Blue(หม่น)
ผลิตโดย สำ�นักพิมพ์อะยวน พิมพ์ครั้งที่ 1 เดือนกุมภาพันธ์ 2554 ราคา 190 บาท บรรณาธิการที่ปรึกษา บรรณาธิการเล่ม พิสูจน์อักษร ประสานงานการผลิต
ธิดารัตน์ ดีราษฎร์วิเศษ จิตปรีดา วงษ์คำ�พันธ์ จิตปรีดา วงษ์คำ�พันธ์ ท่านพ่อ ท่านแม่
สำ�นักพิมพ์ อะยวน เลขที่ 44/5 หมู่ที 2 ถนนฉิมพลี ตำ�บลในเมือง อำ�เภอเมือง จังหวัดขอนแก่น 40000 โทรศัพท์ 0-84515-0706 , 0-43222-838 e-mail.harther_mj@hotmail.com
สิ่งที่เรามี ในฐานะบุคคลธรรมดา เป็นสิ่งที่บรรดาคนพิเศษไม่มี
คำ�นำ� “ it’s not love story but it’s about love you and me and everyone we know “ ประโยคนี่คงจะเป็นการอธิบายที่สั้นที่สุดของหนังสือเล่มนี่ มันไม่ใช่เรื่องของความรักแต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรัก ของฉันเเละเธอและทุกทุกคนที่เรารู้จัก เครือข่ายสัมพันธภาพขนาดใหญ่ที่ไม่่ว่าเราจะทำ�อะไรลงไปย่อมมีผลกระทบ ไปยังสิ่งอื่นๆเสมอ ไม่ว่าเราจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม จึงไม่แปลกที่เรามักจะทำ�ร้ายคนที่เรารักหรือคนที่รักเราอยู่เสมอ โดยที่เราเองอาจจะไม่รู้ตัว และเหมือนเหมือนกับที่เราโดนเขาเหล่านั้นทำ�ร้ายอยู่เสมอ เจ็บแต่เราก็ยอมอยู่เสมอ...ใช่มั๊ย มาลองนับเล่นๆกันมั๊ย จำ�นวนคนที่เรารู้จัก ? ลุง ป้า น้า อา เพื่อนพ้อง น้องพี่ หรือแฟน o_O! น้อยจนจำ�ไม่ได้ หรือเยอะจนนับไม่หมด หนึ่งหรือมากกว่าในจำ�นวนนั้นอาจมีใครคนที่เราหลงลืมเขาทิ้งไว้ในอดีต คนที่เราจำ�ได้ดีคือคนที่มีความหมายกับเราทั้งความทรงจำ�ที่ดีและไม่ดี ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่เราคุ้นหน้ากันทั้งนั้น แต่มันก็มีเสมอใช่มั๊ย คนที่เรารู้สึกคุ้นหน้าทั้งที่อาจไม่เคยพบเจอกันมาก่อน เขาอาจจะเป็นใครสักคนที่เราลืมไว้ ในอดีตหรือกำ�ลังจะรู้จักในอนาคตก็ได้ :) มันคงเหมือนการที่เราฟังเพลง ทั้งที่เราฟังเพลงมากมายหลายเพลง แต่จะมีเพียงแค่ไม่กี่เพลงที่ติดอยู่ ในความทรงจำ�ก็คล้ายกับที่มีแค่ไม่กี่คนที่เรายังจดจำ�เขาได้เสมอ ไม่ปล่อยให้เขาหายไปพร้อมกับเวลา บนโลกที่มีคนเหงามากกว่าเสาไฟฟ้า การรู้จักผู้คนมากมาย ก็ไม่ทำ�ให้ความเหงาของเราลดลง มิหนำ�ซำ�อ้ าจ เป็นการเพิ่มเติมความเหงา... ความรักทำ�ให้เรายิ้มได้ แต่สิ่งที่ทำ�ให้เรายิ้มได้ก็ทำ�ให้เราเสียนำ�ต้ าได้เหมือนกัน แต่อย่ากระนั้นเลย เรายอมทนเจ็บก็ดีกว่าทนเหงา มีสุขแค่บางเวลาก็คงจะดีกว่าเหงาทุกวัน ? การมองหาความเหมือนจะทำ�ให้เรารักกัน “ เฮ้ย ชอบเหมือนกันเลย ! “ รู้สึกดีมั๊ยกับคำ�พูดประโยคนี้ ถึงไม่รู้สึกดีแต่ก็ทำ�ให้เรายิ้มได้ก็เเล้วกัน แต่การมองหาความต่างอาจจะทำ�ให้เราเกลียดกัน ...
“ ไม่จริงหรอกต่างกันก็รักกันได้ ” แกเถียงด้วยเเววตามีประกายที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่เห็นต้องชอบอะไรเหมือนเหมือนกันเลย ชอบอะไรต่างกันก็รักกันได้ ดีออกจะได้ลองอะไรใหม่ๆ … เธอเธอเป็นสีชมพูเธอมีโลกของเธออยู่ ที่ฉันไม่อาจล่วงรู้และไม่เคยเข้าไป ส่วนฉันเป็นสีเทามีแต่ความเหงารอบๆกายไม่รู้เลยในความหมายอะไรมากกว่านี้ แต่เธอและฉันก็เดินเข้ามาชิดใกล้มาทำ�ให้กันและกันเปลี่ยนเป็นสีใหม่ เมื่อชีวิตของเราไหลปนกันโลกของฉันก็ดูจะเปลี่ยนสีไป (ทฤษฏีสีชมพู - stram million ways to write) เถียงแกไม่ออก แต่ประโยคนั้นทำ�ให้นึกถึงเพลงนี้ เนื้อหาบางส่วนของหนังสือเล่มนี้มากจากแคนโต้ของคุณปองแห่ง thaicanto.com และการ์ตูนของ เดอะดวง มันอาจจะไปตรงกับเหตุการณ์ในชีวิตของใครบางคน ขอแสดงความดีและยินร้ายที่เคยมีความรู้สึกแบบ เดียวกัน และขอบคุณใครหลายคนที่มาเป็นส่วนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้ไม่ว่าเขาจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ถึงวันนี้ฉันยังอยู่ได้สบายไม่เหนื่อยกายเหนื่อยใจเท่าไร เพียงฉันหวังให้ใครมาเคียงใกล้อยู่ด้วยใจดวงเดิม :D จิตปรีดา :D
ปล. ถึงมิตรรักแฟนอ่าน ท่านผู้อ่านท่านผู้มีเกียรติเคารพรักทุกท่าน ช่วงใดลีลาไม่สบอารมย์ได้โปรดกรุณาให้อภัย เรื่องใดถูกใจเก็บไว้ เป็นความทรงจำ� และอย่าแปลกใจที่หนังสือเล่มนี่ไม่มีเลขหน้า ทีความรักยังไม่มีลำ�ดับเลยจริงมั๊ยล่ะ
คำ�นี้ย้วย ย้อนไปเมื่อเดือนที่แล้ว เมื่อมันมีงานเข้า(หลายงาน ฮา) ร่วมทั้งทำ�หนังสือเล่มนี้ด้วย นอกจากนี้ “มัน” ก็ยังเผื่อแผ่งานมาถึงเพื่อนด้วย (ฮา) ตอนนี้ก็เลยได้รับหน้าที่เขียนคำ�นิยม (อย่างเต็มใจ) ถึงขนาดต้องพึ่งพาปู่เกิ้ลว่าตรูจะเขียนจะยังไงวะ แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากมายนัก. จากการที่ได้ รู้ เห็น และ รับฟัง ในเรื่องราวต่างๆของมันมามากมาย หนังสือเล่มนี้ก็สามารถสะท้อนตัวตน ของมันได้มากเลยทีเดียว ทั้งแนวคิด ความคิด แง่มุมในเรื่องความรัก มีทั้ง การแอบรัก(ของมัน ฮา) สุข สมหวัง ผิดหวัง กำ�ลังใจดีๆจากคนรอบข้าง และมันก็เลยเป็นที่มาของประโยคทองแห่งปี (เว่อร์ ฮา)สำ�หรับฉันไปเลย..
“เราเข้าใจทุกคนไม่ได้ และก็เหมือนกับที่เราไม่สามารถบังคับใครให้มาเข้าใจเราได้ เหนื่อยก็พัก อย่าคิดมาก คิดแทนคนอื่นมันก็เหนื่อยแบบนี้แหละ” - พ่อแง่ว ที่ไม่ประสงค์ออกนาม
“ คิดแทนคนอื่นมันก็เหนื่อยแบบนี้แหละ “
“ คิดแทนคนอื่นมันก็เหนื่อยแบบนี้แหละ “
“ คิดแทนคนอื่นมันก็เหนื่อยแบบนี้แหละ “
…………………………
ถ้าใครเผอิญผ่านมาอ่าน หนังสือเล่มน้อยๆ เล่มนี้ คุณคงได้อะไรกลับไปแน่ๆ ไม่เชื่อคอยดู (ฮา) ทั้งแง่คิด แนวคิด ความตั้งใจของคนทำ�ที่เห็นแล้ว บอกได้เลยว่ามัน “โคตร” ตั้งใจทำ�ออกมาเลย. ย้วย (คนที่เขียนคำ�นิยม ครั้งแรกในชีวิต :D )
คำ�นิยม(นมดำ�)
“ช่วยเขียนคำ�นิยมให้หน่อยสิ” คำ�ขอร้องที่มาพร้อมกับแสงไฟกระพริบสีส้ม ของโปรแกรม MSN ใครจะไปเชื่อว่า วันหนึ่งจะได้มาเขียนคำ�นิยมให้คนอื่น นอกจากผลงานเขียนไม่เป็นชิ้นเป็นอัน สเปะสปะไปบ้าง ก็มักจะมีแค่ tweet ข้อความ หรือ comment สั้น ๆ บนหน้าจอ social network ไปตามเรื่องตามราว “ได้เขียน จริงนี้มันตื่นเต้นกว่ากันเยอะแหะ” ได้มีโอกาสคุยกับนักเขียนคนนี้ก็หลายเดือนเข้าให้ นอกจากชื่อเพราะๆของเธอที่เรียกว่า “จิตปรีดา” ก็พอจะรู้อยู่ว่าเป็นผู้หญิงโรแมนติกไม่น้อย แต่พอยิ่งได้คุยกันนานวันเข้ากับรู้สึก “แหม…. คุณคนนี้ เขาโรแมนติกเข้าสายเลือดจริงๆ” บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่าเซลล์สมองส่วนต่างๆของคุณคนนี้ คงโดนทำ�ลายซะหมดซะสิ้น คงจะมีเหลือก็แค่ เซลล์เล็กๆ ที่เรียกว่าความรัก วิ่งไปวิ่งมาอยู่ทั่วสมองซะหมดละมั้ง “คนอะไร๊ เขียนเรื่องราวความรักได้ จนรู้สึกว่าอยากจะจับคนเขียนมาหยิกแก้มแก้เขินซะให้เข็ด” ก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าชีวิตของคุณคนเนี่ย เขาไปผ่านเรื่องรักๆอะไรมาบ้าง แต่ที่ได้อ่านไปก็รู้สึกว่า มันมีทั้งเรื่องที่ต้อง ขำ�จนน้ำ�ตาเล็ด เศร้าจนต้องน้ำ�ตาไหล หรือบางครั้งก็คมและกลมกล่อมจนต้องแอบจดลงใน diary กันซะทีเดียว ตอนนี้ก็รู้สึกว่าหมั่นมือ อยากหยิบปากกามาเขียนเรื่องรักๆของให้เป็นเรื่องเป็นราวกับเขาบ้างแล้วละ แต่จะทำ�ไงได้ ถ้าจะให้เขียนจริงๆ เรื่องรักของเราคงจะมีเนื้อเรื่องที่เล็กกระจิ๊ดลิ๊ดเท่ากับมุมของกระดาษ A4 เท่านั้นละมั้ง เฮ้อ….เอาน้า โบราณเขาว่า “เรื่องรักๆนี่ถ้าไม่เจอกับตัวเองก็คงไม่รู้หรอก” ก็สงสัยว่ามันจะจริงซะละมั้งเนี่ย กับผู้หญิงอารมณ์ดีคนนี้ ยังไงก็ขอให้ช่วยอ่าน ช่วยเชียร์กันหน่อย ถึงมันจะเป็นก้าวเล็กๆของคนอื่น แต่ก็คิดว่ามันเป็นก้าวสำ�คัญ ของผู้หญิงคนนี้ ก็เห็นกว่าจะได้เล่มนี่มา เห็นวิ่งวุ่นทำ�กันทั้งวันทั้งคืน นั่งแก้ไปแก้มาซะจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน ขอบตาโตโตก็พลอยจะดำ�ปิ๊ดปี้เป็นหมีแพนด้า
ถ้าชอบก็ชวนเพื่อนชวนฝูงมาอ่านกันเยอะเยอะนะ แต่ถ้าเกิดพาลไม่ชอบขึ้นมา ก็คิดไว้เลยมันไม่เกี่ยวกับผมนะ เขาจ้างผมมา : P แต่เชื่อผมเถอะผมรับประกันเลยละว่าถ้าคุณอ่านหนังสือเล่มนี้จบ ผมเชื่อแน่ว่า หัวใจดวงเล็กๆที่ซ่อนไว้ในหัวนมข้างซ้าย จะต้องสั่นระริก และหัวใจดวงนั้นจะต้องเบิกบาน ปรีดา ไปเหมือนชื่อหนังสือและคนเขียนแน่ๆ “จิตปรีดา” ………….. ……….. ……. เออใช่ ผมลืมบอกอะไรไปสักอย่างรึเปล่า หนังสือเล่มนี้พกติดบ้านไว้ก็ดีนะ ผมว่าเป็นเป็นยาสมานแผล(ใจ) ได้ดีเล่มหนึ่งทีเดียวเลยแหละ : ))
พุงกลม
You always hurt the one you love The one you shouldn’t hurt at all You always take the sweetest rose And crush it till the petals fall You always break the kindest heart with a hasty word you can’t recall So If I broke your heart last night It’s because I love you most of all (You Always Hurt the One You Love, Allan Roberts)
ชีวิตคนแต่ละคน ต่างคนต่างก็มีบทบาทเป็นของตัวเอง บางทีคนคนนึงอาจจะเป็นตัวละครหลักในชีวิตของเรา แต่สำ�หรับเขาแล้ว เราอาจจะเป็นแค่เพียงตัวประกอบที่มีบทเพียงนิดเดียว มิหนำ�ซำ�บ้ างทีในช่วงตัดต่อ บทของเราอาจถูกตัดทิ้งไปเลยก็ได้ ในระหว่างการตัดต่อและแก้ไขบท อาจจะมีบางคนพลาดตัดบทบางส่วนหรือตัวละครบางตัว ที่ไม่ควรจะตัดทิ้งไปโดยไม่รู้ตัว...
ถึง ...เธอ
ยิ้มก่อนอ่าน ตาหวานก่อนเปิด :D
ไม่ว่าการสื่อสารจะก้าวหน้าไปขนาดไหน จนเวลาที่ใช้ติดต่อสื่อสารกันแทบจะเป็นศูนย์ เราคุยกับใครอีกคนที่อยู่ห่างไปอีกซีกโลกหนึ่ง เราสื่อสารกับคนมากมายในหลากหลายสถานที่ได้ ในเวลาแทบจะพร้อมกัน แต่สิ่งเดียวที่ยังคงต้องใช้เวลา ในปริมาณที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปเท่าไร คือ “ความรัก” การสื่อสารถึงกัน ด้วยความรวดเร็ว อาจทำ�ให้ความละเมียดละไมตกหายไป การรอคอย ที่ทำ�ให้เราคิดถึงกัน ระหว่างที่ข้อความกำ�ลังเดินทางไปหากัน จดหมายหรือโปสการ์ดสักใบยังคงสร้างความรู้สึกที่อีเมลล์หรีอเฟซบุ้คมิอาจสร้าง ฉันจับเมาส์ เธอก็จับเมาส์แต่นั่นไม่ ได้หมายความว่าเรากำ�ลังจับมือกัน ความรู้สึกเวลาเราจับมืออุ่นๆคงรู้สึกดีกว่าจับเมาส์ แม้เเต่การติดต่อกันอย่างที่เเทบจะเรียกว่าตลอดเวลา ก็ไม่ได้เป็นการเชื่อมต่อความสัมพันธ์ ให้ยิ่งผูกพันแน่ น แฟ้ น มันเหมือนการกอดกันที่แน่นเกินไป ร่างที่ห่างไกลถึงแม้ว่าใจจะใกล้กัน ก็ไม่มีวันสัมผัสความอบอุ่นที่ร่างกายมอบให้กันและกันได้
“เราโอบกอดกันผ่านระบบโซเชี่ยลเน็ตเวิคไม่ได้”
ไม่ว่าคอมพิวเตอร์จะอุ่นสักแค่ไหน ก็ไม่สามารถทดแทนความอบอุ่นจากร่างกายมนุษย์
ไม่กี่วินาที เราอาจหลงลืมความหมายที่เราไม่สามารถมอบให้กันได้ ด้วยความรวดเร็ว ของทำ�มือยังคงมีความหมายเสมอ มากกว่าของที่ผลิตจากระบบอุตสาหกรรมที่มีมากมาย เหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน สิ่งสำ�คัญคือ ของนั้นเราได้มาจากใคร :D ไม่ว่าของจะดูไร้ค่าแค่ไหน แต่อาจมีความหมายเปี่ยมล้นสำ�หรับเรา เมื่อได้มาจากคนที่มีความหมาย แต่... มีบางอย่างที่มีความหมายไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ ไหน... และสิ่งที่อยู่ ในใจ กับ คำ�อธิบายการเต้นที่ผิดจังหวะเมื่อได้เคลื่อนเข้าใกล้เธอนั้น เป็นคำ�ใด คงไม่จำ�เป็นต้องเอ่ย... ไม่ว่า สิ่งต่างๆจะเคลื่อนไหว ต่อไป.. อย่างไร.. บนโลกใบนี้ จะมีบางสิ่งที่จะไม่มีวันเชย หรือไม่ก็จะเชย ช้าช้า สวนทางกับเวลาที่จะหมุนไปอย่างรวดเร็ว เพียงความเคลื่อนไหว ทีเ่ กิดขึน้ ภายในหัวใจ ทีจ่ ะไม่มวี นั เปลีย่ นไป ขอเพียงเธอ อย่าได้ เฉยชา ก็แล้วกัน :)
รักและคิดถึงเสมอ
ปล.รักคนมอง จองคนอ่าน ร่วมกันต้านยาเสพติด ฮ่าๆ
แปลก... แปลกใจเหลือเกิน ที่บังเอิญได้เจอเธอ แปลก...แค่เพียงแรกเจอ เหมือนว่าเราต่างเคยพบกัน ดั่งกับคนคุ้นเคย ที่รู้ใจกัน... มานานแสนนาน... รู้สึกไหม... ว่าใจของเราตรงกัน และความฝันมีความหมาย... รู้สึกไหม... โลกเรางดงามเพียงใด เมื่อมีฉันและเธอคู่กัน
เพลง รู้สึกไหม DIDN’T YOU KNOW - PAUSE (CONCERT UNPLUGGED)
คุณเชื่อใน รักแรกพบมั๊ย ? ฉันเชื่อว่ารักแรกพบไม่มีอยู่จริง เพราะหากเป็นความรู้สึกจากใจจริง คงต้องอาศัยเวลาพอสมควร กว่าจะรวบรวมความกล้า ที่จะก้าว เข้าไปหาใครสักคน และพูดคำ�ว่า “สวัสดี” เพื่อเริ่มต้น ทำ�ความรู้จักจากการ พบกัน บ่อยครั้ง ที่เราอาจปล่อยให้ ใครบางคน ที่ทำ�ให้ใจเต้นผิดจังหวะผ่านมา และ ผ่านไป (โดยเราอาจไม่ได้พบกัน อีกเลยในชีวิต หรืออาจจะบังเอิญพบกันอีก มีคนบอกว่า “ถ้าบังเอิญพบกันสามครั้ง แสดงว่ามีวาสนาต่อกัน” ฉันไม่เชื่อเรื่องรักแรกพบ แต่ฉัน เชื่อเรื่องพรหมลิขิต :) การตกหลุมรัก จากการพบเจอ อาจคล้ายการได้มองเห็นกันผ่านหน้าต่าง(ใจ)
และเรามักจะตกหลุมรักคนที่เรายังไม่ค่อยรู้จักมากนัก และใช้เวลาไม่นาน เพราะถ้านานอาจจะไม่ตก แค่ได้ พบกัน เรากยังไม่ได้รู้จักอะไรมากมาย จริงๆแล้ว มันอาจเป็น ทรงผม เสื้อผ้า แว่นตา การแต่งตัว หรือสิ่งของอะไรสักอัน ที่ทำ�ให้เรารู้สึกว่า สะดุดใจ เหลือเกิน คนๆนี้น่าสนใจจริงๆ อยากรู้จักจัง โดยที่ อาจไม่ได้แปลความหมายไปในทาง ชู้สาว ประเด็นเดียว แต่การจะรักกันได้จริงจริง เราอาจต้องเดินผ่านประตู เพื่อเดินทางไปด้วยกันให้รู้จักเรียนรู้เรื่องราวระหว่างทาง
แต่... ทั้งนี้ทั้งนั้น การจะเข้าไปแบบที่อยู่ดีๆก็เดินเข้าไปหาและบอกว่า ‘‘ ขอโทษนะ อยากรู้จักขอเบอร์ ได้ไหม ’’ ก็ดูจะเป็นคำ�พูดสำ�เร็จรูป ที่ปราศจากความละเอียดอ่อนทางความคิด ความรู้สึกไปหน่อย เพราะเราเองไม่รู้ว่ารสนิยมทางความรู้สึกของเขาเป็นยังไง สำ�หรับคนหน้าหนา แต่ใจบาง อย่างฉัน จึงมักปล่อยให้เธอเดินผ่านออกไปอยู่เสมอ ก็แหม “ จะให้ชั้นเอาความกล้าจากไหนไปบอกเธอ ” ประโยคนี้จากเพื่อนย้วยคงเป็นการอธิบายที่ใกล้เคียง ที่สุด สวัสดีคนแปลกหน้า เราสวัสดี ด้วยการสบตา เมื่อตากะพริบและมองผ่านไป นั้นคือคำ�ลา อย่างมากมันก็ทำ�ให้เรายิ้มไปกับมันได้เท่านั้น ถึงเราจะเหยียบเงาเขาไว้ แต่เขาก็เดินจากไปอยู่ดี... การขยับเลื่อน จาก คนรู้จัก ไปสู่ เพื่อน หรือ คนรัก มันเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยการถักทอสานสัมพันธ์ อาจใช้เวลาวางแผนและต้องลองผิดลองถูกกันอยู่นาน หรือทบทวนความรู้สึกอยู่นาน แผนการที่สมบูรณ์แบบไม่มีอยู่จริง หากเราเตรียมการแก้ปัญหาไว้ หนึ่งร้อยวิธี โลกจะสอนให้เรารู้จักวิธีที่ หนึ่งร้อยเอ็ด มีปัจจัยมากมายเหลือเกินที่เราไม่อาจควบคุมได้ และเมื่อควบคุมไม่ได้ มันก็ไม่ใช่ปัญหาที่ เราจะกังวลแล้วล่ะ มันเป็นสิ่งที่เราทำ�ได้แค่เตรียมใจให้พร้อมรับสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นแน่ๆ และแก้ไขเท่าที่เรา สามารถจะทำ�ได้เท่านั้น ซึ่งสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมของเรา อาจอาศัยอยู่ในคำ�ว่า โชคชะตา ฟ้าลิขิต พรหมลิขิต อะไรประมาณนี้ กับใครบางคน ที่เราพบเจออยู่ เป็นประจำ� หากเราเกิดตกหลุมรักเข้า การจะก้าวเข้าหา เพื่อเลื่อนสถานภาพ จากคนรู้จัก สู่ คนรู้ใจ ก้าวพลาด อาจถึงขั้น ระเบิดตัวเอง ได้ในพริบตา ช่างเป็นสิ่งที่เปราะบาง ยิ่งนัก... บางโอกาสเราควรยินดีที่ได้พบและรีบคว้าไว้เพราะบางครั้ง นั่นเป็นครั้งแรกและอาจเป็นครั้ง สุดท้าย แต่นั่นคงไม่ได้หมายถึงเราควรจะทำ�ความรู้จักกับทุกคนที่ผ่านเข้าไป อาจมีบางคนที่ผ่านเข้ามา และเราก็ควรปล่อยให้เขาผ่านออกไป เราอาจจะทำ�ความรู้จักกับใครสักคนที่เราอยากรู้จักจริงๆ และดูแลเขาไว้ให้ดี มันคงดีกว่าที่เรารู้จักทุกคน แต่ดูเเลใครไม่ได้เลย เพราะคุณภาพย่อมสำ�คัญกว่าปริมาณ
บางคน ที่ผ่านมาให้เราชั่งใจ พบเจอ หยอกล้อ กว่าจะรวบรวมความรู้สึก กล้าจะเข้าไปให้ใกล้ขึ้น บางคนที่เราเห็นอยู่เป็นประจำ� ว่าอยู่ตรงนี้นะ ก็เลยทำ�ให้เราไม่เร่งรีบร้อนอะไรนัก และปล่อยวันเวลาด้วยหวังจะให้โลกหมุนไปช้าๆเช่นนี้ อย่างที่เป็นตอนนี้ก็มีความสุขดีอยู่แล้ว อาจทำ�ให้เราชำ�้ ในความช้า ได้... ช้าไป เร็วไป ความพอดี ไม่ได้หาเจอง่ายๆ ในเมื่อความรักมันไม่มีสูตรสำ�เร็จ หัวใจก็ไม่ใช่หัวใจสำ�เร็จรูปเหมือนมาม่า(บะหมี่กึ่งสำ�เร็จรูป) ที่จะสามารถฉีกออกมาและเติมรักร้อนๆรอ 3 นาทีแล้วกินได้ ถ้าความรักจะเหมือนมาม่าคงเพราะ มีหลายรส ให้เลือกกิน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าทุกรสจะอร่อยอาจจะมีเพียงไม่กี่รสเท่านั้นที่เราบอกว่าอร่อยและกิน มันอยู่เสมอ แต่สิ่งที่สำ�คัญยิ่งกว่าคือ มาม่านั้นเรากินกับใคร ? เพราะ “ ความรัก ออกแบบไม่ได้ ” เพราะถ้ารักออกแบบได้คงไม่มีใครต้องเจ็บปวด อาจจะมีใครซักคนเถียงว่า ความรักที่เจ็บปวดคือความรักที่ไม่ได้ถูกออกแบบไว้ก่อน แต่เอาเข้าจริงๆเราก็ไม่สามารถออกแบบความรู้สึกไว้ก่อนได้อยู่ดี เพราะมันมีตัวแปรมากเหลือเกิน แม้แต่เราเองยังไม่สามารถควบคุมความรักของตัวเราเองได้เลยแหม ถ้าเราควบคุมรักได้เราก็คงไม่เผลอ ยื่นออกไปโดยไม่รู้ตัว (แต่อาจรู้ใจ) เหมือนกับที่ มีทั้ง สำ�นวน สนับสนุนให้ช้า อย่าง ช้าๆได้พร้าเล่มงาม และ เร็ว อย่างนำ�้ขึ้นให้รีบตัก ปัจจุบันเราอาจเปลี่ยนเป็น ช้าๆก็ชวดพร้าได้ และ ถึงรีบก็ตักนำ�้ไม่ขึ้น(เพราะที่ตักมันรั่ว...)
การเดินทาง สู่หัวใจ มีทางลัด รึเปล่า ? เวลา สั้นที่สุด ที่จะให้เธอรับรู้ได้ ถึง ความจริงในใจ คือ เท่าไหร่ ?
would you eraser me ? i’m fine without you
บางครั้งความบังเอิญที่เกิดขึ้นในบางวัน อาจสร้างเรื่องราวรอยเปื้อนที่ไม่ได้ตั้งใจ รอยเปื้อนที่ สร้างเรื่องราวทิ้งไว้ในความทรงจำ� เมื่อเราได้มองทีไรทุกอย่างก็จะย้อนกลับมา เสื้อสีขาวสะอาดใหม่เอี่ยม คงเหงาที่สุด เสื้อตัวหนึ่งเคยเป็นสีขาว ตอนนี้ขุ่นมัวและมีรอยขาดแต่มันกลับมีความทรงจำ� เสื้อผ้า ชีวิต หัวใจ ไม่ต่างกัน เท่าไหร่ เราอาจมีรอยเปื้อนที่ทำ�ให้รู้สึกไม่ดี แต่แค่ได้จุ่มลงนำ�ซ้ ักให้ เปียกแล้วตากแดดให้แห้ง เสื้อนั้นเราก็นำ�มาสวมใส่ไดใหม่เมื่อผ่าน ผงซักฟอกสายนำ�้แสงแดด มันไม่ได้ ทำ�ให้เสื้อไม่ได้ใหม่ขึ้นมา รอยเปื้อนอาจจะจางไปบ้างแต่ก็ไม่ได้หายไปหรือถึงจะหายไป ยังไงครั้งหนึ่งมันก็ เคยเปื้อน แต่เราก็ยังสวมใส่มันได้อยู่เสมอ ... เราอาจกังวลเกี่ยวกับรอยเปื้อนนั้นในตอนแรก แต่พอนานไปเราอาจไม่ได้ใส่ใจกับรอยเปื้อนนั้นอีกและยัง คงใส่มันตราบใดที่มันยังไม่ขาดจนใส่ไม่ได้ แต่ถึงจะขาดบางคนก็ยังคงสวมมัน ฉันชอบใส่เสื้อเก่าๆและขาด “รอยเปื้อน เป็นความทรงจำ�ที่ไม่ลบเลือน” ความรู้สึกของคนอื่นที่มีต่อเราเป็นสิ่งที่เรากำ�หนดไม่ได้ แต่ความรู้สึกของเราที่มีต่อตัวเองเป็นสิ่งที่ มีแต่เราที่จะกำ�หนดได้ หรืออาจจะไม่ได้ในบางครั้ง ทำ�ไมบางความสุขดูงดงามกว่าความเศร้า คงเพราะมัน ก็เคยผ่านความเศร้ามาแล้ว สิ่งที่งดงามที่สุด คงไม่ใช่การหยุดบางสิ่งไว้ แต่เป็นการเคลื่อนไปโดยธรรมชาติ
*เหมือนหนังเรื่อง Eternal Sunshine of the spotless mind เราอาจจะอยากลบใครบางคนด้วยเหตุผลแค่เราเบื่อ เบื่อในตัวเขาและสิ่งที่เขาเป็น ใช่ เราอาจลบเลือนสิ่งที่เคยเขียนไว้ในหัวใจของเราเองได้ แต่เราไม่สามารถจะไปลบเลือนสิ่งที่เคยเขียนไว้ ในหัวใจใครได้เเละก็ไม่มีใครสามารถมาลบสิ่งที่อยู่ในใจเราได้เหมือนกัน เเต่เชื่อเถอะว่าไม่มีใครสามารถลบใครอากไปจากชีวิตหรือหัวใจได้จริงหรอก หาคำ�ตอบได้ในหนังเรื่องนี้
Everybody’s gotta learn sometimes Change your heart Look around you Change your heart It will astound you I need your loving like the sunshine And everybody’s got to learn sometime
ou Can’t Hide Your Love forever เธอเคยเห็นภาพฉันไหมยามไร้เงาสะท้อนใดในดวงตา ? ถ้าส่องแสงออกไปจากดวงตาได้ เธอก็คงจะรู้ว่าในตอนนี้ฉันมองเธออยู่ ถ้าส่องแสงออกไปจากดวงใจถึงดวงใจได้ เธอก็คงจะเห็นคำ�ว่ารักที่ฉันเขียนไว้ในนั้น ถ้าดวงตาทุกดวงส่องแสงได้จริง เราก็คงต้องระวังว่าเรากำ�ลังจะมองอะไร เพราะฉันคงแอบมองเธอเงียบเงียบไม่ได้ ฉันคงแอบรักเธอได้ไม่นาน เพราะฉันคงจะเก็บสายตาของฉันไม่ได้ แค่เธอมองมาก็คงจะเห็นคำ�นั้น ที่เขียนไว้อยู่ในดวงใจ แต่ดวงตาเราก็ยังคงดำ�มืดสนิทไม่มีแสงใดใด และดวงใจฉันก็ยังเก็บรักไว้มิดชิด เป็นความเงียบกริบที่คมบาดฉันอยู่ในทุกการพบกัน เฮ้อออ ฉันถอนหายใจและสูดมันกลับเข้าไปอีกครั้งราวกลับเป็นการฝาก-ถอนลมหายใจ ฉันหายใจเอาอากาศที่เคยมีเธออยู่ตรงนี้ เข้าไปในดวงใจที่มีเธออยู่ในนั้น .. ... .. .. . เธอบอกว่ามีอะไรจะบอกฉันในวันพรุ่งนี้ ฉันอยากถามเธอว่า แล้ววันพรุ่งนี้ของเธอมันเมื่อไหร่กันมันจะมาถึงเมื่อไหร่ ? อดีตคือวันนี้ของเมื่อวาน อนาคตคือวันนี้ที่ยังมาไม่ถึง วันพรุ่งนี้ไม่มีในปฏิทิน ฉันอยากจะเชื่อทุกคำ�พูดของเธอแต่นั่นอาจทำ�ให้ฉันต้องเจ็บปวด เเม่ฉันบอกว่า “ทำ�ไมไม่อยู่กับปัจจุบัน พรุ่งนี้ถึงจะฟังดูใกล้ๆ แต่ยังไงมันก็คืออนาคตที่ยังมาไม่ถึง”
เธอมักจะบอกว่า ‘‘ ไม่รู้ ’’ เอ่ออ.. ที่จริงแล้วเรามักจะบอกว่า ไม่รู้ ทั้งทั้งที่ลึกลึก ก็(อาจจะ)รู้ บางทีเราถามตอบกันด้วยความเงียบ ในความเงียบมันทำ�ให้เราคิดไปไกลเกินจริงอยู่เสมอไม่ว่าจะในแง่ดีหรือแง่ร้าย แต่ส่วนใหญ่จะเป็นแง่ร้ายซะมากกว่าน้อยครั้งที่เราจะคิดได้อย่างที่มันเป็น ฉันเห็นภาพฉันในดวงตาของเธอ สะท้อน... ให้ฉันนั้นมองเหม่อ สิ่งที่ดูงดงามยามต้องเเสงไฟนั้นคือยิ้มของเธอที่กดดันฉันให้ไปฝันใฝ่ ชื่อคำ�เดียวของเราจะฟังไพเราะจากปากของเธอ ภาพสะท้อนของเราจะมีชีวิตในดวงตาของเธอ แค่ภาพสะท้อนจากดวงตามันยังห่างไกลจากภาพที่สะท้อนจากดวงใจ เข้าไปได้แค่ภาพในตา เมื่อไหร่จะเป็น ภาพในใจที่เห็นเธออยู่ได้อย่างชัดเจนแม้ยามหลับตา ไม่ว่ามองจะมองให้ลึกเท่าไร ก็เห็นเพียงแต่ภาพ ฉัน ที่สะท้อนจากดวงตาของเธอ ที่จริงก็รู้ดี ว่ามีแต่ภาพฉันในตาเธอและภาพเธอในตาฉัน ไม่มีภาพเราคู่กัน จะสะท้อน จากตาดวงใด สะท้อนเพียงภาพที่เห็นไม่อาจสะท้อนจากใจที่เป็น สิ่งที่เราเห็นอาจไม่ใช่สิ่งที่เรามอง .. ... .. .. . เธอเคยเห็นภาพฉันไหมยามไร้เงาสะท้อนใดในดวงตา ?
ความรัก คือทุกสิ่งและไม่เป็นทุกอย่าง รัก สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับความสุขที่เรามี แม้ว่าจะลดทอน สิ่งที่จะทำ�ให้เรามีความสุขลง ความรักเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ไม่ง่ายแต่ก็ไม่ยากแต่การก่อร่างสานต่อความสัมพันธ์ เป็นเรื่องยาก มันคงเหมือนกับเราก้าวเข้าไปในความมืด โดยเราไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ตรงหน้า และเราจะได้เจอกับอะไร ความกลัว อาจเป็นสิ่งที่ฉันกำ�ลังเผชิญอยู่ ... มีคนบอกว่าการกระทำ�สำ�คัญกว่าคำ�พูด แต่ฉันเป็นคนเข้าใจอะไรได้ยากเพราะเป็นคนคิดมาก พ่อฉันบอกว่า “ เราเข้าใจทุกคนไม่ได้ เเละก็เหมือนกับที่เราไม่สามารถบังคับใครให้มาเข้าใจเราได้ เหนื่อยก็พัก อย่าคิดมาก คิดแทนคนอื่นมันก็เหนื่อยเเบบนี้แหละ ” ช่างเป็นคำ�พูดที่มีความหมายลึกซึ้งจากพ่อ(ขอสงวนชื่อ ประเดี๋ยวจะโดนล้อ:P) บางที คำ�พูดน้อยๆสักประโยคอาจทำ�ให้ฉันรับรู้ความรู้สึกของเธอได้ดีรวดเร็วและชัดเจนกว่าการกระทำ�อัน คลุมเครือมากมาย “แค่คำ�ว่ารักคำ�เดียว ทำ�ไมมันพูดยากจังว่ะ” การพูดกันตรงๆคงคล้ายกับการมองออกไปนอกหน้าต่างที่เปิดกว้าง มองแสงแดดและรับลม แต่การกระทำ�คงเหมือนเรามองออกไปข้างนอกผ่านหน้าต่างกระจกที่เต็มไปด้วยฝ้า หม่นหมองละอองไอ กว่าเราจะเห็นว่ามีอะไรอยู่ด้านนอกกว่าจะมองให้ชัดว่ามันคืออะไร สิ่งนั้นก็อาจหายไปเสียแล้ว การกระทำ�กับคำ�พูดคงไม่ต่างกันเท่าไหร่ มันคิดได้หลายอย่าง... เราพูดคุยกันหลายเรื่องแต่นั่นก็ไม่ทำ�ให้เราเข้าใจกันมากขึ้น เป็นเพราะเราคุยกันน้อยเกินไปรึป่าว ? แต่เราหลงลืมเรื่องอะไรไปรึป่าว ? เรื่องที่เราควรจะพูดกัน เรื่องที่ติดค้างอยู่ในใจเรา บางทีเรารู้เเต่เราก็ยังคงไม่พูดถึงมัน อาจเป็นเพราะเรากลัวได้ยินคำ�ตอบที่ไม่อยากได้ยิน เพราะเราไม่เคยพูดถึงเรื่องของเรา เรามัวแต่พูดเรื่องของฉัน และเรื่องของเธอ หรือเรื่องของเขา และนั่นอาจเป็นสาเหตุที่เราจึงยังไม่เป็นเราโดยสมบูรณ์ แต่ถึงพูดกันมากขึ้นก็ไม่ได้ทำ�ให้เราเข้าใจกันมากขึ้น ในบางครั้งเราควรพูดด้วยการกระทำ� แสดงการกระทำ�ทำ�ให้ชัดด้วยคำ�พูด หรือใช้ทั้งสองอย่างไปพร้อมกัน การสานความสัมพันธ์เป็นเรื่องยาก แต่การรักษาประคับประคองความสัมพันธ์นั้นกลับยากยิ่งกว่า กับการพูดตรงๆนั้น วันนี้เพิ่งรู้ว่ามันอาจทำ�ให้เราต้องเจ็บปวด :(
คนบางคนก็เพียงผ่านมาให้เรา(แอบ)รักก็เท่านั้น เราต่างปล่อยโอกาสที่เคยมีอาจเพียงครั้งหรืออาจนับครั้งไม่ถ้วนให้ผ่านไปโดยไม่ไขว้คว้า หรือแอบไขว่คว้าแค่ในใจ บางครั้งโอกาสก็มีมากพอๆกับอากาศที่เราหายใจ แต่ความกล้า คล้ายอยู่ไกลแสนไกล และเธอก็อยู่ตรงนี้แต่เหมือนว่าแสนไกล ชอบหรือไม่ชอบบางครั้งมันคงไม่สำ�คัญ แต่สิ่งที่สำ�คัญคือชอบแล้วทำ�ยังไงต่อ ? จะปล่อยให้หยุดอยู่แค่นั้นหรือก้าวเดินเข้าไป วิ่งเข้าใส่เลยดีมั๊ย ? ... เฮียโอมบอกว่า “อยากทำ�อะไรก็ทำ�ไปเถอะ อย่ามัวแต่กกลัวจนปล่อยให้สิ่งดีดีหลุดลอยออกไปจากชีวิตเรา จะชอบหรือจะเลิกชอบมันเป็นเรื่องของอนาคต ความรัก ห้ามคิดเยอะ ;)” รักไม่ได้ทำ�ให้เราไม่กลัว แต่ทำ�ให้เรากล้าขึ้น มันทำ�ให้คนที่กลัวสองคน พร้อมจะเผชิญความกลัวนั้น คุณเคยวิ่งตามใครซักคนมั๊ย ? เหนื่อยบ้างมั๊ย ที่ต้องวิ่งตามโดยที่ไม่รู้ว่าข้างหน้าเขาจะเฝ้ารอเราอยู่รึเปล่า ฉันคิดว่าการวิ่งตามคนที่เขาไม่ต้องการจะเป็นอะไรก็ตามกับเรา แม้แต่เป็นเพื่อน มันก็คงไม่มีความหมาย นอกจากจะเสียเวลาแล้วอาจยังเสียนำ�ต้ า แต่บางที ถึงจะเหนื่อยแต่ก็เต็มใจที่จะวิ่งต่อไป
ฉันมองเห็นความรัก ตอนนี้ ตรงนี้ เธออาจจะมองเห็นมันทีหลังก็ได้ หรือหากแม้เธอไม่เห็นก็ไม่เป็นไร แค่ให้เธอรู้ว่ามันมีอยู่ก็แล้วกัน .. ... .. .. . ไม่มีอะไรหายไป จากใจเรา พร้อมกัน ไม่มีอะไรปรากฏ ในใจเรา พร้อมกัน ความเหลื่อมซ้อนของความรัก แต่สำ�คัญที่ มีรักอยู่ด้วยกัน ฉันรักเธอก่อน ก็ได้ เธอรักฉันก่อน ก็ได้ เธอรักฉันทีหลัง ก็ได้ ฉันรักเธอทีหลัง ก็ได้ สุดท้ายคือความรักที่สมบูรณ์ เมื่อเรารักกัน .. ... .. .. . ฉันเลิกรักเธอก่อน ก็ได้ เธอเลิกรักฉันก่อน ก็ได้ เธอเลิกรักฉันทีหลัง ก็ได้ ฉันเลิกรักเธอทีหลัง ก็ได้ สุดท้ายคือความรักที่หายไปโดยสมบูรณ์ เมื่อเราไม่รักกัน .. ... .. .. . บางทีความรัก ก็เจ็บปวด
ชอบนะ แต่ถ้าเจอกันทุกวันก็เบื่อเเย่ ... แต่ถึงเบื่อยังไงก็ดีกว่าไม่เจอ
วันที่รู้สึกถึงความรัก เป็นวันที่มีความสุข :)
เธอนั่งฝั่งซ้าย ฉันนั่งฝั่งขวา ความรักนั่งตรงกลาง
ยิ่งตาม ยิ่งหนี สิ้นไร้วาสนาย่องหยิบเวลาทั้งคู่ เหมือนตามคว้าเงา ถ้าตามทันรอกันนิด จะกุมมือให้มั่นเดินเคียงคู่กันตลอดไป :)
Mountain of love
mountain of love “อัน ของสูง แม้ปอง ต้องจิต หากไม่คิด ปีนป่าย จะได้ ฤา” การมีความรักก็เหมือนการปีนภูเขา ก็เหมือนกับการที่เราชอบใครซักคน แต่มันก้ต้องมีอุปสรรค มันถึงเหมือนกับการปีบภูเขาไงล่ะ บางทีแค่การคิดที่จะปีนมันคงไม่พอ แต่เราคงต้องลองปีนขึ้นไปจริงๆสักครั้ง แน่นอนว่ามันต้องใช้ความพยายามและอดทน เมื่อเราเริ่มปีน ก็เหมือนการเริ่มทำ�ความรู้จักกับเขา
คุยโทรศัพท์ ชวนไปเที่ยว ไปกินข้าวด้วยกัน ไปดูหนัง จับมือกัน หรือไปส่งที่บ้าน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการเดินทาง ...
เมื่อเราให้เวลาหรือใช้เวลากับสิ่งไหน ย่อมทำ�ให้สิ่งนั้นมีความหมายกับเรา ฉันใช้เวลากับเธอ นั้นจึงทำ�ให้เธอมีความหมายสำ�หรับฉัน ฉันขอเวลาจากเธอ เพราะอยากมีความหมายในใจเธอบ้าง :)
ณ ที่เเห่งใดที่เธอยืนอยู่ตรงนั้น ทั้งจักรวาลก็คล้ายเคลื่นคล้อยโดยมีเธอเป็นจุดศูนย์กลาง
และเมื่อเราถึงจุดที่เรามองเห็นยอดเขาแล้ว เพียงแค่ไม่กี่ก้าว เราก็จะถึงยอด แต่ทว่า... มันก็เป็นไม่กี่ก้าวที่จะทำ�ให้เราตกเขาได้ เรา…จะปีนต่อมั๊ย ? และจากจุดเดียวกันนี้ อาจจะมีคนที่กำ�ลังทำ�เหมือนเราอยู่ บางคนก็อาจจะสำ�เร็จ แต่บางคนอาจจะผิดหวัง เราอาจพลัดตกลงมาตอนไหนก็ได้ ทั้งแบบตั้งใจปล่อยมือตกลงมาเอง หรืออาจจะมีใครซักคนหรือหลายคน ถีบเราลงมา เราอาจปีนภูเขามาหลายลูกและตกลงมาเจ็บเกือบทุกลูก หรือบางลูกที่เราอยากจะปีนแต่เราก็ไม่กล้า ชั้นเรียกอาการเจ็บโดยไม่รู้สึกว่า ความเคยชิน ยิ่งเราปีนภูเขาบ่อยแค่ไหน เราก็ยิ่งได้เรียนรู้ วิธีตก เรียนรู้ที่จะ ตกเบาๆ สู่พื้น อย่างถูกวิธี และเซฟตัวเองได้ การเซฟหัวใจ เมื่อเผลอยื่นออกไปโดยไม่รู้ตัว (แต่รู้ใจ) หากเขารับไปแล้ว ปล่อย ให้มันหล่น หรือ โยนทิ้ง เราจะได้รู้วิธีรับใจตัวเองกลับมาสู่ร่าง อีกครั้ง โดยไม่ให้มันตกสู่พื้นเป็นรอยร้าวหรือแตกสลายไปเสียก่อน
และถ้าเราปีนถึงยอดแล้ว มันไม่ใช่อย่างที่เราคิดล่ะ จะทำ�ยังไง ?
เพราะเขาอาจจะมีใครบนนั้นอยู่แล้ว หรือมันอาจจะไม่มีที่ให้เรายืน ฉันและเธอเราอยู่ในห้อง ... เขาเดินเข้ามาในห้อง ในห้องมีฉันเธอและเขา ฉันค่อยๆเลื่อนออกมาจากคำ�ว่าเรา เธอและเขาค่อยๆเลื่อนเป็นคำ�ว่าเรา อย่างมากเราก็คงทำ�ได้แค่ เสียใจ …
I behide you
see me if you can
เมื่อเราแอบชอบ ใครสักคนหนึ่ง เรามักอยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับคนๆนั้น เธอชอบอะไร กินอาหารแบบไหน ชอบดูหนังเรื่องอะไร ฟังเพลงเเนวไหน วงโปรดวงเดียวกับเรารึป่าวนะ เพลงนี้เธอจะเคยฟังรึยังนะ เธอชอบฟังเพลงหรือหนังแนวไหนเราก็ต้องไปหามาฟังมาดูให้ได้ แม้มันจะไม่ใช่แนวที่เราชอบเลยซักนิดก็ตาม... เธอชอบสีอะไร ชอบไปเดินที่ไหน ชอบทำ�อะไร ชอบกินไอติมรึป่าว ชอบกินลูกอมมั๊ย รายละเอียดเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับเธอ เป็นสิ่งที่เราสังเกตุเห็นเสมอ และทุกครั้งที่เราได้เห็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับเธอ ก็จะพาให้เราได้คิดถึงเธอ อยู่ทุกที เมื่อเริ่มใช้สมองคิดใคร่ครวญ เกี่ยวกับ ความรัก เรากลับได้ยินเสียง จากหัวใจ เบาลงไปเรื่อยๆ ในทางกลับกัน เมื่อเราเอาแต่ฟังเสียงจากหัวใจ เสียงจากสมองก็ค่อยๆเบาลงไปเช่นกัน เราจึงควรจะฟัง ทั้งเสียงจากสมอง และ หัวใจ เรามี สองหู ค่อยค่อยฟัง ให้ครบทั้ง ความคิด และ ความรู้สึก ธรรมชาติน่าจะบอกใบ้อะไรเราอยู่บ้าง แม้จะได้ยินพร้อมๆกัน แต่บางทีเราต้องเลือกจะฟังทีละอย่าง เพราะมันจะไม่รู้เรื่องเอา หัวใจก็คงจะเหมือนกันเลือกรักหลายคนมันจะสับรางไม่ถูก
แล้วคุณเคยถูกคนที่คุณตกหลุมรัก ปรึกษาเรื่องคนรักของเค้ามั๊ย ? มีอย่างหนึ่งที่น่าสังเกตุ คือ ถ้าคุณรักเค้าคุณจะไม่เปลี่ยนเรื่องเลย แม้ว่าเราฟังแล้วอาจจะทำ�ได้แค่นั่งเงียบๆ ...
บางสิ่ง ยังคงอยู่ที่เดิม โดยเราไม่จำ�เป็นต้องไปหยุดมัน และหากเราพยายามจะหยุดมันเมื่อไหร่ อาจกลับกลาย เป็นการผลัก ให้มันก้าวเดินออกไปจากชีวิตเราก็ได้ ความสัมพันธ์ บางครั้ง ก็เป็นเเบบนี้ เมื่อเรามีใครสักคนอยู่ในชีวิต ทั้งที่เรามีเค้าอยู่อย่างนี้มันก็ดีอยู่แล้ว เพียงแต่.. เรา อยากที่จะขยับ จาก เพื่อน ไปเป็น คนรัก เพียงการสัมผัสของฝ่ามือที่แผ่นหลังของเธอ ความหมายของเพื่อนที่พร้อมจะหายไปกับคำ�สารภาพที่หลุดออกมาจากใจทันที เมื่อมันอยู่ระหว่างการบอกให้เธอได้ยินเสียงของหัวใจที่เต็มไปด้วยความรัก และอาจกลายเป็นการ ผลักเบาๆ ให้เธอเริ่มเดินออกไป จากตรงนี้ ... ของบางอย่างเราก็อาจทำ�ได้แค่นั่งมองห่างๆ หรือบางสิ่งนั่งมองอยู่ใกล้ๆแต่ก็ไม่ได้ทำ�ให้ระยะทาง ของมันใกล้อย่างที่ตามองเห็น ถึงจะอยู่ใกล้กันแต่ก็ไม่สามารถเอื้อมมือคว้าได้ มันก็เหมือนกับการตะโกน บอกรักในสุญญากาศที่เธอคงไม่มีวันได้ยิน บางครั้งกับการที่เรานั่งมองอยู่ใกล้ๆ อาจจะทำ�ให้เราได้พบกับ คำ�ว่า เป็นไปไม่ได้ การมองอยู่ห่างๆอาจทำ�ให้เราอยากเข้าใกล้ แต่การมองอยู่ใกล้ๆอาจทำ�ให้เราอยากเดิน หนีไป แต่ถึงหนียังไงก็คงไปไม่ไกลกว่าหัวใจ มันอาจจะดีกว่า ถ้าเรานั่งมองอยู่ที่เดิมตรงนี้ ด้วยระยะทางที่ พอดี เพราะถึงจะเอื้อมคว้าไม่ได้แต่อย่างน้อยก็ยังพอทำ�ให้เรายิ้มไปกับการจับจองด้วยสายตา :D ด้วยเหตุนี้... คำ�นั้น จึงยังคง ค้าง อยู่ในใจ ด้วยความกลัวใน คำ�ตอบ ของความจริง เสียงบางเสียง ที่เราได้ยินอยู่เสมอ แต่เธอไม่เคยได้ยิน ความหวังที่เสียงนั้นจะดังพอในสักวันหนึ่ง แม้ว่า เราจะไม่ได้เอ่ยคำ�ใดสักคำ�แต่เธอจะได้ยินมันอย่างชัดเจนที่สุด มีความหมายที่สุด ด้วยเสียง ที่ไม่ได้เอ่ยจากปาก แต่เอ่ยจากใจ ที่ไม่ต้องใช้ หู ฟัง เพียงรอคอยการพิสูจน์ของวันเวลา แต่... เราลืม บางสิ่งไป รึเปล่า ? สิ่งที่แน่นอนที่สุด คือ ความไม่แน่นอน อาจมีคนอื่นที่กำ�ลังทำ�แบบเดียวกันกับเราอยู่ ความรักมักเป็นเช่นนี้ ในวันที่เราคิดว่า พร้อม นั้น อาจมาถึงพร้อมๆกับคำ�ว่า สายเกินไป บางครั้ง ความรัก ก็ต้องเดิมพัน ด้วย หัวใจ มีผู้ ได้ รัก และผู้ เสียรัก ...
รักคือความสุขที่ยิ่งใหญ่เสมอ ... ถึงเเม้คนที่เรารัก เค้าจะมีคนที่เค้ารักอยู่แล้วก้ตาม เค้ารักกันอยู่ เราก็รักเค้าอยู่ ถือว่าได้รักทั้งคู่ เป็นคำ�ปลอบใจตัวเองที่หัวเราะไม่ออกเลย
Are you Lonely ? are you (a)lonely? alone not lonely การอยู่คนเดียวอาจไม่ได้ทำ�ให้เราเหงาเสมอไป แต่เราก็ไม่ต้องการพื้นที่กว้างๆเพื่อเพิ่มความเหงา ความเหงาถึงจะไม่ได้อยู่คนเดียวก็ยังเหงาได้ ความสุขเกิดขึ้นได้แม้ในเวลาที่เรามีความเศร้าที่สุด ความเศร้าเกิดขึ้นได้แม้ในเวลาที่เรากำ�ลังมีความสุขที่สุด แต่ความเหงา มีอภิสิทธิ์พิเศษ ไปมาได้ทุกที่ ทั้งในยามสุขและเศร้า แม้กระทั่ง ในยามรัก มีคนบอกว่าเวลาเหงาเราจะซึมเศร้าและป่วยในที่สุด หลายคนพอป่วยก็หายาแก้ แต่ความความเหงาไม่มียาตัวไหนรักษาได้ บางที เราก็เเค่ต้องการใครซักคน...
You have a long term plan Which will reward you in the end You work from nine to nine There is time for little else
You 're young enough to cry You 're old enough to comfort yourself You 're young enough to lie You're old enough to see through yourself You have a busy schedule You mustn't fall in love today This woman at the client You can't let it affect your work song:A Long Term Plan artist:Acid House Kings album:Sing Along With Acid House Kings5
ขอบคุณจากหัวใจ ขอบคุณในความหวังดี ขอบคุณในน้ำ�ใจ ขอบคุณในรักที่มี ขอบคุณ , พ่อ นักมวยหมัดหนักที่นอกจากจะคอยปกป้องดูเเล หมัดหนักๆยังมีไว้ชกให้ตื่นจากความฝันมาพบความ จริง , แม่ ยาสามัญประจำ�บ้าน มีสรรพคุณ ให้ความชุ่มชื่นหัวใจ,บ้าน ที่หลับนอนเกลือกกลิ้งพักผ่อนใจ, อิยวนที่ อยู่ทำ�งานกันมาโดยไม่ได้ปิดมาแล้วร่วมเดือนและเครื่องปริ๊นใหม่จากท่านแม่และท่านพ่อ, เพื่อนย้วย ขอบคุณที่ เป็นเพื่อนกันมาเกือบสิบปี (เกือบยี่สิบถ้านับแต่อนุบาล), เหล่าเพื่อนศรี , เพื่อนร่วมบ้านและบ้านข้างๆหลังมอ รอ(แล้วแต่ยังไม่เจอ)รัก, คนตัวหนัก ที่ชอบกินคูก้า ,คนพุงกลมๆ สำ�หรับเพลงเพราะๆ, อาจารย์นิพนธ์, อาจารย์ ศิลป์, อาจารย์ขาม , คนที่อยู่ในอดีต คนที่อยู่กับเราในปัจจุบัน และคนที่กำ�ลังจะเจอในอนาคต,คนที่ทำ�ให้ยิ้ม คน ที่ทำ�ให้เสียใจ ,คนที่มาตีลังกาอยู่ในหัวใจ, เพลงทุกเพลงที่เคยฟัง, หนังทุกเรื่องที่เคยดู ,หนังสือที่เคยอ่าน , พี่ตั้ม วิศุทธิ์ (หนูชอบพี่มากค่ะ), เดอะดวง , คุณยอร์ช กฤษชัย , คุณ 6uod สำ�หรับมุมมองดีดี ข้อความดีดี และเเรงบัน ดาลใจ และขอบคุณ ใจ ที่บันดาลแรง :D
จิตปรีดา :D
นิดเดียวเกี่ยวกับฉัน จิตปรีดา วงษ์คำ�พันธ์ (Jitpreeda Wongkampan) ตอน 2 ขวบ 11 เดือน ไปสมัครเรียนที่โรงเรียนอนุบาลพระกุมารเยซู แต่เขาไม่รับเพราะอายุยังไม่ครบ 3 ขวบ เลยต้องวิ่งเล่นรอบบ้านรออีกหนึ่งปี เราอยู่อนุบาล 1/2 คุณครูประจำ�ชั้นชื่อ ครูประไพ ศรีเขียวแก่ ตอนนั้นเราเรียนเก่งมาก สอบได้ที่ 2 ของห้องตลอดจนสิ้นสุดอนุบาลสาม แล้วเราก็ย้ายไปต่อที่ีโรงเรียนมหาไถ่ศึกษา ขอนแก่น(ซึ่งมันก็เเค่เดินข้าม ถนนไปเท่านั้นแหละ) จำ�ได้ว่าตอน ป.4 ดญ.ณัทฐกมล ชื่อเล่นว่ากวางแต่เพื่อนเรียกว่า โกกิ เพราะเธอผมฟู ย้ายเข้ามานั่ง ใกล้ๆเรา และแม่เราก็รู้จักกันก็เลยเป็นเพื่อนกัน จนตอน ป.6 โกกิก็เหมือนโกรธอะไรเราซักอย่าง ซึ่งเรามารู้ตัวอีก 5 ปีต่อ มา(นี่มึงใช้เวลานานมากกว่าจะตระหนักได้)สาเหตุมาจากการที่ครูถามว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร ? เราไม่รู้ว่าโตขึ้นเราอยาก เป็นอะไรเราเลยตอบตามโกกิไปว่าเราอยากเป็น มัณฑนากร ซึ่งเราไม่รู้ด้วยซ้ำ�ว่ามันคืออะไรแต่ก็เก๋ไม่หยอกนะชื่อนี ้ คำ�ตอบเราเปลี่ยนไปทุกปี เวลาหกปีในชั้นประถมเราได้ 6 อาชีพ และเมื่อจบป.6/2 (พอขึ้นประถมมาเราสอบได้ที่ 2 อยู่ 2 เทอมแล้วเราก็ร่วงลงมาเรื่อยๆ เราจึงสำ�เนียกได้ว่า ความเก่งไม่คงที่ ความดีซิคงทน) ตั้งแต่เกิดมานี่เป็นครั้งแรกที่ได้ตัดสินใจเลือกว่าจะเรียนที่ไหน แต่ก็เลือกตามเพื่อนสนิทที่นั่งข้างกันมาเกือบ 6 ปี ซึ่งก็คือ ดญ.จีระนันท์(นิว) นั่นก็คือ โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย ซึ่งพอสอบเข้ามาแล้วเราก็ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกับนิว แต่ก็ทำ�ให้เรารู้จักเพื่อนใหม่และสนิทกับเพื่อนเก่าที่ไม่เคยคุยกันเรามีเพื่อนเยอะมาก(ก็เยอะตามอายุ แหม หยาบคาย มาก) และเราก็เป็นเพื่อนกันมาจนถึงทุกวันนี้ เราว่ามันเป็นสถานที่แห่งความทรงจำ�ที่ดีดีมันก็ทำ�ให้ยิ้มได้เวลานึกถึง ที่นี่เราแอบชอบคนคนหนึ่ง แหม เขิลจัง >///< และอีก4ปีต่อมา (ใช้เวลารวบรวมความกล้านานมาก) เราก็ไป บอกว่า กูชอบมึงนะ หลังจากบอกไปสามวินาที เราก็เลิกชอบมัน และนั่นเป็นสาเหตุที่เราไม่เคยบอกชอบใครก่อนอีกเลย ที่จริงแล้วเราเป็นคนที่โง่เรื่องความสัมพันธ์มาก แต่มันทำ�ให้เราพบคำ�ตอบว่า เราอยากเรียนอะไร ? (เพราะอยู่มัธยมเขา ชอบถามกันว่า จะเรียนอะไร คณะอะไร ที่ไหน ?)
ปัจจุบันจิตปรีดาเป็นนักศึกษาคณะ สถาปัตยกรรมศาตร์ สาขาวิชาการออกแบบอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัย ขอนแก่น แต่เราก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่า โตขึ้นเราอยาเป็นอะไร ? เรารู้แค่ว่า “ ฉันคงจะเป็นใครไม่ได้นอกจากตัวฉันเอง เพราะมันคือสิ่งที่ฉันเป็นได้ดีที่สุด ” ขอบคุณเพื่อนทุกคนที่มีความทรงจำ�และประสบการณ์ร่วมกัน แต่ตอนนี้เราคงเป็นได้แค่เพื่อนเก่า ซึ่งที่จริงแล้ว เราไม่อยากเป็นแค่ ‘ เพื่อนเก่า ’ แต่ไม่เป็นไร เราเข้าใจว่าทุกคนพอโตมาก็ต้องมีชีวิตเป็นของตัวเอง แต่ยังไงเราก็เป็น เพื่อนกันเสมอนะ และสุดท้ายขอบคุณ เพื่อนที่เราเคยเป็นมากกว่าเพื่อน ถึงแม้เราจะไม่ได้คุยกันแล้ว แต่เห็นมั๊ยว่าในหนังสือ เล่มนี้ บางคำ�บางตอนมีแกอยู่.
And I paint myself A picture of what heâ&#x20AC;&#x2122;d look like now My cigarrettes, my cold, cold hands, and a short dark hair And I still love you, dont you know? No you never did know.