A DECADE
OF READING
Begin... มนุ ษ ย์ เ จริ ญ ก้ า วหน้ าได้ ด้ ว ยนวั ต กรรมและความคิ ด สร้ า งสรรค์ ใ หม่ ๆ แต่ ค� ำ ถามคื อ เราจะมี วิ ธี ก ารอย่ า งไรเพื่ อ ท� ำให้ ม นุ ษ ย์ เ กิ ด แรงบั น ดาลใจและ จินตนาการในการสร้างสรรค์ส่ิงใหม่ๆ ขึ้นมาในโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพัฒนาความคิดของเด็กและเยาวชนที่ก�ำลังเติบใหญ่ ขึ้นมาเป็นก�ำลังส�ำคัญของประเทศ ในอนาคต นี่คือพันธกิจส�ำคัญที่อุทยานการ เรียนรู ้ ทีเค ปาร์ค มีความตั้งใจมาโดยตลอด นับตั้งแต่เริ่มจัดตั้งขึ้นตามพระ ราชกฤษฎีกาจัดตั้งส�ำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู ้เมื่อ พ.ศ. 2547 โดย มีวัตถุประสงค์เพื่อมุ ่งเน้นการสนับสนุนและส่งเสริมกระบวนการกระจายโอกาส เรียนรู ้สาธารณะ ภายใต้บรรยากาศที่ทันสมัย และเอื้อต่อการท�ำกิจกรรมของ ครอบครัว ท�ำให้เยาวชนและผู ้แสวงหาความรู ้ มีโอกาสเติมเต็มศักยภาพใหม่ๆ ผ่านหนังสือ ดนตรี กิจกรรม และสื่อมัลติมีเดีย เพื่อไปสู่เป้าหมายของการศึกษา ที่ไม่มีท่ีสิ้นสุด และเป็นการพัฒนาทุนทางปั ญญาให้กับสังคมไทย มาถึงวันนี้ อุ ทยานการเรียนรู ้ ทีเค ปาร์ค ได้ด�ำเนินกิจกรรมการเรียนรู ้มา ถึงปี ที่ 10 แล้ว เรายังคงมุ ่งหวังที่จะเป็นพื้นที่สร้างสรรค์ต้นแบบของสังคมไทย ในวาระดังกล่าวนี้ เราจึงได้จัดท�ำหนังสือครบรอบ 10 ปี ทีเค ปาร์คขึ้น โดยน�ำ เสนอเรื่องราวของการอ่าน ผ่านแง่มุมต่างๆ ที่น่าสนใจ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจ ส�ำคัญในการต่อยอดความคิด สร้างชี วิตและจินตนาการ ไปสู่การสร้างสรรค์ พัฒนาองค์ความรู ้อย่างมีคุณภาพ สมกับที่เราตั้งใจมาจนถึงวันนี้ เราจะยั ง คงมุ ่ ง มั่ น ด� ำ เนิ น งานต่ อไป เพื่ อให้ เ ยาวชนไทยได้ ก้ า วไปสู่ ค วาม เป็นเลิศด้านทางความคิด เพื่อสร้างสังคมบนพื้นฐานการพัฒนาประเทศตาม แนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ต่อไป อุ ทยานการเรียนรู้
A DECADE OF READING
Begin Again... ผมก�ำลังพยายามคิดที่จะเขียนอะไรสักอย่างให้ตัวเองในอีก 10 ปี ข้างหน้าอ่านแล้วไม่รู้สึกขวยเขิน คาดว่า-หลายคนน่าจะเคยเป็น เวลาค้นบ้าน จัดบ้านแล้วเผลอไปเจอไดอะรี่หรือสมุ ดจดที่เคยเขียนเรื่อง ราวต่างๆ เอาไว้เมื่อนานมาแล้ว พอเอากลับมาเปิ ดอ่านจะรู ้สึกขนลุก-จัก๊ จี้พิลึก ไม่รู้ว่าตัวเองเขียนเข้าไป ได้ยังไง เท่าที่รู้จักพี่นักเขียนหลายๆ คน เมื่อพู ดถึงหนังสือที่พวกเขาเคยเขียนเมื่อหลายปี ก่อนก็เป็นแบบนี้เหมือน กัน หลายคนมักออกอาการขวยเขิน พู ดถึงเนื้อหาในตอนนั้นก็รู้สึกแปลกๆ ชอบกล บางที-ทุกคนในที่นี้ก็อยากมีช่วงเวลาอย่างนั้นเหมือนกัน นี่เป็นการรวมตัวของเหล่าบุ คคลผู ้มีใจรักในการท�ำหนังสือสักเล่ม(หรือหลายๆ เล่ม-ถ้ามีโอกาส) เป็น จุ ดเริ่มต้นและเป็นก้าวเล็กๆ ที่น�ำไปสู่การเป็นนักท�ำหนังสือที่ดี ผมดีใจมากที่ได้มีโอกาสเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง ได้เห็นการท�ำงานของหมู ่คนที่ชอบอะไรคล้ายๆ กัน พลัง การสร้างสรรค์ของทุกคนท�ำให้ผมรู ้สึกตื่นตา หลากหลายมุ มมองท�ำให้ผมเห็นความคิดที่ตัวเองไม่เคยนึกถึง ที่น่ีเหมือนเป็นสนามเด็กเล่นของพวกเรา เล่นเหนื่อยก็หยุ ดพักบ้าง แต่ท่ีแน่ๆ ทุกคนเล่นได้ไม่เคยเบื่อ มีความ สุขที่จะเล่นอยู ่ตรงนี้ทั้งวัน และทุกคนคงยินดีท่ีจะเขิน หากมีโอกาสได้มีหนังสือรวมเล่มเป็นของตัวเองสักเล่มหนึ่ง เอาเข้าจริง-ถึงตรงนี้จุดประสงค์หลักของการเขียนครั้งนี้เริ่มเลือนราง ใช่ ตัวเองก�ำลังต้องการจะเขียน อะไรสักอย่างที่จะให้ตัวเองในอนาคตกลับมาอ่านแล้วไม่เขินรึเปล่า ช่ างปะไร จะเขินก็เขินไปสิ อนาคตเรายังไม่รู้หรอกว่าจะเป็นยังไง วันนี้มีโอกาส ท�ำตรงนี้ให้ดีท่สี ุดก่อนก็พอ (ขอพื้นที่สวัสดีตัวเองในอนาคตหนึ่งวงเล็บ-สวัสดีนะแก เราเอง ตัวแกในอดีตไง) ศุภวิทย์ น้อมเกียรติกุล บรรณาธิการ
A DECADE OF READING ผลิตโดย
_ส�ำนักงานอุ ทยานการเรียนรู ้ สังกัดส�ำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู ้ (องค์การมหาชน) เลขที่ 999/9 อาคารส�ำนักงานเซ็นทรัลเวิลด์ ชั้ น 17 ถนนพระราม 1 แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุ งเทพฯ 10330 โทรศัพท์ : 02 264 5963-5 โทรสาร: 02 264 5966
ที่ปรึกษา
_ดร.ทัศนัย วงศ์พิเศษกุล รองผู ้อ�ำนวยการส�ำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู ้ และผู ้อ�ำนวยการส�ำนักงานอุ ทยานการเรียนรู ้ _อัศรินทร์ นนทิหทัย หัวหน้าฝ่ ายกิจกรรม www.tkpark.or.th www.facebook.com/tkparkclub www.facebook.com/readmeegazine
บรรณาธิการที่ปรึกษา _จั กรพันธ์ ขวัญมงคล บรรณาธิการ _ ศุภวิทย์ น้อมเกียรติกุล
กองบรรณาธิการ
_แพรวา มั่นพลศรีี / ศุภวิทย์ น้อมเกียรติกุล / ปริญญา ก้อนรัมย์ / ภคณัฐ ทาริยะวงศ์ / สรพงศ์ อ่องแสงคุณ
ถ่ายภาพ
_วิชญ์พล พลพิทักษ์ชัย
ศิลปกรรม
_ชั ชนัย เจริญสุข ชุดอักษร EDPensook,ThaiSans Neue และ WP DOMINO novel vector designed by Freepik.com
6
p.
Something, Sometimes, Someday
14
p.
10 YEARS TK PARK: A DECADE OF READING 94
p.
80
p.
ที่รัก
8 Thailand
p.
Reading Culture 86
p.
ท�ำไม ‘ไทย’ อ่านน้อย ท�ำอย่างไร ‘ใครๆ’ จึงอ่านมาก
CONTENT
กิจกรรมสานฝั น กิจกรรม TK Park
อยากเขียนหนังสือให้เธออ่าน ติดตรงที่เขียนไม่เก่ง ส่งหนังสือเล่มที่ชอบให้เธอแทน
การอ่าน จุดเริ่มต้น หลายสิ่ง หนังสือเล่มนี้ เธอ ชอบอ่าน
สนทนา กับตัวอักษร ดั่งเพื่อนสนิท
อ่านหนังสือเรื่องเดียวกัน รู้จักกัน มากขึ้น
นักเขียนแทบทุกคน เป็นนักอ่าน มาก่อน
เราพบกัน เพราะ หนังสือ
เรียนรู้ ประสบการณ์ผู้อื่น ด้วยการอ่าน แรงบันดาลใจ อยู่ใน ตัวอักษร
สนุกจนละสายตาไม่ได้ หนังสือบางเรื่อง ให้ความรู้สึกอย่างนั้น
ไม่ชอบอ่านไม่เป็นไร เอาไหม เดี๋ยวฉันอ่านให้ฟัง
กาแฟสักแก้ว หนังสือสักเล่ม ความสุขง่ายง่าย
6
SOME.. S O M E . S O M E .
A DECADE OF READING
อ่าน เพื่อ เปิด
เรื่อง : ศุภวิทย์ น้อมเกียรติกุล facebook.com/bastetcanto
C A N T O S หนังสือเล่มหนึ่ง มีความหมาย เพราะเราเคยอ่านด้วยกัน
.THING . . T I M E . . D A Y
เดินทาง ด้วย จินตนาการ
อ่านรวดเดียวจบ ไม่หนังสือเล่มเล็กมาก เรื่องนั้นก็สนุกมาก
สัญญาณของการเติบโต หนังสือเล่มโปรด เปลี่ยนไป
หนังสือบางเล่ม อยู่ในใจ เสมอ
แนวหนังสือที่ชอบแตกต่าง ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็คือการอ่านเหมือนกัน
ไม่ค่อยชอบอ่าน ดูหนังสือภาพ ก็ได้
7
ตัวอักษรพลัดถิน่ __จุ ด เปลี่ ย นครั้ ง ส� ำ คั ญ ของวงการหนั ง สื อ เริ่ ม ต้ น ในช่ ว ง ศตวรรษที่ 19 ในยุคที่โครงข่ายใยแก้วเริ่มเข้ามามีบทบาทใน การก่อให้เกิดเว็บไซต์ตา่ งๆ บนโลกอินเทอร์เน็ต ท�ำให้จากเดิม ข้อมูลที่จ�ำกัดอยู่เพียงบนหน้ากระดาษ ได้เริ่มย้ายถิ่นฐานมา อยู่ในรูปแบบดิจิทัลมากขึ้น การเสพข้อมูลแบบเดิมที่ต้องเปิด หน้าหนังสืออ่านทีล่ ะหน้า กลายมาเป็นการเลือ่ นหน้าเพจขึน้ ลง ข้อมูลมหาศาลต่างกระจัดกระจายไร้ทิศทาง ภายในข้อจ�ำกัด เดิมๆ ที่ต้องอาศัยการข้อมูลขนส่งผ่านกระดาษหรือระยะทาง ก็ถูกท�ำลายไปแทบทั้งสิ้น ท�ำให้เรียกว่าเป็นยุค ‘Information Age’ ที่มีการเฟื่องฟูของข้อมูลข่าวสารเป็นอย่างมาก
จง
อ่าน ออก
เ สี ย ง (ให้ถูกต้อง)
__นับตั้งแต่นั้นการเปลี่ยนแปลงก็เริ่มเกิดขึ้นที่ละเล็กละน้อย ธุรกิจสิง่ พิมพ์เริม่ ถูกตัง้ ค�ำถามถึงอนาคตว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่ ใ นช่ ว งแรกการเปลี่ ย นแปลงก็ ยั ง เป็ น ไปอย่ า งแช่ ม ช้ า เพราะการเข้าถึงเทคโนโลยีทยี่ งั น้อย และความไม่สะดวกสบาย ของการจะเชื่อมต่อข้อมูลในอินเทอร์เน็ต
เรื่อง : ปริญญา ก้อนรัมย์
__กล่าวกันตามตรง พฤติกรรมการอ่านของคนไทยในช่ วง 5-10 ปี ท่ี ผ่านมามีความเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด สอดรับกับธุ รกิจสิ่งพิมพ์ ที่ได้รบั ผลกระทบจากกระแสธารของเทคโนโลยีดจิ ทิ ลั ที่เข้ามามีอทิ ธิพล ต่อผู ้บริโภคเป็นอย่างมาก พู ดให้เห็นภาพ ลองกวาดตาไปในสังคมเรา ทุกวันนี้ ภาพที่เห็นบนรถไฟฟ้า ม้านั่งสาธารณะ รถเมล์ หรือแม้ กระทั่งสถานที่อย่างห้องสมุ ด แทบทุกที่ผู้คนล้วนก้มหน้าใช้เวลาของ ตัวเองอยู ่แต่กับหน้าจอสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต เลือกใช้จ่ายวันเวลา ไปกับเทคโนโลยีแบบใหม่ท่ีไร้กลิ่นกระดาษ และสีของหมึกด�ำเปื้ อนมือ อย่างในอดีต __แต่การจะกล่าวว่าเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่ทำ� ให้ผูค้ นในปั จจุ บันอ่านหนังสือ น้อยลง (เฉลี่ยเหลือเพียงปี ละ 8 บรรทัดตามที่ว่าๆ กัน) ก็ดูจะเป็นการ รีบด่วนตัดสินจนเกินไป ค�ำถามที่นา่ สนใจกว่าคือการพยายามท�ำความ เข้าใจว่าในขณะที่โลกเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน เราควรจะปรับตัว และ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการอ่านของเราอย่างไร
8
__จนกระทั่งปี ค.ศ.2007 คลื่นของความเปลี่ยนแปลงขนาด ยักษ์กถ็ าโถมเข้ามา เมือ่ บริษทั แอปเปิล้ ของ สตีฟจ๊อป ได้เปิดตัว ‘iPhone’ สมาร์ทโฟนเครื่องแรกๆ ของโลก เปลี่ยนแปลงโลก แห่งการสื่อสารและการเข้าถึงข้อมูลไปอย่างสิ้นเชิง จนท�ำให้ เราเริ่มก้าวเข้าสู่ยุค ‘Post-PC Era’ ยุคที่คอมพิวเตอร์มีความ ส�ำคัญลดน้อยลง และถูกแทนที่ด้วยอุปกรณ์สื่อสารแบบพก พาอย่างที่เราเห็นสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตหลากยี่ห้อออกมา ให้เลือกซื้อกันไม่เว้นแต่ละวัน และกระแสดังกล่าวถูกตอกย�้ำ เพิม่ อีกครัง้ ในปีเดียวกันโดยเจฟเบซอส ผูก้ อ่ ตัง้ Amazon.com เองก็เปิดตัว ‘Kindle’ อุปกรณ์อา่ นหนังสือแบบพกพาตัวแรก
A DECADE OF READING
และเป็นที่ยอมรับในสหรัฐอเมริกาอย่างรวดเร็ว ท�ำให้เกิดกระแสของการอ่านและผลิต E-book หรือหนังสือในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ขึ้นมา __การมาถึงของอุปกรณ์สื่อสารและอ่านข้อมูล แบบพกพาไม่ ไ ด้ นำ�มาแค่ เ พี ย งพฤติ ก รรมการ บริโภคของผู้อ่านที่เปลี่ยนไปเท่านั้น หากแต่ยัง เป็นการเกิดขึ้นของ New Media ใหม่ๆ ทำ�ให้เกิด ค ว า ม นิ ย ม ใ น ก า ร เ ส พ ค ว า ม บั น เ ทิ ง ใ น ช่ อ งทางใหม่ ๆ อย่ า ง Youtube เกิ ด สั ง คม โซเชี ย ลเน็ ต เวิ ร์ ค อย่ า ง Facebook Twitter Instagram ฯลฯ ทำ�ให้เม็ดเงินโฆษณาที่แต่เดิม เป็นรายได้หลักที่หล่อเลี้ยงธุรกิจสิ่งพิมพ์จำ�พวก นิตยสาร และหนังสือพิมพ์ ถูกแบ่งไปยังมีเดียอืน่ ๆ จนทำ�ให้บางรายถึงกับล้มหายตายจากไป ยก ตั ว อย่ า งที่ ชั ด เจนที่ สุ ด ก็ คื อ การยุ ติ ก ารตี พิ ม พ์ ในรู ป แบบกระดาษของนิ ต ยสารข่ า วอย่ า ง Newsweek ในสหรัฐฯ ทั้งที่เป็นสื่อที่ได้รับความ นิยมเป็นอันดับ 2 รองจาก TIME ในปี ค.ศ.2012 และย้ายตัวเองมาอยูใ่ นรูปแบบดิจทิ ลั อย่างเต็มตัว ทำ�ให้สื่อสิ่งพิมพ์และนักอ่านทั้งหลายเริ่มปรับตัว ครั้ ง มโหฬารเพื่ อ รั บ กั บ การโยกย้ า ยถิ่ น ฐาน ของตัวอักษรไปอยูใ่ นรูปแบบดิจติ ลั อย่าง E-book เรียกว่าเป็นการเปลี่ยนรูปแบบการทำ�และเสพ หนังสือไปอย่างสิ้นเชิง
ในปี 2010 หลังจากการเปิดตัวของ iPad ที่ ส อดรั บ กั บ การเริ่ ม ต้ น ของ E-book ท� ำ ให้ ผู ้ ค นเริ่ ม นิ ย มหั น มาอ่ า นนิ ต ยสาร หนังสือพิมพ์และการ์ตูนในรูปแบบดิจิทัล มากขึ้น ส่งผลให้ ‘OKKBEE’ แอพพลิเคชั่น ขายหนังสือออนไลน์สัญชาติไทยถือก�ำเนิด ขึน้ มา โดยการก่อตัง้ ของ ณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ และเพียง 3 ปีก็มียอดดาวน์โหลดกว่า 5 ล้านครั้ง อีกทั้งยังขยายตลาดไปยังประเทศ เพื่อบ้านอย่าง สิงค์โปร มาเลเซีย เวียดนาม ฯลฯ อีกด้วย
__ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 เมื่อเทคโนโลยีและ อุปกรณ์สอื่ สารแบบพกพาถูกพัฒนาให้ยงิ่ ทันสมัย บวกกับความนิยมที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ของการ อ่านแบบดิจิทัลท�ำให้การเสพข้อมูลข่าวสารของ นักอ่านเปลี่ยนแปลงไปอย่างเต็มตัว และโซเชียล เน็ตเวิรก์ ได้กา้ วเข้ามามีบทบาทส�ำคัญของคนเสพ ข่าวสารข้อมูลในปัจจุบัน
อยู่แต่ในกระดาษแบบเดิม ปัจจุบันได้ย้ายมาอยู่ ในรูปแบบดิจิทัลแทบจะหมดแล้ว ดังนั้นเวลาที่ เราใช้เวลาอยูก่ บั โซเชียลเน็ตเวิรก์ หรือท่องเว็บไซต์ ในอินเทอร์เน็ต ต้องบอกเลยว่าเรามีสิทธิ์ที่จะเข้า ถึงข้อมูลข่าวสารได้มากกว่าการรับข่าวสารแบบ เดิมด้วยซ�้ำแค่เปลี่ยนรูปแบบของ ‘การอ่าน’ ไป เท่านั้นเอง
__จากการศึกษาของเว็บ Complease.com ใน เดือนมกราคม ค.ศ. 2009 Facebook ได้กลาย มาเป็ น เครื อ ข่ า ยสั ง คมออนไลน์ ที่ มี ค นใช้ ม าก ที่สุดในโลกโดยมีผู้ใช้กว่า 135.1 ล้านคน นับแค่ เพียงในสหรัฐอเมริกา และในปี 2011 ยอดผู้ใช้ ของ Facebook ก็ทะลุไปกว่า 584,628,480 คน ทั่วโลก และยังไม่นับโปรแกรมสื่อสารออนไลน์ อื่นๆ อย่าง Twitter หรือ Instagram เราจะเห็นได้ ว่านิตยสาร ส�ำนักข่าว หรือแม้แต่ส�ำนักพิมพ์ดังๆ ต่างต้องเปิดหน้าเพจ Facebook หรือมีแอคเคาท์ Twitter และ Instagram เพือ่ เป็นพืน้ ทีใ่ นการบอก เล่าข่าวสารของตัวเอง นั่นเพราะความนิยมของ การเสพข้อมูลบนกระดาษที่ค่อยๆ หดหาย อีกทั้ง ยังมีการส่งข่าวสารที่รวดเร็วแบบนาทีต่อนาที จึง ท�ำให้วัฒนธรรมการรออ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ ของพรุ่งนี้ จากนิตยสารของอีกเดือนหนึ่งลดน้อย ลงอย่างเห็นได้ชัด
__แต่ก็ต้องยอมรับว่าในยุคของข้อมูลที่ล้นทะลัก ออกมาอย่ า งมหาศาล ทำ�ให้ เ ราอาจจะไม่ ไ ด้ ข่าวสารทีม่ คี ณ ุ ภาพและถูกต้องทัง้ หมด สิง่ สำ�คัญ ในเวลานีไ้ ม่ใช่การนัง่ กังวลว่าเราอ่านน้อยไปหรือไม่ แต่เป็นการที่เราจะเลือกอ่านอะไร และเชื่อได้แค่ ไหนมากกว่า
__ค�ำถามโตๆ ที่น่าสนใจส�ำหรับการเกิดขึ้นของ อินเทอร์เน็ตคือ การเสพข้อมูลแบบดิจิตัลท�ำให้ คนอ่านหนังสือน้อยลงหรือเปล่า? เชือ่ ว่าวาทกรรม ที่บอกคนไทยอ่านหนังสือปีละ 8 บรรทัดยังคงถูก หยิบยกมาใช้อยูใ่ นทุกวัน โดยเฉพาะเมือ่ ภาพของ คนยุคใหม่ที่ถือสมาร์ทโฟนและก้มหน้าอยู่กับจอ ตลอดเวลา นัน่ ยิง่ ตอกย�ำ้ ให้ใครหลายๆ คนมองว่า เราอ่านหนังสือกันน้อยลง ก็อาจจะถูกที่เป็นแบบ นัน้ แต่ถา้ ไล่เรียงย้อนไปดูการขยับตัวของรูปแบบ การส่งข้อมูลข่าวสาร ต้องบอกว่าตัวหนังสือทีเ่ คย
__อย่ า งไรก็ ต ามจะเป็ น ในอดี ต หรื อ ในวั น ที่ กระแสธารของข้อมูลไหลอย่างไม่หยุดยั้งอย่าง ทุกวันนี้ การอ่านเป็นเรื่องปัจเจกที่มนุษย์ทุกคน ต้องตัดสินใจเองทั้งสิ้น
ผลงานวิจยั โดย Nicolas Carr ในปี ค.ศ.2008 ระบุวา่ อินเทอร์เน็ตมีตอ่ การเปลีย่ นแปลงการ เชื่อมโยงในสมองมนุษย์ โดยตลอดเวลาที่ มนุษย์ใช้อนิ เทอร์เน็ต จะท�ำให้เกิดการจัดเรียง กระบวนการคิดของสมองแบบใหม่ จากการ เสพข้อมูลทีเ่ ป็นภาพ และการเปลีย่ นหน้าจอ ทีร่ วดเร็ว ท�ำให้เราเลิกวิเคราะห์สงิ่ ต่างๆ อย่าง ละเอียดถี่ถ้วน หลายคนถึงขนาดเลิกอ่าน หนังสือ และหันไปเสพข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต เพียงอย่างเดียว ท�ำให้มคี วามสามารถในการ คิดอะไรทีซ่ บั ซ้อนได้นอ้ ยลงและมีการยืนยัน ว่าการอ่านหนังสือเป็นการรับข้อมูลทีเ่ หมาะ สมกับสมองของมนุษย์ทสี่ ดุ แล้ว
9
Booker’s Survive :
หนทางเอาตัวรอด ของคนทำหนังสือยุคใหม่ __เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น มนุษย์ก็ต้องปรับตัว และในแวดวงหนังสือของไทยในปัจจุบัน นอกจาก การเกิดขึ้นของหนังสือออนไลน์อย่าง E-book การใช้ เครือ่ งมือสือ่ สารใหม่ๆ เพือ่ สร้างพืน้ ทีอ่ อนไลน์ของตัว เองแล้ว สิ่งที่เห็นได้ชัดอย่างหนึ่งคือการปรับตัวและ พยายามจะอยูใ่ ห้ได้ของหนังสือรูปแบบเก่าท�ำให้เกิด New Business Model ใหม่ๆ ขึ้นมา รวมทั้งกลยุทธ์ ทางการตลาดต่างๆ มากมาย ที่ถูกน�ำมาใช้เพื่อจุด กระแสความนิยมให้คนหันมาสนใจหนังสืออีกครั้ง
ต้องใช้การพิมพ์ครั้งละจ�ำนวนมากๆ เพื่อน�ำไปวาง ขายตามหน้าร้าน โดยวิธีนี้จะอาศัยการประกาศทาง เว็บไซต์หรือโปรแกรมโซเชียลมีเดียอย่างการเปิดเพจ ใน Facebook เพื่อเป็นหน้าร้านในการกระจายข่าว และรับสั่งสินค้า เช่น สะกดรอยหนัง ที่ใช้หน้าเพจใน การตลาดและรับออเดอร์ หรือวรรณกรรมคลาสสิค อย่างเรื่อง สีแดงกับสีด�ำ ของส�ำนักพิมพ์สามัญชน __New Business Model แบบแรกที่เกิดขึ้นก็คือ และ 5 อัญมณี ของ Bookvirus ที่มีการพรีออเดอร์ใน การระดมทุนเพื่อพิมพ์หนังสือแบบ Crowdfund- การจัดพิมพ์เช่นกัน เรียกว่าเป็นโมเดลใหม่ทลี่ ดต้นทุน ing โดยใช้การเปิดเว็บไซต์ และเรี่ยไรระดมเงินทุน และความเสี่ยงของส�ำนักพิมพ์เป็นอย่างดี เพื่ อ พิ ม พ์ ห นั ง สื อ อย่ า งเว็ บ ไซต์ ร ะดั บ โลกเช่ น kickstarter.com, unbound.co.uk และถ้าเป็นใน __การโฆษณาหนั ง สื อ วิ ธี ก ารส� ำ คั ญ ที่ จ ะท� ำ ให้ ประเทศไทยก็เช่นการเกิดขึน้ ของ afterword โครงการ หนังสือให้อยู่ได้ในปัจจุบันคือคนท�ำหนังสือต้องไม่ ระดมทุนพิมพ์หนังสือรูปแบบใหม่ ที่ให้นักเขียนที่ เพียงแค่ขายหนังสืออีกแล้ว แต่ต้องขายจุดเด่นของ มีผลงานน่าสนใจส่งผลงานเขามาระดมทุน ซึ่งเป็น ตัวเองและหนังสือให้เป็นอีกด้วย กลยุทธ์ท างการ ผลงานของ พราวพรรณราย มั ล ลิ ก ะมาลย์ และ ตลาดจ�ำนวนมากมายจึงถูกน�ำมาปรับใช้ในปัจจุบัน กิตติศักดิ์ ปัญญาจิรกุล สองนักคิดรุ่นใหม่ โดยใน โดยการตลาดที่เห็นได้ว่าเป็นที่นิยมมากก็คือการ เวลานี้ afterword ได้ระดมทุนผลิตหนังสือได้ส�ำเร็จ ท�ำ Viral Marketing ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดเลยก็คือ ไปแล้วถึง 3 เล่มด้วยกันได้แก่ Creativity Hunter, คลิป BKK 1st Time : ตอนโดนคนไทยด่าครั้งแรก หลับตาดูหนัง และ เรือ่ งเล่าจากเงาฝัน หรือการระดม ทีถ่ กู ปล่อยออกมาโปรโมทหนังสือ New York 1st Time ทุนพิมพ์หนังสือคลาสสิคอย่าง The Republic ของ นิวยอร์กตอนแรกๆ ของ ธนชาติ ศิริภัทราชัย ที่ท�ำ กลุ่มวรรณกรรมไม่จ�ำกัด เหล่านี้นับเป็นตัวเลือกของ ยอดขายถล่ ม ทลายในงานมหกรรมหนั ง สื อ ครั้ ง ที่ ทั้งคนท�ำหนังสือ และนักอ่านที่นา่ สนใจอีกทางหนึ่ง 18 จนท�ำให้งานมหกรรมหนังสือครัง้ ล่าสุด ‘ลุงจอนห์’ หรือนายเนลสัน ฮาว พระเอกในคลิปบินตรงมาจาก __โมเดลธุ ร กิ จ อย่ า งที่ ส องคื อ กระแสการจั ด พิ ม พ์ นิวยอร์กเพื่อแจกลายเซนต์หนังสือเลยทีเดียว เป็น หนังสือแบบ Print On Demand ที่ใช้การพรีออเดอร์ เครื่องยืนยันอย่างดีว่าการขายหนังสือในยุคนี้อย่าง หนั ง สื อ ในการก� ำ หนดยอดพิ ม พ์ ห นั ง สื อ โดยที่ ไ ม่ เดียวอาจจะไม่พออีกแล้ว
10
A DECADE OF READING
?
_หนังสือจะหายไปหรือไม่? __นับว่าเป็นค�ำถามโลกแตก และบาดลึกในใจของคนท�ำ หนังสือหลายคน ด้วยกระแสธารของความเปลี่ยนแปลงที่ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน เชื่อว่าคงไม่มีใครอาจตอบ ได้ว่าอนาคตเรายังจะมีโอกาสอ่านหนังสือเป็นเล่มๆ อยู่อีก หรือเปล่า แต่ในอนาคตระยะใกล้ๆ นี้ คงตอบได้วา่ ยังมีกลุ่ม คนทีห่ ลงใหลเสน่ห์ และสัมผัสของเนือ้ กระดาษ กระหายทีจ่ ะ สูดดมกลิน่ หมึกของหนังสือทีผ่ า่ นวันเวลาอยู่ แต่จะให้ฟนั ธง ลงไปว่าหนังสือ Never die ก็คงจะเป็นการอวดอ้างเกินไป
?
_มหกรรมหนั ง สื อ แห่ ง ชาติ ส ่ ง เ ส ริ ม ก า ร อ ่ า น ห รื อ ทำ�ล า ย โครงสร้างระบบหนังสือ? __มีหลายคนตั้งค�ำถามว่าการที่ประเทศไทยของเรามีการจัดงาน มหกรรมหนังสือแห่งชาติ (Book Expo) ปีละถึงสองครั้ง นั่นเป็นการ ช่ ว ยส่ ง เสริ ม วั ฒ นธรรมการอ่ า นให้ ม ากขึ้ น หรื อ เป็ น การท� ำ ลาย โครงสร้างระบบธุรกิจหนังสือกันแน่ และต้องยอมรับเลยว่า ในส่วน หนึ่งงานมหกรรมหนังสือช่วยให้ทั้งส�ำนักพิมพ์ได้ลดต้นทุนจากการ เสียก�ำไรให้สายส่ง และท�ำให้นักอ่านสามารถจับจ่ายหนังสือที่ ต้องการได้ในราคาถูกลง แต่ทางกลับกัน ในระยะยาวมีบางคน วิเคราะห์ไว้วา่ งานมหกรรมหนังสือได้ทำ� ให้คนไทยเคยชินกับการซือ้ หนังสืออ่านเป็นวาระเท่านัน้ พฤติกรรมการอ่านไม่ได้แทรกซึมไปอยู่ ในวิถชี วี ติ จนเรียกว่าเป็นวัฒนธรรมได้จริงๆ เพราะหวังเพียงแต่จะรอ ซื้อหนังสือราคาถูกๆ ปริมาณเยอะๆ ในมหกรรมหนังสือแห่งชาติ เท่านัน้ ส่งผลให้สำ� นักพิมพ์ตอ้ งไปรอออกหนังสือใหม่แต่ในช่วงงาน มหกรรมหนั ง สื อ จนบางครั้ ง ต้ อ งรี บ เร่ ง ปิ ด เล่ ม จนคุ ณ ภาพที่ มี ก็ลดทอนไปกับเวลาที่น้อยลง วัฒนธรรมการอ่านของคนไทยส่วน ใหญ่ในเวลานีจ้ งึ อาจเรียกได้วา่ เป็นวาระพิเศษในรอบปีเพียงเท่านัน้
__ทุกวันนีก้ ค็ งเหมือนเราทุกคนล้วนกลับไปเป็นเด็กทีเ่ ริม่ ต้น หัดอ่านอีกครั้ง แม้เริ่มต้นจะยังอ่านอะไรได้ไม่แตกฉาน แต่ หวังว่าวันเวลาผ่านไปเราจะกลับมาอ่านกันได้อย่างถูกต้อง และแข็งแรงอีกครั้งหนึ่ง
?
_ร้านหนังสืออิสระจะตาย หรือไม่? __ผลกระทบจากความนิยมของการอ่านที่ย้ายไปอยู่ในโลก ดิจิทัลมากขึ้น บวกกับร้านหนังสือแบบเชนสโตร์ที่ผุดขึ้นตาม ห้างร้านมากมาย และพฤติกรรมของนักอ่านทีร่ อซือ้ หนังสือใน งาน Book Expo ได้เข้ามาแย่งพื้นที่และส่วนแบ่งตลาดของ ร้านหนังสือขนาดเล็กไปทั้งสิ้น ท�ำให้หลายๆ แห่งต้องปรับตัว และหาจุดเด่นให้กับร้านของตัวเองเพื่อที่จะสามารถอยู่ได้ใน ปัจจุบัน เช่น ร้าน The Booksmith ที่ขายแต่เพียงหนังสือและ นิตยสารต่างประเทศเท่านั้น หรือร้านหนังสือก็องดิด ที่ตั้งอยู่ ในโครงการ The jam factory ทีใ่ ช้บรรยากาศของทีต่ งั้ และร้าน กาแฟในการดึงดูดความสนใจนักอ่านในปัจจุบนั แต่อย่างไรก็ ยังมีความพยายามที่จะต่อสู้ของกลุ่มร้านหนังสืออิสระต่างๆ อยู่ โดยมีการก่อตั้ง สัปดาห์รา้ นหนังสืออิสระแห่งชาติ ขึ้นในปี 2013 เป็นครั้งแรกและจะจัดขึ้นทุกปี เพื่อหวังกระตุ้นความ สนใจของนักอ่านทัง้ หลายให้มาสนใจร้านหนังสือเล็กๆ มากขึน้
11
I read a book one day and my whole life was changed.
Orhan Pamuk -
A DECADE OF READING
AD AD OF OF ING
ING
DECADE DECADE READREADG
G
เรื่อง : Read me Team
_TK Park มีอายุ ครบสิบขวบแล้ว
_ตลอดศตวรรษที่ผ่านมา อุ ทยานการเรียนรู ้แห่งนี้ทำ� หน้าที่อย่างดีเยี่ยมมาโดยตลอด เป็นแหล่งความรู ้ท่พ ี ร้อม ่ ่ ่ ่ ต้อนรับผู ้แสวงหาความรู ้อย่างยินดี ภายในอุ ทยานแห่งนี้มีสอื ความรู ้หลากหลายรู ปแบบ แต่สอื ทีมีเยอะทีสุดนั่นก็ คือสื่อสิ่งพิมพ์ มีหนังสือมากมายที่น่าสนใจหลับใหลอยู ่ในพื้นที่แห่งนี้ รอการปลุกจากนักอ่านมากหน้าหลายตา
_พู ดถึงหนังสือแล้ว ต้องคูก่ บั การอ่าน เมื่ออ่านย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลง ฉบับพิเศษครบรอบสิบปี นเี้ ราได้รวบรวม หนังสือที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือการเริ่มต้นบางอย่าง อาจเปลี่ยนแปลงแง่ความคิด การกระท�ำ หรือทัง้ สองอย่าง และที่ยกมานี้ไม่ได้เป็นการเปลี่ยนแปลงในวงกว้างทั้งหมด อาจเป็นเพียงกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง แต่ทั้งนี้ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดและเป็นรู ปธรรม
_เล่มพิเศษนีเ้ กิดขึน้ ในรอบสิบปี หากจะเล่นเลขสิบตามคอนเซ็ปท์กท็ ำ� ได้ แต่เป็นตัวเลขที่นอ้ ยเหลือเกินส�ำหรับหนังสือ ที่กอ่ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เราจึงขออนุญาตน�ำเสนอในจ�ำนวนที่คดิ ว่าพอเหมาะมากที่สดุ จะกี่เล่มนัน้ เชิ ญพลิก หน้าต่อไปเริ่มอ่านได้เลย
พระไตรปิฎก holybible อัลกุรอาน
01.
A DECADE OF READING
ทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี เพียงแต่อาจจะมี วิธีและนโยบายในการสอนไม่เหมือนกัน ดังนั้น แต่ละ ศาสนาจึ ง จ� ำ เป็ น ต้ อ งหาอะไรบางอย่ า งเพื่ อ สร้ า งจุ ด กึ่ ง กลางทางความเชื่ อ ของผู ้ ค น ไม่ มี ข ้ อ พิ สู จ น์ ใ ดที่ สามารถบอกได้วา่ ศาสนาแรกในโลกคือศาสนาอะไร ใน อดีตเมื่อประมาณหลายพันปีมาแล้ว ผู้คนยังไร้ศาสนา แน่ชัด แล้วทั่วไปยังคงใช้ชีวิตแบบร่วมมือร่วมอาศัย ในหนังหรือละคร ไปถึงบางฉากบางตอน ก่อนความ เชื่อในอดีตที่เลือนหายไปตามการมาถึงของยุคสมัยใหม่ เราอาจจะเห็นขัน้ ตอนการท�ำพิธกี รรมเพือ่ บูชาทูต ผี หรือ เทวดา ทว่าเมือ่ เวลาผ่านไปมากขึน้ ผูค้ นเริม่ มีพฒ ั นาการ มีความคิดหลักแหลมกว่าเดิม จนเริ่มต้องการยกระดับ ทางจิตใจ เริ่มหาที่พึ่งพาในใจ และเมื่อนั้น ศาสนาต่างๆ จึงเริ่มถือก�ำเนิดขึ้น เมื่อพูดถึงค�ำว่าศาสนา เรามักยึดเพียงส�ำนักเท่านั้น เช่น พุทธ คริสต์ อิสลาม แต่ความจริงแล้วบนโลกใบนีม้ ที งั้ ศาสนา และนิกายแยกออกไปมากกว่านัน้ เพราะศาสนา ถู ก สร้ า งขึ้ น มาเพื่ อ ให้ เ หมาะสมกั บ คนในวั ฒ นธรรม นัน้ ๆ บางทีศาสนาหนึง่ อาจไม่เหมาะกับบางสถานที่ และ วิถชี วี ติ ของผูค้ นนัน้ ดังนัน้ การมีศาสนาให้เราเลือกมากขึน้ เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้เราเรียนรู้มากขึ้น ดังนั้น เพื่อเป็นหลักบรรทัดฐานและเป็นตัวแทน ของหลักฐานการด�ำรงอยู่ของศาสนานั้นๆ จึงเป็นที่มา ของคัมภีร์ประจ�ำศาสนาต่างๆ ตามที่เราเคยเห็นและ รู้จัก เริ่มจากสิ่งคุ้นเคย อย่าง พระไตรปิฎก ซึ่งเป็นบท รวบรวมทั้ ง พุ ท ธประวั ติ และหลั ก ค� ำ สอน รวมไปถึ ง
กฎข้อบังคับต่างๆ อย่างศาสนาอื่นที่คุ้นเคยก็เช่น คัมภีร์ ไบเบิล ประจ�ำศาสนาคริสต์ หรืออย่างอิสลามก็มี คัมภีร์ อัลกุรอาน นอกจากนั้นยังมีศาสนาจนถึงนิกายอีกมาก ที่ยังคงรูปแบบการบันทึกค�ำสอนและหลักไว้เป็นลาย ลักษณ์อักษร ผูอ้ า่ นและศึกษาตำ�ราของศาสนาอืน่ ไม่ได้หมายความ ว่าเขาจะเป็นผูไ้ ม่มน่ั ใจในทีย่ ดึ เหนีย่ วเสมอไป ในบางครัง้ การตั้งคำ�ถามและศึกษาศาสนาอื่นด้วยอาจช่วยเปิด มุมมองได้กว้างขึน้ มากกว่า คงไม่ผิดนักหากจะบอกว่าหนังสือประจ�ำศาสนามี ผลต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน ยุคสมัย ’สงครามครูเสด’ เหตุเกิดจากความขัดแย้งกัน ระหว่ า งสองศาสนาจนเป็ น ที่ ม าของมหาสงคราม ประวัตศิ าสตร์เปือ้ นเลือด ไปจนถึงในหลายต่อหลายครัง้ ที่มีการช�ำระล้างหรือสังคายนาค�ำสอนของศาสนา เพื่อ ปรับปรุงใหม่ให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น แต่ไม่ว่าอย่างไร ท้ายทีส่ ดุ ทุกศาสนาก็ตอ้ งการสอนให้ทกุ คนเป็นคนดีและ ปรารถนาให้โลกนี้สงบสุข เราอาจจะเคยได้ยินผู้ประสบ ความส�ำเร็จของโลกพูดกันถึงเรือ่ งศาสนาอยูเ่ นืองๆ เรือ่ ง นัน้ เป็นไปได้วา่ ความส�ำเร็จในชีวติ และจิตใจบางครัง้ ต้อง มีศาสนาเป็นตัวช่วยไม่ให้ไขว้เขว สรุปได้ว่าหนังสือประจ�ำศาสนาที่ไม่ปรากฏผู้แต่ง มีอายุอานามล่วงมามากกว่าพันปี และทุกวันนี้ยังคงถูก หยิบมาพิมพ์ซำ�้ อยูต่ ลอดเวลา และยังคงปรารถนาให้ทกุ คนเป็นคนดีที่ช่วยให้โลกนี้เกิดความสงบสุข
17
The
Prophet
02.
A DECADE OF READING
“ความรั ก ไม่ ค รอบครอง และก็ ไ ม่ ย อมให้ ถู ก ครอบครอง เพราะความรั ก นั้ น พอเพี ย งแล้ ว ส� ำ หรั บ ตอบความรัก” หนึ่งในหลายประโยคจากหนังสือ The Prophet ปรัชญาชีวิต ของ คาลิล ยิบราน บ่งบอกถึง ความสวยงามและลุ่มลึก แสดงถึงความสามารถของผู้ เขียน และสะท้อนให้เห็นว่าปรัชญาสามารถสื่อสารด้วย ตัวอักษรได้อย่างมีอิทธิพล The Prophet ปรัชญาชีวิต รวบทุกอิริยาบถที่ชีวิต มนุษย์คนหนึ่งพึงพบเจอไว้ 26 บท ได้แก่ ความรัก การ แต่งงาน บุตร การบริจาค การกินและการดื่ม การงาน ความปราโมทย์และความโศกเศร้า บ้านเรือน เครื่อง นุ่งห่ม การซื้อและการขาย อาชญากรรมและทัณฑกรรม กฎหมาย อิสรภาพ เหตุผลและอารมณ์ ความปวดร้าว การบรรลุธรรม การสอน มิตรภาพ การพูดคุย เวลา คุณธรรมและความชั่วร้าย การสวดวิงวอน ความบันเทิง ความงาม ศาสนา และความตาย ตามล�ำดับ ทัง้ หมดล้วน เป็นนามธรรมทีเ่ ข้าใจยาก แต่ คาลิล ยิบราน เปลีย่ นแปลง ปรัชญาทีย่ ากยิง่ ให้เป็นภาษาสละสลวยจนเข้าใจได้อย่าง ซาบซึ้ง งานประพันธ์ของยิบรานมีอทิ ธิพลต่อคนรุน่ หลัง ทัง้ ผู้ ใช้ภาษาอารบิค ผูค้ นในอเมริกา ยุโรป และเอเชีย ผลงาน ช่วงแรกของยิบรานเป็นข้อเขียนและบทกวีภาษาอาหรับ ผลงานเหล่านั้นแสดงถึงปรัชญาที่เข้าใจง่าย ความเห็น แจ้งอย่างสงบ ความงดงาม และหนทาง ในการแก้ปญ ั หา ชีวิต ผลงานที่โดดเด่นของ คาลิล ยิบราน คือหนังสือเรื่อง The Prophet ปรัชญาชีวติ ตีพมิ พ์ครัง้ แรกในปี ค.ศ. 1926 เดิมทียอดขายและความนิยมไม่สู้ดีนัก หากแต่การบอก เล่าต่อปากต่อปากในหมู่นักอ่าน ท�ำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น เรือ่ ยๆ เป็นทวีคณ ู กระทัง่ ปัจจุบนั หนังสือเล่มนีถ้ กู ตีพมิ พ์
มากกว่า 40 ภาษา และมียอดขายนับไม่ถ้วน กล่าวได้ ว่านักอ่านรุ่นหลังย่อมเคยได้สัมผัสกับผลงานชิ้นนี้ เคย ซาบซึ้ง จดจ�ำ และน�ำข้อความบางประโยคจากหนังสือ The Prophet ไปใช้ ทั้งอย่างรู้ตัวและไม่รู้ตัว ส�ำหรับฉบับภาษาไทยแปลโดย ดร.ระวี ภาวิไล เดิมที ท่านได้อา่ น The Prophet จากห้องสมุดของจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นเล่มแรกและเล่มเดียวในเมืองไทย เมือ่ อ่านจบแล้วเกิดความประทับใจ จึงได้คดั ลอกไว้ หลัง อ่านซ�้ำแล้วซ�้ำเล่า จนเกิดแรงบันดาลให้แปลหนังสือเล่ม นี้ จากหนึ่งบท ค่อยๆ สะสมไปจนครบถ้วนทุกบท จน กระทัง่ อ.ประคิณ ชุมสาย ณ อยุธยา รับเป็นผูจ้ ดั พิมพ์เผย แพร่เมื่อ พ.ศ. 2504 ส�ำหรับในประเทศไทย ระยะแรกก็มี ประวัตกิ ารขายคล้ายๆ กับต้นฉบับคือ ขายไม่คอ่ ยออก จน กระทัง่ หลังการพิมพ์ซำ�้ ในครัง้ ทีส่ อง ถึงปรากฏว่าคนหนุม่ สาวรุน่ ใหม่ทแี่ สวงหาสิง่ มีคณ ุ ค่าในชีวติ เริม่ ให้ความสนใจ และความสนใจนั้นก็เพิ่มขึ้นเป็นล�ำดับ ในปัจจุบันกล่าวได้ว่า หนังสือเรื่อง The Prophet เป็ น หนั ง สื อ ที่ ป ลุ ก กระแสการศึ ก ษาปรั ช ญาของทุ ก ชนชาติ นั ก เรี ย น นั ก ศึ ก ษาทุ ก คนในวงการปรั ช ญา วรรณกรรม หรือกระทั่งผู้แสวงหาความหมายของชีวิต ทุกคนย่อมต้องเคยผ่านตาประโยคสักหนึ่งประโยคใน หนังสือเล่มนี้ มากกว่านั้นบุคคลในหลายเชื้อชาติ ต่าง ลัทธิศาสนา ได้ยึดถือเอาข้อคิดค�ำสอนในงานชิ้นนี้เป็น แนวทางในการด�ำเนินชีวิต ทั้งนี้เพราะความเป็นกลาง ของเนื้อหาที่มิได้อ้างอิง ชาติ ภาษา หรือลัทธิ ศาสนา ใด หากอ้างอิงเพียงความเป็นจริงที่เป็นสัจธรรม และ ปรัชญาที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ หลักปรัชญาจึงยึด หนังสือเล่มนี้ไว้กับกาลเวลา เนื้อหาจึงไม่เคยเก่าแม้จะ ตีพิมพ์ผ่านมาหลายสิบปีแล้วก็ตาม
19
The Origin of Species 03.
A DECADE OF READING
เชือ่ ว่าหลายคนคงจ�ำชือ่ ชาร์ลส์ ดาร์วนิ นักธรรมชาติ วิทยาชาวอังกฤษ ที่อยู่ในต�ำราเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ สมัยมัธยมของพวกเราได้ ในปี ค.ศ. 1859 เขาตีพิมพ์ หนังสือชื่อ The Origin of Species เพื่อเผยแพร่ข้อมูล เกีย่ วกับวิวฒ ั นาการของสิง่ มีชวี ติ ทีเ่ ขาศึกษาค้นคว้าผ่าน การส�ำรวจสิ่งมีชีวิตนานาชนิดบนหมู่เกาะกาลาปากอส หนังสือเล่มนี้เป็นต�ำราวิชาการ และบันทึกการเดินทาง ค้ น หาความจริ ง เกี่ ย วกั บ การถื อ ก� ำ เนิ ด สิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ สัน่ สะเทือนทัง้ วงการวิทยาศาสตร์ และท้าทายคริสตจักร อย่างมาก เพราะในยุคนัน้ ชาวคริสต์สว่ นใหญ่ปกั ใจเชือ่ ว่า พระเจ้าเป็นผูส้ ร้างโลก มนุษย์ สรรพสัตว์ และสิง่ มีชวี ติ ทุก อย่างบนโลกนี้ แต่การค้นพบของดาร์วนิ ขัดแย้งกับความ เชื่อนี้โดยสิ้นเชิง ดาร์วินเติบโตมาในครอบครัวฐานะดี เมื่อโตขึ้นบิดา ได้ส่งไปเรียนแพทย์ แต่เขาไม่ค่อยชอบนัก ดาร์วินมัก สนใจธรรมชาติรอบตัวและสะสมแมลงต่างๆ มากกว่า เขาเรียนได้สองปีกล็ าออก และย้ายไปเรียนวิชาศาสนาที่ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์แทน เมือ่ อายุ 22 ปี เขาได้ตดิ ตาม ศาสตราจารย์ จอห์น เฮนสโลว์ ไปกับเรือหลวงบีเกิลใน ฐานะนักธรรมชาติวทิ ยาประจ�ำเรือ เพือ่ ส�ำรวจภูมปิ ระเทศ ชายฝั่งทะเลทวีปอเมริกาใต้และหมู่เกาะในมหาสมุทร แปซิฟิก ตามโครงการของราชนาวีอังกฤษ ระหว่างเดินทาง ดาร์วินสังเกตพบว่าสิ่งมีชีวิตทั้ง พืชและสัตว์ในแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกันออกไป
จนกระทั่งเดินทางมาถึงหมู่เกาะกาลาปากอส หมู่เกาะ ทางตะวันตกของทวีปอเมริกาใต้ เขาได้พบสัตว์หลาย ชนิดทีไ่ ม่เคยเห็นจากทีใ่ ดมาก่อน เขาจึงสังเกตพฤติกรรม ลักษณะทางกายภาพ และท�ำการจดบันทึกข้อมูลเก็บไว้ เขาน�ำข้อมูลที่รวบรวมไว้กลับมาศึกษาต่ออย่างจริงจัง เพือ่ ท�ำความเข้าใจกลไกการเกิดวิวฒ ั นาการของสิง่ มีชวี ติ และสรุปออกมาเป็นทฤษฏีการคัดเลือกโดยธรรมชาติ (Theory of Natural Selection) แนวคิดของดาร์วินได้เปิด โลกความรูใ้ หม่เกีย่ วกับสิง่ มีชวี ติ ซึง่ ถือว่าเป็นพัฒนาการ ก้าวส�ำคัญที่มีประโยชน์มหาศาลต่อวงการชีววิทยา The Origin of Species ได้รับการแปลเป็นภาษา ต่างๆ มากถึง 425 ส�ำนวน ส่วนฉบับภาษาไทยนั้น มี โครงการแปลที่ริเริ่มโดย ดร.น�ำชัย ชีววิวรรธน์ ที่ปรึกษา ฝ่ายวิชาการศูนย์สอื่ สารวิทยาศาสตร์ไทย สวทช. ร่วมกับ นักวิชาการท่านอื่นๆ ได้แก่ ดร.อุบลศรี เลิศสกุลพานิช นักวิจัยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่ง ชาติ , ดร.ศศิ วิ ม ล แสวงผล ภาควิ ช าพฤกษศาสตร์ , ดร.ณัฐพล อ่อนปาน วิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, ผศ.ดร.ต่อศักดิ์ สีลานันท์ ภาควิชา พฤกษศาสตร์, ผศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ ภาควิชา ชีววิทยา และ ดร.จันทร์เพ็ญ จันทร์เจ้า ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คาดว่าคงได้ อ่านกันในอีกไม่นานนี้
21
The
04.
Communist Manifesto
A DECADE OF READING
The Communist Manifesto เป็นหนังสือประกาศ นโยบายขององค์ ก รสั น นิ บ าตคอมมิ ว นิ ส ต์ จั ด พิ ม พ์ ครั้งแรกเมื่อ 21 กุมภาพันธ์ค.ศ. 1848 เขียนโดย คาร์ล มาร์ ก ซ์ นั ก ทฤษฎี ท างสั ง คมและการเมื อ งคนส� ำ คั ญ ของโลก และเฟรเดอริช เองเกิลส์ นักทฤษฎีสังคมนิยม วิทยาศาสตร์ หนังสือเล่มนี้ถือเป็นเอกสารทางการเมือง ที่ส�ำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งของโลก ต้นฉบับจัดท�ำขึ้น 6 ภาษา ได้แก่ อังกฤษ, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, อิตาเลียน, เฟลมิช และเดนิช เนื้อหาในเล่มกล่าวถึงความขัดแย้งทางชนชั้นและ การก่อตัวของระบบทุนนิยม โดยอธิบายว่าทุนนิยมก่อให้ เกิดการพัฒนาวิธีเลี้ยงชีพ แต่ก็ท�ำลายความอบอุ่นของ ชีวิต และถึงแม้จะมีก�ำลังผลิตมหาศาลก็ยังไม่สามารถ ตอบสนองความต้องการของคนส่วนใหญ่ได้เพียงพอ ชนชั้ น กรรมาชี พ จึ ง ถู ก นายทุ น เอาเปรี ย บตลอดเวลา ดั ง นั้ น เหล่ า กรรมาชี พ จึ ง ควรรวมตั ว กั น เป็ น พรรค กรรมาชีพเพื่อต่อสู้โค่นล้มระบบทุนนิยม และสร้างสังคม ปราศจากชนชัน้ ทีไ่ ม่มกี ารครอบครองทรัพย์สนิ ส่วนบุคคล และไม่มีคนจนอีกต่อไป ในเวลาต่อมา ผู้น�ำระดับโลกหลายคนน�ำแนวคิด จาก The Communist Manifesto ไปใช้ก่อตั้งพรรค คอมมิวนิสต์ในแบบของตนเอง ไม่ว่าจะเป็น วลาดิมีร์ เลนิน, เหมาเจ๋อตุง, และฟีเดลคาสโตร เมื่อน�ำไปใช้แล้ว กลับบิดเบือนความตั้งใจเดิมที่มาร์กซ์วาดฝันไว้ว่าจะให้ อ�ำนาจ เสรีภาพ และความเสมอภาคแก่ชนชั้นกรรมาชีพ
ไปโดยสิ้นเชิง เพราะผู้น�ำพรรคคอมมิวนิสต์หลายคน ใช้ อ�ำนาจตักตวงผลประโยชน์ให้แก่ตนเองและพรรคพวก สุดท้ายแล้วแม้หลักการของมาร์กซ์จะถูกบิดเบือนไป อย่างมาก และชนชั้นแรงงานก็ไม่อาจต้านทานทุนนิยม ได้ แต่หนังสือเล่มนี้ก็ยังถือว่าเป็นแรงบันดาลใจส�ำคัญ ที่ท�ำให้เกิดความหวัง และขับเคลื่อนให้เกิดการต่อสู้เพื่อ ความเท่าเทียมและความยุติธรรมในสังคม หนังสือเล่มนี้ได้รับการแปลหลายภาษาทั่วโลก รวม ถึงฉบับภาษาไทยในชื่อ แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ ตีพิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2517และถูกประกาศเป็นหนึ่งใน 100 หนังสือต้องห้ามโดยกระทรวงมหาดไทยในปี พ.ศ. 2520 ด้วยเหตุผลว่า เอกสารและสิ่งพิมพ์เหล่านี้มีเนื้อหาส่อ ไปในทางก่ อ ให้ เ กิ ด ความแตกแยกภายในชาติ และ ชี้น�ำผู้อ่านให้เกิดความนิยมเลื่อมใสในลัทธิคอมมิวนิสต์ อีกทั้งก่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องใน หมู่ประชาชนอาจท�ำให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมาย แผ่นดิน ในเวลาต่อมาเมื่อขบวนการคอมมิวนิสต์ทั่วโลก ล่มสลาย หนังสือต้องห้ามก็กลับมาวางจ�ำหน่ายได้อีก ครั้ง แต่ก็เสื่อมความนิยมไปตามกาลเวลา เหลือกลุ่ม ผู้อ่านเฉพาะในแวดวงวิชาการเสียเป็นส่วนใหญ่ โดย แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ ภาษาไทยฉบับล่าสุด จัดพิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2541 โดยส�ำนักพิมพ์ชมรมหนังสือ ประชาธิปไตยแรงงาน
23
The Wealth of Nations 05.
A DECADE OF READING
An Inquiry into the Nature and Causes of the Wealth of Nations หรือที่รู้จักกันแบบสั้นๆว่า The Wealth of Nations เป็นหนังสือที่รวบรวมแนวความคิด ส�ำคัญท่ามกลางเศรษฐศาสตร์การเมืองของยุคการปฏิวตั ิ อุตสาหกรรม (The Industrial Revolution) เป็นผลงาน สมัยใหม่ทางด้านเศรษฐศาสตร์ที่ได้รับการพิจารณาว่า เป็นผลงานทีม่ อี ทิ ธิพลมากทีส่ ดุ ของ อดัม สมิธ นักปรัชญา และนักเศรษฐศาสตร์การเมือง แนวความคิดส�ำคัญที่เป็นกระดูกสันหลังของงาน ศึกษาชิ้นนี้ คือรูปแบบพื้นฐานเศรษฐกิจแบบตลาดเสรี (Forms the foundation of free market economics), การแบ่งแรงงาน (Division of labour), ผลประโยชน์ของ แต่ละคน(Self-interest) และเสรีภาพการค้า (Freedom of trade) สมิธได้แสดงความคิดเกีย่ วกับทรัพยากรมนุษย์ ด้านการแบ่งแรงงานในตลาดการค้าเสรีทไี่ ม่มกี ารผูกขาด และมีเสรีภาพทางการค้า
ขณะทีย่ งั สร้างการกระตุน้ การส่งเสริมท�ำให้เกิดสินค้าและ บริการที่แตกต่างหลากหลายทว่าก็ยังเฝ้าระวังนักธุรกิจ และต่อต้านการผูกขาดจนเกิดการเพิ่มการผลิตการแบ่ง แรงงานและเพิ่มความมั่งคั่งของชาติ ผลงานของสมิธเน้นประสิทธิภาพขององค์การด้าน การปฏิบตั งิ านด้วยการแบ่งงานตามความสามารถพิเศษ โดยได้กล่าวถึงกระบวนการผลิตทีม่ ปี ระสิทธิภาพด้วยการ วิเคราะห์ขั้นตอนการผลิตด้วยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านจะ ท�ำให้เกิดความมั่งคั่งของชาติในล�ำดับถัดมา
The Wealth of Nations ได้อธิบายถึงความหมายของ ตลาดเสรีเพื่อการผลิตสินค้าที่มีจ�ำนวนมากและหลาก หลายด้วยแรงงานที่เรียกว่า ‘มือที่ซ่อนเร้น (Invisible hand)’
ผูค้ นทัว่ โลกผลักให้สมิธเป็นบิดาของแนวคิด ‘ขวาจัด’ ที่กลายมาเป็นทุนนิยมกระแสหลักในปัจจุบันท�ำให้เขา ตกเป็นเป้าการโจมตีของผู้สนับสนุนระบบเศรษฐกิจอื่นๆ โดยเฉพาะนักคิดฝ่ายซ้าย เช่น คาร์ล มาร์กซ์ ตลอดจน ผู้ด้อยโอกาสหรือสูญเสียโอกาสในระบบทุนนิยมสุดขั้วที่ กล่าวหาว่าสมิธเป็นนักคิดโลภมากที่สนับสนุนให้คนเห็น แก่ประโยชน์ส่วนตัวโดยไม่ค�ำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม และดูแคลนบทบาทของรัฐในระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ หากแต่เนื้อความในหนังสือเล่มนี้สมิธเพียงแค่พยายาม อธิบายปรากฏการณ์และลักษณะของตลาดเสรีว่าเกิด ขึ้นและด�ำรงอยู่ได้อย่างไร
‘มือที่ซ่อนเร้น’ อธิบายความได้ว่า มนุษย์มีแรงจูงใจ จากความเห็นแก่ผลประโยชน์ตัวและความโลภ การ แข่งขันในตลาดเสรีต้องขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ของสังคม ส่วนรวมด้วยการก�ำหนดให้ราคาสินค้าและบริการต่างๆ
และในที่สุดแม้จะยืนยันไม่ได้ว่าระบบตลาดเสรีจะ เป็นทางออกที่ดีที่สุดหรือไม่ แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้วา่ The Wealth of Nations ท�ำให้ระบบเศรษฐกิจของโลกใบนี้ เปลี่ยนไป
25
บันทึกลับ ของ แอนน์ แฟรงค์ 06.
A DECADE OF READING
เชื่อว่างานวรรณกรรมชิ้นแรกของใครหลายๆ คน ย่อมหนีไม่พ้น ไดอารี่ประจ�ำวัน คุณอาจไม่ได้ฝนั จะเป็นนักเขียน แต่คณ ุ น่าจะเคยจรดปลายปากกา บอกเล่าเรือ่ งราวทีค่ งั่ ค้างในใจลงในสมุดบันทึกไม่มากก็นอ้ ย คล้ายกับ ไดอารี่ของเด็กสาวคนหนึ่งที่ไม่ได้พิเศษใดๆ แต่ความธรรมดาแสนซื่อ นี่เองที่จุดประกายคนทั้งโลกให้ตระหนักถึงความโหดร้ายของสงคราม ที่ได้พรากชีวิตของเธอไป “คล้อยหลังจากเจ็ดโมงเช้าได้ไม่นาน ฉันก็เดินไปหาพ่อกับแม่ และ จากนัน้ ในห้องนัง่ เล่น ฉันก็เปิดกล่องของขวัญ และเธอก็เป็นสิง่ แรกทีฉ่ นั พบเห็น เธออาจจะเป็นของขวัญที่สวยงามที่สุดชิ้นหนึ่งของฉันเลยนะ” ข้อความส่วนหนึ่งที่แอนน์ แฟรงก์ เด็กสาวชาวยิวได้บันทึกลงในหน้า แรกของสมุดบันทึก ซึ่งเป็นของขวัญวันเกิดอายุครบ 13 ปี ที่เธอได้รับ จากครอบครัว ส�ำหรับหลายคนแล้ว เพียงสมุดบันทึกหนึ่งเล่มคงไม่ได้ เป็นของขวัญล�้ำค่าซักเท่าไหร่ แต่คงไม่ใช่กับแอนน์ ผู้ซึมซับวัฒนธรรม การอ่านที่พ่อแม่ของเธอปลูกฝังมาเป็นอย่างดี จนท�ำให้เธอตั้งใจว่าจะ เป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงของโลก แต่การก้าวไปสูฝ่ นั ไม่เคยเป็นเรือ่ ง่ายดาย ยิง่ กับสภาพบ้านเมืองใน ขณะนัน้ ทีอ่ ยูใ่ นช่วงสงครามโลกครัง้ ที่ 2 ยุคที่ พรรคนาซีเรืองอ�ำนาจ ซึง่ มีแนวคิดท�ำลายล้างชาวยิวให้หมดสิน้ ด้วยวิธตี า่ งๆ เมือ่ กองทัพนาซีบกุ ยึดครองเนเธอร์แลนด์ในปี 1942 จึงได้รอ่ นจดหมายไปยังครอบครัวชาว ยิวแต่ละครอบครัวให้มารายงานตัวกับค่ายแรงงาน ซึ่งรวมไปถึงมาร์ กอต พี่สาวคนโตของแอนน์ ท�ำให้ออตโต พ่อของแอนน์และมาร์ก็อต ต้องพาลูกเมียไปซ่อนตัวในห้องใต้หลังคาของเพื่อนสนิท กิจกรรมภายในห้องใต้หลังคานั้น ไม่สามารถท�ำอะไรได้เลยที่ ท�ำให้เกิดเสียงดังและมีแสงไฟ พวกเขาต้องเงี่ยหูฟังวิทยุเพื่อรับข่าว จากภายนอกอย่างแผ่วเบา และประทังชีวิตด้วยกับข้าวเย็นชืดที่เพื่อน สนิทของออตโตแอบส่งขึ้นไปให้ สิ่งเดียวที่บรรเทาจิตใจของแอนน์ได้ คือไดอารี่เล่มนั้นที่เธอเขียนเป็นประจ�ำ แม้จะไม่ทุกวันแต่เธอก็เขียน อย่างตั้งใจเสมอ เธอบรรยายถึงบรรยากาศในที่ซ่อน ข่าวคราวที่ได้รับ จากวิทยุ และความรู้สึกจากก้นบึ้งข้างในที่ยังหวังจะได้พบกับแสง สว่างในวันที่สงครามสิ้นสุดลง
แอนน์เขียนไดอารี่จนกระทั่งวันที่ 1 สิงหาคม 1944 ในสมุดแบบ ฝึกหัดเรียน ซึ่งเป็นไดอารี่เล่มที่ 3 ที่เธอเขียน ต่อมาไม่กี่วัน มีคนไป แจ้งที่ซ่อนของเธอ และสมาชิกที่หลบซ่อนอยู่ทั้งหมด 8 คน จนท�ำให้ ต�ำรวจเกสตาโปบุกขึ้นไปจับกุม ทุกคนในห้องใต้หลังคาและถูกพาไป ยังค่ายกักกัน เอ๊าส์ชวิตส์ เธอต้องพรากจากออตโต มาร์กอต และ เอดิธ ผู้เป็นแม่ ไปคนละทิศละทางนับจากวันนั้น ในทุกค�ำ่ คืน ณ เอ๊าส์ชวิตส์ เสียงวิทยุอนั แผ่วเบาถูกแทนทีด่ ว้ ยเสียง จากเตาเผาที่อยู่ข้างๆ อาคารรมแก๊ส ซึ่งชาวยิวจะถูกน�ำเข้าไปข้างใน แอนน์ต้องทนพบภาพอันสะเทือนใจอยู่ทุกวัน จนกระทั่ง สภาพจิตใจ ที่อ่อนแอลงประกอบกับเจ้าตัวติดโรคไทฟอยด์ ท�ำให้แอนเสียชีวิตลง อย่างสงบ หลังสงครามสิ้นสุด ครอบครัวแฟรงค์เหลือเพียงออตโตผู้เป็นพ่อ คนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ เขากลับไปยังห้องใต้หลังคาเพื่อไปเก็บของที่ ทิ้งเอาไว้ ในบรรดาข้าวของที่วางระเกะระกะ บันทึกของแอนน์วาง ไว้อย่างสงบ เขาหยิบมันขึ้นมาอ่านทีละหน้า ด้วยน�้ำตาที่ไหลอาบ แก้ม นั่นท�ำให้ออตโตตัดสินใจหาทางให้บันทึกของแอนน์ได้รับการ ตีพิมพ์ จนกระทั่งแจน โรไมน์ รับไปเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ Het Parool ในปี 1946 ท�ำให้ส�ำนักพิมพ์ต่างๆ สนใจขึ้นมา และกลายเป็น หนึ่งในหนังสือที่ถูกตีพิมพ์ แปลภาษา และมีผู้อ่านมากที่สุดเล่มหนึ่ง ของโลก ด้วยเนื้อหาที่ธรรมดาแต่มีพลังจับใจ ซึ่ง จอห์น เอฟ เคเนดี้ อดีตประธานานธิบดีของสหรัฐอเมริกาเคยกล่าวว่า “ในบรรดาผู้คน มากมายตลอดห้ ว งประวั ติ ศ าสตร์ ที่ ก ล่ า วถึ ง เกี ย รติ ภู มิ แ ห่ ง ความ เป็นมนุษย์ ในช่วงเวลาอันแสนขมขื่นและการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ ไม่มี ผู้ใดพรรณนาได้จับใจเท่าแอนน์ แฟรงก์” หรือที่ เนลสัน แมนเดลล่า อดี ต นั ก ต่ อ สู ้ แ ละอดี ต ผู ้ น� ำ ของแอฟริ ก าใต้ ก ล่ า วถึ ง บั น ทึ ก ของ แอน แฟรงก์ว่า บันทึกของแอนน์ท�ำให้เขามีก�ำลังใจจะต่อสู้ต่อไป แม้ จะถูกจองจ�ำในคุกก็ตาม หาก แอนน์ แฟรงค์ รอดจากสงครามโลกมาได้ เราคงได้อ่าน วรรณกรรมชิ้นเยี่ยมด้วยฝีมือของเธอ แต่แม้สงครามจะท�ำให้เธอไม่มี โอกาสนั้นอีก แต่ไดอารี่ที่เธอทิ้งไว้ก็เพียงพอที่จะกลายเป็นหนึ่งใน วรรณกรรมชิ้นเอกของโลกอย่างไม่ต้องสงสัย
27
สรรนิพนธ์ การทหาร เหมา เจ๋อ ตุง
07.
A DECADE OF READING
ไม่ว่าเราจะคิดอย่างไรกับเหมาเจ๋อตุง แต่ส�ำหรับชาวจีนแล้วท่าน ประธานเหมาเป็นยิง่ กว่ารัฐบุรษุ ท่านคือภาพฉายของประวัติศาสตร์จีนยุคใหม่ ที่ฟื้นตัวจากความ วุ่นวายในช่วงปลายยุคจักรพรรดิ การถูกรุกรานจากต่างชาติ ปัญหา ขุนนางแย่งชิงอ�ำนาจภายใน ประชาชนยากจน พญามังกรทีเ่ คยสยาย ปีกไปทัว่ แว่นแคว้นของตะวันออกไกลกลายเป็นมังกรป่วยทีร่ อวันหาย จากอาการบาดเจ็บ เหมาหวังจะน�ำพาจีนออกจากความทุกข์ยากสู่ สังคมอุดมคติที่มีความเท่าเทียมกันโดยสมบูรณ์ จึงเริ่มต่อสู้กับเพื่อน บ้านอย่างญีป่ นุ่ ในช่วงสงครามโลกครัง้ ที่ 2 และเมือ่ ขับไล่ญปี่ นุ่ ออกไปได้ ส�ำเร็จก็ตอ้ งเผชิญกับศึกภายใน ต้องต่อสูก้ บั พรรคก๊กมินตัง๋ เพือ่ สถาปนา อ�ำนาจ แม้กองทัพของเหมามีทที า่ จะพ่ายแพ้ และต้องเดินทางไกลครัง้ ประวัตศิ าสตร์ทเี่ รียกว่า ‘Long March’ เพือ่ ฝ่าวงล้อมข้าศึก การหนีไปตัง้ รกรากอยูช่ นบท ท�ำให้ทา่ นประธานได้พบเห็นวิถชี วี ติ ของชาวจีนชนบทซึง่ มักเป็นเกษตรกรผูย้ ากจน เป็นประชากรส่วนใหญ่ ของประเทศทีม่ ปี ญ ั หาเรือ่ งความเป็นอยูแ่ ละรายได้ ระหว่างนัน้ ท่านได้ เริ่มเขียนหนังสือเพื่อบันทึกเหตุการณ์รวมถึงวิเคราะห์ วิพากษ์ปัญหา ของสังคมจีนทั้งในชนบทและเขตเมือง เพื่อหวังเผยแพร่ให้สหายร่วม อุดมการณ์สงั คมนิยมได้นำ� ไปเป็นแนวทางหนึง่ ในการเปลีย่ นแปลงสังคม จีนตามคติของสังคมนิยม เมือ่ กองทัพของเหมาสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาเอาชนะและ ขับไล่พรรคก๊กมินตัง๋ ได้สำ� เร็จ จีนยุคใหม่ในความรับผิดชอบของเหมาจึง เริม่ ต้นขึน้ ในปี ค.ศ.1949 การปลุกพญามังกรให้ตนื่ จากหลับใหล เครือ่ ง มือชนิดหนึ่งที่ถูกน�ำมาใช้ในการช่วยปกครองประเทศจีนให้เกิดความ ราบรืน่ และเป็นไปตามประสงค์กค็ อื งานเขียนของตัวท่านประธานเอง นั่นท�ำให้คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้จัดตั้งคณะ กรรมการเพือ่ รวบรวมงานเขียนของประธานเหมาในแต่ละยุคสมัย จนได้ ออกมาเป็นชุด สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตุง ซึง่ แบ่งออกเป็น 4 เล่ม แบ่งตามช่วง เวลาส�ำคัญ เล่มที่ 1 รวมบทนิพนธ์ในสมัยสงครามปฏิวตั ภิ ายในประเทศ ครัง้ ที่ 1 (ค.ศ.1924-1927) และสมัยสงครามปฏิวตั ภิ ายในประเทศครัง้ ที่ 2 (ค.ศ.1927-1937) เล่มที่ 2 กับ 3 จะเป็นรวมบทนิพนธ์ในสมัยสงคราม ต่อต้านญี่ปุ่น (ค.ศ.1937-1945) และเล่มที่ 4 รวมบทนิพนธ์ในสมัย สงครามปฏิวตั ภิ ายในประเทศครัง้ ที่ 3 (ค.ศ.1945-1949) โดย สรรนิพนธ์ เหมาเจ๋อตุง เริม่ ตีพมิ พ์ครัง้ แรกในปี ค.ศ.1951 แต่ดว้ ยความทีก่ ารรวบรวม ได้รบี เร่งด�ำเนินการให้หนังสือเสร็จโดยเร็วเพือ่ ใช้เป็นหลักแนวคิดส�ำคัญ
ในการพัฒนาสังคมจีน จึงท�ำให้เนือ้ หาขาดความต่อเนือ่ ง และขาดช่วงไป เพราะการรวบรวมนัน้ ได้นำ� ต้นฉบับเท่าทีห่ ามาได้ มาเรียงอย่างหลวมๆ ตามล�ำดับช่วงเวลาการเขียน ซึ่งเหมาเขียนงานเป็นชิ้นๆ ไม่ต่อเนื่อง จนต้องปรับปรุงต้นฉบับบ่อยครัง้ จนได้ฉบับทีส่ มบูรณ์ในปี ค.ศ. 1967 ถึงกระนัน้ สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตุง ก็มอี ทิ ธิพลต่อแนวความคิดของ พลเมืองจีนทัง้ ในตัวเมืองและชนบทเป็นอย่างมาก เพราะเนือ้ หาทัง้ หมด คือแนวคิดของเหมาทีค่ วบคูไ่ ปกับเหตุการณ์เหล่านัน้ ท�ำให้ผอู้ า่ นเข้าใจ ถึงสภาพปัญหาของสังคมจีนแต่ละยุคสมัย รวมถึงพัฒนาการและ ข้อเสนอที่เหมาเขียนสอดแทรกไว้เสมอ อย่างในเล่มที่ 1 จะรวมงาน วิเคราะห์ปัญหาชนชั้น และชื่นชมกลุ่มชาวนาที่เดือดร้อนว่าเป็นผู้ ท�ำงานใหญ่ให้กับประเทศ ส่วนเล่มต่อๆ มา เน้นข้อเสนอกับหลักการ เปลี่ยนแปลงสังคมจีนรวมทั้งวิพากษ์วิจารณ์กลุ่มก๊กมินตั๋ง ส่วนเล่ม สุดท้ายเขียนถึงแนวทางปรับโครงสร้างประเทศใหม่หลังกลายเป็น ประเทศสังคมนิยมเต็มตัวแล้ว นัน่ จึงท�ำให้ สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตุง กลายเป็นหนังสือทีช่ าวจีนต้อง อ่าน และมีสว่ นช่วยให้เหมากลายเป็นบุคคลของประเทศได้อย่างสะดวก ขึน้ อย่างสรรนิพนธ์ฉบับ ค.ศ.1967 ถูกน�ำมาใช้สนับสนุนแนวคิดของ สมุดปกแดง Little Red Book ทีต่ พี มิ พ์ครัง้ รกในปี ค.ศ.1964 ซึง่ เป็น สมุดที่ชาวจีนทุกคนจะได้อ่านแนวคิดและคติพจน์ของประธานเหมา จน สมุ ด ปกแดง คื อ หนั ง สื อ เล่ ม เล็ ก ที่ ต ้ อ งพกออกจากบ้ า น ส่ ว น สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตุง คือหนังสือเล่มใหญ่ทมี่ ไี ว้ประดับบ้าน ความนิยม ในตั ว ท่ า นเหมาและงานเขี ย นของท่ า น เป็ น เหตุ ผ ลหนึ่ ง ที่ น� ำ ไปสู ่ ‘การปฏิวตั วิ ฒ ั นธรรม’ อย่างเต็มรูปแบบในเวลาถัดมา ขณะเดียวกัน กลุ่มประเทศทุนนิยมในขณะนั้นก็มีความตื่นตัวต่อ หนังสือชุดนี้ ว่ามีส่วนท�ำให้คนที่ได้อ่านเกิดความเลื่อมใสในระบอบ สังคมนิยม จึงมีประกาศเป็นหนังสือต้องห้ามในเกือบทุกประเทศของ ระบอบประชาธิปไตย รวมถึงประเทศไทยในปี ค.ศ. 1977 ตามประกาศ กระทรวงมหาดไทย แต่ภายหลังจากยุคสงครามเย็น ประเทศไทยได้ยกเลิกการห้าม ดังกล่าวแล้ว เริ่มมีผู้สนใจศึกษา ปัจจุบันคนจีนยังคงศึกษา สรรนิพนธ์ เหมาเจ๋อตุง อยู่เป็นวงกว้าง และที่พิพิธภัณฑ์การปฏิวัติเมืองเหยีย นอาน ก็ยังจัดแสดงสรรนิพนธ์ฉบับภาษาต่างๆ กว่า 30 ภาษา ให้ผู้ สนใจได้เข้าชมและศึกษาอีกด้วย
29
เหยื่อ
อธรรม
08.
A DECADE OF READING
หากกล่าวถึงหนังสือที่รวบรวมหมู่มวลตัวอักษรที่มีผล กระทบกับประวัติศาสตร์ของมนุษย์อย่างยิ่งยวด วรรณกรรม สุดคลาสสิคอย่างเรื่อง เหยื่ออธรรม (Les Misérables) ของ วิคเตอร์ อูโก้ คงจะเป็นหนึ่งในหนังสือเหล่านั้นอย่างแน่นอน เพราะถึงแม้ผลงานชิน้ นีจ้ ะถูกเขียนขึน้ มาไม่ตำ�่ กว่าหนึง่ ร้อยปี แต่ด้วยเนื้อหาที่กล่าวถึงความจริงอันยังคงร่วมสมัย ท�ำให้ หน้ากระดาษของวรรณกรรมเล่มนี้ถูกพลิกอ่านมาโดยตลอด จวบจนทุกวันนี้ วิคเตอร์ ฮูโก เกิดเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2345 ที่เมืองเบอซองซง (Besancon) แคว้นฟร็องช์กมเต (Franche-Comté) หลังการปฏิวัติฝรั่งเศสสิ้นสุด 3 ปี เขาเป็นบุตร ของนายทหารชั้นนายพลที่หวังอยากให้เขาเอาดีทางด้าน ทหาร แต่เขากลับชอบการเขียนหนังสือมากกว่า เขาเริ่ม มีชื่อเสียงตั้งแต่อายุ 22 ปีจากการเขียนหนังสือรวมบทกวี เรื่อง Nouvelles Odes et Poesies Diverses จนเมื่ออายุ 25 ปี เขาก็ยึดถืออาชีพนักเขียนเป็นงานหลักและมีผลงาน ออกมาอย่างต่อเนื่อง หนึ่งในนั้นคือวรรณกรรมสุดอมตะเรื่อง Les Misérables Les Misérables เป็นวรรณกรรมที่ตั้งอยู่บนพื้นฐาน ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ และสะท้อนสภาพสังคมของ ฝรัง่ เศสในช่วงการปฏิวตั ฝิ รัง่ เศส ตัง้ แต่แรกเกิดอูโกได้เห็นการ เปลี่ยนแปลงของประเทศฝรั่งเศสในช่วงที่วุ่นวายที่สุดมาโดย ตลอด มีทั้งการเปลี่ยนสลับไปสลับมาระหว่างระบบกษัตริย์ ระบบจักวรรดิ์ และ ระบบสาธารณรัฐหลายครั้ง อันเป็นยุคที่ ประชาชนจ�ำนวนมากต้องทนทุกข์กับความยากแค้น โดยใน ยุคสมัยนั้นช่องว่างของคนในสังคมนั้นห่างกันมาก เป็นยุคที่ ฝรัง่ เศสยังไม่มรี ะบบสวัสดิการทางสังคม ไม่มกี ารประกันการ ว่างงาน
ท�ำให้อูโกเขียนวรรณกรรมเล่มนี้ตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ระหว่างปี ค.ศ. 1815 ถึง 1832 ซึ่งเป็นช่วงเวลาในชีวิตจริง ที่อูโกอยู่ในวัยหนุ่ม การบรรยายถึงฉากหรือเลือดเนื้อของตัว ละครจึงท�ำให้ผู้อา่ นสัมผัสได้ถึงความเหมือนคนจริงๆ โดยใน วรรณกรรมเรือ่ งนีถ้ กู แบ่งออกเป็น 5 ภาค ด้วยกัน (ได้แก่ ฟองตีน, โกแซตต์, มาริอุส, เพลงยาวบนถนนปลูเมต์ฯ, ฌอง วัลฌอง) และด� ำ เนิ น เรื่ อ งตามตั ว ละคร และเหตุ ก ารณ์ ห ลั ก ของ ภาคนัน้ ๆ ซึง่ ถ่ายทอดและสะท้อนความทุกข์ยากของตัวละคร จากเหตุการณ์และชีวิตของคนจริงๆ ที่อูโกได้พบเจอ วรรณกรรมเรือ่ งนีต้ พี มิ พ์ครัง้ แรกวางจ�ำหน่ายพร้อมกันใน ฝรั่งเศสและเบลเยี่ยมเมื่อปี ค.ศ. 1862 โดยอูโกใช้เวลากว่า 17 ปีในชีวติ กว่าจะจบตัวหนังสือตัวสุดท้ายของงานชิน้ นีล้ งได้ ซึง่ หนังสือเล่มนีส้ ร้างปรากฏการณ์ทไี่ ม่เคยมีมาก่อน Lacroix and Verboeckhoven ส�ำนักพิมพ์ในเบลเยียมได้จดั แคมเปญ พิเศษออกข่าวเกี่ยวกับผลงานของอูโกเป็นเวลา 6 เดือนเต็ม ก่อนก�ำหนดวางแผง และทุกครั้งที่หนังสือออกวางจ�ำหน่าย จะหมดภายในเวลาไม่กชี่ วั่ โมง ท�ำให้เกิดเป็นกระแสและส่งผล กระทบอย่างใหญ่หลวงต่อสังคมฝรัง่ เศส มีการวิพากษ์วจิ ารณ์ หนังสือเล่มนี้กันอย่างกว้างขวางในเรื่องเนื้อหาที่มีการยั่วล้อ และถากถางสังคมฝรั่งเศส แต่อย่างไรก็ตาม เหยื่ออธรรม ก็ ยังคงมีผตู้ ดิ ตามอ่าน และน�ำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ ละครเวที รวมทั้งศาสตร์ศิลปะในแขนงอื่นอีกมากมาย กล่าวได้วา่ วรรณกรรมเล่มนีเ้ ป็นหนึง่ ในวรรณกรรมอมตะ เล่มหนึง่ ของโลก เพราะแค่ชอื่ หนังสือ Les Misérables ก็หมาย ถึงคนทั้งหมดที่สังคมไม่ให้การยอมรับ ตั้งแต่คนจน ขโมย โสเภณี เด็กถูกทอดทิ้ง ไปจนถึงนักปฏิวัติ ตราบใดที่ยังมีเรื่อง ราวของคนพวกนี้ยังถูกกดทับอยู่ในสังคมเรา แก่นเนื้อหาของ วรรณกรรมชิน้ นีก้ ย็ งั คงร่วมสมัยและถูกหยิบยกมาพูดถึงอย่าง ไม่มีเสื่อมคลาย
31
Walden
09.
A DECADE OF READING
เมื อ งคองคอร์ ด รั ฐ แมสซาชู เ ซ็ ต ส์ ประเทศ สหรัฐอเมริกา ท่ามกลางต้นไม้น้อยใหญ่บริเวณริมบึงวอลเดน เป็น ที่ตั้งของกระท่อมไม้ซุงสีน�้ำตาลซีด พื้นที่ภายในไม่กว้าง ขวางนัก มีเพียงแค่เตียง โต๊ะท�ำงาน และเตาผิง ทัง้ หมดนี้ เป็นสิ่งปลูกสร้างที่ธอโรสร้างขึ้นเองกับมือ เฮนรี่ เดวิด ธอโร นักคิด นักกวี นักปรัชญาชาวอเมริกนั หลังจากเรียนจบจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดก็มีความมุ่ง มัน่ ตัง้ ใจกลับบ้านเกิด ใช้ชวี ติ อยูท่ กี่ ระท่อมริมบึงวอลเด้น เพื่อเรียนรู้ความหมายของชีวิตอย่างลึกซึ้ง วิถีชีวิตริมบึงวอลเดนเป็นไปอย่างเรียบง่าย สมถะ และสงบ ในแต่ละวันธอโรท�ำเกษตรกรรมด้วยตัวเอง ปลูก เอง กินเอง ส่วนที่เหลือน�ำไปขายในเมืองบ้าง ตกกลาง คืนบรรยากาศดีๆ พายเรือเล่นในบึง มีความสุขในแบบ ฉบับของความเรียบง่าย เป็นหนึง่ เดียวกับธรรมชาติอย่าง สมบูรณ์ เป็นเวลานานสองปี ระหว่างทีใ่ ช้ชวี ติ อยูร่ มิ บึง วอลเดน ธอโรได้เขียนบันทึกประจ�ำวันว่าด้วยความหมายที่แท้ จริงของชีวิต เขียนบันทึกความรู้สึกนึกคิดของตัวเองต่อ การแสวงหาความหมายบางอย่างของชีวิตอย่างเป็นรูป ธรรม เขาพยายามสื่อผ่านตัวอักษรว่าชีวิตของเรานั้น ควรมีความสุขด้วยตัวเราเองโดยแท้จริง ไม่จ�ำเป็นต้อง พึง่ กฏเกณฑ์หรือกรอบใด หรือหากจะพึง่ ก็ให้ขอ้ จ�ำกัดนัน้ เกีย่ วข้องกับเราน้อยทีส่ ดุ จนในทีส่ ดุ บันทึกของเขาได้ถกู ตี พิมพ์เป็น Walden หนังสือที่ทรงอิทธิพลเล่มหนึ่งของโลก
ด้วยแนวคิดพึ่งพาตนเองจากริมบึงวอลเดน น�ำไป สู่การปฏิเสธการจ่ายภาษีให้แก่รัฐเป็นเวลานานหลายปี เพราะเงินภาษีในครั้งนี้จะถูกน�ำไปใช้จ่ายเพื่อการท�ำ สงคราม ซึ่งผิดหลักมนุษยธรรม ธอโรมองว่าผิดและไม่ เห็นด้วยอย่างยิ่ง ความดื้อแพ่งในครั้งนี้เป็นเหตุให้ธอโร ถูกจับเข้าคุกหนึ่งคืน ก่อนจะมีญาติมาประกันตัวให้ หลังออกจากคุก ธอโรจึงได้เริ่มเขียนงานชื่อว่า Civil Disobedience เป็นความเรียงต่อต้านอ�ำนาจรัฐ หรือ ที่เรารู้จักในนาม ‘อารยะขัดขืน’ ส่งผลต่อความคิดนัก เคลือ่ นไหวเพือ่ สิทธิมนุษยชนมากมาย เป็นแรงบันดาลใจ ให้สังคมลุกขึ้นมาต่อสู้เรียกร้องสิทธิเสรีภาพของตัวเอง ด้วยสันติวิธี แม้แต่มหาตมะ คานธี ที่ใช้การต่อต้านแบบ อหิงสา หรือ มาร์ติน ลูเธอร์คิง ที่ต่อสู้อย่างสงบและสันติ เพื่อเรียกร้องสิทธิเท่าเทียมให้ประชาชนผิวสี ก็ได้รับแรง บันดาลใจจากหนังสือของธอโรเช่นกัน นักอ่านชาวไทยสามารถหาอ่าน Walden แบบแปล ไทยได้ ซึ่งส�ำนักพิมพ์ฟรีฟอร์มน�ำมาจัดพิมพ์ในชื่อภาษา ไทย คืนชีวิตสู่ห้วงสงบภายใน โดยมี สุริยฉัตร ชัยมงคล เป็นผู้แปล “ความมั่งคั่งมีเพียงอย่างเดียว คือ ชีวิต” ธอโรเคย กล่าวไว้ สองปีที่ริมบึงวอลเดน เขาท�ำให้เห็นถึงความหมาย ของประโยคที่ตัวเองกล่าว
33
A Vindication of
Right Women The
10.
of
A DECADE OF READING
ความเชื่อดั้งเดิมของโลกตะวันตก เพศชายเป็นสิ่งมี ชีวิตที่พระเจ้าประทานมา ให้ดีกว่าเพศหญิงทั้งในด้าน พละก�ำลังและสติปัญญา เพศชายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ขับ เคลื่อนโลก จากความเชื่อที่ฝังรากลึกนี้ท�ำให้เพศหญิง ถูกมองว่าอยูใ่ นฐานะทีต่ ำ�่ กว่า เป็นสิง่ มีชวี ติ ทีไ่ ร้ซงึ่ เหตุผล อารมณ์แปรปรวน มีสิทธิมีเสียงที่ด้อยกว่าเพศชาย จนในที่ สุ ด สตรี ค นหนึ่ ง ลุ ก ขึ้ น ท� ำ อะไรบางอย่ า ง แมรี่ โวลล์สโตนคราฟท์ สตรีชาวอังกฤษ เธอเล็งเห็นถึง ความไม่เป็นธรรมแก่เพศหญิง ภายในสังคมไม่มีความ เท่าเทียมระหว่างเพศ เพศหญิงถูกมองอย่างด้อยค่า และ เป็นเพศทีเ่ ปรียบเสมือนคนนอกของสังคม จึงได้เริม่ เขียน หนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า A Vindication of the Rights of Women เนื้อหาภายในเล่มเธอพยายามแสดงให้เห็น ถึงสถานะของเพศหญิงที่ถูกกดขี่มาเป็นเวลานานและ แสดงความเห็นว่าเพศหญิงควรได้รับสิทธิเท่าเทียมและ สามารถมีบทบาททางด้านสังคมและการเมือง เฉกเช่น เดียวกันกับเพศชาย แนวคิดของโวลล์สโตนคราฟท์เป็นแนวคิดสตรีนิยม สายเสรีนิยม กล่าวคือเป็นแนวคิดที่เรียกร้องสิทธิขั้นพื้น ฐานให้เพศหญิง โดยหลักแล้วจะพูดถึงความเท่าเทียม และเสมอภาคในสังคม ต่อสู้กับโครงสร้างและระบบ ชนชั้นเพื่อเรียกร้องให้เพศหญิงสามารถศึกษาเล่าเรียน และออกไปท�ำงานนอกบ้านได้ ไม่จ�ำเป็นจะต้องอยู่แต่ บ้านคอยท�ำงานบ้านหรือเลี้ยงลูกเพียงอย่างเดียว ตลอด จนมีสิทธิมีเสียงที่จะเลือกตั้งได้
A Vindication of The Right of Women ถือเป็นจุด เริ่มต้นที่ส�ำคัญที่ท�ำให้เกิดการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้อง สิทธิให้แก่เพศหญิง การกระท�ำของโวลล์สโตนคราฟท์ เป็นต้นแบบให้เกิดการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องสิทธิสตรี ในยุคถัดๆ มา เพราะถึงแม้มีการเรียกร้องไปแล้ว ทว่ายัง ไม่ใช่ทั้งหมด ยังมีอีกหลายพื้นที่ที่มีความเหลื่อมล�้ำทาง เพศ ยังมีเพศหญิงที่ถูกกดขี่ทางเพศอยู่อีกมาก แนวคิดสตรีนยิ มสายเสรีนยิ มของโวลล์สโตนคราฟท์ ได้แตกกิ่งก้านสาขาออกไปอีกมากมาย อาทิ สตรีนิยม สายมาร์กซิสต์ (เรียกร้องด้านระบบเศรษฐกิจที่ไม่เป็น ธรรมต่อสตรี) สตรีนยิ มสายวัฒนธรรม(ผลักดันความเชือ่ ด้านคุณลักษณะต่างๆ ของเพศหญิง ให้อยูเ่ หนือเพศชาย ไม่มองเป็นจุดด้อยอย่างค่านิยมในอดีต) สตรีนิยมสาย ผิวด�ำ และโลกที่สาม (เรียกร้องจากการถูกกดขี่จากทาง สังคมและเศรษฐกิจ) ฯลฯ ซึ่งแต่ละสายแนวคิดก็ปรับ เปลี่ยนไปตามแต่ละพื้นที่เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพ โครงสร้างสังคม เศรษฐกิจ ค่านิยมต่างๆ ของพื้นที่นั้นๆ เพื่อน�ำไปสู่การแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกจุด ทัง้ นี้ ไม่วา่ จะเป็นแนวคิดสายใดก็ตาม จุดประสงค์ยงั คงเช่นเดิม คือมุง่ เน้นทีจ่ ะช่วยเพศหญิงเรียกร้องถึงความ เท่าเทียม
35
Uncle Tom’s Cabin เป็นนวนิยายที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1852 เขียนโดยแฮเรียต บีเชอร์ สโตว์ อาจารย์สาว มหาวิทยาลัยสตรีฮาร์ตฟอร์ด เธอเติบโตมาในสมัยที่ สหรัฐอเมริกาก�ำลังอยูใ่ นยุคสร้างชาติ จึงต้องการแรงงาน คนจ�ำนวนมหาศาล ส่งผลให้การซือ้ ขายทาสเกิดขึน้ อย่าง แพร่หลาย โดยเฉพาะรัฐทางใต้ที่เน้นท�ำการเกษตรและ ปศุสตั ว์เป็นอาชีพหลัก ในขณะทีร่ ฐั ทางเหนือพัฒนาความ เจริญด้วยอุตสาหกรรม และใช้เครื่องจักรทุ่นแรงในการ ผลิต จึงไม่ต้องพึ่งพาแรงงานทาสมากนัก แม้ จ ะเป็ น ที่ รู้ กั น ดี ว่ า ชี วิ ต ความเป็ น อยู่ ข องทาส เหล่ า นี้ ไม่ ค่ อ ยดี นั ก ส่ ว นใหญ่ มั ก ถู ก กดขี่ ส ารพั ด จาก นายจ้าง และในรัฐธรรมนูญฉบับแรกๆ ของสหรัฐอเมริกา ก็ระบุไว้ว่าระบบทาสจะต้องถูกยกเลิกภายใน 21 ปี แต่ การยกเลิกระบบทาสก็ยากยิง่ นัก เพราะเจ้าของไร่ชาวใต้ ส่วนใหญ่ไม่ยอมเสียผลประโยชน์ จึงเกิดเป็นปมขัดแย้ง ที่สร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มหัวรุนแรงทางตอนเหนือ อย่างมาก สโตว์ ผู ้ เ ขี ย นหนั ง สื อ เล่ ม นี้ เป็ น หนึ่ ง ในแกนน� ำ ที่ สนับสนุนการเลิกทาสอย่างกระตือรือร้นมาโดยตลอด เธอจึงเขียน Uncle Tom’s Cabin ขึ้นเพื่อสะท้อนชีวิต ความเป็นอยู่อันแสนล�ำบากของทาสในสหรัฐอเมริกา โดยมีลุงทอม ทาสชราผู้ซื่อสัตย์ต่อเจ้านาย และศรัทธา ในพระเจ้าเป็นตัวละครหลัก ชีวติ ของลุงทอมต้องพลิกผัน เมื่อเจ้านายผู้แสนดีจ�ำใจต้องขายเขาให้คนอื่นเพราะ ประสบปัญหาทางการเงิน ชายชราจึงต้องไปอยูก่ บั เจ้านาย ใหม่ที่ไร้เมตตาและปฏิบัติต่อทาสราวกับไม่ใช่มนุษย์ หลังวางจ�ำหน่ายเมื่อวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 1852 ใน ปีแรก Uncle Tom’s Cabin สามารถขายในสหรัฐอเมริกา
36
ได้ถงึ 300,000 เล่ม และขายในอังกฤษได้กว่า 1,000,000 เล่ม อีกทั้งยังสร้างปรากฏการณ์ขึ้นแท่นเป็นนวนิยาย ขายดีที่สุดคริสต์ศตวรรษที่ 19 และเป็นแรงขับเคลื่อน ส�ำคัญที่ท�ำให้เกิดการเลิกทาสในสหรัฐอเมริกา อับราฮัม ลินคอล์น ประธานาธิบดีคนที่ 16 ของ สหรัฐอเมริกา ผู้มีแนวคิดต่อต้านระบบทาสได้กล่าวกับ สโตว์ ข ณะพบกั น ในช่ ว งต้ น ของสงครามกลางเมื อ ง อเมริกาว่า “นี่หรือสุภาพสตรีผู้ท�ำให้เกิดสงครามใหญ่ (so this is the little lady who started this great war.) “ สงครามกลางเมืองอเมริกา (American Civil War, ค.ศ. 1861-1865) เกิ ด ขึ้ น เพราะลิ น คอล์ น และ พรรคริ พั บ ลิ กั น ด� ำ เนิ น นโยบายเลิ ก ทาสอย่ า งชั ด เจน เจ็ดรัฐทางใต้จงึ รวมตัวกันแยกออกมาก่อตัง้ ‘สมาพันธรัฐ’ และแต่งตั้งเจฟเฟอร์สัน เดวิสอดีตรัฐมนตรีสงครามขึ้น เป็นประธานาธิบดี แต่ทางรัฐบาลกลางหรือที่เรียกว่า ‘สหภาพ’ ไม่ยอมรับและถือว่าสมาพันธรัฐเป็นกบฎ ทั้ง สองฝ่ายจึงเปิดฉากโจมตีกัน จนสงครามยืดเยื้อนานถึง สีป่ ี และสุดท้ายก็จบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายรัฐบาลกลาง Uncle Tom’s Cabin ได้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์ และแปลเป็ น หลายภาษาทั่ ว โลก รวมถึ ง ภาษาไทย ด้วย ฉบับภาษาไทยมีชื่อว่า กระท่อมน้อยของลุงทอม ตีพิมพ์ครั้งแรกปี พ.ศ. 2495 แปลโดยนางอุไร สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้ใช้นามปากกาว่า อ.สนิทวงศ์ นักแปลที่ เน้ น แปลวรรณคดี ค ลาสสิ ก ผลงานแปลเล่ ม อื่ น ๆ ที่ มีชื่อเสียงของอ.สนิทวงศ์ได้แก่ สี่ดรุณีและแอนนากับ พระเจ้ากรุงสยาม
A DECADE OF READING
Uncle ’s Tom Cabin 11.
จากอดีตจนปัจจุบันอาจกล่าวได้ว่า เกษตรกรรมเป็น ทั้งอาชีพ และวิถีชีวิตที่ส�ำคัญที่สุดอย่างหนึ่งส�ำหรับมนุษย์ แต่เดิมการท�ำเกษตรกรรมถูกยึดโยงอยู่กับวิถีของธรรมชาติ เน้ น การท� ำ การเกษตรแบบไม่ มี ก ารปรุ ง แต่ ง ใดๆ ทั้ ง สิ้ น จนกระทั่งเดินทางมาถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งส�ำคัญ นั่นก็คือ ‘การปฏิวัติสีเขียว (The Green Revolution)’ ที่เกิดขึ้นในช่วง ทศวรรษที่ 6 ซึ่งก็คือประมาณ 30 กว่าปีที่ผา่ นมา มีการใช้สาร เคมีต่างๆ และเทคโนโลยีการผลิตเพื่อเร่งผลผลิตให้มากขึ้น ตอบสนองกับจ�ำนวนประชากรและสะท้อนแนวคิดของการ สะสม-ซื้อขายแบบทุนนิยม ส่งผลให้การท�ำไร่นาการเกษตร แบบเก่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง และกลายเป็น ‘เกษตร อุตสาหกรรม’ ที่มีการคาดหวังก�ำไรสูงสุดจากการค้าขาย เก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากธรรมชาติโดยไม่ตระหนักถึงการ เสือ่ มถอยของสภาวะแวดล้อมในปัจจุบนั ทีแ่ ย่ลงเรือ่ ยๆ ท�ำให้ มนุษย์ในปัจจุบันใช้ชีวิตโดยขาดสมดุลอย่างสิ้นเชิง หนังสือ ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว (One Rice Straw Revolution) ของ มาซาโนบุ ฟูกูโอกะ ได้ตอกย�้ำถึง ปัญหาของแนวคิด และการปฏิบัติดังกล่าว ท�ำให้เราได้ย้อน หลังกลับมาทบทวน ถึงปัญหาและการท�ำความความเข้าใจ ต่อการอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติอย่างถูกต้อง ย้อนกลับไปถึงประวัตขิ องผูเ้ ขียนหนังสือเล่มนี้ มาซาโนบุ ฟูกูโอกะ เกิดในปีพ.ศ. 2456 จบการศึกษาด้านจุลชีววิทยา สาขาพยาธิวิทยาของพืช ท�ำงานเป็นนักวิจัยทางการเกษตร กรมศุลกากร เมืองโยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่น ก่อนที่เขาจะ เขียนหนังสือเล่มนีอ้ อกมาส�ำเร็จ ชีวติ ของเขาต้องพบเจออะไร มามากมาย ในวัยหนุ่มเขาได้ท�ำงานวิจัยในฐานะนักจุลชีววิทยา และ มุ่งมั่นท�ำงานอย่างหนักจนกระทั่งตัวเองล้มป่วยลง ระหว่าง รักษาตัวเขาเริ่มสัมผัสถึงความตายครั้งแรกท�ำให้เกิดความ สับสน จนในที่สุดเขาในวัย 25 ปี ก็ลาออกจากงานและไป ค้นหาแนวทางการด�ำเนินชีวิตของตัวเองด้วยการทดลอง
38
ท�ำการเกษตรกรรมธรรมชาติในชนบท และอุทิศเวลากว่า 50 ปี ใ ห้ กั บ การพั ฒ นาวิ ธี ก ารท� ำ เกษตรกรรมธรรมชาติ และค้นพบหลัก 4 ประการที่เขาใช้ยึดถือ และเรียนรู้ที่จะ อยูก่ บั ธรรมชาติ นัน่ คือ ไม่ไถพรวนดิน, ไม่ใช้ปยุ๋ วิทยาศาสตร์, ไม่ก�ำจัดวัชพืช และไม่ใช้สารเคมีและยาฆ่าแมลง โดยหลักการทัง้ หมดเป็นการท�ำเกษตรกรรมแบบไม่กระท�ำ (Do-nothing farming) ได้ท�ำลายความเชื่อผิดๆ ของแนวคิด การท�ำการเกษตรกรรมสมัยใหม่ ที่ใช้ทั้งสารเคมี ปุ๋ย และ เทคโนโลยีทางการเกษตร ผลลัพธ์ที่ได้ ปรากฏว่านาของ ฟู กู โ อกะกลั บ มี ผ ลผลิ ต พอๆ กั น อี ก ทั้ ง ยั ง ลงทุ น น้ อ ยกว่ า ย้อนกลับไปหาสิ่งเก่าแต่เปิดความเป็นไปได้ใหม่ๆ ให้กับการ ท�ำการเกษตรมากยิ่งขึ้น ฟูกูโอกะได้น�ำการทดลองของตัวเองเผยแพร่ออกมาใน รูปแบบตัวหนังสือในชื่อ One Rice Straw Revolution ในปี พ.ศ. 2518 และตีพิมพ์ฉบับภาษาไทยในชื่อ ปฏิวัติยุคสมัย ด้วยฟางเส้นเดียว แปลโดย รสนา โตสิตระกูล ในปี พ.ศ. 2530 และในเวลาต่อมาหนังสือเล่มนี้ของฟูกูโอกะได้มีอิทธิพล เปลี่ยนมุมมองของการท�ำเกษตรกรรมทั่วโลก ท�ำให้ผู้คน มากมายลืมตาตื่นจากการท�ำเกษตรกรรมที่ได้รับผลกระทบ จากการใช้ยาฆ่าแมลง รวมถึงการทรุดโทรมลงของธรรมชาติ และท�ำให้ผคู้ นหันมาสนใจการท�ำเกษตรธรรมชาติ และพบกับ สมดุลการใช้ชีวิตมากยิ่งขึ้น อาจกล่าวได้ว่าท�ำให้หนังสือเล่มนี้เป็นการปฏิวัติทาง ทัศนคติของมนุษย์อย่างถึงที่สุด ปรับเปลี่ยนความเข้าใจผิด จากค่านิยมของเกษตรแบบอุตสาหกรรมให้เข้าใจถึงความ ยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ ให้เข้าใจถึงทางออกเดียวที่ควรท�ำ คือไม่ใช่การพยายามเอาชนะธรรมชาติ แต่ท�ำอย่างไรให้เรา สามารถอยู่ร่วมได้กับธรรมชาติต่างหาก ซึ่งเป็นการปฏิวัติ ที่แท้จริงที่สังคมเราต้องการอย่างยิ่ง
A DECADE OF READING
ปฏิวัติ ยุคสมัย
ด้วยฟาง เส้นเดียว 12.
“อ่านหนังสือเล่มนีส้ ิ แล้วคุณจะรูว้ า่ ท�ำไมผมถึงยิงเขา” นี่คือค�ำกล่าวอ้างของ มาร์ค เดวิด แช็ปแมน ที่เขียน ไว้ในจดหมายถึงหนังสือพิมพ์ The New York Times หลังจากเขากระหน�ำ่ ยิง จอห์น เลนนอน นักร้องดังแห่งวง The Beatles ที่ด้านหลังห้านัดซ้อนด้วยปืน .38 ช่วงเช้าของวันเกิดเหตุ แช็ปแมนแวะที่ร้านหนังสือ แห่งหนึ่งเพื่อซื้อหนังสือ The Catcher in the Rye ของ เจ.ดี. ซาลินเจอร์ ซึ่งแช็ปแมนเขียนบนปกด้านในของ หนังสือว่า ‘This is my statement’ พร้อมลงชื่อ ‘โฮลเดน คอลฟีลด์’ ตัวละครเอกในเรื่อง ท�ำไมวรรณกรรมร่วมสมัยดีๆ เรือ่ งนี้ ถึงกลายเป็นแรง ผลักดันให้นักอ่านคนหนึ่งเป็นฆาตกรได้? The Catcher in the Rye เป็นเรือ่ งราวก่อนการเฉลิมฉลอง เทศกาลคริสต์มาสของ โฮลเดน คอลฟิลด์ ชายหนุ่มวัย หัวเลีย้ วหัวต่อทีถ่ กู ไล่ออกจากโรงเรียน เพราะบุคลิกทีเ่ ป็น คนหัวขบถ ต่อต้านสังคม หนังสือเล่มนี้สะท้อนและตีแผ่ การเสแสร้ง ความจอมปลอมแบบ ‘เฟกๆ’ ของผู้คนใน สังคม (โดยเฉพาะโลกของผู้ใหญ่) ซึ่งโฮลเดนไม่สามารถ อยู่ในสังคมที่สวมหน้ากากได้ เขาจึงอยากหลีกหนีและ ปลีกวิเวกจากจุดที่ตนเองอยู่ ในขณะที่เพื่อนๆ ของเขา มองสิ่งเหล่านี้ด้วยความตื่นตา และพยายามลอกเลียน แบบพฤติกรรมคนอื่นเพื่อเข้าสังคม แม้ว่าเขาเกลียดชัง โลกใบนี้แค่ไหน แต่สิ่งเดียวที่ผูกพันเขากับโลกนี้ไว้คือ ฟีบ-ี น้องสาวคนเล็ก ทีเ่ ป็นตัวแทนของคุณงามความดีอนั บริสุทธิ์ เพียงเขานึกถึงน้องสาวตัวเอง จิตใจเขาก็สงบลง
40
ล่าสุด The Catcher in the Rye ได้กลับมาแปลใหม่ ในฉบั บ ภาษาไทยอี ก ครั้ ง โดยนั ก เขี ย นรางวั ล ซี ไ รต์ ปราบดา หยุ ่ น ในชื่ อ จะเป็ น ผู ้ ค อยรั บ ไว้ ไม่ ใ ห้ ใ คร ร่วงหล่น จัดพิมพ์โดยส�ำนักพิมพ์ไลต์เฮาส์ ซึ่งปราบดา พูดถึงหนังสือนี้ว่า “ผมได้รับอิทธิพลจากหนังสือเล่มนี้ ค่อนข้างมาก ท�ำให้ตั้งค�ำถามกับคนและสังคม ท�ำให้เรา เป็นคนที่ให้ความส�ำคัญกับความตรงไปตรงมา ความ ซื่อสัตย์ และความจริงใจของคนมากขึ้น” สิ่งที่ต้องยอมรับคือ แม้หนังสือเล่มนี้จะถูกเขียนมา นานกว่า 50 ปีแล้ว แต่เมื่อหยิบมาอ่าน กลับไม่รู้สึกว่า เก่าแต่อย่างใด อาจเพราะทุกวันนี้ เรายังเผชิญหน้าสังคม จอมปลอมกันอยู่เหมือนเดิม ไม่ต่างจากชีวิตจริงของผู้เขียน เจ.ดี. ซาลินเจอร์ ที่ ปัจจุบันตัดสินใจแยกตัวออกจากสังคม อยู่แบบเงียบๆ อย่างสันโดษในเมืองแห่งหนึ่ง โดยไม่ติดต่อสื่อสารกับ คนอื่น ไม่ให้สัมภาษณ์สื่อ และไม่เขียนอะไรอีกแล้ว จน กลายเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของศิลปินที่ปฏิเสธสังคม แม้หนังสือเล่มนี้จะเคยโดนแบน เพราะถูกมองว่า ใช้ภาษารุนแรง พูดเรื่องเพศของวัยรุ่นตรงไปตรงมา จน ท�ำให้วัยรุ่นอเมริกันลาออกจากโรงเรียน และสร้างฮิปปี้ หัวขบถขึ้นมาจ�ำนวนมาก แต่ปัจจุบัน The Catcher in the Rye ได้กลายเป็นวรรณกรรมคลาสสิกร่วมสมัยของ อเมริกาที่ทุกโรงเรียนเลือกให้เป็นหนังสืออ่านนอกเวลา โดยหวังว่าจะไม่น�ำไปสู่การฆ่าใครอีก
A DECADE OF READING
The Catcher in the
Rye
13.
มีผู้คนมากมายพยายามหาเหตุผล ว่าท�ำไมฟุตบอลจึงเป็น กีฬาที่มีความนิยมมากที่สุดในโลก อาจเป็นรูปแบบการเล่นที่ต้อง บุกไปอีกฝั่งเพื่อท�ำคะแนน แล้วกว่าจะได้แต่ละคะแนนมันยาก และบีบหัวใจเหลือเกิน ไม่เหมือนเช่นบาสเก็ตบอลหรือวอลเล่ยบ์ อล ที่คะแนนไหลไปเรื่อยๆ แล้วค่อยไปลุ้นหนักๆ ตอนใกล้จบการ แข่งขัน หรือการเล่นโดยใช้เท้าเตะลูกฟุตบอล ท�ำให้ผชู้ มต้องจับตา ดูตลอดเวลาว่าลูกฟุตบอลจะกลิ้งไปทางไหน ก็เลยสนุก แต่เรือ่ งหนึง่ ทีม่ องข้ามอรรถรสข้างต้นไปไม่ได้เลยก็คอื ‘กติกา’ ซึง่ ท�ำให้ฟตุ บอลกลายเป็นกีฬาทีเ่ ข้าใจไม่ยาก ใครดูไม่เข้าใจ ลอง ให้เพือ่ นพาไปดูซกั ครัง้ ดูไปด้วย อธิบายไปด้วย ก็นา่ จะเข้าใจอย่าง รวดเร็ว ทีผ่ า่ นมากฎกติกาของฟุตบอลนัน้ ก็มกี ารพัฒนามาตามยุค สมัย แต่ทมี่ คี วามส�ำคัญทีส่ ดุ คงต้องย้อนกลับไปทีก่ ฎฉบับแรก ซึง่ กลายเป็นรากฐานส�ำคัญทีท่ ำ� ให้ฟตุ บอลเป็นกีฬาของมวลมนุษยชาติ ถ้ากล่าวถึงกีฬาทีใ่ ช้เท้าเล่นเป็นหลักแล้ว ก็มผี อู้ า้ งความเป็น ต้นต�ำรับจากหลายเชื้อชาติทั้งจีน ญี่ปุ่น อิตาลีในนามอาณาจักร โรมัน หรืออังกฤษ แต่ถ้าตัดสลับมาที่ฟุตบอลสมัยใหม่แล้ว มีจุด ก�ำเนิดในอังกฤษ ซึ่งเดิมในยุคกลางของอังกฤษมีการแข่ง ‘Mob Football’ ซึง่ ใช้คนทัง้ เมืองของแต่ละเมืองมาแข่งเตะลูกบอลให้เข้า ประตูเมืองแต่ละฝัง่ หรือ ‘Folk Football’ ซึง่ ผูค้ นจะหาพืน้ ทีว่ า่ งๆ มี คนเล่นกีค่ นก็มาเตะแข่งกันได้ จนกระทัง่ ฟุตบอลเหล่านีเ้ สือ่ มความ นิยมลงในคริสตศตวรรษที่ 19 รวมทั้งกฎว่าด้วยทางหลวงฉบับ ปี ค.ศ. 1835 ทีห่ า้ มไม่ให้เตะลูกบอลแข่งกันบนพืน้ ถนน ท�ำให้มี การปรับการเล่นฟุตบอลให้มแี บบแผนยิง่ ขึน้ เริม่ แรกมีการคิดกฎ เคมบริดจ์ (Cambridge Rules) ในปี ค.ศ.1848 แต่ใช้ในหมู่ทีม โรงเรียน และมหาวิทยาลัย ต่อมาเมือ่ มีการจัดตัง้ สโมสรเชฟฟลิด์ เอฟซี ซึ่ ง เป็ น สโมสรฟุ ต บอลแห่ ง แรกของโลกในปี ค.ศ1857 ทางเชฟฟิลด์ เอฟซี ได้เสนอ กฎเชฟฟิลด์ (Sheffield Rules) ในปี ค.ศ.1858 และน�ำมาใช้ในการแข่งขันของสโมสรฟุตบอลแถบตะวัน ตกเฉียงเหนือ ซึง่ ก่อตัง้ ทีมตามๆ กันมา กฎฟุตบอลทัง้ 2 รูปแบบนี้ ต่างพืน้ ทีต่ า่ งใช้ จนเมือ่ อังกฤษต้องการท�ำให้ฟตุ บอลเติบโตขึน้ เพือ่ รองรับสโมสรฟุตบอล จึงต้องท�ำกติกาให้มคี วามแน่ชดั เสียก่อน
42
ดั ง นั้ น ในเดื อ นพฤศจิ ก ายน ค.ศ.1863 เอเบเนเซอร์ ค็อบบ์มอร์ลี่ย์ ได้ร่างกฎกติกาฟุตบอลอย่างเป็นทางการขึ้น โดย ได้ ผ สมเอากฎทั้ ง สองรู ป แบบเข้ า ด้ ว ยกั น ซึ่ ง จะเน้ น หนั ก ไปที่ กฎเคมบริดจ์ ที่มีการทุ่มบอล การเตะจากหน้าประตู และการส่ง บอลไปข้างหน้าเป็นหลัก และได้เอาไปน�ำเสนอให้สโมสรต่างๆ ใน ลอนดอนได้พจิ ารณา ซึง่ บรรดาสโมสรต่างยอมรับ และเห็นชอบด้วย ในขณะเดียวกัน บรรดาสโมสรก็รว่ มกัน ก่อตัง้ สมาคมฟุตบอลอังกฤษ ขึ้น โดยมีมอร์ลี่ย์ เป็นเลขาธิการสมาคมคนแรก จากนั้นมอร์ลี่ย์ ในนามสมาคมฯ ก็ น� ำ กติ กา ดั ง กล่ า วไปเผยแพร่ ใ นนิ ต ยสาร กีฬา Bell’s Life in London ให้ประชาชนได้รบั ทราบ จากนัน้ กฎ กติกาดังกล่าวก็ถูกพิมพ์เป็นหนังสือกฎกติกาฟุตบอล Laws of the Game ในทีส่ ดุ หนังสือกติกากีฬาอาจไม่ได้มคี วามส�ำคัญถึงขัน้ เปลีย่ นโลกใน ชั่วพริบตา แต่มันก็ท�ำให้วัฒนธรรมของโลกค่อยๆ เปลี่ยนไป เมื่อ ยุคสมัยคริสตศตวรรษที่ 20 ตอนต้น ที่อังกฤษยังคงเป็นหนึ่งใน ชาติที่มีอิทธิพลสูงสุดของโลก นั่นท�ำให้คนหนุ่มสาวจากแดนผู้ดี ออกเดินทางไปแสวงหาความท้าทายในต่างแดนเพือ่ เอาทรัพยากร กลับประเทศ ชายหนุ่มก็เลือกจะเอาสิ่งนันทนาการที่พกพาง่าย อย่างลูกบอลหนึ่งลูกไปด้วย เมือ่ พวกเขาเอาไปเล่นทีแ่ ผ่นดินอืน่ ใด ผูค้ น ณ ทีแ่ ห่งนัน้ ก็ตดิ อกติดใจอย่างรวดเร็ว เมือ่ มีการเล่นทีแ่ พร่หลาย มีการรวมตัวก่อตั้งสโมสร พวกเขาถามหากติกาการเล่นที่ถูกต้อง บรรดาชายหนุม่ กลับอังกฤษแล้วไปเอากฎกติกาฟุตบอลมาเผยแพร่ ราวกับสอนค�ำสอนของศาสนา ผูค้ นซึมซับอย่างรวดเร็ว แล้วฟุตบอล นอกเกาะบริเตนก็เติบโตขึน้ กลายเป็นกีฬาระดับโลกไปในทีส่ ดุ ฟุตบอลจึงไม่ได้มอี าณุภาพในตัวมันเองเท่านัน้ แต่กติกาการ เล่นก็มสี ว่ นช่วยให้การเล่นสนุก และน่าติดตามมากยิง่ ขึน้ แม้กติกา ฟุตบอลในปี ค.ศ.1863 จะเป็นจุดเริม่ ต้นทีด่ ี แต่กย็ งั มีการปรับกติกา อีกบ่อยครัง้ ถึงกระนัน้ สมาพันธ์ฟตุ บอลนานาชาติ (หรือทีเ่ ราเรียกกัน ว่า ‘ฟีฟา่ ’ ในปัจจุบนั ) เองยังยอมรับว่า ถ้าไม่มกี ติกาตัง้ แต่แรก แล้ว ปล่อยให้แต่ละพืน้ ทีต่ า่ งใช้กติกาตามความต้องการของตน ฟุตบอล อาจเป็นแค่กฬี าพืน้ บ้านทีไ่ ม่ถกู บรรจุเข้าโอลิมปิกด้วยซ�ำ้
A DECADE OF READING
Laws of the Game 14.
แฟนหนังสือ ฮารูกิ มูราคามิ คงรู้ดีว่า ตั้งแต่อายุ 33 ปีจนถึงปัจจุบัน เขาเป็นนักวิ่งตัวยงที่ไม่เคยหยุดวิ่ง เลย ท�ำให้เขาถูกขนานนามว่า ‘นักวิ่งมาราธอนแห่งโลก วรรณกรรม’ ความรักในการวิง่ บวกกับทักษะในการเขียน ส่งผลให้เขาจดบันทึกความคิดระหว่างการวิง่ ทุกครัง้ และ รวมรวบออกมาเป็นหนังสือ What I talk about when I talk about running มู ร าคามิ ไ ด้ เ ล่ า เรื่ อ งการวิ่ ง และความคิ ด ที่ เ กิ ด ระหว่างการวิ่งอย่างละเอียด เพื่อให้เห็นการพัฒนาการ ของตัวเขาในฐานะนักวิ่ง จึงสอนผ่านตัวตนว่าเป็นคน ที่ไม่ยอมแพ้ และย่อท้อต่ออะไรง่ายๆ กับแนวคิดที่ว่า ความเจ็บปวดเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้อง บังคับให้กล้ามเนื้อรับรู้ความเจ็บปวดอยู่เสมอ ด้วยการ ซ้อม ซ้อม และซ้อม “แม้วา่ เวลาในการวิ่งจะเลวร้ายหนัก ไปกว่านี้ ผมจะทุม่ เทให้มากขึน้ อาจจะมากยิง่ ขึน้ เพียงแค่ จะวิ่งให้เต็มระยะทาง ผมไม่แคร์ว่าใครจะพูดว่าอย่างไร นี่คือธรรมชาติของผม เพราะความทุกข์หรืออุปสรรคก็ เหมือนกระเป๋าเดินทางใบเก่าๆ แบกไปนานวันเข้า เราก็ จะคุ้นชินในสักวัน” นอกจากนี้ ยังมีการการเชื่อมโยงระหว่างการวิ่งกับ การเขียน ลีลาการเขียนของมูราคามิก็เหมือนกับการวิ่ง
44
มาราธอน เหนื่อย หนัก ทรมาน ในจังหวะก้าวสม�่ำเสมอ แต่ก็มีแรงเร้าให้มุ่งมั่นไปถึงจุดหมาย ที่ส�ำคัญคือมัน เป็นการทรมานตัวเองโดยที่ไม่ได้มีใครบังคับ “การวิ่ง มาราธอน และงานเขียนแทบจะเป็นเรื่องเดียวกัน โดย พื้นฐานแล้ว นักเขียนจะมีแรงบันดาลใจเงียบงันภายใน ไม่ได้เสาะแสวงหาการเห็นพ้องยอมรับจากภายนอก สิ่ง ทีผ่ มรูท้ งั้ หมดในการเขียนนิยาย ผมเรียนรูจ้ ากการวิง่ เป็น ประจ�ำทุกวัน” What I talk about when I talk about running จึง ได้สร้างกระแสให้คนอ่านลุกขึ้นมาออกวิ่งมาราธอน โดย เฉพาะเหล่านักอยากเขียน และเกิดวาทกรรมนักวิ่งที่ ว่า “วิ่งระยะไกลเป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิต” ปัจจุบัน แม้ ร่างกายของเขาเริ่มไม่อ�ำนวย และไม่เคยได้รับรางวัล ใดๆ จากการแข่งขันเลย แต่มรู าคามิยงั คงมุง่ มัน่ วิง่ ต่อไป เพราะเป้าหมายของเขามิใช่รางวัล แต่คือการแข่งขันกับ ตนเอง “แม้จะแก่ชรากว่านี้ ร่างอ่อนแอปวกเปียก ในยามที่ ผูค้ นรอบข้างเตือนผมให้โยนผ้ายอมแพ้ได้แล้ว ผมไม่แคร์ ตราบเท่าที่ร่างกายยังเคลื่อนที่ได้ ผมจะวิ่งต่อไป...”
A DECADE OF READING
What I Talk About When I Talk About Running
15.
นาทีนี้คงมีนักอ่านจ�ำนวนไม่น้อยที่รู้จักมักคุ้นชื่อของ ‘แดน บราวน์’ นักเขียนเจ้าของผลงานนิยายสืบสวนสอบสวน อิงประวัติศาสตร์ กับผลงานอันลือลั่นสั่นวงการศาสนา จาก นวนิยายขายดีอย่าง The Da Vinci Code ผลงานล�ำดับที่ 4 ของเขา ซึ่งท�ำให้ผู้คนทั่วไปเริ่มสงสัย และกล้าตั้งค�ำถาม กับศาสนาที่ตนศรัทธามากขึ้น เนื้อเรื่องในนิยายเริ่มจากการตายของ ฌาคส์ โซนิแยร์ ยามเฝ้าพิพิธภัณฑ์ลูฟในกรุงปารีส ซึ่งมีเงื่อนง�ำไปสู่ภาพวาด ของ เลโอนาร์โด ดา วินชี อย่าง วิทรูเวียนแมน หลังจากนั้น ก็ร้อนถึง โรเบิร์ต แลงดอน ศาสตราจารย์ด้านศาสนวิทยา แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ต้องมาท�ำการไขรหัสปริศนาของ แต่ละคดี ทว่ายิ่งขุดค้นลงไปลึกมากเท่าไร ก็ยิ่งท�ำให้เจอเรื่อง น่าประหลาดใจมากขึ้น ทั้งองค์กรลับที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราว หลายๆ อย่างของทางศาสนา รวมไปถึงการตัง้ ค�ำถามทีว่ า่ หรือ จริงๆ แล้วพระเยซูจะมีภรรยา และบุตรสืบสายเลือด ข้อความ มากมายที่มีแหล่งอ้างอิงชัดเจน ทั้งทฤษฎีที่ถูกหยิบยกขึ้นมา รวมไปถึงสถานที่หลายแห่งที่มีอยู่จริงดังที่ปรากฏในหนังสือ เล่มนี้ไปกระตุกและกระตุ้นต่อมผู้อ่านมากกว่า 25 ล้านคน ทั้ ง โลก จนท� ำ ให้ ดาวิ น ชี โ ค้ ด ขายดี จ นติ ด อั น ดั บ 1 ในปี 2546 และกลายเป็นหนังสือติดอันดับหรือหนังสือขายดีของ นิวยอร์กไทมส์ ตั้งแต่อาทิตย์แรกที่วางจ�ำหน่าย และท�ำให้ นิยาย 3 เล่มก่อนหน้าของเขามียอดขายพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง ซึ่ง ดาวินชีโค้ด ในตอนนี้ถูกแปลไปแล้วมากกว่า 44 ภาษา และยอดขายทั่วโลกรวมกันมากกว่า 60.5 ล้านเล่ม ก่อนจะ ถูกดัดแปลงเป็นหนังชื่อเดียวกันในปี 2006 หนังสือคู่ขนานอีกเล่มที่ถูกกล่าวถึงไม่แพ้กันในช่วงหลัง จาก The Da Vinci Code วางจ�ำหน่าย คือเรือ่ ง The Holy Blood and the Holy Grail ซึง่ รวบรวมและเขียนโดย ไมเคิล เบเกน, ริชาร์ด ลีห์ และ เฮนรี่ ลินคลอน ซึ่งในช่วงที่ ดาวินชีโค้ด วางจ�ำหน่าย ได้ถกู ฟ้องร้องโดยหนังสือเล่มนี้ ก่อนทีท่ าง บราวน์ จะชนะคดีไปในทีส่ ดุ เขาบอกว่าหนังสือเล่มนีเ้ ป็นแหล่งข้อมูล ที่เขาใช้ในการเขียนจริง และเป็นหนังสือที่ดีมากเสียด้วย
46
อย่างไรก็ตามในหนังสือทั้งสองยังคงประคองเรื่องราว โดยเน้ น ไปที่ ท ฤษฎี ส มคบคิ ด ที่ พู ด ถึ ง เรื่ อ งองค์ ก รลั บ ที่ ชื่ อ ‘The Priory of Sion’ ซึ่งเป็นองค์กรที่ตั้งเพื่อต้องการปกป้อง สายเลือดเยซูคริส รวมไปถึงค้นหาว่าแท้ทจี่ ริงแล้ว แมรี่ แม็กดาลีน เป็นคูส่ มรสของเยซูจริงหรือไม่ ใน The Holy Blood and the Holy Grail กล่าวว่ามีหลักฐานปรากฏอยูว่ า่ มีการค้นพบชือ่ ของ เลโอนาร์โด ดา วินชี เป็นหนึง่ ในผูน้ ำ� กลุม่ นีด้ ว้ ย ย้อนกลับไปสมัยยุคมืด หลังการล่มสลายของจักรวรรดิ โรมัน ศาสนาที่มีอิทธิพลมากที่สุดคือคริสตจักรโรมันนิกาย โรมันคาทอลิก ตอนนัน้ องค์พระสันตะปาปาต้องการให้มเี พียง ศาสนาเดียว และไม่ต้องการให้แตกหน่อออกไป แต่อย่างไร ก็ตามก็มีนิกายใหม่เกิดขึ้น นั่นคือ โปรแตสแตนส์ ซึ่งช่วงแรก เกิดการต่อต้ านอย่างรุนแรงจากคาทอลิก หาว่าเป็นพวก นอกรีต นั่นเองจึงทำ�ให้เกิดสงครามศาสนาที่ชื่อว่า ‘สงคราม ครูเสด’ และการมาถึงของ คัมภีรไ์ บเบิลภาคพันธสัญญาใหม่ นัน่ เองทีท่ ำ�ให้พวกเขาสงสัยถึงการปิดบังข้อมูลอะไรบางอย่าง เกี่ยวกับคริสต์จักรโดยนครวาติกัน แต่ไม่วา่ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ แดน บราวน์ พูดไว้คือข้อมูล ต่างๆ ในหนังสือ เป็นเพียงเรื่องแต่งที่ได้ท�ำการรวมรวมข้อมูล หลักฐานในการเขียน แม้จะมีเรือ่ งราวใหญ่โตจากองค์การทาง คริสศาสนาเรียกร้องให้มกี ารยกเลิกฉายหนังเรือ่ งนี้ ท�ำให้เกิด การวิภาควิจารณ์อย่างหนักหน่วง เป็นทีฮ่ อื ฮาอยูพ่ กั ใหญ่ รวม ถึงเป็นการกระตุ้นข้อสงสัยดังที่กล่าวไว้แล้ว ไม่นานหนังสือ เกีย่ วกับทฤษฎีสมคบคิดอีกมากมายก็ถกู เขียนขึน้ มาให้ขอ้ มูล แตกต่างกันไป จุดประกายแห่งความสงสัยนีเ่ องทีท่ ำ� ให้คนหันมา มองสิง่ ใกล้ตวั และเรียนรูท้ จี่ ะอาศัยอยูก่ บั หลักการและเหตุผล มากกว่าการเชื่อสิ่งที่ใครสักคนพูดต่อๆ กันมาโดยปราศจาก ความสงสัย
หาข้อมูลขององค์กรได้ที่ http://www.opusdei.org/en-us/
A DECADE OF READING
The
Da Vinci Code 16.
สุดยอดหนังสือ How to ทีไ่ ด้รบั ความนิยมตลอดกาล ของ นักเขียน นโปเลียน ฮิลล์ วางขายครั้งแรกในปี ค.ศ. 1937 ช่วง วิกฤตเศรฐกิจโลกทีท่ กุ คนแทบล้มทัง้ ยืน และอยูส่ ภาวะทุกคน ไร้ที่ยึดเหนี่ยว แต่เมื่อหนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ออกมา Think and Grow Rich ก็กลายเป็นแสงสว่าง และเป็นแนวทางการด�ำเนิน ชีวิตให้แก่คนจ�ำนวนมาก นโปเลียน ฮิลล์ เป็นคนแรกที่เขียนหนังสือเกี่ยวกับความ ส�ำเร็จจากความคิด แม้หลายคนปฏิเสธหนังสือพัฒนาตนเอง และมีความคิดว่าการปฏิบตั ยิ อ่ มส�ำคัญกว่าทฤษฎี แต่ Think and Grow Rich ได้ทลายความเชือ่ ดังกล่าวลง เพราะทฤษฎีใน หนังสือเกิดจากภาคปฏิบัติของบุคคลอื่น ผ่านการสัมภาษณ์ ศึกษาชีวติ และเก็บข้อมูลจากผูป้ ระสบความส�ำเร็จทางการเงิน ในหลากหลายอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการ นักประดิษฐ์ นักธุรกิจ นักอุตสาหกรรม ผู้น�ำทางการเมือง และมหาเศรษฐี ผู้มีชื่อเสียงรวมกว่า 500 คน ยกตัวอย่างเช่น เฮนรี่ ฟอร์ด ผู้ผลิตโรงงานประกอบรถยนต์เป็นสายการผลิตคนแรก หรือ โทมัส เอดิ สัน นั กประดิ ษ ฐ์ ผู้ ยิ่ง ใหญ่ ของโลก แล้ ว น� ำ มา วิเคราะห์หาประเด็นส�ำคัญ และจัดการอย่างเป็นระบบ ออก มาเป็นเทคนิคจิตวิทยาและสร้างหลัก 13 ข้อเพื่อน�ำตัวเองสู่ ความส�ำเร็จทางความร�่ำรวย จุดเริม่ ต้นของหนังสือเกิดขึน้ สมัยทีเ่ ขายังหนุม่ และยากจน นโปเลียน ฮิลล์ ไปสัมภาษณ์อภิมหาเศรษฐีคนแรกของโลกเพือ่ น�ำมาเขียนบทความ อภิมหาเศรษฐีผนู้ นั้ คือ แอนดรูว์ คาร์เนกี ผู้สร้างอาณาจักรเหล็กกล้าในอเมริกา หลังจากสัมภาษณ์พูด คุยปรัชญาความส�ำเร็จ มหาเศรษฐีถาม นโปเลียน ฮิลล์ ว่า “ถ้าผมให้งานคุณอย่างหนึง่ ซึง่ กินเวลายีส่ บิ ปี โดยทีผ่ มไม่จา่ ย เงินให้คณ ุ เลยสักเหรียญเดียว แต่งานนีส้ ร้างผลดีให้กบั คนทัว่ โลกอย่างมหาศาล คุณจะรับท�ำไหม?”
48
เขาล้วงลงไปในกระเป๋าไม่มเี งินเหลือนอกจากค่ารถกลับ บ้าน อะไรกันเศรษฐีทรี่ วยทีส่ ดุ ในโลกให้งานท�ำแต่ไม่จา่ ยเงิน สักแดงเดียว เขาจึงรีบตอบรับทันที ท�ำให้มหาเศรษฐีได้เปิด เผยเคล็ดลับการประสบความส�ำเร็จแก่เขาว่า “นี่เธอรู้ไหม เธอใช้เวลาตัดสินใจยีส่ บิ เก้าวินาที หากเธอตัดสินใจเกินหกสิบ วินาที ฉันจะไม่ให้งานนี้แก่เธอเด็ดขาด คนที่จะประสบความ ส�ำเร็จต้องตัดสินใจรวดเร็วและเด็ดขาด” แนวคิ ด หลั ก ของ Think and Grow Rich เปิ ด เผย กระบวนการวิธคี ดิ และการตัง้ เป้าหมาย วิธกี ารทีน่ ำ� มนุษย์ไปสู่ ความส�ำเร็จ คือการมีปณิธานหรือเป้าหมายที่แน่นอน เพราะ ทรัพย์สนิ ทีม่ คี า่ ทีส่ ดุ คือความคิดของเรานัน่ เอง ดังนัน้ การทีค่ น เราจะ ‘รวย’ หรือ ‘จน’ เป็นผลผลิตมาจากความคิดของตัวเรา ทั้งสิ้น แม้หนังเล่มนี้จะเขียนมานานกว่า 100 ปี แต่เนื้อหายังคง ร่วมสมัย และสามารถพาผู้คนทุกยุคไปสู่ความส�ำเร็จ การันตี ด้วยยอดขายทัว่ โลกกว่า 60 ล้านเล่ม ปัจจุบนั ก็ยงั มักถูกกล่าว อ้างในหนังสือ How to ทั่วไป เช่น โรเบิร์ต คิโยซากิ ผู้เขียน หนังสือ How to ยอดนิยม Rich Dad Poor Dad (พ่อรวย สอนลูก) ยังเคยแนะน�ำหนังสือเล่มนี้วา่ “เป็นหนังสือที่คุณพ่อ แนะน�ำให้ผมอ่านตัง้ แต่เด็กๆ และช่วยก�ำหนดแนวทางชีวติ ให้ กับผม ชื่อเรื่อง Think and Grow Rich ไม่ใช่การท�ำงานหนัก แล้วรวย แต่คุณต้อง ‘คิด’ และคิดให้ตา่ งจากคนอื่น” มีค�ำกล่าว่า Think and Grow Rich ถือได้วา่ ต้นแบบของ หนังสือ How to ที่ทุกคนควรมีไว้ติดบ้าน หนังสือเล่มนี้จึงเป็น How to ที่โด่งดังที่สุด และสร้างมหาเศรษฐีในยุคต่อๆ มาอีก หลายร้อยหลายพันคนตราบจนปัจจุบัน
A DECADE OF READING
Think
and
Grow Rich 17.
ในภาพจ�ำของผู้คนทั่วไป ธนาคารมักจะถูกตัดขาดความ สัมพันธ์กับผู้คนระดับล่างของสังคมอย่างสิ้นเชิง ด้วยเหตุผล ที่ว่าคนจนไม่มีศักยภาพที่จะเป็น ‘ลูกค้าที่ดี’ ของธนาคารได้ ท�ำให้พวกเขาหมดโอกาสทีจ่ ะกูย้ มื เงินจากธนาคารเพือ่ ทีจ่ ะน�ำ มาพัฒนาคุณภาพชีวติ ของตัวเองให้ดขี นึ้ กลายเป็นว่าธนาคาร เป็นสถานทีแ่ ห่งกิจธุระทีจ่ ำ� กัดไว้ให้เฉพาะกลุม่ ชนชัน้ กลางไป ถึงสูง ที่มีเงินหรือทรัพย์สินมาเป็นหลักประกันเท่านั้น แต่ในโมงยามที่หนังสือเรื่อง นายธนาคารเพื่อคนจน (Banker to The Poor) ของ มูฮัมหมัด ยูนูส ออกสู่สาธารณะ ตัวหนังสือภายในเล่มก็ได้ทบุ ท�ำลายมายาคติดงั กล่าวทีห่ ลายคน เคยมีจนสิ้น ท�ำให้เราเห็นว่าธนาคารก็สามารถมีส่วนเข้ามา ช่วยเหลือพัฒนาชีวิตของคนจนควบคู่ไปกับการท�ำธุรกิจที่ สร้างผลก�ำไรให้ธนาคารเองได้ จุดเริ่มต้นของการก่อตั้งธนาคารเพื่อคนยากจน หรือ ‘กรามี น แบงก์ (Grameen Bank)’ เกิ ด ขึ้ น หลั ง จากที่ มูฮมั หมัด ยูนสุ นายธนาคารและนักเศรษฐศาสตร์ชาวบังคลาเทศ ได้เดินทางไปยังหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งชื่อโจบร้า ซึ่งอยู่ใกล้ กับมหาวิทยาลัยที่เขาสอน พบว่าชาวบ้านที่นั่นส่วนใหญ่ ล้วนเผชิญกับการเป็นหนี้นอกระบบด้วยกันทั้งสิ้น จากการ สอบถามเขาเจอชาวบ้านจ�ำนวน 42 คน พวกเขาเป็นหนี้ นอกระบบรวมกันเป็นเงินจ�ำนวนมากพอควร เวลานั้นยูนูสได้ ตัดสินใจให้ชาวบ้านยืมเงินก้อนนัน้ ไปใช้หนีโ้ ดยไม่คดิ ดอกเบีย้ ไม่มกี ำ� หนดช�ำระหนี้ แต่หลังจากกลับบ้านมาวันนัน้ เขาคิดว่า วิธีที่เขาช่วยชาวบ้านไปนั้นไม่ถูกต้อง การที่จะท�ำให้คนจน หลุดพ้นวงจรหนี้นอกระบบอย่างถาวรนั้นไม่ใช่การช่วยเหลือ แบบการกุศล แต่จะต้องมีธนาคารที่คิดดอกเบี้ยต�่ำ และยอม ให้คนจนกูโ้ ดยไม่ตอ้ งมีหลักประกัน เพือ่ ทีจ่ ะให้พวกเขาเหล่านัน้ น�ำเงินไปพัฒนาชีวิตตัวเองจนสามารถพึ่งพาตนเองได้ ไม่นานหลังจากนั้นกรามีน แบงค์ก็ถูกก่อตั้งในปี พ.ศ. 2519 เพื่อให้บริก ารเงินกู้แก่คนยากจน โดยท�ำหน้าที่ให้
50
ชาวบ้านกู้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยต�่ำ อีกทั้งยังไม่ต้องใช้หลัก ประกันในการกู้ยืม หลักส�ำคัญของธนาคารคือการคิดไม่ เหมือนธนาคารเชิงพาณิชย์ทั่วไปที่มุ่งเน้นในการหาก�ำไรแต่ เพียงอย่างเดียว แต่กรามีนจะมุง่ ให้ความช่วยเหลือคนจนโดย การให้กู้เงินทีละน้อยๆ และน�ำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ก่อนจะ ทยอยใช้คืนในอัตราดอกเบี้ยที่ต�่ำ เพื่อจะให้ชาวบ้านสามารถ พัฒนาชีวติ จนพึง่ พาตนเองได้ อีกทัง้ ธนาคารกรามีนยังเชือ่ ใน ศักยภาพของคน และคิดว่าคนจนสามารถที่จะหลุดพ้นจาก ความยากจนได้หากได้รับโอกาส 30 กว่ า ปี ถั ด มาธนาคารกรามี น ก็ ยื น ยั น ความส� ำ เร็ จ ของแนวคิดดังกล่าว โดยธนาคารมีอัตราหนี้เสียในระดับ ต�่ำแค่เพียง 1-2% และขยายสาขาไปได้กว่า 1,400 แห่งทั่ว บังคลาเทศ ท�ำลายมายาคติเดิมๆ ที่เชื่อว่าคนจนไม่อาจเป็น ลูกค้าที่ดีของธนาคารได้ นายธนาคารเพื่ อ คนจน จึ ง เป็ น เหมื อ นบทบั น ทึ ก ประสบการณ์กว่า 30 ปี ที่ยูนูสได้ใช้ชีวิตล้มลุกคลุกคลาน ก่อตั้งธนาคารเพื่อคนจนแห่งนี้ขึ้นมา ทำ�ให้เขากลายเป็น ‘บิดาแห่งแนวคิดไมโครเครดิต’ และได้รับรางวัลโนเบลสาขา สันติภาพประจำ�ปี พ.ศ. 2549 ไปในที่สุด อีกทั้งความสำ�เร็จ ของธนาคารกรามี น ที่ ฉ ายอยู่ ใ นหนั ง สื อ เล่ ม นี้ ยั ง เป็ น แรงบันดาลใจให้เกิดธนาคารเพื่อผู้ยากไร้อีกว่า 250 แห่ง ใน 100 ประเทศทั่วโลก กลายเป็นตัวอย่างในการประยุกต์ใช้ ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์จุลภาค (microcredit) กับสังคมอย่าง ได้ผลและเป็นรูปธรรม ดังนั้นหนังสือเล่มนี้จึงน่าจะเป็นอินโทรชั้นดี ที่จะมอบ แง่คิดให้กับนักการเงิน นักเศรษฐศาสตร์ และผู้ประกอบการ เพื่ อ สั งคมรุ ่ นใหม่ ได้ มองเห็ นศั ก ยภาพของพลั ง ทางด้า น เศรษฐศาสตร์ และสามารถน�ำความรู้ที่ได้มาต่อยอดสร้าง ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ทางการเงิน ทีจ่ ะสร้างสมดุลและเปลีย่ น ชีวิตของผู้คนในสังคมให้ดียิ่งขึ้นต่อไป
A DECADE OF READING
นาย ธนาคาร
เพื่อ คนจน 18.
ช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี พ.ศ.2540 เศรษฐกิจไทยล้มลุก คลุกคลาน นักธุรกิจหลายคนหมดตัว ในยุคที่ระบบการเงิน การลงทุนก�ำลังสับสน ได้มกี ระแสของหนังสือ พ่อรวยสอนลูก โด่งดังขึ้นมา หนังสือเล่มนี้ได้รับค�ำนิยมจาก USA Today ว่า เป็นหนังสือการเงินส่วนบุคคลทีข่ ายดีตลอดกาล คือจุดเริม่ ต้น ส�ำหรับทุกคนทีต่ อ้ งการควบคุมอนาคตทางการเงินของตัวเอง มาดูกันว่าหนังสือเล่มนี้สร้างกระแสอะไรขึ้นบ้าง เคยสงสัยไหมว่าธุรกิจเครือข่ายหลายบริษัทชักชวนคน มาเป็นสมาชิก ด้วยแนวคิดของ พ่อรวยสอนลูก เน้นหนักถึง แนวคิดการเงิน 4 ด้าน ซึ่งเป็นการพูดถึงบุคคล 4 ประเภท คือ ลูกจ้าง ธุรกิจส่วนตัว เจ้าของกิจการหรือธุรกิจขนาดใหญ่ และ นักลงทุน โดยรายได้ของบุคคล 4 ประเภทนัน้ คือรายได้ที่ มาจากการท�ำงานและรายได้เสริม รายได้เสริมทีว่ งิ่ เข้ามาเอง เป็นเงินที่มาโดยไม่ต้องเหนื่อยมาก หากแต่ต้องลงทุน ซึ่งการ ลงทุนทีแ่ ท้จริงนัน้ ต้องใช้เงินทุนทีส่ งู จุดนีเ้ องทีท่ ำ� ให้ธรุ กิจเครือ ข่ายเข้ามาเกีย่ วข้อง ถ้าคนธรรมดามีรายได้จากการลงทุน แต่ ไม่มีเงินลงทุนมากมายขนาดนั้น การเป็นสมาชิกของธุรกิจ เครือข่ายจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถลงทุนได้ ในบาง ธุรกิจลงทุนเพียงไม่กี่ร้อยก็เป็นเจ้าของธุรกิจได้แล้ว ทุกวันนี้ แนวคิดของหนังสือเล่มนี้จึงเป็นเหมือนค�ำภีร์หลักของธุรกิจ เครือข่ายไปโดยปริยาย พ่อรวยสอนลูก เป็นหนังสือเล่มแรกๆ ในเมืองไทยที่ได้ ชื่อนิยามว่าเป็น หนังสือ How to หลังจากนั้นจึงเกิดกระแส หนังสือประเภทนี้ขึ้นมาในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น How to ที่แตกประเด็นจากหนังสือเล่มนี้เองกลายเป็นแบรนด์ ‘Rich Dad’ อันโด่งดังนั้น เช่น พ่อรวยสอนลงทุน, พ่อรวยสอนเงินสี่ ด้าน, พ่อรวยสอนวัยรุน่ , พ่อรวยเล่าเรือ่ ง เป็นต้น และมีหนังสือ How to ด้านธุรกิจอื่นๆ ที่แตกแขนงออกมาเป็นดอกเห็ด
52
ทัง้ หนังสือสอนการลงทุน สอนขายของในอินเตอร์เน็ต หนังสือ แนะน�ำการหารายได้เสริม หนังสือสอนการอ่านงบการเงิน อย่างง่าย มากกว่านัน้ ได้เกาะกระแสชือ่ หนังสือเอาไปตัง้ ชือ่ อืน่ อีกสารพัด เช่น พ่อรวยสอนเล่นหุน้ , พ่อไม่รวยก็รวยได้ เป็นต้น ทั้งนี้ พ่อรวยสอนลูก ได้ถูกวิจารณ์ทั้งในแง่ดีและแง่ลบ มีความสงสัยว่าแนวคิดในหนังสือเล่มนี้เอาไปใช้ในชีวิตจริง ได้หรือไม่ เป็นการขายฝันให้คนอ่านหรือเปล่า และการกล้า ตัดสินใจตามหนังสือเล่มนี้จะพาผู้อ่านไปในทิศทางใด แต่ใน กระแสแง่ดีคือการให้ความรู้ด้านการเงินที่เข้าใจง่าย อีกทั้ง เป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตในด้านการท�ำงานการสร้าง ฐานะเป็นอย่างดี โรเบิร์ต ที. คิโยซากิ ผู้บุกเบิกหนังสือแบรนด์ ‘พ่อรวย’ เดิมทีเป็นนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ อาศัยอยู่ที่อเมริกา สมัย เด็กเขาไม่ใช่คนเรียนเก่ง ผลการศึกษาปานกลาง มีสอบตก บ้างบางวิชาด้วยซ�ำ้ ก่อนทีโ่ รเบิรต์ จะประสบความส�ำเร็จอย่าง ทุกวันนีเ้ ขาเคยล�ำบากมาก่อนเริม่ แรกเขาท�ำงานเป็นพนักงาน เงินเดือนธรรมดา หลังจากนัน้ จึงไปเป็นทหารและไปออกรบที่ เวียดนาม ก่อนชีวติ พลิกผันเมือ่ ได้พบกับ “พ่อรวย” ในชีวติ จริง ที่สอนเขาท�ำธุรกิจ และมอบมุมมองด้านการเงินท�ำให้เขา สามารถพัฒนาตนเองจนเป็นผูป้ ระสบความส�ำเร็จคนหนึง่ ใน วงการธุรกิจ และประสบความส�ำเร็จสุดขีดเมื่อเขียน พ่อรวย สอนลูก ก่อนเขียนหนังสือแบรนด์ “พ่อรวย” ออกมาอีกหลายเล่ม กระแสข่าวล่าสุดออกมาว่าโรเบิร์ตถูกฟ้องล้มละลาย ความ เป็นจริงแล้ว บริษัทที่โรเบิร์ตบริหารอยู่ต่างหากที่ถูกฟ้อง ล้มละลาย เขายังคงใช้ชีวิตอย่างปกติสุขและอยู่ในกระแส ของธุรกิจที่รุนแรง ก้าวไปพร้อมกับผู้อ่านทุกคนที่ก�ำลังอ่าน หนังสือเล่มนี้ ราวกับพ่อทีก่ ำ� ลังแนะแนวทางให้ลกู ก้าวเดินไป อย่างไม่หยุดยั้ง
A DECADE OF READING
พ่อรวย
สอนลูก
19.
บนโลกนี้มีหนังสือประเภท HOW TO อยู่มากมาย เขียน ทฤษฎีต่างๆ เอาไว้ บ้างอธิบายจิตสำ�นึก จิตใต้สำ�นึก และแม้ กระทั่งจิตไร้สำ�นึก บ้างพูดถึงวิธีการจัดการกับตัวเอง การ เอาลูกน้องให้อยูห่ มัด และการเอาคนรอบข้างให้อยูม่ อื หนังสือ เหล่ า นี้เ มื่อ อ่ า นจบ เชื่อ ว่ า ถ้ า เป็ น หนั ง สื อ ที่ดีใ นระดั บ หนึ่ง มันจะตรึงใจเราไปสักพัก สร้างสรรค์กำ�ลังใจ และบันดาล ความคิดให้เราปลอดโปร่ง รูส้ กึ ฉลาด (กว่าเดิม) ขึน้ มาบ้างไม่ มากก็นอ้ ย แต่สำ�หรับเล่มทีอ่ ยูใ่ นระดับดีกว่าคำ�ว่าดี มันจะไม่ เพียงอยูช่ วั่ ครัง้ ชัว่ คราว ผ่านมาแล้วผ่านไป เปลีย่ นได้เพียงชัว่ ครู่ก็กลับไปเป็นคนเดิม หากแต่มันจะเปลี่ยนเราไป...ตลอด กาล The Secret เขียนโดย Rhonda Byrne ผู้ได้รับการจัด อันดับให้เป็น 1 ใน 100 ผู้ทรงอิทธิพลของโลก โดยนิตยสาร Time ซึ่งยอดขายของหนังสือ รวมถึง DVD ชุด The Secret นี้ ทำ�รายได้ถล่มทลาย ด้วยส่วนของหนังสือที่มียอดขายเกือบ 4 ล้านเล่มภายในเวลาไม่ถึง 6 สัปดาห์นับจากวันเปิดตัว ใน ขณะที่ DVD ก็จำ�หน่ายได้มากกว่า 2 ล้านแผ่น แน่นอนว่า การ โด่งดังเปรีย้ งปร้างในระยะเวลาอันรวดเร็วนี้ เกิดขึน้ ไม่ได้งา่ ยเลย จากผูห้ ญิงทีป่ ระสบปัญหาด้านความสัมพันธ์ และการเงิน กลายมาเป็นผู้ที่คนทั่วโลกอย่างยอมรับในความคิด และ หนังสือของเธอได้รับการโปรโมทอย่างยิ่งใหญ่ได้อย่างไร โปรยปกหน้าปกหลังทีอ่ ลังการ เป็นทีก่ ล่าวขวัญ และมีผเู้ ขียน คำ�นิยมชมชอบไว้มากมายว่าเป็นหนังสือสุดยอดแห่งการค้นพบ เป็ น ความจริ ง ที่ ถู ก เก็ บ เป็ น ความลั บ มาเนิ่ น นาน และใน ปัจจุบนั กาลนี้ สมควรได้รบั การเปิดเผยสูม่ วลมนุษยชาติเสียที โปรยกันขนาดนี้ เกริน่ กันมาเยีย่ งนี้ จะไม่นบั ว่ามีการเปลีย่ นแปลง เกิดขึ้นเพราะเธอคนนี้ เพราะหนังสือเล่มนี้ก็คงไม่ได้ ความลับอันเป็นหัวใจของหนังสือเล่มนี้ อยูต่ รงที่ ‘กฎแห่ง แรงดึงดูด’ หรือ ‘Law of Attraction’ ซึ่งอธิบายไว้ง่ายๆ ว่า ความคิดของเราเปรียบเสมือนแม่เหล็ก และความคิดมีคลื่น ความถี่ เวลาเราคิด ความคิดจะถูกแผ่กระจายออกไป และ ดึงดูดคลื่นความถี่ในระดับเดียวกัน กลับมาหาเรา เอาง่ายๆ
54
ไม่ออ้ มค้อมคือ ถ้าเราคิดดี สิง่ ดีๆ จะเข้ามา ถ้าเราคิดร้าย ก็สงิ่ ร้ายๆ นั่นเองที่จะถูกดูดมาแนบสนิทใกล้ชิดชีวิตของเรา เขา เลยบอกว่า ความลับก็คอื คิดดีเข้าไว้สิ คิดดีในระดับทีล่ กึ มากๆ และบังคับให้ตัวเองเชื่อตามนั้น เมื่อลึกๆ เราคิดดี ตื้นๆ เราก็ คิดดี เราก็จะมีแต่คลื่นความดีแผ่ออกไป และดึงดูดเอาสิ่งดีๆ กลับเข้ามา หลังจาก The Secret ปรากฏตัวสู่สาธารณชน และได้รับ การตอบรับอย่างท่วมท้น ก็เป็นอันว่าหลายคนยืนยันฟันธงว่า กฎนี้ใช้ได้จริง มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ความลับอันยิ่งใหญ่ของ จักรวาลนี้ โชคดีจริงๆ ที่ได้รู้ และแน่นอนว่า ภายในเวลาอัน ไม่นาน หนังสือ HOW TO บนชั้นหนังสือ ต้องมีคำ�ว่า Secret ต้องทำ�ให้เป็นการเปิดเผยความลับ แต่จะความลับของอะไร ก็ไปว่ากันอีกที ลับสุดยอด ลับเฉพาะสำ�หรับวัยรุ่น ความลับ ที่สุดของความลับ... อย่ า งไรก็ ต าม แม้ จ ะมี ค วามลั บ ถู ก เปิ ด เผยออกมา อีกเรื่อยๆ แต่เมื่อเอ่ยถึงต้นต�ำรับของความลับที่สร้างการ เปลีย่ นแปลงไปทัว่ โลก พลิกชีวติ ใครหลายคน ปลดล็อคความ คิดของประชาชนมากมายให้กา้ วออกมาจากสภาวะอันย�ำ่ แย่ ที่เคยเป็นเสียได้ ก็คงหนีไม่พ้น The Secret เล่มนี้ อย่างน้อย การก�ำเนิดของ The Secret ก็ช่วยท�ำให้ชั้นหนังสือโดยเฉพาะ หมวดหมู่ HOW TO ดูมีสีสันขึ้นอีกเป็นพะเนิน ใครที่ยังไม่เคยอ่าน หรือแม้กระทั่งหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้น มาพลิกดูสารบัญ จะเริม่ ตอนนีก้ ค็ งยังไม่สาย ดีกว่าปล่อยเวลา ผ่านไปเนิ่นนาน ปล่อยความลับให้เป็นความลับต่อไป ส่วน เมื่ อ ความลั บ ถู ก เปิ ด เผยแล้ ว เข้ า ใจความหมายที่ ผู้ เ ขี ย น ต้องการสือ่ สารแล้ว จะมีการเปลีย่ นแปลงยิง่ ใหญ่เกิดขึน้ หรือ ไม่นั้น ก็สุดแล้วแต่จะพิจารณา “Whatever you’re thinking and feeling today is creating your future” “อะไรก็ตามทีค่ ณ ุ คิดและรูส้ กึ ในวันนี้ คือสิง่ ทีส่ ร้างอนาคต ของคุณ”
A DECADE OF READING
The
Secret
20.
ชุดประดาน�้ำ
และ ผีเสื้อ
21.
A DECADE OF READING
อะไรคือองค์ประกอบที่ท�ำให้หนังสือสักเล่ม กลายเป็นหนังสือดี มีคุณค่า เป็นที่จดจ�ำกล่าวขาน และส่งต่อจากคนหนึ่งสู่อีกหลายๆ คน ผู้ประพันธ์เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง? เป็นหนังสือแปลกแหวกแนวไม่ เหมือนใคร? เนื้อหามีสาระน่าประทับใจ? หรือยอดขายถล่มทลายติด อันดับหนังสือขายดี? ถ้าเพียงแค่องค์ประกอบใดสักหนึ่งข้อก็เพียงพอ เช่นนั้นแล้ว หนังสือที่มีองค์ประกอบเหล่านี้ครบทุกข้อ...จะไม่ถูกจารึก ได้อย่างไร ชุ ด ประดาน�้ ำ และผี เ สื้ อ ประพั น ธ์ โ ดย ฌ็ อ ง-โดมิ นิ ก โบบี้ อดีตบรรณาธิการ ELLE นิตยสารระดับโลกเพือ่ คุณผูห้ ญิงในโลกสมัยใหม่ จากผูอ้ ยูใ่ นแวดวงแฟชัน่ ชัน้ น�ำ ผูท้ ำ� หน้าทีส่ ร้างสีสนั ให้กบั โลกใบนีผ้ า่ น เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย และรสนิยมอันล�้ำสมัย เป็นผู้น�ำเทรนด์ตา่ งๆ ซึ่ง มีคนมากมายเดินตามอย่างเต็มใจ ชีวิตกลับพลิกผันอย่างไม่ทันตั้งตัว ด้วยสภาวะเส้นโลหิตในสมองแตก และนัน่ ท�ำให้เขาไม่อาจท�ำสิง่ ใดได้ อีกต่อไป นอกเสียจากการเปิดเปลือกตาซ้ายได้เพียงข้างเดียว โบบีต้ กอยูใ่ นสภาวะทีร่ า่ งกายไม่อาจขยับได้เลย ซึง่ ทางการแพทย์ เรียกกลุ่มอาการของคนอัมพาตเหล่านี้ว่า Locked-in Syndrome หรือ LIS และความรู้สึกเหมือนถูกกักขังด้วยชุดอันรัดรึงอยู่ตลอดเวลานี้เอง คือที่มาของ ‘ชุดประดาน�้ำ’ ทว่าการถูกกักขังเช่นนั้น คงมีอิทธิพลต่อ โบบี้ได้เฉพาะทางกายเท่านั้น เพราะจิตวิญญาณ สติสัมปชัญญะ และ จินตนาการของเขายังคงโลดแล่น และโบยบินอย่างสง่างามเช่นเดิม ความเป็นคนช่างคิด ช่างมองสิ่งต่างๆ ในมุมที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งเคย ท�ำให้เขานั่งอยู่บนบัลลังก์ผู้น�ำแฟชั่น ลักษณะเดียวกันนั้นเอง ที่ผลัก ดันให้เขาเป็นผู้อยู่ในชุดประดาน�้ำที่แตกต่างจากผู้คนทั่วไป ผู้สวมชุด ประดาน�้ำที่มีอิสระเสรีเฉกเช่นผีเสื้อที่สวยงาม โบบี้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ซึ่งบ่งบอกถึงการไม่ยอมแพ้ในโชค ชะตา เขาเริ่มต้นเขียนหนังสือเพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ ความรู้สึก ต่างๆ และมุมมองที่เขามีต่อโลก มีต่อผู้คนรอบข้าง แน่นอน วิธีที่เขา ใช้ ย่อมไม่เหมือนใครในโลกใบนี้ ชุดประดาน�ำ้ และผีเสือ้ หนังสือทีเ่ กิดขึน้ โดยการขยับเปิดเปลือกตา ของโบบี้ เขามีผู้ช่วยซึ่งจะคอยขานตัวอักษรซึ่งเป็นชุดตัวอักษรภาษา
ฝรั่งเศสที่ถูกใช้บ่อยที่สุด เมื่อผู้ช่วยขานมาถึงตัวอักษรที่เขาต้องการ เปลือกตาของเขาจะถูกเปิดขึ้น ท�ำเช่นนี้จนกว่าจะได้เป็นค�ำ เป็นวลี เป็นประโยค เป็นย่อหน้า และเป็นเล่มจนจบบริบูรณ์ มาถึงตรงนี้ อย่า พยายามคาดคะเนกันเลยว่ากว่าจะได้หนังสือความยาวประมาณ 200 หน้า ฌ็อง-โดมินกิ โบบี้ ต้องเปิดเปลือกตาไปกีแ่ สนกีล่ า้ นครัง้ ดูทา่ ทาง จะเหนื่อยพอๆ กับการเป็นผู้ช่วยของโบบี้เองนั่นแล แม้ว่าเพียงแค่ประวัติความเป็นมาของโบบี้ ประกอบกับรูปแบบ การประพันธ์ที่ถือว่าเป็นหนึ่งเดียวในโลก ก็สามารถดึงดูดให้ผู้คน หันมาสนใจหนังสือเล่มนี้ได้แล้ว แต่คุณงามความดีของหนังสือเล่มนี้ ยั ง มี อี ก มากมายนั ก เพราะโบบี้ ไ ม่ ไ ด้ เ พี ย งแค่ อ ยากท� ำ หนั ง สื อ เขาอยากท�ำหนังสือเพือ่ ให้เกิดการเปลีย่ นแปลงต่างหาก ภายในหนังสือ จึงประกอบไปด้วยประสบการณ์ชีวิต และความรู้สึกที่อยากส่งต่อ มากมายซึ่งสามารถสะกิดเตือนให้ใครหลายคนเห็นคุณค่าของเวลา และอีกหลายสิ่งที่ส�ำคัญในชีวิต และเขายังถือโอกาสใช้ ชุดประดาน�ำ้ และผีเสื้อ เป็นเครื่องมือในการตะโกนให้โลกรู้ด้วยว่า ผู้ป่วยในกลุ่ม อาการ LIS อย่างเช่นเขาทีไ่ ม่สามารถขยับเขยือ้ นร่างกายได้ ก็ยงั มีความ รู้สึก มีความต้องการ และหัวใจของพวกเขายังคงเต้นได้ เจ็บปวดเป็น เขาเจ็บปวดกับการที่เหล่าพยาบาลแกล้งท�ำเป็นไม่ใส่ใจการขอความ ช่วยเหลือจากผู้ป่วยโรค LIS แม้วา่ สิ่งนั้นจะเป็นเพียงการขอให้เปลี่ยน ช่องโทรทัศน์ก็ตาม มันอาจดูเล็กน้อย แต่ก็ชา่ งยิ่งใหญ่ส�ำหรับคนไข้ที่ ถูกกักขังตลอดเวลาเสียเหลือเกิน โบบี้ประสบความส�ำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ทุกประการ กระบอกเสียง เล่มนี้ ท�ำให้มีผู้หันมาใส่ใจผู้ป่วยโรค LIS มากขึ้น และตัวเขาเอง ได้ทิ้ง สิ่งที่มีคุณค่าเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะสามารถท�ำได้ไว้ให้แก่คนรุ่นหลัง อย่างสง่างาม ชุดประดาน�้ำและผีเสื้อ ข้ามน�้ำข้ามทะเลมาให้คนไทยได้สัมผัส ความงดงาม ผ่านส�ำนวนการแปลของคุณวัลยา วิวัฒน์ศร ใครที่ก�ำลัง มองหาแรงบันดาลใจสักอย่างที่จะมาเปลี่ยนแปลงชีวิต อย่าลืมนึกถึง หนังสือเล่มนี้
57
Universe
The
in a
Nutshell 22.
A DECADE OF READING
จักรวาลในความคิดของเราเป็นแบบไหน กว้างไกล? ว่างเปล่า? หรือ จักรวาลทีร่ จู้ กั จะเป็นเพียง ส่วนของพืน้ ทีว่ า่ งในเปลือกนัท? ความลึกลับห่างไกลของ ห้วงอวกาศชวนหลงใหล ทั้งนักวิทยาศาสตร์ผู้ที่ศึกษา อย่างในรูปแบบของวิชาการจริงจังเคร่งเครียด กระทัง่ ผูท้ ี่ แหงนหน้าดูดาวเพียงช่วงครู่ ก็ยังรับรู้ได้ถึงความซับซ้อน ที่สวยงามเหล่านั้น มีหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งบอกกันปากต่อ ปากจนสร้างกระแสว่าเป็นหนังสือทีส่ ามารถอธิบายเรือ่ ง จักรวาลได้ดีที่สุดในยุคนี้ หนังสือเรือ่ ง The Universe in a Nutshell หรือถูกแปล เป็นภาษาไทยชื่อในว่า จักรวาลในเปลือกนัท กล่าวถึง ทฤษฎีสมั พัทธภาพ รูปร่างของเวลา จักรวาล อนาคต อดีต และเรือ่ งการย้อนเวลา เนือ้ หาทัง้ หมดดูคล้ายกับหนังหรือ เรียนฟิสิกส์เล่มหนาที่ชวนง่วง และยากจะเข้าใจ แต่ใน ความเป็นจริงแล้ว จักรวาลในเปลือกนัท ดูคล้ายหนังสือ อ่านเล่นที่มีการด�ำเนินเรื่องด้วยทฤษฎีวิทยาศาสตร์เสีย มากกว่า ด้วยภาพประกอบที่สวยงาม เนื้อหาเข้าใจง่าย ตืน่ ตาตืน่ ใจ คล้ายอ่านนิยายสืบสวนทีจ่ ะพาผูอ้ า่ นไปพบ ความลับของจักรวาล นั้นท�ำให้หนังสือเล่มนี้ได้รับรางวัล ชนะเลิศ Aventis Prizes ในหมวดหนังสือวิทยาศาสตร์ ในปี ค.ศ. 2002 ด้วยความโด่งดังของ จักรวาลในเปลือกนัท ท�ำให้ ไม่อาจเชื่อได้ว่าผู้ที่เปิดเผยความลับของจักรวาลคือ ชายผู้เป็นอัมพาตแทบทั้งร่าง นั่งรถเข็น และใช้อุปกรณ์ สังเคราะห์เสียงพูดในการสื่อสาร เขาผู้นี้คือ สตีเฟน วิ ล เลี ย ม ฮอว์ คิ ง นั ก ฟิ สิ ก ส์ ท ฤษฎี แ ละนั ก จั ก รวาล
วิทยา เขาได้รับต�ำแหน่งศาสตราจารย์ Lucasian ด้าน คณิตศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ต�ำแหน่งที่ เซอร์ ไอแซค นิวตัน และ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เคยด�ำรงมาก่อน ฮอว์คิงท�ำงานวิจัยและศึกษาทฤษฎีมากมาย อาทิ ทฤษฎีสัมพัทธภาพจักรวาล หลุมด�ำ หรือกระทั่งเรื่องที่ ยากอย่างเรือ่ งทฤษฎีเวลา เขาได้สร้างผลงานให้แก่วงการ วิทยาศาสตร์มานักต่อนัก และเมื่อได้หันมาเขียนหนังสือ เขาก็ได้ถา่ ยทอดความรูท้ งั้ หมดออกมาได้อย่างเข้าใจง่าย และเข้าถึงได้ อย่างเช่นหนังสือเรื่อง A Brief History of Time ประวัติย่อของเวลา ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1988 และ เล่มต่อมาจึงเป็น จักรวาลในเปลือกนัท ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 2001 กล่าวได้วา่ เป็นหนังสือส�ำคัญทีส่ ดุ ของศตวรรษที่ 21 โดย สตีเฟน ฮอว์คิง ผู้ได้รับการยกย่องเป็น ‘Master Of The Universe’ จากนิตยสาร Newsweek และ ‘ทายาท ของไอน์สไตน์’ โดยวงการวิทยาศาสตร์โลก ด้วยความสามารถและเอกลักษณ์ของผู้เขียน อีกทั้ง เนื้อ หาที่น่าสนใจของหนังสื อเล่มนี้ ทำ�ให้เกิดกระแส นักอ่านรุน่ ใหม่หนั มาสนใจศึกษาเรือ่ งวิทยาศาสตร์มากขึน้ อีกทั้งได้มีหนังสือแนวทฤษฎีเคมี ชีววิทยา คณิตศาสตร์ ออกมาแบบไม่ขาดสาย ซึง่ แน่นอนว่าหนังสือเหล่านัน้ จะ เขียนและย่อยความรู้ยากๆ ให้อ่านง่าย เข้าใจง่าย และ น่าติดตามจนผู้อ่านได้รับความรู้โดยไม่รู้ตัว กระแสของ หนังสือทำ�ให้เกิดรายการวิทยุ สารคดี สื่อการสอน เป็น แรงส่งให้วงการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์พัฒนาไปได้ไกล ไม่แน่วา่ นักเรียนสักคน หรือนักศึกษาสักกลุม่ ทีก่ ำ�ลังเริม่ ต้น อ่าน จักรวาลในเปลือกนัท อาจจะเป็นผู้ไขความลับของ จักรวาลคนต่อไปก็เป็นได้
59
Iliad and odyssey 23.
A DECADE OF READING
หากพูดถึงนักเขียนชาวกรีกผู้โด่งดัง หนึ่งในนั้นต้อง มีชื่อของ โฮเมอร์ แน่นอน ตามต�ำนานเล่ากันว่าเขาเป็นคนตาบอด ท่องเที่ยว พเนจรเล่านิทานจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่ง และเขา ได้เขียนมหากาพย์ไว้สองเรื่อง ซึ่งจัดว่าเป็นงานเขียนชั้น เยี่ยมของโลก สองเรื่องที่วา่ คือ Iliad โศกนาฏกรรมแห่ง กรุงทรอย และ Odyssey หนทางของวีรบุรุษ Iliad เป็นบทประพันธ์รูปแบบกวีที่เก่าแก่ที่สุดใน ภาษากรีกโบราณ ถือได้ว่าเป็นวรรณกรรมชิ้นแรกของ ยุโรป คนส่ คนส่วนใหญ่ วนใหญ่รจู้ รกั ู้จกัักนกัในนาม นในนาม สงครามกรุ สงครามกรุ งทรอย งทรอย เป็น บันนทึบักนต�ทึำกนานการท� เป็ ต�ำนานการท� ำสงครามระหว่ ำสงครามระหว่ างนักางนั รบกรี กรบกรี กและนั กและ กร นับทรอย ก รบทรอย กล่าวถึกล่ งช่วางเวลาสุ วถึ ง ช่ วดงเวลาสุ ท้ายของสงคราม ด ท้ า ยของสงคราม เนือ้ หาเปิด ให้้อเห็หาเปิ เนื นสัจธรรมในสงคราม ดให้เห็นสัจธรรมในสงคราม ความกล้าหาญ ความกล้ ความอดทน าหาญ และกลโกง มีนัยยะทางศาสนาและสิ ความอดทนและกลโกง มีนัยยะทางศาสนาและสิ ่งเหนือธรรมชาติ ่งเหนือ อยู่มาก กองทั ธรรมชาติ อยูม่ าก พทักองทั ้งสองฝ่ พทัางยต่ ้ สองฝ่ างเคร่ ายต่งครั างเคร่ ดศรังทครัธาต่ ดศรัอทเทพ ธา ต่มีนอเทพ ักรบสืมีบนเชืัก้อรบสื สายมาจากเหล่ บเชื้อสายมาจากเหล่ าเทพ จึงามีเทพ การบวงสรวง จึงมีการ บูชาเทพเจ้าชาเทพเจ้ บวงสรวงบู ขอค�ำปรึากษาจากเทพเจ้ ขอค�ำปรึกษาจากเทพเจ้ าตลอดทั้งเรืา่อตลอด ง แต่ ทัสิ่ง้ ทีเรื่โอดดเด่ ง แต่นสคืิ่งอทีการมองว่ ่โดดเด่นคืาอเทพเจ้ การมองว่ ามีลาักเทพเจ้ ษณะไม่ ามีลตัก่างจาก ษณะ มนุตษ่าย์งจากมนุ ไม่ ทั้งรูปร่าษงย์ความคิ ทั้งรูปร่ดางมีอความคิ ารมณ์ดรักมีโลภ อารมณ์ โกรธรักหลง โลภ โกรธ หลง Iliad ยังได้รับการยกย่องว่าเป็นวรรณกรรมยอด เยี่ยมของโลก Iliad ยังได้รเป็บั การยกย่ นหนังสืออทีงว่่ทาุกเป็คนควรอ่ นวรรณกรรมยอดเยี าน เพราะแฝง ย่ ม ด้ ว ยความรู ของโลก เป็น้ มหนั ากมาย งสือที่ททีุก่ สคนควรอ่ � ำ คั ญ คื อาเป็น นเพราะแฝงด้ บ่ อ เกิ ด ส� ำ คัวญย ของอารยธรรมโลกหลายแขนง ความรู ้ ม ากมาย ที่ ส� ำ คั ญ คื อ เป็สะท้ น บ่อนถึ เกิ ดงคุส�ณ ำ คัค่ญาด้ของ าน อารยธรรมโลกหลายแขนง สะท้ อ นถึ ง คุ ณ ค่ า ด้ า น
จริยธรรม ความเชือ่ การเมือง การปกครอง ประวัตศิ าสตร์ ภาษา ขนบธรรมเนียม โดยเฉพาะปรัชญาชีวิต นับเป็น ปรัชญาสากลที่ควรท�ำความเข้าใจ Odyssey เป็นต�ำนานสืบสานต่อจากมหากาพย์ Iliad เนือ้ หากล่าวถึงการผจญภัยระหว่างเดินทางกลับบ้านของ วีรบุรุษ โอดิสซุส (หรือ ยูลิสซีส) หลังจากที่เข้าร่วมรบใน สงครามกรุงทรอย ทรอย ตลอดการเดิ ตลอดการเดินนทางกลั ทางกลับบบ้บ้านกว่ านกว่า า1010ปี ปี โอดิ โอดิ สซุสซุต้สอต้งพบกั องพบกั บเคราะห์ บเคราะห์ กรรมและเหตุ กรรมและเหตุ การณ์ การณ์ นานันบา นับประการมีกมีารต่ ประการ การต่ อสูอ้เสูอาชนะอุ ้เอาชนะอุปปสรรคในรู สรรคในรูปปแบบต่ แบบต่างๆ สะท้ออนให้ นให้เห็เ ห็นนถึถึงความเป็ ง ความเป็ นมหาบุ น มหาบุ รุษรอย่ ุ ษ อย่ างกล้ า งกล้ าหาญเด็ า หาญด เดีย่ ดวเดีถึ่ยงกัวบถึยอมเสี เด็ งกับยอมเสี ยสละชียวสละชี ติ เพือ่ ชาติ วิตเพืซึ่องเป็ ชาติ นคติซึแ่งละแบบ เป็นคติ อย่างที่ดีแก่ชาายชาตรี และแบบอย่ งที่ดีแก่ชโดยแท้ ายชาตรีประกอบไปด้ โดยแท้ ประกอบไปด้ วยความสุขวุมย รอบคอบ, ความสุ ขุมอดทน, รอบคอบ, ฉลาดปราดเปรื อดทน, ฉลาดปราดเปรื ่อง และมีชื่อเสี่อยงงเป็และ นที่ มียอมรั ชื่อเสีบยจนมี งเป็นสำ� ทีนวนกล่ ่ยอมรับาวเปรี จนมียสบเที �ำนวนกล่ ยบไว้วาา่ วเปรี “แก่ยนบเที แท้ขยองบ มหาบุ ไว้ ว่า “แก่ รุษ ไม่ นแท้ เคยเปลี ของมหาบุ ่ยนแปลงดั รุษ ไม่งเเช่คยเปลี นโอดิ่ยสนแปลงดั ซุส” งเช่น โอดิสซุส” บทกวีชดุ นีไ้ ด้รบั ยกย่องว่าเป็นรากฐานส�ำคัญต่องาน วรรณกรรมตะวั บทกวีชดุ นีไ้ นด้ตกยุ รบั ยกย่ คใหม่ องว่เช่านเป็กันรากฐานส� สอดแทรกคุ ำคัญ ณต่ค่อางาน ทาง ศิลปะ วัฒนธรรม วรรณกรรมตะวั นตกยุ ปรัชคญา ใหม่เศรษฐกิ เช่นกัน สอดแทรกคุ จ และสังคมไว้ ณค่อาทาง ย่าง ศิครบถ้ ลปะววันฒเรีนธรรม ยกได้วา่ปรัเป็ชนญา อันดัเศรษฐกิ บสองรองจาก จ และสัIliad งคมไว้ เท่อานัย่า้นง! ครบถ้วน เรียกได้วา่ เป็นอันดับสองรองจาก Iliad เท่านั้น! แม้เวลาผ่านไปนับพันปี หนังสือทั้งสองเล่มนี้ยังคงเป็น ต�ำนานเล่ แม้เวลาผ่ าขานานไปนั และได้ บพัรนับปีการพู หนังดสืถึองทัในทุ ้งสองเล่ กยุคมทุนีก้ยสมั ังคงย ตอกย� เป็ นต�ำ้ำนานเล่ ความเป็ าขาน นอมตะและความอั และได้รับการพูจดฉริถึงยในทุ ะของกวี กยุคนทุัก ปราชญ์ สมั ย ตอกย� ที่มีช้ำื่อความเป็ ว่า ‘โฮเมอร์ นอมตะและความอั ’ คนนี้ จฉริยะของกวี นักปราชญ์ที่มีชื่อว่า ‘โฮเมอร์’ คนนี้
61
Pot- ter Harry
24.
A DECADE OF READING
เรื่ อ งราวของเด็ ก ชายก� ำ พร้ า ผู ้ มี ร อยแผลเป็ น รู ป สายฟ้าฟาดที่หน้าผาก ได้ท�ำให้กระแสการอ่านของโลก และผู้คนประเทศไทยตื่นตัวราวกับต้องมนต์สะกด จน ท�ำให้ เจ เค โรวลิ่ง กลายเป็นนักเขียนชื่อดังในชั่วพริบตา จากแรงบันดาลใจที่สั่งสมมาจากบรรดาหนังสือที่เธอ อ่านมาตั้งแต่เด็ก
หนังสืออีกหลายต่อหลายเล่ม หรืออย่าง ‘ควิชดิช’ กีฬา ประจ�ำโลกผู้วิเศษที่เธอน�ำเค้าโครงการเล่น และกติกา จากกีฬาชนิดต่างๆ ของคนธรรมดามาดัดแปลงจนกลาย เป็นกีฬาที่น่าตื่นตาตื่นใจ จนคนในโลกความเป็นจริง อดใจไม่ไหวทีจ่ ะน�ำควิชดิชออกมาเล่นจริงๆ (แม้ไม้กวาด และลูกบอลจะบินไม่ได้ก็ตาม)
ใครจะเชื่อว่าโลกเวทย์มนต์ขนาด 7 เล่มใหญ่นั้น เกิดขึน้ ภายใน 4 ชัว่ โมงระหว่างทีเ่ ธอก�ำลังนัง่ อยูบ่ นรถไฟ จากสถานีคิงส์ครอสมุ่งหน้าสู่แมนเชสเตอร์ แม้ว่าเธอจะ ไม่มกี ระดาษไว้สำ� หรับจดไอเดียด้วยซ�ำ้ ถัดจากนัน้ มาอีก 5 ปี เนื้อหาก็เสร็จสมบูรณ์
และหลังจาก แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต วางแผงได้ ไ ม่ น านนั ก ทางประเทศสหรั ฐ อเมริ ก าได้ มีการวางแผน และท�ำแบบแปลนการสร้างสวนสนุก ที่เมืองออร์แลนโด รัฐฟลอริดา โดยจ�ำลองสถานที่ต่างๆ ในวรรณกรรมเรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์ ที่เกี่ยวกับสถานที่ ในโลกเวทย์มนตร์ มีแบบจ�ำลองปราสาทฮอกวอตส์ รวม ไปถึงหมู่บ้านฮอกส์มีดส์อีกด้วย ทั้งนี้ได้รับการอนุญาต และยืนยันจาก เจ. เค. โรว์ลิ่ง เรียบร้อยแล้ว
แม้ว่าจะเป็นวรรณกรรมแฟนตาซีที่ใช้ช่วงเวลาที่ เปลี่ยนผ่านของเด็กหนุ่มเป็นตัวด�ำเนินเรื่อง แต่โรวลิ่ง กลับเคยให้สมั ภาษณ์วา่ แก่นเรือ่ งหลักของ แฮร์รี่ พอตเตอร์ คือ ‘ความตาย’ “หนังสือของฉันเกีย่ วข้องกับความตายเป็น ส่วนใหญ่ เรื่องราวเกิดขึ้นด้วยการตายของพ่อแม่แฮร์รี่ มีความคิดครอบง�ำของโวลเดอมอร์เรื่องการพิชิตความ ตาย และภารกิจของเขาเพือ่ ความเป็นอมตะไม่วา่ จะต้อง เสียอะไรไปก็ตาม เป้าหมายของทุกคนที่มีเวทย์มนตร์ ฉันเข้าใจดีว่าท�ำไมโวลเดอมอร์ต้องการพิชิตความตาย เพราะเราทุกคนกลัวมัน” ความอัจฉริยะของเธอก็ท�ำให้ผู้ อ่านสามารถอ่าน แฮร์รี่ พอตเตอร์ ด้วยความเพลิดเพลิน กับเวทย์มนต์ที่เธอร่ายไว้ชนิดที่วางหนังสือไม่ลง และ ไม่สะดุดกับความตายที่เธอสอดแทรกไว้ในหนังสือ แฮร์รี่ พอตเตอร์ ไม่ได้มีแค่เพียงวรรณกรรม 7 เล่ม ภาพยนตร์ 8 ภาคเท่านัน้ แต่เธอได้สร้างโลกอีกโลกหนึง่ ที่ แทบจะใกล้เคียงโลกความจริง ด้วยเนือ้ หาทางวัฒนธรรม การละเล่น ประวัติศาสตร์ แม้แต่วิชาการเรียนการสอน ที่ถูกบรรจุไว้ในเรื่อง ทั้งหมดถูกน�ำมาแยกย่อยออกเป็น
แฮร์ รี่ พอตเตอร์ กั บ เจ้ า ชายเลื อ ดผสม ขายได้ เกือบ 9 ล้านเล่ม จากจ�ำนวนที่พิมพ์ไว้ครั้งแรก 10.8 ล้านเล่ม ภายใน 24 ชั่วโมงแรกของการวางแผง และ เล่มสุดท้ายของชุด แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต เป็นหนังสือที่ขายได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยขาย ได้ 11 ล้านเล่มในยี่สิบสี่ชั่วโมงแรกของการวางจ�ำหน่าย ยังไม่นับรายได้จากภาพยนตร์ในระดับที่ถูกยกให้เป็น หนังท�ำเงินตลอดกาล และแตกแขนงออกไปในสาขา ต่างๆ อย่างวีดีโอเกม และละครเพลง ไม่มีข้อกังขาเกี่ยวกับวรรณกรรมเด็กระดับโลกชิ้นนี้ มีแต่เพียงการยอมรับถึงอิทธิพลที่ แฮร์รี่ พอตเตอร์ มีต่อ นักอ่านทุกเพศทุกวัย จนเราอาจเกิดความเชื่อใหม่ขึ้นมา ว่าเวทย์มนต์มีอยู่จริง
63
The Lord of
the Rings
25.
A DECADE OF READING
“ข้าพเจ้ามีความหวังน้อยมากว่าใครจะมาสนใจงานเขียนชิน้ นี้ เพราะ จุดมุ่งหมายและแรงดลใจจริงคือ วิชาภาษาศาสตร์ The Hobbit และ The Lord of the Rings เขียนขึน้ เพือ่ การศึกษาภาษา อังกฤษแบบโบราณ และเขียนเพื่อทดลองวิธีการเขียนแบบยืดเรื่องให้ยาว ที่สุดเท่าที่จะท�ำได้เท่านั้นเอง” นี่คือความในใจของ J.R.R.Tolkien ผู้ประพันธ์หนังสือซึ่งได้ชื่อว่าเป็น วรรณกรรมทีด่ ที่ สี่ ดุ เรือ่ งหนึง่ ของคริสต์ศตวรรษที่ 20 และเป็นหนังสืออันดับ หนึง่ ทีค่ รองใจของผูค้ นบนเกาะอังกฤษ รวมถึงมิตรรักนักอ่านจากทัว่ ทุกมุม โลก The Lord of the Rings สร้างปรากฏการณ์และมีอิทธิพลต่อหลาย แวดวง ไม่วา่ จะเป็นละครเวที ดนตรี บทกวี ภาพยนตร์ เกม หรือแม้กระทั่ง การศึกษา ด้วยว่าผูเ้ ขียนก็คอื หนึง่ ในผูย้ งิ่ ใหญ่ของวงการภาษาศาสตร์ เป็น อาจารย์ประจ�ำมหาวิทยาลัยชั้นน�ำที่มีความเชี่ยวชาญ ถึงขั้นที่ว่าสามารถ สร้างภาษาขึน้ เองเพือ่ รับใช้ในวรรณกรรมของตน และกลายเป็นความนิยม ชมชอบของผู้คน จนกระทั่งมีการเปิดการเรียนการสอนภาษานั้นขึ้น หากใครเคยได้ยินผ่านหูหรือได้เห็นผ่านตาเกี่ยวกับแขนงวิชาแปลก แต่มีอยู่จริง แน่นอน หนึ่งในนั้นคือ ‘หลักสูตรการเรียนรู้ภาษาภูติ (Elvish)’ หลักสูตรทีเ่ ปิดสอนโดยมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน (University of Wisconsin) ส�ำหรับผู้ที่สนใจบทสนทนาระหว่างสองเอลฟ์สุดหล่อ เลโกลัส กับ ธรันดูอิล รวมถึงบางฉากทีม่ กี ารใช้ภาษาเอลฟ์หรือภาษาซินดารินเป็นส่วนหนึง่ The Lord of the Rings นั้น แรกเริ่มเดิมทีหาได้เป็นความตั้งใจอย่าง แน่วแน่ของโทลคีนที่จะท�ำให้เกิดขึ้น หากแต่เพราะกระแสจากวรรณกรรม เล่มก่อนหน้านั้นของเขา คือ The Hobbit ได้ท�ำให้ผู้คนติดกันงอมแงม เกิด เป็นกระแสเรียกร้องให้มีภาคต่อออกมาเสียเถิด โทลคีนซึ่งความจริงหมาย มั่นปั้นมือจะให้งานเขียนอีกชิ้นหนึ่งเป็นผลงานชิ้นโบว์แดง จึงต้องพักงาน ชิ้นนั้นไว้แล้วหันมาเริ่มต้นท�ำตามกระแสเรียกร้อง ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ ภาระทางการเงินของครอบครัว ซึง่ บางคนถึงกับกล่าวไว้วา่ โทลคีนพยายาม เขียนเรือ่ งนีใ้ ห้ยาวยืดทีส่ ดุ เพือ่ จะได้คา่ ตอบแทนในการเขียนมากทีส่ ดุ อันนี้ จริงแท้แต่ประการใดไม่มใี ครทราบ เรารูเ้ พียงว่าโทลคีนเป็นนักประพันธ์ทมี่ ี
ความละเอียดประณีตมากพอทีจ่ ะไม่ทำ� ให้ผอู้ า่ นผิดหวัง และผลงานชิน้ ก้อง โลกนี้ใช้เวลาก่อร่างสร้างตัวยาวนานถึง 12 ปี และกว่าจะได้ตีพิมพ์จนครบ บริบูรณ์ทุกส่วนของเนื้อหา ก็ท�ำให้อายุอานามของโทลคีนปาเข้าไปถึง 63 ปีแล้ว ถ้าไม่รักจริง ไม่มีความพยายามมากพอจริงๆ มหากาพย์เรื่องนี้คงมิ อาจเกิดขึ้นได้เป็นแน่แท้ กรุงโรมมิได้สร้างเสร็จในวันเดียว มหากาพย์ยิ่งใหญ่มิได้กลั่นออกมา เพียงชั่วข้ามคืน กระบวนการประพันธ์ว่ายาวนานยากเย็นแล้ว กระบวนการแปลออก มาเป็นภาษาต่างๆ เพื่อสนองต่อความต้องการของผู้คนทั่วโลกก็บากบั่น ไม่แพ้กัน เมื่อถ้อยค�ำส�ำนวนภาษาของโทลคีนส�ำหรับ The Lord of the Rings ถือได้ว่าเป็นภาษาเก่าแก่ เป็นภาษาอังกฤษโบราณ หน�ำซ�้ำยังมี ภาษาเอลฟ์หรือภาษาซินดารินเข้ามาเสริมทัพให้ชีวิตของนักแปลมีรสชาติ ยิ่งขึ้น งานนี้ โทลคีนถึงกับต้องออกโรงนั่งก�ำกับการแปลด้วยตนเองใน หลายภาษา เพื่อให้ความหมายไม่ผิดเพี้ยนไป รวมถึงรวบรวมและตีพิมพ์ คู่มือส�ำหรับการแปลออกมาอีกด้วย กระนั้นก็มีผู้กล่าวไว้ว่า ไม่มีการแปล เป็นภาษาใดเลยที่จะสามารถสื่อเนื้อหาได้ครบถ้วนกระบวนความตาม ต้นฉบับ ที่ท�ำได้ในตอนนี้ก็เป็นเพียงการแปลเพื่ออรรถรสในการอ่านและ เอาเฉพาะเนื้อหาใจความที่ส�ำคัญเท่านั้น ส�ำหรับเมืองไทยในยุคที่ The Lord of the Rings ข้ามน�้ำข้ามทะเลมา ให้ยลโฉมนั้น ว่ากันว่าคนไทยอ่านหนังสือกันเพียงปีละ 3 บรรทัด กระนั้น วรรณกรรมเรื่องนี้ก็สามารถกระตุ้นให้อัตราการอ่านหนังสือของประชาชน ชาวไทยกระเตื้องขึ้นมิใช่น้อย จึงสมควรได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งใน หนังสือแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง เพราะแม้ในประเทศที่ไม่สนใจ ในเรื่องการอ่านสักเท่าใด ยังต้องหันกลับมาจับหนังสือเล่มนี้กันอย่างวาง ไม่ลง The Lord of the Rings มิได้เป็นเพียงวรรณกรรมทีเ่ ป็นเจ้าพ่อทางด้าน ภาษาศาสตร์ อุดมด้วยความสนุกสนานและเปีย่ มจินตนาการเท่านัน้ คุณค่า ของวรรณกรรมที่แท้จริงคือการก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ต่างหาก
65
The
Twilight Saga
26.
A DECADE OF READING
นวนิ ย ายความรั ก วั ย รุ่ น มั ก ถู ก ตั้ ง แง่ ว่ า เป็ น เพี ย ง วรรณกรรมสายลมแสงแดด นอกจากจะไม่มีแง่คิดใดๆ แล้ว ยังมีแนวโน้มว่าจะส่งเสริมให้เยาวชนผู้อ่านเพ้อฝันล่องลอย อยากจะมีชีวิตที่สมหวังและหวานฟุ้งเหมือนตัวละครในเรื่อง The Twilight Saga นวนิยายความรักแฟนตาซีระหว่าง มนุษย์หมาป่าและแวมไพร์ มียอดขายถล่มทลายทั่วโลกกว่า 170 ล้านเล่ม ถูกแปลมากกว่า 38 ภาษา โดยทั้งสี่เล่มถูกจัด ให้เป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดตลอดกาลประจ�ำปี 2008 ของ USA Today เป็นสิบอันดับหนังสือขายดีของ New York Times ถึง 235 สัปดาห์ตดิ กัน ซึง่ ในตอน Breaking Dawn ได้รบั รางวัล วรรณกรรมเยาวชนยอดเยี่ยมประจ�ำปี 2008 จาก British Book Award พ่วงด้วยรางวัลวรรณกรรมชุดยอดเยี่ยมประจ�ำ ปี 2009 จาก Kids’ Choice Award และยังถูกน�ำมาดัดแปลง เป็ น บทภาพยนตร์ แน่ น อนว่ า รายได้ ก็ พุ ่ ง ทะยานเช่ น กั น เพราะแค่ ใ นอเมริ ก ารวมทุ ก ภาคก็ ป าเข้ า ไปกว่ า พั น ล้ า น ดอลล่าร์สหรัฐ โดยที่ยังไม่ร วมแผ่นซี ดีที่ขายไปแล้ วกว่า 30 ล้านแผ่นทั่วโลก แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่พ้นข้อครหาจาก สังคมผู้ใหญ่ว่า ทไวไลท์ เป็นนวนิยายที่ไร้ซึ่งแก่นสารใดๆ ไม่คู่ควรกับการขึ้นแท่นหนังสือขายดีด้วยซ�้ำ ที่น่าสนใจมากกว่าเหตุผลที่ท�ำให้ ทไวไลท์ ถูกสังคมส่วน หนึง่ ให้คา่ ในทางลบ คืออะไรทีท่ ำ� ให้ ทไวไลท์ ครองใจนักอ่าน นับล้านคน และแท้จริงแล้วเนื้อหานวนิยายไตรภาคชุดนี้ไม่มี แง่คิดอะไรซ่อนอยู่หลังตัวหนังสือเลยหรือ? นวนิยายหรือภาพยนตร์ส่วนใหญ่ที่มีตัวละครเป็นกึ่ง มนุษย์นั้น มักถูกยกให้เป็นตัวแทนของผู้คนผิวสีต่างๆ กันไป และก็มีปัจจัยบางอย่างที่ท�ำให้แนวคิดนี้เป็นไปได้ อย่างเช่น
ลักษณะนิสัยของตัวละครอย่าง เจคอบ ซึ่งเป็นมนุษย์หมาป่า จากหลายๆ เหตุการณ์ตวั ละครแสดงออกว่าตนนัน้ ด้อยฐานะ กว่า จึงค่อนข้างเป็นคนเก็บตัว ระบายอารมณ์ดว้ ยการปลีกตัว เข้าธรรมชาติ ซึง่ เมือ่ เทียบกับแวมไพร์ทใี่ นเรือ่ งมีฐานะดีกว่า มี ภูมฐิ าน จึงคล้ายคลึงกับสภาพสังคมของประเทศก�ำลังพัฒนา และประเทศที่พัฒนาแล้ว ทไวไลท์ บรรจุความขัดแย้งหลากหลายประเภทไว้ใน เรื่อง ที่เห็นชัดคือความขัดแย้งระหว่างตัวละครและตัวละคร รองลงมาคื อ ความขั ด แย้ ง ภายในใจตั ว ละคร ซึ่ ง ความ ขั ด แย้ ง นั้ น เป็ น วั ต ถุ ดิ บ ชั้ น ดี ส� ำ หรั บ นวนิ ย าย และความ ขัดแย้งนี้เองที่มักจะท�ำให้ผู้อ่านเข้าใจสภาพความแตกต่าง ของสังคมได้ดียิ่งขึ้น ท�ำให้ระบบความคิดแบบจัดหมวดหมู่ เหมารวม (Sterotype) ใช้เป็นเหตุผลในการท�ำความเข้าใจ เรื่องราวไม่ได้ อย่างเช่น เอ็ดเวิร์ด ซึ่งเป็นแวมไพร์ แต่เลือกที่ จะไม่ดื่มเลือดมนุษย์เหมือนแวมไพร์ตนอื่นๆ คงไม่อาจหาญพอที่จะตัดสินว่า ทไวไลท์ เป็นนวนิยาย ที่ดีหรือไม่ หากมองเพียงกระแสที่เกิดขึ้น คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ทไวไลท์ มีพละก�ำลังดั่งแวมไพร์และมนุษย์หมาป่ารวมกัน มันมากพอที่จะดึงดูดผู้อ่านและผู้ชมนับล้านๆ คนจากโลก ยุคดิจิทัลให้หลุดเข้ามาอยู่ในโลกแฟนตาซี จนก่อก�ำเนิดนัก อ่านหน้าใหม่มากมาย และก็ได้เข้ามาอยูใ่ นสองมือของวัยรุน่ แทนที่เครื่องมือสื่อสาร นับว่าเป็นวรรณกรรมที่มีอิทธิพลต่อ การอ่านของวัยรุ่นไม่น้อย ดีหรือไม่ดคี งไม่สำ� คัญ หากเราไม่เริม่ ต้นด้วยการมองแบบ เหมารวม ก็ไม่เสียหายที่จะลองอ่านดูก่อน
67
จิน ดา มณี 27.
A DECADE OF READING
อะไรที่เป็นสิ่งแรก เป็นครั้งแรก เป็นก้าวแรกเริ่มต้นของ ความยิ่งใหญ่ ย่อมได้รับการจดจ�ำเสมอ และในฐานะคน ไทยทีเ่ ติบโตมากับระบบการศึกษาไทย มีหรือจะไม่อาจจดจ�ำ ‘จินดามณี’ แม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เสียตั้งแต่ก่อนเราๆ จะลืมตาดูโลก
สมุดที่ใช้คัดลอกซึ่งท�ำจากส่วนของพืชน�ำมาผ่านขั้นตอน กระบวนต่างๆ ออกมาเป็นสมุดไทย และการคัดลอกก็เป็นการ คัดด้วยลายมือ จากเล่มสูเ่ ล่ม ดังนัน้ จึงมิเป็นการแปลกแม้แต่ น้อยที่จะมีการผิดเพี้ยนในเนื้อหาไปบ้าง หรือมีการแต่งเติม ตามแต่จินตนาการหรือความรู้ของเจ้าขอสมุดแต่ละรายบ้าง
จินดามณี แปลตรงตัวว่า แก้วสารพัดนึก คือแบบเรียน ภาษาไทยเล่มแรกของประเทศไทย หรือถ้าจะพูดให้ถกู คงต้อง บอกว่า หนังสือเล่มนี้ถือก�ำเนิดตั้งแต่ไทยยังมิได้เป็นประเทศ เสียด้วยซ�้ำ เพราะเกิดขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา ในยุคที่เรายัง เป็นอาณาจักรยิง่ ใหญ่ ยังเป็นเมืองสยามในสายตาของชาวโลก
ต่อมา จินดามณี ได้เติบโตแตกแขนงออกมาอีกหลายต่อ หลายเล่ม โดยผู้ประพันธ์หลายต่อหลายคน เช่น จินดามณี ฉบับความแปลก, จินดามณีฉบับความพ้อง, จินดามณีฉบับ นายมหาใจภักดิ์, จินดามณีฉบับพระยาธิเบศ เป็นต้น ซึ่ง เนื้อหาของแต่ละเล่มก็จะมีความแตกต่างกันไปตามส�ำนวน ของผู้ประพันธ์
พระโหราธิบดี คือผู้แต่งหนังสือแบบเรียนเล่มแรกนี้ขึ้น เพื่ อ เตรี ย มพร้ อ มให้ เ กิ ด การพั ฒ นาด้ า นการศึ ก ษาในยุ ค ที่ ฝ รั่ ง เศสเริ่มเข้ามาตั้งรกราก และขยายอาณานิคมมายัง กรุงศรีอยุธยา ในช่วงรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยเนื้อหาของจินดามณีประกอบด้วยส่วนส�ำคัญของหลัก ภาษาไทย อันได้แก่ ระเบียบของภาษา การสอนอักขรวิธี เบื้องต้น รวมไปถึงมีการอธิบายวิธีการแต่งกาพย์ กลอน โคลง ฉันท์ อีกด้วย และนี่เองคือต้นแบบของหนังสือเรียน ภาษาไทยเล่มต่อๆ มา ในช่ ว งที่ จิ น ดามณี ถื อ ก� ำ เนิ ด ขึ้ น นั้ น กรุ ง ศรี อ ยุ ธ ยา ยั ง ไม่ มี น วั ต กรรมการพิ ม พ์ ห รื อ เครื่ อ งถ่ า ยเอกสารใดๆ การคัดลอกหนังสือจึงเป็นการท�ำมืออย่างแท้จริง เริ่มตั้งแต่
จิ น ดามณี ถู ก ใช้ เ ป็ น แบบเรี ย นเรื่ อ ยมาจนถึ ง สมั ย กรุ ง รั ต นโกสิ น ทร์ ในช่ ว งรั ช สมั ย ของพระบาทสมเด็ จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั เมือ่ มี ‘แบบเรียนหลวง’ ซึง่ แต่งโดย พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ถือก�ำเนิดขึ้นมา และท�ำหน้าที่นั้นแทน แม้ทุกวันนี้ แบบเรียนของลูกหลานชาวไทยจะไม่ได้ใช้ ชื่อว่า จินดามณี แต่ความเป็นจินดามณี เป็นแก้วสารพัดนึกก็ หาได้สูญหายไป เพราะหลักวิชาภาษาไทยก็ยังเป็นหลักวิชา ภาษาไทย ที่สืบต้นเหง้า สืบเค้าโครงมาจาก จินดามณี อยู่ นั่นเอง ดังนั้น จะมีสักกี่คนพูดได้เต็มปากว่าเราไม่เคยรู้จัก หนังสือเล่มนี้
69
อิฐ
28.
A DECADE OF READING
คงเป็นไปได้ยากทีห่ นังสือของชายหนุม่ ผูม้ องโลกในแง่บวก นามว่า ‘นิ้วกลม’ จะไม่เคยผ่านมือผ่านตากันเลย ด้วยความที่เป็นนักคิด และมองโลกในแง่บวก งานเขียน ของเขาจึงเป็นงานทีผ่ า่ นการออกแบบให้อา่ นและเพลิดเพลิน อย่างง่ายๆ โดยมีแง่คิดบางอย่างติดมือกลับไปหลังจากวาง หนังสือด้วย และด้วยความเป็น ‘นิ้วกลม’ จึงไม่ยากเลยที่จะ ท�ำให้คนที่ไม่ได้เป็นนักอ่านเลือกจะลองอ่านหนังสือของเขา เป็นอันดับแรกๆ แม้ อิฐ อาจจะดูอ่านยากที่สุดในบรรดาหนังสือทุกเล่ม ของนิ้วกลมก็ตามที แต่ผ่านมาจากการพิมพ์ครั้งที่ 1 เมื่อ ปี 2547 จนถึงปีที่แล้วสิริรวมพิมพ์ 7 ครั้ง ผู้อ่านหน้าใหม่ๆ ที่ได้ยินสรรพคุณของหนังสือเล่มนี้ก็ยังมีอย่างต่อเนื่องไม่ ขาดสาย แล้วคาดว่าจะเพิ่มจ�ำนวนมากขึ้นผกผันกับจ�ำนวน หนังสือที่หลงเหลืออยู่ในท้องตลาด อิฐ เป็นอีกหนึ่งผลงานหนังสือที่รวบรวมงานเขียนของ นิ้วกลมจาก E=iq2 คอลัมน์หนึ่งในนิตยสาร อะเดย์ เมื่อนาน มาแล้ว คอลัมน์ที่เป็นเหมือนห้องทดลองทางตัวหนังสือของ เขา จนกลายมาเป็นคูม่ อื การคิดแบบสร้างสรรค์โดยมีแนวคิด สอดแทรกอยู่ในวิธีการเขียน ไม่วา่ จะเป็นการตั้งค�ำถาม การ พยายามหาค�ำตอบ การสังเกตในทุกๆ เรื่องที่ได้ผ่านเข้ามา ในชีวิต และการท�ำตัวเองให้หลุดจากความเคยชิน
กฎเกณฑ์ความถูกต้องทางภาษาโดยสิน้ เชิง ท้าทายกลไกทาง สมองของผูอ้ า่ นด้วยการต่อสูก้ บั การสะกดค�ำทีผ่ ดิ แผกไปจาก เดิมอย่างเช่น
“ญิณฎีฏ้อนลับ ! ฆุณก�ำรังอญู่ไนโรกไบไหม่ คุนก�ำรังไร่ศายฏาอ่านอญ่างช้า ๆ ไจเญ็ณ ๆ ช้า ๆ ฆ่อย ๆ ปลับฏัว ( ผมเป็ณก�ำรังไจให้ณะ ) โรกไบนี้ญ่อมใม่ไช่โรกเฎิมเฎิมฒี่คุนฏื่นคึ่นมาเจอทุคเช้า เลาแณ่ไจว่าคุนญังใม่เคญเจอมัณมาก่อณ เลาเข้าไจ เรยภิพม์บัญฑัตละ “ ษั้ณศั้ณ “ ไห้คุนใด้ หายไจหายฆอ”
ความมหัศจรรย์ของ ฆวามเฆญชิณ ปรากฏขึ้นหลังจาก ที่ เ ราปรั บ ตั ว ได้ นี่ เ ป็ นงานเขี ย นที่ ถู ก แชร์ ในโลกออนไลน์ และ ถู ก น� ำ ไปใช้ ใ นการบรรยายตามสถานศึ ก ษาต่ า งๆ มากที่สุดชิ้นหนึ่ง ถ้าจะแนะน�ำหนังสือที่จะท�ำให้รากฐานการคิดการอ่าน แข็งแรงมากพอที่จะรับมือกับสิ่งใหม่ๆ อิฐ ก้อนนี้น่าจะเป็น ผู้ช่วยได้เป็นอย่างดี และเป็นไปได้ว่าเมื่ออ่านเล่มนี้แล้ว อาจ จะติดใจจนต้องพยายามตามหาหนังสือเล่มอื่นๆ ของเขา หรือทีด่ ไี ปกว่านัน้ นีอ่ าจเป็นจุดเริม่ ต้นของนักอ่านของใคร หลายๆ คน
บทหนึ่งที่น่าจะเคยผ่านตาใครหลายคนแม้จะไม่ได้อ่าน เล่มนี้ก็ตาม คือ ฆวามเฆญชิณ งานเขียนเชิงทดลองที่ท�ำลาย
71
ความ น่าจะเป็น
29.
อาเพศ ก�ำสรวล
A DECADE OF READING
หินก้อนที่หนึ่ง
หินก้อนที่สอง
ความน่าจะเป็น ผลงานรวมเรือ่ งสิบสามสัน้ จาก ปราบดา หยุ่น นักเขียนคุณภาพไฟแรง มีมุมมองที่แปลกใหม่ มีความ สดใหม่ทางความคิด และสร้างสรรค์ออกมาได้อย่างโดดเด่น ด้วยกลวิธที แี่ ปลกตา การเล่าเรือ่ งและปิดเรือ่ งอย่างปลายเปิด ชวนให้คิดและตั้งค�ำถาม เรียกได้ว่าเป็นลักษณะวิธีการเล่า ขนบใหม่ก็วา่ ได้
ถ้าพูดถึงเรื่องสั้นขนบใหม่ อาเพศก�ำสรวล ก็เป็นอีกเรื่อง ที่โดดเด่นในการน�ำเสนอ หลังจากที่ วินทร์ เลียววาริณ ได้ ท�ำให้วงการวรรณกรรมฮือฮาด้วย โลกีย-นิพพาน เรื่องสั้น แนวทดลองทีแ่ บ่งการเล่าเรือ่ งออกเป็นสองฝัง่ โดยให้เนือ้ เรือ่ ง ของทั้งสองฝั่งสอดคล้องและล้อกัน ถือเป็นการเล่าเรื่องใน แนวใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม
ด้วยความแปลกใหม่ทปี่ ราบดาน�ำเสนอ ท�ำให้ผลงานเขา ไปเตะตาคณะกรรมการซีไรต์ในยุคนั้น ดูได้จากค�ำประกาศ ที่กล่าวไว้ “เรื่องสั้นในหนังสือรวมเรื่องสั้นชุดนี้ มีลีลาและ กลวิ ธี ก ารเขี ย นเฉพาะตั ว และมี ค วามหลากหลายแปลก ใหม่ในด้านกลวิธี และขนบวรรณศิลป์ นอกจากนี้ยังมีความ โดดเด่นในด้านการเล่นกับภาษา อย่างมีรากทางวัฒนธรรม”
อาเพศก�ำสรวล หนังสือรวมเรื่องสั้นแนวทดลองที่วินทร์ ตั้งใจเขียนให้ฉีกกฎเดิมของการแต่งเรื่องสั้น มีการน�ำองค์ ประกอบศิลป์หลายๆ อย่างเข้ามาผนวกกับงานเขียน การใช้ ขนาดฟ้อนต์ที่แตกต่างเพื่อให้เกิดอารมณ์ ความรู้สึก การจัด วางหน้าทีน่ า่ สนใจ แปลกใหม่ ตลอดทัง้ การล�ำดับเรือ่ งทีซ่ บั ซ้อน ด�ำเนินเรือ่ งหลายๆ เหตุการณ์พร้อมกันโดยเล่าสลับกันไป
แม้จะได้มติได้รับรางวัลซีไรต์ แต่ ความน่าจะเป็น ก็ยัง คงถูกวิพากษ์วจิ ารณ์อย่างหนาหู แบ่งออกชัดเจนระหว่างกลุม่ ที่ยอมรับและไม่ยอมรับ กลุ่มที่ยอมรับชื่นชมในเรื่องความ คิดสร้างสรรค์ กล้าน�ำเสนอแนวคิดที่แตกต่าง ส่วนกลุ่มที่ไม่ ยอมรับจะต�ำหนิในเรือ่ งของการใช้ภาษาทีด่ ตู รงไปตรงมา สัน้ กระชับ บางทีท�ำให้ขาดความสละสลวยและการอธิบายบาง อย่างท�ำให้ผู้อ่านไม่เข้าใจประเด็นที่น�ำเสนอเท่าที่ควร แต่ถึง อย่างนัน้ ความน่าจะเป็น ปราบดาได้ใส่ความเป็นตัวเองลงไป ผสมผสานความคิดสมัยใหม่ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ชัดเจน
ต่างกรรมต่างวาระ แต่ ความน่าจะเป็น และ อาเพศ ก�ำสรวล ก็ถือได้ว่าเป็นมิติใหม่ของการเล่าเรื่องและน�ำเสนอ การน�ำรูปแบบโครงสร้างทีไ่ ม่คนุ้ เคยมาประกอบอยูใ่ นเรือ่ งสัน้ เหมือนเป็นการโยนหินถามทางวงการวรรณกรรมกลายๆ ด้วยแรงหนุนจาก ความน่าจะเป็น และ อาเพศก�ำสรวล ผลงานขนบใหม่จึงเป็นที่แพร่หลายและได้รับการยอมรับ มากขึ้น เป็นแรงผลักดันท�ำให้มีเรื่องสั้นแนวใหม่มากกว่าเดิม สองเล่มนีอ้ าจไม่ได้มสี ว่ นเกีย่ วข้องทัง้ หมด แต่ ความน่าจะเป็น และ อาเพศก�ำสรวล ก็นบั ว่าเป็นส่วนหนึง่ ทีส่ ำ� คัญทีท่ ำ� ให้เกิด การเปลี่ยนแปลงในวงการวรรณกรรมไทย หินสองก้อนที่โยนมาจากวันนั้น เหมือนจะมาถูกทาง
73
นิทาน
30.
อีสป
A DECADE OF READING
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ย้อนกลับไปในยุคสมัย 620 ปีก่อนคริสตศักราช ยังมีนักเล่า นิทานชาวกรีกโบราณผู้ถูกขนานนามว่า ‘อีสป’ พบว่าแรกเริ่ม เดิมทีเขาเป็นทาสทีไ่ ด้รบั อิสรภาพจากการเผยแพร่ภมู ปิ ญ ั ญาผ่าน ทางเรื่องเล่าของเขา เขาได้รับความเคารพนับถือ ในฐานะวีรบุรุษ ชาวบ้านเจ้าของนิทานสอนศีลธรรมอันดีงาม กระต่ายตื่นตูม, ชาวนากับงูเห่า, กบเลือกนาย, ราชสีห์กับหนู เชื่ อ ว่ า รายชื่ อ นิ ท านที่ ก ล่ า วมาคงพอคุ ้ น หู ห รื อ สะกิ ด ความ ทรงจ�ำวัยเด็กกันอยู่บ้าง ลักษณะของ นิทานอีสป มักเป็นการ พูดคุยกันระหว่างคนกับสัตว์ที่มีคุณลักษณะเหมือนมนุษย์ใน สถานการณ์เรียบง่าย เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ในทางจิตวิทยา การ ใช้สัตว์แทนตัวมนุษย์จริงๆ จะช่วยให้จดจ�ำแยกแยะตัวละครได้ดี และเห็นภาพชัดเจนกว่า ว่ากันว่าอีสปเป็นบุคคลที่มีรูปร่างประหลาดผิดมนุษย์ จมูก บี้ ปากแบะ ลิ้นคับปาก ผิวด�ำมืด และพูดไม่ค่อยชัด โดยปรกติ แล้วจะไม่ค่อยมีใครได้ยินนักว่าเขาต้องการจะกล่าวอะไร นั่นจึง เป็นสาเหตุที่ท�ำให้นิทานของอีสปเป็นเรื่องสั้นๆ ไม่ยาวมากนัก แต่ที่น่าสนใจคือสติปัญญาของเขาที่มีความล�้ำเลิศ เดิมทีอีสป เป็นทาสอยู่เมืองซามอส ประเทศกรีซ อิดมอน เจ้านายของเขา ได้ให้เขาเป็นครูสอนหนังสือแก่ลูกๆ อีสปเป็นคนมีความสามารถ พิเศษ เขาสามารถรับรู้โดยวิจารณญาณได้ว่าใครเป็นคนอย่างไร และเมื่ออิดมอนไปพบคนใหญ่คนโตเขามักพาอีสปไปด้วยเพื่อให้ เขาเล่านิทานให้คนเหล่านั้นฟัง ท�ำให้เป็นที่ชื่นชอบของบรรดาคน ใหญ่คนโตมากมาย ต่อมาเมื่อได้รับอิสรภาพ อีสปก็ได้ไปอาศัยอยู่ในวังของกษัต ริย์เครซุส ผู้ร�่ำรวยเงินทองมหาศาล และเป็นสถานที่ที่รวมเอานัก วิชาการและนักปราชญ์ผู้รอบรู้มากมาย ดังนั้นเองจึงเป็นสาเหตุ ให้อสี ปได้พฒ ั นาความรูค้ วามสามารถของตนเองให้มากขึน้ ไปอีก
ขณะนัน้ กษัตริยเ์ ครซุสเป็นประมุขแห่งนครรัฐเล็ก พระองค์ทรง ส่งอีสปให้ไปปฏิบตั หิ น้าทีร่ าชทูตยังเมืองหลวงของนครรัฐ อีสปใช้ นิทานของเขาท�ำให้เกิดความส�ำเร็จในการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว อย่างชาญฉลาด ที่เมืองโครินธ์ อีสปใช้นิทานของเขา เรื่อง กบ เลือกนาย เป็นสื่อตักเตือนชาวเมืองถึงภัยอันอันตรายที่จะเกิดขึ้น จากการใช้กฎหมู่ที่กรุงเอเธนส์ แต่ ด ้ ว ยความฉลาดนั้ น เองที่ เ ป็ น ตั ว จบชี วิ ต ของเขา เมื่อครั้งหนึ่ง กษัตริย์เครซุสส่งเขาไปปฏิบัติหน้าที่ราชทูตที่เมือง เดลฟิ ที่เมืองนี้ อีสปเล่านิทานโดยใช้สัตว์เป็นสัญลักษณ์ถึงความ อยุติธรรมทางการเมืองให้ประชาชนได้รับรู้ การกระท�ำของเขาไป เข้าหูนักการเมืองใหญ่ สร้างความโกรธแค้นในใจเป็นอย่างมาก พวกเขาแก้แค้นอีสปโดยการเอาขันทองศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหารเทพ อพอลโลไปใส่ไว้ในกระเป๋าสัมภาระของอีสปแล้วกล่าวหาว่าเขา เป็นขโมย อีสปถูกตัง้ ข้อกล่าวหาสูงสุด นัน่ คือประหารชีวติ โดยการ ถูกโยนลงมาจากหน้าผา ถึงแก่ความตายในที่สุด นิทานของเขาไม่ได้จบลงไปพร้อมกับชีวิต เมื่ออีสปตายไปไม่ นาน ชาวเอเธนส์ผู้หนึ่งชื่อ ลีซิฟัส ได้ท�ำการปั้นรูปของอีสปตั้งไว้ ข้างหน้าของอนุสาวรีย์ยอดนักปราชญ์ของชาวเอเธนส์ ถือได้ว่า อีสปได้รับการยกย่องเทียบเท่ากับยอดนักปราชญ์ ผู้โด่งดังในยุค นั้นทีเดียว หลังจากนั้นนิทานของเขาที่เคยถูกมองว่าเป็นเพียงเรื่องสนุก ก็ถูกเก็บรวบรวม เรียบเรียงและเล่าใหม่โดยผ่านปลายปากกา ของนักเขียนแห่งยุคสมัยอีกหลายคน จนพระรูปหนึ่งชื่อ มาซิมุล พลานูด ได้แปล นิทานอีสป จากภาษาลาตินเป็นภาษาอังกฤษ เมื่อปี ค.ศ. 1400 และชาติอื่นๆ ต่อมาก็ได้แปลเป็นภาษาของตน ต่างเพียงภาษา ทว่าคติค�ำสอนและข้อคิดอันเป็นหัวใจส�ำคัญ ของเรื่อง ยังคงได้รับการรักษาเอาไว้อย่างดีเยี่ยมและถูกน�ำมา ใช้อย่างแพร่หลายจวบจนปัจจุบัน ดังนั้น นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คุณค่าและความดีไม่มีวัน หายไปพร้อมกับกาลเวลา
75
A DECA A DEC OF REA OF RE ING
ADE CADE AD-
EAD-
_ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่ง ยังมีหนังสืออีกมากมายนักที่สร้างความเปลี่ยนแปลงแก่โลกใบนี้ (หลายเล่มส่งผล ในวงกว้างกว่านี้ด้วยซ�้ ำ) ยกมาเพียงเท่านี้ หากจะให้พูดถึงทุกเล่มบนโลก พู ดสิบวันสิบคืนก็ยังพู ดไม่หมด
_คุณค่าของหนังสือแต่ละเล่ม คงขึ้นอยู ่กับความคิดของแต่ละคน มีค่ามาก-น้อยต่างกันไปตามทรรศนะและมุ ม มอง อาจขึ้นอยู ่ท่ีว่าหนังสือเล่มนั้นสร้างแรงบันดาลใจทางความคิดมากแค่ไหน _เป็นที่ชัดเจนว่าการอ่านสามารถสร้างสรรค์บางสิ่งได้จริง การอ่านท�ำให้ได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ส่งผลต่อ ความคิดและการกระท�ำ น�ำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเพื่อการพัฒนา _จริ ง ๆ แล้ ว จะเปลี่ ย นแปลงมากหรื อ น้ อ ยคงไม่ ส� ำ คั ญ แต่ ท่ ีแ น่ ๆ อย่ า งน้ อ ยเราก็ ไ ด้ รู้ ว่ า มี ‘บางอย่ า ง’ ได้ เปลี่ยนแปลงแล้ว แม้จะไม่ได้ส่งผลถึงวงกว้างถึงมากมาย แต่เชื่ อเถอะ แค่เราคิดจะอ่าน อย่างน้อยก็มีส่ิงๆ หนึ่ง เปลี่ยนแปลงแล้ว _‘ตัวเอง’ นี่ไง
Once you learn to read, you will be forever free.
Frederick Douglass -
เรื่อง : ภคณัฐ ทาริยะวงศ์
หากจะมีสถานที่อนั เป็นที่รกั ที่ซ่ึ งนักอ่านจะได้วา่ ยไปในสายธารตัวอักษร นอกเหนื อ จากห้ อ งสมุ ด ที่ มี บ ริ ก ารมากมายตามสถานศึ ก ษาหรื อ มหาวิทยาลัยแล้ว เชื่ อว่านักอ่านทุกคน ครัง้ หนึ่งต้องเคยเข้าใช้บริการ ร้านหนังสือเป็นแน่ หากเราจะหาซื้ อหนังสือซักเล่มที่ต้องการ ร้านหนังสือชั้นน�ำทั่วไปที่พบเห็นได้ตามห้างสรรพสินค้าก็เป็นตัวเลือก ที่ดี ทว่าหนังสือที่พบส่วนใหญ่จะมีอยู ่เพียงไม่ก่ชี ่ื อเท่านัน้ และหนังสือในร้านมักเป็นสินค้าอายุ สนั้ ที่หายใจได้ไม่ นาน อาจต่ออายุ ได้บา้ งตามยอดขายที่ขนึ้ อยู ก่ บั อันดับเบสเซลเลอร์ คงน่าเศร้าใจที่หนังสือบางประเภทจะถูกซ่ อน ไว้ในหลืบในซอกของร้านเหล่านัน้ แต่ปัจจุ บัน การเติบโตของวงการหนังสือมีช่องทางมากมายให้แตกขยายออกไปอีก เห็นได้ชัดจากร้านหนังสือ อิสระที่ถกู พู ดถึงกันอย่างแพร่หลายมากขึน้ แน่นอนว่าร้านหนังสืออินดีเ้ หล่านีอ้ าจไม่มปี ริมาณหนังสือให้เลือกสรร อย่างจุ ใจเท่ากับร้านในห้างใหญ่ แต่เสน่ห์ท่ีน่าหลงใหลจนเราอยากแนะน�ำและชักชวนให้ผู้อ่านลองไปเยี่ยมเยียน คือเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่างกันไปตามสไตล์ของเจ้าของร้าน ประกอบกับการเปิ ดควบคูก่ นั ไปกับคาเฟ่ เล็กๆ สร้างสรรค์พื้นที่พักผ่อนหย่อนใจในเมืองที่เร่งรีบได้ดีมาก ในวันหยุ ดสุดสัปดาห์ ถ้าไม่รู้จะไปพักผ่อนหย่อนใจที่ไหน ลองเปลี่ยนจากการใช้ชีวิตในห้างมาเป็นร้านหนังสือ เล็กๆ ริมทางบ้างก็ดีไม่น้อย เรามี 10 ร้านหนังสืออิสระมาแนะน�ำ เชิ ญชวนให้ออกไปจิบเครื่องดื่ม อ่านหนังสือ หรือถ้าไม่ชอบอ่าน ใช้เป็นที่ นัดมิตรสหายมาสนทนาก็ไม่ว่ากัน อุ ดหนุนอาหารก็ดี อุ ดหนุนหนังสือก็ดี ร้านหนังสืออิสระที่น่ารักเหล่านี้จะได้ อยู ่คู่กับนักอ่านไปอีกนานแสนนาน และวงการหนังสือจะเติบโตอย่างอิสระมากขึ้นกว่านี้
80
A DECADE OF READING
ร้านหนังสือเดินทาง หากใครแวะผ่านไปผ่านมาริมถนนพระสุเมรุ บริเวณสะพาน ผ่านฟ้า อาจจะเคยผ่านตากับร้านหนังสือเล็กๆ ที่เรียงราย ไปด้วยหนังสือสองฟากฝั่ งก�ำแพงร้าน และโปสการ์ดอีก หลายแบบ ให้นกั เดินทางทัง้ ขาประจ�ำและขาจรแวะมาเยี่ยมชม และพักผ่อนไปในตัว ในฐานะร้านหนังสืออิสระ เชื่ อว่า ร้านหนังสือเดินทาง อาจจะติดอันดับต้นๆ ร้านหนังสือใน ดวงใจของใครหลายคนแน่นอน บรรยากาศสบาย และใน สภาพการจราจรที่ ไ ม่ อึ ด อั ด เหมาะกั บ การนั่ ง พั ก ผ่ อ น หาที่สงบท�ำงานอ่านหนังสือ ในหลายครั้ง สถานที่แห่งนี้ ยังถูกใช้เป็นที่จัดงานเสวนาเวลามีกิจกรรมน่าสนใจอีกด้วย ครั้งหนึ่งร้านแห่งนี้เคยประสบปั ญหาจากระบบเศรษฐกิจ จนท�ำให้ต้องปิ ดร้านและย้ายสถานที่มาครัง้ หนึ่ง จนถึงวันนี้ เป็นเวลาเกือบสิบปี แล้วที่ ร้านหนังสือเดินทาง พร้อมที่จะพา ผู ้มาแวะเวียนเดินทางไปในโลกของตัวอักษร โดยไม่ต้อง เสียเวลาขอวีซ่าและค้นหาพาสปอร์ต ใครอยากแวะมาหา มุ มสงบนั่งพักผ่อนหย่อนใจไปกับหนังสือสนุกๆ และกลิ่น เครื่องดื่มหอมๆ รับรองไม่ผิดหวัง ร้านหนังสือเดินทาง - Passport Bookshop 02.629.0694
Bookmoby Reader’s Cafe ท่ า มกลางมหานครศิ วิ ไ ลซ์ ในหอศิ ล ปวั ฒ นธรรมแห่ ง กรุ งเทพมหานคร สถานที่อันเต็มไปด้วยงานศิลป์ ดีๆ ที่แวะ เวียนอยู ่ตลอดทัง้ ปี บริเวณชั้น 4 ยังมีคาเฟ่ และร้านหนังสือ เล็กๆ ชื่ อ Bookmoby Readers Cafe’ (หรือเรียกสั้นๆ ว่าบุ ๊คโมบี้) เป็นร้านหนังสือส�ำหรับผู ้หลงใหลและสนใจใน แวดวงหนังสือและวรรณกรรม โดยเฉพาะงานประพันธ์ท่ี ค่ อ นข้ า งจริ ง จั ง วรรณกรรมไทยสร้ า งสรรค์ บทกวี วรรณกรรมแปลร่วมสมัย วรรณกรรมคลาสสิก รวมทั้ง งานความเรียง สารคดี ประวัติศาสตร์ สังคม ปรัชญา จิตวิญญาณ จนถึงหนังสือภาพและบันทึกการเดินทาง ที่พบได้ยากในร้านหนังสือเครือใหญ่ การจัดงานเสวนา ระหว่างนักเขียนเป็นระยะๆ ยังท�ำให้บุ๊คโมบี้ รีดเดอร์ส คาเฟ่ เป็ น พื้ น ที่ พ บปะแลกเปลี่ ย นระหว่ า งนั ก อ่ า นและนั ก เขี ย น ที่อยู ่ใจกลางมหานครอย่างแท้จริง (ข้อมู ลจาก http://www.bacc.or.th/ ) bookmoby
81
ร้านหนังสือริมขอบฟ้า บริเวณอนุสาวรียป์ ระชาธิปไตย ริมถนนราชด�ำเนิน หากใคร ผ่านไปผ่านมาเป็นประจ�ำอาจจะคุ้นเคยกับร้านหนังสืออิสระ ที่ตงั้ อยู บ่ ริเวณนัน้ บริเวณกระจกใสบานใหญ่หน้าร้านถูกปิ ด ด้วยแผนที่เมืองโบราณขนาดใหญ่ชวนให้คนหยุ ดมองป้ายชื่ อ ร้ า นริ ม ขอบฟ้ า ขนาดใหญ่ เ หนื อ บานประตู ชั ก ชวนให้ ผู้ ผ่านไปผ่านมาแวะหาหนังสือดีๆ ติดไม้ติดมือกลับไปอ่าน ร้านหนังสือริมขอบฟ้า จะมีบุคลิกแบบนิตยสารสารคดีและ เมืองโบราณ เน้นหนังสือในประเทศประเภทรู ร้ อบเมืองไทยกับ นายรอบรู ้ และยังคงเป็นร้านหนังสืออีกหนึ่งร้านซึ่ งมักจัด งานเสวนาขึ้นอย่างสม�่ำเสมอ “จุ ดเริ่มต้นของการสร้างร้าน นีเ้ ลยคือ ความคิดที่อยากให้มรี า้ นหนังสือที่รวมทุกเรื่องราว ทุกสิ่งเกี่ยวกับเมืองไทย ไม่วา่ จะเป็นศิลปะไทย ประวัตศิ าสตร์ ความรู ้เกี่ยวกับชุ มชนต่างๆ อาหารไทย ขนมไทย สมุ นไพร ไทย วรรณคดีและนิทานไทย ต้องการให้รา้ นนีม้ ที กุ เรื่องของ เมืองไทยอย่างครบถ้วน” ครั้งหนึ่งร้านริมขอบฟ้าเคยให้ สั ม ภาษณ์ ไ ว้ แ บบนั้น ดั ง นั้น หากผู ้ อ่ านต้ อ งการหนั ง สื อ สักเล่มที่เกี่ยวกับประเทศไทย มาร้านนี้ รับรองไม่มีผิดหวัง rimkobfa rimkhobfabooks.com 026223510-1
ศึกษิตสยาม เป็นเวลามากกว่า 40 ปี สำ� หรับร้านหนังสือ ศึกษิตสยาม ร้าน หนังสืออิสระที่เกิดจากความตัง้ ใจให้คนไทยได้อา่ นหนังสือดีๆ ที่ถกู คัดสรรแล้ว จากความตัง้ ใจของปั ญญาชนรุน่ ใหม่ในสมัย นัน้ อย่าง ส.ศิวรักษ์ ท�ำให้เกิดเป็นร้านนีข้ นึ้ มา ชื่ อร้านหนังสือ ‘ศึกษิต’ นั้นมาจากค�ำของ น.ม.ส. (พระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารัชนีแจ่มจรัส กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์) ซึ่ งแปลได้ ว่า Educated และเติมค�ำว่า ‘สยาม’ เข้าไปด้วย โดยมี ครู อวบ สาณะเสน เป็นผู อ้ อกแบบตราสัญลักษณ์ของร้าน ศึกษิตสยาม เปิ ดร้านขายหนังสืออย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2510 เป็นปฐมฤกษ์ โดยมี พระยาอนุมานราชธน (เสฐียร โกเศศ) เป็นประธาน ร้านศึกษิตสยามยุ คแรก ตัง้ อยู ท่ ่ถี นน พระรามสี่แถวสามย่าน ติดกับจุ ฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต่อ มาได้ยา้ ยมาอยู ท่ ่ถี นนเฟื่ องนครจนถึงทุกวันนี้ หนังสือส่วน ใหญ่ในร้านศึกษิตสยามจะเน้นความส�ำคัญไปทางด้านปรัชญา และแนวจิตวิญญาณตามส�ำนักพิมพ์สวนเงินมีมา รวมถึง วรรณกรรม เศรษฐกิจ สังคม การเมือง หนังสือวัยรุ น่ ทั่วไป จะมีไม่มากนักเนื่องจากพืน้ ที่ทางร้านค่อนข้างจ�ำกัด แต่น่นั ไม่ ได้ทำ� ให้คณ ุ ค่าของหนังสือส่วนใหญ่ในร้านลดน้อยลงไปเลย Suksit Siam 0830687850 / 022259536-9 ต่อ 15
82
A DECADE OF READING
ร้านหนังสือก็องดิด
ร้านสวนเงินมีมา ถัดจากร้าน ศึกษิตสยาม มาไม่ไกล จะพบร้านคาเฟ่ อยู ่ บริเวณเดียวกัน มองเผินๆ อาจจะเห็นเป็นเพียงร้านอาหาร ชิ คๆ เก๋ๆ น่านั่งเท่านัน้ แต่เมื่อได้ลองเปิ ดประตูเข้าไปสัมผัส จะพบว่ า นี่ เ ป็ น ร้ า นอาหารที่ เ ต็ มไปด้ ว ยหนั ง สื อ มากมาย ส�ำหรับ สวนเงินมีมา ร้านอาหารส�ำหรับคนรักหนังสือ ร้าน นี้ เ กิ ด จากความตั้ งใจของส� ำ นั ก พิ ม พ์ ส วนเงิ น มี ม า ผู ้ ปรารถนาให้ สั ง คมไทยมี ห นั ง สื อ ที่ ใ ส่ ใ จกั บ ช่ องว่ า งของ สังคมเมือง และสังคมชนบทให้ลดแคบลง หนังสือส่วนใหญ่ ในร้านจะเป็นหนังสือที่มุ่งเน้นให้ใช้ชีวิตเรียบง่าย ใส่ใจกับ ธรรมชาติ เรียนรู ้การอยู ่อย่างเป็นสิ่งเดียวกันกับโลกใบนี้ ตามคอนเซ็ปต์ของส�ำนักพิมพ์ มิใช่ มีเพียงหนังสือเท่านั้น วัตถุดบิ ที่ใช้ประกอบอาหารและเครื่องดื่มของร้าน ยังคัดสรร จากกลุ่มเกษตรกร ผู ้ประกอบการรายย่อย และชุ มชน ที่ทำ� การเกษตรแบบไร้สารพิษและสารเคมี จ�ำหน่ายด้วยราคา ที่เป็นธรรม ใส่ใจต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม งานนีร้ บั รอง ว่านอกจากอิ่มท้อง ยังจะอิ่มสมองและได้หนังสือดีๆ ที่เป็น ประโยชน์ต่อโลกใบนี้กลับบ้านกันอีกด้วย สวนเงินมีมา suan-spirit.com 02 622 2495-6, 02 622 0955, 02 622 0966
หากใครผ่านไปผ่านมาแถวคลองสานพลาซ่ า หรือท่าเรือข้าม ฟากคลองสาน อาจจะเคยเห็นที่ตงั้ ของร้านหนังสืออิสระแห่ง นีผ้ า่ นตามาบ้างแล้ว ส่วนใครที่ยงั ไม่เคยไปเยี่ยมชม นี่เป็นร้าน หนังสืออีกหนึ่งร้านที่อยากแนะน�ำ บรรยากาศสบายๆ ใต้ ต้นไม้ใหญ่บริเวณโครงการ The Jam Factory ย่านฝั่ ง ธนบุ รี ที่น่เี คยเป็นโกดังเก่ามาก่อน ในตอนนี้จึงเป็นสถานที่ กว้างใหญ่ไม่อึดอัด แต่มีคนผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาใช้บริการ กันอยู ่ตลอดเวลา ร้านเกิดจากการด�ำเนินงานของ คุณดวงฤทัย เอสะนาชาตัง บรรณาธิการส�ำนักพิมพ์ระหว่างบรรทัด ที่ยา้ ยร้านนีม้ าจาก สถานที่เก่าบริเวณถนนตะนาว ใกล้กับสี่แยกคอกวัว มาจน อยู ่ริมแม่น้�ำเจ้าพระยาในตอนนี้ จุ ดเด่นของที่น่ีนอกจาก บรรยากาศสบายๆ ควบคู่ไปกับกลิ่นหอมๆ ของกาแฟแล้ว การเลื อ กหนั ง สื อ เข้ า ร้ า นของที่ น่ี ยั ง เป็น สิ่ ง ที่ เ รี ย กได้ ว่ า จุ ดเด่น โดยเน้นหนังสือที่ไม่ค่อยพบเห็นทั่วไปในร้านค้าแบบ เชนสโตร์ ท�ำให้ในหลายครัง้ หนอนหนังสือที่แวะไปมาอดใจ ไม่ไหว ต้องมีหนังสือติดไม้ตดิ มือไปเสียทุกครัง้ และแม้วา่ ใคร ไม่สะดวกในการซื้ อหนังสือ ที่น่กี ม็ โี ซนคาเฟ่ ให้บริการเช่ นกัน มีปริมาณโต๊ะให้น่งั ท�ำงานสังสรรค์กนั พอสมควร ดังนัน้ ไม่วา่ จะเป็นแฟนร้านเก่าหรือร้านใหม่ ก็ไม่แปลกที่จะตกหลุมรัก ร้านหนังสือสบายๆ แบบนี้ทุกคนไป ส่วนการเดินทางนัน้ ง่ายแสนง่าย ใช้ทางออกที่ 1 ของบีทเี อส สถานีกรุ งธนบุ รี และต่อรถเมล์สาย 84 เพียงห้านาทีก็จะ ถึงคลองสานพลาซ่ า หลังจากนั้นเดินตามทางเข้ามาอีกไม่ ไกลก็พบ Candide Books 028610967
83
Dasa Book Cafe‘ บริเวณใจกลางสุขุมวิท แหล่งเศรษฐกิจของมหานคร ในวิถี ชี วติ วุ น่ วาย ยังมีรา้ นหนังสืออิสระขนาดเล็กเงียบสงบซุ กซ่ อน ตัวอยู ่หลังบานประตูกระจก ส�ำหรับ Dasa Book Cafe’ เป็น ร้านหนังสือที่แตกต่างจากร้านที่ผา่ นมา เพราะว่าที่น่เี น้นขาย หนังสือมือสองเสียเป็นส่วนใหญ่ และกว่า 90% ในร้านเป็น หนังสือภาษาอังกฤษ
ร้านหนั งสือบางหลวง ร้านหนังสือเล็กๆ ที่บ้านเกิด ชุ นชนริมน�้ำบริเวณบ้านศิลปิ น ยังคงเป็นถิ่นที่นักท่องเที่ยว ทั่วไปให้ความสนใจแวะเวียนไปมาอยู ่เนืองๆ ทัง้ ในเรื่องของ ศิลปวัฒธรรม และความเงียบสงบซึ่ งหาได้ยากในมหานคร กรุ งเทพ แน่นอนว่าที่น่คี ือ บ้านศิลปิ น กลิ่นอายของศิลปะที่ ปกคลุมบรรยากาศโดยรอบเป็นเสน่ห์ท่ ีเข้ากันดีกับสายน�้ำที่ ไหลเอื่อย ไม่แปลกใจเลยหากจะพบว่าที่น่มี ีร้านหนังสืออิสระเล็กๆ เปิ ด ต้อนรับผู ้มาเยี่ยมเยียนอยู ่เป็นประจ�ำ ส�ำหรับร้านหนังสือ บางหลวง เป็นร้านหนังสือในโครงการ ‘ร้านหนังสือเล็กๆ ที่ บ้านเกิด’ ซึ่ งมี คุณชุ มพล อักพันธานนท์ เป็นผู ้ดูแล บ้านศิลปิ น และเจ้าของร้านหนังสือแห่งนี้ หนังสือส่วนใหญ่ในร้านเป็นหนังสือที่ ถูกคัดเลือกมาจาก หลากหลายแนวเพื่อให้สอดรับกับทุกกลุ่มที่มาเยี่ยมเยียน แน่นอนว่าการเปิ ดร้านหนังสือในชุ มชนแห่งนีย้ อ่ มส่งผลดีตอ่ การกระตุ้นให้ผู้คนอ่านหนังสือกันมากขึ้น หากจะขายอย่าง เดียวคงไม่หน�ำใจ ทางร้านยังเปิ ดให้คนอ่านก่อนแล้วค่อย ตัดสินใจก็ได้ งานนี้เรียกได้ว่า ได้ทงั้ อ่านหนังสือดีและเป็นที่ เสพงานศิลปะไปในตัว
นับว่าร้านนี้เป็นทางเลือกที่ดีส�ำหรับใครที่ก�ำลังหาหนังสือ ต่างประเทศ เพราะที่ร้านนี้มีหนังสือใหม่แวะเวียนเข้ามาให้ เรื่อยๆ โดยสามารถเข้าไปโหลดรายชื่ อหนังสือใหม่ได้ใน เว็บไซต์ของร้าน ซึ่ งจะอัพเดทกันทุกสามวัน นอกจากนัน้ ยัง มีมุมกาแฟให้จิบเพลินๆ ระหว่างนั่งอ่านหนังสือ ส่วนเรื่อง ของราคาบอกได้เลยว่าถูกมาก อาศัยจังหวะตาดีได้ ตาร้าย ก็ได้เช่ นกัน ร้านนี้ราคาต�่ำสุดอยู ่ท่ี 9 บาท หากสูงกว่านัน้ ก็ ขึ้นกับสภาพหนังสือ และส�ำหรับผู ้ท่ีอ่านจบไวแล้วไม่อยาก เก็บไว้ ทางร้านก็มีบริการรับซื้ อคืนอีกเช่ นกัน แต่น่ันต้องอยู ่ ภายใต้เงื่อนไขที่ร้านก�ำหนดเท่านัน้ ส�ำหรับการแบ่งหมวดหมูใ่ นร้านก็ทำ� ได้อย่างชัดเจน แฟนตาซี ชี วิต บทความ รับรองว่าถ้าเข้าถูกล็อคถูกมุ มยังไงก็ต้องได้ หนังสือที่ถกู ใจกลับไปแน่ๆ แต่สำ� หรับใครที่อยู ไ่ กล เข้าไปโหลด เอกสารจากทางร้านแล้วใช้บริการสั่งออนไลน์เอาได้เลย Dasa Book Cafe dasabookcafe.com
ร้านหนังสือบางหลวง ร้านหนังสือเล็กๆ ที่บ้านเกิด 3 ภาษีเจริญ กรุ งเทพฯ
books
84
&
coffee
A DECADE OF READING
ตลาดนัดจตุจักรโครงการ 1
ร้านประตูสีฟ้า ย่านเอกมัยที่รถวิ่งสวนกันไปมาตลอดทัง้ วัน ในถนนสายหลัก ที่เต็มไปด้วยร้านค้าและร้านอาหารจากหลากหลายประเทศซึ่ ง มีเอกลักษณ์แตกต่างกันออกไป ในเวิง้ โบราณบริเวณเอกมัย ซอยสิบ เมื่อครัง้ แรกที่เราเดินเข้าผ่านบานประตูสีฟ้าบริเวณ ชั้นล่างอาคาร เราไม่อาจนิยามได้ว่านี้คือร้านอาหาร ร้าน กาแฟ หรือแม้แต่จะเรียกได้ว่าร้านหนังสือ เพราะส่วนผสม ทุกอย่างดูกลมกล่อมกันไปเสียหมด ส�ำหรับร้าน ประตูสีฟ้า เป็นร้านอาหาร และร้านหนังสือ สไตล์ โ ดดเด่ น ที่ เ น้ นให้ ผู้ ผ่ า นไปมาสะดุ ด ตาและแวะมา เยี่ยมเยียน หนังสือในร้านเป็นหนังสือที่เกิดจากการคัดสรร โดยรสนิยมเฉพาะของทางร้าน เห็นสถานที่สวยๆ น่ารัก กุ๊กกิ๊กแบบนี้ ไม่นา่ เชื่ อว่าจะพบหนังสือเนื้อหาหนักๆ หายาก ที่น่ีเหมือนกัน หนังสือในร้านส่วนใหญ่ส่วนใหญ่จะเป็นงาน วรรณกรรม หรือวรรณกรรมแปล โดยภายในร้านถูกใช้เป็น ที่ตงั้ ส�ำนักงานเล็กๆ ของมู ลนิธิสถาบันราชพฤกษ์อีกด้วย
ส�ำหรับร้านสุดท้ายอาจจะดูแหวกแนวออกไปเล็กน้อย เพียง แต่รับรองว่าหนอนหนังสือคนไหนแวะเวียนผ่านไปผ่านมา เป็นอันต้องเสียทุนทรัพย์ไปซะทุกราย กับย่านร้านหนังสือมือ สอง ตลาดนัดจตุจักรโครงการ 1 แหล่งรวมหนังสือและ นิตยสารมือสองมากมายตั้งแต่หนังสือเก่าหายากจนถึง หนังสือสมัยใหม่ในราคาเป็นกันเอง ทัง้ หนังสือนิตยสารไทย และต่างประเทศไล่เรียงกันไปหลายร้าน นอกจากนัน้ บางร้าน ยังขายหนังสือนิยายชุ ดมือหนึ่งในราคาไม่ต่างกันกับงาน หนังสือเลยทีเดียว การเดินทางก็ง่ายแสนง่าย หากอยากเดินทางสบายๆ แบบ รวดเดียวถึงก็ใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดนิ ลงสถานีกำ� แพงเพชร พอขึ้นมาก็จะถึงจตุจักรโครงการที่หนึ่งเลย หรืออีกหนึ่ง เส้นทางก็รถไฟฟ้า หรือว่าพาหนะอะไรก็ได้ท่ีจอดตลาดนัด จตุจักร หลังจากถึงที่หมาย ก็เดินชมร้านค้าบรรยากาศ สบายๆ แถวนัน้ ไปเรื่อยๆ รู ้ตัวอีกทีก็ถึงร้านซะแล้ว เป็นอีกหนึ่งย่านที่อยากแนะน�ำส�ำหรับนักอ่านหน้าใหม่ผูอ้ ยาก ได้หนังสือดีราคาไม่แพง หรือนักอ่านผู ้แสวงหาหนังสือหา ยากราคาไม่แพง ร้านเปิ ดทุกวันตั้งแต่สิบโมงเช้าถึงหกโมง เย็น แต่ช่วงคึกคักจะอยู ่ท่ีวันเสาร์และอาทิตย์มากกว่า
ในแต่ละวัน ทางร้านจะมีเมนูจานเด็ดสลับเปลี่ยนกันไปไม่ซ้� ำจาน หรือถ้าใครไม่หิวข้าว อยากนั่งจับกลุ่มสนทนากับผองเพื่อน ร้านนีก้ เ็ ป็นตัวเลือกที่ดเี ช่ นกัน ร้านสวยสบายตาน่านั่ง ดังนัน้ จึ งไม่ น่ า แปลกใจเลยหากจะเห็ น ร้ า นนี้ ไ ปปรากฏตั ว อยู ่ ใ น มิวสิกวีดีโออยู ่บ่อยๆ ร้านประตูสีฟ้า เอกมัย
85
86
A DECADE OF READING
เรื่อง : แพรวา มั่นพลศรี
ท� ำ ไม “ไทย” อ่ า นน้ อ ย
ท� ำ อย่ า งไร “ใครๆ” จึ ง อ่ า นมาก “ทุกวันที่ 2 เมษายน ของทุกปี เป็นวัน รักการอ่านของไทย และก�ำหนดให้ปี พ.ศ. 2552-2561 เป็นทศวรรษแห่งการอ่านของ ประเทศ” นี่ คื อ นโยบายล่ า สุ ด ที่ ผู้ ใ หญ่ ใ นบ้ า น เมืองวางไว้ เพื่อเป้าหมายในการเพิ่มสถิติ การอ่ า นของคนไทยให้ ทั ด เที ย มชาวโลก เพราะใครๆ ต่างก็รู้กันดี หากจะพัฒนาชาติ ต้องพัฒนาคน จะพัฒนาคน ต้องพัฒนาการ อ่าน ด้วยหลักการเช่นนี้ หน่วยงานทีเ่ กีย่ วข้อง จึงต้องจัดท�ำแผนยุทธศาสตร์การส่งเสริม นิ สั ย รั ก การอ่ า น เพื่ อ ให้ ส อดคล้ อ งกั บ นโยบายดั ง กล่ า ว ผลที่ อ อกมาคื อ แผน ยุทธศาสตร์ความยาวกว่าสามสี่ร้อยหน้า กระดาษ ละเอียดยิบย่อยถี่ถ้วน แจกแจง หน้าที่ไปยังทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ ภาคการศึ ก ษา เริ่ ม ที่ โ รงเรี ย น ผู ้ บ ริ ห าร สถานศึกษา และครูบาอาจารย์ ทว่าสถิติ การอ่านก็ยังกระเตื้องขึ้นไม่มากนัก นักวิชาการและผูม้ คี วามรูห้ ลายท่านให้ ความเห็นไปในแนวทางเดียวกันว่า สภาพ สังคมของไทยไม่ใช่สังคมที่มีค่านิยมเน้น
การอ่านมาตั้งแต่แรก ย้อนกลับไปตั้งแต่ สมัยกรุงสุโขทัย กรุงศรีอยุธยาเรื่อยมา การ สอนลูกหลาน การให้การศึกษาล้วนเป็นไป ในรูปแบบของการพูดให้ฟงั บอกให้ทำ� ตาม การอ่านนั้นหาได้ยากยิ่ง และคนจ�ำนวน น้อยนักจะมีโอกาสได้สัมผัส เพราะหนังสือ ไม่ใช่สงิ่ ทีม่ อี ยูท่ วั่ ไป และด้วยเหตุนี้ กลยุทธ์ ในแผนส่งเสริมรักการอ่านส่วนใหญ่จึงเน้น ไปที่การกระจายหนังสือให้ถึงมือเด็กๆ ให้ นักเรียนมีหนังสือที่ดีอา่ น ให้ครูบาอาจารย์ อ่านให้เด็กเห็น โดยมีความร่วมมือจากทั้ง หน่วยงานราชการ สมาคมต่างๆ บริษัทห้าง ร้าน มูลนิธิมากมายมาจับมือประสานแรง เพื่อท�ำให้ประเทศไทยมีสถิติการอ่านเพิ่ม มากขึ้น วิธกี ารนี้ หลายประเทศใช้กนั มาแล้วได้ ผลเป็นอย่างดี อาทิ โครงการ ‘หนังสือเล่ม แรก (Book Start)’ ที่ ริ เ ริ่ ม โดยประเทศ อังกฤษ และหลายประเทศน�ำไปท�ำตาม เป็นการคัดเลือกหนังสือดีมคี ณ ุ ภาพส�ำหรับ เด็ ก เล็ ก จั ด ไว้ เ ป็ น ถุ ง และแจกจ่ า ยให้ ประชาชน ให้การอ่านเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงแรก ของชีวิต ไทยเราก็น�ำนโยบายนี้มาใช้ด้วย เช่นกัน แต่อาจยังไม่แพร่หลายหรือก่อให้ เกิดผลอย่างจริงจังเท่าใดนัก
87
หรื อ ในประเทศเกาหลี ที่ ป ั จ จุ บั น ประชาชนมีสถิติการอ่านอยู่ที่คนละหลาย สิบเล่มต่อปี ก็เพราะรัฐบาลสนับสนุนให้มี การจัดพิมพ์หนังสือดีๆ เพื่อจะได้จ�ำหน่าย แก่ประชาชนในราคาถูก และยังมีโครงการ เกี่ยวกับการอ่านผุดขึ้นมามากมาย อาทิ ‘โครงการครอบครัวนักอ่าน’, ‘โครงการ 1 เมือง 1 ห้องสมุด’ และ ‘โครงการ 1 เมือง 1 โครงการรณรงค์ให้อา่ นหนังสือ’ เมือ่ หนังสือ ดีเป็นสิง่ ไม่เกินเอือ้ ม การรักการอ่านก็หาใช่ เรือ่ งยากเย็น อีกทัง้ ประชาชนในประเทศยัง มีวัฒนธรรม และค่านิยมในการให้ความ ส�ำคัญกับการเรียนรู้ เมือ่ รัฐพร้อม คนพร้อม การพัฒนาตนเองของประชาชนก็ย่อมเกิด ขึ้นอย่างต่อเนื่อง หันไปมองหนึ่งในประเทศยิ่งใหญ่ของ เอเชี ย กั น บ้ า ง สาธารณรั ฐ ประชาชนจี น มีนโยบายที่รัฐอุดหนุนส่งเสริมหนังสือดีๆ ให้ไปถึงมือประชาชน พีใ่ หญ่ใจป�ำ้ เขาจัดให้ ประชาชนแบบฟรีๆ เล่มไหนดี พิมพ์ฟรี แจก ฟรีไปเลย เข้าเรื่องการอ่านแล้ว จะไม่เอ่ยถึงหนึ่ง ในชาติทมี่ สี ถิตกิ ารอ่านติดอันดับโลกตลอด มาคงไม่ได้ นัน่ คือ ประเทศสิงคโปร์ ประเทศ นี้จริงจังเรื่องส่งเสริมการอ่านมาแต่ไหนแต่ ไร ด้วยนโยบายเด่นชัดว่า “Libraries for Life, Knowledge for Success” ชีวิตจะ ส�ำเร็จได้ต้องมีความรู้ จะมีความรู้ ก็ต้อง อ่าน จะอ่านได้เยอะๆ ก็ตอ้ งมีหอ้ งสมุดห้อง หนังสือเยอะๆ ดังนัน้ ทุกพืน้ ทีข่ องอาณาเขต ไม่กว้างใหญ่นั้น จึงอัดแน่นไปด้วยหนังสือ ทั้งห้องสมุดประชาชน แหล่งอ่านในย่าน ชุมชน ศูนย์การค้า สิงคโปร์ปรับปรุงพื้นที่ การอ่านให้ผู้คนเข้าถึงง่าย ไปไหนมาไหนก็ เจอแต่หนังสือ ใครจะไม่อยากหยิบขึ้นมา เปิดดูหรืออ่านเสียบ้าง ก็คงประหลาดเต็มที นอกจากนี้ ผู ้ ห ลั ก ผู ้ ใ หญ่ ข องประเทศ สิงคโปร์ยงั มีวสิ ยั ทัศน์ทเี่ ข้าถึงหัวใจของการ
88
อ่านทีก่ อ่ ให้เกิดการพัฒนาอย่างแท้จริง นัน่ คือ นอกจากจะต้องรักการอ่านแล้ว หนังสือ ทีป่ ระชาชนอ่านยังจะต้องเป็นหนังสือทีด่ อี กี ด้วย นี่จึงท�ำให้ทิศทางการวางเป้าหมายส่ง เสริมการอ่านของประเทศสิงคโปร์ออกมา เป็น ‘การสอนให้ประชาชนรักการอ่าน รู้จัก วิธกี ารเลือกหนังสือ เพือ่ ส่งเสริมความรูแ้ ละ การพัฒนาตนเอง’ ไม่ใช่สักแต่วา่ อ่านอะไร ก็ ไ ด้ เพราะบางอย่ า งอ่ า นไปก็ ไ ม่ ก ่ อ ประโยชน์อันใด นอกจากทิ ศ ทางนโยบายที่ ถื อ ว่ า ตรงเผง และมุ่งสู่การพัฒนาอย่างไม่มีบิด เบี้ยวแล้ว โครงการรณรงค์ส่งเสริมการอ่าน ของประเทศสิงคโปร์ยงั ถือว่าเป็นโครงการที่ น่ า สนใจอย่ า งยิ่ ง เพราะผลของแต่ ล ะ โครงการนั้น สามารถชี้วัดประเมินกันออก มาได้อย่างเป็นรูปธรรม อาทิ ‘โครงการ 10,000 & More Father Reading’ ซึ่งเป็น กิจกรรมสนับสนุนให้คุณพ่อจากทุกสาขา อาชีพอ่านหนังสือให้ลกู ฟังหรืออ่านหนังสือ กับลูก ซึ่งจะได้ประโยชน์หลายต่อ ทั้งปลูก ฝังนิสัยรักการอ่าน เด็กๆ ได้ความรู้จากสิ่ง ที่ อ ่ า น และสร้ า งสั ม พั น ธ์ อั น ดี ภ ายใน ครอบครัวอีกด้วย กิจกรรมนี้เริ่มต้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2550 มีผู้เข้าร่วมและได้ประโยชน์ไป หลายหมื่ น คน ต้ อ งปรบมื อ ดั ง ๆ ให้ ค น ออกแบบกิจกรรมจริงๆ จากสิงคโปร์ ตรงไปอีกประเทศหนึ่งที่ ขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพประชากรไม่แพ้กัน นั่น คือประเทศญี่ปุ่น ประเทศนี้ต้องยกนิ้วให้ เลยจริงๆ เพราะใส่ใจเรือ่ งการอ่านถึงขนาด มีการตั้ง ‘คณะกรรมการเพื่อการส่งเสริม การอ่าน’ สำ�หรับทำ�หน้าทีก่ ระตุน้ ให้คนอ่าน หนังสือกันอย่างจริงจัง ทั้งที่โดยธรรมชาติ ของประชาชนบนเกาะแห่งนี้ก็กระตือรือร้น เรื่องการพัฒนาตนเองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว โดยคณะกรรมการเพือ่ การส่งเสริมการอ่าน นั้ น มี ห น้ า ที่ จั ด วางนโยบายการส่ ง เสริ ม
A DECADE OF READING
การอ่านโดยตรง มีการออกกฎและระเบียบ ต่างๆ เพื่อท�ำให้อัตราการอ่านของคนใน ประเทศเฟือ่ งฟูขนึ้ เรือ่ ยๆ มีการพัฒนาระบบ ห้องสมุดอย่างต่อเนื่อง มีการวิจัยและจัด กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน, จัดงานสัปดาห์ หนังสือเด็ก, งานสัปดาห์หนังสือ เป็นต้น โดยการส่ ง เสริ ม ของภาครั ฐ ประสานกั บ วั ฒ นธรรมการรั ก การอ่ า นของคนญี่ ปุ ่ น ท�ำให้ปจั จุบนั นี้ คนญีป่ นุ่ มีอตั ราการอ่านออก เขียนได้อยูใ่ นเกณฑ์สงู ถึงร้อยละเก้าสิบกว่า และนั่นคงเป็นสิ่งที่อธิบายได้อย่างชัดเจน ว่า เหตุใดประเทศญีป่ นุ่ จึงสามารถฝ่าวิกฤติ ต่างๆ มาได้อย่างไม่ยากเย็น ล้มกี่ครั้งก็ สามารถลุกขึ้นมายืนอย่างเข้มแข็งได้อย่าง รวดเร็วทุกครั้ง...คุณภาพของประชาชนที่ เกิดจากการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง นั่นไง มาถึงมหาอ�ำนาจอีกประเทศหนึ่งคือ สหรัฐอเมริกา ช่วงหลังมานีพ้ บว่าประชากร ภายในประเทศเริ่ ม อ่ า น และซื้ อ หนั ง สื อ น้อยลง เพราะการมีอิทธิพลที่มากขึ้นของ โลกอินเทอร์เน็ต ใครอยากรู้อะไรก็เพียง ปลายนิ้วคลิกหรือสัมผัสหน้าจอ แต่การ แสวงหาความรู้เช่นนั้น ไม่ได้ก่อให้เกิดการ พัฒนาอย่างเต็มที่เหมือนการอ่านหนังสือ เล่มทีต่ อ้ งใช้ทงั้ สมาธิในการอ่าน การขบคิด ตามตัวอักษร และการร้อยเรียงเรื่องราว ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ใช่ตัดหรือคัดเอามาแค่ เพียงบางส่วนอย่างในหน้าเว็บไซต์ต่างๆ ดังนั้น สมาคมผู้จัดพิมพ์แห่งสหรัฐอเมริกา จึงปรับแผนการหลอกล่อให้ผู้คนกลับมา สนใจการอ่ า นหนั ง สื อ ด้ ว ยการโปรโมท หนั ง สื อ ที่ คิ ด ว่ า ผู ้ ค นในประเทศจะสนใจ อาทิ ตกงานท�ำอย่างไรดี, หนทางสู่ความ ร�่ำรวย, การเป็นมหาเศรษฐี เป็นต้น
เทียบเป็นปี พ.ศ.ก็คือ 2448 โน่น จึงไม่ต้อง สงสัยเลยว่าเหตุใดประเทศของเขาจึงไม่มี ปัญหาเรื่องประชาชนไม่อ่านหนังสือ ด้วย การปลูกฝังที่กระทำ�กันมาอย่างยาวนาน นโยบายของรั ฐ ซึ่ ง ทั้ ง ผลั ก ทั้ ง ดั น ไม่ ว่ า จะเป็ น การส่ ง เสริ ม การวิ จั ย เกี่ ย วกั บ วรรณกรรม หนังสือและอุปนิสยั รักการอ่าน, การจัดตั้งเครือข่ายร้านหนังสือ, การจัดตั้ง โครงการหนั ง สื อ ส� ำ หรั บ เด็ ก โดยการ อุดหนุนของรัฐบาล เพื่อให้เด็กๆ มีหนังสือ ดีๆ ราคาถูกไว้อา่ นตัง้ แต่เยาว์วยั และทีน่ า่ ทึง่ คือการมีสถาบันการเงินไว้คอยช่วยเหลือ บริ ษั ท ที่ ป ระกอบการเกี่ ย วกั บ หนั ง สื อ โดยเฉพาะ นโยบายนี้ถือว่าใจเด็ดมากและ สะท้อนให้เห็นถึงการใส่ใจต่อธุรกิจการผลิต หนังสืออย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงประกาศ รณรงค์ให้คนอ่านหนังสือ แต่เมือ่ ไปถึงหน้า ร้าน คนอยากจะอ่านกลับต้องผงะ หนังสือ เล่มหนึง่ ประทังชีวติ ไปได้หลายวัน ฝัง่ ส�ำนัก พิมพ์ก็ปากกัดมือยัน พยุงตัวกันอย่างหนัก หน่วง จะขายถูกก็ขาดทุน จะขายแพงก็ไม่มี คนซื้อ วงเวียนกรรมเกวียนกันอยู่เช่นนี้ ยัง...ยังไม่หน�ำใจ มีสถาบันการเงินคอย ให้ความช่วยเหลือแล้ว ประเทศสวีเดนก็ยัง มีนโยบายลดภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ หนังสืออีกด้วย ครบวงจรขนาดนี้ หนังสือไม่ เฟื่องฟูก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร เกาหลี มี ห นั ง สื อ ถู ก จี น มี ห นั ง สื อ ฟรี สิ ง คโปร์ มี ห นั ง สื อ อยู ่ ทุ ก พื้ น ที่ ญี่ ปุ ่ น มี วัฒนธรรมรักการอ่าน สวีเดนมีการเงินส่ง เสริม อเมริกามีหนังสือโดนใจ มีประเทศ ต้นแบบเยอะแยะอย่างนี้ ก็ต้องหันกลับมา ดูพี่ไทยของเราเองแล้วล่ะ ว่าจะมีแนวทาง ส่งเสริมและพัฒนาการอ่านกันอย่างไร
ข้ามฟากมาทางฝัง่ ฝรัง่ ตาน�ำ้ ข้าวกันสัก หน่อย ประเทศสวีเดนเห็นความส�ำคัญและ ส่ ง เสริ ม การอ่ า นมาตั้ ง แต่ ป ี ค.ศ.1905
89
การอ่ า น การศึ ก ษา กระจกสะท้อน ซึ่งกันและกัน
9
20 6
13
10 19
2
4
7 5 8 18 16
15
90
A DECADE OF READING
12 กล่าวถึงเรือ่ งนโยบายการอ่านของประเทศต่างๆ ทีม่ หี น้ามีตาว่าประชาชน เป็นหนอนหนังสือผู้รักการอ่านกันไปแล้ว ลองมาดูสถิติบางอย่างที่พอจะคุ้นหู คุน้ ตาว่ามีชอื่ ประเทศเหล่านัน้ ติดอันดับอยูด่ ว้ ยเช่นกัน นีค่ งเป็นสิง่ สะท้อนให้เห็น การอ่านกับการศึกษาคงเป็นพีเ่ ป็นน้อง มีความเกีย่ วข้องกันอย่างมีนยั ยะสำ�คัญ โดยไม่ต้องสงสัย
2014 Educational World’s Top 20 3
17
1
11
01
Japan
11
Singapore
02
United Kingdom
12
Russia
03
South Korea
13
Ireland
04
Finland
14
New Zealand
05
Netherland
15
Israel
06
Norway
16
France
07
Denmark
17
China
08
Belgium
18
Germany
09
Canada
19
Portugal
10
USA
20
Sweden
ชัดเจนอย่างทีส่ ดุ ว่าประเทศทีม่ วี ฒ ั นธรรมการอ่านรุง่ เรือง นโยบายภาครัฐ อุดหนุน ผลักดัน ส่งเสริมให้ประชาชนอ่านอย่างเต็มที่ และประชาชนก็อา่ นอย่าง เต็มทีด่ ว้ ยความเต็มใจ เหล่านีล้ ว้ นเป็นปัจจัยทีทำ� ่ ให้อนั ดับการศึกษาของประเทศ รักการอ่านก้าวขึ้นมาเป็นชั้นต้นๆ ของโลกไปด้วย
SINGAPORE
สิ่งที่จะทำ�ให้การอ่านเกิดประสิทธิภาพ ก่อประโยชน์ได้มากที่สุด คงไม่ได้ หมายถึงปริมาณเพียงอย่างเดียว เพราะจากนโยบายของประเทศต่างๆ เหล่านัน้ ภาครัฐเข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนการคัดสรร หนังสือที่คิดว่าดี เพื่อส่งต่อไปยังประชาชน
14
อนึ่ง รัฐยังต้องเข้าใจธรรมชาติของประชากรในประเทศของตนให้ทะลุ ปรุโปร่ง เพื่อจัดสรรนโยบายที่จะก่อให้เกิดผลได้อย่างเป็นรูปธรรมด้วย ดังที่ สหรัฐอเมริกาเข้าใจว่าหนังสือแบบไหนจะเป็นหนังสือที่ชาวอเมริกันหยิบขึ้นมา พลิกเปิดและเสียเงินซื้อกลับบ้านไปนั่งอ่านนอนอ่าน ดังที่สิงคโปร์เข้าใจว่าทำ� อย่างไรการอ่านจึงจะกระจายไปในวงกว้าง ที่คนทุกสาขาอาชีพ ทุกชนชั้น ทุก ระดับฐานะจะเข้าถึง และผุดโครงการ ‘10,000 & More Father Reading’ ซึ่งก่อให้เกิดผลได้อย่างน่าอัศจรรย์ ดังนี้เอง การพัฒนาจึงจะเกิดขึ้นได้จริง การรักการอ่านจึงจะมีในอุปนิสัย ของประชาชน
91
The more that you read, the more things you will know. The more that you learn, the more places you’ll go.
Theodor Seuss Geisel (Dr. Seuss) -
กว่า 10 ปีที่ TK Park สร้างกิจกรรม สร้าง พื้นที่ให้เยาวชน บุคคลทั่วไป เข้ามาแสดงออกถึง ความสามารถ สร้างการฝึกฝน และสร้างเยาวชน ให้เติบโตไปในทิศทางที่สร้างสรรค์ เรียน เล่น จน บางคนยึดเป็นอาชีพในวัยที่เติบโตขึ้น อีกทั้งหลาย คนมีผลงานเป็นของตนเอง มีรางวัลชื่อเสียงสร้าง ความภูมิใจ และได้รับประสบการณ์ที่ดีอย่างเต็ม เปี่ยม และนี่เป็นตัวอย่างส่วนหนึ่งจากกิจกรรมน้อย ใหญ่ที่ TK Park ได้สร้างขึ้น และสานฝันให้กับ เยาวชนนักฝันมามากมาย
Teen’s TV by Teens รายการโทรทัศน์สำ�หรับวัยสร้างสรรค์ โดยคนวัยมันส์
TK Animation เล่น ร่าง จนสร้างเป็น Animation
TK แจ้งเกิดสาขาภาพยนตร์ จากตัวอักษร สู่ภาพเคลื่อนไหวใน
ในปี พ.ศ. 2549 ได้มีโครงการเสริมทักษะเพื่อเผยแพร่
โครงการเสริมทักษะและประสบการณ์ดา้ น Animation
โครงการนี้ ผ ลิ ต ผลที่ ผ ่ า นการบ่ ม เพาะอย่ า งเข้ ม ข้ น
ทางสื่อโทรทัศน์ หรือที่เรียกว่ารายการ TK Teen
เป็ น เรื่ อ งราวการสร้ า งสรรค์ ด ้ ว ยการสร้ า งภาพ
จากการสนับสนุนของ TK Park ที่มอบแรงบันดาลใจ
เป็นเวทีเปิดโอกาสให้เยาวชนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
เคลื่อนไหวทางด้านกราฟิก TK Park จึงจัดงานนี้ขึ้น
แนวคิด ความรู้ รวมไปถึงประสบการณ์ในกระบวนการ
และระดับอุดมศึกษา ผู้รักในการสร้างสรรค์สื่อโทรทัศน์
โดยมีชอื่ ย่อว่า “TK PoP” โดยเริม่ ครัง้ แรกในปี พ.ศ.2553
การผลิตภาพยนตร์ เยาวชนที่เข้าร่วมได้ลงแรงลงมือ
ได้เรียนรู้วิธีการสื่อสาร และถ่ายทอดไอเดียผ่านการ
เพือ่ จุดประกายและสร้างโอกาสให้เยาวชนรุน่ ใหม่ได้พฒ ั นา
ปฏิบัติจริงตั้งแต่ริเริ่มไปสู่ผลงานภาพยนตร์ที่มีคุณภาพ
จัดรายการโทรทัศน์อย่างเป็นรูปธรรม และเรียนรู้จาก
ศักยภาพของตน โดยผู้เข้าอบรมจะต้องผ่านการฝึกฝน
รวมทั้งได้ร่วมทำ�งานกับผู้กำ�กับภาพยนตร์มีอาชีพ ซึ่ง
การปฏิบัติจริง (Learning by Doing) ตั้งแต่การคิด
ทั ก ษะและกระบวนการการทำ�งานร่ ว มกั น เพื่ อ
ผลงานที่ ผ ลิ ต ออกมามุ ่ ง เน้ น ไปสู ่ ก ารสื่ อ สารที่ เ ป็ น
รูปแบบรายการ การเขียนบท การแสดง รวมถึงถ่ายทำ�
สรรค์สร้างผลงานออกมาในที่สุด เริ่มต้นตั้งแต่การคิด
ประโยชน์สะท้อนสังคมและมุ่งหมายผลิตสื่อที่จะส่งผลให้
รายการ รวมทัง้ เผยแพร่ออกอากาศจริง เป้าหมายสูงสุด
เนื้อหาเรื่องราวนำ�เสนอต่อวิทยากร แก้ไข จัดการสร้าง
คุณภาพสังคมดีขึ้น
เพือ่ ให้เกิดการบริหารจัดการข้อมูลข่าวสารของสำ�นักงาน
โมเดลตัวละครรวมถึงฉากต่างๆ ใส่แสง สี เสียง และองค์
อุทยานการเรียนรู้ที่มีอยู่อย่างมากมาย ผ่านรายการ
ประกอบต่างๆ ให้ครบถ้วนจนออกมาเป็นภาพยนตร์
โทรทัศน์ได้อย่างเหมาะสมและโดนใจผู้ชม
Animation ในทีส่ ดุ กว่าจะผ่านขัน้ ตอนเหล่านีจ้ นผลงาน
ตลอดระยะเวลากว่า 8 ปีทรี่ เิ ริม่ โครงการนี้ ทำ�ให้เยาวชน หลายคนค้นพบศักยภาพ และความสามารถของตนเอง บางคนเติบโต และก้าวหน้าในสายงานโทรทัศน์จนสามารถ
ออกมาสู่สายตาผู้ชมพวกเขาต้องพยายามอย่างหนัก ตลอดหลายสัปดาห์ หากแต่ก็สามารถฝ่าฝันและเรียนรู้ ไปจนสู่ความสำ�เร็จได้
การเรียนรู้เพื่อสร้างงาน เป็นการเรียนรู้เพื่อต่อยอดทาง ความคิ ด จากแรงบั น ดาลใจที่ ส ่ ง มาเข้ า มา ผู ้ เ ข้ า ร่ ว ม กิจกรรมจะนำ�ความรู้ที่ได้ไปพัฒนางานต่อเพื่อสร้างเป็น เรื่องที่พร้อมถ่ายทำ� ปรับปรุงแก้ไขบทเพื่อมานำ�เสนอใน เพื่อขอรับทุน โดยภาพยนตร์ต้องมีที่มาจากหนังสือที่เป็น เรื่องสั้น วรรณกรรม บทกวี หรือข่าว ผู้ที่ได้รับทุนจะได้
นำ�ไปใช้ ป ระกอบอาชี พ ได้ หลายคนนำ�ความรู ้ แ ละ
เรียนรู้การทำ�งานแต่ล ะขั้นตอนเกี่ยวกับกระบวนการ
ประสบการณ์ที่ได้รับไปต่อยอดกับการทำ�งานของตนเอง
สร้างภาพยนตร์จากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญหลากหลาย
ถือเป็นการเรียนรูจ้ ากการปฏิบตั จิ ริงทีก่ อ่ ให้เกิดประโยชน์
สาขา ก่อนกลับมาถ่ายทำ�จริง โดยแบ่งออกเป็นกลุ่ม
กับเยาวชนเป็นอย่างมาก
การเรียนรู้ ประกอบด้วย การกำ�กับ และการแสดง การเขียนบท การตัดต่อ การถ่ายทำ� หลั ง การถ่ า ยทำ�แต่ ล ะกลุ ่ ม ต้ อ งนำ�ผลงานที่ ถ ่ า ยทำ� เรียบร้อยนำ�เสนอต่อวิทยากรเพื่อรายงานความคืบหน้า และรับคำ�แนะนำ�เพิ่มเติม ก่อนที่ส่งงานจริง ทั้งนี้จะมี วิทยากรร่วมชมภาพยนตร์ก่อนจะให้คำ�แนะนำ� ข้อเสนอ แนะ เพื่อกลับไปพัฒนาผลงานแต่ละชิ้นให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น และส่งผลงานที่ตัดต่อเรียบร้อยในที่สุด
94
A DECADE OF READING
TK Young Entrepreneur สร้างสังคมด้วยธุรกิจ
TK Young Writer ก้าวแรกสู่การเป็นนักเขียน
TK Band ปฏิบัติการสร้างสรรค์ฝันนักดนตรี
โครงการนี้ จั ด ขึ้ น เพื่ อ ส่ ง เสริ ม ผู ้ ป ระกอบการหน้ า ใหม่
พรสวรรค์ ดู จ ะเป็ น ปั จ จั ย ลำ�ดั บ สุ ด ท้ า ยสำ�หรั บ การ
TK Band กิจกรรมปลุกปั้นพลังคนดนตรีเลือดใหม่
ไฟแรง ซึ่งเป็นเยาวชนอายุ 18-25 ปี ส่งไอเดียแผนธุรกิจ
ประสบความสำ�เร็ จ ในปั จ จุ บั น หากแต่ ก ารฝึ ก ฝนหา
มุ่งเน้นสร้างเยาวชนที่ต้องการผลิตงานดนตรีที่มีมูลค่า
เพื่อสังคม จากแนวคิด Social Enterprise หรือ SE
โอกาสให้ตัวเอง และการลงมือปฏิบัติจริงดูจะเป็นพื้นฐาน
และคุณค่า ให้ขยายกว้างออกไป ไม่ใช่เพียงการร้องรำ�
แผนธุรกิจเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้โดยไม่จำ�กัดรูปแบบ
ของความสำ�เร็จที่มั่นคง โครงการ TK Young Writer
เล่ น ดนตรี หากแต่ ร วมไปถึ ง นั ก แต่ ง เพลง ผู ้ กำ�กั บ
เปิดโอกาสให้เยาวชนที่สนใจด้านการอ่านเขียน ได้ร่วมกัน
ในเชิ ง ความคิ ด สร้ า งสรรค์ ท างด้ า นดนตรี นั ก ร้ อ ง
เรียนรู้ ผ่านวิทยากรผู้มีประสบการณ์ให้วงการหนังสือ
นักดนตรีที่มีคุณภาพ
ในกระบวนการอบรมทุ ก ที ม จะได้ เ รี ย นรู ้ แ ละตระหนั ก ถึงพลังของผู้ประกอบการที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลง สั ง คมไปในทางที่ ดี และให้ ป รั บ ปรุ ง แผนธุ ร กิ จ ของตน เพื่ อ คั ด เลื อ กผลงานโดนใจกรรมการมากที่ สุ ด เพื่ อ นำ�มาเข้ า ค่ า ยผู ้ ป ระกอบการหน้ า ใหม่ เ พื่ อ สั ง คม
นิตยสาร รวมทั้งวิทยาการผู้อยู่ในกระบวนการผลิต หนั ง สื อ ทั้ ง ระบบ พู ด ได้ ว ่ า ผู ้ ที่ เ ข้ า ร่ ว มอบรมจะได้ รั บ โอกาสทองในการสร้างแรงบันดาลใจ และพัฒนาฝีมือ
กระบวนการสำ�คัญคือการก่อร่างบริษัทจำ�ลอง รูปแบบ ของ ‘กลุ่มธุรกิจจำ�ลอง TK Band’ เพื่อสร้างโอกาสให้
อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
กลุ่มคนดนตรีที่อบรมได้เข้าสูสนามจริงทางด้านดนตรี
ผลงานกับผู้เชี่ยวชาญ และผู้ประกอบการเพื่อสังคมที่
มากกว่าผลงานที่เสร็จสิ้นเมื่อจบการอบรม TK Park
ในเรื่องพื้นฐานการทำ�ธุรกิจด้านดนตรีและความบันเทิง
ล้วงลึกเกี่ยวกับธุรกิจ SE โดยเฉพาะ เช่น เรื่องกฎหมาย
ยังเปิดโอกาสให้เยาวชนผู้ที่เคยได้ฝึกฝีมือจากโครงการ
รูปแบบการบริหารงาน และการร่างผลการตอบแทน
การประกอบธุรกิจ ลิขสิทธิ์ในธุรกิจด้านสังคม รวมถึง
TK Young Writer ต่อยอดให้การ่วมกันจัดทำ�นิตยสาร
สมาชิกที่ทำ�งานในองค์กร อันนำ�ไปสู่การประกอบอาชีพ
การบริหารจัดการงบประมาณและการต่อยอด
Read Me โดยทำ�งานในรู้แบบกองบรรณาธิการจริงๆ
สายดนตรีที่เอื้อประโยชน์ต่อการดำ�เนินการมากขึ้น
โดยผู้ผ่านการคัดเลือกจะต้องร่วมเวิร์คช็อปและพัฒนา
แม้ปัจจุบัน จะมีธุรกิจต่างๆ ผุดขึ้นมามากมาย บวกกับ การบริหารจัดการของบริษัท และการประชาสัมพันธ์ที่ เข้ า ถึ ง กลุ ่ ม เป้ า หมาย เพื่ อ การดำ�เนิ น ธุ ร กิ จ ดั ง กล่ า ว ได้ผลตอบแทนสูงสุด แต่สูตรสำ�เร็จของการทำ�ธุรกิจเพื่อ สังคม (Social Enterprise หรือ SE) อาจเป็นกรณี ศึกษาที่สะท้อนให้เห็นอย่างเหนือชั้นว่า ธุรกิจ SE ไม่ใช่ ธุร กิจที่คิ ดถึ ง แต่ต้น ทุน หรื อ กำ�ไรเพี ย งอย่ า งเดี ย ว แต่ เป็นการผสมผสานกันไป เหมือนหยิบบางสิ่งที่เป็นจุดเด่น จากธุรกิจ `มารวมกับสิ่งดีๆ จากสังคม แล้วเขย่ารวมกัน นั่นเอง
วางตำ�แหน่ ง หน้ า ที่ รั บ ผิ ด ชอบเสมื อ นการทำ�งานเป็ น นักเขียนมืออาชีพ โดยมีบรรณาธิการบริหารคอยให้ คำ�ปรึกษาและร่วมกันกับเยาวชนไฟแรง สร้าง Read Me ให้ เ ป็ น นิ ต ยสารสาระความรู ้ คู ่ TK Park มา ยาวนาน โครงการ TK Young Writer สร้างเยาวชน หลายคนที่ผ่านโครงการนี้ให้เป็นผู้ใหญ่ที่เติบโตอย่างมี คุ ณ ภาพ บางคนเป็ น ยึ ด อาชี พ นั ก เขี ย นในชี วิ ต จริ ง
เพื่อขยายขีดความสามารถ และเพิ่มทักษะ โดยให้ความรู้
นีจ่ งึ เป็นอีกหนึง่ ผลิตผลและการสร้างสรรค์ ของ TK Park ที่เปิดโอกาส ให้เยาวชนได้ใช้ความรู้ด้านดนตรี เป็นสื่อ กลางเพื่ อ ให้ แ ต่ ล ะคนได้ เ รี ย นรู ้ ว ่ า ตนเองมี ค วามถนั ด ในด้ า นใด มี ข ้ อ บกพร่ อ ง และควรเติ ม เต็ ม ในจุ ด ไหน ฝึกฝน สร้างสรรค์ ให้ก้าวไปสู่การเป็นนักดนตรีคุณภาพ และสามารถดำ�เนินธุรกิจทางสายดนตรีได้
บางคนนำ�ความรู ้ และประสบการณ์ ที่ ไ ด้ นำ�ไปใช้ กั บ การเรี ย นหรื อ การงานที่ ทำ�อยู ่ แต่ เ ชื่ อ ได้ ว ่ า ทุ ก คนที่ ได้ รั บ ประสบการณ์ ที่ มี ค ่ า เช่ น นี้ ย่ อ มมี แ รงบั น ดาลใจ และมีความสุขในการเขียนอยู่ทุกวัน
95