คู่มือ อุบาสก อุบาสิกา สวดมนต์แปล ภาค ๒

Page 1


คําอวยพร * * *

ดวยอานุภาพแหงพระพุทธมนตนี้ อํานวยพรใหทานมีความสุขดวย การรักเพื่อนมนุษยอยางไมมีที่สิ้นสุด ไมมีประมาณ ขอความปรารถนาที่ทาน ตั้งใจไวแลว จงพลันสําเร็จทุกประการเทอญ คุณประชัย – คุณอรพิน เลี่ยวไพรัตน


คําอวยพร * * * ดวยอานุภาพแหงพระพุทธมนตนี้ อํานวยพรใหทานมี ความสุข ดวยการรักเพื่อนมนุษยอยางไมมีที่สิ้นสุด ไมมี ประมาณ ขอความปรารถนาที่ทานตั้งใจไวแลว จงพลัน สําเร็จทุกประการเทอญ ดร.ประศาสน - คุณเฉิดโฉม จันทราทิพย


รายชื่อเจาภาพหนังสือสวดมนต ๑. ๒. ๓. ๔. ๕. ๖. ๗. ๘. ๙. ๑๐. ๑๑. ๑๒. ๑๓. ๑๔. ๑๕. ๑๖. ๑๗. ๑๘. ๑๙. ๒๐. ๒๑. ๒๒. ๒๓. ๒๔. ๒๕. ๒๖. ๒๗.

คุณนิภา เปลงศรีงาม คุณสุณิธิ เปลงศรีงาม คุณนิมิตร-คุณนุชนารถ เปลงศรีงาม คุณปรัชญ เปลงศรีงาม คุณเบญญา เปลงศรีงาม คุณกานดิท เปลงศรีงาม คุณนฤมล เปลงศรีงาม คุณปรัชญา-คุณพิมลพรรณ จันทราทิพย คุณกฤษฏิ์ จันทราทิพย คุณกันต จันทราทิพย คุณพิเศษ เปลงศรีงาม คุณจุฑามาศ คูตระกูล และครอบครัว คุณอมรศรี บุญศรี คุณสุดจิต คงสินทรัพย คุณสมพงษ คงสินทรัพย คุณอุไรวรรณ คงสินทรัพย คุณกันต พินธุโสภณ คุณแมสงา สาริโส คุณพอสุเทพ องควงศสกุล เด็กหญิงหนึ่งหนึ่ง ฟลอเรนทีน คุณสมัชญา มะโนมัย และครอบครัว คุณวิจิตรา-คุณวสันต ธรรมกุล และครอบครัว คุณสุวัฒนา โภคสวัสดิ์ คุณอาทิชา-คุณปยะมาศ เปาอินทร เด็กชายถิรวิทย เปาอินทร เด็กหญิงอุชุภา เปาอินทร คุณเอกทัย-คุณณัฐวรรณ ชันซื่อ

๒๘. ๒๙. ๓๐. ๓๑. ๓๒. ๓๓. ๓๔. ๓๕. ๓๖. ๓๗. ๓๘. ๓๙. ๔๐. ๔๑. ๔๒. ๔๓. ๔๔. ๔๕. ๔๖. ๔๗. ๔๘. ๔๙. ๕๐. ๕๑. ๕๒.

๕๓.

เด็กหญิงอรณิชา ชันซื่อ เด็กชายนรภัทร ชันซื่อ คุณโชคชัย พณิชยอํานวย คุณสุภาภรณ ขันธสุวรรณ และครอบครัว คุณจุฑามาศ เที่ยงธรรม คุณจุฑารัตน สมพันธ คุณเพลินจิต นิจกรรม คุณสุดารัตน คําปวน คุณบุญชวย ขําเหม คุณประศาสน-คุณเฉิดโฉม จันทราทิพย คุณกันตกนิษฐ ศรีเจริญสุข คุณอารีย วงศรักษ คุณชลารัก ขอสกุล และครอบครัว คุณฐกร อุชุพงศอมร คุณยายพิน วงศรักษ คุณชัยวัฒน เกตุปรีชาสวัสดิ์ และครอบครัว คุณกนกพร ปุระณะพัฒน คุณวิฑูร เจียมจิตตตรง และครอบครัว คุณมาลัย ชมภูกา และครอบครัว คุณพรทิพย กาญจนานนท และครอบครัว คุณกฤตกร กัลยารัตน คุณกชกร สินชัยพานิช และครอบครัว คุณแมสมใจ มุงรักชน คุณแมสมจิตต-คุณณัฐพงศ จันทราทิพย คุณอภิศกั ดิ-์ คุณธนปติ สายบัว และครอบครัว คุณพอกิตติสนิ -คุณแมธนั ยา นิมมานเกียรติกลุ

๕๔. คุณพอสายศักดิ์-คุณแมอุษา อังควะนิช


๕๕. ๕๖. ๕๗. ๕๘. ๕๙. ๖๐. ๖๑. ๖๒. ๖๓. ๖๔. ๖๕. ๖๖. ๖๗. ๖๘. ๖๙. ๗๐. ๗๑. ๗๒. ๗๓. ๗๔. ๗๕. ๗๖. ๗๗. ๗๘. ๗๙. ๘๐. ๘๑. ๘๒. ๘๓. ๘๔. ๘๕. ๘๖.

คุณเกษมสุข-คุณอริญญา นิมมานเกียรติกุล บริษัทสองหนึ่งดีไซนแอนดบิลท จํากัด คุณนีออน นิมมานเกียรติกุล เด็กชายพริษฐ นิมมานเกียรติกุล คุณอรวรรณ ไมงาม คุณประชัย-คุณมนัสนันท เศรษฐาปยานนท คุณวสุวัฒน-คุณพัณณชิตา สุขขี เด็กหญิงพิมนภัทร สุขขี เด็กหญิงนันทนภัส สุขขี คุณสิทธิโชค-คุณพรศรี เชฐบัณฑิตย คุณไพฑูรย-คุณเจียรนัย สมัครการ คุณลภัสรดา เลิศศุภมาส คุณพูลศรี สุภาวรรณ คุณธิดารัตน ตีทอง คุณสมพร ตีทอง คุณมณี ตีทอง คุณเนย ชุณหสุวรรณกุล คุณเรวัต ชุณหสุวรรณกุล ครอบครัวสติมานนท บานโยคะครูโหนงและลูกศิษย คุณวรรณา สินธุชัย คุณอัจฉรีย ยิ่งกมล คุณภิญญลักษณ อัครพิริยวณิช คุณชาติชาย อุปพงศ คุณลักษณศรี อุปพงศ คุณติกยุก แซยับ คุณภัทรียา เบญจพลชัย คุณสุธีชัย สันติวราคม คุณนุชนาฎ สันติวราคม คุณอนุสิทธิ์ สันติวราคม คุณพิตนิตสันติ์ สันติวราคม คุณสมเจตน อุปพงศ

๘๗. ๘๘. ๘๙. ๙๐. ๙๑. ๙๒. ๙๓. ๙๔. ๙๕. ๙๖. ๙๗. ๙๘. ๙๙. ๑๐๐. ๑๐๑. ๑๐๒. ๑๐๓. ๑๐๔. ๑๐๕. ๑๐๖. ๑๐๗. ๑๐๘. ๑๐๙. ๑๑๐. ๑๑๑. ๑๑๒. ๑๑๓. ๑๑๔. ๑๑๕. ๑๑๖. ๑๑๗. ๑๑๘.

คุณโกเมศ อุปพงศ คุณวรพัฒน อุปพงศ คุณพนารัตน อุปพงศ เด็กชายคชาพล อุปพงศ คุณคุณาวุฒิ อุปพงศ คุณวไลพร นอยอินทรศรี เด็กชายใจเพชร จิตรแสวง คุณสุริยะ จิตรแสวง คุณประเทือง จิตรแสวง คุณธาริณี เศรษฐพานิช คุณภนิดา เศรษฐพานิช คุณวีรศักดิ์ ธิอัมพร คุณชนิสา ชุติภัทร คุณสุดารัตน ตั้งสุนทรกิจ คุณพัชรา ธณัติไตร คุณลดาวัลย กันทวงศ คุณทวิดา พลสิทธิ์ คุณจีระภา กอนใส คุณพงษพันธ พูลเพิ่ม คุณอลิศรา ฮัววานิช คุณสุปราณี ทรงพานิช คุณอุไรพร ยศทะเสน คุณสุธิดา จันทรัตน คุณฟูรอ แสงไพจิตต คุณภิญโย ทวีการ คุณภานุพงษ ประจวบเหมาะ คุณเนาวรัตน อาชีวะภิญโญ คุณพรทิพย มูลศาสตร คุณพัชนี เจนวัฒนานนท คุณวรนุช วิจิตรภิญโญ คุณไพรัช ลิ้มเดชาพันธ คุณฐิตินันท มั่งคั่ง


๑๑๙. ๑๒๐. ๑๒๑. ๑๒๒. ๑๒๓. ๑๒๔. ๑๒๕. ๑๒๖. ๑๒๗. ๑๒๘. ๑๒๙. ๑๓๐. ๑๓๑. ๑๓๒.

คุณสุรเดช แกวศรีนวม คุณบุษยา ธนากรรฐ คุณจีราวรรณ เสถียรวงศ คุณดิลก ญาณะพันธ คุณวิโรจน คุณาอนุวิทย คุณวรรณี หงสอิง คุณวิไล เชิดรําไพ คุณพรรณี เชิดรําไพ คุณกุลปราณี เชิดรําไพ คุณปริศนา ชีพัฒน และครอบครัว คุณวรกมล สารโชค คุณเสาวนีย-คุณมานิต มัสยวาณิช เด็กหญิงณัฐนันท โยธา คุณธัญชนิต ปรางบาง

๑๓๓. ๑๓๔. ๑๓๕. ๑๓๖. ๑๓๗. ๑๓๘. ๑๓๙. ๑๔๐. ๑๔๑. ๑๔๒. ๑๔๓. ๑๔๔. ๑๔๕. ๑๔๖.

คุณชุมพล อนุโยธา คุณสุมนา วงษสุวรรณ แมชีพรลภัทร นรารัตนวันชัย คุณปรัศนีย บูรณะโสภณ และครอบครัว คุณสมร สัตตวงศ คุณอรนุช สวนศิลปพงศ คุณรังสรรค แซโคว คุณฐิติรัตน ริมผดี คุณฐิตินันท บัณดิต คุณวินัย ทองคลาย คุณจําลอง พูลสิน คุณบุญสม เมืองนก คุณอัจฉรา จําเนียร ครอบครัวอุนละมาย


รายชือ่ ผูส มทบทุนบริจาคทําหนังสือสวดมนต ***** ๑. คุณแมวรรณา ใจเย็น และครอบครัว อุทิศใหเจากรรมนายเวรและอุทิศให เรืออากาศตรี ทิชพล ใจเย็น ๒๕ เลม ๒. เรืออากาศตรีหญิง วิรดา สุดใจ และนายพีรพล ใจเย็น อุทิศใหเจากรรม นายเวรและอุทิศให เรืออากาศตรี ทิชพล ใจเย็น ๒๕ เลม ๓. คุณแมสวาสดิ์ และเรืออากาศโท ไพรัช สุดใจ ด.ญ.พัชราภรณ สุดใจ และเด็กชาย ฉัตรชัย สุดใจ ๒๕ เลม ๔. พลอากาศตรี ปติ และนาวาอากาศโท หญิง สมบัติ ลักษิตานนท ๒๕ เลม ๕. คุณวิโรจน และนาวาอากาศตรี หญิง สุดา วรรณศิวพร และครอบครัว ๕๐ เลม ๖. นาวาอากาศตรี หญิง จันทรณา ศุภนคร และครอบครัว อุทศิ ใหเจากรรม นายเวรและนายประเสริฐ-นายประสิทธิ์ ใจไหมคราม ๕๐ เลม ๗. นาวาอากาศตรี หญิง รุงนภา คําภา และครอบครัว อุทิศให คุณยายสําราญ กรี มั่นคง ๒๐ เลม ๘. นาวาอากาศตรี หญิง มัลสิกา ชมบุญ และครอบครัว และบรรพบุรุษผู ลวงลับไปแลว ๒๕ เลม ๙. เรืออากาศเอก หญิง ทัศดาว จันทรธานี อุทิศใหแก น.ส. นิศารัตน คุณเรือง ๕ เลม ๑๐. นายยุทธพร-นางชญาภา จันทรธานี ๕ เลม ๑๑. น.ส. จานินท จันทรธานี ๕ เลม ๑๒. นายศราวุธ และนายสถิตพงษ จันทรธานี ๕ เลม ๑๓. เรืออากาศเอก หญิง ณัฐกฤตา บํารุงกิจ ๑๐ เลม ๑๔. ดาบตํารวจศตรี สมชาย และ นางพรชนก บํารุงกิจ ๑๐ เลม ๑๕. นาย สกล บํารุงกิจ ๑๐ เลม


๑๖. นาย สมฤกษ บํารุงกิจ ๑๐ เลม ๑๗. เรืออากาศโท หญิง อภิญญา เกียรตินิยมดี และครอบครัว ๒๕ เลม ๑๘. จาอากาศเอก จักรวาล เนื่องสุข และรอยตํารวจตรี หญิง ประกายมาศ เนตรจันทร ๑๐ เลม ๑๙. คุณศิริพร มากศิริ อุทิศใหเจากรรมนายเวร และอุทิศใหแม สมคิด มากศิริ ๕ เลม ๒๐. คุณ นันทนา บัวศรี อุ ทิศใหเจากรรมนายเวร และปู วรรณ-ยายเขื่อน บัวศรี ๕ เลม ๒๑. คุณภาณุเดช ประทุมมา และครอบครัว อุทิศใหเจากรรมนายเวร และ อุทิศให พอชม ประทุมมา ๒๕ เลม ๒๒. คุณสุภัทรา คําบันเทิง และครอบครัว ๒๐ เลม


คําปรารภ *****

การจัดพิมพหนังสือคูมือพุทธบริษัทสวดมนตแปลพระสูตรที่สําคัญจากพระไตรปฎกบท พิเศษตาง ๆ ในหนังสือเลมนี้ เกิดจากการสาธยายพระไตรปฎกของพุทธบริษัท ณ อุโบสถวัด ปญญานันทาราม ทําใหพบวามีพระสูตรที่สําคัญ ๆ อีกมากที่ควรแกการนํามาสวด หรือสาธยาย จนจําไดขึ้นใจ แลวนําไปปฏิบัติ จนเกิดผล คือ บรรลุธรรมหรือความหลุดพนดังที่พระพุทธเจา ตรัสไวในวิมุตตายตนสูตรวา การบรรลุธรรมมีได ๕ ประการ ๑. การฟงธรรม ๒. การแสดงธรรม ๓. การสาธยายธรรม ๔. พิ จ ารณาธรรม ๕. การภาวนาหรือเจริญกรรมฐาน การสวดหรือการสาธยายพระสูตรตาง ๆ ในเลมนี้ เทากับวาไดศึกษาธรรม ไดปฏิบัติ ธรรม และไดพบปฏิเวธธรรม คือบรรลุธรรม สมที่ไดเกิดมาเปนมนุษยและพบพระพุทธศาสนา ทําใหตนไดพบสันติสุขและสังคมจะไดมีสันติภาพ หนังสือสวดมนตแปลพระสูตรที่สําคัญจากพระไตรปฎก เลม ๒ อยูในมือของทานนี้ ตอง ขอขอบคุณ พระมหาจรวย อุชุจาโร รวบรวมจัดทําตนฉบับ อาจารยคํานวน ชานันนโท เอื้อเฟอ ภาพ พระมหาเฉลิม ปยทสฺสี พิสูจนอักษร พระมหาสุริยันต ธมฺมทสฺสี และ อาจารย ลัดดาวัลย แกวสวาง นําชาวพุทธสาธยายพระไตรปฎก คุณดวงทรรศ หาญสุภานุสรณ จัดทําอารตเวิรค คุณพิมลพรรณ คุณปรัชญา จันทราทิพย ผูที่ดําเนินการรวมรับผิดชอบการพิมพ พระครูสังฆ กิ จ พิ ม ล คุ ณ เมตตา อิ ส ราภรณ ร ว มเป น ธุ ร ะสร า งสรรค ง าน และทุ ก ท า นที่ ไ ด ส วดหรื อ สาธยายทุกโอกาสถือวาไดรวมกันสืบอายุพระพุทธศาสนา โสตฺถิ เต โหตุ สพฺพทา ขอความสวัสดี จงมีแกทานทุกเมื่อเทอญ (พระปญญานันทมุนี) เจาอาวาสวัดปญญานันทาราม


คําแนะนํา ******

ทั้งฆราวาสและบรรพชิต ผูที่สนใจปฏิบัติตน เพื่อความพนทุกขโดยตนเอง ควร จะไดพากเพียร เรียนคําแปลของบทสวดมนตในหนังสือเลมนี้ใหขึ้นใจ จะชวยใหทาน สามารถระลึกเอาพระคุณของพระรัตนตรัย มาเปนขวัญและกําลังใจ เพื่อใชในการดับ ทุกขทางใจ อันเปนเหตุใหหลุดพน (วิ มุตตายตนะ) โดยทางใดทางหนึ่ง ในบรรดา ๕ ประการ คือ ฟงธรรม ๑ แสดงธรรม ๑ สังวัธยายธรรม ๑ ตรึกตรองเพงธรรม ๑ เจริญธรรมกรรมฐาน ๑ เห็นอรรถเห็นธรรม เกิดปติปราโมทย มีกายสงบ เสวยสุข มี จิตตั้งมั่น ในบทแหงธรรม คําบูชาพระรัตนตรัย นิยมใชเปนบทนําแหงปคคัณหวจนปูชา ติดตามมาดวยบท ปุพพภาคนมการ อันเปนการนอบนอมพระผูมีพระภาคเจา คําขอ ขมาพระรั ต นตรั ย เป น การแสดงนิ ว าตธรรมต อ พระรั ต นตรั ย ให ง ดโทษล ว งเกิ น เล็กนอย เพื่อเจริญอัปปมาทธรรม ไมใชการลางบาป ในบท อานาปานสติปาฐะ เปน การเจริญสติใหมากทุกลมหายใจ เขา-ออกที่กาย เวทนา จิต ธรรม ตามปรากฏที่เปน จริง เปนการเจริญสติปฎฐานที่ยิ่งใหญและลัดสั้น งายที่สุดเพราะไมตองอาศัยบัญญัติ ใด ๆ ในบทแหง อิทัปปจจยตาปฏิจจสมุปปาทปาฐะ แสดงถึงกฎอันยิ่งใหญของพระ ธรรมที่เปนผูสราง ผูรักษา ผูทําลาย ตามหลักที่วา เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ ในบท ธัมมนิยามสุตตปาฐะ แสดงถึงความเปนกฎตายตัวของพระธรรมวา สังขารทั้งหลายทั้งปวง ไมเที่ยง เปนทุกข ธรรมทั้งหลายทั้งปวง เปนอนัตตา พระ ตถาคตเปนผูรูพรอมเฉพาะ ยอมบอก แสดง บัญญัติ เปดเผย จําแนกแจกแจงใหงาย ดุ จ การหงายของที่ ค ว่ํ า ในบท โยคฐานาริ ย สั จ จธั ม มปาฐะ แสดงอริ ย สั จ ๔ อั น ประกอบอยูในฐานะอันตายตัววา ความทุกข เหตุใหเกิดทุกข ความดับไมเหลือแหง ทุกข ขอปฏิบัติอันทําใหลุถึงความดับไมเหลือแหงทุกข เปนธรรมชาติที่มีความเปน อยางนั้น (ตถตา) เปนธรรมชาติที่ไมผิดไปจากความเปนอยางนั้น (อวิตถตา) และเปน ธรรมชาติไมเปนไปโดยประการอื่น (อนัญญถตา) ในบท ธัมมปหังสนปาฐะ ชวยให เกิดความแกลวกลา ราเริงในการประพฤติธรรม กระทําความเพียรถึงพรอมดวยความ ไมประมาท ในบท มหาพุทธโถมนาการปาฐะ หรือพระพุทธคุณรอยบท จะชวยใหทาน มีกําลังใจ นอมระลึกเอาพระพุทธคุณบรรดามี มาปรับปรุงตัวเองไปตามทุก ๆ ขอ ในบท ขุททกปาฐมังคลสุตตะ ชวยใหทานรูจักมงคลแท อันเปนมงคลธรรม ที่ เกิดจากการกระทําของตน อันเปนเหตุจักนํามาซึ่งความสุข ความเจริญกาวหนาแล ประโยชนโสตถิผล ในบท กสิสุตตปาฐะ ชวยใหทานไดรูจักหวานปลูกพระธรรมบน


เนื้อนาแหงพุทธเกษตร เปนเหตุใหไดเก็บเกี่ยวมรรค ผล นิพพาน อันเกษมจากโยคะ ในบท อภิณหปจจเวกขณปาฐะ ชวยใหทานไดพิจารณาเนือง ๆ จักไมประมาทในวัย และชีวิต รีบสั่งสมอบรมกรรมดี ในบท สีลุทเทสปาฐะ ชวยใหทานไดเปนผูมีกาย วาจา ที่ปกติ เห็นโทษภัยใหญนอย คอยสํารวมศึกษา สมาทานสิกขาบทในพระปาติโมกข ถึง พรอมดวยอาจาระคือมารยาทและโคจรที่เที่ยวไปอันงาม ในบท ตายนคาถา ชวยให ทานไดตั้งใจตัดกระแสแหงตัณหา ถอดถอนกามา ตั้งหนาบากบั่นประพฤติพรหมจรรย เพื่อคุณอันยิ่งใหญมีผลมาก ในบท สังวราสังวรคาถา ชวยทานพนจากการรังควาน ของมารเสียได เปนพระปดทวารที่แท ในบท พุทธอุทานคาถา ชวยทานคลายความ สงสัยในธรรม ในบท อุปฑฒสุตตปาฐะ ชวยใหทานไดอาศัยพระพุทธเจาเปนยอด กัลยาณมิตร ที่ทําใหพนทุกข ในบท เทวทูตสุตตปาฐะ ชวยใหทานไดอาศัยเทวทูต เปน ผูสื่อแสงสวาง นําสารอันประเสริฐมาแจงเตือนทานมิใหประมาท รีบยกตนใหพนจาก ทุกข ในบท กรณียเมตตสุตตปาฐะ ชวยใหทานเปนผูอยูในพรหมวิหารในศาสนานี้ อยางแทจริง ในบท โมรปริตตัง เปนมนตยูงทองคุมครองกาย ใหทานรุงเรืองสวางดวย ประทีปแหงธรรม ในบท ขันธปริตตัง เปนมนตแผเมตตาจิตในพญางู นาค สัตวทวิบท จตุบาท และสัตวเลื้อยคลานทั้งหลาย ปองกันอันตรายใหปลาสนาการหายไป ในบท ธารณปริตตปาฐะ ชวยปกปกและรักษาภัยนานา ในบท โพชฌังคปริตตัง ชวยใหทาน ไดพิจารณาองคธรรมเครื่องตรัสรู ๗ ประการ ทัดทานรักษาโรคาพยาธิ ในบท อนุโมทนารัมภคาถา สามัญญานุโมทนาคาถา มงคลจักรวาล เปนบทให พรอนุโมทนาทั่วไป ในบท กาลทานสุตตคาถา เปนบทใหพรตามอภิลักขิตกาล เชน กฐินทาน ในบท ติโรกุฑฑกัณฑปจฉิมภาค ใชเปนบทอนุโมทนาในงานอวมงคล อุทิศ ทักษิณานุประทานแดผูลวงลับ ในบท อัคคัปปสาทสูตตคาถา โภชนทานานุโมทนา คาถา ใชเปนบทอนุโมทนาอันเลิศแหงทานมัย ในบท เทวตาทิสสทักขิณานุโมทนา คาถา เทวตาภิสัมมันตนคาถา ใชอุทิศบุญบูชาแกเทวดา สงเคราะหรักษาแกกันและกัน ในบท อาทิยสุตตคาถา ใหทานไดรูจักทําพลีกรรม ทําทรัพยใหเปนประโยชน ในบท พาหุงมหากา ใชเปนบทชัยมงคลคาถา ในการพิชิตชัยอยางพระพุทธเจา ในบท บารมี ๓๐ ทัศ คาถาหวานทราย คาถาโพธิบาท คาถามงคลจักรวาลแปดทิศ คําแผสวนบุญ แผเมตตา เปนบทชวยเตือนสติกันภัย รักษาตน คน งาน แผบุญกุศล อยูสุขสําราญเปนนิจ ฯ


สารบัญ

****** คําปรารภ คําแนะนํา

ภาค ๑ :- พระสูตร

๑. คําบูชาพระรัตนตรัย ๒. คําบูชาพระรัตนตรัย(แบบยอ) ๓. ปุพพภาคนมการ ๔. คําขอขมาพระรัตนตรัย ๕. อานาปานสติปาฐะ ๖. อิทัปปจจยตาปฏิจจสมุปปาทปาฐะ ๗. ธัมมนิยามสุตตปาฐะ ๘. โยคฐานาริยสัจจธัมมปาฐะ ๙. ธัมมปหังสนปาฐะ ๑๐. มหาพุทธโถมนาการปาฐะ

หนา

๑ ๒ ๓ ๓ ๔ ๗ ๑๑ ๑๓ ๑๕ ๑๗

ภาค ๒ :- พระสูตร พระคาถา พระปริตร ๑. ขุททกปาฐมังคลสุตตปาฐะ ๒. กสิสุตตปาฐะ ๓. อภิณหปจจเวกขณปาฐะ ๔. สีลุทเทสปาฐะ ๕. ตายนคาถา ๖. สังวราสังวรคาถา ๗. พุทธอุทานคาถา ๘. อุปฑฒสุตตปาฐะ ๙. เทวทูตสุตตปาฐะ ๑๐. กรณียเมตตสุตตปาฐะ

๒๓ ๒๖ ๒๗ ๒๘ ๒๙ ๓๐ ๓๑ ๓๒ ๓๕ ๓๖


๑๑. ๑๒. ๑๓. ๑๔.

โมรปริตตัง ขันธปริตตัง ธารณปริตตัง โพชฌังคปริตตัง

๓๘ ๓๙ ๔๑ ๔๕

ภาค ๓ :- อนุโมทนาทานคาถา

๑. อนุโมทนารัมภคาถาแปล ๒. สามัญญานุโมทนาคาถาแปล ๓. มงคลจักรวาลนอยแปล ๔. กาลทานสุตตคาถาแปล ๕. ติโรกุฑฑกัณฑปจฉิมภาคแปล ๖. อัคคัปปสาทสุตตคาถาแปล ๗. โภชนทานานุโมทนาคาถาแปล ๘. เทวตาทิสสทักขิณานุโมทนาคาถาแปล ๙. เทวตาภิสัมมันตนคาถาแปล ๑๐. อาทิยสุตตคาถาแปล ๑๑. วิหารทานคาถาแปล

๔๗ ๔๗ ๔๘ ๔๙ ๔๙ ๕๐ ๕๑ ๕๑ ๕๒ ๕๓ ๕๓

ภาค ๔ :- ปกิณณกะ ๑. อัฏฐพุทธชัยมังคลคาถา ๒. บารมี ๓๐ ทัศ (พระบูรพาจารยประกอบขึน้ เปนบทเกา) ๓. คาถาหวานทราย ๔. คาถาโพธิบาท ๕. คาถามงคลจักรวาลแปดทิศ ๖. คําแผสวนบุญ ๗. คําแผเมตตาใหตนเอง ๘. คําแผเมตตาใหผูอื่น ที่มาของคําบาลี

*****

๕๕ ๕๙ ๖๐ ๖๑ ๖๑ ๖๒ ๖๓ ๖๓ ๖๕


ภาค ๑ ๑. คําบูชาพระรัตนตรัย ****** โย โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ, พระผูมพี ระภาคเจานัน้ พระองคใด, เปนพระอรหันต, ดับเพลิงกิเลส เพลิงทุกขสนิ้ เชิง, ตรัสรูชอบไดโดยพระองคเอง; ส๎วากขาโต เยนะ ภะคะวะตา ธัมโม, พระธรรม เปนธรรมอันพระผูมพี ระภาคเจา พระองคใด, ตรัสไวดีแลว; สุปะฏิปนโน ยัสสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, พระสงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจา พระองคใด, ปฏิบตั ิดีแลว; ตัมมะยัง ภะคะวันตัง สะธัมมัง สะสังฆัง, อิเมหิ สักกาเรหิ ยะถาระหัง อาโรปเตหิ อะภิปูชะยามะ, ขาพเจาทั้งหลาย, ขอบูชาอยางยิ่ง ซึ่งพระผูมพี ระภาคเจา พระองคนั้น, พรอมทั้งพระธรรมและพระสงฆ, ดวยเครื่องสักการะทั้งหลาย เหลานี้, อันยกขึ้นตามสมควรแลว อยางไร; สาธุ โน ภันเต ภะคะวา สุจิระปะรินิพพุโตป, ขาแตพระองคผูเจริญ, พระผูมพี ระภาคเจา, แมปรินพิ พานนานแลว, ทรงสรางพระคุณอันสําเร็จประโยชนไว แกขาพเจาทั้งหลาย; ปจฉิมา ชะนะตานุกัมปะมานะสา, ทรงมีพระหฤทัยอนุเคราะหแกพวกขาพเจา อันเปนชนรุนหลัง; อิเม สักกาเร ทุคคะตะปณณาการะภูเต ปะฏิคคัณหาตุ, ขอพระผูมพี ระภาคเจา, จงรับเครื่องสักการะ อันเปนบรรณาการของคน ยากทั้งหลายเหลานี;้ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ. เพื่อประโยชนและความสุขแกขาพเจาทั้งหลาย ตลอดกาลนานเทอญ.


๒ อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา, พระผูมพี ระภาคเจา, เปนพระอรหันต, ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกขสิ้นเชิง, ตรัสรูชอบไดโดยพระองคเอง; พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ. ขาพเจาอภิวาทพระผูมีพระภาคเจา, ผูรู ผูตื่น ผูเบิกบาน. (กราบ) ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, พระธรรม เปนธรรมที่พระผูมีพระภาคเจา, ตรัสไวดีแลว; ธัมมัง นะมัสสามิ. ขาพเจานมัสการพระธรรม. (กราบ) สุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, พระสงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจา, ปฏิบัตดิ ีแลว; สังฆัง นะมามิ. ขาพเจานอบนอมพระสงฆ. (กราบ)

๒. คําบูชาพระรัตนตรัย (แบบยอ) ****** อิมินา สักกาเรนะ พุทธัง อะภิปูชะยามิ. ขาพเจาขอบูชาอยางยิ่ง ซึ่งพระพุทธเจา, ดวยเครื่องสักการะนี.้ (กราบ) อิมินา สักกาเรนะ ธัมมัง อะภิปูชะยามิ. ขาพเจาขอบูชาอยางยิ่ง ซึ่งพระธรรม, ดวยเครื่องสักการะนี.้ (กราบ) อิมินา สักกาเรนะ สังฆัง อะภิปูชะยามิ. ขาพเจาขอบูชาอยางยิ่ง ซึ่งพระสงฆ, ดวยเครื่องสักการะนี.้ (กราบ)


๓ ๓. ปุพพภาคนมการ (หันทะ มะยัง พุทธัสสะ ภะคะวะโต ปุพพะภาคะนะมะการัง กะโรมะ เส.) ****** นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต, อะระหะโต, สัมมาสัมพุทธัสสะ.

ขอนอบนอมแดพระผูมพี ระภาคเจา พระองคนั้น; ซึ่งเปนผูไ กลจากกิเลส; ตรัสรูชอบไดโดยพระองคเอง. (๓ ครั้ง)

๔. คําขอขมาพระรัตนตรัย ****** วันทามิ พุทธัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะ เม ภันเต, ขาแตพระองคผูเจริญ, ขาพเจาขอกราบไหวพระพุทธเจา, เพื่อขอขมาซึ่ง โทษทั้งปวง, ขอพระองคจงงดซึ่งโทษทั้งปวง แกขาพเจาเถิด; วันทามิ ธัมมัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะ เม ภันเต, ขาแตพระองคผูเจริญ, ขาพเจาขอกราบไหวพระธรรม, เพือ่ ขอขมาซึ่งโทษ ทั้งปวง, ขอพระองคจงงดซึ่งโทษทั้งปวง แกขาพเจาเถิด; วันทามิ สังฆัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะ เม ภันเต. ขาแตพระองคผูเจริญ, ขาพเจาขอกราบไหวพระสงฆ, เพือ่ ขอขมาซึ่งโทษ ทั้งปวง, ขอพระองคจงงดซึ่งโทษทั้งปวง แกขาพเจาเถิด.


๔ ๕. อานาปานสติปาฐะ (หันทะ มะยัง อานาปานะสะติปาฐัง ภะณามะ เส.) ****** อานาปานะสะติ ภิกขะเว ภาวิตา พะหุลีกะตา, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, อานาปานสติ อันบุคคลเจริญ ทําใหมากแลว, มะหัปผะลา โหติ มะหานิสังสา, ยอมมีผลใหญ มีอานิสงสใหญ. อานาปานะสะติ ภิกขะเว ภาวิตา พะหุลีกะตา, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, อานาปานสติ อันบุคคลเจริญ ทําใหมากแลว, จัตตาโร สะติปฏฐาเน ปะริปูเรติ, ยอมทําสติปฏ ฐานทั้งสีใ่ หบริบูรณ; จัตตาโร สะติปฏฐานา ภาวิตา พะหุลีกะตา, สติปฏฐานทัง้ สี่ อันบุคคลเจริญ ทําใหมากแลว, สัตตะ โพชฌังเค ปะริปูเรนติ, ยอมทําโพชฌงคทั้งเจ็ดใหบริบูรณ; สัตตะ โพชฌังคา ภาวิตา พะหุลีกะตา, โพชฌงคทั้งเจ็ด อันบุคคลเจริญ ทําใหมากแลว, วิชชาวิมตุ ติง ปะริปูเรนติ, ยอมทําวิชชาและวิมุตติใหบริบูรณ. กะถัง ภาวิตา จะ ภิกขะเว อานาปานะสะติ, กะถัง พะหุลีกะตา ? ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ก็อานาปานสติ อันบุคคลเจริญ ทําใหมากแลว อยางไรเลา ? มะหัปผะลา โหติ มะหานิสังสา, จึงมีผลใหญ มีอานิสงสใหญ. อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ภิกษุในธรรมวินัยนี้, อะรัญญะคะโต วา, ไปแลวสูป าก็ตาม; รุกขะมูละคะโต วา, ไปแลว สูโคนไมก็ตาม; สุญญาคาระคะโต วา, ไปแลวสูเรือนวางก็ตาม; นิสีทะติ ปลลังกัง อาภุชติ ๎วา, นั่งคูขาเขามาโดยรอบแลว; อุชงุ กายัง ปะณิธายะ, ปะริมุขัง สะติง อุปฏ ฐะเปต๎วา, ตั้งกายตรง ดํารงสติมั่น; โส สะโต วะ อัสสะสะติ, สะโต ปสสะสะติ, ภิกษุนั้น เปนผูมีสติอยูน ั่นเทียว หายใจออก, มีสติอยู หายใจเขา. (๑) ทีฆัง วา อัสสะสันโต, ทีฆัง อัสสะสามีติ ปะชานาติ, ภิกษุนั้น เมื่อหายใจออกยาว, ก็รูสึกตัวทั่วถึงวาเราหายใจออกยาว ดังนี้; ทีฆัง วา ปสสะสันโต, ทีฆัง ปสสะสามีติ ปะชานาติ, เมื่อหายใจเขายาว, ก็รูสึกตัว ทั่วถึงวาเราหายใจเขายาว ดังนี้.


๕ (๒) รัสสัง วา อัสสะสันโต, รัสสัง อัสสะสามีติ ปะชานาติ, ภิกษุนั้น เมื่อหายใจออกสั้น, ก็รูสึกตัวทั่วถึงวาเราหายใจออกสั้น ดังนี้; รัสสัง วา ปสสะสันโต, รัสสัง ปสสะสามีติ ปะชานาติ, เมื่อหายใจเขาสั้น, ก็รูสึกตัว ทั่วถึงวาเราหายใจเขาสัน้ ดังนี้. (๓) สัพพะกายะปะฏิสังเวที อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ, ภิกษุนั้น ยอม ทําในบทศึกษาวา เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง จักหายใจออก ดังนี;้ สัพพะกายะปะฏิสังเวที ปสสะสิสสามีติ สิกขะติ, ยอมทําในบทศึกษาวา เรา เปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง จักหายใจเขา ดังนี้. (๔) ปสสัมภะยัง กายะสังขารัง อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ, ภิกษุนนั้ ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูทํากายสังขารใหระงับอยู จักหายใจออก ดังนี;้ ปสสัมภะยัง กายะสังขารัง ปสสะสิสสามีติ สิกขะติ, ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูทํากายสังขารใหระงับอยู จักหายใจเขา ดังนี้. (จบ จตุกกะที่หนึ่ง) (๕) ปติปะฏิสังเวที อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ, ภิกษุนั้น ยอมทําในบท ศึกษาวา เราเปนผูรพู รอมเฉพาะซึ่งปติ จักหายใจออก ดังนี้; ปตปิ ะฏิสังเวที ปสสะสิสสามีติ สิกขะติ, ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งปติ จักหายใจเขา ดังนี้. (๖) สุขะปะฏิสังเวที อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ, ภิกษุนนั้ ยอมทําใน บทศึกษาวา เราเปนผูรพู รอมเฉพาะซึ่งสุข จักหายใจออก ดังนี;้ สุขะปะฏิสังเวที ปสสะสิสสามีติ สิกขะติ, ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งสุข จักหายใจเขา ดังนี้. (๗) จิตตะสังขาระปะฏิสังเวที อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ, ภิกษุนั้น ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูรพู รอมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร จักหายใจออก ดังนี้; จิตตะสังขาระปะฏิสังเวที ปสสะสิสสามีติ สิกขะติ, ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูรพู รอมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร จักหายใจเขา ดังนี้. (๘) ปสสัมภะยัง จิตตะสังขารัง อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ, ภิกษุนนั้ ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูทําจิตตสังขารใหระงับอยู จักหายใจออก ดังนี้;


๖ ปสสัมภะยัง จิตตะสังขารัง ปสสะสิสสามีติ สิกขะติ, ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูทําจิตตสังขารใหระงับอยู จักหายใจเขา ดังนี้. (จบ จตุกกะที่สอง) (๙) จิตตะปะฏิสังเวที อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ, ภิกษุนั้น ยอมทําใน บทศึกษาวา เราเปนผูรพู รอมเฉพาะซึ่งจิต จักหายใจออก ดังนี้; จิตตะปะฏิสังเวที ปสสะสิสสามีติ สิกขะติ, ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งจิต จักหายใจเขา ดังนี้. (๑๐) อะภิปปะโมทะยัง จิตตัง อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ, ภิกษุนนั้ ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูทําจิตใหปราโมทยยิ่งอยู จักหายใจออก ดังนี้; อะภิปปะโมทะยัง จิตตัง ปสสะสิสสามีติ สิกขะติ, ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูทําจิตใหปราโมทยยิ่งอยู จักหายใจเขา ดังนี้. (๑๑) สะมาทะหัง จิตตัง อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ, ภิกษุนั้น ยอม ทําในบทศึกษาวา เราเปนผูทําจิตใหตั้งมั่นอยู จักหายใจออก ดังนี้; สะมาทะหัง จิตตัง ปสสะสิสสามีติ สิกขะติ, ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูทําจิตให ตั้งมั่นอยู จักหายใจเขา ดังนี้. (๑๒) วิโมจะยัง จิตตัง อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ, ภิกษุนั้น ยอมทํา ในบทศึกษาวา เราเปนผูทําจิตใหปลอยอยู จักหายใจออก ดังนี้; วิโมจะยัง จิตตัง ปสสะสิสสามีติ สิกขะติ, ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูทําจิตให ปลอยอยู จักหายใจเขา ดังนี้. (จบ จตุกกะที่สาม) (๑๓) อะนิจจานุปสสี อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ, ภิกษุนนั้ ยอมทําใน บทศึกษาวา เราเปนผูตามเห็นซึ่งความไมเที่ยงอยูเปนประจํา จักหายใจออก ดังนี้; อะนิจจานุปส สี ปสสะสิสสามีติ สิกขะติ, ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผู ตามเห็นซึ่งความไมเที่ยงอยูเปนประจํา จักหายใจเขา ดังนี้. (๑๔) วิราคานุปสสี อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ, ภิกษุนั้น ยอมทําในบท ศึกษาวา เราเปนผูตามเห็นซึ่งความจางคลายอยูเปนประจํา จักหายใจออก ดังนี้;


๗ วิราคานุปสสี ปสสะสิสสามีติ สิกขะติ, ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูตาม เห็นซึ่งความจางคลายอยูเ ปนประจํา จักหายใจเขา ดังนี้. (๑๕) นิโรธานุปสสี อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ, ภิกษุนนั้ ยอมทําในบท ศึกษาวา เราเปนผูตามเห็นซึ่งความดับไมเหลืออยูเปนประจํา จักหายใจออก ดังนี้; นิโรธานุปสสี ปสสะสิสสามีติ สิกขะติ, ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูตาม เห็นซึ่งความดับไมเหลืออยูเปนประจํา จักหายใจเขา ดังนี้. (๑๖) ปะฏินิสสัคคานุปสสี อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ, ภิกษุนั้น ยอม ทําในบทศึกษาวา เราเปนผูตามเห็นซึ่งความสลัดคืนอยูเปนประจํา จักหายใจออก ดังนี้; ปะฏินิสสัคคานุปสสี ปสสะสิสสามีติ สิกขะติ, ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูตามเห็นซึ่งความสลัดคืนอยูเปนประจํา จักหายใจเขา ดังนี้. (จบ จตุกกะที่สี่) เอวัง ภาวิตา โข ภิกขะเว อานาปานะสะติ, เอวัง พะหุลีกะตา, ดูกอน ภิกษุทั้งหลาย, อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแลว ทําใหมากแลว อยางนี้แล; มะหัปผะลา โหติ มะหานิสังสา, ยอมมีผลใหญ มีอานิสงสใหญ, อิติ, ดวย ประการฉะนีแ้ ล.

๖. อิทัปปจจยตาปฏิจจสมุปปาทปาฐะ (หันทะ มะยัง ปะฏิจจะสะมุปปาทะธัมเมสุ อิทัปปจจะยะตาทิธัมมะปาฐัง ภะณามะ เส.) ****** กะตะโม จะ ภิกขะเว ปะฏิจจะสะมุปปาโท, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ก็ปฏิจจสมุปบาท เปนอยางไรเลา ? (๑) ชาติปจจะยา ภิกขะเว ชะรามะระณัง, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, เพราะชาติเปนปจจัย, ชรามรณะยอมมี, อุปปาทา วา ภิกขะเว ตะถาคะตานัง, อะนุปปาทา วา ตะถาคะตานัง, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, เพราะเหตุทพี่ ระตถาคต ทั้งหลาย, จะบังเกิดขึน้ ก็ตาม, จะไมบังเกิดขึน้ ก็ตาม, ฐิตา วะ สา ธาตุ,


๘ ธรรมธาตุนั้น ยอมตั้งอยูแลว นั่นเทียว, ธัมมัฏฐิตะตา, คือความตั้งอยูแหงธรรมดา, ธัมมะนิยามะตา, คือความเปนกฎตายตัวแหงธรรมดา, อิทัปปจจะยะตา, คือ ความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้ เปนปจจัย, สิ่งนี้สิ่งนี้ จึงเกิดขึ้น, ตัง ตะถาคะโต อะภิสัมพุชฌะติ อะภิสะเมติ, ตถาคตยอมรูพรอม เฉพาะ ยอมถึงพรอมเฉพาะ ซึ่งธรรมธาตุนนั้ , อะภิสัมพุชฌิต๎วา อะภิสะเมต๎วา, ครั้นรูพรอมเฉพาะแลว ถึงพรอมเฉพาะแลว, อาจิกขะติ เทเสติ, ยอมบอก ยอมแสดง, ปญญะเปติ ปฏฐะเปติ, ยอมบัญญัติ ยอมตั้งขึ้นไว, วิวะระติ วิภะชะติ, ยอมเปดเผย ยอมจําแนกแจกแจง, อุตตานีกะโรติ, ยอมทําใหเปน เหมือนการหงายของที่คว่ํา, ปสสะถาติ จาหะ, ชาติปจจะยา ภิกขะเว ชะรา มะระณัง, และไดตรัสแลวในบัดนีว้ า, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ทานทั้งหลายจงมาดู, เพราะชาติเปนปจจัย, ชรามรณะยอมมี. อิติ โข ภิกขะเว, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, เพราะเหตุดังนี้แล, ยา ตัต๎ระ ตะถะตา, ธรรมธาตุใด ในกรณีนั้น, อันเปน ตถตา, คือความเปนอยางนั้น, อะวิตะถะตา, เปน อวิตถตา, คือความไมผิดไปจากความเปนอยางนั้น, อะนัญญะถะตา, เปน อนัญญถตา, คือความไมเปนไปโดยประการอื่น, อิทัปปจจะยะตา, เปน อิทปั ปจจยตา, คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้ เปนปจจัย, สิ่งนี้สิ่งนี้ จึงเกิดขึ้น. อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว ปะฏิจจะสะมุปปาโท, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ธรรมนี้ เราเรียกวา ปฏิจจสมุปบาท, (คือธรรมอันเปนธรรมชาติ อาศัยกันแลว เกิดขึ้น). (๒) ภะวะปจจะยา ภิกขะเว ชาติ, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, เพราะภพ เปนปจจัย, ชาติยอมมี. ......... ปสสะถาติ จาหะ, ภะวะปจจะยา ภิกขะเว ชาติ, และไดตรัสแลวในบัดนี้วา, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ทานทั้งหลายจงมาดู, เพราะภพเปนปจจัย ชาติยอมมี. ......... (๓) อุปาทานะปจจะยา ภิกขะเว ภะโว, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, เพราะอุปาทานเปนปจจัย, ภพยอมมี. ......... ปสสะถาติ จาหะ, อุปาทานะ ปจจะยา ภิกขะเว ภะโว, และไดตรัสแลวในบัดนี้วา, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ทานทั้งหลายจงมาดู, เพราะอุปาทานเปนปจจัย, ภพยอมมี. .........


๙ (๔) ตัณหาปจจะยา ภิกขะเว อุปาทานัง, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, เพราะตัณหาเปนปจจัย, อุปาทานยอมมี. ......... ปสสะถาติ จาหะ, ตัณหา ปจจะยา ภิกขะเว อุปาทานัง, และไดตรัสแลวในบัดนี้วา, ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย, ทานทั้งหลายจงมาดู, เพราะตัณหาเปนปจจัย, อุปาทานยอมมี. ...... (๕) เวทะนาปจจะยา ภิกขะเว ตัณหา, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, เพราะ เวทนาเปนปจจัย, ตัณหายอมมี. ......... ปสสะถาติ จาหะ, เวทะนาปจจะยา ภิกขะเว ตัณหา, และไดตรัสแลวในบัดนีว้ า, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ทาน ทั้งหลายจงมาดู, เพราะเวทนาเปนปจจัย ตัณหายอมมี. ......... (๖) ผัสสะปจจะยา ภิกขะเว เวทะนา, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, เพราะ ผัสสะเปนปจจัย, เวทนายอมมี. ....... ปสสะถาติ จาหะ, ผัสสะปจจะยา ภิกขะเว เวทะนา, และไดตรัสแลวในบัดนีว้ า, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ทาน ทั้งหลายจงมาดู, เพราะผัสสะเปนปจจัย, เวทนายอมมี. ....... (๗) สะฬายะตะนะปจจะยา ภิกขะเว ผัสโส, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, เพราะสฬายตนะเปนปจจัย, ผัสสะยอมมี. .... ปสสะถาติ จาหะ, สะฬายะตะนะ ปจจะยา ภิกขะเว ผัสโส, และไดตรัสแลวในบัดนี้วา, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ทานทั้งหลายจงมาดู, เพราะสฬายตนะเปนปจจัย, ผัสสะยอมมี. ....... (๘) นามะรูปะปจจะยา ภิกขะเว สะฬายะตะนัง, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, เพราะนามรูปเปนปจจัย, สฬายตนะยอมมี. ........... ปสสะถาติ จาหะ, นามะรูปะปจจะยา ภิกขะเว สะฬายะตะนัง, และไดตรัสแลวในบัดนี้วา, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ทานทั้งหลายจงมาดู, เพราะนามรูปเปนปจจัย, สฬายตนะ ยอมมี. ........ (๙) วิญญาณะปจจะยา ภิกขะเว นามะรูปง, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, เพราะวิญญาณเปนปจจัย, นามรูปยอมมี. ...... ปสสะถาติ จาหะ, วิญญาณะ ปจจะยา ภิกขะเว นามะรูปง, และไดตรัสแลวในบัดนี้วา , ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ทานทั้งหลายจงมาดู, เพราะวิญญาณเปนปจจัย, นามรูปยอมมี. ...... (๑๐) สังขาระปจจะยา ภิกขะเว วิญญาณัง, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, เพราะสังขารเปนปจจัย, วิญญาณยอมมี. ...... ปสสะถาติ จาหะ, สังขาระ


๑๐ ปจจะยา ภิกขะเว วิญญาณัง, และไดตรัสแลวในบัดนี้วา, ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย, ทานทั้งหลายจงมาดู, เพราะสังขารเปนปจจัย, วิญญาณยอมมี. ...... (๑๑) อะวิชชาปจจะยา ภิกขะเว สังขารา, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, เพราะอวิชชาเปนปจจัย, สังขารยอมมี. อุปปาทา วา ภิกขะเว ตะถาคะตานัง, อะนุปปาทา วา ตะถาคะตานัง, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, เพราะเหตุทพี่ ระตถาคต ทั้งหลาย, จะบังเกิดขึน้ ก็ตาม, จะไมบังเกิดขึ้น ก็ตาม, ฐิตา วะ สา ธาตุ, ธรรมธาตุนนั้ ยอมตั้งอยูแ ลวนัน่ เทียว, ธัมมัฏฐิตะตา, คือความตัง้ อยูแหงธรรมดา, ธัมมะนิยามะตา, คือความเปนกฎตายตัวแหงธรรมดา, อิทปั ปจจะยะตา, คือ ความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้ เปนปจจัย, สิ่งนี้สิ่งนี้ จึงเกิดขึ้น. ตัง ตะถาคะโต อะภิสัมพุชฌะติ อะภิสะเมติ, ตถาคตยอมรูพรอม เฉพาะ ยอมถึงพรอมเฉพาะ ซึ่งธรรมธาตุนนั้ , อะภิสัมพุชฌิต๎วา อะภิสเมต๎วา, ครั้นรูพรอมเฉพาะแลว ถึงพรอมเฉพาะแลว, อาจิกขะติ เทเสติ, ยอมบอก ยอมแสดง, ปญญะเปติ ปฏฐะเปติ, ยอมบัญญัติ ยอมตั้งขึ้นไว, วิวะระติ วิภะชะติ, ยอมเปดเผย ยอมจําแนกแจกแจง, อุตตานีกะโรติ, ยอมทําใหเปน เหมือนการหงายของที่คว่ํา, ปสสะถาติ จาหะ, อะวิชชาปจจะยา ภิกขะเว สังขารา, และไดตรัสแลวในบัดนี้วา , ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ทานทั้งหลายจงมาดู, เพราะอวิชชาเปนปจจัย, สังขารยอมมี. อิติ โข ภิกขะเว, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, เพราะเหตุดังนี้แล, ยา ตัต๎ระ ตะถะตา, ธรรมธาตุใด ในกรณีนั้น, อันเปน ตถตา, คือความเปนอยางนั้น, อะวิตะถะตา, เปน อวิตถตา, คือความไมผิดไปจากความเปนอยางนั้น, อะนัญญะถะตา, เปน อนัญญถตา, คือความไมเปนไปโดยประการอื่น, อิทัปปจจะยะตา, เปน อิทัปปจจยตา, คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้ เปนปจจัย, สิ่งนี้สิ่งนี้ จึงเกิดขึ้น. อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว ปะฏิจจะสะมุปปาโท, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ธรรมนี้ เราเรียกวา ปฏิจจสมุปบาท (คือธรรมอันเปนธรรมชาติ อาศัยกันแลว เกิดขึ้น) อิติ. ดังนี้แล.


๑๑ ๗. ธัมมนิยามสุตตปาฐะ (หันทะ มะยัง ธัมมะนิยามะสุตตะปาฐัง ภะณามะ เส.) ****** เอวัมเม สุตัง, ขาพเจา (คือพระอานนทเถระ) ไดสดับมาแลวอยางนี,้ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะ ปณฑิกัสสะ อาราเม, สมัยหนึ่ง พระผูม ีพระภาคเจา เสด็จประทับอยูที่ เชตวันมหาวิหาร, ซึ่งเปนอารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกลเมืองสาวัตถี. ตัต๎ระ โข ภะคะวา ภิกขู อามันเตสิ ภิกขะโวติ, ณ ที่นั้นแล พระผูมพี ระภาคเจา ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายวา ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ภะทันเตติ เต ภิกขู ภะคะวะโต ปจจัสโสสุง, ภิกษุทั้งหลายเหลานั้น ทูลรับพระผูมพี ระ ภาคเจาแลววา พระองคผูเจริญ, ภะคะวา เอตะทะโวจะ, พระผูมพี ระภาคเจา ไดตรัสพระดํารัสนี้วา :อุปปาทา วา ภิกขะเว ตะถาคะตานัง, อะนุปปาทา วา ตะถาคะตานัง, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, เพราะเหตุทพี่ ระตถาคตทั้งหลาย, จะบังเกิดขึน้ ก็ตาม, จะไมบังเกิดขึน้ ก็ตาม, ฐิตา วะ สา ธาตุ, ธรรมธาตุนนั้ ยอมตั้งอยูแลวนัน่ เทียว, ธัมมัฏฐิตะตา, คือความตั้งอยูแหงธรรมดา, ธัมมะ นิยามะตา, คือความเปนกฎตายตัวแหงธรรมดา, สัพเพ สังขารา อะนิจจา ติ. วา สังขารทัง้ หลายทั้งปวง ไมเที่ยง ดังนี้. ตัง ตะถาคะโต อะภิสัมพุชฌะติ อะภิสะเมติ, ตถาคตยอมรูพรอม เฉพาะ ยอมถึงพรอมเฉพาะ ซึ่งธรรมธาตุนนั้ , อะภิสัมพุชฌิต๎วา อะภิสะเมต๎วา ครั้นรูพรอมเฉพาะแลว ถึงพรอมเฉพาะแลว, อาจิกขะติ เทเสติ, ยอมบอก ยอมแสดง, ปญญะเปติ ปฏฐะเปติ, ยอมบัญญัติ ยอมตั้งขึ้นไว, วิวะระติ วิภะชะติ, ยอมเปดเผย ยอมจําแนกแจกแจง, อุตตานีกะโรติ, ยอมทําใหเปน เหมือนการหงายของที่คว่ํา, สัพเพ สังขารา อะนิจจา ติ. วา สังขารทั้งหลาย ทั้งปวง ไมเที่ยง ดังนี้.


๑๒ อุปปาทา วา ภิกขะเว ตะถาคะตานัง, อะนุปปาทา วา ตะถาคะตานัง, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, เพราะเหตุที่พระตถาคตทั้งหลาย, จะบังเกิดขึน้ ก็ตาม, จะไมบังเกิดขึน้ ก็ตาม, ฐิตา วะ สา ธาตุ, ธรรมธาตุนนั้ ยอมตั้งอยูแลวนัน่ เทียว, ธัมมัฏฐิตะตา, คือความตั้งอยูแหงธรรมดา, ธัมมะ นิยามะตา, คือความเปนกฎตายตัวแหงธรรมดา, สัพเพ สังขารา ทุกขา ติ. วา สังขารทัง้ หลายทั้งปวง เปนทุกข ดังนี้. ตัง ตะถาคะโต อะภิสัมพุชฌะติ อะภิสะเมติ, ตถาคตยอมรูพรอม เฉพาะ ยอมถึงพรอมเฉพาะ ซึ่งธรรมธาตุนนั้ , อะภิสัมพุชฌิต๎วา อะภิสะเมต๎วา ครั้นรูพรอมเฉพาะแลว ถึงพรอมเฉพาะแลว, อาจิกขะติ เทเสติ, ยอมบอก ยอมแสดง, ปญญะเปติ ปฏฐะเปติ, ยอมบัญญัติ ยอมตั้งขึ้นไว, วิวะระติ วิภะชะติ, ยอมเปดเผย ยอมจําแนกแจกแจง, อุตตานีกะโรติ, ยอมทําใหเปน เหมือนการหงายของที่คว่ํา, สัพเพ สังขารา ทุกขา ติ. วา สังขารทั้งหลาย ทั้งปวง เปนทุกข ดังนี.้ อุปปาทา วา ภิกขะเว ตะถาคะตานัง, อะนุปปาทา วา ตะถาคะตานัง, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, เพราะเหตุที่พระตถาคตทั้งหลาย, จะบังเกิดขึน้ ก็ตาม, จะไมบังเกิดขึน้ ก็ตาม, ฐิตา วะ สา ธาตุ, ธรรมธาตุนนั้ ยอมตั้งอยูแลวนัน่ เทียว, ธัมมัฏฐิตะตา, คือความตั้งอยูแหงธรรมดา, ธัมมะ นิยามะตา, คือความเปนกฎตายตัวแหงธรรมดา, สัพเพ ธัมมา อะนัตตา ติ. วา ธรรมทั้งหลายทั้งปวง เปนอนัตตา ดังนี้. ตัง ตะถาคะโต อะภิสัมพุชฌะติ อะภิสะเมติ, ตถาคตยอมรูพรอม เฉพาะ ยอมถึงพรอมเฉพาะ ซึ่งธรรมธาตุนนั้ , อะภิสัมพุชฌิต๎วา อะภิสะเมต๎วา ครั้นรูพรอมเฉพาะแลว ถึงพรอมเฉพาะแลว, อาจิกขะติ เทเสติ, ยอมบอก ยอมแสดง, ปญญะเปติ ปฏฐะเปติ, ยอมบัญญัติ ยอมตั้งขึ้นไว, วิวะระติ วิภะชะติ, ยอมเปดเผย ยอมจําแนกแจกแจง, อุตตานีกะโรติ, ยอมทําใหเปน เหมือนการหงายของที่คว่ํา, สัพเพ ธัมมา อะนัตตา ติ. วา ธรรมทั้งหลาย ทั้งปวง เปนอนัตตา ดังนี้.


๑๓ อิทะมะโวจะ ภะคะวา, พระผูมพี ระภาคเจา ไดตรัสธรรมปริยายอันนี้ แลว, อัตตะมะนา เต ภิกขู ภะคะวะโต, ภิกษุทั้งหลายเหลานัน้ ก็มีใจยินดี, ภาสิตัง อะภินันทุนติ. พอใจพระภาษิตของพระผูมพี ระภาคเจา พระองคนั้น, ดังนี้แล.

๘. โยคฐานาริยสัจจธัมมปาฐะ (หันทะ มะยัง อะริยะสัจเจสุ โยคะฐานะธัมมะปาฐัง ภะณามะ เส.) ****** จัตตารีมานิ ภิกขะเว, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ธรรมชาติทั้งหลาย ๔ อยางเหลานี,้ ตะถานิ, อันเปน ตถา, คือธรรมชาติที่มีความเปนอยางนัน้ , อะวิตะถานิ, อันเปน อวิตถา, คือธรรมชาติที่มีความไมผิดไปจากความเปน อยางนั้น, อะนัญญะถานิ, อันเปน อนัญญถา, คือธรรมชาติที่มีความไมเปนไป โดยประการอื่น, มีอยู. กะตะมานิ จัตตาริ ? ธรรมชาติทั้งหลาย ๔ อยางเหลานี้ เปนอยางไรเลา ? อิทัง ทุกขัน-ติ ภิกขะเว ตะถะเมตัง, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, สี่อยาง เหลานั้น คือ :- ธรรมชาติอันมีอยูอยางตายตัววา, ความทุกขตองเปนอยางนี้ อยางนี้ ดังนี;้ นั่นแหละไดแกธรรมชาติอันเปน ตถา, คือธรรมชาติทมี่ ีความเปน อยางนั้น; อะวิตะถะเมตัง, หรือวา ไดแกธรรมชาติอันเปน อวิตถา, คือธรรมชาติ ที่มีความไมผิดไปจากความเปนอยางนั้น; อะนัญญะถะเมตัง, หรือวา ไดแก ธรรมชาติอนั เปน อนัญญถา, คือธรรมชาติที่มีความไมเปนไปโดยประการอื่น. อะยัง ทุกขะสะมุทะโย-ติ ตะถะเมตัง, อนึ่ง ธรรมชาติอันมีอยูอยาง ตายตัววา, เหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข ตองเปนอยางนี้ อยางนี้ ดังนี้; นั้นแหละ ไดแกธรรมชาติอันเปน ตถา, คือธรรมชาติที่มีความเปนอยางนัน้ ; อะวิตะถะเมตัง, หรือวา ไดแกธรรมชาติอนั เปน อวิตถา, คือธรรมชาติที่มีความไมผิดไปจากความ เปนอยางนัน้ ; อะนัญญะถะเมตัง, หรือวา ไดแกธรรมชาติอันเปน อนัญญถา, คือธรรมชาติที่มีความไมเปนไปโดยประการอื่น.


๑๔ อะยัง ทุกขะนิโรโธ-ติ ตะถะเมตัง, อนึ่ง ธรรมชาติอันมีอยูอยางตายตัว วา, ความดับไมเหลือแหงทุกข, ตองเปนอยางนี้ อยางนี้ ดังนี;้ นั่นแหละ ไดแก ธรรมชาติอนั เปน ตถา, คือธรรมชาติที่มีความเปนอยางนั้น; อะวิตะถะเมตัง, หรือวา ไดแกธรรมชาติอนั เปน อวิตถา, คือธรรมชาติที่มีความไมผิดไปจากความ เปนอยางนัน้ ; อะนัญญะถะเมตัง, หรือวา ไดแก ธรรมชาติอันเปน อนัญญถา, คือธรรมชาติที่มีความไมเปนไปโดยประการอื่น. อะยัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา-ติ ตะถะเมตัง, อนึ่ง ธรรมชาติ อันมีอยูอยางตายตัววา, ขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงทุกข, ตองเปนอยางนี้ อยางนี้ ดังนี้; นั่นแหละ ไดแกธรรมชาติอันเปน ตถา, คือ ธรรมชาติทมี่ ีความเปนอยางนั้น; อะวิตะถะเมตัง, หรือวา ไดแกธรรมชาติอันเปน อวิตถา, คือธรรมชาติที่มีความไมผิดไปจากความเปนอยางนั้น; อะนัญญะถะ เมตัง, หรือวา ไดแกธรรมชาติอันเปน อนัญญถา, คือธรรมชาติที่มีความไมเปนไป โดยประการอื่น. อิทานิ โข ภิกขะเว จัตตาริ, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, เหลานี้แล คือ ธรรมชาติทั้งหลาย ๔ อยาง, ตะถานิ, อันเปน ตถา, คือธรรมชาติที่มีความ เปนอยางนัน้ , อะวิตะถานิ, เปน อวิตถา, คือธรรมชาติที่มีความไมผิดไปจาก ความเปนอยางนั้น, อะนัญญะถานิ, เปน อนัญญถา, คือธรรมชาติที่มีความไม เปนไปโดยประการอื่น. ตัส๎มา ติหะ ภิกขะเว, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี:้ อิทัง ทุกขัน-ติ โยโค กะระณีโย; โยคะปฏิบัติ อันเธอทั้งหลาย พึงกระทํา, เพื่อความรูแจงวา ความทุกข ตองเปนอยางนี้ อยางนี้ ดังนี้. อะยัง ทุกขะสะมุทะโย-ติ โยโค กะระณีโย; โยคะปฏิบัติ อันเธอ ทั้งหลายพึงกระทํา, เพือ่ ความรูแจงวา เหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข ตองเปนอยางนี้ อยางนี้ ดังนี้. อะยัง ทุกขะนิโรโธ-ติ โยโค กะระณีโย; โยคะปฏิบัติ อันเธอ ทั้งหลายพึงกระทํา, เพื่อความรูแจงวา ความดับไมเหลือแหงทุกข ตองเปน อยางนี้อยางนี้ ดังนี้.


๑๕ อะยัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา-ติ โยโค กะระณีโย; โยคะ ปฏิบัติ อันเธอทั้งหลายพึงกระทํา, เพื่อความรูแจงวา ขอปฏิบัติเครื่องทําสัตว ใหลุถึงความดับไมเหลือแหงทุกข ตองเปนอยางนี้ อยางนี้ ดังนี้. อิติ, ดวยประการฉะนี้แล.

๙. ธัมมปหังสนปาฐะ (หันทะ มะยัง ธัมมะปะหังสะนะสะมาทะปะนาทิวะจะนะปาฐัง ภะณามะ เส.) ****** เอวัง ส๎วากขาโต ภิกขะเว มะยา ธัมโม, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ธรรม เปนธรรมอันเรากลาวดีแลว, อยางนี้, อุตตาโน, เปนธรรมอันทําใหเปน ดุจของคว่ํา ที่หงายแลว, วิวะโฏ, เปนธรรมอันทําใหเปนดุจของปด ที่เปดแลว, ปะกาสิโต, เปนธรรมอันเราตถาคต ประกาศกองแลว, ฉินนะปโลติโก, เปน ธรรมมีสวนขี้ริ้ว อันเราตถาคตเฉือนออกหมดสิ้นแลว, เอวัง ส๎วากขาเต โข ภิกขะเว มะยา ธัมเม, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, เมื่อธรรมนี้ เปนธรรมอันเรา กลาวดีแลว อยางนี้, ฯลฯ อะลัง เอวะ, ยอมเปนการสมควรแลว นั่นเทียว, สัทธาปพพะชิเตนะ กุละปุตเตนะ วิริยัง อาระภิตุง, ที่กุลบุตรผูบวชแลว ดวยศรัทธา จะพึงปรารภการกระทําความเพียร, กามัง ตะโจ จะ นะหารุ จะ อัฏฐิ จะ อะวะสิสสะตุ, ดวยการอธิษฐานจิตวา, แมหนัง เอ็น กระดูก เทานัน้ จักเหลืออยู, สะรีเร อุปะสุสสะตุ มังสะโลหิตงั , เนื้อและเลือดใน สรีระนี้ จะเหือดแหงไป ก็ตามที, ยันตัง ปุริสะถาเมนะ ปุริสะวิริเยนะ ปุริสะปะรักกะเมนะ ปตตัพพัง, ประโยชนใด, อันบุคคลจะพึงลุถงึ ไดดวย กําลัง ดวยความเพียรความบากบั่นของบุรุษ, นะ ตัง อะปาปุณิต๎วา ปุริสัสสะ วิริยัสสะ สัณฐานัง ภะวิสสะตีต.ิ ถายังไมบรรลุประโยชนนนั้ แลว, จักหยุดความเพียรของบุรุษเสีย, เปนไมมี ดังนี้.


๑๖ ทุกขัง ภิกขะเว กุสีโต วิหะระติ, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, คนผูเกียจ คราน ยอมอยูเปนทุกข, โวกิณโณ ปาปะเกหิ อะกุสะเลหิ ธัมเมหิ, ระคนอยู ดวยอกุศลธรรมอันลามกทั้งหลาย ดวย, มะหันตัญจะ สะทัตถัง ปะริหาเปติ, ยอมทําประโยชนอันใหญหลวงของตนใหเสื่อม ดวย, อารัทธะวิริโย จะ โข ภิกขะเว สุขัง วิหะระติ, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, บุคคลผูม ีความเพียรอันปรารภ แลว ยอมอยูเปนสุข, ปะวิวิตโต ปาปะเกหิ อะกุสะเลหิ ธัมเมหิ, สงัดแลว จากอกุศลธรรมอันลามกทั้งหลาย ดวย, มะหันตัญจะ สะทัตถัง ปะริปูเรติ, ยอมทําประโยชนอันใหญหลวงของตนใหบริบูรณ ดวย, นะ ภิกขะเว หีเนนะ อัคคัสสะ ปตติ โหติ, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, การบรรลุธรรมอันเลิศ ดวยการ กระทําอันเลว ยอมมีไมไดเลย; อัคเคนะ จะ โข อัคคัสสะ ปตติ โหติ, แตการบรรลุธรรมอันเลิศ ดวยการกระทําอันเลิศ ยอมมีไดแล. มัณฑะเปยยะมิทัง ภิกขะเว พ๎รห๎มะจะริยัง, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, พรหมจรรยนี้ นาดื่ม เหมือนมัณฑะยอดโอชาแหงโครส, สัตถา สัมมุขีภโู ต, ทั้งพระศาสดา ก็อยู ณ ที่เฉพาะหนานี้แลว, ตัส๎มาติหะ ภิกขะเว วิริยัง อาระภะถะ, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, เพราะฉะนัน้ เธอทั้งหลาย, จงปรารภความ เพียรเถิด, อัปปตตัสสะ ปตติยา, เพื่อการบรรลุถึงซึ่งธรรม อันยังไมบรรลุ, อะนะธิคะตัสสะ อะธิคะมายะ, เพื่อการถึงทับซึ่งธรรม อันยังไมถึงทับ, อะสัจฉิกะตัสสะ สัจฉิกิริยายะ, เพื่อการทําใหแจงซึ่งธรรม ที่ยังไมไดทาํ ใหแจง, เอวัง โน อะยัง อัมหากัง ปพพัชชา, เมือ่ เปนอยางนี้, บรรพชานี้ ของเรา ทั้งหลาย, อะวังกะตา อะวัญฌา ภะวิสสะติ, จักเปนบรรพชาไมต่ําทราม จัก ไมเปนหมันเปลา, สะผะลา สะอุท๎ระยา, แตจักเปนบรรพชาที่มผี ล เปน บรรพชาที่มกี ําไร, เยสัง มะยัง ปะริภุญชามะ, จีวะระปณฑะปาตะเสนาสะนะ คิลานะปจจะยะเภสัชชะปะริกขารัง, พวกเราทั้งหลาย บริโภคจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และเภสัช, ของชนทั้งหลายเหลาใด; เตสัง เต การา อัมเหสุ, การ กระทํานัน้ ๆ ของชนทัง้ หลายเหลานั้น ในเราทัง้ หลาย, มะหัปผะลา ภะวิสสันติ มะหานิสังสา-ติ, จักเปนการกระทํามีผลใหญ มีอานิสงสใหญ, ดังนี้. เอวัง หิ โว ภิกขะเว สิกขิตัพพัง, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, เธอทั้งหลาย พึงทําความ สําเหนียก อยางนี้แล.


๑๗ อัตตัตถัง วา หิ ภิกขะเว สัมปสสะมาเนนะ, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, เมื่อบุคคลมองเห็นอยู ซึ่งประโยชนแหงตน ก็ตาม, อะละเมวะ อัปปะมาเทนะ สัมปาเทตุง, ก็ควรแลวนัน่ เทียว, เพื่อยังประโยชนแหงตนใหถึงพรอม ดวย ความไมประมาท; ปะรัตถัง วา หิ ภิกขะเว สัมปสสะมาเนนะ, ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย, เมื่อบุคคลมองเห็นอยู ซึ่งประโยชนแหงชนเหลาอืน่ ก็ตาม, อะละเมวะ อัปปะมาเทนะ สัมปาเทตุง, ก็ควรแลวนัน่ เทียว, เพือ่ ยังประโยชนแหงชน เหลาอื่นใหถงึ พรอม ดวยความไมประมาท, อุภะยัตถัง วา หิ ภิกขะเว สัมปสสะมาเนนะ, ดูกอ นภิกษุทั้งหลาย, หรือวา เมื่อบุคคลมองเห็นอยู ซึ่ง ประโยชนของทั้งสองฝาย ก็ตาม, อะละเมวะ อัปปะมาเทนะ สัมปาเทตุง, ก็ควรแลวนัน่ เทียว, เพื่อยังประโยชนของทั้งสองฝายนั้นใหถึงพรอม ดวยความ ไมประมาท, อิติ, ดังนีแ้ ล.

๑๐. มหาพุทธโถมนาการปาฐะ (พุทธคุณรอยบท) (หันทะ มะยัง พุทธัสสะ ภะคะวะโต โถมะนาการะปาฐัง ภะณามะ เส.) ****** เตนะหิ ภันเต สุโณหิ, ดูกอนทานผูเ จริญ ! ขอทานจงฟงซึ่งคําของ ขาพเจาเถิด; ยัสสาหัง สาวะโก, ขาพเจานั้น เปนสาวกของพระผูมพี ระภาคเจา พระองคใด, ธีรัสสะ, พระผูมพี ระภาค พระองคนั้น, เปนนักปราชญผู ทรงไวซึ่งปญญา, วิคะตะโมหัสสะ, เปนผูปราศจากแลว จากโมหะ, ปะภินนะขีลัสสะ, เปนผูมีเสาเขื่อนเครื่องตรึงจิต อันหักแลว, วิชิตะวิชะยัสสะ, เปนผูมีชัยชนะ อันวิชิตแลว, อะนีฆัสสะ, เปนผูปราศจากแลว จากสิ่งคับแคนสะเทือนใจ,


๑๘ สุสะมะจิตตัสสะ, เปนผูมีจิตสม่ําเสมอดวยดี, พุทธะสีลัสสะ, เปนผูมีปกติภาวะ แหงบุคคลผูเปนพุทธะ, สาธุปญญัสสะ, เปนผูมีปญ  ญา เครื่องยังประโยชนใหสําเร็จ, เวสะมันตารัสสะ, เปนผูขามไปไดแลว ซึ่งวัฏฏะสงสารอันขรุขระ, วิมะลัสสะ, เปนผูปราศจากแลว จากมลทินทั้งปวง, ภะคะวะโต ตัสสะ สาวะโกหะมัส๎มิ, ขาพเจา เปนสาวกของพระผูม ีพระภาค พระองคนั้น; อะกะถังกะถิสสะ, พระผูมพี ระภาค พระองคนั้น, เปนผูไมมีการถาม ใครวาอะไร เปนอะไร, ตุสิตัสสะ, เปนผูอิ่มแลว ดวยความอิ่มในธรรม อยูเสมอ, วันตะโลกามิสัสสะ, เปนผูมีเหยือ่ ในโลก อันทรงคายทิ้งแลว, มุทิตัสสะ, เปนผูมีมุทิตาจิต ในสัตวทั้งหลายทัง้ ปวง, กะตะสะมะณัสสะ, เปนผูมีสมณภาวะ อันทรงกระทําสําเร็จแลว, มะนุชัสสะ, เปนผูถือกําเนิดแลว แตกําเนิดแหงมนู โดยแท, อันติมะสะรีรัสสะ, เปนผูมีสรีระ อันมีในครั้งสุดทาย, นะรัสสะ, เปนผูเปนนรชน คือเปนคนแท, อะโนปะมัสสะ, เปนผูอันใครๆ กระทําอุปมามิได, วิระชัสสะ, เปนผูปราศจากกิเลส อันพึงเปรียบไดดวยธุลี, ภะคะวะโต ตัสสะ สาวะโกหะมัส๎มิ, ขาพเจา เปนสาวกของพระผูม ีพระภาค พระองคนั้น; อะสังสะยัสสะ, พระผูมพี ระภาค พระองคนั้น, เปนผูหมดสิน้ แลว จากความสงสัยทั้งปวง, กุสะลัสสะ, เปนผูมีปญ  ญา เครื่องตัดกิเลสดุจหญาคาเสียได, เวนะยิกัสสะ, เปนผูนาํ สัตว สูสภาพอันวิเศษ, สาระถิวะรัสสะ, เปนสารถีอันประเสริฐ กวาสารถีทั้งหลาย, อะนุตตะรัสสะ, เปนผูไมมีใครยิ่งกวา โดยคุณธรรมทัง้ ปวง, รุจิระธัมมัสสะ, เปนผูมีธรรม เปนที่ตั้งแหงความชอบใจ ของสัตว ทั้งปวง,


๑๙ นิกกังขัสสะ, เปนผูมีกังขาเครื่องของใจ อันทรงนําออกแลวหมดสิ้น, ปะภาสะกะรัสสะ, เปนผูกระทํา ซึ่งความสวางแกปวงสัตว, มานัจฉิทัสสะ, เปนผูต ัดแลวซึ่งมานะ เครื่องทําความสําคัญ มั่นหมาย, วีรัสสะ, เปนผูมีวีรธรรม เครื่องกระทําความแกลวกลา, ภะคะวะโต ตัสสะ สาวะโกหะมัส๎มิ, ขาพเจา เปนสาวกของพระผูม ีพระภาค พระองคนั้น; นิสะภัสสะ, พระผูมพี ระภาค พระองคนั้น, เปนผูเ ปนยอดมนุษย แหงมนุษยทั้งหลาย, อัปปะเมยยัสสะ, เปนผูมีคุณอันใคร ๆ กําหนดประมาณใหมิได, คัมภีรัสสะ, เปนผูมีธรรมะสภาวะอันลึกซึ้ง ไมมีใครหยั่งได, โมนัปปตตัสสะ, เปนผูถึงซึ่งปญญา เครือ่ งทําความเปนแหงมุนี, เขมังกะรัสสะ, เปนผูกระทําความเกษม แกสรรพสัตว, เวทัสสะ, เปนผูมีเวท คือญาณเครื่องเจาะแทงซึ่งโมหะ, ธัมมัฏฐัสสะ, เปนผูประดิษฐานอยูในธรรม, สุสังวุตัตตัสสะ, เปนผูมีพระองค อันทรงจัดสรรดีแลว, สังคาติคัสสะ, เปนผูลวงกิเลส อันเปนเครื่องของเสียได, มุตตัสสะ, เปนผูหลุดรอดแลว จากบวงทั้งปวง, ภะคะวะโต ตัสสะ สาวะโกหะมัส๎มิ, ขาพเจา เปนสาวกของพระผูม ีพระภาค พระองคนั้น; นาคัสสะ, พระผูมพี ระภาค พระองคนั้น, เปนผูเปนดังพระยา ชางตัวประเสริฐ, ปนตะเสนัสสะ, เปนผูมีการนอนอันสงัด จากการรบกวนแหงกิเลส, ขีณะสัญโญชะนัสสะ, เปนผูมีกิเลสเครื่องประกอบไวในภพ สิ้นสุดแลว, วิมุตตัสสะ, เปนผูหลดพนแลว จากทุกขทั้งปวง, ปะฏิมันตะกัสสะ, เปนผูมีความคิด เหมาะเจาะเฉพาะเรื่อง, โมนัสสะ, เปนผูมีปญ  ญา เครื่องทําความเปนแหงมุนี, ปนนะธะชัสสะ, เปนผูมีมานะเปนดุจธงอันพระองคทรงลดลงไดแลว,


๒๐ วีตะราคัสสะ, ทันตัสสะ, นิปปะปญจัสสะ,

เปนผูปราศจากแลว จากราคะ, เปนผูมีการฝกตน อันฝกแลว, เปนผูหมดสิน้ แลว จากกิเลสเครื่องเหนี่ยวหนวงให เนิ่นชา, ภะคะวะโต ตัสสะ สาวะโกหะมัส๎มิ, ขาพเจา เปนสาวกของพระผูม ีพระภาค พระองคนั้น; อิสิสัตตะมัสสะ, พระผูมพี ระภาค พระองคนั้น, เปนผูแสวงหาพบ คุณอันใหญหลวง องคที่ ๗, อะกุหัสสะ, เปนผูปราศจากแลว จากความคดโกง, เตวิชชัสสะ, เปนผูทรงไว ซึ่งวิชชาทั้ง ๓, พ๎รห๎มะสัตตัสสะ, เปนผูเปนพรหม แหงปวงสัตว, นะหาตะกัสสะ, เปนผูเสร็จ จากการอาบการลางแลว, ปะทะกัสสะ, เปนผูมีหลักมีเกณฑ ในการกระทําทัง้ ปวง, ปสสัทธัสสะ, เปนผูมีกมลสันดาน อันระงับแลว, วิทิตะเวทัสสะ, เปนผูมีญาณเวท อันวิทิตแลว, ปุรินทะทัสสะ, เปนผูทําลาย ซึ่งธานีนคร แหงกิเลสทั้งหลาย, สักกัสสะ, เปนผูเปนจอม แหงสัตวทั้งปวง, ภะคะวะโต ตัสสะ สาวะโกหะมัส๎มิ, ขาพเจา เปนสาวกของพระผูม ีพระภาค พระองคนั้น; อะริยัสสะ, พระผูมพี ระภาค พระองคนั้น, เปนผูไปพนแลวจาก ขาศึกคือกิเลส, ภาวิตัตตัสสะ, เปนผูมีตน อันอบรมถึงที่สุดแลว, ปตติปต ตัสสะ, เปนผูมีธรรมที่ควรบรรลุ อันบรรลุแลว, เวยยากะระณัสสะ, เปนผูกระทํา ซึ่งอรรถะทั้งหลาย ใหแจมแจง, สะติมะโต, เปนผูมีสติสมบูรณอยูเอง ในทุกกรณี, วิปสสิสสะ, เปนผูมีความรูแจงเห็นแจง เปนปรกติ, อะนะภิณะตัสสะ, เปนผูมีจิตไมแฟบลง ดวยอํานาจแหงกิเลส, โน อะปะณะตัสสะ, เปนผูม ีจิตไมฟขู ึ้น ดวยอํานาจแหงกิเลส,


๒๑ อาเนชัสสะ, เปนผูมีจิตไมหวั่นไหว ดวยอํานาจแหงกิเลส, วะสิปปตตัสสะ, เปนผูบรรลุถึง ซึ่งความมีอํานาจเหนือกิเลส, ภะคะวะโต ตัสสะ สาวะโกหะมัส๎มิ, ขาพเจา เปนสาวกของพระผูม ีพระภาค พระองคนั้น; สัมมัคคะตัสสะ, พระผูมพี ระภาค พระองคนั้น, เปนผูไปแลว โดยชอบ, ฌายิสสะ, เปนผูมีการเพงพินิจ ทั้งในสมาธิและปญญา, อะนะนุคะตันตะรัสสะ, เปนผูมีสันดาน อันกิเลสตามถึงไมไดแลว, สุทธัสสะ, เปนผูหมดจดแลว จากสิ่งเศราหมองทั้งปวง, อะสิตัสสะ, เปนผูอันตัณหาและทิฏฐิ อาศัยไมไดแลว, อัปปะภีตัสสะ, เปนผูไมมีความหวาดกลัว ในสิ่งเปนที่ตั้งแหง ความกลัว, ปะวิวิตตัสสะ, เปนผูสงัดแลว จากการรบกวนแหงกิเลสทั้งปวง, อัคคัปปตตัสสะ, เปนผูบรรลุแลว ซึ่งธรรมอันเลิศ, ติณณัสสะ, เปนผูขามแลว ซึ่งโอฆกันดาร, ตาระยันตัสสะ, เปนผูยังบุคคลอื่นใหขา มแลว ซึ่งโอฆะนั้น, ภะคะวะโต ตัสสะ สาวะโกหะมัส๎มิ, ขาพเจา เปนสาวกของพระผูม ีพระภาค พระองคนั้น; สันตัสสะ, พระผูมพี ระภาค พระองคนั้น, เปนผูมีสันดาน สงบรํางับแลว, ภูริปญญัสสะ, เปนผูมีปญ  ญา อันหนาแนน, มะหาปญญัสสะ, เปนผูมีปญ  ญา อันใหญหลวง, วีตะโลภัสสะ, เปนผูปราศจากแลว จากโลภะ, ตะถาคะตัสสะ, เปนผูมีการไปและการมา เหมือนอยางพระพุทธเจา ทั้งหลาย, สุคะตัสสะ, เปนผูไปแลวดวยดี, อัปปะฏิปุคคะลัสสะ, เปนบุคคล ผูไมมบี ุคคลใดเปรียบ, อะสะมัสสะ, เปนบุคคล ผูไมมบี ุคคลใดเสมอ,


๒๒ วิสาระทัสสะ, เปนบุคคล ผูมีญาณอันแกลวกลา, นิปุณัสสะ, เปนผูมีปญ  ญาละเอียดออน, ภะคะวะโต ตัสสะ สาวะโกหะมัส๎มิ, ขาพเจา เปนสาวกของพระผูม ีพระภาค พระองคนั้น; ตัณหัจฉิทัสสะ, พระผูมพี ระภาค พระองคนั้น, เปนผูเจาะทะลุขาย คือตัณหาเครื่องดักสัตว, พุทธัสสะ, เปนผูรู ผูตนื่ ผูเบิกบาน เปนปรกติ, วีตะธูมัสสะ, เปนผูมีกิเลสดุจควันไฟ ไปปราศแลว, อะนุปะลิตตัสสะ, เปนผูอันตัณหาและทิฏฐิ ไมฉาบทาไดอีกตอไป, อาหุเนยยัสสะ, เปนผูเปนอาหุเนยยบุคคล ควรแกของที่เขานําไปบูชา, ยักขัสสะ, เปนผูที่โลกทั้งปวง ตองบูชา, อุตตะมะปุคคะลัสสะ, เปนบุคคลผูสูงสุด แหงบุคคลทั้งหลาย, อะตุลัสสะ, เปนผูมีคุณ อันไมมใี ครวัดได, มะหะโต, เปนผูเปนมหาบุรุษ, ยะสัคคัปปตตัสสะ, เปนผูถึงแลว ซึ่งความเลิศดวยเกียรติคุณ, ภะคะวะโต ตัสสะ สาวะโกหะมัส๎มิ, ขาพเจา เปนสาวกของพระผูม ีพระภาค พระองคนั้น; อิต,ิ ดังนี้แล.


๒๓

ภาค ๒ ๑. ขุททกปาฐมังคลสุตตะ (หันทะ มะยัง ขุททะกะปาเฐ มังคะละสุตตัง ภะณามะ เส.) ****** เอวัมเม สุตัง, ขาพเจา (คือพระอานนทเถระ) ไดสดับมาแลวอยางนี้, เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปณฑิกัสสะ อาราเม, สมัยหนึ่ง พระผูมีพระภาคเจา ประทับอยูในพระเชตวัน ซึ่งเปนอารามของ อนาถปณฑิกเศรษฐี ใกลเมืองสาวัตถี, อะถะโข อัญญะตะรา เทวะตา อะภิกกันตายะ รัตติยา อะภิกกันตะวัณณา เกวะละกัปปง เชตะวะนัง โอภาเสต๎วา, ครั้งนั้นแล เทพยดาองคหนึ่ง, เมื่อราตรีลวงแลว, มีวรรณะอัน งดงาม ทําพระเชตวันใหสวางทั่วถึงแลว, เยนะ ภะคะวา เตนุปะสังกะมิ, อุปะสังกะมิต๎วา ภะคะวันตัง อะภิวาเทต๎วา เอกะมันตัง อัฏฐาสิ, เขาไป เฝาพระผูมพี ระภาคเจาถึงที่ประทับ, ครั้นเขาไปเฝาแลว ไดยืนถวายบังคมพระผูมี พระภาคเจา ณ ที่ควรสวนขางหนึ่ง. เอกะมันตัง ฐิตา โข สา เทวะตา ภะคะวันตัง คาถายะ อัชฌะภาสิ, เทพยดานัน้ ครั้นยืน ณ ที่สมควรแลว ไดทูลพระผูมีพระภาคเจา ดวยคาถาวา :พะหู เทวา มะนุสสา จะ มังคะลานิ อะจินตะยุง, อากังขะมานา โสตถานัง พ๎รูหิ มังคะละมุตตะมัง. เทพยดาและมนุษยเปนอันมาก ผูป รารถนาความสวัสดี, ไดพากันคิดถึงมงคล ทั้งหลาย, ขอพระองคจงตรัสบอกมงคลอันสูงสุดเถิด. (ภะคะวา อิมา อัฏฐัตติงสะมังคะละคาถาโย อะภาสิ, พระผูมีพระ ภาคเจา ไดตรัสมงคลคาถา ๓๘ ประการ เหลานี้ วา :-) อะเสวะนา จะ พาลานัง ปณฑิตานัญจะ เสวะนา, ปูชา จะ ปูชะนียานัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง.


๒๔ การไมคบคนพาล, การคบแตพวกบัณฑิต, และการบูชาบุคคลที่ควรบูชาทั้งหลาย, สามอยางนี้ เปนมงคลอันสูงสุด. ปะฏิรูปะเทสะวาโส จะ ปุพเพ จะ กะตะปุญญะตา, อัตตะสัมมาปะณิธิ จะ เอตัมมังคะละมุตตะมัง. การอยูในประเทศอันสมควร, ความเปนผูมบี ญ ุ อันไดกระทําไวแลว ในกาลกอน, และการตั้งตนไวชอบ, สามอยางนี้ เปนมงคลอันสูงสุด. พาหุสัจจัญจะ สิปปญจะ วินะโย จะ สุสิกขิโต, สุภาสิตา จะ ยา วาจา เอตัมมังคะละมุตตะมัง. ความเปนพหูสูต คือไดสดับมามาก, ความเปนผูมีศิลปะ, วินัยที่ตนศึกษาดีแลว, และวาจาอันเปนสุภาษิต, สี่อยางนี้ เปนมงคลอันสูงสุด. มาตาปตุอุปฏ ฐานัง ปุตตะทารัสสะ๑ สังคะโห, อะนากุลา จะ กัมมันตา เอตัมมังคะละมุตตะมัง. การบํารุงมารดาบิดา, การสงเคราะหบุตรและภรรยา, และการทํางานไมใหคั่งคาง, สี่อยางนี้ เปนมงคลอันสูงสุด. ทานัญจะ ธัมมะจะริยา จะ ญาตะกานัญจะ สังคะโห, อะนะวัชชานิ กัมมานิ เอตัมมังคะละมุตตะมัง. การใหทาน, การประพฤติธรรม, การสงเคราะหหมูญาติ, และการทํางาน ที่ปราศจากโทษ, สี่อยางนี้ เปนมงคลอันสูงสุด. อาระตี วิระตี ปาปา มัชชะปานา จะ สัญญะโม, อัปปะมาโท จะ ธัมเมสุ เอตัมมังคะละมุตตะมัง. การงดเวนเสียจากบาป, การสํารวมจากการดืม่ น้ําเมา, และความไมประมาท ในธรรมทั้งหลาย, สามอยางนี้ เปนมงคลอันสูงสุด. คาระโว จะ นิวาโต จะ สันตุฏฐี จะ กะตัญุตา, กาเลนะ ธัมมัสสะวะนัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง. ความเคารพ, ความออนนอมถอมตน, ความสันโดษ, ความเปนผูรูคณ ุ ที่ผูอื่น กระทําแลว, และการฟงธรรมตามกาล, หาอยางนี้ เปนมงคลอันสูงสุด. หมายเหตุ : ๑. มงคลขอนี้ทานแยกออกเปน ๒ ขอ คือ สงเคราะหบุตร ๑, และสงเคราะห ภรรยา ๑. สวดวา “สี่อยางนี้” จึงครบ ๓๘ ประการ


๒๕ ขันตี จะ โสวะจัสสะตา สะมะณานัญจะ ทัสสะนัง, กาเลนะ ธัมมะสากัจฉา เอตัมมังคะละมุตตะมัง. ความอดทน, ความเปนคนวางายสอนงาย, การไดเห็นสมณะทั้งหลาย, และการ สนทนาธรรมตามกาล, สี่อยางนี้ เปนมงคลอันสูงสุด. ตะโป จะ พ๎รห๎มะจะริยัญจะ อะริยะสัจจานะทัสสะนัง, นิพพานะสัจฉิกิริยา จะ เอตัมมังคะละมุตตะมัง. ตบะคือความเพียรเครื่องเผากิเลสใหเรารอน, การประพฤติพรหมจรรย, การเห็น อริยสัจทั้งหลาย, และการทําใหแจงซึ่งพระนิพพาน, สี่อยางนี้ เปนมงคลอันสูงสุด. ผุฏฐัสสะ โลกะธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ นะ กัมปะติ, อะโสกัง วิระชัง เขมัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง. จิตของบุคคลผูถูกโลกธรรม ๘ กระทบแลว ไมหวั่นไหว, จิตไมเศราโศก, จิตปลอด จากกิเลสดุจธุลี, และจิตเกษมจากโยคะ, สี่อยางนี้ เปนมงคลอันสูงสุด. เอตาทิสานิ กัต๎วานะ สัพพัตถะมะปะราชิตา, สัพพัตถะ โสตถิง คัจฉันติ ตันเตสัง มังคะละมุตตะมันติ. สัตวทั้งหลาย ทํามงคลดังกลาวมานี้แลว, เปนผูไ มพา ยแพในขาศึกทัง้ ปวง, ถึง ความสวัสดีในที่ทุกสถาน, ขอนั้นจัดเปนมงคลอันสูงสุด ของสัตวทั้งหลาย เหลานั้น, ดังนี้แล.


๒๖ ๒. กสิสุตตปาฐะ (พุทธเกษตร) (หันทะ มะยัง กะสิสุตตะปาฐัง ภะณามะ เส.) ****** นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต, ขอนอบนอมแดพระผูมพี ระภาคเจา พระองคนั้น, สุนิพพุตัสสะ ตาทิโน สัมมาวิรุฬ๎หะธัมมัสสะ สาวะกานัง ปะรัมปะรา, ผูเสด็จนิพพานดีแลว ยังมีพระคุณคงที่ มีพระธรรมงอกงามโดยชอบแลว, เพราะการสืบตอของพระสาวกทั้งหลาย, ตัสสะ ปาระมิเตเชนะ, ดวยเดชแหงบารมี ของพระผูมพี ระภาคเจานั้น, สัทธัมโม อะมะตัปผะโล กิเลสะสันตาปจจุณเหปโลเก รูหะติ ฐานะโส, พระสัทธรรมมีอมตะเปนผล, ยอมเจริญขึน้ ในโลกแมทามกลางความแผด เผาแหงกิเลส ตามฐานะ, ตัง โข พุทธัง ภะคะวันตัง สะสัทธัมมัง สะสาวะกัง อะภิวันทิยะ ปูเชต๎วา, เราทั้งหลาย อภิวาทบูชาแลว ซึ่งพระผูมพี ระภาคเจา ผูตรัสรูแ ลว พระองคนั้น, พรอมทั้งพระสัทธรรม พรอมทั้งพระสาวก, เขตเต ระตะนัตตะเย โรเปมะ ปุญญะพีชานิ, จะหวานพืชคือบุญทั้งหลาย ในพระรัตนตรัยอันเปนเขตบุญ, ญาณัสสะ สาธะกานิ โน โลเก ทุกขัสสะ โลกัมหา สัมมา นิสสะระณัสสะ จะ, พืชคือบุญนัน้ เปนเครือ่ งยังญาณของเราทั้งหลายใหสําเร็จดวย, ยังความ ทุกขในโลกใหสิ้นดวย, ยังความหลีกออกจากโลกโดยชอบ ใหสําเร็จดวย, ภาสิตัง พุทธะเสฏเฐนะ สัจจัง โลกัคคะวาทินา, คําสัจจอนั พระพุทธเจาผูป ระเสริฐสุด เปนอัครวาทีในโลก ไดตรัสไวแลววา, สัทธา พีชัง ตะโป วุฏฐิ ปญญา เม ยุคะนังคะลัง, ศรัทธาเปนพืช, ตบะคือความเพียรเครื่องเผากิเลสเปนฝน, ปญญาของเรา เปนแอกและไถ, หิริ อีสา มะโน โยตตัง สะติ เม ผาละปาจะนัง, หิริเปนงอนไถ, ใจเปนเชือกชัก, สติของเราเปนผาลและปฏัก,


๒๗ กายะคุตโต วะจีคุตโต อาหาเร อุทะเร ยะโต, สัจจัง กะโรมิ นิททานัง โสรัจจัง เม ปะโมจะนัง, เรามีกายอันคุมครองแลว, มีวาจาอันคุมครองแลว, สํารวมแลวในการ บริโภคอาหาร, เราทําการดายหญา (คือวาจาสับปลับ) ดวยคําสัตย, ความ สงบเสงี่ยมของเรา เปนเครื่องทําใหเสร็จงาน; วิริยัง เม ธุระโธรัยหัง โยคักเขมาธิวาหะนัง, ความเพียรของเรา เปนเครื่องนําธุระไปใหสมหวัง, นําไปใหถึงพระนิพพาน อันเปนแดนเกษมจากโยคะ, คัจฉะติ อะนิวัตตันตัง ยัตถะ คันต๎วา นะ โสจะติ, ไปอยางไมถอยหลัง ยังที่ซึ่งบุคคลไปถึงแลว ไมเศราโศก, เอวะเมสา กะสี กัฏฐา สา โหติ อะมะตัปผะลา, เราทํานาอยางนี้, นาที่เราทํานัน้ ยอมมีอมตะเปนผล, เอตัง กะสิง กะสิต๎วานะ สัพพะทุกขา ปะมุจจะตี ติ. บุคคลทํานาอยางนี้แลว ยอมพนจากทุกขทั้งปวงได ดังนี้แล.

๓. อภิณหปจจเวกขณปาฐะ (หันทะ มะยัง อะภิณ๎หะปจจะเวกขะณะปาฐัง ภะณามะ เส.) ****** ชะราธัมโมม๎หิ ชะรัง อะนะตีโต (ตา), เรามีความแกเปนธรรมดา, จะลวงพนความแกไปไมได, พ๎ยาธิธัมโมม๎หิ พ๎ยาธิง อะนะตีโต (ตา), เรามีความเจ็บไขเปนธรรมดา, จะลวงพนความเจ็บไขไปไมได, มะระณะธัมโมม๎หิ มะระณัง อะนะตีโต (ตา), เรามีความตายเปนธรรมดา, จะลวงพนความตายไปไมได, สัพเพหิ เม ปเยหิ มะนาเปหิ นานาภาโว วินาภาโว, เรามีความเปนตางๆ คือวาจะตองพลัดพรากจากของรัก ของชอบใจทั้งสิ้น,


๒๘ กัมมัสสะโกม๎หิ, เรามีกรรมเปนของของตน, กัมมะทายาโท (ทา), เปนผูมีกรรมที่ตองรับผลเปนมรดกตกทอด, กัมมะโยนิ, เปนผูมีกรรมเปนกําเนิด, กัมมะพันธุ, เปนผูมีกรรมเปนเผาพันธุ, กัมมะปะฏิสะระโณ (ณา), เปนผูมีกรรมเปนทีพ่ ึ่งอาศัย, ยัง กัมมัง กะริสสามิ, เราจักกระทํากรรมอันใดไว, กัล๎ยาณัง วา ปาปะกัง วา, จะเปนกรรมดีก็ตาม จะเปนกรรมชั่วก็ตาม, ตัสสะ ทายาโท (ทา) ภะวิสสามิ, เราจักเปนผูร ับผลตกทอดแหงกรรมนั้น, เอวัง อัมเหหิ อะภิณ๎หัง ปจจะเวกขิตพั พัง, เราทั้งหลาย พึงพิจารณาอยางนี้ ทุกวัน ๆ แล. หมายเหตุ : ในวงเล็บ ( ) สําหรับผูหญิงสวด

๔. สีลุทเทสปาฐะ (หันทะ มะยัง สีลุทเทสะปาฐัง ภะณามะ เส.) ****** ภาสิตะมิทัง เตนะ ภะคะวะตา ชานะตา ปสสะตา อะระหะตา สัมมาสัมพุทเธนะ, พระผูมีพระภาคเจา ผูรผู ูเห็น ผูเปนพระอรหันตสัมมาสัม พุทธเจา พระองคนั้น, ไดทรงภาษิตไว ดังนีว้ า :- สัมปนนะสีลา ภิกขะเว วิหะระถะ สัมปนนะปาฏิโมกขา, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ทานทั้งหลาย จงเปนผู ถึงพรอมดวยศีล, มีปาฏิโมกขถึงพรอมแลวอยูเถิด, ปาฏิโมกขะสังวะระสังวุตา วิหะระถะ อาจาระโคจะระสัมปนนา, ทานทั้งหลาย จงเปนผูสาํ รวมแลว ดวยการสํารวมในพระปาฏิโมกข, มีอาจาระคือมารยาท และโคจรคือที่เที่ยวไป ถึงพรอมแลวอยูเถิด, อะณุมัตเตสุ วัชเชสุ ภะยะทัสสาวี สะมาทายะ สิกขะถะ สิกขาปะเทสูต,ิ ทานทั้งหลาย จงเปนผูมปี กติเห็นภัยในโทษ


๒๙ ทั้งหลาย มาตรวาเล็กนอย, สมาทานศึกษาในสิกขาบททั้งหลายเถิด, ดังนี้, ตัส๎มาติหัมเหหิ สิกขิตัพพัง, เพราะเหตุนนั้ อันเราทั้งหลาย ควรศึกษา สําเหนียก ในสิกขาบทเหลานี้ ดังนี้วา :- สัมปนนะสีลา วิหะริสสามะ สัมปนนะปาฏิโมกขา, เราทั้งหลาย จักเปนผูถ ึงพรอมดวยศีลอยู, ปาฏิโมกขะ สังวะระสังวุตา วิหะริสสามะ อาจาระโคจะระสัมปนนา, จักมีอาจาระคือ มารยาทและโคจรคือที่เที่ยวไปถึงพรอมอยู, อะณุมัตเตสุ วัชเชสุ ภะยะทัสสาวี สะมาทายะ สิกขิสสามะ สิกขาปะเทสูติ, เราทั้งหลาย จักเปนผูม ีปกติเห็น ภัยในโทษทัง้ หลาย มาตรวาเล็กนอย, สมาทานศึกษาในสิกขาบททั้งหลาย ดังนี้, เอวัญหิ โน สิกขิตัพพัง. อันเราทั้งหลาย ควรศึกษาสําเหนียก อยางนี้แล.

๕. ตายนคาถา (หันทะ มะยัง ตายะนะคาถาโย ภะณามะ เส.) ****** ฉินทะ โสตัง ปะรักกัมมะ กาเม ปะนูทะ พ๎ราห๎มะณะ, ทานจงพยายามตัดตัณหาเพียงดังกระแสน้าํ เสีย จงถอดถอนกามทั้งหลาย เสียเถิด นะพราหมณ, นัปปะหายะ มุนิ กาเม เนกัตตะมุปะปชชะติ, เพราะพระมุนี ไมละกามทั้งหลายแลว จะเขาถึงความเปนผูเดียวไมได, กะยิรา เจ กะยิราเถนัง ทัฬ๎หะเมนัง ปะรักกะเม, ถาจะทํา ก็พึงทํากิจนัน้ เถิด, แตพึงบากบัน่ ทํากิจนัน้ ใหจริง, สิถิโล หิ ปะริพพาโช ภิยโย อากิระเต ระชัง, เพราะวา สมณธรรมทีป่ ระพฤติยอหยอน ยิ่งโปรยโทษดุจธุลี, อะกะตัง ทุกกะฏัง เสยโย ปจฉา ตัปปะติ ทุกกะฏัง, ความชั่วไมทาํ เสียเลยดีกวา, เพราะทําแลวยอมเดือดรอนในภายหลัง, กะตัญจะ สุกะตัง เสยโย ยัง กัต๎วา นานุตัปปะติ, ทําความดีนนั่ แหละดีกวา, เพราะทําแลวยอมไมเดือดรอนในภายหลัง,


๓๐ กุโส ยะถา ทุคคะหิโต หัตถะเมวานุกันตะติ, หญาคาที่บุคคลจับไมดี ยอมบาดมือตนเองได ฉันใด, สามัญญัง ทุปปะรามัฏฐัง นิระยายูปะกัฑฒะติ, คุณเครื่องความเปนสมณะ ทีบ่ รรพชิตรักษาไวไมดี, ยอมฉุดไปนรก ฉันนัน้ , ยังกิญจิ สิถิลัง กัมมัง สังกิลิฏฐัญจะ ยัง วะตัง สังกัสสะรัง พ๎รห๎มะจะริยัง นะ ตัง โหติ มะหัปผะลันติ. การงานอันใดอันหนึ่ง ที่ยอหยอนดวย, ความประพฤติอันใดที่เศราหมอง แลวดวย, และพรหมจรรยอันใดทีต่ นระลึกดวยความรังเกียจดวย, กิจสามอยางนั้น ยอมเปนของไมมผี ลมาก ดังนี.้

๖. สังวราสังวรคาถา (หันทะ มะยัง สังวะราสังวะระคาถาโย ภะณามะ เส.) ****** สุภานุปสสิง วิหะรันตัง อินท๎ริเยสุ อะสังวุตัง โภชะนัมหิ อะมัตตัญุง กุสีตัง หีนะวีริยัง ตัง เว ปะสะหะติ มาโร, มารยอม รังควานคนที่ตามเห็นอารมณวา งาม, ไมสํารวมแลวในอินทรียทั้งหลาย, ไมรู ประมาณในการบริโภค เกียจครานแลว มีความเพียรอันเลวนั้นแล, วาโต รุกขังวะ ทุพพะลัง, เหมือนลมรังควานตนไมที่ทุพพลภาพได ฉะนัน้ , อะสุภานุปสสิง วิหะรันตัง อินท๎ริเยสุ สุสังวุตัง โภชะนัมหิ จะ มัตตัญุง สัทธัง อารัทธะวีริยัง ตัง เว นัปปะสะหะติ มาโร, มารยอมไมรังควานคนที่ตาม เห็นอารมณวา ไมงาม, สํารวมดีแลวในอินทรียทั้งหลาย, รูจักประมาณในการ บริโภค มีศรัทธาและความเพียรอันปรารภแลวนั้นแล, สาธุ สัพพัตถะ สังวะโร, ความสํารวมในทวาร คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจทั้งสิน้ , เปนคุณเครื่องให สําเร็จประโยชน, สัพพัตถะ สังวุโต ภิกขุ สัพพะทุกขา ปะมุจจะติ, เพราะ ภิกษุผูสํารวมดีแลว ในทวารทั้งสิ้น, ยอมพนจากทุกขทั้งปวงได ดังนี้แล.


๓๑ ๗. พุทธอุทานคาถา (หันทะ มะยัง พุทธะอุทานะคาถาโย ภะณามะ เส.) ****** ยะทา หะเว ปาตุภะวันติ ธัมมา อาตาปโน ฌายะโต พ๎ราห๎มะณัสสะ, เมื่อใด ธรรมทั้งหลาย ปรากฏแกพราหมณ ผูม ีสติปญญาเพียรเพงอยู, อะถัสสะ กังขา วะปะยันติ สัพพา, เมื่อนั้น ความสงสัยทั้งปวง ของพราหมณนั้น ยอมสิ้นไป, ยะโต ปะชานาติ สะเหตุธัมมัง. เพราะรูแ จงชัด ซึ่งธรรมพรอมทั้งเหตุ. ยะทา หะเว ปาตุภะวันติ ธัมมา อาตาปโน ฌายะโต พ๎ราห๎มะณัสสะ, เมื่อใด ธรรมทั้งหลาย ปรากฏแกพราหมณ ผูม ีสติปญญาเพียรเพงอยู, อะถัสสะ กังขา วะปะยันติ สัพพา, เมื่อนั้น ความสงสัยทั้งปวง ของพราหมณนั้น ยอมสิ้นไป, ยะโต ขะยัง ปจจะยานัง อะเวทิ. เพราะไดรูความสิ้นไป แหงปจจัยทัง้ หลาย. ยะทา หะเว ปาตุภะวันติ ธัมมา อาตาปโน ฌายะโต พ๎ราห๎มะณัสสะ, เมื่อใด ธรรมทั้งหลาย ปรากฏแกพราหมณ ผูม ีสติปญญาเพียรเพงอยู, วิธูปะยัง ติฏฐะติ มาระเสนัง, พราหมณนนั้ ยอมกําจัดมารและเสนามาร ดํารงอยูได, สูโรวะ โอภาสะยะมันตะลิกขันติ. ดุจพระอาทิตยกําจัดความมืด สองสวางอยู ฉะนั้น, ดังนี้.


๓๒ ๘. อุปฑฒสูตร (หันทะ มะยัง อุปฑฒะสุตตะปาฐัง ภะณามะ เส.) ****** อานันโท ภะคะวันตัง เอตะทะโวจะ, พระอานนทไดกราบทูลคํานี้ กะพระผูมีพระภาคเจา วา ;อุปฑฒะมิทงั ภันเต พ๎รห๎มะจะริยัสสะ, ยะทิทัง กัล๎ยาณะมิตตะตา กัล๎ยาณะสะหายะตา กัล๎ยาณะสัมปะวังกะตาติ. ขาแตพระองคผูเจริญ ! ความเปนผูมีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนผูแวดลอมดี, นี้เปนครึ่งหนึ่งของพรหมจรรย, ดังนี้. เอวัง อานันทัง ภิกขุง เอตะทะโวจะ, เมื่อพระอานนทกราบทูลอยางนี้แลว, พระผูม ีพระภาคเจา ไดทรงตรัส ปริยายนี้กะพระอานนทวา :มา เหวัง อานันทะ อะวะจะ, ดูกอนอานนท ! เธออยาไดกลาว อยางนั้นเลย, สะกะละเมวะ หิทัง อานันทะ พ๎รห๎มะจะริยัง, ยะทิทัง กัล๎ยาณะมิตตะตา กัล๎ยาณะสะหายะตา กัล๎ยาณะสัมปะวังกะตา, ดูกอนอานนท ! ก็ความเปนผูมีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนผูแวดลอมดี, นี้เปนพรหมจรรยทั้งหมดทีเดียว; กัล๎ยาณะมิตตัสเสตัง อานันทะ ภิกขุโน ปาฏิกังขัง, กัล๎ยาณะสะหายะกัสสะ กัล๎ยาณะสัมปะวังกัสสะ, อะริยัง อัฏฐังคิกงั มัคคัง ภาเวสสะติ, อะริยัง อัฏฐังคิกัง มัคคัง พะหุลีกะริสสะตีต.ิ ดูกอนอานนท ! อันภิกษุผูมีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนผูแวดลอมดี, พึงหวังขอนีไ้ ดวา:- จักเจริญอริยมรรคอันประกอบดวยองค ๘, จักกระทํา ใหมากซึ่งอริยมรรคอันประกอบดวยองค ๘ ประการ ไดอยางนี้. กะถัญจานันทะ ภิกขุ กัล๎ยาณะมิตโต กัล๎ยาณะสะหาโย กัล๎ยาณะ สัมปะวังโก, อะริยัง อัฏฐังคิกัง มัคคัง ภาเวติ, อะริยัง อัฏฐังคิกงั มัคคัง พะหุลกี ะโรติ.


๓๓ ดูกอนอานนท ! ก็ภิกษุผูมีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนผูแวดลอมดี, เจริญ อริยมรรคอันประกอบดวยองค ๘ ประการอยู, กระทําใหมากซึ่งอริยมรรค อันประกอบดวยองค ๘ ประการอยู เปนอยางไรเลา ? อิธานันทะ ภิกขุ สัมมาทิฏฐิง ภาเวติ, วิเวกะนิสสิตัง วิราคะนิสสิตัง นิโรธะนิสสิตัง โวสสัคคะปะริณามิง, ดูกอนอานนท ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้, ยอมเจริญสัมมาทิฏฐิ อันอาศัย วิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ นอมไปในการสละลง, สัมมาสังกัปปง ภาเวติ. ....... สัมมาวาจัง ภาเวติ. ...... สัมมากัมมันตัง ภาเวติ. ....... สัมมาอาชีวัง ภาเวติ. ....... สัมมาวายามัง ภาเวติ. ...... สัมมาสะติง ภาเวติ. ....... สัมมาสะมาธิง ภาเวติ, วิเวกะนิสสิตัง วิราคะ นิสสิตัง นิโรธะนิสสิตัง โวสสัคคะปะริณามิง, ยอมเจริญสัมมาสังกัปปะ. ......... ยอมเจริญสัมมาวาจา. ......... ยอมเจริญ สัมมากัมมันตะ. ......... ยอมเจริญสัมมาอาชีวะ. ......... ยอมเจริญสัมมา วายามะ. ......... ยอมเจริญสัมมาสติ. ......... ยอมเจริญสัมมาสมาธิ อัน อาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ นอมไปในการสละลงแลว, เอวัง โข อานันทะ ภิกขุ, กัล๎ยาณะมิตโต กัล๎ยาณะสะหาโย กัล๎ยาณะ สัมปะวังโก, อะริยัง อัฏฐังคิกัง มัคคัง ภาเวติ, อะริยัง อัฏฐังคิกงั มัคคัง พะหุลีกะโรติ. ดูกอนอานนท ! ภิกษุผูมีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนผูแ วดลอมดี, ยอม เจริญอริยมรรคอันประกอบดวยองค ๘ ประการอยู, ยอมกระทําใหมากซึ่ง อริยมรรคอันประกอบดวยองค ๘ ประการอยู อยางนี้แล. ตะทิมินาเปตัง อานันทะ ปะริยาเยนะ เวทิตพั พัง, ยะถา สะกะละเมวิทัง พ๎รห๎มะจะริยัง, ยะทิทงั กัล๎ยาณะมิตตะตา กัล๎ยาณะสะหายะตา กัล๎ยาณะ สัมปะวังกะตาติ. ดูกอนอานนท ! ขอวา ความเปนผูมมี ิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนผูแวดลอมดี, เปนพรหมจรรยทั้งหมดนั้น, พึงทราบโดยปริยายแมนี้. มะมัญหิ อานันทะ กัล๎ยาณะมิตตัง อาคัมมะ, ดูกอนอานนท ! ดวยวา สัตวทั้งหลาย ไดอาศัยเราเปนกัลยาณมิตรแลว,


๓๔ ชาติธัมมา สัตตา ชาติยา ปะริมุจจันติ, ผูมีความเกิดเปนธรรมดา ยอมลวงพนจากความเกิดไปได, ชะราธัมมา สัตตา ชะรายะ ปะริมุจจันติ, ผูมีความแกเปนธรรมดา ยอมลวงพนจากความแกไปได, มะระณะธัมมา สัตตา มะระเณนะ ปะริมุจจันติ, ผูมีความตายเปนธรรมดา ยอมลวงพนจากความตายไปได, โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสะธัมมา สัตตา โสกะปะริเทวะทุกขะ โทมะนัสสุปายาเสหิ ปะริมุจจันติ, ผูมีความโศก ความร่ําไรรําพัน ความไมสบายกาย ความไมสบายใจ ความคับแคนใจเปนธรรมดา, ยอมลวงพนจากความโศก ความร่ําไรรําพัน ความไมสบายกาย ความไมสบายใจ ความคับแคนใจเสียได, อิมินา โข เอตัง อานันทะ ปะริยาเยนะ เวทิตัพพัง, ยะถา สะกะละเมวิทัง พ๎รห๎มะจะริยัง, ยะทิทงั กัล๎ยาณะมิตตะตา กัล๎ยาณะสะหายะตา กัล๎ยาณะ สัมปะวังกะตาติ. ดูกอนอานนท ! ขอวา ความเปนผูมีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนผูแวดลอมดี, เปนพรหมจรรยทั้งหมดทีเดียวนั้น, พึงทราบโดยปริยายนี้, ดวยประการ ฉะนีแ้ ล.


๓๕ ๙. เทวทูตสุตตปาฐะ (หันทะ มะยัง เทวะทูตะสุตตะปาฐัง ภะณามะ เส.) ****** โจทิตา เทวะทูเตหิ เย ปะมัชชันติ มาณะวา, เต ทีฆะรัตตัง โสจันติ หีนะกายูปะคา นะรา, บุคคลเหลาใด ถูกเทวทูตทั้งหลายตักเตือนแลว ยังประมาทอยู, บุคคลเหลานั้น จะเขาถึงกําเนิดชัน้ เลวคือเกิดในนรก ประสบทุกขโศกอยู สิ้นกาลนาน, เย จะ โข เทวะทูเตหิ สันโต สัปปุริสา อิธะ, โจทิตา นัปปะมัชชันติ อะริยะธัมเม กุทาจะนัง, สวนบุคคลเหลาใด เปนสัตบุรษุ ผูสงบ ถูกเทวทูตทั้งหลายตักเตือนแลว, ยอมไมประมาทในอริยธรรม กําหนดรูอยูเปนนิจ, อุปาทาเน ภะยัง ทิส๎วา ชาติมะระณะสัมภะเว, อะนุปาทา วิมุจจันติ ชาติมะระณะสังขะเย, บุคคลเหลาใด เห็นภัยในความยึดมัน่ ถือมั่น อันเปนปจจัยกอใหเกิดชาติ ชราและมรณะ, บุคคลเหลานัน้ ยอมหลุดพนจากอุปาทาน เพราะความ พยายามกระทําใหสนิ้ ซึง่ ชาติชราและมรณะ, เต เขมัปปตตา สุขิโน ทิฏฐะธัมมาภินิพพุตา, สัพพะเวระภะยาตีตา สัพพะทุกขัง อุปจจะคุนติ. บุคคลเหลานั้น ชื่อวา เปนผูมีความเกษมสุข เปนผูบ รรลุพระนิพพาน ในปจจุบันชาติ เปนผูไมมีเวรภัย ลวงพนซึ่งทุกขทั้งปวงได, ดังนี้แล.


๓๖ ๑๐. กรณียเมตตสุตตปาฐะ (หันทะ มะยัง กะระณียะเมตตะสุตตะปาฐัง ภะณามะ เส.) ****** กะระณียะมัตถะกุสะเลนะ ยันตัง สันตัง ปะทัง อะภิสะเมจจะ, สักโก อุชู จะ สุหุชู จะ สุวะโจ จัสสะ มุทุ อะนะติมานี, กิจใด ซึ่งพระอริยเจาเคยกระทําแลว, กุลบุตรผูฉลาดก็พึงกระทํากิจนัน้ , กุลบุตรนั้น พึงเปนผูอาจหาญ และซื่อตรงดวยดี, เปนผูวางาย ละมุนละไม ไมมีอติมานะ (คือถือตัว); สันตุสสะโก จะ สุภะโร จะ อัปปะกิจโจ จะ สัลละหุกะวุตติ, สันตินท๎ริโย จะ นิปะโก จะ อัปปะคัพโภ กุเลสุ อะนะนุคิทโธ, เปนผูสันโดษ เปนผูเลี้ยงงาย, เปนผูมีกิจธุระนอย และประพฤติเบา กายเบาใจ, มีอินทรียอันสงบระงับแลว มีปญญาเครือ่ งรักษาไวซึ่งตน, เปนผูไมคะนอง ไมพวั พันในตระกูลทั้งหลาย; นะ จะ ขุททัง สะมาจะเร กิญจิ เยนะ วิญู ปะเร อุปะวะเทยยุง, สุขิโน วา เขมิโน โหนตุ สัพเพ สัตตา ภะวันตุ สุขิตตั ตา, อนึ่ง! วิญูชนพึงติเตียนชนทั้งหลายอื่น ดวยกรรมอันใด ไมพึงประพฤติ กรรมอันนัน้ เลย, ขอสัตวทั้งปวง จงเปนผูม ีความสุข มีความเกษม มีตนถึงซึ่งความสุขเถิด”; เย เกจิ ปาณะภูตตั ถิ ตะสา วา ถาวะรา วา อะนะวะเสสา, ทีฆา วา เย มะหันตา วา มัชฌิมา รัสสะกา อะณุกะถูลา, สัตวมีชีวิตเหลาใดเหลาหนึ่งที่มีอยู ทั้งที่เปนผูสะดุง หรือเปนผูมนั่ คง ทั้งหมดไมเหลือ, สัตวเหลาใด ทีม่ ีรางกายยาวก็ตาม ใหญก็ตาม, ปาน กลางก็ตาม ต่ําเตี้ยก็ตาม, หรือผอมพีก็ตาม; ทิฏฐา วา เย จะ อะทิฏฐา เย จ ทูเร วะสันติ อะวิทูเร, ภูตา วา สัมภะเวสี วา สัพเพ สัตตา ภะวันตุ สุขิตตั ตา,


๓๗ สัตวเหลาใด ที่เราเห็นแลว หรือมิไดเห็นก็ตาม, ที่อยูใกลก็ตาม หรือที่ อยูไกลออกไปก็ตาม, ที่เกิดแลวก็ตาม หรือยังแสวงหาที่เกิดอยูก็ตาม, ขอสรรพสัตวทั้งหลายเหลานัน้ , จงเปนผูมีตนถึงซึ่งความสุขเถิด; นะ ปะโร ปะรัง นิกพุ เพถะ นาติมญ ั เญถะ กัตถะจิ นัง กิญจิ, พ๎ยาโรสะนา ปะฏีฆะสัญญา นาญญะมัญญัสสะ ทุกขะมิจเฉยยะ, สัตวอื่น ไมพึงขมเหงสัตวอื่น, และไมพึงดูหมิ่นอะไร ๆ เขา ในทีใ่ ด ๆ ใหอีกฝายหนึ่งเปนทุกข, ดวยความกริ้วโกรธ และดวยขัดเคืองใจ; มาตา ยะถา นิยัง ปุตตัง อายุสา เอกะปุตตะมะนุรักเข, เอวัมป สัพพะภูเตสุ มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง, มารดา ถนอมบุตรคนเดียวของตน, ขนาดยอมสละชีวิตแทนได ฉันใด, บุคคลก็พึงเจริญเมตตานี้ในใจ, แลวแผไปในสรรพสัตวทั้งหลาย โดยไมมี ประมาณ ฉันนัน้ ; เมตตัญจะ สัพพะโลกัส๎มิง มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง, อุทธัง อะโธ จะ ติริยัญจะ อะสัมพาธัง อะเวรัง อะสะปตตัง, บุคคลพึงเจริญเมตตา ซึ่งเปนธรรมอันไมคบั แคบ ไมมีเวร ไมมีศัตรู ไปในโลกทั้งสิ้น อยางไมมีประมาณ, ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ํา และเบื้องขวาง; ติฏฐัญจะรัง นิสินโน วา สะยาโน วา ยาวะตัสสะ วิคะตะมิทโธ, เอตัง สะติง อะธิฏเฐยยะ พ๎รห๎มะเมตัง วิหารัง อิธะมาหุ, ผูเจริญเมตตาจิตนั้น ยอมยืนก็ดี เที่ยวไปก็ดี นั่งแลวก็ดี นอนแลวก็ดี, ถายังไมงวงเพียงใด ก็พงึ ตั้งสติระลึกถึงเมตตาเพียงนัน้ , บัณฑิตทั้งหลาย กลาวกิริยาอันนี้วา เปนพรหมวิหาร ในศาสนานี;้ ทิฏฐิญจะ อะนุปะคัมมะ สีละวา ทัสสะเนนะ สัมปนโน, กาเมสุ วิเนยยะ เคธัง นะ หิ ชาตุ คัพภะเสยยัง ปุนะเรตีติ. บุคคลที่มีเมตตาพรหมวิหาร, ไมมที ิฏฐิ เปนผูมีศีล, ถึงพรอมแลวดวย ญาณทัสสนะ, นําความกําหนัดในกามทั้งหลายออกเสียได, ยอมไมกลับ มาเกิดอีกโดยแททีเดียว, ดังนี้.


๓๘ ๑๑. โมรปริตตัง (หันทะ มะยัง โมระปะริตตัง ภะณามะ เส.) ****** อุเทตะยัญจักขุมา เอกะราชา หะริสสะวัณโณ ปะฐะวิปปะภาโส, พระอาทิตย อันเปรียบประดุจดวงตาของโลก มีสีเพียงดังทอง คอยสอง แสงใหความสวางแกโลก, ตัง ตัง นะมัสสามิ หะริสสะวัณณัง ปะฐะวิปปะภาสัง ตะยัชชะ คุตตา วิหะเรมุ ทิวะสัง, ขาพเจาขอระลึกถึงคุณแหงพระอาทิตยนั้น ทีค่ อยใหแสงสวางแกขาพเจา ขอใหขาพเจาพึงอยูเปนสุขตลอดทั้งวัน, เย พ๎ราห๎มะณา เวทะคุ สัพพะธัมเม เต เม นะโม เต จะ มัง ปาละยันตุ, ผูลอยบาปออกจากใจเหลาใด ซึ่งเปนผูเขาถึงธรรมทั้งปวง, ขอใหผูลอย บาปออกจากใจเหลานั้น จงรับความนอบนอมของขาพเจา และขอให ทานทั้งหลาย จงแผบารมีมารักษาขาพเจาดวย, นะมัตถุ พุทธานัง นะมัตถุ โพธิยา, ขาพเจาขอนอบนอมแดพระพุทธเจาทั้งหลาย, ขอนอบนอมแดพระโพธิญาณ, นะโม วิมุตตานัง นะโม วิมุตติยา, ขาพเจาขอนอบนอมแดทานผูพ น จากกิเลสแลวทั้งหลาย, ขอนอบนอมแด วิมุตติธรรม (คือธรรมเครื่องพนทุกข), อิมัง โส ปะริตตัง กัต๎วา โมโร จะระติ เอสะนา. นกยูงทองนัน้ เมื่อไดสวดพระปริตรนี้แลว จึงไดเที่ยวบินไปเพื่อหาอาหาร. (เมื่อกลับมาจากหาอาหารในเวลาเย็น ก็ไดกลาวสวดนอบนอมอีกวา) อะเปตะยัญจักขุมา เอกะราชา หะริสสะวัณโณ ปะฐะวิปปะภาโส, พระอาทิตย อันเปรียบประดุจดวงตาของโลก มีสีเพียงดังทองคอยสอง แสงใหความสวางแกโลกและกําลังจะลับขอบฟาไปในบัดนี้,


๓๙ ตัง ตัง นะมัสสามิ หะริสสะวัณณัง ปะฐะวิปปะภาสัง ตะยัชชะ คุตตา วิหะเรมุ รัตติง, ขาพเจาขอระลึกถึงคุณแหงพระอาทิตยนั้น ที่คอยใหแสงสวาง แกขาพเจา ขอใหขาพเจาพึงอยูเปนสุขตลอดทั้งคืน, เย พ๎ราห๎มะณา เวทะคุ สัพพะธัมเม เต เม นะโม เต จะ มัง ปาละยันตุ, ผูลอบบาปออกจากใจเหลาใด ซึ่งเปนผูเขาถึงธรรมทั้งหลาย, ขอใหผูลอย บาปออกจากใจเหลานั้น จงรับความนอมนอมของขาพเจา และขอใหทาน จงแผบารมีมารักษาขาพเจาดวย, นะมัตถุ พุทธานัง นะมัตถุ โพธิยา นะโม วิมุตตานัง นะโม วิมุตติยา, ขาพเจาขอนอบนอมแดพระพุทธเจาทัง้ หลาย, ขอนอบนอมแดพระโพธิญาณ, ขาพเจาขอนอบนอม แดทานผูพ น จากกิเลสทั้งหลาย, ขอนอบนอมแด วิมุตติธรรม (คือธรรมเครื่องพนทุกข), อิมัง โส ปะริตตัง กัต๎วา โมโร วาสะมะกัปปะยีติ. นกยูงทองนัน้ ไดสวดพระปริตรอันนี้แลว จึงไดอยูอยางสุขสบาย แล.

๑๒. ขันธปริตตัง (หันทะ มะยัง ขันธะปะริตตัง ภะณามะ เส.) ****** วิรูปกเขหิ เม เมตตัง เมตตัง เอราปะเถหิ เม, ฉัพ๎ยาปุตเตหิ เม เมตตัง เมตตัง กัณหาโคตะมะเกหิ เม, เราขอเปนมิตรและขอแผเมตตาจิตไปถึงพญางู พญานาคทั้ง ๔ ตระกูล, อันไดแกพญางูพญานาคในสกุลวิรปู กข ในสกุลเอราบถ ในสกุลฉัพยา บุตร และในสกุลกัณหาโคตมกะ, อะปาทะเกหิ เม เมตตัง เมตตัง ทิปาทะเกหิ เม, จะตุปปะเทหิ เม เมตตัง เมตตัง พะหุปปะเทหิ เม, ตลอดทั้งสัตวที่ไมมีเทา สัตว ๒ เทา สัตว ๔ เทา และสัตวมากเทา ดวยกันทั้งหมดทั้งสิ้น,


๔๐ มา มัง อะปาทะโก หิงสิ มา มัง หิงสิ ทิปาทะโก, มา มัง จะตุปปะโท หิงสิ มา มัง หิงสิ พะหุปปะโท, สัตวไมมีเทา ขออยาไดเบียดเบียนเรา, สัตว ๒ เทา ขออยาไดเบียดเบียน เรา, สัตว ๔ เทา ขออยาไดเบียดเบียนเรา, สัตวมีเทามาก ขออยาได เบียดเบียนเรา, สัพเพ สัตตา สัพเพ ปาณา สัพเพ ภูตา จะ เกวะลา, สัพเพ ภัทร๎ านิ ปสสันตุ มา กิญจิ ปาปะมาคะมา, ขอใหสรรพสัตวทั้งหลาย ที่เกิดมาทุกหมูเหลา จงประสบแตความสุข ความเจริญ, อยาไดถึงความชั่วชาใด ๆ เลย, อัปปะมาโณ พุทโธ อัปปะมาโณ ธัมโม อัปปะมาโณ สังโฆ, พระพุทธเจาทรงพระคุณมากมาย อันหาประมาณมิได, พระธรรมมีคุณ มากมายอันหาประมาณมิได, พระสงฆมีคุณมากมายอันหาประมาณมิได, ปะมาณะวันตานิ สิรงิ สะปานิ อะหิ วิจฉิกา สะตะปะที อุณณานาภี, สะระพู มูสิกา กะตา เม รักขา กะตา เม ปะริตตา, สัตวเลื้อยคลานทั้งหลาย อาทิเชน งู แมลงปอง ตะเข็บตะขาบ แมงมุม ตุกแกและหนู ถึงแมวาจะมีอยูจาํ นวนมาก, ขาพเจาไดทําการอารักขา คุมครอง ปองกันแลว, ปะฏิกกะมันตุ ภูตานิ, ขอหมูสัตวทั้งหลาย จงหลีกไปเสียเถิด, โสหัง นะโม ภะคะวะโต นะโม สัตตันนัง สัมมาสัมพุทธานัง. ขาพเจานั้น จะทําความนอบนอมพระผูมีพระภาคเจา, และทําความนอบ นอมพระสัมมาสัมพุทธเจาทั้ง ๗ พระองค๑,

๑. พระพุทธเจา ๗ องค คือ: ๑ วิปสสีพระพุทธเจา, ๒ สิขีพระพุทธเจา, ๓ เวสสภู พระพุทธเจา, ๔ กกุสันธพระพุทธเจา, ๕ โกนาคมนพระพุทธเจา, ๖ กัสสปพระพุทธเจา, ๗ อังคีรสพระพุทธเจา,


๔๑ ๑๓. ธารณปริตตัง (หันทะ มะยัง ธาระณะปะริตตัง ภะณามะ เส.) ****** พุทธานัง ชีวิตัสสะ นะ สักกา เกนะจิ อันตะราโย กาตุง ตะถา เม โหตุ, ชีวิตของพระพุทธเจาทั้งหลาย อันใครๆ ไมอาจกระทําอันตรายได ฉันใด, ขอชีวิตความเปนอยูแหงขาพเจา จงเปนเหมือนอยางนั้นเถิด, อะตีตัง เส อะนาคะตัง เส ปจจุปปนนัง เส พุทธัสสะ ภะคะวะโต อัปปะฏิหะตะญาณัง, อันวาญาณทีไ่ มมีเครื่องกระทบ ของพระพุทธเจาผูมีโชค ยอมมี ในอดีต ในอนาคต และในปจจุบัน, อิเมหิ ตีหิ ธัมเมหิ สะมันนาคะตัสสะ พุทธัสสะ ภะคะวะโต, สัพพัง กายะกัมมัง สัพพัง วะจีกัมมัง สัพพัง มะโนกัมมัง ญาณะปุพพังคะมัง ญาณานุปะริวัตตัง, อันกายกรรมทั้งปวง วจีกรรมทั้งปวง มโนกรรมทั้งปวง ของพระพุทธเจา ผูมีโชค ผูป ระกอบแลวดวยธรรมทั้ง ๓ เหลานี้ มีญาณเปนประธาน เปนไปตามญาณ, อิเมหิ ฉะหิ ธัมเมหิ สะมันนาคะตัสสะ พุทธัสสะ ภะคะวะโต, นัตถิ ฉันทัสสะ หานิ, นัตถิ ธัมมะเทสะนายะ หานิ, นัตถิ วิริยัสสะ หานิ, นัตถิ วิปสสะนายะ หานิ, นัตถิ สะมาธิสสะ หานิ, นัตถิ วิมุตติยา หานิ, ความเสื่อมถอยนอยลง ของประโยชนทปี่ ระสงค, ความเสื่อมถอยนอยลง แหงการแสดงธรรม, ความเสื่อมถอยนอยลง แหงความเพียร, ความเสื่อม ถอยนอยลง แหงวิปสสนาญาณ, ความเสื่อมถอยนอยลง แหงสมาธิ, ความเสื่อมถอยนอยลง แหงความหลุดพน, ยอมไมมีแกพระพุทธเจา ผูมีบุญ ผูประกอบแลวดวยธรรม ๖ ประการเหลานี้, อิเมหิ ท๎วาทะสะหิ ธัมเมหิ สะมันนาคะตัสสะ พุทธัสสะ ภะคะวะโต, นัตถิ ทะวา, นัตถิ ระวา, นัตถิ อัปผุฏฏัง, นัตถิ เวคายิตัตตัง, นัตถิ พะยาวะฏะมะโน, นัตถิ อัปปะฏิสังขารุเปกขา,


๔๒ การพูดเลน, การพูดพลั้งเผลอโดยขาดสติ, ความไมแพรหลายใน เญยธรรมหาประการ, การกระทําใด ๆ อยางผลุนผลัน โดยไมมีการ พิจารณาเสียกอน, ความมีใจวุน วายดวยกิเลส, การกระทําที่ไมมีอุเบกขา ในเตภูมิสังขาร, ยอมไมมีแกพระพุทธเจา ผูมโี ชค ผูประกอบแลวดวย ธรรม ๑๒ ประการเหลานี้, อิเมหิ อัฏฐาระสะหิ ธัมเมหิ สะมันนาคะตัสสะ พุทธัสสะ ภะคะวะโต, นะโม สัตตันนัง สัมมาสัมพุทธานัง, ความนอบนอม จงมีแดพระผูมพี ระภาคเจา ผูต รัสรูแลว ผูประกอบดวย ธรรม ๑๘ ประการเหลานี้ และพระสัมมาสัมพุทธเจาอีก ๗ พระองค, นัตถิ ตะถาคะตัสสะ กายะทุจจะริตัง, นัตถิ ตะถาคะตัสสะ วะจีทุจจะริตัง, นัตถิ ตะถาคะตัสสะ มะโนทุจจะริตัง, กายทุจริต ยอมไมมีแกพระตถาคต, วจีทุจริต ยอมไมมีแกพระตถาคต, มโนทุจริต ยอมไมมีแกพระตถาคต, นัตถิ อะตีตัง เส พุทธัสสะ ภะคะวะโต ปะฏิหะตะญาณัง, นัตถิ อะนาคะตัง เส พุทธัสสะ ภะคะวะโต ปะฏิหะตะญาณัง, นัตถิ ปจจุปปนนัง เส พุทธัสสะ ภะคะวะโต ปะฏิหะตะญาณัง, ญาณอันมีเครื่องกระทบ ของพระพุทธเจาผูมีบญ ุ ในอดีต ยอมไมมี, ญาณอันมีเครื่องกระทบ ของพระพุทธเจาผูมีบญ ุ ในอนาคต ยอมไมมี, ญาณอันมีเครื่องกระทบ ของพระพุทธเจาผูมีบญ ุ ในปจจุบนั ยอมไมม,ี นัตถิ สัพพัง กายะกัมมัง ญาณานุปุพพัง คะมัง ญาณัง นานุปะริวัตตัง, นัตถิ สัพพัง วะจีกัมมัง ญาณานุปุพพัง คะมัง ญาณัง นานุปะริวัตตัง, นัตถิ สัพพัง มะโนกัมมัง ญาณานุปุพพัง คะมัง ญาณัง นานุปะริวัตตัง, กายกรรมทั้งปวง ไมมีญาณเปนประธาน ไมเปนไปตามญาณ, วจีกรรม ทั้งปวง ไมมญ ี าณเปนประธาน ไมเปนไปตามญาณ, มโนกรรมทั้งปวง ไม มีญาณเปนประธาน ไมเปนไปตามญาณ, ยอมไมมีแกพระพุทธเจาผูม ีบุญ, อิมัง ธาระณัง อะมิตัง อะสะมัง สัพพะสัตตานัง ตะณัง เลณัง สังสาระ ภะยะภีตานัง อัคคัง มะหาเตชัง,


๔๓ ธารณปริตรนี้ ไมมีเครื่องเทียบ ไมมีเครื่องเสมอเหมือน เปนที่ตานทาน เปนที่หลบซอน ของสัตวผูกลัวในสังสารวัฏทั้งหลาย, ประเสริฐมีเดชมาก, อิมัง อานันทะ ธาระณะปะริตตัง ธาเรหิ วาเรหิ ปะริปุจฉาหิ, ดูกอนอานนท ทานจงทองจดจํา สอบถามซึ่งธารณปริตรนี้, ตัสสะ กาเย วิสัง นะ กะเมยยะ, อุทะเกนะ ลัคเคยยะ, อัคคิ นะ ทะเหยยะ, นานาภะยะวิโก, นะ เอกาหาระโก, นะ ทะวิหาระโก, นะ ติหาระโก, นะ จะตุหาระโก, ยาพิษ จะพึงกล้ํากรายทีก่ ายของผูสวดธารณปริตรนั้นไมได, ผูสวดธารณ ปริตรนัน้ ไมพึงตายดวยน้ํา, ไฟไมพึงไหม เปนผูพน ภัยตางๆ, ใครคิดราย ในวันเดียวก็ไมสําเร็จ, คิดทําลายในสองวัน สามวัน สี่วัน.... ก็ไมสําเร็จ, นะ อุมมัตตะกัง นะ มุฬ๎หะกัง มะนุสเสหิ อะมะนุสเสหิ นะ หิงสะกา, ไมพึงเปนบาใบ ไมพึงเปนคนหลงลืม, อันมนุษยและอมนุษยทั้งหลาย ไมสามารถเบียดเบียนได, ตัง ธาระณัง ปะริตตัง ยะถา กะตะเม, ชาโล มะหาชาโล ชาลิตเต มะหาชาลิตเต, ปุคเค มะหาปุคเค, สัมปตเต มะหาสัมปตเต, ภูตัง คะมะหิ ตะมังคะลัง, ธารณปริตรนี้ มีความศักดิ์สิทธิ์ คือ ชาโล มีอานุภาพเหมือนพระอาทิตย ประชุมกัน ๗ ดวง ที่ขึ้นมาในเวลาโลกาวินาศ, มหาชาโล มีอานุภาพ เหมือนมุงเหล็กที่สามารถปองกันภัยจากเทวดา อินทร นาค ครุฑ ยักษ เปนตน, ชาลิตเต มีอานุภาพประหารศัตรูทงั้ หลาย, มหาชาลิตเต มีอานุภาพใหพนจากกัปทั้ง ๓ คือโรคันตรกัป สัตถันตรกัป และทุพภิก ขันตรกัป, มีอานุภาพใหพนจากโรคตาง ๆ ในเวลาปฏิสนธิ คือ การเปนใบ เปนคนพิการ เปนคนหูหนวก, อีกทั้งไมพึงตกตนไม ตกเหว ตกเขา ตาย, สามารถไดสมบัติที่ยังไมได, ทรัพยสมบัติที่ไดมาแลว ก็เจริญขึ้น โดยความเปนจริง, สามารถประหารความมืด แลวไดความสวาง, อิเม โข ปะนานันทะ ธาระณะปะริตตัง สัตตะสะตาหิ สัมมาสัมพุทธะ โกฏีหิ ภาสิตัง,


๔๔ ดูกอนอานนท ! ก็ธารณปริตรนีแ้ ล อันพระสัมมาสัมพุทธเจา ๗ รอยโกฏิ พระองค ไดตรัสไวแลว, วัตเต อะวัตเต, คันธะเว อะคันธะเว, โนเม อะโนเม, เสเว อะเสเว, กาเย อะกาเย, ธาระเณ อะธาระเณ, อิลลิ มิลลิ ติลลิ อะติลลิ, โยรุกเข มะหาโยรุกเข, ภูตัง คะมะหิ ตะมังคะลัง, พึงสมาคมคนดี ไมพงึ สมาคมคนชั่ว, พึงนํามาซึ่งกลิน่ และรสอันเปน ธรรม, พึงนอมนํามาซึง่ น้ําใจดี ไมพึงนอมนํามาซึ่งน้ําใจราย, พึงทํากาย ใหเปนกายดี, พึงนํามาแตสิ่งอันเปนกุศล ไมพึงนํามาซึ่งสิ่งอันเปนอกุศล, พึงฟงแตสิ่งที่ดี ไมพึงฟงสิ่งที่ไมดี, พึงเห็นแตนมิ ิตดี ไมพึงเห็นนิมิตราย, โยรุกเข ตนไมที่ตายแลว สามารถฟนคืนมาได, มหาโยรุกเข ตนไมที่ยงั เปนอยู ก็ทําใหเจริญงอกงามโดยความเปนจริง, สามารถประหารความ มืดแลวไดความสวาง, อิเม โข ปะนานันทะ ธาระณะปะริตตัง, นะวะ นะ วุฒิยา สัมมา สัมพุทธะโกฏีหิ ภาสิตัง, ทิฏฐิลา ฑัณทิลา มันติลา โรคิลา ขะระลา ทุพพิลา, ดูกอนอานนท ! ก็ธารณปริตรนี้แล พระสัมมาสัมพุทธเจา ตรัสไวแลว, สามารถรูความคิดรายของผูอื่น, อาวุธตางๆ มีเครื่องประหาร เชน มีด หอก ปน ไฟ เปนตน ไมสามารถทําอันตรายได, มันติลา สามารถทํา มนตคาถาใหมีความศักดิ์สิทธิ์ขึ้น, สามารถประหารโรคตาง ๆ ได, และ โรครายแรงตาง ๆ ไมอาจทําอันตรายได, ทุพพิลา สามารถหลุดพนจาก เครื่องผูกมัด, เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เม โหตุ สัพพะทา. ดวยอํานาจแหงสัจจะวาจานี้ ขอความสวัสดี จงมีแกขาพเจาทุกเมื่อ.


๔๕ ๑๔. โพชฌังคปริตรตัง (หันทะ มะยัง โพชฌังคะปะริตตัง ภะณามะ เส.) ****** โพชฌังโค สะติสังขาโต ธัมมานัง วิจะโย ตะถา, วิริยัมปติปสสัทธิโพชฌังคา จะ ตะถาปะเร, สะมาธุเปกขะโพชฌังคา สัตเตเต สัพพะทัสสินา, มุนินา สัมมะทักขาตา ภาวิตา พะหุลีกะตา, สังวัตตันติ อะภิญญายะ นิพพานายะ จะ โพธิยา, โพชฌงค ๗ ประการเหลานี้คือ : สติสัมโพชฌงค ธรรมวิจยะสัมโพชฌงค วิริยะสัมโพชฌงค ปติสัมโพชฌงค ปสสัทธิสัมโพชฌงค สมาธิสัม โพชฌงค อุเบกขาสัมโพชฌงค; อันพระมุนีเจาผูเห็นธรรมทั้งสิ้น ตรัสไว ชอบแลว, ที่บุคคลมาเจริญ ทําใหมากแลว, ยอมเปนไปเพื่อความรูย ิ่ง เพื่อพระนิพพาน และเพื่อความตรัสรู; เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต๑ โหตุ สัพพะทา. ดวยการกลาวคําสัตยนี้ ขอความสวัสดี จงมีแกทานทุกเมื่อ. เอกัส๎มิง สะมะเย นาโถ โมคคัลลานัญจะ กัสสะปง, คิลาเน ทุกขิเต ทิส๎วา โพชฌังเค สัตตะ เทสะยิ, เต จะ ตัง อะภินันทิต๎วา โรคา มุจจิงสุ ตังขะเณ, สมัยหนึ่ง พระโลกนาถเจา ทอดพระเนตรพระมหาโมคคัลลานะ และ พระมหากัสสปะ ผูอาพาธ ไดรับทุกขเวทนาแลว, ทรงแสดงโพชฌงค ๗ ประการ, ทานทั้ง ๒ ชื่นชมภาษิตนั้น หายจากโรคในขณะนั้นเอง; เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต๑ โหตุ สัพพะทา. ดวยการกลาวคําสัตยนี้ ขอความสวัสดี จงมีแกทานทุกเมื่อ. เอกะทา ธัมมะราชาป เคลัญเญนาภิปฬิโต, จุนทัตเถเรนะ ตัญเญวะ ภะณาเปต๎วานะ สาทะรัง, สัมโมทิต๎วา จะ อาพาธา ตัมหา วุฏฐาสิ ฐานะโส,


๔๖ ครั้งหนึ่ง แมพระผูมีพระภาคเจา ผูเปนธรรมราชา อันความประชวร เบียดเบียนเอาแลว, รับสั่งใหพระจุนทเถระ แสดงโพชฌงคนนั้ โดย เอื้อเฟอ, ก็ทรงบันเทิงพระหฤทัย หายจากพระประชวรนัน้ โดยพลัน; เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต๑ โหตุ สัพพะทา. ดวยการกลาวคําสัตยนี้ ขอความสวัสดี จงมีแกทานทุกเมื่อ. ปะหีนา เต จะ อาพาธา ติณณันนัมป มะเหสินัง, มัคคาหะตะกิเลสา วะ ปตตานุปปตติธัมมะตัง, ก็อาพาธทั้งหลายนั้น, อันพระมหาฤาษีทั้ง ๓ องค ละไดแลว, ถึงความ ไมบังเกิดเปนธรรมดา ดุจกิเลสอันมรรคกําจัดเสียแลว ฉะนั้น; เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต๑ โหตุ สัพพะทา. ดวยการกลาวคําสัตยนี้ ขอความสวัสดี จงมีแกทานทุกเมื่อ.

หมายเหตุ : ๑. ถาสวดใหตัวเอง เปลี่ยน เต ใหเปน เม, คําแปล เปลี่ยน แกทาน ใหเปน แกขาพเจา.


๔๗

ภาค ๓ ๑. อนุโมทนารัมภคาถาแปล ****** ยะถา วาริวะหา ปูรา ปะริปูเรนติ สาคะรัง, หวงน้ําที่เต็มยอมยังสมุทร สาครใหบริบรู ณได ฉันใด, เอวะเมวะ อิโต ทินนัง เปตานัง อุปะกัปปะติ, ทานที่ทานอุทิศใหแลว แตในโลกนี้ ยอมสําเร็จประโยชนแกผูที่ละโลกนี้ไปแลว ได ฉันนั้น, อิจฉิตัง ปตถิตงั ตุมหัง, ขออิฏฐผลที่ทานปรารถนาแลว ตั้งใจ แลว, ขิปปะเมวะ สะมิชฌะตุ, จงสําเร็จโดยฉับพลัน, สัพเพ ปูเรนตุ สังกัปปา, ขอความดําริทั้งปวงจงเต็มที่, จันโท ปณณะระโส ยะถา, เหมือน พระจันทรในวันเพ็ญ, มะณิ โชติระโส ยะถา, เหมือนแกวมณีอันสวางไสว ควรยินดี.

๒. สามัญญานุโมทนาคาถาแปล ****** สัพพีติโย วิวัชชันตุ, ความจัญไรทั้งปวง จงบําราศไป, สัพพะโรโค วินัสสะตุ โรคทั้งปวงของทานจงหาย, มา เต ภะวัตวันตะราโย, อันตราย อยามีแกทาน, สุขี ทีฆายุโก ภะวะ, ทานจงเปนผูมคี วามสุข มีอายุยืน, อะภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน, จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง, ธรรมสี่ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พะละ, ยอมเจริญแกบุคคลผูมปี กติไหวกราบ, มีปกติออ นนอมตอผูใหญเปนนิจ.


๔๘ ๓. มงคลจักรวาลนอยแปล ****** สัพพะพุทธานุภาเวนะ, ดวยอานุภาพแหงพระพุทธเจาทั้งปวง, สัพพะธัม มานุภาเวนะ, ดวยอานุภาพแหงพระธรรมทัง้ ปวง, สัพพะสังฆานุภาเวนะ, ดวยอานุภาพแหงพระสงฆทั้งปวง, พุทธะระตะนัง ธัมมะระตะนัง สังฆะ ระตะนัง ติณณัง ระตะนานัง อานุภาเวนะ, ดวยอานุภาพแหงรัตนะ ๓ คือ พุทธรัตนะ ธัมมรัตนะ สังฆรัตนะ, จะตุราสีติสะหัสสะธัมมักขันธานุภาเวนะ, ดวยอานุภาพแหงพระธรรมขันธแปดหมื่นสี่พนั , ปฏะกัตตะยานุภาเวนะ, ดวย อานุภาพแหงพระไตรปฎก, ชินะสาวะกานุภาเวนะ, ดวยอานุภาพแหงพระสาวก ของพระชินเจา, สัพเพ เต โรคา, สรรพโรคทั้งปวงของทาน, สัพเพ เต ภะยา, สรรพภัยทั้งปวงของทาน, สัพเพ เต อันตะรายา, สรรพอันตรายทั้ง ปวงของทาน, สัพเพ เต อุปท ทะวา, สรรพอุปทวะทัง้ ปวงของทาน, สัพเพ เต ทุนนิมติ ตา, สรรพนิมิตรายทัง้ ปวงของทาน, สัพเพ เต อะวะมังคะลา, สรรพอวมงคลทั้งปวงของทาน, วินัสสันตุ, จงพินาศไป, อายุวัฑฒะโก, ความ เจริญอายุ, ธะนะวัฑฒะโก, ความเจริญทรัพย, สิริวัฑฒะโก, ความเจริญศิริ, ยะสะวัฑฒะโก, ความเจริญยศ, พะละวัฑฒะโก, ความเจริญกําลัง, วัณณะ วัฑฒะโก, ความเจริญวรรณะ, สุขะวัฑฒะโก, ความเจริญสุข, โหตุ สัพพะทา, จงมีแกทาน ในกาลทุกเมื่อ, ทุกขะโรคะภะยา เวรา, ทุกขโรคภัย และเวรทั้งหลาย, โสกา สัตตุจุปททะวา, ความโศก ศัตรูแลอุปทวะทัง้ หลาย, อะเนกา อันตะรายาป, ทั้งอันตรายทั้งหลายเปนอเนก, วินัสสันตุ จะ เตชะสา, จงพินาศไปดวยเดช, ชะยะสิทธิ ธะนัง ลาภัง, ความชํานะ ความสําเร็จ ทรัพย ลาภ, โสตถิ ภาค๎ยัง สุขัง พะลัง, ความสวัสดี ความ โชคดี ความสุข กําลัง, สิริ อายุ จะ วัณโณ จะ, ศิริอายุแลวรรณะ, โภคัง วุฑฒี จะ ยะสะวา, โภคะความเจริญแลความเปนผูมียศ, สะตะวัสสา จะ อายู จะ, แลอายุยืนรอยป, ชีวะสิทธี ภะวันตุ เต, แลความสําเร็จกิจ ในความเปนอยู จงมีแกทาน.


๔๙ ๔. กาลทานสุตตคาถาแปล ****** กาเล ทะทันติ สะปญญา วะทัญู วีตะมัจฉะรา, กาเลนะ ทินนัง อะริเยสุ อุชุภูเตสุ ตาทิสุ, วิปปะสันนะมะนา ตัสสะ วิปุลา โหติ ทักขิณา, ทายกทั้งหลายเหลาใด, เปนผูมปี ญญา มีปกติรจู ักคําพูด ปราศจาก ความตระหนี่, มีใจเลือ่ มใสแลว ในพระอริยเจาทั้งหลาย ซึ่งเปนผูตรงคงที่, บริจาคทาน ทําใหเปนของที่ตนถวายโดยกาลนิยมในกาลสมัย, ทักษิณาของ ทายกนั้น เปนคุณสมบัติมีผลไพบูลย, เย ตัตถะ อะนุโมทันติ เวยยาวัจจัง กะโรนติ วา, ชนทั้งหลายเหลาใด อนุโมทนาหรือชวยกระทําการขวนขวายใน ทานนัน้ , นะ เตนะ ทักขิณา โอนา, ทักษิณาทานของเขามิไดบกพรองไป ดวยเหตุนั้น, เตป ปุญญัสสะ ภาคิโน, ชนทัง้ หลายแมเหลานั้น ยอมเปนผูมี สวนแหงบุญนั้นดวย, ตัส๎มา ทะเท อัปปะติวานะจิตโต ยัตถะ ทินนัง มะหัปผะลัง, เหตุนนั้ ทายกควรเปนผูมจี ิตไมทอถอย, ใหในที่ใดมีผลมาก ควรใหในที่นนั้ , ปุญญานิ ปะระโลกัส๎มิง ปะติฏฐา โหนติ ปาณินันติ, บุญยอมเปนที่พึ่งอาศัยของสัตวทั้งหลายในโลกหนา ฉะนี้แล.

๕. ติโรกุฑฑกัณฑปจฉิมภาคแปล ****** อะทาสิ เม อะกาสิ เม ญาติมิตตา สะขา จะ เม, บุคคลมา ระลึกถึงอุปการะที่ทานไดทําแกตนในกาลกอนวา ผูนี้ไดใหสิ่งนี้แกเรา, ผูนี้ไดทํา กิจนี้ของเรา, ผูนี้เปนญาติ เปนมิตร เปนเพื่อนของเรา, ดังนี้, เปตานัง ทักขิณงั ทัชชา ปุพเพ กะตะมะนุสสะรัง, ก็ควรใหทักษิณาทาน เพื่อผูที่ละโลกนี้ไป แลว, นะ หิ รุณณัง วา โสโก วา ยาวัญญา ปะริเทวะนา, การรองไห ก็ดี การเศราโศกก็ดี หรือการร่ําไรรําพันอยางอื่นก็ดี, บุคคลไมควรทําทีเดียว, นะ ตัง เปตานะมัตถายะ, เพราะวาการรองไหเปนตนนั้น, ไมสําเร็จประโยชน แกญาติทั้งหลาย ผูละโลกนีไ้ ปแลว, เอวัง ติฏฐันติ ญาตะโย, ญาติทั้งหลาย


๕๐ ยอมตั้งอยูอยางนั้น, อะยัญจะ โข ทักขิณา ทินนา, ก็ทักษิณานุปทานนี้แล อันทานใหแลว, สังฆัมหิ สุปะติฏฐิตา, ประดิษฐานไวดีแลวในสงฆ, ทีฆะรัตตัง หิตายัสสะ ฐานะโส อุปะกัปปะติ, ยอมสําเร็จประโยชนเกื้อกูลแกผูที่ละโลกนี้ ไปแลวนัน้ , ตลอดกาลนานตามฐานะ, โส ญาติธัมโม จะ อะยัง นิทัสสิโต, ญาติธรรมนีน้ ั้น ทานไดแสดงใหปรากฏแลว, เปตานะ ปูชา จะ กะตา อุฬารา, แลบูชาอันยิง่ ทานก็ไดทําแลว แกญาติทั้งหลายผูล ะโลกนี้ไปแลว, พะลัญจะ ภิกขูนะมะนุปปะทินนัง, กําลังแหงภิกษุทั้งหลาย ชื่อวาทานไดเพิ่ม ใหแลวดวย, ตุมเหหิ ปุญญัง ปะสุตัง อะนัปปะกันติ, บุญไมนอ ย ทาน ไดขวนขวายแลว ดังนี้แล.

๖. อัคคัปปสาทสุตตคาถาแปล ****** อัคคะโต เว ปะสันนานัง อัคคัง ธัมมัง วิชานะตัง, เมื่อบุคคลรูจกั ธรรมอันเลิศ เลื่อมใสแลวโดยความเปนของเลิศ, อัคเค พุทเธ ปะสันนานัง, เลื่อมใสแลวในพระพุทธเจาผูเลิศ, ทักขิเณยเย อะนุตตะเร, ซึ่งเปนทักขิไนย บุคคลอันเยีย่ มยอด, อัคเค ธัมเม ปะสันนานัง, เลือ่ มใสแลวในพระธรรม อันเลิศ, วิราคูปะสะเม สุเข, ซึ่งเปนธรรมปราศจากราคะ สงบระงับเปนสุข, อัคเค สังเฆ ปะสันนานัง, เลือ่ มใสแลวในพระสงฆผเู ลิศ, ปุญญักเขตเต อะนุตตะเร, ซึ่งเปนบุญเขตอยางยอด, อัคคัส๎มิง ทานัง ทะทะตัง, ถวาย ทานในทานผูเลิศนัน้ , อัคคัง ปุญญัง ปะวัฑฒะติ, บุญที่เลิศก็ยอมเจริญ, อัคคัง อายุ จะ วัณโณ จะ, อายุ วรรณะที่เลิศ, ยะโส กิตติ สุขงั พะลัง, แลยศเกียรติคุณ สุขะ พละ ที่เลิศยอมเจริญ, อัคคัสสะ ทาตา เมธาวี อัคคะธัมมะสะมาหิโต, ผูม ีปญญาตั้งมั่นในธรรมอันเลิศแลว, ใหทาน แกทานผูเปนบุญเขตอันเลิศ, เทวะภูโต มะนุสโส วา, จะไปเกิดเปนเทวดา หรือไปเกิดเปนมนุษยกต็ าม, อัคคัปปตโต ปะโมทะตีต,ิ ยอมถึงความเปนผู เลิศบันเทิงอยู ดังนี้แล.


๕๑ ๗. โภชนทานานุโมทนาคาถาแปล ****** อายุโท พะละโท ธีโร, ผูมปี ญ  ญา ใหอายุ ใหกําลัง, วัณณะโท ปะฏิภาณะโท, ใหวรรณะ ใหปฏิภาณ, สุขัสสะ ทาตา เมธาวี, ผูมีปญญาให ความสุข, สุขัง โส อะธิคัจฉะติ, ยอมไดประสพสุข, อายุง ทัต๎วา พะลัง วัณณัง สุขัญจะ ปะฏิภาณะโท, บุคคลผูใหอายุ พละ วรรณะ สุขะ แล ปฏิภาณ, ทีฆายุ ยะสะวา โหติ ยัตถะ ยัตถูปะปชชะตีติ, บังเกิดในที่ใด ๆ, ยอมเปนผูม อี ายุยืน มียศ ในที่นนั้ ๆ, ดังนี้.

๘. เทวตาทิสสทักขิณานุโมทนาคาถาแปล ****** ยัส๎มิง ปะเทเส กัปเปติ วาสัง ปณฑิตะชาติโย, บัณฑิตชาติสําเร็จ การอยูในประเทศสถานที่ใด, สีละวันเตตถะ โภเชต๎วา สัญญะเต พ๎รห๎มะ จาริโน, พึงเชิญเหลาทานที่มีศีลสํารวมระวังประพฤติพรหมจรรย เลี้ยงดูกนั ในทีน่ ั้น, ยา ตัตถะ เทวะตา อาสุง, เทวดาเหลาใด มีในที่นนั้ , ตาสัง ทักขิณะมาทิเส, ควรอุทิศทักษิณาทานเพื่อเทวดาเหลานั้นดวย, ตา ปูชิตา ปูชะยันติ, เทวดาที่ไดบูชาแลว ทานยอมบูชาบาง, มานิตา มานะยันติ นัง, ที่ไดนับถือแลว ยอมนับถือบาง, ตะโต นัง อะนุกัมปนติ, แตนนั้ ทานยอม อนุเคราะหเขา, มาตา ปุตตังวะ โอระสัง, ประหนึ่งมารดาอนุเคราะหบุตรอัน เปนโอรส ฉะนั้น, เทวะตานุกัมปโต โปโส, บุรุษไดอาศัยเทวดาอนุเคราะหแลว, สะทา ภัท๎รานิ ปสสะติ, ยอมเห็นกิจการอันเจริญทุกเมื่อ.


๕๒ ๙. เทวตาภิสัมมันตนคาถาแปล ****** ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ ภุมมานิ วา ยานิวะ อันตะลิกเข, หมูภูตเหลาใดเปนภูมเทวดาก็ดี, เหลาใดสถิตยแลวในอากาศก็ดี, ซึ่งมาประชุม กันแลวในทีน่ ี้, สัพเพวะ ภูตา สุมะนา ภะวันตุ, ขอหมูภูตเหลานัน้ ทั้งหมด เทียว จงเปนผูมจี ิตโสมนัส, อะโถป สักกัจจะ สุณันตุ ภาสิตัง, อนึ่ง จงฟง ภาษิตโดยเคารพ, สุภาสิตัง กิญจิป โว ภะเณมุ, เราจะกลาวสุภาษิตแมบาง ประการแกทานทั้งหลาย, ปุญเญ สะตุปปาทะกะรัง อะปาปง, ไมเปนบาป เปนเครื่องทําความเตือนสติในบุญ, ธัมมูปะเทสัง อะนุการะกานัง, เปนอุบาย เครื่องแนะนําอันชอบธรรมของบุคคลผูกระทําตามทั้งหลาย, ตัส๎มา หิ ภูตานิ สะเมนตุ สัพเพ, เพราะเหตุนนั้ แล หมูภูตทั้งปวงจงฟงเถิด, เมตตัง กะโรถะ มานุสิยา ปะชายะ, ทานทั้งหลายจงกระทําไมตรีจิตในหมูสตั วมนุษยชาติ, ภูเตสุ พาฬ๎หัง กะตะภิตติกายะ, ผูมีภักดีอันทําแลวมั่นในหมูภูต, ทิวา จะ รัตโต จะ หะรันติ เย พะลิง, มนุษยทั้งหลายเหลาใด ยอมกระทําพลีกรรม ใน กลางวันหรือกลางคืน, ปจโจปะการัง อะภิกังขะมานา, มุงหวังอยูซึ่งความ อุดหนุนตอบแทน, เต โข มะนุสสา ตะนุกานุภาวา, มนุษยทั้งหลาย เหลานั้นแล เปนผูมีอานุภาพนอย, ภูตา วิเสเสนะ มะหิทธิกา จะ, สวนภูต ทั้งหลายเปนผูมีฤทธิ์มากโดยแปลกกัน, อะทิสสะมานา มะนุเชหิ ญาตา, เปนพวกอทิสสมานกาย ที่มนุษยทั้งหลายรูจกั , ตัส๎มา หิ เน รักขะถะ อัปปะมัตตา, เพราะเหตุนั้นแล ทานทั้งหลายจงเปนผูไ มประมาท รักษามนุษย เหลานั้นเถิด.


๕๓ ๑๐. อาติยสุตตคาถาแปล ****** ภุตตา โภคา ภะตา ภัจจา, โภคะทั้งหลาย เราไดบริโภคแลว บุคคล ทั้งหลายที่ควรเลี้ยง เราไดเลี้ยงแลว, วิติณณา อาปะทาสุ เม, อันตราย ทั้งหลาย เราไดขามพนไปแลว, อุทธัคคา ทักขิณา ทินนา, ทักษิณาที่เจริญ ผล เราไดใหแลว, อะโถ ปญจะ พะลี กะตา, อนึ่ง พลีทั้งหา เราไดทําแลว, อุปฏฐิตา สีละวันโต สัญญะตา พ๎รห๎มะจาริโน, ทานผูมีศลี สํารวมแลว ประพฤติพรหมจรรย เราไดบาํ รุงแลว, ยะทัตถัง โภคะมิจเฉยยะ ปณฑิโต ฆะระมาวะสัง, บัณฑิตผูครองเรือน ปรารถนาโภคะเพื่อประโยชนอันใด, โส เม อัตโถ อะนุปปตโต, ประโยชนนั้น เราไดบรรลุแลว, กะตัง อะนะนุตาปยัง, กรรมไมเปนที่ตั้งแหงความเดือดรอนภายหลัง เราไดทําแลว, เอตัง อะนุสสะรัง มัจโจ อะริยะธัมเม ฐิโต นะโร, นรชนผูจะตองตาย เมื่อตามระลึกถึงคุณขอ นี้อยู ยอมเปนผูตั้งอยูในอริยธรรม, อิเธวะ นัง ปะสังสันติ, เทวดาและ มนุษยทั้งหลาย ยอมสรรเสริญนรชนนั้น ในโลกนี,้ เปจจะ สัคเค ปะโมทะตีติ, นรชนนัน้ ละโลกนีไ้ ปแลว ยอมบังเทิงในสวรรค ดังนี้.

๑๑. วิหารทานคาถาแปล ****** สีตัง อุณห๎ ัง ปะฏิหันติ, เสนาสนะยอมปองกันเย็นและรอน, ตะโต วาฬะมิคานิ จะ, แลสัตวราย, สิริงสะเป จะ มะกะเส, งูและยุง, สิสิเร จาป วุฏฐิโย, ฝนที่ตงั้ ขึ้นในสิสิระฤดู, ตะโต วาตาตะโป โฆโร, ลมและ แดดอันกลา, สัญชาโต ปะฏิหัญญะติ, เกิดขึ้นแลว ยอมบรรเทาไป, เลณัตถัญจะ สุขัตถัญจะ ฌายิตุง จะ วิปสสิตุง วิหาระทานัง สังฆัสสะ อัคคัง พุทเธหิ วัณณิตัง, การถวายวิหารแกสงฆ, เพื่อเรนอยู เพื่อความสุข เพื่อเพงพิจารณา และเพื่อเห็นแจง พระพุทธเจาทรงสรรเสริญวาเปนทานอันเลิศ,


๕๔ ตัส๎มา หิ ปณฑิโต โปโส, เพราะเหตุนนั้ แล บุรษุ ผูเปนบัณฑิต, สัมปสสัง อัตถะมัตตะโน, เมื่อเล็งเห็นประโยชนตน, วิหาเร การะเย รัมเม, พึงสราง วิหารอันรื่นรมย, วาสะเยตถะ พะหุสสุเต, ใหภิกษุทงั้ หลายผูเ ปนพหูสูตอยูใ น วิหารนัน้ เถิด, เตสัง อันนัญจะ ปานัญจะ วัตถะเสนาสะนานิ จะ ทะเทยยะ อุชุภูเตสุ วิปปะสันเนนะ เจตะสา, อนึ่ง พึงถวายขาวน้ําผาเสนาสนะแกทาน เหลานั้น ดวยน้ําใจอันเลื่อมใสในทานผูซื่อตรง, เต ตัสสะ ธัมมัง เทเสนติ สัพพะทุกขาปะนูทะนัง, ยัง โส ธัมมะมิธัญญายะ ปะรินิพพาต๎ยะนาสะโวติ, เขารูธรรมอันใดในโลกนีแ้ ลว จะเปนผูไมมีอาสวะปรินพิ พาน ทานยอมแสดง ธรรมนัน้ อันเปนเครื่องบรรเทาทุกขทงั้ ปวงแกเขา ดังนี้. ****** ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง, ขอสรรพมงคลจงมีแกทาน, รักขันตุ สัพพะ เทวะตา, ขอเหลาเทวดาทั้งปวงจงรักษาทาน, สัพพะพุทธานุภาเวนะ, ดวย อานุภาพแหงพระพุทธเจาทั้งปวง, สะทา โสตถี ภะวันตุ เต, ขอความสวัสดี ทั้งหลาย จงมีแกทานทุกเมื่อ. ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง, ขอสรรพมงคลจงมีแกทาน, รักขันตุ สัพพะ เทวะตา, ขอเหลาเทวดาทั้งปวงจงรักษาทาน, สัพพะธัมมานุภาเวนะ, ดวย อานุภาพแหงพระธรรมทัง้ ปวง, สะทา โสตถี ภะวันตุ เต, ขอความสวัสดี ทั้งหลาย จงมีแกทานทุกเมื่อ. ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง, ขอสรรพมงคลจงมีแกทาน, รักขันตุ สัพพะ เทวะตา, ขอเหลาเทวดาทั้งปวงจงรักษาทาน, สัพพะสังฆานุภาเวนะ, ดวย อานุภาพแหงพระสงฆทงั้ ปวง, สะทา โสตถี ภะวันตุ เต, ขอความสวัสดี ทั้งหลาย จงมีแกทานทุกเมื่อเทอญ.


๕๕

ภาค ๔ ๑. พุทธอัฏฐชัยมงคลคาถาแปล ****** พาหุง สะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง ค๎รีเมขะลัง อุทิตะโฆระสะเสนะมารัง ทานาทิธัมมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เม๑ ชะยะมังคะลานิ. ดวยเดชานุภาพของพระสัมมาสัมพุทธเจา ผูเปนจอมมุนี, ไดทรงชํานะ พญามาร ซึ่งไดเนรมิตแขนตั้งพัน, ถืออาวุธครบมือ ขี่ชางพลายคีรีเมขล พรอมดวยเสนามารโหรอ งกึกกอง, ดวยธรรมวิธีมีทานบารมีเปนตนนัน้ , ขอชัยมงคลทั้งหลาย จงมีแกขาพเจา. มาราติเรกะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง ขันตีสทุ ันตะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เม๑ ชะยะมังคะลานิ. ดวยเดชานุภาพของพระสัมมาสัมพุทธเจา ผูเปนจอมมุนี, ไดทรงชํานะ อาฬวกยักษผูดุราย, ผูมีจิตกระดางลําพอง หยาบชายิง่ กวาพญามาร, เขามารุกรานราวี ตลอดราตรีทั้งสิ้น, ดวยวิธีทรมานเปนอันดีดวยธรรมคือ ขันตินนั้ , ขอชัยมงคลทั้งหลาย จงมีแกขาพเจา. นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง เมตตัมพุเสกะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เม๑ ชะยะมังคะลานิ.


๕๖ ดวยเดชานุภาพของพระสัมมาสัมพุทธเจา ผูเปนจอมมุนี, ไดทรงชํานะ พญาชางนาฬาคิรี ซึ่งกําลังเมามัน รายแรงเหมือนไฟปาที่ลุกลาม, รอง โกญจนาทเหมือนฟาฟาด, ดวยวิธีรดลงดวยน้ําคือพระเมตตานัน้ , ขอชัย มงคลทั้งหลาย จงมีแกขาพเจา. อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง ธาวันติโยชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เม๑ ชะยะมังคะลานิ. ดวยเดชานุภาพของพระสัมมาสัมพุทธเจา ผูเปนจอมมุนี, ไดทรงชํานะ องคุลิมาลโจรผูทารุณรายกาจนัก ทัง้ ฝมือเยี่ยม, ควงดาบไลตามพระองค ไปตลอดทาง ๓ โยชน, ดวยอิทธิปาฏิหาริยน ั้น, ขอชัยมงคลทั้งหลาย จงมีแกขา พเจา. กัต๎วานะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะนะกายะมัชเฌ สันเตนะ โสมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เม๑ ชะยะมังคะลานิ. ดวยเดชานุภาพของพระสัมมาสัมพุทธเจา ผูเปนจอมมุนี, ไดทรงชํานะ นางจิญจมาณวิกา ที่ทํามารยาเสแสรงกลาวโทษพระองค, โดยผูกทอนไม กลมแนบเขากับทอง ทําเปนทองมีครรภแก, ดวยสมาธิวิธีคือความสงบ ในทามกลางประชุมชนนัน้ , ขอชัยมงคลทั้งหลาย จงมีแกขา พเจา. สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะกะวาทะเกตุง วาทาภิโรปตะมะนัง อะติอนั ธะภูตัง ปญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เม๑ ชะยะมังคะลานิ. ดวยเดชานุภาพของพระสัมมาสัมพุทธเจา ผูเปนจอมมุนี, ผูรุงเรืองดวย ดวงประทีปคือพระปญญา, ไดทรงชํานะสัจจกนิครนถ ผูมนี ิสัยตลบตะแลง มีสันดานโออวดมืดมน, ดวยพระปญญาดุจประทีปอันโชติชวงนั้น, ขอ ชัยมงคลทั้งหลาย จงมีแกขาพเจา.


๕๗ นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิง ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต อิทธูปะเทสะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เม๑ ชะยะมังคะลานิ. ดวยเดชานุภาพของพระสัมมาสัมพุทธเจา ผูเปนจอมมุนี, โปรดใหพระ โมคคัลลานเถระ พุทธชิโนรส, เนรมิตกายเปนนาคราช ไปทรมาน พญานาคราช ชื่อนันโทปนันทะ ผูมีฤทธิ์มาก แตมีความรูผิด, ดวยวิธี ทรงแนะนําการแสดงฤทธิ์นั้น, ขอชัยมงคลทั้งหลาย จงมีแกขาพเจา. ทุคคาหะทิฏฐิภชุ ะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง พ๎รห๎มัง วิสุทธิชตุ ิมิทธิพะกาภิธานัง ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เม๑ ชะยะมังคะลานิ. ดวยเดชานุภาพของพระสัมมาสัมพุทธเจา ผูเปนจอมมุนี, ไดทรงชํานะ พรหมผูม ีฤทธิ์ มีความสําคัญผิดวาเปนผูมีฤทธิ์ รุงเรืองดวยวิสุทธิคุณ ถือมั่นดวยมิจฉาทิฏฐิ เหมือนดังถูกงูรายกําลังรึงรัดไวแนนแฟน, ดวยวิธี ประทานยาพิเศษคือเทศนาญาณนัน้ , ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแกขา พเจา. เอตาป พุทธะชะยะมังคะละอัฏฐะคาถา โย วาจะโน ทินะทิเน สะระเต มะตันที หิต๎วานะเนกะวิวิธานิ จุปททะวานิ โมกขัง สุขงั อะธิคะเมยยะ นะโร สะปญโญ. นรชนใด ไมเกียจคราน สวดก็ดี ระลึกถึงก็ดี ซึ่งพระพุทธชัยมงคล ๘ คาถาแมเหลานี้ ทุก ๆ วัน, นรชนนั้น จะพึงละเสียไดซึ่งอุปทวันตราย ทั้งหลายมีประการตาง ๆ เปนอเนก, ถึงซึ่งวิโมกข (คือพระนิพพาน) อัน เปนบรมสุขแล.

หมายเหตุ : ๑. ถาสวดใหผูอื่น เปลี่ยน เม ใหเปน เต, คําแปล เปลี่ยน แกขาพเจา ใหเปน แกทาน.


๕๘ มะหาการุณิโก นาโถ หิตายะ สัพพะปาณินงั , ปูเรต๎วา ปาระมี สัพพา ปตโต สัมโพธิมุตตะมัง, พระพุทธเจา ผูเปนทีพ่ ึ่งของสัตวทั้งหลาย, ประกอบแลวดวยพระมหา กรุณาคุณ, ยังบารมีทั้งหลายทั้งปวงใหเต็มแลว, เพื่อประโยชนแกสรรพ สัตวทั้งหลาย, บรรลุถึงแลวซึ่งพระสัมโพธิญาณอันสูงสุด; เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เต๑ ชะยะมังคะลัง, ดวยการกลาวคําสัตยนี้, ขอชัยมงคล จงมีแกทา น; ชะยันโต โพธิยา มูเล สัก๎ยานัง นันทิวัฑฒะโน, เอวัง ต๎วัง วิชะโย โหหิ ชะยัสสุ ชะยะมังคะเล, อะปะราชิตะปลลังเก สีเส ปะฐะวิโปกขะเร, อะภิเสเก สัพพะพุทธานัง อัคคัปปตโต ปะโมทะติ, ขอทานจงมีชัยชนะในมงคลพิธี, เหมือนพระจอมมุนีทรงชนะมารทีโ่ คน โพธิพฤกษ, ถึงความเปนผูเลิศในสรรพพุทธาภิเษก ทรงปราโมทยอยูบน อปราชิตบัลลังกอันสูง เปนจอมมหาปฐพี, ทรงเพิ่มพูนความยินดีแก เหลาประยูรญาติศากยวงศ ฉะนั้น; สุนักขัตตัง สุมังคะลัง สุปะภาตัง สุหุฏฐิตงั , สุขะโณ สุมุหุตโต จะ สุยิฏฐัง พ๎รห๎มะจาริสุ, เวลาที่สัตวประพฤติชอบ ชื่อวา ฤกษดี มงคลดี, สวางดี รุงเรืองดี, และขณะดี ครูดี, บูชาดีแลว ในพรหมจารีบุคคลทั้งหลาย; ปะทักขิณัง กายะกัมมัง วาจากัมมัง ปะทักขิณัง, ปะทักขิณัง มะโนกัมมัง ปะณิธี เต ปะทักขิณา, กายกรรม เปนประทักษิณ สวนเบื้องขวา, วจีกรรม เปนประทักษิณ สวน เบื้องขวา, มโนกรรม เปนประทักษิณ สวนเบื้องขวา, ความปรารถนาของ ทาน เปนประทักษิณ สวนเบื้องขวา; ปะทักขิณานิ กัต๎วานะ ละภันตัตเถ ปะทักขิเณ. สัตวทั้งหลาย ทํากรรมอันเปนประทักษิณ สวนเบื้องขวาแลว, ยอมได ประโยชนทั้งหลาย อันเปนประทักษิณ สวนเบื้องขวา. หมายเหตุ : ๑. ถาสวดใหตัวเอง เปลี่ยน เต ใหเปน เม, คําแปล เปลี่ยน แกทาน ใหเปน แกขาพเจา.


๕๙ ๒. บารมี ๓๐ ทัศ (พระบูรพาจารยประกอบขึ้น เปนบทเกา) ****** ทานะปาระมี สัมปนโน ทานะอุปะปาระมี สัมปนโน ทานะ ปะระมัตถะปาระมี สัมปนโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมี สัมปนโน อิตปิ  โส ภะคะวา. สีละปาระมี สัมปนโน สีละอุปะปาระมี สัมปนโน สีละปะระมัตถะ ปาระมี สัมปนโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมี สัมปนโน อิติป โส ภะคะวา. เนกขัมมะปาระมี สัมปนโน เนกขัมมะอุปะปาระมี สัมปนโน เนกขัมมะปะระมัตถะปาระมี สัมปนโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมี สัมปนโน อิติป โส ภะคะวา. ปญญาปาระมี สัมปนโน ปญญาอุปะปาระมี สัมปนโน ปญญา ปะระมัตถะปาระมี สัมปนโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมี สัมปนโน อิตปิ  โส ภะคะวา. วิริยะปาระมี สัมปนโน วิริยะอุปะปาระมี สัมปนโน วิริยะ ปะระมัตถะปาระมี สัมปนโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมี สัมปนโน อิตปิ  โส ภะคะวา. ขันติปาระมี สัมปนโน ขันติอุปะปาระมี สัมปนโน ขันติปะระมัตถะ ปาระมี สัมปนโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมี สัมปนโน อิติป โส ภะคะวา. สัจจะปาระมี สัมปนโน สัจจะอุปะปาระมี สัมปนโน สัจจะปะระมัตถะ ปาระมี สัมปนโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมี สัมปนโน อิติป โส ภะคะวา. อะธิฏฐานะปาระมี สัมปนโน อะธิฏฐานะอุปะปาระมี สัมปนโน อะธิฏฐานะปะระมัตถะปาระมี สัมปนโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมี สัมปนโน อิติป โส ภะคะวา.


๖๐ เมตตาปาระมี สัมปนโน เมตตาอุปะปาระมี สัมปนโน ปะระมัตถะปาระมี สัมปนโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา ปาระมี สัมปนโน อิตปิ  โส ภะคะวา. อุเปกขาปาระมี สัมปนโน อุเปกขาอุปะปาระมี สัมปนโน ปะระมัตถะปาระมี สัมปนโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา ปาระมี สัมปนโน อิตปิ  โส ภะคะวา. พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ, นะมามิหัง.

เมตตา อุเปกขา อุเปกขา อุเปกขา

๓. คาถาหวานทราย ****** อิมัส๎มิง ราชะเสมานา เขตเต สะมันตา สะตะโยชะนะสะตะ สะหัสสานิ พุทธะชาละปะริกเขตเต รักขันตุ สุรักขันตุ, อิมัส๎มิง ราชะเสมานา เขตเต สะมันตา สะตะโยชะนะสะตะ สะหัสสานิ ธัมมะชาละปะริกเขตเต รักขันตุ สุรักขันตุ, อิมัส๎มิง ราชะเสมานา เขตเต สะมันตา สะตะโยชะนะสะตะ สะหัสสานิ ปจเจกะพุทธะชาละปะริกเขตเต รักขันตุ สุรักขันตุ. อิมัส๎มิง ราชะเสมานา เขตเต สะมันตา สะตะโยชะนะสะตะ สะหัสสานิ สังฆะชาละปะริกเขตเต รักขันตุ สุรักขันตุ.


๖๑ ๔. คาถาโพธิบาท ****** บู ร ะพารั ส๎ มิ ง พระพุ ท ธะคุ ณั ง บู ร ะพารั ส๎ มิ ง พระธั ม เมตั ง บู ร ะพารั ส๎ มิ ง พระสังฆานัง ทุกขะโรคะภะยัง วิวัญชัยเย สัพพะทุกข สัพพะโศก สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห เสนียดจัญไร วิวัญชัยเย สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุ เม รักขันตุ สุรักขันตุ ฯ หมายเหตุ : เที่ยวตอ ๆ ไปใหเปลี่ยน บูระพารัส๎มิง เปน อาคเนยรัส๎มิง– ทั ก ษิ ณ รั ส๎ มิ ง –หรดี รั ส๎ มิ ง –ป จ จิ ม รั ส๎ มิ ง –พายั พ รั ส๎ มิ ง –อุ ด รรั ส๎ มิ ง –อิ ส านรั ส๎ มิ ง นอกนั้นเหมือนกันหมด.

๕. คาถามงคลจักรวาลแปดทิศ ****** อิมัส๎มิงมงคลจักรวาลทั้งแปดทิศ ประสิทธิจงมาเปนกําแพงแกว ทั้งเจ็ดชั้น มาปองกันหอมลอมรอบครอบทั่วอนัตตา ราชะเสมานา เขตเต สะมันตา สะตะโยชะนะสะตะสะหัสสานิ พุทธะชาละปะริกเขตเต รักขันตุ สุรักขันตุ ฯ หมายเหตุ : เที่ยวตอ ๆ ไปใหเปลีย่ น พุทธะชาละปะริกเขตเต เปน ธัมมะชาละปะริกเขตเต–ปจเจกะพุทธะชาละปะริกเขตเต–สังฆะชาละปะริกเขตเต นอกนั้นเหมือนกันหมด.


๖๒ ๖. คําแผสวนบุญ ****** อิทัง เม มาตาปตูนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ มาตาปตะโร. ขอสวนบุญนี้ จงสําเร็จแกมารดาบิดาของขาพเจา, ขอใหมารดาบิดาของ ขาพเจา จงมีความสุขเถิด. อิทัง เม ญาตินัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย. ขอสวนบุญนี้ จงสําเร็จแกญาติทั้งหลายของขาพเจา, ขอใหญาติทั้งหลาย ของขาพเจา จงมีความสุขเถิด. อิทัง เม อาจะริยุปชฌายานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ อาจะริยุปชฌายา. ขอสวนบุญนี้ จงสําเร็จแกครูอาจารยและอุปช ฌายของขาพเจา, ขอใหครู อาจารยและอุปชฌายของขาพเจา จงมีความสุขเถิด. อิทัง สัพพะเทวานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เทวา. ขอสวนบุญนี้ จงสําเร็จแกเทวดาทัง้ หลายทั้งปวง, ขอใหเทวดาทั้งหลาย ทั้งปวง จงมีความสุขเถิด. อิทัง สัพพะเปตานัง โหตุ สุขติ า โหนตุ สัพเพ เปตา. ขอสวนบุญนี้ จงสําเร็จแกเปรตทั้งหลายทั้งปวง, ขอใหเปรตทั้งหลายทัง้ ปวง จงมีความสุขเถิด. อิทัง สัพพะเวรีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เวรี. ขอสวนบุญนี้ จงสําเร็จแกเจากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง, ขอใหเจากรรม นายเวรทั้งหลายทั้งปวง จงมีความสุขเถิด. อิทัง สัพพะสัตตานัง โหตุ สุขติ า โหนตุ สัพเพ สัตตา. ขอสวนบุญนี้ จงสําเร็จแกสัตวทั้งหลายทั้งปวง, ขอใหสัตวทั้งหลายทั้งปวง จงมีความสุขเถิด.


๖๓ ๗. คําแผเมตตาใหตนเอง ****** อะหัง อะหัง อะหัง อะหัง อะหัง

สุขิโต (ตา) โหมิ, นิททุกโข (ขา) โหมิ, อะเวโร (รา) โหมิ, อัพย๎ าปชโฌ (ฌา) โหมิ, อะนีโฆ (ฆา) โหมิ,

สุขี อัตตานัง ปะริหะรามิ,

ขอใหขาพเจา ขอใหขาพเจา ขอใหขาพเจา ขอใหขาพเจา ขอใหขาพเจา ลําบากใจเลย, ขอใหขาพเจา

มีความสุข, ปราศจากความทุกข, ปราศจากเวร, อยามีความพยาบาท, อยามีความลําบากกาย รักษาตนใหเปนสุขเถิด.

หมายเหตุ : ในวงเล็บทั้งหมด ( ) สําหรับผูหญิงสวด

๘. คําแผเมตตาใหผูอื่น ****** สัพเพ สัพเพ สัพเพ สัพเพ สัพเพ สัพพา สัพเพ

สัตตา, ปาณา, ภูตา, ปุคคะลา, อัตตะภาวะปะริยาปนนา, อิตถิโย, ปุริสา,

สัตวทั้งหลายทั้งปวง, สัตวมีลมปราณทั้งหลายทั้งปวง, ภูตทั้งหลายทั้งปวง, บุคคลทั้งหลายทั้งปวง, ผูที่นบั เนื่องดวยอัตภาพทั้งหลายทั้งปวง, สตรีทั้งหลายทั้งปวง, บุรุษทั้งหลายทั้งปวง,


๖๔ สัพเพ อะริยา, สัพเพ อะนะริยา, สัพเพ เทวา, สัพเพ มะนุสสา, สัพเพ วินิปาติกา, อะเวรา โหนตุ, อัพ๎ยาปชฌา โหนตุ, อะนีฆา โหนตุ, สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ,

พระอริยเจาทั้งหลายทั้งปวง, ปุถุชนทั้งหลายทั้งปวง, เทวดาทั้งหลายทั้งปวง, มนุษยทั้งหลายทั้งปวง, สัตววินิบาตทั้งหลายทั้งปวง, จงเปนสุข ๆ เถิด อยาไดมีเวรซึ่งกัน และกันเลย, จงเปนสุข ๆ เถิด อยาไดมีความพยาบาท เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย, จงเปนสุข ๆ เถิด อยาไดมีความทุกขกาย ทุกขใจเลย, จงมีความสุขกาย สุขใจ รักษาตนใหพน จากทุกขภัยทั้งสิ้นเถิด.


๖๕

ที่มาของคําบาลี ******

อานาปานสติปาฐะ อิทัปปจจยตาปฏิจจสมุปปาทปาฐะ ธัมมนิยามสุตตปาฐะ โยคฐานาริยสัจจธัมมปาฐะ มหาพุทธโถมนาการปาฐะ ธัมมปาหังสนปาฐะ คําแปลภาษาไทย

ไตร. ล. ๑๔/๑๙๓/๒๘๗,และ ฯลฯ. ไตร. ล. ๑๖/๓๐/๖๑. ไตร. ล. ๒๐/๓๖๘/๕๗๖. ไตร. ล. ๑๙/๕๓๙/๑๖๙๗. ไตร. ล. ๑๓/๗๗/๘๒. ไตร. ล. ๑๖/๓๔/๖๖. แปลโดยกองตําราของคณะธรรมทาน.

ขุททกปาฐมังคลสุตตะ กสิสุตตปาฐะ อภิณหปจจเวกขณปาฐะ สีลุทเทสปาฐะ ตายนคาถา สังวราสังวรคาถา พุทธอุทานคาถา อุปฑฒสุตตปาฐะ เทวทูตสุตตปาฐะ กรณียเมตตสุตตปาฐะ โมรปริตตัง ขันธปริตตัง ธารณปริตตปาฐะ โพชฌังคปริตตัง

ไตร. ล. ๑๗ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ ไตร. ล. ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ไตร. ล. ๑๔ อังคุตตรนิกาย ปญจกนิบาต ไตร. ล. ๑๙/๒๖๗ สัง.มหา. ปาติโมกขสังวรสูตร พระสุตตันตปฎก ธรรมบทคาถา นิรยวรรค ไตร. ล. ๒๕ ธรรมบทคาถา ปฐมยมกวรรค ไตร. ล. มหาขันธกะ ไตร. ล. ๑๙/๗ สํ.มหา. ไตร. ล. ๑๕/๓๕๖ ม.อุป. ไตร. ล. ๒๕ ขุททกนิกาย เมตตสูตร ไตร. ล. ๒๓ ขุททกนิกาย ทัฬหวรรค โมรชาตก ไตร. ล. ๗/๒๗/๑๑ วินัย. จุลวรรค, จากคัมภีรพมา (คัดจากหนังสือ ๙ ยอดคาถา ของนิตยสารโลกทิพย) ไตร. ล. ๒๔ อังคุตตรนิกาย โพชฌังคสูตร

อนุโมทนารัมภคาถา กาลทานสุตตคาถา ติโรกุฑฑกัณฑปจฉิมภาค อัคคัปปสาทสุตตคาถา โภชนทานานุโมทนาคาถา

ไตร. ล. ๒๕ ไตร. ล. ๒๒ ไตร. ล. ๒๕ ไตร. ล. ๒๑ ไตร. ล. ๒๒

ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ ภาค ๑ อังคุตตรนิกาย ปญจกนิบาต ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ อังคุตตรนิกาย จตุกกขันธกะ อังคุตตรนิกาย ปญจกนิบาต โภชนทานสูตร

*****


๖๖

คูม อื พุทธบริษทั เลม ๒ (สวดมนตแปลพระสูตรที่สาํ คัญจากพระไตรปฎก) ฉบับวัดปญญานันทาราม พิมพครั้งที่ ๑ พิมพครั้งที่ ๒

เดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ เดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

จํานวน จํานวน

๕,๐๐๐ เลม ๑๐,๐๐๐ เลม


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.