ผมจำ�ไม่ได้แล้วว่าผมอ่านพบคำ�พูดนี้จากหนังสือเล่มใด แต่จากคำ�พูดนี้มันทำ�ให้ผมหวนนึกออกในอีกหลาย ๆ เรื่องที่เคยผ่าน เข้ามาในชีวิต สิ่งที่เคยเป็น วันนี้เปลี่ยนไป ทุกสิ่งคงหนีไม่พ้นกฏแห่งการ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ ดับไป ไม่มีอะไรที่ไม่เปลี่ยนแปลง เราในฐานะผู้ อยู่ในสังคม ในโลก ก็คงมีหน้าที่ต้องปรับจูนตัวเองให้สามารถเคลื่อนไหวไปพร้อม ๆ กับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นให้ได้ ผมเองอาจจะโชค ดีที่บังเอิญมีชีวิตอยู่ระหว่างจุดเปลี่ยนของยุคพอดี เมื่อโลกเข้าสู่ยุคคอมพิวเตอร์หรือยุคอินเตอร์เน็ตผมก็ยังพอมีแรงที่จะเคลื่อนตัวเอง ไปกับมันได้ ผมเคยทำ�งานด้วยกระดาษ ปากกา ปัญญา และความอุตสาหะ แล้วผมก็มีโอกาสได้ตื่นเต้นไปกับการทำ�งานด้วยคอมพิวเตอร์ ที่รวดเร็ว แม่นยำ� และสะดวกสบาย บางครั้งผมก็ลืมความรู้สึกและบรรยากาศของการทำ�งานในยุคกระดาษปากกาไปได้เหมือนกัน จน กระทั่งบางวันที่ระบบคอมพิวเตอร์เกิดรวนขึ้นมา ทุกคนบอกว่าทำ�งานไม่ได้เพราะระบบล่ม วันนั้นนั่นแหละที่ทำ�ให้ผมเริ่มนึกย้อนไปถึงวัน เก่า ๆ ที่เราก็ยังทำ�งานได้โดยปราศจากอินเตอร์เน็ต ไม่มีคอมพิวเตอร์ ย้อนกลับไปถึงตอนเรียนหนังสือสมัยมัธยม เมื่อคุณครูมอบหมาย ให้นักเรียนทำ�รายงาน นั่นคือบททดสอบในหลาย ๆ ด้านของนักเรียนเลยทีเดียว นักเรียนจะได้รู้จักเรียนรู้เริ่มต้นจากการจัดเวลาของตัว เอง เพราะการหาข้อมูลที่จะมาทำ�รายงานนั้นจะต้องดั้นด้นไปค้นหาที่ห้องสมุดและบางครั้งต้องเดินทางไปถึงห้องสมุดแห่งชาติในวันหยุด เสาร์อาทิตย์ จากนั้นก็ต้องขลุกอยู่กับแหล่งข้อมูลนั่งจดนั่งคัดลอกออกมา แล้วนำ�มาเขียนด้วยลายมือลงในกระดาษฟูลแก๊ป หากต้อง ใช้ภาพประกอบก็ต้องหารูปจากหนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือแม้กระทั่งวาดเองขึ้นมา แล้วนำ�มาประกอบเป็นเล่ม ทำ�หน้าปกให้สวยด้วย จินตนาการตัวเอง จึงต้องมีเวลากับภาระดังกล่าวพอสมควรทุกอย่างได้รับการตรวจทานและผ่านสายตาไม่น่าจะน้อยกว่าสองสามครั้ง แต่ทุกวันนี้การทำ�รายงานไม่ว่าจะเรื่องอะไรที่คุณครูมอบหมายให้นักเรียนนั้น มันสามารถจัดการทุกอย่างให้เสร็จได้ภายในคืนเดียวด้วยซ้ำ� โดยใช้คอมพิวเตอร์ อาจจะไปเสิร์ทในกูเกิ้ล แล้วข้อมูลดังกล่าวก็จะไหลออกมาให้ copy และนำ�ไป paste ลงใน Microsoft word อีกที ทั้ง ภาพและตัวอักษร จากนั้นสั่ง print เป็นอันเสร็จ สะดวกรวดเร็วกว่ายุคก่อนมาก สิ่งหนึ่งที่ผมสงสัยก็คือ การทำ�รายงานในเรื่องใดก็ตาม ความต้องการของคุณครูคือให้เด็กได้รู้จักค้นคว้า ได้อ่านข้อมูล ซึ่งการใช้เวลาไปกับสิ่งนั้นจะทำ�ให้ได้รับความรู้โดยไม่รู้ตัว เล่มรายงานที่ทำ� เสร็จนั้นอาจสำ�คัญไม่เท่าขั้นตอนต่าง ๆ ที่สร้างมันขึ้นมา แต่ด้วยวิธีการยุคใหม่ ผมไม่มั่นใจว่าเด็ก ๆ จะได้อ่านข้อมูลเหล่านั้นหรือเปล่า เกิด โชคร้าย เด็ก ๆ แค่อยากทำ�รายงานส่งครูให้มันเสร็จ ๆ เมื่อเสิร์ชเข้าไปในกูเกิ้ลเจอสิ่งที่อยากได้ หัวข้อตรง ก็ก๊อปแปะจบ ด้วยความเร็ว และสะดวกขนาดนี้เด็กยุคใหม่จะมีรายงานที่สวยงามและข้อมูลแน่น โดยที่พวกเขาอาจจะไม่ได้ความรู้เลยหรือเปล่า ไม่แน่ใจ แต่ได้คะแนน ในยุคโน้น การจะมีแฟนสักคน การจะมีความรักสักครั้ง มันช่างลำ�บากและต้องใช้ขั้นตอนที่ต้องใช้ความอุตสาหะไม่แพ้การทำ� รายงานส่งครู ลองคิดตามนะครับสำ�หรับเด็ก ๆ ยุคใหม่ที่อาจจะนึกภาพบรรยากาศในยุคนั้นไม่ออก ปัจจัยที่มาอันดับแรกคือเรื่องเวลา เด็กยุคโน้นดูเหมือนจะไม่ค่อยมีโอกาสไปเตร็ดเตร่ที่ไหนมากนัก สถานที่ที่จะให้ไปเที่ยวหลังเลิกเรียนก็เห็นจะมีแต่สยาม ร้านเหล้าไม่ต้องพูด ถึง เมื่อเป็นเช่นนี้โอกาสที่เราจะได้ไปพบใครที่ถูกใจสักคนไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากบนรถเมลหรือตามงานนิทรรศการที่จะจัดขึ้นตามโรงเรียน ต่าง ๆ และเมื่อพบและรู้จักกันแล้ว ก็จะไม่มีโอกาสได้พบเจอหรือพูดคุยกันบ่อยนัก ยุคนั้นบ้านไหนมีโทรศัพท์ที่บ้านก็นับว่าเป็นบ้านที่มีฐานะดี พอสมควร เพราะค่าติดตั้งนั้นแพงมากๆ สำ�หรับเด็กจนๆ ที่ร่ำ�รวยความรักก็คงต้องใช้พึ่งพาจดหมาย การนั่งเขียนจดหมายถือเป็นเวลา ที่มีความสุขอีกช่วงเวลาหนึ่งเลยทีเดียว นี่ยังไม่นับการที่ต้องเดินเลือกซื้อกระดาษเขียนจดหมายที่คิดว่าเขาหรือเธอจะถูกใจ การเลือกใช้ ซองที่เข้ากันได้อย่างดีกับกระดาษที่เลือก ขั้นตอนเหล่านี้ล้วนมีส่วนในการทำ�ให้ความรักนั้นมั่นคงและจริงใจ หลังจากส่งจดหมายรักออก ไป ก็จะต้องมาคอยใจจดใจจ่อรอจดหมายตอบกลับอย่างตื่นเต้นทุกวัน มันตื่นเต้นทุกขั้นตอนเลยจริง ๆ การใช้จดหมายเป็นสื่อกลางเพื่อ การนัดหมายทำ�ให้การจะพบกันแต่ละครั้งของหนุ่มสาวมีความสำ�คัญ และนั่นอาจทำ�ให้ความรักและการนัดหมายทุกครั้งดูมีค่ามากกว่าทุก วันนี้ที่การนัดหมายทำ�กันได้อย่างง่ายๆ เพราะทุกคนมีโทรศัพท์มือถือ นัดกันได้ทันทีและบอกเลิกนัดกันได้อย่างง่ายดาย อาจจะเป็นสาเหตที่ ทำ�ให้ความรักและการนัดหมายของหนุ่มสาวยุคนี้ดูฉาบฉวยและไม่ค่อยมีความสำ�คัญเท่ากับหนุ่มสาวในยุคนั้นผมไม่ทราบหรอกครับว่า แล้ว ตกลงยุคไหนดีกว่ากัน ในแต่ละยุคก็มีข้อดีและข้อด้อยในตัวเอง น่าจะอยู่ที่คนในยุคนั้น ๆ ว่าจะมีวิธีปรับเปลี่ยนตัวเองให้อยู่ร่วมในยุคสมัย นั้น ๆ อย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุดและมีความสุขมากที่สุด หาก รายงาน หรือ คนรัก เปรียบได้กับเป้าหมายของชีวิตที่เราพยายามเดินไป ให้ถึง สำ�หรับผม ผมชอบการเดินทอดน่องและมีความสุขกับการมองความสวยงามของสองข้างทางไปด้วย ส่วนจะถึงจุดหมายเมื่อไรนั้น ค่อยมาว่ากันทีหลัง
ว่ากันว่า “ภาษา” นับเป็นมรดกล้ำ�ค่าที่สุดของ มวลมนุษย์ชาติ ด้วย”ภาษา”นี่แหละที่ทำ�ให้มนุษย์เราครองโลก มาได้จนถึงทุกวันนี้ เพราะเราสามารถที่จะสื่อสารและเข้าใจ กันและกันได้ ซึ่งนั่นทำ�ให้เรานั้นอยู่เหนือกว่าเหล่าสรรพสัตว์ ทั้งมวล เมื่อสามารถสื่อสารทำ�ความเข้าใจกันได้จึงเกิดเป็น สังคมและการอยู่ร่วมกัน ในแต่ละวันเรารับข้อมูล จากคนอื่น ๆ และจากสังคม ในเวลาเดียวกันเราก็ส่งข้อมูลไปสู่คนอื่น ๆ และสู่สังคม ข้อมูลที่รับเข้าและส่งออกทุกวันนี้กระมังที่ทำ�ให้ เราฉลาดขึ้น รอบรู้มากขึ้น บางเรื่องที่เราไม่รู้และอยากรู้เราก็ ถามไถ่ ค้นหาเอาจากคนอื่นหรือจากสังคมได้ บางครั้ง บาง เรื่องที่เรารู้ เราก็ส่งต่อให้คนอื่นๆ เมื่อมนุษย์สามารถที่จะอยู่ ร่วมกันได้ สิ่งที่ตามมาก็คือการสร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นในสังคม ในโลก สร้างกันต่อเนื่องมาหลายพันปี จนบัดนี้เรามีผลงาน มากมายที่เกิดขึ้นมาจากภูมิปัญญาของมนุษย์ และยังคงเดิน หน้าคิดค้นและสร้างสรรค์กันต่อไป ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของ เทคโนโลยี วิศวกรรม เกษตรกรรม รวมไปถึงงานด้านศิลปะ บันเทิง เมื่อมีมาก ๆ เข้า เราก็เริ่มมีการจัดอันดับ”ที่สุด” กัน และผู้ที่ดูแลเรื่องนี้อย่างเอาจริงเอาจังคอยติดตามค้นหาและ บันทึกไว้เป็นหลักฐานที่เรารู้จักกันดีก็คือ กินเนส เราอยาก รู้ว่าภูเขาสูงที่สุดในโลกคือภูเขาอะไร เราอยากรู้ว่าประเทศที่ เล็กที่สุดในโลกคือประเทศอะไรก็สามารถรู้ได้ เรารู้ว่าประเทศ ที่ประชาชนมีเซ็กส์กันถี่ที่สุดก็คือฝรั่งเศส เรารู้ว่าคนที่สูง ที่สุดในโลกคือใคร ผมเองในช่วงก่อนวันคริสต์มาสที่ผ่าน มา ผมลองโฉบเข้าไปในเว็บไซด์ของกินเนสแล้วก็คลิกเข้าไปดู อันดับ”ที่สุด”ในส่วนของเพลงและก็เลือกข้อมูลบางอย่างที่ ตัวเองชอบมาฝาก คิดเสียว่ามาเล่าให้ฟังสนุก ๆ ครับ เพลง คริสต์มาสที่ขายมากที่สุดในโลกคือเพลง”White Christmas” ขับร้องโดยบิง ครอสบี้(Bing Crosby)บันทึกเสียง ในปี 2485 ตั้งแต่ปีนั้นเป็นต้นมาเพลงนี้จะถูกนำ�ออกมาผลิต ออกจำ�หน่ายทุกปี จนถึงวันนี้ขายไปแล้วกว่า 100 ล้านก็อปปี้ “ที่สุด” ต่อมาก็คือเพลงที่ใช้เวลาน้อยที่สุดในการบันทึกเสียง จนออกจำ�หน่าย นั่นคือบันทึกการแสดงสดในเพลง “Sgt. Peper’s Lonely Hearts Club Band” โดยพอล แม็คคาร์ ทนีและวงU2 บนเวทีคอนเสิร์ต Live 8 เมื่อ 2 กรกฎาคม
2548 ที่ผ่านมา โดยใช้เวลาทั้งหมด 44 นาที 39 วินาที ตั้งแต่ เริ่มบันทึกเสียงจนกระทั่งให้บริการดาวน์โหลดเพื่อจำ�หน่าย ทางอินเตอร์เน็ต “ที่สุด”ต่อมาคือฟรีคอนเสิร์ตที่มีคนดูมาก ที่สุดเป็น คอนเสิร์ตของร็อด สจวต แสดงที่ชายหาด โค ปาคาบานา ในเมืองริโอ เดอจาเนโร ประเทศบราซิล เย็นย่ำ� ของวันขึ้นปีใหม่ในปี 2537 คนดูทั้งสิ้นในวันนั้น 3.5 ล้านคน เพลงที่ถูกนำ�ไปบันทึกเสียงในเวอร์ชั่นต่าง ๆ มากที่สุดคือ เพลง Yesterday ซึ่งแต่งโดยพอล แม็คคาร์ทนี และ จอห์น เลนนอน นับตั้งแต่ปี 2508 ซึ่งเพลงได้ถูกแต่งขึ้นมาจนถึงปี 2529 เพลงนี้ได้ถูกบันทึกเสียงโดยนักร้องต่าง ๆ ไปแล้วกว่า 1,600 เวอร์ชั่น ข้อมูลสุดท้ายที่เอามาฝากวันนี้ก็คือ อัลบั้ม ที่มีชื่อยา ที่สุดในโลก ยาวถึง 90 คำ� เป็นอัลบั้มของนักร้อง สาวชา นิวยอร์คเกอร์ Fiona Apple อัลบั้มนี้วางจำ�หน่าย เมื่อ 9 พ.ย. 2542 อัลบั้มนี้มีชื่อว่า When The Pawn Hits The Conflicts He Thinks Like A King What He Knows Throws The Blows When He Goes To The Fight And He’ll Win The Whole Thing Fore He Enters The Ring There’s No Baby To Batter When Your Mind is Your Might So When You Go Solo. You Hold Your Own Hand And Remember That Depth Is The Greatest Of Heights And If You Know Where You Stand. Then You’ll Know Where To Land And If You Fall It Won’t Matter, Cuz You Know That You’re Right อย่ า งไรก็ ต ามการวั ด ”ที่ สุ ด ”ก็ มี ข้ อ จำ � กั ด เช่ น กัน เพราะเรายังต้องใช้ตัวเลขเป็นตัวชี้ชัด แล้วถ้ากรณีที่ไม่ สามารถวัดด้วยตัวเลข เราจะรู้ได้ถึงความเป็น”ที่สุด”ในเรื่อง บางเรื่องได้ล่ะหรือ เช่นผมลองถามตัวเองว่า คนดีที่สุด ในโลกคือใคร หรือ เพลงที่เศร้าที่สุดในโลกนี้คือเพลงอะไร แน่นอนผมไม่สามารถหาคำ�ตอบได้ในกินเนส เพราะเรื่องนี้ ต้องใช้อารมณ์และความรู้สึกเป็นตัวชี้ แต่หลังจากพยายามที่ จะหาคำ�ตอบให้ได้ ผมก็เจอเพลงๆ หนึ่ง จะนำ�มาเล่าคราวหน้า นะครับว่าเพลง ๆ นั้นคือเพลงอะไร
“โตขึ้นอยากเป็นอะไร” คงไม่มีใครที่ไม่เคยโดนยิงคำ�ถามนี้ในวัยเด็ก คุณจำ�ได้หรือเปล่าว่าในวันนั้นคำ�ตอบสำ�หรับคำ�ถามนี้ คุณตอบไปว่าอย่างไร ในวัยเด็กคุณฝันอยากเป็นอะไร ครู พยาบาล นักบิน ดารา นักร้อง นายก ชาวสวน คนขับแท็กซี่ ไอ้มดแดง อุลตร้าแมน หรือซูเปอร์แมน ความฝันในวัยเด็ก บริสุทธิ์ ใสสะอาด คิดอย่างไร ชอบอย่างไรในตอนนั้นก็มักอยากจะเป็นอย่างนั้น แต่ สำ�หรับผู้ปกครองเจ้าของคำ�ถาม คำ�ตอบคงแตกต่างออกไป คงไม่มีผู้ปกครองท่านใดที่อยากให้ลูกเป็นนักดนตรี หรืออยากให้ลูก เป็นคนขับแท็กซี่ แม้แต่ตัวเราเองเมื่อโตขึ้นก็คงไม่มีใครอยากขับแท็กซี่ แต่นักดนตรีบางทีก็ไม่แน่ เพราะวันนี้ก็ยอมรับกันมากขึ้นกว่า สมัยก่อน “เรียนจบแล้วอยากทำ�งานอะไร” คือคำ�ถามที่ตามมา ต่อจาก”โตขึ้นอยากเป็นอะไร” ในวัยที่ใช้ชีวิตที่มหาวิทยาลัย อันถือ เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต ทุกคนมีความฝัน ซึ่งอาจแบ่งออกได้เป็นสองแบบคือ เพ้อฝัน และ ใฝ่ฝัน พวกเพ้อฝันอาจจะอยากเป็น อะไรโดยที่ไม่เคยได้สำ�รวจตัวเอง หรือแม้กระทั่งอาจจะไม่รู้จักตัวเองเลยเสียด้วยซ้ำ� หลายคนไม่รู้ตัวเองว่าชอบอะไร ถนัดอะไร เก่ง อะไร เมื่อไม่รู้จักตัวเอง ก็ไม่สามารถตั้ง”เป้า” ให้ชีวิต ซึ่งส่งผลต่อเนื่องมาถึงการไม่รู้ว่าจะต้องเตรียมตัวหรือทำ�อย่างไรเพื่อให้ฝัน นั้นเป็นจริง ฝันนั้นจึงเป็นได้เพียงแค่”เพ้อ” แม้จะอยาก ”ใฝ่” แต่ก็ไปไม่เป็น จบมาก็ยืนงงต่อแถวกันยาวเหยียดท่ามกลางทะเลฝุ่น บางคนอาจจะหลงอยู่ในทะเลฝุ่นนั้นไปนาน นานจนบางครั้งชีวิตเริ่มต้นอะไรไม่ได้เลย ความฝันเป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องมีวิธีจัดการกับมัน แล้วผันให้เป็นความจริงให้ได้ ความชอบ ความถนัด เป็นเรื่องสำ�คัญที่จำ�เป็นจะต้องหาให้พบเสียก่อน การกำ�หนดเป้าหมายให้ชีวิตโดย มองเพียงปัจจัยภายนอก เช่นงานนั้นมันเท่ งานนั้นมันอิสระ งานนั้นเงินดี มันก็เป็นเรื่องที่ควรคิด แต่ที่สำ�คัญกว่าคือการตั้งเป้าโดย สำ�รวจเข้าไปในตัวของเราเอง โฟกัสให้เจอว่าตัวเราเองถนัดและเหมาะสมกับงานแบบไหนมากที่สุด เมื่อพบแล้วก็ถึงเวลาที่จะหาวิธีที่จะ ”ใฝ่” เพื่อจะไปให้ถึง”ฝัน” นั้น เพลง American Woman เขียนโดยแรนดี้ บาคแมน (Randy Bachman) แห่งคณะเกสต์ฮู (Guess Who) บันทึกเสียงใน ปี 1970 สังกัด RCA Records ออกจำ�หน่ายครั้งแรกในวันวาเลนไทน์ในปีนั้น ติดอันดับ1ในชาร์ต Billboard’s Hit 100 ติดต่อกัน 3 สัปดาห์ และวงก็ได้รับแผ่นเสียงทองคำ�ในที่สุด เลนนี่ คราวิซ (Lenny Kravitz) ได้นำ�เพลง ๆ นี้มาบันทึกเสียงอีกครั้ง และคว้ารางวัล แกรมมีอะวอร์ด นักร้องชายประเภทเพลงร็อกยอดเยี่ยมในปี 1999 เกสต์ ฮู เป็นวงดนตรีที่มีชื่อเสียงระดับโลกในขณะที่สมาชิกมีอายุ ยังน้อย ทั้งหมดชื่นชมและหลงใหลในมนต์เสน่ห์ของดนตรีตั้งแต่ยังอยู่ในวัยเรียน แรนดี้ มือกีตาร์และผู้แต่งเพลง ๆ นี้เล่าถึงช่วงสมัย ที่เขายังเรียนอยู่ให้เราฟังว่า “ ผู้อำ�นวยการโรงเรียนของผม เขาบอกให้ผมลืมร็อก แอนด์ โรล บ้า ๆ นั่นเสีย ผมควรจะตั้งใจเรียน ให้จบแล้วหางานที่มันจริง ๆ จัง ๆ ทำ� 30 ปีให้หลังเราได้รับเกียรติและได้รับรางวัล Walk of Fame ในโตรอนโต และได้รับการสดุดี เชิดชูเกียรติจากมหาวิทยาลัย Manitoba ในงานวันนั้น มีคน ๆ หนึ่งนั่งอยู่ที่แถวหน้าของหอประชุม ใช่ ผู้อำ�นวยการโรงเรียนของผม นั่นเอง เขาแวะมาหาผมที่หลังเวที แสดงความยินดี และกล่าวกับผมว่า “ถ้าวันนั้น เธอเชื่อฟังครู เธอก็คงจะไม่มีวันนี้ สินะ” ผมเชื่อว่า ตัวเองเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ทางด้านดนตรี ดังนั้นหากมีใครถามผมว่า “คุณจะเป็นอะไร หากคุณไม่ได้เป็นนักดนตรีร็อกที่ประสบ ความสำ�เร็จ” ผมจะตอบว่า “ผมก็จะเป็นนักดนตรีร็อกที่ไม่ประสบความสำ�เร็จน่ะสิ” แล้วคุณล่ะ ถ้าวันนี้คุณไม่ได้เป็นสิ่งที่คุณเป็นอยู่ คิดว่าคุณจะเป็นอะไร
“หากเราสามารถนำ�เอาเสียงหัวเราะมาสังเคราะห์ เป็นยาได้ โลกจะมียาที่สามารถรักษาโรคได้ทุกชนิด ตั้งแต่ โรคซึมเศร้าไปจนถึงโรคหัวใจเลยทีเดียว” การหัวเราะช่วย สร้างภูมิคุ้มกันต่าง ๆ ให้กับร่างกาย ช่วยเพิ่มเม็ดเลือด ขาวซึ่งมีหน้าที่จัดการกับสิ่งแปลกปลอมที่แอบซ่อนเข้ามาใน ร่างกาย ดังนั้นคนที่มีอารมณ์ขัน คนที่ได้หัวเราะบ่อย ๆ จึง ไม่ค่อยเจ็บป่วย ร่างกายแข็งแรง หัวใจสดชื่น ที่สำ�คัญช่วย ชะลอความแก่ให้อีกซะด้วย ในอเมริกา แคนาดา อังกฤษและ อีกหลาย ๆ ประเทศเริ่มทดลองที่จะรักษาผู้ป่วยด้วยการ หัวเราะแทนการรักษาด้วยยา แม้ว่าเสียงหัวเราะจะมีประโยชน์ แต่ถ้ามากเกินไปก็อาจจะเป็นอันตรายได้ ในยุคกลางเคยใช้วิธี จั๊กกะจี้เป็นเครื่องมือในการทรมานนักโทษมาก่อน จำ�ได้ว่า เด็กๆ นั้นครองความเป็นจ้าวแห่งเสียงหัวเราะ จากนั้นโอกาส หัวเราะก็จะน้อยลงเรื่อย ๆ เมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ในแต่ละวัน แทบจะไม่มีเสียงหัวเราะออกมาเลย นั่นอาจจะเป็นเพราะหน้าที่ การงานที่ต้องรับผิดชอบ ตัวเลขที่ต้องดูแล ยอดขายที่ต้อง ผลักดัน ชีวิตต้องเดินไปในสังคมที่อุดมไปด้วยการแข่งขัน ทุกอย่างรีบไปหมด กลับถึงบ้านก็หลับเป็นตาย น่าเสียดาย ที่เราโตขึ้นมาในโลกที่จริงจังเกินไป โอกาสหัวเราะมีไม่มาก ในแต่ละวัน มันคงจะดีขึ้นถ้าเราลองหัดกลับไปทำ�ตัวเป็นเด็ก บ้าง สนุกกับชีวิตให้มากกว่าที่เป็นอยู่ แม้ในเวลาสั้น ๆ มันก็ น่าจะทำ�ให้ดีขึ้นบ้าง หยุดเครียด หยุดจริงจังกับชีวิต ปล่อย วางอย่างน้อยวันละหนึ่งครั้ง แล้วเพิ่มอารมณ์ขันให้กับตัว เองวันละนิด ลองสังเกตเพื่อนๆ หรือคนใกล้ตัวดู คนที่มี อารมณ์ขันมักจะเป็นคนที่มีเสน่ห์ ใครๆ ก็หลงใหลและอยาก ใกล้ชิดอยากพูดคุย ต่อให้เจ้าคารมก็แพ้อารมณ์ขัน ยิ่งไป กว่านั้นคนที่ร่ำ�รวยอารมณ์ขันมักจะมีความคิดสร้างสรรค์ มากกว่าคนที่จริงจัง พรุ่งนี้หลังจบการประชุมลองจับกลุ่ม แลกเปลี่ยนเล่าเรื่องขำ�ขันสู่กันฟังในหมู่เพื่อนร่วมงาน อาจ จะเป็นเรื่องขำ�ขันน่ารักๆ หรือเรื่องทะลึ่ง ทะเล้น ไปจนถึง ลามกก็คงจะช่วยให้กระชุ่มกระชวยได้บ้าง พูดถึงอารมณ์ขันแบบทะลึ่งทะเล้น เบนนี่ ฮิลล์ โชว์ รายการทีวีในช่วงปี 70-80 เป็นรายการตลกที่โด่งดัง
ไปกว่า100ประเทศทั่วโลก ผมยังจำ�ได้ถึงเสียงหัวเราะของ ตัวเองและพี่ชายในวันที่เรานั่งดูเบนนี่ ฮิลล์ บางครั้งหัวเราะ กันจนน้ำ�หูน้ำ�ตาไหล องค์ประกอบต่าง ๆ ในรายการ เรียก เสียงหัวเราะได้อย่างไม่หยุดหย่อน มุขทะลึ่ง ๆ และใบหน้าที่ ทะเล้น ดูกรุ่มกริ่ม ของเบนนี่นั้น มันช่างกวนเบื้องล่างแต่ก็ น่ารักน่าชังในเวลาเดียวกัน องค์ประกอบทุกอย่างที่เบนนี่นำ� มาใส่ในรายการมันเรียกเสียงหัวเราะได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งตัว ละครจนถึงเพลงประกอบ ซึ่งเพลง “Ernie(The Fastest Milk cart In The West)” ของเขาเคยขึ้นไปอยู่ถึงอันดับ ต้น ๆ ในชาร์ตของอังกฤษในปี 1971 อีกอย่างที่ผมชอบ มากและคอยดูอยู่ทุกตอนก็คือเหล่าบรรดานางฟ้าของเบนนี่ ในชุดน้อยชิ้นวิ่งหนีการไล่ตามของเฒ่าหัวงู(บางทีก็หัวล้าน) ด้วยสปีดที่เร็วผิดปกติซึ่งเข้ากับดนตรีที่ให้ความรู้สึกสัปดน นิด ๆ ได้เป็นอย่างดี ถือเป็นช่วงทีเด็ดของรายการ ทำ�ให้ รายการโด่งดังและจดจำ�ได้อย่างไม่มีวันลืม จะว่าลามก มันก็ ไม่ใช่ เอาเป็นว่าข้อหาหนักสุดก็น่าจะแค่ทะลึ่งถึงสัปดน เบนนี่ ฮิลล์ โชว์ ถือกำ�เนิดขึ้นในปี 1955 จากนั้นมาทั่วโลกก็คุ้นและ ขำ�กับตลก”หน้าเป็น” คนนี้ เบนนี่ เสียชีวิตโดยลำ�พังภายในห้องพัก ด้วย โรคหัวใจล้มเหลว ในเดือนเมษายน ปี 1992 ด้วยวัย 68 ปี เหลือทิ้งไว้เพียงทรัพย์สินมูลค่า 10 ล้านปอนด์ ตลอดชีวิต ไม่เคยมีรถยนต์ส่วนตัวแม้สักคัน และไม่เคยมีภรรยาแม้สัก คน เข้าใจว่าเบนนี่คงใช้ชีวิตแบบคุ้มที่สุด ความจริงความดัง ระดับเขาน่าจะมีเงินสะสมมากกว่านั้น แต่เขาคงไม่ได้สนใจ ไม่ ได้ใช้ชีวิตไปตามขนบความคิดของสังคม เขาคงมีความสุข กับการสร้างเสียงหัวเราะ เมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นคนแบบนี้ เขา จึงไม่ยอมแต่งงาน เพราะการที่จะดำ�เนินชีวิตในแบบที่คนส่วน ใหญ่ไม่ทำ� การเดินคนเดียวคือทางออก เมื่อชีวิตหยุดทุก อย่างก็จบ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ไม่ต้องมีคนมาโศกเศร้า ซึ่งเบนนี่อาจจะไม่ต้องการ สิ่งที่เขาต้องการอาจเป็นเพียงแค่ เสียงหัวเราะที่ดังไปทั้งโลกเท่านั้น และมันก็เป็นเช่นนั้น แม้ใน วันที่เขาได้หยุดหัวเราะไปแล้ว
วันหยุดเป็นวันที่ใครหลายๆ คนไม่ชอบที่จะออกไปข้างนอก อาจจะเป็นเพราะเบื่อหน่ายกับการจราจร เหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางตลอดสัปดาห์ เมื่อวันหยุดมาถึงการนั่งๆ นอนๆ อยู่กับบ้านจึงเป็นวิธีการพักผ่อนที่ดูจะเหมาะสมที่สุดในยุคนี้ ทีวี จึงเป็นอุปกรณ์เพื่อการพักผ่อนในวันหยุดที่สุดประหยัด เอนหลัง สบายๆ ในมือถือรีโมท เลือกรายการโปรดที่ชอบ รายการนี้ไม่ชอบก็ กดไปช่องอื่น ช่องนี้น่าเบื่อก็เลื่อนไปอีกช่อง มีถึง 6ช่องให้เลือก บ้าน ไหนมีฐานะขึ้นมาหน่อยและอยากตามกระแสเมืองนอกให้ทันก็ยอมจ่าย รายเดือนกับเคเบิ้ลทีวี เพิ่มมาได้อีกยี่สิบสามสิบช่อง เลือกดูกันได้ตามรสนิยม วันอาทิตย์ที่ผ่านมา เมื่อไม่มีความจำ�เป็นต้องออกไปไหน ผมใช้เวลาพักผ่อน นอนอยู่กับบ้าน เปิดทีวีดูไปเรื่อย เปลี่ยนช่องไปเรื่อย และแน่นอนครับที่บ้านผมมีเคเบิ้ลเพราะเบื่อรายการจากช่อง ปกติ จึงยอมควักสตางค์เพื่อบางอย่างที่แตกต่างออกไป แต่ในวันนั้น มันโชคร้ายหรืออย่างไรไม่ทราบได้ ผมกดรีโมทเปลี่ยนช่องไป จนครบทุกช่อง ก็ยังไม่เจออะไรที่ตัวเองอยากดูสักที ช่องที่เป็นสาระก็เป็นเรื่องที่ผมรู้สึกว่าหนักไปสำ�หรับวันหยุดสบาย ๆ วันนี้ ส่วน ช่องบันเทิงก็เป็นบันเทิงเชิงการตลาดจนดูคล้าย ๆ กัน นั่นเป็นเพราะมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกันหมด สุดท้ายผมไปหยุดพักอยู่ที่ช่อง กีฬา เป็นเทปบันทึกการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ของคืนวาน(เสาร์) ดูอยู่สักพักก็เบื่อเพราะผมรู้ผลของคู่นี้แล้ว ทีนี้จะเอาอย่างไรดี วันหยุดทั้งทีไม่มีอะไรให้ดูเลยหรือนี่ สุดท้ายก็ต้องไปพึ่ง ดีวีดีที่ซื้อไว้แต่ยังไม่มีเวลาดู ไล่เรียงดูชื่อเรื่องก็ไปสะดุดกับเรื่อง kill bill เพิ่ง จะนึกขึ้นได้ว่าตอนซื้อมานั้นอยากดูมาก แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้แกะพลาสติกเลย อย่างน้อยวันหยุดวันนี้ผมมีอะไรทำ�แล้ว จากนั้นผมก็ได้ ดูการตามล่าตามฆ่าบิล (แสดงโดยเดวิด คาราดีน) แล้วนายบิลคนนี้แหละที่ทำ�ให้ผมหวนรำ�ลึกถึงหนังทีวีที่ผมเคยติดมาก ๆ สมัยวัยรุ่น ซึ่งมีนายบิลคนนี้แสดงนำ� กังฟู (Kung Fu)เป็นหนังทีวีที่สร้างขึ้นในปี 1972 โดยบริษัทวอร์เนอร์ บราเดอร์ เทเลวิชั่น เดวิด คาราดีน รับบทเป็น ไคว ชาง เคน เด็กกำ�พร้าอเมริกันที่ได้เข้าไปศึกษาวิชากังฟูที่วัดเส้าหลินตั้งแต่เด็ก ๆ จากนั้นต้องหลบหนีทางการจีนออกมา เพราะไปฆ่าหลานชายของจักพรรดิ์จีนเข้าให้แม้จะโดยอุบัติเหตุ เคนต้องหลบหนีสู่อเมริกาเพื่อหนีการตามล่าของทางการ และถือเป็นการ เดินทางเพื่อตามหาพี่ชายไปด้วย การเดินทางเข้าสู่ดินแดนตะวันตกทำ�ให้เขาต้องพบเจอกับพวกเหล่าร้าย เคนมีเพียงวิชากังฟูที่ติดตัว มา เขาใช้เพียงมือที่กร้านกับหัวใจที่แกร่งต่อสู้ เมื่ออยู่ท่ามกลางควันปืนแห่งทุ่งตะวันตก เรื่องราวดำ�เนินไปอย่างเรียบๆ แต่มันทรงพลัง อย่างยิ่ง เต็มไปด้วยปรัชญาและวิถีแห่งตะวันออกซึ่งในเวลานั้น ผมถือว่าผู้เขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ได้หยิบประเด็นความแตกต่างของ วิถีตะวันตกและตะวันออก มาพบกันและสร้างสรรค์งานออกมาได้อย่างน่าประทับใจ ที่สำ�คัญมันสอดแทรกปรัชญาการดำ�เนินชีวิตไว้ ได้อย่างแนบเนียน จะดูเอาสาระก็ได้ จะดูเอาบันเทิงก็มี ผิดกับหนังหรือละครซึ่งออกอากาศทางทีวีทุกวันนี้ที่อาจจะขาดทัศนคติหรือมุม ความคิดที่จะเอื้อประโยชน์ต่อการดำ�เนินชีวิตในสังคมโดยมุ่งไปที่ผลกำ�ไรเป็นหลักเพียงอย่างเดียว ฝรั่งเรียนกังฟูดูเป็นเรื่องแปลกมาก สำ�หรับผมและน่าจะสำ�หรับหลาย ๆ คนในวันนั้น เมื่อหนังออกอากาศ เดวิด คาราดีนก็ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล เอมมีในฐานะนัก แสดงนำ�ยอดเยี่ยม แม้ว่า บรู๊ซ ลี จะเป็นคนแรกที่ได้รับการหยิบยกขึ้นมาเพื่อให้รับบท ไคว เชง เคน แต่เมื่อที่ประชุมได้พิจารณาและลง มติทุกคนเห็นว่าผู้ชมอเมริกาอาจจะยังไม่พร้อมในการยอมรับดารานำ�แสดงที่เป็นคนจีน แม้ว่า บรู๊ซ ลี จะเคยรับบท “เคโต้” ผู้ช่วยของ หน้ากากแตนในทีวีซีรีส์ เรื่อง The Green Hornet (หน้ากากแตนอาละวาด) ซึ่งออกอากาศไปก่อนหน้านี้ในปี 1966 แม้ว่าเรทติ้งของ กังฟู จะอยู่ในความนิยมอย่างสูงต่อเนื่องมาจนถึงซีซันที่ 3 แต่วอร์เนอร์ก็ต้องปล่อยให้จบชุดลงไป นั่นเป็นเพราะพระเอกของเราขอยุติ การแสดง ด้วยเหตุผลที่ตนได้รับบาดเจ็บตลอดเวลาในขณะถ่ายทำ� การหยุดตัวเองแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าประชาชนกำ�ลังต้อนรับเขาอย่าง มากมาย ต้องเรียกว่าพระเอกกังฟูนั้น “รู้จักพอ” ไม่รอให้เรทติ้งตกซะก่อน “ผมไม่ใช่ฮีโร่ ผมมันก็แค่ผู้ชายธรรมดา ๆ คนหนึ่ง” ไคว เชง เคน กล่าวทิ้งท้าย
“บ้านของคุณอยู่ที่ไหน” “สำ�หรับตอนนี้ บ้านของผมก็คือ เรือไททานิคหลังจากนั้น ก็แล้วแต่พระเจ้า ผมมาอยู่บนเรือลำ�นี้ ได้เพราะเล่นไพ่ชนะ ช่างโชคดีจริงๆ ชีวิตคือเกมส์แห่งโชค” “คุณพอใจที่จะมีชีวิตอยู่โดยไร้อนาคตงั้นหรือ” “...ใช่ครับ , ผมมีสิ่งที่ผม ต้องการอยู่กับตัวผมมีอากาศสำ�หรับหายใจ มีกระดาษเปล่าสำ�หรับวาดภาพ ผมรักที่จะตื่นขึ้นมาโดยไม่รู้ว่าจะต้องพบเจอกับอะไร จะ กินอะไร จะนอนที่ไหน คืนก่อนผมยังนอนอยู่ใต้สะพาน คืนนี้ได้มานอนบนเรือที่ยิ่งใหญ่ ดื่มเหล้ากับพวกผู้ดี ชีวิตคือของขวัญ อย่า เสียเวลาเปล่าๆ เพราะเราไม่รู้ว่าไพ่ในมือจะขึ้นมาแบบไหนต้องพร้อมเผชิญกับชีวิตให้ได้ทุกรูปแบบ......ทำ�แต่ละวันให้มีค่าที่สุด” บทสนทนาบนโต๊ะอาหารระหว่างพวกผู้ดีกับแจ็ค ดอร์สัน หนุ่มพเนจรซึ่งโชคดีได้ตั๋วขึ้นเรือมาจากการเล่นไพ่ ในค่ำ�คืน สุดท้าย 14เมษายน 2455 ก่อนที่เรือไททานิคจะจมลงสู่ก้นมหาสมุทรแอตแลนติก ไม่ว่าแจ็ค ดอร์สันจะมีตัวตนจริงหรือไม่ หรือเขา เป็นแค่เพียงบุคคลในจินตนาการที่เจมส์ คาเมรอนผู้เขียนบทภาพยนตร์สร้างขึ้นมา หากแต่ว่าคนแบบแจ็คนั้นมีตัวจริงแน่นอนบน โลกใบนี้ ผมดูภาพยนตร์เรื่องนี้นับครั้งไม่ถ้วน ทุกครั้งที่ดูผมรู้สึกซาบซึ้งและทุกครั้งจะรู้สึกอินไปกับเหตุการณ์ แม้เรือลำ�นี้จะจมลง ไปนับถึงวันนี้ก็เกือบจะ 100ปีแล้วก็ตาม ต้องยอมรับว่าผมมาหลงเสน่ห์เรือลำ�นี้เข้าก็ตอนที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉาย จากนั้นก็เริ่ม ออกสำ�รวจทุกอย่างเกี่ยวกับเรือลำ�นี้ เมื่อเริ่มต้นสำ�รวจผมอดคิดไม่ได้ว่าตัวเองทำ�ไปเพราะอะไร รู้แต่เพียงว่าตัวเองรู้สึกผูกพัน อย่างมาก สิ่งที่ปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ แม้จะรู้ว่าเป็นการเขียนบทขึ้นมา แต่ทุกครั้งที่หยิบดีวีดีขึ้นมาดู เหมือนตัวเองได้หลุดเข้าไปอยู่ ในเหตุการณ์คืนนั้น แล้วก็คิดต่อเอาเองว่าไม่แน่ มันอาจจะมีเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นจริง ๆ ก็ได้ เพราะตั้งแต่ไททานิคจมลง นอกจาก จะทิ้งเรื่องราวและข้อมูลส่วนหนึ่งให้คนรุ่นหลังสามารถติดตามความจริงออกมาได้ แต่ก็ยังมีอีกส่วนหนึ่งซึ่งยังเป็นความลับที่ยังไม่ สามารถชี้ชัดได้ ช่องว่างตรงนี้จึงเป็นโอกาสให้นักจินตนาการได้วาดฝันใส่ลงไป ผมเองยังเคยคิดเอาเองเล่น ๆ เลยว่า เรือยักษ์ลำ� แรกของโลกในวันนั้นกับการเดินทางครั้งแรกของเธอทำ�ไมไม่มีคนไทยอยู่ในเรือลำ�นั้นเลยเชียวหรือ ผมอยากให้มีคนไทยอยากให้มี ตัวแทนคนไทยสักคนได้มีโอกาสร่วมในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งนั้น ผมพยายามสืบเสาะหารายชื่อผู้รอดตาย ผู้สูญหายที่อาจจะ เป็นคนไทย แต่ก็ไม่พบ ครั้นจะฟันธงว่าไม่มี ก็ยังไม่ยุติธรรมเพราะมีร่างที่ไม่สามารถระบุได้ถึงที่มาที่ไปอยู่อีกมาก และร่างที่สูญหาย ไปกลางทะเลอีก อย่างไรก็ตามแม้การเดินทางสำ�รวจเรื่อไททานิคของผมจะไปสามารถค้นพบคนไทยในตอนนี้แต่แล้ววันหนึ่งผมก็ เจอเข้ากับใครบางคนที่เกี่ยวข้องกับเมืองไทยและอยู่บนเรือไททานิคในคืนนั้น ผมเจอผู้รอดชีวิตสามคนพ่อแม่ลูก ครอบครัวคลาด์ เวลล์ (Caldwell) Mr. Albert F. Caldwell ,Mrs.Sylvia Mae Cladwell และบุตรชาย Alden Gates Caldwell ซึ่งถือกำ�เนิด ในกรุงเทพฯเวลานั้นมีอายุเพียง 1 ปี อัลเบิร์ตและซิลเวียเป็นครูทั้งคู่สอนอยู่ที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ทั้งสามเดินทาง กลับบ้านเกิดในเดือนเมษายน 2455 สำ�หรับผมเด็กชายอัลเด็น คลาด์เวลล์ น่าจะนับว่าเป็นคนไทยได้หรือเปล่า เพราะเกิดในแผ่นดิน ไทย เสียดายที่ว่าในประวัติซึ่งนายอัลเบิร์ต คลาด์เวลล์เขียนเล่าไว้ภายหลังว่า ตอนที่ลูกชายเขาเกิด กงสุลอเมริกันยังไม่สามารถจด ทะเบียนการเกิดให้กับลูกชายได้ อัลเบิร์ตยังเขียนเล่าต่อไปอีกว่าพวกเขาเดินทางออกจากประเทศไทยและในขณะอยู่ที่ยุโรป ได้เห็น ป้ายโฆษณาของบริษัทไวท์สตาร์ เกี่ยวกับการเดินทางเที่ยวแรกของเรือไททานิค เรือที่ใหญ่ยักษ์ที่สุดในวันนั้น เรื่อที่ได้ชื่อว่าไม่มี วันจม เขาเล่าว่า เขาเห็นโฆษณาที่โรงแรมแต่ไม่สามารถที่จะซื้อตั๋วได้ เขาจะต้องเดินทางไปยังกรุงลอนดอนเพื่อซื้อตั๋ว แต่ตั๋วก็เต็ม หมด เขาต้องรอว่าจะมีใครยกเลิกตั๋วเดินทางเที่ยวนี้บ้างหรือไม่ ในที่สุดพวกเขาได้ตั๋วชั้น 2และขึ้นเรือที่ท่าเรือเซาท์แธมป์ตันจนได้ โดยไม่รู้หรือไม่จำ�เป็นต้องรู้ด้วยว่าไพ่ในมือของเขานั้นจะเป็นอย่างไร 14 เม.ย. 2455 เวลาประมาณ 23.40น. เรือไททานิคชนภูเขาน้ำ�แข็ง 15 เม.ย.2455 เวลาประมาณ 2.20น. ใช้เวลาประมาณ 2ชั่วโมง40นาที ไททานิคจมลงสู่ก้นทะเล แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วง 160นาทีนั้น ยังคงมีเสน่ห์ชวนค้นหาตลอดมา จนถึงวันนี้ก็ 93ปี ยังมีเรื่องอีกมากมายที่เกิดขึ้นหลัง จากที่เรือจมลง วันหลังมีโอกาสจะนำ�มาเล่าต่อ ขออนุญาตปิดคอลัมน์นี้ด้วยบทพูดท้ายสุดของภาพยนตร์ไททานิค ซึ่งกล่าวโดย หัวหน้านักสำ�รวจ “3 ปีที่ผมเฝ้าคิดถึงแต่ไททานิค แต่ไม่เคยเข้าใจเลย ไม่เคยเข้าถึงอย่างถ่องแท้เลย”
คาราโอเกะ ผมถือเป็นเครื่องมือชิ้นหนึ่งที่จะชี้ชัดและวัดความดังและความฮิตของเพลง ไม่ว่าเพลงนั้นจะเป็นเพลงเก่า หรือเพลงใหม่หากถูกใครนำ�มาขับร้องต้องนับว่าเพลง ๆ นั้นก็เป็นเพลงฮิต อย่างน้อยก็สำ�หรับคน ๆ นั้น ทุกวันนี้หากอยากรู้ว่า เพลงไหนดัง ผมก็จะเข้าไปฟังคนร้องคาราโอเกะ ก่อนหน้านั้นอาจจะวัดไม่ได้ทันเวลานักเพราะแผ่นคาราโอเกะมักจะออกมาช้าล้าหลัง กว่าอัลบั้ม กว่าจะได้ร้องคาราโอเกะก็ต้องอย่างน้อยสองถึงสามเดือน แต่สมัยนี้ค่ายเพลงเขาเรียกว่าออกแผ่นคาราโอเกะมา พร้อมๆ กันกับอัลบั้มเลยทีเดียวเพลงฮิตติดปากที่เราได้ฟังได้ยินร้องกันทั่วบ้านทั่วเมือง ทราบไหมครับว่ากว่าจะออกมาเป็นเพลง ฟังเพราะๆ ไม่เกินสี่นาทีนี่ เขาทำ�งานกันเป็นเดือนๆ ทีเดียว แล้วขั้นตอนในการทำ�ก็ไม่ใช่ง่าย ใช้ทีมงานเรียกว่าระดับมืออาชีพ ยิ่ง ศิลปินตัวใหญ่ ยิ่งทำ�ยาก คิดมากเพิ่มเป็นเท่าตัว ขั้นตอนในการผลิตเพลงให้ศิลปินสักคน หากเราตัดขั้นตอนในการสืบเสาะ ค้นหา ศิลปินซึ่งก็เป็นขั้นตอนที่ยากเย็นและต้องใช้ความสามารถและสายตาในการค้นหา หากเลือกมาถูกมันก็ทำ�ให้งานขั้นตอนต่อ ๆ ไปง่าย ขึ้น สมมติเราได้ศิลปินมาแล้ว ทีมงานแต่งเพลงก็จะมานั่งประชุมหาแนวทางของเพลงว่านักร้องคนที่เลือกมานี้ มีบุคลิกและความ ชอบในตัวเพลงประเภทใด เพลงป็อป เพลงร็อค ป็อปร็อค, แดนซ์ ,ฮิพฮอพ หรือเพลงฟังสบาย ๆ การวางแนวเพลงตรงนี้อาจ จะไม่ยากเท่าไรนักเพราะโดยปกติแล้วก็สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่านายคนนี้หรือน้องคนนี้เหมาะที่จะร้องเพลงแนวไหน จากนั้นโป รดิวส์เซอร์ซึ่งเป็นคนที่ใหญ่ที่สุดในขั้นตอนแต่งเพลงก็จะสั่งการให้ทีมงานไปแต่งเพลงกันมาโดยอยู่บนแนวทางของเพลงที่เลือก กันไว้แล้ว โดยทีมดนตรีก็จะแยกย้ายไปแต่งทำ�นองมาก่อน จากนั้นก็จะนำ�มาเข้าที่ประชุมเพื่อวิเคราะห์และวิจารณ์ว่าทำ�นองที่แต่งมา นั้นใช้ได้หรือใช้ไม่ได้ หากใช้ได้ก็จะถูกส่งผ่านไปยังทีมงานแต่งเนื้อร้อง ซึ่งจะมีหน้าที่หาคำ� หาเรื่องราว และใส่ลงไปในทำ�นองที่เลือก แล้วให้ได้อย่างลงตัว ซึ่งงานตรงนี้นับว่ายากมาก ยากกว่าเพลงฝรั่งอีก เพราะภาษาไทยเรามีเสียงวรรณยุกต์ แต่ภาษาอังกฤษนั้น ไม่มีจึงสามารถใส่คำ�ลงไปได้ในทุกเสียงโน้ต แต่ภาษาไทยทำ�ไม่ได้ เพราะอาจจะทำ�ให้ความหมายผิดไปและฟังพิกล บางคนเรียกว่าโกง โน้ต เมื่อได้เนื้อร้องมาก็เอามาเข้าที่ประชุม(อีกแล้ว) พร้อมเนื้อที่พิมพ์มาแจกจ่ายให้ครบทุกคนในที่ประชุม แล้วทุกคนก็เริ่มวิเคราะห์ และวิจารณ์(เหมือนเดิม) เมื่อพอใจก็นำ�ไปให้นักร้องเข้าห้องอัดร้องออกมา แล้วก็นำ�มาเข้าที่ประชุมเพื่อวิเคราะห์และวิจารณ์(อีก) นั่น คือขั้นตอนคร่าวๆ ในการผลิตเพลง ความยากของการทำ�งานแบบนี้ก็คือการชั่งน้ำ�หนักระหว่างความเป็นงานศิลปะหรือว่าพาณิชย์ ว่าน้ำ�หนักจะไปตกอยู่ตรงไหน และเนื่องจากการสร้างเพลงเป็นงานศิลปะ ความถูกผิดมันจึงไม่ชัดเหมือนงานบัญชีหรืองานตัวเลข ซึ่งผิดหรือถูกจะชัดเจนกว่า ดังนั้นบนเส้นทางการสร้างนักร้องและสร้างเพลงฮิตขึ้นมาจึงเต็มไปด้วยสงครามแห่งอัตตา เพราะไม่มี ใครรู้แน่ชัดว่าอะไรจะถูก อะไรจะผิด จนกว่าเพลง ๆ นั้นจะถูกออกอากาศและเดินทางไปสู่หูผู้ฟัง บางเพลงอาจจะเข้าหูซ้ายแล้วทะลุหู ขวา แต่ว่าบางเพลงอาจจะเลี้ยวลงไปอยู่ในใจคนฟังและฝังอยู่ในนั้นไปตลอดกาลก็ได้ ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า ด้วยธรรมชาติการทำ�งาน ที่ต้องอยู่บนเงื่อนไขดังกล่าวทำ�ให้มันกลายเป็นธุรกิจเพื่อความบันเทิงที่คนทำ�งานนั้นไม่ได้อยู่ในบรรยากาศที่บันเทิงเลย แต่เพลงฮิต บางครั้งมันก็มาของมันเอง หากใครที่อายุสามสิบขึ้นคงจะรู้จักเพลงฝรั่ง Kung Fu Fighting เพลงฮิตที่ดังมากในเมืองไทยในช่วง ปี 1974-75 เพลงนี้ร้องโดยคาร์ล ดักลาส (Carl Douglas) อยู่ในอันดับ 1 ของ Billboard ในเดือนธันวาคม 1974 ที่บ้านเรา ในช่วงนั้นทุกไนท์คลับจะต้องเล่นเพลงนี้ รายการวิทยุเพลงสากลเปิดกันสนั่นเมือง เกี่ยวกับที่มาของเพลงก็มีอยู่ว่า ฤดูใบไม้ผลิปี 1974 บิดดู (Biddu) โปรดิวส์เซอร์ชาวอินเดียซึ่งอาศัยอยู่ในกรุงลอนดอน กำ�ลังมองหานักร้องที่จะมาบันทึกเสียงในเพลงซึ่งแต่ง โดยลาร์ลี่ ไวส์ (Lary weiss) เจ้าของเพลงดังอย่าง Rhinestone Cowboy แล้วบิดดู ก็นึกถึงนักร้องคนหนึ่งซึ่งเคยมาร้องเพลง ประกอบหนังที่เขาเป็นคนแต่งเมื่อสองปีก่อนเขาคือ คาร์ล ดักกลาส “นายจะเอาอะไร ฉันให้ทุกอย่างเลย” บิดดูโทรไปหาคาร์ล แล้ว คาร์ลก็ตกลงที่จะมาร้องให้ เพลงของไวซ์นั้นเป็นซิงเกิ้ลที่จะบรรจุไว้ในหน้า A แล้วเพลงหน้า B ล่ะ บิดดู ถามคาร์ลว่ามีเพลงที่คาร์ล แต่งทิ้งไว้บ้างไหม คาร์ลหยิบเนื้อเพลงที่เขาแต่งไว้ขึ้นมา 4-5 เพลง หนึ่งในนั้นคือเพลง Kung Fu Fighting บิดดูชอบ แล้วก็ลงมือ แต่งทำ�นองเดี๋ยวนั้นทันที ไม่มีอะไรต้องซีเรียส ไม่มีอะไรต้องวิเคราะห์และด้วยเวลาเพียงสิบนาทีที่เหลือในสตูดิโอ เพลง Kung Fu Fighting ก็เสร็จออกมา บิดดู บอกว่า ”เราใส่เสียง hoo! Haa! เหมือนคนกำ�ลังคาราเต้กัน มันสนุกมาก” Kung Fu Fighting ขึ้น อันดันดับหนึ่งทั่วโลก ด้วยจำ�นวนแผ่นที่ขายไปได้ทั้งหมดเก้าล้านแผ่น
“ชื่อ” มีอิทธิพลต่อดวงชะตาของผู้เป็นเจ้าของ ชื่อหรือไม่ คำ�ถามนี้ไม่เคยอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของผมมา โดยตลอดสี่สิบกว่าปี จนมาระยะหลัง ๆ เมื่อเห็นเพื่อนฝูงบาง คนเริ่มเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนเสียง ก็ยังไม่ได้คิดอะไรมาก คงเป็น เพราะความวุ่นวายในชีวิตประจำ�วันส่วนตัวกระมัง เลยไม่ทัน ได้ไปคิดถึงเรื่องนอกตัว สิ่งหนึ่งที่มากระทบหยักสมองของ ผมก็ตอนที่ได้เห็นรายชื่อของเด็กนักเรียนเพื่อนร่วมชั้นของ ลูกชาย เกือบทุกคนเรียกว่าแปดสิบ เก้าสิบเปอร์เซ็นต์มีชื่อ ที่ผมอ่านแล้วรู้สึกไม่คุ้นเคยเป็นอย่างมาก การสะกด การ ออกเสียง ผมว่ามันยากกว่าชื่อสมัยที่พ่อแม่ของผมตั้งกัน ชื่อที่คุ้น ๆ เคย ๆ อย่างสมศักดิ์ สมชาย วิทยา จารุณี ว ราภรณ์ สมศรี อะไรแบบนี้ ไม่ค่อยเป็นที่นิยมตั้งกันสักเท่าไร แล้ว แต่จะเป็นช ื่อที่อ่านแล้วรู้สึกว่าเลอเลิศ ไพเราะ และมี ความหมายที่ดีเกือบจะทั้งสิ้น แต่สะกดยาก เรียกว่าเมื่อคุณ ถามเขาว่าชื่ออะไร เมื่อเขาตอบกลับมา รับรองว่าคุณจะต้อง มีคำ�ถามต่อไปว่า สะกดอย่างไรครับอย่างแน่นอน ทำ�ให้นึก ย้อนภาพกลับไปสมัยที่ผมยังทำ�งานเป็น ครีเอทีฟอยู่ที่แกรม มีก็มีพี่โปรดิวส์เซอร์คนหนึ่งแกเปลี่ยนชื่อเมื่ออายุผมเดา ๆ ว่าน่าจะประมาณเกือบ ๆ 50ปี ทั้งชื่อเล่น ชื่อจริง เหตุผลใด นั้น ก็ไม่เคยได้คุยกับแกตรง ๆ สักที แต่ที่ได้ยินมาก็เป็นเรื่อง ของดวงชะตา เหมือนว่าชื่อไม่เป็นสิริมงคลกับตัวประมาณ นั้น ทุกวันนี้มีหมอดู ซึ่งเมื่อก่อนก็ดูดวงชะตาจากวันเดือนปี เกิด เวลาตกฟากอะไรประมาณนั้น แต่ระยะหลัง(จะมีมานานแค่ ไหนอย่างไรผมก็ไม่แน่ใจ แต่ผมเพิ่งจะรู้ว่ามีเมื่อประมาณต้นปี นี้นี่เอง) มีการดูดวงชะตาจากชื่อ นามสกุล และให้บริการตั้ง ชื่อใหม่ เพื่อให้เป็นสิริมงคลต่อไปในภายภาคหน้า และก็เป็น ที่นิยมอยู่พอสมควรทีเดียว ผมจับข้อมูลทั้งหมดที่ผ่านเข้า มาในชีวิต แล้วลองคิดเอาเองว่าการที่ชื่อในยุคสมัยนี้เปลี่ยน ไปจากสมัยผม อาจจะเป็นเพราะคนเริ่มคิดถึงเรื่องนี้มากขึ้น ส่วนชื่อจะมีอิทธิพลต่อดวงชะตาของเจ้าของหรือไม่ ไม่มีใคร ฟันธงได้ แต่เชื่อไว้มันก็ไม่เห็นมีอะไรเสียหาย (ระยะหลัง ๆ นี่ นักธุรกิจดัง ๆ ก็ไปเปลี่ยนเหมือนกัน) พูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็ให้นึกถึงวงดนตรีจากเมืองแมน เชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ในยุค 70’s ชื่อวงว่า 10CC หาก
ใครที่โตมากับยุคนั้นคงพอจะเคยได้ยินชื่อของวง ๆ นี้บ้าง เพราะมีเพลงดังในบ้านเราตอนนั้นอย่างน้อย ๆ ก็ 2เพลง I’m not in love และ The Thing We Do For Love. 10CC มีสมาชิก 4 คน Graham Gouldman, Eric Stewart, Kevin Godley,และ Lol Cre’me ในประเทศอังกฤษ 10CC ถือว่าประสบความสำ�เร็จอย่างสูงเพลงของเขาอยู่ ในชาร์ตท็อปเท็นอย่างต่อเนื่องโดยตลอดในช่วงระหว่างปี 1972-1978 และสามารถขึ้นสูงสุดเป็นอันดับ1ใน UK Chart ได้ถึง 3เพลง คือ “Rubber Bullets” ในปี 1973 เพลง “I’m not in love”ในปี 1975 และ “Dearlock Holiday” ในปี 1978 ส่วนเพลง “The things we do for lo ve”ซึ่งเป็นอีกเพลงที่ฮิตในบ้านเราเวลานั้นก็ติดอันดับ 6ใน UK และอันดับ 5 ใน US นั่นเป็นเรื่อง “ผล” ของ “งาน” ของพวกเขา แต่ที่หยิบวงนี้ขึ้นมา สาเหตุก็เพราะชื่อวงครับ เคยสงสัยตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วว่ามันมีความหมายอะไรหรือ เปล่า รู้สึกแต่ว่าชื่อมันแปลกและโดดเด่นดี ตอนนั้นก็ไม่ได้ พยายามหาคำ�ตอบแต่อย่างไร ปล่อยให้ตัวเองสงสัยจน ลืม แล้ววันหนึ่งผมได้อ่านหนังสือชื่อ Losing my Virginity เขียนโดย Richard Branson ส่วนหนึ่งของเนื้อในพูด ถึงชื่อวง 10CC ว่ามีที่มาอย่างไร เมื่อได้รู้แล้วผมเองพูดไม่ ออกบอกไม่ได้เหมือนกันว่าความรู้สึกของตัวเองในขณะนั้น คืออะไร แปลกใจ ประหลาดใจ ไม่น่าเชื่อ สะใจ หรือทุกอย่าง รวมกัน ความหมายมันมาจากไอเดียที่ว่า “ทุกครั้งที่ผู้ชาย มีเพศสัมพันธ์ ปริมาณน้ำ�อสุจิที่หลั่งออกมาแต่ละครั้งจะ มีปริมาณโดยเฉลี่ย 10ซีซี” สนุกดีไหมล่ะครับ นี่คือความ หมายของชื่อ 10CC วงดนตรีที่โด่งดังวงหนึ่งในยุค 70’s ......คิดต่อเอาเองครับ
สาวคนหนึ่งเคยถามคำ�ถามที่ทำ�ให้ผมต้องใช้เวลาคิด อยูน่ านทีเดียว “ผูช้ ายส่วนใหญ่ชอบส่วนใดในตัวผูห้ ญิงมากทีส่ ดุ ” ผมบอกเธอว่า น่าจะต่างจิตต่างใจนะ ถ้าส่วนตัวผมแล้วผูห้ ญิง ต้องขาเรียวสวย ผิวสวย นอกนัน้ สำ�หรับผมยังไงก็ได้ เธอบอกว่า เท่าทีเ่ ธฮรูจ้ กั เพือ่ น ๆ หนุม่ ด้วยกันส่วนใหญ่มกั จะชอบมองก้นและ หน้าอก สองอย่างนีค้ อื ประตูหน้าทีบ่ รรดาหนุม่ ๆ จะให้ความสนใจ ด้วยคำ�ถามเดียวกัน ผมถามเธอกลับบ้าง “แล้วสาวๆ สมัยนีม้ อง ส่วนไหนของผูช้ าย” เธอบอกว่าบัน้ ท้ายนัน่ แหละทีจ่ ะสามารถดึงดูด ความสนใจให้บรรดาสาวๆ เคลิบเคลิม้ และคลัง่ ไคล้ในตัวหนุม่ ผูน้ น้ั ได้ “สาวๆ ก็ให้ความสำ�คัญกับก้นของชายหนุม่ ด้วยหรือนี”่ ถ้าไม่ ออกมาจากปากของตัวแทนสาวๆ ผมคงไม่มวี นั เชือ่ อย่างแน่นอน เธอบอกว่าค่านิยมชืน่ ชมบัน้ ท้ายชายหนุม่ เกิดขึน้ ในเมืองนอกสาว ๆ ต่างชาติจะพิจารณาก้นของชายหนุม่ ก่อนอืน่ ทีจ่ ะเข้าไปทำ�ความรูจ้ กั ว่ากันว่า แบรด พิต ในหนังเรือ่ ง ทรอย ค่านิยมดังกล่าวเริม่ ลุกลาม มาสูส่ าวไทยของเรา แต่นน่ั เป็นเพียงความคิดเห็นของตัวแทนเพียง คนเดียวของบรรดาสาวไทย ผมเคยพบบทความหนึง่ ในเว็บและ ได้เซฟเก็บไว้(ขออภัยที่ไม่ได้จำ�ที่มาของบทความแต่ขอขอบคุณ เจ้าของบทความไว้นะทีน่ ด้ี ว้ ยครับ)จะขอนำ�มาเล่าต่อดังนี้ เขาว่าก้น สามารถบอกนิสยั ใจคอของสาวผูเ้ ป็นเจ้าของได้ดงั นี้ ก้นแบบที่ 1 “ก้นกลมกลึงและผึง่ ผาย” ความกลม กลึง และ ผายใหญ่ของก้นสาว ประเภทนี้ บ่งบอกถึง ความมีเสน่ห์ ทางเพศของนางจนเต็มล้น ซึง่ คุณย่อมทราบดี ว่ายามที่ นาง เคลือ่ นไหวส่ายก้นนัน้ จะเร้าใจขนาดไหน นางผูน้ จ้ี ะมีนสิ ยั เอือ้ เฟือ้ เผือ่ แผ่ ชอบเข้าสังคม ทัง้ ยังเป็นสาวทีเ่ ปิดเผย พูดจา ตรงไปตรง มา และ สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี และด้วยความ มัน่ ใจ ในตัวเองอย่างเต็มเปีย่ ม นางจึง ชอบความท้าทาย เป็น พิเศษ แต่กเ็ บือ่ กับความ จำ�เจ เช่นกัน ดังนัน้ ควรพาเธอ เปลีย่ น บรรยากาศเสียบ้าง เพือ่ ชีวติ รักทีย่ นื ยง ก้นแบบที่ 2 “ก้นจิว๋ แต่แจ๋ว” ลักษณะก้นของนางผูน้ ้ี แม้ จะเล็กแต่กแ็ น่น ปึง๋ ปัง๋ เรียกว่า แม้จะ ดูปริมาณไม่มาก แต่คณ ุ ภาพ คับจอ นางจะเป็นคนไม่ชอบพูดพล่ามมากนัก เพราะนางเป็นนัก ปฏิบตั ทิ ด่ี นี กั แล จนคุณ อดสะท้านในความมหัศจรรย์ไม่ได้ นางผู้
มีกน้ เล็กนี้ จะชอบอะไรทีส่ นุกสนาน และ โลดโผน ความมีชวี ติ ชีวา ของนาง จะทำ�ให้คณ ุ ประทับใจ แต่นางก็เป็นสาวเอาแต่ใจตัวเอง และ มักไม่ปล่อยตัว ปล่อยใจ ให้เตลิดเปิดเปิง เพราะนางใช้สมองตัดสิน ใจ มากกว่าอารมณ แ์ ต่ถา้ ทัง้ สองอย่างมาบรรจบกันความสุขนานับ ประการจะตกอยูท่ ค่ี ณ ุ ก้นแบบที่ 3 “ก้นแบนและแฟบ” สำ�หรับนางทีม่ กี น้ แบน มักจะแสดงออกถึงความเป็นสาวที่ รักนวลสงวนตัวเป็นทีต่ ง้ั เหตุ เพราะความไม่มน่ั ใจ ในสรีระร่างกายเป็นทีต่ ง้ั นางจะสามารถควบคุม อารมณ์ได้เป็นอย่างดี ดังนัน้ คุณจึงมีหน้าทีเ่ ป็นผูส้ ร้างอารมณ์ให้ กับนางเท่านัน้ เพราะนางจะชอบเก็บเนือ้ เก็บตัว และ ชอบครุน่ คิดกับ ตัวเองอยูฝ ่ า่ ยเดียว แต่เมือ่ นางคิดอยากจะให้ใครมา สัมผัสเนือ้ นูน ของนางแล้วนัน้ นางจะจงรักภักดีไปตลอดกาล ก้นแบบที่ 4 “ก้นย้อยและย้วย” นางใดที่เป็นเจ้าของ ก้นลักษณะนี้ มักจะมีอายุเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะด้วย แรงดึงดูด ของโลก ผนวกกับกาลเวลา จึงแปรผันให้นางเป็นเช่นนี้แล นางจะ เป็นสาวชอบสันโดษ ไม่ชอบความท้าทาย เป็นอย่างยิ่ง และนางก็ จะไม่ฟิตเท่าที่ควร หากคุณ (ยัง) อยากมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับ นาง จำ�ต้องสรรหา สถานที่ที่เป็นส่วนตัว แบบสุดๆ เท่าที่จะทำ�ได้ เพราะนางจะรู้สึกกังวล และ ไม่กล้าเปิดเผย แต่นางก็เป็นคนที่รัก สงบ และ ไม่ชอบระรานใคร ก้นแบบที่5 “ก้นงอนและกลมกลึง”หากนางใดได้เป็น เจ้าของ บั้นท้าย ลักษณะนี้ ถือว่ามีโชคและสิริมงคลต่อผู้เป็น เจ้าของ ทั้งทางนิตินัย และทางพฤตินัย นักแล เพราะก้นนี้ เป็น ลักษณะที่บ่งบอกถึงความเป็นผู้นำ� ความสำ�เร็จในชีวิต และ ความ มั่งคั่ง แต่บางครั้งอารมณ์นางจะทำ�ให้คุณ เกิดปัญหาบ้าง เพราะ มีครบทุกรส ขึ้นอยู่ที่ว่า คุณจะประคับประคอง และ รู้หลบรู้หลีก ไปได้ดีแค่ไหน สำ�หรับเรื่องความร้อนแรงนั่นเล่า นางจะต้องการ อย่างไม่มีวันจบสิ้น นางชอบความ เร้าใจอยู่เสมอ ผู้ใดเป็น เจ้าของทั้งทางนิตินัย และ พฤตินัยของนาง จะประสบความสำ�เร็จ ในชีวิต มั่งคั่งและ ร่ำ�รวยเงินทอง http://www.youtube.com/watch?v=VMnjF1O4eH0
ผมลืมไปแล้วว่าครั้งแรกที่ผมต้องจ่ายเงินซื้อ ”น้ำ�เปล่า” กินนั้น มันตั้งแต่เมื่อไรกัน จำ�ได้แต่ว่าตอนเด็ก ๆ นั้นไม่ว่าจะไปกิน ก๊วยเตี๋ยวที่ร้านไหน หากสั่งน้ำ�แข็งเปล่าก็จะได้รับการบริการฟรี ไม่ เสียเงิน ยกเว้นวันไหนมีตังค์เหลือก็สั่งน้ำ�อัดลมมากิน วันนั้นไม่เคย คิดเลยว่าวันหนึ่งข้างหน้า “น้ำ�เปล่า” จะมีราคาและนำ�มาขายได้ และ ขายดีซะด้วย เมื่อตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยม ผมได้มีโอกาสไปเที่ยว เดนมาร์ก เที่ยวบินนั้นต้องแวะค้างที่กรุงอัมมันประเทศจอร์แดนหนึ่ง คืน ผมกับแม่ได้มีโอกาสแวะชิมอาหารที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เราสอง แม่ลูกก็ลองสั่งอาหารพื้นบ้านของเขา ซึ่งเราทั้งคู่ไม่รู้จักสักรายการ อาศัยจิ้ม ๆ ในรายการอาหาร และสอบถามคร่าว ๆ ถึงเมนูนั้น ๆ พร้อม ๆ กับชำ�เลืองมองราคาไปด้วยในหัวก็คำ�นวนออกมาเป็นเงิน บาท เมื่อถึงเครื่องดื่ม ผมสั่งโคคา โคล่า แม่ขอน้ำ�เปล่า เมื่อบริกร เดินจากไป ผมก็ยังคงหมกมุ่นอยู่กับเมนูเล่มนั้น เพราะไม่รู้จะไปสนใจ อะไร จึงใช้เวลาไปกับการไล่สายตาไปบนรายการอาหารและดูราคา พร้อมคำ�นวณออกมาเป็นเงินบาท เมื่อไล่มาถึงน้ำ�เปล่า ก็ตกใจว่า น้ำ�เปล่ามามีในรายการอาหารและเครื่องดื่มด้วยหรือ และยิ่งให้ตกใจ ไปมากกว่านั้น ราคาของมันเมื่อคำ�นวณเป็นเงินบาทแล้วสูงมาก ผม จำ�ราคาไม่ได้ แต่จำ�ความรู้สึกตกใจในตอนนั้นได้ ขนาดน้ำ�เปล่ายัง แพงขนาดนั้นแล้วโคคา โคลา ของผมมันจะราคาเท่าไรกันล่ะนี่ แต่ แล้วก็ผิดคาด โคคา โคลา ของผมราคาถูกกว่าน้ำ�เปล่ามาก นั่นอาจ จะเกือบ ๆ 30 ปีมาแล้ว ความรู้สึกของผมตอนนั้นคิดว่าเมืองทะเล ทราย น้ำ�คงหายาก จึงนำ�เอามาขายในราคาสูง ๆ ได้ สู้เมืองไทย เราไม่ได้ น้ำ�เปล่า (หรือที่เรียกกันติดปากเวลาไปกินตามร้านว่า”น้ำ� แข็งเปล่า”) นั้นให้ฟรี นั่นเป็นเรื่องมูลค่าของ”น้ำ�”ที่เพิ่มมูลค่าขึ้น ทุกวัน จนเราไม่ทันสังเกต คำ�ถามที่ตามมาเกี่ยวกับ”น้ำ�”ของผม ก็คือ น้ำ�มีชีวิตจิตใจหรือเปล่า แล้วก็ดูเหมือนผมจะได้คำ�ตอบเมื่อ อ่านหนังสือเจอการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่ง ที่ทำ�การทดลองและสรุปเอาไว้ว่าน้ำ�มีชีวิตจิตใจ มีอารมณ์ เขานำ� น้ำ�มาส่องกล้องดูผลึกของน้ำ�ซึ่งก่อนส่องก็จะพูดคำ�เพราะ ๆ ให้
น้ำ�ฟัง แล้วนำ�มาส่องดูผลึก ๆ จะสวยงามมาก จากนั้นก็นำ�น้ำ�แก้ว เดียวกันนั้นมาพูดคำ�หยาบคายต่าง ๆ นา ๆ ให้ฟัง ผลึกของน้ำ�จะดู น่ากลัว และยังทำ�การทดลองอีกหลาย ๆ วิธีผมจำ�ไม่ได้ซะแล้ว ซึ่ง ก็ได้บทสรุปออกมาว่า”น้ำ�” มีชีวิต จิตใจและมีอารมณ์ ทุกวันนี้เมื่อ เข้าร้านอาหารผมมักจะสั่งโค้ก เพราะราคาก็ไล่ ๆ กันกับน้ำ� และตัว เองก็รู้สึกเอาเองว่า ในราคาที่ใกล้เคียงการดื่มน้ำ�อัดลมน่าจะคุ้มค่า กว่าน้ำ�เปล่า(คิดโง่ ๆ หรือเปล่าไม่รู้) นอกเสียจากบางครั้งที่รู้สึกว่า พุงตัวเองชักยื่น ๆ และอึดอัดก็จะสั่งน้ำ�เปล่า เพราะน้ำ�อัดลมนั้นมี ส่วนทำ�ให้พุงป่องอย่างแรง ถึงเวลานี้จึงอยากรู้นักว่าไอ้น้ำ�อัดลม นี่มันเข้ามาในเมืองไทยตั้งแต่เมื่อไรกันนะ เท่าที่จำ�ได้เกิดมาผมก็เจอ กับมันแล้ว และที่จำ�ได้ลึก ๆ(หมายถึงถ้าไม่นั่งคิดจริง ๆ ก็อาจลืม ไปแล้ว)ก็คือหนังโฆษณาของโคคา โคลา ซึ่งตอนนั้นผมน่าจะอายุ ไม่เกินแปด เก้าขวบ เป็นหนังโฆษณาที่ใช้เพลงเป็นตัวสื่อ มาค้นพบ ภายหลังว่าหนังโฆษณาชุดนั้นออกอากาศไปทั่วโลกในปี 1971 ชื่อ เพลง “I like to buy the world a Coke” แต่งโดย Roger Cook และ Roger Greenaway จากนั้นเพลงก็ฮิตและถูกนำ�มาแต่งเนื้อ เพลงใหม่และขับร้องเพื่อการพาณิชย์โดยเฉพาะโดยวง The New Seekers และ The Hillside Singers โดยครั้งแรกนั้นวง The New Seekers นั้นไม่ว่างที่จะบันทึกเสียง วง The Hillside Singers จึงได้รับเลือกให้บันทึกเสียงและออกซิงเกิ้ลแรกไปก่อน แต่หลัง จากนั้นไม่กี่สัปดาห์ The New Seekers ได้บันทึกเสียงและออกซิง เกิ้ลซึ่งนับเป็นเวอร์ชั่นที่ 2 และเวอร์ชั่นของThe New Seekers นี้ เองที่พาให้เพลง “I like to teach the world to sing” ขึ้นสู่ top 10 บนชาร์ตของอเมริกา อาจจะนับได้ว่าเพลงโฆษณานั้นได้ช่วย โปรโมทให้เพลง ๆ นี้ดังล่วงหน้าไปก่อนแล้ว เมื่อเพลงได้ถูกบันทึก ออกมาเป็นซิงเกิ้ลจึงโด่งดังและได้รับการตอบรับอย่างรวดเร็ว อิทธิพลจากทีวีเริ่มเข้ามามีบทบาทกับความนิยมของบทเพลงตั้งแต่ นั้นเป็นต้นมา กระมัง http://www.youtube.com/watch?v=8jr9hPbYmBo
วันนี้ วันที่ผมกำ�ลังนั่งเขียนบันทึกนี้เป็นคืนวันที่ 11 ตุลาคม 2549 ฝนข้างนอกกำ�ลังตกลงมาดั่งฟ้ารั่ว ความจริงตั้งแต่ ต้นเดือนมาแล้วที่ฝนตกลงมาด้วยปริมาณที่เกินความต้องการ หลังจากที่อากาศร้อนเกินความต้องการก่อนหน้านี้มาแล้ว ผมรู้สึก อยู่ก่อนแล้วว่าหากอากาศร้อนขนาดนี้ เมื่อเข้าหน้าฝนจะต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาอย่างแน่นอน เท่าที่จำ�ได้ผมเคยเจอกับปัญหาน้ำ� ท่วมเช่นนี้มาก่อนหน้าถึงสองครั้ง ครั้งแรกในปี 2526 ครั้งที่ 2 ในปี 2538 และครั้งนี้ปี 2549 นับโดยเฉลี่ยแล้วก็ประมาณ 10 ปี ครั้ง สำ�หรับครั้งนี้ ณ วันนี้มีจังหวัดที่ต้องเผชิญกับปัญหาน้ำ�ท่วมเกือบทุกภาค โดยเฉพาะในภาคกลาง ลพบุรี สิงห์บุรี อยุธยา นครสวรรค์ และอื่นๆ ส่วนในกรุงเทพฯนับว่ายังไม่เกิดปัญหาหนักมาก จะมีก็เพียงบางครั้งในเวลาสั้น ๆ ยังไม่มีปัญหาเรื่องน้ำ�ท่วม ขัง ดั่งเช่นจังหวัดอื่นๆ ตอนนี้ในขณะที่ผมนั่งเขียนบันทึก ฝนข้างนอกยังส่งเสียงดังสลับกับเสียงคำ�รามของสายฟ้าอย่างต่อเนื่อง วิทยุที่เปิดทิ้งไว้ ดีเจเริ่มเปิดเพลงที่เกี่ยวข้องกับฝนอย่างต่อเนื่อง คิดว่าคืนนี้ดีเจท่านนี้คงจับประเด็นและเล่นเพลงเกี่ยวกับฝนไปจน จบแน่นอน แปลกที่เมื่อเราได้ฟังเพลงที่เกี่ยวข้องกับฝนอย่างต่อเนื่อง เราจะรู้สึกได้อย่างชัดเจนเลยว่าเพลงเหล่านั้นมันช่างโรแมน ติกไปซะทุกเพลง ฝนถูกจับมาเป็นเครื่องมือในการสร้างบรรยากาศของเนื้อหาในบทเพลงได้อย่างดี ไม่ว่าเนื้อหาในเพลงจะสมหวัง หรือผิดหวัง อย่างน้อยมันทำ�ให้ผมรู้สึกถึงความสวยงามของความรักได้ ฝน ที่กำ�ลังสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนในที่หนึ่ง กับ ฝนที่กำ�ลังทำ�ให้คนในอีกที่หนึ่งล่องลอยไปในความฝัน เป็นฝนเม็ดเดียวกันจากฟ้าเดียวกัน ฝนเม็ดนั้นอาจจะไม่เป็นที่ต้องการของ นักธุรกิจที่กำ�ลังจะออกไปพบลูกค้าเพื่อการเจรจาการค้าครั้งสำ�คัญ แต่สำ�หรับเด็ก ๆ ฝนเม็ดนี้คือสิ่งที่พวกเขารอคอยที่จะออก ไปวิ่งเล่นหยอกล้อดุจเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอะเจอกันมานาน ฝนเม็ดนี้สำ�หรับหนุ่มสาวมันอาจนำ�พาความทรงจำ�เก่า ๆ ความรักเก่า ๆ กลับมาในความคิดคำ�นึง แม้ไม่นาน แต่ก็ชื่นใจไม่น้อย ด้วยความที่ฝนเม็ดเดียวกันมีความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตอันต่างกันของผู้คน บางครั้งเราจึงเห็นเด็ก ๆ ที่วิ่งเล่นน้ำ�ฝนจนน้ำ�กระจายไปใส่ผู้ใหญ่ซึ่งมีกิจธุระต้องรีบไปทำ� จนต้องตะโกนด่าทอเด็ก ๆ ออกมาอย่าง รุนแรงแข่งกับเสียงฝนระคนกับเสียงหัวเราะสนุกสนานอย่างไม่สนใจใยดีของเด็ก ๆ ระหว่างเก่ากับใหม่ ระหว่างใหญ่กับเล็ก ขาวกับ ดำ� น้อยกับมาก บางทีที่ตรงนั้นอาจเป็นจุดพอดี ที่เรียกกันว่า สายกลาง อันเป็นจุดลงตัวที่จะยุติปัญหาความไม่พอดี ขนาดใหญ่ ไป ขนาดเล็กไป จึงต้องใช้ ขนาดกลาง เข้าแก้ไขปัญหา น้อยไปก็ไม่พอ มากไปก็เกินต้องการ นานไปก็เบื่อ เร็วไปก็ไม่ทัน บทเพลงที่ เกี่ยวข้องกับฝนยังคงดำ�เนินต่อไป “นานอีกหน่อย” ของใหญ่ โมโนโทน “ฝน” ของเบิร์ดกะฮาร์ท “รักปอน ปอน” ของไมโคร ....... ดึกมากแล้ว ผมเตรียมตัวเข้านอน แล้วผมก็ได้ยินเพลงนี้ออกมาจากลำ�โพงก่อนที่จะล้มตัวลงนอน Listen to the rhythm of the falling rain Telling me just what fool I’ve been I wish that it would go and let me cry in vain And let me be alone again. ผมได้รู้จักกับเพลงนี้ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก มารู้สึกประทับใจในตัวเพลงจริง ๆ ก็เมื่อเริ่มที่จะเป็นหนุ่ม จนถึงทุกวันนี้แม้จะไม่มีโอกาสได้ฟัง มันบ่อยนัก แต่ในค่ำ�คืนนี้ คืนที่ฝนฟ้าคะนอง ท่วงทำ�นองแห่งเพลงพาผมกลับไปยังวัยหนุ่ม พาผมหวนไปพบกับความรักในครั้งนั้น แม้ว่าผมจะจำ�เธอคนนั้นไม่ได้แล้ว แต่ก็ทำ�ให้ผมคิดถึงละโหยหาวันเวลาแห่งวัยหนุ่มอีกครั้ง “RHYTHM OF THE RAIN” แต่งโดย John Claude Gummoe นักร้องนำ� หนึ่งในสมาชิกแห่งวง The Cascades เป็นเพลงที่สร้างชื่อเสียงให้กับพวกเขาอย่างสูงในปี 1963 ถึงกับมีการกล่าวถึงเพลงนี้ว่าเป็นเพลงที่ยิ่งใหญ่เพลงสุดท้ายก่อนที่จะเข้าสู่ยุคของ The Beatles John Gummoe เติบโต มากับวัยเด็กที่ไม่เพียบพร้อม พ่อของเขาเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง คุณแม่ต้องทำ�งานหนักเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว แต่นั่นก็เป็นข้อดีที่ ทำ�ให้เขามีแรงบันดาลใจที่จะผลักดันตัวเองไปข้างหน้า โดยตั้งใจที่จะไม่เป็นอย่างพ่อของเขาอย่างเด็ดขาด เขาตั้งใจที่จะทำ�อะไรสัก อย่างที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของเขา แต่ไม่เคยคิดว่าจะเป็นนักร้อง นักแต่งเพลงเลย ฝนเริ่มเบาลงแล้ว ผมคงหลับไปแล้ว ในคืนนั้นความ ฝันของผมเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างเลือนลาง ผมฝันถึงบางอย่างที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของผม บางอย่างที่ผมสร้างขึ้นมาและยังจะคงอยู่ แม้ ในวันที่ผมไม่อยู่แล้วก็ตาม http://www.youtube.com/watch?v=2BMUzCBWacM
คุณเห็น”รุ้งกินน้ำ�”ครั้งสุดท้ายเมื่อไร สำ�หรับผมจำ�ไม่ได้ซะแล้ว อยู่ดีดีในวันที่ฝนฟ้าตกหนักและหยุดลง อากาศเย็นสบาย ผมนั่งดูหน้าบ้านจ้องมองไปบนท้องฟ้าและก็ให้รู้สึกคิดถึง”รุ้งกินน้ำ�”ขึ้นมา เคยจำ�ได้ว่าสมัยเรียนหนังสือตอนเป็นเด็ก ในชั่วโมงวาด เขียน(หรือชั่วโมงน่าเบื่ออื่น ๆ ) ผมมักจะวาดภาพรุ้งกินน้ำ�บ่อย ๆ เพราะมันสวยและวาดไม่ยากนัก แม้จะวาดภาพวิวซึ่งเป็นภาพยอด นิยมสำ�หรับผมก็จะต้องมีรุ้งกินน้ำ�ประกอบอยู่ด้วยเสมอ แม้คุณครูจะพร่ำ�สอนว่ามันเป็นปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์ แต่สำ�หรับเด็ก เล็ก ๆ อย่างผมในขณะนั้นอดคิดไม่ได้ว่าบนนั้นจะมีเทวดาอาศัยอยู่หรือเปล่า “อย่าชี้นะ ถ้าชี้รุ้งนิ้วจะกุด” เด็กโตคนหนึ่งเคยเตือนผมไว้ พร้อมบอกวิธีแก้ให้เสร็จ “หากเผลอชี้ไปแล้ว ต้องเอานิ้วไปจิ้มก้นตัวเอง แล้วเอามาดม” นั่นคือวิธีแก้ไม่ให้นิ้วกุด และยิ่งทำ�ให้ผมรู้สึก ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของรุ้งกินน้ำ�ยิ่งขึ้น ถึงบัดนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าผู้ใหญ่ท่านทำ�ไมจึงไม่อยากให้เราชี้รุ้ง เคยถกเรื่องนี้กับเพื่อนรุ่นน้อง คนหนึ่ง คือนายโด๊ด อดีตมือคีย์บอร์ดวง วายน็อตเซเว่น โด๊ดออกความเห็นว่า อาจะเป็นเพราะเด็ก ๆ สมัยก่อนต้องวิ่งเล่นกะดินกะ ทราย มือไม้อาจจะสกปรกเปรอะเปื้อน การยกมือขึ้นชี้ฟ้า(ชี้รุ้ง)อาจจะทำ�ให้ฝุ่นที่ติดมือปลิวเข้าตา เพราะว่าช่วงรุ้งมาหลังฝนตกลมมัก จะแรง ผมฟังแล้วก็ไม่ค่อยคล้อยตามเท่าไร แต่ค่อนข้างแน่ใจว่าผู้ใหญ่คงไม่มาห้ามเด็ก ๆ อย่างเราอย่างไม่มีเหตุผลแน่ ๆ “กูว่าผู้ใหญ่ ท่านเชื่อว่ารุ้งเป็นปรากฏการณ์ที่ศักดิ์สิทธิ์ว่ะ” ผมออกความเห็นค้านสิ่งที่โด๊ดคิด “ท่านก็เลยคิดว่าไม่ควรไปชี้ เพราะอาจจะเป็นการ ลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์” โด๊ดไม่เถียง ไม่รู้ว่าเห็นด้วยหรือว่ายังคิดเหตุผลคัดค้านอื่น ๆ ไม่ออก “หรือท่านจะคิดว่ารุ้งกินน้ำ�เป็นภาพเขียน ของเทวดา” เมื่อค้านไม่ได้โด๊ดเลยหาเหตุผลสนับสนุนความเชื่อของผม “เออ แล้วรุ้งทำ�ไมกินน้ำ�อย่างเดียววะ ทำ�ไมรุ้งไม่กินข้าวบ้าง” ความคิดผมเตลิดไปใหญ่ แบบไม่จริงจังนัก “ฝนตก น้ำ�เยอะ รุ้งก็เลยลงมากินน้ำ� เขาเลยเรียกรุ้งกินน้ำ�พี่” โด๊ดอธิบายดุจผู้เชี่ยวชาญ ทางปรากฏการณ์วิทยา ทำ�ให้ผมคิดได้ว่า อาจจะเป็นเพราะว่าสมัยนั้นเราทำ�ไร่ทำ�นากันส่วนใหญ่ เมื่อฝนตก น้ำ�ท่วมไร่นา ก็จะทำ�ให้ชาว บ้านเดือดร้อน แต่เมื่อรุ้งกินน้ำ� ปรากฏขึ้น มาช่วยกินน้ำ� ก็เป็นการช่วยชาวไร่ชาวนาให้รอดจากการถูกน้ำ�ท่วม ชาวบ้านจึงถือว่ารุ้งเป็น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มาช่วยชาวบ้านกินน้ำ� ระยะหลัง ๆ เราไม่ค่อยได้เห็นรุ้งกินน้ำ�บ่อยนักหรือแทบไม่ได้เห็นเลย เราจึงเจอปัญหาน้ำ�ท่วมบ่อย ๆ โดยเฉพาะในกรุงเทพ “รุ้ง” มีส่วนร่วมในชีวิตของเด็ก ๆ รุ่นผมอยู่มากทีเดียว อย่างน้อยก็น่าจะมากกว่าเด็ก ๆ ในวันนี้ ที่กล้าพูด แบบนี้ เพราะว่า “รุ้ง”ปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้าบ่อยมากเมื่อตอนผมเด็ก ๆ เมื่อเห็นบ่อย เมื่อถึงเวลาวาดรูป เด็ก ๆ จึงนำ�ภาพรุ้งไปไว้ บนกระดาษวาดเขียนของเขาบ่อย ๆ เช่นกัน “รุ้ง”ถูกนำ�ไปเกี่ยวข้องกับจินตนาการของเด็ก ๆ ในสมัยนั้น หลายครั้งในวันนั้นผมอดคิด ไม่ได้ว่าบนสายรุ้งสีสดทั้ง 7 สีนั้น จะมีเมืองอยู่บนนั้นได้หรือไม่ และเมือง ๆ นั้นคงจะสวยงามและสีสันสดใสทีเดียว “Somewhere Over the Rainbow” Music by Harold Arlen Lyrics by E.Y. Harburg เพลง ๆ นี้ประพันธ์เนื้อ ร้องโดย E.Y. Harburg ประพันธ์ดนตรีโดย Harold Arlen ขับร้องโดยจูดี้ การ์แลนด์ (Judy Garland)c] และตัวเธอรับบทเป็น โด โรธี เด็กช่างฝันในภาพยนตร์เรื่อง The Wizard of OZ ออกฉายครั้งแรกในปี ค.ศ.1939 จัดเป็นหนึ่งในภาพยนตร์คลาสสิคยอด เยี่ยมตลอดกาลของอเมริกา ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 6 รางวัลรวมถึงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในปี 1939 วัน นี้ ฝนตกหนักทั้งวันเช่นเดียวกันกับเมื่อวันวาน จิตนาการของผมกำ�ลังเลือนหายไป เพราะความจริงที่วิ่งเข้ามาในชีวิตมันช่างมากมาย เหลือเกิน ผมเหนื่อย ผมหน่าย จิตนาการจึงค่อย ๆ เลือนหายไปพร้อม ๆ กับสายรุ้ง ที่ไม่มีวันรุ่งอยู่บนฟ้าอีกแล้ว http://www.youtube.com/watch?v=PSZxmZmBfnU
เรื่องมันเริ่มต้นขึ้นในเช้าวันนั้น ประมาณปี พ.ศ. 2511 – 2512 สนามซีเมนต์ขนาดประมาณสนามบาสเก็ตบอล ถูกใช้เป็น สนามฟุตบอลขนาดย่อม ลูกฟุตบอลพลาสติกขนาดเล็กถูกเตะไปเตะมาจากผู้เล่นทั้ง 14 คน ข้างละ 7 คน ความยากของเกมส์ นอกจาก จะต้องพาลูกฟุตบอลหลบหลีกฝ่ายตรงข้ามแล้วนั้น นักฟุตบอลรุ่นจิ๋วในสนามจะต้องหลบเลี่ยงการวิ่งเข้าชนจากผู้เล่นทีมอื่น ๆ ใน สนามซึ่งมีไม่ต่ำ�กว่า 6 ทีม นั่นหมายความว่าสนามเล็ก ๆ นั้นจะมีผู้เล่นในสนามทั้งหมดอย่างน้อย 42 คน เป็นเกมส์ที่ต้องใช้ความเร็วและ โชคเป็นพิเศษ ตั้งแต่เช้าหกโมงครึ่งไปจนถึงเวลาแปดโมง กระดิ่งดังขึ้น เกมส์จึงยุติลง ครั้งหนึ่งยังจำ�ได้ว่าครูประจำ�ชั้นคงทนเห็นพวก เราเนื้อตัวเปียกปอนกันตั้งแต่ชั่วโมงแรกไม่ไหว จึงอยากจะให้พวกเราพร้อมที่จะเรียนหนังสือมากกว่านี้ การที่เนื้อตัวเปียกโชคทั้งเสื้อ ทั้งกางเกงตั้งแต่ชั่วโมงแรกแบบนี้ มันจะไปเรียนหนังสือรู้เรื่องได้อย่างไร “ไหน พวกนักฟุตบอลทั้งหมดออกมายืนหน้าชั้นซิ” คุณครู ยอมเสียเวลาสอนหนังสือ ในมือถือไม้เรียว ใหม่เอี่ยม ยาวและเรียว สมชื่อจริงๆ พวกเราทั้งหมดกว่าสิบคนจึงก้าวออกไปยืนหน้าชั้น ในใจนึกหวั่น วันนี้คงไม่รอดไม้เรียวเป็นแน่ “เอ้า นักฟุตบอลทุกคน ไหนใครเล่นตำ�แหน่งอะไรกันบ้าง” คุณครูถามพร้อมกับตวัดไม้เรียว จอมเฮี๊ยบเป็นการขู่ขวัญ หากคำ�ตอบที่ได้ไม่ป็นที่พอใจ “ศูนย์หน้าครับ” คนแรกซึ่งอยู่หัวแถวตอบ “ศูนย์หน้า” คือตำ�แหน่งที่ทุกคน พยายามที่จะเป็นเมื่ออยู่ในเกมส์ เพราะรู้สึกว่าเป็นตำ�แหน่งที่สำ�คัญสุด ได้ยิงประตู เท่สุด แต่ที่สำ�คัญเราไม่รู้จักตำ�แหน่งอื่น ๆ กันหรอก เด็กขนาดนั้น เล่นเอามันส์อย่างเดียว ดังนั้นคำ�ตอบของคนต่อ ๆ มาจึงเป็น”ศูนย์หน้า” กันหมดทุกคน เรียกว่าเป็นศูนย์หน้ากันทั้งทีม ก็สนามขนาดนั้น คนในสนามกว่าครึ่งร้อย จะไปเล่นตามตำ�แหน่งก็คงไม่สนุก มันก็ต้องมั่ว ๆ ไปแบบนั้นล่ะ สนุกดี เมื่อทั้งทีมมีแต่”ศูนย์ หน้า” ครูประจำ�ชั้นก็เลยหวดซะคนละสามที หวดลงไปบนกางเกงซึ่งยังเปียกโชกอยู่ เสียงดังเปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ .....“เล่นฟุตบอล ยัง เล่นกันไม่เป็นเลย มีอย่างที่ไหนเป็น”ศูนย์หน้า”กันทั้งทีม” นี่คือเหตุที่ครูต้องตี ความจริงคุณครูก็คงหาเรื่องตีเราอยู่แล้วล่ะ แต่วันนั้น ท่านก็หาเรื่องตีเราได้ง่ายขึ้น จากเหตุการณ์วันนั้นเกมส์ตอนเช้าน่าจะยุติลง แต่เราก็ไม่อาจยับยั้งเสน่ห์แห่งลูกฟุตบอลพลาสติกใบเล็ก ซึ่งบัดนี้ได้รับการพัฒนาโดยการผ่าออกแล้วยัดไส้เข้าไปอีกหนึ่งใบเพื่อให้มันมีน้ำ�หนักและสามารถคอนโทรลได้โดยที่ลูกไม่เหิรมากเกินไป แต่เกมส์ในตอนเช้าเราก็จะเลิกให้ไวหน่อย หากชั่วโมงแรกเป็นของคุณครูประจำ�ชั้น ส่วนเกมส์ตอนกลางวันนั้นก็ยังเข้มข้นเหมือนเดิมเป็น เช่นนี้ตลอดเทอม ทุกเทอม ทุกชั้น ทุกวันจนกระทั่งจบประถม 7 นั่นไม่นับเกมส์ตอนเย็นซึ่งก็มีประจำ�เกือบทุกเย็น ซึ่งเราจะไปเล่นกันที่ สนามใหญ่ (สนามหญ้า) ในกรมทหารแห่งหนึ่ง ซึ่งโดยปกติแล้วมักจะเป็นเย็นวันศุกร์ ช่วงเวลาดังกล่าว นักกีฬารุ่นจิ๋วทุกคนหาได้รู้ตัว ไม่ว่ากำ�ลังถูกคุกคามจาก ”ความคัน” ซึ่งกำ�ลังคืบคลานเข้าไปในกางเกงของพวกเขาอย่างช้า ๆ อาการคันที่ทั้งบุกและรุก ล่วงล้ำ� เข้า ยึดเกาะและกัดแทะบริเวณอัณฑะ ทำ�ให้ผู้เป็นเจ้าของไข่น้อย ๆ ทั้งคู่เกิดอาการคัน คันอย่างชนิดที่ว่าไม่สามารถหยุดเกาได้ ยิ่งเกาก็ยิ่ง มันส์ เจ้าเชื้อราที่เรียกกันว่า”สังคัง” เชื่อว่าเด็ก ๆ ทุกวันนี้คงมีน้อยคนมากที่จะรู้จัก “สังคัง” สำ�หรับคนที่อยู่ในยุคนั้น เชื่อว่าน่าจะรู้จัก และเชื่อว่าน่าจะเคยสนิทติดเชื้อจากเจ้า”สังคัง”ตัวนี้ “ซีมา”คือยาแก้ ที่เด็กสมัยนั้นใช้ปราบสังคัง แต่ในขณะที่ใช้” ซีมา” ทาลงไปบนไข่ที่ สังคังเกาะ อาจจะต้องใช้ความอดทนสูงสักหน่อย เพราะมันจะแสบมาก ดังนั้นก่อนที่จะลง”ซีมา” ต้องเตรียมหาพัดลมมาเปิดรอไว้เสีย ก่อน และควรจะเปิดเบอร์ 3 แรงสุด แล้วเล็งพัดลมให้เป่าลงตรงเป้าหมายในขณะที่ทา” ซีมา”ลงไป ก็จะช่วยบรรเทาความแสบลงไปได้ บ้าง สัก4-5 วัน ผิวหนังบริเวณที่โดน”ซีมา”ก็จะเริ่มลอกและหลุด จากนั้นอาการคันมันก็จะหายไป และก็พร้อมจะเป็นขึ้นมาใหม่เมื่อมีการ หมักหมมเกิดขึ้นอีก ซึ่งย่อมเกิดขึ้นแน่นอนกับนักฟุตบอลรุ่นจิ๋วอย่างพวกเรา คืนวันนี้ ตี 2 กับอีก 3 นาที เกมส์ฟุตบอลโลก 2006 ที่เยอรมันนี เป็นเกมส์ระหว่างอิตาลีและกานา เริ่มต้นคิกออฟ เป็นวัน ที่ 4 แล้ว หลังจากที่เริ่มต้นขึ้นมาตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน ทั้งโลกให้ความสนใจ ฟุตบอลโลกมาถึงทีไรธุรกิจอื่น ๆ มักจะต้องหวาดกลัว เพราะเชื่อว่าผู้บริโภคจะไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นนอกจากฟุตบอล โฆษณาในช่วงบอลโลกเราจึงเห็นแต่โฆษณาที่อิงบอลโลก หนังสือพิมพ์พูด ถึงแต่บอลโลก พนักงานหยุดคิดเรื่องงานไว้ชั่วคราวเพื่อบอลโลก แม้แต่ตัวผมเองก็ยังมารอนั่งดูบอลโลกแม้จะดึกแค่ไหนก็ตาม ฟุตบอลโลกปีนี้ทำ�ให้ผมคิดถึงเด็ก ๆ คิดถึงสนามเด็กเล่นที่เคยวิ่งเล่น สงสัยว่าเด็ก ๆ ทุกวันนี้จะมีเวลาวิ่งเล่นกันบ้างไหมหนอ แล้ว “สังคัง” ยังมีอยู่ไหมในกางเกงของเด็ก ๆ สมัยนี้ http://www.youtube.com/watch?v=MPr_WQm0-UY
ผมเริ่มเขียนคอลัมน์นี้เมื่อต้นปี จำ�ได้ว่าวันจันทร์ แรกของเดือนมกราคม เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสได้เป็นเจ้าของ คอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ ทุกเรื่องที่ตีพิมพ์ ท้ายเรื่องผมจะทิ้ง อีเมลของตัวเองไว้ ด้วยความหวังแบบเด็ก ๆ ที่ยังมือใหม่ ว่าจะมีใครเขียนเข้ามาคุยด้วย เรียกว่าอ่านคอลัมน์แล้วเกิด ชอบก็เขียนมาติติง หรือพูดคุย ถกเถียงถึงประเด็นต่าง ๆ ที่ ผมหยิบขึ้นมาเขียน ผมแวะเข้าไปเช็คเมลดูทุกวัน แต่มันก็ว่าง เปล่า ไม่มีแฟนคอลัมน์ ไม่มีใครเขียนมาคุย ทำ�ให้คิดเลยไปอีก ว่าอาจจะไม่มีใครอ่านด้วยซ้ำ� ในขณะที่กำ�ลังใจกำ�ลังจะหดหาย แล้ววันหนึ่งเมื่อผมเปิดเมลขึ้นมาก็พบจดหมายฉบับหนึ่งเป็น ฉบับแรก จาก เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิค แชนแนล อยากให้ผม ช่วยประชาสัมพันธ์รายการทางยูบีซี 24 ชื่อรายการ “Strange Days on Planet Earth” ซึ่งจะมีทั้งหมด 4 ตอน เริ่มออก อากาศตั้งแต่วันที่ 4 มี.ค.นี้ โดยเนื้อหาหลักใหญ่ ๆ จะเน้น ถึงความสำ�คัญของธรรมชาติ พูดถึงผลกระทบที่มีความ สัมพันธ์ต่อกันกันระหว่างสิ่งที่มนุษย์กระทำ�ต่อโลก และสิ่งที่ โลกมีปฏิกิริยาโต้ตอบ ดำ�เนินรายการโดยพระเอกมาดเท่ เอ็ด เวิร์ด นอร์ตัน ตัวรายการจะดำ�เนินเรื่องเหมือนภาพยนตร์แนว สืบสวนสอบสวนสมัยใหม่ โดยจะนำ�เสนอเกี่ยวกับ เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นในทุกพื้นที่บนโลก และไขความลี้ลับ ปะติดปะต่อเพื่อ หาคำ�ตอบสำ�หรับปริศนาต่างๆ จนได้ค้นพบว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้นมีความเกี่ยวข้องกัน ในตอนที่ชื่อว่า Invader พูดถึงพืชและสัตว์พันธุ์ประหลาด ๆ ได้แพร่พันธุ์เข้าไปในทุก ทวีป แพร่กระจายโรค กัดกินตัวอาคาร ทำ�ลายผืนดินอย่าง เงียบ ๆ และนี่อาจจะเป็นสาเหตุให้เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ อีกครั้งหลังจากการสิ้นสุดขอยุคไดโนเสาร์ อะไรคือสาเหตุ ของการบุกรุกครั้งนี้และเราในฐานะมนุษย์จะหยุดการบุกรุกนี้ได้ หรือไม่อย่างไร สารคดีชุดนี้จะออกอากาศทางยูบีซี 24 ตลอด ทั้งเดือนมีนาคมนี้ ด้วยเห็นว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจจึงนำ�มาช่วย ประชาสัมพันธ์ให้ และบังเอิญผมเองก็กำ�ลังเตรียมเรื่องที่ เกี่ยวกับ ”สิ่งแปลกปลอม” ที่เข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงกับ สังคมเรา แต่อาจจะไม่ได้น่ากลัวระดับโลกเหมือนในสารคดีชุด ดังกล่าว เป็นเรื่องเล็ก ๆ ซึ่งอยู่ดีดีผมก็เกิดรู้สึกขึ้นมา ยุคนี้ เป็นยุคของการติดต่อสื่อสาร ทุกวันนี้เรามีอุปกรณ์สื่อสารที่ ย่นระยะเวลาได้มาก รวดเร็ว สะดวก ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ดี แทบ จะทุกคนมีโทรศัพท์ติดตัว ติดต่อกันได้ตลอดเวลา นัดหมาย กันก็ไม่ต้องกลัวว่าจะหากันไม่เจอ แค่นัดบริเวณก็สามารถ
โทรเช็คกันได้ไม่มีหลง ทำ�ให้อดนึกถึงสมัยก่อนไม่ได้ หนุ่มสาว ในสมัยก่อนนั้นลำ�บากกว่าสมัยนี้เยอะสมัยนั้นเวลาหนุ่มสาว จะนัดหมายเพื่อพบเจอกันแต่ละครั้ง เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องให้ ความสำ�คัญอย่างมากซึ่งอาจจะต้องใช้เวลานัดกันเป็นอาทิตย์ ผมจำ�ได้ถึงวันนั้น จำ�ได้ถึงการต้องเดินหาซื้อกระดาษเขียน จดหมายลายสวย ๆ ซึ่งจะดีขึ้นอีกมากหากมีกลิ่นหอม จาก นั้นก็เลือกซองที่เข้ากันกว่าจะเลือกได้ถูกใจบางทีก็เป็นชั่วโมง จากนั้นก็มาถึงขั้นตอนที่สำ�คัญไม่แพ้กันนั่นคือทุกตัวอักษรที่ บรรจงเขียนลงบนกระดาษนั้นต้องกลั่นกรองอย่างพิถีพิถัน ต้องระวังไม่ให้กระดาษเลอะเทอะ บางครั้งต้องวางเลย์เอาท์ ให้งดงาม เพื่อแสดงถึงความรักที่มีต่อเธอ เมื่อเขียนเสร็จซึ่ง อาจจะหนึ่งหน้าหรือสองหน้าก็ต้องค่อยๆ พับให้พอดีซอง ปิด ซอง ปิดแสตมป์ ทุกขั้นตอนทำ�อย่างบรรจง หลังจากหย่อน ลงตู้ไปรษณีย์ไปแล้ว ก็เฝ้ารอบุรุษไปรษณีย์ที่จะถือสาส์นจาก เธอกลับมาลุ้นว่าคำ�ตอบจะเป็นอย่างไร การนัดหมายมันช่าง กินเวลา กินพลังงาน แต่ทุกขั้นตอนช่างละเอียดอ่อนดุจ งานศิลปเลยทีเดียว การพบกันแต่ละครั้งจึงมีค่ามาก ในวันนั้นบ้านไหนมีโทรศัพท์ก็นับว่ามีอันจะกินพอ สมควรเพราะค่าติดตั้งนั้นแพงมากและต้องติด ต่อขอติดติดตั้งนาน บางครั้งหกเดือน บาง ครั้งยังไม่มีคู่สายผ่านก็เรอเป็นปี แต่วันนี้ โทรศัพท์แย่งกันให้บริการ ยิ่งกว่านั้นทุก คนยังมีมือถือทำ�ให้ทุกสิ่งทุกอย่างง่าย ขึ้น นึกจะนัดแฟนก็กดมือถือเดี๋ยวก็ได้ คุย ได้เจอบางทีนัดกันแล้วเกิดไม่อยาก ไปหรือมีธุระก็กดมือถือยกเลิกนัดบาง ครั้งอยู่ห่างกันแค่สองสามช่วงตึกก็กด มือถือ“เธออยู่ไหนแล้ว”ทั้งๆที่หลังแทบ จะชนกันมันสะดวกขนาดนั้น จดหมาย ยาวๆ แบบเมื ่ อ ก่ อ นก็ ห ายไปจาก สังคมพร้อมกับความพิถีพิถันหายไป พร้ อ มๆ กั บความอ่ อ นโยนของ อารมณ์ หายไปพร้อมกับชีวิตที่เคยเดินไปอย่างช้าๆ แต่ทว่า ท่วงท่างดงาม กลายมาเป็นความรวดเร็ว ทุกอย่างต้องสั้น กระชับ สะดวก และสบาย ลองคิดเล่น ๆ ดูนะครับ หากวันนี้มือ ถือคุณหาย หรือคุณลืมเอามาจากบ้าน มันจะมีผลอย่างไรบ้าง กับชีวิตในวันนี้ของคุณ ค่อยๆ คิดนะครับ ไม่ต้องรีบ
วันนี้ผมได้รับฟอร์เวิร์ดเมลจากเพื่อน ๆ ที่อยู่ใน ลิสต์ของผม เมื่อเปิดอ่านดู เป็นเรื่องที่ดูเหมือนจะตลกแต่ก็ ให้ข้อคิดที่ดีทีเดียว เป็นเรื่องของอูฐแม่ลูกคุยกัน เจ้าอูฐตัว ลูกมีความสงสัยในร่างกายของตัวเอง จึงเอ่ยปากถามอูฐ ผู้แม่เป็นข้อ ๆ เริ่มต้นจาก “แม่ครับ ทำ�ไมเราต้องมีหนอก บนหลังด้วย” แม่ก็ตอบลูกชายว่า “เพราะเราต้องอยู่ในทะเล ทราย จำ�เป็นที่จะต้องมีที่เก็บสำ�รองน้ำ�ไว้” “แล้วทำ�ไมขาของ เราจึงยาวและเท้ากลมแบบนี้ล่ะฮะ” ลูกอูฐยิงคำ�ถามต่อ “ก็ เพราะเราต้องเดินบนทรายที่ร้อนระอุน่ะลูก ด้วยขาที่ยาวและ เท้าที่กลมนี่จะช่วยให้เดินในทะเลทรายได้ดีกว่า” “แล้วขนตาที่ ยาวผิดปกตินี่ล่ะครับ” “ก็เพื่อที่จะป้องกันลม ทราย แสงแดด ในทะเลทรายยังไงล่ะจ๊ะลูก” แม่ตอบด้วยความเอ็นดู เมื่อผม คลิกเปลี่ยนหน้าต่อไป ผมก็อดขำ�และอดคิดไม่ได้ ต่อคำ�ถาม สุดท้ายของเจ้าอูฐตัวลูก “ผมเข้าใจแล้ว ..คำ�ถามสุดท้ายนะ ครับแม่ แล้วเรามาทำ�”...”อะไรในสวนสัตว์แห่งนี้” ภาพซูม ออกเห็นแม่ลูกคู่นี้ยืนคุยกันอยู่ในกรงภายในสวนสัตว์ ปิด ท้ายด้วยประโยคนี้ครับ Skills ,Knowledge ,Abilities and Experiences are only useful if you are at the right place. จบด้วยคำ�ถามที่ว่า Where are you now? ความ รู้ ความสามารถ ประสบการณ์คงไม่มีประโยชน์อะไรเลยหาก มันอยู่ผิดที่ผิดทาง คนที่มีพรสวรรค์ในการเขียนเพลง หาก เจ้าตัวไม่รู้ตัวเองหรือบางทีรู้แต่ไม่มีโอกาสหรือรู้แต่ไม่กล้า แสดงออก แล้วหันไปทำ�อย่างอื่น นั่นอาจเท่ากับปิดโอกาส ตัวเอง และก็เป็นได้แค่คนทำ�งานทั่ว ๆ ไป ไม่สามารถสร้าง ประโยชน์สูงสุดให้กับตัวเองหรือให้กับองค์กรอีกด้วย หาก เอ่ยชื่อ เจอร์รี กอฟฟิ่น (Gerry Goffin) นักแต่งเพลงชื่อ ดังหลายคนอาจจะฟังไม่คุ้นชื่อ แต่หากพูดถึงเพลงเหล่านี้เช่น “The Locomotion” “ Up on the Roof “ “One Fine Day “ “Chains “ “Natural Woman ““ Saving all my love for you” “ Will You Love Me Tomorrow” หลาย คนน่าจะคุ้นขึ้นมาบ้าง เจอร์รี่เป็นนักเขียนเพลง เขาหลงใหล ในการเขียนเพลงตั้งแต่เรียนอยู่ที่ควีนส์ คอลเลจ ในปี 1958
ซึ่งเขาได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งต่อมากลายมาเป็นคู่ขาใน การแต่งเพลงและคู่ชีวิตในเวลาต่อมาเธอคือคาโรว์ คิง (Carol King) เมื่อเริ่มออกเดทกัน ทั้งคู่พบว่าเปียโนนั้นน่าสนใจและ น่าตื่นเต้นยิ่งกว่าการไปดูหนังเสียอีก จากนั้นก็เริ่มแต่งเพลง ด้วยกัน เจอร์รี่ เขียนเนื้อเพลงมาตั้งแต่อายุ 8 ขวบแต่ก็ไม่ เคยพบคู่หูที่เขารู้สึกดีสักคนจนกระทั่งมาพบ คาโรว์ ทั้งสอง แต่งงานกันในปี 1959 เจอรี่กับคาโรว์ยังคงรักที่จะแต่งเพลง แม้ในวันนั้นมันจะไม่มีอะไรยืนยันถึงความมั่นคงในอาชีพนี้เลย “คาโรล มีขีดความสามารถสูงมากในการแต่งทำ�นองที่ยอด เยี่ยม เธอลึกซึ้งเรื่องโครงสร้างของคอร์ดมาก เธอจะไม่มีวัน ที่จะใช้โครงสร้างของคอร์ดแบบทั่ว ๆ ไป และผมคิดว่าเราทำ� มันออกมาได้ดีทีเดียวล่ะ(หัวเราะ)พ่อแม่ของคาโรลไม่เห็นด้วย อย่างยิ่งกับอาชีพเขียนเพลง พ่อของผมสนับสนุนแต่แม่ของ ผมไม่เห็นด้วย แม่ว่าผมจะบ้าไปแล้วเหรอ นั่นเพราะคะแนน เรียนของผมร่วงหมดอย่างไม่เป็นท่า” เจอรี่รำ�ลึกถึงวันเก่า ๆ จนกระทั่งอายุ 32 ปีเจอร์รี่ก็ยังสงสัยอยู่ว่าไอ้อาชีพเขียน เพลงนี่มันจะเหมาะสำ�หรับใครสักคนได้จริง ๆ ล่ะหรือ เขากลับ ไปเรียนและทำ�งานเป็นนักเคมีรับเงิน 11,000 เหรียญต่อปี แต่ ในที่สุดเขาก็บอกกับตัวเองว่า “นั่นมันไม่ใช่ตัวเขา” แล้วก็หัน กลับไปเขียนเพลง “ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับไอ้ หลอดทดลองพวกนี้อีกต่อไปแล้ว” จากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มแต่ง เพลงร่วมกันอย่างจริงจังเริ่มต้นจาก 150 เพลงที่จัดว่าเป็น เพลงที่แย่มาก ๆ จนทั้งคู่ได้เพลงฮิตเพลงแรกมานั่นคือเพลง “Will You Love Me Tomorrow?” ซึ่งขับร้องและบันทึก เสียงครั้งแรกโดย The Shirrelles ในปี 1961 ขึ้นถึงอันดับ 1 ในอเมริกา และอันดับ 4 ในอังกฤษ กอฟฟินและคิง กลายมา เป็นคู่นักแต่งเพลงที่แต่งเพลงฮิตติดต่อกันตั้งแต่วันนั้น เป็นคู่ ที่ทุกคนใผ่ฝัน แม้ในวันที่พอล แมคคาร์ทนี่และจอห์น เลนนอน เริ่มต้นที่จะเขียนเพลงร่วมกัน พวกเขาบอกว่าอยากที่จะเป็น เช่นกอฟฟิ่นและคิง http://www.youtube.com/watch?v=c_cRHw8PAPA
“ผมเป็นมือกีตาร์ของวง และกีตาร์ที่ใช้ก็ต้องเป็น กีตาร์ไฟฟ้า เพราะเพลงของพวกเรานั้นเป็นเพลงร็อกที่ค่อน ข้างหนัก ผมไม่ค่อยคุ้นเคยกับกีตาร์อะคูสติกนัก ดังนั้นวัน หนึ่งผมจึงอยากลองที่จะขยายขอบเขตการเล่นกีตาร์ของตัว เอง พยายามฝึกเล่นปิ๊คกิ้ง ผมอยู่ในห้องและก็หัดเกากีตาร์ โปร่งของผมไปเรื่อยเปื่อย แล้วภรรยาผมก็เดินเข้ามาในห้อง เธอเดินตามเสียงกีตาร์ของผมเข้ามา” “เพราะดีนะ คุณน่าจะ ลองเขียนเนื้อเพลงใส่ลงไป” เธอเอ่ยกับผม “ผมแค่ฝึกเล่น เท่านั้นเอง มันยังใช้ไม่ได้หรอก” ผมรีบปฏิเสธคำ�แนะนำ�ของ เธอ “แต่มันเพราะทีเดียวนะ อย่าลืมใส่เนื้อลงไปล่ะ” เธอไม่ยอม แพ้ แล้วเธอก็เคี่ยวเข็ญให้ผมแต่งเพลงนี้ออกมา จนในที่สุด ผมก็จำ�ต้องเขียนมันออกมาให้เธอ วันต่อมา ในขณะที่เรา กำ�ลังซักซ้อมเตรียมงานบันทึกเสียงสำ�หรับอัลบั้ม Point of Know Return ทุกเพลงพร้อมหมดแล้ว แต่ใครคนหนึ่งถาม ผมว่า “นายมีเพลงอื่นอีกหรือเปล่า” ผมลังเลสักครู่ ก่อน ที่จะตอบออกไปแบบไม่ค่อยแน่ใจ “เอ้อ ความจริงก็มีอยู่อีก เพลงหนึ่ง แต่พวกนายคงไม่ชอบหรอก มันไม่ใช่แคนซัส” ผม อิดเอื้อนที่จะเล่นมันให้พวกเขาฟัง แต่ก็ทนรบเร้าไม่ไหว ใน ที่สุดผมจึงเล่นมันด้วยกีตาร์โปร่งตัวนั้น ผมแปลกใจมาก เมื่อทุกคนรู้สึกชอบเพลงนี้ “เราต้องทำ�เพลงนี้ให้เสร็จ” มีการถกถียงกันภายในวง เพราะ ผมปฏิเสธเพลงนี้ตั้งแต่แรก ผมบอกพวกเขาว่า “นี่มันไม่ใช่ เรา ไม่ใช่แคนซัส” ถึงวันนี้ทุกคนคงรู้แล้วว่า ผมถูก หรือ ผิด “Dust In The Wind”กลายเป็นเพลงฮิตที่ยิ่งใหญ่ตลอดกา ลเพียงเพลงเดียวของวงเรา!” ผมเริ่มต้นเรื่องราวในวันนี้ ด้วยคำ�บอกเล่าของ Kerry Livgren (Songwriting/Guitarist) มือกีตาร์และนักแต่งเพลงของ KANSAS วงโปรเกรส ซีฟร็อคที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดวงหนึ่งในยุค 70’-80’ งานของ แคนซัสถือเป็นงานที่โลดโผนมากในความรู้สึกของผม เพลง “Lonely Wind”เป็นเพลงแรกที่ผมได้รู้จักแคนซัส จากนั้น เพลงอื่น ๆ ก็ได้ถูกตามล่าไม่ว่าจะเป็น “Song for America” , Carry On Wayward Son”,”Point of Know Return” และ “Dust In The Wind” การนำ�เครื่องสายหรือไวโอลินมาใช้ใน บทเพลงร็อกดูจะเป็นสิ่งที่แปลกใหม่มากสำ�หรับผมในวันนั้น และเป็นสิ่งหนึ่งที่เรียกร้องความสนใจให้กับทางวง แต่ที่วิเศษ ไปกว่านั้นนั่นก็คือพวกเขาทำ�ได้อย่างน่าฟัง เกิดเป็นสไตล์ ส่วนตัวขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ มันคล้ายกับว่าผมกำ�ลังฟัง
เพลงคลาสิคที่ไม่น่าเบื่อ หรือไม่ก็ฟังเพลงร็อกที่ไม่ได้เอาแต่ แผดเสียง หากแต่งดงามในท่วงท่าของดนตรี การเรียบเรียง เสียงประสานและเนื้อหาของบทเพลง แม้ตัวผมเองจะชื่นชอบ และมีอัลบั้มเรียกว่าแทบจะทุกชุด ตั้งแต่เป็น คาสเซ็ท(รายได้ น้อย) จนมาเริ่มสะสมเป็นแผ่นซีดี(เริ่มมีเงินขึ้นมาบ้าง) แต่มา จนถึงเมื่อวานนี้ ผมยังไม่เคยได้ดูวงดนตรีวงนี้เล่นสดสัก ที ไม่สามารถหาซื้อคอนเสิร์ตไม่ว่าจะในรูปแบบใด กว่าผมจะ ได้ดูการแสดงสดของวงนี้ก็เพิ่งจะเมื่อวานนี้เอง(ในรูปแบบ ของดีวีดี)ปรากฎว่าภาพที่ผมเห็นสมาชิกทุกคนเป็นผู้สูงอายุ กันหมดแล้วรวมทั้งผมซึ่งเป็นคนดูด้วย เป็นภาพบันทึกการ แสดงสดเมื่อปี 2002 แม้สภาพร่างกายจะเปลี่ยนแปลงและ ร่วงโรยไปอย่างไร แต่ฝีมือของทั้งหมดยังคงเฉียบคม ดนตรี ของพวกเขายังคงมีเอกลักษณ์และชวนติดตามเช่นเดิม ผม นั่งดูและฟังอย่างตื่นเต้นเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เห็นวงนี้เล่น สดแม้ จ ะช้ า ไปสั ก หน่ อ ยแต่ ด นตรี ข องพวกเขายั ง คงเก๋ า ไม่ ได้ร่วงโรยไปแม้แต่น้อย ในชั่ววูบแห่งความรู้สึกนั้น มันเป็น ครั้งแรกที่ผมรู้สึกเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงคำ�กล่าวที่ว่า “ชีวิต สั้น ศิลปยืนยาว” “ผู้คนส่วนใหญ่พยายามที่จะตีความ ค้นหา ความหมายของสิ่งที่ผมเขียนลงในเพลง ๆ นี้ ความจริงแล้ว ผมอ่านมันพบในหนังสือกวีของอินเดียน (American Indian Poetry) ในหนังสือเขียนไว้ว่า “For all we are is dust in the wind” มันเป็นความจริงของทุกชีวิตบนโลก เราประสบ ความสำ�เร็จ มั่งคั่งด้วยเงินทองและชื่อเสียง บรรลุเป้าหมาย ในชีวิต แต่สุดท้ายพวกเราทุกคนก็กำ�ลังเดินทางกลับสู่ผืนดิน อีกครั้ง นั่นคือสิ่งที่เพลงนี้พยายามสื่อถึง แต่น่าแปลกที่ผู้คน พยายามที่จะตีความมันไปต่าง ๆ นา ๆ และผลของมันก็คือ เพลงนี้สามารถขึ้นชาร์ตเพลงคันทรี ขึ้นชาร์ตเพลงป็อป ขึ้น ชาร์ตเพลงอิสซี่ ลิสซึ่นนิ่ง มันข้ามเส้นแบ่งประเภทของเพลง ได้อย่างน่าประหลาด” http://www.youtube.com/watch?v=_wp4O7v5320
หากเลือกได้ผมคงเลือกที่จะมีความสุขมากกว่า ความทุกข์ คงเลือกที่จะอยู่กับเรื่องสนุกๆ มากกว่าอยู่ในที่ เครียดๆ อยู่กับคนสวยๆ มากกว่าคนหน้าบึ้ง ชอบดูหนัง สนุก ๆ มากกว่าหนังเศร้า แต่พอมาถึงเพลง ผมกลับ ชอบฟังเพลงช้าและเพลงเศร้า เอาเข้าจริงๆ น่าจะมีคนที่ เป็นเช่นผมอยู่ไม่น้อย เพราะทราบหรือไม่ว่าค่ายเพลงที่ทำ� เพลงออกมาขายนั้น เขาจะให้ความสำ�คัญกับเพลงช้าๆ เพ ลงเศร้าๆ ค่อนข้างมาก เพราะอะไรหรือครับ เพราะมันเป็น เพลง”ขาย”ครับ อัลบั้มจะขายดีหรือไม่ดีนั้นขึ้นอยู่กับอัลบั้ม นั้นมีเพลงช้าที่”โดน”หรือไม่เท่านั้นเอง ผมเคยมีโอกาสได้ พูดคุยกับน้องๆ แฟนคลับของปาล์มมี่และมิสเตอร์ทีม เมื่อ ครั้งที่ยังทำ�งานอยู่ที่อาร์พีจี ในแกรมมี เราพูดคุยกันถึง เรื่องราวเกี่ยวกับศิลปบันเทิงในด้านต่างๆ ทั้งหนัง หนังสือ และเพลง ผมถามเธอว่าเรื่องราวประเภทไหนที่เธอชอบเป็น พิเศษ คำ�ตอบคือเรื่องเศร้า โดยเฉพาะเพลงเศร้า ทำ�ไมล่ะ หรือ “เพราะมันทำ�ให้หนูร้องไห้” หากในวันนั้นผมถามเธอต่อ ไปว่า แล้วเธอคิดว่าเพลงอะไรที่เศร้าที่สุดสำ�หรับเธอ ผมคิด ว่าผมคงได้คำ�ตอบมาหลายเพลง เพราะด้วยคำ�ถามเดียวกัน หากผมเป็นฝ่ายถูกยิงคำ�ถาม คำ�ตอบของผมก็คงมากมาย เช่นกัน เพราะผมคิดว่าน่าจะมีเพลงมากกว่าหนึ่งซึ่งทำ�ให้เธอ ร้องไห้ ผมเองนั้นยังไม่เคยถึงขั้นฟังเพลงใดเพลงหนึ่งแล้ว ถึงกับร้องไห้ อย่างมากเพลงก็แค่ทำ�ให้ผมนึกถึงเหตุการณ์ ที่เพลงๆ นั้นเคยเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งเหตุการณ์สะเทือนใจดัง กล่าวมักจะเป็นเรื่องของความรัก ด้วยเหตุที่เราใช้เพลงเป็น สื่อเพื่อโยงเข้าหาตัวเราเองนี่กระมัง บางครั้งมันจึงทำ�ให้ เราเสียน้ำ�ตาไปกับมันได้ แต่เพลงที่ผมกำ�ลังจะพูดถึงต่อไป นี้ไม่เพียงแต่ทำ�ให้เสียน้ำ�ตา แต่มันคร่าชีวิตคนเลยทีเดียว “GLOOMY SUNDAY” เพลงแห่งความตาย เพลงนี้ถูก แต่งขึ้นโดย 2 นักดนตรีไส้แห้งชาว ฮังกาเรียน เรซโซ เซเรส (Rezso Seress)และลาสซ์โล จาเวอร์(Laszlo Javor) เมื่อ ปี 1933 มีหลักฐานบันทึกไว้ว่าเพลงนี้ทำ�ให้คนในฮังการีฆ่า ตัวตายเป็นจำ�นวนมาก แม้กระทั่งตัวเซเรสเองก็กระโดดลงมา จากอาพาร์ทเมนต์ของเขาเองและเสียชีวิตลงในปี 1968 คน แรกที่ยอมมอบชีวิตให้กับเพลง ๆ นี้คือ นายโจเซฟ เคลเลร์
(Joseph Keller) ช่างซ่อมรองเท้าในกรุงบูดาเปส ตำ�รวจ พบข้อความบางตอนจากเนื้อเพลงในหนังสือลาตายของ เขา มันเป็นเนื้อเพลงของ”GLOOMY SUNDAY” จากนั้น มาเพลง ๆ นี้ก็เข้าไปเกี่ยวข้องกับการตายมากกว่าหนึ่งร้อย ราย หลายรายกระโดดลงแม่น้ำ�ดานูบเสียชีวิตแต่ในมือกำ�เนื้อ เพลง”GLOOMY SUNDAY” ไว้แน่น สุภาพบุรุษคนหนึ่งออก จากไนท์คลับในคืนหนึ่ง แล้วระเบิดสมองตัวเอง หลังจากที่ เพิ่งขอให้วงดนตรีเล่นเพลง”GLOOMY SUNDAY”ให้ฟัง เพลงได้รับการถ่ายทอดและแปลเป็นภาษาอังกฤษโดยแซม เลวิซและเดสมอน คาร์เตอร์(Sam M.Lewis and Desmond Carter) และขับร้องเป็นคนแรกโดย ฮาล เคมพ์(Hal Kemp) ในปี1936 ตามมาด้วยอาร์ตี้ ชอว์(Artie Shaw) และบิลลี่ ฮอ ลิเดย์(Billy Holiday)ในปี 1941ซึ่งเวอร์ชั่นของ บิลลี่นี่แหละ ที่ทำ�ให้เพลงนี้โด่งดังไปทั่วโลก เมื่อครั้งที่เซเรสเขียนเพลงนี้ ขึ้นมาไม่มีบริษัทเพลงใดสนใจ แต่เมื่อมันถูกผลิตตออกมา ไม่นาน มันก็กลายเป็นเพลงฮิตและมียอดขายระดับเบสเซล เลอร์เลยทีเดียว เมื่อเพลงขายดี เซเรสติดต่อแฟนเก่าของ เขาเพื่อขอคืนดี หลังจากที่เธอตีจากเขาไปก่อนหน้านี้ วัน ต่อมาพบเธอเสียชีวิตด้วยยาพิษ ข้าง ๆ ร่างไร้วิญญาณมี ข้อความสองคำ�เขียนทิ้งไว้ ......“GLOOMY SUNDAY” เมื่อ ถามเซเรสว่าเขาคิดอะไรอยู่ในหัวตอนที่เขียนเพลงนี้ เขาตอบ ว่า “มันเหมือนกับว่าผมเป็นจำ�เลยที่ยืนอยู่ท่ามกลางความ ตายอันลึกลับ ชื่อเสียงอันอ่อนนุ่มเฆี่ยนตีผม ผมร้องอย่าง โหยหวนด้วยความผิดหวังเสียงร้องที่มาจากก้นลึกแห่งหัวใจ ผมใส่ความรู้สึกทั้งหมดเหล่านั้นลงไปในเพลง มันคล้ายกับ ว่าหลาย ๆ คนที่รู้สึกเช่นเดียวกันกับผม ได้พบความเจ็บปวด ของพวกเขาเองในเพลง ๆ นี้ของผม” http://www.youtube.com/watch?v=KUCyjDOlnPU
ผมเป็นคนหนึ่งซึ่งชอบเข้าร้านหนังสือบ่อยๆ เพราะไม่อยากพลาดโอกาสที่หนังสือดีๆ และใหม่ๆ ออกมาแล้วจะหาซื้อไม่ได้ในภาย หลัง จึงพยายามเข้าร้านหนังสือบ่อยเพื่อจะได้พบเจอหนังสือใหม่ ๆ ก่อนใครและไม่พลาดการเป็นเจ้าของ ปัจจุบันจึงมีหนังสือเต็มหลาย ชั้นที่อ่านจบไปแล้ว และอีกหลายชั้นที่รอการเปิดอ่าน บางครั้งแปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าบ้าอะไรมากมายขนาดนั้นบางเล่มรอเวลาเป็นปี นับจากวันที่ซื้อถึงวันที่เปิดอ่าน(ผมจะเขียนวันที่ไว้ที่หน้าแรกทุกเล่มว่าซื้อมาเมื่อวันที่เท่าไร เดือนอะไร ปีอะไร) งานหนังสือแห่งชาติที่ศูนย์สิ ริกิต ซึ่งจัดขึ้นปีละ 2 ครั้ง เป็นอีกหนึ่งงานที่ผมไม่เคยพลาด เพราะจะเป็นงานที่มีหนังสือใหม่ ออกมาเยอะมาก ผู้คนเบียดเสียด ยัดเยียด เห็นแล้วก็ชื่นใจที่คนไทยเรานิยมอ่านหนังสือกันมากขึ้นทุกปีๆ เพราะการไปงานนับวันจะยากขึ้นทุกที ผมไม่สามารถหาที่ยืนอ่านหนังสือเพื่อ สำ�รวจคร่าวๆ ถึงเนื้อหาข้างใน ทำ�ได้อย่างมากก็แค่เหลือบๆ มอง และทราบรายละเอียดเพียงคร่าวๆ เกี่ยวกับตัวหนังสือ บางทีก็เป็นเพราะ ผู้เขียน บางครั้งก็เป็นเพราะผู้แปล บางครั้งก็เป็นเพราะชื่อของหนังสือที่ชวนซื้อ ในความชื่นใจที่เห็นคนเยอะแยะมากมาย อีกความรู้สึก หนึ่งก็คือ คนไทยเราซื้อและขายหนังสือกันจริงๆ จังๆ ปีละสองครั้งเองหรือ คงจะดีหากที่ร้านหนังสือ ทุกๆ วัน จะมีคนเข้าร้านและเลือก ซื้อหนังสือมากมายเหมือนวันงาน จากงานหนังสือที่ผ่านมาผมได้หนังสือที่ถูกใจมาหลายเล่ม และค่อย ๆ เริ่มต้นจากการเปิดอ่านคำ�นำ� คำ� นิยมของทุกเล่ม เพื่อเลือกเล่มที่จะ (พยายาม) อ่านก่อน (แต่ก็ไม่เคยทำ�สำ�เร็จ เดี๋ยวก็ต้องค้างคาไว้เหมือนเดิม) “จิ้งหรีดแห่งเมืองสีเทา” เขียนโดยบอย ตรัย คือเล่มที่ผมควักเงินซื้อเพราะชื่อหนังสือและชื่อคนเขียน ผมรู้จักกับบอย ตรัย มาด้วยระยะเวลาไม่นานนักน่าจะสักสอง ปีได้ ในขณะที่เขียนบทความอยู่นี่ ผมยังอ่าน จิ้งหรีดแห่งเมืองสีเทา ยังไม่จบดี แต่พอจะรู้สาเหตุและแรงบันดาลใจในการเขียนหนังสือเล่มนี้ ของบอยได้พอประมาณ แต่ละบทในหนังสือเล่มนี้แสดงออกถึงความรู้สึก ความประทับใจ ความเหงา ความโดดเดี่ยว และอีกหลายๆ ความ ที่ผู้เขียนผ่านพบ รู้สึก และสังเกตเห็นมาทั้งในเมือง ในชีวิต หรือบางทีอาจจะเป็นในโลก จิ้งหรีด ตัวแทนของคนที่ชอบร้องรำ�ทำ�เพลง และ ดูเหมือนจะไม่เป็นที่ยอมรับของสังคมเมืองอันเร่งรีบ ที่วุ่นวายอยู่กับการ “ทำ�งาน” จิ้งหรีดถูกมองว่าเป็นพวกไม่ทำ�งาน เมื่อจิ้งหรีด พูด อะไรคนในเมืองใหญ่ก็ไม่มีใครฟัง หรือเหมือนจะฟังแต่ก็ไม่ได้ยิน บอยบอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้ได้อย่างเหงาและเข้าใจในความเป็นไปของโลก ในขณะที่พวกจิ้งหรีดต่างพากันท้อกับการสร้างสรรค์งานเพลงแต่ทุกวันนี้กลับคล้ายว่าจะหาคนฟังไม่ได้ บรรดาจิ้งหรีดพากันบ่นและท้อแท้ แต่บอย ตรัย ครั้งหนึ่งเคยคุยกับผมว่ารู้สึกอย่างไรกับเหตการณ์ที่กำ�ลังเกิดขึ้นในวงการเพลงของไทย ในฐานะที่ผมก็ทำ�งานอยู่ในวงการ นี้มาพอสมควร ผมยังไม่ทันที่จะได้ตอบ บอยก็เผยความคิดของเขาว่า เขายังเชื่อมั่นว่าวงการเพลงไม่ได้เป็นอะไร ยังคงมีคนฟังเสียง จิ้งหรีดอยู่ บอยยังคงมีศรัทธากับสิ่งที่เขาทำ�อยู่เสมอ บอยยังคงคิดและเขียนความคิดของเขาออกมาทั้งในรูปแบบของเพลงและบทความ คุณโหน่ง วงศ์ทนง ซึ่งทำ�หน้าที่เป็นบอกอให้กับ จิ้งหรีดแห่งเมืองสีเทา เล่มนี้ บอกว่า เมื่อได้อ่านเรืองต่างๆ ในหนังสือเล่มนี้ก็คล้ายกับ ได้ฟังเพลง เหมือนมีท่วงทำ�นองคลอขึ้นมาในขณะที่อ่าน ผมเองก็รู้สึกเช่นนั้น แม้ทุกวันนี้ผู้คนมากมายภายในเมืองวุ่นวายแห่งนี้จะไม่มีใคร สนใจเสียงจิ้งหรีดตัว(ใหญ่)นี้ แต่ผมเชื่อว่าเขาจะยังคงส่งเสียง เพียงเพราะความรักและความศรัทธาต่อไป จิ้งหรีดเดียวดาย บอกผมไว้ แบบนั้น ไวโอลินของไอน์สไตน์ ผมสะดุดกับชื่อหนังสือเล่มนี้ สงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องอะไร แล้วไอน์สไตน์ไปเกี่ยวข้องอะไรกับไวโอลิน เพราะโดยปกติตั้งแต่สมัยยังเรียนหนังสืออยู่นั้น เมื่อเอ่ยชือ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ สิ่งเดียวที่ผมจะนึกถึงจนถึงวันนี้ก็คือ E = mc 2 เห็นภาพ คนแก่หัวกระเซิง วันวันท่านคงคิดแต่สูตรสมการวิทยาศาสตร์ ซึ่งผมเองก็ไม่สามารถเข้าถึงตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบัน เพิ่งมาพบว่าในสมัย เด็ก ๆ ไอน์สไตน์ชอบดนตรีมาก ถึงกับมีคนบอกว่าหากท่านไม่ได้เป็นนักวิทยาศาสตร์ ท่านก็คงจะยึดอาชีพนักดนตรี หนังสือเล่มนี้กล่าว ถึงอิทธิพลของดนตรี ที่ผู้เขียนซึ่งเป็นวาทะยากรมาตลอดชีวิตได้ถ่ายทอดเรื่องราวของดนตรี ที่มีผลต่อชีวิต มีผลต่อการเปลี่ยนแปลง มากมายหลายอย่างกับสังคมบนโลก ถึงขั้นที่ดนตรีสามารถจะสยบกระสุนปืนได้เลยทีเดียว ผมยังอ่านไม่จบครับ เล่มนี้คงต้องมีเวลา มี สมาธิสักหน่อย ค่อยมานั่งอ่าน ผมเพียงแต่แปลกใจและไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของโลกรักดนตรีมาตั้งแต่ เด็ก และเลือกที่จะเป็นนักดนตรีมากกว่าวิทยาศาสตร์หากท่านสามารถเลือกได้ สังเกตกันไหมครับว่า ในบ้านเราดนตรีเริ่มเป็นที่สนใจมากขึ้น เรื่อย ๆ ผู้ใหญ่ ผู้ปกครอง เริ่มสนับสนุนบุตรหลานให้รักดนตรี เด็ก ๆ ก็กล้าที่จะแสดงออกกันมากขึ้น อาชีพที่ติดอันดับต้นๆ ที่เด็กรุ่น ใหม่ฝันและใฝ่กันในวันนี้ ไม่ใช่ หมอ ไม่ใช่แอร์ แต่เป็นนักร้อง นักแสดง วีเจ โมเดล แทนซะยังงั้น ในขณะที่ผู้ประกอบการด้านดนตรี บริษัท ดนตรีที่ผลิตอัลบั้มออกมาขายกำ�ลังวุ่นวายกับการแก้ไขปัญหายอดขายซึ่งนับวันจะตกต่ำ�ลงเรื่อยๆ แต่ในอีกด้านหนึ่งโรงเรียนสอนร้อง เพลง สอนดนตรี เหล่านี้กลับได้รับความสนใจมากขึ้น ผมจึงอดสงสัยไม่ได้ว่า เมื่อวันที่นักเรียนเหล่านี้เรียนจบกันออกไปและพร้อมที่จะ ออกอัลบั้มกันแล้ว มันจะขายได้หรือเปล่า แล้วบริษัทดนตรีเหล่านี้พร้อมและกล้าที่จะสนับสนุนพวกเขาหรือเปล่า บริษัทใหญ่ๆ เหล่านี้และนัก ร้องรุ่นใหม่ๆ เหล่านี้ จะมีศรัทธาอันแรงกล้าเหมือนจิ้งหรีดเดียวดายของผมหรือเปล่า
40 กว่าปีที่แล้ว “บีทเทิ้ล ยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้า” ผู้กล่าวคือจอห์น เลนนอน หนึ่งในสมาชิก 4 คนของคณะสี่ เต่าทองซึ่งทั่วโลกกำ�ลังคลั่งไคล้ คำ�พูดดังกล่าวถูกวิพากษ์ วิ จ ารณ์ อ ย่ า งหนั ก จากสื่ อ มวลชนและคนที่ ไ ม่ เ ห็ น ด้ ว ยว่ า “พวกเอ็งน่ะเหรอยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้า”มีการเคลื่อนไหวต่อ ต้าน มีการนำ�อัลบั้มของพวกเขามาเผา จนทั้ง 4 คนต้อง ออกมาขอโทษและชี้แจง ต่อแฟน ๆ ซึ่งความจริงก็ไม่น่าจะใช่ แฟนพวกเขาสักเท่าไร (เพราะแฟน ๆ พวกเขาคงเห็นด้วยกับ ประโยคดังกล่าว) 10 พฤษภาคม 1955 มาร์ค เดวิด แชปแมน(Mark David Chapman) ถือกำ�เนิดในครอบครัวชั้นกลาง พ่อ ทำ�งานในหน่วยกองบินทหารอากาศ แม่เป็นพยาบาล แชปแมน จัดเป็นเด็กปกติและมีไอ้คิวที่เกินมาตรฐาน แต่เขาโตขึ้นมาใน สภาพที่หวาดกลัวและหวาดผวาตลอดเวลา พ่อของเขามักจะ ชอบทำ�ร้ายแม่เป็นประจำ� เสียงกรีดร้องของแม่ทุกครั้งที่แม่ ถูกพ่อทำ�ร้ายมันค่อย ๆ สร้างความโกรธแค้นในใจแก่เขา บาง ครั้งเขาจินตนาการว่าเขาจะหาปืนให้ได้สักกระบอกและกำ�จัด พ่อไปให้พ้นจากบ้านเสียที “บางครั้งผมรู้สึกว่าตัวเองนั้นเป็น พระราชา และมีประชาชนแวดล้อมอยู่ภายในอาณาจักรของ ผม ผมคือฮีโร่ของทุก ๆ คน หนังสือพิมพ์ตีพิมพ์เรื่องของ ผมทุกวัน นอกเหนือจากทีวี ที่ผมได้ออกอากาศและปรากฏ ตัวอยู่เป็นประจำ� ผมกลายเป็นบุคคลสำ�คัญที่สุดในชีวิตของ พวกเขา พวกเขานับถือ เชื่อและศรัทธาในตัวผม เหมือนกับ ตัวผมนั้นอยู่เหนือความผิดทั้งปวง และเมื่อผมไม่ชอบใจใคร ผมก็เป่ามันซะ กำ�จัดมันทิ้ง ไม่มีใครโกรธหรือเอาโทษผม แล้ว ทุกอย่างก็กลับไปเป็นปกติ” แชปแมนบอกกับผู้สื่อข่าว 8 ธันวาคม 1980 “Mister Lennon !” แชป แมนร้องเรียกเลนนอนในขณะที่เลนนอนกำ�ลังเดินออกจาก ดาโกตา อาพาร์ทเม็นต์ในนิวยอร์คเพื่อไปบันทึกเสียงอัลบั้ม ใหม่พร้อมกับภรรยา โยโกะ โอโนะ ในมือของแชปแมนมีอัลบั้ม ของเลนนอน เขายื่นมันออกไปเหมือนแฟนเพลงที่หลงไหลใน ศิลปิน เลนนอนเซ็นต์ชื่อลงบนแผ่นเสียงและส่งคืนให้เขา
หลายชั่ ว โมงผ่ า นไปเลนนอนและโยโกะกลั บ จากห้ อ งบั น ทึ ก เสียงมาถึงอาพาร์ทเม็นต์ แชปแมนยังอยู่ที่นั่น เขาเดินตาม หลังเลนนอนไป ในมือไม่มีอัลบั้มเลนนอนแต่มี .38 กระบอก โต “Hey Mister Lennon!” คราวนี้ยังไม่ทันที่เลนนอนจะหัน มา กระสุนทั้ง 5 นัดก็กระหน่ำ�ลงบนร่างของเขา กระสุนหนึ่ง ในนั้น ตัดเส้นเลือดใหญ่ทำ�ให้เขาเสียเลือดอย่างมากและอย่าง รวดเร็ว เลนนอนเสียชีวิตตั้งแต่ยังไม่ถึงโรงพยาบาล เขาเสีย เลือดไปจนหมดร่างกาย หลังจากจบชีวิต “พระเจ้า”เมื่อ 40 ปี ก่อนเรียบร้อยแล้ว แชปแมนนั่งอ่านหนังสือรออยู่ตรงจุดเกิด เหตุ The Catcher in the Rye หนังสือที่เขาอ้างว่ามันคือ แรงบันดาลใจในการกระทำ�ครั้งนี้ ปี 2000 บทบรรณาธิการของนิตยสาร UNCUT ผู้อ่านนิตยสารดังกล่าวเขียนจดหมายมาเล่าเรื่องเก่าเมื่อ 30 กว่าปีที่แล้วให้บรรณาธิการฟัง “วันนั้น ผมอยู่ตรงนั้น ผู้ สื่อข่าวถามเลนนอนว่ารู้สึกอย่างไรที่ผู้คนคลั่งไคล้พวกเขา ขนาดนี้” เลนนอนกล่าวติดหัวเราะว่า “พวกเขาคลั่งไคล้และ แสดงออกอย่างกับว่า พวกเรานั้นเป็นพระเจ้า” เช้าวันรุ่งขึ้น หนังสือพิมพ์พาดหัวข่าว “บีทเทิ้ล ยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้า” แชปแมน....นายยิงผิดคนหรือเปล่า ติด คุกให้มีความสุขเถิด เพราะนายคงไม่ได้ออกมาแล้วล่ะ
“ผมจะรู้อะไรเกี่ยวกับการแต่งเพลงบ้างล่ะเนี่ย” บ็อบถามขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะร่วนอย่างพึงพอใจ เขาสวมกางเกงยีนส์ เสื้อ ยืด ดื่มกาแฟจากแก้ว แทนที่จะเป็นถ้วยกาแฟ “รสชาติกาแฟดีกว่ากินจากถ้วย”บ็อบกล่าวยิ้มๆที่มุมปาก กีตาร์โปร่งสีบรอนด์วางอยู่ใกล้ ๆ กับตัวเขา หากเราจะพูดถึงศิลปะการแต่งเพลงโดยที่ไม่ได้อ้างอิงถึงบุรุษผู้นี้ แม้ว่าเจ้าตัวจะปฏิเสธว่าตัวเขาเองนั้นไม่ใช่นักแต่งเพลงที่ วิเศษอะไร เขาเป็นแค่คนที่ใช้สัญชาติญาณในการเขียนเพลง นั่นจึงจะทำ�ให้เพลงมีพลังและมีความงดงามเทียบเคียงได้กับบทกวีที่โด่งดัง และเมื่อนำ�สิ่งที่เขียนนั้นมารวมกับท่วงทำ�นองและดนตรี สิ่งนี้ก็สามารถที่จะสื่อสารกับจิตวิญญาณแห่งมนุษย์ได้ จอห์น เลนนอน กล่าว ว่าเป็นเพราะเขาได้ฟังเพลงของดิแลน ทำ�ให้ตัวเขาหันมาให้ความสนใจที่จะแต่งเพลงซึ่งสะท้อนออกมาจากส่วนลึกในใจของตัวเขาแทนที่ จะเขียนเพลงป็อปแบบตื้นๆ “Help” เป็นเพลงที่แสดงออกซึ่งการร้องขอความช่วยเหลืออย่างจริงๆ พอล ไซมอนยังบอกว่าบ็อบนั้นมี อิทธิพลต่อการแต่งเพลงของเขาอย่างมากตั้งแต่ยุคเพลง ” Hey school girl” ร็อกแอนด์โรลในสไตล์ 50 จนถึง “The sound of silence” บ็อบจะแก้ไขปรับปรุงเนื้อเพลงของเขาตลอดเวลา แม้ว่าในสตูดิโอที่ทำ�การอัดเสียงไปแล้ว เขาบอกว่า การเขียนเพลงไม่ใช่การแกะ สลักบนหินซะเมื่อไร ด้วยวิธีการใช้ภาษาที่เต็มไปด้วยความหมายและความงดงาม โรเบิร์ต อัลเลน ซิมเมอร์แมน หรือ บ็อบ ดิแลน เกิดเมื่อ 24 พฤษภาคม 1941 ในมิเนโซต้า สหรัฐอเมริกา เขาได้รับอิทธิพลและแรงบันดาลใจในการเขียนเพลงจาก วู๊ดดี้ กัทรี บ็อบย้ายตัวเองเข้าสู่ นิวยอร์คด้วยเหตุผลที่ชัดเจนที่สุดก็คือ เขาต้องการไปพบและดูแลวู๊ดดี้ ซึ่งกำ�ลังป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลนิวเจอร์ซีและเสียชีวิตในเวลาต่อมา มาร์จอรี กัทรี ภรรยาของวู๊ดดี้ บอกว่าดิแลนเป็นเด็กที่ดีมากและมีความเชื่อและศรัทธาในตัววู๊ดดี้อย่างมาก แต่เธอกล่าวว่าเธอไม่ชอบเสียง ร้องของบ็อบสักเท่าไร และได้พยายามแนะนำ�ให้บ็อบออกเสียงให้ชัดเจนกว่านี้เวลาที่บ็อบร้องเพลงของเขา แต่คนที่ประทับใจในตัวบ็อบมาก กว่ามาร์จอรี ก็คือจอห์น แฮมเมอร์ โปรดิวส์เซอร์ที่ชักนำ�บ็อบให้เซ็นสัญญาออกแผ่นเสียงกับตราโคลัมเบีย แม้ว่าอัลบั้มชุดแรกของเขาจะ มีเพลงใหม่เพียงแค่สองเพลงเท่านั้น ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเพลงที่เขาเขียนอุทิศให้แด่วู๊ดดี้ “Song To Woody” และเพียงแค่อัลบั้มที่ 2 เท่านั้น เขาก็ได้สร้างเพลงซึ่งถือว่าคลาสสิคและถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ในแวดวงเพลงป็อป นั่นคือเพลง “ Blowing In The Wind” และเพลง “ Master Of War” บ็อบเปลี่ยนแปลงโลกและเปลี่ยนแปลงจิตใจของพวกเราด้วยงานระดับมาสเตอร์พีซของเขาอย่างต่อเนื่อง หลายๆ เพลงจัดอยู่ในประเภทคลาสสิคตลอดกาล เช่น The freewheelin’ Bob Dylan , Blonde on Blonde , Nashville Skyline , The Basement Tape , John Wesley Harding , Blood On The Tracks , Desire , Oh Mercy และอีกมากมาย “บางครั้งมันก็มากเกิน บางทีมันก็น้อยไป” เขาพูดถึงตัวเพลงของเขา แม้ว่าแวน มอริสัน จะให้ฉายาแก่บ็อบว่าเป็นกวีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก แต่เขาเองกลับไม่เคยคิด ว่าตัวเองเป็นกวี แต่อย่างใด “กวีจมน้ำ�หมดแล้ว” สำ�หรับเขาการเขียนเพลงมันเหมือนการเขียนคำ�สารภาพ “เพลงของผมไม่ได้ถูกกำ�หนด โดยตารางเวลา” เขากล่าว “ตอนที่คุณเขียนเพลงคุณใช้จิตสำ�นึกนำ�พาคุณไป หรือว่าคุณพยายามเดินตามความคิดของจิตใต้สำ�นึก” “แรง ขับเคลื่อนในเพลง เป็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในเพลงและคุณไม่มีทางรู้ได้เลย ไม่ว่าเพลงของใครก็ตามคุณไม่มีทางรู้ได้เลยว่าแรงขับเคลื่อนในเพลงๆ นั้นมันคืออะไร มันจะดีมากหากคุณสามารถปล่อยตัวเองไว้ในสภาพแวดล้อมที่ยอมรับให้สิ่งต่างๆ จากจิตใต้สำ�นึกในตัวคุณได้แสดงตัว ออกมา และจงปิดกั้นการควบคุมจากตัวคุณ อย่าให้มันครอบเรา ปล่อยให้มันไหลไป หลายคนที่เรียกตัวเองว่านักเขียน พวกเขาส่วนใหญ่ก็ รับข้อมูลข่าวสารมาจากทีวี หรือไม่ก็สื่อใดสื่อหนึ่งซึ่งมากระทบตัวเขาเหล่านั้น สิ่งที่เขาเขียนกันออกมามันจึงไม่ใช่นวนิยายที่ยิ่งใหญ่อีกต่อ ไปแล้ว คุณจำ�เป็นต้องเค้นความคิดความรู้สึกออกมาจากส่วนลึกของจิตใจออกมาให้ได้ “ทุกวันนี้ โลกเรามีเพลงมากเพียงพอแล้ว” “คุณ คิดอย่างนั้นจริงๆ หรือ” “ใช่มีมากพอแล้ว มีมากเกินพอเสียด้วยซ้ำ� ว่ากันตามจริงถ้าตั้งแต่วันนี้ ไม่มีใครแต่งเพลงออกมาอีกเลย โลกก็ ไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนอะไร ทุกวันนี้มีเพลงเพียงพอแล้วให้คนบนโลกได้ฟังถ้าเขาต้องการจะฟังเพลง ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง เด็กๆ เกือบทุกคนมี แผ่นเสียงครอบครองเป็นร้อยๆแผ่น พวกเขายังไม่เคยหยิบมาฟังซ้ำ�เสียด้วยซ้ำ� ผมจึงเชื่อว่าโลกเรามีเพลงเพียงพอแล้ว นอกเสียจากจะ มีใครสักคนสร้างงานออกมาจากหัวใจอันบริสุทธิของเขาซึ่งนั่นถือเป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งแตกต่างออกไป แต่เท่าที่ผ่านมาการเขียนเพลงเป็น เรื่องที่ใครๆ ก็ทำ�ได้แม้คนโง่ๆ ถ้าคุณเห็นผมทำ�ได้ คนโง่ๆ อีกหลายคนก็ทำ�ได้(หัวเราะ) มันไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร ทุกคนแต่งเพลงได้เหมือน กับที่ทุกๆ คนแต่งนวนิยายที่ยิ่งใหญ่ได้” “แต่เพลงของคุณนั้นมีมากกว่าการเป็นความบันเทิงที่ป็อปๆ” “ป็อป ไม่มีความหมายสำ�หรับผม ไม่มีความหมายจริงๆ มาดอนน่า..สุดยอด เธอเป็นมืออาชีพ เธอนำ�ทุกอย่างมาผสมผสานรวมกันเพื่อทำ�งานของเธอ เธอเรียนรู้ทุกอย่าง เพื่อนำ�มาสร้างงาน แต่การทำ�เช่นนั้นคุณจะต้องทุ่มเททั้งหมดกับมัน ปีแล้วปีเล่า คุณจะต้องเสียสละทั้งหมดที่คุณมีเพื่อจะทำ�สิ่งนั้น เสียสละ ทั้งหมดเท่าที่คุณมีเพื่อที่จะทำ�สิ่งที่ยิ่งใหญ่ มันต้องเป็นเช่นนั้น เหมือนกันหมดทุกเรื่อง”“แวน มอริสัน บอกว่าคุณคือบทกวีที่ยิ่งใหญ่ที่ยังมี ชีวิต คุณเคยคิดว่าตัวเองเป็นเช่นนั้นหรือเปล่า” “บางครั้ง บางครั้งผมก็รู้สึกเช่นนั้น แต่มันไม่จริงหรอก ไม่จริง” “กวีไม่ขับรถ (ยิ้ม) กวีไม่ ไปซูเปอร์มาร์เก็ต กวีไม่ต้องมีหน้าที่เทถังขยะ กวีไม่จำ�เป็นต้องไปหาแหล่งกู้เงินเพื่อซื้อบ้าน และอีกมากมายหลายอย่าง กวีไม่แม้กระทั่งรับ โทรศัพท์ กวีไม่พูดกับใครๆ กวีเอาแต่เงี่ยหูฟัง และโดยทั่วไปเขาจะรู้ตัวเองว่าเขาเป็นกวี(หัวเราะ) โลกเราไม่ต้องการบทกวีหรือบทกลอนอีก แล้ว เรามีเชคสเปียร์แล้ว ทุกอย่างมีเพียงพอแล้ว คุณนึกมาสิ ทุกอย่างมีพอแล้ว เรามีเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกอย่างเพียงพอแล้ว บางคนบอก ว่า หลอดไฟฟ้านี่ เดินทางมาไกลเกินไปเสียด้วยซ้ำ� กวีอยู่บนแผ่นดินนี้อย่างสุขุม สันโดษ และอยู่แต่ในดินแดนของพวกเขา แล้วก็อดตาย หรือไม่ก็จมน้ำ�ตาย กวีมักมีตอนจบที่ปวดร้าว ดูอย่างจิม มอริสันนั่น ถ้าคุณจะเรียกเขาว่ากวี
ตอนที่ผมยังเด็ก ผมเป็นคนที่คลั่งนิยายวิทยาศาสตร์มาก จิมมี่ระลึกความหลังให้ผมฟัง วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ ผมอยู่ที่โบสถ์ พ่อผมเป็นพลวงพ่ออยู่ที่นั่น ผมนั่งค่อนไปทางข้างหลังของโบสถ์ในมือมีบทสวดแต่ใต้บทสวดคือ นวนิยายวิทยาศาสตร์ พ่อผมกำ�ลังยืน นำ�สวดอยู่ด้านหน้า เมื่อพ่อมองมาข้างหลังสายตาของพ่อคงมองเห็นพิรุธบางอย่างในตัวผม “จิมมี่ ลูกทำ�อะไรอยู่น่ะ ไหนออกมาข้างหน้า นี่ซิ” ผมลุกเดินออกไปด้วยระยะทางที่ไกลพอสมควรทีเดียว “ยืนตรงนี้แล้วหันหน้าไปหาทุกคน” พ่อออกคำ�สั่ง “บอกกับทุกคนสิว่าแกอ่าน อะไรอยู่” ผมจำ�ต้องพูดออกไปว่า “Martian Chronicles” ครับ ด้วยสำ�เนียงโอคลาโฮมาที่นุ่มนวลและเนิบช้า ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่า จิมมีกำ�ลังพาเราเดินทางไปสู่เหตุการณ์บางอย่าง ทุกภาพที่เขาเล่าไม่ได้เพียงแค่รื้อฟื้นความทรงจำ�แต่มันนำ�เขากลับไปที่นั่นเลยทีเดียว และ เช่นกันเพลงที่เขาเขียนก็นำ�ผู้ฟังไปยังที่ๆเขาเล่าไว้ในบทเพลง จิมมีเกิด 15 สิงหาคม 1946 ที่ เอลค์ ซิตี้(Elk City) โอคลาโฮมา ดินแดนที่ สร้างสีสีนให้กับบทเพลงและความคิดแก่เขาอย่างมหาศาล เมื่อผมถามถึงที่มาของเพลง”Wichita Lineman” เขาบอกว่า ไอเดียมาจากโอ คลาโอมานี่แหละ เมืองที่ใกล้ๆกับแคนซัส เมืองที่แบนราบ เวิ้งว้าง โดดเดี่ยว ไฮเวย์ที่ทอดยาวกับเสาไฟข้างถนนไกลจนสุดลูกหูลูกตา เขา เกิดและโตนี่นั่นตังแต่เด็ก และย้ายไปแอลเอกับครอบครัวเมื่ออายุ 18 ปี เริ่มต้นเป็นคนบันทึกเสียงเมื่อปี 1964 อายุ 21 จิมมี่ก็กลายเป็นคน แต่งเพลงที่โด่งดังคนหนึ่งของฮอลลี่วู้ด เขาเขียนเพลงดังหลายเพลง อย่างเช่นเพลง “By the Time I Got to Pheonix”ซึ่งร้องโดย จอห์นนี่ รีฟเวอร์(Johny Rivers) เพลง “Up Up and Away” โดย เดอะฟิฟ ไดเม็นชั่น (The Fifth Dimention) เกลน แคมเบล (Glen Campbell) นักร้องที่ก่อนหน้านี้ยังไม่ได้รับความสำ�เร็จเท่าที่ควรจนกระทั่งเขาได้นำ�เพลงของจิมมีมาขับร้องเช่นเพลง “Wichita Lineman” “Galveston” “Where the Playground,Susie” “By the Time I Get to Phoenix” “Honey Come Back” รวมถึงริชาร์ด แฮร์ริสซึ่งพาตัวเองถึงจุดโด่งดังสุดขีดด้วยเพลงที่กล่าวถึงสถานที่สำ�คัญของแอลเอ “MacArthur Park” จิมมี่ไม่ประสบความสำ�เร็จใน การเป็นนักร้องเท่าไรเมื่อเทียบกับการเป็นนักแต่งเพลงของเขา อย่างไรก็ดีเขามีอัลบั้มที่ถือว่ายิ่งใหญ่ เริ่มต้นจาก “Words & Music” ใน ปี 1970 “Suspending Disbelief” ในปี 1993 และในปี 1996 กับอัลบั้มที่นักฟังเพลงไม่สามารถมองข้ามได้ “Ten Easy Pieces” คุณได้ ทำ�นองแต่ละเพลงมาจากไหน จากหลายวิธี หลายทาง ผมเขียนเนื้อเพลงเยอะ ในสมัยก่อนผมแต่งเพลงในรถโดยที่ไม่ต้องมีเปียโน ผมร้อง ทำ�นองออกมา ร้องเนื้อเพลงออกมาในขณะที่ขับรถไปเรื่อยๆ นั่นเป็นครั้งเดียวมั๊งที่ผมทำ�ได้อย่างนั้น การเขียนเพลงของผม บางครั้งก็ได้ เนื้อร้องก่อน บางทีก็ได้ทำ�นองก่อน บางครั้งก็มาพร้อมๆกันเลยทั้งเนื้อร้องและทำ�นอง สิ่งที่ผมชอบมากที่สุดก็คือการได้จดไอเดียหรือ เนื้อเพลงลงในสมุดบันทึก ผมมักจะบันทึกเนื้อเพลงที่ยังคร่าวๆไว้ก่อน จากนั้นผมก็จะไปที่เปียโนและเริ่มต้นค้นหาทำ�นองและสร้างอารมณ์ ให้กับเพลงๆนั้น เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วผมจะรู้ว่าตัวผมเองกำ�ลังตามหาอะไร ผมจะรู้ว่ากำ�ลังจะทำ�อะไรตั้งแต่ตอนที่เริ่มต้นเสมอ ผมไปไม่ ถึงที่นั่นทุกครั้งหรอกนะ แต่ผมก็พยายามที่จะสร้างภาพเหล่านั้นออกมาในเพลงให้ชัดเจนที่สุด ภาพที่เพลงนั้นๆมันควรจะเป็น ส่วนตัวแล้ว คุณมักเริ่มต้นจากเนื้อเพลงก่อน มันเป็นเช่นนั้นบ่อยๆ ใช่ ผมชอบตั้งชื่อเพลง ผมชอบที่จะเริ่มต้นจากชื่อเพลง ผมชอบที่จะใช้ชื่อเพลงที่ ดีนำ�ทางผมต่อไปในการแต่งส่วนที่เหลือแม้บางครั้งมันอาจจะไปจบลงที่ชื่อเพลงอีกชื่อหนึ่งไปเลยก็ได้ ชื่อเพลงมักจะเป็นส่วนหนึ่งหรือวลี หนึ่งในเนื้อเพลงเสมอ ถ้าคุณเริ่มต้นจากอะไรที่ชัดเจนแบบนี้ ในเวลาที่คุณเขียนเนื้อเพลงโอกาสที่คุณจะโฟกัสในเรื่องนั้นๆได้ตรงขึ้นก็มีมาก ขึ้น โอกาสที่จะหลงไปทางอื่นก็น้อยลง ผมจึงชอบใช้วิธีนี้มากที่สุด พูดถึงชื่อเพลง เพลง “The Moon’s a Harsh Mistress” คุณตั้งชื่อ ก่อน แล้วค่อยเขียนเพลงทั้งหมดหรือเปล่า ชื่อเพลงนั้นมาจากจากเรื่องสั้นซึ่งเขียนโดย Robert A. Heinlein เรื่อง A Man Who Sold the Moon ผมชอบชื่อนั้นมากและมันติดอยู่ในใจผมตลอดมาเป็นปีๆ มันตามหลอกหลอนผม จนในที่สุดผมจึงต้องเขียนมันออกมาเป็น เพลง แต่โดยปกติผมจะไม่ค่อยใช้วิธีนี้ กรณีนี้เป็นกรณีพิเศษ การเอาชื่อของงานคนอื่นมาแต่งเพลง แต่ผมก็ไม่อยากปกปิด เพลงไหนทำ� แบบนั้นผมก็เอามาเล่าให้ฟัง มันเกิดขึ้น นานๆครั้งจริงๆ ผมรู้สึกทึ่งกับเพลงของคุณ ดูเหมือนว่าคุณมักจสร้างรูปแบบคอร์ด โครงสร้าง คอร์ดแปลก และทำ�นองที่แปลกใหม่ คุณตั้งใจที่จะหลีกเลี่ยงความ”เก่า”และค้นหาสิ่งที่แปลกใหม่เหล่านั้น โดยตั้งใจหรือเปล่า นั่นไม่ใช่เรื่อง ที่สนุกสำ�หรับผมเลย ผมไม่ได้ชอบเลย ผมเลือกที่จะตัดต้นไม้ยังสนุกซะกว่า แต่ทุกครั้งก่อนที่ผมจะเริ่มแต่งเพลง ผมจำ�เป็นจะต้องมีบาง อย่างมารองรับคล้ายกับเท้าและขาของผม นั่นจะช่วยให้ผมรู้สึกปลอดภัยเมื่อได้โครงสร้างที่ดีรองรับอยู่ และทำ�ให้ผมกล้าที่จะเดินหน้าเพื่อ เดินหน้าทำ�งานในขั้นตอนต่อๆไปในการเขียนเพลง ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะสามารถทำ�ได้หรือเปล่า ทุกครั้งที่ผมเริ่มนั่งลงและลงมือทำ�ผม ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองจะทำ�ได้เลย มันน่าหวาดเสียวมาก ดังนั้นก่อนที่ตัวผมเองจะบอกกับตัวเองว่าจะลงมือแต่งเพลงด้วยไอเดียใดก็ตาม ผมจะต้องมีโครงสร้าง ทางคอร์ดที่ดีรองรับเสียก่อนและเป็นทางคอร์ดที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผม นั่นถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่สำ�คัญสิ่งแรก เลยทีเดียวสำ�หรับผม ถ้าอย่างนั้นคุณก็ใช้เวลามากกับการค้นหารูปแบบและโครงสร้างของคอร์ดโดยที่ยังไม่มีทำ�นองและเนื้อร้องเลยใช่ ใน ตอนที่คุณค้นหาคอร์ด มันช่วยให้คุณคิดทำ�นองได้ด้วย หรือว่า ต้องมาคิดทีหลัง ผมจะเริ่มต้นทำ�งานจากการหาโครงสร้างของคอร์ด ก่อนและหากผมพบโครงสร้างคอร์ดที่น่าสนใจมันก็จะช่วยสร้างทำ�นองที่น่าสนใจตามมา มันยากมากที่โครงสร้างคอร์ดที่ดีจะสร้างทำ�นอง ที่น่าเบื่อ โครงสร้างคอร์ดที่น่าสนใจจะช่วยทำ�ให้ตัวทำ�นองของเพลงนั้นๆน่าสนใจโดยคาดไม่ถึง โครงสร้างเพลงที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ เหมือน จะเป็นตัวจำ�กัดความคิดสร้างสรรค์ในการแต่งเพลง? ผมรู้สึกเบื่อเพราะผมจะรู้ล่วงหน้าแล้วว่าเพลงมันจะออกมาเป็นยังไง ผมคิดว่าพวก เราในฐานะที่อยู่ในธุรกิจเพลงนี้พวกเราควรที่จะต้องสร้างความรู้สึกนี้ให้กับสังคมและคนรุ่นใหม่ ให้พวกเขารู้สึกประทับใจโดยเฉพาะพวกคน รุ่นใหม่ทุกวันนี้ที่พร้อมจะยอมรับทุกสิ่งที่แปลกใหม่ และตกใจกับเรื่องใหม่ๆตลอดเวลาอยู่แล้ว โครงสร้างแบบเดิมนี้ ทำ�ให้ผมเบื่อหน่าย แต่ ผมเองก็จะไม่ออกอัลบั้มใหม่ของผมโดยการแต่งเพลงแบบอิสระอย่างที่ว่าหรอกนะ ผมไม่จำ�เป็นต้องเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงเพียงคนเดียว ผมก็มีปัญหาที่จะหาทางขายอัลบั้มของผมอยู่แล้ว คำ�ถามก็คือ เราทำ�อย่างอื่นได้อีกหรือเปล่า มันมีอีกโลกอีกโลกให้เราพิชิตหรือเปล่า มัน มีอะไรเหลือให้เราค้นพบอีกหรือไม่ มันมีอะไรอีกนอกจากที่มีอยู่ให้เราสำ�รวจรึเปล่า นั่นคือสิ่งที่ผมอยากจะถามพวกคุณ ผมคิดว่ามันยังมี จักรวาลแห่งความเป็นไปได้อยู่ข้างนอกนั่น
http://www.youtube.com/watch?v=-LX7WrHCaUA
http://www.youtube.com/watch?v=cD4TAgdS_Xw
http://www.youtube.com/watch?v=ww5GXbk58R0
http://www.youtube.com/watch?v=_wp4O7v5320
http://www.youtube.com/watch?v=UfZWp-hGCdA
http://www.youtube.com/watch?v=BAf2S6ij2gk
http://www.youtube.com/watch?v=0f0TMfQNRk8
http://www.youtube.com/watch?v=0f0TMfQNRk8
http://www.youtube.com/watch?v=GGXeXm0uMDo
http://www.youtube.com/watch?v=3t8MeE8Ik4Y
http://www.youtube.com/watch?v=kR7a0Gm379E
http://www.youtube.com/watch?v=k4E1HKbvg50
http://www.youtube.com/watch?v=U6tV11acSRk
http://www.youtube.com/watch?v=S7uBrx5aJ20
http://www.youtube.com/watch?v=2xB4dbdNSXY http://www.youtube.com/watch?v=5UWRypqz5-o
http://www.youtube.com/watch?v=ObiEQdh72Us
http://www.youtube.com/watch?v=CB17uWuBrL0
http://www.youtube.com/watch?v=w9TGj2jrJk8
http://www.youtube.com/watch?v=7mCK05dgwgU
http://www.youtube.com/watch?v=YjdgijpgOl4
http://www.youtube.com/watch?v=RwzdVHTNpXs
วันนี้เป็นวันที่ผมเดินทางมาถึงหน้าสุดท้ายของ หนังสือ “ร้อยเพลงแห่งความโดดเดี่ยว” หนังสือที่รวบรวม 100 เพลง จากปลายปากกาของบอย ตรัย ที่รวบรวมเรื่องราวเบื้องหลังของ แต่ละบทเพลงมาเล่าสั้น ๆ พร้อมกับได้รับการช่วยเหลือจากคุณ วิภว์ (อดีตบรรณาธิการนิตยสาร แฮมเบอร์เกอร์) มาช่วยเล่าเรื่อง ตั้งแต่วัยเด็กของบอย เรื่อยมาจนถึงวันนี้ ผมใช้เวลาในห้องน้ำ�อยู่ หลายวันทีเดียวกว่าจะเดินทางมาถึงหน้าสุดท้ายของร้อยเพลงของ คุณบอย (ต้องขออภัยที่ผมใช้เวลาถ่ายทุกข์ศึกษาการเดินทางของ ชีวิตคุณบอย แต่ผมรู้สึกว่าแต่ละบทของ ร้อยเพลง มันกำ�ลังพอ ดิบพอดีกับระยะทางในการถ่ายทุกข์ของผมพอดี ) ผมชื่นชมในไอ เดียของคุณบอย ที่ทำ�หนังสือลักษณะนี้ออกมา แม้จะอยากให้มี ข้อมูลเบื้องหลังของแต่ละเพลงให้มากกว่านี้ แต่ก็นับเป็นการเริ่มต้น ที่นับว่ากล้าทีเดียว เพราะบอยนับเป็นคนแต่งเพลงที่ยังเด็ก ถือเป็น เด็กรุ่นใหม่ แต่มีผลงานครบ 100 เพลงไปแล้ว และยังนำ�เรื่องราว ทั้งหมดทั้งที่เกี่ยวกับการเดินทางของชีวิตตัวเอง และการเดินทาง ของบทเพลง มาบันทึกไว้ในวันนี้ ในโอกาสครบ 100 เพลง .......... หากยังไม่ครบ 100 ผมก็คงยังไม่ได้เห็นหนังสือดีดี เล่มนี้
ลินคอนได้รับเลือกเข้าสภาในปี 1846 เคเนดี้ได้รับเลือกเข้าสภาในปี 1946
ลินคอนได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดี ในปี 1860 เคเนดี้ ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดี ในปี 1960
วันนี้ เป็นวันที่ผมเห็นภาพที่คิดว่าตัวเองไม่เคยเห็นมา ก่อนในจอทีวี ผมเห็นภาพกรุงเทพในอดีต เห็นรถราง รถลาก เห็น แม่น้ำ�และมีคนภายเรือยิ้มแย้มแต่ฉากหลังกลับเป็นภาพคุ้นๆ นั่นคือ พระที่นั่งอนันตสมาคม ผมไม่ทราบว่าตรงนั้นเคยเป็นแม่น้ำ�หรือว่า ปีนั้นน้ำ�ท่วมหนักกรุงเทพ ฯ ผมตกตะลึงกับภาพดังกล่าว อยากจะ รู้นักว่าเป็นโฆษณาของสินค้าอะไร เป็นโฆษณา ธนาคารไทยพาณิชย์ ครบรอบ 100 ปี..........หากยังไม่ครบ 100 ผมก็คงยังไม่ได้เห็น ภาพเก่า ๆ เหล่านี้ วันนี้เป็นวันที่ผมอดที่จะมานั่งคิดไม่ได้ว่า 100 นั้นมันเข้า มาวนเวียนกับชีวิตผมช่วงนี้ถี่เหลือเกิน เพราะเมื่อไม่กี่วันมานี้ผมก็ เพิ่งได้รับเมลจากเพื่อนคนหนึ่งส่งมาให้ เป็นสถิติที่แปลกประหลาด ของชีวิตคนสองคนที่มีเส้นทางชีวิตอยู่ในยุคที่ต่างกันอยู่ 100 ปี แต่กลับมีสิ่งที่เหมือนกันอย่างประหลาด สองคนที่ว่านี้คือ ประธานาธิบดี ลินคอน และ ประธานาธิบดี เคเนดี้ ความแปลก ประหลาดของสถิติเริ่มต้นดังนี้
1839 1939
จอห์น วิลเกส บูท มือปืนผู้รอบยิงลินคอน เกิดในปี
ลินคอนถูกลอบยิงในโรงหนังชื่อ “ฟอร์ด” เคเนดี้ถูกลอบยิงในรถลินคอน ของ “ฟอร์ด”
ทั้งคู่ถูกลอบสังหารในวันศุกร์ และ ถูกยิงที่ศรีษะเหมือน กันหากสถิติดังกล่าวยังไม่แปลกพอ ขอให้อ่านต่อไป เลขา ของประธานาธิบดีลินคอน มีชื่อว่า เคเนดี้ ส่วนเลขา ของประธานาธิบดีเคนเนดี้ มีชื่อว่า ลินคอน ผู้ที่มารับตำ�แหน่งต่อจาก ทั้งคู่เป็นชาวใต้เหมือนกันและชื่อจอห์นสันเหมือนกันอีก แอนดรูว์ จอห์นสัน ผู้รับตำ�แหน่งต่อจากลินคอน เกิดใน ปี 1808 ลินดอน จอห์นสัน ผูร้ ับตำ�แหน่งต่อจากเคเนดี้ เกิดในปี 1908
ลี ฮาร์วีย์ ออสวอน มือปืนผู้รอบยิงเคเนดี้ เกิดในปี
ลินคอนถูกลอบยิงในโรงหนัง ฆาตกรวิ่งหนีไปซ่อนตัวใน โกดังเก็บของ เคเนดี้ ถูกลอบยิงจากโกดังเก็บของแล้วฆาตกรวิ่งหนี เข้าไปหลบในโรงหนัง ฆาตกรทั้งคู่ถูกเก็บก่อนที่จะได้ขึ้นศาล ข้อมูลสุดท้าย หนึ่งสัปดาห์ ก่อนที่ลินคอนจะถูกลอบสังหารเขาอยู่ที่เมืองมอนโรว์ แมรีแลนด์ หนึ่งสัปดาห์ก่อนเคเนดี้จะถูกยิง เขาอยู่กับมารีรีน มอนโรว์
ผมเคยรู้จักและได้ยินชื่อ Groove Riders เมื่อ หลายปีมาแล้ว ในเวลานั้นผมยังทำ�งานอยู่ที่แกรมมี ซึ่ง ถือว่าอยู่คนละฟากกัน ในเวลานั้นวงการเพลงถูกแบ่งออก เป็นสองฟาก โดยความรู้สึกของผู้ฟังและผู้ผลิต แม้จะอยู่ คนละฟากกัน แต่ผมก็ได้ยินชื่อวง Groove Riders แต่ต้อง ยอมรับว่าในเวลานั้นผมไม่รู้จักเพลงของพวกเขาเลย เพราะ ตัวเองนั้นอยู่ในฟากของเมนสตรีม เพิ่งจะมาเริ่มฟังเพลง ของพวกเขาจากอัลบั้มแรกที่ชื่อว่า Discovery เมื่อไม่นาน มานี่เอง ที่ต้องฟังก็เพื่อใช้ในการทำ�งาน เพราะเวลานี้ผม ได้ย้ายตัวเองมาอยู่ในฟากของอินดี้มาเป็นเวลาสองปีแล้ว เมื่อ GR เริ่มเข้าห้องอัดเพื่อผลิตงานชุดที่ 2 ผมก็ต้องไปหา อัลบั้มชุดแรกของพวกเขามาศึกษา เพื่อที่จะได้เดินหน้าไปกับ พวกเขาได้ต่อไปในอัลบั้มชุดใหม่นี้ The Lift คือชื่ออัลบั้มชุดใหม่ของ GR เพลงของ พวกเขายังคงความสนุกในแบบดิสโกในยุค 80 แต่ดูเฟิร์มขึ้น ทั้งรูปลักษณ์และรายละเอียดในแต่ละเพลงซึ่งก้อ ณฐพล และ บุรินทร์ มีส่วนช่วยกันสร้างอัลบั้มนี้เกือบทั้งหมด ในส่วนตัว เพลงนั้น ผมเองก็ไม่ได้มีส่วนอะไรที่เกี่ยวข้องกับพวกเขาเลย เพราะไม่ได้มีหน้าที่ทำ�งานเพลง ในส่วนครีเอทีฟ ทางวงก็มี
แนวทางที่จะทำ�สำ�หรับอัลบั้มนี้กันอยู่แล้ว ผมเองมีหน้าที่แค่ คอยสนับสนุน ให้ความมั่นใจ กับไอเดียที่พรั่งพรูออกมาเหล่า นั้นให้มันเป็นจริง ช่วยวิศวกรทั้งสี่สร้างลิฟท์ตัวนี้ให้ใกล้เคียง กับฝันของเขามากที่สุด เมื่อทั้งหมดเสร็จออกมาแล้ว ทุกคนก็หวังว่าแฟน ๆ ที่คอยผลงานนี้อยู่จะชื่นชอบกัน เมื่อวันที่เยส(ผู้กำ�กับ)เอา มิวสิควิดีโอเพลง superstar มาส่งที่บริษัท โดยการนัดหมาย กับก้อไว้แล้ว เมื่อดูมิวสิควิดีโอจบสองรอบ ก้อก็หันมาบ อกกับผมด้วยรอยยิ้มที่ปิติอย่างมาก “นี่เป็นมิวสิค วิดีโอ ที่ดีที่สุดในชีวิตของวง ตั้งแต่เริ่มมีGroove Riders มา” ก้อ บอกผมอย่างนั้น หลังจากคุณกดลิฟท์เข้ามาแล้ว คุณรู้สึก อย่างไร ช่วยบอกกันไว้ด้วยนะครับ เดี๋ยวผมจะเอาไปบอก พวกเขาต่อให้ http://www.youtube.com/watch?v=nIR-VRyp0Wk
เป็นคอลัมน์ที่ตั้งใจจะนำ�เรื่องราวและปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในออฟฟิตในทุกๆ มิติ ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับด้านใดๆ ของชีวิต การทำ�งาน มาพูดคุยและเปิดโอกาสให้คนอ่านร่วมส่งผ่านความคิดเห็น และแสดงวิธีการแก้ปัญหาเข้ามาในคอลัมน์ด้วย ในหนึ่งชีวิต ของคน หากแบ่งเป็นช่วงใหญ่ๆ ในแต่ละวัย คงเริ่มต้นกันที่ วัยเยาว์ วัยเรียน และวัยทำ�งาน มีการแข่งขันใหญ่ๆ เกิดขึ้นในชีวิตเรา อย่างน้อยๆ ก็สองครั้ง คือการสอบเข้าเรียนและการสอบเข้าทำ�งาน ปัจจุบันการแข่งขันเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ กว่าเมื่อก่อนนี้ การสอบ เอ็นทรานซ์มีคนสมัครสอบมากขึ้นในขณะที่ความต้องการและความสามารถในการรับนักศึกษาเข้าเรียนมีอยู่จำ�กัด โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งความต้องการที่จะเข้ามหาวิทยาลัยที่เชื่อกันว่าดีนั้นมีจำ�นวนมากเกินกว่าที่จะสามารถรับได้ ค่านิยมและความเชื่อเดิมๆ ยังคงมีอยู่ แม้ว่าจะมีมหาวิทยาลัยเปิดและมหาวิทยาลัยเอกชนที่เปิดขึ้นมามากมาย แต่นักเรียนทั้งหมดก็ยังคงมุ่งหน้าแข่งขันกันอย่างดุเดือด เพื่อที่จะเข้าเส้นชัยให้ได้ เมื่อสำ�เร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย หลายคนโล่งใจ อย่างน้อยก็ผ่านการแข่งขันสนามแรกมาได้แล้ว แต่ การแข่งขันที่รออยู่เบื้องหน้านั้นมันช่างยากเย็นยิ่งกว่าหลายร้อยเท่า เพราะนักศึกษาที่เรียนจบออกมาปีๆ หนึ่งนั้นมันมีจำ�นวน มากกว่าอัตราการจ้างงานในแต่ละองค์กรอย่างมาก นี่ยังไม่นับถึงการแข่งขันเพื่อที่จะได้เข้าทำ�งานในบริษัทหรือองค์กรที่มีชื่อเสียง และมั่นคง ยิ่งต้องมีการแข่งขันกันสูงยิ่งขึ้น ดังนั้นผู้สมัครนอกจากจะต้องเอาชนะคู่แข่งจากการสอบทั้งข้อเขียนและสัมภาษณ์แล้ว เราจะทำ�อย่างไรให้โดดเด่นกว่าคนอื่น ทำ�อย่างไรให้ชนะใจกรรมการ ทำ�อย่างไรให้ตัวเรานั้นเข้าตากรรมการ วันนี้หากเรามาตั้งเป้าว่า จะทำ�อย่างไรให้ชนะใจกรรมการและได้งาน คุณๆ ผู้อ่านคิดว่ามีวิธีใดบ้างที่จะสร้างความโดดเด่นให้กับตัวเราในวันที่เราต้องไปแข่งขัน เพื่อให้ได้รับเลือกและเข้าทำ�งานในองค์กรเป้าหมาย เรามาเริ่มต้นกันที่จะต้องทำ�อะไรบ้าง มีขั้นตอนอะไรบ้าง ก่อนที่เราจะเข้าไปถึง สนามแข่งขัน สมมติว่าวันนี้ผมสำ�เร็จการศึกษา ผมอยากทำ�งานในตำ�แหน่งครีเอทีฟหรือก็อปปี้ ไรท์เตอร์ในบริษัทโฆษณา สิ่งที่ ผมจะต้องทำ�คือ เปิดหนังสือพิมพ์ เปิดเว็บไซด์ หาข้อมูลว่ามีบริษัทโฆษณาใดบ้าง ที่ต้องการรับสมัครพนักงานในตำ�แหน่งที่ผม ต้องการ สมมติว่าหาแล้วไม่มีบริษัทไหนลงประกาศรับเลย คุณคิดว่าคุณจะทำ�อย่างไรต่อไป ยกเลิกความฝันแล้วไปมองหางานอื่น หรือยังคงมุ่งมั่นค้นหาและนั่งรอนอนรอต่อไปจนกว่าจะพบประกาศรับสมัครของบริษัทที่ต้องการครีเอทีฟ นอกจากสองทางเลือก นี้ มันมีทางอื่นอีกหรือไม่ ถ้าเป็นคุณๆ จะทำ�อย่างไร ถ้าเป็นผม ผมจะยังคงความฝันของตัวเองเอาไว้ แต่จะไม่นั่งรอประกาศรับสมัคร ผมจะไป ค้นหาที่อยู่ของบริษัทแล้วส่งใบสมัครไปทิ้งไว้ทุกที่เลย ไม่ต้องรอให้เขาประกาศรับ ร่อนใบสมัครไปทุกที่เลย พอถึงวันที่เขาขาด ครีเอทีฟหรือว่าต้องการรับครีเอทีฟเพิ่ม เราก็จะเป็นคนแรกๆ เลยที่เขาจะเรียกไปสัมภาษณ์หรือทดสอบ สมมติต่อไปอีกว่าหากมี คนคิดแบบนี้เหมือนกันหลายคน ก็จะมีใบสมัครแบบเดียวกับเราอีกหลายใบ ทีนี้จะทำ�ยังไงดีให้เราโดดเด่นและประทับใจกรรมการเหนือ กว่าคนอื่นๆ เหนือกว่าใบสมัครใบอื่นๆ แน่นอนในใบสมัครทุกใบก็คงมีรายละเอียดทั่วไปบวกประวัติการศึกษาจากมหาวิทยาลัยที่จบ มา กรรมการก็คงต้องดูจากข้อมูลเหล่านี้ ใบสมัครที่ระบุว่านิเทศน์ศาสตร์ จุฬา ก็คงจะน่าสนใจและได้เปรียบใบสมัครใบอื่น ๆ และ สมมติต่อไปอีกว่า ในรายละเอียดการศึกษาของคุณไม่ได้จบมาทางนี้ เช่นคุณจบมาทางเศรษฐศาสตร์ และยังมาจากมหาวิทยาลัย รามคำ�แหง คุณจะทำ�อย่างไรล่ะที่นี้ แม้จะตัดหน้าคนอื่นโดยส่งใบสมัครไปดักรอไว้ก่อน แต่ก็ต้องไปเจอกับคนที่คิดเหมือนกัน แต่มา จากสถาบันและคณะที่ตรงกับตำ�แหน่งมากกว่า แม้จะรู้ตัวเองดีว่า คุณนั้นเป็นครีเอทีฟเต็มตัวและหัวใจ คิดมาถึงตรงนี้คุณก็มีทาง เลือกสองทาง หนึ่งเลิกล้มความฝันแล้วผันตัวเองไปสมัครงานในตำ�แหน่งที่ตรงกับที่เรียนจบมา หรือสองรอโชคช่วยและลุ้นว่า อาจจะไม่มีใบสมัครของเด็กนิเทศน์จุฬาเลยก็ได้ ถ้าเป็นคุณๆ จะทำ�อย่างไรถ้าเป็นผม ผมจะทำ�ใบสมัครที่มันแหกคอก ออกไปจากรูปแบบของใบสมัครงานทั่วไป เช่น ทำ� เป็แมกกาซีนแอด ทำ�เป็นหนังโฆษณา ทำ�เป็นสปอตวิทยุ หรืออะไรก็ได้ที่สามารถแสดงออกให้กรรมการเขารู้ว่า เราเข้าใจงานโฆษณา และเหมาะสมอย่างที่สุดแล้วที่จะเข้ารับตำ�แหน่งครีเอทีฟ ผมจะแทนตัวเองเป็นสินค้า แล้วคิดไอเดียเด็ดๆ ให้โดนใจกรรมการไปเลย
เมื่อสมัยเริ่มต้นทำ�งานใหม่ๆ ผมไปทำ�งานแต่เช้า และกลับบ้านดึก การไปทำ�งานแต่เช้าเป็นเพราะว่าตื่นเต้นกับ ชีวิตใหม่ ชีวิตคนทำ�งาน และการกลับบ้านดึกดื่นก็เป็นเพราะว่า อยากทำ�งานเยอะ รู้อะไรให้ไวๆ จะได้ก้าวหน้าเร็วๆ แต่จากนั้นเมื่อทำ�งานไปได้สักสองสามปี ผมเริ่ม มาทำ�งานสายขึ้นนิดหน่อยแต่ยังคงกลับบ้านดึกดื่น เป็น เพราะความตื่นเต้นลดน้อยลง และความเก่าแก่ของการเป็น พนักงานเพิ่มขึ้นเรียกว่าชักคุ้นกับองค์กร แต่การกลับบ้านยัง คงดึกดื่น ขยันหรือเปล่า ไม่แน่ใจ เพียงแต่รู้สึกว่าการทำ�งาน หลังจากคนอื่น ๆ กลับบ้านแล้วมันลื่นไหลดี เพราะผมทำ�งาน ครีเอทีฟ ช่วงเวลากลางวันมันรู้สึกว่าบริษัทพลุกพล่าน ไหน จะเสียงคนงานพูดคุย เสียงโทรศัพท์ที่ดังไม่ขาดสาย ผมจึง จัดระเบียบการทำ�งานใหม่นั่นคืองานติดต่อต่าง ๆ จะทำ�ใน เวลากลางวัน พอตกค่ำ�ผมจะเริ่มต้นคิดงานครีเอทีฟ แล้ว ก็ได้ผล จึงยึดวิธีนี้ในการทำ�งานมาตลอด ระยะหลัง ๆ เมื่อ ทำ�งานด้านนี้มาได้กว่าสิบปี ผมเริ่มมาทำ�งานบ่าย แต่ยังคง กลับดึกเหมือนเดิม ผมเริ่มรู้ว่างานครีเอทีฟนั้น มันไม่ได้ขึ้น อยู่กับเวลาทำ�งาน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานที่ทำ�งาน ไม่จำ�เป็นต้อง มานั่งคิดที่โต๊ะทำ�งาน เราสามารถทำ�ที่ไหนก็ได้เมื่อเจองาน ซ้อนกันเยอะๆ ผมเริ่มเอามันกลับไปบ้านด้วย นอนกับมัน ฝัน ถึงมัน คุยกับมันตลอดเวลา แต่ยังมาถึงที่ทำ�งานบ่ายๆ อยู่ดี ไม่นานงานผมก็รู้สึกเหมือนจะมีอิสระมากขึ้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ เวลาหรือว่าสถานที่ ไม่จำ�เป็นต้องมาทำ�งานที่ออฟฟิต เพราะ คิดที่ไหนก็ได้ โชคดีที่องค์กรผมเขาไม่ได้ซีเรียสกับเรื่องเวลา เข้างานมากนัก(โชคดีของผม)แต่ซีเรียสกับไอเดียที่คิดออกมา มากกว่า จนในที่สุดผมก็กลายเป็นตัวอย่างที่ดีหรือไม่ดีไม่รู้ แต่คนที่ทำ�งานครีเอทีฟในบริษัทก็จะได้รับความเข้าใจและเห็น อกเห็นจากบริษัทไปด้วยกันหมด โดยการเลื่อนเวลาตอกบัตร ให้ หรือไม่ก็ยกเว้นกฏข้อนี้ไปเลย ผมจึงกลายเป็นพนักงานที่ ไม่ได้สนใจเรื่องเวลาเข้าออกงานมากนักมาโดยตลอด บางครั้งรู้สึกว่าคนอื่นๆ จะมองว่าผมเป็นพวกอภิสิทธิ์หรือ เปล่า คงมี แต่ผมไม่สนใจเท่าไร ขอให้งานออกมาดีมันก็เป็น เกราะป้องกันตัวดีดีนี่เอง
วันก่อนเพื่อนเก่าซึ่งไปเปิดบริษัทของตัวเองมา เล่าให้ฟังถึงปัญหาพนักงาน เขาบอกว่ามีพนักงานสองแบบ ที่ออฟฟิตเขา คือมาเช้ากลับตรงเวลา กับพวกมาสายแต่ กลับดึก เราคุยกันเพื่อหาข้อยุติว่าพนักงานแบบใดดีกว่ากัน เป็นการตั้งกระทู้แบบลับสมองกันเล่นๆ ผมถามเขาว่ามีแค่ สองแบบเองหรือ ไม่มีแบบว่ามาเช้ากลับดึกหรือ คำ�ตอบคือ ไม่มี หากคำ�ถามคือเท่านี้และไม่มีข้อมูลรายละเอียดปลีกย่อย อื่น ๆ ผมก็เลยตอบไปว่า พวกมาสายกลับดึกดิ เพราะอะไร หรือ เพราะผมเป็นพนักงานประเภทนั้นเหมือนกันเหตุผลก็ ง่ายๆ แค่นี้ แต่ในความเป็นจริงมันคงมีรายละเอียดในการ พิจารณามากกว่านั้น มาเช้ากลับตรงเวลาก็ไม่ได้แปลว่า พนักงานคนนั้นไม่มีใจให้บริษัท และการกลับดึกๆ ก็ไม่ได้แปล ว่าพนักงานคนนั้นอุทิศตัวเองให้บริษัทอย่างเต็มที่ อาจจะ เป็นเพราะว่าทำ�งานช้าและจบงานไม่ทัน ไม่มีการวางแผนงาน ที่ดีพอ และการอยู่ดึก ๆ ดื่น ๆ ยังจะทำ�ให้ค่าใช้จ่ายออฟฟิต สูงขึ้น เช่นค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น เครื่องปรับอากาศทำ�งานมากขึ้น ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการทะนุบำ�รุงเพิ่มขึ้น พนักงานคนนั้นได้ พักผ่อนน้อยลง ประสิทธิภาพในการทำ�งานในวันต่อมาก็จะ ลดลง และยิ่งไปกันใหญ่หากใครคนนั้นคิดว่าการอยู่ดึกทำ�ให้ ตัวเองดูขยันซึ่งน่าจะเป็นเรื่องที่ผู้บริหารจะพอใจและส่งผล ถึงโบนัสในตอนปลายปี ถึงตรงนี้เจ้าเพื่อนผมมันทำ�ท่าเหมือน ผมไปจี้จุดอะไรมันเข้า มันตบขาตัวเองเหมือนปัญหาถูกไขให้ กระจ่างสว่างคาตา “เป็นไปได้ว่ะ เพราะกูสังเกตุพอใกล้ๆ ปี ใหม่ทีไร พนักงานกูแม่งกลับดึกๆ ทุกคนเลย” “มันเป็นอย่างนี้นี่เอง” คุณล่ะคิดยังไง?
เงินเดือน มีความหมายในหลายๆ มิติแตกต่างกันไปตามปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ เงินเดือนควรจะเยอะหรือน้อยขึ้นอยู่กับความ สมควรของแต่ละคน แต่ละเวลาและแต่ละเงื่อนไข แตกต่างกันไป ไม่มีใครสามารถบอกเงินเดือนที่สมควรสำ�หรับคุณได้อย่างแม่นยำ� เพราะ มันเป็นเรื่องของความพอใจและความเหมาะของคุณเอง คุณเองเท่านั้นที่จะรู้ถึงจุดสมควรตรงนั้นได้ ดังนั้น ผมจึงไม่สามารถตอบคำ�ถาม ให้กับน้องคนหนึ่งได้ว่า เธอสมควรจะเรียกเงินเดือนเท่าไรต่อการสมัครงานในตำ�แหน่งพีอาร์(จูเนียร์)ในบริษัทแห่งหนึ่ง คำ�แนะนำ�ผมในตอน นั้นก็คือ ดูราคาตลาดทั่วๆ ไปเขาได้กันเท่าไรก็ตามนั้นไปก่อน เพราะการเข้าทำ�งานในครั้งแรกนั้น ความสำ�คัญไม่น่าจะอยู่ที่ตัวเลขเงินเดือน เราน่าจะมองที่โอกาสซึ่งเปิดให้เราพิสูจน์ตัวเองและโอกาสที่เราจะได้เข้าไปเรียนรู้งานในสนามจริง บางคนก็แย้งว่าหากเราเริ่มงานที่เงิน เดือนต่ำ�การที่บริษัทจะเพิ่มเงินเดือนให้ในเวลาต่อมานั้น แม้จะขึ้นแต่ก็อยู่ในอัตราที่ช้ามาก ทำ�ให้บางคนเมื่อทำ�งานไปสักพักจนเชี่ยวชาญพอ สมควรก็มักจะออกไปสมัครงานที่อื่น เพราะเป็นวิธีเดียวที่จะอัพเงินเดือนได้ในอัตราที่ทันใจ เมื่อพูดถึงเรื่องเงินเดือนจึงมีเรื่องที่ต้องช่วย กันคิดมากมายหลายมุม แต่วันนี้ว่าจะมาชวนพวกเราเหล่ามนุษย์เงินเดือนมาช่วยกันคิดหน่อยว่า เราควรจะ “ทำ�งานตามเงินเดือนที่ได้รับ” หรือ “ทำ�งานเกินเงินเดือนที่ได้รับ” “ก็ได้เงินเดือนเท่านี้ ก็ทำ�เท่านี้แหละ” ประโยคที่ผมมักจะได้ยินน้องๆ และเพื่อนฝูงบางคนพูดกันบ่อยๆ ได้เงินน้อย ก็ทำ�งานให้น้อยตามเงิน ดูเหมือนจะยุติธรรมดีแล้ว แต่คำ�ถามที่ตามมาก็คือ ทำ�ไมเงินถึงน้อย แล้วเมื่อคุณไม่พอใจจำ�นวนเงิน ทำ�ไมถึงยอมตกลงทำ�งานให้กับเขาตั้งแต่แรก ทำ�ไมไม่เจรจาเพื่อให้ได้เงินตามที่คุณต้องการ “อ้าว ก็เมื่อสักครุ๋พี่ยังบอกให้ผมมองที่โอกาสนี่นา เงินเท่าไรไม่ใช่เรื่องใหญ่ในตอนเริ่มต้น แล้วตอนนี้จะมาบอกว่า ผมไปย อมเขาได้ยังไง” “ก็ใช่ครับ ยอมรับเงินที่พอประมาณ (แม้ส่วนใหญ่คงรู้สึกว่ามันน้อย) แต่อย่างที่บอกไว้ให้จ้องไปที่โอกาสที่จะได้โชว์ฝีมือ มากกว่า” และเมื่อมีโอกาส การทำ�งานโดยยึดคติที่ว่า ทำ�งานตามเงินเดือน มันจึงเหมือนตัดโอกาสก้าวหน้าของตัวเอง ด้วยคำ�พูดประโยค นั้น มันเหมือนกับว่าคุณกำ�ลังจะทำ�ให้ทั้งคุณและบริษัทที่คุณทำ�งานด้วยจะไม่ก้าวหน้าไปไหน เสียหายทั้งสองฝ่าย เมื่อใดก็ตามที่เรารู้สึกว่า เรากำ�ลังมีความรู้สึกว่า ทำ�งานตามเงินเดือน ผมรู้สึกว่ากำ�ลังมีปัญหาเกิดขึ้นแล้ว ควรที่จะต้องมีการจัดการอะไรสักอย่างเพื่อกำ�จัดความ คิดแบบนั้นออกไปให้เร็วที่สุด แล้วจะทำ�อย่างไรได้บ้าง ถ้าเป็นผม ผมจะกลับมาสำ�รวจตัวเองก่อนว่า เราสมควรหรือยังที่จะได้รับค่าตอบแทนมากกว่าที่กำ�ลังได้รับอยู่ ฝีมือเราพัฒนา ไปไกลกว่าเดิม ความสามารถเราตอนนี้เหนือกว่าเมื่อก่อนเยอะ และนายจ้างเราเขาเห็นหรือเปล่า เพื่อให้แน่ใจว่านายจ้างเราเขารู้และเห็น พัฒนาการของเราหรือยัง ไม่มีวิธีใดที่จะชัดเจนเท่ากับการนั่งลงคุยกับเขา ถามเขาเลยว่าจากวันนั้นจนถึงวันนี้ คิดว่าเรามีความสามารถ ที่จะช่วยบริษัทได้เพิ่มขึ้นหรือไม่ เรามีประโยชน์ต่อองค์กรหรือไม่ การขอเพิ่มเงินเดือนอาจจะใช้วิธีขอรับผิดชอบงานในตำ�แหน่งที่สูงขึ้นไป ก็ได้ เมื่อตำ�แหน่งสูงขึ้นต้องรับผิดชอบมากขึ้นก็เป็นเหตุเป็นผลที่จะได้รับเงินเพิ่มขึ้น จะดีมากหากเรานำ�เสนอเขาเลยว่าให้เรารับผิดชอบ ตรงนั้นตรงนี้เพิ่มขึ้นน่าจะดีต่อองค์กร ผมหมายถึง นอกจากการจ้องจะขอเงินขึ้นเพียงอย่างเดียว ลองคิดวิธีที่เราจะเข้าไปช่วยทำ� ช่วย สร้าง ช่วยเพิ่ม ตรงส่วนไหนได้อีกเพื่อให้องค์กรก้าวหน้าต่อไป บางทีไอเดียเราอาจจะไปปิ๊งเจ้านายเข้าโดยที่เขาอาจจะไม่เคยคิดไม่เคยมอง เลยก็ได้ ในมุมของเจ้านายเขาก็จะเห็นว่าเรามีใจให้กับบริษัทจริง ๆ ไม่ใช่จ้องจะขอขึ้นแต่เงินเดือนโดยที่ไม่ได้คิดเลยว่าจะทำ�อะไรให้บริษัทดีขึ้น บ้าง เกี่ยวกับเรื่องนี้ผมขอยกตัวอย่างเรื่องของตัวเองเป็นประสบการณ์ที่พบมาเมื่อหลายปีมาแล้ว ผมเริ่มงานเป็น copywriter ในบริษัท โฆษณาทำ�ไป 6 ปีตำ�แหน่งสุดท้ายคือ creative group head จากนั้น แกรมมีก็มาชวนไปทำ�งานในตำ�แหน่ง creative อีกนั่นแหละ ดูเหมือน ผมน่าจะสบายใจเพราะงานที่จะไปทำ�มันก็เหมือนงานที่เคยทำ� แต่ผมไม่ได้คิด แบบนั้น ผมเห็นว่ามันแค่คล้าย ๆ กัน เพราะสินค้าเดิม ๆ ที่ผม ทำ�นั้นมันไม่มีชีวิต มันเป็นสิ่งของ เป็นสบู่ ยาสีฟัน เป็นรถยนต์ แต่ที่แกรมมีผมไปทำ�ครีเอทีฟก็จริงแต่สินค้ามันไม่ใช่สิ่งของมันเป็นคนและ เป็นเพลง มันเป็นอีกเรื่องหนึ่งเลย เรื่องนี้ทำ�ให้ผมไม่ค่อยมั่นใจตัวเองว่าจะไปทำ�ได้ดีหรือไม่ แต่ใจนั้นอยากไปทำ�มาก ๆ เพราะ 9 ปีกับงาน โฆษณามันเริ่มสร้างความตื่นเต้นและตื่นตัวให้ผมน้อยลงทุกวัน และอีกอย่างก็อยากได้เงินเพิ่มขึ้นด้วย แต่ด้วยความไม่มั่นใจว่าจะทำ�ได้ดีผม จึงไม่ได้เรียกร้องเงินจากแกรมมีสูงมากนัก หากจำ�ไม่ผิดผมขอเงินเพิ่มจากเดิมที่เคยได้รับเพียงสี่ห้าพันบาทเอง และผมก็บอกความคิดผม ให้กับนายจ้างรับรู้ คือด้วยความที่ผมยังไม่มั่นใจตัวเองว่าจะทำ�ได้ดี(แม้ว่านายจ้างดูจะมั่นใจมาก)ผมจึงขอเงินค่าเหนื่อยเพิ่มขึ้นจากที่เดิม เพียงนิดหน่อย แต่หากทำ�ไปแล้วผมสามารถทำ�ได้ดี ผมขอคุยเรื่องเงินอีกทีภายหลังนะ ซึ่งก็ตกลงตามนั้น เมื่อเริ่มงานจะด้วยความชอบ ความตื่นเต้น หรืออะไรก็ตาม ผมทำ�ได้ดี อัลบั้มแรกที่ดูแลประสบความสำ�เร็จอย่างดี เมื่อมีโอกาสผมก็คุยกับเจ้านายเกี่ยวกับเรื่องเงิน แล้ว ผมก็ได้รับมันมากเกินกว่าที่ตัวผมเองคาดหมายไว้ซะอีก ผมจึงไม่เห็นด้วยจริงๆ สำ�หรับคนที่กำ�ลังทำ�งานตามเงินเดือน มันเสียเวลาครับ ถ้าเป็นคุณล่ะ?