BUDDHA นิตยสารพุทธะ ปีที่1 ฉบับที่1 เดือนมีนาคม 2562
ท่องข้างนอกพบข้างใน พระพุทธเจ้าเมื่อเยาว์วัย เยือนอุทยานธรรมเขานาในหลวง
M buddhamagazine
นกเขี ั ยนประจำฉบบั พระครูใบฎีกามงคล วชิรปญฺโญ เลขานุการกลุ่มใต้ร่มพุทธธรรม สำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมฯ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร นักธรรมชั้นเอก วัดมิ่งเมืองพัฒนาราม สำนักเรียนคณะจังหวัดขอนแก่น ปริญญาตรี มหาวิทยาลัย สุโขทัยธรรมาธิราช ปริญญาโท มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ปัจจุบัน ศึกษาหาความรู้สิ่งที่ยังไม่รู้ทั้งทางโลกและทางธรรม และทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาเพื่อเกื้อกูลโลกนี้ให้งดงาม พระพิทยา ฐานิสสโร เลขานุการกลุ่มใต้ร่มพุทธธรรม สำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมฯ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร นักธรรมชั้นเอก วัดมิ่งเมืองพัฒนาราม สำนักเรียนคณะจังหวัดขอนแก่น ปริญญาตรี มหาวิทยาลัย สุโขทัยธรรมาธิราช ปริญญาโท มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ปัจจุบัน ศึกษาหาความรู้สิ่งที่ยังไม่รู้ทั้งทางโลกและทางธรรม และทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาเพื่อเกื้อกูลโลกนี้ให้งดงาม พิสุทธิ์ เกรียงบูรพา เลขานุการกลุ่มใต้ร่มพุทธธรรม สำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมฯ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร นักธรรมชั้นเอก วัดมิ่งเมืองพัฒนาราม สำนักเรียนคณะจังหวัดขอนแก่น ปริญญาตรี มหาวิทยาลัย สุโขทัยธรรมาธิราช ปริญญาโท มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ปัจจุบัน ศึกษาหาความรู้สิ่งที่ยังไม่รู้ทั้งทางโลกและทางธรรม และทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาเพื่อเกื้อกูลโลกนี้ให้งดงาม
BUDDHA นิตยสารพุทธะ ฉบับเดือนมีนาคม ๒๕๖๒ เจ้าของ บริษัท ธรรมจัดสรร จำกัด
ที่ปรึกษา อมรา อัศวนนท์ บรรณาธิการ ศุภวัฒน์ อ่ำประสิทธิ์ กองบรรณาธิการ วีระชัย หัตถโกวิท ปราบ ยุทธพิชัย นพชัย ชัยนาม สำลี สังวาลย์ ช่างภาพ เคน สตุคเคอร์ ทิฐิ พุ่มอ่อน ฝ่ายการตลาดและโฆษณา ศรีริต้า เจนเซ่น พอลลีน เรือนเพชร สำนักงาน 89 ถนนวิภาวดี-รังสิต แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900. โทรศัพท์. 0-2545-1000 ยินดีรับพิจารณาต้นฉบับที่สอด คล้องกับแนวทางของนิตยสาร หากต้นฉบับใดได้รับการพิจาร ณาเผยแพร่มีค่าตอบแทนให้พอ สมควร
ธรรมสวสดี ั
พุทธธรรมนำสมัย
BUDDHA (พุทธะ)ขอเป็นเพือ่ นทางใจเหนือกาลเวลา ท่ามกลางอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตาของสรรพสิ่ง เมื่อเรามีที่พึ่งคือ พระไตรสรณะคมน์ เราจะมีสติ สมาธิ และปัญญาในการแก้ไขปัญหา และสร้างสรรค์ชีวิต บนหนทางแห่งการตื่นรู้ เราจะพึ่งตนเองได้ ช่วยเหลือตนเองให้พ้น ทุกข์ได้ อีกทั้งยังช่วยผู้อื่นให้พ้นทุกข์ได้ตามกำลัง
นิตยสารและสื่อออนไลน์แห่งสันติภาพเล็กๆภายในใจที่กำลังเรียนรู้ ตามรอยพระพุทธองค์ ตามรอยพระธรรม และตามรอยพระสงฆ์ไป เรื่อยๆ จนกว่าจะสิ้นทุกข์ในสังสารวัฏ
ขอเชิญชวนท่านผู้อ่านร่วมเป็นผู้สนับสนุนและเดินทางไปกันเรา อ่าน ภายนอก เรียนรู้โลกภายในเพื่อความเข้าใจตนเองอย่างลุ่มลึกและเป็น มิตรกับสรรพชีวิตอุดมไปด้วย ภูมิปัญญาจากพระพุทธศาสนากับการ แก้ปัญหาชีวิต และตอบโจทย์สังคม
ยังมีเรื่องอื่นๆ ที่น่าเรียนรู้น่าสนใจมากมายในบวรพระพุทธศาสนา ที่ ห ยั่ ง ลึ ก ลงสู่ จิ ต ใจชาวพุ ท ธในประเทศไทยยั ง มี วั ด เล็ ก วั ด น้ อ ยที่ มี พระสุปฏิปนั โนทำหน้าทีเ่ กือ้ กูลสังคมอีกมหาศาล เราจะเดินทางไปเปิด พื้นที่ธรรมให้สังคมได้รับรู้ เพื่อเพิ่มความศรัทธาความเชื่อมั่นในภูมิ ปัญญาของพระพุทธเจ้าที่สามารถทำให้เราก้าวออกจากทุกข์ได้จริง ในบวรพระพุทธศาสนาในไทยนีซ้ งึ่ ประดุจดัง่ ซิมการ์ดทางธรรมของโลก เริ่มต้นกันในประเทศไทยก่อน พร้อมทั้งเล่าเรื่องราวของวัดที่บรรจุ พระบรมสารีริกธาตุมากมาย ก่อเกิดพลังและกำลังใจในการปฏิบัติ ขั ด เกลาตนทำไปปฏิ บั ติ ธ รรมไปและได้ ฟั ง ธรรมจากบู ร พาจารย์ และครูบาอาจารย์ทยี่ งั มีชวี ติ อยู่ ได้บนั ทึกเรือ่ งของท่านไว้ให้กบั ประเทศ ชาติ เป็นสมบัติของแผ่นดินและโลก พร้อมคอลัมน์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วย สารธรรมจากพระสุปฏิปันโนทั่วโลก บรรณาธิการ
ท่องข้างนอกพบข้างใน
พระพิทยา ฐานิสสโร วัดธรรมปาละ สวิตเซอร์แลนด์
ให้โอกาสในการรักตนเอง ช่วงเข้าพรรษาฤดูหนาวที่วัดธรรมปาละ สวิตเซอร์ แลนด์ เป็นช่วงที่มีหิมะอยู่ตลอดเกือบทั้งสามเดือน การเดินทางมาวัดค่อนข้างลำบาก แต่กย็ งั มีญาติโยม ชาวไทยแวะเวียนมาทำบุญแม้อาจไม่เท่าช่วงฤดูอนื่ ๆ ทีส่ ำคัญญาติโยมจำนวนไม่นอ้ ยเข้าใจผิดว่าวัดปิดไม่ อนุญาตให้มาทำบุญ เพราะพระท่านต้องการภาวนา ในช่วงเวลาตามทีว่ ดั ประกาศไว้ในข่าวของวัดเท่านัน้
ทีว่ ดั และทำอาหารถวายพระในทุกวันทีไ่ ม่มญ ี าติโยม มาถวายภัตตาหารเพล
ช่วงสองอาทิตย์แรก เป็นเวลาที่ไม่ง่ายสำหรับชาย หนุ่ม ๒ คน ที่ต้องทำอาหารเกือบทุกวันเพื่อทุกคน รวมประมาณ ๑๐ ชีวิต เพราะทั้งสองไม่ถนัดที่จะ ทำอาหารนัก และคงไม่ได้เตรียมใจ ไม่ได้คิดว่า ในช่วงแรกจะมีแค่ ๒ คนเท่านัน้ ทีเ่ ป็นตัวหลักในการ ทำอาหาร เพียงแค่คิดว่าจะทำอาหารอะไรในวัน พรุ่งนี้ก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว ไหนจะต้องนั่งสมาธิ ๓ ช่วง เช้า บ่าย เย็น อย่างน้อย ๔๕ นาทีในแต่ละช่วงทุกวัน บรรยากาศส่วนใหญ่ครึ้มๆ มืดๆ เงียบสนิทในช่วง ฤดูหนาวนี้ ไม่ได้ติดต่อสื่อสารภายนอก
แท้จริงแล้วฆราวาสญาติโยมสามารถมาทำบุญได้ ตามปรกติ แ ต่ ท างวั ด จะไม่ รั บ ผู้ ที่ จ ะมาขออยู่ ปฏิบัติที่วัด ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือระยะสั้น ในช่วงเข้าพรรษาฤดูหนาว ดังนั้นก็จะมีญาติโยมซึ่ง เกื อ บทั้ ง หมดเป็ น ชาวต่ า งชาติ จ ะมาอยู่ วั ด อย่ า ง น้อยเป็นเวลา ๒ อาทิตย์ ในพรรษานี้มีชายหนุ่ม ๒ คนขอมาอยู่ตลอด ๓ เดือน เพื่ออยู่ปฏิบัติภาวนา ชายหนุ่มคนแรกอยู่ได้เพียงสองอาทิตย์ต้องขออนุ
ญาตกลับบ้าน ๓ เดือน แต่เขาก็ยืนยันหนักแน่นว่า อยู่ได้และหลังจาก ๓ เดือนขอเป็นพ่อขาวเพื่อได้ เป็นสามเณรต่อไป ส่วนอีกคนอยู่ปฏิบัติได้ ๑ เดือน ขอกลับเช่นกันด้วยเหตุผลที่ว่า มันหนักเกินไปสำ หรับเขา แต่เขาทั้งสองก็ได้พยายาม ทำอย่างดีที่สุด แล้ว
ชีวติ ทีด่ ำเนินไปตามความอยาก ความใคร่ ความหลง ตามกระแสแห่งสังคมทีเ่ น้นการอุปโภค บริโภค เน้น ความสะดวกสบายทางวัตถุ ด้วยเทคโนโลยีการสื่อ สารที่รวดเร็วทันสมัย การดำเนินชีวิตเช่นนั้นเป็นวิถี ชีวิตที่ทำลายความอดทนเข้มแข็งมั่นคงของจิตใจ และเหนื่อยอยู่ตลอดเวลาอย่างไม่ได้หยุด ทำให้จิต ใจจะค่อยๆอ่อนแอลง ตกเป็นทาสของความเพลิด เพลินกับการได้เสพทางประสาทสัมผัสทั้ง ๖ มาก ขึน้ จนยากทีห่ ยุดเสพ เพราะเมือ่ ใดทีห่ ยุดเสพ ความ เหงา ความโดดเดีย่ ว ว้าเหว่ ความหงุดหงิด ไม่พอใจ ความโกรธจะเข้ามาแทนทีค่ วามสงบสุขทีจ่ ะอยูโ่ ดยมิ
ได้ทำอะไร นั่งเฉยๆเป็นสิ่งที่ยากมาก ส่งผลให้อา รมณ์ของเขาเหล่านั้นแปรปรวนได้ง่ายเร็ว ยากที่จะ ควบคุม
จิตใจของพวกเขาเหล่านั้นอาจมีความฉลาดในการ คิดค้นแสวงหา จัดการกับเรื่องราวต่างๆ ที่ให้ได้มา ซึ่งวัตถุ ทรัพย์สิน เงินทอง ตำแหน่ง ชื่อเสียง เกียรติยศ ให้เป็นไปตามเป้าหมายในสิ่งที่ต้องการ ได้มาครอบครอง ได้ทำตามใจตัวเอง และเมื่อทำได้ สำเร็จก่อให้เกิดความมั่นใจในตนเองสูง ขาดซึ่งจิต ใจที่เคารพ สำนึกบุญคุณ ซึ่งสิ่งมุ่งเน้นกระทำส่วน ใหญ่เป็นเรื่องภายนอกหรือเรื่องของวัตถุมากกว่า เรือ่ งภายในจิตใจ และให้ความสำคัญ วัดความสำเร็จ กับเรื่องสมมติภายนอก มากกว่าคุณค่าของจิตใจ เป็นเหตุให้มีความสุขยาก ทั้งก่อน กำลังและหลัง การกระทำ เพราะมีความกดดัน คาดหวังทั้งต่อ ตัวเองและผู้อื่นเป็นปรกติ ถ้าทำสำเร็จก็สรรเสริญ เยินยอ แต่ถ้าทำพลาดก็อาจซ้ำเติมถึงขนาดทำให้
เรียนรู้ คิดค้นมาก ยิ่งยึดติดในสิ่งที่รู้ จนกลายเป็น ความสุดโต่งแห่งการถือตน อวดตน ความทุกข์จึง เกิดขึ้นได้ง่าย และแก้ไข ดับทุกข์อย่างไม่ตรงจุด ทุกข์จึงไม่สามารถดับได้จริง แต่กลับเป็นการเพิ่ม ความมัวเมา เพลิดเพลินมากกว่าเดิมอย่างไม่รู้ เพิ่ม ความอยาก ความกระหาย ความหิวโหยเพราะจิตใจ ที่พร่องมากยิ่งขึ้น
ยากลำบากนั้น ความอดทน ความพากเพียร ความ มีวินัย ความพึงพอใจที่จะละจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่สุด ไม่เช่นนั้น จิตใจที่ไม่มีความอิ่มเต็มในตัวเองจะพา ผู้ปฏิบัตินั้น กลับไปสู่สิ่งที่เคยเสพติดคุ้นชินและแพ้ ภัยต่อความอยาก ความหลงในตัวเอง แต่ทุกชีวิตมี โอกาสเสมอ เมื่อพร้อมจะให้โอกาสตัวเอง
ถ้ายังเป็นทาสความอยาก ยังรักตัวเองไม่เป็น การกลับมาอยู่กับตัวเองอย่างเรียบง่าย ไม่กระตุ้น ความอดทนเป็นรากฐานแห่งทุกความสำเร็จ จิตใจให้เกิดความอยาก ความเพลิดเพลิน ความหลง ความสำเร็จไม่ปรากฎในความยึดติด และหยุดเสพสิง่ ทีเ่ คยคุน้ ชิน มัวเมา ลุม่ หลง จึงไม่ใช่ เรือ่ งง่าย ถ้าจิตใจของบุคคลเหล่านัน้ ยังอยาก หิวโหย มัวเมาอยูม่ าก แม้มคี วามตัง้ ใจดีมากทีข่ า้ มผ่านความ
“
ไม่มีที่ยืนในสังคม หรืออาจไม่ ทำร้ายตัวเอง ฆ่าตัวตายได้งา่ ย เป็นที่ยอมรับอีกต่อไป เมื่อต้องทำหลายๆอย่างใน และปรากฎให้เห็นในทุกสังคม ที่มีการแข่งขัน กดดัน เครียด เวลาเดี ย วกั น อย่ า งเป็ น ปกติ เมื่อต้องทำหลายๆ อย่างใน มอมเมามากยิ่งขึ้น ที่เป็นเช่น เวลาเดียวกันอย่างเป็นปรกติ จิตแห่งการตื่นรู้จะค่อยๆ นั้น เพราะจิตใจจะขาดความ จิ ต แห่ ง การตื่ น รู้ จ ะค่ อ ยๆ มลายหายไปแบบไม่รู้ตัว อดทน ไม่มีการไตร่ตรอง ใคร่ มลายหายไปแบบไม่ รู้ ตั ว ครวญ ขาดการยับยั้งชั่งใจ แต่หลายคนกลับมองว่าเก่ง ความสามารถสูง แท้จริง หวั่นไหวกับสิ่งเกิดขึ้นได้ง่าย และไม่สามารถหยุด แล้วศักยภาพของจิตจะค่อยๆ เสือ่ มมากขึน้ หาความ ยอมรับความคิด สิ่งที่เกิดขึ้นที่ไม่เป็นไปดังความ สงบได้ยากมากยิ่งขึ้น เมื่อใดที่ภายนอกสงบจิตจะ คาดหวัง จมดิ่งอยู่กับความทุกข์อย่างถอนตัวไม่ขึ้น วุน่ มาก ไม่สามารถอยูไ่ ด้อย่างปกติ สิง่ ทีร่ า้ ยกว่านัน้ จิตใจจะเกิดความโกรธ ความหงุดหงิด ไม่พอใจ การที่มนุษย์พยายามฝึกฝนจนเกิดความฉลาดทาง ไม่สามารถทนสภาวะเช่นนั้นได้ ความคิด แต่ขาดปัญญาแห่งการปล่อยวาง ไม่เข้าใจ ยอมรับความเป็นจริงแห่งธรรมชาติ จะเป็น เหตุแห่ง บุคคลใดที่ปล่อยจิตใจส่งออกนอกไปกับสิ่งต่างๆ การเบียดเบียน ทำลายล้าง อย่างน่ากลัวและไม่มี ในชีวิตประจำวันเสมอ จะสามารถเป็นโรคซึมเศร้า ทีส่ นิ้ สุดทัง้ แก่ตนเอง ผูอ้ นื่ และสังคม เพราะยิง่ ศึกษา
ท่องแดนธรรม
อุทยานธรรมเขานาในหลวง แรงพลังศรัทธาของชุมชน
อุทยานธรรมเขานาในหลวง ถือเป็นสำ นักสงฆ์ ตั้งอยู่หมู่ที่ ๘ ตำบลต้นยวน อำเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็น หนึง่ ในสถานทีป่ ฏิบตั ธิ รรมทีม่ ที ศั นียภาพ งดงาม จุดเด่นที่สะดุดตาผู้มาเยือนก็คือ เจดีย์ลอยฟ้าพระพุทธศิลาวดี บรรจุพระ บรมสารีริกธาตุ บนยอดเขาหินปูนที่มี ความสูงชันกว่า ๑๐๐ เมตร
ประตูพอดีจะทำให้เกิดความงดงามอย่าง น่าประทับใจยิ่ง
ปัจจุบันมีเจดีย์ที่ลอยฟ้าที่สร้างเสร็จแล้ว ๒แห่ง และกำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ต่อไป โดยมีเป้าหมายสร้างให้ได้ครบ ๗ แห่งหรือ ๗ ยอด ซึ่งศาสนสถานทั้งหมด ภายในอุทยานธรรมแห่งนี้ ก่อสร้างด้วย แรงงานของพระภิกษุสงฆ์และประชาชน เมื่อเข้ามาสู่อุทยาธรรมเขานาในหลวง ในพืน้ ทีเ่ พือ่ ถวายเป็นพุทธบูชา โดยไม่รบั จะมองเห็นสถาปัตยกรรมภายในอุทยาน ค่าแรงใดๆ ธรรม ซุ้มประตูพุทธวดี ๙ ยอด ในยาม เมื่ อ มี แ สงพระอาทิ ต ย์ ม าตกลอดซุ้ ม นอกจากนี้ บ นยอดเขาภายในอุ ท ยาน
ธรรมแห่งนี้ ยังมีรอยพระพุทธบาทที่มีความเป็น ธรรมชาติให้พทุ ธศาสนิกชนได้ขนึ้ ไปสักการะอีกด้วย
ใครก็ตามทีอ่ ยากแสวงหาความสงบในชีวติ "อุทยาน ธรรมเขานาในหลวง" จึงเป็นสถานที่เหมาะแก่การ ปฏิบัติธรรม และเปิดให้นักท่องเที่ยว หรือผู้เดินทาง สามารถทำบุญและไหว้พระที่นี่ได้ด้วย
การเดินทางมายังอุทยานธรรมเขานาในหลวง เดินทางจากปากทางเข้าเขื่อนรัชชประภาเมื่อมาถึง บริเวณไฟแดงทีก่ โิ ลเมตรที่ ๖๑ ให้เลีย้ วซ้าย และเดิน ทางต่อไปอีกประมาณ ๒๐ กิโลเมตร จะพบอุทยาน ธรรมเขานาในหลวง ซึ่งตั้งอยู่บริเวณริมถนนด้าน ขวามือ
ทัง้ นีส้ ามารถสอบถามรายละเอียดการเดินทาง ได้ที่ โทรศัพท์ 095 0178 259
เรื่องเล่าพระศาสดา
วัยเด็กของ เจ้าชายสิทธัตถะ กว่าจะมาเป็น พระพุทธเจ้า
ใครเล่าทีก่ ล้าประกาศว่า…เราจะเกิดเป็นครัง้ สุดท้าย ถ้าไม่ใช่เจ้า ชายสิทธัตถะ
“
เราเป็นผู้เลิศ เป็นผู้เจริญ เป็นผู้ประเสริฐ ที่สุดแห่งโลก การเกิดของเรา ครั้งนี้เป็นครั้ง สุดท้าย บัดนี้ภพใหม่ ไม่มีอีกแล้ว
ในคืนที่พระโพธิสัตว์เสด็จปฏิสนธิในครรภ์พระนาง สิริมหามายา พระนางทรงพระสุบินนิมิตว่ามีช้าง เผือก มีงาสามคู่ได้เข้ามาสู่พระครรภ์ ณ ที่บรรทม สิบเดือนหลังจากนั้น ขณะทรงพระครรภ์แก่ได้ทรง ขอพระราชานุญาตจากพระเจ้าสุทโธทนะ พระสวามี เสด็จแปรพระราชฐานไปประทับ ณ กรุงเทวทหะ อันเป็นพระมาตุภมู ิ เพือ่ ให้การประสูตเิ ป็นไปตามประเพณี นิยมในสมัยนัน้ ระหว่างเสด็จกลับพระมาตุภูมิ พระนางได้ทรงพักผ่อนพระอิริยาบถใต้ต้น สาละ ในสวนป่าลุมพินี ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีจอ ก่อนพุทธศักราช ๗๐ ปี ในระหว่างนั้นเอง เหตุการณ์อัศจรรย์ก็เกิดขึ้น เมื่อพระนางประสูติพระราช โอรส และพระราชกุมารทรงพระดำเนินได้ ๗ ก้าวทันที พร้อมทั้งเปล่ง อาสภิวาจาว่า "เราเป็นผู้เลิศ เป็นผู้เจริญ เป็นผู้ประเสริฐที่สุดแห่งโลก การเกิดของเราครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย บัดนี้ภพใหม่ไม่มีอีกแล้ว"
พระกุมารสิทธัตถะได้รับการทะนุถนอมเอาใจใส่จากพระอาจารย์ทั้งหลาย ผู้สั่งสอนวิชาให้กับพระกุมารสิทธัตถะ เจ้าชายสิทธัทถะก็เริ่มเจริญวัยขึ้น มีสขุ ภาพอนามัยดี มีรปู ร่างและลักษณะงดงามเป็นพิเศษ เป็นทีร่ กั แก่ผปู้ ระ สบพบเห็น จนกระทั่งมีพระชนมายุได้ ๘ พรรษา พระบิดาจึงได้ส่ง ออกไปเรียนวิชาในสำนักสำคัญแห่งหนึ่งมีชื่อว่าวิศวามิตร
จากการแนะนำของครูอาจารย์ผทู้ วี่ ชาญในวิชาต่างๆ หลายท่าน เจ้าชายสิทธัตถะก็ได้ศึกษาความรู้ทุก อย่าง ในยุทธศิลป์ต่างๆเป็นอย่างดียิ่ง จนเป็นที่น่า อั ศ จรรย์ ใ จของคนทุ ก คนรวมทั้ ง ครู อ าจารย์ พระราชบิดาและพระมารดา เรื่องใดที่พระองค์ต้อง ศึกษาเรื่องนั้นไม่ได้มีความยากลำบากแก่พระองค์ เลย ได้รับการถวายแนะนำในศิลปยุทธวิธีต่างๆ อย่างใดพระกุมารก็จำได้ทันที เป็นผู้มีปัญญาดีเลิศ ไม่วา่ วิชาใดๆ พระองค์กเ็ รียนรูไ้ ด้จนหมดไม่วา่ จะเป็น วาทศิลป์ ยุทธศิลป์การยิงธนู รัฐศาสตร์ พระองค์กม็ ี ความสามารถได้ทั้งหมด
จากบันทึกในพระไตรปิฎกทุกฉบับ ปรากฏพระประ วัติของพระองค์เช่นนี้แต่แรกประสูติกาล คำกล่าวนี้
อยากจะเชิญชวนเด็กๆ และผูใ้ หญ่ชว่ ยกันหาคำตอบ ของพระมหาโพธิสัตว์แต่วัยเยาว์ ว่าเหตุใดพระองค์ จึงทรงมีพลังมหาศาล ทรงพระราชดำเนินได้แต่วัน แรกประสูติ และทรงกล่าวอภิสวาจาเช่นนั้น
อยู่อย่างไรในปากงู พิสุทธิ์เกรียงบูรพา
“ไอคิโด”
เมื่อจิตเป็นหนึ่งกับธรรมชาติ
ในโลกนี้ มี ศิ ล ปะการป้ อ งกั น ตั ว ของมนุ ษ ย์ เป็นร้อยๆรูปแบบ แต่มเี พียงไม่กชี่ นิดหรอกครับ ที่ ผ มคิ ด ว่ า สอดคล้ อ งกั บ หลั ก พุ ท ธศาสนา ยิ่งฝึกยิ่งสงบ ลดความก้าวร้าว ยิ่งศึกษายิ่งขัด เกลากิเลส และอัตตาตัวกูของกูลง หนึ่งในนั้น คือ Aikido (ไอคิโด)
ในระหว่างที่ผมศึกษา Aikido is harmony (ไอคิโดคือความกลมกลืนสอดคล้องกับธรรม ชาติ)มาหลายปีก็พบว่าเมื่อฝึกแล้วเกิดความ สอดคล้องในการรับแรงกระทำ ซึง่ โดยหลักของ ไอคิโดจะใช้วธิ รี วมผูก้ ระทำนัน้ ให้เป็นหนึง่ เดียว กับตัวเราเมื่อรวมกัน เข้าเป็นหนึ่งจึงไม่มีใคร ปรากฏตรงหน้าว่าเป็นศัตรู เมื่อไม่มีศัตรูจึงไร้ แรงปรารถนา ในการมุง่ เอาชนะประหัตประหาร จึงไม่เกิดการมุ่งทำร้ายกันแต่อย่างใด นอกเสีย จากการพาตนให้พ้นจากอันตรายและคืนสู่สม ดุลเท่านั้น ผู้ฝึกไอคิโดอย่างถูกทาง(เป็นสัมมา ทิฐิ) เท่านั้นจึงซาบซึ้งได้ถึงหลักการนี้
การฝึ ก ไอคิ โ ดมาอย่ า งยาวนานจะเอื้ อ ให้ จิ ต น้อมลงดิง่ เป็นสมาธิ พาจิตกลับสูด่ า้ นใน ไม่ฟงุ้ กระจายไปสู่ด้านนอก แม้จะเป็นการเคลื่อน ไหว แต่ก็เคลื่อนไหวอย่างมีสติกำกับโดยตลอด ประหนึง่ การเดินจงกรม (Moving meditation) ซึ่งถือเป็นสมาธิเคลื่อนไหว เฉกเช่นกัน
ฝึกนานไปจิตก็มีกำลัง สติก็แก่กล้าว่องไวขึ้น หากเป็นเรือ่ งการป้องกันตัว นักไอคิโดก็จะมีสติ
ไวเท่าทัน ไม่ให้เกิดเรื่องราวตั้ง แต่ตน้ เลย ดีกว่าให้มกี ารต่อสูก้ นั ฉันใดก็ฉันนั้น พระพุทธศาสนา ก็ มุ่ ง ดั บ ทุ ก ข์ ใ ห้ ห มดจดสิ้ น เชิ ง โดยหลั ก การดั บ ที่ เ หตุ ตั ด เชื้ อ สมุทัย คือมุ่งที่จะไม่ให้โอกาสจะ เกิด“ความทุกข์”มากกว่าที่จะรอ จนทุกข์เกิดแล้วค่อยดับ (ไม่ให้ไฟ ติดย่อมดีกว่าเกิดไฟไหม้แล้วค่อย หาทางดับมัน) ศิลปะการป้องกันตัว (Martial art) ไหนจะสอดรับ กับหลักพุทธศาสนาได้ดีปานนั้น ผมถือว่าเป็น Martial arts ชัน้ สูงเลย … อีกอย่างทีเ่ ห็นก็คอื ไทเก็ก (Tai chi) เพราะทั้งไทเก็กและไอคิโดนั้น สนับสนุน ให้ผู้ฝึกเชื่อมต่อกับผืนดินและธรรมชาติ Universe and I are one. เมื่อเราและธรรมชาติเชื่อมโยง กันเป็นหนึ่งเดียวแล้ว เราจะพบความจริงว่าตัวเรา นั้นเล็กนิดเดียว หรือจะพูดให้ถูกต้องคือ เรานั้นไม่มี (มีแต่ธรรมชาติ คือเหตุปัจจัย หรือ อิทัปปัจจยตา) บางท่านฟังดูแล้ว อาจคิดว่ามันสวยหรูเกินจะปฏิบตั ิ ได้จริง แต่มนั ปฏิบตั ไิ ด้จริงและเห็นผลจริง เรือ่ งแบบ นี้ เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ คือคุณต้องลงมือทำเอง เท่านั้น จึงจะพิสูจน์ได้
นอกจากนั้น ศิลปะการป้อง กันตัวทั้งสองชนิดนี้ยังพัฒนา ลมหายใจให้สมบูรณ์ ทำให้การ หายใจของผู้ ฝึ ก มี ป ระสิ ท ธิ ภาพอย่างน่าอัศจรรย์
หากเราจะประยุกต์ศิลปะการ ป้องกันตัวไอคิโด และไทเก็ก ให้ เ ป็ น ส่ ว นหนึ่ ง ของการฝึ ก อานาปานสติ ผู้เขียนคิดว่าไม่ น่าจะเสียหายอะไร ตรงข้าม
กลับวิวัฒน์ลมหายใจ ให้เป็นพลังวิเศษขึ้นมาได้โดย ปริยาย
ไอคิโด ของชาวญีป่ นุ่ เรียก คิ “Ki” แต่ไท้เก็กของจีน เรียก “Chi” มันก็คล้ายกับ “ปราณ” ในอินเดีย หรือ โยคะ นั่นเอง ซึ่งกำลัง คิ นี่เอง จะดำรงอยู่ได้ดีกว่า สังขารร่างกาย ทีเ่ ป็นกล้ามเนือ้ เสียอีก เพราะเมือ่ เรา แก่ชราลง กล้ามเนื้อ ข้อ กระดูกและเส้นเอ็น ย่อม เสื่อมสภาพลง แต่ กำลังภายในยังสามารถธำรง อยู่ของมันได้จนวันตาย
ในทัศนะของผมสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า การ ฝึกศิลปะการป้องกันตัว (Martial arts) ทัง้ ๒ ชนิดนี้ ให้อานิสงค์อันประเสริฐ ส่วนเรื่องการป้องกันตัว คนนั้น ส่วนใหญ่มักจองหอง แยกตัวแยกตนออก (Self-defend)นั้นมันเป็นแค่ผลพลอยได้เท่านั้น จากธรรมชาติหรือไม่กเ็ ป็นกบฏต่อธรรมชาติ แต่พระ พุทธศาสนาสอนให้เราเคารพธรรมชาติ อยู่ร่วมและ รู้นอกเป็น สมุทัย ภัยชีวิต ใกล้ชิดกับมัน เพราะเราคือส่วนหนึ่งของมัน พูดให้ รู้ใน คือจิต สู่มรรคา ชัดคือ ธรรมชาตินั้นเป็นมารดาของเรา ใครยังตัดไม้ สมาธิ สนับสนุน ซึ่งปัญญา ทำลายป่า ถมทะเล ตั้งฐานขุดเจาะน้ำมันหรือก๊าซ และปัญญา ก็ย้อนมา ให้สมาธิแก่กล้าเอยฯ ธรรมชาติกลางทะเลหรือบินไปดวงจันทร์สร้างรก รากเอาไว้รอวันโลกแตก ฯลฯ ล้วนเป็นการกระทำ ทีท่ ำร้าย “แม่” ของตนเองทัง้ สิน้ ผลร้าย จึงกลับคืนสู่ มนุษย์ตาดำๆทั้งหลาย เช่น ภัยจาก ฝุ่น 2.5 PM นี่ยังถือว่า เบาะๆ
บทกวีมีลมหายใจ เรื่อง : พระครูใบฎีกามงคล วชิรปัญโญ ภาพ :ปัญญวชิรา
จงเป็นไม้ที่ผลิใบได้ทุกที่ ๏ จงเป็นไม้ผลิใบ จงเป็นดอกผลิบาน ๏ จงอย่ารอโอกาส ถ้าโอกาสไม่มา ๏ จงมีรากซอนไช สู้ไปไม่กริ่งเกรง ๏ จงสร้างสรรพสิ่ง ประกอบทุกสิ่งอัน ๏ จงเอาอดีตเป็นปุ๋ย เอาซากความชอกช้ำ ๏ จงเอาคำเหยียบย่ำ เหยียบใส่ดินก้อนโต ๏ จงเอาน้ำตาหลั่ง เป็นน้ำมารดดิน ๏ จงเป็นไม้ผลิใบ ผลิงามอันหมดจด
งอกงามในทุกสถาน ในทุกวารวันเวลา ใช้ความสามารถแสวงหา ก็สร้างคุณค่าขึ้นเอง กำลังใจเป็นตัวเร่ง จักบานเบ่งในสักวัน ด้ ว ยเพี ย รจริ ง อย่ า งคงมั่ น ด้วยสร้างสรรค์พยายาม ให้ดินซุยดินชุ่มฉ่ำ นำมาสร้างการเติบโต เอาเติมซ้ำเอาโมโห ให้ฝังรากเป็นซากดิน เอาความหวังอันแหว่งวิ่น ทำให้ถิ่นนี้งามงด อยู่ที่ใดให้สวยสด ทั้งอนาคตและปัจจุบัน ๚๛
Life’s Workshop
พระมหาประสิทธิ์ญาณปฺปทีโป
ทุกฉากตอนสอนใจ ทุกลมหายใจสอนจิต
“
การฝึกตนเองเพือ ่ ให้เข้า ถึงความจริงของชีวต ิ เป็นสิง ่ ทีจ ่ ำเป็น ในทางพระพุทธศาสนา ใช้วป ิ ส ั สนาหรือการฝึก สมาธิเป็นเครือ ่ งมือใน การพัฒนาจิตใจให้ ก้าวข้ามสิง ่ สมมติ ไปสูค ่ วามจริง ต้องออกตัวก่อนว่าไม่ได้ชอบดูละคร แต่นานๆได้ดู ครัง้ และก็ไม่ได้ดตู อ่ เนือ่ งจนจบ แค่ผา่ นๆเป็นท่อนๆ ตามแต่โอกาส ซึ่งบางครั้งก็ได้อะไรดีๆเหมือนกัน อย่างเมื่อวันก่อนต้องดูละครไปกับเขาด้วยสถาน การณ์จำเป็น
มีฉากในละครที่ตัวเอกมักจะได้ยินคำพูดของคนอื่น ซึ่งเป็นแค่บางท่อนคำ ไม่เต็มประโยคและไม่ได้รับรู้ ถึงเป้าหมายของการสื่อสารนั้นอย่างแท้จริง แต่เขา ก็เชื่อในสิ่งที่ตนเองเห็นและได้ยิน ทำให้เข้าใจผิด และนำไปสูก่ ารกระทำทีเ่ ป็นเหตุให้ตนเองและคนอืน่ เกิดทุกข์
เพราะสิ่งที่ตนเองรับรู้มาได้เท่านั้น ซึ่งบางครั้งมัน อาจจะเป็นและไม่เป็นจริงก็ได้ แต่เรารู้สึกว่ามันจริง เพราะเคยจำมาว่ามันจริง ความคิดเห็นจึงนึกว่าตัว เองนั้นคิดถูกจริง ซึ่งจริงๆก็แค่คิดได้เท่าที่รับรู้มา เท่านั้น
เราจึงต้องฝึกทบทวนการรับรูว้ า่ สิง่ ทีร่ มู้ านัน้ ตรงตาม เป็นจริงไหม ทบทวนความจำว่าสิ่งที่จำได้นั้นตรง ตามเป็นจริงไหมทบทวนความคิดว่าสิง่ ทีค่ ดิ อยูน่ ตี้ รง ตามเป็นจริงไหม และอย่ายึดติดกับความจริงของตน เองมากจนเกินไป ความจริงก็อาจจะเปลี่ยนแปลง ได้ เพราะความจริงก็..อนิจจัง..คือ มันเปลี่ยนแปลง ไปอยู่เสมอ
ทำให้นึกถึงที่พระท่านว่า อย่าไปยึดมั่นถือมั่นใน ขันธ์ ๕” อายตนะภายในของเรา คือ ตา หู จมูก ลิ้น เมื่อก่อนอาจจะจริงแต่เมื่อเวลาผ่านไปแล้วความ กาย ใจ รับรู้ได้ในวงจำกัดทำให้ เวทนา(ความรู้สึก) จริงในอดีตก็แค่ภาพจำ สิ่งสำคัญคือความจริงใน สัญญา(ความจำ) สังขาร(ความคิด) เกิดขึ้นเพียง ขณะนีต้ ่างหาก ถ้ามัวแต่ยึดความจริงในอดีตก็อาจ
จะพลาดเห็นจริงในปัจจุบันก็ได้
ผู้ ใ หญ่ ห รื อ พระบางท่ า นฟั ง แบบนี้ อ าจจะรู้ สึ ก ไม่ ค่อยดี แต่โดยส่วนตัวมองว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะชวน และเมื่อฟังจาก FC ที่ดูละครเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น ให้เขาเห็นอีกมิติของพระพุทธศาสนาและการฝึก ก็พบว่า ทั้งเรื่องเกิดจากการกระทำที่ผิดพลาดของ จิตใจ คน ๒-๓ คน บางคนต้องการปิดบังอดีต บางคน เก็บอดีตมาเก็บแค้น และบางคนก็กำลังปรับปรุง ในช่วงเวลาสัน้ ๆของกิจกรรม กระบวนการจึงเป็นไป ตัวเองจากความผิดพลาดในอดีต เพื่อกระตุ้นความน่าสนใจ ให้กับการนั่งสมาธิและ ชวนทำเล่นๆ ลีลากลกามของชีวติ ดูแล้วก็สนุกดีเหมือนกัน มินา่ ล่ะ คนบางคนจึงเลือกที่จะรับรู้ความจริงในละคร ทำเป็นเล่นๆ ก็เลยรูส้ กึ ผ่อนคลาย อาศัยบรรยากาศ มากกว่าจะยอมรับความจริงในชีวิตจริงๆ ละครสะ และความเป็นกันเองของพระวิทยากร ชวนเรียนรู้ ท้อนชีวติ จริง แต่ละคร…ก็ไม่ใช่ความจริง แค่สมมติวา่ และทำไปด้วยกัน ทำให้บางคนดูจะจริงจังมากขึ้น จริง เมื่อรู้สึกว่าลองดูแล้วทำได้ เมื่อทำได้ก็รู้สึกดีและ เห็นอะไรดีดีของการนั่งสมาธิด้วยตนเอง มาพิจารณาดูตัวเอง จึงได้ร้องอ้อในใจ นี่เราก็จริง โดยสมมติเหมือนกัน เราเป็นแค่ตวั ละครในบางฉาก แน่นอนว่าคอร์สสั้นๆนี้ไม่ใช่เพื่อให้ได้ผลจากการ ตอนของชีวติ คนอืน่ เท่านัน้ หลงคิดไปตัง้ นานว่าจริง นัง่ สมาธิ แต่เราพยายามทำให้เขามีทศั นคติเชิงบวก จริงๆก็แค่สมมติว่าจริง… ต่อการนั่งสมาธิ และเกิดแรงบันดาลใจในการที่จะ ให้โอกาสตนเองได้สัมผัสประสบการณ์ทางจิต โดย การฝึกตนเองเพือ่ ให้เข้าถึงความจริงของชีวติ เป็นสิง่ การคิดอยากจะไปต่อยอดเองในครั้งต่อๆไป แค่นี้ก็ ที่จำเป็น ในทางพระพุทธศาสนาใช้วิปัสสนาหรือ บรรลุเป้าหมายของเราแล้ว การฝึกสมาธิเป็นเครือ่ งมือในการพัฒนาจิตใจให้กา้ ว ข้ามสิ่งสมมติไปสู่ความจริง มีนักศึกษาคนหนึ่งถามว่าพระอาจารย์ทำให้ผมมี สมาธิเลย ไม่ได้เหรอครับ ผมจะได้ไม่ตอ้ งนัง่ สมาธิ แต่ก็ยังเป็นยาขมสำหรับคนส่วนใหญ่ ซึ่งจริงๆบาง มันปวดหลัง? ครั้ง การฝึกสมาธิก็อาจจะไม่ต้องไปคาดหวังผลอัน เลิศอะไรมาก เบือ้ งต้นแค่เข้าใจว่าทำไม่ตอ้ งฝึกและ ก็ตอบไปว่า มันก็เหมือนกับที่พวกเธอเรียนในมหา มี มุ ม มองที่ เ ป็ น เชิ ง บวกต่ อ การฝึ ก สมาธิ ก็ ดี ม าก วิทยาลัยนั่นแหละ เรียนเองถึงจะจบเอง ให้คนอื่น แล้วสำหรับคนรุน่ ใหม่ เพราะจะได้นำไปสูก่ ารฝึกฝน เรียนแทนก็อาจจะได้แค่ใบปริญญาแต่ไร้ปัญญา ต่อ ตนเองอย่างต่อเนื่องต่อไป ค่อยๆเป็นค่อยๆไปได้ ให้เป็นแฟนก็เรียนแทนกันไม่ได้ การฝึกสมาธิก็ ร่วมกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการเจริญสติ ฝึกจิตภาวนา เหมือนกัน รู้ลมหายใจตัวเองดีที่สุด ใครก็หายใจ กับมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งเป็นปีที่ ๒ พบว่าการที่จะ แทนเราไม่ได้ ทำให้เด็กรุ่นใหม่ใส่ใจการฝึกสมาธิเป็นเรื่องที่ท้า ทายมากๆ เพราะการรับรูเ้ ดิมของเด็กเกีย่ วกับสมาธิ แม้การฝึกจะแค่สั้นๆ ก็หวังว่าจะเป็นเหมือนฉาก มักจะเป็นเรื่องในเชิงลบ วัยรุ่นมองเรื่องศาสนาเป็น ละครทีส่ นั้ แต่ให้แง่คดิ และนำไปสูส่ งิ่ ทีด่ งี ามมากขึน้ การบังคับ โบราณและไม่จำเป็นสำหรับการดำเนิน ต่อไปตามกำลังของแต่ละคน ชีวิตในยุคใหม่
Praying For Healing สุภัฏ สิกขชาติ
เมื่อถูกผีสิงต้องทำอย่างไร (๑)
อาจมีบางช่วงที่เรารู้สึกว่า เหมือนสูญเสียการควบ ผมนึกถึงเหตุการณ์ร่วม ๓๐ ปีก่อน ที่ญาติผู้น้องคน คุมทุกสิ่ง แม้แต่ตัวตนที่เคยมั่นใจก็พังทลายกลาย หนึ่งเพิ่งถูกบรรจุเข้าทำงานใหม่ จะถูกส่งไปอบรม เป็นคนแปลกหน้า…ไม่เข้าใจว่า มันเกิดขึน้ ได้อย่างไร ที่อินเดียสองสัปดาห์ ตั้งแต่รู้คำสั่งเขากลายเป็น อีกคน ดูประสาทเสีย สับสน จนเปรยกับที่บ้านว่า สำหรับบางคนอาจเกิดแค่ชว่ งสัน้ ๆแล้วก็ผา่ น ฝันร้าย จะลาออกจากงานนี้ที่เพิ่งได้เข้าไปทำไม่ถึงเดือน นี้ไปได้ แถมบางคนยังใช้มันเป็นแรงขับถือเป็นโอ เขาเป็นคนพูดน้อยกับคนในครอบครัว เมื่อตะล่อม กาสเปลี่ยนชีวิตครั้งใหญ่ ถามจึงรู้เหตุผลว่ามาจากความ “กลัว” การใช้ภาษา เด็กวิศวกรจบใหม่ ขาดความมัน่ ใจอย่างแรงในภาษา แต่กบั บางคนฝันร้ายไม่หายไปไหน ทำให้รสู้ กึ จิตตก อังกฤษ ดิ่งเหว เจ็บปวด ล้มเหลว ทุกข์ใจแบบไร้เหตุผล… ไม่อยากเผชิญชีวิตอีกต่อไป เรื่องนี้ทำให้กลับมานึกถึงตัวเองสมัยที่เริ่มทำงาน
“
เตอร์ ที่ทำงานตำแหน่งสูงผ่าน ใหม่ๆ เมื่อผ่านสัมภาษณ์จาก บริ ษั ท ข้ า มชาติ ร ะดั บ โลกมา หัวหน้าแผนกและบอกว่าให้เข้า มนุษย์เราแต่ละคนมี หลาย ที่ และมีเงินเดือนรายได้ มาทำงานในวั น มะรื น ได้ เ ลย โจทย์ ช ว ี ต ิ ที ถ ่ ก ู ส่ ง มา สูง…จนน่าตกใจ เช้าทำงานวัน แรกผมพบตัวเอง ว่ า กำลั ง อยู่ ใ นบริ ษั ท ข้ า มชาติ ที่ ในโลกนี้ ไม่เหมือนกัน ถ้าย้อนกลับไปสืบหาสาเหตุแห่ง เอกสารทุ ก อย่ า งล้ ว นแต่ เ ป็ น ได้รับประสบการณ์ ความกลัว ถ้าเป็นเมื่อก่อนผม ภาษาอังกฤษ ครึ่งวันแรกหมด ที่ได้จึงต่างกันและ คงโทษครูภาษาอังกฤษ สมัย ไป การเขียนใบสมัครอย่างเป็น ก็ ไ ม่ ใ ช่ ท ก ุ คนที จ ่ ะมอง ประถมที่ชอบทำโทษผม ตอน ทางการให้ฝ่ายบุคคล การกรอก นั้ น มั ก ถู ก สั่ ง ไปยื น กระต่ า ยขา เห็นโจทย์ชีวิต เอก สารต่างๆทำเอาผมใจหล่น เดียวกางมือคาบไม้บรรทัดพลาส ตุ้บ อยากตัวลีบหายกลับบ้านไป ของตัวเองได้ ติกอยู่นอกห้องเรียนเป็นประจำ เอาดิกชันนารี (สมัยนั้นคอมพิว เตอร์ ส่ ว นบุ ค คลยั ง ไม่ ค ลอดโทรศั พ ท์ มื อ ถื อ เกิ น นอกจากถูกลง โทษให้ได้อายแล้ว ไม้เรียวที่ครู ใช้ตี จินตนาการฝันถึง) มาแปลคำทีอ่ า่ นไม่ออก ไม่เข้าใจ ก็ยังเป็นความเจ็บกายที่ผม ยังสัมผัสรู้สึกได้มาจน ความหมาย ถึงทุกวันนี้
ตอนนัน้ เหมือนขีม้ นั ขึน้ สมอง เฝ้าเพียรถามตัวเองว่า จะหลอกตัวเอง หลอกคนอื่น นั่งพยักหน้าหงึกหงัก พูดแต่เยสๆ โนๆ ในที่ประชุม ไปได้นานแค่ไหน จะต้องพึง่ ปากพึง่ คำแปลจากคนอืน่ และเฝ้าแต่ภาวนา ให้การประชุมครัง้ ต่อๆไปมีคน เก่งภาษาทีใ่ จดีมานัง่ ใกล้ๆ ทุกครั้งไปล่ะหรือ
ผมเล่าประสบการณ์ความรู้สึกนี้ให้ญาติผู้น้องฟัง และบอกเขาว่า แม้จะผ่านมาเกือบ ๓ ปีแล้ว(ตอน นั้น) ภาษาอังกฤษผมก็ยังไม่กระเตื้องขึ้นสักเท่าไหร่ ทุกวันที่ไปทำงาน ผมก็ยังกลัว แต่ผมก็ยังทำงาน อยูไ่ ด้และในสามปีนนั้ ผมยังได้ปรับเงินเดือนเพิม่ ขึน้ จากตอนแรกเข้ามากถึงเกือบ ๕ เท่าตัว
จำไม่ ไ ด้ ว่ า ได้ ห ว่ า นล้ อ มให้ เ หตุ ผ ลอะไรหรื อ ไม่ เพียงแต่บอกเขาว่า โคตรเข้าใจเลยล่ะ และแนะนำว่า ลองใช้ โ อกาสนี้ ใ นการเผชิ ญ หน้ า กั บ ความกลั ว เมื่อกลับมาค่อยลาออก ถ้ารู้สึกว่าตัวเองล้มเหลว ไร้ค่าจริงๆ
ผ่านมากว่ายี่สิบปี น้องคนนี้กลายเป็นวิศวกรอิน
แต่…เดี๋ยวนี้ผมรู้แล้วว่า
มนุษย์เราแต่ละคนมีโจทย์ชีวิตที่ถูกส่งมาในโลกนี้ ไม่เหมือนกัน ได้รบั ประสบการณ์ทไี่ ด้จงึ ต่างกันและ ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะมองเห็นโจทย์ชีวิตของตัวเองได้ ทีส่ ำคัญแม้จะอยากแก้ แต่กไ็ ม่ใช่ทกุ คนทีจ่ ะแก้โจทย์ ชีวิตตัวเองได้ด้วยตัวเอง ฟังดูแล้วเหมือนน่าสิ้นหวัง แต่ผมค้นพบว่าโลกยัง เต็มไปด้วยทางออกอื่นๆ มีคนจิตใจดีอีกมากมายที่ พร้อมคอยช่วยเหลือคนทีไ่ ม่รจู้ กั เพียงแต่เราให้โอกาส ตัวเองมากแค่ไหน ในการเปิดใจที่จะตอบรับความ ช่วยเหลือนั้น
ั ปุจฉา - วิสชนา พระไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ
ปีชงไม่มีในพระพุทธศาสนา
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วิสัชนาความเชื่อเรื่อง 'ชง' ไม่มีอยู่ในคำสอนของพุทธศาสนา ที่จริงกลับสวนทางกับ คำสอนด้วยซ้ำ แทนที่จะเชื่อฤกษ์ยาม แนะให้มั่นคง ในความดี มีความเพียร และใช้สติปัญญา จะประสบความสำเร็จ ปุจฉา : กราบนมัสการพระคุณเจ้า อยากกราบเรียนถามพระคุณเจ้าในเรือ่ งความเชือ่ เกีย่ วกับการชงว่า เท็จจริงในศาสนาพุทธมีหลักคำสอนเกีย่ วกับในเรือ่ งนีอ้ ย่างไรว่าควรเชือ่ ในเรือ่ งปีชงหรือใช้วจิ ารณญาณในการ ดำเนินชีวติ คิดตัดสินใจอย่างไร
พระไพศาล วิสาโล วิสชั นา : พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าฤกษ์ยามนัน้ ไม่สำคัญเท่ากับกรรม คือการกระทำ หากทำดีดว้ ยความพากเพียรแล้ว ย่อมได้รบั ประโยชน์ดงั หวังโดยไม่จำต้องพึง่ ฤกษ์ยาม คนทีเ่ อาแต่พงึ่ ฤกษ์ยาม ไม่รจู้ กั พึง่ ตนเองนัน้ ถือว่าเป็นคนโง่ ดังมีพทุ ธพจน์วา่ “ประโยชน์ยอ่ มล่วงเลยคนโง่ผมู้ วั ถือฤกษ์อยู”่ อันทีจ่ ริงเมือ่ ใด ทีเ่ ราทำความดีเมือ่ นัน้ ก็เป็นฤกษ์ดยี ามดีอยูแ่ ล้ว ดังมีพทุ ธพจน์อกี ตอนหนึง่ ว่า “สัตว์ทงั้ หลายประพฤติชอบ ในเวลาใดเวลานัน้ ย่อมชือ่ ว่าเป็น ฤกษ์ดมี ง คลดี สว่างดี รุง่ ดี ขณะดี ยามดี”
มาถึงตรงนีก้ ค็ งจะเห็นแล้วว่าความเชือ่ เรือ่ ง ชงนั้นไม่มีอยู่ในคำสอนของพุทธศาสนา ทีจ่ ริงกลับสวนทางกับคำสอนของพระพุทธ องค์ดว้ ยซ้ำ หากจะทำอะไรก็ตาม ก็ให้มนั่ คง ในความดี มีความเพียร และใช้สติปญ ั ญา รวมทั้งคำนึงถึงคำสอนของพระพุทธองค์ เรือ่ งสัปปุรสิ ธรรม นัน่ คือจะทำอะไรก็ตาม ควรรู้ จักเหตุ รูจ้ กั ผล รูจ้ กั ตน รูจ้ กั ประมาณ รูจ้ กั กาล รูจ้ กั ชุมชน และรูจ้ กั บุคคล หากรูท้ งั้ ๗ ประการนีแ้ ล้ว ก็ยอ่ มประสบความสำเร็จ มีชวี ติ ทีเ่ จริญงอกงาม