Look magazine by Ópaletor

Page 1

ร้อนจัดระวัง “โรคฮีตสโตรก” 5 อุปสรรคเรื่องเรียน กับดักของเด็กยุคน นี้


ร้อนจัดระวัง “โรคฮีตสโตรก”

โดย piyawan-on

จากสภาพอากาศของเมืองไทยที่มีอุณหภูมิสูงขึ้น ซึ่งในปีนี้ หลายคนบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า ร้อนกว่าทุกปีที่ผ่านมาดังนั้นการดูแล สุขภาพ จึงเป็นสิ่งสำ�คัญที่ไม่ควรละเลย โรคฮีตสโตรก หรือ โรคลมแดดเป็นหนึ่ง ในโรคสำ�คัญที่อาจขึ้นได้ ในช่วงอากาศร้อนจัด แบบนี้ นายแพทย์จิโรจ สินธวานนท์ รองอธิบดี กรมการแพทย์ เปิดเผยว่า จากสภาพอากาศที่มี อุณหภูมิสูงขึ้นในช่วงนี้ ทำ�ให้เกิดปัญหาสุขภาพ ตามมาโดยเฉพาะ โรคฮีตสโตรก(Heat Stroke) หรือ โรคลมแดดซึ่งเกิดจากการที่ร่างกาย อยู่ ในสิ่งแวดล้อมที่อุณหภูมิสูง และได้รับความ ร้อนมากเกินไปทำ�ให้เกิดการทำ�งานที่ผิดปกติ ของสมอง ในส่วนของการควบคุมอุณหภูมิของ ร่างกาย ทำ�ให้มีอุณหภูมิในร่างกายสูงเกิน 40 องศาเซลเซียส ซึ่งส่งผลต่อระบบไหลเวียนโลหิต และระบบสมอง สัญญาณเตือนที่สำ�คัญของ โรคฮีตสโตรก คือ

ไม่มีเหงื่อออก แม้จะอากาศร้อนหน้าแดง ตัวร้อน จัดขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกกระหายน้ำ�มาก วิงเวียน ปวด ศีรษะ คลื่นไส้ หายใจเร็ว อาเจียน เกร็งกล้ามเนื้อ ชัก มึนงง สับสน รูม่านตาขยาย ความรู้สึกตัวลด น้อยลง อาจหมดสติ หัวใจเต้นเร็วแต่แผ่วเบา ถ้า ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้องและทันเวลา อาจ ทำ�ให้หัวใจหยุดเต้นและถึงแก่ชีวิตได้ ซึ่งแตกต่าง จากอาการเพลียแดดทั่วๆไปที่จะมีเหงื่อออกด้วย สำ�หรับผู้ที่มีความเสี่ยงในการเกิด จากสภาพ อากาศของเมืองไทยที่มีอุณหภูมิสูงขึ้น ซึ่งในปีนี้ หลายคนบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า ร้อนกว่าทุกปีที่ ผ่านมาดังนั้นการดูแลสุขภาพ จึงเป็นสิ่งสำ�คัญที่ ไม่ควรละเลย LOOK | 1


สำ � หรั บ วิ ธ ี ก ารป้ อ งกั น โรคฮีต สโตรก มีด ังนี้ - หากต้องทำ�งาน ท่ามกลางสภาพอากาศที่ร้อน ก็ควรเตรียมตัวโดยการ ออกกำ�ลังกายกลาง แจ้งอย่างสม่ำ�เสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง อย่างน้อย 30 นาทีเพื่อให้ร่างกายชินกับสภาพ อากาศร้อน - ดื่มน้ำ� 1-2 แก้วก่อนออกจากบ้านในวันที่ อากาศร้อนจัด และหากต้องอยู่ท่ามกลางสภาพ อากาศร้อน หรือออกกำ�ลังกลางสภาพอากาศ ร้อน ควรดื่มน้ำ�ให้ได้ชั่วโมงละ 1 ลิตร แม้จะไม่รู้ สึกกระหายน้ำ�ก็ตาม และแม้ว่าจะทำ�งานในที่ร่ม ก็ควรดื่มน้ำ�อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว - สวมใส่เสื้อผ้าที่มีสีอ่อน ไม่หนา น้ำ�หนักเบา และสามารถระบายความร้อนได้ดี - ก่อนออกจากบ้าน ควรทาครีมกันแดดเลือกที่มี ค่า SPF 15 ขึ้นไป - หลีกเลี่ยงการกินยาแก้แพ้ แก้น้ำ�มูก โดยเฉพาะ ก่อนการออกกำ�ลังกาย หรือการอยู่ท่ามกลาง สภาพอากาศร้อนเป็นเวลานาน

- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาเสพติด ทุกชนิด ในเด็กเล็กและคนชรา ควรได้รับการดูแลเป็น พิเศษ ต้องจัดให้อยู่ในห้องที่อากาศระบายได้ดี และอย่าปล่อยให้เด็กหรือคนชราอยู่ในรถที่ปิด สนิทตามลำ�พัง อย่างไรก็ตาม รองอธิบดีกรมการแพทย์กล่าว เพิ่มเติมว่า หากพบผู้ป่วยโรคฮีตสโตรก สามารถ ช่วยเหลือเบื้องต้น โดยนำ�เข้าในที่ร่ม นอนราบ ยกเท้าสูงทั้งสองข้าง ถ้ามีอาการอาเจียนให้นอน ตะแคงก่อน เมื่ออาเจียนแล้วให้นอนหงาย คลาย เสื้อผ้าที่รัดแน่นออก ใช้ผ้าชุบน้ำ�เย็นหรือน้ำ� แข็งประคบ ตามซอกลำ�ตัว คอ รักแร้ เชิงกราน ศีรษะ เพื่อระบายความร้อน ร่วมกับการใช้ พัดลมเป่าระบายความร้อนราดน้ำ�เย็นลงบน ตัว เพื่อลดอุณหภูมิร่างกายให้ลดต่ำ�ลง ให้ดื่ม น้ำ�หรือน้ำ�เกลือแร่เพื่อทดแทนแล้วรีบนำ�ส่งโรง พยาบาลโดยเร็วที่สุด

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามกีฬา โดย ลฎาภา อมรรักษากุล ขอบคุณข้อมูลจาก สำ�นักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ(สสส.) และกรมการแพทย์ ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

ที่มา :http://www.thaihealth.or.th/data/content/28011/cms/thaihealth_c_cdfjmqrsvz47.jpg”

LOOK | 2


5

อุปสรรคเรื่องเรียนกับดักของเด็กยุคนี้

โดย gidanan ganghair

ช่วงเวลาของการปิดเทอมเป็นช่วงเวลาที่มีความ สุขของเด็กๆ ที่ได้หยุดพักและได้มีโอกาสไปท่องเที่ยวกับ ครอบครัวหรือเพื่อนๆ ในขณะที่พ่อแม่ก็วางแผนท่องเที่ยว กับครอบครัว แต่ขณะเดียวกัน ก็มีบางครอบครัวที่ช่วงเวลาปิด เทอมกลับเป็นช่วงเวลาแห่งความเคร่งเครียด โดยเฉพาะ ครอบครัวที่ลูกกำ�ลังอยู่ในช่วงรอยต่อของช่วงชั้นการศึกษา ต้องสอบเข้าโรงเรียนโน้นโรงเรียนนี้ ตามแต่ช่วงวัยนั้นๆ สิ่ง ที่ตามมาคือการส่งให้ลูกเรียนกวดวิชาอย่างระห่ำ� และการ วิ่งเต้นกันสุดฤทธิ์ เพื่อหาทางอื่นๆ เป็นแผนสองแผนสาม เผื่อลูกสอบไม่ติดด้วย เรียกว่าถ้าครอบครัวไหนอยู่ในช่วงรอยต่อนี้ ช่วง ปิดเทอมก็จะก็จะกลายเป็นความเคร่งเครียดไปในทันที ภาพอย่างนี้เห็นมาจนชินตาในทุกๆ ปี เรียกว่าตั้งแต่ตัวเอง เป็นเด็ก จนกระทั่งโตเป็นแม่คน มีลูกเป็นของตัวเอง การ ศึกษาเรื่องการสอบเข้าโรงเรียนที่มีชื่อเสียงก็ยังคงอยู่ และ ดูเหมือนการแข่งขันจะสูงขึ้นเรื่อยๆ อีกต่างหาก จากผลวิจัยการดำ�เนินชีวิตและทัศนคติเด็กไทย โดย มูลนิธิเพื่อคนไทย พบว่าเด็กไทยกว่า 90% ประสบภาวะ ความเครียด โดยเฉพาะเรื่องการเรียนที่ใช้คะแนนและการ สอบเป็นตัวชี้วัด ซึ่งไม่เพียงแค่สอบวัดผลในชั้นเรียน สอบ

ระหว่างภาค สอบเข้ามหาวิทยาลัย การสอบเข้าของเด็กชั้น อนุบาล ประถมศึกษา มัธยมศึกษาด้วย และงานวิจัยยังระบุอีกด้วยว่าทัศนคติเด็กไทยพบภาพ สะท้อนสังคม คือ ครอบครัวไทยเน้นปลูกฝังเด็กที่การเรียน มากที่สุด โดยเด็ก 99% ให้คำ�นิยามเกี่ยวกับความสำ�เร็จ คือ การได้ผลการเรียนที่ดี หน้าที่การงานที่ดี เงินเดือนที่ดี เด็กไทยยุคนี้จึงกลัวว่าจะด้อยกว่าคนอื่นตลอดเวลา ส่งผล ให้การใช้ชีวิตส่วนใหญ่จมหายไปกับตำ�ราเรียน การบ้านที่ มีอยู่มากมาย จนเด็กไม่ได้วิ่งเล่นสนุกสนานตามวัย สิ่งที่ตามมา คือ ภาวะความเครียดที่เกิดขึ้นทั้งกับ ตัวเด็กและพ่อแม่ผู้ปกครอง ทั้งก่อนการสอบ และหลังการ ประกาศผล ยิ่งเด็กคนไหนสอบตกหรือพลาด ยิ่งเสมือน ชีวิตล้มเหลว โดนต่อว่าอับอาย เด็กบางคนอาจรับไม่ได้จน กลายเป็นโศกนาฏกรรมก็มีให้เห็น วังวนเรื่องการศึกษาใน บ้านเราที่ส่งผลต่อเด็กๆ มีมากมายหลายประการ ลองมาดู ว่าปัญหาเรื่องการเรียนของเด็กในบ้านเรามีอะไรบ้าง และ เชื่อแน่ว่าอุปสรรคต่างๆ เหล่านี้ยังคงอยู่อีกยาวนาน ! LOOK | 3


เรียนสาขาที่อยากได้เงินเยอะ นี่เป็นอีกปัญหาใหญ่ที่เด็กๆ ทุกยุคทุกสมัย ถูกปลูกฝังจากพ่อแม่ผู้ปกครองให้เลือกเรียนตั้งแต่ แยกแผนการศึกษาในระดับมัธยมศึกษา เพื่อเตรียม การสำ�หรับเอ็นทรานส์เข้ามหาวิทยาลัย โดยมีเป้า หมายให้เลือกคณะที่มีโอกาสสร้างรายได้จำ�นวน มาก เรียกว่าเลือกเพราะเงินมากกว่าเลือกเพราะตัว เองถนัดหรือชอบ สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าจะได้เงินดีเหมือนที่ ตั้งเป้าไว้หรือเปล่า เพราะส่วนใหญ่มักคิดคล้ายๆ กัน เหมือนที่เคยเกิดขึ้นบ่อยๆ เป็นกระแส เช่น แห่กันเข้า คณะใดคณะหนึ่งจำ�นวนมาก และสุดท้ายก็ต้องไป แย่งงานกันจำ�นวนมากเมื่อจบไปแล้วอยู่ดี

1.

4.

เรียนตามเพื่อนหรือตามกระแส มีเด็กจำ�นวนมากเด็กที่ไม่รู้ว่าตัวเองชอบไม่ชอบอะไร ไม่รู้เป้าหมายในชีวิต ฉะนั้นช่วงที่ต้องมีการเลือกแผนการศึกษา เด็กเหล่านี้จึงเลือกเรียนตามเพื่อน ตามกระแสสังคม ตามคำ� บอกของครู ตามคำ�ปลูกฝังของพ่อแม่ เช่น เรียนให้เก่งจะได้ไป เป็นหมอ วิศวะ หรือไม่ก็ถูกปลูกฝังให้เลือกเรียนแผนวิทย์ - คณิต ไว้ก่อนด้วยเหตุผล เพราะมีทางเลือกเยอะ ทั้งที่เด็กอาจไม่ชอบ สุดท้ายเขาก็ไม่ได้เรียนในสิ่งที่ถนัดหรือที่ชอบ เมื่อเรียนจบออก มา เด็กจำ�พวกนี้มักจะเปลี่ยนสาย

2.

เรียนกวดวิชาอย่างหนัก

พ่อแม่ทุกคนมักคาดหวังให้ลูก เรียนสูงๆ สอบติดมหาวิทยาลัยดังๆ โดย เห็นว่าความรู้ที่ลูกได้จากรั้วโรงเรียนไม่ เพียงพอ ระบบการศึกษาโรงเรียนไม่ได้ให้ ความมั่นใจกับพ่อแม่และผู้คนในสังคม เมื่อพ่อแม่แทบทุกคนอยากให้ลูกเข้า มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง ย่อมอยากให้ลูก เรียนชั้นมัธยมศึกษาที่มีชื่อเสียงก่อน บาง คนเริ่มตั้งแต่ระดับประถมศึกษาหรือระดับ อนุบาล จึงมีพ่อแม่จำ�นวนมากส่งให้ลูก เรียนพิเศษกับโรงเรียนกวดวิชาดังๆ แม้ จะแพงแสนแพงแต่ก็ยอมหาเงินมาให้ลูก เรียนพิเศษให้ได้ เพราะหวังว่าจะทำ�ให้ลูก เรียนดี เรียกว่าระห่ำ�เรียนกวดวิชาตั้งแต่ เล็กจนโต เรียนทั้งวันธรรมดาและวันหยุด หรือแม้กระทั่งช่วงปิดเทอม เด็กๆ ก็เรียนรู้ ว่าต้องเรียน และต้องเรียน

LOOK | 4


4.

อุปสรรคต่างๆ ในระบบเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่ ทำ�ให้เด็กๆ ขาดทักษะชีวิตในการเรียนรู้จักตัวเอง ไม่ สามารถค้นหาความถนัดและความสามารถของตัว เองว่าทำ�สิ่งใดได้ดี และสิ่งที่เราไม่เคยตระหนักและ ให้ความสำ�คัญ ก็คือ การปลูกฝังให้เด็กเรียนอย่างมี ความสุข ที่มา : เว็บไซต์ผู้จัดการ ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

เรียนในชั้นปกติไม่เข้าใจ ปัญหานี้มีมาโดยตลอด ไม่ว่าจะด้วย เหตุผลใด ระหว่างเด็กไม่ตั้งใจเรียน หรือครู ไม่มีเทคนิคการเรียนการสอนที่ดี ก็เป็นเรื่อง ที่วิพากษ์วิจารณ์มายาวนาน และก็ไม่เคยได้ รับการแก้ไขอย่างจริงจังและถูกวิธี สุดท้าย เมื่อเด็กเรียนในชั้นไม่เข้าใจ ก็ต้องไปกวด วิชาอยู่ดี อีกประเด็นปัญหาหนึ่งก็คือ ปัญหา เรื่องบุคลากรทางการศึกษาในบ้านเรายัง ขาดแคลนคุณภาพอยู่มาก มีภาพสะท้อน จากเด็กว่าทำ�ไมครูสอนในห้องเรียนไม่รู้เรื่อง แต่กลับสอนพิเศษรู้เรื่อง ทำ�ไมครูไม่หาวิธี การสอนที่สนุก ทำ�ไมเวลาสอนต้องอ่านตาม หนังสือ ฯลฯ สรุปก็คือไม่สามารถทำ�ให้เด็กมี ความสุขกับการเรียน

เรียนเพื่อสอบไม่ใช่เพื่อรู้ การเรียนการสอนในบ้านเรายังเป็น รูปแบบเรียนเพื่อสอบมากกว่าเรียนเพื่อความ รู้ เชื่อหรือไม่เด็กไทยเรียนหนักมากที่สุดใน โลก แต่ไม่สามารถนำ�ความรู้ไปใช้ในชีวิต จริงได้ ทั้งนี้ เนื่องจากระบบการศึกษาไม่ได้ ตอบสนองต่อการนำ�ความรู้ที่ได้ไปตอบโจทย์ การทำ�งานจริงในอนาคต แต่กลับเน้นการ วัดผลคะแนนและการสอบเป็นหลัก จนมี เสียงสะท้อนเกี่ยวกับการศึกษาจากผู้บริหาร ชั้นนำ�ของไทยที่รับเด็กเข้าทำ�งาน พบว่าเด็ก ไม่มีความรู้ ไม่มีความสามารถในแก้ปัญหา เฉพาะหน้าได้ นั่นเป็นเพราะสิ่งเหล่านี้ไม่มี สอนในตำ�ราเรียนนั่นเอง

5.

LOOK | 5


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.