บันทึกทัก

Page 1

1

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


บันสุทึรพันกธ์ แสงสุทัวรรณ์ก

บันทึกทัก

2

3

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


บัสุนรพันทึธ์ แสงสุกวทั ก รรณ์ หนังสือในการผลิตของธรรมดาสำ�นักพิมพ์ ลำ�ดับที่ 001 พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2554 ตีพิมพ์เป็นรูปเล่มเพื่อจัดส่งในรายวิชาการเขียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 1/2554 โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่

แด่ ... ทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของฉัน ไม่ว่าเราจะมีกันและกัน หรือไม่ ...

ธรรมดาสำ�นักพิมพ์ The Ordinary. 123 หมู่ 4 ถนนเชียงใหม่ - ลำ�พูน ตำ�บลหนองหอย อำ�เภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 50000 บันทึกทัก

4

5

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


คำ�นิยม

ผู้ชายคนนี้ “ท้อใจ” กลับมองความผิดพลาดให้เป็น “แบบฝึกหัด” เอาไป แก้ไข ปรับใช้ในงานต่อไป ในวันนี้ “อาร์ตี้” มีความสุขกับทุกงานที่เขาได้ทำ� มีความสุข กับ “ตัวตน” ที่เขากำ�ลังเป็นอยู่...วันข้างหน้าเด็กผู้ชายคนนี้อาจจะผุด โปรเจ็คท์ที่เรียกว่า “แปลก ใหม่ ใหญ่ ดัง” ให้ใครๆ ได้แปลกใจเล่น ก็ได้...”ใครจะไปรู้” เป็นกำ�ลังใจให้นะครับ... ^^

“อาร์ตี้”...เด็กผู้ชายธรรมดาที่ไม่ธรรมดา “อาร์ตี้” จากภาพภายนอกที่ใครๆ ได้เห็นในความสามารถของ เขาชนิดที่เรียกได้ว่า “หาตัวจับยาก” ใครๆ ก็ต่างมองว่าเด็กผู้ชายคน นี้มีความสามารถหลายกหลายซะเหลือเกิน ...แต่ในหลากหลายความ สามารถของเด็กคนนี้ หากมองให้ดีแล้วจะเห็นว่า “อาร์ตี้” กำ�ลังหา “ตัว ตน” ของตัวเอง หรือเรียกง่ายๆ ว่าจะ “เอาดี” ทางไหนนั่นเอง “นักพูด”..... ทำ�ได้ “นักเขียน” .... ทำ�ได้ “นักร้อง”..... ทำ�ได้ “ช่างภาพ” ทั้งภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว ..... ทำ�ได้ “ตัดต่อ” ..... ทำ�ได้ “BackStage”..... ทำ�ได้ “ ฯลฯ” ..... ทำ�ได้ ด้วยความ “เรียกง่าย ใช้คล่อง” ทำ�ให้ “อาร์ตี้” มีโอกาสได้ ทำ�งาน ในหลายๆ ด้าน (ทั้งงานเล็กๆ ไปจนถึงงานใหญ่ๆ) ถึงแม้ว่าใน บางครั้ง บางงาน อาจจะมีความผิดพลาด ผิดหวัง แต่ก็ไม่ได้ทำ�ให้เด็ก

บันทึกทัก

ปิยนาถ ใจคำ� ฝ่ายประชาสัมพันธ์ โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย

6

7

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


คำ�นำ�

สอนให้รู้ว่าการควบคุมอารมณ์ เป็นเรื่องที่สำ�คัญที่สุดในการอยู่ ร่วมกับคนอื่น สอนให้รู้ว่าการลดบทบาทผู้นำ� ไม่ใช่เป็นการกินน้ำ�ใต้ศอก แต่ เป็นการให้โอกาสผู้อื่นได้แสดงความสามารถ สอนให้รู้ว่า ผมไม่ใช่คนที่ดูไม่ดีในสายตาคนอื่นตลอดไป เพียง แค่การปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น สอนให้รู้ว่า การปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น ไม่ได้ทำ�เพื่อให้ใครรัก หากแต่ทำ�เพื่อให้ตัวเองเป็นที่รักของคนในสังคม ผมโชคดีมากที่ได้เจอคนเหล่านี้ เพราะทุกวันที่ผมต้องตื่นลืมตา ขึ้นมาเผชิญความจริงที่ทั้งสวยงามและโหดร้าย คนเหล่านี้แหละครับที่ คอยช่วยให้ผมผ่านพ้นความจริงทุกอย่างไป และยังมีแรงที่จะสู้ความจริง ต่อไปอีก ความจริงหลายอย่างที่ผมประสบพบเจอ คนหลายคนที่ผมได้พบ กับเขา ผมได้รวบรวมเอาส่วนหนึ่งมาไว้ในหนังสือเล่มนี้ครับ การที่ผมได้ทำ�หนังสือเล่มนี้ ก็ถือเป็นความโชคดีของผมอีกครับ ผมมีความรู้สึกอยากทำ�หนังสือเล่มนี้ให้ดีที่สุด และนี่คือหนังสือจากความ พยายามและความตั้งใจ ที่อยากร้อยเรื่องราวจากชีวิตที่โชคดีของผม มา เป็นตัวหนังสือให้ท่านผู้อ่านได้มารับรู้และสัมผัสถึงชีวิตหนึ่งของเด็กผู้ชาย อายุ 16 ปีคนนี้

เกิดมาอีกกี่ที, ก็ขอชื่อนี้อีกเถอะนะ

ผมมีความรู้สึกว่าผมเป็นผู้ชายที่โชคดี โชคดีที่ได้เกิดมาเป็นลูกคนเล็กในครอบครัวสามัญชน ที่มีฐานะ ปานกลาง ใช้ชีวิตอย่างสมถะ มีพ่อแม่ที่รักและดูแลลูกชายทั้งสองคน อย่างดีที่สุด มีพี่ชายหนึ่งคนที่ช่องว่างระหว่างวัย ทำ�ให้พี่และน้องทั้งสอง คนเข้าใจกันได้ โดยไม่ต้องทำ�ตัวติดกันเป็นขนมตังเม โชคดีที่ได้เข้ามาเรียนในสถาบันอันเป็นที่รัก ได้เจอครูที่ไม่ได้ สอนแค่วิชาในตำ�ราเรียน แต่ยังสอนหลายวิชาที่ไม่มีในตำ�ราเรียน ทั้ง วิชาการทำ�งานสายประชาสัมพันธ์ที่สอนให้ผมเป็นบรรณาธิการ วิชาการ ตัดต่อภาพยนตร์ ที่สอนให้ผมเป็นคนทำ�ภาพยนตร์ วิชาการเป็นผู้ดำ�เนิน รายการ ที่ทำ�ให้ผมมีโอกาสได้เป็นพิธีกรอย่างที่เคยวาดฝันไว้ วิชาการ ช่วยเหลือสังคม ที่สอนให้ผมรู้จักช่วยเหลือผู้อื่นเมื่อมีโอกาส ไม่ว่าเขาจะ เป็นมิตร หรือศัตรู ซึ่งเพราะผมได้เรียนวิชาเหล่านี้ ผมเลยมีโอกาสได้เจอ โลกใบใหม่ และยังโชคดีที่ได้เจอเพื่อนในสถาบันแห่งนี้ ที่ทุกคนต่างก็สอนผม สอนให้รู้ว่าการที่ทำ�ให้คนอื่นมีความสุข ไม่ใช่แค่การทำ�ให้คนอื่นตลก

บันทึกทัก

8

9

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


และความโชคดีอีกอย่างหนึ่งที่ผมได้รับ คือการที่ผมมีแรงบันดาล ใจฉันดีและสำ�คัญต่อหนังสือเล่มนี้ ผมโชคดีที่ผมได้พบเจอเขาผ่านผล งานต่าง ๆ เป็นแบบอย่างในการทำ�งานสายการเขียนของผม เขาเป็นแรง บันดาลใจที่สำ�คัญที่สุด ซึ่งทำ�ให้ผมมีแรงที่จะเขียนหนังสือเล่มนี้ออกมา จนสำ�เร็จ ผมไม่รู้จักกับเขาเป็นการส่วนตัว แต่เพราะชื่อ ‘สุธี’ เลยทำ�ให้ผมอยากชื่อ ‘อาร์ตี้’ สักสามสี่ชาติ คุณประภาส ชลศรานนท์ ผู้ชายที่อยากมีชื่อเดิมอีกสามสี่ชาติ สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์

บันทึกทัก

10

11

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


สารบัญ ตัวตน คนที่ฉันเป็น ฝันที่ฉันวาด ปากกาที่ฉันเขียน เขียนหนึ่งบรรทัด หลายย่อหน้าพารื่นรมย์ บันทึกสามวัน คนขายเสียง คนเก็บภาพ เพื่อนรัก จากพี่ให้น้อง

บันทึกทัก

14 18 24 28 36 44 48 55 82

12

13

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


ตั ว ตน .. คนที ฉ ่ น ั เป็ น บทนำ� บันทึกทัก

14

15

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


หากจะกล่าวถึงเหตุผลที่คนทั้งโลกกว่าร้อยล้านคนมีบุคลิกเฉพาะ ตัวที่ไม่เหมือนกันแล้ว ถ้ายึดจากหลักการของศาสนาแล้ว ศาสนาพุทธ จะกล่าวว่าการที่เราเกิดมาเป็นแบบไหน ก็ขึ้นกับบุญหรือกรรมที่เราทำ�ไว้ ในชาติที่แล้ว และการเกิดและการเป็นของมนุษย์นั้นคือการชดใช้กรรม ด้วย ส่วนศาสนาคริสต์นั้นเชื่อว่า มนุษย์ได้ถูกสร้างด้วยความรัก ความ เมตตาขององศ์พระผู้เป็นเจ้า ที่ได้ทรงเลือก ทรงสร้าง และทรงเรียกเรา ให้เป็นคนสำ�คัญ คนที่ดีที่สุดของพระองค์ แต่สำ�หรับตัวฉันแล้ว ไม่ว่าตัว ฉันจะเป็นอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าใครจะสร้างฉันขึ้นมา ไม่ว่าฉันจะต้องเกิด มาชดใช้กรรมหรือไม่ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ตัวฉัน ก็คือตัวฉัน มีคนหลายคนที่ได้รวบรวมลักษณะนิสัยของฉันผ่านการจำ�แนก หลายสิ่งหลายอย่างเข้าด้วยกัน ทั้งปีนักษัตร เดือนเกิด กรุ๊ปเลือด การทำ� แบบฟอร์มวัดลักษณะนิสัย หรืออื่น ๆ แต่สำ�หรับตัวฉันแล้ว ฉันเลือกที่ จะยึดตามราศีของฉันมากกว่า เพราะฉันคิดว่าไม่มีข้อมูลไหนที่จะถูกต้อง เท่าข้อมูลของราศีอีกแล้ว ฉันเป็นคนราศีกันย์ ฉันไม่ชอบความบกพร่อง ใด ๆ ทุกอย่างจะต้องพร้อมอย่างสมบูรณ์แบบ ฉันเป็นคนที่ตั้งใจกับ การทำ�งาน ดังนั้นฉันจึงจะเป็นคนที่ใส่ใจในรายละเอียดเป็นอย่างมากใน การทำ�งาน แต่ฉันก็พร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นคนอื่น เพราะฉันไม่ได้ ต้องการให้งานทั้งหมดเป็นผลงานของฉันแต่เพียงผู้เดียว ฉันต้องการให้ ผลงานเป็นผลงานร่วมระหว่างฉันและเพื่อน เพราะฉันถือว่างานหนึ่งชิ้น เป็นงานของทุกคน ทุกคนจะต้องมีส่วนร่วมในการทำ�งานร่วมกัน ฉันเป็น คนที่ใช้เงินเหมือนน้ำ� มีอะไรที่อยากได้ก็จะซื้อ ซื้อ แล้วก็ซื้อ ฉันไม่เคย

บันทึกทัก

16

คิดหน้าคิดหลังว่าประโยชน์จากของชิ้นนั้นจะมากหรือน้อยเพียงไหน มี ประโยชน์มากพอหรือไม่ ดังนั้นฉันจึงมีของที่ไม่มีประโยชน์อยู่เต็มบ้าน และฉันก็มักจะชักหน้าไม่ถึงหลังเสมอ เวลาต้องใช้เงินในยามจำ�เป็นจริง ๆ ฉันเป็นคนโรแมนติกมากถึงมากที่สุด ฉันชอบบอกรักคนที่ฉันรัก ฉัน ชอบทำ�อะไรที่จะทำ�ให้คนที่ฉันรักมีความสุขเสมอ ไม่ว่าฉันจะต้องลำ�บาก แค่ไหน แต่ฉันจะยินดีเสมอที่จะเห็นเขามีความสุข ฉันเป็นคนที่ระเบียบ แบบแผนอย่างมาก ฉันไม่ชอบคนมาสาย ฉันไม่ชอบคนผิดคำ�พูด ฉันไม่ ชอบคนผิดสัญญา และฉันเป็นคนเจ้าระเบียบราวกับคนแก่ก็ไม่ปาน แต่ที่ ฉันเป็นแบบนี้เพราะฉันอยากให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ฉันคิด เพราะมันคือ สิ่งที่ฉันต้องการ และเป็นประโยชน์กับทุกคน ฉันคิดว่าอย่างไรก็ตามฉันไม่มีทางเหมือนคนอื่น เพราะฉันไม่ใช่ มนุษย์คนเดียวในโลก มนุษย์บนโลกนี้มีถึงร้อยกว่าล้านคน ทุกคนย่อม มีนิสัย ความรู้สึกนึกคิด ความเป็นตัวของตัวเองที่ต่างกัน และในขณะ เดียวกันตัวฉันก็มีอะไรที่ไม่เหมือนคนอื่นเฉกเช่นเดียวกับคนบนโลกนี้ ที่ ต่างมีความเป็นตัวของตัวเองที่ใครก็เลียนแบบไม่ได้ Writer’s Commentary.

คุณสมบัติบางอย่างที่อยู่ในนี้มันอาจจะตรงบ้าง ไม่ ตรงบ้าง แต่ผมคิดว่ามันบอกความเป็นตัวของผม ได้ดีที่สุดแล้วครับ

17

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


ฝันที่ฉันวาด,ปากกาที่ฉันเขียน บันทึกทัก

18

19

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


ตอนนี้ฉันอายุสิบหกปี ฉันศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่สี่ เท่ากับว่า ตอนนี้ฉันเหลือเวลาเพียงแค่สองปีเท่านั้น ก่อนที่ฉันจะต้องตัดสินใจเป็น ครั้งสุดท้าย ว่าคณะที่ฉันอยากจะเข้าศึกษาคือที่ไหน และฉันจะทำ�อาชีพ อะไรในอนาคต ความจริงแล้วฉันมีตัวเลือกมากมายที่ฉันกำ�ลังตัดสินใจ ทั้งการพิธีกร นักจัดรายการวิทยุ ผู้กำ�กับภาพยนตร์ การทำ�งานเบื้องหลัง ในวงการบันเทิง การเป็นนักจิตวิทยา การเป็นนักสังคมสงเคราะห์ หรือ แม้กระทั่งการเป็นนักดนตรี ฉันยอมรับว่าฉันมีหลายสิ่งที่อยากทำ�ในชีวิต แต่ฉันไม่สามารถทำ�ทุกอย่างได้ในชีวิต ดังนั้น ฉันจึงเลือกที่จะเป็นในสิ่ง ที่ฉันไม่เคยคิดมาก่อน และฉันมุ่งมั่นว่าฉันจะทำ�ให้ได้ ฉันอยากเป็นนัก เขียน หากจะกล่าวถึงอาชีพนักเขียนแล้ว นักเขียนคือผู้สร้างสรรค์ชิ้น งานการเขียน ทั้งกวี ร้อยกรอง ร้อยแก้ว เรื่องสั้นทั้งขนาดสั้นและยาว นวนิยาย บทละคร หรืออื่น ๆ ซึ่งคำ�ว่านักเขียนนั้น จะใช้ได้กับผู้ที่เขียน งานเหล่านี้เป็นอาชีพ หรือผู้ที่สร้างงานเขียนชนิดอื่นนอกเหนือจากที่กล่าว มา ซึ่งคำ�เรียกอาชีพนี้จะเรียกได้หลายรูปแบบตามงานเขียนที่ผู้ประกอบ อาชีพนั้นได้สร้างสรรค์ขึ้นมา เช่น กวี นักเขียนนิยาย นักแต่งเพลง นัก หนังสือพิมพ์ คอลัมนิสต์ เป็นต้น อาชี พ นั ก เขี ย นนั้ น เป็ น อาชี พ ที่ จั ด เป็ น ศิ ล ปิ น อี ก ประเภทหนึ่ ง เพราะนักเขียนต้องอยู่กับตัวเองโดยใช้สมาธิ ความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการและความรู้เป็นอย่างมากกว่าจะรังสรรค์งานเขียนชิ้นหนึ่งขึ้น มาได้ นักเขียนหนึ่งคนจึงต้องแสวงหาความรู้และเรียนรู้ที่จะไขว่คว้าหา

บันทึกทัก

20

สิ่งใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา และต้องเป็นคนที่เปิดรับทุกความคิดเห็นและ ทุกเหตุการณ์ในชีวิต เพราะบางเหตุการณ์ในชีวิตอาจเป็นแรงบันดาลใจ ชั้นดีในการที่จะเริ่มงานเขียนชิ้นใหม่ก็ได้ การเริ่มต้นเป็นนักเขียนนั้น บางคนอาจจะเริ่มได้เลยจากการฝึก เขียนงานสักหนึ่งหรือสองชิ้นเป็นเวลานาน ๆ และนำ�มาปรับปรุงอีกหนึ่ง ครั้งก่อนส่งเข้าไปยังสำ�นักพิมพ์ที่ปรารถนา หรือหากต้องการศึกษาใน ศาสตร์แขนงนี้อย่างลึกซึ้งและเข้าใจ ก็สามารถศึกษาในระดับอุดมศึกษา ยังคณะนิเทศศาสตร์ สาขาหนังสือพิมพ์ นิตยสาร วารสารศาสตร์ หรือ สื่อสารมวลชน แต่ว่านักเขียนนั้นมีหลายรูปแบบและหลายประเภท ดัง นั้นการที่เราฝึกเขียนงานหลายรูปแบบนั้น ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีมาก การ เป็นนักเขียน หากไม่มีความมั่นใจที่จะสร้างบทความหรืองานเขียนขึ้นมา สักหนึ่งชิ้น หนทางสู่ความสำ�เร็จนั้นถือว่าริบหรี่มาก เพราะการที่เราจะ เขียนบทความสักชิ้น จะต้องมั่นใจในผลงานที่เรารังสรรค์ออกมา จะต้อง มีแนวทางเป็นของตัวเอง ไม่ต้องยึดหลักเมื่อเริ่มเขียน เขียนออกมาแต่ แนวคิด ปล่อยให้ความคิดโลดแล่นออกมา และค่อยนำ�มาเรียบเรียงตาม รูปแบบของการเขียนที่ถูกต้อง หลังจากที่เราฝึกเขียนแล้ว เราควรนำ�งานเขียนให้คนที่ไว้ใจหรือ คนใกลัตัวลองอ่าน และขอคำ�แนะนำ�เพื่อปรับปรุงงานเขียนให้ดียิ่งขึ้น เมื่อได้คำ�แนะนำ�แล้วก็นำ�คำ�แนะนำ�มาปรับปรุงงานเขียนอีกครั้ง และ พัฒนาฝีมือการเขียนให้ดียิ่งขึ้นไป หมั่นเพียรศึกษาหาความรู้ให้มากขึ้น เรื่อย ๆ เมื่องานเขียนในมือเรามีประสิทธิภาพมากพอแล้ว เราสามารถ

21

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


นำ�ส่งให้กับสำ�นักพิมพ์เพื่อการพิจารณาได้ และควรส่งหลายสำ�นักพิมพ์ เพราะว่าหากงานเขียนของเราไม่ใช่ความต้องการของสำ�นักพิมพ์หนึ่ง อีก สำ�นักพิมพ์หนึ่งอาจจะต้องการงานเขียนของเราก็ได้ สำ�หรับรายได้ของนักเขียนนั้น การเป็นนักเขียนเพียงอย่างเดียว นั้นไม่สามารถเลี้ยงตัวเองได้ในทันทีที่ประกอบอาชีพนี้ เพราะรายได้จะ มาค่าลิขสิทธิ์จากหน้าปกเพียงร้อยละห้าถึงสิบเท่านั้น รวมไปถึงการวัด ยอดขายของหนังสืออีกด้วย หากหนังสือขายดีนาน รายได้ก็จะมากและ นานตามไปด้วย ดังนั้น การประกอบอาชีพนักเขียนเป็นอาชีพหลักนั้นไม่ สามารถทำ�ได้ หากงานเขียนที่อยู่ในมือไม่ดีจริงและไม่ถูกใจผู้อ่าน จากที่ อ.ฤทธิจักร ได้บอกถึงหลักของการสื่อสารไว้ว่า ‘การ สื่อสารมันจะมีทางออกอยู่สองทาง คือการพูดและการเขียน’ ฉันมีเรื่อง ราวมากมายที่อยากพรั่งพรูออกมา แต่ฉันเลือกที่จะไม่นำ�มันออกมาด้วย การพูด แต่การเขียนคือสิ่งที่ฉันเลือกจะสื่อออกมาทั้งหมด

Writer’s Commentary.

การทำ�หนังสือเล่มนี้ สำ�หรับผมว่ามันเป็นอีกหนึ่ง ขั้นแล้วครับ ที่จะเป็นบันไดในการเป็นนักเขียนของ ผม

บันทึกทัก

22

23

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


เขียนหนึ่งบรรทัด บันทึกทัก

24

25

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


กันอย่างสนุกสนานแล้ว ฉันกับพวกเขายังได้มีความสุขร่วมกันกับ กิจกรรมหลายอย่าง ทั้งการมีทติ้งร่วมกันที่บ้านของสมาชิกคนหนึ่ง วันนั้นเป็นวันที่ทำ�ให้ฉันได้รู้ถึงด้านมืดที่แท้จริงของฉัน ที่บางครั้งฉัน อาจจะแสดงออกมาโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ความจริงแล้วฉันคิดว่าคงไม่มี ใครที่จะให้โอกาสคนเลวอย่างฉันได้มาใช้เวลาร่วมกับเพื่อนกลุ่มที่มี ความเหนียวแน่นอย่างพวกเขาหรอก แต่ความจริงแล้วพวกเขานี่แห ละคือเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน แต่เวลาแห่งการจากลาย่อมต้องเกิดขึ้น และฉันไม่เคยคาดคิดเลยว่า เพื่อนคนที่เริ่มต้นให้โอกาสฉันคนนั้น เพื่อนคนที่ฉันรักมากที่สุดคนนั้น จะเป็นคนที่จากไปเพราะสอบไม่ ติด ฉันรู้สึกเสียใจมาก และยังทำ�ใจไม่ได้จนถึงวันนี้

จากพัสดุกล่องนั้นที่ฉันไม่กล้าเปิด ฉันจึงนึกถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้น เมื่อครั้งวันวาน จากที่ฉันเป็นคนที่ไม่น่ารัก ไม่น่าคบ ไม่น่าเอาใจใส่ แต่เมื่อฉันได้คบกับเขา ชีวิตฉันก็ค่อย ๆ เริ่มเปลี่ยนไปทีละนิด จาก ที่ฉันเป็นคนไม่ดี ปากไว ปากไม่ดี ก็ทำ�ให้ฉันนั้นเริ่มคิดก่อนพูด และ เตรียมตัวให้ดีก่อนที่จะได้เจอกับเขา ฉันลองพูดคุยกับเขา และฉันก็ พบว่าเขานั้นเป็นมิตรมากกว่าที่ฉันคิด ต่างจากที่ฉันเคยเจอเขาแบบ ผ่าน ๆ และฉันก็รู้มาอีกว่าเขามีความสามารถในการร้องเพลง เมื่อ ฉันไม่ได้คิดอะไร ฉันจึงลองร้องเพลงออกไปในคีย์ทำ�นองประสาน และฉันก็ค้นพบว่าเสียงของเขาและฉันเข้ากันได้ดีมาก แต่ไม่รู้อะไร ที่ดลใจฉันให้ลองขอเขาเข้ามาเป็นสมา่ชิกส่วนหนึ่งในวงดนตรีของ เขา เขาตอบตกลงและให้ฉันเป็นคอรัสในวงของเขา แต่เขามีข้อแลก เปลี่ยนว่าฉันต้องเปลี่ยนตัวเองเสียใหม่ แรกเริ่มมันทำ�ให้ฉันไม่ชอบที่ เขาให้ฉันทำ�แบบนี้ แต่เมื่อเขาบอกว่ามันจะเป็นผลดีสำ�หรับตัวฉัน ฉันจึงตัดสินใจที่จะทำ� และทุกคนก็ยอมรับฉัน ฉันได้เข้าห้องซ้อม กับพวกเขา บรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกสนาน ฉันและพวกเขา มีความสุขมาก ฉันกับพวกเขาได้เข้าร่วมการแข่งขันดนตรีหลายครั้ง ซึ่งต้องทำ�ให้ฉันพัฒนาตัวเองให้มากขึ้นกว่าเดิม เพื่อจะทำ�ให้การ แสดงของวงนั้นดูสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ผลจากการพยายามของ ฉันนั้นทำ�ให้วงของฉันได้รับรางวัลหลายครั้ง เป็นความสุขและความ ภาคภูมิใจของตัวฉันมาก นอกจากที่ฉันกับพวกเขาจะได้เล่นดนตรี

บันทึกทัก

Writer’s Commentary.

เขียนหนึ่งบรรทัดนี้อ้างอิงมาจากเรื่องจริงของผม เองครับ ลองตามอ่านได้ในบทต่อ ๆ ไปนะครับ

26

27

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


หลายย่อหน้าพารื่นรมย์ บันทึกทัก

28

29

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


สิ่งที่ทำ� แล้วสบายใจ

กล่าวถึงสิ่งที่ข้าพเจ้าทำ�แล้วสบายใจที่สุด ข้าพเจ้ามีหลายสิ่งที่ ข้าพเจ้าทำ�ได้เพื่อทำ�ให้สบายใจ แต่ข้าพเจ้ามีบางสิ่งที่ทำ�แล้วสบายใจ อย่างแท้จริง สิ่งแรกคือการถ่ายภาพ เป็นกิจกรรมที่ข้าพเจ้าทำ�บ่อย ที่สุด และเป็นสิ่งที่ถนัดที่สุด นอกเหนือจากนี้ข้าพเจ้าก็ยังชอบเล่นดนตรี อีกด้วย ข้าพเจ้ากำ�ลังหัดเล่นอุคุเลเล่ การหัดอาจจะยังไม่เป็นรูปเป็น ร่าง แต่จุดประสงค์คือข้าพเจ้าอยากเล่นเพื่อคลายเครียด และอยากเล่น เพื่อกระชับมิตรภาพกับเพื่อนในวงดนตรีของข้าพเจ้า เนื่องจากเวลาใน การเจอกันของข้าพเจ้าและเพื่อนในวงดนตรีนั้นไม่ตรงกัน เพราะต่าง คนต่างศึกษาในสายการเรียนที่ต่างกัน อย่างต่อไปคือการทำ�สื่อสิ่งพิมพ์ ข้าพเจ้ามีความฝันที่อยากจะเป็นนักเขียน ดังนั้นข้าพเจ้าจึงขวนขวายหา ประสบการณ์ ด้วยการหัดทกำ�ภาพกราฟฟิกดีไซน์ ซึ่งเป็นหนึ่งศาสตร์ ที่ต้องใช้ในการทำ�สื่อสิ่งพิมพ์ อีกหนึ่งศาสตร์ที่ข้าพเจ้ามีความสามารถ ในการใช้คอมพิวเตอร์ คือการทำ�ไทโปกราฟี (Typography) คือสิ่งที่ ข้าพเจ้าถนัดและทำ�ได้ดีที่สุด การที่จะเป็นนักเขียนที่ดีได้นั้นจะต้องมี การฝึกฝน ข้าพเจ้าจึงมีการฝึกอ่านและเขียนหนังสือ ข้าพเจ้ามีหนังสือ เล่มโปรดอยู่หนึ่งเล่ม คือแบร์วิช (Bearwish) ประพันธ์โดยคุณวงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ ถือเป็นหนังสือที่ข้าพเจ้าชอบมากที่สุด เพราะแฝงไปด้วย

บันทึกทัก

30

ที่ทำ�ให้การใช้ชีวิตมีสีสันมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ข้าพเจ้ายังหมั่นทบทวนบท เรียนวิชาการเขียนอีกด้วย แต่บางครั้งข้าพเจ้าก็เกิดอาการขี้เกียจ ข้าพเจ้า จึงเลือกการนอนเป็นการพัก และเป้นการตัดปัญหาที่รุมเร้าข้าพเจ้าให้ หยุดลงชั่วขณะ

Writer’s Commentary.

งานเขียนชิ้นนี้ผมถือว่าผมเขียนด้วยความสบายใจที่สุด ชิ้นหนึ่งครับ เพราะผมเขียนเรื่องราวจริง ๆ ที่ผมทำ� แล้วสบายใจมาให้ผู้อ่านได้อ่านหมดแล้วครับ

31

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


ถ้าไม่อยาก สอบตก

ถ้าหากท่านไม่อยากสอบตก ท่านต้องอ่านหนังสือ โดยวางแผน การอ่านหนังสือตามรายวิชาให้เป็นเวลา และอ่านให้เข้าใจอย่างถี่ถ้วน นอกเหนือจากนี้ควรต้องวางแผนการทำ �ข้อสอบซึ่งทำ�ได้โดยการเรียง ลำ�ดับความสำ�คัญเมื่อเห็นข้อสอบแล้ว ว่าท่านสามารถทำ�ข้อสอบใน ตอนไหนหรือช่วงไหนได้บ้าง ไม่ได้บ้าง และต้องทำ�ความเข้าใจให้ดีด้วย เพราะบางครั้งข้อสอบอาจหลอกโดยการใช้คำ�สั่งหรือคำ�ถามที่กำ�กวมก็ได้

เขียน หนึ่งบรรทัด

การเขียนถึงแม้จะแค่หนึ่งบรรทัด แต่แค่หนึ่งบรรทัดก็สามารถบ่ง บอกถึงคุณภาพของบรรทัดที่เหลือ และความสามารถของผู้เขียนได้ โดย ต้องเขียนให้ถูกต้องทั้งตามหลักภาษาไทยและเขียนออกมาให้ดูดีสวยงาม ความเข้าใจในบทความก็ถือเป็นหนึ่งส่วนสำ�คัญ หนึ่งบรรทัดที่ท่านเขียน ต้องมีความหมายที่ดี ชัดเจน และอ่านรู้เรื่อง จึงจะทำ�ให้การเขียนหนึ่ง บรรทัดบรรลุผลได้

Writer’s Commentary.

Writer’s Commentary.

ผมเองทำ�ตามวิธีที่ผมเขียนเองแล้ว ทำ�ไมผมยังสอบตก อยู่เลยล่ะครับ?

บันทึกทัก

งานเขียนทุกชิ้นของผม เริ่มจากการเขียนหนึ่งบรรทัด ทั้งหมดครับ การเขียนหนึ่งบรรทัดเป็นสิ่งสำ�คัญจริง ๆ ในการเขียนบทความทุกชิ้นครับ ผมรับประกัน

32

33

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


กระดาษ มีค่า

กระดาษนั้นมีเหมือนทองคำ� กล่าวคือมีน้อยแต่มีค่า ฉะนั้นแล้ว เราควรใช้อย่างประหยัดโดยการใช้ทั้งสองหน้า ใช้อย่างคุ้มค่าโดยการนำ� กลับมาใช้ใหม่ เพราะการทำ�กระดาษนั้นเปลืองต้นไม้ ทุกวันนี้ต้นไม้ปลูก ยากขึ้นและเหลือน้อยมาก หากเรายังใช้กระดาษอย่างไม่รู้ค่า เราก็จะ ไม่มีกระดาษใช้

เดือน ธั น วาคม หากจะถามถึงหนึ่งเดือนที่ทุกคนต่างรอคอยในรอบปี เชื่อขนมกิน

ได้เลยว่าต้องเป็นเดือนธันวาคมอย่างแน่นอน เพราะเดือนธันวาคมนี้ต่าง เป็นทั้งเดือนแห่งการพักผ่อนและเดือนแห่งการเฉลิมฉลองในคราวเดียว สำ�หรับเดือนแห่งการพักผ่อนนั้น เดือนธันวาคมนี้คือเดือนที่มีวันหยุดมาก ที่สุดไม่แพ้เดือนเมษายน ไม่ว่าใครก็อยากจะไปเที่ยวพักผ่อนเพื่อชาร์จ แบตให้ตัวเอง และเตรียมตัวในการใช้ชีวิตในปีใหม่ต่อไป และที่ลืมไม่ ได้คือเดือนแห่งการเฉลิมฉลอง เราจะได้ฉลองทั้งในวันคริสต์มาส วันสิ้น ปี และเป็นการฉลองเพื่อก้าวข้ามเข้าสู่ปีใหม่ เพื่อการเริ่มต้นสิ่งใหม่และ ชีวิตใหม่นั่นเอง ดังนั้น เดือนธันวาคมนั้นต่างเป็นทุกคนที่รอคอยให้มาถึง เพราะการพักผ่อนอันยาวนาน การเฉลิมฉลองอันแสนสนุกสนานจะเกิด ขึ้นในเดือนแห่งความสุขนี้

Writer’s Commentary.

Writer’s Commentary.

ความลับอย่างหนึ่งคือ การที่ผมกว่าจะทำ�หนังสือเล่ม นี้ได้ ผมพิมพ์หนังสือเสียกระดาษไปเกือบ ๆ ครึ่งรีม เลยครับ เห็นทีผมคงจะต้องประหยัดกว่านี้แล้วสิครับ

บันทึกทัก

ย่อหน้านี้ผมเขียนในวันสอบครับ ตอนเขียนมันรู้สึก ค่อนข้างตัน แต่ก็สามารถเขียนออกมาได้เป็นแบบนี้ ครับ

34

35

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


จากเมื่อครั้งที่ผมได้อยู่ในวง SASSYCHEEZE: นั้น ผมก็ได้มี โอกาสได้เข้าร่วมการประกวดอยู่หลายครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งก็ให้ความรู้สึก แตกต่างกันไป และมีอารมณ์ที่หลากหลายเกิดขึ้นในการประกวดแต่ละ ครั้ง ผมได้เลือก 3 การประกวดที่สำ�คัญที่สุด และเป็นที่น่าจดจำ�มาก ที่สุดมาเล่าให้ฟังครับ

บัแห่งนการแข่ทึกงขัสามวั น นของพวกเรา บันทึกทัก

36

37

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


เอเชียนิทัศน์

7 กุมภาพันธ์ 2554

ผมไม่ทราบว่าก่อนหน้านี้พวกเขาได้เข้าร่วมการประกวดมาก่อนรึ เปล่า แต่การแข่งขันครั้งนี้เป็นการแข่งขันครั้งแรกตั้งแต่ผมเข้าวงมาครับ การแข่งขันครั้งนี้ทุกคนในวงทุ่มเทกันอย่างมาก ตั้งแต่พวกเราได้รับข่าว การประกวดจากครูเกมส์ (อ.ภูวดล อัคนิถิน) มา พวกเราก็เริ่มตั้งหน้า ตั้งตาซ้อมตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย ผมจำ�ได้ว่าช่วงนั้นผมต้องนั่งหัด ร้องเพลงถูกทุกข้อ ของวง DDT Superband ภายในหนึ่งอาทิตย์เพื่อจะได้ เข้าคีย์คอรัสกับจ้าว (นักร้องนำ�) ได้อย่างรวดเร็วที่สุด พอถึงเวลาประกวด แล้ว ผมมีความรู้สึกหลายอย่างปนกันอยู่ในนั้น ทั้งกลัวว่าตัวเองจะทำ�ได้ ไม่ดีพอ และอาจจะทำ�ให้วงล่ม กลัวคู่แข่งหลาย ๆ วงที่มีฝีมือที่จัดจ้าน และอาจจะชนะวงของผมได้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่จ้าวกับหลาย ๆ คนใน วงก็บอกผมว่าให้ทำ�ให้ดีที่สุด และทำ�ให้เต็มที่ เมื่อถึงเวลาที่ผมได้ขึ้นไป แล้ว ผมก็ทำ�ตามที่ทุกคนบอก คือทำ�อย่างเต็มที่มากที่สุดในแบบของผม ซึ่งทุกคนก็ชอบในการแสดงของผม และกรรมการก็ชอบมากครับ กับการ แสดงในวันนั้น ผลจากการแข่งขันวันนั้น พวกเราได้รางวัลรองชนะเลิศอัน ดับหนึ่งครับ และนั่นคืองานแรกที่เป็นงานที่ผมภูมิใจมากอีกงานหนึ่งครับ

บันทึกทัก

38

39

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


โรงเรียนเทคโนโลยีเอเชีย 28 มกราคม 2554 การแข่งขันครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่พวกเราเข้าห้องอัดเพื่อทำ�เพลง ‘ไม่ทิ้งกัน‘ ซึ่งเป็นเพลงประจำ�รุ่นซาเวียร์ครับ ทุกคนในวงต่างออกปาก กันเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่ได้ซ้อมเพื่อการแข่งขันครั้งนี้เลย เพราะช่วงนั้น เรามัวแต่ซ้อมเพลงเพื่อเข้าห้องอัดเสียงเท่านั้นครับ และเราก็ลืมการแข่ง ขันครั้งนี้ไป จนกระทั่งเราอัดเสียงกันเสร็จ เช้าวันต่อมาพวกเรามาถึงโรง เรียนแล้วก็ไปแข่งขันเลย ผมและเพื่อน ๆ ทุกคนมีอาการมึนและง่วงมาก ครับ จนไม่มีกะจิตกะใจจะขึ้นไปประกวดเลย แต่ในเมื่อเรามาถึงขนาดนี้ แล้ว ยังไงก็ต้องเล่นกันต่อไปให้การประกวดสิ้นสุดลงครับ ซึ่งพวกเราก็ยัง ทำ�ได้ดีตามมาตร-ฐานของพวกเรา แต่พวกเราไม่คิดว่าเราจะได้รับรางวัล รองชนะเลิศอันดับ 2 จากการแข่งขันครั้งนี้ครับ ส่วนตัวผมคิดว่าการที่ พวกเรายังได้รับรางวัลทั้ง ๆ ที่เราเล่นได้ไม่ตามมาตรฐานนั้น ผมคิดว่า น่าจะเป็นเพราะพวกเราโชคดีมากกว่า แต่ผมว่าวันนั้นพวกเราก็ยังเล่นได้ ดีอยู่นั่นแหละครับ

บันทึกทัก

40

41

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


BCC MUSIC CONTEST#2 27 สิงหาคม 2554 หลังจากจ้าวออกจากวงไป ผมเองก็เป็นนักร้องนำ�แทนไปได้แค่ พักเดียวครับ การแข่งขันครั้งนี้ก็เกิดขึ้น โดยที่พวกเราใช้เวลาเตรียมตัว เกือบสองเดือนกับนักร้องคนใหม่คือน้องภูมิ (บริรักษ์ มณีศรีสุวรรณ) นัก ร้องที่มีเสียงร้องเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและความสามารถที่จัดจ้าน และ ผมก็ลงไปเป็นคอรัสเหมือนเดิม การแข่งขันครั้งนี้ถือว่าเป็นการแข่งขัน ครั้งใหญ่เหมือนกันครับ เพราะจัดที่โรงละครกาดเธียเตอร์ อุทยานการค้า กาดสวนแก้ว มีวงดนตรีเกือบทั่วทั้งภาคเหนือมาแข่งขันกันถึงสามสิบกว่า วง และกรรมการหนึ่งในนั้นคือคุณเพชร มาร์ หรือพี่เพชร์ในเดอะสตาร์ นั่นแหละครับ จึงทำ�ให้พวกเราต้องตั้งหน้าตั้งตาซ้อมกันอย่างหนัก การ แข่งขันครั้งนี้พวกเราพยายามกันอย่างเต็มที่และเต็มภาคภูมิแล้วครับ แต่ พวกเราไม่ได้รางวัล พวกเราทุกคนไม่โทษกันนะครับ แต่พวกเรากลับให้ กำ�ลังใจกัน จะก้าวเดินต่อไป สู้ต่อไปพร้อมกัน และไม่ทิ้งกันครับ

บันทึกทัก

42

43

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


เสียงตามสาย บันทึกทัก

44

หลายคนที่รู้จักผมคงทราบดีว่า ผมจะมีสัญลักษณ์ประจำ�ตัวหนึ่ง อย่างที่เป็นหน้าที่อย่างหนึ่งในชีวิตการเป็นนักเรียนของผม และผมเชื่อว่า ใครที่อยู่โรงเรียนเดียวกับผมไม่ว่าจะเป็นทั้งครูหรือนักเรียน ทุกเช้าจะต้อง ได้ยินเสียงของผมเจื้อยแจ้วออกมาผ่านลำ�โพงก่อนเพลงชาติ นั่นคือการ เป็นนักเรียนชมรมเสียงตามสายและประชาสัมพันธ์ครับ จุดเริ่มต้นของการเข้าชมรมนี้ของผมนั้นเกิดโดยที่ผมยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ� เพราะตอนนั้นผมเด็กมาก ๆ แต่แม่ผมพอจะเล่าให้ฟังได้ว่าตอนนั้นผม ยังอยู่ชั้น ป.5 และผมก็รู้จักกับครูหนึ่ง (อ.ปิยนาถ ใจคำ�) อยู่แล้ว ด้วย ความที่ครูหนึ่งเห็นผมเป็นคนพูดเก่งมาตั้งแต่เด็ก เพราะตั้งแต่ตอนนั้นผม ก็เริ่มได้รับมอบหมายให้เป็นพิธีกรในกิจกรรมหลายกิจกรรม ครูหนึ่งเลย ไปคุยกับแม่ผมเพื่อให้แม่ลองชวนผมเข้าชมรมเสียงตามสายดู สุดท้ายผม ก็ตอบตกลงไปอย่างงง ๆ ครับ เพราะอยากลองเข้าไปทำ�งานด้วย และก็ ไม่อยากขัดใจแม่ด้วย จุดเริ่มต้นนับจากวันนั้น คือการที่ผมต้องร่วมจัดรายการภาษา อังกฤษ ‘Hello English’ ร่วมกับพี่อีกคนหนึ่งชื่อพี่เทพ จัดร่วมกันได้สักพัก หนึ่งที่เทพก็ออกจากชมรมไปเพราะหมดวาระ (ต่อมาพี่เขาขึ้น ม.6 และ นักเรียน ม.6 ต้องเตรียมตัวสอบเอ็นทรานซ์ครับ) ผมเลยได้ครองไมค์ จัดรายการคนเดียวอยู่ร่วมสามปีเต็ม ๆ ก่อนที่ผมจะปลดระวางการจัด รายการให้กับรุ่นน้องห้องเรียน FEP ต่อไป นอกเหนือจากที่ผมจะได้ทำ�รายการภาษาอังกฤษแล้ว ช่วง ระหว่างที่ผมเข้าชมรมใหม่ ๆ ผมได้รู้จักกับพี่เพื่อนที่เป็นประธานชมรม

45

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


ในตอนนั้น มาช่วยผมฝึกออกเสียงและฝึกอ่านข่าวให้เป็นผู้ประกาศที่ดี และอ่านข่าวอย่างถูกต้อง ผมจำ�ได้ว่าก่อนที่ผมจะได้อ่านบทความ ‘ถ้า ไทยไม่มีเอกราช เราจะร้องเพลงชาติให้ใครฟัง ...’ อยู่ประมานสิบกว่า รอบ และกว่าที่ผมจะได้มาอ่านจริง ๆ จนกลายเป็นสัญลักษณ์ประจำ�ตัว ของผมก็ตอนที่ผมอยู่ชั้น ม.3 นี่แหละครับ นอกจากที่ผมจะได้ประกาศข่าวและจัดรายการสั้น ๆ ในโรงเรียน แล้ว ผมยังได้มีโอกาสในการร่วมจัดรายการวิทยุในชื่อ ‘พีอาร์ซีออนแอร์’ ทางคลื่นพายัพเรดิโอ FM101.75 เป็นประสบการณ์ที่ผมได้รับบทบาทใน การจัดรายการวิทยุอย่างแท้จริง และมีค่าสำ�หรับผมมากครับ ประสบการณ์ที่ผมได้รับตลอดเวลาเกือบ ๆ 6 ปีตลอดเวลาใน ชมรมนี้ ผมว่าการที่ผมได้เข้าชมรมนี้ มันเหมือนทำ�ให้ผมมีหน้าที่หนึ่ง อย่างที่ผมต้องทำ�ทุกวันเหมือนเป็นกิจวัตรประจำ�วัน ความสุขมักจะเกิด เสมอทุกครั้งที่ผมได้เข้ามาที่ห้องจัดรายการ เพราะนอกจากมันเป็นหน้าที่ เป็นกิจวัตรประจำ�วันแล้ว เสียงตามสายยังเป็นสิ่งที่ผมรักมากที่สุดอีกสิ่ง หนึ่งในการเป็นนักเรียนปรินส์ของผมครับ Writer’s Commentary.

สำ�หรับรายการพีอารซีออนแอร์ จะได้รับฟังผมจัด รายการสักครั้งที่สองหรือสามของการออกอากาศ นะครับ

บันทึกทัก

46

47

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


คนเก็บภาพ บันทึกทัก

48

49

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


เมื่อครั้ง 400 ปีก่อนคริสตศักราช อริสโตเติล นักวิทยาศาสตร์ชาว กรีกได้คิดค้นประดิษฐ์กล้องถ่ายรูปขึ้นมาบนโลกเป็นครั้งแรก และนั่นเป็นครั้ง แรกที่ทำ�ให้ผู้คนทั่วโลกรู้จักการถ่ายรูปมากยิ่งขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป 2411 ปี ผมเองก็ได้มีโอกาสใช้กล้องถ่ายรูป มอบความสุขให้กับผู้คนมากมายผ่านสิ่ง ๆ หนึ่งที่เรียกว่าภาพถ่ายให้ทั้งเพื่อน ครู และหลาย ๆ คนให้มีความสุขกับ ภาพแห่งความทรงจำ�ที่ผมบันทึกขึ้นมา จุดเริ่มต้นของการถ่ายรูปนั้นเริ่มต้นจากที่พ่อของผมเองครับ ด้วย ความที่พ่อของผมเป็นช่างภาพประจำ�มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผมเลยได้มี โอกาสจับกล้องบ้างเป็นครั้งเป็นคราว และได้รับวิชาการถ่ายภาพมาจากพ่อ ของผมบ้าง แต่ตอนนั้นผมก็ยังเด็กมาก เลยพอแค่รู้ว่าถ่ายรูปด้วยกล้องใหญ่ น่ะ ต้องเอาสายกล้องห้อยคอเท่านั้นนะ เมื่อเวลาผ่านไป จุดเริ่มต้นของผมก็อุบัติขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เกิดจาก เพื่อนสนิท (ในช่วงนั้น) ของผมคนหนึ่งที่ชื่อจอนนี่ ผมเห็นเขาถือกล้องตัว ใหญ่ ๆ ที่ผมมักจะเรียกติดปากว่ากล้องใหญ่มาถ่ายรูปในงานกรีฑาสีเมื่อ ปี 2552 ผมเห็นแล้วก็เกิดอาการอยากบ้าง เพราะผมทราบอีกว่าจอนนี่เป็น ช่างภาพประจำ�โรงเรียน หลังจากที่งานกีฬาสีจบลง ผมจึงลองไปขอจอนนี่ ช่วยงานการถ่ายภาพ ซึ่งครั้งแรกที่ผมได้ทำ�งานการเป็นช่างภาพนั้น เป็นพิธี ระลึกถึงวันแฮริสเมื่อตอนผมยังอยู่ ม.2 ครับ กล้องตัวแรกที่ผมได้จับก็คือ กล้องของโรงเรียนครับ ตอนนั้นผมจำ�ได้ว่าผมเดินไปเดินมาอยู่รอบงานและ ถ่ายรูปโดยที่ไม่ได้ดูเลยว่าควรจะจัดองค์ประกอบภาพอย่างไร ควรจะต้องตั้ง

บันทึกทัก

50

ค่ากล้องแบบไหนให้ได้ภาพถ่ายที่สวยงามและถูกต้องตามหลัก เพราะผมยัง ไม่ประสีประสาและไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการถ่ายรูป สุดท้ายแล้วผมถูกก่นด่า แบบไม่มีชิ้นดีจากหลายฝ่าย จนทำ�ให้ผมหมดกำ�ลังใจไปเลยทีเดียว มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมเขียนบันทึกเชิงตัดกำ�ลังใจบนมัลติพลาย (www.multiply. com) ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่เราสามารถเปิดพื้นที่เพื่อโพสต์ผลภาพถ่ายของตัวเอง เอาไว้ในทำ�นองว่า ผมท้อ และหมดกำ�ลังใจที่จะถ่ายรูปต่อไป แต่มีรุ่นพี่คน หนึ่งซึ่งเป็นศิษย์เก่าที่จบออกไปนานแล้วที่ชื่อพี่กอล์ฟ เป็นช่างภาพอิสระ เมื่อ เขาเห็นคำ�พูดของผม เขาจึงเขียนกระตุ้นอะไรบางอย่างให้ผมคิดครับ ไม่มี โปร คนไหน ถ่ายรูปเก่งมาตั้งแต่เกิดครับ พี่แอ่วRBJ เคยพูดให้ ฟังตอนพี่ไปอบรม โปรระดับ S (Super) ของโลกนี้ เริ่มต้นถ่ายรูป ภาพก็ดูไม่ ได้เหมือนกัน ศิลปะมันคือมุมมองของศิลปินครับ ไม่มีใครถูก ไม่มีใครผิด เพราะเราแสดงออกในมุมมองของเรา ที่สำ�คัญอย่าไปกดดันตัวเอง อย่าไปคิดเทียบกับใครครับ เราถ่ายภาพ เพื่อ”ความสุข”ไม่ใช่เหรอ น้องยังมีความสุขทุกครั้งที่ได้กดชัตเตอร์อยู่รึเปล่า เอ่ย พี่ว่าน้องๆPRCของพี่ มีโอกาสที่ดีทีได้มีกล้องตั้งแต่สมัยนี้ มีโอกาสได้ พัฒนากันอีกเยอะครับ มุมมอง ทักษะ เรียนรู้กันได้อีกมาก ศึกษา เปิดเวป อ่าน Magazine เยอะๆครับ ออกเวปนอกมันบ้าง อย่าไปจับเจ่าแต่ในไทย

51

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


คิดซะว่าเป็นคำ�บ่นของพี่ PRC แก่ๆคนนึง แค่ไม่อยากให้น้องดูถูกตัวเองครับ ผมไม่เคยรู้จักพี่คนนี้เป็นการส่วนตัวเลยครับ จนกระทั่งผมได้เห็นคำ� พูดเหล่านี้ ผมเลยหยุดคิด อยู่กับตัวเองและทำ�ใจให้สงบที่สุด หลังจากนั้นผมก็หยิบคู่มือกล้องขึ้นมาศึกษา เวลาผ่านไปสักพักผมก็ได้พบกับเบส ซึ่งเป็นอีกคนที่เก่งในเรื่องของ การถ่ายรูปมาก ผมได้รู้จักกับเขา เขารู้ว่าผมถ่ายรูปไม่เก่ง เลยสอนวิชาการ ถ่ายรูปให้ผม หลังจากนั้นผมก็ออกงานอีกครั้ง และศึกษาเคล็ดลับการถ่ายภาพ จากเบสระหว่างที่ทำ�งานด้วยกัน ผลปรากฏว่าภาพถ่ายของผมก็ค่อย ๆ ออก มาดีเรื่อย ๆ และผมก็ได้รับคำ�ชมจากหลาย ๆ ฝ่าย นอกจากกำ�ลังใจของพี่กอล์ฟและเคล็ดลับจากเบสแล้ว ผมยังได้เจอ กับรุ่นพี่อีกสองคน คือพี่บอนด์กับพี่กอบครับ พี่สองคนนี้คือรุ่นพี่ที่ทำ�งานถ่าย ภาพด้วยกัน ด้วยความที่ผมรู้จักกับพี่เขาอยู่แล้วที่ชมรมเสียงตามสาย จึง ทำ�ให้ผมได้มีโอกาสคุยในเรื่องของการถ่ายภาพ และมีโอกาสขอคำ�ปรึกษา รวมไปถึงการให้กำ�ลังใจผมในวันที่ผมท้อเรื่องของการถ่ายภาพด้วยครับ ทุกคนที่เข้ามาในเส้นทางการถ่ายภาพของผม ทั้งจอนนี่ เบส พี่ บอนด์ พี่กอบ และพี่กอล์ฟ คือบทเรียนที่สำ�คัญ และกำ�ลังใจชั้นดี ที่ยังทำ�ให้ ผมยังคงล้มลุกคลุกคลานอยู่บนเส้นทางสายม้วนฟิล์มอยู่ตรงนี้ครับ

บันทึกทัก

52

53

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


เพื่อนรัก ผมเชื่อว่าทุกคนต้องมีเพื่อน เพื่อนบางคนอาจจะเป็นเพื่อนที่เรารู้จักระหว่างเราหลงทาง เพื่อนบางคนอาจจะได้เจอระหว่างที่หาที่นั่งในห้องเรียนใหม่ เพื่อนบางคนอาจจะได้เจอเวลาที่เรากินข้าวอยู่ที่โรงอาหาร หรือแม้กระทั่งว่าเพื่อนบางคนอาจจะได้เจอเวลาที่ทะเลาะกัน ไม่ว่ายังไงก็ตาม เพื่อนถือได้ว่าเป็นคนสำ�คัญที่สุดรองจากพ่อแม่และ คนรัก เพราะเพื่อนเป็นคนที่จะอยู่กับเราได้ทุกเวลา ทั้งเวลากิน เวลาเที่ยว เวลาทำ�งาน เวลาหัวเราะ หรือแม้กระทั่งเวลาร้องไห้ เพื่อนจะคอยอยู่กับเรา ตลอดเวลา และไม่ทิ้งเราไปไหน ในการเขียนบทนี้ ผมตัดสินใจยากมากกว่าที่ผมจะเลือกเพื่อนมาพูด ถึงในบทนี้ เพราะผมเป็นคนที่เพื่อนเยอะมาก การที่ผมเลือกเพื่อนทั้งแปดคน นี้ บางคนผมอาจจะรู้จักมานานมากตั้งแต่เด็ก แต่บางคนผมพึ่งจะมารู้จักเมื่อไม่นานนี้ สิ่งที่ทั้งแปดคนให้ผมมาตลอดระยะเวลาที่คบค้าสมาคมกัน บางคน อาจจะสั้น บางคนอาจจะยาว ไม่ใช่เพียงแค่ช่วงเวลาที่ทำ�ให้ผมได้พบเจอโลก ใบใหม่ ประสบการณ์ใหม่ แต่สิ่งที่ผมได้รับอีกหนึ่งสิ่งคือ ‘ความรักและความผูกพัน’ ระหว่างผมและเพื่อนคนนั้นครับ

Writer’s Commentary.

ทุกวันนี้ก็ยังอยู่บนเส้นทางเดิมครับ

บันทึกทัก

54

55

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


แสตมป์

ชื่อ : ธนนันท์ ธนไมตรีจิตต์ สถานศึกษา : ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/4 โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย รู้จักกันครั้งแรก : พฤษภาคม 2547 ระยะเวลารวม : 7 ปี

บันทึกทัก

56

แสตมป์กับผมเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ ป.3 ครับ รู้จักกันได้เพราะทำ�งาน กลุ่มด้วยกัน หลังจากนั้นก็ถือว่าสนิทกันในระดับหนึ่ง เพราะช่วงนั้นจะชอบ ไปดูเพื่อนเล่นเบย์เบลดด้วยกัน แล้วเราจะชอบเล่นอะไรเหมือนที่เพื่อน วัยเดียวกันเล่นเหมือนกันครับ มีครั้งหนึ่งที่ผมกับแสตมป์ขายของด้วยกัน ตอน ป.3 นั่นแหละครับ คือตอนนั้นวิชาการงานพื้นฐานอาชีพมีการสอน ทำ�ไข่เค็มครับ นักเรียนทุกคนจะได้ไข่เป็ดคนละหนึ่งฟองที่จะต้องทำ�เป็นไข่ เค็มเพื่อเอาไปขายในงานวิชาการประจำ�ปี ตอนนั้นผมกับแสตมป์สองคนไป ช่วยกันขายไข่เค็ม แต่ก็ขายไม่ค่อยดี เลยเอาไปให้คนอื่นขายแทน พอผมขึ้นชั้น ป.4 ไปผมก็ไม่ได้อยู่ร่วมห้องเดียวกับแสตมป์อีก เลยครับ แต่ก็พอได้เจอกันบ้างเวลาเดินสวนกัน เวลากินข้าวด้วยกัน ก็จะ ถามไถ่ถึงสารทุกข์สุขดิบกันบ้าง จนกระทั่งผมขึ้นมาชั้น ม.3 ผมทำ�หน้าที่ เป็นกรรมการรุ่นและกรรมการสภานักเรียนสมทบ เลยได้มีโอกาสเจอกับ แสตมป์อีกครั้ง ครั้งนี้เราทำ�งานด้วยกันมากขึ้น เราเลยมีโอกาสได้พูดคุยกัน มากขึ้น ภายนอกคุณอาจจะเห็นว่าแสตมป์เป็นคนปากร้าย ชอบจิกกันคน นั้นที คนนี้ที แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่มีมุมดี ๆ ให้คนอื่นเห็นนะครับ อย่างแรกคือความพยายามในการทำ�งานของแสตมป์ครับ แสตมป์ เองมีรูปแบบลักษณะการทำ�งานไม่เหมือนคนอื่น เขาจะมีความพยายาม อย่างมากในการที่จะให้งานออกมาดีที่สุด ถึงแม้ว่าบางครั้งจะเป็นการชี้นิ้ว สั่งก็ตามที แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นและนับถือในตัวของเขา คือความพยายาม

57

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


ในการทำ�งานให้สำ�เร็จลุล่วง อย่างเช่นงานสโมสรวิทยาที่ผมกับแสตมป์ได้ ทำ�ด้วยกัน งานในวันนั้นแสตมป์เป็นผู้กำ�กับเวทีและพิธีกรทั้งสองอย่างใน เวลาเดียวกัน ระหว่างที่เขารอคิวในการเป็นพิธีกร เขาก็วิ่งวุ่นอยู่กับการรัน คิวการแสดงของแต่ละห้อง รันวีทีอาร์ รันคิวพิธีกร และเมื่อถึงคิวที่เขาต้อง ออกไปเป็นพิธีกร เขาก็สามารถทำ�หน้าที่ได้ดีมากครับ อย่างที่สองคือความรักเพื่อนครับ แสตมป์จะเป็นคนที่มีการดำ�เนิน ชีวิตอย่างที่ว่าแทบจะไม่มีเวลาว่าง มีคิวเรียนพิเศษเต็มเอี๊ยด กลับบ้านก็ ต้องมาทำ�การบ้าน ทบทวนบทเรียน แต่แสตมป์ก็ยังมีเวลาให้กับเพื่อนทุก คนรวมไปถึงผมด้วยครับ มีอยูช่วงหนึ่งที่แสตมป์เป็นเชียร์ลีดเดอร์เมื่อใน งานกรีฑาสี ผมไม่มีเวลาได้คุยกับแสตมป์เลย เมื่อวันกรีฑาสีสิ้นสุดลง ผม ออกปากพาแสตมป์ไปทานกาแฟที่สตาร์บักส์ด้วยกัน แสตมป์เคลียร์ตาราง ทุกอย่างก่อนไปเรียนพิเศษ เพื่อมาทานกาแฟ และพูดคุยกับผมเพื่อชดเชย เวลาที่ห่างกันไปครับ และเมื่อผมกับแสตมป์มีเวลาได้คุยกัน แสตมป์ก็จะเอาปัญหาความ รักมาปรึกษาผมบ้าง ผมเองก็เอาปัญหาส่วนตัวของผมไปแลกเปลี่ยนทัศนะ กับแสตมป์บ้าง สำ�หรับผมแล้วแสตมป์จะเป็นคนทีรับฟังเรื่องของผมทุก เรื่องครับ ไม่ว่าเรื่องนั้นจะไร้สาระแค่ไหน หรือเป็นปัญหาใหญ่แค่ไหน เขา จะฟัง และทุกครั้งที่เขาฟังผมนั่นแหละครับ คือความสบายใจที่ผมได้รับ จากเพื่อนคนนี้ตลอดมา

บันทึกทัก

58

Writer’s Commentary.

แสตมป์บอกว่าจะเลี้ยงวันเกิดผมคืนจากที่เลี้ยงกาแฟไป เมื่อวันนั้น จนถึงตอนนี้ผมเองก็ยังไม่ได้รับการเลี้ยงเลย ครับ ใครก็ได้ฝากบอกแสตมป์หน่อยนะครับ

59

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


เพชร

ถ้าพูดถึงนักเรียนห้องศิลป์คำ�นวณแล้ว ผมแทบไม่มีเพื่อนที่สนิทเลย ครับ แต่ถ้ามีจริง ๆ ก็มีอยู่แค่สามสี่คน และเพชรก็คือหนึ่งในนั้นครับ ผมรู้จักเพชรครั้งแรกตอน ป.6 ตอนไปค่ายภาษาอังกฤษด้วยกัน เพชรที่ผมเจอวันนั้นเป็นคนเงียบ ๆ ไม่ค่อยพูดอะไร ถามคำ�ตอบคำ� แต่ เพชรที่ผมเจอตอนผมอยู่ ม.3 กลับกลายเป็นคนละคนครับ ผมเจอเพชร อีกครั้งในการทำ�งานสายตรวจ P.R.C. รุ่นที่ 13 เพชรตอนนั้นผมว่าเป็นคน ที่ปากจัดพอควรครับ ชอบว่าผมแซวผมตลอดเวลา พูดจาขวานผ่าซาก ซึ่ง ส่วนตัวผมก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพราะไม่ได้สนิทกันอยู่แล้ว แต่ถ้าจะถามถึงสิ่ง ที่ผมประทับใจในตัวเพชร มันมีอยู่สองอย่างครับ เรื่องที่หนึ่งคือการที่ผมเป็นลูกเสือล่วงหน้า หลายคนคงอิจฉาลูกเสือ ล่วงหน้ากันอย่างมากที่พวกเขาไม่ต้องทำ�กิจกรรมร่วมกับลูกเสือธรรมดา แต่ความจริงแล้วพวกเขาทำ�งานหนักกว่าที่คิด เพราะต้องจัดเตรียมสิ่งอำ� นวยความสะดวกให้กับทุกคนในค่าย เหตุการณ์ตรงนี้มันเกิดขึ้นในการ ประชุมของคืนเตรียมค่าย เมื่อครูด๋อย (อ.ฉัตรชัย จันทะสิทธิ) นั้นกำ�ลัง แบ่งงานว่าใครอยู่ฝ่ายอะไร เพื่อนผู้ชายก็เลือกที่จะไปคุมฐานกันหมด ทิ้ง ให้ผมอยู่เฝ้ากองอำ�นวยการกับครูสายใจอยู่สองคน (เพราะคืนต่อมาซึ่งเป็น แรกของการเข้าค่ายลูกเสือ ครูสายใจจะเข้ามาประจำ�ที่กองอำ�นวยการ ครับ) และที่แสบกว่านั้นก็คือ เหลือผมอยู่คนเดียวที่จะอยู่ที่กองอำ�นวยการ ด้วยความที่ผมรู้สึกรักในตัวเพื่อนร่วมทีมของผมอย่างยิ่งยวด ผมเลยกล่าว แบบลอย ๆ ไปว่า ‘รักเรากันจังเลยนะพวกแก ...’ เพชรที่ได้ยินก็ตอบกลับ ผมมาว่า ‘ถ้าไม่รักกันนะอาร์ตี้ เราไม่ช่วยกางเต๊นท์ให้อาร์ตี้นอนหรอก’

ชื่อ : วิษณุ ฟูเต็มวงศ์ สถานศึกษา : ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/6 โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย รู้จักกันครั้งแรก : มกราคม 2550 ระยะเวลารวม : 4 ปี

บันทึกทัก

60

61

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


อย่างที่ท่านทราบนะครับว่าทักษะในเรื่องของงานช่างทั้งก่อสร้าง เอย การตัดไม้ ตอกตะปู หรืออะไรก็ตามที่จะต้องมีเครื่องมือทางการ ช่างเข้ามาเกี่ยวข้องนั้น ผมจะไม่ได้ถนัดอะไรเลย รวมไปถึงการกางเต็นท์ นอนที่ผมเองไม่ได้เข้าไปช่วยอะไรเลย หวังจะแชร์เต็นท์อย่างเดียว เพชร เลยเป็นคนอาสาที่จะกางเต๊นท์นอนให้ผมมีที่หลับที่นอนอย่างปลอดภัย เรื่องที่สองคือ เพชรเป็นคนที่ทำ�ให้ผมเลิกดูถูกตัวเองครับ ต้อง ขอท้าวความถึงตัวผมก่อนว่าผมเป็นคนทีค่อนข้างคิดลบเป็นอย่างมาก ชอบดูถูกตัวเอง ชอบคิดว่าไม่มีคนชอบ ไม่มีสนใจ ผมมีความคิดอย่าง นี้มานานมากแล้วครับ จนกระทั่งวันที่ผมได้ไปเข้าค่ายสังคมที่จังหวัด พระนครศรีอยุธยากับเพื่อนอีกเจ็ดคน หลังจากที่ผมเจอเพชรไปแล้วหนึ่ง ครั้งที่ค่ายลูกเสือ ผมก็เจอเพชรที่ค่ายนี้เหมือนกัน การเข้าค่ายครั้งนี้ผมกับเพื่อนชั้น ม.3 นอนแยกกับน้อง ม.2 ครับ เลยทำ�ให้พวกเราทั้ง 8 คนมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันมากขึ้น ตลอดทั้งสอง คืนเราเลยนั่งเล่นกีตาร์ เล่นไพ่ กินขนมโรตีสายไหม และพูดคุยกันตาม ประสาเพื่อนผู้ชายที่ผมไม่ค่อยมีโอกาสได้สัมผัสมากนัก เมื่อเวลาล่วงเลยมากเข้า ต่างคนก็ต่างระบายเรื่องราวที่อัดอั้นใน ใจออกมา ไม่ว่าจะเรื่องเรียน ปัญหาครอบครัว ปัญหากับเพื่อน ปัญหา ความรักที่ตัวเองอาจจะไม่สมหวัง หรือแม้กระทั่งปัญหารักสามเศร้า ทุก คนต่างพูดเรื่องที่ติดอยู่ในใจออกมา ตัวผมเองก็พูดออกไปเช่นกัน

บันทึกทัก

62

ผมยอมรับว่าในรอบหลายปีที่ผ่านมา ผมไม่เคยระบายเรื่องที่อัด อั้นในใจกับใครเลย ไม่รู้ว่าทำ�ไมผมถึงไว้ใจพวกเขานัก หลังจากที่ผมระบายเรื่องทุกเรื่องออกไปแล้ว เพชรเองนั่นแหละ ครับเป็นคนที่ปลอบผม และคอยให้กำ�ลังใจ และพูดกับผมอยู่ตลอดเวลา ว่าผมไม่ใช่คนที่ไม่มีเพื่อน ผมไม่ใช่คนที่แย่ ผมไม่ใช่คนที่เลวขนาดนั้น และนั่นคือกำ�ลังใจส่วนหนึ่งที่ทำ�ให้ผมยังใช้ชีวิตต่อไปครับ

Writer’s Commentary.

จนถึงทุกวันนี้กำ�ลังใจส่วนหนึ่งที่ยังทำ�ให้ผมใช้ชีวิตต่อไป ได้ ก็มาจากเพชรเนี่ยแหละครับ ขอบคุณนะเพชร

63

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


เอิร์ธ

ชื่อ : ศุภวิชญ์ สุทธิวานิ​ิช สถานศึกษา : ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/8 โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย รู้จักกันครั้งแรก : มิถุนายน 2553 ระยะเวลารวม : 1 ปี บันทึกทัก

64

คุณเคยมีคนที่รู้จักกัน แล้วเห็นเขาทำ�กิจกรรมโน่นนี่นั่น เรากลับจะ อมยิ้มอย่างประหลาด และรู้สึกสุขใจแบบแปลก ๆ มั๊ยครับ ผมรู้สึกกับเอิร์ธแบบนั้นครับ เอิร์ธเป็นนักเรียนใหม่ตอนชั้น ม.1 จากโรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย ครับ ก่อนที่ผมจะรู้จักเขา ผมจะเห็นเพียงแค่ตัวสูง ๆ ของเขาเท่านั้นแหละ แต่ครั้งแรกที่ร่างสูง ๆ นั้นมาทักทายและให้ผมได้ทำ�ความรู้จักกับผม ก็เป็น ตอนที่ผมเข้าไปเรียนพิเศษภาษาอังกฤษกับเขาคนนั้นตอนก่อนสอบ 25% เมื่อปีที่แล้วครับ เราสองคนคุยกันเหมือนธรรมดาทั่วไปที่ไม่ได้สนิทกันมาก ครับ เป็นเพื่อนธรรมดากันไปพักหนึ่ง และที่สำ�คัญคือ เอิร์ธเป็นนักบาสเก็ตบอลครับ ในช่วง ม.3 นั้น ผมถือว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการค้นหาตัวเองของผม ครับ ผมทำ�อะไรมากมายหลายอย่างในช่วงเวลานั้น การเล่นบาสเก็ตบอล ถือเป็นอีกหนึ่งทางในการค้นหาตัวเองของผม ทุกวันผมเข้าไปเล่นบาสเก็ ตบอล พวกเพื่อนที่เล่นกันอยู่แล้วก็มองแปลก ๆ ว่ามาทำ�ไม แต่กับเอิร์ธไม่ใช่แบบนั้น เอิร์ธไม่ค่อยรู้สึกอะไรกับการมาของผมครับ และเป็นเรื่องปกติด้วย ซ้ำ� ถึงแม้ว่าบุคลิกอย่างผมจะไม่เหมาะกับการเล่นบาสเก็ตบอลก็ตาม บาง วันที่ผมมีเรียนพิเศษพร้อมกับเอิร์ธ ผมก็จะไปพร้อมกับเอิร์ธนั่นแหละครับ ระหว่างทางผมก็จะคุยเรื่องสัพเพเหระ เรื่องข่าวของเพื่อนกับเอิร์ธไปพลาง ซึ่งเหตุการณ์ประมานนี้เกิดขึ้นไปได้พักหนึ่ง

65

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


จนกระทั่งการสอบ 25% มาถึง เราก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย ผมมาเจอ เอิร์ธอีกครั้งตอนเป็นลูกเสือล่วงหน้า ซึ่งเราก็ยังคุยเรื่องสัพเพเหระธรรมดา กันเหมือนเดิมอีก ไม่ว่าเวลาล่วงเลยไปนานแค่ไหน ผมกับเอิร์ธก็ยังเป็น เพื่อนธรรมดากันเหมือนเดิม แต่ความสนิทระหว่างผมกับเอิร์ธก็เกิดขึ้น เมื่อ ผมกับเอิร์ธได้อยู่ด้วยกันตอนชั้น ม.4 ด้วยเหตุผลที่ว่านักเรียนชายในห้องศิลป์ภาษามีน้อย นักเรียนชาย ทุกคนเลยจะมีความสนิทกันโดยอัตโนมัติ มีงานกลุ่มอะไรก็มักจะเข้ากลุ่ม ด้วยกัน มีปัญหาเรื่องการเรียนหรือเรื่องอะไรก็ตาม ผมกับเพื่อนผู้ชายใน ห้องก็มักจะเอามาปรึกษากัน เอามาแลกเปลี่ยนกัน ซึ่งเอิร์ธก็เช่นกันครับ เอิร์ธจะมาขอความช่วยเหลือผมบ่อยมากในเรื่องที่เขาไม่เข้าใจ บาง คนอาจจะคิดว่าผมรำ�คาญ แต่ผมกลับมีความสุขที่ผมได้ช่วยนะ ไม่ใช่แค่ เอิร์ธครับ เพื่อนทุกคนนั่นแหละ แต่ผมจะได้ช่วยเอิร์ธเยอะกว่า และในบาง ครั้งที่ผมท้อกับงานบางชิ้นที่ทำ�ไม่ได้ เช่นโจทย์คณิตศาสตร์ หรืองานกลุ่ม ชิ้นใหญ่ที่ผมกับเอิร์ธและเพื่อนบางคนอยู่ด้วยกัน แต่ยังทำ�ไม่สำ�เร็จ เอิร์ธจะ เป็นคนให้กำ�ลังใจผมให้ผมทำ�งานได้อย่างลุล่วงครับ มีครั้งหนึ่งที่ผมทำ�โจทย์เลขกับเอิร์ธตอนเรียนพิเศษคณิตศาสตร์ เมื่อผมเห็นโจทย์ ผมก็โอดครวญในความยากของโจทย์ว่าทำ�ไม่ได้แล้วแน่ ๆ แต่เอิร์ธพูดกับผมมาประโยคหนึ่ง ‘อย่าไปคิดว่ามันยากอาร์ตี้ ลองทำ�ตามวิธี ที่ครูสอนก่อน’

บันทึกทัก

66

และอีกหนึ่งครั้ง ผมนั่งอยู่ในห้องเรียน ระหว่างที่ครูสั่งให้ทำ�แบบ ฝึกหัด เอิร์ธถามกับผมว่า ‘อาร์ตี้ เคยรู้สึกว่าตัวเองไม่สำ�คัญ ไมมีค่าบ้างมั๊ย’ ‘ตลอดอะ’ ผมตอบไป ‘อย่าไปคิดอย่างนั้นอาร์ตี้ อย่างแบบ แกเป็นเสียงตามสาย มันต้อง มีคนเปิดเพลงชาติ ทุกคนมันสำ�คัญหมดเว่ย ลองดูอย่างประธานรุ่นอะ ถ้า เกิดว่ามีแต่ประธานรุ่น ไม่มีเพื่อนในรุ่นคอยช่วยกัน มันก็คงทำ�อะไรไม่ได้ อาร์ตี้ก็เหมือนกัน’ ถ้าจะให้ผมนิยามความเป็นตัวเอิร์ธ จากวันแรกที่ผมเจอเอิร์ธ ที่ เป็นคนยิ้มง่าย ทำ�อะไรแล้วผมจะอมยิ้มด้วยความเอ็นดูตลอดเวลา ช่วยแก้ ปัญหาตลอดเวลา ผมคงจะนิยามคำ�ว่า ‘เสมอต้นเสมอปลาย’

Writer’s Commentary.

ผมจะมีฉายาเรียกเอิร์ธอยู่ คือ ‘ไอ้เติ้ง’ ที่มาคือเอิร์ธจะ เป็นคนที่ตัวสูงแบบเติ้ง ๆ (ซึ่งผมก็ระบุความหมายของ คำ�นี้ไม่ได้เหมือนกันครับ) เลยเรียกว่าเติ้งมาตลอดครับ

67

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


เบสเป็นหนึ่งในเพื่อนหลายคนที่ผมยังคงติดต่ออย่างเหนียวแน่น เพราะเบสเป็นเพื่อนคู่คิดอีกคนหนึ่งของผมครับ อย่างที่ผมเล่าให้ฟังไปใน บทคนเก็บภาพครับ ว่าเบสคือหนึ่งในทีมคนเก็บภาพร่วมกับเพื่อนอีกสามคน คือโอ๊ต เจฟ และจอนนี่ บางครั้งบางคราวที่เรามีอะไรที่ต้องช่วยเหลือกัน พวกเราทุกคนก็จะคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และพึ่งพาอาศัยกันตลอด เวลา เบสเป็นคนที่มีบทบาทในการถ่ายรูปไม่น้อยไปว่าจอนนี่เลยครับ เพราะเบสเป็นคนที่สอนให้ผมถ่ายรูปอย่างที่มืออาชีพพึงกระทำ� อย่างที่ผม บอกว่าผมเริ่มจากศูนย์ คือไม่มีกล้องใหญ่ (กล้องดิจิตอลซิงเกิ้ลเลนส์) เป็น ของตัวเอง มีแต่กล้องเล็ก (กล้องดิจิตอลคอมแพค) และประสบการณ์อีก นิดหน่อย ซึ่งเบสเองเป็นคนที่สอนผมให้ใช้กล้องที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ที่สุด และไม่ยอมให้ซื้อกล้องตัวใหญ่จนกว่าจะจำ�เป็นจริง ๆ ระหว่างเส้นทางของการเป็นคนเก็บภาพ มีอยู่ระยะหนึ่งที่พวกเรามี ความคิดเห็นที่ไม่ค่อยตรงกัน จนทะเลาะกันเป็นเรื่องบาดหมางใหญ่โต เบส เองเป็นคนที่ช่วยแก้ปัญหาให้ผม ไม่ว่าผมจะแตกคอกับใครในทีมก็ตาม เบส จะเป็นคนที่บอกให้ผมใจเย็นอยู่เสมอ และไม่ให้ผมโกรธหรือเกลียดใคร และมันเป็นแบบนี้ทุกครั้งครับ จนกระทั่งเบสออกไปเรียนต่อสาย อาชีพหลังจบชั้น ม.3 ผมถามเบสว่าทำ�ไม เบสตอบไปว่า ‘เค้าว่าเรียนสายอาชีพน่ะดีกว่า เพราะเรียนสายอาชีพจบไปก็มี ความรู้ พอจะเปิดเป็นธุรกิจของตัวเองได้ อย่างช่างหรืออะไรเนี่ย แต่พอ

เบส

ชื่อ : กฤติมา จอมที่รักษ์ สถานศึกษา : คณะเตรียมวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา วิทยาลัยเทคโนโลยีและสหวิทยาการ รู้จักกันครั้งแรก : มิถุนายน 2553 ระยะเวลารวม : 1 ปี

บันทึกทัก

68

69

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


จบสายสามัญไป เรียนได้ปริญญา งานหายาก ถ้าไม่เก่งพอก็เอาไปหางาน ทำ�ต่อไม่ได้ พอหาไม่ได้ก็ไม่มีงานทำ� สุดท้ายก็ลำ�บากอีก สู้ให้เราเรียนสาย สามัญแล้วมีความรู้ไปต่อยอดได้เลยไม่ดีกว่าเหรอ’ ผมยอมรับในความคิดของเบสที่มีความทะเยอทะยานอยากจะทำ� ในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ� และไม่อยากทำ�ให้พ่อแม่ลำ�บาก เพราะความทะ เยอะทะยานของเบสนี่เองครับที่ทำ�ให้ผมกล้าทำ�หลายสิ่งหลายอย่างกับเขา พูดคุยกับเขาได้ทุกเรื่อง เบสจะเป็นคนพูดตรง ๆ ด้วย เลยทำ�ให้ผมกับเบส ไม่ค่อยกลัวที่จะพูดความจริงต่อกัน และนำ�ปัญหามาแบ่งกัน และแก้ปัญหา ไปพร้อมกัน อีกหนึ่งสิ่งที่ผมประทับใจในตัวเขา คือเบสรักโรงเรียนครับ เบสจะ กลับมาที่โรงเรียนบ่อยพอสมควร เพื่อกลับมาพูดคุยกับคุณครูที่รัก และมา หาเพื่อนที่คิดถึง ผมเองได้เจอเบสบ่อยเหมือนกันครับ แต่เจอกันกี่ครั้ง เราก็ยังคงเป็นเพื่อนกันอย่างที่เราเคยเป็น และจะเป็นตลอดไป

Writer’s Commentary. ความจริงส่วนหนึ่งในตัวเบสที่ผมยังไม่ได้เล่า คือพ่อของเบส เป็นช่างภาพครับ เลยทำ�ให้เบสได้ตักตวงประสบการณ์การเป็น ช่างภาพ และนำ�มาปลดปล่อยในภาพประกอบของบทนี้ครับ

บันทึกทัก

70

71

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


จ้าว

เพื่อนคนนี้เป็นเพื่อนที่มีระยะเวลารวมในการทำ�ความรู้จักสั้นที่สุด แต่สำ�หรับความสัมพันธ์แล้ว ผมกล้าพูดเลย ว่าลึกซึ้งกว่าเพื่อนทั่วไปอีกครับ ไม่ใช่แฟน ไม่ใช่เพื่อน แต่เป็นเหมือนคนในครอบครัว จ้าวเป็นนักเรียนเทียบโอนเมื่อชั้น ม.2 เข้ามาแว่บแรกผมสัมผัสได้ ถึงความแก่นและเปรี้ยวในตัวจ้าวที่ไม่ต่างอะไรกับนักเลงหัวไม้ และในขณะ เดียวกันจ้าวก็เห็นในความแรงและความแสบของผม เพราะมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ ผมต้องทำ�สัมภาษณ์นักเรียนใหม่เพื่อลงคัดเลือกในวารสารน้ำ�เงินขาว และ จ้าวก็เป็นหนึ่งในนั้น ในตอนนั้นจ้าวเป็นคนที่หน้าตาบอกบุญไม่รับ กวน ประสาท และผมดูออกเลยว่าจ้าวไม่ชอบในตัวตนของผม ส่วนตัวผมแล้วไม่ได้คิดอะไรครับ งานก็คือเรื่องงาน ปล่อยให้มัน ผ่านไปแล้วก็ลืม ๆ มันซะ แต่ใครจะคิดละครับว่าเส้นทางในการเจอกัน ของผมกับจ้าวจะวนมาเจอกันอีก เพราะปีต่อมาเมื่อพวกเราขึ้น ม.3 เรามา เจอกันอีกครั้งตอนเป็นสายตรวจ P.R.C. ครับ ซึ่งความแตกต่างระหว่างวัน นั้นกับวันนี้ ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอีกครับ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปแค่อย่าง เดียวคือ จ้าวมีวงดนตรีที่เหนียวแน่นที่ชื่อว่า SASSYCHEEZE: และขึ้นแสดง ในงานปล่อยของทั้งสองครั้งมาแล้ว ครั้งแรกจ้าวอยู่ในฐานะมือกีตาร์ และ ครั้งที่สองจ้าวมาอยู่ในฐานะนักร้องนำ� แต่ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ระหว่างผมกับจ้าวก็เกิดขึ้นอีกครั้ง มีอยู่วันหนึ่งที่เพื่อน ๆ เกือบทั้งชั้น ม.3 ไปประกวดเดินพาเหรดไทย แลนด์โกกรีนที่จังหวัดลำ�ปาง ซึ่งจะเหลือนักเรียนอยู่ประมานสองร้อยกว่า

ชื่อ : สุวรรณภพ ธรรมพงศกร สถานศึกษา : ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/11 โรงเรียนนวมินทร์ราชูทิศ พายัพ รู้จักกันครั้งแรก : ธันวาคม 2553 ระยะเวลารวม : 10 เดือน

บันทึกทัก

72

73

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


คน ผมกับจ้าวก็อยู่ในกองนักเรียนที่เหลืออยู่เหมือนกันครับ ด้วยความที่ผม สมองเหงาเหลือรับประทาน ผมเลยไปคุยกับจ้าวที่ห้องของจ้าว เราก็คุยกัน ตามประสาเพื่อนธรรมดาอีกนั่นแหละครับ ซึ่งบางวันจ้าวจะหยิบกีตาร์ขึ้นมา ร้องเพลงบ้าง วันนั้นจ้าวก็เล่นกีตาร์แล้วร้องเพลง จ้าวเกิดชวนผมร้องเพลง ขึ้นมา ผมเองพอมีเซนส์ในการร้องเพลงแนวประสาน ก็ลองร้องกับจ้าวไป ผลปรากฎว่ามันสามารถเข้ากันได้ดีอย่างมาก ผมเลยนึกสนุกพูดกับจ้าวไป สั้น ๆ ว่า ‘จ้าว เราขอเข้าไปอยู่วงจ้าวด้วยได้มั๊ยอะ’ ‘อึม .. มันมีตำ�แหน่งผู้จัดการวงว่างอยู่ ตี้ไปอยู่ตรงนั้นก่อนแล้วกัน นะ’ วันนั้นจึงเป็นวันแรกครับ ที่ผมได้มีโอกาสได้อยู่วงดนตรีเดียวกับจ้าว และเพื่อน ๆ แต่ผมก็ยังคงอยู่ในฐานะผู้จัดการวงต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่ง เมื่องานมิวสิกไนท์มาถึง ผมจึงได้มีโอกาสมาเป็นคอรัส และนั่นถือเป็นครั้ง แรกครับที่วงของจ้าวนั้นเป็นที่รู้จัก โดยมีผมเป็นคอรัสอยู่ในวงนั้นด้วย เมื่อถึงช่วงเวลาปีใหม่ จ้าวและเพื่อนในวงได้มีโอกาสไปเล่นในงาน เลี้ยงปีใหม่ของร้านกาแฟม็อตโต้ ซึ่งเป็นงานเลี้ยงภายใน โทนี่ซึ่งเป็นมือ กีตาร์ในตอนนั้น (ปัจจุบันคือใหม่) ติดธุระ จ้าวเลยตัดสินใจให้ผมมาเป็นนัก ร้องให้งานในวันนั้น ซึ่งทุกคนก็ชื่นชอบในการแสดงวันนั้น โดยเฉพาะจ้าวที่ ดีใจมาก ที่ผมสามารถมาเป็นนักร้องในวันนั้นได้ มิตรภาพและความผูกพัน ระหว่างผม จ้าว และเพื่อนในวง จึงเริ่มต้นนับจากนั้นครับ จนกระทั่งเมื่อ เวลาผ่านไปจนเดือนมีนาคม เดือนแห่งการปิดภาคเรียนของชั้น ม.3 มาถึง

บันทึกทัก

74

จ้าวเอ่ยปากกับผมหนึ่งคำ� ‘เราจะไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้วนะ เราไม่ติดปรินส์’ ก่อนหน้านั้นผมเข้าใจผิดมาตลอดว่า จ้าวติดสายศิลป์ดนตรี แต่ผม มาทราบที่หลังว่ามันเป็นข่าวลือที่ปล่อยมาจากใครก็ไม่รู้ ซึ่งความรู้สึกตอน นั้นของผมมีอยู่อย่างเดียวครับ เสียใจ และเสียใจมาก ใครที่เคยเสียคนที่เรารักไป ไม่ว่าจะตาย หรือว่าเขาจากเราไปไกล แสนไกล และไม่อาจจะได้พบเจอกันหรืออยู่ด้วยกันเหมือนเมื่อก่อน จะ เข้าใจถึงความรู้สึกผมในตอนนั้นเลยครับ ตอนนั้นผมเศร้ามาก ไม่เป็นอัน ทำ�อะไร ไม่เป็นอันกิน ไม่เป็นอันนอน และพยายามทำ�ทุกวิถีทาง ที่จะทำ�ให้ จ้าวยังคงอยู่กับผมได้นานที่สุด แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่เป็นผลครับ มีคนเคยบอกว่า คนเราย่อมมีชีวิตเป็นของตัวเอง และอาจจะมีบาง คนลิขิตชีวิตของเราเอาไว้แล้ว กรณีนี้คงจะเป็นเช่นเดียวกันครับ สุดท้ายแล้วจ้าวก็ไม่ได้เรียนต่อโรงเรียนปรินส์ฯ กับผมและเพื่อน ๆ แต่ผมกับจ้าวก็ยังคงติดต่อกันอยู่ ยังคงตามไปเชียร์ผมและเพื่อน ๆ เมื่อมี การประกวดวงดนตรี ยังคงไปเที่ยวด้วยกันตามวาระและโอกาส ถึงแม้ตัวจะไกล ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ใกล้กัน แต่ความรักและความผูกพัน มันก็ยังคงอยู่ครับ

75

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


ตี๋ป๊อป

ชื่อ : พิ​ิชญ์ ตรีวงศ์นฤมาณ สถานศึกษา : ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย รู้จักกันครั้งแรก : ธันวาคม 2553 ระยะเวลารวม : 10 เดือน

Writer’s Commentary.

เรื่องจริงจากบทเขียนหนึ่งบรรทัดที่ผมบอก คือเรื่องราว ของผมและจ้าวที่ผมได้ขยายความไปทั้งหมดแล้วครับ

บันทึกทัก

76

77

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


ป๊อปเป็นน้องชายผมครับ ผมกล้าพูดอย่างนี้เพราะว่าป๊อปคือเพื่อนคู่คิดที่ใกล้ชิดที่สุดของผม แล้วครับ เราทั้งสองคนต่างช่วยเหลือเกื้อกูลกันเหมือนเป็นพี่น้องจริง ๆ ถึง แม้ว่าสายการเรียนจะทำ�ให้เรานั้นห่างกันไปก็ตาม แต่ก่อนที่เราจะสนิทกันได้ขนาดนี้ มันมีเรื่องยาวกว่านั้นครับ ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่ผมอยู่ชั้น ป.5 ผมได้เจอกับเพื่อนคนหนึ่งที่ ชื่อว่าพิชญ์ เป็นเด็กหน้าตาดี บ้านรวย เรียนหนังสือเก่ง ทั้งหมดทั้งมวลนี้ คือคุณสมบัติที่ใครหลายคนต่างก็อิจฉาเขาครับ ผมเองก็อิจฉาเขาด้วย เลย ทำ�ให้เป็นจุดเริ่มต้นในการกลั่นแกล้งต่าง ๆ นา ๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำ�ให้ผมกับ ป๊อปเป็นคู่อริกันจริง ๆ นั่นคือการที่เพื่อนสนิทของผม ไปอยู่กับป๊อปครับ ผมสนิทกับเพื่อนคนหนึ่งที่ชื่อว่าปิงครับ สนิทกันมาก มีงานกลุ่ม อะไรก็อยู่ด้วยกันตลอด แต่มีอยู่วันหนึ่งที่ปิงได้ไปคุยกับป๊อป แล้วเกิดสนิท กัน ช่วงนั้นผมเองก็มีเพื่อนที่สนิทอีกหนึ่งกลุ่มที่ไม่ได้เข้าเคียงอะไรกับปิงเท่า ไหร่ เมื่อผมมองกลับมาหาปิง ก็พบว่าปิงไปอยู่กับป๊อปซะแล้ว ยิ่งทำ�ให้ผม จงเกลียดจงชังในตัวป๊อปอีกที่แย่งเพื่อนสนิทผมไป ทั้ง ๆ ที่ป๊อปไม่ได้ทำ�ผิด อะไรเลยครับ ผมเลยจบชั้น ป.5 ไปด้วยความรู้สึกขุ่นเคืองในใจที่มีแต่ความ เกลียดผู้ชายคนนี้ตลอดมา แต่มีคนบอกว่า เวลาเปลี่ยน คนก็เปลี่ยน ป๊อปที่ผมเห็นอีกครั้งใน 4 ปีต่อมา ผมเห็นเขาเป็นมือคีย์บอร์ดใน วงดนตรี SASSYCHEEZE: ซึ่งผมเองไม่คาดคิดเหมือนกันครับว่าป๊อปที่วัน q ๆ เอาแต่จะเรียนหนังสือเพื่อทำ�เกรด และเล่นเปียโนเพื่อเป็นความสามารถ

บันทึกทัก

78

พิเศษเท่านั้น จะมาสนใจในการเล่นวงดนตรีสตริงคอมโบ แล้วผมก็ไม่ได้ สนใจอะไรอีก จนกระทั่งผมเข้ามาอยู่ในวงดนตรีนี้เองครับ ป๊อปเป็นคนที่มี ปฏิกิริยาโต้ตอบกับจ้าวรุนแรงมากถึงการมาของผม ถึงขนาดเอ่ยปากกันลับ หลังผมว่า ‘รับอาร์ตี้เข้ามาทำ�ไม?’ ผมเองไม่แปลกใจที่เขาจะพูดอย่างนี้ เพราะผมพอจำ�ได้ลาง ๆ ว่าอดีตที่ผมก่อไว้ มันเลวร้ายสำ�หรับเขา มากเพียงไหน แต่เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อป๊อปลองเปิดใจให้โอกาสผมตามคำ�ตอบ ของจ้าว ผมกับป๊อปก็ต่างเห็นอีกด้านของกันและกัน เข้าใจกันมากกว่าเดิม ไว้ใจกันมากขึ้น จนสุดท้ายเมื่อผ่านเรื่องราวอะไรหลายอย่างมาด้วยกัน ทั้ง การเข้าห้องอัดเพลงรุ่นถึงสี่ห้าทุ่ม การซ้อมดนตรีเพื่อการประกวดอย่างหนัก หน่วงหลายวันติดต่อกัน และการเตรียมตัวเพื่อทำ�การแสดงในหลายวาระ และโอกาส มันจึงเกิดคำ�ว่ารักขึ้นระหว่างเราสองพี่น้องครับ วันหนึ่งผมกับป๊อปคุยกันผ่านเอ็มเอสเอ็น เป็นวันที่ปิดเทอมได้ไม่ นาน ผมยังคงเหงา เศร้า และทำ�ใจไม่ได้กับการจากไปของจ้าว ป๊อปพิมพ์ คำ�พูดขึ้นมาหนึ่งประโยค อาร์ตี้ เราอยากบอกว่า เรารักอาร์ตี้นะ ตั้งแต่ นาย เข้ามาอยู่วง ทำ�ให้วงเราไฮขึ้นมาก มี ทุกอย่างครบ นาย ทำ�ให้สปิริตวงดี มาก อีก3ปี เนอะต้องรอนะๆ ^^

79

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


มันเป็นประโยคที่ผมไม่เคยคิดว่าจะได้อ่านจากคู่อริในอดีต จนมาเป็นพี่น้องกันในปัจจุบัน ผมไม่เคยแน่ใจว่า ‘รักไม่ต้องการเวลา’ มันเป็นยังไง แต่กับป๊อปแล้ว ผมถึงรู้ครับ ว่าเวลาไม่เกี่ยวอะไร กับมิตรภาพของพี่ชายอย่างผม และน้องชายอย่างเขาเลย ...

Writer’s Commentary.

ที่มาของคำ�ว่าตี๋ เริ่มต้นคือป๊อปเรียกผมว่า ‘เฮีย’ ก่อนครับ ด้วยความที่ผมติดละครเนื้อคู่อยากรู้ว่าใคร ซึ่งตัวละครภูผา จะเรียกน้องวีว่าตี๋ ผมเลยเรียกป๊อปว่าตี๋ตามภูผานั่นเองครับ

บันทึกทัก

80

81

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


จากพี่ ให้น้อง

บทส่งท้าย

บันทึกทัก

82

83

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


ผมมีคำ�หนึ่งคำ�ที่ผมชอบมากในหนังสือแบร์วิช (Bearwish) ของคุณ วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจสำ�หรับการเดินบนเส้น ทางสายน้ำ�หมึกของผมครับ นั่นคือคำ�ว่า ‘ชีวิตมีไว้ให้ใช้’ หากเปรียบคำ�พูดดังกล่าวกับชีวิตของผมแล้ว 16 ปีที่ผมเกิดและ เติบโตบนโลกใบนี้ การดำ�เนินชีวิตของผมนั้นผมบอกได้เลยว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม เพราะผมผ่านการดำ�เนินชีวิตมาหลายรูปแบบ ผ่านเหตุการณ์หลายอย่างที่มี ทั้งสุข ทุกข์ สนุก ร้องไห้ หัวเราะ ถูกหักหลัง ได้สัมผัสกับคำ�ว่ารัก หรือแม้ กระทั่งความลำ�บากที่ไม่เคยเจอในชีวิต แต่กับบางคนแล้วผมเชื่อว่าอาจจะยังไม่เคยผ่านวิชาการใช้ชีวิต อย่างหนักหน่วงเหมือนผม บางคนอาจจะยังกลัวที่จะลงสนามสู่การใช้ชีวิต จริง หรือบางคนยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้าบททดสอบชีวิตจริง หรือบางคน ก็เอาแต่นอนอยู่บนเตียง ไม่กล้าตื่นที่จะมาทำ�อะไรใหม่ ๆ ให้ชีวิตของตัว เอง มีอยู่คืนหนึ่งที่ผมได้เห็นโพสต์บนเฟซบุ๊คของ ม.3 รุ่นวินเซนต์ ถึง เรื่องอนาคตในการต่อชั้น ม.ปลาย น้องคนนั้นเล่าประมาณว่า น้องมีคะแนน สะสมปานกลาง ไม่สูงเกินไป ไม่ต่ำ�เกินไป แต่น้องมีความสนใจในการเรียน ต่อสายอาชีพ เพราะน้องอยากลองที่จะเรียน แต่พ่อแม่ของน้องไม่เห็นด้วย และกลับมองว่าการเรียนช่างกลเป็นทางเลือกของคนไม่มีที่จะเรียนต่อ และ ยังด่าทอซ้ำ�อีกโง่ว่าที่ไม่เคยสนใจเรียนอะไรอยู่แล้ว ด้วยความที่น้องไปไม่ เป็น และกลัวกว่าที่จะตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง น้องเลยอยากให้หลาย ๆ คน

บันทึกทัก

84

ช่วยกันให้คำ�ปรึกษาและแนวทางในการตัดสินใจของน้องคนนั้น หลังจากนั้นผมส่งข้อความไปทางหลังไมค์ (กล่องจดหมาย) ถึงน้อง คนนั้นครับ แต่พอผมกลับมานึกดูดี ๆ แล้ว ผมเชื่อว่าไม่ใช่แค่น้องคนนี้ที่ ประสบปัญหานี้อยู่ แต่น้องอีกหลายคนก็น่ากำ�ลังจะเจอปัญหานี้เช่นเดียวกัน ด้วยความที่ผมเคยผ่านปัญหานี้มาแล้ว และไม่อยากให้น้องบางคนตัดสิน ใจผิดพลาด หรือผลีผลามทำ�อะไรลงไปโดยที่ไม่ได้คิดหน้าคิดหลังให้ดีและ รอบคอบ ผมจึงเขียนสถานะขึ้นไปบนเฟซบุ๊ค เพื่ออยากให้เป็นแนวทางใน การดำ�เนินชีวิตให้กับน้อง ๆ หลายคน และเป็นการทำ�ให้น้องบางคนที่ยังคิดอะไรไม่ได้ ฉุกคิดให้ได้ในตอน นี้ ซึ่งการที่ผมนำ�สถานะมาลงในบทนี้ ผมจะขออนุญาตเพิ่มเติมราย ละเอียดบางส่วนลงไป เพี่อจะได้เป็นประโยชน์ต่อคุณผู้อ่านต่อไปครับ

85

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


ถึงน้อง ๆ ชั้น ม.3 รุ่นวินเซนต์ที่รัก การสอบ 25% ก็ใกล้มาถึงแล้ว บางคนตั้งใจกับการสอบครั้งนี้ เพราะจะเป็นโอกาสในการเปลี่ยน ชีวิตของตัวเอง บางคนก็สอบไปอย่างนั้น เพราะก็ยังงงกับตัวเองว่าควรจะไปต่อทาง ไหน บางคนไม่ได้มีความรู้สึกที่อยากจะลงสนามสอบเลย เพราะก็ยัง ค้นหาทางที่ตัวเองควรจะเดินไม่เจอ และบางคนกลับไม่มีความคิดที่แม้จะก้าวเท้าออกจากบ้าน เพราะ มั่นใจในตัวเองว่าไม่มีทางทำ�สำ�เร็จ และยังไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำ�อะไร ด้วยความที่พี่ผ่านทางแยกของการใช้ชีวิตมอปลายมาแล้ว พี่มีไม่กี่ อย่างอยากจะบอกน้องตอนนี้ 1.ตัดสินใจให้ดีที่สุด ก่อนที่จะเลือกทางเดินเส้นไหน ไม่ว่าจะสายวิทย์ สายศิลป์ หรือ สายอาชีพ สิ่งที่รออยู่ข้างหน้าคือความยาก และบททดสอบชีวิตจริงอีกหนึ่ง บท ไม่มีอะไรง่ายในการเรียนชั้น ม.ปลาย แม้กระทั่งภาษาที่สามที่น้องคิด ว่าน้องถนัดและพูดได้ดีสายอาชีพไม่ได้เรียนสบายอย่างที่น้องคิด และสาย สามัญก็ไม่ได้เรียนสนุกอย่างที่น้องคิดเช่นกัน มันมีความหนัก ความยาก ความเหนื่อย และความเครียดรออยู่ในตัวมัน

บันทึกทัก

86

2.อย่าลืมว่าเป้าหมายของน้องคืออะไร มีคำ�พูดหนึ่งกล่าวไว้ว่า ‘เกรดเฉลี่ยทำ�ให้คนมีงานทำ� กิจกรรม ทำ�ให้คนทำ�งานเป็น’ นอกจากที่น้องจะต้องเรียนทำ�เกรดและคะแนนเพื่อแอ ดมิชชั่นส์แล้ว น้องอย่าลืมว่าน้องจะต้องหาตัวเองด้วยว่าน้องอยากเป็นอะไร เพราะถ้าน้องค้นหาตัวเองไม่เจอ และมัวแต่เสียเวลากับสิ่งที่ไม่ใช่ตัวน้อง ถึง แม้ว่าผลตอบแทนมันจะสูงมากก็ตาม น้องทำ�มันได้ไม่ดี น้องจะไม่ได้อะไร กลับมาเลย ดังนั้นจงอย่าลืมสนุกกับการใช้ชีวิต อย่าลืมที่จะเล่น อย่าลืมที่ จะค้นหาตัวเอง เพราะการค้นหาตัวเองให้เจอ มันคือการพบเจอสมบัติที่ยิ่ง ใหญ่ที่สุดในชีวิต 3.ทุกสิ่งคือความไม่แน่นอน สิ่งนี้คือสัจธรรมในชีวิตของมนุษย์ที่เราทุกคนต้องเผชิญ บางครั้ง ตอนประกาศผลโควต้า ที่นั่งในชั้น ม.4 ของน้องอาจเยอะขึ้นหรือน้อยลง หรืออาจจะได้ต่อ ม.4 ทุกคน เราก็ไม่อาจรู้ได้ การยอมรับความไม่แน่นอน ด้วยสติ คือสิ่งที่เราจะต้องทำ�อยู่ตลอดเวลา อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิต ของคนเราในทุก ๆ วัน แต่เราก็ต้องย้อนกลับมามองที่การกระทำ�ของเรา ด้วย ขอเพียงแค่คิดก่อนทำ� ทำ�ทุกอย่างให้เต็มที่ และทำ�ให้ดีที่สุด เราจะได้ ไม่ต้องมานึกเสียดายโอกาสที่เกิดขึ้นไปแล้วในภายหลัง 4.ยอมรับความจริง ความจริงคือสิ่งเดียวที่ไม่มีวันตาย ไม่ว่าความจริงจะเป็นยังไง เรา

87

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


ต้องยอมรับมันให้ได้ เราไม่ติดชั้น ม.4 เราเสียเพื่อนรักไป มันก็เกิดขึ้นและ เป็นสิ่งที่เราต้องยอมรับอยู่ดี ไม่วันใดก็วันหนึ่ง การปรับตัวต่อความจริงนั้น ถือเป็นสิ่งที่สำ�คัญอย่างมาก 5.รักเพื่อนให้มาก ๆ เพื่อนคือคนเดียวที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างเรา ในวันที่เราเสียใจมาก ที่สุด อย่าลืมที่จะรักเพื่อนคนสำ�คัญของเราให้มาก ๆ อย่าลืมที่จะดูแล เอาใจใส่ความสัมพันธ์นั้นให้ดีที่สุด อย่าลืมที่จะใช้เวลากับเพื่อนเหล่านั้นให้ คุ้มค่าและเป็นประโยชน์มากที่สุด และอย่าลืมที่จะขอโทษเพื่อนบางคน กับ สิ่งที่เราเคยทำ�ผิดไป หรือแม้กระทั่งทำ�ความรู้จักกับเพื่อนบางคนที่เราไม่มี โอกาสแม้แต่จะพูดทักทายกัน เพื่อนทุกคนมีความสำ�คัญกับชีวิตของน้อง มาก เพราะถ้าไม่มีเพื่อนเหล่านั้นคอยฟันฝ่าเหตุการณ์อะไรต่าง ๆ ด้วยกัน มา ก็คงไม่มีเราที่เข้มแข็งพอที่จะยืนอยู่ตรงนี้ได้ ห้าข้อที่พี่ให้ไป มีประโยชน์รึเปล่าพี่ก็ไม่สามารถตอบน้องตรง ๆ ได้ พี่คิดว่ามันคงจะช่วยน้องได้ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ หากน้องนำ�มันไปใช้ใน ชีวิตประจำ�วันของตัวน้องเอง ไม่ใช่แค่ ม.3 แต่ต้องนำ�ไปใช้ในทุกวันของน้อง โชคดีกันทุกคนในการสอบนะครับ พี่คงจะได้เจอน้องในวันสโมสร วิทยานะ

Writer’s Commentary.

สถานะที่ผมเขียนขึ้นไปผมไม่ได้คิดอะไรหรอกครับ แต่ การปรับปรุงเพื่อให้เป็นประโยชน์กับทุกท่านมากที่สุด คือสิ่งที่ยากกว่าการเขียนสถานะธรรมดาอีกครับ

ด้วยรักจากพี่เอง พี่อาร์ตี้

บันทึกทัก

88

89

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


ประวั ติ ด้วยความที่เป็นคนที่อยากเริ่มทำ�อะไรใหม่ ๆ ตลอด ุณประภาส ชลศรานนท์ และคุณวงศ์ทนง ผู้เขีย ชันยณรงค์สเวลาิงห์เป็มีนคไอดอล ทำ�ให้สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์ วัย 16 ปี คนนี้ สนุกที่จะเริ่มต้นสิ่งใหม่ ๆ และเป็นในสิ่งที่เขาเป็นอยู่ ตอนนี้ ปัจจุบันเขาเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 แผนการ เรียนศิลป์ - ญี่ปุ่น โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย เป็น นักเรียนชมรมเสียงตามสายและประชาสัมพันธ์ เป็นคอลัม นิสต์ของจดหมายข่าวรอบรั้วมขนามเทศและวารสารน้ำ�เงิน ขาว บางครั้งก็มีโอกาสเป็นคนเก็บภาพของโรงเรียนอีกด้วย เขาสนุกกับการทำ�หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิต จนบางครั้ง หลายคนมองว่าเขาเอาแต่เล่น ไม่ตั้งใจเรียนและไม่มีอนาคต เป็นชิ้นเป็นอัน แต่นักเขียน ช่างภาพ และผู้กำ�กับภาพยนตร์ คือความฝันของเขา

E-mail : mpsoci3ty@gmail.com Facebook : www.facebook.com/mpsoci3ty Twitter : @artyarnaa Google+ : a’RTYaRNaa Surapan Sagnsuwan Blog : http://mpsoci3ty.exteen.com

บันทึกทัก

90

91

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์


บันทึกทัก

92


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.