เกร็ดความรู้ …ทีค่ ุณไม่ ควรพลาด
โดย นางสาวลัดดา แสงสุ ทนิ ๕๓๑๕๘๘๒๐๓๒ คณะครุศาสตร์ สาขาวิชาภาษาไทย
มหาวิทยาลัยราชภัฏราไพพรรณี ภาคเรียนที่ ๒ ปี การศึกษา ๒๕๕๕
ก
คานา รายงานเล่มนี้เป็ นส่ วนหนึ่งของ วิชา ๑๐๓๒๑๐๑ ภาษาและเทคโนโลยีสาํ หรับครู โดยมีจุดประสงค์ เพื่อการศึกษาหาความรู ้ต่างๆมารวบรวมทําเป็ น Magazine online ซึ่งรายงานนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับเกร็ ดความรู ้ ที่ น่าสนใจหลายอย่างที่ทุกคนอาจจะยังไม่รู้ ในรายงานเล่มนี้ได้รวบรวมเกร็ ดความรู ้ส้ นั ๆไว้ ๕เรื่ องด้วยกัน เช่น คุณทราบหรื อไหมว่าการนอนหลับข้างคนรัก ดีต่อสุ ขภาพอย่างไร และการพูดอย่างไรให้คนรัก , เจ็ดวิธี กําจัดความเครี ยด ฯลฯ เชื่อว่าหลายๆคนคงพบกับปัญหาความเครี ยดมาแล้ว ผูจ้ ดั ทําได้ ทาํ รายงานเล่มนี้ เนื่องจากเป็ นเรื่ องที่น่าสนใจรวมถึงเป็ นการมอบเกร็ ดความรู ้ เล็กๆน้อยๆแก่ผอู ้ ่าน และผูจ้ ดั ทําหวังว่ารายงานเล่มนี้จะเป็ นประโยชน์แก่ผอู ้ ่านไม่มากก็นอ้ ยหากรายงานเล่ม นี้มีขอ้ บกพร่ องประการใดก็ขออภัยไว้ ณ ที่น้ ี
ลัดดา แสงสุ ทิน ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๕
สารบัญ หน้ า คํานํา
ก
นอนหลับข้างคนรัก…ดีต่อสุ ขภาพอย่างไร
๑
พูดอย่างไรให้คนรัก?
๒
เปิ ดเสรี อาเซียน ภาษาอังกฤษสําคัญจริ งหรื อ?
๕
เจ็ดวิธีกาํ จัดความเครี ยด
๗
การอ่านใจคน การปลูกฝังความคิด โดย คีธ แบร์รี
๑๐
๑ ๑. นอนหลับข้ างคนรัก…ดีต่อสุ ขภาพอย่ างไร เป็ นที่ทราบกันดีวา่ คู่แต่งงานที่มีชีวิตสมรสราบรื่ นนั้น มักจะเป็ นผูท้ ี่มีความสุ ขในชีวิต และ มีสุขภาพดีรวมถึงมีอายุยนื ยาวกว่าผูท้ ี่ไม่ได้แต่งงาน หรื อแต่งงาน แต่ชีวิตสมรสไม่ราบรื่ น และจากการวิจยั ของสหรัฐอเมริ กาชิ้นล่าสุ ด ก็ได้คน้ พบความจริ งที่สาํ คัญอีกหนึ่งข้อ นัน่ ก็คือ การนอนหลับข้างๆคนที่รักนั้น มีส่วนสําคัญต่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของมนุษย์ดว้ ยเช่นกัน
โดย ดร.Wendy Troxel นักวิจยั และนักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยพิตต์สบิร์ก สหรัฐอเมริ กาเผยว่า การได้หลับข้างๆ ใครสักคน ช่วยเพิม่ ความรู ้สึกปลอดภัยให้ กับมนุษย์ และช่วยลดการหลัง่ ฮอร์โมนคอร์ติ ซอล ซึ่งเกี่ยวโยงกับความวิตกกังวลได้ และความรู ้สึกปลอดภัยนั้นจะยิง่ เพิ่มขึ้นหากคนที่นอนข้างๆ คือ คน ที่รักกันนัน่ เอง ตรงกันข้ามกับคนที่ไร้คู่ หรื อต้องเผชิญกับความวิตกกังวลเป็ นประจํานั้น จะทําให้ร่างกาย หลัง่ ฮอร์โมนคอร์ติ ซอลออกมามากขึ้น และนัน่ ก็ทาํ ให้โปรตีนชนิดหนึ่ง ที่มีชื่อว่า Cytokine ในร่ างกาน เพิ่มขึ้น ซึ่งมีผลต่อการเกิดโรคหัวใจ โรคซึมเศร้า หรื อส่ งผลให้ภูมิตา้ นทานในร่ างกายทํางานผิดปกติได้ และ การมีคนนอนหลับอยูข่ า้ งๆ ก็คือ แนวทางที่สามารถลดระดับของฮอร์โมน Oxytocin ที่ช่วยสร้างความสุ ข และความผูกพันให้เกิดขึ้นในตัวของคนสองคนได้อีกด้วย โดยประโยชน์ของสาร Oxytocin มีมากมายหลาย ประการ เช่น ช่วยลดการอักเสบติดเชื้อ ช่วยในการทํางานของหัวใจ และสามารถป้ องกันโรคมะเร็ งบางชนิด ได้
๒ “การเมกเลิฟอาจเป็ นหนทางหนึ่งที่ทาํ ให้ร่างกายหลัง่ สาร Oxytocin แต่การนอนหลับข้างๆกัน หรื อ การพูดคุยกันบนเตียงอย่างมีความสุ ขก็สามารถทําให้ร่างกายหลัง่ สารชนิดนี้ออกมาได้เช่นกัน” ข้อมูลจาก: เดลินิวส์ออนไลน์ ๒. พูดอย่ างไรให้ คนรัก? การติดต่อสื่ อสารสร้างให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างคนเราด้วยกัน ซึ่งคนเรามักจะติดต่อสื่ อสารกัน อยูต่ ลอดเวลาผ่านทั้งทางการพูด การฟัง การเขียน การอ่าน การแสดงกิริยาท่าทาง แต่การติดต่อสื่ อสารที่เป็ น พื้นฐานที่สุดของคนเราก็คือ การพูดและการฟังนัน่ เอง การพูดนั้นดูจะเป็ นสิ่ งที่ทาํ ได้ง่ายๆ แต่การพูดให้คน ฟังเกิดความรู ้สึกที่ดี ประทับใจ จนสามารถทําให้คนรักหรื อรู ้สึกมีทศั นคติที่ดีกบั เราได้น้ นั อาจเป็ นเรื่ องที่ ยากสําหรับใครหลายๆคน ดังนั้น ผูเ้ ขียนจึงขอนําเสนอวิธีวา่ ควรพูดอย่างไรที่จะทําให้มีแต่คนรัก ดังนี้
๑.๑สร้างภาษากายให้ดูดี บุคลิกลักษะมีความสําคัญต่อการสนทนาเป็ นอย่างมาก เพราะหากมีบุคลิกลักษะที่ดีกท็ าํ ให้คน อยากจะร่ วมสนทนากับเรา ที่วา่ “ดูดี” ในที่น้ ีไม่ได้หมายถึงการวางมาด หรื อว่าท่าทางที่ไม่เป็ นธรรมชาติ เพราะคงไม่มีใครที่ชอบคนลักษณะเช่นนี้ แต่การสร้างภาษากายที่ดู ดี คือ เวลาสนทนากันควรมีบุคลิกภาพที่ ดีเหมาะสม ไม่นงั่ กอดอกหรื อเอามือล้วงกระเป๋ า มองคู่สนทนาด้วยสายตาเป็ นมิตร สบตาคู่สนทนาเป็ น ระยะๆ และไม่มองจ้องหน้าคู่สนทนามากจนเกินไป เพราะจะทําให้เกิดความอึดอัด อีกทั้งไม่ทาํ สี หน้าบึ้งตึง รําคาญ หรื อเบื่อหน่าย รวมถึงควรแสดงอ อกถึงความสนใจกับคนที่เราพูดคุยด้วยการตั้งใจฟังในสิ่ งที่คู่ สนทนาพูด โดยการยิม้ รับ พยักหน้า หรื อตอบแสดงการรับรู ้วา่ “ครับ” “ค่ะ” โดยพฤติกรรมที่แสดงออกนั้น
๓ ควรให้เป็ นธรรมชาติ นอกจากนี้ ยังรวมถึงการดูแลรักษาสภาพร่ างกายของตนเองด้วยการแต่งการที่สะอาด สุ ภาพเรี ยบร้อย ก็เป็ นปัจจัยสําคัญในการสร้างภาษากายให้ดูดีได้ ๑.๒ พูดจาสุ ภาพ ทุกคนชอบคนที่พดู จาสุ ภาพอ่อนโยน การพูดจาสุ ภาพหมายถึงการพูดเพราะ พูดจามีหางเสี ยง ลงท้าย ครับ ค่ะ จ๊ะ จ๋ า รวมถึงการไม่พดู จาขัดคอคู่สนทนาและไม่พดู หยาบคาย อันนี้สาํ คัญมาก เพราะคนที่ พูดจาหยาบคายนั้นมักเป็ นสิ่ งที่รังเกียจของคนส่ วนใหญ่ แต่เด็กๆ วัยรุ่ นมักพูดคุยกันด้วยคําหยาบเหมือนเป็ น เรื่ องปกติ บางทีเด็กวัยรุ่ นผูห้ ญิงก็เรี ยกสรรพนามกันว่ากู – มึง พูดคําด่าคํา ฟังแล้วก็ตกใจ นอกจากนี้ควรพูด ด้วยนํ้าเสี ยงที่พอเหมาะโดยไม่ควรพูดตะเบ็งเสี ยงดังจนเกินไป อีกทั้งไม่ควรพูดไปหัวเราะไป เพราะนัน่ คือ การแสดงออกถึงความไม่สุภาพต่อคู่สนทนา ๑.๓ พูดชัดถ้อยชัดคํา เป็ นสิ่ งที่สาํ คัญที่หลายคนอาจมองข้าม แต่แท้จริ งแล้ว การเป็ นคนพูดชัดถ้อยชัดคําคือเสน่ห์ใน การพูดอย่างหนึ่ง การพูดชัดถ้อยชัดคําหมายถึง การพูดจาฉะฉานชัดเจนน่าฟัง มีการพูดเน้นจังหวะที่ พอเหมาะ คือ ไม่พดู เร็ วและรัวเกินไปจนผูฟ้ ังตามไม่ทนั หรื อฟังไม่รู้เรื่ อง อีกทั้งไม่พดู ช้าเกินไปพาให้ง่วง นอน นอกจากนี้ ควรพูดออกเสี ยงคํา ควบกลํ้าอักขระ ร .เรื อ ล.ลิง ให้ถูกต้องชัดเจนซึ่งควรฝึ กตั้งแต่เด็กๆ เพราะเมื่อติดในการพูดไม่ชดั ไปจนถึงโตเป็ นผูใ้ หญ่แล้วจะเป็ นเรื่ องที่แก้ได้ยากมาก ๑.๔ พูดให้ถูกกาลเทศะ หมายถึง การที่เราต้องรู ้วา่ เราพูดกับใคร พูดเรื่ องอะไร หัวข้ออะไร พูดที่ไหน เป็ นกา
รพูด
สนทนาแบบกันเองหรื อแบบจริ งจัง การพูดให้ถูกกาลเทศะต้องคํานึงถึงเนื้อหาสาระในการพูดเป็ นหลัก โดย การพูดต้องพูดอย่างมีสาระ มีขอบเขตและเป้ าหมายชัดเจนว่าต้องการสื่ อสารกับผูฟ้ ังว่าอย่างไร และเรื่ อง อะไร อย่าพูดจาเลอะเทอะเรื่ อยเปื่ อย เพราะจะทําให้ผฟู ้ ังเกิดความรําคาญและเบื่อหน่าย นอกจากนี้ สิ่ งสําคัญ ในการพูดที่ถูกกาลเทศะ ก็คือ การพูดให้เหาะสมกับผูฟ้ ัง เช่น เมื่อพูดกับคนที่อาวุโสกว่า เราต้องพูดด้วย นํ้าเสี ยงสุ ภาพนอบน้อม และคําพูดที่ควรมีให้ติดปากอยูเ่ สมอคือ “สวัสดี…ขอบคุณ…ขอโทษ” ๑.๕ เรื่ องที่ไม่ควรพูดเมื่อเจอกับคู่สนทนาเป็ นครั้งแรก
๔
-คุยแต่เรื่ องของตัวเองมากเกินไป ควรให้ความสําคัญกับคู่สนทนาอย่างจริ งใจ คือเป็ นทั้งผูพ้ ดู และ ผูฟ้ ังที่ดี -หัวข้อที่สนทนานั้นควรเริ่ มจาก เรื่ องรอบตัวทัว่ ๆไป เช่นเรื่ องดินฟ้ าอากาศ เรื่ องสถานที่ ท่องเที่ยว เรื่ องอาหาร เรื่ องเพลง เรื่ องภาพยนตร์ เพื่อประเมินความสนใจของคู่สนทนา -อย่านินทาผูอ้ ื่น อย่าพูดจาก้าวร้าว วิพากษ์วิจารณ์ผอู ้ ื่น อีกทั้งไม่ควรพูดจาลามกหรื อนําปมด้อย ของคู่สนทนาหรื อผูอ้ ื่นมาพูด เช่น ตัวอ้วน ตัวดํา หัวล้าน เพราะนอกจากจะไม่ตลกแล้ว ยังทําให้คู่สนทนา รู ้สึกรังเกียจเราตั้งแต่ครั้งแรกที่มีโอกาสพูดคุยกัน -อย่าคุยเรื่ องส่ วนตัว ข้อระวังในการสนทนาครั้งแรก คือการไม่ควรถามซอกแซกในเรื่ องส่ วนตัว ที่ทาํ ให้คู่สนทนาเกิดความรู ้สึกเหมือนถูกคุกคามและเกิดความอึดอัดไม่สบายใจ นอกจากที่กล่าวมาข้างต้น การพูดโกหก พูดตลบตะแลง พูดจาส่ อเสี ยด หรื อพูด จาสองแง่สอง ง่ามเป็ นสิ่ งที่ไม่ควรทําเพราะนอกจากจะไม่มีใครอยากจะสนทนากับเราแล้ว ยังอาจเป็ นที่รังเกียจของผูอ้ ื่นจน ไม่มีใครอยากยุง่ เกี่ยวด้วยก็เป็ นได้ ดั้งนั้น หากจะพูดสิ่ งใดออกไปควรที่จะคิดตรึ กตรองเสี ยก่อนเพื่อที่วา่ สิ่ งที่ ออกไปจาก ปากเรานั้นมันไม่สามารถเอากลับ คืนมาได้ พูดดีจึงเป็ นศรี แก่ตวั และสามารถทําให้คนอื่น ประทับใจในตัวเราได้ เหมือนในคํากล่าวที่วา่ “ที่จะตอบให้เหมาะสมก็เป็ นความชื่นบานแก่คน คําเดียวที่ถูก กาลเทศะก็ดีจริ งๆ” (สุ ภาษิต ๑๕:๒๓) ข้อมูลจาก : ผูจ้ ดั การออนไลน์
๕ ๓. เปิ ดเสรีอาเซียน ภาษาอังกฤษสาคัญจริงหรือ? ท่ามกลางกระแส การตื่นตัวของการเปิ ดเสรี อาเซียน หลายๆ ฝ่ ายกําลังเร่ งพัฒนาตัวเองด้าน ภาษาอังกฤษ เพื่อให้ทนั ต่อความต้องการของโลกกว้างที่จะโอบรัดประเทศเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในอีกไม่ถึง 3 ปี ข้างหน้า เช่นเดียวกับหลายๆ ครอบครัวที่เล็งเห็นความสําคัญ และพยายามสรร หาโรงเรี ยน หรื อสถาบันสอนภาษาเพื่อเตรี ยมความพร้อมให้แก่ลูกตั้งแต่เล็กๆ เนื่องจากมีความเชื่อว่า หากใครรู ้ภาษา ย่อมมีภาษีที่ดีกว่า โดยเฉพาะโอกาส และความก้าวหน้าในอาชีพการงาน
แต่ในอีกด้านของการเปิ ดประตูสู่ประชาคมอาเซียน นักวิชาการด้านการศึกษา แล ะผูเ้ ชี่ยวชาญหลายๆ ท่าน มองว่า ไม่ใช่แค่เรื่ องภาษาอย่างเดียวที่ควรให้ความสําคัญกับเด็ก ยังมีทกั ษะชีวิตด้านอื่นๆ ที่คุณพ่อคุณ แม่ และ ผูใ้ หญ่ในสังคมควรให้ความสําคัญเป็ นอันดับต้นๆ ด้วย โดยเฉพาะทักษะในการอยูร่ ่ วมกันบนความ แตกต่างเชิงวัฒนธรรม บอกเล่าได้จ าก ดร.วรนาถ รักสกุลไทย ผูอ้ าํ นวยการแผนกอนุบาล โรงเรี ยนเกษมพิทยา ในฐานะ นักการศึกษาและผูเ้ ชี่ยวชาญด้านเด็กปฐมวัย ให้ทศั นะว่า ผูใ้ หญ่หลายๆ คนกําลังหลงทางเรื่ องอาเซียน อย่าง แรกเลย ก็คือ ภาษาอังกฤษที่ครู และพ่อแม่ต่างมุ่งเน้น และส่ งลูกไปเรี ยนเพื่อหวังจะให้สื่อสารได้ แต่สาํ หรับ เด็กเล็ก หรื อเด็กอนุบาล ทักษะเริ่ มต้นในการเตรี ยมรับอาเซียน คือ ความเป็ นมิตรภาพ รู ้จกั ยอมรับ และ เคารพในความหลากหลาย นอกจากนั้น เด็กควรได้ฝึกคิดและวิเคราะห์แทนการท่องจํา เช่น ถ้าอยูใ่ น สถานการณ์ฉุกเฉิน พวกเขาควรจะทําอย่างไรให้หนีและรอดชีวิตออกมาได้ “ทุกวันนี้หลายๆ ครอบครัวมุ่งเน้นภาษาอังกฤษมาก จนลืมทักษะชีวิตด้านอื่นๆ ไป เช่น ความเคารพ ในความเป็ นมนุษย์ของกันและกัน เข้าใจในศักดิ์ศรี ความมีคุณค่า และการเปิ ดใจยอมรับความแตกต่าง ซึ่ง
๖ ทักษะเหล่านี้ เป็ นทักษะสําคัญในการเตรี ยมเด็กไทยสู่การเป็ นพลเมืองอ าเซียนที่ดีและมีคุณภาพ หากเด็ก ไม่ได้เตรี ยมความพร้อมตั้งแต่เด็ก อาจทําให้เกิดปัญหาต่อการอยูร่ ่ วมกันในสังคมอาเซียนได้ ” นักการศึกษา และผูเ้ ชี่ยวชาญด้านเด็กปฐมวัยท่านนี้ เผย อย่างไรก็ตาม แม้จะมีหลายๆ โรงเรี ยนให้ความสําคัญกับการเปิ ดเสรี อาเซียนที่กาํ ลังมา ถึง ด้วยการเปิ ด ห้องเรี ยนอาเซียน หรื อเปิ ดหลักสูตรอาเซียนศึกษาเพื่อเป็ นหลักสูตรสอนเสริ มให้แก่เด็ก แต่ภาพการตื่นตัวที่ เกิดขึ้น ดร.วรนาถ ยังมองว่า เป็ นการเตรี ยมเด็กสู่อาเซียนแบบหลงทาง “บางโรงเรี ยนให้เด็กท่องจําธงประเทศต่างๆ หรื อซื้อตุก๊ ตาสวมชุดประจําชา ติของแต่ละประเทศมาให้ เด็กเล่น ซึ่งเป็ นการสอนที่ไกลตัวเกินไป แต่แนวการสอนที่ควรจะเป็ น คือ การสอนให้เด็กมีทศั นคติที่ดีบน ความแตกต่างเสี ยก่อน เช่น สอนให้เด็กรู ้วา่ คนทุกคนมีความแตกต่าง และเราก็ไม่จาํ เป็ นต้องเหมือนคนอื่น หรื อถ้ามีความคิดไม่ตรงกัน แทนที่จะโกรธ เก ลียด และใช้ความรุ นแรงเข้าใส่ กนั เราสามารถพูดคุย และ ช่วยกันหาทางออกได้ ซึ่งการสอนในลักษณะนี้ จะทําให้เด็กรู ้จกั เคารพในความแตกต่าง ไม่เอาตัวเองเป็ น ใหญ่” นักการศึกษาและผูเ้ ชี่ยวชาญด้านเด็กปฐมวัยให้แนวทาง ด้าน ผศ .ดร.การดี เลียวไพโรจน์ ผูอ้ าํ นวยการสถาบั นองค์ความรู ้แห่งเอเชีย และผูเ้ ชี่ยวชาญด้าน อาเซียนศึกษา ให้ความเห็นในเรื่ องเดียวกันนี้วา่ ภาษาอังกฤษเป็ นทักษะที่จาํ เป็ นต่อเด็ก และคุณพ่อคุณแม่ใน อนาคต โดยเฉพาะการมาถึงของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แต่ในขณะเดียวกัน ต้องไม่ ลืมที่จะให้ความสําคัญกั บการปลูกฝังให้ลูกมีจิตใจที่เปิ ดกว้าง และยอมรับความแตกต่างอย่างหลากหลาย ด้วย เพื่อให้เด็กเติบโตเป็ นพลเมืองอาเซียนที่มีความเจริ ญทางอารยะหรื อมีความดีงามในจิตใจ ซึ่งเป็ นหัวใจ สําคัญในการนําพาประเทศไปสู่ความเจริ ญ และยัง่ ยืนในทุกด้าน “เราต้องสร้างเด็กให้มี ความเจริ ญทางอารยะ นี่คือ สิ่ งที่แม่อย่างดิฉนั อยากเห็น สัมผัสได้จากประเทศ ลาว เขาไม่ได้มีเทคโนโลยีอะไรมากมาย แต่ใครที่ได้ไป เชื่อว่าคุณจะรู ้สึกได้วา่ ประเทศนี้คือประเทศที่เจริ ญ แล้วอย่างแท้จริ ง โดยเฉพาะความเจริ ญที่ใจของคน ดังนั้น การมองอาเซียน อยากให้มองที่ก ารร่ วมมือ และ เติบโตไปพร้อมๆ กัน ไม่ใช่มอง หรื อเน้นไปที่การแข่งขันว่า ประเทศของฉันจะต้องโดดเด่นเพียงประเทศ เดียว” ผูเ้ ชี่ยวชาญด้านอาเซียนศึกษาสะกิดใจผูใ้ หญ่ในสังคม ปิ ดท้ายกันที่ สุ ภาวดี หาญเมธี ประธานเจ้าหน้าที่บริ หาร บริ ษทั รักลูกกรุ๊ ป จํากัด ให้มุ มมองว่า การที่ จะก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน นอกจากเรื่ องการศึกษา และทักษะทางภาษาที่จะต้องเตรี ยมให้เด็ก แล้ว อีกเรื่ องที่พอ่ แม่ไม่ควรมองข้าม คือ ความฉลาดทางวัฒนธรรม และการมีทศั นคติทางบวกต่อความ แตกต่างอย่างหลากหลาย ซึ่งนับเป็ นหนึ่งในทักษะสําคัญที่เด็กยุค ใหม่ควรมี เพื่อพาตัวเอง และประเทศชาติ ก้าวไปสู่ความสําเร็ จในวันข้างหน้าอย่างสง่างาม
๗ “ถ้าจะเลี้ยงลูกให้สามารถอยูไ่ ด้ในประชาคมอาเซียน ส่ วนตัวมองว่า ไม่ใช่แค่ยมิ้ สยาม ไม่ใช่แค่พดู ภาษาอังกฤษเก่ง และไม่ใช่แค่ใช้เทคโนโลยีเป็ น แต่เรื่ องใหญ่กว่านั้นคือ ควา มฉลาดทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็ น ทักษะสําคัญ ในการรู ้จกั ปรับตัวท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงบนความแตกต่าง แต่ทุกวันนี้ ทันทีที่เรานึกถึง พม่า เราจะถึงนึกโสร่ งกับมีดดาบก่อนเลย หรื อไม่กภ็ าพข่าวแรงงานพม่าปาดคอนายจ้าง แต่เราไม่เคยมอง พม่าในมุมอื่นเลย ซึ่งเหตุการณ์ที่มนั เกิดขึ้ น เพราะเราเองที่ไปยํา่ ยี หรื อกดขี่เขามากเกินไปหรื อเปล่า สิ่ ง เหล่านี้ คือเรื่ องเร่ งด่วนที่พอ่ แม่ควรปลูกฝังให้ลูกรู ้เขารู ้เรา ยอมรับ ลดอคติ ไม่เอาตัวเองตัดสิ น และเคารพใน ความคิดเห็นของผูอ้ ื่น” คุณสุ ภาวดี ฝาก ถึงแม้ภาษาอังกฤษจะเป็ นเรื่ องใหญ่ที่ใครรู ้ภ าษาย่อมมีภาษีดีกว่า แต่หลายๆ ทักษะในการอยูร่ ่ วมกับ ผูอ้ ื่น ก็เป็ นสิ่ งสําคัญไม่แพ้กนั โดยเฉพาะการมาถึงของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ที่มาพร้อมกับ ความหลากหลายทั้งทางวัฒนธรรม และสังคม รวมไปถึงการทํางานในบริ บทวัฒนธรรมที่ต่างกันไป หาก เด็กไทยถูกปลูกฝังให้มีทศั นคติทางบวก และมีความละเอียดอ่อนแม่นยําในการรับรู ้วิถีจารี ตในวัฒนธรรมที่ แตกต่างกันแล้ว โอกาสที่จะเติบโตเป็ นพลเมืองอาเซียน และก้าวสู่ความสําเร็ จในวันหน้าย่อมมีได้มาก นับเป็ นความท้าท้ายสําหรับคนเป็ นพ่อแม่ในยุคนี้ไม่นอ้ ยเลยทีเดียว ข้อมูลจาก : ผูจ ้ ัดการออนไลน์
๔. เจ็ดวิธีกาจัดความเครียด ความเครี ยด คือ สภาวะที่เกิดขึ้นกับอารมณ์ และความรู ้สึก ทั้งเมื่อต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ ที่เข้ามา ในชีวิต หรื อในบางครั้งอาจไม่ทราบว่าเกิดจากสาเหตุใด แต่มีผลทําให้เกิดความไม่สบายใจ กดดัน วิตก กังวล หวาดกลัว ไม่มีความสุ ข ซึ่งต่างก็เป็ นผลในทางลบที่ทาํ ให้เกิดอันตรายต่อคนเรา ดังนี้
๘ ๑. ด้ านร่ างกาย เมื่อเกิ ดความเครี ยดจะทําให้ต่อมหมวกไตหลัง่ ฮอร์โมนคอร์ติซอล (cortisol) เพิ่มขึ้น ส่ งผลทําให้เกิด อาการป่ วยทางกายหลายอย่าง เช่น อ่อนเพลีย ไม่มีแรง ปวดหลัง ปวดหัว คลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งอาจทําให้เกิด เป็ นโรคต่างๆ ตามมา ทั้งโรคแผลในกระเพาะอาหาร โรคหัวใจ โรคความดันโลหิ ตสูง นอ กจากนี้ ความเครี ยดยังทําให้ระบบภูมิคุม้ กันของร่ างกายทํางานได้ไม่เต็มที่ ซึ่งเป็ นสาเหตุที่ทาํ เกิดโรคหอบหื ดหรื อ โรคภูมิแพ้ต่างๆ และยังเคยมีกรณี ที่ผสู ้ ูงอายุเกิดอาการช็อคเป็ นลมเสี ยชีวิตเนื่องด้วยตกอยูใ่ นภาวะเครี ยด อย่างรุ นแรง
๒. ด้ านพฤติกรรม เมื่อต้องตกอยูใ่ นภาวะเครี ยดอย่างรุ นแรงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีบางอย่างในสมอง ที่ ส่ งผลให้บุคคลมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปในทางลบ เช่น ซึมเศร้า ปลีกตัวออกจากสังคม บางรายอาจมี พฤติกรรมก้าวร้าว ทําลายสิ่ งของ ทําร้ายผูอ้ ื่น หรื อหากมีอาการหนักมากอาจถึงขนาดคิดสั้นฆ่าตัวตาย ทําร้าย ตนเองหรื อทําร้ายผูอ้ ื่น ๓. ด้ านอารมณ์ และจิตใจ ความเครี ยดทําให้อารมณ์สบั สน หงุดหงิดโมโหง่าย วิตกกังวล มองโลกในแง่ร้าย และเมื่อมีปัญหา ทางด้านอารมณ์สะสมไปนานๆ เข้า ก็จะส่ งผลโดยตรงต่อสภาวะทางด้านจิตใจ ทําให้กลายเป็ นคนที่มีปัญหา ทางด้านจิตประสาทได้ นอกจากนี้ ความเครี ยดยังทําให้ความสามารถทางด้านสติปัญญาทั้งในการแก้ปัญหา และทางด้านความจําลดลงอีกด้วย ดังนั้น เมื่อเรารู ้แล้วว่าความเครี ยดส่ งผลร้ายอย่างมากมายต่อตัวเราแล้ว หากเริ่ มรู ้สึกว่าตนเองเครี ยดก็วิธี กําจัดและคลายเครี ยดที่สามารถทําได้ดว้ ยตนเองอย่างง่ายๆ ดังนี้ ๑. ระบายความในใจ คือ การได้ปลดปล่อยอารมณ์ ความคิดและความรู ้สึกออกมาภายนอก ผ่านการ แสดงออกต่างๆ ไม่วา่ จะเป็ น - การพูด การที่เราได้พดู ระบายความรู ้สึกที่ข่นุ ข้องหมองใจของเราเองกับคนสนิท เช่น คนใน ครอบครัว คนรัก เพื่อนฝูง เป็ นวิธีการคลายเครี ยดที่ดีที่สุด เพราะนอกจากจะทําให้เรารู ้สึกผ่อนคลายลงแล้ว เราอาจได้รับคําแนะนําดีๆ ในการแก้ปัญหาชีวิตของเราจากคนที่รักและหวังดีกบั เราก็ได้
๙ - การเขียน บางครั้งคนที่มีภาวะเครี ยดก็อาจไม่อยากพูดคุยกับใคร ดังนั้น อาจใช้การเขียน ระบาย ความรู ้สึกใส่ กระดาษ ไดอารี หรื อเดี๋ยวนี้บางคนก็เลือกที่จะแสดงความรู ้สึกผ่านการเขียนทาง blog ทาง facebook ทาง club ใน webpage ต่างๆ ซึ่งนอกจากจะได้ระบายความอัดอั้นแล้ว ยังอาจได้มิตรภาพหรื อ คําแนะนําดีๆ จากคนที่เราไม่เคยรู ้จกั ก็เป็ นได้ ๒. ท่ องเที่ยว เมื่อเกิดความเครี ยด ไม่ควรเก็บตัวอยูค่ นเดียวหรื ออยูใ่ นสภาพแวดล้อมเดิมๆ วิธีแก้ เครี ยดที่ได้ผลดีที่สุดอีกวิธีหนึ่ง ก็คือ การที่เราได้พาตัวเองออกไปพบเจอสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ที่ไม่จาํ เจ เช่น ไปเที่ยวต่างจังหวัด ไปดูนิทรรศการ ไปชมการแสดง ไปเดินเล่นสวนสาธา รณะ ไปเดินดูขา้ วของตามห้าง การที่เราได้ออกไปพบเจอสิ่ งแปลกใหม่ๆ หรื อได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติจะช่วยทําให้เรามีอารมณ์สดชื่น รู ้สึก สนุกสนาน หายเหนื่อยล้าจากความเครี ยด ๓. ฟังเพลง มีงานวิจยั มากมายที่สรุ ปตรงกันว่า การฟังดนตรี เป็ นวิธีการคลายเครี ยดได้ดี แต่ให้ เลือก บทเพลงหรื อดนตรี ที่มีลกั ษณะที่ช่วยคลายเครี ยดได้ดี เช่น เพลงบรรเลงแบบ Green Music คือ เพลงบรรเลง ที่มีทาํ นองช้าๆ เบาๆ ที่บรรเลงโดยเครื่ องดนตรี ไม่กี่ชิ้น และมีเสี ยงธรรมชาติประกอบ เช่น เสี ยงนํ้าไหล เสี ยงฝนตกเบาๆ เสี ยงนกร้อง ซึ่งจะช่วยทําให้คลายเครี ยดได้เป็ นอย่ างดีทีเดียว ช่วงเครี ยดไม่ควรเลือกฟัง เพลงที่มีเนื้อหาทําร้ายความรู ้สึก หรื อจิตใจหรื อเพลงที่มีทาํ นองดนตรี ที่รุนแรงเพราะจะยิง่ ทําให้เครี ยดมาก ขึ้นไปอีก ๔. ดูหนังดูละคร ละคร หรือหนัง หรือรายการทีม่ ีเนือ้ หาเบาสมอง เช่น หนังตลก เกมโชว์ การ์ตูน เด็กๆ ช่วยทําให้ผอ่ นคลายความเครี ยดได้ เพราะการได้ยมิ้ ได้หวั เราะ จะทําให้ร่างกายหลัง่ สารแห่งความสุ ข ออกมา (เอนโดเฟิ น) ซึ่งจะไปช่วยให้อารมณ์ของเราสดชื่นและมีความรู ้สึกเป็ นสุ ขมากขึ้น ๕. ออกกาลังกาย การออกกําลังกายให้ประโยชน์หลายอย่างแก่เรา ทั้งให้ร่างกายแข็งแรง และกํา จัด ความเครี ยดได้ดว้ ย เพราะการออกกําลังทําให้เราหยุดนึกถึงเรื่ องราวที่ทาํ ให้เครี ยดและกังวลไปได้ชวั่ ขณะหนึ่ง และเมื่อใช้เวลากับการออกกําลังกายไปเรื่ อยๆ ก็จะทําให้ความเครี ยดของเราค่อยๆ บรรเทาไปใน ที่สุด เพราะโดยปกติแล้วเมื่อคนเราเครี ยดกล้ามเนื้อต่างๆ ในร่ างกายก็จะห ดตัว ตึง และแข็ง ทําให้ไม่สบาย กายด้วย เมื่อเราได้ออกกําลังกายกล้ามเนื้อที่มนั ตึงอยูน่ ้ นั ก็จะคลายลง ทําให้รู้สึกสบายและมีความสุ ข จึงขอ แนะนําว่าควรออกกําลังกายเบาๆ ไม่ควรออกกําลังกายเพื่อการแข่งขันหรื อรุ นแรงจนได้รับอันตราย เพราะ นัน่ อาจจะเป็ นการเพิ่มความเครี ยดให้คุณอีกทางหนึ่งก็เป็ นได้ ๖. ทางานอดิเรก ส่ วนใหญ่แล้วคนที่มีภาวะเครี ยดมักจะเป็ นคนที่ตอ้ งจดจ่ออยูก่ บั สิ่ งใดสิ่ งหนึ่งมาก เกินไป เช่น จดจ่อกับงาน กับลูก กับคนเจ็บป่ วย กับหนี้สินและการเงิน กับสภาวะแวดล้อมที่ไม่พึงประสงค์ ดังนั้น การแก้เครี ยดจึงต้องละจากสิ่ งที่จดจ่ออยูน่ ้ นั ไปให้ความสนใจกับสิ่ งอื่นบ้าง โดยอาจหางานอดิเรกทํา ให้เกิดความเพลิดเพลิน เช่น ทํางานศิลปะ ฝึ กเล่นเครื่ องดนตรี ปลูกต้นไม้ เลี้ยงสัตว์ ไปนวดหน้านวดตัว
๑๐ แต่งห้องใหม่ งานอดิเรกเหล่านี้สามารถสร้างความสุ ขให้แก่เราได้ เพราะนอกจากจะทําให้เราเพลิดเพลิน แล้ว การได้สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ให้กบั ชีวิตจะทําให้เราเกิดความภาคภูมิใจในตัวเองด้วย ๗. ทาความดี ไม่วา่ จะเป็ นการทําบุญทําทานหรื อทําการสงเคราะห์ เป็ นสิ่ งที่จะช่วยสร้างความสงบสุ ข ให้แก่จิตใจของเรา บางครั้งคนเราเกิดความเครี ยดเพราะการงานไม่สาํ เร็ จตามเป้ าหมาย หรื อคิดว่าตัวเองด้อย ค่าไม่มีสิ่งต่างๆ เหมือนคนอื่นเขา หรื อถูกทําร้ายทางร่ างกายหรื อจิตใจมา การที่ได้ทาํ ประโยชน์ให้ผอู ้ ื่น โดยเฉพาะทํากับคนที่เขาบกพร่ อง เช่น คนพิการ คนยากจน คนไร้ญาติขาดมิตร ไร้ที่อยูอ่ าศัย จะทําให้เราได้ เห็นมุมมองอื่นๆ ในชีวิตที่เราไม่เคยเห็นว่าไม่ มีใครสักคนในโลกนี้ที่จะเกิดมาสมบูรณ์พร้อมหรื อมีความสุ ข ตลอดเวลา คนทุกคนย่อมมีปัญหาที่ตอ้ งเผชิญและฝ่ าฟันกันไปให้ได้ทุกคน ดังนั้น หากเครี ยดหรื อมีปัญหา เมื่อใดก็ให้ทาํ ความดีต่อผูอ้ ื่นเพราะจะทําให้เกิดความสุ ขใจทั้งต่อตัวเราและต่อคนที่เราทําดีดว้ ย ความเครี ยดเป็ นสิ่ งที่เกิดขึ้นได้กบั ทุกคนไม่เว้นแม้แต่เด็กๆ ดังนั้น อย่ากลัวที่จะเครี ยด แต่เมื่อใดก็ ตามที่เราเริ่ มรู ้สึกว่าเราเครี ยดแล้วก็ควรต้องรี บที่จะควบคุมและหาทางเอาความเครี ยดออกไปจากชีวิตของเรา ให้ได้อย่างเร็ วที่สุด เพราะมันไม่มีประโยชน์กบั เรามีแต่จะยังให้เกิ ดโทษต่างๆ ตามมามากมาย จงเข้มแข็ง และอย่ายอมแพ้มนั เมื่อคุณเอาชนะมันได้แล้วพื้นที่ความสุ ขในชีวิตของคุณจะกลับคืนมา ข้ อมูลจาก : ผู้จัดการออนไลน์
๔. การอ่านใจคน การปลูกฝังความคิด โดย คีธ แบร์ รี การอ่านใจคน การปลูกฝังความคิด การทํานายพฤติกรรม และการแฮ็ค เข้าไปในจิตใต้สาํ นึก อาจ ฟังดูเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ แต่มีชายคนหนึ่งทําได้ เขาคือ คีธ แบร์รี นักมายาจิตผูโ้ ด่งดัง “ผมเริ่ มต้นจาก การเป็ นนักมายากลตั้งแต่อายุยงั น้อย ผมคิดว่าตอนผมอายุหา้ หรื อหกขวบ ผมได้ของขวัญคริ สต์มาสเป็ นชุด เล่นกล ความสนใจของผมจึงเริ่ มต้นขึ้นจาก ตรงนั้น และ จากชุดเล่นกลเหมือนนักมายากลทั่ วไป หลังจาก นั้นเมื่ออายุ ๑๘ ผมไปเรี ยนวิทยาลัยและเรี ยนสาขาเคมี ตอนที่เรี ยนในวิทยาลัยผมได้พบแฟนซึ่งเวลานี้คือ ภรรยาผม ตอนนั้นเธอเรี ยนจิตวิทยา และนัน่ ทําให้ผมเริ่ มสนใจจิตวิทยา การสะกดจิต และการโปรแกรม ด้วยภาษาระบบประสาท”
๑๑
สําหรับคีธ การอ่านจิตก็คือคําเรี ยกที่ง่ายที่สุดของนักมายาจิต มันหมายถึงคนที่แฮ็คเข้าไปในสมอง ของบางคน ความจริ งแล้วมันคือมายากลทางความคิด ซึ่งตรงกันข้ามกับมายากลทางกายภาพ มันเป็ น ส่ วนผสมของวิทยาศาสตร์ ความคิดสร้างสรรค์ เทคนิคมายากล และเทคนิคทา งจิตวิทยา โดยอาจจะเป็ น จิตวิทยาประมาณ ๗๐% เป็ นวิทยาศาสตร์ ๒๐% แล้วก็เป็ นสัญชาตญาณ /มุมมอง ๑๐% “การสาธิตเหล่านี้ไม่ใช่จะได้ผล ๑๐๐% ทุกครั้ง และผมไม่เคยแสร้งทําเป็ นว่ามันได้ผล ๑๐๐% ทุกครั้ง บางครั้งมันก็ผดิ พลาด เหตุผลที่มนั ผิดพลาดก็คือสิ่ งเหล่านี้ไม่ใช่มายากล สิ่ งเหล่านี้ไม่ใช่กลที่อาศัยความไว ของมือ สิ่ งเหล่านี้เป็ นการสาธิต ยกตัวอย่างเช่นถ้าผมอยูท่ ี่เอทีเอ็ม หรื อเครื่ องกดรหัสผ่าน และผมขอให้ใคร สักคนคิดถึงหมายเลขบัตรธนาคารของเขา บางครั้งผมก็อ่านออกว่าหมายเลขบัตรธนาคารของเขาคืออะไร แต่บางครั้งผมก็ทาํ ไม่ได้ นัน่ เป็ นเ พราะสิ่ งที่ผมทําไม่ใช่กล และมันอาศัยจิตวิทยา วิทยาศาสตร์ และสิ่ งที่ บอกเป็ นนัย” บางคนอาจนึกไม่ออกว่าสิ่ งที่คีธทํานั้นมีขอบเขตเพียงไร ครั้งหนึ่งเขาเคยโปรแกรมให้ผชู ้ ายคนหนึ่ง เป็ นสายลับฝังตัว แบบเดียวกับที่ซีไอเอในอเมริ กาทําเมื่อทศวรรษที่ ๖๐ และ๗๐ ซึ่งพวกเขาใช้การสะกดจิต เพื่อทําให้คนทําสิ่ งที่ตนไม่ตอ้ งการจะทํา “ผมโปรแกรมเขาให้เป็ นฆาตกร คุณจะเห็นในบริ บทของรายการว่าในความคิดของเขา เขากลายเป็ น สายลับฝังตัวจริ ง ๆ ในความคิดของเขา ในบริ บทของรายการ ผมทําให้เขาเชื่ออย่างน้อยก็ช่วงเวลาหนึ่งว่า เขาได้ลอบสัง หารใครบางคน ลอบสังหารสิ่ งที่เขาเชื่อว่าเป็ นสายลับจากประเทศอื่น ชายคนนี้ถูกสะกดจิต จนถึงจุดที่เป็ นเหมือนผีดิบจริ ง ๆ และในตอนจบ เมื่อผมปลุกเขาจากภวังค์ เมื่อผมนําเขาออกจากการสะกด
๑๒ จิต เขาก็ร้องไห้โฮออกมา ผูช้ มทางบ้านอย่างคุณจะรู ้ได้วา่ ไม่มีทางที่จะแสร้งทําแบบนั้น และเขาถูก โปรแกรมจริ ง ๆ” นอกจากจะใช้เพื่อสาธิตกับผูค้ นเพื่อแสดงให้เห็นว่าสามารถเข้าควบคุมความคิดของผูค้ นเหล่านั้นได้ จริ งแล้ว คีธยังเคยนําความสามารถนี้ของเขามาใช้ในสถานการณ์จริ งด้วย กับตํารวจทางตอนใต้ของ ลอสแองเจลิสด้วย “ผมถามตํารวจคนหนึ่ง ว่า คุณคิดว่าเป็ นไปได้ไหมที่ผมจะแฮ็ค เข้าไปในความคิดของคุณ ถ้าคุณช็อ ตผมด้วยปื นช็อตในเวลาเดียวกัน แน่นอน เขาตอบว่า ไม่ ผมไม่คิดว่ามันเป็ นไปได้ ผมบอกว่า ผมก็ไม่คิดว่า มันเป็ นไปได้เหมือนกัน แต่มีเพียงทางเดียวที่จะทดสอบทฤษฎีน้ ี นัน่ คือคุณต้องช็อตผม และระหว่างที่ คุณ ช็อตผมให้คุณคิดเรื่ องอะไรก็ได้ในโลกที่คุณอยากคิด ด้วยวิธีน้ ีตาํ รวจคนนั้นเขาช็อตผมด้วยไฟฟ้ า ๕๐,๐๐๐๐ โวลต์จากปื นของเขา ในขณะที่ผมพยายามแฮ็คเข้าไปในความคิดของเขา” นัน่ ไม่ใช่ครั้งแรกและครั้งเดียวที่เขานําวิธีการสะกดจิตมาใช้ เพราะเมื่อต้องเอาตัวให้หลุ ดจากความ ยุง่ ยากเมื่อตํารวจจะให้สงั่ แก่เขา คีธก็ใช้ทกั ษะง่ายที่จะทําให้สมองสัง่ การไปตามที่เขาต้องการจัดการ แก้ปัญหานี้ “ผมมองที่ตาํ รวจที่กาํ ลังจะให้ใบสัง่ หรื ออะไรก็แล้วแต่แก่ผม และผมจะเริ่ มใช้ภาษาสะกดจิต ผมจะ ทําให้เขาเห็นได้ชดั เจนว่าผมกําลังใช้ภาษาสะกด จิต สมมุติวา่ ตํารวจคนนั้นเรี ยกให้ผมจอด และเขาอยูท่ ี่ขา้ ง รถ ผมจะมองเขาและพูดว่า สวัสดีครับ นัน่ นาฬิกาหรื อเปล่าที่คุณกําลังมองดู พร้อมกับผ่อนคลายลึก ๆ และ ลึก ๆ แล้วในทันที ผมไม่ได้พดู เล่นนะครับ พวกเขาก็จะบอกว่า คุณแบร์รี ไปได้เลยครับ ขอบคุณมาก พวก เขาจะกลับขึ้นรถ พวกเขาจะไม่ให้ใบสัง่ ผมเลย” ไม่ใช่วา่ ต้องเป็ นคีธคนเดียวเท่านั้นจึงจะสามารถทําแบบนั้นได้ เขาเผยเคล็ดลับการจับโกหกแบบง่าย ๆ ที่ไม่วา่ ใครก็จบั พิรุธนี้ได้เช่นกัน “โดยพื้นฐานแล้ว เวลาใครสักคนกําลังสร้างภาพหนึ่งขึ้นมา หรื อพูดอีกอย่างคือ ถ้า เขากําลังโกหก คุณ โดยทัว่ ไปพวกเขาจะมองขึ้นไปทางขวา นัน่ หมายความว่าพวกเขากําลังพยายามสร้างภาพซึ่งไม่มีอยูจ่ ริ ง เช่นถ้าผมถามเขาว่า เมื่อเช้าคุณกินอะไร และความจริ งเขากินซีเรี ยล เขาก็ตอบซีเรี ยล แต่ถา้ เขามองขึ้นไป ทางขวา เขาอาจจะตอบว่า เอ่อ เมื่อเช้าผมกินแซนด์วิช เหตุผลที่เขามองขึ้นไปทางขวาก็เพราะเขากําลังสร้าง ความคิดเรื่ องแซนด์วิช ผมรู ้วา่ นัน่ ฟังดูค่อนข้างบ้าบอ ค่อนข้างน่าขํา แต่นนั่ แหละคือวิธีการทํางานของ สมอง” เช่นเดียวกับการที่จะให้คู่สนทนายอมตอบตกลงในสิ่ งที่คุณต้องการ ซึ่งคีธเคยใช้มนั กับเซลล์ขายรถ ยอมที่จะลดราคาและให้เงื่อนไขพิเศษแก่เขา และ คีธก็ได้แนะนําวิธีการนี้ให้ทดลองทํา “มันเรี ยกว่าการกําหนดเงื่อนไขให้ “ตกลง” คือเวลาคุณใช้ภาษาเพื่อให้คนอื่นเห็นด้วยกับคุณ
๑๓ ตลอดเวลาโดยที่เขาไม่รู้ตวั พูดอีกอย่างคือ พวกเขาจะเห็นด้วยกับคุณในระดับจิตใต้สาํ นึก” ยกตัวอย่างเช่น วันนั้นเป็ นวันที่อากาศสดใสมาก คุณก็จะพูดกับเซลส์ คนนั้นว่า วันนี้อากาศสดใส มากเลยนะครับ และเขาก็จะบอกว่าใช่ เพราะข้างนอกอากาศสดใสมาก พอเขาพูดว่าใช่ คุณก็ตอ้ งใช้สิ่งที่ เรี ยกว่าตัวกระตุน้ ซึ่งเป็ นสิ่ งยึดโยงที่คุณใช้เวลาเขาพูดว่าใช่ เช่นอาจจะเกาจมูกของคุณ ซึ่งพวกเขาจะไม่ สังเกตว่าคุณเกาจมูก จากนั้นคุณก็จะบอกคนนั้นทํานองนี้ โอ้โห คุณมีรถในเต็นท์นี่ราว ๆ ๒๐๐ คันเลยเหรอ ถ้าเขามีรถ ๒๐๐ คัน เขาก็จะบอกว่าใช่ พอเขาบอกว่าใช่ คุณก็เกาจมูกอีก ให้คุณถามเขาสี่ หรื อห้าคําถามที่คุณรู ้วา่ เขาจ ะ ตอบว่าใช่อย่างแน่นอน และนัน่ คือการโปรแกรมเขาให้อยากพูดว่าใช่โดยการเกาจมูกของคุณ มันเรี ยกว่า กลไกการกระตุน้ ดังนั้นในวินาทีที่เขาอยากจะบอกว่าไม่ คุณจะเกาจมูก และพวกเขาจะบอกว่าใช่โดย อัตโนมัติจากจิตใต้สาํ นึก “สมมุติรถคันหนึ่งราคาดีที่สุดคือ ๑,๒๐๐ตอนนี้คุณกําลังกําหนดเงื่อนไขตกลงให้กบั เขา คุณถามเขา สี่ หรื อห้าคําถาม เขาจะตอบว่าใช่ ในแต่ละครั้งให้คุณเกาจมูก จากนั้นคุณก็พดู กับเขาว่า ลดราคารถคันนั้นให้ ผมเหลือ ๙,๐๐๐ ยูโร ได้ม้ ยั ครับ นี่คือส่ วนสําคัญ ก่อนที่เขาจะมีโอกาสตอบ นัน่ คือเวลาที่คุณต้องเกาจมูก และเนื่องจากคุณได้กาํ หนดเงื่อนไขตกลงให้เขาไว้แล้ว เขาก็จะตอบโดยอัตโนมัติแบบไม่ทนั คิดว่า ได้ครับ เขาเสร็ จคุณแล้ว คุณลดราคารถคันนั้นได้ ๓,๐๐๐ ยูโร และเขาคืนคําไม่ได้แล้ว” ติดตามการขุดลึกลงไปสู่ปริ ศนาแห่งจิตใจ เพื่อเปิ ดเผยว่าคนธรรมดา ๆ จะสามารถควบคุม ความสามารถของตนเองให้ดียงิ่ ขึ้นได้อย่างไร ในซีรี่ส์ใหม่เอี่ยมของดิสคอฟเวอรี่ แชนแนล ชุด Deception with Keith Barry ออกอากาศทุกวันพุธ เวลา ๒๐.๐๐ น. เริ่ ม๗ ธ.ค. ทางช่องดิสคอฟเวอรี่ แชนแนล ทรู วิชนั่ ส์ ๒๐. ข้ อมูลจาก : เดลินิวส์ ออนไลน์
อ้างอิง http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9550000072260 http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9550000096395 http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9550000069066 http://www.com5dow.com/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%