Issue 141 Aug 2017

Page 1

ISSUE 141 AUGUST 2017

www.healthchannel.co.th

“หมอนรองกระดูกทับเสน” ¡Ç‹Ò¨ÐÃÙŒµÑÇÇ‹Ò໚¹...¡çÍÒ¨ÊÒ ●

â»ÃµÕ¹ËÇÒ¹¨Ò¡¾ÃŒÒǹ¡¤Ø‹Á ·Ò§àÅ×Í¡¢Í§¤¹ªÍºËÇÒ¹ “Âҹ͹ËÅѺ” ÍѹµÃÒ¡NjҷÕè¤Ô´ “ÇѤ«Õ¹” »‡Í§¡Ñ¹âäã¹ÇÑÂÃØ‹¹ áÅмٌãËÞ‹µÍ¹µŒ¹ áÍ»¾ÅÔपÑè¹µÃǨâä ÍÑÅä«àÁÍà ´ŒÇÂàÊÕ§¾Ù´ äÍà´ÕÂ਎§æ ÃͧÃѺ Êѧ¤Á¼ÙŒÊÙ§ÍÒÂØ

รู้ก่อนปลอดภัย รักษาได้ไม่ลุกลาม ประชาชื่น MRI

MRI Check up ราคาพิเศษ เมือ ่ จองตรวจทาง Online @mrithailand

MRI »ÃЪҪ×è¹ MRI Call Center : 0-899-898-777 www.mrithailand.com

ÊÒÁÒöࢌҵÃǨ MRI ·Ø¡ÍÇÑÂÇÐä´Œ´ŒÇµÑÇàͧ â´ÂäÁ‹µŒÍ§ÃÍãºÊÑè§á¾·Â



Health Channel

August 2017

3


Editor’s Talk

August 2017 vol.12 issue 141

ที่ปรึกษา

นพ.สุรพงศ์ อำาพันวงษ์ นพ.สมนึก ศิริพานทอง ศ.คลินิก แพทย์จีน นพ.ภาสกิจ วัณนาวิบูล นพ.ฉัตรชัย ศรีบัณฑิต ประธานบริษัท

นพ.อิทธิกร โถสุวรรณโชต บรรณาธิการอำานวยการ

บุญสม อัครธรรมกุล

บรรณาธิการบริหาร

บุญสม อัครธรรมกุล

ประจำากองบรรณาธิการ

ธนิดา สุวรรณไตย์ อรนิชา บรรจงการ ไอยลดา วิจักษณ์ประเสริฐ ศิลปกรรม/ภาพ

จิตอาภา ถิ่นจันทร์ ฝ่ายขาย

มนัส จำาปาทิพย์ เลขา/ประสานงานฝ่ายขาย

เฌอฉัฐม์ บางพลับนนท์ จักรมณีเวทย์ กลิ่นอาจ ฝ่ายการตลาด

บุญราศี ปรีดาพรรณี สื่อออนไลน์

อารีรัตน์ ดิลกธรรมจักรา กนกวรรณ วันหวัง ที่ปรึกษากฎหมาย

นรา นรพิเชียรฉาย

เจ้าของ บริษัท เฮลท์ แชนแนล จำากัด

สำานักงานเลขที ่ 42/188 ซ.นวมินทร์ 143 แขวงนวลจันทร์ เขตบึงกุม่ กรุงเทพฯ 10230 โทร. 02 - 069 - 5670 แฟ็กซ์ 02 - 069 - 5671 เพลท - พิมพ์

บริษัท ฐานการพิมพ์ จำากัด 9/11 ถ.เทศบาลสงเคราะห์ แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 โทร. 0 - 2954 - 2799 แฟกซ์ 0 - 2954 - 2800

โรงเรียนพ่อแม่

ในยุคปฏิรปู ประเทศทีร่ ฐั บาลกำาลังพยายามดำาเนินการ อยู่ในขณะนี้ มีมากมายหลายเรื่องที่ล้วนแต่เป็นเรื่องใหญ่ทั้งสิ้น อาทิ เรื่องตำารวจ เรื่องกระบวนการยุติธรรม เรื่องการศึกษา เรื่องวงการสงฆ์ เรื่องกระบวนการเลือกตั้ง เรื่องปัญหาการ คอรัปชั่น ฯลฯ เชื่ อ ไหมครั บ ว่ า แทบทุ ก เรื่ อ งมั ก จะลงท้ า ยว่ า ปั ญ หาใหญ่ อ ยู่ ที่ “คุณภาพคน” ซึ่งมีความหมายถึง คนไทยยังขาดสำานึกสาธารณะ ขาดความเคารพสิทธิผู้อื่น ขาดจริยธรรม เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้องมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม ขาดความเคารพกฎหมาย ขาดระเบียบวินัย ฯลฯ

หากจะถามต่อไปว่า แล้วเหตุใดประเทศไทยจึงล้มเหลวในการสร้างคุณภาพคน

ทุกคนจะมุง่ ไปทีค่ วามล้มเหลวของระบบการศึกษาเป็นหลัก (โยนความผิดไปทีค่ นอืน่ ยกเว้นตัวเอง) ซึ่งในความเป็นจริง กว่าเด็กน้อยคนหนึ่งจะเข้าสู่ระบบโรงเรียน เด็กต้องอยู่กับ ครอบครัวมาตั้ง 6 ปีถึงจะถูกส่งเข้าโรงเรียน ถ้าชีวิต 6 ปีที่อยู่กับครอบครัวขาดการสร้าง พัฒนาการที่เหมาะสมกับวัย ขาดการเอาใจใส่ที่ดี ครูที่โรงเรียนกลับต้องมาคอยขัดเกลาและ แก้ปัญหาเด็กด้วยซ้ำาไป เพราะสมองเด็กในช่วง 6 ปีแรกเป็นช่วงเวลาที่เรียนรู้ จดจำา และ เสริมสร้างได้ดีที่สุด แต่เรามักพบว่า เด็กถูกเลีย้ งด้วยอารมณ์ของผูใ้ หญ่ บางทีตามใจมากไป บางทีเข้มงวด มากไป เลีย้ งเด็กแบบใช้อาำ นาจนิยม เต็มไปด้วยคำาสัง่ ทีม่ ตี อ่ ลูก ต้องทำาโน่น ต้องทำานี ่ ห้ามทำาโน่น ห้ามทำานี่ พอเด็กไม่เชื่อฟังก็ขู่ลงโทษ รวมทั้งลงโทษจริงหากขัดคำาสั่ง น้อยมากที่จะให้เหตุผล กับเด็กและรู้จักรับฟังเด็ก จะเรียกว่าขาดความเคารพในสิทธิเด็กก็ไม่ผิด ไม่ได้ส่งเสริมให้เด็ก รักการอ่าน ไม่หาเวลาเล่านิทานหรืออ่านหนังสือให้ลกู ฟัง เป็นต้น เด็กทีโ่ ตขึน้ จึงจดจำาพฤติกรรม ทั้งหมดที่ตัวเองได้รับมาปฏิบัติตาม ใช้อำานาจนิยม ขาดการเคารพสิทธิผู้อื่น ขาดทักษะในการ รับฟังที่ดี จนถึงการใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา ถามต่อไปว่า เหตุใดพ่อแม่จึงเลี้ยงดูเด็กมาแบบนี้ คำาตอบคือเลี้ยงตามประสบการณ์ ที่ได้รับมาและจากการศึกษาเรียนรู้มา ผสมผสานกันไป เคยคุยกับแพทย์ทา่ นหนึง่ ท่านเห็นว่า หากประเทศต้องการสร้างพลเมืองให้มคี ณ ุ ภาพ สิ่งที่ควรทำาก่อนคือ 1. สร้างโรงเรียนสอนผู้ใหญ่ให้รู้จักการเป็นพ่อแม่ที่ดี 2. สอนและฝึกอบรมครูกนั ใหม่ทงั้ ในศูนย์ดแู ลเด็กเล็ก, โรงเรียนอนุบาล และโรงเรียน ระดับประถมศึกษา

บรรณาธิการผู้พิมพ์โฆษณา

ท่ า นเห็ นว่ า นี่ คื อ รากฐานสำ า คั ญ กว่ า มารื้ อ ระบบการศึ ก ษาระดั บมั ธ ยม อาชี ว ะ และอุดมศึกษา ถ้าวางรากฐานตรงนีไ้ ด้ดแี ล้ว ระดับการศึกษาจากประถมขึน้ ไปเป็นเรือ่ งไม่ยาก ผมเห็นด้วยกับนายแพทย์ท่านนี้ 100% เลยครับ

หมายเหตุ : การนำาภาพหรือข้อเขียนในนิตยสาร ไปตีพิมพ์ซ้ำา ขอให้ติดต่อกองบรรณาธิการ เป็นลายลักษณ์อักษรและต้องได้รับอนุญาตก่อน จึงจะทำาการได้

อายุกร ขุนเนียม

ติดต่อหรือแนะนำาติชมเราได้ 24 ชั่วโมงเหมือนเช่นเคยที่ healthchannel2005@yahoo.com บุญสม อัครธรรมกุล บรรณาธิการอำานวยการ


เรื่อง : รศ.นพ.ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ จักษุแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

คุยกับหมอตา

“ต้อลม ต้อเนื้อ”

โรคตาที่คนไทยเป็นกันมากที่สุด

ดวงตา คือ อวัยวะที่สำ�คัญของมนุษย์ เพราะเราสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัว ได้จากดวงตาคู่นี้ แต่หากวันหนึ่งดวงตาของคุณเกิดมีปัญหา ส่งผลให้ไม่สามารถมองเห็น อะไรได้อีกเลย จะเกิดอะไรขึ้น ???

ต้อเนื้อ (Pterygium) และ ต้อลม (Pingecular) มีลักษณะเป็นตุ่มนูน

หรือแผ่นเนื้อที่บริเวณเยื่อบุตาขาว ต้อเนื้อ และต้อลมไม่ใช่เนื้องอก แต่เป็นการเสื่อม ของเยื่อบุตาขาวจากการระคายเคือง เนื่องจากถูกกระตุ้นด้วยแสงแดด ลมหรือฝุ่น จึงส่งผลให้เป็น 2 โรคตาที่คนไทยเป็นกันมาก

แสงยูวี ฝุ่น ลม เป็นประจำ�ส่งผลทำ�ให้เยื่อบุตา ระคายเคืองแล้วสะสมเป็นประจำ� ทุกๆ วัน จนทำ�ให้เกิดต้อลม และต้อเนื้อได้นั่นเอง หลายคนมีคำ�ถามว่า แล้วจะทราบ ได้อย่างไรว่าเป็นต้อลม ต้อเนื้อ ??

โดยทั่วไปผู้ป่วยส่วนมากที่เป็น มักจะไม่มีอาการแสดง แต่ในผู้ป่วยที่มีอาการ แล้วต้อลม ต้อเนื้อ ต่างกันอย่างไร ??? ก็จะพบว่ามีอาการ ดังนี้ 1. ต้อลม มีลักษณะเยื่อบุตาหนานูน - ตาแดง ระคายเคือง เมื่ออักเสบ สีขาวเหลือง ความผิดปกติยังอยู่เฉพาะ - แสบตา น้ำ�ตาไหล คันตา ตาแห้ง บริเวณตาขาว ยังไม่ลามเข้าตาดำ� - มีการบดบังการมองเห็น กรณี 2. ต้อเนื้อ มีลักษณะเยื่อบุตาหนานูน ต้อเนื้อมีขนาดใหญ่มาก ลามเข้าตาดำ�ทำ�ให้ เป็นแผ่นรูปสามเหลี่ยม สีแดงๆ คล้ายเนื้อ มีสายตาเอียง ต่างกับต้อลมเพราะลามเข้าในตาดำ�แล้ว ซึ่งสาเหตุของการเกิดต้อลมและ วิธีการรักษา ต้อลม ต้อเนื้อ สามารถ ต้อเนื้อ ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นจากการสัมผัส ทำ�ได้ ดังนี้ 1. ควรหลีกเลี่ยงฝุ่น, ลม และ แสงแดด 2. ควรหยอดน้ำ�ตาเทียม หรือ ยาหยอดลดการระคายเคืองอักเสบ เช่น กลุ่มแอนตี้ฮีสตามีน 3. การผ่าตัดลอกต้อเนื้อออก แต่วิธีการผ่าตัดต้อเนื้อ จะกระทำ�เฉพาะเมื่อมี อาการที่รุนแรงมากๆ 2 กรณี คือมีการอักเสบ แดงบ่อยๆ บางรายใช้ยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น และต้อเริ่มบังการมองเห็น ซึ่งวิธีการผ่าตัด ก็มีอยู่ 2 วิธี ได้แก่

1. การลอกออกธรรมดา 2. ลอกแล้วเย็บปิดด้วยเยื่อบุตา

ต้อเนื้อที่ผ่าตัดแล้ว มีโอกาสกลับเป็นซ้ำ� ได้หรือไม่ ??

ต้อเนื้อ ถึงแม้ผ่าตัดให้หายแล้วแต่ถ้า ยังสัมผัสสิ่งที่ทำ�ให้เกิดการระคายเคืองเยื่อบุตา อยู่เรื่อยๆ ก็มีโอกาสกลับเป็นซ้ำ�ได้ใหม่ ดังนั้นควรมีวิธีดูแลป้องกัน คือ - หลีกเลี่ยงการสัมผัสลมและ แสงแดดบ่อยๆ - การใส่แว่นกันแดด กันลม หวังว่าผู้อ่านทุกท่านจะพยายาม หลีกเลี่ยงการสัมผัส ลม ฝุ่น และแสงแดดจ้า บ่อยๆ เพื่อป้องกันการเป็นโรคต้อลมและ ต้อเนื้อกันนะครับ เพราะสุขภาพตา เป็นสิ่งสำ�คัญ หากอยากมีดวงตาคู่สวยๆ อยู่กับเราไปนานๆ ก็ควรที่จะใส่ใจกันมากขึ้นครับ Health Channel

August 2017

5


CONTENTS

August 2017 vol.12 issue 141

5

26

“ต้อลม ต้อเนื้อ” โรคตาที่คนไทยเป็นกันมากที่สุด

“วัคซีน” ป้องกันโรคในวัยรุ่น และผู้ใหญ่ตอนต้น

Happy Life

คุยกับหมอตา

7

หู - คอ - จมูก

จุกแน่นในลำ�คอ หายใจไม่อิ่มหลังทานอาหาร มีสาเหตุจากอะไร ???

8

Chiropractor บาดเจ็บเรื้อรัง... ไคโรแพรคติกช่วยได้ !!!

16

16

Cover Story

“หมอนรองกระดูกทับเส้น กว่าจะรู้ตัวว่าเป็น...ก็อาจสาย”

10

19

นมแม่...อาหารที่ดีที่สุดของลูก

ปรับใจเข้าหากัน เพื่อลดความรุนแรงในครอบครัว

รอบรู้สุขภาพ กับกรมอนามัย

12

Wellness Talk by Absolute Health วัยทอง สมองเพชร

สุขภาพจิตดี

28

Food Today

โปรตีนหวานจากพร้าวนกคุ่ม ทางเลือกของคนชอบหวาน

29

สู้มะเร็ง

สู้มะเร็งปอด (ตอน 2) ความก้าวหน้าของการใช้ความรู้ทางพันธุกรรม

30

ช่วยในการตรวจวินิจฉัย

20

Health Intrend 3 นวัตกรรมเพื่อคนพิการ

14

21

30

ว่าด้วยเรื่อง “การดูแลสุขภาพเส้นผม”

“ยานอนหลับ” อันตรายกว่าที่คิด

ความรู้เรื่องยีนและโครโมโซม ตอนที่ 1

พบแพทย์ผิวหนัง

29

รู้จริงเรื่องยา

Health Variety by นพ.สุรพงศ์

22

32

องค์การเภสัชกรรม “เพิ่มการเข้าถึงยา เพิ่มความมั่นใจให้ประชาชน”

โรคกรดไหลย้อน (胃食管反流病) มุมมองแพทย์แผนจีนและแผนปัจจุบัน (ตอน 2)

Special Report

24

Seniors Club

แอปพลิเคชั่นตรวจโรคอัลไซเมอร์ด้วยเสียงพูด ไอเดียเจ๋งๆ รองรับสังคมผู้สูงอายุ

Chinese Medicine


เรื่อง : ผศ.พญ.จรินรัตน์ สิริรัฐวรรณ หัวหน้าภาควิชา โสต ศอ นาสิกวิทยา ศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

ห ู- คอ - จมูก

จุกแน่นในลำาคอ หายใจไม่อิ่มหลังทานอาหาร มีสาเหตุจากอะไร ???

คุณเคยมีอาการเหล่านี้บ้างไหม !!! รู้สึกจุกแน่นในลำาคอ มีเสมหะเหนียวๆ ในคอ ทานอาหารได้ปกติแต่ท้องอืด รู้สึกอึดอัดเหมือนมีลมในกระเพาะอาหาร หรือแสบมาถึง ยอดอก บางทีมีเสียงแหบต้องกระแอมก่อนพูด ให้พึงระวังได้เลยว่าคุณอาจมีภาวะ กรดไหลย้อนได้นั่นเอง โรคกรดไหลย้อน หรือที่เรียกกันว่า “เกริ์ด” (Gastroesophageal Reflux Disease: GERD) พบได้บ่อยทั้งเด็กและผู้ใหญ่

หูรูดของหลอดอาหารส่วนบน มักมีอาการ ท้องอืด เรอบ่อย คลื่นไส้ คล้ายอาหารไม่ย่อย รู้สึกจุกแน่นอยู่ในหน้าอก เจ็บร้าวมาที่หลัง หรือที่อกด้านซ้าย บางรายเจ็บมาที่คอและบ่า ซึ่งหากมีอาการดังกล่าวควรรีบมาพบแพทย์ เพื่อทำาการรับการรักษาอย่างถูกต้อง 2. โรคกรดไหลย้อนขึ้นมา นอกหลอดอาหาร ทำาให้มีอาการที่คอและ กล่องเสียง กรดหรือน้ำาย่อยในกระเพาะอาหาร ย้อนขึ้นมาเหนือกล้ามเนื้อหูรูดของ หลอดอาหารส่วนบน ทำาให้เกิดการระคายเคือง ที่หลอดอาหาร แสบร้อนหน้าอก ใต้ลิ้นปี อาจมีอาการร้าวมาที่ต้นคอ มีเสมหะเหนียว และอาจมีเสียงแหบ รู้สึกจุกแน่นเหมือนมีก้อน ในคอ แสบคอหรือปาก แสบลิ้น มีรสขมๆ หรือเปรี้ยวในคอ มีอาการไอเรื้อรัง สำาลักน้ำาลาย มีรายงานความสัมพันธ์ของโรค GERD กับ อาการคออักเสบ น้ำามูกไหล ไซนัสอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ หอบหืด หรือปอดอักเสบ เรื้อรัง ซึ่งเป็นอาการแทรกซ้อนที่ควรรีบไปพบ แพทย์เฉพาะทางหู คอ จมูก เพื่อทำาการ ตรวจวินิจฉัย และรับการรักษา ไม่ควรรักษาเอง หรือปล่อยอาการไว้นาน การตรวจวินิจฉัยโรค GERD ซึ่งเป็นโรคที่วินิจฉัยจากกลุ่มอาการและรอยโรค ที่ตรวจพบ แล้วจึงให้การรักษาตามข้อบ่งชี้ และติดตามการรักษาหลังการรับประทานยา แต่หากอาการเรื้อรังไม่ดีขึ้นแพทย์จะตรวจ หาสาเหตุอื่น หรือตรวจยืนยันด้วย อุปกรณ์

ซึ่งเกิดจากการไหลย้อนกลับของกรดหรือ น้ำาย่อยในกระเพาะอาหาร ขึ้นไปใน หลอดอาหารส่วนบน ทำาให้เกิดอาการ ของหลอดอาหารและกล่องเสียง จากการ ระคายเคืองของกรด สำาหรับในเด็กทารก การทำางาน ของหูรูดกระเพาะอาหารทำางานไม่เต็ม ประสิทธิภาพ เด็กจะมีการเรอ ขย้อนอาหาร ซึ่งไม่จำาเป็นต้องให้การรักษาหรือทานยา แต่ต้องดูแลหลังการให้นมเด็ก เช่น จับพาดบ่า และลูบหลัง ไม่ควรให้นมแล้วจับทารกนอน แต่หากเด็กมีภาวะแทรกซ้อน เป็นเรื้อรัง หรือมีโรคอื่นร่วม ควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพราะอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ สำาหรับในผู้ใหญ่ นอกจากอาการ แสบร้อนบริเวณหน้าอก อาหารย่อยยาก ท้องอืด จุกใต้ลิ้นปี เนื่องจากกรดทำาให้เกิด ระคายเคือง อักเสบ อาจเป็นแผลที่ หลอดอาหาร และกระเพาะ ในรายที่เป็นมาก ทำาให้กรดไหลย้อนขึ้นมา เหนือกล้ามเนื้อหูรูด ของหลอดอาหารส่วนบน ทำาให้เกิดอาการ นอกหลอดอาหาร ทำาให้มีอาการจุกแน่น เสมหะเหนียว ติดๆ ในลำาคอโดยเฉพาะเวลา ล้มตัวลงนอน รู้สึกอึดอัดหายใจลำาบาก และมีเสียงแหบ โดยทั่วไปลักษณะอาการและภาวะ แทรกซ้อนของโรค GERD สามารถแบ่งได้ วัดค่าความเป็นกรดด่างบริเวณหูรูด ดังนี้ หลอดอาหาร ซึ่งเป็นการตรวจที่ยุ่งยาก 1. โรคกรดไหลย้อนธรรมดา ต้องสอดอุปกรณ์เข้าทางปากใส่ไปใน หรือ CLASSIC GERD รอยโรคภายใน หลอดอาหาร ตรวจนาน 24 ชม. ทำาให้เกิด หลอดอาหาร กรดไหลย้อนไม่เกินกล้ามเนื้อ อาการขย้อนอยากอาเจียนได้จึงไม่นิยม

ผศ.พญ.จรินรัตน์ สิริรัฐวรรณ

วิธีตรวจนี้ การส่องกล้องตรวจหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และลำาไส้เล็กส่วนต้น สำาหรับแนวทางการรักษาโรค กรดไหลย้อนในทางการแพทย์ปัจจุบัน แบ่งออกเป็น 3 วิธี ดังนี้ 1. การรักษาแบบอนุรักษ์วิธี โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ได้แก่ การรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย เคี้ยว ให้ละเอียด แบ่งเป็นมื้อเล็กๆ หลายมื้อ ไม่ทานมากจนจุก ห้ามทานก่อนนอน 2 - 3 ชั่วโมง ไม่ใส่เสื้อผ้าที่แน่นเกิน นอนหัวสูงขึ้น ควบคุมน้ำาหนักตัว งดเครื่องดื่มชา กาแฟ น้ำาอัดลม อาหารเผ็ดร้อน เป็นต้น พักผ่อนให้เพียงพอ 2. การรักษาด้วยยา ได้แก่ ยาลดกรด ยาเสริมการเคลื่อนไหวลำาไส้ และยาลดอาการต่างๆ นัดติดตามอาการ 3. การผ่าตัด ในรายที่มีภาวะ แทรกซ้อน หรือเป็นรุนแรง ไม่ตอบสนอง ต่อการรักษาจึงใช้วิธีการผ่าตัดเพื่อรัด หูรูดกระเพาะอาหารลดการไหลย้อน ของกรด ร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการรับประทานยา

อย่างไรก็ตามหากในเบื้องต้น สังเกตเห็นถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น กับตัวเอง โดยเฉพาะอาการในข้างต้น ที่แพทย์ได้กล่าวมา แนะนำาว่าควรรีบไป พบแพทย์เฉพาะทางให้เร็วที่สุด อย่างมัวแต่รอ เพราะสุขภาพเป็นเรื่องสำาคัญค่ะ Health Channel

August 2017

7


Chiropractor

เรื่อง : กองบรรณาธิการ

บาดเจ็บเรื้อรัง...

ไคโรแพรคติกช่วยได้ !!!

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบการออกกำาลังกาย ชอบเล่นกีฬา แต่ถ้าพบว่ามีอาการ เจ็บหรือปวดตามส่วนต่างๆของร่างกาย คุณจะเลือกแก้ไขความเจ็บปวดอย่างไร? แล้วเคย ได้ยินไหมว่า ไคโรแพรคติก หรือการจัดปรับกระดูก สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ !!!

“ไคโรแพรคติก เป็นการรักษาวิธีหนึ่ง ซึ่งยังไม่เป็นที่รู้จักและแพร่หลายมากนัก ในบ้านเรา โดยจุดประสงค์หลักของไคโรแพรคติก ก็คือ การจัดกระดูก แพทย์ไคโรแพรคติกจะ ดูแลกระดูกทุกส่วนของร่างกายที่คลาดเคลื่อน ไปจากตำาแหน่งปกติ ให้กลับมาเป็นปกติตาม แบบที่ธรรมชาติสร้างมา” คุณหมอเสถียร สว่างโลก ผู้เชี่ยวชาญด้านไคโรแพรคติก อธิบาย ร่างกายคนเรามีกระดูกสันหลัง ที่เคลื่อนตัวได้ 24 ข้อ แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ คอ, ลำาตัว และเชิงกราน ตรงนี้ก็เพื่อการ เคลื่อนไหวและการใช้ร่างกายให้เต็มที่ ไม่ว่า จะเป็น การก้ม การเงย การเอียงตัว เป็นต้น เพราะฉะนั้นโอกาสหรือความเสี่ยงที่กระดูก จะมีการเคลื่อนตัวผิดรูปก็มีสูง นอกจากนี้ กระดูกส่วนที่สำาคัญที่สุดของคนเราคือ กระดูกสันหลัง เพราะหุ้มส่วนสำาคัญของสมอง ที่ส่งต่อไขสันหลังลงมา ถึงส่วนต่างๆ ของ ร่างกาย (ระบบประสาท) หากระบบประสาท

8

Health Channel

August 2017

ทำางานได้ไม่เต็มที่ ก็จะกระทบถึงสุขภาพ ของเราด้วยเช่นกัน หากคนที่ชอบออกกำาลังกาย หรือชอบเล่นกีฬา แล้วมักจะมีอาการ ปวดหลัง, ปวดคอ หรือปวดที่บริเวณอื่นๆ ของร่างกายอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งบางคนอาจปวด รุนแรงจนทำาให้โครงสร้างของร่างกาย เกิดปัญหา อีกทั้งอาการปวดลุกลามมาที่ กล้ามเนื้อ หากมารักษาด้วยไคโรแพรคติก สิ่งที่เราจะพิจารณามีดังนี้ - โครงสร้างของร่างกายที่ ประคับประคอง หรือส่วนยึดกล้ามเนื้อ ภายนอก มีการบิดเบี้ยว เอียง หรือมีการ ทำางานได้ดีหรือไม่ - ระบบประสาทที่ควบคุม การทำางานของกล้ามเนื้อตรงส่วนที่มีปัญหา ทำางานได้เป็นปกติสมบูรณ์ดีหรือไม่ เพราะการเล่นกีฬา อาจต้องมีการเคลื่อนไหว ตลอดเวลา การเล่นกีฬาบางชนิดอาจจะ ส่งผลให้เกิดอาการบาดเจ็บได้ง่ายกว่า เช่น การเล่นแบดมินตัน - การใช้ร่างกายผิดรูปมากเกินไป จนเสียความสมดุล และจากการทำางาน ของร่างกายที่ไม่ถูกต้องก็เกิดอันตรายได้ เพราะกระดูกส่วนคอจะเริ่มมีปัญหา และ จะลุกลามไปยังจุดอื่นๆ คุณหมอเสถียร ให้คำาแนะนำา เพิ่มเติมว่า หากมีการตรวจเช็คตามลำาดับ

นี้แล้ว ก็จะรักษาตามขั้นตอนของไคโรแพรคติก แต่ถ้าใครที่มีอาการบาดเจ็บมากๆ แนะนำาว่า ต้องเอกซเรย์ดูก่อนว่าโครงสร้างที่มันเคลื่อน ผิดรูปนั้นไปชนกับเส้นประสาทมาก – น้อย แค่ไหน เพื่อจะได้ทำาการรักษาให้ตรงจุด เพราะไคโรแพรคติกมีจุดประสงค์ เพื่อให้มนุษย์มีสุขภาพที่ดีในระยะยาว โดยไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเข้ามาเกี่ยวข้อง ไคโรแพรคติกจึงให้ความสำาคัญกับการดูแล ระบบควบคุมทุกส่วนของร่างกายให้เป็นปกติ (ระบบประสาท) และมีความพร้อมอยู่ตลอด เวลา เมื่อเป็นดังนี้แล้วร่างกายเรา ก็จะสามารถซ่อมแซมตัวเองได้ และมีระบบ จัดการกับตัวเองได้ดีด้วย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทรศัพท์ 0 - 2168 - 7611 , 087- 082 - 8182 www.painfree4you.com www.facebook.com/PainFree4you

ขอขอบคุณ : ดร.เสถียร สวางโลก (หมอเปน) Doctor of Chiropractic


✔ ✔ ✔ ✔ ✔

หมอนรองกระดูกทับเส้น ปวดศีรษะไมเกรน ปวดชาตามแขน ขา ปวดคอ บ่า ไหล่ ปวดตามข้อต่างๆ

ไคโรแพรคติก CHIROPRACTIC

ศาสตร์แห่งการรักษา แก้ไขที่สาเหตุของการเจ็บป่วย

อย่ารอจนสายเกินแก้

เราคือผู้เชี่ยวชาญด้านบำาบัดรักษา อาการเกี่ยวกับกระดูกสันหลัง ระบบประสาทและกล้ามเนื้อ

คลินิกแพทย์แผนไทยสว่างโลก Dr.เสถียร สว่างโลก (หมอเปิน) Dr.ปาร์ค จินฮี (หมอจิน) Doctor of Chiropractic ● ● ● ● ● ● ● ●

สาขา อาคารเทรนดี้ ชั้น G ถนนสุขุมวิท 13 สาขา The Walk เกษตร - นวมินทร์ ถนนประเสริฐมนูญกิจ สาขา เดอะซีน ลาดพร้าว 94 (ทาว์นอินทาว์น) สาขา เมืองทองธานี อาคารโซไซตี้ คอนโดมิเนียม ชั้น 1 ถนนแจ้งวัฒนะ นนทบุรี สาขา ศูนย์การค้าปัญญาวิลเลจ ถนนปัญญาอินทรา สาขา ธัญญาปาร์ค ถนนศรีนครินทร์ สาขา TREE ON THREE ถนนพระราม 3 สาขา เดอะมอลล์ บางกะปิ ชั้น 4

www.painfree4you.com

www.facebook.com/PainFree4you

โทร. 0 - 2168 - 7611, 08 - 7082 - 8182 โทร. 0 - 2019 - 5485, 09 - 3982 - 3351 โทร. 0 - 2108 - 5891, 09 - 0926 - 2229 โทร. 0 - 2116 - 1935, 09 - 1875 - 8490 โทร. 0 - 2508 - 7230, 08 - 0966 - 9322 โทร. 0 - 2108 - 6189, 09 - 4549 - 7280 โทร. 0 - 2292 - 1310, 06 - 3887 - 5233 โทร. 0 - 2363 - 3244, 06 - 2526 - 5230


รอบรู้สุขภาพ กับกรมอนามัย

เรื่อง : กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

นมแม่...อาหารที่ดีที่สุดของลูก

“นมแม่” อาหารที่มีคุณค่าที่สุดสำ�หรับลูก มีสารอาหารกว่า 200 ชนิด ที่มีประโยชน์ ต่อการเจริญเติบโต พัฒนาสมอง จอประสาทตา ทำ�ให้เด็กสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่าง รวดเร็ว การพัฒนาสุขภาพแม่และเด็ก เป็นรากฐานสำ�คัญที่สุดในการพัฒนาคนไทย ให้มีสุขภาพแข็งแรง ทั้งร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม ตามคำ�แนะนำ�ของ องค์การอนามัยโลก และองค์การทุนเพื่อเด็ก แห่งสหประชาชาติ ซึ่งเด็กควรได้กินนมแม่ อย่างเดียวติดต่อกัน ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 6 เดือน โดยไม่ต้องให้น้ำ� หรืออาหารอื่นๆ เนื่องจากนมแม่เป็นอาหารที่ย่อยง่าย และ

ถูกสร้างมาให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของ ทารก ซึ่งระบบการย่อยและการดูดซึมอาหาร ยังพัฒนาไม่เต็มที่มากนัก ซึ่งหลังจากทารกอายุ ครบ 6 เดือน เมื่อระบบย่อยและดูดซึมอาหาร พัฒนาได้ค่อนข้างสมบูรณ์แล้ว จึงให้เริ่มกิน อาหารที่เหมาะสมตามวัย เช่น กล้วยน้ำ�ว้า, ไข่แดง, ข้าว, ผัก, ผลไม้ และสารอาหารอื่นๆ ควบคู่กับการกินนมแม่ต่อเนื่องไปจนถึงอายุ อย่างน้อย 2 ขวบ

นมแม่ดีอย่างไร ?

ในระยะ 1 – 2 สัปดาห์แรก นมแม่จะมียอดน้ำ�นมที่เรียกว่า หัวน้ำ�นม หรือโคลอสตรุ้ม ซึ่งถือเป็นสุดยอดอาหาร ที่อุดมไปด้วยสารคาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามิน และเกลือแร่ ครบถ้วน และยังเป็น ช่วงที่น้ำ�นมแม่มีภูมิคุ้มกันสูงสุด เปรียบเสมือนได้รับวัคซีนหยดแรกของชีวิต เพื่อป้องกันเชื้อโรคต่างๆ เพราะเด็กแรกเกิด จะยังไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับ ตนเองได้ ทารกที่ได้ดื่มนมแม่จึงมี ภูมิต้านทานในการต่อต้านเชื้อโรค และ ช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคต่างๆ เช่น การติดเชื้อของระบบทางเดินอาหาร การติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ, ลดภาวะเสี่ยงต่อโรคภูมิแพ้, หอบหืด, หูอักเสบ เป็นต้น เข้าใจ...เมื่อต้องให้นมลูก

ช่วงเวลาที่แม่ให้นมลูก เป็นช่วงเวลาที่แม่ต้องเข้าใจและพร้อม ปฏิบัติตามหลักสำ�คัญ 3 ประการ คือ 10

Health Channel

August 2017


1. ดูดเร็ว หมายถึง แม่ต้องให้ลูก ดูดนมแม่ภายใน 1 ชั่วโมง หลังคลอด 2. ดูดบ่อย หมายถึง ดูดทุก 2 - 3 ชั่วโมง ที่ต้องให้ลูกดูดบ่อยเนื่องจาก กระเพาะของทารกแรกเกิดมีขนาดเล็ก ได้รับนมแม่ปริมาณไม่มากก็อิ่มท้อง อีกทั้งนมแม่นั้นย่อยง่าย ทำาให้ลูกกินบ่อย 3. ดูดถูกวิธี หมายถึง ท่าอุ้มและ การอมหัวนมให้ลึกถึงลานหัวนม และดูดให้ เกลี้ยงเต้า แม่วัยทำางานก็ให้นมลูกได้

ปัจจุบันมีเครื่องอำานวยความสะดวก สำาหรับแม่วัยทำางานในการบีบเก็บน้ำานม หรือสามารถใช้มือตนเองบีบก็ได้ โดยวิธีการ ง่ายๆ ดังนี้ • ล้างมือให้สะอาด ใช้มือข้างที่ ถนัดวางนิ้วหัวแม่มือไว้ด้านบนของเต้านม และนิ้วชี้ด้านตรงข้ามบริเวณขอบนอกของ ลานนม ห่างจากฐานหัวนมประมาณ 3 เซนติเมตร ไม่ควรวางนิ้วที่บริเวณหัวนม เนื่องจากจะไปกดท่อรูเปิดทำาให้น้ำานมไม่ไหล • กดนิ้วมือทั้งสองเข้าที่หน้าอก ให้เต้านมบุม เมื่อบีบนิ้วเข้าหากันจนน้ำานม พุ่งออกมา ให้นำาขวดแก้วหรือถ้วยรองรับ น้ำานม เมื่อน้ำานมไหลให้ผ่อนนิ้วได้ โดยการ กดบีบคลายเป็นจังหวะ 1 - 2 วินาทีต่อครั้ง น้ำานมจะไหลพุ่ง ให้บีบเป็นจังหวะจนกระทั่ง น้ำานมน้อยลง จึงค่อยๆ เลื่อนนิ้วทั้งสอง ไปรอบๆ ลานนมแต่ละเต้าใช้เวลา 15 นาที น้ำานมก็จะเริ่มไหลช้าลง • ย้ายไปที่เต้านมอีกข้างหนึ่ง โดยให้บีบสลับทั้งสองเต้าจนกระทั่งครบ 30 นาที ส่วนการเก็บน้ำานม แม่ควรบีบ น้ำานมทิ้งก่อน 3 ครั้ง แล้วจึงใช้ขวดรองเก็บ ซึ่งการเก็บน้ำานมลงในขวด ควรเก็บเท่ากับ ปริมาณที่ลูกต้องการในแต่ละมื้อ • เมื่อบีบน้ำานมเสร็จให้ปิดฝาขวด ให้มิดชิดทันที ถ้าตั้งไว้โดยไม่ใส่ในตู้เย็น น้ำานมจะอยู่ได้ 4 - 6 ชั่วโมง ถ้าเก็บในตู้เย็น ให้เก็บในส่วนที่เย็นที่สุดคือ ชั้นที่ติดกับ

ชั้นแช่แข็งด้านในสุดจะเก็บได้นาน 2 วัน หากเก็บในช่องแช่แข็งของตู้เย็นประตูเดียว จะเก็บได้นาน 2 สัปดาห์ ถ้าเก็บช่องแช่แข็ง ของตู้เย็น 2 ประตูจะเก็บได้นาน 3 เดือน • ห้ามเก็บนมไว้ตรงประตูตู้เย็น เพราะเป็นส่วนที่เปิด - ปิด ทำาให้ความเย็น ไม่คงที่ ในกรณีที่แม่ไม่มีน้ำานมหรือมีปัญหา เรื่องอาการเจ็บเต้านมหรือหัวนมเป็นแผล แม่และครอบครัวควรเข้ารับคำาปรึกษาจาก บุคลากรสาธารณสุข แพทย์ พยาบาล หรือ ในโรงพยาบาลบางแห่งที่มคี ลินิกนมแม่และมี สนมแม่ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องการ เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ที่จะคอยให้คำาแนะนำา เพื่อให้แม่สามารถจัดท่าอุ้มลูกดูดนม ได้ถูกต้อง 5 ผักตัวช่วยเพิ่มน้ำานมแม่

เพื่อสุขภาพที่ดี และมีน้ำานมให้ลูก อย่างเพียงพอ คุณแม่หลังคลอดควรกินอาหาร ให้ครบ 5 หมู่ ทุกมื้อในปริมาณที่เหมาะสม ต่อความต้องการของร่างกาย โดยเฉพาะ อาหารที่มีส่วนประกอบของผักชนิดต่างๆ ที่ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำานม ดังนี้ • หัวปลี มีธาตุเหล็กมาก ช่วยบำารุงน้ำานมได้ดี นำามาประกอบอาหาร เช่น แกงเลียง ยำาหัวปลี ทอดมันหัวปลี ต้มข่าไก่ใส่หัวปลี หัวปลีชุบแป้งทอด ต้มหัวปลีจิ้มน้ำาพริก • ขิง ช่วยขับเหงื่อ ขับลม ไล่ความเย็น แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยให้ เจริญอาหาร ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น นำามา

ประกอบอาหาร เช่น มันต้มขิง ปลาผัดขิง กระเพาะหมูผัดขิง • ใบกะเพรา มีแคลเซียมและ ฟอสฟอรัสสูง แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม บำารุงธาตุ เพิ่มน้ำานม นำาประกอบอาหาร เช่น ผัดกะเพราหมู ไก่ หรือ ปลา ต้มจืด ใบกะเพราหมูสับ • ฟกทอง อุดมไปด้วยวิตามินเอ ฟอสฟอรัส และเบต้าแคโรทีน นำามา ประกอบอาหาร เช่น แกงเลียง ฟักทองนึ่ง ฟักทองผัดไข่ แกงบวดฟักทอง • กุยช่าย ทั้งต้นและใบช่วยบำารุง น้ำานม นำามาประกอบอาหาร เช่น กินแนมกับ ผัดไทย กุยช่ายทอด ผัดกุยช่ายตับ การให้นมลูก นอกจากจะเป็นการ สร้างภูมิคุ้มกันทางร่างกายให้ลูกน้อยแล้ว ยังทำาให้เกิดสายสัมพันธ์ที่ดี เนื่องจากแม่ และลูกได้สัมผัสกัน ก่อให้เกิดความผูกพัน ลูกได้รับการกระตุ้นทางประสาทสัมผัส ทั้ง 5 ผ่านการมองเห็นแม่ ได้ยินเสียง หัวใจแม่ ได้กลิ่นนมแม่ รับรสนมแม่ มือสัมผัสและได้รับการโอบกอดจากแม่ ทำาให้ช่วยกระตุ้นพัฒนาการทางด้านสมอง และสติปัญญา

ที่สำาคัญ การโอบกอด การสบตา และการพูดคุยของแม่ขณะให้นมลูก จะทำาให้ แม่และลูกรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขด้วย

Health Channel

August 2017

11


เรื่อง : นพ.ฉัตรชัย ศรีบัณฑิต อาจารย์แพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านการแพทย์บูรณาการ ศูนย์การแพทย์บูรณาการ แอ็บโซลูท เฮลธ์

Wellness Talk by Absoluth Health

วัยทอง สมองเพชร วัยทอง ฟังดูแล้วน่าจะเป็นคำาจำากัดความในทางที่ดี แต่เอาเข้าจริงๆ เมื่อใคร ถูกตราหน้า ว่าเป็นวัยทอง กลับไม่ค่อยชอบใจเท่าไรนัก เพราะหมายถึงการเข้าสู่วัยสูงอายุ

ความจริงแล้ว อาการขาดฮอร์โมน จะเกิดก่อนหน้าที่ประจำาเดือนจะหยุดไปจริง ประมาณ 4 - 5 ปี โดยมักเริ่มจากประจำาเดือน มาไม่สม่ำาเสมอ จนหายไปในที่สุด ซึ่งฮอร์โมนเพศ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับภาวะวัยทองในสตรี มี 3 ชนิดคือ เอสโตรเจน, โปรเจสเตอโรน และเทสโทสเตอโรน โดยฮอร์โมนตัวแรก ในเพศหญิงที่ลดลงก็คือ เทสโทสเตอโรน ตามมาด้วยการขาดโปรเจสเตอโรน และขาด เอสโตรเจนในที่สุด อาการในผู้หญิงวัยทอง ส่วนใหญ่ เป็นผลจากการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน เช่น ร้อนวูบวาบตามร่างกาย เหงื่อออกมาก ตามมือและเท้าโดยเฉพาะในเวลากลางคืน อ่อนเพลียง่าย ใจสั่น นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร ผิวหนังแห้งและบางลง ความจำาลดลง ในบางคน อาจเกิดภาวะสมองเสื่อม เช่น อัลไซเมอร์ได้ ซึ่งโรคนี้จะเกิดกับเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ทางด้านจิตใจ จะมีอาการโมโหง่าย หงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวน มีอาการซึมเศร้า บางคน ถึงขั้นคิดเบื่อโลก ส่วนอาการที่เกิดจากการ ขาดโปรเจสเตอโรน เช่น เครียด วิตกกังวล ซึมเศร้า กระวนกระวาย นอนไม่หลับ อารมณ์แปรปรวน กระดูกบาง ปวดตามข้อ ประจำาเดือนมามาก น้ำาหนักเกิน มีซีสที่หน้าอก เต้านมปวดตึง มีแกสมากในท้อง อาหารไม่ย่อย นอนกรน ปวดศีรษะไมเกรน เป็นต้น ในขณะที่ผู้ชายเมื่ออายุย่างเข้า 40 ปี จะมีการสร้างฮอร์โมนเพศชายลดลงปีละ ประมาณ 1% และจะเข้าสู่วัยทองเมื่ออายุ 50 ปีขึ้นไป มีข้อมูลที่เผยแพร่โดยนิตยสารไทม์ ฉบับเดือนเมษายน พ.ศ. 2543 ว่าผู้ชาย อาจเริ่มขาดฮอร์โมนตั้งแต่อายุ 35 ปีขึ้นไป เนื่องจากพฤติกรรมในการใช้ชีวิต เช่น พวกที่ ชอบดื่มสุรา สูบบุหรี่ กินอาหารขยะ เที่ยวกลางคืน เครียดเป็นประจำา เป็นต้น ถ้าหากเรามีอาการที่ต้องสงสัยว่า อาจจะเกิดภาวะขาดฮอร์โมน ก็ควรจะต้อง ไปตรวจหาสาเหตุ ซึ่งในทางแพทย์อายุรวัฒน์ 12

Health Channel

August 2017

(Anti-Aging Medicine) จะเน้นการตรวจหา ระดับฮอร์โมนที่เนื้อเยื่อ เช่น ที่น้ำาลาย หรือ ที่ขับออกมาทางปัสสาวะตลอด 24 ชั่วโมง มากกว่าการเชื่อผลจากการตรวจเลือด เนื่องจากระดับฮอร์โมนแต่ละชนิด สามารถ แกว่งขึ้นลงได้สูงมากระหว่างวัน และเมื่อ ฮอร์โมนผลิตออกมา ในกระแสเลือด เพียงช่วงสั้นๆ แล้วไปอยู่ตามเนื้อเยื่อ ที่ฮอร์โมนนั้นไปออกฤทธิ์ ทำาให้การวิเคราะห์ ผลจากเลือด สามารถดูได้เฉพาะในผู้ที่มีภาวะ ขาดฮอร์โมนอย่างรุนแรงเท่านั้น การรักษาภาวะขาดฮอร์โมน

อาศัยการใช้ยาฮอร์โมน 2 ประเภท คือ ฮอร์โมนสังเคราะห์ กับฮอร์โมนที่เลียนแบบ ธรรมชาติ ส่วนใหญ่แล้วตามคลินิกวัยทอง ของโรงพยาบาลต่างๆ จะใช้เฉพาะฮอร์โมน สังเคราะห์เท่านั้น ซึ่งมีราคาถูกกว่า สะดวก ในการสั่งใช้ เพราะมีขนาดเดียวสำาหรับผู้ป่วย ทุกคน แต่ในทางแพทย์อายุรวัฒน์ Anti-Aging Physician จะสั่งฮอร์โมนเลียนแบบธรรมชาติ ซึ่งมีองค์ประกอบเหมาะสมกับแต่ละคน โดยอาศัยข้อมูลจากผลการวิเคราะห์ทางห้อง ปฏิบัติการ ซึ่งข้อดีคือ ลดผลข้างเคียงจาก การใช้ฮอร์โมนสังเคราะห์ และลดอาการได้ดีกว่า หรือเทียบเท่ากับฮอร์โมนสังเคราะห์ แต่มี ราคาสูงกว่าฮอร์โมนสังเคราะห์อยู่พอสมควร Organopeptide ทางเลือกในการย้อนวัย

Organopeptide เป็นสาร ชีวโมเลกุล ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นที่ประเทศ เยอรมัน สวิสเซอร์แลนด์ รัสเซีย อิตาลี มีคุณสมบัติในการกระตุ้นให้เซลล์จำาเพาะ เกิดการซ่อมแซม แบ่งตัวใหม่ทดแทน

เซลล์เดิมซึ่งหมดอายุแล้ว มีทั้งที่เป็นยาฉีด และยารับประทาน จัดอยู่ในศาสตร์ การแพทย์ทางเลือก โดยคุณสมบัติสำาคัญ ของสารจำาพวกนี้คือ ความพยายามในการ ย้อนวัยกลับไป จึงมีหลากหลายชนิด เช่น Brain Peptide สำาหรับฟื้นฟูซ่อมแซม เซลล์สมอง, Ovary Peptide สำาหรับ ฟื้นฟูเซลล์รังไข่ ให้สามารถกลับมาผลิต ฮอร์โมนได้ใหม่, Testis peptide สำาหรับ ฟื้นฟูเซลล์อัณฑะ ซึ่งเป็นที่ผลิตฮอร์โมน เพศชาย เป็นต้น

ในความเห็นผม คนเราคง จะหนีขีดจำากัดของอายุขัยไปไม่ได้ แต่ความพยายามของศาสตร์อายุรวัฒน์ คือ ทำาอย่างไรจึงจะทำาให้ชีวิตที่มีอยู่ อยู่อย่างมีคุณภาพ และเมื่อถึงเวลาตาย ก็ตายอย่างไม่ทุกข์ทรมาน พูดง่าย ๆ คือ อยู่สบาย ตายสะดวก นั่นคือเป้าหมาย ที่แท้จริง และเมื่อถึงคราววัยทอง ก็ขอให้เป็น วัยทอง สมองเพชร คือแม้ อายุมากแล้ว แต่ยังคงมีความสมบูรณ์ แข็งแรงครบถ้วน สติปญญา ความคิด ความอ่าน และความจำาเป็นเยี่ยมนั่นเอง

รับปรึกษาปญหาสุขภาพ ฟรี

ศูนย์การแพทย์บูรณาการ แอ็บโซลูท เฮลธ์ สอบถามข้อมูล โทร.

0-2651-5988, 08-9204-5333 ตัดคูปองเพื่อรับคำาปรึกษาฟรี


Health 20172017 HealthChannel ChannelApril August

11 13


พบแพทย์ผิวหนัง

เรื่อง : ผศ.นพ.รัฐพล ตวงทอง หัวหน้าสาขาโรคเส้นผมและการผาตัดปลูกถายเส้นผม คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

ว่าด้วยเรื่อง

“การดูแลสุขภาพเส้นผม”

หลายคนอาจเคยรู้มาบ้างแล้วว่าเส้นผมนั้นคือเซลล์ชนิดหนึ่งในร่างกาย (เซลล์รากผม) ที่ตายแล้ว แต่เซลล์ที่ตายแล้วชนิดนี้กลับต้องการการดูแลเอาใจใส่เพื่อให้อยู่ติดทนหนังหัวเรา ไปได้อีกนาน มาหาคำาตอบกันว่าวิธีในการดูแลรักษาเส้นผมของเรานั้นมีข้อควรปฏิบัติ อย่างไรบ้าง

โดยปกติคนเราจะมีเส้นผม บนศีรษะประมาณ 90,000 -140,000 เส้น หรือในหนึ่งตารางเซนติเมตรจะมีเส้นผม อยู่ประมาณ120 - 200 เส้น และร่วงไม่เกิน วันละ 100 เส้น ซึ่ง “ผม” ของแต่ละคน จะมีขนาดใหญ่หรือเล็ก ตรงหรือหยิก สีทอง หรือสีดำา ได้นั้น ก็ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติและ กรรมพันธุ์ร่วมด้วย อย่างคนเอเชีย

14

Health Channel

August 2017

อย่างพวกเราจะโชคดีหน่อยที่ผมของเราอาจจะ แข็งแรงกว่าคนผิวขาวหรือคนผิวดำา แต่อย่าเพิ่ง ประมาทไป หากมีการดูแลสุขภาพกายและ สุขภาพผมไม่ถูกต้อง เราก็มีเสี่ยงเป็นโรค ทางเส้นผมและหนังศีรษะได้เหมือนกัน การดูแลเส้นผมโดยทั่วไป อาศัย หลักการรักษาสุขภาพแบบง่ายๆ คือ การ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำาลังกาย

ผศ.นพ.รัฐพล ตวงทอง

สม่ำาเสมอ และไม่เครียด นอกจากนั้น ยังต้องเลี่ยงปัจจัยที่ทำาให้ผมเสีย เช่น การทำาเคมี ทั้งยืด, ดัด และการย้อมผม บ่อยเกินไป ก็ทำาให้ผมร่วงก่อนวัยอันควร ได้เช่นกัน หมั่นสังเกตสัญญาณเริ่มต้น ของอาการผมบางศีรษะล้าน โดยเริ่มจาก มีผมร่วงเกินวันละ 100 เส้น และอาจมี อาการอื่นร่วมด้วย เช่น อาการอักเสบของ หนังศีรษะ หนังศีรษะมัน มีแผล ฝี รังแค เป็นต้น ซึ่งหากเกิดความผิดปกติ ก็ควร ปรึกษาแพทย์ เพื่อเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสม จริงๆ แล้วเส้นผมของคนเรา เป็นโปรตีน เปลือกของผิวผม จะมีลักษณะ คล้ายๆ กับกระเบื้องหลังคาบ้าน ซึ่งหาก มีการดัดหรือย้อมผมมากเกินไป ก็จะทำาให้ เปลือกของผิวผมนั้นเกิดการกระเดิดหรือ ยกขึ้นมาได้ จึงทำาให้เกิดการหงิกงอ ซึ่งบางครั้งหลายๆ คนอาจจะสงสัยว่า


“ผม” ของคนเราร่วงได้อย่างไร จริงๆ แล้ว

เส้นผมเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายที่มีการผลิต ขึ้นมามากทีเดียว แต่เมื่อผลิตแล้วก็มีการ หลุดร่วงออกไป โดยการหลุดร่วงของผมขึ้น กับวงจรการเติบโตของเส้นผม ซึ่งสามารถ แบ่งได้เป็น 3 ระยะ ดังนี้ 1. ระยะการเจริญเติบโต (Anagen Phase) คือระยะที่ต่อมรากผม จะอยู่ลึกที่สุดในชั้นหนังแท้ โดยมี หลอดเลือดมาหล่อเลี้ยงอยู่มากมาย และจะใช้เวลาประมาณ 1,000 วัน หรือ 3 ปี ในการเจริญเติบโตเป็นเส้นผม โดยเส้นผมทั้งศีรษะประมาณ 85 - 90 เปอร์เซ็นต์ จะอยู่ในระยะการเจริญเติบโตนี้ 2. ระยะหยุดการเจริญเติบโต (Catagen Phase) คือ ระยะหยุดการเจริญ เติบโต ต่อมรากผมจะหยุดการแบ่งเซลล์ แต่ต่อมรากผมจะมีการค่อยๆ เลื่อนสูงขึ้น ไปเรื่อยๆ ซึ่งโดยทั่วไประยะนี้จะใช้เวลา ประมาณ 3 สัปดาห์ 3. ระยะพัก (Telogen Phase) ซึ่งเป็นระยะสุดท้ายของเส้นผมเมื่อต่อม รากผมเลื่อนสูงขึ้นจนถึงบริเวณของเซลล์ ต้นกำาเนิด (Stem cell) ผมของคนเราก็จะ เข้าสู่ระยะพัก ซึ่งจะเป็นเพียงช่วงสั้น ๆ ประมาณ 100 วัน ทั้งนี้ 10 เปอร์เซ็นต์ของ เส้นผมทั้งศีรษะจะอยู่ในระยะพักนี้ ก่อนที่ เซลล์ต้นกำาเนิดจะส่งสัญญาณให้ต่อมผม เลื่อนลงมาอีกครั้ง เพื่อให้มีการสร้างผมใหม่ โดยเส้นผมใหม่ที่สร้างขึ้นใหม่ จะดันผมเก่า ให้หลุดร่วงไป สำาหรับปัญหาเรื่องผมหงอกก่อน วัยนั้น สาเหตุเกิดจากพันธุกรรมและ กรรมพันธุ์ที่เป็นตัวกำาหนด แต่ก็มีปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น เรื่องของความเครียด,

พวกสารเคมี, การสูบบุหรี่ และเรื่องของการใช้ยา ต่างๆ ซึ่งทำาให้มีภาวะผมร่วงมากขึ้นบางครั้ง ต่อวัน อาจมากถึง 200 เส้นต่อวัน คนเรา เวลาอายุมากขึ้น นอกจากเส้นผมที่อาจจะ หงอกเพิ่มขึ้นแล้ว ผมก็จะมีลักษณะเหี่ยว เหมือนกัน เพราะเปลือกผมจะเป็นริ้วรอย จากการเสียดสีของหวี ดังนั้นยิ่งหวีผม มากเท่าไหร่ ผมยิ่ง “เหี่ยว” มากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ความร้อนและสารเคมีที่เราใช้กับ เส้นผม เช่น การรีดผมหรือดัดผม ถือเป็น ตัวการสำาคัญทำาให้เปลือกผมเป็นริ้วรอยมากขึ้น ทำาให้ระยะการเจริญเติบโตของผมสั้นลง

จำานวนเส้นผมจะน้อยลงประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ เป็นอย่างต่ำา และในทุกช่วงอายุ 10 ปี ขนาดของเส้นผมของคนเราจะเล็กลง

ดังนั้นจริงๆ แล้ว การดูแลถนอม เส้นผมเป็นสิ่งสำาคัญ ควรมีการบำารุงด้วย ครีมนวดผม หากทำาการรีดผมหรือดัดผม ก็ไม่ควรทำาบ่อยจนเกินไป การย้อมผม ก็คล้ายๆ กัน ไม่ควรทำาบ่อยจนเกินไป และ ควรเลือกสีย้อมผมตามธรรมชาติ แต่ก็จะ มีข้อเสียคือ ติดไม่ทนเท่ายาย้อมผม ประเภทสารเคมี สำาหรับคนที่มีปัญหาผมร่วง เยอะขึ้นเรื่อยๆ ก็ควรไปพบและปรึกษาแพทย์ ถึงปัญหาดังกล่าว โดยแนวทางการรักษานั้น แพทย์จะให้คำาปรึกษาและรักษาด้วยการทายา และรับประทานยาใน 1 ปี แรก หากยังไม่ได้ผล ก็จะรักษาด้วยการปลูกถ่ายเส้นผม ซึ่งมีหลากหลายวิธีให้เลือกในปัจจุบัน

Health Channel

August 2017

15


Cover Story

เรื่อง : กองบรรณาธิการ

“หมอนรองกระดูก ทับเส้น” กว่าจะรู้ตัวว่าเป็น...ก็อาจสาย

“หมอนรองกระดูกทับเส้น” โรคที่ มีชื่อคุ้นหูแต่หลายคนกลับไม่รู้ว่าตัวเอง อาจมีความเสี่ยง หรือกำาลังเผชิญกับอาการ ดังกล่าวอยู่ แต่บอกได้เลยว่าเมื่อคุณอ่าน Cover Story ฉบับนี้จบ ความรู้ที่แพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกและข้อ “นพ.กฤษดากร ขจรกิตติศักดิ์” จะทำาให้ใครหลายคนหันมา ใส่ใจสุขภาพและหมั่นสังเกตความผิดปกติ ของร่างกายตัวเองมากขึ้นเลยทีเดียว

นพ.กฤษดากร ขจรกิตติศักดิ์

16

Health Channel

August 2017

แต่ก่อนจะเข้าเรื่อง เรามา ทำาความรู้จักกับ “นพ.กฤษดากร ขจรกิตติศักดิ์” แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน กระดูกและข้อ กันสักเล็กน้อยก่อน โดย นพ.กฤษดากร เล่าถึงแรงบันดาลใจ ที่ทำาให้เลือกเรียนแพทย์ออร์โธปิดิกส์ (หมอศัลยกรรมกระดูกและข้อ) ให้ฟังว่า “แรงบันดาลใจที่ทำาให้ผมเลือก มาเป็นแพทย์ด้านกระดูกและข้อก็คือ คุณพ่อครับ เพราะคุณพ่อผมเป็นช่างซ่อม เครื่องยนต์ ที่บ้านเลยมีแต่เครื่องมือและ อุปกรณ์ช่าง ผมก็เลยคุ้นเคยกับอุปกรณ์ เครื่องไม้เครื่องมือของช่างตั้งแต่เด็ก

ซึ่งการผ่าตัดกระดูกก็คล้ายๆ กันครับ เหมือนเรากำาลังซ่อมแซมกลไกเครื่องยนต์ บางอย่างในร่างกาย เพื่อช่วยให้ผู้ป่วย สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ผมจึงชอบและเลือกเรียนทางด้านนี้” แพทย์ออร์โธปิดิกส์ หรือที่เรียกกัน โดยทั่วไปว่าหมอศัลยกรรมกระดูกและข้อ มีหน้าที่ดูแลรักษาโรคหลักๆ แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ 1. โรคที่เกี่ยวกับอุบัติเหตุทาง การจราจร ซึ่งจะมีการชน หรือการ กระแทกเกิดขึ้น โดยเมื่อเกิดการชนหรือ กระแทกก็อาจทำาให้เกิดกระดูกแตกหัก


ขึ้นมาได้ ซึ่งกระดูกก็คือโครงสร้างของ ร่างกายถ้าเกิดการแตกหักเสียหายขึ้นมา ก็ยอ่ มกระทบต่อการประกอบกิจวัตรประจำาวัน ส่วนนี้ก็เป็นหน้าที่ของหมอศัลยกรรม กระดูกและข้อในการที่จะต้องช่วยจัดเรียง กระดูกที่หักให้กลับมาติดกันเป็นปกติ และกลับมาใช้งานได้เหมือนเดิม 2. โรคกระดูกและข้อที่มาจากอายุ หรือการใช้งานซ้ำาๆ เพราะร่างกายของ คนเรานั้นก็เหมือนกับเครื่องจักร เวลาเรา ใช้งานไปนานๆ เครื่องจักรก็มีการสึกหรอ หรือมีส่วนที่เสียไปบ้าง ซึ่งลักษณะการ ทำางานไม่ว่าจะเป็นพนักงานออฟฟิศที่ นั่งนานๆ หรืออยู่ท่าเดิมนานๆ ก็อาจทำาให้ กระดูกและข้อเกิดการเสื่อมได้ เช่น โรคออฟฟิศซินโดรม, ปวดหลังเรื้อรัง, ปวดไหล่ หรือคนที่ต้องทำางานในลักษณะใช้ แรงงาน การยกของหนักเป็นประจำา ต้องก้มหลังเป็นเวลานานๆ พฤติกรรม เหล่านี้ล้วนทำาให้เกิดปัญหากับกระดูกข้อเข่า และกระดูกสันหลังตามมาได้ เรื่องจริงของ “หมอนรองกระดูกทับเส้น”

เชื่อว่าหลายคนเข้าใจว่า หมอนรองกระดูกทับเส้น และกระดูกทับเส้น คือเรื่องเดียวกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันคือคนละโรคกัน เรื่องนี้ นพ.กฤษดากร อธิบายว่า โรคกระดูกทับเส้นประสาท หรือ ชื่อเต็มก็คือ โรคกระดูกสันหลังเสื่อม โพรงไขสันหลังตีบแคบ ซึ่งเกิดจาก

ความเสื่อมของข้อต่อกระดูกสันหลังจนเกิด เป็นกระดูกงอกขึ้นมา ซึ่งถือเป็น ธรรมชาติของข้อกระดูกมนุษย์ ที่เมื่อเรา แก่ตัวขึ้นข้อต่อต่างๆในร่างกายก็จะหลวม แต่ร่างกายคนเรามีความพิเศษอย่างหนึ่ง

ก็คือ มันจะพยายามปรับตัวให้ข้อ ในบริเวณนั้นมีความมั่นคงมากขึ้น ซึ่งจะ ทำาให้เกิดกระดูกงอกขึ้นมา ทำาให้ดูเหมือนว่า ข้อสองข้อที่หลวมจะสามารถกลับมายึดกัน ได้ดีมากขึ้น แต่จริงๆ แล้วกลับทำาให้ เกิดปัญหาขึ้นมาแทนโดยเฉพาะในบริเวณ กระดูกสันหลัง ซึ่งทำาให้เกิดการกดทับ หรือไปเบียดบริเวณโพรงประสาท เป็นต้น เหตุให้โพรงไขสันหลังตีบแคบ โดยผู้ป่วย โรคกระดูกทับเส้นนั้นจะมาพบแพทย์ด้วย อาการปวดหลังร้าวลงขาทั้งสองข้าง และ อาการจะแย่ลงเมื่อคนไข้ต้องยืนหรือ เดินนานๆ มีอาการชาที่ขาทั้งสองข้าง จนทำาให้ต้องหยุดเดิน โดยมักจะพบใน คนสูงอายุมากกว่าและมักพบมากในผู้ป่วย สูงอายุ แต่ โรคหมอนรองกระดูกทับเส้น หรือชื่อเต็มคือ หมอนรองกระดูกสันหลังแตก เคลื่อนกดทับเส้นประสาท คืออาการที่ส่วน

ของหมอนรองกระดูกสันหลังแต่ละปล้อง ที่มีลักษณะคล้ายเยลลี่เคลื่อนออกมา แล้ว มากดเบียดเส้นประสาท ทำาให้มีอาการ ปวดหลังร้าวลงขาข้างใดข้างหนึ่งตามที่ เส้นประสาทนั้นมาเลี้ยง และจะปวดมาก เวลาต้องเบ่ง ไอ จาม ก้มหลัง หรือต้อง นั่งนานๆ มักพบในผู้ป่วยอายุน้อยหรือ ในวัยทำางานมากกว่าครับ จะเห็นว่าอาการ ที่เกิดขึ้นระหว่างหมอนรองกระดูกทับเส้น กับกระดูกทับเส้นนั้น คนไข้ก็อาจมาด้วย อาการที่คล้ายๆ กันก็เป็นได้

ไม่ดีขึ้น แนะนำาให้พบแพทย์เพื่อตรวจ เพิ่มเติม อาการปวดที่ว่านั้นเป็นได้ ทุกรูปแบบ บางรายมาด้วยอาการปวดแปลบๆ แสบร้อน บางรายก็มาด้วยปวดหนักตื้อๆ บางรายอาจมีอาการชาร่วมด้วย ถ้าเป็น มากขึ้น อาจจะมีอาการอ่อนแรงของ กล้ามเนื้อขา ข้อเท้า หรือในรายที่ รุนแรงมาก ทำาให้กลั้นปัสสาวะ - อุจจาระ ไม่ได้ อันนี้ต้องสงสัยแล้วว่า หมอนรองกระดูกและเส้นประสาทนั้น มีปัญหา “ต้องบอกว่ากระดูกสันหลัง ของเรานั้นมีหลายตำาแหน่ง ไม่ว่าจะเป็น กระดูกสันหลังช่วงคอ ช่วงเอว แต่ส่วนที่ พบว่าเกิดหมอนรองกระดูกทับเส้นได้บ่อย ก็คือกระดูกสันหลังช่วงเอว สาเหตุแรกคือ เรื่องของ อายุ เมื่อเราอายุมากขึ้น หมอนรองกระดูกที่มีลักษณะเหมือนเยลลี่ ที่คั่นระหว่างกระดูกสันหลังแต่ละข้อ ซึ่งหน้าที่ในการดูดซับแรงกระแทกของกระดูก เวลาที่เราเดิน หรือยกของหนัก เยลลี่เหล่านั้น ก็จะเกิดความเสื่อมไปตามอายุที่มากขึ้น จึงทำาให้ประสิทธิภาพในการทำางานลดลง โอกาสที่จะเกิดการแตกหรือปลิ้นออก ก็มากขึ้นด้วย สาเหตุอย่างที่สองคือเรื่องของ การใช้งาน ถ้าเราทำาให้เกิดแรงกระแทก ขึ้นเป็นประจำา เช่น ต้องยกของหนักบ่อยๆ ต้องก้มหลังบ่อยๆ หรือต้องนั่งนานๆ เพราะลักษณะการทำางานแบบนี้จะทำาให้มี แรงกดที่หมอนรองมากขึ้น มีความเสี่ยง ที่จะทำาให้หมอนรองกระดูกเกิดการเคลื่อน ไปเบียดเส้นประสาทได้ ทั้งหมดที่กล่าวไปนั้น ล้วนเป็นภาวะที่เร่งทำาให้เกิดอาการ หมอนรองกระดูกทับเส้นได้มากยิ่งขึ้น “หมอนรองกระดูกทับเส้น” วินิจฉัยทำาได้ อย่างไรบ้าง

การวินิจฉัยโรคหมอนรองกระดูก ทับเส้น ต้องอาศัยการซักประวัติและ

สัญญาณเตือนโรคหมอนรองกระดูกทับเส้น นพ.กฤษดากร ให้คำาแนะนำาว่า

ถ้ามีอาการปวดหลัง หรือปวดร้าวลงขา แล้ว ได้หยุดพักงานที่ทำาแล้ว 1 - 2 วันอาการยัง Health Channel

August 2017

17


ตรวจร่างกายโดยแพทย์เป็นหลัก ซึ่งจะมี การทดสอบเพื่อยืนยันว่าคนไข้รายนั้น มีปัญหาเกี่ยวกับหมอนรองกระดูกจริงหรือไม่ แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจต้องใช้การตรวจ เอกซเรย์ร่วมด้วย เพื่อช่วยตัดสาเหตุโรค ของกระดูกสันหลังอย่างอื่นออกไป เช่น โรคติดเชื้อที่กระดูกสันหลัง ข้อกระดูก สันหลังเคลื่อน หรือกระดูกสันหลังเสื่อม ซึ่งในคนที่แพทย์ได้ตรวจวินิจฉัยตาม ขั้นตอนข้างต้นแล้วสงสัยอาการของ หมอนรองกระดูกเคลื่อน จนได้รับการรักษา แต่อาการนั้นไม่ดีขึ้น หรือมีอาการรุนแรง อื่นๆ เช่น ขาอ่อนแรง ชาไม่รู้สึก ไม่สามารถกลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระได้ ผู้ป่วยในกลุ่มนี้ก็จำาเป็นต้องส่งไปทำา MRI เพื่อดูว่าดูลักษณะและตำาแหน่งของ หมอนรองกระดูกที่มีปัญหา เพื่อวางแผน ในการรักษาต่อไป จะเห็นว่าการทำา MRI นั้น ไม่ได้ทำาในคนที่ปวดหลังทุกราย ถึงแม้ว่า MRI จะสามารถทำาให้เห็นหมอนรองกระดูก ได้ชัดเจนก็จริง แต่มีการวิจัยพบว่า หากนำาคนที่มีไม่มีอาการปวดหลังเลย 100 คนมาทำา MRI เราพบว่ามีจำานวนถึง ครึ่งหนึ่ง ที่พบว่าหมอนรองกระดูกสันหลัง มีความผิดปกติ เช่น มีการเสื่อม หรือการ เคลื่อนไปจากตำาแหน่งปกติได้ เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ใช้ MRI เพียงอย่างเดียวในการ วินิจฉัยโรคหมอนรองกระดูกทับเส้น เพราะ อาจทำาให้การแปลผลเกิดความผิดพลาดได้ แต่ MRI จะใช้ร่วมกันกับการตรวจ ของแพทย์ เพื่อบอกตำาแหน่งและขนาดของ หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทได้อย่าง แม่นยำา โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ต้องได้รับ การผ่าตัด การรักษา และข้อควรระวังสำาหรับ โรคหมอนรองกระดูกทับเส้น ในเรื่องการรักษา นพ.กฤษดากร

อธิบายขั้นตอนการรักษาโรค หมอนรองกระดูกทับเส้นให้ฟังว่า “การ รักษาอันดับแรกเลยคือ การใช้ยา

เพื่อลดอาการปวดและอักเสบ เพราะการที่ หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนไปกดทับ เส้นประสาทนั้นจะทำาให้มีอาการอักเสบ รอบๆ เส้นประสาทด้วย โดยการใช้ยา อาจจะเป็นการรับประทานยา หรือใช้วิธี ฉีดยาที่หลัง เข้าไปบริเวณรอบๆ รากประสาท ที่มีการอักเสบ อันดับสองคือการทำา กายภาพบำาบัด เพื่อลดอาการปวด รวมทั้ง ฝึกความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของ กล้ามเนื้อหลังและท้อง โดยจะทำาร่วมกับ การใช้ยา เพื่อให้เห็นผลได้เร็วขึ้น ซึ่งผู้ป่วย ส่วนใหญ่จะมีอาการดีขึ้นจากการรักษา โดยไม่ต้องผ่าตัดครับ และสุดท้ายหาก หลีกเลี่ยงไม่ได้แพทย์อาจจำาเป็นจะต้อง ทำาการผ่าตัดเพื่อเอาหมอนรองกระดูกที่ มีปัญหาออก โดยจะมีข้อบ่งชี้ที่จะต้อง ทำาการผ่าตัดอย่างเร่งด่วนในรายที่มีอาการ อ่อนแรงของกล้ามเนื้อขา หรือกลั้นปัสสาวะ – อุจจาระไม่ได้ ครับ ในผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้แล้วก็ควรระวัง การใช้งานหลังในลักษณะที่เพิ่มแรงกดของ หมอนรองกระดูก เช่น การก้มหลัง ยกของหนัก และการนั่งอยู่ในท่าทางเดิมนานๆ ส่วน

การกลับมาเป็นซ้ำาได้หรือไม่นั้น บางงานวิจัย เราพบว่าคนที่เป็นโรคนี้มีอัตราการเป็นซ้ำาได้ อยู่สูงถึงร้อยละ 18 ครับ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะ หลังจากรักษา พฤติกรรมการใช้งานหลัง ของคนไข้ยังคงเหมือนเดิม” “ดังนั้นหากท่านมีความเสี่ยงว่า จะเป็นหมอนรองกระดูกทับเส้นอยู่ เช่น ทำางานในลักษณะที่ต้องมีการก้มหลัง ยกของหนัก หรือ นั่งเป็นระยะเวลานานๆ แล้วมีอาการปวดหลัง ร่วมกับปวดร้าว ลงขาข้างใดข้างหนึ่ง นอนพักและกินยาแล้ว อาการก็ยังไม่ดีขึ้น ให้สงสัยไว้ว่าท่านอาจจะ กำาลังเป็นโรคหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับ เส้นประสาทอยู่ก็เป็นได้ แนะนำาให้พบแพทย์ เพื่อตรวจเพิ่มเติม และรับรักษาอย่าง ถูกต้องครับ” นพ.กฤษดากร ให้คำาแนะนำา ทิ้งท้าย

คงไม่มีปญหาสุขภาพใดๆ จะมา ทำาร้ายเราได้ หากเราหมั่นตรวจเช็คสุขภาพ และสังเกตอาการความผิดปกติของ ร่างกายตัวเองอยู่เสมอ...เมื่อใดก็ตาม ที่เรารับรู้ถึงความผิดปกติ พบแพทย์ให้เร็ว รักษาได้ทัน เท่านี้ก็เหมือนเป็นเกราะคุ้มกัน ให้กับสุขภาพและชีวิตตัวเองแล้ว

18

Health Channel

August 2017


สุขภาพจิตดี

เรื่อง : ดร. อภันตรี สาขากร นักจิตวิทยาคลินิก โรงพยาบาลมนารมย์

ปรับใจเข้าหากัน เพื่อลดความรุนแรง ในครอบครัว

กกกก

“กกกกก”

ครอบครัวที่อบอุ่นเป็นรากฐานของสุขภาพจิตที่ดี และความสำ�เร็จในอนาคต ไม่ว่าบุคคลวัยใดจะเด็กหรือผู้ใหญ่ต่างมีความปรารถนาที่จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี มีความสบายใจและรู้สึกปลอดภัย

แต่ด้วยสภาพเศรษฐกิจสังคมที่ทำ�ให้ ทุกคนต้องทำ�งานหนักขึ้น มีเวลาพักผ่อนน้อยลง มีความเครียดสะสม รวมทั้งปัญหาด้าน สุขภาพจิตต่างๆ เช่น อาการซึมเศร้า โรคติดสุรา ปัญหาเรื่องยาเสพติดและการพนัน หรือปัจจัย ด้านค่านิยมอื่นๆ เช่น สามีเป็นเจ้าของภรรยา รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี เป็นต้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี ้ อาจนำ�มาสู่ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว อาจแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1. ความรุนแรงระหว่างคู่สมรส คู่สมรสเดิม ผู้ที่อยู่กินหรือเคยอยู่กินฉัน สามีภรรยา (Intimate partner abuse) 2. ความรุนแรงต่อเด็ก (Child abuse) 3. ความรุนแรงต่อผู้สูงอายุ (Elder abuse)

ความรุนแรง คือ การกระทำ�ให้เกิด อันตรายต่อร่างกายและการทำ�ให้เกิด ความทุกข์ทางจิตใจ หรือการกระทำ�ทางเพศ หรือการทอดทิ้งปล่อยปละละเลย ซึ่งแนวทาง การป้องกันและแก้ไขเพื่อลดความรุนแรง ในครอบครัวสามารถทำ�ได้โดย • สร้างบรรยากาศภายในบ้าน ให้รู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย ปลูกฝังความเมตตา กรุณาต่อกัน แก้ปัญหาต่างๆ ในครอบครัว ร่วมกันด้วยความสุขุม รอบคอบ มีเหตุผล สงบสันติ ไม่ก้าวร้าวหรือใช้คำ�ผรุสวาทด่าทอ ต่อว่ากัน และไม่ทำ�ร้ายร่างกายกัน • หาโอกาสพูดคุยกันในครอบครัว ปรึกษาเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ให้กำ�ลังใจ ซึ่งกันและกัน แต่ถ้าไม่สามารถควบคุมหรือ แก้ปัญหาพฤติกรรมนี้ได้ ควรไปพบจิตแพทย์ หรือนักจิตวิทยาเพื่อรับฟังคำ�แนะนำ�และ นำ�มาปรับปรุงแก้ไข เช่น เรียนรู้การสื่อสาร โดยตรงกับคนในครอบครัวด้วยความรัก ความเข้าใจและด้วยเหตุผล เรียนรู้เรื่องการ จัดการอารมณ์ รวมถึงการฝึกทักษะการ รับฟังอย่างเข้าใจ คือ เปิดใจรับฟัง ไม่มีอคติ แอบแฝง เมื่อมีปัญหาขัดแย้ง ก็ร่วมกันแก้ไข อย่างใจสงบ สืบหาสาเหตุเพื่อแก้ไขข้อขัดแย้ง ได้ตรงจุด

• หลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจทำ�ให้เกิด ความรุนแรง เช่น การดื่มสุรา เสพสิ่งเสพติด เป็นต้น ทั้งนี้ ถ้าหากมีการโต้เถียงกันขึ้น ควรมีฝ่ายหนึ่งหยุดและหลีกเลี่ยงคำ�พูดยั่วยุ ส่อเสียด ทั้งทางวาจา สายตา เพราะอาจจะ ทำ�ให้อีกฝ่ายโกรธมากยิ่งขึ้น ถ้าถึงขั้นขว้างปา สิ่งของหรือจะเข้ามาทำ�ร้ายร่างกาย ควรหลบ หลีกออกจากสถานการณ์ตรงนั้นไปก่อน • เมื่อเกิดการกระทำ�ความรุนแรง ในครอบครัว ควรพาผู้บาดเจ็บไปรับการรักษา โดยแพทย์ และหากได้รับความกระทบกระเทือน ทางจิตใจควรพามาพบจิตแพทย์เพื่อบำ�บัดฟื้นฟู สภาพจิต ทั้งนี้ผู้ที่ใช้ความรุนแรงควรพบ จิตแพทย์เพื่อรับการประเมินปัญหาทางจิตเวช และได้รับการบำ�บัด เช่นเดียวกัน

ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว มิใช่ปัญหาส่วนบุคคลเท่านั้น คนในชุมชนหรือ สังคมควรเข้ามามีส่วนร่วมช่วยกัน แก้ไขปัญหาด้วยเช่นกัน หากผู้ใดพบเห็นการ กระทำ�ความรุนแรงควรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำ�รวจ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำ�เนินการต่อไป Health Channel

August 2017

19


Health Intrend

เรื่อง : กองบรรณาธิการ

3 นวัตกรรม

เพื่อคนพิการ

เชื่อหรือไม่ว่าจำานวนคนพิการที่พบได้ในประเทศไทยนั้นมีมากกว่าล้านคน และความพิการที่พบมากที่สุดในปี 2560 นั่นก็คือ ความพิการที่เกิดจากการเคลื่อนไหว ซึ่งพบได้มากถึงร้อยละ 48.82 (ข้อมูลจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคง ของมนุษย์) ซึ่งบุคคลในกลุ่มเหล่านี้จำาเป็นจะต้องพึ่งพาผู้อื่น ทั้งในด้านการเดิน และการประกอบกิจวัตรประจำาวันต่างๆ

ดังนั้นเพื่อให้คุณภาพชีวิตและ พัฒนาการทางด้านร่างกายของผู้ป่วยพัฒนา ไปในทางที่ดีมากขึ้น จึงเกิดการพัฒนา 3 นวัตกรรมเพื่อคนพิการ ขึ้น สถาบันสิรินทรเพื่อการฟื้นฟู สมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ เป็นหน่วยงานหลักในการประสานงานรวมถึง ร่วมพัฒนาความรู้ด้านการฟื้นฟูสมรรถภาพ ทางการแพทย์และอุปกรณ์ในการช่วยเหลือ คนพิการต่างๆ ได้นำา 3 นวัตกรรมใหม่มาใช้ ในการรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการดังนี้ 1. การฝกเดินด้วยเครื่องหุ่นยนต์ ฝกเดิน (Lokomat) เป็นเทคโนโลยีที่ใช้เพิ่ม การทรงตัวและความมั่นคงในขณะเดินให้กับ ผู้ป่วย เพื่อเป็นการฝึกทักษะในเรื่องการเดิน โดยผู้ป่วยจะได้ฝึกเดินบนสายพานเลื่อน ที่มีเครื่องพยุงน้ำาหนักตัวและมีขาของหุ่นยนต์ ประกบกับขาของผู้ป่วย ซึ่งขาของหุ่นยนต์ จะขับเคลื่อนด้วยระบบคอมพิวเตอร์ คอยทำาหน้าที่ในการควบคุมการเคลื่อนไหว ของสะโพกและข้อเข่า ทำาให้ผู้ป่วยสามารถเดิน ด้วยจังหวะที่เป็นธรรมชาติได้มากยิ่งขึ้น

20

Health Channel

August 2017

โดยเครื่องนี้สามารถใช้ฝึกฝนซ้ำาๆ ได้อย่าง ต่อเนื่อง โดยฝึก 3 - 5 ครั้งต่อสัปดาห์ ใช้เวลาฝึกครั้งละ 30 - 45 นาที ทั้งนี้ ผลการวิจัยพบว่าการใช้เครื่องดังกล่าว ร่วมกับการทำากายภาพ มีแนวโน้มที่จะทำาให้ ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง กลับมาเดินเองได้ มากกว่าการฝึกกายภาพอย่างเดียว และ ให้ผลดีโดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยที่เป็น โรคหลอดเลือดสมองมานาน 3 เดือน ที่ยังไม่เคยได้รับการฝึกเดินมาก่อน 2. เครื่องฝกการทรงตัว บนลู่เดิน (Perturbation Treadmill) เป็นเครื่องที่พัฒนามาเพื่อใช้ในการเพิ่มทักษะ ในการทรงตัว และความมั่นคงในการเดิน ซึ่งเป็นเครื่องสำาหรับการทรงตัวบนลู่เดิน ประกอบด้วยลู่วิ่งไฟฟ้า ที่ถูกออกแบบมา พิเศษกว่าลู่วิ่งไฟฟ้าทั่วไป คือสามารถ จำาลองการเดินได้ 4 ทิศทาง ได้แก่ ทิศทาง ด้านหน้า – หลัง, ซ้าย – ขวา พร้อมด้วย ชุดอุปกรณ์พยุงน้ำาหนักร่างกายและ ระบบคอมพิวเตอร์พร้อมหน้าจอแสดงผล โดยคล้ายคลึงกับการทรงตัวที่เกิดขึ้นจริง ในชีวิตประจำาวัน ซึ่งเหมาะกับกลุ่มผู้ป่วยที่ มีความบกพร่องหรือผิดปกติของระบบการ ควบคุมสมดุลร่างกาย และการทรงตัว ในขณะยืนและเดิน เช่น ผู้สูงอายุที่ป่วยเป็น โรคหลอดเลือดสมอง หรือผู้ป่วยที่ ได้รับบาดเจ็บบริเวณไขสันหลัง เป็นต้น โดยระยะเวลาในการฝึกต่อครั้ง คือ

20 - 30 นาที และ 2 - 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ต่อเนื่อง 4 - 9 สัปดาห์ ก็จะสามารถเห็นผล การเปลี่ยนแปลงได้ 3. ศูนย์ทดสอบอุปกรณ์และ เครื่องช่วยความพิการทางการเคลื่อนไหว ประกอบด้วยศูนย์ทดสอบรถนั่งคนพิการ และศูนย์ทดสอบข้อเข่าเทียมและฝ่าเท้าเทียม เพราะรถนั่งคนพิการถือเป็นอุปกรณ์ เครื่องช่วยสำาคัญ ที่คนพิการและผู้สูงอายุ จะต้องใช้งาน โดยเฉพาะกลุ่มคนพิการถาวร ที่ไม่สามารถเดินได้ จำาเป็นต้องใช้รถนั่ง คนพิการที่มีความเหมาะสมและมีคุณภาพ โดยปัจจุบันรถนั่งคนพิการ ที่ให้บริการ ในประเทศไทยส่วนใหญ่จะนำาเข้ามาจาก ต่างประเทศ และบางส่วนได้มีการผลิตขึ้น ในประเทศไทยได้แล้วบ้าง รวมถึงศูนย์ทดสอบ ข้อเข่าและฝ่าเท้าเทียมเองที่ยังขาดศูนย์ ในการทดสอบในประเทศ จึงได้มีการจัดตั้ง ศูนย์ขึ้นเพื่อให้ได้รับมาตราฐานระดับสากล รวมถึงส่งเสริมงานวิจัย และลดการนำาเข้า อุปกรณ์จากต่างประเทศ

นวัตกรรมทั้ง 3 ชนิดนี้ นอกจาก จะทำาให้คุณภาพของผู้พิการดีขึ้นแล้วยัง ทำาให้เกิดกิจกรรมต่างๆ ขึ้นในระบบ รวมถึง ส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์ ดังกล่าวให้ได้มาตรฐานสากลมากยิ่งขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมสำาหรับการส่งออกในระดับ อาเซียนต่อไป


เรื่อง : ภก.ดร.นิติ สันแสนดี เภสัชกรและนักวิจัยอิสระ

รู้จริงเรื่องยา

“ยานอนหลับ” อันตรายกว่าที่คิด

อาการนอนไม่หลับ หรือหลับลำาบาก หรือหลับไม่สนิท ที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า โรคนอนไม่หลับ นั้นมีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกคนและทุกช่วงอายุ ซึ่งจริงๆ แล้ว การนอนไม่หลับ ไม่ใช่โรค แต่เป็นปัญหาการนอนไม่เพียงพอทำาให้ตื่นขึ้นมาแล้วไม่สดชื่น ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำางานและการใช้ชีวิตประจำาวัน

สาเหตุของอาการนอนไม่หลับอาจ เกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน แต่ประกอบด้วย ปัจจัยหลักๆ คือ ปจจัยทางด้านจิตใจ อันเกิดจาก ความเครียดและความวิตกกังวล ซึ่งมักเป็น สาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำาให้นอนไม่หลับ พบว่า ในเวลาที่มีความเครียด บางคนมีการตอบสนอง ต่อความเครียด เช่น มีอาการปวดศีรษะ หรือปวดท้อง ส่งผลให้เกิดอาการนอนไม่หลับ ปจจัยจากสิ่งแวดล้อม เสียงรบกวนจากการจราจร เครื่องบิน โทรทัศน์ และเสียงอื่นๆ สามารถรบกวนการนอนหลับ ของเราได้ แม้ว่าจะไม่ได้ทำาให้ตื่นแต่ส่งผล รบกวนการนอนได้ ดังนั้นควรทำาห้องนอน ให้เงียบที่สุดเท่าที่จะทำาได้ จะช่วยให้การ นอนหลับดีขึ้น นอกจากนั้นในเรื่องของ แสงสว่างอาจรบกวนการนอนหลับ เพราะ แสงสว่างจะผ่านเปลือกตาแม้ว่าเปลือกตา จะปิดอยู่ แนะนำาให้ใช้ผ้าม่านบังแสงหรือ ผ้าม่านสีเข้ม เพื่อทำาให้ห้องนอนไม่สว่างเกินไป ความเจ็บปวยทางร่างกายหรือ จิตใจ มีโรคทางกายหลายชนิดที่รบกวนการ นอนหลับและทำาให้มีอาการนอนไม่หลับได้ ปัญหาทางด้านจิตใจ โรคจากการนอนหลับ ชนิดอื่นๆ และความเจ็บป่วย อาจทำาให้การ นอนหลับเปลี่ยนไป ซึ่งอาจทำาให้การวินิจฉัย โรคนอนไม่หลับผิดพลาดได้ ดังนั้นการรักษา ความเจ็บป่วยนั้นอาจจะช่วยรักษาอาการ นอนไม่หลับได้ด้วย การใช้ชีวิตประจำาวัน การดื่ม เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนซึ่งทำาให้รู้สึกตื่นตัว

โดยเฉพาะในช่วงเย็นจะส่งผลทำาให้นอนไม่หลับ สารนิโคตินจะทำาให้ตื่นเช่นเดียวกัน คนที่สูบบุหรี่ อาจจะนอนหลับได้ยากกว่าคนไม่สูบบุหรี่ ยาหลายชนิดที่มีสารกระตุ้น รวมถึงยาลดน้ำาหนัก ยาแก้แพ้ และยาแก้หอบหืด ยาลดน้ำามูกบางชนิด อาจมีสารกระตุ้นทำาให้ตื่นผสมอยู่ด้วย สำาหรับการรักษาอาการนอนไม่หลับ มักเริ่มต้นด้วยวิธีไม่ใช้ยาก่อน เนื่องจาก ยานอนหลับไม่ได้ช่วยรักษาอาการนอนไม่หลับ แต่อาจช่วยให้อาการทุเลาลง แม้ว่ายานอนหลับ จะสามารถช่วยให้นอนหลับและรู้สึก กระปรี้กระเปร่าในวันถัดไป แต่อย่างไรก็ตาม บางครั้งยานอนหลับอาจปิดบังอาการบางอย่าง ที่เกิดจากโรคอื่นๆได้ ดังนั้นการใช้ยานอน หลับต้องใช้ร่วมกับการรักษาสาเหตุ ที่ทำาให้เกิดการนอนไม่หลับ และจำาเป็นต้อง อยู่ในความดูแลของแพทย์ ควรใช้ยาขนาด ต่ำาที่สุด ที่มีประสิทธิภาพเป็นครั้งคราว โดย ไม่ควรใช้เกิน 2 - 4 ครั้งต่อสัปดาห์ และ ไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานๆ เพราะ จะทำาให้ติดยาได้ อีกทั้งไม่ควรใช้ยานอนหลับ ในกรณีต่อไปนี้คือ ระหว่างตั้งครรภ์, ผู้ที่ติด สารเสพติด โดยเฉพาะสุรา, ผู้ที่นอนไม่หลับ ที่สัมพันธ์กับการหายใจ และควรต้อง ระมัดระวังเป็นพิเศษในผู้ป่วยซึ่งเป็นโรคตับ โรคไต และผู้สูงอายุ ดังนั้นการใช้ยานอนหลับ จำาเป็น ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ เนื่องจากการ ใช้ยาเกินขนาดจะออกฤทธิ์กดการทำางาน ของสมองที่ควบคุมการหายใจ เกิดภาวการณ์ หายใจล้มเหลว เป็นอันตรายถึงชีวิตได้

ซึ่งยานอนหลับบางชนิดออกฤทธิ์ยาวจนถึง เวลาตื่นนอน บางคนจะยังรู้สึกง่วงนอน อ่อนเพลียหรือมึนงง ทำาให้เกิดอุบัติเหตุ ได้ง่าย หากต้องขับรถหรือทำางานกับเครื่องจักร แพทย์อาจพิจารณาให้ใช้ยานอนหลับเพียง ชั่วคราวในระยะเวลาสั้นๆ เนื่องจากการใช้ยา ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน จะทำาให้การ ตอบสนองกับยาลดลง ต้องเพิ่มขนาดยา มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้นอนหลับได้ และยัง ทำาให้เกิดการติดยาด้วย หากหยุดยาทันที อาจมีอาการนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย และกังวลได้ นอกจากนั้น การใช้ยานอนหลับ ในระยะยาว ยังส่งผลให้หน้าที่การทำางาน ของสมองเสื่อมถอยลง อาจเกิด โรคสมองเสื่อมได้โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ

โดยสรุปคือ การรักษาอาการ นอนไม่หลับจะเริ่มต้นด้วยขจัดเหตุปัจจัยที่ทำาให้ นอนไม่หลับ ปฏิบัติตามสุขอนามัยการนอน อย่างเหมาะสม ส่วนการใช้ยานอนหลับนั้น ไม่ได้รักษาอาการนอนไม่หลับ เพียงแค่ ช่วยให้อาการทุเลาลงขณะใช้ยา หากพยายาม แก้ไขสาเหตุรวมถึงปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การนอนให้เหมาะสมแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น แพทย์จึงจะพิจารณาใช้ยานอนหลับร่วมด้วย เนื่องจากยานอนหลับมีหลากหลายชนิด แต่ละชนิดก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย เช่น ยาบางชนิดออกฤทธิ์ระยะสั้น และออกฤทธิ์ ได้ดีที่สุดเมื่อเริ่มนอนหลับ บางชนิดออกฤทธิ์ ระยะยาว และออกฤทธิ์ได้ดีที่สุดเพื่อให้ นอนหลับได้ตลอดทั้งคืน การปรึกษากับ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาว่ายานอนหลับ ชนิดใดเหมาะสมกับตนเองเป็นวิธีการ ที่ดีที่สุด โดยไม่แนะนำาให้ซื้อยามารับประทานเอง โดยไม่ปรึกษาแพทย์ Health Channel

August 2017

21


Special Report

เรื่อง : ไอยลดา วิจักษณ์ประเสริฐ

องค์การเภสัชกรรม “เพิ่มการเข้าถึงยา เพิ่มความมั่นใจให้ประชาชน”

หากพูดถึง “องค์การเภสัชกรรม” หลายคนคงเคยได้ยินชื่อนี้ แต่อาจยังไม่ทราบว่า แท้จริงแล้ว องค์การเภสัชกรรมมีบทบาทหน้าที่การทำ�งานอย่างไร? Special Report ฉบับนี้ จะพาไปค้นหาคำ�ตอบกัน ซึ่งผู้ที่จะอธิบายเรื่องนี้ได้ดีที่สุดคงไม่ใช่ใครอื่น นั่นคือ “นพ.นพพร ชื่นกลิ่น ผู้อำ�นวยการองค์การเภสัชกรรม”

(Ecommerce) มาใช้ในการสื่อสารกับ ประชาชนให้ มากขึ้น โดยตอนนี้เราก็ได้มีการใช้ เพื่อให้สอดคล้องกันกับแนวทาง ในการพัฒนาประเทศไทย 4.0 ตามนโยบาย งบประมาณกว่า 380 ล้านบาท เพื่อใช้ในการ การบริหารประเทศล่าสุด นพ.นพพร ชื่นกลิ่น จัดการระบบคอมพิวเตอร์ภายในองค์กร ขณะเดียวกันเราก็คงต้องปรับตัวเพื่อเข้าสู่การ อธิบายถึงแนวทางในการดำ�เนินงานของ องค์การเภสัชฯ ในปัจจุบันให้ฟังว่า องค์การ ค้าขายในเชิงพาณิชย์ โดยเราจะมุ่งเน้นในส่วน ของ E - market ให้มากขึ้น แต่ก็ต้องยอมรับว่า เภสัชกรรมถือเป็นรัฐวิสาหกิจเพื่อสังคม พันธกิจในเชิงพาณิชย์นั้นไม่ใช่พันธกิจหลัก เพราะฉะนั้นพันธกิจหลักก็คือ การทำ�ให้ สิ่งที่เราต้องการพัฒนาต่อนั่นก็คือระบบ VMI ประชาชนสามารถเข้าถึงยาที่มีคุณภาพ (Vendor Managed Inventory) คือระบบที่ ในราคาที่เป็นธรรมให้ได้มากที่สุด โดยตาม นโยบายไทยแลนด์ 4.0 นั้นเป็นเรื่องของการ เราจะมีการประสานงานกับทางโรงพยาบาล เพิ่มมูลค่ายา (Value add) โดยแนวทางหลัก ภาครัฐ เพื่อที่จะสามารถรู้ปริมาณยาในคลังยา ของโรงพยาบาลได้ว่า ตอนนี้มียาชนิดใดบ้าง ขององค์การเภสัชฯ ก็คือ การมุ่งพัฒนายา ที่กำ�ลังจะขาด เราก็จะสามารถส่งยาไปเติม ที่มีมูลค่าสูง ตัวอย่างเช่น ยารักษามะเร็ง ได้ทันที เพื่อประกันว่าโรงพยาบาลนั้นๆ จะเห็นได้ว่าประเทศไทยเองก็ยังไม่สามารถ จะมียาใช้ได้ตลอดเวลา ซึ่งระบบนี้ทำ�อยู่แล้ว ผลิตขึ้นใช้ภายในประเทศได้ ที่มีใช้กันอยู่ แต่จะมีการพัฒนาให้ทันสมัยขึ้นให้เป็น Smart ปัจจุบันล้วนเป็นยาที่นำ�เข้ามาจาก VMI เพื่อลดการที่จะต้องคีย์ข้อมูลให้ได้ ต่างประเทศ ซึ่งในอนาคต 20 - 30 ปี มากที่สุด” นพ.นพพร ชื่นกลิ่น อธิบายเพิ่มเติม ข้างหน้าทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก ยาที่จะใช้มากที่สุด คือยารักษามะเร็ง ประชาชนเข้าถึงยาได้ง่าย คือเป้าหมายของเรา รวมถึงยารักษาโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น เพื่อเป็นการการันตีว่าประชาชน โรคความดัน เบาหวาน และยารักษาโรคเอดส์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้มีการพัฒนา จะสามารถเข้าถึงยาได้อย่างสะดวก สิ่งที ่ กระบวนการผลิตยา เพื่อให้สามารถผลิตได้ องค์การเภสัชฯ ให้การสนับสนุนมาตลอด ระยะเวลาหลายสิบปีก็คือ การส่งผ่านทาง ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง โดยการนำ�เทคโนโลยี กึ่งหุ่นยนต์มาช่วยในการผลิตมากขึ้น เพื่อลด บริการของรัฐ ซึ่งเรื่องนี้ นพ.นพพร ชื่นกลิ่น กล่าวเสริมว่า การใช้แรงงานมนุษย์ลง และยังช่วยให้เกิด “เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าโรงพยาบาล ความถูกต้องแม่นยำ� ตรวจสอบได้ โดยคาดการณ์ว่าอีก 5 ปีข้างหน้า จะสามารถ ของภาครัฐนั้นดูแลผู้ป่วยมากกว่า 90% ของ ผลิตยาเหล่านี้ขึ้นมาใช้ได้เองภายในประเทศได้ ทั้งประเทศ เพราะฉะนั้นพันธกิจหลักของ เราก็คือการส่งยาไปยังโรงพยาบาลของรัฐบาล “องค์การเภสัชฯ เรายังมีการนำ�เอา เพื่อให้โรงพยาบาลเหล่านี้นำ�ไปรักษาผู้ป่วย วิธีการดำ�เนินธุรกิจแบบใช้สื่ออิเล็กทรอนิก และด้วยปริมาณการใช้ยาที่สูง ตัวอย่างเช่น องค์การเภสัชฯ กับแผนพัฒนาประเทศไทย 4.0

22

Health Channel

August 2017

ยาเอดส์ที่ใช้อยู่เกือบทั้งประเทศเป็นยาที่ ผลิตโดยองค์การเภสัชกรรม ด้วยเหตุน ี้ การที่เราทุ่มกำ�ลังการผลิตทั้งหมดไปที่ภาครัฐ และเราส่งออกไปในพื้นที่ต่างจังหวัด จึงทำ�ให้เราไม่มีกำ�ลังการผลิตที่มากพอ สำ�หรับการผลิตไว้ขายเอง ซึ่งหากการ พัฒนาในเฟส 2 สำ�เร็จ และกำ�ลังการผลิต เรามีมากยิ่งขึ้น เราก็จะมีการปล่อยยา เข้าสู่ตลาดเอกชนให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำ�ให้ ประชาชนทั่วทั้งประเทศสามารถเข้าถึงยา สำ�คัญๆ ได้มากขึ้นตามไปด้วย” เกิดโรคร้ายระบาดเมื่อใด ไว้ใจองค์การเภสัชฯ

อีกหนึ่งบทบาทสำ�คัญขององค์การ เภสัชฯ ที่หลายคนยังไม่ทราบก็คือ การเป็น กำ�ลังสำ�คัญที่คอยช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ในกรณีฉุกเฉินต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการระบาด ของโรค หรือเหตุอุทกภัย หรือแม้กระทั่ง การชุมนุมประท้วงต่างๆ ซึ่งถือเป็นพันธกิจ โดยตรงขององค์การเภสัชฯ “โดยยาที่องค์การเภสัชฯ ให้การดูแล มีอยู่ด้วยกัน 2 กลุ่มคือ กลุ่มที่ 1. ยากำ�พร้า คือยาที่ใช้น้อย ราคาสูง ไม่ทำ�กำ�ไร เพราะฉะนั้นจะไม่ม ี บริษัทไหนนำ�เข้ามาขาย ยกตัวอย่างเช่น ยาแก้อาการเป็นพิษจากหน่อไม้ หรือ ยา botulinum toxin ซึ่งในปีๆ หนึ่งคนไทย จะได้รับพิษชนิดนี้อยู่ประมาณ 1 - 2% โดยยา มีราคาประมาณ 300,000 - 400,000 บาท ต่อ 1 ชุด มีอายุอยู่ได้ 3 ปี เพราะฉะนั้น จะไม่มีบริษัทเอกชนไหนเอาเข้ามาตุนไว้ องค์การเภสัชฯ ก็จะทำ�หน้าที่ตุนยาเหล่านี้ เอาไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน นอกจากนี้ยาที่ใช้ ในการแก้พิษต่างๆ เช่น แก้พิษงู หรือสารพิษ ชนิดต่างๆ เราก็มีการทำ�งานร่วมกับทาง สปสช. และสถาบันพิษวิทยา เพื่อจัดเตรียม ยาเหล่านี้ไว้ใช้ ซึ่งก็สามารถช่วยคนไข้ได้ หลายหมื่นรายต่อปีเลยทีเดียว


2. ยาฉุกเฉิน เช่น ประเทศไทยโดยส่วนใหญ่ก็จะเป็น เรื่องน้ำาท่วม และหมอกควัน ในส่วนนี้ เราก็ต้องรับฟังข่าว โดยการทำางาน ร่วมกันกับกระทรวงสาธารณสุข เพื่อจัดเตรียมยาชุดไว้คอยช่วยเหลือ ในยามน้ำาท่วม โดยเป็นยาที่เกี่ยวกับ ยาลดไข้ ยารักษาน้ำากัดเท้า รวมทั้ง หน้ากากอนามัยที่ไว้ใช้ในยามที่ มีหมอกควัน” นพ.นพพร ชื่นกลิ่น กล่าว มุมมองต่อการพัฒนาวงการยา ในประเทศไทย

สำาหรับมุมมองของ

นพ.นพพร ชื่นกลิ่น ในฐานะ

ผู้อำานวยการองค์การเภสัชกรรม ที่มีต่อการพัฒนาวงการยาของ ประเทศไทยเรา ว่าควรพัฒนาไป ในทิศทางไหน? อย่างไร? เรื่องนี้ นพ. นพพร ชื่นกลิ่น แสดงทัศนะไว้ อย่างน่าสนใจว่า “เราจำาเป็นที่จะต้องพึ่งตนเอง ให้ได้มากยิ่งขึ้น เพราะปัจจุบันนี้ ยาที่เราใช้อยู่ภายในประเทศปีละ ประมาณ 105,000 ล้านบาท ข่าวร้ายก็คือ 70% นั้นเป็นยานำาเข้า ทั้งหมด ซึ่งถือเป็นจำานวนเงินมหาศาล ที่เราต้องสูญเสียไป เพราะฉะนั้น เราจึงจำาเป็นต้องเปลี่ยนบริบททั้งหมด ตั้งแต่แพทย์ผู้ให้การรักษา พยาบาล รวมถึงตัวผู้ผลิตเอง ที่ต้องทำาให้ยา ที่ผลิตออกมาภายในประเทศ มีมาตรฐานเทียบเท่าสากลมากยิ่งขึ้น ซึ่ง อย. เองในตอนนี้ก็มีการควบคุมเข้ม ในเรื่องนี้ร่วมด้วยเช่นกัน ในการ ที่จะนำาวัตถุดิบมาผลิตเอง หรือ แม้กระทั่งการค้นคว้ายาใหม่ขึ้นมา ซึ่งในปัจจุบันท่านนายกรัฐมนตรีเอง ก็มีคำาสั่งมาว่า ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ทั้ง สวทช. กระทรวงวิทยาศาสตร์ หรือแม้กระทั่งมหาวิทยาลัยที่มี คณะวิทยาศาสตร์ มีการทำางานร่วมกัน เพื่อพัฒนายาใหม่ขึ้นมา เพื่อช่วยลด การนำาเข้ายาจากต่างประเทศ ส่วนยา ที่มีการใช้อยู่แล้วเมื่อหมดสิทธิบัตร องค์การเภสัชก็จะนำามาผลิตต่อไป แต่อย่างไรก็ตามเราก็มักจะถูก ต่อว่า ว่าเลียนแบบสูตรยาต้นแบบ ซึ่งความจริงแล้วมันเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ตามกฎหมาย เพราะว่ามูลค่ายา ที่ขายกันอยู่ 100 บาทจริงๆ แล้ว มูลค่ายาจริงมีไม่ถึง 30 บาท ที่เหลือก็เป็นส่วนของลิขสิทธิ์และ การทำาตลาด” นพ.นพพร ชื่นกลิ่น ได้กล่าวถึงสิทธิบัตรยาที่มีการ คุ้มครองมาแล้วมากกว่า 10 - 20 ปี เมื่อหมดอายุการคุ้มครองนั้นลงแล้ว หากประเทศใดต้องการนำาไปผลิต ก็สามารถทำาได้ ซึ่งเราเองเมื่อนำามา ผลิตก็ต้องผลิตให้ได้คุณภาพ และ มีมาตรฐานเพื่อให้มีความปลอดภัย ก็จะทำาให้ประชาชนสามารถเข้าถึงยา ได้สะดวกและราคาเป็นธรรม มากยิ่งขึ้น

แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ที่ได้สัมภาษณ์พูดคุยกับ “นพ. นพพร ชื่นกลิ่น ผู้อำานวยการ องค์การเภสัชกรรม” แต่ก็ทำาให้เรา รู้สึกดีใจแทนคนไทยทุกคน ที่มีหน่วยงานดีๆ เช่นนี้ คอย ทำาหน้าที่ดูแลประชาชนทุกคน เรา จึงสามารถมั่นใจได้ว่าในอีกไม่กี่ปี ข้างหน้า วงการยาของประเทศไทย จะต้องก้าวหน้าไปได้อีกไกล มากกว่านี้แน่นอน Health Channel

August 2017

23


Seniors Club

เรื่อง : กองบรรณาธิการ

แอปพลิเคชั่นตรวจโรคอัลไซเมอร์

ด้วยเสียงพูด

ไอเดียเจงๆ รองรับสังคมผู้สูงอายุ

ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยว่า เมื่อปี 2558 มีผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ ประมาณ 6 แสนราย และคาดว่าในปี 2573 จำานวนผู้ป่วยจะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 1.1 ล้านคน ซึ่งโรคอัลไซเมอร์นั้นไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่การตรวจพบโรคตั้งแต่ในระยะเริ่มต้น จะช่วยชะลอความเสื่อมของสมองได้

นี่จึงเป็นเหตุผลให้หลายภาคส่วน หันมาให้ความสนใจ และตระหนักถึง ความสำาคัญของการตรวจวินิจฉัยโรคอัลไซเมอร์ ตั้งแต่ในระยะเริ่มต้น เช่นเดียวกับทีมนักวิจัย จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นำาโดย รศ.ดร.จาตุรงค์ ตันติบัณฑิต อาจารย์ภาควิชา วิศวกรรมไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ที่ได้ร่วมกันคิดค้นแอปพลิเคชั่น

24

Health Channel

August 2017

“การตรวจคัดกรองโรคอัลไซเมอร์และ การรู้คิดบกพร่องเล็กน้อยอย่างอัตโนมัติ ด้วยเสียงพูด” ที่มีความแม่นยำา 99%

ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยและ โรงพยาบาลได้มากทีเดียว รศ.ดร.จาตุรงค์ ตันติบัณฑิต เล่าถึง ที่มาของการคิดค้นแอปพลิเคชั่นดังกล่าวนี้ ให้ฟังว่า ปัจจุบันสังคมไทยกำาลังก้าวเข้าสู่ การเป็นสังคมผู้สูงอายุ โดยจากข้อมูลของ

สำานักงานสถิติแห่งชาติ ได้ทำาการสำารวจ ผู้สูงอายุมาแล้ว 5 ครั้งผลการสำารวจที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีจำานวนผู้สูงอายุ เพิ่มขึ้นรวดเร็วอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งการสำารวจ ครั้งล่าสุดในปี 2557 พบว่า ประเทศไทย มีประชากรทั้งหมดประมาณ 66 ล้านคน ซึ่งมีสัดส่วนผู้สูงอายุร้อยละ 14.9 ของประชากร ทั้งหมด หรือประมาณ 10 ล้านคน สอดคล้องกับ มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย ที่ให้ข้อมูลเมื่อปี 2558 โดยคาดการณ์ว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้าหรือในปี 2564 สัดส่วน ผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 20 ซึ่งหมายความว่าประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่ สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ และในอีกไม่ถึง


20 ปี จะกลายเป็นสังคมสูงวัยระดับสุดยอด (super-aged society) โดยผู้สูงอายุจะมี สัดส่วนถึงร้อยละ 28 ของประชากรทั้งหมด ซึ่งพบว่าผู้สูงอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ร้อยละ 50 - 70 กำาลังเผชิญกับโรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s) ซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะ สมองเสื่อม บางรายไม่รู้ตัว ส่วนบางรายรู้ตัวช้า และพบว่ารักษาไม่ได้แล้ว อันเกิดจากการตาย ของเซลล์สมองเร็วกว่าวัยอันควร ทำาให้ คุณภาพชีวิตแย่ลง เป็นภาระต่อผู้ใกล้ชิด มากขึ้น นอกจากนี้วิธีในการตรวจคัดกรอง โรคอัลไซเมอร์ที่ใช้กันอยู่นั้นต้องใช้เวลา ในการตรวจนาน ค่าใช้จ่ายสูง และต้องใช้ บุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาล เป็นผู้ตรวจให้ ซึ่งหลายแห่งขาดแคลน บุคลากรเพราะอยู่ในโรงพยาบาลที่ห่างไกล ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยได้คิดค้น แอปพลิเคชั่น “การตรวจคัดกรองโรคอัลไซเมอร์

และการรู้คิดบกพร่องเล็กน้อยอย่างอัตโนมัติ ด้วยเสียงพูด” โดยสามารถใช้งานได้ผ่าน

สมาร์ทโฟน สำาหรับผู้ที่เข้ารับการคัดกรองโรค ทำาการตอบคำาถาม 21 ข้อ ใช้เวลาประมาณ 20 นาที โดยคำาถามดังกล่าวซึ่งถูกสร้างขึ้น โดยเฉพาะสำาหรับภาษาไทยเหมาะสมกับ บริบทของคนไทย ครอบคลุมทุกแง่มุม เช่น ด้านการรับรู้สภาวะรอบตัว (Orientation) เช่น ถามคำาถามเรื่องเวลาและสถานที่ ณ ขณะนั้น, ด้านความตั้งใจและการคำานวณ เช่น การลบเลขถอยหลังทีละ 7, ด้านความจำา (Memory) เช่น บอกที่อยู่ บอกชื่อบุคคล, ด้านภาษา (Language) เช่น การบอกชื่อของ สิ่งของ, ด้านความสามารถในการใช้ภาษาใน การพูดอธิบาย (Verbal description ability)

งานวิจัยดังกล่าวเป็นการ ทำาการวิจัยแบบบูรณาการร่วมกับ พญ.โสฬพัทธ์ เหมรัญชโรจน์ จากภาควิชา จิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ดร.จุฑามณี อ่อนสุวรรณ ภาควิชาภาษาอังกฤษและ ภาษาศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ และ ดร.กฤษณ์ โกสวัสดิ์ จากศูนย์เทคโนโลยี อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) และปัจจุบันแอปพลิเคชั่น ดังกล่าวได้ถูกนำาไปใช้งานจริงแล้วใน - ผู้มีภาวะความจำาบกพร่องเล็กน้อย โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ อีกทั้งยังไปคว้า รางวัลเหรียญทองเกียรติยศ จากการประกวด - ผู้ปวยอัลไซเมอร์ สิ่งประดิษฐ์ระดับโลกจากงาน International ซึ่งถือว่าสามารถประหยัดเวลา Exhibition of Inventions of Geneva ได้มาก จากเดิมใช้เวลา 2 - 3 ชั่วโมงและ มีความถูกต้องเพียงร้อยละ 70 - 90 ที่สำาคัญ ครั้งที่ 45 ณ กรุงเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาด้วย สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการตรวจและ ประหยัดงบประมาณของโรงพยาบาล จากการซื้อเครื่องตรวจ ทั้งนี้จากการตรวจ นับว่าเป็นผลงานการวิจัยและ ที่กินเวลากว่าครึ่งชั่วโมง ทำาให้ทีมวิจัยกำาลัง ประดิ ษ ฐ์ ค ิดค้นของคนไทยเองอีกชิ้นหนึ่ง เดินหน้าพัฒนาให้ระบบมีการประมวลผล ที่รวดเร็วและรองรับภาษาอื่นๆ ได้มากยิ่งขึ้น ที่ไม่ใช่เพียงแค่สร้างคุณประโยชน์แก่วงการ เพื่อให้สามารถนำาไปใช้งานได้ครอบคลุมและ แพทย์ของไทยเท่านั้น แต่ยังช่วยให้คุณภาพ ชีวิตของคนไทยดีขึ้นด้วย ขยายผลสู่ผู้ป่วยกลุ่มอื่นด้วย การเล่าเรื่องหรืออธิบายสถานการณ์จากภาพ เป็นต้น เมื่อตอบคำาถามครบ เสียงพูดของ ผู้เข้ารับการคัดกรองจะถูกนำาไปวิเคราะห์ ทั้งคุณลักษณะทางสัญญาณ เช่น ความถี่มูลฐาน, ความเข้ม, การหยุด, จังหวะในการพูด และวิเคราะห์คุณลักษณะ การใช้คำา ประเภทของคำาต่างๆ ในภาษา เช่น คำานาม, คำาสรรพนาม, คำากริยา, คำาวิเศษณ์ เป็นต้น จากนั้นปัญญาประดิษฐ์จะประมวลผล ออกมา 3 ระดับ คือ - ผู้มีภาวะปกติ

Health Channel

August 2017

25


Happy Life

เรื่อง : พญ.สุดา พันธุ์รินทร์ นายแพทย์ระดับ 8 ด้านวิชาการ สถานเสาวภา สภากาชาดไทย

“วัคซีน”

ป้องกันโรคในวัยรุ่น และผู้ใหญ่ตอนต้น

เมื่อเอ่ยถึง “วัคซีน” ทุกคนต่างเข้าใจตรงกันว่า ใช้สำ�หรับฉีดเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค ในเด็กแรกเกิดและเด็กเล็กเท่านั้น ซึ่งความเข้าใจนั้นถูกต้องแค่บางส่วน เพราะแท้จริงแล้ว ในช่วงวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ก็สามารถรับวัคซีนเพื่อสร้างเสริมภูมิคุ้มกันได้... ประกอบกับมีเหตุผล ที่สำ�คัญหลายประการ อาทิเช่น

1. ภูมิคุ้มกันจากวัคซีนที่เคยได้รับ ตอนเด็ก ลดลงไปตามเวลาจึงจำ�เป็นต้องได้รับ การฉีดวัคซีนกระตุ้น 2. โรคบางชนิดอาจเกิดขึ้น เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น เช่น การติดเชื้อไวรัสเอชพีวี จากการมีเพศสัมพันธ์ 3. ปัจจุบันมีวัคซีนใหม่ๆ ที่ยังไม่มีในสมัยที่เราเป็นเด็ก

26

Health Channel

August 2017

4. ผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน หรือฉีดวัคซีน ไม่ครบ ก็สามารถใช้โอกาสนี้ รับวัคซีน เพิ่มเติมได้ ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงมีการรณรงค์ การฉีดวัคซีนในวัยรุ่น และผู้ใหญ่ตอนต้น หรือ “Vaccines for Teens” ขึ้น ปัจจุบัน ประเทศต่างๆ โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง ประเทศที่พัฒนาแล้ว ได้ให้ความสนใจ และสนับสนุนการให้วัคซีนป้องกันโรค แก่บุคคลในกลุ่มอายุต่างๆ มากขึ้น อย่างไรก็ตาม พบว่าอัตราการให้วัคซีนแก่วัยรุ่น และผู้ใหญ่ตอนต้น ซึ่งมีอายุระหว่าง 9 - 26 ปี ยังต่ำ�อยู่ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่เข้าถึง วัคซีนได้ค่อนข้างยาก ต่างจากวัยเด็กที่น้องๆ หนูๆ จะได้รับวัคซีนกันตั้งแต่แรกเกิด โดย มีตารางนัดรับวัคซีนที่ระบุชัดเจน แต่ตารางนี้จะ ครอบคลุมไปถึงอายุเพียง 12 ปี หลังจากนั้น ถ้าเราไม่ได้ไปพบคุณหมอ หรือมีบาดแผล เกิดอุบัติเหตุ เราก็อาจจะไม่ได้รับวัคซีน

พญ.สุดา พันธุ์รินทร์

อะไรเลย... เหล่านี้จึงทำ�ให้คนในวัยนี ้ มีความเสีย่ งต่อการเกิดโรคบางชนิดมากขึน้ สถานเสาวภา สภากาชาดไทย ในฐานะผู้ให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรค ให้กับคนไทยมากว่า 95 ปี จึงจัดโครงการ รณรงค์ให้ผู้ที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นและผู้ใหญ่ ตอนต้น ตระหนักถึงความจำ�เป็น ของการรับวัคซีน เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน ตลอดจนลดความรุนแรงของโรค ลดการ แพร่เชื้อไปยังคนใกล้ตัว และลดอัตรา การเสียชีวิตจาก 9 โรคร้าย ซึ่งสามารถ ป้องกันได้ สำ�หรับวัคซีนที่แนะนำ�ให้ฉีดทั้ง 5 ชนิด ซึ่งป้องกันได้ทั้งหมด 9 โรค สำ�หรับวัยรุ่นและผู้ใหญ่ตอนต้น ประกอบด้วย


1. วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก 2. วัคซีนป้องกันคอตีบ-ไอกรนบาดทะยัก 3. วัคซีนป้องกันเอชพีวี 4. วัคซีนป้องกัน หัดหัดเยอรมัน-คางทูม 5. วัคซีนป้องกันอีสุกอีใส

รายละเอียดของแต่ละวัคซีน โดยสังเขปมีดังนี้ 1. วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก

โรคไข้เลือดออก สามารถเป็นได้ ทั้งในเด็ก และผู้ใหญ่ ปัจจุบันมีวัคซีน ป้องกันโรคไข้เลือดออก แนะนำาให้ฉีดในผู้ที่มี อายุ 9 - 45 ปี โดยฉีด 3 ครั้ง ห่างกัน 6 เดือน พบว่า วัคซีนมีประสิทธิภาพในการ ป้องกันการติดเชื้อไข้เลือดออกได้ร้อยละ 65 และป้องกันการติดเชื้อรุนแรงได้ร้อยละ 92 ดังนั้น วัคซีนจึงมีประสิทธิภาพสูงในการ ลดความรุนแรงของโรค และลดการนอน โรงพยาบาล 2. วัคซีนป้องกันคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก ประเทศไทยมีการระบาดของ โรคคอตีบในเด็กและผู้ใหญ่เป็นครั้งคราว จึงมีการสนับสนุนให้มีการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น เพื่อป้องกันโรคด้วยวัคซีนป้องกัน บาดทะยัก - คอตีบ ทุก 10 ปี ส่วนโรคไอกรน ซึ่งติดต่อได้ง่ายจากการ ไอ จามของผู้ป่วย ทำาให้เกิดอาการไอเรื้อรังในวัยรุ่นและผู้ใหญ่ และอาการไออย่างรุนแรง มีอัตราป่วยตายสูง ในเด็กเล็ก จึงมีการสนับสนุนให้ฉีดวัคซีน ป้องกันคอตีบ-ไอกรน-บาดทะยัก หรือ เรียกสั้นๆ ว่า ทีแดป (Tdap) ซึ่งเป็นวัคซีน รวมที่ป้องกันทั้ง 3 โรคในเข็มเดียว โดยให้ ฉีดวัคซีนกระตุ้น 1 ครั้ง ในวัยรุ่น และผู้ใหญ่ นอกจากนี้ยังแนะนำาให้ฉีดวัคซีนทีแดป ในหญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์มากกว่า 7 เดือนขึ้นไป เพื่อป้องกันมารดา และให้ ภูมิคุ้มกันสามารถผ่านไปยังทารกได้ด้วย

3. วัคซีนป้องกันเอชพีวี หรือวัคซีนป้องกัน มะเร็งปากมดลูก

การติดเชื้อไวรัสเอชพีวีเรื้อรัง เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก มะเร็ง ช่องคลอด มะเร็งอวัยวะเพศ มะเร็งทวารหนัก หูดบริเวณอวัยวะเพศ ฯลฯ ผู้ที่ควรได้รับวัคซีน ป้องกันเอชพีวี ได้แก่ ผู้หญิงและผู้ชาย อายุ 9 - 26 ปี โดยฉีด 3 เข็ม ในเวลา 6 เดือน แต่หากอายุน้อยกว่า 15 ปี สามารถรับวัคซีน เพียง 2 เข็ม โดยห่างกัน 6 - 12 เดือน อย่างไรก็ตาม วัคซีนไม่สามารถทดแทน การตรวจภายใน และการตรวจคัดกรอง มะเร็งปากมดลูก (Pap smear) เมื่อถึงวัย อันควรได้ 4. วัคซีนป้องกัน หัด-หัดเยอรมัน-คางทูม วัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน ต่อโรคหัด เช่น ไม่เคยฉีดวัคซีน และไม่เคย เป็นโรคหัด หรือตรวจไม่พบภูมิคุ้มกันต่อโรคหัด ควรได้รับวัคซีนป้องกันหัด โดยแนะนำาให้ฉีด เป็นวัคซีนหัด หัดเยอรมัน คางทูม (MMR) 1 เข็ม และฉีดกระตุ้นอีก 1 เข็มห่างจาก เข็มแรกอย่างน้อย 4 สัปดาห์ 5. วัคซีนป้องกันอีสุกอีใส

อาจพบการติดเชื้ออีสุกอีใสรุนแรง ได้ในวัยรุ่นและผู้ใหญ่ที่สุขภาพดี ดังนั้นวัยรุ่น และผู้ใหญ่ที่ยังไม่เคยเป็น หรือตรวจเลือด ไม่พบภูมิคุ้มกันต่อโรคอีสุกอีใส ควรได้รับ การฉีดวัคซีนเพื่อป้องกัน แต่ทั้งนี้ แม้จะเคยเป็น อีสุกอีใสมาก่อน หรือเคยได้รับวัคซีน ป้องกันอีสุกอีใสแล้ว ก็ยังมีโอกาสเป็นโรคนี้ ซ้ำาได้อีก แต่อาการมักจะไม่รุนแรง มีจำานวน ตุ่มน้ำาใสน้อยกว่าและหายป่วยเร็วกว่าผู้ที่ ไม่เคยเป็นโรค หรือไม่ได้รับวัคซีน

สุดท้ายนี้ อยากจะขอฝากไว้ว่า “วัคซีน” ไม่ใช่แค่เพียงสำาหรับเด็กเท่านั้น แต่วัคซีน เป็นเรื่องของคนทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่น ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ จึงอยากให้ทุกท่าน เห็นความสำาคัญของการรับวัคซีน แต่ในขณะ เดียวกันต้องเข้าใจว่าไม่มีวัคซีนใดที่สามารถ ป้องกันโรคได้ร้อยเปอร์เซนต์ เพราะฉะนั้น การดูแลรักษาสุขภาพ ใช้มาตรการป้องกัน โรคที่เหมาะสม เช่น ในช่วงที่มีไข้หวัดใหญ่ ระบาดก็ต้องดูแลสุขภาพ กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ ใช้ผ้าปิดปาก ปิดจมูก สิ่งเหล่านี้ยังคง เป็นสิ่งที่สำาคัญที่สุดในการป้องกันโรค

โครงการ “Vaccines for Teens” ได้มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม ที่ผ่านมา และหลังจากนี้จะมี การจัดกิจกรรมรณรงค์ต่อเนื่องไปจนถึง สิ้นปี สำาหรับท่านที่สนใจ มีปัญหา หรือมี ข้อสงสัยเกี่ยวกับวัคซีนในวัยรุ่น และผู้ใหญ่ ไปจนถึงผู้สูงอายุ สามารถติดต่อสอบถาม ได้ที่ คลินิกเสริมภูมิคุ้มกันและอายุรศาสตร์ การท่องเที่ยว สถานเสาวภา สภากาชาดไทย และหากต้องการรับวัคซีน สถานเสาวภา มีวัคซีนให้บริการในราคาพิเศษ ตั้งแต่วันนี้ ไปจนถึง 30 ธันวาคม 2560

Health Channel

August 2017

27


Food Today

เรื่อง : ดร.อุทัยวรรณ สุทธิศันสนีย์

สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล

โปรตีนหวาน

จากพร้าวนกคุ่ม ทางเลือกของคนชอบหวาน

จากการที่พบว่ามีผู้คน จำานวนไม่น้อยเจ็บป่วยด้วยโรคที่มีสาเหตุ มาจากการบริโภคน้ำาตาลมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน และภาวะน้ำาตาลในเลือดสูง จึงมีการวิจัย และพัฒนาสารสังเคราะห์ที่ให้รสหวาน หรือสารทดแทนความหวานขึ้นมา เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภค

แต่เมื่อไม่นานมานี้กลับพบ เรื่องที่น่าตกใจว่า การบริโภค สารให้ความหวานมาเป็นระยะเวลานาน ก็สามารถก่อให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรง ต่อสุขภาพได้ เช่น ปัญหาสุขภาพจิต และความบกพร่องทางอารมณ์ หัวใจวาย มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ รวมถึง เนื้องอกในสมอง จึงมีความจำาเป็นอย่างยิ่ง 28

Health Channel

August 2017

ที่เราจะต้องพิจารณาและคำานึงถึง ความเหมาะสมในการใช้สารให้ความหวาน ในอนาคต งานวิจัยในปัจจุบันจึงให้ความสนใจ ศึกษาโปรตีนที่มีรสหวาน เช่น ทอมาติน (Thaumatin), โมเนลลิน (Monellin), บลาซซีน (Brazzein), เพนตาดิน (Pentadin), มาบินลิน (Mabinlin), ไลโซไซม์จากไข่ (Egg lysozyme), เคอร์คูลิน (Curculin) และมิราคูลิน (Miraculin) โดยพบว่าโปรตีน เหล่านี้ให้ความหวานมากกว่าน้ำาตาลทราย หรือน้ำาตาลซูโครส มากถึง 100 – 3,000 เท่า อีกทั้งยังมีข้อดีกว่าการใช้สารให้ความหวาน สังเคราะห์ เนื่องจากโปรตีนดังกล่าว เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากธรรมชาติ ไม่ก่อให้เกิด มะเร็ง และยังสามารถให้ความหวาน ได้อย่างมีประสิทธิภาพแม้จะใช้ในปริมาณน้อย ทั้งยังให้พลังงานที่ต่ำามากอีกด้วย เคอร์คูลิน คือหนึ่งในสารที่ได้รับ ความสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจาก มีคุณสมบัติเป็นทั้งโปรตีนหวานและโปรตีน ที่เหนี่ยวนำาให้เกิดรสหวาน หรือเรียกว่า โปรตีนปรับเปลี่ยนความหวาน คือนอกจาก จะมีความหวานในตัวเองแล้ว ยังสามารถ เปลี่ยนรสเปรี้ยวให้เป็นรสหวานได้อีกด้วย ซึ่งเคอร์คูลินบริสุทธิ์จะสามารถให้ความหวาน มากกว่าน้ำาตาลซูโครสถึง 3,500 เท่า ทั้งนี้ พบว่าเคอร์คูลินสามารถแยกได้จากผลของ ต้นพร้าวนกคุ่ม (Curculigo latifolia) ซึ่งเป็น พืชเขตร้อนที่มีถิ่นกำาเนิดอยู่ทางตะวันตกของ ประเทศมาเลเซียและยังสามารถพบได้ทั่วไป ในสวนยางพาราทางภาคใต้ของประเทศไทย

บริเวณฐานหรือขั้วผลของพร้าวนกคุ่ม คือ ส่วนที่สามารถพบสารเคอร์คูลินได้มากที่สุด โดยจะมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนสูงสุด เมื่อพร้าวนกคุ่มอยู่ในระยะ 10 สัปดาห์ หลังจากที่ออกดอก ซึ่งปริมาณเคอร์คูลิน จะคงที่เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ หลังจากนั้น จึงค่อยๆลดลง โดยผลของพร้าวนกคุ่มจะ มีปริมาณเคอร์คูลิน 1.3 มิลลิกรัม/กรัม ของเนื้อผลไม้ รสหวานที่ได้จากการรับประทาน พร้าวนกคุ่ม จะหายไปอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาไม่กี่นาที แต่เมื่อเราดื่มน้ำาหรือ รับประทานอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรด (อาหาร ที่มีรสเปรี้ยว) เข้าไป รสหวานก็จะถูกกระตุ้น ขึ้นมาได้อีกครั้ง โดยการเหนี่ยวนำาความหวาน ด้วยกรดต่างชนิดกันก็เป็นผลให้ความหวานนั้น ติดคงทนได้นานแตกต่างกันอีกด้วย จะเห็นได้ว่าการศึกษาวิจัยต่างๆ นั้น ไม่เพียงแต่สามารถช่วยพัฒนาอุตสาหกรรม ด้านอาหารเท่านั้น แต่ยังทำาให้ผู้บริโภคอย่างเรา เห็นว่าอาหารจากธรรมชาติที่อยู่รอบตัว ซึ่งเราอาจจะเคยมองข้ามไปนั้น มีสิ่งที่น่าค้นหา และเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย หากเรา รู้จักเลือกหยิบมาใช้ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม


สู้มะเร็ง

เรื่อง : นพ. จิรเจษฎ์ สุขสุเพิ่ม ผู้อํานวยการศูนย์มะเร็ง และ HIFU รพ.วุฬารัตน์ 9 แอร์พอร์ต

สู้มะเร็งปอด ตอน 2 :

ความก้าวหน้าของ การใช้ความรู้ทางพันธุกรรม ช่วยในการตรวจวินิจฉัย

อย่างที่ทิ้งท้ายในตอนที่แล้วว่ามะเร็งปอดนั้นมักพบในระยะที่ลุกลามผ่าตัดไม่ได้ การรักษาจึงเน้นที่การควบคุมการลุกลามของโรค เพื่อยืดชีวิตผู้ป่วย และจัดการอาการ ที่เกิดจากการกระจายของมะเร็งไปที่อวัยวะต่างๆ

เดิมทีนั้นเราจะเริ่มจากการเจาะ ชิ้นเนื้อปอดหรือใช้น้ำาในช่องปอดในการตรวจหา เซลล์มะเร็ง เพื่อยืนยันการวินิจฉัย แต่ในผู้ป่วย บางรายนั้นไม่สามารถจะเจาะชิ้นเนื้อได้ จึงเป็นอุปสรรคในการเริ่มการรักษาด้วยยาเคมี บำาบัด ซึ่งเป็นการรักษาหลักในประเทศไทย ยาเคมีบำาบัด มีใช้มานาน โดยมีการ ศึกษาเปรียบเทียบกับยาหลอก ว่าสามารถ ช่วยชะลอการลุกลามและยืดอายุขัยได้ แต่ส่วนใหญ่ก็จะไม่เกิน 2 ปี เพราะ การตอบสนองนั้นต่ำา โดยจะอยู่ที่ประมาณ 30 - 40% ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นยาเคมีแบบฉีด ที่มีผลข้างเคียงมาก จึงได้มีการพัฒนา ยาเคมีแบบกิน, ยาลดการสร้างเส้นเลือดเลี้ยง ก้อนมะเร็ง, ยามุ่งเป้าที่ยีนมะเร็ง และ การรักษาผ่านระบบภูมิต้านทาน ขึ้นมาและ เริ่มมีใช้ในประเทศไทยแล้ว

ยามุ่งเป้าที่ยีนมะเร็ง คืออะไร?

จากที่ได้ทราบกันแล้วว่า มะเร็งคือ เซลล์ปกติของร่างกายที่มีการกลายพันธุ์ ในระดับพันธุกรรม จนแบ่งตัวโดยที่ร่างกาย ควบคุมไม่ได้และหลุดจากการตายโดย อายุขัยของเซลล์ (เป็นอมตะ) ถ้าเรารู้ว่า ยีนในส่วนใดทำาให้มะเร็งเติบโตและจัดการ ได้ตรง ก็เท่ากับว่าเราทำาลายเฉพาะ เซลล์มะเร็งนั้นได้เลย จึงกระทบเซลล์ ร่างกายน้อย ต่างจากยาเคมีที่ทำาลาย ทุกเซลล์ที่แบ่งตัวรวมทั้งเซลล์ปกติ เรียกการรักษาแบบนี้ว่า การรักษาแบบ มุ่งเป้าหรือ Targeted Therapy นั่นเอง ซึ่งเราจะหาเป้าหมายนั้นๆ ได้จาก - ตรวจโปรตีนผิดปกติจาก เซลล์มะเร็งโดยตรงจากการเอา ชิ้นเนื้อมะเร็งไปทำาการย้อมพิเศษ - ตรวจหายีนที่ควบคุมโปรตีน กลายพันธุ์ โดยสกัดยีนมะเร็งจากชิ้นเนื้อ (Biopsy) มาทำาการถอดรหัส และเลือกใช้ยา ให้ตรงการกลายพันธุ์นั้นๆ การวิจัยในปัจจุบันพบว่ามะเร็งปอด ระยะลุกลามจะมีการปล่อยเซลล์ (Circulated Tumor Cell : CTC) หรือ ชิ้นส่วนสารพันธุกรรม (Cell Free DNA) ออกมาในกระแสเลือด ดังนั้นในกรณีที่ไม่ สามารถเจาะชิ้นเนื้อได้ เราอาจเจาะเลือด มาตรวจหายีนมะเร็งได้ ซึ่งเจ็บตัวน้อยกว่า และได้ผลรวดเร็วกว่า (ประมาณ 3 - 4 วัน

นพ. จิรเจษฎ์ สุขสุเพิ่ม

ทำาการ) ทำาให้การรักษาเริ่มได้เร็วและ ตรงเป้าหมายมากยิ่งขึ้น เพราะยีนมะเร็งปอด ในคนไข้แต่ละคนก็แตกต่างกันไป ทำาให้ การรักษาพัฒนาเป็นลักษณะเฉพาะบุคคล และตรงเป้าหมาย ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยน โฉมหน้าการรักษามะเร็งปอดระยะลุกลาม โดยสิ้นเชิง ยามุ่งเป้าที่ยีนมะเร็งปอด กลายพันธุ์เหล่านี้ ให้การตอบสนองสูง ได้ถึง 70 - 80% ในการทำาให้ก้อน มะเร็งปอดลดขนาดลงนั้นทั้งหมด เป็นยาเม็ด รับประทานวันละ 1 ครั้ง มีผลข้างเคียงต่ำากว่ายาเคมีมาก ส่วนใหญ่ จะเป็นฝ่ามือ ฝ่าเท้าแห้ง สามารถบรรเทา ได้ด้วยการทาโลชั่นให้ความชุ่มชื้น อาจ มีท้องเสียได้ในผู้ป่วยบางราย

นอกจากยามุ่งเป้าแล้วเทคโนโลยี การรักษามะเร็งปอดในปัจจุบัน ยังมียา ต้านการสร้างเส้นเลือด ตัดท่อน้ำาเลี้ยง เซลล์มะเร็ง และการรักษาทางระบบ ภูมิคุ้มกัน ซึ่งเราจะมาคุยกันในฉบับถัดไป ครับ Health Channel

August 2017

29


Health Variety by นพ.สุรพงศ์

เรื่อง : นพ.สุรพงศ์ อำาพันวงษ์

ความรู้เรื่องยีนและโครโมโซม ตอนที่ 1 “การตรวจโครโมโซม เพื่อปลอดกลุ่มโรคที่เกิดจาก ความพิการจากพันธุกรรมผิดปกติ 13 กลุ่มโรค”

โครโมโซม (Chromosome) เป็นหน่วยพันธุกรรมของมนุษย์ที่อยู่ในเซลล์ มีลักษณะ เป็นแท่งจับกันเป็นคู่ ในคนปกติมีทั้งหมด 23 คู่ โดยโครโมโซมคู่ที่ 23 จะมีลักษณะเป็นรูป xy ในเพศชาย และ xx ในเพศหญิง บนโครโมโซมทั้งหมดมียีนบรรจุอยู่ไม่ต่ำากว่า 20,000 ยีน

ดังนั้นถ้าโครโมโซมมีความผิดปกติไป เช่น มีการแหว่งขาด มีปริมาณเกิน หรือ มีรูปร่างผิดปกติ จะส่งผลให้เกิดความผิดปกติ ของยีนจำานวนมาก ก่อให้เกิดอาการมากมาย เช่น สติปัญญาบกพร่อง พัฒนาการช้า โรคหัวใจพิการแต่กำาเนิด พัฒนาการของ อวัยวะภายใน เช่น ไต ลำาไส้ ต่อมไร้ท่อ ผิดปกติ เป็นต้น ความผิดปกติของ โครโมโซมส่วนใหญ่เป็น “อุบัติเหตุ ทางพันธุกรรม” กล่าวคือ พ่อ - แม่ ไม่ได้มีความผิดปกติแต่อย่างใด แต่ช่วงที่ มีการส่งผ่านแท่งโครโมโซมจากพ่อ - แม่ มาสู่ลูก เกิดการส่งผ่านมาไม่ครบหรือ เกินจำานวน เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีส่วนน้อย ที่เป็นความผิดปกติในด้านรูปร่างโครโมโซม ของพ่อ - แม่ ซึ่งไม่แสดงอาการ แต่เมื่อถ่ายทอดให้ลูกในครรภ์แล้ว เกิดการแตกหักขึ้น โรคของโครโมโซมที่พบบ่อย เช่น กลุ่มอาการดาวน์ (Down Syndrome) ซึ่งมีโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง กลุ่มอาการเอ็ดเวิร์ด (Edward Syndrome) 30

Health Channel

August 2017

ซึ่งมีการเกินของโครโมโซมคู่ที่ 18 และ กลุ่มอาการพาเทา (Patau Syndrome) ซึ่งเป็นการเกินของโครโมโซมคู่ที่ 13 คู่สมรสที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น ที่จะตั้งครรภ์ ทารกที่มีโครโมโซมผิดปกติ

1. แม่ที่ตั้งครรภ์ในช่วงอายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไป

นพ.สุรพงศ์ อำาพันวงษ์

2. แม่ที่มีประวัติแท้งบ่อยโดย ไม่ทราบสาเหตุ 3. แม่ที่มีประวัติตั้งครรภ์ ก่อนมีทารกพิการหรือมีโครโมโซมผิดปกติ 4. พ่อ - แม่ ที่มีประวัติครอบครัว ของการเกิดเด็กที่มีสติปัญญาบกพร่อง พัฒนาการช้า หรือรูปร่างหน้าตาผิดปกติ

ตารางแสดงความเสี่ยงในการตั้งครรภ์เป็นดาวน์ซินโดรมตามช่วงอายุของมารดา* อัตราเสี่ยงตามอายุที่จะมีบุตรเป็นกลุ่มอาการดาวน์

อายุ 25 ปี อายุ 30 ปี อายุ 33 ปี **อายุ 35 ปี อายุ 38 ปี อายุ 40 ปี อายุ 45 ปี

อัตราเสี่ยง อัตราเสี่ยง อัตราเสี่ยง อัตราเสี่ยง อัตราเสี่ยง อัตราเสี่ยง อัตราเสี่ยง

* อ้างอิงจาก : Morris et al, 2013 **ตั้งแตอายุ 35 ปขึ้นไป เปนความเสี่ยงสูงขึ้น ที่แนะนําให้ตรวจน้ําคร่ํา

1 : 1,350 1 : 940 1 : 570 1 : 350 1 : 150 1 : 85 1 : 35


การตรวจโครโมโซมของทารกในครรภ์ ด้วยการเจาะตรวจน้ำาคร่ำา

ในคุณแม่ที่มีความเสี่ยงสูงดังกล่าว การเจาะตรวจน้ำาคร่ำา เป็นวิธีหนึ่งที่จะคัดกรอง โครโมโซมของทารกในครรภ์ได้ ทั้งนี้ไม่ได้ หมายความว่าคุณแม่จะมีลูกเป็นโรค ให้ทำาใจ ให้สบาย อย่าเครียด เพราะวิธีนี้เป็นเพียง การคัดกรองความสมบูรณ์ของลูกเท่านั้น โดยสูตินรีแพทย์จะนัดคุณแม่มาในช่วง อายุครรภ์ประมาณ 16 - 20 สัปดาห์ ทำาการอัลตร้าซาวด์ดูความสมบูรณ์ของทารก และใช้เข็มเล็กๆ เจาะดูดน้ำาคร่ำาที่ห่อหุ้ม ตัวทารกอยู่มาประมาณ 15 - 25 มิลลิลิตร และนักวิทยาศาสตร์ทางด้านพันธุศาสตร์ จะนำาเซลล์ที่ลอยอยู่ในน้ำาคร่ำาไปเพาะเลี้ยง และย้อมสีดูจำานวนและรูปร่างของโครโมโซม ของทารก ซึ่งใช้เวลาประมาณ 10 - 14 วัน หลังจากนั้นแพทย์จะนัดคุณพ่อคุณแม่ เพื่อแจ้งผลและให้คำาแนะนำาทางพันธุกรรม เกี่ยวกับผลที่ได้ต่อไป ข้อจำากัดของการตรวจโครโมโซมด้วยวิธี ย้อมสีแบบดั้งเดิม

การตรวจโครโมโซมด้วยวิธีข้างต้น สามารถคัดกรองความผิดปกติชนิดที่เห็นชัด เท่านั้น เช่น โครโมโซมเกิน โครโมโซมขาด โครโมโซมผิดรูปจากการที่มองเห็นได้ด้วย กล้องจุลทรรศน์ ดังนั้นโรคที่พบบ่อยไม่ว่าจะ เป็นโครโมโซมคู่ที่ 13, 18 หรือ 21 สามารถ คัดกรองได้ด้วยวิธีดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม ยังมีโรคของโครโมโซมอีกหลายโรคที่ไม่สามารถ ตรวจได้ด้วยวิธีดังกล่าว แต่พบได้เรื่อยๆ ในสังคม ซึ่งก่อให้เกิดเด็กที่มีสติปัญญาบกพร่อง ได้แก่ กลุ่มโรคที่เกิดจากการขาดหายของ โครโมโซมปริมาณเล็กน้อย (Microdeletion) นับเป็นเหตุสุดวิสัยจากการตรวจด้วยวิธีดั้งเดิม

เทคโนโลยีใหม่ในการตรวจโรคโครโมโซม ที่มีการขาดหายปริมาณเล็กน้อย (Microdeletion syndrome)

ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ การแพทย์มีความพยายามที่จะตรวจน้ำาคร่ำา ที่ดูดออกมาให้ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงมีเทคโนโลยีในการโคลนนิ่งชิ้นส่วนพันธุกรรม ของทารกเข้าไปในแบคทีเรียที่ใช้กันใน ทางการแพทย์ที่เรียกว่า BACs (Bacterial Artifi cial Chromosomes) เพื่อให้มีการตรวจ รายละเอียดการขาดหายน้อยๆ ของโครโมโซม ได้มากขึ้น ซึ่งวิธีนี้มีประสิทธิภาพสูง ใช้เวลา รวดเร็วไม่เกิน 2 สัปดาห์ และมีการตรวจ คัดกรองโรคที่ก่อให้เกิดความบกพร่องทางสติ ปัญญาได้เพิ่มมากขึ้นจากที่วิธีดั้งเดิม ไม่สามารถตรวจได้ ความผิดปกติของโครโมโซมที่ตรวจได้ด้วย เทคโนโลยี BACs

1. 2. 3. 4. 5. 6. 7.

8. Cri du Chat Syndrome 9. DiGeorge Syndrome I and II 10. Langer-Giedion Syndrome 11. Williams Syndrome 12. Miller-Dieker Syndrome 13. Prader Willi Syndrome

Down Syndrome (Trisomy 21) หมายเหตุ - เดิมไมสามารถตรวจได้ด้วยวิธีการ ตรวจโครโมโซมแบบดั้งเดิม Angelman Syndrome Edwards Syndrome ในการตรวจด้วยวิธีพิเศษต่างๆ นั้น (Trisomy 18) คุ ณ พ่ อ คุ ณแม่จำาเป็นต้องรับทราบข้อมูล Smith-Magenis Syndrome โดยละเอียดโดยการรับคำาปรึกษาแนะนำาทาง Patau Syndrome พันธุกรรมจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ทั้งก่อน (Trisomy 13) Wolf-Hirschhorn Syndrome การตรวจและหลังได้รับผล เพื่อประโยชน์ สูงสุดต่อสุขภาพกายและใจของ Syndrome associated with ทั้งครอบครัวด้วย Sex chromosomes Health Channel

August 2017

31


Chinese Medicine

เรื่อง : ศ.คลินิก แพทย์จีน นพ.ภาสกิจ วัณนาวิบูล

สามหลวงสหคลินิก (www.samluangclinic.com)

โรคกรดไหลย้อน (胃食管反流病)

มุมมองแพทย์แผนจีนและแผนปจจุบัน (ตอน 2)

เป็นทีท ่ ราบกันว่า การตรวจวินจ ิ ฉัยโรคกรดไหลย้อนโดยทัว่ ไปได้จากการชักประวัติ และอาการของผูป ้ ว่ ยเป็นหลัก แต่ในบางกรณีอาจจำาเป็นต้องได้รบ ั การวินจ ิ ฉัยพิเศษเพิม ่ เติม เช่น การส่องกล้องทางเดินอาหาร การเอกซเรย์กลืนสารทึบแสง หรือการตรวจวัดความเป็น กรด - ด่างในหลอดอาหาร ซึ่งให้ผลในการวินิจฉัยโรคได้รวดเร็ว

วิธีรักษาโรคกรดไหลย้อน แบบแผนปัจจุบัน 1. การรักษาด้วยยา โดยยา จะเข้าไปออกฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งกรด เพื่อช่วย ลดภาวะกรดเกินในกระเพาะอาหาร 2. ยาเพิ่มการเคลื่อนตัวของ ระบบทางเดินอาหาร เพื่อช่วยเพิ่มการบีบตัว ของลำาไส้มากขึ้น 3. การผ่าตัดซ่อมแซมกล้ามเนื้อ หูรูดหลอดอาหาร อาจเป็นอีกทางเลือก

ของผู้ป่วยในการป้องกันไม่ให้กรดไหลย้อน กลับขึ้นไปด้านบนอย่างผิดปกติ

โรคกรดไหลย้อนกับการรักษาแบบ แพทย์แผนจีน

แม้ว่าโรคกรดไหลย้อนจะมี พยาธิสภาพอยู่ที่กระเพาะอาหารเป็นหลัก แต่แพทย์จีนมองว่า เบื้องหลังการทำางาน

ของกระเพาะอาหาร คืออวัยวะม้ามและอวัยวะตับ การรักษาจึงต้องวิเคราะห์แยกแยะภาวะ ความเสียสมดุลหรือต้นตอที่แท้จริง การทำางานของม้าม ในการลำาเลียงอาหาร ที่ย่อยแล้วไปสู่ด้านบน (เหมือนการส่ง หน้าที่สำาคัญของกระเพาะอาหาร ระบายสินค้าออกไม่ดี การนำาเข้าวัตถุดิบ 1. รองรับอาหารและน้ำา (主受纳) เข้ามาก็จะตกค้างง่าย) ถ้าม้ามอ่อนแอ เสมือนขุนนางที่ทำาหน้าที่ดูแลเก็บกักอาหาร กระเพาะอาหารก็จะบีบตัวให้อาหารลงสู่ เสบียงกัง (仓廪之官,主纳水谷) เป็นที่เก็บอาหาร ลำาไส้เล็กได้น้อยลง ที่ผ่านการเคี้ยวในปาก และเดินทางผ่าน หลอดอาหาร ความสำาคัญของตับ 2. การย่อยอาหาร กระเพาะอาหาร อวัยวะตับ ควบคุมการขับเคลื่อน ทำาหน้าที่ย่อยอาหารในระดับต้นๆ (腐熟水谷) หรือกลไกพลังทั่วร่างกาย เป็นอวัยวะรับ เพื่อให้มีขนาดเล็กลงแล้วส่งไปย่อยต่อ สารอาหารที่ดูดซึมแล้วมาเก็บสะสมเป็น ที่ลำาไส้เล็ก พลังงานสำารองเพื่อนำาออกมาใช้ในยามจำาเป็น 3. ควบคุมการไหลลงของพลัง เป็นอวัยวะที่ส่งเลือดเพื่อตอบสนองต่อสิ่งเร้า สู่ด้านล่างในการขับเคลื่อนอาหารและ จากภายในและภายนอก รวมถึงการกระตุ้น การขับถ่ายอุจจาระ แต่การขับเคลื่อนพลังไป จากอาหารที่รับประทานไป ด้านล่างของกระเพาะอาหารต้องอาศัย ถ้าการทำางานของตับติดขัด (จากอารมณ์เครียดเก็บกด) หรือมากไป (จากอารมณ์โกธร) จะส่งผลต่อทิศทาง พลังขับเคลื่อนของม้ามและกระเพาะอาหาร ทำาให้การย่อยดูดซึมและลำาเลียงอาหารไม่ดี (ส่งขึ้นไปตับและปอดด้านบน) ขณะเดียวกัน การขับเคลื่อนอาหารลงล่างของกระเพาะอาหาร ก็ไม่ดีตามไปด้วย ซึ่งง่ายต่อการเกิดโรค กรดไหลย้อนนั่นเอง

32

Health Channel

August 2017


Health Society “สมูท อี”ชวนเผยผิวสุขภาพดี

คุณประชุม ภาสพัชรัคร ผู้อำ�นวยการฝ่ายขาย ให้เกียรติร่วมงาน “Skin Medical Health Check” โดยเวชสำ�อาง “Smooth E” พร้อมเผยนวัตกรรม “Advanced MES Technology” เปลี่ยนผิวบอบบาง แพ้ง่าย และมีแนวโน้มเป็นสิวง่ายให้ เป็นผิวสุขภาพดี โดยคัดสรรวัตถุดิบคุณภาพและกระบวนการผลิตระดับเดียวกับ มาตรฐานการผลิตของโรงพยาบาล

เคทีซีมอบดอกไม้จันทน์ในโครงการ ๙,๙๙๙ ดอกดารารัตน์ ร้อยรักถวายอาลัยพ่อ

นางสาวสุดาพร จันทร์วัฒนากุล รองประธานเจ้าหน้าที่ บริหาร – ธุรกิจสินเชื่อบุคคล พร้อมด้วย นางสาว พจนีย์พร ชำ�นาญภักดี ผู้อำ�นวยการ – ทรัพยากร บุคคล บริษัท บัตรกรุงไทย จำ�กัด (มหาชน) เป็นตัวแทน มอบดอกไม้จันทน์แบบดอกดารารัตน์ ในโครงการ “๙,๙๙๙ ดอกดารารัตน์ ร้อยรัก ถวายอาลัยพ่อ” เพื่อใช้ในพระราชพิธีถวายพระเพลิง พระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช

ทีมนิเทศศาสตร์เกษตร สจล. คว้ารางวัลชนะเลิศคลิป รณรงค์ต่อต้านยาเสพติด

นายศิวกร น้ำ�ทอง นายอัครพงศ์ ด้วงพิบูลย์ และ นางสาวอริสรา ภู่พันธ์ นักศึกษาสาขาวิชานิเทศศาสตร์ เกษตร คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยี พระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) คว้ารางวัลชนะเลิศการประกวดสื่ออินโฟกราฟิกและ คลิปวิดีโอ รณรงค์ให้ผู้ติดยาเสพติดได้รับการบำ�บัด ที่ถูกต้อง ภายใต้หัวข้อ “ผู้เสพเท่ากับผู้ป่วย” หนึ่งใน

รพ.จุฬาฯ เปิดบริการอาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เปิดบริการ “อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์”

โครงการทำ�ดีเพื่อพ่อ ภายใต้ความดูแลของ ดร.กุลชัย กุลตวนิช อาจารย์ที่ปรึกษา

อาคารรักษาพยาบาลรวมอาคารใหม่ขนาด 29 ชั้น ซึ่งเพียบพร้อมด้วยบริการ ทางการแพทย์ตามมาตรฐานสากลที่ทันสมัย และครบวงจรแบบเบ็ดเสร็จ ด้วยการบริการรักษาพยาบาลที่สะดวกรวดเร็ว และเข้าถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ได้ดียิ่งขึ้น ในระดับพรีเมี่ยมแก่ประชาชนทุกระดับในราคามิตรภาพที่คนไทย สามารถจ่ายได้ และคาดว่าจะสามารถรองรับผู้ป่วยในได้กว่า 1,200 เตียง ซึ่งถือเป็น “มิติใหม่แห่งการให้เพื่อทุกชีวิต”

Health Channel

August 2017

33


Health Society บมจ. บางกอก เชน ฮอสปิทอล มอบเงินกิจกรรม วิ่งการกุศล “เกษมราษฎร์ซุปเปอร์ รัน”

ผศ.พ.ญ.สมพร หาญพาณิชย์ รองประธานเจ้าหน้าที่ บริหารบริษัท บางกอกเชน ฮอสปิทอล จำ�กัด (มหาชน) นำ�คณะผู้บริหารและผู้สนับสนุนหลักของ กิจกรรม มอบรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายจากกิจกรรม วิ่งการกุศลเกษมราษฎร์ ซูเปอร์รัน “Kasemrad Super Run” ถวายเพื่อสมทบทุนสร้าง “อาคารปฎิบัติธรรม 100 ปี สมเด็จพระญาณสังวร นริศรมงคลสตมายุวัฒนเกษม สุขรังสรรค์” จังหวัดนครปฐม

รพ.เจ้าพระยาใส่ใจโรคความดัน

นพ.สุทธิพงศ์ ทัศนียพันธุ์ อายุรแพทย์โรคหัวใจ รพ.เจ้าพระยา และดาราสาวสวย น้ำ�หวาน กรรณาพร ได้เปิดเวทีเสวนาแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องโรคความดันโลหิตสูง ในงาน BE STRONG...BE HEALTHY@HOSPITAL ROADSHOW ครั้งที่ 2 เนื่องในวันความดันโลหิตสูงโลกประจำ�ปี 2560 โดยได้รับความสนใจจากประชาชน เข้าร่วมรับฟังเป็นจำ�นวนมาก

“แพน คอสเมติก” เปิดตัวสุดยอดนวัตกรรมแห่งปี

แพน คอสเมติก ผู้นำ�แบรนด์เวชสำ�อางไทยรายใหญ่ ที่สุดในประเทศ จัดงาน “ช็อกสิวได้ใน 3 วัน” เปิดตัว ผลิตภัณฑ์ใหม่ “แพน แอคเน่ ฟอร์มูลา ทรี โลชั่น” นวัตกรรมการรักษาสิวแบบใหม่โดยไม่ต้องใช้ยา โดยทำ�ให้สิวฝ่อตัวลงอย่างรวดเร็ว พร้อมให้ความรู้การ กำ�จัดวงจรสิว โดยมีเหล่าดารามาร่วมงานอย่างคับคั่ง

พัฒนาอาชีพเกษตรและพืชสวนครัว

นายมนตรี บุญจรัส ประธานกรรมการชมรมเกษตรปลอดสารพิษ ผู้นำ�ด้านเกษตร ปลอดสารพิษครบวงจร ร่วมถ่ายทอดความรู้ “ในโครงการส่งเสริมความรู้ เพื่อพัฒนาอาชีพการเกษตรและพืชสวนครัว” ณ จังหวัดกาญจนบุรี โดยมี การสาธิตให้ผู้เข้าอบรมทำ�ปุ๋ยหมักชีวภาพด้วยตัวเอง ซึ่งโครงการนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิต ให้เกษตรกรสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน

34

Health Channel

August 2017


ີŒÒ¡ÅÙ᤹ ¨Ò¡ÂÕʵ ¢¹Á»˜§ àÊÃÔÁÀÙÁԤ،Á¡Ñ¹µŒÒ¹ÁÐàÃç§ àºµŒÒ¡ÅÙ᤹ äÁ‹ä´Œà»š¹à¾Õ§ÊÒÃÍÒËÒ÷ժè Ç‹ Âà¾ÔÁè ÀÙÁ¤Ô ÁØŒ ¡Ñ¹ ãˌᡋËҧ¡ÒÂà·‹Ò¹Ñé¹ áµ‹ÂѧÊÒÁÒöª‹ÇµŒÒ¹Í¹ØÁÙÅÍÔÊÃÐ ÂѺÂÑé§ ¡ÒÃà¨ÃÔÞàµÔºâµ¢Í§àªÅÅ ÁÐàÃç§ËÅÒª¹Ô´ ¹Í¡¨Ò¡¹ÕÂé §Ñ ª‹ÒÂÅ´ÍÒ¡Òà ÀÙÁÔᾌ ÅÁ¾ÔÉ áÅÐ䢢ŒÍÍÑ¡àʺ䴌ÍÕ¡´ŒÇ ີŒÒ¡ÅÙ᤹ คือ สารประกอบของน้ำาตาลกลูโคส ที่พบได้ทั้งในยีสต์ขนมปัง สาหร่าย เห็ด และพืชบางชนิด แต่ไม่พบในสัตว์หรือคน มีสรรพคุณช่วยเพิม่ ภูมคิ มุ้ กันแก่รา่ งกาย และต้านอนุมลู อิสระ ซึง่ โครงสร้างของเบต้ากลูแคนเมือ่ ได้จาก แหล่งทีต่ า่ งกัน ประสิทธิภาพก็จะต่างกันไปด้วย ทัง้ นีข้ นึ้ อยูก่ บั สายพันธุ์พืชที่ใช้ ช่วงเวลาที่เก็บเกี่ยว และความบริสุทธิ์ของ เบต้ากลูแคนที่สกัดได้ และจากการศึกษา พบว่า ີŒÒ¡ÅÙ᤹ºÃÔÊ·Ø ¸Ô¨ì Ò¡ÂÕʵ ¢¹Á»˜§ มีประสิทธิภาพในการเสริมสร้างภูมคิ มุ้ กันให้รา่ งกายได้ ดีที่สุด ประโยชน์ ข องเบต้ า กลู แ คนจากยี ส ต์ ข นมปั ง คื อ ช่วยเสริมให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรง ลดการอักเสบ ช่วยเสริมหรือ ใช้แทนยาปฏิชวี นะ ทำาให้บาดแผลหายเร็วขึน้ ในกรณีผา่ ตัดหรือ ผู้ป่วยเบาหวาน ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชลล์มะเร็ง ลดอาการภูมิแพ้ ลมพิษ ลดผลข้างเคียงจากเคมีบำาบัด การ ฉายรังสี ลดอาการไขข้ออักเสบ โรคทางเดินอาหารอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ เป็นต้น ผลจากการใช้เบต้ากลูแคนจากยีสต์ขนมปังในผู้ป่วย ที่เข้ารับการผ่าตัด พบว่าเบต้ากลูแคนจะช่วยกระตุ้นการสร้าง คอลลาเจนให้กบั เชลล์ผวิ หนัง กระตุน้ เม็ดเลือดขาวทีท่ าำ หน้าที่ ซ่อมแซมบาดแผล ลดการติดเชื้อ และช่วยให้แผลหายเร็ว

Êͺ¶ÒÁàÃ×èͧ ີŒÒ¡ÅÙ᤹ â·Ã.

ส่วนในผู้ป่วยภูมิแพ้ จะช่วยปรับเปลี่ยนให้ร่างกาย มีความสมดุลทีเ่ หมาะสม ลดอาการแพ้โดยทีไ่ ม่ตอ้ งทานยาแก้แพ้ บ่อยๆ ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น นอกจากนี้ในผู้ป่วยโรคมะเร็ง เบต้ากลูแคนยังช่วย ต่อต้านการเจริญเติบโตของเชลล์มะเร็งหลายชนิด ช่วยยืดอายุ ผูป้ ว่ ยมะเร็งระยะสุดท้าย รวมถึงผูป้ ว่ ยมะเร็งทีต่ อ้ งเข้าการรักษา แบบเคมีบาำ บัด อาจทำาให้เซลล์เม็ดเลือดชนิดต่างๆ หรือเชลล์เยือ่ บุ ได้รับผลกระทบจากการทำาเคมีบำาบัดได้ ดังนั้นเบต้ากลูแคน จะเข้ามาช่วยในการฟื้นฟูตัวของไขกระดูก ทำาให้การสร้าง เม็ดเลือดชนิดต่างๆเป็นไปอย่างปกติ อีกทั้งยังช่วยให้เชลล์ ฟื้นตัวเร็ว ต้านอนุมูลอิสระได้ดี ไม่ เ พี ย งเท่ า นี้ ผู้ ที่ มี ภ าวะเป็ น โรคหื ด สะเก็ ด เงิ น โรคม่านตาอักเสบ โรคพุม่ พวง โรคเหงือกอักเสบเรือ้ รัง ข้อเสือ่ ม เมื่อรับประทานเบต้ากลูแคนอย่างต่อเนื่องจะสามารถช่วยให้ อาการเหล่านี้ทุเลาหรือสามารถกลับมาเป็นปกติได้ดังเดิม ËÅÒ¤¹ÍÒ¨ÁÕ¢ŒÍʧÊÑÂÇ‹ÒີŒÒ¡ÅÙ᤹¨Ò¡ÂÕʵ ¢¹Á»˜§ ¨ÐÁÕ»ÃÐ⪹ ¡Ñº¤¹»¡µÔ·ÕèËҧ¡ÒÂá¢ç§áç àËÁÒÐËÃ×ÍäÁ‹ คำาตอบคือ ä´Œ เพราะเบต้ากลูแคนจากยีสต์ขนมปัง จะช่วยสร้างภูมคิ มุ้ กัน ต่อต้านสิง่ แปลกปลอมทีจ่ ะเข้าสูร่ า่ งกาย ลดความเสี่ยงจากการถูกคุกคามของโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดจาก ปัจจัยภายนอก อย่างในนมผงเด็กบางยี่ห้อ หากเราสังเกต จะพบว่า มีเบต้ากลูแคนผสมอยูด่ ว้ ย นัน่ แสดงให้เห็นว่า แม้แต่ ในเด็กทารกยังสามารถใช้ได้โดยไม่เกิดโทษแต่อย่างใด ¤§¨Ð´Õ¡Ç‹Ò¹Õ鶌ҷء¤¹ÃÙŒ¨Ñ¡ÊÌҧÀÙÁԤ،Á¡Ñ¹ãˌᡋËҧ¡Ò âäÌÒ¡çäÁ‹ÊÒÁÒöÁÒàºÕ´àºÕ¹䴌

08-5556-2042 ËÃ×Í id

085556204235

Health Channel

August 2017


ประชาชื่น MRI

รู้ก่อนปลอดภัย รักษาได้ไม่ลุกลาม MRI Check up ราคาพิเศษ

เมื่อจองตรวจทาง Online @mrithailand MRI »ÃЪҪ×è¹

เรามีศูนย์ MRI ที่มีสาขามากที่สุด ครอบคลุมกว่า 13 สาขา ทั่วประเทศ เรามีแพทย์และทีมงานที่มีประสบการณ์ด้าน MRI มายาวนานกว่า 20 ป เรามีเครื่องมือที่ทันสมัย มีคุณภาพสูง จึงให้ภาพที่ถูกต้อง ชัดเจน แม่นยำา

ÁÕÊÒ¢Ò¤Ãͺ¤ÅØÁ·ÑèÇ»ÃÐà·È

• • • •

»ÃЪҪ×è¹ ÍÔÁàÁ¨¨Ôé§ à«ç¹àµÍà ¢Í¹á¡‹¹ ¾Õ.«Õ.ÍÔÁàÁ¨¨Ôé§ à«ç¹àµÍà ËÒ´ãËÞ‹ ¾Õ.«Õ.ÍÔÁàÁ¨¨Ôé§ à«ç¹àµÍà Èٹ MRI âç¾ÂÒºÒÅ·ËÒü‹Ò¹ÈÖ¡

• • • •

ºÒ§¹Ò ¾Õ.«Õ.ÍÔÁàÁ¨¨Ôé§ à«ç¹àµÍà • ¸¹ºØÃÕ ¾Õ.«Õ.ÍÔÁàÁ¨¨Ôé§ à«ç¹àµÍà ¾ÔɳØâÅ¡ ¾Õ.«Õ.ÍÔÁàÁ¨¨Ôé§ à«ç¹àµÍà • ÍØ´Ã ¾Õ.«Õ.ÍÔÁàÁ¨¨Ôé§ à«ç¹àµÍà ÊØÃÒɮà ¾Õ.«Õ.ÍÔÁàÁ¨¨Ôé§ à«ç¹àµÍà • Èٹ MRI àªÕ§ÃÒ àªÕ§ãËÁ‹ ¾Õ.«Õ.ÍÔÁàÁ¨¨Ôé§ à«ç¹àµÍà • Èٹ àÍç¡«àà¤ÍÁ¾ÔÇàµÍà þ.ÊÁà´ç¨¾ÃÐÂؾÃÒª à´ªÍØ´Á • Èٹ àÍç¡«àà¤ÍÁ¾ÔÇàµÍà âç¾ÂÒºÒŹҧÃͧ

ÊÒÁÒöࢌҵÃǨ MRI ·Ø¡ÍÇÑÂÇÐä´Œ´ŒÇµÑÇàͧ â´ÂäÁ‹µŒÍ§ÃÍãºÊÑè§á¾·Â â·Ã.Êͺ¶ÒÁ MRI Call Center : 0-899-898-777 www.mrithailand.com


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.