ISSUE 147 FEBRUARY 2018

Page 1

ISSUE 147 FEBRUARY 2018

www.healthchannel.co.th

˹·Ò§ã¹¡ÒõÃǨÃÑ¡ÉÒ

“อัลไซเมอร์”

l

l

l

l

4 ÀÒ¤ 4 âç¾ÂÒºÒŵŒ¹áºº Å´ËÇÒ¹ Áѹ à¤çÁ à¾×èͼٌ㪌ºÃÔ¡ÒÃÊØ¢ÀÒ¾´Õ “à¹×éͧ͡¼ÔÇ˹ѧ” ã¹¼ÙŒÊÙ§ÍÒÂØ àÃ×èͧ¨ÃÔ§·Õ赌ͧÃÐÇѧ ¤Ô´¨ÐÃÑ¡ µŒÍ§ÃÙŒ¨Ñ¡ “»‡Í§¡Ñ¹” 3 ÊÑÞÞÒ¹àµ×͹ àÁ×èÍäË˵ŒÍ§ÁÒ¾º ¨Ôµá¾·Â ???

รู้ก่อนปลอดภัย รักษาได้ไม่ลุกลาม ประชาชื่น MRI

MRI Check up ราคาพิเศษ เมือ ่ จองตรวจทาง Online @mrithailand

MRI »ÃЪҪ×è¹ MRI Call Center : 0-899-898-777 www.mrithailand.com

ÊÒÁÒöࢌҵÃǨ MRI ·Ø¡ÍÇÑÂÇÐä´Œ´ŒÇµÑÇàͧ â´ÂäÁ‹µŒÍ§ÃÍãºÊÑè§á¾·Â



¾º¡ÑºÃÒ¡ÒÃ

·Ò§à¹ªÑè¹

ª‹Í§ 22

ÃÙ»â©ÁãËÁ‹

¾ÃŒÍÁà¨ÒÐÅÖ¡¢ŒÍÁÙÅ¢‹ÒÇÊÒôŒÒ¹ÊØ¢ÀÒ¾

Ø· Çѹ¾Ø¸ 15.00 - 16.00 ¹. àÃÔèÁ¾Ø¸·Õè 7 ¡ØÁÀҾѹ¸ ¹Õé ¡

áÅÐÃѺªÁÊ´¾ÃŒÍÁ¡Ñ¹ä´Œ·Ò§

www.facebook.com/healthchannelmagazine

¶ÒÁÊ´... µÍºÊ´ àËÁ×͹à´ÔÁ ¤§¤ÇÒÁÃÙŒáÅТŒÍÁÙÅ´Õæ à¾×èÍÊØ¢ÀÒ¾ ¨Ò¡ÈÒʵà ¡ÒÃá¾·Â ËÅÒ¡ËÅÒ µÔÔ´µ‹Íâ¦É³Òä´Œ·Õè â·Ã.

0-2069-5670, 08-1617-6028

ªÁÃÒ¡ÒÃŒ͹ËÅѧ ä´Œ·Õè www.healthchannel.co.th


Editor’s Talk

February 2018 vol.13 issue 147

ที่ปรึกษา

นพ.สุรพงศ์ อำาพันวงษ์ นพ.สมนึก ศิริพานทอง ศ.คลินิก แพทย์จีน นพ.ภาสกิจ วัณนาวิบูล นพ.ฉัตรชัย ศรีบัณฑิต ประธานบริษัท

นพ.อิทธิกร โถสุวรรณโชต บรรณาธิการอำานวยการ

บุญสม อัครธรรมกุล

บรรณาธิการบริหาร

บุญสม อัครธรรมกุล

ประจำากองบรรณาธิการ

ธนิดา สุวรรณไตย์ วริศรา วุฑฒินันท์ ศิลปกรรม/ภาพ

จิตอาภา ถิ่นจันทร์ ฝ่ายขาย

มนัส จำาปาทิพย์ นพวรรณ รัตนมาตุ ฝ่ายสมาชิก/100 สุขภาพ

เฌอฉัฐม์ บางพลับนนท์ ออนไลน์/โปรดักชั่น

นันทเกียรติ นิลคูหา อารีรัตน์ ดิลกธรรมจักรา อรนิชา บรรจงการ สโรช หุตะสิงห์ ธุรการ/บัญชี

พาเพลิน วันทา ที่ปรึกษากฎหมาย

นรา นรพิเชียรฉาย

เจ้าของ บริษัท เฮลท์ แชนแนล จำากัด

สำานักงานเลขที ่ 42/188 ซ.นวมินทร์ 143 แขวงนวลจันทร์ เขตบึงกุม่ กรุงเทพฯ 10230 โทร. 02 - 069 - 5670 แฟ็กซ์ 02 - 069 - 5671 เพลท - พิมพ์

บริษัท ฐานการพิมพ์ จำากัด 9/11 ถ.เทศบาลสงเคราะห์ แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 โทร. 0 - 2954 - 2799 แฟกซ์ 0 - 2954 - 2800 บรรณาธิการผู้พิมพ์โฆษณา

อายุกร ขุนเนียม

หมายเหตุ : การนำาภาพหรือข้อเขียนในนิตยสาร ไปตีพิมพ์ซ้ำา ขอให้ติดต่อกองบรรณาธิการ เป็นลายลักษณ์อักษรและต้องได้รับอนุญาตก่อน จึงจะทำาการได้

การรุกรานของ “เทคโนโลยี”

ฉบับที่แล้ว ผมกล่าวสั้นๆ ถึงผลกระทบต่อชีวิตผู้คนบนโลกใบนี้รวมทั้งประเทศไทย อั น เนื่ อ งมาจากการปฏิ วั ติ ข อง “เทคโนโลยีการสื่อสาร” ตั้ ง ใจว่ า จะหาโอกาสกล่ า วถึ ง รายละเอียดในภายหลังอีกสัก 3 - 4 เดือนข้างหน้า แต่เห็นทีจะรอไม่ได้แล้ว เมือ่ CEO ธนาคารไทยพาณิชย์ออกมากล่าวตัง้ แต่ตน้ ปี 2018 ถึงวิสัยทัศน์ในปี 2020 ว่าจะลดสาขาธนาคารจาก 1,153 สาขาให้เหลือเพียง 400 สาขา และ จะลดพนักงานจาก 27,000 คนในปัจจุบนั ให้เหลือเพียง 15,000 คน เพือ่ ก้าวสู ่ Digital Banking เต็มรูปแบบ สร้างความสั่นสะเทีอนไปทั้งบาง และเชื่อว่าอีกหลายธนาคารจะเดินไปในทิศทาง เดียวกันนี้ นับเฉพาะธนาคารใหญ่ชั้นนำาของไทยอย่าง ธนาคารกรุงเทพ, กสิกรไทย, กรุงไทย, กรุงศรีอยุธยา และทหารไทย เรามาลองบวก – ลบ – คูณ – หาร กันเล่นๆ ดูว่า ถ้าทุกธนาคาร ลดพนักงานแบบเดียวกับไทยพาณิชย์ พนักงานธนาคารจะลดลงถึง 40,000 คนในอีก 2 ปีขา้ งหน้า พนักงานที่กำาลังจะเกษียณในอีก 2 ปีข้างหน้าคงไม่สะเทือนเท่าไรนัก แต่คนที่กำาลัง จะจบการศึกษาและเตรียมหางานทำา คงเหงื่อตก ในธุรกิจค้าปลีก หลายท่านคงเคยเห็นวิดีโอที่แชร์ในโลกโซเชียลถึงร้านซูเปอร์มาร์เก็ต “AMEZON GO” ไปบ้างแล้ว จะเห็นว่าเป็นร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ทไี่ ม่ตอ ้ งใช้พนักงานในร้านเลย โดยผูบ้ ริโภคสามารถเลือกสินค้าได้ตามใจชอบ หยิบชิน้ ไหนก็จะถูกเทคโนโลยีบนั ทึกราคาไว้ แล้ว รวมยอดไปตัดจากบัญชีธนาคารของผู้บริโภครายนั้น เชื่อว่าอีกไม่นาน เทคโนโลยีนี้จะถูกนำามาใช้ในวงการค้าปลีกประเทศไทย นี่เป็นแค่ 2 ตัวอย่างจากประเภทธุรกิจที่ต่างกัน ที่แสดงให้เห็นถึงการรุกรานอาชีพ มนุษย์จากความก้าวหน้าของ Digital Technology ซึง่ ผมเชือ่ ว่าอีกหลายอาชีพในธุรกิจประเภทอืน่ ก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน ไม่ช้าก็เร็ว ไม่เพียงเท่านั้น ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่พัฒนาตามมาติดๆ คือ Artificial Technology หรือที่เราเรียกย่อๆ ว่า “A.I” ใช่แล้วครับ ผมหมายถึง เครื่องจักรที่มีความรู้สึกนึกคิดใกล้เคียงมนุษย์ ที่จะมา

ทำางานแทนมนุษย์ หรือเครื่องมืออุปกรณ์ที่สามารถทำางานเองได้โดยไม่ต้องใช้มนุษย์

มีตัวอย่างมากมายที่กำาลังอยู่ในระหว่างทดลองใช้เครื่องทำางานแทนคน เช่น ใช้เครื่อง จ่ายยาคนไข้ตามใบสั่งยาแพทย์, ใช้หุ่นยนต์ส่งเอกสารทะเบียนประวัติคนไข้ไปตามวอร์ดต่างๆ แทนพยาบาลในโรงพยาบาล, รถโดยสารที่ไม่ต้องใช้คนขับรถ, หุ่นยนต์ที่ดูแลผู้สูงอายุและ อยู่เป็นเพื่อนได้ โดยไม่ต้องทิ้งให้อยู่บ้านคนเดียว, เครื่องจักรที่ส่งของส่งเอกสารได้ โดย ไม่ต้องใช้บุรุษไปรษณีย์ ฯลฯ ผมไม่ แ น่ ใ จว่ า อี ก 5 ป ข้ า งหน้ า ชี วิ ต มนุ ษ ย์ บ นโลกใบนี้ จ ะเปลี่ ย นโฉมไปอย่ า งไร เมื่อ Digital Technology และ Artificial Technology มาทำางานแทนมนุษย์เต็มไปหมด รู้เพียงว่า การรุกรานของเทคโนโลยีเดินทางมาถึงเร็วกว่าที่คาดหมายไว้มากมาย เราคงต้องเรียนรู้ ศึกษา และปรับตัวโดยเร็วครับ

ติดต่อหรือแนะนำาติชมเราได้ 24 ชั่วโมงเหมือนเช่นเคยที่ healthchannel2005@yahoo.com

บุญสม อัครธรรมกุล บรรณาธิการอำานวยการ


คุยกับหมอตา

เรื่อง : รศ.นพ.ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ จักษุแพทย คณะแพทยศาสตร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร

“ตากุ้งยิง”

ข้อเท็จจริง ที่หลายคนต้องทำาความเข้าใจใหม่

หากเอ่ยถึงอาการปวดที่บริเวณเปลือกตา พร้อมๆ กับมีตุ่มฝเล็กๆ เกิดขึ้น บนเปลือกตา เป็นเหตุให้ผู้ที่พบเห็นซักถาม หรือหยอกเล่นกันเป็นอารมณ์ขันด้วยประโยคที่ว่า “ไปดูใครเปลือยผ้ามาหรือเปล่า?” อาการที่ว่านี้ก็คือ “ตากุ้งยิง” นั่นเอง

จริงๆ แล้ว โรคตากุ้งยิงเกิดจาก การอักเสบของต่อมน้ำาตา ต่อมไขมัน หรือ ต่อมเหงื่อของผิวหนังบริเวณเปลือกตา จากการอุดตันของต่อมดังกล่าว ทำาให้เกิด เป็นก้อนหรือถุงไขมัน เมื่อมีการอักเสบติดเชื้อ ทำาให้มีอาการปวด บวม แดง ร้อน เช่นเดียวกับ การเกิดสิวบริเวณใบหน้านั่นเอง เพียงแต่ บริเวณรอบเปลือกตามีต่อมต่างๆ หนาแน่น มักมีขนาดใหญ่กว่าสิว และมักเกิดการอักเสบ ได้บ่อยๆ จึงเรียกการอักเสบของต่อม รอบเปลือกตาว่า “ตากุ้งยิง” แทนคำาว่า “สิว” มีความเชื่อเกี่ยวกับตากุ้งยิงมากมาย ทั้งที่ อาจเป็นความจริงและเป็นความเข้าใจผิด ที่น่าจะต้องมาทำาความเข้าใจกัน เพื่อลดโอกาส การเกิดตากุ้งยิงของตนเองหรือบุคคลรอบข้าง ดังนี้

หรือมีการขยี้ตาจะทำาให้เกิดการปวด บวม แดง ร้อนบริเวณก้อนดังกล่าว กลายเป็น “ตากุ้งยิง ชนิดอักเสบ” ดังนั้นตากุ้งยิงจึงไม่เกี่ยวข้องกับ การแอบดูใครโปแต่อย่างใด ถ้าเป็นตากุ้งยิงแล้วไม่รักษาด้วยการเจาะออก เชื้อจะยังอยู่และไม่หายขาด จริงหรือ? ไม่จริงครับ เพราะการรักษาตากุ้งยิง

ขึ้นกับระยะที่เป็น ถ้าเพิ่งเริ่มมีการอักเสบ แต่ยังไม่เป็นเม็ดหรือเป็นก้อนฝีหรือหนองนิ่มๆ การรักษาทำาได้โดยการใช้ยาฆ่าเชื้อชนิดหยอด หรือรับประทาน เมื่อการอักเสบหายก็มักจะ หายขาดไม่เกิดเป็นซ้ำา แต่ถ้าตากุ้งยิงเป็นถึงระยะ ที่เป็นก้อนคลำาได้นิ่มๆ แสดงว่ามีฝีหรือหนอง ในตากุ้งยิงแล้ว จำาเป็นต้องได้รับการรักษา ด้วยการฉีดยาชา เจาะระบายหนอง และขูด ผนังด้านในของต่อมดังกล่าวออก เพื่อไม่ให้ กลับมาเป็นซ้ำาบริเวณต่อมเดิม บริเวณ ตากุ้งยิงเกิดจากการแอบดูคนโป๊ จริงหรือไม่? รอบเปลือกตาแต่ละข้างมีต่อมน้ำาตา ต่อมเหงื่อ ไม่จริงครับ เพราะตากุ้งยิงเกิดจาก ต่อมบริเวณรอบเปลือกตา เมื่อสัมผัสกับฝุ่น หรือต่อมไขมันที่อาจเกิดการอุดตันและอักเสบ ได้มากกว่าข้างละ 100 ต่อม ดังนั้นถ้าคนที่ หรือสิ่งสกปรกร่วมกับการขยี้ตา จะทำาให้ ปากท่อของต่อมต่างๆ เหล่านี้บวมอักเสบตัน สัมผัสฝุ่นหรือเชื้อโรคบ่อยๆ และมีนิสัยชอบ ขยี้ตาอาจเกิดตากุ้งยิงในตำาแหน่งใดก็ได้ของ ทำาให้น้ำาตา เหงื่อหรือไขมันในต่อมนั้นๆ เปลือกตาหรืออาจเกิดพร้อมกันหลายตำาแหน่งในตา ระบายออกไม่ได้ เกิดเป็นเม็ดหรือก้อนใน ข้างเดียวกันหรือที่ตาทั้งสองข้างพร้อมกันก็ได้ บริเวณนั้น เรียกว่า “ตากุ้งยิงชนิด ไม่อักเสบ” เมื่อมีการสัมผัสกับเชื้อโรค ตากุ้งยิงมักเป็นในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ จริงครับ เพราะเด็กมีโอกาสสัมผัส กับฝุ่นหรือเชื้อโรคได้ง่าย เช่น ในเด็กที่คันตา จากการเป็นโรคภูมิแพ้หรือเด็กเล็กๆ ที่ขยี้ตา บ่อยๆ ด้วยมือไม่สะอาด จึงมักเกิดการอักเสบ ของต่อมเป็นตากุ้งยิงได้มากกว่าผู้ใหญ่ แต่ใน ผู้ใหญ่ที่ทำางานที่สัมผัสกับฝุ่นควันมากๆ เช่น งานก่อสร้าง ขี่รถจักรยานยนต์ หากขยี้ตาบ่อย ก็อาจเป็นตากุ้งยิงได้บ่อยเช่นกัน

ตากุ้งยิงที่เป็นเม็ดแล้ว หากไม่เจาะออก จะไม่หายแน่นอน ไม่จริงครับ เพราะตากุ้งยิง

ที่เป็นเม็ดเกิดจากการอักเสบอุดตันของ ปากท่อ ของต่อมน้ำาตาหรือต่อมไขมันนั้น การเจาะระบายออกจะทำาให้เม็ดยุบลงทันที พร้อมการขูดผนังด้านในของต่อมออกด้วย ก็จะลดการเกิดตากุ้งยิงของต่อมนั้นซ้ำาได้ แม้ไม่เจาะระบายออก การบวมอักเสบ ของปากท่อต่อมอาจลดลงเอง ทำาให้มีการ ระบายของเหลวที่อยู่ในเม็ดออกได้ ตากุ้งยิง ก็อาจหายได้ โดยไม่จำาเป็นต้องเจาะออก เสมอไป จะเห็นว่า ตากุ้งยิงเป็นโรคตา อีกโรคหนึ่งที่พบได้บ่อย แม้ไม่อันตราย แต่อาจก่อให้เกิดความรำาคาญ เสียความมั่นใจ และอาจเป็นซ้ำาบ่อยๆ ได้ ซึ่งหากเราหลีกเลี่ยง บริเวณที่มีฝุ่นหรือเชื้อโรค ร่วมกับหลีกเลี่ยง การใช้มือที่ไม่สะอาดขยี้เปลือกตาก็จะช่วย ลดโอกาสของการเกิดตากุ้งยิงได้มาก และ ยังลดโอกาสเจ็บตัวจากการเจาะตากุ้งยิง ได้อีกด้วย

เมื่อมีความผิดปกติเกิดขึ้นกับ ดวงตาก็ไม่ควรชะล่าใจ เพราะนอกจาก ตากุ้งยิงแล้วก็ยังมีโรคอื่นๆ เกี่ยวกับ ดวงตาที่ต้องระวัง ดังนั้นขอให้ผู้อ่าน ดูแลความสะอาดและสุขอนามัย ของเปลือกตา แคล้วคลาดจากการเป็น โรคตากุ้งยิงกันนะครับ Health Channel

February 2018

5


CONTENTS

5

คุยกับหมอตา

ข้อเท็จจริง “ตากุ้งยิง” ที่หลายคนต้องทำาความเข้าใจใหม่

8

February 2018 vol.13 issue 147

16

Wellness Talk

21

สู้มะเร็ง

“มะเร็งรังไข่” ภัยร้ายหญิงไทย และความหวังใหม่ในการรักษาด้วยยาตรงพันธุกรรม

22

Special Report

by Absolute Health ฮอร์โมนทดแทน เสี่ยงเป็น “มะเร็ง” จริงหรือ?

4 ภาค 4 โรงพยาบาลต้นแบบ ลดหวาน มัน เค็ม เพื่อผู้ใช้บริการสุขภาพดี

10

12

รอบรู้สุขภาพ กับกรมอนามัย คิดจะรัก ต้องรู้จัก “ป้องกัน”

12

14

ผลการวิจัยสมัยใหม่ ของสุดยอดสมุนไพรทิเบต หงจิ่งเทียน ( 红景天 )

เตือนภัย “สารหนูและสเตียรอยด์” ยาออนไลน์ที่ควรระวัง!!

Chinese Medicine

พบแพทย์ผิวหนัง

13

15

3 สัญญานเตือน เมื่อไหร่ต้องมาพบจิตแพทย์ ???

ภัยใกล้ตัว

สุขภาพจิตดี

หู - คอ - จมูก เสียงดังเกินไป ทำาประสาทหูเสื่อมได้!

16

24

หนทางในการตรวจรักษา “อัลไซเมอร์”

“เนื้องอกผิวหนัง” ในผู้สูงอายุ เรื่องจริงที่ต้องระวัง

Cover Story

19

26

“ยา” กับ “ผู้สูงอายุ”

“บริจาคอวัยวะ” หนึ่งผู้ให้ ต่อชีวิตและคืนความสุข ให้อีกหลายชีวิต

รู้จริงเรื่องยา

20

Seniors Club

อันตราย..อยู่ใกล้แค่เอื้อม

20

Health Intrend

เครื่องบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน นวัตกรรมบำาบัดการ “กลั้นปัสสาวะไม่อยู่”

Happy Life

28

Health Variety by นพ.สุรพงศ์ “จะเริ่มปใหม่ จะเป็นคนใหม่ที่ดีกว่า? Happy New Year - Happy New Me?”



Wellness Talk by Absoluth Health

เรื่อง : นพ.วิทย์ สมบัติวรพัฒน์ แพทยประจําศูนยการแพทยบูรณาการ แอ็บโซลูท เฮลธ

ฮอร์โมนทดแทน

เสี่ยงมะเร็ง จริงหรือ? (ตอน 1) “เกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำาบาก” ประโยคนี้น่าจะช่วยบอกเล่าถึงความเป็นผู้หญิง ได้ดีที่สุด เพราะผู้หญิงเมื่อเข้าสู่วัย 40 ปลายๆ ไปจนถึงอายุ 50 จะเข้าสู่ช่วงวัยที่เรียกว่า “วัยหมดประจำาเดือน หรือวัยทอง” ส่งผลให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมามากมาย จนอาจทำาให้ คุณภาพชีวิตเสียไปก็เป็นได้

อาการต่างๆ ที่พบในสตรีวัย หมดประจำาเดือนนั้น เป็นผลมาจาก ฮอร์โมนเพศ 2 ชนิดในร่างกาย คือ เอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรน ซึ่งมีการลดลงอย่างมาก ในวัยนี้ โดยอาการที่พบ เช่น ร้อนวูบวาบ อารมณ์แปรปรวน ซึมเศร้า หงุดหงิด ฉุนเฉียวง่าย มีความจำาไม่ดี หลงๆลืมๆ นอนไม่หลับ หรือหลับยากขึ้น ผิวแห้ง ช่องคลอดแห้ง ทำาให้รู้สึกเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ รวมถึงมีความรู้สึกทางเพศลดลง (อาจ ส่งผลกระทบทำาให้เกิดปัญหาครอบครัว ตามมาได้) เหล่านี้รวมเรียกว่า กลุ่มอาการ วัยทอง ทำาให้หลายคนต้องพึ่งตัวช่วยที่เรียกว่า “ฮอร์โมนทดแทน” แต่ไม่ใช่ว่าผู้หญิงทุกคน จำาเป็นต้องได้รับฮอร์โมนทดแทนนี้ เพราะ กลุ่มอาการต่างๆที่กล่าวไปนั้นบางคน มีอาการมาก บางคนมีอาการน้อย ในขณะที่ บางคนอาจไม่มีอาการเลยก็ได้ ซึ่งคนที่ สามารถรับมือกับอาการต่างๆ ที่กล่าวไป ทั้งหมดได้ ก็ไม่จำาเป็นต้องหาตัวช่วย แต่สำาหรับคนที่มีอาการมากจนส่งผลกระทบ ทำาให้ไม่สามารถใช้ชีวิตประจำาวันได้ตามปกติ ก็จำาเป็นต้องปรึกษาแพทย์ ซึ่งทางแก้วิธีหนึ่ง ก็คือการได้รับฮอร์โมนทดแทน แต่นอกจากอาการที่กล่าวไปแล้ว การที่ผู้หญิงมีฮอร์โมนเพศลดลง ยังมีผลกระทบด้านปัญหาสุขภาพ และโรคภัยไข้เจ็บด้วย ยกตัวอย่างเช่น มีกระดูกบางลง บางรายถึงขั้นกระดูกพรุน รวมถึงมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ และสมองเสื่อมได้มากขึ้น เพราะฉะนั้น วิธีการแก้ไขอาการและลดความเสี่ยงของโรค เหล่านี้ก็คือการให้ฮอร์โมนทดแทนนั่นเอง 8

Health Channel

February 2018

ในการพิจารณาของแพทย์ว่าคนไข้ ควรได้รับฮอร์โมนทดแทนหรือไม่นั้น นอกจาก จะดูอาการและผลกระทบของอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นต่อคุณภาพชีวิตของคนไข้แล้ว แพทย์จะมีการเจาะเลือดตรวจ เพื่อยืนยันว่า ระดับฮอร์โมนลดลงจริงหรือไม่ ฮอร์โมนตัวไหน ที่ผิดปกติ ซึ่งการให้ฮอร์โมนทดแทนนั้น สามารถให้เฉพาะบางตัวหรือให้ทั้งคู่เลยก็ได้ ขึ้นอยู่กับความจำาเป็นของคนไข้ “จริงๆ แล้วฮอร์โมนทดแทนนั้น

มีการใช้กันมานานกว่า 50 ป แต่เมื่อประมาณ 15 ปที่ผ่านมา ในอเมริกามีการศึกษาวิจัย พบว่าคนที่ได้รับฮอร์โมนทดแทนกลับมี โรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้นมากมาย ถึงขั้นต้องสั่ง หยุดงานวิจัยกะทันหันก่อนที่งานวิจัย จะแล้วเสร็จ เนื่องจากพบว่าผู้ที่ได้รับ ฮอร์โมนทดแทนมีโอกาสเกิดโรคหัวใจเพิ่มขึ้น 29%, มะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้น 26%, โรคหลอดเลือดสมอง ที่เราเรียกว่า อัมพฤกษ์ - อัมพาตเพิ่มขึ้น 40%, มีลิ่มเลือด อุดตันเพิ่มขึ้น 100% และหลังจากที่มีข่าว ผลการวิจัยหลุดออกมา แม้จะยังไม่เสร็จสิ้น กระบวนการวิจัยก็ตาม แต่ก็ทำาให้ยอดขาย ยาฮอร์โมนทดแทนในอเมริกา ลดลงกว่า 70% ในช่วงระยะเวลา 8 - 10 ป (ป 2001 – 2011)”

หลายคนคงสงสัยว่าทำาไม ฮอร์โมนทดแทนซึ่งต้องจ่ายโดยแพทย์ จึงมีผลกระทบมากมายเช่นนี้ ที่ต้องบอก แบบนี้เพราะเชื่อว่าหลายคนอาจ ยังไม่ทราบ ว่าจริงๆ แล้ว ฮอร์โมนทดแทน ที่เราได้รับกันนั้น แม้จะมีฮอร์โมน ชนิดเดียวกันกับที่ร่างกายเราขาด ยกตัวอย่างเช่น ฮอร์โมนเอสโตรเจน หากไปอยู่ในรูปแบบของยาฮอร์โมนทดแทน มันก็ไม่เหมือนกับฮอร์โมนธรรมชาติที่อยู่ ในร่างกายคนเรา ซึ่งนั่นเกิดจากความตั้งใจ ไม่ให้เหมือน เพื่อให้ได้สิทธิบัตรการ ถือครองยาตัวนั้น ซึ่งยากลุ่มนี้เรียกได้ว่า เป็น “ฮอร์โมนสังเคราะห์” เนื่องจาก การทำาให้เหมือนกับธรรมชาติใครๆ ก็ทำาได้ ลอกเลียนแบบได้ง่าย แต่ถามว่า ตัวยาที่คิดค้นขึ้นมาเพื่อตั้งใจให้เลียนแบบ ฮอร์โมนธรรมชาตินั้น มีความปลอดภัย เหมือนฮอร์โมนธรรมชาติในร่างกายเรา หรือไม่ อันนี้เมื่อก่อนเราไม่ทราบ เพิ่งมาทราบเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ทำาให้มี ความตื่นตัวที่จะหลีกหนียากลุ่มนี้ และ มีการคิดค้นฮอร์โมนชนิดใหม่ขึ้นมา เรียกว่า เป็น “ฮอร์โมนทดแทนจากธรรมชาติ (Bio-identical Hormone)”

เรื่องราวยังไม่จบ ฉบับหน้า มาติดตามหาคำาตอบกันต่อนะครับว่า “ฮอร์โมนทดแทน เสี่ยงมะเร็ง จริงหรือไม่?”

รับปรึกษาปัญหาสุขภาพ ฟรี

ศูนย์การแพทย์บูรณาการ แอ็บโซลูท เฮลธ์ สอบถามข้อมูล โทร.

0-2651-5988, 08-9204-5333 ตัดคูปองเพื่อรับคำาปรึกษาฟรี



รอบรู้สุขภาพ กับกรมอนามัย

คิดจะรัก ต้องรู้จัก

เรื่อง : กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

“ป้องกัน”

วัยรุ่น เป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายและจิตใจ อยากรู้ อยากลอง ที่สำ�คัญร่างกายจะเริ่มสร้างฮอร์โมนเพศทั้งในเพศหญิงและเพศชาย ทำ�ให้เกิดพัฒนาการ ทางเพศและอารมณ์ทางเพศ ซึ่งแม้จะเป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดกับมนุษย์ทุกคน แต่ในวัยรุ่น ที่กำ�ลังอยู่ในวัยเรียน หากเกิดพลาดพลั้งตั้งครรภ์ขึ้นมา ก็จะไม่มีความพร้อมในการดูแล ทั้งตนเองและอีกหนึ่งชีวิตที่จะเกิดมา

เกราะป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พร้อม

• ต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ ของตนเอง หลีกเลี่ยงการดูสื่อลามก ที่กระตุ้นอารมณ์ทางเพศ • ไม่อยู่ใกล้ชิดแฟนหรือ เพศตรงข้ามในที่ลับตา และหลีกเลี่ยง การจับต้องสัมผัสร่างกายเพศตรงข้าม • ผู้ชายมีความเป็นสุภาพบุรุษ และให้เกียรติผู้หญิง ส่วนผู้หญิงต้อง รักนวลสงวนตัว รู้จักต่อรองและปฏิเสธ • หากิจกรรมต่างๆ ทำ� หรือ ออกกำ�ลังกายในช่วงที่มีเวลาว่าง เพื่อ ไม่ให้หมกมุ่นในเรื่องเพศมากเกินไป • หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ วัยรุ่นชายควรสวมถุงยางอนามัยทุกครั้ง อย่างถูกต้อง 10

Health Channel

February 2018


รู้จักวิธีการคุมกำ�เนิด

การมีเพศสัมพันธ์จะปลอดภัย มากขึ้นหากป้องกัน โดยใช้ถุงยางอนามัย ร่วมกับการคุมกำ�เนิดวิธีอื่น ดังนี้ • ยาคุมกำ�เนิดชนิด 21 เม็ด ให้เริ่มกินยาเม็ดแรกภายใน 5 วัน นับจาก วันแรกที่มีประจำ�เดือน กินยาเรียงไปตาม ลูกศรวันละ 1 เม็ด หลังอาหารเย็นหรือ ก่อนนอนจนหมดแผง เมื่อกินยาหมดแผงให้ เว้นไป 7 วัน จึงเริ่มกินยาคุมกำ�เนิด แผงใหม่ • ยาคุมกำ�เนิดชนิด 28 เม็ด ให้เริ่มกินเหมือนยาคุมกำ�เนิดชนิด 21 เม็ด กินยาเรียงไปตามลูกศรวันละ 1 เม็ด หลังอาหารเย็นหรือก่อนนอนจนหมดแผง เมื่อกินครบ 28 เม็ด ให้กินยาคุมกำ�เนิด แผงใหม่ต่อไปได้เลย • ยาฉีดคุมกำ�เนิด มีประสิทธิภาพในการคุมกำ�เนิดสูง ใช้ง่าย สะดวก คุมกำ�เนิดได้นานถึง 3 เดือน ไม่มีผลต่อการทำ�งานของตับ วิธีการ คือ เริ่ม ฉีดยาคุมกำ�เนิดครั้งแรกภายใน 5 วันแรก ของการมีประจำ�เดือน และฉีดเข็ม ต่อๆ ไปตามกำ�หนดนัดทุก 12 สัปดาห์ • ยาคุมกำ�เนิดชนิดแผ่นแปะ เป็นแผ่นยาบางๆ รูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ผิวเรียบ มีสีเบจหรือสีเนื้อ หลีกเลี่ยงการแปะ บริเวณเต้านม จุดที่มีแผลหรือเป็น โรคผิวหนัง วิธีการใช้ คือ 1. ใน 1 กล่อง มียา 3 แผ่น ให้เริ่มแปะแผ่นยาคุมกำ�เนิดในวันแรกที่ ประจำ�เดือนมา หรือไม่เกิน 5 วันแรกของ การมีประจำ�เดือน โดยแปะแผ่นยาคุมกำ�เนิด ต่อเนื่อง 1 สัปดาห์ และใช้ต่อเนื่องกัน 3 แผ่น เท่ากับ 21 วัน 2. ถ้าเริ่มแปะหลังมีประจำ�เดือน วันแรกไปแล้ว 7 วัน ควรใช้การคุมกำ�เนิด วิธีอื่นร่วมด้วย 3. การเริ่มยาแผ่นใหม่ จะแปะ ตรงกับวันเดิมในแต่ละสัปดาห์เรียกว่า วันเปลี่ยนแผ่นยา 4. สัปดาห์ที่ 4 เว้นการแปะ 7 วัน ไม่ว่ารอบเดือนจะมาหรือไม่ ก็ให้แปะ แผ่นแรกของรอบใหม่ทันที • ยาฝังคุมกำ�เนิด สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้นาน 3 - 5 ปี ยาฝังคุมกำ�เนิด มี 2 ชนิด คือ ชนิด 1 หลอด คุมกำ�เนิดได้นาน 3 ปี และชนิด 2 หลอด คุมกำ�เนิดได้นาน 5 ปี • ห่วงอนามัย สามารถป้องกัน การตั้งครรภ์ได้เป็นเวลานาน 3, 5 หรือ 10 ปี ขึ้นอยู่กับชนิดของห่วงอนามัยที่ใส่ สามารถใช้ได้ในสตรีเกือบทุกคน รวมทั้ง กลุ่มวัยรุ่นหรือผู้ที่ยังไม่ได้แต่งงาน

• วงแหวนคุมกำ�เนิด มีลักษณะ เป็นวงแหวนที่นุ่ม ใส และยืดหยุ่นได้ วิธีใส่ วงแหวนคุมกำ�เนิด คือ ใส่ไว้ในช่องคลอด นาน 3 สัปดาห์ต่อรอบ และพักการใช้ เป็นเวลา 1 สัปดาห์ และเมื่อครบกำ�หนด 1 สัปดาห์ ให้เริ่มใส่อันใหม่ทันที • ยาเม็ดคุมกำ�เนิดฉุกเฉิน ให้รับประทานครั้งแรก 1 เม็ดทันทีที่สะดวก แต่ต้องไม่เกิน 120 ชั่วโมง หลังจาก มีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกันการตั้งครรภ์ และ 12 ชั่วโมงต่อมารับประทานครั้งที่ 2 อีก 1 เม็ด เนื่องจากผู้รับประทานยา หลายรายมักลืมรับประทานยาเม็ดที่ 2 จึงแนะนำ�ให้รับประทานยาครั้งเดียว 2 เม็ด • ถุงยางอนามัย วิธีการใช้ ดังนี้ 1. ตรวจสอบวันหมดอายุ รอยฉีกขาด ให้ฉีกมุมซองโดยระมัดระวัง ไม่ให้เล็บมือเกี่ยวถุงยางอนามัยขาด ดึงถุงยางอนามัยออกจากซอง ใช้มือบีบ ปลายถุงยางแล้วครอบไปบนอวัยวะเพศชาย ให้ขอบที่ม้วนอยู่ด้านนอก 2. ทาสารหล่อลื่น หรือ KY Jelly ก็ได้ แต่ห้ามใช้สารหล่อลื่นที่เป็นน้ำ�มันหรือ วาสลีน เพราะจะทำ�ให้ถุงยางอนามัยแตก หรือขาดเวลาเสียดสี 3. รูดให้ขอบถุงยางอนามัยถึง โคนอวัยวะเพศ 4. ภายหลังการหลั่งอสุจิแล้ว ให้รีบถอดอวัยวะเพศชายออกจากช่องคลอด ทันทีก่อนที่อวัยวะเพศจะอ่อนตัว เพื่อ ไม่ให้ถุงยางอนามัยหลุดตกค้างอยู่ในช่อง คลอด โดยใช้กระดาษทิชชูพันรอบโคน ถุงยางอนามัย ไม่ให้สัมผัสกับน้ำ�จาก ช่องคลอดที่ด้านนอกถุงยางอนามัย เพราะ อาจติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จาก ฝ่ายหญิงได้ ใช้มือจับที่ขอบถุงยางเพื่อกันหลุด

รูดถุงยางออกหรืออาจใช้นิ้วก้อยเกี่ยวด้านใน ของขอบถุงยางอนามัยก็ได้ ระวังอย่าให้น้ำ� อสุจิออกมาเปรอะเปื้อนที่ปากช่องคลอด 5. ห่อถุงยางอนามัยให้เรียบร้อย ก่อนทิ้งลงถังขยะ และห้ามนำ�ถุงยางอนามัย ที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ ยาและอุปกรณ์การคุมกำ�เนิด ต่างๆ นั้น สามารถหาซื้อได้จากร้านขายยา ที่มีเภสัชกร และที่สำ�คัญ วัยรุ่นควรศึกษา หาความรู้เรื่องเพศที่ถูกต้อง โดยสามารถ เข้ารับคำ�แนะนำ�และรับบริการจาก สถานบริการสาธารณสุขได้ทุกแห่ง หรือสังเกตร้านขายยาที่มีสัญลักษณ์ Be Sure ซึ่งผู้ปฏิบัติงานในร้านสามารถ ให้ความรู้และคำ�แนะนำ�เกี่ยวกับการ คุมกำ�เนิดได้อย่างถูกต้อง เข้าใจง่าย เนื่องจากได้รับการอบรมด้านให้คำ�ปรึกษา การวางแผนครอบครัวและการคุมกำ�เนิด จาก โครงการ Be Sure ปรึกษาได้ มั่นใจชัวร์ ของกรมอนามัย ปัจจุบันมีพระราชบัญญัติ การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ใน วัยรุ่น พ.ศ. 2559 ที่ส่งเสริมให้วัยรุ่น มีพฤติกรรมทางเพศที่ปลอดภัย ทั้งการ จัดหลักสูตรการเรียนรู้ด้านเพศวิถีศึกษาและ ทักษะชีวิตที่เหมาะสม มีการพัฒนาระบบ การดูแลช่วยเหลือและคุ้มครองนักเรียน ซึ่งหากวัยรุ่นประสบปัญหาตั้งครรภ์ จะได้รับ การดูแลช่วยเหลือและส่งต่ออย่างเป็นระบบ เพื่อให้ได้รับบริการและสวัสดิการสังคม ที่เหมาะสม โดยคำ�นึงถึงประโยชน์สูงสุด

ความรักในวัยรุ่นจะไม่สร้างปัญหา วุ่นวายใจตามมาภายหลัง หากรู้จักควบคุม อารมณ์ จิตใจ และใช้วิธีการป้องกัน อย่างถูกต้อง Health Channel

February 2018

11


Chinese Medicine

เรื่อง : ศ.คลินิก แพทย์จีน นพ.ภาสกิจ วัณนาวิบูล

สามหลวงสหคลินิก (www.samluangclinic.com)

ผลการวิจัยสมัยใหม่ของสุดยอดสมุนไพรทิเบต

หงจิ่งเทียน (红景天)

จากฉบับที่แล้ว คงทำาให้หลายคนพอจะรู้จักกับสุดยอดสมุนไพรทิเบตที่ชื่อว่า หงจิ่งเทียน (红景天) กันบ้างแล้ว ซึ่งสมุนไพรชนิดนี้มีประวัติการใช้มายาวนานกว่า 1,000 ป อีกทั้งยังมีการบันทึกคุณสมบัติพิเศษของสมุนไพรชนิดนี้ในคัมภีร์สมุนไพร “เสินหนงเปนเฉ่า” (神农本草经) อีกด้วย

นอกจากนี้ยังมีการค้นคว้าวิจัยใหม่ๆ เกี่ยวกับสมุนไพร หงจิ่งเทียน (红景天) ซึ่งพบข้อมูลที่น่าสนใจดังต่อไปนี้ l หงจิ่งเทียน ประกอบด้วยแร่ธาตุ ที่พบน้อยแต่จำาเป็น (Trace elements) กว่า 35 ชนิด, กรดอะมิโน 18 ชนิด และ วิตามิน A, D, E ซึ่งเป็นสารซูเปอร์ออกไซด์ (超氧化物) ที่เป็นตัวทำาลายอนุมูลอิสระ ที่เกิดจากการเผาผลาญภายในเซลล์ ช่วยชะลอวัย l หงจิ่งเทียน ช่วยลดภาวะกดดัน ของร่างกายและจิตใจ คนที่ได้รับภาวะกดดัน จากการทำางาน ความเครียดทำาให้มีผลตามมา ถึงภาวะทางจิตใจ ขาดความอดทน มีอาการ ของโรคกระเพาะอาหาร และภูมิคุ้มกันตก

หงจิ่งเทียน สามารถปรับระดับ ฮอร์โมนคอร์ติโซน (Cortisol) โดยปราศจาก ผลข้างเคียง สามารถลดภาวะความกดดัน ลดความเครียดทางอารมณ์และความเมื่อยล้า ทางร่างกาย ควบคุมระดับน้ำาตาลในเลือด l หงจิ่งเทียน เพิ่มพลังในการ ทำางาน มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้าง เอทีพี (ATP) ซึ่งเป็นสารให้พลังงาน ของร่างกาย สามารถเพิ่มความทนทาน ลดการอักเสบโดยเฉพาะหลังการออกกำาลังกาย ที่มีอาการปวดเมื่อยล้า ช่วยเสริมสร้าง สมรรถนะสำาหรับนักกีฬา l หงจิ่งเทียน ช่วยลดอาการ ขาดออกซิเจนเมื่อขึ้นไปอยู่บนที่สูง ตั้งแต่ 2,100 ฟุตขึ้นไป เนื่องจากภูมิประเทศที่ สูงมากๆ ปริมาณของออกซิเจนในอากาศ l

จะเบาบาง ทำาให้เกิดอาการต่างๆ จาก ภาวะออกซิเจนในเลือดน้อย เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน แน่นหน้าอก ร่างกายอ่อนแรง นอนหลับไม่สนิท ถ้ามีอาการรุนแรงทำาให้ เกิดอาการของปอดและสมองบวมน้ำา คุกคาม และเป็นอันตรายต่อชีวิตอย่างมาก อาการป่วยบนที่สูงหรืออาการ แพ้ที่สูง (High altitude sickness) เกิดจาก การที่ร่างกายไม่คุ้นเคยและปรับตัวไม่ทัน เนื่องจากขึ้นไปอยู่บนพื้นที่สูงและมีออกซิเจน ในบรรยากาศต่ำา ซึ่งกลไกของร่างกายในการ ช่วยเพิ่มออกซิเจน คือ การหายใจให้เร็วขึ้น ทำาให้ได้ออกซิเจนมากขึ้น ทั้งนี้ หงจิ่งเทียน (红景天) เป็นสมุนไพรที่ชาวทิเบตนิยมนำามาใช้ แก้อาการที่เกิดจากการป่วยบนที่สูง เนื่องจาก ปริมาณออกซิเจนต่ำา รวมถึงใช้ในการเสริม เพิ่มพลังและป้องกันโรคต่างๆ

งานวิจัยในสมัยใหม่ จึงถือเป็นข้อมูล สนับสนุนภูมิปัญญาของคนในสมัยก่อน สร้างความน่าเชื่อถือและสร้างความมั่นใจ ให้กับผู้ใช้สมุนไพรมากยิ่งขึ้น

12

Health Channel

February 2018


สุขภาพจิตดี

เรื่อง : วินิตรา แก้วสง่า พยาบาลวิชาชีพ รพ.มนารมย

3 สัญญานเตือน

เมื่อไหร่ต้องมาพบจิตแพทย์ ???

ผู้คนในยุคปัจจุบันใส่ใจและหันมาดูแลสุขภาพจิตกันมากขึ้น การมาพบจิตแพทย์ จึงถือเป็นเรื่องปกติทั่วไป แต่ก็มีคนจำานวนไม่น้อยที่ยังคงมีทัศนคติไม่ดีต่อการมาพบ จิตแพทย์ บางคนอายที่คนในครอบครัวป่วยเป็นโรคทางจิตเวช หรืออายเมื่อตนเอง ต้องเป็นผู้มาพบจิตแพทย์

ท่านทราบหรือไม่ว่า ผู้ที่ไปพบจิตแพทย์ ไม่ได้หมายความว่า เป็นผู้ป่วยจิตเวชทั้งหมด แต่เขาเหล่านั้นอาจมาขอคำาแนะนำา หรือ ปรึกษาปัญหาต่างๆ ที่ทำาให้ไม่สบายใจ ทุกข์ใจ หรือปัญหานั้นๆ ส่งผลกระทบต่อ การดำาเนินชีวิต การเรียนรู้และการทำางาน ก็เป็นสิ่งที่จำาเป็นที่ต้องมาพบจิตแพทย์ เมื่อเราสังเกตเห็นว่าคนรอบข้างหรือตนเอง เริ่มรู้สึกไม่สบายใจ ก็ควรมาพบจิตแพทย์ เพื่อประเมินอาการและรักษา โดย สัญญานเตือนสามารถแบ่งออกเป็น 3 ด้าน หลักๆ ดังนี้ 1. สัญญาณเตือนด้านอารมณ์

• มีความกังวลทุกข์ใจ ซึมเศร้า ตลอดเวลา ไม่หายไป • หวาดระแวงในทุกๆ เรื่อง มีอารมณ์หงุดหงิดมากผิดปกติ

• รู้สึกเครียดตลอดเวลา • มีความกระวนกระวายใจ และ อยู่ไม่นิ่ง 2. สัญญาณเตือนด้านความคิด มักพบว่า เนื้อหาความคิดผิดไปจากปกติ

• ไม่มีสมาธิในการทำางานและ การทำากิจกรรมต่างๆ รวมถึงหลงลืมมากกว่า ผิดปกติ • ตัดสินใจหรือแก้ไขปัญหาไม่ได้ ในทุกๆ เรื่อง แม้เป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม • ได้ยินเสียงแว่วหรือเห็นภาพที่ ผู้อื่นไม่เห็น • มีความคิดทำาร้ายตนเอง และ ความคิดว่ามีคนมาปองร้าย • มีการใช้คำาพูดหรือคิดหมกมุ่น ในเรื่องอดีต มีความคิดที่เร็ว คิดหลายเรื่อง คิดฟุ้งซ่าน

3. สัญญาณเตือนด้านพฤติกรรม หรือ ร่างกาย

• ไม่สนใจดูแลตนเองเหมือน เมื่อก่อน ปล่อยตัว ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม แยกตัวไม่พบปะผู้คนเหมือนเคย • นอนไม่หลับหรืออาจนอน มากเกินปกติ • เบื่ออาหาร หรือรับประทานอาหาร มากเกินปกติ • ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ใช้จ่ายโดย ไม่ยั้งคิด • ดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่มาก เมื่อเรารู้สึกว่าตนเองหรือคนรอบข้าง เปลี่ยนไปในด้านใดด้านหนึ่งดังที่กล่าวมา ก็ควร มาพบจิตแพทย์ เพื่อได้รับการดูแลจิตใจให้แข็งแรง เมื่อจิตใจดีแล้ว ร่างกายก็ดีตามไปด้วย อย่าลืม ดูแลจิตใจทั้งตนเองและคนรอบข้างให้เข้มแข็ง กันนะคะ Health Channel

February 2018

13


พบแพทย์ผิวหนัง

เรื่อง : ศ.ดร.นพ.ประวิตร อัศวานนท์ สมาคมแพทยผิวหนังแหงประเทศไทย

เตือนภัย

“สารหนูและสเตียรอยด์” ยาออนไลน์ที่ควรระวัง!!

ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารที่พัฒนาก้าวหน้ามากขึ้น การเลือกซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค ของคนไทยในปัจจุบันจึงแปรเปลี่ยนไปจากการซื้อขายแบบเดิมๆ ที่เรียกกันว่า Face to Face คือ การได้เห็นสินค้าจริง ได้พูดคุยกับผู้ขายจริง แต่ด้วยยุคนี้ การขายของออนไลน์เริ่มเข้ามา แทนที่การซื้อขายแบบเดิม ซึ่งมีคนจำานวนไม่น้อยหลงเชื่อในสินค้าและยาต่างๆ ที่อวดอ้าง สรรพคุณเกินจริง ทำาให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพแก่ผู้บริโภคได้

สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย เตือนผู้บริโภคกลุ่มที่นิยมซื้อสินค้า (ยา) ออนไลน์ ว่าสมุนไพรบางชนิดไม่ได้ปลอดภัย 100% แต่อาจมีผลต่อตับได้ ดังนั้นหากจะใช้ยา ที่เป็นชนิดกิน ควรเจาะเลือดเพื่อตรวจดูอาการ และการทำางานของตับด้วย “จากการทำาตลาดผลิตภัณฑ์ยา ในยุคโซเชียลมีเดียในปัจจุบันหรือที่เรียกว่า การขายยาออนไลน์ ยาจำานวนหนึ่งที่นำามาขาย อาจมีการอ้างสรรพคุณเกินจริง ยาบางตัว

เพราะบางคน เมื่อลอกแล้วไม่กลับไปที่จุดเดิม อีกทั้งรักษาไม่ได้ก็มีมาหลายรายแล้ว” มีสถานพยาบาลบางแห่งใช้สมุนไพร ให้กินในบางโรค แต่จริงๆ แล้วผสมสาร บางอย่างที่น่ากลัว โดยเฉพาะมีสารหนู เป็นส่วนผสมในตัวยา ซึ่งหากเป็นในอดีต ยาบางชนิดอาจจะมีสารหนูหรือโลหะหนัก ปนเปื้อน หรือเป็นสารหลักในยาได้ แต่ในปัจจุบัน หน่วยงานของรัฐทุกแห่งระบุว่า สารหนูหรือ โลหะหนักจำาพวกนี้มีโทษ ห้ามนำามาใช้เป็นยา ที่อ้างว่า ใช้รักษาโรคสะเก็ดเงิน ซึ่งเป็น รักษาผู้ป่วยผิวหนัง และเลิกนำามาเป็น โรคผิวหนังชนิดหนึ่ง ถูกแนะนำาสรรพคุณ ส่วนผสมของยาที่ใช้ในการรักษามานานแล้ว ทำาให้คนหลงเชื่อว่า เป็นยาสมุนไพร แต่ปัจจุบันเริ่มกลับมาใหม่ พบอยู่เรื่อยๆ กินแล้วปลอดภัย ซึ่งจริงๆ แล้ว มีสมุนไพร ในรูปแบบของสมุนไพร ยาลูกกลอน ยาแคปซูล หลายชนิดที่ไม่ได้มีการรับรองว่ากินแล้ว สมุนไพร พอกินไปนานๆ ก็จะมีผลต่อ จะปลอดภัย สมุนไพรบางตัวเมื่อกินไปแล้ว ระบบประสาท มีผลต่อไต เกิดโรคมะเร็ง สามารถทำาให้เกิดอาการตับอักเสบได้ ชนิดต่างๆ เช่น มะเร็งผิวหนัง ซึ่งสมุนไพรก็คือ ยา แปลว่าถ้าจะกิน หรือทา “ผมเองในฐานะหมอ มองว่าการ หรือใช้ต่อเนื่องก็ต้องมีการดูแลต่อเนื่องด้วย ซื้อยาผ่านทางออนไลน์ไม่ควรจะมี เพราะโดยทั่วไป แม้แต่ยาทารักษาโรคสะเก็ดเงิน มีผู้ป่วย การซื้อยาจะต้องมีใบสั่งยา คนจ่ายยาต้องเป็นหมอ นำาไปใช้แล้วเล่าว่า รักษาผื่นและสะเก็ด หรือเป็นเภสัชกร แต่เรื่องยาออนไลน์นั้น หายได้เร็วมาก สมุนไพรชนิดนี้จะล้างพิษ ประการที่หนึ่ง เป็นโรคอะไรก็ยังไม่รู้ ยาจริง หรือมีน้ำาเหลืองออกมา ผิวจะแดงจัด ซึ่งผู้ขาย ยาปลอม ถูกหรือผิดกับโรคก็ไม่รู้ จึงแทบจะ มักบอกว่า คือ การขับพิษออกมาแล้วก็ลอก ไม่มีประเด็นที่จะต้องซื้อยาออนไลน์ บางคน เป็นชุดเดี๋ยวก็หาย สิ่งเหล่านี้ต้องระวัง เมื่อกินแล้ว เกิดผลข้างเคียงหรือแพ้ยา ถ้าเรา ซื้อออนไลน์คงไม่มีคนมาคอยดูหรือเตือน ขณะเดียวกันยาที่ซื้อผ่านออนไลน์ในประเทศไทย ซื้อได้ง่ายมาก ซื้อผ่านระบบขายตรงบ้าง ผ่านออนไลน์บ้าง และประเด็นสำาคัญอยู่ที่ว่า กินยากันแบบบอกต่อ เพื่อนบอกว่าดี ก็ไปซื้อ 14

Health Channel

February 2018

ศ.ดร.นพ.ประวิตร อัศวานนท์

ตามกัน ซึ่งการใช้ยาไม่สมเหตุสมผล เป็นอันตรายมาก เพราะฉะนั้นคำาเตือน คือ ถ้าจะใช้ยาอะไรที่เป็นยากิน ควร จะต้องเจาะเลือด เพื่อตรวจดูอาการ และการทำางานของตับ ไต และเม็ดเลือด ว่ามีความผิดปกติหรือไม่ ซึ่งการกิน ยาแผนปัจจุบัน แพทย์มักจะมีการ ตรวจเลือดอยู่เสมอ แต่การซื้อยาหรือ สมุนไพรออนไลน์ เราก็ไม่รู้วิธีที่จะดูแลต่อ อย่างไร และสิ่งที่สำาคัญมากประการสุดท้าย คือ จะต้องทราบถึงแหล่งที่มาของยา หรือ ควรมีความรู้อย่างดี แต่หากได้ยามา ในลักษณะเป็นยาลูกกลอนหรือแคปซูล ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะไม่ทราบว่า ข้างในจะมีอะไรบ้าง” คำาว่า “สมุนไพร” ถ้าใครได้ฟัง

ก็คงคิดว่า ต้องเป็นประโยชน์ที่ดี จากธรรมชาติ เหตุผลนี้อาจเป็นสิ่งหนึ่ง ที่ทำาให้หลายคนหลงเชื่อได้ง่าย กับการที่ อ้างว่ากินยาออนไลน์นี้แล้วสุขภาพดี หายจากโรคที่เป็นอยู่ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ด้วยการผลิตยาออนไลน์เหล่านี้ ที่ไม่ได้มาตรฐานและไม่ผ่านการรับรอง ความปลอดภัยอย่างถูกต้อง อยากให้ ผู้บริโภคทุกท่านนำาไปคิดไตร่ตรอง เพื่อเตือนใจไว้ว่า เมื่อเห็นยาเหล่านั้น ขายอยู่ในโลกออนไลน์ ก็ไม่ควรสั่งมากิน เพื่อไม่ให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพของเรา ในอนาคต...การขอคำาแนะนำาจากแพทย์ จึงเป็นแนวทางที่ดีกว่าเสมอ


ห ู- คอ - จมูก

เรื่อง : ผศ.พญ.จรินรัตน์ สิริรัฐวรรณ หัวหนาภาควิชา โสต ศอ นาสิกวิทยา ศูนยการแพทยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

ภัยใกล้ตัว

เสียงดังเกินไป ทำาประสาทหูเสื่อมได้!

ปัจจุบัน “โรคประสาทหูเสื่อม” กำาลังเป็นปัญหาในระบบสาธารณสุขของประเทศไทย ซึ่งจากสถานการณ์ทั่วโลกพบว่า ทั้งเพศชายและเพศหญิงมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียการได้ยิน ถึง 1,100 ล้านคน

องค์การอนามัยโลกได้ออกมาเตือนว่า ไม่ควรฟังเพลงเสียงดังนานติดต่อกันเกิน 1 ชั่วโมง และควรลดระดับความดังของเสียง ลงร้อยละ 60 ก็จะช่วยลดความเสี่ยง โรคประสาทหูเสื่อม และลดโอกาส การสูญเสียการได้ยินลงไปได้ “โรคประสาทหูเสื่อม” ทำาให้สูญเสีย การได้ยินและการสื่อสาร เป็นโรคที่คุกคาม ต่อชีวิต สร้างปัญหาให้กับการใช้ชีวิตประจำาวัน ของผู้ป่วยและคนรอบข้าง จากความก้าวหน้า ของเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงไลฟสไตล์ การใช้ชีวิตประจำาวัน เช่น การใช้หูฟังเพื่อ การสื่อสาร ฟังเพลงหรือชมภาพยนตร์ เป็นเวลานานๆ การเข้าผับ บาร์ หรือ ชมคอนเสิร์ต ที่มีเสียงดัง เสียงต่างๆ ที่เราต้องเจอในชีวิตประจำาวัน ทั้งบนท้องถนน ที่ทำางาน เช่น ชาวไร่ชาวนาที่ใช้เครื่องจักร เสียงดัง ในโรงงานอุตสาหกรรมที่มีเครื่องจักร เสียงดัง นักดนตรี อาชีพทหาร - ตำารวจที่ต้อง ซ้อมยิงปืน หรือซ้อมภาคสนาม ต้องเผชิญกับ เสียงที่ดังมากเพียงระยะเวลาสั้นๆ ทั้งหมดนี้ อาจส่งผลให้เกิดโรคประสาทหูเสื่อมก่อนวัย อันควรได้ การได้ยินเสียงดัง จะทำาให้ เซลล์ประสาทหูทำางานหนักมากขึ้น และ จะเกิดภาวะเสื่อมถอย เกิดภาวะอักเสบ การแตกหักบาดเจ็บของเซลล์ประสาทหู อีกทั้งยังส่งผลให้เซลล์ที่สามารถทำางานได้ดี มีจำานวนลดลง โดยเสียงดังมักจะทำาลาย เซลล์หูที่รับเสียงสูงก่อน โดยระยะเริ่มแรก อาจมีอาการหูอื้อ มีเสียงดังรบกวนในหู และ เริม่ พูดคุยสนทนากับผูอ้ นื่ ด้วยเสียงดังมากขึน้

ถ้ามีอาการดังนี้ เข้าข่าย “โรคประสาทหูเสื่อม” จากเสียงดัง 1. การสูญเสียการได้ยิน มีทั้งแบบ

การได้ยินบกพร่องชั่วคราว และการได้ยิน บกพร่องแบบถาวร 2. เสียงดังในหู (Tinnitus) เป็นเสียงดังรบกวน ก่อให้เกิดความรำาคาญ ในหู อาจมีอาการเจ็บหูเมื่อเผชิญเสียงดังมาก อาการเสียงดังในหูเป็นสัญญาณเตือน ก่อนที่จะเกิดการสูญเสียการได้ยินที่รุนแรง อย่างถาวร 3. การสื่อสารลำาบาก สื่อความหมายผิด โดยเฉพาะในที่มีเสียงรบกวน ผู้ป่วยมักพูดเสียงดังมากขึ้น ขอให้พูดซ้ำาอีกครั้ง เพราะไม่ได้ยิน หรือไม่เข้าใจในสิ่งที่ได้ยิน 4. สูญเสียประสิทธิภาพการทรงตัว ผู้ป่วยที่มีการสูญเสียการได้ยิน อาจมีการ สูญเสียการทรงตัว เช่น เวียนศีรษะ เดินไม่มั่นคง ไม่มั่นใจ ความจำาถดถอย ทำาให้ไม่ค่อยอยาก พบปะผู้คน อยากแยกตัวออกจากสังคม และ เพื่อนฝูง นอกจากเสียงดังที่มากเกินกำาหนดแล้ว การฟังที่ปลอดภัย ยังอาจขึ้นกับระดับเสียง ความถี่ ระยะเวลาในการได้ยิน โดยในการ ทำางาน กำาหนดให้ความดังไม่เกิน 85 เดซิเบล ไม่เกิน 8 ชั่วโมง (ควรใช้อุปกรณ์ป้องกันเสียง) และทุกความดังที่มากขึ้น ชั่วโมงการทำางานจะ ลดลงเหลือ 4 ชั่วโมง ตัวอย่างเช่น เสียง ในระดับ 82 เดซิเบล ไม่ควรนานเกิน 16 ชั่วโมง, 85 เดซิเบล ไม่นานเกิน 8 ชั่วโมง และเสียงในระดับ 88 เดซิเบล ไม่ควรนานเกิน 4 ชั่วโมง เป็นต้น

วิธีป้องกันโรคประสาทหูเสื่อม จากเสียงดัง

1. ปรับลดความดังเสียงลง 2. ใส่ที่อุดหูกันเสียง (ถ้าใส่ อย่างถูกวิธีจะช่วยลดเสียงได้ 5 - 45 เดซิเบล ขึ้นอยู่กับชนิด) เหมาะสำาหรับ ป้องกันเสียงในการแข่งขันหรือเล่นกีฬา ร้านอาหารที่มีดนตรี และบริเวณที่เสียงดัง ทั่วไป 3. การตั้งความดังของเสียง ในอุปกรณ์ต่างๆ ให้อยู่ในระดับปลอดภัย โดยตั้งค่าระดับเสียงที่ฟังสบายในห้องเงียบ ไม่ให้เกิน 60% ของค่าความดังสูงสุด 4. มีช่วงเวลาพักหู เช่น ในช่วงที่ มีกิจกรรมที่ต้องได้ยินเสียงดังต่อเนื่อง เป็นเวลานาน ควรมีการพักการฟัง เป็นช่วงๆ เพื่อให้ประสาทหูไม่ล้า 5. การฟังเสียงจากโทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์มือถือ ไม่ให้เกิน 1 ชั่วโมงต่อวัน การใช้หูฟังในที่ๆ สิ่งแวดล้อม มีเสียงรบกวนมาก เช่น เครื่องบิน รถไฟ ควรเลือกหูฟังที่กระชับหูพอดี 6. หากมีอาการผิดปกติ หรือ สงสัยว่ามีอาการประสาทหูเสื่อม ควรรีบ พบแพทย์หูคอจมูก เพื่อทำาการตรวจรักษา และรับคำาแนะนำาในการปฏิบัติอย่างถูกต้อง ดังนั้นการใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง

และไม่ประมาท จึงน่าจะเป็นหนทางในการ ดูแลรักษาสุขภาพที่ดีที่สุด ถึงแม้จะเป็น เพียง “หู” แต่ก็เป็นอวัยวะที่สำาคัญกับ ร่างกายเราเช่นกันค่ะ Health Channel

February 2018

15


Cover Story

เรื่อง : กองบรรณาธิการ

หนทางในการตรวจรักษา

“อัลไซเมอร์”

นายแพทย์วีระพันธ์ มูลหมัน อายุรแพทย์ระบบประสาท ซึ่งทำางานดูแล เป็นความจริงที่ว่า ปัญหาสุขภาพ และโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน สาเหตุส่วนใหญ่มาจากการไม่ดูแลสุขภาพ และมีภาวะเครียดสะสม โดยเฉพาะคนวัย หนุ่มสาวหรือวัยทำางานที่ไม่คิดว่าตัวเอง จะมีปัญหาสุขภาพได้ง่ายๆ แต่ด้วยปัจจัยเสี่ยง จากการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการทำางานหนัก พักผ่อนไม่เพียงพอ รับประทานอาหาร ที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ และ ไม่ดูแลสุขภาพตั้งแต่เนิ่นๆ จึงทำาให้เกิด โรคต่างๆ ได้เร็วขึ้น หนึ่งในนั้นก็คือ “โรคสมองเสื่อมและอัลไซเมอร์” ที่เริ่มพบ ในกลุ่มคนอายุน้อย

ผู้ป่วยและผู้ที่มีปัญหาด้านสมองและระบบ ประสาทมากว่า 10 ปี ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ สถานการณ์โรคสมองเสื่อมและอัลไซเมอร์ ว่า ปัจจุบันประเทศไทยเริ่มเข้าสู่การเป็น สังคมผู้สูงอายุ คือ มีจำานวนผู้สูงอายุถึง ประมาณ 20% ของประชากรทั้งประเทศ และมีแนวโน้มจะมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง คล้ายกับประเทศญี่ปุ่นและประเทศ ทางยุโรป ขณะที่คนวัยทำางานเริ่มลดลง อัตราการเกิดก็น้อยลงเรื่อยๆ เมื่อมี ผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้นเปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วย โรคสมองเสื่อมและอัลไซเมอร์ก็มากขึ้น ตามไปด้วย โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุเกิน 80 ปี สามารถพบผู้ป่วยได้ถึง 1 ใน 3 คน

“สมองเสื่อม” ทุกรายอาจไม่ใช่ “อัลไซเมอร์” ทุกคน

เมื่อพูดถึงโรคสมองเสื่อมและ อัลไซเมอร์ เชื่อว่ามีคนจำานวนไม่น้อย ที่เข้าใจว่าทั้งสองโรคนี้คือโรคเดียวกัน แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ ประเด็นนี้ นพ.วีระพันธ์ อธิบายถึงความเหมือน ที่แตกต่างของทั้งสองโรคนี้ว่า 16

Health Channel

February 2018

“โรคสมองเสื่อม เป็นคำาที่ กินความหมายกว้าง ซึ่งอัลไซเมอร์ คือ หนึ่งในสาเหตุที่ทำาให้เกิดโรคสมองเสื่อม โดยโรคสมองเสื่อมที่พบได้ในเมืองไทย มีจากหลายสาเหตุ เช่น สมองเสื่อมที่ เกิดจากโรคอัลไซเมอร์, เกิดจากหลอดเลือด สมองตีบ, เกิดจากโรคพาร์กินสัน และโรค สมองเสื่อมที่เกิดจากสาเหตุอื่นๆ ที่พบได้ ไม่มากนัก เช่น เกิดจากการขาดวิตามิน บางอย่าง, โรคของความผิดปกติ ทางพันธุกรรมบางอย่าง, โรคที่เกิดจาก สารพิษ, โรคที่เกิดจากเนื้องอก และโรค ที่เกิดจากน้ำาในสมองมากเกินไป” โดยสรุป คือ คำาว่า “สมองเสื่อม” เป็นคำารวมๆ กว้างๆ เกิดได้จาก หลายสาเหตุ โดยอัลไซเมอร์เป็นสาเหตุ ของโรคสมองเสื่อมที่พบมากที่สุดเกิน 50% ทั้งนี้โรคอัลไซเมอร์เกิดจากการเสื่อมสลาย ของเซลล์สมองที่รับผิดชอบในส่วนของ ความจำา พฤติกรรม การใช้ความคิด และ การใช้เหตุผล ดังนั้น คนที่มีโรคสมองเสื่อม จึงไม่ได้หมายถึงคนที่เป็นโรคอัลไซเมอร์ ทั้งหมด


แต่สามารถชะลอความเสื่อมของ เซลล์สมองได้ แต่ถ้าพามาตอนที่ มีอาการหนักแล้ว จะทำาการรักษา ได้ยากมาก เพราะผู้ป่วยจะไม่ค่อย ให้ความร่วมมือกับการรักษามากนัก 1 - 4 ขั้นตอนนี้ วินิจฉัย “อัลไซเมอร์” นพ.วีระพันธ์ อธิบายถึง 4 ขั้นตอน

นพ.วีระพันธ์ มูลหมัน

ใช้ชีวิตแบบไหน? เสี่ยงอัลไซเมอร์

โรคอัลไซเมอร์มักเกิดขึ้นในผู้ที่ มีอายุเกิน 60 ปี แต่ถ้าหากมีภาวะ สมองเสื่อมเกิดขึ้นในคนอายุน้อย ก็ต้อง หาสาเหตุ เพราะอาจจะเป็นอย่างอื่นได้ เช่น มีภาวะสมองเสื่อมจากเนื้องอก นอกจากนี้ยังพบว่าสัดส่วนของโรคอัลไซเมอร์ ที่พบในคนไทย ซึ่งมีสาเหตุมาจากโรค หลอดเลือดสมองตีบนั้น พบได้มากกว่า ในต่างประเทศ “โรคหลอดเลือดสมองตีบ เป็นปัญหาสุขภาพที่สำาคัญของสังคม ปัจจุบัน และไม่ใช่ปัญหาที่พบเฉพาะใน ผู้สูงอายุเท่านั้น แต่ยังพบได้มากในคนวัย ทำางาน สาเหตุของหลอดเลือดสมองตีบ ได้แก่ ความดันโลหิตสูง, เบาหวาน, ไขมันสูง, สูบบุหรี่, ดื่มสุรา,โรคอ้วน และขาดการ ออกกำาลังกาย ส่งผลให้เกิดหลอดเลือด สมองตีบ และเกิดโรคอัลไซเมอร์ขึ้นได้ ในผู้ป่วยบางราย...ปัจจุบันเรายังไม่ทราบถึง สาเหตุของการเกิดโรคอัลไซเมอร์ที่แน่ชัด ทราบเพียงปัจจัยเสี่ยง ก็คือ กรรมพันธุ์ การใช้ชีวิตที่ทำาให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบ ได้แก่ สูบบุหรี่, ดื่มสุรา, ความดันโลหิตสูง, ไขมันในเลือดสูง, โรคหลอดเลือดสมอง และพฤติกรรมการใช้ชีวิตอื่นๆ มีการ ทำากิจกรรมทางกายน้อย ผู้ที่ใช้ชีวิตโดดเดี่ยว ไม่มีสังคม ไม่มีกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมฝึกสมอง มีความเครียดหรือซึมเศร้า ทำาให้มีปัจจัยเสี่ยง ที่จะเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้” โดยอาการของผู้ป่วยอัลไซเมอร์ คือ

2. ความสามารถในการทำางาน หรือกิจวัตรประจำาวันลดลง เช่น ขับรถ

กลับบ้านหลงทาง 3. อารมณ์และพฤติกรรม เปลี่ยนแปลงไป มีอารมณ์ซึมเศร้า อารมณ์ หงุดหงิดฉุนเฉียวง่ายกว่าปกติ มีปัญหา การนอนไม่หลับอย่างต่อเนื่อง พฤติกรรม ก้าวร้าว ซึ่งอาการด้านอารมณ์และ พฤติกรรมนี้ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำาให้ญาติ พาผู้ป่วยมาพบแพทย์ เนื่องจากส่งผลกระทบ โดยตรงต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจของ ทั้งตัวผู้ป่วยเองและญาติผู้ดูแล ดังนั้นถ้าครอบครัวเริ่มสังเกตเห็น อาการผิดปกติหรือพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ของผู้ที่ป่วยเป็นอัลไซเมอร์ ควรรีบพามา รักษาตั้งแต่เนิ่นๆ แม้จะรักษาไม่หาย

สำาคัญในการตรวจวินิจฉัยโรคอัลไซเมอร์ว่า ขั้นที่ 1 ญาติให้ประวัติถึงอาการ ต่างๆ ที่ผิดปกติของผู้ป่วย ขั้นที่ 2 แพทย์ทำาการซักประวัติ จากผู้ป่วยและญาติเพิ่มเติม พร้อม ตรวจร่างกายทางระบบประสาท ขั้นที่ 3 ตรวจเลือดเพื่อหา ความผิดปกติบางอย่างที่ทำาให้เกิดโรค อัลไซเมอร์ เช่น ภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำา, ภาวะโลหิตจาง, ภาวะขาดวิตามิน เกลือแร่ และร่างกายผิดปกติ การทำางานของตับและ ไตบกพร่อง ขั้นที่ 4 ส่งตรวจสแกนสมอง เพื่อหาสาเหตุบางอย่าง อาจเป็นการ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือส่งตรวจแบบ MRI โดยพิจารณาเป็นรายบุคคลไป “ถ้าถามว่า เมื่อไหร่ที่ผู้ป่วยจำาเป็น ต้องเข้ารับการตรวจด้วย MRI ในมุมมอง ของผมคิดว่า ถ้าทำาได้ทุกคนควรตรวจ ด้วยเครื่อง MRI หมายถึงว่า โรงพยาบาลนั้น มีความพร้อมและมีเครื่อง MRI ส่วนผู้ป่วย ก็ต้องให้ความร่วมมือด้วย เพราะการตรวจ แบบ MRI นั้นผู้ป่วยจะต้องนอนนิ่งๆ ประมาณ 45 นาที ในขณะที่ผู้ป่วย อัลไซเมอร์บางคนจะมีอาการลุกลี้ลุกลน ไม่สามารถนอนนิ่งๆ ได้ นี่ก็คือ ข้อจำากัด ของผู้ป่วยอัลไซเมอร์ ถ้ามีข้อจำากัดแบบนี้

1. มีอาการสูญเสียความจำาระยะสั้น

เช่น หลงลืมง่าย ชอบถามซ้ำา ถามย้ำากับ เรื่องเดิมๆ

Health Channel

February 2018

17


แพทย์ก็จะเลี่ยงไปทำ�เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ แทน ที่ใช้เวลาเพียง 5 นาที ซึ่งเหตุผลของ การส่งตรวจสแกนสมอง คือ 1. เพื่อหาว่ามีหลอดเลือดสมอง ตีบหรือไม่ 2. เพื่อมองหาเนื้องอกในสมอง 3. เพื่อมองหาโรคน้ำ�คั่งในโครงสมอง ซึ่งทั้ง 3 อย่างนี้เป็นสาเหตุที่ ทำ�ให้เกิดภาวะสมองเสื่อมหรือโรคอัลไซเมอร์ ได้เช่นกัน โดยข้อดีของการทำ� MRI คือ สามารถวัดปริมาตรของเนื้อสมองที่เกี่ยวข้อง กับความจำ� สามารถเห็นเส้นใยประสาท ที่เสื่อมได้ดีกว่า และสามารถมองเห็น หลอดเลือดตีบได้ดีกว่าการเอกซเรย์ คอมพิวเตอร์ ส่งผลให้แพทย์สามารถ วางแผนการรักษาได้ง่ายขึ้นและ ตรงจุดมากขึ้น”

3. การเข้าสังคม หลีกเลี่ยงการให้ผู้สูงอายุ อยู่คนเดียว เพราะสมองจะขาดการกระตุ้น พยายามให้ทำ�กิจกรรมกลุ่มมากที่สุด ให้พบปะเพื่อนฝูง นัดกินข้าวกับครอบครัว และเพื่อนฝูงอยู่สม่ำ�เสมอ นพ.วีระพันธ์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า โดยทั่วไปเมื่อเริ่มรักษาในช่วง 1 – 2 สัปดาห์แรก จะไม่เห็นผลทันที แต่จะเห็นผล หลังจากการรักษาไปแล้ว 1 – 2 เดือน ซึ่งอัลไซเมอร์เป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด อาการดีขึ้นที่เห็นผลก็คือ ความจำ�จะดีขึ้น เล็กน้อย การใช้ชีวิตจะดีขึ้น ทั้งนี้เป้าหมาย ของการรักษาไม่ใช่ทำ�ให้โรคหายขาด แต่เพื่อชะลอความเสื่อมของเซลล์สมอง ไม่ให้มากขึ้น และให้ผู้ป่วยสามารถทำ� กิจวัตรประจำ�วันของตนเองให้ดีขึ้นได้มากที่สุด

วิธีรักษาอัลไซเมอร์

ปัจจุบันผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกำ�ลัง ได้รับความนิยมมากขึ้นในทุกกลุ่ม ซึ่งกลุ่มที ่ ว่ากันว่าช่วยบำ�รุงสมองก็ติดอันดับความนิยม หลายคนจึงอยากทราบว่าผลิตภัณฑ์เหล่านั้น ช่วยเรื่องสมองได้จริงหรือ? นพ.วีระพันธ์ แสดงมุมมองในเรื่องนี้ว่า ความจริงแล้วเรายัง ไม่พบหลักฐานทางการแพทย์ที่ยืนยันว่า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่างๆ ช่วยชะลอและ รักษาอัลไซเมอร์ได้แม้แต่ “แป๊ะก๊วย” แม้จะ มีการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์แล้วก็ตาม แต่ในทางการแพทย์ การจะใช้สารตัวใดตัวหนึ่ง ได้ต้องมีงานวิจัยที่มีมาตรฐานรองรับว่า ผลที่ได้รับดีกว่ายาที่มีใช้อยู่จริง แต่ถ้าให้ผล ที่ออกมาเท่ากัน อันนั้น คือ ยังใช้ไม่ได้ ดังนั้น การใช้ยาตามที่แพทย์สั่ง จึงเป็นสิ่งที่ควรปฏิบัต ิ ที่สุด “โดยส่วนตัวผมก็ไม่ได้ห้ามคนไข้ รับประทานผลิตภัณฑ์เหล่านี้ เพราะถ้าเขา รับประทานในขนาดปกติไม่มากเกินไป มันก็ไม่ส่งผลเสียหรืออันตรายใดๆ ถ้า ไม่เป็นอันตรายก็ให้กินได้ ส่วนหนึ่งก็เพื่อ ความสบายใจของญาติและผู้ป่วยเอง แต่ถ้าถามว่าได้ผลหรือไม่ ผมเองยังไม่เห็น แต่อาจจะช่วยในเรื่องของจิตใจ”

ผลิตภัณฑ์บำ�รุงสมอง ช่วยได้จริงหรือ?

การรักษาโรคอัลไซเมอร์มี 2 วิธีหลักๆ คือ รักษาโดยการใช้ยา และไม่ใช้ยา โดยยา ที่ใช้รักษานั้นแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือยาชนิด รับประทาน และยาชนิดแผ่นแปะผิวหนัง ซึ่งยาดังกล่าวจะไปทำ�หน้าที่เพิ่มสาร สื่อประสาทที่เรียกว่า Acetylcholine ในสมอง มีฤทธิ์ช่วยชะลอความเสื่อมเท่านั้น แต่ไม่สามารถรักษาโรคให้หายขาดได้ จึงทำ�ให้เกิดทางเลือกใหม่ในการรักษา เรียกว่า การรักษาด้วย “กิจกรรมบำ�บัด” เรื่องนี้ นพ.วีระพันธ์ อธิบายว่า “การรักษาด้วย กิจกรรมบำ�บัด เป็นการส่งเสริมให้ผู้ป่วยทำ�กิจกรรม ทางกาย คือ 1. การออกกำ�ลังกาย ช่วยกระตุ้น ให้ผู้ป่วยออกกำ�ลังกาย ซึ่งการออกกำ�ลังกาย ที่เหมาะสมสำ�หรับผู้สูงอายุ ก็คือ การเดินเร็ว อย่างน้อยวันละ 30 - 45 นาที ถ้าเป็นไปได้ ควรออกกำ�ลังกายทุกวัน 2. การส่งเสริมกิจกรรมที่ให้ผู้ป่วย ได้ฝึกสมอง เช่น การเล่นเกมส์ต่างๆ โดยเฉพาะการเล่นเกมส์เป็นกลุ่ม ง่ายที่สุด ก็คือ การเล่นไพ่ หมากรุก หมากฮอส

ดูแลสมองเสื่อมและอัลไซเมอร์ เริ่มที่การ ป้องกัน

เราต้องเริ่มป้องกันตั้งแต่วันนี้ ตั้งแต่ ยังอยู่ในวัยทำ�งาน ด้วยการ 1. ออกกำ�ลังกายสม่ำ�เสมอ 2. พยายามใช้ชีวิตไม่ให้มี ความเครียดสะสม ผ่อนคลายจาก ความเครียดในชีวิตประจำ�วัน 3. ฝึกทำ�กิจกรรมที่ส่งเสริม 18

Health Channel

February 2018

การฝึกสมอง เช่น เลิกทำ�อะไรซ้ำ�ๆ ในแต่ละวัน หากิจกรรมใหม่ๆ ทำ� เช่น ชิมอาหารรสชาติใหม่ๆ, ฟังเพลงใหม่ๆ ที่ไม่เคยฟัง, เล่นดนตรี, ลองคุยกับ คนแปลกหน้า, ขับรถไปทำ�งานในเส้นทาง ใหม่ๆ และมีการพบปะสังสรรค์ อีกทั้งมี การเตรียมตัวสำ�หรับวัยเกษียณ ผู้สูงอายุ โดยเฉพาะข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือ คนที่ทำ�งานประจำ� การเตรียมตัวสำ�หรับ วัยเกษียณสำ�คัญมากๆ เนื่องจากพบว่า ผู้ที่เป็นอัลไซเมอร์ส่วนใหญ่จะเป็น หลังวัยเกษียณและไม่มีแผนสำ�รองสำ�หรับ งานที่จะทำ�ต่อไปในอนาคต จึงควรมีการ วางแผนชีวิต งานอดิเรกหรืองานที่น้อยลง จากงานเดิม การหยุดทำ�งานทำ�ให้สมอง หยุดใช้และหยุดฝึกไปด้วย ควรเปลี่ยนเป็น กิจกรรมต่างๆ ที่เป็นการฝึกสมองตลอดเวลา เช่น มีความฝันยังอยากจะไปเปิดร้านกาแฟ ก็ควรทำ�ในขณะที่ทำ�ได้ ทำ�อย่างพอดี ไม่เกิดความเครียดมากเกินไป นพ.วีระพันธ์ ให้คำ�แนะนำ�ทิ้งท้ายว่า บทบาทของผู้ดูแลผู้สูงอายุในสังคมไทย มักเป็นลูกหลาน ซึ่งถือเป็นสิ่งสำ�คัญมาก ควรส่งเสริมให้ผู้ป่วยได้ทำ�กิจวัตรประจำ�วัน และได้ช่วยตัวเองให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ผู้ป่วย ได้ฝึกสมองไปด้วย เมื่อผู้ป่วยอัลไซเมอร์ มีอาการหนักมากขึ้น ดูแลตัวเองไม่ได้ มีปัญหาด้านอารมณ์อารมณ์หงุดหงิด ฉุนเฉียว โมโหง่าย กลางคืนไม่ยอมนอน นี่คืออาการของผู้ป่วยอัลไซเมอร์ ในระยะหลังๆ เพราะฉะนั้นผู้ดูแลจะต้องรับบทหนัก คุณสมบัติของผู้ดูแลจะต้องมีความอดทน อดกลั้นเป็นอย่างมาก ปฏิบัติกับผู้ป่วย อย่างให้เกียรติ ถ้าผู้ดูแลเกิดความเครียด ก็ต้องหาทางออก มิฉะนั้นผู้ดูแลก็อาจจะ มีปัญหาด้านสุขภาพตามมา อาจจะสลับกับ ญาติพี่น้องคนอื่นบ้าง เพราะส่วนใหญ่แล้ว ผู้ป่วยจะถูกดูแลเพียงลูกคนเดียว โดยเฉพาะลูกที่ไม่มีครอบครัวหรือไม่ได้ ทำ�งานประจำ� “ขอแนะนำ�ญาติผู้ป่วยทุกคนว่า ให้หาทางออกที่จะดึงตนเองออกมาบ้าง อาจจะ 1 สัปดาห์ เพื่อให้คนอื่นมาดูแลแทน หรือถ้าไม่มีคนที่จะมารับช่วงต่อ ก็สามารถ ฝากกับโรงพยาบาลหรือศูนย์ฝากเลี้ยง ชั่วคราวได้ แต่ต้องดูและศึกษาแต่ละที่ให้ดีว่า มีความพร้อมหรือไม่ เพื่อให้เราได้พักเติมพลัง แล้วพาผู้ป่วยกลับมาดูแลใหม่ ไม่อยากให้ มองว่า เป็นการทอดทิ้ง นอกจากการดูแล ผู้ป่วยแล้ว เราก็ต้องดูแลตนเองด้วยเช่นกัน เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ดูแลมีโรคที่จะตามมา ได้อีกคน”


เรื่อง : ภก.ดร.นิติ สันแสนดี เภสัชกรและนักวิจัยอิสระ

รู้จริงเรื่องยา

“ยา” กับ “ผู้สูงอายุ”

อันตราย..อยู่ใกล้แค่เอื้อม

เนื่องจากอายุที่มากขึ้น ทำาให้มีภาวะความเจ็บป่วยมากขึ้นตามไปด้วย “ผู้สูงอายุ” จึงเป็นกลุ่มบุคคลที่มีโอกาสในการใช้ยามากกว่าบุคคลกลุ่มอื่น อีกทั้งยังมีโอกาสในการ ใช้ยารักษาโรคหลายชนิดในเวลาเดียวกันด้วย

สิ่งที่ต้องระมัดระวังมากสำาหรับ การใช้ยาในผู้สูงอายุก็คือ การเกิดปฏิกิริยา ต่อกันของยา หรือที่เรียกว่า “ยาตีกัน” อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา ของร่างกายคนวัยนี้ ยังส่งผลให้การดูดซึมยา การกระจายยา การเปลี่ยนแปลงยา และ การกำาจัดยาออกจากร่างกาย ไม่ดีเหมือนวัย หนุ่มสาว ทำาให้มีความเสี่ยงในการใช้ยา มากกว่า นอกจากนี้ปัญหาที่อาจเกิดทางอ้อม เช่น อ่านฉลากยาผิด อ่านไม่ครบถ้วน ซึ่งเกิดจากความเสื่อมของสายตาในวัยสูงอายุ ดังนั้น จึงมีความจำาเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใส่ใจ ในการใช้ยาของผู้ป่วยกลุ่มนี้

5. สมุนไพร ปัจจุบันยากลุ่มสมุนไพร มีบทบาทมากขึ้น เนื่องจากผู้ป่วยบางกลุ่มเลี่ยง การใช้ยาเคมีมาใช้กลุ่มยาสมุนไพร โดยเฉพาะ ในกลุ่มผู้สูงอายุ มักใช้ยาในกลุ่มนี้มากขึ้น

กลุ่มยาที่ผู้สูงอายุใช้บ่อย 1. ยารักษาโรคประจำาตัว เช่น

ในการออกฤทธิแ์ ละกำาจัดยาออกจากร่างกาย

ปัจจัยส่งเสริมให้เกิดผลข้างเคียงจาก การใช้ยาในผู้สูงอายุ 1. การได้ยาหลายชนิด ในเวลาเดียวกัน ทำาให้ยามีปฏิกิริยาต่อกันหรือ

ยาตีกัน เช่น ผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน ถ้าได้รับยาลดความดันโลหิต ชนิดขับปัสสาวะ จะส่งผลให้ระดับน้ำาตาลในเลือด สูงขึ้น การรักษาเบาหวานจึงมักไม่ได้ผล 2. การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย

เนื่องจากผู้สูงอายุมีสัดส่วนของไขมันเพิ่มขึ้น และน้ำาในร่างกายลดลง ทำาให้ยาหลายชนิด ยาลดความดันโลหิต ยาลดระดับน้ำาตาล มีระดับยาสูงขึ้นในร่างกาย อาจเกิดพิษได้ง่าย ในเลือด ยาลดไขมัน เป็นต้น และยาออกฤทธิ์นานกว่าปกติ นอกจากนี้การ 2. ยานอนหลับ ยาคลายเครียด ที่ตับมีขนาดเล็กลง เลือดมาเลี้ยงลดลง วัยสูงอายุมักพบปัญหาการนอนไม่หลับ โอกาสที่จะมียาตกค้างจึงสูง การกำาจัดยาทางไต นอนหลับยาก ตื่นบ่อยเวลากลางคืน ทำาได้ลดลง เนื่องจากไตทำางานลดลงตามอายุ ส่งผลให้เกิดภาวะเครียด ส่งผลให้ผู้สูงอายุ ทำาให้ขับยาออกจากร่างกายไม่ได้ หันมาพึ่งพายากลุ่มนี้มากขึ้น 3. พฤติกรรมและทัศนคติของ 3. ยาแก้ปวด และยาคลายกล้ามเนื้อ ผู้สูงอายุต่อยา เช่น การซื้อยารับประทานเอง อาการปวดเมื่อยอันเนื่องมาจากการเสื่อม โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีปัญหาปวดตามข้อ ของอวัยวะต่างๆ ท่าทางที่ผิดวิธี หรือจาก มักซื้อยาชุด หรือยาลูกกลอนมารับประทาน น้ำาหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีการใช้ยา กลุ่มบรรเทาอาการปวดเมื่อยมากขึ้น แต่ถ้าใช้ เพราะเข้าใจว่าผลิตจากสมุนไพรจึงน่าจะ ปลอดภัย แต่ยากลุ่มนี้มักมีการผสมยา เกินความจำาเป็นก็อาจทำาให้เกิดอันตรายได้ กลุ่มสเตียรอยด์ จึงส่งผลเสียในระยะยาว 4. วิตามินและอาหารเสริม เมื่อ อายุมากขึ้น คนส่วนใหญ่มักมองหาวิตามิน เช่น กระดูกพรุน ต่อมหมวกไตฝ่อ และ หรืออาหารเสริมบำารุงร่างกาย จึงทำาให้ผู้สูงอายุ ความดันโลหิตสูง เป็นต้น 4. การไม่ไปพบแพทย์ตามนัด มีการใช้วิตามินหรืออาหารเสริมมากขึ้น อย่างสม่ำาเสมอ ผู้สูงอายุจำานวนมากไม่ชอบ มาพบแพทย์ เนื่องจากข้อจำากัดทั้งทางด้าน

ร่างกาย เช่น มีอาการเดินลำาบากจาก อาการปวด ทางด้านจิตใจ เช่น ไม่อยาก รบกวนให้ผู้ดูแลพามาโรงพยาบาล รวมถึง ข้อจำากัดทางด้านสังคมและเศรษฐกิจ เช่น การคมนาคมไม่สะดวก ปัญหาด้านค่าใช้จ่าย ทำาให้ขาดการติดตามการรักษาจากแพทย์ อย่างสม่ำาเสมอ ญาติผู้ดูแลก็มีแนวโน้ม ไม่อยากที่จะลำาบากพาผู้ป่วยมาพบแพทย์ จึงพบได้บ่อยว่าญาติมาขอรับยาเดิมจากแพทย์ โดยไม่พาผู้ป่วยมาด้วย จึงอาจทำาให้ยาเหล่านี้ สะสมจนเกิดเป็นพิษได้โดยไม่รู้ตัว 5. การเก็บสะสมยา ผลจากการที่ ผู้สูงอายุมักมีโรคเรื้อรังและได้รับยาหลายชนิด ผู้ป่วยบางรายอาจจะเก็บสะสมยาไว้ โดยไม่ได้ รับประทานหรือรับประทานไม่หมด เมื่อมี อาการเจ็บป่วยก็จะเลือกรับประทานยาจากที่ สะสมไว้ ชนิดที่เคยรับประทานได้ผล โดยยานั้น อาจจะหมดอายุแล้วหรือมีข้อห้ามใช้ยานั้น เกิดขึ้นใหม่ ทำาให้เกิดผลข้างเคียงจากยาได้

เพราะฉะนั้นสิ่งสำาคัญที่สุดของ การใช้ยาในผู้สูงอายุ คือ การใช้ยาตามที่ แพทย์สั่ง (เท่านั้น) พบแพทย์ตามนัด เป็นประจำา โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำาตัว ใช้ยาเมื่อจำาเป็นจริงๆ เท่านั้น ห้ามใช้ยาที่ หมดอายุ และก่อนใช้ยาควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรทุกครั้ง ข้อปฎิบัติง่ายๆ เพียงเท่านี้ ก็เป็นเกราะป้องกัน “ยา” อันตรายที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมของ “ผู้สูงอายุ” ได้แล้ว Health Channel

February 2018

19


Health Intrend

เรื่อง : กองบรรณาธิการ

เครื่องบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน นวัตกรรมบำาบัดการ

“กลั้นปัสสาวะไม่อยู่” “การกลั้นปัสสาวะไม่อยู่” เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ผู้คนจำานวนไม่น้อยกำาลังประสบอยู่ แต่อาจไม่ได้ถูกพูดถึงในที่สาธารณะมากนัก เพราะหลายคนมองว่าเป็นเรื่องน่าอาย อีกทั้ง ยังบ่งบอกว่า สูงอายุแล้วจึงทำาให้เกิดปัญหาเหล่านี้ขึ้น

โดยปกติแล้วกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน จะมีหน้าที่ในการหดรัดตัว เมื่อไอ จาม หรือ ออกแรงเบ่ง ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะปัสสาวะเล็ด โดยไม่ตั้งใจ ช่วยพยุงอวัยวะในช่องท้อง โดยเฉพาะเมื่อคนเราอยู่ในท่ายืน ช่วยปกป้อง อวัยวะในอุ้งเชิงกราน ควบคุมการขับถ่าย ปัสสาวะ และการเคลื่อนไหวของลำาไส้ เมื่อใดก็ตามที่มีภาวะน้ำาหนักเกิน หรือมีการ ตั้งครรภ์และคลอดบุตรในคุณผู้หญิง อาจส่งผลให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง ไม่กระชับเช่นเดิม ก่อให้เกิดอาการต่างๆ ตามมาได้ โดยเฉพาะอาการกลั้นปัสสาวะไม่ได้ หรือปัสสาวะเล็ดราด ซึ่งไม่ใช่ปัญหาที่พบได้ ในผู้สูงอายุเท่านั้น แต่ยังพบได้บ่อยในผู้หญิง ส่วนคุณผู้ชายที่มีปัญหากล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน อ่อนแรง อาจทำาให้ประสบปัญหา หย่อนสมรรถภาพทางเพศ ซึ่งสามารถ เกิดขึ้นกับผู้ชายในช่วงวัยใดก็ได้ การรักษาอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ มี 2 วิธีหลักๆ คือ การรักษาโดยการผ่าตัด ซึ่งช่วยรักษาให้หายขาดได้ แต่ในกรณีที่อาการ ไม่รุนแรงมาก การบำาบัดรักษาโดยวิธีไม่ผ่าตัด ก็สามารถช่วยได้เช่นกัน ซึ่งการบำาบัดมี 3 วิธี คือ

1. บำาบัดโดยการเปลี่ยน พฤติกรรมในชีวิตประจำาวัน เช่น ดื่มน้ำา

ให้น้อยลง, ลดเครื่องดื่มคาเฟอีน และการ ลดน้ำาหนักและสัดส่วน เป็นต้น 2. การบริหารกระเพาะปัสสาวะ คือ การฝึกให้ผู้ป่วยรับรู้ถึงการบีบตัวของ กระเพาะปัสสาวะก่อนที่ปัสสาวะ จะถูกขับออกมา การฝึกนี้จะถูกควบคุม โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเป็นการฝึก ที่ใช้เวลาอย่างน้อย 6 สัปดาห์ 3. การบริหารกล้ามเนื้อ อุ้งเชิงกราน สามารถทำาควบคู่ไปกับ การบริหารกระเพาะปัสสาวะได้ โดยแพทย์ จะแนะนำาให้ผู้ป่วยบริหารกล้ามเนื้อส่วนนี้ โดยการขมิบวันละ 3 ครั้งๆ ละ 10 นาที ทำาติดต่อกันประมาณ 3 เดือน หากได้ผล ผู้ป่วยควรทำาต่อไปเรื่อยๆ จนอาการ ค่อยๆ ดีขึ้น ล่าสุด ศูนย์โรคระบบทางเดินปัสสาวะ กรุงเทพ โรงพยาบาลกรุงเทพ ได้เพิ่ม ทางเลือกการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน โดยมี เครื่องบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ด้วยคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้า QRS PelviCenter (Magnetic Field Therapy)

มาช่วยบรรเทาอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ และอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ นพ.ดำารงพันธุ์ วัฒนะโชติ ผูอ้ าำ นวยการศูนย์โรคระบบทางเดินปัสสาวะ กรุงเทพ โรงพยาบาลกรุงเทพ อธิบายว่า เครื่องบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน 20

Health Channel

February 2018

นพ.ดำารงพันธุ์ วัฒนะโชติ

นับเป็นเครื่องมือแพทย์สมัยใหม่ที่เน้น การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ให้แข็งแรงมากขึ้น โดยใช้ระบบ คลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้า เพื่อกระตุ้น ระบบประสาทและกล้ามเนื้อที่บริเวณ ช่องเชิงกราน ทำาให้กล้ามเนื้อบริเวณนี้เกิด การหดตัวและคลายตัวอย่างมีประสิทธิภาพ มากขึ้น ช่วยสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ อุ้งเชิงกราน ส่งผลให้กลั้นปัสสาวะได้ดีขึ้น บรรเทาอาการปัสสาวะเล็ดราดก่อนถึงห้องน้ำา เรียกได้ว่า เป็นทางเลือกใหม่เพื่อการบำาบัด และรักษาอาการผิดปกติของกล้ามเนื้อ อุ้งเชิงกรานรวมถึงอาการหย่อนสมรรถภาพ ทางเพศ

นอกจากนี้ ระบบคลื่น สนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่ปล่อยออกมากระตุ้น ระบบประสาทส่วนล่าง จะช่วยบรรเทาอาการ ปวดหลังส่วนล่างได้อีกด้วย เพราะหาก กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานไม่แข็งแรง จะส่งผล ต่อเส้นประสาทไขสันหลังและการรับน้ำาหนัก ของร่างกายส่วนบน ทำาให้เกิดอาการ ปวดหลังตามมาได้

ขอขอบคุณขอมูลจาก : ศูนยโรคระบบทางเดินปสสาวะกรุงเทพ โรงพยาบาลกรุงเทพ


สู้มะเร็ง

เรื่อง : นพ.จิรเจษฏ์ สุขสุเพิ่ม ผูอํานวยการศูนยมะเร็ง และ HIFU รพ.จุฬารัตน 9 แอรพอรต

“มะเร็งรังไข่” ภัยร้ายหญิงไทย

และความหวังใหม่ในการรักษาด้วยยาตรงพันธุกรรม

รังไข่ (Ovary) เป็นส่วนหนึ่งของระบบสืบพันธุ์เพศหญิง มีส่วนสำาคัญมากใน ระบบฮอร์โมนสตรี ซึ่งเนื้อเยื่อรังไข่ในส่วนต่างๆ สามารถกลายเป็นมะเร็งได้ตั้งแต่แบบไม่ ลุกลาม ไปจนถึงมะเร็งชนิดร้ายที่กระจายไปอวัยวะภายในและเยื่อบุช่องท้อง “มะเร็งรังไข่” มักพบในผู้หญิงไทย

อายุ 40 - 60 ปี ซึ่งปัจจุบันสามารถพบผู้ป่วย มะเร็งรังไข่ได้มากขึ้น โดยเฉพาะในครอบครัว ที่มีประวัติมะเร็งของระบบสืบพันธุ์สตรี (เต้านม รังไข่ เยื่อบุช่องท้อง) ทั้งนี้เป็นที่ทราบกันดี แล้วว่าเกี่ยวข้องกับยีนมะเร็งที่ถ่ายทอด ทางพันธุกรรม เช่น ยีน BRCA ซึ่งทำาให้เกิดโรค Hereditiary Breast, Ovarian Cancer ซี่งตรวจได้จากเลือดว่ามียีนกลายพันธุ์ เสี่ยงมะเร็งนี้หรือไม่ และสามารถวางแผน จัดการได้ตั้งแต่ยังไม่ป่วย เหมือนกับ คุณแอนเจลีน่าโจลี่ ดาราฮอลลี่วู้ด ที่โด่งดัง “มะเร็งรังไข่” ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการ นอกจากก้อนมีขนาดใหญ่จนแน่นท้อง ซึ่งเกินจะ รักษาให้หายขาดได้ โดยสัญญาณอันตรายของ มะเร็งรังไข่ ที่ต้องรีบมาพบแพทย์ ได้แก่ - ท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นท้อง เรอบ่อยขึ้น - ปัสสาวะบ่อยหรือกลั้นปัสสาวะ ไม่อยู่ จากการที่ก้อนมะเร็งไปกดเบียด กระเพาะปัสสาวะ

- ท้องผูก จากการที่ก้อนมะเร็ง ไปเบียดลำาไส้เล็กหรือลำาไส้ใหญ่ - คลำาเจอก้อนเนื้อบริเวณท้องน้อย - ปวดท้องน้อย - ประจำาเดือนผิดปกติ ทั้งปริมาณมาก มาติดต่อกันนาน หรือมีอาการปวด - มีอาการท้องมาน เนื่องจาก มะเร็งกระตุ้นการสร้างน้ำาออกมาในช่องท้อง เมื่อผู้ป่วยมาพบแพทย์นรีเวช การตรวจจะเริ่มจากการตรวจภายใน เจาะเลือดตรวจสารบ่งชี้มะเร็ง เช่น CA 125, Beta HCG หรือ AFP เป็นต้น และตรวจด้วย ภาพทางการแพทย์เบื้องต้น คือ อัลตราซาวด์ ถ้าพบว่า มีก้อนก็จะทำาการนัดหมาย เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ทั่วช่องท้องต่อไป เพื่อกำาหนดระยะโรค และวางแผน การรักษา การรักษามะเร็งรังไข่ในระยะแรก จะทำาการผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออก ซึ่งทำาได้ ทั้งแบบเปิดหน้าท้องหรือเจาะรูที่ผนัง หน้าท้องเพื่อสอดกล้องเข้าไปตัดก้อน ออกมา หลังจากนั้นจะเอาชิ้นเนื้อทั้งก้อน ไปตรวจทางพยาธิวิทยา ว่าขอบเขตที่ ตัดออกมานั้นมีมะเร็งหลงเหลือหรือไม่ เป็นเซลล์ชนิดอะไร และต้องฉายรังสีหรือ ให้ยาเคมีบำาบัดหรือไม่ เพื่อป้องกันการ เป็นซ้ำา แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ผู้ป่วย ส่วนใหญ่มักมาพบแพทย์ในระยะที่มะเร็ง ลุกลามกระจายไปแล้ว (ระยะ 4) จึงไม่สามารถกำาจัดก้อนมะเร็งทั้งหมด

ออกได้ การรักษาจึงเป็นการชะลอการ ลุกลามของโรคออกไปให้นานที่สุด ด้วยการ ให้ยาเคมีบำาบัด หรือการใช้ยาต้านฮอร์โมน เพศหญิง ซึ่งในสูตรยาเคมีในปัจจุบันพบว่า มีประสิทธิภาพคุมโรคได้ดีขึ้น แต่ผู้ป่วย บางส่วนก็ยังไม่ตอบสนองต่อยา จึงต้อง อาศัยเทคนิคใหม่ๆ ในการรักษา ได้แก่ l ใช้ยามุ่งเป้าที่ยับยั้งการสร้าง เส้นเลือดท่อน้ำาเลี้ยงก้อนมะเร็ง คือ ยา Avastin ให้ฉีดร่วมกับยาเคมี พบว่า มะเร็ง ถูกทำาลายมากขึ้น คุมโรคได้นานขึ้น แต่ก็ยังมี ผู้ป่วยบางส่วนที่ดื้อต่อการรักษา จึงได้มี การพัฒนาการรักษาใหม่ๆ ขึ้นมา l ทำาการตรวจหาการกลายพันธุ์ ที่ยีน BRCA ถ้าตรวจพบการกลายพันธุ์ (ตรวจจากชิ้นเนื้อมะเร็งที่ตัดออกมา หรือ ตรวจจากเลือด) ก็จะใช้ยามุ่งเป้าที่เรียกว่า ยาต้านระบบ PARP ซึ่งจะทำาให้ระบบ ซ่อมแซมตัวเองของมะเร็งหยุดทำางานและ หยุดการเติบโต โดยยานี้ได้ขึ้นทะเบียน ในประเทศไทยแล้ว ชื่อว่า Oraparib เป็น ยาแคปซูล รับประทานวันละ 2 ครั้ง มีผลข้างเคียงน้อยกว่ายาเคมี ช่วยคุมโรค ที่ดื้อยาเคมีและยาตัดท่อน้ำาเลี้ยงมะเร็ง

ข้อดีของยาชนิดนี้ คือ เป็นยาที่เรา ทำานายผลการตอบสนองได้ในกลุ่มผู้ป่วย ที่มีพันธุกรรมตรงกับยา จึงเรียกว่า เป็นการรักษามะเร็งแนวใหม่เฉพาะบุคคล (Personalized cancer treatment) ซึ่งเป็นวิทยาการด้านมะเร็งที่จะเข้ามา ตอบโจทย์การรักษามะเร็งรังไข่ระยะกระจาย ที่ยังไม่มียาได้ผลดี นอกจากนี้ ในผู้ป่วย ที่มียีน BRCA กลายพันธุ์และเป็นมะเร็งเต้านม ระยะลุกลาม เราก็ยังสามารถใช้ยาต้าน PARP รักษาได้เช่นกัน Health Channel

February 2018

21


Special Report

เรื่อง : วริศรา วุฑฒินันท์

4 ภาค 4 โรงพยาบาลต้นแบบ ลดหวาน มัน เค็ม เพื่อผู้ใช้บริการสุขภาพดี

ต้องยอมรับว่า ปัจจุบันพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้คนเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตมาก โดยเฉพาะเรื่องของการรับประทานอาหาร ที่คนส่วนใหญ่มักบริโภคอาหารเกินความจำาเป็น หรือเกินความต้องการของร่างกาย บริโภคอาหารที่ไม่ปลอดภัย อีกทั้งขาดการออกกำาลังกาย มีภาวะเครียดจนส่งผลต่อสุขภาพ ทั้งหมดนี้ถือเป็นความเสี่ยงให้เกิดปัญหาสุขภาพและ โรคต่างๆ ตามมา

ประเด็นที่กล่าวไปนั้น ถือเป็น แรงผลักดันให้เกิดการพัฒนา 4 โรงพยาบาล นำาร่อง ใน 4 ภาค เพื่อเป็นต้นแบบด้านการ จัดบริการอาหารเพื่อสุขภาพ ลดหวาน มัน เค็ม ให้กับอีกหลายๆ โรงพยาบาล ทั่วประเทศ ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้อำานวยการสำานักส่งเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ สำานักงานกองทุนสนับสนุนการ สร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เล่าถึง

ลดหวาน มัน เค็ม” โดยเน้นกลุ่มเป้าหมาย ทั้งประชาชนที่มารับบริการและบุคลากรใน โรงพยาบาล เพื่อเป็นต้นแบบในการ สร้างเสริมสุขภาพที่เกิดจากการมีส่วนร่วม ของบุคลากรในโรงพยาบาล ฝ่ายโภชนาการ และชุมชน โดยมีโรงพยาบาลต้นแบบ จำานวน 4 แห่ง แบ่งเป็น 4 ภาค ได้แก่ โรงพยาบาล

รามาธิบดี (ภาคกลาง), โรงพยาบาล สุราษฎร์ธานี (ภาคใต้), โรงพยาบาลพะเยา (ภาคเหนือ) และโรงพยาบาลสุรินทร์ (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) เพื่อกำาหนด

โครงการนี้ว่า สสส. ได้ผลักดันการลด การบริโภคอาหารสุขภาพ ลดหวาน มัน เค็ม เป็นเป้าหมายหลักในการพัฒนาอันจะช่วย เพื่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ ลดปัญหาใน 4 ด้าน คือ ลดการเกิดโรค ในโรงพยาบาล จึงได้จัดโครงการ “พัฒนา ลดภาวะแทรกซ้อน ลดการเสียชีวิต และลดภาระ ต้นแบบโรงพยาบาลสร้างเสริมสุขภาพ ค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะโรควิถีชีวิตที่สำาคัญ ได้แก่ ในด้านการจัดบริการอาหารสุขภาพ ความดันโลหิตสูง, หัวใจ, หลอดเลือดสมอง,

ไตเรื้อรัง, มะเร็ง และเบาหวาน ซึ่งในปี 2562 คาดว่าจะมีโรงพยาบาล ต้นแบบเพิ่มขึ้นอีก 12 แห่งทั่วประเทศ นอกจากความชัดเจนของนโยบายแล้ว การจะบูรณาการงานสร้างเสริมสุขภาพและ สิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างสุขภาพ ทัง้ ในโรงพยาบาลและสังคมให้เกิดขึน้ ได้จริงนัน้ ต้องอาศัยแผนการดำาเนินงานที่มีความชัดเจน ด้วย เรื่องนี้ นพ.สมเกียรติ ลีละศิธร รองคณบดีฝ่ายสร้างเสริมสุขภาพ โรงพยาบาลรามาธิบดี ให้ข้อมูลว่า

ทางโรงพยาบาลได้จัดโครงการฝึกอบรม เชิงปฏิบัติการเรื่อง “ลดเค็ม เพื่อสุขภาพ” โดยมีร้านค้าที่เข้าร่วมกิจกรรมนี้ 46 ร้าน ด้วยกัน มีการคิดสูตรเมนูอาหาร ลดหวานมันเค็ม เช่น ยำามะระกุ้งสด แกงเห็ดเพื่อสุขภาพ ทับทิมกรอบ โดยใช้ นมสดพร่องมันเนยแทนกะทิ อีกทั้งยัง ได้จัดทำาแบบสอบถาม ด้วยคำาถามว่า

“มีพฤติกรรมการทานอาหารหวานมันเค็ม น้อยลงหรือไม่”

22

Health Channel

February 2018


ทั้งนี้มีผู้ตอบแบบสอบถาม ทั้งหมด 1,168 คน พบว่า 702 คน ทานหวานมันเค็มน้อยลง และอีก 460 คน ทานหวานมันเค็มเท่าเดิม ส่วนการเติมเครื่องปรุงพบว่า มี 65% เติมเครื่องปรุงน้อยลง, 33.4% เติมเครื่องปรุงเท่าเดิม และกลุ่มที่ เติมเครื่องปรุงมากขึ้นมีอยู ่ ประมาณ 1.6% สำ�หรับการดำ�เนินงาน ของโรงพยาบาลพะเยา พญ.จิรพร ภัทรนุธาพร ผู้อำ�นวยการ โรงพยาบาลพะเยา เล่าว่า โรงพยาบาล

มีร้านค้าสวัสดิการ 5 ร้าน มีการ อบรมเชิงวิชาการและปฏิบัติการ ได้ปรับสูตรอาหารจากเมนูที่ขายดีที่สุด โดยมีนักโภชนาการคอยดูแลและ ให้คำ�ปรึกษา ลดความหวานมันเค็ม ซึ่งอาหารที่มีการปรับสูตร ได้แก่ ข้าวมันไก่, ข้าวผัดหมู, น้ำ�พริกหนุ่ม, ลาบหมู และน้ำ�ซุปก๋วยเตี๋ยว รวมถึง กาแฟสด นอกจากนี้ฝ่ายโภชนาการ ยังได้ปรับสูตรเมนูอาหารสำ�หรับ ผู้ป่วยใน อีกด้วย ทั้งนี้ยังมีการส่งเสริม เผยแพร่ความรู้ในโรงพยาบาล โดยมีป้ายเมนูอาหารสุขภาพติดหน้า ร้านค้าสวัสดิการ, มีป้ายไวนิล ติดหน้าลิฟต์, มีเสียงตามสาย ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเป็นการขยายการ ดูแลสุขภาพโภชนาการ เพื่อลด หวานมันเค็มไปสู่คนในชุมชน และเมื่อทำ�การสรุปผลการดำ�เนิน โครงการจากบุคลากรที่เข้าร่วม กิจกรรม 70 คน พบว่า ได้รับความ พึงพอใจมากที่สุดถึง 96% บุคลากร ได้รับความรู้เพิ่มขึ้น 97% และ ที่สำ�คัญพบว่า กลุ่มเป้าหมายอย่าง ผู้ที่มีน้ำ�หนักเกิน สามารถ ลดน้ำ�หนักได้ถึง 70% ด้านโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี โดย นพ.สุพจน์ ภูเก้าล้วน

ได้กล่าวถึง โครงการนี้ว่า ได้รับผลตอบรับ อย่างดีเยี่ยม โดยโรงพยาบาลเอง ได้มีการปรับสูตรเมนูอาหาร ในร้านสวัสดิการ หลายเมนู ได้แก่ ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ�ทะเล, เส้นหมี่ราดหน้า หมูผักรวมมิตร, ก๋วยเตี๋ยวน้ำ�ตำ�ลึง หมูแดง, แกงส้มกุ้งผักรวม, ต้มส้ม ปลากระบอก, ข้าวหมูแดง, แกงส้ม ปลากะพงยอดมะพร้าว และปรับเมนูอาหารว่าง เป็น Healthy break และอีกหนึ่งโรงพยาบาล ต้นแบบของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คือ โรงพยาบาลสุรินทร์ นพ.ประวีณ ตัณฑประภา ผู้อำ�นวยการโรงพยาบาล เล่าถึง การดำ�เนินโครงการนี้ว่า โรงพยาบาล สุรินทร์มีการจัดประกวดเมนูอาหาร ลดหวานมันเค็ม โดยมีร้านค้าเข้าร่วม ประกวด 15 ร้าน และมีเมนูสุขภาพ ที่ได้รับการคัดเลือกหลายเมนูด้วยกัน ซึง่ กิจกรรมทัง้ หมดนีไ้ ด้รบั ความร่วมมือ เป็นอย่างดีจากบุคลากรทุกภาคส่วน ของโรงพยาบาล ผู้อำ�นวยการโรงพยาบาล

แม้จะเป็นการเริ่มต้นของ คนกลุ่มเล็กๆ เพียง 4 โรงพยาบาล ต้นแบบ แต่ระบบการจัดการบริการ อาหารเพื่อสุขภาพ ลดหวาน มัน เค็ม จะเอื้อประโยชน์ให้ประชาชนสามารถ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเลือก บริโภคอาหาร ให้หันมาเลือกบริโภค อาหารเพื่อสุขภาพกันมากขึ้น ...หากดำ�เนินโครงการนี้ได้ อย่างต่อเนื่อง โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs ก็จะลดน้อยลงไปจาก สังคมไทยในที่สุด

Health Channel

February 2018

23


Seniors Club

เรื่อง : กองบรรณาธิการ

“เนื้องอกผิวหนัง” ในผู้สูงอายุ

เรื่องจริงที่ต้องระวัง

นอกจากปัญหาสุขภาพและโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นกับระบบต่างๆ ภายในร่างกายแล้ว “ผู้สูงอายุ” ยังเสี่ยงกับโรค “เนื้องอกผิวหนัง” ซึ่งเป็นปัญหาที่พบมากในผู้สูงอายุอีกด้วย

ผิวของผู้สูงอายุโดยทั่วไป จะมีลักษณะแห้ง เป็นขุย และคัน เนื่องจาก การทำางานของต่อมไขมันเสื่อมสภาพ จึงผลิตไขมันได้น้อยลง ทำาให้ความต้านทาน ของผิวหนังต่อแสงแดดและสภาพ ลมฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลงไป เกิดอาการแพ้ ต่อสิ่งต่างๆ รอบตัวได้ง่ายขึ้น เช่น เวลา รับประทานยาทั่วๆ ไป จะมีอาการแพ้ได้ง่าย กว่าคนปกติทั่วไปหรือคนในวัยหนุ่มสาว

24

Health Channel

February 2018

ยิ่งถ้าผิวหนังได้รับแสงแดดมากขึ้น เส้นใยอีลาสติกในผิวหนังจะเกิดการ เปลี่ยนแปลงมากขึ้น จนสามารถมองเห็นได้ ด้วยตาเปล่า เช่น ผิวซีด เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ผิวหนังหยาบ มีจุดกระดำากระด่าง หลอดเลือดเปราะ เกิดรอยฟกช้ำาง่าย มีเนื้องอก เกิดขึ้นตามใบหน้าและลำาคอ เรียกว่า “กระเนื้อ” ซึ่งเป็นเนื้องอกธรรมดา แต่ในผู้สูงอายุบางราย อาจเกิด “มะเร็งผิวหนัง” ได้

และเมื่อไม่นานนี้กระทรวง สาธารณสุข โดยกรมการแพทย์ รวมถึง สถาบันโรคผิวหนัง ยังได้ออกมาเตือนด้วยว่า ผู้สูงอายุจะมีการเสื่อมสภาพของผิวหนัง ในบริเวณต่างๆ ของร่างกาย เนื่องจากระบบ ควบคุมการสร้างเซลล์ต่างๆ มีการทำางาน ผิดปกติ ส่งผลให้ผู้สูงอายุมีเนื้องอกเกิดตาม บริเวณต่างๆ มากกว่าวัยหนุ่มสาว รวมถึง บริเวณผิวหนังอาจมีก้อนเนื้องอกผิดปกติ ซึง่ ก้อนเนือ้ ทีพ่ บอาจไม่ได้เป็นเนือ้ งอกร้ายแรง เสมอไป ส่วนใหญ่เป็นเนื้องอกธรรมดา หรือเกิดจากการเสื่อมสภาพของผิวหนัง ตามธรรมชาติหรือจากสิ่งกระตุ้นต่างๆ เช่น แสงแดด การระคายเคืองจากสารเคมี


หรือจากการฉายแสงเพื่อการรักษา เป็นต้น แต่ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรได้รับการตรวจวินิจฉัย จากแพทย์เสียก่อน ว่าเป็นเนื้องอกธรรมดา หรือเป็นเนื้องอกร้ายแรงหรือไม่ โดยปกติแล้วเนื้องอกบริเวณ ผิวหนัง มักเกิดเป็นก้อนหรือจุดสีน้ำ�ตาล หรือดำ� มีขนาดเล็กก่อนแล้วค่อยๆ โตขึ้น หากเป็นเนื้องอกร้ายแรงจะมีลักษณะก้อนโต ขึ้นเร็วมาก สีเปลี่ยนไปและมีเลือดออก ถ้ามีอาการดังกล่าวควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อตรวจรักษา ซึ่งแพทย์อาจทำ�การตัดชิ้นเนื้อ มาตรวจ และทำ�การผ่าตัดก้อนเนื้อออก เมื่อจำ�เป็น

3. ไม่ควรใช้ผงซักฟอก หรือ l เนื้องอกธรรมดา ได้แก่ ไฝ, กระเนื้อ ผลิตภัณฑ์ซักผ้าที่มีฤทธิ์แรงจนเกินไป เพราะ มักพบในหลายๆ จุดและขนาดแตกต่างกันไป อาจตกค้าง ทำ�ให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้ 4. ควรใช้ครีมกันแดดเป็นประจำ� สามารถรักษาได้ โดยวิธีการจี้ด้วยไฟฟ้า เลเซอร์ เพื่อปกป้องผิวจากแสงแดด หรือตัดออก l เนื้องอกชนิดร้ายแรง หรือ เพราะฉะนั้น เพื่อเป็นการป้องกัน มะเร็งผิวหนัง การรักษาอาจใช้วิธีการผ่าตัด หรื อ ลดโอกาสการเกิ ดเนื้องอกผิวหนัง หรือฉายรังสี เนื้องอกที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ

วิธีปกป้องผิวสูงอายุ

นายรัชพล แขมภูเขียว และ นายสุธีบูรณ์ ชูวิทยา

1. อาบน้ำ�ที่อุณหภูมิปกติ ไม่ควร อาบน้ำ�ร้อน เพราะจะยิ่งทำ�ให้ผิวแห้งตึง เกิดอาการคัน 2. ควรใช้ผลิตภัณฑ์บำ�รุงผิวทุกครั้ง หลังอาบน้ำ� เลือกชนิดที่เหมาะสมกับสภาพผิว

ชนิดร้ายแรง ผู้สูงอายุจึงควรหลีกเลี่ยง การอยู่ท่ามกลางแสงแดดจัดเป็นเวลานาน และไม่ควรแกะเกาบริเวณที่เป็นแผลหรือไฝ อยู่เดิม รวมทั้งในบริเวณที่เคยฉายแสงมาก่อน ที่สำ�คัญต้องคอยสังเกตและติดตาม ความผิดปกติต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับผิวหนัง เป็นประจำ�ด้วย

Health Channel

February 2018

25


Happy Life

เรื่อง : นพ.วิศิษฏ์ ฐิตวัฒน์ ผูอํานวยการศูนยรับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย

“บริจาคอวัยวะ”

หนึ่งผู้ให้ ต่อชีวิตและคืนความสุข ให้อีกหลายชีวิต

“ทำาดีได้ดี มีที่ไหน ทำาชั่วได้ดี มีถมไป” ประโยคเสียดแทงที่หลายคนคงเคยได้ยิน ได้ฟังมา ยิ่งในยุคสมัยนี้ที่ความเห็นแก่ตัว เริ่มเข้ามารุกรานจิตใจคนเรามากขึ้น คนที่ไม่มี เกราะคุ้มกันทางจิตใจที่แข็งแรงพอ ก็พร้อมจะเอนเอียงไปตามกระแสสังคมในปัจจุบัน การทำาความดีจึงเริ่มมีให้เห็นน้อยลงเรื่อยๆ

การทำาความดีนั้น สามารถ แสดงออกหรือปฏิบัติได้หลากหลายวิธี หลากหลายรูปแบบ แต่การทำาความดี ที่เรียกได้ว่าไม่สิ้นสุด คือ “การอุทิศอวัยวะ เมื่อยามสูญสิ้น หนึ่งคนที่เป็นผู้ให้ ทำาให้ ผู้รับมีได้มากกว่าหนึ่งคน” ซึ่งนี่อาจเป็น

คุณค่าของการให้อย่างแท้จริง หรือเรียกว่า เป็นสุดยอดของการให้ก็ว่าได้ ดังนั้น “การบริจาคอวัยวะ” จึงควรเป็นเรื่องราวดีๆ ที่คนในสังคมควรตระหนักถึงและ ให้ความสำาคัญมากขึ้น เพราะในอนาคต

เราไม่รู้ว่า คนที่กำาลังรอชีวิตใหม่หรือรอการ บริจาคอวัยวะเหล่านั้น จะเป็นตัวเราเอง หรือคนที่เรารักหรือไม่ ศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย หน่วยงานซึ่งมีภารกิจหลัก ในการรับบริจาคอวัยวะจากผู้มีจิตกุศล โดย รณรงค์ให้มีการบริจาคอวัยวะให้เพียงพอใช้ ภายในประเทศ พร้อมจัดสรรและส่งต่ออวัยวะ ที่ได้รับการบริจาคให้กับผู้ที่รอรับการปลูกถ่าย อวัยวะด้วยความเสมอภาค ซึ่งหัวใจสำาคัญ ในการทำางานของเราก็คือ ไม่เลือกปฏิบัติ

นพ.วิศิษฏ์ ฐิตวัฒน์

โปร่งใส ตรวจสอบได้ ต้องใช้อวัยวะที่ได้รับ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด อีกทั้งอวัยวะที่ได้มา ต้องมีคุณภาพและประสิทธิภาพ ต้องมี ความปลอดภัย ไม่ติดเชื้อเอดส์ ไม่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี ซิฟิลิส และมะเร็ง โดยอวัยวะที่ได้รับการบริจาคนี้ จะถูกจัดสรรให้กับโรงพยาบาลที่ทำาการ ปลูกถ่ายอวัยวะซึ่งมีอยู่ทั่วประเทศ ความต่างของ “การบริจาคอวัยวะ กับการบริจาคร่างกาย”

การบริจาคอวัยวะไม่เหมือนกับ การบริจาคร่างกาย ซึ่งการบริจาคร่างกายนั้น ไม่ว่าจะเสียชีวิตอย่างไรก็สามารถบริจาคได้ อายุเท่าไหร่ก็ได้ (แต่ถ้าอายุมากเกินไป อาจบริจาคไม่ได้ เพราะร่างกายเริ่มเสื่อม) โดยการบริจาคจะให้ระบุว่า ต้องการบริจาค 26

Health Channel

February 2018


ให้กับโรงเรียนแพทย์ที่ใด เมื่อผู้บริจาคเสียชีวิต ร่างกายจะถูกนำ�แช่ฟอร์มาลีน 8 – 10 เดือน แล้วจึงจะนำ�มาใช้ในการเรียนการสอน ให้นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 1 และ 2 ที่เรียกกันว่า “อาจารย์ใหญ่” โดยจะใช้ ในการเรียนการสอนประมาณ 2 ปี จากนั้น จะนำ�ไปบำ�เพ็ญพิธีทางศาสนา ส่วนการบริจาคอวัยวะ ต้องเป็น คนไข้ที่มีภาวะสมองตาย แต่หัวใจยังเต้น เท่านั้น ซึ่งปัจจุบันทั่วโลกสามารถปลูกถ่าย ได้เกือบทุกอวัยวะยกเว้นสมอง โดยอวัยวะ ที่จำ�เป็นแก่ชีวิต ได้แก่ หัวใจ ปอด ตับ และ ไต อวัยวะทั้งหมดเราจะเปลี่ยนหรือ ปลูกถ่ายก็ต่อเมื่อคนไข้ไม่สามารถจะรักษา ด้วยวิธีการใดๆ ได้แล้ว เช่น ผู้ป่วยที่มีสภาวะ หัวใจวาย, หัวใจล้มเหลวระยะสุดท้าย ที่มีค่าความสามารถในการบีบเลือด ออกจากหัวใจ (Ejection fraction) เหลือน้อยกว่าร้อยละ 25, ผู้ป่วยโรค หลอดเลือดหัวใจตีบรุนแรง ส่งผลให้เกิด อาการของโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย ไม่สามารถ รักษาหรือบรรเทาอาการด้วยการรักษา แบบอื่นได้, ผู้ป่วยโรคหัวใจพิการแต่กำ�เนิด ที่มีลักษณะของโรคที่ยุ่งยากซับซ้อน อีกทั้ง การผ่าตัดลิ้นหัวใจ จะเปลี่ยนให้กับผู้ที่เป็น โรคหัวใจรูมาติกส์ ลิ้นหัวใจตีบ และหัวใจรั่ว ปลูกถ่ายอวัยวะ ทางเลือกสุดท้าย ในการรักษา?

การเปลี่ยนหรือปลูกถ่ายอวัยวะ อาจเรียกได้ว่า เป็นทางเลือกสุดท้ายในการ รักษา เนื่องจากไม่สามารถรักษาได้ด้วย วิธีการอื่นๆ แล้ว อีกทั้งผู้ที่ได้รับการ ปลูกถ่ายอวัยวะต้องได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ไปตลอด เพราะร่างกายอาจปฏิเสธอวัยวะ ที่ได้รับบริจาค ซึ่งยากดภูมิคุ้มกันจะส่งผล ข้างเคียง คือ 1. ทำ�ให้ภูมิคุ้มกันต่ำ� จึงมีโอกาส ติดเชื้อได้ง่าย 2. เมื่อภูมิคุ้มกันต่ำ�โอกาสที่จะเป็น มะเร็งค่อนข้างสูง เช่น มะเร็งผิวหนัง มะเร็ง ต่อมน้ำ�เหลือง หรือโรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน 3. ยากดภูมิคุ้มกันอาจส่งผลให้ ไตเสื่อมได้ แต่หากมองในภาพรวม การได้ต่อชีวิต ให้ยืนยาวต่อไป แม้จะแลกด้วยผลข้างเคียงบ้าง ก็ถือว่าคุ้มค่าที่จะแลก ยกตัวอย่างผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัด เปลี่ยนหัวใจเป็นคนแรกในปี พ.ศ. 2530 โดยได้รับการเปลี่ยนหัวใจตั้งแต่อายุ ประมาณ 18 ปี ซึ่งตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่ จะเห็นได้ว่า ถ้าได้รับการดูแลและได้รับยาที่ดี ผู้ป่วยก็สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้อีกนานแสนนาน

ขั้นตอนจัดเก็บและนำ�อวัยวะไปใช้งาน

เมื่อผู้ที่ลงทะเบียนบริจาคอวัยวะ เสียชีวิต (มีภาวะสมองตาย แต่หัวใจยังเต้น) ศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย จะส่งทีมแพทย์ไปนำ�อวัยวะกลับมา โดยไม่มีการเคลื่อนย้ายคนไข้ โดยอวัยวะ จะถูกตัด ทำ�ความสะอาด และแช่เย็น กลับมา ซึ่งการเคลื่อนย้ายอวัยวะต้องมี ความถูกต้องรวดเร็ว ต้องมีการประสานงาน กันตลอด ระหว่างทีมแพทย์ที่ไปนำ�อวัยวะ มาจากผู้บริจาค กับทีมแพทย์ที่รอทำ�การ ผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะ เนื่องจาก อวัยวะทุกชิ้นมีระยะเวลาของมัน ได้แก่

l หัวใจ อยู่ได้ 4 ชั่วโมง l ตับ อยู่ได้ 6 ชั่วโมง

l ปอด อยู่ได้ 8 ชั่วโมง l ไต อยู่ได้ 24 ชั่วโมง

เกณฑ์การจัดสรรอวัยวะสู่ผู้รับบริจาค

ผู้ที่จะได้รับการบริจาคอวัยวะ ต้องเป็นคนไข้ที่โรงพยาบาลส่งเรื่องเข้ามา ยังศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย โดยข้อมูลที่ทางโรงพยาบาลต้องส่งให้เรา ประกอบด้วย อายุคนไข้ ข้อมูลที่แสดง ให้ทราบว่าคนไข้มีเนื้อเยื่อชนิดไหน ชื่อของ แพทย์ที่ดูแล แพทย์ที่ผ่าตัด ข้อมูลที่บอกว่า คนไข้เป็นโรคอะไร ต้องเปลี่ยนอวัยวะใด เพราะข้อมูลนี้จะต้องนำ�มาจัดสรรและ เข้าไปอยู่ในคอมพิวเตอร์ ยกตัวอย่างกรณีที่ เรามีไตสองข้างจากผู้บริจาค ซึ่งจะนำ� เม็ดเลือดขาวของผู้เสียชีวิตมาทำ�ปฏิกิริยาซีรั่ม กับผู้รับบริจาคในแต่ละราย (Antibody) ทั้งหมดมี 4 ราย ถ้าผลการทำ�ปฏิกิริยา ออกมาคล้ำ� เราเรียกว่า บวก จะไม่สามารถ ให้อวัยวะกับผู้รับบริจาครายนั้นได้ แต่ถ้าผล การทำ�ปฏิกิริยาออกมาเป็น ลบ (Negative) คนไข้รายนั้นก็สามารถรับบริจาคไตได้

ผู้ที่จะบริจาคอวัยวะต้องมีคุณสมบัติ อย่างไร?

ผู้บริจาคอวัยวะต้องมีอายุไม่เกิน 60 ปี ไม่เป็นโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน, หัวใจ, โรคไต, ความดันโลหิตสูง, โรคตับ และไม่ติดสุรา โลหิตไม่เป็นพิษ ปราศจาก โรคติดเชื้อและโรคมะเร็ง อวัยวะที่จะนำ�ไป ปลูกถ่ายต้องทำ�งานได้ดี ยกตัวอย่างกรณี ปลูกถ่ายไต เมื่อทำ�การปลูกถ่ายแล้วคนไข้ ต้องสามารถปัสสาวะออกได้ทันที ไม่มีอาการช็อค และหากเป็นหัวใจ เมื่อใส่ ไปแล้วเอาไฟฟ้ากระตุ้นหัวใจจะต้องเต้นทันที ความเพียงพอของอวัยวะที่บริจาค

จากข้อมูลเดือนธันวาคม ปี พ.ศ. 2560 มีจำ�นวนผู้บริจาคอวัยวะ ประมาณ 294 ราย ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าในอดีต แต่ผู้ที่รอรับการปลูกถ่ายอวัยวะมีมากถึง 5,851 ราย ซึ่งในปีที่แล้วนั้นมีผู้ได้รับการ ปลูกถ่ายอวัยวะทุกอวัยวะ 670 รายเท่านั้น ถือว่ายังไม่เพียงพอ เพราะจำ�นวนคนไข้ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และคาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า เราจะมีคนไข้อีกเกือบแสนคนที่ต้องล้างไต และไตวาย เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า “ไต” ยังเป็นอวัยวะที่รอรับการบริจาคอยู ่ เป็นจำ�นวนมาก

จากทั้งหมดที่กล่าวไปนั้นจะเห็นว่า ศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย เปรียบเสมือนศูนย์กลาง และมีความเป็นกลาง แก่ผู้เสียชีวิตที่ได้ให้อวัยวะแก่สังคม จึงได้ดูแล จัดสรรอย่างเป็นธรรม และนำ�อวัยวะมาใช้ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด...ดังนั้นเมื่อเราเสียชีวิต เราไม่ได้ใช้อวัยวะพวกนี้ จึงอยากให้ลบ ความเชื่อผิดๆ เพราะการเปลี่ยนแปลงความเชื่อ ของเราอาจทำ�ให้อีกหลายชีวิตรอด การบริจาคอวัยวะทำ�ให้เราได้ช่วยต่อชีวิตและ คืนความสุขให้กับเพื่อนมนุษย์อีกหลายๆ ชีวิต Health Channel

February 2018

27


Health Variety by นพ.สุรพงศ์

เรื่อง : นพ.สุรพงศ์ อำาพันวงษ์

“จะเริ่มปใหม่ จะเป็นคนใหม่ที่ดีกว่า? Happy New Year - Happy New Me?” ผู้ใหญ่สอนมาว่า “อดีตเป็นบทเรียน เอาความผิดพลาดในอดีตมาปรับปรุงใหม่ คิดใหม่ ทำาใหม่ ให้อนาคตดีขึ้นกว่าเดิม” คำาพูดอาจฟังดูง่าย แต่ไม่ใช่เรื่องที่จะทำาได้ง่ายๆ จำาเป็นต้องมีความรู้ที่ก้าวหน้า ติดตามความล้ำาสมัยของเทคโนโลยีได้อย่างพอเพียง ควบรวมกับสิ่งแวดล้อมต่างๆ รวมทั้งทีมงานที่จะช่วยกันทำาให้อนาคตดีขึ้นกว่าเดิมได้ ในปใหม่ 2561 นี้

หากพูดถึงห่วงโซ่ที่ 3 ของ เศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ก็คือ ห่วงโซ่ “มีภูมิคุ้มกัน” ในทางธุรกิจนำามาปฏิบัติ ในด้านที่จะต้องรู้จักค้นหา “ปัจจัยเสี่ยง

ทั้งหลายที่จะเกิดกับธุรกิจและการ ดำารงชีวิต ต้องมองหาจากปัจจัยเสี่ยง ให้รอบด้านและหาทางปกป้อง ป้องกัน ธุรกิจและชีวิตให้ดำาเนินไปได้อย่างราบรื่น และก้าวล้ำานำาสมัย แข่งขันได้” ทั้งหมด

ที่กล่าวมานี้ผู้ปฏิบัติจำาเป็นต้องมีความ เฉลียวฉลาด มีความรอบรู้ สามารถรู้รอบ

28

Health Channel

February 2018

ทั้งด้านของวิทยาศาสตร์ปฏิบัติ เทคโนโลยี ก้าวหน้า วิศวกรรมปฏิบัติ การคำานวณเบื้องต้น และเบื้องลึก และยังต้องมีความรู้ด้าน เทคโนโลยีดิจิทัล ทั้งการสื่อสารและการค้า รอบด้านไปในโซเชียลมีเดียให้ครบทุกมิติ ความฉลาดและรอบรู้เหล่านี้ มีผู้รวบรวมไว้ 9 ทิศทางดังนี้ 1. ความฉลาดด้านเชาวน์ปัญญา : Intelligent Quotient หรือที่เราเรียกกันว่า IQ หลายคนอาจจะบอกว่า ความฉลาดหรือ

เชาวน์ปัญญามันมากับพันธุกรรมอยู่แล้ว แต่นั่นไม่ใช่ความจริงทั้งหมด เพราะความฉลาด และความสามารถด้านสติปัญญามีมาแต่กำาเนิด ส่วนหนึ่ง แต่ก็สามารถฝึกฝนด้วยตนเอง สภาพแวดล้อมที่มีผลต่อการพัฒนาของเด็ก ในการเรียนรู้ ตลอดจนความรัก ความเอาใจใส่ ของพ่อแม่เป็นอีกหลายๆ ส่วนเข้ามา ร่วมประกอบกัน กระนั้นก็ตาม สติปัญญาและ เชาวน์ปัญญานี้มีผลต่อการประสบความสำาเร็จ ไม่เกิน 20% เท่านั้น

นพ.สุรพงศ์ อำาพันวงษ์

2. ความฉลาดทางอารมณ์ : Emotional Quotient (EQ) ท่านที่เติบโตมา

จนถึงวัยทำางานจะมีชีวิตที่ผ่านผู้คนมาแล้ว หลายประเภท ก็จะเห็นความแตกต่างระหว่าง คนที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นคน “เจ้าอารมณ์” ซึ่งแตกต่างจากคนเก่งที่ใจเย็น การรู้จัก ควบคุมตนเอง รู้จักอารมณ์ของตนเอง ไม่แสดงความโกรธออกไปในทันที ไม่แสดง ความรักความต้องการออกไปอย่างไม่เหมาะสม ควรต้องมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี สามารถเข้ากับ คนรอบๆ ตัวได้ง่าย ทำางานร่วมกันเป็นทีมได้ สร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่นและรักษาสัมพันธ์ไว้ ให้กลมเกลียวยั่งยืนนานได้ รู้จักเห็นอกเห็นใจ ผู้อื่น เข้าใจความรู้สึกของคนอื่น รู้จักให้และ รู้จักรับในทุกๆ ด้านกับบุคคลรอบๆ ตัวเรา คือ ความฉลาดด้านนี้ 3. ความฉลาดและความสามารถ ที่จะเผชิญหน้าและแก้ไขปัญหาอุปสรรค ต่างๆ ได้ : Adversity Quotient (AQ)

สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ แก้ไข สถานการณ์ได้ไปในทิศทางที่เจริญก้าวหน้า และถูกต้องได้ จะทำาดังนี้ได้ก็จะต้องมีความ


อดทนต่อปัญหาที่เกิดขึ้นในทุกๆ วัน ทุกๆ สัปดาห์อย่างไม่ย่นย่อท้อถอย มองปัญหาเป็น Challenge ไม่มองเป็นอุปสรรค และสามารถก้าวข้ามไปได้ไม่ยอมจำานน 4. ความฉลาดและสามารถที่จะ

เข้าใจและปฏิบัติอย่างมีจริยธรรมและศีลธรรม : Moral Quotient (MQ) การควบคุมตนเอง

ให้มีระเบียบ มีวินัย มีศีลธรรม มีจริยธรรม ซื่อสัตย์และกตัญูจำาเป็นต้องได้รับการอบรม สั่งสอนให้เห็นความแตกต่างและผลลัพธ์ของ ความดีและความไม่ดีทั้งหลาย และมีความสุข ที่จะปฏิบัติในกรอบของศีลธรรม จริยธรรม อ่อนน้อมถ่อมตน รวมทั้งมีสัมมาคารวะ เมื่อโตขึ้นก็จะต้องขัดเกลาตนเองอยู่เสมอ ให้ปฏิบัติอย่างเหมาะสมในสภาพแวดล้อม ที่การแข่งขันสูงดังเช่นในปัจจุบัน 5. ความฉลาดด้านสุขภาพและ พลานามัย : Health Quotient (HQ) การมี สุขภาพดีไม่มีโรค คือ ลาภอันประเสริฐ ยังเป็น คำาสอนที่ใช้ได้อยู่ มีความรู้มากมายรอบตัว ท่านที่ต้องค้นคว้า ค้นหา และนำามาปฏิบัติ เพื่อให้ร่างกาย จิตใจ และสมองมีความ เข้มแข็ง ปราศจากการเจ็บป่วย มีการ ตรวจสุขภาพประจำาปีเพื่อค้นหาโรคและ รักษาในระยะเริ่มแรก รวมไปถึงกิจวัตรในการ ดูแลอาหาร อากาศ อุจจาระ ออกกำาลังกาย สุขภาพจิตใจให้เป็นไปในทิศทางที่เป็นสุขและ เหมาะสมอย่างต่อเนื่อง 6. ความฉลาดในการพักผ่อน และรู้เล่นให้เป็นสุข : Play Quotient (PQ) การออกกำาลังกายนั้นต้องออกกำาลังกาย ทั้งร่างกาย จิตใจ และความคิด ซึ่งออกมาจาก สมอง ฝึกการเคลื่อนไหว ฝึกการเล่น ฝึกการ วางแผน ฝึกการตัดสินใจ ฝึกการทำางานเป็น หมู่คณะ การให้ความเห็นที่เป็นประโยชน์ การรับความเห็นที่มีเหตุผล รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย มีความสำาคัญมากในการดำาเนินชีวิต ถ้าแพ้ แล้วชวนตีก็อาจจะถูกรุมทำาโทษหรืออาจจะ ติดตะรางไปเสียก่อนก็เป็นได้ 7. ความฉลาดทางด้านสังคม : Social Quotient (SQ) การอยู่ในสังคม ในปัจจุบันจำาเป็นต้องมีการปรับตัว รู้จักการ

เข้าสังคม การมีมนุษยสัมพันธ์ ตรงต่อเวลา มีมารยาททางสังคมกับคนหลายๆ ชาติ รวมถึงการวางตัวในสังคม การแต่งตัว การพูดจา ซึ่งก็ควรจะรวมเอาความฉลาด ทางอารมณ์ ความฉลาดทางปัญญา เข้ามาเกี่ยวข้องพร้อมๆ กัน ไม่มอง ตนเองว่า “เหนือ” กว่าคนอื่น ไม่มองคนอื่น ว่า “ต่ำาต้อย” กว่าตน การได้รับการยอมรับ จากทุกสังคมจะนำามาซึ่งความสำาเร็จ อย่างดียิ่งของชีวิต 8. ความฉลาดในการมองโลก : Optimist Quotient (OQ) หลายคนเรียกว่า เป็นการคิดบวก คือ มองโลกในแง่ดี มองอุปสรรคเป็นการท้าทาย มองปัญหา เป็นการฝึกฝน มองปัญหาด้วยสุขภาพจิตที่ดี ไม่เครียดจนเกินไป ใช้ความรู้ความสามารถ แห่งตนและความรู้ที่ร่ำาเรียนมา หาทางที่จะ เอาชนะปัญหาอุปสรรคต่างๆ ได้ด้วยความ มานะอดทนก็จะประสบผลสำาเร็จในชีวิต ได้ดีกว่า ผู้มองโลกในแง่ร้าย และไม่กล้า เผชิญปัญหาจะกลับกลายเป็นผู้แพ้ ซึมเศร้า ในที่สุด

9. ความฉลาดในการสร้างสรรค์ จินตนาการ : Utopia Quotient (UQ) คำาว่า

Utopia ในภาษาอังกฤษอาจจะทำาให้เราคิดถึง โรคยุคพระศรีอาริย์ ซึ่งอาจจะไกลจาก ความเป็นจริงมากไป แต่คาดหวังว่าในชีวิต จริงรู้จักที่จะคิดเชิงสร้างสรรค์ (Creative) จินตนาการเชิงพัฒนาการก้าวหน้า (Innovative) และสามารถทำาให้เป็นจริงได้ ซึ่งปัจจุบันด้วยจินตนาการที่มีประโยชน์ เหล่านี้ก่อให้เกิดความก้าวหน้าในระบบ อุตสาหกรรมมากมาย เช่น ระบบแขนกล (Automation), ระบบคอมพิวเตอร์, ระบบที่ สร้างสรรค์ให้มีหุ่นยนต์ (Robot) และระบบ ความฉลาดโดยคอมพิวเตอร์ (AI – Artifi cial Intelligent) เป็นต้น ทั้ง 9 เรื่องนี้ไม่สามารถจะทำาให้ บังเกิดในตัวเราได้ง่ายๆ และก็ไม่สามารถ จะสอนให้คนอื่นเป็นแบบนี้ได้ง่ายๆ เช่นกัน จำาเป็นต้องอาศัยการพัฒนาตัวเองไปใน 9 ทิศทางที่ดี ที่เหมาะสม และต่อเนื่อง ต้องมี ความเข้มแข็งและแข็งแรงของสุขภาพร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ จิตใจ คุณธรรม จริยธรรม ที่มีทักษะต่อสังคม พูดตรงนี้อาจฟังดู คล้ายยากสำาหรับบางคน แต่ถ้าตั้งใจทำาไปใน ระยะหนึ่งก็จะเกิดความคุ้นเคย จนสามารถ ปฏิบัติได้อย่างเป็นธรรมชาติ และจะค่อยๆ ปลูกฝังจนเป็นนิสัยและกลายเป็นบุคลิก ประจำาตัวได้ไม่ยาก

แน่นอนถ้าท่านตั้งใจจะทำาสิ่งดีๆ ให้กับชีวิตของท่านในปใหม่นี้ ก็ขอให้เริ่ม วางแผนที่จะฝึกฝนตนเองใน 9 ทิศทางนี้ อย่างไม่ย่นย่อท้อถอย ขอให้โชคดี มีชัย และสวัสดีปใหม่ครับ Health Channel

February 2018

29


Health Society เคทีซี สมทบทุนโครงการ “๑ อ่านล้านตื่น”

“เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำ�กัด (มหาชน) โดย นายธีรพจน์ โชคอนันตัง ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่ บริหาร สายงานธุรกิจบัตรเครดิต ร่วมมอบเงินบริจาค ให้กับโครงการ “๑ อ่านล้านตื่น” โดย “สมาคมผู้จัดพิมพ์ และผู้จำ�หน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย” พร้อม ภาคีเครือข่าย โดยมี นางสุชาดา สหัสกุล นายกสมาคม เป็นผู้รับมอบ เพื่อนำ�เงินบริจาคไปซื้อหนังสือดี มีคุณภาพ และตรงความต้องการของผู้รับ และส่งมอบ ให้กับพื้นที่ๆ ขาดแคลนหนังสือต่อไป

สถาบันมะเร็งแห่งชาติ จัดโครงการ “ความอาย คือ สารก่อมะเร็ง”

สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ร่วมสร้างความตระหนักรู้ถึงอันตรายของมะเร็งปากมดลูก จัดโครงการ “ความอาย คือ สารก่อมะเร็ง” เพื่อกระตุ้นให้หญิงไทยก้าวข้ามความอาย เข้ารับการตรวจคัดกรองป้องกันมะเร็งปากมดลูก รวมถึงการฉีควัคซีนป้องกัน ภายในงานมีการเสวนาให้ความรู้เกี่ยวกับมะเร็งปากมดลูกอย่างถูกต้อง โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พร้อมแบ่งปันประสบการณ์และเคล็ดลับการดูแลสุขภาพ จากดาราและนักแสดงที่ร่วมสนับสนุนโครงการดังกล่าว

องค์การเภสัชกรรมร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พัฒนาผลิตภัณฑ์ยาใหม่

องค์การเภสัชกรรมร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ลงนามบันทึกความร่วมมือ

การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาใหม่ เพื่อให้ผู้ป่วยได้ใช้ยาอย่างสะดวกและ ปลอดภัย ลดการนำ�เข้ายาจากต่างประเทศ เริ่มที่ผลิตภัณฑ์ยาพ่นจมูก ผลิตภัณฑ์แรก

ของประเทศ โดยมี ภญ.อภิชชา โยธาประเสริฐ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษองค์การเภสัชกรรม และศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นตัวแทนในการลงนามครั้งนี้

สมาคมแพทย์ผิวหนังฯ ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ จ.ตาก

รศ.นพ.นภดล นพคุณ นายกสมาคมแพทย์ผิวหนัง แห่งประเทศไทย, ผศ.พญ.สุวิรากร โอภาสวงศ์ ประธานฝ่ายกิจกรรมสังคม, ศ.คลินิก พญ. ศรีศุภลักษณ์ สิงคาลวณิช อุปนายกด้านกิจกรรมสังคม พร้อมคณะ จากสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ร่วมกับ โรงพยาบาลแม่สอด จังหวัดตาก ออกหน่วยแพทย์

ผิวหนังเคลื่อนที่เพื่อตรวจและรักษาโรคผิวหนัง

โดยให้การรักษาโรคผิวหนัง รวมทั้งให้ความรู ้ แก่ประชาชนทั่วประเทศ โดยกิจกรรมการออก หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ในครั้งนี้ มีผู้เข้ารับการ บำ�บัดรักษาจำ�นวนกว่า 400 คน

30

Health Channel

February 2018


เบต้ากลูแคน จากยีสต์ขนมปัง เสริมภูมิคุ้มกัน ต้านมะเร็ง เบต้ากลูแคน ไม่ได้เป็นเพียงสารอาหารทีช่ ว่ ยเพิม่ ภูมคิ มุ้ กัน ให้แก่ร่างกายเท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยต้านอนุมูลอิสระ ยับยั้ง การเจริญเติบโตของเชลล์มะเร็งหลายชนิด นอกจากนีย้ งั ช่ายลดอาการ ภูมิแพ้ ลมพิษ และไขข้ออักเสบได้อีกด้วย เบต้ า กลู แ คน คือ สารประกอบของน้ำาตาลกลูโคส ที่พบได้ทั้งในยีสต์ขนมปัง สาหร่าย เห็ด และพืชบางชนิด แต่ไม่พบในสัตว์หรือคน มีสรรพคุณช่วยเพิม่ ภูมคิ มุ้ กันแก่รา่ งกาย และต้านอนุมลู อิสระ ซึง่ โครงสร้างของเบต้ากลูแคนเมือ่ ได้จาก แหล่งทีต่ า่ งกัน ประสิทธิภาพก็จะต่างกันไปด้วย ทัง้ นีข้ นึ้ อยูก่ บั สายพันธุ์พืชที่ใช้ ช่วงเวลาที่เก็บเกี่ยว และความบริสุทธิ์ของ เบต้ากลูแคนที่สกัดได้ และจากการศึกษา พบว่า เบต้ากลูแคนบริสทุ ธิจ์ ากยีสต์ ขนมปัง มีประสิทธิภาพในการเสริมสร้างภูมคิ มุ้ กันให้รา่ งกายได้ ดีที่สุด ประโยชน์ ข องเบต้ า กลู แ คนจากยี ส ต์ ข นมปั ง คื อ ช่วยเสริมให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรง ลดการอักเสบ ช่วยเสริมหรือ ใช้แทนยาปฏิชวี นะ ทำาให้บาดแผลหายเร็วขึน้ ในกรณีผา่ ตัดหรือ ผู้ป่วยเบาหวาน ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชลล์มะเร็ง ลดอาการภูมิแพ้ ลมพิษ ลดผลข้างเคียงจากเคมีบำาบัด การ ฉายรังสี ลดอาการไขข้ออักเสบ โรคทางเดินอาหารอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ เป็นต้น ผลจากการใช้เบต้ากลูแคนจากยีสต์ขนมปังในผู้ป่วย ที่เข้ารับการผ่าตัด พบว่าเบต้ากลูแคนจะช่วยกระตุ้นการสร้าง คอลลาเจนให้กบั เชลล์ผวิ หนัง กระตุน้ เม็ดเลือดขาวทีท่ าำ หน้าที่ ซ่อมแซมบาดแผล ลดการติดเชื้อ และช่วยให้แผลหายเร็ว

สอบถามเรื่อง เบต้ากลูแคน โทร.

ส่วนในผู้ป่วยภูมิแพ้ จะช่วยปรับเปลี่ยนให้ร่างกาย มีความสมดุลทีเ่ หมาะสม ลดอาการแพ้โดยทีไ่ ม่ตอ้ งทานยาแก้แพ้ บ่อยๆ ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น นอกจากนี้ในผู้ป่วยโรคมะเร็ง เบต้ากลูแคนยังช่วย ต่อต้านการเจริญเติบโตของเชลล์มะเร็งหลายชนิด ช่วยยืดอายุ ผูป้ ว่ ยมะเร็งระยะสุดท้าย รวมถึงผูป้ ว่ ยมะเร็งทีต่ อ้ งเข้าการรักษา แบบเคมีบาำ บัด อาจทำาให้เซลล์เม็ดเลือดชนิดต่างๆ หรือเชลล์เยือ่ บุ ได้รับผลกระทบจากการทำาเคมีบำาบัดได้ ดังนั้นเบต้ากลูแคน จะเข้ามาช่วยในการฟื้นฟูตัวของไขกระดูก ทำาให้การสร้าง เม็ดเลือดชนิดต่างๆเป็นไปอย่างปกติ อีกทั้งยังช่วยให้เชลล์ ฟื้นตัวเร็ว ต้านอนุมูลอิสระได้ดี ไม่ เ พี ย งเท่ า นี้ ผู้ ที่ มี ภ าวะเป็ น โรคหื ด สะเก็ ด เงิ น โรคม่านตาอักเสบ โรคพุม่ พวง โรคเหงือกอักเสบเรือ้ รัง ข้อเสือ่ ม เมื่อรับประทานเบต้ากลูแคนอย่างต่อเนื่องจะสามารถช่วยให้ อาการเหล่านี้ทุเลาหรือสามารถกลับมาเป็นปกติได้ดังเดิม หลายคนอาจมีข้อสงสัยว่าเบต้ากลูแคนจากยีสต์ขนมปัง จะมีประโยชน์กับคนปกติที่ร่างกายแข็งแรง เหมาะหรือไม่ คำาตอบคือ ได้ เพราะเบต้ากลูแคนจากยีสต์ขนมปัง จะช่วยสร้างภูมคิ มุ้ กัน ต่อต้านสิง่ แปลกปลอมทีจ่ ะเข้าสูร่ า่ งกาย ลดความเสี่ยงจากการถูกคุกคามของโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดจาก ปัจจัยภายนอก อย่างในนมผงเด็กบางยี่ห้อ หากเราสังเกต จะพบว่า มีเบต้ากลูแคนผสมอยูด่ ว้ ย นัน่ แสดงให้เห็นว่า แม้แต่ ในเด็กทารกยังสามารถใช้ได้โดยไม่เกิดโทษแต่อย่างใด คงจะดีกว่านี้ถ้าทุกคนรู้จักสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย โรคร้ายก็ไม่สามารถมาเบียดเบียนได้

08-1621-2499

หรือ id

health.mkt


ประชาชื่น MRI

MRI Check up ราคาพิเศษ

เมื่อจองตรวจทาง Online

l

»ÃЪҪ×è¹ MRI ÊÒ¢ÒÊÁØ·ÃÊÒ¤Ã


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.