100 a4 (2)

Page 1

ร้อยธรรมคำ�สอนจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ร่วมถ่ายภาพแล้วเขียน ร้อยธรรมคำ�สอนใต้ภาพ แล้ว #instaDham ผ่าน Instagram และ Facebook เพื่อน้อมรำ�ลึกถึงพระกรุณา และร่วมเผยแผ่ธรรมะจากคำ�สอนขององค์สมเด็จพระสังฆราชาของไทย ๑. ที่เรียกว่าได้นั้น เป็นการเริ่มต้นของการเสียไป ๒. ไหว้พระด้วยใจทีเ่ คารพศรัทธาในพระรัตนตรัยสูงสุด ได้ผลดีแก่ จิตใจ ยิง่ กว่ายกมือไหว้พร้อมกับอธิษฐานปรารถนาสิง่ นัน้ สิง่ นี้ ๓. การให้ธรรมที่แท้จริง หมายถึงการทำ�ตนเองของทุกคนให้มีธรรม ไม่ต้องมีการแสดงออก เป็นการสั่งสอนด้วยวาจา ๔. เมื่อเราทำ�ความดีในวันหนึ่งๆ อยู่ทุกวัน จะตายวันไหนก็ดีทั้งนั้น ประเสริฐทั้งนั้น ๕. ทั้งสิ่งที่น่าหัวเราะ ทั้งสิ่งที่น่าร้องไห้นั้น เป็นทุกข์ทั้งนั้น เพราะ ทุกๆ อย่างนั้น ต้องเกิดต้องดับ ๖. ไม่ควรสร้างความสุขให้ตนเอง ด้วยการก่อความทุกข์ให้แก่คนอืน่ ๗. ผู้ที่ละได้ทั้งแพ้และชนะจึงจะได้ความสงบสุข ๘. ลมหายใจเข้าออกของทุกๆ คนนี้เป็นแหล่งบังเกิดขึ้นแห่งสมาธิ และปัญญา ๙. ภัยทีพ่ อ่ แม่ ญาติ ซึง่ เป็นทีร่ กั ลูกก็ชว่ ยกันไม่ได้ ก็คอื แก่เจ็บตาย ๑๐. ส่วนความดีชั้นเอก ก็คือความดีที่ชนะความชั่วของตนเอง ๑๑. บุคคลผู้ทรงปัญญาย่อมปฏิบัติกระทำ�จิตของตนให้ตรงได้ เหมือนอย่างนายช่างศรดัดลูกศร ๑๒. อาการที่ตั้งสงบอยู่ในภายใน รู้อยู่ไม่ออกรับ ดั่งนี้คืออุเบกขา ๑๓. อันรูปธรรม นามธรรมนัน้ แสดงความไม่เทีย่ งของตัวเองอยูท่ กุ ขณะ ๑๔. การเพ่งดูผู้อื่นทำ�ให้ตนเองไม่เป็นสุข แต่การเพ่งดูใจตนเอง ทำ�ให้เป็นสุขได้ ๑๕. อะไรดี อะไรชั่ว รู้ทั้งนั้น เรียกว่า ใช้ความรู้นั้นช่วยตนเองไม่ได้ ก็เพราะขาดความเคารพในธรรมที่รู้ ๑๖. ผู้ทำ�ความดี เหมือนผู้มีแสงสว่างอยู่กับตัว ๑๗. เมื่อเป็นเหตุการณ์ที่จะต้องเกิด ก็เกิดขึ้นจนได้ ๑๘. รักอยูท่ ไ่ี หนชังก็อยูท่ น่ี น่ั มีความใคร่อยูท่ ไ่ี หนความโกรธก็มอี ยูท่ น่ี น่ั ๑๙. ผลดีเกิดจากเหตุที่ดี ผลไม่ดีเกิดจากเหตุที่ไม่ดี ๒๐. สติจึงมีหน้าที่สำ�คัญ คือเป็นผู้เสนอเรื่องแก่จิตเพื่อพิจารณา ๒๑. ศีลก็เหมือนอย่างราก สมาธิก็เหมือนอย่างต้น ปัญญาก็เหมือน อย่างยอด เมื่อเทียบกับต้นไม้ ๒๒. จิตนี้ในขณะที่มีกิเลสกลุ้มกลัดอยู่นั้น เหมือนอย่างบ้านที่กำ�ลัง ถูกโจรปล้น หรือว่าอย่างบ้านที่หลังคารั่ว ฝนตกรั่วรด ต้องเปียก มอมแมม ๒๓. สำ�คัญมั่นหมายว่าเป็นตัวเราของเรานั้นหาได้มีไม่ มีสักแต่ว่า ธาตุดิน ธาตุน้ำ� ธาตุไฟ ธาตุลม และธาตุอากาศ ๒๔. ชีวิตนี้ย่อมมีความตายเป็นที่สุดเหมือนกันหมด ๒๕. สัจธรรมนั้นก็เป็นสิ่งที่เป็นอกาลิโกไม่ประกอบด้วยกาลเวลา ดำ�รงอยู่ไม่มีเบื้องต้น ไม่มีที่สุด ๒๖. การเรียนให้รู้ก็เพื่อปฏิบัติ ถ้าหากว่าไม่ปฏิบัติก็ไม่บังเกิดเป็นผล ทั้งในทางคดีโลกและทั้งในทางคดีธรรม

๒๗. จิตนี้เป็นธรรมชาติประภัสสรคือผุดผ่อง แต่เศร้าหมองไปเพราะ อุปกิเลสคือเครื่องเศร้าหมองที่จรเข้ามา ๒๘. ศีลสมาธิปัญญาทั้ง ๓ นี้ กับทั้งวิมุตติ​ิอันเป็น ส่วนผลจึงต้อง อาศัยกัน เหมือนอย่างเป็นแผ่นดิน เป็นเท้า เป็นลำ�ตัว เป็นศีรษะ ๒๙. โลกคือหมูส่ ตั ว์ ซึง่ วนเวียน เกิด-แก่-ตาย จุตคิ อื เคลือ่ นออกจาก กายทีแ่ ตกสลาย อุปปัตคิ อื เข้าถึงภพชาติใหม่ ก็เป็นไปอยูด่ ง่ั นี้ ๓๐. ในขณะที่ยังมีอาสวะเป็นตะกอนก้นตุ่มอยู่ ก็ต้องทำ�ความดี เพื่อชำ�ระอาสวะ ที่เป็นตะกอนก้นตุ่มนี้ให้สิ้นไปโดยลำ�ดับ ๓๑. ที่ยึดถือกันอยู่ว่าสวยงามน่ารักน่าชมสะอาด นั่นก็เป็นเพียงยึด ในมายาของกาย ๓๒. พิจารณาละมายาเสีย มองเข้าไปเห็นสัจจะคือความจริง ซึ่งเป็น สิ่งที่ปฏิกูลไม่สะอาดไม่งดงาม ๓๓. ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นสิ่งที่ปฏิกูลไม่สะอาดและไม่งดงาม เพื่อป้องกันใจไม่ให้บังเกิดราคะคือความติดใจยินดี ๓๔. ผิวพรรณที่อุตสาหะพยายามถนอมรักษาให้งดงาม มีลักษณะ ตรงกันข้ามกับความปรารถนาอย่างสิ้นเชิง เมื่อความตายมาถึง ๓๕. ปัญญาในธรรมนั้นต้องอาศัยจิตที่บริสุทธิ์ โดยมี ศีลเป็นที่รองรับ หรือเป็นพื้น ท่านจึงเปรียบศีล เหมือนอย่างแผ่นดิน ๓๖. อะไรก็ไม่ใช่เป็นของของตนทั้งนั้น แต่ว่ากรรมที่กระทำ�ไว้เป็น ของของตน ๓๗. ผิดศีลกันได้ต่างๆ เพราะกาม ๓๘. สังขารคือปรุงแต่งนี้ก็เป็นอาการของชีวิต ซึ่งต้องมีการปรุงแต่ง กันอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา หยุดปรุงแต่งเมื่อไหร่ก็ตาย ๓๙. เมื่อไม่มองเห็นว่าเป็นทุกข์ก็ยังยึดถือทุกข์อยู่ ไม่ปล่อยทุกข์ เหมือนอย่างเมื่อกำ�ก้อนถ่านไฟไว้ในมือ ๔๐. มีธรรมะเป็นใหญ่ ไม่ใช่มีโลกเป็นใหญ่ ไม่ใช่มีตนเป็นใหญ่ แต่มีธรรมะเป็นใหญ่เป็นธรรมาธิปไตย ๔๑. ไม่รักเสียจนไม่รู้ผิดไม่รู้ถูก ซึ่งความรักเช่นนั้นไม่ใช่เป็นความรัก ที่เป็นเมตตา ๔๒. เมื่อมีสติกับปัญญามาเป็นกระจกส่องดูจิตของตนเอง ก็ย่อมจะ รู้จักจิตของตนเองว่าเป็นอย่างไร ๔๓. กามเป็นสิ่งที่ให้คุณน้อยแต่ว่ามีโทษมาก ๔๔. ตัณหา ความดิน้ รนทะยานอยาก ล้วนเป็นเครือ่ งเผาจิตใจทัง้ นัน้ ๔๕. ถ้าไม่เพียรเผากิเลสเสีย กิเลสก็ย่อมบังเกิดขึ้นเผาจิตใจของ บุคคลนั้นเอง ๔๖. ความรู้ว่าทุกคนเกิดมาแล้วต้องตายเป็นสิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ ยิ่งใหญ่ ๔๗. เมื่อมีความผูกพันยินดีติดอยู่ ครั้นสิ่งที่ผูกพันนั้นแปรปรวน เปลี่ยนแปลงไป จึงต้องมีความทุกข์ ๔๘. สิง่ ใดชำ�รุดสิง่ นัน้ ได้ชอ่ื ว่าโลก สิง่ ใดทีด่ �ำ รงอยูส่ ง่ิ นัน้ ได้ชอ่ื ว่าธรรม


๔๙. ดับหรือหักใจในส่วนที่เป็นอดีต ในส่วนที่เป็นอนาคต และในส่วนที่เป็นปัจจุบันได้ ก็จะเป็นผู้ที่มีจิตใจสงบ ๕๐. การปฏิบัติธรรมะของพระพุทธเจ้าทุกข้อทุกบท จึงเป็นการปฏิบัตินำ�ออกไปจากเครื่องผูกพันอาลัยห่วงใย ๕๑. การทำ�บุญแม้ทลี ะน้อยๆ ก็ยอ่ มทำ�ให้บญ ุ เต็มขึน้ มาได้ มากขึน้ มาได้ ้ ๕๒. จิตที่เป็นปรกติ เหมือนอย่างนำ�ในแม่น้ำ�ที่ไม่มีลม ความที่เป็นปรกติดั่งนี้ คือ ศีล ๕๓. แม้จะยึดถือไว้เพียงไรขันธ์ห้า นี้ก็ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตายไป ตามธรรมดานั้นเอง ๕๔. คนไขน้ำ�ย่อมไขน้ำ� ช่างศรย่อมถากลูกศร ช่างไม้ย่อมถากไม้ บัณฑิตทั้งหลายย่อมฝึกตน ๕๕. ผู้รู้พ้นคือไม่ยึด ก้อนถ่านไฟที่ติดไฟอยู่ ท่านไม่ได้กำ�เอาไว้ ท่านจึงไม่ร้อน ๕๖. ประกอบธุระการงานต่างๆ ไป แต่ว่าก็ต้องหาเวลามา ที่จะชำ�ระดวงตาคือปัญญาของตน ๕๗. จิตที่มิได้อบรมแล้ว มิได้รักษาคุ้มครองแล้ว เป็นจิตที่ไม่ควรแก่การงาน ๕๘. ความดีที่ทำ�ไว้นั้นก็ยังเก็บอยู่ในจิตส่วนลึกเรียกว่าบารมี ๕๙. ความเพียรที่มั่นคง แม้ทีละน้อย ที่เหมือนอย่างน้ำ�ทีละหยาดๆ นั้น ก็ทำ�ให้เต็มได้ ๖๐. ความโศกความกลัวเกิดจากตัณหา คือความดิ้นรนทะยานอยาก ๖๑. ถ้ายังมีอาสวะอนุสัยอยู่ ก็ไม่ชื่อว่าไกลกิเลส เรียกว่ายืนทับกิเลส เดินทับกิเลส นั่งทับกิเลส นอนทับกิเลสอยู่ ๖๒. กิเลสเมื่อเกิดขึ้นก็เหมือนอย่างเป็นไฟที่เผาจิตใจ ๖๓. ภาวนา แปลว่า การทำ�ให้มีขึ้น ให้เป็นขึ้น ๖๔. ทำ�ชั่วเมื่อใด ก็เป็นคนชั่วขึ้นทันที คือภูมิชั้นภาวะของตน ของจิตใจ ชั่วขึ้นทันที ๖๕. ความริษยานี้มีโทษมาก เป็นเครื่องทำ�ลายความดี ความสุขของคนอื่น ๖๖. ความเกิดเป็นธรรมดา จะปรารถนาไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ ๖๗. ความแก่ความตายเป็นธรรมดา จะปรารถนาไม่ให้แก่ ไม่ให้ตายก็ไม่ได้ ๖๘. เมื่อเมตตาตั้งขึ้นในจิตได้ก็จะดับพยาบาทได้ จะป้องกันไม่ให้พยาบาทบังเกิดขึ้นได้ ๖๙. อาสวะนั้นก็เปรียบด้วยตะกอนนอนก้นตุ่ม ที่ฟุ้งขึ้นมาก็ทำ�ให้จิตที่เคยใสกลับกลายเป็นจิตขุ่น ๗๐. ความเพียรควรเร่งรีบทำ�ในวันนี้ทีเดียว ใครเล่าจะรู้ว่า ความตายจะมาต่อวันพรุ่งนี้ ๗๑. เฉยเสียได้ วางเสียได้ จากความยินดีความยินร้าย ดัง่ นีค้ อื อุเบกขา ๗๒. กิเลสนีไ้ ม่ชอบให้ดู ไม่ชอบให้รู้ ไม่ชอบให้เห็น ชอบแต่ทจ่ี ะแฝงตัวอยู่ ๗๓. กิเลสทีถ่ กู จิตเพ่งดูดว้ ยปัญญากับสติดง่ั นี้ กิเลสย่อมจะอ่อนกำ�ลังลง ๗๔. ผู้เป็นบัณฑิตจึงถากไสตัวเองดัดตัวเอง ปฏิบัติที่จะละชั่ว ทำ�ดีด้วยตัวเองอยู่ดั่งนี้ ๗๕. จิตดิ้นรนกวัดแกว่งกระสับกระส่ายรักษายากห้ามยาก ในเมื่อขาดสติปัญญา

๗๖. ถ้าใจล้มไปเพราะความโลภแล้ว ก็ย่อมจะประกอบการทุจริต คดโกงฉ้อฉล เป็นต้น ๗๗. ประทุษร้ายตนเองนั้นก็คือว่าเลิกละกิจที่ควรจะทำ� เพราะความโกรธ ก็เป็นอันว่าใจล้มนั่นเอง ๗๘. กายอันนี้ก่อนจะเกิดก็ไม่มี และในที่สุดก็กลับไม่มีอีกตามเดิม ๗๙. ความอิ่มด้วยตัณหานั้นไม่มี หรือความอิ่มด้วยกามนั้นไม่มี เพราะว่าจิตใจนี้เองไม่มีอิ่ม ๘๐. ทำ�ชัว่ สรรเสริญว่าทำ�ดี ก็ไม่ท�ำ ให้ผทู้ ถ่ี กู สรรเสริญว่าดีนน้ั ดีขน้ึ มาได้ ๘๑. ทำ�ดีแต่ถูกนินทาว่าชั่ว ก็ไม่ทำ�ให้ความดีกลับเป็นความชั่วได้ เมื่อทำ�ดีก็คงเป็นทำ�ดีอยู่นั่นเอง ๘๒. มีสติพิจารณาถึงกาลเวลา เพื่อที่จะได้เกิดปัญญารู้จักว่า จะใช้กาลเวลาอย่างไร ๘๓. ความดำ�รงชีวิตอยู่ของผู้มีศีล มีจิตเพ่งพินิจตั้งมั่น ในกุศลธรรมทั้งหลาย เป็นอยู่เพียงวันเดียวก็ประเสริฐ ๘๔. ถ้ากามไม่มีคุณเสียเลยจิตก็จะไม่ติดในกาม เพราะกามมีคุณ ส่วนที่น่าพอใจอยู่ด้วยจึงทำ�ให้ติด ๘๕. โดยปรมัตถ์แล้วไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ๘๖. กรรมนั้นเมื่อทำ�แล้วก็เหมือนดื่มยาพิษร้ายแรงเข้าไปแล้ว จะไม่เกิดผลแก่ชีวิตและร่างกายไม่มี ๘๗. หายใจออกครั้งนี้แล้วอาจจะไม่หายใจเข้าอีก เมื่อถึงเวลาจะต้องตาย ไม่มีผู้ใดจะผัดเพี้ยนได้ ๘๘. บรรดาสิง่ ทีย่ ดึ ถือไว้นน้ั เมือ่ ปล่อยวางลงไปได้ทกุ ข์ตา่ งๆ ก็ดบั ไปหมด ๘๙. กำ�อะไรไว้ ยึดอะไรไว้ ก็ปล่อย ก็ส่งคืนแก่เจ้าของเขาไป คืนแก่ธรรมชาติธรรมดา ๙๐. ขันธ์อายตนะธาตุก็เป็นตัวสภาวะทุกข์ เหมือนอย่างเป็น ก้อนถ่านไฟที่มีไฟติด ๙๑. กรรมก็เป็นเหตุให้ประสบวิบากคือผลอีก และผลก็เป็นเหตุ ก่อกิเลสขึ้นอีก จึงเรียกว่าวัฏฏะ ที่แปลว่าวนเวียน ๙๒. สันติของใจก็มีได้ มีได้ให้เห็นได้ ให้รู้ได้ ในเดี๋ยวนี้ ในวันนี้ธรรมะจึงเป็น สันทิฏฐิโก ๙๓. ถ้าหากว่ากามไม่ให้ความสุขความเพลิดเพลินเสียเลยแล้ว คนก็จะไม่ติดในกามไม่ติดในโลก ๙๔. เราผู้เจริญเมตตานั้นมีสุขก่อน ๙๕. เราจะทำ�ให้หายโกรธด้วยเมตตานี้ได้ ๙๖. วางได้ ก็คือ วางความวุ่นวายต่างๆ เฉยได้ ก็คือ สงบ ไม่ทุรนทุราย ๙๗. จิตที่ประกอบด้วยความบันเทิงยินดี ต่อความสุขความเจริญ ของผู้อื่น เป็นเครื่องกำ�จัดความริษยา ๙๘. ปลาทีจ่ บั ขึน้ มาจากน้ำ� ก็จะดิน้ ลงไป เพือ่ จะลงน้ำ� ฉันใด จิตทีจ่ บั มาตัง้ อยูใ่ นอารมณ์ของสมาธิกฉ็ นั นัน้ ก็จะดิน้ ลงไปสูน่ ้ำ�คือ กามคุณารมณ์ ๙๙. ตนรักสุขเกลียดทุกข์ฉันใด สัตว์อื่นก็รักสุขเกลียดทุกข์ฉันนั้น ๑๐๐. เวร คือ ความเป็นศัตรูกัน ของบุคคลสองคน หรือสองฝ่าย เพราะฝ่ายหนึ่งก่อกรรม อีกฝ่ายหนึ่ง ก็ผูกใจเจ็บคิดแก้แค้น


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.