BUDDHI STPLACESAND THENEW SOCAI LCONTEXT. พุ ทธสถา นกั บบริ บทสั งคมใ หม่ ใ นรู ปแบบgeomet r i cf or ms
ทธสถา น BUDDHI STPLACES lความหมายพุ
พุ ทธสถา น
พระ สงฆ์
พระ ธรรม
พระ พุ ทธ
มต้ องกา รของผู ใ ้ ช้ งา น USERSANAL YSI S lควา
I SSUED
Rel axat i on กา รพั กผ่ อนทา ง ร่ า งกา ยจิ ตใ จ
F ai t hf ul ควา มศรั ทธา ใ น พุ ทธศา สนา
St udy ศึ กษา และ ทำ ควา มเ ข้ า ใ จ ใ นคำ สอนพุ ทธศา สนา
Pr at i ce กา รปฏิ บั ติ ธรรมเ พื อ เ ข้ า ถึ งแก่ นศา สนา
อุ บา สก อุ บา สิ กา
เ ครา ะ ห์ ปญหา จา กบริ บท PROBLEM ANAL YSI S lวิ
พระ สงฆ์ เ น้ นกา รปริ ยั ติ มา กกว่ า ปฏิ บั ติ พระ สงฆ์ ไ ม่ เ ข้ า ใ จหลั กธรรมคำ สอนมา กพอ ปญหา จา กปจจั ยภา ยใ น
พื นที ทา งศา สนา เ ดิ มสื อสา รสา ระ ที เ น้ นหนั กไ ปใ นมิ ติ ทา งวั ตถุ วั ดหรื อพุ ทธสถา นส่ วนใ หญ่ เ น้ นไ ปใ นเ ชิ งพา ณิ ชย์ เ น้ นกา รทำ บุ ญทำ ทา นเ ปนส่ วนมา กที จะ เ น้ นกา รสอนหลั กศา สนา
มองว่ า พุ ทธศา สนา เ ข้ า ใ จและ เ ข้ า ถึ งไ ด้ ยา ก ปญหา จา กบริ บทสมั ยใ หม่
เ รี ยนรู ้ และ เ ข้ า ใ จหลั กธรรมเ พี ยงเ ปลื อกนอกเ ท่ า นั น มี ภา พใ นหั วที เ ข้ า ใ จว่ า กา รบริ จา คมา กนั นทำ ใ ห้ ไ ด้ บุ ญมา ก มองหา สิ งยึ ดเ หนี ยวจิ ตใ จอื นๆเ ช่ นดนตรี ศิ ลปะภา พยนต์
ปญหา จา กสั งคมใ นรู ปแบบอื นๆ
กธรรม BUDDHI SM PRI NCI PLES lหลั
ไ ตรสิ กขา
สมา ธิ
สติ ศี ล
ปญญา
สงบ
ควา มรุ นแรง
ควา มประ มา ท
ควา มโ ง่ เ ขลา
บรู ต่ ้ อสถา ปตยกรรม HUMAN SENSORI ES lการรั
PERCEPTI ON VI SUAL SENSE
TOUCHI NG SENSE
ACOUSTI C SENSE
SNI FFI NG SENSE
MENT AL SENSE
REGULARI TY ควา มปกติ ของสิ งต่ า งๆ
RELAXATI ON กา รพั กผ่ อนผ่ อนคลา ย
MEDI ATI ON กา รทำ สมา ธิ
GEOMETRI C FORMS
I NTERPRET ATI ONS lการเ ปลี ยนแปลงของกิ จกรรม BUDDHI ST PRI NCI PLES
ศี ล
สมา ธิ
ปญญา
กา รพิ จา รณา เ พื อใ ห้ จิ ตเ เ น่ วแน่ เ ปนสมา ธิ
กา รปฏิ บั ติ ธรรม ใ นทา งกา ยเ พื อใ ห้ ใ จ เ ข้ า ถึ งปญญา
กิ จกรรมใ น รู ปแบบเ ดิ ม
กา รละ เ ว้ นควา ม เ ปนอบา ยมุ ขทั งปวง
กิ จกรรมใ น รู ปแบบใ หม่
กา รพิ จา รณา ธรรมชา ติ กา รเ คลื อนไ หวกา รกำ หนด รู ้ เ พื อใ ห้ เ ข้ า ใ จควา มปกติ ของสิ งต่ า งๆจนเ ปนควา ม ปกติ ทา งกา ย
กา รมองอย่ า งพิ นิ จกา ร กำ หนดรู จพกา ้ รสั มผั ส กา รฟงอยา กลึ กซึ งเ พื อ ใ ห้ จิ ตสงบมี ควา มพร้ อมใ น ระ ดั บหนึ ง
เ มื อจิ ตมี ควา มพร้ อมย่ อม สา มา รถเ รี ยนรู และ ้ เ ข้ า ใ จสิ ง ต่ า งๆไ ด้ จา กธรรมชา ติ จน เ กิ ดเ ปนปญญา
บรู รู ้ ปทรงเ รขา คณิ ต GEOMETRI C PERCEPTI ON lการรั
SQUARE
TRI ANGLE
พื นที รู ปทรงลู กบา ศ์ กเ ปนรู ปทรงที พื นฐา นเ ข้ า ใ จง่ า ย
พื นที ใ นรู ปแบบสา มเ หลี ยมใ ห้ จิ นตภ่ า พควา มรู สึ ้ กที
ตรงไ ปตรงมาใ ห้ จิ นตภา พ ควา มรู สึ ้ กใ นลั กษณะ ของ
มั นคงที คล้ า ยกั บลู กบา ศ์ กแต่ มี ควา มซั บซ้ อนเ พิ ม
ควา มสงบควา มมั นคงไ ม่ ซั บซ้ อนไ ม่ ถู กกระ ตุ นทา ้ ง
ขึ นใ นทา งสา ยตากา รสั มผั สเ กิ ดควา มสั บสนเ ล็ ก
อา รมณ์ ใ นพื นที
น้ อย
CYLI NDRI CAL
POL YHEDRON
พื นที ใ นรู ปแบบเ ปนวงกลมใ ห้ จิ นตภา พใ นกา รรั บรู ้
พื นที ใ นลั กษณะ หลา ยเ หลี ยมจะ ใ ห้ จิ นตภา พที แตก
ควา มรู สึ ้ กกา รเ คลื อนไ หวทั งใ นกา รมองเ เ ละ กา ร
ต่ า งจา กรู ปแบบอื นมี ทั งควา มสั บสนซั บซ้ อนควา ม
สั มผั สรั บรู รู ้ ปทรงไ ม่ มี ที สิ นสุ ดใ นบา งที ก็ ทำ ใ ห้ อึ ดอั ด
หลา กหลา ยของรู ปแบบพื นที ทำ ใ ห้ เ กิ ดควา มสนุ ก
ไ ด้ จา กพื นที ที เ ปนวงกลม
ไ ม่ หยุ ดนิ งไ ม่ มั นคงทา งอา รมณ์
ดส่ วนและ ควมสั มพั นธ์ SCALE& PROPORTI ON lสั
ขนา ดและ สั ดส่ วนที ใ กล้ เ คี ยงกั บสั ดส่ วนของมนุ ษย์ เ ปนพื นที ที เ กิ ดกา รรั บร้ ไ ู ม่ มา กเ นื องจา กไ ม่ สา มา รถ เ ข้ า ไ ปใ ช้ สอยทำ กิ จกรรมไ ด้ น้ อยควา มกว้ า วและ ควา ม สู งสั มพั นธ์ กั น
1
ขนา ดและ สั ดส่ วนที ใ กล้ เ คี ยงกั บสั ดส่ วนของมนุ ษย์ แต่ มี ขนา ดเ เ ละ สั ดส่ วนที สา มา รถทำ กิ จกรรมไ ด้ เ พิ ม มา กขึ นทำ ใ ห้ เ กิ ดกา รรั บรู ใ ้ นf or m ของพื นที ไ ด้ มา ก ขึ นใ ช้ สอยทำ กิ จกรรมไ ด้ มา กขึ น
2
( พฤติ กรรมกา รเ รี ยนรู กั ้ บสถา ปตยกรรม, รศ. ดร.ต้ นข้ า วปา ณิ นท์ 2558) ( ขนา ดและ สั ดส่ วนใ นกา รออกแบบ, ธา นี ภู นพคุ ่ ณ 2555) ( องค์ ประ กอบทา งสถา ปตยกรรมที เ กิ ดขึ นจา กควา มกลั วของมนุ ษย์ , กนกวรรณ พิ ภั กดิ สมุ ทร2561 )
ดส่ วนและ ควมสั มพั นธ์ SCALE& PROPORTI ON lสั
พื นที ที มี ขนา ดและ สั ดส่ วนovers cal eกั บขนา ด และ สั ดส่ วนของมนุ ษย์ ขนา ดควา มกว้ า งและ ควา ม สู งจะ ใ ห้ กา รรั บรู ใ ้ นแง่ ของควา มยิ งใ ญ่ มั นคงเ ปน พื นที ที เ กิ ดควา มสงบเ กิ ดควา มเ คา รพพื นที
3
ขนา ดและ สั ดส่ วนที มี ลั กษณะ เ ปนพื นที ที กว้ า งใ น แนวรา บแต่ ใ นทา งเ เ นวดิ งเ ปนพื นที ที มี ลั กษณะ เ ตี ยขนา ดและ สั ดส่ วนที ไ ม่ สั มพั นธ์ กั นทำ ใ ห้ เ กิ ดควา ม รู สึ ้ กแปลกใ นกา รใ ช้ พื นที ผู ใ ้ ช้ งา นจะ รั บรู ไ ้ ด้ ว่ า พื นที ค่ อนข้ า งอึ ดอั ดไ ม่ สบา ยกา รมองเ ห็ นค่ อนข้ า ง ลำ บา ก
4
( พฤติ กรรมกา รเ รี ยนรู กั ้ บสถา ปตยกรรม, รศ. ดร.ต้ นข้ า วปา ณิ นท์ 2558)
( ขนา ดและ สั ดส่ วนใ นกา รออกแบบ, ธา นี ภู นพคุ ่ ณ 2555)
( องค์ ประ กอบทา งสถา ปตยกรรมที เ กิ ดขึ นจา กควา มกลั วของมนุ ษย์ , กนกวรรณ พิ ภั กดิ สมุ ทร2561 )
ดส่ วนและ ควมสั มพั นธ์ SCALE& PROPORTI ON lสั
พื นที ที มี ขนา ดและ สั ดส่ วนที ยา วแคบใ นลั กษณะ นี ใ ห้ มุ ม มองกา รรั บรู ใ ้ นทา งรา บอย่ า งชั ดเ จนเ กิ ดกา รรั บรู ใ ้ นมุ ม มองของพื นที ที ไ ม่ สิ นสุ ด ควา มลึ กลั บควา มชั ดเ จน
5
พื นที ที มี ขนา ดและ สั ดส่ วนที ยา วแคบใ นทา งรา บใ น ลั กษณะ นี ใ ห้ มุ มมองกา รรั บรู ใ ้ นทา งรา บอย่ า งชั ดเ จนไ ปใ น ทา งลั กษณะ ของพื นที ที เ ปนcor r i dorทา งเ ดิ นหรื อ เ ปนพื นที เ ชื อมต่ อจะ ใ ห้ กา รรั บรู ที ้ ต่ อเ นื องระ หว่ า งพื น ที กั บพื นที
6
( พฤติ กรรมกา รเ รี ยนรู กั ้ บสถา ปตยกรรม, รศ. ดร.ต้ นข้ า วปา ณิ นท์ 2558) ( ขนา ดและ สั ดส่ วนใ นกา รออกแบบ, ธา นี ภู นพคุ ่ ณ 2555) ( องค์ ประ กอบทา งสถา ปตยกรรมที เ กิ ดขึ นจา กควา มกลั วของมนุ ษย์ , กนกวรรณ พิ ภั กดิ สมุ ทร2561 )
ดส่ วนและ ควมสั มพั นธ์ SCALE& PROPORTI ON lสั
พื นที ที มี ขนา ดและ สั ดส่ วนที เ ปนลั กษณะ ของพื นที ที แคบแต่ มี ควา มสู งมา กกว่ า สั ดส่ วนปกติ ของมนุ ษย์ กา รรั บรู จะ ้ รู สึ ้ กไ ด้ ถึ งควา มไ ม่ ปกติ ควา มอึ ดอั ดของ พื นที แต่ ค่ อนข้ า งชั ดใ นลั กษณะ ของกา รสื อสา รพื นที ที ตรงไ ปตรงมา
7
พื นที ที มองจา กภา ยนอกขนา ดเ เ ละ สั ดส่ วนดู กว้ า งและ สู งแต่ ภา ยใ นเ ปนพื นที ที ค่ อนข้ า งแคบไ ม่ สา มา รถทำ กิ จ กรรมใ นพื นที ไ ด้ มา กเ กิ ดกา รรั บรู ที ้ ซั บซ้ อนสั บสนกั บ พื นที ไ ม่ อิ สระ
8
( พฤติ กรรมกา รเ รี ยนรู กั ้ บสถา ปตยกรรม, รศ. ดร.ต้ นข้ า วปา ณิ นท์ 2558)
( ขนา ดและ สั ดส่ วนใ นกา รออกแบบ, ธา นี ภู นพคุ ่ ณ 2555)
( องค์ ประ กอบทา งสถา ปตยกรรมที เ กิ ดขึ นจา กควา มกลั วของมนุ ษย์ , กนกวรรณ พิ ภั กดิ สมุ ทร2561 )
กษณะ ของขอบเ ขต BOUNDARY TYPES lลั
ลั กษณะBOUNDARY แบบนี มี ลั กษณะ เ ปนกา รบ่ งบอก กา รแบ่ งขอบเ ขตของพื นที ที ยั งมี กา รเ ชื อมต่ อของพื น ที อยู ่
1
ลั กษณะBOUNDARY แบบนี มี ลั กษณะ เ ปนกา รบ่ งบอก กา รแบ่ งขอบเ ขตของพื นที แต่ จะ มี ควา มแตกต่ า งกั บรู ป แบบที 1คื อควา มสู งของBOUNDARY ที เ พิ มขึ นจะ เ พิ มกา รแบ่ งขอบเ ขตของพื นที เ พิ มขึ นแต่ ยั งมี กา รเ ชื อม ต่ อของพื นที อยู ่
2
ลั กษณะBOUNDARY แบบนี มี ลั กษณะ เ ปนกา รปดกั น พื นที อย่ า งชั ดเ จนด้ วยBOUNDARY ที เ ปนลั กษณะ ของกำ แพงหรื อสิ งปดกั นที สู งปดบั งกา รมองเ ห็ นกา ร สั มผั สกา รเ ชื อมต่ อต่ า งๆของพื นที
3
( Ar chi t ect ur eF or m Spaceand Or der , FRANCI SD. K.CHI NG)
กษณะ ของขอบเ ขต BOUNDARY TYPES lลั
ลั กษณะBOUNDARY แบบนี มี ลั กษณะ เ ปนกา รปดกั น พื นที อย่ า งชั ดเ จนแต่ สิ งที นำ มา ใ ช้ เ ปนBOUNDARY ที ปดกั นนั นจะ เ ปนกระ จกหรื อกำ แพงที โ ปร่ งใ สทำ ใ ห้ กา ร ปดกั นลั กษณะ นี ยั งเ ชื อมต่ อระ หว่ า งพื นที ผ่ า นกา รมอง เ ห็ นไ ด้
4
เ ปนกา รปดล้ อมพื นที โ ดยกา รใ ช้ BOUNDARY ทั งสอง ด้ า นลั กษณะ ของกา รปดล้ อมแบบนี จะ พบเ ห็ นใ นรู ปแบบ ของทา งเ ดิ นที จะ เ ปดใ ห้ พื นที รอบๆเ ข้ า มา มี ปฏิ สั มพั นธ์ กั บพื นที ที ถู กปดกั นไ ว้
5
เ ปนกา รปดล้ อมพื นที โ ดยกา รใ ช้ BOUNDARY ทั งสอง ด้ า นลั กษณะ ของกา รปดล้ อมจะ คล้ า ยกั บรู ปแบบที 5 แต่ จะ ต่ า งกั นตรงที ขนา ดของBOUNDARY ที ใ ช้ ปด ล้ อมจะ ปดล้ อมแบบไ ม่ สา มา รถเ กิ ดปฏิ สั มพั นธ์ กั บพื นที โ ดนรอบไ ด้ กา รรั บรู จะ ้ เ กิ ดขึ นใ นลั กษณะ ที ต้ องFOCUS กั บสิ งที อยู ใ ่ นพื นที ของกา รปดล้ อม
6
( Ar chi t ect ur eF or m Spaceand Or der , FRANCI SD. K.CHI NG)
กษณะ ของขอบเ ขต BOUNDARY TYPES lลั
ลั กษณะBOUNDARY แบบนี มี ลั กษณะ เ ปนกา รแบ่ ง ขอบเ ขตพื นที ด้ วยกิ จกรรมกา รใ ช้ งา นของทั งสอง พื นที ที มี ควา มแตกต่ า งกั นซึ งพื นที ทั ง2จะ ยั งสา มา รถ รั บรู กั ้ นและ กั นไ ด้ แต่ กา รใ ช้ งา นจะ ไ ม่ สา มา รถใ ช้ งา น พื นที ร่ วมกั นไ ด้
7
ลั กษณะBOUNDARY แบบนี มี ลั กษณะ เ ปนกา รวา งใ น มุ มมองที แปลกไ ปจา กมุ มมองใ นแบบปกติ จะ ใ ห้ กา รรั บ รู ที ้ ค่ อนข้ า งแปลกบิ ดเ บื อนสา ยตา กา รมองเ ห็ นกา ร ไ ด้ ยิ นกา รสั มผั สซึ งพบเ ห็ นบ่ อยใ นลั กษณะ ของกา รใ ช้ งา นเ ปนF ACADEอา คา ร 8
ลั กษณะBOUNDARY แบบนี มี ลั กษณะ เ ปนเ สา อา คา รเ ปนกา ร แบ่ งของเ ขตของBOUNDARY ที ค่ อนข้ า งเ บา และ กา รใ ช้ งา น แบบนี มั กจะ พบเ ปนเ สา ทั งภา ยใ นภา ยนอกอา คา รและ ยั ง สา มา รถใ ช้ BOUNDARY เ ปนเ ส้ นนำ สา ยตา ใ นสถา ปตยกรรม
9
( Ar chi t ect ur eF or m Spaceand Or der , FRANCI SD. K.CHI NG)
กษณะ ของขอบเ ขต BOUNDARY TYPES lลั
เ ปนกา รแบ่ งขอบเ ขตพื นที ที ใ ช้ SOFTBOUNDARY ใ น ลั กษณะ ของกา รเ พิ มระ ดั บของพื นที ซึ งจะ เ กิ ดกา รรั บรู ้ ไ ด้ ว่ า พื นที ที เ พิ มระ ดั บขึ นมาอา จเ พื อใ ห้ พื นที นั นเ ด่ นขึ น ใ ห้ ควา มสำ คั ญมา กขึ น
1 0
เ ปนกา รแบ่ งขอบเ ขตพื นที ที ใ ช้ SOFTBOUNDARY ใ น ลั กษณะ ของกา รลดระ ดั บของพื นที ซึ งจะ เ กิ ดกา รรั บรู ้ ไ ด้ ว่ า พื นที ที ลดระ ดั บจะ คล้ า ยกั บใ นรู ปแบบที 1 0 แต่ จะ แตกต่ า งกั นใ นกา รใ ห้ PERCEPTI ON ซึ งกา รลดระ ดั บ อา จเ พื อกา รลดควา มสำ คั ญของพื นที สร้ า งขอบเ ขต หรื อซ่ อนพื นที จา กกั บรั บรู ้ 1 1
( Ar chi t ect ur eF or m Spaceand Or der , FRANCI SD. K.CHI NG)
กษณะ กา รลื นไ หลของรู ปทรง ADDI TI VEFORMS lลั
SPATI ALTENSI ON
เ ปนกา รเ ชื อมต่ อกั นของฟอร์ มโ ดยกา รใ ช้ เ ครื องมื อใ นลั กษณะ ของ รู ปฟอร์ มวา งเ รี ยงเ ชื อมต่ อกั นไ ปแต่ พื นผิ วหรื อขอบเ ขตของฟอร์ ม จะ ไ ม่ สั มผั สติ ดต่ อกั นอา ศั ยควา มใ กล้ ชิ ดของรู ปฟอร์ มสื อสา รกา ร เ ชื อมต่ อลื นไ หลของฟอร์ มผ่ า นPERCEPTI ON ของมนุ ษย์ หรื อ อา จใ ช้ สี วั สดุ พื นผิ วแบ่ งแยกฟอร์ มต่ า งๆ
I NTERL OCKI NG VOLUME
เ ปนกา รเ ชื อมต่ อกั นของฟอร์ มโ ดยกา รใ ช้ เ ครื องมื อใ นลั กษณะ ของ รู ปฟอร์ มที I NTERL OCKI NG กั นระ หว่ า งฟอร์ มเ ปนกา รเ ชื อมต่ อ ซึ งจะ ส่ งผมใ ห้ PERCEPTI ON ทั งภา ยนอกและ ภา ยใ นของพื นที รั บ รู ไ ้ ด้ ว่ า มี กา รเ เ ทรกซึ มกั นระ หว่ า งฟอร์ มของพื นที แต่ ละ พื นที
( Ar chi t ect ur eF or m Spaceand Or der , FRANCI SD. K.CHI NG)
กษณะ กา รลื นไ หลของรู ปทรง ADDI TI VEFORMS lลั
EDGETO EDGECONTRACT
กา รเ ชื อมต่ อของฟอร์ มใ นรู ปแบบที ใ ช้ กา รสั มผั สของขอบเ ขต ฟอร์ มเ ปนกา รเ ชื อมต่ อที ใ ห้ PERCEPTI ON เ พี ยงแค่ ใ ห้ รู ว่ ้ า ฟอร์ ม ยั งมี ปฏิ สั มพั นธ์ กั นแต่ ไ ม่ หนั กแน่ นกา รเ ชื อมต่ อใ นลั กษณะ นี จะ ส่ ง ผลต่ อกา รรั บรู มิ ้ ติ ของฟอร์ มที เ ชื อมต่ อแค่ ขอบเ ขต แต่ ไ ม่ เ ชื อมต่ อใ น เ ชิ งกา รใ ช้ งา น
F ACETO F ACECONTRACT
กา รเ ชื อมต่ อของฟอร์ มใ นรู ปแบบที ใ ช้ กา รสั มผั สของพื นพิ วของ ฟอร์ มกา รเ ชื อมต่ อแบบนี จะ ทำ ใ ห้ ควา มรู สึ ้ กกา รเ ข้ า ไ ปใ ช้ พื นที เ กิ ด ควา มลื นไ หลเ ชื อมต่ อกั นอย่ า งเ ปนลำ ดั บค่ อยๆเ กิ ดกา รรั บรู จา ้ ก กา รจั ดวา งกา รมี ปฏิ สั มพั นธ์ กั บของรู ปฟอร์ มและ พื นที
( Ar chi t ect ur eF or m Spaceand Or der , FRANCI SD. K.CHI NG)
กษณะ กา รลื นไ หลของรู ปทรง ADDI TI VEFORMS lลั
SPATI ALTENSI ON
I NTERL OCKI NG TENSI ON
( Ar chi t ect ur eF or m Spaceand Or der , FRANCI SD. K.CHI NG)
กษณะ กา รลื นไ หลของรู ปทรง ADDI TI VEFORMS lลั
EDGETO EDGECONTRACT
F ACETO F ACECONTRACT
นที ระ หว่ า งใ นสถา ปตยกรรม TRANSI TI ON SPACE lพื
กา รใ ห้ ควา มหมา ยพื นที ว่ า งของมนุ ษย์ เ กิ ดจา กกา รรรั บรู ้ ควา มรู สึ ้ กของบุ คคล ที เ กิ ดกั บที ว่ า งนั นๆยกตั วอย่ า งลั กษณะ เ ช่ นควา มสู งเ ตี ยกว้ า งแคบลึ ก ตื นทั งนี เ ปนพื นที เ ชิ งปริ มา ณ หรื อเ กิ ดจา กควา มสว่ า งมื ดโ ปร่ งทึ บอึ ดอั ด สบา ยซึ งเ ปนพื นที เ ชิ งปริ มา ณ ทั งสองลั กษณะ พื นที นี จะ ส่ งผลต่ อกา รรั บรู ของ ้ คนแตกต่ า งกั นไ ปซึ งกา รใ ห้ ควา มหมา ยต้ องเ กิ ดจา กกา รที คนเ ข้ า ไ ปสั มผั สพื นที สถา ปตยกรรมองค์ ประ กอบต่ า งๆแล้ วตี ควา มพื นที นั นออกมา
1 .พื นที เ ชื อมต่ อใ นรู ปแบบที ต่ อเ นื อง
2.พื นที เ ชื อมต่ อใ นรู ปแบบของกา รปดล้ อม
3.พื นที เ ชื อมต่ อใ นรู ปแบบของกา รใ ช้ งา น
( คุ ณลั กษณะ ของที ว่ า งทา งสถา ปตยกรรมใ นสถา ปตยกรรมพื นถิ น, เ จนยุ ทธล่ อใ จอรศิ ริ ปา ณิ นท์ เ กรี ยงไ กรเ กิ ดศิ ริ ) ( TRANSI TI ON SP ACES, Sz aut erD.–Műs z akiT udományosKözl eményekvol .9)
องเ ปดใ นสถา ปตยกรรม VOI D & OPENI NG lช่
เ ปนช่ องเ ปดใ นลั กษณะ ของหน้ า ต่ า งบา นใ หญ่ ที จะ เ น้ นไ ปใ นเ รื องของ กา รมองเ ห็ นพื นที ภา ยใ น-ภา ยนอกกา รถ่ า ยเ ทของลมอา กา ศกา ร สั มผั สระ หว่ า งพื นที ที มี ปฏิ สั มพั นธ์ ต่ อกั นใ ห้ กา รรั บรู เ ้ กื อบทุ กรู ปแบบทั งกา รมองเ ห็ นกา รสั มผั สกา รไ ด้ ยิ นกา รไ ด้ กลิ น
ลั กษณะ ของช่ องเ ปดขนา ดเ ล็ ก-ปา นกลา งที วา งเ รี ยงกั นใ นรู ปแบบ ของจั งหวะสะ ท้ อนจั งหวะ ใ นงา นสถา ปตยกรรมไ ด้ ชั ดเ จนสร้ า งกา ร รั บรู ้ กา รมองเ ห็ นกา รสั มผั สกา รรั บรู ควา ้ มรู สึ ้ กต่ า งๆที เ ปน จั งหวะและ ใ ห้ จิ นตภา พที มี รา ยละ เ อี ยดใ นงา นสถา ปตยกรรมไ ด้ ชั ดเ จนและ สื อสา รไ ด้ เ ข้ า ใ จเ ข้ า ถึ งง่ า ย
( Openi ngsi nbui l di ngs,J anCr emer s ) ( OpenDes i gnMet hodol ogi es,Hi l daT el l i ogl u& I naWagner )
องเ ปดใ นสถา ปตยกรรม VOI D & OPENI NG lช่
เ ปนลั กษณะ ของช่ องเ ปด ที มี กา รวา งใ นรู ปแบบของกา รสลั บ ฟนปลาซึ งเ หมื อนเ ปนกา รเ น้ นใ ห้ ผู ใ ้ ช้ งา นเ กิ ดมิ ติ ใ นกา รมองเ ห็ น อย่ า งพิ จา รณา เ นื องจา กมุ มมองผ่ า นช่ องเ ปดนั นจะ แตกต่ า งกั น อย่ า งชั ดเ จนต้ องพิ จา รณา เ พื อรั บรู ปฏิ ้ สั มพั นธ์ ระ หว่ า งพื นที ภา ยใ น-ภา ยนอก
เ ปนลั กษณะ ของช่ องเ ปด ทเ ปนช่ องขนา ดใ หญ่ เ ปดกว้ า งสร้ า ง มิ ติ ทา งกา รมองเ ห็ นไ ด้ อย่ า งชั ดเ จนทำ ใ ห้ พื นที ภา ยใ นภา ยนอกเ ชื อมต่ อกั นอย่ า งชั ดเ จนมา กรั บรู ระ ้ หว่ า งพื นที ไ ด้ พร้ อม กั นแต่ ยั งคงรู ไ ้ ด้ ว่ า เ ปนกา รมี ปฏิ สั มพั นธ์ ผ่ า นช่ องเ ปดขนา ดใ หญ่
( Openi ngsi nbui l di ngs,J anCr emer s ) ( OpenDes i gnMet hodol ogi es,Hi l daT el l i ogl u& I naWagner )
องเ ปดใ นสถา ปตยกรรม VOI D & OPENI NG lช่
ลั กษณธช่ องเ ปดที ดู คล้ า ยกั นกั บระ แนงของช่ องแสงสร้ า งจิ นตภา พ ใ นกา รมองเ ห็ นไ ปใ นทา งปดบั งสา ยตามุ มมองและ ส่ งผลอย่ า งมา ก กั บแสงธรรมชา ติ ที ผ่ า นช่ องเ ปด เ ข้ า มา ใ นงา นสถา ปตยกรรม ลั กษณะ ช่ องเ ปดนี ค่ อนข้ า งจะ สร้ า งปฏิ สั มพั นธ์ ระ หว่ า งพื นที น้ อยกว่ า ลั กษณะ อื นๆ
ลั กษณธช่ องเ ปดที มี กา รวา งใ นรู ปแบบที อิ สระไ ม่ เ ปนจั งหวะซึ งช่ อง เ ปดใ นลั กษณะ นี ค่ อนข้ า งจะ ใ ห้ มิ ติ จิ นตภา พใ นทา งซั บซ้ อนวุ นวา ่ ยจำ เ ปนที จะ ต้ องมองอย่ า งตั งใ จเ พื อใ ห้ สา มา รถรั บรู พื ้ นที ระ หว่ า งภา ยใ น -ภา ยนอกเ นื องจา กมุ มมองที เ ห็ นใ นช่ องเ ปดจะ แตกต่ า งกั นจึ งทำ ใ ห้ เ กิ ดกา รสั บสนไ ด้
( Openi ngsi nbui l di ngs,J anCr emer s ) ( OpenDes i gnMet hodol ogi es,Hi l daT el l i ogl u& I naWagner )
องเ ปดใ นสถา ปตยกรรม VOI D & OPENI NG lช่
เ ปนช่ องเ ปดที แตกต่ า งจา กลั กษณะ อื นตรงที ว่ า เ ปนช่ องเ ปดจา กทา ง ด้ า นบนของฟอร์ มเ ปนรู ปแบบที เ รี ยกว่ าSKYLI GTH ที จะ เ น้ นใ นเ รื อง ของกา รเ ปดช่ องเ พื อรั บเ เ สงจา กธรรมชา ติ โ ดยตรงเ ปนช่ องเ ปดที จะ ใ ห้ เ เ สงสว่ า งกั บตั วอา คา รไ ด้ มา กที สุ ด แต่ PERCEPTI ON ใ นกา รมอง เ ห็ นจะ ลดลงเ นื องจา กเ ปนช่ องเ ปดจา กด้ า นบน
เ ปนช่ องเ ปดใ นลั กษณะ ที เ ปดยา วจนถึ งพื นอา คา รใ นบา งรู ปแบบจะ สา มา รถใ ช้ เ ปนทา งผ่ า นระ หว่ า งพื นที ไ ด้ ซึ งเ ปนข้ อแตกต่ า งจา กช่ อง เ ปดใ นรู ปแบบอื นๆช่ องเ ปดลั กษณะ นี จะ สร้ า งกา รเ ชื อมต่ อระ หว่ า ง พื นที ไ ด้ มา กที สุ ดเ พรา ะ สา มา รถเ ข้ า ถึ งกั นไ ด้ ไ ม่ เ พี ยงแค่ กา รมองเ ห็ น หรื อกา รไ ด้ ยิ นเ ท่ า นั น
( Openi ngsi nbui l di ngs,J anCr emer s ) ( OpenDes i gnMet hodol ogi es,Hi l daT el l i ogl u& I naWagner )
คลา ยพื นที เ ปนสถา ปตยกรรม ORGANI ZATI ON SPACES lการคลี
CONCEPTของกา รคลี คลา ยเ นื อหา เ รื องไ ตรสิ กขาบวกกั บหลั กกา รจิ นตภา พของGEOMETRI C FORM ออกมา เ ปนพื นที พุ ทธสถา นใ นบริ บทสั งคมใ หม่ เ กิ ดจา กกา รพยา ยา มใ ห้ ผู คนทำ ้ ควา มเ ข้ า ใ จสา ระ ไ ตรสิ กขาผ่ า นกา รสื อสา รจา กธรรมชา ติ รอบตั วบวกกั บ ควา มเ ปนไ ปใ นทา งปกติ ของกา รใ ช้ ชี วิ ตและ อยู ร่ ่ วมกั นใ นสั งคมซึ งมี ปญหา ต่ า งๆมา กมา ยใ ห้ พบเ ห็ นอยู บ่ ่ อยครั งนอกจา กกา รใ ช้ ธรรมชา ติ มา สื อสา รเ เ ล้ วกา รใ ช้ จิ นตภา พของกา รออกแบบฟอร์ มมิ ติ ของเ ครื องมื อใ นทา งสถา ปตยกรรมก็ เ ปนตั วช่ วยเ พื อสร้ า ง PERCEPTI ON ที เ ปรี ยบเ สหมื อนกั นกั บตั วช่ วยใ ห้ คนที ขา ดควา มเ ข้ า ใ จใ นหลั กศา สนาสา มา รถเ กิ ดกา รเ รี ยนรู ผ่ ้ า นกา รใ ช้ งา นใ นพื นที พุ ทธสถา นและ สา มา รถนำ ไ ปปรั บใ ห้ เ ข้ า กั บกา รใ ช้ ชี วิ ตใ นบริ บทสั งคมใ หม่ ทจะ สา มา รถสอนใ ห้ คนมี ปญญา ใ นกา รใ ช้ ชี วิ ตไ ด้ มา กขึ น
คลา ยพื นที เ ปนสถา ปตยกรรม ORGANI ZATI ON SPACES lการคลี
กา รใ ช้BOUNDARY ที เ ปนกำ แพงใ นรู ปแบบควา มสู งทั งสอง ด้ า นไ ม่ เ ท่ า กั นเ พื อต้ องกา รใ ห้ เ กิ PERCEPTI ON ของกา รมองเ ห็ น ที ไ ม่ เ ท่ า กั นค่ อยๆมองเ ห็ นตา มควา มสู งของBOUNDARY ที ลด ลงและ เ พิ มขึ นเ พื อที จะ ค่ อยๆเ ปลี ยนกา รรั บรู เ ้ ข้ า สู พื ่ นที พุ ทธสถา น
โ ซนพื นที ของEXHI BI TI ON ที จะ แสดง เ นื อหา สา ระ ของปญหา พุ ทธสถา นใ นบริ บท สั งคมปจจุ บั นปญหา สั งคมต่ า งๆซึ งจั ด แสดงกลา งพื นที ธรรมชา ติ สื อกา รรั บรู ใ ้ น เ ชิ งมิ ติ ของควา มปกติ และ ควา มผิ ดปกติ
พื นที ธรรมชา ติ ที จะ ค่ อยๆปรั บเ ปลี ยนบริ บทบรร ยา กา ศของสั งคมเ มื องจา กภา ยนอกเ พื อใ ห้ สา มา รถรั บรู สั ้ มผั สธรรมชา ติ เ เ ละ เ ข้ า ใ จมิ ติ สถา ปตยกรรม ที สื อเ รื องศี ลสมา ธิ ปญญา พื นที ของEXHI BI TI ON ต้ อนรั บผู คนที ้ เ ข้ า มา ใ ช้ งา นและ ทำ ควา มเ ข้ า ใ จพื นฐา นเ รื องของไ ตรสิ กขา เ ปนกา รสร้ า งควา มเ ข้ า ใ จก่ อนที จะ รั บรู สิ ้ งต่ า งๆที สื อ ใ นพุ ทธสถา น
พื นที I NTRO
คลา ยพื นที เ ปนสถา ปตยกรรม ORGANI ZATI ON SPACES lการคลี BOUNDARY เ ปนแนวยา วอา ศั ยช่ องเ ปดใ นลั กษณะ ที วา งตั วอย่ า งอิ สระสะ ท้ อนจิ นตภา พใ นควา มผิ ดแปลก หรื อไ ม่ ปกติ เ พื อใ ห้ เ กิ ดกา รทำ ควา มเ ข้ า ใ จควา มหมา ย ของศี ลผ่ า นตั วสถา ปตยกรรม พื นที จะ แสดงEXHI BI TI ON ใ นเ รื องควา มหมา ยของ ศี ลกั บบริ บทปจจุ บั นภา ยใ นพื นที จะ เ ปนลั กษณะ ของ กา รเ รี ยบเ รี ยงBOUNDARY ใ นรู ปแบบต่ า งๆเ พื อสื อ สา รใ นมุ มมองของกา รกำ หนดรู ้ เ กิ ดสติ เ เ ละ ทำ ควา ม เ ข้ า ใ จเ รื องศี ล
กา รเ ลื อกใ ช้ พื นที ที เ ปนฟอร์ มของ วงกลมเ นื องจา กจิ นตภา พของของมั น สื อสา รใ นมิ ติ ของควา มลื นไ หลบวกกั บมุ ม มองใ นพื นที ที เ กิ ดขึ นจะ ไ ม่ ปดกั นสา ยตา จน เ กิ ดควา มสั บสน
สระ น้ ำ ที เ ปนองค์ ประ กอบของ ธรรมชา ติ เ กิ ดกา รรั บรู ตา ้ มคุ ณสมบั ติ ของน้ ำ ใ นมิ ติ ของกา รสะ ท้ อนพื นที กา ร กำ หนดรู เ ้ พื อใ ห้ คนเ กิ ดสติ
พื นที ที ใ ช้ ธรรมชา ติ เ ปนสื อหลั กใ นกา รอธิ บา ยควา มหา ย ของศี ลอย่ า งตรงไ ปตรงมาโ ดยกา รใ ช้ ธรรมชา ติ บวกกั บ พื นที สถา ปตยกรรมแบบฟอร์ มของวงกลมใ ช้ เ ครื องมื อ ของกา รเ ปดช่ องเ ปดสลั บมุ มมองกั นเ พื อใ ห้ เ กิ ดกา รกำ หนดรู ตลอดเ ้ วลา
พื นที ของศี ล
คลา ยพื นที เ ปนสถา ปตยกรรม ORGANI ZATI ON SPACES lการคลี
พื นที EXHI BI TI ON ที จะ สร้ า งควา มเ ข้ า ใ จใ นสมา ธิ ผ่ า น ฟอร์ มของสถา ปตยกรรมที ทำ กา รI NTERL OCKI NG กั น ระ หว่ า งฟอร์ มเ มื อพื นที เ ปลี ยนรู ปฟอร์ มเ ปลี ยนไ ปจิ นต ภา พที เ กิ ดขึ นทำ ใ ห้ ต้ องพร้ อมรั บรู กั ้ บกา รเ ปลี ยนแปลง ของพื นที อยู เ ่ สมอ
ทา งของน้ ำ ที ไ หลไ ปตา มพื นที ที ต่ า งระ ดั บกั นเ พื อที จะ ใ ห้ PERCEPTI ON ใ นเ รื องของเ สี ยงซึ งเ สี ยงเ ปนกา รรั บรู หนึ ้ ง ที สา มา รถทำ ใ ห้ จิ ตใ จเ กิ ดสภา วะ ของควา มเ ปนสมา ธิ ซึ งตั งใ จ สื อสา รผ่ า นธรรมชา ติ เ พื อควา มเ ข้ า ใ จที ต่ อเ นื องกั นไ ปใ นแต่ ละ พื นที ซึ งน้ ำ จะ ไ หลตลอดเ วลา ทำ ใ ห้ มี เ สี ยงอยู ตลอด ่
พื นที จั ด EXHI BI TI ON ของสมา ธิ ว่ า ควา มหมา ยเ เ ท้ จริ ง ของสมา ธิ คื อกา รที จิ ตใ จมี ควา มพร้ อมบวกกั บร่ า งกา ย ที เ ปนปกติ พื นที ภา ยใ นจะ เ ปนพื นที รู ปสา มเ หลี ยมด้ า น บนเ ปนช่ องแสงขนา ดใ หญ่ ใ ห้ แสงสื อสา รถึ งควา มสว่ า ง เ กิ ดขึ นพร้ อมกั บควา มพร้ อมของจิ ตใ จ
พื นที ของสมา ธิ
คลา ยพื นที เ ปนสถา ปตยกรรม ORGANI ZATI ON SPACES lการคลี
พื นที ของกา รสื อสา รควา มหมา ยของปญญา ใ นทา ง พุ ทธศา สนาแต่ มี ข้ อสั งเ กตุ เ นื องด้ วยกา รรั บรู ของ ้ แต่ ละ บุ คคลไ ม่ เ ท่ า กั นตรงจุ ดนี จึ งเ ปนข้ อที ต้ อง ค้ นคว้ าว่ า บุ คคลนั นสา มา รถเ ข้ า ใ จสิ งที สื อใ นพุ ทธ สถา นใ นบริ บทใ หม่ มา กน้ อยเ พี ยงใ ด
พื นที เ ชื อมต่ อระ หว่ า งเ นื อหา ของ ศี ลและ สมา ธิ เ พื อนำ มา สร้ า งกา ร กำ หนดรู ้ กระ บวนกา รทา งควา ม คิ ด และ สร้ า งควา มเ ข้ า ใ จเ รื อง ปญญา ใ นพุ ทธศา สนา
พื นที ที เ กิ ดกา รเ น้ นองค์ ประ กอบระ หว่ า งสถา ปตยกรรม กั บธรรมชา ติ ที ใ ช้ เ ปนตั วสื อควา มหมา ยของพุ ทธสถา น ด้ วยกา รลดระ ดั บพื นที จึ งดู มี ควา มหมา ยพิ เ ศษใ นมิ ติ สร้ า งขึ นเ พื อสื อสา รใ ห้ คนเ กิ ดปญญา
พื นที ของปญญา
คลา ยพื นที เ ปนสถา ปตยกรรม ORGANI ZATI ON SPACES lการคลี
กา รใ ช้ ลั กษณะ ของBOUNDARYที คล้ า ย กั นกั บพื นที I NTRO ใ นตอนแรกเ พื อ สื อสา รใ ห้ เ กิ ดกา รรั บรู ้ เ ปนมิ ติ เ ดี ยวกั น แต่ แตกต่ า งกั นตรงประ สบกา รณ์ หลั ง จา กเ ข้ า มา ใ นพุ ทธสถา นซึ งสื อถึ งกา รมี ปญญา ใ นทา งพุ ทธศา สนา
พื นที CORRI DORทา งเ ดิ นยา วที ต้ องกา ร สร้ า งจิ นตภา พของกา รรั บรู อย่ ้ า งชั ดเ จนไ ป สู พื ่ นที ที จะ ค่ อยๆเ ปลี ยนบริ บทไ ปสู สั ่ งคม ภา ยนอกที ยั งคงใ ห้ ควา มหมา ยของกา รกำ หนดรู เ ้ ปนสำ คั ญ( กา รมี สติ )
กา รสร้ า งพื นที ธรรมชา ติ เ พื อเ ปนพื นที TRANSI TI ON ระ หว่ า ง บริ บทของพุ ทธสถา นกลั บไ ปสู บริ ่ บทของสั งคมเ มื องและ ยั ง เ ปนพื นที เ พื อกา รพั กผ่ อนกา รเ รี ยนรู ้ ทำ กา รทบทวนสา ระ ที ไ ด้ จา กกา รเ ข้ า ไ ปใ ช้ งา นพื นที พุ ทธสถา น
พื นที OUTRO