหินพระวิหาร ซึ่งประกอบดวยหินทราย หินทรายแปง และหินกรวดมน ที่ยกตัวเปน แนวสันเขาลอมรอบดานทิศตะวันออกเฉียงใต รองรับดวยหินเสาขัว ชุดหินภูพาน และชุดหินโคกกรวด ซึ่งชุดหิน ดังกลาวครอบคลุมพื้นที่รวมกันประมาณรอยละ 20 ชั้นน้ําบาดาลบริเวณขอบแองจะใหน้ําปริมาณนอยกวา 2 ลูกบาศกเมตรตอชั่วโมง คุณภาพดี จืด ในขณะที่บริเวณกลางแองชั้นน้าํ บาดาลที่ไดจากชุดหินภูกระดึง ไดน้ําอยูใน เกณฑปาน กลางถึงมาก ประมาณ 2-10 ลูกบาศกเมตรตอชั่วโมง คุณภาพน้ําปานกลางถึงดี ปริมาณสารทั้งหมดที่ ละลายได ประมาณตั้งแตนอยกวา 500 ถึง 1,500 มิลลิกรัมตอลิตร
รูปที่ 3 ขอมูลปริมาณน้ําใตดินพื้นที่ลุมน้ําหวยสามหมอ 9. พื้นที่ชั้นคุณภาพลุมน้ําในลุมน้ําสาขา ลุมน้ําหวยสามหมอมีพื้นที่สวนใหญอยูในชั้นคุณภาพลุมน้ํา 5 คิดเปนรอยละ 71.47 รองลงมาคือชั้น คุณภาพลุมน้าํ 4 รอยละ 16.91 ของพื้นที่ลุมน้ํา ชั้นคุณภาพลุมน้าํ 2 รอยละ 5.23 ชั้นคุณภาพลุมน้ํา 1A รอยละ 4.11 ชั้นคุณภาพน้ํา 3 รอยละ 1.76 และนอยที่สุดคือชั้นคุณภาพลุมน้ํา 1B คิดเปนรอยละ 0.51 ของพื้นที่ 155
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน
ลุมน้ํา
รูปที่ 4 แสดงการแบงชั้นคุณภาพน้ําของลุมน้ําหวยสามหมอ 10. ขอมูลเชิงตํานานและประวัติศาสตร เลาขานกันวา นานมาแลวยังมีพญาจระเขดุรายตนหนึ่ง อาศัยอยูในภูมินิเวศลําน้ําแหงนี้ ผูคนตางขยาดหวาดกลัว มิกลา กล้ํากรายลงในแหลงน้ํา ทั้งๆ ที่กอนหนานั้นเคยอาศัยเปนที่ทํามา หากิน เก็บหาพืชผักพืชน้ําและกุงหอยปูปลา ผูปกครองบานเมือง ในสมัยนั้นจึงไดประกาศหาผูกลามาปราบเดรัจฉานรายตนนี้ ทาว แสนคําเปนผูอาสาคนแรก แตไมสําเร็จ ทานขุนเรืองอํานาจอาสา ปราบเปนคนที่สองและไมสําเร็จเชนกัน รอนถึงแมนางยอดหญิง สตรีผูใชน้ําตัวจริงจึงสามารถกําจัดอิทธิฤทธิ์นั้นได นับแตนั้นมา แหลงลุมแหงนี้ จึงขนานนามวา “หวยสามหมอ” ตราบเทาทุก วันนี้
156
รูปที่ 5 ประติมากรรมปูนปนพญาแข ทานทาวแสนคํา ทานขุนเรื่องอํานาจ และแมนางยอดหญิง
บทบาทคณะทํางานลุ่มน้ําห้วยสามหมอกับประสิทธิภาพการจัดการทรัพยากรลุ่มน้ํา / สมคิด สิงสง
มีตํานานเรื่องหมาบักทอก แปดศอกบทันมืนตา ยันภูผาขาดลงเปนบั้น เปนที่มาของนามภูผาเพ หนึ่งใน เทือกภูเม็งตอนลาง ที่เปนสันปนน้ําทางทิศตะวันออก เฉียงลงมาทางใต ที่ซึ่งน้ําหวยสามหมอไหลผานตรงชองสาม หมอ ตอกับเทือกภูโคง และภูแลนคาทางทิศใต และทิศตะวันตกของพื้นที่ลุมน้ํา นอกจากนี้ ลุม น้ําหวยสามหมอยังมีตํานานเลาขานเรื่องคนกลาอีกเรื่องหนึ่ง คืออาจารยดวง แมยาดี เลา ขานกันวา ทาวดวงผูนี้ มีวิชาอาคม เดินทางมาจากเมืองขุขันธ อาณาจักรเขมร มาบําเพ็ญตบะบารมีอยูในพื้นที่ลุม น้ําหวยสามหมอแหงนี้ ซึง่ ตรงกับในยุครัตนโกสินทรตอนตน เปน สมัยเดียวกับพระราชอาณาจักรศรีสัตนาคณหุตลานชาง ทั้งหลวง พระบาง เวี ย งจั น ทน และจํา ปาสั ก ได ต กอยู ใ นภายใต ข อบ ขั ณ ฑสี ม าแหงกรุงรัตนโกสินทร ในป พ.ศ. 2360 พญาแล ผูเปนขาราชสํานักเจาอนุวงศแหงกรุง เวียงจันทน ไดพาไพรพลมาราชการและพํานักอยูบานหนองน้ําขุน หรือหนองอีจาน ทองที่อําเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมาในปจจุบัน ตอมาเมื่อมีไพรพลมากขึ้น จึงเคลื่อนยายมายังโนนน้ําออม บานชี รูปที่ 6 หมาบักทอกในตํานานภูผาเพเพ ลอง และบานหลวง บริเวณหนองปลา เฒาและหนอง หลอดตามลําดับ และไดสงสวยทองคําตอกรุงรัตนโกสินทร ซึ่งขุดได จากภูโขโหล จนไดรับบรรดาศักดิ์เปนพญาภักดีชุมพล เจาเมืองชัยภูมิคนแรกในสมัย รัตนโกสินทร และเลาขานกันวาพญาภักดีชุมพล ไดฝากตัวเปนศิษยทาวดวงแหงลุม น้ําหวยสามหมอ ผูคนจึงขนานนามกันวา “อาจารยดวง” นับแตนั้นมา ดวยเหตุที่เปน ครู ไมปรากฏวามียศถาบรรดาศักดิ์ ยอมแสดงวาทานผูนี้เปนผูสมถะ ไมอยากไดใครดี ในสิ่งสมมติอันจอมปลอม ผูคนทั้งหลายจึงเรียกขานกันวา “อาจารยดวง” อยางเต็ม ปากเต็มคํา ผูใดมีเรื่องทุกขรอน จะพากันไปบนบานสานกลาว เมื่อสมประสงคก็ไมลืม ที่จะนําเครื่องเซนไหวไปสักการะ รูปที่ 7 ปูดวง
ดังนั้นในทุกวันพุธของสัปดาห ศาลเจาอาจารยดวงที่ชองสามหมอ จะกรุนไปดวยกลิ่นธูปควันเทียน และผูคนมากหลาย เสมือนวา สถานที่แหงนี้ ดวงเทียนไมเคยดับมอด และดอกไมไมเคยเหี่ยว เฉาตราบนิรันดรกาล
รูปที่ 8 ศาลเจาปูดวงที่ชองสามหมอ
157
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน
ปญหาทาทายเรื่องการจัดการเปนระบบลุมน้ําของลุมน้ําหวยสามหมอ กวา 3 ปในการบุกเบิกระบบบริหารจัดการเปนระบบลุมน้ําขึ้นที่ลุมน้ําหวยสามหมอ 1 ใน 20 ลุมน้ําสาขา ของลุมน้ําชี เปน 3 ปที่หนักหนาสาหัส และมุงมั่นตั้งใจเปนอยางยิ่ง เนื่องจากมีสิ่งทาทายขวางหนาอยูหลายเรื่อง เรื่องแรก การบริหารจัดการเปนระบบลุมน้ํา ภายใตรูปแบบผสมผสาน (Integrated Water Resources Management, IWRM) โดยพหุภาคี ทําไดจริงหรือ? ความสัมพันธระหวางฝายราชการกับฝายที่ไมใชราชการควร จะเปนเชนไร? เรื่องที่สอง เมื่อพูดถึงเรื่องทรัพยากรน้ํา ชาวบานผูใชน้ําทั้งหลายจะนึกถึงแตเรื่องปริมาณน้ํา โดยเฉพาะ ในลุมน้ําหวยสามหมอ ปญหาใหญคือเรื่องการขาดแคลนน้ํา หากแกปญหานี้ไมไดจะมิเทากับคณะทํางานลุมน้ํา สมคบกับกรมทรัพยากรน้ํา (ราชการ) หลอกลวงชาวบานหรือ? เรื่องที่สาม สืบเนื่องจากเรื่องที่สอง ทําอยางไรจึงจะสามารถทําใหชาวบานในพื้นที่ลุมน้ําไดเขาใจวาเรื่อง ของน้ํายังมีปจจัยอื่นที่เกี่ยวเนื่องกันเปนสายโซ จะขาดหวงโซใดหวงหนึ่งมิได โดยเฉพาะคือเรื่องของคน ดิน ปา เนื่องจากปาไมเพียงแตทําหนาที่เปนปาตนไม แตยังมีหนาที่เปนปาตนน้ําดวย เมื่อมีสภาพปาอุดมสมบูรณนอกจาก มีน้ําดี ยังทําใหดินดีดวย เรื่ อ งที่ สี่ มี ข อ จํ า กั ด ด า นงบประมาณในการส ง เสริ ม สนั บ สนุ น งานด า นทรั พ ยากรน้ํ า และงานฟ น ฟู สภาพแวดลอมทางธรรมชาติ เนื่องจากรัฐใหความสําคัญนอยเกินไปเมื่อเทียบกับงานดานอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับปญหา ชุมชนหนาแนนในเมือง สิ่งเหลานี้เปนปญหาบางอยางที่ทาทาย กลาวโดยรวมคือเรามีขอจํากัดดานทรัพยากรเปนอันมาก ทําให ตองใหความสําคัญแกแนวคิดพึ่งตนเองใหเพียงพอ และตองการความเขมแข็งของบุคลากรในพื้นที่ หาไมแลวการ บุกเบิกงานลุมน้ําหวยสามหมอจะทําไมได ประเด็นสําคัญคือ การแบงเขตการปกครองเปนหมูบาน ตําบล และอําเภอ ตามกฎหมายลักษณะปกครอง ทองที่ พ.ศ.2457 และการแบงเขตจังหวัดซึ่งเปนราชการสวนภูมิภาค มิไดคํานึงถึงหลักภูมินิเวศวิทยาลุมน้ํา ทําให การวางแผนพัฒนาและการใชประโยชนจากทรัพยากรลุมน้ําเปนไปในลักษณะตางคนตางคิดและตางคนตางทํา ภายในขอบเขตการปกครองของตน โดยมิไดคํานึงถึงผลประโยชน และ/หรือผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับพื้นที่การ ปกครองอื่น ทําใหในอดีตการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํามีขอจํากัดทางดานขอบเขตการปกครองตลอดมา ผลจากการบริหารจัดการแบบเดิม ทําใหการใชประโยชนทรัพยากรน้ําเปนไปในลักษณะฝนตกไมทั่วฟา ไมไดใชประโยชนอยางเทาเทียมกันทั่วทั้งลุมน้ํา หากแตเปนประโยชนเฉพาะที่ราบลุมที่ลําหวยพาดผานและไหลตก พื้นที่สวนใหญซึ่งตั้งอยูในภูมิประเทศที่สูงกวาลําหวย ไมมีโอกาสไดใชประโยชนจากทรัพยากรน้ําในลุมน้ํา เมื่อมีการตราระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี วาดวยการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําแหงชาติ พ.ศ.2532 และ แกไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2 พ.ศ.2545 มีการตั้งกรมทรัพยากรน้ําขึ้นในกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม 158
บทบาทคณะทํางานลุ่มน้ําห้วยสามหมอกับประสิทธิภาพการจัดการทรัพยากรลุ่มน้ํา / สมคิด สิงสง
นําหลักการบริหารจัดการน้ําแบบผสมผสาน (Integrated Water Resources Management, IWRM) มาเปน แนวทางในการบริหารจัดการน้ําเปนระบบลุมน้ํา มีคณะกรรมการทรัพยากรน้ําแหงชาติเปนองคกรบริหารจัดการ ทรัพยากรน้ําในระดับชาติ มีคณะอนุกรรมการลุมน้ําจํานวน 29 คณะอนุกรรมการ บริหารจัดการลุมน้ําสายหลัก 25 ลุมน้ําของประเทศ และมีคณะทํางานระดับจังหวัด อําเภอ และตําบลตามลําดับ สามปแรกของการบุกเบิกจัดตั้ง เครือขายการจัดการลุมน้ําหวยสามหมอ ดําเนินการไปภายใตระบบระเบียบดังกลาว แรกเมื่อมีการตราระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี วาดวยการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําแหงชาติ พ.ศ.2532 และแกไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2 พ.ศ.2545 พรอมๆ กับมีการปฏิรูประบบราชการ กลาวคือมีการตั้งกรมทรัพยากรน้ําขึ้น ในกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม นําหลักการบริหารจัดการน้ําแบบผสมผสาน (Integrated Water Resources Managemen, IWRM) มาเปนแนวทางในการบริหารจัดการน้ําเปนระบบลุมน้ํา มีคณะกรรมการ ทรัพยากรน้ําแหงชาติเปนองคกรบริหารจัดการทรัพยากรน้ําในระดับชาติ มีคณะอนุกรรมการลุมน้ําจํานวน 29 คณะอนุกรรมการ บริหารจัดการลุมน้ําสายหลัก 25 ลุมน้ําของประเทศ และมีคณะ ทํางานระดับจังหวัด อําเภอ และ ตําบลตามลําดับดังกลาวแลวนั้น ทวาปญหาก็ยังคางคาอยู คือการจัดตั้งที่พยายามยึดโยงโครงสรางดานการปกครอง กลาวคือองคกรระดับ พื้นที่ยังประกอบไปดวยคณะทํางานระดับจังหวัด ระดับอําเภอและตําบล ทําใหปญหาของลุมน้ําหวยสามหมอซึ่งมี พื้นที่คาบเกี่ยว 2 จังหวัด ยังไมมีความชัดเจนวาจะบริหารจัดการเปนระบบลุมน้ําไดอยางไร ในชวงที่ มีก ารคัด สรรคณะอนุ กรรมการลุ มน้ํ าชี ตอนบน นายสมคิด สิ งสง ขณะที่ ดํา รงตํา แหนง นายก องคการบริหารสวนตําบลซับสมบูรณ อําเภอโคกโพธิ์ไชย จังหวัดขอนแกน ไดรับคัดเลือกใหเปนอนุกรรมการใน สัดสวนตัวแทนองคกรปกครองสวนทองถิ่นในจังหวัดขอนแกน เขาไดจัดทํา “จดหมายขาวลุมน้ําหวยสามหมอ” ออกเผยแพร เรียกรองใหจัดตั้งเครือขายผูใชน้ําลุมน้ําหวยสามหมอ เพื่อเปนเวทีกลางสําหรับบริหารจัดการลุมน้ํา สาขาที่มีพื้นที่คาบเกี่ยวเกิน 1 จังหวัด แกปญหาขอจํากัดดานขอบเขตการปกครอง ในชวงระยะบุกเบิก กรมทรัพยากรน้ํากําหนดใหมีการดําเนินการบริหารจัดการเปนระบบลุมน้ําขึ้นในพื้นที่ ลุมน้ําสาขา โดยเลือกลุมน้ําสาขาน้ํารองจํานวน 30 แหงใน 25 ลุมน้ําหลัก และลุมน้าํ สาขาหวยสามหมอไดรับคัด เลือกใหเปนลุมน้ํานํารองของพื้นที่ลุมน้ําชีตอนบน และตอมาไดรับการพิจารณาใหเปนพื้นที่ลุมน้ํานํารองของโครง การความรวมมือของคณะกรรมาธิการแมนา้ํ โขง (MRC) ภายใตกรอบแผนงานพัฒนาลุมน้ํา (Basin Development Plan, BDP) และลุมน้ํานํารองของโครงการการจัดการลุมน้ํา (Watershed Management Project) ภายใตแผนงาน การเกษตร ชลประทานและปาไม ซึ่งไดรับการสนับสนุนจากรัฐบาลเยอรมันโดย GTZ การเลือกลุมน้ําสาขาหวยสามหมอเปนโครงการนํารอง เปนการพิจารณาตัดสินใจของคณะทํางานพื้นที่ลุม น้ํายอย 5T ในแผนงานพัฒนาลุมน้ํา (Basin Development Plan, BDP) โดยมีหลักเกณฑคือ (1) เปนลุมน้ําขนาดเล็ก สะดวกตอการบริหารจัดการเปนลุมน้ํานํารอง (2) มีอนุกรรมการลุมน้ําอยูในพื้นที่ สามารถเชื่อมโยงกับคณะอนุกรรมการลุมน้ําไดโดยตรง (3) มีขอเรียกรองและแนวความคิดของคนในพื้นที่ที่ตองการใหมีการบริหารเปนระบบลุมน้ํา และ (4) มีระบบฐานขอมูลในระดับหนึ่งแลว 159
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน
ความเคลื่อนไหวในชวงการจัดตั้ง : บริหารจัดการเปนระบบลุมน้ําโดยพหุภาคี 1. บทบาทการสงเสริมของกรมทรัพยากรน้ํา สํานักงานทรัพยากรน้ําภาค 4 ในฐานะสํานักงานคณะอนุกรรมการลุมน้ําชีตอนบน (ขณะนั้น) โดยสวน ประสานและบริหารจัดการลุมน้ําชี ไดดําเนินขั้นตอนตางๆ เพื่อเตรียมความพรอมในการจัดตั้งคณะทํางานระดับ พื้นที่ของลุมน้ําสาขาหวยสามหมอ บวกกับการเรียกรองตองการของอนุกรรมการในพื้นที่ ซึ่งมีประสบการณวาเขต การปกครองเปนขอจํากัดสําคัญของการบริหารลุมน้ําหวยสามหมอ เนื่องจากเปนพื้นที่ลุมน้ําที่คาบเกี่ยวเขตการ ปกครองถึง 2 จังหวัด คือบางสวนของจังหวัดขอนแกน และบางสวนของจังหวัดชัยภูมิ ซึ่งตามแผนพัฒนาพื้นที่ 2 จั ง หวั ด นี้ ไ ม ไ ด จั ด ให อ ยู ใ นกลุ ม จั ง หวั ด เดี ย วกั น จึ ง ได ดํ า เนิ น งานตามโครงการฝ ก อบรมการเสริ ม สร า งขี ด ความสามารถการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา การใชน้ําอยางรูคุณคาและดูแลรักษาแหลงน้ําในพื้นที่ จํานวน 11 ครั้ง ในระหวางวันที่ 2 - 17 สิงหาคม 2548 มีผูเขาอบรมประกอบดวยกลุมสตรี เยาวชน เครือขายในพื้นที่ลุมน้ํา หวยสามหมอ รวมประมาณ 550 คน จากการฝกอบรมการเสริมสรางขีดความสามารถการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา (กลุม สตรี/กลุมเยาวชน/ กลุมเครือขาย : กลุมเดิม) 11 ครั้งที่ผานมา ไดมีการประชุมครั้งที่ 12 เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2548 เพื่อจัดตั้ง เครือขายการจัดการลุมน้ําหวยสามหมอ เปนการตอยอดโครงการฝกอบรม 11 เวทีที่ดําเนินการมาตั้งแตวันที่ 2 สิงหาคม 2548 ที่มีเครือขายผูมีสวนไดสวนเสียในลุมน้ําจากทุกหมูบาน 16 ตําบล ในทองที่ 4 อําเภอของจังหวัด ขอนแกนและชัยภูมิเขารวมโครงการฝกอบรม และมีการเลือกสรรผูแทนตําบลละ 2 คน จํานวนรวมกัน 32 คน จาก ภาคราชการและนอกภาคราชการในสัดสวนเทาๆ กัน จัดตั้งเปนคณะทํางานเครือขายการจัดการลุมน้ําหวยสาม หมอ ดังนั้นในการฝกอบรมเวทีที่ 12 เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2548 จึงเปนการฝกอบรมเชิงปฏิบัติการในการจัดตัง้ คณะทํางานเครือขายการจัดการลุมน้ําหวยสามหมอ ถือวาเปนองคกรระดับลุมน้ําสาขา และไดรวมกันกําหนด โครงสรางองคกรเครือขายการจัดการลุมน้ําออกเปนฝายตางๆ คือ ฝายขอมูล ฝายแผนงาน ฝายประชาสัมพันธ ฝายกองทุนฯ เปนตน เนื่องจากคณะทํางานเครือขายดังกลาว ยังไมมีฐานะที่ชอบดวยระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี วาดวยการ บริหารจัดการทรัพยากรน้ําแหงชาติที่บังคับใชอยูในเวลานั้น จึงมีคําสั่งคณะอนุกรรมการลุมน้ําชีตอนบน (ในเวลา นั้น) ที่ 1/2549 เรื่องแตงตั้งคณะทํางานลุมน้ําสาขาหวยสามหมอ ลงวันที่ 22 สิงหาคม 2549 มีองคประกอบ 2 สวน คือสวนที่ปรึกษาและสวนคณะทํางาน มีอํานาจหนาที่คือ (1) รวบรวมขอมูลตางๆ เกี่ยวกับทรัพยากรน้ํา และทรัพยากรอื่นๆ ที่เกี่ยวของ และโครงการพัฒนาแหลง น้ําที่กอสรางแลว (2) นําเสนอความตองการแผนงาน โครงการพัฒนาแหลงน้ําภายในลุมน้ํายอยตอคณะอนุกรรมการลุมน้ํา (3) ประสานการจัดทําแผนปฏิบัติการของสวนราชการตางๆ ที่เกี่ยวของ เพื่อการพัฒนาและอนุรักษแหลง น้ํา การจัดสรรน้ํา การฟนฟูสภาพตนน้ํา การปองกันแกไขปญหาอุทกภัย ภัยแลง และปญหาคุณภาพ น้ํา เพื่อจัดทําแผนปฏิบัติการของลุมน้ํายอย 160
บทบาทคณะทํางานลุ่มน้ําห้วยสามหมอกับประสิทธิภาพการจัดการทรัพยากรลุ่มน้ํา / สมคิด สิงสง
(4) ประชาสั ม พั น ธ เ ผยแพร ค วามรู ข า วสารที่ ที่ เ กี่ ย วข อ งกั บ ทรั พ ยากรน้ํ า และการดํ า เนิ น งานของ คณะอนุกรรมการลุมน้ําใหประชาชนในจังหวัด หรือพื้นที่ลุมน้ําไดรับรู รับทราบ เพื่อใหเกิดความเขาใจ ที่ถูกตอง (5) ประนีประนอม ไกลเกลี่ยขอขัดแยงและแกไขปญหาขอพิพาทเกี่ยวกับการดําเนินการบริหารจัดการ ทรัพยากรน้ําที่เกิดขึ้นในพื้นที่ลุมน้ํายอย (6) ติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานของหนวยงานตางๆ ที่เกี่ยวของกับทรัพยากรน้ําในพื้นที่ลุมน้ํา ยอย รายงานใหคณะอนุกรรมการลุมน้ําทราบ (7) ปฏิบัติหนาที่อื่นๆ ตามที่คณะอนุกรรมการลุมน้ํามอบหมาย คาใชจายตางๆ ของคณะทํางานใหเบิกได ตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวของ คณะทํางานลุมน้ําหวยสามหมอไดดําเนินงานเรื่อยมา ภายใตหลักการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําแบบ ผสมผสาน (Integrated Water Resources Management, IWRM) โดยพหุภาคี โดยไดรับการสงเสริมอยาง ตอเนื่องจากหนวยงานในสังกัดกรมทรัพยากรน้ํา ทั้งในสวนกลางและสวนภูมิภาค 2. บทบาทการสงเสริมของคณะกรรมาธิการแมน้ําโขง (Mekong River Commission, MRC) คณะกรรมาธิการแมน้ําโขง เปนองคกรรัฐระหวาง 4 ประเทศในลุมแมน้ําโขงตอนลาง คือกัมพูชา เวียดนาม ลาว และไทย จัดตั้งลาสุดเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2538 ภายใตขอความตกลงวาดวยการพัฒนาลุมแมน้ําโขงอยาง ยั่งยืน (Agreement on the Cooperation for the Sustainable Development of the Mekong River Basin) มี วัตถุประสงคเพื่อสงเสริมและประสานงานดานการจัดการและพัฒนาแหลงน้ํา และทรัพยากรอันเกี่ยวเนื่องอื่นๆ แบบ ยั่งยืน เพื่อผลประโยชนรวมกันของประเทศสมาชิกและความเปนอยูที่ดีของประชาชน โดยการสงเสริมแผนงาน ยุทธศาสตรและกิจกรรมตางๆ รวมทั้งจัดหาขอมูลทางวิทยาศาสตร และใหคําแนะนําดานนโยบาย MRC แบงพื้นที่ลุมแมน้ําโขงตอนลางออกเปน 10 พื้นที่ยอย พื้นที่ยอยในเขตประเทศไทยประกอบดวย พื้นที่ 2 T ทางจังหวัดเชียงราย พื้นที่ 3 T ในลุมน้ําโขงอีสาน พื้นที่ 9 T เปนพื้นที่เล็กๆ บริเวณลุมน้ําโตนเลสาบ และพื้นที่ 5 T บริเวณลุมน้ําชีและลุมน้ํามูลซึ่งเปนพื้นที่กวางใหญกวา 120,537 ตารางกิโลเมตร
161
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน
รูปที่ 9 แสดงการแบงพื้นที่ลุมน้ํายอยของอนุภาคลุมน้ําโขงตอนลาง ลุมน้ําหวยสามหมอเปน 1 ใน 20 ลุมน้ําสาขาของลุมชี จึงจัดวาอยูในพื้นที่ยอย 5 T ในสารบบพื้นที่ยอย ของลุมน้ําโขงตอนลาง และไดรับคัดเลือกจากคณะทํางานพื้นที่ยอย 5 T สงเสริมเปนพื้นที่นํารองในการวางแผน บริหารจัดการเปนระบบลุมน้ําแบบบูรณาการโดยพหุภาคี เริ่มจากสวนงานคณะกรรมการแมน้ําโขงแหงชาติไทย (Thai National Mekong Committee) ในสํานัก ประสานความรวมมือระหวางประเทศ กรมทรัพยากรน้ํา และคณะทํางานพื้นที่ 5 T ไดสงเสริมใหเครือขายการ จัดการลุมน้ําหวยสามหมอจัดทํากระบวนการวางแผนชุมชนลุมน้ําขึ้น เริ่มตนเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ 2549 ไป สิ้นสุดในปลายเดือนกรกฎาคม ปเดียวกัน โดยไดรับการสนับสนุนจากแผนพัฒนาลุมน้ํา (Basin Development Plan, BDP) ในคณะกรรมาธิการแมน้ําโขง (MRC) 162
บทบาทคณะทํางานลุ่มน้ําห้วยสามหมอกับประสิทธิภาพการจัดการทรัพยากรลุ่มน้ํา / สมคิด สิงสง
ผานกระบวนการปรึกษาหารือเพื่อ “ทบทวนอดีต เขาใจปจจุบัน วาดฝนอนาคต” โดยนําขอมูลที่ไดจาก การศึกษาเอกสารขอมูลเทาที่มีอยู และการลงสํารวจในพื้นที่จริง ในชวงปลายป พ.ศ.2548 จนถึงตนป พ.ศ.2549 กอรูประบบฐานขอมูล GIS ซึ่งถือวาเปนกระบวนการแรกของการทํางาน แลวนํามาวิเคราะห ทําใหทราบวาในอดีต ลุมน้ําหวยสามหมอมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ มีแหลงน้ําซับหรือน้ําซึมตามธรรมชาติมากมาย ลําน้ํา สะอาดและไหลตลอดป ทํานาไดตลอดฤดูกาล ในน้ํามีปลา ในนามีขาว ผูคนอยูเย็นเปนสุขตามควรแกอัตภาพ ตอมาสถานการณทางเศรษฐกิจและสังคมเปลี่ยนแปลงไป เมื่อระบบการผลิตเปลี่ยนจากผลิตเพื่อยังชีพ เปนผลิตเพื่อขายเปนสินคา ตามทฤษฎีเศรษฐศาสตรสมัยใหม ทําใหการเกษตรธรรมชาติเปลี่ยนไปเปนเกษตรเคมี โดยหวังจะเพิ่มผลิตภาพ และมีการขยายพื้นที่เพาะปลูกเพื่อใหไดปริมาณผลผลิตมากขึ้น ทําใหพื้นที่ปาไมถูก ทําลาย หนาดินถูกชะลางลงสูลําน้ํา รวมทั้งสารพิษที่มาในรูปเคมี ภัณฑการเกษตรก็ปนเปอนลงสูแหลงน้ํา ทําใหลํา น้ําและแหลงกักเก็บตื้นเขิน ปริมาณน้ําฝนลดลง เกิดสภาพแหงแลงอยางตอเนื่องและนับวันรุนแรง จากการดิ้นรนแขงขันในเวทีเศรษฐกิจ ทําใหความคิดจิตสํานึกของคนในสังคมมีลักษณะเห็นแกตัวมากขึ้น ประเพณีวัฒนธรรมดั้งเดิมอันดีงามหลายอยาง สูญเสียไป เมื่อไดทบทวนหวนเห็นเชนนั้นแลว จึงไดรวมกันกําหนด วิสัยทัศนขึ้นมาใหมวา “ลุมน้ําหวยสามหมอมีองคกรเขมแข็ง เพื่อการจัดการน้ําอยางยั่งยืน ฟนความอุดม สมบูรณใหธรรมชาติ โดยภูมิปญญาชุมชนและรัฐ” หลังจากรวมกันวิเคราะหสถานการณอยางรอบดาน และกําหนดวิสัยทัศนขึ้นแลว ไดวางแผนยุทธศาสตร สําหรับอนาคต ที่ประชุมปรึกษาลงความเห็นวา ใหเรียกแผนยุทธศาสตรดังกลาววา “แผนชุมชนลุมน้ําหวยสาม หมอ” ใหมีองคประกอบที่สําคัญของแผนประกอบดวย (1) แผนแหลงน้ําชุมชน (2) แผนเกษตรอินทรีย อาชีพและรายได (3) แผนสงเสริมศักยภาพองคกรลุมน้ําและฟนฟูสิ่งแวดลอม (4) แผนหลักสูตรทองถิ่น องคความรู และระเบียบชุมชน (5) แผนสงเสริมบทบาทสตรีและเยาวชน กระบวนการวิเคราะหขอมูล สรางวิสัยทัศน และสรางแผนยุทธศาสตร นอกจากมีการประชุมปรึกษาใน คณะทํางานเครือขายฯ แลวยังไดเปดเวทีชุมชนอีกหลายครั้ง โดยแบงพื้นที่ 16 ตําบลออกเปน 3 กลุมตําบล แตละ กลุมตําบลมีตัวชาวบานทั้งชายและหญิงจากทุกหมูบานในพื้นที่ลุมน้ํา มาอภิปรายรายละเอียดของแผนยุทธศาสตร ดังกลาว จากนั้นคณะทํางานเครือขายฯ จึงไดนําเอาทุกขอคิดความเห็นมาเชื่อมรอยกันเปนแผนชุมชนลุมน้ํา ดังกลาว กระบวนการทั้งหมดนี้ ไดรับการสนับสนุนงบประมาณจาก Basin Development Plan of Mekong River Commission รวมทั้งการนําคณะทํางานเครือ ขายฯ ไปดูงานดานทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดลอม การพลังงาน วิถี ชีวิตและวัฒนธรรม ในพื้นที่ยอย 6 L ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวดวย 163
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน
เนื่องจากพื้นทีแ่ ตละลุมน้ํา อาจตองจําแนกแยกแยะในรายละเอียด ทั้งที่เปนจุดรวมและจุดตางในประเด็น ตางๆ เชน ประเด็นสิ่งแวดลอม ขอพิจารณาทางสังคม ปจจัยทางเศรษฐกิจ รวมทั้งเปาหมายการพัฒนาเฉพาะที่ แตกตางกันของแตละพื้นที่การปกครอง ในเรื่องการชลประทาน การผลิตไฟฟาพลังน้ํา การเกษตร อุตสาหกรรม เปนตน ซึง่ อาจจะแตกตางกันไปบางในรายละเอียด จึงจําเปนตองจัดทําแผนปฏิบัติการลุมน้ํา (A Watershed Management Blueprint, or Plan of Action) ขึ้น เพือ่ เปนแนวทางในการจัดทําโครงการบริหารจัดการลุมน้ําที่เปน รูปธรรม การจัดทําแผนปฏิบัติการลุมน้ําครั้งนี้ ดําเนินการมาอยางตอเนื่อง ระหวางเดือนมิถุนายน - ตุลาคม 2551 เพื่อกําหนดแผนปฏิบัติการลุมน้ํา ระยะ 3 ป (2552-2554) โดยคณะทํางานลุมน้ําหวยสามหมอ ไดรับการสงเสริม และสนับสนุน จากสํานักงานคณะกรรมการลุมน้ําชี สํานักงานทรัพยากรน้ําภาค 4 กรมทรัพยากรน้ํา โดยการ (Watershed สนับสนุนของคณะกรรมาธิการแมน้ําโขง (MRC-GTZ) ภายใตโครงการการจัดการลุมน้ํา Management Project, WSMP) ผูมีสวนใหการสงเสริม สนับสนุน ตลอดจนผูแทนหนวยงาน สวนราชการตางๆ ที่ เกี่ยวของ รวมทั้งองคกรปกครองสวนทองถิ่นในพืน้ ที่ลุมน้ํา ไดสละเวลาเขารวมกิจกรรมการจัดทําแผนปฏิบัติการ ครั้งนีอ้ ยางแข็งขัน 3. บทบาทการสงเสริมของธนาคารโลก (World Bank) ผูอํานวยการสวนงานคณะกรรมการแมน้ําโขง กรมทรัพยากรน้ํา ไดนําผูเชี่ยวชาญอาวุโสดานสิ่งแวดลอม แหงภาคพื้นเอเชียตะวันออกและแปซิฟก (Senior Environmental Specialist, East Asia and Pacific Region) ของธนาคารโลก ไปพบปะกับคณะทํางานลุมน้ําหวยสามหมอเมื่อเดือนกลางสิงหาคม 2550 ก็เริ่มมีการสนับสนุน ดานการเงินจากธนาคารโลกตั้งแตตนป พ.ศ.2551 เปนตนมา เชนโครงการคณะกรรมการลุมน้ําศึกษา (Developing a Best for Indochina- Increasing the Effectiveveness of Thailand’s River Basin Committee, RBC Study) ที่ ดําเนินโครงการในลุมน้ําหวยสามหมอ และลุมน้ําพุง พื้นที่นํารองของ MRC_BDP และสนับสนุนงบประมาณ Small Grants ใหแกโครงการเกษตรอินทรีย เพื่อลงมือขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตรเกษตรอินทรียของลุมน้ําหวยสามหมอ ในป พ.ศ.2551 4. เครือขายผูมีสวนไดสวนเสียในพื้นที่ลุมน้ํา นอกจากเครือขายเดิมที่กอรูปขึ้นแลว คือเครือขายการจัดการลุมน้ําหวยสามหมอ และคณะทํางานลุมน้ํา สาขาหวยสามหมอ ดัง นําเสนอมาในบทที่ แลว ในชวงระยะเวลา 3 ป แรกของการบุกเบิ กลุม น้ําห วยสามหมอ (ระหวางป พ.ศ.2549-2551) ยังไดเกิดเครือขายใหมตามมาอีกดังนี้ • คณะทํางานเครือขายสตรีอาสาสมัครลุมน้ําสาขาหวยสามหมอ เพื่อสงเสริมบทบาทสตรีตามหลักการ IWRM จึงมีการฝกอบรมและจัดตั้งเครือขายสตรีอาสาสมัครลุมน้ํา สาขาหวยสามหมอขึ้น เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2550 ณ หองประชุมวิทยาลัยการอาชีพแกงครอ อําเภอ แกงครอ จังหวัดชัยภูมิ โดยมีวัตถุประสงค
164
บทบาทคณะทํางานลุ่มน้ําห้วยสามหมอกับประสิทธิภาพการจัดการทรัพยากรลุ่มน้ํา / สมคิด สิงสง
(1) จัดตั้งและสนับสนุนการดําเนินงานเครือขายสตรีกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําในพื้นที่ลุม น้ําหวยสามหมอ (2) เพื่อใหเกิดการแลกเปลี่ยนความรูประสบการณและถายทอดเจตนารมณของการบริหารจัดการ ทรัพยากรน้ําแกสมาชิกของเครือขายสตรีลุมน้ําหวยสามหมอ (3) เพื่อใหสตรีมีสวนรวมในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําในพื้นที่ลุมน้ําอยางจริงจัง (4) เพื่อจัดตั้งกลุมสตรีในระดับพื้นที่และนําแนวทางในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา การฟนฟูการ อนุรักษ การดูแลรักษาทรัพยากรน้ําและอื่นๆ ที่เกี่ยวของไปสูการปฏิบัติใหเกิดเปนรูปธรรม กลุมเปาหมายกลุมสตรีผูมีสวนไดสวนเสียในพื้นที่ลุมน้ําหวยสามหมอ พรอมดวยคณะทํางานลุมน้ําสาขา หวยสามหมอ วิธีการดําเนินการคือไดเชิญผูแทนสตรีจากหมูบานตางๆ ที่เคยเขารวมกิจกรรมการวางแผนชุมชนลุมน้ํา เขารับการฝกอบรม รับฟงการบรรยาย โดยวิทยากร ในหัวขอบทบาทของกลุมสตรีกับการบริหารจัดการน้ํา เหตุผล และความสําคัญ ในการจัดตั้งเครือขายสตรี จากนั้นมีการเลือกสรรผูแทนแตละตําบล ไดทั้งหมด 11 ตําบล 4 อําเภอ 2 จังหวัด ตั้งเปนคณะทํางาน เครือขายสตรีอาสาสมัครลุมน้ําสาขาหวยสามหมอ • คณะทํางานเครือขายเยาวชนอาสาสมัครลุมน้ําสาขาหวยสามหมอ เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2550 สํานักงานคณะอนุกรรมการลุมน้ําชีตอนบน สํานักงานทรัพยากรน้ําภาค 4 รวมกับคณะทํางานลุมน้ําสาขาหวยสามหมอ จัดฝกอบรมและจัดตั้งเครือขายเยาวชนอาสาสมัครลุมน้ํานํารองสาขา หวยสามหมอ ณ บริเวณศาลเจาอาจารยดวง บานชนแดน หมู 5 ตําบลชองสามหมอ อําเภอคอนสวรรค จังหวัด ชัยภูมิ เพื่อสนับสนุนการดําเนินงานและจัดตั้งกลุมเครือขาย เยาวชน ในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําในพื้นที่ลุม น้ําหวยสามหมอ โดยมีผูเขารับการอบรมรวมทั้งสิ้น 80 คน ประกอบดวยเยาวชนจากโรงเรียนในเขตพื้นที่ลุมน้ํา ห ว ยสามหมอ จํ า นวน 68 คน คณะครู อ าจารย แ ละประชาชน จํ า นวน 12 คน ทั้ ง นี้ ใ นการอบรมดั ง กล า ว ได ดําเนินการจัดตั้งคณะกรรมการเครือขายเยาวชนอาสาสมัครลุมน้ําสาขานํารองหวยสามหมอ จํานวน 10 คน • เครือขายสถานศึกษาหลักสูตรทองถิ่น ในกระบวนการขั บ เคลื่ อ นแผนยุ ท ธศาสตร ลุ ม น้ํ า ห ว ยสามหมอ เพื่ อ ปลู ก ฝ ง จิ ต สํ า นึ ก อนุ รั ก ษ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม ตามแผนยุทธศาสตรดานหลักสูตรทองถิ่น องคความรู และระเบียบชุมชน คณะทํางานลุมน้ํา รวมกับสถานศึกษาตางๆ ที่มีอยูในพื้นที่ลุมน้ํา โดยไดรับการสนับสนุนวิทยากรดานหลักสูตร จากคณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยขอนแกน และจากเขตพื้นที่การศึกษาขอนแกน เขต 1 ไดจัดการประชุมสัมมนา เชิงปฏิบัติการขึ้น 3 ครั้ง จนสามารถรางหลักสูตรทองถิ่น “ลุมน้ําหวยสามหมอศึกษา” ขึ้นสําเร็จ สถานศึกษาชวง ชั้นที่ 1-4 เมื่อนําหลักสูตรดังกลาวขอมติเห็นชอบจากที่ประชุมคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้น ฐานแลว ก็สามารถ นําไปประยุกตใชจัดการเรียนการสอนในสถานศึกษานั้นๆ ได
165
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน
ในชวงเดือนสิงหาคม พ.ศ.2550 มีมติที่ประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติ ครั้งที่ 3 ใหสถาปนาเครือขายสถานศึกษา หลักสูตรทองถิ่น “ลุมน้ําหวยสามหมอศึกษา” ขึ้น เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรูประสบการณรวมกันในบรรดาสถานศึกษา ที่ประกาศใชหลักสูตรทองถิ่นดังกลาวแลว • เครือขายขาวอินทรีย ในการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร แผนเกษตรอินทรีย อาชีพ และรายได เปน 1 ใน 5 แผนชุมชนลุมน้ําหวย สามหมอ ในปการผลิต 2551 มีชาวนาเขารวมโครงการขาวอินทรีย 55 ครอบครัว โครงการนี้ไดรับการสนับสนุน งบประมาณจาก Small Grants ของกลุมธนาคารโลก เครือขายผูมีสวนไดสวนเสียในพื้นที่ลุมน้ํายังจะตองจัดตั้งขึ้นอีก เพื่อใหการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตรชุมชน ลุมน้ําหวยสามหมอไดดําเนินตอไปใหครบถวนตามแผนที่วางไว เมื่อพิจารณาจากการดําเนินงานที่ผานมา จะพบวา มีโอกาส มีสมรรถนะ และมีขอจํากัดพอสรุปไดคือ โอกาส: มีหนวยงานมากมายที่ทํางานดานลุมน้ําใหการสนับสนุนกิจกรรมในพื้นที่ลุมน้ําหวยสาม หมอ เนื่องจากเห็นวาคณะทํางานลุมน้ําหวยสามหมอมีผูนําที่มีความสามารถ ประกอบกับคณะทํางานมีความ เขมแข็ง มีการรวมกลุมกันอยางเหนียวแนน จึงเปนโอกาสใหคณะทํางานไดเรียนรูแ ละไดประสบการณในสิ่งใหมๆ สมรรถนะ: คณะทํางาน (ภาคประชาชน) สวนใหญเปนคนในพื้นที่ รูสภาพพื้นที่และปญหาเปนอยางดี มี ความเขมแข็ง กระตือรือรน และใหความรวมมือในการเสนอขอคิดเห็นและรวมแกปญหาในพื้นที่ และสามารถ ขับเคลื่อนงานไปสูผลสําเร็จไดรวดเร็วกวาลุมน้ําอื่น ขอจํากัด : คณะทํางาน (ภาคประชาชน) สวนใหญอยูในวัยสูงอายุ มีขอจํากัดในการเรียนรูเทคโนโลยี ใหมองคกรสวนทองถิน่ บางแหงยังไมใหความรวมมือเทาที่ควร ทั้งหมดนั้นคือกระบวนการที่เรียกวา “การบริหารจัดการแบบผสมผสาน โดยพหุภาคี” ซึ่งลุมน้ําหวยสาม หมอไดนําลงสูภ าคปฏิบัติ
ผลที่เกิดจากการปฏิบัติหลักการบริหารจัดการแบบผสมผสานโดยพหุภาคี 1. การจัดทํารางแผนปฏิบัติการระยะ 3 ป (2552-2554) ในบริบทของการบริหารจัดการเปนระบบลุมน้ํา โดยพหุภาคี หลังจากมีกระบวนการจัดทําวิสัยทัศนลุมน้ํา และการวางแผนชุมชนลุมน้ํา จนไดผลลัพธออกมาเปนแผนยุทธศาสตรลุมน้ํา 5 ดานดังกลาวขางตน ยังมีความ จําเปนตองแปลงแผนยุทธศาสตรใหเปนแผนปฏิบัติการ กระบวนการจัดทําแผนปฏิบัติการลุมน้ําหวยสามหมอ ระยะ 3 ป (2552-2554) ซึ่งสนับสนุนโดย MRC_GTZ จําแนกเปน 3 ขั้นตอน (Module) Module 1 การประชุมอภิปรายแนวทางการบริหารจัดการลุมน้ําหวยสามหมอ เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2551 ที่หองประชุมภูผาแดง วิทยาลัยการอาชีพแกงครอ อ.แกงครอ จ.ชัยภูมิ 166
บทบาทคณะทํางานลุ่มน้ําห้วยสามหมอกับประสิทธิภาพการจัดการทรัพยากรลุ่มน้ํา / สมคิด สิงสง
Module 2 การประชุมเชิงปฏิบัติการวิเคราะหขอมูลและศักยภาพลุมน้ํา ระหวางวันที่ 26-28 มิถนุ ายน 2551 ทีห่ องประชุมองคการบริหารสวนตําบลหนองไผ อ.แกงครอ จ.ชัยภูมิ และการประชุมปรึกษานอกรอบระหวาง วันที่ 19 สิงหาคม 2551 ที่สํานักงานคณะทํางานลุมน้ําหวยสามหมอ บานซับแดง ต.ซับสมบูรณ อ.โคกโพธิ์ ไชย จ.ขอนแกน Module 3 การประชุมเชิงปฏิบัติการจัดทําแผนการบริหารจัดการลุมน้ําหวยสามหมอ ระหวางวันที่ 1-2 ตุลาคม 2551 ที่โรงเรียนแกงครอวิทยา อ.แกงครอ จ.ชัยภูมิ ภายใตกระบวนการจัดทํารางแผนปฏิบัติการ ระยะ 3 ป (2552-2554) ประเด็นสําคัญที่ไดจากการประชุม ครั้งที่ 1 แนวทางการบริหารจัดการลุมน้ําหวยสามหมอ เมื่อวันอังคารที่ 3 มิถุนายน 2551 ณ วิทยาลัยการอาชีพ แกงครอ อําเภอแกงครอ จังหวัดชัยภูมิ ในการระดมความคิดเห็นเรื่อง “สภาพปญหาและศักยภาพในพื้นที่การ ดําเนินงานในลุมน้ําหวยสามหมอที่ผานมา และแนวทางการดําเนินงานรวมกันในอนาคต” ดําเนินกระบวน การระดมความคิดเห็นดังกลาวโดยนายเธียรเอก ติยพงศพัฒนา ที่ปรึกษาโครงการการจัดการลุมน้ํา MRC-GTZ สรุปไดดังนี้ วัตถุประสงคของกิจกรรม • เพื่อทบทวนปญหาและประสบการณการแกปญหาของลุมน้ํา จากอดีตถึงปจจุบัน • เพื่อกําหนดแนวทางความรวมมือระหวางภาคสวนตางๆ ในการจัดทําแผนยุทธศาสตรรวมกัน ประเด็นซึ่งที่ประชุมไดหารือกันมีดังนี้ • ทบทวนปญหาหลักๆ ของลุมน้ําหวยสามหมอ • ประเด็นหรือปจจัยตางๆ ที่เกี่ยวของกับแตละปญหา • ทบทวนกิจกรรมเพื่อแกปญหาที่ไดดําเนินการโดยภาคสวนตางๆ • ขอเสนอเพื่อเปนแนวทางความรวมมือระหวางภาคสวนตางๆ ในการจัดทําแผนยุทธศาสตรการ จัดการลุมน้ําหวยสามหมอ 1.1 ทบทวนปญหาหลักๆ ของลุมน้ําหวยสามหมอ ที่ ป ระชุ ม ยื น ยั น ว า ป ญ หาสํ า คั ญ ของลุ ม น้ํ า ห ว ยสามหมอมี 7 ประการ ตามที่ ไ ด นํ า เสนอโดย คุณประสิทธ หวานเสร็จ ผูอํานวยการสวนประสานและบริหารจัดการลุมน้ําชี คือ (1) ปญหาน้ําเพื่ออุปโภค บริโภค และการเกษตรกรรม มีไมเพียงพอในฤดูแลง เนือ่ งจากสภาพพื้นที่มี แหลงเก็บน้ําไมเพียงพอ (2) ปญหาแหลงน้าํ ลําน้ําและลําหวยบริเวณหนาฝายตื้นเขินเนื่องจากสภาพพื้นที่มีการชะลางหนาดินสูง ถูกตะกอนทับถม ปาไมถูกทําลายรวมทั้งมีวัชพืชจํานวนมาก (3) ปญหาน้าํ หลากในชวงฤดูฝน เนื่องจากลําน้ําธรรมชาติตื้นเขิน ระบบระบายน้ําไมเพียงพอ และขาด งบประมาณสนับสนุนจากภาครัฐในการกอสรางทอระบายน้ํา 167
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน
(4) ปญหาน้ําเนาเสีย เนื่องจากไมมีระบบการบําบัดกอนการระบายน้ําจากแหลงชุมชน โรงงานอุตสาหกรรม ลงสูแหลงน้ํา และน้ําเสียที่เกิดจากการใชสารเคมีทําการเกษตรกรรม (5) ปญหาการบุกรุกลําน้ําธรรมชาติ เนื่องจากเกษตรกรใชประโยชนจากที่ดินในการเพาะปลูกทําการเกษตร (6) ปญหาเกี่ยวกับการบริหารจัดการแหลงน้ําขาดประสิทธิภาพ เนื่องจากขาดการประชาสัมพันธในการ ปลูกจิตสํานึกเกี่ยวกับการดูแลรักษาแหลงน้าํ จากภาครัฐทําใหประชาชนขาดความเขาใจในการดูแลรักษาแหลงน้ํา (7) ปญหาการแยงน้ํา เนื่องจากไมมีหนวยงานที่รับผิดชอบโดยตรงในการจัดสรรน้ํา รวมทั้งขาดงบ ประมาณสนับสนุนในการบริหารจัดการน้ําและมีการใชน้ําในกิจกรรมตางๆ เชน การใชน้ําของโรงงานอุตสาหกรรม เปนตน ทําใหน้ําที่มีอยูไมเพียงพอ 1.2 ทบทวนประเด็นหรือปจจัยตางๆ ที่เกี่ยวของกับแตละปญหา ปญหาดังที่ไดกลาวมาขางตนนี้ เปนเพียงการแสดงอาการปวยของลุมน้ําหวยสามหมอที่สามารถสัมผัสได อยางไรก็ดีการระบุปญหาลักษณะนี้ ไมไดครอบคลุมถึงองคประกอบทั้งหมดของแตละปญหา ดังนั้นที่ประชุมจึงได หารือเพิ่มเติมถึงประเด็นหรือปจจัยตางๆที่เกี่ยวของกับแตละปญหาเหลานี้ ไดแก • ปญหาการขาดน้ําอุปโภค บริโภค และน้ําเพื่อการเกษตรในฤดูแลง ซึ่งอาจมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับ ปจจัยอยางใดอยางหนึ่ง หรือหลายปจจัยผสมผสานกัน เชน การมีปริมาณน้ําในธรรมชาติลดลง อันเนื่องจากความ แปรปรวนของสภาพดินฟาอากาศ พื้นที่ปาตนน้ําลดลง เนื่องจากใชพื้นที่ปาตนน้ําไปทําการเกษตร การมีประชากร เพิ่มขึ้น และ/หรือการปลูกพืชที่ตองการน้ําในปริมาณมาก ขณะที่มีแหลงเก็บกักน้ําไมพอเพียงกับความตองการใช น้ําในฤดูแลง • ปญหาการจัดสรรและแบงปนน้ําตามความจําเปนและเหมาะสม เปนปญหาที่เกิดจากการขาดระบบ วิธีการแบงปนและจัดการการใชน้ําที่เหมาะสม เนื่องจากขาดองคความรูในการบริหารจัดการน้ําและทรัพยากรใน ทองถิ่น • ปญหาน้ําหลากทวมในฤดูฝน ซึ่งอาจมีความเชื่อมโยงกับการตัดไมทําลายปาในบริเวณตนน้ํา ทําใหไม มีพืชชวยชะลอการไหลของน้ําเมื่อมีฝนตกหนัก การปลูกพืชไรแทนการทํานา ทําใหน้ําไหลบาเร็วขึ้น คลองระบาย น้ําตื้นเขิน ไมสามารถรองรับน้ําได จึงทวมพื้นที่ขางเคียง นอกจากนี้การตัดถนนหรือสรางคลองผันน้ํายังเปนอีก สาเหตุหนึ่งที่ไปขัดขวางการไหลของน้ําจากที่สูงสูที่ต่ํา • ปญหาแหลงน้ํา ลําน้ําตื้นเขิน ซึ่งมีเหตุปจจัยไดแก ปาไมลดลง ทําใหไมมีพืชคลุมผิวดินทําใหมีตะกอน ไหลมากับน้ํา มีการทําลายหนาดิน ทําให ดินไหลลงสูแ หลงน้ํา นอกจากนี้การรองบประมาณจากรัฐทําใหการ แกปญหาเปนไปอยางลาชาจึงเกิดปญหาพอกพูนเพิ่มขึ้น • ปญหาการบุกรุกลําน้ํา เนื่องจากยังไมมีการจัดทําเขตพื้นที่สาธารณะใหชัดเจน เมื่อประชากรเพิ่มขึ้นจึง ตองการขยายที่ทํากิน นอกจากนี้การเห็นแกประโยชนสวนตนเปนที่ตั้งของประชาชนที่อาศัยอยูริมน้ํา ทําใหมีการ ปลูกสิ่งกอสรางรุกล้ําเขาไปในลําน้ํา • ปญหาน้ําเนาเสีย ซึ่งมีสาเหตุมาจากการใชสารเคมีในการเกษตร แลวปลอยใหน้ําจากแปลงเกษตรไหล ลงสู แ หล ง น้ํ า โดยตรง การใช ส ารเคมี ใ นครั ว เรื อ นเพิ่ ม ขึ้ น โดยไม มี ร ะบบกํ า จั ด ขยะและบํ า บั ด น้ํ า เสี ย จาก ครัวเรือน รวมทั้งยัง ไมมีการบังคับใชกฎหมายวาดวยน้ําเสีย
168
บทบาทคณะทํางานลุ่มน้ําห้วยสามหมอกับประสิทธิภาพการจัดการทรัพยากรลุ่มน้ํา / สมคิด สิงสง
• ปญหาขาดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการลุมน้ํา เนื่องจากขาดความรูในการบริหารจัดการ ขาด แคลนปจจัยที่จะใชในการบริหารจัดการ รวมทั้งขาดกฎหมายและระเบียบรองรับการจัดตั้งคณะทํางานลุมน้ํายอย อยางเปนทางการ 1.3 จากขอเสนอแนะขางตน พบวาปญหาแตละปญหาที่เกิดขึ้นไมไดเปนและเกิดโดยลําพัง แตมีความเชื่อมโยง หรือมีสาเหตุมาจาก ปจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวของกับชีวิตประจําวันของทุกๆ คนในลุมน้ําหวยสามหมอ ทั้งการประกอบอาชีพ การตั้งบานเรือน และการใชชีวิตประจําวัน ดังนั้นการแกปญหาใดปญหาหนึ่งจึงไมอาจแยกออกไดจากการแกไขวิถีการดําเนินชีวิต ของผูคนในลุมน้ําไปพรอมกัน แมวา ปญหาแตละปญหาที่เกิดขึ้น อาจมีความเขมขนและสงผลกระทบในระดับที่แตกตางกันไปตามสถานที่ และเวลา อยางไรก็ดี ปญหาทุกปญหาที่เกิดขึ้นลวนมีความสัมพันธเชื่อมโยงอันซับซอนระหวางกัน อาทิเชน ปญหา การขาดแคลนน้ํากับปญหาน้ําทวมหลาก ลวนมีที่มาจากสาเหตุเดียวกัน คือการตัดไมทําลายปาบนพื้นที่ตนน้ํา ทํา ใหน้ําไหลหลากในฤดูฝนเมื่อฝนตก เพราะไมมีตนไมชะลอการไหลของน้ํา ขณะเดียวกันเมื่อน้ําไหลจากที่สูงลงสูที่ ต่ําอยางรวดเร็ว เปนเหตุใหน้ําสวนใหญไมไดซึมลงสูดิน จึงเปนที่มาของการขาดน้ําในฤดูแลง นอกจากนี้ การไหล บาของน้ํายังกอใหเกิดการชะลางพังทลายของดิน ตะกอนดินที่ไหลมากับน้ํา นอกจากทําใหน้ํามีคุณภาพลดลงแลว ยังเปนเหตุใหลํารางน้ําตื้นเขินและกลายมาเปนอุปสรรคของการระบายน้ําในฤดูน้ําหลากตอไป วัฏจักรเชนนี้ เกิดขึ้นและซอนทับกันไปเรื่อยๆ ตราบใดที่ไมไดทําการแกไขปญหาอยางบูรณาการและเปน ระบบจากตนทาง คือการบํารุงรักษาและฟนฟูปาตนน้ํา ไปจนกระทั่งถึงปลายทาง คือการใชน้ําและการจัดการน้ํา รวมกันของชุมชนที่อยูบนสวนตางๆ ของลุมน้ํา ดังนั้น การลงทุนแกไขปญหาที่ปลายเหตุ เชนการขุดลอกรองน้ําเปนประจําทุกๆ ป อยางมากก็เปนเพียง การบรรเทาปญหาชั่วคราว แมวาจะไดทําอยางไดผลก็นับวาเปนการสิ้นเปลืองที่ไมรูจบ เพราะหากตนตอของปญหา ยังคงอยู ปญหาก็ยอมเกิดขึ้นซ้ําซากอยูเสมอไป หากปใดไมมีงบประมาณ หรือดําเนินการไมทันทวงทีปญหาก็จะ ทับถมทวีและสงผลกระทบตอคนจํานวนมากขึ้น 1.4 ทบทวนกิจกรรมเพื่อแกปญหาที่ไดดําเนินการโดยภาคสวนตางๆ ที่ประชุมไดรวมกันระบุถึงความพยายามในการแกไขปญหาหลักๆ ของพื้นที่ลุมน้ําหวยสามหมอโดยภาค สวนตางๆ ดวยวิธีการและกิจกรรมที่แตกตางกัน สรุปไดดังนี้
169
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน
ปญหาหลัก
กิจกรรม
(1) ขาดน้ําในฤดูแลง
- ทําสมดุลน้ํา - ระบบฐานขอมูล - จัดตั้งเครือขายลุมน้ําหวยสามหมอ - จัดตั้งเครือขายกลุมสตรีผูใชน้ํา - รวมปลูกตนไมในวันสําคัญกับหนวยงาน องคกร - ปลูกตนไมยืนตน, รวมทําฝายชะลอน้ํา, - รณรงคไมเผาฟาง - รวมกอสรางฝายแมวในพื้นที่ ต.โคกกุง อ.แกงครอ จํานวน 3 ฝาย - ขุดลอกแหลงน้ํา, ขุดเจาะบอบาดาล - ขุดลอกทางน้ํา
(2) แหลงน้ํา ลําน้ําตื้นเขิน
- จัดตั้งองคกร - ประสานการจัดทําแผนงาน โครงการ - จัดประชุมสัมมนา - จัดกิจกรรมปลูกตนไม - พัฒนาแหลงน้ํา - มาตรการทางกฎหมายในการ ปองกันรักษาน้ํา - อบรมใหความรู
(3) น้ําหลากทวมในฤดูฝน
- รวมพัฒนาแมน้ําคูคลอง วันที่ 20 กันยายนของทุกป
(4) น้ําเนาเสีย
- ปลูกจิตสํานึกไปบางสวนจัดตั้งเครือขายสตรีและเยาวชน แตตองเพิ่มและทํา ตอเนื่อง ขยายผลใหมาก - มีแผนบริหารจัดการน้ําโดยชุมชนหวยสามหมอ
(5) การบุกรุกลําน้ํา
- ทําฝายชะลอน้ํา 1 แหง(ฝายหินทิ้ง) - มีการประชุมกลุมปละ 4 ครั้ง - มีการระดมทุนเปนกองทุนลุมน้ําหวยสามหมอ - มีการอบรมเยาวชนในลุมน้ํา - วันที่ 20 กันยายนของทุกป มีการอนุรักษน้ําคูคลอง - มีการทําฝายชะลอน้ํา
(6) การบริหารจัดการลุมน้ํา ขาดประสิทธิภาพ
- จัดตั้งคณะทํางาน - ตรวจสอบฐานขอมูลแหลงน้ํา - ทําการสํารวจขอมูลจากผูใชน้ําและทองถิ่นบางสวน 170
บทบาทคณะทํางานลุ่มน้ําห้วยสามหมอกับประสิทธิภาพการจัดการทรัพยากรลุ่มน้ํา / สมคิด สิงสง
ปญหาหลัก
กิจกรรม - การทําฐานขอมูล GIS - การจัดทําแผนบูรณาการประจําป - จัดประชุมอบรมเปนประจําอยางตอเนื่อง - อบรมองคกรเครือขายกลุมผูใชน้ํา - หลักสูตรทองถิ่น -ทําฝายชะลอน้ําบริเวณเชิงเขาดานตะวันตก ไหลลงหวยยางซึ่งไหลลงเชื่อม ลําหวยสามหมอ - กิจกรรมฝายตนน้ํา - กิจกรรมปลูกตนไม - กิจกรรมอนุรักษแหลงน้ําคูคลอง 20 กันยายนของทุกป (ป 49-50) - ศึกษาดูงานตางประเทศและในประเทศ เขาอบรมหาความรูเพื่อการชวยกัน ในการรักษาลุมน้ําไวใหลูกหลานตอไป - ปลูกหญาแฝกปองกันการพังทลายของดิน - รณรงคไถกลบตอซังปองกันโลกรอน - ไมรองบประมาณจากภาครัฐ โดยการรวมกันจัดผาปาลุมน้ํา พึ่งตัวเองกอน - ระดมกลุมสตรีเพื่อความเขมแข็งในชุมชนหมูบาน เครือขายของลุมน้ําใหมี สวนรวมมากที่สุด ปลูกตนไมทุกวันเขาพรรษา - ออกหนวยประชาสัมพันธเคลื่อนที่
(7) การจั ด สรร/แบ ง ป น น้ํ า (ยังไมมีการระบุกิจกรรม) แมวาความคิด ความพยายาม และงบประมาณมากมายไดทุมเทลงเพื่อแกไขปญหาดังกลาว ก็ยังไมอาจที่ จะขจัดปญหาเหลานี้ไดเปนการถาวร บทเรียนที่ไดจากประสบการณ ไดแก • การแก ไ ขป ญ หา มี ก ารทํ า แบบแยกส ว นระหว า งหน ว ยงาน และพื้ น ที่ ต า งๆ ตามขอบเขตความ รับผิดชอบของแตละภาคี โดยไมไดมีการเชื่อมโยงความพยายามจากทุกภาคสวนเขาดวยกันอยางบูรณาการ • ขณะเดียวกันพบวา บางปญหา เชน ปญหาการจัดสรรและแบงปนน้ํายามขาดแคลน ซึ่งแมวาจะมี ความสําคัญมากไมนอยกวาปญหาอื่นๆ แตกลับไมมีองคกรหรือกิจกรรมเพื่อการแกไขที่เปนรูปธรรมมากเทากับ ปญหาอื่นๆ • นอกจากนี้การแกไขปญหาหนึ่งๆ อาจนําไปสูการเกิดใหมของปญหาอื่น หรือการแกปญหาของคนกลุม หนึ่ง ณ ตําบลหรืออําเภอหนึ่งๆ อาจกลายเปนปญหาของคนอีกกลุมหนึ่ง ซึ่งอาศัยอยูในตําบลหรืออําเภออื่นๆ ได เชนการขาดแคลนน้ํา น้ําทวม การระบายน้ําเสีย เปนตน ดังนั้น แมวาแตละตําบล หรืออําเภอไดแกไขปญหาของตนเองไดลุลวงเปนอยางดี ในชวงเวลาใดเวลาหนึ่ง 171
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน
ก็ใชวาปญหาจะหมดไปไดอยางถาวรหากไมไดรับความรวมมือจากชุมชนหรือตําบลขางเคียง จึงจําเปนอยางยิ่งที่ ทุ ก ภาคส ว นจะได ร ว มมื อ ร ว มแรงร ว มใจกั น ประสานงาน (กิ จ กรรม) และทรั พ ยากร ด ว ยใจมุ ง สู ก ารบรรลุ วัตถุประสงคเดียวกัน 1.5 ขอเสนอของที่ประชุม เพื่อเปนแนวทางความรวมมือระหวางภาคสวนตางๆ ในการจัดทําแผนยุทธศาสตรการจัดการลุมน้ําหวย สามหมอ และเปนแนวทางแกปญหาการจัดการลุมน้ําหวยสามหมออยางยั่งยืน ที่ประชุมมีขอเสนอดังนี้ (1) แกปญหาเปนอยางๆ ตามความเรงดวนจําเปน (2) มีหนวยงานเจาภาพ (3) คนหวยสามหมอมารวมชวยแกปญหา (4) จริงใจในการแกปญหา (5) แก ป ญ หาให ต รงจุ ด เช น ไม บุ ก รุ ก หรื อ ตั ด ป าไม ใช วิ ธี ก ารรั ก ษาดี ก ว า ปลู ก ป า ใหม เพราะต อ งใช เวลานาน (6) ขยายเครือขายใหเชื่อมโยงเครือขายอื่นๆ รวมถึงตนน้ํา (7) ดําเนินการอยางตอเนื่อง (8) ปรับกลยุทธอยางตอเนื่อง (9) หาแหลงงบประมาณ การใชจายโปรงใส ตรวจสอบได คุมคา (10) รวมกันปฏิรูปการเมืองโดยเริ่มจากทองถิ่น เพื่อใหความรวมมือระหวางภาคีตางๆไดเกิดขึ้นอยางเปนรูปธรรม โดยเริ่มตนจากตัวของผูเขารวมการ ประชุม และทุกคนไดจึงไดกลาวตอที่ประชุมแสดงทรรศนะถึงสิ่งที่ตนตั้งใจจะทําหลังสิ้นสุดการประชุมครั้งนี้ดวย 2. การขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตรดานแหลงน้ําชุมชน ธนาคารโลกไดสนับสนุนงบประมาณในชวงคาบเกี่ยวระหวางป พ.ศ.2551-2552ผานมูลนิธิน้ําและคุณภาพ ชีวิต ใหดําเนินกระบวนการขับเคลื่อนแผนแหลงน้ําชุมชน ใหไดแผนงานโครงการที่สามารถผลักดันเขาสูระบบการ จัดหางบประมาณ พรอมกันนั้น ทน. ไดประสานงานกับคณะทํางานลุมน้ําหวยสามหมอ ในการสํารวจออกแบบ โครงการกอสรางตางๆ จึงสามารถจัดทําแผนที่สําหรับทางเลือกตางๆ ประกอบดวย (1) การผันน้ําจากทายโรงงาน ไฟฟาพลังน้ําอางหวยปะทาว ไปเติม 7 + 3 อาง (2) การผันน้ําจากอางตาดใหญลงสูลุมน้ําหวยสามหมอ (3) การ สรางฝายกั้นน้ําและฝายยกน้ํา (4) การขุดลอกทางเดินน้ํา (5) การสรางเขื่อนใตดินเพื่อเก็บกักน้ําใตดิน เปนตน 2.1 การศึกษาความเหมาะสมเบื้องตน (Feasibility Study, FS ) การศึกษาความเหมาะสมเบื้องตน (FS) เปนการวิเคราะหความเหมาะสมโดยอาศัยขอมูลเบื้องตน ไดแก แผนที่กรมแผนที่ทหาร มาตราสวน 1 : 50,000 ขอมูลอุตุอุทกวิทยาในพื้นที่ใกลเคียง เจาหนาที่ผูรับผิดชอบโครงการ ผูนําองคกรปกครองสวนทองถิ่น และผูมีสวนไดสวนเสียในพื้นที่ โดยการประสานงานทั้งแบบที่เปนทางการและไม เปนทางการ ผานคณะทํางานลุมน้ําหวยสามหมอ ตามขอกําหนดสัญญา (TOR) ที่ทําไวกับธนาคารโลก กําหนดใหมีการศึกษาความเหมาะสมเบื้องตน 172
บทบาทคณะทํางานลุ่มน้ําห้วยสามหมอกับประสิทธิภาพการจัดการทรัพยากรลุ่มน้ํา / สมคิด สิงสง
โครงการผันน้ําจากโรงไฟฟาเขื่อนหวยประทาว ไปเติม 7 อางดานซายของโรงไฟฟาบริเวณเทือกเขาภูแลนคา ไดแก อางลําหวยนา อางโปรงคางนอย อางหนองนาไรเดียว อางหนองแวง อางโสกน้ําขาว และอางหินลับมีด ซึ่ง ทั้ง 7 อางเปนอางเก็บน้ําที่มีอยูแลว แตไมไดใชงานเต็มประสิทธิภาพ เนือ่ งจากบริเวณที่กอสรางอางเก็บน้ําอยู บริเวณเชิงเขา พื้นทีร่ ับน้ําฝนนอยจึงไหลลงอางไมเต็ม และโครงการเพิม่ ความจุอางเก็บน้ําตาดใหญ ซึ่งอยูในเขต ตําบลธาตุทอง อําเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ ในพื้นที่ลุมน้ําลําน้ําชีสวนที่ 2 จากนั้นผันเขามาในพื้นที่ลุมน้ําหวยสาม หมอตอนบน เพื่อแกปญหาภัยแลงของลุมน้าํ หวยสามหมอตามแผนชุมชนลุมน้ําหวยสามหมอ ตามแผนยุทธศาสตร ที่ 1 แผนแหลงน้ําชุมชน จากการศึกษาของคณะทํางานฯ และการทํางานรวมกับโครงการวางแผนลุมน้ํา (BDP) โครงการจัดการลุม น้ํา (WSMP) ของคณะกรรมาธิการแมน้ําโขง (MRC) พบวาโครงการที่เกี่ยวของกับการจัดการลุมน้ําจําแนกไดเปน 2 สวนดังนี้ (1) โครงการตามแผนยุทธศาสตรองคกรปกครองสวนทองถิ่น (ป พ.ศ.2551-2555) (2) รางแผนปฏิบัติการการบริหารจัดการลุมน้ําหวยสามหมอ (ป พ.ศ.2552-2555) จากการวิเคราะหแผนยุทธศาสตรการพัฒนาขององคกรปกครองสวนทองถิ่น ป พ.ศ.2551-2555 องคกร ปกครองสวนทองถิ่นในพื้นที่ลุมน้ําหวยสามหมอ ไดกําหนดยุทธศาสตรไว 24 ยุทธศาสตร มีวงเงินงบประมาณทั้งสิ้น 2,844,781,228 บาท สําหรับกรอบแผนการบริหารจัดการและพัฒนาลุมน้ําแบบบูรณาการ กรมทรัพยากรน้ําซึ่งเปนฝาย เลขานุการคณะกรรมการน้ําแหงชาติไดกําหนดยุทธศาสตร 6 ดาน ไดแก • อนุรักษ ฟนฟู และสรางความอุดมสมบูรณของพื้นที่ปาตนน้ํา • อนุรกั ษ ฟนฟูทรัพยากรน้ําดิน และการใชประโยชนที่ดิน • อนุ รั ก ษ ฟ น ฟู จั ด หา พั ฒ นาและปรั บ ปรุ ง แหล ง น้ํ า เพื่ อ การอุ ป โภค บริ โ ภค อุ ต สาหกรรมและ เกษตรกรรม • การจัดการคุณภาพน้ําและมลพิษ • การจัดการสิ่งแวดลอมเมือง • เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการลุมน้ํา โดยเนนกระบวนการมีสวนรวมของทุกภาคสวน • จากยุทธศาสตรดังกลาวและการทําแผนปฏิบัติการรวมระหวางคณะทํางานลุมน้ํา และผูแทนองคกร ปกครองสวนทองถิ่น ทําใหเกิดแผนงานโครงการในระบบลุมน้ําจํานวนมาก ไดแก • แผนงานสงเสริมเกษตรอินทรีย • แผนงานปองกันการชะลางพังทลายของดิน • แผนงานสรางจิตสํานึก เปลี่ยนพฤติกรรม • แผนงานปลูกปา • แผนงานผันน้ําเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพอางเก็บน้ําที่มอี ยูเดิม • แผนงานสูบน้ําดวยไฟฟา 173
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน
• • • • • • • • • •
แผนงานผันน้ําขามลุมน้ํา (อางเก็บน้ําตาดใหญในลุมน้ําลําน้ําชีสวนที่2 เขามาลุมน้ําหวยสามหมอ) แผนงานสรางฝายและศึกษาความเหมาะสมสรางเขื่อนใตดิน แผนงานขุดลอก แผนงานกอสรางอางเก็บน้ํา แผนงานพัฒนาแกมลิง แผนงานจัดตั้งกลุมผูใชน้ํา แผนงานเสริมสรางขีดความสามารถคณะทํางานฯ แผนงานนโยบายและระเบียบ แผนงานพัฒนาระบบฐานขอมูล แผนงานวิจัย
2.2 ผลการศึกษาความเหมาะสมเบื้องตน ตามขอกําหนดของสัญญา (TOR) ไดกําหนดใหคณะทํางานฯ จะตองศึกษาความเหมาะสมเบื้องตน โครงการ 2 เรื่อง ไดแกโครงการผันน้ําจากโรงไฟฟาเขื่อนหวยปะทาวไปเติม 7 อาง และโครงการเพิ่มความจุอาง เก็บน้ําตาดใหญ ซึ่งอยูในพืน้ ที่ลุมน้ําลําน้ําชีสวนที่ 2 แลวผันน้ําเขามาในลุมน้ําหวยสามหมอตอนบน แตจาก การศึกษาระบบฐานขอมูลลุมน้ํา และการใชประโยชนการใชที่ดินในลุมน้ําหวยสามหมอ พบวามีพื้นที่ที่นาจะ เหมาะสมในการกอสรางเขื่อนใตดิน พื้นที่ที่มศี ักยภาพจากเขื่อนใตดินมีพนื้ ที่กวา 100,000 ไร แตจะตองทํางานวิจัย เก็บขอมูล และศึกษาผลกระทบทางดานสิ่งแวดลอม และผลกระทบดานสังคมเพิ่มเติม ซึ่งคาดวาอาจจะตองใชเวลา ในการศึกษาวิจัยและออกแบบกอสรางหลายป 2.3 ผลการดําเนินงานอื่นๆ (1) การแปลงแผนยุทธศาสตรไปสูแผนปฏิบัติการ จากการจัดทําแผนรวมกันระหวางคณะทํางานลุมน้ําหวยสามหมอ และผูแทนองคกรปกครองสวนทองถิ่น ทําใหเกิดแผนงานโครงการในระบบลุมน้ําดังนี้ • แผนงานสงเสริมเกษตรอินทรีย จํานวน 5 โครงการ • แผนงานปองกันการชะลางพังทลายของดิน จํานวน 1 โครงการ • แผนงานสรางจิตสํานึก เปลี่ยนพฤติกรรม จํานวน 5 โครงการ • แผนงานปลูกปา จํานวน 35 โครงการ • แผนงานผันน้ําเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพอางเก็บน้ําเดิม จํานวน 16 โครงการ • แผนงานสูบน้ําดวยไฟฟา จํานวน 3 โครงการ • แผนงานผันน้ําขามลุมน้ํา จํานวน 1 โครงการ • แผนงานกอสรางฝายบนดินและเขื่อนใตดิน จํานวน 25 โครงการ • แผนงานขุดลอก จํานวน 26 โครงการ • แผนงานสรางอางเก็บน้ํา จํานวน 5 โครงการ • แผนงานพัฒนาแกมลิง จํานวน 9 โครงการ 174
บทบาทคณะทํางานลุ่มน้ําห้วยสามหมอกับประสิทธิภาพการจัดการทรัพยากรลุ่มน้ํา / สมคิด สิงสง
• • • • •
แผนงานจัดตั้งกลุมผูใชน้ํา แผนงานเสริมสรางขีดความสามารถคณะทํางานฯ แผนงานดานโยบายและกฎระเบียบ แผนงานพัฒนาระบบฐานขอมูล แผนงานวิจัย
จํานวน จํานวน จํานวน จํานวน จํานวน
8 8 4 13 3
โครงการ โครงการ โครงการ โครงการ โครงการ
แผนปฏิบัติการการจัดการลุมน้ําเปนแผนที่เกิดจากคณะทํางานลุมน้ํา เครือขายลุมน้ํา และผูแทนองคกร ปกครองสวนทองถิ่น สําหรับแผนงบประมาณ 3 ป ขององคกรปกครองสวนทองถิ่นเปน แผนงบประมาณรายปของ องคกรปกครองสวนทองถิ่น ดังนั้นการจะทําใหแผนลุมน้ําฯ เปนจริงได คณะทํางานลุมน้ําจะตองนําแผนลุมน้ําฯ เขา ไปบรรจุในแผนฯ 3 ป ขององคกรปกครองสวนทองถิ่น รวมถึงแผนพัฒนาจังหวัด ซึ่งปจจุบันมีกฎหมายใหอํานาจ จังหวัดเปนผูตั้งงบประมาณเองได และสวนราชการหากจะมีโครงการในพื้นที่จะตองมีรายละเอียดในแผนพัฒนา จังหวัดดวย (2) การนํา เครื่อ งมือ ระบบสนับ สนุน การตัด สิน ใจในการบริห ารจัด การลุม น้ํา (Decision Support Framework, DSF) มาใช สํานักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแมน้ําโขง (Mekong River Commission Secretariat, MRCS) ไดวาจาง บริษัท Halcrow Consultants ภายใตแผนงานการใชน้ํา (Water Utilization Program, WUP) จัดทํา Basin Modeling Package and Knowledge Base หรือเรียกวา Decision Support Framework (DSF) ซึ่งแลวเสร็จเมื่อเดือนมีนาคม 2547 และติดตั้งใหกับประเทศสมาชิก และ MRCS โดยในประเทศไทยไดติดตั้งที่ 3 หนวยงาน คือกรมทรัพยากรน้ํา กรมชลประทาน และกรมควบคุมมลพิษ เครื่องมือระบบสนับสนุนการตัดสินใจในการบริหารจัดการลุมน้ํา เปนเครื่องมือสนับสนุนในการตัดสินใจ สําหรับประเทศภาคีในลุมน้ําแมโขง โดยมีวัตถุประสงคเพื่อใชเปนเครื่องมือวิเคราะหเพื่อชวยในการจัดทํากฎเกณฑการ ใชน้ํา วางแผนพัฒนาลุมน้ํา โครงการ/แผนงานตางๆ ของ MRC เพื่อใหมีมาตรฐานเพื่อใชในการพิจารณารวมกันในเวที ประชุมและใชประกอบในการอางอิง เพื่อใหเปนไปในทิศทางเดียวกัน ในคราวประชุมคณะกรรมการรวม ครั้งที่ 19 เมื่อวันที่ 24-26 มีนาคม 2547 ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา คณะกรรมการรวมไดอนุมัติในหลักการใหใช DSF เปนเครื่องมือวิเคราะหในการสนับสนุนการรางกฎเกณฑการใชน้ําและ การผันน้ําขามลุมน้ํา รวมทั้ง แผนพัฒนาลุมน้ําและแผนงาน/โครงการอื่นๆ ของ MRC ดวย ปจจุบัน การดําเนินงานของ DSF อยูภายใตแผนงานการจัดการองคความรูและขอมูลขาวสาร (Information and Knowledge Management Programme, IKMP) (3) ชุดแบบจําลอง (Modelling) กรมทรัพยากรน้ํา ในฐานะสํานักงานเลขาธิการคณะกรรมการแมน้ําโขงแหงชาติไทย (Thai National Mekong Committee Secretariats, TNMCS) รวมกับ MRCS ในโครงการประยุกตใช DSF สําหรับกรณีศึกษา เพื่อจัดทําสภาพ 175
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน
การณจําลองในประเทศ ซึ่งดําเนินงานมาตั้งแตป 2549 จนถึงปจจุบันป 2551 มีพื้นศึกษา ดังนี้คือ (1) ป 2549 จํานวน 2 กรณี คือ ลุมน้ํากก และลุมน้ําชี-มูล (2) ป 2550 จํานวน 2 กรณี คือ ลุมน้ําเลย และลุมน้ําหวยโมง และ (3) ป 2551 จํานวน 2 กรณี คือลุมน้ําหวยสามหมอ และลุมน้ําลําตะคอง
สรุป มีการประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อกําหนดแนวทางการจัดทําแผนบริหารจัดการน้ําแบบบูรณาการ และ การสรางความเขมแข็งองคกรลุมน้ําในพื้นที่ลุมน้ําโขง-ชี-มูล เมื่อวันจันทรที่ 26 มกราคม 2552 ที่โรงแรมอุบล อินเตอรเนชั่นแนล (เนวาดาแกรนด) อําเภอเมืองจังหวัดอุบลราชธานี โดยนายศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช ปลัดกระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมในขณะนั้น เปนประธานที่ประชุม ภายใตการสนับสนุนของธนาคารโลก คณะผูแทนองคกรลุมน้ําชี ลุมน้ํามูล และลุมน้ําโขงภาคอีสาน (ในคณะผูแทนมีผูแทนจากลุมน้ําหวยสาม หมอรวมอยูดวย)5 ซึ่งไดเขารวมประชุมสัมมนาดังกลาว ไดรวมกันระดมความคิดเห็น และประชุมปรึกษาหาขอสรุป เปนแนวทางปฏิบัติในการเสริมสรางความเขมแข็งใหแกองคกรลุมน้ํา (River Basin Committee, RBC) มีขอสรุป สําหรับการบริหารจัดการเปนระบบลุมน้ําของประเทศไทย พบวาขอจํากัดขององคกรลุมน้ําเกิดจากปญหาตางๆ คือ 1. ปญหาระดับนโยบายของรัฐบาล ดานนโยบาย รัฐบาลยังไมมีความชัดเจนในนโยบายดานการอนุรักษ พัฒนา จัดหา และจัดการทรัพยากร น้ํา วาจะสามารถทําใหนโยบายดังกลาวกลายเปนแผนปฏิบัติการไดอยางไร รวมทั้งดานกฎระเบียบราชการ ยังไมมี กฎหมายที่วาดวยการบริหารจัดการลุมน้ําตามหลักการบริหารจัดการแบบผสมผสานที่ชัดเจน ที่สําคัญคือรัฐบาล ไมไดวางน้ําหนักที่สมควรและชอบดวยเหตุผล ในเรื่องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม ทําใหการบริหารจัดการ เรื่องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมไมมีงบประมาณเพียงพอสําหรับดําเนินการ กลาวโดยรวมคือรัฐบาลทุกยุค สมัย ละเลยที่จะปฏิบัติแนวนโยบายพื้นฐานแหงรัฐที่รัฐธรรมนูญกําหนดไว สมควรมีการหยิบยกขึ้นมาเปนประเด็น เรียกรองตอรัฐในเรื่องนี้ 2. ปญหาที่เกิดจากสวนราชการ สวนราชการที่มีอํานาจหนาที่ดานทรัพยากรน้ํามีจํานวนมาก แตการปฏิบัติไมมีเอกภาพ ระบบราชการไม สามารถบูรณาการกันไดจริง จึงไมอาจตอบสนองความตองการของประชาชนไดจริงเนื่องจากเปาหมายไมชัด ระบบ ฐานขอมูลความรูไมเพียงพอ ไมเปนปจจุบัน ไมสามารถเชื่อมโยงระบบไดจริง ทั้งขาดความตอเนื่อง จึงไมไดรับการ ยอมรับจากประชาชน การบริหารจัดการเปนระบบลุมน้ํา ยังไมไดรับการยอมรับจากทุกสวนราชการ เนื่องจากมี ระบบบริหารจัดการเปนระบบทองที่การปกครองที่ถือใชมากอนนับรอยป 3. องคกรลุมน้ํา กฎระเบี ย บที่ มี ผ ลบั ง คั บ ใช อ ยู ใ นป จ จุ บั น คื อ ระเบี ย บสํ า นั ก นายกรั ฐ มนตรี ว าด ว ยการบริ ห ารจั ด การ ทรัพยากรน้ําแหงชาติ (แกไขเพิ่มเติม พ.ศ.2550) กําหนดหนาที่ใหแกองคกรลุมน้ํามากมาย แตไมมีอํานาจที่แทจริง 5
ขอสรุปและขอเสนอแนะนี้ คณะทํางานลุมน้ําหวยสามหมอมีสวนรวมโดยการนําประสบการณ 3 ปแรก (2549-2551) ขึ้นเสนอและแลกเปลี่ยน ประสบการณกับผูแทนลุมน้ําอื่นๆ ดวย
176
บทบาทคณะทํางานลุ่มน้ําห้วยสามหมอกับประสิทธิภาพการจัดการทรัพยากรลุ่มน้ํา / สมคิด สิงสง
ในทางปฏิบัติ ผนวกกับปญหางบประมาณไมเพียงพอ ทําใหการทํางานขององคกรลุมน้ําไมมีความตอเนื่อง ไมมี ระบบฐานขอมูลและองคความรูที่ดีพอ ทั้งสัดสวนในคณะกรรมการลุมน้ําที่เปนภาคประชาชนก็มักจะมีจํานวนนอย กวาภาคราชการ การมีสวนรวมตามหลักการบริหารจัดการแบบผสมผสานจึงไมเปนจริง 4. ประชาชน ไมมีความเขาใจในบทบาทการมีสวนรวม ขาดโอกาสและขาดกระบวนการเรียนรู ทําใหไมมีขอมูล ไมมีองค ความรู หรื อ รู แ ต ไ ม มี จิ ต สํ านึ ก ที่ จ ะปฏิ บั ติ เรี ย กร อ งสิ ท ธิ ม ากเกิ น ไป สนใจแต ก ารพั ฒ นาเชิ ง วั ต ถุ จึ ง ขาดพลั ง สรางสรรคที่จะนําพาชุมชนไปสูอนาคตที่ดีงาม กลาวโดยสรุปคือปจจัยที่สงผลกระทบตอทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม ปจจัยหลักคือ “คน” ดังนั้น แผนปฏิบัติการใดก็ตามที่มีจุดประสงคจะฟนฟูสภาพแวดลอมทางธรรมชาติ ตองใหความสําคัญอันดับแรกกับแผน สรางความเขาใจใหแกคน
เอกสารอางอิง กรมทรัพยากรน้ํา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม, 2549. โครงการจัดทําแผนรวมการบริหาร จัดการทรัพยากรน้ําในพื้นที่ลุมน้ําชี รายงานลุมน้ําสาขาหวยสามหมอ (รหัสลุมน้ําสาขา 0407), โดย บริษัทที่ปรึกษา 3 บริษัทคือ บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด แมเนจเมนท จํากัด บริษัท นอรธอิสต คอนซัลแตนส จํากัด และบริษัท พรี ดีเวลลอปเมนท คอนซัลแตนท จํากัด. กรมสงเสริมการปกครองทองถิ่น กระทรวงมหาดไทย. [ระบบออนไลน]. แหลงที่มา http://www.thailocaladmin.go.th สํานักนายกรัฐมนตรี, 2550. ระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีวาดวยการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําแหงชาติ พ.ศ.2532 และที่แกไขเพิ่มเติมจนถึง ฉบับที่ 3 พ.ศ.2550. องคการจัดการน้ําเสีย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม, 2550. เอกสารประกอบการสัมมนาครั้งที่ 1 โครงการจัดทําแผนแมบทการจัดการน้ําเสียในระดับลุมน้ํา พรอมจัดทําและพัฒนาระบบ ฐานขอมูลการจัดการน้ําเสีย เพื่อชวยในการตัดสินใจ (4 ลุมน้ํา), บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอน แมเนจเมนท จํ ากั ด และบริษั ท แอสดี ค อน คอร ป อเรชั่ น จํ ากั ด , 20 พฤษภาคม 2550 ที่โ รงแรม มิราเคิล แกรนด คอนเวนชั่น ถนนวิภาวดีรังสิต กทม. Mekong River Commission. [online] available http://www.mrcmekong.org
177
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน
Somkhit Singsong, 2008. Three Years Experience in the Pioneer Stage in Huai Sam Mo Sub-Watershed Management Planning, Final Report for World Bank.
178
บทที่ 10 โครงขายน้ํา 3 อําเภอ หนองเรือ ภูเวียง บานฝาง “แผนพัฒนาและบริหารน้ําอยางบูรณาการ” โยธิน วรารัศมี กรรมการเลขานุการมูลนิธิน้ําและคุณภาพชีวิต
ที่มาบทความ แผนแมบทโครงขายน้ํา 3 อําเภอ หนองเรือ ภูเวียง บานฝาง เกิดขึ้นจากการตื่นตัวของประชาชน 3 อํ า เภอ ซึ่ ง เป น ผลมาจากการระดมความคิ ด เห็ น แนวทางการวางกรอบนโยบาย ร า งรั ฐ ธรรมนู ญ ด า นที่ ดิ น ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม รัฐธรรมนูญ ป พ.ศ. 2540 เมื่อรัฐธรรมนูญ ป พ.ศ. 2540 มีผลบังคับใช ประชาชนจึงอาศัยบทบัญญัติรัฐธรรมนูญเรียกรองสิทธิในการบริหารจัดการน้ําดวยตนเอง ซึ่งประชาชนทั้ง 3 อําเภอ ตั้งอยูเหนือเขื่อนอุบลรัตน ซึ่งเปนอางเก็บน้ํา ขนาดใหญ สามารถนํามาพัฒนาเพื่อใชขยายพื้นที่ระบบชลประทาน เพื่อใชในการทําการเกษตรไดอยางมากมาย ซึ่งแตกอนหากจะใชน้ําบริเวณอางเก็บน้ําเขื่อนอุบลรัตนตองขอ อนุญาตการไฟฟาฝายผลิตเสียกอน เมื่อรัฐธรรมนูญมีบทบาทในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา ประชาชนทั้ง 3 อําเภอ ไดรวมกับมูลนิธิน้ําและคุณภาพชีวิต ไดทําหนังสือขอไปที่องคการบริหารสวนจังหวัดขอนแกน เพื่อขอให ทําการศึกษาจัดทําแผนแมบทโครงขายน้ํา 3 อําเภอ ขึ้นในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2547 และแลวเสร็จในเดือน ธันวาคม พ.ศ. 2547 โดยองคการบริหารสวนจังหวัดขอนแกน ทําขอตกลงสนับสนุนงบประมาณ สถานบันแหลง น้ํามหาวิทยาลัยขอนแกน มูลนิธิน้ําและคุณภาพชีวิต ทําการศึกษาโดยใชเวลาทําการศึกษาทั้งหมด 220 วัน เมื่อ แผนแมบทโครงขายน้ํา 3 อําเภอแลวเสร็จ องคการบริหารสวนจังหวัดขอนแกน จะนําแผนที่ไดสงใหหนวยงาน ดานทรัพยากรน้ํา ที่เกี่ยวของกับกรมชลประทาน กรมพัฒนาที่ดิน กรมทรัพยากรน้ํา และองคการบริหารสวน ตําบล เพื่อบูรณาการงบประมาณตามแผนตามวิธีการงบประมาณ เพื่อใหแผนงานแลวเสร็จตามเปาหมายซึ่งวาง กรอบไวในระยะเวลา 5 ป นับจาก ป พ.ศ. 2547 - พ.ศ. 2552
วัตถุประสงคและวิธีดําเนินการศึกษา การพัฒนาและบริหารจัดการน้ําอยางบูรณาการ จะเกี่ยวของกับสวนสําคัญที่เปนหลักใหญๆ อยู 2 สวน คือ ปริมาณน้ําและคุณภาพน้ํา เนื่องจากน้ําเปนทรัพยากรสําคัญสําหรับการดํารงชีวิต และความเปนอยูของมนุษย รวมทั้งสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในชุมชนที่มีประชากรอยูอาศัย สวนใหญจะตั้งถิ่นฐานอยูใกลกับแหลงน้ํา ผิวดิน อันไดแก แมน้ํา ลําน้ํา หวย หนอง คลอง บึงตางๆ การใชน้ําจากแหลงดังกลาวจะเปนไปอยางสมดุลและยั่งยืนจะตองอาศัย หลักการของความพอดี อําเภอหนองเรือ อําเภอภูเวียง และอําเภอบานฝาง เปนอําเภอที่มีพื้นที่สวนใหญอยูตอนบนของอางเก็บ น้ําเขื่อนอุบลรัตน พื้นที่รวมสามอําเภอประมาณ1,868 ตารางกิโลเมตร 31 ตําบล 347 หมูบาน มีประชากรรวม ประมาณ 239,642 คน โดยมีลําน้ําสายหลักไดแกลําน้ําบอง หวยโมง ลําน้ําเชิญ ไหลลงอางเก็บน้ําเขื่อนอุบลรัตน บริเวณพื้นที่ อําเภอหนองเรือ อําเภอภูเวียง และอําเภอบานฝาง ที่ติดกับลุมน้ําพอง มีโอกาสไดรับประโยชนจาก ทรัพยากรน้ําที่อยูใกลตัวเพื่อนําไปใชประโยชนทางการเกษตรหรือการบริโภคนอยมาก ถึงแมวาจะมีโครงการ พัฒนาตางๆ แตโครงการพัฒนาแหลงน้ําสวนใหญเปนโครงการพัฒนาขนาดเล็ก และโครงการสูบน้ําดวยไฟฟา
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการมีส่วนร่วมของประชาชน
บางโครงการไมสามารถจะใชประโยชนไดเต็มที่ โครงการตางๆ ยังขาดการประสานงาน และมีระบบการจัดการที่ ไมกอใหเกิดประโยชนเทาที่ควร สภาพแหลงน้ําธรรมชาติและแหลงน้ําที่สรางไวแลวเกิดความเสื่อมโทรม ตื้นเขิน ทั้งยังขาดการบํารุงรักษา ทําใหไมสามารถตอบสนองความตองการพื้นฐานของประชาชนในลุมน้ําได เนื่องจากไม มีองคกรผูใชน้ําที่มีความเขมแข็งในการบริหารจัดการน้ํา การพัฒนาแหลงน้ําในอดีตจะมีหนวยงานดําเนินการ จํานวนมากลงมาดําเนินการโดยไมมีการประสานแผนเพื่อใหไดประโยชนตอประชาชนอยางเต็มที่ นอกจากนั้นการ พิจารณาจะมองเฉพาะจุด โดยไมมองภาพรวมเปนลุมน้ําของพื้นที่ จึงไมสามารถพัฒนาไดเต็มศักยภาพของพื้นที่ ได ทรัพยากรน้ําสวนใหญของพื้นที่ทั้งสามอําเภอจะไหลลงสูอางเก็บน้ําเขื่อนอุบลรัตน แตประชาชนของทั้งสาม อําเภอกลับไดประโยชนจากน้ําที่เก็บกักในอางเก็บน้ําไมมากนัก เพราะขาดระบบสูบน้ําสงน้ําและกระจายน้ําไป ยังพื้นที่ที่ตองการน้ํา ดังนั้นเพื่อใหการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําเปนไปอยางมีประสิทธิภาพ และสอดคลองกับวิสัยทัศนการ พั ฒ นาจั ง หวั ด การพั ฒ นาแหล ง น้ํ า และใช ป ระโยชน แ หล ง น้ํ า อย า งยั่ ง ยื น ในพื้ น ที่ ทั้ ง สามอํ า เภอ เพื่ อ ให เ กิ ด ประโยชนสูงสุดแกประชาชนทั้งสามอําเภอ และรองรับการขยายตัวของการพัฒนาการดาน เศรษฐกิจ สังคม การเกษตร อุตสาหกรรม การคา และการบริการในพื้นที่ไตรภาคีในอนาคต จึงเกิดโครงการการศึกษาเพื่อจัดทํา แผนแมบทเพื่อการบริหารจัดการน้ําอยางยั่งยืนในพื้นที่สามอําเภอนี้
วัตถุประสงคการศึกษา เปนการศึกษาเพื่อจัดทําแผนแมบทในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําอยางยั่งยืนในพื้นที่อําเภอหนองเรือ อําเภอภูเวียง และอําเภอบานฝาง อันจะนําไปสูการพัฒนาคุณภาพชีวิต ของประชาชนทั้งสามอําเภอการศึกษา ครั้ ง นี้ กระทํ า ครอบคลุ ม พื้ น ที่ 3 อํ า เภอ โดยมี ร ะยะเวลาดํ า เนิ น งานโครงการ 120 วั น นั บ จากวั น ที่ มหาวิทยาลัยขอนแกนรวมลงนามทําสัญญากับองคการบริหารสวนจังหวัดขอนแกน คือวันที่ 17 สิงหาคม 2547 โดยมีกําหนดการทํางานคือตองจัดทํารายงานเบื้องตน ภายใน 40 วัน นับจากวันเริ่มปฏิบัติงานตามสัญญาจางหลัง จากนั้นอีก 60 วัน สงรางรายงานที่ผานปรับปรุงแกไขโดยการมีสวนรวมของประชาชนในพื้นที่และหนวยงานตางๆ ที่เกี่ยวของ เพื่อจัดทํารายงานฉบับสมบูรณภายในระยะเวลาที่เหลือ
เกี่ยวกับเอกสารรายงาน รายงานฉบับสมบูรณของโครงการ ประกอบดวยแผนแมบท 5 แผน และ2 ยุทธศาสตรที่เกิดจากการ รวบรวมและวิเคราะหขอมูลของผูเชี่ยวชาญ และเกิดจากประชาชนในพื้นที่ 3 อําเภอ รวมกันเสนอโครงการ แบง ออกเปน 2 สวนใหญๆ คือ รายงานหลัก และรายงานประกอบซึ่งมีสาระสําคัญของแผนแมบท 5 แผน คือ (1) แผนแมบทการจัดหาและพัฒนาแหลงน้ํา ประกอบดวยโครงการและแผนปฏิบัติการเพื่อการพัฒนา แหลงน้ําในพื้นที่ทั้ง 3 อําเภอ รวมทั้งการคาดการณผลประโยชนของประชาชนในพื้นที่ 3 อําเภอ ที่จะไดรับจาก โครงขายน้ําที่นําเสนอหากวามีการดําเนินการตามขอเสนอแนะ แผนแมบทการจัดหาและพัฒนาแหลงน้ํานี้ จะ ประมวลเอา ยุทธศาสตรดานสงเสริมการเกษตรเขามารวมวิเคราะหดวย รวมทั้งการพัฒนาศักยภาพน้ําใตดินการ ผลิตพลังงานไฟฟาแสงอาทิตยและการลงทุน (2) แผนแมบทการจัดสรรน้ํา เปนแผนที่รวมการกําหนดยุทธศาสตรและกิจกรรมเขาดวยกัน กลาวคือ แผนแมบทไมใชเพียงแตเปนแนวทางในการจัดสรรน้ําและการใชน้ําเทานั้นแตเปนการกําหนดดวยวาในทางปฏิบัติ 180
โครงข่ายน้ํา 3 อําเภอ หนองเรือ ภูเวียง บ้านฝาง “แผนพัฒนาและบริหารน้ําอย่างบูรณาการ”/ โยธิน วรารัศมี
จะตองทําอะไรบาง เพื่อบรรลุวัตถุประสงคและเปาหมาย ซึ่งมี 1 แผนยุทธศาสตร และ 2 แผนปฏิบัติ รวมทั้ง โครงการนํารอง 3 โครงการ ซึ่งเปนโครงการที่ประมวลมาจากยุทธศาสตรการจัดการลุมน้ําโดยชุมชน (3) แผนแมบทการอนุรักษแหลงน้ํา ประกอบดวยแผนอนุรักษแหลงน้ําที่จัดทําขึ้น แบงโครงการออกเปน 2 ประเภท คือ โครงการปลูกและฟนฟูปาตนน้ําลําธาร และโครงการขุดลอกแหลงน้ําตางๆ เปนแผนระยะ 5 ป ตั้งแตป พ.ศ. 2548 ถึง พ.ศ. 2552 (4) แผนแมบทการแกไขปญหาอุทกภัย การจัดทําแผนแมบทและแผนปฏิบัติการแกไขปญหาอุทกภัยใน พื้นที่ 3 อําเภอของจังหวัดขอนแกน เปนการแกปญหาแบบบูรณาการทั้งทางดานการบรรเทาปญหาอุทกภัย การ จัดหาและพัฒนาแหลงน้ํา และแผนแมบทการอนุรักษแหลงน้ําที่ซอนทับกัน 3 แผนแมบท (5) แผนแมบทการแกไขปญหาคุณภาพน้ําคุณภาพชีวิต คือแผนงานที่ประกอบดวยแผนหลัก (แมบท) ที่มี แผนกลยุทธ และโครงการตางๆ รองรับ โดยแผนที่สรางขึ้นสามารถนําไปขยายผลจากกรอบที่กําหนดดวยโครงการ ที่มีรายละเอียดเพียงพอสําหรับนําไปปฏิบัติได ซึ่งแผนแมบทดังกลาวจะมุงไปยังคุณภาพน้ําในแหลงน้ําผิวดิน ในแผนแมบทที่ 3, 4 และ 5 รายละเอียดของโครงการที่นําเสนอจะซอนทับกัน เพราะฉะนั้นราละเอียดจะ นํามาสรุปไวอีกบทหนึ่ง เพื่อไมใหงบประมาณซอนกัน แตในรายงานประกอบของแตละแผนแมบทจะคงโครงการที่ ผูเชี่ยวชาญแตละทานไดเสนอไวอยางละเอียด
วิธีดําเนินการศึกษา เพื่อใหแผนแมบทมีความสอดคลองกับโอกาสและขอจํากัดทางภูมิศาสตรของพื้นที่ และโอกาสและขอจํากัด ของประชาชนในพื้นที่ แนวทางการศึกษาจึงกําหนดไดเปนขั้นตอนดังนี้ (1) ศึกษาดานวิชาการถึงศักยภาพของการพัฒนาแหลงน้ําธรรมชาติ แหลงน้ําผิวดินและใตดินอยางเปน ระบบลุมน้ําเพื่อความนาเชื่อถือของแผนฯ ไดศึกษาขอมูลปฐมภูมิ รวมทั้งศึกษาเพิ่มเติมจากแผนที่ทางอากาศ ภาพถายดาวเทียมขอมูลและสภาพอุทกวิทยา และแผนที่น้ําใตดิน (2) นําเสนอกรอบและทิศทางการศึกษาตอตัวแทนหนวยงานตางๆ ที่เกี่ยวของ เชน ชลประทานจังหวัด สํานักงานทรัพยากรน้ํา ภาค 4 ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมจังหวัด สํานักงานสิ่งแวดลอมภาค ปาไม จังหวัดหรือกรมอุทยาน สํานักนโยบายและแผน องคการบริหารสวนจังหวัดขอนแกน สํานักงานพัฒนาที่ดิน จังหวัดขอนแกน นายอําเภอทั้ง 3 ที่อยูในพื้นที่ศึกษา คณะอนุกรรมการลุมน้ําชี ผูอํานวยการการไฟฟาฝายผลิต ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผูอํานวยการการประปาเขต 6 ตัวแทนบริษัทอีสวอเตอร รวมทั้งสมาชิกสภาผูแทน ราษฎร ในพื้นที่และตัวแทนหนวยงานตางๆ ที่เกี่ยวของ (กํานัน ผูใหญบาน อบต.) เพื่อดําเนินการจัดทําแผนแมบท เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําอยางยั่งยืน (3) รวบรวมประเด็นความตองการของประชาชนในทองถิ่น และองคการปกครองทองถิ่นในการจัดการ เรื่องน้ําและขอคิดเห็นจากตัวแทนหนวยงานตางๆ ที่เกี่ยวของ เชน ชลประทานจังหวัด สํานักงานทรัพยากรน้ํา ภาค 4 ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมจังหวัด สํานักงานสิ่งแวดลอมภาค ปาไมจังหวัดหรือกรมอุทยาน สํานักนโยบายและแผน องคการบริหารสวนจังหวัดขอนแกน สํานักงานพัฒนาที่ดินจังหวัดขอนแกน นายอําเภอ ทั้ง 3 ที่อยูในพื้นที่ศึกษา คณะอนุกรรมการลุมน้ําชี ผูอํานวยการการไฟฟา ฝายผลิตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผูอํานวยการการประปาเขต 6 ตัวแทนบริษัทอีสวอเตอร รวมทั้งสมาชิกสภาผูแทนราษฎรในพื้นที่ และตัวแทน หนวยงานตางๆ ที่เกี่ยวของ (กํานัน ผูใหญบาน อบต.) เพื่อดําเนินการจัดทําแผนแมบท เพื่อการบริหารจัดการ ทรัพยากรน้ําอยางยั่งยืน 181
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการมีส่วนร่วมของประชาชน
(4) ตรวจสอบแผนแมบทเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําอยางยั่งยืน ในประเด็นตางๆ และความ ตองการของประชาชนและขอคิดเห็นจาก ขอ (2) เพื่อประกอบการจัดทําแผนพัฒนาฯ (5) แนะนําแผนแมบทเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําอยางยั่งยืนที่ไดจัดทําแลว มาสอบถามความเห็น ของตัวแทนภาคประชาชนกลุมตางๆ ผานการจัดสัมมนากลุมยอย (6) ปรับปรุงแผนแมบทเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําอยางยั่งยืน (7) จัดการประชุมเพื่อ สอบถามและประเมิ นความคิ ดเห็ นจากตั วแทนภาคประชาชนกลุม ตางๆ และ ตัวแทนหนวยงานตางๆ อีกครั้งหนึ่ง (8) ปรับแกและจัดทํา “แผนแมบทเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําอยางยั่งยืน” ครั้งสุดทาย นอกจากนี้แลวการจัดทําแผนแมบทตางๆ ตองตรวจสอบขอมูลกับรัฐธรรมนูญ นโยบายน้ําแหงชาติ แผน ยุ ท ธศาสตร ข องจั ง หวั ด ขอนแก น ข อ มู ล ภู มิ ศ าสตร และข อ มู ล เศรษฐกิ จ สั ง คมของพื้ น ที่ แล ว นํ า มากํ า หนด ยุทธศาสตรที่เหมาะสมกับจุดออนจุดแข็งของพื้นที่และของประชาชนในพื้นที่ และกําหนดกิจกรรมที่สอดคลองกับ ยุทธศาสตรและกําหนดรายละเอียดอื่นๆ
กรอบการรวบรวมขอมูลและประเภทขอมูลที่รวบรวม ขอมูลที่รวบรวมถูกนํามาใชเปนกรอบในการจัดทําแผนแมบท แบงออกเปนสามระดับคือ (1) กรอบรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. 2540) คือเจตนารมณของประชาชน โดยเฉพาะมาตรา 84 ที่ บังคับให “รัฐตองจัดระบบการถือครองที่ดินและการใชที่ดินอยางเหมาะสม จัดหาแหลงน้ําเพื่อการเกษตรกรรม ให เกษตรกรอยางทั่วถึง และรักษาผลประโยชนของการเกษตรกรในการผลิตและการตลาดสินคาเกษตร ใหไดรับ ผลตอบแทนสูงสุด รวมทั้งสงเสริมการรวมตัวของเกษตรกรเพื่อวางแผนการเกษตร และรักษาผลประโยชนรวมกัน ของเกษตรกร” รัฐธรรมนูญ ป 2550 สวนที่ 8 แนวนโยบายดานที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม มาตรา 85 รัฐตองดําเนินการตามแนวนโยบายดานที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมดังตอไปนี้ (1) กํ า หนดหลั ก เกณฑ ก ารใช ที่ ดิ น ให ค รอบคลุ ม ทั่ ว ประเทศ โดยให คํ า นึ ง ถึ ง ความสอดคล อ งกั บ สภาพแวดลอมทางธรรมชาติ ทั้งผืนดิน ผืนน้ํา วิถีชีวิตของชุมชนทองถิ่นและการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ อยางมีประสิทธิภาพ และกําหนดมาตรฐานการใชทีดินอยางยั่งยืน โดยตองใหประชาชนในพื้นที่ที่ไดรับผลกระทบ จากหลักเกณฑการใชที่ดินนั้นมีสวนรมในการตัดสินใจดวย (2) กระจายการถือครองที่ดินอยางเปนธรรมและดําเนินการใหเกษตรกรมีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิในที่ดินเพื่อ ประกอบเกษตรกรรมอยางทั่วถึงโดยการปฏิรูปที่ดินหรือวิธีอื่น รวมทั้งจัดหาแหลงน้ําเพื่อใหเกษตรกรมีน้ําใชอยาง พอเพียงและเหมาะสมแกการเกษตร (3) จัดใหมีการวางผังเมือง พัฒนา และดําเนินการตามผังเมืองอยางมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เพื่อประโยชนในการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติอยางยั่งยืน 182
โครงข่ายน้ํา 3 อําเภอ หนองเรือ ภูเวียง บ้านฝาง “แผนพัฒนาและบริหารน้ําอย่างบูรณาการ”/ โยธิน วรารัศมี
(4) จั ด ให มี แ ผนการบริ ห ารจั ด การทรั พ ยากรน้ํ า และทรั พ ยากรธรรมชาติ อื่ น อย า งเป น ระบบและเกิ ด ประโยชน ต อ ส ว นรวม ทั้ ง ต อ งให ป ระชาชนมี ส ว นร ว มในการสงวน บํ า รุ ง รั ก ษา และใช ป ระโยชน จ าก ทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพอยางสมดุล (5) สงเสริม บํารุงรักษา และคุมครองคุณภาพสิ่งแวดลอมตามหลักการพัฒนาที่ย่ังยืน ตลอดจนควบคุม และกําจัดภาวะมลพิษที่มีผลตอสุขภาพอนามัยสวัสดิภาพ และคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยประชาชน ชุมชน ทองถิ่นและองคกรปกครองสวนทองถิ่น ตองมีสวนรวมในการกําหนดแนวทางการดําเนินงาน การศึกษานี้เปนสวนหนึ่งของการจัดหาแหลงน้ําเพื่อเกษตรกรรมใหเกษตรกรอยางทั่วถึง ทั้งนี้เนื่องจาก พื้นที่สวนใหญของจังหวัดเปาหมายทั้งสองขาดแหลงน้ําเพื่อเกษตรกรรม (2) กรอบนโยบายน้ําแหงชาติ ถือวานโยบายน้ําแหงชาติคือเจตนารมณของรัฐบาล ก็พบวาน้ําแหงชาติในสวนที่เกี่ยวของกับการศึกษานี้ สอดคลองรับรัฐธรรมนูญมาตรา 84 อยางชัดเจน กลาวคือนโยบายน้ําแหงชาติขอ 5 ที่วา “จัดหาและพัฒนาแหลงน้ํา เพื่ อ การเกษตรให แ ก เ กษตรกรอย า งทั่ ว ถึ ง และเป น ธรรม เพื่ อ ตอบสนองความต อ งการขั้ น พื้ น ฐานในการทํ า การเกษตร และอุปโภคบริโภค เชนเดียวกับการใหบริการขั้นพื้นฐานของรัฐดานอื่นๆ” นโยบายน้ําแหงชาติยังไดใหเปาหมายดานเวลาไวในวิสัยทัศนวา “ภายในป พ.ศ.2568 ประเทศไทยจะมีน้ํา ใชอยางเพียงพอและมีคุณภาพ โดยมีระบบการบริหารจัดการ องคกร ระบบกฎหมายในการใชทรัพยากรน้ําที่เปน ธรรม และยั่ง ยืน โดยคํ านึง ถึงคุ ณภาพชีวิต และการมีสว นรวมในทุ กระดับ กรอบที่ (1) และ (2) เป นหลั กการ ระดับชาติ (3) กรอบยุทธศาสตรจังหวัดขอนแกน จากกรอบระดับชาติที่กลาวมา จะเห็นไดวาการศึกษานี้เปนสวนหนึ่งของความพยายามดําเนินงานให เปนไปตามกรอบแตจํากัดอยูเฉพาะในพื้นที่ 3 อําเภอ เปาหมายเทานั้น ดังนั้นกรอบของจังหวัด จึงเปนสิ่งที่จําเปน ที่ตองนําเขามารวมพิจารณาการศึกษาเพื่อจัดทําแผนแมบทเพื่อการแกไขปญหาคุณภาพน้ําและสิ่งแวดลอมในเขต พื้นที่ 3 อําเภอ เพื่อใหไดมาซึ่งแผนแมบทจําเปนตองอาศัยองคการบริหารจั ดการในระดับท องถิ่น อันไดแ ก องคการบริหารสวนตําบล (อบต.) ซึ่งมีทั้งสิ้น 3 แหง รวม 369 หมูบาน เปนองคกรหลักที่ใกลชิดกับปญหาและ รับผิดชอบในการแกไขปญหาในหลายๆ ดาน เปนตัวประสานเพื่อใหขอมูลพื้นฐานในแตละทองถิ่นและชุมชน ขอมูลที่ไดจากพื้นที่และขอมูลอื่นๆ จะนํามาประมวลวิเคราะหและจัดทําแผนที่สมบูรณตอไป ซึ่งแนวทางการศึกษา จะมีรายละเอียดตามขั้นตอนดังนี้ (1) (2) (3) (4)
รวบรวมและศึกษาขอมูลเชิงกายภาพในพื้นที่เขต อบต. ตางๆ รวบรวมและศึกษาวิเคราะหขอมูลเชิงประจักษจากประชาชนและองคกรในทองถิ่น 3 อําเภอ รวบรวมและศึกษาประเด็นความตองการของทองถิ่นและประชากร รวบรวมและศึกษาขอมูลการวิจัยและรายงานจากหนวยงานรัฐ หรือองคกรที่เกี่ยวของกับประเด็น ปญหาที่กําลังศึกษา เพื่อนํามาปรับใชในแผนแมบท (5) วิเคราะหขอมูลเพื่อจัดทําแผนแมบท 183
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการมีส่วนร่วมของประชาชน
(6) นําแผนแมบทที่รางขึ้นไปทําประชาพิจารณมาพิจารณโดยประชาชนและองคกรที่เกี่ยวของ (7) นํ าข อ คิ ด เห็ น ข อ เสนอแนะความต อ งการที่ ไ ด จ ากประชาพิ จ ารณ ม าพิ จ ารณาเพื่ อ ปรั บ แก ใ ห สอดคลองกัน (8) นําเสนอแผนแมบทฉบับสมบูรณเพื่อนําไปเปนแนวทางในการแกปญหาตอไป
แผนแมบทการจัดหาและพัฒนาแหลงน้ํา แนวคิดในการจัดทําแผน การจัดทําแผนแมบทการจัดหาและพัฒนาแหลงน้ํา ไดยึดหลักตามแนวทางในการบริหารจัดการลุมน้ําที่ จะตองนําไปสูระบบการบริหารจัดการอยางบูรณาการและยั่งยืน มีกรอบแนวความคิดตามแนวทางการบริหาร จัดการลุมน้ํา ดังแสดงในรูปที่ 1 โดยเริ่มตนจากการเอาแหลงน้ําที่มีอยูในพื้นที่เปาหมายมาเปรียบเทียบความ ตองการใชน้ําดานตางๆ แลวดูวามีสัดสวนแตกตางกันขนาดไหน ในกรณีที่ปริมาณน้ํามีไมเพียงพอ ตองจัดหามา จากแหลงอื่นๆ หรือพัฒนาและปรับปรุงแหลงทรัพยากรน้ําในพื้นที่ใหสามารถกักเก็บปริมาณน้ําไดมากขึ้น และ เชื่อมโยงแหลงเก็บกักน้ําเหลานี้เปนโครงขายน้ํา เพื่อสงน้ําใหกับพื้นที่เปาหมาย จากนั้นก็เพิ่มประสิทธิภาพในการ จัดสรรและดูแลโครงขายอยางเปนระบบ โดยการจัดตั้งองคกรหรือตัวแทนเขามาควบคุมดูแลโครงขายเหลานั้น เปนตน ดังที่แสดงไวในรูปดานลางนี้
รูปที่ 1 กรอบแนวทางการบริหารจัดการน้ําในลุมน้ํา ในพื้นที่ 3 อําเภอ ไดแก อําเภอภูเวียง หนองเรือ และบานฝางนั้น จะเห็นไดวามีจุดแข็งของพื้นที่คือ อยูติดกับ แหลงกักเก็บน้ําขนาดใหญคือเขื่อนอุบลรัตน ฉะนั้นจึงควรใชอางเก็บน้ําเขื่อนอุบลรัตนเปนศูนยกลางในการวางแผน จัดหาและพัฒนาโครงขาย เมื่อพิจารณาตัวอางเก็บน้ําเขื่อนอุบลรัตนเปนศูนยกลางแลว อางเก็บน้ําเขื่อนอุบลรัตน เองจะมีลําน้ําหลักที่ไหลลงอางอยู 3 สาย คือ ลําพะเนียง ลําน้ําพอง และลําน้ําเชิญ โดยที่ลําพะเนียงจะไหลเขา 184
โครงข่ายน้ํา 3 อําเภอ หนองเรือ ภูเวียง บ้านฝาง “แผนพัฒนาและบริหารน้ําอย่างบูรณาการ”/ โยธิน วรารัศมี
อางทางดานบนผานอําเภอศรีบุญเรืองและโนนสัง สวนลําน้ําพองจะไหลเขาอางที่กิ่งอําเภอหนองนาคําและ อําเภอ ภูเวียง และลําน้ําเชิญจะไหลเขาอางที่อําเภอหนองเรือ ดังรูปที่ 2
รูปที่ 2 ทิศทางการไหลผานของน้ําผานตัวอยางเก็บน้ําเขื่อนอุบลรัตน หลักเกณฑในการวางโครงขายน้ํา การวางโครงขายการพัฒนาแหลงน้ําในกรอบของโครงขายน้ําตามนโยบายของรัฐบาล โครงขายน้ําที่เสนอ จะเปนโครงขายระดับทองถิ่น และเครือขายน้ําระดับภูมิภาคโดยโครงขายน้ําระดับทองถิ่นจะเปนโครงขายน้ําขนาด เล็ ก อยู ภ ายในลุ ม น้ํ า ย อ ยขนาดเล็ ก เป น ลั ก ษณะลุ ม น้ํ า เดี ย วหรื อ หลายลุ ม น้ํ าติ ด กั น โดยใช ห ลั ก เกณฑ ใ นการ วางโครงการโครงขายน้ํา หลักเกณฑสําคัญที่สุดในการวางโครงการโครงขายน้ํา คือจะใชแหลงน้ําธรรมชาติ และแหลงน้ําที่สรางขึ้น แลวทุกแหลงในลุมน้ําใหเปนประโยชนมากที่สุดกอน โดยไมคํานึงถึงวาหนวยงานไหนดูแลอยู จากนั้นจึงสราง แหลงกักเก็บน้ําเพิ่ม โดยคํานวณจากปริมาณน้ําที่ไดและปริมาณน้ําที่ตองการโดยคํานึงถึงน้ําสําหรับการอุปโภค บริโภคกอน แลวคอยมาจัดสรรใหสําหรับการชลประทานหรือเพื่อการเกษตรเปนลําดับถัดไป สําหรับน้ําเพื่อการ อุตสาหกรรมและทองเที่ยวจะคอยนํามาพิจารณาในสวนทาย หลักเกณฑในการวางโครงขายน้ําคือ 1. อางอุบลรัตนเปนศูนยกลางของการพัฒนา 2. แบงเขตการเก็บกักน้ําของอางอุบลรัตนเปน 5 เขต คือ เขตที่ 1 อางอุบลรัตน เขตที่ 2 อางอุบลรัตน – เชิญ 185
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการมีส่วนร่วมของประชาชน
เขตที่ 3 อางอุบลรัตน – น้ําพอง เขตที่ 4 อางอุบลรัตน – ลําพะเนียง เขตที่ 5 อางอุบลรัตน – โนนสังข 3. การกอสรางฝายหินตั้งที่แนวแบงเขต เพื่อทดน้ําในเขตที่ 2 และ 3 ใหมีระดับน้ําสูงเหมาะสําหรับการ สูบน้ําดวยไฟฟาทั้งป โดยกักเก็บที่ระดับ 182 เมตร ซึ่งเปนระดับกักเก็บของเขื่อนอุบลรัตนปจจุบัน 4. ปรับปรุงถนนรอบอางเก็บน้ําเขื่อนอุบลรัตน เพื่อบรรเทาปญหาน้ําทวมในปที่มีน้ําพองเขาเขื่อนมาก 5. กอสรางโครงขาย ดังนี้ เครือขายที่ 1 ภูเวียง – เชิญ เครือขายที่ 2 ฝายน้ําพองตอนลาง – หนองนาคํา เครือขายที่ 3 เชิญ – ภูเวียง – หนองเรือ เครือขายที่ 4 อุบลรัตน – ฝาง – หนองเรือ – พระยืน – มัญจาคีรี เครือขายที่ 5 เชิญ – หนองเรือ นอกจากทรั พ ยากรน้ํ าผิ ว ดิ น แล ว คณะผู เ ชี่ ย วชาญได ศึ ก ษาถึ ง สภาพทางอุ ท กธรณี วิ ท ยา เพื่ อ หา ศักยภาพและความเปนไปไดในการพัฒนาแหลงน้ําใตดิน โดยคํานึงถึงปริมาณและคุณภาพน้ําที่มีอยู ที่สามารถนํา ขึ้นมาใชโดยไมใหเกิดผลกระทบตอปริมาณปลอดภัย (safe yield) รวมไปถึงคาใชจายในการนําน้ําขึ้นมาใชใน กระบวนการตางๆ ของแผนพัฒนาแหลงน้ําใตดิน
แผนหลักในการจัดหาและพัฒนาแหลงน้ํา ระบบโครงขายน้ํา จากหลั ก เกณฑ ที่ ก ล า วแล ว ได ทํ า การแบ ง ระบบโครงข า ยน้ํ า ออกเป น 5 โครงข า ยน้ํ า ประกอบด ว ย อางเก็บน้ําใหม 47 อาง โดยรวมหนองแปน ซึ่งเปนแหลงน้ําธรรมชาติขนาดกลางไวดวย ซึ่งจะทําการปรับปรุง ใหม อยูในโครงขายที่ 3 หากกอสรางเสร็จทั้งหมดจะสามารถเพิ่มปริมาณการเก็บกักไดประมาณ112.5 ลานลบ.ม. รายชื่ออางเก็บน้ําใหมทั้งหมดไดแสดงไวดังตารางที่ 1 โครงขายน้ําจะมีระบบทอ (pipe network) รวมอยูดวย โดยไดแยกระบบทอออกเปน 4 ชนิด คือทอชนิด A B C และ P ใชทอโลหะประเภทเหล็กเหนียวที่ออกแบบขนาดเสนผาศูนยกลาง 100 60 30 และขนาด 40 ซม. ตามลําดับ สําหรับที่ P คือทอที่ใชในระบบสูบ ชื่อของรหัสทอจะตั้งตามชื่ออางที่เปนตัวจายน้ํากอน แลวตามดวย ชนิดของทอ เชน P1 A คือทอที่รับน้ําจากอาง P1 ชนิดทอแบบ A (เสนผาศูนยกลาง 100 ซม.) เปนตน หลักเกณฑในการวางระบบทอนั้นคือทอที่เปนสายหลักที่ตอออกจากอางเก็บน้ํา ที่มีศักยภาพสูง และมีลูก ขายคอนขางมาก จะใชทอเหล็กเหนียวขนาดเสนผาศูนยกลาง 100 เซนติเมตร (A) โดยทอหลักนี้ใชเปนทอเติม ระบบน้ําระหวางอางเก็บน้ําหลักไปอางเก็บน้ํารองดวย แนวทอสวนใหญจะพยายามวางตามแนวถนนเปนหลัก เพราะสะดวกตอการติดตั้งและไมเสียคาเวนคืนที่ดินอีกดวย ทั้งยังงายตอการตรวจสอบ และบํารุงรักษา สําหรับทอ ขนาดเสนผาศูนยกลาง 60 เซนติเมตร (B) นั้นใชเปนทอสําหรับจายน้ําใหกับพื้นที่การเกษตร และปลอยน้ําลงหวย หนอง คลอง บึงตางๆ และยังใชเปนทอหลักในระบบประปาขนาดใหญอีกดวย ทอขนาดเสนผาศูนยกลาง 30 186
โครงข่ายน้ํา 3 อําเภอ หนองเรือ ภูเวียง บ้านฝาง “แผนพัฒนาและบริหารน้ําอย่างบูรณาการ”/ โยธิน วรารัศมี
เซนติเมตร (C) นั้นใชเปนทอสําหรับจายเปนน้ําดิบทําประปาตามหมูบานตางๆ ซึ่งแตละหมูบานจะตองมีแหลงเก็บ กักน้ําหรือรองรับปริมาณน้ําดิบดังกลาวดวย รายละเอียดแตละโครงขายมีดังนี้ โครงขายที่ 1 ภูเวียง – เชิญ สวนใหญจะอยูในเขตพื้นที่อําเภอภูเวียงเกือบทั้งหมดยกเวนอางเก็บน้ําหวยปาตอง (P6) ที่ขึ้นกับอําเภอ หนองเรือ แตเนื่องจากไดรับน้ําจากทอ P1B จากอางหวยยางแหง จึงจัดใหอยูในโครงขายที่ 1 ความจุเก็บกัก โดยรวมของโครงขายที่ 1 ประมาณ 34.06 ลาน ลบ.ม. ซึ่งสวนใหญไดน้ําจากอาง P1 P2 และ P3 ที่ตั้งอยูในเขต พื้นที่ที่เปนภูเขา จึงใหเปนอางหลักไวสําหรับจายน้ําเขาระบบโครงขาย โดยรวมความจุกักเก็บของอางทั้ง 3 ได ประมาณ 27.7 ลาน ลบ.ม. มีพื้นที่รับน้ําประมาณ 163.27 ตารางกิโลเมตร หากคิดปริมาณน้ําฝนเขตนี้ในอัตรา 200,000 ลบ.ม. ตอหนึ่งตารางกิโลเมตร จะไดปริมาณน้ําฝนไหลเขาอางรวม 32.66 ลาน ลบ.ม. ซึ่งมากกวา ปริ ม าณกั ก เก็ บ น้ํ า ของทั้ ง 3 อ า งอยู 4.96 ล าน ลบ.ม. ฉะนั้ น ในโครงข า ยที่ 1 นี้ จึ ง จั ด ได ว า เป น โครงข า ยที่ มี ประสิทธิภาพสูงไมมีการสูบน้ําใหระบบโครงขายแตอยางใด โครงขายที่ 2 ฝายน้ําพองตอนลาง หนองนาคํา เปนโครงขายที่ตั้งอยูในเขตกิ่งอําเภอหนองนาคําทั้งหมด ในระวางแผนที่ศรีบุญเรือง (5442 I ) มีรหัส อางตั้งแต P10–P18 โดยปริมาณความจุเก็บกักทั้งโครงขายประมาณ11.56 ลาน ลบ.ม. โดยมีอางหลักคือ อางบานหัวภู (P16) ที่ออกแบบความจุอางไว 9.5 ลาน ลบ.ม. ระดับเก็บกักอยูที่ 235 เมตร (ระดับเหนือน้ําทะเล ปานกลาง–รทก.) ซึ่งอยูสูงกวาทุกอางในโครงขาย แตเนื่องจากพื้นที่รับน้ํามีเพียง 9.03 ตารางกิโลเมตร ซึ่ง คํานวณปริมาณที่จะไหลเขาอางไดประมาณ 1.81 ลาน ลบ.ม. นอยกวาที่ออกแบบไวมาก ฉะนั้นจึงจําเปนที่จะตอง ทําการสูบน้ําจากลําน้ําพองบริเวณบานกุดธาตุเปนระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร จากตัวอางลงไปถึงลําน้ําพอง โดยจําเปนที่จะตองสรางฝายน้ําพองตอนลางตรงจุดที่จะทําการสูบ โดยกอสรางฝายใหระดับน้ําอยูที่ 184 เมตร รทก. ซึ่งสามารถสํารองปริมาณน้ําได 2 ลาน ลบ.ม. แตเนื่องจากน้ําที่ตองสูบขึ้นอางมีมากกวาฉะนั้นอาจจําเปนที่ จะตองสูบขึ้นไปเก็บไวตั้งแตเริ่มฤดูฝนไปจนกวาไดปริมาณที่ตองการ โครงขายที่ 3 เชิญ – ภูเวียง - หนองเรือ มีพื้นที่โครงขายตั้งอยูในเขตอําเภอหนองเรือเปนสวนใหญและเขตอําเภอภูเวียงเปนบางสวน มีอางที่อยูใน โครงขายทั้งหมด 4 อาง (รหัสอาง C2 – C5) รวมความจุเก็บกักได 5.76 ลาน ลบ.ม. ทั้งนี้ยังไมรวมหนองแปน (C1) ซึ่งเสนอปรับปรุงหนองและมีโรงสูบน้ําอยูกอนแลว โครงขายที่ 3 เล็กกวาโครงขายอื่น มีพื้นที่รับน้ํารวมทั้ง 4 อางเพียง 19.87 ตารางกิโลเมตร ไดน้ําที่จะ ไหลเขาอางประมาณ 3.97 ลาน ลบ.ม. นอยกวาปริมาณเก็บกักน้ําที่ออกแบบทั้งโครงขายอยูเกือบเทาตัว ฉะนั้น โครงขายนี้จะตองสรางระบบสูบน้ําโดยสูบมาเติมที่อางบานหินลาด (C2) ซึ่งระยะทางจากฝายโนนทองที่ลําน้ําเชิญ มาถึงอางประมาณ 9.5 กิโลเมตร ระดับน้ําที่ฝายควรอยูที่ระดับ 184 เมตร รทก. นอกจากนี้อางหนองชางตาย (C3) ยังตองจายน้ําใหกับตําบลหนองเสาเลา ที่ขึ้นเขตอําเภอชุมแพ ซึ่งตัวอางเองก็อยูกึ่งกลางรอยตอของเขตอําเภอ ภูเวียงกับอําเภอชุมแพพอดี แตเมื่อวิเคราะหดูในรายละเอียดจะเห็นวาอางหนองชางตาย (C3) นั้นจายน้ําไดสูงสุด ไมเกิน 0.6 ลาน ลบ.ม. ในขณะเดียวกันมีความตองการน้ําอุปโภคบริโภคในเครือขายของอางเองสูงถึง 0.77 ลาน ลบ.ม. ฉะนั้นจึงมีการเชื่อมทอเขากับอางหวยแคน 1 และ 2 แทนการสูบน้ําจากดานลางลําน้ําเชิญ ซึ่งอยูไกลกวา 187
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการมีส่วนร่วมของประชาชน
20 กิโลเมตร จากตัวอาง หากตองการน้ําเพื่อการเกษตรถือวาโครงขายที่ 3 ยังเปนโครงขายนี้ยังมีศักยภาพต่ําอยู เมื่อเทียบโครงขายที่ 1 หรือโครงขายอื่นๆ โครงขายที่ 4 อุบลรัตน – ฝาง – หนองเรือ – เมือง – พระยืน - มัญจาคีรี เปนโครงขายที่มีพื้นที่มากที่สุด ครอบคลุมถึง 5 อําเภอ และมีจํานวนอางมากถึง 16 อาง มีความจุเก็บกัก รวม 159.21 ลาน ลบ.ม. แตหากตัดอางอุบลรัตน – เชิญ (U1) ออกก็จะเหลือความจุอยู 40.21 ลาน ลบ.ม.พื้นที่ของ โครงขายสวนใหญอยูในเขตอําเภอบานฝาง โดยมีแหลงน้ําตนทุนหลักคืออางอุบลรัตน – เชิญ (U1) ซึ่งมีความจุ ประมาณ 119 ลาน ลบ.ม. ตามที่เสนอใหทําการการแบงอางเก็บน้ําเขื่อนอุบลรัตนออก แลวฝายหินทิ้งที่บริเวณ บานหนองกุงเซิน อําเภอภูเวียงตัดมายังภูพานคําเขตอําเภอ บานฝาง ทั้งนี้เพื่อยกระดับน้ําในอางใหสูงขึ้น แลวทําการสูบน้ําที่บานดอนกอก ตําบลหนองผือ อําเภอหนองเรือ มาเก็บกักไวที่อางบานปากชอง (U2) โดยขาม ภูพานที่บริเวณบานปากชอง ซึ่งมีความตางของระดับผิวน้ําที่เครื่องสูบไปยังอางบานปากชองถึง 93 เมตร รวม ระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร อางบานปากชอง (U2) ไดออกแบบใหมีความจุ 13.8 ลาน ลบ.ม. ซึ่งเก็บกักน้ําไวที่ ระดับ 275 เมตร รทก. โดยมีน้ําจากพื้นที่รับน้ําที่จะไหลเขาอางประมาณ 0.88 ลาน ลบ.ม. ฉะนั้นปริมาณน้ําที่ จะตองสูบจากอางอุบลรัตนอยางนอยประมาณ 12 ลาน ลบ.ม. เพื่อกักเก็บไวในอางและยังตองจายใหอางตางๆ ใน โครงขายอีกหลายแหง จึงไดเสนอใหใชเครื่องสูบน้ําที่จุดนี้ 2 ชุดเปนอยางนอย จึงจะเพียงพอกับความตองการ ความตองการน้ําในพื้นที่โครงขาย โครงขายที่ 5 เชิญ – หนองเรือ เปนโครงขายที่มีพื้นที่ตั้งอยูในเขตพื้นที่อําเภอหนองเรือ และไดเสนอใหสรางอางทั้งหมด 7 อาง รวม ความจุเก็บกักน้ําทั้งโครงขายไดประมาณ 17.16 ลาน ลบ.ม. โดยใหมีการสูบน้ําจากลําน้ําเชิญบริเวณฝายหนองเรือ ที่ระดับ 184 เมตร รทก. ขึ้นมาไวที่อางบานดอนหัน (U18) ซึ่งออกแบบความจุเก็บกักน้ําไว 12.0 ลาน ลบ.ม. ที่ ระดับเก็บกัก 225 เมตร รทก.อางเก็บน้ําที่เสนอโดยมากตั้งอยูบนเขารอบภูเม็ง โดยมีอางภูเม็งที่กอสรางไวบน ยอดเขาที่ระดับเก็บกัก 460 เมตร รทก. มีความจุเก็บกักประมาณ 1.6 ลาน ลบ.ม. ซึ่งไดเสนอตอทอเพื่อจายน้ํา เขาอางบานดอนหัน รวมกับอางหวยยางนอยตอนบน (U17) ซึ่งขณะเดียวกันอางดังกลาวยังจายน้ําใหกับอางที่อยู ดานลางอีกอางหนึ่งคืออางหวยยางนอย (U20) จากนั้นก็ปลอยน้ําเขาสูระบบทอประปาตอไป หากพิจารณากรณีที ไมตองการสูบน้ําเขาอางบานดอนหัน พบวาจากปริมาณน้ําฝนที่จะไหลเขาอางบานดอนหัน คํานวณได 1.57 ลาน ลบ.ม. เมื่อรวมกับอางภูเม็งแลว ไดน้ํามากที่สุดไมเกิน 2 ลาน ลบ.ม. ขณะที่ระบบประปาทั้งโครงขายมีความ ตองการน้ํา 1.48 ลาน ลบ.ม. จึงถือวาหากตองการใชเฉพาะน้ําเพื่อการอุปโภคบริโภคนาจะเพียงพอ แตความ ตองการปริมาณน้ําสําหรับเกษตรกรรมจะตองทําระบบสูบน้ําซึ่งมีระยะทางไกลกวา 8.5 กิโลเมตร ในขั้นตอน การศึกษาความเหมาะสม อาจพิจารณาลดขนาดความจุเก็บกักลงใหเหมาะสม โครงขายน้ําทั้ง 5 โครงขาย ไดลงตําแหนงโครงการกอสรางอางเก็บน้ําและแนวทอไวในแผนที่ 1 : 50,000 ของกรมแผนที่ทหารเรียบรอยแลว โดยไดยอลงใหพอดีกับขนาดหนาหนังสือ แผนที่มีทั้งหมดมีจํานวน 5 แผน ครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 3 อําเภอ โดยมีการจัดเรียงหรือสามารถตัดตอแผนที่ไดดังนี้
188
โครงข่ายน้ํา 3 อําเภอ หนองเรือ ภูเวียง บ้านฝาง “แผนพัฒนาและบริหารน้ําอย่างบูรณาการ”/ โยธิน วรารัศมี
อําเภอศรีบญ ุ เรือง ระวางแผนที่ 5442 I อําเภอภูเวียง ระวางแผนที่ 5442 II อําเภอหนองเรือ ระวางแผนที่ 5441 I
บานโคกสูง ระวางแผนที่ 5542 III อําเภอบานฝาง ระวางแผนที่ 5541 IV
หลักเกณฑในการจัดสรรน้ําและพื้นที่รับผลประโยชน น้ําที่เหลือจาการสงเขาระบบประปาตามหมูบานตางๆ นั้น สามารถนํามาจัดสรรใหกับพื้นที่ การเกษตรได โดยยึดหลักเกณฑดังนี้ 1. ในฤดูฝนลดพื้นที่นาขาวลง ในสัดสวน 1:5 ของพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมด 2. พื้นที่ 1 ใน 5 สวนนั้น แบงมาปลูกพืชมูลคาสูงแทน 3. ในฤดูแลงใหขยายการปลูกพืชมูลคาสูง จากสัดสวน 1:5 ของพื้นที่เปน 2:5 ของพื้นที่หรือมากกวา ขึ้นอยูกับความเหมาะสมของพื้นที่และโครงขาย โครงการจัดหาและพัฒนาแหลงน้ําที่เสนอโดยประชาชนในพื้นที่ 3 อําเภอ โครงการทั้งหมดในสวนนี้ เปนโครงการที่เสนอจากความตองการของประชาชนในพื้นที่ 3 อําเภอ ซึ่งสามารถจําแนกไดทั้งหมด 12 หมวดโครงการ รวมงบประมาณทั้งสิ้น 934.27 ลานบาท คือ (1) การสรางฝาย/กั้นฝาย จํานวน 33 แหง จํานวนงบประมาณ 543.19 ลานบาท (2) ขุดเจาะบอบาดาลเพื่อการเกษตรและสรางระบบประปาหมูบาน จํานวน 10 แหง งบประมาณ 15.20 ลานบาท (3) ขุดลอก จํานวน 15 แหง งบประมาณ 59.74 ลานบาท (4) สรางทํานบดิน จํานวน 2 แหง งบประมาณ 20 ลานบาท (5) สรางสถานีสูบน้ําดวยไฟฟา จํานวน 10 แหง งบประมาณ 212 ลานบาท (6) สรางคลองสงน้ํา จํานวน 11 แหง จํานวน 44.3 ลานบาท (7) สรางประตูระบายน้ํา 5 แหง งบประมาณ 91 ลานบาท (8) เสริมความหนาและความสูงของสันฝาย จํานวน 2 แหง จํานวน 0.834 ลานบาท (9) สรางระบบทอสงน้ํา จํานวน 1 แหง งบประมาณ 10 ลานบาท (10) สรางอางเก็บน้ํา จํานวน 1 แหง งบประมาณ 10 ลานบาท (11) สรางคลองชักน้ํา จํานวน 2 แหง งบประมาณ 4.5 ลานบาท (12) สรางระบบประปาผิวดิน จํานวน 6 แหง งบประมาณ 3.6 ลานบาท 189
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการมีส่วนร่วมของประชาชน
สวนรายละเอียดโครงการจัดหาและพัฒนาแหลงน้ําที่เสนอโดยประชาชนในพื้นที่ 3 อําเภอ ดูเพิ่มเติมได จากภาคผนวก แผนแมบทการอนุรักษแหลงน้ํา น้ําเปนทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสําคัญและจําเปนตอการดํารงชีวิตทั้งมนุษย พืชและสัตวที่อาศัยอยูใน โลกใบนี้ เราใชน้ําในหลายดานดวยกันอาทิเชน ใชสําหรับการอุปโภค บริโภค ใชสําหรับการชลประทาน ใชสําหรับ การผลิตกระแสไฟฟา และใชสําหรับการอุตสาหกรรมเปนตน ความหมายของแผนอนุรักษแหลงน้ําคืองานหรือสิ่ง ที่ตองกระทําเพื่อดูแลรักษาแหลงน้ําใหสามารถใชประโยชนไดอยางเต็มประสิทธิภาพและยั่งยืน โดยธรรมชาติแลว ปาไมเปนแหลงตนน้ําลําธาร ที่ใดมีสภาพปาไมอุดมสมบูรณ ปาไมจะทําหนาที่ซับน้ําเอาไวในดิน และคอยๆ ซึม ไหลรวมลงในลําธารกอเกิดเปนลําน้ําสายตางๆ ไหลจากที่สูงลงสูที่ราบลุม จนถึงทองทะเลมหาสมุทรในที่สุด การ เปลี่ยนแปลงสภาพปาไมเปนสาเหตุประการแรกที่กระทบถึงแหลงตนน้ําลําธาร ทําใหแหลงน้ําสูญเสียความอุดม สมบูรณลงไป เนื่องจากมีจํานวนประชากรมากขึ้น การนําทรัพยากรปาไมมาใชประโยชนก็มีสูงขึ้นเปนเงาตามตัว มีการ ตัดไมทําลายปามากขึ้นเพื่อเปลี่ยนพื้นที่ปาใหเปนพื้นที่ทํากินทําใหพื้นที่ปาลดลงหรือเสื่อมโทรมลง ประการตอมา คือเรื่องมลพิษ เนื่องจากการขยายตัวของชุมชน การใชปุย ยาฆาแมลงในพื้นที่การเกษตรและการอุตสาหกรรม เปนตนเหตุที่สําคัญทําใหเกิดน้ําเนาเสียในแหลงน้ําตาง จากการรวบรวมขอมูลปฐมภูมิและ ทุติยภูมิ รวมทั้งการ นําขอมูลจาก GIS มาทับซอนบนภาพถายดาวเทียม เพื่อหาตําแหนงและขนาดของพื้นที่ปาเสื่อมโทรมในแตละ ตําบล เพื่อใชเปนแนวทางในการทําแผนปลูกและฟนฟูปาเสื่อมโทรม สวนขอมูลจากสํานักงานสิ่งแวดลอมและปาไม จังหวัด ใชสําหรับกําหนดพื้นที่โครงการ และขอมูลจากการสัมมนา ใชกําหนดโครงการของแตละตําบล ดังนี้ แผนการอนุรักษแหลงน้ําประกอบดวย 3 แผนยอย คือ (1) แผนการปลูกและฟนฟูปาตนน้ําลําธาร (2) แผนการขุดลอกแหลงน้ํา (3) แผนการลดและควบคุมมลพิษ ในการจัดการทําแผนอนุรักษแหลงน้ําจะพิจารณาจัดทําแผนเฉพาะขอ (1) และขอ (2)ๆ เทานั้น สวนขอ (3) นั้นจะไปอยูในแผนสิ่งแวดลอม แผนอนุรักษแหลงน้ําที่จัดทําขึ้นนี้แบงโครงการออกเปน 2 ประเภท คือโครงการปลูกและฟนฟูปาตนน้ําลํา ธารและโครงการขุ ด ลอกแหล ง น้ํ า ต า งๆ เป น แผนอนุ รั ก ษ แ หล ง น้ํ า 5 ป ตั้ ง แต ป พ.ศ. 2548-52 โดยมี เ งิ น งบประมาณรวมทั้งหมด 1,734,733,500 บาท เปนโครงการปลูกและฟนฟูปาตนน้ําลําธารทั้งหมด 20 โครงการ เปนเงินงบประมาณทั้งหมด 13,825,000 บาท สามารถเพิ่มพื้นที่ปาได 5,530 ไร และเปนโครงการขุดลอกแหลง น้ําตางๆ จํานวนทั้งหมด 102 โครงการ เงินงบประมาณทั้งหมด 1,720,998,500 บาท
190
โครงข่ายน้ํา 3 อําเภอ หนองเรือ ภูเวียง บ้านฝาง “แผนพัฒนาและบริหารน้ําอย่างบูรณาการ”/ โยธิน วรารัศมี
ตารางที่ 1 จํานวนโครงการและเงินงบประมาณจําแนกตามอําเภอ อําเภอ จํานวนโครงการ ปลูกและฟนฟูปา ขุดลอกแหลงน้ํา ภูเวียง รวม ของอําเภอภูเวียง ปลูกและฟนฟูปา ขุดลอกแหลงน้ํา หนองเรือ รวม ของอําเภอหนองเรือ ปลูกและฟนฟูปา ขุดหลอกแหลงน้ํา บานฝาง รวม ของอําเภอบานฝาง รวมทั้งสิ้น
จํานวนเงิน 7,122,500 469,807,000 476,929,500 3,112,500 561,463,500 564,576,000 3,500,000 689,728,000 693,228,000 1,734,733,500
จากตารางที่ 1 จะเห็ น ว า อํ า เภอภู เ วี ย งเป น อํ า เภอที่ จ ะมี ก ารปลู ก และฟ น ฟู ป า มากที่ สุ ด คิ ด เป น เงิ น งบประมาณ 7.122 ลานบาท สวนการขุดแหลงน้ําอําเภอบานฝางจะเปนอําเภอที่มีการขุดลอกแหลงน้ํามากที่สุด คิดเปนงบประมาณ 689.728 ลานบาท แผนแมบทการจัดสรรน้ําและการใชน้ํา แผนแมบทการจัดสรรน้ํา และการใชน้ําเปนสวนหนึ่งของแผนพัฒนาและบริหารจัดการน้ําอยางบูรณาการ ในพื้นที่อําเภอหนองเรือ อําเภอภูเวียง และอําเภอบานฝาง เนื่องจากในแผนพัฒนาไดกําหนดใหมีแผนแมบทการ จัดหาและพัฒนา (และแผนแมบทอื่นๆ ) ซึ่งก็คือแผนแมบทที่กําหนดสาธารณูปโภคที่จําเปนในการขนสงน้ํา เชน ทอ สถานีสูบ อางพักน้ํา และอื่นๆ การมีสาธารณูปโภคเพียงอยางเดียว ไมสามารถประกันไดวาจะเกิดการ บริหารจัดการน้ําอยาบูรณาการขึ้น เพราะการใชงานของสาธารณูปโภคที่กลาวมาเกี่ยวของกับผูมีสวนไดเสียใน การจัดสรรน้ําและการใชน้ําทั้งหมดจึงมีความจําเปนตองมีแผนแมบทการจัดสรรน้ําและการใชน้ําที่เปนสาระของ รายงานนี้ แผนแมบทนี้หมายความวาเปนแผนที่รวมการกําหนดยุทธศาสตรและกิจกรรมเขาดวยกัน กลาวคือ แผน แมบทไมใชกลาวถึงแนวทางในการจัดสรรน้ําและการใชน้ําเทานั้น แตตองกําหนดดวยวาในทางปฏิบัติจะตองทํา อะไรบางเพื่อใหบรรลุวัตถุประสงคและเปาหมาย ในรายงานนี้แบงแผนแมบทออกเปนสองสวนคือ (1) แผน ยุทธ ศาสตรและ (2) แผนปฏิบัติ ดังนี้ แผนยุทธศาสตร วัตถุประสงคและเปาหมายของแผนแมบทการจัดสรรน้ําและการใชน้ําคือเพื่อใหเกิดการจัดสรรน้ําและ การใชน้ํา (1) อยางยุติธรรมในระหวางผูมีสวนไดเสียสวนใหญ (2) อยางยั่งยืน เพื่อใหมีน้ําใชตลอดไปชั่วลูกชั่ว หลาน (3) อยางมีประสิทธิภาพ เพื่อใหตนทุนการใชน้ําต่ํา สามารถแขงขันได
191
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการมีส่วนร่วมของประชาชน
ยุทธศาสตรที่กําหนดมี 4 ขอ คือ ยุทธศาสตรขอที่ 1 การจัดสรรน้ําและการใชน้ําตองทําอยางมีแผนที่สอดคลองกับโอกาสและขอจํากัด ของพืน้ ที่ประชาชนผูมีสวนไดเสียประโยชน และภูมิอากาศ ยุทธศาสตรขอที่ 2 ผูนําแผนไปใชตองเปนองคกรที่เปนตัวแทนของผูมีสว นไดเสียประโยชน ยุทธศาสตรขอที่ 3 การไดมาของผูบริหารองคกร ตองโปรงใส มีสวนรวมและเปนที่ยอมรับของผูมีสวน ไดเสียสวนใหญ ยุทธศาสตรขอที่ 4 รัฐฯ ตองใหการสนับสนุน จนกวาองคกรจะดําเนินการไดดวยตนเอง โดยมี กําหนดเวลาชัดเจน แผนปฏิบัติ แผนปฏิบัติ ตอบคําถามตอไปนี้ (1) ตองทํากิจกรรมอะไรบาง จึงจะบรรลุวัตถุประสงคและเปาหมายของแผนแมบทการจัดสรรน้ําและการ ใชน้ํา (2) ทํากิจกรรมไปทําไม (3) ใครรับผิดชอบทํากิจกรรม (4) ใชเงินในการทําเทาไร (5) ทํากิจกรรมชวงเวลาใด แผนปฏิบัติการนํารอง (ปแรก) (1) แผนปฏิบัติการ “ศูนยโฮมภูมิปญญาลุมน้ําหวยใหญ” อ.บานฝาง (2) แผนปฏิบัติการ “ศูนยโฮมภูมิปญญาลุมน้ําเชิญ” อ.หนองเรือ (3) แผนปฏิบัติการ “ศูนยโฮมภูมิปญญาลุมน้ําบอง” อ.ภูเวียง โดยกําหนดรูปแบบของแตละแผนปฏิบัติการ ดังนี้ ก. สํานักงานเลขานุการ • หัวหนาสํานักงาน • ผช.หัวหนาสํานักงาน • เจาหนาที่ประจําสํานักงาน 4-5 คน ข. โครงสรางคณะทํางาน • ดานประวัติศาสตรชุมชน • ดานวัฒนธรรมชุมชน • ดานภูมิศาสตรชุมชน • โมเดล • แผนที่ • เดินปา/รองเรือแพ • ดานทรัพยากรธรรมชาติ 192
โครงข่ายน้ํา 3 อําเภอ หนองเรือ ภูเวียง บ้านฝาง “แผนพัฒนาและบริหารน้ําอย่างบูรณาการ”/ โยธิน วรารัศมี
• ดานสื่อสิ่งพิมพ/หลักสูตรทองถิ่น • ดานแผนอนุรักษและพัฒนาลุมน้ํา • ดานเศรษฐกิจชุมชน ค. ที่ปรึกษาศูนยโฮมปญญาลุมน้ํา • ที่ปรึกษาภายในชุมชน • ที่ปรึกษาภายนอก • มูลนิธิน้ําและคุณภาพชีวิต ง. แผนงบประมาณ • ปแรก 150,000 บาท/ป (คาประสาน+วัสดุอุปกรณ) • ปที่สอง โครงการตอเนื่อง 150,000 บาท/ป • โครงการขยายผล 150,000 บาท/ป จ. ที่มาของงบประมาณ • งบอุดหนุนจากองคการบริหารสวนทองถิ่น • ศูนยจัดหาเอง โดยการจัดกิจกรรมหารายได • มูลนิธิน้ําและคุณภาพชีวิตประสานทุน
บทสรุป พื้นที่ อําเภอหนองเรือ อําเภอภูเวียง อําเภอบานฝางเปนอําเภอที่ตั้งอยูเหนืออางเก็บน้ําเขื่อนอุบลรัตน ประชาชนบางสวนอพยพออกจากบริเวณที่น้ําทวมทับหลังกอสรางเขื่อนอุบลรัตน ป พ.ศ. 2507 3 อําเภอ นี้มีพื้นที่ 3,168 ตารางกิโลเมตร ทั้งที่อยูบริเวณริมอางเก็บน้ําเขื่อนอุบลรัตน แตก็ไมสามารถนําน้ําจากเขื่อนอุบลรัตนมาใช ประชาชนรอบเขื่อนอุบลรัตนจึงกดดันฝายราชการ ฝายการเมือง หรือหนวยงานที่เกี่ยวของคนหาวิธีและขอ กฎหมายตาง ๆ เพื่อจะนําน้ําในอางเก็บน้ําเขื่อนอุบลรัตนที่เห็นมาใชใหเปนประโยชนตอการดํารงชีวิต นั่นคือที่มา ของโครงการศึกษาโครงขายน้ํา 3 อําเภอ จากผลการศึกษาขอมูลทั้งหมดรวมทั้งการประมวลความตองการของประชาชนในพื้นที่ทั้ง 3 อําเภอจาก การรวมประชุมสัมมนา 3 ครั้ง ผูเชี่ยวชาญสามารถจัดทําแผนแมบท แผนปฏิบัติการ และโครงการตางๆ ทั้งที่ เปนโครงการจากผูเชี่ยวชาญเสนอเห็นสมควรใหเกิดขึ้น และโครงการที่เกิดจากความตองการของประชาชนใน ชุมชน โดยงบประมาณทั้งสิ้นในการดําเนินการตามแผนแมบทที่เสนอคือ 8,340,433 ลานบาท (แปดพันสามรอยสี่ สิบลานสี่แสนสามหมื่นสามพันบาทถวน) สามารถแยกไดดังนี้ 1. 2. 3. 4. 5.
แผนแมบทการจัดหาและพัฒนาแหลงน้ํา จํานวน 6,411.96 ลานบาท แผนแมบทการจัดสรรน้ําและการใชน้ํา จํานวน 13.65 ลานบาท แผนแมบทการอนุรักษแหลงน้ํา จํานวน 1,734.823 ลานบาท แผนแมบทการแกไขปญหาอุทกภัย จํานวน 20.0 ลานบาท และ แผนแมบทการแกไขปญหาคุณภาพน้ําและสิ่งแวดลอม จํานวน 124.36 ลานบาท 193
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการมีส่วนร่วมของประชาชน
ในสวนของแผนแมบทที่ 3, 4 และ 5 มีงบประมาณทับซอนกัน เนื่องจากเปนโครงการที่เสนอในลักษณะ เดียวกัน และสามารถแกไขปญหาไดทั้ง 3 แผนแมบท
ขอเสนอแนะ หากอําเภอภูเวียง อําเภอหนองเรือ และอําเภอบานฝาง จังหวัดขอนแกน สามารถพัฒนาโครงการตางๆ ไดตามแผนแมบทการบริหารจัดการน้ําอยางบูรณาการแลวจะสามารถนําไปสูการเพิ่มรายไดของประชาชนในพื้นที่ 3 อําเภอ ถาหากวาพื้นที่ทั้ง 3 อําเภอ พัฒนาระบบการเกษตรตามที่โครงการไดเสนอไว รวมถึงระบบการปลูก พืชอื่นๆ ที่มีระบบตลาดรองรับอยางครบวงจร โดยตามการคาดการณชี้ใหเห็นวาประชาชนในพื้นที่จะไดรับ ประโยชนจากโครงขายน้ําทั้งสิ้นประมาณ 18,000 ครัวเรือน มีพื้นที่การเกษตรที่ไดรับผลประโยชนประมาณ 302,400 ไร และมีรายไดเฉลี่ยตอครัวเรือน 87,900 บาท/ป
รายงานการติดตามแผนปฏิบัติงานโครงขายน้ํา 3 อําเภอ หนองเรือ ภูเวียง บานฝาง “แผนพัฒนาและบริหารน้ําอยางบูรณาการ” ระหวางป พ.ศ. 2547-2552 1. แผนแมบทจัดหาและพัฒนาแหลงน้ํา จํานวนงบประมาณตามแผน 6,411.96 ลานบาท องคการบริหารสวนจังหวัดขอนแกน จัดงบประมาณสําหรับแผนนี้เพียงปละ 12 ลานบาท เทานั้น โดยรวม ตลอดระยะเวลา 5 ป ไดรับงบประมาณสนับสนุนเพียง 60 ลานบาท องคการบริหารสวนตําบล ไมมีการจัดหาและ พัฒนาแหลงน้ําตามแผนแมบทนี้เลย เพียงแตมาการขุดลอกหนาฝายเพื่อกักเก็บน้ําตามลําหวยตางๆ เทานั้น สําหรับกรมชลประทานไมมีโครงการจัดหาและพัฒนาแหลงน้ํานี้เลย ปญหาที่พบตามแผนงานที่ 1 คือเมื่อฝาย บริหารองคการบริหารสวนจังหวัดขอนแกน นําแผนที่ไดไปบรรจุในแผนปฏิบัติงาน 5 ป องคการฯ แลว สมาชิก องคการบริหารสวนจังหวัด (สอบจ.) ในพื้นที่ก็จะแปลญัตติปรับลด เพื่อนําเงินงบประมาณไปใชในโครงการอื่น ซึ่ง จะเกิดผลทางการเมืองมากกวานํางบประมาณทั้งหมดมาปฏิบัติตามแผน หลังมีการปฏิรูประบบราชการ มีการ แบงภารกิจเกี่ยวกับการจัดหาและพัฒนาแหลงน้ํา ใหเปนภารกิจหนาที่ขององคการบริหารสวนทองถิ่น กรม ชลประทานก็ไมมีโครงการจัดหาและพัฒนาแหลงน้ํา ตามแผนนี้เลยแมแตโครงการเดียว องคการบริหารสวน ทองถิ่นที่ไดรับภารกิจการจัดหาและพัฒนาแหลงน้ําจากชลประทานแลวกลับไมมีงบประมาณเพียงพอตอการดําเนิน โครงการตามแผนเพราะองคการบริหารสวนตําบล มีงบประมาณเพียง 10-15 ลานบาท เทานั้น จึงไมมีงบประมาณ เพียงพอที่จะดําเนินการตามแผนงาน ซึ่งจะตองใชงบประมาณตั้งแต 5 ลานบาทขึ้นไป สวนกรมพัฒนาที่ดินไมมี โครงการตามแผนงานนี้เลยตลอดระยะเวลา 5 ป 2. แผนงานแมบทจัดสรรน้ําและการใชน้ํา จํานวนงบประมาณตามแผน 13.65 ลานบาท สําหรับการดําเนินการในปแรกมูลนิธิน้ําและคุณภาพชีวิต และองคการบริหารสวนจังหวัด ไดเขาไปจัดตั้ง ศูนยโฮมปญญาลุมน้ํา ซึ่งไมไดเปนไปตามแผนงานเทาที่ควร เนื่องจากมีงบประมาณจํานวนจํากัด แตก็ไดทํา เครือขายเวทีโฮมภูมิปญญาลุมน้ําอยูทุกป จนทําใหเกิดเครือขาย และพัฒนาเปนคณะทํางานลุมน้ําพองสวนบน โดยมี นายถวิล ชาวกะตา กํานันตําบลดินดําเปนประธาน สวนดานการอนุรักษปาตนน้ํา นายวุฒิพงศ ศุภรมย เปนแกนนําเครือขาย
194
โครงข่ายน้ํา 3 อําเภอ หนองเรือ ภูเวียง บ้านฝาง “แผนพัฒนาและบริหารน้ําอย่างบูรณาการ”/ โยธิน วรารัศมี
ตลอดระยะเวลา 5 ป มีความสับสนเกิดขึ้นหลังจากปฏิรูประบบราชการในดานภารกิจ ในการจัดสรรและ จัดใชน้ํา ซึ่งเดิมหนวยงานที่มีบทบาทเกี่ยวของในเรื่องนี้มี 2 หนวยงานคือ กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและ สหกรณ และสํานักงานสูบน้ําดวยพลังไฟฟา กระทรวงวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี แตเมื่อมีการปฏิรูประบบ ราชการทําใหสํานักงานสูบน้ําดวยพลังไฟฟา ถูกยายโอนมาอยูที่สํานักงานโครงการชลประทานจังหวัด จึงไมมี ความชัดเจนวาภารกิจหนาที่การจัดสรรน้ําและใชน้ําขนาดเล็ก เปนบทบาทหนาที่ของใคร ตลอดระยะเวลา 5 ป จึง ไมมีการจัดสรรงบประมาณในสวนนี้เลย จนมาถึงตนป พ.ศ. 2552 เครือขายประชาชนลุมน้ํา 3 อําเภอ และ มูลนิธิน้ําและคุณภาพชีวิต ไดรวบรวมความตองการของราษฎรไปที่สํานักงานจังหวัด เพื่อกดดันใหยุทธศาสตร จังหวัด เพิ่มพื้นที่ชลประทานตามพันธนกิจของจังหวัดที่กําหนดไว จึงเกิดโครงการสถานีสูบน้ําดวยไฟฟาพรอม ระบบส ง น้ํ า บ า นหนองกุ ง เซิ น 7,500,000 บาท และสถานี สู บ น้ํ า ด ว ยไฟฟ า พร อ มระบบส ง น้ํ า บ า นไคร นุ น 21,476,000 บาท ซึ่งไดงบประมาณกลางปเพื่อฟนฟูเศรษฐกิจปพ.ศ. 2552 ศูนยโฮมปญญาลุมน้ํา จะมีหนาที่ จัดตั้งกรรมการจัดสรรน้ํา เพื่อหาขอยุติการจัดสรรน้ําและจัดใชน้ําจึงจะเริ่มมีบทบาทมากขึ้น 3. แผนแมบทในการอนุรักษแหลงน้ํา จํานวนงบประมาณตามแผน 1,734,823 บาท มีเพียงการขุดลอกหนาฝายขององคการบริหารสวนตําบล ในเขต 3 อําเภอ ซึ่งอยูในระหวางรวบรวม ขอมูลอยางเปนทางการอีกครั้งหนึ่ง สวนการปลูกและฟนฟูปาตนน้ํา สํานักงานจังหวัดขอนแกน และองคการ บริหารสวนจังหวัดไดทําการปลูกปาและสรางฝายฉลอน้ําตามพระราชดําริบริเวณเทือกเขาภูเวียง อําเภอภูเวียง ใน ระหวางป พ.ศ. 2548-2550 ซึ่งอยูระหวางการรวบรวมขอมูลอยางเปนทางการอีกครั้ง สวนการลดและควบคุม มลพิษไมมีแผนงานที่ไดรับการสนับสนุนงบประมาณจากหนวยงานใดเลย อุ ป สรรคที่ พ บในการปฏิ บั ติ ง านตามแผน คื อ การจั ด การงบประมาณ ซึ่ ง ไม มี ก ฎหมายใดกํ า หนดให หนวยงานที่เกี่ยวของ ใหปฏิบัติตามแผน โครงขายน้ํา 3 อําเภอ หนองเรือ ภูเวียง บานฝาง “แผนพัฒนาและบริหาร น้ําอยางบูรณาการ” แผนงานตางๆ ที่ประชาชนรวมคิดขึ้น เมื่อรัฐนําไปปฏิบัติแลวจึงไมสอดคลองตอเจตนารมณ รัฐธรรมนูญ หากเปนเชนนี้เรื่อยไป ไมวารัฐหรือภาคเอกชนที่ทําการศึกษา หรือจัดทําแผนงานในการบริหารจัดการ น้ํา ทั้งแผนรวมหรือ แผนชุมชน หากไมไดรับการสนับสนุนงบประมาณก็ไมสามารถปฏิบัติตามแผนไดเลย เมื่อ เรื่องเปนเชนนี้ ประเด็นจึงอยูที่วาฝายการเมืองคิดเชนไร เพราะฝายการเมืองสามารถแปลญัตติงบประมาณได ตามความปรารถนาหากมีเสียงเพียงพอ ประเด็นปญหาที่จะกาวตอไป ใหสมเจตนารมณของรัฐธรรมนูญ ป 2550 สวนที่ 8 วาดวยแนวนโยบาย ดานที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม คือตองมีกฎหมายน้ํา หรือจะชื่อกฎหมายอะไรก็แลวแต ตองมี ขอกําหนดวาหากรัฐหรือเอกชน จะทําการอะไรที่มีผลกระทบตอ ดิน น้ํา ปา ในพื้นที่ลุมน้ําแลว ตองไดรับความ เห็นชอบจากคณะกรรมการลุมน้ําเสียกอน หากรัฐหรือเอกชน จะพัฒนาจัดหา จัดสรร ทรัพยากรน้ําแลว จะตองยึด ตามแผนงานที่เกิดขึ้นจากขบวนประชาชนเทานั้น ถึงจะสอดคลองตอบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ อุปสรรคปญหาตางๆ ในเรื่องการจัดการทรัพยากรน้ําถึงจะหมดไป
195
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการมีส่วนร่วมของประชาชน
เอกสารอางอิง มูลนิธิน้ําและคุณภาพชีวิต, 2552. สรุปผลการติดตามงาน ผลการศึกษาเพื่อจัดทําแผนพัฒนา และบริหาร จัดการน้ําอยางบูรณาการในพื้นที่ อําเภอหนองเรือ อําเภอภูเวียง อําเภอบานฝาง สถาบันแหลงน้าํ และสิ่งแวดลอม คณะวิศวกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยขอนแกน มูลนิธิน้ําและคุณภาพชีวิต จังหวัดขอนแกน องคการบริหารสวนจังหวัดขอนแกน, 2547. รายงานฉบับสมบูรณ "การศึกษาจัดทํา แผนพัฒนา และบริหารจัดการน้ําอยางบูรณาการในเขตพื้นที่ อําเภอหนองเรือ อําเภอ ภูเวียง อําเภอบานฝาง”. องคการบริหารสวนจังหวัดขอนแกน, 2548. ขอบัญญัติงบประมาณรายจายประจําป องคการบริหารสวน จังหวัดขอนแกน ป พ.ศ. 2548. องคการบริหารสวนจังหวัดขอนแกน, 2549. ขอบัญญัติงบประมาณรายจายประจําป องคการบริหารสวน จังหวัดขอนแกน ป พ.ศ. 2549. องคการบริหารสวนจังหวัดขอนแกน, 2550. ขอบัญญัติงบประมาณรายจายประจําป องคการบริหารสวน จังหวัดขอนแกน ป พ.ศ. 2550. องคการบริหารสวนจังหวัดขอนแกน, 2551. ขอบัญญัติงบประมาณรายจายประจําป องคการบริหารสวน จังหวัดขอนแกน ป พ.ศ. 2551. องคการบริหารสวนจังหวัดขอนแกน, 2552. ขอบัญญัติงบประมาณรายจายประจําป องคการบริหารสวน จังหวัดขอนแกน ป พ.ศ. 2552.
196
บทที่ 11 การประเมินผลกระทบสิ่งแวดลอมทางสังคมเพือ่ การจัดการทรัพยากรน้ํา อยางมีประสิทธิภาพ กรณีศึกษาฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ ผศ.ดร.กนกวรรณ มะโนรมย ศูนยวิจัยสังคมอนุภูมิภาคลุมน้ําโขง คณะศิลปศาสตร มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
บทคัดยอ บทความนี้เสนอวาการประเมินผลกระทบสิ่งแวดลอมทางสังคมจากกรณีศึกษาฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ เปนเครื่องมือสําคัญตอการเพิ่มประสิทธิภาพการใชและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําในลุมน้ํามูลในระยะยาว เพราะเปดโอกาสใหชุมชนทองถิ่นมีสวนรวมในกระบวนการประเมินตั้งแตกอน ระหวางและหลังการประเมินผล กระทบโดยเฉพาะการดําเนินการตามมาตรการลดผลกระทบเนื่องจากประชาชนมีศักยภาพในการดําเนินการตาม มาตรการและเพื่อทําใหประชาชนเปนเจาของโครงการตางๆอยางแทจริงและรัฐและหนวยงานตางๆที่เกี่ยวของตอง ใหการสนับสนุนดานงบประมาณ และความรูตางๆแกภาคประชาชน ในระหวางการประเมินผลกระทบนั้น ประชาชนในพื้นที่สามารถเสนอความวิตกกังวลตางๆตอโครงการ อยางเปดเผย พรอมทั้งเสนอทางเลือกตางๆเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําที่ทําใหเกิดผลกระทบตอชุมชน ท อ งถิ่ น ให น อ ยที่ สุ ด เช น การกํ า หนดการทดระดั บ น้ํ า ในตั ว ฝายและลํ า น้ํ า บนฐานการบู ร ณาการความรู แ บบ วิทยาศาสตรและความรูทองถิ่นโดยคํานึงถึงสภาพพื้นที่ภูมินิเวศและผลกระทบเรื่องน้ําทวมตอบานเรือนและที่ทํา กินโดยเฉพาะในพื้นที่ปาบุงปาทามที่เปนพื้นที่ทรัพยากรที่สําคัญของทองถิ่นในฐานะที่เปนแหลงอาหาร รายได ทําเลเลี้ยงสัตว แหลงดินปนหมอ และพื้นที่ทางสังคมวัฒนธรรมที่สําคัญของทองถิ่น การเสนอแนวทางการบริการ จัดการฝายหัวนาที่ใหรัฐตองคํานึงถึงความสมดุลของระบบนิเวศและระบบลุมน้ําเพราะในลําน้ํามูลมีโครงการฝาย และเขื่อนจํานวนมากที่อยูใกลเคียงกันกับฝายหัวนา การจัดการน้ําที่จะตองอิงกับขอมูลการใชทรัพยากรของ ชาวบาน แผนการลดผลกระทบที่มาจากภาคประชาชนที่คาดวาจะไดเสียประโยชน การเคารพในสิทธิภูมิปญญา และสิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากร รวมทั้งขอกฎหมายที่เกี่ยวของ อีกทั้งการประเมินผลกระทบสิ่งแวดลอมทาง สังคมนี้ยังถูกกํากับโดยคณะกรรมการติดตามกํากับการดําเนินการประเมินผลกระทบที่มาจากภาคสวนวิชาการ ชาวบาน และองคกรพัฒนาเอกชนที่ทําหนาที่ใหคําปรึกษาการจัดทําการประเมินผลกระทบ ตลอดจนบทบาทของผู มีสวนไดสวนเสียกลุมอื่นๆ เชน องคกรปกครองสวนทองถิ่น และ หนวยงานภาครัฐที่ควรสนับสนุนใหการบริหาร จัดการน้ําดําเนินไปอยางมีประสิทธิภาพไดโดยเฉพาะการดําเนินการตามมาตรการลดผลกระทบและการติดตาม ตรวจสอบมาตรการลดผลกระทบจากการดําเนินการตามมาตรการลดผลกระทบ
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการมีส่วนร่วมของประชาชน
บทนํา หลักการจัดการสิ่งแวดลอมทีส่ ําคัญที่สุดประการหนึ่งคือการหามาตรการหรือเครื่องมือปองกันปญหา สิ่งแวดลอมเอาไวลวงหนาอยางรัดกุมและครอบคลุมขอบเขตของผลกระทบสิ่งแวดลอมที่คาดวาจะเกิดขึ้นตอวิถีชีวิต ของผูคนดานเศรษฐกิจและสังคมรวมทั้งเพือ่ ลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตอระบบนิเวศนั้นๆ และเนนการมีสวนรวม จากภาคประชาชน ทั้งนี้เครือ่ งมือดังกลาวยังสงผลระยะยาวตอประสิทธิภาพการใชและจัดการทรัพยากรน้ําอีกดวย เครื่องมือหรือมาตรการที่วานี้จะตองมี 2 ระดับไดแก ระดับยุทธศาสตรหรือนโยบาย ที่เรียกกันวา “การประเมินผล กระทบตอสิ่งแวดลอมเชิงยุทธศาสตร (Strategic Environmental Assessment, SEA)” 1 และ ระดับโครงการ ที่เรียกวา “รายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดลอม (Environmental Impact Assessment, EIA) ซึ่งในระดับนี้จะตอง เนนการมีสวนรวมของประชาชนในกระบวนการจัดทํารายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดลอมพรอมทั้งกําหนด ขอบเขตการศึกษาผลกระทบดานสังคมและเศรษฐกิจชุมชน อยางไรก็ตาม ที่ผานมาการประเมินผลกระทบทางสังคมในระดับแผนและนโยบายมักมีบทบาทในฐานะตัว ประกอบของการประเมินผลกระทบสิ่งแวดลอม (Becker 1997 และ Barrow 2000) สําหรับประเทศไทยแลว ความสําคัญและความจําเปนของการประเมินสิ่งแวดลอมทางสังคมโดยการมีสวนรวมของภาคประชาชนนั้นเพิ่ง มีการกลาวถึงอยางกวางขวางและถี่ยิบมากขึ้นในชวง 10 กวาปที่ผานมาโดยเฉพาะในกลุมคนที่เกี่ยวของกับ การจัดการทรัพยากรทรัพยากรน้ําที่มาจากการสรางเขื่อนที่สรางผลกระทบของทางสิ่งแวดลอมและสังคมตอระบบ นิเวศและวิถีการดํารงชีพของคนทองถิ่นโดยเฉพาะโครงการพัฒนาขนาดใหญของรัฐ เชน เขื่อนปากมูล ฝายราษีไศลและอื่นๆ เพราะโครงการเหลานี้ไมมีการประเมินผลกระทบสิ่งแวดลอมทางสังคม รองรอยความ ขัดแยงในชุมชน ความวิตกกังวล และปญหาทางสังคมและเศรษฐกิจหลังโครงการยังคงดํารงและฝงลึกจนยาก จะเยียวยาใหเหมือนเดิมได ภายหลังที่มีการปรับปรุงแกไขพระราชบัญญัติสงเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดลอม พ.ศ. 2535 ซึ่งได กลายมาเปนรากฐานในการประเมินผลกระทบสิ่งแวดลอม (อีไอเอ) ถึงปจจุบันนี้ (ปาริชาติ ศิวะรักษ 2543) โดยมี การประกาศกฎกระทรวงวิทยาศาสตรเทคโนโลยีและสิ่งแวดลอมเพื่อกําหนดประเภทโครงการหรือกิจการไมวารัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือเอกชน โดยมีกระบวนการของการทําอีไอเอ และในกฎหมายไดกําหนดวาโครงการที่จะตองจัดทํา รายงานอีไอเอมีจํานวน 22 ประเภท โดยที่หลักการของการทํารายงานผลกระทบสิ่งแวดลอมตองทําตามกรอบที่ ทางหนวยงานของรัฐเปนผูกําหนดซึ่งครอบคลุมใน 4 หัวขอกวางๆ ไดแก ผลกระทบสิ่งแวดลอมดานกายภาพ
1
“SEA เปนเครื่องมือที่ใชประเมินผลกระทบสิ่งแวดลอมในนโยบาย แผน หรือโครงการตั้งแตในระยะเริ่มแรกของการตัดสินใจ SAE จึงมีลักษณะ เปนกระบวนการที่รอบดาน (comprehensive) และเปนระบบในการประเมินผลกระทบดานสิ่งแวดลอมของนโยบาย แผนหรือโครงการใดๆ โดย การพิจารณาทางเลือกตางๆที่มีอยู SEA เปนเครื่องมือที่ใชประกอบการติดสินใจที่สามารถตรวจสอบไดจากสาธารณะ (Therivel et al., 1992 อาง ใน มิ่งสรรพ ขาวสอาด และคณะ. 2549. แผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดลอม พ.ศ. 2550-2554. ) วิธีการของSEA จะเนนการรวบรวมขอมูลไป ใหกับผูมีอํานาจในการตัดสินใจ โดยมีขั้นตอนดังนี้ (ก) การปรึกษาหารือกับผูมีสวนไดสวนเสียเพื่อกําหนดขอบเขตและกลั่นกรอง (ข) การพัฒนา ฐานความรูโดยอาจนําเครื่องมือการวิเคราะหที่เหมาะสมเขามาชวย (ค) การจัดลําดับความสําคัญของประเด็นและการวิเคราะหวิธีการที่เปน ทางเลือกหลายๆอยางโดยอาศัยขอมูลจากผูมีสวนไดสวนเสียและผูเชี่ยวชาญ (ง) การสรางแผนปฏิบัติการและกรอบการบริหารจัดการที่มีทั้ง วิธีการในการใหคําปรึกษา การจัดการกับความแตกตางดานความรู การประเมินทางเลือก และการนําไปสูการปฏิบัติ และ (จ) การพัฒนากรอบ การนําไปปฏิบัติจริงและกรอบการตรวจสอบ” (อางใน มิ่งสรรพ ขาวสอาด เรื่องเดียวกัน)
198
การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางสังคมเพื่อการจัดการทรัพยากรน้ําอย่างมีประสิทธิภาพ กรณีศึกษาฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ/ ผศ.ดร.กนกวรรณ มะโนรมย์
ผลกระทบสิ่งแวดลอมดานชีวภาพ ผลกระทบตอคุณคาการใชประโยชนของมนุษย และผลกระทบตอคุณภาพชีวิต (สนธิ คชวัฒน 2548) แตกฎหมายการประเมินผลกระทบสิ่งแวดลอมทางสังคมยังไมมีจนปจจุบัน ดว ยบทเรี ยนดัง กล าวข างต น จึง มีข อ เรี ยกรอ งจากภาคประชาสั ง คมและภาควิช าการใหมี ก ฎหมายที่ ครอบคลุมมากขึ้นเรื่องการมีสวนรวมของภาคประชาชนในการควบคุมและดูแลคุณภาพสิ่งแวดลอม โดยแนวคิด ดังกลาวระบุไวชัดเจนในรัฐธรรมนูญป 2540 และตอมา ไดมีระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีวาดวยการรับฟงความ คิดเห็นของประชาชน พ.ศ. 2548 ที่ระบุวากอนเริ่มดําเนินการโครงการของรัฐ หนวยงานของรัฐที่เปน ผูรับผิดชอบ โครงการตองจัดใหมีการเผยแพร ใหประชาชนทราบ และจะรับฟงความคิดเห็นของประชาชน และในปเดียวกัน สํานักงานวิเคราะหผลกระทบสิ่งแวดลอมและสํานักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม (สผ.) ได ร ว มกั บ ธนาคารโลกดํ าเนิ น การจั ด ทํ าคู มื อ “แนวทางการมี ส ว นร ว มของประชาชนและการประเมิ น ผลกระทบ สิ่งแวดลอมทางสังคมในกระบวนการวิเคราะหผลกระทบสิ่งแวดลอม” ซึ่งเปนความพยายามในการผนวกการมีสวน รวมของประชาชนในการจัดการสิ่งแวดลอมที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญป 2540 ระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี วาดวย การรับฟงความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. 2548 (อางในhttp://www.onep.go.th/eia/pp_book/pp_book1.pdf) เพื่อ เปนกรอบการประเมินผลกระทบสิ่งแวดลอมทางสังคม ตอมาในรัฐธรรมนูญฉบับป 2550 ก็ไดระบุการมีสวนรวมของภาคประชาชนในการจัดการทรัพยากรอีก เชนกัน โดยนัยแลวรัฐธรรมนูญทั้งสองฉบับนี้ไดปรับเปลี่ยนบทบาทของภาครัฐจากการเปนดูแล กําหนดและวาง แนวทางการจัดการและรักษาคุณภาพสิ่งแวดลอมโดยตรงมาเปน “ผูสนับสนุนและสงเสริมสงเสริมและสนับสนุนให ประชาชนมีสวนรวมในการสงวน บํารุงรักษา และใชประโยชนจากทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทาง ชีวภาพอยางสมดุล รวมทั้งมีสวนรวมในการสงเสริม บํารุงรักษาและคุมครองคุณภาพสิ่งแวดลอมตามหลักการ พัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อใหดํารงชีวิตไดอยางปกติและตอเนื่องในสิ่งแวดลอมที่ดี” รวมทั้งในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ 2550 ไดกําหนดใหมี "องคการอิสระดานสิ่งแวดลอมและสุขภาพ" ไวในมาตรา 67 วรรค 2 ในหมวดสิทธิชุมชน (สัญชัย สูติพันธวิหาร 2552) กระนั้นก็ตาม การนําการประเมินผลกระทบสิ่งแวดลอมทางสังคมเพื่อการจัดการ ทรัพยากรน้ําอยางมีประสิทธิภาพก็ยังไมเปนรูปธรรม ดังนั้นบทความนี้จึงตองการจะสื่อสารเพื่อชี้ใหเห็นถึงการมี สวนรวมของภาคประชาชนในการกระบวนรักษาคุณภาพสิ่งแวดลอมและการธํารงไวซึ่งคุณภาพชีวิตและการ ดํารงชีพของทองถิ่นอยางปกติของชุมชนเพื่อการจัดการทรัพยากรน้ําอยางมีประสิทธิภาพในพื้นที่ที่มีโครงการ พัฒนาขนาดใหญ
วัตถุประสงค บทความนี้มีจุดมุงหมายเพื่ออธิบายการเพิ่มประสิทธิภาพการใชน้ําโดยกระบวนการประเมินผลกระทบ สิ่ ง แวดล อ มทางสั ง คม โดยมี เ นื้ อ หาสํา คั ญ ในการนํา เสนอในบทความคื อ คื อ 1) บริ บ ทของฝายหั ว นา 2) กระบวนการและขั้ น ตอนการมี ส ว นร ว มของภาคประชาชน และ 3) การประเมิ น ผลกระทบทางสั ง คมกั บ ประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ํา
199
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการมีส่วนร่วมของประชาชน
ขอบเขตการศึกษา บทความนี้ใชกรณีศึกษาจากการประเมินผลกระทบสิ่งแวดลอมทางสังคมของโครงการฝายหัวนา จังหวัด ศรีสะเกษ (ดูแผนที่ประกอบ รูปที่ 1) ที่ผูเขียนเปนหัวหนาโครงการที่ไดดําเนินงานรวมกับทีมที่ปรึกษาทําการ ประเมินผลกระทบสิ่งแวดลอมจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี และ มหาวิทยาลัยขอนแกน ที่ไดดําเนินการ ระหวางปลายป 2550 – เมษายน 2552 ดังนั้นขอมูลทั้งหมดที่นําเสนอมาจากรายงานการประเมินดังกลาวที่ได รวบรวมขอมูลโดยวิธีกรวิจัยเชิงคุณภาพ ปริมาณ และวิจัยแบบมีสวนรวม สวนวิเคราะหขอมูลในบทความนี้มาจาก มุมมองของผูเขียนเปนหลัก
200
การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางสังคมเพื่อการจัดการทรัพยากรน้ําอย่างมีประสิทธิภาพ กรณีศึกษาฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ/ ผศ.ดร.กนกวรรณ มะโนรมย์
รูปที่ 1 แผนทีแ่ สดงโครงการชลประทานภายใตโครงการผันน้ําโขง ชี มูล
201
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการมีส่วนร่วมของประชาชน
รูปที่ 2 แผนทีแ่ สดงโครงการชลประทานภายใตโครงการผันน้ําโขง ชี มูล
202
การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางสังคมเพื่อการจัดการทรัพยากรน้ําอย่างมีประสิทธิภาพ กรณีศึกษาฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ/ ผศ.ดร.กนกวรรณ มะโนรมย์
ผลการศึกษา 1. บริบทฝายหัวนา 1.1 ความเปนมาของฝายหัวนา โครงการฝายหัวนาเปนองคประกอบหนึ่งในโครงการโขงชีมูล ซึ่งโครงการโขง ชี มูลไดริเริ่มโดยกรมพัฒนา และสงเสริมพลังงานกระทรวงวิทยาศาสตร เทคโนโลยีและสิ่งแวดลอมนับตั้งแต ป พ.ศ. 2530 (หลังจากการปฏิรูป ระบบราชการป พ.ศ. 2542 โครงการดังกลาวรับผิดชอบโดยกรมชลประทาน) โดยจุดมุงหมายของโครงการโขง ชี มูล คือการจัดหาน้ําเพื่อการชลประทานใหครอบคลุมพื้นที่ภาคอีสานที่มีมากถึง 4.98 ลานไร ครอบคลุมพื้นที่ 15 จังหวัด (ยกเวนจังหวัด นครพนม มุกดาหาร สกลนคร และหนองบัวลําภู) เพื่อแกไขปญหาการขาดแคลนน้ําและ แกไขปญหาความเสียหายจากน้ําทวมในพื้นที่ลุม ปรับสภาพดิน และการสรางงานในภาคเกษตรกรรมโดยการสราง ฝายตางๆ และเขื่อนในลุมน้ําชีและมูลเพื่อเก็บน้ําเปนระยะๆ ถึงกวา 30 แหง (กรมพัฒนาและสงเสริมพลังงาน พ.ศ. 2543) โดยใชงบประมาณจํานวนมากถึง 226,000 ลานบาท และจะใชเวลาในการสรางถึง 42 ป แบงเปน 3 ระยะคือ ชวงแรก 9 ปคือระหวางป พ.ศ. 2534-2543 โดยมีเปาหมายที่จะสรางฝายใหไดถึง 14 แหง ในแมน้ํามูล 5 แหง ลํา น้ําชี 5 แหง และที่อื่นๆอีก 4 แหง (ฝายวิชาการ สมัชชาคนจน 2543) กลาวเฉพาะโครงการฝายหัวนา โครงการนี้ตั้งอยูในแมน้ํามูลบริเวณเขตบานกอก ตําบลหนองแกว อําเภอ กันทรารมย จังหวัดศรีสะเกษ โดยตั้งหางจากฝายราษีไศล ประมาณ 90 กิโลเมตร และหางจากเขื่อนปากมูล (ปลาย แมน้ํามูล) ประมาณ 160 กิโลเมตร ใชงบประมาณกอสรางรวมทั้งสิ้น 2,150.98 ลานบาท โดยวัตถุประสงคหลักของ ฝายคือการพัฒนาแหลงน้ําเพื่อการชลประทานและอุปโภคบริโภค ซึ่งตามแผนที่ตั้งไว โครงการเริ่มกอสรางในป พ.ศ. 2535 และคาดวาจะสรางแลวเสร็จและสามารถเก็บกักน้ําไดในปงบประมาณ พ.ศ. 2544 และระบบการ กระจายน้ํา (คลองชลประทาน) จะสรางแลวเสร็จในป พ.ศ. 2546 ผลประโยชนของโครงการที่คาดวาจะไดรับคือ ความสามารถในการสูบน้ําเพื่อชวยการเกษตรในพื้นที่ช ลประทานซึ่งแบงเปน 2 ระยะ โดยระยะแรกใชน้ําใน ประเทศไทยซึ่งมีพื้นที่ชลประทานในฤดูฝน 77, 300 ไร ฤดูแลง จํานวน 23,100 ไร สวนระยะที่สองจะใชน้ําที่ผันมา จากแมน้ําโขง ซึ่งจะสามารถรองรับพื้นที่ชลประทานในฤดูฝน 154,000 ไร และในฤดูแลงได 77,000 ไร คาดวา พื้นที่ชลประทานทั้งหมดของโครงการนี้มีมากกวา 100,000 ไร ในพื้นที่คลองสงน้ํา PL8 และ PL3 โดยหมูบานที่ คาดวาจะไดรับประโยชนมีประมาณ 61 หมูบาน ใน เขตอําเภอกันทรารมย อําเภอเมืองจังหวัดศรีสะเกษ และ อําเภอเมืองของจังหวัดอุบลราชธานี (กรมพัฒนาและสงเสริมพลังงาน เพิ่งอาง) นับแตป พ.ศ. 2546 การสรางตัว ฝายหัวนาเกือบจะแลวเสร็จเหลือเพียงการถมดินกั้นแมน้ํามูลเพื่อเปลี่ยนเสนทางเดินของน้ํา จนถึงวันนี้โครงการนี้ ยังไมไดใชประโยชนเพื่อการชลประทานแตอยางใด นับตั้งแตเริ่มการสํารวจโครงการและดําเนินการกอสรางฝายหัวนาป พ.ศ. 2534 ปญหาเกี่ยวกับมวลชนก็ เริ่มเกิดขึ้นไปพรอมกันโดยปญหาดังกลาวไดลุกลามขยายวงกวางออกไปจนถึงระดับชาติจนกลายเปนหนึ่งใน 16 ปญหาของสมัชชาคนจนที่นําเสนอตอรัฐบาลชวงป พ.ศ. 2543 เพื่อใหดําเนินการทําอีไอเอ แมวาแตเดิมนั้นกรม พัฒนาและสงเสริมพลังงานที่เปนเจาของโครงการฝายหัวนาไดเคยวาจางบริษัทที่ปรึกษาดําเนินการศึกษาความ เปนไปไดทางสิ่งแวดลอมซึ่งทําแลวเสร็จในป พ.ศ. 2543 และมีฉบับปรับปรุงแกไขออกมาในป พ.ศ. 2544 แตรายงานการศึกษาความเหมาะสมของโครงการฝายหัวนาที่ดําเนินการโดยบริษัทที่ปรึกษาไมไดรับความเห็นชอบ 203
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการมีส่วนร่วมของประชาชน
จากสํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม เนื่องจากรายงานมีขอบกพรองประการสําคัญ คือ 1) ขาดการมีสวนรวมของชุมชนในกระบวนการศึกษาทั้งระหวางและหลังการศึกษา 2) กรอบการศึกษาไดละเลยประเด็นเชิงพื้นที่เพราะถูกกําหนดจากนักวิชาการผูเชี่ยวชาญภายนอกเปน หลัก โดยเฉพาะระบบนิเวศทองถิ่นแบบ “ปาบุงปาทาม” ตลอดจนพืชพันธธรรมชาติที่เปนแหลงอาหาร ยารักษาโรค และ รายไดของคนในทองถิ่น ในฐานะที่เปนกลไกใหเศรษฐกิจทองถิ่นไหลเวียนและสราง ความมั่นคงตอระบบเศรษฐกิจทองถิ่น รวมทั้งสิทธิการใชและการเขาถึงทรัพยากรสวนรวม มาตรการ ลดผลกระทบ การชดเชยที่เปนธรรม องคความรูทองถิ่นในการจัดการระบบชลประทาน 3) การแสดงระดับผลกระทบสิ่งแวดลอมและสังคมของรายงานนี้โดยมากแสดงในเชิงบวก ซึ่งขัดแยงกับ ความเปนจริงที่เกิดขึ้นตามมาภายหลังจนทําให สผ. และผูชํานาญการไมยอมรับรายงานการศึกษา ผลกระทบสิ่งแวดลอมฉบับนี้ (กนกวรรณ มะโนรมย สุรสม กฤษณะจูฑะ และ สดใส สรางโศรก 2548) รั ฐ บาลในสมั ย นั้ น ได แ ต ง ตั้ ง คณะกรรมการกลางเพื่ อ แก ไ ขป ญ หาสมั ช ชาคน และมี ม ติ ค รม.วั น ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2543 เห็นชอบ 1) ใหระงับการถมลําน้ํามูลเดิมไวกอนเพื่อศึกษาผลกระทบดานสิ่งแวดลอมและสังคม ตามขอเรียกรองของ สมัชชาคนจน กรณีฝายหัวนา 2) ใหเปดเผลขอมูลรายละเอียดโครงการตาม พ.ร.บ. ขอมูลขาวสาร พ.ศ. 2540 3) เห็นชอบใหตรวจสอบทรัพยสินของราษฎรที่คาดวาจะเสียหาย 4) ใหระงับการถมลําน้ํามูลเดิมเพื่อศึกษาผลกระทบดานสิ่งแวดลอมและสังคม และการสํารวจทรัพยสิน สมัชชาคนจน (ฝายวิชาการ สมัชชาคน อางแลว) ภายหลังที่รัฐบาลมีมติเห็นชอบใหชะลอการใชฝายตามขอเรียกรองของสมัชชาคนจน เจาของโครงการใน ปจจุบันคือกรมชลประทานไดเปดเผยขอมูลรายละเอียดโครงการตาม พ.ร.บ. ขอมูลขาวสาร พ.ศ.2540 และ ดําเนินการตรวจสอบทรัพยสินของราษฎรที่คาดวาจะเสียหายและดําเนินการใหทําการศึกษาโดยการสํารวจรายชื่อ ของชาวบานสมัชชาคนจนและจัดทําบัญชีการรังวัดจัดทําแผนที่แปลงกรรมสิทธิ์ (ร.ว. 43 ก.) ที่ไดดําเนินการรังวัด ครั้งแรก ในป พ.ศ. 2545-2546 และ สํารวจครั้งที่สอง ในป พ.ศ. 2549 รวมการสํารวจทั้งสองครั้งมีผูที่คาดวาจะได ผลกระทบทั้งหมดจํานวน 728 ราย (ขอมูลสมาชิกสมัชชาคนจนที่ไดรับผลกระทบจาก เขื่อนหัวนา 2549) และในป พ.ศ. 2542 กรมชลประทานเปนผูรับผิดชอบดําเนินการใหมีการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดลอมและสังคมใหม ทั้งหมด โดยมอบหมายให 3 มหาวิทยาลัยในภูมิภาคไดแก มหาวิทยาลัยขอนแกน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี และ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เปนผูดําเนินการศึกษาผลกระทบดังกลาวในชวงปลายป พ.ศ. 2550
204
การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางสังคมเพื่อการจัดการทรัพยากรน้ําอย่างมีประสิทธิภาพ กรณีศึกษาฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ/ ผศ.ดร.กนกวรรณ มะโนรมย์
1.2 สภาพของพื้นที่ฝายหัวนา พื้นที่โครงการฝายหัวนาครอบคลุม 5 อําเภอของจังหวัดศรีสะเกษ ไดแกอําเภอเมือง กันทรารมย ราษีไศล ยางชุมนอย และอุทุมพรพิสัย ชุมชนในพื้นที่ลุมน้ํามูลจากฝายหัวนาไปจนถึงฝายราษีไศลอาศัยในเขตที่เรียกวา “พื้นที่ราบลุมราษีไศล” ซึ่ง ศรีศักร วัลลิโภดม (2545/2533) ไดใหความเห็นวา บริเวณที่ลุมซึ่งเรียกวาเขต “ที่ราบลุม ราษีไศล” คือ พื้นที่ราบลุมนับตั้งแตเขตอําเภอราษีไศลไปจนถึงบริเวณที่แมน้ํามูลและชีมาบรรจบกัน ซึ่งอยูเหนือ บริเวณฝายหัวนาขึ้นไป บริเวณที่เรียกวาที่ราบลุมราษีไศลนี้มีพัฒนาการชุมชนบานและเมืองเกาแกกวาเขตที่สูง หรือเขตบริเวณที่เรียกวา “ทุงกุลารองไห” อีกทั้งที่ราบลุมราษีไศล มีรองรอยการสืบเนื่องของผูคนหลายยุคหลาย สมัย นับตั้งแตชุมชนโบราณที่มีการขุดคนพบเครื่องปนดินเผา มีรองรอยของชุมชนที่ทําเกลือหรือถลุงเหล็ก ระบบนิเวศทองถิ่นที่สําคัญในพื้นที่ราบลุมนี้คือ “ระบบนิเวศแบบบุงทาม” (flood plain) ซึ่งเปนพื้นที่ซึ่งอยู ในที่ต่ํา บริเวณริมแมน้ํา ในฤดูฝนน้ําทวมถึงบางสวนเปนเขตพื้นที่ราบลุม (ลาดลุม) สลับที่ดอนบริเวณริมมูลหรือ สาขาของแมน้ํามูล ที่เรียกตามภาษาของคนทองถิ่นวา “บุงทาม” (floodplain) ชาวบานอธิบายคําวา “บุง” คือ พื้นที่ลุมที่อยูติดกับลําน้ําและมีน้ําขังอยูคลายบึงหนอง สวนคําวา “ทาม” หมายถึงพื้นที่ที่มีน้ําทวมขังเปนบริเวณ กวางในฤดูน้ําหลากและในฤดูแลงพื้นที่บริเวณเดียวกันนี้จะกลายเปนพื้นที่สําหรับเปนแหลงเพาะปลูกทํานา สวนผัก ทํา ไร เลี้ย งสั ตว ลาสั ต ว ต ม เกลื อ นํ าดิน มาปน หมอ หรื อ ภาชนะดิ น เผา เก็ บ ของป า และอื่ น ๆ ซึ่ ง การอธิ บ าย ความหมายโดยชาวบานสอดคลองกับการนิยามของนักวิชาการที่ศึกษาในเรื่องกลาวเชน ประสิทธิ์ คุณุรัตน ที่ อธิบายความหมายของพื้นที่ “ทาม” วา “พื้นที่ราบลุมริมฝงแมน้ํา เปนที่ราบน้ําทวมถึง จะถูกน้ําทวมในฤดูน้ําหลาก สภาพพื้นที่มีลักษณะเปนที่ลุม เปนที่ดอนสลับกันไป ประกอบดวยแองน้ํา หนองน้ํา และรองน้ําที่เรียกวา “กุดหลง” มากมายบางแหงเปนที่ลุมต่ํา มีน้ําแชแข็งตลอดป เรียกวา “บุง” ทั้งบริเวณปกคลุมดวยพืชพันธไมหลากหลายชนิดตามระดับของพื้นที่ สวนใหญ เปนพวกไมพุม ไมหนามที่ทนตอสภาพน้ําทวม หรือน้ําแชแข็งไดดี ทําใหบริเวณที่เปนพื้นที่ทามและพื้นที่บุง ถูก เรียกวา “ปาบุงปาทาม” หรือมักเรียกสั้นๆวา ปาทาม บริเวณทามจะไดรับดินตะกอนใหม จากการพัดพามาทับถม ของสายน้ํา ดินทามจึงเปนดินที่มีคุณภาพความอุดมสมบูรณสูง” (สนั่น ชูสกุลและคณะ 2550:1) ในแงการจัดการทรัพยากรปาบุงปาทามและทรัพยากรน้ํานั้นพบวาชาวบาน มีความรูในการจัดการน้ําเพื่อ การเกษตรมายาวนาน เชน ชาวบานในเขตอําเภอราษีไศลมีวิธีการจัดหาน้ําเพื่อทํานาปรังดวยตัวเอง ที่มีระบบการ จัดการน้ําในพื้นที่บุงทามโดยจัดระบบการใชเครื่องสูบน้ํารวมกัน เชน ชุมชนบานรองอโศกและหนองแคสวนสวรรค นั้น พบวา ชาวบานริเริ่มทํานาปรังตั้งแตป พ.ศ. 2527 ชาวบานไดรวมกลุมขอเครื่องสูบน้ําจากกรมชลประทาน ชาวบานแบงกลุมผูทํานาออกเปน 7 กลุมๆ ละ 20-30 คน ตั้งเครื่องสูบน้ําในทาน้ําตางๆที่อยูริมแมน้ํามูล ไดแก ทาสับปลากั้ง, ทาชาง, ทาแต, ทาบานบัว โดยแตละทาจะมีชุดคลองสงน้ําขอบตนเอง ชวงที่มีการเริ่มทํานาปรัง ใหม ๆ ชาวบานทุกหลังคาเรือนที่ทํานาปรังจะชวยกันขุดคลองสงน้ําสายหลัก และเจาของนาจะขุดคลองซอยแยก เขาที่นาของตนเอง สําหรับการสูบน้ําเพื่อทํานาปรังนั้นทางชลประทานจะใหน้ํามันฟรีครั้งละ 200 - 300 ลิตร หากน้ํามันที่หนวยงานชลประทานใหฟรีไมเพียงพอกับการสูบน้ํา ชาวบานก็จะสมทบเงินกันซื้อน้ํามันมาสูบเอง การจัดการดังกลาวจะผานคณะกรรมการการทํานาปรังซึ่งมี 3 คน เพื่อดูแลเครื่องสูบน้ําและจัดสรรการสูบน้ํา โดย จะมีการเก็บเงินจากสมาชิกคนละ 100 บาท เพื่อเปนกองกลางในการซอมเครื่องสูบน้ํา และคาใชจายอื่น ๆ ใน การสูบน้ํา (สนั่น ชูสกุล และคณะ: เพิ่งอาง) 205
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการมีส่วนร่วมของประชาชน
สวนชาวบานในเขตพืน้ ที่คลองสงน้ํา PL8 ของฝายหัวนาใน 4 ตําบลไดแก ตําบลหนองแกว ตําบล หนองแวง ตําบลทาม และตําบลละทาย อ.กันทรารมย มีความตองการน้ําเพื่อการเกษตรเปนอยางมาก โดยเฉพาะ ในชวงฝนทิ้งชวงและชวงฤดูแลงเนื่องจาก ชุมชนมีกิจกรรมการผลิตการเกษตรแบบเขมขนทั้งป เชน การปลูก หอมแดง พริก ถั่วลิสง และอืน่ ๆ มากกวาพื้นที่อื่นๆ และในปจจุบันชาวบานมักจะเผชิญกับปญหาฝนแลงการทํานา ไดรับความเสียหาย ชาวบานจึงพยายามแกปญหาเฉพาะหนาเมื่อเกิดภาวะฝนทิ้งชวงโดยเฉพาะในฤดูกาลทํานา ดวยการประสานกับผูใหญบา นเพื่อใหนําปญหาความเดือดรอนการขาดแคลนน้ําในการเกษตรมานําเสนอตออบต. เพื่อใหอบต.ประสานงานไปยังโครงการชลประทานศรีสะเกษเพื่อใหสูบน้ําจากแมน้ํามูลมายังคลองชลประทาน PL8 สวนอบต.สนับสนุนงบประมาณในการจายคาไฟฟาใหกับกรมชลประทาน ขณะเดียวกันชาวบานบางกลุมที่ไมไดรับ น้ําดังกลาวก็ใชวิธีชวยเหลือตนเองเบื้องตน โดยการสูบน้าํ จากสระน้ําที่ขุดหรือ เจาะบาดาลในพื้นที่นาของตนขึ้นมา ใช แตชาวบานกลุมนี้ก็ยังเห็นวาวิธีการสูบน้ําดังกลาวนี้ใชตนทุนการเพาะปลูกที่สูงมาก ทั้งคาไฟและคาน้ํามัน โดยรวมแลวประชาชนในพื้นที่ที่มีคลองสงน้าํ มีความคาดหวังสูงมากมาโดยตลอดที่จะไดใชน้ําจากฝายหัวนาเพื่อ การเกษตรตลอดทั้งป ในดานความเปนอยูพื้นฐานของประชากรในพื้นที่ พบวาอยูในขั้นที่ดีถึงดีมากเนื่องจาก ชาวบานไดรับการพัฒนาโครงสรางพื้นฐาน เชน ไฟฟา ถนน สวม และอื่นๆ รวมทั้งชาวมีกจิ กรรมการผลิตใน ครัวเรือนตลอดป มีพืชเศรษฐกิจที่สําคัญคือขาวทั้งนาปและนาปรัง นาทาม ปลูกหอม กระเทียม พริก การเลี้ยงวัว ควาย การเก็บหาของปา พืชพรรณและสัตวน้ําจากที่ราบลุมราษีไศลที่มีระบบนิเวศแบบบุงทาม ซึ่งเปนพืชเศรษฐกิจ หลักของทองถิน่ และมีพืชชนิดอื่นๆในบางพื้นที่ เชน ยางพารา หนอไมฝรั่ง ถั่วลิสง ความหลากหลายในการผลิต ตลอดปดังกลาวสามารถสรางรายไดของครัวเรือนอยางเปนกอบเปนกํา (กนกวรรณ มะโนรมย และคณะ 2552) 2. กระบวนการประเมินผลกระทบสิ่งแวดลอมทางสังคม 2.1 กอนการประเมิน การประเมินผลกระทบสิ่งแวดลอมทางสังคมสรางขึ้นเพื่อประเมินผลกระทบสําหรับโครงการพัฒนาตางๆที่ คาดวาจะเกิดขึ้นกับครอบครัว กลุมคน ชุมชน และ ทองถิ่น ที่คาดวาจะเกิดขึ้นจากการกอสรางโครงการวาจะ กอใหเกิ ดการเปลี่ยนแปลงตอ ชุมชนท องถิ่นมากนอยเพียงใดและระดับใดในเรื่อ ง วิถีก ารดํารงชีวิตทางสัง คม เศรษฐกิจ ระบบวัฒนธรรม ความเชื่อ ความสัมพันธทางสังคม สิทธิภูมิปญญา สิทธิของชุมชนในการเขาถึง พึ่งพา ใชและจัดการทรัพยากรและระบบนิเวศนั้นๆ ซึ่งการประเมินดังกลาวนี้จะตองดําเนินการควบคูไปกับการประเมินผล กระทบสิ่งแวดลอมโดยการเนนใหประชาชนที่คาดจะไดรับผลกระทบทั้งทางลบและทางบวกจากโครงการไดรับการ สง เสริม และสนั บ สนุน จากหน ว ยงานเจา ของโครงการให เข าร ว มในกระบวนการประเมิ น ผลกระทบทางสั ง คม นับตั้งแตการพัฒนาขอบเขตของการศึกษา (Term of Reference, ToR) การกําหนดวิธีการศึกษา การวิเคราะห ขอมูล การนําเสนอความกาวหนาของการศึกษาตอคณะกรรมการที่เกี่ยวของและกลุมผูมีสวนไดสวนเสีย และการ ตรวจสอบความถูกตองแมนยําของรายงาน ทั้งนี้การไดเขารวมการประเมินผลกระทบผานกระบวนการตางๆ ดังกลาวจะทําใหประชาชนสามารถรวมคาดคะเนผลกระทบได พรอมกับมีสวนรวมในการนําเสนอมาตรการในการ ลดผลกระทบทางสังคม การติดตามตรวจสอบมาตรการการดําเนินงานเพื่อลดผลกระทบ การรวมเสนอทางเลือก ของโครงการและหรือการปรับเปลี่ยนโครงการใหสอดคลองกับระบบนิเวศ สภาพสังคมและเศรษฐกิจของทองถิ่น เพื่อลดผลกระทบทางลบแกชุมชนใหมากที่สุดและเพื่อใหชุมชนเขาใจผลกระทบที่คาดวาจะเกิดขึ้นโดยเปรียบเทียบ กับความคุมคาและประโยชนที่คาดวาจะไดจากโครงการ ดังนั้นกอนการประเมินผลกระทบจะตองคํานึงถึงประเด็น ดังตอไปนี้ 206
การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางสังคมเพื่อการจัดการทรัพยากรน้ําอย่างมีประสิทธิภาพ กรณีศึกษาฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ/ ผศ.ดร.กนกวรรณ มะโนรมย์
2.1.1 บริบทของพื้นที่ บริ บ ทของพื้ น ที่ ทั้ ง ทางสิ่ ง แวดล อ ม ภู มิ นิ เ วศท อ งถิ่ น เศรษฐกิ จ วั ฒ นธรรมและสั ง คมของชุ ม ชนมี ความสําคัญอยางยิ่งที่ผูประเมินผลกระทบจะตองทําการศึกษาเพื่อใหไดขอมูลอยางลึกซึ้งละเอียดรอบดานเพราะ บริบทเหลานี้จะเปนขอมูลสําคัญในการทําความเขาใจวิถีการดํารงชีวิตของชุมชนในอดีตและปจจุบันรวมทั้งเปน ฐานขอมูลสําคัญในการทํานายและคาดการณผลกระทบที่คาดวาจะเกิดขึ้นในชุมชนโดยเฉพาะการสูญเสียทรัพยากร ทองถิ่นที่จะสงผลกระทบโดยตรงและออมตอชุมชนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และเปนขอมูลสําหรับการกําหนด แนวทางและมาตรการลดผลกระทบตลอดจนแนวทางการติดตามมาตรการการลดผลกระทบ 2.1.2 ผูมีสวนไดสวนเสีย (Stakeholders) ผูมีสวนไดสวนเสียเปนองคประกอบสําคัญมากของการประเมินผลกระทบทางสังคมเพราะโครงการจัดการ น้ําขนาดใหญยอมมีผลกระทบในวงกวางกับระบบนิเวศทางกายภาพ ชีวภาพ และ สังคมของทองถิ่น การมีกลุมผูที่ เกี่ยวของที่หลากหลายกลุมและหลายระดับยอมชวยใหรายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดลอมทางสังคมมีความ รอบด า นมากและละเอี ย ดรอบคอบมากยิ่ ง ขึ้ น สํ า หรั บ กรณี ศึ ก ษาของจากโครงการฝายหัว นาพบวา กลุ ม คนที่ เกี่ยวของสามารถแบงได 3 ระดับดังนี้ ระดับชุมชน ไดแก 1) กลุมผูที่คาดวาจะเสียประโยชนไดในที่นี้คือชาวบานฝายสมัชชาคนจน 2) กลุมที่ คาดวาจะไดประโยชน หมายถึงชาวบานที่ตองการฝายหัวนาที่อาศัยในพื้นที่ที่มีคลองสงน้ํา 3) องคกรปกครองสวน ท อ งถิ่ น ที่ ไ ด ส นั บ สนุ น ชาวบ า นในการสู บ น้ํ า ช ว งฤดู แ ล ง โดยขอความร ว มมื อ จากโครงการชลประทานจั ง หวั ด ศรีสะเกษ และมีบทบาทในการจัดสรรงบประมาณเพื่อการพัฒนาทองถิ่น ซึ่งทุกกลุมนี้จะตองมีผูแทนเขามารวมกับ การประเมินผลกระทบในฐานะนักวิจัยชาวบาน ระดับจังหวัด ไดแก สวนราชการตางๆ ที่ปฏิบัติราชการในระดับจังหวัดซึ่งเปนกลุมที่คาดวาจะมีสวนรวม มากในการปฏิบัติตามมาตรการลดผลกระทบตางๆที่เสนอโดยทีมที่ปรึกษาซึ่งเห็นชอบและประสานงานเพื่อขอ ความรวมมือโดยเจาของโครงการ หนวยงานดังกลาว เชน สํานักงานเกษตรจังหวัด สํานักงานปศุสัตวจังหวัด สํานักงานพัฒนาชุมชนจังหวัด เปนตน ระดับชาติ เปนหนวยงานที่สําคัญมากเพราะกลุมคนเหลานี้สามารถชี้อนาคตของผลการศึกษาในเชิง วิ ช าการและเชิ ง การตั ด สิ น ใจทางนโยบายต อ โครงการ ดั ง นั้ น กลุ ม นี้ ป ระกอบด ว ย ที ม ที่ ป รึ ก ษา ฝ า ยติ ด ตาม การศึกษาผลกระทบ ฝายปรึกษาดานวิชาการ และ ฝายตรวจสอบและกลั่นกรองรายงาน (สผ. คณะกรรมการ ผูชํานาญการ สํานักงานคณะกรรมการสิ่งแวดลอมแหงชาติ) และ ครม.ที่ตองตัดสินใจเชิงนโยบาย การที่โครงการ ฝายหัวนามีคณะกรรมการระดับชาติคอยติดตามกํากับมากกวาโครงการอื่นๆ ที่ผานมา 2.1.3 ทีมที่ปรึกษา ทีมที่จะทําการประเมินผลกระทบสิ่งแวดลอมและทางสังคมควรจะเปนผูที่มีประสบการณในพื้นที่ที่คาดวา จะมีโครงการเพราะประเด็นความขัดแยงระหวางกลุมตางๆมีอยูในพื้นที่ หากทีมศึกษาไมมีความคุนเคยกับกลุม ตางๆมากอนยอมยากในการเขาถึงขอมูลหรืออาจถูกกีดกันไมใหเขาไปศึกษาไดงายและยิ่งหากมีเวลาจํากัดยิ่งเปน การยากมากที่จะดําเนินงานใหแลวเสร็จไดทันในเวลาที่กําหนด หากกรณีไมมีนักวิชาการทองถิ่นที่มีผลงานโดยตรง 207
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการมีส่วนร่วมของประชาชน
ดานการประเมินผลกระทบ ทีมภายนอกจะตองหาวิธีการทํางานรวมกับนักวิชาการหรือภาคสวนตางๆในพื้นที่ให มากที่สุดเพื่อเขาไปดําเนินการ ทั้งนี้จากประสบการณการประเมินผลกระทบสิ่งแวดลอมทางสังคมกรณีฝายหัวนา พบวาทีมที่ปรึกษาที่มาจากทีมสถาบันวิชาการทองถิ่นและรวมทํางานกับนักวิจัยชาวบานที่มาจากทุกกลุมยอมเปน วิธีการที่ดีและเหมาะสมมากที่สุดเนื่องจากขอมูลความจริงเกี่ยวกับโครงการกอสรางขนาดใหญมีความสลับซับซอน และเกี่ยวของกับขอมูลหลายระดับและครอบคลุมประเด็นทั้งระดับที่ลึกและกวางดังนั้นจึงไมสมควรที่จะมีขอสรุป ของผลการศึกษาเพียงเปนขอสรุปจากนักวิชาการฝายเดียว มีความสมควรอยางยิ่งที่จะมีขอสรุป ขอมูล ขอเท็จจริง เกี่ยวกับผลกระทบของโครงการจากหลากหลายมุมมองของนักวิจัยชาวบาน ดังที่ผูใหขอมูลทานหนึ่งกลาววา “เรื่องเดียวนาจะมีมุมมองจากหลายๆ ฝาย” เพื่อตรวจสอบและแลกเปลี่ยนขอมูลระหวางกลุมผูศึกษา 2.1.4 นักวิจัยชาวบาน ในการดําเนินการประเมินผลกระทบดานสังคม นอกจากทีมที่ปรึกษาจะเปนนักวิชาการจากมหาวิทยาลัย ในทองถิ่นแลว นักวิจัยชาวบานยังเปนกลุมคนที่เขามารวมทําการประเมินในครั้งนี้ การมีนักวิจัยที่เปนชาวบานนั้น สามารถชวยทําใหไดขอมูลจากมุมมองของคนใน (emic view) ซึ่งชวยสะทอนความคาดหวังและความวิตกกังวล ของชาวบานจากทุกกลุมในระดับพื้นที่ไดดีกวาบุคคลภายนอกอยางชัดเจนโดยมีขั้นตอนการคัดเลือกนักวิจั ย ชาวบานดังนี้ (1) เลือกพื้นที่ที่เกี่ยวของที่คาดวาจะไดรับผลกระทบหรือไดรับประโยชน โดยทีมประเมินผลการลงพื้นที่ สํารวจ และทําความรูจักชาวบานในพื้นที่โดยทําการสนทนา ซักถามแนะนําตัวกับชาวบาน (ใชเวลาใน พื้นที่ละ 2 ครั้ง ในการทําความคุนเคย) (2) ซักถามเกริ่นนําลักษณะโครงการและชวนเขารวมทํางานเปนนักวิจัยชาวบาน (3) อธิบายลักษณะและคุณสมบัติของนักวิจัยชาวบาน และทําความเขาใจรวมกันในภารกิจงานในพื้นที่และ ขอบเขตหนาที่ของนักวิจัยชาวบาน ตลอดจนแจกเอกสารที่เกี่ยวของเพื่อใหนักวิจัยชาวบานไดไปศึกษา เพิ่มเติม (4) ซัก ซ อ มทํ า ความเข า ใจแนวคํ า ถามและวิ ธี ก ารเก็ บ ข อ มู ล กั บ ผู ช วยนั ก วิ จั ย ชาวบ าน และให นั ก วิ จั ย ชาวบานเพิ่มเติมประเด็นที่นาสนใจ หากเห็นวาแนวคําถามยังไมครอบคลุมทุกประเด็น (5) ใหนักวิจยั ชาวบานปรึกษาชาวบานที่เปนผูรู (กรณีมีการเพิ่มประเด็นคําถาม) (6) ทําความเขาใจกับนักวิจัยชาวบานเกี่ยวกับการเลือกกลุมผูใหขอมูลโดยควรตองมีคุณสมบัติที่สําคัญไดแก มี มนุษยสัมพันธดี และมีความสามารถในการประสานงานในพื้นที่ได มีทักษะในการเก็บขอมูล การบันทึกขอมูล ตลอดจนทักษะในการสื่อสาร คือสามารถตั้งคําถาม และสามารถเปนผูนําในการประชุมได เปนผูที่ชาวบานให ความไววางใจที่จะใหขอมูล มีความรูในประเด็นที่เกี่ยวของเปนอยางดี และสามารถสละเวลาในการทํางานประจํา ได โดยมีบทบาทสําคัญคือ 1) ประสานงานกับผูใหขอมูลสําคัญเพื่อการประเมินสภาวะชนบทแบบมีสวน
รวม 2) รวมสัมภาษณและวิเคราะหขอมูลกับที่ปรึกษา 3) รวมชี้แจงทําความเขาใจการประเมินผล กระทบแบบมีสวนรวมแกชาวบานในพื้นที่ และ 4) ตรวจสอบขอมูลเกี่ยวกับประเด็นตางๆ 2.1.5 ขอบเขตการศึกษา (ToR) ทีมที่ปรึกษาจะตองดําเนินการจัดทําขอบเขตการศึกษาผลกระทบฯ โดยกระบวนการมีสวนรวมของทุกกลุม ในพื้นที่เพราะขอบเขตการศึกษาเปนเครื่องมือและกรอบคิดสําคัญในการเก็บรวบรวมขอมูลใหครอบคลุมประเด็น 208
การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางสังคมเพื่อการจัดการทรัพยากรน้ําอย่างมีประสิทธิภาพ กรณีศึกษาฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ/ ผศ.ดร.กนกวรรณ มะโนรมย์
ตางๆที่เกี่ยวของใหมากที่สุด เชน วิถีการทํามาหากิน ระบบนิเวศทองถิ่น และความกังวลตางๆของชุมชนเกี่ยวกับ โครงการ เปนตน ทั้งนี้ทีมที่ปรึกษาควรนําขอบเขตการศึกษาที่มาจาก สผ. มาประกอบดวย กระบวนการจัดทํา ขอบเขตการศึกษาตองใชเทคนิคการวิจัยแบบมีสวนรวม และ การจัดการประชุมตางๆ ไดแก การสนทนากลุมยอย การประชุมกลุมใหญ การประชุมกลุมเล็ก และการทําประชาคมหมูบานควบคูกัน 2.1.6 การชี้แจงการประเมินผลกระทบ ทีมที่ปรึกษาตองจัดเวทีเพื่อทําการชี้แจงโครงการศึกษาเพื่อประเมินผลกระทบกับผูมีสวนไดสวนเสียกอน การเริ่มการทํางาน ที่ประกอบดวยเจาของโครงการ ภาคสวนราชการที่เกี่ยวของ องคกรปกครองสวนทองถิ่น และ ชาวบ า นทุ ก กลุ ม โดยการนํ า เสนอความเป น มาของโครงการ ที ม ที่ ป รึ ก ษา ขอบเขตการศึ ก ษาในทุ ก ๆด า น กระบวนการขั้นตอนการประเมินผลกระทบโดยการมีสวนรวมของภาคประชาชน ระยะเวลาที่ใชการศึกษา การ นําเสนอผลการศึกษา เปนตน 2.2 ระหวางการประเมินผลกระทบ 2.2.1 วิธีการศึกษาขอมูล วิธีการประเมินวิถีชีวิตชุมชนและการจัดทํามาตรการลดผลกระทบกรณีฝายหัวนานั้น ไดดําเนินการภายใต แนวคิดการวิจัยวิจัยเชิงคุณภาพ การวิจัยเชิงปริมาณ การประเมินสภาวะชนบทแบบตางๆไดแก การประเมิน สภาวะชนบทแบบเรงดวน (Rapid Rural Appraisal, RRA) และการประเมินสภาวะชนบทแบบมีสวนรวม (Participatory Rural Appraisal, PRA) และการประชุมหารือ ทั้งนี้เพื่อใหไดขอมูลเชิงลึกและกวางที่ครอบคลุมที่สุด ซึ่งจะกลาวถึงในขั้นตอนระหวางการประเมิน ดังรายละเอียดตอไปนี้ 1. การประเมินสภาวะชนบทแบบเรงดวน (Rapid Rural Appraisal, RRA) เปนการสัมภาษณ และสังเกตการณของคณะทํางานฝายตางๆ เพื่อทําความเขาใจและรับทราบความ คิดเห็นและขอวิตกกังวลของทั้งผูที่คาดวาจะไดรับประโยชนกับเสียประโยชนโดยรวมกันสัมภาษณเจาะลึกจากผูให ขอมูลสําคัญ (key informants) จากคําถามแบบกึ่งโครงสราง และการสังเกตการณในชุมชนเพื่อเขาใจวิถีการดํารง ชีพและการใชทรัพยากร จากนั้นนําขอมูลมาวิเคราะหสถานการณและปญหาของชุมชน หลังจากการประเมินสภาวะ ชนบทแบบเรงดวนแลว จึงดําเนินการขั้นการประเมินสภาวะชนบทแบบมีสวนรวม (Participatory Rural Appraisal, PRA) โดยในชวงแรก เปนการดําเนินการประเมินวิถีชีวิตของชุมชน ซึ่งไดคัดเลือกนักวิจัยชาวบาน เพื่อทําหนาที่ ประสานงานกับชุมชน และประสานงานการเก็บขอมูลกับกลุมตัวอยางประชาชนที่เปนผูใหขอมูลสําคัญ และได ดําเนินการสนทนากลุมยอย จํานวน 46 ครั้ง ซึ่งไดดําเนินการเก็บขอมูลในประเด็นหลักที่ประชาชนมีความกังวล เรื่องผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับชุมชนของตน ทั้งผลกระทบตอผูที่คาดวาจะไดรับประโยชน และผูที่คาดวาจะไดรับ ผลกระทบ สามารถสรุปผลการดําเนินงานดังตอไปนี้ การประเมินสภาวะชนบทแบบเรงดวนเนินการ โดยมีผูให ขอมูลหลักมาจากตัวแทนทั้งฝายผูที่คาดวาจะไดรับประโยชน คือ และผูใหขอมูลหลักจากลุมผูที่คาดวาจะเสีย ผลประโยชน เพื่อทราบขอกังวลและปญหาที่คาดวาจะเกิดขึ้นหากใชฝายหัวนา
209
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการมีส่วนร่วมของประชาชน
2. การประเมินสภาวะชนบทอยางมีสวนรวม (Participatory Rural Appraisal, PRA) หลั ง จากที่ ที ม ที่ ป รึ ก ษาได ข อ มู ล ภาพรวมด า นวิ ถี ชี วิ ต ระบบการทํ า มาหากิ น การใช ท รั พ ยากร การ เปลี่ยนแปลงของชุมชน และ ขอกังวลจากทั้งสองกลุมที่มาจากการใชเทคนิคการประเมินสภาวะชนบทแบบเรงดวน แลว ทีมที่ปรึกษาใชเทคนิคการประเมินสภาวะชนบทอยางมีสวนรวมโดยจะเขาไปทําหนาที่เปนเพียงผูอํานวยความ สะดวกในกระบวนการเรียนรูของนักวิจัยชาวบาน โดยที่นักวิจัยชาวบานหมายถึงชาวบานที่ไดรับการคัดเลือกจาก คณะผูประเมินรวมกับชาวบานใหมารวมเปนนักวิจัยรวมกับคณะ ที่ปรึกษาสําหรับเทคนิคในการประเมินสภาวะ ชนบทแบบมีสวนรวมนี้ จะใชกระบวนการสัมภาษณเจาะลึกจากผูใหขอมูลสําคัญรายบุคคล การสนทนากลุมยอย และการปรึกษาหารืออยางเปนทางการโดยนักวิจัยชาวบานรวมกับทีมที่ปรึกษาดําเนินการรวมกัน เชน ไดแบง ประเด็นรับผิดชอบในการสอบถามขอมูลใน 8 ประเด็นและแตละประเด็นจะมีนักวิจัยชาวบานรวมทีม 2 ฝายดังนี้ กลุมที่หนึ่ง : การพูดคุยสอบถามกับกลุมผูคาดวาจะไดรับประโยชน (1) ประเด็นเรื่องการใชน้ําในการเกษตร (2) ประเด็นเรื่องการปลูกหอม กลุมที่สอง : การพูดคุยสอบถามกลุมผูคาดวาจะเสียประโยชน (3) ประเด็นเรื่องน้ําทวม (4) ประเด็นเรื่องการทํานาทามและการทําการเกษตรในบุงทาม (5) ประเด็นเรื่องการเก็บหาของปาและการเลี้ยงสัตวในทาม (6) ประเด็นเรื่องการทําประมง (7) ประเด็นปนหมอ (8) ประเด็นดินเค็ม การศึกษาวิจัยเชิงปริมาณเพื่อประเมินสภาพเศรษฐกิจของชุมชน การใชแบบสอบถามเพื่อสํารวจขอมูลเชิง ปริมาณถูกนํามาใชในการประเมินภาพกวางเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมของทุกกลุมรวมจํานวน 963 ครัวเรือน และตอไดใชแบบสํารวจกับกลุมประชาชนที่คาดวาจะเสียประโยชนใหครอบคลุมทุกครัวเรือนซึ่งมี จํานวนทั้งสิ้น 728 ครัวเรือน เทคนิคสําคัญอื่นๆที่ใชเพื่อหาแนวทางการลดผลกระทบและติดตามตรวจสอบ การหามาตรการเพื่อลด ผลกระทบนั้นการหามาตรการเพื่อลดผลกระทบนั้นทีมที่ปรึกษาไดใชวิธีการที่หลากหลาย โดยที่วิธีการตางๆ ดังกลาวไดระบุในคูมือ “แนวทางการมีสวนรวมของประชาชนในการประเมินผลกระทบสิ่งแวดลอมทางสังคมใน กระบวนการวิเคราะหผลกระทบสิ่งแวดลอมทางสังคม” (2548) ของ สผ. เชน การชี้แจงโครงการ การทําเอกสาร เผยแพรการพบปะอยางไมเปนทางการ การแถลงขาว การประชุมปฏิบัติการ การพบปะแบบไมเปนทางการ การ สนทนากลุมยอย การจัดทําเอกสารเผยแพร การปรึกษาหารืออยางเปนทางการการประชาสัมพันธแนวเขต และ น้ําทวมใหแกผูรับผลกระทบ เปนตน
210
การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางสังคมเพื่อการจัดการทรัพยากรน้ําอย่างมีประสิทธิภาพ กรณีศึกษาฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ/ ผศ.ดร.กนกวรรณ มะโนรมย์
2.2.2 การวิเคราะหขอมูล การวิเคราะหขอมูลดานสังคมเพื่อการประเมินผลกระทบสิ่งแวดลอมทางสังคมจําเปนตองอาศัยขอมูลจาก ทีมที่ปรึกศึกษาที่ทําอีไอเอ เชน ขอมูลระดับน้ําทวม เพราะหากไมมีขอมูลนําเขาดานกายภาพหรืออุทกวิทยาก็ยาก ที่นกั สังคมศาสตรจะสามารถคาดการณหรือทํานายผลกระทบที่คาดวาจะเกิดขึ้นไดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ของชาวบ านอั น เนื่อ งจากการเปลี่ ย นแปลงของระบบนิ เวศที่ ชุม ชนอาศั ย เช น การเปลี่ ย นแปลงการเขา ไปใช ประโยชนจากปาบุงปาทามในดานตางๆ ตัวอยางการวิเคราะหความเชื่อมโยงระหวางระดับการทดน้ําของฝายหัวนา และการเปลี่ยนแปลงของการใชและการเขาถึงพื้นที่ปาบุงปาทาม ขอมูลดานการประเมินอัตราการไหล การทดน้ํา และการคาดการณน้ําทวมที่ไดจากการประเมินผลกระทบสิ่งแวดลอมของวิศวกรที่ปรากฏในตารางไดถูกสงตอให ฝายประเมินผลกระทบทางสังคมและเศรษฐศาสตรเพื่อนําไปใชเปนฐานในการประเมินผลกระทบทางสังคมที่คาดวา จะเกิดขึ้นหากมีน้ําทวมพื้นที่ตางๆของชุมชน ไดแก ปาบุงปาทามที่ชาวบานประกอบกิจกรรมการผลิตและกิจกรรม ทางวัฒนธรรม เชน แหลงทํานา ทําเลสาธารณะเลี้ยงสัตว แหลงหาของปาและสัตวน้ํา พื้นที่ทําพิธีกรรม และแหลง ดินปนหมอ เปนตน ซึ่งฝายประเมินผลกระทบทางสังคมไดนําขอมูลสวนนี้ไปวิเคราะหรวมกับขอมูลที่ไดจากการ ประเมินวิถีการดํารงชีพในสภาพปจจุบันของชุมชน 2.2.3 การเขียนรายงาน สวนประกอบสําคัญที่สุดสวนหนึ่งของกระบวนการประเมินผลกระทบสิ่งแวดลอมทางสังคมคือการนําเสนอ รายงานการประเมินผลกระทบฯ ที่นี้หมายถึงการเขียนรายงานการศึกษาผลกระทบฯ เพื่อสงใหแกคณะอนุกรรมการ สองชุดไดแก 1) คณะอนุกรรมการการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดลอมและผลกระทบทางสังคมจากการกอสรางฝาย หัวนา 2) คณะกรรมการกํากับดูแลงานที่ปรึกษาดานวิชาการ กอนที่จะสงตอให สผ. เพื่อสงไปยังคณะกรรมการ ผูชํานาญการตามขั้นตอนที่กําหนดโดย สผ. ตอไป โดยรวมแลวการเขียนรายงานการประเมินผลกระทบทางสังคมควรเขียนรายงานดวยภาษาวิชาการที่เขาใจ ง า ยสื่ อ ตรงไปตรงมา เพื่ อ สามารถสื่ อ กั บ กลุ ม คนมากมายหลายกลุ ม หลายระดั บ โดยเฉพาะกั บ กลุ ม ผู ที่ ไ ด รั บ ผลกระทบโดยตรงในทองถิ่น กลุมบุคคลทั่วไปที่สนใจประเด็นสิ่งแวดลอม และ รัฐบาล ดังที่ผูเขารวมในกระบวนการ ใหขอมูลกลาววา “ใชภาษาทองถิ่นหรือภาษาวิชาการงายๆที่ชาวบานสามารถอานและเขาถึงการใชประโยชนจาก โครงการไดงาย” สวนการเขียนประเด็นเกี่ยวระดับการประเมินผลกระทบที่คาดวาจะเกิดขึ้นควรเขียนใหชี้ชัดลงไป วามีผลกระทบที่สําคัญแตละเรื่องคืออะไรและผลกระทบอยูในระดับใดบางเพื่อใหผูตัดสินใจสามารถเห็นภาพวา ทิศทางผลกระทบของโครงการที่คาดวาจะมีตอชุมชนเปนอยางไรและจะตัดสินใจเกี่ยวกับโครงการอยางไร ที่ชี้ ผลกระทบตอวิถีการทําเกษตร การเขาถึงการใชประโยชนจากปาบุงปาทามในชวงที่ระยะเวลาที่น้ําทวมปาบุงปาทาม เพิ่มขึ้นจะสงผลกระทบตอการเก็บหาของปา ปลูกพืชฤดูแลง การปนหมอและอื่นๆในระดับ - 5 ในขณะที่ประโยชน จากการมีน้ําเพิ่มขึ้นจากการทดระดับน้ําที่ + 112 ม.รทก. จะทําใหชาวบานไดประโยชนในการทําการเพาะปลูกชวง ฤดูแลงซึ่งมีระดับผลกระทบ + 5 เปนตน 2.2.4 การเสนอรายงานการประเมินฯตอคณะอนุกรรมการฯและผูมีสวนไดสวนเสีย ระหวางการดําเนินการประเมินผลกระทบฯ ทีมที่ปรึกษาจะตองนําเสนอความกาวหนาตอคณะกรรมการ สองชุดดังที่กลาวไปแลวในหัวขอที่ผานมา กรณีการประเมินผลกระทบของฝายหัวนา ทีมที่ปรึกษาไดรายงานตอ คณะกรรมการจํานวน 5 ครั้ง ไดแก 1) รายงานการเริ่มงาน 2) รายงานความกาวหนาครั้งที่ 3) รายงานฉบับ 211
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการมีส่วนร่วมของประชาชน
กลาง 4) รายงานความกาวหนาครั้งที่ 2 และ5) รายงานรางฉบับสุดทาย โดยทีมที่ปรึกษาตองสงรายงานแตละ ฉบั บ ให ค ณะอนุ ก รรมการได อ า นก อ นอย า งน อ ย 15 วั น ก อ นการประชุ ม ซึ่ ง ในวั น ประชุ ม เพื่ อ เสนองาน คณะอนุ ก รรมการฯ ได ใ ห ที ม ที่ ป รึ ก ษานํา เสนอการปรั บ แก ห รื อ เพิ่ ม เติ ม ข อ มู ล ตามที่ ค ณะอนุ ก รรมการได ใ ห ความเห็นหรือแนะนํามากอนหนานั้นจากนั้นที่ปรึกษาไดนําเสนอความกาวหนาของการดําเนินการที่ผานมา โดยทั่วไปคณะอนุกรรมการจะทําหนาที่รับฟงขอมูล ตั้งคําถามและ ตั้งขอสังเกตเกี่ยวกับวิธีการศึกษา ขอมูลที่ไดมา ความถูกตอง แมนยําของขอมูล การมีสวนรวมของประชาชน ขอเสนอแนะแนวการวิเคราะห และ การเขียนรายงาน สวนการนําเสนอความกาวหนาของรายงานการประเมินผลกระทบฯ กับผูมีสวนไดสวนเสียในระดับพื้นที่ ควรตองดําเนินการตลอดระยะเวลาของการทําการประเมินผลกระทบเพื่อปรึกษาหารือดานขอมูล ใหกลุมตางๆที่มี ความเห็นที่แตกตางกันมีสวนในการใหขอมูลและเสนอมุมมองเพิ่มเติมเรื่องเนื้อหา แหลงขอมูล และขอคิดเห็นตอ ขอมูลที่นําเสนอโดยทีมที่ปรึกษาตางๆ สําหรับกรณีฝายหัวนาไดดําเนินการประชุมหารือจํานวน 5 ครั้งในการ ประชุมแตละครั้งจะมีทั้งกลุมผูที่คาดวาจะไดและเสียประโยชนและสวนราชการในพื้นที่มารวมประชุม เชน การ ประชุม วันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ณ ศาลากลางจังหวัดศรีสะเกษ เรื่อง การหาแนวทางและมาตรการการลด ผลกระทบจากฝายหัวนาและแนวทางการจัดการฝายหัวนา โดยโครงการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดลอมและดานสังคม โครงการฝายหัวนา ซึ่งผูมีสวนไดสวนเสนอเสนอใหดําเนินการใหมีการจัดตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการฝายหัวนา โดยมีองคประกอบที่สําคัญคือตองมีการกําหนดสัดสวนของคณะกรรมการที่เหมาะสมโดยมาจากทุกภาคสวนที่ เกี่ยวของไดแก ภาครัฐ คณะกรรมการลุมน้ํามูลตอนลาง องคกรพัฒนาเอกชน ภาควิชาการ และ ภาคชาวบานผูที่ ไดรับประโยชนและเสียประโยชน ทั้งนี้ในสวนของภาคชาวบานนั้นจะตองมีจํานวนสัดสวนมากพอ และทําหนาที่ บริหารจัดการฝายหัวนาที่ตองพิจารณาวาระดับการทดน้ําที่ ควรจะพิจารณารวมกับการบริหารจัดการลุมน้ํามูล อยางมีประสิทธิภาพโดยรวมโดยและใหพิจารณาใหมีความสัมพันธและสอดคลองกับการบริหารจัดการฝายและ เขื่อนตางๆ ที่อยูในลุมน้ําเดียวกัน เชน ฝายราษีไศลและเขื่อนปากมูล ทั้งนี้เนื่องจากทั้ง 3 โครงการ (รวมทั้งฝายหัว นา) ตั้งอยูในลุมน้ํามูลตอนลางทั้งหมด ซึ่งหากโครงการใดโครงการหนึ่งดําเนินการอยางใดอยางหนึ่งจะสงผล กระทบตอระบบลุมน้ําทั้งหมด เปนตน 3. การประเมินผลกระทบที่สงผลระยะยาวตอประสิทธิภาพการใชน้ํา โดยทั่ ว ไปแล ว ประสิ ท ธิ ภ าพการใช น้ํ า และการบริ ห ารจั ด การทรั พ ยากรน้ํ า ในประเทศไทยโดยเฉพาะ โครงการขนาดใหญตั้งแตอดีตมาจนถึงปจจุบันประสบปญหามาโดยตลอด การศึกษาของมิ่งสรรพ ขาวสะอาด และ คณะ (2544) พบวา นโยบายการจัดการน้ําของประเทศไทยขาดทั้งกติกาและเครื่องมือในการจัดสรรทรัพยากรน้ํา อยางมีประสิทธิภาพและขาดความเปนธรรมแกกลุมตางๆเพราะนโยบายของประเทศเนนการจัดหาน้ําสําหรับฤดู แลงเปนหลัก ผสมผสานกับการเพิ่มของประชากรและความเขมขนของกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งตนน้ํา กลางน้ํา และปลายน้ํา ทําใหโครงการจัดหาแหลงน้ําประสบปญหาการการตอตานจากประชาชนและการแกไขปญหาเรื่อง การชดเชยแกชุมชนที่ไดรับผลกระทบที่มักมีปญหาตามมารวมทั้งผลการะทบตอสภาพแวดลอมโดยเฉพาะดาน ระบบนิเวศของพื้นที่ ผูเขียนเห็นวาการมีเครื่องมือการจัดการทรัพยากรน้ําที่ดีจะสามารถลดความขัดแยงดานการจัดการน้ําทั้ง ระหวางชาวบานดวยกัน ระหวางชาวบานกับรัฐ และระหวางหนวยงานของรัฐดวยกัน และ เพื่อการใชและการ จัดการน้ําที่เหมาะสมตอภูมินิเวศ พื้นที่ทางสังคมวัฒนธรรม สิทธิการใชระบบนิเวศพื้นถิ่นที่มีอยูหลากหลายแบบ 212
การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางสังคมเพื่อการจัดการทรัพยากรน้ําอย่างมีประสิทธิภาพ กรณีศึกษาฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ/ ผศ.ดร.กนกวรรณ มะโนรมย์
ของชุ ม ชนในพื้ น ที่ โ ครงการ ดั ง นั้ น ผู เ ขี ย นจึ ง เสนอว า หนึ่ ง ในเครื่ อ งมื อ ดั ง กล า วได แ ก ก ารประเมิ น ผลกระทบ สิ่งแวดลอมทางสังคมโดยการมีสวนรวมของประชาชน จากกรณีศึกษาฝายหัวนาที่กลาวโดยละเอียดในหัวขอที่ 2 สามารถสรางประสิทธิภาพการจัดการทรัพยากรน้ําของโครงการฝายหัวนาในระยะยาวไดดวยเหตุผลตอไปนี้ 3.1 การบูรณาการความรูวิทยาศาสตรและความรูทองถิ่นในการจัดการน้ํา การจัดการทรัพยากรน้ําอยางมีประสิทธิภาพตองอาศัยฐานความรูแบบวิทยาศาสตรผสมผสานกับความรู ทองถิ่น จากการประเมินผลกระทบกรณีฝ ายหัวนาเกี่ยวกับขอ สรุปร วมในการทดระดับน้ํ าในฝาย พบว า การ ตัดสินใจเลือกระดับการทดระดับน้ําฝายหัวนาเพื่อการใชน้ําอยางมีประสิทธิภาพทั้งการมีน้ําใชในชวงฤดูแลง การ ระบายน้ําจากฝายในชวงฤดูฝนและการลดการสูญเสียจากน้ําทวมพื้นที่ปาบุงปาทามใหนอยที่สุดนั้น ขึ้นอยูกับการ เลือกระดับที่เหมาะสมของการทดน้ําของฝายหัวนาของชุมชนและและเจาของโครงการ ซึ่งแตเดิมนั้นบริษัทที่ ปรึกษาที่มีการศึกษาระดับการทดน้ําโดยไมมีการปรึกษาหารือกับชุมชนในป พ.ศ. 2544 ไดเสนอใหมีการทดระดับ น้ําที่ + 115 ม.รทก.และทางกรมชลประทานไดทําการปกปายบอกระดับน้ําทวมดังกลาวริมฝงแมน้ํามูลและในชุมชน ที่อยูติดกับแมน้ํามูลอยางชัดเจน (วันเพ็ญ วิโรจนกูฐและคณะ 2552) เปนผลใหกลุมสมัชชาคนจนไดยื่นขอ เรียกรองตอรัฐเพื่อใหมีการศึกษาผลกระทบใหมเพราะการทดระดับน้ําดังกลาวจะทําใหน้ําทวมบานเรือนและที่ทํา กินโดยเฉพาะปาบุงปาทามจํานวนมากทั้งนี้ชาวบานคาดการณน้ําทวมจากการใชความรูทองถิ่นที่ไดจากการสังเกต ระดับน้ําทวมตามธรรมชาติในป พ.ศ. 2521 และระหวาง ป พ.ศ. 2543 - 2545 ซึ่งเปนปที่น้ําทวมผิดปกติ โดยการ ทวมนั้นไดกินขอบเขตบริเวณกวางที่สรางความเสียหายตอทรัพยสินของชาวบาน (ฝายวิชาการสมัชชาคนจน อาง แลว) ดั งนั้นการประเมินผลกระทบสิ่ งแวดลอ มโดยทีมที่ป รึกษาดานสิ่งแวดล อมที่ไ ดทํางานควบคู กับที มการ ประเมินผลกระทบดานสังคมไดแลกเปลี่ยนขอมูลจากที่ไดจากภูมิปญญาชาวบานเรื่องประสบการณน้ําทวมชุมชน ตามสภาพธรรมชาติและปรึกษาหารือในการทดระดับน้ําที่ไดจากการจําลองดวยระบบคอมพิวเตอร เพื่อใหการทด ระดับน้ําสรางการสูญเสียตอชุมชนนอยที่สุด ทีมที่ปรึกษาจึงไดเสนอใหมีการทดน้ําที่ระดับ +112 ม.รทก. (แทนที่ ระดับ +115 ม.รทก. ตามที่บริษัทที่ ปรึกษาเคยเสนอในป พ.ศ. 2544) หลังจากที่คณะที่ปรึกษาไดทดลองศึกษารูปแบบการทดระดับน้ําที่ตางๆนับตั้งแต ระดับ +112 ม.รทก. +113 ม.รทก. + 114 ม.รทก. +115 ม.รทก. และ +116 ม.รทก. ซึ่งปรากฎวา “ระดับ +112 ม.รทก.เปนระดับที่เหมาะสมทางดานชลศาสตรและอุทกวิทยาเพราะคาดวาจะมีน้ําที่เพียงพอสําหรับการจายน้ําใน พื้นที่ชลประทานของโครงการสําหรับการปลูกขาวนาปเปนเต็มพื้นที่ PL3 และ PL8 รวม 77,300 ไร และสําหรับป แลงที่มีคาดการณยอนกลับ 100 ป (มีโอกาสขาดน้ํา 1%) และเมื่อพิจารณาจากปริมาณน้ําทาในคาบการยอนกลับ เดียวกัน ก็ยังสามารถขยายพื้นที่จายน้ําไดอีกถึง 100,000 ไร ประโยชนที่สําคัญอีกประการจากการทดน้ําเพื่อรักษา ระดับ ไวที่ ระดั บ +112 ม.รทก. นั่น ก็คือ การควบคุมใหลําน้ํ ามูล ชวงทายฝายหัวนามีอัตราการไหลที่ สม่ําเสมอ (flow regulation) เพื่อปองกันปญหาน้ําแหงในลําน้ํา ปองกันการเสียสภาพระบบนิเวศตามธรรมชาติ อันเปน สถานการณที่เกิดขึ้นจริงอยูในบางชวงในขณะนี้ นอกจากนี้ การทดน้ํารักษาระดับไวที่ +112 ม.รทก.นี้ เปนระดับน้ํา ที่มีความเสี่ยงนอยที่จะประสบปญหาในการเดินเครื่องสูบน้ําและประสบปญหาขาดน้ําในหนาแลง อันเนื่องมากจาก การที่ระดับน้ํามีโอกาสลดต่ําลงกวาคาระดับที่ไดออกแบบไวสําหรับการเดินเครื่องสูบน้ําทั้งของสถานีสูบน้ํา PL3 และสถานีสูบน้ํา PL8 (+110 ม.รทก.สําหรับ PL3 และ +109 ม.รทก. สําหรับ PL8) ซึ่งการทดระดับน้ําที่+112 ม.รทก. ดังกลาว คาดวาจะทําใหมีน้ําทวมพื้นที่บุงทามที่เพิ่มขึ้นจากเดิม 2 - 3 เดือนในชวงประมาณกลางเดือน พฤศจิกายนตอเนื่องถึงประมาณกลางเดือนมกราคม” (วันเพ็ญ วิโรจนกูฎ และคณะ 2552) 213
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการมีส่วนร่วมของประชาชน
การบูรณาการขอมูลจากการประเมินผลกระทบดานสิ่งแวดลอมเขากับการขอมูลที่ไดจากการประเมินผล กระทบทางสังคมเรื่องระดับการทดน้ําที่เหมาะสมพบวาโดยสภาพทางชลศาสตรตามธรรมชาติแลว ที่อัตราการไหล มากกวา 498 ลบ.ม./วินาที ในชวงผานฝายหัวนาของลําน้ํามูล ก็จะทําใหระดับน้ําที่บริเวณฝายมีระดับสูงกวา +112 ม.รทก. อยูแลว ซึ่งในแตละปโดยเฉลี่ยแลวจะมีระยะเวลาตอเนื่องกันประมาณ 60 วันที่น้ําในลําน้ําชวงนี้มีอัตราการ ไหลสูงกวาคาอัตราการไหลดังกลาว (กลางเดือนกันยายนถึงกลางเดือนพฤศจิกายนในแตละป) และอัตราการไหล สูงสุดเฉลี่ยรายวันมีคาประมาณ 1,800 ลบ.ม./วินาที ซึ่งที่อัตราการไหลสูงสุดเฉลี่ยรายวันนี้ จะเกิดน้ําทวมเออลน ออกนอกตลิ่งเปนแหงๆ ตลอดชวงระยะตั้งแตฝายราษีไศลไปจนถึงฝายหัวนา และน้ําจะทวมมากที่สุดที่บริเวณพื้นที่ ในเขตอําเภอราษีไศล โดยบางสวนที่เปนที่ลุมมีระดับภูมิประเทศต่ํากวาระดับตลิ่ง ก็อาจยังคงมีน้ําเออขังอยู ดังนั้น จะมีพื้นที่บางสวน มีน้ําเออขังนานกวา 3 เดือน ในขณะที่ขอบเขตน้ําทวมอันเกิดจากการทดระดับน้ําไวที่ +112 ม. รทก.นั้นถึงแมจะมีบริเวณพื้นที่นอยกวาน้ําทวมเนื่องจากน้ําหลากตามธรรมชาติ แตการทดน้ํารักษาระดับไวสําหรับ หนาแลงนี้จะเปนผลใหระยะเวลาที่ไดรับผลกระทบนั้นเพิ่มมากขึ้น กลาวคือสภาพน้ําทวมในพื้นที่อันเนื่องมาจาก การทดน้ํานั้นจะเปนผลใหมีระยะเวลาน้ําทวมขังเพิ่มมากขึ้นกวาเดิมดังที่กลาวมาแลว ดังนั้น ในหมูบานโกและ หมูบานโพนทรายที่มีการปนหมอคาดวาแหลงดินปนหมอจะไดรับผลกระทบจากระยะเวลาน้ําทวมขังเพิ่มมากขึ้น ประมาณปละ 2 ถึง 3 เดือนซึ่งดินบางแหงคาดวาจะทวมทั้งปและบางแหงจะถูกทวมบางเดือนและมีระยะเวลาที่ ทวมนานขึ้น ดังนั้นการที่น้ําทวมแหลงดินปนหมอจะทําใหมีการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศซึ่ง ยอมจะสงผลกระทบ โดยตรงตอผูมีอาชีพปนหมอ และอาชีพนี้จะสูญหายไปในที่สุด 3.2 การจัดการน้ําที่คํานึงถึงความสมดุลของระบบนิเวศที่อยูในลุมน้ําเดียวกัน การจัดการน้ําฝายหัวนายังตองเผชิญกับความซับซอนขึ้นไปอีกเนื่องจากฝายหัวนาเปนฝายที่ตั้งอยูตอทาย จากฝายราษีไศล ดังนั้นการจัดการทดน้ํา การปด การเปดใชฝายราษีไศล ดวยระบบเปด 8 เดือน ปด 4 เดือน ยอมจะสงผลกระทบตอการจัดการน้ําที่ฝายหัวนาโดยตรง เพื่อใหการจัดการฝายหัวนาและฝายอื่นๆดําเนินไปอยาง มีประสิทธิภาพ การประเมินผลกระทบสิ่งแวดลอมทางสังคมไดปรึกษาหารือกับผูที่เกี่ยวของทุกฝายเพื่อหาแนวทาง การจัดสรรน้ําของฝายหัวนาใหเกิดประโยชนสูงสุดแกทุกฝาย โดยมีขอสรุปวา จะตองมีการดําเนินการใหมีการจัดตั้ง คณะกรรมการบริหารจัดการฝายหัวนา โดยมีองคประกอบที่สําคัญคือตองมีการกําหนดสัดสวนของคณะกรรมการที่ เหมาะสมโดยมาจากทุกภาคสวนที่เกี่ยวของไดแก ภาครัฐ คณะกรรมการลุมน้ํามูลตอนลาง องคกรพัฒนาเอกชน ภาควิชาการ และ ภาคชาวบานผูที่ไดรับประโยชนและเสียประโยชน ทั้งนี้ในสวนของภาคชาวบานนั้นจะตองมี จํานวนสัดสวนมากพอ และ คณะกรรมการดังกลาวมีหนาที่ดังนี้ 1) ตั้งเกณฑบริหารจัดการทดระดับน้ําที่ + 112 ม.รทก.ใหชัดเจนโดยการมีสวนรวมของชาวบานที่ไดรับ ผลกระทบทางลบและทางบวก ทั้งนี้คณะกรรมการตองกําหนดระยะเวลาการทดน้ําและระบายน้ําใหเหมาะสมโดย ตองคํานึงถึงสภาพของระบบนิเวศทองถิ่นไดแก การอพยพของสัตวน้ํา พันธุปลา ฤดูกาล พืชพรรณที่เปนอาหาร ของคนและสัตวน้ํา 2) การบริหารจัดการฝายหัวนาจะตองพิจารณาการระดับการทดน้ําที่ + 112 ม.รทก.ควรพิจารณารวมกับ การบริหารจัดการลุมน้ํามูลโดยรวมโดยและใหพิจารณาใหมีความสัมพันธและสอดคลองกับการบริหารจัดการฝาย และเขื่อนตางๆที่อยูในลุมน้ําเดียวกัน เชน ฝายราษีไศลและเขื่อนปากมูลทั้งนี้เนื่องจากทั้ง 3 โครงการ (รวมทั้งฝาย 214
การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางสังคมเพื่อการจัดการทรัพยากรน้ําอย่างมีประสิทธิภาพ กรณีศึกษาฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ/ ผศ.ดร.กนกวรรณ มะโนรมย์
หัวนา) ตั้งอยูในลุมน้ํามูลตอนลางทั้งหมด ซึ่งหากโครงการใดโครงการหนึ่งดําเนินการอยางใดอยางหนึ่งจะสงผล กระทบตอโครงการทั้งหมดโดยอัตโนมัติ เชน การปลอยหรือทดน้ําไวใช เปนตน 3) ใหมีการประชาสัมพันธและประสานกับราษฎรหรือหนวยงานที่เกี่ยวของในการปฏิบัติการทดและ ระบายน้ําฝายหัวนาตามที่คณะกรรมการกําหนดเพื่อไมใหเกิดความเสียหายหรือการสูญหายของทรัพยสินชาวบาน อันเนื่องมาจากผลกระทบในชวงตนๆของการทดหรือระบายน้ําในแตละครั้ง 3.3 ภูมิปญญาทองถิ่น กรรมสิทธิ์พื้นบาน และ สิทธิชุมชนในการจัดการน้ํา การจัดการทรัพยากรน้ําใหมีประสิทธิภาพในโครงการกอสรางขนาดใหญมากมายในลําน้ําเดียวกันจะตอง อาศัยขอมูลที่แมนยํา หลากหลาย มีความเปนวิทยาศาสตร ผสมผสานกับความรูชาวบานเนื่องจากระบบนิเวศลุมน้ํา มีความซับซอนทั้งในเชิงกายภาพ ชีวภาพ มิติสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจทองถิ่น นิเวศชุมชน และสุขภาพของ ประชาชน การบริหารจัดการน้ําที่ดีตองมีขอมูลดังกลาวเพื่อประกอบการบริหารจัดการ โดยที่ขอมูลดังกลาวจะตอง ใหความสําคัญกับความเปนชุมชนและสังคมที่เปนองครวมทั้งหมดซึ่งครอบคลุมความสัมพันธระหวางชุมชนและ ระบบนิ เ วศที่ เ ป น ฐานทรั พ ยากรที่ สํ าคั ญ เพื่ อ การเลี้ ย งชี พ ของภาคชนบท ดั ง นั้ น ผลกระทบใดๆ ที่ เ กิ ด ขึ้ น จาก โครงการขนาดใหญจึงมิไดอยูจํากัดเฉพาะกับปจเจกบุคคลหรือเฉพาะครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง แตเกิดขึ้นกับ ทองถิ่นทั้งหมด จากการประเมินผลกระทบสิ่งแวดลอมทางสังคมแบบมีสวนรวมของภาคประชาชน กรณีฝายหัวนาพบวา การจัดการน้ําใหมีประสิทธิภาพจะตองสอดคลองกับภูมินิเวศและภูมิปญญาทองถิ่นในการใชทรัพยากรน้ําและพื้นที่ ปาบุงปาทาม (พื้นที่ชุมน้ํา) เชน มีการคาดวาระยะเวลาน้ําจะทวมพื้นที่ปาบุงบาทามเพิ่มจากเดิมประมาณ 1-2 เดือนจากที่เคยทวมตามธรรมชาติ ซึ่งคาดวาจะทําใหน้ําทวมพื้นที่ตางๆที่เปนแหลงหากินและพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์และ ความเชื่อของชาวบาน เพราะถือวาการทดน้ําของรัฐไดลวงละเมิดตอระบบความเชื่อที่สําคัญของชุมชน นอกจากนี้ การชี้แจงและอธิบายเกี่ยวกับพื้นที่น้ํายังเปนการสรางความมั่นใจใหกับชาวบานเชิงจิตวิทยาเพราะจะสรางความ เขาใจอันดี การขอโทษและการใหเกียรติชาวบานตามระบบพื้นบานเพราะรัฐไดละเมิดกรรมสิทธิ์ของชาวบาน ดังนั้นจึงตองสนับสนุนใหชาวบานสามารถทําการผลิตขาวนาปรังในพื้นที่ทามหลังน้ําลดในพื้นที่ที่ไมมีคลองสงน้ํา ของโครงการชลประทานฝายหัวนาไปถึง โดยการสงเสริมใหมีการจัดการระบบชลประทานแบบชาวบาน เนื่องจาก ในพื้นที่ไดมีตนแบบ (best practice) การจัดการชลประทานชุมชนที่ดีที่ชาวบานดําเนินการเองมานับแตอดีตจน ป จ จุ บั น ได แ ก ช ลประทานชุ ม ชนหนองแค-สวนสวรรค อํ า เภอราษี ไ ศล ทั้ ง นี้ ก รมชลประทานจะต อ งทํ า หน า ที่ สนับสนุนในรูปแบบตางๆ ใหชาวบานที่อยูใกลกุดหรือหนองน้ํารวมกลุมกันเพื่อขุดคลองดินแบบงายๆ หรือจางรถ ไถขุด และใช "คันโซ" (โชงโลง) วิดน้ําจากกุดและหนองระบายสูแปลงนาตามคลองที่รวมกันขุดสําหรับกรณี ชาวบานที่มีที่นาติดกับหรือใกลกับลําน้ํามูลโดยเฉพาะฝงขวาของแมน้ํามูลที่ไมมีคลองสงน้ํานั้น กรมชลประทานควร สนับสนุนใหมีการใชเครื่องสูบน้ําจากแตละทามูลโดยที่สนับสนุนใหชาวบานรวมกลุมกัน ขึ้นอยูกับความตองการทํา นาปรังของแตละคน ทั้งนี้ใหดูตัวอยางจากกรณีชลประทานชุมชนในพื้นที่ที่ดําเนินการอยูแลว เปนตน ตัวอยางขางตนชี้ใหเห็นวาประสิทธิภาพการจัดการน้ําในลําน้ําที่มีโครงการขนาดใหญมีความซับซอนมาก ซึ่งจะสําเร็จหรือลมเหลวหรือถูกตอตานจากทองถิ่นหรือไมนั้นยอมขึ้นกับปจจัยภายในเชนกัน เชน การละเลย ประวัติศาสตรการจัดการน้ําที่มีฐานมาระบบกรรมสิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากรน้ํา ของชาวบาน เพราะการนํา 215
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการมีส่วนร่วมของประชาชน
ภูมิปญญาชาวบาน และระบบกรรมสิทธิพื้นบาน จะสามารถสรางหรือออกแบบและแนวทางการบริหารจัดการ ทรัพยากรน้ําไดอยางมีประสิทธิภาพได การประเมินผลกระทบสิ่งแวดลอมทางสังคมเนนการประเมินที่ไมละเมิด สิทธิของทองถิ่นในการจัดการทรัพยากรเนื่องจากเปนที่ประจักษชัดเจนจากการประเมินวิถีชีวิตชุมชนวาการพึ่งพิง ทรัพยากรทองถิ่นของชาวบานไมเพียงสะทอนใหเห็นประโยชนเชิงการใชสอยทรัพยากรของชุมชนเทานั้นแต สะทอนใหเห็นความสัมพันธอยางซับซอนระหวางระบบสิทธิภูมิปญญาทองถิ่นในการจัดการทรัพยากรในระบบนิเวศ ทองถิ่นปาบุงปาทามของชุมชนที่มีความยั่งยืน คํานึงถึงการเขาถึงทรัพยากรอยางเทาเทียมกันของทั้งผูเปนเจาของ ผูดูแลรักษา และผูใชประโยชน ผานกติกา ขอตกลงของทองถิ่นภายใตระบบอาวุโสในการจัดสรรทรัพยากร ความ เชื่อเกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชุมชนนับถือรวมกันในพื้นที่ ซึ่งการครอบครองหรือการเขาไปใชประโยชน ดังกลาวมีความยืดหยุนเพราะไมมีลักษณะของการเปนเจาของอยางเด็ดขาดหรือแยกขาดจากระบบสิทธิอื่นๆ เชน สิทธิของรัฐและสิทธิของปจเจกบุคคล เปนตน ดังนั้นการที่รัฐจะเขาไปจัดการหรือดําเนินการในพื้นที่และผลของการ ดําเนินการดังกลาวคาดวาจะเกิดผลกระทบตอชุมชนในพื้นที่ที่มีสิทธิของรัฐทับซอนกับสิทธิแบบพื้นบานเชนนี้ รัฐ ควรตองเคารพสิทธิทองถิ่นและภูมิปญญาพื้นบานและการไมละเมิดสิทธิทองถิ่นของกลุมชาวบานกลุมตางๆ อีกทั้ง ยังสามารถบรรเทาหรือปองกันปญหาความแตกแยกทั้งในและระหวางชุมชนหรือระหวางกลุมตางๆ ในสังคมได เพราะสามารถนํากลุมคนทั้งสองฝายมาพูดคุยและหารือกันในเวทีเดียวในชวงที่มีการประเมินผลกระทบ ตั ว อย า งหนึ่ ง ที่ ชี้ ใ ห เ ห็ น การเคารพภู มิ ป ญ ญาชาวบ า นและสิ ท ธิ ชุ ม ชนในการจั ด การฝายหั ว นาคื อ การ พยายามหาขอสรุปและทางออกรวมกันอยางมีความเขาใจและคํานึงถึงผลประโยชนและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นแกแต ละฝายเรื่องการทดระดับน้ํา โดยกลุมชาวบานที่คาดวาจะไดประโยชนเสนอใหมีการเปดใชงานฝายหัวนา เพราะ ตองการใชน้ําในการทําการเกษตร ซึ่งชาวบานจะมีการทํานาป-นาปรังไดตลอดทั้งป จะเปนประโยชนในเวลาที่ฝน ทิ้งชวง โดยเฉพาะชวง 10 ปที่ผานมาฝนจะทิ้งชวงบอยมากขึ้น หากมีการเปดใชฝาย ชาวบานก็ยินดีจะชวยจายคา น้ํา ซึ่งคาใชจายในการสูบน้ําจะคิดเปนชั่วโมงละ 200 บาท เกษตรกรสามารถเฉลี่ยคาใชจายตามระยะทางของที่นา ได ปจจุบันมีสมาชิกของกลุมผูใชน้ําประมาณ 200 กวาคน ในขณะที่ฝายสมัชชาคนจนเห็นวา ปญหาเรื่องบุงทามเปนประเด็นสําคัญมากเชนกัน ซึ่งหากจะมีการใช ฝายหัวนาเพราะเห็นวา ชาวบานยังมีการพึ่งพาอยูมาก ซึ่งคนที่ไมมีที่ทํากินก็จะไปหาอยูหากินอยูในบุง-ทาม เชน หาเห็ด หาหนอไม ไปขาย ซึ่งจะมีการรวมสินคากอนที่จะนําไปขายในพื้นที่ตางๆทั่วประเทศ ทรัพยากรที่อยูในปา ทามทําประโยชนไดหลายอยาง เชน เลี้ยงวัว ควาย คนที่ไมมีนาขาวก็สามารถเผาถานไดตลอดป เปนตน ถามีการ ป ด เขื่ อ น ก็ เ สี ย ดายป า บุ ง -ทาม ซึ่ ง มั น ก็ เ ป น เหมื อ นการป ด กั้ น การทํ า มาหากิ น เพราะป า บุ ง ทามเป น เหมื อ น ซูปเปอรมารเก็ตของชาวบาน เพราะชาวบานจะหากินอยูตลอดทั้งป ถามีการใชฝายหัวนาคาดวาชาวบานจะไม สามารถใชประโยชนจากปาบุงทามไดเหมือนเดิม การประเมินผลกระทบไดสรางเวทีใหชาวบานทั้งสองฝายได พูดคุยปรึกษาหารือกันและฝายทีมที่ปรึกษาก็ไดนําเสนอขอมูลทางดานวิศวกรรมเกี่ยวกับระดับ และเสนอการทดน้ํา ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งขอเสนอดังกลาวเปนที่ยอมรับไดของทั้งสองฝาย ดังนั้นประสิทธิภาพการจัดการน้ําจะ เกิดขึ้นไดก็ตองอิงอยูกับการเคารพเสียง สิทธิภูมิปญญา การถอยทีถอยอาศัยและความเห็นอกเห็นใจกันระหวาง กลุมผูไดและผูคาดวาจะเสียประโยชน
216
การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางสังคมเพื่อการจัดการทรัพยากรน้ําอย่างมีประสิทธิภาพ กรณีศึกษาฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ/ ผศ.ดร.กนกวรรณ มะโนรมย์
3.4 กฎหมายและประสิทธิภาพการจัดการน้ํา การมี ส ว นร ว มของภาคประชาชนในการจั ด การน้ํ า ในช ว ง10 ป ยั ง ถู ก กํ า หนดและกํ ากั บ โดยกฎหมาย รัฐธรรมนูญอีกดวย เชน ในมาตรา 56 ของรัฐธรรมนูญป 2550 ที่กลาววา “สิทธิของบุคคลที่จะมีสวนรวมกับรัฐและ ชุมชนในการบํารุงรักษาและการไดประโยชนจาทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ และในการ คุมครองสงเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดลอม เพื่อใหดํารงชีพอยูไดอยางปกติและตอเนื่องในสิ่งแวดลอมที่จะไม กอใหเกิดอันตรายตอสุขภาพอนามัย สวัสดิภาพหรือคุณภาพชีวิตของตน ยอมไดรับความคุมครอง ทั้งนี้ตาม กฎหมายบัญญัติ” (http://www.senate.go.th/web-senate/Senate/maincons.htm) และ ใน มาตรา 67 วรรค 20 กลาววา “การดําเนินโครงการหรือกิจกรรมที่อาจกอใหเกิดผลกระทบอยางรุนแรงตอชุมชน ทั้งทางดานคุณภาพ สิ่งแวดลอมหรือทรัพยากรธรรมชาติจะกระทําไมได เวนแตจะไดศึกษาและประเมินผลกระทบตอคุณภาพ สิ่งแวดลอมและสุขภาพ และจัดใหมีกระบวนการรับฟงความคิดเห็นประชาชนและผูมีสวนไดเสียกอน รวมทั้งไดให องคการอิสระ ซึ่งประกอบดวยผูแทนองคการเอกชนดานสิ่งแวดลอมและสุขภาพ และผูแทนสถาบันอุดมศึกษาที่จัด การศึกษาดานสิ่งแวดลอมหรือทรัพยากรธรรมชาติ ใหความเห็นประกอบกอนมีการดําเนินการดังกลาว" (www.mua.go.th/users/he-commission/doc/law/constitution) กรอบขอกฎหมายดังกลาวชี้นัยสําคัญคือการจัดการน้ําอยางมีประสิทธิภาพตองอาศัยหลายกลไก นอกจาก การมีสวนรวมของภาคประชาชนแลว ยังมี ตองมีเครื่องมือที่การประเมินผลกระทบ มีกลุมคนและองคกรอิสระที่ตอง เขามาเกี่ยวของกับกับการกํากับ กําหนด การประเมินผลกระทบสิ่งแวดลอมและสังคมอีกดวยทั้งนี้เพื่อใหการ ประเมินสะทอนปญหา สภาพความเปนจริงของพื้นที่ ความตองการโครงการ ผลกระทบและแนวทางการการลด ผลกระทบตางๆ แกชุมชน 3.5 บทบาทผูมีสวนไดสวนเสีย กลุ ม ผู มี ส ว นได ส ว นเสี ย มี อิ ท ธิ พ ลในการจั ด การทรั พ ยากรน้ํ า ให มี ป ระสิ ท ธิ ภ าพเช น กั น นอกจากกลุ ม ประชาชนทุกกลุมในพื้นที่ที่เขามามีสวนรวมในการประเมินผลกระทบแลว ยังมีกลุมผูที่เกี่ยวของกับการประเมินอีก ไดแก สํานักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดลอม (สผ.) ซึ่งจะทําหนาที่ตรวจสอบและพิจารณารายงานขั้นตนแลวสงตอ รายงานไปยั ง คณะกรรมการผู ชํ า นาญการเพื่ อ พิ จ ารณารายงานดั ง กล า วหากไม มี ก ารแก ไ ขก็ จ ะส ง ต อ ไปยั ง คณะกรรมการคณะกรรมการสิ่งแวดลอมแหงชาติเสนอความเห็นและขั้นตอนสุดทายคือเสนอตอไปยัง ครม.เพื่อ พิจารณาอนุมัติโครงการ แตกรณีฝายหัวนายังมีความพิเศษกวาโครงการอื่นเพราะ มีคณะอนุกรรมการ 2 ชุดไดแก 1) คณะอนุกรรมการการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดลอมและผลกระทบทางสังคมจากการกอสรางฝายหัวนา (โดยมี อธิบดีกรมชลประทานทําหนาที่ประธาน) กรรมการประกอบดวย นักวิชาการอิสระ ผูแทนชาวบานฝานสมัชชาคน จน ผูแทนจากกรมชลประทาน และ ผูแทนจากสํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติ และ 2) คณะกรรมการกํากับดูแลงานที่ปรึกษาดานวิชาการ ประกอบดวยนักวิชาการผูชํานาญการทางวิศวกรรมและ เศรษฐกิจ ที่มาจากกรมชลประทาน และ หัวหนาโครงการชลประทานศรีสะเกษ2
2
คณะกรรมการติดตามกํากับดูแลอีไอเอและเอสไอเอของฝายหัวนาไมไดอยูภายใตกรอบเดิมของสผ. ซึ่ง แตกรณีโครงการฝายหัวนานี้ มี เงื่อนไขที่แตกตางไปจากโครงการอื่นๆของรัฐโดยทั่วไมเพียงเหตุผลตามที่อธิบายในประการที่ 1 เทานั้น แตยังมีเหตุผลเรื่องมติครม. วันที่ 25 กรกฎาคม 2543 ที่เปนกรอบสําคัญมากที่สุดคือการใหศึกษาผลกระทบดานสิ่งแวดลอมและสังคมใหมโดยการเนนการมีสวนรวมของภาค ประชาชน ซึ่งฝายหัวนาเปนหนึ่งใน 16 ปญหาสมัช ชาคนจนที่เสนอใหรัฐทบทวนนโยบายเกี่ยวกับโครงการกอสรางขนาดใหญของรัฐที่
217
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการมีส่วนร่วมของประชาชน
คณะอนุกรรมการทั้งสองชุดนี้ไดทําหนาที่ติดตามและกํากับการประเมินผลกระทบ รับฟง และใหความเห็น ตอแนวทางการประเมินรวมทั้งมาตรการลดผลกระทบและแนวทางการลดผลกระทบที่ตองเกี่ยวของกับชุมชนและ หนวยงานภาครัฐในการตั้งงบประมาณในการดําเนินการตามแผนตางๆในการจัดการน้ําเพื่อลดผลกระทบตอชุมชน เชน การมีสวนรวมของกลุมผูมีสวนไดสวนเสียในการดําเนินการตามมาตรการลดผลกระทบที่มาจากการทําคันกั้น น้ําโอบล้ําน้ํามูลเพื่อปองกันน้ําทวมจากการทดน้ําของฝายหัวนาในชวงประมาณกลางเดือนพฤศจิกายนตอเนื่องถึง ประมาณกลางเดือนมกราคม ซึ่งคาดวาการทดน้ํานั้นจะทวมและจะสงกระทบตอพื้นที่ที่ติดกับคันกั้นน้ําทั้งเปนพื้นที่ ทํานาของชาวบาน พื้นที่ทําเลสาธารณะ พื้นที่ปาบุงปาทามที่ชาวบานใชรวมกัน ดังนั้นมาตรการสําคัญที่มาจาก ขอเสนอจากการประเมินผลกระทบสิ่งแวดลอมทางสังคมคือ เจาของโครงการและหนวยงานสวนทองถิ่นจะตอง ดําเนินการสํารวจพื้นที่ที่ติดกับคันกั้นน้ําใหครอบคลุมทั้งหมดพรอมจัดทําเขตหรือปกปายบอกระดับน้ําใหชุมชนได ทราบโดยทั่วกันวาพื้นที่ใดบางที่คาดวาน้ําจะทวมและเปนระยะเวลานานาเทาใด ทั้งนี้ควรตองประสานกับชุมชน เพื่อดําเนินการสํารวจตรวจสอบพื้นที่ติดคันกั้นน้ํากับแผนที่น้ําทวม รวมทั้งจัดการประชุมเพื่อชี้แจงและขอคํา ปรึกษาหารือกับชุมชนและชาวบานเพื่อทําความเขาใจกับเกี่ยวกับระยะเวลาที่น้ําทวมเพิ่มจากเดิมจะทําใหน้ําทวม พื้นที่ตางๆ ที่ติดกับคันกั้นน้ําที่เปนแหลงหากินของชาวบานและพื้นที่ทําเล หรือ พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของ ชาวบาน ตลอดจนใหชุมชนมีสวนรวมทําแผนการพื้นฟู พรอมกันนี้เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพการใชน้ําในอนาคตหลังจากมีการใชฝายหัวนา ซึ่งการประเมินผล กระทบสิ่งแวดลอมทางสังคมไดระบุชัดเจนวาเจาของโครงการจะตองดําเนินการใหมีการติดตามและประเมินผล กระทบทางสังคม (social impact monitoring) ในระยะสั้นและระยะยาว (ทุกๆ 3-5 ป) โดยเจาของโครงการ และ คณะกรรมการบริหารจัดการฝายหัวนาดําเนินการรวมกับชาวบานและหนวยงานทางวิชาการที่เกี่ยวของในระดับ ตางๆ ทั้งนี้เพื่อเพื่อรับทราบขอมูล ความเคลื่อนไหวและผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจ และความคุมคาของ โครงการที่เกิดขึ้นจากการเปดใชฝายหัวนาในระยะยาวและนําผลการประเมินมาประกอบการหาแนวทางการพัฒนา ความเปนอยูของชาวบานใหดีขึ้นในพื้นที่ที่ไดรับผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบ โดยการดําเนินการติดตามและ ประเมินผลกระทบทางสังคม ดังกลาวจะตองเนนการมีสวนรวมของผูมีสวนไดสวนเสีย (stakeholders) จากทุกภาค สวน รวมทั้งการพัฒนาศักยภาพ (capacity building) ของชาวบานและขาราชการสวนระดับพื้นที่ในการติดตามและ ประเมินผลกระทบทางสังคมในพรอมๆ กัน 3.6 แผนชุมชนเพื่อการฟนฟูระบบนิเวศและวิถีชีวิต การจัดทํามาตรการลดผลกระทบทางสังคมและการติดตามการดําเนินการตามมาตรการลดผลกระทบ จะตองดําเนินการโดยการปรึกษาหารือกับชาวบานที่คาดวาจะไดรับผลกระทบ และ เครือขายตางๆ เชน กรณีฝาย หัวนา นั้นนอกกลุมชาวบานสมัชชาคนจนแลว ยังมีเครือขายอื่นๆที่ไดเขามีสวนรวมในการดําเนินการตามาตรการ ลดผลกระทบ เชน เครือขายฮักแมมูนเมืองศรีสะเกษซึ่งเปนเครือขายที่ทํางานรวมกับชาวบานที่คาดวาจะไดรับ ผลกระทบในพื้นที่มายาวนาน มาตรการที่ปรากฏในการประเมินนี้ยังไดยึดแนวคิดการมีสวนรวมของภาคประชาชน การใหความสําคัญกับระบบกรรมสิทธิ์พื้นบาน การเคารพความรูทองถิ่น ความเชื่อพื้นบาน และสิทธิของชุมชนใน การใชและจัดการทรัพยากรสวนรวมและสวนบุคคล โดยที่ภาครัฐโดยเฉพาะหนวยงานเจาของโครงการและสวน คาดวาจะสงผลตอประชาชนในป 2543 ซึ่งรัฐไดแตงตั้งคณะกรรมเพื่อดูแล 16 ปญหาสมัชชาคนจน โดยมีการแตงใหมีคณะอนุกรรมการทํา หนาที่แตกตางไปตามแตละปญหา (ฝายวิชาการ สมัชชาคนจน เรื่องเดียวกัน)
218
การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางสังคมเพื่อการจัดการทรัพยากรน้ําอย่างมีประสิทธิภาพ กรณีศึกษาฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ/ ผศ.ดร.กนกวรรณ มะโนรมย์
ราชการตางๆที่เกี่ยวของและองคกรปกครองสวนทองถิ่นทําหนาที่สนับสนุนงบประมาณและสวนราชการที่เกี่ยวของ และสถาบั น วิ ช าการในท อ งถิ่ น สนั บ สนุ น ความรู ท างวิ ช าการที่ จํ า เป น และเหมาะสมเพื่ อ ร ว มดํ า เนิ น การตาม มาตรการลดผลกระทบที่คาดวาจะเกิดขึ้นกับภาคประชาชนโดยเปดโอกาสใหประชาชนและเครือขายชุมชนทีมีอยู แลวผูดําเนินการหรือเปนเจาภาพ เชน เครือขายฮักแมมนู เมืองศรีสะเกษ โดยจะตองมีคณะทํางานหรืออนุกรรมการ ระดับปฏิบัติการเปนผูบริหารจัดการแตละแผนใหสอดคลองกับรายละเอียดของแผนปฏิบัติการแตละดาน สําหรับ ระดับคณะกรรมการอํานวยการจะตองดําเนินการใหมีการตั้งคณะกรรมการอํานวยการจากหนวยงานที่เกี่ยวของ เปนคณะกรรมการ ทั้งภาครัฐ องคกรชุมชน องคกรพัฒนาเอกชน และสถาบันวิชาการ มีหนาที่ในการอํานวยการ สนับสนุนสงเสริม และการตรวจสอบติดตามประเมินผลโครงการ ตัวอยางแผนการลดผลกระทบโดยชุมชน กรณีการสูญเสียพื้นที่ทําเลเลี้ยงสัตวในปาบุงปาทามและปา ชุมชนในชวงน้ําทวมขังเพิ่มขึ้นนั้นเจาของโครงการและสวนราชการที่เกี่ยวของรวมทั้งชาวบานจะตองดําเนินการ สํารวจกลุมผูเลี้ยงวัวควายที่คาดวาจะไดรับผลกระทบจากการทดน้ํา ซึ่งตามแผนและมาตรการลดผลกระทบของ ชุมชนที่เสนอโดยชุมชนไดแก (ขอมูลภาคสนาม โครงการฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ 2552) 1. กลุมผูไดรับผลกระทบแตละชุมชนหรือแตละโซนพื้นที่ รวมวิเคราะหปญหา แสวงหาทางเลือกที่ เหมาะสมในการแกปญหาผลกระทบ 2. กลุมผูไดรับผลกระทบแตละพื้นที่สรางแผนและงบประมาณในการแกไขปญหาตามทางเลือกในรายงาน การศึกษา เพื่อใหมีการสงเสริมสนับสนุนตอโดยรัฐสนับสนุนงบประมาณในการดําเนินการตามแผนดังกลาว ทั้งนี้ จะตองมีการสํารวจการสูญเสียรายไดของชาวบานจากบุงทามโดยละเอียดอีกครั้งโดยองคกรชุมชน รวมกับกรม ชลประทานและสถาบันทางวิชาการเพื่อหาแนวทางการชดเชยที่เปนธรรม 3. ตั้งกองทุนชวยเหลือโดยหนวยงานที่เกี่ยวของในรูปของกลุมสหกรณเพื่อใหมีการกูยืมแกเกษตรกรเพื่อ นําเงินไปลงทุนเพื่อเพิ่มรายไดกรณีการสูญเสียรายไดจากปาบุงปาทาม 4. การจัดหาพื้นที่ปาทดแทนการสูญหายไปของปาบุงปาทามและปาชุมชนเพื่อฟนฟูระบบนิเวศในพื้นที่ลุม น้ํามูลตอนกลาง ควรดําเนินการดังนี้ 1) การฟนฟูและดูแลปาสวนรวมของชุมชนโดยการสนับสนุนการจัดตั้งปาชุมชน 2) การสงเสริมการคุมครองและเพิ่มความสมบูรณของปาหัวไรปลายนาที่มีอยูในแปลงเกษตรของ ชาวบาน อยางมีแบบแผน เชน การสํารวจทรัพยากร การสนับสนุนการปลูกปาเพิ่มความสมบูรณ การสงเสริมการใชประโยชนอยางยั่งยืน การแปรรูป การใชสมุนไพร ฯลฯ 3) การสนับสนุนการปลูก “ปาครอบครัว” ซึ่งนาจะเปนแนวทางหลักในการสงเสริม โดยการสราง พื้นที่สีเขียวของประเทศในอนาคต และควรนําหลักกระบวนการของ “โครงการธนาคารตนไม” ที่ รัฐบาลกําลังมีนโยบายสงเสริมอยูในปจจุบันมาเปนหลักเสริม
219
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการมีส่วนร่วมของประชาชน
บทสรุป การประเมินผลกระทบสิ่งแวดลอมทางสังคมโดยการมีสวนรวมของประชาชนเปนเครื่องมือที่สําคัญที่คาด วาจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําระยะยาวสําหรับโครงการขนาดใหญทั้งนี้เพราะ เครื่องมือดังกลาวเนนใหผูมีสวนไดสวนเสียที่เกี่ยวของกับโครงการไดมีบทบาทสําคัญในการเสนอประเด็นที่เปน ขอบเขตการประเมิน แสดงความเห็นตอและความวิตกกังวลตอผลกระทบโครงการ การคาดคะเนผลกระทบที่คาด วาจะเกิดขึ้น ตลอดจนเสนอมาตรการลดผลกระทบเทานั้น กลุมคนตางๆยังมีบทบาทในการตรวจสอบรายงาน ประเมินผลกระทบทั้งในรูปของการเขารวมเปนคณะอนุกรรมการการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดลอมและผลกระทบทาง สังคม และในฐานะผูที่คาดวาจะไดและเสียผลประโยชนจากโครงการในพื้นที่ที่ไดเขารวมประชุมปรึกษาหารือตอทีม ที่ปรึกษาตลอดระยะการประเมินผลกระทบ นอกจากนี้การประเมินดังกลาวยังชี้ใหเห็นถึงการเคารพสิทธิชุมชนและ สิทธิภูมิปญญาชาวบานในการจัดการทรัพยากรตามหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญ และที่ปรากฏในรูปแบบของประเพณี จารีต ความเชื่อ ภูมิปญญาชาวบานและกฎเกณฑทองถิ่นในการจัดการทรัพยากรที่ชุมชนไดมีการตกลงกันเองใน ชุมชนมายาวนาน ที่สามารถนํามาประกอบกับความรูทางวิทยาศาสตรในการบริหารจัดการน้ําใหมีประสิทธิภาพได ในอนาคต
กิตติกรรมประกาศ เนื่องจากบทความนี้ใชขอมูลประกอบจากการประเมินผลกระทบสิ่งแวดลอมทางสังคม กรณีฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ ดังนั้นผูเขียนขอขอบคุณนักผูรวมทีมประเมินผลทุกทานโดยเฉาะนักวิจัยชาวบานในพื้นที่โครงการ ฝายหัวนา คุณสนั่น ชูสกุล นักพัฒนาเอกชนอาวุโสที่มีคําแนะนําที่แหลมคมและมุมมองที่เปนประโยชนยิ่งตอการทํา การประเมิ น ผลกระทบโดยเฉพาะการนํ า เสนอแนวคิ ด เรื่ อ งสิ ท ธิ ชุ ม ชมชนในการจั ด การทรั พ ยากร รศ. ดร. ไชยันต รัชชกูล หนึ่งในคณะอนุกรรมการหัวหนาทีมการประเมินผลกระทบทางสังคมจากการกอสรางฝาย หั ว นา ที่ ใ ห คํ า แนะนํ า ในระหว า งการทํ า การประเมิ น ด า นวิ ช าการและแนวทางการเขี ย นรายงาน ขอขอบคุ ณ รศ. ดร. วันเพ็ญ วิโรจนกูฐ (หัวหนาทีม) และ ผศ. ดร. ฉัตรเพชร ยศพล ที่ปรึกษาการประเมินผลกระทบดาน สิ่งแวดลอมที่มีสวนในการทําใหการประเมินผลกระทบสิ่งแวดลอมทางสังคมสามารถดําเนินการไดอยางบรรลุผล ขอขอบคุณผูชวยนักวิจัยไดแก คุณปยะนุช สิงหแกว คุณวิไล บุตะเคียน คุณพนา ใจตรง คุณคําปน อักษร และ คุณณัฐพงษ โลกภิบาล ที่ชวยประสานงานในการประเมินผลกระทบฯดังกลาว ทายสุดนี้ผูเขียนขอขอบคุณกรม ชลประทานที่สนับสนุนงบประมาณในทําการประเมินผลกระทบสิ่งแวดลอมทางสิ่งแวดลอมและสังคมในครั้งนี้
เอกสารอางอิง กนกวรรณ มะโนรมย สุรสม กฤษณะจูฑะ และนพพร ชวงชิง, 2552. การประเมินผลกระทบ สิ่งแวดลอมทางสังคม กรณีฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ (เอกสารอัดสําเนา) กนกวรรณ มะโนรมย สุรสม กฤษณะจูฑะ และ สดใส สรางโศรก, 2548. รายงานการวิจยั “รูปแบบการประเมินผลกระทบสิ่งแวดลอมและสังคมในโครงการขนาดใหญของรัฐโดย กระบวนการมีสวนรวมของประชาชน: กรณีศึกษาฝายหัวนา อ.กันทรารมย จ. ศรีสะเกษ
220
การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางสังคมเพื่อการจัดการทรัพยากรน้ําอย่างมีประสิทธิภาพ กรณีศึกษาฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ/ ผศ.ดร.กนกวรรณ มะโนรมย์
กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย. [ระบบออนไลน]. แหลงที่มา http://www.dopa.go.th/ กรมพัฒนาและสงเสริมพลังงาน, 2543. โครงการฝายหัวนา. กรุงเทพฯ ขอมูลภาคสนาม โครงการฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ. วันที่ 1 กรกฎาคม 2552. ขอมูลสมาชิกสมัชชาคนจนที่ไดรับผลกระทบจาก เขื่อนหัวนา. 2549. ฝายวิชาการสมัชชาคนจน, 2543. 16 ปญหาสมัชชาคนจน. กรุงเทพฯ. โรงพิมพกังหัน ปาริชาติ ศิวะรักษ, 2543. การทบทวนกระบวนการประเมินผลกระทบสิ่งแวดลอมในประเทศไทย. หนา143-184. ในธรรมาภิบาลการมีสวนรวมของประชาชนและกระบวนการทางดานสิ่งแวดลอม. กรุงเทพฯ: โรงพิมพเดือนตุลา จํากัด. มิ่งสรรพ ขาวสะอาด และคณะ, 2544. แนวนโยบายการจัดการน้ําสําหรับประเทศไทย. สํานักงานกองทุน สนับสนุนการวิจัย. สนธิ คชวัฒน, 2548. “การมีสวนรวมของประชาชนในกระบวนการ EIA/SIA/HIS”. เอกสารประกอบ ในงานประชุมเวทีสิ่งแวดลอม วันที่ 22 กันยายน 2548 ณ โรงแรมลายทอง จังหวัด อุบลราชธานีจัดโดยสถาบันวิจัยสังคมมหาวิทยาลัยเชียงใหมรวมกับสถาบันวิจัยและพัฒนาแหงประเทศ ไทย (TDRI)และ ศูนยวิจัยสังคมอนุภูมิภาคลุมน้ํา โขง คณะศิลปศาสตร มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี วันเพ็ญ วิโรจนกูฐ และ คณะ, 2552. การศึกษาผลกระทบสิ่งแวดลอมและดานสังคม โครงการ ฝายหัวนา อําเภอกันทรารมย จังหวัดศรีสะเกษ. ศรีศักร วัลลิโภดม, 2545 (2533). “ศรีสะเกษ เขตเขมรปาดง” แองอารยธรรมอีสาน. กรุงเทพฯ: ศิลปวัฒนธรรม. 463- 497. วิทยาลัยประชากรศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. [ระบบออนไลน]. แหลงที่มา http://www.cps.chula.ac.th/html_th/pop_base/trend/trend_004.htm สนั่น ชูสกุล และ คณะ, 2550. โครงการสิทธิชุมชนศึกษา. สํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.). สัญชัย สูติพันธวิหาร, 2552. องคการอิสระดานสิ่งแวดลอมสิทธิการมีสวนรวมในการจัดการสิ่งแวดลอม มติชนรายวัน. ฉบับวันที่ วันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2552 ปที่ 32 ฉบับที่ 11328.
221
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การจัดการน้ําในลุ่มน้ําโขงในส่วนของประเทศไทย – โครงการมีส่วนร่วมของประชาชน
สํานักงานสถิติจังหวัดศรีษะเกศ. [ระบบออนไลน]. แหลงที่มา http://sisaket.nso.go.th/nso/project/search/result_by_department.jsp ศูนยบริการขอมูลอําเภอ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย [ระบบออนไลน]. แหลงที่มา http://www.amphoe.com Barrow, C. J., 2000. Social Impact Assessment: an Introduction. London: Arnold. Becker. H. A., 1997. Social Impact Assessment: Method and Experience in Europe, North America and the Developing World. London: UCL Press.
222
ความหลากหลาย : ชาติพันธุ วัฒนธรรม และทรัพยากรชีวภาพ ในลุมน้ําโขง
บทที่ 12 นิเวศวัฒนธรรมทองถิ่นกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติลุมน้ําโขง กรณีพื้นที่แมน้ําของ-ลานนา นิวัฒน รอยแกว1 และ นพรัตน ละมุล2 1 กลุมรักษเชียงของ เครือขายอนุรักษทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมลุมน้ําโขง-ลานนา 2 โครงการสื่อชุมชนลุมน้ําโขง เครือขายอนุรกั ษทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมลุมน้ําโขง-ลานนา
บทคัดยอ บทความเรื่อง ‘นิเวศวัฒนธรรมทองถิ่นกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติลุมน้ําโขง กรณีพื้นที่แมน้ําของ ลานนา’ เปนบทความสังเคราะหที่รวบรวมขอมูลและกลั่นกรองจากประสบการณการทํางานและการวิจัยโดย ชาวบาน กับงานวิจัยเพื่อทองถิ่น จากเอกสารเผยแพรขององคกร และจากทํางานฟนฟูทรัพยากรธรรมชาติและ วัฒนธรรมในชุมชนทองถิ่น ในพื้นที่แมน้ําของ-ลานนา หรือพื้นที่ลุมน้ําอิง-กก ตอนปลายและชายฝงโขง ของ เครือขายอนุรักษทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมลุมน้ําโขง-ลานนา ในหวงเวลาเกือบทศวรรษที่ผานมา โดยมี วัตถุประสงคเพื่อศึกษาสถานการณและผลกระทบของการจัดการทรัพยากรของรัฐในนามการพัฒนาที่ใชเศรษฐกิจ เปนตัวนํา ตั้งแตอดีตจนปจจุบัน การจัดการทรัพยากรโดยใชเศรษฐกิจเปนตัวนําไดทําลายทรัพยากรธรรมชาติทั้ง ของชุมชนทองถิ่นและของประเทศไปมหาศาล โดยที่รัฐแทบจะไมไดเขามาชวยเหลือชุมชนชายขอบในพื้นที่ลุมน้ํา อิง-กก ตอนปลายและชายฝงโขงมากนัก การพัฒนานําผลประโยชนและการชวยเหลือสวนใหญมุงตรงสูศูนยกลาง อํานาจในเมืองหลวง คนชายขอบไมไดรับผลประโยชนอะไรเลย ทวาคนชายขอบก็ยังอยูกันได อะไรที่ทําใหคนชาย ขอบหรือชุมชนทองถิ่นในพื้นที่ลุมน้ําอิง-กก ตอนปลายและชายฝงโขงยังตั้งมั่นกันอยูได ในทามกลางกระแสการ พัฒนาที่ใชเศรษฐกิจเปนตัวนํากระจายรุนแรงไปทั่วโลก จากการพูดคุยแลกเปลี่ยนในการทํางานมาเกือบทศวรรษ และจากการทํางานวิจัยจาวบาน ทํางานวิจัยเพื่อ ทองถิ่น และการคนควา รวบรวมขอมูลผานการทํางานฟนฟูชุมชนทองถิน่ มากวา 5 ป เห็นวา การจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติโดยใชเศรษฐกิจนํานั้นไมถูกตอง หากตองการใหเกิดความเปนธรรมและยั่งยืนในสังคม จําเปนตองจัดการทรัพยากรธรรมชาติโดยใชนิเวศวัฒนธรรมจึงจะนํามาซึ่งการจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่ยั่งยืน และเปนธรรม จากการศึกษาและทํางานพบวา ผูเฒาผูแกก็ใชนิเวศวัฒนธรรมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติให คงอยูมาจนปจจุบัน เชน การใชมังรายศาสตรในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติรวมกัน บทความนี้ยังตองการชี้ใหเห็นปญหาและผลกระทบจากการจัดการทรัพยากรธรรมชาติในลุมน้ําโขงที่ใช เศรษฐกิจนําในการพัฒนา โดยมีกรณีที่ชัดเจนที่สุด 2 กรณี คือ การระเบิดเกาะแกงเพื่อการเดินเรือพาณิชยขนาด ใหญ และการสร า งเขื่ อ น นอกจากนี้ บทความนี้ ยั ง ต อ งการชี้ ใ ห เ ห็ น นิ เ วศวั ฒ นธรรมกั บ การจั ด การ ทรัพยากรธรรมชาติโดยชุมชนทองถิ่น ผานกระบวนการจัดการความรูแบบมีสวนรวม ในการคนหานิเวศวัฒนธรรม ของแตละชุมชนทองถิ่น แลวนําผลที่ไดมาเปนตนทุนหรือปรับใชในการฟนฟูชุมชนทองถิ่นในรอบ 7 ป ที่ผานมา ของเครือขายอนุรักษทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมลุมน้ําโขง-ลานนา
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และทรัพยากรชีวภาพ ในลุ่มน้ําโขง
บทนํา แมน้ําโขงหรือแมน้ําของในการเรียกชื่อแมน้ําสายนี้ของคนยวนหรือโยนกับคนลาว สวนคนสยามหรือคน ไทยและคนทั่วไปในปจจุบันเรียกวา แมน้ําโขง เปนแมนา้ํ ซึ่งมีลุมน้ําครอบคลุมพื้นที่ 7 ประเทศ คือ เริ่มตนน้ําที่ แผนดินธิเบต ไหลสูยูนนานในประเทศจีน ผานพมา ลาว ไทย กัมพูชาและออกสูทะเลจีนใตที่เวียดนาม มีประชากร หลากหลายชาติพันธุเกือบ 100 ลานคน เปนแหลงอารยะธรรมสําคัญ เชน สิบสองปนนา ลานนา ลานชาง และที่ สําคัญคือขอมโบราณ กลาวสําหรับแมน้ําของหรือโขงในเขตลานนา คือพื้นที่กายภาพของลุมน้ํากก-อิงและชายฝงโขงในเขต จังหวัดเชียงรายในปจจุบัน รวมทั้งพื้นที่ทับซอนบางสวนในอดีตของลานนาและลานชางคือสวนของแขวงบอแกว ในประเทศลาวปจจุบัน โดยมีกลุมชาติพันธุที่หลากหลาย เชน ยวนหรือโยน ลาว ลื้อ กํามุ เยา มง จีนฮอ ลาหู อาขา ไทใหญ ยอง กะเหรี่ยงหรือปกาเกอญอ กลุมชาติพันธุเหลานี้มีความสัมพันธกันมาชานานจนเกิดเปนบานเมืองใน ปจจุบัน โดยในเขตนี้มีเมืองโบราณสําคัญ เชน เชียงแสน เชียงของ เชียงราย เทิง และพะเยา พื้นที่ทางกายภาพที่กลาวถึงขางตนเมื่อมีความสัมพันธกับผูคนที่หลากหลาย ทั้งดวยการไปมาหาสูกันของ คนกับคน ทางสันดอยและทางสายน้ํา เมื่อมีความสัมพันธระหวางคนกับธรรมชาติ ทั้งดวยการทํามากินพึ่งพิง ทรัพยากรปา น้ําและดิน และเมื่อมีความสัมพันธกับธรรมชาติแลวก็ยังเชื่อมสัมพันธกับสิ่งเหนือธรรมชาติจนเกิด เปนวัฒนธรรมผี ศาสนา และความเชื่อหรือกฎการอยูรวมกันตางๆ เหลานี้ คือที่มาของคําวา ‘นิเวศวัฒนธรรม’ ซึ่ง สามารถสรุปสั้นๆ ไดวา คือความสัมพันธ คือจุดเชื่อมรวมกันของคนกับคน, คนกับธรรมชาติและคนกับสิ่งเหนือ ธรรมชาติ โดยตอจากนี้ไปจะกลาวถึงนิเวศวัฒนธรรมทองถิ่นพื้นที่ลุมน้ําอิง-กก ตอนปลายและชายฝงโขง อันเปน ภาพแทนของแมน้ําของ - ลานนา
226
นิเวศวัฒนธรรมท้องถิ่นกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติลุ่มน้ําโขง กรณีแม่น้ําของ-ล้านนา / นิวัฒน์ ร้อยแก้ว
นิเวศวัฒนธรรมทองถิ่นลุมน้ําอิง-กก ตอนปลายและชายฝงโขง
รูปที่ 1 แผนทีแ่ มน้ําโขงตอนบนในเขตประเทศไทย แมน้ําอิงมีตนน้ํามาจากเทือกเขาผีปนน้ําในเขตจังหวัดพะเยา ไหลลงสูหนองเล็งทราย ลงสูกวานพะเยา แลวผานทุงลอ-ทุงดอกคําใต สูที่ราบปากแมน้ําอิง–ทุงสามหมอน แลวไหลลงแมน้ําโขงที่บานปากอิงใต อ.เชียงของ ลุมน้ําอิงนอกจากจะเปนแหลงทํานาที่สําคัญของทางภาคเหนือแลวยังเปนแหลงเพาะพันธุปลาทางธรรมชาติของ แมน้ําโขง กลาวคือปลาในลําน้ําโขงจะเขาสูแมน้ําอิงในชวงหนาน้ําหลากไปหากินและวางไขในระบบนิเวศของแมน้ํา อิง จนเปรียบไดวา ระบบนิเวศแมน้ําอิง เชน จํา, บวก, หนอง, ปาชุมน้ํา ฯ เปนมดลูกของแมน้ําโขง ผูคนมีวิถีหา อยูหากินกับทรัพยากรธรรมชาติเหลานี้มาชานาน ทั้งการทําประมงและทํานาหรือการเพาะปลูกอื่นๆ ตามฤดูกาล และระบบนิเวศยอยเหลานั้น แมน้ํากกมีตนน้ําในเขตเทือกเขาใกลชายแดนไทย-พมา ไหลผาน อ.ฝาง ในเชียงใหม เขาสูเชียงรายเปน พื้นที่ราบกวางใหญ ลงสูแมน้ําโขงที่ อ.เชียงแสน เปนแหลงเกษตรกรรมที่สําคัญของจังหวัดเชียงราย กอเกิดแหลง อารยะธรรมสําคัญ คือ เมืองโบราณเชียงแสน
227
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และทรัพยากรชีวภาพ ในลุ่มน้ําโขง
สองฝงโขงจากสามเหลี่ยมทองคํา อ.เชียงแสน ถึงแกงผาได อ.เวียงแกน มีความยาว 84 กม. ทางตอน เหนือสุดเปนทางน้ําโลง มีเกาะสลับหาดทราย สวนตอนกลางกอนเขาสูเมืองเชียงของมีแกงผา เกาะหาดและระบบ นิเวศที่สลับซับซอน เรียกบริเวณนี้วา ‘คอนผีหลง’ มีความลึกที่สุดเหนือผาพระ ประมาณกวา 50 เมตร สวนปาก แมน้ําอิงจะเปนหาดทรายสลับเกาะแกงไปตลอดถึงผาได ระบบนิเวศในคอนผีหลงที่ทําใหมีพันธุปลามากมาย เมื่อเขาไปศึกษาพบวา ชื่อตางๆ มากมายนั้นเปน ระบบนิเวศทั้งหมด ซึ่งเปนชื่อที่ชาวบานตั้งกันในเชิงวัฒนธรรม และตางพึ่งพาหาอยูหากินกันมาอยางเปนระบบโดย ตลอดจากอดีตจนถึงปจจุบัน ระบบนิเวศยอยของแมน้ําโขงเขตนี้ ประกอบดวย 11 ระบบ คือ ริมฝง หาด หวย หลง หนอง รอง-ชอง คก แจม ดอนเกาะ ผา กวาน ดังรูปขางลาง
ผา หลง ริมฝง
หวย
หาดทราย
หาดหิน
หนอง คอน รอง
แจม
ซอง
คก
รูปที่ 2 ชื่อระบบนิเวศแมน้ําโขงบริเวณคอนผีหลง ระบบนิเวศเปนตัวที่กอใหเกิดชีวิตและดํารงชีวิต ซึ่งแตละระบบก็ไดเอื้อประโยชนตอสิ่งมีชีวิตในลักษณะที่ สัมพันธและแตกตางกันอยูในตัว โดยระบบนิเวศเหลานี้มีความสัมพันธกับน้ําขึ้นน้ําลงตามฤดูกาล กลาวคือ น้ําเริ่ม ขึ้นในเดือนพฤษภาคม ปลาจะออกมาวางไข ชาวบานจะจับปลาไดในเดือนกรกฎาคม ถึงสิงหาคม น้ําจะขึ้นเต็มที่ เดือนกันยายน-ตุลาคม น้ําจะเริ่มคอยๆ ลดลง และจะไปแหงสุดในเดือนมีนาคม-เมษายน ฤดูกาลของน้ําตาม ธรรมชาติที่สัมพันธกับระบบนิเวศที่หลากหลายทําใหเกิดพืชพันธุและปลามากมาย จากการศึกษาของนักวิจัยจาว บาน ในป พ.ศ. 2546-2547 พบวา พรรณพืชแมน้ําโขงในเขตนี้มีมากกวา 65 ชนิด พบพันธุปลา 100 ชนิด ปลา ธรรมชาติ 88 ชนิด ที่เหลือเปนปลาตางถิ่น ปลาบางชนิดจะอาศัยอยูในระบบนิเวศที่แตกตางกัน เชน แจม คก หาด ทราย หาดหิน ระบบนิเวศจึงถือเปนสิ่งสําคัญตอสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยูในแมน้ําโขง ไมเพียงเทานั้นแมน้ําโขงยังมี แมน้ําสาขาที่มีความสําคัญไมนอยไปกวากัน แมจะมีระบบนิเวศที่นอยกวาแมน้ําโขง แตมีความสําคัญไมแตกตาง กัน จากการศึกษาพบวา มีปลาอพยพมาวางไขและอาศัยในแมน้ําโขงเขตนี้ 20 ชนิด ซึ่งในจํานวนนี้มี ปลาบึก-ปลา 228
นิเวศวัฒนธรรมท้องถิ่นกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติลุ่มน้ําโขง กรณีแม่น้ําของ-ล้านนา / นิวัฒน์ ร้อยแก้ว
หนังน้ําจืดที่ใหญที่สุดในโลกรวมอยูดวย สวนปลาที่อพยพระหวางแมน้ําโขงแลวไปวางไขหรืออาศัยในแมน้ําสาขา พบ 54 ชนิด เพราะฉะนั้น ดังที่กลาวแลว แมน้ําสาขาก็มีความสําคัญไมตางไปจากแมน้ําโขง ระบบนิเ วศมีชื่ อเฉพาะนามตามแต ถิ่น หรื อการเรี ย กของชาวประมง หรือ เกี่ ยวเนื่ อ งกับ ความเชื่ อ และ ประวัติศาสตร เชน ‘ผาพระ’–ผาเปนระบบนิเวศที่เปนเอกลักษณของแมน้ําโขงเขตนี้ มีลักษณะเปนแทงหินหรือกลุม หินสลับซับซอนและมีรองน้ําลึกอยูใกลผาเสมอ ผาจะโผลพนน้ําในหนาแลงและมีตนไครแตกยอดเขียวขึ้นมา ใน หนาน้ําหลากบางก็จมน้ํา ตนไครจะเปอยยอยเปนอาหารปลา สําหรับผาพระซึ่งตั้งอยูทางทิศเหนือของบานเมือง กาน ริมฝงลาว เปนแทงหินที่สลักรูปพระ ตํานานกลาววา ในสมัยหนึ่งเจามหาชีวิตลาวซึ่งบวชเปนพระไดลองเรือมา เมืองเชียงแสน เรือที่มาไดชนแกงหินลมจมลง จนเจามหาชีวิตไดเสียชีวิตจึงมีการสลักรูปพระไวบนผา นามผาพระ นี้จึงสะทอนความสัมพันธทางประวัติศาสตรระหวางลานนาและลานชาง นอกจากนี้ระบบนิเวศที่แตกตางทําใหการอยูอาศัยของปลา สัตวน้ํา และพืชน้ําอื่นๆ เจริญเติบโตแตกตาง กัน นํามาซึ่งการใชเครื่องมือหาปลาที่แตกตางตามระบบนิเวศและฤดูกาล คนหาปลามีความรูในการเขาถึงปลาที่ หลากหลาย หากพิจารณาจากเครื่องมือหาปลาพื้นบานที่มีถึง 71 ชนิด โดยมีการออกแบบใหเหมาะสมกับระบบ นิเวศยอยและธรรมชาติของปลาแตละชนิด แบงเปน เครือ่ งมือดักปลา ลอปลา จับปลาและเครื่องมือที่ชวยในการ หาปลา โดยในฤดูน้ําแลงหรือน้ําลด ตามลําน้ําสาขาจะมีการใสคั่ง เพราะปลาที่คางอยูในวังน้ําหรือหนองน้ําจะลงมา ตามแมน้ําสาขาเพื่อเขาสูแมน้ําโขง สวนเดือน ตุลาคม - เมษายน ปลาจะลงมาอาศัยในคก คนหาปลาใชแห มอง และเบ็ดในการหาปลา ชวงหนาน้ําขึ้นปลาจะอพยพ คนหาปลาจะใชไซลั่น หรือไหลมองตามลั้งตางๆ นอกจาก เครื่องมือหาปลาจะปรับตามระบบนิเวศ, ชนิดของปลาและฤดูกาลน้ําแลว ชาวประมงยังมีการสังเกตหมายจาก ธรรมชาติในการหาปลาดวย เชน หากผลมะเดื่อสุกนั่นหมายถึงปลาโมงจะวายทวนน้ําขึ้นมา อยางไรก็ตาม มีพื้นที่ในการหาปลารวมกันพื้นที่หนึ่งของชาวประมงในแตละถิ่นของเขตนี้ ซึ่งเรียกวา ‘ลั้ง’ หรือ ‘ลวง’ เปนพื้นที่หาปลาหนาหมูหรือสวนรวม โดยจะมีการจัดการการใชและรักษาแบงปนรวมกัน เชน มีการวาง คิวการออกไปไหลมองหรือขายในบริเวณลั้ง การชวยกันลงแรกทําความสะอาดเอาขอนไม เศษไมใตน้ําบริเวณลั้ง ออก และยังมีความเชื่อพิธีกรรมในการไหวผีลวง ไหวผีน้ํารวมกัน เปนการใชกฎกติกาและความเชื่อตอสิ่งเหนือ ธรรมชาติมาใชในการจัดการทรัพยากร สะทอนรากฐานความคิดการเคารพในธรรมชาติ ความสัมพันธเหลานี้ซึ่ง ตอมาพัฒนามาเปนความสัมพันธในทางวัฒนธรรมระหวางชุมชนสองฝงแมน้ําโขง ในการเขารวมงานบุญ งาน ประเพณีอื่นๆ รวมกัน เชน การไหวธาตุ จากการศึกษาพบลั้งในแมน้ําโขง-ลานนา 11 แหง
229
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และทรัพยากรชีวภาพ ในลุ่มน้ําโขง
รูปที่ 3 ระบบนิเวศแมน้ําโขงบริเวณเชียงแสน เชียงของ เวียงแกน ลั้งที่เปนกรณีศึกษาไดชัดเจนในเขตนี้ ซึ่งถูกกลาวถึงกันมานานและถูกศึกษาจากนักวิชาการและผูสนใจ ภายนอกอยูเสมอ คือ บริเวณลั้ง-ลวงจับปลาบึก บานหาดไคร บริเวณดอนแวง เปนระบบนิเวศเฉพาะที่ทําให สามารถจับปลาบึกไดปละครั้ง คือชวงหนาน้ําแลงพอเหมาะพอดีในรองทางวายผานของปลาบึก ประมาณชวง เม.ย. – พ.ค. ของทุกป หากน้ํานอย ปลาก็จะไมวายผาน หากน้ํามากกวาระดับรองน้ําเยอะ ปลาก็สามารถวายลงลึก หรือผานไปตามชองอื่นๆ ก็ได นอกจากนี้ดวยการจับปลาที่มีมาอยางยาวนานจึงมีการสงผานภูมิปญญาการจับและ การรักษา ผานพิธีกรรมการไหวผี ดังที่ ชาวประมงบอกวา ‘ปลาบึกเปนปลาผี ลาไมได ตองขอจากผี’ ผีที่ไหวคือผี ลวงหรือหลวง หรือผีใหญ ผีจะเปนผูบอกวา ปนี้จับไดกี่ตัว รวมทั้งการทําพิธีไหวผีรวมกันของชาวประมง ยังเกิด ความสัมพันธกันและการจัดคิวลงเรือออกหาปลา สวนในระบบนิเวศแมน้ําสาขา เชน แมน้ําอิง เปนพื้นที่ชุมน้ําใน/ใกลแมน้ําอิง มีระบบนิเวศยอย เชน ปา, หนอง, บวก, จํา ฯลฯ มีความเชื่อกํากับการเขาไปใชประโยชน เชน การไปเหยียบตาน้ําใน ‘จํา’ เปนสิ่งผิดผี รวมทั้งระบบนิเวศของปาชุมน้ําจะมีความแตกตางกัน ในหนาแลงจะเปนปา สําหรับเลี้ยงสัตว แตในหนาน้ําหลากจะ ทวมเปนที่อาศัย หากินของปลา การใชเครื่องมือหาปลาก็ปรับตามระบบนิเวศและฤดูกาล ซึ่งสิ่งเหลานี้จะเปนตัว กํากับวิถีชีวิตการหากิน การใชทรัพยากร ซึ่งตอมามีการพัฒนาเรื่องราวเหลานี้มาใชในการจัดการทรัพยากรยุค ปจจุบัน โดยการปรับความเชื่อและศาสนามาชวยในการจัดทําเขตอนุรักษพันธุปลาและปาชุมน้ําหรือปาชุมชนบน ดอย คือการบวชวังสงวนและการบวชปา ซึ่งจะกลาวรายละเอียดในบทตอไป
230
นิเวศวัฒนธรรมท้องถิ่นกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติลุ่มน้ําโขง กรณีแม่น้ําของ-ล้านนา / นิวัฒน์ ร้อยแก้ว
การใชนิเวศวัฒนธรรมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ นอกจากจะมีใหเห็นในการจัดการลั้ง/ลวงหาปลา ของชาวประมง และการประยุกตมาจัดการโดยการบวชวังสงวนหรือบวชปา แลวในอดีตยังมีพื้นที่การใชและดูแล แมน้ําโขงรวมกันผานวัฒนธรรมอีกมากมาย เชน การระบุแกงผา หรือระบบนิเวศใดวา มีผีเงือกหรือนาคอยูในจุดๆ ใดนั้น จนทําใหเกิดการยําเกรงในการไมกลาเขาไปจับสัตวน้ําในเขตนั้นมากนัก รวมทั้งกอนจับปลาหรือหาปลาใน เขตนั้นตองทําพิธีไหวผีน้ํา ไหวผีเงือกเสียกอน สิ่งเหลานี้มีมานานตั้งแตยุคลานนา โดยมีจารึกการจัดการทรัพยากร โดยใชนิเวศวัฒนธรรมอยูใน ‘มังรายศาสตร’ อยูมากมายหลายจุด เชน การจัดการเหมืองฝาย โดยมีระบบผีเหมือง ฝายเปนสําคัญ แมมังรายศาสตรจะมีฐานะเทียบเทากฎหมายของอาณาจักร ทวาก็ยังใหความสําคัญกับสิ่งเหนือ ธรรมชาติหรือวัฒนธรรม เชน ‘ผูใดอุกอาจทําใหหอบูชาฝายเสียหาย ผิดผีฝาย ฝายทะลุพังเสีย ใหสรางหอบูชาฝาย ขึ้นดังเดิม แลวใหมันจัดเครื่องพลีกรรมบูชาใหถูกตอง แลวใหมันสรางฝายขึ้นใหเหมือนเดิม ผิมันสรางฝายไมได ให มันจัดการเลี้ยงดูผูคนที่มาสรางฝายนั้นจนกระทั่งแลวเสร็จ... ผิมันไมยอมสรางหอบูชา ไมยอมจัดหาเครื่องบูชา แต จะขอสรางฝายใหเหมือนเดิม อยายอมใหมันสราง ถึงวามันเปนผูกอสรางก็จะไมมั่นคง เพราะเหตุผิดผีหอ ใหมันหา เครื่องพลีกรรมบูชาใหจงไดกอน แลวจึงใหมันสรางฝาย...’ (ประเสริฐ ณ นคร 2521) เห็นไดวา สิ่งเหนือธรรมชาติใน ที่นี่เกี่ยวพันกับขวัญของคน การผิดผีฝายคือการทําลายขวัญของคนดวย ผีจึงมีความสําคัญกวา เพราะการเลี้ยงผี คือการเลี้ยงคน ใหคนไดมารวมกันปรับแกหรือทํางานรวมกัน แทจริงการผิดผีคือการผิดตอกติการวมของคนหรือ ขวัญรวมของคน ซึ่งนี่คือพลังของนิเวศวัฒนธรรม คือการมีจุดรวมกันแลวทํางานรวมกันทั้งคนและผีหรือขวัญ กําลังใจ กลาวโดยสรุป สาระสําคัญของนิเวศวัฒนธรรมทองถิ่นพื้นที่ลุมน้ําอิง-กก ตอนปลายและชายฝงโขง มีความ หลากหลายไปตามบริ บ ทของระบบนิเ วศ ประวัติ ศ าสตร แ ละวั ฒ นธรรม ซึ่ ง คื อ การแสวงหาจุ ด รว มของคนกั บ ธรรมชาติ, คนกับคน และคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ เพื่อใหการอยูรวมกัน –การใชและการรักษาทรัพยากรอยาง ยั่งยืน อยางไรก็ตาม ในชวงสามทศวรรษที่ผานมามีการเปลี่ยนแปลงมากมายตอทรัพยากรธรรมชาติและวิถีชีวิต ผูคนในเขตนี้ ระบบนิเวศวัฒนธรรมถูกทําลายไปมาก ซึ่งจุดรวมของการอยูรวมกันของผูคนไดยายจากฐานนิเวศ หรือทรัพยากรธรรมชาติที่เชื่อมรอยโดยวัฒนธรรมการใช/การรักษาโดยพิธีกรรมความเชื่อหรือศาสนา มาเปนการ เชื่อมรอยโดยระบบเศรษฐกิจการเมืองของรัฐหรือการพัฒนาโดยใชเศรษฐกิจเปนตัวนําเพียงดานเดียว
การจัดการทรัพยากรโดยใชเศรษฐกิจเปนตัวนํา การจัดการทรัพยากรโดยใชเศรษฐกิจเปนตัวนําไดเขามาในประเทศลุมน้ําโขงตั้งแตสมัยยุคลาอาณานิคม ทวาก็ยังไมมีผลมากนักตอชุมชนทองถิ่นโดยทั่วไป สําหรับประเทศไทยการพัฒนาโดยใชเศรษฐกิจเปนตัวนําหรือ การจัดการทรัพยากรธรรมชาติเพื่อตอบสนองทางดานเศรษฐกิจเปนดานหลักเริ่มตนในป พ.ศ. 2504 โดยการ จัด การทรั พ ยากรและสิ่ ง แวดล อ มของประเทศส ว นใหญ จึ ง ขึ้ น ตรงต อ แผนพั ฒ นาเศรษฐกิ จ และสั ง คมแห ง ชาติ ฉบับที่ 1 อยางไรก็ตาม พื้นที่ลุมน้ําอิง-กก ตอนปลายและชายฝงโขง ซึ่งมีสถานะเปนพื้นที่ชายขอบของประเทศ มา ตั้งแตยุคสยาม และแมจะรวมเปนสวนหนึ่งของสยามในป พ.ศ. 2457 ทวาวิถีชีวิตของผูคนก็ยังหาอยูหากินกับ ทรัพยากรธรรมชาติและยังคงการจัดการทรัพยากรดินน้ําปา บนฐานของนิเวศวัฒนธรรม กระทั่งในราวทศวรรษที่ 231
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และทรัพยากรชีวภาพ ในลุ่มน้ําโขง
2520 พื้นที่เขตนี้ยังเปนพื้นที่ชายขอบของการตอสูทางของสงครามระหวางพรรคคอมมิวนิสตกับรัฐบาล แมการ เปลี่ยนแปลงตอนิเวศวัฒนธรรมยังมีไมมากนัก แตก็มีการสรางถนนสายยุทธศาสตรเขามาในพื้นที่ราบและภูดอย และมีการเคลื่อนยายผูคนกลุมชาติพันธุบางสวนจากภูดอยลงสูพื้นราบ เพื่อการแยงชิงมวลชน เชน มง เยา ลาหู นอกจากนี้ ยังเปนยุคเริ่มตนของการสรางโครงสรางพื้นฐานดวยการกอสรางถนนหนทางไวมากมาย อยางไรก็ตาม การทําไร ทํานา และการประมงยังคงอยูบนฐานนิเวศวัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลงในระดับการผลิตการเกษตรและการประมงที่เขาสูระบบเศรษฐกิจการคาอยางเต็มระบบ เกิดขึ้นในยุคทศวรรษที่ 2530 ถึงตนทศวรรษที่ 2540 เมื่อลาวมีการเปดประเทศ ขณะเดียวกันรัฐไทยก็เริ่มนโยบาย เปลี่ยนสนามรบเปนสนามการคาการลงทุน พื้นที่ชายแดนเขตนี้ เปนฐานในการที่จะไปลงทุนในประเทศเพื่อนบาน ขณะเดียวกันก็บุกเบิกพื้นที่การเกษตรเชิงเดี่ยวหรือเกษตรสารเคมีขึ้นสูภูดอย และการทํานาเพื่อการคาโดยเพิ่ม ผลผลิตดวยสารเคมีในพื้นราบลุมน้ําอิง รวมทั้งอุตสาหกรรมการทองเที่ยวที่ขายวัฒนธรรมคนเมืองเหนือและ วัฒนธรรมกลุมชาติพันธุตางๆ โดยทั้งหมดผูกโยงอยูกับการตลาดและผลกําไร เพียงดานเดียว รวมทั้งการจัดการ ตางๆ ของรัฐที่รวมศูนยอํานาจและจัดการปญหาแบบเชิงเดี่ยวเสมอมา ทําใหมีการเรงขายที่ดิน เรงการเกษตร สารเคมี เรงโหมการทองเที่ยวและการจัดการทองเที่ยวเพื่อสนองธุรกิจเปนดานหลัก อยางไรก็ตาม ผลกระทบที่เกิดจากนโยบายรัฐตอการจัดการทรัพยากรธรรมชาติในเขตนี้อยางมากที่สุดใน ทัศนะของคนชุมชนทองถิ่น เกิดขึ้นยุคปลายทศวรรษที่ 2540 ถึงทศวรรษที่ 2550 โดยนโยบายการคาเสรีของรัฐ และองคกรขามรัฐ โดยเฉพาะโครงการเดินเรือพาณิชยขนาดใหญในลําน้ําโขง หรือที่เรียกกันทั่วไปวา โครงการ ระเบิดเกาะแกงเพื่อการเดินเรือพาณิชยขนาดใหญ รวมกันระหวางจีน พมา ลาว ไทย ซึ่งเปนโครงการหนึ่งใน แผนการเปดการคาเสรีอาเซียน-จีน และไทย-จีน โดยนักวิชาการและรัฐบาลมองวา หินผาที่อยูในลําน้ําโขงเปน อุปสรรคของการพัฒนาจึงตองระเบิดออกใหเรือพาณิชยขนาดใหญเขามาทําการคา ทวาชาวบานชุมชนในทองถิ่น เห็นวา หินผาคือบานของปลา คือแหลงกําเนิดของชีวิตมากมายในลําน้ําโขง ซึ่งการมองของรัฐและนักวิชาการก็ เหมือนกับการมองของนักลาอาณานิคมฝรั่งเศสที่เห็นวาหินผาเกาะแกงในลําน้ําโขงเปนหินโสโครก หากจะทํา การคากับแผนดินจีนตอนในตองระเบิดหินผาและเกาะแกงออกเชนกัน โครงการนี้ผลักดันหลักโดยรัฐบาลจีน ตามนโยบายมุงลงใตของมณฑลยูนนาน ในขณะเดียวกันรัฐบาลไทย ก็ทําสัญญารวมสี่ประเทศโดยไมคํานึงตอชุมชนทองถิ่นและไมคํานึงถึงอธิปไตยของรัฐวามีสวนประกอบมาจาก ประชาชน แมรัฐบาลไทยจะมาจากการเลือกตั้ง ทวาการตัดสินใจหรือทําสัญญาขอตกลงระหวางรัฐตองไดเห็นชอบ จากประชาชนดวยเชนกัน โดยโครงการนี้มุงระเบิดเกาะแกงออกจากแมน้ําโขงตั้งแตซือเหมา สิบสองปนนา ในจีนยูน นาน เรื่ อยมาถึ ง ชายแดนพม า-ลาว ถึง สามเหลี่ ย มทองคํ า ชายแดนไทย-ลาว และถึ ง หลวงพระบาง โดยมี แนวโนมจะผลักดันใหถึงปากแมน้ําโขง โดยแบงออกเปน 3 ระยะ ขั้นสุดทายคือทําใหแมน้ําโขงมีสภาพเหมือนคลอง สงน้ําสําหรับการเดินเรือ 500 ตัน จีนเปนผูผลักดันหลักที่ลงทุนทั้งการศึกษาวิจัยและการระเบิดเกาะแกง
232
นิเวศวัฒนธรรมท้องถิ่นกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติลุ่มน้ําโขง กรณีแม่น้ําของ-ล้านนา / นิวัฒน์ ร้อยแก้ว
รูปที่ 4 การระเบิดแกงผาตอนเหนือสามเหลีย่ มทองคํา โครงการนี้ชะลอไวในระยะที่ 2 ไวแคเพียงเหนือสามเหลี่ยมทองคํา-เชียงแสน ขึ้นไป สวนในชายแดน ไทย-ลาว ตั้งแตสามเหลี่ยมทองคํา-ผาได อ.เวียงแกน ไดรับการคัดคานจากชาวบานริมแมน้ําโขงและชุมชนทองถิ่น ในเขตนี้ไมเห็นดวย โดยมีเหตุผลสําคัญคือ เสนแบงพรมแดนรัฐในลําน้ําโขงระหวางไทยลาวยังไมชัดเจน ซึ่งเปน ปญหาตกทอดมาแตสมัยอาณานิคมฝรั่งเศส ซึ่งการระเบิดเกาะแกงทําใหตัวชะลอน้ําโดยธรรมชาติหายไป ทําใหรอง น้ําเปลี่ยนและตลิ่งพังทลาย เกิดหาดและสันดอนกลางโขงเพิ่มขึ้น เจาหนาที่โครงการนี้ใหเหตุผลของการชะลอ โครงการไวที่สามเหลี่ยมทองคํา เพราะเรื่องการแบงเขตแดนยังไมเรียบรอย ทวาชาวบานและชุมชนทองถิ่นริมโขง ไดยืนยันผานงานวิจัยจาวบานวา รัฐควรใหความสําคัญตอระบบนิเวศวัฒนธรรมในแมน้ําโขง ดังที่กลาวแลว ใน ตอนตน เพราะระบบนิเวศวัฒนธรรมนํามาซึ่งความมั่นคงทางอาหาร เพราะเกาะแกงและระบบนิเวศอื่นๆ ในแมน้ํา โขงเปนแหลงอาศัยของพืชน้ํา เชน ไกหรือสาหราย และเปนที่หาอยูหากินของปลา นอกจากนี้เกาะแกงหินผายัง เปนเขื่อนโดยธรรมชาติในฤดูน้ําหลากไมใหตลิ่งริมฝงซึ่งเปนพื้นที่เกษตรริมแมน้ําโขงตองพังทลายลงมา ดวยเหตุนี้ หากทําลายบานของปลาก็ทําลายวิถีชีวิตคนริมโขงดวย นอกจากนี้แมน้ําโขงยังเปนพื้นที่หนาหมูหรือจุดรวมกันใน การใชและแบงปนทรัพยากรกันของคนสองฝงพื้นที่สุดทาย เพราะที่ดินพื้นราบก็ถูกขาย ถูกรุกซื้อ ถูกรุกที่ไปเกือบ หมดแลว พื้นที่บนดอยก็กลายเปนปาสงวนแหงชาติไปหมดแลว เหลือพื้นที่ทางนิเวศวัฒนธรรมหรือพื้นที่หนาหมูที่ สุด ท า ยซึ่ ง เกี่ ย วโยงกั บ ความมั่ น คงทางอาหารและที่ สํ าคั ญ เกี่ ย วโยงกั บ อธิ ป ไตยของรั ฐ ด ว ย เพราะอยู ใ นแนว ชายแดน ดังนั้นโครงการนี้ตองชะลอไป พรอมกับเปนกรณีศึกษาสําคัญในโครงการตอๆ ไป ที่จะเกิดขึ้นภายหนาวา จําเปนตองศึกษาและใหความสําคัญกับระบบนิเวศวัฒนธรรมชุมชนทองถิ่น ตองเขาใจการจัดการทรัพยากรบนฐาน นิเวศวัฒนธรรมที่มีอยูมากอนในแตละทองถิ่น พรอมกับเขาใจบริบทความหลากหลายของแตละทองถิ่นในลุมน้ําโขง ดวย ไมใชเขาใจเพียงคําวา ‘พัฒนา’ ซึ่งเปนชื่อหนึ่งในภาษาไทยของคําวา ‘ทุนนิยม’ ซึ่งตองการเพียงกําไร ผลประโยชนสูงสุด บนตนทุนต่ําสุดที่ผลักตนทุนทางธรรมชาติ ทางทรัพยากร วัฒนธรรมและสังคมไปใหคนอื่นๆ กรณีการระเบิดเกาะแกงยังสงผลมาสูคนริมแมน้ําโขงอยูในปจจุบันแมจะยังไมระเบิดในเขตชายแดนไทยลาว ทว าผลกระทบที่ เกิด ขึ้น ไดยืน ยัน การศึกษาและขอ กังวลของชาวบานที่ วา ไมคุ มคาทางเศรษฐกิ จ และไม สามารถจะเดินเรือไดตลอดปตามแผนการ แมจะเปดทางเดินโดยการระเบิดเกาะแกงไปหมดแลวทางตอนเหนือของ ไทย เพราะการเดินเรือยิ่งลําบากขึ้นในหนาแลง เพราะไมมีชองทางเดินเรือ อีกตลิ่งก็พังทําใหเกิดสันดอนขึ้นมาใหม 233
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และทรัพยากรชีวภาพ ในลุ่มน้ําโขง
นั่นเปนคําตอบแลววา ไมใชระเบิดเกาะแกงออกไปแลวจะคาขายทางเรือไดตลอดป รวมทั้งการที่มีถนนสาย R3A จากคุณหมิง-เชียงรุง-บอเต็นบอหาน-หลวงน้ําทา-บอแกว แลวเชื่อมตอกับถนนของไทยที่เชียงของโดยสะพาน มิตรภาพไทย-ลาว แหงที่ 4 การคาขายทางรถจะมีบทบาทสําคัญและคุมคากวาในระยะยาว อยางไรก็ตาม รัฐไทยก็ ยังมีโครงการกอสรางทาเรือขนาดใหญแหงใหมเพื่อรองรับเรือสินคาจากจีนบริเวณปากแมน้ํากก ในอําเภอเชียงแสน ขึ้นมาอีก โดยหากมองในทางเศรษฐกิจแลวก็ยังไมเห็นจุดคุมคากับทรัพยากรที่เสียไป เพราะบทบาทการคาขาย ทางเรือในลําน้ําโขงจะนอยลงทุกวัน ในขณะเดียวกัน พื้นที่หนาหมูของคนชายขอบ ทรัพยากรธรรมชาติในแมน้ํา โขงซึ่งเปนแหลงชีวิตของคนหาปลา-คนยากคนจน ตองถูกทําลายไปอยางไรคา ตัวอยางของการพัฒนาโดยใชเศรษฐกิจนํา นอกจากเรื่องการระเบิดเกาะแกงในลําน้ําโขงแลว ยังมีเรื่องการ สรางเขื่อนเพื่อผลิตกระแสไฟฟาปอนภาคอุตสาหกรรม หรือภาคเมือง รวมทั้งการสรางเขื่อนใหเดินเรือพานิชย ขนาดใหญด วย เพราะดวยสาเหตุของการระเบิดแก งทําใหทางน้ําเปลี่ย น ตลิ่ งพังจนเกิ ดสัน ดอนเพิ่มขึ้น และ หนาแลงน้ําก็แหง ทําใหตองมีการเปดปดน้ําเหนือเขื่อนใหสามารถเดินเรือไดอยูตลอดเวลา ทําใหวงจรน้ําขึ้นลงไม เปนไปตามธรรมชาติ จากการศึกษาชาวบานและชาวประมงยืนยันตรงกันวา น้ําในแมน้ําโขงขึ้น-ลงไมปกติ ไม เปนไปตามฤดูกาลอีกตอไป น้ําจะขึ้นและลงอยางรวดเร็วภายในสัปดาห ภาวะเชนนี้ทําใหการวางไขของปลาสับสน รวมทั้งพืชน้ําที่สําคัญคือ ไกหรือสาหรายแมน้ําโขง ซึ่งเปนพืชอาหารหลักของปลา โดยเฉพาะปลาบึก ตองแหงตาย เมื่อน้ําแหงเร็ว และเนาไปเมื่อจมน้ํามาก เพราะไกจะเติบโตในสภาวะที่อยูในระดับน้ําลึกประมาณ 50 ซ.ม. หากลึก หรือตื้นกวานี้ก็จะตายหรือเนาเปอยไป สิ่งเหลานี้นํามาซึ่งพันธุปลาและพืชลดจํานวนลงอยางมากมาย อยางไรก็ดี เรื่องการสรางเขื่อนในลําน้ําโขงยังสะทอนใหเห็นการจัดการทรัพยากรขามรัฐชาติเพื่อหนุนนํา เศรษฐกิจใหรุดหนาต อไปตามกระแสโลกาภิวัตน ที่ใหค วามสํ าคัญ ภาคของเศรษฐกิ จเสรีเปน สําคัญ โดยหาก กลาวถึงแมน้ําโขงยอมหมายถึงแมน้ําของคน 7 ประเทศ ดังที่กลาวแลว เพราะแมน้ําแมจะชื่อตางกันในแตละ ประเทศแตก็ไหลไปหากันทุกประเทศ โครงการที่มีผลกระทบดานลบตอลุมน้ําอิง-กก ตอนปลายและชายฝงใน ลักษณะขามรัฐชาติก็คือ โครงการสรางเขื่อนขนาดใหญเพื่อผลิตกระแสไฟฟาของรัฐบาลจีนในมลฑลยูนนาน โดยมี แผนการสราง 8 เขื่อน สรางเสร็จและเปดใชแลว 3 เขื่อน คือ มันวาล, ดาเซาชาน และเสี่ยววาน โดยที่สรางเสร็จ และทดลองเปดใช 1 ประตูหรือ 1 เครื่องกําเนิดไฟฟา คือ เขื่อนจินหง ซึ่งอยูเหนือประเทศไทยไปจากสามเหลี่ยม ทองคํา 345 กิโลเมตร โครงการเหลานี้สรางผลกระทบตอระบบนิเวศวัฒนธรรมของคนกลางน้ําและทายน้ําอยาง มหาศาล โดยมุมมองความคิดของรัฐบาลจีนวา แมน้ําโขงในเขตนั้นซึ่งคนจีนเรียกวา หลานซางเจียง อยูในเขต อธิปไตยของจีน จีนสามารถจะกระทําอะไรก็ได กลาวสําหรับเขตพื้นที่ลุมน้ําอิง-กก ตอนปลายและชายฝงโขง เริ่มเห็นผลของการเปลี่ยนแปลงครั้งแรกในป พ.ศ. 2539 หลังจากเขื่อนมันวานเปดใชอยางเปนทางการ โดยเกิดปรากฏการณหนาแลงน้ําโขงแหงผิดปกติในปนั้น หลังจากนั้นเมื่ออีกสองเขื่อนเปดใชอยางเปนทางการก็ยิ่งสรางผลใหกระแสน้ําขึ้นลงไมเปนปกติ โดยเฉพาะในชวง ระเบิดเกาะแกงชวงเขตแดนจีน-พมา-ลาว และการเปดใหเรือสินคาจากจีนลงมาในหนาน้ําแลงยิ่งสรางภาวะน้ําขึ้น และลงไมปกติ คือขึ้นเร็วและลงเร็วจนชาวประมงไมสามารถอานวิถีแหงสายน้ําไดตามภูมิปญญาที่สืบทอดกันมา รวมทั้งกระแสน้ําที่ขึ้นลงไมปกติมีผลตอพืชน้ําชนิดสําคัญคือไก หรือสาหรายน้ําโขง และไกคือหนึ่งในหวงโซอาหาร ใหปลาและสัตวน้ําอื่นๆ เมื่อไกสูญหายหรือตายไปปลาก็จะมีผลตามมาคือ วงจรชีวิตที่ไมปกติ จํานวนชนิดและ พันธุปลาลดลง แนนอนวา สวนหนึ่งของการลดลงของจํานวนและชนิดพันธุปลาเกิดจากประมงที่ผิดวิธีดวย แตการ 234
นิเวศวัฒนธรรมท้องถิ่นกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติลุ่มน้ําโขง กรณีแม่น้ําของ-ล้านนา / นิวัฒน์ ร้อยแก้ว
ตัดหวงโซอาหารหรือทําลายหวงโซอาหารทั้งระบบของนิเวศแมน้ําโขงยอมเปนปจจัยสําคัญตอเรื่องนี้ กระทั่ง ชาวประมงในบางหมูบานตองเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต เสนทางการหาปลาที่เชื่อมรอยชุมชนตางๆ ตั้งแตเขตเหนือ สามเหลี่ยมทองคําเขาไทย-ลาว ไดสูญหายไป ชุมชนทองถิ่นหลายชุมชน เชน บานหวยลึก บานปากอิงใต ที่เปน ชาวประมงและลูกหลานตองปรับสูระบบเกษตรเชิงเดี่ยว ทวาดวยขอจํากัดของที่ดินในการเกษตร รวมทั้งการ บุกเบิกพื้นที่ใหมๆ ก็เปนไปไมไดอีก จึงตองอพยพเขาทํางานในเมืองใหญ การสรางเขื่อนมักมาพรอมคําวา ‘เขื่อนชวยใหทายน้ําไมแหงในหนาแลง และจะปองกันน้ําทวมหนาน้ํา หลาก’ ทวาหลังการเปดใชเขื่อนในแมน้ําโขงตอนบนแลว 3 เขื่อน ปรากฏผลตรงขามกันคือหนาแลงน้าํ แหงมาก แต ผูนิยมเขื่อนโดยเฉพาะรัฐจีนใหเหตุผลวา เกิดจากสิ่งแวดลอมของโลกโดยรวมที่เปลี่ยนแปลงไป ทําใหน้ําแหง แตไม ยอมรับวา เขื่อนเปนสวนสําคัญที่ทําใหน้ําโขงแหง อยางไรก็ตาม หลังจากเหตุการณน้ําทวมหนักในเขตน้ําอิง-กก ตอนปลายและชายฝงโขง ใน วันที่ 9-15 ส.ค. พ.ศ. 2551 ที่ผานมา เปนบทเรียนและพยานสําคัญที่เกิดน้ําทวมทาย เขื่อนจีนอยางหนักที่สุดในรอบ 40 ป โดยมีรายงานน้ําทวมหนักหนาเขื่อนจีนจนมีประชาชนเสียชีวิต 40 คน และ ผูคนกวาแสนตองอพยพออกจากพื้นที่เสี่ยงภัย เมื่อน้าํ หนาเขื่อนมีมากและประชาชนเสียชีวิตจึงจําเปนตองเปด เขื่อนปลอยน้ําลงมา พื้นที่ลุมน้ําอิง-กก ตอนปลายและชายฝงโขงเปนพื้นที่ราบแรกสุดทางตอนใตของจีน ปริมาณ น้ําโขงที่ขึ้นทวมอยางรวดเร็วในคืนเดียวเกือบสองเมตร ไหลยอนจากปากแมน้ํากกและอิงเขาไปในลําน้ําเกือบ 30 กม. โดยไมมรี ายงานปริมาณน้ําฝนที่ไหลมาจากตนแมน้ํากก-อิง แตอยางใด นอกจากนี้ยังมีขอมูลยืนยันไดจาก สถานีวัดระดับน้ําที่จินหง มีระดับน้ําสะสมใน 1 สัปดาห 1,400 กวา มม. เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2551 กระแสน้ํา เดินทางจากเมืองจินหงมาถึงอําเภอเชียงแสนใชเวลาประมาณ 5 วัน ซึง่ สอดรับกับปริมาณน้ําในแมน้ําโขงที่ เชียงแสนซึง่ มีความสูงถึง 10.68 เมตร ในเวลา 18.00 น. ของวันที่ 11-12 สิงหาคม พ.ศ. 2551 (ศูนยสํารวจอุทก วิทยาที่ 12 เชียงแสน สํานักงานทรัพยากรน้ําภาค 1 กรมทรัพยากรน้ํา กระทรวงธรรมชาติและสิ่งแวดลอม, 2551) มันเปนเครื่องยืนยันวาปริมาณน้ําที่ทวมในครั้งนัน้ มาจากการเปดเขื่อนจินหง
รูปที่ 5 เขื่อนจินหงซึ่งอยูไมไกลจากตอนเหนือของประเทศไทยไป 345 กม.
235
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และทรัพยากรชีวภาพ ในลุ่มน้ําโขง
น้ําทวมครั้งนี้ ทําใหชาวบานเตรียมตัวไมทันเพราะในอดีตน้ําจะคอยๆ ขึ้น แตในครั้งนี้ไมสามารถรับมือได ทัน สรางผลเสียหายตอพื้นที่เกษตรริมโขง ตลิ่งพังทลายหลายจุด สัตวเลี้ยง บานเรือนและถนนหนทาง ทางการจีน ก็ตอบโตทางหนังสือพิมพวา จีนปดปลอยน้ําทวมไทยลาว โดยใหเหตุผลวาน้ําในเขื่อนยังสามารถรับน้ําไดอยู แตก็ ไมปฏิเสธวาไมเปดเขื่อนและก็ไมมีใครสามารถหามไมใหฝนไปตกเหนือเขื่อนได ดวยเหตุนี้จึงถึงเวลาแลวหรือยังที่ จะทบทวนการพัฒนาโดยใชเศรษฐกิจนําหนา เพราะมันสรางความเสียหายใหกับทรัพยากรธรรมชาติและชุมชน มากมาย และตองศึกษาตอไปวาแลวความเสียหายที่เกิดขึ้นใครจะเปนคนชดเชยใหกับชาวบาน ใหกับชุมชนทองถิ่น ไมใชหนาที่ของรัฐบาลไทยที่ใชเงินจากการเสียภาษีของคนไทย หรือแลวใครไดประโยชน หากไมใชจีนและกลุมทุน ที่ใชไฟฟาเพื่อการอุตสาหกรรม ซึ่งก็เปนบทพิสูจนวาสิ่งที่กระทําไปโดยไมเคารพระบบนิเวศหรือสิ่งที่เปนไปตาม ทางธรรมชาติอยางจริงจัง ยอมกอใหเกิดความเสียหายกับชุมชนที่อยูอาศัยในลุมน้ําโขง ซึ่งจากการสํารวจเบื้องตน ตอผลกระทบจากน้ําทวมครั้งนี้ในภาคเหนือตอนบน ประเมินความเสียหายไดไมต่ํากวา 85 ลานบาท และยังไมนับ รวมผลกระทบในภาคอีสานและในประเทศลาวซึ่งไดรับผลกระทบไมตางกัน
รูปที่ 6 ภาพน้ําทวมดานทาเรือเชียงของในป พ.ศ. 2551 น้ําทวมครั้งนี้จึงเปนบทเรียนสําคัญที่คําอางวา ‘เขื่อนชวยใหทายน้ําไมแหงในหนาแลง และจะปองกันน้ํา ทวมหนาน้ําหลาก’ ไมเปนจริงและไมสมควรนํามาใชอีกตอไป เพราะแทจริงแลว เขื่อนถูกออกแบบมาเพื่อผลิต กระแสไฟฟาปอนเขตอุตสาหกรรมในภาคตะวันออกของจีนและสงตอเมืองอุตสาหกรรมของไทยเทานั้นเอง ซึ่งก็คือ การขับเคลื่อนเศรษฐกิจระบบตลาดทุนเสรี หรือที่มีชื่อ ‘เศรษฐกิจสังคมนิยมแบบเปด’ ของจีน โครงการเขื่อนในแมน้ําโขงและโครงการระเบิดเกาะแกงเปนกรณีตัวอยางของการจัดการทรัพยากรลุมน้ํา โขงขามรัฐชาติ ที่ใหบทเรียนอันมากมายตอชุมชนทองถิ่นริมน้ําโขงและตอรัฐไทย รวมทั้งตอการศึกษาองคความรู ในการจัดการทรัพยากรลุมน้ําโขง ซึ่งหากไมยอมเรียนรูและตระหนักตอผลกระทบของระบบเศรษฐกิจการเมือง กระแสหลักที่ครอบงําไปทั่วโลกตอระบบนิเวศวัฒนธรรมซึ่งมุงสูระบบเศรษฐกิจชุมชนพึ่งตนเอง ยอมนําไปสูความ เสี่ยงที่จะเกิดสงครามแยงชิงทรัพยากรธรรมชาติในอนาคต
236
นิเวศวัฒนธรรมท้องถิ่นกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติลุ่มน้ําโขง กรณีแม่น้ําของ-ล้านนา / นิวัฒน์ ร้อยแก้ว
การจัดการทรัพยากรโดยใชนิเวศวัฒนธรรมและบทเรียนกับการปรับตัวของชุมชนทองถิ่น ผลกระทบที่เกิดขึ้นทําใหเกิดการตื่นตัวของชาวบานและองคกรชาวบานในชุมชนทองถิ่นเขตแมน้ําอิง-กก ตอนปลายและชายฝงโขง เชน เกิดการรวมตัวของกลุมรักษเชียงของ ซึ่งทํางานกิจกรรมดานสิ่งแวดลอมใน อ.เชียง ของ มากอนตั้งแตปพ.ศ. 2535 กับชมรมอนุรักษทรัพยากรธรรมชาติแมน้ําอิงตอนปลาย ซึ่งกอตั้งเมื่อ ปพ.ศ. 2543 และโครงการแมน้ําและชุมชน กอตั้งเมื่อ ปพ.ศ. 2542 โดยรวมตัวกันเปนเครือขายอนุรักษทรัพยากรธรรมชาติและ วัฒนธรรมลุมน้ําโขง-ลานนา โดยเริ่มแรกเมื่อทราบขาววา ทางรัฐบาลใหเจาหนาที่จีนเขามาระเบิดเกาะแกง ก็มีความหวาดกังวลของ ชาวบาน และเกิดการรวมตัวกันขอขอมูลขาวสาร เรียกรองขอมูลและความโปรงใสของตัวโครงการรวมฯ หลังจาก นั้นจึงประสานงานกับองคกรทองถิ่น องคกรพัฒนาเอกชน สื่อมวลชน นักวิชาการ และภาครัฐ ฝายความมั่นคง รวมทั้งฝายการเมืองดวย ในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เรียกรองใหทบทวนผลกระทบที่จะเกิดขึ้น โดยเสนอใหมี การศึกษาวิจัยผลกระทบทางสิ่งแวดลอมใหละเอียดรอบคอบใหมอีกครั้ง ซึ่งครั้งแรกนั้น ทางฝายจีนเปนฝายจัดทํา รายงานการศึกษาผลกระทบดานสิ่งแวดลอมเพียงฝายเดียวและถูกวิพากษวิจารณวา เปนเพียงคูมือการระเบิดเกาะ แกงเทานั้น ขาดรายงานผลกระทบดานระบบนิเวศ ดานสังคม ดานวัฒนธรรม ซึ่งทางรัฐบาลก็ใหมีการจัดทํา รายงานผลกระทบทางดานสิ่งแวดลอม สังคมและวัฒนธรรมใหมอีกครั้ง ขณะเดียวกันเครือขายฯ ชาวบานก็ได รวมกันศึกษาวิจัยดวยเชนกัน ในชื่อที่วา ‘งานวิจัยจาวบาน’ ศึกษาความสําคัญของระบบนิเวศแมน้ําโขงทั้งแต สามเหลี่ยมทองคําจนถึงผาได และเจาะลึกในจุดที่เรียกวา คอนผีหลง รวมทั้งศึกษาผลกระทบที่เกิดขึ้นหากมีการ ระเบิดเกาะแกงทั้งทางดานวัฒนธรรม สังคมและเศรษฐกิจดวย งานวิจัยจาวบานที่รวมกันทํางานระหวางเครือขายฯ และองคกรพัฒนาเอกชน ในครั้งนี้เปนครั้งแรกที่มีการ จัดการความรูของชาวบานหรือความรูรวมของคนเล็กคนนอยในเขตนี้ โดยมีกรอบการศึกษาในแนวทางนิเวศ วัฒนธรรม เพื่อนําผลการศึกษามาใชในการรณรงคใหการเรียนรูรวมกันของชาวบานและองคกรในชุมชนทองถิ่นเอง รวมทั้งใชในการเสนอแนะในระดับนโยบายตอสาธารณะในกรณีการระเบิดเกาะแกงแมน้ําโขง อี ก บทเรี ย นหนึ่ ง ก็ คื อ การทํา งานวิ จั ย เพื่ อ ท อ งถิ่ น ในเรื่ อ งงานวิ จั ย ประวั ติ ศ าสตร ท อ งถิ่ น เชียงของ-เวียงแกน: สังคมชายขอบทามกลางการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจการเมืองในอนุภูมิภาคลุมน้ําโขง ซึ่งเปนการตอกย้ําการจัดการความรูจากมุมมองของคนใน และใหความเชื่อมั่นตอคนในชุมชนทองถิ่นและ องคกรทองถิ่นวา พวกเราก็สามารถจัดการความรูโดยตนเองได และกระบวนการศึกษาเชนนี้ของคนในชุมชน ประสานกับนักวิชาการ ทําใหเกิดความรูที่เชื่อมโยงกับความเปนจริงของชุมชนทองถิ่น ทําใหเกิดการรอยรัด คนขึ้นมารวมกันแลกเปลี่ยนไดมากมาย และสามารถนําไปสูการขยายผลตอยอดอีกมากมาย ในขณะเดียวกันเครือขายฯ ชาวบานก็ไดใชความรูจากการศึกษาที่ผานมา รวมทั้งการจะทํางานโครงการ พัฒนาหรืออนุรักษพื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติในชุมชนทองถิ่น เพื่อสรางรูปธรรมในการปรับตัวและพึ่งตนเองของ ชาวบาน โดยการทํางานการจัดการความรูหรืองานวิจัยจาวบาน เพื่อศึกษาหาความรูรวมหรือตนทุนที่มีอยูกอนแลว นํามาปรับประยุกตหรือตอยอดในการทํางาน เชน โครงการฟนฟูชุมชนทองถิ่นลุมน้ําอิงตอนปลายและชายฝงโขง เริ่มตนที่ 14 ชุมชน ครอบคลุมพื้นริมฝง โขง พื้นราบน้ําอิงและกลุมชาติพันธุบนภูดอย เพื่อสรางรูปธรรมในการ จัดการปาชุมชน การจัดการเขตอนุรักษพันธุปลา การฟนฟูวัฒนธรรม การทดลองจัดการทองเที่ยวโดยชุมชนและ 237
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และทรัพยากรชีวภาพ ในลุ่มน้ําโขง
การจัดการเมืองใหนาอยู ซึ่งในปจจุบันเครือขายฯ ขยายผลการทํางานเปน 39 ชุมชน ในเขตอ.เชียงแสน เชียงของ ขุนตาล เทิง และเวียงแกน โดยมีการจัดตั้งเขตอนุรักษวังปลาในลุมน้ําอิงและโขงจํานวน 23 เขต การจัดตั้งปาชุมชน จํานวน 19 ปาชุมชน การสงเสริมกองทุนวัวในเขตปาชุมชนเพื่อเปนแนวกันไฟหรือการจัดการไฟปา (อันนี้เปนการ นําแนวคิดนิเวศวัฒนธรรมซึ่งตางจากหนวยงานของรัฐที่ปองกันไฟปาโดยการสรางแนวกันไฟซึง่ ตองจางคนใชคน จัดการ แตของชาวบานใชวัวเลี้ยงในปาชุมชน โดยไฟไมไหมปา เพราะวัวอยูในปามันก็กินหญาแลวคนที่ขึ้นไปดูวัว ก็เปนยามใหดวย เชน บานหวยคุ และอีกสองสามหมูบานทํามาแลวสองสามป ไฟก็ไมไหมปา ในขณะเดียวกันวัวก็ มีมูลคาทางเศรษฐกิจหรือธนาคารเคลื่อนที่ของชาวบานดวย เปนการจัดการปาโดยใชนิเวศวัฒนธรรมในการจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติอยางยั่งยืนและเอื้อตอชุมชนในการสรางเศรษฐกิจใหกับชุมชน) นอกจากนี้เครือขายฯ ยังมีการ ตอยอดการทํางานที่กาวไปสูระบบเศรษฐกิจชุมชนพึ่งตนเองบนฐานการจัดทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรม เชน การผสมเทียมและเพาะเลี้ยงพันธุปลาจากเขตอนุรักษมาเลี้ยงลูกปลาขาย รวมทั้งการปลอยลงแมน้ําดวย นอกจากการเลี้ยงวัวเพื่อจัดการไฟปาดวยนิเวศวัฒนธรรมแลว ยังมีอีกสามกรณีตัวอยางในพื้นที่อิง-กก ตอนปลายและชายฝงโขง ซึ่งไดนําความรูเรื่องนิเวศวัฒนธรรมมาใชในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ กลาวคือ 1) การบวชวังสงวนหรือจัดตั้งเขตอนุรักษสัตวน้ํา โดยนําเอาความรูเรื่องลั้งหรือลวง ซึ่งเปนแหลงหาปลา รวมกันของคนสองฝงโขงมาจัดตั้งเปนวังสงวน โดยเลือกเอาวังสงวนที่เลิกใชรวมกันไปแลว หรือเลือกจากวังปลาที่ มีผีเงือกหรือนาค หรือวังปลาที่เชื่อกันวามีผีอยูมาเปนวังสงวนถาวร ใหเปนที่อยูและที่วางไขของปลาตลอดไป แต เหลือวังปลาอื่นๆ ในชุมชนไวหากิน เมื่อศึกษาถึงลั้ง-ลวงหรือวังปลารวมกันแลวจึงปรึกษาหารือรวมกัน จัดประชุม ร า งกฎกติ ก าในการดู แ ลรั ก ษาร ว มกั น บางส ว นก็ ไ ปศึ ก ษาดู ง าน รวมทั้ ง หากมี ก ารฝ า ฝ น ก็ มี บ ทลงโทษโดย คณะกรรมการที่จัดตั้งขึ้นจากการประชุมของคนในชุมชนทั้งหมด หลังจากนั้นจึงนัดหมายหาวันดีจัดพิธีกรรมบวชวัง สงวน โดยใชพิธีสงฆเขามา และมีการกินเลี้ยงรวมกัน โดยเกือบทุกวังสงวนจะจัดพิธีบวชวังสงวนเกือบทุกป ทั้งนี้ ขึ้นอยูกับความพรอมของคนในชุมชน ในปจจุบันนอกจากในลําน้ําอิงและน้ําโขงฝงไทยแลว การบวชวังสงวนหรือ จัดตั้งเขตอนุรักษพันธุสัตวน้ําไดจัดตั้งในฝงลาว โดยคนลาวในชุมชนริมฝง เชน บานตนผึ้ง เมืองตนผึ้ง บานปากงาว ในลําน้ํางาว แขวงบอแกว และในแขวงอื่นๆ ของลาวอีกนับสิบแหง
238
นิเวศวัฒนธรรมท้องถิ่นกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติลุ่มน้ําโขง กรณีแม่น้ําของ-ล้านนา / นิวัฒน์ ร้อยแก้ว
รูปที่ 7 ภาพชาวบานลงจับปลาในลําน้ําอิงตอนหนาแลงในบริเวณที่เปดใหจับได 2) การบวชปาหรือการจัดตั้งปาชุมชน โดยการใชงานวิจัยจาวบานในการสํารวจปา สํารวจพันธุพืชหรือ จัดการความรูใหเห็นความสําคัญของปาที่เหลืออยูกอน หลังจากนั้นจึงนําความเชื่อหรือการบวชมาเปนหมายใน พิธีกรรมรวมกันที่จะดูแลอนุรักษปา หรือมาปรึกษาหารือรวมกันในการที่จะจัดตั้งเขตปาชุมชน สําหรับหลายชุมชน ก็ เ ริ่ ม ต น จากป ญ หาน้ํ า ห ว ยแห ง แล ง ป า ไม แ ทบเหลื อ หรื อ เกื อ บหมดไปแล ว มี แ กนนํ า เห็ น ความสํ า คั ญ จึ ง จั ด ปรึกษาหารือถึงความสําคัญของปา บางสวนก็พากันไปศึกษาดูงาน แลวกลับมาประชุมจัดตั้งคณะกรรมการดูแลปา ในชุมชน หลังจากนั้นจึงนําพิธีกรรมความเชื่อทางพุทธศาสนามาประยุกตใชในการบวชปา สวนใหญแลวชุมชนที่ จัดตั้งปาชุมชนโดยการใชการจัดการความรูหรือศึกษาความสําคัญของปาและพันธุพืชพันธุสัตวรวมกันกอนจะ มองเห็นการอนุรักษปาในมุมของการใชประโยชนจากปาแลวตองดูแลรักษาปา ดังคํากลาวที่วา กินจากปาก็ตอง ดูแลปา กินจากน้ําก็ตองดูแลน้ํา สวนชุมชนที่จัดตั้งปาชุมชนโดยไมจัดการความรูรวมกันกอนสวนใหญจะมองเห็น ปาอนุรักษในลักษณะที่ชาวบานไมสามารถเขาไปใชประโยชนอะไรจากปาได ไมมีการแบงเขตและประเภทการหาม ใชหรือการใช คือมองเห็นการอนุรักษเปนเขตหวงหามไวเฉยๆ
239
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และทรัพยากรชีวภาพ ในลุ่มน้ําโขง
รูปที่ 8 ภาพปาชุมน้ําในหนาน้ําหลากทวม เขตแมน้ําอิง
รูปที่ 9 ภาพปาชุมชนในหนาแลงเขตแมน้ําอิง 3) เรื่องของปลาบึก เปนตัวอยางที่ดีอันหนึ่งในความลมเหลวของการจัดการทรัพยากรธรรมชาติโดยใช เศรษฐกิจเปนตัวนํา แรกเริ่มเดิมทีเมื่อรอยปที่แลวชาวประมงจับปลาบึกโดยขอจากผีลวงผีหลวง จับไดแลวแบงกัน กิ น ทั้ ง หมู บ าน นานมาในยุ ค สมั ย ใหม มี ค านิ ย มที่ กิ น ปลาบึ ก แล ว บอกว า จะฉลาดเหมื อ นขงเบ ง เมื่ อ มี ก ารโหม โฆษณาการทองเที่ยวการจับปลาบึกมีราคาสูงยิ่ง การจับปลาจึงจับเพื่อขาย ในขณะเดียวกันรัฐไทยโดยกรมประมง ได อ อกกฎหมายห า มการจั บ ปลาบึ ก หากจั บ ปลาบึ ก ก็ ต อ งขออาญาบั ต ร และเพื่ อ ให ก รมประมงใช ผ สมเที ย ม เพาะพันธุ เพื่อปลอยลงแมน้ําลําคลองและเขื่อนหรืออางเก็บน้ํา และมีหลายสวนที่สงขายใหบอเลี้ยงปลาบึกในภาค ธุรกิจ โดยที่ชาวประมงถูกบีบถูกลาดวยการจัดการทรัพยากรโดยรัฐมาตลอดจนแทบจะสิ้นไปจากสายน้ําโขง ทวา ไมเคยมีแนวคิดใหความรูการจัดการปลาบึกแกชาวบานเลย ดวยความกลัวหรือขอกังวลที่วา ปลาบึกเปนปลาที่ใกล
240
นิเวศวัฒนธรรมท้องถิ่นกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติลุ่มน้ําโขง กรณีแม่น้ําของ-ล้านนา / นิวัฒน์ ร้อยแก้ว
จะสูญพันธุ จึงมีขอเสนอใหชาวประมงหยุดจับปลาบึกซึ่งมันก็ตรงดี แตการสูญพันธุของปลาใหญอยางปลาบึก หรือ ปลาอื่นๆ ยอมมีปจจัยมาจากหลายสาเหตุ
รูปที่ 10 ภาพปลาบึกที่จับไดเพียงหนึ่งตัวในป พ.ศ. 2552 ในรูปผูสื่อขาวชาวญี่ปุนใหความสนใจมาทําขาวเชนทุกป สาเหตุสําคัญเปนอันดับแรกคือ ระบบนิเวศจะตองเอื้อตอปลาบึกดวย ดังนั้นสิ่งที่คิดเปนอันดับแรกคือปลา บึกจะไมหมดไปจากน้ําโขงถาระบบนิเวศไมถูกทําลาย หินผาจะตองเอื้อใหปลาสามารถอยูได อันดับตอมาจะทํา อยางไรใหชาวบานที่เปนนักลาไดกลับมาเปนนักอนุรักษ อนุรักษทั้งปลาบึก อนุรักษทั้งแมน้ําโขง หากินกับปลาบึก หากินกับแมน้ําไดโดยไมแยกคนหาปลาออกจากน้ํา ไมแยกปลาออกจากระบบนิเวศ คนหาปลาอยูได ปลาก็อยูได ระบบนิเวศตองคงอยูดวย ปจจัยเอื้อเหลานี้ มันสัมพันธกันเปนนิเวศวัฒนธรรม โดยความเปนอยูของผูคนกับแมน้ํา ไมสามารถแยกออกจากกันได เรื่องนี้เปนเรื่องเดียวกันกับการไลคนออกจากปา ฉะนั้นจําเปนตองคิดใหมวา ระบบ นิเวศตองยั่งยืน ตองไมทําลายระบบนิเวศ และตองยกระดับชาวบานใหมีสวนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ โดย สามารถเขาถึงขอมูลและจัดการความรูไดเองดวย ยกตัวอยางเรื่องขององคความรู ชาวบานมีความรูในการจับปลาบึกแตในดานการอนุรักษจะทําอยางไร ตองใหชาวบานเขามามีบทบาทในสวนนี้ดวย การที่กรมประมงใหชาวบานจับปลาบึกกรมประมงพึ่งชาวบาน ไปเอา ไข เอาน้ําเชื้อ เพื่อมาผสมพันธุซึ่งเปนองคความรูของกรมประมง แตชาวบานไมรูเรื่องนี้เลย ทางกรมประมงตองคิด ใหม ในมุมมองของการลาปลาบึกสุดทายแลวชาวบานถูกเปนผูลา และยังมีการออกอาญาบัตรตั้งแตป พ.ศ. 2533 ซึ่งจริงๆ แลวการลาปลาบึกไมใชลากันตลอดป จะลากันเฉพาะปลายเดือนเมษายน – เดือนพฤษภาคมเทานั้น เพราะถาเลยชวงนี้ไปปลาจะไมขึ้นชองเดิมและก็ไมสามารถจับได กรมประมงตองคิดใหม โดยไมเอาชาวบานออก จากแมน้ําโขง แตตองใหชาวบานอยูกับแมน้ําโขง เปดใหมีการจับปลาในรูปแบบเพื่อการศึกษาและผสมเทียมได แลวคอยปลอยลงสูแมน้ําโขง ซึ่งทําใหเกิดวงจรในการอนุรักษอยางยั่งยืน ไดทั้งผลประโยชน ไดทั้งหนาตาและได ดูแลแมน้ําโขง เพราะชาวบานรูวาถาทําลายระบบนิเวศปลาก็ไมสามารถอยูได ตองยกระดับชาวบานโดยผาน งานวิจัยวา เราอยูกินกันมาอยางไร ใหเขาเขาใจระบบนิเวศวัฒนธรรม เพื่อนําไปสูการจัดการอยางยั่งยืน
241
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และทรัพยากรชีวภาพ ในลุ่มน้ําโขง
ในปจจุบันถาพูดถึงปลาบึกทุกคนจะนึกถึงเชียงของ แตจะทําอยางไรใหมันไดทั้งการทองเที่ยว ไดทั้ง การศึกษา เปลี่ยนทาลาใหกลายเปนทาทองเที่ยว สรางพิพิธภัณฑขึ้นและจางชาวบานที่เปนนักลาเขาไปทําใหมัน เกิดความสมบูรณในการเปนวิทยากร นี่เปนตัวอยางของแนวคิดการจัดการทรัพยากรธรรมชาติโดยผานกรณีศึกษา การจับปลาบึกเปนตัวชี้ใหเห็นถึงการจัดการที่ถูกตอง ซึ่งตองใชฐานของชุมชนเปนตัวกําหนดไมใชใชฐานความคิด ขางนอกกําหนดขางใน แลวนําความรูของคนในชุมชนมารวมกัน วิเคราะหสังเคราะหสรุปรวมกันเปนองคความรู รวม แลวผสานกับความรูจากขางนอกที่สอดคลองกับฐานความรูรวมนี้เปนการตอยอด แลวพัฒนาลงมือปฏิบัติการ แลวนํากลับมาทบทวนบทเรียน เพื่อแกไขปญหาอุปสรรคและตอยอดสิ่งที่ทําไดดีใหดียิ่งขึ้น นี่คือการจัดการความรู แบบมีสวนรวมในแนวทางนิเวศวัฒนธรรม ซึ่งการทํางานที่ผานมาของเครือขายฯ ไดทํางานจัดการความรูโดยมี ยุทธศาสตรการทํางานที่สําคัญและสอดคลองกับเรื่องนิเวศวัฒนธรรมดังนี้ 1) การคนหาและสรางสํานึกทองถิ่นดานทรัพยากรธรรมชาติตองลดกระแสการพึ่งพาปจจัยภายนอกที่ สนับสนุนโดยนโยบายของรัฐ จํากัดการพัฒนาโครงสรางพื้นฐานที่สงผลกระทบตอระบบนิเวศและวัฒนธรรมทองถิ่น ยกระดับองคความรูทองถิ่นในทุกดานเปนหลักสูตรการศึกษาทองถิ่น โดยเด็กและเยาวชนไดมีโอกาสเรียนรูกอน การเรียนรูการศึกษาภาพกวางของสังคม 2) การสรางรูปธรรมในการอนุรักษทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมทองถิ่น ตองสนับสนุนใหทองถิ่น กํ า หนดแผนและพื้ น ที่ ก ารอนุ รั ก ษ พื้ น ที่ แ สดงผลงานทางวั ฒ นธรรมท อ งถิ่ น ทั้ ง ในด า นความคิ ด และรู ป ธรรม ศิลปวัฒนธรรม โดยทั้งหมดเริ่มจากกระบวนการการมีสวนรวมของคนในทองถิ่น 3) การเคารพในความหลากหลาย ตองยอมรับวาประเทศไทยเกิดจากการรวมตัวกันของคนในแตละ ทองถิ่นหลากหลายกลุมชาติพันธุ คนทองถิ่นตองไดรับการสนับสนุนใหเขามีสวนรวมในการกําหนดนโยบายใน ระดับชาติและนานาชาติอยางแทจริง 4) การเคารพตอความเปนคนทองถิ่นและการเทาเทียมกันของมนุษย ใหความสําคัญของคนทองถิ่นในการ เขาถึงขอมูลขาวสารอยางเทาเทียม ทั้งในนโยบายที่มีผลกระทบตอทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรม อยางไรก็ตาม ตองยอมรับวา ปญหาตางๆ ที่เกิดขึ้นในลุมน้ําโขงอันกวางใหญ เปนปญหารวมกันของคน ทุกคน ชุมชนทุกชุมชนในลุม น้ําโขง การสานความรูและสานคนของแตละชุมชนทองถิ่นรวมกัน เพื่อจะรวมกันใน การแกไขปญหาที่เกิดมีในลุมน้ําโขงและเพื่อการจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่ยั่งยืน ในลักษณะสภาประชาชนแมน้ํา โขง เพื่อเปนตัวแทนคนแตละชุมชนทองถิ่นในการทํางานดานนโยบายและอื่นๆ ทั้งนี้ ทีผ่ านมาเครือขายชาวบานใน ริมแมน้ําโขงภาคเหนือและอีสาน รวมทั้งเครือขายชาวบานในภาคกลางและใตไดมารวมกันสรางรูปธรรมในการ แกไขปญหาและการพึ่งพากันเองในเรือ่ งการพังทลายของฝงโขง ซึ่งมีสาเหตุมาจากปญหาของเขือ่ นและการระเบิด เกาะแกงในเดือนเม.ย. พ.ศ. 2552 ที่ผานมา และเพื่อเปนของขวัญถึงรัฐบาลไทย องคการสหประชาชาติ และ รัฐบาลจีน1 การรวมกันปกหลัก เสริมดิน ปองกันตลิ่งพังริมฝงโขง ณ บานปากอิงใต อําเภอเชียงของ จังหวัด เชียงราย ในวันที่ 25 – 27 เมษายน พ.ศ. 2552 ครั้งนี้ ถือเปนการปรึกษาหารือ แลกเปลี่ยนการทํางานรวมกัน ซึ่ง จะสานกาวยางตอไปเปนสภาประชาชนลุมน้าํ โขงไดในอนาคต นอกจากนี้ไดเริ่มการประชุมกับตัวแทนชุมชนใน 85 ตําบล 6 จังหวัด ริมแมน้ําโขงในภาคอีสานดวยแลว ซึ่งสวนใหญเห็นดวยวา การจัดการความรูแบบมีสวนรวมในเรื่องนิเวศวัฒนธรรมแลวมารวมกันในประเทศไทยกอน 1
ดูรายละเอียดไดในเอกสารแนบหมายเลข 1
242
นิเวศวัฒนธรรมท้องถิ่นกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติลุ่มน้ําโขง กรณีแม่น้ําของ-ล้านนา / นิวัฒน์ ร้อยแก้ว
แลวนําเสนอในระดับนโยบายผานไปทางรัฐวา ประชาชนชุมชนริมฝงโขงตองการอะไร อยางไร? แลวคอยขยับให องคกรโลกบาลหันกลับมามองคนริมฝงโขงตอไป
ขอเสนอเบื้องตนตอรัฐไทยและองคกรขามชาติ 1. ขอเสนอตอรัฐชาติ
ถึงเวลาแลวที่รัฐชาติและองคกรของรัฐตองเรียนรูใหเกียรติและเคารพในคนและในความรูของคนในชุมชน ทองถิ่นตางๆ ซึ่งอยูในสถานะชายขอบของประเทศมาตลอด ตองเขาใจและจัดการปญหาหรือการสรางโครงการ พัฒนาตางๆ บนพื้นฐานของการใหเกียรติชุมชนทองถิ่น มีความโปรงใส และมีสวนรวมจากชุมชนทองถิ่น ในทุก ระดับขั้นตอน รัฐตองมุงสงเสริมการจัดการความรูแบบมีสวนรวมในเรื่องนิเวศวัฒนธรรม พรอมสงเสริมพัฒนาตอยอด ตามผลและแนวทางจากการวิจัยหรือจากการจัดการความรูรวมกันของชุมชนทองถิ่น, องคกรทองถิ่น และเครือขาย ชาวบานที่ทํางานในแนวทางการฟนฟูนิเวศวัฒนธรรมทองถิ่นบนฐานการจัดการความรูรวมโดยตรง เพราะนิเวศ วัฒนธรรมคือจุดรวมสําคัญที่ทําใหชุมชนทองถิ่นสามารถพึ่งพิงและยืนอยูได นอกจากนี้ยังเปนที่มาของความมั่นคง ทางอาหารซึ่งเปนอธิปไตยของคนและของรัฐแบบหนึ่ง เปนความมั่นคงที่เชื่อมรอยกับความมั่นคงของดินแดนดวย ซึ่งเมื่อเชื่อมกับพื้นที่ตั้งทางกายภาพของแมน้ําโขงแลว รัฐไทยควรทําความเขาใจในการสนับสนุนชุมชนชายแดนมี ความเขมแข็งในทุกๆ ดาน เพื่อเตรียมพรอมรับมือกับกระแสจีนานุวัฒนที่เขามามีอิทธิพลในภูมิภาคลุมน้ําโขง รวมทั้งกระแสโลกาภิวัตนที่กระจายไปทั่วโลกแลวดวย เพราะหากชุมชนทองถิ่นชายขอบหรือชุมชนทองถิ่นทั่วไทย มีความเขมแข็งก็สงผลใหความมั่นคงของรัฐชาติเขมแข็งดวย 2. ขอเสนอขามรัฐหรือองคกรขามชาติ
เมื่อแมน้ําโขงเปนแมน้ํานานาชาติ การกระทําใดๆ ในเขตอธิปไตยของรัฐใดก็สามารถกระทําได ตราบ เทาที่ไมสงผลกระทบตอชุมชนทองถิ่นและรัฐชาติอื่นๆ และการกระทําใดๆ ตอแมน้ําโขงของรัฐชาติใดตองฟงเสียง และให เ กี ย รติ ชุ ม ชนท อ งถิ่ น และรั ฐ ชาติ อื่ น ด ว ย นอกจากนี้ องค ก รข า มชาติ ใ นแม น้ํ า โขงและระดั บ โลก เช น คณะกรรมาธิการแมน้ําโขง (MRC), ความรวมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุมน้ําโขง (GMS), กลุมความรวมมือ ทางเศรษฐกิจอิรวะดี-เจาพระยาและแมน้ําโขง (ACMEC) หรือองคการสหประชาชาติ จําเปนตองมีความรวมมือหรือ ตัวกลางในการสานการจัดการผลประโยชนของรัฐชาติตางๆ ในลุมน้ําโขงที่เทาเทียมกัน โดยคํานึงถึงตนทุนของ ทรัพยากรธรรมชาติ วัฒนธรรมและชุมชนทองถิ่นตางๆ ในลุมน้ําโขงที่ตองสูญเสียและไดรับผลกระทบจากการ พั ฒ นาและยุ ท ธศาสตร ค วามร ว มมื อ ที่ เ ล็ ง แต ผ ลประโยชน ข องกลุ ม ทุ น รั ฐ กลุ ม ทุ น ข า มชาติ หรื อ เล็ ง ผลได แ ต เศรษฐกิจการเมืองกระแสหลักเพียงอยางเดียว แลวผลักภาระตนทุนทางทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมให ชุมชนทองถิ่นไปใหประชาชนคนยากคนจนหรือคนชายขอบ เพราะในแตละรัฐ –ชุมชนทองถิ่นหรือชาวบานทั่วไปก็ ไมมีสิทธิ์เสียงในการตัดสินใจในระดับนโยบายของแตละรัฐหรือระดับขามรัฐอยูแลว ฉะนั้นการสงเสริมประชาธิปไตย แบบมีสวนรวมจึงเปนสิ่งสําคัญยิ่งยวดที่ตองใหเกิดขึ้นเปนวัฒนธรรมการทํางานแบบประชาธิปไตยที่แทจริงโดย มุงเนนการจัดการทรัพยากรธรรมชาติโดยใชนิเวศวัฒนธรรมเปนตัวนํา
243
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และทรัพยากรชีวภาพ ในลุ่มน้ําโขง
บทสรุป การพัฒนาหรือการจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่ใชเศรษฐกิจนําของไทยและโลก สรางความสูญเสียอยาง มหาศาลตอทรัพยากรธรรมชาติ สังคม ตลอดมา โดยภาระและตนทุนความทุกขยากตกอยูกับชาวบานในชุมชน ทองถิ่นตางๆ ดังกรณีลุมน้ําโขงในเขตภาคเหนือของไทย หรือพื้นที่ลุมน้ําอิง-กก ตอนปลายและชายฝงโขง เชน โครงการระเบิดแกงแมน้ําโขงเพื่อการเดินเรือพาณิชยขนาดใหญ โครงการสรางเขื่อนในแมน้ําโขงตอนบน ทําให วงจรขึ้น-ลงของน้ําไมเปนไปตามฤดูกาล ระบบนิเวศแมน้ําโขงถูกทําลาย พันธุปลาพันธุพืชลดลง ตลิ่งแมน้ําโขง พังทลาย สันดอนเกิดใหมจนรองน้ําลึกเปลี่ยนไป หนาแลงน้ําแลงผิดปกติ หนาน้ําหลากทวมทันทีทันใดอยาง รวดเร็วจากการเปดเขื่อน เชน เหตุการณใน เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2551 ซึ่งประเมินคาเสียหายเบื้องตนไดไมต่ํากวา 85 ลานบาท จากผลกระทบและสถานการณการเปลี่ยนแปลงดังกลาว ทําใหชาวบานและชุมชนทองถิ่นปรับสูรณรงคให ทบทวนโครงการตางๆ เชน โครงการระเบิดแกงแมน้ําโขงตองชะลอโครงการไวแคสามเหลี่ยมทองคํา นอกจากนี้ ชาวบานยังตองปรับตัวโดยการใชงานวิจัยจาวบานหรือการจัดการความรูแบบมีสวนรวม เพื่อคนหาจุดรวมหรือ พื้ น ที่ ร ว มหรื อ องค ค วามรู ร ว มในเรื่ อ งนิ เ วศวั ฒ นธรรม แล ว นํ า มาพั ฒ นาต อ ยอดสร า งรู ป ธรรมในการจั ด การ ทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรม เชน การบวชวังสงวนจัดตั้งเปนเขตอนุรักษพันธุสัตวน้ํา การบวชปาพรอมจัดตั้ง เขตปาชุมชนและปาชุมน้ํา การเลี้ยงวัวเพื่อจัดการไฟปาและการผสมเทียมปลาพื้นบานเพื่อการปลอยลงแมน้ําโขง และเพื่อสรางรายไดเสริม นอกจากนี้ ชาวบ า นในชุ ม ชนท อ งถิ่ น พื้ น ที่ ลุ ม น้ํ าอิ ง -กก ตอนปลายและชายฝ ง โขง ได ร วมตั ว กั น เป น เครือขายที่ชื่อวา เครือขายอนุรักษทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมลุมน้ําโขง-ลานนา ในการจัดกระบวนการสาน ความรู สานคน คนควาทํางานในการฟนฟูชุมชนทองถิ่นและเพื่อสานตอไปยังภาคอื่นๆ รวมทั้งในตางประเทศ ใน อนาคตที่จะจัดตั้งเปนประชาชนลุมน้ําโขง โดยสรุปแลวการพัฒนาหรือการจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่ยั่งยืน เปนกระบวนการจัดการจากภายในตัว คน และชุมชนทองถิ่น ผสานกับปจจัยภายนอก ใหสามารถเขาใจอดีต เทาทันปจจุบัน และเชื่อมโยงอนาคต โดย การจัดการความรูแบบมีสวนรวม เพื่อคนหาจุดรวมหรือการอยูรวมกันของคนกับธรรมชาติ คนกับคน และคนกับสิ่ง เหนือธรรมชาติ เพื่อใหการอยูรวมกันอยางเปนธรรมและสันติ โดยการเคารพซึ่งกันและกัน ป จ จั ย ภายนอกโดยเฉพาะรั ฐ ต อ งเคารพแล ว เข า ใจและตระหนั ก รวมทั้ ง ส ง เสริ ม สิ ท ธิ ชุ ม ชนท อ งถิ่ น สนับสนุนการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมโดยใชองคความรูนิเวศวัฒนธรรมเปนตัวนํา แกชุมชน ทองถิ่นใหทั่วถึงและตอเนื่อง ในขณะเดียวกันรัฐตองปกปองชุมชนทองถิ่นใหปราศจากผลกระทบดานลบของการ พัฒนาที่ใชเศรษฐกิจเปนตัวนําจากนโยบายของรัฐ จากนโยบายขององคกรรัฐขามชาติ จากองคกรโลกบาลตางๆ กลาวโดยเฉพาะประเด็นแมน้ําโขง รัฐไทยตองกระตือรือรนและสนับสนุนชุมชนทองถิ่นในการสานองค ความรูรวมในเรื่องนิเวศวัฒนธรรม แลวแสดงบทบาทเปนตัวของตัวเองในการปกปองการกระทําใดๆ ที่กระทบตอ นิเวศวัฒนธรรม-ความมั่นคงทางอาหารของชุมชนทองถิ่นซึ่งเชื่อมโยงกับความมั่นคงของรัฐ รวมทั้งรวมผลักดัน วาระการจัดการทรัพยากรธรรมชาติโดยใชนิเวศวัฒนธรรมเปนตัวนําในเวทีระดับภูมิภาคลุมน้ําโขง และในเวทีโลก 244
นิเวศวัฒนธรรมท้องถิ่นกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติลุ่มน้ําโขง กรณีแม่น้ําของ-ล้านนา / นิวัฒน์ ร้อยแก้ว
ทายที่สุดนี้ บทความเรื่อง ‘นิเวศวัฒนธรรมทองถิ่นกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติลุมน้ําโขง กรณีพื้นที่ แมน้ําของ-ลานนา’ ของกลุมรักษเชียงของ ไดนําเสนอสถานการณปญหาและผลกระทบ รวมทั้งบทเรียนขอสรุปและ ขอเสนอที่ควรทําความเขาใจ ผานมุมมองทางดานนิเวศวัฒนธรรมทองถิ่น ซึ่งกลั่นกรองมาจากการทํางานวิจัยจาว บาน การทํางานวิจัยเพื่อทองถิ่น เอกสารเผยแพร และจากการปฏิบัติจริงในการทํางานฟนฟูชุมชนทองถิ่น เพื่อการ แลกเปลี่ยนเรียนรู และนําไปปฏิบัติจริง ตอยอดไดในอนาคต รวมทั้งหวังวา เพื่อจะแสวงหาหนทางการจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมที่เปนธรรมและยั่งยืน เพื่อจะนําไปสูการอยูรวมกันอยางสันติของคนในทุกสังคม ในทุกประเทศ และในโลก
กิตติกรรมประกาศ บทความนี้ถือไดวาเปนขอสรุปเบื้องตนในเรื่องการจัดการทรัพยากรธรรมชาติโดยใชนิเวศวัฒนธรรมของ เครือขายอนุรักษทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมลุมน้ําโขง-ลานนา ผูเขียนใชปญญาเทาที่มีจารึกออกมาเทาที่ ความสามารถและเวลาเอื้ออํานวย โดยหวังวา ตอไปภายหนาปญญาจะเพิ่มพูนขึ้นตามเวลา ผูเขียนขอขอบคุณ ชาวบาน และผูนําทองถิ่นทุกๆ คนที่ไดรวมทุกขรวมสุขกันในการทํางานตลอดเกือบสิบปที่ผานมา ขอขอบคุณอยาง ยิ่งตอเกาะแกง หินผา หาด คก หลง และระบบนิเวศทั้งดินน้ําปาที่ใหกําเนิดชีวิต ขอบคุณฝูงปลาที่ใหอาหารแกพวก เราตลอดมา ขอบคุณขาวทุกเม็ดจากฝมือของชาวนาในชุมชนที่สงเสบียงขาวใหพวกเรา ขอขอบคุณพิเศษ อาจารยนักวิชาการหลายทานที่เดินทางมาเยี่ยมเยียนแลวสอนวิชาระเบียบวิจัยแกพวก เราจนสามารถจัดการระบบความรูทองถิ่นไดบาง โดยเฉพาะอาจารยศรีศักร วัลลิโภดม และทีมงานของทาน ที่เคย ไดไปใหความรูแกพวกเราในงานวิจัยเพื่อทองถิ่น ในชวงป พ.ศ. 2546 – 2547 ขอขอบคุณเพื่อนพองนองพี่ทั้ง สื่อมวลชน นักกิจกรรม นักเขียนและศิลปนที่ใหกําลังใจพวกเราตลอดมา สุดทายขอขอบคุณเพื่อนรวมงานทุกคนในสํานักงานเครือขายฯ ของเรา ที่นําใจและความรูมาทํางาน รวมกันอยางไมเคยยอทอ และทํางานดวยความสุขกันเสมอมา แมเราจะยากไรเงินตรา
เคารพธรรมชาติและศรัทธาในความเทาเทียมกันของมนุษย กลุมรักษเชียงของ พ.ค. 2552 ริมฝงแมน้ําโขง-เวียงเชียงของ
เอกสารอางอิง กลุมนักวิจัยทองถิ่นเชียงของเวียงแกน, 2547. รายงานการศึกษาวิจัยประวัติศาสตรทองถิน่ เชียงของ เวียงแกน: สังคมชายขอบทามกลางการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจการเมืองในอนุภูมิภาคลุมน้ํา โขง. โครงการศึกษาประวัติศาสตรโบราณคดีและชาติพันธุ สํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย. 245
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และทรัพยากรชีวภาพ ในลุ่มน้ําโขง
คณะวิจัยชาวบานเชียงของ-เวียงแกน, 2547. แมน้ําโขง: แมน้ําแหงวิถีชีวิตและวัฒนธรรม. เชียงใหม: วนิดาเพรส (เครือขายแมน้ําเอเชียตะวันออกเฉียงใต โครงการแมน้ําและชุมชน). คณะวิจัยชาวบานเชียงของ-เวียงแกน, 2549. ความรูทอ งถิน่ เรื่องพันธุปลาแมน้ําโขง. เชียงใหม: วนิดาเพรส (โครงการแมนา้ํ เพื่อชีวิต เครือขายแมน้ําเอเชียตะวันออกเฉียงใต กลุมรักษเชียงของ เครือขายอนุรักษ ทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมลุมน้ําโขง-ลานนา). นพรัตน ละมุล บรรณาธิการ, 2548. จากสิบสองปนนาถึงหาดบาย หาดทรายทอง. กรุงเทพฯ: โรงพิมพภาพ พิมพ. (กลุมรักษเชียงของเครือขายอนุรักษทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมลุมน้ําโขง-ลานนา). นพรัตน ละมุล บรรณาธิการ, 2547. ทางเลือกแมน้ําโขง: การคาที่เปนธรรมและไมระเบิดแกง. กรุงเทพฯ : แซทโฟพริ้นติ้ง. (กลุมรักษเชียงของ เครือขายอนุรักษทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมลุม น้ําโขง-ลานนา โครงการแมน้ําและชุมชน). นพรัตน ละมุล, 2549. แมโขงโพสต: สวัสดีเชียงของ. กรุงเทพฯ: โรงพิมพภาพพิมพ. นพรัตน ละมุล, 2549. แมโขงโพสต: เลยไปเลย. กรุงเทพฯ: โรงพิมพภาพพิมพ. นพรัตน ละมุล, 2549. แมโขงโพสต: คิดถึงปลาบึก. กรุงเทพฯ: โรงพิมพภาพพิมพ. นพรัตน ละมุล, 2549. แมโขงโพสต: มรดกโลกเชียงแสน เวียงเกา vs เอฟทีเอ. 176 หนา. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ ภาพพิมพ. นพรัตน ละมุล, 2549. แมโขงโพสต: ออมอกแมอิง. กรุงเทพฯ: โรงพิมพภาพพิมพ. ประเสริฐ ณ นคร, 2521. มังรายศาสตร. กรุงเทพ: แสงรุง การพิมพ. สมเกียรติ เขื่อนเชียงสา, 2549. บทความสายน้ําของวัยเยาว. ใน วุฐิศาสนติ์ จันทรวิบูล, จากธิเบตถึงทะเลจีนใต 26 นักเขียนกับเรื่องเลาถึงแมน้ําโขง. กรุงเทพฯ: โรงพิมพภาพพิมพ.
246
นิเวศวัฒนธรรมท้องถิ่นกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติลุ่มน้ําโขง กรณีแม่น้ําของ-ล้านนา / นิวัฒน์ ร้อยแก้ว
สุภาพร นิภานนท บรรณาธิการ, 2546. คอนผีหลง: บานของปลา พืชพันธุและผูคนแหงลําน้ําของ. กรุงเทพฯ: แซทโฟพริ้นติง้ (กลุมรักษเชียงของ โครงการแมน้ําและชุมชน เครือขายอนุรักษ ทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมลุมน้ําโขง-ลานนา). ศูนยสํารวจอุทกวิทยาที่ 12 เชียงแสน สํานักงานทรัพยากรน้ําภาค 1 กรมทรัพยากรน้ํา กระทรวงธรรมชาติ และ สิ่งแวดลอม, 2551. บรรยายสรุประดับน้ําอัตโนมัติแมน้ําโขง (AHNIP). Oasawa, K. Li, K. Deetes, P. and Higashi S. , 2003. Lancang-Mekong: A River of Controversy. International Rivers Network Mekong Watch Southeast Asia Rivers Network.
247
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และทรัพยากรชีวภาพ ในลุ่มน้ําโขง
ภาคผนวก จดหมายเปดผนึก เนื่องในโอกาสงานรวมพลังปกหลัก เสริมดิน ปองกันตลิ่งพังริมฝงโขง ณ บานปากอิงใต อําเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ในวันที่ 25 – 27 เมษายน 2552
248
นิเวศวัฒนธรรมท้องถิ่นกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติลุ่มน้ําโขง กรณีแม่น้ําของ-ล้านนา / นิวัฒน์ ร้อยแก้ว
ของขวัญถึงรัฐบาลไทย หมายเลข 1 กอนจะเปนของขวัญ เกือบสองทศวรรษที่ผานมา ทามกลางกระแสการพัฒนาของประเทศในภูมิภาคลุมน้ําโขง ซึ่งประกอบดวย จีน พมา ลาว ไทย กัมพูชา และ เวียตนาม มีโครงการพัฒนาทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นมากมาย เชน โครงการสราง เขื่อนในแมน้ําโขงตอนบนของจีนยูนนานจํานวน 8 เขื่อน (สรางเสร็จและเปดใชแลว 3 เขื่อน) โครงการระเบิดเกาะ แกงในลําน้ําโขงเพื่อการเดินเรือพาณิชยขนาดใหญ โครงการเขตการคาเสรีอาเชียน-จีน ฯลฯ โครงการพัฒนา เหลานี้สรางผลกระทบตอชีวิตของคนในชุมชนทองถิ่นริมฝงแมน้ําโขงอยางมหาศาล โดยเฉพาะในเขตแมน้ําโขง ภาคเหนือของไทย อ.เชียงแสน อ.เชียงของ อ.เวียงแกน จ.เชียงราย กระแสน้ําในลําน้ําโขงเปลี่ยนแปลงไปเพราะ การเปดปดเขื่อนของจีนเพื่อการเดินเรือพาณิชยของจีนไดขึ้นลงคาขาย ทั้งเพื่อการปลอยน้ําจากภาวะน้ําทวมในเขต หนาเขื่อนของจีน นอกจากนี้กระแสน้ําที่เปลี่ยนทางหลังจากระเบิดเกาะแกงเหนือสามเหลี่ยมทองคําขึ้นไปยังทําให สายน้ําไหลแรงจนผืนดินสองฝงโขงพังทลายไปปละหลายสิบไร ทั้งหมดนี้ทําใหวิถีชีวิตคนริมฝงโขงแทบลมสลาย เพราะปริมาณพันธุปลาลดลง พื้นที่เกษตรริมฝงโขงถูกน้ําทวม จนความมั่นคงทางอาหารและผืนดินริมฝงสูญสลาย บางชุมชนผูคนตองอพยพไปหากินตางถิ่น หลายชุมชนตองเปลี่ยนอาชีพ กลาวสําหรับ เหตุการณเมื่อวันที่ 9-15 สิงหาคม 2551 เกิดน้ําทวมหนักที่สุดในรอบสี่สิบปในเขตแมน้ําโขงอิงและกกตอนปลาย สาเหตุหลักมาจากการเปดเขื่อนในจีนอยางฉับพลัน เพราะน้ําทวมหนักหนาเขื่อนจนมีรายงาน ขาวของทางการจีนวา มีผูเสียชีวิต 40 คน และผูคนหลายแสนคนตองอพยพออกจากพื้นที่เสี่ยงภัย ดวยเหตุนี้น้ําจึง ทวมฉับพลันเพียงในวันเดียวเกือบสองเมตร น้ําโขงหนุนเขาสูแมน้ําอิงและกกซึ่งเปนแมน้ําสาขาลึกเขาไปเกือบ 30 กิโลเมตร กอผลใหพื้นที่เกษตร สัตวเลี้ยง บานเรือนและผืนแผนดินชายฝงเสียหายอยางมหาศาล หลังน้ําลดลงใน วันที่ 15 สิงหาคม 2551 สํารวจผลกระทบประเมินคาความเสียหายเบื้องตนเปนเงินไมต่ํากวา 85 ลานบาท หลังจากน้ําทวมใหญแลวเครือขายชาวบานในแมน้ําอิง-กก ตอนปลายและชายฝงโขงไดรวมกันฟนฟูชุมชน ทองถิ่นริมน้ําโขงตามกําลังที่พอมี ทั้งการฟนฟูอาชีพ กองทุนเมล็ดพันธุและสัตวเลี้ยง อยางไรก็ตาม สําหรับแผนดิน ไทย-ผืนดินริมฝงโขงไดสูญเสียไปกับกระแสน้ําโขงอยางมากเชนที่บานหวยลึก และบานปากอิงใต การเขามา ชวยเหลือของหนวยงานรัฐเปนไปอยางลาชา ดวยความกังวลและดวยความรักผูกพันที่มีตอแผนดินเกิดจึงทําให เครือขายชาวบานลุมน้ําอิง-กก ตอนปลายและชายฝงโขง รวมกับองคกรปกครองสวนทองถิ่น และเครือขายอนุรักษ ทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมลุมน้ําโขง-ลานนา ไดรวมพลังปกหลัก เสริมดิน ปองกันตลิ่งพังริมฝงโขง ณ บาน ปากอิงใต อําเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ในวันที่ 25 – 27 เมษายน 2552 นี้ โดยมีเครือขายชาวบานจากเครือขายรักทะเลกรุงเทพฯ และสิ่งแวดลอมบางขุนเทียน เครือขายคนไทย พลัดถิ่น จ.ระนอง จ.ประจวบคีรีขันธ เครือขายสิทธิคนจน จ.ภูเก็ต เครือขายชุมชน จ.พังงา เครือขายผูไดรับ ผลกระทบจากเหมืองทองพิจิตร เครือขายฟนฟูลุมน้ําทะลสาบสงขลา เครือขายผูไดรับผลกระทบจากการสรางเขื่อน บานกุม เครือขายฟนฟูเกาะลันตา กลุมฮักบานเฮาพะเยาเมืองนาอยู เครือขายชุมชนศรัทธาจ.ชายแดนใต เครือขาย ผูประสบภัยสึนามิ เครือขายองคกรชุมชนเมืองเชียงใหม เครือขายองคกรชุมชนเมืองอุบล กลุมรักสิทธิลุมน้ําโขง และโครงการแมน้ําเพื่อชีวิต ไดมารวมแรงรวมใจกันในการสรางแนวปองกันตลิ่งพังริมฝงโขง เพื่อเปนพลังการ พึ่งตนเองของคนเล็กคนนอยซึ่งไมเคยไดรับการเอาใจใสอยางจริงจังจากรัฐบาล และเพื่อเปนของขวัญปใหมลานนา 249
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และทรัพยากรชีวภาพ ในลุ่มน้ําโขง
ถึงรัฐบาลไทยในการที่จะรับของขวัญนี้อยางตระหนักรูและหันมาใสใจในชุมชนทองถิ่นริมฝงโขงซึ่งถูกกระทําจาก นโยบายพัฒนาในประเทศลุมน้ําโขง ของขวัญถึงรัฐบาลไทย หมายเลข 1 ของขวัญถึงรัฐบาลไทยในครั้งนี้ ขอมอบใหเพื่อเปนอนุสรณเตือนใจวา ถึงเวลาแลวที่รัฐบาลไทย โดยเฉพาะ รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตองตระหนักและหันกลับมาทบทวนแนวนโยบายและการทํางานชวยเหลือชุมชน ทองถิ่นซึ่งไดรับผลกระทบจากนโยบายการพัฒนาของประเทศในลุมน้ําโขง เพราะชุมชนทองถิ่นเปนรากฐานความ มั่นคงของประเทศ หากแผนดินและวิถีชีวิตคนชายขอบริมฝงแมน้ําโขงลมสลายแลวประเทศชาติจะอยูไดอยางไร นโยบายการพัฒนาในประเทศลุมน้ําโขงที่ผานมาเปรียบไดดั่งการปลอยใหประเทศชาติสูญเสียอธิปไตยทางอาหาร แลวและกําลังนํามาซึ่งการสูญเสียอธิปไตยแหงรัฐ นอกจากนี้ ของขวัญชิ้นนี้มอบใหเพื่อเตือนสติวา ตอจากนี้รัฐบาลไทยตองมีนโยบายและแผนพัฒนาที่ให เกียรติคนยากคนจน คนชายขอบ เคารพและสนับสนุนชุมชนทองถิ่นในทุกที่ของประเทศไทยใหมีความเขมแข็ง โดยเฉพาะเมื่อเครือขายชาวบานหรือชุมชนทองถิ่นไดรวมตัวกันพึ่งตนเองดวยลําแข็งลําขาของคนเล็กคนนอยแลว จําเปนที่รัฐบาลตองหนุนเสริมชุมชนทองถิ่นเหลานั้น โดยไมใชมีเพียงแนวนโยบายที่ใหสิทธิพิเศษและโอกาสแต เพียงองคกรภาคทุนเศรษฐกิจหรือองคกรทุนขามรัฐแตเพียงดานเดียว แนวนโยบายและการทํางานของรัฐบาลไทย ตอจากนี้ไปตองอยูบนพื้นฐานของการเคารพตอธรรมชาติและมีความเทาเทียมตอมนุษย เพราะการพัฒนาที่เคารพ ธรรมชาติและศรัทธาในความเทาเทียมกันของมนุษยเทานั้นจะนํามาซึ่งความสงบสุข ความมั่นคงของประเทศชาติ เคารพธรรมชาติและศรัทธาในความเทาเทียมกันของมนุษยชาติ
250
นิเวศวัฒนธรรมท้องถิ่นกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติลุ่มน้ําโขง กรณีแม่น้ําของ-ล้านนา / นิวัฒน์ ร้อยแก้ว
ของขวัญถึงองคการสหประชาชาติ หมายเลข 1 กอนจะเปนของขวัญ แมน้ําโขงคือแมน้ํานานาชาติของ 6 ประเทศ คือจีน พมา ลาว ไทย กัมพูชา และเวียตนาม ทุกประเทศมี สิทธิในการใชประโยชนจากแมน้ําอยางเทาเทียมกันโดยไมริดรอดสิทธิของประเทศอื่น อีกทั้งมีหนาที่ตองพิทักษ รักษาดูแลแมน้ําโขงใหสามารถใชรวมกันอยางยั่งยืน อยางไรก็ตาม ในเกือบสองทศวรรษที่ผานมา ทามกลางกระแสการพัฒนาของประเทศในภูมิภาคลุมน้ําโขง ไดมีโครงการพัฒนาทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นมากมาย ซึ่งโครงการสวนใหญถูกผลักดันอยางหนักจากรัฐบาลจีนที่มุงการ พั ฒ นาในเขตตะวั น ตกคื อ ยู น นาน และต อ งการเป ด ประเทศรุ ก ด า นตลาดเศรษฐกิ จ ลงทางใต คื อ อาเซี ย น โดย โครงการที่ผลักดันโดยจีนสวนใหญไดละเลยและลิดรอนสิทธิของประเทศปลายน้ํา นอกจากนี้ยังมุงเนนแตดาน เศรษฐกิจที่ตักตวงทรัพยากรธรรมชาติจากประเทศอื่นๆ ในลุมน้ําโขง โดยละเลยการพิทักษรักษาใหแมน้ําโขงมีการ ใชอยางยั่งยืน ทั้งนี้รัฐบาลจีนมองวา แมน้ําโขงตอนบนตั้งแตธิเบตถึงสิบสองปนนาเปนเขตอธิปไตยของจีน รัฐบาล จีนสามารถกระทําการใดๆ ก็ได โครงการที่มีผลกระทบอยางหนักตอคนทายน้ํา โดยเฉพาะในเขตประเทศไทย อ.เชียงแสน จ.เชียงของ อ.เวียงแกน จ.เชียงราย เชน โครงการสรางเขื่อนในแมน้ําโขงตอนบนของจีนยูนนานจํานวน 8 เขื่อน (สรางเสร็จ และเปดใชแลว 3 เขื่อน) โครงการระเบิดเกาะแกงในลําน้ําโขงเพื่อการเดินเรือพาณิชยขนาดใหญ โครงการเขต การคาเสรีอาเชียน-จีน และโครงการเขื่อนแมน้ําโขงตอนลางซึ่งกําลังพัฒนาอยูอีก 11 แหง ฯลฯ โครงการพัฒนา เหล านี้ ส ร า งผลกระทบต อ ชี วิ ต ของคนในชุ ม ชนท อ งถิ่ น ริ ม ฝ ง แม น้ํ า โขงอย า งมหาศาล กระแสน้ํ า ในลํ าน้ํ า โขง เปลี่ยนแปลงไปเพราะการเปดปดเขื่อนของจีนเพื่อการเดินเรือพาณิชยของจีนไดขึ้นลงคาขาย ทั้งเพื่อการปลอยน้ํา จากภาวะน้ํ า ท ว มในเขตหน า เขื่ อ นของจี น นอกจากนี้ ก ระแสน้ํ า ที่ เ ปลี่ ย นทางหลั ง จากระเบิ ด เกาะแก ง เหนื อ สามเหลี่ ยมทองคํ าขึ้น ไปยั งทํ าให สายน้ําไหลแรงจนผื นดิน สองฝงโขงพั งทลายไปป ละหลายสิบ ไร อี กปริ มาณ พันธุปลาลดลง พื้นที่เกษตรริมฝงโขงถูกน้ําทวม จนความมั่นคงทางอาหารและผืนดินริมฝงสูญสลาย บางชุมชน ผูคนตองอพยพไปหากินตางถิ่น หลายชุมชนตองเปลี่ยนอาชีพ ทั้งหมดนี้ทําใหวิถีชีวิตคนริมฝงโขงแทบลมสลาย กลาวสําหรับ เหตุการณเมื่อวันที่ 9-15 สิงหาคม 2551 เกิดน้ําทวมหนักที่สุดในรอบสี่สิบปในเขตแมน้ําโขงอิงและกกตอนปลาย สาเหตุหลักมาจากการเปดเขื่อนในจีนอยางฉับพลัน เพราะน้ําทวมหนักหนาเขื่อนจนมีรายงาน ขาวของทางการจีนวา มีผูเสียชีวิต 40 คน และผูคนหลายแสนคนตองอพยพออกจากพื้นที่เสี่ยงภัย ดวยเหตุนี้น้ําจึง ทวมฉับพลันเพียงในวันเดียวเกือบสองเมตร น้ําโขงหนุนเขาสูแมน้ําอิงและกกซึ่งเปนแมน้ําสาขาลึกเขาไปเกือบ 30 กิโลเมตร กอผลใหพื้นที่เกษตร สัตวเลี้ยง บานเรือนและผืนแผนดินชายฝงเสียหายอยางมหาศาล หลังน้ําลดลงใน วันที่ 15 สิงหาคม 2551 สํารวจผลกระทบประเมินคาความเสียหายเบื้องตนเปนเงินไมต่ํากวา 85 ลานบาท หลังจากน้ําทวมใหญแลวเครือขายชาวบานในแมน้ําอิง-กก ตอนปลายและชายฝงโขงไดรวมกันฟนฟูชุมชน ทองถิ่นริมน้ําโขงตามกําลังที่พอมี ทั้งการฟนฟูอาชีพ กองทุนเมล็ดพันธุและสัตวเลี้ยง อยางไรก็ตาม สําหรับแผนดิน ไทย-ผืนดินริมฝงโขงไดสูญเสียไปกับกระแสน้ําโขงเปนอยางมาก เชนที่บานหวยลึก และบานปากอิงใต การเขามา ชวยเหลือของหนวยงานรัฐไทยเปนไปอยางลาชา ดวยความกังวลและดวยความรักผูกพันที่มีตองแมน้ําโขงซึ่ง เปรียบเหมือนแมผูหลอเลี้ยงชีวิต จึงทําใหเครือขายชาวบานลุมน้ําอิง-กก ตอนปลายและชายฝงโขงรวมกับองคกร 251
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และทรัพยากรชีวภาพ ในลุ่มน้ําโขง
ปกครองสวนทองถิ่น ไดรวมพลังปกหลัก เสริมดิน ปองกันตลิ่งพังริมฝงโขง ณ บานปากอิงใต อําเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ในวันที่ 25 – 27 เมษายน 2552 นี้ วันนี้ เครือขายชาวบานจากเครือขายรักทะเลกรุงเทพฯ และสิ่งแวดลอมบางขุนเทียน เครือขายคนไทย พลัดถิ่น จ.ระนอง จ.ประจวบคีรีขันธ เครือขายสิทธิคนจน จ.ภูเก็ต เครือขายชุมชน จ.พังงา เครือขายผูไดรับ ผลกระทบจากเหมืองทองพิจิตร เครือขายฟนฟูลุมน้ําทะลสาบสงขลา เครือขายผูไดรับผลกระทบจากการสรางเขื่อน บานกุม เครือขายฟนฟูเกาะลันตา กลุมฮักบานเฮาพะเยาเมืองนาอยู เครือขายชุมชนศรัทธาจ.ชายแดนใต เครือขาย ผูประสบภัยสึนามิ เครือขายองคกรชุมชนเมืองเชียงใหม เครือขายองคกรชุมชนเมืองอุบล และกลุมรักสิทธิลุมน้ํา โขง ไดมารวมแรงรวมใจกันในการสรางแนวปองกันตลิ่งพังริมฝงโขง เพื่อเปนพลังการพึ่งตนเองของคนเล็กคนนอย และเปนการตอบแทนความรักตอสายน้ําโขง ตอทรัพยากรธรรมชาติวา ชุมชนทองถิ่นริมฝงโขงและเครือขายองคกร ชุมชนของไทยที่ไดอยูไดกินไดอาบใชจากแมน้ําโขงจะรวมแรงกันพิทักษรักษาใหแมน้ําโขงเปนสายน้ํานานาชาติ ไมใชแมน้ําของประเทศใหญประเทศใด และเพื่อใหยั่งยืนสืบไปชั่วลูกหลาน ของขวัญถึงองคการสหประชาชาติ หมายเลข 1 ของขวัญที่ไดมอบแดองคการสหประชาชาติในครั้งนี้ ขอมอบใหเพื่อเปนอนุสรณเตือนใจวา ถึงเวลาแลวที่ องคกรสหประชาชาติ ตองตระหนักและหันกลับมาทบทวนแนวนโยบายของแตละประเทศในลุมน้ําโขงในการจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติที่ยั่งยืนและเปนธรรม โดยเฉพาะการทํางานชวยเหลือชุมชนทองถิ่นซึ่งไดรับผลกระทบจาก นโยบายการพัฒนาของประเทศในลุมน้ําโขง องคการสหประชาชาติควรเห็นความสําคัญของชุมชนทองถิ่นทั่วโลก ไมใชเพียงแตการใหความสําคัญและการประสานใหเกิดการเชื่อมระหวางองคกรรัฐกับรัฐเทานั้น เพราะแทจริงแลว ชุมชนทองถิ่นเปนรากฐานความมั่นคงของประเทศและของโลก หากแผนดินและวิถีชีวิตคนชายขอบริมฝงแมน้ําโขง ลมสลายแลวทุกประเทศในลุมน้ําโขงจะอยูไดอยางไร หากผลกระทบจากการพัฒนาของรัฐบาลในลุมน้ําโขงดําเนิน ไปเชนปจจุบันนี้เรื่อยไป แลวใครจะไปรูวาสักวันหนึ่งอาจจะเกิดสงครามแยงชิงทรัพยากรธรรมชาติขึ้นในลุมน้ําโขง อย า งหนั ก ก็ เป น ได การเคารพในสิ ทธิ แ ละไม ริ ด รอนสิ ท ธิข องประเทศต น น้ํ าและปลายน้ํ า รวมถึง การจั ด การ ทรั พ ยากรธรรมชาติ ใ นลุ ม น้ํ า โขงอย า งยั่ ง ยื น และเป น ธรรม คื อ สิ่ ง สํ าคั ญ อย า งยิ่ ง ที่ อ งค ก ารสหประชาชาติ แ ละ นานาชาติควรจะใหความใสใจ เพื่อใหกอเกิดการอยูรวมกันของคนในลุมน้ําโขงและคนในโลกอยางสันติ นอกจากนี้ ของขวัญชิ้นนี้มอบใหเพื่อเตือนสติวา ตอจากนี้องคการสหประชาชาติตองเปนตัวกลางที่มี นโยบายและแผนพัฒนาที่ใหเกียรติคนยากคนจน คนชายขอบ เคารพและสนับสนุนชุมชนทองถิ่นในทุกที่ของโลกให มีความเขมแข็ง โดยเฉพาะเมื่อเครือขายชาวบานหรือชุมชนทองถิ่นไดรวมตัวกันพึ่งตนเองดวยลําแข็งลําขาของคน เล็กคนนอยแลว จําเปนที่รัฐบาลชาติตางๆ และองคการสหประชาชาติตองหนุนเสริมชุมชนทองถิ่นเหลานั้น โดย ไมใชมีเพียงแนวนโยบายที่ใหสิทธิพิเศษและโอกาสแตเพียงองคกรภาคทุนเศรษฐกิจหรือองคกรทุนขามรัฐแตเพียง ดานเดียว แนวนโยบายและการทํางานขององคการสหประชาชาติตอจากนี้ไปตองอยูบนพื้นฐานของการเคารพตอ ธรรมชาติและมีความเทาเทียมกันของมนุษย เพราะการพัฒนาที่เคารพธรรมชาติและศรัทธาในความเทาเทียมกัน ของมนุษยเทานั้นจะนํามาซึ่งความสงบสุข ความมั่นคงของประเทศชาติ ของคนในลุมน้ําโขงและของโลกอันเปนที่ รักรวมกันของเรา เคารพธรรมชาติและศรัทธาในความเทาเทียมกันของมนุษยชาติ 252
นิเวศวัฒนธรรมท้องถิ่นกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติลุ่มน้ําโขง กรณีแม่น้ําของ-ล้านนา / นิวัฒน์ ร้อยแก้ว
ของขวัญถึงรัฐบาลจีน หมายเลข 2 กอนจะเปนของขวัญ เรา-ประชาชนริมฝงโขงประเทศไทยและทาน-รัฐบาลจีนซึ่งมีประชาชนในมณฑลยูนนานและเขตปกครอง พิเศษธิเบตตางอยูรวมลุมน้ําโขงเดียวกัน แมจะใชชื่อตางกันวาหลานซางหรือแมน้ําของหรือโขง แตก็เปนแมน้ํา เดียวกันที่ไหลถึงกันดวยความสัมพันธที่ดีตลอดมา เราและทานก็รูวา แมน้ําโขงคือแมน้ํานานาชาติของ 6 ประเทศ คือ จีน พมา ลาว ไทย กัมพูชา และเวียตนาม และตางก็รูวา ทุกประเทศมีสิทธิในการใชประโยชนจากแมน้ําอยาง เทาเทียมกันโดยไมริดรอดสิทธิของประเทศอื่น อีกทั้งมีหนาที่ตองพิทักษรักษาดูแลแมน้ําโขงใหสามารถใชรวมกัน อยางยั่งยืน อยางไรก็ตาม ในเกือบสองทศวรรษที่ผานมา หลังจากทานไดเปดประเทศเขาสูระบบเศรษฐกิจการตลาด แบบสังคมนิยม ทานไดมุงพัฒนาระบบเศรษฐกิจใหประเทศของทานเจริญรุงเรืองเปนอยางมากจนนับวาเปนผูนํา ของโลกอีกประเทศหนึ่ง ทานเพิ่มการขยายระบบเศรษฐกิจการตลาดมุงสูภาคตะวันตกคือ มลฑลยูนนานใหเจริญ ทัดเทียมกับภาคตะวันออก โดยเฉพาะการพัฒนาในแมน้ําโขง ทานไดลงทุนในการพัฒนาเขื่อนผลิตกระแสไฟฟา อยางมหาศาลในสายน้ําโขง แมทานจะมองวา แมน้ําโขงตอนบนอยูในพื้นที่ของประเทศทาน เปนอธิปไตยของ ประเทศจีนที่จะสามารถกระทําการใดๆ ก็ได ทวาเมื่อทานก็รูวาสายน้ํายอมไหลจากที่สูงลงสูที่ต่ํา สายน้ําโขงไหล เชื่อมตอกันจนถึงประเทศของเราและประเทศอื่นๆ ทายน้ํา การที่ทานมีแผนการสรางเขื่อนในแมน้ําโขงตอนบน จํานวน 8 เขื่อน (ทราบวาสรางเสร็จและเปดใชแลว 3 เขื่อน) ทานเคยคิดบางไหมวา คนทายน้ําไดรับผลกระทบ รุนแรงเพียงใด? นอกจากนี้ โครงการระเบิดเกาะแกง ในลําน้ําโขงเพื่อการเดิน เรือพาณิชยข นาดใหญลงมาคาขายทาง ตอนลางซึ่งมีทานเปนผูผลักดันหลักนั้น แมจะชะลอโครงการไวเพียงแคสามเหลี่ยมทองคํา ทวาผลกระทบที่ตามมา ตอเราก็มีมากมายมหาศาลในปจจุบัน ดังที่เราเคยสงของขวัญไปถึงทานครั้งหนึ่งแลวในวันที่ 24 เมษายน 2547 กับ ทีมสํารวจแมน้ําโขงของทาน ทั้งนี้หากนับรวมโครงการเขตการคาเสรีอาเชียน-จีน และโครงการเขื่อนแมน้ําโขง ตอนลางซึ่งกําลังพัฒนาอยูอีก 11 แหง ฯลฯ ก็นับไดวา ความทุกขยากที่เกิดมีของคนประเทศทายน้ําจะทวีความ รุนแรงยิ่งขึ้น โครงการพั ฒนาเหล านี้ สร างผลกระทบต อชี วิต ของคนในชุม ชนทอ งถิ่ นริ มฝ งแมน้ํ าโขงอย างมหาศาล กระแสน้ําในลําน้ําโขงเปลี่ยนแปลงไปเพราะการเปดปดเขื่อนของทานเพื่อการเดินเรือพาณิชยขนาดใหญไดขึ้นลงมา คาขาย ทั้งเพื่อการปลอยน้ําจากเหตุน้ําทวมในเขตหนาเขื่อนของจีน นอกจากนี้กระแสน้ําที่เปลี่ยนทิศทางหลังจาก ระเบิดเกาะแกงเหนือสามเหลี่ยมทองคําขึ้นไปยังทําใหสายน้ําไหลแรงจนผืนดินสองฝงโขงพังทลายไปปละหลายสิบ ไร อีกทั้งปริมาณพันธุปลาลดลง พื้นที่เกษตรริมฝงโขงถูกน้ําทวม จนความมั่นคงทางอาหารและผืนดินริมฝงสูญ สลาย บางชุมชนผูคนตองอพยพไปหากินตางถิ่น หลายชุมชนตองเปลี่ยนอาชีพ ทั้งหมดนี้ทําใหวิถีชีวิตคนริมฝงโขง แทบลมสลาย กลาวสําหรับ เหตุการณเมื่อวันที่ 9-15 สิงหาคม 2551 เกิดน้ําทวมหนักที่สุดในรอบสี่สิบปในเขตแมน้ําโขงอิงและกกตอนปลาย สาเหตุหลักมาจากการเปดเขื่อนในประเทศของทานเปนสําคัญ เพราะน้ําทวมหนักหนาเขื่อน 253
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และทรัพยากรชีวภาพ ในลุ่มน้ําโขง
จนมีรายงานขาวของทางการจีนวา มีผูเสียชีวิต 40 คน และผูคนหลายแสนคนตองอพยพออกจากพื้นที่เสี่ยงภัย เรา เขาใจดีวา ทานก็รักประชาชนของทานเชนเดียวกับที่เราก็รักพี่นองทายน้ําของเรา ทวาการปลอยน้ําจากเขื่อนลงมา อยางฉับพลัน โดยไมยอมบอกขาวกันลวงหนา มันไดทําใหคํากลาวอางที่ทานมักอางเสมอวา เขื่อนชวยปองกันน้ํา ทวมในหนาน้ําหลากและจะปลอยน้ําไมใหแมน้ําแหงขอดในหนาแลงนั้นไมเปนความจริง เพราะดวยเหตุการณครั้งนี้น้ําไดทวมฉับพลันเพียงในวันเดียวเกือบสองเมตร น้ําโขงหนุนเขาสูแมน้ําอิงและ กกซึ่งเปนแมน้ําสาขาลึกเขาไปเกือบ 30 กิโลเมตร สงผลใหพื้นที่การเกษตร สัตวเลี้ยง บานเรือนและผืนแผนดิน ชายฝงเสียหายอยางมหาศาล หลังน้ําลดลงในวันที่ 15 สิงหาคม 2551 สํารวจผลกระทบประเมินคาความเสียหาย เบื้องตนเปนเงินไมต่ํากวา 85 ลานบาท เราไมแนใจวา ทานจะชดใชคาเสียหายเหลานี้และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นใน อนาคตไดหรือไม? อยางไรก็ตาม หลังจากน้ําทวมใหญแลวเครือขายชาวบานในแมน้ําอิง-กก ตอนปลายและชายฝงโขงได รวมกันฟนฟูชุมชนทองถิ่นริมน้ําโขงตามกําลังที่พอมี ทั้งการฟนฟูอาชีพ กองทุนเมล็ดพันธุและสัตวเลี้ยง อยางไรก็ ตาม สําหรับแผนดินไทย-ผืนดินริมฝงโขงไดสูญเสียไปกับกระแสน้ําโขงเปนอยางมาก เชน ที่บานหวยลึก และบาน ปากอิงใต ดวยความกังวลและดวยความรักผูกพันที่มีตอแมน้ําโขงซึ่งเปรียบเหมือนแมผูหลอเลี้ยงชีวิต จึงทําให เครือขายชาวบานลุมน้ําอิง-กก ตอนปลายและชายฝงโขง รวมกับองคกรปกครองสวนทองถิ่น และเครือขายอนุรักษ ทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมลุมน้ําโขง-ลานนา ไดรวมพลังปกหลัก เสริมดิน ปองกันตลิ่งพังริมฝงโขง ณ บาน ปากอิงใต อําเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ในวันที่ 25 – 27 เมษายน 2552 นี้ วันเดียวกันนี้ เราทั้งหลายจาก เครือขายชาวบานจากเครือขายรักทะเลกรุงเทพฯ และสิ่งแวดลอมบางขุน เทียน เครือขายคนไทยพลัดถิ่น จ.ระนอง จ.ประจวบคีรีขันธ เครือขายสิทธิคนจน จ.ภูเก็ต เครือขายชุมชน จ.พังงา เครือขายผูไดรับผลกระทบจากเหมืองทองพิจิตร เครือขายฟนฟูลุมน้ําทะลสาบสงขลา เครือขายผูไดรับผลกระทบ จากการสรางเขื่อนบานกุม เครือขายฟนฟูเกาะลันตา กลุมฮักบานเฮาพะเยาเมืองนาอยู เครือขายชุมชนศรัทธา จ.ชายแดนใต เครือขายผูประสบภัยสึนามิ เครือขายองคกรชุมชนเมืองเชียงใหม เครือขายองคกรชุมชนเมืองอุบล กลุมรักสิทธิลุมน้ําโขง และโครงการแมน้ําเพื่อชีวิต ไดมารวมแรงรวมใจกันในการสรางแนวปองกันตลิ่งพังริมฝงโขง เพื่อเปนพลังการพึ่งตนเองของคนเล็กคนนอยและเปนการตอบแทนความรักตอสายน้ําโขง ตอทรัพยากรธรรมชาติ วา ชุมชนทองถิ่นริมฝงโขงและเครือขายองคกรชุมชนของไทยที่ไดอยูไดกินไดอาบใชจากแมน้ําโขงจะรวมแรงกัน พิทักษรักษาใหแมน้ําโขงเปนสายน้ํานานาชาติ ไมใชแมน้ําของประเทศใหญประเทศใด และเพื่อใหยั่งยืนสืบไปชั่ว ลูกหลาน ของขวัญถึงรัฐบาลจีน หมายเลข 2 ของขวัญที่ไดมอบแดทาน-รัฐบาลจีนในครั้งนี้ ขอมอบใหเพื่อเปนอนุสรณเตือนใจวา ถึงเวลาแลวที่รัฐบาล จีนตองตระหนักและหันกลับมาทบทวนแนวนโยบายของตนในการพัฒนาลุมน้ําโขง ตองรับฟงเสียงของคนทายน้ํา เพื่อการจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่ยั่งยืนและเปนธรรม อยาคิดแตเพียงวา แมน้ําในบานของฉัน ฉันสามารถทํา อะไรก็ได
254
นิเวศวัฒนธรรมท้องถิ่นกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติลุ่มน้ําโขง กรณีแม่น้ําของ-ล้านนา / นิวัฒน์ ร้อยแก้ว
เราขอย้ําอีกครั้งวา การทําลายทรัพยากรธรรมชาติและวิถีชีวิตประชาชนเพื่อกลุมนายทุนธุรกิจ โดยการ สรางเขื่อนผลิตกระแสไฟฟาจากมลฑลยูนนานไปใหคนรวยในภาคตะวันออกของประเทศทาน เปนการทรยศตอ หลักการอันยิ่งใหญของพรรคคอมมิวนิสตของทาน ที่มีหัวใจอยูที่ประชาชนผูยากไร และประชาชนของทานกับ ประชาชนในประเทศทายน้ําก็เปนมนุษยเชนเดียวกัน การทํารายแมน้ําโขงซึ่งเปนที่พึ่งพาของคนจนกวารอยลานคน ในภูมิภาคนี้มานับพันป เพื่อกลุมนายทุนหรือชนชั้นนํา ยอมเปนการตอกย้ําวา หลักการความเทาเทียมกันของ มนุษยในอุดมการณสังคมนิยมคอมมิวนิสตของทานไมมีอีกตอไป เราขอกลาวย้ําอีกวา ประชาชนคนยากคนจน คนชุมชนทองถิ่นเปนรากฐานความมั่นคงของประเทศในลุม น้ําโขงและของโลก หากแผนดินและวิถีชีวิตคนชายขอบริมฝงแมน้ําโขงลมสลายแลวทุกประเทศในลุมน้ําโขงจะอยู ไดอยางไร หากทาน-รัฐบาลจีนยังไมทบทวนการพัฒนาที่ไมเทาเทียมในลุมน้ําโขงที่ผานมาและปลอยใหดําเนินไป เชนปจจุบันนี้ แลวใครจะรับประกันไดวา สักวันหนึ่งจะไมเกิดสงครามแยงชิงทรัพยากรธรรมชาติขึ้นในลุมน้ําโขง อย า งหนั ก ก็ เป น ได การเคารพในสิ ทธิ แ ละไม ริ ด รอนสิ ท ธิ์ข องประเทศต น น้ํ าและปลายน้ํ า รวมถึง การจั ด การ ทรัพยากรธรรมชาติในลุมน้ําโขงอยางยั่งยืนและเปนธรรม คือสิ่งสําคัญอยางยิ่งที่รัฐบาลจีนและรัฐบาลในประเทศลุม น้ําโขงตองตระหนักเปนอยางยิ่ง เพื่อใหการอยูรวมกันของคนในลุมน้ําโขงและคนในโลกเกิดสันติสุข นอกจากนี้ ของขวัญชิ้นนี้มอบใหเพื่อเตือนสติวา หากทานยังไมทบทวนนโยบายการพัฒนาที่มีผลกระทบ ตอคนทายน้ํา บนหลักการการพัฒนาที่เคารพธรรมชาติและศรัทธาในความเทาเทียมกันของมนุษย เพื่อความสงบ สุขของคนในลุมน้ําโขง เราทั้งหลายจะเดินทางกันไปเยี่ยมเยียนสถานฑูตของทานในทุกประเทศ เคารพธรรมชาติและศรัทธาในความเทาเทียมกันของมนุษยชาติ
255
บทที่ 13 ผลกระทบขามพรมแดนจากการพัฒนาแมน้ําโขง มิติดานสังคมและสิ่งแวดลอม เพียรพร ดีเทศน และสุมาตร ภูลายยาว โครงการแมน้ําเพื่อชีวิต
บทนํา: แมน้ําโขงพรมแดนไทย-ลาว แมน้ําโขงไหลผานในเขตประเทศไทยแบงออกเปน 2 ชวง คือ ชวงตอนบนกั้นพรมแดนระหวางพื้นที่ จ.เชียงรายกับแขวงบอแกวของลาว และแมน้ําโขงชวงตอนลางเปนเสนกั้นพรมแดนระหวางประเทศไทยกับลาว ใน พื้นที่ 6 จังหวัด ไดแก จ.เลย จ.หนองคาย จ.นครพนม จ.มุกดาหาร จ.อํานาจเจริญ และ จ.อุบลราชธานี กอนไหล เขาไปในประเทศลาวอีกครั้งที่แขวงจําปาสัก งานวิจัยจาวบาน เชียงของ-เวียงแกน (2549) ซึ่งทําโดยชุมชนริมแมน้ําโขงบริเวณพรมแดนไทย-ลาว ตอนบน ระบุถึงความสลับซับซอนของระบบนิเวศแมน้ําซึ่งเอื้อตอการดํารงชีพของชุมชน นักวิจัยชาวบานสํารวจพบ พันธุปลาทั้งสิ้น 96 ชนิด โดยมีปลาธรรมชาติหรือปลาทองถิ่น 86 ชนิด ในจํานวนพันธุปลาทั้ง 96 ชนิดนั้นมีปลาหา ยาก และใกลสูญพันธุทั้งหมด 13 ชนิด สภาพของแมน้ําโขงมีลักษณะเปนแกงหินและหนาผาตามธรรมชาติ ระดับ น้ําในฤดูแลงและฤดูน้ําหลากมีความแตกตางกันสูงถึง 20 เมตร มีแมน้ํากกและแมน้ําอิงเปนน้ําสาขาหลัก สวนแมน้ําโขงในเขตจังหวัดเลย นับตั้งแต อ.เชียคาน ถึงอ.ปากชม มีชวงที่แมน้ําโขงยังคงความอุดม สมบูรณ มีแมน้ําสาขาสําคัญคือ แมน้ําเหือง แมน้ําเลย งานวิจัยภาคสนามของโครงการแมน้ําเพื่อชีวิตรวมกับชุมชน ริมน้ําโขง สํารวจพบพันธุปลาในน้ําโขงชวงพรมแดนไทย-ลาว ในเขตจังหวัดเลย อยางนอย 200 ชนิด พื้นที่ดอน ทรายที่โผลพนน้ําหลังน้ําลด ชาวบานยังไดลงไปจับจองเพื่อทําการเกษตรนานาชนิด เชน ถั่ว มะเขือ แตง ตลอดจน ผักตางๆ กลาวไดวาพืชผลทางการเกษตรจากดอนทรายแมน้ําโขงเปนพื้นที่แหงความมั่นคงทางอาหารของชุมชน ริมน้ํา เพราะพืชผลเหลานี้นอกจากจะใชบริโภคอยูในทองถิ่นแลวยังกระจายไปจําหนายตามพื้นที่ตางๆ ในเขตภาค อีสานและฝงลาวอีกดวย
วิถีชีวิตสองฝงโขงกอนการมาของเขื่อน สําหรับผูคนในถิ่นนี้แมน้ําโขงเปรียบเสมือนเสนเลือดหลักที่หลอเลี้ยงชีวิต ประชาชนในภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใตมากกวา 100 ลานคน มีชีวิตพึ่งพาแมน้ําโขงและน้ําสาขา เปนทั้งแหลงอาหารที่สําคัญ แหลงน้ําใช เพื่อการเกษตร การเดินทาง การขนสง และอีกหลายกิจกรรมในวิถีชีวิตของผูคนในถิ่นนี้ วงจรน้ําขึ้น-น้ําลงตาม ธรรมชาติในทุกป สงผลใหเกิดระบบการผลิตที่ยั่งยืน ทั้งการปลูกขาว ทําไร ทําสวน พรอมดวยความหลากหลาย ของชนิดพันธุปลาที่มีมากเปนอันดับ 3 ของโลก ลุมน้ําแหงนี้จึงเปนเหมือนแมที่หลอเลี้ยงชีวิตชุมชนหลากหลายเชื้อ ชาติในภูมิภาคนี้ตลอดมาอยางยาวนาน
ผลกระทบข้ามพรมแดนจากการพัฒนาแม่น้ําโขง มิติด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม / เพียรพร ดีเทศน์
สายน้ําโขงที่เชียงราย สําหรับชุมชนที่ตั้งอยูตามริมฝงแมน้ําโขงทั้งสองฝงบริเวณชายแดนไทย-ลาว ใน จ.เชียงราย ชุมชนจํานวน มากไมมีพื้นที่ในการปลูกขาว หรือมีเปนจํานวนนอย ชุมชนเหลานี้จึงหาปลาขาย เพื่อนําเงินไปซื้อขาวหรือนําปลา ไปแลกขาว อยางเชนที่บานปากอิงใต อ.เชียงของ จ.เชียงราย คนในวัยแรงงานสวนมากจะประกอบอาชีพหาปลา เลี้ยงครอบครัว บางครอบครัวที่มีพื้นที่ในการเพาะปลูกก็ปลูกขาวเพียงเพื่อบริโภคภายในครอบครัว การปลูกขาว และการหาปลาในแมน้ําโขงจึงมีความสัมพันธกับคนในชุมชนสองฝงโขงตั้งแตอดีตมาจนถึงปจจุบัน ในชวงหนาแลงชุมชนตางทําการเพาะปลูกพืชผักตามริมชายหาด เกาะ หรือดอนทรายที่โผลพนน้ํา การ โดยชาวบานจะลงมือทําการเกษตรในชวงปลายเดือนตุลาคมเปนตนไป เกษตรริมโขงสามารถพบไดทั้งสองฝงแมน้ํา คือทั้งลาวและไทย พืชผักที่ปลูกนั้นก็จะเปนพืชผักพื้นบาน เชน ถั่ว ผักกาด เปนตน ขณะที่ไปทําการเพาะปลูก ชาวบานบางคนก็นําเครื่องมือหาปลาจําพวก สวิง จ๋ํา ไปดวย เพื่อหาปลาตามริมฝงมาเปนอาหาร แมแกวใส ธรรมวงค (2550) ชาวบานหาดทรายทอง อ.เชียงของ กลาววา “หลังออกพรรษาไปแลว น้ําเริ่ม ลด ตรงเกาะแสนตอดอนทรายจะโผลพนน้ําขึ้นมา ผูเฒาผูแกก็จะไปจับจองพื้นที่ปลูกถั่ว บางคนไดมาก บางคนได นอยตางกันออกไป แลวแตการจับจองกอนหลัง ถั่วที่ปลูกไวน้ําก็ไมตองไปรด ปลอยไวอยางนั้น พอถึงเวลาเก็บก็ไป เก็บ บางสวนก็ขาย บางสวนเอาไวกิน เหลือจากขายและกินก็เก็บเอาไวทําเชื้อในปตอไป” ระบบนิ เ วศแม น้ํ า โขงก อ นมี ก ารพั ฒ นาแม น้ํ า โขงตอนบนนั้ น มี ค วามอุ ด มสมบู ร ณ ด ว ยระบบนิ เ วศที่ สลับซับซอน ซึ่งมีความสําคัญกับชุมชนสองฝงโขงเปนอยางมาก งานวิจัยจาวบาน ซึ่งไดทําการศึกษาวิจัยเรื่อง ระบบนิเวศในแมน้ําโขง นักวิจัยชาวบานไดจําแนกระบบนิเวศในแมน้ําโขงบริเวณพรมแดนไทย-ลาวตอนบนไดถึง 11 ระบบ ไดแก ผาหรือแกง คก ดอน หาด รอง หลง หนอง แจม ริมหวย ริมฝง กวาน ระบบนิเวศทั้งหมดนี้มีความ แตกตางกันออกไป บางระบบนิเวศมีพรรณพืชเกิดขึ้น เชน แกงหิน ในชวงหนาน้ําหลากตนไครบนแกงจะจมอยูใต น้ําและเนาเปอยเปนอาหารของปลา สวน คก ในชวงฤดูน้ําหลากปลาจะวายเขาไปตามคกที่ถูกน้ําทวม และวายเขา ไปวางไขในแมน้ําหรือลําหวยสาขาของแมน้ําโขง พอถึงฤดูน้ําลดปลาที่เขาไปวางไขในแมน้ําสาขาและลําหวยก็จะ อพยพลงมาสูแมน้ําโขงอีกครั้ง กระแสน้ําในแมน้ําโขงในชวงฤดูฝนจะยกระดับสูงขึ้น และหนุนเขาไปในแมน้ําสาขา เชน แมน้ําอิง แมน้ํา กก แมน้ํารวก แมน้ําคํา คนหาปลาก็จะเขาไปหาปลาตามลําน้ําสาขา เพราะแมน้ําโขงในชวงหนาน้ําหลากกลายเปน น้ําใหญ การหาปลาคอนขางลําบาก นอกจากนี้ผาหรือแกงยังไดชวยตานทานการไหลของน้ําที่ไหลเร็วและแรงไดอีก ดวย เมื่อถึงชวงปลายเดือนตุลาคม น้ําในแมน้ําโขงจะคอยๆ ลดระดับลง และลดลงจนต่ําสุดในชวงเดือนเมษายนตนเดือนพฤษภาคม ซึ่งในชวงกลางฤดูแลงราวเดือนกุมภาพันธ-เดือนเมษายน น้ําในแมน้ําโขงจะใส ตามแกงหิน หรือหาดหินจะมีไก-สาหรายน้ําโขงเกิดขึ้น ไกที่เกิดนั้นก็จะเปนทั้งอาหารของคนและของปลา ชวงที่น้ําโขงลดระดับลง ระบบนิเวศบางชนิด เชน คก หาด รอง หลง หนอง ก็เปนพื้นที่ซึ่งคนสองฝงโขง ทั้งลาวและไทยก็จะเขาไปใชประโยชนแตกตางกันออกไป เชน ผูชายไปหาปลาตามคก ผูหญิงไปปลูกผักตามดอน สําหรับการหาปลานั้น ในชวงปลายเดือนเมษายนถึงตนเดือนพฤษภาคมของทุกปจะเปนชวงที่มีการจับปลาบึก จาก สถิติที่บันทึกการจับปลาบึกไดของคนหาปลาพบวา กอนการพัฒนาแมน้ําโขงตอนบน ปลาบึกที่จับไดมีจํานวนมาก 257
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และทรัพยากรชีวภาพ ในลุ่มน้ําโขง
พอพุม บุญหนัก (2549) เลาใหฟงถึงการจับปลาบึกวา “ปลาบึกจะขึ้นมาในชวงหลังปใหมเมือง (หลัง สงกรานต) ชวงนั้นน้าํ ลดลงในน้ําโขงมีที่จับปลาบึกไดไมกี่ที่แตที่จับไดมากที่สุดก็เปนตรงดอนแวงบานหาดไคร เพราะน้ํามันกวางและมีรองน้าํ ลึกเพียงแหงเดียวในชวงหนาแลง ชวงที่จับปลาบึกไดระดับน้ําไมนาจะเกิด 4 เมตร” พออุน ธรรมวงค (2550) คนหาปลาบานหาดทรายทองกลาววา “แมน้ําโขงกอนลาวแตกประมาณป 18 และ หลังป 18 เปนแมน้ําที่อุดมสมบูรณ ชาวบานหาปลาตามวัง ตามหาด เกาะตรงทายบาน และตรงเกาะแสนตอคนไป หาปลากันเยอะ มีทั้งบานหาดบาย หาดทรายทอง แตกอนเปนบานเดียวกัน บานดอนทีก็มีมาหาปลาแถวเกาะแสน ตอ เกาะปลาสะปากเหมือนกัน มันไมมีใครเปนเจาของพื้นที่หรอก แตกอนหาปลาไดเยอะ” สายน้ําโขงที่เลย สายน้ําโขงสัมผัสแผนดินไทยอีกครั้ง ที่ปากน้ําเหือง บานทาดีหมี อ.เชียงคาน ไหลเรื่อยผาน อ.เชียงคาน และ อ.ปากชม จ.เลย บริเวณปากน้ําเหือง เปนพื้นที่หาปลาที่สําคัญอีกแหงหนึ่ง ชาวบานจากหมูบานริมโขงทั้งฝง ไทยและลาวตางลงหาปลารวมกัน โดยยึดหลักการหาปลาวา หากใครหาตรงจุดใดก็จะหาจุดนั้น ไมกาวล้ําเขาไปใน เขตของคนอื่นที่ไดวางเครื่องมือหาปลาไวเปนประจําอยูแลว และปจจุบันนี้ใชวิธีวางเครื่องมือไวแลวมายามชวงเชา และเย็น แตก็มีคนหาปลาจํานวนหนึ่งที่หาปลาดวยการไหลมอง (ตาขาย) ทั้งวัน ชุมชนปากน้ําเหืองเคยมีเรือหา ปลากันแทบทุกหลังคาเรือน พื้นที่อ.เชียงคาน และ อ.ปากชม มีลักษณะเปนเกาะ ดอนทราย และแกงหินโขดหินปรากฏอยูทั่วไป จาก สภาพดังกลาวนี้ทําใหมีปลาอาศัยอยูเปนจํานวนมาก กลางลําน้ําโขงทุกที่จึงมีเรือหาปลาลอยลําอยูกลางสายน้ํามิได ขาด สวนดอนทรายก็เปนที่ปลูกพืชผักสวนครัว และพืชเศรษฐกิจอยางถั่วดําในบางหมูบาน ชาวบานในพื้นที่นี้มี ชีวิตพึ่งพาแมน้ําโขงเปนหลักทั้งการหาปลา การใชน้ําในการทําเกษตรริมโขง น้ําในการอุปโภค ตลอดจนธุรกิจ ตางๆ ที่เกี่ยวของกับการเดินเรือเพื่อการทองเที่ยว ระดับแมน้ําโขงเคยเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของฤดูกาล ตั้งแตเดือน 6 (พฤษภาคม) ฝนเริ่มตก ระดับน้ํา ก็จะเริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พรอมการเปลี่ยนสีของน้ําจากใสเปนสีขุน ฝูงปลาจากทางตอนลางก็จะอพยพขึ้นมาตามน้ํา คนหาปลาแถบนี้ระบุวาในชวงเริ่มหนาฝนนี้ปลาทั้งขนาดใหญและขนาดเล็กจะพากันอพยพขึ้นไปวางไขตามเกาะ แกงและหวยสาขาที่มีระบบนิเวศเอื้อใหปลาวางไข น้ําโขงจะเพิ่มระดับขึ้นจนเต็มฝงในเดือนสิงหาคมถึงกันยายน ซึ่ง ชาวบานเรียกวา “ชวงน้ําขึ้น” ในชวงนี้ชาวบานจะลงหาปลาเปนหลัก หลังจากนั้นน้ําโขงจะเริ่มลดระดับลงเรื่อยๆ เมื่อฤดูกาลเปลี่ยนเขาสูฤดูหนาว และฤดูรอน ซึ่งในชวงสองฤดูนี้ชาวบานเรียก ‘ชวงน้ําลด’ พอหลา โพธิ์ไทร (2549) คนหาปลาบริเวณปากน้ําเหือง กลาววา “ไทบาน (ชาวบาน) ทั้งคนไทยและพี่นอง ชาวลาวที่อยูแถวปากน้ําเหืองก็หาปลากันเปนสวนใหญ เพราะปลาอยูแถวนี้ เปนชวงที่น้ําเหืองไหลมาลงแมน้ําโขง จึงเปนแหลงหาอยูหากินของปลาหลากหลายชนิด “ไทบานหาปลากันที่ปากน้ําเหืองนี่มาหลายชั่วอายุคนแลว หา ปลาก็ใชมอง จั่น ลอบ เบ็ด เมื่อกอนปลาเยอะมาก อยากกินปลาก็กอไฟตั้งหมอน้ําไวรอ แลวลงมากูเครื่องมือหาปลา ที่ใสไวก็มีกับขาวกินกันสบาย เมื่อกอนที่น้ําขึ้นลงตามฤดูกาล เมื่อถึงฤดูน้ํามาก น้ําโขงก็จะคอยๆ ขึ้นไปเรื่อยๆ ถึง ฤดูแลงน้ําลด น้ําโขงก็จะลดลงไปเรื่อยๆ เปนแบบนี้ตามธรรมชาติ” 258
ผลกระทบข้ามพรมแดนจากการพัฒนาแม่น้ําโขง มิติด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม / เพียรพร ดีเทศน์
พอสี ไชยจันทร (2549) อายุ 60 ป ชาวบานผาแบน ต.บุฮม อ.เชียงคาน ระบุวา “เมื่อกอนไทบานมีเรือหา ปลาทุกหลังคาเรือน หาปลากันทุกบาน น้ําโขงเมื่อกอนถึงฤดูน้ําขึ้นก็จะคอยๆ ขึ้นตลอด ถึงฤดูน้ําลงก็จะลดลง เรื่อยๆ จนถึงระดับที่เคยเปนทุกป “ไทบานกางมองทิ้งไวในน้ําโขงตอนเชา พอตกเย็นก็มายามดูวามีปลาติดมอง หรือไม ปลาที่ไดจะเปนปลาเพี้ย ขายกิโลกรัมละ 100 บาท ปลาปาก ปลาแกง ก็กิโลกรัมละ 100 บาท ชวงไหนได ปลามากราคาก็จะลดลงเหลือกิโลกรัมละ 70-80 บาท ขายใหกับคนในหมูบานเดียวกันและหมูบานใกลเคียง” “เมื่อ 5 ป 10 ปกอน อยากกินปลาก็ตั้งหมอรอไวไปหาก็ไดปลามากิน”
รูปที่ 1 แมน้ําโขงที่อ.เชียงคาน จ.เลย เปนแหลงอาหารและรายไดที่สําคัญของชุมชน การพัฒนาแมน้ําโขงตอนบน ในชวงหลังทศวรรษ 1980 สาธารณรัฐประชาชนจีนเขามีบทบาทสําคัญในการพัฒนาแมน้ําโขง บทบาท ของจีนเกิดขึ้นภายใตนโยบายการมุงพัฒนาภูมิภาคตะวันตกของจีนใหเติบโตทางเศรษฐกิจ หนึ่งในนโยบาย เหลานั้นคือ นโยบายการพัฒนาแมน้ําลานชาง หรือแมน้ําโขงตอนบน ใหเปนเขต ซึ่งประกอบไปดวยโครงการสราง เขื่อนขนาดใหญกั้นแมน้ําโขงเพื่อเปนแหลงพลังงาน โครงการนิคมอุตสาหกรรม และโครงการปรับปรุงแมน้ําโขง เพื่อการเดินเรือเชิงพาณิชยจากซือเหมา ลงไปยังหลวงพระบาง • ระเบิดแกง ปรับปรุงรองน้ําเพื่อการเดินเรือ การระเบิดแกงแมน้ําโขงเพื่อการเดินเรือเชิงพาณิชยขนาดใหญอยูภายใตขอตกลงการเดินเรือระหวาง 4 ประเทศในลุมน้ําโขงตอนบน ไดแก จีน พมา ลาว และไทย โดยจีนเปนผูประสานงานในการสํารวจรายละเอียดและ 259
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และทรัพยากรชีวภาพ ในลุ่มน้ําโขง
ออกแบบ และสนับสนุนงบประมาณ โดยแบงออกเปน 3 ชวง ดังนี้ ชวงแรก ระเบิด 11 แกง และ 10 กลุมหิน เพื่อใหสามารถเดินเรือระวางบรรทุกอยางต่ํา 100 ตัน ไดเปน ระยะเวลาอยางนอยรอยละ 95 ในรอบป ชวงที่สอง ระเบิด 51 แกงและดอน เพื่อใหสามารถเดินเรือระวางบรรทุกอยางต่ํา 300 ตัน ไดเปนระยะเวลา อยางนอยรอยละ 95 ในรอบป ระยะที่สาม ปรับปรุงทางน้ําใหมีลักษณะคลายคลองเพื่อใหสามารถเดินเรือระวางบรรทุกอยางต่ํา 500 ตัน ไดเปนระยะเวลาอยางนอยรอยละ 95 ในรอบป ขณะนี้ไดดําเนินการระเบิดแกงและทําการตกแตงลําน้ําบางสวนบริเวณพรมแดนพมากับลาว จนสามารถ เดินเรือขนาด 300 ตันลงมาจนถึงเชียงแสนไดแลว สวนแกงคอนผีหลง บริเวณพรมแดนไทย-ลาว รัฐบาลไทยไดมี มติระงับโครงการ และใหทํารายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดลอม (EIA) ใหม รวมทั้งทํา TOR ทางน้ําระหวาง ไทยกับลาวใหม ภายใตความรับผิดชอบของกระทรวงกลาโหม เมื่อวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2546 • เขื่อนกั้นแมน้ําโขง สําหรับโครงการเขื่อน จีนวางแผนที่จะสรางเขื่อนผลิตกระแสไฟฟาบนแมน้ําโขง ชวงกลางและลางของ แมน้ําหลานชาง (แมน้ําโขงในเขตจีน) ทั้งหมด 13-15 แหง ไดแก Manwan, Dachaoshan, Xiaowan, Jinghong, Nuozhadu, Ganlanba, Mengsong, Gongguoqiao, Gushui, Wulilong, Lidi, Huangdeng และ Miaowei (Xinhua Yunnan Channel 2004) นอกจากนี้ยังมีแผนสรางเขื่อนทางตอนบนของแมน้ําหลานชาง ทางเหนือของมณฑล ยูนนานอีก 7 แหง ไดแก Gushui, Huangdeng, Wunonglong, Lidi, Miaowei, Tuoba และ Dahuaqiao ปจจุบัน จีนไดกอสรางเขื่อนกั้นแมน้ําโขงแลวเสร็จ 3 เขื่อน โดยเขื่อนแรก คือ เขื่อนมันวาน สรางแลวเสร็จเมื่อป 2539 เขื่อนตาเฉาชาน และเขื่อนจิงหง สวนอีก 2 เขื่อนอยูระหวางกอสราง คือ เขื่อนเซี่ยวหวาน และเขื่อนนั่วซาตู
รูปที่ 2 เขื่อนมันวาน เขื่อนกั้นแมน้ําโขงแหงแรกในยูนนาน ประเทศจีน
260
ผลกระทบข้ามพรมแดนจากการพัฒนาแม่น้ําโขง มิติด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม / เพียรพร ดีเทศน์
ผลกระทบขามพรมแดนจากการพัฒนาแมน้ําโขงตอนบน การพัฒนาแมน้ําโขงตอนบน สรางผลกระทบอยางรุนแรงตอระบบนิเวศและชุมชนที่พึ่งพาแมน้ําโขงทาง ตอนลางลงไป รวมทั้งแมน้ําสาขาของแมน้ําโขง รายงานฉบับนี้ศึกษาวิจัยในพื้นที่แมน้ําโขงบริเวณชายแดนไทยลาว 2 เขต ไดแกเขต อ.เชียงแสน อ.เชียงของ และอ.เวียงแกน จ.เชียงราย และเขตอ.เชียงคาน อ.ปากชม จ.เลย การศึกษาพบวา ลักษณะประการหนึ่งของผลกระทบทางสิ่งแวดลอมจากการพัฒนาแมน้ําโขงตอนบน ก็คือ ปญหาสิ่งแวดลอมในลักษณะขามพรมแดน ซึ่งมีแนวโนมจะทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ การพัฒนาทาง ตอนบนของลุมน้ําโดยเฉพาะในเขตประเทศจีน ไมเพียงแตสงผลกระทบตอระบบนิเวศบริเวณพรมแดนไทย-ลาว ที่ จ.เชียงรายเทานั้น แตพบวาขยายลงมาถึงบริเวณพรมแดนไทย-ลาว ที่ จ. เลย ดวยเชนกัน ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับระบบนิเวศแมน้ําโขงที่ จ.เชียงราย 1. ความผันผวนของระดับน้ํา ปริมาณกระแสน้ําทั้งปในแมน้ําโขงชวงกอนจะไหลลงทะเลที่ประเทศเวียดนามเปนน้ําที่มาจากเขตประเทศ จีนประมาณ 15-20 เปอรเซ็นต ในขณะที่น้ําในแมน้ําโขงที่อยูในประเทศกัมพูชา เมื่อถึงเดือนเมษายน น้ําที่มีอยูใน แมน้ําโขงเปนน้ําที่มาจากจีนถึง 45 เปอรเซ็นต (Blake 2001) และปริมาณน้ําจากพื้นที่รับน้ําในเขตประเทศจีนมี สวนสําคัญมากตอกระแสน้ําในชวงหนาแลงของแมน้ําโขงสวนที่ไหลผานประเทศไทยและลาวซึ่งคาดวามีมากกวา 60 เปอรเซ็นต หลังจากเกิดการพัฒนาแมน้ําโขงตอนบน ทั้งการระเบิดแกงเพื่อการเดินเรือและการสรางเขื่อนในประเทศ จีนไดสงผลกระทบตอประเทศทายน้ําอยางหลีกเลี่ยงไมได วัฏจักรน้ําทวม-น้ําแลงของแมน้ําโขงที่เคยเปนไปตาม ตามฤดูกาลเปลี่ยนแปลงไป เมื่อเขื่อนเริ่มมีการกักเก็บน้ําทําใหวงจรระดับน้ําในแมน้ําโขงเปลี่ยนแปลงไปอยาง สิ้นเชิง แมน้ําโขงในอดีตกอนการสรางเขื่อนเคยขึ้นสูงสุดในเดือนสิงหาคมเปนตนไป เมื่อถึงเดือนธันวาคมน้ําใน แมน้ําโขงก็จะคอยๆ ลดระดับลง จนแหงลงเต็มที่ในเดือนเมษายน แตภายหลังจากการดําเนินโครงการสรางเขื่อน และการระเบิดแกง พบวาระดับน้ําในแมน้ําโขงเปลี่ยนแปลงอยางเห็นไดชัดเจนโดยเฉพาะในชวงฤดูแลง การระเบิดแกงแมน้ําโขงที่ดําเนินการตั้งแตปลายป พ.ศ. 2544 ไดทําใหเกิดความผันผวนของระดับน้ําใน แมน้ําโขง ความไมแนนอนของกระแสน้ําในแมน้ําโขงไดทวีความรุนแรงมากขึ้น เมื่อมีการกอสรางเขื่อนเซี่ยวหวาน และเขื่อนจิงหง ซึ่งเขื่อนเซี่ยวหวานเมื่อสรางเสร็จจะมีความสูงถึง 292 เมตร ขณะที่เขื่อนจิงหงตั้งอยูลางสุดของ แมน้ําโขงตอนบนในจีน หางจากสามเหลี่ยมทองคํา อําเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงรายเพียงประมาณ 280 กิโลเมตร นอกจากนั้นการทําขอตกลงระหวางจีน พมา ลาว และไทยในการควบคุมน้ําเพื่อใหสามารถเดินเรือขนาดใหญในฤดู แลงได จะทําใหวัฏจักรการขึ้น-ลงของน้ําเปลี่ยนไปในแมน้ําโขงเปลี่ยนไป ระดับน้ําที่ขึ้นๆ ลงๆ ตามอิทธิพลของการใชงานเขื่อนและการระเบิดแกงแมน้ําโขง โดยเฉพาะในชวงกลาง ฤดูแลงราวเดือนมกราคม-เมษายน ไดสงผลกระทบตอระบบนิเวศของแมน้ําโขงอยางหลีกเลี่ยงไมได หมายถึงวา ผลกระทบเหลานั้นยังไดสงผลโดยตรงกับพันธุปลา พรรณพืช และวิถีชีวิตของชาวบานทั้งสองฝงโขงดวยเชนกัน ดังที่จะอธิบายในสวนตอไป 261
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และทรัพยากรชีวภาพ ในลุ่มน้ําโขง
2. การทับถมของตะกอนทราย การทับถมของตะกอนทรายเห็นไดอยางชัดเจนในบริเวณ “คก” ซึ่งเปนที่อยูอาศัยที่สําคัญของปลาในฤดู น้ําลด โดยตะกอนทรายเขาทับถมจนคกตื้นเขินมาตั้งแตป พ.ศ. 2545 เชน บริเวณคกหลวง ซึ่งเปนคกขนาดใหญ ที่อยูติดกับฝงลาวในเขตอ.เวียงแกน จ.เชียงราย รวมถึงคกอื่นๆ เชน คกสองหอง คกปากทีน เมื่อคกถูกทรายทับ ถม หมายถึงการที่ระบบนิเวศสําคัญของแมน้ําโขงอันเปนที่อยูอาศัยของปลาถูกทําลาย คกที่ตื้นเขินทําใหคนหา ปลาสามารถหาปลาในคกไดนอยลง หรือบางคกก็ไมสามารถหาปลาไดเลย พอทองพัน ดวงธิดา (2550) คนหาปลาบานหวยลึก อ.เวียงแกน จ.เชียงราย อาศัยหาปลาในบริเวณคกห ลวงมานานกวา 20 กวาปกลาววา ไมเคยเห็นคกหลวงจะตื้นเขินอยางนี้มากอน ตื้นเขินจนมีแตทรายไมมีน้ํา ในฤดู แลงไมสามารถหาปลาไดเลย อุยเสาร ระวังศรี (2549) คนหาปลาวัย 76 ป กลาววา “พอน้ําโขงมันแหงลงมา เดี๋ยว 2-3 วันมันก็ขึ้น เปน อยางนี้ปลาไมมีหรอก ตั้งแตจีนทําเขื่อนมันก็เปนอยางนี้ น้ําโขงมันขึ้น-ลง น้ําสาขา น้ําหวยก็แหงลงดวย เพราะน้ํา โขงมันลง น้ําหวยน้ําสาขาที่ไหลลงน้ําโขงก็ถูกดึงลงมาดวย น้ําสาขาก็แหง หวยก็แหง ปลาก็หาที่อยูในน้ําสาขา ลําบาก “อยางดอนทรายบางดอนไมมี พอมาปนี้มีดอนทราย อยางหาดจั่นปนี้ทรายมูนกวาปกอน หวยโตนน้ําก็ นอย เพราะน้ําโขงดึงน้ําจากหวยโตนลงมาเยอะ อยางคกหัวงามก็แทบไมเปนคก เพราะทรายจากดอนหัวงามมา มูน คกนี้ปลามันเขาไปอยูน้ํามันลึก แตพอทรายมูนปดทางน้ําที่ไหลเขาคกไว ปลาก็เขาไปไมได” ขณะที่ระบบนิเวศแบบดอนไดรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทิศทางการไหลของน้ําและกระแสน้ําที่ เชี่ยวขึ้นในฤดูน้ําหลาก ทําใหเกิดการกัดเซาะดอนทราย ซึ่งใชเปนพื้นที่ทําการเกษตรริมโขง พื้นที่ดอนบางที่มี ขนาดเล็กลง บางที่หายไปทั้งดอน เชน ดอนมะเตาที่บานดอนที่ อ.เชียงของ เปนตน 3. การพังทลายของตลิ่ง การพังทลายของตลิ่งเกิดจากกระแสน้ําไดเปลี่ยนทิศทางการไหล กระแสน้ําพุงเขาทําลายตลิ่งทั้งสองฝง น้ํา ชาวบานสังเกตเห็นวา ความเร็วของกระแสน้ําไดเพิ่มขึ้น ตางจากในอดีตที่ผานมา พื้นที่ที่ไดรับความเสียหาย ครอบคลุมทั้งที่อยูอาศัย ที่สาธารณะของหมูบาน และพื้นที่เพาะปลูกพืชผักริมฝงของหมูบาน หลายหมูบานที่อยู ติดกับแมน้ําโขงตองประสบกับปญหานี้ เชน บานตนผึ้ง สปป.ลาว บานแซว บานปงของ บานสวนดอก บานสบ ยาบ อ.เชียงแสน บานดอนที่ บานผากุบ บานเมืองกาญจน บานดอนมหาวัน บานปากอิง อ.เชียงของ บานแจม ปอง บานหวยลึก อ.เวียงแกน 4. การลดลงของไก การเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศแมน้ําโขงไดสงผลกระทบอยางรุนแรงตอไก-สาหรายแมน้ําโขง เนื่องจากไก เปนพืชที่มีความออนไหวตอสภาพแวดลอมเปนอยางมาก คือ ลักษณะการเกิดขึ้นของไกโดยสวนมากไกจะเกิดที่ ระดับน้ําลึกไมเกิน 40-45 เซนติเมตร น้ําตองใสสะอาดและแสงแดดสองถึง งานวิจัยจาวบานพบวา ตั้งแตป พ.ศ. 2545 บริเวณหาดหิน ซึ่งเปนแหลงกําเนิดไกมีตะกอนทรายทับถม ขณะที่น้ําโขงขุนขน ทําใหไกไมสามารถจะเกิดได เพราะไกจะเกิดก็ตอเมื่อน้ําใสเทานั้น การที่ระดับน้ําขึ้น-ลง 262
ผลกระทบข้ามพรมแดนจากการพัฒนาแม่น้ําโขง มิติด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม / เพียรพร ดีเทศน์
ผิดปกติทําใหไกที่เกิดขึ้นมาใหมไดเพียงแควันสองวันตองจมน้ําหรือแหงตาย สวนไกที่ยังพอเก็บไดคุณภาพก็ไมดี เพราะน้ําขุนขนจากตะกอนทรายพัดมาติดกับไกทําใหลางออกยาก งานวิจัยจาวบานพบวา ไกมีจํานวนลดลง ชวง ระยะเวลาในการเก็บไกจึงสั้นลงกวาเดิม จากที่เคยเก็บได 4– 5 เดือนก็เก็บไดเพียงเดือนเดียวเทานั้น
รูปที่ 3 กลุมแมบานริมโขงเก็บไก สาหรายแมน้ําโขง ซึ่งลดจํานวนลงหลังการเปลี่ยนแปลงของแมน้ํา ผลกระทบตอพันธุปลาและการหาปลา งานวิจัยจาวบานพบวา การหาปลาในแมน้ําโขงนั้นตองการสภาพน้ําในแมน้ําโขงที่ทรงตัว หากน้ําจะขึ้น หรือลงตองเปนไปตามธรรมชาตินั่นก็คือ คอยๆ ขึ้นหรือลง การที่ระดับน้ําโขงขึ้น-ลงไมปกติทําใหปลาไมเดินทาง ออกหากินและเดินทางไปวางไข ทําใหคนหาปลาจับปลาไดนอยลง ตัวอยางเชน ปลาสรอยที่ชาวบานใชทําปลารา และเคยมีชุกชุม ปจจุบันไมอพยพขึ้นมาตามปกติ และมีจํานวนนอยมาก อีก ตั วอย า งหนึ่ง คื อ ปลาหวาน ปลายอน ในอดีต การไหลมองของคนหาปลาจะใช ม องตาขนาด 3.5 เซนติเมตร ไหลในชวงน้ําเริ่มขึ้นปลายเดือนเมษายน ปลาหวาน ปลายอน จะติดมองที่ไหลประมาณ 1 รอบ ได ปลารวมกันไมต่ํากวา 4-5 กิโลกรัม แตปจจุบันไหลมอง 1 รอบ ไดปลาหวานปลายอนรวมกัน 4-5 ตัวก็ถือวาได ปลามากแลว ผลกระทบทางเศรษฐกิจสังคมของคนหาปลา ลั้ง หรือ พื้นที่หาปลา แตละแหงไมวาจะเปนพื้นหินหรือทรายจะมีความเรียบของพื้นน้ําที่สม่ําเสมอและ สวนใหญมีรองน้ําเดียวจึงทําใหสามารถจับปลาได แตในปจจุบั นพื้นที่ใตน้ําที่เปนลั้งหาปลาของชาวบานไม ราบเรียบสม่ําเสมอ เกิดสันดอนหินและสันดอนทรายขึ้นมาใหม บางพื้นที่ก็แบงเปนสองรองน้ําจึงทําใหหาปลา ลําบากและหาปลาไดนอยลง
263
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และทรัพยากรชีวภาพ ในลุ่มน้ําโขง
การขึ้น-ลงของน้ําที่ไมปกติ ก็มีสวนใหชาวบานไมสามารถใชเครื่องมือจับปลาไดเชนกัน เชน เบ็ดที่ปกไว ริมฝงน้ําอาจเปลี่ยนเปนอยูเหนือน้ําเมื่อระดับน้ําลดลงทันทีในระยะเวลาเพียงชั่วขามคืน ที่สําคัญก็คือ การขึ้น-ลง ของน้ําไมปกติทําใหปลาไมอพยพตามฤดูกาล คนหาปลาจึงไมสามารถใชความรูทองถิ่นในการคาดการณการ อพยพของปลาไดดังเดิม ผลกระทบที่ตามมาก็คือ คนหาปลาสามารถหาปลาไดนอยลง คนหาปลาบานปากอิงระบุวา การผันผวนของ กระแสน้ํา และระดับน้ําทั้งในชวงฤดูแลงและฤดูฝน ทําใหจํานวนปลาที่จับไดลดลงถึงรอยละ 50 ทําใหคนหาปลา หลายคนตองเปลี่ยนไปทําอาชีพอื่นหรือตองออกไปทํางานตางถิ่น เนื่องจากไมสามารถยึดการหาปลาเปนอาชีพหลัก ไดอีกตอไป จํานวนเรือหาปลาที่เคยมีประมาณ 70-80 ลํา ไดลดลงเหลือเพียงประมาณ 30 ลําเทานั้น ความรุนแรงของปญหานี้เกิดมากที่สุดในฤดูแลงที่ผานมา จนทําใหชาวบานหาปลาไดไมคุมกับคาน้ํามันเรือ คนหาปลาชาวไทยและลาวที่ผาได ทางใตสุดของแมน้ําโขงบริเวณพรมแดนไทย-ลาวทางตอนบน ระบุวา การที่ปลา ไมเคลื่อนยายออกหากินและอพยพขึ้นไปขางบนทําใหจํานวนคนหาปลาที่ไหลมองในเดือนกุมภาพันธ พ.ศ. 2550 เหลือเพียง 2 รายจากปกติที่มีคนหาปลามากกวา 70 ราย นายทองสวรรค พรมราช (2550) ผูใหญบานบานหวยลึก กลาววา “เมื่อกอนที่บานหวยลึกจะมีเรือออกหา ปลาในน้ําโขงวันหนึ่ง 15 ลําขึ้นไป คนหนึ่งออกหาปลาวันละ 2-3 เที่ยว เขาคิวกันหาปลาตามจุดตางๆ ที่มีปลาชุก ชุม ระดับน้ําโขงขึ้นลงตามระยะเวลาคงที่ตลอดทุกป โดยปกติน้ําจะขึ้นตั้งแตเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน และจะทรง ตัวไปเรื่อยจนถึงเดือนมีนาคมน้ําก็จะเริ่มแหง แตปจจุบันน้ําขึ้นลงเร็วมาก ถาขึ้นตอนเย็น ลดลงตอนเชาเปนอยางนี้ ทุกวัน “ออกไปหาปลาในแตละวันใชเครื่องมือหาปลาอยางเชนมอง ใชมองยาว 25 วา ครั้งหนึ่งไดปลาอยางนอย 10-20 ตัว ทําใหมีรายไดวันละไมต่ํากวา 100 บาททุกวัน “ระดับน้ําเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไมคงที่เมื่อประมาณ 4-5 ปที่ผานมา ขึ้นลงไมเปนเวลา และน้ําแหงมากขึ้นมาประมาณ 3 ปแลว ทําใหชาวบานหาปลายากขึ้น “สังเกตจากการขึ้น-ลงของน้ํา วาถาวันไหนมีเรือสินคาลองมาจากจีนวันนั้นน้ําจะขึ้นมาก เขาใจวาจีนอาจจะ มีการกักเก็บน้ําไวเมื่อจะนําสินคามาสงก็จะมีการปลอยน้ําออกมาเพื่อใหเรือสินคาเดินไดสะดวกและไดขึ้นไปดูที่ เชียงแสนก็สังเกตเห็นวาถาวันไหนมีเรือสิ้นคาจากจีนมาสงของน้ําจะขึ้นมาก เขาใจวาจีนตองมีการกักเก็บน้ําไวหรือ สรางเขื่อนไวกักเก็บน้ําอยางแนนอน ทําใหเดี่ยวนี้หาปลายากมากขึ้น” พอจันดี สายใจ (2550) ชาวบานผากุบ อ.เชียงของ กลาววา “ตอนนี้คนหาปลาบานผากุบจริงเหลือ ประมาณ 4 คน จากแตกอนมีหลายสิบคน มันหาไมไดก็เลยไมมีใครอยากจะหา เพราะเดี๋ยวน้ําขึ้น เดี๋ยวน้ําลง ใสไซ ลั่นไวตอนเย็นวันนี้ พรุงนี้มาดู ไซอยูบนบกแลว น้ํามันหนีละไซ เปนอยางนี้จะเอาปลามาจากที่ไหน ปลามันก็หลง น้ําหมด แตกอนเมื่อ 7-8 ปกอนเคยหาปลาขายวันหนึ่งได 300-400 บาท ตอนนี้บางวันก็ไมไดเลยสักตัว ทั้งที่บาน เราคนหาปลาก็ไมเยอะ ไมรูวาปลามันลดลงไดยังไง”
264
ผลกระทบข้ามพรมแดนจากการพัฒนาแม่น้ําโขง มิติด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม / เพียรพร ดีเทศน์
พอมวน ลิพัน (2551) อายุ 65 ป คนหาปลาบานปากเนียม ต.หวยพิชัย อ.ปากชม จ.เลยกลาววา “พอหา ปลามาตั้งแตอายุ 10 กวาป หาปลาเปนอาชีพ บริเวณหาปลาก็จะเปนที่บุงไผ หาดบัว แกงบวบ เมื่อกอนปลาเยอะ ชวงนี้ปลาไมคอยมี บางวันหาได บางวันก็ไมได เดี๋ยวนี้หาปลาไมคอยได น้ําขึ้น-ลงผิดปกติขึ้นประมาณอาทิตยหนึ่ง จากนั้นก็ลง “สมัยกอนมีเกาะแกงมาก เดี๋ยวนี้ทรายไหลมาถมหายไปหมด แตกอนมีปลาตัวใหญหลายชนิดทั้งปลาแข ปลาเคิง ปลานาง ปลาปาก ปลาคาว ปลาเลิม เดี๋ยวนี้หายไปนานแลว ทั้งที่ยอนกลับไปประมาณ 5 ปกวาหรือเกิน กวานั้นยังมีอยู ปหนึ่งมีรายได 3-4 หมื่นกวาบาท เดี๋ยวนี้อยางมากก็หมื่นกวาบาท ปลาก็หาไดบาง ไมไดบาง ตอนนี้ หาปลาไมคอยได จีนเขามาสรางเขื่อน นี่คือปญหาละ วิถีชีวิตของเราก็เปลี่ยนไปดวย ธรรมชาติซื้อหากันไมได บาน เราอยูกันมากรอยกวาปแลว” การที่คนหาปลาหยุดหาปลานั้นเกิดขึ้นแทบตลอดสองฝงแมน้ําโขง บางคนหาปลาหลอเลี้ยงชีวิตและ ครอบครัวมาตลอดชีวิตก็ตองหันหลังใหแมน้ํา ผลที่ตามมาก็คือ ระบบเศรษฐกิจที่ขึ้นอยูกับการหาปลาซบเซาลง ขณะที่ราคาปลาแพงมากขึ้นเกือบเทาตัวเนื่องจากหาปลายากขึ้นทุกวัน ผลกระทบตอการทําเกษตรริมโขง เกษตรริมโขงมีความสําคัญตอชาวบานทั้งในแงของความมั่นคงทางอาหารและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ แตการทําเกษตรริมโขงเริ่มประสบกับปญหาตั้งแตป 2540 หรือ 1 ปหลังการสรางเขื่อนมันวานเสร็จและเปดใชงาน โดยปกติแลว คนทําเกษตรริมโขงจะเริ่มเพาะปลูกหลังน้ําลด และตามธรรมชาติแลว น้ําโขงจะไมขึ้นอีก แตในชวง ดังกลาวเปนตนมา น้ําโขงจากทางตอนบนไดหลากลงมาทวมพื้นที่เกษตรหลังจากชาวบานลงเมล็ดพันธุหรือกลา พันธุไปแลว บางครั้งน้ําทวมชวงใกลเก็บเกี่ยวพรอมที่จะนําไปขาย ทําใหผลผลิตเสียหาย มีคุณภาพต่ํา และขาย ไมไดราคา พอจันดี สายใจ (2550) บานผากุบ อ.เชียงของ กลาววา “น้ําทวมแปลงปลูกถั่วตรงริมน้ําหลายไร ตรงหวย ตุ น้ําโขงก็หนุนเขามา พอน้ํามันหนุนเขามาน้ําจากหวยก็ขึ้นสูง ผิดปกติตรงที่น้ําทวมครั้งนี้มันทวมหลังออกพรรษา “ตรงผาฟา น้ําทวมแปลงปลูกมะเขือมวง แปลงถั่ว มะเขือมวงกําลังออกลูกพอดี เจาของสวนกําลังจะเก็บไปขาย พอ น้ําทวมก็ขายไมไดแลว บางคนกําลังลงถั่ว ก็เสียหายไปหลายพันบาทอยู เพราะตองไปซื้อพันธุถั่วมาปลูกใหม ขาวโพดเหมยนี่ตองปลูกใหมหมด เพราะน้ําทวมมันตาย “ชาวบานก็แปลกใจอยูวาน้ํามันมาไดยังไง มันหนาออก พรรษาแลว ปกติน้ํามันจะนองชวงในพรรษาเทานั้น“ สําหรับชาวบานแลว ความเสียหายตอที่ดินริมโขงนั้นหมายถึง การขาดรายไดของครอบครัว ทําใหชาวบานซึ่งสวนใหญคือคนที่ไรที่ดินทํากินตองดิ้นรนหาชองทางทํามาหากิน อยางอื่นตอไป ผลกระทบจากการเดินเรือขนาดใหญ แมวาปจจุบันยังไมมีการระเบิดแกงคอนผีหลงและแกงอื่นๆ บริเวณพรมแดนไทย-ลาว แตแมน้ําโขง บริเวณพรมแดนไทย-ลาวก็มีการเดินเรือพาณิชยซึ่งทําใหเกิดผลกระทบตอคนหาปลาแลวในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะ อยางยิ่งการเดินเรือเร็วทองเที่ยวระหวางเชียงแสนกับหลวงพระบาง เนื่องจากเรือเร็วมีเสียงดังและทําใหเกิดคลื่น ขนาดใหญ เชนเดียวกับเรือสินคาที่วิ่งระหวางหวยทรายและเชียงของกับหลวงพระบาง 265
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และทรัพยากรชีวภาพ ในลุ่มน้ําโขง
คนหาปลาระบุวา เสียงและคลื่นจากเรือใหญจะรบกวนการอพยพหรือการออกหากินของปลา ซึ่งเปนอีก สาเหตุหนึ่งที่ทําใหคนหาปลาจับปลาไดนอยลง คนหาปลาหลายคนที่ตองหยุดหาปลาในตอนกลางวันเนื่องจากการ รบกวนของเรือเร็วและเรือสินคาขนาดใหญ โดยเลี่ยงลงหาปลาดวยการวางเบ็ดในตอนกลางคืนแทน เสียงและคลื่น จากเรือใหญและเรือเร็วยังทําใหคนหาปลาเลิกใชเครื่องมือหาปลาพื้นบานบางชนิด เชน เบ็ดน้ําเตา เพราะการใช เบ็ดน้ําเตาตองอาศัยความเงียบและน้ํานิ่งปลาถึงจะกินเบ็ด ในอนาคตหากมีการเดินเรือสินคาขนาดใหญที่ระวางบรรทุกน้ําหนัก 500 ตัน คนหาปลาเชื่อแนวา การใช เครื่องมือหาปลาในแมน้ําโขงอาจจะลดนอยลงอีก เพราะคนหาปลาเลิกใชเครื่องมือหาปลา นั่นหมายถึงการสูญเสีย ความรูทองถิ่นที่มีคาที่เกี่ยวของกับเครื่องมือหาปลาอยางถาวรนอกจากนั้น หากมีการเดินเรือขนาดใหญของจีนลง มาจนถึงเชียงของ คนหาปลายังจะมีความเสี่ยงมากขึ้นเนื่องจากคลื่นเรือสินคาของจีนมีขนาดใหญมาก ดังนั้นหาก มีการเดินเรือสินคาขนาดใหญของจีนอยางจริงจังหลังการระเบิดแกงคอนผีหลง คนหาปลาก็จะมีความเสี่ยงสูงมาก และอาจจะทําใหตองเลิกหาปลาเชนเดียวกับที่คนหาปลาแถบเชียงแสนเผชิญชะตากรรมนี้มาแลวหลังการกอสราง ทาเรือเชียงแสน ซึ่งกอนหนาที่จะมีทาเรือ คนหาปลาที่เชียงแสนรวมบานสบคํามีประมาณ 120-130 คน แต ปจจุบันอยูเพียงประมาณ 40 คนเทานั้น ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับระบบนิเวศแมน้ําโขงที่ จ.เลย ตั้งแตปากน้ําเหือง บริเวณบานทาดีหมี ต.ปากตม อ.เชียงคาน เรื่อยลงมาจนถึงบริเวณตลาดปากชม อ.ปากชม พบวาภายหลังการพัฒนาแมน้ําโขงตอนบน บริเวณดังกลาวมีความเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศอยาง กวางขวาง 1. การเปลี่ยนแปลงของรองน้ํา และสันดอนทราย หนึ่งในระบบนิเวศสําคัญเฉพาะถิ่น คือ พื้นที่ริมน้ําที่ชาวบานเรียกวา “บุง” ในบุงจะมีแมงกระพรุนน้ําจืด หรือที่ชาวบานเรียกวา “แมงหยุมหวะ” อาศัยอยู ระบบนิเวศแบบบุงจะเกิดขึ้นในชวงหนาน้ําลด และในบุงจะเปนที่ อาศัยสําคัญของปลา ชาวบานในชุมชนจะมีกิจกรรมที่ทํารวมกันคือการลงบุงในชวงหนาแลง พอเพิ่มศักดิ์ พิสัยพันธุ (2550) พรานปลาที่อาศัยอยูในอ.เชียงคานและหาปลามากวา 20 ป กลาววา “แมน้ําโขงเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน เดี๋ยวนี้น้ําโขงขึ้น-ลงผิดปกติ ตลิ่งริมโขงพังทลายทรุดตัวลงมา และกินเนื้อที่เขาไป ในเขตบานและที่ทํากิน “รองน้ําเปลี่ยนทางเดิน แตกอนรองน้ําลึกจะอยูทางฝงลาว บริเวณริมฝงก็จะมีแกงหินผาเต็ม ไปหมด แลวริมฝงโขงก็เริ่มเปลี่ยนไปเรื่อยๆ โดยมีทรายทับถมหินผาใหจมอยูใตทรายเกือบหมด ดอนทรายก็จะอยู ทางฝงลาว สวนรองน้ําลึกก็จะกินเนื้อที่เขามาทางฝงไทยทุกป” พอหลา โพธิ์ไทร (2549) คนหาปลาบานทาดีหมี ที่หาปลาอยูบริเวณปากน้ําเหือง มากวา 30 ปกลาววา “สภาพของแมน้ําโขงเมื่อกอนจะมีหินผาอยูริมฝงทั้งไทยและลาว เมื่อน้ําลดหินผาก็จะโผลพนน้ํา มีตนไคร และ หญาขึ้นคลุม แตตอนนี้ทรายไหลมาทับถม กลายเปนดอนทรายที่มีแนวยาวเปนกิโลแทบไมมีแกงผา ปลาก็ไมมีที่ อาศัยและวางไขตามแกงหิน สวนรองน้ําก็กินเนื้อที่เขามาทางฝงไทยทุกป น้ําก็เปลี่ยนทางเดินไหลเซาะฝงไทย มากขึ้น “เมื่อสิ่งแวดลอมเปลี่ยนไปจากเดิมปลาก็อยูไมคอยได ไมรูหายไปไหนหมด บางวันก็หาได บางวันก็หา ไมได เมื่อกอนลงมามือเปลาจับปลาตามซอกหินผาก็ไดปลาไปกินแลว เดี๋ยวนี้ขนาดมีเครื่องมือชวยจับยังหาไม 266
ผลกระทบข้ามพรมแดนจากการพัฒนาแม่น้ําโขง มิติด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม / เพียรพร ดีเทศน์
คอยไดเลย” การไหลของน้ําโขงที่ผิดปกติไปจากเดิม ทําใหตลิ่งพังทลาย สงผลใหชาวบานสูญเสียที่ทําการเกษตรริม โขง เนื่องจากดินพังทลายกินพื้นที่ทําการเกษตรของชาวบานทุกป และไมมีเสนทางสัญจรไปมาในการหาปลาหรือ ลงไปใชประโยชนตางๆ บริเวณแมน้ําโขงและไมมีทาจอดเรือหาปลา เพราะตลิ่งสูงชันทําใหวิถีชีวิตของชาวบาน เปลี่ยนแปลงตามไปดวย พอวิญู ไชยจันทร (2550) อายุ 58 ป ชาวบานผาแบน อ.เชียงคาน ใหขอมูลวา “เวลาน้ํามา กระแสน้ําจะ แรงเซาะดินริมตลิ่งพังลงมา ตนไมใหญนอยก็ลมลงตามดิน ตลิ่งพังทุกป ที่ปลูกพืชผักไวกินริมตลิ่งก็ไมคอยมีแลว ซื้อผักในตลาดกินกันเสียสวนใหญ อยาวาแตที่ปลูกผักเลย ที่จอดเรือก็ไมคอยมีเพราะตลิ่งสูงชันมาก หาทางไปมา ลําบาก ทําใหลงไปหาปลาหรือลงไปแมน้ําโขงลําบากกวาแตกอนมาก“ 2. ผลกระทบตอพรรณปลาและสัตวน้ํา พรรณปลาสัตวน้ําที่อาศัยอยูในแมน้ําโขงไดรับผลกระทบจากระบบนิเวศที่เปลี่ยนแปลงเมื่อมีการพัฒนา แมน้ําโขงตอนบน ซึ่งสามารถประเมินไดจากปริมาณปลาที่ชาวบานจับไดที่ลดลงอยางตอเนื่อง พอทวี สิทธิแกว (2550) อายุ 63 ป ชาวบานเชียงคาน ใหขอมูลวา “เมื่อกอนปลามีมาก หาไดทุกวันมี รายไดทุกวัน จับแตปลาตัวใหญสวนตัวเล็กที่ติดมองก็จะปลอยไปถายังไมตาย เดี๋ยวนี้บางวันก็หาได บางวันก็ไมได แลวแตดวง น้ําโขงขึ้น-ลงไมเหมือนเมื่อกอน ปลามันอยูไมได เวลาปลาวางไขมันตองอาศัยสภาพน้ําที่เหมาะสม เดี๋ยวนี้น้ําขึ้นๆ ลงๆ แลวแตเขาจะปลอยมา (จากเขื่อน) น้ําโขงไมขึ้น-ลงตามธรรมชาติ ปลาก็อยูไมได ปลาเล็กเกิด มาก็อยูไมไดทําใหจํานวนปลาลดลง ปลาหายากมากขึ้น การทํามาหากินของชาวบานก็ฝดเคืองขึ้นจากแตกอน” แมบุญเผื่อ สมชิต (2550) แมคาปลาในตลาดอ.ปากชม กลาววา “ปนี้ (2550) น้ําลงเร็วกวาทุกป ปกติ เดือน 3 (กุมภาพันธ) ปลาจะเริ่มขึ้นแลว แตปนี้ปลาไมคอยมี ตางจากปกอนๆ อยางปลามางวันหนึ่งรับซื้อได 20-30 กิโล ปลาเนื้อออนก็วันหนึ่ง 30-50 กิโล แตปนี้วันหนึ่งรับซื้อไดแค 5-10 กิโลเทานั้น ปลามีนอยมาก ดอนทรายโผล เร็วกวาทุกป น้ําโขงก็แหงเร็ว คงเปนสาเหตุใหไมคอยมีปลาขึ้น“ 3. ผลกระทบตอวิถีชีวิตของคนริมโขง วิถีชีวิตของกลุมชาวบานที่มีอาชีพหาปลาเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงอยางเห็นไดชัด หลังระบบนิเวศของ แมน้ําโขงถูกทําลาย โดยเฉพาะในชวง 3-4 ปที่ผานมา ความเปลี่ยนแปลงสามารถวัดไดจากจํานวนเรือหาปลาของ ชาวบานที่มีจํานวนลดลง เชนที่ลวงหาปลาดอนไข อ.เชียงคาน จากที่เคยมีเรือหาปลาพื้นบานกวา 50 ลํา ปจจุบันมี เรือที่อยูในทะเบียนเรือหาปลาเพียง 38 ลํา การออกเรือหาปลาในแตละวันก็ลดจํานวนลงเรื่อยๆ บางวันออกหาปลา 20 ลํา บางวันก็เหลือเพียงไมถึง 10 ลํา สวนลวงหาปลาที่แกงคุดคู อ.เชียงคาน มีเรือหาปลา 50 ลํา แตหลังจากที่ แมน้ําโขงเกิดการเปลี่ยนแปลง 3-4 ปที่ผานมา มีเรือที่ออกหาเปนประจําเพียง 20 ลํา นายวัน แกวยาศรี (2549) อายุ 42 ป หนึ่งในจํานวนคนหาปลาบริเวณแกงคุดคู กลาววา “น้ําไมทรงตัว อยางเมื่อกอนชวงน้ําขึ้นก็จะคอยๆ ขึ้นเรื่อยๆ ตามฤดูกาล ปลาก็จะขึ้นไปวางไข พอหมดฝนถึงชวงน้ําลดก็จะลดลง 267
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และทรัพยากรชีวภาพ ในลุ่มน้ําโขง
เรื่อยๆ ตามฤดูกาลของมัน ปลาที่ขึ้นไปวางไขก็จะกลับลงมา เปนอยางนี้มาตลอด คนหาปลาจึงรูวาควรจะจับปลา ชวงไหน ปลามันก็คงรูสึกถึงการเปลี่ยนแปลง ปลามันอาจอยูไมไดทําใหหาปลาไดยากขึ้น บางวันก็หาไมไดเลยสัก ตัว คนหาปลาเดี๋ยวนี้ก็เริ่มหันไปทําสวน บางชวงที่หาปลาไมคอยไดก็รับจางกอสราง จากเมื่อกอนหาปลาเปนอาชีพ ไดวันละไมต่ํากวา 1,000 บาทเลยทีเดียว” ในอดีตคนหาปลาใชเครื่องมือหาปลาพื้นบานหลากหลายชนิดที่เหมาะสมกับการจับปลาแตละชนิด แตละ ฤดู คือ ในชวงหนาน้ําลดก็จะใชมองตาถี่เพื่อจับปลาเล็กที่อพยพขึ้นมาทางตอนบน เชน ปลาปาก ปลามาง ปลา แปบ เปนตน และเมื่อถึงหนาน้ําแดง เมื่อน้ําโขงเริ่มยกระดับขึ้น คนหาปลาก็จะใชมองตาใหญจับปลาที่มีขนาดใหญ เชน ปลาแข ปลาเลิม เปนตน สวนหนาน้ําหลากก็จะวางเครื่องมือประเภท ตุม ลอบ จั่น ไซ ไวริมตลิ่งดักจับปลา แตปจจุบันจํานวนปลาที่จับไดลดลง ประกอบกับการไหลอยางผิดปกติของแมน้ําโขง ที่ไหลแรงและเชี่ยว บวกกับระดับน้ําที่ขึ้น-ลงไมเปนไปตามฤดูกาลเชนเมื่อกอน จึงทําใหวางเครื่องมือจับปลาไดลําบาก ปจจุบันคนหา ปลาจํานวนหนึ่งจึงตองปรับมาใชมองขนาดตาเล็กสุดไปจนถึงใหญสุด โดยนํามองตาถี่หรือตาเล็กประกบกับมองตา ใหญ เพื่อจะชวยใหไดปลาทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ วิถีชีวิตของคนหาปลาก็เริ่มเปลี่ยนแปลงจากหาปลาเปน อาชีพตลอดทั้งป ก็ตองหันไปทําอาชีพอื่น โดยหาปลาเปนอาชีพเสริม หาปลาเฉพาะในชวงน้ําเริ่มขึ้น และหาอีก ชวงหนึ่งคือชวงน้ําลดในเดือนมีนาคม-เมษายน
โครงการเขื่อนบนแมน้ําโขงตอนลาง ไทย-ลาว-กัมพูชา 1. โครงการเขื่อน นับตั้งแตปลายป พ.ศ. 2550 เปนตนมา ไดมีความเคลื่อนไหวของหนวยงานทั้งภาครัฐและบริษัทเอกชน ในการรื้อฟนโครงการเขื่อนเพื่อผลิตไฟฟาบนแมน้ําโขงสายหลักทางตอนลาง โดยมีทั้งสิ้น 11 โครงการ (ดูตาราง 1) ตั้งอยูบนแมน้ําโขงในเขตประเทศลาว พรมแดนไทย-ลาว และกัมพูชา ตารางที่ 1 สรุปขอมูลโครงการเขื่อนกั้นแมน้ําโขงตอนลาง ณ เดือนกันยายน พ.ศ. 2551 โครงการ ประเทศ กําลัง บริษัทผูดําเนินการ/พัฒนา สถานะ ผลิต โครงการ (เมกกะ วัตต) ลาว 1,230 ตาถัง (จีน) MoU เพื่อศึกษาความเปนไปได ปากแบง 1,410 ปโตรเวียดนาม MoU เพื่อศึกษาความเปนไปได หลวงพระบาง ลาว ลาว 1,260 ช.การชาง MoU เพื่อศึกษาความเปนไปได ไซยะบุรี ลาว 1,818 ชิโนไฮโดร และ ไชนาอิเลคโทร MoU เพื่อศึกษาความเปนไปได ปากลาย นิกส พรมแดนไทย- 1,000 ตาถัง (จีน) MoU เพื่อศึกษาความเปนไปได สานะคาม ลาว 268
ผลกระทบข้ามพรมแดนจากการพัฒนาแม่น้ําโขง มิติด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม / เพียรพร ดีเทศน์
โครงการ
ปากชม บานกุม
ประเทศ
กําลัง ผลิต (เมกกะ วัตต) พรมแดนไทย- 2,030 ลาว พรมแดนไทย- 2,330 ลาว ลาว 800 ลาว 360
บริษัทผูดําเนินการ/พัฒนา โครงการ
กระทรวงพลังงาน
สถานะ
ศึกษาความเปนไปไดเบื้องตน
อิตาเลียนไทย และเอเชียคอรป MoU เพื่อศึกษาความเปนไปได (ฮองกง) เจริญเอนเนอรยีแอนดวอเตอร MoU เพื่อศึกษาความเปนไปได ลาดเสือ เมกะเฟรส (มาเลเซีย) PDA พัฒนาโครงการ ดอนสะฮอง จะกอสรางแลวเสร็จ พศ. 2558 กัมพูชา 980 บริษัทจากรัสเซีย MoU เพื่อศึกษาความเปนไปได สตึงเตรง กัมพูชา 2,600 ชิโนไฮโดร (จีน) MoU เพื่อศึกษาความเปนไปได ซําบอ ที่มา การนําเสนอของรัฐบาลลาวและกัมพูชา Regional Multi-stakeholder Consultation on MRC’s Hydropower Program เวียงจันทน กันยายน พ.ศ. 2551 2. ขอกังวลตอผลกระทบดานสังคมและสิ่งแวดลอม ผลกระทบตอระบบนิเวศและชุมชนในลุมน้ําโขงตอนลาง ยอมเปนสิ่งที่หลีกเลี่ยงไมไดหากโครงการเขื่อน บนแมน้ําโขงตอนลางเกิดขึ้น หนึ่งในประเด็นหลัก คือ ผลกระทบตอพันธุปลาในแมน้ําโขง และน้ําสาขา ซึ่งเปนที่ ทราบกัน ดีวาพัน ธุปลาในลุมน้ําโขงมีห ลากหลายถึง 1,300 ชนิด ในแตละปการประมงมี มูลคาถึ ง 2,000 ลา น ดอลลารสหรัฐ นับเปนประมงน้ําจืดอันดับ 1 ของโลก ดร.แพททริก ดูแกน นักวิชาการจาก World Fish Center กลาววา (2008) เขื่อนทั้งหมดที่จะสรางกั้นแมน้ําโขงจะสรางผลกระทบอยางใหญหลวงตอพันธุปลา และประชาชนที่ พึ่งพาทรัพยากรปลาจากแมน้ําโขง ซึ่งเฉลี่ยแลวประชากรน้ําโขงตอนลางไดรับสารอาหารจากปลาเฉลี่ยปละ 29-39 กิโลกรัมตอคน จากการประชุมของคณะผูเชี่ยวชาญปลาตอเรื่องเขื่อนน้ําโขง ซึ่งจัดโดย MRC รายงานวา ผูเชี่ยวชาญเห็น ตรงกันวา ปจจุบันไมมีเทคโนโลยีใดๆ ที่จะบรรเทาผลกระทบได เนื่องจากปลาในลุมน้ําโขงรอยละ 70 เปนปลาที่ อพยพเพื่อขึ้นไปวางไขทางตอนบน เสนทางอพยพนับตั้งแตปากน้ํา ทะเลสาบเขมร ขึ้นไปจนถึงพรมแดนไทย-ลาว ที่สามเหลี่ยมทองคํา จ.เชียงราย คาดการณวาประชากรกวา 60 ลานคนที่พึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติในลุมน้ําโขง ตอนลาง 4 ประเทศ จะไดรับผลกระทบตอวิถีชีวิตซึ่งสัมพันธอยางแนบแนนกับการประมง ตรงกันกับที่ผูเชี่ยวชาญ สรุปในการศึกษา วา “ เขื่อนบนแมน้ําโขงตอนกลางและตอนลางจะสรางผลกระทบใหญหลวงตอการประมง และมี ตนทุนมหาศาลทั้งในดานเศรษฐกิจและสังคม” (Dugan 2008) 3. คํ า ถามตอ มาตรการดา นสิ ่ง แวดลอ มและสัง คม ของโครงการเขื ่อ นแมน้ํ า โขงโดยบริษ ัท เอกชน แมโครงการเขื่อนบนแมน้ําโขงเหลานี้จะไมใชโครงการใหม แตหลายโครงการมีการวางแผนไวนับตั้งแตยุค สงครามเย็น อาทิ เขื่อนผามอง หรือโครงการเขื่อนปากชมในปจจุบัน แตเปนที่นาสังเกตวา โครงการเหลานี้ลวนมี 269
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และทรัพยากรชีวภาพ ในลุ่มน้ําโขง
ตัวละครใหมที่ไมเคยมีมากอน กลาวคือ มีผูพัฒนาโครงการเปนบริษัทเอกชนทั้งดานอุตสาหกรรมพลังงานและ อุตสาหกรรมกอสรางจากประเทศตางๆ ทั้งในและนอกภูมิภาค รวมทั้งมีแนวโนมวาแหลงทุนและแหลงเงินกูที่ สนับสนุนโครงการเหลานี้เปนธนาคารเอกชน มิใชสถาบันทางการเงินระหวางประเทศ (International Financial Institution-IFIs) ตามที่เคยมีมา เหล า นี้ ทํ า ให เ กิ ด ข อ กั ง วลและคํ า ถามว า การลงทุ น ในโครงการเขื่ อ นขนาดใหญ กั้ น แม น้ํ า โขงโดย ภาคเอกชน จะใชมาตรฐานดานสังคมและสิ่งแวดลอมอยางไร โดยเฉพาะเมื่อโครงการเหลานี้มิไดอยูในประเทศตน สังกัดของบริษัทเจาของโครงการ และยังไมมีมาตรการจัดการแมน้ําโขง ในฐานะแมน้ํานานาชาติ อยางเปนรูปธรรม ที่ผานมา ยังไมพบวาบริษัทหรือหนวยงานเจาของโครงการปฏิบัติตามมาตรฐานตางๆ ในการดําเนินโครงการ ไมวา จะเปน การเปดเผยขอมูลตอสาธารณะและผูไดรับผลกระทบ การประเมินผลกระทบสิ่งแวดลอม (EIA) การ ประเมินผลกระทบเชิงยุทธศาสตร (SIA) และการสงเสริมการมีสวนรวมของผูไดรับผลกระทบ โดยเฉพาะอยางยิ่ง โครงการเขื่อนบนแมน้ําโขงตอนลางเหลานี้มีลักษณะเปนเขื่อนชุด แตกลับมีเจาของที่หลากหลาย แตละโครงการ เขื่อน โรงไฟฟา และอางเก็บน้ํา เปนของบริษัทตางๆ ที่รับสัมปทานจากรัฐบาลเจาของพื้นที่ จึงทําใหเกิดความ กังวลวา อนาคตของแมน้ําโขงจะมีการจัดการอยางไร โดยเฉพาะความสูญเสียตอการประมงที่มีมูลคาสูงที่สุดในโลก และผลกระทบทางสังคมอันจะเกิดตอเนื่องมาและหลีกเลี่ยงไมได
เอกสารอางอิง คณะนักวิจัยจาวบานชียงของ-เวียงแกน, 2549. ความรูทองถิ่นเรื่องพันธุปลาแมน้ําโขง. เชียงใหม: โครงการ แมน้ําเพื่อชีวิต เครือขายแมน้ําเอเชียตะวันออกเฉียงใต. ทองสวรรค พรมราช. สัมภาษณ, 1 มกราคม 2550. พอจันดี สายใจ. สัมภาษณ, 11 กุมภาพันธ 2550. พอทองพัน ดวงธิดา. สัมภาษณ, 1 มกราคม 2550. พอทวี สิทธิแกว. สัมภาษณ, 14 กุมภาพันธ 2550. พอพุม บุญหนัก. สัมภาษณ, 18 เมษายน 2549. พอเพิ่มศักย พิสัยพันธุ. สัมภาษณ, 14 กุมภาพันธ 2550. พอมวน ลิพัน. สัมภาษณ, 10 ตุลาคม 2551. พอวิญู ไชยจันทร. สัมภาษณ, 14 กุมภาพันธ 2550. 270
ผลกระทบข้ามพรมแดนจากการพัฒนาแม่น้ําโขง มิติด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม / เพียรพร ดีเทศน์
พอสี ไชยจันทร. สัมภาษณ, 17 มีนาคม 2549. พอหลา โพธิ์ไทร. สัมภาษณ, 17 มีนาคม 2549. พออุน ธรรมวงศ. สัมภาษณ, 2 กุมภาพันธ 2550. แมแกวใส ธรรมวงศ. สัมภาษณ, 2 กุมภาพันธ 2550. แมบุญเผื่อ สมชิต. สัมภาษณ, 4 พฤษภาคม 2550. วัน แกวยาศรี. สัมภาษณ, 4 กรกฎาคม 2549. อุยเสาร ระวังศรี. สัมภาษณ, 17 ตุลาคม 2549. Blake, David, 2001. “China’s Lancang Dams Endanger Millions both Upstream and Downstream”. International Rivers Network World Rivers Review, Vol. 16, No 3. Dugan, Patrick, 2008. “Mainstream dams as barriers to fish migration: International learning and implications for the Mekong”. Fisheries Research and Development in the Mekong Region Mekong River Commission. Vol. 14, No. 3 December. [online] available http://www.mrcmekong.org/Catch-Culture/vol14_3Dec08/mainstream-dams-barriers.htm Mekong River Commission, 2008. Regional Multi-Stakeholder Consultation on its emerging Hydropower Programme. Xinhua Yunnan Channel, 2004. July 21. [T.V. program]
271
บทที่ 14 สานตองานวิจัยไทบาน นิเวศวิทยา และประวัติศาสตร ปาบุงปาทาม ลุมน้ําสงครามตอนลาง สรรคสนธิ บุณโยทยาน เกษตรและสหกรณ จังหวัดสกลนคร
บทคัดยอ งานวิจัยไทบาน เปนผลงานการศึกษา ดานนิเวศ ประวัติศาสตร เศรษฐกิจ ของหมูบ านปากยาม บานทา บอ บานยางงอย และบานอวน ซึ่งตั้งอยูในพื้นที่ชุมน้ําของแมน้ําสงครามตอนลาง อําเภอศรีสงคราม จังหวัด นครพนม ดําเนินการในชวงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2546 – เดือนมีนาคม พ.ศ. 2548 โดยความรวมมืออยางใกลชิด ระหวางผูนําชุมชน และนักวิชาการ ภายใตการสนับสนุนของโครงการอนุรักษและใชประโยชนทางความหลากหลาย ทางชีวภาพอยางยั่งยืน ในพื้นที่ชุมน้ําลุมแมน้ําโขง และไดรับงบประมาณจากสหภาพสากลวาดวยการอนุรักษ ผลการวิจัยพบวาลุมน้ําสงครามตอนลางยังมีความอุดมสมบูรณของพื้นทีช่ ุมน้ํา ซึ่งประกอบดวยปาบุง ปาทาม เปน ที่สะสมของพืชนานาชนิด และเปนแหลงแพรพันธุข องปลาธรรมชาตินับรอยสายพันธุ จนอาจพูดไดวาเปน “ตูกับขาวของชุมชน” แตหากมองอีกมุมก็พบวาพื้นที่ชุมน้ําแหงนี้กําลังถูกคุกคามอยางมากจากการแสวงผลประโยชนทั้งโดยความตั้งใจและรูเทาไมถึงการณ หากปลอยใหสถานการณเปนไปเชนนี้ความอุดมสมบูรณจะเสื่อมสลาย ในอนาคตอันใกล ดังนัน้ ผลงานวิจัยไทบานควรจะถูกหยิบยกขึ้นมาสานตอใหบังเกิดผลในทางปฏิบัติอยางเปน รูปธรรม มากกวาจะปลอยใหเปนเพียงเอกสารทางวิชาการที่วางอยูบนหิ้งหนังสือ
บทนํา เปนที่ทราบดีวาโครงการตางๆที่ดําเนินการโดยภาครัฐ หรือองคกรในประเทศและองคกรสากล ลวนแต ประสบชะตาเดียวกันเมื่อเดินมาถึงจุดสิ้นสุดอายุโครงการ หากไมมีการสานตอโดยชุมชน หรือองคการปกครองสวน ทองถิ่น ในพื้นที่นั้นๆ งานวิจัยไทบานในพื้นที่ชุมน้ําของลุมน้ําสงครามตอนลาง อําเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม ไดจุดประกายใหชุมชนไดตระหนักถึงความสําคัญของการใชทรัพยากรธรรมชาติอยางชาญฉลาด ซึ่งจะนําไปสูการ อยูรวมกันแบบ win-win ระหวางผูคนในชุมชน กับความหลากหลายทางชีวภาพของลุมน้ํา แตปญหาสําคัญที่ยัง ขบกันไมแตกก็คือ จะเริ่มตนตรงไหน ใครจะเปนตังตั้งตัวตี และใชงบประมาณของใคร ขอเสนอในบทความชิ้นนี้จะ ชี้ใหเห็นแนวทางที่เปนรูปธรรม และนาจะเริ่มปฏิบัติไดในเวลาอันรวดเร็ว และไมตองใชงบประมาณมาก โดยยึด หลั ก การ “ใช จุ ด แข็ ง ให เ ป น ประโยชน ” เนื่ อ งจากลุ ม น้ํ า สงครามตอนล า งอยู ไ ม ห า งจากเส น ทางเศรษฐกิ จ East - West Corridor และสะพานขามแมน้ําโขงแหงที่สาม ในอนาคตอันใกลจะมีระบบเชื่อมโยงในดานการคา การ ลงทุน อยางมาก อีกทั้งจังหวัดนครพนม และสกลนครถูกจัดใหเปนศูนยกลางการศึกษาของอนุภูมิภาคอินโดจีน (Education Hub) จะทําใหมีผูคนหลั่งไหลผานเขาออกตลอดเวลา หากมีการจัดการใหพื้นที่เหลานี้เปนแหลง ทองเที่ยวในเชิงธรรมชาติ ที่ประกอบดวยสถานที่เยี่ยมชมที่แปลกตา จัดบริการนํานักทองเที่ยวเขาสูสถานที่โดย พาหนะ “ไบโอดีเซล ขับเคลื่อนสี่ลอขนานแท” (Genuine Biodiseil Powered 4-Wheels Drive) พรอมกับอาหาร จากธรรมชาติที่ไดบรรยากาศ ขณะเดียวกันสามารถจัดใหเปนแหลงเรียนรูขนาดใหญของนักเรียน นักศึกษา และ ผูสนใจ ที่ตองการสัมผัสกับขอมูลที่เปนจริง
สานต่องานวิจัยไทบ้าน นิเวศวิทยา และประวัติศาสตร์ ป่าบุ่งป่าทาม ลุ่มน้ําสงครามตอนล่าง / สรรค์สนธิ บุณโยทยาน
ทําความรูจักกับลุมน้ําสงครามตอนลาง จากบางตอนของเรื่องราว “ชีวิตในปาทาม ปาชายเลนน้ําจืดของ แผนดินอีสาน” โดยนิตยสาร sarakadee.com ในหนามรสุม ผืนน้ําคืบเขากลืนผืนดินแถบลุมน้ําสงครามหายไปเปนแสนๆ ไร ทุงทาปาทามและพื้นที่ บางสวนของหมูบานจมอยูใตน้ํา เปนชวงเวลาที่ตนไมใบหญาจะไดนทิ รานอนในเปลแมน้ําอยางสงบนานรวม 3 เดือน สายนทีเออเขาครอบครองทองทุง ระดับน้ําไมลึกนักแตแผกวางจนมองหาขอบเขตไมเห็นฝง แมน้ําสงครามที่ กวางไมกี่ชวงความยาวเรือแจว-ในยามปรกติ เมื่อฤดูฝนเดินทางมาถึง ระดับน้ําจะคอยๆ เออทนลนฝงแลว ลามเขาไปยังทุงทามและหมูบาน อยางชา ๆ แตแนนอนและมั่นคงอยางไมอาจตานทานหรือแข็งขืน เปนเชนนี้อยู ทุกป ตลอด 3-4 เดือนในชวงฤดูน้ําหลาก เปนปรากฏการณธรรมดา เปนธรรมชาติของลุมน้ําสงครามที่คนทองถิน่ ไมเคยนึกรังเกียจ ไมคิดตอตานเปลี่ยนแปลง เพราะสภาพการณดังกลาวนี้ที่นําความอุดมสมบูรณมาสูถิ่นฐานบาน ชอง พอน้ํามาทุกอยางก็เปลี่ยนไปหมด บุง หนอง ปาไผ ในทาม จมหายอยูใตพื้นน้ําทั้งหมด ผุดโผลอยูบางเพียง ปลายยอดกับพุมสูงของไมใหญที่ยืนชะลูดเปนหลักหมุดอยู กลางเวิ้งน้ํา ใหจําไดวาตรงนั้นคือทีไ่ หน และเปนที่พึ่งใหนก หนู งู และนานาสัตว ไดขึ้นไปอาศัย แลวชาวบานก็ลองเรือ ออกไปสอยเอามาแกงกิน ถนนและทางเดินก็จมลงใตน้ํา การสัญจรของชาวบานริมฝงน้ําสงครามในยามนี้อาศัยเรือ กันเปนหลัก ไปไหนตอไหนกันดวยเรือแจวหรือไมก็เรือ เครื่องทาย แลนตัดไปบนผืนน้ําซึ่งลึกลงไปขางใตคือถนน และทองทุงที่เคยเปนผืนนา ทุงเลี้ยงสัตว หรือแมกระทั่งปาบุงปาทาม ที่บัดนี้ลวนแตมีน้ําแผลามไปถึง และเรือก็แลน ตามไปได น้ําทวมทน เปลี่ยนหมูบานและทองทุงเปนทุงน้ํา แตก็อยางที่วาไมมีใครรังเกียจการมาของกระแสน้ําหลาก น้ําทวมนองและน้ําก็นําความอุดมสมบูรณมาดวยอยางมหาศาล พอน้ํามาปาก็เปนของน้ําและเปนที่อาศัยวางไขและ หากินของฝูงปลา ใหเหลาชาวประมงพื้นบานออกลากันอยางกับเปนเทศกาลของ ลุมน้ํา วางเบ็ด ใสมอง ดักขายจับ ปลากันเหนือยอดไม ซึ่งมีผืนปาทามจมอยูเบื้องลาง แลนเรือกันเหนือทองถนน และวางเบ็ด ขายหาปลากันกลางผืน ปา วิถีชีวิตบนทุงน้ําอยางนี้มันไมยิ่งกวา amazing หรือ unseen หรอกหรือ ? นี่เปนฉากแหงชีวิตที่ถูกจัดวางมาโดย ธรรมชาติ ลุมน้ําสงครามตอนลาง อําเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม มีระบบนิเวศนเปนพื้นที่ชุมน้ํา ในฤดูฝนน้ําจะ หลากจากการหนุนของแมน้ําโขง เปนแหลงแพรพนั ธุปลาธรรมชาติที่ใหญที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตอนบน สวนฤดูแลงจะเหลือน้ําอยูเพียงในตัวแมน้ํา ปาบุง ปา ทาม เปนแหลงอาหารขนาดใหญของชุมชน สัตวเลี้ยง และปลาธรรมชาติ อาจเรียกไดวาเปน “ตูกับขาวของ ชุมชน” ถาดูเผินๆ อาจคิดวาเปนปาเสื่อมโทรม เพราะ มีสภาพไมเหมือนปาดงดิบ แตนี่คือระบบนิเวศน ที่มี อายุยาวนานนับลานป ตามทฤษฏีความอยูรอดของสิ่ง ที่เหมาะสมของทานชาล ดาวินส ระยะทางราว 420 กิโลเมตรของแมน้ําสงคราม กําเนิดจากบนสันภูผาเหล็ก ในเขตอําเภอสองดาว จังหวัด สกลนคร ไหลโคงขึ้นไปทางเหนือ ผานอําเภอหนองหาน อําเภอบานดุง จังหวัดอุดรธานี อําเภอบานมวง อําเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร แลวเขาสูเขตอําเภอพรเจริญ อําเภอเซกา จังหวัดหนองคาย แลววกกลับลงมาสู ตอนลางของแมน้ําที่อําเภออากาศอํานวย จังหวัดสกลนคร เขาอําเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม แลวออกไป 273
รายงานการประชุมงานสัมมนา “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และทรัพยากรชีวภาพ ในลุ่มน้ําโขง
บรรจบกับแมน้ําโขงที่ไชยบุรีอําเภอทาอุเทน เมื่อเดินทางมาราวครึ่งทาง สายน้ําสงครามลดระดับมาอยูที่ความสูง ประมาณ 140 เมตร (จากระดับน้ําทะเลปานกลาง) ระยะทางตอจากนั้นไปอีกราว 200 กิโลเมตรจนกระทั่งบรรจบ กับแมน้ําโขง ลําน้ําสงครามไหลผานความความลาดเทเพียง 4 เมตร-เทานั้น ! หรือพูดอีกแบบคือ ในระยะ 200 กิโลเมตร จากชวงกลางลําน้ําไปจนถึงปากน้ําไชยบุรี ถาจะหาความตางระดับของแมน้ําสงคราม 1 เมตร ก็ตอง วัดในระยะที่หางกันราว 25 กิโลเมตร สายน้ําสงครามตอนลางจึงไหลระบายไปอยางเชื่องชา ขณะที่พื้นที่รับน้ําฝน กวางใหญถึง 8 ลานไร และเปนบริเวณที่มีปริมาณน้ําฝนสูงถึง 1,800 มิลลิเมตรตอปมากที่สุดในภาคอีสาน อีกทั้งใน ฤดูน้ําหลาก ระดับน้ําในแมน้ําโขงก็เพิ่มสูงขึ้น เออหนุนไหลยอนเขามารวมกับกระแสน้ําหลากของลําน้ําสงคราม หลากลนตลิ่งออกไปตามพื้นที่ราบต่ําสองฟากฝง รวมถึงลําน้ําสาขาอยาง หวยคอง หวยซาง หวยน้ําฮี้ น้ํายาม น้ําเมา น้ําอูน หวยโขง หวยซิง ฯลฯ ทวมลามไปถึงในทุงในทามเปนทุงน้ํากวางใหญถึง 5-6 แสนไร ในพื้นที่ 3 จังหวัด นครพนม สกลนคร หนองคาย และทวมนองอยูอยางนั้นในราวเดือนสิงหาคม-พฤศจิกายนของทุกป ซึ่งถือ เปนชวงน้ําขึ้นของปาทามลุมน้ําสงคราม ฤดูน้ําหลากป พ.ศ. 2548 กระแสน้ําเริ่มเออทวมในชวงกลางเดือนสิงหาคม คนในหมูบานริมแมน้ําสงคราม อยางที่บานทาบอ ก็เห็นการมาของน้ํากอนใคร หมูบานทาบอตั้งอยูบนลาด เนิน ทางฝงขวาของแมน้ํา ในตําบลทาบอสงคราม (อําเภอศรีสงคราม นครพนม) ตรอกซอยหลายสายในหมูบาน ทอดเชื่อมจากริมฝงขึ้นมายังถนนสาย 2177 อากาศอํานวย-ศรีสงคราม ที่ทอดผานไปทายหมูบาน บานของพอ หนอก ตั้งอยูชวงกลางซอย หางจากฝงน้ําขึ้นมาราวครึ่งกิโลเมตร ชวงสัปดาหกอนหนานี้พอหนอกเริ่มเห็นน้ํา สงครามทวมเต็มฝงขึ้นมาแลว จากนั้นก็คอยๆ เออขึ้นมาในหมูบาน ผานใตถุนเรือนหลังที่อยูใกลฝง ขอบน้ําไล ระดับขึ้นมาตามถนน แตจนกระทั่งเย็นวานนี้ก็ยังมาไมถึงบานของแก 15 สิงหาคม พ.ศ. 2548 พอหนอกตื่นเชามาก็ พบวาระดับน้ําขึ้นผานพนหนาบานของแกไปแลว บานของคนริมแมน้ําสงครามแทบทั้งหมดเปนเรือนเสาสูง ถึงฤดู น้ําทวมใตถุนบานก็เปนผืนน้ํา เหมือนปลูกบานอยูกลางทะเลสาบ ยามลงจากเรือนจะไปมาหาสูกันตองใชเรือเปน หลัก บานของพอหนอกเองเปนบานชั้นเดียวปลูกติดพื้นแตถมฐานขึ้นสูง ซึ่งกอนสรางแกสังเกตมากอนแลววา โดยปรกติน้ําสงครามจะทวมขึ้นมาไมถึงระดับพื้นบาน สุรชัย ณรงคศิลป หรือพอหนอก เปนลูกผูชายแหงทาบอ สงครามที่คนทองถิ่นยอมรับนับถือมากกวากํานัน แกเปนหัวเรี่ยวหัวแรงคนสําคัญของชุมชนในการฟนฟูดูแลแมน้ํา สงคราม หลังแมน้ํารอดพนจากโครงการสรางเขื่อนปดปากแมน้ํามาได ยอนหลังไปราวสิบป กอนหนานี้ในชวงปลายป พ.ศ. 2538 จู ๆ ชาวลุมน้ําสงครามตอนลางก็ไดรับแจงจาก ผูวาราชการจังหวัดนครพนมวาจะมี “โครงการพัฒนาลุม น้ําสงคราม” รายละเอียดของโครงการฯ กําหนดใหสราง “ประตูระบายน้ํา” ปด-เปดได 5 บาน ความกวางบานละ 15 เมตร ที่บานนาเพียงใกลปากน้ําไชยบุรี ที่อําเภอทาอุเทน เพื่อปองกันน้ําทวมจากการไหลยอนของน้ําจากแมน้ําโขง และปดกักเก็บน้ําไวใชในฤดูแลง ใน ระดับ 139.5 ม.รทก. (เมตรจากระดับน้ําทะเลปานกลาง) มีพื้นที่น้ําทวมถาวร 187,500 ไร เขื่อนแมน้ําสงครามมี ที่มาจากการมอง “น้ํา” ในลุมน้ําสงครามวาเปนปญหา อุทกภัย แตโดยความจริง การสรางประตูกั้นแมน้ําโขงไหล ยอนเขาไปนั้นเปนการปดกั้นน้ําสงครามไมใหไหลลงโขงเชนกัน หนําซ้ําการสรางประตูระบายน้ําความกวางรวม เพียง 75 เมตรจะยิ่งทําใหน้ําทวมขังนานกวาเดิม เพราะปากน้ําสงครามในฤดูน้ําหลากกวางถึง 2 กิโลเมตร ชาวลุม น้ําสงครามเรียนรูที่จะอยูกับสภาพการณเชนนี้มาแตบรรพกาล และรูวาน้าํ พัดพาเอาปุยและนําปลามาวางไขหากิน อยูในบุง-ทาม จนมีคํากลอนพื้นบานที่ขับวา “น้ําเอาปลามาฝาก น้ําหนีจากฝากปลาไว”
274
สานต่องานวิจัยไทบ้าน นิเวศวิทยา และประวัติศาสตร์ ป่าบุ่งป่าทาม ลุ่มน้ําสงครามตอนล่าง / สรรค์สนธิ บุณโยทยาน
นับกันวาแถบนี้เปนแหลงเพาะพันธุปลาน้ําจืดใหญที่สุดในประเทศไทย ซึ่งมีปรากฏการณธรรมชาติทํานอง เดียวกับทะเลสาบเขมรและลุมน้ําแอมะซอน ขบวนการเคลื่อนไหวคัดคานการสรางเขื่อนแมน้ําสงครามจึงเกิดขึ้นใน ทองถิ่นตอสูเรียกรองกันมายาวนาน ทั้งยื่นหนังสือคัดคานถึงผูวาราชการจังหวัดและนายกรัฐมนตรี จนถึงการรวม ชุมนุมกับสมัชชาคนจน กระทั่งคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2545 (เห็นชอบตามมติของ คณะกรรมการสิ่งแวดลอมแหงชาติ) ใหระงับโครงการสรางเขื่อนแมน้ําสงคราม เนื่องจากผลกระทบสูงและไมคุมทุน จากนั้นมาก็มีองคกร สถาบันการศึกษา มากมายหลายแหงเขามาศึกษาวิจัย ในหมูบานมักมีนักศึกษา นักวิชาการ หมุนเวียนกันเขามาศึกษาเรียนรูวิถีของชุมชนไมไดขาด ชาวบานมักพูดกันอยางภาคภูมิใจวา หลายคนไดปริญญา ไดมาจบดอกเตอรจากหมูบานของเขา นาผิดหวังอยูบางก็ตรงที่ผลการศึกษาวิจัยเหลานั้นไมเคยถูกนํากลับมาใชใน ชุมชน เมื่อกลางป พ.ศ. 2546 ชาวบานใน 4 ชุมชนของอําเภอศรีสงคราม (บานปากยาม บานทาบอ บานอวน และบานยางงอย) จึงไดรวมมือกันสรางองคความรูขึ้นมาเปนฐานขอมูลของชุมชน-โดยชุมชนเอง ในรูปของงานวิจัย ไทบาน ในนาม “เครือขายนักวิจัยไทบานลุมน้ําสงครามตอนลาง” ซึ่ง สุรชัย ณรงคศิลป ก็เปนคนหนึ่งในทีมนักวิจัย แตนั่นเปนฐานะที่เพิ่งไดมาทีหลัง เดิมทีพอหนอกคือพรานปลาโดยสายเลือด พอหนอกออกหาปลาในแมน้ําสงคราม ทุกวัน ดวยเครื่องมือและสถานที่อันสอดคลองเหมาะสมตามฤดูกาล ในยามแลง ที่หาปลาของแกมักอยูแถวๆ ลําซิ่ง ดอนออมแกว ครั้นถึงหนาน้ํา หวยซิงกลายเปนเหมือนทะเลสาบ แกตองแลนเรือไกลขึ้นไปทางเหนืออีก เชาวันนี้ (15 สิงหาคม พ.ศ. 2548) พอหนอกลงเรือเล็กคูชีพลําเดิมซึ่งบัดนี้สามารถเอาขึ้นมาจอดไดถึง หนาบันไดบาน ขับแลนไปเหนือผืนน้ําซึ่งเคยเปนถนนกลางบานอยูเมื่อสัปดาหที่แลว มุงหนาออกลําน้ําซึ่งบัดนี้แผ กวางสุดตา และถาแกจะเบี่ยงออกนอกฝงบางก็ไมมีอุปสรรคแตอยางใด ใบพัดทายเรือของแกไมไดกินน้ําลึกนัก ที่ ตองระวังอยูบางก็เพียงสุมทุมพุมไผกะซะอันรกเรื้อที่เรืออาจเขาไปเกย ซึ่งแกก็จดจําตําแหนงไดท้ังสิ้นจากการดูไม ใหญที่ผุดโผลอยูเปนหลักหมายตา เชาวันนี้ ที่วางขายของพอหนอกอยูไกลขึ้นไปจากที่เคยหาอยูเปนประจํา ฝายลําซิงและทางเดินในทาม แถบนั้นจมอยูใตน้ําทั้งหมด ปาทามดอนออมแกวโผลใหเห็นเพียงยอดไม ระดับน้ําสูงขึ้น พรานปลาก็ตองตามน้ําขึ้น ไป จนถึงบริเวณที่เปนทุงหญาลาดตอขึ้นไปจดปาโคกซึ่งระดับน้ํารุกคืบขึ้นมาเรื่อย ๆ ไสเดือนที่เคยอยูใตดินก็ผุด ขึ้นมาเหนือพื้นดิน และพากันเลื้อยหนีน้ําขึ้นไปสูที่สูงกวา พวกที่หนีทันก็ขึ้นไปออกันอยูแนนตามเนินดินแคบ ๆ ที่ ยังโผลพนน้ํา ที่ยังไมถึงที่สูงก็คืบคลานกันตอ ไอที่ไปไมทันก็คลานอยูตามพื้นดินใตน้ํา แนนหนาจนเหยียบแทบไม ถึงพื้นดิน กลายเปนเหยื่อใหปลาตามขึ้นมากิน และพวกพรานปลาอยางพอหนอกก็มาวางขายดักปลากันแถวนี้ เปน สายโซอาหารที่ลูกแมน้ําสงครามเรียนรูกันจากภาพจริงโดยไมตองพึ่งคําอธิบายใดในตํารา ที่ทาบอน้ําทวมถึงเกือบ ทั่วบาน ที่หมูบานปากยาม (ตําบลสามผง อําเภอศรีสงคราม) ซึ่งอยูหางขึ้นไปทางเหนือน้ํา ก็มีสภาพเปนคลายเกาะ “แมน้ําสงครามอยูทางดานตะวันตกของหมูบาน น้ํายามไหลมาจากทางตะวันออก ลอมไปทางทิศเหนือของหมูบาน ไปออกแมน้ําสงคราม บานเราจึงชื่อบานปากยาม สวนดานทิศใตก็เปนสายหวยคลองเอี่ยน ตอนน้ําสงครามขึ้นสูงก็ เออเขาทวมที่ราบลุมริมฝง และลําน้ําสาขาจะเชื่อมตอเปนผืนน้ําเดียวกัน หมูบานเหมือนเปนเกาะอยูกลางน้ํา” สุริยา โคตะมี (อายของ) พูดถึงภูมิประเทศของหมูบาน และอาจดวยชัยภูมิเชนนี้ที่ทําใหหมูบานอุดมสมบูรณยิ่งนัก
275
รายงานการประชุมงานสัมมนา “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และทรัพยากรชีวภาพ ในลุ่มน้ําโขง
หมูบานปากยามแตเดิมมาเคยเปนที่พักชั่วคราวของพอคาเกลือจากแถวคํามวน ประเทศลาว ตอมาก็ กลายเปนที่พักพิงของผูอพยพจากหลายถิ่น คนไทจากอุบลราชธานี ไทจากนครพนม จนถึงญวนอพยพสมัย สงครามโลกครั้งที่ 2 จากนั้นบานปากยามก็กลายเปนทาเรือของแมน้ําสงคราม ครั้นการสัญจรทางเรือลด ความสําคัญลง หมูบานบนดอนคลายเกาะก็สรางวิถีประมงและการทําปลาราขึ้นแทน อายของไดชื่อวาเปนพราน โตงของหมูบานโตง หรือโพงพางใชดักที่น้ําไหลในชวงน้ําสงครามเริ่มลด ดักไวขามคืน เชามาก็ไปเปดถุงทายโตง เอาปลา “สังเกตดูระดับน้ํา และดูปลาบอน (บวน) น้ํา” ความจัดเจนแมน้ําของอายของบอก พอพนชวงน้ําแดง (น้ํา หลาก) แลวก็เริ่มลงโตงได “ปากโตงกวาง 10-20 เมตร สูงราว 3-4 เมตร ยาว 40-80 เมตร” เขาอธิบายโครงสราง ของโพงพางใหพอเห็นภาพกอนนําลงน้ํา “ผูกเชือกที่ปาก โยงขึ้นมายึดไวบนฝงทั้งสองดาน ความกวางของปากโตง จะกินพื้นที่ราว 1 ใน 4 ของความกวางแมน้ํา และตองกะใหดีในดานความลึกดวย เพราะผิดไปสักเมตรก็จะไมได ปลาเลย พวกปลาเนื้อออน ปลาหนัง จะลองลงติดพื้นดิน” แตถาวางถูกจุด ในชวงน้ําลงที่ปลาชุกชุมนักนั้น ยาม (กู) ดูไดทั้งเชา-เย็น ยามทีหนึ่งอาจไดปลาถึงครึ่งตัน ทํารายไดใหเจาของเปนหลายพันหรืออาจเปนหมื่นบาท ดวยปลาจํานวนมากมายอยางนั้นเอง ที่ทําใหปากยามกลายเปนหมูบานเลื่องชื่อในเรื่องปลารา ความจริง นั่นเปนงานของเมีย แตอายของก็พอเลาแทนได “เลือกปลาเอามาทําความสะอาด ปาดทองเอาขี้ออก จากนั้นก็สะ ลาวหรือวาหมักนั่นเอง เอาลงโอง หมักไว ของปนี้เก็บไวกินปหนา ดูวาพอไมคาวก็ถือวาเปนปลาราแลว” พรอมกับ เผยสูตรและเคล็ดลับแบบไมปดบัง “ใชปลา 5 กิโล ตอเกลือ 3 กิโล แตละเจาก็มีสูตรไมเหมือนกันนะ การปรุงก็ ตางกัน เขามักโรยรํานิดหนอยดวย ใสรําคั่วปลาราจะหอมนากิน และเปนสีชมพูสวย” และตบทายดวยคําการันตีไม เกินจริง “ทุกวันนี้ปลาราจากปากยามขึ้นชื่อ สงขายทั่วประเทศ” สวนที่ไมขายก็หมักตอ ทําน้ําปลา ในบานปากยาม มีโรงน้ําปลาอยูหลายเจา ของพอใหญหนุมาน บงบุตร ก็เปนเจาหนึ่ง เปนกิจการของครอบครัวที่แกทํารวมกับลูก ๆ จากปลาราหมักตอไปในสภาพและอุณหภูมิที่เหมาะสมอีกราวครึ่งป ก็พรอมจะตมกรองเปนน้ําปลา ลูกชายของพอ ใหญเลาวา พอเขาหนารอนแดดดี ปลาราจะยิ่งเปอยไว ขางบานมีโองมังกรขนาด 350 ลิตร วางเรียงรายอยูใตเพิงที่ มุงหลังคาไวโปรง ๆ ใหลมโกรกไดและแสงแดดสองถึง เปดฝาโองไวดวยจะชวยเรงการเปลี่ยนสภาพใหเร็วขึ้น ปลา ราโองหนึ่งทําน้ําปลาไดราว 70 แกลลอน ปรุงรสดวยน้ําตาลเล็กนอย แลวสงขายตามบานลูกคาประจํา แกลลอนละ 50 บาท ลูกพอคาน้ําปลาเลาดวยวา ครอบครัวเขาจะผลิตราวปละ 100 โองเทานั้น เพียงพอตอจํานวนสมาชิกใน แถบหมูบานริมแมน้ําสงคราม 3-4 อําเภอ น้ําปลาอยางดีจากปากยามยังไมมีวางขายตามรานคาทั่วไป ผลิตกัน ในบานและบริการสงถึงบาน ไมมีการขายสง ไมผานมือพอคา เพราะเขาหวงการแอบอาง ปลอมปน และมากกวา นั้น เขาบอกวา “เจอกันมันคักกวา ไดความสัมพันธกันดวย”
ภัยคุกคามที่เกิดขึ้นกับพื้นที่ปาบุง ปาทาม ของพื้นที่ชุมน้ําลุมน้ําสงครามตอนลาง ตัวอยางของบทความจากสํานักขาวสํานักขาวประชาธรรม วันที่ 6 กุมภาพันธ พ.ศ. 2549 นครพนม งานวิจัยไทบานระบุชัด พื้นที่ชุมน้ําลุมน้ําสงครามตอนลางเขาขั้นวิกฤต เผยระดับน้ําผันผวนผิดปกติ ปลาลดจํานวน วางไข ตะไครน้ําตาย ทําน้ําบางชวงเนา ชี้ทุกกรณีกระทบชุมชนโดยตรง ซ้ํารายปาบุงทามก็โดนผลกระทบเต็มๆ โดยเฉพาะจากโครงการพัฒนาของรัฐ แนะชุมชนทองถิ่นตองรวมพลังฟนฟู ผูสื่อขาวรายงานวา ระหวางวันที่ 1 – 3 ก.พ. ที่ผานมา สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม (สผ.) โดยโครงการอนุรักษและใช ประโยชนความหลากหลายทางชีวภาพอยางยั่งยืนในพื้นที่ชุมน้ําลุมน้ําโขง (MWBP) รวมกับองคกรพันธมิตรรวม จัดงาน วันพื้นที่ชุมน้ําโลกซึ่งวันดังกลาวตรงกับวันที่ 2 ก.พ.ของทุกปขึ้น ณ บานปากยาม ต.สามผง อ.ศรีสงคราม 276
สานต่องานวิจัยไทบ้าน นิเวศวิทยา และประวัติศาสตร์ ป่าบุ่งป่าทาม ลุ่มน้ําสงครามตอนล่าง / สรรค์สนธิ บุณโยทยาน
จ.นครพนม โดยมีวัตถุประสงคเพื่อเผยแพรความรูความเขาใจเกี่ยวกับการอนุรักษและใชประโยชนความ หลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ชุมน้ําอยางยั่งยืน โดยเฉพาะปาบุงปาทามในพื้นที่ชุมน้ําลุมน้ําสงครามตอนลาง ภายในงานมีการจัดกิจกรรมตางๆ อาทิ การจัดนิทรรศการตางๆ ที่เกี่ยวของกับการอนุรักษและใช ประโยชนจากความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ชุมน้ํา การจัดเวทีวิชาการในประเด็นที่เกี่ยวของกับพื้นที่ชุมน้ํา และที่สําคัญมีการนําเสนองานวิจัยไทบานลุมน้ําสงครามตอนลาง และเผยแพรองคความรูจากงานวิจัยองชุมชนที่ เกี่ยวกับทรัพยากรและพันธุปลาที่พบในลุมน้ําสงครามตอนลาง ตลอดจนเสริมสรางการมีสวนรวมของชุมชนและ เยาวชนเกี่ยวกับกิจกรรมการอนุรักษปาบุงปาทามดวย ผูสื่อขาวรายงานผลการวิจัยไทบานดังกลาววา นับแตป พ.ศ. 2546 เปนตนมาจะสังเกตเห็นวาระดับน้ําขึ้น น้ําลงในแมน้ําสงครามตอนลางมีการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติ การ เปลี่ยนแปลงที่เห็นไดชัดเจนที่สุดคือในฤดูแลงของป พ.ศ. 2546 ซึ่งน้ําสงครามลดลงอยางเห็นไดชัดและลดลงมาก ขึ้นในฤดูแลงป พ.ศ. 2547 ซึ่งการขึ้นลงของน้ําในลํา น้ําสงครามสัมพันธโดยตรงกับน้ําในลําน้ําโขง งานวิจัยไทบานระบุอีกวา ระดับน้ําในแมน้ําโขงจะชวยพยุง ระดับน้ําในแมน้ําสงครามไว เมื่อน้ําโขงลดระดับขึ้นและลงไมปกติทําใหชาวบานไมสามารถใชเรือเดินทางหรือไปหา ปลาได ผลจากการที่ น้ําสงครามขึ้นลงผิดธรรมชาติไดสงผลใหตะไครน้ําตายเปนสาเหตุใหน้ําในลําน้ําสงครามเนา เสีย รวมทั้งการวางไขของปลาบางชนิดลดลงมาก เชน ปลาสรอย ปลากุม เปนตน นอกจากนี้ยังทําใหบริเวณหาด ทรายสองฝงลําน้ําไมสามารถจัดงานประเพณีของหมูบานในฤดูแลงได เชน งานทําบุญหมูบานและงานกีฬาตางๆ ขณะที่บางประเพณีตองยกเลิกกลางคันเนื่องจากระดับน้ําเพิ่มขึ้นอยางรวดเร็วทั้งที่ตอนบนไมมีฝนตกลงมา นายสุริยา โคตะมี ประธานเครือขายนักวิจัยไทบานลุมน้ําสงครามตอนลาง กลาววา การขึ้นลงของน้ําที่ เปลี่ยนแปลงสงผลใหปลาเกิดความสับสนกับสภาพที่ตางไปจากธรรมชาติ การอพยพขึ้นลงและพฤติกรรมการ วางไขที่ไมถูกฤดูกาลทําใหปลามีปริมาณลดลง นั่นคือสงผลตอรายไดของชาวบานที่ลดลงตามไปดวย เพราะ ชาวบานที่นี่มีอาชีพหาปลาเปนหลักเนื่องจากนาขาวเสียหายจากน้ําทวมทุกป “ผลกระทบตางๆ ที่เกิดขึ้นสวนหนึ่ง เกิดจากโครงการพัฒนาลุมน้ําสงครามของภาครัฐที่ไมเขาใจสภาพความเปนจริงของพื้นที่วาชาวบานตองการอะไร แมรัฐอาจหวังดีแตความหวังดีนั้นสงผลรายกับชาวบาน และเมื่อบอยครั้งเขาทําใหชาวบานตองลุกขึ้นมาตอสูเพื่อให ธรรมชาติกลับคืนมาคงความอุดมสมบูรณเหมือนเดิมอีกครั้ง” นายสุริยา กลาว ดานดร.สมศักดิ์ สุขวงศ ที่ปรึกษาอาวุโสศูนยฝกอบรมวนศาสตรชุมชนแหงภูมิภาคเอเชียแปซิฟก (RECOFTC) กลาววา พื้นที่ชุมน้ํานัน้ มีความแตกตางจากพื้นที่อนุรกั ษทั่วไปเพราะพื้นที่อนุรักษมีมาตรการทาง กฎหมายเปนตัวบังคับ แตพื้นที่ชุมน้ําซึ่งคนที่นี่เรียกวาปาบุงปาทามมีความหลากหลายทางชีวภาพและคนสามารถ เขาไปใชประโยชนได โดยการใชประโยชนจากปาบุงปาทามนั้นจะเปนองคความรูเฉพาะของทองถิ่น เชน การเก็บ หายาสมุนไพรในปาทาม รวมทั้งการใชประโยชนอยางอื่นที่คํานึงถึงการอนุรักษความหลากหลายทางชีวภาพไป ดวย ดร.สมศักดิ์ กลาว ตอวา ปจจุบันพื้นที่ชุมน้ําในหลายพื้นที่กําลังถูกทําลายโดยสาเหตุหลักๆ มาจาก โครงการ พัฒนาตางๆ รวมทั้งโครงการการจัดสรรที่ดิน เชน การออกเอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก. 4-01 ใหเกษตรกรและการสงเสริม อาชีพใหมๆ เชน การปลูกยูคาลิบตัสรวมทั้งยางพาราในปาทาม ขณะที่โครงการพัฒนาขนาดใหญเชน สนามบิน สุวรรณภูมิไดทําลายระบบนิเวศนพื้นที่ชุมน้ําผืนใหญของภาคกลางไปแลว นอกจากนี้ การสรางเขื่อนก็เปนสาเหตุ สําคัญที่ทําลายระบบนิเวศนปาทาม ทําลายความมั่นคงในชีวิต และทําใหปาบุงปาทามไมทําหนาที่เหมือนเดิม ซึ่งจะ 277
รายงานการประชุมงานสัมมนา “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และทรัพยากรชีวภาพ ในลุ่มน้ําโขง
สงผลกระทบไปยังชุมชนในพื้นที่ดวย ในตอนทาย ดร.สมศักดิ์กลาวเพิ่มเติมวา ปจจุบันทรัพยากรทองถิ่นสวนใหญ จะถูกครอบครองโดยกลุมอํานาจทองถิ่น ทําใหชาวบานไมสามารถเขาถึงทรัพยากรตางๆ ไดอยางเต็มที่เพราะขาด อํานาจตอรอง ดังนั้น หากจะแกปญหาดังกลาวชุมชนตองสรางอํานาจขึ้นมาตอรองกันเอง เพื่อดูแลจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติในทองถิ่น นายรัฐพล พิทักษเทพสมบัติ ผูจัดการโครงการ MWBP พื้นที่สาธิตลุมน้ําสงคราม กลาวถึงความสําคัญใน การทํางานที่เกี่ยวของกับการอนุรักษพื้นที่ชุมน้ําวา พื้นที่ชุมน้ําแตละพื้นที่มีการนิยามความหมายที่ตางกันออกไป โดยจําแนกตามลักษณะพื้นที่ของตนเอง ซึ่งเรื่องนี้เปนเรื่องใหญเพราะจะมีการใหคุณคาไมเทากัน อยางกรณีปาบุง ปาทามลุมน้ําสงครามในปจจุบันเปนพื้นที่เสี่ยงเพราะคนไมรูจักคุณคาคิดวาไมมีประโยชนจึงถูกทําลายลงอยาง รวดเร็ว นายรัฐพล กลาวตอวา ดังนั้นงานวิจัยไทบานที่จัดทําขึ้นโดยชุมชนจึงเปนเครื่องมือสําคัญที่จะเชื่อมรอย เรื่องราวตางๆ พรอมทั้งชี้ใหเห็นคุณคาของระบบนิเวศนปาบุงปาทามและสงตอไปยังสาธารณะใหรับรูได นอกจากนี้ ยัง ตอ งคิ ดค นร วมกัน ตอ ไปว าจะทํ าอยา งไรที่ จะนําศัก ยภาพและองคค วามรู ที่เ กิด จากงานวิ จัย ไทบา นกลับ มา เอื้อประโยชนกับชุมชนไดอยางมีประสิทธิภาพ
วัตถุประสงค เพื่อใหมีการใชทรัพยากรในพื้นที่ชุมน้ําในลุมน้ําสงครามตอนลางอยางชาญฉลาด วิธีดําเนินการ 1. จัดทําแนวขอบเขตพื้นที่อนุรักษอยางใหเห็นชัดเจน โดยใชเครื่องหมายอยางใดอยางหนึ่ง โดยคัดเลือก บริเวณปาบุง ปาทาม ที่หมูบานทาบอ ตําบลทาบอสงคราม อําเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม เปน พื้นที่เปาหมาย 2. ทบทวนระเบียบการใชประโยชนจากทรัพยากรในพื้นที่อนุรักษ โดยยึดหลักการ “ใชอยางชาญฉลาด” 3. จัดทําโปรแกรมการทองเที่ยวเชิงธรรมชาติ โดยพาหนะ “ไบโอดีเซล ขับเคลื่อน 4 ลอ ขนาดแท” เปน เกวียนเทียมควาย หรือขี่หลังควาย เพื่อใหนักทองเที่ยวไดสัมผัสกับธรรมชาติ ปาบุง ปาทาม อยาง ใกลชิด และโปรโมททางเว็ปไซด รายการทีวีของรัฐ สื่อชนิดตางๆ เคเบิ้ลทีวีในจังหวัด และจังหวัด ใกลเคียง โดยรับความรวมมือจากสํานักงานการทองเที่ยวแหงประเทศไทย เขต 4 นครพนม 4. ใหมหาวิทยาลัยนครพนม และมหาวิทยาลัยในจังหวัดสกลนคร บรรจุเปนเนื้อหาสวนหนึ่งของการเรียน เชน วิชาวัฒนาธรรมแองสกลนคร และวิชาตางๆ ที่เกี่ยวของกับทองถิ่น
เจาของโครงการ และบทบาทหนาที่ 1. องคการบริหารสวนตําบลทาบอสงคราม • จั ด ทํ าข อ มู ล ของสภาพพื้ น ที่ สถานที่ แ ละเรื่ อ งราวที่ น า สนใจ เพื่ อ กํ า หนดโปรแกรมการท อ งเที่ ย ว ในแตละฤดูกาล • จัดตั้งคณะกรรมการเพื่อปฏิบัติงานตามโครงการ • จัดทํางบประมาณประจําปเพื่อปรับปรุงแหลงทองเที่ยว และประชาสัมพันธโครงการ 278
สานต่องานวิจัยไทบ้าน นิเวศวิทยา และประวัติศาสตร์ ป่าบุ่งป่าทาม ลุ่มน้ําสงครามตอนล่าง / สรรค์สนธิ บุณโยทยาน
2. องคการบริหารสวนจังหวัดนครพนม • ใหการสนับสนุนในดานงบประมาณแก อบต.ทาบอสงคราม ในสวนที่เกินขีดความสามารถ • ประชาสัมพันธใหสวนราชการ ภาคเอกชน และประชาชน ไดทราบถึงโปรแกรมการทองเที่ยว
สรุป งานวิจัยไทบานเปนเอกสารที่มีคุณคาอยางยิ่งตอการนํามาสานตอใหเกิดประโยชนอยางเปนรูปธรรม เพราะไดบรรจุขอมูลเกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ชุมน้ําของลุมน้ําสงครามตอนลางอยางละเอียด และเปนคําตอบชัดเจนวาหากไมมีการบริหารจัดการที่เหมาะสมระหวางการใชประโยชน กับการอนุรักษระบบนิเวศ หรือเรียกงายๆ วา “ใชอยางชาญฉลาด” และปลอยใหความรูเทาไมถึงการณ ผสมผสานกับการตักตวงผลประโยชน อยางไรความรับผิดชอบ ในไมชาปาบุงและปาทาม ที่วิวัฒนาการมานานนับลานปจะถึงกาลอวสานในอนาคตอันใกล และเมื่อถึงจุดนั้นลูกหลานของเราคงตองลุกขึ้นมาร่ํารอง และโหยหาทรัพยากรธรรมชาติที่พวกเขานาจะไดรับเปน มรดกจากเราๆ ทานๆในวันนี้
เอกสารอางอิง เครือขายนักวิจัยไทบานลุมน้ําสงครามตอนลาง, 2548. นิเวศวิทยา และประวัติศาสตรปาบุง ปาทาม ลุมน้ํา สงครามตอนลาง. เชียงใหม: สํานักพิมพวนิดา เพรส.
279
บทที่ 15 แมน้ําโขง: ดินแดนงดงามแหง ความหลากหลายทางชีวภาพ ระบบนิเวศ ประวัติศาสตร และชาติพันธุ มุมมองจากประสบการณของสมาชิกรัฐสภา เตือนใจ ดีเทศน มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา
ผูจุดประกายรักษแมน้ําโขง สํานึกคุณงามความดีของแมน้ําโขง ไมอาจแยกออกจากชีวิตของผม ผมไดปฏิบัติตอแมน้ํา สายน้ํา ดวยการ ปกปองเตือนสติผูคนในทองถิ่น อยากเห็นบานนี้เมืองนี้ใชประโยชนอยางเหมาะสมควบคูกับการดูแลรักษา ผมคงไม สามารถยับยั้งการพัฒนาในยุคปจจุบัน ซึ่งมุงผลประโยชนทางเศรษฐกิจสูงสุด แตผมคาดหวังวา จากจุดเล็กๆ ของ ผมกับเพื่อนพองชาวบานและกัลยาณมิตรอีกหลายคน จะนําไปสูความเขาใจของผูคนที่เพิ่มขึ้นนับรอย พัน หมื่น แสน ลานคน ผมอยากใหเปนแรงดลใจ เปนพลังใหนักสรางเศรษฐกิจทั้งหลาย ไดทบทวนโครงการขนาดใหญที่กําลัง เกิดขึ้น เราจะชวยกันลดพลังงานไฟฟาไดอยางไร เพื่อใหเปาหมายการสรางเขื่อนลดลงหรือยุติจากแมน้ําโขง เรา จะชวยกันสรางทางเลือกอยางไร ใหมีการคาขายในลุมแมน้ําโขง โดยไมตองใชเรือขนาดใหญ ซึ่งตองระเบิดเกาะ แกง ขุดลอกสันดอน ทําใหแมน้ําโขงกลายเปนเพียงคลองสงน้ํา สงเรือ เราจะทําอยางไรใหแผนดิน ลุมน้ําโขง ได กลายเปนแผนดินแหงประวัติศาสตรและวัฒนธรรมอันงดงามของมนุษยชาติ ซอนอยูภายใตทรัพยากรธรรมชาติอัน อุดมสมบูรณ กาวพนจาการเปนเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ปลอยควันพิษ สารพิษ ดับชีวิตและจิตวิญญาณของผูคนในลุม น้ําแหงนี้ (สมเกียรติ เขื่อนเชียงสา 2549) อุดมการณอันมั่นคงของกลุมรักษเชียงของไดจุดประกายใหดิฉันเขามารวมขบวนเพื่อพิทักษปกปองแมน้ํา โขงใหดํารงอยูคูโลกกลุมรักษเชียงของ ทําหนาที่ “ชวยคนหาขอมูล รายละเอียดของโครงการตางๆ เพื่อเตรียม ถายทอดใหชาวบานในพื้นที่และตอสาธารณชน” โดยเชื่อมประสานกับชุมชนทองถิ่น และทุกหนวยงานที่เกี่ยวของ ดวยจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ หนักแนน และแนวแน
ทํางานเชื่อมโยงกับคณะกรรมาธิการของวุฒิสภาและผองกัลยาณมิตร เมื่อไดขอมูลของโครงการระเบิดเกาะแกงในแมน้ําโขง เพื่อการเดินเรือพาณิชยที่มีขนาดใหญเพิ่มขึ้นถึง 150 ตัน 300 ตัน 500 ตัน ใหเดินเรือไดตลอดทั้งปไมเวนแมชวงฤดูแลง กลุมรักษเชียงของจึงมุงรณรงคใหชุมชน ทองถิ่น ตระหนักถึงปญหาและผลกระทบ และสื่อสารใหสาธารณชนเขาใจ รวมทั้งประสานใหฝายตรวจสอบการ บริหารงานของรัฐบาล (วุฒิสภา) ลงมาศึกษาสถานการณในพื้นที่
แม่น้ําโขง : ดินแดนงดงามแห่งความหลากหลายทางชีวภาพ ระบบนิเวศ ประวัติศาสตร์ และชาติพันธุ์ มุมมองจากประสบการณ์ของสมาชิกรัฐสภา / เตือนใจ ดีเทศน์
ดิฉันในฐานะสมาชิกวุฒิสภา จ.เชียงราย และเปนกรรมาธิการสิ่งแวดลอม จึงนําเสนอปญหาปญหาตอที่ ประชุ ม คณะกรรมาธิ ก ารฯ (กมธ.) เมื่ อ ต น ป พ.ศ. 2545 เพราะเป น เรื่ อ งเร ง ด ว นซึ่ ง ประธาน กมธ. คื อ สว.พนัส ทัศนียานนท นักกฎหมายสิ่งแวดลอมไดนําคณะลงพื้นที่ เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2545 คณะ กมธ.ได ลงเรือดูคอนผีหลง ซึ่งเปนเปาหมายที่จะถูกระเบิดตามโครงการ และศึกษาวิถีชีวิตของชุมชนริมฝงโขง ที่จะไดรับ ผลกระทบจากโครงการนี้ ขอมูลที่ กมธ.ไดรับรูคือ แมน้ําโขงมีความสําคัญระดับนานาชาติ ตนธารจากที่ราบสูงธิเบต ปลายทางคือ ทะเลจีนใตในเวียดนาม ความยาวทั้งสิ้น 4,900 กิโลเมตร เปนแมน้ําที่มีความสมบูรณอันดับสองของโลก (รองจาก แมน้ําอะเมซอน) เปนแหลงที่อยูอาศัยโดยพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติอันอุดมของชนนับรอยกลุมชาติพันธุ จํานวน ประมาณ 60 ลานคน “แมน้ําโขงจึงเปนที่หมายปองของกลุมคนหลากหลายเปาหมาย ทั้งนักสรางเขื่อน นักการเมือง นักสราง เศรษฐกิจ นักลงทุน นักทองเที่ยว และนักวิชาการ ที่มาศึกษาวิจัย จนไดปริญญาโท เอก กันมากมาย แตไมสงผลให คนในท อ งถิ่ น เข า ถึ ง ข อ มู ล ชาวบ า นเป น ผู ทํ า หน า ที่ ต อบคํ า ถาม ให ข อ มู ล ต อ กลุ ม คนเหล า นี้ ซึ่ ง มั ก ต อ งการ เปลี่ยนแปลงแมน้ําโขงใหเปนแมน้ําแหงความมั่งคั่งเพื่อตอบสนองความตองการที่เกินพอดีของมนุษย” (สมเกียรติ เขื่อนเชียงสา 2549) ปญหาการบริหารจัดการแมน้ําโขงในฐานะแมน้ํานานาชาติ โดยการมีสวนรวมของประชาชน เกี่ยวของกับ หนาที่ของคณะกรรมาธิการฯ อีก 2 คณะ คือ กมธ.ตางประเทศ ซึ่ง สว.ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ เปนประธานและ คณะกรรมาธิการการมีสวนรวมของประชาชน ซึ่ง สว.เจิมศักดิ์ ปนทอง เปนประธาน ทั้ง 3 กมธ.นี้ ในฐานะฝายนิติ บัญญัติจึงติดตามศึกษาขอมูล ตรวจสอบ ประสานความรวมมือ ทั้งระดับฝายบริหารของประเทศไทยกับฝายบริหาร ของประเทศลุมน้ําโขง คือ ลาว กัมพูชา เวียดนาม และจีน กมธ.การมีสวนรวมของประชาชนไดนําคณะเอกอัครราชทูตไทยประจําประเทศตาง ๆ มาเยือนชนชาติ พันธุลูกแมน้ําโขง ทั้งกลุมอาขาบนภูเขาแหงน้ําแมจัน และชุมชนไทยวน ไทยลื้อ ขมุ ริมฝงโขง เพื่อเรียนรูภูมิ ปญญาที่มนุษยอยูรวมกับธรรมชาติ โดยมีธรรมชาติเปนศูนยกลาง อยูรวมกันอยางสอดคลอง มีสํานึกของการ แบงปนกัน เปนรากฐานของธรรมชาติและคนในสังคม
ประวัติศาสตร ศาสนา และวัฒนธรรม ริมฝงโขง ที่เชียงราย ตํานานทองถิ่นเชียงของกลาววา คนกลุมแรกๆที่เขามาอาศัยอยูริมแมน้ําโขง คือ ชาวบานตํามิละ เปนคน เผาลัวะหรือละวา มีเรื่องปรากฏใน “ตํานานพระพุทธเจาเลียบโลก” ซึ่งเปนตํานานที่พบทั่วไปในภาคเหนือ เลาถึง การที่พระพุทธเจาเสด็จตามบานเล็กเมืองนอยตางๆเพื่อโปรดสัตว เปนมูลเหตุใหเกิดบานเมืองขึ้นตามเสนทางที่ พระพุทธองคเสด็จ อํานาจพระพุทธเจามีเหนืออํานาจภูตผีปศาจ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่กลุมชาติพันธุตางๆ เชื่ออยูเดิม ความเชื่อเหลานั้นจึงถูกปรับใหเปนพุทธแบบเดียวกัน เกิดสํานึกรวมทางวัฒนธรรมและจริยธรรมที่คอยๆ ปรับเปน แบบเดียวกัน เปนการเชื่อมโยงวิวัฒนาการทางประวัติศาสตรของสังคมบานเมืองภาคเหนือ ตํานานชี้ใหเห็นการ เผยแผพระพุทธศาสนาเขาสูชนชาติพันธุในลุมแมน้ําโขงตอนบน โดยผสมผสานพระพุทธเขากับความเชื่อเดิม ซึ่งจะ 281
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และทรัพยากรชีวภาพ ในลุ่มน้ําโขง
พบได ทั่ ว ไป ในหลั ก ฐานตํ า นานวั ด ที่ เ ขี ยนขึ้ น ในช ว งพุ ท ธศตวรรษที่ 21หั ว หน า กลุ ม ตํ ามิ ล ะได นํ า พวกมาเฝ า พระพุทธเจา เมื่อไดฟงพระพุทธเจาเทศนาธรรมแลวศรัทธาจึงหันมายอมรับนับถือพระพุทธศาสนา ตามบันทึกในพงศาวดารเชียงตุงเลาถึง การกอกําเนิดของชนชาติลัวะวา คนทั้งหลายออกมาจากน้ําเตาใบ เดียวกัน ลัวะออกมาเปนพวกแรก กะเหรี่ยงออกมาเปนพวกที่สอง ตอมาเปนคนไท หลังจากชาวบานตํามิละแลว มี กลุมชาติพันธุอื่นๆเขามาอยูในเชียงของ คือ คนเมืองหรือคนยอน ลื้อ ลาว ขมุ เยา มง อาขา จีนฮอ(ยูนนาน) โดย อาศัยอยูทั้งที่ราบและภูเขาสูง อาณาจักรเดิมของลัวะ คือ บริเวณแหลมสุวรรณภูมิ และมณฑลยูนนานตอนใต เมื่อ ถูกขอม ไท ลาว จามรุกราน ก็แตกพายไปอยูตามปาเขาหางไกล ปจจุบันชาวลัวะตั้งถิ่นฐานอยูใน 6 ประเทศลุมน้ําโขง คือ จีน พมา ลาว ไทย กัมพูชา เวียดนาม ชาวลัวะใน ไทยกระจายตัวอยูในจังหวัดลําปาง อุทัยธานี สุพรรณบุรี เชียงราย เชียงใหม ตาก นาน แมฮองสอน หมูบานลัวะ ใหญที่สุดอยูที่บานปอหลวง อําเภอฮอด เชียงใหมปจจุบันมีกลุมคนที่ตองการเขามาลงทุน และประกอบธุรกิจจะเปน คนตางถิ่น ตางชาติ มีความพยายามพัฒนาเชียงของใหเปนเมืองการคา โดยมิไดคํานึงถึงวิถีชีวิตความเปนอยูของ คนในทองถิ่นดั้งเดิมหรือประวัติศาสตรตั้งแตอดีต” (กลุมรักษเชียงของ 2549) การพัฒนาที่ถาโถมเขามาเพื่อใหเปนเมืองการคาและเมืองทองเที่ยว โดยไมคํานึง ความตองการของคน ทองถิ่น ถาคนเชียงของไมสามารถกําหนดความเปนไปของบานเมืองของตนได อาจทําใหคนที่นี่ตองทิ้งบานสูเมือง ที่ไมเคยรูจักก็เปนได เปนการสูญสลายของคนเชียงของคลายกับบานตํามิละในอดีต ขออยาใหเหตุการณเชนอดีต เกิดขึ้นกับชาวเชียงของอีกเลย
วิถีชีวิตชาติพันธุริมฝงโขงที่เชียงของ การตั้งถิ่นฐานของชนชาติพันธุในเชียงของ มีอายุยาวนานนับพันป ประกอบดวยคนยวนหรือคนเมือง คนลัวะหรือละวา คนลาว ซึ่งตั้งถิ่นฐานอยูที่ราบริมฝงแมน้ําโขง น้ําอิง ถัดไปใกลเชิงดอย ติดลําหวย เปนชาวกํามุ (ขมุ) สวนบนดอยเปนชาติพันธุมง ลาหู เมี่ยน (เยา) จีนฮอและอาขา ชนเหลานี้อยูกับระบบนิเวศที่หลากหลาย คือระบบนิเวศบนภูเขา ระบบนิเวศทุงนา ซึ่งเปนแหลงปลูกขาว ระบบนิเวศริมแมน้ํา เฉพาะในแมน้ําโขงมีระบบนิเวศถึง 11 ระบบ ซึ่งมีความหลากหลายทางชีวภาพของพันธุปลา และสัตวน้ําอื่น ๆ รวมทั้งสัตวเลื้อยคลานที่เปนอาหารของมนุษย งานวิจัยจาวบานพบพันธุปลา 100 ชนิด เปนปลา ในธรรมชาติ 88 ชนิด พันธุปลาหายาก 14 ชนิด พันธุพืช 65 ชนิด นอกจากนี้ยังมีนกน้ําและนกอพยพจํานวนมาก “คนเชียงของเรียนรูอารมณธรรมชาติของแมน้ําวาจะขึ้นลงอยางไร สามารถปรับตัวในการหาอยูหากินไดดี ในฤดูหนาวหรือฤดูแลงจะมีคนหาปลามากมายจากเชียงของถึงคอนผีหลง แตในฤดูน้ําหลากคนหาปลาจะไปหาปลา ในแมน้ําสาขาเพราปลาจะวายตามน้ําหลาก ตามหามดแมงกัลปกลิ่นดินหอมจากตนน้ําอิง ไปผสมพันธุและวางไขใน บริเวณลุมน้ําอิง แลววายกลับมาเมื่อน้ําลด ซึ่งลูกปลาของแมปลาทั้งหลายโตเต็มวัย พรอมจะผจญน้ําโขงแลว” (สมเกียรติ เขื่อนเชียงสา 2549)
282
แม่น้ําโขง : ดินแดนงดงามแห่งความหลากหลายทางชีวภาพ ระบบนิเวศ ประวัติศาสตร์ และชาติพันธุ์ มุมมองจากประสบการณ์ของสมาชิกรัฐสภา / เตือนใจ ดีเทศน์
หวงโซอาหารเชนนี้ไดหลอเลี้ยงผูคนสองฝงโขงมายาวนาน ตะกอนดินที่ถูกพัดมาจากแดนไกล ไดใหปุย ตามธรรมชาติแกเกษตรกรริมโขง คนเชียงของไดปลูกผักสดอรอยไรสารพิษไวกิน ในตําบลเวียงมีบานหวยไครที่ขึ้น ชื่อเรื่องปลูกผักอรอย และบริเวณวัดหลวงใกลผาถานมีการเพาะในผืนทรายริมน้ําโขง จนไดชื่อวาเปนถั่วงอกที่สด และอรอยที่สุด สาหรายแมน้ําโขง ที่ชื่อวา “ไก” เปนอาหารลือชื่อของชาวเชียงของและเปนอาหารของปลาบึก ปลา หนังน้ําจืดขนาดใหญ ที่สุดในโลก จั บไดแ หงเดียวที่หาดไคร บริเวณหวยดอนแวงซึ่งมีน้ําตื้นและแคบในเดือ น เมษายน – พฤษภาคม ทุกปจงึ เปนฤดูจับปลาบึกของกลุมชาวประมงปลาบึก
รวมพลัง 4 ประเทศทายน้ํา คณะกรรมาธิ การการมีสว นรวมของประชาชนชุ ดแรกของวุ ฒิสภา นํ าโดย สว.เจิมศั กดิ์ ปนทอง และ คณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย นําโดย สว.นิรันดร พิทักษวัชระ ไดวางแผนเยือน 3 ประเทศลุมน้ําโขงตอนลาง คือ ลาว กัมพูชา เวียดนาม และประเทศตนน้ําคือ จีน เพื่อศึกษาสภาพธรรมชาติลุมน้ํา โขงและแมน้ําสาขา วิถีชี วิตของผู คน ชนชาติพันธุ และพบนักวิชาการ องคกรอนุรั กษธรรมชาติ พบปะหารื อ รัฐมนตรีผูรับผิดชอบดานแมน้ําโขง รวมทั้งพระสงฆ ในชวง พ.ศ. 2546 -2548 คณะกรรมาธิการไดเห็นความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศในแมน้ําโขง โดยเฉพาะอยางยิ่งโตนเลสาบใน กัมพูชา ซึ่งมีประชากรที่รุกเขามาอยูในโตนทะเลสาบจํานวนมาก โดยทางการควบคุมไมได มีการรุกพื้นที่ปาเพื่อทํา การเกษตร ทําธุรกิจและการจับปลาเกินขนาดที่ธรรมชาติจะรองรับได ทองน้ําตื้นเขินจนเรือเดินไดยาก สองฝง แมน้ําจะเห็นบานเรือนชนชาติพันธุที่ใชชีวิตเรียบงาย สรางบานดวยวัสดุธรรมชาติ และหาอยูหากินกับแมน้ําโตนเลสาบขั้นเศรษฐกิจเพื่อยังชีพ นาเสียดายที่ท้งั ประชาชนและผูบริหารของ 3 ประเทศทายน้ํา แมจะรูวาการจัดการแมน้ําโขงในฐานะแมน้ํา นานาชาติอันเปนสมบัติที่ควรดูแลรักษารวมกันของ 6 ประเทศ จากตนน้ําถึงทายน้ํา แตประเทศตนน้ําคือจีน เปรียบเสมือนหัวมังกรอันหนักอึ้ง ยากที่จะผลักดัน เชิญชวน ขอรองใหหัวมังกรหันมารับฟงเสียงของ 4 ประเทศ ทายน้ํา คือ ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม รวมทั้งการรับฟงเสียงของชนชาติพันธุในลุมน้ําลานชางของจีน ซึ่งจะตอง ถูกอพยพและไดรับผลกระทบจากการสรางเขื่อน นอกจากนี้ ความหวังที่จะเจรจาหาพลังความรวมมือจากพมาก็มองไมเห็นจุดที่จะเริ่มตนไดแมแตนอย ศูนยรวมที่เมืองเชียงของฝงไทย จึงเปนประกายความหวังแหงความรวมมือรวมใจ ที่จะเชื่อมกับลูกน้ําโขง 6 จังหวัดภาคอีสาน และ 4 ประเทศทายน้ํา รวมทั้งผูมีใจรักน้ําโขงจากทุกหนทุกแหงทั่วโลก เวทีรัฐสภาอาเซียน (ASEAN Inter Parliament Arenas Organization: AIPO) ซึ่งมีการประชุมทุก 2 ป ประเด็นความรวมมืออนุรักษแมน้ําโขงอยางยั่งยืน ไมเคยมีโอกาสถูกบรรจุเปนวาระประชุมหลัก เปนไดแคเรื่อง เล็ก ๆ ในการประชุมพิเศษ (adhoc) เรื่องความรวมมือเพื่อการทองเที่ยวอยางยั่งยืน ซึ่งจัดที่กรุงเสียมราฐ ประเทศ กัมพูชา
283
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และทรัพยากรชีวภาพ ในลุ่มน้ําโขง
งานของอนุกรรมาธิการความมั่นคงของฐานทรัพยากร คณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย วุฒิสภา ไดตั้งอนุกรรมาธิการความมั่นคงของ ฐานทรัพยากร ประชุมปฐมฤกษเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2547 ผูทรงคุณวุฒิภายนอกที่มารวมงานลวนเปน ผูเชี่ยวชาญดานการอนุรักษทรัพยากรธรรมชาติ และความหลากหลายทางชีวภาพ ไดแก นายหาญณรงค เยาวเลิศ จากมูลนิธิคุมครองสัตวปา ดร.จิรากรณ คชเสนีย ดร.กัมปนาท ภักดีกุล จากคณะสิ่งแวดลอมและทรัพยากรศาสตร มหาวิทยาลัยมหิดล นายสมศักดิ์ สุนทรนวภัทร จาก IUCN และนายยุทธนา วรุณปติกุล เลขานุการของคณะอนุ กรรมาธิการ โดยมีที่ปรึกษาคือ ดร.ชวลิต วิทยานนท จาก WWF และดร.สนิท ทองสงา ผูเชี่ยวชาญดานประมง เปนตน คณะกรรมาธิ ก ารให ค วามสําคั ญ กับ การบริ ห ารจั ด การแม น้ํ า โขง โดยความรว มมื อ ของทุก ภาคส ว นที่ เกี่ยวของ การดําเนินงานจนถึงตั้งแตปลายป 2547 ถึง ตนป 2549 ไดรวมมือกับองคกรประชาชนในพื้นที่ องคกร อนุรักษทั้งในประเทศและตางประเทศ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแหงชาติ หนวยงานรัฐ และมีการตั้งกระทูถาม ในที่ประชุมวุฒิสภา
รูปที่ 1 คณะกรรมมาธิการสิ่งแวดลอม วุฒิสภา และกรรมการสิทธิมนุษยชนแหงชาติ ลงพื้นที่บริเวณแกงคอนผีหลง จ.เชียงราย เพือ่ รับฟงขอมูลจากกลุมทองถิ่นและผูแทนชุมชนตางๆ เมื่อปลายป พ.ศ.2547 สรุปขอเสนอเพื่อสรางความหวัง ระดมพลัง เพื่อความมั่นคงในวิถีชีวิตของชาติพันธุลูกแมน้ําโขงและความ มั่นคงของฐานทรัพยากรชีวภาพ ดังนี้ 1) ควรมีการสงเสริมความรวมมือทางวิชาการ โดยการศึกษาวิจัยดานความหลากหลายทาง ชีวภาพอันอุดมสมบูรณของลุมน้ําโขง และแมน้ําสาขา รวมทั้งความหลากหลายทางชาติพันธุ วัฒนธรรม และภาษา อัน ทรงคุ ณ ค า ของนั ก วิ ช าการจากสถาบั น การศึก ษาใน 6 ประเทศลุ ม น้ํ า แม โ ขง แล ว พั ฒ นาเป น หลั ก สู ต รร ว ม องคความรูแมน้ําโขงของ 6 ประเทศ สงเสริมใหโรงเรียนในพื้นที่ลุมน้ําโขงไดถายทอดสูนักเรียนและชุมชน เพื่อ สรางความผูกพันทางจิตใจในฐานะเปนลูกแมน้ําโขงเดียวกัน 284
แม่น้ําโขง : ดินแดนงดงามแห่งความหลากหลายทางชีวภาพ ระบบนิเวศ ประวัติศาสตร์ และชาติพันธุ์ มุมมองจากประสบการณ์ของสมาชิกรัฐสภา / เตือนใจ ดีเทศน์
2) ควรพั ฒ นาระบบฐานข อ มู ล ทรั พ ยากรธรรมชาติ สิ่ ง แวดล อ ม และความหลากหลายทาง ชีวภาพในลุมน้ําโขง และแมน้ําสาขาของทั้ง 6 ประเทศ เพื่อใหคนระดับพื้นที่และทุกภาคสวนที่เกี่ยวของเขาถึง ขอ มูล ไดส ะดวก โดยเชื่อ มโยงฐานขอ มูล ใหเ ปน หนึ่ง เดีย วกัน เพื่อ การเรีย นรูรว มกัน ของทั้ง ลุม น้ํา โขง และ ผูส นใจ ขอมูลของ MRC สวนใหญเปนภาษาอังกฤษ จึงควรแปลเปนภาษาราชการของทั้ง 6 ประเทศ และเปน ภาษาชาติพันธุหลัก หากเปนภาษาที่ไมมีตัวอักษรก็ควรใชภาษาพูดเพื่อการสื่อสารทั่วถึง 3) จัดสรางเวทีการปรึกษาหารืออยางสรางสรรคกับจีน เรื่องการพัฒนาลุมน้ําโขงตอนบน สราง เครื่องมือการใชกฎหมาย เพื่อการใชประโยชนจากแมน้ํานานาชาติ บนฐานของการมีสวนรวมของชุมชนทองถิ่น รัฐบาล และผูมีสวนไดเสียทุกฝาย ดวยหลักธรรมมาภิบาล และความโปรงใสของทั้งภาคประชาชนและรัฐบาลทั้ง 6 ประเทศ 4) องคกรที่ทํางานเกี่ยวของกับแมน้ําโขง ควรสรางกลไกการมีสวนรวมของประชาชน โดยเฉพาะ อยางยิ่งชนชาติพันธุชายขอบ ซึ่งเปนผูรับผลกระทบตอความมั่นคงในถิ่นที่อยู อาชีพ วิถีชีวิตโดยตรง โดยสนับสนุน การจัดตั้งสภาประชาชนลุมน้ําโขงจากผูมีสวนไดสวนเสียทุกฝาย ของทั้ง 6 ประเทศ (อานถอยแถลงสภาประชาชน แมน้ําโขงอยูทายบทความ) 5) ควรริเริ่มสรางความรวมมือระดับทองถิ่นระหวางไทยกับลาวโดยเนนที่จังหวัดเชียงรายกับแขวง บอแกว เพื่อรวมมืออนุรักษพื้นที่คอนผีหลง ที่ยังไมถูกระเบิดจากโครงการปรับปรุงแมน้ําโขงเพื่อการเดินเรือ พาณิชย นอกจากนี้ควรเสนอใหเกิดความรวมมืออนุรักษปลาบึก ชูประเด็นใหปลาบึกเปนสัญลักษณความอุดม สมบูรณของแมน้ําโขง เพื่อนําสูความรวมมือของทุกฝายในการรวมมืออนุรักษแมน้ําโขง ซึ่งเปนฐานทรัพยากรแหง ชีวิตของผูคนทั้ง 2 ฝง เพื่อรักษาวิถีชีวิตของชนหลากหลายชาติพันธุ ใหเปนมรดกทางวัฒนธรรมของโลก MRC และองคกรอนุรักษเชน WWF IUCN กับหนวยงานทองถิ่นและหนวยงานระดับชาติควรสนับสนุน โดยศึกษาขอมูลวิชาการดานปลาบึก 2 ระดับ คือ ระดับผูรูในชุมชน 2 ฝงแมน้ําโขง และเวทีวิชาการนานาชาติเรื่อง ปลาบึก เพื่อผลักดันใหเกิดผลระดับนโยบายของลาวและไทย ดิฉันไดริเริ่มเจรจากับรองเจาเมืองหวยทราย เรื่องความรวมมือระหวาง 2 เมืองในการอนุรักษปลาบึกและ คอนผีหลง เมือ่ เดือนพฤษภาคม 2548 โดยการประสานงานของนายอําเภอเชียงของและวัฒนธรรมอําเภอ ได ขอสรุปวาระดับเมืองหวยทรายพรอมรวมมือ แตควรเสนอตอรัฐบาลระดับชาติเพื่อการสั่งการและการสนับสนุนลงมา เปนลําดับขั้น 6) ควรริเริ่มโครงการความรวมมือระหวางไทย ลาว กัมพูชา เพื่อศึกษาวิจัยเรื่องปลาบึกและปลา อื่นๆ ในแมน้ําโขงและแมน้ําสาขา โดยเชิญผูรูในทองถิ่น เชน ชาวประมงอาวุโส และผูเชี่ยวชาญดานพันธุปลาใน ลุมน้ําโขง มารวมดวย 7) คณะกรรมาธิการแมน้ําโขง (MRC) ควรทบทวนบทบาทใหม โดยเนนเรื่องการมีสวนรวมของ ชุมชนทองถิ่นและผูมีสวนไดเสียทุกภาคสวน สนับสนุนการศึกษาวิจัยเพื่ออนุรักษทรัพยากรชีวภาพทั้งพันธุพืช ปลา 285
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และทรัพยากรชีวภาพ ในลุ่มน้ําโขง
นก สัตวน้ํา สัตวในปาซึ่งเปนแหลงตนน้ําลําธาร สงเสริมหลักธรรมมาภิบาลในการบริหารแมน้ําโขงในฐานะที่เปน แมน้ํานานาชาติ ฝายบริหารและคณะเลขาธิการของ MRC ควรเปนตัวแทนจาก 6 ประเทศที่ใชแมน้ําโขงรวมกันคน นอกพื้นที่ควรรับตําแหนงเพียงที่ปรึกษา ไมควรเปนผูบริหารที่ชี้ทิศทางของ MRC 8) ควรมีสถาบันศึกษาผลกระทบสิ่งแวดลอมและสังคม (EIA) ระดับภูมิภาค ที่มีความเปนกลาง ทุกฝายใหความไววางใจ ทําหนาที่เปนองคกรศึกษา วิเคราะห เสนอแนะทิศทางการพัฒนาลุมน้ําโขงจากระดับ ทองถิ่น ระดับชาติ เพื่อใหเปนธรรมตอทุกภาคสวน สงผลกระทบเชิงลบนอยที่สุดตอระบบนิเวศ ความหลากหลาย ทางชีวภาพและวิถีชีวิตของผูคนหลากหลายวัฒนธรรม 9) นักการเมืองทุกระดับ ตั้งแตระดับทองถิ่น คือ อบต. เทศบาล อบจ. ในพื้นที่แมน้ําโขงสายหลักและ แมน้ําสาขา จนถึงระดับชาติ คือ สส. สว. ตองใหความสําคัญกับสถานการณและแผนการพัฒนาในลุมน้ํา เพื่อรักษา ลุมน้ําที่อุดมสมบูรณทางชีวภาพลําดับสองของโลกใหดํารงอยู และรักษามรดกโลกดานความหลากหลายทาง วัฒนธรรมของชาติพันธุใหดํารงความงดงามตลอดไป อันเปนการปองกัน แกไขปญหาภาวะโลกรอนและผลักดัน เปนวาระหารือในที่ประชุมรัฐสภาอาเซียนเพื่อสงผลใหเกิดกฎหมายแมน้ํานานาชาติที่ปฏิบัติไดจริง 10) ควรมีเวทีประชุมรวมของ GMS กับ MRC เพื่อปรับความสมดุลยระหวางการพัฒนาที่เนนความ เติบโตทางเศรษฐกิจ ธุรกิจเชิงพาณิชย อุตสาหกรรม การเติบโตของสังคมเมืองและเทคโนโลยีสมัยใหม กับการ พั ฒ นาที่ มุ ง อนุ รั ก ษ ท รั พ ยากรชี ว ภาพที่ ห ลากหลายและวิ ถี ชี วิ ต ของชนชาติ พั น ธุ ที่ เ ป น อยู อ ย า งเรี ย บง า ย มี ความสัมพันธกับมนุษย ธรรมชาติ และสิ่งเหนือธรรมชาติ ดวยมิติทางจิตวิญญาณ ในลักษณะสังคมเกษตร ประมงในชุมชนชนบท ที่บริโภคทรัพยากรและพลังงานในระดับยังชีพ จึงทําใหธรรมชาติแหงลุมน้ําโขงดํารงอยูได อยางยั่งยืน ประเทศไทยควรสงผูแทนชุดเดียวกันเขารวมประชุมทั้งเวที GMS และ MRC เพื่อเชื่อมโยงนโยบาย และขอตกลงใหสอดคลองกัน นาสังเกตวา Biodiversity Conservation Corridor ภายใต GMS มีแผนสํารวจพื้นที่ความหลากหลายทาง ชีวภาพที่ควรอนุรักษไว แตไทยกลับเสนอพื้นที่เทือกเขาตะนาวศรี และเขาใหญ ซึ่งไมไดเกี่ยวของกับพื้นที่ลุมน้ํา โขงโดยตรง 11) หนวยงานของสหประชาชาติ ไดแก UNDP, UNESCO, UNICEF, FAO ซึ่งมีภารกิจคุมครอง สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และสงเสริมหนวยงานรัฐและประชาสังคมใหปฏิบัติตามเปาหมายแหงสหัสวรรษใหม (Millennium Development Goals: MDGs) ควรใหความสําคัญกับแนวทางการพัฒนาลุมน้ําโขงอยางยั่งยืน เพือ่ รักษาทรัพยากรชีวภาพ ดิน น้ํา ปา ใหเปนแหลงความมั่นคงทางอาหาร อธิปไตยทางอาหารของชุมชนและชาติ แกไขปญหาความยากจนและอดอยากหิวโหย สรางความเขมแข็งและพึง่ ตนเองของชุมชนรากหญา โดยกํากับดูแล ไมใหองคกรทุนขามชาติ คือ ADB, World Bank, IMF, หรือขอตกลงการคาเสรีขามชาติ (FTA) รวมทั้งธุรกิจ สรางเขื่อนขามชาติเขาไปมีบทบาทในโครงการยักษใหญ คือ ขุดสรางเขื่อนทั้งตนน้ําและทายน้ํา อันจะทําใหแมน้ํา โขงสูญสิ้นศักยภาพที่จะหลอเลี้ยงชีวิตมนุษยนับรอยลานทัง้ ทางตรงและทางออม
286
แม่น้ําโขง : ดินแดนงดงามแห่งความหลากหลายทางชีวภาพ ระบบนิเวศ ประวัติศาสตร์ และชาติพันธุ์ มุมมองจากประสบการณ์ของสมาชิกรัฐสภา / เตือนใจ ดีเทศน์
อนุ สั ญ ญาระหว า งประเทศ คื อ อนุ สั ญ ญาพื้ น ที่ ชุ ม น้ํา อนุ สั ญ ญาความหลากหลายทางชี ว ภาพ และ อนุสัญญาพื้นที่มรดกโลก ควรเปนกรอบในการกํากับโครงการพัฒนาทุกดานในลุมน้ําโขงสายหลัก และแมน้ําสาขา ทั้งโครงการระดับทองถิ่น ระดับชาติ และระดับภูมิภาค
ภาคผนวก: ถอยแถลงสภาประชาชนแมน้ําโขง (คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแหงชาติ 2548) จากการประชุม “บทบาทสภาประชาชนแมน้ําโขง ตอการมีสวนรวมในการพัฒนาภูมิภาคแมน้ําโขง” เนื่อง ในโอกาสการประชุมสุดยอด ความรวมมือดานเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุมแมน้ําโขง (Greater Mekong Subregion: จีเอ็มเอส) ครั้งที่ 2 วันที่ 4-5 กรกฎาคม 2548 ที่นครคุนหมิง ประเทศจีน ในวันที่ 30 มิถุนายน – 2 กรกฎาคม 2548 ณ โรงแรมริมกกรีสอรท จังหวัดเชียงราย กลุมองคกรภาคประชาสังคมในลุมแมน้ําโขง และองคกรพันธมิตร ดังรายนามขางทายนี้ ขอแถลงจุดยืนรวมกันดังตอไปนี้ สืบเนื่องจากการประชุมเรื่อง “การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และกลไกความรวมมือในภูมิภาค แมน้ําโขง” ในวันที่ 16 – 18 พฤศจิกายน 2547 ที่ผานมา ณ ศูนยประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพฯ ซึ่งตัวแทน ชุมชน และองคกรภาคประชาสังคมในประเทศภูมิภาคแมน้ําโขง ไดเสนอคําประกาศกรุงเทพฯ ถึงรัฐบาลและ หนวยงานผูใหทุนระหวางประเทศซึ่งเกี่ยวของกับการพัฒนาในภูมิภาคแมน้ําโขง โดยมีสาระสําคัญแสดงความไม เห็นชอบกับแนวทางการพัฒนาในภูมิภาคแมน้ําโขงภายใตกรอบแนวคิดการพัฒนาที่มีอยู เนื่องจากความลมเหลวที่ เกิดขึ้นตามแผนการปฏิบัติงานดังกลาว ทั้งในเรื่องการมีสวนรวมของประชาชน ความโปรงใสในการดําเนินงาน ใน โครงการขนาดใหญจํานวนมากที่เปนอยูในปจจุบัน ซึ่งกําลังสรางความเดือดรอนอยางมากใหกับประชาชนใน ภูมิภาคแมน้ําโขง ผูซ่งึ มีทรัพยากรธรรมชาติ ที่ดิน แมน้ํา และปาไมเปนปจจัยในการดํารงชีวิตที่สําคัญ ทั้งนี้ ในการ ประชุมดังกลาว ไดมีการจัดตั้งสภาประชาชนแมน้ําโขงขึ้น โดยจุดประสงคเพื่อใหเปนกลไกที่สําคัญ และเปนเวที สําหรับประชาชนในลุมแมน้ําโขง เพื่อมีบทบาทในการติดตาม และผลักดันการมีสวนรวมของประชาชนภายใตกลไก การพัฒนาในลุมแมน้ําโขง รวมทั้งเพื่อประสานเครือขายประชาชนในลุมแมน้ําโขง เพื่อสนับสนุนการพัฒนาตนเอง แสวงหาทางเลือก การสรางฐานการพัฒนาโดยแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติบน ฐานภูมิปญญา และวัฒนธรรมทองถิ่นอยางยั่งยืน ในนามตัวแทนชุมชนและองคกรภาคประชาสังคมในประเทศภูมิภาคแมน้ําโขง ผูรวมแบงปนแมน้ําหลาน ชาง-แมโขง และแมน้ํานู-สาละวิน ซึ่งมารวมตัวกันอยูในที่นี้ ในฐานะสภาประชาชนแมน้ําโขง ขอมีถอยแถลง เนื่อง ในโอกาสการประชุมสุดยอดผูนําความรวมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุมแมน้ําโขง (Greater Mekong Subregion: จีเอ็มเอส) ตามขอเสนอของธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ในชวงวันที่ 4-5 กรกฎาคม ที่จะถึงนี้ ณ นคร คุนหมิง ประเทศจีน ดังตอไปนี้ จากแนวทางการพัฒนาตามกรอบจีเอ็มเอส ตั้งแตเริ่มแรกกอตั้งในป 2535 โครงการตางๆ ภายใตแนวทาง การสนับสนุนเศรษฐกิจแบบตลาดทุนเสรีนิยมที่มุงหมายใหเชื่อมโยงกันระหวางประเทศในภูมิภาคแมน้ําโขง ซึ่งเนน การสนับสนุนการลงทุนธุรกิจภาคเอกชน เนนการสรางโครงสรางพื้นฐานเชื่อมตอในภูมิภาค เชน โครงการเขื่อน ขนาดใหญ การระเบิดเกาะแกงในแมน้ําโขง การผันน้ําขามลุมน้ํา และการจัดการปาไมเชิงพาณิชย ในประเทศ สมาชิกทั้ง 6 ประเทศคือ จีน พมา ลาว ไทย กัมพูชา และเวียดนาม โครงการตางๆ ที่กําลังเกิดขึ้นในแตละประเทศ กําลังสรางความแบงแยกและความขัดแยงอยางรุนแรงระหวางภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม เมืองและชนบท 287
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และทรัพยากรชีวภาพ ในลุ่มน้ําโขง
การขูดรีดทรัพยากรธรรมชาติไดบอนทําลายตนทุนทางเศรษฐกิจ วิถีชีวิต วัฒนธรรมของประชาชนในภูมิภาคแมน้ํา โขงอยางตอเนื่อง และไมมีทีทาวาจะหยุดยั้ง ตรงกันขาม รัฐบาลในภูมิภาคแมน้ําโขง รวมกับเอดีบี กลับเดินหนา ดําเนินการตามแผนการตอไป โดยละเลยปญหาความเดือดรอนของประชาชน และผลกระทบตอฐานตนทุน ทรัพยากรธรรมชาติ โดยไมมีการแกไขปญหาที่เกิดขึ้นอยางจริงจัง ที่ประชุมมีมติรวมกันวา โครงการภายใตกรอบจีเอ็มเอส ซึ่งดําเนินการอยูในปจจุบัน มีปญหาดาน ธรรมาภิบาล ความโปรงใส และการมีสวนรวมของประชาชน ในทุกโครงการที่ดําเนินการไปแลว เชน โครงการสราง เขื่อนเพื่อผลิตกระแสไฟฟาในประเทศตางๆ ที่เดนชัดคือ การสรางเขื่อนในประเทศจีน ซึ่งหลังจากเขื่อนมานวาน (Manwan) และเขื่อนตาเฉาซาน (Dachaoshan) สรางเสร็จลง ประชาชนในลุมแมน้ําโขงตอนลางในประเทศไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนามพบความเปลี่ยนแปลงระดับน้ําของแมน้ําโขง และจํานวนปลาลดนอยลง ทั้งนี้ ขอเสนอ เกี่ยวกับการสรางเขื่อนบนแมน้ําโขงสายหลัก และน้ําสาขาภายใตกรอบจีเอ็มเอส เกี่ยวของโดยตรงกับขอตกลงการ ซื้อขายไฟฟาในภูมิภาคลุมแมน้ําโขง (Regional Power Trading Operation Agreement) ซึ่งจะมีการลงนามใน บันทึกความเขาใจ (MOU) ในการประชุมสุดยอดผูนําที่นครคุนหมิงในครั้งนี้ดวย โครงการดังกลาวซึ่งมีความ สลับซับซอนในเรื่องทางเทคนิคและขั้นตอนการดําเนินการ นับไดวาเปนการเสนอโดยปราศจากการมีสวนรวมของ ประชาชนในแตละประเทศโดยสิ้นเชิง ไมมีการใหเหตุผลในเรื่องความจําเปน และความคุมทุนของโครงการ รวมทั้ง ปญหาโครงสรางและความเปนอิสระในการกํากับดูแลและความพรอมของกลไกการปฏิบัติงาน ทั้งในระดับประเทศ และระดับภูมิภาคแตอยางใด สําหรับโครงการระเบิดเกาะแกงในแมน้ําโขงเพื่อการเดินเรือพาณิชย เปนโครงการที่มีผลโดยตรงตอความ เสี่ยงตอการสูญพันธุของปลาบึก และปลาเศรษฐกิจที่สําคัญอื่นๆ และการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพใน แมน้ําโขง และการกัดเซาะฝงน้ําอยางรุนแรง ขอตกลงเขตการคาเสรีและนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ กอใหเกิด ปญหาทั้งประเด็นความขัดแยงในเรื่องความสูญเสียทรัพยากร และระบบเศรษฐกิจในทองถิ่นของประชาชน และ ปญหาในเรื่องผลประโยชนทางดานการคาและเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งกําลังเปนที่ถกเถียงกันอยางหนักในขณะนี้ เชนเดียวกันกับปญหาที่เกิดจากการขยายถนน เพื่อรองรับการแลกเปลี่ยนทางการคาระหวางประเทศ ไดสราง ความเดือดรอนใหประชาชนที่อาศัยอยูริมสองขางทาง ทั้งการอพยพโยกยาย ปญหาการสูญเสียที่ดินซึ่งไมมีการ ฟนฟูและชดเชยการสูญเสียที่เหมาะสม และการขยายตัวของปญหาสังคมตางๆ ทั้งเรื่องการคาแรงงาน และปญหา จากการขายบริการทางเพศ ดังที่ปรากฏอยูในกรณีทางหลวงหมายเลขหนึ่ง ซึ่งเชื่อมโยงประเทศกัมพูชากับประเทศ เวียดนามอยูอยางรุนแรงในขณะนี้ ทั้งนี้ ยังรวมถึงปญหาทุจริตคอรัปชั่นในโครงการตางๆ เหลานี้ ดวยจิตสํานึกของความรวมมือภายในภูมิภาคเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนและเปนธรรม พวกเราขอเสนอ หลักการและแนวทางสําหรับการประชุมสุดยอดผูนําจีเอ็มเอส ที่กําลังจะมาถึงในวันที่ 4 – 5 กรกฎาคม 2548 ดังตอไปนี้ 1. ขอใหหยุดยั้งแผนงาน หรือโครงการที่กําลังอยูในระหวางการเสนอดังที่กลาวมาแลวขางตนไวในทันที จนกวาจะมีการปรึกษาหารือกับประชาชน อยางโปรงใสและกวางขวางเสียกอน
288
แม่น้ําโขง : ดินแดนงดงามแห่งความหลากหลายทางชีวภาพ ระบบนิเวศ ประวัติศาสตร์ และชาติพันธุ์ มุมมองจากประสบการณ์ของสมาชิกรัฐสภา / เตือนใจ ดีเทศน์
2. ทรัพยากรธรรมชาติในภูมิภาคแมน้ําโขงเปนสวนหนึ่งของระบบนิเวศที่ประชาชนทั้งหมดในภูมิภาคเปน เจาของรวมกัน ดังนั้น รัฐใดรัฐหนึ่ง หรือองคกรทางการเงินระหวางประเทศหนึ่งใด เชน ธนาคารพัฒนาเอเชีย จึงไม มีสิทธิที่จะตัดสินใจในการพัฒนาใดๆ โดยพลการ ซึ่งจะมีผลกระทบขามพรมแดนตอวิถีชีวิต และตอฐาน ทรัพยากรธรรมชาติในภูมิภาคแมน้ําโขงอยางที่เปนอยู ประชาชนในภูมิภาคแมน้ําโขง ขอยืนยันสิทธิในการกําหนด อนาคตของตนเอง สิทธิในการใชทรัพยากรธรรมชาติ รวมมีสวนในการดําเนินการจัดการทรัพยากรในแนวทางการ พัฒนาเศรษฐกิจอยางยั่งยืน 3. รัฐบาลของประเทศในภูมิภาคแมน้ําโขง ควรดําเนินการจัดการและปกปองทรัพยากรธรรมชาติ บน พื้นฐานของการเคารพในสิทธิ และจิตวิญญาณแหงความสมานฉันทของประชาชนในภูมิภาค เพื่อกอผลประโยชน อยางเทาเทียมกัน โดยคํานึงถึงประเด็นดานอธิปไตยของประชาชาติและของภูมิภาค โดยเฉพาะในประเด็นแมน้ํา ขามพรมแดน ประเด็นตนน้ํา-ปลายน้ํา และประเด็นสิทธิมนุษยชนของประชาชนพื้นถิ่นและชุมชนของกลุมชาติพันธุ มิใชคํานึงถึงเรื่องเศรษฐกิจแบบตลาดเสรีแตเพียงอยางเดียว 4. หนวยงานที่เกี่ยวของ ทั้งในประเทศและระดับภูมิภาค รวมทั้งเอดีบี ตองทําการติดตามตรวจสอบ ประเมินโครงการ และแสดงความรับผิดชอบตอสังคมและทรัพยากรสิ่งแวดลอมที่สูญเสียไป จากโครงการพัฒนา ขนาดใหญภายใตกรอบจีเอ็มเอสที่ผานมาอยางจริงจัง กอนที่จะเสนอโครงการใหม เชนในโครงการซื้อขายไฟฟาใน ภูมิภาค จะตองทําการศึกษาเพื่อทบทวนแผนการพัฒนาโครงการเขื่อนไฟฟาพลังน้ําที่มีอยู และขอเสนอเกี่ยวกับ โครงขายสายสงไฟฟาในภูมิภาคแมน้ําโขงอยางรอบดาน วาขอเสนอที่มีอยูในปจจุบัน ยืนอยูบนพื้นฐานของการ พัฒนาที่ยั่งยืนและเทาเทียมหรือไม 5. หนวยงานระหวางประเทศควรเปลี่ยนบทบาทจากการสนับสนุนดานการเงินสําหรับโครงการขนาดใหญ ซึ่งบอนทําลาย มาสูการสงเสริมการลงทุนในโครงการขนาดเล็ก เชน โครงการพลังงานหมุนเวียน (เขื่อนขนาดใหญ ไมใชพลังงานหมุนเวียน) ซึ่งทั้งประหยัดตนทุน และเอื้อประโยชนใหแกชุมชนทองถิ่น แทนที่จะสนับสนุนการ ทําลายลางจากโครงการขนาดใหญดังที่เปนอยู ทั้งนี้พวกเรา ในนามผูเขารวมการประชุม “บทบาทสภาประชาชนแมน้ําโขง ตอการมีสวนรวมในการ พัฒนาภูมิภาคแมน้ําโขง” ขอยืนยันความตองการที่จะใหรัฐบาลของประเทศในลุมน้ําโขงทั้งหมด และธนาคาร พัฒนาเอเชีย ดําเนินการโดยยึดหลักการมีสวนรวมของประชาชน ความโปรงใส ธรรมาภิบาล โดยพวกเรา ซึ่ง มารวมกันริเริ่มสภาประชาชนแมน้ําโขง มีเจตนารมณอันแนวแนในการทําหนาที่ตรวจสอบ และผลักดันใหการ ดําเนินการเปนไปอยางจริงจังและตอเนื่องตอไป รวมทั้งจะรวมกันแสวงหาทางเลือก เพื่อใหการพัฒนาลุมน้ําโขง เปนการพัฒนาที่มีความสมดุล มีเสรีภาพ และเปนธรรม นํามาซึ่งสันติสุขอยางแทจริง
289
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และทรัพยากรชีวภาพ ในลุ่มน้ําโขง
องคกรรวมจัด คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแหงชาติ คณะกรรมาธิการตางประเทศและคณะกรรมาธิการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย วุฒิสภา โครงการฟนฟูนิเวศวิทยาในอินโดจีนและพมา มูลนิธิฟนฟูชีวติ และธรรมชาติ กลุมรักษเชียงของและองคกรเครือขายตาง ๆ
กิตติกรรมประกาศ ขอขอบคุ ณ อุ ด มการณ อั น มั่ น คงของกลุ ม รั ก ษ เ ชี ย งของ โดยแกนนํ า สํ า คั ญ คื อ ครู ตี๋ นิ วั ฒ น ร อ ยแก ว สมเกียรติ เขื่อนเชียงสา และผองเพื่อน ที่ทํางานรวมกับชาวบานในอําเภอเชียงของ เวียงแกน เชียงแสน และ ดินแดนลุมน้ําโขงอื่น ๆ ดวยความเคารพ ศรัทธา ที่ไดจุดประกายใหดิฉันเขามารวมขบวนเพื่อพิทักษปกปองแมน้ํา โขงใหดํารงอยูคูโลกและจักรวาล จนเปนกัลยาณมิตรกันอยางตอเนื่อง โดยมี “วัชระและกุง แหงตํามิละเกสตเฮาส” เปนผูสนับสนุนบานพรอมอาหารและเครื่องดื่มรสเลิศ จากใจอันอบอุน ออนโยน
เอกสารอางอิง กลุมรักษเชียงของ, 2549. “กวาจะเปนเชียงของ”. ใน นพรัตน ละมุล, MEKONG POST. กรุงเทพ: โรงพิมพภาพพิมพ. กลุมรักษเชียงของ, 2549. “การหายไปของบานตํามิละ- เชียงของ”. ใน นพรัตน ละมุล, MEKONG POST. กรุงเทพ: โรงพิมพภาพพิมพ. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแหงชาติ, 2548. หนังสือระเบิดแกงแมน้ําโขง. สมเกียรติ เขื่อนเชียงสา, 2549. สายน้ําของวัยเยาว.ใน วุฐิศาสนติ์ จันทรวิบูล, จากธิเบตถึงทะเลจีนใต 26 นักเขียนกับเรื่องเลาถึงแมน้ําโขง. เชียงราย: สํานักพิมพงายงาม.
290
บทที่ 16 นิเวศวัฒนธรรมในลุมแมน้ําโขง ศ. ศรีศักร วัลลิโภดม มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ
ปจจุบันการถกประเด็นปญหาเรื่องการพัฒนาแมน้ําโขงในเวทีตางๆ เปนการตอรองที่ไมสมดุลระหวางผูที่ ตองการใชประโยชนจากทรัพยากรธรรมชาติกับชาวบานทองถิ่นผูไดรับผลกระทบทั้งในแงวิถีชีวิตและพื้นที่ทํากิน เนื่องจากฝายที่ตองการสรางโครงการขนาดใหญเพื่อผลประโยชนทางเศรษฐกิจนั้น มีอํานาจและเงินทุนมหาศาล ดังนั้นจึงตองพยายามสรางพลังตอรองจากภายในเพื่อตอรองอํานาจจากภายนอก โดยการระบุผูมีสวนไดสวนเสียใน การกอสรางโครงการตางๆควรที่จะรวมไปถึงกลุมชาวบานในพื้นที่ดวย การศึกษาควรดูภาพรวมทั้งลุมแมน้ํา และ ผูที่จะกําหนดกลุมผูมีสวนไดสวนเสียตองรูลักษณะของพื้นที่ วัฒนธรรมทองถิ่น วิถีชีวิตคนในพื้นที่ รูสภาพการ ดํารงชีวิตของชาวบาน ดวยกระแสเศรษฐกิจแบบทุนนิยมแมจะเปนไปไมไดที่แมน้ําโขงจะไมเปลี่ยนแปลง แตการ เปลี่ยนแปลงควรมีดุลยภาพทั้งในแงวัฒนธรรม สังคม เศรษฐกิจและสิ่งแวดลอม การพัฒนาเศรษฐกิจสามารถทําไดแตไมควรใหกระทบวิถีชีวิตเดิม เพราะการพัฒนาโดยคํานึงถึงแคเพียง ผลตอบแทนในแงเศรษฐกิจไมสงผลดีในระยะยาว นอกจากจะทําลายความสมบูรณของระบบนิเวศและความ หลากหลายทางชีวภาพแลวยังทําลายอารยธรรม (civilization) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใตดวย เพราะ แมน้ําโขงครอบคลุมพื้นที่ในหลายประเทศ ไมใชแคอารยธรรมในแตละประเทศที่จะถูกทําลาย เพราะทั้งธรรมชาติ และอารยธรรมนั้นไมมีการแบงเขตประเทศ เนื่องจากในอดีตพื้นที่ในลุมแมน้ําโขงมีการใชทรัพยากรรวมกัน ตอมา เมื่อถึงสมัยอาณานิคมจึงเริ่มมีการแบงสรรทรัพยากร ดังนั้นจึงตองพยายามสรางภาคประชาชนที่ไมมีมิติทาง การเมือง โดยการนําเอาวัฒนธรรมมาเปนตัวสานเชื่อมโยงความสัมพันธระหวางในแตละพื้นที่ เพื่อใหเกิดการสราง พลังตอรอง นอกจากนี้การที่จะกลาวโทษผูอื่นวาเปนผูทําลายทรัพยากรนั้น ตองดูตัวเองดวย เนื่องจากคนไทยเองก็ ทําลายประเทศเอง เพราะไมรูไมเห็นถึงความสําคัญของแมน้ําอิงและแมนํ้ากก ซึ่งเปนแมน้ําสาขาและลุมแมน้ําที่ สําคัญ ในบริเวณนี้มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงและดินมีศักยภาพเพื่อการทํานา ดังนั้นหากประเทศจีนเขามา ในบริเวณเชียงของได จีนจะใชพื้นที่นี้เปนพื้นที่การเกษตรและอุตสาหกรรมของจีน ซึ่งจะทําใหเกษตรกรไทย เสียเปรียบ นอกจากนี้บริเวณเชียงแสนและเชียงรายก็เปนแหลงอารยธรรมที่สําคัญ ดังนั้นหากเราเขาใจความสําคัญ ของแตละพื้นที่ เราก็จะรูวาควรรักษาอะไรไว ควรอนุรักษอะไรไว หากมีการสรางเขื่อนเกิดขึ้นในลําน้ําโขงตอนลาง ก็จะกระทบถึงวิถีชีวิตของชาวบานเพราะ ชุมชนบานเมืองสวนใหญไมไดอยูฝงลาวแตอยูฝงไทย และตั้งแตเชียงใหม จนถึงบานกุมก็มีความหลากหลายของปลาสูง ทําใหชุมชนในภาคอีสานจะเกิดความเดือดรอนจากการพัฒนา โครงการพัฒนาเศรษฐกิจ
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และทรัพยากรชีวภาพ ในลุ่มน้ําโขง
การจะตอสูกับแรงกดดันจากภายนอกคนในประเทศและภูมิภาคจึงตองรวมตัวกัน ตองศึกษาทองถิ่นของ ตัวเองใหเขาใจและตอรองโดยมีความเขาใจอยางบูรณาการ เนื่องจากการศึกษาความเปนไปไดของโครงการ (feasibility study) สวนใหญแลวยังขาดการมองดานมิติทางสังคม วัฒนธรรมและจิตวิญญาน ซึ่งมีความซับซอน มากกวาการมองในดานเศรษฐกิจเนื่องจากภาคอีสานมีอารยธรรมที่ยิ่งใหญเชน บานเชียง และในแงของภูมิประเทศ เองก็มีลักษณะของบุงทามอยางชัดเจน ทําใหตองเขาใจลักษณะภูมิประเทศอยางลึกซึ้ง
292
ความรวมมือระดับภูมภิ าค : การจัดการน้ําในแมน้ําโขง
บทที่ 17 ประเทศไทย และความรวมมือกับภูมิภาคในการจัดการแมน้ําโขง ดร. ปรเมธี วิมลศิริ สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติ
บทบาทประเทศไทยในความรวมมืออนุภูมิภาค 1. ผลจากการเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจโลก ทั้ ง ด า นบทบาทของเศรษฐกิ จ เอเชี ย ที่ เ พิ่ ม ขึ้ น หรื อ การก า วสู ก ารเป น ศู น ย ก ลางการขยายตั ว ทาง เศรษฐกิจใหมที่สําคัญของจีนและอินเดีย : ซึ่งมีอัตราการเจริญเติบโตสูงกวาเศรษฐกิจโลก และประเทศในเอเชีย ตะวันออก ประกอบกับกระแสโลกาภิวัฒน ที่มีผลใหการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจโลกกับภูมิภาคเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะความรวมมือของกลุมเศรษฐกิจตาง ๆ อาทิ กลุม EU, ASEAN, APEC และ NAFTA มีผลใหเกิดการ เคลื่อนยายอยางเสรีของ ทุน คน และเทคโนโลยี และความรู ทําใหหลายประเทศตองปรับโครงสรางอุตสาหกรรม จากการใช แ รงงานราคาถู ก ไปสู ก ารใช แ รงงานฝ มื อ และอุ ต สาหกรรมที่ พึ่ ง พาเทคโนโลยี และจะพั ฒ นาไปสู อุตสาหกรรมฐานความรู ประกอบกับการรวมกลุมทางเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคตาง ๆ ทั้งในระดับทวิภาคี และระดับพหุภาคี และภูมิภาคมีความสําคัญเพิ่มมากขึ้น ในฐานะเปนเครื่องมือเพื่อสรางอํานาจตอรองทางเศรษฐกิจ และเพิ่มขีดความสามารถในการแขงขันของกลุมกับกลุมเศรษฐกิจอื่น ๆ โดยไทยไดเริ่มมีบทบาทที่โดดเดนในเวที ระหวางประเทศ และเวทีภูมิภาค บทบาทประเทศไทยในเวทีระหวางประเทศ มีความโดดเดนขึ้นจากการปรับบทบาทจากประเทศผูรับ (recipient country) เปนประเทศผูใหความชวยเหลือ (donor country) กับประเทศแถบแอฟริกา และประเทศเพื่อน บาน และการเปนประเทศที่ใหความสําคัญกับการพัฒนาแบบยั่งยืน โดยไทยไดบรรลุเปาหมายการพัฒนาแหง สหัสวรรษ (MDGs) เกือบทุกเปาหมายไดกอนกําหนดเวลาถึง 10 ป โดยเฉพาะการลดความยากจน การสราง โอกาสการศึกษาที่เทาเทียม และการลดการแพรระบาดของโรคเอดส และมาเลเรีย นอกจากนั้นการปรับบทบาท ของประเทศไทย ยังสงผลใหมีการปรับความสัมพันธกับประเทศตาง ๆ เชน ญี่ปุน และกลุมสหภาพยุโรป ใน ลักษณะหุนสวนการพัฒนา (development partner) ประกอบกับบทบาทของไทยในเวทีตาง ๆ ที่เขมแข็งและ เพิ่มขึ้น ทั้งในเวทีองคการการคาโลก APEC, ASEAN, ACD และ IAI ตลอดจนในเวทีภูมิภาค เชน ความรวมมือ ภายใตกรอบอาเซียน กรอบ Asian Cooperation Dialogue, ACD และกรอบ Initiative for ASEAN Integration (IAI) การดําเนินการภายใตกรอบเหลานี้มุงที่จะเสริมสรางความเขมแข็งดานตาง ๆ เพื่อใหอาเซียนสามารถแขงขัน กับเขตเศรษฐกิจอื่นๆ ของโลก โดยอาศัยความแตกตางหลากหลายและทรัพยากรที่อุดมสมบูรณของเอเชียที่มีอยู มาใชใหเกิดประโยชนสูงสุด รวมทั้งการลดชองวางจากการพัฒนากับประเทศในภูมิภาคอาเซียน โดยมีเปาหมาย สุดทายคือ การเปนตลาดเดียว (single market) และบรรลุเปาหมายในการเปนประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในป พ.ศ. 2563 ทั้งนี้ไทยจะมีบทบาทที่สําคัญยิ่งในการเรงผลักดันกรอบความรวมมือกับประเทศเพื่อนบานโดยเฉพาะ ประเทศ CLMV (ลาว กัมพูชา พมา และเวียดนาม) ใหสอดคลองกับทิศทางการเคลื่อนตัวไปสูเปาหมายของ อาเซียน และที่สําคัญคือสามารถกาวไปทันกับความเจริญกาวหนาของอาเซียนที่กําลังจะมาถึง
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความร่วมมือระดับภูมิภาคในการจัดการน้ําในแม่น้ําโขง
2. สถานะของไทยในกรอบความรวมมือประเทศเพื่อนบาน ประเทศไทยในปจจุบันไดแสดงบทบาทของการเปนหุนสวนการพัฒนาในภูมิภาคและอนุภูมิภาคผานทาง นโยบายการตางประเทศที่เรียกวา “Forward Engagement” โดยมุงหวังการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของ ภูมิภาค โดยหลักการชวยเหลือตัวเอง (self-help cooperation) และการสรางความเขมแข็งจากความแตกตาง (strength from diversity) บนพื้นฐานการเปนหุนสวนทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งประเทศไทยไดมีการรวมกลุมทาง เศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบานในหลายกรอบ ทั้งประเทศในแถบเอเชียใต เอเชียตะวันออกเฉียงใต โดยไทยได สนับสนุนใหความชวยเหลือทางการเงินเพื่อการพัฒนา (ODA) แกประเทศดอยพัฒนาในภูมิภาค ในป พ.ศ. 2546 ประมาณ 167 ลานเหรียญสหรัฐ หรือ รอยละ 0.13 ของรายไดประชาชาติ ซึ่งมากกวาประเทศออสเตรเลีย ญี่ปุน สหรัฐ และหลายประเทศใน OECD โดยรอยละ 93 ของความชวยเหลือของไทยไปยังประเทศดอยพัฒนาในทวีป แอฟริกา รวมทั้งประเทศเพื่อนบาน เชน กัมพูชา ลาว พมา การใหความชวยเหลือดังกลาวจะเนนการพัฒนา โครงสรางพื้นฐานในประเทศเพื่อนบาน เชน การสรางถนน สะพาน เขื่อน และโรงไฟฟา ซึ่งถือเปนการพัฒนาความ เชื่อมโยงทางคมนาคม และพลังงาน เพื่อรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาว รวมทั้งการใหความชวยเหลือดาน เทคนิควิชาการ เชน การฝกอบรมบุคคลากรในสาขาตาง ๆ อาทิ การศึกษา สาธารณสุข เกษตร คมนาคม การเงิน การธนาคาร ซึง่ ไทยมีการดําเนินการใหความชวยเหลือในลักษณะเดียวกันกับสหประชาชาติและ ADB โดยมีกรอบ ความรวมมือทางเศรษฐกิจระหวางไทยกับประเทศเพื่อนบาน ที่มีผลตอการพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาคมากที่สุด โดยการใชขอไดเปรียบเชิงเปรียบเทียบของแตละประเทศ เพิ่มขีดความสามารถทางการแขงขัน สรางอํานาจตอรอง และลดชองวางทางเศรษฐกิจและสังคมในภูมิภาค โดยมีกรอบความรวมมือสําคัญ 2 กรอบดังนี้ (1) แผนงานการพัฒนาความรวมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุมแมน้ําโขง 6 ประเทศ (GMS) มุงเนนการพัฒนาเศรษฐกิจ ผานการเชื่อมโยงตามแนวเศรษฐกิจ (Economic Corridor) การเพิ่มขีดความสามารถ การแขงขันและกระชับความสัมพันธของชุมชน หรือยุทธศาสตร 3Cs Connectivity Competitiveness Community โดยมีความรวมมือ 9 สาขา ครอบคลุมดานโครงสรางพื้นฐาน สังคมสิ่งแวดลอม และ พลังงาน เปนสาขาหลัก (2) เริ่มในป 2546 ประกอบดวยสมาชิก 5 ประเทศ (กัมพูชา ลาว พมา เวียดนาม ไทย) โดยอยูบน พื้นฐานการสรางความเปนหุนสวนการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อลดชองวางทางเศรษฐกิจระหวางไทยกับ ประเทศเพื่อนบาน โดยเนนการพัฒนาแบบองครวมในบริเวณพื้นที่ชายแดน ในลักษณะการพัฒนาเมืองคูแฝดที่มี กิจกรรมการผลิตรวมกัน ทั้งดานเกษตรและอุตสาหกรรมรวมกัน มี 6 สาขาความรวมมือ ไดแก การอํานวยความ สะดวกการคาการลงทุน เกษตรและอุตสาหกรรม คมนาคม ทองเที่ยว การพัฒนาทรัพยากรมนุษย และสาธารณสุข
บทบาทประเทศไทยในกรอบความรวมมือทางเศรษฐกิจอนุภูมิภาคลุมน้ําโขง การพัฒนาในลุมน้ําโขงในระยะแรกนั้น มีความสัมพันธกับการเมืองในภูมิภาคอินโดจีน ซึ่งมีประเด็นความ ขัดแยงระหวางอุดมการณทางการเมืองแบบทุนนิยมของผูนําโลกเสรีอยางสหรัฐอเมริกา และลัทธิสังคมนิยมที่กําลัง แพรขยายไปทั่วโลก ประเทศไทยในชวงเวลานั้นเปนพื้นที่ยุทธศาสตรที่สําคัญในการตอตานลัทธิคอมมิวนิสตใน ภูมิภาคนี้ เพราะประเทศเพื่อนบานตางมีระบอบการปกครองแบบสังคมนิยมและคอมมิวนิสตเกือบทั้งสิ้น
296
ประเทศไทย และความร่วมมือกับภูมิภาคในการจัดการแม่น้ําโขง / ดร.ปรเมธี วิมลศิริ
1. ประวัติศาสตรการพัฒนาในลุมแมน้ําโขง แมน้ําโขงซึ่งเปนแมน้ําสายหลักในภูมิภาคอินโดจีน จึงกลายเปนพื้นที่ที่มีแผนการกอสรางโครงการ สาธารณูปโภค ที่แฝงไวดวยขอตกลงทางการเมืองและการทหาร ภายใตความชวยเหลือดานเศรษฐกิจจากรัฐบาล อเมริกา เชน การสรางเขื่อนผลิตกระแสไฟฟา เพื่อใชในฐานทัพ การสรางถนนเพื่อเปนถนนสายยุทธศาสตร ใน ระยะแรกมีการจัดตั้งคณะกรรมการแมน้ําโขง (Mekong Committee) ในป พ.ศ. 2500 มีประเทศสมาชิกในลุม แมน้ําโขงตอนลาง คือ ไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม โดยมีสหรัฐอเมริกาเปนผูม ีอิทธิพลอยูเบื้องหลัง เพื่อวาง แผนการพัฒนาภายใตวัตถุประสงค สงเสริม สนับสนุนงบประมาณ ประสานงาน ใหคําแนะนํา และควบคุมแผนการ สํารวจเพื่อการพัฒนาแหลงน้าํ และพลังงาน โครงสรางพื้นฐานเสนทางคมนาคม สงผลใหทรัพยากรธรรมชาติ ทองถิ่น อาทิ เนื้อไม สมุนไพร ซากสัตว ปา ทองคํา อัญมณี ฯลฯ ถูกนํามาใชอยางฟุมเฟอย นําไปสูการ เปลี่ยนแปลงสังคมจากเกษตรกรรมธรรมชาติสูระบบทุนนิยม สรางความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจและอํานาจแกประเทศ มหาอํานาจไดอยางแนบเนียน แตในป พ.ศ.2513–2520 การดําเนินงานของคณะกรรมการแมน้ําโขงไดหยุดชะงัก ลง เนื่องจากเกิดสงครามอินโดจีน และอุดมการณที่แตกตางทางการเมืองของประเทศสมาชิกในเวลานั้น ทําให กัมพูชา ลาว และเวียดนาม ถอนตัวจากการเปนสมาชิก ภายหลังจากการถอนตัวไดมีการตั้งคณะกรรมการประสานงานชั่วคราวขึ้นในชวงสงครามเย็น ระหวาง พ.ศ. 2518–2532 จากการถอนตัวของประเทศสมาชิก ทําใหการดําเนินงานของคณะกรรมการแมน้ําโขงหยุดชะงัก ลง ในชวงทายของยุคสงครามเย็น ประเทศพัฒนาแลวอยาง เนเธอรแลนด สวีเดน สวิตเซอรแลนด ไดเขามาใน รูปแบบการใหความชวยเหลือดานการเงินแกคณะกรรมการ ภายใตแผนพัฒนาโครงสรางพื้นฐาน การสรางเขื่อนใน แมน้ําโขงและแมน้ําสาขา และบทบาทของธนาคารพัฒนาเอเชีย ที่รุกเขามาในลุมน้ําโขงแทนคณะกรรมการ ประสานงานชั่วคราว ในฐานะผูสนับสนุนการพัฒนาไฟฟาพลังน้ํา หลังสงครามเย็นสิ้นสุดลง การคาขายระหวางประเทศจีนกับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต เริ่มตนขึ้นภายใตวาทกรรมของเติ้งเสี่ยวผิงที่วา “แมวจะสีอะไรก็ตามขอใหจับหนูไดเปนพอ” ซึ่งเปนปจจัย สําคัญที่นําไปสูแรงจูงใจในการพัฒนาลุมน้ําโขงของประเทศตาง ๆ ในภูมิภาคนี้ รวมถึงแหลงทุนตางประเทศเปด ชองทางใหดวย รวมทั้งหลังจากการผลัดเปลี่ยนสูผูนํารุนที่สามของจีน จีนไดเริ่มประกาศระบบเศรษฐกิจการตลาด สังคมนิยมแบบเปดและสั่งการได ภายใตแนวคิด “หนึ่งประเทศสองระบบ” ที่เคยใชกับเกาะฮองกง นอกจากนี้โครง รางปฏิรูปประเทศแหงสมัชชาประชาชนของพรรคคอมมิวนิสตจีน เมื่อ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2546 นั้นตองการเพิ่ม บทบาททางเศรษฐกิจการคาของจีนสูภูมิภาคอื่น ๆ เชน เอเชียตะวันออกเฉียงใต เอเชียใตใหสูงยิ่งขึ้น แตฐานคิด การปฏิรูปนี้ไดรับการวิพากษวิจารณจากนักวิชาการของจีนวา ละเลยภาคชนบทหรือเกษตรกรดวยการเพิ่ม ภาคอุตสาหกรรมในเขตเมือง จะทําใหเกิดการอพยพของคนชนบทเขาเมือง และจะยิ่งทําใหชองวางระหวางคนรวย และคนจนเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งยังละเลยความคิดเรื่องระบบนิเวศน และการรักษาทรัพยากรธรรมชาติที่ตองสูญเสียไป อยางมหาศาล เพื่อปอนการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมของเมืองใหญ ป พ.ศ. 2534 เกิดการรวมตัวของ 6 ประเทศภายใตแผนความรวมมือทางเศรษฐกิจอนุภมู ิภาคลุมน้ําโขง (Great Mekong Subregion, GMS) โดยใหความสําคัญกับการสรางความรวมมือทางเศรษฐกิจโดยการพัฒนา โครงสรางพื้นฐาน ทางรถยนต ทางรถไฟ ตลอดถึงการพัฒนาเสนทางเดินเรือในแมนา้ํ โขงรวมไปถึงการกลับมาของ ความรวมมือระหวางประเทศในภูมิภาคลุมน้ําโขงตอนลาง ในโฉมหนาใหมภายใตชื่อคณะกรรมาธิการแมน้ําโขง 297
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความร่วมมือระดับภูมิภาคในการจัดการน้ําในแม่น้ําโขง
(Mekong River Commission, MRC) นอกจากนี้ยังมีแผนความรวมมือสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจระหวางไทย พมา ลาว จีน ที่ยิ่ง ชี้ใหเห็นวาการพัฒนาลุมน้ําโขงเปนการตอบสนองเพื่อเศรษฐกิจอุตสาหกรรมแตเพียงทางเดียว และโดยเฉพาะ หลังจากที่จีนเขาเปนสมาชิกองคการการคาโลก (WTO) ในป พ.ศ. 2545 การขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจแบบทุน นิยมของประเทศสังคมนิยม ยังผลใหเกิดการผลักดันการใชทรัพยากรธรรมชาติในเขตลุมน้ําโขงตอนบนเพิ่มยิ่งขึน้ โดยเฉพาะในเรื่องพลังงานไฟฟาจากเขื่อนเพื่อตอบสนองเขตอุตสาหกรรมในจีน รวมทั้งเพื่อการเพิ่มการคาและ ตัวเลขทางเศรษฐกิจ–การบริโภคดวยการเปดเขตการคาเสรีไทย–จีน (FTA) ในเดือนตุลาคม ปพ.ศ. 2546 และ กําลังผลักดันการคาเสรีอาเซียนจีนอยูอยางจริงจังอีกดวย 2. บทบาทประเทศไทยในกรอบความรวมมือทางเศรษฐกิจอนุภูมิภาคลุมแมน้ําโขง 6 ประเทศ Greater Mekong Subregion - GMS ประเทศไทยไดเขาเปนสมาชิกกรอบความรวมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุมแมน้ําโขง 6 ประเทศ (Greater Mekong Subregion, GMS) เมื่อป 2535 โดยมีประเทศสมาชิกอีก 5 ประเทศ ประกอบดวย กัมพูชา สปป.ลาว พมา เวียดนาม และจีนตอนใต (มณฑลยูนนานและตอมากวางสีเขาเปนสมาชิกป 2548) มีประชากร รวมกัน 255 ลานคน มีพื้นที่ความรวมมือ ประมาณ 2 ลาน 3 แสนตาราง กม.โดยการใหความชวยเหลือทาง วิชาการจากธนาคารพัฒนาแหงเอเชีย (Asian Development Bank, ADB) เพื่อจัดทํากรอบแผนยุทธศาสตร พัฒนาความรวมมือทางเศรษฐกิจในลักษณะเกื้อกูลกัน บนพื้นฐานของความไดเปรียบเชิงเปรียบเทียบของแตละ ประเทศ โดยมีการสนับสนุนทั้งทางการเงินและทางวิชาการจาก ADB เปนตัวขับเคลื่อนการพัฒนาอนุภูมิภาค เริ่ม จากการเชื่อมโยงโครงขายระบบโครงสรางพื้นฐาน โดยเฉพาะเสนทางคมนาคมขนสงและพลังงาน 3. แนวคิด/ยุทธศาสตรการพัฒนาในกรอบ GMS ในป พ.ศ. 2540 ภายหลังวิกฤติเศรษฐกิจแผนงาน GMS ไดขยายแนวคิดที่เรียกวายุทธศาสตร 3Cs ประกอบดวย Connectivity คือ การเชือ่ มโยงโครงขายเสนทางคมนาคมระหวางประเทศสมาชิก โดยมีเสนทาง คมนาคมเชื่อมโยงหลัก 3 แนว ที่เรียกวา Economic Corridor หรือการพัฒนาตามแนวพื้นที่เศรษฐกิจตามแนว ตางๆ ไดแก 1) แนวเหนือ-ใต เชื่อมโยง ไทย-พมา/ลาว-จีน 2) แนวตะวันออก-ตะวันตก เชื่อมโยง พมา-ไทย-ลาวเวียดนาม และ 3) แนวตอนใต เชื่อมโยงไทย-กัมพูชา-เวียดนาม สวน C ตอมาคือ Competitiveness เปนการเพิ่ม ขีดความสามารถในการแขงขันของประเทศสมาชิกในอนุภูมิภาค ผานเสนทางคมนาคมเชื่อมโยง และกฎระเบียบที่ จะมีความเปนสากล และสะดวกรวดเร็วขึ้น และ C สุดทายคือ Community ที่เนนการสรางความรูสึกเปนหนึ่ง เดียวกันของชุมชนในอนุภูมภิ าคลุมน้ําโขง โดยผานแผนงาน/โครงการดานการคาการลงทุน และการทองเที่ยว เพื่อใหประชาชนในอนุภูมิภาคไดมีโอกาสเขาถึงประโยชนจากการพัฒนาที่เกิดขึ้นอยางแทจริง โดยปจจุบันมีสาขา ความรวมมือระหวางประเทศสมาชิก 9 สาขา คือ คมนาคมขนสง โทรคมนาคม พลังงาน การคา การลงทุน เกษตร สิ่งแวดลอม การทองเที่ยวและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย มีกลไกการดําเนินการงาน 4 ระดับ เริ่มตั้งแต 1) การประชุมคณะทํางานรายสาขาทั้ง 9 สาขา สาขาละ 2–3 ครั้ง/ป ซึ่งจะกําหนดแผนงาน/โครงการสําคัญๆ ใน แตละสาขาความรวมมือ ตอมาคือ 2) การประชุมระดับเจาหนาทีอ่ าวุโส (Senior Official Meeting) ประชุมปละ ประมาณ 3 ครั้ง มีหนาที่ใหทิศทางนโยบาย และติดตามความคืบหนาการดําเนินงานโดยรวม 3) การประชุมระดับ รัฐมนตรี (GMS Ministerial Meeting) ทําหนาที่พิจารณาการดําเนินงานในภาพรวมทั้งหมด โดยการประชุมระดับ รัฐมนตรี ครั้งที่ 15 จะจัดขึ้นที่ อ. ชะอํา จ. เพชรบุรี ประเทศไทย ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2552 และ 4) การประชุม สุดยอดผูนํา 6 ประเทศลุมแมน้ําโขง (GMS Summit) กําหนดจัดขึ้นทุก 3 ป โดยผูน ํา GMS จะใหความเห็นชอบ 298
ประเทศไทย และความร่วมมือกับภูมิภาคในการจัดการแม่น้ําโขง / ดร.ปรเมธี วิมลศิริ
แผนงาน/โครงการสําคัญ ตามแผนปฏิบัติการของ GMS โดยการประชุมครั้งหลังสุด สปป.ลาว เปนเจาภาพเมื่อป พ.ศ. 2551 โดยกรอบความรวมมือ GMS ในสวนของไทย มีสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแหงชาติ
ความกาวหนาของการดําเนินการในภาพรวม ผลการประชุมระดับสุดยอดผูนํา 6 ประเทศลุมแมน้ําโขงภายใตแผนงาน GMS ครั้งที่ 3 เมือ่ วันที่ 30 - 31 มีนาคม พ.ศ. 2551 ณ เวียงจันทน สปป.ลาว มีสาระสําคัญ ดังนี้ (1) เห็นชอบ แผนปฏิบัติการระยะ 4 ป (2551-2555) ของความรวมมือ 9 สาขา และผลการศึกษาทบทวนกลางรอบ (Midterm Review) (2) เห็นชอบการพัฒนาและใชประโยชนโครงขายโครงสรางพื้นฐาน และเรง ดําเนินงานตามความตกลงขนสงขามพรมแดน (Cross Border Transport Agreement - CBTA) (3) สนับสนุนการมีสวนรวมของเยาวชนและภาคเอกชน (4) มอบหมายใหธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ดําเนินการ 3 เรื่อง ไดแก การศึกษาความเปนไปไดในการเชื่อมโยงเสนทางรถไฟของกลุม GMS การ หาผูรวมลงทุนจากภาคเอกชนและการเรงปรับปรุงกฎระเบียบเพื่ออํานวยความสะดวกการคาการลงทุน ความคืบหนาการดําเนินงานรายสาขา สาขาการคมนาคมขนสง เรงรัดพัฒนาเสนทางคมนาคมเชื่อมโยงตามแนวพื้นที่เศรษฐกิจและ เมืองที่มีศักยภาพ และเรงผอนคลายกฎระเบียบเพื่ออํานวยความสะดวกกิจกรรมทางเศรษฐกิจและ การคมนาคมขนสงขามพรมแดนใหเปนรูปธรรมภายในป พ.ศ. 2553 โดยเริ่มดําเนินงานนํารอง ณ ดานมุกดาหาร-สะหวันนะเขต เปนแหงแรก สาขาโทรคมนาคม ดําเนินการโครงการ GMS Information Superhighway Network ระยะ 1 แลวเสร็จ ซึ่งจะสงเสริมยกระดับเทคโนโลยีใหเปนระบบ Broadband เพื่อเพิ่มศักยภาพการใช ICT ในเชิงพาณิชยในอนุภูมิภาคใหมากขึ้น สาขาพลังงาน วางระบบและพัฒนาไปสูตลาดซื้อขายไฟฟาในอนุภมู ิภาค โดยพัฒนาระบบ สายสงเชื่อมโยง จัดทําขอตกลงปฏิบัติการดานเทคนิคและธุรกิจเพื่อดําเนินการซื้อ-ขายไฟฟาใน อนุภูมิภาค และจัดตั้งคณะกรรมการประสานการซื้อขายไฟฟา สาขาทองเที่ยว สงเสริมการตลาดรวม 6 ประเทศ และการพัฒนาบุคลากรทองเที่ยว ตั้งศูนย ประสานงานดานการทองเที่ยวของอนุภูมิภาคลุมแมน้ําโขง (Mekong Tourism Coordinating Office, MTCO) ซึ่งปจจุบันตั้งอยูที่กระทรวงการทองเที่ยวและกีฬา สาขาการอํานวยความสะดวกการคา ดําเนินงานศึกษาเพื่อเสนอแนะแผนงาน/โครงการของ ด า นการตรวจมาตรฐานสุ ข อนามั ย พื ช /สั ต ว แ ละด า นโลจิ ส ติ ก ส ซึ่ ง มุ ง หวั ง จั ด ทํ า แผนพั ฒ นา โลจิสติกสของอนุภูมิภาคลุมแมน้ําโขงและแผนยุทธศาสตรโลจิสติกสของแตละประเทศ สาขาการลงทุน จัดตั้งสภาธุรกิจ 6 ประเทศลุมแมน้ําโขง (GMS Business Forum) เพื่อเปน กลไกทํางานรวมกับภาครัฐ และทบทวนแนวทางการปรับรูปแบบคณะทํางานดานการลงทุน สาขาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย ดําเนินแผนงาน Phnom Penh Plan เพื่อฝกอบรมผูบริหาร ระดับกลาง/สู งของ GMS โดยใชเ ครือขายสถาบั นการศึกษาของอนุภูมิภาค และจัดทําแผน กลยุทธความรวมมือแลวเสร็จ เพื่อปรับปรุงกลไกการทํางานและแผนปฏิบัติการ 4 ดาน ไดแก แรงงาน สาธารณสุข การศึกษา และการพัฒนาสังคม 299
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความร่วมมือระดับภูมิภาคในการจัดการน้ําในแม่น้ําโขง
สาขาทรั พ ยากรธรรมชาติ แ ละสิ่ ง แวดล อ ม ศึ ก ษายุ ท ธศาสตร ก ารพั ฒ นาเชิ ง ยั่ ง ยื น และ ดําเนินงาน Biodiversity Corridors เพื่อใหการพัฒนาเศรษฐกิจและการรักษาไวซึ่งสิ่งแวดลอมมีความ สมดุล และจัดตั้ง Environmental Operation Center (EOC) เปนศูนยประสานการดําเนินงานดาน สิ่งแวดลอม ณ กรุงเทพฯ สาขาเกษตร สงเสริมการใชเว็บไซดอยางมีประสิทธิภาพ สรางความมั่นคงทางอาหาร โดยพัฒนา ศักยภาพในการวินิจฉัยโรคสัตว และดานการวิจัยเพื่อควบคุมโรคสัตวที่ดีขึ้น แปลงยุทธศาสตรดาน เทคโนโลยีชีวภาพและความปลอดภัยทางชีวภาพสูปฏิบัติ
โครงการที่มีลําดับความสําคัญสูงในกรอบ GMS โครงการสําคัญในกรอบ GMS แผนงานลําดับความสําคัญสูง (Flagship Programs) จํานวน 11 แผนงาน ประกอบดวย 1. แผนงานพัฒนาแนวพื้นที่เศรษฐกิจเหนือ-ใต (North-South Economic Corridor) 2. แผนงานพัฒนาแนวพื้นทีเ่ ศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor) 3. แผนงานพัฒนาแนวพื้นทีเ่ ศรษฐกิจตอนใต (Southern Economic Corridor) 4. แผนงานพัฒนาเครือขายโทรคมนาคม (Telecommunications Backbone) 5. แผนงานซือ้ -ขายไฟฟาและการเชื่อมโยงเครือขายสายสงไฟฟา (Regional Power Interconnection and Trading Arrangements) 6. แผนงานการอํานวยความสะดวกการคาและการลงทุนขามพรมแดน (Facilitating Cross-Border Trade and Investment) 7. แผนงานเสริมสรางการมีสวนรวมและความสามารถในการแขงขันของภาคเอกชน (Enhancing Private Sector Participation and Competitiveness) 8. แผนงานพัฒนาทรัพยากรมนุษยและทักษะความชํานาญ (Developing Human Resources and Skills Competencies) 9. แผนงานหลักทางดานสิ่งแวดลอม (Core Environment Program) 10. แผนงานการพัฒนาการทองเที่ยว (GMS Tourism Development)
ความชวยเหลือของ ADB และบทบาทของไทย ในเวทีภูมิภาค และในกลุมประเทศลุมน้ําโขง นับแตเริ่มกรอบความรวมมือ GMS ธนาคารเพื่อการพัฒนาแหงเอเชีย หรือ ADB ไดสนับสนุนความ ชวยเหลือทางดานเทคนิควิชาการ จํานวน 51.65 ลานเหรียญ และเปนเงินกูเพื่อพัฒนาโครงสรางพื้นฐานจํานวน 5,496.60 ลานเหรียญ ทั้งนี้ประเทศไทยเองก็ไดมีสวนในการใหความชวยเหลือประเทศเพื่อนบานในกลุม GMS ภายใตกรอบความรวมมืออิรวดี เจาพระยา แมโขง (ACMECS) ซึ่งไทยเปนผูริเริ่มเมื่อป พ.ศ. 2546 โดยมี วัตถุประสงคหลักเพื่อลดชองวางการพัฒนาของไทย กับประเทศเพื่อนบาน และไดแสดงเจตนจํานงในการใหความ ชวยเหลือประเทศเพื่อนบานในกลุมเดียวกัน หรือ ที่เรียกวา Self-help Cooperation โดยไทยไดใหความชวยเหลือ ทางดานวิชาการตางๆ จํานวน 4,600 ลานบาท และการใหเงินกูผอนปรนแกประเทศเพื่อนบาน ในการพัฒนา โครงสรางพื้นฐานวงเงินรวม 11,412 ลานบาท (พมา 2 โครงการ วงเงินรวม 152 ลานบาท สปป.ลาว 14 โครงการ วงเงินรวม 7,278 ลานบาท และกัมพูชา 3 โครงการ วงเงินรวม 3,982 ลานบาท) 300
ประเทศไทย และความร่วมมือกับภูมิภาคในการจัดการแม่น้ําโขง / ดร.ปรเมธี วิมลศิริ
ทั้งนี้ขอมูล ADB ระบุชัดวานับแตดําเนินเริ่มดําเนินการ แผนงานพัฒนาความรวมมือทางเศรษฐกิจใน อนุภูมิภาคลุมแมน้ําโขง 6 ประเทศ พบวาการลงทุนโดยตรงจากตางชาติในอนุภูมิภาคเพิ่มขึ้นรวมประมาณ 3 เทา (จาก 68,608 ลานบาท ในป พ.ศ. 2535 เปน 191,968 ลานบาท ในป พ.ศ. 2548) การสงออกโดยรวมเพิ่ม 11 เทา (76,704 ลานบาท ในป พ.ศ. 2535 เปน 876,384 ลานบาท ในป พ.ศ. 2548) นักทองเที่ยวเพิ่มขึ้นประมาณ 2 เทา (ราว 10 ลานคน ในป พ.ศ. 2538 เปนราว 20 ลานคน ในป พ.ศ. 2548)
สถานการณสิ่งแวดลอม และความเห็นการจัดการน้ําในแมน้ําโขงใน GMS ในชวงทศวรรษที่ผานมา สถานการณทรัพยากรธรรมชาติใน GMS กําลังตกอยูในภาวะนาเปนหวง เนื่องมาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจอยางรวดเร็ว โดยในป 2004 ประเทศใน GMS มี GDP/per capita เทากับ 3.653 โดยประเทศไทยมีอัตราการเติบโตสูงสุด คือ 8.090 และประเทศพมาต่ําสุด คือ 1.027 การพัฒนา โครงสรางพื้นฐาน และจํานวนประชากรที่ยังเพิ่มขึ้นตอเนื่อง ประกอบกับความออนแอของกฎหมายและสถาบัน ตางๆ ใน GMS ทําใหมีการใชทรัพยากรธรรมชาติมากขึ้น โดยกลุมประเทศ GMS มีพื้นที่ปาไมอยู รอยละ 44 ของ พื้นที่ รอยละ 20 เปนพื้นที่เกษตรกรรม มีทั้ง ถานหินและน้ํามัน ที่ใชในการผลิตพลังงานไฟฟาจากน้ํา มีประมง ในแมน้ําและชายฝงทะเล ชวยใหเกิดความมั่นคงดานอาหารและเปนแหลงรายไดของประชากรในภูมิภาคอีกหลาย ลานคน แมวา อัตราการเพิ่มของประชากรคอยๆ ลดลง โดยคาดวาจะลดลงต่ํากวารอยละ 1 ในป 2015 ประชากร ปจจุบันมีจํานวน 266 ลานคน และจะเพิ่มเปน 290 ลานคน ในป 2015 สวนใหญการขยายตัวของประชากรจะอยู ในพมาและเวียดนาม ปญหาหลักดานสิ่งแวดลอมใน GMS สวนใหญเปนปญหาที่ประเทศใน GMS เผชิญรวมกัน โดยเฉพาะ อยางยิ่งในประเด็นการจัดการทรัพยากรน้ํา เชน แมน้ําโขง จะเปนประเด็นที่ทุกประเทศจะไดประโยชนสูงสุด เนื่องจากแมน้ําโขงมีความหมายตอ GMS ในหลายดาน ทั้งในแงการเปนเสนทางการคมนาคมขนสง แหลงรวมวิถี ชีวิตของประชากร แหลงทรัพยากร และแหลงพลังงาน ซึ่งหากไมมีการรวมกันจัดการก็อาจเกิดปญหารุนแรง นอกจากนี้พื้นดินที่มีความหลากหลายในเชิงนิเวศวิทยาและสายพันธุของสิ่งมีชีวิตกําลังตกอยูในอันตรายจากการ ตัดไม การลาสัตว การถางปาเพื่อทําการเกษตร โดยรวมใน GMS พื้นที่ปาไมกําลังลดลง ยกเวนในเวียดนาม และ ยูนนาน และ GMS มีอัตราการสูญเสียพื้นที่ปาที่รอยละ 0.2 และ ปญหาอื่นๆ คือ ความเสื่อมโทรมของดิน มลภาวะ ในน้ําและในอากาศ การจัดการขยะและน้ําเสีย การใชทรัพยากรน้ําเปนประเด็นที่ยากและออนไหวมากที่สุดใน GMS สิ่งที่นาวิตกกังวลมากที่สุดคือ แผนการสรางเขื่อนของจีนทางตอนบนของแมน้ําโขงในมณฑลยูนนาน ซึ่งอาจมีประโยชนตอประเทศบริเวณลุมน้ํา โขงตอนลาง เพราะจะชวยควบคุมระดับน้ํา ลดปญหาความแหงแลง และน้ําทวม ขณะเดียวกันประเทศลุมน้ําโขง ตอนลางก็เริ่มตนโครงการพัฒนาเขื่อนไฟฟาพลังน้ําอยูเชนกัน ดังนัน้ การสรางเขื่อนทั้งตอนบนในจีน และในกลุม ประเทศลุมน้ําโขงตอนลาง จะสงผลกระทบตอระบบการหมุนเวียนของน้ําตามธรรมชาติ เปลี่ยนเสนทางน้ําทาง ตอนลางของแมน้ํา กระทบตอระดับของตะกอนในแมน้ํา และการประมงในแมน้ําโขงตอนลาง ปจจัยอื่นๆ ที่จะกระทบตอลุมน้ําโขงตอนลางคือการลดลงของพื้นที่ปาไม โครงการชลประทานจํานวนมาก และวิธีการกักเก็บน้ําที่ไมเหมาะสม นอกจากนี้ ภาคการเกษตรเปนภาคที่มีความตองการน้ําสูงมาก การพัฒนาภาค การเกษตรของกัมพูชา ลาว ไทย และเวียดนามจะทําใหมีพื้นที่ที่ตองพึ่งพาการชลประทานมากขึ้น และการ 301
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความร่วมมือระดับภูมิภาคในการจัดการน้ําในแม่น้ําโขง
ชลประทานก็จะสงผลกระทบตอเนื่องอีกหลายๆ ดาน เชน จํานวนปลา ที่อยูอาศัยของปลา และระบบชลประทานที่ ออกแบบไมดีก็จะทําใหเกิดภาวะดินเสื่อม เปนตน
โครงการสิ่งแวดลอมในกรอบ GMS การดําเนินงานของคณะทํางานดานสิ่งแวดลอม (WEG) ภายใตแผนงาน GMS มีวัตถุประสงคหลัก 2 ประการ คือ 1) เพื่อลดปญหาความยากจนและผลกระทบจากการพัฒนาที่มีผลตอสภาพแวดลอมในอนุภูมิภาค 2) การปองกันรักษาทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดลอมและประสานการจัดการทรัพยากรธรรมชาติในอนุภาคให เปนไปอยางยั่งยืน และสอดคลองกับยุทธศาสตรการพัฒนาสิ่งแวดลอมในเวทีโลก อาทิ MDGs , World Summit on Sustainable Development, Convention on Biological Diversity, Convention Climate Change และ Kyoto Protocol โดยผลการดําเนินงานสําคัญ ในระยะแรก ประกอบดวย 1. การจัดทําระบบขอมูลขาวสารดานสิ่งแวดลอมในอนุภูมิภาคและการจัดทําระบบขอมูลสารสนเทศ โดย การจัดทํา Atlas Map เพื่อแสดงขอมูลทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยูในประเทศ และเปนคูมือการพิจารณา Share Benefit ของทรัพยากรในอนุภูมิภาค 2. การจัดทํากรอบกลยุทธศาสตรการดําเนินงานดานสิ่งแวดลอม ซึ่งกําลังจะขยายผลงในพื้นที่จริง (Environmental Performance Assessment) 3. การจัดการพื้นที่ชุมน้ําที่วิกฤตในลุมแมน้ําโขงตอนลาง โดยการ ฟนฟูสิ่งแวดลอม และบรรเทาความ ยากจนในพื้นที่นํารองที่โตนเลสาบ ประเทศกัมพูชา จะเห็นไดวาโครงการพัฒนาสิง่ แวดลอมของ GMS ในระยะแรก จะเปนการพัฒนาระบบสารสนเทศดาน สิ่งแวดลอม การจัดการพื้นที่ดานสิ่งแวดลอมของประเทศสมาชิก โดยนํารองที่กัมพูชา ซึ่งประเด็นในเรื่องการจัดการ ภายในของประเทศสมาชิก ตอมาในการประชุมผูนําครั้งที่ 2 ณ นครคุณหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อเดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2548 ไดมีการใหความเห็นชอบแผนงานหลักดานสิ่งแวดลอม ที่เรียกวา Environmental Operation Center (EOC) พรอมๆ กับการจัดตั้งศูนยปฏิบัติการดานสิ่งแวดลอม (Environment Operation Center) ในกรุงเทพ ฯ เปนศูนยประสานการดําเนินงานดานสิ่งแวดลอมและสาขาความรวมมืออื่น ณ ADB Residence Mission (ตึก Central World กรุงเทพฯ) เพื่อใหความชวยเหลือดานเทคนิคและการบริหารจัดการแผน CEP สูการปฏิบัติ โดยมี แผนงานลําดับความสําคัญสูง ที่เรียกวา Biodiversity Conservation Corridor Initiative (BCI) หรือ โครงการแนว เชื่อมตอพื้นทีป่ าที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งเปนโครงการที่เนนการจัดการ และรักษาพื้นที่ปารอยตอของ ไทยกับประเทศเพื่อนบานที่ยังมีความหลากลายทางชีวภาพ ใหคงไวซงึ่ ระบบนิเวศน การรักษาแหลงน้ํา การ รักษาการพังทะลายของดิน นอกจากนี้ แผนงานหลักทางดานสิ่งแวดลอมของ GMS ในปจจุบันไดใหความสําคัญกับแผนการพัฒนา โครงการพัฒนาสําคัญในสาขาตางๆ ที่จะตองคํานึงถึงการพัฒนาที่จะสงผลตอสิ่งแวดลอมในพื้นที่โดยรอบ และ ใกลเคียง โดยแผนปฏิบัติการดานสิ่งแวดลอมของ GMS ในชวงป พ.ศ. 2548–2551 / 2552-2555 จึงไดพัฒนา เครื่องมือ และกลไกตางๆ เพื่อใหมีกระบวนการบูรณาการประเด็นทางดานสิ่งแวดลอมเขาไวในขั้นตอนของการ วางแผนการพัฒนาทั้งในระดับประเทศ และระดับทองถิ่น โดย Core Environmental Program (CEP) ไดกําหนด แผนงาน 5 ดาน ไดแก 302
ประเทศไทย และความร่วมมือกับภูมิภาคในการจัดการแม่น้ําโขง / ดร.ปรเมธี วิมลศิริ
1. การประเมินทางดานยุทธศาสตรสิ่งแวดลอม (Strategic Environmental Assessment ) 2. การจัดทําแนวเชื่อมตอพื้นที่ปา อนุรักษที่มีความหลายหลาย (Biodiversity Conservation Corridors) 3. การประเมินผลการปฏิบัติงานดานสิ่งแวดลอม (Environmental Performance Assessments) 4. การพัฒนาเชิงสถาบันในระดับภูมิภาค (Regional Institutional Development ) 5. การพัฒนากลไกทางการเงินที่ยั่งยืน (Sustainable Financial Mechanism ) แผนงาน/โครงการสิ่งแวดลอมใน GMS ดําเนินการอยู ไดมีความพยายามในการสรางกระบวนการการ ทํางานรวมกันในลักษณะ Cross Sector กับการพัฒนาสาขาสําคัญๆ อาทิ การพัฒนาดานคมนาคม การพัฒนา พลังงานไฟฟาจากน้ํา โดยใชการประเมินทางดานยุทธศาสตรสิ่งแวดลอมที่เรียกวา Strategic Environmental Assessment (SEA) ที่เขามามีบทบาทนํารองในการพัฒนาระหวางการพัฒนาทางดานเศรษฐกิจ และการพัฒนา ดานสิ่งแวดลอมในขั้นตอนของการวางแผนกอนการดําเนินงานโครงการ โดยแผนงานทางดานสิ่งแวดลอม ซึ่ง ดําเนินการโดยศูนยปฏิบัติการดานสิ่งแวดลอม (Environment Operation Center) ไดมีโ ครงการนํา รอ งในการ ดําเนินการประเมินทางดานยุทธศาสตรสิ่งแวดลอม ที่เรียกวา Strategic Environmental Assessment (SEA) ในแผนแมบทการพัฒนาพลังงานไฟฟาจากน้ํา ในประเทศเวียดนาม ในชวงป 2006-2008 และในแผนระยะกลาง ของความรวมมือดานพลังงานของ GMS ในชวงป 2008-2015 (Medium Term 2009-2015 Road Map and Work Plan for Expanded GMS Cooperation in Energy) นั้นไดกําหนดใหมีแผนเสริมสรางขีดความสามารถใน การวางแผนดานสิ่งแวดลอม ในการประเมินโครงการทางดานพลังงานของประเทศ GMS ดวย
โครงการที่เกีย่ วของกับการจัดการแมน้ําโขง 1. ความตกลงว า ด ว ยการเดิ น เรื อ พาณิ ช ย ใ นลุ ม แม น้ํา โขงตอนบน (Quadripartite Agreement on Commercial Navigation on Lancang – Mekong River) เพื่อสนับสนุนการเดินเรือพาณิชยของภาคี 4 ประเทศ ระหวางจีน พมา สปป.ลาว และไทย (JCCN) ไดมี การเปดใหมีการเดินเรือโดยเสรีในแมน้ําโขง และปจจุบันมีการขนสงสินคาและผูโดยสารระหวางจีน สปป.ลาว พมา และไทย โดยไดลงนามรวมกันในความตกลงวาดวยการเดินเรือในแมน้ําลานชาง-แมน้ําโขง เมื่อวันที่ 20 เม.ย. พ.ศ. 2543 ณ จั ง หวั ด ท า ขี้ เ หล็ ก พม า และมี ผ ลบั ง คั บ ใช เ มื่ อ เดื อ นเมษายน พ.ศ. 2544 โดยความตกลงฯ มี วัตถุประสงคเพื่อการอํานวยความสะดวกการเดินเรือพาณิชยในแมน้ําโขงตอนบน และจีนไดใหการสนับสนุน การ ปรับปรุงรองน้ําเพื่อการเดินเรือ (เคลื่อนยายเกาะแกงและหาดตื้นที่เปนอุปสรรคตอการเดินเรือในลําน้ําโขงตลอด ชองแนวชองทางเดินเรือ 331 กิโลเมตร เพื่อใหชองทางมีขนาดกวางไมต่ํากวา 35 เมตร และลึกประมาณ 3 เมตร) ซึ่งไดดําเนินการเสร็จแลว 10 จุด สวนจุดสุดทายที่บริเวณแกงคอนผีหลวง ครม. ไดมีมติเมื่อ 8 เมษายน พ.ศ. 2546 มอบหมายใหกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมทําการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบดานตางๆ ผล การศึก ษาดั ง กล า วได เสร็ จ สมบูร ณ แล ว เมื่ อ กรกฎาคม พ.ศ. 2547 โดยระบุ ว าผลกระทบของโครงการฯ ต อ สภาพแวดลอม เศรษฐกิจ สังคมและวิถีชีวิต แหลงทองเที่ยว โบราณสถานและวัฒนธรรม จะอยูในระดับต่ํา อยางไร ก็ตามผลจากการดําเนินการดานการมีสวนรวมของประชาชน ยังสะทอนใหเห็นวา ประชาชนในพื้นที่ยังมีขอวิตก กังวลเกี่ยวกับโครงการนี้อยู 303
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความร่วมมือระดับภูมิภาคในการจัดการน้ําในแม่น้ําโขง
2. โครงการความรวมมือดานพลังงาน ในกรอบความรวมมือดานพลังงานของประเทศ GMS จะปรากฏเฉพาะความตกลงวาดวยความ ร ว มมื อ ด า นการซื้ อ ขายไฟฟ า และการสร า งเครื อ ข า ยสายส ง ระหว า งรั ฐ บาล 6 ประเทศลุ ม แม น้ํา โขง (Inter-Governmental Agreement on Regional Power Trade) เมื่อ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 โดยความตกลงนี้มี จุดประสงคใหประเทศสมาชิกรวมมือและวางแผนพัฒนาระบบสงไฟฟาที่ประหยัด และมีความมั่นคง รวมไปถึงการ จัดตั้งกลไกในการดําเนินการซื้อขายไฟฟาในอนุภูมิภาค ความตกลงซื้อขายไฟดังกลาวไดเกิดขึ้น และเปนสวนกระตุนในการพัฒนาโครงการเขื่อนไฟฟาพลังน้ํา ของประเทศในกลุม GMS โดยเฉพาะประเทศลุมน้ําโขงตอนลางทั้งในลาว กัมพูชา และเวียดนาม ตางมี แผนพัฒนาแหลงพลังงานจากการสรางเขื่อนไฟฟาพลังน้ําในแมน้ําโขงทัง้ สิ้น โดยสวนหนึ่งเปนการผลิตเพื่อใช ภายในประเทศ และอีกสวนหนึ่งเปนการผลิตเพื่อขายใหแกประเทศที่มีความตองการดานพลังงาน และ พลังงานสํารอง โดยประเทศไทยจะเปนผูรับซื้อรายใหญในภูมิภาค ทั้งนี้ ในแผนระยะกลางของความรวมมือดาน พลังงานของ GMS ในชวงป 2008-2015 นั้นไดกําหนดใหมีแผนเสริมสรางขีดความสามารถในการวางแผนดาน สิ่งแวดลอม และการประเมินโครงการทางดานพลังงานในแผนงาน ประกอบดวย 1. การสนับสนุนการซื้อขายไฟฟา ในภูมิภาคอยางยั่งยืน 2. การประสานการวางแผนโครงการดานการพัฒนากับการประเมินทางดานสิ่งแวดลอม เพื่อใหแนใจวามีการประเมินทางดานสิ่งแวดลอม และสังคม รวมทั้งผลกระทบดานตางๆ กอนการดําเนินการ 3. การปรับปรุงประสิทธิภาพดานพลังงาน ทางดานการจัดการความตองการพลังงานและการอนุรักษพลังงาน การวางแผนทางดานสิ่งแวดลอมใหกับโครงการทางดานพลังงานของประเทศ GMS นั้น มีตนแบบจาก การศึกษาของเวียดนาม ที่เสนอให ADB ดําเนินโครงการนํารองการประเมินทางดานสิ่งแวดลอม เขามาในแผน แมบทโครงการเขื่อนไฟฟาพลังน้ําในประเทศเวียดนาม ซึ่งรอยละ 40 ของพลังงานที่ใชในเวียดนามปจจุบันมาจาก พลังงานน้ํา โดยกระบวนการดังกลาวจะมุงเนนการพิจารณาความสามารถในการจายพลังงานของเขื่อนไฟฟาในการ พัฒนาประเทศ พรอมๆกับการประเมินยุทธศาสตรสิ่งแวดลอมระยะยาวของเขื่อนไฟฟาพลังน้ําในเวียดนาม ซึ่งจะมี ตัวชี้วัดที่สรางความสมดุลของการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดลอม ตามวิสัยทัศน และแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมของเวียดนาม ตามตารางความคืบหนาโครงการซื้อขายไฟฟาระหวางไทย–ประเทศเพื่อนบาน
304
ประเทศไทย และความร่วมมือกับภูมิภาคในการจัดการแม่น้ําโขง / ดร.ปรเมธี วิมลศิริ
ความคืบหนาการดําเนินงานโครงการระดับทวิภาคีระหวางไทยและเพื่อนบาน โครงการ ไทย-ลาว
ไทย-พมา
รายละเอียด การลงนาม MOU ระหวางไทยลาว 19 มิ.ย. 2539 จะรับซื้อ ไฟฟาจากลาว ปริมาณ 3,000 เมกกะวัตต ภายในป 2549 และ ไดมีการลงนาม MOU เพิ่มเติม อีก 2 ครั้ง เมื่อ18 ธ.ค. 2549 เพื่อ เพิ่มปริมาณการรับซื้อไฟฟาจาก ลาวเปน 5,000 เมกะวัตต ภายใน ป 2558 และ เมื่อ 22 ธ.ค. 2550 ไดเพิ่มปริมาณรับซื้อไฟฟาจาก 5,000 เมกะวัตต เปน 7,000 เมกะวัตต (ภายในป 2558 หรือ หลังจากนั้น) Joint Statement ความรวมมือดานพลังงาน 12 พ.ย. 2547
การลงนาม MOU ระหวางไทย พมา 14 ก.ค. 2540 จะรับซื้อไฟฟา จากพมาปริมาณ 1,500 เมกกะวัตต ภายในป 2553 MOU ความรวมมือพลังงาน ทดแทนและอนุรักษพลังงาน 7 สค. 2547
305
โครงการ/ความคืบหนา แลวเสร็จ และจําหนายไฟฟาเชิงพาณิชยเขา ระบบ กฟผ. แลว ไดแก 1. เทิน-หินบุน (187 MW) และ 2. หวยเฮาะ (126 MW) ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟาแลว ไดแก 1. น้ําเทิน2 (920 MW) 2. น้าํ งึม2 (615 MW) 3. เทิน-หินบุนสวนขยาย (220 MW) อยูระหวางจัดทําสัญญาซื้อขายไฟฟา ไดแก น้ําเทิน1 (523 MW) น้ํางึม3 (440 MW) น้ําเงี๊ยบ 1 (261 MW) หงสาลิกไนต (1,470 MW) และ น้ําอู (1,043 MW) ดําเนินงานโครงการ เชน 1. ศึกษาความเหมาะสมและออกแบบ โครงการไฟฟาพลังน้ําขนาดเล็ก 2. สถิติขอมูลพลังงาน 3. การพัฒนาเตาหุงตมประสิทธิภาพสูง ศึกษาศักยภาพและการใชประโยชนเบื้องตน ของชีวมวล-ของเหลือในอุตสาหกรรม 4. การศึ ก ษาประเมิ น ศั ก ยภาพพลั ง งาน แสงอาทิตย สองประเทศลงนาม MOU พัฒนาโรงไฟฟา พลังน้ําในลุมสาละวิน และตะนาวศรี เมื่อ พ.ค.48 ประกอบดวย 6 โครงการ ไดแก 1. โรงไฟฟาทาซาง (7,000 MW) 2. โรงไฟฟายะวาทิต (800 MW) 3. โรงไฟฟาชายแดนสาละวินตอนบน(4,000 MW) 4. โรงไฟฟาชายแดนสาละวินตอนลาง (500 MW) 5. โครงการโรงไฟฟาพลังน้ําฮัทจี (1,200 MW) 6. โครงการโรงไฟฟาพลังน้ําตะนาวศรี (600 MW) โครงการฮั ท จี การศึ ก ษาความเหมาะสม ที่กฟผ. และบริษัท Sino Hydro Cp., Ltd. ของจี น ร ว มกั น ศึ ก ษาแล ว เสร็ จ และส ง ให กระทรวงไฟฟ า ของพม า พิ จ ารณาแล ว เมื่ อ เดือนมกราคม 2551
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความร่วมมือระดับภูมิภาคในการจัดการน้ําในแม่น้ําโขง
โครงการ
รายละเอียด
ไทย-กัมพูชา
มีการจัดทําความตกลง และ Joint Statement ระหวาง รัฐบาลไทย-กัมพูชา Joint Statement ความรวมมือ ดานพลังงาน 12 พ.ย. 2546
ไทย-จีน
การลงนาม MOU ระหวางไทย-จีน 12 พ.ย.2541จะรั บ ซื้ อ ไฟจากจี น ปริมาณ 3,000 เมกกะวัตต ภายใน ป 2560
โครงการ/ความคืบหนา อยู ร ะหว า งดํ า เนิ น โครงการสาธิ ต เพื่ อ ผลิ ต ไฟฟาดวยพลังงานแสงอาทิตยและอนุรัก ษ พลังงาน รัฐบาลไทยโดย กฟผ. ไดศึกษาแผนหลักการ พัฒนากําลังผลิตไฟฟาการขยายระบบสง ไฟฟาระยะยาวใหการไฟฟากัมพูชา โครงการสตรึงนัม ศึกษาความเหมาะสมแลว เสร็จ โดย กฟผ โครงการเกาะกง บริ ษั ท เอกชนที่ ไ ด รั บ สัมปทานจากรัฐบาลกัมพูชาไดเสนอ รายละเอี ย ดโครงการให กฟผ. พิ จ ารณา ขณะนี้อยูระหวางการเจรจาอัตราคาไฟฟาได ไทยใหความชวยเหลือจัดทําแผนแมบทการ พัฒนากําลังผลิตไฟฟา แผนแมบทการขยาย ระบบสงไฟฟา และชวยฝกอบรม อยูระหวางดําเนินงานโครงการอนุรักษ พลั ง งาน โครงการพั ฒ นาเตาหุ ง ต ม ประสิทธิภาพสูง โครงการศึกษาศักยภาพ ผลผลิตทางการเกษตรเพื่อใชในโครงการ Biofuels และโครงการศึกษาแผนที่ศักยภาพ โครงการไฟฟาพลังน้ําขนาดเล็กทั่วประเทศ จัดตั้งคณะทํางานรวม 3 ฝาย ไทย-ลาว-จีน เพื่อศึกษาและกอสรางสายสง 500 KV จาก จีนตอนใตผานลาวมาไทยปจจุบันอยูใน ชวงระงับการเจรจาคาไฟฟา เนื่องจากยัง ไมไดขอยุติในการลดราคาคาไฟฟาจากทั้ง 2 ฝาย
สรุป กรอบ GMS ในระยะแรก จะเปนกรอบความรวมมือที่เนนการพัฒนาทางดานเศรษฐกิจ โดยใชการพัฒนา โครงสรางพื้นฐานเปนตัวนําในการพัฒนา ซึ่งกอใหเกิดเสนทางคมนาคมเชื่อมโยงมากมายในอนุภูมิภาคแมน้ําโขง รวมทั้งการพัฒนาแหลงทองเที่ยว แหลงพลังงานสําคัญ เชน พลังงานไฟฟาจากน้ํา จนมีโครงการเขื่อนมากมาย เกิดขึ้นในลําน้ําโขง โดยเปนการพัฒนาที่มุงเนนการใชฐานทรัพยากรที่มีอยูในภูมิภาค จนเริ่มเกิดปญหาความเสื่อม โทรมของทรัพยากรและสิ่งแวดลอม การพัฒนาของ GMS ในปจจุบัน จึงมุงเนนที่การพยายามรักษาสมดุลของการ พัฒนาทางดานเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดลอม ซึ่งปรากฏชัดเจนในแถลงการณรัฐมนตรีสิ่งแวดลอม ครั้งที่ 2 เมื่อ เดือนมกราคม 2551 ที่ไดย้ําแนวคิดวาดวย สิ่งแวดลอมเพื่อการพัฒนา” และความจําเปนเชิงรุกเพื่อการพัฒนาอยาง 306
ประเทศไทย และความร่วมมือกับภูมิภาคในการจัดการแม่น้ําโขง / ดร.ปรเมธี วิมลศิริ
ยั่งยืนควบคูไปกับการเติบโตทางดานเศรษฐกิจ ซึ่งสอดคลองกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติฉบับที่ 10 (2550-2555) และยุทธศาสตรการดําเนินงานของไทยกับประเทศเพื่อนบาน ที่ไดใหความสําคัญกับการพัฒนา และ บริหารจัดการดานสิ่งแวดลอม ในฐานะสาขาการพัฒนาความรวมมือที่มีผลตอการพัฒนาความเปนอยูของมนุษย และการเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคอยางยั่งยืน และเปนหนึ่งในเปาหมายของการพัฒนาแหงสหัสวรรษ ทั้งนี้ ประเทศไทยไดกําหนดนโยบายและแผนพัฒนาประเทศตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเนนการพัฒนาแบบ พหุภาคีและสรางการมีสวนรวม ดังนั้น ในกรอบนโยบายยุทธศาสตรของไทยกับประเทศเพื่อนบาน จึงไดกําหนด บทบาทนําของประเทศไทยในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมอยางยั่งยืน โดยแลกเปลี่ยน ประสบการณจากการพัฒนาดานตางๆ กับประเทศเพื่อนบาน ในดานที่ประเทศไทยมีความเชี่ยวชาญ การใหความ ชวยเหลือถายทอดเทคโนโลยีที่เกี่ยวของ รวมทั้งการใหความสําคัญกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําอยางยั่งยืน เนื่องจากประเทศเพื่อนบานสวนใหญรวมทั้งไทยมีฐานทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงในลุมแมน้ําโขง บทบาทของประเทศไทยในระยะตอไป จึงเปนบทบาทเชิงรุกในการสรางความรวมมือในการบริหารจัดการความ ขัดแยงและสรางสมดุลของการใชประโยชนลุมแมน้ําโขงรวมกัน
เอกสารอางอิง เครือขายอนุรกั ษทรัพยากรธรรมชาติ และวัฒนธรรมลุมน้ําโขง – เชียงราย, 2547. รูจักแมน้ําโขง. จดหมายขาวเสขิยธรรม ฉบับที่ 60 เดือน เมษายน – มิถุนายน. [ระบบออนไลน] แหลงที่มา http://www.skyd.org/html/sekhi/60/028-kong.html. UNEP, 2008. Sub – Regional Sustainable Development Strategy: Greater Mekong Sub – region.
307
บทที่ 18 ความรวมมือเพื่อการพัฒนาลุมแมน้ําโขงอยางยั่งยืน ผกาวรรณ จุฟามาณี1 บุรี สุวรรณรัตน2 1 ผูอํานวยการสวนงานคณะกรรมการลุมน้ําโขง สํานักประสานความรวมมือระหวางประเทศ กรมทรัพยากรน้ํา 2 ผูเชี่ยวชาญของแผนงานพัฒนาลุมน้ํา สํานักงานเลขาธิการคณะกรรมการแมน้ําโขงแหงชาติไทย
ความเปนมา ความรวมมือเพื่อการพัฒนาลุมแมน้ําโขงเกิดจากการสนับสนุนขององคการสหประชาชาติ (Economic Commission for Asia and Far East, ECAFE ซึ่งก็คือ The United Nations Economic and Social Commission for Asia and the Pacific, UN ESCAP ในปจจุบันนั่นเอง) โดยจุดมุงหมายพื้นฐานของการพัฒนาลุมแมน้ําโขง คือ การนําน้ําจากบริเวณลุมแมนา้ํ โขงตอนลาง (Lower Mekong Basin) มาใชเพื่อทําประโยชนในดานเศรษฐกิจ และ สังคม แกประชาชน และในประเทศลุมแมน้ําโขง ซึ่งแนวคิดจากการนําน้ําจากแมน้ําโขงมาใชใหเกิดประโยชนสูงสุด ดังกลาวขางตน รัฐบาลของ 4 ประเทศในลุมน้ําโขงตอนลาง ไดแก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (ลาว) ราชอาณาจักรกัมพูชา (กัมพูชา) ราชอาณาจักรไทย (ไทย) และ สาธารณารัฐสังคมนิยมเวียดนาม (เวียดนาม) ได ตกลงรวมกันกอตั้งองคกรความรวมมือขึ้นในป พ.ศ.2500 (ค.ศ. 1957) เรียกวา “คณะกรรมการประสานงานสํารวจ แมน้ําโขงตอนลาง” (Committee of Investigations of the Lower Mekong Basin) หรือเรียกสั้นๆวา “คณะกรรมการแมน้ําโขง” หรือ “คณะกรรมการพัฒนาลุมแมน้ําโขงตอนลาง” มีอํานาจหนาที่ในการสงเสริม ประสานงานสํารวจ และวางแผน ควบคุมดูแลการพัฒนาทรัพยากรน้ําในลุมแมน้ําโขงตอนลาง โดยมีสํานักงาน เลขาธิการกลาง (Mekong Secretariat) ตั้งอยูที่กรมพัฒนาและสงเสริมพลังงาน เชิงสะพานกษัตริยศึก กรุงเทพฯ (ในขณะนั้น) เปนผูประสานการดําเนินงานอยางใกลชิดกับหนวยงานที่เกีย่ วของใน 4 ประเทศ ผาน “คณะกรรมการ แมน้ําโขงแหงชาติ” (National Mekong Committee) ซึ่งการปฏิบัติงานในโครงการพัฒนาตางๆของคณะกรรมการ นั้น ไดรับความชวยเหลือและสนับสนุนทั้งในดานงบประมาณ ผูเชี่ยวชาญและอื่นๆ จากประเทศผูสนับสนุน และ องคการระหวางประเทศ การดําเนินงานของคณะกรรมการแมน้ําโขงนั้น มีปฏิญญาความรวมมือ ป ค.ศ.1957 (1957 Statute) เปน กรอบการดําเนินงานของประเทศสมาชิกทั้ง 4 ประเทศ ซึ่งนับไดวาประสบความสําเร็จอยางมากเมื่อเปรียบเทียบ กับลุมน้ํานานาชาติอื่นๆ สําหรับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา (definitions of terms and concepts for water resources management) ซึ่งนับเปนเรื่องใหมสําหรับผูเชี่ยวชาญดานกฎหมายระหวางประเทศในขณะนั้น ที่ตอง พิจารณาการบริหารจัดการน้าํ ในกฎหมายระหวางประเทศดวย หลักการของปฏิญญาความรวมมือดังกลาว ใชเปน กรอบทางกฎหมายซึ่งไดระบุอํานาจหนาที่ของคณะกรรมการ และรูปแบบองคกรในการดําเนินการประสานความ รวมมือ การวิจยั ศึกษา และการสํารวจ เพื่อพัฒนาโครงการในลุมน้ําโขง อยางไรก็ตามหากวิเคราะหในรายละเอียด ตามกรอบปฏิญญาความรวมมือ ป ค.ศ. 1957 นั้น จะเห็นไดวาความรวมมือตามกรอบปฏิญญา 1957 จะถูกจํากัด อยูเพียงดานเทคนิคเทานั้น และอยูภายใตการตัดสินใจ หรือความตกลง ของประเทศสมาชิก จึงทําให ECAFE พยายามขอขยายขอบเขตอํานาจหนาที่ของคณะกรรมการแมน้ําโขงใหกวางขึ้น โดยเสนอใหคณะกรรมการฯ มี อํานาจในการพิจารณาและเสนอกิจกรรมพัฒนาโครงการเกี่ยวของกับน้ําไดดวย เชน ในปค.ศ. 1971 เสนอให
ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาลุ่มแม่น้ําโขงอย่างยั่งยืน / ผกาวรรณ จุฟ้ามาณี
คณะกรรมการฯ มีหนาที่ครอบคลุมการทํากิจกรรมกอสรางในโครงการพัฒนาตางๆ ดวย แตไมไดรับความเห็นชอบ จากภาคีสมาชิก ในที่สุดความพยายามของ ECAFE ก็ประสบความสําเร็จในป พ.ศ.2518 (ค.ศ.1975) โดยมีการปรับปรุง ปฏิญญาการใชน้ําฉบับ ค.ศ.1975 (the Joint Declaration of Principles for Utilization of the Waters of the Lower Mekong Basin endorsed by the United Nationals Economic Commission for Asia and the Far East) ซึ่งเปนที่ยอมรับจากรัฐบาล 4 ประเทศ และรวมลงนามในปฏิญญาการใชน้ําฉบับดังกลาว โดยมีสาระหลัก คือ โครงการพัฒนาตางๆ บนลําน้ําสายประธาน จะตองมีการวางแผนและดําเนินการที่จะนําไปสูระบบการพัฒนาทั้งลุม น้ํา และเพื่อใหไดรับประโยชนสูงสุดจากการใชน้ํา โดยมีการใชอยางสมเหตุสมผล และแบงปนการใชอยางเทาเทียม กัน และการดําเนินโครงการพัฒนาดังกลาวนั้นจะตองไดรับสิทธิจากสมาชิกแตละประเทศ และตองเปนโครงการที่ ตั้งอยูบนพื้นฐานของการพัฒนาที่มีความจําเปน โดยมีการเตรียมการและผานความเห็นชอบจากการพิจารณา รวมกันของคณะกรรมการฯ ซึ่งมีวัตถุประสงค เพื่อประเมินศักยภาพทรัพยากรน้ํา และทรัพยากรที่เกี่ยวของของลุม น้ํา และความตองการของแตละประเทศภาคีสมาชิก รวมทั้งเพื่อใหคําแนะนําในดานวิชาการ สังคม และเศรษฐกิจ ในการพัฒนาดังกลาวขางตน จากการปรับปรุงปฏิญญาการใชน้ํา ฉบับ ค.ศ. 1975 ทําใหคณะกรรมการแมน้ําโขงเปนองคกรการพัฒนา ลุมน้ําโขงอยางเต็มรูปแบบ (a full-fledged comprehensive river basin development agency) เพราะแนวทาง ปฏิญญาการใชน้ํา ฉบับดังกลาวเปนการพัฒนาโครงการบนลําน้ําสายประธาน โดยอนุญาตใหคณะกรรมการฯ สามารถแตงตั้ง “Project Agencies” เพื่อดําเนินการโครงการพัฒนาบนลําน้ําได ดังนั้น “คณะกรรมการแมน้ําโขง” จึงไดกําหนดเปาหมายใหมีการพัฒนาโครงการระยะสั้นบนลําน้ําสาขา (tributaries) และโครงการระยะยาวบนลําน้ํา สายประธาน ซึ่งโครงการพัฒนาบน ลําน้ําสาขาจะมีจํานวนหลากหลายโครงการ เพราะเปนโครงการที่มีขนาดเล็ก ถึงขนาดกลาง สามารถดําเนินการไดงาย ใชเงินลงทุนนอย และเปนการดําเนินการภายในประเทศ จึงเปนโครงการ ที่มีความสําคัญตอการพัฒนาของประเทศเปนอยางมาก ในระยะแรกของการดําเนินงานในชวงป ค.ศ. 1958 – 1975 นั้น สหรัฐอเมริกาเปนผูสนับสนุนรายใหญ ใน การใหงบประมาณสนับสนุนการดําเนินงานโครงการบนลําน้ําสาขาภายในประเทศภาคีสมาชิกและพรอมใหการ สนับสนุนโครงการพัฒนาในประเทศไทยอยางตอเนื่อง เพราะเปนประเทศประชาธิปไตยในภูมิภาค ซึ่งขณะนั้น ประเทศไทยมีการพัฒนาประเทศอยูในชวงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติ ฉบับที่ 1 – 3 (พ.ศ. 2504 – 2519) และมียุทธศาสตรมุงเนนการพัฒนาเฉพาะดานเศรษฐกิจเปนหลัก โดยเฉพาะอยางยิ่งการลงทุนในโครงการ พัฒนาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และ สังคม เชน ระบบคมนาคมและขนสง ระบบเขื่อนเพื่อการชลประทานและพลังงาน ไฟฟา ทั้งนี้ เพื่อเรงรัดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้นโครงการพัฒนาที่ไดรับการสนับสนุนจาก คณะกรรมการแมน้ําโขง ในชวงดังกลาวจึงสอดคลองกับยุทธศาสตรการพัฒนาของประเทศ ในขณะที่โครงการพัฒนาบนลําน้ําสายประธานจะเปนโครงการพัฒนาระยะยาวและเปนโครงการขนาดใหญ ซึ่งจําเปนตองทําการศึกษาผลกระทบกอนเริ่มโครงการ ใชเงินลงทุนจํานวนมาก และจะตองมีขอตกลงรวมกันของ ทั้ง 4 ประเทศภาคีสมาชิก ดังนั้นจะเห็นวา โครงการขนาดใหญ เชน โครงการผามอง จึงดําเนินการไดเพียงขั้นตอน การศึกษาผลกระทบของโครงการเทานั้น 309
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความร่วมมือระดับภูมิภาคในการจัดการน้ําในแม่น้ําโขง
ในปลายป พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) เกิดความขัดแยงทางลัทธิการเมือง ในคาบสมุทรอินโดจีน กัมพูชา ตองถอนตัวจากการเปนสมาชิก ยุติบทบาท Mekong Committee Advisory Board ทําใหความชวยเหลือตางๆ ลดลง ซึ่งมีผลกระทบตอโครงการพัฒนาเปนอยางมาก ตอมาในป พ.ศ. 2521 (ค.ศ.1978) รัฐบาลที่เหลือ 3 ประเทศ คือ ลาว ไทย เวียดนาม ประกาศจัดตั้ง คณะกรรมการแมน้ําโขงชั่วคราว (Interim Mekong Committee) ดําเนินการตอไป ทําใหสถานการณดีขึ้น และได จัดทําระเบียบปฏิบัติ และวิธีดําเนินการของคณะกรรมการฯ ชั่วคราว (Rules of Procedure) ใหเปนแนวทาง ปฏิบัติงานของคณะกรรมการฯ เชน ระบุอํานาจหนาที่ และรูปแบบองคกร จึงมีผลทําใหเกิดการระงับการปฏิบัติตาม พันธกรณีที่ไดระบุไวในปฏิญญาการใชน้ํา ฉบับ ค.ศ. 1975 และรอการกลับเขารวมเปนสมาชิกของกัมพูชา โครงการพัฒนาลุมน้ําโขงในประเทศไทยในชวงระยะเวลาดังกลาว สวนใหญ คือ การศึกษา สํารวจ และ โครงการที่ดําเนินการตอเนื่องจากชวง Mekong Committee เชน การกอสรางสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแหงแรก โครงการกอสรางหวยปะทาว เปนตน ป พ.ศ. 2533 (ค.ศ.1990) เมื่อสภาวะการเมืองของภูมิภาคคาบสมุทรอินโดจีนไดกลับเขาสูปกติ กัมพูชาขอ กลับเขารวมคณะกรรมการแมน้ําโขงตามเดิม โดยประเทศไทยเสนอใหมีการปรับปรุงปฏิญญาการใชน้ํา ฉบับ ค.ศ. 1975 เนื่องจากหลักการขอความเห็นชอบจากประเทศสมาชิกทั้งหมดกอนดําเนินโครงการพัฒนา เพราะหลักการใช น้ํานั้น ไมเหมาะกับสภาพปจจุบันของการใชน้ําในแมน้ําโขงที่มีแนวโนมใชมากขึ้น เพราะจํานวนประชากรเพิ่มขึ้น สถานการณ ก ารเมื อ งของประเทศต น น้ํ า เปลี่ ย นไปมาก โดยมี แ ผนพั ฒ นาแม น้ํ า สายหลั ก เพิ่ ม ขึ้ น เช น แม น้ํ า Lanchang – Mekong ของจีน ดังนั้น จึงไดมีการเจรจากับจีน และพมา (ในขณะนั้น) ใหเขารวมเปนสมาชิกในการ พัฒนาลุมแมน้ําโขงดวย เพื่อใหการใชน้ําในแมน้ําโขง มีการพิจารณาเปนระบบ และเสนอใหมีการปรับปรุงแกไขความ ตกลง เพื่อใหสอดคลองกับการดําเนินการพัฒนาตลอดทั้งลุมน้ํา ตอมา ในป พ.ศ. 2538 (ค.ศ.1995) รัฐบาลลาว กัมพูชา ไทย และเวียดนาม ไดเจรจารวมมือกันอีกครั้งเมื่อ ความขัดแยงลัทธิการเมืองสิ้นสุดลง โดยทําการปรับปรุงขอตกลงเดิมใหสอดคลองกับสถานการณในปจจุบัน และได ลงนามในความตกลงรวมมือวาดวยการพัฒนาลุมน้ําโขงอยางยั่งยืน พ.ศ. 2538 (Agreement on the Cooperation for the Sustainable Development of the Mekong River Basin) พรอมกับกอตั้งคณะกรรมาธิการแมน้ําโขง (Mekong River Commission, MRC) ขึน้ อีกครัง้ และยายสํานักงานเลขาธิการ ซึ่งตั้งอยูที่กรุงเทพฯ มาตั้งแตป พ.ศ. 2500 (ค.ศ.1957) ไปอยูที่กรุงพนมเปญ กัมพูชา และเมื่อครบ 5 ป ก็จะยายไปยังนครหลวงเวียงจันทน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวซึ่ง ณ ปจจุบันนี้ (พ.ศ. 2552) สํานักงานเลขาธิการตั้งอยู ณ นครหลวง เวียงจันทน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
310
ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาลุ่มแม่น้ําโขงอย่างยั่งยืน / ผกาวรรณ จุฟ้ามาณี
สาระสําคัญของความตกลงรวมมือฯ ประเทศภาคีสมาชิกทั้ง 4 ประเทศมีเจตนารมณที่จะรวมกันดําเนินการเพื่อใหบรรลุเปาหมาย สรางความ เปนอยูที่ดี ดานเศรษฐกิจ และสังคม ลดปญหาความยากจน เพิ่มมาตรฐานการครองชีพของประชากร สรางความ มั่นคงดานอาหารใหกับประชากรในภูมิภาคนี้ และสนับสนุนอาหารใหกับประชากรโลก รวมทั้งคุมครองระบบนิเวศ ใหสมดุล เพื่อใหมีทรัพยากรธรรมชาติเปนฐานการดํารงชีพที่ยั่งยืนของประชากรในภูมิภาค โดยมีสาระหลักของการ ดําเนินการ ดังนี้ 1) ประเทศสมาชิ ก จะร ว มกั น วางแผนพั ฒ นาลุ ม น้ํ า เพื่ อ ให ก ารพั ฒ นาประเทศภาคี ส มาชิ ก ได รั บ ผลประโยชนที่ยั่งยืนเต็มศักยภาพ ปองกันการใชน้ําในแมน้ําโขงอยางสูญเปลา 2) ประเทศภาคีสมาชิกจะใชน้ําอยางสมเหตุสมผล และเปนธรรม ตามปจจัยและสถานการณที่เกี่ยวของทั้ง ปวง 3) ประเทศสมาชิกจะรวมกันคุมครองสิ่งแวดลอมและความสมดุลของระบบนิเวศ หรือผลกระทบที่เปน อันตรายที่เกิดจากการพัฒนาลุมน้ํา 4) ประเทศสมาชิกจะรวมมือกันพัฒนาลุมน้ําบนพื้นฐานของความเสมอภาคแหงอํานาจอธิปไตย และบูรณ ภาพแหงดินแดนในการใช และคุมครองทรัพยากรน้ําในลุมน้ําแมโขง 5) ประเทศสมาชิ ก จั ด ให มี อ งค ก รร ว มที่ มี ป ระสิ ท ธิ ภ าพในการดํ า เนิ น การเพื่ อ ให บ รรลุ เ ป า หมายตาม เจตนารมณ ดังนั้น เพื่อใหสาระหลักของการดําเนินการแปลงไปสูการปฏิบัติอยางเปนรูปธรรม คณะกรรมาธิการแมน้ํา โขง จึงไดจัดทําแผนกลยุทธการดําเนินการ ประกอบดวย วิสัยทัศนลุมน้ํา วิสัยทัศนคณะกรรมาธิการแมน้ําโขง และ เปาหมายของความตกลงฯ ตามแผนกลยุทธ ดังนี้ วิสัยทัศนลุมน้ํา “เปนลุมน้ําที่มีระบบบริหารจัดการน้ําและทรัพยากรที่เกี่ยวของอยางมีประสิทธิภาพ เพื่อสนับสนุนการ พัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดลอมอยางยั่งยืน และสงเสริมความรวมมือระหวางประเทศภาคีสมาชิก” วิสัยทัศนคณะกรรมาธิการแมนํา้ โขง “เปนองคกรลุมน้ําระหวางประเทศในระดับโลก ซึ่งมีความมั่นคงทางการเงินจากการสนับสนุนของประเทศ ในลุมแมน้ําโขง เพื่อนําไปสูความสําเร็จตามวิสัยทัศนลุมน้ํา” พันธกิจ “สนับสนุน และประสานงานการบริหารจัดการที่ยั่งยืน การพัฒนาทรัพยากรน้ํา และทรัพยากรที่เกี่ยวของ เพื่อผลประโยชนรวมกันของประเทศในลุมแมน้ําโขง และความอยูดีกินดีของประชากร โดยการดําเนินการเชิงกล ยุทธในรูปแผนงาน และกิจกรรมตางๆ พรอมทั้งการจัดหาขอมูลดานวิทยาศาสตร และการแนะนําดานนโยบาย”
311
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความร่วมมือระดับภูมิภาคในการจัดการน้ําในแม่น้ําโขง
เปาหมายของแผนกลยุทธ คณะกรรมาธิการแมน้ําโขง ไดกําหนดเปาหมายของการดําเนินการตามความตกลงวาดวยความรวมมือ เพื่อการพัฒนาลุมแมน้ําโขงอยางยั่งยืน ในระยะแรก คือ ป พ.ศ. 2544–2548 ไว 4 ประการ คือ 1) 2) 3) 4)
มีกฎเกณฑการใชน้ํา และการผันน้ําขามลุมน้ํา เพื่อใหมีการใชน้ําอยางสมเหตุสมผล และเปนธรรม มีแผนพัฒนาลุมน้ํา ที่เกิดจากกระบวนการวางแผนและการมีสวนรวมของประเทศสมาชิก มีเครื่องมือในการจัดการและคุมครองสิ่งแวดลอม เศรษฐกิจและสังคมเพื่อรักษาสมดุลของระบบนิเวศ มีองคกรที่มีประสิทธิภาพ บุคลากรมีความเขมแข็งเพื่อรวมมือกันพัฒนาลุมน้ําใหเกิดผลประโยชน อยางยั่งยืน
ในการทบทวนแผนยุทธศาสตร พ.ศ. 2544 - 2548 ไดมีการประชุมและการปรึกษาหารือกับผูมีสวนไดสวนเสีย หลายครั้ง เพื่อทบทวนความกาวหนาในการดําเนินงาน ประเด็นหลักและความทาทายอยูที่วาไมใชทุกประเทศใน ภาคีสมาชิกที่มีขีดความสามารถในการดําเนินงานตามความตกลงฯป 2538 ได ทั้งในดานทุน การบูรณาการ การ เสริมสรางความสามารถ รวมทั้งการติดตามตรวจสอบและการประเมินผล คณะกรรมาธิการแมน้ําโขงเปนองคกรลุมน้ําระหวางประเทศที่ทําประโยชนใหกับประเทศภาคีสมาชิกซึ่งให ความสําคัญกับการมีสวนรวมของผูมีสวนไดสวนเสีย จึงไดมีกระบวนการปรึกษาหารืออยางกวางขวางในการทํา แผนยุทธศาสตร พ.ศ.2549-2553 โดยการนําของประเทศภาคีสมาชิก เนื้อหาและแนวคิดทุกดานที่ปรากฏในแผน ยุทธศาสตรนี้ไดผานการหารือรวมกันโดยผูมีสวนไดสวนเสียหลักๆ ของลุมแมน้ําโขง รวมทั้งหุนสวนการพัฒนาและ องคกรเอกชน การปรึกษาหารือกระทําตามวัตถุประสงคที่จะเพิ่มความเปนเจาของในคณะกรรมาธิการแมน้ําโขง และแผนยุทธศาสตรใหกับคณะกรรมการแมน้ําโขงแหงชาติและหนวยงานระดับปฏิบัติ แผนยุทธศาสตร พ.ศ. 2549 –2553 ประกอบดวยเปาหมายหลัก 4 ประการ ไดแก 1) เพื่ อ ส ง เสริ ม และสนั บ สนุ น การประสานการพั ฒ นาที่ ใ ห ค วามสํ าคั ญ กั บ การลดป ญ หาความยากจน เปาหมายนี้ใชทิศทางยุทธศาสตรการบริหารจัดการน้ําแบบบูรณาการของคณะกรรมาธิการแมน้ําโขงเปนแนวทาง การพัฒนาทรัพยากรน้ําและทรัพยากรที่เกี่ยวของของลุมแมน้ําโขงอยางยั่งยืน ใชแนวคิดและหลักการของการ บริหารจัดการทรัพยากรน้ําแบบบูรณาการในกระบวนการวางแผนซึ่งทําโดยการมีสวนรวม เพื่อใหเกิดโอกาสของ ทางเลือกในการพัฒนาซึ่งแตละประเทศเลือกจะเปนประโยชนในการบรรเทาความยากจนและเพิ่มความมั่นคงดาน อาหารดวยการสงเสริมการสรางรายไดอยางยั่งยืน 2) เพื่อเสริมสรางความรวมมือระดับภูมิภาคที่มีประสิทธิภาพ เปาหมายนี้คือการพัฒนากลไกการแกปญหา ความขัดแยง และการประนีประนอม เชน การบริหารจัดการรวมกัน การมีสวนรวมของผูมีสวนไดสวนเสีย และการ สรางองคกร ในดานการจัดการ คณะกรรมาธิการแมน้ําโขงจะชวยใหมคี วามเชื่อมโยงกับองคกรลุมน้ํายอยที่มีอยูแ ลว และที่จะเกิดขึน้ ใหม 3) เพื่อสรางความเขมแข็งใหกับการติดตามตรวจสอบและการประเมินผลกระทบสิ่งแวดลอมในลุมน้ํา โดยรวม สิ่งแวดลอม หมายถึง ลักษณะทางกายภาพ ชีวภาพ และสังคมของลุมแมน้ําโขง โดยพิจารณาสภาพทาง 312
ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาลุ่มแม่น้ําโขงอย่างยั่งยืน / ผกาวรรณ จุฟ้ามาณี
เศรษฐกิจและสังคมของประชาชนในลุมแมน้ําโขง และผลของการพึ่งพาอาศัยและผลกระทบตอทรัพยากรชีวภาพ เชน ปลา ปาไม และทรัพยากรกายภาพ ภายใตการทํางานสูเปาหมายนี้ คณะกรรมาธิการแมน้ําโขงจะพัฒนาดํารง ไว และใหเขาถึง ฐานความรูดานสิ่งแวดลอมและเศรษฐกิจสังคม ซึ่งเปนสวนหนึ่งของระบบฐานขอมูลความรูของ คณะกรรมาธิการแมน้ําโขง 4) เพื่ อ สร า งความเข ม แข็ ง ด า นการบริ ห ารจั ด การทรั พ ยากรน้ํ า แบบบู ร ณาการ และฐานความรู ข อง หนวยงานของคณะกรรมาธิการแมน้ําโขง คณะกรรมการแมน้ําโขงแหงชาติ หนวยงานระดับปฏิบัติ และผูมีสวนได สวนเสียอื่นๆ ฐานความรูภายใตเปาหมายนี้รวมถึงเครื่องมือเพื่อชวยในการตัดสินใจของคณะกรรมาธิการแมน้ําโขง โดยจะเพิ่ ม ขี ด ความสามารถผ า นทางแผนงานการฝ ก อบรมแบบบู ร ณาการ มี ค วามต อ งการในการเพิ่ ม ขี ด ความสามารถและการพัฒนาทรัพยากรมากพอควรภายใตเ ปาหมายนี้ ที่จะตองไดรับการกําหนดเวลาในการ ดําเนินการ และคาใชจายจะตองบูรณาการไวในแผนงานเปนอยางดี แผนยุทธศาสตรฉบับปจจุบัน ของคณะกรรมาธิการแมน้ําโขงไดเชื่อมโยงความรวมมือทางเศรษฐกิจระดับ ภูมิภาค ซึ่งรวมถึงอาเซียน(ASEAN) แผนงานความรวมมือดานเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคแมน้ําโขง(GMS)ของ ธนาคารเพื่ อ การพั ฒ นาแห ง เอเชี ย และแผนงานความช ว ยเหลื อ แก ท รั พ ยากรน้ํ า ในแม น้ํ า โขง(MWRAP)ของ ธนาคารโลก/ธนาคารเพื่อการพัฒนาแหงเอเชีย ที่กําลังเกิดขึ้นใหม มีความพยายามลดความซ้ําซอนใหเหลือนอย ที่สุดโดยการประเมินขอไดเปรียบของหุนสวนการพัฒนารวมกัน ความเชื่อมโยงจะมีขึ้นบนหลักการของการประสาน ความรวมมือ ในขณะที่คณะกรรมาธิการแมน้ําโขงยังคงสถานะความเปนอิสระในฐานะองคกรลุมน้ําระหวางประเทศ ที่เปนกลาง หุนสวนเชิงยุทธศาสตรสามารถชวยทําใหบทบาทและความริเริ่มที่จะสงเสริมกันและชัดเจนขึ้น ซึ่งจะ เปนผลใหกระบวนการพัฒนามีความสอดคลองสงเสริมกัน สนับสนุนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และลดปญหา ความยากจนในภูมิภาค
ประโยชนที่ไดจากความรวมมือ 1) ประเทศไทยมีโอกาสใชน้ําจากแมน้ําโขงสายประธานไดมากขึ้น เนื่องจากมีความชัดเจนในหลักการการ ใชน้ํา โดยไมกอใหเกิดผลกระทบตอประเทศเพื่อนบาน และลดความขัดแยงของประเทศสมาชิกในการ ใชแมน้ําโขงรวมกัน 2) มีการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอยางฉันทมิตรในเวลาอันควรและฉันทเพื่อนบานที่ดีตอกัน 3) สงเสริมการเจริญเติบโตแบบพึ่งพาอาศัยกันของประเทศสมาชิกในภูมิภาค 4) ลดความยากจน และยกมาตรฐานการครองชีพของประชาชนไดในระดับประเทศและระดับภูมิภาค 5) รวมมือกันคุมครองและรักษาฐานทรัพยากร รวมทั้งระบบนิเวศใหสามารถใชประโยชนไดอยางยั่งยืน 6) มี ก ารแลกเปลี่ ย นข อ มู ล ข า วสารในการติ ด ตามและประเมิ น สถานการณ ท รั พ ยากรธรรมชาติ แ ละ สิ่งแวดลอมในภูมิภาคนี้
บทบาทของคณะกรรมาธิการแมน้ําโขง บทบาทของคณะกรรมาธิการแมน้ําโขงเพื่อประโยชนรวมกันของประเทศภาคีสมาชิก คือการสงเสริมการ พัฒนาอยางยั่งยืนในลุมแมน้ําโขง การเพิ่มคุณคาของคณะกรรมาธิการแมน้ําโขงในฐานะที่เปนองคกรลุมน้ําระหวาง ประเทศ คือ การมุงเนนที่ประเด็นรวมและประเด็นที่เกี่ยวกับลุมน้ําโดยรวม รวมถึงภาพรวมในการพัฒนา การ 313
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความร่วมมือระดับภูมิภาคในการจัดการน้ําในแม่น้ําโขง
กําหนดโครงการและแผนงานรวมและที่เกี่ยวกับลุมน้ําโดยรวมที่สําคัญ และการวิเคราะห (นัยทางดานเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดลอม) ของการพัฒนาที่กําลังดําเนินอยูและที่เสนอใหมในลุมน้ํา และผลกระทบสะสมของการ พัฒนาระดับประเทศ ตามบทบาทนี้ คณะกรรมาธิการแมน้ําโขงจะคนหาหนทางในการแกไขในระยะยาว เพื่อแกไข ปญหาในภูมิภาคที่มีรวมกัน ภารกิจของคณะกรรมาธิการแมน้ําโขงจะสําเร็จไดก็ดวยแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําแบบบูรณา การ ภายใตกรอบความตกลงฯ ป พ.ศ. 2538 ซึ่งรวมสมรรถนะในการเพิ่มคุณคาของคณะกรรมาธิการแมน้ําโขง อัน ไดแก การบริหารจัดการองคความรู การพัฒนาขีดความสามารถ กรอบความรวมมือของภูมิภาค และการติดตาม ตรวจสอบและคุมครองสิ่งแวดลอม สมรรถนะที่ไดรับการพัฒนามากวา 10 ป เหลานี้ จะชวยสงเสริมการพัฒนา อยางยั่งยืนในลุมแมน้ําโขง
อํานาจหนาที่ของคณะกรรมาธิการแมน้ําโขง คณะกรรมาธิการแมน้ําโขงกอตั้งขึ้นเปนกรอบองคกรความรวมมือในภูมิภาคเพื่อการพัฒนาลุมน้ําอยาง ยั่งยืน เปนสนธิสัญญาระหวางประเทศซึ่งประเทศภาคีสมาชิกดําเนินการดานความรวมมือตามที่กําหนด โดยให ความสําคัญของความรวมมือระดับภูมิภาคเพื่อความสําเร็จในการดําเนินงานตามความตกลงฯ ป พ.ศ. 2538 กระบวนการนี้ สนั บสนุ น โดยแผนงานความร วมมื อ ระดับ ภูมิ ภาคเพื่ อ การพั ฒ นาทรัพ ยากรน้ํ าและทรัพ ยากรที่ เกี่ยวของในลุมแมน้ําโขงอยางยั่งยืนซึ่งถูกเรียกวา แผนงานแมน้ําโขง ที่ดําเนินการภายใตการชี้นําของโครงสราง การบริหารความรวมมือระดับภูมิภาค สามมาตราแรกของความตกลงดังกลาวไดกําหนดขอบเขตอํานาจหนาที่ที่สําคัญของคณะกรรมาธิการ แมน้ําโขงไวดังตอไปนี้ มาตรา 1 ขอบเขตความร ว มมื อ “จะดํ า เนิ น ความร ว มมื อ ในทุ ก ด า นของการพั ฒ นาที่ ยั่ ง ยื น การใช ประโยชน การบริหารจัดการและการอนุรักษทรัพยากรน้ําและทรัพยากรที่เกี่ยวของของลุมแมน้ําโขง ซึ่งรวมถึงแต ไมจํากัดเฉพาะการชลประทาน ไฟฟาพลังน้ํา การเดินเรือ การปองกันน้ําทวม การประมง การลองซุง สันทนาการ และการทองเที่ยว ในลักษณะที่จะทําใหการใชน้ําในประเภทตางๆ และผลประโยชนรวมกันของประเทศภาคีทั้งปวง บรรลุผลสูงสุด และใหผลกระทบที่เปนอันตรายอันอาจ เนื่องมาจากปรากฏการณตามธรรมชาติ และจากการกระทํา ของมนุษยเกิดนอยที่สุด” มาตรา 2 โครงการ แผนงาน และการวางแผน “สงเสริม สนับสนุน รวมมือ และประสานงาน ในการพัฒนา ใหประเทศภาคีสมาชิกไดรับประโยชนที่ยั่งยืนเต็มศักยภาพ และปองกันการใชน้ําในลุมแมน้ําโขงอยางสูญเปลา โดย เน น และให ค วามสํ า คั ญ แก โ ครงการร ว ม และ/หรื อ โครงการพั ฒ นาลุ ม น้ํ า และแผนงานลุ ม น้ํ า โดยการจั ด ทํ า แผนพัฒนาลุมน้ําที่ใช ในการกําหนด จัดหมวดหมู และจัดลําดับความสําคัญของโครงการและแผนงาน เพื่อ แสวงหาความชวยเหลือและดําเนินการในระดับลุมน้ํา”
314
ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาลุ่มแม่น้ําโขงอย่างยั่งยืน / ผกาวรรณ จุฟ้ามาณี
มาตรา 3 การคุมครองสิ่งแวดลอมและความสมดุลทางนิเวศ “จะดําเนินการคุมครองสิ่งแวดลอม ทรัพยากร ธรรมชาติ ชีวิตและสภาวะของพืชและสัตวน้ํา และความสมดุลทางนิเวศของลุมแมน้ําโขง จากมลพิษหรือผลกระทบ ที่เปนอันตรายอื่นๆที่เกิดจากแผนพัฒนาใดๆ และการใชน้ําและทรัพยากรที่เกี่ยวของภายในลุมน้ํา”
กลไกความรวมมือของคณะกรรมาธิการแมน้ําโขง ประเทศภาคีสมาชิกไดรวมกันกอตั้งองคกรเพื่อเปนกลไกการดําเนินงาน 3 สวน คือ 1) คณะมนตรี มี ห น า ที่ ใ นการตั ด สิ น ใจและกํ า หนดนโยบาย แนวทางปฏิ บั ติ ที่ เ กี่ ย วกั บ การส ง เสริ ม สนับสนุน ความรวมมือ และการประสานงานในกิ จกรรม หรือโครงการรวม ในลักษณะที่ สรางสรรค และเป น ประโยชนตอประเทศภาคีสมาชิก ซึ่งมีสมาชิกในระดับรัฐมนตรี ประเทศละ 1 คน 2) คณะกรรมการร ว มมี ห น าที่ ใ นการจั ด ทํ า แผนพั ฒ นาลุ ม น้ํ าดํ า เนิ น การตามนโยบายของคณะมนตรี ปรึกษาหารือแลกเปลี่ยนความเห็นกับกลุมประเทศหุนสวนการพัฒนา (Development Partners) รวม ทั้งสนับสนุน ปรับปรุงเพื่อเพิ่มสมรรถนะในการดําเนินงานของบุคลากรของประเทศสมาชิกที่เกี่ยวของในกิจกรรมการพัฒนาลุม น้ําโขง และมีผูแทนถาวรในระดับที่ไมต่ํากวา อธิบดี ประเทศละ 1 คน 3) สํานักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแมน้ําโขง มีหนาที่ ใหบริการวิชาการ บริหารการเงิน จัดทํา แผนงานประจําป และจัดทํารายงานประจําป รวมทั้งการดําเนินงานตามมติและภารกิจไดรับมอบหมายจากคณะ มนตรีแ ละคณะกรรมการร ว ม ทั้ ง นี้ สํ านัก งานเลขาธิ ก ารฯ อยูภายใต ก ารกํ ากั บดู แ ลและความรั บผิ ด ชอบของ คณะกรรมการรวม และมีหัวหนาเจาหนาที่บริหาร (Chief Executive Officer, CEO) เปนผูบริหารสํานักงานฯ
กลไกการทํางานของคณะกรรมการแมน้ําโขงแหงชาติไทย ในปจจุบัน กลไกการทํางานของคณะกรรมการแมน้ําโขงแหงชาติไทยมีความเชื่อมโยงกับคณะกรรมการลุม น้ําแหงชาติอยางชัดเจน กลาวคือ คณะกรรมการลุมน้ําซึ่งอยูภายใตคณะกรรมการลุมน้ําแหงชาติ มีคณะทํางาน ประกอบดวย คณะทํางานดานการวางแผน คณะทํางานดานขอมูลสารสนเทศ และคณะทํางานดานการมีสวนรวม ทําหนาที่สนับสนุนการวางแผนและการจัดการลุมน้ําภายในประเทศ ดังนั้นเพื่อสนับสนุนการทํางานระหวางประเทศ ภายใตกรอบความรวมมือฯ อาศัยอํานาจของประธานคณะกรรมการลุมน้ําจึงมีการจัดตั้งคณะทํางานขึ้นอีก 1 คณะ คือ คณะทํางานเพื่อการวางแผนพัฒนาลุมแมน้ําโขง ซึ่งเปนคณะเดียวกันกับคณะทํางานในระดับพื้นที่ยอยของ ประเทศไทย อยูภายใตคณะทํางานระดับชาติของคณะกรรมการแมน้ําโขงแหงชาติไทย ทําใหการดําเนินกิ จ กรรม/ แผนงานใดๆ ภายในประเทศและระหว า งประเทศจะเกิ ด ความเชื่ อ มโยงและสนั บ สนุ น ซึ่ ง กั น และกั น โดยเฉพาะอยางยิ่งการเสริมสรางศักยภาพของคณะกรรมการลุมน้ําในการบริหารจัดการลุมน้ํา เปดโอกาสใหผูแทน ของคณะทํางานในระดับพื้นทีย่ อยเขารวมแลกเปลี่ยนประสบการณ ไดรบั การฝกอบรมดานเทคนิคในระดับภูมิภาค ร ว มกั บ ประเทศภาคี ส มาชิ ก อี ก 3 ประเทศ นอกจากนี้ อ ธิ บ ดี ก รมทรั พ ยากรน้ํา ในฐานะผู แ ทนสํา รอง คณะกรรมการรวม คณะกรรมาธิการแมน้ําโขง ทําหนาที่เลขาธิการของทั้งคณะกรรมการทรัพยากรน้าํ แหงชาติ และ คณะกรรมการแมน้ําโขงแหงชาติไทย ทําใหภาพรวมในระดับนโยบายของการบริหารจัดการน้ําภายในประเทศและ ระหวางประเทศมีความสอดคลองกันกลไกการวางแผนพัฒนาลุมน้ําแสดงในรูปที่1
315
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความร่วมมือระดับภูมิภาคในการจัดการน้ําในแม่น้ําโขง
คณะรัฐมนตรี
คณะกรรมการทรัพยากรนํ ้าแหงชาติ คณะกรรมการลุม นํ ้า
คณะทํางาน ด านการ วางแผน
คณะทํางาน ด านข อมูล สารสนเทศ
คณะทํางาน ด านการ มีสวนร วม
คณะกรรมการแมนํ ้าโขงแหงชาติไทย อธิบดีกรมทรัพยากรนํ ้า (เลขาธิการ)
คณะทํางานระดับชาติ
คณะทํางาน พืน้ ที่ยอย 2T
คณะทํางาน เพื่อการวางแผน พัฒนาลุมแม นํา้ โขง
คณะทํางาน พืน้ ที่ยอย 3T
คณะทํางาน พืน้ ที่ยอย 5T
1
รูปที่ 1 กลไกการวางแผนพัฒนาลุมน้ําในประเทศไทย
การดําเนินงานของคณะกรรมาธิการแมน้ําโขง โครงสรางแผนงานแบบบูรณาการของคณะกรรมาธิการแมน้ําโขงในปจจุบัน ประกอบดวย แผนงานการ จัดการและบรรเทาอุทกภัย แผนงานการจัดการภัยแลง แผนงานเกษตร ชลประทาน และปาไม แผนงานการเดินเรือ แผนงานไฟฟาพลังน้ํา แผนงานประมง และแผนงานการทองเที่ยว ชุดแผนงานนี้จะเชื่อมโยงกับแผนงานสี่ดาน คือ แผนงานสิ่งแวดลอม แผนงานการจัดการขอมูลและองคความรู แผนงานบูรณาการการเสริมสรางศักยภาพ และ แผนงานการใชน้ํ า (รู ปที่ 2) ภายใตโ ครงสร างเช นนี้ งานด านการวางแผนลุม น้ําของแผนพั ฒนาลุม น้ําจะเป น แกนกลางที่มีการบูรณาการและประสานงานสูงสุด งานดานการวางแผนนี้จะใชองคความรูจากแผนงานตางๆ ของ คณะกรรมาธิการแมน้ําโขงเพื่อใหเห็นภาพวามีความตองการการพัฒนา หรือความแตกตางดานความรูอะไรบาง ซึ่ง จะนํามาเปนตัวกําหนดแผนงานตอไป แผนพัฒนาลุมน้ําจะเปนเครื่องรับประกันวาแผนงานโครงการตางๆ จะดําเนิน ไปอยางสอดคลองกับทิศทางของการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําแบบบูรณาการ
316
ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาลุ่มแม่น้ําโขงอย่างยั่งยืน / ผกาวรรณ จุฟ้ามาณี
รูปที่ 2 แผนงาน/โครงการ ภายใตกรอบความรวมมือเพื่อการพัฒนาลุมน้ําโขงอยางยั่งยืน การบริหารจัดการองคกรที่ผา นมา นับตั้งแตป 2500 จนถึงปจจุบันนั้น การกําหนดนโยบาย การจัดทํา แผนการจัดหาแหลงเงินทุน การศึกษาดานวิชาการตางๆ จะอยูภายใตการกํากับ และการจัดการของเจาหนาที่ ผูเชี่ยวชาญ และที่ปรึกษาสากล เนื่องจากความออนแอ และความไมพรอมทางดานวิชาการของเจาหนาที่ประเทศ ภาคีสมาชิกและการขาดความไววางใจซึ่งกันและกัน ทําใหจําเปนตองมีบุคคลที่เปนกลางเขามาทําหนาที่บริหารงาน ซึ่งโดยความเปนจริงแลว ไมเคยมีเจาหนาที่สากลผูใดที่มีความเปนกลางเลย และยังเขาแทรกแซงการบริหารงาน ทําใหประเทศสมาชิกขาดความไววางใจซึ่งกันและกัน ดังนั้น ประเทศภาคีสมาชิกจึงเห็นพองตองกันวา ถึงเวลาแลว ที่ควรลดบทบาทของเจาหนาที่สากลในการบริหารจัดการองคกร เพิ่มบทบาทเจาหนาที่จากประเทศภาคีสมาชิก ให เขามามีบทบาทในการบริหารจัดการองคกรแทน ซึ่งตองใชเวลาในการสรางศักยภาพของเจาหนาที่จากประเทศ สมาชิก นอกจากนี้ประเทศสมาชิกตองคํานึงถึงผลประโยชนรวมกันของการพัฒนาลุมน้ํามากกวาผลประโยชน เฉพาะตน จึงจะทําใหองคกรบรรลุความสําเร็จวิสัยทัศนคณะกรรมาธิการแมน้ําโขงได อยางไรก็ตาม การดําเนินงานของคณะกรรมาธิการแมน้ําโขงที่ผานมา ยังคงเนนหนักดานวิชาการและ งานวิจัย ยังไมสามารถแกไขปญหาไดในระดับประชาชน ไมวาจะเปนอุทกภัย ภัยแลง หรือ ปญหาสิ่งแวดลอมที่เกิด จากธรรมชาติของระบบแมน้ําโขง เชน การกัดเซาะตลิ่ง เปนตน ดังนั้น การแกไขปญหาความยากจนของภูมิภาค ลุมน้ําโขงจึงปรากฏเปนรูปธรรมนอยมาก หรือ เกือบจะไมมี ดังนั้น ประเทศสมาชิกควรปรับวิธีการดําเนินการ โดย ใหภาคประชาสังคมไดเขามามีสวนรวมกําหนดนโยบายและแผนในสัดสวนที่มากกวานักวิชาการจึงจะสามารถแกไข ปญหาความยากจน และการสรางความมั่นคงทางดานอาหารใหเปนจริงได
317
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความร่วมมือระดับภูมิภาคในการจัดการน้ําในแม่น้ําโขง
เพื่ อ ให ค วามตกลงว า ด ว ยความร ว มมื อ ฯ พ.ศ. 2538 มี ก ารปฏิ บั ติ อ ย า งเป น รู ป ธรรม ชั ด เจน คณะกรรมาธิการแมน้ําโขง จึงไดมีการแปลงแผนกลยุทธไปสูการปฏิบัติเปนรายแผนงานและกิจกรรมตางๆ เพื่อให เปนไปตามเจตนารมณ และเปาหมายที่กําหนดไว กลาวคือ 1. ใหมีการใชน้ําอยางสมเหตุสมผลและเปนธรรม จึงตองมีกฎเกณฑการใชน้ําและการผันน้ําขามลุม น้ํา โดยคณะกรรมาธิการแมน้ําโขงไดจัดทําระเบียบปฏิบัติเพื่อเปนแนวทางในการใชน้ํารวมทั้งสิ้น 5 ฉบับ คือ (1) ระเบียบปฏิบัติ เรื่องการแลกเปลี่ยนและการใชรวมกันซึ่งขอมูลและขอสนเทศ มีหลักการที่ ควรกลาวไวดังตอไปนี้ • อยู ภ ายใต ก ฎหมายและข อ บั ง คั บ ในประเทศต า งๆ โดยเฉพาะอย า งยิ่ ง ที่ เ กี่ ย วกั บ การป อ งกั น ประเทศหรือความมั่นคง และความลับทางการคา (Commercial–in–confidence) และการคุมครองลิขสิทธิ์ การ แลกเปลี่ยน อยางเปนประจําซึ่งขอมูลและขอสนเทศ ซึ่งจําเปนตอการปฏิบัติตามความตกลงแมน้ําโขง • การแลกเปลี่ยนและใชรวมกันซึ่งขอมูลและขอสารสนเทศรวมถึงการจัดลําดับความสําคัญของ ความตองการขอสนเทศ ควรอยูบนพื้นฐานในลักษณะที่มีประสิทธิภาพ สมเหตุสมผล ตางตอบแทน และคุมคา • ขอมูลและขอสนเทศที่บรรจุในระบบขอสนเทศของ MRC ซึ่งเก็บรักษาโดยสํานักงานเลขาธิการ คณะกรรมาธิการแมน้ําโขง ควรมีลักษณะที่เกี่ยวพันกัน ในเวลาที่เหมาะสมและแนนอนและมีรูปแบบที่ไดรับการ ยอมรับของคณะกรรมาธิการแมน้ําโขงและประเทศสมาชิก โดยผานเครือขายและระบบการสื่อสารที่เหมาะสม • ขอมูลและขอสนเทศเพิ่มเติมหรือที่ไมมีอยูซึ่งจําเปนในบางโอกาสในการอํานวยความสะดวกแก กิจกรรมแผนงาน และโครงการ จะไดรับการตกลงโดยคณะกรรมการรวมรวมถึงระเบียบปฏิบัติและการดําเนินการ เพื่อรวมรับภาระคาใชจายสําหรับการรวบรวมขอมูลขั้นตน และจําเปนในอัตราคาใชจายที่ต่ําสุดที่เปนไปไดใน ลักษณะที่สมเหตุสมผลและในเวลาที่เหมาะสม (2) ระเบียบปฏิบัติ เรื่องการแจง การปรึกษาหารือลวงหนา และขอตกลง มีหลักการที่มีลักษณะ เปนแนวทาง ไดแก หลักความเทาเทียมของอธิปไตยและบูรณภาพแหงดินแดน หลักการใชที่สมเหตุสมผลและเปน ธรรม หลักการเคารพสิทธิและผลประโยชนที่ชอบธรรม หลักสุจริตใจ และหลักความโปรงใส (3) ระเบียบปฏิบัติ เรื่องการติดตามตรวจสอบการใชน้ํา ไดกลาวถึงบทบาท/หนาที่/ความ รับผิดชอบขององคกรที่เกี่ยวของ ไดแก คณะกรรมการรวม สํานักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแมน้ําโขง และ คณะกรรมการแมน้ําโขงแหงชาติ โดยมีหลักการซึ่งประกอบดวย ความมีประสิทธิภาพ การประสานงาน ความ โปรงใส ความคุมคา หลักพลวัตร การปรับตัว และหลักผลประโยชนรวมกัน (4) ระเบี ย บปฏิ บั ติ เรื่ อ งการรั ก ษาปริ ม าณการไหลของน้ํ า ในแม น้ํ า โขงสายประธาน มี สาระสําคัญวาประเทศภาคีสมาชิกจะรวมมือกัน ในการรักษาปริมาณการไหลในแมน้ําโขงสายประธานไมใหต่ํากวา ปริมาณการไหลต่ําสุดของน้ําตามธรรมชาติรายเดือนที่เปนที่ยอมรับไดในแตละเดือนในชวงฤดูแลง และไมใหอัตรา เฉลี่ยการไหลของน้ําสูงสุดรายวันเกินอัตราเฉลี่ยการไหลของน้ําตามธรรมชาติในชวงฤดูน้ําหลาก โดยปริมาณการ ไหลที่ตองรักษาไว ณ จุดตาง ๆ ดังกลาวขางตนจะกําหนดไวในแนวทางดานเทคนิคซึ่งจะจัดทําและรับรองโดย คณะกรรมการรวมในอนาคตดวย 318
ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาลุ่มแม่น้ําโขงอย่างยั่งยืน / ผกาวรรณ จุฟ้ามาณี
(5) ระเบียบปฏิบัติ เรื่อง การจัดการคุณภาพน้ําในแมน้ําโขงสายประธาน จะใชกับกิจกรรมใน ลุมน้ําที่อาจมีผลกระทบที่มีนัยสําคัญตอคุณภาพน้ําของแมน้ําโขงสายประธาน สวนเรื่องลําน้ําสาขาขามพรมแดน ประเทศที่เกี่ยวของตองยึดถือตามความตกลงแมน้ําโขง และบทบัญญัติที่เกี่ยวของในระเบียบปฏิบัติและแนวทาง ของระเบียบปฏิบัตินั้น ในการพยายามทุกวิถีทางเพื่อจะรักษาคุณภาพน้ําที่ดี/ยอมรับได เมื่อจัดทําระเบียบปฏิบัติ แลวจําเปนตองมีคูมือเพื่อนําไปสูการปฏิบัติและตองมีการเก็บรวมรวมและ วิเคราะหขอมูลน้ํา เพื่อติดตามสถานการณและภาวการณของน้ําในระบบแมน้ําโขง รวมทั้งตองจัดทําเครื่องมือทาง วิชาการ และองคความรูเพื่อนําไปใชในกระบวนการวางแผนพัฒนาลุมน้ํา 2. เพื่ อ ให ป ระเทศสมาชิ ก มี ส ว นร ว มในการวางแผนพั ฒ นาลุ ม น้ํ า ระดั บ ภู มิ ภ าคร ว มกั น คณะกรรมาธิการแมน้ําโขง จึงไดกําหนดกระบวนการการวางแผนลุมน้ําระดับภูมิภาค โดยสรางกลไกขึ้นในแตละ ประเทศ เพื่อผลักดันใหกระบวนการวางแผนลุมน้ํามีประโยชนสูงสุด เกิดการพัฒนาอยางยั่งยืน ลดความขัดแยง จากการพัฒนา เพราะประเทศสมาชิกมีการกําหนดแผนพัฒนารวมกัน สําหรับประเทศไทยนั้น มีคณะกรรมการลุม น้ําเปนกลไกในกระบวนการวางแผนพัฒนาลุมน้ําในระดับประเทศ และมีคณะกรรมการแมน้ําโขงแหงชาติไทย เปน กลไกหลักที่สําคัญในการวางแผนระดับภูมิภาค โดยมีกรมทรัพยากรน้ําเปนหนวยงานประสานการจัดทําแผนพัฒนา ลุมน้ํารวมกับประเทศสมาชิกอีก 3 ประเทศ และมีสํานักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแมน้ําโขงเปนผูประสานงาน กลางในการจัดทําเครื่องมือเพื่อการวางแผน ไดแก การประเมินผลกระทบเชิงยุทธศาสตร การประเมินผลกระทบ สิ่งแวดลอมขามพรมแดน การประเมินผลกระทบดานสังคม และเศรษฐกิจ การจัดทําและวิเคราะหแนวทางเลือกการ พัฒนาในอนาคต การประเมินและจัดการบรรเทาอุทกภัย ขอมูลการปรับปรุงประสิทธิภาพการใชน้ํา การเกษตร และการชลประทาน แนวทางการวางแผนการใชแมน้ําโขงใหเกิดประโยชนสูงสุด เชน การจัดการประมง และการ เดินเรือเพื่อการพาณิชย เนื่องจากการวางแผนการพัฒนาลุมน้ําระดับภูมิภาค มีเจตนารมณที่จะใหประเทศภาคี สมาชิกใชประโยชนจากแมน้ําโขงสูงสุด เพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชน แกไขปญหาความยากจน และ สรางความมั่นคงดานอาหาร เพื่อใหมีอาหารอยางเพียงพอสําหรับประชากรในภูมิภาค พื้นที่ลุมน้ําโขงตอนลางไดมีการแบงพื้นที่สําหรับการจัดทําแผนออกเปนไว 10 พื้นที่ยอย (Sub-area) บน พื้นฐานของลักษณะทางอุทกวิทยาลุมน้ําและขอบเขตการปกครอง ทั้งนี้พื้นที่ยอยในสวนของประเทศไทยประกอบ ดวยพื้นที่ยอย 2T (คือ ลุมน้ํากกและลุมน้ําโขงภาคเหนือ) พื้นที่ยอย 3T (ลุมน้ําโขงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) พื้นที่ ยอย 5T (ลุมน้ําชีและลุมน้ํามูล) และพื้นทีย่ อย 9T (ลุมน้ําโตนเลสาบ) โดยตัวเลขตัวแรกคือลําดับที่พื้นที่ลุมน้าํ ตัวอักษรตัวหลังคือคือตัวยอของชื่อประเทศสมาชิก รูปที่ 3 แสดงการแบงพื้นที่ยอยในลุม น้ําโขงตอนลาง
319
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความร่วมมือระดับภูมิภาคในการจัดการน้ําในแม่น้ําโขง
รูปที่ 3 การแบงพื้นที่ยอยในลุม น้ําโขงตอนลาง
320
ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาลุ่มแม่น้ําโขงอย่างยั่งยืน / ผกาวรรณ จุฟ้ามาณี
กระบวนการวางแผนพัฒนาลุมน้ําไดถูกนํามาใช โดยยึดแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําแบบบูรณา การเปนหลักซึ่งสมารถปรับเปลี่ยนไดตลอดชวงเวลา การจัดทําแผนดังกลาวไดรับการสนับสนุนจากสํานักงาน คณะกรรมการแม น้ํ า โขงแห ง ชาติ หน ว ยงานที่ เ กี่ ย วข อ งระดั บ ชาติ หน ว ยงานท อ งถิ่ น และแผนงานภายใต คณะกรรมาธิการแมน้ําโขงอื่นๆ กระบวนการวางแผนพัฒนาประกอบดวยขั้นตอนดังตอไปนี้ (รูปที่ 4) (1) การศึกษาวิเคราะหขอมูลในระดับลุมน้ํา (2) การกําหนดสภาพจําลองของลุมน้ํา (scenario) (3) การกําหนดยุทธศาสตรของลุมน้ํา (4) การจัดทํารายชื่อโครงการทีม่ ีศักยภาพตอการพัฒนา (5) การคัดเลือกโครงการเพื่อนําไปสูการดําเนินการ (6) การดําเนินการโครงการ และการปรับปรุงแผนตามหลักการบริหารจัดการน้ําแบบบูรณาการ (7) การติดตามและประเมินผล
รูปที่ 4 กระบวนการวางแผนพัฒนาลุมน้ํา (1) การคุ ม ครองสิ่ ง แวดล อ ม เศรษฐกิ จ และสั ง คม พร อ มกั บ รั ก ษาสมดุ ล ของระบบนิ เ วศ คณะกรรมาธิการแมน้ําโขงใหมีการจัดทําเครื่องมือประกอบการตัดสินใจในการพัฒนาของประเทศภาคีสมาชิก เพื่อใหการพัฒนาไมกอใหเกิดผลกระทบสิ่งแวดลอม หรือมลพิษในลุมน้ํา รวมทั้งลดผลกระทบที่อาจเกิดจากการ พัฒนา โดยการจัดทําแผนการบริหารจัดการคุณภาพน้ํา ติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ํา ประเมินความเสี่ยงตอระบบ นิ เ วศและวิ ถี ชี วิ ต ชุ ม ชน จั ด ทํ า แผนอนุ รั ก ษ พื้ น ที่ ชุ ม น้ํ า ของลุ ม น้ํ า โขง จั ด ทํ า เครื่ อ งมื อ การเรี ย นการสอนด า น สิ่งแวดลอม รวมทั้งศึกษาและการบริหารจัดการการไหลของน้ําที่มีผลตอสิ่งแวดลอม รวมทั้งระบบการแลกเปลี่ยน ขอมูลขาวสารดานสิ่งแวดลอม เพื่อลดผลกระทบสิ่งแวดลอมอันเกิดจากภัยธรรมชาติ เชน อุทกภัย และภัยแลง เปน ตน 321
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความร่วมมือระดับภูมิภาคในการจัดการน้ําในแม่น้ําโขง
(2) เพื่อใหองคกรมีความเขมแข็ง บรรลุวิสัยทัศนคณะกรรมาธิการแมน้ําโขง จึงมีนโยบายการ เสริมสรางศักยภาพบุคลาการใหเขมแข็งเพื่อใหสามารถบริหารจัดการกิจกรรมตางๆ ของคณะกรรมาธิการแมน้ําโขง อยางมีประสิทธิภาพ ดวยการจัดทําแผนการปฏิบัติงาน และเปดโอกาสใหเจาหนาที่รุนเยาวจากประเทศภาคีสมาชิก เขารวมปฏิบัติงานที่สํานักงานเลขาธิการฯ จัดทําแผนบทบาทหญิง-ชายในการเขาสูการบริหารหลัก การฝกอบรม และดูงาน การแลกเปลี่ยนความรูระหวางลุมน้ําโขง และลุมน้ํานานาชาติอื่นๆ การสรางผูเชี่ยวชาญเฉพาะดานใน สาขาตางๆ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงการบริหารงานจากเจาหนาที่สากล เปนเจาหนาที่จากประเทศภาคีสมาชิก
การเจรจากับประเทศลุมน้ําตอนบนและหุนสวนการพัฒนา นับแตประเทศสมาชิกในลุมน้ําโขงตอนลาง ไดมีการเจรจา/ปรึกษาหารือ เพื่อปรับปรุงความสัมพันธ และ ความรวมมือในการพัฒนาลุมน้ําโขงอยางยั่งยืน ตั้งแตป พ.ศ. 2535 จนถึงการลงนามในความตกลงฯ พ.ศ. 2538 นั้น ประเทศสมาชิกลุมน้ําโขงตอนลางไดเชิญประเทศลุมน้ําโขงตอนบน ไดแก สาธารณรัฐประชาชนจีน (จีน) และสหภาพเมียนมาร (เมียนมาร) เขารวมเจรจา/ปรึกษาหารือ เพื่อเชิญเขารวมเปนสมาชิกคณะกรรมาธิการแมน้ํา โขงมาโดยตลอด แตไดรับการปฏิเสธมาโดยตลอดเชนกัน ซึ่งอาจเปนเพราะวา 1) จีนถือวาแมน้ําลานซาง-แมโขง เปนแมน้ําภายในประเทศ ซึ่งจีนมีอิสระที่จะบริหารจัดการและใช ประโยชนตามสิทธิอยางเต็มที่ 2) จีนเปนประเทศตนน้ํา หากเขารวมในคณะกรรมาธิการแมน้ําโขงอาจถูกกดดันจนไมสามารถใชน้ําได ตามความตองการ เพราะตองคํานึงถึงผลกระทบที่จะเกิดกับประเทศทายน้ํา และการปองกันแกไขผลกระทบจาก โครงการพัฒนาตางๆ ตองใชงบประมาณลงทุนสูง โดยเฉพาะอยางยิ่งผลกระทบดานสังคม และการมีสวนรวมของ ภาคประชาสังคม ในการพัฒนาประเทศ 3) จีนยังมีขอมูลตางๆ ของลุมน้ําโขงไมมากนัก หากเขารวมเปนภาคีสมาชิกในคณะกรรมาธิการแมน้ํา โขง จะตองมีการแลกเปลี่ยนขอมูลขาวสารฉันทมิตร และเพื่อนบานที่ดีตอกัน ซึ่งจีนเองอาจจะยังไมพรอมที่จะ แลกเปลี่ยนขอมูลขาวสาร โดยเฉพาะอยางยิ่งขอมูลดานอุทกวิทยาของแมน้ําโขง ตลอดจนขอมูลระบบนิเวศของ แมน้ําโขง 4) สําหรับเมียนมาร นั้น มีพื้นที่ประเทศ และปริมาณน้ําที่อยูในลุมน้ําโขง เพียงรอยละ 8 ซึ่งถือวานอย มาก และขณะนี้เมียนมารเองก็ไดรับประโยชนทั้งดานขอมูลขาวสาร และการเสริมสรางบุคลากรโดยไมตองเขารวม เปนสมาชิกอยูแลว เมียนมารจึงไมสนใจที่จะเขารวมเปนสมาชิกในคณะกรรมาธิการแมน้ําโขง อยางไรก็ตาม ในการประชุมสามัญประจําปของคณะกรรมการรวม การประชุมคณะมนตรี และการประชุม กับหุนสวนการพัฒนา ผูแทนจีน และเมียนมาร ไดรับเชิญใหเขารวมเจรจา/ปรึกษาหรือโดย MRCS เปนผูรับผิดชอบ คาใชจายใหตลอด ดังนั้น จีน และเมียนมาร จึงไมเห็นความจําเปนตองเขารวมเปนภาคีสมาชิกเพราะหากเขารวม เปนสมาชิกแลว ตองจายเงินงบประมาณสนับสนุนการดําเนินการใหกับคณะกรรมาธิการแมน้ําโขงดวย
322
ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาลุ่มแม่น้ําโขงอย่างยั่งยืน / ผกาวรรณ จุฟ้ามาณี
ประเด็นทาทายตอการพัฒนาและการอนุรักษในลุมแมน้ําโขง มีโครงการไฟฟาพลังน้ําขนาดใหญที่อยูระหวางการกอสรางและมีอีกจํานวนหนึ่งที่อยูในแผนการกอสรางใน ประเทศจีน ลาว และเวียดนาม โดยเฉพาะอยางยิ่ง โครงการที่จะเสร็จสมบูรณในอีกสิบปขางหนาคือโครงการไฟฟา พลังน้ําที่ Xiaowan และ Nuozhadu ซึ่งตั้งอยูบนลําน้ําสายหลักในประเทศจีน โดยมีความจุถึง 9,800 และ 12,400 ลานลูกบาศกเมตรตามลําดับและมีแนวโนมวาจะเปนสาเหตุสําคัญที่สุดที่จะทําใหเกิดการไหลเวียนของกระแสน้ํา ตามฤดูกาลที่สงผลตอโครงการพัฒนาแหลงน้ําในอนาคตในแมน้ําโขงเขื่อนเหลานี้และเขื่อนที่อยูในแผนกอสรางใน บริเวณลําน้ําสาขาของแมน้ําโขงตอนลางอาจจะเพิ่มน้ําใหแกลําน้ําหลักประมาณ 1,500 ลูกบาศกเมตรตอวินาทีในฤดูแลง ทําใหน้ําที่ไหลสูทะเลสาบเขมรมีปริมาณนอยลง โอกาสในการใชน้ําอยางประหยัดจากปริมาณน้ําที่จะเพิ่มขึ้นในชวงฤดูแลงในลําน้ําสายหลักนั้นมีอยาง จํากัด เนื่องจากเงื่อนไขตามธรรมชาติ เชน ลักษณะภูมิประเทศและลักษณะดินที่มีสภาพเหมาะสมบริเวณริมน้ํา นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะปรับปรุงโครงการพัฒนาตาง ๆ สรางโครงการพัฒนาใหม ๆ ในประเทศไทย ประเทศลาว และโดยเฉพาะอยางยิ่งในกัมพูชา สําหรับประเทศไทย ไดมีการพิจารณามาเปนเวลานานแลวที่จะผันน้ําจากแมนา้ํ โขงมาแกปญหาความแหงแลงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ อยางไรก็ตาม เปนที่คาดหวังวาความตอง การน้ําที่เพิ่มขึ้นเพื่อการชลประทานในอนาคต อาจจะนอยกวาปริมาณน้ําที่เพิ่มขึ้นในฤดูแลงอันเนื่องมาจากการ พัฒนาโครงการไฟฟาพลังน้ํา จากการประเมินเบื้องตน ชีใ้ หเห็นวา ลุมน้ําโขงอาจจะไมตองเผชิญภาวะวิกฤตขาด แคลนน้ําในอนาคตดังนั้น และน้ําสวนใหญที่จะเพิ่มขึ้นในฤดูแลง จะเปนปจจัยสําคัญที่ชวยลดปญหาน้ําทะเลรุกล้ําที่ ปากแมน้ําได ในชวงทศวรรษ 1960 ไดริเริ่มแนวคิดโครงการขนาดใหญบนลําน้ําสายหลักในพื้นทีล่ ุมน้ําโขงตอนลาง เชน เขื่อนผามอง และเขื่อนสตรึงเตร็ง แตจากการศึกษาพบวามีผลกระทบตอการตั้งถิ่นฐานของประชากรริมฝงน้าํ จํานวนมาก และไมคุมคาดานเศรษฐกิจ ทําใหการพัฒนาโครงการเหลานี้ชะงักไป เมื่อสภาพเศรษฐกิจในภูมิภาค เปลี่ยนแปลงไป กอปรกับความตองการพลังงานเพิ่มสูงขึน้ ตามการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โครงการพัฒนาขนาด ใหญบนลําน้ําหลักหลายแหง ที่ไมเคยไดรบั ความสนใจนักที่จะเริ่มโครงการเมื่อสองสามทศวรรษกอน กลับเปนที่ สนใจของรัฐบาลและนักพัฒนาในภาคเอกชน เนื่องจากโครงการเหลานี้สามารถสรางเม็ดเงินไดมหาศาล แมวา โครงการเหลานี้จะมีผลกระทบเพียงเล็กนอยตอปริมาณการไหลของน้ําในลําน้ําหลัก แตพบวาจะสงผลกระทบดาน อื่นอยางชัดเจน โดยเฉพาะการอพยพของปลา ทุกประเทศที่อยูในลุมน้ําโขง มีการเปลี่ยนแปลงการใชที่ดินตลอดชวงทศวรรษที่ผานมา บริเวณปากแมน้ํา ยังคงเหลือการทําสวนผักอยูนอยมาก ผืนปาที่ปกคลุมประเทศไทยในบริเวณลุมน้ําลดลงจาก 40% ในปพ.ศ. 2503 เหลือเพียง 10% ในปจจุบัน แมวา บริเวณพื้นที่สวนใหญในกัมพูชาและลาวจะยังคงมีปาไมปกคลุม แตก็มีแนวโนม ลดลงอยางตอเนื่องตลอดชวงทศวรรษที่ผานมา การทําไรเลื่อนลอยเปนสิ่งที่ปฏิบัติกันเปนปกติบริเวณที่ราบสูงใน ประเทศลาว และพบวาประมาณ 30% เปนการปลูกขาว อย างไรก็ตาม ยังไมมีผลการศึกษาที่ชัดเจนวา การ เปลี่ยนแปลงรูปแบบการใชที่ดินนี้มีผลกระทบมากเพียงใดตอระบบอุทกวิทยาในลุมแมน้ําโขง โครงการพัฒนาหลายโครงการที่มีความสัมพันธกับกระบวนการวางแผนพัฒนาลุมน้ํา เชน โครงการดาน การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ การควบคุมอุทกภัย การกอสรางถนน การเดินเรือ และกิจกรรมทําเหมืองแร นอกจากนี้ 323
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความร่วมมือระดับภูมิภาคในการจัดการน้ําในแม่น้ําโขง
ประเด็นดานการเจริญเติบโตของประชากรและเศรษฐกิจ การลงทุน การคา การลดความยากจนและประเด็นอื่น ๆ ตามนโยบายและแผนของประเทศ จําเปนตองนํามาพิจารณาในกระบวนการวางแผนทั้งสิ้น ทั้งนี้ในกระบวนการ วางแผน จําเปนตองมีความรวมมือ มีขอมูลที่แลกเปลี่ยนกันในระหวางหนวยงานตาง ๆ รวมทั้งแผนงานตาง ๆ ของ คณะกรรมาธิการแมน้ําโขง สํานักงานคณะกรรมการแมน้ําโขงของแตละประเทศ หนวยงานที่เกี่ยวของในแตละ ประเทศ สถาบันวิจัย และองคกรระดับภูมิภาค เชน อาเซียน อนุภูมิภาคลุมแมน้ําโขง สหภาพสากลวาดวยการ อนุรักษธรรมชาติ(IUCN) การประเมินขางตน อาจจะแสดงใหเห็นวาการพัฒนาที่กําลังดําเนินอยูอาจเปนไดทั้งโอกาสและภัยคุกคาม ตอบูรณภาพในลุมแมน้ําโขง ปริมาณน้ําที่เพิ่มขึ้นชวงฤดูแลงในอนาคต (จากการควบคุมการไหลของน้ําโดยอางเก็บ น้ําขนาดใหญ) อาจจะชดเชยการใชน้ําที่เพิ่มขึ้นจากการพัฒนาชลประทานและการผันน้ํา อยางไรก็ตาม การพัฒนา โครงการไฟฟาพลังน้ํา และโครงการอื่นๆ ในลุมน้ําโขงตอนลาง อาจสงผลกระทบในแงลบตอเศรษฐกิจสิ่งแวดลอม และสังคม ในบางสวนของแมนํ้าโขงตอนลาง รวมทั้งอาจเปนการตัดเสนทางอพยพของปลา หรือทําใหการไหลของ น้ําเขาสูทะเลสาบเขมรมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจทําใหระดับน้ําตามลําน้ําสาขาขึ้นลงเปลี่ยนแปลงบอยขึ้น เพื่อเปนการเพิม่ ประโยชนดานสังคมเศรษฐกิจจากการพัฒนาแหลงน้ําใหแกประเทศในลุมน้ํามากที่สุด และ ลดผลกระทบดานลบที่เกิดจากโครงการในประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงจําเปนตองมีกระบวนการวางแผนทั้งลุมน้ํา มี การสรางความเปนหุนสวนที่เขมแข็งระหวางผูมีสวนไดสวนเสียในลุมน้ํา ซึ่งจะสามารถเชื่อมโยงการพัฒนาเขากับ การอนุรักษธรรมชาติไดอยางมีประสิทธิภาพ
เอกสารอางอิง คณะกรรมาธิการแมน้ําโขง, 2550. แผนพัฒนาลุมน้ําระยะที่ 2 รางรายงานแนวทางการปฏิบัติงาน. คณะกรรมาธิการแมน้ําโขง, 2549. แผนยุทธศาสตร 2549 – 2553. สํานักงานเลขาธิการคณะกรรมการแมน้ําโขงแหงชาติไทย, 2548. ระเบียบปฏิบัติ/แนวทาง ภายใต คณะกรรมาธิการแมน้ําโขง. กรมทรัพยากรน้ํา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม. สํานักงานเลขาธิการคณะกรรมการแมน้ําโขงแหงชาติไทย, 2546. ความตกลงวาดวยความรวมมือเพื่อการ พัฒนาลุมแมน้ําโขงอยางยั่งยืน 5 เมษายน ค.ศ.1995. คณะกรรมาธิการแมน้ําโขงกรมทรัพยากรน้ํา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม.
324
บทที่ 19 ขอมูลขาวสารและสารสนเทศ เกี่ยวกับน้ําและทรัพยากรที่เกี่ยวของของลุมแมน้ําโขง “ขอเท็จจริงหรือความเขาใจผิด” รศ.ชัยยุทธ สุขศรี คณะวิศวกรรมศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย
แม น้ํ า โขงเป น ลํ า น้ํ า ที่ สํ า คั ญ ของประเทศไทยเนื่ อ งจากสั ด ส ว นของพื้ น ที่ ลุ ม น้ํ า โขงตอนล า ง กว า 36 เปอรเซ็นตเปนพื้นที่ของประเทศไทย รวมทั้งประเทศไทยเองก็ยังมีปญหาในการบริหารจัดการน้ําและการเขาถึง องคความรูเกี่ยวกับแมน้ําโขงเพื่อใชใหเปนประโยชนตอการพัฒนาพื้นที่ลุมน้ําในภาคอิสาน เนื่องจากขอมูลจาก แหล ง ที่ ม าของความรู โ ดยเฉพาะข อ มู ล เชิ ง เทคนิ ค นั้ น เอกสารรายงานส ว นใหญ ยั ง จั ด ทํ า เป น ภาษาอั ง กฤษ นอกจากนั้นแลวประเทศไทยยังขาดกระบวนการวางแผนพัฒนาลุมน้ําโขงในระยะยาว และขาดการประเมินและ วิเคราะหผลกระทบขามลุมน้ํา (transboundary impacts) และผลกระทบแบบสะสม (cumulative impacts) อยาง รอบดาน ทําใหการใชประโยชนจากน้ําและการอนุรักษทรัพยากรน้ําในพื้นที่ไมไดเปนไปอยางเต็มประสิทธิภาพ เชน การวิเคราะหปริมาณน้ําในแมน้ําโขงนั้นนอกเหนือจากการวิเคราะหปริมาณน้ําในชวงหนาแลงและหนาน้ําแลว ควร จะใหความสนใจสภาพและปริมาณน้ําในชวงเปลี่ยนผาน (transition periods) ทั้งสองชวงดวย เพราะจะเปนชวงที่ แสดงใหเห็นถึงแนวโนมการเปลี่ยนแปลงของปริมาณน้ําวาจะมีมากหรือนอย ซึ่งปริมาณน้ําในชวงเปลี่ยนผานนี้ถือ เปนสัญญาณเตือนที่สําคัญตอการคาดคะเนปริมาณน้ําและการบริหารจัดการน้ําในชวงเวลาถัดไป ในสวนของประเด็นเรื่องการวิพากษวิจารณและกดดันจีนเกี่ยวกับผลกระทบจากการพัฒนาโครงการของ จีนในพื้นที่ลุมน้ําโขงตอนบนนั้น ประเทศไทยและประเทศเพื่อนบานควรมีการศึกษาและวิเคราะหขอมูลใหดีกอน โดยเฉพาะขอมูลดานเทคนิคและขอเท็จจริง เพราะหากไปวิจารณรุนแรงในประเด็นที่ไมใชขอเท็จจริงก็ทําใหยากที่ จะไดรับการตอบสนองของจีนในการเขารวมในการบริหารจัดการลุมน้ําโขงไปในทางบวก ตัวอยางเชน จากขอมูลที่ ปรากฎในหนาหนังสือพิมพประชาชนสวนใหญยังมีความเขาใจวาการสรางเขื่อนของจีนทําใหปริมาณน้ําในแมน้ํา โขงลดลงแตจากขอเท็จจริงในเชิงเทคนิคการสรางเขื่อนเพื่อผลิตไฟฟาจะทําใหมีปริมาณน้ําเพิ่มขึ้นในหนาแลงมิใช ลดลง และปญหาหลักในเรื่องนี้จริงๆ คือ การใชงานเขื่อนเพื่อผลิตไฟฟาพลังน้ํากอใหเกิดความแปรปรวนของ ปริมาณน้ําในระยะเวลาสั้นๆ (short-term fluctuations) ในชวงเวลาการปลอยน้ําเพื่อผลิตไฟฟาซึ่งจะสงผลกระทบ ตอระบบนิเวศและวิถีชีวิตของชาวบานริมฝงแมน้ําโขง นอกจากนั้นระบบน้ําของแมน้ําโขงเองก็มีความสลับซับซอน และแปรปรวนคอนขางสูง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงปริมาณน้ําที่เพิ่มขึ้นและลดลงไมไดมาจากจีนเพียงฝายเดียว แตมาจากลําน้ําสาขาและน้ําธรรมชาติของลุมน้ําโขงตอนลางโดยเฉพาะพื้นที่ในสวนของประเทศลาวที่ไหลเขามา เพิ่มดวย ดังนั้นหากไมมีการวิเคราะหและพิสูจนขอมูลอยางละเอียดตามหลักวิชาการแลวก็เปนไปไดยากที่จีนจะ ยอมรับขอกลาวหาตางๆ เกี่ยวกับผลกระทบ และหันมาใหความรวมมือทุกๆ ดานกับประเทศทางดานทายน้ํา การที่ ประเทศดานทายน้ําจะไปกดดันประเทศดานตนน้ําโดยปราศจากขอมูลที่มีความถูกตองและนาเชื่อถือจึงเปนเรื่อง ยาก เนื่องจากจีนมีศักยภาพในการพัฒนาโครงการตางๆ ดวยตนเองสูง และประกอบกับจีนไดประกาศไวชัดเจน แลววาเรื่องการสรางเขื่อนในพื้นที่บริเวณลุมน้ําโขงตอนบนนั้นเปนกิจกรรมการพัฒนาภายในประเทศ
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความร่วมมือระดับภูมิภาคในการจัดการน้ําในแม่น้ําโขง
ในประเด็นที่เกี่ยวของอื่นๆ ประเทศไทยและกลุมประเทศดานทายน้ําเองก็ควรมีความรวมมือและแนวทาง ปฏิบัติในการพัฒนาและอนุรักษทรัพยากรน้ําที่เปนไปในทิศทางเดียวกันกอนที่จะเสนอใหจีนเขามารวมมือใน คณะกรรมาธิการแมน้ําโขง เพราะในปจจุบันกลุมประเทศทายน้ําเองก็ยังไมสามารถบรรลุจุดยืนรวมกันอยางแทจริง ยกตัวอยางเชน ขอตกลงแมน้ําโขงป 1995 กําหนดวาประเทศสมาชิกจะตองรวมกันออกระเบียบปฏิบัติการใชน้ําใน หนาแลง (ขอตกลงมาตรา 6 และสัมพันธกับมาตรา 26) แตจนถึงปจจุบันก็ยังไมสามารถตกลงกันได เพราะการ จัดทําแนวปฏิบัติดานเทคนิค (technical guidelines) ยังไมกาวหนาและไมมีขอยุติ นอกจากนั้นประเทศสมาชิกแต ละประเทศเองก็มีจุดยืนและระดับความรูและความกาวหนาของเทคโนโลยีที่ตางกัน ระเบียบปฏิบัติการใชน้ําใน หนาแลงนี้เปนเรื่องที่มีความสําคัญและควรเรงเจรจาใหไดขอยุติ เพราะปจจุบันสภาพทรัพยากรธรรมชาติและ สภาวะแวดลอมเปลี่ยนแปลงไปมาก รวมไปถึงประเด็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงและผลกระทบเนื่องจากการเรงผลักดัน จากภาคเอกชนในการพัฒนาไฟฟาพลังน้ําใน ลาว เขมร และจีนดวย
326
บทที่ 20 ธรรมาภิบาลในลุมแมน้ําโขง ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ สมาชิกสภาผูแทนราษฎร ประธานกรรมาธิการการพัฒนา การเมือง การสื่อสารมวลชน การมีสวนรวมของประชาชน
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใตเปนภูมิภาคที่มีปญหาดานศีลธรรมและธรรมาภิบาล ระบบเศรษฐกิจแบบ ทุนนิยมของภูมิภาคนี้ไมเหมือนกับยุโรปเพราะเปนทุนนิยมแบบถูกกําหนดมาจากขางบน ( top-down approach) ภาคประชาชนขาดการมีสวนรวมและไมสามารถตรวจสอบการทํางานของรัฐบาลได การเมืองการปกครองของ ภูมิภาคนี้จึงไมคอยมีศีลธรรม เดิมแตละประเทศในภูมิภาคนี้มีแนวคิดวาหากแตละประเทศมีความสัมพันธทาง การคาและมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจแลว ทุกประเทศทุกภาคสวนก็จะไดประโยชน (win-win situation) แตในความ เปนจริงแลว ประชาชนไมเคยมีสวนรวมในการพัฒนาประเทศและไมไดรับผลประโยชนอยางแทจริง ยกตัวอยางเชน การเปดเขตการคาเสรี (Free-Trade Area: FTA) กับจีนซึ่งรัฐบาลกลาววาจะทําใหเศรษฐกิจไทยเติบโตขึ้น แตใน ความเปนจริงแลวสินคาจากภาคเกษตรตกต่ําลงถึง 70 เปอรเซ็นต เนื่องจากสินคาจากจีนซึ่งมีราคาถูกกวาไหล ทะลักเขามา ทําใหรายไดของเกษตรกรลดลงและไมไดมีความเปนอยูที่ดีขึ้น นอกจากนี้แมภายในภูมิภาคจะมีการ ขนสงระหวางประเทศอยางเสรีแตกลับมีแตปญหา เชน ปญหายาเสพติด ปญหาความขัดแยงภายในพื้นที่ การคา มนุษย ปญหาสิทธิมนุษยชนและ การคาสัตวปาผิดกฎหมาย คําถามวา การพัฒนาภูมิภาค (regional development) ตั้งอยูบนพื้นฐานของธรรมาภิบาลหรือไม? จึงเปน ปญหาสําคัญของภูมิภาคนี้ เพราะบอยครั้งที่การตัดสินใจจากภาคการเมืองเปนไปเพียงเพื่อผลประโยชนสวนตัว มากกวาเพื่อประชาชนในชาติ ปญหาตางๆจึงตามมาอยางไมขาดสาย สําหรับระบบชลประทานในประเทศไทยเอง จะเห็นไดวา เกือบทุกเขื่อนมุงเนนไปที่การผลิตกระแสไฟฟาเพื่อปอนเขาสูภาคอุตสาหรรมและภาคธุรกิจมากกวาจะ มุงเนนไปที่ระบบชลประทานแมวาประชาชนสวนใหญของประเทศอยูในภาคเกษตรกรรมก็ตาม นอกจากนี้ยังมี หลายโครงการ เชน โครงการน้ําเทินสอง เขื่อนบานกุม ซึ่งสะทอนใหเห็นวาประชาชนไมมีสวนรวมในกระบวนการ ตัดสินใจและกระบวนการมีสวนรวม (public participation) ทําใหประชาชนทําไดแควิพากษและวิจารณตอปญหาที่ ไดเกิดขึ้นไปแลว ชาวบานนอกจากเสียที่ดินทํากินยังแทบไมไดผลตอบประโยชนอะไรเลย ซึ่งปญหาในจุดนี้ก็เปน ปญหาของประเทศไทยและประเทศเพื่อนบาน เนื่องจากคายลี้ภัยในประเทศไทยเองก็เต็มไปคนที่อพยพมาจากการ สรางเขื่อนของพมา เมื่อภาคการเมืองถือประโยชนของบุคคลบางสวนเปนหลัก การตัดสินใจในเชิงนโยบายและการลงมือ ปฏิบัติสวนใหญจึงมองขามผลกระทบทางดานสังคมและสิ่งแวดลอม โดยเฉพาะธรรมชาติซึ่งมีความเปราะบางตอ การเปลี่ยนแปลงและพัฒนา เชน การเดินเรือขนาดใหญและการสรางเขื่อนแมจะเปนสวนชวยใหเศรษฐกิจเติบโต แตกลับทําใหตลิ่งของน้ําแมน้ําโขงพังทลาย เมื่อน้ําในแมน้ําโขงไมขึ้นและลงตามธรรมชาติความแข็งแกรงของตลิ่งก็ จะหายไปซึ่งผลกระทบดานนี้เปนผลกระทบในระยะยาว และยังกอใหเกิดผลกระทบตอระบบนิเวศในหลายๆ ดาน ซึ่งในจุดนี้เปนปญหาตอการพัฒนาประเทศในระยะยาวมาโดยตลอด การสรางธรรมาภิบาลขึ้นในภูมิภาคเอเชีย
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความร่วมมือระดับภูมิภาคในการจัดการน้ําในแม่น้ําโขง
ตะวันออกเฉียงใตเพื่อใหเกิดการบริหารบานเมืองที่โปรงใส ตรวจสอบได และประชาชนมีสวนรวมอยางแทจริง จึง จําเปนตอการพัฒนาในทุกๆ ดาน
328
ภาคผนวก
กําหนดการสัมมนา
กําหนดการ สัมมนา "องคความรูแมน้ําโขงเพือ่ การพัฒนาอยางยั่งยืน" วันจันทรที่ 8 มิถุนายน 2552 เวลา 08.30 -16.00 น. หองวีนัส ชัน้ 3 โรงแรมมิราเคิล แกรนด คอนเวนชัน่ ถ.วิภาวดีรังสิต หลักสี่ กรุงเทพฯ 08.30 - 09.00 น.
ลงทะเบียน
09.00 - 09.15 น.
กลาวตอนรับผูเขารวมสัมมนา โดย ศ.ดร. สนิท อักษรแกว ประธานสถาบันสิ่งแวดลอมไทย และกรรมการสิง่ แวดลอมแหงชาติ
09.15 - 09.25 น.
ชี้แจงวัตถุประสงคและรายละเอียดของการสัมมนา โดย ดร. สมฤดี นิโครวัฒนยิง่ ยง ผูอ ํานวยการอาวุโส สถาบันสิ่งแวดลอมไทย
09.25 – 10.35 น.
เสวนาเชิงนโยบาย “ทิศทางประเทศไทยในการสงเสริมการพัฒนาอยางยั่งยืนของ ลุมแมน้ําโขง ผูดําเนินรายการ: ดร. สมฤดี นิโครวัฒนยิ่งยง ผูอํานวยการอาวุโส สถาบันสิ่งแวดลอมไทย วิทยากรรวมอภิปราย: คุณกฤต ไกรจิตติ อธิบดีกรมเศรษฐกิจระหวางประเทศ กระทรวงการตางประเทศ ดร.ศิริพงศ หังสพฤกษ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ํา คุณอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รองเลขาธิการสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแหงชาติ อภิปรายและตอบขอซักถาม
10.35 - 12.30 น.
แยกหองสัมมนา 2 กลุม* กลุมที่ 1 : การจัดการน้ําในลุมน้ําโขงในสวนของประเทศไทย – โครงการขนาดใหญ ผูอํานวยการสถาบันวิจัยสภาวะแวดลอม ผูดําเนินรายการ: รศ.ดร. ทวีวงศ ศรีบุรี จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย วิทยากรนําเสนอบทความ: • การบริหารจัดการระบบลุม น้ํา คุณประสิทธิ์ หวานเสร็จ ผอ.สวนประสานและบริหารจัดการลุมน้ํา สํานักงานทรัพยากรน้ําภาค 4
331
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ภาคผนวก
การศึกษาแนวทางการผันน้ําโขงโดยแรงโนมถวงและศักยภาพการพัฒนา เกษตรชลประทานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คุณฉวี วงศประสิทธิพร สํานักบริหารโครงการกรมชลประทาน
•
การมีสวนรวมของกลุมผูมสี วนไดสวนเสีย และความโปรงใสของการพัฒนา โครงการเขื่อนไฟฟาพลังน้าํ บนแมน้ําโขงสายหลัก กรณีเขื่อนบานกุม (จ.อุบลราชธานี) คุณมนตรี จันทวงศ โครงการฟนฟูนิเวศในภูมิภาคแมน้ําโขง มูลนิธิฟน ฟูชีวติ และธรรมชาติ อภิปรายและตอบขอซักถาม •
กลุมที่ 2: การจัดการน้ําในลุมน้ําโขงในสวนของประเทศไทย - โดยการมีสวนรวม ของประชาชน ผูดําเนินรายการ: ศ.ดร.นิพนธ ตั้งธรรม ศูนยวิจัยปาไม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร วิทยากรนําเสนอบทความ: • ทรัพยากรน้ําและแนวทางการจัดการน้า ํ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผศ. ฤกษชัย ศรีวรมาศ คณะวิศวกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี •
ชลประทานชุมชนในพื้นทีบ่ ุงทามลุมน้ํามูนตอนกลาง บานหนองแค-สวนสวรรค คุณสนั่น ชูสกุล ผูอํานวยการโครงการทามมูน
•
สองกรณีศกึ ษา บทบาทคณะทํางานลุมน้ําหวยสามหมอกับประสิทธิภาพ การจัดการทรัพยากรลุมน้ํา และแผนพัฒนาโครงขายน้ํา 3 อําเภอ (หนองเรือ ภูเวียง และบานฝาง) คุณสมคิด สิงสง ประธานคณะทํางานลุมน้ําหวยสามหมอ คุณโยธิน วรารัศมี มูลนิธิน้ําและคุณภาพชีวิต
การประเมินผลกระทบสิ่งแวดลอมทางสังคมเพื่อการจัดการทรัพยากรน้ํา อยางมีประสิทธิภาพ กรณีศึกษาฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ ผศ.ดร. กนกวรรณ มะโนรมย ผอ.ศูนยวิจัยสังคมอนุภูมิภาคลุมน้ําโขง มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี อภิปรายและตอบขอซักถาม •
12.30 - 13.30 น.
พักรับประทานอาหารกลางวัน
332
กําหนดการสัมมนา
13.30 - 16.00 น.
แยกหองสัมมนา 2 กลุม กลุมที่ 3 : ความหลากหลายทางชาติพันธุ วัฒนธรรม และทรัพยากรชีวภาพ ในลุมน้ําโขง ผูดําเนินรายการ: ดร. ชยันต วรรธนะภูติ ศูนยภูมิภาคดานสังคมศาสตรและการพัฒนา อยางยั่งยืน มหาวิทยาลัยเชียงใหม วิทยากรนําเสนอบทความ: • นิเวศวัฒนธรรมทองถิ่นกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติลุมน้ําโขง กรณีแมน้ําของ - ลานนา คุณนิวัฒน รอยแกว กลุมรักษเชียงของ • ผลกระทบขามพรมแดนจากการพัฒนาแมน้ําโขง มิติดา นสังคมและสิ่งแวดลอม คุณเพียรพร ดีเทศน ผูประสานงานโครงการแมน้ําเพื่อชีวิต • สานตองานวิจัยไทบาน นิเวศวิทยา และประวัติศาสตร ปาบุงปาทาม ลุมน้ําสงครามตอนลาง คุณสรรคสนธิ บุณโยทยาน สํานักงานเกษตรและสหกรณ จังหวัดสกลนคร • แมน้ําโขง : ดินแดนงดงามแหง ความหลากหลายทางชีวภาพ ระบบนิเวศ ประวัติศาสตร และชาติพันธุ มุมมองจากประสบการณของสมาชิกรัฐสภา คุณเตือนใจ ดีเทศน ผูกอ ตั้งและที่ปรึกษา มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.) วิทยากรรวมอภิปราย: • ศ. ศรีศักร วัลลิโภดม มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ อภิปรายและตอบขอซักถาม กลุมที่ 4 : ประเทศไทยและความรวมมือระดับภูมิภาคในการจัดการน้ําในแมน้ําโขง ผูดําเนินรายการ: ดร. ศุภสุข ประดับศุข ผูจดั การโครงการ สถาบันสิ่งแวดลอมไทย วิทยากรนําเสนอผลงาน: • ขอมูลและสารสนเทศเกี่ยวกับน้ําและทรัพยากรที่เกี่ยวของของลุมแมน้ําโขง “ขอเท็จจริงหรือความเขาใจผิด” รศ. ชัยยุทธ สุขศรี คณะวิศวกรรมศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย • ประเทศไทย และความรวมมือกับภูมิภาคในการจัดการแมน้ําโขง ดร. ปรเมธี วิมลศิริ ที่ปรึกษาดานนโยบายและแผนงาน สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แหงชาติ • ความรวมมือเพื่อการพัฒนาลุมแมน้ําโขงอยางยั่งยืน คุณผกาวรรณ จุฟามาณี ผูอํานวยการสวนงานคณะกรรมการลุมแมนา้ํ โขง กรมทรัพยากรน้ํา
333
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ภาคผนวก
Public Participation, IWRM and the Mekong River Commission: implications for Thailand Dr. Richard Friend Consultant and Researcher วิทยากรรวมอภิปราย: • คุณไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ สมาชิกสภาผูแทนราษฎร และประธานกรรมาธิการการ พัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน การมีสวนรวมของ ประชาชน • คุณสุรศักดิ์ สุภารัตน ผูอํานวยการกองกิจการเพื่อการพัฒนา กรมองคการระหวางประเทศ •
อภิปรายและตอบขอซักถาม __________________________
334
องค์กรภาคีร่วมจัดการประชุม
องคกรภาคีรวมจัดการประชุม หนวยงานภาครัฐ กรมทรัพยากรน้ําบาดาล 8, 9 อาคารกรมสงเสริมคุณภาพสิ่งแวดลอม 49 ซอย 30 ถนนพระราม 6 เขตพญาไท กรุงเทพฯ10400 โทรศัพท 02-299-3900 โทรสาร 02-299-3927 เว็บไซต www.dgr.go.th/ กรมองคการระหวางประเทศ กระทรวงการตางประเทศ 443 ถ.ศรีอยุธยา กรุงเทพฯ 10400 โทรศัพท 02-643-5077 โทรสาร 02-643-5080 เว็บไซต www.mfa.go.th/web/1730.php กรมเอเซียตะวันออก กระทรวงการตางประเทศ 443 ถ.ศรีอยุธยา กรุงเทพฯ 10400 โทรศัพท 02-643-5191 เว็บไซต www.mfa.go.th/web/1733.php สมาคมทรัพยากรน้ําแหงประเทศไทย กรมทรัพยากรน้ํา 180/3 ถ.พระรามที่ 6 ซอย 34 แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทรศัพท 02-271-6000 โทรสาร 02-298-6601 เว็บไซต www.dwr.go.th สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติ 128 อาคารพญาไทพลาซา ชั้น 27 ถ.พญาไท ราชเทวี กรุงเทพฯ 10400 โทรศัพท 02-612-9222 โทรสาร 02-612-9152, 58 เว็บไซต www.nesac.go.th สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติ 962 ถนนกรุงเกษม แขวงวัดโสมนัส เขตปอมปราบศัตรูพาย กรุงเทพฯ 10100 โทรศัพท 02-280-4085 โทรสาร 02-280-0892 เว็บไซต www.nesdb.go.th/
335
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ภาคผนวก
สํานักประสานความรวมมือระหวางประเทศ กรมทรัพยากรน้ํา 180/3 ถ.พระราม 6 ซอยอาคารพิบูลวัฒนา พญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทรศัพท 02-298-6000 โทรสาร 02-298-6605 เว็บไซต www.dwr.go.th ภาควิชาการ/มหาวิทยาลัย ดร.กนกวรรณ มโนรมย ศูนยวิจัยสังคมอนุภูมภิ าคลุมน้ําโขง คณะศิลปศาสตร มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี อ.วารินชําราบ จ.อุบลราชธานี 34190 โทรศัพท 045-353-725 โทรสาร 045-288-870 เว็บไซต thaiborder.blogspot.com รศ.ดร. กัมปนาท ภักดีกุล คณะสิ่งแวดลอมและทรัพยากรศาสตร มหาวิทยาลัยมหิดล 999 ถนนพุทธมณฑล สาย 4 พุทธมณฑล ศาลายา จ.นครปฐม 73170 โทรศัพท 02-441-5000 โทรสาร 02-441-9509-10 รศ.ดร.กัลยา วัฒยากร และคุณสมภพ รุงสุภา สถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ํา จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย อาคารสถาบัน 3 ชั้น 9 ถ.พญาไท แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 โทรศัพท 02-218-8168 โทรสาร 02-254-4259 เว็บไซต www.arri.chula.ac.th รศ. ชัยยุทธ สุขศรี คณะวิศวกรรมศาตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ถ.พญาไท เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 โทรศัพท 02-218-6425 โทรสาร 02-218-6455 ผศ.ดร. วรนุช หวังศุภชาติ ภาควิชาเวชศาสตรสังคมและสิ่งแวดลอม คณะเวชศาสตรเขตรอน มหาวิทยาลัยมหิดล 420/6 ถ.ราชวิถี แขวงพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพ 10400 โทรศัพท 02-644-8837 โทรสาร 02-354-9166-7
336
องค์กรภาคีร่วมจัดการประชุม
ผศ.ดร. ยรรยง อินมวง และดร.ธีรยุทธ อุดมพร คณะสิ่งแวดลอมและทรัพยากรศาสตร มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ต.ขามเรียง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม 44150 โทรศัพท 043-742-135 โทรสาร 043-742-135 เว็บไซต www.env.msu.ac.th Dr. Richard Friend ที่ปรึกษาและนักวิจัยอิสระ อีเมล richardfriend10@gmail.com องคกรประชาสังคม มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.) 129/1 หมู 4 หมูบานปางิ้ว ซอย 4 ถ.ปางิ้ว ต.รอบเวียง อ.เมือง จ.เชียงราย 57000 โทรศัพท 053-715-696 โทรสาร 053-758-658 โครงการฟนฟูลุมน้ําชี (WWF Greater Mekong Thailand Country Programme) 2549/45 ถ.พหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 โทรศัพท 02-942-7691-4 โทรสาร 02-942-7649-50 สถาบันสิ่งแวดลอมไทย 16/151 เมืองทองธานี ถนนบอนดสตรีท ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี 11120 โทรศัพท 02-503-3333 โทรสาร 02-504-4826-8 ภาคเอกชน จินตนา เนตรทัศน บริษัท ช.การชาง จํากัด (มหาชน) 587 อาคารวิริยะถาวร ถนนสุทธิสารวินิจฉัย แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร 10400 โทรศัพท 02-277-0460 โทรสาร 02-275-7029 เว็บไซต www.ch-karnchang.co.th/contact_us_th.php
337
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ภาคผนวก
ดร.ณัฏฐวุฒิ อุทัยเสน ธานินทร บํารุงทรัพย บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวลอปเมนต จํากัด (มหาชน) 2034/132-161 อาคารอิตัลไทยทาวเวอร ถนนเพชรบุรีตัดใหม แขวงบางกะป เขตหวยขวาง กรุงเทพฯ 10320 โทรศัพท 02-716-1600 โทรสาร 02-716-1488 เว็บไซต www.itd.co.th
338
แนะนําผู้เขียน
แนะนําผูเขียน (มิถุนายน 2552) ผศ.ดร. กนกวรรณ มะโนรมย จบการศึกษาถึงระดับปริญญาเอกสาขาสังคมวิทยาชนบทจากมหาวิทยาลัยมิสซูร-ี โคลัมเบีย (University of Missouri-Columbia) ประเทศสหรัฐอเมริกา ปจจุบันทํางานเปนอาจารยประจําที่คณะศิลปศาสตร มหาวิทยาลัย อุบลราชธานี นอกจากนี้ยังไดดํารงตําแหนงผูอํานวยการศูนยวิจัยสังคมอนุภูมิภาคลุมน้ําโขง และดํารงตําแหนงที่ สําคัญอื่นๆอีก เชน คณะกรรมการของ M-POWER (Mekong Program on Water Environment and Resilience) คณะกรรมการของโครงการ Asian Fellowship มูลนิธิฟอรด (Ford Foundation) นอกจากนี้ยังมีผลงานทาง วิชาการ เชน งานวิจัยเรื่องเขือ่ นปากมูล การประเมินผลกระทบสิ่งแวดลอมทางสังคมของฝายหัวนา การจัดการน้ํา เชิงบูรณาการ (Integrated Basin Flow Management) ของคณะกรรมาธิการแมโขง(MRC) รวมไปถึงมีงานวิจัยที่ สําคัญ เชน Dynamics of a Border Town: A Case Study of Khong Chiam, Ubon Ratchathani กฤต ไกรจิตติ จบการศึกษาระดับปริญญาโทดานกฎหมายเปรียบเทียบ (Comparative Laws) จากมหาวิทยาลัยอีโมรี (Emory University) ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ผานมาไดมีบทบาทและดํารงตําแหนงสําคัญในกระทรวงการ ตางประเทศ เชน เลขานุการเอก สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบอนน เอกอัครราชทูตสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย อธิบดีกรมเศรษฐกิจระหวางประเทศ โดยปจจุบันดํารงตําแหนง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ ประเทศอินเดีย ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ จบการศึกษาระดับปริญญาโท สาขาการเมืองการปกครองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต จากมหาวิทยาลัย ลอนดอน (University of London) ประเทศอังกฤษ ปจจุบันดํารงตําแหนง สมาชิกสภาผูแทนราษฎรระบบสัดสวน พรรคประชาธิ ป ต ย และประธานกรรมาธิ การการพั ฒ นาการเมื อ ง การสื่อ สารมวลชน และการมีส ว นรว มของ ประชาชน โดยมีผลงานดานสิ่งแวดลอมที่สําคัญ เชน ทบทวนการกอสรางเขื่อนเหวนรกในอุทยานแหงชาติเขาใหญ และเขตน้ําโจนในเขตรักษาพันธุสัตวปาทุงใหญนเรศวรเพื่อรักษาพื้นที่อนุรักษที่สําคัญไว ซึ่งตอมาไดรับประกาศ จากยูเนสโกเปนมรดกโลก
339
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ภาคผนวก
ฉวี วงศประสิทธิพร จบการศึกษาระดับปริญญาโท สาขาวิศวกรรมทรัพยากรน้าํ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร ปจจุบันดํารง ตําแหนงวิศวกรโยธาชํานาญการ กลุมงานวางโครงการ 2 สํานักบริหารโครงการ กรมชลประทาน มีหนาที่ รับผิดชอบการศึกษา วิเคราะห และพิจารณาวางแผนพัฒนาโครงการพัฒนาแบบบูรณาการในการพัฒนาทรัพยากร น้ําและการชลประทานขนาดใหญ ขนาดกลางทุกประเภท ใหสอดคลองกับความตองการของราษฎรและศักยภาพ ของพื้นที่ในการพัฒนา โดยใชความรูดานวิศวกรรมโยธา ดานชลศาสตร รวมทั้งความรูด านสํารวจ สารสนเทศ ภูมิศาสตรและเทคโนโลยีที่เหมาะสม รศ. ชัยยุทธ สุขศรี จบการศึกษาวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต (วิศวกรรมโยธา) จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย และ Water Resources System มหาวิทยาลัยโคโลราโด (Colorado State University) ประเทศสหรัฐอเมริกา เคยดํารงตําแหนงวิศวกร ผูชํานาญการดานวางแผนพัฒนาแหลงน้ํา กองวางโครงการกรมชลประทานและนักวิชาการในคณะกรรมการแมโขง (MRC) ปจจุบันดํารงตําแหนง หัวหนาภาควิชาวิศวกรรมแหลงน้ํา คณะวิศวกรรมศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย รวมถึงดํารงตําแหนงคณะกรรมการแมน้ําโขงแหงชาติไทย คณะกรรมการดานการชลประทานและการระบายน้ํา แหงประเทศไทย คณะกรรมการองคการเขื่อนใหญแหงประเทศไทย Member of the Scientific Committee, the Society for Social Management Systems และ Member of the Scientific Advisory Council for European Union Water Initiative เตือนใจ ดีเทศน ไดรับรางวัลสิ่งแวดลอมโกลดแมน (Goldman Environment Prize) ในฐานะผูแทนของทวีปเอเชียป พ.ศ. 2537 และเปน 1 ใน 25 ของนักอนุรักษสิ่งแวดลอมดีเดนของโลกโดยโครงการสิ่งแวดลอมแหงสหประชาชาติ (United Nation Environment Program) เนื่องในโอกาสครบรอบ 25 ป UNEP มีบทบาทและประสบการณ หลากหลายในดานสังคมและการเมือง เชน ประธานคณะกรรมการศูนยประสานงานองคกรพัฒนาเอกชนชาวไทย ภูเขา(ศอข.) สมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเชียงราย (พ.ศ. 2543-2549) นอกจากนี้ยังมีผลงานหนังสือ งานเขียน และ งานวิจัย เชน ผูเขียนคอลัมน “วิถีไท” หนังสือสยามรัฐสัปดาหวิจารณ ผูเขียนหนังสือ “แมจัน สายน้ําที่ผันเปลี่ยน” “คูมือการทํางานกับชาวเขาเผาลีซอ” และ “คูมือการทํางานกับชาวเขาเผาอีกอ” ของศูนยการศึกษานอกโรงเรียน ภาคเหนือ จังหวัดลําปาง โดยปจจุบันดํารงตําแหนง คณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปญหาการบังคับใชกฎหมาย และแนวทางแกไขการไรสถานะและสิทธิของบุคคลในประเทศไทย วุฒิสภา พ.ศ. 2552 และที่ปรึกษามูลนิธิพัฒนา ชุมชนและเขตภูเขา นิวัฒน รอยแกว จบการศึกษาคณะศึกษาศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม พ.ศ. 2525 เคยรับราชการโดยตําแหนง สุดทายคือ ครูใหญโรงเรียนบานสองพี่นอง อ.เชียงของ จ.เชียงราย พ.ศ. 2539 และเคยดํารงตําแหนงเปนกรรมการ แหงชาติวาดวยผูนําชุมชนทองถิ่น ในป พ.ศ. 2547-2549 โดยปจจุบันเปนผูบุกเบิกและประสานงานเครือขาย อนุรักษทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมลุมน้ําโขง-ลานนา 340
แนะนําผู้เขียน
ดร. ปรเมธี วิมลศิริ จบการศึกษาระดับปริญญาเอกดานเศรษฐศาสตรจากมหาวิทยาลัยคารลตัน (Carleton University) ประเทศ คานาดา ปจจุบันดํารงตําแหนงเปน ที่ปรึกษาดานนโยบายและแผนงาน สํานักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจและ สังคมแหงชาติ นอกจากนี้ยังดํารงตําแหนงเปน คณะกรรมการการรถไฟฟาขนสงมวลชนแหงประเทศไทย (รฟม.) คณะกรรมการบริหารสํานักงานความรวมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบาน (สพพ.) คณะกรรมการสถาบัน เพิ่มผลผลิตแหงชาติ และคณะกรรมการบริหารศูนยวิทยาศาสตรฮาลาล จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ประสิทธิ์ หวานเสร็จ จบการศึกษาระดับปริญญาโท สาขาวิศวกรรมแหลงน้ํา มหาวิทยาลัยขอนแกน พ.ศ. 2528 และสาขารัฐ ประศาสนศาสตร จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร (NIDA) พ.ศ. 2538 เคยรับราชการสํานักงานพลังงาน แหงชาติ ซึ่งตอมาเปลี่ยนชื่อเปน กรมพัฒนาและสงเสริมพลังงาน สังกัดกระทรวงวิทยาศาสตรเทคโนโลยีและ การพลังงาน งานที่รับผิดชอบ ไดแก งานกอสรางโครงการเขื่อนไฟฟาพลังน้ํา และโครงการโขง–ชี–มูล ปจจุบัน ดํารงตําแหนงผูอํานวยการสวนประสานและบริหารจัดการลุมน้ําชีตอนบน สํานักงานทรัพยากรน้ําภาค 4 จังหวัด ขอนแกน กรมทรัพยากรน้ํา ผกาวรรณ จุฟามาณี จบการศึ ก ษาระดั บ ปริ ญ ญาโท สาขาการจั ด การลุ ม น้ํ า จากมหาวิ ท ยาลั ย เกษตรศาสตร ป จ จุ บั น ดํ า รง ตํ า แหน ง ผู อํ า นวยการส ว นงานคณะกรรมการลุ ม แม น้ํ า โขง สํ า นั ก ประสานความร ว มมื อ ระหว า งประเทศกรม ทรัพยากรน้ําโดยรับผิดชอบงานในสวนที่เกี่ยวของกับความรวมมือเพื่อการพัฒนาลุมแมน้ําโขงอยางยั่งยืนของ คณะกรรมาธิการแมน้ําโขง (MRC) นอกจากตําแหนงหนาที่ทางราชการแลวดํารงตําแหนงเปนอนุกรรมาธิการใน คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาปญหาน้ําภาคอุตสาหกรรมและการทองเที่ยว คณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรมและ การทองเที่ยว สภานิติบัญญัติแหงชาติ กรรมาธิการในคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณารางพระราชบัญญัติ ทรัพยากรน้ําสภานิติบัญญัติแหงชาติ และที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการดานทรัพยากรน้ําวุฒิสภาอีกดวย เพียรพร ดีเทศน จบการศึกษาระดับปริญญาตรีคณะมนุษยศาสตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม โดยปจจุบันดํารงตําแหนงเปนผู ประสานงานโครงการแมน้ําเพื่อชีวิต และ เครือขายแมน้ําเอเชียตะวันอออกเฉียงใต (Southeast Asia Rivers Network) นอกจากนี้ยังเปนนักเขียนของหนังสือพิมพตางๆ เชน บางกอกโพสต เดอะเนชั่น ขาวสด มติชน และ กรุงเทพธุรกิจ เกี่ยวกับเรื่องสิ่งแวดลอม สังคม สิทธิของชุมชน การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และการจัดการ ทรัพยากรน้ํา รวมไปถึงงานสรางสรรคผลงานดานวิชาการ เชน หนังสือคําใหการของคนทายน้ํา (พ.ศ. 2549) A Testimony of the Downstream People (2006), Downstream Impacts of Hydropower and Development of an International River: A Case Study of Lancang-Mekong (2004), Development Disaster: JapaneseFunded Dam Projects in Asia (2004) และผลงานแปล เชน Citizen’s Guild to the World Commission on Dams: A New Framework for Decision-Making
341
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ภาคผนวก
มนตรี จันทวงศ จบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร เคยมีประสบการณในตําแหนงผู ประสานงานโครงการภาคเหนือ โครงการฟนฟูชีวิตและธรรมชาติ มูลนิธิฟนฟูชีวิตและธรรมชาติ ปจจุบันดํารง ตําแหนงผูประสานงานฝายเผยแพรและรณรงค โครงการฟนฟูนิเวศในภูมิภาคแมน้ําโขง มูลนิธิฟนฟูชีวิตและ ธรรมชาติ มีผลงานตีพิมพในวารสาร Wateshed: People’s Forum on Ecology และมีผลงานหนังสือ อาทิเชน Water privatisation in Thailand (2002) ถอดรหัสสงครามแยงชิงน้ํา(พ.ศ. 2546) และสาละวินบันทึกแมน้ําและ ชีวิตในกระแสความเปลี่ยนแปลง (พ.ศ. 2550) โยธิน วรารัศมี จบการศึกษา ศิลปะศาสตรบัณฑิต (รัฐศาสตร) จากมหาวิทยาลัยรามคําแหง มีประสบการณทํางานดาน สื่อสารมวลชน เชน นิตยสารขาวกรอง รายการขายดวนตนชั่วโมง 43 สถานี สํานักขาวเอบีเอ็น ตอมาจึงไดหันมา ประกอบธุรกิจดานสื่อสิ่งพิมพและสื่อโทรทัศน นอกจากนีย้ ังมีงานดานบําเพ็ญประโยชนตอสังคมและการอนุรักษ สิ่งแวดลอมที่ผานมา ไดแก ผูท รงคุณวุฒิสภาวัฒนธรรมจังหวัดขอนแกน ป พ.ศ. 2538 ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ คณะกรรมาธิการเกษตรและสหกรณ สภาผูแทนราษฎร ป พ.ศ. 2542 เลขานุการประจําคณะกรรมาธิการ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม สภาผูแทนราษฎร และเปนหัวหนาโครงการเยาวชนไทยหัวใจสีเขียว สภาผูแทนราษฎร โดยปจจุบนั ดํารงตําแหนงกรรมการเลขานุการมูลนิธิน้ําและคุณภาพชีวิต ผศ. ฤกษชัย ศรีวรมาศ จบการศึกษาระดับปริญญาโท สาขาวิศวกรรมทรัพยากรน้ํา มหาวิทยาลัยขอนแกน ปจจุบันดํารงตําแหนง อาจารยประจําภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มีความรูและเชี่ยวชาญ ดานทรัพยากรน้ําและระบบสารสนเทศภูมิศาสตร (GIS) โดยมีผลงานดานทรัพยากรน้ําที่สําคัญจาการดํารงตําแหนง หัวหนาโครงการแบบจําลองสภาพน้ําทวมพื้นที่ริมตลิ่งแมน้ํามูลเพื่อทราบระดับน้ําและพื้นที่ทวมนองบริเวณเขต เทศบาลนครอุบลราชธานีและเทศบาลวารินชําราบ หัวหนาโครงการศึกษาและวางแผนการจัดการลุมน้ําขนาดเล็ก เพื่อแกปญหาความยากจนในพื้นที่ลุมน้ํามูลตอนลาง คณะทํางานโครงการพัฒนาลุมน้ําหวยขาวสารเพื่อแกปญหา ความยากจน คณะทํางานโครงการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดลอมและดานสังคมโครงการฝายหัวนา และคณะทํางาน โครงการศึกษาศักยภาพและพัฒนาพลังน้ําขนาดเล็กเพื่อการผลิตไฟฟาในพื้นที่ลุมน้ํามูล
342
แนะนําผู้เขียน
ศ.ดร. ศรีศักร วัลลิโภดม ดํารงตําแหนงอาจารยสอนวิชามานุษยวิทยาที่คณะสังคมศาสตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม เปนเวลา 2 ป หลังจากนั้นไดรับงานอาจารยประจําในภาควิชามานุษยวิทยา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร โดยไดรับเชิญ ใหไปสอนวิชาโบราณคดีประเทศไทยที่มหาวิทยาลัยคอรแนลใน พ.ศ. 2523 และใน พ.ศ. 2529 ไดรับเชิญใหไป ร ว มงานค น คว า เกี่ ย วกั บ ชุ ม ชนโบราณในประเทศไทยและประเทศญี่ ปุ น กั บ นั ก วิ ช าการญี่ ปุ น ที่ Centre for Southeast Asian Studies ของมหาวิทยาลัยเกียวโต ไดรับเชิญใหไปรวมประชุมและเสนอผลงานในการประชุม ระหวางประเทศที่สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ญี่ปุน อังกฤษ นิวซีแลนด ฟลิปปนส เกาหลี อินโดนีเซีย ศรีลังกา ฯลฯ ใน พ.ศ. 2548 ไดรวมเปนคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันทแหงชาติ และไดรับรางวัลวัฒนธรรมแหงเอเชีย เมืองฟูกูโอกะ ประเภทผลงานวิชาการ ครั้งที่ 18 ประจําป พ.ศ. 2550 (The 18th Fukuoka Asian Culture Prizes 2007, Academic Prize) ปจจุบันเปนนักวิชาการอิสระ, ที่ปรึกษามูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ, กรรมการของ ศูนยมานุษยวิทยา สิรินธร ฯลฯ ดร. ศิริพงศ หังสพฤกษ จบการศึกษาระดับปริญญาเอก สาขาวิศวกรรมโยธา จากมหาวิทยาลัยคอรแนล (Cornell University) ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ผานมาไดรับราชการในตําแหนงรองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม หัวหนากลุมภารกิจดานทรัพยากรน้ําในแผนดิน โดยปจจุบันดํารงตําแหนง อธิบดีกรมทรัพยากรน้ํา กรรมการและ เลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ําแหงชาติ และคณะกรรมการรวมในคณะกรรมาธิการแมน้ําโขงแหงชาติไทย สนั่น ชูสกุล จบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตรมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร ปจจุบันดํารงตําแหนง ผูอํานวยการโครงการทามมูน องคกรพัฒนาเอกชนซึ่งทํางานสงเสริมดานสิทธิชุมชน การฟนฟูทรัพยากรธรรมชาติ ในพื้นที่ลุมน้ํามูน 6 จังหวัด และเปนหัวหนาโครงการวิจัยสิทธิชุมชนศึกษาภาคอีสาน นอกจากนี้ ยั ง มี ผ ลงานตี พิ ม พ ด า นสิ่ ง แวดล อ ม เช น งานวิ จั ย สิ ท ธิ ชุ ม ชนลุ ม น้ํ า มู น งานเขี ย นหนั ง สื อ “ป า ทาม ปาไทย” (พ.ศ. 2544) คูมือการจัดการปาทามโดยองคกรชุมชนประสบการณการจัดการทรัพยากรชุมชนตาดฟาดง สะคราน (พ.ศ. 2545) ปาทาม พื้นที่ชุมน้ําโลก (พ.ศ. 2550) งานคนควาเรียบเรียง บทความ-สารคดี และนวนิยาย สมคิด สิงสง ผูนํ า พาชาวบ า นเคลื่ อ นไหวปรั บ ปรุง ชี วิ ต ความเป น อยู ภายใต ห ลั ก การพึ่ ง ตนเอง เคยรั บเลื อ กให เ ป น ผูใหญบาน เปนสมาชิกสภาองคการบริหารสวนตําบล และเคยดํารงตําแหนงนายกองคการบริหารสวนตําบล และ ไดรับเลือกสรรใหเปนอนุกรรมการลุมน้ําชีตอนบน ในฐานะผูแทนองคกรปกครองสวนทองถิ่นจังหวัดขอนแกน (พ.ศ.2547) และเปนผูบุกเบิกงานบริหารจัดการระบบลุมน้ํา จนถึงขณะนี้ลุมน้ําหวยสามหมอไดกลายเปนโครงการ นํารองของกรมทรัพยากรน้ําในเรื่องการบริหารจัดการเปนระบบลุมน้ําในพื้นที่ลุมน้ําชี และเปนโครงการนํารองของ คณะกรรมาธิการแมน้ําโขง (MRC) ในเรื่องการวางแผนการจัดการลุมน้ําในพื้นที่วิกฤติ นอกจากนี้ยังมีงานเขียนและ แตงเพลงใหกับวงคาราวานโดยเพลงที่มีชื่อเสียง เชน คนกับควาย ขาวลาลาน เปนตน
343
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ภาคผนวก
สรรคสนธิ บุณโยทยาน จบการศึกษาวิทยาศาสตรบัณฑิตสาขากสิกรรมและสัตวบาล (Agriculture and Animal Husbandry) มหาวิทยาลัยเกษตรแหงรัฐปนจาบ (Punjab Agricultural University) ประเทศอินเดีย เคยรับราชการที่กรมการ พัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ในตําแหนงพัฒนากรตรีและโอนมาปฏิบัติราชการที่สํานักงานปลัดกระทรวง เกษตรและสหกรณ นอกจากนี้ยังเปนกรรมการสภาผูทรงคุณวุฒิของมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร และมี ประสบการณเปนที่ปรึกษา (short term consultant) ใหกบั องคกรระหวางประเทศ เชน USAID UNDP FAO และ World Bank ในโครงการพัฒนาชนบท และโครงการพัฒนาเกษตร-ชลประทาน รวมถึงเปนวิทยากรพิเศษดาน ดาราศาสตรและโบราณคดี จากผลงานหนังสือ สุริยะปฏิทินพันป ปจจุบันดํารงตําแหนงเกษตรและสหกรณ จังหวัด สกลนคร อาคม เติมพิทยาไพสิฐ จบการศึกษาระดับปริญญาโท สาขาเศรษฐศาสตร มหาวิทยาลัยวิลเลี่ยม (Williams College) ประเทศ สหรัฐอเมริกา ปจจุบันรับราชการในตําแหนงรองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติ ผูประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา ผูบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง และยังเปนกรรมการรัฐวิสาหกิจ หลายแห ง ได แ ก กรรมการการไฟฟ า ฝ ายผลิ ต แห ง ประเทศไทย กรรมการบริ ษั ท กสท โทรคมนาคม จํ า กั ด (มหาชน) กรรมการบริษัททาอากาศยานไทยจํากัด (มหาชน) กรรมการบรรษัทบริหารสินทรัพยไทย นอกจากนี้ยัง ดํ า รงตํ า แหน ง เป น ที่ ป รึ ก ษาคณะกรรมการเศรษฐกิ จ หอการค า ไทย ที่ ป รึ ก ษาคณะกรรมการวิ ช าการ สภา อุตสาหกรรมแหงประเทศไทย กรรมการบริหารศูนยเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกสและคอมพิวเตอรแหงชาติ และ กรรมการสภาการศึกษาผูทรงคุณวุฒิของโรงเรียนนายรอยตํารวจ
344
ประมวลภาพจากที่ประชุม
ประมวลภาพจากที่ประชุม
กลาวตอนรับ โดย ศ.ดร.สนิท อักษรแกว ประธานสถาบันสิ่งแวดลอมไทย และกรรมการสิ่งแวดลอมแหงชาติ
เสวนาเชิงนโยบาย “ทิศทางประเทศไทยในการสงเสริมการพัฒนาอยางยั่งยืนของลุมแมน้ําโขง” โดย คุณกฤต ไกรจิตติ อธิบดีกรมเศรษฐกิจระหวางประเทศ ดร.ศิริพงศ หังสพฤกษ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ํา คุณอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รองเลขาธิการสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติ 345
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ภาคผนวก
บรรยากาศการสัมมนา ชวงเสวนาเชิงนโยบาย
346
ประมวลภาพจากที่ประชุม
ผูดําเนินรายการและวิทยากร กลุมที่ 1: การจัดการน้ําในลุมน้ําโขงในสวนของประเทศไทย-โครงการขนาดใหญ
ผูดําเนินรายการและวิทยากร กลุมที่ 2: การจัดการน้ําในลุมน้ําโขงในสวนของประเทศไทย-โดยการมีสวนรวมของประชาชน
347
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ภาคผนวก
ผูดําเนินรายการและวิทยากร กลุมที่ 3: ความหลากหลายทางชาติพันธุ วัฒนธรรม และทรัพยากรชีวภาพในลุมน้ําโขง
ผูดําเนินรายการและวิทยากร กลุมที่ 4: ประเทศไทยและความรวมมือระดับภูมิภาคในการจัดการน้ําในแมน้ําโขง
348
ประมวลภาพจากที่ประชุม
บรรยากาศการสัมมนากลุมยอย
349
รายงานการประชุม “องค์ความรู้แม่น้ําโขงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ภาคผนวก
บรรยากาศการสัมมนากลุมยอย
350