รวบรวมและเรียบเรียงโดย ภิกษุ อานันท พุทธธัมโม
มหัศจรรยพระครูบาเจาศรีวิชัย สิริวิชโย เพื่อเปนอนุสรณรําลึกถึงจอมจักรพรรดิอโศกมหาราช องคศาสนูปถัมภกที่ย่ิงใหญท่ีสุดผูประกาศ “ธรรม” ทั่วอินเดียและสูนานาอารยประเทศ...
ยอดเสาอโศกราชสีห ๔ ตัวแผสหี นาทไปทัว่ ทัง้ ๔ ทิศ เปนสัญลักษณ การประกาศธรรมของจอมจักรพรรดิอโศกมหาราชเปนยุคแหงความเจริญ รุงเรืองที่สุด ปจจุบันเปนตราประจําแผนดินของประเทศอินเดียโดยเฉพาะ อยางยิ่งของเดิมเคยมีธรรมจักรที่ชํารุดไปแลวซึ่งมีกําเกวียน ๒๔ ซี่ อยูบน หัวราชสีห เปนสัญลักษณธงชาติประเทศอินเดีย
รวบรวมโดยภิกษุอานันท พุทธธัมโม
ประวั ติ พ ระครู บ าเจ า ศรี วิ ชั ย สิ ริ วิ ช โย รวบรวมและเรียบเรียงโดย : ภิกษุอานันท พุทธธัมโม เจาของ :
วัดพระธาตุแสงแกวมงคล ตําบลสันโคง อําเภอดอกคําใต จังหวัดพะเยา
ISBN :
978-974-7569-86-5
พิมพครั้งที่ ๑ : จํานวน ๑๐,๐๐๐ เลม พิมพในงานฉลองพิพิธภัณฑพระครูบาเจาศรีวิชัย พ.ศ. ๒๕๓๗ พิมพครั้งที่ ๒ จํานวน ๕,๐๐๐ เลม พิมพในงานฝงลูกนิมิตวัดพระธาตุแสงแกวมงคล พ.ศ. ๒๕๓๘ พิมพครั้งที่ ๓-๔ จํานวน ๑,๕๐๐ เลม วัดบานปาง อ.ลี้ จ.ลําพูน พ.ศ. ๒๕๔๒ พิมพครั้งที่ ๕ จํานวน ๑๕,๐๐๐ เลม ชมรมพุทธศาสนาแหงประเทศไทยของการไฟฟาฝายผลิต พ.ศ. ๒๕๔๒ พิมพครั้งที่ ๖ จํานวน ๕,๐๐๐ เลม งานครบรอบวันกําเนิดพระครูบาเจาศรีวิชัย ๑๒๕ ป พ.ศ. ๒๕๔๖ พิมพครั้งที่ ๗ จํานวน ๕,๕๐๐ เลม งานทอดกฐินวัดพระธาตุแสงแกวมงคล พ.ศ. ๒๕๔๖ พิมพครั้งที่ ๘ จํานวน ๑๐,๐๐๐ เลม เพือ่ เปนอนุสรณราํ ลึกถึงจอมจักรพรรดิอโศกมหาราชองคศาสนูปถัมภก ทีย่ งิ่ ใหญทสี่ ดุ ผูป ระกาศ “ธรรม” ทัว่ อินเดีย และสูน านาอารยประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๔ พิมพครั้งที่ ๙ จํานวน ๕,๐๐๐ เลม สมาคมชาวลําพูน จัดพิมพเพื่อเผยแผ พ.ศ. ๒๕๕๗ สนใจหนังสือติดตอไดที่ : ภิกษุอานันท พุทธธัมโม วัดพระธาตุแสงแกวมงคล ตําบลสันโคง อําเภอดอกคําใต จังหวัดพะเยา และ สมาคมชาวลําพูน ๑/๘๑๖ ซ.พหลโยธิน ๖๐ ถ.พหลโยธิน ต.คูคต อ.ลําลูกกา จ.ปทุมธานี ๑๒๑๓๐
หนังสือเลมนี้ จัดพิมพเพื่อเผยแผเปนธรรมทาน หากทานไดรับหนังสือนี้ ขอไดโปรดตั้งใจศึกษาใหเกิดประโยชนสูงสุดทั้งแกตนเองและผูอื่น ดวยเทอญ พิมพที่ : โรงพิมพนันทพันธ ๓๓/๔-๕ หมู ๖ ถ.เชียงใหม-หางดง ต.แมเหียะ อ.เมือง จ.เชียงใหม ๕๐๑๐๐ โทร./แฟกซ ๐๕๓-๘๐๔๙๕๖, ๐๕๓-๘๐๔๙๐๘-๙ www.nuntapun.com
ไหวสานบพระเจา จอมขวัญ แมนมิ่งสีลธัมมอัน เอกอาง อินทเฟอนหยาดฟาปนบุญโปรด เมืองเอ ศรีวิชัยไปราง สถิตลานนาเวียง
วัดบานปางแมตืนที่ลี้นี้ คือปฐพีศุภประเสริฐเลิศลํ้า เปนอูแกวพระครูบาศรีวิชัย นําธรรมทิพยมางําใจธรณี ปางเอยโอโออเนจอนาถ ปางดับธาตุลับหลามหาสถาน เย็นยะเยือกหนาวฝงฟาจักรวาล ลานนาลับหนาพระครูบาศรีวิชัย
อังคาร กัลยาณพงษ วันเสารที่ ๕ เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๓๑
ตราประจําตัวพระครูบาเจาศรีวิชัย มี ๕ ภาษาคือ ภาษาไทย ภาษาไทยลานนา ภาษาพมา ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และมีรูปเสือเปนสัญลักษณนามปเกิด ทางของนักบุญเปนทางแหงความเสียสละ ความบริสุทธิ์ เปนทางประเสริฐที่สุด และยอมมีอุปสรรคขวากหนามขวางกั้นเปนธรรมดา จงกาวดําเนินไปดวยความอดทน และสุขุม ทางของนักบุญก็จะทอดสูดวงใจของทานทุกคน (ภิกษุอานันท พุทธธัมโม) โฮงหลวงวัดบานปาง ตําบลศรีวิชัย อําเภอลี้ จังหวัดลําพูน วันพุธที่ ๖ เดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๓๖
กิตติคุณประกาศ ในการพิมพครั้งที่ ๑
หนั ง สื อ มหั ศ จรรย พ ระครู บ าเจ า ศรี วิ ชั ย สิ ริ วิ ช โย นั ก บุ ญ แหงลานนาไทยสําเร็จลุลวงไปไดดวยดีไดรับอภินันทนาการจาก คุณนายพรพรรณ พรประภา สรางหนังสือเปนธรรมทาน เพือ่ อุทศิ กุ ศ ลแด คุ ณ พ อ ถาวร คุ ณ แม อุ ส า พรประภา คุ ณ พ อ กิ จ จา กอนันทเกียรติ คุณแมอางิ้ง แซตั้ง คุณดําริห กอนันทเกียรติ และเจาบุญนายคุณ เจากรรมนายเวร เทวาอารักษ และทานผูอ าํ นวยการ รจิตตรี วงษสวรรค ไดสรางหนังสือเปนธรรมทาน เพือ่ อุทศิ กุศล แด คุณพออํานวย คุณแมจนั ทราทิพย สุวรรณปาล และคุณพอหมอ อาฮวด คุณแมอารีย แซเตีย สรางหนังสือเปนธรรมทานเพื่ออุทิศ กุศลแดพออุยโจ แมอุยดี สมศรี พอปวยคุง คุณแมเฮียง แซเตีย ขอขอบพระคุณศาสตราจารยเกียรติคณ ุ มณี พยอมยงค มหาวิทยาลัยเชียงใหม ผูส นับสนุนขอมูลอางอิงประวัตศิ าสตรพระพุทธ ศาสนาในลานนาไทย ขอขอบพระคุณทานประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดพะเยา อาจารยวิมล ปงเมืองเหล็ก ที่กรุณาชี้แนะใหขอมูลสําคัญ ขอบพระคุณผูชวยศาสตราจารยวิลักษณ ศรีปาซาง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลานนา วิทยาเขตพายัพ จังหวัด เชียงใหม ที่กรุณาชี้แนะตรวจทาน ขอบพระคุณดร.สัณหวัชคุณทิพยวรรณ ไชยวงค ไดชวยตรวจทาน
ขอบพระคุ ณ พระวิ ชั ย ธั ม มชโย ที่ ช ว ยบั น ทึ ก ข อ มู ล ขอบพระคุณอาจารยทองทวี พรประภา ทีก่ รุณาชวยชีแ้ นะรูปแบบ การจัดวางระบบหนังสือ ขอบพระคุณทานอุบาสกกวงเมง ทานอุบาสิกาปติอร แซเลา ผูเปนกําลังใจสนับสนุน ขอบพระคุณคุณอรุณี เดชุรัตน ผูเปนกําลังใจสนับสนุน ขอบพระคุณคุณพิทักษ - คุณอังศุมาลิน บุญทา ที่ชวย ตรวจสอบตรวจทาน ขอบพระคุณอาจารยสมชาติ - คุณหมอนงคราญ มีทรัพย ฝายประสานงานและสนับสนุน และขอบคุณคุณครูเยาวเรศ สุรรี ตั น พรอมคณะครู และ นักเรียนโรงเรียนเชียงคําวิทยาคมที่ชวยในงานดานการพิมพ สุดทายนี้ขอขอบพระคุณผูมีสวนรวมเกี่ยวของทุกทานที่ให ความชวยเหลืออํานวยความสะดวกในการจัดทําหนังสือเปนอยางดี ซึ่งความดีและคุณคาประโยชนอันพึงมีจากหนังสือเลมนี้ขอมอบแด คุณพอคุณแมผูใหกําเนิด และผูท่ีไดอุมชูเลี้ยงดูมาตลอดถึงคณาจารย พรอมผูมีอุปการคุณทุกทาน (ภิกษุอานันท พุทธธัมโม) พ.ศ. ๒๕๓๗
ธรรมชาติแหงนิพพาน
อรุณรุงเบิกฟาสวางไสว ไรซึ่งเจตนา ดอกบัวพุทธชาติเบงบานสะพรั่ง ไรเสียงขับขาน มวลหมูแมลงภูแมลงผึ้งกระพือปกเสียงดังอื้ออึง แทรกตัวในเกสรอันงดงามดูดดื่มความหอมหวาน ผสานธรรมชาติเปนหนึ่งเดียวกับนิพพาน ไรเสียง ไรตัวตน ไรคําบรรยาย ไรที่มา ไรที่ไป ไมมีที่สิ้นสุด... และไรซึ่งเจตนา
(ภิกษุอานันท พุทธธัมโม) กระทอมหญาคา ยอดเขาคิชฌกูฎ พุทธสถานอินเดียนอย วัดพระธาตุแสงแกวมงคล ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๔ เวลา ๐๖.๓๐ น.
ก
คํานํา
ในการพิมพครั้งที่ ๘ มหัศจรรยพระครูบาเจาศรีวิชัย สิริวิชโย ที่ไดจัดพิมพแจกเปน ธรรมทานขึ้นในครั้งที่ ๘ นี้ ไดพยายามปรับปรุงเพิ่มเติมขอมูลที่พบใหม พอสมควร เพือ่ ใหไดมองเห็นภาพเหตุการณและปณิธานเปาหมายอันสูงสง เปนการเปดเผยในสวนรายละเอียดทีจ่ ะตองบันทึกในสิง่ สําคัญ เชน วิถชี วี ติ วัฒนธรรมประเพณีทไี่ ดเพียรพยายามศึกษาคนความาอยางทุม เททีส่ ดุ เปน เวลารวม ๓๐ ป ใหผูที่มีความเคารพเลื่อมใสจะไดรูไดเพิ่มศรัทธาและสติ ปญญาไดดื่มดํ่าซาบซึ้ง ซึมซับประทับใจและเจริญตามฮีตรอยบาทวิถีของ พระครูบาเจาศรีวชิ ยั จะไดสบื สานเปนเนือ้ นาบุญอันประเสริฐ เปนทีพ่ งึ่ อัน สงบรมเย็นของสาธุชนทั้งหลายตอไป จุดมุง หมายในการศึกษาเรือ่ งของพระครูบาเจาศรีวชิ ยั หรือครูบาเจาศีลธรรม ก็คือการไดเรียนรูสัจธรรมจากวิถีชีวิตของทานที่ไดกลั่นกรอง หลอหลอมพิสจู นใหเห็นความจริงของสัจธรรมไดอยางชัดเจนตัง้ แตเริม่ ตน ตราบจนสิ้นอวสาน ชีวิตของทานโดดเดนเปยมดวยคุณธรรมอันเรืองรอง ประดุจเพชรนํา้ เอกอลังการลํา้ คายิง่ เปลงประกายงดงามตลอดกาล โดยเฉพาะ อยางยิ่งคําสอนอันเปนสัจธรรมขององคพระสัมมาสัมพุทธเจาเปนสิ่งมุง ชีต้ รงสูค วามเปนจริงใหมองเห็นภาพองครวมของทุกสรรพสิง่ ไมยกเวนอะไร ทั้งสิ้นเปนอนิจจังไมจีรังยั่งยืน คละเคลาดวยสิ่งที่เปนอุปสรรคปญหาทุกข ยากลําบากนานัปการ ทายที่สุดแลวทุกๆ สิ่งในทุกๆ เหตุการณก็ตองสู บทสรุปที่ความวางความสงบ นี่คือความจริงอยางยิ่งของสัจธรรมของชีวิต
ข
และโลกที่พระพุทธองคไดทรงเปดเผยเปนครั้งแรกในโลก เหนือความ เปนมหาบุรุษสุดยอดอัจฉริยะนับตั้งแตอดีตถึงปจจุบัน ที่เหนือกวานั้นคือ การเปดดวงตาดวงใจใหชาวโลกไดเห็นแสงสวางแจมแจงวาสิ่งทั้งหลาย ตองมีเกิดมีดับเปนเรื่องธรรมดา การไมหลงปรุงแตง ดับความฟุงซานให สยบศิโรราบเปนความสงบสุข และทรงเนนยํา้ มิใหประมาท กระตุน ใหเกิด สติ ป ญ ญามองให เ ห็ น ชี วิ ต และโลกเป น ของว า ง เป น อนั ต ตาสุ ญ ญตา ทรงชี้ทางใหทุกชีวิตไดดําเนินสูทางโมกขธรรม อยูเหนือกระแสโลกโดย ประการทั้งปวง อันเปนเปาหมายสูจุดสูงสุดของทุกชีวิต คือความวาง ความสงบคื อ นิ พ พาน ได ท รงประทานมรดกภู มิ ป ญ ญาอั น เลอเลิ ศ นี้ มิไดจําเพาะเจาะจง ใหเปนของสากลตลอดทุกกาลเวลา เปนสิ่งบมเพาะ จิตใจใหเปนภูมิคุมกันและเปนธรรมโอสถเพื่อเปนประโยชนอันใหญหลวง สําหรับทุกชีวติ เปนศาสตรอนั สูงสุดของชีวติ ทีจ่ ะตองศึกษาใหแจมแจงรอบรู เปนปจจัยสําคัญสูการพัฒนาชีวิตไดอยางวิเศษยิ่ง เมือ่ เขาใจถึงสัจธรรมก็คอื การรูค วามจริงของชีวติ และการรูส จั ธรรม ของชีวติ นัน้ ซึง่ หมายถึงการไดเห็นไดพบพระพุทธองคในจิตใจของเรานัน่ เอง ดังทีพ่ ระพุทธองคไดตรัสไววา “ผูใ ดเห็นธรรม ผูน นั้ ชือ่ วาไดเห็นเราตถาคต” เปนการหมุนวงจรชีวิตสูทางสายกลางคือธรรมจักรเปนสิ่งขับเคลื่อนดวย วงลอแหงอริยมรรค ๘ ประการ หากเราใชสติพิจารณาดูใหเขาใจวา เรือ่ งของพุทธศาสนา คือศาสตรแหงความรูค วามเขาใจถึงความจริงของชีวติ เปนองคความรูสุดยอดสูการดําเนินชีวิตอยูรวมสังคมและโลกกวางโดย ไมถูกอิทธิพลใดครอบงํา จะตองลบลางคานิยมการโฆษณาชวนเชื่อที่ให คนติดกับดักกงขังความหลงงมงายอันเปนหมอกมานปดบังดวงตา จะตอง รูเ ทาทันและทําลายภูผาอันมหึมาแหงอหังการความถือตัวสําคัญตน แยงชิง
ค
ยึดติดอยูกับลาภยศ ความทะเยอทะยาน มักใหญใฝสูง ใสหัวโขน ขมขู เคี่ยวเข็ญ ลวงหลอกกันและกันไปวันๆ อยางไรสาระ และตองเบิกตามอง โลกใหสุดขอบจักรวาล มิใชวิ่งไลตามกระแสโลก มัวเมา ลุมหลง งมงาย ตกเปนเหยือ่ ตัณหากามารมณ ความละโมบโลภลนพนประมาณ เปนพันธะ ภาระทีต่ อ งทนแบกโลกแบกปญหา อีกทัง้ เปนพิษภัยสิง่ แสลงอันใหญหลวง ตอความสงบสุขของชีวิต หลักคําสอนทีเ่ ปนสัจธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจา พระพุทธองค ไดทรงชีท้ างชีวติ ใหดาํ เนินตามอริยมรรค ๘ ประการ คือใหรจู กั การมองโลก รูจักคิดดําริใหถูกทาง มิใหจิตฟุงซาน ใหรูจักกาลเทศะ การเจรจาพาทีที่ ไมเปนพิษภัยอันตราย ใหรูจักหลักการทํางาน การมีสัมมาอาชีพ กระตุน ใหเกิดจิตสํานึกตื่นตัวทําความเพียรพยายาม ไมใหหลงลืมตนพรอมที่จะ เสียสละและปลอยวาง และใหมีเปาหมายชีวิตที่ชัดเจน คือทุกลมหายใจ ทุกกาวยางมุงสูความสงบรมเย็น ไมยึดติดทั้งความสุขหรือความทุกข อยูอยางอิสรเสรี ดําเนินชีวิตตามทางสายกลาง มิใหเครงเครียดจนเกินไป มิใหเกียจคราน เห็นแกตัว การเอารัดเอาเปรียบ จะตองอุทิศเสียสละ ประโยชนตนเองเพื่อผสานประโยชนอันสูงสุดของผูอื่นอยูเสมอ ดังพระจริยาวัตรของพระพุทธองค จะทรงลดพระองคเปนหนึง่ เดียว กับทุกชีวิต ไมทรงถือพระองควาวิเศษเหนือใครอื่น จะไมมีการแยกแยะ ดวยการสําคัญตนระหวางความเปนเขา เปนเรา มิตรหรือศัตรู จะทรงมี นํ้าพระทัยใสบริสุทธิ์ ไมวาจะเจอเหตุการณดีรายประการใด จะถูกดา ถูกประณาม ถูกทําลายทํารายรุนแรงอยางไร บางครัง้ ถึงขนาดพระอานนท พุทธอุปฏฐากอดทนตอเหตุการณไมได จึงกราบทูลขอรองใหเสด็จไปจาก ทีน่ เ่ี ถิด พระพุทธองคจะไมหนีปญ หาและไมเปนเปานิง่ ใหใครโจมตี เพราะ
ง
มิไดเอาเรื่องยุงๆ อันไรสาระมาใสในใจ ทรงอยูเหนือความขัดแยง ขัดใจ ไมเกีย่ วเกาะของแวะกับการนินทาและสรรเสริญ ทรงมัน่ คงอยูใ นขันติธรรม และเมตตาธรรมอยางเสมอภาค มีพระมหากรุณาเปดใจกวางอยูเสมอ พระครูบาเจาศรีวิชัยก็ถือไดวาทานเปนแบบอยางที่ชัดเจนถึง การดําเนินอยูบนวิถีทางอันประเสริฐ ตามรอยพระพุทธบาทองคสัมมา สัมพุทธเจา ดวยความเขาใจเขาถึงดวยความศรัทธาในพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ และหลักไตรลักษณ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สุญญตาอันเปนสัจธรรมความจริง ความเสมอภาค ความสมดุล ความยุตธิ รรม อยางยิ่งของทุกสรรพสิ่ง จงพิจารณาดูเถิดวาเมื่อเขาสูจุดหัวใจของสิ่งมีชีวิตจนถึงที่สุดแลว สายธารแหงเมตตาอันใสเย็นบริสุทธิ์จะพลั่งพรูออกมาเปนนํ้าใจเอื้ออาทร ดวยความกรุณาการุณตอเพื่อนรวมโลก และลมหายใจจะละเอียดบริสุทธิ์ อารมณจะแจมใสสดชื่นสูความมีชีวิตชีวามีราศีผุดผอง แมจะตองเจอ อุปสรรคปญหาใดๆ หรือเผชิญตอโรครายความเจ็บปวด ปวยมากสักปานใด จะเผชิญหนาตอมัจจุราช ก็จะมองเห็นทุกสิ่งทุกเรื่องเปนของธรรมดา เปนมิตรทีซ่ อ่ื สัตยแสนดี ทีจ่ ะตองตอนรับปฎิสณ ั ฐานดวยความเขาจิตเขาใจ และดวยหัวใจอันสงบ ไมตื่นเตน ตื่นตระหนก หวาดกลัวอะไรทั้งสิ้น ทําจิตใจใหเปนหนึ่งเดียว คือปลอยวางอยูทุกขณะจิต มองใหเห็นชีวิตและ โลกเปนของวางอยูเสมอ เพราะนี่แหละคืออานิสงส คือประโยชนอันสูงสุด ของบทศึกษาการดําเนินชีวิตและเปาหมายสุดยอด คืออยูดวยลมหายใจ สะอาดบริสุทธิ์ มีหัวใจสงบสุขผสานกับธรรมชาติเรียบงาย ใหเปนไปตาม ลีลารอยพระพุทธบาทองคพระสัมมาสัมพุทธเจาจากกระแสสัจธรรมสูชีวิต
จ
สูค วามวาง สูพ ระนิพพาน สูค วามสงบรมเย็นสุดยอด เปนเปาหมายในการ ดําเนินชีวิต เพราะสุขใดๆ ก็ตามไมเทียบเทาความสงบในใจเราเอง ขอมอบบรรณาการมหัศจรรยพระครูบาเจาศรีวิชัย สิริวิชโย เปน รางวัลชีวิตแดทุกทานเพื่อนําไปศึกษาแลวจะเปนที่ประจักษแกจิตใจ จะได ดื่ ม ดํ่ า ซึ ม ซั บ อมฤตธรรมของพระพุ ท ธองค ด ว ยธรรมรสที่ เ ย็ น สดชื่ น สุดซาบซึ้ง จะเปนนํ้าทิพยหลอเลี้ยงกายใจใหสงางามมีพลังเปนทวีตรีคูณ จิตใจจะเจริญงอกงามดวยกุศลเพิ่มพูนบุญบารมีใหเต็มบริบูรณ จะทําให มองเห็นแตบรรยากาศของความเขาใจชีวิตเขาใจโลก เกิดการเผื่อแผ แบงปนจากใจอันบริสุทธิ์ จิตใจจะสดชื่นงดงามเบงบานที่สุด ใบหนาจะ อิ่มเอิบเบิกบานเปนใบหนาผูมีบุญ ผิวพรรณผองใสเสมอเหมือนกันหมด ดวยเมตตาและไมตรี เพราะเมตตาธรรมเปนเครื่องคํ้าจุนโลก
(ภิกษุอานันท พุทธธัมโม) พ.ศ. ๒๕๕๔
ฉ
คํานิยม ในการพิมพครั้งที่ ๖ เนื่องในโอกาสนอมรําลึกถึงพระคุณของทานพระครูบาเจาศรีวิชัย นักบุญแหงลานนา ทานภิกษุอานันท พุทธธัมโม ไดจัดพิมพหนังสือเพื่อ แจกเปนธรรมทานของ วัดพระธาตุแสงแกวมงคล ตําบลสันโคง อําเภอ ดอกคําใต จังหวัดพะเยา ในการจั ด พิ ม พ ห นั ง สื อ แจกเป น วิ ท ยาทานนี้ นั บ ว า เป น การ แสดงออกซึง่ ความกตัญูกตเวที และระลึกถึงคุณปู การทีท่ า นพระครูบาเจา ศรีวิชัย ไดทําตอประชาชนชาวลานนาเปนอยางยิ่ง จึงขอแสดงความชื่นชม ยินดี ตอทานภิกษุอานันท พุทธธัมโม และผูมีสวนรวมในการจัดพิมพ หนังสือเลมนี้ดวย ขออํ า นาจคุ ณ พระศรี รั ต นตรั ย โปรดคุ ม ครองให ทุ ก ท า นที่ มี สวนรวมในการจัดพิมพหนังสือครั้งนี้ จงมีความเจริญรุงเรืองยิ่งๆ ขึ้นไป
(นางอุไรวรรณ เทียนทอง) รัฐมนตรีวาการกระทรวงวัฒนธรรม ๑๙ เมษายน ๒๕๔๖
ช
คํานิยม ในการพิมพครั้งที่ ๖ พระเถระทีม่ ชี อ่ื อุโฆษของลานนาไทยในสมัยรัตนโกสินทรไมมใี คร เดนดังและนั่งอยูในหัวใจมหาชนทุกยุคทุกสมัยเสมอเหมือนทานครูบา ศรีวชิ ยั ผูฝ ก ใฝในบุญกุศลเรียกทานวา “ธุเจาตนบุญ” คนเครงในศีลในธรรม จะเรียกทานวา “ธุเจาศีลธรรม” หรือ “ครูบาศีลธรรม” บางก็เรียกทานตาม ถิ่นกําเนิดวา “ครูบาบานปาง” บางกลุมเรียกทานวา “ครูบาสะหรีวิจัย” ตําแหนงครูบาเปนชื่อปรากฏในทําเนียบของอาณาจักรลานนา โบราณเริ่มแต สาธุ สิทธิ ครูบาสวามี สมเด็จและอาชญาธรรม ครูบานิยม เรียกพระเถระทีเ่ ครงศีลเครงธรรมและมีอายุพรรษาบางครัง้ เรียกพระภิกษุ หนุมที่ประชาชนนับถือวา “ครูบา” ก็มีแลวแตความนิยมของสาธุชน ครูบาเจาศรีวิชัยเปนคําเรียกที่ประชาชน มอบถวายแดทานดวย ศรั ท ธาและความรั ก ซึ่ ง เทิ ด ทู น ท า นไว ใ นหั ว ใจตลอดมา ครู บ าเจ า มี ศักยานุภาพบารมีธรรมเปนเอนกประการ ขาพเจาไดยินคําบอกเลาจากพระอาวุโสเลาใหฟงดังตอไปนี้ ดานสมาธิธรรม ครัง้ แรกทานเปนสามเณรไปบําเพ็ญสมาธิอยูใ น ปาชาจนเปนที่เลื่องลือวาทานไมกลัวผีสางนางไม ทําใหประชาชนเลื่อมใส ศรัทธาพากันไปทําบุญและ หอมลอมทาน จากจํานวนนอยเพิ่มขึ้นเปน จํานวนมาก เรียกทานวา “สามเณรตนบุญ” เมื่อทานอุปสมบทเปน พระภิกษุบารมีธรรมของทานก็แกรงกลายิ่งขึ้น ประชาชนทั่วภาคเหนือ ชาวเขาเผาตางๆ พากันมากราบไหวและถวายขาวของเนืองแนนทุกวัน
ซ
ดานจิตวิทยา เมื่อมีใครมาขอใหครูบาเจาไปนั่งหนัก (นั่งเปน ประธาน) บูรณะปฎิสังขรณถาวรวัตถุ ครูบาจะใชจิตวิทยาโดยใหประชาชน กลุ ม นั้ น มากราบไหว ว อนขอเป น หลายครั้ ง จนกระทั่ ง พวกเขามี จิ ต ใจ หลอหลอมพรอมเพรียงทั้งวัดและบานจึงรับนิมนตไปทําการ หลักฐาน สําคัญทีป่ รากฏคือ เหตุการณกอ นทีจ่ ะทําหนทางขึน้ สูด อยสุเทพ ณ เชิงดอย หวยแกวตนทางทีจ่ ะขึน้ สูด อย ครูบาไดบอกแกบริวารและคณะศรัทธาทีม่ า รวมกันมากมายวา “เฮาจะขอภาวนาถามเทวดาดูกอนวาเปนจะหื้อแปง (หือ้ แปง=ใหทาํ ) กาวาบหอื้ แปง” ใหประชาชนทีม่ าแวดลอมอยูร อคอยดวย ความกระวนกระวายใจยิ่งกระตุนใหทุกคนมีศรัทธามีกําลังใจที่ตองการจะ ทําเปนอยางยิง่ จึงพากันภาวนาชวยครูบาขอเทพเจาทัง้ หลายโปรดชวยครูบา เถิดเปนอยางนี้เกือบทุกคนไป ในวันที่ ๓ หลังจากครูบาบริกรรมภาวนา แลวจึงบอกใหศรัทธาทั้งหลายทราบวา “เทวดาเปนอนุญาตหื้อแปงแลว” เสียงกระหึ่มแหงการโหรองและเสียงสาธุการดังขึ้นทั่ว และประชาชนก็ บอกเลากันตอๆ ไปวาครูบาเจาจะสรางหนทางขึน้ ดอยสุเทพแลวทําใหผคู น ตามหมูบาน ตําบล อําเภอ พากันหอบขาวหอบของเครื่องมือเครื่องใช ในการทําหนทางมาชวยกันอยางมืดฟามัวดิน ในวันเริ่มการทําหนทาง ครูบาไดใหเจาแกวนวรัฐ เจาผูครองนคร เชียงใหมเปนผูลงจอบแรกตามดวยหลวงศรีประกาศ ซึ่งทานทั้งสองนี้เปน ผูใหญของบานเมือง ทําใหทุกคนเห็นวาคนสําคัญยังทําการสรางถนนเรา ผูเปนไพรฟาประชาชนจะไมทําไดอยางไร นับไดวา ครูบาเจาศรีวิชัยเปน นักจิตวิทยาเยี่ยมยอดของโลกก็วาได
ฌ
ดานทานะบารมี ครูบาใหนําขาวของเครื่องใชท่ีคนมาบริจาค ไปมอบใหแกวัดนอยใหญ มอบอาหารใหแกนักโทษในเรือนจํา เจาคุณ พระเทพวรสิทธาจารย (ดวงคํา ธรรมทินเถระ) อดีตเจาคณะจังหวัดเชียงใหม ไดเลาใหขาพเจาฟงวา “ขณะที่ครูบาสรางพระวิหารวัดสวนดอกนั้นเปน เวลาที่พระอุบาลีคุณูปมาจารย (สิริจันทเถระ) กําลังสรางพระวิหารวัด เจดียหลวงทานไดส่ังใหศรัทธาที่เปนบริวารนําเอาอุปกรณการกอสราง ตางๆ เชน กระปองใชขนปูนและเครือ่ งมือการชาง ปูนซีเมนต ฯลฯ ไปชวย เปนจํานวนมากและสิง่ อืน่ ๆ ทีผ่ คู นนํามาถวาย ครูบาจะไมสะสมเก็บไวเปน ของตนเลยมีแตบริจาคใหแกคนยากคนจนหากรวมเงินและวัตถุเครื่องใช ต า งๆ ที่ ส ร า งถาวร วั ต ถุ ใ นภาคเหนื อ นั บ เป น ราคาป จ จุ บั น ต อ งใช งบประมาณเปนหมื่นลาน จึงนับไดวาทานะบารมีของทานเปนที่นา มหัศจรรย ดานการปกครอง ในสมัยที่ครูบากําลังรุงเรืองดวยชื่อเสียงนั้น ปรากฏวามีชาววัดและชาวบานเขามาเปนบริวารของทานแมกระทั่งนําเอา วัดมาถวายเปนเหตุใหคณะสงฆบานเมืองหวาดระแวงแคลงใจวาจะเปน กบฏจึงนําครูบาลงไปกรุงเทพฯกักไวท่ีวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ซึง่ เปนวัดทีพ่ ระธรรมโกษาจารยเจาคณะมณฆลพายัพเปนเจาอาวาสอยูใ น สมัยนั้น เจาหนาที่ไดทําการสอบสวนก็ไมมีมูลเหตุแหงการทํากบฏตอ แผนดินแตอยางใด จึงอนุญาตใหครูบากลับขึ้นมาภาคเหนือไดดังเดิม สาเหตุ ท่ี ค รู บ ามี บ ริ ว ารมากมี ผู ค นเคารพเลื่ อ มใสก็ ด ว ยอํ า นาจแห ง พรหมวิหารธรรม คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อยูในตัวของทานเปน อัปมัญญาคือ พรหมวิหารยิ่งใหญหาประมาณมิได
ญ
ดานความรักเมตตามหานิยม เหรียญครูบาศรีวชิ ยั ทีท่ าํ รุน แรก พ.ศ. ๒๔๘๒ มีราคาเปนลานในปจจุบันมีการทําเหรียญไมรูก่ีสํานักตอ สํานักในทางเมตตามหานิยมคุม กันภัยพิบตั ทิ ง้ั หลายประชาชนนิยมชมชอบ บูชากันไวทกุ บานทุกเรือนหรือเกือบทุกคนทีเ่ ปนชาวพุทธในปจจุบนั เพราะ ตองการการคุมครองจากบารมีของทานใหมีชีวิตอยูโดยสวัสดี ความยิ่งใหญของครูบาศีลธรรม เมื่อทานถึงแกมรณภาพแลว ศรัทธาประชาชนไดทํากูหรือเจดียท่ีบรรจุกระดูกทานไวหลายแหงเชน วัดจามเทวี วัดบานปาง วัดสวนดอกเชียงใหมฯลฯ เปนตน อนุสาวรียเปน ที่รูจักของประชาชนทั่วโลก คืออนุสาวรียครูบาศรีวิชัยที่ประดิษฐานไว ตนทางขึ้นสูดอยสุเทพเปนที่เคารพกราบไหวของผูคนไมขาดสาย นับเปน อนุสาวรียนักบุญผูยิ่งใหญที่สามารถเขาไปนั่งอยูในหัวใจคนทุกรูปทุกนาม พระอานันท พุทธธัมโม ซึ่งผูคนกลาวกันวาเปนวิญญาณครูบา ศรีวิชัยมาเกิดเพราะทานนิยมชมชอบศรัทธาตอครูบายิ่งนักอุทิศตนสราง อนุสาวรียและพิพิธภัณฑสมณบริขารและเครื่องใชของครูบาศรีวิชัยไวที่ วัดบานปาง อําเภอลี้ จังหวัดลําพูน ซึ่งประชาชนผูสนใจทางประวัติศาสตร โบราณคดีและนักศึกษาไดใชเปนแหลงขอมูลอยางสําคัญ นอกจากที่ กลาวมานี้แลวพระอานันท ยังบูรณปฏิสังขรณถาวรวัตถุที่ครูบาเจาศรีวิชัย สรางไวใหคืนคงอยูในสภาพเดิมหลายที่หลายแหงนาอนุโมทนา การศึกษา การสัมภาษณใหไดขอมูลเกี่ยวกับครูบาเจาศรีวิชัยมา จัดทําเปนเอกสารหนังสือที่ทานไดอานอยูนี้อาจจะผิดแผกไปจากขอเขียน ของคนอืน่ บาง เนือ่ งจากเปนขอมูลการบอกเลาของผูท ม่ี ปี ระสบการณเกีย่ วกับ ครูบา จึงขอใหทานอานดวยศรัทธาและความรักยินดีโสมนัสตอผูจัดทํา
ฎ
ดวยศรัทธา เคารพนบนอบที่ขาพเจามีตอครูบาอยางสูงสุด และ ดวยความนิยมในพระอานันท พุทธธัมโม ที่ทําการบุญกุศลอยางเสียสละ มีฉันทะในการกระทําประโยชนตอสวนรวม ขาพเจาจึงเขียนคํานิยมนี้เพื่อ เปนการถวายสักการะและใหกําลังใจ
ดวยความเคารพและสักการะ ศาสตราจารยเกียรติคุณ มณี พยอมยงค ๓๐ เมษายน ๒๕๔๖
ฏ
บูชาครูบาเจาศรีวิชัย ครูบาเจาศรีวิชัยเปนชีวิตตัวอยางที่ดีงามเปนพระที่คนใหความ เคารพกราบไหวไดอยางแนบสนิทใจ แมจะมรณภาพไปนานแลว แตคุณ ความดีที่ครูบาฯ ไดทําไว มิไดสูญหายตามองคทานไปดวย ยังคงอยูใน หัวใจของศรัทธาสาธุชนเรือ่ ยมา ครูบาฯ เปนพระทีซ่ อื่ ตรงตอธรรมและวินยั ของพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจา สมัยที่ครูบาฯ ยังมีชีวิตอยู ทานดําเนิน ชีวติ ดวยความเปนผูม กั นอย มีสนั โดษไมคลุกคลีหมูค ณะ ไมทะยานอยากได ลาภ ยศ และชื่อเสียง จิตไมตกเปนทาสของโลกธรรม รูเทาทันกิเลส อันเปนเหยื่อของโลกเปนกับดักของมาร ปลอยวางจิตเปนอุเบกขาในคราว มีมารมาราวีทา นมีศลี เปนเกราะปองกันภัย มีสติระลึกรูเ ทาทันกลอุบายของ มาร ใชขนั ติธรรมและเมตตาธรรมสยบมาร ทําใหผา นพนอุปสรรคของชีวติ ไปดวยดี ครูบาฯ เปนพระทีท่ รงไวซงึ่ ปญญา ไดนาํ ศิษยรว มบูรณะสังคายนา พระไตรปฎกฉบับลานนาขึ้นใหมเปนหมวดหมู แลวไดจารลงในใบลานมี มากถึง ๕,๔๐๘ ผูก ทําไวเพื่อใหลูกหลานในรุนหลังๆไดศึกษาเลาเรียน ครูบาฯ เปนพระทีท่ รงไวซงึ่ ความเพียร เมือ่ มรสุมชีวิตสงบ ทานได อุทศิ กําลังกายกําลังใจบูรณะปฏิสงั ขรณวดั ตางๆ ทัว่ ลานนา ไดไมนอ ยกวา ๑๐๗ วัด การสรางสมอบรมวิริยะบารมีของครูบาฯ มิไดหยุดเพียงเทานี้ ทานยังไดนําศรัทธาสาธุชน รวมกันสรางทางขึ้นดอยสุเทพ เพื่อใหผูคนได ขึ้นมากราบไหวบูชาพระบรมธาตุดอยสุเทพไดสะดวกเรื่อยมาตราบเทา ทุกวันนี้
ฐ
ครูบาฯ เปนเสมือนตนไมใหญแหงลานนา แผบารมีปกปอง คุมครองชาวลานนาใหมีชีวิตอยูดวยความสงบสุขรมเย็น ใหเปนอยูดวย ความมักนอย อยูดวยความสันโดษ อยูดวยความมีสาระและทําตนใหเปน ผูใหส่ิงดีๆ แกสังคมที่เราอยูอาศัย จะเปนการบูชาคุณที่ถูกตรง เดินตาม รอยของครูบาเจาศรีวิชัยอยางแทจริง ดร.สนอง วรอุไร พ.ศ. ๒๕๔๖
ฑ
ธรณีแหงชีวิต บิดามารดาไดใหกําเนิดชีวิตลูก เปนพระคุณใหญยิ่งกวาทองฟามหาสมุทร ลูกมิรูจะดํารงตนเชนไรใหคูควรแกลูกกตัญู จึงไดมุงชีวิตสูพรหมจรรยในบวรพระพุทธศาสนา ยึดมั่นองคไตรรัตนหมั่นพิจารณาอสุภะในกายใหเห็นแจง ดวงธรรมนําชีวิตสูทางสวางกุศลลํ้า ลูกขอบูชาและอุทิศอานิสงสแดบิดามารดา ทั้งกุศลที่ลูกอุทิศชีวิตเทิดทูนนักบุญแหงลานนา โดยการสรางอนุสรณสถานพิพิธภัณฑพระครูบาเจาศรีวิชัย รวบรวมสิ่งของซึ่งกระจัดกระจายไปหลายที่ใหอยูในแหงเดียว ลูกไดสรางสถูปมณฑปปราสาทครอบอัฐิธาตุเจาตนบุญ กับไดสรางเสาศิลาจารึกสถานที่กําเนิด อีกทั้งไดลิขิตชีวประวัติพระครูบาเจาผูเปนหนอเนื้อเชื้อโพธิญาณ โอ ! ชีวิตนี้ไดรองรับสิ่งที่เปนกุศลประเสริฐแท ลูกขออุทิศแดบิดามารดาและผูไดเลี้ยงดูพรอมผูมีพระคุณทุกทานเทอญ. (ภิกษุอานันท พุทธธัมโม) ณ โฮงหลวงวัดบานปาง ตําบลศรีวิชัย อําเภอลี้ จังหวัดลําพูน วันพฤหัสบดีที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๑ เวลา ๒๔.๓๐ น.
ฒ
อารัมภบท ชีวประวัติของพระครูบาเจาศีลธรรมหรือพระครูบาเจาศรีวิชัย คือ แบบอยางของบุคคลที่ดําเนินตามวิถีชีวิตทางพุทธธรรม ดวยความศรัทธา และสติปญญาเฉียบแหลมอันแนวแนหนักแนนมั่นคง ตั้งแตเริ่มแรกที่เกิด ความประทับใจในการไดสัมผัสเห็นพระธุดงคนุงหมผากาสาวพัสตร ที่ได จาริกทองเที่ยวมาสูบานปางโดยมีเพียงอัฏฐบริขารเปนเครื่องอยูคูชีพ อัน เปนวิถีของสมณะผูประพฤติพรหมจรรย ที่พระพุทธองคก็ทรงปฏิบัติเปน แบบอยางใหชาวโลกไดเห็นความสําคัญของชีวิต วาจริงๆ แลวชีวิตนั้น เรียบงาย ไมมอี ะไรสลับซับซอนจนยุง เหยิง แคเพียงใชสติมองใหเห็นความ จริงของชีวิต ละเวนซึ่งความอยากไดใครมี ในลาภ ยศ สรรเสริญ ทรัพยสิน ศฤงคาร แตกระแสสังคมโลกทุกวันนีผ้ คู นหลงใหลไดปลืม้ ดวยอิทธิพลของ ความอยากได อยากมี อยากเปน จนบางครัง้ ถึงขนาดเขนฆาทําลายกันและ กันโดยหลงลืมไปวาแทจริงแลวเปาหมายในชีวิตนั้นตองการอะไร เมื่อมนุษยโลกใชพลังงานเผาผลาญกันอยางมโหฬาร จนหา แสงสวางนําทางชีวิตอยางแทจริงไมเจอ พระพุทธองคก็ไดอุบัติข้ึนมาเปน แสงสวางอันโอฬาร เปนที่พ่ึงอันรมเย็น เปนเหมือนสายฝนชโลมโลกให ชุมชื่น ดั่งสายธารทิพยอันเย็นฉํ่าบริสุทธิ์ หลอเลี้ยงสรรพชีวิตทั้งหลาย ทั้งหมดทั้งมวล บนผืนแผนดิน แผไพศาลเขาไปถึงทุกอณูของดวงใจ ดวย ชี้ทางอริยมรรคเปนทางสายกลางเปนสิ่งประเสริฐสุดยอดอยางเสมอภาค ของชีวิต เพื่อใหทุกผูคนไดดําเนินตามองคมรรค ๘ ประการคือ ความเห็น ชอบ๑ ความดําริชอบ๑ การพูดจาชอบ๑ การงานที่ชอบ๑ มีอาชีพชอบ๑
ณ
ความเพียรชอบ๑ การมีสติระลึกชอบ๑ ความมุง มัน่ ตัง้ ใจในสิง่ ทีช่ อบ๑ โดย ชีว้ า นีค้ อื หลักธรรมนูญของชีวติ สําหรับทุกคนอยางไมมกี ารจํากัดกาลเวลา ถือวาองคแหงอริยมรรคนีเ้ ปนอริยสัจเปนมรดกของชีวติ มิไดแยกกันอยูเ ลย การศึกษาชีวติ ก็คอื การศึกษาอริยสัจ การดําเนินตามทางแหงอริยสัจก็คอื การดําเนินตามทางอริยมรรค โดยมีชีวิตเปนผูกาวเดินไปตามสายธาร แหงธรรม นําชีวิตดื่มดํ่าซึมซับเปนหนึ่งเดียวกับสัจธรรม เปนหนึ่งเดียวกับ พระพุทธองค เปนกัลยาณมิตรอยางเสมอภาคกับมวลมนุษยชาติ ไมมีการ แบงแยกวาเปนเราเปนเขาหลอมรวมชีวิตจิตใจเปนหนึ่งเดียวไมมีการ แยกแยะความรูสึกแตกตางของสีสันบนเสนทางสายกลาง บนพื้นฐานของ เมตตาธรรมอันปราศจากขอบเขตโดยไมมปี ระมาณ ชีวติ ของเราทัง้ หลายก็ จะมีพลังพลานุภาพอันมหาศาล เปนสนามแมเหล็กเปนศูนยรวมของ ทุกสรรพสิ่ง เฉกเชนพระครูบาเจาศรีวิชัย สิริวิชโย ทานไดพิสูจนใหเห็นอยาง ชัดเจนบนเสนทางแหงอริยมรรค เจริญตามรอยพระยุคลบาทของพระพุทธ องคตั้งแตเริ่มตน จนถึงนาทีสุดทายของ ลมหายใจ ยืนยันพิสูจนใหเห็น ชีวิตของพระครูบาเจาศรีวิชัย สงบสงางามสะอาดบริสุทธิ์ เรืองรองดวยศีล สมาธิ และสติปญญาอันผุดผองบริบูรณ เปนสรณะที่พึ่งเปนเนื้อนาบุญของ ชาวโลก เปนหนึ่งในองครัตนตรัยที่งดงามเปลงประกายรัศมีแหงศีลธรรม คุณงามความดี จนเปนทีน่ า ศึกษาติดตามรอยบาทวิถแี ละความมหัศจรรย ของนักบุญอมตะแหงลานนาไทย ในเนื้อหาสาระที่ไดพยายามกลั่นกรอง จากหัวใจรักเทิดทูน เคารพ และศรัทธา ดวยชีวิตและจิตใจ (ภิกษุอานันท พุทธธัมโม)
ด
ต
ถ
ท
สารบัญ หนา มหัศจรรยพระครูบาเจาศรีวิชัย.................................................. ๑ ถิ่นกําเนิดและตนตระกูล.......................................................... ๓ มหัศจรรยกําเนิดอินตาเฟอน.................................................... ๗ มหัศจรรยการอุบัติของนักบุญและนักปราชญ............................ ๑๒ วิถีชีวิตในเยาววัย.................................................................... ๑๔ วิถีธรรมนําสูรมกาสาวพัสตร.................................................... ๑๙ สรางวัดบานปางหนทางสูบารมี............................................... ๒๗ จริยวัตรสวนตัวของพระครูบาเจาศรีวิชัย................................... ๒๘ สองพระผูทรงบารมี................................................................ ๓๕ อุปสรรคไมมี บารมีไมแกรงกลา.............................................. ๔๐ ตองอธิกรณและถูกเนรเทศ..................................................... ๔๗ ยืนหยัดยึดมั่นในปฏิปทา........................................................ ๕๙ โยมแมวอนใหลาสิกขา............................................................ ๖๓ งานสรงนํ้าพระธาตุหริภุญชัย และเหตุการณของนักบุญ............. ๖๙ ความเศราสลดของศรัทธามหาชน........................................... ๗๖ เขาเฝาสมเด็จพระสังฆราชเจา.................................................. ๘๑ ขาวจังหวัดเชียงใหมของหนังสือพิมพบางกอกไทม..................... ๘๔ อิทธิพลของหนังสือพิมพ......................................................... ๘๗ สมเด็จพระสังฆราชเจาทรงเปนประธานตัดสินคดี..................... ๙๐
ธ
สําเนาพระดํารัสสั่งคําวินิจฉัย.................................................. ๙๔ งานบูรณะองคพระบรมธาตุหริภุญชัย..................................... ๑๐๑ งานปอยหลวงวัดบานปาง..................................................... ๑๐๕ บุคลิกลักษณะสัดสวนของพระครูบาเจาฯ................................ ๑๐๘ บูรณะวัดพระเจาตนหลวงทุงเอี้ยง (วัดศรีโคมคํา).................... ๑๑๕ บันทึกของพระครูศรีวิราช วชิรปญญา.................................... ๑๒๔ งานบูรณะวัดพระสิงหและวัดสวนดอก................................... ๑๔๑ งานสรางทางขึ้นดอยสุเทพ.................................................... ๑๕๔ บัญชีการสรางทางขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ................................. ๑๖๓ เหตุการณครั้งสําคัญที่วัดพระสิงห.......................................... ๑๖๗ คําแถลงการณฉบับที่ ๒........................................................ ๑๗๖ คําแถลงการณฉบับที่ ๓........................................................ ๑๗๘ คํามั่นที่พระศรีวิชัยตองรับรองไวตอคณะสงฆ.......................... ๑๘๐ สงบนิ่งพิสูจนความจริงและวาจาสิทธิ์..................................... ๑๘๕ การสรางสะพานศรีวิชัย.........................................................๑๙๒ สัจธรรมบั้นปลายแหงชีวิต.................................................... ๑๙๔ วาระสุดทายของนักบุญอมตะลานนาไทย............................... ๒๐๐ ปจฉิมบท............................................................................. ๒๐๙ บรรณานุกรม....................................................................... ๒๒๗ ภาคผนวก ก.ผลงานการบูรณะ.............................................. ๒๓๑ ภาคผนวก ข.รายนามเจาอาวาสวัดบานปาง............................๒๓๘ ภาคผนวก ค.สถานที่บรรจุอัฐิพระครูบาเจาศรีวิชัย.................. ๒๓๙
น
ภาคผนวก ง. คําไหวปาระมี ๓๐ ทัศ...................................... ๒๔๑ • คําไหวปาระมี ๙ ชั้น...................................................... ๒๔๓ • คํานมัสการพระครูบาเจาศรีวิชัย...................................... ๒๔๔ • เบิกฟาพุทธธรรม........................................................... ๒๔๕ • ตามรอยพระบาทองคบรมศาสดา.................................... ๒๔๕ • นอมวันทาบูชาพระครูบาเจา............................................๒๔๖ • เพงฌานสูองคไตรรัตน....................................................๒๔๖ • ตามรอยผูนํา.................................................................. ๒๔๖ • บาทวิถีของมนุษย...........................................................๒๔๗ • คาถาถอนพิษ.................................................................๒๔๗ • มหาวิทยาลัยชีวิต............................................................๒๔๘ • เสียงกระซิบสูดวงใจ........................................................ ๒๔๙ ภาคผนวก จ. รวมภาพประกอบ............................................ ๒๕๓ • มหัศจรรยพระครูบาเจาศรีวิชัย........................................ ๒๕๔ ภาคผนวก ฉ. ประวัติภิกษุอานันท พุทธธัมโม........................ ๓๐๐ • อันเนื่องจากนิมิต การบูชาพระครูบาเจาศรีวิชัย................ ๓๐๓ • หลักหัวใจพรหมจรรย.................................................... ๓๑๑ • รายนามผูรวมบริจาค..................................................... ๓๑๓
๑
มหัศจรรยพระครูบาเจาศรีวิชัย สิริวิชโย นักบุญแหงลานนาไทย พระครูบาเจาศรีวิชัย สิริวิชโย นักบุญแหงลานนาไทยนามเดิม ที่บิดามารดาตั้งใหวา “อินตาเฟอน” แตนักเขียนแตงชีวประวัติขนานนาม วา “อายฟารอง” ใหพอ งกับเหตุการณอนั ระทึกใจ พอเขาสูร ม กาสาวพัสตร เปนสามเณร พระครูบาขัตติยะ พระอุปช ฌายไดตงั้ สมญานามวา “สามเณร ศรีวชิ ยั ” เมื่อเขาสูพิธีการอุปสมบท พระครูบาสมณะผูเปนพระอุปชฌายได ตั้งฉายาวา “สิริวิชโย ภิกขุ” สวนตัวของทานจะเขียน สมญานามของทาน
๒
วา “พระชัยยา ภิกขุ” “พระศรีวชิ ยั ชนะ” แตศษิ ยผใู กลชดิ จะเรียกนามทาน วา “ครูบาหลวง” คนทัว่ ไปในยุคนัน้ จะเรียกกันหลายอยางบางก็วา “ตุเ จา ศรีวชิ ยั ” บางก็วา “ตุเ จาตนบุญบานปาง” แตคนสวนใหญในดินแดนลานนา จะขนานนามดวยความเคารพยกยองวา “พระครูบาเจาศีลธรรม” มา ภายหลั ง ที่ ป ระวั ติ ไ ด เ ผยแพร เ ป น หนั ง สื อ จึ ง นิ ย มยกย อ งนามท า นว า “พระครูบาเจาศรีวชิ ยั นักบุญแหงลานนาไทย” เรือ่ งราวของทานเกิดขึน้ ในระหวางปพทุ ธศักราช ๒๔๒๑-๒๔๘๑ ตรง กับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยูหัว รัชกาลที่ ๕ ถึง รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ ๘ และ ตรงกับยุคสมัย สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราชเจา องคที่ ๑๐ แหงกรุงรัตนโกสินทร สวนเจาผูครอง นครลานนา เจาผูครองนครเชียงใหม คือ พระเจาอินทวิชยานนท เจาอินทวโรรส สุรยิ วงษ เจาแกวนวรัตน เจาผูค รองนครลําพูน คือ เจาดาราดิเรกรัตนไพโรจน เจาอินทยงยศโชติ เจาจักรคําขจรศักดิ์ และเจาเหมพินทุไพจิตร เจาผูครองเมืองพะเยา คือ เจาหลวงประเทศอุดรทิศ เกียรติคณ ุ บุญบารมีแผไพศาลทัว่ ลานนาไทย นอกจากปฏิปทาจริยา วัตรเปนทีศ่ รัทธาของมหาชนในมณฑลพายัพ พระครูบาเจาศรีวชิ ยั ไดสราง และบู ร ณะปฏิ สั ง ขรณ ศ าสนสถานสํ า คั ญ เป น ที่ เ คารพสั ก การะของ พุทธศาสนิกชนในภาคเหนือและผูคนทั่วประเทศ ตลอดจนเปนสถานที่ อันนาภาคภูมิใจ และเปนมรดกทางพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมมาจน ตราบทุกวันนี้.....
๓
ถิ่ น กํ า เนิ ด และต น ตระกู ล ถิ่นกําเนิดเกิดที่ หมูบานบานปาง เดิมเรียกตําบลแมตืน ปจจุบันคือ ตํ า บลศรี วิ ชั ย อํ า เภอลี้ จั ง หวั ด ลํ า พู น ห า งจากอํ า เภอเมื อ งลํ า พู น ๖๖ กิโลเมตร และ อําเภอลี้ ๓๙ กิโลเมตร เหตุที่ชื่อบานปาง คือหมายถึง ทีพ่ กั ชัว่ คราวเปนบริเวณทีต่ ง้ั ปางคลองชางซึง่ สืบเนือ่ งมาจากตนตระกูลทวด ของพระครูบาเจาศรีวิชัยเปนตนตระกูลคลองชางและนักรบ ดังนี้ หมื่นผาบ + นางมอย
นายอาย + นางนอย
นายควาย + นางอุสา นายอินไหว (เกิดขณะแผนดินไหว) นางอวน นายอินตาเฟอน (พระครูบาเจาศรีวิชัย) นางแวน นายทา
๔
ตนตระกูลคือ หมื่นผาบ ภรรยา ชื่อนางมอย เปนชาวกะเหรี่ยง (ยางแดง) แตเดิมอยูอยางชาวเขาคืออยูตามภูเขาสูงอาศัยการทําพืชไร รอนเรหาของปาแลกสิง่ ของกับชาวพืน้ เมือง โดยเฉพาะหมืน่ ผาบ (นามเดิม ไมไดระบุ) เปนผูม คี วามเขมแข็ง อดทน และความสามารถในการคลองชาง เจาหลวงดาราดิเรกรัตนไพโรจน (เจาดาวเรือง) เจาผูค รองนครลําพูน องคที่ ๗ ชักชวนใหเปนผูรับใชใกลชิดตั้งถิ่นฐานบานเรือนอยูบานสันปายางหลวง และไดรว มออกรบทัพจับศึกบาน ศึกเมือง บางครัง้ ตองคมอาวุธเปอ นเลือด ของฝายตรงกันขามจนเลือดเปอนเสื้อผาแหงเกรอะกรัง (จากคําบอกเลา ของลูกหลาน) ดวยความกลาหาญชาญชัยจึงไดรบั พระกรุณาจากเจาผูค รอง นครลําพูน แตงตั้งนามเปน “หมื่นผาบ” หมายถึง ผูสามารถในการปราบ ศัตรูเปนจํานวนหมืน่ และการคลองชางอยูใ นระดับหมอคลองชาง ยามวาง จากศึกสงครามก็เขาปาคลองชางใหกับเจาผูครองนครลําพูนเพื่อฝกเปน พาหนะในการทําศึกและใชงานทั่วไป สถานที่ท่ีหมื่นผาบคลองชางเปน บริเวณทีต่ งั้ ของบานปางเพราะเขตนัน้ เปนหุบเขาชางปา จึงมีเปนโขลงใหญ ทําใหหมืน่ ผาบมาตัง้ ปางคลองชางเปนประจํา จนเกิดความรักความคุน เคย กับบรรยากาศและภูมิประเทศ ตอมาหมื่นผาบไดขออนุญาตเจาผูครองนครลําพูนมาตั้งหลักแหลง อยูที่บริเวณปางคลองชาง มีลําหวยไหลผานเปนที่มาของชื่อหวยแมปาง ชักชวนครอบครัว ลูกหลาน เพื่อนสนิทชิดเชื้อมาอยูรวมกัน และเปนการ ดูแลรักษาเมืองในเขตแขวงเมืองลี้ จํานวนสมาชิกทีต่ ดิ ตามมีนายอายผูเ ปน บุตรเขย ภรรยาชื่อนางนอยพรอมครอบครัว สมัยนั้นอยูกันสิบครัวเรือน และปลูกกระตอบเล็กๆ ใชไมไผเปนพื้นบานและสานเปนฝาเรือน หลังคา มุงดวยหญาคาและใบตองเหียง (ตระกูลไมรงั ) มีความสงบสุขอยูท า มกลาง
๕
ธรรมชาติและปาเขาลําเนาไพร ดํารงชีพโดยการทําพืชไรและหาของปาเพือ่ เลี้ยงครอบครัว พื้นที่นาอยูหนาวัดบานปางในปจจุบันมีเพียงไมกี่สิบไร เปนผืนนาที่มีมากที่สุดในหมูบาน เดิมที่นาบริเวณนี้เปนบึงโคลนเรียกวา “ปอดแฮด” (โคลนตมที่แรดนอน) สมัยนั้นปาดงแหงนี้มีสิงสาราสัตว นอยใหญชุกชุม บางวันมีเสือดําแอบคาบสุนัขไปกินจนเปนที่หวาดกลัว ของเด็กๆ เชื่อกันวาในยุคสมัยเดียวกันนี้วิถีชีวิตความเปนอยู การครองชีพ แตละบานแตละเมืองอยูในสภาพเดียวกัน เวลานัน้ การพัฒนาบานเมืองไมเจริญกาวหนาประกอบกับบรรยากาศ ของภัยสงครามโลกครั้งที่ ๑ ยังสอเคาวาจะเกิดขึ้นอีก ดังนั้นความเปนอยู ของคนทัว่ ไปจึงคอนขางอัตคัด ขัดสน เสือ้ ผาเครือ่ งนุง หมก็หายาก ใสเสือ้ ผา ปะแลวปะอีก มีคนยากจนขอทานอยูทุกแหงหน คราวเจ็บไขก็อาศัย ยาพื้นบานที่เปนรากไมสมุนไพรนํามาตม บางขนานก็บดเปนผงหรือฝน กับหินมาดื่มกินเพื่อเยียวยารักษาโรค ยามพระอาทิตยลับขอบฟาก็ใชขี้ชัน ตําใสกระบอกไมไผจุดใหแสงสวางเวลาคํ่าคืน บางทีถูกนํ้ามันชันที่จุดไฟ ตกใสตามตัวแขงขาไดรับความเจ็บปวดเปนประจํา บางครั้งก็เอาขุยไผ (ตนไผที่แกจัดมีดอกเรียกวาขุยไผ ลักษณะคลายเมล็ดขาว แตเม็ดเล็ก) มาตํากินแทนขาว บางครัง้ ขุดหัวเผือก หัวกลอยหัน่ บางๆ นําไปแชนาํ้ ทีไ่ หล ใหพิษเจือจางนํามาหมักแลวนึ่งกินแทนขาว พระครูบาเจาศรีวิชัยไดพูดวา เติบโตขึ้นมาไดโดยอาศัยการกินเผือก กินกลอย บริเวณที่เรียกกันวา “ปอดแฮด” ตอมาไดถูกแผวถางใหเปนที่นา ซึ่งมีเนื้อที่จํากัด ที่แถบนี้เปน ของหมื่นผาบและนางมอยผูเปนปูทวด ยาทวดของพระครูบาเจาศรีวิชัย เนื่องจากแหลงที่อาศัยเปนที่ดอนที่ราบที่ทํานามีไมคอยมาก ชาวบานมี ที่นาเพียงครอบครัวละไรสองไร บางก็มีเพียงแคที่ทําสวน เล็กๆ นอยๆ
๖
หลังจากหมื่นผาบเสียชีวิต คนในหมูบานปางไดรําลึกถึงคุณงาม ความดีของหมื่นผาบที่บุกเบิกสรางบานปาง ไดตั้งศาลขึ้น ณ บานเดิมของ หมื่นผาบหางจากสถานที่กําเนิดพระครูบาเจาศรีวิชัยเพียงเล็กนอยและจัด พิธปี ระเพณีไหวสา เซนบวงสรวงดวงวิญญาณดวยอาหารคาวหวาน ดอกไม ธูปเทียนโดยกําหนดเดือน ๖ เหนือขึ้น ๙ คํ่า (เดือน ๔ ใต) ชาวบานปาง ทั้ ง ผู ใ หญ แ ละเด็ ก พากั น มาแผ ว ถางป า ดงที่ เชื่ อ กั น ว า เป น ที่ ส ถิ ต ของ ดวงวิญญาณหมื่นผาบเพื่อแสดงความกตัญูตอบรรพบุรุษพรอมขอพร เพื่อใหอยูเย็นเปนสุข ตรงกับหลักธรรมคําสอนของพระพุทธเจาวาความ กตัญูกตเวที ความออนนอมถอมตน การไหว การกราบเปนอุดมมงคล อันประเสริฐ บิดาของพระครูบาเจาศรีวชิ ยั นามวา นายควายเปนบุตรของนายอาย นางนอยผูเ ปนบุตรของหมืน่ ผาบ มารดานามวา นางอุสา เปนบุตรสาวของ พอหนานจัยยาอยูแขวงเมืองลี้ นายควายไดใหพอแม ผูเฒา ผูแกสูขอ นางอุสาอยูกินเปนสามีภรรยาจนเกิดบุตรชายหญิง ทั้งหมด ๕ คนคือ ๑. นายอินไหว (เกิดขณะแผนดินไหว และตายตอนอายุ ๑๘ ป) ๒. นางอวน ๓. นายอินตาเฟอน (พระครูบาเจาศรีวิชัย) ๔. นางแวน ๕. นายทา
๗
มหัศจรรยกําเนิดอินตาเฟอน ท า มกลางธรรมชาติ ป า เขายอมเปนที่เกิดของชางเผือก แกวมงคล ดังเชน พุทธศักราช ๒๔๒๑ บรรยากาศของบานปาง ซึ่งมีบานอยูเพียง ๑๐ ครัวเรือน ทามกลางหุบเขาปาดงลอมรอบ แต ฟาไดประกาศิตใหผูมาก ด ว ยบุ ญ บารมี บั ง เกิ ด พร อ ม เหตุการณมหัศจรรยของดินฟา อากาศ คือ แผนดินไหว พายุฝน ฟ า ร อ งคะนองกึ ก ก อ งจน เป น ตํ า นานเล า ขานถึ ง ความ นาอัศจรรยใจจนถึงทุกวันนี้ พระครูบาเจาศรีวิชัย สิริวิชโย เปนบุตรคนที่ ๓ ของนายควายและ นางอุสา กําเนิดภายในกระทอมนอยทามกลางหุบเขา กลางหมูบ า นมีตน ดอกจําปปา ตนใหญออกดอก บานขาวสะพรัง่ สงกลิน่ หอมฟุง ขจรทัว่ ไปใน หมูบาน เด็ก ๆ วิ่งเลนใตรมเงา โดยเฉพาะพระครูบาเจา ชอบบรรยากาศ รมเงาใตตน จําปมาก คืนหนึง่ นางอุสาฝนวาเดินเขาปาลึกเห็นตนโพธิใ์ หญ แผก่ิงกานสาขารมกวางเปนปริมณฑลมีนกใหญนอย นานาพันธุ เชน นกแกว โพระดก ขุนทอง พิราบ นกยูง ดุเหวา สาริกา กระจาบ นกเขา
๘
นกเอีย้ ง และนกกระปูด อาศัยอยูต ามกิง่ กินเมล็ดโพธิ์ รองสงเสียงเจือ้ ยแจว ไพเราะจับใจ สวนใตตน โพธิ์ มีสตั วใหญนอ ย เชน ชาง กวาง ละมัง่ กระตาย เกง แรด เสือ สิงห กระทิง และมวลหมูสัตวปาทั้งหลายรวมตัวกันโดย ไมมีการเบียดเบียน เปนบรรยากาศอันนาประทับใจเหมือนโลกทั้งโลกมา รวมอยู ณ จุดนี้บรรยากาศอบอวลดวยความรัก ความเมตตา เมื่ออรุณรุง นางอุสา เลาความฝนใหนายควายฟงและเขาใจวาเปนนิมิตที่ดี นับแตนั้น นางอุสาก็รูสึกวามีการตั้งครรภบุตรคนที่ ๓ ขึ้นมาแลว พอครบกําหนดคลอดขณะนางอุสาเจ็บครรภจวนใหกําเนิดนักบุญ ผูย งิ่ ใหญแหงลานนาไทย เวลานัน้ พระอาทิตยคลอยตํา่ ลง นายควายพรอม ญาติพี่นองและแมหมอตําแยตางชวยกันเตรียมการกอไฟตมนํ้า ทําเตา อยูไฟ จุดใตจุดไฟ เอาเชือกมัดขื่อสําหรับดึงออกแรงเบงคลอด และชวย ประคับประคองนางอุสาใหบรรเทาความเจ็บปวด หาฟูกสําหรับนอนพิง มี การจัดเตรียมผิวไมไผ สําหรับตัดสายสะดือ เพื่อปองกันบาดทะยัก เตรียม กระดงใหทารกนอน ผาออม เบาะนอน มะนาวสําหรับดมกันกลิ่นอื่นที่ ทําใหผดิ เดือน ถือกันวาถากินผิดยังมียาแกได แตถา ผิดกลิน่ อาจทําใหเปน บา ผิดเดือน สมัยโบราณแมผูใหกําเนิดเต็มไปดวยการเสี่ยงชีวิตเพราะมี การตายระหวางคลอดคอนขางสูง (หากมีการตายระหวางคลอด สัปเหรอ จะเอาตะปูขนาด ๓ นิว้ ตอกหนาผากผูต าย เพือ่ สะกดวิญญาณไมใหเฮีย้ น และตัดพืน้ เรือน ตรงทีผ่ ตู ายนอนจะนําศพไปฝงในวันนัน้ ) มีการนําหัวไพร มาตมกินเพือ่ ขับนํา้ คาวปลา นําใบเปลาตมผสมนํา้ อาบในระหวางการอยูไ ฟ หลังคลอดบุตรเปนเวลา ๑ เดือน แมจะกินแตขา วจีก่ บั นํา้ พริกดําและหนอไม หนอไพรตมเพื่อไมใหกินผิดเดือน สวนทารกที่เกิดใหมญาติจะนําขาวเจา ใบมะนาว มาด (ดินประสิว) และนํ้าซาวขาวมาบดรวมกันเพื่อโปะบน กระหมอมบาง ๆ ของทารกเพื่อสรางภูมิตานทานในการปองกันไขหวัด
๙
สวนรกนําไปฝงไวที่ใตพื้นบันได (คงหมายถึงวาไมใหลูกเปนคนลืมถิ่น กําเนิด และกําพืดตนเอง) ทันใดนั้นทองฟาที่สวางโลงกลับวิปริต มืดครึ้ม มีกอนเมฆสีทองกอ ตัวเปนประกายลอยสูก ลางหมูบ า นปางแลวพายุกพ็ ดั กระหนํา่ พาสายฝนตก จากฟากฟาเสียงฟารองสนัน่ หวัน่ ไหว อสุนบี าตฟาดเปรีย้ งปราง ทันใดนัน้ แผนดินก็ส่ันไหวทําใหกระทอมนอยหลังนั้นโอนเอนปานจะเอียงลม ใน วินาทีน้ันทารกเพศชายก็คลอดออกมาพรอมกับเสียงรองที่ดังกวาเด็ก ธรรมดาทั่วไป และเปนที่นาอัศจรรยยิ่ง พายุ เสียงฟารอง สายฝนหายไป แผนดินหยุดไหว ทองฟาสวางไสว ทุกคนตางตะลึงในเหตุการณถงึ กับนิง่ อึง้ ขณะนัน้ เปนเวลาพลบคํา่ ตรงกับวันอังคารที่ ๑๑ เดือนมิถนุ ายน พุทธศักราช ๒๔๒๑ ปขาล เดือน ๙ เหนือ (เดือน ๗ ใต) ขึ้น ๑๑ คํ่า เวลา ๑๘–๑๙ นาฬกา อาศัยปรากฏการณนามหัศจรรย ถือเปนนิมิตอันเปนมงคล พรอมกับตั้งนามทารกนอยวา “อินตาเฟอน” อินตาเฟอน เปนภาษาคําเมืองลานนา หมายถึง การกําเนิดเปน ปาฏิหาริยเปนปรากฏการณใหสะเทือนสะทานถึงองคอมรินทรบนสรวง สวรรค ตามหลักพระพุทธพจนตรัสวา ถาพระโพธิสัตวที่อุบัติขึ้นมาบนโลก เพือ่ สืบสานบวรพระพุทธศาสนาในยุคกึง่ กลางพุทธกาล ซึง่ โลกกําลังจะเกิด กลียุคเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๑ ผูนําก็กระหายการเขนฆาใครเปนเจาโลก ไมคํานึงถึงหายนะภัยอันใหญหลวง ผูคนอดอยากขาวยากหมากแพง เดือดรอนไปทุกหยอมหญา ทามกลางหายนะภัย นักบุญแหงลานนาไทย นามวา “พระครูบาเจาศรีวิชัย สิริวิชโย” ก็อุบัติขึ้นเพื่อฟนฟูจิตใจมหาชน ในยุคนัน้ ตามปณิธานจากหลักฐานของพระครูบาเจาศรีวชิ ยั ทีไ่ ดจารึกจาร ลงทายพระไตรปฎกฉบับลานนาที่สรางขึ้นทุกผูกวา “ตนขาพระศรีวิชัย
๑๐
สิรวิ ชิ โย เกิดปเปกยี (ปขาล) พุทธศักราช ๒๔๒๐ (หมายเหตุ เมือ่ ตรวจสอบ ศักราชจะตรงกับ ๒๔๒๑) ปรารถนาขอหื้อขา ฯ ไดตรัสรูปญญาสัพพัญู โพธิญาณเจาจิ่มเทอญ” (หมายถึงการตั้งปณิธานเปนพระโพธิสัตวสราง บารมีธรรมมาหลายภพหลายชาติเพื่อชวยเหลือเกื้อกูลสัตวโลก) ขณะเป น ทารกสมั ย นั้ น วั ฒ นธรรมล า นนาที่ ไ ด รั บ การสื บ ทอด พระพุทธศาสนาเปนเวลายาวนานและเคยเจริญยิ่งตั้งแต อดีตจนเปน ความเกี่ยวพันกับวิถีชีวิตตั้งแตเกิดจนตาย อยางเชน เพลงเหกลอมลูก ใหนอนหรือเวลาลูกรองไหก็จะเปนการหลอหลอมถายทอดธรรมะตั้งแต นอนแบเบาะถาถอดรหัสทางธรรมแลวจะไดความหมาย ดังนี้
อื่ อ อื อ จากํ า กล อ มลู ก ของชาวล า นนาไทย • สิกจุงจาอี่หลาจุงจอย (โลชิงชา) หมายถึง จะขับกลอมใหลกู รูซ งึ้ ถึงวัฏจักรการเวียนวายตายเกิด • ขึ้นดอยนอยขึ้นดอยหลวง หมายถึง ชีวิตทั้งชีวิตเต็มไปดวยความเหน็ดเหนื่อย • เก็บผักกวงใสซาตางลุม เก็บผักกุมใสซาตางบน หมายถึง สิง่ ทัง้ หลายไรสาระแกนสารทุกสิง่ ทีเ่ ปนปรากฏการณ เพียงแคภาพลวงตา • ลูกแกวสองตนกับคนๆ หนึ่ง หมายถึง ชีวิตคนเราขึ้นอยูกับบุญและบาปที่ทํามา • ตี๋อืดซึ่งหื้อแมสาวฟง หมายถึง ดังจะขอบอกกลาวใหฟง
๑๑
• เคาะขี้ดังหื้อแมสาวจูบ หมายถึง สังขารรางกายเปนของโสโครก • แปงตูบนอยหื้อแมสาวนอน หมายถึง อันเรือนรางดุจศาลาที่พักชั่วคราว • ขี้ยองขอนหื้อแมสาวไหว หมายถึง ขีผ้ ง้ึ คือเครือ่ งหมายของมวลดอกไมและสติปญ ญาจุด เปนประกายใหแสงสวางที่พึ่งของชีวิต • เก็บดอกไมหื้อแมสาวเหน็บ หมายถึง ตองเทิดทูนบูชาคุณธรรมความดีงาม • เห็บขบหู หมายถึง ความเจ็บไขมาเตือนอยูเสมอ • ปูหนีบขาง หมายถึง ความเกิด ความดับเปนของอยูคูกับชีวิตตั้งแตเกิด • จางไลแตง (ชางไลแทง) หมายถึง ความแกชรา พยาธิ และความตายไลตามพิฆาต • แมงแดงขบเขี้ยว หมายถึง รอบตัวเต็มไปดวยภัยอันตราย • ปูเงี้ยวไลฟน (เงี้ยวคือไทใหญหรือไต) หมายถึง มัจจุราช คือ ศัตรูของชีวิต • ตกขุมมันตี๋ฆองมอง ๆ หมายถึง ทุ ก ชี วิ ต ต อ งตายทั บ ถมแผ น ดิ น เหลื อ แต ค วามดี ความชั่วใหโลกกลาวขาน
๑๒
มหัศจรรยการอุบัติของนักบุญและนักปราชญ เรื่ อ งราวความมหั ศ จรรย ค ราวประสู ติ ส มเด็ จ พระมหาสมณเจ า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส และปรากฏการณอนั ประหลาดคราวพระครูบาเจา ศรีวิชัยกําเนิดชางละมายคลายคลึงกันมาก เหมือนฟาไดประทานใหทาน ทั้งสองอุบัติขึ้นมาเพื่อฟนฟูพระพุทธศาสนาในยุคกึ่งกลางพุทธกาล คือ พระครูบาเจาศรีวิชัย ไดกําเนิดทามกลางความวิปริตของดินฟาอากาศ คือ เกิดขณะแผนดินไหว พายุลมฝน ฟาผา ฟารองคะนองคํารามกึกกอง เกิด แสงฉายแลบ แปลบปลาบเขามาสูก ระทอมนอยทีอ่ ยูท า มกลางหุบเขา เปน ที่อัศจรรยเมื่อคลอดออกจากครรภมารดา ความวิปริตของดินฟาอากาศก็
๑๓
สงบลง เปนเหตุใหบดิ ามารดาถือเอาศุภนิมติ มหัศจรรยอนั เปนมงคลขนาน นามวา “ อินตาเฟอน ” ซึ่งเขาใจวา การกําเนิดของทานสะทานสะเทือน ถึงองคอมรินทร สวนสมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส วันที่ พระองคประสูตไิ มไดมที ที า วาฝนจะตกแตพอเวลาใกลประสูตเิ มฆไดตง้ั เคา และฝนตกลงมาหาใหญจนนํ้าขังทวมพระตําหนักหลังพระที่น่ังจักรพรรดิ พิมานในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งเปนตําหนักที่ประสูติ จนเปนเหตุให พระบรมราชชนกนาถ พระบาทสมเด็จพระจอมเกลาเจาอยูหัว รัชกาลที่ ๔ พระราชทานนามพระราชกุมารวา “พระองคเจามนุษยนาคมานพ” เพราะ ถือปรากฏการณท่ีฝนตกหนักขณะประสูติ โดยทรงวิจารณวาฝนตกคลาย คราวทีพ่ ระพุทธเจาตรัสรูใ หม ๆ แลวเสด็จประทับ ณ โคนไมอชั ปาลนิโครธ ฝนตกพรํา ๗ วัน ๗ คืน ไดมีพญานาคขดเวียนรอบเปนชั้น ๆ รองรับ พระวรกายของพระพุทธองค แลวแผพงั พานเหนือพระเศียรเพือ่ บังฝน เมือ่ ฝนหายแลวก็จาํ แลงเปนมานพหนุม นอยไปยืนเฉพาะพระพักตรพระพุทธองค พระบาทสมเด็จพระจอมเกลาเจาอยูห วั พระบรมชนกนาถ จึงไดพระราชทาน นามอันมีความหมายวา พระราชบุตรจะเปนองคคํ้าชูศาสนธรรมของ พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจาเหมือนพญานาคแผพงั พาน บังฝนเหนือ พระเศียรพระพุทธองค เพราะเหตุน้ีบาทวิถีของความเปนนักปราชญของสมเด็จพระมหา สมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ไดคลายคลึงกับบาทวิถีของนักบุญ อมตะแหงลานนาไทยพระครูบาเจาศรีวิชัย สิริวิชโย ถาศึกษาถึงชีวิตของ สองทานจะเห็นไดวา เกีย่ วพันกันตัง้ แตเริม่ ตนจนจบ เพราะตางเปนรมโพธิ์ แกว ถือกําเนิดจากเมล็ดพันธุพระโพธิญาณจากพระบรมศาสดาสัมมาสัม พุทธเจาเปนหนอเนื้อเชื้อนาบุญ มาดวยกัน
๑๔
วิถีชีวิตในเยาววัย ในเยาววยั เปนเด็กเลีย้ งงาย รางกายสมบูรณ ไมเลนซุกซน ไมคอ ยพูด มีสัมมาคารวะ ออนโยน ออนนอมถอมตน อยูในโอวาทคําสั่งสอนของ บิดามารดา ผูเฒาผูแก ชอบฟงการเลาประสบการณของผูใหญที่ตอสูชีวิต ฟนฝาอุปสรรค การคลองชางปา การคาขายโดยกองคาราวานในแดนไกล วัว หรือมาจาฝูงทีน่ าํ จะมีโปงลางหรือผางลางอยูบ นหลังเสียงดังโปงตะลุม ๆ เปนสัญญาณนํากองคาราวานไปตามเสนทางลัดเลาะตามปาเขา บางครั้ง ลัดเลาะตามหนาผาเจอทางคับขัน มีหมูโ จรมิจฉาชีพคอยแยงชิงจีป้ ลน เพือ่ ใหเด็กตื่นตัวเกิดความสนใจในการสูชีวิต เปนการปลูกฝงอุปนิสัยการตอสู สรางฐานะ โดยเฉพาะแมอยุ (ยา, ยาย) จะเลาเรือ่ งธรรมนิทานชาดกเกีย่ วกับ การสรางบุญบารมี การเสียสละอุทิศตน เพื่อชนหมูมากของพระโพธิสัตว แตละพระองคเปนคาว จอย ซอ (ทํานองโคลง ฉันท กาพย กลอน) แบบ ลานนาไทยเปนการหลอหลอมปลูกฝงศีลธรรม จริยธรรม คุณธรรม สู จิตใจลูกหลาน ในฤดูหนาวนิยมนัง่ ลอมวงกอไฟผิง ในบรรยากาศดังกลาว มีการเลานิทานเรื่องตาง ๆ และเผาขาวหลาม คั่วเมล็ดมะขาม เด็ก ๆ ที่ นัง่ ผิงไฟเปนประจําทําใหแกมแดง ผิวหนังแหง เปนบรรยากาศทีม่ คี วามสุข ตามวิถีของชาวชนบท ทามกลางธรรมชาติปาเขา ยามคํ่าคืนมีเสียงจิ้งหรีด เรไรขับขานเปนเสียงดนตรีธรรมชาติกลอมโลกในยามราตรีทามกลาง บรรยากาศอันอบอวล บางคืนอาจมีเสือดําแอบคาบเอาสุนัขไปกิน จะ ไดยินเสียงสุนัขรองอยางเจ็บปวด คืนพระจันทรเต็มดวง แสงจันทรนวล
๑๕
สองหลา นั่งนับดาวที่ชานเรือนคุยเรื่องอดีตและอนาคตเปนที่สนุกสนาน และเกิดคํากลอนสะทอนวิงวอนขอพรพระจันทร “จันทรเอยจันทรเจา ขอขาวขอแกง ขอแหวนทองแดงใหนองขาใส ขอชางขอมาใหนองขาขี่ ขอเกาอี้ใหนองขานั่ง ขอเตียงตั่งใหนองขานอน ขอละครใหนองขาดู ขอยายชูใหนองขาเถิด ขอยายเกิดเลี้ยงตัวขาเอง” กลางวันมีปยุ เมฆสีขาวบนทองฟา เด็ก ๆ จะชอบดูเพราะเหมือนกับ ขบวนแหตระการตาอันยิง่ ใหญของทวยเทพ ชวงวัยรุน พระครูบาศรีวชิ ยั ชอบ ดีดซึง (ลักษณะคลาย กีตารแตขนาดเล็กกวา) บรรเลงเพลงทามกลาง ทุงนาปาเขา เชน เพลงปราสาทไหว ฤาษีหลงถํ้า ลองนํ้าแมปง ซอพมา เสเลเมา เพลงพมา เชียงใหมจะปุ และละมาย ไมชอบเที่ยวเตร เปนคนพูด นอย ทํางานอยางมุง มัน่ เอาจริงเอาจัง เขมแข็งอดทนตอความยากลําบาก สุภาพออนโยนมีสมั มาคารวะ จิตใจกวางขวาง เห็นอกเห็นใจผูอ น่ื มีไมตรีจติ ไมหยิ่งผยอง ชอบเลี้ยงวัวควายอยูตามทุงนาปาเขา บางวันหาฟน หาขี้ชัน เตรียมสําหรับจุดประทีปในยามคํ่าคืน แบงเบาภาระมารดาหลายอยาง เชน ตักนํ้า ตําขาว เพาะปลูกตนฝายสําหรับทอผา ไถนาดํานาเคียงขาง กับนายอินไหวผูเปนพี่ชาย ปลูกผักตําลึงขึ้นรั้วบาน หาเห็ดหาหนอไม ยอดไมมาปรุงเปนอาหาร ไมชอบยิงนกตกปลา ชอบสีสันกลิ่นอายของไม ปานานาพันธุ บางวันเที่ยวปาเขาที่มีนํ้าตกไหลเย็น มีสัตวปา เชน เกง กวาง หมูปา ลงมากินนํา้ คาง ชะนีกนิ ยอดไมหมูผ งึ้ หลวงเรงทํางานเพือ่ หา นํ้าหวานใหลูกออนอยางไมเห็นแกความเหน็ดเหนื่อย เสียงไกปาขันเจื้อย แจวรับกับเสียงนกปาทามกลาง ธารนํา้ ไหล ทําใหหนุม อินตาเฟอนรักปา และธรรมชาติเจอผลหมากรากไมของปา เชน มะไฟ ลิน้ จีป่ า มะแฟน กลวย ฤาษี นําใสถุงมาเลี้ยงทุกคนในครอบครัว
๑๖
วันหนึ่งเหตุการณอันเศราสลดเกิดขึ้นขณะที่เขาปากับพี่ชายเจอ เหตุการณที่ไมคาดคิด นายอินไหวเหยียบงูกะปะ และถูกฉกพิษแลนไป ทัว่ ตัว ไมสามารถรักษาไดจงึ เสียชีวติ ในวัยเพียง ๑๘ ป ทําพิธศี พตามประสา ชาวชนบทโดยทั่วไปสมัย เมื่อรวมรอยปกอน พิธีศพนิยมฝง ขั้นตอนการ มัดศพโดยใชไมไผเจ็ดซีเ่ อาเชือกปอถักเปนเฝอกตัง้ ศพบนแครซง่ึ เปนไมไผ ผาซีกขนาดใหศพนอนไดมีไมคานหามอยูสองขางสําหรับสี่คนหามจะเก็บ ศพไว ๑-๒ คืนระหวางเก็บศพไวจะนําไมไผผาซีกทําเปนโครงสามเหลี่ยม คลุมดวยผาดํานําไปครอบศพ เรียกวาแมวครอบ ตามความเชื่อโบราณ กลาววา ถาแมวกระโดดขามศพถือวาเปนอัปมงคล จะเกิดเหตุรายซํ้าสอง ขึ้น มีโคมไฟจุดไวบนหัวนอนของศพตลอดทั้งวันทั้งคืน ซึ่งหมายถึงเปน ประทีปแหงปญญาใหเกิดความสลดสังเวชในชีวิต มิใหประมาทเรงทํา ความดี เพราะความตายจะมาถึงเมือ่ ไรไมมใี ครรู ไมมพี ธิ สี งฆแตมเี พือ่ นบาน นั่งคุยเปนเพื่อน นําสะลอ ซอ ซึง มาดีด สี ตี เปา เลานิทานประโลม โลกย เชน เรือ่ งเซีย่ งเมีย่ งคํา่ พญา กะตํา้ ปาคํา่ ตุ (คลายเรือ่ งศรีธนญชัยของ ภาคกลาง) เรื่องผีโปกกะโลง (ผีตามอย) พอถึงกําหนดยกแมวครอบออก หามศพไปปาชาระหวางทางผมของศพถูกปลอยรุงรังเปนภาพที่นากลัว ประเพณีหามศพโดยใชแครยงั คงมีใหเห็นในประเทศอินเดีย โดยการ หามศพไปทีแ่ มนา้ํ คงคา เพือ่ อาบนํา้ ชําระบาปเปนครัง้ สุดทายใหกบั ผูต าย แลวนําไปเผาขางฝง แมนา้ํ คงคาถือวาเปนแมนาํ้ ศักดิส์ ทิ ธิไ์ หลขึน้ ทางทิศเหนือ ไมนิยมนําศพไวหลายวัน แมแตผูนําสูงสุดของประเทศ ถาถึงแกกรรมก็จะ นําไปทําพิธเี ผาในวันนัน้ ไมมกี ารประดับประดาศพ ไมมโี ลงศพ และไมมี การแหศพ ซึ่งเปนธรรมเนียมถือปฏิบัติมาเปนพัน ๆ ป สวนธรรมเนียม ของลานนาไทย นํา้ มะพราวซึง่ ถือวาเปนนํา้ ไหลขึน้ สูเ บือ้ งบนดุจศีลคือความ สะอาดเปนนํ้าบริสุทธิ์ลางหนาศพ (วัตถุประสงคคือ ลางบาป ชําระมลทิน)
๑๗
ผูท่ีทําหนาที่นําศพไปฝงคือสัปเหรอจะถือตุงสะพายถุงขาวดวนนําหนา การฝงศพผูหญิงใหนอนหงาย ศพผูชายใหนอนควํ่าโดยมีไมไผขัดแตะอยู ในหลุมเพือ่ กันศพขึน้ อืดกันการขุดคุย ของสุนขั และสัตวปา ถาเปนศพทารก จะนําไปทิ้งในปาชามีสุนัขและแรงมากิน สมัยนั้นนกแรง อีกามีมากมาจิก ซากศพที่ถูกทิ้งไวในปา ในยุคตนพุทธกาลพระภิกษุนิยมไปชักบังสุกุลจาก ผาหอศพมาซัก ตัดเย็บเปนไตรจีวร เรียกวาผาบังสุกุลและถือโอกาส พิจารณาอสุภะ ซากศพ ปลงเปนธรรมสังเวช ปจจุบันมีพิธีการเกี่ยวกับ พิธงี านศพ เชน การใสหบี โลง ประดับประดาดวยดอกไม พวงหรีด ในงานมี การลมวัวลมควาย กินเลีย้ งจัดงาน สิน้ เปลืองคาใชจา ยจนเปนทีม่ าของคําวา “คนตายขายคนเปน” ทุกวันนีม้ รี ะบบสมาคมฌาปนกิจสงเคราะหเกิดจากการรวมกลุม ของ สมาชิกในหมูบ า น เพือ่ รวบรวมเงินชวยเหลืองานศพจึงแบงเบาภาระไดมาก ขอแทรกขอคิดเกี่ยวกับการจัดพิธีศพในสมัยนี้ นิยมทําเปนปราสาท เปนการไมสมควรเพราะศพที่อยูบนปราสาทหรือมณฑปตองเปนศพ ของกษัตริยเจาเมือง ผูปกครองประเทศ ศพทั่วไปทําเชนนั้นถือวาเปน การตีตวั เสมอสถาบันชัน้ สูง นาจะใชวธิ กี ารทีเ่ หมาะสมกับฐานะของสามัญชน ประดับดอกไมเล็กนอยแสดงถึงความกตัญูและปรารถนาดีหรือใหเห็นวา ผูท ลี่ ว งลับเหลือสิง่ สุดทายทีเ่ ปนคุณงามความดีเปนแบบอยางแกคนรุน หลัง ไมควรยุงยาก สิ้นเปลือง สูญเสียและทําลายทรัพยากรธรรมชาติ และ ไมจาํ เปนตองมีพวงหรีด ไมดอกไมประดับ ทีน่ าํ มาประดับตกแตง บางงาน มีการละเลนรืน่ เริง นุง นอยหมนอย รองรําทําเพลง ฉายวีดโิ อ (วีดทิ ศั น) ลามก และเลี้ยงสุราและเลนการพนันเปนคานิยมที่ผิดซึ่งเปนสิ่งที่ไมถูกตองตาม หลักของศีลธรรม บางครั้งกอเหตุทะเลาะวิวาท ขาดสติทําใหเกิดอุบัติเหตุ
๑๘
เกิดโศกนาฏกรรม จึงฝากขอคิดทั้งฝายสงฆและผูรูควรพิจารณาพิธีการ ใหชอบดวยสติและปญญา ตามเหตุผลควรพิจารณาแยกแยะใหออกจาก งานบุญ งานกุศลโดยเฉพาะงานพิธีศพจะตองเปนเรื่องใหเกิดความสลด สังเวช เห็นความเปนจริงของสัจธรรม และการแสดงความกตัญูกตเวทีก็ ควรจะเนนกันขณะเมือ่ ผูม อี ปุ การะคุณยังมีชวี ติ จะตองแสดงนํา้ ใจอันงดงาม ดูแลใหความเคารพและปฏิบัติอุปฏฐากบํารุงบิดา มารดายามสุขยามทุกข เอาใจใสเสมอตนเสมอปลาย มิใชทําการสักการบูชากราบไหว เมื่อทาน ไมมีลมหายใจแลว นั้นก็ไมมีความหมายอะไร เพราะคนตายไมรับรูแลว ควรนําเงินเหลานัน้ มาสรางกุศลใหกบั คนทีย่ งั มีชวี ติ อยูน า จะเปนประโยชน และเปนการสรางสมบุญบารมีใหเพิม่ พูนขึน้ ไดรบั อานิสงสผลบุญทัง้ คนเปน และคนตาย
ศาลหมื่นผาบ
๑๙
วิถีธรรมนําสูรมกาสาวพัสตร หลังจากการเสียชีวติ ของนายอินไหว ความโศกเศราของอินตาเฟอน ยังเกาะแนนฝงในใจเพราะเปนเหตุการณแหงความพลัดพรากอยางกระทันหัน ที่เผชิญเปนครั้งแรก ตลอดเวลาที่ชวยบิดามารดาทํางานก็ทําเคียงบา เคียงไหลกับพี่ชาย เริ่มเห็นสัจธรรมแหงชีวิตที่ตองตายพรากจากกัน เปน ความทุกขสุมอยูในหัวใจ ขณะนั้นอายุ ๑๗ ป เปนโอกาสสําคัญที่วิถีชีวิต ของอินตาเฟอนอยูใ นหวงของความสลดสังเวช ก็มเี หตุบนั ดาลใหพระครูบา ขัตติยะหรือที่ทุกคนทั่วไปเรียกทานวา “ครูบาแขงแคะ” เพราะทานเดินขา กระเผลก เปนชาวอําเภอปาซาง เดินธุดงค ผานมาบานปางพักอยูบริเวณ วัดราง (อยูเ ชิงเขาเหนือวัดบานปางในปจจุบนั ) ชาวบานปางตางดีใจจึงพา กันมาทําบุญทําทานขอนิมนต พระครูบาขัตติยะอยูป ระจําโปรดศรัทธาชาว บานปาง เมือ่ ทานรับคํานิมนต ชาวบานตางชวยกันสรางกุฏิ ศาลาชัว่ คราว เปนที่ประกอบศาสนพิธีตรงที่วัดราง ซึ่งมีพระพุทธรูปโบราณอายุเกาแก กวา ๖๐๐ ปมาแลว ๑ องค อินตาเฟอนพอรูขาววามีพระธุดงคมาสูหมูบานเทานั้นก็รูสึกปติ เกิดขึ้นทั่วตัวที่ไดเห็นและสัมผัสผูทรงศีล ผูนุงหมผากาสาวพัสตรอยูใน อากัปกิรยิ าอาการอันสงบสํารวม เกิดศรัทธาปสาทะอยางแรงกลา จึงปรึกษา บิดามารดาถึงเจตนาทีใ่ ครบรรพชา และขอใหพาไปฝากตัวกับพระครูบาขัตยิ ะ พรอมนายอินปนเพื่อนบาน เพื่อเปนศิษยในอาวาสที่พ่ึงสรางขึ้นใหมให ชวยสัง่ สอนและศึกษาอักษรลานนา ซึง่ เปนภาษาทีส่ บื ทอดและวิวฒ ั นาการ มาจากภาษาบาลี แ ละสั น สกฤต เป น ภาษาพื้ น เมื อ งของชาวอิ น เดี ย ที่
๒๐
พระพุทธเจาใชเปนสื่อในการเทศนาสั่งสอนยุคตนพุทธกาลจนปรินิพพาน จนถึงพุทธศักราช ๕๐๐ มีการบันทึกพระโอวาทของพระพุทธเจาเปนอักษร ลงในใบลานเปนครัง้ แรก คราวสังคายนาพระไตรปฎกครัง้ ที่ ๕ ณ ประเทศ ศรีลังกา โดยมีพระเจาปรากรมพาหุมหาราชเปนพระมหากษัตริยและองค ศาสนูปถัมภ จารึกเปนภาษาบาลี สวนทางลานนาไทย ประมาณ พ.ศ. ๑๘๐๐ ยุคของพระญามังรายมหาราชไดปริวรรตภาษาบาลี – สันสกฤต เปนภาษาลานนา (คําเมือง) ใชในสมัยของพระองค พอมาถึงยุคพระเจา ติโลกราช พระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมไดเจริญรุงเรืองทําใหมีการ สังคายนาพระไตรปฎกครั้งที่ ๘ ณ วัดมหาโพธาราม (วัดเจ็ดยอด สราง ตามรูปแบบศิลปกรรมพระเจดียมหาโพธิ์วิหารพุทธคยา ซึ่งเปนสถานที่ ตรัสรูในประเทศอินเดีย) โดยมีพระธรรมทินมหาเถร เปนประธานสงฆ พระเจาติโลกราชแหงราชวงศมงั รายองคที่ ๙ เปนองคศาสนูปถัมภ ในป พ.ศ. ๒๐๒๐ การทําสังคายนาที่นครเชียงใหมใชเวลา ๗ เดือน หลังจากนั้นได จารึกเปนอักษรลงในใบลานใชภาษาลานนาไทย ยุคกอนหนานี้ซึ่งเปนยุคทองของอาณาจักรลานนาไทยมีความเจริญ รุง เรืองทีส่ ดุ มีการสงเสริมการศึกษาเรียนรูพ ทุ ธธรรมคัมภีรถ งึ ขนาดมีภาษา ทองถิ่นที่เปนเอกลักษณที่เรียกวา “คําเมือง” เปนภาษาลานนาที่ได วิวัฒนาการมาจากภาษาบาลีและสันสกฤตมาเปนภาษาทางราชการและ เปนภาษาทีใ่ ชกนั ทัว่ ไปในอาณาจักรลานนาไทย แมกระทัง่ คนในประเทศลาว กัมพูชา พมา มอญ สิบสองปนนา เชียงรุง เชียงตุง ยูนนานและลังกา เรียก ภาษาลานนา “คําเมือง” วาเปน “ภาษาธรรม” ทานเจาพระคุณพุทธทาส อินทปญโญ แหงสวนโมกขพลาราม นักปราชญแหงยุคก็ช่ืนชมลักษณะ พิเศษของภาษาลานนาที่สามารถสื่อถึงประเทศใกลเคียงดังที่กลาวมาแลว ไดอยางนาอัศจรรย โดยเฉพาะอยางยิ่งสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จ พระสั ง ฆราชองค ท่ี ๑๙ ได ใ ห ผู เขี ย นอ า นพระไตรป ฎ กฉบั บ ล า นนา
๒๑
ใหฟง ในพระตําหนัก และไดชนื่ ชมในความปรีชาสามารถของนักปราชญใน ยุคนั้น ที่ไดรวมกันทําสังคายนาพระไตรปฎกพรอมดวยการจารจารึกเปน ภาษาลานนา นั่นเปนการแสดงใหเห็นวาแมนบุคคลสําคัญระดับสูง ยังให ความสนใจ โดยเฉพาะอยางยิ่งที่รัฐอัสสัม อยูทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ของประเทศอินเดียมีชนกลุม นอยเปนชาวไทอาหม ซึง่ มีกษัตริยเ ปนราชวงศ มีปราสาทราชวัง การปกครองบริหารมีวิถีชีวิตวัฒนธรรมมีภาษาเขียน ภาษาพูดเหมือนชาวไทลานนามาก ภาษาคําเมืองลานนาไดถือกําเนิดเมื่อประมาณ ๑,๘๐๐ ปมาแลว (พ.ศ.๗๒๐) โดยมหาโยนะกะเถระ และมหาขนานสรวงแหงไทนานเจา กอนที่พอขุนรามคําแหงมหาราชจะประดิษฐอักษรไทยตั้ง ๑,๐๐๐ กวาป พอมาถึงยุคนีเ้ ปนทีน่ า สลดสังเวชใจเปนอยางยิง่ ลูกหลานชาวลานนาไมรจู กั ภาษาคําเมืองอานไมไดเขียนไมเปน คงเหลือแต “คําอู” (คําพูด) เปนรองรอย แหงอดีต ทีเ่ ปนเชนนีเ้ พราะอิทธิพลของคนไทยภาคกลางไดกลืนวัฒนธรรม และอาณาจักรลานนาซึ่งมีศูนยกลางอยูที่นครพิงคเชียงใหม และตกเปน เมืองขึ้นถูกอิทธิพลของพมาครอบงํากวา ๒๐๐ ป (พ.ศ.๒๑๐๑ – ๒๓๒๙) จึงทําใหอาณาจักรลานนาทีเ่ คยเจริญรุง เรืองมาเปนเวลานานตองมาลาหลัง ออนแอ ซึ่งจะตองใชเวลาในการฟนฟูอีกยาวนาน ถาในอนาคตขางหนาหากมีการฟนฟูอัตลักษณวัฒนธรรมลานนา ไทย ภาษาคําเมือง และการปกครองที่เคยเจริญรุงเรืองเปนอาณาจักรที่ ยิ่งใหญมีมหาราชปกครองเปนเอกราชมาหลายยุคหลายสมัย เชน พระญา เจื๋องฟาธรรมมิกราช พระญามังรายมหาราช พระเจาติโลกราช เปนตน ใหมกี ารแบงอํานาจการปกครองเหมือนเมืองพัทยา ปจจุบนั ใครอยากเห็น คนรุน ใหมรอื้ ฟน ภาษาลานนาไทยใหเขาไปสูร ะบบการศึกษาเพือ่ ใหลกู หลาน ไดตระหนักถึงความยิง่ ใหญ เปนอัตลักษณโดดเดนปรากฏอยูส บื ไป แตเปน
๒๒
สิ่งที่นาภาคภูมิใจที่ความเปนอัตลักษณอันเรืองรองของอาณาจักรลานนา จางหายจากทีน่ กี่ ไ็ ปปรากฏเดนชัดทีป่ ระเทศจีนในเมืองใหญๆ หลายเมือง เชน มณฑลกวางสี ยูนนาน ตาลี่ เตอหง และทีเ่ สฉวน เมือ่ ครัง้ พณฯ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีเปนแขกของรัฐบาลจีนไดไปเยี่ยมมณฑล เสฉวนก็พดู สือ่ สารกันดวยภาษาลานนาเปนทีถ่ กู อกถูกใจมวนใจกนั เหมือน อยูในผืนแผนดินเดียวกัน โดยเฉพาะอยางยิ่งจากการสืบคนของสมเด็จ พระเจาพี่นางเธอเจาฟากัลยานิวัฒนาฯ ไดตั้งทีมงานสํารวจเชื้อสายคนไท ในประเทศจีนที่ปรากฏเปนคํากลาวรายงาน คําถวายพระพรตอนรับเปน ภาษาคําเมืองลานนาในเมืองใหญหลายเมืองในประเทศจีนที่มีความเปน เอกลักษณของตนเองที่สืบทอดมาเปนเวลายาวนานตราบทุกวันนี้ บรรยากาศพุทธศาสนาในอาณาจักรลานนา ถือวาสืบทอดสายตรง มาจากดินแดนชมพูทวีปประเทศอินเดียแดนพุทธภูมิ ในยุคทองของ จอมจักรพรรดิอโศกมหาราช ไดประทานมรดกอันสําคัญลํ้าคาแกมวล มนุษยชาติ ที่พระพุทธองคไดทรงคนพบเปนสัจธรรมความจริงอยางยิ่ง ของชีวิตที่ไดเปดเผยสูชาวโลก ไดเผยแพรเขามาสูแดนสุวรรณภูมิเมื่อ ๒,๐๐๐ กวาปมาแลว จนเปนสายธารแหงศรัทธา สายธรรมที่ซึมซับดื่มดํ่า เขาไปในวิถชี วี ติ ประจําชาติ คูบ า นคูเ มืองมาทุกยุคทุกสมัย เปนความเจริญ รุงเรืองทางพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมลานนาในอดีตเปนเวลานานมี บัณฑิต นักปราชญ ผูทรงศีลทรงธรรมเกิดขึ้นอยางตอเนื่องการศึกษา ถูกจดจําถายทอดกันมาถือวาเปนวิทยาการศาสตรชั้นสูงในยุคนั้น พระครูบาขัตติยะไดถายทอดการเรียนรูพระธรรมวินัยและคําสอน จากชาดกพรอมใหการศึกษาอักขระภาษาลานนาจนศิษยทั้งสองเรียนรู พระคัมภีรและพระวินัยเสขิยวัตร ขอปฏิบัติทองบทสวดมนตและคําขอ บรรพชา ขณะนั้นอินตาเฟอนอายุ ๑๘ ป และนายอินปนอายุ ๑๗ ป ทาง
๒๓
ครูบาขัตติยะ บิดามารดาพรอมญาติพน่ี อ งจึงจัดพิธดี าปอยลูกแกว (ใหเปน เจานาค) เปนงานปอยแรกของบานปางและอารามใหมแหงนี้ พระครูบาขัตติยะ ผูเปนพระอุปชฌายจึงไดตั้งสมญานามสามเณรอินตาเฟอนวา “สามเณร ศรีวิชัย” และ สามเณรอินปนวา “สามเณรธัมมชัย” (สมัยนั้นนิยมตั้ง สมญานามใหผูบรรพชาเปนสามเณรดวย) สามเณรทั้งสองก็ไดตั้งใจรับ การอบรมสั่งสอนนิสัยพระธรรมวินัยเพิ่มเติมจากพระครูบาขัตติยะ และ ปฏิบัติอุปฏฐากพระอุปชฌายดวยความเคารพ ถึงพุทธศักราช ๒๔๔๒ อายุของสามเณรศรีวชิ ยั ยาง ๒๑ ป พระครูบา ขัตติยะโยมบิดามารดาพรอมทั้งญาติพ่ีนองจัดงานอุปสมบทซึ่งจัดพิธีตาม โบราณจารย มิไดจัดงานมหรสพ รื่นเริง เลี้ยงสุราฆาสัตวตัดชีวิต ในงาน พิธบี รรพชาอุปสมบทของชาวลานนาจะมีการทําขนมปาดหรือกวนขาวทิพย โดยใชขาวเหนียว นํ้าออย นมเนย ถั่วงา หอดวยใบตองหรือใสถวยชาม เลีย้ งแขกทีม่ าในงาน (ในประเทศอินเดียทัว่ ไปยังนิยมเอาอาหารใสใบตอง ใหแกลูกคาและใชมือเปบกิน) สวนเครื่องบวชนอกจากอัฏฐบริขารมีบาตร จีวร สบง สังฆาฏิดา ยเข็ม หินลับมีด ทีก่ รองนํา้ มีดโกนผม ตองมีลกู ประคํา พัดใบลาน ไมเทา และหมวกสําลีสีเหลืองทรงกลมปลายแหลมสําหรับ พระเณร (ในดินแดนลานนาไทย เวลาฤดูหนาวมีหมอกเหมย และอากาศ หนาวเย็นจึงจําเปนตองมีหมวก) ระหวางการจัดงานบรรดาญาติ ผูมารวม อนุโมทนาบริจาคปจจัยและของใชตาง ๆ ชวยกันหาเครื่องสักการบูชา คือ หมากสุม พลูสุม มะพราวสุม เอามะพราวออนปอกเปลือกนอกออกแตง เปนสุม ปลายแหลม กลาวกันวาเปนสัญลักษณแทนคานํา้ นมมารดาใหเกิด จิตสํานึกความกตัญูตอ บิดามารดา เปนเครือ่ งบูชาพระอุปช ฌาย พระคูส วด และสงฆหัตถบาตรรวมทั้งตนผึ้งโดยเอาตนกลวยขนาดยอมมีใบติดแลว เอาขี้ผึ้งทําเปนรูปรวงผึ้งปนติดไมเล็กๆ เสียบรอบตนกลวย เปนสื่อแหง
๒๔
การรวมมวลเกสรดอกไม คือเทิดทูนบูชาคุณธรรมความดีงามเปนเครื่อง สักการบูชาพระรัตนตรัย พิธีการอุปสมบทสามเณรศรีวิชัย ณ พัทธสีมาวัดบานโฮงหลวง จังหวัดลําพูน โดยมีครูบาสมณะเปนพระอุปช ฌาย ไดรบั ฉายานามวา “สิริ วิชโย ภิกขุ” ตั้งแตบัดนั้น พระครูบาเจาศรีวิชัย ก็นับถือพระครูบาสมณะ เปนพระอาจารยองคทสี่ อง เมือ่ อุปสมบทแลวเดินทางกลับไปพํานักอาราม บานปางอยูป ฏิบตั อิ ปุ ฏ ฐาก พระครูบาขัตติยะไดหนึง่ พรรษา พระครูบาขัตติยะ มองเห็นแววความมุงมั่นตั้งใจจริงจึงไดพาพระศรีวิชัยไปศึกษากัมมัฏฐาน และวิชาความรูศาสตรตาง ๆ กับพระครูบาอุปละวัดดอยแต อําเภอแมทา จังหวัดลําพูน ในสมัยนั้นพระครูอุปละถือวาเปนผูมีจริยวัตรขอปฏิบัติท่ีเครงครัด มีความรูเ ฉลียวฉลาดทางพุทธศาสตรเปนผูค งแกเรียนเจนจบถึงขัน้ ปรมัตถ มีอภิญญาเปนเลิศเปนที่เลื่องลือวาเปนพระกัมมัฏฐานสายปาอรัญวาสี ปฏิบัติเครงครัดในธุดงควัตร ทรงคุณวิเศษโดดเดนที่สุดองคหนึ่งใน ถิ่นลานนาเวลานั้น กลาวกันวาทานสามารถสื่อสารสรรพสําเนียงของ สรรพสัตวดว ยศัพทภาษาธรรมชาติไดอยางลึกซึง้ ดุจทานปรมาจารยมลิ าเรปะ ชาวธิเบตทีไ่ ดบรรลุฌานขัน้ สูงสุดแลว เทีย่ วไปตามปาเขาลําเนาไพรมีปรกติ เอามือปองหูฟง เสียงสัจธรรมจากธรรมชาติแลวถอดรหัสเปนธรรมมาแสดง ธรรมคีตาไดไพเราะจับใจ เปนที่เคารพยกยองอยางสูงของชาวธิเบต รอง จากพระสัมมาสัมพุทธเจา สวนพระครูบาอุปละก็เชนกัน ถือไดวาทานเปน ที่ ย อมรั บ ว า เป น ผู มี ภู มิ ส ติ ป ญ ญาแตกฉานรอบรู ค วามจริ ง สั จ ธรรม ของพระพุทธเจา จนผสานชีวิตกับธรรมชาติเปนหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง มีวถิ ชี วี ติ สันโดษอยูบ นภูเขาปาดงพงไพรสถานทีอ่ นั วิเวกสงบบําเพ็ญบารมี ถือกัมมัฏฐานสายปาอรัญวาสี
๒๕
พระครูบาอุปละ ไดเมตตาถายทอดขอวัตรปฏิบัติสูตรศาสตรตาม พระธรรมวินยั ใหแกพระศรีวชิ ยั ไดเรียนรูจ นสําเร็จ ใชเวลาเพียงหนึง่ พรรษา จึงกราบลาพระครูบาอุปละมาพํานักวัดบานปางตั้งจิตอธิษฐานทบทวน ภูมิธรรมและขอปฏิบัติพระวินัยอยางเครงครัดเสมอตนเสมอปลาย และ นับถือพระครูบาอุปละเปนครูบาอาจารยผสู ง่ั สอนกัมมัฏฐาน หลักบําเพ็ญ ภาวนาสูวิปสสนาญาณเปนองคสุดทาย พุทธศักราช ๒๔๔๔ พระครูบาขัตติยะ ไดจาริกออกจากบานปาง ไปยังถิ่นอื่นและไมกลับมาอีกเลย ขณะนั้นพระครูบาเจาศรีวิชัยอายุ ๒๓ ป พรรษาที่ ๓ เปนผูทรงศีลาจารวัตรงดงามและพรรษามากกวาเพื่อนภิกษุ สามเณรจึงรับชวงเปนเจาอาวาส ในปเดียวกันนั้นเองพระครูบาเจาฯ พิจารณาเห็นวาการบําเพ็ญสมณธรรมอยูใ นวัดใกลบา นไมไดรบั ความสงบ เทาที่ควร จึงพาพระอินปน สามเณรและชาวบาน ผูใกลชิดเสาะหาสถาน ทีเ่ หมาะแกสมณะวิสยั แหงแรกไปทีม่ อ นพระปา (ดอยเตีย้ ๆ) ทางทิศตะวันตก ของบานปาง พากันแผวถางและตั้งจิตอธิษฐาน พิจารณาดูแตยังไมมีนิมิต อะไร จึงลงความเห็นวาเปนสถานทีไ่ มเหมาะสมทีจ่ ะสรางวัด จึงพากันเลือก หาสถานที่ใหม ซึ่งอยูบนเนินเขาที่เปนวัดปจจุบัน แลวตั้งจิตสัตยาธิษฐาน กับองคพระศรีรัตนตรัยและเหลาทวยเทพทั้งหลายวาการสรางวัดใหมขึ้น ณ สถานที่แหงนี้จะนําความเจริญรุงเรือง นําความสุขสวัสดี ขอใหเกิด ศุภนิมติ อันดีงามปรากฏในคืนนีด้ ว ยเถิด ในคืนนัน้ พระครูบาเจาศรีวชิ ยั ฝน เห็นพระจันทรเต็มดวงเปลงรัศมีงดงามเปนทีส่ าํ ราญเบิกบานใจมาก ทาน เพงมองดูแสงสวางจา จนตาพราทําใหสะดุงตื่น จึงถือเปนศุภนิมิตอันเปน มงคล วันตอมาจึงพาพระภิกษุสามเณรและญาติโยมไปขออนุญาตเจาคณะ หมวดเพื่อสรางพระอารามแหงใหมก็ไดรับความเห็นชอบใหสรางได
๒๖
รูปปนพระครูบาอุปละวัดดอยแต
เศษอิฐบริเวณวัดรางวัดบานปาง
บริเวณวัดรางที่พระครูบาขัตติยะ บรรพชาใหแกนายอินตาเฟอน เปนสามเณรศรีวิชัย
พระอุโบสถวัดบานโฮงหลวง สถานที่ พระครูบาสมณะทําพิธีอุปสมบท ใหพระครูบาเจาศรีวิชัย
๒๗
สรางวัดบานปางหนทางสูบารมี การสรางวัด เริ่มใน พ.ศ. ๒๔๔๔ พระศรีวิชัย สิริวิชโย อายุ ๒๓ ป พรรษา ๓ ได ขอใหนายควายโยมบิดาแผวถางเบิกเปนปฐมฤกษเพื่อให เกิดสิริมงคล จากนั้นพระเณรและศรัทธาชาวบานตางชวยกันปรับสถานที่ บนเนินเขาใหเรียบและขยายอาณาเขตออกไปบางก็นําหินมาซอนกอเปน กําแพงเขตพุทธาวาส เขตสังฆาวาส กําหนดอาณาเขตบริเวณชัน้ นอก สราง กุฏิ วิหาร ศาลาบาตร รวมกันทําดวยจิตใจเบิกบาน เพราะตางชื่นชมใน บุญบารมีของพระครูบาเจา ฯ วาเปนผูทรงวัตรปฏิบัติเครงครัด การสราง ไดสําเร็จเสร็จเปนบางสวน จึงยายไปอยูบนอรัญวาสีอาวาสแหงใหมและ ตั้งนามวัดวา “วัดจอมสะหรีทรายมูลบุญเรือง” แตชาวบานคงเรียกวา “วัดบานปาง” เนื้อที่ทั้งหมด ๑๖๐ ไร แตกําหนดในเขตกําแพงมี ๒๐ ไร กําแพงหินทีก่ อ ลอมรอบมี ๔ ชัน้ ถารวมกําแพงแกวรอบพระธาตุเปน ๕ ชัน้ พระครูบาเจาศรีวชิ ยั สรางวัดใหมขนึ้ ทานไดจนิ ตนาการใหคลายกับ บรรยากาศครัง้ พุทธกาล คือ จัดใหเปนอรัญวาสี (วัดปา) กําแพงใชหนิ เปน กอน ๆ กอซอนเรียงรายเปนระเบียบ ไมสิ้นเปลืองโดยไมใชปูนซีเมนตกอ ซอนเขากัน ไมทําลายธรรมชาติแตใหธรรมชาติผุดเดน คนทั้งหลายเห็น พลังแหงความบริสุทธิ์เกิดพลังศรัทธาทําใหวัดปาวัดดอยหางไกลเมืองอยู ในชนบทเจริญอยางรวดเร็ว มีพระสงฆสามเณรมาอยูพ าํ นักเปนจํานวนมาก สมัยนั้นถือเปนวัดหลวงแหงหนึ่งในจังหวัดลําพูน ขาวปลาอาหารสิ่งของ ป จ จั ย สี่ ไ ม ข าดแคลน แถมยาจกวณิ พ กและขอทานต า งมาพึ่ ง บารมี พระครูบาเจาศรีวชิ ยั รอบบริเวณเต็มไปดวยศรัทธาสาธุชนนอมถวายสิง่ ของ เครื่องสักการบูชา เพื่อบูชาศีลาจารวัตรของพระครูบาเจา ฯ ทานปลูก
๒๘
ตนมะมวงไวทั่วบริเวณวัดเหมือนสวนอัมพวัน อีกดานหนึ่งปลูกตนไผ เหมือนเวฬุวนั วนารามและรอบวัดเปนไมรงั ทีเ่ กิดขึน้ ตามธรรมชาติลกั ษณะ ใบและดอกคลายตนสาละเหมือนสวนลุมพินีสถานที่ประสูติและปาสาละ วันสถานที่ดับขันธปรินิพพาน มีตนตาลทั่วบริเวณวัดซึ่งเปนเรื่องเกี่ยวโยง คลายสมัยพุทธกาล ทานเปนผูท รงศีลทรงธรรมฉลาดและนิง่ อยางพระอริยเจา การแสดงธรรมของทานซึง้ ถึงภายในใจของสาธุชนทุกหมูเ หลา ใครมีโอกาส ใกลชิดพระครูบาเจาฯ ตางรูสึกวาทานไดสถิตอยูในดวงใจ เทิดทูนดุจพบ ผูวิเศษศักดิ์สิทธิ์ เกิดความรูสึกปราโมทย มิเสื่อมคลาย พระครูบาศรีวิชัย สิริวิชโย เปนผูทรงศีลปฏิบัติธุดงควัตร ๑๓ บําเพ็ญสมถะและวิปส สนากัมมัฏฐานอยางเครงครัด มุง มัน่ ประพฤติธรรม เจริญตามรอยพระพุทธบาทพระบรมศาสดา อบรมสัง่ สอนพระเณร เด็กวัด และศรัทธาญาติโยมสาธุชนเกิดความเคารพเลือ่ มใสพระรัตนตรัยอยูใ นศีล ในธรรมรวมกันทํานุบํารุงบวรพุทธศาสนามิไดทิ้งจารีตประเพณีอันดีงาม จริ ย วั ต รส ว นตั ว ของพระครู บ าเจ า ศรี วิ ชั ย เวลา ๐๑.๐๐ น. เวลา ๐๕.๐๐ น. เวลา ๐๖.๓๐ น. เวลา ๐๘.๐๐ น.
ปฏิบัติธรรมพิจารณากัมมัฏฐาน – เดินจงกรม ปลุ ก พระเณรทํ า วั ต รสวดมนต เจริ ญ จิ ต ภาวนา แผเมตตา ทําความสะอาดทั่วบริเวณลานวัด นํ า พระสงฆ อ อกโปรดบิ ณ ฑบาต เสร็ จ แล ว ฉั น ภัตตาหาร (มื้อเดียว) หลังจากนั้นอนุโมทนากถา ทานบริจาคของผูมีจิตศรัทธาจากทุกสารทิศ
๒๙
เวลา ๑๒.๐๐ น. เวลา ๑๘.๐๐ น. เวลา ๒๑.๐๐ น.
เดินจงกรม นําพระสงฆสามเณรทําวัตรเย็น เสร็จแลวทานเดิน จงกรมเปนการสวนตัว จําวัตร (หรือบางคืนทาน จะนั่งสนทนาธรรมอบรม สั่งสอนพระเณร) อาหารที่ ท า นงดประจํ า วั น
วันอาทิตย วันจันทร วันอังคาร วันพุธ วันพฤหัสบดี วันศุกร วันเสาร
ไมฉันหมากฟก หมากแฟง ไมฉันหมากเตา หมากแตง (แตงโม, แตงกวา) ไมฉันหมากเขือ ไมฉันกอมกอ (แมงลัก) ไมฉันกลวย ไมฉันเตา (สาหรายชนิดหนึ่ง) ไมฉันบอน นอกจากนี้ ท า นจะไม ฉั น ของเหล า นี้ คื อ
๑. ๒. ๓. ๔. ๕.
ผักบุงทั้งสอง (ผักบุงปลิง, ผักบุงธรรมดา) ผักปลอด, ผักเปลว ผักหมากขี้กา ผักจิก ผักเหือด, ผักฮี้
๓๐
พระครูบาเจา ฯ กลาววา ถาภิกษุสามเณรงดฉันตามนี้การบําเพ็ญ กัมมัฏฐานเจริญกาวหนา ผิวพรรณ วรรณะเปลงปลั่ง ธาตุทั้งสี่เปนปกติ ถาคฤหัสถ (ชาวบาน) งดกินไดตามนี้การถือคาถาวิชชาอาคม ดีนัก บางครั้งวันพระ ๘ คํ่า ไมฉันอาหาร ไมฉันขาวและอาหารที่สุกกับไฟ ฉันแตผลหมากรากไมเปนเวลา ๑๕ วันบาง ๔–๕ เดือนบาง สาเหตุที่ ไมฉันเนื้อเริ่มอายุได ๒๖ ป ทานฉันจิ้นสมหมู (แหนมหมู) เปนเหตุให อุจจาระรวงและอาเจียนอยางหนัก หมดเรีย่ วแรงเกือบมรณภาพ เมือ่ หาย ปกติดลี องฉันเนือ้ หมูกเ็ กิดอาการเชนเดิมอีก ตัง้ แตนน้ั ทานตัง้ จิตอธิษฐาน ไมฉันเนื้อทุกชนิด และปรารภกับสานุศิษยวา “เราคงเบื่อเนื้อหมูเหมือน พระพุทธเจาเปนแนแท” อาหารทีท่ า นชอบคือ แกงยอดปลีตาล ปลีมะพราว หนอหวาย นํ้าพริกเห็ดหลม ที่ฉันเปนประจําคือ นํ้าผึ้ง ผลไม คือทุเรียน โดยเถาแกโหงวเปนผูจ ดั ถวาย นอกจากนัน้ เปนผลไมทเ่ี กิดขึน้ ตามฤดูกาล ทานเปนบุคคลทีม่ ลี กั ษณะบุคลิกนิสยั ซือ่ ตรง มุง มัน่ อยางแนวแนใน การอุทิศตนบําเพ็ญเพียรตามขอวัตรธรรมวินัยอยางเครงครัด เสมอตน เสมอปลาย ไมยดึ ติดในลาภยศชือ่ เสียงและบริษทั บริวาร ทรงไวซง่ึ อุเบกขา บารมีธรรมทําใจใหเปนหนึ่งอยูในสุญญตาวิหารธรรมเปนนิจ ผูคนทราบ กิตติศัพท กิตติคุณ ความเปนเนื้อนาบุญอันประเสริฐเปนที่ปรากฏกลาว ขานลํ่าลือกันทั่วสารทิศถือเปน “ตุเจาตนบุญของวัดบานปาง” ศรัทธา สาธุชนมา กราบไหวทําบุญทั้งจากที่ใกลและไกล ตลอดจนชาวปาชาวเขา ก็ซาบซึง้ ในปฏิปทาพากันมาทําบุญ ทานอนุโมทนากถาในทานบริจาคของ ชนทุกหมูเหลาโดยไมมีความรังเกียจหรือเลือกที่รักมักที่ชังในจตุปจจัย ไทยทานทั้งหลาย วัดบานปางจึงเหมือนทานํ้าอันใหญท่ีรองรับสายธาร ศรัทธาจากทั้งที่ใกลไกล ทั้งภิกษุสามเณร ตลอดจนยาจก วณิพกขอทาน มาพึ่งบารมี ทานใหความอนุเคราะหดูแลอยางทั่วถึง เชาวันหนึ่งในขณะที่
๓๑
ทานกวาดลานวัดมีชาวกะเหรี่ยงมาเปนคณะหาบขาวของ เครื่องไทยทาน ขึ้นมาถึงบริเวณวัดพบพระครูบาเจาศรีวิชัยกําลังกวาดใบไมจึงไดถาม พระครูบาเจา ฯ วา “ตุเ จาๆ ครูบามันอยูไ หน?” ทานจึงชีไ้ ปทีศ่ าลากวานตาน (ศาลาบําเพ็ญบุญ) แลวบอกวา “ปูนครูบามันอยูปูน (ครูบาอยูโนน)” แลว ก็กวาดลานวัดไปเรือ่ ย ๆ จนถึงเวลาทําบุญตักบาตรตอนเชา พระครูบาเจา ฯ พรอมทั้งพระภิกษุ สามเณร มารับบิณฑบาตอนุโมทนาทานพรอมกันใน ศาลากวานตาน ซึ่งมีศรัทธามารอคอยอยางเนืองแนน ไวยาวัจกรนําไหว พระสมาทานศีล โอกาสคําถวายทานทําบุญตักบาตร พระครูบาเจา ฯ พระสงฆนั่งบนอาสนะ รับบิณฑบาตจากศรัทธาสาธุชน พอมาถึงหัวหนา คณะกะเหรี่ยง ยืนขึ้นมองหนาพระครูบาเจาฯ แลวทักดวยเสียงดังวา “เมื่อ ตะกีน้ กี้ ต็ เุ จาตนนีล้ ะนาเฮาถึงวาแมนแนแลว” พระครูบาเจาฯ ก็อมยิม้ เปน นัยวายอมรับ ทานเปนคนสุภาพออนโยนไมยึดถือทะนงตนอํานาจกิเลส ตัณหาจึงไมอาจเกาะกินหัวใจของทาน ทานไดอุทิศกายใจเปนพุทธบูชา ปฏิบัติธรรมพระวินัยอยางเครงครัด บาทวิถีนักบุญไดประทับรอยแหง ความเปนนักบุญอมตะแหงลานนาไทยโดยเพิม่ คุณคาแหงชีวติ ดวยทศบารมี ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจาบําเพ็ญเนกขัมบารมี อยูที่วัดจอมสะหลี ทรายมูลบุญเรือง บานปาง
๓๒
พระประธานวัดบานปางสราง จําลองพระเจาเกาตือ้ วัดสวนดอก จังหวัดเชียงใหม
บันไดนาคดานทิศเหนือและเสือคูซึ่งเปนสัญลักษณปเกิด ของพระครูบาเจาศรีวิชัย
๓๓
กําแพงหินแบบธรรมชาติของวัด บานปางกอดวยหินเปนธรรมชาติ ไมใชปูนซีเมนต
โฮงหลวง (กุฏิใหญ) โบราณ มีเสา ๘๒ ตน หนาบันกลางมีรูปหัวเสือประจําปเกิดพระครูบาเจา ฯ
๓๔
ภิกษุอานันท พุทธธัมโม ถายที่หองนอนโฮงหลวง (กุฏิใหญ)
ภิกษุอานันท พุทธธัมโม ถายรวมกับชาวกะเหรี่ยง ณ โฮงหลวงบานปาง
๓๕
สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราชเจาองคที่ ๑๐
สองพระผูทรงบารมี วิถีชีวิตในทางธรรมของพระครูบาเจาศรีวิชัยมีความเกี่ยวพันกับ สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ซึ่งพระองคไดรับ การสถาปนาเปนสมเด็จพระสังฆราชแหงกรุงรัตนโกสินทรองคที่ ๑๐ กอนหนานั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยูหัว รัชกาลที่ ๕ ทรง ปกครองทั้งราชอาณาจักรและศาสนจักรเปนเวลา ๑๐ ป ตําแหนงสมเด็จ พระสังฆราชวางอยู ๑๐ ป จึงสถาปนาสมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยา
๓๖
วชิรญาณวโรรส พระเจานองยาเธอ ดํารงตําแหนงสมเด็จพระสังฆราช ในสมัยนั้นฝรั่งเศส ลาอาณานิคมถึงดินแดนสยาม พระสังฆราชเจา พระองคนี้ทรงมีบทบาทสําคัญในชวงหัวเลี้ยวหัวตอ ขณะที่ฝายลาเมือง ขึ้นหาเรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ สมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยูหัว ทรงกลัดกลุม พระหทัยหนักทีส่ ดุ ก็มากราบทูลขอขอชีแ้ นะทางออกกับสมเด็จ พระสังฆราชเจาทรงถวายพระพรใหกําลังพระทัย ดวยขอธรรมะเปน พระราชกุศโลบายอเนกนานัปการ ใหทรงคลายขัตยิ ะมานะตอความหยาบ กระดางของฝายตรงขามดวยการปฏิสนั ฐานอยางสุขมุ คัมภีรภาพ อดกลัน้ อดทน และใหอภัย ทัง้ นีถ้ อื วาเปนพระปรีชาชาญฉลาดของพระบาทสมเด็จ พระจอมเกลาเจาอยูหัว รัชกาลที่ ๔ ทรงปูพ้ืนฐานดานภาษาอังกฤษแก พระราชโอรสและบุตรขาราชบริพาร จึงมีความสามารถในการโตตอบ ตอรอง แกไขปญหาของแผนดิน ยุค ร.๕ ยังไมมีสงครามโลก ฝรั่งเศส ๑ ใน ๕ ชาติมหาอํานาจที่กําลังลาอาณานิคม ไดเรียกรองขอนคร จําปาศักดิ์ เสียมราฐ พระตะบอง ศรีโสภณ คืนจากไทย ระหวางการเจรจา ฝรั่งเศสไดยื่นขอเรียกรองเพิ่มจะเอาพระแกวมรกตดวย คณะผูแทนฝายไทยไมยอมเจรจา ลุกขึ้นจากที่ประชุมทันที จน ฝรัง่ เศสยอมถอนเงือ่ นไขนีอ้ อกไป การเจรจาเรือ่ งพืน้ ทีจ่ งึ เดินหนาตอไปได พระพุทธรัตนมหามณี พระเจาแกวมรกตมรดกอันสําคัญลํา้ คายิง่ จึงยังสถิต ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ใจกลางพระบรมมหาราชวัง คูพระมหานคร สยามประเทศ เปนศูนยรวมของคนจากทั่วโลกไดชื่นชมความงดงาม อลังการของพระพุทธรัตนมหามณี พระเจาแกวมรกตคูกับสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย และผืนแผนดินธรรมแผนดินทอง แมจะเหลือ เพียงแครปู ขวาน ซึง่ เปนความภาคภูมใิ จของชาวไทยทีม่ ไิ ดตกเปนเมืองขึน้ ของการลาอาณานิคมเหมือนประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชีย สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเปน ผู ป ระสิ ท ธิ์ ป ระสาทให ศ าสนธรรมคํ า สอนของพระพุ ท ธเจ า จั ด เป น
๓๗
หมวดหมูพ ระธรรมวินยั สําหรับการศึกษาเปนธรรมชัน้ ตรี ธรรมชัน้ โท และ ธรรมชั้นเอก ทรงมีพระปรีชาญาณสามารถวิเคราะหพุทธวัจนะ หรือ ขอความแหงอรรถกถาที่สุขุมลุมลึกแฝงในรูปอุปมาอุปมัย แมดวยนัยยะ แหงปรมัติ ทรงกลาวินิจฉัยวิจารณธรรมยากยิ่งที่ปุถุชนธรรมดาจะทําได ทรงมีพระวิรยิ ะวิจารณญาณเปนอยางยิง่ ใครทรงเห็นคณะสงฆไทยมีระบบ ระเบียบจึงมีการจัดตัง้ สมณศักดิถ์ วายแกพระเถระ เพือ่ ปกครองตามลําดับขัน้ ตัง้ แตเจาคณะหมวด แขวงเมือง และมณฑล ตามลําดับชั้น นับวาพระองค ทรงปลูกฝงหลักวิชาการเปนบรรทัดฐาน แกคณะสงฆไทย ใหศกึ ษาประพฤติ ปฏิบตั อิ ยางเปนระบบสะดวกแกการศึกษา พระธรรมวินยั เปนขัน้ ตอนตาม อุปนิสัยและภูมิปญญา ถือเปนหลักปฏิบัติอยางเปนทางการมาถึงทุกวันนี้ ณ จุดเริ่มตนตรงนี้ท่ีทําใหพระสงฆเกิดยึดติดยศฐานันดรตําแหนง สมณศักดิ์ขึ้นมา และมีการจัดระบบการปกครองกันขึ้นมาใหม ซึ่งนําสูการ แบงแยกทําใหเกิดทิฏฐิมานะ (ดังคําพังเพยวาทิฏฐิพระ มานะเจา) ซึง่ กอน หนานั้นก็เกิดการแตกแยกเปน “ธรรมยุตกับมหานิกาย” พอมาถึงขั้นตรา เปนกฎพระราชบัญญัติ ร.ศ. ๑๒๑ ขึ้นมาอีก พระครูบาเจาศรีวิชัยเปนพระ สงฆฝา ยอรัญวาสีในดินแดนลานนา ไดมองเห็นอยางถองแทแตทา นไมได พูดอะไรมาก จึงไดกลาวไวสั้นๆ แตกินความหมายลึกซึ้ง เมื่อถูกคณะสงฆ ตั้งโจทยซักถามวา “ทําไมครูบาถึงไมปฏิบัติตามแบบอยางคณะสงฆ?” พระครูบาเจาศรีวิชัยตอบแบบยอนกลับวา “แลวทานทั้งหลายทํากัน อยางไร?” คณะสงฆผูใหญตอบวา “ก็ตองถือตามระเบียบการปกครอง ตามพระราชบัญญัต”ิ พระครูบาเจาฯ จึงไดตอบโจทยดว ยนํา้ เสียงเปนปรกติ วา “นั่นคือลูกของอาชญา! ไมใชลูกศิษยของพระพุทธเจา!” เหตุน้ีแหละคือที่มาของเรื่องทําใหเกิดเหตุการณต้ังขอกลาวหาที่ พระครูบาเจาศรีวิชัยตองเอาชีวิตเปนเดิมพันดวยความบริสุทธิ์ใจตอสูโดย สุขุมคัมภีรภาพ แมจะถูกตั้งขอกลาวหาใสรายรุนแรง จนถึงขั้นนําไปกัก บริเวณเยีย่ งนักโทษสักกีค่ รัง้ กีห่ น ทานก็สงบนิง่ มิไดฝา ฝนหรือวิตกทุกขรอ น
๓๘
แตประการใด ในสายตาของคณะสงฆก็มองเห็นกันไปวาพระครูบาเจาฯ ดือ้ ดึงแข็งกระดาง แตหารูไ มวา พระครูบาเจาศรีวชิ ยั กาวขามไปไกลกวานัน้ คือการอยูเหนือหมอกมานมายาสิ่งหลอกลวงวิ่งตามกระแสโลก จึงเดิน สวนทางกันในความตางที่ดูเหมือนจะคลายกันนี้ ถาจะหาคําตอบเรื่องนี้ โดยไมเขาขางฝายใด ก็ตองยอนสูเหตุการณในครั้งพุทธกาลที่พระเทวทัต เสนอขอบังคับตอพระพุทธองคใหคณะสงฆปฏิบัติก็ลวนแตเปนสิ่งดีเพิ่ม ขอเขมงวดขึน้ แตพระพุทธองคทรงเห็นตางจากพระเทวทัตเพราะพระธรรม พระวินัยที่ทรงบัญญัติข้ึนแลวนั้นเปนสิ่งที่เบาบางบริสุทธิ์ เหนืออารมณ เหนือเหตุผล เหนือความขัดแยงและเหนือโลกธรรม อนึ่ง กอนที่พระพุทธองคจะดับขันธปรินิพพาน พระอานนทไดมี ปริวติ กหวงใยวาคณะสงฆจะอยูก นั อยางไร จึงไดกราบทูลประทานอนุญาต ขอใหพระพุทธองคไดโปรดกรุณาแตงตั้งผูที่เหมาะสมที่จะบริหารการคณะ สงฆสาวกสืบทอดตอไป พระพุทธองคทรงมองเห็นทะลุผานเรื่องอัตตา ตัวตน ไดทําลายภูผาแหงความสําคัญตนพังทลาย ราบเรียบ เกลี้ยงเกลา เบาบางบริสุทธิ์ ปราศจากพันธะผูกพัน ยึดถือสิ่งใดๆ ในโลก จึงทรงตอบ วา “ใหสงฆดูแลกันเองเถิด ความมีกัลยาณจิตนั่นแหละคือทั้งหมดของ พรหมจรรยท่ีเราตถาคตประทานใหสงฆอยูดวยกัน ถาภิกษุรูปใดอาพาธ เจ็บปวยก็ใหชวยกันดูแลรักษาพยาบาลซึ่งกันและกัน ก็เหมือนไดดูแล อุปฏฐากเราตถาคต และการไดทําบุญใหทานกับหมูสงฆโดยมิไดจําเพาะ เจาะจง ก็เทากับการไดถวายทานแดพระตถาคต พระพุทธองคไดทรง ประทานความเสมอภาคแดพระสงฆสาวกมาตั้งแตเริ่มตนจนถึงทุกวันนี้ ไมวาใครผูนั้นจะเปนโจร เปนคนชนิดไหน มาจากฐานะ อาชีพอะไร จะมี ภูมิรูภูมิหลังแตกตางกันอยางไร เมื่อเขามาสูในธรรมวินัยแลวก็ถือวา เปนพุทธบุตรเปนสงฆสาวกถวนเหมือนกันหมด ดวยนํ้าพระทัยสูงสงดวย
๓๙
พระปญญาบารมี ดวยพระมหากรุณาธิคุณอันใหญหลวง ทรงมองโลก มองทุกชีวิตเปนเพื่อนเปนเหมือนลูกรักในอุทร แมใครจะคิดรายทําลาย รายแรงอยางไร เชนพระเทวทัต พระพุทธองคทรงตรัสไววา ‘เรารักราหุล อยางไร เราก็รกั หวงใยพระเทวทัตฉันนัน้ หรือถามีใครเอาเลือ่ ยทีม่ ดี า มสอง ขางมาตัดที่ลําตัวเขาถึงหนัง ถึงเนื้อ เอ็นและกระดูก ถาใครยังมีความโกรธ มีจติ อาฆาตพยาบาทเกิดขึน้ ผูน นั้ หาชือ่ วาเปนศิษยของพระตถาคตไม เมือ่ ถูกใสรา ย ถูกทําลาย จงมีจติ เปย มดวยขันติธรรม เมตตาธรรม เปดใจกวาง ไรกังวล หมนหมอง จงบมเพาะความสุขสงบใหเจริญงอกงามในจิตใจ เพราะความสุขอื่นหมื่นแสน ไมมาตรแมนความสงบ การเขาไปสงบ ระงับ ดับการปรุงแตงฟุง ซานเสียได เปนการทําทีส่ ดุ ของปญหาทุกอยางทุกประการ เปนความโดดเดนของพระพุทธศาสนา และเปนทางสายเอก ทีพ่ ระพุทธองค ทรงประทานอมฤตธรรมที่วิเศษสําหรับความสุขสงบสุดยอดของทุกชีวิต เพราะฉะนั้น พระครูบาเจาศรีวิชัยจึงไดดําเนินตามทางอริยมรรค อริยผล โดยเอาชีวิตจิตวิญญาณตลอดทั้งชีวิต ทอดเปนดุจสะพานอัน แข็งแกรงดวยมโนธรรมอันแนวแนเปย มดวยความบริสทุ ธิแ์ ละเมตตาธรรม ใหชีวิตทั้งหลายขามฟากจากสงสารสูความสงบสุขของชีวิต พิสูจนยืนหยัด บนเสนทางโมกขธรรม แมจะตองเผชิญกับการทาทายตอเหตุการณรอ นแรง สักกี่ครั้งกี่หนจะเห็นไดวาพระครูบาเจาศรีวิชัยจะมั่นคงดวยขันติธรรมเปน เลิศ แมจะอยูใ นสถานการณเชนไร หัวใจของทานจะสะอาดบริสทุ ธิ์ สงบสุข ดื่ ม ดํ่ า รสแห ง ศานติ จนรั ง สี แ ห ง บารมี ธ รรม มี ท านบารมี ศี ล บารมี รวมบารมีท้ังหมด ๓๐ ทัศเปลงปลั่งเปนประกายสวางไสวในดวงใจของ พระครูบาเจาศรีวิชัยดุจพระจันทรในคืนวันเพ็ญ สองสวางสดใสเหนือ ทองฟานภาลัยในยามรัตติกาลงดงามตลอดทุกทิวาราตรีชั่วกัลปวสาน
๔๐
อุปสรรคไมมี บารมีไมแกรงกลา พระครูบาเจาศรีวิชัย สิริวิชโย ไมไดใสใจกับความมีช่ือเสียง เกียรติคณ ุ จะมีแตจะอุทศิ ตนทุม เทสุดหัวใจบําเพ็ญเนกขัมมะบารมี มิไดยดึ ติดในลาภสักการะและตําแหนงยศถาบรรดาศักดิ์ แมความสุขสะดวกสบาย ทานก็ไมยึดติด มีแตการเสียสละทํานุบํารุงฟนฟูพระพุทธศาสนาที่เสื่อม ทรุดลงใหกลับเจริญรุง เรือง จะจาริกทองไปตามทางทุรกันดารขึน้ เขาลงหวย ไปตามทางปาชางทางเสือเสี่ยงภัยอันตราย ฟนฝาความยากลําบากขนาด ไหนทานก็จะตองเจริญตามรอยพุทธบาทองคพระบรมศาสดา จาริก ภิกขาจารไปโปรดเมตตาผูคนทุกชนชั้นใหเกิดแรงแหงศรัทธาและเลื่อมใส ในพระรัตนตรัย ดวยตัวทานเองเปนตนแบบผูท รงศีลทรงธรรม ขอวัตรปฏิบตั ิ เครงครัด สงบ สํารวม พรอมมโนปณิธานอันสูงสงมุงสูพระโพธิญาณที่จะ เปนพระพุทธเจาอีกองคในอนาคต เพื่อเกื้อกูลประโยชนสุขอันใหญหลวง จึงทําใหพระครูบาเจาศรีวิชัยมีพลานุภาพเปนที่เคารพศรัทธา เปน เนือ้ นาบุญ เปนศูนยรวมมหาชนทุกเชือ้ ชาติ ภาษาไปทัว่ สารทิศ ทัง้ นีเ้ พราะ หัวใจของทานเปดกวาง ไมเห็นแกตัว ไมมีการโฆษณาโออวดคุณวิเศษแต ประการใด เพราะการประพฤติธรรมถือเปนหนาที่ที่ตองอุทิศทั้งกายและ ใจโดยไมคาํ นึงถึงความยากลําบาก การทวนกระแสกิเลส แมชวี ติ เลือดเนือ้ จะแตกดับก็ยอมอุทิศได ดังนั้นผูเคารพเลื่อมใสทั้งฆราวาสและบรรพชิต พระภิกษุ สามเณร ตางวัด ตําบล อําเภอ จังหวัด เมือ่ ทราบถึงศีลาธิคณ ุ ของทานก็พากันมาฝากตัวเปนสานุศษิ ย เพิม่ ขึน้ เรือ่ ย ๆ ทานเมตตาสัง่ สอน
๔๑
อบรมใหปฏิบัติสมถะและวิปสสนากัมมัฏฐาน ชี้แนะชี้นําสั่งสอนตาม พระธรรมวินัยใหสาธุชนทั่วไปไดบําเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เหมาะสมกับอุปนิสัยแกบรรดาสานุศิษยที่มีอินทรียตางระดับก็จะไดรับ ความอนุเคราะหโดยทั่วกัน ขณะทีก่ ติ ติศพั ทของพระครูบาเจาศรีวชิ ยั โชติชว งอยูน น้ั เหตุรา ยก็เปน เงาเขามาสูวิถีชีวิตประดุจพระอาทิตยถูกเมฆหมอกหรือกลุมควันบดบัง พอดีขณะนัน้ มีกลุ บุตรผูม ศี รัทธาปสาทะอันแรงกลาตอพระพุทธศาสนาใคร บรรพชา อุปสมบท เปนพุทธบุตรสืบศาสนทายาทขอเปนศิษยทา นพระครู บาเจาศรีวิชัยไดมองเห็นอุปนิสัยจึงรับเขาสูพระธรรมวินัย จึงไดทําหนังสือ ไปขออนุญาตกับนายอําเภอลี้ และเจาคณะแขวงลี้พรอมกับนิมนตมาเปน พระอุปช ฌายดว ยก็ไดรบั การตอบรับเพียงวาใหเตรียมการใหพรอมแลวจะ สงใบอนุญาตใหภายหลัง แตใจจริงของทานทั้งสองคิดหาเหตุสรางเรื่อง ทําลายพระครูบาเจาศรีวิชัยอยูเบื้องลึก และชาวบานปางก็รอใบอนุญาต จนแลวจนเลา ทางอําเภอก็ไมสงใบอนุญาตมาให ทั้ง ๆ ที่ไดปฏิบัติตาม ระเบียบพระราชบัญญัติคณะสงฆทุกประการ เวลาก็จวนเขาพรรษา ทาน เห็นวากุศลเจตนาศรัทธาของกุลบุตรทีต่ ง้ั ไวดแี ลวจะเสียไป เพราะเพียงชัว่ ขณะจิตแหงความดีหรือความชัว่ ก็ทาํ ใหไปสูส คุ ติหรืออบายภูมไิ ด จึงไดเกิด เมตตาจิตสงสารคิดอนุเคราะหกุลบุตร เมื่อพิจารณาเห็นวาตั้งแตครั้ง พุทธกาล การบรรพชา อุปสมบท ตามหลักพระธรรมวินัยไมตองขอตอ นายอําเภอหรือเจาคณะอําเภอ (ขณะนั้นมียศชางขุนนางพระ) เวลานั้นพรรษาของพระครูบาเจาศรีวิชัยได ๑๐ พรรษา จัดวาเปน พระเถระผูท รงศีลทรงธรรมตามหลักพระธรรมวินยั สามารถเปนพระอุปช ฌายได จึงประกอบพิธบี รรพชา อุปสมบทแกกลุ บุตร บวชพระภิกษุ ๒ รูป สามเณร
๔๒
๘ รูป โดยยึดหลักพระธรรมวินยั เปนบรรทัดฐานและเจตนารมณอนั บริสทุ ธิ์ เมื่อพระครูมหารัตนากร (พระมหาอินทร) เจาคณะแขวงลี้และเจาหนาน บุญเติง นายอําเภอลี้ทั้ง ๒ ทาน ทราบจึงโกรธเปนฟนเปนไฟ รวมกันตั้ง ขอคดีกลาวหาอาญาจับผิดทานวาเปนพระอุปช ฌายเถือ่ น ทางเจาคณะแขวง และนายอําเภอจึงมีหมายจับใหตาํ รวจควบคุมตัวทานแบบนักโทษมาคุมขัง พิจารณาคดีทวี่ ดั ลีห้ ลวงซึง่ เปนวัดของเจาคณะแขวงลี้ ขาวแพรออกไปอยาง รวดเร็ว สวนมากเกิดความเห็นอกเห็นใจพระครูบาเจาศรีวชิ ยั ตอการกระทํา ของทางบานเมืองและคณะสงฆทไี่ มเปนธรรมใชอาํ นาจอาชญากับผูท รงศีล ทรงธรรม เหตุการณในขณะนั้นจึงเกิดปฏิกิริยาถือปนผาหนาไม หอก ดาบ มายังวัดลีห้ ลวงเปนจํานวนมากเยาะเยยถากถางผูท รงอํานาจจนลวงเลยถึง วันที่ ๔ มหาชนเพิม่ มากขึน้ กลัวกอการจลาจลแยงชิงตัวทางอําเภอลีเ้ ห็นวา ไมสามารถควบคุมสถานการณได จึงสงตัวพระครูบาเจาศรีวิชัยไปใหทาง จังหวัดตัดสินพิจารณาคดีที่วัดมหาวัน พระครูญาณมงคลเจาคณะจังหวัด เปนประธานตั้งกรรมการคณะสงฆขึ้นพิจารณาคดีเปนการดวน ผลการ ตั ด สิ น พระครู บ าเจ า ศรี วิ ชั ย ไม มี ค วามผิ ด ตามพระธรรมวิ นั ย จึ ง พ น ขอกลาวหา ขณะนั้นพระครูบาเจา ฯ อายุ ๓๐ ป หลังจากเหตุการณราย ครัง้ นัน้ ผานไปไมนาน เหตุการณวปิ โยคก็ผา นเขามาอีก โยมพอพระครูบาเจา ศรีวิชัย ไดลมปวยอยางกะทันหันและถึงแกกรรมยังความเศราโศกแก ครอบครัวเปนอยางยิง่ พระครูบาเจาศรีวชิ ัย จึงไดแสดงธรรมสังเวชใหเห็น ความเปนอนิจจังความไมเที่ยงของชีวิตสังขารปลอบประโลมโยมมารดา และญาติพ่ีนองใหคลายเศราโศกใหมองเห็นสัจธรรมของชีวิตเปนอนัตตา สุญญตาเปราะบางไรตัวตน อันเปนธรรมดาของโลกและทําพิธีศพตาม ประเพณีในทองถิ่นพอสมควรมิไดทําอะไรใหเปนการเอิกเกริกเกินพอดี
๔๓
หลังจากนั้นอีก ๓ ป พระครูมหารัตนากร (พระมหาอินทร) เจาคณะ แขวงลี้และเจาหนานบุญเติงนายอําเภอลี้ ถือโอกาสใชอํานาจอาชญา พระราชบัญญัติท่ีไดรับแตงตั้งขึ้นใหมในปลายรัชกาลที่ ๕ ปฏิบัติการกับ พระครูบาเจาศรีวิชัย ซึ่งทานถือวาอํานาจที่ไดรับเปนสิ่งที่ถูกตองและตอง ยอมรับแตพระครูบาเจา ฯ กลับเห็นวาพระธรรมวินัยเปนสิ่งที่บริสุทธิ์และ สูงสุดไมมีอะไรมาเปรียบไดถือวาการบวชเปนการอุทิศแดพระบรมศาสดา เลื่อมใสในพระวินัย ไมไดบวชเพื่อแสวงหาลาภสักการะความมีอํานาจ บาตรใหญ จึงมุงแตประพฤติตามพระธรรมวินัยอยางทุมเทชีวิตจิตใจ ทุกลมหายใจตามคําพูดทีเ่ คยปรารภวา “เฉพาะพระธรรมวินยั ทีต่ อ งปฏิบตั ิ ก็ตอ งอาศัยเวลาและความเพียรพยายามอีกมาก ยังไมสาํ เร็จไดดงั ปรารถนา นี่จะเอาขอปฏิบัติการทางโลกมายุงใหเปนภาระเพิ่มขึ้นอีก ทําใหการ ประพฤติธรรมเนิ่นชายากนานโดยไมใชเรื่อง” แตเพื่อพระธรรมวินัยทาน ยอมสละชีวิตโดยไมสะทกสะทานตอสิ่งกีดขวางไมวาจะโดยประการใด เพราะเหตุนี้จึงทําใหพระครูบาเจาศรีวิชัยกับพระครูมหารัตนากรเจาคณะ แขวงลี้ และเจาหนานบุญเติงนายอําเภอลี้เปนคูปรับกันมาโดยตลอด กอนถูกกลาวหาครั้งที่ ๒ พระครูมหารัตนากร เจาคณะแขวงลี้ มี หนังสือถึงพระครูบาเจาศรีวชิ ยั หัวหมวดวัดบานปางใหนาํ พระลูกวัดทัง้ หมด และเจาอาวาสทีอ่ ยูใ นหมวดวัดบานปางไปรวมประชุมทีว่ ดั ลีห้ ลวง เพือ่ รับฟง คําชีแ้ จงถึงกฎระเบียบพระราชบัญญัตทิ เ่ี พิม่ ขึน้ มาใหมอกี ทานไมไดไปตาม คําสั่งเพราะตองเดินเทาเปนระยะทางกวา ๓๙ กิโลเมตร ตองผานปาดง พงทึบทางทุรกันดาร ทานจึงไมไดสนใจเรือ่ งอืน่ ทุม เทเวลาโดยการปฏิบตั ิ ธรรมบําเพ็ญเพียรภาวนา สวนพระอธิการ หัววัดทัง้ หลายในตําบลบานปาง รูว า พระครูบาเจา ฯ ไมไปตางก็นงิ่ ไมไดไปประชุมตามคําสัง่ เมือ่ เหตุการณ เปนเชนนี้ เจาคณะแขวงลีจ้ งึ มีหนังสือรายงานถึงพระครูญาณมงคลเจาคณะ
๔๔
บริเวณที่พระครูบาเจา ฯ ถูกกักขัง ในวัดพระธาตุหริภุญชัย เปนเวลา ๑ ป
จังหวัดลําพูนและตัง้ ขอกลาวหาพระครูบาเจาศรีวชิ ยั ทําความผิดตอราชการ ไมปฏิบตั ติ ามกฎเกณฑบา นเมือง และขอนายตํารวจพรอมหนังสือจากเจาคณะ จังหวัดลําพูน ลงไปจับตัวเอาพระครูบาเจาศรีวชิ ยั เขามาเมืองลําพูน เมือ่ เจาหนาทีค่ วบคุมตัวทานมาถึงวัดมหาวัน พระครูญาณมงคลเจาคณะจังหวัด ตัง้ กรรมการพระผูใ หญประชุมปรึกษาการลงโทษจึงพรอมกันลงมติใหปลด พระครูบาเจาศรีวิชัยออกจากการเปนเจาอาวาสใหเปนเพียงพระลูกวัด ไมใหเปนพระอุปชฌายและกําหนดโทษวาถาไมยอมรับการตัดสินจะถูก กักขัง ๒ ป ถายอมรับจะลดโทษใหถกู ขังเพียง ๑ ป ทานยอมรับการลงโทษ โดยดุษณีภาพและถูกกักขังบริเวณในมุมกําแพงชั้นในของพระบรมธาตุ หริภุญชัยทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเปนเวลา ๑ ป วัดพระธาตุหริภุญชัยที่ เคยเงียบเหงา องคพระธาตุถูกเครือเขาเถาวัลยพันเกี่ยวเกือบเปนวัดราง กลับคึกคักดวยประชาชนพากันไปทําบุญกับพระครูบาเจาศรีวิชัยอยาง
๔๕
เนืองแนน ทําใหพระเณรในวัดและเจาหนาที่ผูควบคุมมีอาหารคาวหวาน จนเหลือกินเหลือใช พอครบกําหนด จึงถือวาพระครูบาเจาศรีวิชัยพน ขอกลาวหาไดรับอนุญาตกลับสูวัดบานปาง (พระครูบาเจาฯ อายุ ๓๓ ป) เมื่อกลับถึงวัดบานปางตั้งจิตอธิษฐาน บําเพ็ญสมณธรรมเจริญจิต ภาวนาแผเมตตาโดยไมมีประมาณ สรางบุญบารมีบนพื้นฐานที่ทาน พิจารณาเห็นชอบตามพระธรรมวินัย มิไดหวั่นไหวตอราชภัย มนุษยภัย การที่ทานตองอธิกรณถึง ๒ ครั้ง มิไดนอยใจในชะตาชีวิตและคําตําหนิ เสื่อมเสียตอผูหนึ่งผูใด กลับเห็นเปนเรื่องดีทําใหเห็นสัจธรรมคืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตาชัดเจนยิ่งขึ้นเปนปจจัยแกองคมรรค ใหคลายความสําคัญ มั่นหมายดวยตัณหา อุปทานใหบรรเทาเบาบางลง เปนการชําระกาย วาจา ใจ ใหสะอาดบริสทุ ธิ์ สงบ ประพฤติพรหมจรรยใหงดงามเปนอานิสงส อันประเสริฐลํ้ายิ่งมิไดคิดวาใครจะเปนอุปสรรคแตประการใด หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจของทั้งสองฝายพระครูบาเจาศรีวิชัย ได จัดแจงแตงเครื่องไทยทาน ขาวตอก ดอกไม ถวายเจาคณะพระครูเพื่อขอ อโหสิกรรมที่ตองเปนภาระในการสะสางคดีพาสานุศิษยไปทําบุญดวยจิต อันบริสุทธิ์ มิไดมีจิตขุนมัวและมิใชเปนการประจบประแจงเอาใจใคร ศรัทธามหาชนก็ยิ่งเพิ่มความเคารพเลื่อมใสในอุเบกขาธรรมบารมีธรรม ของทานดวยความศรัทธาปสาทะอยางแรงกลาพากันนอมนมัสการบารมี ธรรมทําบุญทําทานกันอยางเนืองแนน มีทง้ั ภิกษุ สามเณร ศรัทธามหาชน ทั้งไทย จีน ชาวเขาเผาตาง ๆ เชน มง ขมุ กะเหรี่ยง มูเซอ ตางเดิน ทางมาจากที่ใกลท่ีไกลเฝาปรนนิบัติพระครูบาเจาฯ ผูเปนเนื้อนาบุญของ สาธุชนทุกหมูเหลาทั้งกลางวันกลางคืน
๔๖
วัดลี้หลวง สถานกักบริเวณพระครูบาเจาฯ ที่ถูกกลาวหา ครั้งแรก ๓ วัน เปนวัดที่พระครูมหารัตนากร เจาคณะแขวงลี้เปนเจาอาวาส
วัดมหาวัน ที่พํานักของเจาคณะจังหวัดลําพูน
๔๗
ตองอธิกรณและถูกเนรเทศ หลังจากนัน้ อีก ๙ ป พระครูมหารัตนากร เจาคณะแขวงลี้ ไดมหี มาย มาถึงพระครูบาเจาศรีวิชัย ใหสํารวจอารามจดบัญชีพระภิกษุสามเณร หัววัดตาง ๆ ในตําบลบานปาง สงใหเจาคณะแขวงลี้ตามกําหนดนัด เมื่อ ไดรบั หมายแจงแลวพระครูบาเจาศรีวชิ ยั ตอบปฏิเสธทันทีวา “ขาพเจาไมมี อํานาจสํารวจอารามและจดบัญชีตามคําสั่งของเจาพระครูไดเพราะเหตุวา ไดถูกปลดออกจากเจาอาวาสและหัวหมวดแลว ในเรื่องนี้ขออนุญาตกับ เจาพระครูกอน” พอคําสั่งแรกผานไปก็มีคําสั่งที่สองเมื่อคราวพระบาท สมเด็จพระมงกุฎเกลาเจาอยูห วั ขึน้ เถลิงถวัลยราชสมบัตเิ ปนพระมหากษัตริย์ องคท่ี ๖ แหงราชวงศจักรี พระครูมหารัตนากรเจาคณะแขวงลี้ไดมีคําสั่ง แจกตามหัววัดทั้งหลาย ซึ่งอยูในความปกครองทุกตําบล ใหทําซุมประตู จุดประทีปโคมไฟประดับดวย ชอตุง ธงทิว ตีฆอง กลอง ระฆัง กังสดาล เปนการสมโภชพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีขึ้นเสวยราชสมบัติ ทานได รับหมายฉบับนัน้ แลวพิจารณาเห็นวาการทีใ่ หทาํ ซุม ประตูวดั ประดับตกแตง ชอตุง ธงทิวและจุดประทีปโคมไฟที่ประตูวัดนั้นเห็นวาวัดบานปางเปน อรัญวาสีวัดปาวัดดอย จักทํารูปลักษณะใดไมสามารถเขาใจการตกแตง ซึ่งเกี่ยวดวยราชการ เมื่อเปนพระสงฆซึ่งตามพระวินัยบัญญัติพระพุทธองค ทรงประทาน เปนเวลา ๒,๐๐๐ กวาป ใหสาวกบําเพ็ญสมณธรรมยึดหลักสันโดษสํารวม อินทรีย ยินดีในเสนาสนะตามมีตามได พึงรักษาสมณสารูป การยินดีใน วัตถุกาม ความทะเยอทะยานอยางฆราวาสวิสยั ตลอดถึงความมักใหญ ใฝสงู ยึดติดในอํานาจลาภยศเปนสิง่ ทีส่ มณศากยะบุตร ไมควรเขาของแวะเพราะ
๔๘
เปนเหตุแหงตัณหากามคุณกิเลสทีท่ าํ ใหสตั วโลกหลงอยูใ นวังวนวัฏสงสาร (การเวียนวายตายเกิด) เมื่อพิจารณาโดยรอบคอบตามหลักพระธรรมวินัย แลว พระครูบาเจาศรีวิชัยพรอมพระสงฆภายในวัดบานปาง มิไดทําตาม หมายที่มคี ําสั่งมา แมเห็นวาเปนการกระทําทีฝ่ า ฝนระเบียบของสังคมตาม ราชการทีส่ ง่ั มาโดยตรง แตกม็ องเห็นสมควรตามหลักแหงพระธรรมวินยั ที่ จะถวายพระพรสมโภชใหทรงพระเจริญ จึงพรอมกับพระสงฆในวัดบานปาง ตั้ ง จิ ต อธิ ษ ฐานประพฤติ ธ รรมรั ก ษาศี ล เจริ ญ จิ ต ภาวนา สวดสาธยาย พระพุ ท ธมนต ทุ ก เช า คํ่ า ถวายพระพรชั ย แด อ งค พ ระบาทสมเด็ จ พระเจาอยูหัวใหเปนผูปกครองประเทศชาติและศาสนาใหเจริญพัฒนา สถาพร และขออานุภาพแหงศีลธรรมกัมมัฏฐานที่ไดปฏิบัติมาตั้งแตอดีต มาถึงปจจุบนั อภิบาลคํา้ ชูองคประมุขใหทรงพระเจริญพระชนมายุยง่ิ ยืนนาน ปราศจากซึ่งโรคภัยทั้งมวลและศัตรูหมูมารรายภัยพิบัติบานเมืองจงมลาย หายสิ้น ขอใหประเทศชาติบานเมืองประชาชนอยูรมเย็นเปนสุขตลอดกาล การกระทํ า เช น นี้ ถื อ ว า เป น การสมโภชอั น พร อ มบริ บู ร ณ ยิ่ ง นั ก แทน การกระทําอันเอิกเกริกเยี่ยงสามัญชนทั่วไป จึงไมทําซุมประตู จุดประทีป โคมไฟตามคําสั่งเจาคณะแขวงและนายอําเภอลี้ พระครูบาเจาศรีวชิ ยั เปนผูท รงศีลทรงธรรมดวยความบริสทุ ธิม์ คี วาม อุตสาหะ วิริยะ อดทนขมอินทรียบําเพ็ญเพียรบารมี เจริญจิตภาวนา สมาทานไตรสิกขา พรอมกับบําเพ็ญทานบารมีดวยคุณธรรมแหงพรหม วิหาร ๔ ประการ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เปนที่เลื่อมใสของ ศรัทธามหาชนทั้งในเมืองและชนบททุกเชื้อชาติ ภาษา เชน จีน ไทย กะเหรีย่ ง อาขา ขมุ มูเซอ และลัวะ ทีไ่ มเคยเชือ่ ถือในศาสนธรรมมากอน นับถือแตภตู ผีปศ าจเปนมิจฉาทิฏฐิ คนเสเพล เสพสุรายาเมา อันธพาลหรือ คนทีไ่ มสนใจเรือ่ งทําบุญทําทาน ไมรเู รือ่ งศีลธรรม พอไดทราบปฏิปทาของ
๔๙
พระครูบาเจาศรีวิชัยก็มีจิตใจออนโยน หันมาเคารพเลื่อมใสศรัทธานับถือ บูชาพระครูบาเจาฯ พากันมากราบไหวทําบุญทําทานไมเวนแตละวัน มากเกินคณานับ บางพวกอยูในที่มืดตางก็พากันสงสัยวิพากษวิจารณไป ตาง ๆ นานา บางคนก็วาพระองคนี้มีคาถาเวทมนตรสะกดจิตผูคนใหอยู ในอํานาจ บางคนปลอยขาวลือวาพระอินทรเอาดาบศรีกัญชัยฝกทองคํา (ดาบกายสิทธิ์) มาไวที่หิ้งบูชาจึงถือตัวสําคัญตนไมขึ้นกับการปกครองของ เจาคณะแขวงและนายอําเภอขัดขืนอํานาจรัฐบาล บางก็วพิ ากษวจิ ารณดว ย ความสงสัยวาคนปาคนดง ไมรูเรื่องศาสนาเคยทําแตปาณาติบาตเสพสุรา ยาเมาถือมิจฉาทิฏฐิผสี างเทวดาเปนใหญกลับใจมาเคารพนับถือพระรัตนตรัย เปนที่นาอัศจรรย ทีเ่ ปนอยางนีก้ เ็ ขาหลักสัจธรรมวาพระครูบาเจาศรีวชิ ยั บําเพ็ญวัตรอยู ในอรัญวาสี (วัดปา) มั่นคงอยูในพรหมวิหารธรรมไมคิดวาใครเปนศัตรู ทุกผูทุกคนอยูรวมกันเปนเพื่อนรวมโลกที่ตองวนเวียนในวัฏสงสารตองได รับเมตตาธรรมเอือ้ อาทรแกกนั และกัน พระครูบาเจาศรีวชิ ยั ประพฤติธรรม สงบสํารวมสงางามดวยเนกขัมบารมีอยางนาเทิดทูนบูชาเปนเนือ้ นาบุญอัน ประเสริฐเมือ่ รูข า วปฏิปทาทําใหผคู นจํานวนมากเปลีย่ นชีวติ จากทีม่ ดื สนิท มาสูทางสวาง ดวยคุณธรรมโดยอาศัยเมตตาจิตจากดวงใจบริสุทธิ์ของ พระครูบาเจาฯ ไดเพาะหวานกุศลจิตจนเปนทีซ่ าบซึง้ ตรึงใจอยางกวางขวาง ในทํานองทีเ่ คยเกิดขึน้ กับพระบรมศาสดาผูเ ปนนาถะของไตรโลกคราวเมือ่ พระองคปลีกองคจากพระสงฆทด่ี อ้ื รัน้ ไมอยูใ นพระโอวาท เสด็จประทับอยู ในปาเลไลยอันไกลโพนเพียงพระองคเดียว ก็มีสัตวปา เชน ลิง ชาง ซึ่งไมรู ภาษามนุษยมาอยูอุปฏฐากพระพุทธองคดวยการหานํ้า หาผลไมมาถวาย ตลอดเวลาดูประหนึง่ วาสัตวเหลานัน้ จักรูภ าษารับรูส อ่ื แหงเมตตาธรรมอัน สูงสงจากพระพุทธองคดว ยพุทธานุภาพและบารมีธรรมทีท่ รงบําเพ็ญบารมี
๕๐
ไวแตอดีต เพือ่ ชวยเหลือโปรดสัตวโลกใหพน จากโอฆะ วัฏสงสาร (หวงแหง ตัณหากามคุณ ความยึดติด ยึดมั่นถือมั่น) จากคําโจษขานตางๆ นานาประกอบกับเหตุการณลวงแลวผูคนเพิ่ม ความเคารพเลือ่ มใสตางนอมนําสิง่ ของเครือ่ งสักการะมาถวายบูชาศีลธรรม กัมมัฏฐานทั่วทุกสารทิศ แมวัดอยูทามกลางหุบเขาไกลกันดารตองขึ้นเขา ลงหวยแตดวยหัวใจของศรัทธาสาธุชนมอบเปนสังฆบูชาแดพระครูบาเจา ศรีวิชัยหรือที่คนสวนมากขนานนามอยางเทิดทูนบูชาวา “พระครูบาเจา ศีลธรรม” ระหวางที่ขาพเจามาสรางพิพิธภัณฑของพระครูบาเจาศรีวิชัย วัดบานปางผูคนที่เคยกราบไหวและรวมงานสรางวัด สรางถนนขึ้นสู พระธาตุดอยสุเทพ ไดทําบุญทําทานรับศีลรับพรจากพระครูบาเจาฯ ตาง เลาถึงความประทับใจทีไ่ ดรว มอนุโมทนาในบารมีธรรมในครัง้ นัน้ แมเวลา ผานไปเปนเวลานานพระผูเปนเนื้อนาบุญอันประเสริฐยังเปนภาพสถิตใน หัวใจของมหาชนดวยความเคารพนับถือดุจดั่งเทพเจาแหงความเมตตา สัจธรรมของโลกที่มีอยูคูกันประการหนึ่ง สุข ทุกข นินทา สรรเสริญ ที่สามัญชนไมสามารถแยกไดดังเชน พระครูบาเจาศรีวิชัย อันเกียรติคุณ คุณงามความดีของทาน ก็ใชวาคนทั้งบานทั้งเมืองจะมองเห็นทั่ว แม องคพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจา ยอดอัจฉริยะยิ่งกวามนุษยทั้งหลาย ก็มผี คู ดิ รายคิดลบลางทําลายพระพุทธองค กรณีของพระครูบาเจาศรีวชิ ยั ก็ เปนพระอริยะสงฆผูทรงศีลทรงธรรมปรารถนาพุทธภูมิตองบําเพ็ญบารมี แหงโพธิสัตวมุงสูโพธิญาณ ซึ่งตองสรางบารมีธรรมยิ่งสูงสงเทาใดก็ตองยิ่ง เผชิญตอการทดสอบจิตใจผจญมารครั้งแลวครั้งเลา ถาไมเปนเชนนี้ ความเปนนักบุญอมตะของพระครูบาเจาศรีวิชัยคงไมสถิตอยูตราตรึงใน หัวใจของเราตราบทุกวันนี้ หรือถาไมมคี วามทุกข กิเลสตัณหาพระพุทธองค ก็ไมอุบัติข้ึนมาในโลก เพราะฉะนั้นสัจธรรมของสิ่งทั้งหลายในโลกซึ่ง
๕๑
แฝงเรนอยูใ น ความดี – ราย ทัง้ คุณ – โทษ ความมืด – สวาง ความโง – ฉลาด ตางอยูในกฎแหงไตรลักษณ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา กระทั่ง มองเห็นอนิจจัง ความไมเที่ยง มูลเหตุแหงความทุกขกิเลสตัณหาอุปาทาน เปนบอเกิดพระพุทธเจาและพระอริยะเจาทั้งหลายใหไดอุบัติขึ้นมาในโลก เมือ่ ความจริงแหงสัจธรรมเปนเชนนีพ้ ระครูบาศรีวชิ ยั จึงตัง้ มัน่ บําเพ็ญ สมณธรรมอยางเครงครัด อุทิศชีวิตทุกลมหายใจถวายแดพระรัตนตรัย ไมแยแสตอการถูกกลั่นแกลงใด ๆ ถาสังเกตชีวิตของแตละคนตางก็ตอง ฟนฝาอุปสรรคความยากลําบากผานเหตุการณดีรายนับครั้งไมถวนหรือ คนดีจะตองกลาพิสจู นตนเอง จะตกทุกขไดยากลําบากอยางไรก็จะไมหวัน่ ไหว และคนดีแมจะตกในกระแสนํา้ เชีย่ วก็จะไมไหล จะตกอยูท า มกลางไฟใหญ ก็ไมไหม เปนสัจธรรมของโลกที่โบราณจารยกลาววา “มารไมมี บารมี ไมแกกลา” หรือ “ทะเลจะงามก็ตอเมื่อมีคลื่น ชีวิตจะเขมแข็งและราบรื่น ตองผานความทุกขยากอุปสรรคนานาประการมากอน” เมือ่ พระครูบาเจาฯ ไมไดสํารวจบัญชีพระเณรและการทําซุมประตู พอเรื่องรูไปถึงเจาคณะแขวงลี้ และนายอําเภอลี้ทั้งสองโกรธเปนฟนเปนไฟหาเรื่องความชั่วรายปายสีใส ใหถึงที่สุด เพื่อทําลายพระครูบาเจาศรีวิชัยโดยตั้งขอหาเปนกบฏตอ บานเมืองและแข็งกระดางตอคณะสงฆ ดังนัน้ พระครูมหารัตนากรเจาคณะ แขวงและเจาหนานบุญเติง นายอําเภอลี้ จึงตั้งขอหาความผิด ๘ ประการ ฟองมายังพระครูญาณมงคลเจาคณะจังหวัดลําพูน อธิกรณขอกลาวหา ๘ ประการ คือ ๑. พระศรีวิชัยตั้งตัวเปนพระอุปชฌายเอง ๒. พระศรีวิชัยไมอยูในบังคับบัญชาของเจาคณะแขวงลี้ ๓. พระศรีวิชัยไมไดรวมประชุมตามคําสั่งของเจาคณะแขวงลี้และ ยุยงใหวัดตาง ๆ ประพฤติตาม
๕๒
๔. พระศรีวชิ ยั ไมประพฤติตนใหเปนไปตามคําสัง่ คณะสงฆ เปนตน ไมตีกลองจุดประทีปโคมไฟในวันเปลี่ยนแผนดิน สมเด็จพระมงกุฎเกลา เจาอยูหัวเถลิงถวัลยราชสมบัติถือวาเปนกบฏ ๕. พระศรีวิชัยลวงทัณฑที่ใหไวกับเจาคณะเมือง ๖. พระศรีวิชัยไมสํารวจบัญชีรายชื่อพระเณรใหกับเจาคณะแขวงลี้ ๗. พระศรีวิชัยมีเวทมนตรลอลวงประชาชน ๘. พระศรีวิชัยมีดาบศรีกัญชัยฝกทองคํา (ดาบกายสิทธิ์) ตกจาก สวรรคสูแทนบูชา เจาคณะแขวงลีแ้ ละนายอําเภอไดนาํ หลักฐานการฟองรองดวยอาศัย กฎพระราชบัญญัติคณะสงฆ ร.ศ. ๑๒๑ และกฎหมาย พอสงเรื่องไปถึง เจาคณะจังหวัดลําพูนอีกครัง้ คราวนีเ้ ปนผลใหเจาคณะจังหวัดออกประกาศ เปนคําสั่งดวนถึงพระครูบาเจาศรีวิชัย ดังนี้ วันที่ ๑๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๖๒ เจาคณะจังหวัดถึงพระศรีวิชัย วัดบานปาง เนื่องจากไมฟงคําบัญชาของฉันและเจาคณะแขวงลี้กับขัดขืน ตอระเบียบราชการบานเมือง การสํารวจพระอารามกับการอืน่ ๆ หลาย ประการ บัดนี้พระสงฆทั้งหลายเห็นวาทานไมควรอยูวัดนี้ตอไป เพราะฉะนั้นนับตั้งแตวันรับคําสั่งนี้กับไดปรึกษาโทษเปนตนไป ใหทานออกไปใหพนเขตจังหวัดลําพูนภายใน ๑๕ วัน นับตั้งแตวัน ประกาศนี้ ลงนาม พระครูญาณมงคล
๕๓
และยังมีคาํ สัง่ พิเศษประทับลงไปยังหัววัดตาง ๆ ในเขตจังหวัด ลําพูนวา พระครูญาณมงคล เจาคณะจังหวัดลําพูนประกาศมายังหัววัด ทั้งหลายในเขตเมืองลําพูนทุกแขวงทุกตําบลใหทราบโดยทั่วกันวา พระศรีวิชัย วัดบานปางมีความผิดถูกขับไลออกจากจังหวัดลําพูน ถาพระศรีวิชัยไปขออยูวัดวาอารามใดในเขตลําพูนอยาใหอยูเปน อันขาด ลงนาม พระครูญาณมงคล
เมือ่ เจาคณะแขวงลีแ้ ละนายอําเภอลีไ้ ดรบั หมายประกาศ ๒ ฉบับ ของ เจาคณะจังหวัดลําพูนแลว จึงไดพากันไปถึงวัดบานปาง ครั้นแลวก็เรียก พระครูบาเจาศรีวชิ ยั ใหมาหาแลวอานหมายประกาศใหพระครูบาเจาฯ ฟง แลวยื่นหมายฉบับนั้นพรอมประกาศวา “บัดนี้ทางเจาคณะจังหวัดทานมี คําสั่งใหทานหนีออกไปจากเขตเมืองลําพูน ภายใน ๑๕ วัน ขอใหทาน ปฏิบัติตามนี้” หลังจากฟงคําประกาศจากเจาคณะแขวงและนายอําเภอลี้ แลวพระครูบาเจาฯ หาไดสะทกสะทานหวั่นไหว เพราะสถานที่พํานัก บําเพ็ญปฏิบัติธรรมอยูเปนพุทธจักร อันเปนอาณาจักรควรแกผูทรงศีล ทรงธรรม อาศัยสืบสายพระธรรมวินยั ของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจา แลวทานตั้งคําถามวา “ภันเต ขาแดทานพระคุณเจา มาขับไลขาเจาหนีใน ครัง้ นีม้ คี วามผิดดวยพุทธบัญญัตลิ ว งละเมิด พระราชอาญาแหงองคพระศรี
๕๔
สัพพัญูพระพุทธเจาขอหนึ่งขอใด ขาเจายังไมรูสึกตัว ขอพระคุณเจาได โปรดเทศนาชีแ้ จงใหขา เจาไดแจมแจงตามความเปนจริงดวยเถิด” พระครู มหารัตนากร (พระมหาอินทร) เจาคณะแขวงลีต้ อบอยางจนแตมวา “เราไมรู เทศนาชีแ้ จงใหทา นฟงได เพราะเวลานีบ้ า นเมืองไดมีอาญาออกมาแลวให เนรเทศทานหนีพน จากเมืองลําพูนดวยการกระทําผิดใหเดือดรอนบานเมือง คือเปนพระอุปชฌายโดยไมไดรับอนุญาตจากผูใด ใชอํานาจสวนตัวและ การกระทําที่เปนการลวงอาณาจักรขัดขวางตอราชการบานเมือง” พระครูบาเจาฯ โตตอบชี้แจงเหตุผลดวยอารมณเยือกเย็นวา “เพียง แตไมไดรับอนุญาตจากเจาคณะแขวงและนายอําเภอ เทานั้นแลวมาจับผิด เอาวาเปนเรื่องลวงละเมิดและการอนุเคราะหใหบรรพชาอุปสมบทกุลบุตร นั้นถาศึกษากันตั้งแตครั้งอริยะประเพณีโบราณวาถากุลบุตรขอบรรพชา อุ ป สมบทเป น ภิ ก ษุ ห รื อ สามเณรก็ มี แ ต ไ ปขอพระเถราจารย ผู ท รงศี ล ทรงธรรมที่มีอายุพรรษา ๑๐ ปขึ้นไป เพื่อเปนพระอุปชฌาย และกุลบุตร เปนผูท่ีบิดามารดาอนุญาต และไมมีบุคลิกที่พระวินัยตองหามก็เปนอัน อนุญาตใหบรรพชากรรมไดมิใชหรือ ตามเหตุผลที่ชี้แจงมานี้ ขาเจาได กระทําผิดสิกขาบท พระวินัยแหงพุทธบัญญัติขอหนึ่งขอใดที่มาขับไลให ขาเจาหนีขอพระคุณเจาโปรดเทศนาใหขา เจาทราบดวย ขาเจาไดปฏิบตั ติ าม ใหถูกตองตามหลักพระธรรมวินยั ” พระครูมหารัตนากร (พระมหาอินทร) เจาคณะแขวงไมรูวาจะจับผิดตอพระธรรมวินัยที่เปนพุทธบัญญัติมากลาว ชี้แจงไดอยางไร เพราะจนตอเหตุผลก็นิ่งอึ้ง ดวยมองวาพระครูบาเจาฯ ไมได ทําผิดตอพระวินัยบัญญัติ สวนเรื่องฉลองสมโภชพระมหากษัตริยองคใหม ก็ไดชี้แจงวาพรอมกับพระสงฆในวัดบานปางประพฤติธรรมและเจริญ พระพุทธมนตถวายพระพรชัยมงคลเปนการถวายพระพรแลว เจาคณะแขวงลี้
๕๕
กับนายอําเภอลีไ้ มอาจโตตอบหรือชี้แจงเรื่องใหกระจางจึงไดกลับออกจาก วัดบานปางดวยความผิดหวังในการใชอาํ นาจทางโลกียวิสยั กับพระครูบาเจาฯ สวนพระครูบาเจาฯ ไมไดคิดวาเปนผูมีชัยแตถือวาไดอธิษฐานจิต อุทิศแดพระธรรมวินัยจึงตั้งอยูในพรหมวิหารธรรมมิไดตั้งตนเปนใหญ เพราะเห็นโดยตลอดวาชีวิตเปนของไมเที่ยง สังขารทั้งหลายเปนทุกข ไมไดเปนตัวเปนตน การหลงยึดถืออะไรเปนตัวเปนตนทําใหเวียนวายตายเกิด ในวัฏสงสาร ทรมานอยูเปนอเนกชาติ มีทางเดียวที่นําตนพนวัฏจักรคือ การมอบกายถวายชีวติ บูชาตอพระรัตนตรัยดวยการปฏิบตั ศิ ลี ธรรม บําเพ็ญ กัมมัฏฐานเจริญตามรอยบาทพระพุทธองค ขัดเกลาจิตอันหมกมุนอยูกับ ความโลภ โกรธ หลง ตัณหาราคะ ความอยากที่กอใหเกิดอุปาทานใน เบญจขันธ ใหบรรเทาเบาบางไมใสใจตออํานาจลาภยศชือ่ เสียง เคยปรารภ กับสานุศิษยอยูเนือง ๆ วา “ทุกวันนี้การที่เราสรางกุศล บําเพ็ญบุญบารมี เราไมปรารถนาเอามนุษยสมบัติ ไมปรารถนาจะเปนพระอินทรพระพรหม ขอกุศลทีไ่ ดสรางมาแลวทัง้ หมดขอใหไดเปนพระพุทธเจาโปรดสัตวโลกองค หนึ่งในวันขางหนาเทานั้น” การที่ตั้งความมุงมั่นดวยกุศลเชนนี้เพราะการ ไดมองเห็นคนทั้งหลายตองติดจมอยูในหวงแหงสงสารทนทรมานอยูกับ การเวียนวายตายเกิดดวยอํานาจแหงตัณหาอุปทาน จึงมีความเอ็นดูสัตว โลกดวยเมตตาธรรม สรางบารมีแหงพระโพธิสัตวเพื่อเปนพระพุทธเจา ยอมเปนหลักธรรมดาของการดําเนินสูวิถีชีวิตอันสูงสงตองมีการเสียสละ อันยากยิ่งกวา สามัญชนโดยทั่วไป ขอไดโปรดเขาใจดวยวาการตั้งปณิธานเพื่อพุทธภูมิ คือการดําเนิน ตามจริยาวัตรของพระโพธิสตั วซงึ่ ในดวงใจมีแตความเอ็นดูและกรุณา ผูเ คย ฟงธรรมจากชาดกในพระไตรปฎกกลาวถึงจริยาวัตรของพระโพธิสัตวเจา
๕๖
ทุกพระองคตอ งเสียสละพระองคเพือ่ เกือ้ กูลความสุขแกเพือ่ นรวมโลกอยาง ยิง่ ยวด แมดว ยชีวติ เลือดเนือ้ โดยไมเห็นแกความเจ็บปวดเหนือ่ ยยากลําบาก ถึงความตายจะปลิดชีพสักกี่ภพกี่ชาติเปนรอย ๆ ชาติก็ตาม ตราบใดไมได บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ พระโพธิสัตวเจาจะดําเนินโดยพระบาทอัน หนักแนนมั่นคง พรอมดวยดวงใจอันเปยมดวยประกายแหงฉัพพรรณรังสี อันโอฬาร เปนพละพลังอันมหาศาลในการที่นําพระองคผานอุปสรรค นานัปการ ความยากลําบาก ทัง้ หลายเปนเหมือนปทุมชาติรองรับพระบาท เพือ่ หนุนสงทางดําเนินสูพ ระโพธิญาณ ตัวอยางพระสิทธัตถะมหาโพธิสตั วเจา เมือ่ พระองคทรงบําเพ็ญเพียรบารมีอยูย งั ไมบรรลุอรหันตสัมมาสัมพุทธเจา พระองคทรงเสียสละความสุขสวนพระองคและครอบครัว ทรงมองเห็นสัตว โลกต อ งตกทุ ก ข อ ยู ใ นห ว งวั ฏ สงสาร จึ ง มี พ ระมหากรุ ณ าที่ ช ว ยเหลื อ สรรพสัตวทั้งหลายใหพนจากหวงทะเลแหงความทุกข จึงสละพระองค ออกจากปราสาทราชวังออกผนวชเปนนักบวชแสวงหาโมกขธรรม บําเพ็ญ พรตอยูใ นปาในเขา ฟนฝาความยากลําบากจนพระวรกายผายผอมจนแทบ จะเอาชีวิตไมรอด แมดวงหทัยถูกเสียดแทงดวยอารมณแหงโลกียวิสัย ดวยอํานาจอันยิ่งใหญแหงบารมีธรรมที่ทรงบําเพ็ญเปนพระโพธิสัตวมา หลายภพหลายอสงไขยจึงไดบรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เห็น แจมแจงในไตรลักษณ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แลวทรงตัดสายโซแหง ตัณหาอุปาทานทีท่ าํ ใหสตั วโลกตองลอยควางอยูท า มกลางทะเลแหงวัฏฏสงสาร นําพระองคสูแสงสวางแหงพระนิพพานคือความสงบรมเย็นของชีวิต ทานผูอานอยาเขาใจผิดวาการเปรียบเทียบเชนนี้เปนการนําเอา พระครูบาเจาศรีวชิ ยั ตีเสมอกับพระพุทธเจาความจริงพระครูบาเจาฯ อยูใ น ฐานะปรารถนามุ ง ปณิ ธ านขอให ไ ด เ ป น พระพุ ท ธเจ า อี ก องค ห นึ่ ง ซึ่ ง ตองบําเพ็ญจริยาวัตรของพระโพธิสัตวอีกหลายอสงไขยกวาจะไดเปน
๕๗
พระพุทธเจา ที่ยกเอาคุณสมบัตินี้มาเปรียบเทียบเพื่อใหผูอานไมเกิดอคติ หรือเกิดอกุศลเจตนา แตจะเพิ่มศรัทธาอันแรงกลาอนุโมทนาสาธุการ ในมโนธรรมบํ า เพ็ ญ วั ต รด ว ยปณิ ธ านอั น หนั ก แน น ไม ห วั่ น ไหวของ พระครูบาเจาศรีวิชัย ยอนสูเรื่องของพระครูบาเจาฯ ในระหวางที่ถูกเจาคณะแขวงลี้และ นายอําเภอลี้มีหนังสือใหเนรเทศ เมื่อทั้งเจาคณะแขวงลี้และนายอําเภอลี้ ตองเผชิญหนากับพระครูบาเจาฯ ซึ่งเปนผูทรงศีลทรงธรรมไดโตตอบ โดยหลักธรรมวินัยจนเจาคณะแขวงไมรูจับผิดดวยประการใดจึงไดพากัน ออกจากวัดบานปาง ครั้นอีกไมนานเจาคณะจังหวัดลําพูนไดไปปรึกษา หารือกับเจาจักรคําขจรศักดิ์เจาผูครองนครลําพูนใหออกหนังสือจาก เจาเมืองใจความวา “ใหพระศรีวชิ ยั รวบรวมพระภิกษุและสามเณรทัง้ หลาย ซึง่ เปนศิษยานุศษิ ยของพระศรีวชิ ยั ในหมวดวัดบานปางใหเขามาหาเจาคณะ จังหวัดลําพูนเปนการดวนโดยลงทายหนังสือวาพรอมใหความเปนธรรม ลงนามเจาจักรคําขจรศักดิ”์ และมีหนังสือของเจาคณะจังหวัดลําพูนกํากับ มาดวย เมื่อพระครูบาเจาศรีวิชัยไดรับจดหมายทั้งสองฉบับแลว จึงเรียก พระเณรมาประชุมพรอมกันที่บริเวณวัดบานปางจํานวนหารอยกวารูป ได ชี้แจงแกบรรดาพระภิกษุสามเณรวา บัดนี้เจาคณะจังหวัดและเจาผูครอง นครลําพูนไดมีหนังสือมาใหเรานําทานซึ่งไดปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ตามแบบอยางอริยะประเพณี ที่เราไดนําทานทั้งหลายมาบําเพ็ญกุศลอยู ทุกวันคํา่ เชาเปนกิจวัตรดวยการสรางกุศลเปนหลักเพือ่ ขัดเกลาราคะตัณหา กิเลส มายาใหบรรเทาลง อยางไรก็ตามการกระทําความดีสรางกุศลสั่งสม บารมีธรรมในโลกนีม้ ใิ ชมแี ตเพียงเราผูเ ดียว การดําเนินตามรอยพระพุทธบาท
๕๘
ของพระพุทธองคยังมีเพื่อนรวมวัฏสงสารอีกจํานวนมาก ในระหวางการ ดําเนินสูว ถิ แี หงพุทธธรรมไปพรอมกันนัน้ ยอมเปนธรรมดาของนานาจิตตัง แลวแตอนิ ทรียข องแตละรูปนามไดสงั่ สมอบรมมาทางไหนมากนอยเพียงใด บางทีกส็ ง่ั สมบุญบารมี บางทีสง่ั สมบาป ถาสัง่ สมบุญมารวมกันก็ยอ มเขาใจ ในทางที่ดีสงเสริมความดีย่ิงขึ้นไป แตในบางอยางก็ยังเขาใจผิดยังมี การขัดแยงหรือตอบโตกันบางตองใชสติปญญาเปนเครื่องพิสูจนบางคราว ตองใชเวลาเปนเครื่องพิสูจนตองยอมทนทรมานดวยความลําบากและ อดทนถึงจะดําเนินตามทางอันประเสริฐเพื่อจุดยืนอันสูงสงตามบาทวิถี สมณะศากยบุตร โดยการสั่งสมอบรม กาย วาจา ใจ เพื่อขัดเกลาตัณหา ราคะ กิเลสมายา อาศัยหลักไตรลักษณพจิ ารณาสรรพสิง่ ใหเห็นเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จงหมัน่ ตรวจสอบพิจารณาตนเองมองใหเห็นสัจธรรมในชีวติ สังขาร รูปนาม ขันธ ๕ ตามสภาวธรรมมองชีวิตใหเห็นความเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอยูเนือง ๆ ความโลภ โกรธ หลง มัวเมา อยากในรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ ความใครกระหายในลาภ ยศ ชื่อเสียง ให บ รรเทาเบาบางลงในขั น ธสั น ดาน จนกระทั่ ง คลายความกํ า หนั ด ความหื่นกระหาย ไมมีความสําคัญวาเปนตัวตนคนสัตวไมมีการแบงแยก เปนเราเปนเขา พวกเขาพวกเราดวยประการนี้แสงสวางแหงพระธรรมก็ สองสวางเขาสูดวงใจ พระพุทธองคก็สถิตอยูในดวงจิต ยิ่งดวงจิตเพงพินิจ ธรรมเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา โดยมีกุศลเปนมูลราก บัวแดงแหง พุทธชาติก็เบงบานสะพรั่งเต็มที่ บัวยิ่งบานยิ่งมีมาก พระพุทธองคย่ิงทรง พอพระทัย
๕๙
ยืนหยัดยึดมั่นในปฏิปทา พระครูบาเจาศรีวิชัย ไดประจักษตอทางอันประเสริฐ ดําเนินตาม อริยมรรควิถีมิหวั่นไหวตอโลกธรรมมีดวงจิตมุงมั่นอุทิศชีวิตเสียสละอยาง แทจริงมัน่ คงอยูใ นศีลสัตย ยึดหลักกัมมัฏฐานเปนทางสายเอกและแนะนํา ผูค นใหเกิดความศรัทธา เคารพเลือ่ มใส ใหปฏิบตั ชิ อบตามธรรมโดยตลอด บัดนี้จะตองพิสูจนตัวทานเพื่อใหโลกจารึกเจริญรอยบาทของนักบุญให ชนรุน หลังไดดาํ เนินรอยตาม จึงประกาศทามกลางศิษยานุศษิ ยและศรัทธา สาธุชนดวยดวงใจทีเ่ ปย มดวยมโนธรรมวา “เวลานีท้ า นเจาคณะจังหวัดและ เจาเมืองลําพูนมีบญ ั ชาใหเรานําทานทัง้ หลายเขาไปในเมืองลําพูน การครัง้ นี้ เปนการใหญหลวงเพราะขัดตอขอบังคับของเจาคณะแขวงหลายอยาง ถา เขาไปถึงเจาคณะจังหวัดในเมืองลําพูนแลวจะมีเหตุการณรายดีเกิดขึ้น อยางไรเรายังมองไมเห็น สวนตัวเราไมไดวติ กกังวลถึงตองเผชิญเหตุการณ รายดีดว ยอํานาจทีไ่ มใชธรรมขอหนึง่ ขอใดเราไมมคี วามครัน่ ครามหวัน่ ไหว ขอถือเอาคุณศีลธรรมกัมมัฏฐานเจาและคุณพระศรีรัตนตรัยเปนที่พึ่ง เจริญตามรอยบาทพระพุทธองคดวยหลักศีลธรรมมุงตรงตอพุทธจักร ประการเดียว เมือ่ ทานทัง้ หลายจะดําเนินตามเราเขาไปไมเปนไร หากทาน ทั้งหลายกลัวราชภัย มนุษยภัย พากันไปพํานักอยูแหงหนตําบลใดหรือ พากันเขาไปหาเจาคณะแขวง ยอมปฏิบัติตามระเบียบการปกครองตาม ยุคสมัยของราชการเราก็ไมไดหาม ถาทานทั้งหลายเห็นวาการติดตามเรา เป น ความถู ก ต อ งชอบธรรมแน น อนแล ว ถ า มี อั น เป น ไปจนถึ ง กั บ เรา มรณภาพเพราะเหตุนี้ ทานทัง้ หลายยังมีจติ มัน่ คงอยูใ นศีลธรรมกัมมัฏฐาน
๖๐
อยูตราบใดทานทั้งหลายก็จะบรรลุถึงศานติสุขในเบื้องหนาเปนเที่ยงแท อยางไมตองสงสัย ตามที่เรากลาวมาแลวนี้ทานทั้งหลายผูหนึ่งผูใดมี ความคิดเห็นเปนประการใดขอใหชี้แจงความถูกตอง ณ บัดนี้” ในทามกลางอาวาสวัดบานปาง ซึ่งเปยมดวยผูมีจิตศรัทธาเลื่อมใส ในกิจวัตรอันงดงามพระครูบาเจาศรีวิชัย สิริวิชโย หรืออีกนามหนึ่งซึ่งเขา ถวายสมญานามพระคุณเจาผูเ ปนเนือ้ นาบุญวา “พระครูบาเจาศีลธรรม” ตางพรอมใจถวายความเคารพและจงรักภักดีเปนหนึ่งเดียวในบรรดา ผูชุมนุมพระภิกษุจํานวน ๓๐๐ รูป กับสามเณรหลายรอยรูป เมื่อไดฟง ถอยคําแถลงและคําโอวาทจาก “พระครูบาเจาศีลธรรม” ตางก็ไมยอ ทอ ที่ถือมั่นตามความคิดของพระครูบาเจาศรีวิชัย ไมมีขอขัดแยงและสงสัยวา พระครูบาเจาฯ จะนําไปสูท างผิดพลาด ตางก็ลงความเห็นวาแมเกิดเหตุการณ ดีรายประการใด ขอเทิดทูนบูชาสักการะรวมกันใหการสนับสนุนและ ติดตามเดินทางไปกับพระครูบาเจาฯ จนถึงทีส่ ดุ การประชุมในวันนัน้ เปน อันยุตลิ งดวยการเห็นพลังแหงศรัทธามหาชนไดแสดงออกอยางแรงกลาตอ ความถูกตองชอบธรรมพรอมที่รวมกันพิทักษธรรมเปนนํ้าหนึ่งใจเดียว จุดประกายศรัทธารวมเปนพลังภราดรภาพตั้งแตอดีตมาจนถึงปจจุบันนี้ ครัน้ ถึงกลางคืนเวลาปจฉิมยาม ขณะจําวัตรนอนหลับพระครูบาเจาฯ นิมิตเห็นปราสาทหลังหนึ่งทั้งสูงใหญ ดูแลวสูงเทียมเมฆไดเกิดลมครืนอยู เหนือแผนดิน มีคนจํานวนมากตางพากันชวยยกปราสาทหลังนั้นใหต้ัง เหมือนเดิม ก็ยกไมข้ึน พอดีพระครูบาเจาฯ เขาไปยกเพียงผูเดียวก็ยก ปราสาทใหกลับเปนปกติอยางเดิม พอตื่นนอนพระครูบาเจาฯ ไดลางหนา ชําระกายแลวรําลึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัย ประพฤติธรรมเปนกิจวัตรเสร็จ ก็พิจารณานิมิตดวยวิจารณญาณ แลวนํามาเลาในที่ประชุมที่มีทั้งพระสงฆ
๖๑
และคฤหัสถ ผูเ ฒาผูแ กทง้ั หลายฟงผูค นจํานวนมากซึง่ มาปรนนิบตั อิ ปุ ฏ ฐาก และที่รอทําบุญตักบาตรใหรับฟง ตางก็พากันชื่นชมยินดีแสดงความเห็น พรอมกันวาเปนศุภนิมิตอันเปนมงคลประเสริฐโดยแท จึงลงความเห็นกัน วา พระครูบาเจาศรีวิชัยมีบุญสมภารอันยิ่งใหญ จะไดสืบสานอายุบวร พระพุทธศาสนาในยุคที่กําลังเสื่อมโทรมใหกลับเจริญรุงเรืองตอไป ตาม อายุกาลพระพุทธศาสนาหาพันพระพรรษาอยางแนแท ตางก็กลาวถอยคํา อันเปนพรเพื่อเปนสิริมงคลแกพระครูบาเจาศรีวิชัยโดยทั่วกัน อยูม าถึงอีกวันหนึง่ มีเหตุการณประหลาดคือมีฝงู กาประมาณ ๓๐ ตัว รวมฝูงกันมาเกาะอยูตามกําแพงหินดานหลังของศาลาบาตร (ศาลา บําเพ็ญบุญ) พากันสงเสียงรองกา ๆ ทัว่ บริเวณวัดจนถึงเวลา ๐๙.๐๐ น. ก็มี พญาแรงตัวหนึ่งบินรอนอยูบนนภากาศหนาอารามวัดบานปาง พอฝูงกา เห็นก็พากันกระพือปกไลพญาแรงและตอสูกันอยางเอาเปนเอาตายและ พายแพแกพญาแรง จึงพากันมาจับกิ่งไมรองเสียงดังลั่นอยางผูพายแพ แลวหยุดเปนเวลากวาครึ่งชั่วโมงแลวก็บินขึ้นสูกับพญาแรงอีก ๒ – ๓ ครั้ง ก็สูพญาแรงไมได จึงพากันแตกหนีกระเจิงไปหมด สวนพญาแรงตัวนั้น ก็บนิ ลับหายไปในอากาศไมรวู า ไปทางทิศไหนนับวาเปนเหตุการณประหลาด เปนปรากฏการณ ครัง้ สําคัญทีเ่ กีย่ วของกับวิถชี วี ติ ของพระครูบาเจาศรีวชิ ยั โดยไมตองอรรถาธิบาย เปนการสอแสดงความหมายใหเห็นวาธรรมยอม ชนะอธรรม ความดียอมชนะความชั่ว แตจิตพระอริยะเจาที่ฝกฝนมาดีแลว ยอมอยูเ หนือความดีความชัว่ เหนือการเปนผูช นะหรือผูป ราชัย เพราะไมได สําคัญตน มิไดสําคัญมั่นหมายในสิ่งใด ๆ ดวยตัณหาอุปาทาน
ถายเมื่อออกโปรดบิณฑบาตชาวเมืองพะเยา คราวไปบูรณะพระเจาตนหลวง ทุงเอี้ยง เมื่ออายุ ๔๕ ป
๖๓
โยมแมวอนใหลาสิกขา โยมมารดา (นางอุสา) ของพระครูบาเจาฯ เมือ่ ทราบวาลูกถูกกลาวหา ครัง้ ที่ ๓ จึงขอพบพระลูกชายเพือ่ ใหลาสิกขาบท ออกมาชวยกันทํามาหากิน ตามประสายากจนมีความสุขใจมากกวาเปนพระสงฆทมี่ แี ตผอู นื่ กลัน่ แกลง หากเปนเชนนี้หัวใจแมแทบจะแตกสลาย เหมือนสุมดวยกองไฟรอนในอก สุดแสนจะหวงหาอาลัยในตัวทาน ตอจากนี้ลมหายใจของแมคงไมพบซึ่ง ความสุขในชีวติ พระครูบาเจาศรีวชิ ยั ตัง้ สติเปนอุเบกขาธรรมแผเมตตาและ เพงสายตาไปที่โยมแมอยางออนโยนแลวกลาววา “โยมแมอยานอยใจไป เลยเพราะเรื่องทํานองนี้เปนธรรมดาของโลก ดวยเหตุนี้เอง พระพุทธองค ใหถือเอาเปนกัมมัฏฐานเปนอารมณแหงการปฏิบัติธรรม เอาความทุกข ยากลําบากปญหาอุปสรรคเปนปจจัยแกบทเรียนชีวิตใหเห็นแจงสรรพสิ่ง ทั้งหลายเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความเกิดก็เปนทุกข ความแกก็เปน ทุกข ความเจ็บความตายและความพลัดพรากก็เปนทุกข นีแ่ หละคือสัจธรรม และความเสมอภาคของคนและสัตวไมวา เปนกษัตริย สามัญชน เศรษฐีหรือ ยากจน โงหรือฉลาด สรรพสัตวทั้งหลายยอมมีสภาวะแหงความเสมอภาค เชนกัน สวนใครสั่งสมกุศลและอกุศลที่ไดอบรมมาในอเนกชาติ ครั้งกอน แลวแตวาสนาบารมี กรณีเราแมลกู เกิดมาในชาตินี้ในภาวะอนาถายากจน ไดเสวยทุกขเวทนาถูกโทษกรรมเพียงนี้เปนความทุกขเล็กนอยเบาบางยัง ไมเทากับทุกขเวทนาในนรกและอบายภูมซิ ง่ึ ตองไดรบั ความทุกขทรมานอีก หลายเทานัก
๖๔
การไดรับความทุกข ในชาติ น้ี เ พราะไม ไ ด ใ ห ทาน ถือศีล บําเพ็ญเพียร ภาวนาและไมไดเขามาบวช ในพระพุทธศาสนาเกิดมา ในชาติ น้ี ตั ว เราและบิ ด า มารดาจึงไดรับทุกขเวทนา เปนคนอนาถายากไรการที่ จะให เราลาสิ ก ขาบทเป น ฆราวาสออกไปเลี้ ย งบิ ด า มารดาอย า งคนทั่ ว ไปก็ เหมือนกับวาเรามิไดรกั บิดา มารดาและจักไดชอ่ื วาโปรด บิดามารดาใหไดซึ่งบรมสุข ไม ไ ด เ ลยที่ เราอุ ต ส า ห รั บ ทุกขโทษและมิไดยอ ทอในทางประพฤติปฏิบตั สิ กิ ขาวินยั บําเพ็ญทานถือศีล สรางปญญาบารมี อุเบกขาบารมี ขันติบารมี ยอมอุทิศตนไมคํานึงถึง ความสุขสบายยอมตายในพระพุทธจักรไมไดเคลือบแคลงแหนงหนาย ตอสิง่ ใดการเทิดทูนบูชาคุณพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ เปนที่พึ่ง เพราะความรักมารดาบิดาเพื่อจักเปนการสงเคราะหมารดาบิดา ใหมสี ว นกุศลเสวยบรมสุขในอนาคตตราบถึงยอดอมตะ พระนิพพานธรรม อันเปนที่สิ้นสุดแหงความทุกขพนจากโอฆะวัฏสงสาร การทําอยางนี้จึงได ชื่อวาเปนการแสดงความรักและความกตัญูอยางประเสริฐ ขอมารดาจง ตั้งจิตอธิษฐานอนุโมทนาสาธุการในบุญบารมีท่ีเราไดบําเพ็ญมาดวยเถิด
๖๕
แลวมารดาบิดาจะไดรับอานิสงสแหงการบรรพชาของเราในครั้งนี้ตาม กุศลเจตนา เมือ่ ถึงวันเดินทางไปลําพูนตามคําสัง่ เจาคณะลําพูนซึง่ พระครูบาเจา ศรีวิชัย พรอมดวยพระภิกษุ ๓๐๐ รูป สามเณรอีกรอยกวารูปรวมฆราวาส ชายหญิงจํานวน ๑,๐๐๐ คน โดยพระครูบาเจาศรีวิชัยนั่งบนเสลี่ยงศรัทธา สาธุชนพากันหามพรอมดวยขบวน ฆอง กลอง แหนําหนาและตามหลัง บางหามเครือ่ งไทยทานประดับดวยดอกไมอนั สวยงามมีทงั้ สาด หมอน มีด พรา ภาชนะเครื่องใชไมสอย ฝายสงฆและสามเณรนุงผายอมดวยนํ้าฝาด เปนปริมณฑล ลูกประคําคลองคอถือพัดใบลานและไมเทาเดินไปดวย อาการสํารวม (ลักษณะการเชนนีเ้ ปนธรรมเนียมของนิกายเขินและเชียงใหม ซึง่ นอกจากจะมีเครือ่ งอัฏฐบริขารแลว มีหมวกยัดสําลีทรงกลมปลายแหลม มีลูกประคําพัดใบลานและไมเทา เปนธรรมเนียมการบวชพระในดินแดน ลานนา) เมื่อขบวนพระครูบาเจาศรีวิชัยผานหมูบานศรัทธาสาธุชนแตละ หมูบ า นตกแตงเครือ่ งไทยทานนอมถวายสักการบูชาตลอดทางใชเวลาเดิน ทาง ๔ วัน เมื่อมาถึงเมืองลําพูนศรัทธาชาวบานตางพากันชื่นชมบุญบารมี ของพระครูบาเจาฯ จัดเครื่องดนตรีแหรวมขบวนจนกระทั่งถึงหนาวัด พระธาตุหริภญ ุ ชัย พระครูบาเจาฯ ใหหยุดพักและตกแตงเครือ่ งสักการบูชา เครือ่ งไทยทานนอมถวายบูชาองคพระบรมธาตุเจาแหงเมืองลําพูน พอขบวน ไปถึงประตูโขงชัน้ นอกตํารวจทําการตรวจคนอาวุธมีดสัน้ มีดยาว ทีช่ าวบาน นํามาเพือ่ ทําครัวและใชสอยระหวางทางก็ถกู เก็บไปหมดแมแตมดี โกนผมของ พระเณรก็รบิ ไปหมดเพราะเกรงจะกอความวุน วายแยงชิงตัวพระครูบาเจาฯ สวนพระครูบาเจาศรีวิชัยเตรียมพรอมเผชิญตอเหตุการณในครั้งนั้น อันหมายถึงการที่ตองเผชิญหนาตอสัจธรรมครั้งสําคัญ โดยถือคติวา “ถา
๖๖
มารบมี บารมีกบ็ แ กกลา” (อุปสรรคไมมี พลังสูค วามสําเร็จก็จะไมเกิด) จึงตั้งจิตอยูในอุเบกขาธรรมและเมตตาธรรมเปนกัลยาณมิตรตอผูคน และสัตวในวัฏสงสารวาเปนเพือ่ นเกิดแกเจ็บตาย ทุกชีวติ ในโลกนีเ้ หมือน เปนพี่นองกัน ตองใหความเคารพยําเกรงดวยไมตรีจิต เอื้ออาทรตอ ผูตกทุกขไดยาก โดยเฉพาะอยางยิ่งผูที่อยูในหวงวังวนสังสารวัฏแลวตั้งจิต อธิษฐานระลึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัยเปนที่เคารพเทิดทูนบูชา เจาหนาที่ ตํารวจจึงอนุญาตใหเขาไปได พระครูบาเจาฯ ใหสานุศษิ ยนาํ เครือ่ งสักการะ และไทยทานทั้งหมดนอมถวายบูชาพระบรมธาตุเจาหริภุญชัย จากนั้น มีคําสั่งจากปลัดมณฑลประจําเมืองลําพูนเปนประธานในเหตุการณครั้งนี้ ออกคําสั่งใหเจาหนาที่ตํารวจปดประตูขังพระครูบาเจาศรีวิชัยและภิกษุ สามเณรไวในบริเวณวัดชัน้ ในและใหเจาหนาที่รักษาเวรยามทั้ง ๔ ดาน มี การตรวจรักษาการทัง้ กลางวันและกลางคืน รุง เชาศรัทธาสาธุชนนําอาหาร คาวหวานมาถวายแตตํารวจไมยอมใหใครเขา–ออก ทําใหพระภิกษุ สามเณรมีความอิดโรยและหิวประกอบกันเปนที่นาสงสารและเปนที่สังเวช แกศรัทธาสาธุชนผูเคารพเลื่อมใสอยางยิ่ง ขณะนั้นมีชายผูหนึ่งชื่อ “สางสา” เชื้อสายไทใหญมีอาชีพคาขาย ทนดูเหตุการณอันปาเถื่อนที่กระทําตอผูทรงศีลทรงธรรมซึ่งเปนหนึ่งใน สถาบันของชาติไมไดจึงเกิดศรัทธาแรงกลานําชาวบานบุกเขาไปอยาง อาจหาญไมกลัวตอคมดาบและอาวุธปน เมื่อเห็น “สางสา” เดินเขาไปได ศรัทธาสาธุชนทั้งหลายก็ตามเขาไป ตํารวจไมอาจกั้นได ทั้งนี้เจาหนาที่ ตํารวจยังมีมโนธรรมจึงทําใหทั้งสองฝายไมเกิดเรื่องรุนแรง เปนอานุภาพ การสั่งสมอบรมบุญบารมีอยางเสมอตนเสมอปลายของพระครูบาเจาฯ มุง หวังจรรโลงพระธรรมวินยั แตไมยอมกมหัวใหกบั อํานาจ ลาภ เกียรติยศ
๖๗
ชื่อเสียง ยิ่งไมสําคัญตัวคิดรายตอใครและไมคิดวาใครเปนศัตรูคูปรปกษ เห็นทุกคน ทุกรูป ทุกนาม เปนเพือ่ นเกิดแกเจ็บตาย ดวงจิตแผเมตตาไปยัง สรรพสัตวทงั้ หลายทุกภพทุกภูมติ ลอดทัว่ สากลจักรวาลใหอนุโมทนาในบุญ ที่ทานบําเพ็ญเพียรโดยตลอด ทําใหการถูกกลาวหา กลั่นแกลง กลับ เปนการเพิ่มศรัทธามหาชนมากยิ่งขึ้นเปรียบประหนึ่งพระครูบาเจาฯ เปน หวงนทีที่กวางใหญและอุดมสมบูรณ ศรัทธามหาชนเดินทางมาจากทุกทั่ว สารทิศทั้งจากใกลไกลตางก็อยากมาเห็นรวมบุญบารมีกับพระครูบาเจาฯ ใหเปนมงคลชีวติ สังเกตไดจากบุคคลทีร่ ว มเหตุการณในสมัยพระครูบาเจาฯ กลาวถึงและสรรเสริญอยางภาคภูมใิ จประดุจพบผูว เิ ศษ บางทีสงั เกตผูเ ปน ลูกหลานของผูมารวมอนุโมทนาในบุญกุศลกับพระครูบาเจาฯ แสดงออก ถึงความเปนสวนหนึง่ ของทายาททีไ่ ดรว มสัมพันธในบารมีธรรมเหมือนอยู ในเหตุการณนั้นเชนกัน เมื่ออานประวัติของพระครูบาเจาฯ มาถึงตรงนี้ขอใหสาธุชนยอมรับ สัจธรรมอันเปนธรรมดาของโลกไมปลอยจิตคิดเปนอกุศลตอฝายตรงขาม ที่ปฏิบัติตอพระครูบาเจาฯ ความพยายามมุงมั่นของบุคคลแตละคนกวา บรรลุเปาหมายสูงสุดตองเพียรพยายามฟนฝาอุปสรรคครั้งแลวครั้งเลาซึ่ง เปนเครื่องพิสูจนความตั้งใจจริง ทําจริง บริสุทธิ์จริง มีความเพียรพยายาม อันแรงกลามุงการกระทําในสิ่งที่เปนปณิธานแมเจออุปสรรคกีดขวาง ถืออุปสรรคหรือบุคคลที่เปนคูปรปกษเปนอาจารยใหญที่ใหบททดสอบ ใหเรียนรูส งิ่ ทีว่ เิ ศษทีส่ ดุ ตองมีจติ ใจเขมแข็งควบคุมสติใหนงิ่ ในทุกเหตุการณ นัน่ คือ อานิสงสบทพิสจู นของชีวติ หรือถาเปรียบคําโบราณทานวา “แพเปนพระ ชนะเปนมาร”
๖๘
ในกรณีของพระครูบาเจาศรีวิชัยเปนพระอริยะเจาผูถือกําเนิดเพื่อ สรางบารมีเปนพระพุทธเจาองคหนึง่ หมายถึงการเปนพระโพธิสตั วจะสราง บารมีขึ้นมาองคเดียวไดอยางไร เพราะฉะนั้นตองมีการทดสอบจิตใจอยู ตลอดเวลา และนักบุญผูมีสมญานามวาพระครูบาเจาศรีวิชัยมีความ หนักแนนมัน่ คงไมหวัน่ ไหวตอพายุลมฝนความรอนความหนาวใครจะทําดี ยกยองอยางไรจิตใจของพระครูบาเจาฯ ตั้งมั่นอยูในอุเบกขาธรรมแมผจญ กับเหตุรา ยอันเปนคําสัง่ จากเบือ้ งบนไมถอื เปนอุปสรรคขัดขวางวิถที างแหง นักบุญแตทาํ ใหพระครูบาเจาศรีวชิ ยั แข็งแกรงขึน้ ยิง่ ถูกตัง้ ขอหากลัน่ แกลง กักกัน บุญสมภารบารมีย่ิงแกกลาแผไปโดยไมมีประมาณ บาทวิถีของ นักบุญทีป่ ระทับรอยบริสทุ ธิ์ ประเสริฐสุด ผูเ ปนรมโพธิร์ ม ไทรไดประทับใน หัวใจของสาธุชนทั้งหลายจนถึงทุกวันนี้ตองขอขอบคุณฝายตรงขามและ แผเมตตาใหพบวิถที างอันประเสริฐใหมเี มตตา ไมตรี สันติภาพ อยูใ นหัวใจ มองเห็นเพือ่ นรวมโลกดวยจิตเมตตาและเกือ้ กูลกันโดยยึดหลักอหิงสาธรรม (ความไมเบียดเบียน) คือเครื่องคํ้าจุนโลก อยูรวมกันดวยความสงบสุข พระครูบาเจาศรีวิชัย สิริวิชโย ไดรับการยกยองวาเปนนักบุญแหง ลานนาไทยตองเดินทางไปตามวิถีแหงนักบุญแมตองเดินไปสูที่คุมขัง ใหไดรับความไมสะดวกโดยประการใดก็ตามทานไมวิตกทุกขรอนและ จะไมวิงวอนขอความเห็นอกเห็นใจ เพราะหัวใจบรรจุไวเต็มเปยมดวย คุณพระศรีรตั นตรัยเปนประกายอันโชติชว งชัชวาลอลังการดุจพระจันทรใน วันเพ็ญแผรังสีโอฬารเหนือทองฟานภาลัยอันไพศาล
๖๙
งานสรงนํ้าพระธาตุหริภุญชัย และเหตุการณของนักบุญ ณ วัดพระธาตุหริภญ ุ ชัย โบราณสถานเกาแกกวา ๑,๔๐๐ ปของเมือง ลําพูนเปนดินแดนพุทธศาสนาที่เจริญรุงเรืองมาแตอดีตมีประเพณีสรงนํ้า พระธาตุในวันเพ็ญ เดือน ๘ เหนือ (ตรงกับวันเพ็ญเดือน ๖ ใต) ชาวลานนา ตั้งแตระดับกษัตริย สมณะ พราหมณ ฤาษี และชาวบานถือเปนประเพณี สรงนํา้ พระธาตุเปนประจํา มีการแหนา้ํ สรงพระธาตุจากบอนํา้ ทิพยศกั ดิส์ ทิ ธิ์ บนดอยขมอยอดดอยที่สูงที่สุดในจังหวัดลําพูน โดยแหเปนขบวนรอบ เมืองหริภุญชัย (ลําพูน) มีการแหเครื่องไทยทานไทยธรรมของชาวบาน ผูคนแตงเสื้อผาดวยชุดสวยงาม ผูหญิงประแปง เกลาผม ทัดดอกไม ชางฟอนเล็บสวมเล็บมือที่ทําดวยทองเหลืองอันงอโคง ฟอนรํานําเครื่อง ไทยทานดวยทาทางทีอ่ อ นชอยดวยความปตปิ ราโมทยเปนจังหวะเยือ้ งยาง ที่งดงามเหมือนนกยูงรําแพน พรอมเอี้ยวกายซายขวาและมืออันออนชอย รายรําตามจังหวะฆองกลองดุจขบวนเทพยดาจากสรวงสวรรค ขบวนฟอนรํา มากมายหลายหมูคณะจากหัววัดมุงหนาสูขวงแกวอารามอันเปนที่รองรับ ประดิษฐานองคพระบรมธาตุเจาหริภุญชัยที่เกาแกและศักดิ์สิทธิ์ ถือเปน องคแทนพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจา ทั้งพระสงฆและฆราวาสมี กรวยใบตอง ใสขาวตอกดอกไม ธูปเทียน พนมมือไหวเวียนทักษิณาวัตร (เดินเวียนขวา) เปนการแสดงความเคารพบูชาอันสูงสุดทีร่ บั วัฒนธรรมมา จากประเทศอินเดีย ๓ รอบ รอบบริเวณวัดมีรา นขายอาหารคาวหวานเครือ่ งดืม่ มากมายมีการละเลนการแสดงเปนที่บันเทิง หลังจากการทํางานหนักมา
๗๐
ตลอดเมื่อไดทําบุญแลวเปนการพักผอนหยอนใจการจัดงานนิยมจัด ๓ วัน ๗ วัน โดยเฉพาะในดินแดนลานนาโดยทั่วไปจะมีพระธาตุเจดียตามวัดวา อารามและบนภูเขาสูงโดดเดนเชนพระบรมธาตุเจาดอยสุเทพ พระบรมธาตุ เจาดอยตุงถือเปนสัญลักษณแทนองคพระพุทธเจาและมีประเพณีสรงนํ้า พระธาตุเปนประจําทุกป ศรัทธาสาธุชน พระภิกษุสามเณรตลอดจนถึง เจาเมืองและชาวบานมารวมงานประเพณีนี้ดวยในวันเพ็ญขึ้น ๑๕ คํ่า ของ เดือนซึ่งเปนวัฒนธรรมที่รับมาจากอินเดียโดยเฉพาะยุคพระเจาอโศก มหาราช (หลังพุทธปรินิพพาน ๒๐๐ กวาป) ถือเปนคานิยมในการสราง พระธาตุเจดียสําหรับบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ กลาวกันวาสรางไวถึง ๘๔,๐๐๐ องค ทัว่ ดินแดนชมพูทวีป มีการฉลองสมโภชใหญถงึ ๗ ป ๗ เดือน ๗ วั น วั ฒ นธรรมนี้ ไ ด ต กทอดมาถึ ง ดิ น แดนล า นนาจึ ง นิ ย มสร า ง องคพระธาตุเจดียไ วในทีช่ มุ ชนถือเปนหัวใจของชุมชนโดยเฉพาะวัดพระธาตุ หริภุญชัย ถือวาเปนศูนยรวมจิตใจของประชาชนทุกยุคทุกสมัย แมวา พระธาตุหริภญ ุ ชัยเปนสถานอันศักดิส์ ทิ ธิเ์ ปนสถานทีป่ ระกอบ ศาสนพิธีทุกยุคทุกสมัยถึงพุทธศักราช ๒๔๖๓ ขวงแกวอารามอันศักดิ์สิทธิ์ แหงนี้เปนสถานที่กักบริเวณพระครูบาเจาศรีวิชัยเปนครั้งที่ ๒ ขณะที่อายุ ๔๓ ป มีเจาหนาทีต่ าํ รวจคอยควบคุมประตูทง้ั ๔ ทิศกักกันอยางนักโทษอยู ๑ คืน ผูคนตางพากันมาจากทั่วทุกสารทิศเพื่อคุมกันกลัวพระครูบาเจาฯ จะถูกทํารายหรือไดรับความลําบากจึงชุมนุมกันทั้งกลางวันกลางคืนบางก็ หาบเครือ่ งไทยทานมาทําบุญเปนจํานวนมากเกินกําลังเจาหนาทีใ่ นจังหวัด ลําพูนควบคุมสถานการณได จึงประชุมปรึกษาในการควบคุมตัวพระครูบาเจาฯ ไปยังจังหวัดเชียงใหมใหควบคุมสถานการณแทน อุปราชเทศามณฑลพายัพ ไดรบั ทราบเหตุการณไดตงั้ คณะกรรมการขึน้ เพือ่ คลีค่ ลาย สถานการณ และ วาจางรถมอเตอรของเถาแกโหงวจากเมืองเชียงใหมควบคุมตัวไปใหพระครู
๗๑
ประชาชนรวมสรงนํ้าพระบรมธาตุหริภุญชัย ในวันเพ็ญเดือนแปดเปง (วันขึ้น ๑๕ คํา่ เดือน ๖ ใต) โดยเอาผักสมปอยซึง่ ชาวลานนาไทยนิยมวาเปนของวิเศษ แชนํ้าเพื่อทําพิธีสรงนํ้าองคพระธาตุและขอขมาใหเปนอโหสิกรรมชําระจิตใจ ใหบริสุทธิ์เพื่อการรองรับคุณวิเศษอื่นอีกเอนกประการ
๗๒
โพธิรงั สี เจาคณะเมืองวัดเชตุวนั เปนผูช ว ยจัดการพิจารณาคดีเจาคณะเมือง มอบหมายใหพระครูสคุ นั ธศีล เจาคณะรองเปนผูค วบคุมตัวพระครูบาเจาฯ ออกจากเมืองลําพูน ทางเจาหนาที่ตกลงอนุญาตใหฝายศิษยติดตาม พระครูบาเจาฯ ได ๔ รูป เพื่อดูแลแทนศิษยทั้งหลาย แตเมื่อมาถึงเมือง เชียงใหมกนั เอาพระลูกศิษย ๔ รูปออก ควบคุมเอาพระครูบาเจาฯ ไปเพียง รูปเดียว และมีเจาหนาที่รักษาการณทั้งกลางวัน กลางคืน เมือ่ นําพระครูบาเจาฯ พนจากเมืองลําพูนแลว พระภิกษุสามเณรเกิด ระสํา่ ระสายบางหาทางหลีกหนีออกจากการถูกกักกันทีไ่ มสามารถหนีไดก็ ถูกเจาหนาที่ควบคุมเพื่อดําเนินการ ทางจังหวัดลําพูนโดยเจาคณะจังหวัด เปนประธานแตงตั้งคณะกรรมการพรอมดวยปลัดซายขวาและเจาคณะ พระครูทั้งหลายในเมืองลําพูน ทางฝายคฤหัสถมีขาหลวงประจําเมืองเปน ประธานพรอมทัง้ ขาราชการนายอําเภอมาพรอมกันทีว่ ดั พระธาตุหริภญ ุ ชัย และเรียกบรรดาพระภิกษุสามเณรของพระครูบาเจาฯ มาพรอมกันแลวกลาว โทษทีไ่ มยอมประพฤติตามระเบียบพระราชบัญญัตคิ ณะสงฆใหเปนไปตาม กฎแหงราชการเปนการขัดตอคําสัง่ ของเจาคณะจังหวัด เจาคณะแขวงไมควร ประพฤติตามพระศรีวชิ ยั เพราะไมรกู าลสมัยถือตามใจตนเองซึง่ ไรกฎเกณฑ ทานทัง้ หลายก็มคี วามผิดไปดวยหากพระภิกษุสามเณรรูปใดมีความสํานึก ตอความผิดก็ใหออ นนอมยอมปฏิบตั ติ ามขอบังคับของพระราชบัญญัตแิ ละ เข า มอบตั ว กั บ เจ า คณะจั ง หวั ด ให ล งลายมื อ ชื่ อ เป น หลั ก ฐานเป น การ ภาคทัณฑหากพระภิกษุสามเณรรูปใดฝาฝนยึดถือตามพระศรีวชิ ยั จะจับสึก ใหลาสิกขา พระเณรที่ถูกกักขังจํานวน ๔๐ รูป จาก ๖๐ รูป หวาดกลัวตอ ราชภัย มนุษยภยั อํานาจอาชญาจึงยอมลงลายมือชือ่ รับปฏิบตั ติ ามระเบียบ การของคณะสงฆ ที่เหลือ ๒๐ รูป ขอยอมตายดวยอํานาจอาชญาไมยอม ลงลายมือชื่อขอติดตามไปดูพระครูบาเจาฯ ผูเปนอาจารยที่เชียงใหม
๗๓
ถายที่วัดศรีดอนไชย จ.เชียงใหม คราวถูกกักขังบริเวณเมื่อถูกกลาวหาครั้งที่ ๓ อายุ ๔๓ ป
วัดศรีดอนไชย สถานที่กักขังบริเวณ ๓ เดือน ๘ วัน
๗๔
เมือ่ นําตัวพระครูบาเจาฯ มาถึงเชียงใหมถกู กักบริเวณเยีย่ งนักโทษที่ วัดศรีดอนไชยตรงศาลาบาตรทีเ่ กาแกหลังคารัว่ อาสนะอํานวยความสะดวก ไมมีและมีคนโทปากบิ่นใสนํ้าตั้งไวให เมื่อยามแดดสองเขาไปภายใน ซึ่ง เปนชองรั่วของหลังคา พระครูบาเจาฯ นั่งสมาธิมิไดเคลื่อนยาย รับการ ลงโทษโดยดุษณี มีขนุ ประสานและนายนอมเปนผูค วบคุมดูแลพระครูบาเจา ศรีวิชัย จนกระทั่งนายหางหลวงอนุสารทราบขาวการถูกกักขังของพระครู บาเจาศรีวิชัยและไมไดรับความเปนธรรมจึงมากราบนมัสการ หามานมา กั้นหลังคาใหรมเงาและจัดหาอาสนะที่ควรแกสมณะบริโภคพรอมกับ พญาคํานอมนําสิ่งของเครื่องใชมาถวาย นับตั้งแตน้ันมาศรัทธามหาชน รูขาวตางนอมนําซึ่งวัตถุปจจัยไทยทานมาทําบุญเพิ่มขึ้นเปนจํานวนมาก ไมเวนแตละวัน ทั้งชาวพื้นเมือง ชาวเขา เชน กะเหรี่ยง ขมุ มูเซอ มีจิตใจ เสื่อมใสศรัทธามากราบไหวบูชาทําบุญและชมบุญญาธิการพระครูบาเจา ศรีวชิ ยั จึงเปนทีช่ มุ นุมมหาชนทุกเชือ้ ชาติ ตางภาษา เปนเหตุใหเจาอธิการ วัดศรีดอนไชยเกิดความรูสึกหนักใจเกรงจะเกิดการแยงตัวพระครูบาเจา จึงจัดใหสามเณร ๑ รูป กับเสมียนอําเภอ ๑ คน กันผูค นไมใหเขาหาพระครู บาเจาฯ ถาขัดขืนใหแจงแกเจาเมืองและสมุหเทศบาลเพือ่ ลงโทษ แตเสมียน อําเภอกับสามเณรเพียง ๒ คน ไมสามารถตานพลังศรัทธาของมหาชนได เพราะผูคนหลั่งไหลมากันเต็มลานวัด พระครูเจาคณะเมืองกับสมุหเทศ มณฑลพายั พ ปรึ ก ษาหารื อ กั น ว า หากเหตุ ก ารณ เ ป น เช น นี้ เ กรงเกิ ด ความวุน วายจึงปรึกษากันจะสงตัวไปกรุงเทพมหานครพรอมทัง้ ขอกลาวหา เพื่อใหองคสมเด็จพระสังฆราชทรงพิจารณาชําระคดีความทั้งฝายศาสนา และราชการ รวมถูกกักขังบริเวณที่วัดศรีดอนไชย ๓ เดือน ๘ วัน
๗๕
พระครูบาเจาจึงถูกสงตัวไปพิจารณาคดีที่กรุงเทพมหานคร พรอมขอกลาวหา ๘ ขอ อธิกรณขอกลาวหา คือ ๑. พระศรีวชิ ยั ตัง้ ตัวเปนอุปช ฌายเถือ่ นทําการบวชพระภิกษุสามเณร โดยไมขออนุญาตตามพระราชบัญญัติลักษณะการปกครอง ร.ศ.๑๒๑ ๒. พระศรี วิ ชั ย ไม ย อมอยู ใ ต บั ง คั บ บั ญ ชาของเจ า คณะแขวงลี้ เจาหนาทีฝ่ า ยหัวเมืองลีร้ ว มกับเจาคณะแขวงเรียกประชุมเจาอธิการวัดตางๆ เพื่อชี้แจงเรื่องพระราชบัญญัติลักษณะการปกครอง ร.ศ.๑๒๑ ปรากฏวา เจาอธิการทุกวัดไปหมด ยกเวนแตพระศรีวชิ ยั วัดบานปางไมไปรวมประชุม ๓. เมื่อครั้งพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลาเจา อยูหัว รัชกาลที่ ๖ เจาคณะแขวงลี้ไดประกาศใหทุกวัดตามประทีปโคมไฟ ทําซุมประตู ตีฆอง กลอง เปนการฉลองสมโภชวัดบานปางของพระศรีวิชัย ไมปฏิบัติตาม ๔. เจาคณะแขวงลี้คือพระมหารัตนากร ไมสามารถปกครองวัดใน เขตอําเภอลี้ ไดเพราะพระศรีวชิ ยั ตัง้ ตัวเปนผูว เิ ศษชักชวนวัดตางๆ ใหขดั ขืน ตอพระราชบัญญัติ ร.ศ.๑๒๑ ถึงแมวาขอรองตอพระศรีวิชัยแลว แต พระศรีวิชัยไมยอมเชื่อ ๕. เมื่อเจาหนาที่ฝายบานเมืองใหเจาคณะแขวงลี้สํารวจจํานวน พระภิกษุสามเณรในวัดเขตอําเภอลี้ทุกวัด แตวัดบานปางของพระศรีวิชัย ไมยอมปฏิบัติตาม ๖. เจาคณะแขวงลีน้ ดั ประชุมเจาอธิการวัดในเขตอําเภอลีเ้ จาอธิการ หลายวัดไมยอมมาประชุมโดยอางเอาอยางพระศรีวิชัย ๗. พระศรีวชิ ยั ตัง้ ตัวเปนผูว เิ ศษ เปนเทวดามาเกิด มีดาบฝกทองคํา (ดาบสะหรีกัญชัย) ตกลงมาจากฟาสูแทนบูชา ๘. เดินทามกลางฝนแตไมเปยก เดินสูงกวาพืน้ ดิน ๑ ศอก และเดิน บนผิวนํ้าไดอันเปนเหตุใหคนลุมหลงเปนจํานวนมาก
๗๖
ความเศราสลดของศรัทธามหาชน ขออธิกรณที่พระครูบาเจาศรีวิชัยถูกกลาวหาถาพิจารณาแลว พบวา เปนขออธิกรณเกา ที่พระครูบาเจาฯ เคยถูกสอบสวนจากเจาเมืองลําพูน และรับพิจารณาโทษวากลาวตักเตือนตลอดจนถูกกักตัวที่เมืองลําพูน ๑ ป จึงนับวาพนผิด ดังนั้นการตั้งขออธิกรณที่สงตัวพระครูบาเจาฯ มาไตสวน ความผิดจากสมเด็จพระสังฆราชเจาจึงเปนเรื่องเกามาตั้งขอหาใหม
๗๗
เมื่อถึงกําหนดสงตัวพระครูบาเจาฯ ไปกรุงเทพฯ ญาติโยมและผูท่ี เคารพเลือ่ มใสนําขาวตอก ดอกไม พรอมเครือ่ งไทยทานมาถวายเปนเครือ่ ง สักการบูชา ตองมอบไวใหกบั ทางวัดแจกจายพระเณร เพราะเจาหนาทีห่ า ม นําไปโดยเด็ดขาดนําไปเฉพาะสิ่งที่จําเปน ในการนี้คุณหลวงอนุสารสุนทร ไดถวายเงินจํานวน ๑ ชัง่ สําหรับพระครูบาเจาฯ ไวใชจา ยในกรุงเทพฯ เมือ่ ถึงเวลาผูคุมนิมนตพระครูบาเจาฯ ขึ้นนั่งเสลี่ยงโดยมีญาติโยมที่เคารพ ชวยกันหามมีตํารวจนําหนาเสลี่ยง ๒ นาย ระหวาง ๒ ขางทางเนืองแนน ไปดวยประชาชนที่มาสง พระอาทิตยที่ฉายแสงสวางก็มืดครึ้มประหนึ่งกั้น กลางเหตุการณรอนแรงใหพระครูบาเจาศรีวิชัย ซึ่งตรงกับวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๔๖๓ ผูเคารพเลื่อมใสโปรยขาวตอกดอกไมธูปเทียนระหวางทางที่นักบุญ ผานพรอมกับยกมือไหวนมัสการสักการะ แลวรําพึงวา “สาธุ ขอคุณ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ จงโปรดคุมครองรักษาอภิบาลพระครูบาเจา ศรีวชิ ยั ดวยเถิด” บางคนสุดกลัน้ นํา้ ตาไวไดจงึ รํา่ ไหสงสารผูบ ริสทุ ธิ์ พระผูเ ปน นักบุญตองอยูในสภาพนักโทษมีความผิดอันฉกาจ ถูกอํานาจอาชญา บานเมืองควบคุมตัวนับเปนประวัติศาสตรสําคัญของคณะสงฆไทย ยัง คงความสลดสังเวชแกศรัทธาสาธุชนมณฑลพายัพอยางใหญหลวงและเปน ภาพนาหดหูเปนอยางยิ่งที่พระผูปฏิบัติชอบพระธรรมวินัยที่พระพุทธองค ทรงประทานใหเมื่อกวา ๒,๐๐๐ ป เพียงทานไมยอมรับระเบียบพระราช บัญญัตคิ ณะสงฆซง่ึ บัญญัตขิ น้ึ มาใหมเพราะถือมัน่ ในพระธรรมวินยั บริสทุ ธิ์ บริบูรณอยูแลว จึงพรอมที่พลีชีพซึ่งพระธรรมวินัยไมยอมคลอยตามกับ สิ่งใหม มีดวงจิตมั่นอยูในอุเบกขาธรรมไมหวั่นไหวตอเหตุการณใด ๆ
๗๘
วัดเบญจมบพิตร สถานที่พํานัก เพื่อไปรับการพิจารณาคดี
สถานีรถไฟวังตองที่พระครูบาเจาฯ ขึ้นไปรับ การพิจารณาคดีที่กรุงเทพฯ
๗๙
คณะผูควบคุมไดควบคุมพระครูบาเจาฯ ไปตามถนนวิชยานนทถึง รานวิศาลบรรณาคารขึ้นสะพานขามแมนํ้าปง (ในสมัยนั้นใชสะพานไม สะพานนวรัฐยังไมไดสราง) พอลงจากสะพาน เลี้ยวขวาตรงไปถนนเจริญ ราษฎรถึงโบสถคริสเตียน นําขึ้นรถเถาแกโหงวซึ่งนํารถมาอํานวยความ สะดวกใหแกพระครูบาเจาศรีวิชัยดวยจิตศรัทธาและรับอาสานําพระครู บาเจาฯ กลับไปลําพูนอีกครั้ง ทามกลางผูคนจํานวนหลายพันที่แออัด ยัดเยียด บรรดาสานุศษิ ย ภิกษุสามเณร และฆราวาสจํานวนมาก ตางลอม หนาลอมหลังดวยความดีอกดีใจทีเ่ ห็นพระครูบาเจาฯ อีกครัง้ หนึง่ พระภิกษุ สามเณรทีห่ ลบหนีจากวัดพระธาตุหริภญ ุ ชัยเมือ่ สามเดือนกอนตางมาถวาย สักการะการตอนรับอยางอบอุน และความเชือ่ มัน่ วาธรรมะยอมชนะอธรรม พระครูบาเจาฯ ตองกลับมาลําพูนอยางผูบริสุทธิ์ คืนนั้นพระครูบาเจาฯ พักคางอยูท ล่ี าํ พูน รุง เชาจึงถูกควบคุมตัวขึน้ รถไฟทีส่ ถานีรถไฟวังตอง เปน ครัง้ แรกทีพ่ ระครูบาเจาเดินทางเขากรุงเทพมหานคร (สมัยนัน้ การเดินทาง จากลําพูนไปกรุงเทพฯ ตองพักเมืองพิษณุโลกใชเวลา ๓ วัน จึงถึงกรุงเทพฯ) วันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๔๖๓ สมเด็จพระมหาสมณะเจากรมพระยา วชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราชเจามิไดประทับในกรุงเทพฯ เสด็จไป ในงานพิธีทางศาสนาที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาแตทรงทราบและรับสั่ง ใหรถมารับพระครูบาเจาศรีวิชัยที่สถานีรถไฟหัวลําโพงนําไปพักที่วัด เบญจมบพิตรเพื่อรอแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนขอกลาวหาตอไป
๘๐
๘๑
เขาเฝาสมเด็จพระสังฆราชเจา เมื่อพระครูบาเจาศรีวิชัยพํานักที่วัดเบญจมบพิตรทราบขาวสมเด็จ พระสังฆราชเจาเสด็จกลับจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยาไดจัดพานดอกไม ธูปเทียนขึ้นไปเขาเฝาสมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราชเจา ณ วัดบวรนิเวศนวหิ าร เมือ่ กราบนมัสการนอมถวาย เครื่องสักการะแลว สมเด็จพระสังฆราชเจาทรงรับสั่งถามเหตุการณ เชน ตรัสวา “จริงหรือพระศรีวิชัย เขาลือวาเธอเดินสูงกวาพื้น ๓ ศอก?” พระครูบาเจาตอบวา “กระหมอมขอรับวาจริง เพราะลูกศิษยเขาใช เสลี่ยงหามไมวาจะไปไหนเขาไมใหเดิน” สมเด็จพระสังฆราชทรงพอพระทัยเล็กนอย แลวมีรบั สัง่ ตรัสถามอีก วา “และที่เขาลือกันวาเธอเดินทามกลางฝน แตไมเปยกฝนจริงหรือ?” พระครูบาเจาฯ ตอบคําถามดวยกิริยาที่ออนโยนวา “ถูกตอง เพราะ เวลาฝนตกมีคนเอาจอง(รม) มากางกั้นฝนให” ทรงตรัสถามอีกวา “พระศรีวิชัยเธอไดศึกษาเรียนรูเรื่องพระพุทธ ศาสนามาอยางไร?” พระครูบาเจาตอบดวยเสียงทีอ่ อ นโยนแตแฝงดวยความรูส กึ อันลึกซึง้ เชิงปริศนาวา “อิติปโสยังศึกษาเรียนรูมาไมจบเลย” ทรงรับสัง่ อีกวา “อาว ! อิตปิ โ สยังเรียนไมจบหรือ แลวมาบวชนีถ้ อื ศีล อะไร?” พระครูบาเจาทูลตอบคําถามทันทีวา “ถือศีล ๔ !”
๘๒
สมเด็จพระสังฆราชทรงทําทาเอะใจ “อะไรกันมีหรือพระภิกษุถือศีล ๔” พระครูบาแสดงอาการถอมตนแลวยิ้มนอยๆ ทูลตอบวา “ก็ปาริสุทธิ ศีล ๔” (๑.ปาฏิโมกขสงั วรสํารวมในพระปาฏิโมกข ๒.อินทรียส งั วร สํารวม อินทรีย ๖ ( ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ๓. อาชีวปาริสุทธิ เลี้ยงชีวิตโดยชอบ ๔. ปจจยปจเวกขณะ พิจารณากอนจึงบริโภคปจจัยสี่) การตอบเชนนี้เปนเชิงปรมัตถ เปนคําตอบเชิงปริศนาแสดงใหเห็น ถึงภูมปิ ญ ญาความรูส กึ อันลึกซึง้ ถึงหัวใจของพระรัตนตรัยคือความสงบเย็น ถึงขั้นวิมุติวิโมกข พอไดฟงคําตอบอยางไมคาดฝนที่พระบานนอกตอบ ปญหาเปนปฏิภาณหลักแหลมเชนนี้ สมเด็จพระสังฆราชเจาซึง่ โดยปกติทรง ยิ้มยากถึงกับนั่งอมยิ้ม แลวทรงมีรับสั่งถามดวยความเอ็นดูอนุเคราะหอีก วา “แลวเธอจะทําอยางไรกับเหตุการณที่เขาตั้งขอกลาวหามานี้?” พระครู บ าเจ า ก็ ต อบไปตามประสาซื่ อ แต ร วบรั ด จํ า กั ด ความว า “เดินหนาอยางเดียว” การตอบเชนนีแ้ ฝงดวยความหมาย จุดยืนทีไ่ ดมงุ มัน่ ในพระธรรมวินยั ทีป่ ฏิบตั มิ าดวยความบริสทุ ธิส์ ะอาด จนเกิดความสวางไสว ขึ้ น ในจิ ต ใจ มิ ใ ห ส งสั ย เคลื อ บแคลงจึ ง ได มุ ง หน า ปฏิ บั ติ ดี ป ฏิ บั ติ ช อบ ไมสะทกสะทานหวั่นไหวตออะไรทั้งสิ้น เมื่อทรงตรัสคุยใหความอบอุนคุนเคยดวยพระกรุณา ก็ทรงมีรับสั่ง อีกวา “เรื่องทั้งหมดนี้ทานอยาไดวิตกกังวลเลยการณเพียงเทานี้ไมเปนไร หรอก ฉันจะดูแลใหเอง” สมเด็จพระสังฆราชเจาทรงมีประกาศแตงตัง้ คณะสงฆผทู รงสมณศักดิ์ เปนกรรมการไตสวนรวม ๓ รูป คือ ๑. พระวรวงศเธอ กรมหมื่นชินวรสิริวัฒน เจาคณะใหญหนกลาง (ภายหลังไดเลื่อนเปนกรมหลวง) เปนประธานกรรมการ
๘๓
๒. พระญาณวราภรณ ๓. พระธรรมไตรโลกาจารย ทําการไตสวนอธิกรณ ขอกลาวหาทั้ง ๘ ขอที่เจาคณะมณฑลพายัพ และคณะเจาเมืองเชียงใหม เมืองลําพูนสงมากับหลวงประสานคดีชน คณะกรรมการไดดําเนินการไตสวนคดีของพระครูบาเจาศรีวิชัย วัดบานปาง อําเภอลี้ จังหวัดลําพูน อันเปนบานปาชนบทที่หางไกล ความเจริญ เปนเรื่องเกรียวกราวไปทั่วกรุงเทพฯ ไมนอยทีเดียว เพราะ กระทั่ ง หนั ง สื อ พิ ม พ ร ายวั น ที่ ข ายดี ท่ี สุ ด ในสมั ย นั้ น คื อ หนั ง สื อ พิ ม พ บางกอกไทม เปนหนังสือพิมพทม่ี อี ทิ ธิพลทีส่ ดุ มีทง้ั ฉบับภาษาอังกฤษและ ภาษาไทย สั่งผูส่ือขาวออกหาขาวนี้แลวรายงานเกี่ยวกับพระครูบาเจา ศรีวิชัยในหนังสือพิมพฉบับวันที่ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๖๓ ดังนี้
๘๔
ขาวจังหวัดเชียงใหมของหนังสือพิมพบางกอกไทม เดิมพระรูปหนึง่ ชือ่ พระศรีวชิ ยั อายุ ๔๒ ป เปนเจาอธิการวัดบานปาง อําเภอลี้ จังหวัดลําพูน เครงในวิปสสนา ฉันผลไมพืชผักวันละหน ของคาว ถือวาเปนของที่มีวิญญาณทานไมฉัน ถาวันพระไมฉันอาหารเลย มีหิริ โอตตัปปะ ปราศจากโลภะ โทสะ โมหะ เชน มีผูนําเงินทอง เครื่องบริโภค ไปทําบุญ ทานก็ทําบุญตอไมไดเก็บเอาไวทําประโยชนสวนตัวเลย และมี ผูนิยมนับถือไปทําบุญกับทานมาก เมื่อประมาณ ๕ ปมาแลวพระรูปนี้บวช นาคใหกํานันผูใหญบานขออนุญาตตอนายอําเภอ นายอําเภอบอกไป เตรียมการทีบ่ วชไวจะทําใบอนุญาตใหภายหลัง และพระรูปนีก้ ไ็ ดจดั เตรียม การไวเสร็จแลว แตกรรมการอําเภอหาไดออกใบอนุญาตใหไม พระรูปนี้ เห็นวาการบวชไมผดิ อะไรนัก ทัง้ เปนเวลาจวนเขาพรรษา จึงไดบวชนาคไป โดยสําเร็จ เจาคณะแขวงและกรรมการอําเภอหาวาพระศรีวชิ ยั บวชนาคโดย ไมไดรับอนุญาต จึงไดจับตัวพระศรีวิชัยไปกักขังไวที่วัดหลวง (วัดพระธาตุ หริภุญชัย) จังหวัดลําพูน ๑ ป แลวไมใหเปนเจาอธิการวัดบานปาง ใหอยู เพียงในวัดตามเดิมเทานั้น เมือ่ พ.ศ.๒๔๖๒ กรรมการไดไปสํารวจพระทีว่ ดั บานปาง พระศรีวชิ ยั ตอบวา “อาตมาไมไดเปนเจาอธิการ จะสํารวจอยางไร สํารวจเอาเองตามใจ ชอบ” พระและสามเณรมีความกลัวจึงพากันหลบเขาปาไป กรรมการอําเภอ สํารวจไมไดก็รายงานบอกพระเณรหลบหนีไปดวยเหตุอันใดไมไดแจง พอ ไตสวนไดความแจงแลวจึงบอกคณะสงฆเมืองลําพูนมีคําสั่งให พระศรีวิชัย นําเอาบรรดาพระเณรไปที่คณะหมวดทั้งหมด ถาไมมีใครรักษาใหเอาฝาก
๘๕
ชาวบานไว ถาไมไปจะลงโทษ ทีนพี้ ระศรีวชิ ยั ไมไดเปนเจาอธิการ และไมมี อํานาจบังคับพระเณรใหไปหาเจาคณะแขวงได และไมไดชี้แจงเหตุผลให เจาคณะทราบ โดยเหตุทร่ี ะยะทางทีไ่ ปหาเจาคณะแขวงตองรอนแรมระหวาง ทางถึง ๓ คืน เจาคณะจังหวัดลําพูนมีคําสั่งไมใหพระศรีวิชัยอยูในจังหวัด ลําพูน ตอมาเจาผูครองนครไดนิมนตพระศรีวิชัยเขาไปรับไทยทานใน จังหวัดลําพูน พระศรีวิชัยถือโอกาสจัดเอาของสํารับไทยทานไปทําบุญที่ วัดหลวง (วัดพระธาตุหริภุญชัย) จังหวัดลําพูน ในครั้งนั้นมีพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ที่มีความศรัทธาจัดสิ่งของเครื่องไทยทานตาม พระศรีวิชัยไปทําบุญประมาณ ๖๐๐ คน ครั้นไปถึงลําพูนพวกขาราชการในจังหวัดสงสัยวาเปนกบฏ และ พวกเจาคณะสงฆเพงเล็งจับโทษอยูแลว จึงตั้งขอหาเพื่อจับตัวพระศรีวิชัย ไปไวที่วัดหลวงจังหวัดลําพูน เมื่อพลโทหมอมเจาบวรเดชไปตรวจราชการ ที่จังหวัดลําพูน จึงไดเอาตัวพระศรีวิชัยไปกักขังไวที่วัดศรีดอนไชย จังหวัด เชียงใหม ไดเรียกเอาตัวไปไตสวนเห็นวาไมมีความผิด แตยังบกพรองทาง ดานความรู จึงใหพระศรีวชิ ยั ทําทัณฑบนยอมเลาเรียนอยูใ นสํานักใดสํานัก หนึง่ แลวแตพระครูและคณะสงฆเห็นสมควร เมือ่ พระศรีวชิ ยั ทําทัณฑบนแลว พระครูและคณะก็หาไดจดั การใหพระศรีวชิ ยั ไปอยูส าํ นักใดไม เอาไปกักขัง ที่วัดศรีดอนไชยตามเดิม และจัดใหคนไปคอยควบคุมคอยตรวจตรา พระศรีวชิ ยั วาจะมีเวทมนตรหรืออภินหิ ารอยางไรบาง จึงมีผคู นนิยมกันมาก แตก็หามีอาการประหลาดแตอยางใด ในระหวางที่พระศรีวิชัยถูกกักขังควบคุมอยู ๒ เดือนเศษมีพวกแขก อินเดีย พมา ตองซู กะเหรี่ยง ชาวลําพูน เมืองตาก แมฮองสอน เมืองปาย เมืองพราว และเชียงดาว พากันเดินทางไปทําบุญกับพระศรีวิชัยวันละ หลายรอยคนเปนเนืองนิจอยางมิไดขาด
๘๖
วันที่ ๑๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๓ พลโทหมอมเจาบวรเดช รับสั่ง ให ห ลวงประสานคดี ช นควบคุ ม พระศรี วิ ชั ย มาไว ที่ ก รุ ง เทพฯ เมื่ อ มี ผูนิยมนับถือพระรูปนี้เชื่อวาทางราชการนาจะมีความยินดีรับพระรูปนี้ไว แนะนํา สัง่ สอน ใหมคี วามรูท างพระพุทธศาสนาชํา่ ชอง จึงจัดสงขึน้ ไปสอน ที่จังหวัดเชียงใหม เพื่อใหสั่งสอนในพุทธศาสนาตอไป ถาพระรูปนี้กลับไป จังหวัดเชียงใหมแลวการพระศาสนาคงมีความเจริญรุงเรือง โดยเหตุวามี คนเคารพนับถือพระรูปนีม้ ากอยูแ ลว ตัวอยางชาวตางประเทศตองการเลือก หาคนดีทม่ี ผี นู ยิ มนับถือมาตัง้ เปนหัวหนาสอนราษฎรรูจ กั บาปบุญคุณโทษ กลับตัวเปนพลเมืองที่ดี อีกประการหนึ่งเมื่อกรรมการอําเภอแตงตั้งกํานัน ผูใหญบานคัดเลือกโดยราษฎรลูกบาน จัดตั้งใหผูใดเปนกํานันผูใหญบาน ไดตามความเห็นของราษฎรหมูมาก พระศรีวชิ ยั รูปนีม้ ผี นู ยิ มนับถือทัว่ ไปทัง้ มณฑลพายัพ ถาเปนเปอรเซ็นต ก็มีผูนิยมทานถึง ๘๐ เปอรเซ็นต ควรที่ทางการจะรองรับไว ถาทรง พระกรุณาโปรดเกลาโปรดกระหมอมใหพระรูปนีข้ นึ้ ไปสัง่ สอนประชาชนอยู ในจังหวัดเชียงใหมแลวเชือ่ วา พลเมืองทีป่ ระพฤติตนในทางทุจริตคือ ปลน ฆาฟนกันตายที่เปนมาทุกวันคงสงบเบาบางลง แตขอกระซิบวา! ไมควรเชือ่ ถอยคําของพระภิกษุบางรูปในมณฑลพายัพที่ยุแหยวาพระศรีวิชัยคิดกบฏ ตอพระศาสนา องคพระมหากษัตริยหรือขัดขืนอะไรตางๆ นั้นเปนอัน ไมจริงทัง้ สิน้ บางทีอาจเกรงไปวาทางราชการจะตัง้ ใหพระศรีวชิ ยั เปนใหญ และขาดลาภยศ ขอใหนกึ ดูทา นผูม คี วามฉลาดเฉลียวอยางนี้ ถาแตงตัง้ เอา ไวส่ังสอนผูคนคงดีไมนอย และขอใหเขาใจวาถาขาราชการที่ประพฤติช่ัว ความชั่วนั้นราษฎรก็รูเขากอนทางราชการ หรือถาภรรยามีชูพวกชาวบาน ก็มักเห็นกอน นี่ราษฎรทั้งมณฑลก็เห็นดี แลวทางราชการจะไมเห็นดีดวย บางหรือ หวังวาทานบรรณาธิการคงชวยตะโกนบอกใหผูใหญรูดวย เพื่อ เปนทางดําริตอไป
๘๗
อิทธิพลของหนังสือพิมพ เมือ่ ขาวปรากฏทีห่ นังสือพิมพบางกอกไทม สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรสทอดพระเนตรขาวของพระครูบาเจาขณะประทับ ณ จังหวัดนนทบุรี ทรงมีหนังสือถึงพระบรมวงศเธอกรมหมืน่ ชินวรสิรวิ ฒ ั น ซึ่งเปนองคประธานคณะกรรมการไตสวนอธิกรณของพระครูบาเจาฯ มีรายละเอียดในหนังสือพิมพดังนี้คือ ฉันไดอานหนังสือพิมพบางกอกไทม วันที่ ๗ เดือนนี้ ตอน ภาษาอังกฤษกลาวถึงขาวของเมืองเหนือมีใจความวา พระรูปหนึง่ อยู วัดบานปางหรืออะไรจังหวัดลําพูน ชื่อพระศรีวิชัย อายุราว ๔๐ ป ผูค นนับถือมาก พระศรีวชิ ยั ขออนุญาตอุปสมบทตอเจาคณะแขวงและ นายอําเภอเขาวาจักอนุญาตให ครั้นรอจวนมาถึงเขาพรรษาก็บอก วาไมได พระศรีวิชัยจัดการอุปสมบท แตไมไดกลาวความชัดวาเปน พระอุปชฌายเอง เจาคณะจังหวัดกับคณะกรรมการอําเภอถือเปน ความผิด เอาตัวไปกักขังทีว่ ดั หลวง (วัดพระธาตุหริภญ ุ ชัย) เวลา ๑ ป แล ว ปล อ ยตั ว กลั บ ไปบ า นปาง และให ถ อดออกจากตํ า แหน ง เจาอาวาส หลังจากนั้นคณะกรรมการอําเภอไปตรวจบัญชีพระเณร ทีว่ ดั บานปาง พระเณรหนีเขาปาจึงสํารวจไมสาํ เร็จ จึงใหพระศรีวชิ ยั ทําการสํารวจ เธอตอบวาเธอไมใชเจาอาวาส และเมือ่ เจาคณะจังหวัด เรียกตัวทานพระศรีวชิ ยั แตพระศรีวชิ ยั หาไปไม สวนเจาผูค รองนคร ลําพูนนิมนตไปทําบุญ เธอจึงมีคนติดตามมากมาย เจาคณะจังหวัด
๘๘
จึงหาวาทานเปนกบฏ จึงเอาตัวไปกักขังที่วัดหลวงอีก คราวนี้ หม อ มเจ า บวรเดชอุ ป ราชมาพบเข า จึ ง พาตั ว ไปกั ก ขั ง ไว ที่ วั ด ศรี ดอนไชย จังหวัดเชียงใหม เมื่อพระมหานายกออกไปสอบพระธรรม วินยั และไดเรียกมาสอบถามพิจารณาลงความเห็นวาพระศรีวชิ ยั ไมมี ความผิด เปนแตไมรูการศาสนา ควรใหศึกษาอยูที่จังหวัดเชียงใหม โดยใหทําทัณฑบนวาจะไมขัดขืน สวนเจาคณะไดแตงตั้งใหคนคอย ตรวจดูวาพระศรีวิชัยใชเลหเหลี่ยมอยางไรบางในการที่คนนิยม ติดตามแตจับเอาผิดอะไรไมได ภายหลังพระศรีวิชัยไดถูกสงมา กรุงเทพฯ ผูส อื่ ขาวกลาววาพระศรีวชิ ยั มีคนติดตามมากเชนนีส้ มควร ที่รัฐบาลจะสนับสนุนใหไปสั่งสอนประชาชนจักเปนประโยชนอยาง มาก คนชัว่ จะนอยลง แตนพี้ ระศรีวชิ ยั ไมรกู ารพระศาสนาสมควรได รับการศึกษากอนแลวจึงสงตัวกลับขึ้นไป คําของบรรณาธิการเปน คําของผูนับถือพระศรีวิชัย เขาปรารภวาปรารถนาใครจะฟงอีกฝาย หนึ่ง เรื่องนี้พระมหานายกไมไดเขามาบอกใหรู เทาที่บอกความมา กอนนัน้ ไมชดั แจงเหมือนในหนังสือพิมพกลาวมา หมอมเจาบวรเดช จะมีบอกสํานวนเรื่องนี้เขามา นอกจากนี้ไมไดรูเห็นอีกเลย เทียบเรือ่ งทีพ่ บมาจากทีอ่ น่ื จนเกิดเกรงวาจะอคติกบั พระศรีวชิ ยั ก็เกรงไปวาจะเปนผีบุญ แตไมอาจจะยกความผิดขึ้นฟองรองลงโทษ อาญา จึงหาความผิดทางคณะสงฆเรื่องนี้ปรากฏวา เมื่อไปเอาตัว คราใด พระศรีวิชัยก็มาทุกคราวไมไดตอสู ในคราที่ไมมาก็เปนแต ถูกเรียกไมใชถกู จับตัว สอวายังไมเปนผีบญ ุ สวนความผิดในคณะสงฆ ตามขาวนี้มีเพียงการเปนอุปชฌายบวชพระเณรวาเปนอุปชฌาย เถื่อน นอกจากนี้ไมรูวามีความผิดอะไรอีก เรื่องนี้เปนเรื่องอื้อฉาว แลวจึงสอบถามหมอมเจาบวรเดชดูวา พระศรีวชิ ยั ไดทาํ ความผิดอัน
๘๙
อาจยกขึน้ เปนอาญาแผนดินอันเจาหนาทีจ่ ะพึงฟองในศาลไดหรือไม ถาเธอทําอยางนั้นและเจาหนาที่จะเอาความแกเธอ จงใหรับตัวไป ฟองรองยังศาลมณฑลพายัพ ถาพระศรีวชิ ยั ไมไดทาํ ความผิดเชนนัน้ จงเรียกสํานวนทางคณะกรรมการมาตรวจดูถงึ ความผิดทางคณะวามี อะไรบาง ความผิดเพราะการเปนอุปช ฌายบวชเอาเองนาจะลงโทษแลว ไดแก การเอาตัวมากักขังไวครัง้ แรก ๑ ป และถอดออกจากตําแหนง เจาอาวาสเปนธรรมเนียมที่จะตองกราบทูลฉัน ถาฉันเปนผูสั่งการ เรียกไมมา เนื่องจากไมไดทําการสํารวจวัดบานปาง ถาจริงอยางใน หนังสือพิมพกลาว พระศรีวิชัยเถียงถูกเชนนั้นฉันไมเคยลงโทษ เมื่อไดรับความอยางไรแลวจึงนําไปปรึกษาในมหาเถรสมาคมจะ หยั่งรูความผิดโดยถองแท และลงโทษแตพอดี และถาโทษนั้นอาจลงโทษ ไดในกรุงเทพฯ เสร็จแลวปลอยตัวกลับ ถาจะลงโทษที่โนนก็ตองมีคําสั่งให ชัดเจนถึงอุปราช ถาพิจารณาความผิดทางคณะของพระศรีวิชัยจงอยาฟง คําของคณะสงฆฝา ยเดียว จงฟงคําของพระศรีวชิ ยั ดวย เพือ่ เธอหาชองแกตวั นี้ ควรพิจารณา และควรไดรับความดําริแกฉัน แตฉันจะอานสํานวนเรื่องนี้ แลวจึงใครครวญ แลวจึงวินจิ ฉัยเปนการหนักแนนแกใจฉัน เวลานี้จึงไดให คําสั่งแกทานทําแทน ขออยาไดยอนมาถึงฉันที่จะตองอานสําเนา เรื่องนี้ลงขาวหนังสือพิมพ ภาคภาษาไทยในวันตอมา ฉันไดตัดสง มาดวยขอความที่เลามานั้นไมไดแปล แตเลาความที่จําได อนึ่งเมื่อสง พระศรีวิชัยกลับโดยไมมีโทษแลว จึงใหมีสังกัดวัดอยู อยาใหจรจัด เพื่อกัน เจาคณะแกลง จงถามพระศรีวิชัยวาสมัครใจอยูวัดใดแลวใหวัดนั้นรับไว
๙๐
สมเด็จพระสังฆราชเจาทรงเปนประธานตัดสินคดี จากพระราชหัตถเลขาของสมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยา วชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราชเจา องคที่ ๑๐ เราจะพบวาพระองคทรง มีพระราชหฤทัยเทีย่ งแทยตุ ธิ รรมมีพระเมตตากรุณาถึงพรอม จึงเปนหนาที่ อันหนักยิง่ ของพระวรวงศเธอ กรมหมืน่ ชินวรสิรวิ ฒ ั น เจาคณะใหญหนกลาง และคณะกรรมการสงฆอีก ๒ ทาน คือ พระญาณวราภรณ และพระธรรม ไตรโลกาจารยที่ตองพิจารณาตัดสินขออธิกรณของพระครูบาเจาศรีวิชัย อยางรอบคอบที่สุด การสอบขออธิกรณของพระครูบาเจาศรีวชิ ยั ตัง้ แตปลายเดือนมิถนุ ายน พ.ศ.๒๔๖๓ พระวรวงศเธอ กรมหมื่นชินวรสิริวัฒน เจาคณะใหญหนกลาง ปฏิบัติงานอยางเหน็ดเหนื่อย เพราะตองรวบรวมหลักฐานตางๆ ตลอดจน ขอสํานวนเกาจากเจาเมืองลําพูนและเชียงใหม เจาคณะมณฑลเชียงใหม ตลอดจนพลโทหมอมเจาบวรเดชอุปราชมณฑลพายัพ ในระหวางพระครูบาเจาศรีวิชัยถูกนําตัวไปสอบสวนที่กรุงเทพฯ ณ วัดเบญจมบพิตร ถูกคณะกรรมการทีส่ มเด็จพระสังฆราชเจาตัง้ ขึน้ สอบสวน ทุกขอ เรื่องไหนที่ทําผิดทานยอมรับผิด ที่ไมผิดก็ยืนยันวาทําถูกตอง ผลของการสอบสวนเปนอยางไรนัน้ พระวรวงศเธอ กรมหมืน่ ชินวรสิรวิ ฒ ั น เจาคณะใหญหนกลาง องคประธานในการไตสวนทรงมีรายงานมาถึง สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ดังสําเนาตอไปนี้
๙๑
โดยมีคําสั่งใหเกลากระหมอมกับพระญาณวราภรณ และพระธรรม ไตรโลกาจารย พิจารณาเรือ่ งพระศรีวชิ ยั วัดบานปาง อําเภอลี้ จังหวัดลําพูน ถูกกลาวหาวามีพรรคพวกเปนอันมาก เปนเหตุระแวงเจาหนาที่ฝาย อาณาจักรวาเปนผีบุญ ไมทําการออนโยน และทําการขัดขืนตอคณะสงฆ จังหวัด เกลากระหมอมไดทลู ถามหมอมเจาบวรเดชอุปราชมณฑลพายัพวา การทีพ่ ระศรีวชิ ยั มีคนนิยมตามมากนัน้ อาจยกความผิดเปนอาญาฟองรอง ต อ ศาลได ห รื อ ไม ได รั บ คํ า ตอบว า หามี ค วามผิ ด ถึ ง เช น นั้ น ไม แล ว เกลากระหมอมทัง้ หลายจึงไดพจิ ารณาถึงการทีพ่ ระศรีวชิ ยั ไมออ นโยน และ ขัดขืนตอคณะสงฆโดยสวนเดียวไดรับความ ดังนี้ ๑. ตั้งตัวเปนอุปชฌาย บวชกุลบุตรไมมีใบอนุญาต ๒. ไมอยูในบังคับของพระครูมหารัตนากร เจาคณะแขวงลี้ ๓. เจ า หน า ที่ ฝ า ยอาณาจั ก รเรี ย กประชุ ม สงฆ ท อ งที่ อํ า เภอลี้ เพื่อตักเตือนใหรูระเบียบและทางราชการสงฆไปประชุมทุกวัด เวนแต พระศรีวิชัยไมไป ๔. ทางราชการปาวรองใหวัดทั้งหลายจุดประทีป ตีฆอง กลอง ใน พิธีราชาภิเษก วัดทั้งหลายทําตาม แตพระศรีวิชัยไมทํา ๕. เจาคณะแขวงลี้เห็นวาวัดทั้งหลายขัดขืนตอการปกครองของ คณะสงฆ เพราะเอาอยางพระศรีวชิ ยั จึงรองขอตอพระครูศรีวลิ าศ (คนละรูป กับพระครูญาณมงคล) ผูรับตําแหนงเจาคณะจังหวัดลําพูน ไดวากลาว ตักเตือนเรื่องทัณฑบนพระศรีวิชัยขัดขืนประพฤติดังกอนอีก ขอ ๑ ถึงขอ ๕ เจาคณะแขวงกักตัวลงโทษพระศรีวิชัย ๒ ป ตาม คําสั่งของเจาคณะเหนือ ๖. เจาหนาที่ฝายอาณาจักรขอสํารวจสํามะโนครัว พระศรีวิชัย ไมยอมสํารวจใหเจาหนาที่ตรวจเอาเอง เจาคณะแขวงลี้แจงไปก็ไมทําตาม
๙๒
๗. เจาคณะแขวงลี้นัดประชุมเจาอธิการวัดทั้งปวงในแขวงของตน เจาอธิการทั้งหลายไมไปเพราะเอาอยางพระศรีวิชัย ๘. เลากันวา พระศรีวิชัยเปนผูมีบุญมีดาบฝกทองคํา ๑ เลม ตกลง มาจากอากาศสูแทนบูชา พระศรีวิชัยเก็บไวบูชา พระศรีวิชัยเดินบนนํ้าได โดยไมเปยกนํ้า การลือนั้นพระศรีวิชัยจะอวดเอา หรือคนจะลือไปเอง ก็ ถือวาเกิดจากพระศรีวิชัยเปนเหตุใหมหาชนหลงนับถือ ขอ ๖ ถึงขอ ๘ เจาคณะแขวงและเจาคณะลําพูน ลงโทษพระศรีวิชัย โดยไลออกจากจังหวัดลําพูน ตามคําสั่งของผูแทนเจาคณะใหญหนเหนือ ภายใน ๑๕ วัน พระศรีวิชัยไมไป เจาคณะหาวาขัดขืนคําสั่ง จึงไดนําตัว พระศรีวิชัยมากักขังไว ตอมาหมอมเจาบวรเดชขออนุญาตเจาคณะใหญ หนเหนือสงพระศรีวิชัยลงกรุงเทพฯ เกลากระหมอมทั้งหลายไตสวน พระศรีวิชัยเธอกําลังใหการดังตอไปนี้ ๑. ขอ ๑ ถึงขอ ๕ พระศรีวิชัยรับสารภาพ ๒. ขอ ๖ พระศรีวิชัยแกวาเธอไมไดเปนเจาอาวาส ไมใชหนาที่ของ เธอ ขอ ๘ พระศรีวิชัยปฏิเสธวา ของเชนนั้นเธอไมมี และไมไดอวด เขาลือ กันไปเอง เกลากระหมอมพิจารณาเห็นรวมกันดังนี้ ๑. ขอ ๑ ถึงขอ ๕ พระศรีวิชัยรับสารภาพ และไดรับโทษแลวเปน อันไมตองพิจารณา ๒. ขอ ๕ ตามคําแถลงของพระศรีวิชัยนั้นถูก เพราะเธอถูกถอด ๓. ขอ ๗ เปนความผิดของพระอธิการผูเ อาอยางตางหาก พระอธิการ ไปเอาอยางผูไมใชพระอธิการ พระศรีวิชัยไมผิด ๔. ขอ ๘ ไมมหี ลักฐานวาพระศรีวชิ ยั อวด เมือ่ มีคนเลาลือกันไปเอง จะลงเอาวาพระศรีวิชัยมีความผิด เพราะเกิดแตเธอหาถูกไม
๙๓
ตามทีพ่ จิ ารณามาในขอ ๖, ๗, ๘ ไดความวา พระศรีวชิ ยั ไมมคี วามผิด เจาคณะลงโทษเกินไป เพราะฉะนั้นควรปลอยใหกลับสูภูมิลําเนาของตน ควรมิควร แลวแตจะทรงพระกรุณาโปรดเกลา ลงพระนาม ลงนาม ลงนาม
กรมหมื่นชินวรสิริวัฒน พระญาณวราภรณ พระธรรมไตรโลกาจารย
๙๔
สําเนาพระดํารัสสั่งคําวินิจฉัย ดวยไดอา นรายงานของกรมหมืน่ ชินวรสิรวิ ฒ ั น กับพระญาณวราภรณ พระธรรมไตรโลกาจารย เขากันเปนคณะกรรมการพิจารณาเรือ่ ง พระศรีวชิ ยั วัดบานปาง อําเภอลี้ จังหวัดลําพูน แลวคณะกรรมการไมไดพจิ ารณาขอหา ๕ ขอเบื้องตน ดวยเห็นวาพระศรีวิชัยรับสารภาพและรับโทษแลวนั้น เพง โดยฐานเปนการลวงแลวก็ไมจาํ เปนตองพิจารณาจริง แตเมือ่ เพงถึงยุตธิ รรม และความเปนแบบอยางแลว ควรวินิจฉัยดวย ขอ ๑ พระศรีวิชัยตั้งตัวเปนพระอุปชฌายเอาเอง บวชกุลบุตรโดย ไมมีใบอนุญาตนั้น มีความผิดตอคณะโดยแท เจาคณะลงโทษกักตัว พระศรีวิชัยใหอยูกําหนดโทษถึง ๒ ปแรงเกินไป เชนนี้ตามธรรมเนียมที่ เป น มาเราเป น ผู สั่ ง ลงโทษเอง คดี น้ี เจ า คณะหนเหนื อ สั่ ง ตามลํ า พั ง ก็ ไมผิดดอก แตถาคําสั่งของเราการลงโทษจักเปนโดยพอดี ขอ ๒ ตกไป ขอ ๓ เจาหนาที่ฝายอาณาจักรเรียกประชุมคณะสงฆ เพื่อตักเตือน ใหรรู ะเบียบการคณะสงฆและทางราชการ พระศรีวชิ ยั ไมไปนัน้ ถาเขาบอก เจาคณะแขวงเปนผูบ อกนัด พระศรีวชิ ยั เปนเจาสํานักปกครองคณะสงฆหมู หนึ่ง และมิไดแจงขอขัดของที่จะมิไดมีความผิด ถาลําพังเจาหนาที่ฝาย อาณาจักรเรียกประชุมเอง พระศรีวิชัยไมไปจะยกเอาเปนความผิดไมได ขอ ๔ ทางราชการปาวรองใหวัดทั้งหลายตามประทีป ตีฆองกลอง ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช พระศรีวิชัยไมทําตามนั้น การตาม ประทีป ตีฆอ งกลองเปนกิจอันพึงกระทําดวยความสมัครใจทางราชการปาว
๙๕
รองก็เปนแตเพียงนัด ถาเปนการบังคับแลวผิดทางไมเปนพระเกียรติยศ พระศรีวิชัยไมทําตาม ไมควรยกเปนความผิด ขอ ๕ วัดทั้งหลายขัดขืนตอการปกครองเจาคณะแขวงลี้ ยกเปน ความผิดพระศรีวิชัยนั้นหาถูกไม ชอบแตจะเอาผิดแกเจาอาวาสทั้งหลาย เหลานั้นเอง ขอหาทั้ง ๕ ขอ ดูเปนไปในคราวตางกัน เจาคณะจะเอาโทษควรยก ขึ้นวาในคราวที่ทํา ไมยกวาในครั้งนั้นๆ มาประมวลชี้ข้ึน และลงโทษใน คราวเดียวกันอยางนีไ้ มเปนหลักฐาน คนทัง้ หลายจึงเห็นวาเปนการขมเหง พระศรีวชิ ยั อันทีจ่ ริงดูเหมือนจะระแวงตามหนาทีฝ่ า ยอาณาจักรวาเปนผีบญ ุ จะยกความผิดนัน้ ไมถนัด จึงหยิบความผิดทางนัน้ มาประมวลกันเปนสาเหตุ ลงโทษ เพื่อจะเอาตัวมากักไวเทานั้น เพราะผูติดตามมามากอยางนี้ยัง ไมไดทําการอันจัดเปนความผิดทางอาญาแผนดิน หรือทางพระศาสนายัง เอาโทษไมได เมือ่ ถูกลงโทษโดยมิบงั ควรนอกจากผิดยุตธิ รรม คนทัง้ หลาย สงสารยอมเห็นความชอบของเธอ และนับถือมากขึน้ ครัง้ โบราณกาลเชนนี้ เปนไปรุนแรง เปนสาเหตุตั้งศาสนาขึ้นใหมก็เคยมีมาแลว ขอ ๖, ๗, ๘ คณะกรรมการควรวินิจฉัยวา พระศรีวิชัยไมมีความผิด เจาคณะลงโทษเกินไป ควรปลอยพระศรีวิชัยกลับสูภูมิลําเนาของตนนั้น ชอบแลว แตถาจะปลอยกลับตามลําพัง เขากับเจาคณะไมไดก็จะเตร็ดเตร อยู ควรจัดสงขึ้นไปตามเดิม ถาไมควรก็จงอยูในสังกัดวัดใดวัดหนึ่งที่ พระศรีวชิ ยั จะพึงเลือกเอาไดตามใจชอบ กรมหมืน่ ชินวรสิรวิ ฒ ั นจงสัง่ ตามนี้ ลงนาม กรมพระยาวชิรญาณวโรรส หลังจากนี้ องคสมเด็จพระสังฆราชเจายังไดมีพระปรารภเกี่ยวกับ พระครูบาเจาศรีวิชัยถึง พระวรวงศเธอ กรมหมื่นชินวรสิริวัฒน ดังมีสําเนา ตอไปนี้
๙๖ (สําเนา)
ที่ ๔/๓๓ วัดเขมาภิตาราม วันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๔๖๓ กรมหมื่นชินวรสิริวัฒน เจาคณะใหญหนกลาง วันนีฉ้ นั ไดพบพระศรีวชิ ยั แลวไดไตสวนวาเปนพระทีอ่ อ นโยน ไมใช ผูถือกระดาง ไมใชเจาเลหเจากล ไมคอยรูธรรมวินัย แตมีสัญญาพอจะ ประพฤติใหเปนอยูไดอยางพระที่หางสังคมการที่ตั้งตัวเปนพระอุปชฌาย เอานั้นดวยไมรูความหมาย ไมรูหมายประกาศ ทําตามธรรมเนียมคือ พระอุปชฌายของเธอชื่อ ขัติยะ เมื่อจะถึงมรณภาพไดตั้งเธอปกครองวัด แทนถือวาไดตงั้ มาจากพระอุปช ฌายะ เพราะการทีไ่ มรจู กั ระเบียบแบบแผน ถูกเอาตัวมาลงโทษกักไวเกือบไมรูวาเพราะความผิดอะไรพระอยางนี้ตอง อธิบายใหรจู กั ความผิดชอบดีกวาจะลงโทษ ความปรารถนาของพระศรีวชิ ยั ใครจะกลับไปอยูวัดบานปางตามเดิมแตไมพอใจที่จะเปนเจาสํานัก แตถา วัดบานปางรางเสียแลวจะหาที่อยูใหมตอไป ในคราวที่พระศรีวิชัยถูกเอา ตัวมากักไวสามเณรสึกเสีย ๑ รูป สวนพระยังอยูหรือหมดไปพระศรีวิชัย หารูไม ถาพระศรีวิชัยจักอยูวัดบานปางนาจะใหเปนเจาสํานัก แตไมรู ระเบียบแบบแผนนาจะไมพนความผิด เวนแตจะไดรับความเมตตาของ เจาคณะพรํ่าสอน แนะนําใหเขาใจระเบียบแบบแผน ครั้นยกพระรูปอื่น ใหเปนเจาสํานักจะเปนหุนใหพระศรีวิชัยพึงชักดวยไมตองรับผิดชอบ พระศรีวิชัยบอกวาเจาคณะจังหวัดลําพูนปรารถนาใหพระศรีวิชัยศึกษาให ไดความรูกลับไปแตพระศรีวิชัยไมสบายเกรงจะเรียนไมไหว ปรารถนาจะ ใหกลับไปลําพูนเพื่อจําพรรษา ฉันเห็นวาพระศรีวิชัยอายุถึง ๔๓ ปแลว
๙๗
ทั้งยังไมไดรับความขัดเกลามาดวยเกรงวาจะไมสําเร็จเหมือนกัน เธอจงสง พระศรีวชิ ยั ไปกอนพรรษา จงมอบใหเจาครองนครลําพูนชวยเปนธุระใหได กลับไปอยูวัดบานปางหรือวัดอื่นที่พระศรีวิชัยพอใจหรือตองเปนหัววัดเอง หรือพระองคอนื่ เปนหัววัดโดยจริงจังอยาปลอยใหเตร็ดเตรแตเพียงรูปเดียว แตขอใหเจาครองนครลําพูนชักจูงพระศรีวชิ ยั ใหรจู กั ออนนอมตอคณะสงฆ จังหวัดนั้น ถาสงพระศรีวิชัยกลับไป จงแจงแกพระญาณวราภรณใหจายเปน สวนของฉัน ลงนาม กรมวชิรญาณวโรรส หลังจากนี้ พระวรวงศเธอ กรมหมื่นชินวรสิริวัฒน ไดสั่งใหพระครู ปลัดสัมพิพฒ ั นพรหมจริยาจารย สงขอความไปลงหนังสือพิมพบางกอกไทม มีขอความดังนี้
๙๘ (สําเนา)
แจงความแกหนังสือพิมพบางกอกไทม ดวยพระวรวงศเธอ กรมหมื่นชินวรสิริวัฒน เจาคณะหนกลาง ตรัส สั่งใหขาพเจาแจงวา เจาคณะใหญหนกลาง สมเด็จพระมหาสมณเจา ฯ ได ทรงทราบเรื่องพระศรีวิชัย วัดบานปาง อําเภอลี้ จังหวัดลําพูน ในหนังสือ ของทาน ลงวันที่ ๑๔ มิถุนายน ภายหลังมีดํารัสรับสั่งของพระองคทา น ทรงวาการคณะสงฆแทนพระองค ในคราวประชวรกับพระญาณวราภรณ พระธรรมไตรโลกาจารยเขากันเปนคณะกรรมการไตสวนเรื่องพระศรีวิชัย ไดความวาการทีม่ คี นติดตามพระศรีวชิ ยั มากนัน้ เจาหนาทีร่ ะแวงวาจักเปน ผีบุญและทําการจลาจลแตยังจับผิดฟองเปนอาญาแผนดินไมได สวนใน คณะสงฆพระศรีวชิ ยั มีความผิด ฐานเดียวทีไ่ มไดรบั แตงตัง้ เปนพระอุปช ฌายะ อันชอบตามระเบียบการปกครองคณะสงฆออกไปถึงมณฑลนั้นถือวาเอา คณาจารยเจาสํานักผูเ ปนอุปช ฌาย เมือ่ มรณภาพแลวมอบใหศษิ ยผหู นึง่ ให ครองสํานักและเปนอุปช ฌายะตอไป พระศรีวชิ ยั ไดรบั มอบจากพระอุปช ฌาย ของเธออยางนั้นเชนนี้ควรไดรับความปรานีช้ีแจงระเบียบการปกครอง คณะสงฆใหเขาใจยังไมควรลงโทษ สวนในขออื่นคณะกรรมการเห็นวา พระศรีวิชัยไมมีความผิด การที่พระศรีวิชัยถูกกักขังไวเกินควรคงเนื่องมา จากการระแวงสงสัยของเจาหนาที่อาณาจักรนั่นเอง ไดทําการวินิจฉัยให ปลอยพระศรีวิชัย สมเด็จพระมหาสมณเจา ฯ ทรงอนุมัติโปรดใหขาพเจา สงสําเนาคําวินจิ ฉัยของสมเด็จพระมหาสมณะเจามาดวย ถาทานปรารถนา จะโฆษณาในหนังสือพิมพของทานก็ได พระองคตรัสสัง่ ผูแ ทนเจาคณะหนเหนือใหสง พระศรีวชิ ยั กลับไปกอน หนาพรรษานี้ สมเด็จพระมหาสมณะประทานคาเสบียงสวนพระองคทรง
๙๙
มอบใหเจาครองนครลําพูนเปนธุระพระศรีวิชัยใหมีถ่ินฐานที่อยูโดย ผาสุก ทานพระธรรมวโรดมไดสงพระศรีวิชัยกลับขึ้นไปแลวเมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๔๖๓ การทีผ่ สู อ่ื ขาวของทานแนะนําวาควรใหพระศรีวชิ ยั ศึกษาพระศาสนา พอรูและสงกลับไปสอนมหาชนที่น่ันจะเปนประโยชนแกฝายอาณาจักร มากนั้น สมเด็จพระมหาสมณะเจาทรงดําริเห็นดวยแตไดตรัสเรียก พระศรีวชิ ยั ไปเฝาเมือ่ สมเด็จพระมหาสมณะเจาพักอยูท ว่ี ดั เขมาภิตารามทรง ไลเรียงพระศรีวิชัยดวยพระองคเองเห็นวามีความรูทางศาสนานอยนัก ทางวินัยก็รูเพียงปาราชิก ๔ ทางภาวนาไมมีทางอื่นนอกจาก บริกรรม ปฏิสังขาโย อัชชมยาและอิติปโส แตเปนผูมีเจตนาดี มีสมณะสัญญา รูสึก ตัววาเปนสมณะจึงมีความตั้งใจและจะสังวรทําตามอยางสมณะ เปนพระที่ เครงครัดถาจักเปนคณาจารยถึงใหบรรพชาจึงจําตองรูแบบแผนโดยแท ทัง้ ทางวินยั และทางคณะสงฆใหมากพอก็ทาํ การนัน้ ได เธอเองก็ไดกราบทูล วาเจานครลําพูนมีความปรารถนาเชนนั้นเหมือนกัน แตเธอเห็นวาจัก กระทําไมสําเร็จพอใจจะกลับขึ้นไป จึงทรงอนุมัติตาม ลงนาม พระครูปลัดสัมพิพัฒนจริยาจารย วัดราชบพิตร วันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๔๖๓ การสอบสวนขอกลาวหาพระครูบาเจาศรีวิชัย ใชเวลา ๒ เดือน ๔ วัน คณะกรรมการลงความเห็นวา พระครูบาเจาศรีวชิ ยั เปนผูบ ริสทุ ธิไ์ มมี ความผิดตามขอกลาวหา ธรรมยอมคุมครองผูประพฤติธรรม สมเด็จ พระสังฆราชเจาเฝาดูพระครูบาเจาศรีวิชัยมาโดยตลอด ดวยความซื่อสัตย
๑๐๐
ออนโยนและพูดตรงไปตรงมา โดยเฉพาะในดินแดนลานนาไทยในยุคนัน้ การถาม-ตอบจะเปนเชิงปฏิภาณเปนปริศนา ดังนั้นคําตอบของพระครูบา เจาศรีวิชัยที่ฟงดูการตอบออกจะงายๆ ยิ่งที่วา “อิติปโสก็ยังเรียนไมจบ” นั้น คือคําตอบที่แฝงดวยนัยยะที่สื่อถึงความลึกซึ้งคุณของพระศรีรัตนตรัย นัน่ หมายถึง “การบรรลุสคู ณ ุ ธรรมอันเปนคุณสมบัต”ิ ฉะนัน้ จะตองใชเวลา ขบคิดตีปริศนาใหแตก โดยใชหลักวิปสสนาพิจารณาใหปญญาแตกฉาน ถึงที่สุด ก็คือ “ไมสามารถสื่อสารเปนคําพูด” (มิใชเปนความรูที่ไดมาจาก การทองจํา) มันเปนปรมัตถคอื ความสงบ ดวยเหตุนสี้ มเด็จพระสังฆราชเจา ทรงเขาพระทัยและทรงพระเมตตาถึงขนาดทรงพระกรุณาพระราชทาน ปจจัยเปนเงินจํานวน ๖๐ บาท เพื่อใชจายในการเดินทาง ยิ่งไปกวานั้น ยังฝากไปยังเจาครองนครลําพูนใหดแู ลพระครูบาเจาศรีวชิ ยั ความซาบซึง้ ในพระมหากรุณาธิคุณ กอนออกเดินทางพระครูบาเจาไดไปกราบทูลลา สมเด็จพระสังฆราชเจาฯ รวบรวมปจจัยที่ศรัทธานํามาถวายทําดอกไมเงิน ดอกไมทอง เครือ่ งอัฏฐบริขารถวายพระแกวมรกต วัดพระศรีรตั นศาสดาราม ในพระบรมหาราชวัง และทรงโปรดใหรถยนตเปนพาหนะนําพระครูบาเจา ศรีวิชัย นําดอกไมเงิน ดอกไมทอง ไปนมัสการ พระปฐมเจดีย จังหวัด นครปฐม เมื่อปฏิบัติศาสนกิจเสร็จแลว วันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๔๖๓ ทานจึงอําลาจากกรุงเทพมหานครเดินทางสูจ งั หวัดลําพูนเปนการเดินทาง อยางมีอิสรภาพไมมีการควบคุม เมื่อเดินทางสูอําเภอลี้มีผูคนมากมาย ชื่นชมบุญบารมีดวยหัวใจอิ่มเอิบเบิกบานปราโมทยเกิดพลังความศรัทธา ของมหาชนเพิ่มขึ้นเปนทวีคูณ
๑๐๑
งานบูรณะองคพระบรมธาตุหริภุญชัย และหลักธรรมคําสอนของครูบาเจาฯ พระครูบาเจาศรีวชิ ยั สิรวิ ชิ โย ดําริบรู ณะพระบรมธาตุเจาหริภญ ุ ชัย จึงขออนุญาตเจาคณะจังหวัดและ ผูค รองนครลําพูน เมือ่ ไดรบั อนุญาต จึงเดินทางสูนครลําพูน ประชาชน และบรรดาศรั ท ธาทั้ ง หลายพอ ทราบขาวตางมีความยินดีและให ความรวมมือพระครูบาเจาศรีวิชัย ไดตงั้ ใจทําการบูรณะปฏิสงั ขรณเปน งานสําคัญยิ่งใหญเพราะพระวิหาร หลวงและพระบรมธาตุทปี่ รักหักพัง ลงมาก เมื่อสรางแลวจึงไดลงรักปดทองลวดลายหนาบันพระวิหารหลวง หุมทองจังโก (เปนวัสดุท่ีมีใชอยูในเมืองยางกุง ประเทศพมา) ปดทอง พระธาตุหลวงสิน้ เงินไป ๓๒๒,๕๐๐ รูป เทียบรูปละ ๘๐ สตางค นอกจาก นี้ยังสรางกุฏิใหพระครูบาคันธา สิ้นเงิน ๑,๒๐๐ รูป ดวยระลึกถึงพระคุณ สมัยถูกกักบริเวณ ณ พระธาตุหริภุญชัยครั้งที่ ๑ พระครูบาคันธาทําที่กั้น แดดฝนหลังทานมรณภาพยังสรางเมรุ ปราสาท และทําบุญคาใชจายใน งานศพ การสรางและบูรณะพระธาตุปจจัยมาจากความศรัทธาของสาธุชน บูรณะฟนฟูโบราณสถานสําเร็จ นับเปนผลงานที่ไดรับความรวมมือจาก
๑๐๒
ประชาชน จากทั่วสารทิศนับเปนประวัติศาสตรครั้งยิ่งใหญ ในป ๒๔๖๓ เดือน ๖ ขึน้ ๖ คํา่ ทําบุญปอยหลวงสมโภชอาราธนานิมนตเจาคณะ พระครู พระสงฆ สามเณรในจังหวัดลําพูนและเชียงใหมอนุโมทนารับเครือ่ งไทยทาน โดยเจ า ผู ค รองนครลํ า พู น เป น ประธานฝ า ยทางฆราวาส พร อ มด ว ย พุทธศาสนิกชนถวายไทยทานพระบรมธาตุและวิหารที่บรู ณะขึน้ มางดงาม อลังการทีส่ ดุ ใหเปนถาวรวัตถุอนั ทรงคุณคาดานประวัตศิ าสตรแหงลานนาไทย พระครูบาเจาฯ มิไดมีทิฏฐิมานะหรืออคติกับตอผูใด นอบนอมตอ พระเถระ เจาคณะ พระครู และพระสงฆที่มาอนุโมทนาดวยความเคารพ ทําทานแกคนยากคนจนดวยปจจัยจํานวนมาก นอกจากนี้ยังเกื้อกูลดูแล พระภิกษุ สามเณร และศิษยวดั โดยถวนหนาการพํานักทีพ่ ระธาตุหริภญ ุ ชัย เพื่อฉลองศรัทธาผูเคารพเลื่อมใสและสานุศิษยบําเพ็ญทานรักษาศีลเจริญ จิตภาวนา สั่งสอนอบรมบําเพ็ญสมณธรรมแกบรรพชิตชี้แจงแนะนํา สัง่ สอนพุทธศาสนิกชนใหมจี ติ สํานึกรูบ าปบุญคุณโทษสูท างอริยมรรคเพือ่ สูเปาหมายอันเปนจุดสูงสุดคือ นิพพาน สาธุชนมาไมเวนแตละวัน ตั้งแต เจาเมือง พอคาคหบดี ขาราชการ ตลอดถึงคนทั่วไป รวมทั้งชาวเขาเผา ตางๆ มาฝากตัวเปนสานุศิษย โดยความประทับใจในจริยาวัตรอันงดงาม ของพระครูบาเจาฯ ทานไมไดแจกเครื่องรางของขลัง การเสกนํ้ามนตพนนํ้าหมาก การกระทํ า ทางไสยศาสตร เดรั จ ฉานวิ ช า การดู ห มอให ห วย มิ ไ ด สงเสริมวิชาการทางโลก มุงแตปฏิบัติศีลธรรมกัมมัฏฐานสํารวมอินทรีย สงบนาเคารพ เปนพระไมคอยพูด แตคําเทศนาของทานเปยมดวยสาระ และความหมายเชน ตอนหนึ่งของคําสอน อานิสงสของการรักษาศีลวา “การคบหาบัณฑิตนักปราชญ ทําใหไดฟง คําสัง่ สอนของพระพุทธเจา แลวใหกําหนดรูวาธาตุทั้ง ๔ ขันธ ทั้ง ๕ อาการลักษณะ ๓๒ ไมใชตัวไมใชตน ไมควรลุมหลงอยูในอํานาจของความโลภ โกรธ หลง ไปตามอารมณ
๑๐๓
ใหเกิดมานะกระดางซึ่งเปนสัญญาวิปลาส หอบเอาแตความทุกขมาใสตัว ตองเอาชนะใจตัวเอง อยาตกเปนทาสของสิ่งทั้งหลาย พระพุทธเจาตรัส เทศนาไววา รบชนะศึกรอยครัง้ ไมเทากับชนะจิตอันเปนบาปเสียได ทัง้ คน สัตว ตนไม และภูเขา เปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกอยางเปนเพียงสมมติ ใหใชสอยกันเพียงชั่วคราว ไมมีอะไรที่เปนของตน ไมควรตระหนี่หวงแหน ทรัพยสมบัติ ควรทําบุญทําทานชวยเหลือผูอ่ืน เห็นความสําคัญของการ รักษาศีลอุโบสถเปนบางโอกาส ชําระกายวาจาใหบริสุทธิ์ เพื่อฝกตนอยูใน ศีลในสัตยเปนทีน่ า เคารพนับถือ เปนแบบอยางอันดีแกครอบครัวและสังคม หมัน่ พิจารณาไตรลักษณใหเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความเกิดแก เจ็บ ตาย ความพลัดพรากจากสิ่งทั้งหลายเปนสัจธรรมของชีวิตและโลก คลายความ ยึดมั่นถือมั่นในโลก บรรเทาความโลภ โกรธหลง ฝกทําจิตใจสงบรมเย็น สมบัติทั้งหลายที่มีอยูในโลกทั้งหมด มีแกวมณีโชติของจักรพรรดิ ผูเปนใหญกวามนุษยทั้งปวง และเครื่องประดับ ขัติยะนารีทั้งหลาย มีแกว แหวนเงินทอง รวมทั้งที่ไรท่ีนา บุตรหลาน สามี ภรรยาเปนตนเหตุของ ตัณหา กามคุณ เหมือนนํ้าผึ้งแชยาพิษ นําความทุกขมาสูตัวโดยไมมี ประโยชน แมนาํ้ คงคา ยมนา อิรวดี มหิ สรภู ซึง่ เปนแมนาํ้ ทัง้ ๕ นี้ แมนจักเอา มาอาบทัง้ ๕ สายไมอาจลางบาปหรือความเดือดรอนใหหายได ลม ฝนและ ลูกเห็บแมตกลงมารอยหาไมอาจเย็นเขาไปถึงภายในใหหายทุกขเวทนา อันเกิดจากตัณหาและอุปาทานได ศีล ๕ เปนอริยทรัพยเปนตนตอของ ความบริสุทธิ์ เปนนํ้าทิพยสําหรับลางบาปคือความเดือดรอนภายในให หายไดเปนทางสูสวรรคใหเจริญสูความสุขเปนที่มาของสมบัติโภคทรัพย ทั้งมวล เปนปจจัยใหถึงพระนิพพาน อันเปนความสุขอยางยิ่ง” ทานเนน การปฏิบัติธรรมรักษาศีลภาวนาแผเมตตาเปนแบบฉบับใหสํารวมอินทรีย สํารวจตรวจสอบตนเองไมประมาทสงบนิ่ง ไมโออวดทิฏฐิ ไมมีมานะแข็ง
๑๐๔
กระดาง กิริยามารยาทสงบเสงี่ยมเจียมตัว ประพฤติตนอยูในพุทธโอวาท อยางเสมอตนเสมอปลาย ไมยึดติดลาภ สักการะชื่อเสียง อดทนดวยขันติ ธรรมไมแสดงอาการแหงความโกรธอาฆาตพยาบาท เปย มดวยเมตตาธรรม พรอมที่จะใหอโหสิกรรมจึงเปนที่เคารพเลื่อมใสของชนทุกหมูเหลา ทานพํานัก ณ พระธาตุหริภญ ุ ชัย จนถึงเดือน ๗ ขึน้ ๒ คํา่ จึงกลับวัด บานปาง อําเภอลี้ ถิ่นกําเนิด พํานักจําพรรษา มีผูศรัทธาอาราธนานิมนต บูรณะพระธาตุดอยเกิ้ง อําเภอฮอด (ปจจุบันแยกมาเปนอําเภอดอยเตา) จังหวัดเชียงใหม พิจารณาเห็นเปนบารมี และนามพระธาตุแสดงถึงการ ปกปองเหตุการณรา ยจึงรับขันขาวตอกดอกไมทม่ี ผี เู คารพเลือ่ มใสอาราธนา นิมนต พอออกพรรษาแลวจึงไดจาริกแสวงบุญไปบูรณะวัดพระธาตุดอยเกิง้ ซึ่งอยูบนยอดดอยสูงเปนที่เคารพสักการะกราบไหวของเทวดาและมนุษย แตชํารุด ทรุดโทรม พอไปถึงมีการเตรียมกุฏิ ศาลา ที่พํานักของทานและ ภิกษุสามเณรมี เสื่อ สาด อาสนะ ที่นอน นํ้าดื่มนํ้าใช อาหารการบริโภค อยางสมบูรณ พอทานนั่งเสลี่ยงขึ้นไปถึงพระบรมธาตุ กมกราบนมัสการ ตั้งสัจจะอธิษฐาน ขอบูรณะปฏิสังขรณ ฟนฟูบูรณะใหเจริญรุงเรือง ทาน พํานักบนพระธาตุดอยเกิ้ง บําเพ็ญสมณธรรม เมื่อชาวอําเภอฮอดและ ใกลเคียงทราบการบูรณะพากันหอบหิว้ สัมภาระมาทําบุญ และชวยงานตาง ชืน่ ชมบุญญาธิการดวยความประทับใจ ทําใหการบูรณะใชเวลา ๒ เดือนจึง เรียบรอยสิ้นคาใชจาย ๑๖,๙๓๕ รูป ทําบุญฉลองสมโภช แลวอุทิศเปน สมบัติของพระพุทธศาสนา เพื่อพระสงฆจากทิศทั้งสี่ จักมาพํานักปฏิบัติ ธรรม สืบสานพระธรรมวินัยตอไป จึงอําลาพระสงฆและศรัทธา สาธุชน พํานักสัง่ สอนประชาชนทีต่ นี ดอยหนึง่ คืน พอรุง ขึน้ เดินทางไปนมัสการรอย พระพุทธบาทตะเมาะ อําเภอดอยเตา จังหวัดเชียงใหม
๑๐๕
งานปอยหลวงวัดบานปาง หลังจากนั้นเดินทางกลับเขาสูอาวาสวัดบานปาง นําพระเณรพรอม ดวยสานุศิษยรวมกันกอสรางพระธาตุท่ีวัดบานปางใหสําเร็จบริบูรณ พรอมกับสรางบันไดนาคทางทิศเหนือ ระหวางกอสรางเจดียแ ละบันไดนาค ลูกศิษยชาวกะเหรี่ยงที่เคารพเลื่อมใสไดรวมสรางโฮงหลวง หรือ กุฏิใหญ เสากอดวยอิฐทั้งหมด ๘๒ ตน อาคารยกพื้น ๒ ชั้น สําหรับถวายเปนที่ บําเพ็ญสมณธรรมของพระครูบาเจาฯ มุงดวยสังกะสี ปูดวยไมกระดาน ฝาผนังและพื้นชั้นบนเซาะรองเขารางลิ้นอยางดี ชั้นลางเทพื้นดวยซีเมนต เมื่อเสร็จจึงไดจัดงานทําบุญฉลองสมโภชองคพระธาตุ บันไดนาคและกุฏิ โฮงหลวง ๑๕ วัน ๑๕ คืน พระครูบาเจาฯ ไดนิมนต พระภิกษุ สามเณร เจาคณะพระครู เจาอาวาส ทั้งพระภิกษุสามเณรในอําเภอใกลเคียงมารับ ไทยทานเปนจํานวนมากตลอด ๑๕ วัน มีการตกแตงเปนตนปราสาท ตนกัลปพฤกษ พรอมดวยขบวนแห ชางฟอน ชางรํา มีทั้งฟอนเล็บ ฟอนเชิงรําดาบ ผูคนแตงตัวดวยเสื้อผาใหม สวยงาม ดุจขบวนเทวดาจาก สรวงสวรรค เสียงฆอง กลอง ดังกึกกองไมขาดสาย ผูมารวมบุญกุศลมี ความปติ ชมบุญบารมีแซซอ งสรรเสริญพระครูบาเจาศรีวชิ ยั จนลืมทุกขยาก ลําบากที่ไดตรากตรําทํางานดุจอยูในทิพยสถาน ภายในบริเวณวัดรอบองคพระบรมธาตุเต็มไปดวยเครื่องไทยทาน ตัง้ เรียงรายอยางวิจติ รงดงาม เสียงพระสวดมนตใหศลี ใหพรกึกกองดุจเสียง พรหม กลางคืนมีการสวดเจริญพระพุทธมนต สวดเบิก เปนบทสาธยาย ปฏิจสมุปบาททั้งฝายเกิด-ดับ อริยสัจ ๔ เปนสัจธรรมที่พระพุทธเจาได
๑๐๖
ตรัสรูอนุตรสัมโพธิญาณและพุทธอุทานหลังจากตรัสรูใหมๆ ถือวาเปน พระสูตรแหงความสําเร็จของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจา พระเณร วัดตางๆ สวดสาธยาย ดวยซุมเสียงไพเราะมีการแสดงพระธรรมเทศนา ปฐมสมโภชและพระพุทธาภิเษกอยางตอเนือ่ ง ตลอดทัง้ คืนถึงอรุณรุง เปน ประเพณีวัฒนธรรมของชาวพุทธในลานนาไทย โดยเฉพาะพิธีสมโภชองค พระธาตุและเบิกพระเนตรพระประธานจัดใหมีเครื่องอาสนะ อัฏฐบริขาร เครื่องกะกุภัณฑ (สําหรับจักรพรรดิ) สัตตภัณฑและมีการขัตราชวัตรฉัตร ธงรอบองคธาตุเจดีย กุฏิและบันไดนาคทั่วบริเวณวัด ผูคนมากันลนหลาม ตองสรางทีพ่ กั ชัว่ คราวสําหรับพระภิกษุสามเณร (ทีพ่ กั มุงดวยใบตองตึงและ ใบหญาคา ฝาปูดว ยฟากไมไผ) ภายในมณฑลพิธรี อบพระธาตุและพระวิหาร สรางเปนปะรําพิธีประดับดวยตนกลวย ตนออย ซุมใบมะพราว อาหาร การบริโภคก็ตอ งทําโรงทานใหญมมี ากมาย มีคนนํามาถวายอยางตอเนือ่ ง ยามคํ่าคืนมีการจุดประทีปบูชาถวายดอกไมธูปเทียน รอบองค พระธาตุ บริเวณทั่วไปจุดคบเพลิงสวางไสว โดยเอาขี้ชันมาทุบใสกระบอก ไม หรือหอดวยกาบไผปกไวตามจุดตางๆ และจุดตะเกียงเจาพายุ เพื่อให แสงสวางทั่วบริเวณ บรรดานักดนตรีที่มีซอ ซึง ป ขลุย ฆอง กลอง ปพาทย บรรเลงเปนที่สนุกสนาน แมมีคนจํานวนมากแตนาประหลาดไมมีการ ฉกชิงวิ่งราวกอเหตุวิวาท และการดื่มสุรายาเมา แตงตัวกันสุภาพเรียบรอย ผูห ญิงมวยผมเปนเกลา (ถือเปนแบบของพราหมณในอินเดียซึง่ มาพรอมกับ การเผยแผพระพุทธศาสนา ในดินแดนสุวรรณภูมิ) ทุกคนตั้งใจทําบุญ ทําทาน ฟงเทศน ฟงธรรม รับศีลรับพรดวยอาการสงบ ทั้งนี้ดวยบุญบารมี อันยิ่งใหญของพระครูบาเจาศรีวิชัย คืนวันสุดทายของการอบรมสมโภช มีพิธีการกวนขาวทิพยโดยขัดรั้วเปนราชวัตรทั้ง ๔ ทิศ มีประตูทั้ง ๔ ดาน กั้นดวยฉัตร ๗ ชั้น ๔ มุม ปกธงทิวโดยรอบ ตั้งหมอกระทะขนาดใหญ
๑๐๗
หลายหมอ เพื่อกวนขาวทิพย (ขาวมธุปายาส) นิยมใชขาวเหนียวตม ใสนํ้าตาล นํ้าออย ถั่วงา นม เนย นํ้าผึ้ง ผูที่กวนขาวทิพยเปนผูหญิง นุงหมชุดขาว (ความหมายสมมติเปนนางสุชาดาและบริวาร) พอกวน ขาวมธุปายาสเสร็จนิยมถวายตอนรุง อรุณแสงเงินแสงทอง จากพระอาทิตย ส อ งขอบฟ า เวลาแห ง การตรั ส รู ข องสมเด็ จ พระสั ม มาสั ม พุ ท ธเจ า รวมคาใชจายในการทําบุญฉลองสมโภช เปนเงิน ๑๐,๐๐๐ รูป กลาวถึงโฮงหลวงของชาวกะเหรี่ยงสรางถวาย สรางตามแบบคุม เจาหลวงเชียงใหม เมื่อทําบุญเสร็จพระครูบาเจาฯ ไมไดขึ้นอยู ทานพูดวา เอาไวสําหรับพญาธรรมมาอยูพํานัก จึงเปนที่เก็บรักษาพระไตรปฎก พระคั ม ภี ร ธ รรมชาดกต า งๆ และประดิ ษ ฐานพระพุ ท ธรู ป สํ า คั ญ ของ วัดบานปางหลายองค เปนที่เก็บเสนาสนะสิ่งของเครื่องใชงานพิธีและ เครือ่ งใชอนื่ ๆ หลังจากพระครูบาเจามรณภาพแลว ไมปรากฏวามีพระภิกษุ สามเณรองคใดขึ้นอยู กระทั่งป ๒๕๓๑ เมื่อภิกษุอานันท พุทธธัมโม วั ด พระธาตุ แ สงแก ว มงคล จั ง หวั ด พะเยาไปบู ร ณะบํ า รุ ง เสนาสนะ สรางพิพิธภัณฑเก็บอัฏฐบริขาร สิ่งของเครื่องใชของพระครูบาเจาศรีวิชัย ทีว่ ดั บานปาง ฝนเห็นพระครูบาเจาฯ มาหาและบอกวา “ขอใหลกู ขึน้ ไปอยู บนโฮงหลวง เพือ่ พัฒนาวัดบานปาง” ไดเลาเรือ่ งความฝนใหเจาอาวาสและ พระเณรฟง และขึ้นไปพํานักเปนครั้งแรกจนสรางพิพิธภัณฑและสถานที่ สําคัญๆ จนสําเร็จใชเวลาอยูที่วัดบานปาง ๕ พรรษา จึงไดเดินทางกลับสู เมืองพะเยา เพื่อสรางพุทธสถานอินเดียนอย ตามคําขอรองของทานพอ พุทธทาส อินทปญโญ แหงสวนโมกขพลาราม เปนการตอบสนองพระคุณ ชาวอินเดียและพระคุณครูบาอาจารยจนสําเร็จบริบูรณ
๑๐๘
บุคลิกลักษณะสัดสวนของพระครูบาเจา ฯ บุคลิกลักษณะของพระครูบาเจาศรีวิชัยสูง ๑๖๕ เซนติเมตรโดยวัด จากพระพุทธรูปคาคิง (เทาตัว) ประทับยืนเทาองคจริงของพระครูบาเจา ศรีวิชัย เปนพระพุทธรูปที่ทานสรางไวในวัดสวนดอกเมืองเชียงใหม เวลานั่งสวนหลังคอมเล็กนอยเหตุเพราะนั่งสมาธินั่งใหศีลใหพรนาน กระดูกสันหลังจึงโคงงอ ศีรษะทุย หนาผากกวาง คางใหญเหมือนราชสีห มีไฝแดงเม็ดเล็กอยูใตหางตาขวา ๑ เม็ดและอยูบนคิ้วซาย ๑ เม็ด ติ่งหู สองขางเจาะรู เสียงทุมไมดังมาก แตหนักแนน ไมคอยพูดเงียบขรึม ถาได พูดอะไรออกมาแตละคําหนักแนนนาเกรงขาม จนเปนที่รูกันวาถาทาน พระครูบาเจาศรีวิชัยพูดคําไหนตองเปนนั้น คําพูดของทานเปนประกาศิต เวลาใหพรใชแตบทสัพพีและออกเสียงเร็วมาก เพราะสาธุชนมากันเปน จํานวนมากตองใชเวลาอยางรวดเร็วและใหทว่ั ถึง ใหศลี ใหพรอยางไมเลือก ที่รักมักที่ชัง บางครั้งนอนปวยมีคนขอพรทานแทบจะลุกไมไดแตใหพรดวย เสียงแหบแหง เดินไวมาก บอยครั้งขึ้นไปตรวจงานบนหลังคาพระวิหาร มือหนึง่ กางรม มือหนึง่ ปนปายบนหลังคา ทีข่ าสักหมึกดําตัง้ แตบน้ั เอวจนถึง ครึ่งขา เปนคานิยมแสดงถึงความเปนชายชาตรี ของผูชายในสมัยนั้น ลักษณะของแขนและนิว้ มือเรียว ฝาเทาเต็ม ฝาเทาขางขวายาว ๒๒.๗ เซนติเมตร ขางซายยาว ๒๔.๑ เซนติเมตร (วัดจากรอยเทาที่ประทับไวกับ ปูนซีเมนตหมาดๆ ที่วัดพระนอนขอนมวง จังหวัดเชียงใหม) ลายมือคมชัด ฝามือซาย ขวายาว ๑๙.๒ เซนติเมตร (วัดจากรอยมือประทับผาใหชาวพะเยา คราวบูรณะพระเจาตนหลวง เมืองพะเยา) ใชเวลาปลงผมหางกัน ๑๕ วัน
๑๐๙
ผมออกสีน้ําตาลเขม เวลาปลงผมและเล็บ ลูกศิษยขอเก็บไวบูชาเฉพาะ เสนเกศานิยม นําไปผสมรักคลุกเคลากับผงดอกไมพันดวงใบโพธิ์พันตน บาง ใบลานทีช่ าํ รุดบดเปนผงคลุกเคลากับเสนเกศานํามากดพิมพพระรอด พระคง แจกจายผูเคารพนับถือเอาไวบูชา บางคนขอประทับเอารอยมือ รอยเทาทาบเขียนลงบนผืนผาเอาไวบูชา บางคนขอเศษผาจีวร สบง อังสะ เกาไปรักษาบูชา ในยุคแรกพระครูบาเจานุงหมผาฝายยอมดวยนํ้าฝาด ภายหลังมีผาเนื้อดีมาถวายก็ฉลองศรัทธา ชอบหมดองมัดอกคลุมไหล สวมลูกประคําทําจากกะลามะพราว ตาเดียว มีสองเสน ผลัดเปลี่ยนกัน ซึ่งพระครูบาตาวัดศรีลังกา อําเภอเสริมงาม จังหวัดลําปางกลึงถวาย ตอนมรณภาพพระทองสุข ธัมมสะโร พระเลขาสวมคอศพพระครูบาเจาฯ หนึ่งเสนอยูในถุงยามอีกเสนหนึ่ง ภายหลังเก็บไวที่พิพิธภัณฑวัดบานปาง สวนเสนที่อยูกับศพพระครูบาเจาฯ หลังมรณภาพ ๒ ป เจาเมืองลําพูน อาราธนาศพไวที่วัดจามเทวี ครูบาทึมที่เปนเจาอาวาสและศิษยเปลี่ยน ลูกประคําไปใชโดยเปลีย่ นของตนเองใสใหพระครูบาเจาฯ ลูกประคําเสนนี้ หลังจากครูบาทึมมรณภาพสามเณรสนั่น เชื้อเมืองพาน บานทุงพราว ผูเปนศิษยชาวอําเภอพาน จังหวัดเชียงราย เก็บรักษาไว ปกติพระครูบาเจาฯ ถือไมเทาพัดใบลาน เมื่ออายุ ๔๐ ป พออายุ ๕๐ ป ใชพัดหางนกยูง สวนหัวพัดเสียบหางนกยูงดานหนึ่งแกะสลักรูป นกยูงรําแพนอยูดานหนาสวนอีกดานหนึ่งแกะเปนรูปเสือยกหางขดเปน เลขเกาไทยทีแ่ กะเปนรูปเสือเปนสัญลักษณปเ กิดของทาน คราวอยูว ดั พระสิงห ไดแกะรูปเสือลายพาดกลอนตัวขนาดสุนัขยืนในทายกหาง โดยปกติเมื่อ สรางธาตุเจดียในที่ตา งๆ นิยมสรางเปนรูปเสือยืนบาง หมอบบาง ถาเปน งานสรางพระวิหารจะแกะรูปเสือกระโจนอยางสงางามอยูในลวดลายกนก หนาบรรณแทบทุกที่ ยกเวนวัดพระสิงหสรางเปนรูปสิงหคูไวหนาวัด
๑๑๐
สวนวัดพระเจาตนหลวง ทุง เอีย้ ง (วัดศรีโคมคํา) อําเภอเมือง จังหวัดพะเยา สรางเปนรูปเสือนอนตะแคงมีเนื้อทรายมาเกาะเลนอยูที่ขาหนา และลิงมา จับหางเลน เปนการสะทอนภาพแหงอหิงสาธรรม เมตตาธรรมออกมาเปน ประติมากรรม บางทีกม็ อบพัดหางนกยูง บาตร ไมเทาและลูกประคําใหกบั ลูกศิษยท่ีเห็นสมควรหลายรูป เชน วัดปาแงะ อําเภอแมริม ไดบาตรกับ พัดหางนกยูง ครูบาเสา วัดศรีโสดา อําเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม ไดบาตร ภายหลังครูบาเสามอบใหแกครูบาธรรมชัย วัดทุงหลวง อําเภอแมแตง สวนไมเทาอันแรกทําดวยแกนไมมะขามแดง หัวไมเทาสวมดวยเหล็กตะบัน หมากของครูบาขัติยะ ปลายไมเทาทําเปนปลายแหลม ๒ งาม กันลื่น ปดทองเปลว ไมเทาอันนี้เคยถือไปกรุงเทพฯ ครั้งสุดทายจากภาพถายใน หองนอนพบวา เปนไมเทาอันแรกและพัดหางนกยูงอันสุดทาย ภายหลัง ไมเทาอันแรกตกทอดถึงครูบาอภิชัยขาวป วัดพุทธบาทผาหนาม อําเภอลี้ ผูเปนศิษย พออายุมาก จึงมอบไมเทาใหแกพระครูบาธรรมชัย วัดทุง หลวง อําเภอแมแตง ตนป พ.ศ.๒๕๓๐ พระครูบาธรรมชัยมอบไมเทาใหแกภิกษุอานันท พุทธธัมโม วัดพระธาตุแสงแกวมงคล อําเภอดอกคําใต จังหวัดพะเยา ระหวางสรางพิพธิ ภัณฑวัดบานปาง ทางเจาอาวาสและคณะกรรมการมอบ พัดหางนกยูงทีท่ าํ ขึน้ พ.ศ.๒๔๗๙ และพัดหางนกยูงทีถ่ อื ตอนสรางทางขึน้ ดอยสุเทพใหภกิ ษุอานันทอกี ๑ อันแตคนละคราว กับพัดหางนกยูงใหญ ๒ อัน ที่ใชเปนประจําเก็บรักษาในพิพิธภัณฑวัดบานปางและในจังหวัดพะเยา ขณะครูบาเจาอาบนํ้าฯ ผูคนรองเอานํ้าที่อาบมาลูบหัวบางลูบหนาบาง เพือ่ ความสิรมิ งคล พระครูบาเจาฯ ใชเวลานัง่ สมาธิและนัง่ ใหศลี ใหพรนาน เวลาถายอุจจาระเปนกอนเล็กๆ ถายไมคอ ยมาก ภายหลังเปนริดสีดวงทวาร ทะลุเปนรูถึง ๓ รู ตอนหลังทะลุเปนรูเดียว เวลานั่งสมาธิหรือใหศีลใหพร
๑๑๑
ทํ า ให น้ํ า เหลื อ งไหลติ ด ซึ ม ผ า สบง ถ า ลุ ก หรื อ ขยั บ ตั ว จะรู สึ ก เจ็ บ ปวด พระครูบาธรรมชัยชวยเอาผาขนหนูชบุ นํา้ อุน ซับแลวคอยๆ แกะผาออกจาก แผลเพื่อเปลี่ยนไปซักเปนประจํา นอกจากโรคริดสีดวงทวารแลว ยังปวย เปนโรคปอดไอ เสมหะมีเลือดเจือปน ในเรื่องการควบคุมความเจ็บปวย ทานมีหวั ใจทีย่ อดเยีย่ มไมแสดงอาการอะไรออกมา ไมชอบฉันยา คราวหนึง่ “หมอครอส” จากโรงพยาบาลแมคคอมิ ค ของฝรั่ ง คะยั้ น คะยอให ฉั น ยารักษาโรค ทานไมคอยฉันยา หมอรําคาญจึงกลาววา “ถาไมฉันยาแลว โรคภัยไขเจ็บมันจะหายไดอยางไร” พระครูบาเจาจึงตอบหมอครอสวา “ถาไมหายมันก็ตองตายเทานั้นแหละและก็ใชวาอาตมาจะตายคนเดียว หมอเองก็ตองตายเหมือนกัน” หมอฝรั่งก็ไดแตสั่นหัวออกมา ลักษณะของทานเงียบขรึม ไมพูดเลนหัวหรือไรสาระเลยจึงเปนที่มา วาถาทานพูดคําไหนตองเปนคํานั้น ลักษณะวาจาศักดิ์สิทธิ์อยางเชน คราวสรางวิหารครอบรอยพระพุทธบาทตะเมาะ วันหนึ่งเกิดพายุลมฝนลง มาอยางหนักที่พักเปยกปอนทานนําเอาไมเทาชี้ขึ้นสูทองฟาประกาศขอ เทพยดาที่รักษาลมฟาอากาศขอใหลมฝนสงบเพราะสงสารพระเณรและ ญาติโยมที่เปยกปอนหนาวสั่น พอสิ้นคําพายุลมฝนก็สงบลง คราวสราง วัดดอยกอม อําเภอบานโฮง ทานสรางหันหนาไปทางทิศตะวันตกทั้งๆ ที่ ถนนอยูท ศิ ตะวันออก พระครูบาเจาฯ บอกวาตอไปถนนใหญจะตัดผานทาง ทิศตะวันตกความเจริญจะเกิดขึ้นในดานนี้ ก็เปนจริงดังคําที่ทานไดพูดไว หลังจากมรณภาพทางการตัดถนนสายเชียงใหม – กรุงเทพฯ (ถนนสาย ลําปาง – เชียงใหมยังไมมี ใชแตรถไฟ) และเมื่อครั้งสรางวิหารวัดบานปาง พระเณรชาวบานหาบนํ้าจากหมูบานขึ้นบนดอยดวยความยากลําบาก วันหนึง่ เวลาประมาณ ๑๐ นาฬกา ทานเห็นแลวเกิดความสงสาร จึงไดเปลง วาจาขอเทพยดาฟาดินใหน้ําฟาสายฝนตกลงมาเพื่อจะไดน้ําในการสราง
๑๑๒
พระวิหาร พอถึงเวลา ๑๕.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. ของวันนั้นมีฝนตกมากจนเต็ม สระบนวัด จึงมีนํ้าใชในการกอสราง มีเพียงครั้งเดียวที่ลูกศิษยเห็นพระครูบาเจาฯ ยิ้ม (ไมใชหัวเราะ) วันนัน้ เปนวันอุโบสถพระภิกษุเพิง่ ปลงผมได ๑ วันไดนง่ั คุกเขาพนมมือไหว กมหัวปลงอาบัติ มิทันไดระวังหัวเกิดกระแทกกันอยางแรง ยังความขบขัน ใหแกหมูสงฆ แตพระครูบาเจาฯ เพียงยิ้มนอยๆ ซึ่งเปนรอยยิ้มครั้งแรก และครั้งเดียว คราวหนึ่งขณะสรางพระวิหารวัดสวนดอกมีเชื้อเจาทานหนึ่ง ใสรองเทาเขามาในขวงแกวลานวัด พระครูบาชี้หนาวา “ทานเปนเพียงเจา ในเมืองมนุษยถือทิฎฐิอะไรใสรองเทาเขามาในขวงแกวอาราม” ซึ่งเปน ธรรมเนียมของคนลานนาโบราณที่ไมสวมรองเทาเขาวัด นิยมถอดไว ขางนอกที่ประตูกาํ แพงวัด มีอา งนํา้ ลางเทาไวเวลาเขา – ออก ตองลางเทา ทุกครัง้ คนในถิน่ ลานนาไมสวมรองเทาใสบาตร ซึง่ พระครูบาเจาฯ ถือมาก คราวหนึ่งขณะรับบาตรในจังหวัดพะเยาผูคนใสบาตรกันมากมาย พอถึงลําดับของหญิงสาวคนหนึง่ แขนสวมกําไลทองใสบาตร พระครูบาเจาฯ จึงรีบปดฝาบาตรไมยอมรับ ทําใหหญิงสาวผูนั้นไดรับความอับอายเสียใจ รองไห ความทราบถึงพอแมของเธอจึงทําขันขาวตอกดอกไมมากราบทาน ดวยความเคารพนอบนอมและถามวา “ทําไมพระครูบาเจาฯ ถึงไมยอม เปดฝาบาตรรับบิณฑบาตของลูกหลาน” พระครูบาเจาจึงตอบวา “เพราะ กําไลทองที่แขนของโยมมีแตเลือดจะใหอาตมารับไดอยางไร” พอแมของ หญิงสาวจึงตกใจและถามวา “ทําไมถึงไดเปนเชนนั้น” พระครูบาเจาฯ จึง ไดสาธยายไขความจริงใหฟงวา “กําไลทองนั้นไดมาจากการทุบทําลาย พระพุทธรูปทองคําโบราณในเจดียเกาแกแหงหนึ่ง”
๑๑๓
อีกคราวหนึง่ ไดมคี นเอาฟกแฟงแตงโมมาถวาย พระครูบาเจาฯ ทาน ไมรับทําใหญาติโยมผูเปนเจาของตกใจอยางมาก และถามวา “เหตุใด พระครูบาเจาฯ จึงไมยอมรับของเหลานี้ เพราะเปนของที่ขาพเจาปลูกเอง ในสวนในไร” พระครูบาเจายืนยันวา “ไมใชในสวนของพอออกแมออก (โยมชายโยมหญิง) มันเปนของในไรสวนที่อยูติดกันตางหากใหไปดูใหม อีกทีวาเด็ดมาจากไหนแน” พอเจาของสวนกลับไปดูปรากฏวาจริง เพราะ วาผลไมนั้นอยูในสวนของตนเองจริง แตตนเครืออยูในไรที่อยูติดกัน การลงโทษพระเณรที่ทําผิด ทานไมดาไมตี ใครทําผิดสิ่งไหนก็แก ดวยสิง่ นัน้ เชน คราวหนึง่ สามเณรป (ครูบาอภิชยั ขาวป) ไดปน ตนมะละกอ เพื่อเก็บเอาลูกหามลูกหนึ่ง เกิดหลุดมือตกพื้น พอดีพระครูบาเจาฯ ออก มาเจอ สามเณรทําหนาตาเลิ่กลั่ก จึงถามวา “อะไรกันเณรป” สามเณรป จึงตอบแบบตะกุกตะกักวา “ผะ...ผะ..ผมขึ้นตนมะละกอ” ครูบาเจาจึงบอก ไปวาชอบขึ้นก็ใหขึ้นไปอีก ใหขึ้นๆ ลงๆ อยูจนหนาอกแดง ตั้งแตนั้นมา สามเณรก็ไมเคยขึ้นตนมะละกออีก คราวหนึ่งสามเณรทาซึ่งเปนนองของ พระครูบาเจาฯ พรอมกับสามเณรองคอ่ืนพากันไปวายนํ้าเลนที่แมน้ําลี้ พอพระครูบาเจาฯ ทราบ จึงออกคําสัง่ ใหวา ยบกรอบวิหารคนละหลายรอบ ใหเปนทีห่ ลาบจํา อีกคราวหนึง่ พวกเณรเลนเตะตะกรอในพระวิหารสงเสียงดัง พระครูบาเจาฯ ออกมาพบเขาจึงสั่งใหเอาลูกตะกรอมาสับใหละเอียด แลว นํามาแกงใสใบผักหวาน แลวบอกวา ถาชอบตะกรอก็ใหกินแกงตะกรอกัน พวกเณรตางฝนกินกันอยางพะอืดพะอมแลวเข็ดหลาบไมยอมเลนกันตอไป เวลาทานจะจาริกไปที่ไหนมีกังสดาลขนาดเสนผาศูนยกลาง ๑๒ นิ้ว ตีนําทางในการจาริกแสวงบุญไปในที่ตางๆ กังสดาลใบนี้โยมผูหญิง ชาวบานปางไดไปหาปลาที่แมนํ้าลี้ ทางบานแมหาด บังเอิญวันนั้นไมได
๑๑๔
อะไรเลยพอมาเจอกังสดาลไหลมาเกยอยูขอบแมนํ้าจึงนํามาที่บาน ถวาย พระครูบาเจาฯ ทานใชตีบอกสัญญาณทํากิจสงฆ กังสดาลใบนี้มีลักษณะ กลมแบนมีรูเล็กๆ ๒ รู สําหรับรอยเชือกหิ้ว มีเสียงกังวานมาก (ปจจุบันอยู ในพิพิธภัณฑวัดบานปาง) กิตติคุณของพระครูบาเจาศรีวิชัย สิริวิชโยเปนที่เลาขานทั่วทุกทิศ บรรดาพระภิกษุสามเณรฝากตัวเปนลูกศิษยมากมาย ขณะจําพรรษาอยูที่ วัดพระธาตุหริภุญชัย คณะเชียงยันอยูหลายพรรษา พระเณรจากอําเภอ พะเยา จังหวัดเชียงราย ไดมากราบนมัสการและนําขาวที่เห็นความเปน ผูม บี ญ ุ บารมีเลาใหชาวพะเยาฟง เมือ่ ทราบก็พากันมาทําบุญอยางตอเนือ่ ง ขาวนี้ทราบถึงพระครูศรีวิราชวชิรปญญา เจาคณะแขวงเมืองพะเยาเปน เจาอาวาสวัดราชคฤหโดยตําแหนงตองดูแลวัดพระเจาตนหลวงทุงเอี้ยง เมืองพะเยา (วัดศรีโคมคํา) ซึง่ พระวิหารอยูใ นสภาพปรักหักพังพระพุทธรูป ถูกแดดถูกฝน สภาพหมนหมอง เจาหลวงประเทศอุดรทิศ คณะกรรมการและ ผูใหญซึ่งอยากจะบูรณะกอสรางพระวิหารปรึกษากันวาผูมีบุญบารมีที่จะ สรางใหสําเร็จเห็นมีแตพระครูบาเจาศรีวิชัย วัดบานปางเมืองลี้ เทานั้น จึงทําหนังสือเปนจดหมายมากราบอาราธนาพระครูบาเจาฯ ซึ่งมีฝาย ผสานงานคือ พระปญญาวัดตนตอง บานปน ตําบลดอกคําใต ตามบันทึก ดังนี้.......
๑๑๕
บูรณะวัดพระเจาตนหลวงทุงเอี้ยง (วัดศรีโคมคํา) ตี่วัดราชคฤห เมืองพะยาว (พะเยา) จังหวัดเจียงฮาย (เชียงราย) วันที่ ๔ มิถุนายน ๒๔๖๕ ขาพเจาพระครูศรีวิราช วชิรปญญา เจาคณะแขวงเมืองพะยาว ขอเรียนมายังพระครูบาเจาศรีวชิ ยั ตนบุญวัดเจียงยันเมืองนครหริภญ ุ ชัยทราบ ดวยตามคําสัง่ ของทานทีไ่ ดสงั่ มากับพระปญญา วัดตนตอง ตําบลปน เมืองพะยาว เมื่อวันเดือน ๓ แรม ๓ คํ่า ปพุทธศักราช ๒๔๖๕ ใจความวา ใหปนดินกี่ไวรอทา แสนหนึ่ง สวนดินกี่รายนี้ขาพเจาก็ไดพรอมกัน ทัง้ ภายในและภายนอก ไดปาเอากันปน เผาแลวก็ไดเอาจุกองไวนอกกําแพง วัดดานเหนือที่นั้น แลวประการหนึ่งก็ไดเผาปูนตั้งมวล ไดปูนสิบลาน ประการหนึ่ง ก็ไดพรอมกั๋นแปลงกุฏิโฮงไวหลังหนึ่ง แปลงไวนอก วัดพระเจาตนหลวงตังหนวันออกแจงเหนือใกลกาํ แพงสิบวา ศรัทธาผูส ราง โฮงหลังนี้จื่อวานายปอม เปนเงี้ยว (ไทยใหญ) นายปอมไดจางคน แปลงเซี้ยงเงิน ๑,๗๐๐ แถบ สรางไวถวายตานกับทานเจาศรีวิชัยตนบุญ ใหทา นไดบริโภคอยูส ถิตสําราญเบิกบานใจ เมือ่ ทานไดเสด็จไปอยูก ดึ๊ สราง พระวิหารพระเจาองคหลวง ผูขาตั้งหลายก็ไดสรางแปลงไวดีงามแลวและ อันหนึ่งในเวลานี้วิหารพระเจาองคหลวงก็ไดชํารุดทรุดโทรมหลุปง เปนอันมากกวาเกาเสิง้ ไปตังใตจน เกือบจักโกนขือ่ ระเบียงดานเหนือก็หลุด ออกจากเสาใหญปง ตกลงฝนก็ฮว่ั ตกลงฮําพระพุทธรูปเจาและฮําฝาปางเอก
๑๑๖
พระวิหารวัดพระเจาตนหลวง (วัดศรีโคมคํา) เมืองพะเยา ที่พระครูบาเจาศรีวิชัยสราง
หลางแหงฝาปางเอกก็แตกยะไป หลางตี่ก็โปดปง ลงตึงวัน ขาพเจาก็เปนที่ รอนใจบจางจักกึ๊ดอยางใดเพราะเปนการเหลือกํ๋าลัง ในเวลานี้ก็บมีใผเปน เกากึ๊ดสรางก็บมีใผสักคน (ไมมีใครเปนประธาน) เพราะฉะนั้นขาเจาจิ่งได ใจพระปญญา แตนตั๋วไปขอนิมนตยัง ตนทานเจาพระศรีวิชัยตนบุญ ขอ ทานจุงมีเมตตากรุณาฮับเอานิมนตแหงผูขา ขออาราธนาตนทานเสด็จไป เปนเกากึ๊ดสรางหื้อเปนการสําเร็จแลวดวย แตถาไมมาเปนเกากึ๊ดสรางผู อื่นจักมากึ๊ดสราง (เปนประธานสราง) คงไมสําเร็จเปนแน เพราะเปนการ หนักใหญผูหาบุญบไดกึ๊ดเห็นจะไมสําเร็จ ทานพระครูศรีวริ าชทานยังไดมจี ดหมายถึงเจาผูค รองนครลําพูนเพือ่ ขออนุญาตตอเจาเมืองอีกฉบับหนึ่งตามขอความดังนี้
๑๑๗
ที่วัดราชคฤห เมืองพะยาว (พะเยา) จั๋งหวัดเจียงฮาย (เชียงราย) วันที่ ๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๖๕ อาตมาภาพพระครูศรีวิราช วชิรปญญา เจาคณะแขวงเมืองพะยาว ขอถวายพรทานมหาบพิตรเจาจักรคําขจรศักดิ์ เจาผูครองนครลําพูน ดวยบัดนี้พระวิหารพระเจาองคหลวงวัดศรีโคมคําเมืองพะยาวก็เปน อันชํารุดทรุดโทรมลงเปนอันมาก เดิมอาตมาไดไปขอนิมนตพระศรีวิชัย เปนเกากึด๊ สราง ทานจึง่ ไดแจงวาในเวลานีอ้ าตมาไดปน ดินกีร่ ายนีบ้ ริบรู ณ แลว บัดนี้อาตมาจักขอนิมนตทานไปตี่พระเจาองคหลวง เมืองพะยาว วาฉะนั้น เพราะฉะนั้นอาตมาจึ่งขอเมตตากับบพิตรเจาเพื่อขออนุญาตให อาตมาไดนิมนตทานมาเปนเกากึ๊ดสรางพระวิหารหลวงแหงพระพุทธรูป เจาองคหลวง (วัดศรีโคมคํา) ทุงเอี้ยง เมืองพะยาว เพื่อใหเปนการบริบูรณ เสร็จแลวจิ่มดวย ทานพระครูศรีวิราชวชิรปญญา ยังไดมีจดหมายแผกุศลไปยังเมือง ตางๆ ตามดวยขอความดังนี้
ตี่วัดราชคฤห เมืองพะยาว (พะเยา) จั๋งหวัดเจียงฮาย (เชียงราย) วันที่ ๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๖๕ พระครูศรีวิราชวชิรปญญา เจาคณะแขวงอําเภอพะยาวพรอมดวย คณะสงฆตั้งหลายในเมืองพะยาวทุกวัด ฝายหนภายนอกมีพระยาประเทศ อุดรทิศเจาหลวงเมืองพะยาว และขุนประสิทธิ์ประสาสนนายอําเภอเมือง
๑๑๘
พะยาว และศรัทธาตางเมืองพระครูเจาตั้งหลาย และเจาผูครองนครเมือง ตั้งหลาย ทุกบานทุกเมืองตี่ไดแผบุญถึงแลวมีเมืองเจียงใหม เมืองลําพูน เมืองนครลําปาง เมืองแพร เมืองนาน เมืองเจียงฮาย พระครูศรีวิราช วชิ ร ป ญ ญาจึ่ ง ได หื้ อ พระป ญ ญาภิ ก ขุ เจ า อารามธิ ป ต ติ วั ด ต น ต อ ง บานดอกคําใต เมืองพะยาว ไดนาํ เอาประวัตโิ กฐากนาบุญ คือ เรือ่ งรายงาน การตีข่ า เจาตัง้ หลาย ภายนอกภายในจักไดกดึ๊ สรางวิหารแหง พระพุทธรูป องคหลวง วัดศรีโคมคํา นําขึน้ แผผายถวายถึงสมเด็จมหาบพิตร เจาตนเปน เจาหอคําเมืองเจียงตุง หอคําเมืองยอง หอคําเมืองเจียงใหม หอคําเมือง เจียงรุง หอคําเมืองแจ หอคําเมืองแรม ขอเมตตาเปนเกาศรัทธาจวยกึ๊ด สรางวิหารหลวง แหงพระพุทธรูปเจาองคหลวง (วัดศรีโคมคํา) หนองเอี้ยง เมืองพะยาว หือ้ กานกุง รุง เรืองงามไวเปนตีไ่ หวสาปูจ าแกหมูค นและเตวดา อินตา พรหมทั้งหลายไปปายหนา หื้อกุมหาปนพระวัสสาตามพระราช โบราณประเพณีจิ่มดวย อันนึ่ง ขอเมตตามหาบพิตรเจาจวยแผบุญนี้ถึงเจานายผูใหญนอย และศรัทธานักศีลนักบุญจายหญิงตังหลายจวยกึ๊ดสรางพระวิหารพระเจา ตนหลวงพรอมดวยผูขาตั้งหลายสุดแลวตามเจตนาศรัทธา จักมีเงินจาบ เงินบาทเงินรูเปย อัฐและสตางค เอาโชดกไฮฮอมตานออกจวยกั๋นกึ๊ด สรางวิหารพระเจาตนหลวงสรางแปงขึน้ แถมใหม ติดคําปลิว๋ พระเจาตนหลวง ขึ้นแถมใหม จวยกั๋นสรางไวหื้อเปนตี่ไหวสาปูจากํ้าจูพุทธศาสนาไป ปายหนาตราบตอเตากุมหาปนพระวัสสา เพื่อเปนปจจั๋ยผละ จาติหนาใน เมืองคนเมืองฟามีนิพพานเปนยอด อันนึ่ง เมื่อมหาบพิตรเจาไดแผบุญไปทั่วคือแผบุญเสร็จไดเงิน มากนอยเตาใด ก็ดีขอหื้อราชทูตเสนาผูดีนําเอาเงินมากนอยเตาใดก็ดี หือ้ นําเอาเงินรายไดนไ้ี ปสงตีว่ ดั ราชคฤห เมืองพะยาวแลวขาพเจาจักไดเงิน
๑๑๙
พระเจาตนหลวงทุงเอี้ยง (พระพุทธรูปองคใหญ) สภาพกอนบูรณะ
รายนีก้ ด๊ึ สรางวิหารพระเจาตนหลวงไดตา มกํามักปรารถนาแหงมหาบพิตรเจา และทานทั้งหลายตอไป ใหเปนการสําเร็จแลว อันนึ่ง ขอหื้อมีหนังสือบัญชีจํานวนเสนเงินและรายชื่อ ตําบลบาน ทานผูไดออกเงินสรางพระวิหารติดตามตวยเงินไปจิ่มดวย ทานพระครูบาเจาศรีวิชัยไดตอบจดหมายพระครูศรีวิราช เจาคณะ เมืองพะยาวดังนี้
๑๒๐
ที่วัดเชียงยันในเมืองลําพูน ณ วันที่ ๑๐ ออก ๑๕ วันเสาร พุทธศักราช ๒๔๖๕ พระชั ย ยาภิ ก ขุ นมั ส การกราบไหว ทู ล มายั ง พระครู บ า ศรีวิราชวชิรปญญา เจาคณะแขวง อําเภอพะยาว ทราบ ดวยบัดนี้ขาเจาไดรับจดหมายและรูปถายทั้งมวลซึ่งเปนของ พระครูฝากมานั้นในใจความหื้อขาเจากิ๊ดสรางวิหารเจาตนหลวง โตงเอี้ยง นั้นขาเจาก็มีใจจมจื่นยินดี ขาเจาก็เตาวาเปนผูนอยบมี อํานาจอาชญาตีจ่ กั จีแ้ จงได กลัวทานทัง้ หลายบฟง อันนึง่ เลาเงินทอง ของขาเจาก็บเ พียงพอเวลามีกส็ รางทําบุญไปบไดมเี ปนมากเปนหลาย ขาเจาขอจวยไปตามสติปญญาผญาบารมีบุญสมปานของแหงขาเจา อันไดบาํ เพ็ญจาติกอ นถึงจาตินห้ี ลอนเปนหนาบุญกองหลังแหงขาเจา หากหลางไดสรางก็หากจักแลวบรมวล ขอหือ้ หนาบุญตีใ้ หญกวางมา จูจวยกํ้าขอตั้งเทวดาอินทรพรหมทั้ง ๔ ปายบนเตี่ยมจวย ภายใตมี ครุฑนาคตั้งมวลไอศวร กับตั้งนางนาถไถธรณีขอเปนสักขีพยาน จูจวยกํ้าหื้อแลวบรมวล ขอสมกําผาถนาจุประการจิ่มแดเตอะ ขอสอง แตยงั มีประการหนึง่ ขาเจาก็ขอไหวสาถามเจาพระครู ตุนบุญอนันตา ในสลาชางจักกอสรางเสาวิหารและกอปางเอกนั้น ตี่ในเมืองพะยาวยังมีหรือไมมี สลาผูฉลาดดีนั้นจาติ (ชาติ) เปนเจ็ก จางกอสรางทํายังมีหรือไมมี เปนภาษาพมาหรือจาติเงี้ยวจาติลาว จาติไทย เปนผูเ ขาใจ ถาหากหาบไดกข็ อพระครูเจาบอกมาหื้อขาเจา ไดฮูจิ่ม (รูดวย) ขาเจาจักหาไปในตี่สลา ตี่จักตัดหลังคามุงคือตัด เครื่องขางบนนั้น ขาเจาจักหาเอาไปจากเมืองลําปูนมิตองเกี่ยวของ ดวยพระครูเลย
๑๒๑
ขอสาม ขาเจาไหวสาพระครูเจาขอพระครูเจาบอกมาหื้อขา เจาไดฮูตวย (รูดวย) ในตี่เสาพระวิหารนั้นมีกี่เลม ลวงสูงนั้นมีกี่วากี่ ศอก ขื่อหลวงมีกี่วากี่ศอก ลวงยาวแปนั้นมีกี่วากี่ศอก ขาเจาไหวสา พระครูขอบอกหื้อขาเจาไดฮูจิ่ม (รูดวย) ขอสี่ ในการตี่ขาเจาจะขึ้นมานั้นบมีกําหนดได ถาวาออก วัสสาแลว ถาบเติ๊กจนการอันใดขาเจาก็จักขึ้นมาเร็วๆ นี้บมีกําหนด เดือนไหนเวลาใดยามใดก็ไมกฎหมายฮูไดเลย ขอหา แตเดี๋ยวนี้มีการตี่ยังบกุมบปอนั้นเปนตนวาขื่อแป กอนลาดกานผาปานลมจอฟาดินกี่ ปูน ทราย อันใดบเพียงพอนั้น ขาเจาขอพระครูเจาเปนเกา ตั้งปายในและปายนอกพรอมกั๋นตั้ง เจานายและไพรนอย นายฮอยตั้งหญิงจายใหญนอยจุคน หื้อปากั๋น โขงขวายมาฮิบฮอมเอาไวหื้อพรอมจุเยื่องจุอัน กันขาเจาไดมาแผว แลวก็จักหื้อไดลงมือทําเร็วๆ นี้ อันวิหารนั้นมีก่ีหองหองไหนมี กี่ศอกขาเจาใครฮู เพราะวาสลาจักถามจักบอกหื้อเขาฮู เพราะฉะนี้ ขาเจาจึงมีจดหมายตอบไหวสา ถามพระครูตนมีบุญอนันตาหื้อได ฮูตามดังกลาวมาในขางบนนี้ ดวยความเคารพอยางยิ่งอยางสูง ลงนาม พระชัยยา ภิกขุ
๑๒๒
จดหมายพระครูบาเจาศรีวิชัยถึงพระครูศรีวิราช วชิรปญญา ฉบับที่ ๒ ที่วัดเจียงยัน เมืองลําปูนเดือน ๑๒ แฮม ๘ คํ่า จุลศักราช ๑๒๘๔ ลงนาม พระชัยยา ภิกขุ นมัสการกราบทูลมายังเจาพระครู ศรีวิราช วชิรปญญา เจาคณะแขวงในเมืองพะยาวทราบ ดวยบัดนีข้ า เจาไดฮบั จดหมายและกํา๋ หนดของพระครูบาเจา ฯ ทุกประการ ในใจความวาพระครูเจาจักฮื้อขาเจาเปนเกาแกคนตั้ง หลายสรางนัน้ ขาเจามีใจจมจืน่ ยินดี ถาวาขาเจาหาเงินทองตีจ่ กั สราง นัน้ บไดเงินทองตีไ่ ดมาทุก ๆ วันนีไ้ ดตไ่ี หนขาเจาก็เอาสรางเอาตาน เสียตี่น้ันหมด ขาเจาก็บจางเปนเกาไดอันนึ่งขาเจาเปนผูนอยบมี อํานาจตีจ่ ะบังคับเขาได ขาเจาขอจวย พระครูเจาไปตามบุญตามกําลัง ขาเจาดูกอน ถาบุญปางหลังของขาเจาและของพระครูและเจานาย และศรัทธาตั้งหลายยังจะไดสรางฮวมกันดั่งอั้น ก็หวังวาจักแลวตาม คําผาถนา (ปรารถนา) ของเฮาตั้งหลายทุกคนตามกุศลไดปามา เพราะฉะนีข้ อศรัทธาตัง้ หลายปายนอกเจานายตาวพระยาใหญนอ ย นายบานขุนเมือง ขอเปนศรัทธาจิม่ กันทุกคนหือ้ เปนบุญในปายหนา หือ้ ไดถงึ สุขแกเมืองฟาเปนหนาแกเมืองคนหือ้ เปนกุศลนําฮอดเมือง แกวยอดเนรปานแกหมูเฮาตั้งหลายจุผูจุคน นั้นแตดีหลี ขาเจาขอ ไหวสาถามกับพระครูเจาวิหารใหญเตาใดมีกี่หอง เสามีกี่ตน แปมีกี่ ศอก สลาตี่จักกอเสาและปางเอกในเมืองพะยาวมีกาฤๅวาหาบได ขอพระครูบาเจาบอกมาหื้อขาเจาฮูจิ่มขาเจาจักหาไป ในสลาที่ตัด เครื่องบนนั้นมีแลวกา ถาวาบมีขาเจาจักเอาไป อันใดยังบกุมบปอนั้น ขอกึ๊ดไวเสียพรอมกึ๊ดเอาปูนไวหื้อได หลายปนลาน ดินกี่หลายแสนในวิหารหลังนี้พระครูเจาจักสรางใน
๑๒๓
แลงนีก้ าฤๅวาจักกอยสรางไปบมกี า่ํ หนดกา ถาวาแลงนีย้ งั บสรางเตือ่ กันวาพระครูเจาจะสรางหื้อแลวในแลงนี้ดั่งอั้น กันวาขาเจาบเติ๊ก บจนอันใด กันออกวัสสาแลวขาเจาก็จักขึ้นมา เดือนใด วันใด ยังบมีกํ๋าหนด ถาขาเจาเติ๊กจนอันใดอันหนึ่ง ขาเจาก็ขออนุญาตกับ พระครูเจา ขอจะไปหื้อเสียสัจจะศีลธรรมแหงขาเจา ขอพระครูเจามี ความกรุณาโผดขาเจาจิ่มดวย ในเดือน ๑๐ แฮม ๔ ขาเจาทิง้ หนังสือสงเมลมาถึงพระครูเจา แลวกาวาบถึง ขาเจาใครฮูในเมืองพะยาวกั้นขาวเต็มที่กาฤๅวาบกั้น (ขาวนํา้ ปจจัยหายากไหม) กันกัน้ ขาวนัน้ ขาเจาก็กลัว๋ บเปนไปในการ กุศลอันสรางนั้นแล เพราะฉะนี้ขาเจาจึ่งมีจดหมายไหวสาถามมายัง พระครูเจาทุกประการตามมาดั่งในจดหมายนี้ ควรบควรสุดแลวแต พระครูเจามีความกรุณาและโผด (โปรด) ขาเจา สวัสดี ลงนาม พระชัยยา ภิกขุ
๑๒๔
บันทึกของพระครูศรีวิราช วชิรปญญา เรื่ อ งการไปอาราธนานิ ม นต ท า นพระครู บ าเจ า ศรี วิ ชั ย ครั้งที่ ๑ ไดใหเจานอยกูเลากู เมืองเชียงใหม ไปนิมนตไปวันที่ ๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๖๔ ตรงกับวันเดือน ๗ เหนือ แฮม ๑๐ คํ่า ครั้งที่ ๒ ไดใหนายสิบเอกอาย เมืองพะยาวนิมนตไปวันที่ ๑๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๖๔ ตรงกับวันเดือน ๘ เหนือ ออก ๑๐ คํ่า ไปนิมนตรวม ๒ ครั้ง นี้คือครั้งที่ ๑-๒ ทานตุเจาศรีวิจัย ทานไดสั่งมาใจความวา ทานไดตั้งสัจจะอธิษฐาน ผายเบีย้ ผายครัง้ ที่ ๑ เบีย้ มูบตัด๊ ตาศาลา ๙ หอง ผายครัง้ ที่ ๒ เบีย้ มูบตัด้ ตา หมอนาฮก (หมอนรก) ผายครั้งที่ ๓ เบี้ยมูบตั๊ดตาหมออเวจี บเตาแตนั้น ก็ไดหอ้ื หมอโหราทํานายตวายดูตา มคัมภีรโ หรา หมอโหราก็บอกวา หนตาง ไปตุเจา (พระ) หากมี หนตางตี่จักมาบมี วาฉะนั้น เพราะฉะนั้นในป พุทธศักราช ๒๔๖๔ จักไปได ทานสั่งมากับดวยจองมูคํา บานสบตํ๋ามามี แตเตานี้ ครั้งที่ ๓ ไดหื้อพระปญญา วัดสนตนตอง ตํ๋าบลปนเมืองพะยาวไป นิมนต ไปวันที่ ๑๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๖๔ ตรงกับวันเดือน ๓ เหนือ แฮม ๓ คํ่า ทานกลาววา ถาจักหื้อขาเจาไปเปนเกากึ๊ดกอ สรางวัดพระเจา ตนหลวงนัน้ หือ้ ปากัน๋ ปน ดินกีไ่ วหา แสนหนึง่ ถามีดนิ กีแ่ ลวกันขาเจาไปแผว แลวคนเมืองพะยาวก็จะปากั๋นมาผอ (มาดู) ขาเสี้ยงตึงเมือง ขาเจาก็จักปา เอาคนตั้งหลายจวยกั๋นกิ๊ดหื้อเปนการเสร็จแลวครั้งนั้นทานกลาวแตเตานี้
๑๒๕
กันอยูมาถึงวันที่ ๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๖๔ ตรงกับวันเดือน ๗ เหนือ ออก ๕ คํ่า เวลาเจา ๗ โมง มีปอเลี้ยงหนานตะ ศรัทธาวัดดอน เหล็ก บานดอกคําใต มาตี่วัดราชคฤห มาแจงความวาตุเจาศรีวิชัยทานได สั่งใจความวา ขอปอออกไดฮับกําสั่งของเฮาไปไหวสาพระครูเมืองพะยาว หือ้ จิม่ ดวยเรือ่ งการตีจ่ กั กิด๊ กอ สรางวิหารพระเจาตนหลวงเมืองพะยาวนัน้ ทาน พระครูไดนิมนตเฮาถวน ๓ ครั้งแลว เพราะฉะนั้นกันตกปใหมแลว ออกวัสสาแลว ถึงเดือน ๔ เฮาจักไปตี่วัดพระเจาตนหลวงเมืองพะยาวเปน แน แตทกุ วันนีเ้ ฮาก็มคี วามอาลัยใจตดิ คิดถึงพระเจาตนหลวงอยูท กุ วันบได ขาด แตวัดพระเจาตนหลวงเปนอยางไร เฮาก็ฮูสรางเสี้ยงเหมือนตาไปหัน อันนึ่ง พระครูเมืองพะยาวฮายและดีอยางใดเฮาก็ฮูเสี้ยงเหมือน ตาไป หันเหมือนกั๋น พระครูเมืองพะยาวองคเดียวเตานี้ก็ไดถูกใจก๋ันจักไดฮวม บุญตานกับดวยกัน๋ จักขีส่ าํ เภาลําเดียวกัน๋ กันเฮาไดไปถึงพะยาวแลว วิหาร วัดพระเจาตนหลวงก็คงจักสําเร็จเสร็จไปเปนแน แตไมสาํ เร็จเฮาตึงบไปเสีย กําแลวกันไดไปกึ๊ดสรางเสาวิหารตองกอแลวดวยปูนซีเมนตทุกเลม กันได ไปกึ๊ดสรางแปง สําเร็จแลวดีงามไดหยาดนํ้าถวายตานแลวจึ่งจักไดลาไป เมืองลําปูน อนึ่งคนเมืองพะยาวคนใดก็กลาววาใครหันหนาพระศรีวิชัย วัดบานปาง กันไดถึงเมืองพะยาวแลวคนในเมืองพะยาวจักปาเอากั๋นมา ผอเสี้ยงตึงเมือง อันนึง่ ขอหือ้ ทานพระครูไดจดั การ ปน ดินไวหลายๆ ปน ไดนกั เตาใด ก็เปนการดี อันนึ่งวิหารหลังเกานั้นก็หื้อเตรียมไมปวนเครือเขาเคนคาดไว หื้อดี เหล็กตี๋ไมไวหื้อมั่น อยาหื้อโกนกาน ปงตกลงจับใสพระเจาแตเนอ กําสั่งตุเจาศรีวิชัยมีแตเตานี้ วันนี้ ขาพระครูศรีวิราช ไดไปวัดพระเจาตนหลวง พระสุริยวงษ ผูอยู เฝาวัดเปนผูแตมเขียนปอเลี้ยงหนานตะเปนผูบอก
๑๒๖
กันมาอยูถึงวันที่ ๒๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๖๕ ตรงกับวัน เดือน ๘ เหนือ แฮม ๑๐ คํ่า พระอินทยศ วัดบานนํ้าแพร อําเภอเมืองเทิง มาบอกวาไดไปตี่ตุเจาศรีวิชัย วัดบานปางแลวทานไดสั่งใจความวา ขอหื้อ ไปไหวสาพระครูเมืองพะยาวหือ้ ทานไดทราบดวยจิม่ ดวยเรือ่ งตีจ่ กั ไดสราง วิหารวัดพระเจาตนหลวงนั้นถาบมีไผจักมาเปนเกากึ๊ดสรางนั้นหื้อทาน พระครูไดใจคนไปนิมนตเตอะ กันออกวัสสาแลวถึงเดือน ๔ ก็จักไดไปเปน แนนอน อันนึ่ง หื้อพระครูไดจัดแจงปนดินกี่ไวนัก ๆ หลาย ๆ ดวยจิ่มแต ในวิหารวัดพระเจาตนหลวงนัน้ กันไดไปกึด๊ สรางก็หนั จักปนลุกปนแลวโดย เร็วเพราะวาจักมีคนมาจวยหลายเตมที อันหนึง่ ทานพระครูเมืองพะยาวทาน ก็ไดเอาใจใสดวยใจศรัทธา กําสั่งของทานตุเจาศรีวิจัยมีแตเตานี้ ครัง้ ที่ ๔ กันวาไดไปสรางแปงโฮงกุฏติ พี่ กั ไวใหทา นตุเ จาศรีวชิ ยั แลว ไดปนดินกี่ไวเสร็จแลว พระปญญา ตําบลปน ไปนิมนตวันเดือน ๙ ออก ๑๑ คํ่า จดหมายจากพระครูศรีวิราช วชิรปญญา เจาคณะเมืองพะยาวถึงเจา ผูครองนครเชียงใหมตี่วัดราชคฤห เมืองพะยาว (พะเยา) จั๋งหวัดเจียงฮาย (เชียงราย) วันที่ ๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๖๕ อาตมาภาพพระครูศรีวิราช วชิรปญญา เจาคณะแขวงอําเภอ เมื อ งพะยาว ขอถวายพระพรพระมหาบพิ ต รเจ า ผู ค รองจั๋ ง หวั ด เจียงใหม ทราบ ดวยบัดนีอ้ าตมาจะไดใหพระปญญา วัดสันตนตอง ตํา๋ บลปน ขึ้นไปบอกบุญสรางวิหารพระเจาองคหลวงโตงเอี้ยงพะยาว คือจะไป
๑๒๗
แผเมืองเจียงตุง เมืองยอง เมืองเจียงรุง เมืองแจ เมืองแฮม รวมกั๋น เปน ๕ หัวเมือง เพราะฉะนั้นอาตมาภาพขอหนังสือจดหมายของ มหาบพิตรเจาและหนังสือของเทศาภิบาลผูเปนหัวหนาราชการ มณฑลพายัพ เพื่อจะเอาหื้อพระปญญาสําหรับติดตั๋วเอาไปบอกบุญ ใน ๕ หัวเมือง เมื่อบไดหนังสือ ๒ ฉบับไป กลั๋วแตคน ๕ หัวเมือง จะไมเชือ่ เพราะไดทราบขาววามีคนรายลักไปแผครัง้ หนึง่ แลว จะควร มิควรแลวแตความดําริ บั น ทึ ก ของพระครู ศ รี วิ ร าช วชิ ร ป ญ ญา ต า มคํ า พู ด ของ พระป ญ ญา วันที่ ๑๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๖๔ ตรงกับวันเดือน ๙ เหนือ แฮม ๑๐ คํ่าเวลาเจา ๔ โมง ทานตุเจาศรีวิจัยทานฮับขันนิมนตแลว ทานถามวา “ในวิหาร พระเจาตนหลวงได กึ๊ดไปทุกวันแลวหรือยังบไดกึ๊ดเตื่อ ในวันนี้เวลาเจา ๓ โมง ขาเจาก็ไดปรึกษากันจะใจคนไปถามดูเรื่องการ สรางวิหารถามีผูเปน เกาสรางแลว ก็จะไดเอาเงินไปฮอมถาบมไี ผเปนเกาสรางก็หอื้ ไดฮกู ป็ รึกษา กัน๋ ฉันนี้ ขาเจาบอกวาไหวสาศีลธรรมเจา เรือ่ งวิหารพระเจาตนหลวง เวลา นีย้ งั บมใี ผเปนเกาสรางเตือ่ เพราะฉะนัน้ ทานพระครูเมือง พะยาวและนาย อําเภอและเจาหลวงเมืองพะยาวจึงใหขา เจามาขอนิมนตศลี ธรรมเจา ขอไป เปนเกาสรางหื้อเปนการเสร็จแลว” ทานถามวา “ดินกี่มีไวแลวกา ดินขอมี ไวแลวกา ปูน มีไวแลวกา ไมเครือ่ งวิหารมีไวแลวกา ดินกีต่ ป่ี น ไวนน้ั ไดจา ง เอากา ถาไดจางปนจะไดแกคากาวาบไดจาง แตเมื่อเดือน ๓ ขาเจาไดฮับ กําสั่งจาก ศีลธรรมเจาจะไปกึ๊ดสราง คนตั้งหลายตางก็มีความยินดีก็ได พรอมกั๋นปนดินกี่ไว” ทานกลาววา “จื่อเสียงขาไปดังอยูเมืองพะยาวเตมที
๑๒๘
กา” ไหวสาศีลธรรมเจาแตทุกวันนี้ พระครูกับตั้งปอเจาหลวงก็ดี ทานนาย อําเภอและคนตั้งหลายก็ระลึกกึ๊ดถึงศีลธรรมเจา ตางคนก็ตางกองหันหนา ศีลธรรมเจาอยูทุกคนบไดขาด ทานถามวา “แบบอยางฮางหุนวิหารนั้นจะ เปงใจอยางใด” ไหวสาศีลธรรมเจา ทานพระครูและทานนายอําเภอก็วา เปงใจอยางวิหารหลวง (พระวิหารวัดพระธาตุหริภุญชัย) เมืองลําปูนวา ฉะนั้น ทานวา “ถาอยางนั้น ขาก็ชอบเปงใจกําแลว” ทานถามวา “สลา มีไวแลวกา” ไหวสาศีลธรรมเจา สลายังบไดหาไวในกาสลาคนจางแปง วิหารนัน้ ก็ขอแลวกับศีลธรรมเจาตึงมวลทานกลาววา “ดีแลวสวนสลานัน้ ขาจักเอาแตเมืองลําปูนไปตวยหือ้ พรอม” ทานกลาววา “แตใครหอ้ื ปนแลว ดวยเร็วๆ หื้อไดหาไมเครื่องวิหารไวหื้อพรอมกับหาปูนซีเมนตไวนักๆ กับ หาแปนเกล็ดหรือดินขอไวนกั ๆ” ทานสัง่ วาฉะนี้ ทานกลาววา “หือ้ ตุเ จาไป ไหวสาพระครูเตอะ เพราะขาไดฮบั นิมนตของทานแลว ขาก็คงจะไดไปเมือง พะยาวเปนแน หื้อตุเจาไดไปบอกหื้อทานพระครูเตอะบถาฮอนใจ กันออก วัสสาแลวขาคงจะไดไปแน แตคนเมืองลําปูนก็จะไปตวยหลายอยู ถานาย ฮอยไมตงั้ หลายในเมืองลําปูน เจียงใหมและนครลําปาง เมืองงาว กันฮูข า ว ขาไปแลวเขาตานตั้งหลายก็จักมีใจใสศรัทธาก็คงจะไปตวยหลายเตมที” วาฉะนั้น ทานกลาววา “หือ้ ทานไปเมตตาปอเจาเมืองลําปูนหือ้ ทานทราบจิม่ ” ขาพเจาพระปญญาจึ่งไดลาทานไปตี่เจาครองเมืองลําปูน ทานกลาววา “ดีแลวกันตุเ จาบานปางไปวิหารพระเจาตนหลวงเมืองพะยาวก็คงสําเร็จแลว เร็ว ๆ เปนแน เพราะคนตั้งหลายผูมีใจบุญ ก็จะติดตามไปดวยทานมาก ถาไมมีการขัดของอยางใด ตั่วขาเจาก็จักไปตวยทาน” วาฉะนี้
๑๒๙
ตรงกุ ฏิ ข องพระครู บ าเจ า ศรี วิ ชั ย เมื่อมาบูรณะวัดพระเจาตนหลวง ภายหลังสรางเปนวิหารอนุสาวรีย พระครูบาเจาศรีวิชัย ภายในเปนที่ ประดิ ษ ฐานรู ป เหมื อ นและสถู ป บรรจุอฐั ธิ าตุของพระครูบาเจาศรีวชิ ยั
ถายทีต่ น ชบา บนพระธาตุจอมทอง คราวฉลองพระวิ ห ารวั ด พระเจ า ตนหลวง (วั ด ศรี โ คมคํ า ) เมื อ ง พะเยา อายุ ๔๖ ป
๑๓๐
ถายที่ตนชบา บนพระธาตุจอมทอง เมืองพะเยา เมื่ออายุ ๔๕ ป
๑๓๑
บั น ทึ ก ระหว า งการเดิ น ทาง วันพฤหัสบดี เดือนยีเ่ หนือ แรม ๖ คํา่ จุลศักราช ๑๒๘๔ ทานพระครูบา เจาศรีวิชัยไดออกจากกุฏิคณะเชียงยัน วัดพระธาตุหริภุญชัย จังหวัดลําพูน ไปยังเมืองพะยาว เพื่อการบูรณะปฏิสังขรณวัดพระเจาตนหลวงทุงเอี้ยง (วัดศรีโคมคํา) ซึ่งมีผูติดตามทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ มีพระภิกษุจํานวน ๒๙ รูป สามเณร ๓๐ รูปฝายคฤหัสถ ผูศรัทธาติดตามหาบสิ่งของเครื่องใช ๓๐ คน พระครูบาเจาศรีวิชัยไดนั่งบนเสลี่ยงคานหามเปนขบวนของ นักจาริกแสวงบุญครัง้ สําคัญยิง่ ของชาวพุทธในถิน่ ลานนาในเวลานัน้ เพราะ ทานพระครูบาเจาจาริกไปทีไ่ หนจะไดรบั การตอนรับปฏิสณ ั ฐานดุจประหนึง่ เทพเจา สมัยนั้นตองไปตามปาชางทางเสือหนทางก็ตองผานหมูบานชนบท ตางๆ จากหมูบ า นหนึง่ ถึงอีกหมูบ า นหนึง่ แตละหมูบ า นทีข่ บวนนักบุญเดิน ผาน เขาจะประดับตกแตงทําเปนปะรําพิธีไวคอยรับ จะขัดราชวัตรประดับ ตนกลวย ตนออย ตกแตงตั้งหมอนํ้ากินนํ้าใช นํ้าอบ นํ้าหอม นํ้าขมิ้น สมปอย สองขางทาง ก็จะประดับไปดวยชอธง ตุง ผาขาว ผาแดงเตรียมเสือ่ สาดอาสนะไวรองรับ พอขบวนของพระครูบาเจาฯ มาถึงแตละแหงก็จะได รับการตอนรับจากคนในหมูบาน ตําบล อําเภอนั้นๆ ทั้งๆ ที่ไมไดมีการ กฎเกณฑบังคับ ตางก็ใครจะชมบุญชมบารมีของทานพระครูบาเจาฯ ผูชาย จํานวนมากก็จะพากันนอนควํ่าเปนแถวใหพระครูเจาเดินไปบนรางของ ตนเอง บรรดาผูหญิงก็จะเอาผาขาวมาปูลาดเปนทางใหทานเดิน พอถึง ปะรําที่เตรียมไวรับตางก็จะนําเครื่องจตุปจจัยนอมนํามาถวายไมวาจะเปน บรรพชิตนักบวชหรือคฤหัสถตางก็เกิดความปติโสมนัสที่ไดรวมอนุโมทนา บุญกับทานพระครูบาเจาศรีวชิ ยั จากหมูบ า นหนึง่ ถึงอีกหมูบ า นหนึง่ ผูม จี ติ ศรัทธาทัง้ หลายจะสงและรับขบวนของนักบุญอยางตอเนือ่ งจะมีการแหฆอ ง
๑๓๒
กลองกังสดาลแหนาํ หนาและตามหลัง นับวาเปนการแสดงออกดวยศรัทธา อันแรงกลาของคนในสมัยนั้นอยางชนิดที่วาไมเคยมีเหตุการณอันนา ประทับใจเชนนี้กับผูใดมากอน การเดินทางของคณะทานพระครูบาเจาศรีวิชัยไปยังวัดพระเจา ตนหลวง ทุง เอีย้ ง เมืองพะเยา (วัดศรีโคมคํา) ซึง่ มีบนั ทึกการเดินทางเทาที่ จดบันทึกไวมีดังนี้ เดินทางมาถึงหมูบ า นทาเดือ่ รับนิมนตพกั คาง ๑ คืน ถึงบานตาวผายู รับนิมนตพักคาง ๑ คืน ถึงหมูบานตาวคําวังรับนิมนตพักคาง ๒ คืน ถึง หมูบานตนดาวเรืองรับนิมนตพักคาง ๑ คืน ถึงบานดอนพิง รับนิมนตพัก คาง ๑ คืนถึงบานปาแดง รับนิมนตพักคาง ๕ คืน ถึงหมูบานดอกเอี้ยง รับนิมนตคาง ๑ คืน ถึงหมูบานดอยสะเก็ด รับนิมนตพักคาง ๔ คืน ถึง เดือน ๓ (เหนือ) ขึ้น ๙ คํ่า ออกจากตีนดอยสะเก็ดไปถึงหวยแมหวานมี บานอยู ๕ หลังคาเรือน นิมนตรับจตุปจจัยไทยทาน จากนั้นไปถึงศาลา ปางชาง ปงออ มีบานอยู ๑๐ กวาหลังคาเรือนชาวบานไดพรอมกันนํา เครื่องไทยทานมาถวาย การเดินทางตอไปผานปาเมี้ยง ก็จะเปนที่อยูของ คนพืน้ เมืองพอถึงบานทุง หาทัง้ ชาวพืน้ เมืองพวกยางปาก็รว มกันทําทีพ่ กั มุง ดวยใบตองใหพระภิกษุสามเณร ๕๐ รูปอยูมีหมูคน ๓ เชื้อชาติภาษาตาง ก็มีความยินดีรวมทําบุญใสบาตรถวายปจจัยไทยทาน จากนั้นก็เดินทางมาถึงเขตอําเภอพาน ขุนสวัสดิ์บํารุง พอเมืองพาน มีความเลือ่ มใสศรัทธาแรงกลา ออกมาใหการตอนรับนิมนตพระครูบาเจาฯ ณ ที่แดนตอนํ้ายอยหลอเมืองพานใหมาพํานักวัดในเมืองพานมาถึงเดือน ๔ (เหนือ) ขึ้น ๒ คํ่า จุลศักราช ๑๒๘๔ แลวศรัทธาทั้งหลายทั้งคฤหัสถและ บรรพชิต ตางก็พรอมกันมารวมอนุโมทนาบุญ ถวายจตุปจจัยขาวตอก ดอกไมธปู เทียน และไดมผี เู ขามาขอบรรพชาเปนสามเณร ๑๘ รูป บวชเปน
๑๓๓
พระภิกษุ ๒ รูป เดือน ๔ (เหนือ) ขึน้ ๔ คํา่ มาพักทีศ่ าลามีคนมารวมทําบุญ และมาขอบวชเปนพระภิกษุ ๒ รูป จากนั้นก็ไปถึงวัดพงจัยและวัดปาคา ทานก็ไดรับนิมนตรับเครื่องไทยทานเหมือนระยะทางที่ผานมา พอถึงวันจันทร เดือน ๔ (เหนือ) ขึ้น ๙ คํ่า จุลศักราช ๑๒๘๔ คณะ ของทานพระครูบาเจาศรีวิชัยก็มาถึงวัดพระเจาตนหลวง ทุงเอี้ยง (วัดศรี โคมคํา) เมืองพะเยา ใชเวลาเดินทางรวมทัง้ ทีพ่ กั แรมระหวางทางเปนเวลา ทั้งหมด ๔๗ วัน ทางคณะสงฆมีพระครูศรีวิราช วชิรปญญา เจาคณะแขวง อําเภอเมืองพะเยา ฝายศรัทธาสาธุชนมีเจาหลวงเมืองพะเยาพรอมศรัทธา สาธุชนเปนจํานวนมาก ตอนรับพระครูบาเจาดวยขันขาวตอกดอกไม อาราธนานิมนตเขาสูโ ฮงหลวง (กุฏใิ หญ) ทีส่ รางขึน้ ใหมสาํ หรับรับรองทาน โดยตรง ผูมีศรัทธาสรางชื่อนายปอม บริจาคเงิน ๑,๗๐๐ แถบ พระภิกษุ สามเณรและศรัทธาผูติดตามพระครูบาเจาพอมาถึงตางก็ไดรับรองใหอยู ที่พักตามฐานะอันควรในวันที่พระครูบาเจาฯมาถึงนั้นไดเกิดเหตุการณ อัศจรรยคือ มีผูชายสองคน คนหนึ่งนอมนํามาซึ่งตนขาวมีลักษณะพิเศษ ตนเดียวมีรวงถึงเจ็ดรวงเอาใสพานดอกไมมาถวาย อีกคนหนึ่งนําดอกบัว หลวงกานเดียวแตมี ๗ ดอก ดอกเทากับดอกบัวธรรมดา บางดอกก็บาน บางดอกก็กําลังตูม เกิดที่กลางหนองเอี้ยง (กลางกวาน) ใสพานพรอมขาว ตอกธูปเทียนนอมถวาย จึงนับไดวาเปนนิมิตอันดีอยางยิ่งที่ทานจะไดมา บูรณปฏิสังขรณ พุทธสถานอันสําคัญแหงนี้ใหเจริญรุงเรืองสืบไป แตกอนที่ทานพระครูบาเจาจะมาเมืองพะเยา ทานไดปรารภกับ บรรดาสานุศษิ ยวา การทีเ่ ราจะไปบูรณะวัดพระเจาตนหลวง ทุง เอีย้ งในครัง้ นี้ นับวาเปนการอันใหญหลวงกลัววาทําไมสําเร็จเพราะฉะนั้นเราจะตอง อธิษฐานจิตงดการฉันขาวหรืออาหารที่สุกกับไฟ จะฉันแตผลหมากรากไม แทนขาวเพื่อเพิ่มบุญบารมีในการรองรับงานในครั้งนี้แลวทานก็ต้ังใจงด
๑๓๔
อาหารตั้งแตออกจากเมืองลําพูนพอมาถึงเมืองพะเยาไดหลายวันพอดี นายคําพิลกึ คนบานหวยกาน จังหวัดลําพูน ซึง่ ติดตามมากับทานพระครูบาเจาฯ ไดนําเอากลอยมาถวายใหทานพระครูบาเจาฯ ทานฉันเขาไปไดสักพักเกิด อาการทั้งอาเจียนทั้งทองเสียอยางหนัก จนทานหมดเรี่ยวแรงแทบจะเอา ชีวิตไมรอดพอรูขาวถึงเจาหลวงเมืองพะเยา ทานจึงรีบมาเยี่ยมเยียนดวย ความหวงใย แลวนิมนตทานพระครูบาเจาฉันอาหารตามปกติ ทานก็ รับนิมนต แตเจาหลวงกลับไปฉุนเฉียวเอากับนายคําพิลึก เกือบจะลงแส หางกระเบน แตทานก็ระงับอารมณได บรรดาผูม จี ติ ศรัทธาทีม่ ารวมสรางบูรณะวัดพระเจาตนหลวงในครัง้ นี้ ถือไดวาเปนเรื่องใหญโตมากสําหรับชาวลานนาไทย มีผูคนมาตั้งหลาย เชื้อชาติภาษาตางบานตางเมือง อาทิจากเมืองเชียงใหม เมืองลําพูน นคร ลําปาง เมืองแพร เมืองนาน เมืองเชียงแสน เมืองเชียงราย เมืองเชียงของ เมืองลอง เมืองยอง เมืองเลน หัวโปง เมืองโพง ฮองเลิ๊ก เมืองเชียงตุง อยูใ นเขตพมามากันหลายเมือง เวียงแกวแจหม เมืองงาว เมืองพาน แมพริก แมขะจาน เวียงปาเปา มีทั้งพวกฝรั่ง ตองสู พมา เม็ง มอญ ญวน แขก จีน ลาว เขิน ลื้อ ขมุ ขะเมด ลั๊วะ ยาง ขา คุย คอ แมว หอ และมูเซอ ชาวเขา หลายๆ เผาตางก็มาไหวสาชมบุญญาธิการของพระครูบาเจาฯ แลวรวมสราง บูรณะพระเจาตนหลวง (สรางพระวิหาร ศาลาคด พระอุโบสถรวมทัง้ บูรณะ องคพระธาตุจอมทองที่อยูในอาณาเขตเดียวกัน) วันพฤหัสบดี เดือน ๔ (เหนือ) ขึ้น ๑๑ คํ่า จุลศักราช ๑๒๘๔ เปน วันรื้อพระวิหารพรอมกับการปรับพื้นที่เรียบรอยใชเวลา ๘ วันจึงเสร็จ วันพุธที่ ๑๗ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๖๖ เปนวันวางอิฐทองเปน ฤกษลงหลุม มีพระภิกษุ ๑๖รูป เอาอิฐปดทองทีเ่ ตรียมไววางลงหลุมเปนการ เอาฤกษสราง โดยมีพระภิกษุป (ตอนหลังสึกเปนตาปะขาว) และพระภิกษุ
๑๓๕
สุภาซึ่งทานพระครูบาเจาฯ มอบหมายใหควบคุมดูแลการสราง แลว พระภิกษุสามเณรทั้งหลายพรอมกันเอาอิฐหินปูนทรายเทตามลงไปใน หลุมเสา การวาจางชางคนจีนที่มีฝมือทําฐานเสาได ๑๐ วัน หัวหนา ๑ คน จางวันละ ๓ บาท ชางรอง ๓ คน วันละ ๒ บาทลูกมือ ๘ คน รายวันละ ๑ บาท รวมคาจางชุดแรก ๑๓ บาท แลวจางชางคนจีนชุดใหม หลอเสากลาง ๘ ตน หลอดวยปูนซีเมนตเสริมเหล็ก หนากวาง ๓๐ นิ้ว ยาว ๑๔ ศอก จางหลอตนละ ๕๕๐ บาท การสรางพระวิหารหลวงครั้งนี้ ไดมีผูรับเปนเจาภาพเสาเปนตน ๆ มีรายนามดังนี้ ๑. เจาหลวงประเทศอุดรทิสา พรอมดวยชายาและครอบครัว ๑ ตน ๒. นายจีนจัน กรรมการทางรถ เมืองงาว พรอมดวยครอบครัว ๑ ตน ๓. นายสางออน เมืองงาว ๑ ตน ๔. ขุนนิคมคามโคหาชนบท ขุนพินยศ นายอําเภอพะเยา ๑ ตน ๕. นายภะกาสรอยคํา นางปอม ซองเมธา บานดอกคําใต ๑ ตน ๖. นายนอยอิ่นคํา นายตุย แมหนอ บานหนองระบู ๑ ตน ๗. นายนอยสุข พรอมดวยครอบครัว บานแมสุก ๑ ตน ๘. นายภะกาญาณะ นางพวน บานหวด เมืองงาว ๒ ตน รับชอฟา ๒ ตัว รับเสา ๙. เจกภู พรอมครอบครัว บานอยูในอําเภอพะเยา ๑ ตน ๑๐. นายนอยวงค ผูใหญบานเมืองพะเยา ๑ ตน ๑๑. นายนอยอินตะ พรอมดวยครอบครัว บานแมตํ๋า ๑ ตน ๑๒. สางออน เมืองงาว ๒ ตน ๑๓. นายนอยคุย กํานันบานแมตํ๋า ๑ ตน ๑๔. นายนอยสิงหคํา เวียงปาเปา ๑ ตน
๑๓๖
๑๕. นายนอยวงค ผูใหญบานแมใส ๑๖. ขุนสวัสดิ์บํารุง พอเมืองพาน รวมเสา ๑๙ ตน คิดเปนคาจางประมาณ ๙,๙๐๐ บาท
๑ ตน ๑ ตน
การสรางพระวิหารหลวงในชวงตอไปก็ไดหาชางทีม่ คี วามชํานิชาํ นาญ โดยการวาจางนายนอย วงคเปย เปนหัวหนาชางและชางที่รองลงมาอีก ๖ คนคือ นายบุญถึง นายกองคํา นายหนานธิ นายแกว นายคํา นายรอด เปนชางฝมือดีจากนครลําปาง และหาชางจากเมืองพะเยาอีก ๒๐ กวาคน ฝายทานพระครูบาเจาฯ ก็มอบหมายใหพระภิกษุป ควบคุมดูแลการกอสราง แทน นายชางชุดหลังนี้เริ่ม ทํางานตั้งแตวันเดือน ๕ (เหนือ) ขึ้น ๒ คํ่า ระหวางที่พระครูบาเจาศรีวิชัยมาเปนประธานบูรณะวัดพระเจา ตนหลวงอยูน น้ั ก็เกิดเหตุการณเหมือนวันทีม่ าถึงอีกครัง้ หนึง่ คือในวันเดือน ๔ (เหนือ) แรม ๔ คํ่า จุลศักราช ๑๒๘๔ มีชายคนหนึ่งไดนอมเอาดอกบัว อันเกิดที่กลางนํ้ากวาน ครั้งนี้กานเดียวมี ๕ ดอก แตละดอกขนาดเทากับ ดอกธรรมดาใสพานมาถวาย พอมาถึงเดือน ๕ (เหนือ) ขึ้น ๑๓ คํ่า จุลศักราช ๑๒๘๔ มีชายอีกผูหนึ่งไดนําเอาดอกจั๋งกร มีกานเดียวแต ออกดอก ๓ ดอก ดอกออกสืบตอกันขึน้ บน เอาใสพานมาถวายทานพระครู บาเจาฯ นี้ก็นับวาเปนนิมิตนาอัศจรรยอันเปนเหตุสําคัญมาก ชะรอยวาจะ เปนขาวตอกดอกไมของเทพยดาเจาทีร่ กั ษาพระพุทธศาสนาคงจะอนุโมทนา สาธุการซึ่งพระครูบาเจาฯในการมาบูรณะพระวิหารหลวงในคราวนี้ เปน แนแท การกอสรางพระวิหารหลวงมีผูศรัทธาเลื่อมใสมาทําบุญสรางบารมี รวมกับทานพระครูบาเจาอยางตอเนื่อง ใชเวลาในการสรางเพียง ๒ เดือน ก็สําเร็จ โดยเฉพาะพระอุโบสถใชเวลาสรางเพียง ๑ วัน
๑๓๗
เมือ่ สรางพระวิหารหลวงเสร็จเรียบรอย พระครูบาเจาศรีวชิ ยั ไดบรู ณาการ ซอมแซมองคพระเจาตนหลวงใหงดงามทนตอกาลเวลา โดยพระครูบาแกว กาวิชโย เจาอาวาสวัดดอนเหล็ก บานดอกคําใต เมืองพะเยา ซึง่ เปนผูม อี ายุ พรรษาเท า กั บ พระครู บ าเจ า ศรี วิ ชั ย มี ค วามสนิ ท สนมเคารพกั น มาก ไดแนะนํานายชางทิศ ตรีเนตร ชาวบานดอนเหล็กเปนชางผูมีฝมือ ชํานาญการสรางพระพุทธรูป ถือวามีความสามารถสูงในเมืองพะยาว ใหเปนชางใหญ ซึ่งก็ไดรับความเห็นชอบจากพระครูบาเจาฯ ที่จะให นายชางทิศ ตรีเนตร ไดทาํ งานชิน้ สําคัญประดับตกแตงองคพระเจาตนหลวง จากผิวปูนเดิมที่ชํารุดไปตามกาลเวลา ไดรับการโบกฉาบทําผิวขึ้นมาใหม ใหประณีตสงางามอลังการ สวนดวงตาพระครูบาเจาศรีวิชัยไดรับบริจาค เงินแถบ (เปนเนือ้ เงินบริสทุ ธิ)์ นํามาหลอมแตงพระเนตรนัยนตาใชรกั แตง เปนสีดํานิล รับกับใบหนาอยางงดงาม ดุจมีชีวิตชีวาสงบสํารวมเปยมดวย ฉัพพรรณรังสี เหมือนกับมองดูศรัทธาสาธุชนดวยพระเมตตาพระมหากรุณา บริสุทธิ์ออนโยนอิ่มเอิบเบิกบานเปนพลังพุทธานุภาพ และพลานุภาพ ดลจิตดลใจมหาชนจากทั่วสารทิศใหเกิดพลังศรัทธาเคารพเลื่อมใสใน องคพระศรีรัตนตรัย ดวยความซาบซึ้งประทับใจอยางใหญหลวง สมัยนัน้ ศรัทธาสาธุชนสามารถเขาไปกราบไหวสมั ผัสถึงองคพระเจา ตนหลวงเหมือนกับไดอยูใกลชิดพระพุทธองคเมื่อยังทรงพระชนมชีพได พึ่งบารมีกันอยางทั่วถึง แมผูเขียนเองขณะแรกเกิดมีโรคภัยไขเจ็บรุมเรา ดุจอยูใ นอุง เล็บของมัจรุ าชอยูใ นหวงอันตรายนาหวาดกลัวมากๆ คุณพอ... ก็ไดมากราบไหวองคพระเจาตนหลวงขอพรจากพระองคทานไดโปรด เมตตาคุมครองรักษาชีวิตพรอมกับขอมอบถวายทานใหเปนพุทธบุตร ลูกของพระเจาตนหลวง นับตัง้ แตนนั้ มาอาการปวยทีอ่ ยูใ นสภาพนาเวทนา สงสารก็ เริ่ ม ทุ เ ลากลั บ มี ชี วิ ต ชี ว าจนหาย เป น ปาฏิ ห าริ ย เป น ด ว ย
๑๓๘
พุทธานุภาพคุมครองมาอยางดีวิเศษจนกระทั่งไดเจริญวัยเปนพุทธบุตร สืบสานบวรพุทธศาสนาและเจริญตามฮีตรอยบาทวิถีบารมี พระครูบาเจา ศรีวิชัย สิริวิชโย มาถึงทุกวันนี้ เงินทีม่ ผี มู าบริจาคมีจาํ นวนถึง ๕ ปบ ใชทราย ๗๐๐ หลา ปูนซีเมนต ๖๐๐ ถัง นํ้าออย ๖๖๕,๐๐๐ ใชทองคําเปลว ๒๗๒,๖๓๕ แผน ใชนํ้ารัก ๑๐๐,๐๐๐ ใชหาง ๒๐,๐๐๐ รวมการกอสรางบูรณะพระวิหารพระพุทธรูป เจาองคหลวง พระธาตุจอมทอง วิหารคดและพระอุโบสถ รวมเงินเปน ๑๐๐,๙๖๓ รูป (หนึ่งแสนเการอยหกสิบสามรูป)ทั้งนี้ไมนับคาแรงอีก มากมายจากศรัทธาสาธุชนที่มาชวยสราง และไดเริ่มทําพิธีทําบุญฉลอง ตัง้ แตวนั เพ็ญเดือน ๕ ถึงวันเพ็ญเดือน ๖ (เหนือ) ในปพทุ ธศักราช ๒๔๖๖ หลังจากงานบูรณะวัดพระเจาตนหลวงเสร็จแลว ทานพระครูบาเจาศรีวิชัย ก็ไดจาริกไปจังหวัดแพร ไดทาํ การบูรณะองคพระธาตุชอ แฮเปนกรณีพเิ ศษ เพราะเปนพระธาตุประจําปเกิดของทานพระครูบาเจาศรีวิชัย คือปขาลจึง ไดใชวสั ดุหลอดวยคอนกรีตเสริมเหล็กทัง้ องคใหมคี วามงดงามคงทนถาวร สําเร็จอยางรวดเร็ว ในปเดียวกันนั้นเอง แลวกลับมาพํานักจําพรรษาที่วัด พระเจาตนหลวงอีก พระครูบาเจาศรีวิชัย จะมีความผูกพันกับบรรยากาศเมืองพะยาว มากถึงขนาดไดพูดกับชาวบานปาง(จากคําบอกเลาของพออุยหนอยศรี ปจจุบันอายุ ๙๔ ป (๒๕๕๔) ตอนเปนสามเณรอยูในกลุมดูแลทําอาหารเจ ถวายพระครูบาฯ) บอยครัง้ วา “เราไดจาริกเดินทางไปทัว่ บานทัว่ เมืองมาแลว ไมเห็นที่ไหนวาจะอุดมสมบูรณเทาเมืองพะยาว เปนบานเมืองนาอยูมาก” (ในปจจุบันจังหวัดพะเยา เปนจังหวัดเล็กๆ มีความสงบ มีภูเขาใหญโอบ ลอมเปนธรรมชาติมีทัศนียภาพ สวยงามบริสุทธิ์ ผูคนมีนํ้าใจโอบออมอารี ไดรับการคัดเลือกใหเปนเมืองนาอยูจังหวัดหนึ่งของประเทศ) หลังจากที่
๑๓๙
ทานไดสรางไดบรู ณะวัดพระเจาตนหลวงทุง เอีย้ งเมืองพะยาว ทานพระครูบาเจา ศรีวิชัยพรอมดวยคณะสงฆและศรัทธาสาธุชนไดนิมนตพระครูบาแกว คันธวังโส (ชื่อเต็มพระครูบาเขื่อนแกว) เปนชาวบานโฮง เมืองลําพูนที่มา รวมสรางงานใหเปนเจาอาวาสวัดศรีโคมคําพระเจาตนหลวง และไดนมิ นต พระครูบาปญญา ปญโญ เปนชาวบานตํ๊าหลายกวานเปนพระสายของ พระครูบาศรีวิราชใหไดอยูพํานักรวมกันเปนนํ้าหนึ่งใจเดียวดูแลปกครอง พัฒนาวัดศรีโคมคํา พระเจาตนหลวงสืบตอไป สวนพระครูบาเจาศรีวชิ ยั ก็ไดจาริกไปโปรดศรัทธาสาธุชนทัง้ ในเมือง พะยาว-เชียงราย-แพร-ลําปางไดแวะเวียนมาจําพรรษาวัดพระเจาตนหลวง เพื่อโปรดศรัทธาสาธุชนชาวเมืองพะยาว จนทําใหวัดพระเจาตนหลวง (วัดศรีโคมคํา) มีความเจริญรุงเรืองมาเปนลําดับ ถึงขนาดเปนที่ยอมรับวา เปนปูชนียสถานที่สําคัญยิ่งของชาวลานนาไทยเปนศูนยรวมเปนแหลง อารยธรรมอันเรืองรองมาตั้งแตอดีตจนมาถึงทุกวันนี้ หลังจากพระครูบาเจาศรีวิชัย สิริวิชโย มรณภาพพระครูบาแกว คันธวังโส ไดสรางวิหารอนุสาวรียตรงกุฏิโฮงหลวงที่พระครูบาเจาฯ เคย พํานักและไดอาราธนาอัฐิสวนศีรษะบรรจุในสถูปเจดียภายในวิหารพรอม สรางรูปเหมือนพระครูบาเจาศรีวิชัยดวยโลหะนั่งสมาธิในวิหารอนุสาวรีย ให เ ป น อนุ ส รณ ส ถานที่ ก ราบไหว รํ า ลึ ก บู ช าพระคุ ณ บุ ญ ญาบารมี เ ป น ประเพณี วั ฒ นธรรม การแสดงความเคารพความกตั ญ ู ก ตเวทิ ต า เปนการปลูกฝงคุณธรรมคุณงามความดีในจิตใจใหเจริญงอกงามไพบูลย ในป จ จุ บั น บริ เวณตั ว วิ ห ารอนุ ส าวรี ย พ ระครู บ าเจ า ศรี วิ ชั ย ใน จังหวัดพะเยาตรงจุดทีเ่ คยเปนสถานทีจ่ าํ พรรษาโปรดศรัทธาสาธุชน ดุจดัง่ แสงอันเรืองรองคูนามวัดศรีโคมคําคือความสวางไสวรุงเรืองดวยรัศมีแหง
๑๔๐
ธรรมผสานองคพระเจาตนหลวงองคใหญอลังการสัญลักษณพระหฤทัยอัน ยิง่ ใหญหนักแนนมัน่ คงองอาจโดดเดน ประทับนัง่ บนแทนวัชระอาสนเหนือ ฝงมหานที กวานพะเยาอันลือเลือ่ ง แผพทุ ธานุภาพไพศาล ณ พระอาราม หลวงทีห่ ลายผูค นนอนหนุนใบบุญพระครูบาเจาศรีวชิ ยั หรือพระครูบาเจา ศีลธรรม “ตนบุญ” เปนเพชรนํา้ เอกแหงดินแดนลานนาไทย ทีท่ า นไดโปรด เมตตารวมกับศรัทธาสาธุชนคนรุน พอรุน แมมาตัง้ แตบรรพบุรษุ ไดรว มกัน บูรณะอนุรกั ษวดั พระเจาตนหลวงทุง เอีย้ งเมืองพะยาวใหเปนมรดกอันวิเศษ ทรงคุณคาเลอเลิศ เปนฉัตรเงิน ฉัตรทอง ฉัตรแกว รัตนอุดมมงคลอัน ประเสริฐ เปนรมโพธิ์ รมธรรมอันรมเย็นทั่วผืนแผนดินทั่วฟาลานนาไทย ขอไดรับการอนุโมทนาสาธุการจากสายธารศรัทธาสาธุชนรวมพลัง รวมกันปลูกจิตสํานึกรวมกันฟนฟูบูรณาการวิหารอนุสาวรียพระครูบาเจา ศรีวิชัยสําหรับชาวพะเยาและพุทธศาสนิกชนทั่วไปเปนศูนยรวมสายธาร แหงศรัทธารําลึกถึงคุณงามความดีของพระครูบาเจาศรีวิชัย อันเปนแบบ อยางการเจริญตามฮีตรอยพระครูบาเจาศีลธรรม สืบสานประวัติศาสตร ครั้งสําคัญยิ่งใหเรืองรองคูบารมีพระอารามหลวงวัดศรีโคมคําเปนเนื้อนา บุญอันใหญกวางไพศาลไปอีกตราบกาลนาน...
๑๔๑
งานบูรณะวัดพระสิงหและวัดสวนดอก ป พ.ศ.๒๔๖๗ พระครูบาเจาศรีวชิ ยั พํานักวัดพระเจาองคหลวงทุง เอีย้ ง เมืองพะยาว (พะเยา) เพือ่ จาริกแสวงบุญไปยังพุทธสถานในดินแดนลานนา ไทยมากมายหลายแหงเพื่อสรางบารมีธรรมเจริญตามรอยพระพุทธบาท พรอมบูรณปฏิสงั ขรณพระธาตุเจดียท ป่ี รักหักพังแหงแลวแหงเลาพรอมกัน นัน้ ก็ไดเทศนาสัง่ สอนประชาชนชาวชนบทใหเคารพเลือ่ มใสในพระรัตนตรัย ผูคนโจษขานกิตติคุณไปทุกทิศขาวจึงรูไปถึงเจาแกวนวรัฐเจาผูครองนคร เชียงใหม พระราชชายาเจาดารารัศมี (พระชายาในสมเด็จพระเจาอยูหัว รัชกาลที่ ๕) พรอมดวยเจานาย พระยา ทาวแสนคหบดี เห็นพองกันวาวัด พระสิงหตั้งอยูกลางนครเชียงใหม มีความสําคัญทางประวัติศาสตรเปนที่ ประดิษฐานพระพุทธสิหงิ คเปนพระพุทธรูปคูบ า นคูเ มืองอยูใ นสภาพรกราง ควรฟน ฟูบรู ณะโบราณสถานซึง่ ถูกตนไมและวัชพืชเครือเขาเถาวัลยขนึ้ คลุม เปนปาดง จึงปรึกษากันวาผูค วรบารมีทจ่ี ะฟน ฟูพทุ ธสถานใจกลางนครพิงค เชียงใหมมแี ตพระครูบาเจาศรีวชิ ยั ทีเ่ ปนบุคคลทีน่ า เคารพเลือ่ มใสของคน ทัง้ มณฑลพายัพ โดยเฉพาะการบูรณะพระเจาองคหลวงทีพ่ ง่ึ สําเร็จและเปน ที่เลื่องลือควรนิมนตพระครูบาเจาศรีวิชัย สิริวิชโย ที่เมืองพะเยามาบูรณ ปฏิสังขรณและโปรดสาธุชนในนครเมืองเชียงใหม เมื่อทานนั่งสมาธิภาวนาตั้งจิตอธิษฐานดูแลวเห็นควรอนุเคราะห ฟนฟูศาสนสถานแหงนี้ใหเจริญรุงเรือง จึงรับนิมนตและเดินทางสูนคร เชียงใหม พอถึงวัดพระสิงห ศรัทธาสาธุชน เชน เจาแกวนวรัฐ พระราช ชายาเจาดารารัศมีและหลวงอนุสารสุนทร ตอนรับดวยความปราโมทยยนิ ดี
๑๔๒
และเตรียมสรางกุฏแิ ละทีพ่ กั ผอนอิรยิ าบถ พอประชาชนทราบขาวก็แหแหน เครือ่ งไทยทานทําบุญตักบาตรยามเชามากันทัว่ สารทิศจากทีใ่ กลไกล ทาน ใหศีลใหพรดวยความเมตตา ไมเห็นแกความเหนื่อยยาก หลังจากทําบุญ ก็แผวถางพื้นที่ ปรับแตงใหดูรมรื่น บริเวณที่พํานักของภิกษุสามเณรสราง เปนกุฏกิ ระตอบเล็กๆ อยูเ ปนหลังๆ บางก็อยูร วมกัน มุงดวยใบตองตึง ปูดว ย ฟากไมไผ กัน้ ดวยใบตองอยูก นั เกลือ่ น บริเวณบรรยากาศในวัดเหมือนแดน สวรรค ทุกคนเปย มดวยปตธิ รรมประทับใจในบารมีพระครูบาเจาฯ ไมเห็นแก ความเหน็ดเหนือ่ ย ตางทุม เทกําลังกาย กําลังใจและกําลังทรัพยอยางเต็มที่ ในครั้งนี้ หลวงอนุสารสุนทรผูเลื่อมใสในตัวพระครูบาเจาศรีวิชัย พรอมบุตรธิดาจางชางกอสรางโฮงหลวงกุฏิใหญ กออิฐเสริมปูนสองชั้น พรอมหอจงกรม เครื่องเสนาสนะ ใหเปนที่พํานักของพระครูบาเจาฯ และ ไดสรางศาลากวานตาน (ศาลาบําเพ็ญบุญ) พรอมการบริจาคเงิน ๑๐,๕๗๕ (หนึ่งหมื่นหารอยเจ็ดสิบหารูป) ถวายแกพระครูบาเจาฯ เพื่อใชจายในการ กอสรางขณะเปนประธานอยูที่วัดพระสิงหคนจํานวนมากผูที่ทราบขาวก็ เดินทางมาจากทั่วสารทิศนําสิ่งของปจจัยมาถวาย จํานวนเงินไมนอยกวา ๒๐๐-๔๐๐ รูปตอวัน ทานหาไดยึดหรือเบียดบังเปนของตนแตประการใด รับเงินบริจาคไดมาก็จับจายใชสอยในการซอมแซมและปฏิสังขรณดวยมือ อันบริสุทธิ์ ปจจัยสิ่งของบางสวนก็แจกจายแกคนยากจน บรรยากาศผูคน ทีร่ ว มสรางตางอิม่ หนําสําราญหนาชืน่ ตาบานจิตใจอิม่ เอิบเบิกบานกันทัว่ หนา แมนปจจัยที่ประชาชนนํามาถวายเปนจํานวนมากก็ตาม แตจํานวน คนมากันมากมายรวมกับคาใชจายในการกอสรางที่เพิ่มขึ้น พระครูบาเจา ศรีวิชัยจึงปรารภกับทายก ทายิกา ที่นั่งในศาลาเกรงวาการกอสรางจะ ไมสําเร็จ ทานจึงเปรยขึ้นวา “หากเทวดาอินทรพรหม ทานเมตตาปราณี และทราบในเจตนาบริสทุ ธิ์ ขอไดลงมาชีข้ มุ ทรัพยใหดว ย” พระครูบาเจาฯ
๑๔๓
พูดไมทนั ขาดคําก็เกิดเหตุอศั จรรยเปนประกาศิต ผูค นทีช่ ว ยกันขุดหลุมเสา สรางพระวิหาร พบไหโบราณ ๒ ใบเปดดูเปนทองคําแผน หนักถึง ๓๐๐ บาท บรรดาผูป ระสบเหตุการณพากันประหลาดใจแลวพากันกมลงกราบพระครู บาเจาฯ ดวยความเคารพ จากคําพูดของทาน ทําใหมีการเลาสืบตอกันไป อยางกวางขวางวาเปนผูมีวาจาสิทธิ์ เกียรติคุณจึงแผไปทั่วทุกสารทิศ การ กอสรางยังไมสําเร็จ พอออกพรรษาพระครูบาเจาฯ มอบหมายใหลูกศิษย รักษาการ แลวออกเดินทางไปสรางพระธาตุแกงสรอย ซึ่งอยูระหวางแกง เหนือนํ้าแมปงสิ้นคาใชจาย ๕๘๐ รูป พอเสร็จทานไดเดินทางไปจัดงาน ทําบุญฉลองพระธาตุชอแฮ จังหวัดแพร จัดงานบุญ ๑ วัน ๑ คืน จากนั้น เดินทางสูจังหวัดลําปาง ใชเวลาที่มีอยูข้ึนไปบูรณะวัดพระเกิด เมืองกวง อําเภอวังเหนือ แลวเดินทางไปจังหวัดเชียงใหม พักอยูวัดพระสิงหไมกี่วัน เดินทางไปสรางพระวิหารวัดพระนอนขอนมวง อําเภอแมริม จังหวัด เชียงใหม ใน พ.ศ.๒๔๖๙ ไดกลับวัดพระสิงหเพื่อทําการกอสรางให เรียบรอยสมบูรณ เมือ่ สรางวัดพระสิงหเสร็จจัดทําบุญฉลองในเดือน ๕ (เหนือ) ขึน้ ๑ คํา่ จนถึงเดือน ๕ (เหนือ) ขึ้น ๑๕ คํ่า เปนเวลา ๑๕ วัน ๑๕ คืน นับเปน งานทีย่ งิ่ ใหญ นอกจากนีพ้ ระบาทสมเด็จพระปกเกลาเจาอยูห วั รัชกาลที่ ๗ พรอมดวยพระราชินี เสด็จพระราชดําเนินโปรดเกลาฯรวมพระราชกุศลกับ ชาวลานนาไทยในครั้งนี้ดวย พอเสร็จทานจาริกแสวงบุญไปถิ่นอื่นเพื่อโปรดสาธุชนทุกหมูเหลา พอใกลเขาพรรษาก็มาประจําวัดพระสิงห จนออกพรรษาก็จาริกไปยัง ปูชนียสถานทีอ่ นื่ เกือบทัว่ ลานนาไทย แมบรู ณะวัดพระสิงหสาํ เร็จแลวทาน ยังพํานักอยูท่ีวัดพระสิงห ตอมาพิจารณาเห็นวามีเจดียเกาเหลือแตฐาน เหนือพระวิหารทรุดโทรมมากทําใหสถานทีไ่ มสวยงามใหรอ้ื ออกในขณะที่
๑๔๔
ขุดพบหีบทองแดงเปดออกดูมผี อบเงินและผอบทองคําบรรจุอฐั ิ สันนิษฐาน วานาจะเปนอัฐิของพระยาคําฟูพระบิดาพระเจาผายู ผูสรางวัดพระสิงห พบในพระราชประวัติวาถูกเงือกกัดทิวงคตที่เมืองพะเยาและอัญเชิญอัฐิ มาบรรจุแลวสรางสถูปครอบไว นอกจากนีพ้ ระครูบาเจาฯ ทานยังมองเห็นความสําคัญของพระไตรปฎก ฉบับลานนาไทยเปนพระธรรมคําสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา ที่บรรดาบัณฑิตเมธีทําสังคายนาจารลงในใบลาน ซึ่งกระจัดกระจายตาม วัดตางๆ ทานเกรงวาจะถูกทําลายไปตามกาลเวลา ดั้งนั้นป พ.ศ.๒๔๖๙๒๔๗๑ ทานพรอมดวยสานุศิษยรวบรวมใหอยูหมวดหมูเปนธรรมขันธ ทําการสังคายนาจารลงในใบลานขึ้นใหมเพื่อเปนหลักฐานในการคนหา แนวทางประพฤติธรรมวินัย ตามจํานวนดังนี้ ๑. พระวินัยทั้ง ๕ จํานวน ๑๐ มัด รวม ๑๐ ผูก ๒. นิกาย ๕ จํานวน ๕ มัด รวม ๙๖ ผูก ๓. อภิธรรม ๗ คัมภีร จํานวน ๗ มัด รวม ๑๔๕ ผูก ๔. ธรรมบท จํานวน ๒๑ มัด รวม ๑๔๕ ผูก ๕. สุตตสังคหะ จํานวน ๗ มัด รวม ๗๖ ผูก ๖. สมันตาปาสานิกา จํานวน ๔ มัด รวม ๔๕ ผูก ๗. วิสุทธิมรรค จํานวน ๓ มัด รวม ๗๖ ผูก ๘. ธรรมสวนะชาดก จํานวน ๑๒๖ มัด รวม ๑,๒๓๒ ผูก ๙. ธรรมโตนที่คัดไวเปนกับเปนผูก รวม ๑๗๒ ผูก ๑๐. สิกขาทั้ง ๕ จํานวน ๕ มัด รวม ๓๖ ผูก ๑๑. กัมมวาจา จํานวน ๖ มัด รวม ๑๐๔ ผูก ๑๒. กัมมวาจา จํานวน ๑ มัด รวม ๑๐๘ ผูก
๑๔๕
๑๓. มหาวรรค จํานวน ๑๓๕ มัด รวม ๒,๗๒๖ ผูก ๑๔. ธรรมตํานานและชาดก จํานวน ๑ มัด รวม ๑๒๗ ผูก ๑๕. ธรรมบารมี จํานวน ๑๐ มัด รวม ๑๒๒ ผูก รวม มัด ทั้งหมด ๓๔๔ มัด รวม ผูก ทั้งหมด ๕,๔๗๘ ผูก รวมคาใชจายในการสรางพระไตรปฎก คาจางเขียนลงในใบลาน คาทองคําเปลว ติดขอบใบลาน และคาใชจา ยตอนทําพิธถี วายพระไตรปฎก รวมทั้งหมด ๔,๒๓๒ รูป การทําสังคายนาในพระไตรปฎกฉบับลานนาไทยเฉพาะในกลุม ของ พระครูบาเจาศรีวิชัยนับเปนหลักฐานถึงความเปนผูทรงคุณความรูทาง พระไตรป ฎ กสามารถรวบรวมจั ด เป น หมวดหมู ข้ึ น เป น ผลสํ า เร็ จ ด ว ย ภูมิปญญาอันสูงสงมีทัศนะทักษะดานการศึกษาอยางกวางไกลอีกทั้งยังมี ปฏิปทาในขอวัตรปฏิบัติอยางเครงครัด จิตเปยมดวยสมาธิน่ิงสงบสํารวม เปนพระอริยะซึ่งเปนแบบอยางที่ดียิ่ง แตวิถีชีวิตของพระครูบาเจาศรีวิชัยก็ถูกทดสอบดวยการตั้งขอกลาว หามักยกบทพระราชบัญญัติ ร.ศ. ๑๒๑ ของคณะสงฆเปนขอกลาวหาจับผิด การไตสวนพิจารณาคดีเกิดขึ้นครั้งแลวครั้งเลา แตทานเปนคนรูอยาง รอบคอบลึกซึ้ง กลาเผชิญหนาสิ่งที่ไมใชขอบัญญัติของพระพุทธองค กลา ปฏิเสธเฉพาะพระพักตรสมเด็จพระสังฆราช ยอมเปนธรรมดา “ปราชญ ยอมเขาใจในปราชญ” ไดปรารภกับบรรดาสานุศษิ ยอยูเ สมอวา “การสราง คุณงามความดี สรางบารมีทุกวันนี้ เราไมไดหวังเอามนุษยสมบัติ และ สวรรคสมบัติ ทุกวันนี้เราหวังจะไดเปนพระโปรดโลกองคหนึ่งในวัน ขางหนา” ตามปณิธานที่จารจารึกลงในใบลาน ทายพระไตรปฎกฉบับ ลานนาไทยที่ทานสรางขึ้นทุกผูกวา “ตนขาพระศรีวิชัย ภิกขุ เกิดมาปเปก
๑๔๖
ถายบริกรรมลูกประคํา ทีว่ ดั พระสิงห จ.เชียงใหม (อายุ ๕๐ป) เปนเจาอาวาส ๑๓ ป
ถายพรอมกับสานุศิษยท่ีหนากุฏิของพระครูบาเจาศรีวิชัยวัดพระสิงห จ.เชียงใหมที่หลวงอนุสารสุนทร สรางถวาย ดานหลังเปนหอเดินจงกรม
๑๔๗
ยี จุลศักราช ๑๒๔๐ ตั๋ว พุทธศักราช ๒๔๒๐ ขาพเจามีศรัทธาพรอมโดย สิกข โยม จุตน จุองคหนภายนอกหมายมีพอแมพ่ีนองอุบาสกอุบาสิกา ศรัทธาทั้งหลายจุผูก็รจนาแตมเขียน ยังธรรมมัดนี้ไวกํ้าจูโจตกะศาสนา หาพันพระพรรษา ขาพเจาอยูปฏิบัติวัดจอมศรีทรายมูลบุญเรืองบานปาง วันนั้น และขาพเจาสรางเมื่ออยูปฏิบัติวัดพระสิงหหลวงนพบุรีศรีเชียงใหม วันนั้นแล (ทานเปนเจาอาวาสวัดพระสิงห ๑๓ พรรษา) ปรารถนาขอฮื้อ ขาฯ ไดตรัสรูปญญาสัพพัญูโพธิญาณเจาจิ่มเตอะ” พระครูบาเจา ฯ เปนผูไ มพดู โออวดแตมคี วามรูค วามสามารถ สงบเสงีย่ ม เจียมตัว สํารวมอินทรียจ นไดรบั การขนานนามวา “พระครูบาเจาศีลธรรม” เปนผูมีจิตใจหนักแนนมั่นคงอยูในศีลในสัจธรรม ขอกลาวหาทาน ทุกครั้ง เปนเหมือนการหลอมทองคําใหเห็นเนื้อทองบริสุทธิ์อันเหลืองอรามงาม เปลงปลัง่ หรือดุจเพชรยิง่ ถูกเจียระไนยิง่ เปลงรัศมีอนั อลังการทรงคุณคาอยางยิง่ เปนที่นาสังเกต หลังพนคดีทานไมแสดงกิริยาอาการของผูชนะหรือ ผูท เ่ี หนือกวากลับแสดงความออนนอม ดวยการนําขาวตอกดอกไมธปู เทียน สิ่งของ เครื่องสักการะถวายบูชาแดพระเถระเจาคณะผูปกครองอยางทั่วถึง ดํารงจิต เปนอุเบกขาธรรม ประดุจเทพเจาแหงความเมตตา มีความกรุณา ตอชนทุกหมูเหลาไดรับการปฏิสัณฐานดวยความกรุณาเมตตาจิตอยาง เสมอภาค บางโอกาสทานไดสงั่ สอนชีน้ าํ หลักธรรมของพระพุทธเจาดวยวิถี ชีวิตสมถะและวิปสสนาญาณแกผูที่มีอุปนิสัยและบารมี มีความเชื่อมั่นใน พระรัตนตรัยใหบังเกิดศรัทธาปสาทะตออริยมรรคทางอันประเสริฐ ทาน สอนวา “ทานสาธุชนทัง้ หลายอยาไดสงสัยวาพระสัมมาสัมพุทธเจานิพพาน ไปแลวจะปฏิบตั อิ ยางไรก็ไมไดมรรคผลนิพพานนัน้ ความจริงพระพุทธเจา เปนผูตรัสรูสัจธรรม ซึ่งสัจธรรมนั้นก็เปนสิ่งที่มีอยูกอนแลว (อนิจจัง ทุกขัง
๑๔๘
อนัตตา ซึง่ เปนลักษณะของความเสมอภาคของไตรลักษณ) แลวพระองคจงึ ไดบรรลุธรรมเปนพระพุทธเจา เมื่อพระองคไดดับขันธปรินิพพานแลว ผูปฏิบัติถูกตองชอบตามสัจธรรมไดเปนพระอรหันตบรรลุถึงนิพพานก็มี จํานวนมาก ถาผูใดมองเห็นแจงวาสัจธรรม (ไตรลักษณ) โดยถองแทตาม ความเปนจริง ผูนั้นยอมมองเห็นพระพุทธเจาไดทุกเมื่อ แมนวาพระองค ทานยังดํารงชีพอยู ผูใ ดไมไดปฏิบตั ถิ กู ตองตามธรรมก็ไมอาจพนจากความ ทุกขได ขอปฏิบตั ทิ ใี่ หพน จากความทุกขคอื ใหรกั ษาศีลบริสทุ ธิเ์ สียกอน แลว สมาธิความตั้งมั่นจึงจักมี ถารักษาศีลไมบริสุทธิ์แลวความตั้งมั่นแหงสมาธิ ก็ไมอาจจะมีได เพราะคุณธรรม ๒ ประการนี้เปนสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกันอยู เพราะฉะนั้นทานสาธุชนทั้งหลาย ผูแสวงหาความสุขอันสูงสุดสูตัว เอง จงพากันรักษาศีลใหบริสทุ ธิส์ ะอาด ตัง้ จิตอธิษฐานดวยสมาธิอนั มุง มัน่ มุงสูปญญาแหงวิปสสนาญาณ คือใหหมั่นระลึกเห็นภายในตัวเองเสมอๆ วาไมมีอะไรที่เปนตัวเปนตน สิ่งที่เรียกวาธาตุทั้ง ๔ ขันธะทั้ง ๕ รวมทั้ง อาการ ๓๒ ประการ ทุกสิง่ ลวนเปนสิง่ โสโครกนาขยะแขยง เต็มไปดวยทุกข และโทษ อันเกิดจากความเกิดแก เจ็บ ตาย มันไมมอี ะไรทีจ่ ะยึดถือไดแมแต สิ่งเดียว แมกระทั่งความเปนสามีภรรยา ความเปนลูกเปนหลาน ขาวของ สมบัติ เงินทอง ไรนา ก็ลวนแตจะพลัดพรากจากกันไปตามธรรมดา จริงๆ แลวมันไมใชตัวเราหรือของๆ เรา มันไมใชอะไรทั้งนั้น ทุกสิ่งเปนเพียงสิ่ง สมมุตจิ งใหเห็นแจมแจงดวยปญญาตนเองเชนนีจ้ งึ จะเปน สมุจเฉทประหาร กิเลสหมดลงได จิตก็จะเปนวิมตุ หิ ลุดพนจากความทุกขทง้ั ปวง ทานสาธุชน ทั้งหลายพระพุทธเจา ผูเปนองคศาสดาไดบําเพ็ญสรางบารมีมาสี่อสงไขย กับแสนมหากัปป จึงไดตรัสรูสัจธรรมอันวิเศษนี้ คือ รูแจงชีวิตสังขารเปน ทุกข รูตนเหตุแหงความทุกข รูเหตุที่ดับแหงทุกข รูวิถีทางสายกลางคือ อริยมรรคมีองคแปดประการเปนทางอันประเสริฐทีจ่ ะนํามนุษยสคู ณ ุ ธรรม
๑๔๙
อันสูงสง ในเมื่อทานทั้งหลายมาพบคําสั่งสอนอันเปนสัจธรรมความจริง บริสทุ ธิท์ จ่ี ะเปนสือ่ นําสูค วามพนทุกข เชนนีน้ บั วาเปนลาภอันประเสริฐเปน กุศลอันยิ่งใหญแลว เพราะวาทรัพยสมบัติท้ังหลายยังดิ้นรนขวนขวายทั้ง กลางวันกลางคืน สูเอาชีวิตเสี่ยงเปนเสี่ยงตายก็ยอม เมื่อมาพบสัจธรรมที่ จะเปนสื่อนําสูการปฏิบัติใหพนทุกขไดในบัดนี้ตราบถึงความสุขรมเย็นอัน เปนบรมสุข คือนิพพานอันเปนอริยทรัพยย่ิงกวาสมบัติอันมีในโลกนี้ หมื่นเทาแสนเทา ไมควรจะประมาทปลอยโอกาสอันดีวิเศษในชวงชีวิตนี้ ใหเรงขวนขวายทําความเพียรแตวันนี้ อยาประมาทปลอยเวลาใหลวงไป โดยเปลาประโยชน อยาคิดวากําลังหนุม แนนอยูค อ ยใหแกเฒากอนจึงคอย ทําบุญทําทาน รักษาศีลภาวนา การคิดเชนนั้นถือวาเปนผูประมาทและ คิดผิด เพราะตาอยูตรงหนายังมองหนาไมเห็น มัจจุราช คือความตาย มันไมเคยปราณีใครทัง้ เด็กเล็ก หนุม แกตอ งตกอยูใ นอํานาจของความตาย เมื่อตระหนักชัดวาเราเกิดมาแลวจะตองตายกันอยางถวนหนาอยาง แนนอนก็มคิ วรประมาทในชีวติ จงรีบนําเอาชีวติ รับรองสิง่ ทีด่ งี ามคือรักษา ศีล ฟงธรรม มุงมั่นตอสิ่งที่เปนบุญกุศลคุณงามความดีทําใจใหเปนสมาธิ ไมหวั่นไหวตอสิ่งใด หมั่นภาวนาพรหมวิหาร ๔ เปนเครื่องอยูดวยความ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาและยกระดับปญญาสูการพิจารณาใหเห็น ความเกิด แก เจ็บ ตาย เปนไตรลักษณ (เสมอกันหมด) ทําใหแจงซึ่ง พระนิพพานอันเปนทางเกษมเปนบรมสุขเปนสิง่ ทีท่ กุ คนควรดืม่ ดํา่ ธรรมรส ซึมซับสูช วี ติ จิตใจ ใหเต็มบริบรู ณทส่ี ดุ ตามทีพ่ ระพุทธเจาไดทรงชีท้ างสวาง สงบ รมเย็นใหแกชาวโลก โดยไมจํากัดบุคคล ไมจํากัดกาลเวลาตลอด ทุกยุคสมัย สัตวโลกทั้งมวลตางตองการความสุขสงบดวยกันทั้งนั้น เพราะ ไดตระหนักเห็นชัดวา สุขอื่นหมื่นแสนไมมาตรแมนความสงบ ฉะนั้นหลัก สัจธรรมคําสอนของพระพุทธองคจงึ เปนหลักสากล พิสจู นไดจากธรรมยอม
๑๕๐
เจดียวัดเจ็ดยอดสถานที่สังคายนาพระไตรปฎก ฉบับลานนาไทย พ.ศ.๒๔๖๙-๒๔๗๑ สรางสมัยพระเจาติโลกราช แบบสถาปตยกรรม พระเจดียพุทธคยาสถานที่ตรัสรูในประเทศอินเดีย
คุมครองผูประพฤติธรรม และเมตตาธรรมยอมคุมครองโลกใหสุขสงบ เกื้อกูลใหเกิดอิสรเสรีภาพ ภราดรภาพไดอยางอัศจรรยยิ่ง” ในปพุทธศักราช ๒๔๗๔ ขณะพระครูบาเจาฯ สั่งสอนชี้นําศรัทธา สาธุชนอยูท่ีวัดพระสิงหหลวงนพบุรีนครเชียงใหม ทางเจาแกวนวรัฐ เจาผูค รองนครเชียงใหมและพระราชชายาเจาดารารัศมีเห็นวา วัดสวนดอก ซึ่งอยูไมไกลเปนวัดที่พระมหากษัตริยแหงนครเชียงใหมไดสรางขึ้นเปนที่ ประดิษฐานพระบรมสารีรกิ ธาตุ ซึง่ พระสุมนเถรอาราธนาพระบรมสารีรกิ ธาตุ จากกรุงสุโขทัยแลวทูลถวายพระญากือนากษัตริยแหงราชวงศมังราย
๑๕๑
พระอุโบสถสองสงฆที่วัดพระสิงห
องคท่ี ๖ ทรงบรรจุสรางพระธาตุเจดียรูปแบบทรงลังกาบรรจุพระบรม สารีริกธาตุเจาไวในพระราชอุทยานสวนดอกไมใหเปนวัดในพุทธศักราช ๑๙๑๙–๑๙๒๐ เคยเปนพระอารามที่เจริญรุงเรืองคูกับพระบรมธาตุเจา ดอยสุเทพมาตัง้ แตอดีตและอยูใ นสภาพรกรางเปนปารกทึบ พระธาตุเจดียถ กู เครือเขาเถาวัลยตน ไมขน้ึ ปกคลุม จึงไดพากันไปวัดพระสิงหกราบนมัสการ ปรึกษาพระครูบาเจาฯ แลวอาราธนานิมนตขอใหทา นเปนประธานกอสราง ใหเจริญรุง เรืองดุจเดิม ทานเห็นดวยญาณวิถวี า เปนมหากุศลอันยิ่งใหญและ รับนิมนต จึงไดเริม่ ลงมือกอสราง ทานไปเชา-เย็นกลับระหวางวัดพระสิงห กับวัดสวนดอก โดยมีรถเถาแกโหงวคอยรับ-สง โดยมีนายโปวเปนพลขับ ประจํา นอกจากนี้ยังใหความสะดวกเกี่ยวกับสิ่งของวัสดุอุปกรณกอสราง และออกคาใชจายใหพระครูบาเจาฯ กอน เปนเหตุใหคนที่คิดวาขัดผล ประโยชนจึงจางมือปนมายิงเถาแกโหงว เขาที่ทองถูกลําไสใหญญาตินําสง
๑๕๒
โรงพยาบาลหมอครอส (แมคคอมิค) หมอบอกวาอาการสาหัสจะอยูไดอีก ไมเกิน ๗ วัน ทางญาตินาํ สงไปรักษาทีโ่ รงพยาบาลสุขาภิบาลไทยซึง่ มีหมอ ญี่ปุนก็บอกวาเกินกําลังที่จะรับรักษาจึงนํากลับบาน และพึ่งบารมีของ พระครูบาเจาฯ ทานก็โปรดเมตตาดวยพุทธคุณทํานํ้ามนตใหดื่ม อาการก็ ดีขึ้นทุกวันจนหายเปนปกติ ย อ นกล า วถึ ง โยมมารดาของพระครู บ าเจ า ศรี วิ ชั ย นางเข า ถึ ง รสพระธรรมตัง้ แตพระครูบาเจาฯ เขาสูร ม กาสาวพัสตรจนคุณแมอสุ ามีอายุ ๘๖ ป ในขณะพระครูบาเจาฯ ทําการบูรณปฏิสังขรณวัดสวนดอกจวนจะ สําเร็จ โยมแมอสุ านอนอยูก บั หลานสาว พอรุง เชาหลานสาวตืน่ นอนขึน้ เห็น ยายทวดนอนแนน่ิงไมไหวติง ปลุกใหลุกแตไมรูสึกตัว พอรูวาถึงแก มรณกรรม ตกใจรองไหและเรียกบรรดาญาติๆ วา “ยายทวดตายแลว” โยมแมอุสาถึงแกการมรณกรรมดวยอาการสงบโดยไมไดเจ็บปวยในวัย ๘๖ ป นายนอยสิงหคําพรอมญาติพ่ีนองออกเดินทางจากบานปางมา วัดพระสิงห หลวงนพบุรีนครเชียงใหมกราบเรียนพระครูบาเจาฯ เมื่อ ทราบขาวก็สงบนิ่งภาวนาระลึกถึงโยมมารดาขอใหไดสูสุคติ และนอมจิต เจริญมรณานุสติไมเกิดความเศราโศกและใหญาติกลับไปจัดงานศพตาม ธรรมเนียม ทานอยูทางนี้จะบําเพ็ญกุศลอุทิศสวนบุญใหโยมแมเอง พอ สรางวัดสวนดอกเสร็จจึงทําเครื่องอัฏฐบริขาร เครื่องไทยธรรมไทยทาน ประดับประดาดวยตนกัลปพฤกษทําเปนตนเงินตนทอง ตนผาเหลือง ตนผาขาวทําบุญอุทิศใหกับโยมแม โยมพอ และบรรดาญาติๆ ที่ลวงลับ ดับขันธ ในงานฉลองทําบุญปอยหลวง ๗ วัน ๗ คืน
๑๕๓
พัดหางนกยูง อันสุดทาย พ.ศ. ๒๔๗๙
๑๕๔
อนุ ส าวรี ย เชิ ง ดอยสุ เ ทพเป น จุ ด ลงจอบแรกปฐมฤกษ เ มื่ อ สร า งถนนขึ้ น สู พ ระธาตุ ด อย สุ เ ทพ วั น ที่ ๙ พฤศจิ ก ายน พ.ศ. ๒๔๗๗ เวลา ๑๐.๐๐ น.
งานสรางทางขึ้นดอยสุเทพ หลังจากการสรางวัดสวนดอก พระครูบาเจาศรีวิชัย สิริวิชโยก็จาริก แสวงบุญไปบูรณะวัดวาอารามอีกหลายแหง พอถึงพุทธศักราช ๒๔๗๗ ขณะ พระครูบาเจาศรีวิชัย พํานักอยูที่วัดพระสิงห คุณหลวงศรีประกาศ ผูแทน ราษฎรจังหวัดเชียงใหมเขามากราบนมัสการแลวปรารภถึงความสําคัญของ พระบรมธาตุเจาดอยสุเทพ ซึ่งเปนปูชนียสถานอันศักดิ์สิทธิ์และสําคัญของ ชาวเชียงใหม กลาววาใครทีม่ าเชียงใหมถา ไมขนึ้ ไปนมัสการก็เหมือนไมมา
๑๕๕
ถายรวมกับเถาแกโหงวและคุณหลวงศรีประกาศ วันทําพิธเี ปดทาง ขึ้นสูพระธาตุดอยสุเทพตรงจุดตั้งอนุสาวรีย พระครูบาเจาฯ ที่ เชิงดอย หนาวัดศรีโสดา วันที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๘
ถึงเชียงใหม ทัง้ นีค้ งดวยอํานาจคุณแหงพระศรีรตั นตรัย ทําใหคณ ุ หลวงศรี ประกาศมีดําริจะนําไฟฟาไปประดับองคพระบรมธาตุเจาดอยสุเทพ แตจะ ทําโดยลําพังคงเปนเรือ่ งเหลือกําลังจึงปรึกษาพระครูบาเจาฯ เพือ่ พิจารณา และเห็นสมควรแลวขออาราธนานิมนตพระครูบาเจาศรีวิชัยเปนประธาน ซึ่งทานไมไดรับนิมนตทันทีโดยใหฟงคําตอบภายหลัง พระครูบาเจาฯ ตัง้ จิตเปนสมาธิอธิษฐานตอพระศรีรตั นตรัยขอนิมติ ในงานครัง้ นี้ ก็ปรากฏ ในนิมติ เห็นเปนตาปะขาวจูงแขนนําทานจากวัดพระสิงหเห็นเปนถนนแลว พาไปสักการบูชาพระบรมธาตุเจาดอยสุเทพ วันรุง ขึน้ คุณหลวงศรีประกาศ มาพรอมเจาแกวนวรัฐ เพื่อขอรับฟงคําอธิษฐาน ทานกลาววาการที่จะนํา ไฟฟาขึน้ บนดอยสุเทพไมสาํ เร็จ แตถา สรางทางขึน้ สูพ ระบรมธาตุเจาฯ จะ
๑๕๖
สําเร็จ เจาแกวนวรัฐ และคุณหลวงศรีประกาศงุนงงเพราะเปนคนละเรื่อง คิดไมถึงวาพระครูบาเจาฯจะพูดเรื่องการสรางทาง เพราะทางราชการ เคยคิดสรางโดยใหชางออกแบบสํารวจเสนทางและคํานวณคาใชจาย จะตองใชงบประมาณถึง ๒ แสนกวาบาท จึงไมสามารถจัดหางบประมาณ ไดแตทั้งสองไดยินดวยหูตนเอง ทั้งที่มีความเชื่อมั่นและความศรัทธาใน พระครูบาเจาศรีวิชัยแตอดลังเลไมได จึงกราบขออาราธนาพระครูบาเจาฯ โปรดอธิษฐานจิตอีกครั้งเพื่อจะไดสบายใจ หากเปนไปไดจะเปนเรื่อง นายินดี ทานขอผลัดเปนพรุงนี้ หลังจากนั้นทั้งสองมากราบนมัสการพระครูบาเจาฯ อีก ทานตอบ อยางหนักแนนวา “การสรางทางขึ้นดอยสุเทพสําเร็จแนนอนและจะ สรางเสร็จภายใน ๖ เดือนดวย” เจาแกวนวรัฐและคุณหลวงศรีประกาศจึง พนมมือไหวสาธุอนุโมทนาและไดกําหนดวันที่ ๙ เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๑๔๗๗ เริม่ เวลา ๑๐.๐๐ น. เปนวันเริ่มสรางเปนปฐมฤกษแลว ทั้งสองจึงแจกใบปลิวไปยังที่ตางๆ ทานละ ๕,๐๐๐ แผน พอถึงกําหนด พระครูบาเจาศรีวิชัยใหพระครูบาเทิ้ม เจาอาวาสวัดแสนฝาง ซึ่งทาง คณะสงฆมอบหมายใหเปนผูดูแลรักษาพระบรมธาตุเจาดอยสุเทพ ทําพิธี กลาวคําบวงสรวงอัญเชิญทาวทัง้ ๔ และเหลาทวยเทพมาอนุโมทนาสาธุการ ในเวลา ๐๑.๐๐ น. ของวันที่ ๙ เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๗๗ พอถึงเวลา ๑๐.๐๐ น. หลวงศรีประกาศ อาราธนานิมนต พระครูบาเจาฯ จากวัดพระสิงหขึ้นรถมากับทานถึงบริเวณพิธี คณะสงฆซึ่งมีพระครูบาเทิ้ม นําสวดเจริญพระพุทธมนตและสวดชัยมงคลคาถา พระครูบาเจาฯ ลากมูลดินใหเปนพิธีปฐมฤกษ จากนั้นเจาแกวนวรัฐ ไดลงจอบแรก ตอมาคุณหลวงศรีประกาศและคนทั่วไปก็ลงจอบตอบุกเบิก
๑๕๗
สรางทางขึ้นสูพระธาตุเจาดอยสุเทพ จุดแรกที่สรางตรงหนาอนุสาวรีย พระครูบาเจาศรีวิชัยในปจจุบัน ในวันประกอบพิธีทานประกาศตอหนา ประชาชนที่ไปรวมชุมนุมกันวา “การสรางทางครั้งนี้นับวาเปนการใหญ อยางยิ่ง จะสําเร็จไดก็ตอเมื่อมีเทวดาลงมาชวย ทานทั้งหลายจงมีความ มั่นใจและรวมมือกันอยางจริงจังแลวจะเห็นผลสําเร็จอยางแนนอน” วาจา สิทธิท์ พ่ี ระครูบาเจาฯ ประกาศทําใหมหาชนเกิดพลังเปนประกาศิตและดุจ ไดรบั พลังจากเทพยดาจนไมอาจบรรยายดวยเหตุผล นอกจากผูม กี ารสัง่ สม บารมีธรรมจึงรูได วันแรกคนงานทําเพียง ๒๐ กวาคน วันที่ ๒ จึงเพิ่มขึ้น เนื่องจากเปน ฤดูเก็บเกี่ยว คุณหลวงศรีประกาศ เถาแกโหงว และเจาแกวนวรัฐใชทุน ทรัพยสวนตัวจางคนงานขุดทําทางในชวงตน โดยเริ่มจากตีนดอยโดยมี เถาแกโหงวและคุณหลวงศรีประกาศใหความสะดวกนํารถบรรทุกนํ้าและ อาหารแจกจายแบงปนตลอดระยะทาง สวนพระครูบาเทิ้ม พระครูบาอาย พระครูบาแกว และพระจุมรับการมอบหมายจากพระครูบาเจาฯ เปนผูเบิก นําตัดเสนทาง ขุนกันชนะนนทกํานันตําบลดอยสุเทพและขุนเปาเปนผูจัด ใหผูรวมงานแตละจุดและแบงระยะการทํางานแตละหมวดตามจํานวนหมู มากนอยไมเทากัน สวนพระครูบาเจาฯ เปนประธานการตอนรับผูมีจิต ศรัทธาทีว่ ดั ศรีโสดาซึง่ เดิมเปนดงเปนปาทึบ สถานทีด่ งั กลาวจึงเปนทีท่ าํ บุญ ทีพ่ าํ นักของพระภิกษุสามเณรและผูใ จบุญจิตใจงดงามมาจากทัว่ สารทิศ พอเริ่มได ๗ วัน ชาวเชียงใหมซึ่งมีพอคา ขาราชการ ทหาร ตํารวจ และชาวบานจัดเครื่องไทยทาน มีขาวปลาอาหาร ชะแลง มีดพรา จอบ ขวาน อีเตอรและคอนปอนดแหเปนขบวนรถรวม ๕๐ คัน มีดนตรี แตรวง ฆอง กลองถวายพระครูบาเจาฯ ที่วัดศรีโสดา จนเต็มโกดัง ชาวบานรูขาว
๑๕๘
ถายพรอมกับคณะผูรวมสรางทางตรงเชิงบันไดนาค
การสรางทาง ตางก็เตรียมเครือ่ งสัมภาระพรอมดวยจอบมุง สูเ มืองเชียงใหม รวมสรางทางขึ้นพระธาตุดอยสุเทพในแตละวัน ไมนอยกวา ๕,๐๐๐ คน เมื่อมีคนเพิ่มยิ่งขึ้น จึงเปนภาระของคุณหลวงศรีประกาศและเถาแกโหงว ทานทั้งสองเกรงวาอาหารและนํ้าจะไมพอ จึงเรียนปรึกษาพระครูบาเจาฯ ทานยิม้ แลวบอกวา “ไมตอ งตกใจ คนทีไ่ มมโี อกาสทําถนนจะนํามาใหเอง” แลวก็เปนจริงไดมีผูนํานํ้า อาหาร เครื่องไทยทาน พรอมกับจอบ อีเตอร ชะแลง มีดพราและคอนปอนดเปนจํานวนมาก ทําใหรานคาในเมือง เชียงใหมแทบไมมีขาย ที่วัดศรีโสดาทานสั่งทํายุงฉาง ๒ หลัง โดยที่หลังหนึ่งไวรับบริจาค ขาวสาร อีกหลังไวรับบริจาคอาหาร ผูมาทําบุญตอนเชามืดนําขาวสุก ขาวสาร อาหารแหง จนเต็มยุงฉางทุกวัน เวลาสายก็แจกจายใหแกหัวหนา
๑๕๙
พระครูบาเจาศรีวิชัยนั่งรถเถาแกโหงว เปดทางขึ้นถึงขั้นบันไดนาควัดพระธาตุดอยสุเทพ
หมวดมาเบิกไปใชอปุ โภคบริโภคจนหมดทุกวัน พอวันรุง ขึน้ มีผนู าํ ขาวปลา อาหารสิ่งของมาถวายเต็มยุงฉางเปนประจําตลอด ๕ เดือน ๒๒ วัน การสรางทางบางแหงตองถมและปรับที่ ทั้งที่ตองขึ้นเขาลัดเลาะ หนาผาผานหวยและเหวลึก ดังนั้นพระภิกษุสามเณรและชาวบานตองผลิต ดินระเบิดใชกันเอง ผูเปนกําลังสําคัญประกอบดวย พระอิ่น ตาปะขาวป พระตอ พระวงษ พระเสา พระคําหลา พระครูบาอาย พระครูบากอน พระครูบาตา พระสิระสา พระอิ่นแกว พระศรีไชยยา ชาวบานที่มีความรู เรื่องดินปน ใชสวานเจาะหินบางทําดินปน พอบรรจุเต็มก็ใสสายชนวน เตรียมหลายๆ จุดโดยทําการจุดในตอนเย็น เมื่อจะจุดก็เปาแตรเขาควาย เคาะระฆังกังสดาลเปนสัญญาณการจุดระเบิด
๑๖๐
ปรากฏการณสาํ คัญผูเ ห็นเหตุการณเลาใหฟง วากอนสรางทางบริเวณ ทั่วไปเปนปาดงพงทึบมีเสียงนก เสียงสัตวรองระงมทั่วไพรพนาสณฑ พอ สรางทางปาบริเวณนัน้ ดูเงียบเหงาเหมือนไมมสี ตั วอาศัย ในดินทีเ่ ปนรังมด และจอมปลวกกลายเปนรังราง ทั้งนี้พระครูบาเจาศรีวิชัยไดอธิษฐานขอ เมตตาสัตวนอ ยใหญหลีกทางใหเกรงจะเปนอันตรายตอชีวติ เปนเวรตอกัน พอการสรางถนนสําเร็จสัตวนอ ยใหญกก็ ลับมาอาศัยเปนธรรมชาติตามเดิม ระหวางการสรางทางมีการทําสัญญาณระฆังกังสดาลตัง้ แตชน้ั ลางวัด ศรีโสดาถึงชั้นบนดอยสุเทพระหวางประกอบศาสนกิจเชา-คํ่าและสวดเบิก สวดมนตเสียงดังกระหึม่ กังวานทัว่ ไพรสณฑดจุ เสียงสวรรค หลังทําวัตรเย็น ศรัทธาสาธุชนกลุมตางๆ นําเครื่องดนตรีมาเลนเปนที่สนุกสนานตลอด ๕ เดือนกวา กลาวกันวาไมมีงานไหนสนุกสนานนาประทับใจเหมือนงาน สรางทางขึ้นสูพระบรมธาตุเจาดอยสุเทพ ตรงจุดโคงพับขอศอกใกลถงึ วัดพระธาตุดอยสุเทพเปนจุดสําคัญไมมี ใครรับผิดชอบพระครูบาเจาฯ จึงมอบใหขนุ กันชนะนนทกาํ นันตําบลสุเทพ รับชวงนั้นจางคนทําจนใชงานได แตก็นับวาเปนจุดอันตรายเนื่องจาก เปนทางชันและแคบ แถมเปนทางพับขอศอกดวย คนจึงเรียกโคงนี้วา “โคงขุนกัน” การสรางทางยิง่ ใกลถงึ พระบรมธาตุเจาดอยสุเทพ ผูค นปตปิ ราโมทย อิม่ บุญใจเบิกบานดวยกุศลในผลงานทีร่ ดุ หนาอยางอัศจรรยเกิดศรัทธาใน บุญญานุภาพบารมีธรรมของพระครูบาเจาศรีวิชัยพากันมาจากทั่วสารทิศ เชน พิษณุโลก เชียงราย เชียงแสน พะเยา ลําปาง แพร นาน ถึงเขตพมา ตางมารวมสรางทางไมเห็นแกความเหน็ดเหนื่อยแตละคนมีพลังอํานาจ
๑๖๑
ทํางานจนแทบไมมที ว่ี า งไดหมวดละวาสองวา ทําใหสาํ เร็จอยางรวดเร็วจนถึง บันไดนาคอันเปนจุดมุง หมายปลายทางสูองคพระบรมธาตุเจาดอยสุเทพ ในที่สุด การสรางทางที่ผานปาเขาลําเนาไพร เหวลึกความลําบาก ยากยิ่งเพียงไร แตดวยบารมีของพระครูบาเจาศรีวิชัย สิริวิชโย ก็สามารถ ทําสําเร็จดุจปาฏิหาริย พรอมกับการสรางทางยังไดสรางวัดศรีโสดา วัดสกิทาคามี วัดอนาคามี และวัดดอยสุเทพหมายถึง วัดอรหันต คือ ขั้นตอนแหงการบรรลุธรรม เริ่มตั้งแตข้ันตนโสดาบันจนถึงบรรลุอรหันต ซึ่งเปนเปาหมายสูความพนทุกข วิมุติหลุดพน สงบเยือกเย็นเปนอานิสงส สูงสุดของการประพฤติพรหมจรรยในพระพุทธศาสนา รวมเวลาการสราง ถนนขึ้นดอยสุเทพ ๕ เดือน ๒๒ วัน ระยะทาง ๑๒ กิโลเมตร ตรงตามที่ ทานลัน่ วาจาไวเปนประกาศิต จึงเตรียมพิธฉี ลองและเปดทางใหรถยนตขน้ึ
ขณะนั่งรถเถาแกโหงวเปดทางขึ้นดอยสุเทพ
๑๖๒
สูพ ระบรมธาตุเจาดอยสุเทพในวันที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๘ โดยพระครู บาเจาศรีวชิ ยั นัง่ รถของเถาแกโหงวเปดทางเปนคันแรกจนถึงขัน้ บันไดนาค สูบนพระบรมธาตุเจาดอยสุเทพ ใหไดบรรลุสูเปาหมายไดอัศจรรยนับเปน ผลงานชิ้นสําคัญที่สุดในชีวิตของทาน ทุกคนเกิดความปติปราโมทย และ จุดประกายแหงศรัทธาในดวงใจคนทุกหมูเหลาทําใหมีการฉลองนานถึง ๑๕ วัน ๑๕ คืน ณ วัดศรีโสดา คนหลั่งไหลมาทําบุญทําทานเสียงฆอง กลอง ดนตรี ระฆัง กังสดาล แหนําเครื่องไทยทานมิขาดสาย เหมือนอยู ในชั้นบรรยากาศแดนเนรมิตทิพยวิมานแหงสรวงสวรรคอันไพศาล โดยมี พระทองสุข ธัมมสะโรเปนพระเลขา (ตอมาเปนเจาอาวาสองคที่ ๒ ของ วัดบานปาง) สามเณรบุญมี สามเณรบุญเติง ดอยสะเก็ด สามเณรบุญยืน บานโฮง สามเณรศรีและสามเณรคําอาย บานปาง อยูแ ผนกการทําอาหารเจ ประจําสําหรับพระครูบาเจาฯ นอกจากนีย้ งั มีสามเณรเมือง สามเณรสิงหคาํ สามเณรสีมา สามเณรจันติ๊บและสามเณรศรีที่ติดตามมาจากวัดบานปาง การทําบุญฉลองเริม่ ตัง้ แตเชา บางมาทําบุญตักบาตร บางนําลูกหลาน เปนสานุศิษยบวชเปนภิกษุสามเณรแทบทุกวัน เสียงสวดญัติใหศีลใหพร ของพระสงฆดังดุจเสียงพรหมกองกังวานจากสรวงสวรรคไมขาดสาย บรรดาเจาอาวาสที่มารวมงานจัดเครื่องไทยทานตกแตงพานใสขาวตอก ดอกไมธูปเทียนมาถวายพรอมขอนอมปวารณาเปนสานุศิษยและขอให รับวัดของตนเปนวัดในสายกัมมัฏฐานของพระครูบาเจาศรีวิชัย รวมทั้งสิ้น ๖๐ วัด ระหวางการทําบุญคุณหลวงศรีประกาศและเจาแกวนวรัฐมาเรียน ปรึกษาพระครูบาเจาศรีวชิ ยั ถึงศิษยทมี่ ผี เู คารพนับถือและเปนกําลังสําคัญ ในการสรางทาง คือ ตาปะขาวป นับเปนศิษยทที่ า นบวชใหตงั้ แตเปนสามเณร
๑๖๓
จนอุปสมบทไดฉายาวา “อภิชัย” แตถูกกลั่นแกลงจับสึกถึง ๒ ครั้ง ตอง หลบภัยไปประเทศพมา พอรูถ งึ ขาวการสรางทางขึน้ ดอยสุเทพจึงนําคนจาก ฝงพมามารวมงานฯ ทานทั้งสองหารือพระครูบาเจาฯ ชวยสงเคราะหบวช เปนพระภิกษุใหแกตาปะขาวปซง่ึ ทานก็มปี ฏิปทานาเลือ่ มใส พระครูบาเจาฯ แยงไมอยากใหเกิดเรื่องยุงยากเปนปญหาซํ้ารอยกระทบกระเทือนใหเกิด เรื่องเดือดรอนเหมือนที่แลวๆ มาอีก ทางคุณหลวงศรีประกาศและเจาแกว นวรัฐยืนยันรับรองอยางแข็งขันวาจะไมใหเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาอีกแนนอน พวกเราจะชวยกันดูแลปกปองใหอยางเต็มที่ ทานพระครูบาเจาศรีวิชัย จึงตกลงจัดพิธีอุปสมบทใหตาปะขาวปเปนพระภิกษุอภิชัยอีกครั้ง ณ วัดศรีโสดา ในชวงทําบุญฉลองทางขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ
บั ญ ชี ก ารสร า งทางขึ้ น พระธาตุ ด อยสุ เ ทพ ที่ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘
จํานวน รายการสิ่งของ รูเปย สตางค อี่ปก (อีเตอร) ๑,๐๑๓ ๑,๒๖๖ ๒ ขอผึ่ง ๔๗ ๔๗ ขอโบก (จอบ) ๑,๑๒๘ ๕๙๔ คอนเหล็กใหญ ๒๐ คอนเหล็กนอย ๒๔ ๒๑ ๗๒ ชะแลง ๑๑๑ ๑๓๗ ๔๐ มุยใหญ (ขวานใหญ) ๑๗ ๗ ๑๙ มุยนอย (ขวานนอย) ๕๙ ๒๗ ๔๐
๑๖๔
ที่ ๙ ๑๐ ๑๑ ๑๒
จํานวน กะผาก มีดฟนไม เสียมขุดดิน มุยสองคม รวมเปนเงิน
รายการสิ่งของ รูเปย สตางค ๑๑๒ ๘๖ ๖๔ ๔๔ ๑๗ ๒๐ ๖ ๑๖ ๒๔ ๒๐ ๒,๒๓๒ ๓๕
บั ญ ชี ส่ิ ง ของเดิ ม ที่ มี อ ยู แ ละเสี ย หายไป ดั ง แจ ง อยู ใ นนี้ ที่
จํานวน
รายการสิ่งของ รูเปย สตางค
๑
อี่ปก (อีเตอร)
๑,๖๒๓
๙๒๗
๖๕๑
๒
ขอผึ่ง
๑,๘๘๘
๗๔๒
๑.๑๕๖
๓
ขอโบก (จอบ)
๒,๒๔๔
๑,๑๓๑ ๑,๑๑๓
๔
คอนเหล็กนอย
๔๘
๕
ชะแลง
๑๕๔
๖
มุยใหญ (ขวานใหญ)
๑๗
๗
มุยนอย (ขวานนอย)
๙๕
๘
ถาด
๓๔๐
๖๘
๖๘
๑๘๗
๑๕๓
๑๖๕
ที่ ๙
จํานวน เหล็กจี (สวาน)
รายการสิ่งของ รูเปย สตางค ๔
๑๐ คอนโขก
๑๖
๑๑ เสียม
๒๐
๑๒ มีด
๔๔
บั ญ ชี ส่ิ ง ของที่ ไ ด ซ้ื อ มาทํ า ทาง ที่
จํานวน
๑
อี่ปก (อีเตอร)
๒
รายการสิ่งของ รูเปย สตางค ๖๑๐
๖๗๙
๕๔
อี่ผึ่ง
๑,๘๑๔
๑,๑๗๒
๗๕
๓
ขอโบก (จอบ)
๑,๑๑๖
๔๒๒
๔๐
๔
คอนเหล็ก
๒๔
๓๑
๑๕
๕
ชะแลง
๔๓
๑๓๑
๕๖
๖
มุย (ขวาน)
๓๖
๓๖
๙
๗
ผาก
๒๒๘
๒๐๐
๖๐
๘
เหล็กจี (สวาน)
๔
๑
๑๕
๑๖๖
พระอุโบสถสองสงฆ สําหรับภิกษุและภิกษุณี ทําสังฆกรรม วัดพระสิงหวรมหาวิหาร เชียงใหม
๑๖๗
เหตุการณครั้งสําคัญที่วัดพระสิงห พองานทําบุญฉลองเสร็จเรียบร้อยได้ ๑๐ กวาวันก็เกิดเหตุการณนํา พระครูบาเจ้าศรีวชิ ยั สูก ารบําเพ็ญบารมีธรรมครัง้ ยิง่ ใหญอกี วาระหนึง่ ทาน ปรารถนาพุทธภูมิจึงต้องเผชิญเหตุการณท่ีเปนตัวชวยขับเคลื่อนบารมีสู การบรรลุปณิธานอันสูงสง พระครูบาเจ้าฯ ถูกคณะสงฆสมณศักดิช์ น้ั ผูใ้ หญ ในเมืองเชียงใหมโดยพระโพธิรงั ษีบารมีศานธิการ (พระศรีโหม้) วัดศรีดอนไชย รองเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม ตั้งข้อกลาวหาที่สําคัญ คือเรื่องอุปสมบทให้ แกพระอภิชัย เมื่อเกิดเรื่องขึ้นพระครูบาเจ้าศรีวิชัย จึงขอเชิญเจ้าแก้วนวรัฐ และคุณหลวงศรีประกาศ มาปรึกษาและชี้แจงเหตุผลให้เจ้าคณะพระครู ทราบ ทานทัง้ สองซึง่ เปนผูห้ ลักผูใ้ หญระดับสูงฝายบ้านเมือง เปนผูน้ าํ เสนอ เรือ่ งขึน้ มาเองพอเกิดเหตุการณคบั ขันไมยอมมาพบพระครูบาเจ้าฯ ไมมาหา ทางชวยแก้ไข ปลอยให้ฝา ยตรงข้ามใสรา้ ยโจมตีพระครูบาเจ้าศรีวชิ ยั ข้างเดียว ทางเจ้าคณะพระครูนัดประชุมใหญที่วัดพระสิงห เพื่อสอบสวน พระครูบาเจ้าศรีวชิ ยั แล้วถามทานวา “ทําไมครูบาจึงไมอยูใ นการปกครอง ของคณะสงฆ การบวชพระบวชเณร ทําไมครูบาจึงบวชเองทั้งที่ยังไมได้รับ การแต ง ตั้ ง เป น พระอุ ป ช ฌายะ” พระครู บ าเจ้ า ฯ จึ ง ย้ อ นถามว า “ทานทัง้ หลายทํากันอยางไร?” คณะสงฆผใู้ หญตอบวา “ตามระเบียบการ พระราชบัญญัตคิ ณะสงฆการบวชพระเณรต้องขออนุญาตจากเจ้าคณะตําบล เจ้าคณะอําเภอกอน” พระครูบาเจ้าฯ จึงวา“นั้นลูกของอาชญาไมใชศิษย ของพระพุทธเจ้า !” เจ้าคณะพระครูทั้งหลายตางนิ่งอึ้งทั้งนี้เพราะรู้วา พระบรมศาสดากอนปรินพิ พานพระองคไมได้แตงตัง้ บุคคลใดหรือคณะใด
๑๖๘
ให้เปนผูใ้ หญ แตให้ถอื เอาพระธรรมวินยั เปนตัวแทนพระองค เมือ่ เปนดังนี้ ตางเกรงเสียรู้ตอพระครูบาเจ้าศรีวิชัยอีก ไมกล้าตั้งข้อกลาวหาทันที ในขณะนั้นจึงสั่งเลิกประชุม แตไมละความพยายามและจึงตั้งข้อหาจับผิด ด้วยประการตางๆ เพิ่มขึ้นอีกตอไป ปฏิกิริยาของเจ้าคณะพระครูในเชียงใหมที่แสดงตอพระครูบาเจ้า ศรีวิชัย ทําให้ผู้เคารพเลื่อมใสในตัวพระครูบาเจ้าฯ โดยเฉพาะเจ้าอาวาส จํานวน ๖๐ วัดในเชียงใหม เห็นวาเปนการใสร้ายปายความผิดให้แก พระครูบาเจ้าฯ เกินไป จึงรวมกันตอต้านไมเห็นด้วยที่มุงทําร้ายคนดี โดยเฉพาะพระครูบาเจ้าศรีวิชัย ซึ่งตลอดชีวิตได้เสียสละทุมเทบําเพ็ญตน เปนเนื้อนาบุญมาตลอดจนไมมีเวลาเปนของตัวเองโดยไมเคยคํานึงถืง ความเหนื่อยยากลําบากประการใด เจ้าอาวาสทั้ง ๖๐ วัด จึงได้พากันไป ขอความเห็นใจร้องขอความเปนธรรมกับเจ้าคณะพระครู เมื่อไมยอมฟง เสียงทัดทานจึงพร้อมกันขอลาออกจากการปกครองคณะสงฆ และชวย ปกปองทุกวิถีทาง ไมยอมติดตอคณะสงฆตามที่เคยปฏิบัติมาแตกอน ทางคณะสงฆเรียกไปสอบถามสาเหตุตา งก็นงิ่ แตการกระทําเชนนีเ้ ปนการ กอเชื้อเติมไฟให้ฝายตรงข้าม จึงเปนชองโหวให้คณะสงฆจับผิดเอาเปน ข้อกลาวหา เปนเรื่องสําคัญทับถมตอพระครูบาเจ้าศรีวิชัย ซึ่งเหตุการณสําคัญที่จะอยูในความทรงจํา ความประทับใจจะต้องมี เหตุปจจัยสนับสนุน เหมือนเพชรเม็ดงามอลังการก็ต้องมีเรือนเพชรที่เปน รูปทรงองคประกอบให้โดดเดนเปนประกายยิ่งขึ้น เชนเรื่องของพระครูบา เจ้าศรีวชิ ยั ก็ตอ้ งมีบคุ คลหลายฝายทัง้ ทีร่ เู้ ทาไมถงึ การณ และจงใจจะให้เกิด ก็ล้วนแตเปนองคประกอบเสริมความแข็งแกรงในการสร้างบารมีธรรมให้ สูงสงยิ่งๆ ขึ้นเหมือนวาวจะต้องมีลมขับจึงจะขึ้นสูงได้ หรือเหมือนทะเลจะ
๑๖๙
สวยได้ก็ต้องมีคลื่น ชีวิตก็เชนกันต้องมีอุปสรรคท้าทายให้ฟนฝาจึงจะ ประสบความสําเร็จได้อยางงดงาม ดังนัน้ กลาวได้วา เรือ่ งดี ร้ายทีท่ าํ ให้เกิด เหตุการณปรากฏการณอันหลากหลายมันเปนเรื่องปรกติธรรมดา ยิ่งเจอ อุปสรรคเจอปญหาเจอทุกขหนักหนาสาหัสจริงๆแล้วไมใชเรื่องบั่นทอน ความสําคัญ หรือสภาจะเปนสภาที่สมบูรณแบบก็ต้องมีทั้งเรื่องสนับสนุน และขัดแย้งความเห็นชอบความเห็นตาง หรือในโลกนี้ถ้ามีคนดีหมดหรือ คนชั่วทั้งหมดก็ไมใชโลก หรือภาพวาดที่สวยที่สุดก็ต้องมีหลากหลายลีลา มีสีสันที่แตกตางจนเกิดศิลปะอันลํ้าเลิศ ทานทัง้ หลายคงจะแปลกใจวาการบําเพ็ญบารมี การสร้างความดีของ ทานพระครูบาเจ้าศรีวิชัย สิริวิชโย ทําไมถึงต้องมีเหตุการณอันเปนเรื่อง เปนราวถึงขั้นต้องตั้งข้อกลาวหาใสร้ายเปนความผิดรุนแรงต้องถูกควบคุม ถูกจับถูกขังครั้งแล้วครั้งเลาทั้งๆ ที่ตลอดชีวิตของทานก็มีแตการสร้างบุญ กุศลคุณงามความดีสร้างเสริมความเจริญให้เกิดขึ้นแกพระพุทธศาสนา เสียสละอุทิศตนสร้างประโยชนสุขแกสวนรวมตลอดเวลา แตไฉนผลจึง ออกมาในลักษณะทีท่ า นจะต้องได้รบั ความยากความลําบากนานาประการ ขอให้พจิ ารณาให้เข้าใจวานีแ่ หละคือทางของนักบุญ ทานอยาได้เข้าใจ วานักบุญจะต้องอยูบ นเสลีย่ งคานหามหรือจะได้รบั การกราบไหว้อนุโมทนา ในบุญในกุศลเจตนาของทายกทายิกาประการเดียว เพราะกวาชีวิตของ นักบุญจะถึงจุดนี้ได้ ทานจะต้องหลอหลอมตัวทานด้วยหัวใจอันเปยมด้วย มโนธรรม ประกอบไปด้วยความเพียรอุตสาหะพยายามอันแรงกล้า จะต้อง มีความอดทนอดกลั้นอยางยิ่งยวด จะต้องมีเมตตาธรรมกรุณาการุณยโดย ไมมีประมาณ และจะต้องมีอุเบกขาธรรมไมสะทกสะท้านหวั่นไหวตอเรื่อง ดีร้ายเล็กน้อยหรือมากมาย อยางไรก็ตามแม้นจะต้องเผชิญหน้าตอสิ่ง
๑๗๐
อันเปนอุปสรรคกีดขวางปญหายุงยากตางๆ นานาจะได้รับความทุกขยาก ลําบากทรมานอยางไรไมวา จะต้องเผชิญหน้ากับเพชฌฆาตหรือมัจจุราชใน เวลาใด ทานจะไมมีความสะดุ้ง สะเทือน นี่แหละคือทางของนักบุญ ผู้ท่ี อุทิศตนนั้นละแล้วซึ่งความสุขสวนตนจะทุมเทชีวิตจิตใจและวิญญาณเพื่อ เสียสละทุกอยางทุกประการ เพื่อให้เกิดประโยชนอันสูงสุด อยางเชน พระพุทธองคเมื่อถึงคราวที่จะต้องเผชิญกับเหตุรุนแรงถูกใสร้ายปายสี ทําลายครั้งแล้วครั้งเลา จะเห็นได้วาพระองคจะไมโต้ตอบจะใช้ขันติธรรม สงบนิง่ ไมขนุ เคืองด้วยมีเมตตาธรรมอันบริสทุ ธิ์ จากเรือ่ งร้อนแรงทัง้ หลาย ก็กลับกลายเปนดี อีกทั้งทรงเปรียบเทียบไว้ชัดเจนวาหากใครเอาเลื่อยที่มี ด้ามสองข้างมาตัดรางกายผานหนัง เนือ้ เอ็น กระดูก หากยังเกิดจิตอาฆาต พยาบาทก็หาชื่อวาเปนศิษยของเราตถาคตไม ดังนัน้ เราจะเห็นได้วา พระครูบาเจ้าศรีวชิ ยั กับการเผชิญหน้าตอเรือ่ ง ดีร้ายใหญหลวงประการใด ทานจะสงบนิ่งไมหวั่นไหว จะยืนหยัดโดดเดน เหมือนภูผา ถือวาเปนศิษยพระตถาคตเจ้า จะเปนผู้มั่นคงอยูในสัจธรรม อยางอาจหาญเสียสละอยางแท้จริง ไมวาจะเปนวีรบุรุษยอดมนุษยทานใด ที่ปรากฏนามในประวัติศาสตรโลก แตละทานจะต้องกล้าเผชิญหน้าและ ฟนฝาตอความทุกขยาก ความลําบากนานัปการมานับครั้งไมถ้วนมาแล้ว ด้วยกันทัง้ นัน้ บางทานถึงกับสละชีพแบบวีรบุรษุ วีรสตรี และทานทัง้ หลาย เหลานั้นก็ได้ประทับบาทวิถี รอยจารึกไว้บนผืนโลกหรือจารึกลงในหัวใจ ของอนุชนให้ได้ถือเปนแบบอยางอันประเสริฐ และเจริญรอยสืบสานเปน ตํานานเปนประวัติศาสตรสืบไปตลอดกาล เมื่ อ ได้ รั บ ทราบประวั ติ ข องท า นพระครู บ าเจ้ า ศรี วิ ชั ย สิ ริ วิ ช โย ถึงตอนนี้แล้วอยากจะขอทานทั้งหลายได้ทําความเข้าใจและเห็นใจฝาย ตรงกันข้ามที่เปนคูปรับกับทานพระครูบาเจ้าฯ มาตั้งแตต้นจนถึงบัดนี้วา
๑๗๑
บางทีสงิ่ ทีเ่ รียกวาโมหะหรืออวิชชาเมือ่ ได้ครอบงําจิตใจคนเราแล้ว จากคน ธรรมดาๆ ที่รู้จักเห็นกันคุ้นๆ กันอยูก็จะทําให้เกิดเขมนเบื่อขี้หน้ากัน หาเรื่องราวทําให้เกิดเรื่องร้าวฉานและถึงขนาดฆากันก็มี ในกรณีเรื่อง ของทานพระครูบาเจ้าฯ และเจ้าคณะพระครูท้ังหลายก็เชนกันทุกทาน คงจะเห็นใจทานพระครูบาเจ้าฯ จริงๆ แล้วผู้ท่ีนาสงสารนาได้รับความ กรุณามากที่สุดก็คือบรรดาเจ้าคณะพระครูท้ังหลายนั่นแหละ เพราะทาน พระครูบาเจ้าศรีวชิ ยั ยิง่ ได้รบั การกลัน่ แกล้งกลับเปนการเพิม่ บุญญาบารมี ให้แกทานมากยิ่งขึ้น แตฝายตรงกันข้ามนั่นเทาที่ทราบมาอยางพระครูมหารัตนากร (พระมหาอินทร) เจ้าคณะแขวงลีก้ อ นจะมรณภาพ ทานก็ตอ้ งมรณภาพอยาง นาเวทนาสังเวช คือ ขณะฉันข้าวๆ ได้ตดิ ลําคอจะกลืนก็ไมลงจะคายก็ไมออก ปากอ้ า ตาค้ า งได้ รั บ ความทุ ก ข ท รมานแล้ ว มรณภาพอย า งน า สงสาร เจ้าหนานบุญเติง (นายอําเภอลี้) ก็ถูกฟาผาตายอยางนาสลดสังเวช ส ว นพระครู ศ รี โ หม้ ร องเจ้ า คณะจั ง หวั ด เชี ย งใหม ที่ ห าเรื่ อ งกลั่ น แกล้ ง ทานพระครูบาเจ้าฯ หลังจากสร้างทางสูยอดดอยสุเทพนี้ก็เหมือนกัน ตอนหลังทานก็มวี บิ ากกรรมนิว้ มือนิว้ เท้าเนา ขาดหลุดไปบ้างก็หงิกงอเปน ขี้ทูตกุฏฐัง มีอยูวันหนึ่งขณะออกมาหน้าพระวิหารฟาได้ผาชอฟาหักตกลง มาใสตัวทานได้รับความเจ็บปวยซํ้าเติมอาพาธหนักและมรณภาพอยาง นาเวทนา ซึง่ ความจริงทานเหลานีก้ ไ็ ด้ชอ่ื วาเปนพระพุทธศากยบุตรด้วยกัน แตวา การทีเ่ ห็นกงจักรเปนดอกบัว หรือตัณหาอวิชชาเข้าครอบงําแล้วทําให้ กระทําการไปโดยไมได้สติสัมปชัญญะจึงเปนเรื่องที่นาสงสารมาก และ จะต้องใช้เวรใช้กรรมหนักอีกสักปานใดก็ไมรู้ เพราะฉะนัน้ ขอทานทัง้ หลายพึงสําเหนียกระมัดระวังกายวาจาใจอยา ได้ประมาทแม้บางสิง่ บางอยางทีเ่ ราคิดวาดีถกู แล้วหรือเหนือใครอืน่ หมดนัน้
๑๗๒
พระนางเจ้าจามเทวี ปฐมกษัตรียแหงนครหริภุญไชย เสด็จขึ้นมาจาก กรุงละโว้เมื่อปพ.ศ. ๑๒๐๔ พระนางทรงนําเอาพระพุทธศาสนาอารยธรรม ความเจริ ญ รุ ง เรื อ งมาจากอาณาจั ก รทวารวดี เ พื่ อ สถาปนายั ง ดิ น แดน ล้านนาไทยเปนครั้งแรก ราชวงคจามเทวีมีกษัตริยปกครองสืบตอมาอีก ราว ๕๐ พระองค ทรงขยายขอบขัณฑสีมาจากลุม นํา้ ปงไปยังวัง ยม และนาน
๑๗๓
เจ้าจักรคําขจรศักดิ์ เจ้าผู้ครองนครลําพูน
๑๗๔
มันอาจจะเปนสิ่งผิดพลาดได้ ด้วยเหตุนี้พระพุทธองคจึงได้ทรงตรัสเตือน สอนเหลาสาวกทั้งหลายวาอยาได้หลงตัวหลงตน อยาได้สําคัญยึดมั่นถือ เราถือเขา อยาได้ยดึ ติดลุม หลงหมกจมอยูก บั โลกธรรม จงยกตนให้ผา นพ้น อยูเ หนือความเห็นแกตวั ความละโมบโลภล้นพ้นประมาณ เหมือนการแบก ก้อนหินใหญตอ้ งทนหนักทนยากลําบากกับการแบกภาระเหนือ่ ยหนักต้อง ทนทุกขทรมาน ความโกรธเคียดแค้นพยาบาทเปนเหมือนไฟนรกรุมร้อน ครุกรุนเปนพิษภัยทําลายทําร้ายจิตใจทั้งแกตนเองและผู้อื่น เปนภัยทั้ง รางกายและจิตใจมีแตเรือ่ งกอเหตุการณวนุ วายสร้างปญหาจนเปนกงกรรม กงเกวียน เปนวัฏสงสาร สูญเสียเวลาโอกาสอยูกับความประมาทโดย ไร้จุดหมาย สู้เอาชีวิตที่บอบบางที่เสี่ยงตอการแตกดับนี้ให้อยูในกรอบ ของศีลธรรมได้คุ้มครองรักษา ทําจิตใจให้เปนสมาธิมั่นคงเชื่อมั่นใน คุณพระศรีรตั นตรัยเปนเกราะแก้วภูมคิ มุ้ กัน ไมประมาทเตรียมตัวพร้อมอยู่ อยางสมํา่ เสมอ เมือ่ ต้องเผชิญหน้าตอภัย ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ และความ พลัดพรากผิดหวังได้อยางอาจหาญด้วยมีพลังแหงสติปญ ญาเปนตัวชวยเห็น แสงสวางสูสัจธรรมมองเห็นแจมแจ้งความจริงของชีวิตสรรพสิ่งมันเปน อนิจจังไมมอี ะไรจีรงั ยัง่ ยืน ต้องทนแบกความทุกขความยากลําบากอุปสรรค ปญหาอยูรํ่าไป อนัตตาจะยึดจะไขวคว้าเอาความสุขก็เหมือนใช้พลังพุงเข็ม อยางสุดแรงเกิดสูอวกาศให้สูถึงเปาหมาย ที่สุดก็หมดแรงไร้สภาพ ครั้นจะ วิ่งหนีความทุกขยากของปญหาก็เหมือนวิ่งหนีหลบหลีกหนีเงาของตัวเอง อันเปนภาพหลอกหลอนลวงตา เมือ่ ประจักษแจ้งสัจธรรมแหงชีวติ ดังนีจ้ ะทําให้คลายจากความสําคัญ ตน จะไมหลงยึดมัน่ ยึดถือสิง่ ใดๆในโลก ทีพ่ ระพุทธองคทรงตรัสไว้วา นีค้ อื ทางแหงความหลุดพ้นอยูเหนือโลกอยูเหนือความเกิด แก เจ็บ ตาย เปน วิมุติวิโมกขคือทางสูโมกขธรรม ความสุขสงบรมเย็นเปนสุญญตา อนัตตา
๑๗๕
คือศูนยรวมสุดยอดของชีวิต เพราะความสุขอื่นหมื่นแสน ไมมาตรแม้น ความสงบ นี่คือมรดกที่พระพุทธองคทรงประทานเปนสุดยอดของศาสตร และศิลปเพือ่ ทุกผูท้ กุ รูปทุกนามไมจาํ กัดบุคคลและกาลเวลา ไมตกยุคสมัย เพื่อประโยชนเกื้อกูลแกมวลมนุษยชาติได้ลิ้มรสความสงบ แล้วจะรู้ซ้ึงถึง ความวิเศษอัศจรรยแหงอิสรภาพของชีวิต เปนพลังแหงสันติสุข เหมือน ดับไฟนรกดับฝนสวรรค จะผสานชีวิตกับสัจธรรมสูความเสมอภาคเปน ธรรมชาติเปนธรรมดาที่สุดคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สูภราดรภาพ สูอริมรรคทางเดินชีวิตที่พระจอมมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงชี้ทางเบิกทาง นําทางให้เจริญตามรอยพระพุทธบาทองคบรมครูที่ทรงพระอัจฉริยภาพ เฉิดฉายเปนพระบรมศาสดาเอกของโลกตลอดกาล กลับมาสูเหตุการณท่ีนครพิงคเชียงใหมถึงตอนที่บรรดาศรัทธา สาธุชนและสานุศษิ ยทที่ ราบวา พระครูบาเจ้าศรีวชิ ยั ถูกสอบสวน และกําลัง รอวินิจฉัยจากมหาเถระสมาคมในกรุงเทพฯตางรอฟงขาวที่วัดพระสิงห ด้วยกลัวทานจะถูกกลั่นแกล้งจนถึงขั้นอยูเวรยามทั้งกลางวันและกลางคืน ทางมหาเถระสมาคมมีหนังสือสงถึงคณะมณฑลพายัพวา ขอให้สง ตัว พระครูบาศรีวชิ ยั เปนการดวนไปกรุงเทพฯเพือ่ รับการอบรมพระราชบัญญัติ ลักษณะการปกครองคณะสงฆฉบับใหมให้รแู้ จ้งอีกครัง้ พร้อมทําการไตสวน อธิกรณ (ข้อกลาวหา) ออกเดินทางในวันที่ ๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๗๘ และถึงกรุงเทพมหานคร ในวันที่ ๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๗๘ โดยให้พระครูบาเจ้าศรีวิชัยพักที่วัดเบญจมบพิตรเพื่อรอการพิจารณา ระหวางการไตสวนพิจารณาที่กรุงเทพฯ ทางเชียงใหมมีการวิตก หวงใยและพากันวิพากษวิจารณ ทําให้เกิดความปนปวน คณะกรรมการ การสอบสวนต้องแถลงการณ ชี้แจงความคืบหน้าเปนระยะๆ
๑๗๖
คําแถลงการณฉบับที่ ๒ ในการที่ทางราชการได้นิมนตพระศรีวิชัย วัดพระสิงห อําเภอเมือง เชียงใหม ไปกรุงเทพฯ ทางราชการได้แถลงการณให้ทราบตอนหนึ่งแล้ว เห็นอยูวาความสนใจความเอาใจใสของทายก ทายิกา ประชาชนสนใจ เรื่ อ งนี้ อ ยู ม าก สมควรจั ก ทราบพฤติ ก ารณ อั น ต อ เนื่ อ งจากข้ อ ความ ที่แถลงไว้แล้ว เปนความผิดคือ ก. เฉพาะพระศรีวิชัย ๑. ไมได้ตราตั้งเปนพระอุปชฌายะ ๒. ไมได้ตราตั้งเจ้าอาวาส เปนเจ้าคณะ แตทําใบสุทธิของตนแจกจาย แก พระภิกษุสามเณรของตน ๓. ให้อุปสมบทนายป ที่คณะสงฆห้ามมิให้อุปสมบท ข. ความผิดของพระภิกษุสามเณร ที่ขอขึ้นกับพระศรีวิชัย ๑. หัววัดทัง้ หลายลาออกจากคณะสงฆและทิง้ หนังสือทีเ่ จ้าคณะออกให้ แม้เจ้าคณะห้ามปรามก็ไมฟงสมัครเข้าอยูในความปกครองของ พระศรีวิชัย ๒. ไมยอมให้เจ้าคณะสํารวจบัญชีกลาง ๓. ไมยอมอยูในอาณัติของคณะสงฆแตอยางใด ค. ขอวินิจฉัยครั้งนี้ เจาคณะมณฑลไดชี้แจงใหพระศรีวิชัยทราบ และไดทําความเขาใจตกลงในชั้นตนดังนี้ ๑. ให้วัดที่แตกออกไปต้องกลับเข้าอยูความปกครองคณะสงฆโดย เรียบร้อยเมื่อกลับมาแล้วจะไมลงโทษอยางใด ๒. การกอสร้างปฏิสงั ขรณไมได้หา้ ม แตให้รกั ษาโบราณสถานวัตถุ และ ขออนุญาตต้องอยูในระเบียบการกอสร้าง
๑๗๗
๓. นายปต อ้ งสึก แม้จะบรรพชาเปนสามเณรก็ไมได้เปนได้แตตาปะขาว ๔. พระภิกษุสามเณรที่พระศรีวิชัยบวชให้น้ัน (นอกจากตาปะขาวป) ถ้ายอมอยูในความปกครอง คณะสงฆก็ไมถูกลงโทษอยางไรสวน พระศรีวชิ ยั เมือ่ เข้าอยูใ นความปกครองของคณะสงฆแล้วจะบวชผูใ้ ด อีกก็ไมได้ จนกวาจะได้รับตราตั้งเปนอุปชฌายะเปนทางการ เพื่อให้เปนไปตามข้อตกลงนี้ทางคณะสงฆจักได้ดําเนินการ ซึ่ง ขณะนี้ได้จัดการนาสนะปะขาวปแล้ว (ทําการสึก) ขั้นตอไปคณะสงฆจะได้ สํ า รวจภิ ก ษุ ส ามเณรในวั ด ที่ แ ตกแยกออกไป อย า งวิ ธี สํ า รวจบั ญ ชี กลาง วัดใดยอมอยูในคณะตามเดิมจะได้ให้โอวาทและทําปฏิญาณทํา ทัณฑบนไว้ และออกสิทธิทางสงฆให้ สวนใบสุทธิของพระศรีวิชัยเปนอัน ใช้ไมได้คณะสงฆขอยึดไว้ การจัดการตามมติคณะสงฆตามที่วามานี้ ยอมเปนหน้าที่ของคณะ และหน้าที่ในท้องที่อาจเปนเหตุให้เปนที่ไมพอใจของผู้ปรารถนาดีอยู แต กระไรก็ดีใครขอวิงวอนวาพระพุทธศาสนาเปนศาสนาที่มุงความสงบ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เปนเจ้าของพระพุทธศาสนาได้ทรงสุภาษิต ไว้วา “นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ” แปลวา “ความสุขอื่นนอกจากความสงบไมมี” ดังนี้ขอทานทั้งหลายจงตั้งอยูในความศรัทธาไตรตรองโดยเหตุผลที่ชอบ และน้อมใจปฏิบตั ใิ นอาณัตสิ งฆ ขอสาธุชนผูศ้ รัทธาจงให้ทราบคําแนะนํานี้ โดยทัว่ กัน เพือ่ ความสงบและเชิดชูไว้ซง่ึ พระบวรพุทธศาสนาให้ยง่ั ยืนถาวร โดยดีสืบไป ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม วันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๗๘ ลงนาม อนุบาลพายัพกิจ ขาหลวงประจําจังหวัด
๑๗๘
แถลงการณเรื่องพระศรีวิชัย ฉบับที่ ๓ ขอประกาศแกสงฆสามเณรและพุทธมามกะชนทั้งหลายทราบโดย ทั่วกันวา พระศรีวิชัยตามที่กระทรวงธรรมการอาราธนาไปกรุงเทพฯ โดย บัญชาเนื่องมาจากอะไร หวังวาทานทั้งหลายคงทราบตามประพฤติการณ ตามคําแถลงการณของศาลากลางจังหวัดเชียงใหมแล้ว บัดนี้ ขอแถลงเฉพาะที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่แถลงแล้วนั่นตอมา กลาวคือคณะสงฆได้พยายามทําความเข้าใจกับพระศรีวิชัยโดยนานาวิธี ชีแ้ จงให้เห็นวา “พระสงฆทกุ รูปซึง่ อยูใ นประเทศสยามไมนยิ มวาเปนผูใ้ หญ หรือผู้น้อย นอกจากปฏิบัติเคารพในพระวินัยแล้ว ยังต้องอยูในกรอบของ พระราชบัญญัติลักษณะการปกครองสงฆ ร.ศ. ๑๒๑ และอาณัติของสงฆ ด้วยกันทั้งหมด ไมมีผู้ใดได้รับเอกสิทธิ์พิเศษประการใด ดังนี้เปนต้น และ พยายามทุกทางที่จะให้ปรองดองกับคณะสงฆ เชน ชักชวนให้ลงทําวัตร สวดมนตกาลจวนจะเข้ารูปอยูแล้ว กลาวคือพระศรีวิชัยได้จัดพระภิกษุสงฆ ซึง่ เปนอันเตวาสิกของทานลงไปทําวัตรสวดมนตกบั พระสงฆในวันคราวละ ๒ รูปบ้าง ๓ รูปบ้าง ซึง่ สอพฤติการณวา จะเข้าใจกลมเกลียวกันเกือบจะหมด สงสัย โดยประการหนึ่งเลาทางรัฐบาลก็ลงความเห็นวาจะให้พระศรีวิชัย กลับจึงยังมีอกี ข้อเดียวเทานัน้ คือ พระศรีวชิ ยั ต้องปฏิญาณตอคณะสงฆเพือ่ ยอมรับทําปฏิญาณไว้เปนหลักฐาน แล้วก็เปนอันหมดระแวงสงสัยและ กําหนดวันกลับได้ทันที ประธานมหาเถระสมาคมได้สงคําปฏิญาณซึ่งกระทรวงธรรมการ (กรมการศาสนา) ได้พิจารณาแล้วมายังข้าพเจ้า เพื่อให้พระศรีวิชัยทําไว้ เปนหลักฐาน ข้าพเจ้าได้พยายามชี้แจงให้เห็นเปนข้อๆ ไป ดังปรากฏตาม ข้อปฏิญาณซึ่งพิมพทางซ้ายนี้ หวังวาคงเรียบร้อยไมมีเหตุการณขัดข้อง ประการใด นาเสียดายที่ไมเปนตามความหวังนั้น เพราะได้รับคําตอบของ
๑๗๙
พระศรีวิชัยเปนลายลักษณอักษรความวา “จะรับรองปฏิบัติตามพระราช บัญญัตกิ ารปกครองสงฆ (ร.ศ. ๑๒๑) และอาณัตขิ องสงฆไมได้” และในวัน เดียวกันนั้นพระศรีวิชัยได้ยื่นหนังสือขอถอนคําพูดโดยอ้างวาเพราะความ หมายผิดและลงท้ายวายอมเซ็น แตมีพยานซึ่งพอจะยืนยันเปนที่เชื่อใจวา พระศรีวิชัยเพียงถอนคําพูดเทานั้น คงยืนไมเซ็นลงนามในปฏิญาณมี พฤติการณสอวาไมเปนที่ไว้วางใจจึงเปนอันยอมให้กลับไมได้กอน เนื่องจากในเหตุผลดังกลาวนี้ ข้าพเจ้าขอแถลงวาพระศรีวิชัยมีความ เข้าใจผิดอยูให้กลับมาทั้งที่เข้าใจผิดอยางนี้ ทาทีจะไมสงบดังที่เปนมาแล้ว เพราะฉะนั้นทางที่จะยอมให้พระศรีวิชัยกลับจะต้องพร้อมด้วยสาเหตุ ๓ ประการคือ ๑. พระศรีวิชัยจะต้องเซ็นคําปฏิญาณให้คณะสงฆไว้เปนหลักฐาน ๒. มีพฤติกรรมเปนที่ไว้ใจคณะสงฆ ๓. พระสงฆในจังหวัดเชียงใหมและลําพูนทีส่ มัครอยูใ นความปกครอง ของคณะสงฆโดยเรียบร้อยทั้งหมดแล้ว สวนในจังหวัดอื่นๆ คณะสงฆจักได้ดําเนินการโดยระเบียบเดียวกัน ตอไป เพื่อผอนผันยอมพร้อมเพรียงเรียบร้อยดีใน ๒ จังหวัดกอน ก็โดย กรุณาแกพระศรีวิชัยที่มีโอกาสจะกลับขึ้นมาโดยเร็ว ขอพระสงฆสามเณรและพุทธมามกะทัง้ หลายจงทราบตามพฤติการณนี้ อยาหลงเชื่อตามทางอันหามูลความจริงมิได้ เมื่อประสงคจะรวมบําเพ็ญ ทานการกุศลกับพระศรีวิชัยก็จงตั้งอยูในความสงบ เมื่อคณะสงฆเห็นเหตุ สามประการแล้วก็จะให้พระศรีวิชัยกลับมาหาทานทั้งหลายเองโดยไมต้อง ขอร้องอยางใดเลย แถลงมา ณ วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ ๒๔๗๘ (ลงนาม) พระธรรมโกศาจารย เจาคณะมณฑลพายัพ วัดเบญจมบพิตร พระนคร
๑๘๐
คํามั่นที่พระศรีวิชัยตองรับรองไวตอคณะสงฆ วาจะตองปฏิบัติตามคือ ๑. จะปฏิบตั ติ อ พระราชบัญญัตลิ กั ษณะการปกครองสงฆ (ร.ศ. ๑๒๑) และ อาณัติของสงฆทุกประการ เชน ก. จะยื่นบัญชีการสํารวจบัญชีกลางปตอคณะสงฆตามลําดับชั้น ข. การบรรพชาอุปสมบทจะต้องได้รบั อนุญาตของเจ้าคณะแขวงและให้ ถืออุปช ฌายะทีค่ ณะสงฆแตงตัง้ แล้วให้บรรพชาอุปสมบทได้โดยวิธี คณะสงฆปฏิบัติอยู ค. เมื่ อ อุ ป สมบทแล้ ว จะต้ อ งมี ห นั ง สื อ สุ ท ธิ อั น ชอบด้ ว ยระเบี ย บ คณะสงฆ จะออกหนั ง สื อ สุ ท ธิ อ ย า งอื่ น ไม ไ ด้ แ ล้ ว ให้ บ รรพชา อุปสมบทได้โดยวิธีคณะสงฆปฏิบัติอยู ง. งานปฏิสังขรณกอสร้างสิ่งถาวรตางๆ ต้องปฏิบัติตามพระราช บัญญัติคณะสงฆ (ร.ศ. ๑๒๑) ๒. จะชวยเหลือในการกอสร้างสถานที่เลาเรียนให้กุลบุตรกุลธิดาได้เข้า ศึกษาตามพระราชบัญญัติประถมศึกษา และชวยสนับสนุนขอร้อง ประชาชนให้เห็นประโยชนของการศึกษา ๓. จะชวยเหลือในการศึกษาเลาเรียนพระปริยัติของพระภิกษุสามเณรใน วัดตางๆ ให้เชื่อคําแนะนําและคําสั่งสอนของพระสงฆ ๔. ชวยเหลือวากลาวตักเตือนเจ้าอาวาส พระภิกษุสามเณรในวัดตางๆ ให้ เชือ่ คําแนะนําและคําสัง่ สอนของคณะสงฆ หรือทางราชการอันชอบด้วย ราชการ (ลงนาม) พระธรรมโกศาจารย
๑๘๑
เมื่อพระครูบาเจ้าศรีวิชัยรับคําปฏิญาณจนเปนที่พอใจ และไมมีทาง ที่ จ ะขั ด ขื น อํ า นาจอี ก พระธรรมโกศาจารย จึ ง ทํ า เรื่ อ งเสนออธิ บ ดี ก รม ธรรมการ (อธิบดีกรมการศาสนา) ดังมีสําเนา ดังนี้ ที่
๓๐๑/๒๔๗๘ วัดเบญจมบพิตร
เรือ่ ง จัดการกับภิกษุสามเณรทีอ่ ยูใ นความปกครองพระศรีวชิ ยั ขัดขืนอํานาจ จาก เจ้าคณะมณฑลพายัพ ถึง อธิบดีกรมธรรมการ (ปจจุบันคืออธิบดีกรมการศาสนา ) ด้วยรับหนังสือของเจ้าเชียงใหมที่ ๕๓๘/๒๔๗๘ ลงวันที่ ๔ กุมภาพันธ ศกนี้ แจ้งมาได้ลงมือจัดการกับภิกษุสามเณรทีไ่ ด้สมัครอยูใ นความปกครอง พระศรีวชิ ยั และขัดขืนอํานาจการปกครองคณะสงฆตง้ั แตวนั ที่ ๑ กุมภาพันธ ศกนี้ มีดังนี้ ๑. ได้ถอดเจ้าอาวาสวัดสันทรายหลวงและรองเจ้าอาวาสวัดเข้าแทน น้อย โดยมอบหมายคําสัง่ ให้เจ้าคณะแขวงไปจัดการนัดให้มาฟงคําสัง่ ทีว่ ดั สันทรายมูล แตปรากฏวาเจ้าตัวไมอยูได้หลบหนีออกจากวัดไปเสียกอน คําสั่งไปถึงแล้ว ตามทางสอบสวนได้ความวาเขาได้บอกลาไว้กับพระในวัด นั้นๆ วาจะไปนมัสการปูชนียสถานตางๆ ทางเชียงตุง และพร้อมกันนี้ได้มี เจ้าอาวาสวัดแมแก้ดหลวงและวัดทาเกรียบหายตัวไปด้วยเหมือนกันและได้ ความวาไปที่เดียวกัน นับวาเขาทราบเรื่องนี้ลวงหน้ามากอนแล้วทั้งยังถือ สุทธิที่ทางคณะสงฆออกให้ด้วย (เพราะใน ๔ รูปนี้ ครั้งแรกไมสงคืน) ๒. ได้สง่ั ถอนและสึกเจ้าอาวาสวัดแมแก้ดหลวงและวัดทาเกรียบด้วยแล้ว
๑๘๒
๓. ให้เจ้าคณะแขวงนัดประชุมชี้แจงให้ทราบ ที่จะได้ส่ังสึกวัดที่ ไมยอมตอไปโดยลําดับและจะได้จัดการสึกเจ้าอาวาสที่ไมยอมเรื่อยๆ ไป โดยขออารักขาเจ้าหน้าที่ฝายบ้านเมืองเพื่อความปลอดภัย ๔. ให้เจ้าคณะแขวงนัดประชุมพระสงฆพร้อมด้วยเจ้าหน้าทีฝ่ า ยบ้าน เมืองและหมูสัตบุรุษ วัดที่เจ้าอาวาสหนีออกจากวัดไปชี้แจงพระเณรลูกวัด ให้ยอมอยูในความปกครองคณะสงฆ แล้วมอบวัดแกผู้สมควรให้รักษาวัด นั้นๆ ตอไป หากไมยอมก็จะจัดการให้เปนตามเจ้าอาวาสเสียทั้งสิ้น ๕. ได้สั่งเจ้าคณะแขวงทุกๆแขวงให้จัดการโดยระเบียบเดียวกัน ตอจากนี้ได้รับรายงาน ฉบับที่๖๐๒/๒๔๗๘ ลงวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ เจ้าคณะสันทรายได้นดั ประชุมเจ้าอาวาสทีข่ ดั ขืน นอกจากวัดทีข่ ดั ขืนอํานาจ การปกครองคณะสงฆเชนนัน้ เปนความผิดซํา้ อีกและทราบความทีค่ ณะสงฆ ได้สั่งสึกเจ้าอาวาสที่ไมยอมแล้ว ๕ วัด เพื่อที่เขาเหลานั้นกลับใจอยูใน ความปกครองคณะสงฆ ถ้ า ไม ย อมก็ ต ้ อ งถู ก สั่ ง สึ ก ทุ ก วั ด ไป ในที่ สุ ด เจ้าอาวาสเหลานั้นก็ยอมขอคืนอยู ในความปกครองคณะสงฆทุกรูปแตมี เจ้าอาวาสบางรูปขอผอนผันอยางนั้นบ้าง เจ้าคณะจังหวัดเห็นวาการยอม ในชั้นเจ้าคณะแขวงยังไมเปนที่เรียบร้อยดีจนเปนที่พอใจแกคณะสงฆ ถึงวันที่ ๖ กุมภาพันธ นัดให้เจ้าอาวาสเหลานั้นมาประชุมที่วัดทุงยู (วัดเจ้าคณะจังหวัด) อีกชั้นหนึ่งการประชุมคราวนี้เจ้าอาวาสวัดสันนาเม็ง ไมมาแจ้งวาอาพาธให้พระลูกวัดมาแทน เจ้าคณะจังหวัดได้ให้เจ้าอาวาส ยินยอมโดยเรียบร้อยทุกรูปจึงได้ให้เจ้าอาวาส ๙ วัดนั้นลงนามรับรอง ปฏิญาณไว้เปนหลักฐาน สวนพระผู้แทนเจ้าอาวาสวัดสันนาเม็งนั้น ที่ ประชุมเห็นวาไมเปนหลักฐานพอจึงได้งดการลงนามเสีย และขอให้เจ้าคณะ แขวงสอบสวนดูถ้าอาพาธจริงก็ให้โอกาส เมื่อหายอาพาธแล้วให้เจ้าคณะ
๑๘๓
แขวงนําตัวมาทําการปฏิญาณทีว่ ดั ทุงยูโดยเร็ว ถ้าไมอาพาธจริงก็สง่ั การสึก เสียฐานประพฤติไมเปนที่ไว้วางใจของเจ้าคณะแขวง นําตัวเข้ามาปฏิญาณ ที่วัดทุงยูโดยเร็ว ครั้นเจ้าอาวาส ๙ วัดนั้นลงนามปฏิญาณแล้ว เจ้าคณะ จังหวัดจึงให้พระครูปริยตั ยานุรกั ษให้โอวาทเรือ่ งการปกครองคณะสงฆ และ แสดงความยินดีอนุโมทนาในการที่เจ้าอาวาสเหลานั้นนําภิกษุสามเณร ทุกรูปในวัดของตนไปประชุมฟงโอวาทที่เจ้าคณะแขวง เพื่อจะได้ให้ทํา ปฏิญาณและแจกหนังสือสุทธิให้ สวน ๔ วัดที่เจ้าอาวาสได้หลบหนีไปนั้น เจ้าคณะแขวงกําลังประชุมชีแ้ จงทําความเข้าใจกับพระลูกวัดอยู เมือ่ เรียบร้อย แล้วจะจัดให้พระสงฆสมควรครองวัดนั้นไป การจัดการในแขวงบ้านแมได้เปนไปแล้ว ดังนีค้ อื วันที่ ๘ กุมภาพันธ เจ้ า คณะจั ง หวั ด ได้ นั ด ประชุ ม สั่ ง สึ ก เจ้ า อาวาส ๓ วั ด คื อ พระป ญ ญา วั ด พระบาทยั้ ง หวี ด หนึ่ ง พระคั ม ภี ร ะวั ด ทุ ง ตู ม หนึ่ ง และพระสุ ว รรณ วัดสันปาตองหลวงหนึ่ง ซึ่งเปนหัวหน้าที่สําคัญในการขัดขืนให้โอกาส ได้ ท ราบล ว งหน้ า ๓ วั น ครั้ น ถึ ง วั น กํ า หนดให้ ม าฟ ง คํ า สั่ ง ที่ วั ด ทุ ง ยู กอนอานคําสั่งเจ้าคณะได้ปรารภถึงความขัดขืนอํานาจคณะสงฆให้ทราบ ทานเจ้าอาวาสทัง้ ๓ วัด ไมยอมรับการปฏิบตั ติ ามคําสัง่ โดยอ้างวาพระครูบา ศรีวิชัยได้ส่ังให้ทําอยางไรก็จะทําอยางนั้น และจะอยูไปอยางนี้ ทาง เจ้าคณะจังหวัดเห็นวาจะไมเปนการเรียบร้อยจึงขอให้เจ้าหน้าที่ตํารวจมา รั ก ษาเหตุ ก ารณ และได้ แ นะนํ า ให้ สึ ก โดยดี ใ นที่ สุ ด พระป ญ ญาและ พระคัมภีระได้สึกในขณะนั้น สวนพระสุวรรณขอกลับไปสึกที่วัดภายใน ๓ วัน และได้สกึ แล้ววันที่ ๓๐ กุมภาพันธ ในวันเดียวกัน พระเณรวัดสันปาตอง หลวงได้มาพร้อมกัน ๑๐ รูปมาขออยูในความปกครองคณะสงฆที่เจ้าคณะ แขวงแล้วสวนพระเณรในวัดพระบาทยัง้ หวีดและวัดทุง ตูมทีพ่ ระศรีวชิ ยั บวช
๑๘๔
ให้นน้ั ได้สกึ ไปหมดแล้วทัง้ สองวัด ในแขวงบ้านแม ก็ได้ยนิ ยอมตอเจ้าคณะ แขวง ยั ง มี แขวงดอยสะเก็ ด ได้ สั่ ง เจ้ า อาวาสสึ ก ๒ วั ด คื อ พระสุ ริ ย ะ วัดจอมแจ้งและพระบุญมี วัดเกาะทราย เมือ่ วันที่ ๑๒ กุมภาพันธ พระสุรยิ ะ ขอรอเวลา ๓ วัน พระบุญมียอมสึกวันนั้น ในแขวงสันกําแพง ๑ วัด คือ วัดสันกลางได้ยอมตอเจ้าคณะแขวงแล้วแตขอผอนผันบ้าง เจ้าคณะจังหวัด เรียกเข้าไปที่วัดทุงยู เวลานี้ยังไมได้รับคําตอบจากเจ้าคณะแขวง สวนแขวง นอกจากนี้ที่อยูหางไกลเจ้าคณะแขวงนั้นๆ ได้ดําเนินการอยูแล้ว หวังวาจะ เรียบร้อยในไมช้า ขอกราบเรียนประธานกรรมการมหาเถระสมาคม เพื่อทราบแล้วแต จะโปรด (ลงนาม) พระธรรมโกศาจารย
๑๘๕
สงบนิ่งพิสูจนความจริงและวาจาสิทธิ์ ความศรัทธาปสาทะในพระครูบาเจ้าศรีวชิ ยั กับเหตุการณคบั ขันครัง้ นั้นทําให้ พระเถระตั้งแตระดับเจ้าอาวาสหลายวัด และพระภิกษุสามเณร จํานวนมาก ต้องถูกพระเถระเจ้าคณะฝายปกครอง หาเรื่องด้วยอํานาจ อาชญาด้วยการจับสึก ปลดเปลือ้ งเครือ่ งอัฏฐบริขารไตรจีวร ด้วยความจํายอม สุดทีจ่ ะขมใจ ขณะทีถ่ กู ปลดเปลือ้ งผ้ากาสาวพัสตรออกจากรางกาย แตมอิ าจ ถอดออกจากหัวใจอันมั่นคงในพุทธศาสนาได้สะท้านสะเทือนเหมือนถูก พายุลมหมุน สุดแสนเสียดาย จนนํ้าตาแหงความบริสุทธิ์หลั่งออกมาทั่ว ใบหน้าด้วยความฝนจิตฝนใจ แล้วนําเอาเครื่องอัฏฐบริขารไตรจีวรไปกอง รวมกันรอบองคพระบรมธาตุเจ้าวัดพระสิงห สิง่ สักการะแทนองคพระสัมมา สัมพุทธเจ้าเปนกองพะเนิน เปนที่นาเศร้าสลดสงสารสังเวช เพียงแคถูกใส โทษเพราะทานเหลานั้นเลื่อมใสศรัทธาในพระครูบาเจ้าศรีวิชัยที่เห็นวา ทานเปนผูม้ จี ริยาวัตรความเปนผูท้ รงศีลทรงธรรม และมีปณิธานอันแรงกล้า อุทิศตนในการฟนฟูบวรพระพุทธศาสนาให้เจริญสถาพร พร้อมกับปลุก จิตใจให้ตื่นตัวเกิดความศรัทธาเลื่อมใสในพระรัตนตรัย ปฏิบัติการของพระสงฆฝายปกครองในครั้งนั้นนับวารุนแรงมาก สร้างความปนปวนสะเทือนจิตใจผู้คนสังคมครั้งนั้น จนมิรู้จะตั้งรับกับ เหตุการณผกผันอยางไรดี แตกระนั้นก็ตามความเคารพเลื่อมใสศรัทธา หาได้ลดน้อยลงไม ถึงแม้จะโดนกอกวนกระทําจนหมดสภาพภิกษุสามเณร แล้วก็ตาม ทานทัง้ หลายเหลานัน้ ก็ยง่ิ เกิดกําลังใจเพิม่ พลังพิทกั ษอยูใ นห้วง สํานึกลึกๆ ซาบซึง้ ในมโนธรรม อันบริสุทธิ์ของพระครูบาเจ้าศรีวิชัยทวีคูณ
๑๘๖
ยิ่งขึ้น จนเปนความประทับใจอยางตรึงตราแนบแนน มาถึงชั้นชนรุนหลัง มามิได้จืดจางไปกับกาลเวลา นี่แหละที่โบราณกลาวไว้วา ระยะทางพิสูจน ม้ากาลเวลาได้พิสูจนผลของกรรม (การกระทํา) ดีให้ได้เปนประจักษแจ้ง สําหรับชาวพุทธที่เข้าใจชีวิตอยางลึกซึ้งที่ย่ิงกวาการศึกษาเรียนรู้ ทองจํา จะไมยึดติดหลงใหลลาภ สักการะสรรเสริญไมหลงหมกจมอยูใต้ กระแสโลกธรรม จะมองเห็นโทษพิษภัยอันตราย จะก้าวพ้นความสําคัญตน จะไมหลงงมงายกระหายอํานาจยศถาบรรดาศักดิ์ ติดอยูกับภาพลวง จะมีชีวิตอยูอยางสงบสุข สันโดษเข้มแข็งแกรงกล้า สะอาดบริสุทธิ์ อิสรเสรี จะไมเห็นแกตวั จะทุม เทอุทศิ ตนด้วยมิตรภาพเมตตาไมตรี จิตใจงดงามเปน พลังอันยิ่งใหญของชีวิตเพื่อประโยชนสุขของชนทั้งหลาย สมดังที่พระพุทธองคได้ทรงตรัสไว้วา “ธรรมชาติจิตเดิมแท้เปน ประภัสสร” เปนความงดงามบริสุทธิ์สะอาดโดยตัวมันเอง เปนธรรมชาติ เปนสัจธรรมความจริงอยางยิง่ ทีส่ ามารถท้าพิสจู นให้เห็นเปนกฎแหงความ เสมอภาคและท้าทายให้ชาวโลก ก้าวข้ามพ้นสูอนัตตา สูสุญญตาสูความ สมดุลทีป่ ราศจากความรูส้ กึ แยกแยะแบงแยกความเปนนัน่ เปนนี่ ทรงชีใ้ ห้ มองชีวิตมองโลกมองสรรพสิ่งให้เห็นเปนธรรมชาติที่วางและบริสุทธิ์ ไร้ตําหนิ ไร้การแยกแยะสีสัน ไร้ฐานะใดๆ ที่จะเข้าไปแทรกแซงอิงอาศัย ให้มองเห็นวาใดๆในโลกทุกอยางทุกประการ ไมมีอะไรที่ยึดมั่นถือมั่นวา เปนตัวตนเปนเราเปนผู้อ่ืน หรือเปนสิ่งนั่นสิ่งนี่ อีกทั้งทรัพยสิน อํานาจ ลาภยศฐานันดร ไมมีอะไรที่ใครจะครอบครองได้ตลอดกาล นีค้ อื สัจธรรมอันเปนมรดกสุดยอดทีพ่ ระพุทธองคได้ทรงค้นพบ และ ประทานให้ชาวโลกได้ดื่มดํ่าซึมซับเปนรางวัลอันยิ่งใหญของทุกชีวิต ทรงชี้ ให้เห็นแสงสวางอันโอฬารของชีวิต ที่พุทธบริษัททุกยุคสมัยได้เจริญตาม
๑๘๗
รอยพุทธบาท จนทําให้ก้าวข้ามพ้นอยูเหนือโลก เหนือความเกิด ความแก ความเจ็บ ความตาย อยูเหนือเหตุการณดีร้ายโดยประการทั้งปวงดุจ พระครูบาเจ้าศรีวิชัย สิริวิชโย เปนแบบอยางการไมข้องติด ไมมีปฏิกิริยา สะทกสะท้านหวัน่ ไหวตอสิง่ ใดๆ ทานรักษาจิตใจสดชืน่ แจมใสบริสทุ ธิ์ สงบ สํารวมในที่ทั้งปวง ไมโอหังอวดดีสําคัญตน มีเมตตาจิตเปดใจกว้าง ผสานชีวติ เปนหนึง่ เดียวกับสัจธรรมความจริงเปนผูท้ รงศีล เปนผูท้ รงธรรม เป น เนื้ อ นาบุ ญ ที่ ค วรแก ก ารถวายความเคารพกราบไหว้ เ ทิ ด ทู น บู ช า บุญบารมีธรรมอันประเสริฐ เปนที่พึ่งของชนทั้งหลายมาตราบทุกวันนี้ การสอบสวนพระครูบาเจ้าศรีวชิ ยั ในเหตุการณสาํ คัญครัง้ นัน้ เปนไป ตามทุกขั้นตอน สิ่งไหนผิดตอกฎระเบียบทานยอมรับผิด สิ่งไหนประพฤติ ถูกต้อง ทานยืนยันด้วยความบริสุทธิ์ใจ มิหวั่นไหวตอข้อบังคับใดๆ แม้อดทนฟนฝาอุปสรรค ทานสงบนิ่งเผชิญหน้าตอเหตุการณมิได้อุทธรณ ด้วยประการใด จนการไตสวน ใช้เวลา ๖ เดือน ๑๗ วัน เมื่อพิจารณาเปน ที่พอใจแล้ว พระครูบาเจ้าศรีวิชัย พ้นข้อกลาวหาและอนุญาตให้กลับ ภูมิลําเนาได้ หลังการพิจารณาคดีเสร็จ คุณหลวงศรีประกาศไปเยี่ยมที่วัด เบญจมบพิตร แล้วเรียนถึงการทีจ่ ะนิมนตไปชวยบูรณะวัดในเมืองเชียงใหม ทานปฏิเสธและเปนเหตุให้ทานกลาวอมตะวาจาวา “ตราบใดที่แมนํ้าปง ไมไหลลองขึ้นเหนือ จะไมขอกลับเข้าเมืองเชียงใหมอีก” (ขอได้โปรด ทําความเข้าใจตรงนี้ วาพระครูบาเจ้าศรีวิชัยทานได้มองเห็นแล้ววาการ ที่จะกลับเข้าไปมีบทบาทอะไรอีกก็นาจะเปนปญหามากกวาที่จะเปนผลดี โดยเข้าไปจะมีการกระทบกระทั่ง ..เพราะเราต้องเข้าใจจิตวิญญาณของ พระครูบาเจ้าศรีวิชัยทานมีจิตใจบริสุทธิ์ ละเอียดออน ทานไมผูกอาฆาต พยาบาทใครอยูแ ล้ว แตกเ็ กรงวาฝายตรงข้ามจะเกิดผลกระทบกระเทือนให้
๑๘๘
เปนภาพลบ จึงได้ตัดปญหาตรงนี้แตอยางไรก็ตามคําพูดของทานได้พูด อะไรไปแล้วถือเปนวาจาสิทธิ์ดังที่ปรากฏอยูในประวัติหลายๆ ตอน) นับวานักบุญแหงล้านนาไทยได้กลาวถ้อยคําที่ไมมีใครคาดคิดวา ทานจะเปลงวาจาอันเปนประดุจคําสาปและเปนตามวาจาที่ลั่นออกไป เพราะหลังจากนั้นทานไมไปเชียงใหมอีกเลย ชาวเชียงใหมหมูแล้วหมูเลา กราบวิงวอนขออาราธนานิมนตพระครูบาเจ้าฯ ไปโปรดชาวเชียงใหม ทานนิ่งเฉยไมรับคําอาราธนานิมนตของใคร จนกระทั่งทานมรณภาพ ชาวเชียงใหมยงั รําลึกถึงคุณงามความดีของทานจึงสร้างรูปเหมือนของทาน เปนอนุสาวรีย ผูอ้ อกแบบสร้างคืออาจารย ศิลป พีระศรี เปนชาวอิตาลี และ เปนผู้ออกแบบสร้างอนุสาวรียบุคคลสําคัญของประเทศไทยอีกมากมาย พอรูปเหมือนของทานเข้าสูแผนดินเชียงใหม เปนการพอดีที่การกั้นเขื่อน ภูมพิ ล (ยันฮี) สําเร็จ และนํา้ แมปง ได้ไหลเออขึน้ เหนือในวันนัน้ อนุสาวรีย ของพระครูบาเจ้าศรีวิชัย สิริวิชโย เสมือนองคแทนคุณงามความดีของทาน ให้ชาวเชียงใหมและชาวพุทธโดยทั่วไปได้ถวายสักการะ ณ เชิงดอยสุเทพ จนทุกวันนี้ กอนเดินทางกลับเมืองลําพูน ได้เข้าเฝากราบขอบพระคุณสมเด็จ พระสังฆราชเจ้าและพระผู้ใหญที่เปนคณะกรรมการสอบสวนจนทั่วถึงแล้ว จึงเตรียมตัวเดินทางขึ้นรถไฟจากกรุงเทพฯ สูภูมิลําเนา ชาวลําพูนพอ ทราบขาวตางพากันดีใจ สถานีรถไฟจังหวัดลําพูนบรรยากาศเต็มไปด้วย ความสดชืน่ ปลาบปลืม้ ปตยิ นิ ดีอยางยิง่ เมือ่ ขบวนรถไฟเข้าเทียบชานชาลา บรรดาพระภิกษุสามเณรและศรัทธาสาธุชนมาต้อนรับกัน บางคนทีศ่ รัทธา อยางแรงกล้าถึงกับนอนราบพืน้ ให้ทา นเหยียบไปบนรางของตน เพราะเท้า ของทานบริสทุ ธิเ์ กินกวาทีจ่ ะยํา่ บนพืน้ ดินสกปรกทีเ่ ต็มไปด้วยธุลขี องความ
๑๘๙
อิจฉาริษยาใสร้ายให้โทษซึ่งกันและกันของคนที่หนาไปด้วยกิเลสตัณหา ในจํานวนนั้นเจ้าจักรคําขจรศักดิ์ เจ้าผู้ครองนครลําพูนรวมอยูด้วย นิมนต พระครูบาเจ้าพักอยูที่วัดพระธาตุหริภุญชัย และทําพิธีถวายเครื่องสักการะ ทําบุญทําทานเปนเวลา ๗ วัน ข้าวของจตุปจจัยมากมายไมมีที่เก็บได้เอา ไปถวายวัดตางๆ และแจกทานแกผู้ยากไร้ วันหนึง่ เจ้าจักรคําขจรศักดิ์ เจ้าผูค้ รองนครลําพูน พร้อมด้วยเจ้านาย ข้าราชการ อาราธนานิมนตบรู ณปฏิสงั ขรณวดั ซึง่ เจ้ามหันตยศ พระราชบุตร แฝดของพระนางเจ้าจามเทวีสร้างเพือ่ บรรจุอฐั ธิ าตุของพระนางเจ้าจามเทวี แล้วสร้างให้เปนพุทธสถานที่เคยเจริญรุงเรืองตั้งแต ๑,๒๐๐ กวาปมาแล้ว ในที่สุดได้ลมสลายไปตามกาลเวลา แม้กระทั่งชื่อวัดยังไมปรากฏทิ้งไว้ แตซากที่อยูในสภาพทรุดโทรมปรักหักพัง มีต้นไม้รกรุงรัง เถาวัลยพันอยู บนซากเจดียอันเปนโบราณสถานเกาแกเปนสภาพที่ถูกทอดทิ้งรกร้าง มานาน พระครูบาเจ้าฯ เห็นความสําคัญจึงรับนิมนตกบั เจ้าจักรคําขจรศักดิ์ ในวันรุงขึ้น เจ้าจักรคําขจรศักดิ์ นายบุญมีและเถ้าแกโหงวจัดขบวน รถยนต ๖ คัน เพื่อสงทานกลับไปยังวัดบ้านปางและมีภิกษุสามเณรทายก ทายิกาติดตามไปสงถึงวัดบ้านปางจํานวนมาก หลังจากที่เดินทางถึงวัดบ้านปาง ทานรื้อพระวิหารหลังเดิมแล้ว กอสร้างใหม โดยเทคอนกรีตเสริมเหล็กระหวางการกอสร้างชาวบ้านและ พระสงฆสามเณรชวยทํางานเปนจํานวนมากและหาบนํ้าในหมูบ้านขึ้นมา บนวัดเพือ่ ผสมปูนต้องหาบนํา้ ขึน้ บนวัดซึง่ เปนเนินหลายเทีย่ ว มีวนั หนึง่ ทาน เห็นพระเณรหาบนํ้าจึงเกิดความรู้สึกเวทนา จึงรําพึงวา “สาธุ! ขอเทวบุตร เทวดาเจ้าทั้งหลายโปรดได้เอ็นดูสงสารพระเณร จงชวยดลบันดาลให้ฝน ตกลงมามีนา้ํ มาสร้างพระวิหารหลังนีใ้ ห้สาํ เร็จด้วยเถิด” เวลานัน้ ประมาณ
๑๙๐
๑๐.๐๐ น. พอถึงเวลา ๑๕.๐๐ น. ฝนได้ตกลงมาหาใหญจนนํ้าขังเต็มสระ ทําให้มีน้ํามาสร้างพระวิหารได้โดยมิต้องเหน็ดเหนื่อยหาบนํ้าขึ้นมาอีก นายชางที่ทําลายดอกหน้าบันด้านตะวันออก ชื่อนายชางหนานแก้ว หน้าบันด้านหลัง ชื่อนายชางหนานหมวก ชางทําแทนพระประธาน ชื่อ นายชางดิ่งและนายชางเสง นายชางสร้างพระประธาน ชื่อพระหนอคํา (ชาวอําเภอดอยสะเก็ด) โดยเอาแบบพระพุทธรูปพระเจ้าเก้าตื้อ ในวัด สวนดอกเชียงใหม การกอสร้างยังไมทันเสร็จ มีผู้มาขออาราธนาทานบูรณปฏิสังขรณ วัดจามเทวีตามที่เคยรับปากกับเจ้าจักรคําขจรศักดิ์ จึงพากันมารับเข้าสู เมืองลําพูน ชาวลําพูนพอรูข้ า วได้รว มกันแผ้วถางสถานทีก่ อ สร้างพระวิหาร โดยรวมมือทัง้ กําลังกายและกําลังทรัพย การกอสร้างดําเนินไปอยางรวดเร็ว แล้ ว สร้ า งกํ า แพงรอบวั ด จนสํ า เร็ จ ทํ า บุ ญ ฉลองสมโภชจั ด ปอยหลวง เปนที่ปลาบปลื้มปติปราโมทยยินดีอนุโมทนาสาธุการกันทั่วหน้า โดยมี เจ้าจักรคําขจรศักดิ์เปนประธานตลอดงานฉลอง ๑๕ วัน ๑๕ คืน
๑๙๑
๑๙๒
การสรางสะพานศรีวิชัย เมือ่ ทําบุญฉลองทีว่ ดั จามเทวีเสร็จแล้วจึงกลับมาสร้างพระวิหารวัดที่ บ้านปางที่ยังไมเรียบร้อยตอไป ทําได้ไมทันไร ชาวลําพูนเดินทางไป บ้านปางอีก มาขออาราธนานิมนตไปสร้างสะพานข้ามแมนํ้าปง เพื่อเชื่อม ทางคมนาคมระหวางเชียงใหมกับลําพูน ซึ่งเส้นทางนี้จะอํานวยประโยชน และทําให้มีการติดตอสะดวกสบายในการขนสงสินค้าทางสันปาตอง เชียงใหมสลู าํ พูนเร็วขึน้ เมือ่ คํานึงถึงสังขารทานนิง่ ชัว่ ขณะทานรูว้ า การสร้าง สะพานในชีวิตของทานไมมีทางสําเร็จเพราะรางกายของทานได้ชราลง วันคืนกําลังมาแยงกําลังกายไปทุกขณะเนื้อหนังอันเปลงปลั่งก็ซูบผอม สังขารเปนสิ่งไมเที่ยงแท้และเปราะบาง กําลังใกล้ความแตกดับในอนาคต อันใกล้ ทานรู้วาระที่จะต้องจากสานุศิษยทั้งหลายอยางไมมีทางหลีกเลี่ยง ทัง้ ๆ ทีร่ วู้ า ในชีวติ ของทานจะสร้างไมสาํ เร็จ แตกไ็ ด้มองเห็น รูเ้ ห็นเหตุการณ ข้างหน้าวาสะพานนี้จะสําเร็จหลังจากที่มรณภาพไปแล้วและเปนประโยชน สาธารณะมากมาย ทานรับนิมนตเพื่อสร้างสะพานเปนอนุสรณชิ้นสุดท้ายในชีวิต จึง เดินทางไปสํารวจสถานที่เพื่อไมให้เสียศรัทธาผู้นิมนต เมื่อทําการสํารวจ เรียบร้อย งานสร้างเริ่มขึ้นด้วยความรวมมือของชาวลําพูนและเชียงใหม ทํางานอยางเข้มแข็ง เต็มใจ มุงหวังให้การกอสร้างสะพานสําเร็จโดยเร็ว ผู้มารวมทํางานสร้างสะพานและมาทําบุญถวายทาน มากันเปน จํานวนมาก ยิ่งตอนใสบาตรศรัทธาสาธุชนทําบุญกันตั้งแตเช้ามืดถึงสาย ทุกวัน จนทําให้โรคริดสีดวงทวารที่เปนอยูแล้วกําเริบหนักเปนอุปสรรคที่
๑๙๓
ทําความทรมานสังขารให้แกทา นเปนอยางมาก การสร้างสะพานได้เริม่ ต้น ขึ้นแล้วโดยทานพระครูบาเจ้าศรีวิชัยเปนประธานได้มีศรัทธาสาธุชนจาก ทั่วสารทิศที่รู้ขาวการสร้างสะพานพากันมาชวยงานมาทําบุญกันมากมาย ล้นหลาม และทําบุญตักบาตรกันตั้งแตเช้ามืดถึงสายทุกวันและเมื่อเห็นวา อาการอาพาธที่เปนอยูเวลานี้ไมสะดวกที่จะนั่งให้ศีลให้พรเปนเวลานาน ต้ อ งอดทนอดกลั้ น ลํ า บากสั ง ขารจึ ง ขอลาไปพั ก รั ก ษาตั ว ที่ วั ด จามเทวี การสร้างสะพานหยุดชะงักลง ตางก็มุงมาเอาใจใสอยางทะนุถนอมในตัว ของพระครูบาเจ้าศรีวิชัย แต ก ารสร้ า งสะพานมาเริ่ ม ขึ้ น อี ก ที ห ลั ง จากการมรณภาพของ พระครูบาเจ้าศรีวชิ ยั คณะศิษยานุศษิ ยและผูเ้ ลือ่ มใสในปฏิปทาของพระครู บาเจ้าศรีวชิ ยั ตางพร้อมใจกันอยางมุง มัน่ วา หากสร้างสะพานไมสาํ เร็จต้อง รักษารางอันไร้วิญญาณของทานเพื่อปลุกศรัทธา ให้สานุศิษยได้เห็น รางนักบุญให้คอยกระตุ้นเตือนวา พลังแหงความสามัคคีผนึกกันแล้ว เป น พลานุ ภ าพอั น ยิ่ ง ใหญ ยั ง กิ จ อั น ยากเข็ ญ ให้ สํ า เร็ จ ลงได้ ผลงานที่ พระครูบาเจ้าฯ มอบไว้เปนเครื่องเตือนใจ ให้สานุศิษย ได้เจริญรอยตาม บาทวิถีของนักบุญทั้งๆ ที่ยุคนั้นสงครามโลกครั้งที่ ๒ กําลังจะเกิด และ หลังจากสงครามโลกสงบ ผลแหงภัยสงครามทําให้เกิดปญหาการครองชีพ เกิดข้าวยากหมากแพง เดือดร้อนกันไปทั่วแตวาในหัวใจสานุศิษยและ ชาวลานนาไทยยังคงจดจําและสถิตอยูในดวงใจ พลังแหงความศรัทธา พลังแหงคุณงามความดี ความบริสุทธิ์ของพระครูบาเจ้าฯ ทําให้การสร้าง สะพานสําเร็จลุลว งจนได้และทําบุญฉลองพร้อมกับตัง้ ชือ่ วา “สะพานศรีวชิ ยั ” เปนอนุสรณถึงทานตราบทุกวันนี้.......
๑๙๔
ถายทีว่ ดั จามเทวี จ.ลําพูน คราวมา รักษาอาพาธด้วยโรคริดสีดวงทวาร อายุ ๖๐ ป
สัจธรรมบั้นปลายแหงชีวิต ขณะพํานักอยูวัดจามเทวี เพื่อรักษาอาพาธ พระครูบาเจ้าศรีวิชัย อายุ ๖๐ ป จึงคิดบําเพ็ญบุญทําทานเปนการสวนตัวขาวนี้รู้ไปทั่วบรรดา ศรั ท ธาและสานุ ศิ ษ ย จึ ง ต า งเดิ น ทางมาจากที่ ต า งๆ เพื่ อ ร ว มทํ า บุ ญ นับเปนการทําบุญครั้งสําคัญที่สุดในชีวิตของทาน หลังจากการทําบุญ สิ้นสุดลงอาการอาพาธก็ทรุดหนักลงอีก ทานรู้วาชีวิตของทานคงอยูได้อีก ไมนาน
๑๙๕
แตพระครูบาเจ้าฯ เปนผูม้ จี ติ ใจเข้มแข็ง หาได้เกรงกลัวตอความตาย กําลังจะมาถึง คิดเสมอวา ความตายเปนสิง่ หลีกเลีย่ งไมได้ พร้อมต้อนรับ ความตายและเยาะเย้ ย โดยไม ฉั น ยา ท า นคงพิ จ ารณาเวทนาให้ เปนกัมมัฏฐาน ปฏิบตั ธิ รรมตัง้ มัน่ อยูใ นมรณานุสสติ จนกระทัง่ หมอครอส ต้องเตือนให้ฉันยา และบอกวาหากไมฉันยาจะหมดทางรักษา มีทางเดียว คือ ความตาย พระครูบาเจ้าฯ ตอบหมอฝรั่งวา “อยาวาแตอาตมาจะตาย เลย หมอเองก็ตอ งตายเหมือนกันแหละ ไมวา จะเปนหมอดีวเิ ศษอยางไรจะ หลีกหนีความตายไปไมพน” พระครูบาเจ้าได้ปรารภกับสานุศิษยวาทาน ปรารถนาทีจ่ ะตายทีบ่ า้ นปาง เพราะชีวติ เริม่ ต้นทีน่ น่ั แผนดินบ้านปางควร จะเปนวาระสุดท้าย อาการอาพาธแม้จะหนักแตกม็ สี ติดเี ยีย่ มทานได้ขอร้อง ให้สานุศิษย นําทานกลับสูวัดบ้านปาง เมื่อถึงวัดบ้านปางอาการปวยหนักยิ่งขึ้น แตเสมือนมีญาณพิเศษ ทราบล ว งหน้ า ถึ ง กาลอวสานของชี วิ ต จึ ง เรี ย กบรรดาสานุ ศิ ษ ย ม า พร้อมหน้ากัน แล้วสั่งเสียวา “ทานทั้งหลาย เราเห็นวาจะไปไมรอดแน อาการครัง้ นีห้ นักนัก ขอทานทัง้ หลายอยาละทิง้ การงานเราทําไว จงจัดการ ก อ สร า งการทํ า บุ ญ การทํ า คุ ณ งามความดี ใ ห สื บ กั น ต อ ไป เวลานี้ อาการปวยทําใหสังขารทรุดหนักทวีข้ึนทุกวัน และมันจะตองแตกดับ อย า งแน น อน ขอท า นทั้ ง หลายจงจํ า คํ า เตื อ นใส ใจเอาไว ประพฤติ ปฏิบตั ธิ รรมใหเกิดความเจริญและความสุข ทัง้ แกตวั เองและเพือ่ นรวมโลก สืบตอไป” คําพูดของทานทําให้ศิษยน้อมรับโอวาทไว้ด้วยเศียรเกล้า ตางรู้สึก เปนหวงทานอยางมาก พยายามปฏิบตั อิ ปุ ฏ ฐากเฝาดูอาการของทาน โดย จัดยามเปลี่ยนเวรกันตลอดเวลาทั้งกลางวันกลางคืน จากนั้น ๒-๓ วัน
๑๙๖
ถายทีศ่ าลากวานตาน (ศาลาบําเพ็ญบุญ) วัดบ้านปาง อายุ ๖๐ ป
พระมหาวัน เจ้าอาวาสวัดสวนดอก จ.เชียงใหม มอบขันดอกไม้ในพิธี คืนปราสาทรดนํ้าลายทองห้ายอดของพระครูบาเจ้าฯ ให้แก ภิกษุอานันท พุทธธัมโม เก็บรักษาไว้ในพิพธิ ภัณฑวดั บ้านปาง
๑๙๗
อาการก็ทเุ ลาขึน้ เล็กน้อย บรรดาสานุศษิ ยตา งพากันดีใจและคลายหวงลง ขณะเดียวกันขาวการอาพาธของทานได้กระจายไปทั่วทุกมุมเมือง ขาวยิ่ง กระจายและเลาลือวาอาการหนัก ทําให้ทุกคนอยากมาเยี่ยมเยียนอาการ เห็นใจความเจ็บปวย ด้วยความหวงใยพากันมาเปนจํานวนมากจนไมมเี วลา พักผอนทําให้รา งกายออนกําลังอยางเห็นได้ชดั ห้ามปรามกันอยางไรก็ไมมี ใครเชื่อฟง ขาวรู้ไปถึงเจ้าจักรคําขจรศักดิ์ และข้าหลวงประจําจังหวัด ตลอด ชาวลําพูน ตางประชุมปรึกษาควรทําอยางไรเพราะตางหวงใยอาการปวย ของพระครูบาเจ้าฯ ในการหารือครั้งนั้น ทานเจ้าคุณวิมลญาณ เจ้าคณะ จังหวัดลําพูน บรรดาพระสงฆ และเจ้าจักรคําขจรศักดิม์ คี วามเห็นวาไมควร ทอดทิง้ ให้ครูบาเจ้าศรีวชิ ยั รักษาตัวทีว่ ดั บ้านปางเพราะอาจเปนอันตรายแก ชีวิตได้ คณะสงฆยินดีจะไปอาราธนา พระครูบาเจ้าศรีวิชัยจากวัดบ้านปาง เมื่ อ เป น ที่ ต กลงกั น แล้ ว เจ้ า คุ ณ วิ ม ลญาณจึ ง รวบรวมขบวนรถและ เดินทางออกจากจังหวัดลําพูน เมื่อมาถึงวัดบ้านปางพระครูบาเจ้าฯ รู้ตัวดี วาการรักษาจะไมได้ประโยชนอะไร แตเมื่อเห็นเจตนาของคณะสงฆ และ จํานวนผู้มารับเปนจํานวนมากจึงตกลงรับคํา ดังนั้น ในวันแรม ๕ คํ่า พุทธศักราช ๒๔๘๑ ขบวนรถอันยาวเหยียดก็เดินทางออกจากวัดบ้านปาง อําเภอลี้ ได้พักแรมไประหวางทาง ใช้เวลา ๕ วัน จึงถึงตัวเมืองลําพูนได้รับ การอาราธนานิมนตพํานักรักษาที่วัดจามเทวี มีทั้งหมอไทย หมอจีน หมอแขก หมอฝรั่ง ตางก็ชวยกันเยียวยารักษาอยางดีที่สุดอาการก็ไมดีขึ้น ทางจั ง หวั ด เชี ย งใหม ท ราบข า วก็ พ ากั น มาเยี่ ย มพระครู บ าเจ้ า ฯ จํานวนมากและได้กราบขออาราธนานิมนตให้ทานไปรักษาตัวที่เชียงใหม พระครูบาเจ้าฯ ไมยอมไป แม้จะขอทานไปสัก ๓ วัน ๗ วัน เพื่อตรวจดู
๑๙๘
อาการแล้วกลับ ทานก็ไมยอม จนต้องเชิญหมอ จากเชียงใหมมารักษาถึงเมืองลําพูนอาการปวย ของพระครูบาเจ้าศรีวิชัยที่ภาษาพระวาขันธมาร อันเปนเงามืดของชีวิตตั้งแตปฏิสนธิคือความ ตายก็เปนสหายอันไมนาพึงพอใจคูกับชีวิตเคียง ข้างกันมา ขณะเวลาที่พระครูบาเจ้าฯต้องเผชิญ อยู คือ โรคริดสีดวงทวารและโรคปอด เวลาไอ บอยๆ จะกระทบกระเทือนระบบเลือดออกทั้ง ปากและทวาร แตหัวใจอันเด็ดเดี่ยวของทานได้ ซาบซึง้ ตอสัจธรรมจึงถือโอกาสทองนีก้ า้ วดําเนิน ตามอริยมรรค ด้วยอาการสงบ ชีวิตมนุษยเมื่อคิดดูก็เปนสิ่งที่นาขบขัน และตลกสิ้นดี มีทั้งโชคดี โชคร้าย หัวเราะ และ พัดถวายในงาน พระราชทานเพลิงศพ ร้องไห้ บางครั้งปรารถนาสิ่งหนึ่งสิ่งใด แตไมได้ พระครูบาเจ้าศรีวชิ ยั โดย ดั่งใจ บางสิ่งไมนึกไมฝนก็ได้มาอยางไมตั้งใจ เจ้าจักรคําขจรศักดิ์ ดังเชน พระครูบาเจ้าศรีวิชัย ตั้งแตต้นที่ผา นมา พ.ศ. ๒๔๘๙ มีทั้งการใสร้ายปายสี การแซซ้องสรรเสริญใน บุญญาธิการ เมื่อย้อนเหตุการณปพุทธศักราช ๒๔๖๒ ในระยะ ๒๐ป ทีผ่ า นมา เจ้าคณะจังหวัดเคยมีหมายจับควบคุมตัวอยางนักโทษใช้เจ้าหน้าที่ อยูเวรอยูยามพร้อมอาวุธครบมือและถึงขนาดออกคําสั่งเนรเทศขับไล แม้ต้องสงตัวไปกรุงเทพฯ แตการไตสวนคดีก็ไร้ผล หลังจากนั้น ทานประกอบคุณงามความดีโดยไมยอท้อ การรับตัว ครั้งนี้ผิดกับเมื่อ ๒๐ ปกอน เปนการรับโดยสมัครใจและเต็มใจ เกรงวาจะ
๑๙๙
เปนอันตราย จึงประคับประคองกัน ด้วยความระมัดระวัง ละครชีวิตของ ทานจะปดฉากแล้ว ทานกําลังจะจบ ชีวิตซึ่งมีแตคุณงามความดี ที่สถิต อยู ใ นดวงใจของมหาชนเสมื อ น เทพเจ้าแหงความเมตตาทีจ่ ตุ มิ าเกิด เพื่อสร้างบารมี ณ วัดจามเทวีจังหวัดลําพูน การรักษาพยาบาลเปนไปอยางดี ทีส่ ดุ แตอาการของทานมีแตทรงกับ ทรุ ด เป น ที่ ห นั ก ใจของศรั ท ธา เมรุชั่วคราวที่วัดจามเทวี สาธุชนทัง้ หลาย ดังนัน้ วันแรม ๕ คํา่ อําเภอเมือง จังหวัดลําพูน เดือนมกราคม พุทธศักราช ๒๔๘๑ ทานขอร้องให้นําทานกลับสูวัดบ้านปาง บรรดาสานุศิษยปฏิบัติตามโดย อาราธนานิมนตทา นขึน้ รถเพือ่ ออกเดินทางทามกลางบรรดาผูม้ จี ติ เลือ่ มใส ศรัทธาตามมาสงอยางคับคัง่ แวะพักทีว่ ดั ห้วยกาน ๑ คืน พอรุง ขึน้ หลังจาก ฉันเช้า ขบวนเดินทางอยางช้าๆ ไมรีบร้อนเพราะเปนคําสั่งของทาน และ ความประสงคของศิษยท่ีไมต้องการให้ทาน กระทบกระเทือนบอบชํ้า การเดิ น ทางต อ ไปเมื่ อ สุ ด ทางรถยนต ต ้ อ งใช้ เ สลี่ ย งคานหามเมื่ อ ถึ ง วัดวังหลวงได้แวะพักนอน ๑ คืน หลังจากฉันเสร็จแล้วพร้อมบรรดาศรัทธา ในยานนั้นได้สมทบติดตามไปวัดบ้านปางอันเปนจุดหมายปลายทาง
๒๐๐
วาระสุดทายของนักบุญอมตะลานนาไทย เมื่อถึงวัดบ้านปาง อาการของทานสดชื่นขึ้น พักรักษาตัวอยูที่กุฏิใน วัดบ้านปาง จนถึงวันแรม ๖ คํ่า เดือนกุมภาพันธ พุทธศักราช ๒๔๘๑ อาการปวยหนักลงจนพลิกตัวไมได้ โรคริดสีดวงทวารของทานเปนรูทะลุถงึ ๓ รู นํา้ เหลืองไหลซึมตลอดเวลา และโรคปอดทําให้ไอบอย ๆ จนแทบไมมี เรีย่ วแรง หายใจเหนือ่ ยหอบ เสียงแหบแห้ง ลมหายใจได้ไมเต็มปอด ทําให้ ผอมเหลือแตหนังหุม้ กระดูก แตยงั มีสติดมี าก ทานสัง่ ให้สานุศษิ ยนาํ เสลีย่ ง หามทานไปชมรอบบริเวณวัดแล้วออกไปนอกกําแพงโดยกอนหน้านัน้ ทาน สั่งให้ปลูกกุฏิอยางเรียบงายมุงหญ้าคาอยูนอกกําแพงวัด ทิศตะวันออก เฉียงใต้ เมื่ออุ้มทานขึ้นกุฏิแล้วก็เอาคนโทหลั่งนํ้าประกาศตอสานุศิษยวา ขอมอบวัดวาอารามให้อยูในความดูแลปกครองของสงฆตอไปเถิด.. สาธุ อนุโมทามิ แสดงให้เห็นวาทานมีมรณะสัญญาณและอาจหาญกล้าเผชิญหน้า ตอมรณกรรมที่จะมาถึงตัว จึงสั่งให้ชางประจําตัวชาวจีนชื่อนายชางหลิ่ม สร้างโลงศพและปราสาท ๕ ยอด นายชางหนานสิระสาเปนผู้ประดับดอก รดนํ้าลายทองรอบโลงและปราสาท ๕ ยอดอยางวิจิตรสวยงาม ทานเคย พูดถึงโรคภัยไข้เจ็บของทานวา “เราเปนโรคกรรมแตอดีตมาตามทัน คืออดีตชาติเราก็เคยเปนพระถือไมเทาปลายแหลม ๓ งาม ไดไป แทงใสกนกบตัวหนึ่งเขา กบไดรับเวทนาจึงเปนเวรแกกัน เวทนา ของเราเดี๋ยวนี้คงไมตางอะไรกันกับกบตัวนั้น ถึงอยางไรเราก็ปลงตก แลวไมใหเปนเวรเปนภัยแกกันอีกตอไป ขอใหเปนพระโปรดโลกองคหนึ่ง
๒๐๑
ในวันขางหนา เราจะละสังขารไปเดือนนี้แลว ขอใหทานทั้งหลายจงดู ความวิปริตของทองฟาไวเปนสัญญาณเถิด” และทานยังยํา้ อีกวา “หากเรา มรณภาพแลวอยาเอาซากศพของเราไวในเขตวัดเปนอันขาด เพราะเปนเขต ของพระรัตนตรัยและอยาเอาซากศพของเราไวดานทิศตะวันตกของวัด” วาระสุดท้ายของพระครูบาเจ้าศรีวชิ ยั สะท้อนให้เห็นหัวใจอันเปย มด้วยความ เสียสละ ปลอยวางไมยึดติด ถือเปนสุดยอดของพรหมจรรย คือนิง่ และสงบ อยางนาเทิดทูนสมกับเปนบุญเขตเนื้อนาบุญอันประเสริฐ คืนวันแรม ๒ คํ่า ดวงจันทรมีเพียงเสี้ยวประดับฟากลับดูลางเลือน ท้องฟาเหมือนมีพยับเมฆมาบดบัง มองดูกอ้ นเมฆคล้ายอสูรร้ายมาจับกลุม อยางหนาแนน ทุกคนที่มองดูท้องฟาในคืนวันนั้นด้วยความรู้สึกสะท้าน จริงหรือ ? ทีท่ า นพระครูบาเจ้าฯ วาจงดูความวิปริตของท้องฟาเปนสัญญาณ อนิจจา ! มันถึงเวลาแล้วหรือนี่ ! ความเงียบได้ครอบงําบ้านปางทุกหัวระแหง แมลงและสัตวที่หากิน กลางคื น สงบเงี ย บไม มี ก ารส ง เสี ย งคล้ า ยกั บ มั น กํ า ลั ง สงบนิ่ ง ไว้ อ าลั ย ครั้งสุดท้าย กุฏิน้อยที่มุงด้วยหญ้าคาของพระครูบาเจ้าศรีวิชัยนั้นเลา รางของทานนอนเหยียดยาว ดวงตาหลับสนิท แตทานก็ประคองสติให้ ตั้งมั่นอยูในพุทธานุสสติ เสียงของทานพูดออกมาอยางอิดโรยและแผวเบา วา “ขอใหธุเจาเอาธรรมมาเทศนาใหฟงดวยเราอยากฟงพุทธโอวาทเปน ครั้งสุดทาย” ธรรมที่บรรดาสานุศิษยนํามาเทศนทั้งหมด ๔ ผูก คือ ๑. ธรรมมังคละสูตร ๒. ธรรมโลกวุฒิ ๓. ธรรมบารมี ๔. ธรรมจักร
๒๐๒
ขณะที่ทานขมโรคาพาธสงบจิตฟงธรรมเทศนาอยูน้ัน ทานมักถาม ด้วยเสียงแหบแห้งแทบจะไมได้ยินวา “ถึงเวลา ๑๒ โมงหรือยัง” ถาม เชนนีเ้ ปนระยะๆ นานๆ ครัง้ จะได้ยนิ เสียงถอนหายใจและสะอึก อันเปนการ แสดงให้เห็นถึงเวทนาอันแรงกล้าทีก่ าํ ลังคุกคามตัวทานถูกความอดทน คือ ขันติ เข้าขมเปนอาการถอนหายใจพอทานถามอีกครั้งได้รับคําตอบวา ใกล้เที่ยงคืนแล้ว พระครูบาเจ้าศรีวิชัย จึงโบกมือให้หยุดอานธรรมเทศนา ผูกที่ ๔ ลง (พระครูบาตา เปนผูเ้ ทศน) ซึง่ อานไปได้ครึง่ ผูกพระครูบาเจ้า ศรีวิชัยได้สํารวมจิตตั้งมั่นอยูในฌาณสมาบัติ รางของทานก็นิ่งไมไหวติงมี แตลมหายใจเข้าออกอยางแผวเบาและขาดห้วงเปนระยะๆ ในทีส่ ดุ ลมปราณก็ขาดออกจากรางของพระครูบาเจ้าศรีวชิ ยั สิรวิ ชิ โย นักบุญอมตะแหงลานนาไทย เวลาเที่ยงคืน ๕ นาที ๓๐ วินาที ตรงกับ วันอังคารที่ ๒๑ กุมภาพันธ พ.ศ. ๒๔๘๑ ปขาล รวมสิริอายุ ๖๐ ป ๙ เดือน ๘ วัน (ปกติพระครูบาเจ้าศรีวิชัยนอนหันหัวไปทางทิศใต้ คืนวันมรณภาพ ก็หันหัวไปทางทิศใต้) ขณะที่พระครูบาเจ้าศรีวิชัยดับขันธ นายวังเงิน สุวัลหงส นายน้อยแก้ว พลเมฆ เปนผู้ตีปาน (กังสดาล) ตามธรรมเนียม นิยมถือวาเปนการบอกทิศทาง พอบรรดาศิษยทงั้ หลายตัง้ สติได้ พระทองสุข ธัมมะสะโร ซึง่ เปนพระเลขา และผูอ้ ปุ ฏ ฐากได้จดบันทึกเวลามรณภาพ และ เอานํ้าผึ้งกรอกปากศพของทานครูบาเจ้าฯ ๑ ขวด เพื่อไมให้ศพเนาเหม็น พอรุงขึ้นก็นํารางของทานมาชําระนํ้าขมิ้น ส้มปอย นํ้าอบนํ้าหอม เอาศพ ของทานนอนไว้ ๗ วัน ๗ คืน ก็เหมือนคนนอนหลับเพียงแตไมมลี มหายใจ เทานั้น บรรดาสานุศิษยได้อาราธนารางอันไร้วิญญาณของพระครูบาเจ้า ศรีวิชัยบรรจุไว้ในโลงรดนํ้าลายทองที่ทานสั่งให้ชางเตรียมไว้ โดยการนํา
๒๐๓
ของตาปะขาวปได้นาํ คนแผ้วถางทางรอบวัดทีจ่ ะนําศพของพระครูบาเจ้า ฯ จากด้านทิศตะวันออกที่ทานนอนมรณภาพไปสูทิศตะวันตกของวัด (ซึ่ง กอนที่ทานจะมรณภาพ ได้สั่งห้ามนําศพของทานไว้ทางทิศตะวันตก ตาปะขาวปไมยอมเชือ่ ) บรรดาสานุศษิ ยได้อาราธนาศพของพระครูบาเจ้าฯ ขึ้นสูปราสาท ๕ ยอด ที่เตรียมไว้ในเมรุที่สร้างขึ้นมาใหมในวันจันทรขึ้น ๒ คํ่า เดือนยี่ (เหนือ) พุทธศักราช ๒๔๘๒ ระหวางศพของพระครูบาเจ้าฯ ตั้งบําเพ็ญกุศลบรรดาศิษยทั้งหลายได้เรงสร้างพระวิหารที่ยังคงค้างให้ สําเร็จในปพทุ ธศักราช ๒๔๘๒ แล้วทําบุญถวายทานพร้อมเครือ่ งอัฏฐบริขาร หลายร้อยชุดซึ่งพระครูบาเจ้าฯ เตรียมไว้เพื่อถวายพระสงฆ ๑,๐๐๐ ชุด ทางร้านทําให้ไมทนั ข้าพเจ้าภิกษุอานันท พุทธธัมโมจึงได้สานตอปณิธาน ของพระครู บ าเจ้ า ศรี วิ ชั ย คราวทํ า บุ ญ ฉลองสมโภชพิ พิ ธ ภั ณ ฑ ถ วาย เครื่องอัฏฐบริขาร ๑,๐๐๐ ชุด แดพระสงฆ ๑,๐๐๐ รูปวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ พ.ศ. ๒๕๓๖ เมื่อขาวการมรณภาพของพระครูบาเจ้าฯ ทราบถึงสํานักพระราชวัง จึงกราบบังคมทูลขอพระราชทานหีบเพลิงเปนพิเศษจากพระบาทสมเด็จ พระเจ้ า อยู หั ว อานั น ทมหิ ด ล พระองค ท รงพระกรุ ณ าโปรดเกล้ า ฯ พระราชทานหีบเพลิงเปนพิเศษ ตอมาเจ้าวรทัต ณ ลําพูน (ราชบุตรเจ้าจักร คําขจรศักดิ์ เจ้าผู้ครองนครลําพูนองคสุดท้าย) ซึ่งเปนสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร รวมกับชาวเมืองลําพูน จะอัญเชิญอาราธนาศพของพระครูบาเจ้า ศรีวิชัย มาประกอบพิธีประชุมเพลิงที่วัดจามเทวี เมืองลําพูน เพราะวัด บ้านปางอยูไกลกันดาร ถนนหนทางไมสะดวกโดยประการทั้งปวง พอทาง เชียงใหมรขู้ า ววาทางลําพูนจะอาราธนาศพของพระครูบาเจ้าฯ มาประกอบ พิธีฌาปนกิจก็ต้องการนําศพของพระครูบาเจ้าฯ ไปประกอบพิธีในจังหวัด ของตน จนเกิดการโต้เถียงเกือบนองเลือด ในที่สุดจํานนตอชาวลําพูน
๒๐๔
ที่อ้างเอาอมตะวาจาของพระครูบาเจ้าฯ มายืนยันวา “ตราบใดที่นํ้าแมปง ไมไหลลองขึ้นเหนือ ทานจะไมขอเหยียบยางแผนดินเมืองเชียงใหม” นี่นํ้า แมปงยังไมไหลย้อนกลับ จะเอาศพของทานไปได้อยางไร ชาวเชียงใหมจงึ จนด้วยเหตุผล เพราะตางก็รซู้ ง้ึ ในจิตใจวาทานพระครูบาเจ้าฯ ได้ล่ันวาจา อะไรออกไปแล้วก็เหมือนประกาศิตของเทพเจ้าผูว้ เิ ศษ จึงยอมแพ้ชาวลําพูน ด้วยประการนี้ การนําศพของพระครูบาเจ้าศรีวชิ ยั สิรวิ ชิ โย ออกไปจากถิน่ ฐานของ ทาน ไมมีใครในบ้านปางเต็มใจ แตเกรงกลัวอํานาจทางฝายบ้านเมือง จึงไมกล้าปฏิเสธและขัดขวางยับยัง้ รางอันไร้วญ ิ ญาณของนักบุญต้องถูกนํา ออกจากถิ่นมาตุภูมิอีกครั้ง ชาวบ้านปาง (สมัยนั้นมีไมเกิน ๗๐ หลังคา เรือน) สุดกลัน้ นํา้ ตาและหัวใจแทบแตกสลายจากการทีน่ กั บุญของเขาสิน้ ชีพ แล้วทางบ้านเมืองยังนําเอารางนักบุญออกไปจากบ้านปาง จึงไมมชี าวบ้าน ปางไปรวมขบวนศพในครั้งนั้น ซึ่งเจ้าวรทัตจะนําศพพระครูบาเจ้าฯ และ จะนําพระพุทธรูปพระเจ้าฝนแสนหา (พระพุทธรูปคูบารมีที่ได้รับมอบจาก ชาวพะเยา) ไปด้วยแตชาวบ้านปางไมยนิ ยอม เกิดการโต้เถียงเปนเวลานาน ซึ่งชาวบ้านปางได้ตอรองให้เลือกเอาอยางหนึ่งระหวางศพพระครูบาเจ้าฯ และพระพุทธรูปพระเจ้าฝนแสนหาในที่สุดเจ้าวรทัตก็เลือกที่จะนําศพ พระครูบาเจ้าฯไปบําเพ็ญกุศลที่อําเภอเมืองลําพูน ศพของพระครูบาเจ้าศรีวิชัย สิริวิชโย ตั้งบําเพ็ญกุศลที่วัดจามเทวี นานถึง ๙ ป จึงมีกําหนดการฌาปนกิจศพในวันที่ ๒๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๘๙ พระเทพเวที เจ้าคณะตรวจการภาค ๔ ไปรวมงานด้วย คณะ กรรมการจัดการศพได้ขอพระราชทานหีบเพลิงเปนพิเศษให้แกครูบาเจ้า ศรีวชิ ยั เจ้าหน้าทีจ่ ากสํานักพระราชวังได้อญ ั เชิญเพลิงพระราชทาน เมือ่ ถึง
๒๐๕
สถานี ร ถไฟวั ง ตอง ข้ า ราชการและประชาชนพร้ อ มกั น อั ญ เชิ ญ เพลิ ง พระราชทานแหมาทีว่ ดั จามเทวี ทางฝายคณะสงฆได้อาราธนาพระพิมลธรรม (อาจ อาสโภ) วัดมหาธาตุ ซึง่ เปนเจ้าคณะภาคพายัพเปนประธานฝายสงฆ ศพของพระครูบาเจ้าศรีวชิ ยั ตัง้ บําเพ็ญกุศลเปนงานยิง่ ใหญถงึ ๑๕ วัน ๑๕ คืน ประชาชนมากันทัว่ สารทิศเปนประวัตกิ ารณ กลาวกันวาตลาดในตัวจังหวัด ลําพูนเกือบไมมอี ะไรขาย ผูค้ นทีม่ าซือ้ กันอยางล้นหลามบริเวณพิธี ตํารวจ ทหารจาก ๓ จังหวัด คือ จังหวัดลําพูน เชียงใหม และลําปาง มารักษาความ สงบ ปลอดภัยตลอดงาน งานประชุมเพลิงศพพระครูบาเจ้าศรีวิชัย สิริวิชโย ได้เริม่ พิธจี ดุ เพลิง พระราชทานเวลา ๑๒.๐๐ น. แตพิธีฌาปนกิจจริงๆ เวลาเที่ยงคืน ถึงแม้จะ ผ า นกาลเวลามาถึ ง ดึ ก ดื่ น เที่ ย งคื น บรรดาศรั ท ธาสาธุ ช นต า งก็ เ ฝ า ดู พระเพลิงเผาราง “ตนบุญพระครูบาเจ้าศรีวิชัย” อยางมากมายเนืองแนน ด้วยความเคารพเทิดทูนบูชาอยางยิ่ง ดวงใจทุกดวงจดจ้องเปนหนึ่งเดียว พิจารณามรณานุสติพร้อมสายตาทุกดวงเพงจ้องพระเพลิงที่กําลังลุกโชน เผาไหม้ปดฉากชีวิตพระครูบาเจ้าศรีวิชัยเปนวาระสุดท้าย จนเวลาจะก้าวสูรุงอรุณของวันใหม กองเพลิงจากจิตกาธานได้ เผาไหม้มณฑปปราสาทอันวิจติ รงดงามประดับประดางานพิธพี ระราชทาน เพลิงศพพร้อมกับรางกายอันไมจรี งั ยัง่ ยืนเหลือเพียงเถ้าถานแดงเปนเปลว บนกองฟอนถานจะคอยๆ มอดดับไปกับสัจธรรมทับถมอยูบนพื้นปฐพี จากธาตุดินกลับสูธาตุดิน จากธาตุไฟก็กลับสูธาตุไฟ จากธาตุลมก็กลับสู ธาตุลม จากธาตุน้ําก็กลับสูธาตุน้ํา และจากจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ของ พระครูบาเจ้าศรีวิชัย จึงเปนกระแสธรรมจุดเปนประกายเปนรัศมีอันโชติ ชวงชัชวาลสูจิตใจของชาวล้านนาไทยทุกดวงเปนแสงสวางอันเจิดจ้าเหนือ
๒๐๖
ท้องฟานภากาศครอบคลุมเปนปริมณฑลทั่วฟาล้านนาไทยมาทุกยุค ทุกสมัยจนได้เกิดมี “ตนบุญ” ผู้สืบสานเจริญรอยบาทวิถีพระครูบาเจ้า ศรีวิชัยประทับใจประทับธรรม เปนเนื้อนาบุญให้บรรดาพุทธศาสนิกชน โดยทั่วไปได้ชื่นชมบุญญาบารมีมาตลอด จนเปนสายธารแหงศรัทธาอันกว้างใหญไพศาล โดยเฉพาะเสียงสวด สาธยายมนตมหาบารมี ๓๐ ทัศ มีความไพเราะผสานรหัสธรรมดุจเสียง ทิพยของสรวงสวรรคอนั ไพศาล ดังกึกก้องกังวานจากแดนล้านนาไทยสูท วั่ ประเทศ เปนพลังดลใจอันมหาศาลสูการสร้างสรรคชุบชีวิตจิตวิญญาณให้ งดงามดุจดวงแก้วมณี อันวิเศษศักดิ์สิทธิ์ เปนมรดกภูมิปญญาอันสูงสง สืบสานสืบทอดบรรยากาศ แหงการสร้างบุญญาบารมี เพือ่ เกือ้ กูลประโยชน อันสูงสุดสูจิตใจให้เจริญงอกงามไพบูลย อยูเย็นเปนสุขกันถ้วนทั่วตราบ กาลนาน งานฌาปนกิ จ ศพพระครู บ าเจ้ า ศรี วิ ชั ย ที่ วั ด จามเทวี เ มื อ งลํ า พู น ๑๕ วัน ๑๕ คืน รวมคาใช้จายทั้งหมด เปนเงิน ๗๕,๐๐๐ บาท (เจ็ดหมื่น ห้าพันบาทถ้วน) ปจจัยทัง้ หมดมาจากการบริจาคของศรัทธาประชาชน และ การจําหนายเหรียญพระครูบาเจ้ารุน ๒๔๘๒ หลังจากงานศพของพระครูบาเจ้าฯ คณะกรรมการจัดงานทัง้ บรรพชิต และคฤหัสถปรึกษากันวา ควรทําอยางไรเกีย่ วกับอัฐธิ าตุของพระครูบาเจ้าฯ ตางลงมติเปนเสียงเดียวกัน โดยแบงเปน ๖ สวน ๕ จังหวัด สวนที่ ๑ มอบให้ผู้วาราชการจังหวัดลําพูน บรรจุที่วัดจามเทวี สวนที่ ๒ มอบให้ผู้วาราชการจังหวัดเชียงใหม บรรจุที่วัดสวนดอก
๒๐๗
สวนที่ ๓ สวนที่ ๔ สวนที่ ๕ สวนที่ ๖
มอบให้ผวู้ า ราชการจังหวัดลําปาง บรรจุทว่ี ดั พระแก้วดอนเต้า มอบให้ผู้วาราชการจังหวัดเชียงราย บรรจุที่วัดศรีโคมคํา มอบให้ผู้วาราชการจังหวัดแพร บรรจุที่วัดพระธาตุชอแฮ มอบให้วดั บ้านปาง บรรจุทใี่ นถิน่ กําเนิดและสถานทีม่ รณภาพ
คณะศรั ท ธาสาธุ ช นผู ้ เ คารพเลื่ อ มใสแต ล ะแห ง พร้ อ มกั น สร้ า ง อนุสาวรียให้อนุชนรุนหลังถือเปนองคแทนคุณงามความดี เจริญรอยตาม บาทวิถี เปนต้นแบบของ “ตนบุญ” มาถึงปจจุบัน สวนวัดบ้านปางสร้างสถูปพร้อมมณฑปปราสาททําด้วยหินออน ณ บริเวณสถานที่มรณภาพและสร้างเสาศิลาจารึกไว้ ณ สถานที่กําเนิด นอกจากนี้ได้สร้างพิพิธภัณฑเพื่อเก็บรักษาเครื่องอัฏฐบริขารและสิ่งของที่ ทานได้เคยใช้มากอนแล้ว ตลอดถึงรวบรวมภาพผลงาน ๑๐๐ กวาแหง ทั่วดินแดนล้านนาไทย ไว้ในหอกิตติคุณพระครูบาเจ้าศรีวิชัยวัดบ้านปาง นับได้วา วัดบ้านปางเปนปูชนียสถานทีส่ าํ คัญเกีย่ วกับการกําเนิดชีวติ พระครูบาเจ้าศรีวชิ ยั สิรวิ ชิ โย เปนนักบุญอมตะแหงลานนาไทย เพราะเปน วัดที่ทานได้เริ่มสร้างเปนสถานที่ดับขันธ มรณภาพ อีกด้วย ขอดวงวิ ญ ญาณอั น บริ สุ ท ธิ์ ข องพระครู บ าเจ้ า ศรี วิ ชั ย สิ ริ วิ ช โย ซึง่ สถิตอยูส รวงสวรรคชนั้ ดุสติ โปรดหยัง่ ทราบถึงการเจริญรอยตามบาทวิถี ของพระคุณทาน และขอโปรดอนุโมทนาในกุศลเจตนาของข้าพเจ้าทัง้ หลาย ด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ สังฆบูชา นิพพาน ปจจโย โหตุ ฯ
พัดถวายทานในงานฌาปนกิจศพครูบาศรีวิชัย พ.ศ. ๒๔๘๙ สวนบุญ จักรคําขจรศักดิ์
๒๐๙
ปจฉิมบท ประวัติเรื่องราวของแตละชีวิตไมวาจะระดับไหนตามความเปนจริง แล้ว ไมสามารถจะนํามาเจียระไนทุกแงทุกมุมให้หมดสิ้น แม้การเขียน ประวัติศาสตรของชาติหรือของโลกก็ต้องขึ้นอยูที่พื้นฐานของผู้เขียนและ การเลือกสรรมุมมองจากภาพกว้างใหญไพศาลให้ลดเหลือเพียงแคขดี เส้น บันทึกหรืออารมณรวมของคนไมกี่คน เพราะแตละมุมมองก็จะมีความ แตกตางละเอียดลึกซึง้ สลับซับซ้อน และสับสนปนเปกันมากมายหลากหลาย ยิ่งเปนชีวประวัติพระครูบาเจ้าศรีวิชัย หรือพระครูบาเจ้าศีลธรรม ทานเปนผู้ทรงศีลทรงธรรม ทรงบารมีอันสูงสง ถือวาเปนสิ่งยากยิ่งที่จะ อานใจหยัง่ ถึงความรูส้ กึ สวนลึกในวิถชี วี ติ จริงๆ ของทาน ไมใชเรือ่ งธรรมดา โดยเฉพาะชวงอายุขนาดรุนพอ รุนแม ก็ยังเกิดไมทันยุคสมัยของทาน อีกทั้งไมใชนักคิดนักเขียนมืออาชีพ ถือวาสิ่งที่ทําไปแล้วนี้เปนความผูกพัน จากหัวใจรัก เทิดทูน เคารพบูชา ด้วยศรัทธาบังเกิดเปนแรงบันดาลใจ อีกพันธะหน้าที่ในการสร้างพิพิธภัณฑของพระครูบาเจ้าศรีวิชัย และการ ฟนฟูสถานที่สําคัญๆ ที่เกี่ยวกับพระครูบาเจ้าฯ รวมถึงการได้สัมผัส ผู้เกี่ยวข้องในฐานะญาติและศิษยผู้ใกล้ชิด และผู้รวมงานอยูรวมยุคสมัย จึงได้ขอ้ มูลข้อคิด ความรูส้ กึ ตลอดถึงเรือ่ งราวเหตุการณ ชวงทํางานได้ซมึ ซับ แล้วนํามาบันทึกโดยเฉพาะการค้นพบจดหมายตอบรับระหวางพระครูบาศรีวิราชกับพระครูบาเจ้าศรีวิชัย บันทึกการเดินทางไปเมืองพะยาวและ บันทึกบัญชีการสร้างทางขึ้นสูพระธาตุดอยสุเทพ
๒๑๐
ที่สําคัญคือค้นพบการจารจารึกใบลานตอนท้ายพระไตรปฎกฉบับ ล้านนาทุกผูก บันทึกโดยตัวทานเองวาทานเกิดปขาล พุทธศักราช ๒๔๒๐ ซึ่งก็ตางจากผู้อ่ืนที่เขียนวาเกิดพุทธศักราช ๒๔๒๑ และจากท้ายธรรม พระไตรปฎกดังกลาวยังพบหลักฐานชิ้นสําคัญวาทานพระครูบาเจ้าศรีวิชัย ได้ตั้งความปรารถนาสูพุทธภูมิ มิใชเปนพระภิกษุธรรมดาโดยทั่วไป คือ เปนถึงอวตาน พระโพธิสัตวเจ้าผู้สร้างบารมี เพื่อพระโพธิญาณที่จะตรัสรู้ เปนพระพุทธเจ้าองคหนึ่งในอนาคตเบื้องหน้า ลองชั่งนํ้าหนักความคิดดู ถ้าทานตั้งปฏิปทาสูงสงถึงปานนี้ ความรู้สึกสามัญทั่วไปถือวา ไมใชเรื่อง ธรรมดาทีจ่ ะเจาะลึกเข้าถึงแกนแท้จากชีวติ ของทานได้ ยิง่ การเติมแตงสีสนั ให้ได้อรรถรสอยางสามัญทัว่ ไปเปนสิง่ ทีจ่ ะต้องใครครวญพิจารณาเปนพิเศษ เพราะเหตุที่พระครูบาเจ้าศรีวิชัยมิใชเพียงเปนปูชนียบุคคลโดยทั่วไป ต้องถือวาทานสูงสงเกินที่จะใสอารมณความรู้สึกรวมจริงๆ แตอยางไรก็ตามบาทวิถชี วี ติ แตละเหตุการณของทานเปนสิง่ นาศึกษา เรียนรู้ควรคูแกการสักการบูชานาประทับใจนาทึ่งนาอัศจรรย ควรอยางยิ่ง ที่จะต้องร้อยเรียงเปนเรื่องราวเพื่อเปนแบบอยางเปนต้นแบบแมพิมพของ ชีวิตคนรุนหลังได้รับรู้และสืบทอดอีกมากมาย ประการแรกที่ปฏิเสธไมได้ ก็คือเรื่องของการสั่งสมบุญบารมีมาแตปางกอน มิฉะนั้นการกําเนิดของ ทานจะมีปรากฏการณอัศจรรยเกิดขึ้นได้อยางไร ประการที่สองการศึกษา พุทธธรรมของทานก็ใช้เวลาไมมาก ก็สามารถมีความรู้แตกฉานเจนจบได้ อยางรวดเร็ว จนซึมซับมาเปนวิถีชีวิตวัตรปฏิบัติได้อยางนาอัศจรรยผสาน นามจนอุโฆษลือเลื่องในนาม “พระครูบาเจ้าศีลธรรมหรือพระครูบาเจ้า ศรีวชิ ยั นักบุญอมตะแหงล้านนาไทย” ซึง่ ต้องยอมรับในคุณวิเศษการสัง่ สม บารมี ๓๐ ทัศ (คุณสมบัตสิ คู วามสําเร็จอันยิง่ ใหญ) มามากพอทีจ่ ะเปนพลัง ขั บ เคลื่ อ นเหตุ ป จ จั ย สนั บ สนุ น จุ ด ประกายสู ค วามสํ า เร็ จ สู เ ป า หมาย ไมลําบากยากนัก
๒๑๑
อีกทัง้ ปจจัยทีส่ าํ คัญอยางยิง่ ขององคความรูส้ ติปญ ญามิใชเพียงเฉพาะ เกิดขึ้นจากการศึกษาทองจําหรือสามารถเทศนาได้อยางไพเราะพิสดาร ถ้าหัวใจยังยึดติดในลาภสักการะชื่อเสียงยศถาบรรดาศักดิ์ส่ิงแปดเปอน ซึ่ ง โลกธรรม เหมื อ นบ้ า ใบ้ บ อดหอบคั ม ภี ร เ ปล า ซึ่ ง ในยุ ค พุ ท ธกาล พระพุทธองคก็เคยทรงตําหนิเปนอุทาหรณมาแล้ว และทรงเน้นไว้ชัดเจน วา “ภิกษุทั้งหลาย! เธอจงเปนธรรมทายาทเถิดอยาได้เปนอามิสทายาท เลย” ประการที่สามจากการศึกษาจริยาวัตรบนบาทวิถีชีวิตที่ทานได้ ขัดเกลาอุปนิสัยและจิตปณิธานอันแนวแนสูงสง จึงถือได้วาพระครูบาเจ้า ศรีวชิ ยั เปนต้นแบบของสมณะผูท้ รงศีลทรงธรรมได้อยางยอดเยีย่ มบริบรู ณ อีกทัง้ เปนตัวอยางการดําเนินชีวติ โดยทัว่ ไปให้คนทัง้ หลายได้เจริญรอยตาม ได้อยางวิเศษที่สุด คือลักษณะโดดเดนของพระครูบาเจ้าศรีวิชัยจะมีปรกติ มองการณไกลละเอียดสุขมุ รอบคอบ จะจัดการระบบการวางแผนทุกขัน้ ตอน อยางลงตัว พร้อมกับความมีมนุษยสัมพันธสูง มีขันติธรรม อุเบกขาธรรม และวาจาสัตยทามกลาง เหตุการณมรสุมชีวิต ก็ย่ิงทําให้ทานโดดเดนดุจ คําโบราณกลาวไว้วา “คนดีถงึ ตกนํา้ ก็ไมไหล ถึงตกสูก องไฟใหญกไ็ มไหม้” และธรรมย อ มคุ ้ ม ครองผู ้ ป ระพฤติ มั่ น คงอยู ใ นธรรม มิ ใ ห้ ต ้ อ งอาทร เดือดร้อน จะอยูเย็นเปนสุขได้ทุกอิริยาบถทุกสถานการณ โดยปกติแล้วทานจะเปนคนสุภาพออนน้อม สงบสํารวม ไมโอ้อวด ไมแสดงตัววาเปนผู้วิเศษวิโส ไมเปนนักปลุกเสกเลขยันต ไมมีการพน นํา้ มนต แจกขีห้ มากไมใชพระทีอ่ ตุ ริมอี ภินหิ าร ไมมกี ารโฆษณาค้าขายบุญ เรี่ยไรเงินเปนเชิงพาณิชย ทานจะอยูอยางสันโดษ ถือเอกาฉันหนเดียว บริกรรมภาวนาเดินจงกรมและแผเมตตาโดยไมมปี ระมาณ ไมมกี ารแยกแยะ วามิตรหรือศัตรู ถือวาสัตวโลกยอมเปนกัลยาณมิตร ไมมีแบงแยกพวกเขา พวกเรา ตามที่พระพุทธองคทรงตรัสไว้วา “จงมองให้เห็นชีวิตและโลกวา
๒๑๒
เปนของวาง วางจากตัวตน คนสัตว สรรพสิง่ ล้วนเปนสัจวา ธาตุตามธรรมชาติ ไมใชอะไรทั้งสิ้นเพราะเปนอนัตตา เปนสุญญตา” ด้วยประการฉะนี้ พระพุทธองค จึงมีปกติอยูในสุญญตาวิหารธรรม รวมทั้งพระอรหันตเจ้า ผู้เปนพระสาวกด้วยจึงอยูในความวางเปนวิหารธรรมอยูด้วยวิมุติ วิโมกข หรือนิพพานความสงบรมเย็นเปนนิจ เราจะสั ง เกตเห็ น ชั ด ในชี วิ ต ของพระครู บ าเจ้ า ศรี วิ ชั ย ท า นจะมี ความศรัทธาเชื่อมั่นในพระรัตนตรัยอยางเทิดทูนสูงสงยิ่ง จะประพฤติตน สงบสํารวม มัน่ คงในศีลสิกขาสมชือ่ นาม “ศรีวชิ ยั หรือ ศีลธรรม” ของทาน จริ ง ๆ ไม ว า จะมี เรื่ อ งราวดี ร ้ า ยกระทบกระทั่ ง ท า นจะสงบนิ่ ง จิ ต จะ ไมกระเพื่อมไมหวั่นไหว จะถูกตั้งข้อกลาวหารุนแรงกี่ครั้งกี่หน แม้จะเอา ทานไปกักบริเวณสักกีห่ นทานจะสงบนิง่ สยบเหตุการณรอ้ นแรงได้ทกุ ครัง้ นีแ่ หละถือวาการได้ศกึ ษาฝกฝนปฏิบตั ติ ามหลักสัจธรรมของพระพุทธองค อยางแท้จริง และไมจําเปนต้องรู้อะไรมากมายเจนจบพิเศษ พิสดาร เพียงแตทําให้หัวใจอยาได้ฟุงซาน ห้ามใจอยาให้ทะเยอทะยานวิ่งตามเปน ทาสตัณหา ความใคร ความอยาก ทุกประการ มีจดุ หยุดของหัวใจสูค วามสงบ การบังคับใจอดกลั้น อดทน ขมนิวรณหมั่นฝกให้จิตใจสดชื่นเบิกบาน ใสสะอาด ดุจดวงแก้วมณีที่ไร้ราคิน ก็คือความงดงามคุ้มคาของชีวิต ไมเสียทีที่มีโอกาสพบบวรพุทธศาสนา นี่คือทางสายตรง ที่พระพุทธองคทรงชี้ทางให้พุทธสาวกทั้งหลาย ดําเนิน ทรงตรัสไว้วา “ภิกษุทั้งหลาย ถ้าใครนําเลื่อยที่มีด้ามสองข้างมา ตัดลําตัวของเธอ ผานเข้าถึงหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ถ้าเธอมีความโกรธ ความอาฆาตพยาบาท มี จิ ต ใจขุ น มั ว เธอหาใช ศิ ษ ย ข องพระตถาคต ไม เมื่อถูกกระทําดังนั้นเราเองจะต้องมีจิตใจอันงดงามแผเมตตาโดยไมมี ประมาณ ไมผูกโกรธ ไมผูกความอาฆาตพยาบาท ไมผูกเวรกรรม จะมีแต
๒๑๓
การให้อภัยด้วยหัวใจเปดกว้างอยูเสมอ ถึงแม้จะต้องทนเจ็บ ทนปวด ทั้งกาย ทั้งใจ ก็ไมละทิ้งเมตตาธรรม ความเอ็นดูการุณยตอคนทั้งหลาย ประดุจอ้อยที่ถูกตัด ถูกหนีบจนบี้แบนอยางไรก็ไมทิ้งรสหอมหวาน แม้จะ ต้องตายก็จะไมสะทกสะท้านหวั่นไหว” นี่แหละถ้าเราศึกษาชีวิตของ พระครูบาเจ้าศรีวชิ ยั แล้วน้อมนําสูว ถิ ชี วี ติ ของเราทานทัง้ หลาย เมือ่ ถูกกระทํา กระทบกระทั่งหรืออยูในเหตุการณคับขันที่สุดแล้ว จงตั้งสติใช้ชีวิตอยาง สงบนิง่ ทําจิตใจให้ดเี ปนปกติ รําลึกถึงพระครูบาเจ้าศรีวชิ ยั หรือพระพุทธองค ที่ได้ใช้ความนิ่ง ความสงบ ความบริสุทธิ์แหงหัวใจ แก้ไขเหตุการณดีร้าย ทั้งหลายทั้งปวง ข้อสําคัญต้องเข้าใจวา เหตุการณเรื่องราวอะไรตางๆ นั้น มันมีเหตุปจจัยเกิดขึ้นมาแล้ว ทุกสรรพสิ่งที่ปรากฏขึ้นมาก็จะดับไปเปน สภาพเปนของธรรมดา อยาใจร้อนให้อดทนทําใจให้เย็นๆ เหมือนกับเอา นํ้าเย็นๆ คอยดับเปลวไฟที่ลุกโชน มีสติ รู้ทัน สู้กับสิ่งเลวร้ายทั้งหลายด้วย หัวใจอันบริสุทธิ์จากร้ายก็จะกลายเปนดี จากดีอยูแล้วก็จะทวีตรีคูณขึ้นอีก มากมายมหาศาล จงรักษาจิตใจให้สมดุลบริสทุ ธิ์ อยาให้เกิดความรุม ร้อน ความขุน มัว ต้องตัง้ สติไว้เสมอวาใครจะทําอะไร อยางใด ไมตอ้ งเก็บมาเปน ความคิดให้หนักใจ แม้แตอยาได้คิดถึงเรื่องบุญคุณ ที่เราได้ทําไว้กับใคร จงรักษาจิตให้เปนอิสระ อยาให้เกิดอารมณค้างหรือเงื่อนไขใดๆ มาเปน ข้ออ้างแสดงสิทธิอ์ ยางใดอยางหนึง่ โดยเฉพาะเรือ่ งของการคิดทวงบุญคุณ บางครั้งเราก็ต้องทําเปนหูหนวก ตาบอด เปนใบ้ โงให้เปน อยาอวดรู้ อวดฉลาด อวดภูมิหลัง อยาทําตัวเปนควายเขากาง ยึดติดในทิฏฐิ ถือตัว สําคัญตน ต้องประพฤติตนเหมือนคําโบราณกลาวไว้วา “เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม” เปนบางโอกาส บางทีความรู้ความฉลาดเชิงสติปญญาและเหตุผล หรือความถูกต้อง ความจริง ถ้าใช้ผิดกาลเทศะก็เกิดปญหาเปนเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจเสียหาย
๒๑๔
ถึงขัน้ ชีวติ ได้เหมือนกัน แม้พระธรรมวินยั เปนสิง่ ดีวเิ ศษในยุคพุทธกาลแท้ๆ ภิกษุฝา ยธรรมธรกับฝายวินยั ธร ยังถกเถียงจับผิดเล็กๆ น้อยๆ ไมลงเอยกัน เปนเหตุทะเลาะทําให้เกิดเรือ่ งบานปลาย พระพุทธองค เสด็จไปห้ามปราม ชี้ แจงอย า งไรก็ ไ ม ย อมเชื่ อ ฟ ง เพราะถื อ ว า แต ล ะฝ า ยก็ ยึ ด มั่ น ในหลั ก พระธรรมและพระวินัยไมยอมลดทิฏฐิ จับผิดจับถูกกันจนแตกแยกเปน ฝกฝาย พระพุทธองคถึงกับต้องทรงหลีกหนีจากหมูพระสงฆที่อวดดีดื้อดึง ทับถมกัน โดยเสด็จไปอยูปาเลไลยอันไกลโพ้นผู้คน ไปอยูกับสิงสาราสัตว อยูพักใหญ จนชาวบ้านชาวเมืองเห็นวาพระสงฆเหลานั้น ออกนอกลูนอกทาง หาแตเรื่องทะเลาะถกเถียงชี้โทษจับผิดกันด้วยทิฏฐิ มานะ อหังการเหมือน มีความรู้อยูทวมหัวเอาตัวไมรอด ขาดการสํารวมอันเปนสมณวิสัยจึง หมดศรัทธาไมมีใครใครทําบุญทํานุบํารุงด้วยปจจัย ๔ อยูกันอยางลําบาก ทั้งสองฝายจึงเกิดจิตสํานึกและพากันเดินทางไปกราบขอประทานอภัยกับ พระพุทธองค แล้วหันหน้าเข้าหากันด้วยความพร้อมเพรียงสามัคคี มีจิต อนุเคราะหซึ่งกันและกันได้มองเห็นแล้ววาการนินทากันเหมือนสาด นํา้ โคลนรดกันเปนโลกธรรมของคนทัว่ ไป อยาเอาเรือ่ งเหลวไหลไร้สาระมา ใสใจให้มนั หนักสมองปวดหัวทําให้จติ ใจฟุง ซานรําคาญเปลืองเวลาโดยเปลา ประโยชน เพราะฉะนัน้ เมื่อเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาก็ให้นึกถึงพระพุทธเจ้า จง ระลึกถึงพระครูบาเจ้าศรีวิชัย แล้วเราจะมองเห็นมโนธรรมอันสุขุมบริสุทธิ์ เยือกเย็น เต็มเปย มไปด้วยเมตตากรุณาอันยิง่ ใหญดลจิตใจของเราให้มอี านุภาพ เปนแสนยานุภาพที่จะเปนพลังชีวิตยืนหยัดอยูคูคุณธรรมอยางสงางาม พันธะสืบสานปณิธานแม้จะต้องเผชิญอุปสรรค ความยากลําบาก มากมายประการใด ก็จะพยายามติดตาม เจริญรอยทําให้สําเร็จทุกอยาง ถือวาเปนการปฏิบัติหน้าที่อันสูงสง เพื่อการอันใหญหลวงที่พระครูบาเจ้า
๒๑๕
ศรีวิชัยได้ขีดเส้นให้ก้าวยางตามทานทั้งด้านทัศนวิสัยและวิถีปฏิบัติอยาง ทุมเทความสามารถ ไมวาเรื่องนั้นจะเปนเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญอยางเชน ทานครูบาเจ้าศรีวิชัยได้ปรารภวา “วัดบ้านปางเรา ถ้าได้ทําถนนตัดตรง เข้าสูหน้าวัดนี้ได้ก็จะดี” แตทานไมได้ทําเหมือนกับพูดฝากเอาไว้ จึงได้ซ้ือที่นาหน้าวัดโดย ความอุปถัมภของทานอุบาสกกวงเม้ง ทานอุบาสิกาปตอิ ร แซเล้า พร้อมด้วย ครอบครัวสร้างถนนสูหน้าวัดบ้านปาง พร้อมครอบครัวของพออุ้ยใจคํา คําอ้ายได้ถวายทีน่ าขอจารึกนํา้ ใจไมตรี และได้สร้างซุม้ ประตูโขงพระครูบาเจ้า ศรีวชิ ยั ตรงบันไดหน้าวัดโดยมีคณ ุ พอประพันธคณ ุ แมสวุ มิ ล ธรรมวัฒนวิมล เปนศรัทธาอุปถัมภ ตามความปรารถนาของทานได้ให้สาํ เร็จตามความประสงค พร้อมกับทําถนนรอบวัดแล้วอ้อมไปถึงเสาศิลาจารึก สถานที่กําเนิด อ้อมไปถึงบอนํา้ โบราณ-โบสถกลางนํา้ และไปข้างศาลของหมืน่ ผาบทําเปน วงแหวนรอบวัดบ้านปาง และได้ขอผูว้ า ราชการจังหวัดลําพูนจัดงบประมาณ เทถนนคอนกรีต-ราดยางจนสําเร็จและตัดเส้นทางเชือ่ มจากถนนใหญสเู สา ศิลาจารึกสถานที่กําเนิดของพระครูบาเจ้าศรีวิชัย ซึ่งเปนผลงานสืบค้นหา สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดเหตุอัศจรรย แผนดินไหว พายุลมฝนฟาร้อง กึกก้องกัมปนาท คราวที่กําเนิดนักบุญผู้วิเศษครั้งนั้น ถ้าไมคิดถึงจุด เหตุการณครัง้ นัน้ เพียงไมกปี่ ก จ็ ะไมมใี ครสามารถรูไ้ ด้เพราะผูท้ ช่ี จี้ ดุ กําเนิด ได้นั้นมีเพียงผู้เดียวคือ พออุ้ยหน้อยสิงหคํา เปนลูกของแมอุ้ยอวนพี่สาว ของพระครูบาเจ้าฯ และอยูไมไกลจากศาลของหมื่นผาบ ซึ่งเปนจุดตั้งบ้าน ปูท วดของทาน ติดกับห้วยแมปางใจกลางหมูบ า้ น พร้อมชีห้ ลักฐานต้นจําป ที่อยูข้างบ้านของพอควาย แมอุสา โยมบิดา มารดาของพระครูบาเจ้า ศรีวิชัย ซึ่งสมัยเมื่อเปนเด็ก ทานจะชอบวิ่งเลนอยูใต้ต้นจําป ยังบอกอีกวา ถ้าดอกจําปต้นนี้บานสะพรั่งจะมีกลิ่นหอมฟุงขจรไปทั่วทั้งหมูบ้าน
๒๑๖
หลังจากสร้างพิพิธภัณฑได้ไมนานต้นจําปก็ล้มลงเพราะต้นใหญ มีอายุเกาแกมาก จึงนํามาเลื่อยทําเปนบานประตู พิพิธภัณฑทั้ง ๓ ประตู ได้ซอ้ื ทีด่ นิ คืนกับเจ้าของผูค้ รอบครอง โดยทานอุบาสกกวงเม้ง ทานอุบาสิกา ปติอร แซเล้า พร้อมครอบครัวเปนศรัทธาผู้อุปถัมภและได้สร้างเสา ศิลาจารึกด้วยหินแกรนิตอยางดี มีฐาน มีสระบัว มีร้ัวเหล็กล้อมรอบ ปลูกไม้ดอกไม้ประดับเปนภูมทิ ศั นเหมือนสวนอุทยาน ลักษณะของเสาศิลา จารึกทําตามแบบเสาอโศกจากประเทศอินเดีย เปนทรงกลมยอดหัวเสา ทําเปนรูปเสือ ๔ หัว แผอํานาจเปนสัญลักษณปเกิดของพระครูบาเจ้าฯ ผู้ออกแบบคือ ดร.พรศิลป รัตนชูเดช หลังจากนั้นไมก่ีปพออุ้ยหน้อย สิงหคําก็เสียชีวิตในอายุ ๙๒ ป ๖ เดือน ตลอดถึงความพยายามอยางยากยิง่ ในการติดตามสืบหาตราประจําตัว พระครูบาเจ้าศรีวชิ ยั ทีม่ สี อื่ ถึง ๕ ภาษาคือ จีน อังกฤษ พมา ไทยกลาง ไทย ลานนา และมีรูปเสือลายพาดกลอนเปนสัญลักษณปเกิด ได้ติดตามหาลูก ประคําทีท่ า นใช้ประจํา พร้อมกับติดตามขอคืนปราสาททอง ๕ ยอดทีใ่ ช้ใน งานศพของพระครูบาเจ้าศรีวิชัย อีกชิ้นงานสําคัญ คือการสืบสานปณิธาน ที่ทานได้ต้ังใจอยางมาก หลังจากทําบุญสร้างถนนขึ้นสูพระบรมธาตุเจ้า ดอยสุเทพนครเชียงใหมแล้ว พระครูบาเจ้าตั้งจิตอธิษฐานที่จะทําบุญถวาย ทานผ้าไตรจีวรเครือ่ งอัฏฐบริขารหนึง่ พันชุดแกพระสงฆหนึง่ พันรูป ซึง่ ทาน ได้สงั่ ให้ทางร้านทีก่ รุงเทพทําบ้างเปนบางสวน พอดีคณะสงฆฝา ยปกครอง ในจังหวัดเชียงใหมได้ต้ังข้อกลาวหา ใสร้ายจับผิดพระครูบาเจ้าศรีวิชัย หลายข้อ เอาทานพระครูบาเจ้าศรีวิชัยไปกักบริเวณ ที่วัดเบญจมบพิตร ๖ เดือน ๑๗ วัน หลังจากนั้นทานก็เริ่มมีอาการอาพาธไมมีโอกาสที่จะได้ ทําบุญตามความประสงค
๒๑๗
สวนสิง่ ของทีส่ งั่ ทําขึน้ ได้นาํ ไปถวายตอนทําบุญงานศพพระครูบาเจ้า ศรีวิชัยระหวางที่ศพอยูท่ีวัดบ้านปางและคณะกรรมการนํามาประมูล จําหนายเอาปจจัยเงินจํานวนนั้นมาสร้างอุโบสถหลังหนึ่ง ดังนั้นจึงได้ สืบสานปณิธานของพระครูบาเจ้าศรีวิชัยโดยการถวายผ้าไตรจีวรเครื่อง อัฏฐบริขาร หนึ่งพันชุดแดพระสงฆหนึ่งพันรูปในโอกาสฉลองพิพิธภัณฑ พระครูบาเจ้าศรีวิชัยในป ๒๕๓๖ และยังได้สืบค้นหาภาพเมรุปราสาทศพ สิ่งที่เปนผลงานตลอดชีวิตทานได้สร้างบูรณะปูชนียสถานสําคัญ ไว้ ทั่ ว ภาคเหนื อ ก็ ไ ด้ พ ยายามติ ด ตามไปถ า ยภาพเก็ บ รวมเป น ผลงาน ณ วัดบ้านปาง อันเปนสถานที่กําเนิดที่สร้างวัดแหงแรก รวมเปนผลงาน ภาพถายร้อยกวาแหง ไว้เปนเกียรติประวัติ เทิดทูนบุญบารมีพระครูบาเจ้า ศรีวิชัย ให้แกอนุชนรุนหลังได้มีความภาคภูมิใจ ในความคิดความอาน การสร้างสรรคของบูรพาจารยทไ่ี ด้อทุ ศิ ตนเสียสละรังสรรคสร้างงานอมตะ ให้เปนมรดกของพุทธศาสนาคูแผนดิน มาจนถึงตราบทุกวันนี้ อีกประการหนึ่งคือปณิธานที่ทานครูบาเจ้าศรีวิชัย ที่ทานได้กลาวไว้ เปนทีจ่ ดจําของชนชัน้ ลูกหลานได้เลาขานสืบตอกันมา ตามคําบอกเลาของ พออุ้ยหน้อยสี ผู้เฒาผู้แกชาวบ้านปาง ปจจุบันอายุ ๙๔ ป (๒๕๕๔) ได้เคย พูดไว้วาเมื่อพระครูบาเจ้าศรีวิชัย ถูกชาวบ้านปางตอวา วา “พระครูบาเจ้า ศรีวชิ ยั มัวแตไปหนัว(มุง ทํา)สร้างความเจริญให้แกทอ่ี น่ื มากมายไปเรือ่ ยๆ เอาข้างหน้าเปนไป ปลอยวัดบ้านปางไว้ข้างหลังให้เปนปาหยอมหญ้า ไม ส งสารเอ็ น ดู วั ด ตั ว เองบ้ า งหรื อ ?” พระครู บ าเจ้ า ศรี วิ ชั ย ได้ ต อบ ให้ความหวังญาติโยมชาวบ้านปางให้สบายใจวา “ไมตอ้ งเปนหวงวัดของเรา วาจะอยูใ นสภาพอยางไร โอกาสวันข้างหน้าคอยดูเถิด จะมีผมู้ วี าสนาบารมี รวมกันมาคิดมาชวยสร้างให้เอง ไมต้องเปนหวง”
๒๑๘
พระครู บ าเจ้ า ศรี วิ ชั ย พร้ อ มศิ ษ ย โ ยมชาวกะเหรี่ ย งและศรั ท ธา ชาวบ้านปางรวมถึงชาวบ้านชาวเมืองทั่วไป ได้รวมกันสร้างโฮงหลวง (กุฏิใหญ) โดยเอารูปแบบคุ้มเจ้าหลวงนครพิงค เชียงใหม สร้างด้วยเสา ปูนซีเมนตเสริมเหล็ก ๘๒ ต้น ชวงบนเปนไม้ปูพื้นเข้าลิ้นอยางดี ฝาผนัง บุดว้ ยไม้ ๒ ชัน้ หลังคามุงด้วยสังกะสี (เปนวัสดุหายากในสมัยนัน้ ) พอสร้าง เสร็จทานก็ได้เอาไว้เปนที่เก็บรักษา พระธรรมคัมภีรพระไตรปฎกฉบับ ล้านนาไทย และสิง่ ของสําคัญอืน่ ๆ แล้วทานได้บอกไว้วา “โฮงหลวงหลังนี้ สร้างเพื่อให้พญาธรรมมาอยู” พร้อมกับพูดไว้เปนปริศนาไว้อีกวา “ตอไป ในโอกาสข้างหน้า มะพร้าวซีกหนึ่งจะอยูเมืองลําพูน อีกซีกหนึ่งจะอยู เมืองพะยาว แล้วจะมารวมกันเปนชิ้นหนึ่งอันเดียวกัน” หลังจากทีท่ า นพระครูบาเจ้าศรีวชิ ยั มรณภาพ ป พุทธศักราช ๒๔๘๑ นับจากนั้นมา ๕๐ ป ก็ได้มาฟนฟูวัดบ้านปาง และได้ขึ้นอยูโฮงหลวงของ พระครูบาเจ้าศรีวิชัย นอกจากได้สร้างสืบสานปณิธานก็ยังได้สร้างสถานที่ สําคัญอีกแหงหนึง่ คือ ตรงทีท่ า นพระครูบาเจ้าศรีวชิ ยั นอนปวย จนดับขันธ มรณภาพ อยูนอกกําแพงด้านทิศตะวันออกของวัดบ้านปาง ได้สร้างสถูป และปราสาทหินออน ทีบ่ รรจุอฐั ธิ าตุของพระครูบาเจ้าศรีวชิ ยั โดยมีเจ้าคณะ ภาควัดปากนํ้าภาษีเจริญ เปนประธานวางศิลาฤกษ เมื่อสร้างเสร็จแล้วใน ชวงวันครบรอบวันมรณภาพของพระครูบาเจ้าฯได้ ๕๓ ป ในครั้งนั้น ป พ.ศ. ๒๕๓๕ ก็ได้รบั พระมหากรุณาธิคณ ุ โปรดเกล้าฯ จากสมเด็จพระเทพ รั ต นราชสุ ด าฯ สยามบรมราชกุ ม ารี เสด็ จ พระราชดํ า เนิ น มาเป น องคประธานยกชอฟามณฑปครอบสถูปอนุสาวรียพ ระครูบาเจ้าศรีวชิ ยั และ ทอดพระเนตรพิพธิ ภัณฑอฏั ฐบริขาร ได้ทาํ บุญอบรมสมโภช ๗ วัน ๗ คืน กอนหน้านั้นได้รับสายธารศรัทธาจากทานอุบาสกกวงเม้ง ทาน อุบาสิกา ปติอร แซเล้า พร้อมด้วยครอบครัวและทานอุบาสกบี๊ ธรรมตั้ง
๒๑๙
พิ เชษฐ พ ร้ อ มด้ ว ยคณะจากบางแคเขตหนองแขม และคุ ณ แม ศิ ริ เ พ็ ญ วิไลลักษณ พร้อมครอบครัว เปนทานบดีผู้อุปถัมภ ในการสร้างสถูปเจดีย และปราสาทหิ น อ อ น และมี ค รอบครั ว ของคุ ณ ดํ า ริ ห คุ ณ พรพรรณ กอนันทเกียรติ ได้สร้างหอพลับพลารับเสด็จ และเปนที่เก็บรักษา แสดง ภาพประวั ติ แ ละผลงานของครู บ าเจ้ า ศรี วิ ชั ย และได้ รั บ เมตตาจาก ดร.ประกอบ หุตะสิงห องคมนตรี มาเปนผู้ใหญให้เกียรติเปนกําลังใจและ ได้กรุณาผสานงานกราบบังคมทูลเชิญพระบรมวงศานุวงศเสด็จให้ถงึ สองครัง้ ครัง้ หลังกราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห วั เปนองคประธาน เปดปายพิพิธภัณฑพระครูบาเจ้าศรีวิชัย ในปพุทธศักราช ๒๕๓๗ ทรงพระ กรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดําเนินแทนพระองค ไปทรงเปนประธานในพิธบี รรจุพระบรม สารีรกิ ธาตุ ยกฉัตรทองคําพิพธิ ภัณฑ และเปดปายพิพธิ ภัณฑพระครูบาเจ้า ศรีวิชัย ผู้เปนแมงานเสียสละจตุปจ จัย ซือ้ เครือ่ งอัฏฐบริขาร ๑,๐๐๐ ชุด เพือ่ ถวายแดพระสงฆ ๑,๐๐๐ รูป ในงานฉลองพิพธิ ภัณฑได้รบั ความอุปถัมภ จากคุณแมอรอนงค อรรถไกวัลวที ครอบครัวของคุณพอประดิษฐ คุณแม วิภาวรรณ วิชาพาณิช และครอบครัวของคุณพอบุญเลิศ คุณแมกรรณิการ วิบูลยลาภ ตลอดจนศรัทธาสาธุชนผู้ใจบุญทั่วสารทิศ ชวยกันอุปถัมภใน งานฉลองสมโภชสําเร็จลงได้ตามความประสงค กอนทีจ่ ะมาสร้างงานพิพธิ ภัณฑของพระครูบาเจ้าศรีวชิ ยั ทีว่ ดั บ้านปาง จังหวัดลําพูน ในปลายปพุทธศักราช ๒๕๓๐ ถือได้วาเปนงานที่ท้าทาย อยางยิง่ ในชีวติ เพราะผูน้ าํ ดําริคดิ สร้างไมใชเปนผูม้ ชี อ่ื เสียงไมมใี ครในพืน้ ที่ รู้จักมากอน แม้ตอนที่จะออกจากวัดจากจังหวัดพะเยาไปยังจังหวัดลําพูน ปจจัยคารถที่จะเดินทางยังไมมี เวลานั้นอาศัยปจจัยจากเจ้าของร้านตอง วัสดุกอสร้างในตัวเมืองพะเยาถวายมา ๕๐๐ บาทและเจ้าของร้านพะเยา
๒๒๐
นาทีทอง ถวายปจจัยในการเดินทางไปจังหวัดลําพูนกับบรรดาญาติมติ รพี่ น้องรวมกันทําบุญได้เงินมาพอซื้อเหล็กทําเสาเอกพิพิธภัณฑได้เพียงแค หนึ่ ง ต้ น แบบแปลนการสร้ า งก็ ไ ม มี ข ณะที่ กํ า ลั ง ดู ส ถานที่ จ ะก อ สร้ า ง พิพธิ ภัณฑ ก็ตงั้ จิตอธิษฐานรําลึกถึงบารมีพระครูบาเจ้าศรีวชิ ยั ดลใจให้ชจี้ ดุ ขุดหลุมเสาประเดิมเปนหลุมแรก ในการครั้งนี้ได้รับบารมีหลวงพอพระอาจารยทองวัดรํ่าเปงจังหวัด เชียงใหม ปจจุบนั คือ “หลวงปูท อง” วัดพระธาตุศรีจอมทอง นําพระสงฆมา จัดบริวาสกรรมจํานวน ๓๐๐ กวารูป จาก ๕๓ จังหวัดทั่วประเทศชวยกัน เจริญพระพุทธมนตชยันโตยกเสาเอกมงคลเปนปฐมฤกษ ในชวงระหวางงาน ปริวาสกรรมวัดบ้านปาง เปนการเปดตัวประกาศงานสร้างพิพิธภัณฑแบบ ชนิดที่เรียกวามาแบบตัวเปลาอาจหาญมาสร้างงานใหญในครั้งนี้ ซึ่ง มาทราบภายหลังจากการพบปะพระเถระผู้ใหญหลายทาน ภายหลังจาก งานสําเร็จแล้วตางก็บอกวา “ผมไมเชื่อในสายตาที่มองเห็นคุณในขณะที่ เริม่ งานวาจะทํางานได้สาํ เร็จ มองเห็นจริงๆ วาเหมือนกับเด็กทีจ่ ะมาทําการ ใหญขนาดนีไ้ ด้อยางไร” ก็เปนจริงอยางทีท่ า นวาเพราะไมอยูใ นสายตาของ ใครมากอน ไมเปนทีร่ จู้ กั เราก็ไมรจู้ กั ใครด้วยเหมือนกับการยกเมฆ ยกฟา ก็ไมปานกัน แตก็เปนไปได้แล้ว เมื่อนึกย้อนหลังคิดวาตัวเองทําไปได้ อยางไร ในชวงที่จัดงานปริวาสวัดบ้านปางครั้งนั้นได้รับความอุปถัมภน้ําใจ จากคุณพอประเสริฐ คุณแมรมิตา (จู) ดีประเสริฐ พร้อมครอบครัว คุณแมกิมฮ้อ เกตุสุวรรณ พร้อมคณะ ชาวเชียงใหมได้มาตั้งโรงทานเลี้ยง อาหารนํา้ ปานะ หาจตุปจ จัยมารวม ชวยกัน ถวายพระในงานปริวาส บุคคล ที่ให้การอุปถัมภคือคุณพอบุญเหลือ คุณแมสมศรี รัตนรังสี คุณพอแก้วมูล คุณแมวันดี จํารัส นายสุธรรม บุญปน พี่น้องชาวพะเยา เปนกําลังสําคัญ
๒๒๑
อยูเบื้องหลังชวยงานมาตลอด โดยเฉพาะอยางยิ่งผู้ใหญสิงหแก้ว ปนลาว ผู้ใหญบ้านและพี่น้องชาวบ้านปาง ให้ความรวมไม้รวมมือสนับสนุนและ เปนกําลังกาย กําลังใจ ทํางานอยางเสียสละสามัคคีทั้งกลางวันกลางคืน ไมเห็นแกความเหนื่อยยากลําบาก พร้อมกลุมแมบ้านซึ่งมีคุณบัวเขียว ปญญา เปนหัวหน้ากลุม ทํางานกันอยางสนุกสนานเพลิดเพลินมีชวี ติ ชีวามี ความสุขกันถ้วนหน้า รวมทั้งเจ้าอาวาส พระเณร วัดบ้านปางและพระภิกษุ สามเณรที่ติดตามมาจากจังหวัดพะเยาไปเปนกําลังสําคัญ ในจํานวนนั้นมี นายชางสงา สมฤทธิ์เปนศิษยติดตามรวมสร้าง โดยมีนายชางสงวน วงศสําราญ พร้อมทีมงานจากจังหวัดเชียงใหมเปนแมงาน กอนที่จะได้รูปแบบโครงสร้างก็ได้รับคําชี้แนะจากพระสิทธิชัย จาก กรุงเทพที่ได้เดินทางมาพร้อมกันจากจังหวัดพะเยาในครั้งนั้น พาไปชม โลหะปราสาทวัดราชนัดดากรุงเทพ ขณะนัน้ มีโรงหนังเฉลิมไทยบังภูมทิ ศั น อยู เมือ่ ได้ไปเห็นพร้อมกับพระสิทธิชยั ซึง่ เปนทีป่ รึกษางาน จึงเห็นพ้องกัน วาเหมาะสมที่จะนํามาเปนแบบสร้างพิพิธภัณฑของพระครูบาเจ้าศรีวิชัย เปนสถาปตยกรรมที่ออกแบบโดยชางหลวงที่ได้เท้าความเปนมาของ โลหะปราสาททีไ่ ด้สร้างขึน้ ในครัง้ แรกทีป่ ระเทศอินเดียในสมัยพุทธกาล มี นางวิสาขามหาอุบาสิกาเปนผู้ดําริสร้าง โดยมีพระมหาโมคคัลลานะ อัครสาวกเบื้องซ้ายเปนผู้ดําเนินการสร้างโลหะปราสาทเพื่อถวายแด พระสงฆซงึ่ มีพระพุทธเจ้าเปนองคประธาน หลังจากนัน้ ทีป่ ระเทศลังกา ทีร่ บั การเผยแพรพระพุทธศาสนาโดยพระเจ้าอโศกมหาราชได้สงพระสมณทูต ผู้เปนพระราชโอรสและพระราชธิดาคือพระมหินทรเถระและพระภิกษุณี สังฆมิตาเปนสายธารสายธรรมเผยแผพุทธศาสนาเจริญรุงเรือง มียุคหนึ่งในลังกาก็ได้สร้างโลหะปราสาทจําลองเปนแหงที่ ๒ และ แหงที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้าเจ้าอยูห วั รัชกาลที่ ๓ ก็ได้จาํ ลองสร้าง
๒๒๒
โลหะปราสาทขึ้นที่วัดราชนัดดา และทางเราได้นําโลหะปราสาทมาเปน แบบสร้างพิพิธภัณฑพระครูบาเจ้าศรีวิชัยเปนอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก ๓ ชั้น มียอดปราสาท ๙ ยอดสื่อสูความหมายระดับภูมิธรรม มรรค ๔ ผล ๔ ยอดสุดเปนพระนิพพานรวมเปนนวโลกุตรธรรม ๙ ประการ บูชาบารมี พระครูบาเจ้าศรีวิชัย สิริวิชโย เปนสถานที่เก็บรักษาเครื่องอัฏฐบริขาร ตลอดถึงสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคและสิ่งสําคัญอื่นๆ โดยเฉพาะชั้น ยอดสุดได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ที่ขุดค้นได้จากวัดร้างด้านทิศเหนือ บันไดนาควัดบ้านปางตรงจุดที่พระครูบาเจ้าศรีวิชัยได้รับการบรรพชา เปนสามเณรกับพระครูบาขัติยะ ชาวบ้านได้ขุดค้นพบผอบทองเหลืองซึ่ง ภายในบรรจุพระบรมสารีรกิ ธาตุจาํ นวน ๑๕ องค จึงได้อญ ั เชิญประดิษฐาน บนยอดสุ ด โลหะปราสาทพิ พิ ธ ภั ณ ฑ ใ ห้ เ ป น ที่ สั ก การบู ช าของคนและ ทวยเทพทั้งหลาย จิตวิญญาณของพระครูบาเจ้าศรีวิชัย ที่ได้สัมผัสเปนสิ่งมหัศจรรยใจ จริงๆ คือเมื่อครั้งที่ชาวบ้านและเจ้าอาวาสวัดศาลาเชิงดอยได้มานิมนตให้ เปนประธานสร้างอนุสาวรียพระครูบาเจ้าศรีวิชัยในปพุทธศักราช ๒๕๔๖ ตรงจุดทางเดิมที่พระครูบาเจ้าศรีวิชัยขึ้นไปบูรณะสร้างพระบรมธาตุเจ้า ดอยตุงเมือ่ ป ๒๔๗๐ ถือวาพระบรมธาตุเจ้าดอยตุงองคนเี้ ปนโบราณสถานที่ เกาแกท่ีสุดในดินแดนล้านนาไทย และเปนสัญลักษณทางวัฒนธรรมอัน เรื อ งรองของพระพุ ท ธศาสนาตั้ ง อยู เ หนื อ ขุ น เขาสุ ด ยอดแดนสยาม แผนดินทองแผนดินธรรมของสุวรรณภูมิ ในครั้งนั้นได้นําพระภิกษุสามเณรและกลุมศิษยฆราวาสที่เปนชาง คือ นายชางสงา สมฤทธิ์ รวมกันสร้างรูปเหมือนอนุสาวรียส าํ เร็จถึงขัน้ บรรจุ หัวใจของพระครูบาเจ้าศรีวิชัย มีอยูชวงหนึ่งคณะศรัทธาชาวบ้านวัดศาลา เชิงดอยได้มารวมกิจกรรมทําบุญที่วัดพระธาตุแสงแก้วมงคลเมืองพะเยา
๒๒๓
และได้ทราบวาทางวัดเราจะจัดงานพิธีรําลึกถึงพระครูบาเจ้าศรีวิชัย จึงได้ ขอให้ย้ายไปจัดที่วัดศาลาเชิงดอยเปนการย้อนอดีตรําลึกถึงการสร้าง ทางขึ้นสูพระบรมธาตุเจ้าดอยตุง เจริญรอยตามบาทวิถีของพระครูบาเจ้า ศรีวิชัยให้เปนการทําบุญฉลองสมโภชอนุสาวรียพร้อมกันเปนอานิสงส ดีย่ิงขึ้น จึงตกลงรับปากกับคณะศรัทธาและเจ้าอาวาส วัดศาลาเชิงดอย อําเภอแมสาย จังหวัดเชียงราย พร้อมกําหนดเวลาทําบุญ ๗ วัน ๗ คืน ใน ชวงระหวางโอกาสวันครบรอบวันมรณภาพของพระครูบาเจ้าศรีวิชัย วันที่ ๒๑ เดือนกุมภาพันธ มีการบวชโยคี ปฏิบัติธรรม แสดงธรรมเทศนาบารมี ๑๐ ทัศ ๑๐ กัณฑ มีการจัดแสดงนิทรรศการภาพชีวประวัติพระครูบาเจ้า ศรีวิชัย มีการกําหนดพิธีการบรรจุหัวใจ พระครูบาศรีวิชัย ในมณฑลพิธียัง มีพิธีเททองหลอรูปเหมือนพระครูบาเจ้าอีก ๓ องคเพื่อถวายวัดสําคัญอีก ๓ จังหวัด คือ เชียงราย พะเยา และเชียงใหม ได้มพี ระภิกษุสามเณร อุบาสก อุบาสิกา ทั้งในพื้นที่และตางจังหวัดมารวมพิธี พองานจะเริ่มต้นได้มีคําสั่งดวนจากพระเถระผู้ใหญฝายปกครอง สัง่ ห้ามภิกษุอานันทไมให้มาเกีย่ วข้องกับงานทีว่ ดั ศาลาเชิงดอยอยางเด็ดขาด ขณะนั้นทุกอยาง ทางเราได้จัดเตรียมการกันอยางพร้อมเพรียงเต็มที่แล้ว พิ ธี ก ารได้ เริ่ ม ขึ้ น แล้ ว มี ก ารบวชโยคี ชี พ ราหมณ เจริ ญ สมาธิ ภ าวนา เดินจงกรม แสดงธรรมเทศนา ทําบุญตักบาตรตามกําหนดการเมื่อเห็นวา ทางเราไมล้มเลิกงาน จึงมีหนังสือคําสั่งดวนให้ขับไลอีกทั้งโทรศัพทมาวา ให้เราออกจากพืน้ ทีว่ ดั ศาลาเชิงดอยโดยดวน! จึงได้กราบเรียนถามวาทีม่ า ขับไลเพราะเหตุใดที่ทางเราเชิญชวนหมูคณะมาปฏิบัติธรรม ฟงเทศน ทําบุญ บําเพ็ญกุศลอยูเวลานี้ผิดพระวินัยหรือกฎระเบียบอะไรถึงได้มา ขับไล ทางพระเถระผู้ใหญก็บอกวาไมต้องให้มาเสียเวลาอธิบายเหตุผล เพราะนี้คือคําสั่งเด็ดขาดจากพระมหาเถระผู้ใหญมาอีกทอดหนึ่งคุณต้อง
๒๒๔
ออกไปอยาขัดขืนดือ้ ดึงกันเลย กราบเรียนตอบทานไปวางานนีค้ ณะศรัทธา ชาวบ้านและเจ้าอาวาสได้นิมนตให้มาชวยเมื่อทํามาถึงขั้นนี้แล้วก็จะต้อง รวมกันทําให้ดีที่สุดแม้นฟาจะผาลงมา ถ้ายังไมตายก็จะอยูที่นี่ดําเนินการ จนกวาจะทําอะไรให้สําเร็จกอน เมือ่ ใกล้ถงึ วันบรรจุหวั ใจได้รบั แจ้งมาวาพระเถระผูใ้ หญหลายจังหวัด จะมารวมพิธแี ละเปนประธานบรรจุหวั ใจ ซึง่ ทางเราก็ได้เตรียมสิง่ ของสําคัญ ไว้กอ นหน้านัน้ แล้วจึงได้แนะนําชาวบ้านให้ชว ยกันจัดทําบันไดและราวจับ เพื่อพระมหาเถระผู้เฒาจะได้ทําพิธีข้ึนบรรจุหัวใจได้อยางปลอดภัย ครั้น ใกล้จะถึงเวลาที่พระเถระผู้ใหญจะมาประกอบพิธี ได้มีคําสั่งจากเบื้องบน ให้ชาวบ้านชวยกันควบคุมภิกษุอานันทบงั คับให้อยูใ นห้องกุฏทิ ศิ ตะวันตก พระวิ ห ารอย า งเข้ ม งวด ก็ เ ลยนั่ ง สมาธิ ภ าวนาฟ ง เสี ย งพระสงฆ เจริ ญ พระพุทธมนตไปตามลําดับ จนถึงพิธีบรรจุหัวใจพระครูบาเจ้าศรีวิชัย ขณะนัน้ ประจักษแจ้งในรสชาติแหงความสงบรมเย็น เปนสุขทีส่ ดุ ทําให้รสู้ กึ เหมือนได้สัมผัสบรรยากาศที่พระครูบาเจ้าศรีวิชัย ถูกกักบริเวณหลายครั้ง ในยุคนั้น ทานคงจะดื่มดํ่า ความสุข สงบเฉกเชนเราเวลานี้อยางแนแท้ จึงได้มองเห็นอานิสงสของความอดทนอดกลัน้ ไมถอื โทษโกรธตอบ คิดร้าย อาฆาตพยาบาทไมจองเวรจองกรรม พร้อมทีจ่ ะเปดใจกว้าง ไมถอื เขาถือเรา และการให้อภัย อันเปนเคล็ดลับสุดยอดแหงศาสตรและศิลปในการครอง ชีวิต ที่เราจะไปค้นหาจากตํารับ ตําราไหนไมได้ นั้นหมายความวามันเปน ประสบการณ เฉพาะตัวที่ต้องค้นพบจากห้วงหัวใจของเราแตละคน การที่ จะเที่ยวศึกษาค้นหาจากแหลงอื่นก็เหมือนกับจับพลัดจับผลู มีแตปญหา ข้องใจสงสัย ให้ต้องเกิดความรําคาญจับผิดกันอีก ก็ยิ่งเจอแตปญหา พระพุทธองศทรงตรัสไว้วา ธรรมทั้งปวงมีใจเปนใหญ มีใจเปน ประธาน การกระทําทุกอยางจะสําเร็จได้ด้วยใจ จะเกิดความอิ่มเอิบ
๒๒๕
เบิ ก บานที่ สุ ด ก็ อ ยู ที่ ใจ และจิ ต ใจนี้ แ หละเป น สิ่ ง ที่ ม หั ศ จรรย เป น พลานุภาพอันยิ่งใหญไพศาล และสิ่งทั้งหลายทั้งปวงจะวางสงบได้ก็ระงับ ดับที่ใจ ถ้าทําให้ใจวางมองชีวิตมองโลกด้วยความเปนจริงไมมีอะไรที่จะ ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดได้ จงมองให้เห็นแจมแจ้งด้วยสติปญญาอยูเปนนิตย เมื่อมีเหตุการณใสร้ายปายสี มีการกระทบกระทั่งกลั่นแกล้งขัดแย้ง มีการ ขัดคําสัง่ หรือทําอะไรได้ไมดง่ั ใจหวัง ทัง้ จากคนรอบข้างหรือจากการกระทํา ของเราเอง หรือได้อะไรดั่งใจปรารถนาทุกอยางทุกประการ ก็ให้เราตั้ง สติปญญาอยางรอบคอบไมประมาท และจงมุงสูจุดสุดยอดที่ความวางและ สงบอยูเสมอ อยาผูกใจยึดติดอยูกับสิ่งใดเปนอันขาด การทําใจให้เปน อิสระเสรี วางสงบอยูเสมอนี้แหละที่พระพุทธองคทรงชี้เปนทางสายตรง ของชีวิต คือศิลปะการปลอยวาง คือสุดยอดของชีวิต พร้อมตั้งความ ปรารถนาเอื้อเฟอเผื่อแผด้วยเมตตาและไมตรีตอมวลมนุษยชาติ เพราะ โลกนี้จะสงบรมเย็นได้พระสัมมาสัมพุทธเจ้ารวมทั้งพระครูบาเจ้าศรีวิชัย นิยมวาเมตตาธรรมเปนเครื่องคํ้าจุนโลกให้อยูรมเย็นเปนสุข เปนสัจธรรม สากลที่ได้มอบเปนของขวัญรางวัลวิเศษอัศจรรยยิ่งแดชาวโลก
(ภิกษุอานันท พุทธธัมโม)
๒๒๖
ไม้เท้าอันแรกของพระครูบาเจ้าศรีวิชัย
๒๒๗
บรรณานุกรม กัญญา ลีลาลัย (อาจารยคณะอักษรศาสตรจุฬาฯ) ประวัติศาสตรชนชาติ ไทย.โรงพิมพอัมรินทร. ๒๕๔๔ คณะกรรมการฝายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ. วัฒนธรรม พัฒนาการ ทางประวัติศาสตร เอกลักษณภูมิปญญา จังหวัดเชียงราย. _________.วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัตศิ าสตร เอกลักษณภมู ปิ ญ ญา จังหวัดเชียงใหม. คณะกรรมการอํานวยการทางจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยูหัว. ศิลปากร : กรุงเทพฯ. ๒๕๔๔. _________.วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัตศิ าสตร เอกลักษณภมู ปิ ญ ญา จังหวัดพะเยา. คณะกรรมการอํานวยการทางจัดงานเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหัว. ศิลปากร : กรุงเทพฯ. ๒๕๔๔. _________. วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร เอกลักษณ ภูมิปญญา จังหวัดแพร. คณะกรรมการอํานวยการทางจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยูหัว. ศิลปากร : กรุงเทพฯ. ๒๕๔๔. _________. วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร เอกลักษณ ภูมิปญญา จังหวัดลําปาง. คณะกรรมการอํานวยการทางจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยูหัว. ศิลปากร : กรุงเทพฯ. ๒๕๔๔.
๒๒๘
คณะกรรมการฝายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ. วัฒนธรรม พัฒนาการ ทางประวั ติ ศ าสตร เอกลั ก ษณ ภู มิ ป ญ ญา จั ง หวั ด ลํ า พู น . คณะกรรมการอํานวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยูหัว. กรมศิลปากร : กรุงเทพฯ. ๒๕๔๔ ชมรมพุทธศาสตร. พระครูบาศรีวิชัย นักบุญแหงลานนาไทย. การไฟฟา ฝายผลิตแหงประเทศไทย. คลังวิชา : กรุงเทพฯ. ม.ป.พ. ชัชวาล บุญธรรมสามิสร. ชีวประวัตคิ รูบาศรีวชิ ยั นักบุญแหงลานนา รวม สมโภชเชียงราย ๗๐๐ ป พ.ศ. ๒๕๓๙. ศูนยพระเครื่องไกล. ดีไวน มาสเตอรพริ้นท : เชียงใหม. ๒๕๓๙. ทองเทีย่ ว “กาลเวลา” สู “วิวฒ ั นาการชุมชนเผาไทย-ไต อารยธรรมล้านนา” รวบรวมโดย นายสุกจิ จา กรุณานนท ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ ภิกษุอานันท พุทธธัมโม. ประวัติของพระครูบาเจ้าศรีวิชัย นักบุญแหง ลานนาไทย. ที่ระลึกในงานฉลองพิพิธภัณฑพระครูบาศรีวิชัย จํานวน ๑๖ องค ใน ๙ จังหวัดภาคเหนือ ณ วัดพระธาตุแสงแก้ว มงคล อ.ดอกคําใต้ จ.พะเยา. ๒๕๓๘. _________. บทสวดกัมมัฏฐานและรวมคําไหว้ของครูบาเจ้าศรีวชิ ยั นักบุญ แหงลานนาไทยและของหลวงพอพุทธทาส อินทปญโญ. ๕๐ เพรส : กรุงเทพฯ. ๒๕๔๕ _________. ยูนนาน สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟากัลยาณิวัฒนา ทรงรวบรวม, ๒๕๒๙ อินทร สุใจ. อ.พาน จ.เชียงราย หนังสือ:ประวัติศาสตรไทยใต้โขง (เมือง โบราณของไทยสมัยตาลิฟ)ู โรงพิมพ ส.การพิมพ อ.พาน จ.เชียงราย พิมพครั้งที่ ๔ ได้รับทุนทางมูลนิธิเอเชียในการพิมพหนังสือ. ๒๕๓๑
ภาคผนวก
โกศงานศพพระครูบาเจ้าศรีวิชัย
๒๓๑
ภาคผนวก ก ผลงานการบูรณปฏิสังขรณปูชนียสถาน ๑.จั ง หวั ด ลํ า พู น วัด พระธาตุหริภุญชัย พระธาตุมาน (สุพรรณรังษี) รมณียาราม (กูละมัก) จามเทวี พระพุทธบาทตากผ้า ดอยก้อม ห้วยกาน วังหลวง วิหารวัดปาปู พระบาท ๓ ยอด พระนอนมอนช้าง พระอุโบสถวัดพระธาตุดอยแช พระธาตุดอยคํา แมเทย แมปอก
ตําบล ในเมือง ในเมือง ต้นธง ในเมือง มะกอก บ้านโฮง บ้านโฮง ปาพลู ปาพลู ปาพลู มะกอก ทากาศ ทากาศ ศรีวิชัย ศรีวิชัย
อําเภอ เมือง เมือง เมือง เมือง ปาซาง บ้านโฮง บ้านโฮง บ้านโฮง บ้านโฮง บ้านโฮง ปาช้าง แมทา แมทา ลี้ ลี้
จังหวัด ลําพูน ลําพูน ลําพูน ลําพูน ลําพูน ลําพูน ลําพูน ลําพูน ลําพูน ลําพูน ลําพูน ลําพูน ลําพูน ลําพูน ลําพูน
๒๓๒
บ้านปาง ดอนแก้ว พระธาตุจอมสวรรค พระธาตุ ๕ ดวง แมตืน พระธาตุดวงเดียว หนองปาตึง ทุงหัวช้าง
ศรีวิชัย ลี้ ปวง ลี้ ดงดํา ลี้ ลี้ ลี้ แมตืน ลี้ ลี้ ลี้ ทุงหัวช้าง ทุงหัวช้าง ทุงหัวช้าง ทุงหัวช้าง
ลําพูน ลําพูน ลําพูน ลําพูน ลําพูน ลําพูน ลําพูน ลําพูน
๒.จั ง หวั ด เชี ย งใหม วัด พระสิงห สวนดอก ศรีโสดา สกิทาคา อนาคามี พระธาตุดอยสุเทพ กูเต้า หมื่นสาร ปาแดง เชียงมั่น
ตําบล พระสิงห สุเทพ สุเทพ สุเทพ สุเทพ สุเทพ ศรีภูมิ หายยา สุเทพ ศรีภูมิ
อําเภอ เมือง เมือง เมือง เมือง เมือง เมือง เมือง เมือง เมือง เมือง
จังหวัด เชียงใหม เชียงใหม เชียงใหม เชียงใหม เชียงใหม เชียงใหม เชียงใหม เชียงใหม เชียงใหม เชียงใหม
๒๓๓
ดับภัย พระบาทแก้วข้าว พระนอนแมปูคา พระธาตุดอยผาตั้ง ดอยกู พันหลัง พระบาทตะเมาะ พระธาตุดอยเกิ้ง พระธาตุกลางใจเมือง ถ้ําเชียงดาว พระบาทยั้งหวีด ปาขามหลวง พระบาท ๔ รอย เวียงด้ง พระธาตุสบฝาง จันทร ทาตอน มวงเนิ้ง ดอนเจียง ปาจี้ สบเปง
ศรีภูมิ ฮอด แมปูคา ออนกลาง เชิงดอย สําราญราษฎร โปงทุง ทาเดื่อ สันทราย เชียงดาว มะขามหลวง มะขามหลวง สะลวง น้าํ แพร ทาตอน บ้านจันทร ทาตอน โหลงขอด สบเปง อินทขิล สบเปง
เมือง ฮอด สันกําแพง แมออน ดอยสะเก็ด ดอยสะเก็ด ดอยเตา ดอยเตา พร้าว เชียงดาว สันปาตอง สันปาตอง แมริม หางดง แมอาย กัลยาณิวฒั นา แมอาย พร้าว แมแตง แมแตง แมแตง
เชียงใหม เชียงใหม เชียงใหม เชียงใหม เชียงใหม เชียงใหม เชียงใหม เชียงใหม เชียงใหม เชียงใหม เชียงใหม เชียงใหม เชียงใหม เชียงใหม เชียงใหม เชียงใหม เชียงใหม เชียงใหม เชียงใหม เชียงใหม เชียงใหม
๒๓๔
หลวงขุนวิน พระธาตุมอนเปยะ พระธาตุยั้งเมิน ข้าวแทนน้อย
แมวิน แมวาง แมสาบ สะเมิง ยั้งเมิน สะเมิง สันทรายหลวง สันทราย
เชียงใหม เชียงใหม เชียงใหม เชียงใหม
วัด ตําบล อําเภอ พระเจ้าตนหลวง เวียง เมือง (วัดศรีโคมคํา) พระธาตุจอมทอง เวียง เมือง พระธาตุดอยน้อย จําปาหวาย เมือง พระธาตุภูขวาง แมนาเรือ เมือง พระธาตุภูปอ ดงเจน เมือง พระธาตุภูขวาง ห้วยแก้ว ภูกามยาว ลี เวียง เมือง บ้านแพดศรีบุญเรือง เชียงบาน เชียงคํา เชียงบาน เชียงบาน เชียงคํา พระธาตุจอมไคร้ ห้วยลาน ดอกคําใต้ พระธาตุแชโหว้ บ้านถ้ํา ดอกคําใต้ พระธาตุหว้ ยไคร้ (มอนศิลาขาว) ทุงรวงทอง จุน พระธาตุขิงแกง จุน พระธาตุขิงแกง
จังหวัด พะเยา
๓.จั ง หวั ด พะเยา
พะเยา พะเยา พะเยา พะเยา พะเยา พะเยา พะเยา พะเยา พะเยา พะเยา พะเยา พะเยา
๒๓๕
๔.จั ง หวั ด เชี ย งราย วัด ตําบล อําเภอ พระธาตุดอยตุง เวียงพางคํา แมสาย พญาเม็งราย พระธาตุปูล้าน ไม้ยา พระธาตุปาแดง (จอมสวรรค) ยางฮอม ปาแดด พระธาตุปาแดด ปาแดด ปาแดด ปาสัก ทานตะวัน พาน พระธาตุปูแกง แมเย็น พาน เจริญเมือง พาน พระธาตุจอมแว พาน แมเจดีย แมขะจาน เวียงปาเปา
จังหวัด เชียงราย เชียงราย เชียงราย เชียงราย เชียงราย เชียงราย เชียงราย เชียงราย เชียงราย
๕.จั ง หวั ด สุ โ ขทั ย วัด
ตําบล
อําเภอ ทุงเสลี่ยม
จังหวัด สุโขทัย
ตําบล
อําเภอ ปาย ปาย ปาย
จังหวัด แมฮองสอน แมฮองสอน แมฮองสอน
กลางดง ๖.จั ง หวั ด แม ฮ อ งสอน วัด น้ําฮู แมปง พระธาตุเมืองแปง
เมืองแปง
๒๓๖
พระธาตุจอมแจ้ง พระธาตุศรีวิชัย
ทุงยาว แมฮี้
ปาย ปาย
แมฮองสอน แมฮองสอน
ตําบล
อําเภอ สามเงา
จังหวัด ตาก
ตําบล เวียงเหนือ พระบาท พระบาท แจ้ซ้อน วิเชตนคร
อําเภอ เมือง เมือง เมือง เมืองปาน แจ้หม แจ้หม แจ้หม แจ้หม เมืองปาน เมืองปาน เมืองปาน วังเหนือ
จังหวัด ลําปาง ลําปาง ลําปาง ลําปาง ลําปาง ลําปาง ลําปาง ลําปาง ลําปาง ลําปาง ลําปาง ลําปาง
๗.จั ง หวั ด ตาก วัด พระธาตุแกงสร้อย ๘.จั ง หวั ด ลํ า ปาง วัด พระแก้วดอนเต้า ปาแดง พระบาท ดอยซาง อักโขชัยคีรี ผาแดงหลวง พระธาตุดงนั่ง คีรีชัย แจ้ซ้อน พระธาตุดอยเตาคํา ดอยเกิ้ง สบลี้ พระเกิด
วิเชตนคร แจ้ซ้อน แจ้ซ้อน หัวเมือง แจ้ซ้อน ทุงฮั้ว
๒๓๗
สบแพดทุงต้น รองเคราะ พระธาตุกูไกแก้ว เมืองยาว พระธาตุมอนไกแจ้ เมืองยาว มอนไกเขี่ย แมสัน มอนงัวนอน เถินบุรี พระธาตุสบเติมใน แมเติม ปาตาล-นาริน ปาตาล พระธาตุแมกึ๊ด ทุงงาม ศรีลังกา เสริมกลาง นาเอี้ยง เสริมซ้าย ดอยนางแตน (ดอยน้อย) เกาะคา พระธาตุจอมปง เกาะคา
วังเหนือ ห้างฉัตร ห้างฉัตร ห้างฉัตร เถิน เถิน เถิน เสริมงาม เสริมงาม เสริมงาม เกาะคา เกาะคา
ลําปาง ลําปาง ลําปาง ลําปาง ลําปาง ลําปาง ลําปาง ลําปาง ลําปาง ลําปาง ลําปาง ลําปาง
๒๓๘
ภาคผนวก ข รายนามเจาอาวาสวัดบานปาง อ.ลี้ จ.ลําพูน
องคที่ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ ๑๑ ๑๒
นาม
จํานวน พรรษา พระครูบาเจ้าศรีวิชัย สิริวิชโย ๓๗ พระทองสุข ธัมมสะโร (รักษาการณ) ๖ พระแสง (รักษาการณ) ๓ พระไจยา (รักษาการณ) ๑ พระอธิการกองคํา ธัมรัตตะโน ๑๓ พระวิลาส ธัมมะทินโน (รักษาการณ) ๒ พระทองอิ่น (รักษาการณ) ๓ พระเมือง พุทธะสาโร (รักษาการณ) ๓ พระสุทัศน สุวัฒฑโณ (รักษาการณ) ๗ พระนิยม โชติธัมโม (รักษาการณ) ๑ พระมหาจรูญ สุจิตโต (๒๕๓๐-๒๕๔๔) ๑๖ พระเกียงศักดิ์ (๒๕๔๕-๒๕๕๒) -
สถานภาพ มรณภาพ ลาสิกขา มรณภาพ ย้าย ลาสิกขา ลาสิกขา ลาสิกขา มรณภาพ ลาสิกขา ลาสิกขา เจ้าอาวาส เจ้าอาวาส
๒๓๙
ภาคผนวก ค สถานที่บรรจุอัฐิพระครูบาเจาศรีวิชัย ๒๓ แหง ๑. ๒. ๓. ๔. ๕. ๖. ๗. ๘. ๙. ๑๐. ๑๑. ๑๒. ๑๓. ๑๔.
วัดจามเทวี อําเภอเมือง จังหวัดลําพูน วัดบ้านปาง อําเภอลี้ จังหวัดลําพูน (วัดบ้านเกิดครูบาเจ้าฯ ) วัดสวนดอก อําเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม วัดพระแก้วดอนเต้า อําเภอเมือง จังหวัดลําปาง วัดพระธาตุชอแฮ อําเภอเมือง จังหวัดแพร วัดศรีโคมคํา (พระเจ้าตนหลวง ทุงเอี้ยง อําเภอเมือง จังหวัดพะเยา) วัดห้วยกาน อําเภอบ้านโฮง จังหวัดลําพูน วัดบ้านโฮงหลวง อําเภอบ้านโฮง จังหวัดลําพูน วัดหมื่นสาร อําเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม วัดดอยกู อําเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม วัดปาแงะวาสุการาม อําเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม วัดหนองปาครั่ง อําเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม วัดดอยโง้ม อําเภอสันกําแพง จังหวัดเชียงใหม วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร อําเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม (ภิกษุอานันทนําอัฐิสวนศีรษะบรรจุรูปเหมือน) ๑๕. วัดพระพุทธบาทสี่รอย อําเภอแมริม จังหวัดเชียงใหม (ภิกษุอานันทนําอัฐิสวนศีรษะบรรจุในพระเจดีย) ๑๖. วัดใจกลางเมืองพร้าว อําเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม
๒๔๐
๑๗. ๑๘. ๑๙. ๒๐.
วัดทาจําป อําเภอสันปาตอง จังหวัดเชียงใหม วัดพระธาตุดอยตุง อําเภอแมสาย จังหวัดเชียงราย วัดเจริญเมือง อําเภอพาน จังหวัดเชียงราย วัดพระธาตุแสงแก้วมงคล อําเภอดอกคําใต้ จังหวัดพะเยา (ภิกษุอานันทนําอัฐิสวนศีรษะบรรจุรูปเหมือนและได้สร้างมณฑป ปราสาทรักษาเขี้ยวแก้วพระครูบาเจ้าศรีวิชัย) ๒๑. วัดพระธาตุศรีรัตนสุดาราม อําเภอจุน จังหวัดพะเยา (พระภิกษุอานันทนําอัฐิสวนศีรษะบรรจุรูปเหมือนพระครูบาเจ้า ศรีวิชัย) ๒๒. เสาศิลาจารึก ณ อนุสรณเชิงดอยสุเทพ อําเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม (ภิกษุอานันทนําอัฐิสวนศีรษะบรรจุบนยอดบัวหัวเสาศิลาจารึก)
๒๔๑
ภาคผนวก ง คําไหวปาระมี ๓๐ ทัศ
(หันทะ มะยัง มะหาปาระมียะสุตตะปาฐัง ภะณามะ เส)
๑. ทานนะปาระมี สัมปนโน ทานะอุปะปาระมี สัมปนโน ทานะปะระ มัตถะปาระมี สัมปนโน เมตตา ไมตรี กรุณา มุทุตา อุเบกขา ปาระมี สัมปนโน อิติป โส ภะคะวา ๒. สีละปาระมี สัมปนโน สีละอุปะปาระมี สัมปนโน สีละปะระมัต ถะปาระมี สัมปนโน เมตตา ไมตรี กรุณา มุทุตา อุเบกขาปาระมี สัมปนโน อิติป โส ภะคะวา ๓. เนกขัมมะปาระมี สัมปน โน เนกขัมมะอุปะปาระมี สัมปน โน เนกขัมมะ ปะระมัตถะปาระมี สัมปนโน เมตตา ไมตรี กรุณา มุทุตา อุเบกขา ปาระมี สัมปนโน อิติป โส ภะคะวา ๔. ปญญาปาระมี สัมปนโน ปญญาอุปะปาระมี สัมปนโน ปญญา ปะระมัตถะปาระมี สัมปนโน เมตตา ไมตรี กรุณา มุทุตา อุเบกขา ปาระมี สัมปนโน อิติป โส ภะคะวา ๕. วิริยะปาระมี สัมปนโน วิริยะอุปะปาระมี สัมปนโน วิริยะปะระมัตถะ ปาระมี สัมปนโน เมตตา ไมตรี กรุณา มุทุตา อุเบกขา ปาระมี สัมปนโน อิติป โส ภะคะวา
๒๔๒
๖. ขันติปาระมี สัมปนโน ขันติอุปะปาระมี สัมปนโน ขันติปะระมัตถะ ปาระมี สัมปนโน เมตตา ไมตรี กรุณา มุทุตา อุเบกขา ปาระมี สัมปนโน อิติป โส ภะคะวา ๗. สัจจะปาระมี สัมปนโน สัจจะอุปะปาระมี สัมปนโน สัจจะปะระมัตถะ ปาระมี สัมปนโน เมตตา ไมตรี กรุณา มุทุตา อุเบกขา ปาระมี สัมปนโน อิติป โส ภะคะวา ๘. อะธิษฐานะปาระมี สัมปนโน อะธิษฐานะอุปะปาระมี สัมปนโน อะธิษฐานะปะระมัตถะปาระมี สัมปนโน เมตตา ไมตรี กรุณา มุทุตา อุเบกขา ปาระมี สัมปนโน อิติป โส ภะคะวา ๙. เมตตาปาระมี สัมปนโน เมตตาอุปะปาระมี สัมปนโน เมตตา ปะระมัตถะปาระมี สัมปนโน เมตตา ไมตรี กรุณา มุทุตา อุเบกขา ปาระมี สัมปนโน อิติป โส ภะคะวา ๑๐. อุเบกขาปาระมี สัมปนโน อุเบกขาอุปะปาระมี สัมปนโน อุเบกขา ปะระมัตถะปาระมี สัมปนโน เมตตา ไมตรี กรุณา มุทุตา อุเบกขา ปาระมี สัมปนโน อิติป โส ภะคะวา ทะสะปาระมี สัมปนโน ทะสะอุปะปาระมี สัมปนโน ทะสะปะระมัต ถะปาระมี สัมปนโน เมตตา ไมตรี กรุณา มุทุตา อุเบกขาปาระมี สัมปนโน อิติป โส ภะคะวา ฯ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ นะมามิหัง (กราบ)
๒๔๓
คําไหวปาระมี ๙ ชั้น
(หันทะ มะยัง มะหาปาระมียะสุตตะปาฐัง ภะณามะ เส) สาธุ สาธุ พระปญญาปาระมี ๓๐ ตั๋ด สาธุ พระปญญาปาระมีวัด แวดล้อม วิริยะปาระมี ล้อมระวังดี สีละปาระมี บังหอกดาบ เมตตาปาระมี ผาบ แปตงั้ ปน ทานะปาระมี หือ้ เปนผืนตัง้ ตอ อุเบกขาปาระมี หือ้ กอเปนเวียง สั จ จะป า ระมี แวดระวั ง ดี เ ป น ไม้ ไ ต้ ขั น ติ ป า ระมี กล า ยเป น หอกดาบ บังหน้าไม้และปนไฟ อะธิษฐานปาระมี ฟนดาบไปทุกแหง แข็งๆ แรงๆ ปราบฝูงหมูมารผีสางพรายเปรตทุกทวีปพบถิ่นพั้งพายหนี นางธรณี อัศจรรย โสเสมือนฝนอยูข า้ งๆ นํา้ นทีนองกว้างตอกว้าง แตกตีฟ๋ องนองนะ เนือก เปนข้าวตอกดอกไม้ถวายปูชาพระแก้วแกนไท้ สะทัง พระพุทธังเลย จุงมาผายโผด อนุญาตโทษโผดผู้ข้าแท้ดีหลี แมธรณีออกมารีดมวยผมอยูท่ีธาตุ ช้างร้ายคายคะจังงาสับดิน พนนํ้านทีลงผัดผาย คอพลายหักทบทาวพญามารร้องอาวๆปูนกลั๋ว กราบ ยอมือขึน้ ทูนหัวใสเกล้า ผูข้ า้ นีไ้ ด้ชอื่ วาลูกศิษยพระพุทธเจ้ามีบญ ุ สมภารอัน มากนัก พระพุทธเจ้าจิง่ จักตัง้ ปญ ญาปาระมีไว้ ๙ ชัน้ ตัง้ ไว้ตงั หน้าก็ได้ ๙ ชัน้ ตัง้ ไว้ตงั หลังได้ ๙ ชัน้ ตัง้ แตหวั เถิงตีน๋ ก็ได้ ๙ ชัน้ ตัง้ แตตนี๋ เถิงหัวก็ได้ ๙ ชัน้ แมนวาลูกปนจักมาเสมอเหมือนฝนแสนหา ก็บจักมาใกล้ได้ข้าพเจ้าเลย ได้วา พุทธะคุณณัง ธัมมะคุณณัง สังฆะคุณณัง พุทธอินตา ธัมมะอินตา สังฆะอินตา อัตสะอับ แมธรณีผู้อยูเหนือนํ้า ผู้อยูคํ้าแผนดิน กันข้าได้ระนึกกึ้ด เถิงคุณ พระปตตา คุณพระมารดา คุณครูบาอาจารย คุณพระแก้วเจ้าทัง้ ๓ ประการ คือ คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ และคุณแดด คุณฝน คุณลม คุณสกุศราชเจ้าก็ดี คุณพระตนภาวะนาก็ดี คุณนางอุตถะราก็ดี คุณพระ
๒๔๔
ปจเจกเจ้าก็ดี คุณแมธรณีเจ้าก็ดี จุงมารักษาตั้งกํ้าหน้า และกํ้าหลัง ตนตั๋ว แหงผู้ข้าในคืนวันนี้ ยามนี้ จิ่มแตเตอะ พุธโธพุทธังรักษา ธัมโมธัมมังรักษา สังโฆสังฆังรักษา พุทโธพุทธัง อะระหัง ธัมโมธัมมังอะระหัง สังโฆสังฆัง อะระหัง พุทโธพุทธังกัณหะ ธัมโมธัมมังกัณหะ สังโฆสังฆังกัณหะ อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง (กราบ)
คํานมัสการพระครูบาเจาศรีวิชัย อะยังวุจจติ ศรีวิชัยยาจะนะ อุตตะมัง สีลัง สิริวิชโย จะมหาเถโร นะระเทเวหิ ปูชิโต โสระโห ปจจะยาทิมหิ มหาลาภา ภะ วันตุเม อะหัง วันทามิ สัพพะทา อะหัง วันทามิ สิระสา อะหัง วันทามิสัพพะโส สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนามิฯ คําแปล ดังข้าพเจ้าจะกลาวตอไปนี้ พระมหาเถระเจ้ารูปใด ผูม้ นี ามวาศรีวชิ ยั ผู้มีศีลอันอุดม ผู้อันนรชนและเหลาทวยเทพทั้งหลายบูชาแล้วผู้ยิ่งใหญ ตลอดกาลทั้งปวงด้วยการนอบน้อมนั้นปจจัยขอลาภอันใหญจงเกิดมีแก ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขออภิวาทซึง่ พระเถระเจ้ารูปนัน้ ตลอดกาลทัง้ ปวง ข้าพเจ้า ขออภิวาทซึ่งพระเถระรูปนั้นด้วยเศียรเกล้า ข้าพเจ้าขออภิวาทซึ่งพระเถระ เจ้ารูปนั้น โดยประการทั้งปวง สาธุ สาธุ สาธุ (ดีละ ดีละ ดีละ) ข้าพเจ้า ขออนุโมทนาฯ (เสร็จแลวใหตง้ั จิตรําลึกถึงพระครูบาเจาศรีวชิ ยั แลว อธิษฐานตามกุศลเจตนา)
๒๔๕
เบิกฟาพุทธธรรม อาณาจักรธรรม คือ จิตธาตุสรรพสัตว อนิจจัง คือ สัจธรรมสากลของจักรวาล ประตูพระนิพพานมิได้มี พระพุทธเจ้าสถิตอยูทั่วสรรพสัตวทุกรูปนาม ทั้งไตรโลก คือ ทาดอกบัวแดงแหงพุทธชาติ
ตามรอยพระบาทองคบรมศาสดา เจ้าต้องมีดวงจิตดุจหินผา มุงหมายที่นิพพานให้แมนมั่น อยาปลอยใจออนแอเหมือนเศษทราย จะพายแพ้กิเลสแม้เล็กน้อย จงแหวกวายทวนสายธารแหงตัณหา พญามารกับองคพุทธะมักคูกัน จงบากบั่นมุงมั่นสร้างบารมี กิเลสมารร้ายก็สยบอยูแทบเท้า พุทธภูมิสิ่งสูงสง คือ อาณาจักรของคนกล้าพลีชีพเพื่อพระธรรม นิพพานคือนํา้ อมฤตธรรมประจําโลก ใครปวยทุกขสขุ โศกหรือโลภหลงมืดมน จงอธิษฐานจิตลิ้มรสสรงธารธรรม เจ้าจะประสบความสะอาด ความสงบ ความสวางไสวจากพระพุทธองค ภิกษุอานันท พุทธธัมโม ณ โฮงหลวงวัดบานปาง
๒๔๖
นอมวันทาบูชาพระครูบาเจา วันทาพนมก้มกราบ น้อมรําลึกคุณศีลธรรมยิ่งใหญ ลูกขอมอบดอกบัวบานในใจ ตามรอยบาทวิถีตราบชั่ว บารมี เอนกอนันต
พระครูบาเจ้า ศรีวิชัย ในหล้า สถิตไว้ ด้วยจอมขวัญ ชีวาวัน สวางทั่ว ล้านนา อังศุมาลิน บุญทา
เพงฌานสูองค ไตรรัตน เพงเห็นกายมิใชกาย เพงจิตให้เห็นความวาง เพงเห็นสรรพสัตวไร้ตัวตน
จะเห็นองคพุทธะ จะเห็นสัจธรรม จะเห็นเหลาอริยะสงฆ
ตามรอยผูนํา ผู้นําต้องมีหัวใจดุจราชสีห มุงมั่นสิ่งใดจงก้าวไปเถิด อุปสรรคสิ่งที่กีดขวาง คนจริงฝาไปได้ไมยากเย็น เทพเจ้าแหงความสําเร็จ ชอบคนกล้า กล้าๆ กลัวๆ มิใชผู้นํา
๒๔๗
บาทวิถีของมนุษ ย ความทุกขทําให้ข้าฯ เกิดความคิด วิปสสนาญาณ ความผิดพลาด คือทางผานสูความสําเร็จ ตราบใดที่ยังมีชีวิตลมปราณ จงสู้ไปเถิดอยาสิ้นหวัง ความมุงมั่นด้วยกุศลเจตนา คือน้ําทิพยแหงสรวงสวรรค อยาคิดวาการทําความดีจะต้องมีความสุขเสมอไป แตการฟนฝาความทุกขยากด้วยดวงใจอันสุขุม นั่นคือ มงกุฎอันล้ําคา และประเสริฐยิ่งของยอดมนุษย
คาถาถอนพิษ ถ้าถูกดาวาด้วยถ้อยคํารุนแรงดุร้าย จงตอบกลับด้วยวาจาสุภาพออนโยนและนุมนวล ต้องทําใจดีสู้เสือเอาชนะความชั่วด้วยความดี! จากร้ายก็จะกลายเปนดี ภิกษุอานันท พุทธธัมโม ณ โฮงหลวงวัดบานปาง
๒๔๘
มหาวิทยาลัยชีวิต บทเรียนที่จะสามารถสอบผานสูเปาหมายความสําเร็จของชีวิต ต้องเปนตัวประสบการณเฉพาะตัว ไมมีใครหน้าไหนจะให้ผู้อื่นได้ ดังนั้น บทเรียนที่ดีและสูงสุด คือจากตัวชีวิตของเราเองเทานั้น เมื่อเข้าใจถึงชีวิต จิตใจตนเองได้แล้ว จะเปนวิถที างสูค วามเข้าใจ ซึง่ กันและกัน จงเปดใจกว้าง ยอมรับจุดเดนของผู้อ่ืน ให้ผสานความคิดที่แตกตางให้หลอมรวมกันได้ จนถึงที่สุด จะไมมีการแยกแยะ ความเปนพวกเขา พวกเรา ตัวเราหรือผู้อื่น ความสําคัญตน ความหยิ่งยะโสโอหังถือตัว จะถูกพัฒนาการสูความสุภาพ ออนน้อมถอมตน ความเข้มแข็ง อดทน ความเสียสละ ความเมตตาอารี ความเห็นอกเห็นใจ การให้อภัย อันเปนสายธารแหงชีวิต สูความสุขสงบ ด้วยมิตรภาพ ภราดรภาพ ภิกษุอานันท พุทธธัมโม ยอดเขาคิชฌกูฎ พุทธสถานอินเดียนอย วัดพระธาตุแสงแกวมงคล
๒๔๙
เสียงกระชิบสูดวงใจเมื่อพุทธศักราช ๒๕๓๒ • เจ้าจงมองดูโลกกว้างโดยไร้ขอบเขต • เจ้าจะเห็นสรรพสิง่ ในสากลจักรวาลอยูใ นตัวเจ้า และตัวเจ้าก็จะสถิต อยูบนบัลลังการแหงสากล • เจ้าจะพบวาคนที่รักเจ้าจริงๆ นั้นไมมี คนที่เกลียดชังเจ้าจริงๆ ก็ ไมมีเชนกัน • ในที่สุดเจ้าก็ประจักษวาตัวเจ้าเองก็ไมปรากฏในที่ไหนๆ • เมื่อเจ้าถูกเหยียดหยาม เจ้าจงยิ้มรับด้วยไมตรีจิต • เมื่อเจ้าถูกคนเขาดาวาให้ร้าย เจ้าจงแผเมตตา และสงสารคนผู้ดา • เมือ่ ถูกประทุษร้ายหรือถูกกลัน่ แกล้งเจ้าจงทําเหมือนคนทีต่ ายแล้ว นั่นเถิด • เมือ่ ถูกทําร้ายให้ได้รบั บาดเจ็บปางตาย เจ้าก็อยาได้คดิ ร้ายจองเวร ใคร • เจ้าอยาได้ตําหนิติเตียนเพงโทษคนอื่น • เจ้าอยาทําการสิง่ ใดให้ตนเองเดือดร้อนหรือเปนทีต่ าํ หนิแกตนเองได้ • ถ้าเจ้ายังบนวิจารณเพงโทษคนอื่นอยู เจ้าก็ยังเปนคนไมสมบูรณ • ผูท้ ม่ี ดี วงจิตสมบูรณเขาจะไมหลงรักหลงชัง แตจะมีเมตตาโดยไมมี ประมาณ • เมื่อถูกดาหรือประทุษร้าย เจ้าอยาคิดวาเจ้าเปนผู้ไมเหมาะสม • การถูกประทุษร้ายหรือคําดาวา นั่นคือเครื่องพิสูจนความบริสุทธ ใจของเจ้า
๒๕๐
• เมื่อเจ้าไมผิดจริง เจ้าถูกทอดทิ้ง ถูกทุบตีทําร้าย จงรู้ไว้เถิดวานั่น คือทางแหงอิสรภาพ • คนดีมิได้พิสูจนกันด้วยการโต้เถียงหรือตอสู้เพื่อเปนผู้ชนะ • คนดีเขาจะไมถือดี และจะไมหมิ่นความชั่ว • ความผิดคือดาบอันคมกล้า ความถูกก็คอื ดาบอันคมกล้า สุดแตใคร จะใช้ให้เกิดประโยชน • ตัวเจ้าคือกระจกเงาของเจ้า คนอื่นก็เปนกระจกเงาของเจ้าด้วย • คนดีจะไมหลงยกยอตนเอง และจะไมตั้งตัวเปนเอก • คนชั่วเปนอุทาหรณที่มีคุณคายิ่ง คนดีก็เปนเยี่ยงอยางอันลํ้าเลิศ • วาจาที่ออกมาจากใจคนดี มิใชถ้อยคําหวานล้อมเพื่อประโยชนตน • เมื่อใจเปนนาย กายเปนบาว เจ้าจะเปนผู้ขับขี่ไปบนสรรพชีวิต • พุทโธ ธัมโม สังโฆ เปนที่พึ่งอันประเสริฐของเจ้า • เห็นกายมิใชกาย นั่นคือ พุทธมณฑล • เห็นจิตมิใชจิต นั่นคือองคพระพุทธเจ้า • เห็นสรรพชีวิตไร้ตัวตน นั่นคือเห็นเหลาอริยะสาวก • ขอให้ดวงใจของเจ้าจงเปนนํ้าอมตะรสหลอเลี้ยงสัตวโลก • ขอให้ดวงตาของเจ้าเปนแสงสวางสองทางให้ชีวิตทั้งมวล • ขอให้หูของเจ้าจงสดับสรรพสิ่งเปนธรรมสาร • ขอให้ปากของเจ้าจงเปลงวาจาอันเปนมิตรภาพและสันติภาพ • ขอให้เท้าของเจ้าจงก้าวไปสูทางแหงความสร้างสรรค • ขอให้มอื ของเจ้าจงเชือ่ มสัมพันธไมตรีผกู มิตรกับทุกผูค้ นอยารูค้ ลาย • ขอให้ ส ายโลหิ ต ของเจ้ า เป น ทิ พ ยโอสถรั ก ษาโรคาพยาธิ ข อง ทุกรูปนาม
๒๕๑
• ขอให้รางกายของเจ้าเปนต้นโพธิ์แก้วที่อาศัยพักร้อนของสัตวโลก ทั้งผอง • เจ้าจงเปดประตูใจทุกด้านรับบทเรียนจากโลกกว้าง แล้วดวงใจของ เจ้าจะบรรจุไตรโลกไว้ได้ทั้งหมด • ดวงใจของเจ้าจะจรด ณ ใจกลางโลกธาตุทั้งมวล • จักรวาลแหงสรรพสิ่งจะหมุนรอบจนไร้ทิศ ไร้อดีต ไร้อนาคต และ ไร้ปจจุบัน • ความไวของจักรวาลทีห่ มุนรอบจัดโดยมีดวงใจเปนแกนกลางจะลุก แดงเปนแสงสวางอันโอฬาร และจะเปนลมหายใจของสรรพชีวิต ทั้งหลาย • เจ้าจะเห็นทุกรูปนามคือบอเกิดบัวแดงแหงพุทธชาติ • บัวแดงแหงพุทธชาติจะผลิดอกเบงบานอยางเต็มที่ • บัวยิ่งบาน ยิ่งมีมากพระพุทธองคยิ่งทรงพอพระทัย • สัจธรรมของพระองคแผไปยังโลกกว้าง วาใดๆ ในโลกไมมีอะไรที่ แนนอน • ใครจะขัดใครแยงใครแขงกันอยางไร แนนอนตางก็ได้เปนเจ้าแหง อนิจจัง เปนสัจจะเที่ยงแท้ • เจ้าจะยึดเอาอะไรเปนหลักเหตุผลของสากล เหตุผลของหมูค ณะหรือ บุคคล เหตุผลมันก็เปนปจจัยการสืบเนือ่ งไมมสี น้ิ สุด ใครจะโต้เถียง ด้วยหลักเหตุผลของอะไรก็ตาม เหตุผลของแตละสิ่งยอมเหมาะแก บุคคลและเปนไปตามกาลเวลา จะให้อกี คนหนึง่ ยอมรับเหตุผลของ อีกคนหนึ่งมันก็เปนได้บางกรณี แตมันเปนการฝนธรรมชาติ โดย หลักธรรมชาติต้องอยูเหนือเหตุผล เหนือสิ่งสมมติบัญญัติโดย ประการทั้งปวง
๒๕๒
• เจ้าจงรับและปฏิเสธสิง่ สมมติบญ ั ญัตใิ ห้เหมาะสมแกปจ จัยการ และ ต้องไมยึดถือวามันเปนสัตว บุคคล ตัวเรา เราเขา • จงปลอยวางจากโลกธรรมทั้งมวล และเปนผู้นิ่งอยางพระอริยะเจ้า • สงบใจได้ทามกลางวัฏสงสารอันนาเบื่อหนาย • ทะเลแหงวัฏจักรจึงเต็มสะพรั่งด้วยบัวแดงแหงพุทธะ • รับแสงสวางแหงพระธรรมสงบใจไร้กังวล • ขอมอบอมตะธรรมนี้เปนธารธรรมสรงสนานทุกรูปนามไร้ราคี • ขอให้รา งเปนกายธรรม ขอให้พทุ ธะอุบตั กิ ลางดวงใจทุกทานเทอญ. ภิกษุอานันท พุทธธัมโม โฮงหลวงวัดบานปาง
๒๕๓
ภาคผนวก จ ศิลปะการมองโลกสูวิถีชีวิตธรรมชาติ สื่อสารเปน เห็นชัยชนะ มองใหเปน จะเห็นประโยชนมหาศาล ชี้ใหถูกจุด จะพบความมหัศจรรยของชีวิต ผูรูยิ่ง จะผสานความคิดที่แตกตางใหเปนหนึ่งเดียว ผูมีใจบริสุทธิ์ จะไมยุงเกี่ยวกับเรื่องอันไรสาระ จะเปนผูหนักแนนมั่นคง ออนนอมถอมตัวอยูเสมอ จะสงบนิ่ง อิสระเสรี และไรกังวล จงรูจักชางสังเกตสิ่งแวดลอมวงจรชีวิต ฉลาดรูทันเหตุการณทุกอยางที่ตองเผชิญ การสังคม จงมองเห็นเอกลักษณของผูอื่นใหได จะนําสูการสื่อสารเขาใจกันทุกเรื่องอยางเปนกันเอง จงใชคนใหเหมาะสมกับงานที่เขาถนัด บางครั้งก็ตองยอมลดตัวเสียสละไดทุกสิ่ง เพื่อถนอมนํ้าใจดวยความอดทน และเปดใจกวาง นี้คือศิลปะการดําเนินชีวิตใหผสานธรรมชาติอยางชาญฉลาด ภิกษุอานันท พุทธธัมโม กระทอมหญ้าคา ยอดเขาคิชฌกูฎ พุทธสถานวัดพระธาตุแสงแก้วมงคล ดอกคําใต้ เมืองพะเยา
๒๕๔
มหั ศ จรรย พ ระครู บ าเจ า ศรี วิ ชั ย จั ง หวั ด เชี ย งใหม
“ดอยสุเทพเปนศรี ประเพณีเปนสงา บุปผชาติลวนงามตา นามลํ้าคานครพิงค”
พระธาตุดอยสุเทพเปนศาสนสถาน คูบ้านคูเมืองตั้งอยูบนดอย อ้อยช้าง เดนเปนสงา องคพระธาตุบรรจุพระบรมสารีรกิ ธาตุของ พระสัมมา สัมพุทธเจ้าแหงหนึ่งในล้านนาไทย
๒๕๕
บันไดนาค ทางขึ้นสูพระธาตุดอยสุเทพจํานวน ๓๐๖ ขั้น
วัดพระสิงหที่พระครูบาเจ้าศรีวิชัยบูรณะและเปนเจ้าอาวาส ๑๓ ป
๒๕๖
อนุสาวรียพระครูบาเจ้าศรีวิชัย ตรงจุดเริ่มลงจอบแรกสร้างทางขึ้นสูพระธาตุดอยสุเทพ
๒๕๗
สถูปบรรจุอัฐิธาตุของพระครูบาเจ้าศรีวิชัย ณ พระอารามหลวง วัดสวนดอก จังหวัดเชียงใหม
๒๕๘
วัดสวนดอก เปนวัดที่ผูกพันกับราชวงศเชียงใหมอยางลึกซึ้ง เปนผลงานที่ยิ่งใหญในการบูรณะของพระครูบาเจ้าศรีวิชัย
๒๕๙
จั ง หวั ด ลํ า พู น
พระธาตุเดน พระรอดขลัง ลําไยดัง กระเทียมดี ประเพณีงาม จามเทวี ศรีหริภุญชัย แดนดินถิ่นนักบุญ
วัดพระธาตุหริภญุ ชัย สร้างในสมัยของพระเจ้าอาทิตยราช ราว พ.ศ. ๑,๕๐๐ รูปทรงแบบทวารวดี มีการบูรณะ ๓ ครัง้ คือ ยุคที่ ๑ บูรณะโดยพระญาสรรพสิทธิ์ ราว พ.ศ. ๑๖๐๐ เศษ ยุคที่ ๒ พระเมืองแก้ว ราวพ.ศ. ๒๐๓๐ รูปแบบลังกา ยุคที่ ๓ พ.ศ. ๒๔๖๓ พระครูบาเจ้าศรีวิชัย บูรณะซอมแซมและสร้าง พระวิหารหลวงใช้งบประมาณ ๓๒๒,๕๐๐ รูป (สามแสนสองหมื่นสองพัน ห้าร้อยรูป) ปจจุบนั เปนวัดคูบ า้ นคูเ มืองจังหวัดลําพูน ของล้านนาไทย
๒๖๐
วัดพระจามเทวีเปนอนุสรณสถานเพือ่ รําลึกถึงพระนางเจ้าจามเทวี ปฐมกษัตรีแหงนครหริภุญชัยซึ่งได้ทํานุบํารุงพระศาสนาในจังหวัดลําพูน
๒๖๑
จั ง หวั ด พะเยา กวานพะเยาแหลงชีวิต ศักดิ์สิทธิ์พระเจาตนหลวง บวงสรวงพอขุนงําเมือง งามลือเลื่องดอยบุษราคัม ตามรอยพระพุทธบาท ณ พุทธสถาน พระธาตุแสงแกวมงคล
วัดศรีโคมคํา ตั้งอยูริมกวานพะเยาในสมัยพระเจ้าหลวงประเทศ อุดรทิศ พระครูบาเจ้าศรีวิชัย บูรณปฏิสังขรณ พ.ศ. ๒๔๖๖ ใช้งบประมาณ ๑๐๐,๙๖๓ รูป (หนึ่งแสนเก้าร้อยหกสิบสามรูป)ใช้เวลากอสร้าง ๒ เดือน (พระอุโบสถใช้เวลากอสร้าง ๑ วัน)
๒๖๒
พระเจ้าตนหลวง วัดศรีโคมคําเปนพระคูบ้านคูเมืองพะเยาและ อาณาจั ก รลานนาไทยสร้ า งในสมั ย พญายี พญาหั ว เคี ย นและพญา เมืองตู้ ครองเมืองพะเยา พ.ศ. ๒๐๖๗-๒๒๓๔ พระครูบาเจ้าศรีวิชัย ได้บูรณปฏิสังขรณ เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๔๖๖
๒๖๓
อนุสรณสถานที่บรรจุอัฐิสวนศีรษะของพระครูบาเจ้าศรีวิชัย ณ วัดศรีโคมคํา อ.เมือง จ.พะเยา สร้างตรงโฮงหลวง (กุฏิใหญ) ที่พํานัก เมื่อคราวบูรณะวัดพระเจ้าตนหลวงทุงเอี้ยงเมืองพะเยา
๒๖๔
จั ง หวั ด เชี ย งราย เหนือสุดยอดในสยาม อรามดอยตุง ผดุงคุณธรรม เลิศลํ้าขาวสาร หอมหวานลิ้นจี่ สตรีโสภา ชาเลิศรส สับปะรดนางแล
วั ด พระธาตุ ด อยตุ ง พระครู บ าเจ้ า ศรี วิ ชั ย บู ร ณปฏิ สั ง ขรณ พ.ศ.๒๔๗๐ เปนพระธาตุทบี่ รรจุพระบรมสารีรกิ ธาตุพระรากขวัญเบือ้ งซ้าย
๒๖๕
จั ง หวั ด แพร หมอฮอม ไมสัก ถิ่นรักพระลอ พระธาตุชอแฮศรีเมือง ลือเลื่องแพะเมืองผี คนแพรมีนํ้าใจงาม
วัดพระธาตุชอ แฮ เปนพระธาตุคบู า้ น คูเ มืองของจังหวัดแพร บรรจุ พระบรมสารีริกธาตุ เปนพระธาตุประจําปเกิดของพระครูบาศรีวิชัย ทาน มาบูรณะเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๗
๒๖๖
จั ง หวั ด ลํ า ปาง
ถานหินลือชา รถมาลือลั่น เครื่องปนลือนาม งามพระธาตุลือไกล ฝกชางใชลือโลก
วัดพระแก้วดอนเต้า เปนพระอารามหลวงคูบ้านคูเมืองจังหวัด ลําปางบูรณะโดยพระครูบาเจ้าศรีวิชัย
๒๖๗
เสาศิลาจารึกสถานที่กําเนิดพระครูบาเจ้าศรีวิชัยวันอังคารที่ ๑๑ มิถนุ ายน พุทธศักราช ๒๔๒๐ ปขาล เวลาประมาณ ๑๘.๑๙ น. สร้างถวายเปน สังฆบูชาโดยครอบครัวของทานอุบาสกกวงเม้ง ทานอุบาสิกาปติอร แซเล้า
๒๖๘
สมเด็ จ พระมหาสมณเจ้ า กรมพระยาวชิ ร ญาณวโรรส พระสังฆราชเจ้าองคที่ ๑๐ แหงกรุงรัตนโกสินทร
๒๖๙
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห วั ทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมโอรสาธิราชฯ เสด็จพระราชดําเนินแทนพระองคในงานพิธยี กฉัตรทองและทรงเปดปาย พิพิธภัณฑ พระครูบาเจ้าศรีวิชัย วัดบ้านปาง อ.ลี้ จ.ลําพูน วันที่ ๑๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๗
๒๗๐
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงประกอบ พิธียกชอฟามณฑปครอบสถูปอนุสาวรียพระครูบาเจ้าศรีวิชัย วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ ๒๕๓๕
๒๗๑
สมเด็ จ พระบรมโอรสาธิ ร าชฯ สยามมกุ ฎ ราชกุ ม าร เสด็ จ พระราชดําเนินแทนพระองค ในการสรงนํ้าพระบรมสารีริกธาตุกอน อัญเชิญขึ้นประกอบพิธีบรรจุในเจดียทองยอดมณฑปพิพิธภัณฑ
ตอต้นดอกจําปหลวงกลางหมูบ้าน ที่พระครูบาเจ้าศรีวิชัยชอบนั่งเลนในวัยเด็ก
๒๗๒
ภิกษุอานันท พุทธธัมโม นมัสการรูปเหมือนพระครูบาเจ้าศรีวิชัย ภายในหอพระครู บ าเจ้ า ศรี วิ ชั ย วั น ฉลองพิ พิ ธ ภั ณ ฑ แ ละถวายเครื่ อ ง อัฏฐบริขาร ๑.๐๐๐ ชุด แดพระสงฆ ๑,๐๐๐ รูป
ศาลหมื่นผาบ ใจกลางหมูบ้านซึ่งหมื่นผาบเปนปูทวดของ พระครูบาเจ้าศรีวิชัยเปนผู้บุกเบิกและตั้งรกรากบ้านปาง
๒๗๓
บอนํ้าและอุโบสถกลางนํ้า ที่พระครูบาเจ้าศรีวิชัยและพระสงฆ ทําสังฆกรรมในวัดบ้านปาง อยูใกล้กับศาลหมื่นผาบ
คุณแมงวงอิง แซโง้ว คุณแมของอุบาสกกวงเม้ง แซเล้า ผู้ถวายที่ดิน สร้างถนน ในวันเปดถนนศรีวิชัยตรงหน้าวัดบ้านปาง วันที่ ๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๓๖ ตรงกับวันมาฆบูชา
๒๗๔
อั ฏ ฐบริ ข าร เสนาสนะ และสิ่ ง ของต า ง ๆ ในพิ พิ ธ ภั ณ ฑ
เครื่องอัฏฐบริขาร
๒๗๕
ตู้กังสดาลหนังจัมขัน สําหรับนั่งสมาธิ และลูกคิด นาฬกา
๒๗๖
แทนวางคัมภีร เก้าอี้ผ้าใบ ตะเกียง และกานํ้าชา
๒๗๗
โตะนั่งเขียน (จาร) ธรรมใบลาน
โตะหวายที่ใช้พักผอนอิริยาบถ
๒๗๘
โตะรับแขก
เสลี่ยงที่ศิษยานุศิษยใช้หามพระครูบาเจ้าศรีวิชัย
๒๗๙
เตียงนอนพร้อมผ้าปูลายเสือ ผ้ารองหมอนถักรูปเสือ
รถเถ้าแกโหงว
๒๘๐
รูปหุนขี้ผึ้งพระครูบาเจ้าศรีวิชัย ในพิพิธภัณฑวัดบ้านปาง
๒๘๑
หุนรูปเหมือนหุนขี้ผึ้งพระครูบาเจ้าฯ ในปราสาทหินออน สถานที่มรณภาพ วัดบ้านปาง
ตู้รดนํ้าลายทองที่เก็บรักษาพระไตรปฎกฉบับลานนาไทย โดยสร้างไว้ที่วัดบ้านปาง
๒๘๒
๑. พระบรมสารีริกธาตุในพระเจดียโบราณ วัดร้างบ้านปาง ๒-๓. แรหินกายสิทธิ์อยูหีบเหล็กของพระครูบาเจ้าฯ ๔. อัฐิสวนศีรษะของพระครูบาเจ้าศรีวิชัย
๒๘๓
หอยสังขโบราณของพระครูบาเจ้าฯ สําหรับใช้กรวดนํ้า แผเมตตา
๒๘๔
เส้นผมพระครูบาเจ้าฯ ได้จากญาติในบ้านปาง
ฝามือ ฝาเท้าของพระครูบาเจ้าฯ ประทับไว้ คราวบูรณะพระเจ้าตนหลวงเมืองพะเยา
๒๘๕
ถายที่ต้นชบาบนวัดพระธาตุจอมทอง คราวฉลองพระวิหาร วัดพระเจ้าตนหลวง เมืองพะเยา อายุ ๔๕ ป
๒๘๖
ถายที่ต้นชบาบนพระธาตุจอมทอง อายุ ๔๖ ป
๒๘๗
ถายบริกรรมลูกประคํา ที่วัดพระสิงห จ.เชียงใหม อายุ ๕๐ ป
๒๘๘
ถายที่วัดเบญจมบพิตร คราวถูกกลาวหาครั้งที่ ๔ อายุ ๕๘ ป
๒๘๙
ถายที่ใต้ต้นมะมวงปา บริเวณวัดศรีโสดา อายุ ๕๘ ป ยืนข้างคือ สามเณรแพรบุญยืน (ภายหลังได้เปนเจ้าคณะอําเภอบ้านโฮง เปนเจ้า อาวาสวัดบ้านโฮง เมืองลําพูน) จากบ้านห้วยกาน เปนสามเณรอุปฎ ฐาก
๒๙๐
ถายที่ศาลาบําเพ็ญบุญ วัดบ้านปาง อายุ ๕๙ ป
๒๙๑
ถายที่วัดจามเทวี จ.ลําพูน คราวมารักษาอาการอาพาธ โรคริดสีดวงทวาร อายุ ๖๐ ป
๒๙๒
พระพุทธรูปพระเจ้าฝนแสนหา พระคูบารมีที่ได้จากวัดศรีโคมคํา (พระเจ้าตนหลวง เมืองพะเยา)
๒๙๓
พระพุทธรูปซึง่ พระครูบาเจ้าฯ ปน ขึน้ เองโดยนําข้าวชีวติ (ข้าวทีร่ บั บิณฑบาตแล้วไมฉัน) น้อมถวายเปนพุทธบูชา พร้อมตั้งจิตสัจจะอธิษฐาน อดข้าวอดอาหาร เมื่อถวายเสร็จก็นําไปตากแล้วตําให้ละเอียดพร้อมกับ ขี้ชันที่บดเปนผงแล้วนํามาผสมกัน ใสนํ้ามันต้มให้เหนียวพอปนได้ ทิ้งไว้ ให้เย็นจึงนํามาปนเปนองคพระพุทธรูป ซึ่งพระครูบาเจ้าศรีวิชัยเทิดทูน กราบไหว้ ถวายสักการบูชา เปนพุทธานุสติประจําองคทาน สวนรูปเสือ ที่ฐานพระเปนนามปขาล ที่ทานเกิด
๒๙๔
ถายเมื่อจะเริ่มสร้างวัดจามเทวีเมืองลําพูนขณะอายุ ๕๘ ป
๒๙๕
พระครูบาเจ้าศรีวิชัยถายรูปในพระอุโบสถ วัดพระสิงหวรมหาวิหาร ด้านทิศเหนือซุ้มมณฑป
ภาพพระครูบาเจ้าศรีวิชัยถายพร้อมคณะศรัทธาสาธุชน ที่หน้าวัดพระสิงหหลวง นครพิงคเชียงใหม
๒๙๖
ปราสาทเงิน ปราสาททอง ที่เก็บรักษาเขี้ยวแก้วพระครูบาเจ้าศรีวิชัย พุทธสถาน วัดพระธาตุแสงแก้วมงคล อ.ดอกคําใต้ จ.พะเยา
๒๙๗
สถูปปราสาทหินออน สถานที่มรณภาพ และบรรจุอัฐิธาตุของพระครูบาเจ้าศรีวิชัย วัดบ้านปาง
๒๙๘
ปราสาทหินออนครอบสถูปที่บรรจุอัฐิธาตุพระครูบาเจ้าฯ
๒๙๙
ภาคผนวก ฉ
เขี้ยวแกวพระครูบาเจาศรีวิชัย
หลุดที่วัดพระสิงหหลวง นครพิงคเชียงใหม สามเณรทา น้องคนสุดท้องของพระครูบาเจ้าฯ เปนผู้เก็บรักษา ภายหลังทายาทได้มอบให้ ภิกษุอานันท พุทธธัมโม
๓๐๐
ประวั ติ ภิ ก ษุ อ านั น ท พุ ท ธธั ม โม เกิดวันศุกร ที่ ๑๔ เดือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๙๓ ปขาล บิดาชื่อ นายมูล ฟองแก้ว มารดา ชื่อ นางบุตร ฟองแก้ว เกิดที่บ้านญาติขณะที่ มารดาเดินทางไปชวยเตรียมงานบุญวันสงกรานต (วันพญาวัน) วันนั้นมี พายุลมฝนตกหนักและนานมาก จนนํา้ นองเต็มทารองช้าง นับเปนประวัตกิ ารณ เปนบุตรคนโตในจํานวน ๙ คน เชือ้ ชาติไทย อาชีพเกษตรกรรม วิทยฐานะ ประถม ๔ ภูมิลําเนาบ้านบุญโยชน ตําบลดอกคําใต้ อําเภอพะเยา จังหวัดเชียงราย การเขาสูรมกาสาวพัสตร บรรพชาเปนสามเณรครั้งแรก พ.ศ. ๒๕๐๘ เมื่ออายุ ๑๕ ปได้ ๑ พรรษา บรรพชาเปนสามเณรครั้งที่ ๒ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๒ อายุ ๑๘ ป อุปสมบทเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๘ อายุ ๒๔ ป โดยมีพระครูสุวรรณภิรักษเปน พระกรรมวาจาจารย พระครูอนุรักษจารุธรรม เปนพระอนุสาวนาจารย การเข้ า สู ก ารบรรพชาอุ ป สมบททุ ก ครั้ ง มี พ ระครู ปุ ญ ญาลั ง การเป น พระอุปชฌาย ซึ่งเปนศิษยท่ี พระครูบาเจ้าศรีวิชัยเปนผู้บรรพชาและ อุปสมบทให้ บําเพ็ญสมณธรรมและปฏิบัติศาสนกิจ เมื่ออายุ ๑๙ ป ได้จําพรรษาที่วัดสวนโมกขพาลาราม อําเภอไชยา จังหวัด สุราษฎธานี เปนสามเณรอุปฏฐากทานพอพุทธทาส อินทปญโญ ๕ พรรษา พ.ศ. ๒๕๑๗ กลับสูภูมิลําเนา อําเภอดอกคําใต้ จังหวัด พะเยา โดยพํานักอยูในปาอันเปนที่ต้ังของหอบูรพาจารย ภายในบริเวณวัด พระธาตุแสงแก้วมงคล ๓ พรรษา
๓๐๑
พ.ศ. ๒๕๒๑ พ.ศ. ๒๕๓๑ พ.ศ. ๒๕๓๕ พ.ศ. ๒๕๓๖ พ.ศ. ๒๕๔๐ พ.ศ. ๒๕๕๔
บูรณะกอสร้างวัดพระธาตุแสงแก้วมงคล อําเภอ ดอกคําใต้ จังหวัดพะเยา สร้างพิพธิ ภัณฑ พระครูบาเจ้าศรีวชิ ยั วัดบ้านปาง อําเภอลี้ จังหวัดลําพูน บูรณะพระวิหารพระพุทธบาท ๔ รอย อําเภอแมรมิ จังหวัดเชียงใหม บูรณะฐานอนุสาวรียพ ระครูบาเจ้าศรีวชิ ยั และสร้าง เสาศิลาจารึก ทีเ่ ชิงดอยสุเทพ อําเภอเมือง จังหวัด เชียงใหม สร้างอนุสาวรียพ ระครูบาเจ้าศรีวชิ ยั ขนาดหน้าตัก ๖ ศอก ณ วั ด ศรี ชุ ม ประชา อํ า เภอป า แดด จังหวัดเชียงราย สร้างอนุสาวรียพระครูบาเจ้าศรีวิชัย ขนาด ๓ เทา องคจริงทางเดินขึน้ สูพ ระธาตุดอยตุง ณ วัดเชิงดอย อําเภอแมสาย จังหวัดเชียงราย
ปจจุบนั (พ.ศ. ๒๕๕๔) สังกัดวัดพระธาตุแสงแก้วมงคล ตําบลสันโค้ง อําเภอดอกคําใต้ จังหวัดพะเยาโดยมีพระบุญมี ปุญญคโม (ศิษย) เปน เจ้าอาวาส ภิกษุอานันท พุทธธัมโม เปนประธานสงฆได้บริหารและสงเสริม กิจกรรมทางพระพุทธศาสนาในโอกาสสําคัญตาง ๆ โดยจัดให้มีการ ปฏิบัติธรรม ฟงธรรมเทศนาปละหลายหน ภายในอาวาสมีองคพระธาตุ แสงแก้วมงคล พระอุโบสถ พระวิหารพุทธบาทแก้วดอกบัวขาวและจําลอง สังเวชนียสถาน (อินเดียน้อย) ๔ แหงในประเทศอินเดียและเนปาล คือ จําลองสวนลุมพินีสถานที่ประสูติ จําลองพระเจดียพุทธคยาสถานที่ตรัสรู้ จําลองพระมหาสถูปธัมเมกขเจดียสถานที่แสดงปฐมเทศนาเปนที่กําเนิด
๓๐๒
พระรัตนตรัย จําลองพระมหาสถูปปาวาลเจดียสถานที่ปรินิพพาน จําลอง พระเวฬุวนาราม (สวนไผ) วัดแหงแรกเมืองราชคฤห จําลองพระคันธกุฎี ยอดเขาคิชฌกูฎเมืองราชคฤห จําลองพระคันธกุฎที เี่ ชตวนารามเมืองสาวัตถี จําลองสถูปสาญจี (ซึ่งเปนแบบพระเจดียในพระพุทธศาสนา เปนหนึ่งใน มรดกโลกของประเทศอินเดีย) สร้างหอบูรพาจารย สร้างอาศรมโมกขธรรมอยู หุบเขา สร้างโรงเจศรีอริยเมตไตรยสถานที่ประดิษฐานพระมหาโพธิสัตว กวนอิมโบราณวัตถุเกาแกลาํ้ คาจากประเทศจีนและประดิษฐานพระศรีอริย เมตไตรยสร้างหอปรมาจารยโพธิธรรม (ตัก๊ ม้อไต้ซอื ) สร้างอุโมงคกายสิทธิ์ คุณแมศรีบุตร ฟองแก้ว พร้อมทั้งเสาศิลาจารึกของพระเจ้าอโศกมหาราช เพื่อให้เปนสถานที่ศึกษาประวัติศาสตรพระพุทธศาสนาให้ได้บรรยากาศ การปฏิบัติและเผยแพรธรรม ตามรอยพระพุทธบาทองคพระบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้เปนศูนยรวมการบริหารจัดการภายในวัดและ บําเพ็ญสาธารณประโยชนแกสังคม
๓๐๓
อั น เนื่ อ งจากนิ มิ ต ....การบู ช าพระครู บ าเจ า ศรี วิ ชั ย ภิกษุอานันท พุทธธัมโม เมื่อบวชเปนสามเณรในพรรษาแรกข้าพเจ้าจะชอบนั่งสมาธิอยูใน มุมสงบภายในวัด และทุง นาหลังเก็บเกีย่ วในยามแดดรมลมเย็นเปนประจํา และนัง่ กัมมัฏฐานในปาช้า ยามคํา่ คืนมีอยูว นั หนึง่ เวลาประมาณ ๑๕.๐๐ น. เข้าไปอุโบสถของวัดศรีชุมซึ่งอยูระหวางการกอสร้าง (อยูอําเภอดอกคําใต้ จังหวัดพะเยาเปนวัดสังกัดครัง้ แรก) กราบพระประธานแล้วนัง่ สมาธิภาวนา ได้นิมิตเห็นพระภิกษุสูงอายุมาครอบตัวแล้วบอกวา “ทานคือพระครูบาศรีวิชัย สิริวิชโย” ขณะนั้นเห็นตัวเองเปน ภาพโปรงแสงมีภาพพระครูบาเจ้าศรีวิชัยซ้อนอยูแล้วหลุดลอยสูเบื้องบน เปนความปติ ปราโมทย เบากาย เบาใจ เหมือนหลุดไปจากโลก เปนภาพ ที่ประทับใจ จนรู้สึกตัวกลับอยูในทานั่งสมาธิเกิดความปลื้มปติอยางมาก กราบพระประธานแล้วแผเมตตาระลึกถึงพระครูบาเจ้าศรีวชิ ยั หลังจากนัน้ เมือ่ นึกถึงนิมติ ครัง้ ใดจะเกิดความรูส้ กึ ปติ และอบอุน ใจอยางมากตัง้ แตนนั้ เกิดอาการเบื่อเนื้อสัตว รับประทานอาหารที่ไมเจือด้วยเลือดเนื้อ และเริ่ม รับประทานอาหารเจ แรก ๆ รางกายปรับตัวไมทนั เกิดความออนเพลียและ ผอมจนพระเณรกลาววา “เณรนันทคงจะต้องตายไมพ้นพรรษานี้แน” ถึงกระนัน้ ไมยอ ท้อตัง้ จิตอธิษฐานถึงพระครูบาเจ้าศรีวชิ ยั ไหว้พระสวดมนต นั่งสมาธิภาวนายิ่งขึ้น โดยเฉพาะใต้ต้นโพธิ์หน้ากุฏิที่น่ังสมาธิเปนประจํา กลางวันแดดร้อนก็ทนตากแดดบางวันเจอฝนก็นั่งตากฝน บางวันพระเณร พากันล้อวานัง่ สมาธิเปนผูว้ เิ ศษขนาดไหนพากันอุม้ โยนลงสระนํา้ หัวเราะกัน
๓๐๔
เพราะเห็นวาข้าพเจ้าวายนํา้ ไมเปน ในทีส่ ดุ ต้องกระโดดนํา้ ลงไปชวยดึงแขน ขึ้นโดยไมรู้สึกโกรธเกลียดเพื่อนเณรด้วยกัน ภายในพรรษานั้นมีเห็ดจั่น (คล้ายลักษณะเห็ดโคน) ออกใต้ตน้ โพธิใ์ ห้ฉนั เปนประจําบางครัง้ ออกนอก ฤดูกาลให้ฉันอยูบอยๆ สืบทราบวาหลังจากไมได้อยูที่วัดศรีชุมเห็ดจั่น ไมเคยออกอีกเลย กระทั่งอุปสมบทได้ ๙ พรรษา อายุได้ ๓๕ ป พุทธศักราช ๒๕๒๗ ขณะบูรณะปฏิสงั ขรณ วัดพระธาตุแสงแก้วมงคล ๙ ป มีความคิดอยากสร้าง รูปพระครูบาเจ้าศรีวิชัยได้กราบไหว้ตามมโนภาพ พอสร้างเสร็จมีคนนํา เส้นผมมาถวาย หลังจากนั้น ๓ วัน นายสุกิจจา กรุณานนท นายอําเภอ ดอกคําใต้ (ขณะนัน้ ) มาเยีย่ มวัดแล้วเห็นรูปของพระครูบาเจ้าศรีวชิ ยั ทีก่ าํ ลัง ปนใหมเกิดความศรัทธานําเอาอัฐิมาถวาย (ได้จากเจ้าอาวาสวัดห้วยกาน อําเภอบ้านโฮง จังหวัดลําพูน สมัยเปนปลัดอําเภออยูท น่ี น่ั ) ตอมาประมาณ ๑ เดือน อาจารยระวี ตันเครือ นําผ้าประทับรอยมือรอยเท้าพระครูบาเจ้า ศรีวิชัยเมื่อบูรณะวัดพระเจ้าตนหลวงเมื่อ พุทธศักราช ๒๔๖๖ มาถวาย พอถึ ง กํ า หนดทํ า บุ ญ ฉลองสมโภชรู ป เหมื อ นพระครู บ าเจ้ า ศรี วิ ชั ย พระครูบาธรรมชัย วัดทุง หลวง อําเภอแมแตง จังหวัดเชียงใหม เปนประธาน พิธีสงฆบรรจุเส้นเกศา อัฐิ และผ้าประทับรอยมือรอยเท้าในรูปเหมือน พระครูบาเจ้าศรีวิชัย (ขนาดเทาองคจริง) วันที่ ๑๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘ ขณะทําวัตรคํา่ แล้วนัง่ สมาธิ ภาวนาอยูในพระอุโบสถ เวลาประมาณ ๒๑.๓๐ น. ขณะนั่งสมาธิมีเสียง กระซิ บ ข้ า งหู แ ล้ ว บอกว า ให้ ส ร้ า งรู ป เหมื อ นพระครู บ าเจ้ า ศรี วิ ชั ย ในพระอุโบสถด้านประตูขา้ งให้ใหญทสี่ ดุ เทาทีอ่ าคารรองรับได้ และให้สร้าง ในขณะนั้น พอออกจากสมาธิได้บอกให้พระเณรและเด็กวัด ชื่อนายสงา สมฤทธิ์ ซึง่ เปนชางได้ลงมือวางผังโครงสร้างในคืนนัน้ การกอสร้างเปนการ
๓๐๕
กออิฐเสริมเหล็กหน้าตักกว้าง ๕ ศอก ภายในบรรจุ อัฐิสวนศีรษะ เส้นผม ฟน และเล็บมือของพระครูบาเจ้าศรีวิชัย (ภายหลังได้ปดทองเปลวโดย พระวิชัย ธัมมชโยและพระอุทิตย ธัมมจักโก) พอเสร็จจึงกําหนด วันฉลอง สมโภชมีผเู้ ฒาผูแ้ กหลายทานขอบวชในงานพิธใี นจํานวนนัน้ มีนายแก้ว มา จากจังหวัดลําปาง พร้อมกับเลาประวัติให้ฟงวาเคยอยูกับครูบาเจ้าศรีวิชัย ตั้งแตอุปสมบทในวัดพระสิงห อําเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม และติดตาม จนทานมรณภาพ จากนั้นไมนานได้ลาสิกขาและขอบวชในงานสมโภชรูป พระครูบาเจ้าฯ ภายหลังได้เปนเจ้าอาวาสวัดพระธาตุแสงแก้วมงคลป พ.ศ. ๒๕๓๐-๓๖ จึงถือวาเปนสือ่ อันเปนมงคลถึงญาณวิถขี องพระครูบาเจ้าศรีวชิ ยั ปพุทธศักราช ๒๕๒๙ พออาจารย ปรีชา แมอาจารยวารุณี เดินทางจากจังหวัดเชียงรายและมาเยี่ยมที่วัดเห็นรูปเหมือนพระครูบาเจ้า ศรีวชิ ยั จึงคุยกันถึงเรือ่ งราวของทานและชวนกันไปชมวัดบ้านปางถิน่ กําเนิด ของพระครูบาเจ้าศรีวิชัย พอไปถึงเห็นสภาพวัดกึ่งอยูก่ึงร้างเงียบวังเวง วันนัน้ ไมมพี ระเณรอยูท ว่ี ดั ดูรอบบริเวณวัดตัง้ แตพระเจดีย พระวิหาร สถูป พระครูบาเจ้าศรีวิชัยอยู สภาพหมนหมองและกุฏิ ๒ ชั้น สร้างด้วยไม้ เสา หลอคอนกรีตเสริมเหล็กจํานวน ๘๒ ต้น หลังคามุงด้วยสังกะสีอยางดี จึงขึ้นบันไดด้านหน้ากุฏิ ชั้นสองเห็นไม้ลายฉลุหน้ามุขชํารุดทรุดโทรม เกิดความสงสารพระครูบาเจ้าฯ อยางมากเข้าไปดูช้ันในไมได้เพราะ ปดกุญแจใหญ ถึง ๒ ลูก ลงมาชั้นลางเห็นมีบันไดด้านทิศเหนือ พากัน ขึน้ ไปเห็นบานประตูปด จึงตัง้ จิตอธิษฐานวา ถ้ามีบญ ุ บารมีได้มาชวยบูรณะ ฟนฟูวัดบ้านปางขอให้เปดประตูได้ จึงผลักประตูก็เปดได้อยางงายดาย เข้ า ไปชั้ น ในอี ก ก็ เ ป ด ประตู ไ ด้ เช น กั น สํ า รวจภายในเห็ น หลั ง คารั่ ว พื้นกระดานผุหลายแหง จึงปรึกษาพออาจารยปรีชาวา “อาตมาคงจะมี วาสนากับพระครูบาเจ้าศรีวชิ ยั ถ้าจะได้ฟน ฟูเสนาสนะ” หลังจากนัน้ พากัน
๓๐๖
ออกจากวัดบ้านปางมาที่ตัวอําเภอลี้ โดยพออาจารยปรีชาพูดวามีคนรู้จัก ที่ตัวอําเภอลี้ จึงทําหนังสือขอบูรณปฏิสังขรณ พระเจดียวิหาร กุฏิของวัด บ้านปางโดยคนที่รู้จักนําหนังสือดังกลาวให้เจ้าอาวาสและคณะกรรมการ ตอมาประมาณหนึง่ เดือนได้รบั จดหมายจากวัดบ้านปางวายินดีให้ ไปบูรณปฏิสงั ขรณ จึงได้บอกญาติโยมทีน่ บั ถือให้รว มบริจาคได้ปจ จัยหลาย หมื่นบาท จึงนัดชาวบ้านที่เปนชางไม้ ชางปูนและอื่นๆ รวบรวมข้าวปลา อาหารชาวบ้านร้านตลาดที่รวมบริจาคโดยมีรถ ๖ ล้อของคุณพอบุญเหลือ คุณแมสมศรี รัตนรังษี บรรทุกคน และข้าวของไปวัดบ้านปาง เข้ากราบ พระประธานและเจ้าอาวาสแจ้งวัตถุประสงคตามหนังสือขอและตอบรับ พร้อมเข้าพักในพระวิหารและตั้งจิตสัจจอธิษฐานให้เห็นนิมิตที่เปนมงคล ในคืนนี้ ขณะนอนหลับรู้สึกครึ่งหลับครึ่งตื่นเห็นนิมิตเปนเทพเทวบุตร เทวดา มากันจํานวนมาก บ้างเฝาดูแล บ้างกั้นฝาเพดาน บ้างคอยพัดวี ขณะนั้นรู้สึกมีความสุข อบอุนใจ คงด้วยอานุภาพเทพยดาเจ้าอภิบาล ด้วยบรรยากาศอันเปนทิพย คืนนั้นบรรยากาศฝนตกปรอยๆ มีความสุข และรู้สึกเวลายาวนานมาก พอรุงเช้าชําระรางกายล้างหน้าล้างตาพา พระเณรสวดมนตเจริญจิตภาวนาแผเมตตา เมื่อยามสายเลาเรื่องนิมิตที่ ผานมาให้คณะฟง ตางคิดเปนนิมิตที่ดีจึงเริ่มซอมแซมพระเจดีย ปดทอง ยอดฉัตรและปลีพระเจดีย ทําความสะอาด ทาสี ซอมแซมเสนาสนะและกุฏิ (โฮงหลวงในปพทุ ธศักราช ๒๕๒๙) ใช้เวลาทัง้ หมด ๑๙ วัน แล้วพากันเดิน ทางกลับจังหวัดพะเยา พอปลายป พุทธศักราช ๒๕๓๐ พระครูบาเจ้าศรีวิชัยมาเข้าฝนใน นิมติ แล้วพูดวาทีม่ าหานีข้ อให้ชว ยเก็บข้าวของทีว่ ดั บ้านปางทีก่ ระจัดกระจาย อยูหลายที่หลายแหงและบอกวาข้าพเจ้าผู้เดียวที่ทําได้ หลังจากนั้นจึงเดิน ทางไปวัดบ้านปาง ซึ่งเจ้าอาวาสองคเดิมลาสิกขา พระมหาจรูญ สุจิตโตได้
๓๐๗
รับการแตงตัง้ ให้รกั ษาการเจ้าอาวาส จึงเรียนให้ทราบถึงวัตถุประสงคทจี่ ะ สร้างพิพิธภัณฑเก็บอัฏฐบริขารและเสนาสนะของพระครูบาเจ้าศรีวิชัย แต ได้รับการปฏิเสธ แล้วพูดขึ้นวา “ถ้าเปนคนอื่นถึงจะติดปกบินมาก็คงรับ ไมได้” พยายามพูดให้เข้าใจแตทา นก็ยนื กรานปฏิเสธ จึงกลับพะเยาคิดหา วิธีเจรจาอีกครั้ง หลังจากนั้นครึ่งเดือนจึงพาศรัทธาชาวบ้านจากอําเภอดอกคําใต้ เหมารถเมล ๑ คันไปวัดบ้านปางและไปกราบศพพระครูบาธรรมชัยที่ วัดทุงหลวง อําเภอแมแตง จังหวัดเชียงใหม กอนไปเคารพศพได้ไปพบ ผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดบ้านปาง พยายามพูดจาหวานล้อมให้เข้าใจ ทานจึงไมกล้าปฏิเสธแตขอปรึกษากับคณะกรรมการและศรัทธาชาวบ้าน ก อ นแล้ ว จะแจ้ ง ให้ ท ราบภายหลั ง สั ง เกตจากสี ห น้ า กิ ริ ย าท า ทาง การแสดงออก ทานคงไมรับปากเพียงแตออกตัวเพื่อไมให้เสียมารยาท ได้เวลาพอสมควรจึงลากลับเพราะต้องไปกราบศพครูบาธรรมชัย ที่อําเภอ แมแตง ระหวางนั่งรถก็คิดหนักตลอดเวลาถึงอุปสรรคที่เผชิญอยู เมื่อถึง อําเภอปาซาง เครื่องยนตเกิดติดขัดแตก็ประคองรถไปได้เรื่อยๆ จนถึง อําเภอเมือง หน้าอนุสาวรียพ ระนางเจ้าจามเทวีกษัตริยต รีแหงนครหริภญ ุ ชัย รถก็ดับตรงหน้าอูรถในตอนเย็นจึงขอเจ้าของอูชวยซอมให้ บรรยากาศเข้ า สู ฤ ดู ห นาวหมู ค ณะจึ ง จุ ด ไฟผิ ง พร้ อ มนั่ ง คุ ย กั น ข้าพเจ้ารูส้ กึ ออนเพลียมากจึงขึน้ นอนบนรถอีกคันหนึง่ ทีอ่ ยูใ นอูแ ล้วหลับไป ฝนเห็นผูห้ ญิงหน้าตาเหีย่ วยนแล้วบอกวา “ทานจะทําอะไรให้ครูบาศรีวชิ ยั ก็ทําไปเลยไมต้องหวั่นเกรงอะไรทั้งนั้น พระแมจะดูแลชวยเหลือทาน ทุกประการ” พอพูดจบก็หายไปทําให้สะดุ้งตื่นนึกทบทวนนิมิตที่ผานไป และเข้าใจวาสุภาพสตรีทานนี้ต้องเปนพระแมเจ้าจามเทวี ขณะนั้นเวลา เที่ยงคืนชางซอมรถเสร็จพอดีจึงได้ขอบคุณชางที่ซอมจนเสร็จและเดินทาง
๓๐๘
ไปวั ด ทุ ง หลวง เมื่ อ นึ ก ถึ ง นิ มิ ต เกิ ด เป น พลั ง อย า งยิ่ ง ใหญ เ ก็ บ ไว้ เ ป น ความรู ้ สึ ก เพี ย งผู ้ เ ดี ย ว จนกระทั่ ง ถึ ง วั ด ทุ ง หลวงจึ ง หาที่ พั ก หลั บ นอน พอสวางจึงเลาเรื่องให้คณะฟงวาเมื่อคืนที่ผานมาได้นิมิตเห็นพระแมเจ้า จามเทวีมาหาให้พรเกิดแรงบันดาลใจในการสร้างงานพระครูบาเจ้าศรีวชิ ยั พระแมเจ้าจามเทวีได้ให้พลังอํานาจเปนกําลังใจอันยิ่งใหญสูความสําเร็จ มิให้ท้อถอยตออุปสรรค ขณะที่นั่งคุยกัน แมอนงคซึ่งเปนชาวกรุงเทพได้ มาพักและดูแลพระสงฆในวัดทุงหลวงได้ยินเรื่องราวและเกิดความสนใจ จึงพูดกับแมอนงควาอยากทําจีบหมากจีบพลู ซึ่งก็รับปากและนําผลไม้ ไปถวายพระแมเจ้าจามเทวีเพื่อเปนการบอกกลาวให้ทานรับทราบถึงนิมิต ในคืนที่ผานมา หลังจากนัน้ การประสานงานสร้างพิพธิ ภัณฑฯ ทีว่ ดั บ้านปางสําเร็จ ทุกขั้นตอน เริ่มการกอสร้างทั้งๆ ที่มีเงินซื้อเหล็กทําเสาแคต้นเดียวแตก็มี ความมั่นใจในงานที่ทํา ขณะเดียวกันได้นิมนตพระสงฆ ๕๓ จังหวัดอยู ปริวาสกรรมจํานวน ๓๐๐ รูปชวยสวดมหาชัยยะมงคลยกเสาเอกในวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ.๒๕๓๑ โดยมีพระครูพิพัฒคณาภิบาล วัดรํ่าเปง จังหวัด เชียงใหม เปนประธาน ระหวางงานสร้างพิพิธภัณฑ มีอยูวันหนึ่งเวลาประมาณ ๑๑.๐๐ น. อากาศร้อนอบอ้าวจึงยืนดูชางทํางานอยู อยากเดินไปทางบันไดนาคทาง ทิศเหนือโดยไมมีจุดหมาย เดินไปเรื่อยๆ ถึงสนามหญ้าข้ามอีกฟากหนึ่ง เจอโยมผู้ชายนําวัวลามกินหญ้า พอเห็นข้าพเจ้าก็กวักมือเรียกแล้วพาไปดู เศษอิฐเศษปูนโบราณและบอกวาตรงนี้เปนวัดมากอน เมื่อพระครูบาเจ้า ศรีวชิ ยั บวชเณรกับพระครูบาขัตยิ ะก็บวชตรงนี้ และไมนานมานีผ้ ใู้ หญบา้ น เอารถมาไถปรับพืน้ ทีม่ ชี าวบ้านเจอผอบทองเหลืองขนาดยอมฝาปดมิดชิด คอยๆ แกะเห็นข้างในมีแก้วมรกต ๑ เม็ด แก้ววิฑูรนํ้าผึ้ง ๑ เม็ดกับ
๓๐๙
เม็ดทรายจํานวนหนึ่ง ข้าพเจ้าทราบทันทีวาตรงนี้เปนที่ประดิษฐาน พระเจดีย และเข้าใจวาเม็ดทรายนั้นต้องเปนพระบรมสารีริกธาตุ จึงให้ ชาวบ้านบอกคนที่พบและนํามาให้ดูเห็นเปนพระบรมสารีริกธาตุจํานวน ๑๕ องค จึงขอกับชาวบ้านแล้วนําขึ้นบนวัดบ้านปาง จากบรรยากาศร้อน อบอ้ า วมาหลายวั น ก็ ก ลายเป น ร ม เย็ น มี ฝ นตกปรอยๆ ตกๆ หยุ ด ๆ สลับกันรวมเดือน ในชวงที่สร้างพิพิธภัณฑจัดให้มีงานพิธีน้อมรําลึกถึงพระครูบาเจ้า ศรีวิชัยครบรอบวันเกิด ๑๑ มิถุนายน และครบรอบวันมรณภาพ ๒๑ กุมภาพันธ เปนประจําทุกป จัดแตละครั้งต้องถวายดอกบัว ๑,๐๐๐ ดอก และจั ด ให้ มี ก ารปฏิ บั ติ ธ รรม แสดงธรรมบารมี ๑๐ ทั ศ ๑๐ กั ณ ฑ นอกจากนีไ้ ด้ตดิ ตามสิง่ ของพระครูบาเจ้าศรีวชิ ยั ทีเ่ คยใช้เมือ่ ยังมีชวี ติ อยูแ ละ ระหวางงานศพ เชน ปราสาท ๕ ยอดจากวัดสวนดอก จังหวัดเชียงใหม โลงศพจากวัดจามเทวีและสิ่งอื่นๆให้มารวมอยูในพิพิธภัณฑและสร้าง สถานที่ที่เกี่ยวกับพระครูบาเจ้าศรีวิชัยภายในวัดและหมูบ้านตรงสถานที่ กําเนิด ในทีส่ ดุ ได้ทาํ บุญฉลองสมโภชเสาศิลาจารึกสถานทีก่ าํ เนิด ปราสาท หิ น อ อ นสถานที่ ม รณภาพและพิ พิ ธ ภั ณ ฑ บ ริ ข ารพระครู บ าเจ้ า ศรี วิ ชั ย ในแตละครัง้ ใหญๆ ก็ได้ทลู เชิญเสด็จเชนทูลเชิญพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยูห วั โดยโปรดเกล้าโปรดกระหมอมให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎ ราชกุมารเสด็จแทนพระองค ปพ.ศ. ๒๕๓๖ และทูลเชิญเสด็จสมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ป พ.ศ.๒๕๓๔ การถวายเครือ่ ง อัฏฐบริขาร ๑,๐๐๐ ชุด แดพระสงฆ ๑,๐๐๐ รูป ซึ่งจากการบอกเลาวา หลังจากการสร้างทางขึ้นดอยสุเทพ พระครูบาเจ้าศรีวิชัยตั้งใจถวายเครื่อง อั ฏ ฐบริ ข าร ๑,๐๐๐ ชุ ด และสั่ ง ให้ ร ้ า นทํ า แต เ สร็ จ เป น บางส ว นพอดี
๓๑๐
พระครูบาเจ้าฯ ถูกกลาวหาคดีความ หลังจากนั้นก็อาพาธหนักขึ้นเลย ไมได้ถวายเครือ่ งอัฏฐบริขาร ข้าพเจ้าเห็นวาทานตัง้ ใจถวายเครือ่ งอัฏฐบริขาร ต้องสืบสานปณิธานให้สําเร็จ ในการฉลองพิพิธภัณฑในปพุทธศักราช ๒๕๓๖ เปนภาระอันใหญหลวงยิ่งที่ต้องรับผิดชอบแตเพียงผู้เดียว ปจจัย การเงินขัดข้อง เหลือเพียง ๒-๓ วัน งานก็จะเริ่ม ในขณะนั้นข้าพเจ้าอยาก ให้โลกหยุดหมุน ขอทุกอยางอยาได้ไหวติง ต้องพยายามรวบรวมสติและ กําลังใจอยางมาก เวลานัน้ สัง่ เครือ่ งอัฏฐบริขารจากกรุงเทพฯ ไปลําพูนต้อง ใช้จายเปนเงินทั้งหมด ๒,๒๔๐,๐๐๐ บาท ในที่สุดก็แก้สถานการณได้ครึ่ง โดยให้ทางร้านสงของให้ทางวัดจัดการทําบุญให้ทันเวลา บทพิสจู นการทํางานทีท่ มุ เทสุดชีวติ จิตใจไมนกึ วา ตนเองจะอยูห รือ ตาย ข้าพเจ้าทุม เทพลังทุกอณูเพือ่ เทิดทูนบูชาและเจริญรอยตามบาทวิถขี อง พระครูบาเจ้าศรีวชิ ยั ด้วยความอดทน อุตสาหะ มัน่ คงในหัวใจ ทีร่ กั เทิดทูน เคารพบูชาและศรัทธา ในที่สุดฟาที่มืด ชีวิตที่ปวดร้าวก็เห็นแสงสวาง คลี่คลายจากมรสุม ข้าพเจ้าคิดวานาจะเปนความสําเร็จยิ่งใหญ แตชีวิตได้ ถูกลิขติ มิให้หลงยินดีในสิง่ ใด ข้าพเจ้ามีความเชือ่ มัน่ ตอวิญญาณอันบริสทุ ธิ์ ของพระครูบาเจ้าศรีวิชัยผู้จุดประกายแหงธรรมในหัวใจตั้งแตแรกเริ่ม แม้ เสียงรอบข้างจะโจษขานให้ร้ายใสไฟทําลายชื่อเสียง แตไมรู้สึกเจ็บปวด และไมเห็นวาใครจะเปนอุปสรรค ข้าพเจ้าถือวาชีวติ มีหวั ใจของพระครูบาเจ้า ศรีวิชัยเปนหนึ่งเดียวก็สุดคุ้มเกินกวาที่จะพรรณนาแล้ว.
๓๑๑
หลั ก หั ว ใจพรหมจรรย หลั ก ที่ จ ะต อ งสั ง วรและปฏิ บั ติ ๒๓ ประการ
๑. จะต้องอดทนขมอินทรียอยางยิ่ง ๒. จะต้องไมตกเปนทาสของรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสและอารมณใดๆ ทั้งสิ้น ๓. จะต้องสํารวมกาย วาจา ใจ ไมให้ฟุงซาน ๔. จะต้องไมหลงใหลในวัตถุอันเปนเหตุตัณหากามคุณ ๕. จะต้องถือสันโดษ ไมหลงอํานาจ ลาภ ยศ สิ่งสักการบูชา ๖. จะต้องไมหลงระเริงยึดติดอยูกับการยกยองสรรเสริญ ๗. จะต้องไมปลอยตนประพฤติให้เกิดความเสื่อมเสียเปนอันขาด ๘. จะต้องพิจารณาโดยแยบคายกอนแล้วบริโภคปจจัยสี่ ๙. จะต้องพิจารณาเห็นความไมงามและโทษภัยของรางกาย ๑๐. จะต้องเห็นโทษภัยของตัณหากามคุณกิเลสเปนภัยอันใหญหลวง ๑๑. จะต้องพิจารณาให้เห็นชีวิตนี้ถูกไฟเผาไหม้อยูตลอดเวลา ๑๒. จะต้องพิจารณาให้เห็นความตายอยูแคปลายจมูก ๑๓. จะต้องมองเห็นเกียรติยศชื่อเสียงเหมือนเสี้ยนหนาม ๑๔. จะต้องมองเห็นเกียรติยศชื่อเสียงคือภัยทําลายความสงบสุข ๑๕. จะต้องมองเห็นลาภสักการะเหมือนกองอุจจาระ ๑๖. จะต้องมองเห็นทรัพยสมบัติใดๆในโลกเปนเพียงภาพลวงตา ๑๗. จะต้องมองเห็นสิ่งมหัศจรรยที่สุดของโลกคือความเปนอนิจจัง
๓๑๒
๑๘. จะต้องมองเห็นมรดกอันยิ่งใหญของโลกคือความวางเปลา ๑๙. จะต้องสงบนิ่งและเรียบงายที่สุด ๒๐. จะต้องทําจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ผองใสอยูเสมอ ๒๑. จะต้องพิจารณามรณานุสสติ (นึกถึงความตาย) เปนอารมณ ๒๒. จะต้องมองชีวิตและโลกเปนของวาง ๒๓. จะต้องมีเมตตาธรรม เสียสละเพื่อประโยชนสุขเกื้อกูลแกชนทั้งหลาย ภิกษุอานันท พุทธธัมโม
๓๑๓
รายนามผู ร ว มบริ จ าค สร า งหนั ง สื อ มหั ศ จรรย พ ระครู บ าเจ า ศรี วิ ชั ย
๓๑๔