37 minute read
NEWS
by INNOLAB
SENSA ช่วยเติมเต็มโซลูชันการบำาบัด น้ำาของวีโอเลียสำาหรับอุตสาหกรรมยา ซึ่ง ตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรม เครื่องสำาอางด้วยเช่นกัน สามารถผลิตน้ำา ในคุณภาพต่างๆ เพื่อการประยุกต์ใช้งาน เช่น การผลิตน้ำาบริสุทธิ์พิเศษ การผลิตน้ำาในกระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรม และการผลิตน้ำาประปา SENSA จึงตอบ สนองทุกความต้องการของอุตสาหกรรม เครื่องสำาอาง
Advertisement
SENSA เป็นระบบรีเวอร์สออสโมซิส (RO) ซึ่งน้ำาจะถูกทำาให้บริสุทธิ์ผ่านเมมเบรน กระบวนการทำาให้น้ำาบริสุทธิ์นี้จะดำาเนินการ สองครั้งในการรีเวอร์สออสโมซิสแบบสอง ขั้นของ SENSA เพื่อให้ได้น้ำาที่มีคุณภาพ สูงขึ้น สามารถขจัดเกลือได้มากกว่า 99% และผลิตน้ำาที่มีค่าการนำาไฟฟ้าต่ำาเพียง 5 µS/cm มี Skid mounted หกตัว เป็น ระบบ High availability ที่มีอัตราการ ไหลตั้งแต่ 1.4 ถึง 10 ลบ.ม./ชม. ขึ้นอยู่ กับคุณภาพน้ำาขาเข้า เมื่อเปรียบเทียบกับระบบเดิม SENSA เป็นระบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีการ กู้คืนน้ำาสูงเพื่อลดการสูญเสียน้ำาได้ถึง 90% มีส่วน Plug and play ที่พร้อมสำาหรับ การทำาความสะอาดแบบไม่ถอดชิ้นส่วน (CIP) สามารถควบคุมและตรวจติดตาม ระยะไกล และง่ายต่อการบำารุงรักษา ด้วย ความเชี่ยวชาญที่ได้รับการพิสูจน์แล้วของวีโอ เลีย SENSA เป็นระบบที่ได้รับการออกแบบ อย่างสมบูรณ์และได้มาตรฐานด้วยรุ่นที่มี จำาหน่ายตามมาตรฐานยุโรป ทีมงานสนับสนุนและบริการหลังการขายในพื้นที่พร้อมมอบโปรแกรมบำารุงรักษา เชิงป้องกันและแก้ไข เพื่อรับประกันการ ดำาเนินงานที่มีประสิทธิภาพในระยะยาว ของโรงงานที่ติดตั้ง นอกจากนี้ SENSA ยังสามารถใช้งานร่วมกับ Hubgrade ซึ่ง เป็นโซลูชันตรวจติดตามแบบดิจิทัลของวีโอ เลีย ลูกค้าจะได้ประโยชน์จากระบบคลาวด์ ที่ปลอดภัย สามารถวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง และตีความข้อมูล เป็นโซลูชันแบบเรียล
VEOLIA WATER TECHNOLOGIES ANNOUNCES THE LAUNCH OF SENSA™, A DOUBLE-PASS REVERSE OSMOSIS SYSTEM THAT PRODUCES DEMINERALIZED WATER WITH LOW CONDUCTIVITY AND BACTERIA FOR THE COSMETICS INDUSTRY.
The SENSA complements Veolia’s existing range of water treatment solutions for the pharmaceutical industry, which also addresses the needs of the cosmetics industry. Capable of producing different kinds of water outlet qualities for applications such as ultrapure water production, industrial process water production, and utility water, SENSA meets all the requirements of the cosmetics industry.
SENSA is a reverse osmosis (RO) system, where water gets purified through a membrane. This purification process is repeated twice in SENSA’s double-pass RO configuration to achieve higher water quality — removing more than 99% of salts and producing water with a conductivity as low as 5 µS/cm. With six skid-mounted units, it is a high-availability system with flow rates ranging from 1.4 to 10 m³/h depending on the inlet water quality.
Compared to conventional systems, SENSA is an eco-friendly system providing high water recovery to minimize water losses of up to 90%. It boasts a plugand-play unit ready for Clean-In-Place operation and offers remote monitoring and control as well as easy access for maintenance. Tapping on Veolia’s proven expertise, SENSA is fully designed and standardized with models available according to European standards.
Local after-sales service and support teams offer preventative and corrective maintenance programs to ensure long-term, efficient operation of installed plants. In addition, SENSA is compatible with Hubgrade, Veolia’s digital monitoring solution. Clients can benefit from the secure cloud-based offer that provides advanced data analyses and interpretation — allowing for real-time solutions to continuously optimize the operation of the equipment.
News info Red Bug Communications - November 9, 2021
ซาลัส ไบโอซูติคอล (ประเทศไทย) เปิดตัวห้องปฏิบัติการล้ำาสมัยสำาหรับ การผลิตและสกัดกัญชาและกัญชง พร้อมกำาลังการผลิตสูงแห่งแรกใน เอเชีย มุ่งตอบสนองความต้องการ ผลิตภัณฑ์จากสารสกัด CBD และ ผลิตภัณฑ์ THC บริษัท ซาลัส ไบโอซูติคอล (ประเทศไทย) จำากัด (SBT) ซึ่งร่วมทุนกับ Salus International Management Ltd. (SIM) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ MPX International Corporation (MPXI) บริษัทผู้ดำาเนิน ธุรกิจกัญชาระดับโลก เปิดโรงงานผลิต และสกัดกัญชาและกัญชงมูลค่า 600 ล้าน บาท ที่อำาเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย โดยในขั้นต้น โรงงานจะเริ่มผลิต ผลิตภัณฑ์จากสารสกัด CBD เพื่อรองรับ ความต้องการที่เพิ่มขึ้นทั้งในและต่างประเทศ เพื่อนำาไปพัฒนาสำาหรับผลิตภัณฑ์จากสาร สกัด THC และผลิตภัณฑ์ยา ภายใต้การ อนุมัติจากรัฐบาลและกฎหมายที่บังคับใช้ โรงงานแห่งนี้จะมีกำาลังการสกัดชีวมวล มากกว่า 200,000 กิโลกรัมต่อปี ผลิต น้ำามัน CBD ได้มากกว่า 50,000 ลิตร และผลิต Isolate powder และ CBD Isolate water soluble ได้ 90,000 กิโลกรัมต่อปี ซึ่งทำาให้ SBT เป็นหนึ่งในผู้ ผลิตและสกัดกัญชาและกัญชงที่ใหญ่ที่สุด ในประเทศไทย และทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่ง นอกทวีปอเมริกาเหนือ โดยบริษัทมีพื้นที่การ เพาะปลูกในระบบปิดขนาด 800 ตร.ม. และ อาคารอื่นๆ มีกำาลังการผลิตสูงในการสกัด และการกลั่นโดยใช้อุปกรณ์ที่ทันสมัยที่สุด แห่งหนึ่งในอุตสาหกรรมกัญชา และมีห้อง ปฏิบัติการระดับการแพทย์เพื่อวิเคราะห์กัญ ชงและกัญชา ทำาให้มีกระบวนการกลั่นที่มี เอกลักษณ์เฉพาะตัว สามารถผลิตผลิตภัณฑ์ สารสกัด CBD ในระดับสูงและมีคุณภาพ ที่โดดเด่นเหนือคู่แข่ง ด้วยความเชี่ยวชาญ ของ MPXI หนึ่งในผู้นำาอุตสาหกรรมกัญชา ระดับโลกที่ดำาเนินงานอยู่ใน 5 ทวีปทั่ว โลก SBT ได้นำาการผลิตที่ดีที่สุดในระดับ เดียวกันมาใช้ในโรงงานผลิตระดับการ แพทย์ตามมาตรฐาน GMP ของไทยและ ยุโรป ทั้งนี้ SBT เพิ่งได้รับใบอนุญาตสกัด กัญชง ซึ่งทำาให้ SBT สามารถเริ่มดำาเนิน การและสกัดดอกกัญชงอย่างถูกต้องตาม กฎหมายของประเทศไทย SBT จึงเป็น หนึ่งในบริษัทรายแรกๆ ของประเทศไทย ที่มีใบอนุญาตในการผลิตผลิตภัณฑ์สาร สกัด CBD อย่างครบถ้วน วิลเลียม สก็อต บอยส์ ประธานบริษัท ประธานกรรมการ และประธานกรรมการ บริหารของ MPXI ประธานบริษัทและประธาน กรรมการของ SIM กล่าวว่า “ตลาดเกิดใหม่ ของผลิตภัณฑ์สารสกัด CBD และ THC มาตรฐานการแพทย์ในประเทศไทยกำาลัง เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยแนวทางการ สนับสนุนของรัฐบาลไทยจะทำาให้ประเทศไทย กลายเป็นศูนย์กลางขนาดใหญ่ในการเพาะ ปลูกและผลิตกัญชามาตรฐานการแพทย์ ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ MPXI ยินดีที่ได้มีส่วนสำาคัญในการวางแผน พัฒนา และบริหารจัดการโรงงานในเชียงใหม่ของ SBT ในฐานะผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนร่วมใน การลงทุน MPXI คาดว่าโรงงานนี้จะสร้าง รายได้และผลกำาไรในระยะเวลาอันใกล้ ซึ่ง จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทางการเงินของ MPXI และ SIM เป็นอย่างมาก ตลอดจน สร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นของ MPXI และ SIM อีกด้วย” ท่ามกลางกระแสการใช้กัญชาทั่วโลก ประเทศไทยซึ่งมีจำานวนประชากรกว่า 70 ล้านคนเป็นพื้นที่ที่มีแนวโน้มที่ดีสำาหรับ อุตสาหกรรมนี้ ภายหลังจากที่กฎหมาย รับรองการใช้กัญชาทางการแพทย์ในปี พ.ศ. 2562 มีผู้ป่วยชาวไทยประมาณ 600,000 คนที่สามารถเข้ารับการรักษาโดยการใช้ กัญชา รวมถึงในปัจจุบันประเทศไทยเป็น ประเทศที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเพื่อ จุดประสงค์ด้านการแพทย์มากเป็นอันดับ สามของโลก คาดว่ารายได้จากการรวม อุตสาหกรรมกัญชาเข้ากับอุตสาหกรรมการ ท่องเที่ยวเชิงการแพทย์เพียงอย่างเดียวน่าจะ สร้างรายได้ถึง 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี พ.ศ. 2567 ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ยัง สนับสนุนให้กัญชาทางการแพทย์เป็นมรดก ทางวัฒนธรรมของประเทศไทยอีกด้วย ธนดี พันธุมโกมล ประธานเจ้าหน้าที่ บริหารและกรรมการ SBT กล่าวว่า “เรา รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งกับก้าวแรกที่สำาคัญ ของเราในประเทศไทย การเปิดโรงงานผลิต CBD ในประเทศจะช่วยให้เราตอบสนองต่อ ความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์สารสกัด CBD ที่หลากหลายทั้งในประเทศไทยและทั่ว โลก โรงงานแห่งนี้จะสร้างห่วงโซ่ที่มีมูลค่า ตั้งแต่ต้นน้ำาจนถึงปลายน้ำา ให้ประโยชน์แก่ ผู้ถือหุ้น รวมถึงทำาให้ชุมชนท้องถิ่นมีโอกาส ในการทำางานและรายได้เพิ่มขึ้น”
ภาคอุตสาหกรรมต่างๆ นอกจากนี้ SBT ยัง มีเป้าหมายที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนา ชุมชนและกลุ่มเกษตรกรในท้องถิ่น โดยมี วัตถุประสงค์เพื่อการดำาเนินการเพาะปลูก พืชกัญชงที่มีสาร CBD สูง และ THC ต่ำา โดย SBT ได้สร้างแปลงสาธิตสำาหรับเพาะ ปลูกกัญชงกลางแจ้งที่วิทยาเขตต่างๆ ของ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสานถึง 5 วิทยาเขต เพื่อพัฒนาเทคนิคการเพาะปลูก และถ่ายทอดความรู้แก่เกษตรกรในท้องถิ่น เนื่องจากประเทศไทยได้มีการลงทุนใน ตลาดกัญชาทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง โอกาสต่างๆ สำาหรับธุรกิจในอนาคตจะเพิ่ม ขึ้น ในฐานะที่เราเป็นบริษัทกัญชาทางการ แพทย์แห่งแรกในอเมริกาเหนือที่ก้าวเข้าสู่ ตลาดของประเทศไทย ในขั้นแรก SBT จะ เริ่มผลิตผลิตภัณฑ์กัญชามาตรฐานการแพทย์ ที่เป็นไปตามมาตรฐาน EU-GMP เช่น CBD distillate isolate powder และ CBD isolate water soluble เพื่อจำาหน่ายใน ประเทศ บริษัทมุ่งเน้นการผลิตผลิตภัณฑ์ คุณภาพสูงสำาหรับตลาดในประเทศ และ ตั้งเป้าที่จะครองตลาดในอาเซียนด้วยการ ขยายตลาดทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ เมื่อประเทศไทยประกาศตัวเอง เป็นประเทศส่งออก ซึ่งคาดการณ์ว่าจะ มีมูลค่าการส่งออกที่ 618 ล้านดอลลาร์ สหรัฐในปี พ.ศ. 2567
SBT พร้อมก้าวไปข้างหน้าด้วยฐานลูกค้า ที่แข็งแกร่งและการสนับสนุนจากลูกค้า SBT จะเข้าสู่หลากหลายภาคอุตสหากรรมในตลาด การได้รับความสนใจจากผู้ผลิตอาหารและ เครื่องดื่ม เครื่องสำาอาง ผลิตภัณฑ์ดูแล สุขภาพ อาหารเสริม ธุรกิจสปา และอาหาร สัตว์หลายแห่งในประเทศไทย SBT จะผลิต สาร CBD distillate และ Isolate เพื่อใช้ ในเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาสที่ 4 ของ พ.ศ. 2564 ในระยะของการผลิตยากัญชา และกัญชง SBT อยู่ระหว่างการดำาเนินการ ให้โรงงานได้รับมาตรฐาน GMP เพื่อดำาเนิน การผลิตยาเม็ด แคปซูล ยาเหน็บ แผ่นยา ชนิดติดผิวหนัง และยาชนิดรับประทานที่ มีคุณภาพทางการแพทย์ซึ่งมีส่วนประกอบ ของสารแคนนาบินอยด์ (cannabinoids) ที่มีประโยชน์ทางการแพทย์อื่นๆ ภายใต้ การอนุมัติของรัฐบาล
SALUS BIOCEUTICAL THAILAND ESTABLISHES FIRST STATE-OF-THE-ART, HIGH-CAPACITY CANNABIS/ HEMP MANUFACTURING AND EXTRACTION LABORATORY IN ASIA IN RESPONSE TO SURGING DEMAND FOR CBD AND THC PRODUCTS
Salus Bioceutical (Thailand) Co. Ltd. (SBT), in partnership with Salus International Management Ltd. (SIM), a partially-owned subsidiary of MPX International Corporation (MPXI), a multinational diversified cannabis company, is opening a 600-million-baht cannabis/hemp production plant (‘the Facility’) in Doi Saket district of Chiang Mai province in Thailand. The Facility will initially produce CBD products to cater to growing international and local demand, whereby THC products and medicine will be developed subject to government approval under applicable laws.
The world-class Facility is expected to have an annual capacity for the extraction of over 200,000 kilograms of biomass, and production of over 50,000 liters of CBD oil and 90,000 kilograms of isolate powder and water-soluble CBD isolate, making SBT one of the largest cannabis/hemp manufacturing plants in Thailand and the most sophisticated production site outside of North America. The 800 m2 plant covers indoor cultivation and an additional building, high capacity extraction and distillation capability employing some of the most technologically advanced equipment available in the cannabis industry as well as a medical grade laboratory for hemp and cannabis analysis, which will allow for a unique distillation process, ultimately producing high-yield and quality CBD products that stand out from competitors. With expertise from MPXI, an emergent global participant in the cannabis industry operating across five continents, SBT will implement best-in-class manufacturing practices into their Thai GMP and EU-GMP compliant medical production facilities. SBT has recently been granted a Hemp Extraction License, which allows SBT to operate and extract hemp flower legally under the laws of Thailand, making it one of the first companies in Thailand with complete licensing for CBD manufacturing.
W. Scott Boyes, Chairman, President and CEO of MPXI and Chairman and President of SIM, said: “The emerging market for medical-grade CBD and THC products in Thailand is quickly maturing and the progressive approach of Thailand’s government will potentially make this country the epicenter of medical cannabis cultivation and production for all of Southeast Asia. MPXI is pleased to be playing an integral part in the planning, development, and management of SBT’s Chiang Mai Facility. As a shareholder and participant in the venture, MPXI expects the project to yield near-term revenues and profits that will be materially accretive to the financial performance of MPXI and SIM as well as provide significant upside to the shareholders of MPXI and SIM.”
Amid the global cannabis wave, Thailand, with a population of over 70 million, is a promising national jurisdiction for the industry following
its legalization for the medical use of cannabis in 2019. There are an estimated 600,000 Thai patients that can undergo cannabis treatment, and with Thailand currently being the third-most visited country by medical tourists in the world, the integration of cannabis into the medical tourism industry alone is forecast to bring in $60 million in 2024. Medical professionals are also encouraging medical cannabis to be considered a cultural heritage aspect of Thailand.
Tanadee Pantumkomon, Chief Executive Officer and Director, SBT, said: “We are excited to be taking our first big step in Thailand. The opening of our local CBD manufacturing plant will enable us to better respond to the growing demand for a wide variety of CBD products both in Thailand and worldwide. The facility will create a value chain upstream to downstream as well as providing benefits for all stakeholders – including job opportunities and additional income for local communities.”
SBT will be working closely with the Cannabis & Herbs Institute, Rajamangala University of Technology Isan, where institutional research will be conducted to understand the agriculture and agronomy of cannabis and hemp plants in the tropics as well as the extraction for medical purposes as a precursor for various industrial sectors. Additionally, SBT also aims to participate in developing communities and local farmers in operations for outdoor and greenhouse cultivation of high-CBD/low-THC hemp biomass. SBT has built demonstration sites for the outdoor growing of hemp in five different campuses of the Rajamangala University of Technology Isan to develop cultivation techniques and pass on know-how to local farmers.
As Thailand continues to venture into the market for medical cannabis, various opportunities will open up for future business. As the first North American medical cannabis company to enter the Thai market, SBT will initially be producing EU-GMP compliant medical-grade cannabis products such as CBD distillate, isolate powder, and water-soluble CBD isolate for domestic sales. The company will focus on producing high quality products for the domestic market and aims to dominate the ASEAN community by expanding sales throughout the entire Southeast Asia region. With Thailand declaring itself as an export country, the export potential can be estimated at $618 million for 2024. By moving forward with a strong client database and client support, SBT will be branching out into various sectors in the market. Having received interest from various Thailandbased food & beverage, cosmetics, healthcare, supplement, massage and spa, and animal feed manufacturers, SBT will potentially produce CBD distillate/isolate for commercial use by the fourth quarter of 2021. In the pharmaceutical realm, SBT is under the process to qualify the Facility for GMP-grade medical cannabis, and subject to government approval, will produce sublingual tablets and capsules, suppositories, transdermal patches and medical quality edibles containing other medically-beneficial cannabinoids.
บริษัท Agronutris ผู้ผลิตแมลงสัญชาติ ฝรั่งเศส เลือกกลุ่มบริษัทบูห์เล่อร์เป็นผู้ ให้บริการโซลูชันด้านกระบวนการสำาหรับ โรงงานแมลงวันลายระดับพาณิชย์แห่ง แรกของพวกเขา โดยบูห์เล่อร์จะส่งมอบ โซลูชันครบวงจรสำาหรับโรงงานที่จะสร้าง ในเรอเธิล ประเทศฝรั่งเศส ความร่วมมือ นี้คือก้าวสำาคัญของทั้งสองบริษัท เป็นการ ตอกย้ำาความมุ่งมั่นต่อเป้าหมายของบูห์เล่อร์ ในการช่วยบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศและสร้างระบบอาหารที่มีความ ยั่งยืนมากยิ่งขึ้น รวมถึงสนับสนุนเป้าหมาย ของ Agronutris ในการเป็นผู้นำาระดับโลก ด้านโภชนาการที่ยั่งยืน โรงงานมีแผนที่จะ เปิดดำาเนินการในปี 2566 โรงงานแมลงในเรอเธิล ประเทศฝรั่งเศส มีพื้นที่ 16,000 ตารางเมตร ซึ่งเมื่อดำาเนิน งานเต็มกำาลังจะสามารถจัดการสารอินทรีย์ ตกค้างได้สูงถึง 70,000 ตัน และผลิต โปรตีนคุณภาพสูงให้แก่ตลาดเพาะเลี้ยงสัตว์ น้ำาและอาหารสัตว์เลี้ยงได้ทุกปี “ด้วยการ เปิดตัวโรงงานแห่งใหม่ ทำาให้ Agronutris เดินหน้าสู่ระดับอุตสาหกรรม โรงงานใน เรอเธิลจะเป็นจุดเริ่มต้นสำาหรับการพัฒนา อุตสาหกรรมของเราต่อไป” Mehdi Berrada ประธานกรรมการบริหารของ Agronutris กล่าว “บูห์เล่อร์เป็นบริษัทชั้นนำาระดับโลกที่ คร่ำาหวอดด้านอาหารมนุษย์และอาหารสัตว์ เราเชื่อในความสามารถของพวกเขาที่จะ สนับสนุนเราในอุตสาหกรรมแมลง ทำาให้ ทีมของเราสามารถมุ่งเน้นไปที่กิจกรรม หลักของเรา คือ ชีววิทยาของแมลงและ การบริหารการทำางานด้านการผลิต ทั้งนี้ กิจกรรมด้านการวิจัยและพัฒนาทำาให้เรา ได้เปรียบในการแข่งขัน” โซลูชันของบูห์เล่อร์สำาหรับ Agronutris จะครอบคลุมทั้งห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งรวมถึง การเตรียมวัตถุดิบตั้งต้นเพื่อมอบอาหารที่ ปลอดภัย ถูกปาก และมีประโยชน์แก่ตัว อ่อน รวมถึงระบบการเจริญเติบโตของตัว อ่อนอัตโนมัติที่มีการควบคุมสภาพอากาศ บูห์เล่อร์ยังจะส่งมอบสายการผลิตเพื่อเปลี่ยน ตัวอ่อนที่โตแล้วให้เป็นอาหารโปรตีนและ ไขมันที่มีคุณภาพสม่ำาเสมอ รวมถึงระบบ จัดการมูลเพื่อระบายของเหลือจากการ เลี้ยงตัวอ่อนอย่างปลอดภัย
นอกจากนี้ บูห์เล่อร์จะรับผิดชอบระบบอัตโนมัติทั้งหมดและการดำาเนินโครงการ ที่เหมาะสมกับเวลา ในระยะที่สองจะ ครอบคลุมเรื่องของวิศวกรรม การจัดซื้อ การผลิต การจัดหา การติดตั้ง และการ ทดสอบการใช้งานของระบบ “โครงการใหม่ กับ Agronutris เป็นเรื่องสำาคัญสำาหรับเรา เป็นการยืนยันเป้าหมายของเราในการเป็นผู้ให้ บริการโซลูชันคนสำาคัญสำาหรับอุตสาหกรรม แมลงและเพื่อผนวกโปรตีนจากแมลงเข้าไป ยังอาหารสัตว์ โซลูชันของเรามีส่วนช่วยให้ ห่วงโซ่อุปทานอาหารสัตว์มีความยั่งยืนมาก ขึ้น” Andreas Baumann หัวหน้าฝ่าย เทคโนโลยีแมลงส่วนตลาดของบูห์เล่อร์กล่าว
ความต้องการที่เพิ่มขึ้น คาดว่าในปี 2593 จะมีประชากรโลก อยู่ที่ 10,000 ล้านคน การเตรียมอาหาร ให้เพียงพอจะต้องมีโปรตีนเพิ่มขึ้นจากเดิม ปีละ 250 ล้านเมตริกตัน ซึ่งเพิ่มขึ้น 50% เมื่อเทียบกับปัจจุบัน อุตสาหกรรมจะต้อง รับมือกับความท้าทายนี้ด้วยการผลิตที่ยั่งยืน ยิ่งขึ้น รวมถึงมองหาแหล่งทางเลือกสำาหรับ การบริโภคของมนุษย์และสัตว์ แมลงที่กิน ได้จะมีบทบาทสำาคัญในการอัพไซเคิลเศษ อาหารให้เป็นโปรตีนคุณภาพสูง ทำาให้มัน เป็นแหล่งโปรตีนที่ทวีความสำาคัญมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตลาดของโปรตีนแมลงที่เป็นอาหารสัตว์ คาดว่าจะเติบโตอย่างมีนัยสำาคัญในอีกสิบปี ข้างหน้า การซื้อขายรวมของผู้ดำาเนินกิจการ ด้านอาหารสัตว์จากแมลงคาดว่าจะอยู่ที่ 2,200 ล้านยูโรต่อปีในช่วงปลายทศวรรษ การเติบโตนี้นำาโดยสองภาคส่วน คือ ภาค การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำา ซึ่งจะคิดเป็น 30% ของยอดขายสำาหรับผู้ผลิตแมลงในปี 2573 และภาคอาหารสัตว์ ซึ่งจะคิดเป็น 40% ของยอดขายโปรตีนจากแมลงในปี 2573
Agronutris ตั้งเป้าที่จะมีส่วนในการ ถือกำาเนิดของอุตสาหกรรมนี้ รวมถึงเป็น หนึ่งในผู้นำาระดับโลกด้านนี้ การเติบโต ของทีมงาน (ประกอบด้วยนักกีฏวิทยาและ ผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมเกษตร) การ ระดมทุนได้ 100 ล้านยูโร และการร่วมมือ กับบริษัทสำาคัญอย่างบูห์เล่อร์ คือปัจจัยส่วน หนึ่งที่จะทำาให้บริษัทสามารถดำาเนินไปตาม ความมุ่งมั่นดังกล่าวได้ บูห์เล่อร์มุ่งมั่นที่จะลดน้ำา พลังงาน และของเสียในห่วงโซ่คุณค่าของลูกค้า ลง 50% ในปี 2568 ซึ่งจะช่วยบรรเทา การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและเป็น รากฐานของระบบอาหารที่ยั่งยืนมากขึ้น แมลงมอบโอกาสพิเศษให้แก่เรา เพราะมัน ไม่เพียงเป็นแหล่งโปรตีนที่ดีสำาหรับมนุษย์
BÜHLER BUILDS LARGE-SCALE INSECT PLANT FOR AGRONUTRIS IN FRANCE
French insect producer Agronutris has chosen Bühler Group as its process solution provider for its first commercial scale black soldier fly plant. Bühler will deliver a fullscope solution for the facility, which will be built in Rethel, France. This collaboration is a major milestone for both organizations. It reinforces Bühler’s commitment to ambitious targets that will help mitigate climate change and build a more sustainable food system and supports Agronutris’ goal to establish itself as a world leader for sustainable nutrition. The plant is planned to go into operation in 2023.
The 16,000 square meter insect plant in Rethel, France, when operating at full capacity, will process up to 70,000 tons of organic residues and produce high-quality protein for the aquaculture and pet food markets every year. “With the launch of this new site, Agronutris is entering its industrial deployment stage. The facility of Rethel will be our springboard for the further industrial development of our activity,” says Mehdi Berrada, CEO of Agronutris. “Bühler is a world-leading company with a tremendous experience in the food and feed sector. We trust in their capabilities to support us in the insect industry. This allows our teams to focus on our core activities: insect biology and operational management of our production flow. Our research and development activities make for our competitive advantage.”
Bühler’s solutions for Agronutris will cover the entire supply chain. This includes feedstock preparation to provide safe, palatable, and nourishing feed to the larvae and a fully automated larvae growth system with sophisticated climate control. Bühler will also deliver the processing line to efficiently transform the grown larvae into protein meal and lipids with consistent quality, as well as the frass (excrement) handling system for a secure offtake of the rearing residues.
In addition, Bühler will be responsible for the entire automation and the timely project execution. The latter encompasses engineering, procurement, manufacturing, supply, installation, and commissioning. “The new project with Agronutris is a milestone for us. It confirms our goal of establishing ourselves as a key solution provider for the insect industry and to increase the inclusion of insect proteins in animal feed. Our solutions contribute to more sustainable feed supply chains,” says Andreas Baumann, Head of Market Segment Insect Technology at Bühler.
Growing demand
To feed 10 billion people who are expected to live on our planet by 2050, about 250 million metric tons of additional protein will be necessary every year. This is an increase of 50% compared to today. The industry must address this challenge with a more sustainable production of existing sources of protein as well as alternative sources for direct human and animal consumption. Edible insects can play a unique role in upcycling food waste streams to high-quality proteins, which makes them an increasingly important source of protein while being environmentally friendly.
The market of insect proteins as feed is expected to significantly grow in the next ten years. The total turnover of insect feed operators is expected to achieve EUR 2.2 billion per year by the end of the decade. This growth will be led by two main sectors: the aquaculture sector, which will make up for 30% of sales volumes of insect producers by 2030, and the petfood sector, which will account for 40% of the insect protein sales volumes by 2030.
Agronutris aims to contribute to the emergence of this industry and to become one of the global leaders of the sector. The growth of its team (joined by entomologists and agro-industry experts), its recent fundraising of EUR 100 million, and the collaboration with major companies such as Bühler, are some of the factors that will allow the company to live up to this ambition.
Bühler is committed to reduce water, energy, and waste by 50% in its customers’ value chains by 2025. This will help mitigate climate change and be the foundation of a more sustainable food system. Insects offer a unique opportunity. They are not only a healthy source of protein for food and feed, but they can be fed on waste, therefore converting food waste into protein. And their frass can be used as a fertilizer. That is why they are an important pillar in Bühler’s strategy to become the leader in sustainable proteins for food and feed.
News info Bühler - December 16, 2021
แวกเกอร์และไบโอซินเทียพัฒนา กระบวนการผลิตขนาดใหญ่สำาหรับ ไบโอตินที่ยั่งยืน ไบโอซินเทีย บริษัทด้านเทคโนโลยี ชีวภาพสัญชาติเดนมาร์ก และกลุ่มบริษัท แวกเกอร์ซึ่งตั้งอยู่ในมิวนิก ประกาศเซ็น สัญญาเพื่อพัฒนากระบวนการผลิตขนาด ใหญ่สำาหรับไบโอตินจากการหมัก ความ ร่วมมือระยะยาวมีวัตถุประสงค์เพื่อทำาให้ ไบโอตินจากการหมักสามารถใช้งานใน ด้านต่างๆ เพื่อเป็นทางเลือกจากฝั่งยุโรป ที่ยั่งยืนและปราศจากสารเคมี ไบโอตินหรือที่รู้จักกันในชื่อวิตามินบี 7 เป็นโคเอนไซม์ในกระบวนการเผาผลาญ โปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต หน่วย งานตรวจสอบความปลอดภัยด้านอาหารแห่ง สหภาพยุโรป (EFSA) กล่าวอ้างว่าไบโอติน สามารถช่วยส่งเสริมสุขภาพ โดยมีการกล่าว อ้างทางสุขภาพเจ็ดข้อ ยกตัวอย่างเช่น ไบ โอตินช่วยในการทำางานของระบบประสาท และเมแทบอลิซึมของธาตุอาหารหลัก รวม ถึงบำารุงผิวพรรณและเส้นผม อีกทั้งยังถูก ใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารด้วย ความ ต้องการไบโอตินกำาลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่สำาคัญของ โลกในเรื่องของสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ ดี การศึกษาล่าสุดคาดการณ์การเติบโต ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ต่อปีในอีกไม่กี่ปี ข้างหน้า ในปี 2569 ตลาดไบโอตินทั่วโลก คาดว่าจะมีปริมาณถึง 376 ล้านดอลลาร์ สหรัฐ ไบโอตินที่มีจำาหน่ายในท้องตลาด ในปัจจุบันเป็นผลิตภัณฑ์สังเคราะห์จาก ปิโตรเคมีที่ไม่สามารถหมุนเวียนได้ แวกเกอร์และไบโอซินเทียจะร่วมกัน พัฒนากระบวนการผลิตไบโอตินขนาดใหญ่ บนพื้นฐานของการหมักอย่างยั่งยืน ทั้งสอง บริษัททุ่มเททรัพยากรด้านการวิจัยและ พัฒนาในโครงการที่ต้องใช้เวลาหลายปี เพื่อ สร้างเทคโนโลยีไบโอตินชั้นนำาของโลกที่เป็น ของไบโอซินเทีย ในกระบวนการหมักจะใช้ วัตถุดิบจากพืชเพียงอย่างเดียว “คนต้องการ ผลิตภัณฑ์ที่มีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น ทำาให้บริษัทต่างๆ จำาเป็นต้องใช้ส่วนผสม ที่มีความยั่งยืน การผลิตสารออกฤทธิ์จาก กระบวนการหมักที่ก้าวหน้าคืออนาคตของ การผลิต” Martin Plambech ประธาน บริหารของไบโอซินเทียกล่าว ไบโอตินสามารถใช้งานได้หลากหลายใน อาหารและเครื่องดื่ม อาหารสำาหรับทารก โภชนเภสัช อาหารสัตว์เลี้ยง อาหารสัตว์ ยา และเครื่องสำาอาง “เราต้องการมอบทาง เลือกที่ยั่งยืนและปราศจากสารเคมีซึ่งผลิต ในยุโรปให้แก่ลูกค้า ด้วยไบโอตินที่ได้จาก การหมัก” Susanne Leonhartsberger ประธานของแวกเกอร์ ไบโอโซลูชันส์ แผนก วิทยาศาสตร์ชีวภาพของแวกเกอร์กล่าว ไบโอซินเทียถือเป็นผู้นำาระดับโลกด้าน การพัฒนากระบวนการหมักสำาหรับการผลิต โมเลกุลขนาดเล็ก มีแพลตฟอร์มเทคโนโลยี จุลินทรีย์ที่เป็นกรรมสิทธิ์ซึ่งสร้างการเติบโต อย่างรวดเร็วให้กับสารออกฤทธิ์สำาหรับ อุตสาหกรรมความงามและโภชนาการ ด้าน แวกเกอร์ก็นำาความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนา กระบวนการเทคโนโลยีชีวภาพและการหมัก ระดับอุตสาหกรรมมาให้แก่พันธมิตร และ ยังมีความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับข้อกำาหนด และข้อบังคับของอุตสาหกรรมอาหารและ โภชนเภสัช แวกเกอร์มีความเชี่ยวชาญอีก หลายด้าน ซึ่งรวมถึงแอล-ซิสเทอีนจากการ หมักและโซลูชันสำาหรับสร้างสูตรผลิตภัณฑ์ เสริมอาหารที่มีประสิทธิภาพ ในระยะยาว แวกเกอร์และไบโอซินเทีย ตั้งใจที่จะผลิตไบโอตินจากการหมักและนำา ออกสู่ตลาดในวงกว้าง แวกเกอร์จึงกำาลัง ขยายความหลากหลายของส่วนผสมจาก
WACKER AND BIOSYNTIA DEVELOP LARGE-SCALE PRODUCTION PROCESS FOR SUSTAINABLE BIOTIN
Danish biotech company Biosyntia and the Munich-based WACKER Group today announced the signing of a contract to develop a large-scale production process for fermentationbased biotin. The long-term partnership aims to make fermentation-based biotin available for the full range of relevant applications as a sustainable, non-chemical, European-sourced alternative.
Biotin, also known as vitamin B7, is a coenzyme for the metabolism of proteins, fats and carbohydrates. The European Food Safety Authority (EFSA) attributes health-promoting effects, so-called health claims, to biotin. Seven health claims have been defined. For example, biotin contributes to normal functioning of the nervous
system and macronutrient metabolisms as well as to the maintenance of normal skin and hair. Demand for biotin, which is also used as a dietary supplement, is rising sharply – driven by the megatrends health and well-being. A recent study predicts growth of around 10 percent per year in the coming years. In 2026, the global biotin market is expected to reach a volume of 376 million US dollars. The biotin currently available on the market is synthetically produced from nonrenewable petrochemicals.
WACKER and Biosyntia will jointly develop a large-scale biotin production process based on sustainable fermentation. The companies are dedicating considerable R&D resources in a multi-year program, which will build on Biosyntia’s world-leading biotin technology. Only plant-based raw materials will be used in fermentative production. “Demand for more natural products is increasing – and with it the need for companies to use ingredients that are sustainable. Producing active ingredients from advanced fermentation is the future of production,” says Martin Plambech, CEO of Biosyntia.
Biotin has a wide range of applications in food & beverages, infant nutrition, nutraceuticals, pet food, animal feed, pharmaceuticals and cosmetics. “With fermentation-based biotin, we want to offer customers a non-chemical, sustainable alternative that is produced in Europe,” says Susanne Leonhartsberger, President of WACKER BIOSOLUTIONS, WACKER’s life science division.
Biosyntia is considered a global leader in the development of fermentation processes for production of selected small molecules. The Danish biotech company has a proprietary microbial technology platform, on which it is building a rapidly growing pipeline of active ingredients for the beauty and nutrition industries. WACKER brings strong expertise in biotechnological process development and industrial-scale fermentation to the partnership. The company also has a deep understanding of requirements and regulations of the food and nutraceutical industry. WACKER offers a broad portfolio here, including fermentation-based L-cysteine and solutions for formulating effective dietary supplements.
In the long term, WACKER and Biosyntia intend to produce fermentation-based biotin and make it broadly available in the market. WACKER is thus expanding its range of fermentation-based ingredients in the food and nutraceutical sector. Production of biotin at WACKER is to take place in Europe.
News info Wacker - January 11, 2022
เพื่อคงความสามารถในการแข่งขัน ท่ามกลางตลาดเครื่องดื่มที่มีการเปลี่ยนแปลง ตลอดเวลา บิกฟอร์ดในออสเตรเลียจึงจับ มือกับซีเดลเพื่อเปิดตัวขวด PET สองแบบ ใหม่สำาหรับแบรนด์ไซรัปและน้ำาผลไม้ระดับ พรีเมียมของตนเอง เพื่อเสริมเพิ่มเติมจาก ขวดแบบ 1 ลิตรก่อนหน้านี้ ผู้เชี่ยวชาญ ของซีเดลทำาการปรับเปลี่ยนสายการผลิต ด้วยโซลูชันทางไกลล่าสุดที่ใช้เวลาเพียงสอง วันสำาหรับหนึ่งแบบใหม่ และเพื่อตอบสนอง พันธกิจด้านคุณภาพและความปลอดภัย ของผลิตภัณฑ์ของบิกฟอร์ด ซีเดลแสดง ฝีมือโดยดำาเนินการบำารุงรักษาสายการ บรรจุ Aseptic Combi PredisTM แบบ
ทางไกล ขณะที่ยังคงประสิทธิภาพสูงสุด ของสายการบรรจุอยู่บิกฟอร์ดก่อตั้งในปี 2382 เป็นบริษัทที่ ดำาเนินการอิสระภายใต้กลุ่มบริษัทบิกฟอร์ด สำานักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองแอดิเลด รัฐเซาท์ ออสเตรเลีย เป็นหนึ่งในแบรนด์สัญชาติ ออสเตรเลียที่เก่าแก่และทรงคุณค่าที่สุด บริษัทอยู่ในตำาแหน่งระดับพรีเมียมของ ตลาด เป็นเจ้าของกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่อง ดื่มไม่มีแอลกอฮอล์หลากหลายประเภท ทั้งน้ำาอัดลม น้ำาผลไม้ คอร์เดียล ไซรัป นมปรุงแต่งและนมจากพืช และน้ำาแต่ง กลิ่นรส ทุกผลิตภัณฑ์จากบิกฟอร์ดแสดง ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศและ คุณภาพที่โดดเด่น บิกฟอร์ดมีอุปกรณ์ในสายการผลิตขวด PET แบบครบวงจรจากซีเดล ดำาเนินการ ทั้งผลิตภัณฑ์ที่มีความละเอียดอ่อนด้วย สายการผลิต Aseptic Combi Predis™ และน้ำาอัดลมด้วยสายการผลิต Combi SF300 จากกระแสเรื่องสินค้าและบริการ ที่ตอบสนองคุณค่าทางอารมณ์และมีนวัต กรรม (premiumization) เจ้าของแบรนด์ เครื่องดื่มจึงจำาเป็นต้องเน้นความหลาก หลายของรสชาติและผลิตภัณฑ์ในตลาด พร้อมกับคงความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ ต้องขอบคุณความร่วมมือในการผลิตขวด 1 ลิตรที่ประสบความสำาเร็จก่อนหน้านี้ ทำา ให้บิกฟอร์ดจับมือกับซีเดลอีกครั้งเพื่อสร้าง ขวดอีกสองแบบใหม่ที่จะช่วยขยายส่วนแบ่ง ตลาดและเจาะกลุ่มผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม รวม ถึงแสดงความสามารถในการรักษาไว้ซึ่ง ความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์
การสนับสนุนทางไกลที่เหมาะสมเพื่อ ความสะดวกในการปรับเปลี่ยนสาย การผลิตและบำารุงรักษาอย่างรวดเร็ว ซีเดลสนับสนุนลูกค้าเพื่อให้บรรลุถึง สิ่งที่ต้องการด้วยผู้เชี่ยวชาญที่มีทักษะสูง และสองโซลูชันทางไกลที่ล้ำาหน้า ได้แก่ Remote Video Assistance (RVA) และ Remote Access แม้จะมีข้อจำากัด ที่เกี่ยวข้องกับโรคระบาด แต่ทุกอย่างก็ยัง ถูกส่งมอบได้อย่างตรงเวลา สายการผลิตขวด PET ที่ครบวงจรและ ยืดหยุ่นของบิกฟอร์ดได้รับการปรับแต่งเพื่อ ผลิตขวดสองแบบที่เล็กลงจากขวด PET 1 ลิตรซึ่งออกแบบโดยซีเดลในปี 2562 โดยจะ เป็นขวดแบบ 500 มล. สำาหรับไซรัปและ นมปรุงแต่งแบบพรีเมียม และขวด 250 มล. สำาหรับน้ำาผลไม้แบบพรีเมียม ผู้เชี่ยวชาญของซีเดลใช้ประโยชน์จาก Video Assistance แบบเรียลไทม์ เพื่อ เสริมกำาลังให้แก่ทีมของบิกฟอร์ดในการปรับ แต่งสายการผลิตในส่วนของชิ้นส่วนและแม่ พิมพ์ เป็นต้น การ Remote Access ไป ยังส่วนของการเป่า การเติม และการติด ฉลากก็ถูกยกระดับโดยทีมของซีเดลเพื่อ ปรับตัวแปรของกระบวนการของสูตรให้ เหมาะสม นอกจากนี้ ทีมของบิกฟอร์ดได้ รับประโยชน์จากความเชี่ยวชาญของซีเดล เรื่องการรักษาประสิทธิภาพของสายการ ผลิตและรับรองคุณภาพบรรจุภัณฑ์โดยรวม ที่ผลิตด้วยความแม่นยำาสูง กระบวนการนี้ เน้นที่การเพิ่มประสิทธิภาพการลำาเลียงขวด และการควบคุมการทำางานของเครื่องจักร ให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ทันกับความปลอดภัยระดับสูงของ ผลิตภัณฑ์ รอบการบำารุงรักษา 100 CIP จะดำาเนินการแบบทางไกลเช่นเดียวกัน การ บำารุงรักษาสายการผลิต Aseptic Combi Predis™ ของบิกฟอร์ดปฏิบัติตามคำาแนะนำา อย่างระมัดระวังด้วย Remote Video Assistance ตั้งแต่การถอดประกอบ การ เปลี่ยนอะไหล่ การประกอบใหม่เพื่อการ ทดสอบ และการตรวจสอบ ซึ่งสำาเร็จลุล่วง ในเวลาเพียงสามวัน
“เวลาเป็นสิ่งมีค่าในการเติมเต็มพันธ สัญญาของเราที่มีต่อตลาด การสนับสนุน ทางไกลที่เข้มแข็งและรวดเร็วของซีเดล เสริมกำาลังให้แก่เราในการปรับเปลี่ยนสาย การผลิตและบำารุงรักษาตามรอบโดยหยุด การทำางานน้อยที่สุด นี่เป็นผลลัพธ์ที่ยอด เยี่ยมสำาหรับทีมของเรา รากฐานความ รู้ที่แข็งแกร่งที่ช่างเทคนิคของเราได้รับ จากการอบรมของซีเดลครั้งก่อน ร่วมกับ การถ่ายทอดความเชี่ยวชาญที่ดีเยี่ยมโดย โซลูชันทางดิจิทัลของพวกเขาในโครงการ เหล่านี้ ถือเป็นการรวมพลังที่แข็งแกร่งใน การพัฒนาทักษะของทีมเราต่อไป” จอร์จ คอตเซส ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการของบิกฟ อร์ดให้ความเห็น
STRENGTHENING THE PARTNERSHIP: SIDEL SUPPORTED BICKFORD’S AUSTRALIA WITH RAPID REMOTE LINE CONVERSION AND MAINTENANCE ON THEIR ASEPTIC LINE
To remain competitive in the dynamic beverage market, Bickford’s in Australia reached out to Sidel to launch two new PET formats for its premium syrup and juice brands, to complement previously designed & commissioned 1 litre formats. Sidel experts conducted the line conversion with its latest remote solutions, in just two days for each new format. In addition and to respond to Bickford’s commitment to product quality and safety, Sidel showed great versatility by also carrying out the maintenance of the Aseptic Combi PredisTM remotely, while optimising line efficiency.
Founded in 1839, Bickford’s is an independently owned business under The Bickford’s Group with its head office based in Adelaide, South Australia, and is one of the oldest and most treasured Australian brands. The company enjoys premium positioning in the market and owns a wide product portfolio of nonalcoholic beverages, encompassing carbonated soft drinks (CSD), juice, cordials, syrup, flavoured and plantbased milk, and flavoured water. Every product from Bickford’s shows great commitment to excellence and outstanding quality.
Bickford’s was already equipped with a complete flexible PET line from Sidel, managing both sensitive products and CSD via an Aseptic Combi Predis™ and a Combi SF300, respectively. With the trend towards premiumization, it is crucial for beverage brand owners to focus on flavour variety and product diversification in the market while maintaining safety. Thanks to a successful partnership on the 1 litre formats, Bickford’s reached out to Sidel again in order to introduce two new formats that would further increase their market share & category penetration and to perform maintenance for excellent product safety.
The right remote support to facilitate fast line adaptation and maintenance
Sidel supported the customer to reach their ambitions with highly skilled experts and two advanced remote solutions: Remote Video Assistance (RVA) and Remote Access. Despite all the pandemicrelated restrictions, everything was delivered on time with impact.
Bickford’s flexible complete PET line was tuned-up for introducing smaller format variations of two 1 litre PET bottles originally designed by Sidel in 2019 – adding a 500 ml option for Bickford’s premium syrups & flavoured milks and a 250 ml format for their premium juice brand.
Taking advantage of real-time video assistance, Sidel experts empowered the Bickford’s team to implement the best line configurations, with regards to products dependent parts and moulds etc. Remote Access to the customer blow moulder, filler and labeller was also leveraged by the Sidel team to optimise recipe process parameters. In addition, the Bickford’s team benefitted from Sidel’s expertise in maintaining top line efficiency and ensuring overall packaging quality was produced with a high degree of accuracy using the remote solutions. This process focused on the optimisation of bottle conveyancing and the control of efficient machine operations.
“Time was precious to fulfil our market commitments. Sidel’s solid and prompt remote support empowered us to achieve the line conversion and the 100 CIP cycle maintenance with minimal downtime. These were great outcomes for our team. The strong knowledge foundations acquired by our technicians from previous Sidel training, together with the excellent
To keep up with high product safety, 100 Clean In Place (CIP) cycle maintenance was also carried out remotely. Following careful guidance with RVA, the maintenance of Bickford’s Aseptic Combi Predis™ from disassembly, spare parts replacement, reassembly to testing and validation was accomplished in only three days.
“Then to validate that the line was running at its maximum uptime, we proceeded with production assistance. We are glad that the customer is satisfied, and they have already planned the next remote 200 CIP cycle maintenance. This open partnership approach based on constant and regular touch points with the Bickford’s maintenance team is a real lever to efficiently support them in achieving their goals” concluded James Terry, Service Account Manager at Sidel. expertise transfer enabled by their digital solution during these projects, was a formidable combination to keep on upskilling our team” commented George Kotses, Operations Manager at Bickford’s.
News info Sidel - March 15, 2022
อเซลิซ ผู้ให้บริการนวัตกรรมชั้นนำาระดับ โลกด้านอุตสาหกรรมสารเคมีชนิดพิเศษและ ส่วนผสมอาหาร ประกาศการเข้าถือหุ้น ใหญ่ในบริษัท แคททาไลท์ จำากัด (“แคท ทาไลท์”) ผู้จัดจำาหน่ายสารเคมีชนิดพิเศษ สำาหรับผลิตภัณฑ์ดูแลบ้านและผลิตภัณฑ์ ดูแลส่วนบุคคลที่มีชื่อเสียง รวมถึงเป็นผู้ คิดค้นสูตรสารตัวกลางและสารเคลือบของ อุตสาหกรรมในประเทศไทย การเข้าถือหุ้นตอกย้ำาเส้นทางในตลาด ชีววิทยาศาสตร์ของกลุ่มบริษัท รวมถึงเติม เต็มผลงานด้านเคมีภัณฑ์อุตสาหกรรมใน ประเทศไทย จากผลงานผลิตภัณฑ์ที่ดึงดูด ใจในหลายส่วนสำาคัญของแคททาไลท์ซึ่งมี ฐานลูกค้าขนาดใหญ่และเพิ่มขึ้นอย่างต่อ เนื่องในกรุงเทพฯ จะช่วยเร่งการเติบโตของ กลุ่มบริษัทในตลาดภายในประเทศ รวมไป ถึงภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก พนักงาน 49 คนของแคททาไลท์จะ ย้ายมาทำางานกับอเซลิซ รวมไปถึงผู้บริหาร ซึ่งได้แก่ คุณอุดมลักษณ์ คูถิรตระการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และคุณไวย วิทย์ อัครเรศวิมาน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่าย พาณิชย์ ที่จะเข้ามาบริหารต่อ คาดว่าจะ ดำาเนินการแล้วเสร็จในไตรมาสแรกของปี 2565 หลังจากปฏิบัติตามเงื่อนไขการปิด ตามธรรมเนียมแล้ว คุณอุดมลักษณ์ คูถิรตระการ ประธาน เจ้าหน้าที่บริหารของแคททาไลท์ให้ความ เห็นว่า:
“เรายินดีกับบทบาทใหม่ของเราที่จะสร้าง ประวัติศาสตร์ร่วมกับอเซลิซ การเป็นส่วน หนึ่งของบริษัทที่มีชื่อเสียงระดับโลกจะเป็น ประโยชน์ต่อบริษัทของเรา ลูกค้าของเรา และหลักการของเรา อีกทั้งยังเพิ่มโอกาส ในการเติบโต และเป็นการประสานกำาลังที่ ดีสำาหรับทั้งสองบริษัท การนำาจุดแข็งของ เรากับอเซลิซมารวมกันจะช่วยเสริมความน่า เชื่อถือ ตอกย้ำาความเชี่ยวชาญทางเทคนิค และการพัฒนาสูตร และช่วยให้เราสามารถ ให้บริการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น” มร. ลอเรนต์ นาทาฟ ประธานและ ประธานกรรมการบริหารของอเซลิซเอเชีย แปซิฟิกกล่าวเสริมว่า:
“จุดยืนที่แข็งแกร่งในประเทศไทยจะ ทำาให้เราสามารถดำาเนินธุรกิจครอบคลุม เอเชียแปซิฟิกได้ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำาคัญ ของกลุ่มบริษัท เราได้ประโยชน์จากความ กว้างขวางของอเซลิซในภูมิภาคนี้ที่มีการ เติบโตสูง ขณะที่ลูกค้าก็ได้ประโยชน์จาก กลุ่มผลิตภัณฑ์ของแคททาไลท์และอเซลิซ รวมถึงความสามารถที่นำามาผนวกกันเพื่อ มอบโซลูชันนวัตกรรมและบริการที่ดีที่สุด การเข้าถือหุ้นสอดคล้องกับกลยุทธ์ของ อ เซลิซเพื่อเสริมการเติบโตจากภายในด้วย การเข้าซื้อกิจการเพื่อเพิ่มมูลค่าเชิงกลยุทธ์” อเซลิซดำาเนินธุรกิจในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2558 โดยพนักงานที่มีทักษะทางเทคนิคได้ สร้างสรรค์โซลูชันนวัตกรรมให้แก่ลูกค้าใน กลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์อุตสาหกรรมมาอย่าง ต่อเนื่อง
AZELIS FURTHER STRENGTHENS ASIA PACIFIC FOOTPRINT WITH THE ACQUISITION OF A MAJORITY STAKE IN CATALITE CO., LTD IN THAILAND
Azelis, a leading global innovation service provider in the specialty chemicals and food ingredients industry, announces the acquisition of a majority stake in Catalite Co., Ltd. (“Catalite”), a well-established distributor of specialty chemicals in the personal care and home care market segments, as well as industrial formulators, intermediates and coatings, in Thailand.
The acquisition reinforces the Group’s footprint in the life sciences market, and complements its industrial chemicals portfolio in the country. With an attractive portfolio of products from several key principals, Catalite serves a large, growing customer base from its site in Bangkok, providing the Group a solid platform to accelerate its growth in the domestic market, and the wider Asia Pacific region.
Catalite’s 49 employees will all join Azelis, with its leadership, including Chief Executive Officer Ms. Udomlak Kootiratrakarn and Chief Commercial Officer Mr. Vaivit Arkaresvimun continuing to lead the business. The transaction is expected to close in the first quarter of 2022, after fulfilment of customary closing conditions.
Ms. Udomlak Kootiratrakarn, CEO of Catalite, comments:
“We are pleased to embark on this new chapter in our company’s history with Azelis. Becoming part of a renowned international player will be beneficial for our company, customers and principals, with numerous opportunities for growth, and great synergies for both companies. Combining our strengths with Azelis’ will give us access to other reputable principals, further reinforce our
การผลิตแรมโนลิปิด สารลดแรง ตึงผิวชีวภาพที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ อย่างสมบูรณ์ ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับยูนิลีเวอร์ ก้าวต่อไปในการปฏิรูป Nutrition & Care แผนกวิทยาศาสตร์ชีวภาพของอีโวนิค อีโวนิคจะสร้างโรงงานระดับอุตสาหกรรม แห่งแรกของโลกในประเทศสโลวาเกีย เพื่อ ผลิตแรมโนลิปิดซึ่งเป็นสารลดแรงตึงผิว ชีวภาพที่ยั่งยืน การลงทุนสามหลักล้าน ยูโรจะทำาให้อีโวนิคเป็นผู้บุกเบิกสารลดแรง ตึงผิวชีวภาพคุณภาพสูงที่มีความยั่งยืนใน เชิงพาณิชย์ การก่อสร้างบนพื้นที่ของอีโว นิคใน Slovenská Ľupča คาดว่าจะ แล้วเสร็จช่วงปลายปี 2566 โรงงานแห่ง ใหม่จะสนองความต้องการของตลาดที่ เติบโตอย่างรวดเร็วในเรื่องของสารลดแรง ตึงผิวจากชีวภาพที่ย่อยสลายได้ และจะใช้ ประโยชน์จากแพลตฟอร์มด้านเทคโนโลยี ชีวภาพของ Nutrition & Care แผนก วิทยาศาสตร์ชีวภาพของอีโวนิค แรมโนลิ ปิดของอีโวนิคมีคุณภาพสูงเป็นพิเศษ และ ทำาให้อีโวนิคมีความโดดเด่นในตลาดอันเนื่อง มาจากกระบวนการผลิตที่มีการป้องกันไอพี (IP) สารลดแรงตึงผิวชีวภาพดังกล่าวมีการ ผลิตและการจัดหาที่ยั่งยืน และมีบทบาท สำาคัญในการเปลี่ยนแผนก Nutrition & Care ให้กลายเป็นผู้ให้บริการโซลูชันระบบ ยิ่งไปกว่านั้น อีโวนิคและยูนิลีเวอร์ได้ สร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์เพื่อส่งมอบแรม โนลิปิดที่ใช้ในน้ำายาล้างจานและผลิตภัณฑ์ เพื่อการดูแลบ้านอื่นๆ สัญญาระยะยาวที่
technical expertise and formulation development, and enable us to better serve our customers.”
Mr. Laurent Nataf, CEO & President of Azelis Asia Pacific, adds:
“A strengthened presence in Thailand deepens our coverage in Asia Pacific, which is one of the strategic priorities for the Group. Principals benefit from Azelis’ wider platform in this high-growth region, while customers benefit from Catalite’s and Azelis’ complementary portfolio
of products, and combined ability to provide innovative solutions and best-in-class services.This transaction is aligned with Azelis’ strategy to complement organic growth with strategic value enhancing acquisitions.”
Azelis has been active in Thailand since 2015, where its technically-skilled staff create innovative solutions for customers in the industrial chemicals sector.
News info Azelis - January 17, 2022
มือกับยูนิลีเวอร์เพื่อสร้างอนาคตสำาหรับการ ทำาความสะอาดที่ดียิ่งขึ้นและยั่งยืนมากขึ้น” Johann-Caspar Gammelin ประธาน แผนก Nutrition & Care กล่าว กำาลังการผลิตสารลดแรงตึงผิวชีวภาพ ยั่งยืนที่เพิ่มขึ้นและความร่วมมือระหว่าง อีโวนิคและยูนิลีเวอร์แสดงให้เห็นถึงการ เปลี่ยนแปลงผลงานที่สำาคัญของ Nutrition & Care แผนกวิทยาศาสตร์ชีวภาพของอี โวนิค จากการที่แผนก Nutrition & Care
“แรมโนลิปิดคือส่วนสำาคัญของการเริ่ม ต้นอนาคตสะอาดของเรา เราตั้งเป้าหมายที่ จะไม่ให้มีคาร์บอนของฟอสซิลในผลิตภัณฑ์ ทำาความสะอาดทุกประเภทภายในปี 2573 เราต้องการทำาให้ความยั่งยืนเป็นเรื่องง่าย สำาหรับทุกคนที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของเรา การ ร่วมมือกับอีโวนิคช่วยให้แบรนด์ของเราไม่ ต้องใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลโดยที่ประสิทธิภาพ และราคายังคงเดิม” Peter Dekkers รอง ประธานกรรมการบริหารส่วนยุโรปกลาง ของยูนิลีเวอร์กล่าว อีโวนิคและยูนิลีเวอร์เป็นพันธมิตรกันตั้งแต่ปี 2562 เพื่อทำาการตลาดน้ำายาล้าง จานแบบใหม่ที่ใช้แรมโนลิปิดของอีโวนิค โครงการลงทุนที่ SSlovenská Ľupča ในประเทศสโลวาเกียและความร่วมมือ เชิงกลยุทธ์ล่าสุดสะท้อนความพยายามขั้น สูง และเป็นก้าวแรกในการส่งมอบแรมโนลิ ปิดคุณภาพระดับอุตสาหกรรมให้แก่ลูกค้า โรงงานแห่งใหม่ในสโลวาเกียจะใช้ ประโยชน์จากแพลตฟอร์มเทคโนโลยีชีวภาพ ของ Nutrition & Care และจะสนับสนุน ความทะเยอทะยานในการเติบโตของแผนก รวมถึงธุรกิจด้าน Care Solutions บริษัท Evonik Fermas GmbH ซึ่ง ตั้งอยู่ที่ Slovenská Ľupča ในประเทศ สโลวาเกีย ก่อตั้งขึ้นยาวนานกว่า 25 ปี จากการที่อีโวนิคขยายบริษัทและเปิดตัว แพลตฟอร์ม ปัจจุบัน ที่ตั้งดังกล่าวเป็น แหล่งของกิจกรรมด้านเทคโนโลยีชีวภาพ ของอีโวนิค เป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยี ชีวภาพที่สำาคัญสำาหรับการเติบโตและ พัฒนาโซลูชันระบบของอีโวนิค การขยาย โรงงานจะทำาให้ได้รับประโยชน์จากทักษะ ความสามารถด้านเทคโนโลยีชีวภาพระดับ สูงของพนักงานในท้องถิ่น แรมโนลิปิดเป็นสารลดแรงตึงผิวชีวภาพ กลุ่มหนึ่งที่สามารถผลิตอย่างยั่งยืนผ่าน กระบวนการหมักโดยใช้น้ำาตาลเป็นวัตถุดิบ หลัก การใช้คาร์บอนชีวภาพทำาให้ไม่จำาเป็น ต้องใช้วัตถุดิบปิโตรเคมีหรือน้ำามันจากเขต ร้อน แรมโนลิปิดสามารถย่อยสลายได้อย่าง สมบูรณ์ และวงจรชีวิตที่มีผลกระทบต่ำาของ มันหมายความว่ามันเป็นทางเลือกที่ยั่งยืน แทนสารลดแรงตึงผิวทั่วไป คุณสมบัติใน การขึ้นรูปโฟมที่ยอดเยี่ยมทำาให้เหมาะ สำาหรับใช้ในน้ำายาทำาความสะอาดในครัว เรือนและผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลอย่าง แชมพูและไมเซลลาวอเตอร์ รสชาติที่ดียัง ทำาให้สามารถใช้ในสูตรของผลิตภัณฑ์ดูแล ช่องปากอย่างยาสีฟันโดยไม่มีองค์ประกอบ ที่มากลบรส ด้วยผลงานด้านสารลดแรงตึงผิวชีวภาพ ซึ่งเป็นที่ยอมรับ ธุรกิจ Care Solutions จึงยืนหยัดในตำาแหน่งพันธมิตรด้านสาร ชนิดพิเศษที่ยั่งยืน ขณะเดียวกันก็เสริมสร้าง ความแข็งแกร่งของแพลตฟอร์มเทคโนโลยี ของ Nutrition & Care อีกด้วย ซึ่งผล งานยังรวมถึง RHEANCE® One สำาหรับ การดูแลส่วนบุคคล และ REWOFERM® RL 100 สำาหรับโซลูชันการทำาความสะอาด
EVONIK PIONEERS INDUSTRIALSCALE MANUFACTURING OF BIOSURFACTANTS
Production of biobased, fully biodegradable rhamnolipid surfactants Strategic partnership with Unilever Next step in the transformation of Evonik’s life sciences division Nutrition & Care
Evonik will begin building the world’s first industrial-scale facility for manufacturing sustainable rhamnolipid biosurfactants at its site in Slovakia. The triple-digit million-euro investment will establish Evonik as a pioneer of high-quality, sustainable biosurfactants on a commercial scale. Construction at the Evonik site in Slovenská Ľupča is scheduled for completion by the end of 2023. The new plant will meet the rapidly growing market demand for biobased, biodegradable surfactants, and will leverage the biotechnology platform of Evonik’s life sciences division, Nutrition & Care. Evonik’s rhamnolipids are exceptionally high quality and provide Evonik a unique position in the market due to the IPprotected manufacturing process. These biosurfactants are manufactured and sourcedsustainably and play an essential role in transitioning the Nutrition & Care division to become a provider of system solutions.
Furthermore, Evonik and Unilever have entered a strategic partnership for the supply of rhamnolipids for use in hand dish washing liquid and other home care applications. The recently signed long-term agreement represents an important step for the commercialization of this biosurfactant technology and opens opportunities for other companies wishing to offer sustainable solutions to their customers.
“This is a game changer for cleaning and personal care products. With this investment we are pioneering a new market and we believe that this will transform the way the world cleans. We are proud to collaborate with Unilever for a cleaner, more sustainable future,” says JohannCaspar Gammelin, President of the Nutrition & Care division.
The increased production capacity of sustainable biosurfactants and the partnership of Evonik and Unilever demonstrate a major portfolio shift for Evonik’s life science division Nutrition & Care, as it expands its offering of system solutions. Characterized by high growth prospects and aboveaverage margin potential, Nutrition & Care aims to increase the share of system solutions it offers from 20 percent today, to more than 50 percent by 2030.
“Rhamnolipids are an important part of our Clean Future initiative which has set the goal to exclude fossil carbon in all cleaning products by 2030. We want to make sustainability easy for everyone that uses our
products. The partnership with Evonik helps move our brands away from fossil fuels without compromising on performance or affordability,” says Peter Dekkers, Executive Vice President Middle Europe, Unilever.
Evonik and Unilever have partnered since 2019 to market a new hand dishwashing detergent based on Evonik’s rhamnolipids. The investment project at the Slovenská Ľupča site in Slovakia, and the latest strategic partnership reflect a culmination of these efforts and is the first step to providing industrial quantities of rhamnolipids to a broad range of customers.
The new plant in Slovakia is leveraging the biotechnology platform of Nutrition & Care and will support the growth ambition of the division and the Care Solutions business line.
แอชแลนด์เน้นนวัตกรรมสำาหรับตลาด ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องเพื่อความงามที่มี ความรับผิดชอบมากขึ้น โดยล่าสุดได้เปิด ตัวหกสูตรใส่ใจความงามสำาหรับผิวและ ช่องปาก ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากการที่ ทั้งโลกเคลื่อนสู่การใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนและมี จริยธรรม จึงเน้นสูตรที่มีสารจากธรรมชาติ สูง ใช้ส่วนผสมต่ำา และไม่มีซัลเฟต ซิลิโคน ไมโครพลาสติก และส่วนผสมที่มาจากสัตว์ กลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ใส่ใจความงามของ แอชแลนด์ใช้ส่วนผสมที่มีความหมาย เพิ่ม ประสิทธิภาพและเสน่ห์แก่ผลิตภัณฑ์ ทำาให้ ผู้บริโภคสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ด้านสิ่ง แวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล สูตรประกอบด้วย Phyteq™ raspberry n multifunctional สารเสริมฤทธิ์ต้าน จุลชีพจากธรรมชาติ ผ่านมาตรฐาน COSMOS ให้ประโยชน์ต่อผิว ผลิต ด้วยกระบวนการปราศจากตัวทำาละลาย และมีการใช้พลังงานหมุนเวียน และ Santalwood™ biofunctional ส่วน
Evonik Fermas GmbH situated in Slovenská Ľupča in Slovakia was established more than 25 years ago as Evonik’s scale-up and launch platform. Now a strategic location for Evonik’s biotechnology activities, the site is a key biotech hub for growing and developing Evonik’s offerings of system solutions. Expansion of the facility will benefit from the highly skilled biotechnology competencies of the local workforce.
Rhamnolipids are a class of biosurfactants which can be sustainably manufactured via a fermentation process using sugar as the main raw material. This use of biogenic carbon requires no petrochemical raw materials or tropical oils. Rhamnolipids are fully biodegradable, and their low-impact life cycle means they are a sustainable alternative to conventional surfactants. Their exceptional foam-forming properties make them suitable for use in household cleaners and personal care products like shampoos and micellar waters. Their pleasant taste also enables the formulation of oral care products such as toothpaste without strong taste masking components.
With its well-established biosurfactant portfolio, the care solutions business line firmly cements its position as a sustainable specialties partner, while also further strengthening Nutrition & Care’s broad technology platform. The portfolio includes RHEANCE® One for personal care applications and REWOFERM® RL 100 for cleaning solutions.
News info Evonik - January 14, 2022
ผสมจากธรรมชาติผ่านมาตรฐาน COSMOS ได้จากการนำาเศษไม้มาพัฒนาใหม่ นำามาซึ่ง วิธีการใหม่สู่การชะลอวัยและฟื้นฟูผิว รวม ถึง Lubrajel* Oil PF hydrogel มอยส์ เจอไรเซอร์จากธรรมชาติที่ย่อยสลายได้ทาง ชีวภาพ เป็นไฮโดรเจลปราศจากสารกันบูด ที่มอบความลื่นและเบา กลุ่มผลิตภัณฑ์ยังรวมถึงสาร เพิ่มความข้นจากเซลลูโลสอย่าง Klucel™ HPC และ Benecel™ HPMC ผลิตจากเซลลูโลสที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นแหล่งที่มี อยู่มากและนำากลับมาใช้ใหม่ได้ แอชแลนด์ เป็นผู้จำาหน่ายอนุพันธ์ของเซลลูโลสแห่ง แรกที่มีการรับรองจากบุคคลที่สามเกี่ยว กับสารรีไซเคิล 100% จากผู้จำาหน่ายเศษ ฝ้ายทั้งหมด กลุ่มผลิตภัณฑ์สูตรใส่ใจความงามยัง รวมถึง Simply radiant +C serum เซ รั่มวิตามินซีเข้มข้นจากธรรมชาติ ช่วยให้ ผิวกระจ่างใสขึ้นด้วยส่วนผสมน้อยกว่า 10 ชนิด และ Gently natural foaming cleanser เคล็นเซอร์เนื้อโฟมจากธรรมชาติ เป็นครีมหนานุ่ม ให้ผิวรู้สึกนุ่มชุ่มชื่น อีกทั้ง ยังมี Pearly soapy body wash เคล็น เซอร์เนื้อโฟมสุดหรูจากธรรมชาติ ผลิตโดย ปราศจากสารซัลเฟต และ Clearly mild micellar water ไมเซลลาร์ เคล็นเซอร์ วอเทอร์ จากธรรมชาติที่อ่อนโยน พร้อม ส่วนผสมหลายหน้าที่และช่วยป้องกันแสงสี ฟ้า รวมถึง Conscious clean + fresh toothpaste ยาสีฟันจากธรรมชาติ 96% ด้วยประโยชน์จากราสเบอร์รี เซลลูโลสไม้ ว่านหางจระเข้ Puraloe™ ที่ปลูกแบบยั่ง ยืนเพื่อความสะอาดและสดชื่น และ Onthe-go jelly perfume น้ำาหอมแบบเจลที่ อุดมด้วยสารจากธรรมชาติ มีส่วนผสมน้อย เหมาะสำาหรับผู้ที่ใช้ชีวิตเร่งรีบ “ผู้บริโภคตระหนักว่าการตัดสินใจของพวก เขาส่งผลกระทบต่อโลกและสังคมอย่างไร พวกเขาตระหนักถึงความยั่งยืนของส่วน ผสมมากขึ้น รวมถึงผลกระทบทางสังคม สิ่งแวดล้อม และจริยธรรมของแบรนด์” Denise Costrini ผู้อำานวยการฝ่ายการ ตลาดระดับโลก ส่วนผลิตภัณฑ์บำารุงผิว ของแอชแลนด์กล่าว “ความต้องการส่วน ผสมจากธรรมชาติในปริมาณที่สูงขึ้นมีมาระ ยะหนึ่งแล้ว แต่ไม่นานมานี้ จุดสนใจได้ เปลี่ยนไปเนื่องจากผู้บริโภคหันมาตระหนัก
ASHLAND’S CONSUMER-MARKET FOCUSED CONSCIOUS BEAUTY FORMULATIONS PROMOTE SUSTAINABLE AND ETHICAL LIFESTYLES
Continuing the consumer-market focused innovation journey for more responsible beauty, Ashland has recently launched a collection of six beauty-conscious formulations for skin and oral care. The collection was inspired by the increased global movement to live sustainably and ethically and features formulations with high natural content, minimal ingredients and without the use of sulfates, silicones, microplastics or animal-derived ingredients.
Ashland’s new beauty conscious collection uses purposeful ingredients that add efficacy and allure to consumer products enabling customers to meet environment, social and governance (ESG) objectives.
The formulations include Phyteq™ raspberry n multifunctional, a natural, COSMOS1-validated antimicrobial booster with proven skin benefits, made with a solvent-free process and renewable energy; Santalwood™ biofunctional, a COSMOS- validated, natural ingredient, sourced from upcycled wood chips, that brings a new approach to well-aging and skin renewal, and new Lubrajel* Oil PF hydrogel, a nature-derived, biodegradable moisturizer that provides lubricity and a light, dimethicone light feel in a preservative-free hydrogel.
The collection also features cellulose-based thickeners, Klucel™ HPC and Benecel™ HPMC, made from sustainable cellulose, a renewable and abundant resource. Ashland is the first cellulose derivative supplier to have third party certification of 100 percent recycled content from all cotton linter suppliers.
The beauty conscious formulation collection also includes simply radiant +C serum, a natural, Vitamin C infused serum to brighten dull skin with less than 10 ingredients and gently natural foaming cleanser, a clear and simple natural foam cleanser with rich creamy foam that leaves skin feeling soft and nourished. Includes are also pearly soapy body wash, a natural, cleanser with luxurious foam that is made without sulfates ; clearly mild micellar water, a very natural, gentle and micellar cleanser water with multifunctional ingredients and blue-light protection; conscious clean + fresh toothpaste, a 96 percent natural toothpaste that harnesses the power of raspberries, wood cellulose, sustainably-farmed Puraloe™ aloe vera to clean and freshen; and onthe-go jelly perfume, a high natural content fragrant jelly perfume with minimal ingredients for busy lifestyles.
“Consumers are aware of how their decisions impact the planet and society and they are increasingly aware of the sustainability of ingredients and a brand’s social, environmental and ethical impact,” says Denise Costrini, global marketing director, skin care, Ashland. “The demand for higher natural content ingredients has been rising for some time, but the focus is shifting more recently as consumers become conscious of the renewable and ethical sourcing of ingredients.”
News info Ashland - December 6, 2021
การปฏิวัติทางเทคโนโลยีเพื่อแยกนมออก เป็นส่วนประกอบโปรตีน บุกเบิกโดยผู้นำาใน ธุรกิจส่วนผสมจากนม อาร์ลา ฟู้ดส์ อิน กรีเดียนส์ เปิดประตูสู่ความเป็นไปได้ทาง นวัตกรรมที่ไม่สิ้นสุด การแยกส่วนนมเป็นวิธีการที่มีการจด สิทธิบัตร พัฒนาโดย อาร์ลา ฟู้ดส์ อิน กรีเดียนส์ (AFI) ผู้นำาระดับโลกด้านนม คุณภาพสูงพิเศษและส่วนผสมเวย์ และ เป็นบริษัทในเครือของ European dairy cooperative Arla Foods บริษัท AFI ตั้งเป้าที่จะส่งมอบความก้าวหน้าทาง วิทยาศาสตร์ เพื่อให้นักวิทยาศาสตร์ นัก โภชนาการ และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ สามารถสร้างผลิตภัณฑ์จากนมในขั้นต่อไป สำาหรับปัจจุบันมีความก้าวหน้าในส่วนของ เคซีนและโปรตีนเวย์เซรั่ม การพัฒนาอาหารที่มีสารอาหารเฉพาะ เปิดโอกาสให้ผลิตภัณฑ์สูตรสำาหรับการกีฬา และสำาหรับทารกสามารถพัฒนาไปอีกขั้น รวมถึงผลิตภัณฑ์สำาหรับกลุ่มเปราะบาง อย่างผู้สูงวัยและผู้ที่ต้องการโภชนาการ ทางการแพทย์อีกด้วย
เทคโนโลยีพิเศษสร้างแหล่งวัตถุดิบที่ มีศักยภาพ การแยกโปรตีนต่างๆ ของนมออกจาก เวย์ ก่อนหน้านี้ได้มาจากการทำาชีส เนื่อง จากเวย์เป็นผลพลอยได้ของกระบวนการ ดังกล่าว ปัจจุบัน จากผลพลอยได้ของ กระบวนการทำาชีส เทคโนโลยีการแยกส่วน นมที่มีการจดสิทธิบัตรใหม่ของอาร์ลา ไม่ เพียงก่อให้เกิดแหล่งวัตถุดิบที่มีศักยภาพ แต่ยังสร้างโปรตีนในกระบวนการพิเศษ และกระบวนการที่มีการควบคุม ซึ่งจะลด ขั้นตอนการแปรรูปและเป็นการแปรรูปนม ที่นุ่มนวลกว่ามาก เฮนริก แอนเดอร์เซน ประธานบริหาร ของอาร์ลา ฟู้ดส์ อินกรีเดียนส์ ให้ความ เห็นเกี่ยวกับการค้นพบว่า “วิธีการนี้ใช้เวลา พัฒนาหลายปี ผมดีใจที่เห็นว่าวิสัยทัศน์ สามารถแปลงสู่การพาณิชย์ได้ด้วยพลังของ การปฏิวัติโภชนาการสำาหรับกลุ่มเปราะบาง ในฐานะนวัตกรเชิงวิทยาศาสตร์ เราผลักดัน การคิดค้นและสร้างกระบวนการของเราขึ้น มาใหม่ เพื่อให้แน่ใจว่าเราได้ผลิตภัณฑ์ที่ดี ที่สุดและเป็นผู้นำาในเรื่องของเวย์” กระบวนการแยกส่วนนมกำาลังบุกเบิก ในส่วนของสูตรสำาหรับทารกที่ธุรกิจนมของ AFI ในเมือง Videbaek ประเทศเดนมาร์ก เพื่อตอบสนองความต้องการด้านสูตรออร์แก นิกสำาหรับทารก ซึ่งคาดว่าตลาดจะเติบโต 14.1% ในอีกสองปีข้างหน้า*
“การทำาชีสแบบเดิมต้องใช้นมออร์แกนิก จำานวนมากเพื่อผลิตเวย์ในปริมาณที่เรา ต้องการ ปัจจุบันเราไม่ต้องพึ่งพาสิ่งนี้ เรา สามารถเพิ่มผลผลิต ขณะเดียวกัน เรา สามารถมอบนมออร์แกนิกสำาหรับทารกที่ บริสุทธิ์มากขึ้นให้แก่พ่อแม่หรือผู้ปกครอง เนื่องจากอาร์ลาใช้ฟาร์มเพียงไม่กี่แห่งใน การส่งมอบนมมายังโรงงานในเมือง Videbaek” เฮนริก แอนเดอร์เซน อธิบาย ปัจจุบัน อาร์ลา ฟู้ดส์ อินกรีเดียนส์ ใช้เทคโนโลยีใหม่ในการผลิตผลิตภัณฑ์ ออร์แกนิกแบรนด์ Baby&Me® และคาด หวังที่จะใช้เทคโนโลยีเพื่อเปิดตัวผลิตภัณฑ์ สูตรออร์แกนิกสำาหรับทารกแบบ Private label ในช่วงปี 2565
GROUNDBREAKING TECHNOLOGY FROM ARLA FOODS INGREDIENTS HOLDS POTENTIAL TO REVOLUTIONIZE INNOVATION FOR DAIRY
A revolutionary technology to separate milk into its different protein components has been pioneered by the leader of the dairy ingredients category, Arla Foods Ingredients, opening the door to infinite innovation possibilities.
The patented method, called milk fractionation, is developed by Arla Foods Ingredients (AFI), a global leader within specialized high quality milk and whey ingredients and subsidiary of the
European dairy cooperative Arla Foods. AFI set themselves the challenge of delivering the scientific breakthrough to enable scientists, nutritionists and health professionals to create next generation dairy products. Now, this is made possible through the selection of specific pure milk proteins, for example, casein and serum whey proteins.
Enabling the development of specialized nutrient-specific foods opens up new opportunities for taking infant formula and sports products to the next level and catering to other vulnerable groups such as the elderly and people with medical nutrition needs, as well.
Unique technology creates bigger potential raw material pool
The separation of milk’s different proteins from whey, previously relied on cheese-making as whey is a bi-product of this process. Now, by by-passing the cheese-making process, Arla’s new patented milk fractionation technology not only allows for a bigger potential raw material pool it also creates protein streams in a unique and fully controlled process with significantly reduced processing steps and a much more gentle processing of the milk.
Commenting on the breakthrough, Henrik Andersen, CEO of Arla Foods Ingredients, says:
“The method has been several years in development and I’m delighted to see what was once a vision become a commercial reality with the power to completely revolutionize targeted nutrition for vulnerable groups. As science-based innovators we are driven to invent and reinvent our processes to ensure we have the best possible products available and continue to lead the way in whey.”
The milk fractionation process is being pioneered for infant formula at AFI’s dairy in Videbaek, Denmark to fulfil a growing demand for organic infant formula, a market estimated to increase by 14.1% in the next two years*.
“Traditional cheese making demands significant quantities of organic milk to produce the volumes of whey we require to meet demand and now we’re not reliant on this we can significantly increase production and, at the same time, offer parents and guardians greater clarity of the provenance of the organic infant milk formula because just a few Arla farms supply the milk to our factory in Vide-baek,” explains Henrik Andersen.
Arla Foods Ingredients is currently using the new technology manufacturing the organic Baby&Me® brand for Arla Foods and AFI expects to launch its first organic private label infant formula solutions based on the technology during 2022.
News info Ingredient Communications - November 25, 2021 Source: *Marketreportsworld.com
ดีเคเอสเอชสร้างความร่วมมือครั้งใหม่กับ IOI Oleo ซัพพลายเออร์ชั้นนำาด้านโอเลโอ เคมีชนิดพิเศษ สำาหรับออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน เกาหลีใต้ และเวียดนาม หน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบ อุตสาหกรรมของดีเคเอสเอช ผู้จัดจำาหน่าย สารเคมีชนิดพิเศษและส่วนผสมชั้นนำา จะ ให้บริการพัฒนาธุรกิจ การตลาด การขาย โลจิสติกส์ และการจัดจำาหน่ายแก่กลุ่ม ผลิตภัณฑ์โอเลโอเคมีชนิดพิเศษของ IOI Oleo ในหกตลาดหลักของเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน เกาหลีใต้ และเวียดนาม ข้อตกลงการ จัดจำาหน่ายจะเริ่มในวันที่ 1 เมษายน 2565
IOI Oleo ผลิตผลิตภัณฑ์โอเลโอเคมีที่ หลากหลายสำาหรับการใช้งานทางอุตสาหกรรม จำานวนมาก เช่น สารออกฤทธิ์และสารเพิ่ม ปริมาณสำาหรับอุตสาหกรรมยา ภายใต้ข้อ ตกลงดังกล่าว ดีเคเอสเอชจะมอบบริการ ขยายตลาดสำาหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์ของ IOI Oleo ได้แก่ ไตรกลีเซอไรด์ ลิพิด น้ำามัน เอสเทอร์ของไขมัน ไขมันแข็ง สารช่วยละลาย ของเหลว และสารชนิดพิเศษในแบรนด์ ต่างๆ เช่น DYNASAN®, IMWITOR® , MIGLYOL®, SOFTIGEN®, SOFTISAN® และ WITEPSOL
René Beyer หัวหน้าฝ่ายขายของทวีป ยุโรปตะวันออกกลางและแอฟริกา, LATAM & Strategic Accounts Pharma ของ IOI Oleo ให้ความเห็นว่า “เรายินดีเป็น อย่างยิ่งที่จะรับดีเคเอสเอชมาเป็นพันธมิตร ด้านการจัดจำาหน่ายระหว่างประเทศ ต้อง ขอบคุณความเป็นมืออาชีพและการบริการที่ ดีของทีมขายในพื้นที่ของดีเคเอสเอช ที่ทำาให้ เรามั่นใจว่าความร่วมมือระหว่างเราจะเป็น ประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมยาและต่อผู้ป่วย”
Zeljko Pockaj รองประธานกลุ่ม อุตสาหกรรมยาระดับโลกของดีเคเอสเอช เสริมว่า “เรามีความยินดีที่จะร่วมมือกับ IOI Oleo ในหกตลาดหลักของเอเชียแปซิฟิก สาร ชนิดพิเศษคุณภาพสูงของ IOI Oleo เหมาะ เป็นอย่างยิ่งกับการนำาเสนอผลิตภัณฑ์ของเรา เรารอคอยที่จะแนะนำาแบรนด์สารเพิ่มปริมาณ ของพวกเขาแก่ฐานลูกค้าขนาดใหญ่ของเรา รวมถึงเจาะตลาดในภูมิภาคเพิ่มเติม”
DKSH has started a new partnership with IOI Oleo, a leading supplier of oleochemical specialties, for Australia, New Zealand, the Philippines, Taiwan, South Korea, and Vietnam.
DKSH’s Business Unit Performance Materials, a leading distributor of specialty chemicals and ingredients, will provide business development, marketing, sales, logistics, and distribution services for IOI Oleo’s range of oleochemical specialties in six key Asian Pacific markets, including Australia, New Zealand, the Philippines, Taiwan, South Korea, and Vietnam. The distribution agreement will commence on April 1, 2022.
IOI Oleo produces a broad range of oleochemical products for a large number of industrial applications, such as active ingredients and excipients for the pharmaceutical industry. Under the agreement, DKSH will provide market expansion services for IOI Oleo’s range of triglycerides, lipids, oils, fatty esters, hard fats, liquid solubilizers, and specialties, including brands, such as DYNASAN®, IMWITOR® , MIGLYOL®, SOFTIGEN®, SOFTISAN® , and WITEPSOL® .
René Beyer, Head of Sales EMEA, LATAM & Strategic Accounts Pharma, IOI Oleo, commented: “We are very pleased to welcome DKSH to our international distribution partner network. We are convinced that, thanks to the high level of professionality and service of the local sales teams of DKSH, our collaboration will be of benefit for the pharmaceutical industry, and in turn for the patients.”
Zeljko Pockaj, Vice President Global Pharmaceutical Industry, DKSH, added: “We are delighted to partner with IOI Oleo for six key markets in Asia Pacific. IOI Oleo’s high quality specialties are an excellent fit for our product offering. We very much look forward to introducing their excipient brands to our large customer base and to increasing market penetration in the region.”
News info DKSH Performance Materials - February 23, 2022
SUBSCRIPTION FORM
Fill out your detail or attach your business card
Subscription Date .................................................................................. Where did you find us? ................................................................................ Your name .................................................................................. Your job title ........................................................................................... Your e-mail .................................................................................. Your mobile number ....................................................................................... Company name ................................................................................................................................................................................................................. Company address ................................................................................................................................................................................................................. .................................................................................. Country ......................................... Zip code ........................................
Website
.................................................................................. Tel no. ........................................... Fax no. .......................................... Name and address on receipt □ Same as above □ Other, please specify ...................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................... Your industry (please select your interest by inputting ü) □ Food/Beverage □ Supplements/Nutraceuticals □ Cosmetics □ Pharmaceuticals/Medicals □ Environment □ Energy □ Other, please specify ................................................................................ Your business (please select your interest by inputting ü) □ Manufacturer □ Distributor □ Certification body □ Laboratory service □ Academics □ Government body □ Consultancy □ Other, please specify ..............................................
Your job function (please select your interest by inputting ü) □ Management □ Purchasing □ Sales/Marketing □ QC/QA □ QMR/Document Control
□ R&D □ Chemist □ Microbiologist □ Production □ Consultant
□ Other, please specify .............................................................................................. Your interest (please select your interest by inputting ü) □ Ingredients □ Additives □ Chemicals □ Reagents □ Methods
□ Techniques □ Instruments □ Equipment □ Tools □ Softwares
□ Lab Facilities □ Lab Design □ Laws/Regulations □ Standards □ Interview
□ Industry/Market trend □ Other, please specify .............................................................................................. Your engagement (please rank the score 1-5, 5 = most engaged) _ Enhancing work capability _ Seeking products & services _ Finding out industry movement _ Joining INNOLAB’s activities, seminar and conferences _ Other, please specify ......................................................................................... Your preferred communication channel (please rank the score 1-5, 5 = most convenient) _
E-mail _ Post mail _
Fax _ Facebook, www.facebook.com/innolabmagazine _ Other, please specify ..............................................................................................
Your interest seminar topic ................................................................................................................................................................................................ Your suggestion .................................................................................................................................................................................................................
Your subscription
Domestic reader □ 1-year 900 THB Oversea reader □ 1-year 90 USD □ 2-year 1500 THB □ 2-year 170 USD Please remit payment to MEDIA MATTER Co., Ltd., savings account number 1082280729, Siam Commercial Bank Pcl. The swift code is SICOTHBK. Please send the pay-in slip via fax number +66 2878 1026 or innolab@media-matter.com
