เริ่มต้น ในยุคที่ประวัติศาสตร์ยังไม่ได้ถูกจำ�กัดความว่าเป็นเพียงตำ�นานบทหนึ่ง อา รายธรรมยังคงสืบทอดต่อมาจากยุคการปกครองของชนเผ่ามังกร นับตั้งแต่เรื่องเล่า ที่กล่าวถึงตอนที่ชนเผ่ามังกรได้ยกเอาหินสีขาวแห่งการเริ่มต้น และหินสีดำ�แห่งการ สิ้นสุด บินสูงขึ้นไปวางไว้บนท้องนภา จนกลายเป็นดวงสิรุยาและจันทราไปในที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้เอาแบ่งเขตน่านฟ้าและผืนดินสร้างดินแดนสวรรค์ปกครอง ตนเองรวมทั้งเผ่าเทพอยู่บนฟากฟ้า และได้ส่งมอบผืนแผ่นดินแก่ลูกหลานชาว มนุษย์และภูติทั้งหลาย สวรรค์ที่ได้จัดสรรให้ภูติและมนุษย์บนผืนดิน แบ่งตัวออกเป็นสอง อาณาเขต ผู้ปกครองผืนป่าคือเหล่าภูติ และผืนดินอันรกร้างคือที่ดินล้ำ�อันค่าของ เหล่ามนุษย์ โดยสวรรค์เองยังมอบสรรพสัตว์ที่ระดับต่ำ�กว่าที่เว้นว่างให้อยู่ตรงกลาง
จากนั้นสวรรค์ยังมอบโองการแห่งสวรรค์ให้แก่เทวทูตหญิงทั้งสามลงมามอบแก่ตัวแทนแห่งเผ่า พันธุ์ทั้งสองเพื่อคัดเลือกให้ปกครองผืนดินสืบไป มีคำ�จารึกถ้อยคำ�ของเหล่าเทวทูตแห่งสวรรค์ ผู้เป็นผู้ถือครองอำ�นาจรองลงมาจากราชันย์และ ขุมพลังแห่งสรรพสิ่ง อยู่บนวิหารและพระราชวังของเหล่าผู้ครองอาณาจักรต่างๆ เพื่อย้ำ�เตือนถึงโองการ สวรรค์ที่มิอาจเมินเฉยได้ “ ข้าคือ 1 ในคณะราชาแห่งภูติ ในมือของข้านี้ได้ถือสารจากเทพสูงสุดของดินแดนมาประกาศ แก่ทุกเหล่าเผ่าพันธุ์ “ โองการสวรรค์กำ�หนดฟ้า บัญชาลิขิตแผ่นดิน กำ�หนดฟ้า...ยามหมู่ดาราร่วงหล่นจากผืนนภา คือคำ�อำ�นวยพรแห่งแดนเทพ ถึงกษัตริย์ผู้เดินทางจากดินแดนแห่งความว่างเปล่า สู่ดินแดนแห่งชีวิต ยามนั้นจักถือกำ�เนิดราชา... ผู้เป็นราชันย์แห่งอาณาจักรมนุษย์ ลิขิตแผ่นดิน... บัญชาด้วยราชาทั้งสองเหล่า ผู้ครอบครองอำ�นาจแห่งสองดินแดน ปกครองอย่างทรงธรรม หวนคืนสู่ความร่มเย็น สองเขตแดนรวมกันเป็นหนึ่งแผ่นดิน
โดยประกาศิตลำ�ดับถัดมา ได้กำ�กับกฎเกณฑ์เพื่อการคัดเลือกกษัตริย์และอัศวินทั้ง 12 เคียงคู่ บัลลังก์ พวกเขาได้ประทานอำ�นาจที่สามารถกดเหล่าภูติพราย อสูร และมนุษย์ไว้นั่นคือ คาบแห่งราชันย์ และดาบแห่งอัศวินพิทักษ์บัลลังก์ โดยให้ผู้มีพลังความสามารถสมสายเลือดแห่งมังกรได้เดินทางขึ้นเขามา รับคำ�อำ�นวยพร เพื่อเฟ้นหาผู้ถูกเลือกโดยดาบทั้ง 13 เล่ม ปรากฏเพียงอัศวินพิทักษ์บัลลังก์ 9 คนของฝั่งมนุษย์เท่านั้นที่ค้นพบดาบแห่งอัศวินที่แท้จริง ท่ามกลางดาบภูติลวงตามากมายในห้องโถงแห่งกษัตริย์ หาได้ค้นพบทายาทผู้ที่จะครอบครองบัลลังก์แห่ง ความเป็นใหญ่ในแผ่นดินไม่ และประกาศิตเหล่านั้นถือเป็นการเริ่มต้นการสร้างตำ�นานของเผ่าพันธุ์มนุษย์ จุดประกายสง ครามเล็กๆที่เริ่มเคลือบคลานออกไปเป็นเวลานานหลายร้อยปี
ชนเผ่ามนุษย์ถูกผ่าออกจากกันโดยเหล่าผู้นำ�ที่รับมอบดาบแห่งอัศวินพิทักษ์บัลลังก์ แผ่นดินได้ แตกออกเป็น 9 อาณาจักรใหญ่ๆ ภายในแต่ละอาณาจักรครอบครองหัวเมืองต่างๆมากมายและประชาชน ที่ศรัทธาในกษัตริย์อัศวินเหล่านั้น รวมทั้งชนเผ่าภูติเองก็ได้แบ่งแยกสายพันธุ์ออกไปตั้งรกราชตามที่ต่างๆ ว่ากันว่า... พวกภูติเองนั้นนับถือชนเผ่ามังกรและเทพเป็นนายเหนือหัวเพียงผู้เดียว กาลต่อมาบนดินแดนได้เกิดมีการปะทะกันระหว่างมนุษย์และภูติในการแก่งแย่งอาณาเขตอยู่ อาศัยหรือการล่าอาหาร จนถึงจุดๆหนึ่งที่มนุษย์เริ่มเกิดความสูญเสีย ทำ�ให้เกิดความบ้าคลั่งเข้าถาโถมใส่ และเคียดแค้นที่ตนนั้นไร้ซึ่งพละกำ�ลังเข้าต่อกร พวกเขาได้รวมตัวกันเข้าทำ�สงครามกับภูติกินเวลาไปเนิ่น นานไปหลายร้อยปี จนในที่สุดการทำ�สงครามก็ค่อยๆแผ่วเบาไปจนเหลือเพียงการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด และปกป้องตนเองเพียงเท่านั้น สุดท้ายแล้วมนุษย์ก็ไม่สามารถเอาชนะพลังและอำ�นาจของเหล่าภูติได้ แต่จากการทำ�สงคราม มาเนิ่นนานกับเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งกว่า ก็ได้ผลักดันให้พวกเขาใช้สติปัญญาสร้างกำ�แพงเมืองและอาวุธ ที่ สามารถเข้ามาต่อต้านเผ่าพันธุ์ภูติได้ ชั่วขณะหนึ่งที่ความเกลียดชังและความหวาดกลัวเริ่มพุ่งสูงขึ้นไปจนไม่ อาจฉุดไว้ สวรรค์ก็ได้ส่งสัญญาณอันตรายลงมายังโลกเบื้องล่าง... เปลวเพลิงที่ลุกโชติช่วงมิมีวันดับลงได้กำ�ลังแปลงสภาพของมหาวิหารแห่งทาทารัสให้เป็นนรก แห่งความตาย ความวิจิตรของสิ่งก่อสร้างกำ�ลังเปล่งประกายอย่างเย้ยหยันแข่งกับอัคคีที่กำ�ลังแผดเผา ท่ามกลางท้องฟ้าสีรัตติกาล ใจกลางหุบเขาบนยอดภูเขาสูงเฉียดฟ้าที่มิอาจปีนป่ายได้ ภูเขาทาทารัสที่กำ�ลัง ถูกย้อมแสงสีส้มแดงสีราวกับงานรื่นเริงนั้น ได้ปรากฏสัตว์อสูรจำ�นวนมากโบยบินอยู่เหนือท้องฟ้า เสียงโห่ร้องกู่ก้องไปสะท้อนไปทั่วหุบเขา องครักษ์เทพส่วนหนึ่งยังคงต่อสู้กับผู้บุกรุกจากโลก เบื้องล่างอย่างไม้ท้อถอย พวกเขาปัดป่ายอาวุธที่จวกทิ่มแทงเข้ามาอย่างฉับไว พลัดกันรุกรับอย่างไม่มีฝ่าย ใดเพลี่ยงพล้ำ� อาวุธของศัตรูจากโลกเบื้องล่างแสนร้ายกาจนั้นสามารถสังหารเซียนที่ได้รับความคุ้มครอง จากสวรรคได้โดยง่าย เหตุเพราะมันมีพลังแบบเดียวกับดาบอัศวินศักดิ์สิทธิ์ในห้องโถงกษัตริย์ของวิหารทา ทารัส แต่แม้นเป็นเช่นนั้นตัวอาวุธนี้ก็เพียงแค่เปลี่ยนให้พวกเซียนโดนสังหารได้ง่ายเช่นเดียวกับมนุษย์ ธรรมดาทั่วไป ที่เมื่อโดนฟันแล้วมีโอกาสบาดเจ็บหรือเสียเลือดจนตายได้ “ย๊ากกกกกก!!” องครักษ์เทพกลุ่มนี้ถูก องครักษ์เทพปกปักษ์วิหารอีกกลุ่มจู่โจมใส่ ทำ�ให้กระบวนทัพแตก กระจายจากการโอบล้อมของฝั่งตรงข้าม พวกเขาแค้นใจที่ฝ่ายเดียวกันกลับมีหนอนบ่อนไส้ที่หันหลังให้ พวกเดียวกันเองและกับนายหญิงใหญ่ของที่แห่งนี้ พวกเขาต่างพยายามสู้จนตัวตายเพื่อที่อย่างน้อยหาก สามารถลดศัตรูลงไปได้สักคนหนึ่งก็ยังดี ดาบเล่มหนึ่งฟาดลงไปที่ผู้บุกรุกจากภายนอกจนเกราะอ่อนของมันหลุดกระจาย เผยให้เห็นร่าง เนื้อที่เริ่มเสื่อมสลายของบุรุษผู้ปกปิดใบหน้า พวกองครักษ์เทพต่างพากันตื่นตะลึงก่อนจะโห่ร้องเสียงหลง
“เจ้ามัน! พวกคนบาป!!” พวกเขาเปลี่ยนกลยุทธ์ในบัดดล การตัดหัวเฉกเช่นเดียวกับพวกเซียนเท่านั้นที่สามารถจัดการพวก มันได้อย่างราบคาบ แต่ทว่าจากกองกำ�ลังบนฟ้าที่ทยอยลงมาเสริมทัพบนภาคพื้นก็ทำ�ให้ฝ่ายป้องกันกลาย เป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ�ไปในที่สุด! “พะ พวกเจ้า... จะ ต้อง ถะ ถูก...สาป” ภายในตำ�หนักที่อยู่ลึกเข้าไปในวิหาร เด็กน้อยพยายามฝืนร่างกายที่หนักอึ้งเพราะบาดแผลสาหัส ตามร่างกาย สายตาช้อนมองภาพหญิงสาวเบื้องหน้าด้วยแววตาเจ็บปวด และผิดหวังอย่างรุนแรง แต่ สุดท้ายเมื่อกวาดตามองไปยังร่างของหญิงสาวที่ทอดกายนอนอยู่บนพื้นด้านใน แลเห็นปีกทั้งแปดถูกฉีก กระชากออกมาตกอยู่ด้านข้าง บนกายของนางถูกพันธนาการด้วยโซ่อาคมแน่นิ่งไม่ไหวติง แววตาของเด็ก หนุ่มนั้นก็ทอประกายสับสนงุนงงขึ้นมา “เพราะเหตุใด...” เด็กหนุ่มกัดฟันกรอดขณะที่ตั้งคำ�ถาม นัยน์ตาของอีกฝ่ายทอประกายเย็นเฉียบ ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำ�เสียงที่ติดเย็นชา “นี่เป็นโองการสวรรค์” “ไม่ใช่!! สิ่งนั้นน่ะ...” กล่าวได้เพียงแค่นั้นก็รู้สึกโลกมืดดับไปในบัดดล เบื้องหลังของเด็กหนุ่มปรากฏหญิงสาวสูงวัยตน นึงก้าวเท้าเข้ามาในห้อง มือของนางที่ยกขึ้นมาร่ายคาถาใส่เด็กหนุ่มค่อยๆวางลง แล้วเปลี่ยนอิริยาบถเป็น ประสานมือใต้อกอย่างสำ�รวม อาภรณ์สีขาวสะอาดตาประดับเครื่องทรงลวดลายวิจิตรสีทองอร่ามแทบทั้ง ตัวบ่งบอกฐานะ นางสวมชุดของฝ่ายในชั้นสูงมีตำ�แหน่งเป็นหัวหน้าผู้ดูแลตำ�หนักของเทวทูตลำ�ดับที่หนึ่ง นาง ค้อมตัวให้ครั้งหนึ่งเมื่อสังเกตเห็นท่านเทวทูตหญิงเหลือบแลมาที่นาง นางจึงตรงดิ่งเข้าไปหมอบกราบหญิง สาวที่อยู่ตรงหน้าอย่างเคารพนอบน้อม “นายหญิงดาเรลทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วเพคะ หม่อมฉันจะเชิญเสด็จนายหญิงลิเล็ตต้ากลับสู่ พระราชวังของฝ่าบาทเองเพคะ” “เอาเขาไปด้วย” นางเหลือบไปมองเด็กหนุ่มที่สลบอยู่ข้างกายก่อนจะตอบรับอีกฝ่าย “ทราบแล้วเพคะ” และ เรียกข้ารับใช้ส่วนตัวออกมา “ออเกนซัส นำ�ตัวท่านผู้นี้ไป” อสูรในรูปลักษณ์ของหมาป่าสีขาวค่อยๆเผยร่างออกมาจากความว่างเปล่า มันมีเขี้ยวขนาดใหญ่ แลดูดุร้าย กรงเล็บขนาดใหญ่คล้ายเหยี่ยวค่อยๆเยื้องย่างเข้ามาใกล้ผู้เป็นนายครู่หนึ่ง ก่อนจะเลยผ่านไป ดันหลังให้เด็กหนุ่มที่ไร้สติขึ้นพัดบนหลังแล้วกระโจนออกจากห้องไป ทิ้งสงครามที่จบลงไปแล้วไว้เบื้องหลัง...
บทที่ 1 ดาบยาวเล่มหนึ่งตวัดเฉียงขึ้นกลางอากาศก่อนจะตีโค้งเหวี่ยงดาบตวัดกลับ ขึ้นมาเป็นวงกลม เท้าเคลื่อนไปด้านหน้ามั่นคงและปราดเปรียว ก่อนจะสับเท้าหมุน ตัวเองไปพร้อมดาบจนเกิดแรงลม ปลายดาบทื่อๆกระทบถูกหุ่นฟางคราหนึ่ง ผู้ถือ ดาบก็ตวัดดาบหมุนตัวกลับในทิศทางตรงข้ามก่อนจะฟันดาบในลักษณะที่กดปลาย ดาบเฉียงองศาลง เศษฟางของหุ่นกระจุยออกมาหย่อมหนึ่งตามแรงฟัน ชายหนุ่มร่างสูง โปร่งบิดตัวซ้ายขวาเพื่อขับไล่ความล้า แล้วจึงใช้สันหลังมือปาดเช็คไคลเหงื่อบนหน้า ผาก ยังไม่ทันชักมือเต็มแรงหางตาก็แลเห็นคมดาบกำ�ลังวิ่งถูกดึงเข้ามาหาตัว เขา สะดุ้งโหยงพลางดึงมือข้างที่ถือดาบออกจากหน้าผาก ทันก่อนที่จะเกิดเป็นรอยแผล เป็นทางยาวที่จะบดบังความหล่อเหลาบนใบหน้าพอดิบพอดี ‘เกือบจะได้ปาดเลือดแทนปาดเหงื่อตัวเองแล้วไหมล่ะ’ ชายหนุ่มครุ่นคิด ด้วยใบหน้าแหยงๆ แล้วจึงรีบเก็บดาบเข้าฝักอย่างปลอดภัย
“วินเซนเต้ พี่วินเซนเต้!” ปลายเสียงแหลมร้องเรียกมาแต่ไกล พลางพาร่างเล็กถลาออกมาจากพงหญ้าสูงระดับเข่า ใบหน้าร้อนรนหันซ้ายหันขวาก่อนสายตาจะปะทะเข้ากับใบหน้างุนงงของชายหนุ่ม “เจ้ามาได้อย่างไร ริคเค” “โธ่! ท่านพี่! ตอนนี้พวกที่ออกจากหมู่บ้านไปเขากลับมาแล้ว หัวหน้าเลยให้มาตามทุกคนไปพบที่ กระโจมใหญ่ ถ้าเขาไม่เห็นพี่ล่ะโดยไวล่ะก็ ความอาจจะแตกที่พี่ออกห่างจากเขตของหมู่บ้านเข้ามาในป่าลึก แบบนี้นะ ข้ายังไม่อยากโดนเรียกสอบสวนเป็นรายแรกด้วย!” พูดไปหอบไป เด็กหนุ่มที่มาตามรู้สึกอยาก ตายขึ้นมาตงิดๆ แต่เกรงว่าถ้าช้ากว่านี้อาจจะตายด้วยไม้เรียวเสียมากกว่า “พวกบรูฟ? กองทหารประจำ�อาณาจักรมีวันหยุดพักกลับบ้านด้วยเรอะ” วินเซนเต้พกพาความสงสัยกลับหมู่บ้านไป พยายามลัดเลาะเส้นทางรกชันที่ทำ�เครื่องหมายไว้ ชัดเจนบนต้นไม้ใหญ่ข้างทาง รากไม้ขึ้นซับซ้อนไปมาจนแทบจะกลบหน้าดินที่พวกมันใช้ยึดลำ�ตัว กิ่งก้าน งอกงอยออกมาอย่างไม่เป็นระเบียบ เด็กหนุ่มที่มาตามกลับหมู่บ้านแทบจะล้มหน้าคว่ำ�ถ้าไม่บังเอิญคว้า หลังของเขาไว้ได้ก่อน ยิ่งเดินกลับมาเข้าลึกเท่าไหร่ ความอับแสงก็มีมากขึ้นเท่านั้นจนแทบจะกลายเป็น เวลากลางคืน เส้นทางของป่านี้ตัววินเซนเต้เป็นผู้ค้นพบในวัยเด็ก ช่วงที่มาอยู่ใหม่ๆนั้นเขาสับสนหลงทางไปใน ความทรงจำ�ที่ไม่อาจหวนคืน หลายครั้งที่ไม่อาจทนอยู่ที่นี่ได้ รู้สึกเหมือนที่นี่ไม่ใช่ที่ของตน แม้ว่าหัวหน้า หมู่บ้านจะมอบความรักความเอ็นดูให้ประหนึ่งลูกหลานเช่นเดียวกับคนในบ้าน แต่เขารู้ดีว่าสิ่งที่พวกเขา มอบให้มันมากกว่าความเกรงใจหรือความเอ็นดู ภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือทุ่งนาสวนไม้ที่โอบล้อมหมู่บ้านขนาดกลางเอาไว้ ที่แห่งนี้เคยถูกเรียกว่า หมู่บ้านลับแลเพราะความสันโดปลีกวิเวกของผู้คนและตัวสถานที่ตั้งหมู่บ้าน ทำ�ให้ไม่ค่อยมีใครกล้าเดินทาง มาที่นี่นัก ตามจุดๆต่างๆมีซากปรักหักพังของอารยธรรมโบราณผุดขึ้นมาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย บ้างเคยเป็น ส่วนหนึ่งของกำ�แพง บ้างเคยเป็นบ้านเรือนอาศัย หรือเสาหลักที่เคยค้ำ�ยันสถานที่บางอย่างเอาไว้ นาน วันไปมันกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ กลมกลืนไปกับสภาพบ้านเรือนที่ยังแลดูเก่าแก่ของหมู่บ้าน เป็นอย่างดี สมกับที่ตำ�นานเคยกล่าวถึงสถานที่นี้ว่า ‘ชมเผ่าอารักษ์มังกร’ ที่คนทั่วไปมักจะเพิ่มเติมคำ�ว่า ‘โบราณ’ ต่อท้ายเพื่อความสมจริงกับปัจจุบันที่ไร้ซึ่งมังกรที่ให้การปกปักษ์ เมื่อพ้นเขตป่าเข้าสู่อาณาเขตหมู่บ้าน ริคเคก็รีบแยกทางไปอีกฝั่ง ทำ�ทีว่ามาสมทบทีหลังจะได้ หาทางหนีทีไล่ได้สะดวกกว่า วินเซนเต้เห็นดังนั้นก็ได้แต่ส่ายหน้าก่อนจะรีบสอยเท้ากลับตรงมาที่ใจกลาง หมู่บ้านอย่างรีบเร่ง เสียงสรวลเฮฮาชักดึงความสนใจของชายหนุ่มมายังกลุ่มทหารกลุ่มใหญ่ที่ยืนยืนอยู่โดยโอบล้อม ด้วยคนในหมู่บ้าน ผู้นำ�กลุ่มคือบุตรชายของกันเตผู้เป็นครูสอนวิชาดาบให้กับเด็กในหมู่บ้านนามว่า บรูฟ ฟ่อน ซึ่งคนส่วนใหญ่เรียกมักจะเรียกเขาและกลุ่มของเขาว่าบรูฟ กำ�ลังโดนหัวหน้าหมู่บ้านโอบไหล่พูดคุย อย่างเป็นกันเอง ต่างฝ่ายต่างป้อนคำ�เยินยอที่นานๆจะมีให้แก่กัน
พาหนะประจำ�ตัวของแต่ละคนอย่างอสูรชนชั้นภูติจำ�นวนมากต่างถูกผู้ดูแลสัตว์อสูรหลายคนใน หมู่บ้านช่วยกันลากจูงไปพักไว้ที่โรงพักสัตว์อสรู จนตัวสุดท้ายที่บดบังทัศวิสัยของกลุ่มทหารตามติดผู้ดูแล ออกไป ทำ�ให้หนึ่งในกลุ่มนั้นตวัดสายตามาเห็นตัววินเซนเต้พอดิบพอดี “ไง เจ้าบ้า ไม่ได้เจอกันเลยนะเว้ย!” ชายหนุ่มร่างใหญ่ราวกับหมีเดินฝ่าออกจากกลุ่มเพื่อนเข้ามาตบไหล่วินเซนเต้ดังป้าบใหญ่ รอยยิ้ม แต่งแต้มขึ้นมาบนใหน้าของวินเซนเต้ก่อนจะยกมือขึ้นตบบ่าของอีกฝ่ายเป็นการโต้ตอบ “เออว่ะ ไม่ได้เจอนานมากจริงๆโมบิดิก ดูสมชายชาติทหารขึ้นมานะ” ว่าไปแล้วสีหน้าของอีกฝ่ายแลดูบิดเบี้ยวไปนิดหนึ่งก่อนจะดึงตัววินเซนเต้ออกจากกลุ่มมวลชนที่ ยังปรี่เข้ามาทักทาย เขาหันไปว่ากล่าวอะไรบางอย่างกับสมาชิกในกลุ่มแล้วแยกตัวออกไป โดยไม่ลืมที่จะ ดึงวินเซนเต้ถลาออกมาด้วย “พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ข้ามีเรื่องอยากเล่าให้แกฟังว่ะ” “แหม ข้าก็นึกว่าเจ้าคิดถึงข้ามากจนทนไม่ไหวนะเนี่ย ถึงได้ขืนตัวข้าออกมาแบบเสียมารยาท ขนาดนี้” เย้าแหย่กันไปตามประสาเพื่อนรักที่ห่างหายกันไปนาน อีกฝ่ายแยกเขี้ยวใส่ในเชิงฝากไว้ก่อน คล้อยหลังโมบิดิก บรูฟ่อนก็ก้มลมกระซิบข้อความบางอย่างที่ข้างหูของหัวหน้าหมู่บ้าน พาให้ มีสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเครียดขึงชั่ววูบหนึ่ง ก่อนจะพูดคุยเสียงเบากันให้พอได้ยินเพียงสองคนก่อนจะ ตะโกนเรียกลูกบ้านทุกคนว่า “เย็นนี้ข้าจะมีประชุมด่วนให้ผู้ใหญ่ทุกบ้านมาพร้อมกันที่บ้านของข้า! เรียกพวกที่ล่าสัตว์กลับมาให้ ทันด้วย” โมบิติกดึงลูกกุญแจเก่าๆออกมาไขประตูบ้านเข้าไป ลมโชยที่พัดผ่านเข้าไปในบ้านพัดเอาฝุ่นหนา ที่เกาะตัวอยู่ตามชิ้นเรือนให้ฟุ้งขึ้นมาเบาๆ แต่เจ้าของบ้านกลับไม่แยแสสภาพบ้านร้างที่จากไปนานนัก จึง เดินเข้ามาอย่างไม่อนาทรใจใด แล้วโยนย่ามสะพายที่มีสิ่งของที่พกติดตัวมาไปกระแทกโซฟาไม้ จากนั้นจึง รีบดึงแขกเข้ามาในบ้านพลางปิดประตูหนาลงกลอนอย่างรวดเร็ว “เดี๋ยวๆ นี่เจ้าอดอยากจากสาวที่ไหนมา ถึงได้คิดจะมาลงกับเพื่อนชายอย่างข้ากัน” ปากว่าพลาง สอดสายตาสำ�รวจบ้านของสหายที่แทบไม่เปลี่ยนไปเลยจากความทรงจำ� “บร๊ะ! เจ้านี่วอนอยากเสียตูด ผู้หญิงยังไม่หมดโลกข้าก็ยังไม่หน้ามือเอาพวกเดียวกันให้หายอ ยากหรอกนะ” “ฮ่าๆ ข้ากลัวแค่ว่าชาตินี้จะไม่มีสาวใดเหลือบแลเจ้านี่สิ ถึงตอนนี้แล้วอย่ามากลับคำ�ให้ข้าเห็น เด็ดขาดนะ ฮ่าๆๆ” “ถ้าผู้ชายหน้าสวยได้เหมือนผู้หญิงเมื่อไหร่ล่ะก็ ถึงตอนนั้นข้าจะคิดดูใหม่ก็แล้วกันนะ” วินเซนเต้เบิกตากว้างแล้วก้าวเท้ากลับไปข้างหลัง ก่อนจะชี้นิ้วมาที่ตนเอง “เจ้าหมายถึงข้าสินะไอ้เพื่อนเลว!”
โมบิดิกได้แต่สบถในใจเบาๆก่อนจะยื่นมือไปตบหัวคนตรงหน้าให้หายแค้น เขามองดูเพื่อนหนุ่ม ตรงหน้าที่สูงใกล้เคียงกับตนเอง ใบหน้าที่อดีตเรียกได้ว่างดงามคล้ายหญิงสาวผู้หนึ่ง พอโตมากลับมี สัดส่วนคมคายของบุรุษฉายออกมา เปลี่ยนใบหน้าสวยให้กลายเป็นหล่อเหลาเรียกสายตาจากหญิงสาวใน หมู่บ้านให้หันมองได้ทุกเวลาที่มันเดินผ่าน ‘มันเข้าใจชมตัวเองจริงๆ’ คิดได้ดังนั้นโมบิคิกก็ได้แต่ส่ายหน้า แต่ก็ต้องเข้าใจจริงๆว่าเมื่อก่อน แทบไม่มีผู้หญิงคนไหนสวยสู้มันได้ จนขนาดกลุ่มเพื่อนผู้ชายหลายคนยังชักหวั่นๆว่ามันเพศเดียวกับพวก เขาจริงหรือไม่ “แล้วยังไง มีเรื่องอะไรจะเล่าให้ข้าฟัง? ข้าจำ�ได้ว่ายังไม่ถึงช่วงวันหยุดยาวที่พวกเจ้าจะได้กลับ หมู่บ้านมาเสียหน่อยนี่ เกิดอะไรขึ้นหรอ” พอวินเซนเต้เอ่ยขึ้นมาบรรยากาศก็เริ่มอึมครึมขึ้นมาทันที โมบิดิกเอ่ยเสียงเครียดเพียงคำ�เดียว วินเซนเต้ก็เบิกตาโพล่งด้วยความตกใจ “พี่ทรอเรส กับพวกพี่ๆที่ขึ้นเขาทาทารัสไป ...ตายกันหมดแล้ว” ค่ำ�คืนนั้นเงียบสงัดจนได้ยินเสียงเรไรร้องดังมาจากที่ห่างไกล ในห้องกลางบ้านหลังใหญ่รวมตัวทุก คนในหมู่บ้าน ไม่เว้นพวกเด็กเล็กแดง บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบกริบเมื่อกลุ่มของบรูฟเล่าเรื่องน่าตื่น ตระหนกที่เล่าลือมาจากในวังหลวงของอาณาจักรเฟอร์รุซซิโอ “ยามนี้เกิดการรวมตัวของราษฎรในทุกอาณาจักรเฝ้าสวดภาวนาตามโบสถ์และวิหารต่างๆทั่วทุก อาณาจักรเลยทีเดียว พวกเขาลือกันว่า วิหารเทพของทาทารัสถูกทำ�ลายอันแสดงถึงความพิโรธของสวรรค์ ที่เหล่าอาณาจักรทั้ง 8 ไม่ยินยอมรับกษัตริย์แห่งลาเทมน์เป็นราชันย์แห่งแผ่นดินทั้งมวล ตามราชโองการ ที่เทวทูตทั้ง 3 ได้นำ�ลงมา ตอนนี้เทวทูตทั้ง 3 เองก็ได้ติดตามกษัตริย์แห่งลาเทมน์ไปแล้ว อีกไม่นานนัก ประชาชนในทุกอาณาจักรต้องออกมาบีบให้ราชาของตนเข้าสวามิภักดิ์ต่อลาเทมน์เป็นแน่” กล่าวจบสายตาของบรูฟฟ่อนก็จับจ้องมาที่ปฏิกิริยาของซูคอยผู้เป็นผู้นำ�หมู่บ้าน แล้วไล่สายตา ไปยังผู้อวุโสที่นั่งชันเข่าอยู่ข้างกายผู้นำ� ชายชราท่านหนึ่งผู้มีเกศาสีขาวยาว ดาวตาเรียวรีราวกับหลับ ผิวหนังหย่อนคล้อยลง กับเครา ยาวถึงอกท่าทางทรงภูมิหันไปประสานมือแก่ผู้นำ�ของตน ก่อนที่น้ำ�เสียงยานครางจะค่อยๆเอ่ยในสิ่งที่ได้ ไตร่ตรองออกมาช้าๆ “อา...ท่านซูคอย สวรรค์ส่งสัญญาณลงมานานแล้ว หลายร้อยปีก่อนเริ่มเกิดอสูรขึ้นมาระราน อาณาเขตทั้งสองฝั่ง ที่หนักกว่านั้นคือทำ�ลายไร่นา และคร่าชีวิตพวกเราชาวมนุษย์ นี่อาจเป็นนิมิตหมาย ของสวรรค์ที่ลงทัณฑ์พวกเรา หลายสิบปีก่อนได้มีการประกาศลงมาจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทาทารัส ถึงการ ขึ้นครองราชย์ของราชันย์แห่งสองดินแดน แต่ทว่าราชาอีกทั้ง 8 อาณาจักรกลับคลาแคลงใจไม่เชื่อถือใน โองการสวรรค์ ทำ�ให้ยิ่งก่อภัยพิบัติร้ายแรงทั้งผืนดินแห้งกรัง น้ำ�ป่าไหลหลาก พืชผลไม่ดี ชาวบ้านเริ่ม เดือดร้อน” ขนาดนี้”
ผู้อวุโสท่านอื่นก็ประสานให้ทั้งสองก่อนจะเริ่มแสดงความเห็นสอดคล้องกันขึ้นมาบ้าง “...อีกทั้งเภทภัยที่ร้ายแรงที่สุดคือ เหล่าสัตว์อสูรที่ออกจากถิ่นฐานรุกรานเข้ามาในอาณาเขตของ แดนมนุษย์ นี่เป็นสิ่งที่เหล่าเซียนแห่งภูเขาทาทารัสไม่ได้ยื่นมือลง เพราะเป็นการขัดการคำ�บัญชาของ สวรรค์ เช่นนั้นแล้วดูท่าเราคงจะต้องร่วมกับลาเทมน์เพื่อปกป้องกษัตริย์ที่สวรรค์ประทานมาผู้นี้...” “ไม่ๆ ข้ารู้สึกเคลือบแคลงในความตั้งใจของสวรรค์ในหลายร้อยปีมานี้จริงๆ หากสวรรค์เป็นผู้ กำ�หนดตัวราชาไว้ เหตุใดผ่านมานานเกือบห้าร้อยปีถึงเพิ่งปรากฏ และเหตุใดเหล่าเทวทูตจึงต้องสังหาร เหล่าเซียน และนักรบสวรรค์ด้วยเล่า ในเมื่อพวกเขาต่างก็เป็นข้าราชบริพารที่สวรรค์แต่งตั้งขึ้นมา พี่น้อง ของเราที่ได้หน้าที่นี้ ใยต้องถูกสังหารด้วยเล่า?” “ท่านผู้อวุโสทั้งหลายโปรดฟังข้าอธิบายเรื่องหนึ่งก่อน” หนึ่งในกลุ่มของคนบรูฟเอ่ยขัดขึ้นท่ามกลางข้อโต้แย้งที่ถูกขุดขึ้นมา เพรดาเตอร์ประสานมือเคารพซูคอยและเหล่าผู้อวุโสคราหนึ่ง เมื่อซูคอยพยักหน้าให้คราหนึ่ง เป็นเชิงอนุญาต เขาจึงเริ่มเล่าถึงข่าวสารลับที่ได้จากเพื่อนร่วมงานในวังหลวง “เริ่มมีหลายอาณาจักรที่ตั้งข้อสงสัยในการขึ้นครองบัลลังก์ของกษัตริย์องค์นี้ขอรับ” “หืม? ข้อสงสัยอย่างไรกัน” เป็นบรูฟฟ่อนที่เอ่ยถามขึ้นมา เพราะตัวเขาเองก็ไม่ทราบเรื่องนี้ “สิบปีก่อนพวกอาณาจักรทั้ง 8 รวมทั้งภูติบางเผ่าพันธุ์ได้เดินทางขึ้นเขาไปตามบัญชาของท่าน เทวทูต ซึ่ง 1 ใน 8 ของอาณาจักรนั้นได้ขอตรวจสอบดาบแห่งราชันย์ แต่ทว่าพวกเขากลับบ่ายเบี่ยงเสีย ก่อน เพียงบอกว่า อำ�นาจของดาบมีมากเกินไปตอนนี้ดาบเล่มนั้นต้องอยู่ในฝักดาบที่ผนึกด้วยพลังขององค์ ราชันย์เท่านั้น แต่ไม่กี่วันต่อมาพวกเขาได้เช้าเฝ้ากษัตริย์แห่งลาเทมน์ พระองค์ตรัสเพียงว่าผู้ที่ได้ครอบครอง ดาบแท้จริงแล้วเป็นรัชทายาทลำ�ดับที่ 6 ของพระองค์เอง ซึ่งตอนนี้กำ�ลังประชวรอยู่เพราะต้องพิษจาก พลังอำ�นาจของดาบ ทูตทั้งหลายจึงได้แต่รอคอยเวลาเข้าเฝ้าในวันถัดๆไป จนมีประกาศออมาจากท่านเทวทูตและ ประทานสารถึงราชาทั้ง 8 อาณาจักรให้เข้าสวามิภักดิ์ รวมถึงเผ่าพันธุ์ภูตทั้งหลาย ในฐานะของผู้มีสิทธิขึ้น เป็นอัศวินพิทักษ์บัลลังก์ อำ�นาจนั้นเป็นรองเพียงองค์ราชันย์เลยทีเดียว เพียงเท่านั้นพวกเขาก็ได้แต่ล่า ถอยกลับลงเขาไป” ยามนี้ไม่เพียงแต่ผู้อวุโสเท่านั้นที่เริ่มพูดคุยถกกันอย่างอลหม่าน นั่นลามไปถึงชาวบ้านคนอื่นๆ ที่รวมตัวอยู่ที่นั่นด้วย จนเริ่มแบ่งฝ่ายออกเป็นควรสวามิภักดิ์หรือไม่สวามิภักดิ์ บรรยากาศดูสับสนแต่ไม่ ตึงเครียดเท่าที่ควรนัก หมู่บ้านของพวกเขาเป็นสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ที่มีประวัติเคยรับใช้เหล่ามังกรในฐานะผู้อารักษ์แห่ง วังมังกร พวกเขาเป็นกลุ่มชนเผ่าที่แทบจะอยู่ตรงกลางความขัดแย้งได้อย่างรื่นรมย์ที่สุด แต่ก็วุ่นวายที่สุด เช่นกัน ด้วยเกรงที่เชื้อสายนี้ทำ�ให้ผู้คนต่างพากันเคารพจนสามารถวางตัวเป็นกลางเฉกเช่นเดียวกับคนของ เขาทาทารัส แต่ก็เพราะอำ�นาจเหล่านั้นกลับชักนำ�ให้หลายอาณาจักรต่างพากันดึงเข้าสู่ชนวนสงครามเสีย ตลอดไป
โมบิดิกได้แต่สบถในใจเบาๆก่อนจะยื่นมือไปตบหัวคนตรงหน้าให้หายแค้น เขามองดูเพื่อนหนุ่ม ตรงหน้าที่สูงใกล้เคียงกับตนเอง ใบหน้าที่อดีตเรียกได้ว่างดงามคล้ายหญิงสาวผู้หนึ่ง พอโตมากลับมี สัดส่วนคมคายของบุรุษฉายออกมา เปลี่ยนใบหน้าสวยให้กลายเป็นหล่อเหลาเรียกสายตาจากหญิงสาวใน หมู่บ้านให้หันมองได้ทุกเวลาที่มันเดินผ่าน ‘มันเข้าใจชมตัวเองจริงๆ’ คิดได้ดังนั้นโมบิคิกก็ได้แต่ส่ายหน้า แต่ก็ต้องเข้าใจจริงๆว่าเมื่อก่อน แทบไม่มีผู้หญิงคนไหนสวยสู้มันได้ จนขนาดกลุ่มเพื่อนผู้ชายหลายคนยังชักหวั่นๆว่ามันเพศเดียวกับพวก เขาจริงหรือไม่ “แล้วยังไง มีเรื่องอะไรจะเล่าให้ข้าฟัง? ข้าจำ�ได้ว่ายังไม่ถึงช่วงวันหยุดยาวที่พวกเจ้าจะได้กลับ หมู่บ้านมาเสียหน่อยนี่ เกิดอะไรขึ้นหรอ” พอวินเซนเต้เอ่ยขึ้นมาบรรยากาศก็เริ่มอึมครึมขึ้นมาทันที โมบิดิกเอ่ยเสียงเครียดเพียงคำ�เดียว วินเซนเต้ก็เบิกตาโพล่งด้วยความตกใจ “พี่ทรอเรส กับพวกพี่ๆที่ขึ้นเขาทาทารัสไป ...ตายกันหมดแล้ว” ค่ำ�คืนนั้นเงียบสงัดจนได้ยินเสียงเรไรร้องดังมาจากที่ห่างไกล ในห้องกลางบ้านหลังใหญ่รวมตัวทุก คนในหมู่บ้าน ไม่เว้นพวกเด็กเล็กแดง บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบกริบเมื่อกลุ่มของบรูฟเล่าเรื่องน่าตื่น ตระหนกที่เล่าลือมาจากในวังหลวงของอาณาจักรเฟอร์รุซซิโอ “ยามนี้เกิดการรวมตัวของราษฎรในทุกอาณาจักรเฝ้าสวดภาวนาตามโบสถ์และวิหารต่างๆทั่วทุก อาณาจักรเลยทีเดียว พวกเขาลือกันว่า วิหารเทพของทาทารัสถูกทำ�ลายอันแสดงถึงความพิโรธของสวรรค์ ที่เหล่าอาณาจักรทั้ง 8 ไม่ยินยอมรับกษัตริย์แห่งลาเทมน์เป็นราชันย์แห่งแผ่นดินทั้งมวล ตามราชโองการ ที่เทวทูตทั้ง 3 ได้นำ�ลงมา ตอนนี้เทวทูตทั้ง 3 เองก็ได้ติดตามกษัตริย์แห่งลาเทมน์ไปแล้ว อีกไม่นานนัก ประชาชนในทุกอาณาจักรต้องออกมาบีบให้ราชาของตนเข้าสวามิภักดิ์ต่อลาเทมน์เป็นแน่” กล่าวจบสายตาของบรูฟฟ่อนก็จับจ้องมาที่ปฏิกิริยาของซูคอยผู้เป็นผู้นำ�หมู่บ้าน แล้วไล่สายตา ไปยังผู้อวุโสที่นั่งชันเข่าอยู่ข้างกายผู้นำ� ชายชราท่านหนึ่งผู้มีเกศาสีขาวยาว ดาวตาเรียวรีราวกับหลับ ผิวหนังหย่อนคล้อยลง กับเครา ยาวถึงอกท่าทางทรงภูมิหันไปประสานมือแก่ผู้นำ�ของตน ก่อนที่น้ำ�เสียงยานครางจะค่อยๆเอ่ยในสิ่งที่ได้ ไตร่ตรองออกมาช้าๆ “อา...ท่านซูคอย สวรรค์ส่งสัญญาณลงมานานแล้ว หลายร้อยปีก่อนเริ่มเกิดอสูรขึ้นมาระราน อาณาเขตทั้งสองฝั่ง ที่หนักกว่านั้นคือทำ�ลายไร่นา และคร่าชีวิตพวกเราชาวมนุษย์ นี่อาจเป็นนิมิตหมาย ของสวรรค์ที่ลงทัณฑ์พวกเรา หลายสิบปีก่อนได้มีการประกาศลงมาจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทาทารัส ถึงการ ขึ้นครองราชย์ของราชันย์แห่งสองดินแดน แต่ทว่าราชาอีกทั้ง 8 อาณาจักรกลับคลาแคลงใจไม่เชื่อถือใน โองการสวรรค์ ทำ�ให้ยิ่งก่อภัยพิบัติร้ายแรงทั้งผืนดินแห้งกรัง น้ำ�ป่าไหลหลาก พืชผลไม่ดี ชาวบ้านเริ่ม เดือดร้อน” ขนาดนี้”
ผู้อวุโสท่านอื่นก็ประสานให้ทั้งสองก่อนจะเริ่มแสดงความเห็นสอดคล้องกันขึ้นมาบ้าง “...อีกทั้งเภทภัยที่ร้ายแรงที่สุดคือ เหล่าสัตว์อสูรที่ออกจากถิ่นฐานรุกรานเข้ามาในอาณาเขตของ แดนมนุษย์ นี่เป็นสิ่งที่เหล่าเซียนแห่งภูเขาทาทารัสไม่ได้ยื่นมือลง เพราะเป็นการขัดการคำ�บัญชาของ สวรรค์ เช่นนั้นแล้วดูท่าเราคงจะต้องร่วมกับลาเทมน์เพื่อปกป้องกษัตริย์ที่สวรรค์ประทานมาผู้นี้...” “ไม่ๆ ข้ารู้สึกเคลือบแคลงในความตั้งใจของสวรรค์ในหลายร้อยปีมานี้จริงๆ หากสวรรค์เป็นผู้ กำ�หนดตัวราชาไว้ เหตุใดผ่านมานานเกือบห้าร้อยปีถึงเพิ่งปรากฏ และเหตุใดเหล่าเทวทูตจึงต้องสังหาร เหล่าเซียน และนักรบสวรรค์ด้วยเล่า ในเมื่อพวกเขาต่างก็เป็นข้าราชบริพารที่สวรรค์แต่งตั้งขึ้นมา พี่น้อง ของเราที่ได้หน้าที่นี้ ใยต้องถูกสังหารด้วยเล่า?” “ท่านผู้อวุโสทั้งหลายโปรดฟังข้าอธิบายเรื่องหนึ่งก่อน” หนึ่งในกลุ่มของคนบรูฟเอ่ยขัดขึ้นท่ามกลางข้อโต้แย้งที่ถูกขุดขึ้นมา เพรดาเตอร์ประสานมือเคารพซูคอยและเหล่าผู้อวุโสคราหนึ่ง เมื่อซูคอยพยักหน้าให้คราหนึ่ง เป็นเชิงอนุญาต เขาจึงเริ่มเล่าถึงข่าวสารลับที่ได้จากเพื่อนร่วมงานในวังหลวง “เริ่มมีหลายอาณาจักรที่ตั้งข้อสงสัยในการขึ้นครองบัลลังก์ของกษัตริย์องค์นี้ขอรับ” “หืม? ข้อสงสัยอย่างไรกัน” เป็นบรูฟฟ่อนที่เอ่ยถามขึ้นมา เพราะตัวเขาเองก็ไม่ทราบเรื่องนี้ “สิบปีก่อนพวกอาณาจักรทั้ง 8 รวมทั้งภูติบางเผ่าพันธุ์ได้เดินทางขึ้นเขาไปตามบัญชาของท่าน เทวทูต ซึ่ง 1 ใน 8 ของอาณาจักรนั้นได้ขอตรวจสอบดาบแห่งราชันย์ แต่ทว่าพวกเขากลับบ่ายเบี่ยงเสีย ก่อน เพียงบอกว่า อำ�นาจของดาบมีมากเกินไปตอนนี้ดาบเล่มนั้นต้องอยู่ในฝักดาบที่ผนึกด้วยพลังขององค์ ราชันย์เท่านั้น แต่ไม่กี่วันต่อมาพวกเขาได้เช้าเฝ้ากษัตริย์แห่งลาเทมน์ พระองค์ตรัสเพียงว่าผู้ที่ได้ครอบครอง ดาบแท้จริงแล้วเป็นรัชทายาทลำ�ดับที่ 6 ของพระองค์เอง ซึ่งตอนนี้กำ�ลังประชวรอยู่เพราะต้องพิษจาก พลังอำ�นาจของดาบ ทูตทั้งหลายจึงได้แต่รอคอยเวลาเข้าเฝ้าในวันถัดๆไป จนมีประกาศออมาจากท่านเทวทูตและ ประทานสารถึงราชาทั้ง 8 อาณาจักรให้เข้าสวามิภักดิ์ รวมถึงเผ่าพันธุ์ภูตทั้งหลาย ในฐานะของผู้มีสิทธิขึ้น เป็นอัศวินพิทักษ์บัลลังก์ อำ�นาจนั้นเป็นรองเพียงองค์ราชันย์เลยทีเดียว เพียงเท่านั้นพวกเขาก็ได้แต่ล่า ถอยกลับลงเขาไป” ยามนี้ไม่เพียงแต่ผู้อวุโสเท่านั้นที่เริ่มพูดคุยถกกันอย่างอลหม่าน นั่นลามไปถึงชาวบ้านคนอื่นๆ ที่รวมตัวอยู่ที่นั่นด้วย จนเริ่มแบ่งฝ่ายออกเป็นควรสวามิภักดิ์หรือไม่สวามิภักดิ์ บรรยากาศดูสับสนแต่ไม่ ตึงเครียดเท่าที่ควรนัก หมู่บ้านของพวกเขาเป็นสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ที่มีประวัติเคยรับใช้เหล่ามังกรในฐานะผู้อารักษ์แห่ง วังมังกร พวกเขาเป็นกลุ่มชนเผ่าที่แทบจะอยู่ตรงกลางความขัดแย้งได้อย่างรื่นรมย์ที่สุด แต่ก็วุ่นวายที่สุด เช่นกัน ด้วยเกรงที่เชื้อสายนี้ทำ�ให้ผู้คนต่างพากันเคารพจนสามารถวางตัวเป็นกลางเฉกเช่นเดียวกับคนของ เขาทาทารัส แต่ก็เพราะอำ�นาจเหล่านั้นกลับชักนำ�ให้หลายอาณาจักรต่างพากันดึงเข้าสู่ชนวนสงครามเสีย ตลอดไป
“เงียบก่อน” ซูคอยตัดบทขึ้นพลางฟาดมือลงโต๊ะเตี้ยดังปัง ดับความวุ่นวายภายในห้องได้ชะงักแทบจะทันที “เราจะยังไม่เคลื่อนไหวใดๆทั้งนั้น ถึงบัดนี้เราจะไม่ได้รับใช้เผ่ามังกรและเทพโดยตรงแล้ว แต่ ถึงอย่างไรพวกเราก็ยังคงเป็นข้ารับใช้ของสวรรค์ตั้งแต่กาลก่อนจวบจนปัจจุบัน” แม้น้ำ�เสียงจะราบเรียบยามเอือนเอ่ย แต่แฝงไว้ด้วยความกดดันจนไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวคัดค้าน ขึ้นมา ซูคอยหยุดพูดก่อนเล็กน้อยเพื่อดูท่าทีของลูกบ้านแต่ละราย เห็นบางคนมีท่าทีไม่สบายใจแต่ต้อง จำ�ยอม บางคนหน้านิ่วอย่างไม่เห็นด้วย แต่ส่วนใหญ่ยังคงเอนเอียงมาทางคำ�พูดของเขา เห็นดังนั้นแล้วก็ รู้สึกหนักอกหนักใจไม่น้อย “ต่อจากนี้พวกเราคงยิ่งถูกเฝ้าจับตาดูหนักกว่าเก่า เจ้าคิดถูกแล้วบรูฟฟ่อนที่นำ�คนของหมู่บ้านเรา ออกจากวงล้อมทางการเมือง ไม่ช้าเมื่อสถานะของพวกเจ้าถูกเปิดเผยออกมา ย่อมสร้างความลำ�บากที่เรา ต้องถูกต้อนให้เลือกข้างใดข้างหนึ่ง อีกประการ ข้อรู้สึกถึงสังหรณ์บางอย่าง ปริศนาวงใหญ่ที่สุดอยู่ที่วิหารสูงสุดของภูเขาทาทารัส นี่อาจจะไม่ใช่สงครามช่วงชิงอาณาจักรระหว่างมนุษย์อีกต่อแล้ว มันอาจจกลายเป็นสงครามระหว่างโลก เบื้องบนและโลกเบื้องล่าง บางทีพวกเรา... อาจจะถูกขีดเส้นไว้ให้เข้าร่วมสงครามนี้ไปแล้วก็ได้” ทั้งห้องตกอยู่ในสภาพปั่นป่วนอยู่ภายในอก นี่อาจจะเป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าที่พวกเขาจะจัดการ ได้ เสียงท้องฟ้าคำ�รามดังแว่วมาแต่ไกล บ่งบอกสภาพของพายุฝนที่กำ�ลังจะกระหน่ำ�เข้ามา ราวกับเสียง หัวเราะที่น่าเย้ยหยันกำ�ลังเสียดแทงใจของผู้คนที่ได้ยินมัน “ข้าคือซูคอย ลามาร์กเซย์ ผู้นำ�ชนเผ่าอารักษ์มังกรที่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณว่าจะรับใช้สวรรค์ ใน ฐานะของชนเผ่านักรบศักดิ์สิทธิ์นับแต่โบราณกาล ไม่มีจุดใดในแผ่นดินที่ไม่มีหยาดเลือดและกายเนื้อของ บรรพบุรุษต้องหลั่งริน พวกเราคือข้ารับใช้แห่งแผ่นดินโดยแท้จริง พระประสงค์ของเทพมังกรถือเป็นชีวิต ของพวกเราทั้งมวล!! เทพมังกรผู้เป็นเทพแห่งอนันตกาลทรงเป็นผู้เสกสรรค์พวกเราให้มีลมหายใจ และ ย่อมเป็นเพียงผู้เดียวที่จะพรากลมหายใจนั้นด้วยเช่นกัน ไม่ใช่น้ำ�มือของผู้ใดบนแผ่นดินนี้ที่จะชักจูงเราไป ได้ จะตายก็จงตายเพื่อสวรรค์ เพื่อองค์ราชันย์ที่แท้จริงของเรา!!! ข้าขอประกาศไว้ ณ ที่นี้ หากตัวข้า ซูคอย ไม่ได้เห็นดาบแห่งราชันย์ปรากฏอยู่ตรงหน้า ทั้งข้า! และพวกเจ้า! ชนเผ่าอารักษ์แห่งมังกรจะไม่ก้มหัวสวามิภักดิ์ให้มันผู้ใดอย่างเด็ดขาด!!!” ซูคอยประกาศอย่างไม่เกริ่นเกรงอำ�นาจของอาณาจักรอื่นใด แม้จะสูงวัยมากแล้วแต่แววตาที่ คมเฉียบกลับลุกโชนไปด้วยไฟแห่งความกล้า เหล่าลูกหลานชนเผ่าอารักษ์แห่งมังกรต่างพากันเชื่อมั่นใน ศักดิ์ศรีของชนเผ่า จากบางคนที่กระจายกันเลือกฝ่ายกลับมาอยู่ในเหล่ากออีกคราหนึ่ง เมื่อประกายของ แต่ละคนฉายแววหยิ่งทะนง ซูคอยก็ได้แต่ลอบยิ้มอย่างสมใจในที่สุด “ท่านซูคอย ข้าอยากจะขออาสาออกไปสืบเบื้องหลังของรัชทายาทลำ�ดับที่ 6 แห่งลาเทมน์ ข้า เชื่อมั่นว่าเขาอาจจะไม่ได้เป็นราชันย์ที่แท้จริงก็เป็นได้ เรื่องนี้เราต้องหาทางพิสูจน์ให้ได้ก่อนนะขอรับ”
บูรฟฟ่อนถือโอกาสนี้ขอคำ�อนุญาตเสนอภารกิจนี้ขึ้น กลุ่มผู้อวุโสต่างหันมองกันเองก่อนจะมอง มายังผู้นำ� วิธีนี้ไม่อาจถือว่ารุกก็ไม่ใช่ป้องกันก็มิเชิง การสืบหาต้นตอที่สวรรค์อาจเป็นใจนั้นลำ�บากยิ่งกว่า หาต้นหญ้าหยิกหยอย 1 ต้นท่ามกลางทุ่งหญ้าที่กว้างขวางสุดขอบฟ้าเสียงอีก ยิ่งกว่านั้นหากถูกจำ�ได้ขึ้นมา สถานะของฃนเผ่าจะยิ่งดำ�ดิ่งลงเหวลึกไปเลยบัดดล ซูคอนยังคงมองบรูฟฟ่อน ก่อนจะเอ่ยตัดรอนอีกฝ่าย “ไม่ได้ พวกเราจะไม่เคลื่อนไหวใดๆทั้งนั้น ข้าบอกเจ้าไปแล้วบรูฟฟ่อน” ท่ามกลางพายุฝนที่หลงฤดูมา วินเซนเต้และโมบิติกที่นั่งหลบอยู่มุมในหลังเสาคานบ้าน ทำ�ได้ เพียงเฝ้ามองและสดับรับฟังเรื่องราวทุกอย่างเท่านั้น แต่เมื่อวินเซนเต้ละสายตาจากเหตุการณ์ตรงหน้า กลับมามองเพื่อนข้างกาย นัยน์ตาคู่นั้นทอประกายกร้าวขึ้นเฉกเช่นเดียวกับบรูฟฟ่อน ลึกๆพวกเขาอาจจะ อยากทำ�เพื่อชนเผ่า แต่ด้วยปุถุชนของมนุษย์แล้วนั้นกลับยากที่จะแสวงหาอำ�นาจ ลาภยศ ชื่อเสียงไม่แพ้ กัน และคิดว่าซูคอยเองก็เล็งเห็นถึงข้อนี้จนไม่กล้าวางใจเดินพันกับการเคลื่อนไหวของคนหนุ่มสาวเหล่านี้ ‘พยายามสร้างกำ�แพงขึ้นล้อมตนเองเพื่อตัดขาดจากโลกภายนอก แต่คนในกลับอยากทุบกำ�แพง ออกไปหาโลกภายนอกซะเอง เจริญแท้’
บทที่ 2 ดึกดื่นคืนนั้นเป็นเวลาหลับใหล สายฝนชะลอตัวช้าๆในปลายพายุฝนที่ กำ�ลังพัดผ่านไป หลายฝีเท้าย่ำ�ผ่านแอ่งน้ำ�ขังอย่างแผ่วเบา หากไม่พิศฟังดูดีๆจะมี เสียงเหมือนหยดน้ำ�ที่ตกกระทบแอ่งน้ำ�เท่านั้น ปลายทางของเร้นกายยามวิกาลมุ่ง ตรงไปที่บ้านหลังหนึ่งที่ท้ายหมู่บ้าน หนึ่งในนั้นเคาะประตูเสียงเบาเป็นจังหวะก่อน จะทยอยผลุบหายเข้าไปหลังประตูทีละคน เสียงพูดคุยแผ่วเบาท่ามกลางเปลวเทียนสลัวๆหยุดลง เมื่อมองเห็นกลุ่ม ที่มาใหม่ต่างก็เขยิบที่ทางให้พวกเขาได้นั่งล้อมวงกัน เมื่อจัดที่ทางอย่างลงตัวแล้ว ดูจากการรวมตัวตามเวลานัดหมาย มีเพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้นที่ดูท่าจะปฏิเสธการ ปฏิบัติการในครานี้ ผู้นำ�กลุ่มแค่นเสียงหึออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะจะกล่าวเสียงหนักๆว่า “ดู ท่าพี่น้องเราจะมีพวกขี้ขลาดตาขาวอยู่ไม่ใช่น้อย น่าเสียดายจริงๆ”
“ข้าคิดไว้แล้วเชียว เจ้าต้องส่งสัญญาณเรียกรวมตัวพวกเราแน่ๆ “ “เจ้าจะรวมทีมออกสืบเบื้องหลังของกษัตริย์องค์นี้สินะ” แสงเทียนมิอาจส่องให้เห็นใบหน้าของผู้ร่วมประชุมได้ถนัด แต่ฟังจากน้ำ�เสียงอันเป็นเอกลักษณ์ แล้ว หนึ่งในนั้นย่อมเป็นเพรดาเตอร์ และแสลช ทั้งสองนี้นับเป็นคนใกล้ชิดของบรูฟฟ่อนอย่างไม่ต้อง สงสัย “อย่างที่ท่านผู้นำ�ได้พูดไว้ พวกเราอารักษ์แห่งมังกรย่อมมีศักดิ์ศรีของเรา จะให้รับใช้ผู้ใดเราก็ ไม่อาจทราบได้แน่ชัด แล้วหากนั่นไม่ใช่กษัตริย์ที่แท้จริงเล่า ไม่ชิบหายไปกันไปหมดทั้งแผ่นดินหรือ? หาก เราเลือกข้างฝั่งใด นั่นยิ่งเพิ่มน้ำ�หนักว่าสวรรค์เข้าข้างฝ่ายนั้น เราต้องลอบติดต่อแล้วแฝงตัวเข้าไปพิสูจน์ ดาบแห่งราชันย์นี้ ไม่ใช่หดหัวอยู่ในกระดองรอให้ราชรถมาเกยถึงหน้าหมู่บ้านหรอกนะ” บรูฟฟ่อนพูดเสียงกร้าวติดโทสะไม่น้อย การหักหน้ากลางอากาศเมื่อหัวค่ำ�วันนี้ทำ�ให้เขารู้สึกหน้า ชา ท่ามกลางญาติผู้ใหญ่และเพื่อนพ้องที่เทิดทูนเขาว่าเก่งกล้าสามารถ เป็นเหมือนป้ายบ่งบอกสถานะ ความสามารถที่สูงส่งของเขา แต่บัดนี้เขากลับรู้สึกเสมือนถูกกรงเล็บของราชสีห์กดเอาไว้ แม้เสียงที่ คำ�รามออกมาก็ยังไม่กล้าเล็ดลอด ดีไม่น้อยที่กลุ่มเพื่อนเหล่านี้กลับไม่ติดใจ ทำ�ให้เวลานี้ความมั่นใจเปี่ยม ล้นกลับมาลุกโชนขึ้นในใจอีกครา บุคคลเหล่านั้นไม่อาจกล่าวาจาใด ต่างพากันมองกันเองอย่างลนลานไม่น้อยกับการตัดสินใจฝ่าฝืน คำ�สั่งในครั้งนี้ “ข้าไม่อาจรรั้งพวกเจ้าไว้ได้ทั้งหมด เราอาจเป็นเพียงกองกำ�ลังกลุ่มเล็กๆ ที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง สถานการณ์ตอนนี้ของบ้านเมืองได้ แต่ข้าเชื่อว่ามันเป็นหน้าที่ของพวกเราทั้งสิ้น ยามนี้คนของเขาทาทารัส เกิดเรื่อง เราที่เป็นผู้สืบสายเลือดชิดใกล้ย่อมทำ�หน้าที่ต่อจากพวกเขา แม้มิอาจเป็นเซียนที่ชีวิตยืนยาวเฉก เช่นภูติและชาวสวรรค์ แต่ลมหายใจนี้เราได้มอบให้เบื้องบนแล้ว ในฐานข้ารับใช้ของสวรรค์อย่างไรล่ะ” ว่าพลางสังเกตพลาง ยามนี้ท่าทีของทุกคนล้วนอยู่ในสายตาของบรูฟทั้งสิ้น ประเมินไว้ได้สูงที เดียวที่พวกเขาทั้งหมดจะติดตามเขาออกไปทำ�หน้าที่ที่ควรกระทำ� ไม่ใช่รอรับคำ�สั่งของเหล่านายเหนือหัว ทั้งหลายบนเขาทาทารัสเพียงอย่างเดียว “ละ... แล้วเจ้าคิดจะทำ�อย่างไรต่อเล่า บรูฟฟ่อน” ได้แล้ว.... บรูฟฟ่อนเก็บซ่อนรอยยิ้มกริ่มไว้ แต่แล้วก็ต้องบึ้งตึงขึ้นมาเมื่อมีคนเอ่ยของถอนตัว ออกไป “ข้าไม่ขอติดตามเจ้าออกไปนะบรูฟฟ่อน” เสียงใสของหญิงสาวนางหนึ่งสั่นเครือเล็กน้อย ยาม เมื่อต้องร้องขอในสิ่งที่ขัดแย้งกับทิศทางลมของคนในห้อง ไม่เพียงเช่นนั้น เมื่อมีคนใจกล้าขึ้นมาในกลุ่มเอ่ยขอถอนตัว มีหญิงสาวและชายหนุ่มบางคนเอง ก็ขอถอนตัวออกมาเช่นกัน เพราะรู้สึกถึงอันตรายของภารกิจนี้อยู่แก่ใจ อีกทั้งคำ�สั่งประกาศิตของผู้นำ� หมู่บ้านยังคงเด่นหราอยู่ในความทรงจำ� ทำ�ให้ไม่มีพวกเขาไม่อยากแหกคอกออกจากคำ�สั่งนี้ พวกเขาที่ไม่ขอเข้าร่วมจึงรีบทยอยลุกขึ้นออกจากประตูไป แต่ก็เป็นส่วนน้อยเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ ยังคงปักหลักอยู่ในห้องนี้
“เหอะ! เจ้าพวกนี้ก็ขี้ขลาดยิ่งนัก เป็นสายเลือดของนักรบโบราณแต่ทำ�ตัวเยี่ยงชาวบ้านตา ขาวๆ” ได้ทีแสลชก็คุยทับถมใส่อย่างขุ่นแค้น บรูฟฟ่อนจึงปล่อยปละพวกนั้นไป ก่อนจะดึงเรื่องราวกลับมากล่าวถึงแผนการโดยคร่าวๆแก่พวก พ้องที่เหลือของเขา พลางสอบถามความเห็นเพื่อปรับปรุงแผนการก่อนออกสำ�รวจชัยภูมิที่จะปฏิบัติการ ใหม่ในยามใกล้รุ่งสาง เช้าวันนั้นกลุ่มทหารของบรูฟครึ่งหนึ่งที่เพิ่งกลับมา ก็ได้หายตัวไปจากหมู่บ้าน แม้คนป็นบิดา มารดาต่างก็ร้อนอกร้อนใจกับเรื่องนี้ แต่ผู้นำ�หมู่บ้านกลับยังนิ่งเฉยแล้วปล่อยให้เรื่องนี้ไหลผ่านไปเพียง กล่าวคำ�เดียวว่า “พวกมันขัดคำ�สั่งข้า ก็ย่อมไม่ใช่ผู้คนในอาณัติของข้าอีก!!” “ข้าคิดไว้แล้วว่าคนอย่างเจ้าบรูฟต้องไปหยุดนิ่งอยู่เฉยๆแน่” คำ�กล่าวที่คาดเดาไว้อยู่แล้วนั้นออกมาจากปากของโมบิติก ร่างหนาเอนกายพิงต้นไม้ใหญ่อย่า งกียจคร้าน มือหนึ่งหยิบโยนลูกเบอร์รี่จากอีกมือเข้าปากอย่างแม่นยำ� ก่อนจะลิ้มรชชาติเปรี้ยวอมหวานใบ สีหน้าสุขล้ำ�เกินบรรยาย ฉับ! ฉับ! เสียงคมดาบที่ตัดผ่านลมก่อนจะพลิกตัวกลับมาอยู่ในท่าตั้งต้น ก่อนจะหันขวับไปเอ่ยถาม “เจ้าเองก็เป็นคนในกลุ่มของเจ้าบรูฟไม่ใข่เรอะ ไยไม่ไปกับเขาด้วยเลยล่ะ” “ฮ่าๆๆ ข้าทำ�งานรับใช้ใครไม่ได้นอกจากว่าที่ผู้นำ�ของชนเผ่าในอนาคตเว้ย” วินเซนเต้แหงนหน้าหัวเราะก่อนจะเอ่ยทักด้วยน้ำ�เสียงเย้าแหย่ “เดี๋ยวนะ แล้วเมื่อสามปีก่อนเจ้าตีหน้าเศร้าเดินมาบอกลาข้า บอกว่าจะร่วมทางกับบรูฟฟ่อนไป หาประสบการณ์ในเมืองไม่ใช้เรอะ สุดท้ายมันก็คือตามไปรับใช้เป็นทหารส่วนตัวนั่นแหละว๊า” “ก็ออกไปหาประสบการณ์ก็ถูกแล้วนี่ ข้าไม่พูดผิดตรงไหนเลยสักนิด ปรกติได้แต่เข้าๆออก หมู่บ้าน รอบนี้ไปพักอยู่ยาวก็เลยต้องหาอะไรทำ�แก้เบื่อสิวะ งานทหารมันก็ดีพอใช้นะ ติดแค่วินัยระเบียบ จัดไปหน่อย แถมชอบโดนหัวหน้าเอารัดเอาเปรียบ พอมีผลงานก็โดนขโมยไปหน้าด้านๆ ถือให้คนอื่นถือ เคร่งกฏระเบียบแต่ตนเองกลับหย่อนยานในวินัย ช้าละอยากกระทืบมันซ้ำ�คาตีนจริงๆ” “ซ้ำ�? นี่แสดงว่าก่อนมาเจ้าไปกระทืบมันมาก่อนแล้วเรอะ!?” วินเซนเต้พูดโพล่งออกมาอย่าง เหลือเชื่อ มันทำ�จริงหรอว่ะเนี่ย!? คราวนี้เป็นทีของโมบิติกหัวเราะออกมาบ้างเมื่อนึกถึงวรีกรรมก่อนจากมา หลังจากนั้นจึงกล่าวว่า “แถมข้ายังป้ายสีให้ลูกน้องคนสนิทว่าเป็นผู้กระทำ� แค่ทิ้งพยานไว้ก็มัดตัวได้เสร็จสรรพ สอง สามปีมานี้ข้าพัฒนาเรื่องเล่ห์เหลี่ยมการเมือง กับการลอบกัดมาไม่น้อย เล่าให้ฟังส่วนหนึ่งแล้วเจ้าจะอึ้งไป เลยทีเดียว” อีกฝ่ายถลึงตาใส่ ก่อนถามแบบยียวน “นี่เจ้ายังหลงเหลือเกียรติของนักรบอยู่ไหมเนี่ย ช่างน่า เสื่อมเสียอะไรอย่างนี้นะ”
“แหม่! ชมกันตรงๆข้าเองก็เขินเป็นนะเว้ย! แล้วนี่จะฝึกทุบกับฟางผุๆนั้นอีกนานไหมวะ นี่อย่า บอกนะว่าสามปีมานี้เจ้าเอาแต่ตีได้หุ่นไร้ชีวิตนั้น ฝึกฝืมือมาตลอด?” “ก็ไม่เชิงว่ะ ช่วงนี้ข้าแค่ทบทวนพื้นฐานของสมัยก่อนเท่านั้นแหละ ตัวที่จะซ้อมมือจริงๆข้าฟาด ตายไปเกือบหมดป่าแล้วมั้ง เจ้าไม่แหกตามองมาเลยรึไง ว่ารอบอาณาเขตของหมู่บ้านเราไม่มีออสูรหลง เหลืออยู่เลยสักตัวน่ะ” ได้ยินดังนั้นโบบิติกก็รีบปิดเปลือกตาลงแล้วสร้างเขตแดนต่ำ�ๆจับสัมผัสของอสูร นอกเหนือจาก สัมผัสของมนุษษย์ที่อยู่ใกล้เคียงเช่นวินเซนเต้ รอบๆอาณาบริเวณโดยมีโมบิติกเป็นศูนย์กลาง ได้แผ่วง ตรวจจับออกไปไกลเรื่อยๆก็สัมผัสได้เพียงสรรพสัตว์จำ�พวกนก กระรอก และแมลงอะไรแบบตามพุ่งไม้ใบ หญ้าจำ�พวกนั้นเสียมากกว่า “เออว่ะ มิน่า... ข้าไม่รู้สึกถึงพวกอสูรป้วนเปี้ยนแถวนี้เลย ถ้าเป็นเมื่อก่อนต้องมีหลงมาสักตัว สองตัว จากนี่ไปจนถึงโบราณสถานเก่าเองก็ถึงกับร้างเลยแหะ” โมบิติกอดเอ่ยปากชมไม่ได้ แต่แล้วโมบิติกกลับสะดุ้งทันที เมื่อจู่ๆก็สัมผัสถึงขุมพลังมหาศาลที่น่าหวาดเกรงได้ ร่างหนาผละ ออกจากร่มกำ�บัง สีหน้าสีหน้าแปลเปลี่ยนเป็นดูดุดันในบัดดล ก่อนจะหันมากล่าวเสียงเครียดกับวินเซนเต้ ว่า “เมื่อกี้... ถึงจะไกลๆก็เถอะ ภายในโบราณสถานข้าสัมผัสถึงขุมพลังแปลกๆกำ�ลังเคลื่อนที่อยู่ใน นั้น” วินเซนเต้แม้ไม่ได้สัมผัสด้วยตนเอง แต่ก็รู้ดีจากท่าทีของโมบิติกว่าไม่ได้ล้อเล่น พวกเขาทั้งสอง ต่างเลื่อนมือลงมากระชับดาบ พอสบตากันชั่ววูบหนึ่ง ร่างทั้งสองก็พุ่งทะยานขึ้นสู่กิ่งไม้สูง แล้วกระโดด ผลัดเปลี่ยนฐานวิ่งทีละต้นๆอย่างปราดเปรียวราวกับพยัคฆ์ติดปีก ผ่านป่าโปร่งไปราวหนึ่งชั่วโมง พวกเขาทั้งสองก็เห็นทางเข้าของส่วนหน้าของโบราณสถาน ผา สูงลึกลับที่ภายในปรากฏเส้นทางเดินธรรมชาติที่ซับซ้อนแบบเขาวงกต บนผนังหินสีอ่อนมีคำ�จารึก ประวัติศาสตร์อันล้ำ�ค่านับแต่ช่วงสมัยการปกครองของชนเผ่ามังกร หรืออาจเรียกได้ว่าตั้งแต่ที่ชนเผ่า มนุษย์เกิดมาแล้วเริ่มมีวิทยาการทางภาษานั่นเอง สถานที่แห่งนี้ไม่มีทางถูกบุกรุกได้โดยเด็ดขาด รวมถึงการตรวจสอบด้วยวิธีเดียวกับโมบิติก ก็ไม่ อาจลอดผ่านเขตแดนชั้นสูงของเหล่าผู้เฒ่าอวุโสในอดีต ที่เป็นผู้ลงอารักษ์ไว้ “บ้าจริง เขตแดนสลายไปแล้วนี่เองภาพลวงตาจึงใช้ไม่ได้อีก แถมยังสัมผัสได้ถึงผู้ บุกรุกจากภายนอกอีก” วินเซนเต้พูดพลางขบคิด สายตากวาดมองทางเข้าที่ควรจะภาพผาหินตะปุ่มตะปั่ม รกชันไปด้วยแมกไม้ที่ขึ้นตามจุดต่างๆ กลับปรากฏเป็นช่องทางแคบขนาดสามคนลอดผ่านได้ขึ้นมา ภาพใน ความทรงจำ�วัยเด็กฉายซ้อนทับ นี่คือทางเข้าจริงๆที่ควรจะเปิดเฉพาะเทศกาลกราบไหว้ฟ้าดินบรรพบุรุษ หรือการแต่ตั้งตำ�แหน่งสำ�คัญของชนเผ่าเท่านั้น โมบิติกเดินเข้าไปใกล้พยายามเก็บกลิ่นอายการฆ่าฟันไว้อย่างแนบเนียน จนใบหน้ากลับกลาย เป็นเย็นชาดุจน้ำ�แข็ง เขาผิวปากไร้ที่เสียงจนก่อเกิดสายลมหมุนวนอย่างแผ่วเบารอบกายก่อนจะเอ่ยเรียก สัตว์อสูรในครอบครองให้ตามมาที่นี่ เมื่อฝากสายลมพัดผ่านไป โมบิติกก็กลับมาลบสัมผัสของตนเองจน กลายเป็นคนไร้ตัวตน ก่อนจะหันสะกิดวินเซนเต้ให้รีบทำ�ตามโดยไว
“ผู้บุกรุกคนนี้ ใยถึงกระทำ�การโดยเปิดเผยเช่นนี้ ไม่ฉลาดเอาเสีย” โมบิติกแค่นเสียงเย็นชาใส่ อย่างดูแคลน ได้ยินดังนั้นวินเซนเต้ก็ยิ้มอย่างเยือกเย็นกล่าวว่า “คงเหมือนประกาศตัวเองว่า ‘ข้าบุรุกเข้าเขต หวงห้ามแล้วนะ เชิญมาจับข้าไปไวๆเถิด’ ทำ�นองนี้ละมั้ง แต่ดูจากขุมพลังที่ไม่รู้ว่าพลั้งเผลอหรือตั้งใจ ปล่อยออกมา ก็คงประกาศโต้งๆแล้วว่าผู้บุรุกคนนี้เก่งกาจแค่ไหน เกรงว่าพวกเราที่บังเอิญสอดรู้มาที่นี่ คง ต้องได้เอาชีวิตมาทิ้งเสียแล้วล่ะ” “เฮอะ! แต่ถ้าเอาตำ�แหน่งของเจ้ามาอ้าง เกรงว่าข้าคงต้องปล่อยให้เจ้าหนีตายก่อนสินะ...” กล่าวได้ถึงตรงนี้ โมบิติกก็เริ่มมีสีหน้าดำ�คล้ำ�ขึ้นมาจริงๆ ตอนท้ายจึงเริ่มพูดเสียงอ่อยราวกับเพิ่งนึกได้ถึง ข้อเท็จจริงดังกล่าว “...จริงๆแล้วเจ้าน่าจะวิ่งกลับไปตามท่านอาจารย์กับผู้อวุโสที่หมู่บ้านมาที่นี่ ไม่ใช่มา เดินลอยชายหาคนร้ายแบบนี้กับข้านี่หว่า” “เถอะน่า ถ้าเราเอาหมาหมู่เข้าสู้ ข้าก็เชื่อนักรบที่เก่งที่สุดอย่างเจ้า ถ้ารวมกับการสนับสนุนอยู่ ด้านหลังของข้าก็น่าจะพอมีทางสู้ อย่างน้อยเจ้าก็ยังเป็นทัพหน้ายันไว้ให้ข้าก้าวหนึ่งก่อน ไว้เหตุการณ์เริ่ม ไม่ค่อยสู้ข้าก็ค่อยทะยานกลับหมู่บ้านก็ได้นี่” “อืมๆ ตอบได้สมกับเป็นว่าที่ผู้นำ�เผ่าจริงๆ สมศักดิ์ศรีมากๆ ข้าก็เพิ่งนึกได้ว่าตนเองต้อยต่ำ�เกรง ว่าชีวิตเดียวของข้านี้คงได้ตายก่อนเห็นเจ้าขึ้นรับตำ�แหน่งจริงๆด้วย ความห่วงใยต่อเพื่อนฝูงในสุดท้ายนี้ ต้องขอขอบใจเจ้ามากจริงๆสหายของข้า....” โมบิติกลากเสียงยาวในช่วงท้ายเน้นให้คู่สนทนาได้ยินชัดเจน แม้จะเป็นการพูดคุยที่ดูไม่อนาทร แต่แววตาของทั้งสองและสมาธิยังคงแน่วแน่กับการสอดสายตาหาตัวผู้บุกรุก ที่เป็นเช่นนั้นเพราะเมื่อพวกเขาเดินเข้ามาภายในได้ไม่นานนัก ขุมพลังดังกล่าวกลับหายวับไปใน ทันที จากที่พวกเขาย่ำ�เดินอย่างระมัดระวังแล้ว กลับยิ่งต้องเพิ่มความระแวงลงไปในการค้นหา กลายเป็นสถานการณ์เฝ้าระวังตนเองที่ไม่อาจผละจากกันได้ กรร... เสียงขมขู่ลอดไรฟันที่ได้ยินแว่วมาแต่ไกลนั้น ดึงให้ทั้งคู่ดึงดาบออกมาตั้งท่าเตรียมไว้ก่อนแล้วจึง สาวเท้าเข้ามาเจ้าของเสียงนั้น แต่ยิ่งเข้าใกล้ก็รู้สึกเหมือนจำ�นวนของเสียงก็เพิ่มขึ้นตามไปอีกจนพวกเขา เริ่มหวั่นนิดๆ ยังไม่ทันจะพ้นมุมอับสายตาศัตรูก็พลันจู่โจมเข้ามาอย่างรวดเร็วไวกว่าตาเห็น พวกมันราวกับทะลุหินผาเข้ามาได้อย่างตกตะลึง แต่เพราะระแวงการเคลื่อนไหวของศัตรูไว้ก่อน แม้จะเคลื่อนไหวผิดจากที่คาดการณ์ไว้โข แต่พวกมันก็สร้างบาดแผลได้เพียงปลายเล็บให้แก่ทั้งสองคน เท่านั้น ดาบปัดป้องกรงเล็บหนาของผู้บุกรุกทั้ง 3 คนไว้ได้อย่างทุลักทุเล การเคลื่อนไหวระดับนี้ย่อม ไม่ใช่สัตว์อสูรชั้นต่ำ� อาจจะเป็นชนชั้นสูงใกล้จะกลายเป็นภูติ แต่หากย่ำ�แย่ถึงที่สุดแล้วอาจจะเป็นภูติใน รูปลักษณ์ของสัตว์ก็เป็นไปได้เช่นกัน แต่จิตสังหารที่ฟาดฟันออกมาก็แรงพอจะทำ�ให้พวกเขาชะงักได้ชั่วครู่ เพราะความตกใจไม่ทันระหว่างการลอบโจมตี แต่เมื่อตั้งหลักได้แล้ว พวกเขาทั้งสองย่อมไม่ตกเป็นรอง สัตว์อสูรกลุ่มนี้
โชคดีที่สัตว์อสูรนาม “โคโค่” ของโมบิติกโผล่มาจากมุมอับสายตาเพื่อช่วยนายของมัน สัตว์อสูร ตนนี้อยู่ในชนชั้นราชาเช่นเดียวกัน แต่เป็นสายพันธ์ที่มีรูปลักษณ์เหมือนสมิงที่มีขนและใบหน้าเหมือน เหยี่ยว เขาคดงอของมันเข้ากระแทกร่างของอสูรตรงหน้า ทำ�การแยกศัตรูตัวหนึ่งไปไว้สู้อีกฝั่ง เท่ากับ เป็นการต่อสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่งแล้ว มีเวลาเพียงชั่วแวบเดียวที่วินเซนเต้จะสังเกตเห็นถึงศัตรูอีกตัวหนึ่งยืนสั่งการอยู่บนยอดผาไม่ไกล พร้อมลูกน้องขนาบข้างอีกสองตัวที่ได้สบตากับเขาพอดี วินเซนเต้วิเคราะห์จากรูปลักษณ์ของมันก็ได้คาด เดาได้ไม่ยาก หวังเพียงสัตว์อสูรพวกนี้ที่ระดับชนชั้นสูงพอจะเข้าใจภาษามนุษย์จะยินยอมเจรจา “โมบิติก! มันมีสัตว์อสูรที่กลายเป็นภูติแล้วคอยบงการ แถมเจ้าพวกนี้ก็เป็นมันสัตว์อสูรชั้นราชา กันทั้งนั้นเลยด้วยเจรจากันเถอะ! อั๊ก!” ละความสนใจได้ชั่วครู่เดียวกลับเปิดช่องว่างให้ศัตรูพุ่งโจมตีใส่ ปากที่อ้าขึ้นมาหมายจะกัดเป้าหมายให้จมอยู่ใต้เขี้ยวยาวของมัน จนแทบทันทีที่วินเซนเต้ต้องยก ดาบขึ้นกั้นระหว่างฟันหน้าและตัวของเขา เพียงพอให้ลอบสังเกตสายพันธุ์ของมันได้ในที่สุด อสูรชนชั้นราชาตนนี้ มีรูปร่างเพรียวใหญ่คล้ายเสือโคร่ง หากแต่อุ้งเท้าใหญ่เหมือนหมียักษ์ มัน สูงใหญ่เทียมอกของพวกเขา ทั้งยังมีปลายเขาที่ชี้มาด้านหน้า และมันยาวพอที่จะเฉี่ยวไหล่ของเขาไปไม่ ลึกมากนัก เส้นขนสีส้มเพลิงพลิ้วไหวราวสายไหม เวลาเคลื่อนที่ก่อเกิดประกายไฟเล็กๆละอองประทัด วิน เซนเต้รีบใช้ดาบผลักศัตรูออกไปแล้วตีลังกากลับหลังพลางหลบหลีกการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามที่ทะยาน ผ่านลำ�ตัวของเขาไป ปากก็พลางเอ่ยถ้อยคำ�มนต์สะกดอสูร โดยที่สายตาไม่ละเว้นไปจากการจับตามอง ของศัตรู “วจีแห่งอักขระโบราณ โรโซมันท์ผู้พิทักษ์สารแห่งมังกรได้สร้างไว้ให้ จงกำ�ราบศัตรูไว้ใต้ปีกแห่ง การปกปักษ์ของท่าน กดความโอหังของศัตรูไว้มิให้ต่อต้าน ประกาศศักดิดาแห่งผู้พิทักษ์ที่แท้จริง!” สายลมกรรโชกผ่านแผ่นหลังของวินเซนเต้ ราวกับมีโซ่ที่มองไม่เห็นเข้ากดร่างของอสูรทั้งสาม ตนเอาไว้ให้ชะงักงัน โมบิติกและอสูรรับใช้ต่างผละออกจากคู่ต่อสู้มายืนเคียงข้างวินเซนเต้ ไม่มีแม้แต่ การหอบให้เห็นสมกับความแข็งแกร่งที่ติดอันดับต้นๆในชนเผ่า “...จงเอ่ยนามของเจ้าเพื่อสร้างพันธะสัญญาระหว่างเรา” อีกฝ่ายนิ่งงันราวกับถูกสาปให้กลายเป็นรูปสลัก เสียงข่มขู่ยังลอดผ่านให้ได้ยินมาพักๆ ทั้งสอง ฝ่ายต้องจ้องตาประสานกันอย่างไม่ยอมแพ้ โบร๋ว.... เสียงหอนดังสะท้อนก้องไปทั่วร่องผา ทำ�เอาโบมิติกขมวดคิ้วไม่พูดไม่จา แต่เพิ่มการสัมผัสการ ตรวจสอบระยะไกลออกไปกว่าเดิมแม้จะต้องเปลืองแรงกายแรงใจมากขึ้นอีกเท่าตัวก็ตาม ลึกเข้าไปในร่อง ผามีสถานโบราณในรูปลักษณ์ของวิหารให้ถ้ำ�แกะสลักทางเข้า สร้างห้องหำ�ประกอบกิจต่างๆอย่างประณีต บรรจง เกินกว่าจะเชื่อว่าเสกสรรค์จากน้ำ�มือของมนุษย์ เสียงนั้นแม้จะคาดเดาทิศทางไม่ได้ แต่สัมผัสแห่ง ขุมพลังที่เหนือกว่าภูตและอสูรที่เป็นลูกน้องของมันตรงหน้า ...ยังเทียบเคียงไม่ได้ หัวหน้าอสูรที่ยืนอยู่ประจำ�การอยู่บนผาสูง เบือนหน้ากลับไปด้านข้างก่อนจะหันกลับมาสบตากับ คนเบื้องล่างแล้วกล่าวขึ้นมาว่า
“เชิญท่านเข้ามา” สิ้นประโยคนั้น มันก็ผินกายกลับไปยังทิศทางที่เสียงนั้นปรากฏ พร้อมๆกับลูกน้องที่ค่อยๆถอย ร่นไปไม่แยแสพวกมนุษย์และหนึ่งอสูรรับใช้อีก พวกมันโถมกายทะยานขึ้นเหนืออากาศราวกับปีนป่ายขึ้น บันไดที่มองไม่เห็น ตามติดหัวหน้าฝูงกลับไป “อ๊ะ! เดี๋ยวเซ่!” วินเซนเต้ร้องได้เพียงเท่านั้น แต่ก็ทำ�อะไรไม่ได้ บรรยากาศความตึงเครียดค่อยๆทุเลาลง มีเพียงหนึ่งหนุ่มที่รู้ไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นักที่ไม่สามารถ ใช้วิธรเฉพาะของตนเองในการควบคุมอสูรสามตนนั้นได้ ส่วนโบมิติกเพียงหันลูบศรีษะของอสูรรับใช้เบาๆมือ พลางชมว่า “ทำ�ได้ดีแล้ว ขอบจ้าเจ้ามากโค โค่” ก่อนจะหันมาแสดงความเห็นกับวินเซนเต้ “เอาไงดีสภาพมันกลับกันยังไงชอบกล เหมือนเชื้อเชิญเจ้าบ้านเข้าบ้านตัวเองยังไงอย่างงั้น เอ... ว่าแต่ทำ�ไมมนต์ของเจ้าถึงใช้ไม่ได้เสียแล้วล่ะ มันเสื่อมแล้วหรือไร? ปรกติอสูรตนใดเจอมนต์บทนี้ของเจ้า เข้าไป ก็แทบไม่มีอสูรตัวใดที่ไม่ยอมสยบให้” วินเซนเต้ส่ายหน้าสองสามครั้งเบาๆ ก่อนจะเอ่ยอย่างหนักใจ “ปรกติก็เป็นเช่นนั้นสำ�หรับอสูร ป่าทั่วไป แต่หากไม่ได้กับอสูรที่มีพันธะแล้วเท่านั้น ข้าเคยลองมาก่อน ดูเหมือนเจ้าพวกนี้จะเป็นอสูรใน พันธะสัญญาของผู้บุกรุกตัวจริงนี่แหละ แต่ไม่แน่ใจว่าจะเป็นมนุษย์หรือไม่เท่านั้น” “ถ้าเช่นนั้นก็แย่มากๆ ปะทะกันเพียงครู่เดียวก็รู้แล้วว่าระดับมันสูงมากแค่ไหน นี่ขนาดตัวต่อ ตัวนะ หากเจ้ายังจะคิดจะหมาหมู่ใส่เขาอย่างที่บอกไว้ ข้าว่าตำ�แหน่งนั้นน่าจะสลับกันแล้วล่ะ จากผู้ล่า กลับกลายเป็นเหยื่อ เหอะ! คงยันอยู่ได้ครู่นึงก็ล้มลงไปนอนแล้ว” โบมิติกกล่าวแสดงความเป็นไปพลาง เหน็บแนมไปพลาง ก่อนจะลงมือเช็ดคราบเลือดที่ปลายดาบแล้วเก็บเข้าฝัก วินเซนเต้แบมืออกในเชิงยอมแพ้ ดูก็รู้ว่าเข้าไปก็เหมือนวิ่งเข้าหากับดักเท่านั้น แค่ปลายแถวที่ ส่งมาสำ�รวจกำ�ลังของพวกเขาก็สูสีแล้ว เจอระดับเท่ากับตัวเมื่อกี้แต่โผล่หางออกมาหมด ก็คาดเดาโดนรุม หมาหมู่แบบหมดสภาพแน่ๆ “หรือเราจะต้องถอนกำ�ลังกลับไปเรียกคนที่หมู่บ้านมาที่นี่แทนดีไหม?” โบมิติกหันขวับมากล่าวเสียงแข็ง “บร๊ะ! จะปล่อยให้แขกรอเจ้าบ้านไปก่อนอย่างนั้นหรือ!?” “โอ๊ย! แล้วเจ้าจะเอายังกันแน่วะฮะ บอกว่าเข้าไปตอนนี้ก็ตาย ออกมากตอนนี้ก็ดันกลายเป็น เสียมารยาท!!!” วินเซนเต้แทบจะเอาดาบไปเกาหน้าสหายของตนกับคำ�กลิ้งกลอกไปมา จนกลายเป็นต่อ ล้อต่อเถียงด้วยเรื่องไร้สาระแบบที่ผิดที่ผิดเวลา “เห็นเช่นนี้ข้าก็เคยเป็นชายชาตินักรบที่ไม่เกรงกลัวทัพข้าศึกจะมารุกรานนะโว๊ย ตอนนี้ข้าศึกบุก ยึดอาณาเขต 1 ใน 4 ของเราไว้ก็ต้องยกพลไปยึดคืนมาสิวะ” แววตาของโมบิติกเกรี้ยวกราด เหมือนตอนที่ปรากฏในที่ประชุมลูกบ้านเมื่อคืนหวนกลับมาอีกครา สายเลือดร้อนที่ปรารถนาจะพิชิตชัยเหนืออริศัตรูเป็นความใฝ่ฝันของนักสู้หนุ่มที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก ในความคิดของวินเซ็นเต้ เตรียมใจไว้อยู่แล้วว่าอย่างไรก็ปล่อยเพื่อนคนนนี้ไปเผชิญศัตรูคนเดียว ได้ ถึงไม่ยอมผละกลับไปตามคนที่หมู่บ้านกลับมาก่อน ได้แต่หันไปฝากฝังให้โคโค่กลับไปแจ้งข่าวเรื่องผู้บุ รุกโบราณสถานแทน โดยจะรั้งรอให้คนในหมู่บ้านก่อนอยู่แถวนี้ไม่ไปไหน
บทที่ 3 จมูกดุนใบหน้าหวานของเด็กหนุ่มที่ฟุบหลับอยู่บนพรมเก่าด้วยความล้า ร่างกายหนักอึ้งคล้ายกับไม่สอดประสานกันตามใจนึก นานวันเข้าก็ถึงจุดขีดสุด เขา สะสมความเหนื่อยล้าและทรมานจากบาดแผลมาได้หลายสิบวัน แม้แต่อสูรรับใช้ที่ เรียกออกมาก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้มากไปกว่าการเคลื่อนย้าย และหาผลไม้ป่ามาช่วย ประทังชีวิตเขา ตัวเด็กหนุ่มพยายามสืบเสาะแกะรอยบันทึกในมือไปยังแหล่ง ต่างๆ โดยอาศัยสันนิฐานจากจุดพบพานเมื่อครั้งในอดีต จนวนเวียนอยู่ได้เพียงรอบ ภูเขาทาทารัสไม่กล้าไปไกลกว่านั้น แต่บัดนี้เขากลับขยับไม่ได้อีกแล้ว หลายวันก่อนเขาเกิดรู้สึกเหนื่อยล้าขึ้น มาได้ง่ายมาก ร่างกายที่บาดเจ็บก็ไม่ฟื้นคืนสภาพเฉกเช่นร่างเซียนปกติ กลิ่นเลือดที่ ดึงดูเหล่าอสูรร้ายเข้ามาทำ�ให้เขาแทบไม่มีที่พักที่ปลอดภัย การไล่ล่าก็ยังตามมาติดๆ อย่างไม่ลดละ เขาทำ�ได้แค่ขึ้นขี่มังระ อสูรชั้นภูติระดับสูงขึ้นทะยานเหนือเมฆไป จนสุดท้ายเพื่อหลบหนีจากพวกมันทั้งหมด จึงได้เพียงสั่งให้เหล่าอสูรติดตามทั้งหมด ค้นหาที่หลบซ่อนเพื่อรอเวลาพักฟื้นร่างกายและพลังให้กลับคืนมา
จากสภาพที่เป็นอยู่นี่บ่งบอกได้เพียงอย่างเดียวว่า ตัวเขาได้ถูกท่านเทวทูตถอดสิทธิ์การเป็นข้ารับ ใช้จากสวรค์ไปเสียแล้ว “ท่านเอิร์ทไวน์ ข้าจะตามหาเขาเจอได้จริงๆหรือ...” บ่ายวันนั้นเองที่เขาถูกต้อนโดยทหารประจำ�หมู่บ้านกลับเข้าสู่ที่พัก โดยที่ไม่ได้รับข่าวสารใดๆถึง การปะทะกันระหว่างคนของหมู่บ้านและผู้บุกรุกจากภายนอก จนเย็นย่ำ�ข่าวก็เงียบหายไปตงิดๆ มีเพียง สีหน้าของซูคอยเท่านั้นมองตรงมายังทั้งสองร่างที่กำ�ลังคุกเข่าอยู่อย่างดุดัน จนผู้ถูกมองทั้งสองได้แต่ก้ม หน้าลงอย่างขลาดเขลาหลังจากโดนกดดันด้วยสายตาคาดคั้นนั้น พวกเขานั่งอยู่ในห้องโถงของหัวหน้าหมู่บ้าน อันเป็นสิทธิโดยชอบธรรมในฐานะผู้นำ�เผ่า นี่เป็น สถานที่เดียวกับที่เมื่อคืนได้เกิดการประชุมสำ�คัญนั้นขึ้น บัดนี้มีเพียงพวกเขาสามคนและจอกเหล้ากับอีก หนึ่งเหยือก วางอยู่ข้างกายของซูคอม ซูคอยยกจอกเหล้าขึ้นมาจรดฝีปาก โดยที่ไม่ได้ละสายตาไปจากบุตชายและเพื่อนชองบุตรชายเลย แม้แต่น้อย ก่อนจะลอบถอนหายใจแล้วกล่าวถามย้ำ�อีกครั้ง “เจ้าบอกว่า... ได้ปะทะกับสัตว์อสูรของผู้บุกรุก ที่ใจกลางทางเข้าอย่างนั้นรึ” โมบิติกสั่นเล็กน้อยแต่ก็พยายามข่มความหวั่นเกรงให้กลืนหายลงท้องไปก่อนจะตอบคำ�ถามนั้น กลับไป “ถูกต้องแล้วขอรับ พวกเราเองก็ได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้เช่นกัน มันเป็นสัตว์อสูรระดับราชา ทั้งสิ้น 5 ตน มีหัวหน้าคอยสั่งการในระดับที่สูงกว่าน่าจะเป็นชนชั้นภูติไปแล้ว แต่ช่วงสุดท้ายที่เราหยั่ง เชิงกัน ปรากฏเสียงเรียกรวมของอสูรอีกตนดังมาจากภายใน ข้าใช้วิชาจิตสัมผัสตรวจสอบพบว่ามีขุมพลัง ขนาดใหญ่อยู่ภายในตัวโบราณสถาน วินเซนต์จึงสั่งให้สัตว์อสูรของข้าน้อยกลับมาแจ้งข่าวให้ทางนี้รับ ทราบขอรับ” “แล้วไม่ได้เข้าไปตรวจสอบด้านในโดยพละการสินะ” น้ำ�เสียงราบเรียบนั้นยิ่งเย็นเฉียบราวกับ กำ�ลังหยั่งเชิง วินเซนเต้ได้ยินดังนั้นก็หน้าตึงไม่น้อย ก่อนจะข่มความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำ�ใจเอาไว้เบื้องลึก เขา เปลี่ยนอิริยาบถเป็นชันเข่าข้างหนึ่งขึ้นในท่าประสานมือ พลางก้มหน้าลงเล็กน้อย แล้วจึงเอ่ยตอบอีกฝ่าย อย่างตรงไปตรงมาที่สุด ท่านพ่อนี่เป็นความจริงที่สุด พวกเราไม่อาจเข้าไปด้านในเพื่อเผชิญกับคู่ต่อสู้ที่เราไม่อาจเอาชนะ ได้ หากพวกเรามีความผิดที่ออกนอกอาณาเขตหมู่บ้านโดยพละการ ย่อมเป็นความผิดของลูกที่ได้ฝ่าฝืนคำ� สั่งนี้ โปรดลงโทษลูกเพียงคนเถิดขอรับ” ท่ามกลางความเงียบที่โรยตัวลงมา มีเพียงโมบิติกที่ดูเลิกลั่กไม่เช้สกับบรรยากาศ แววตาวาวโรจน์ แวบผ่านัยน์ตาของซูคอย เขากระแทกจอกเหล้าลงบนถาดวางด้วยแรงอารมณ์คุกกรุ่น ก่อนจะผุดลุกขึ้น ด่าทอว่า
“พวกเจ้าเป็นอะไรกันไปอีก! ขัดคำ�สั่งห้ามออกนอกอาณาเขตก่อนได้รับอนุญาต ข้าไม่ใช่ไม่พอใจ แต่คืนก่อนข้าบอกเป็นนัยไปกับทุกคนแล้วว่าให้พยายามอย่าก่อเรื่องใดๆขึ้นมา แต่ที่ข้าโกรธที่สุดก็คือคำ� โป้ปดพวกนั้นต่างหาก” กาลก่อนช่วงที่ชิงความตำ�แหน่งผู้นำ�ของชนเผ่า ซูคอยในวัยหนุ่มแทบจะถูกบิดาฟันคอขาดตาย เพียงเพราะคำ�โป้ปดที่ญาติพี่น้องก่อตัวกันให้ร้าย การสมรู้ร่วมคิดกันสังหารบิดา เป็นผู้อื่นวางแผนทั้งสิ้น เมื่อมันไม่ได้ผลย่อมต้องหาแพะรับบาปและเหมือนจะเป็นหมูในอวยที่รอให้พวกญาติเหล่าต่างพากันเฉือน นิ่มๆ ดีที่หลักฐานเท็จเหล่านั้นกลับย้อนรอยมาช่วยเขาได้จนผ่านพ้นวิกฤตมา แต่นับแต่นั้นมาก็แตกหักกับ ญาติพี่น้องเหล่านั้นจนต้องให้ตัดขาดจากชนเผ่า แล้วขับไล่ออกไป ไม่มีใครที่ไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน... แต่เหมือนลูกชายของคนเดียงของเขา วินเซนเต้ที่เริ่มพูดโกหก มดเท็จมาตั้งแต่เด็ก ราวกับต้องคำ�สาปจากญาติพี่น้องชั่วๆเหล่านั้น เขาจะพยายามจับผิดและลงโทษทุก ครั้งที่เด็กน้อยว่ากล่าวเกินจริงให้รู้สำ�นึก จนเกิดความห่างเหินของทั้งตัวเขาและลูกชายคนนี้ “ขออภัย... เช่นนั้นแล้วข้าเองก็ไม่มีสิ่งใดจะว่ากล่าวแล้ว แต่ข้าขอร้องให้ท่าอภัยแก่โมบิติก เขา ไม่ได้ทำ�อะไรผิดเลยเพียงแค่ตามลูกไปเท่านั้น ถือว่าลูกบังคับเขาไปเถิดขอรับ” ยิ่งพูดกล่าวน้ำ�เสียงยิ่งเย็น ชาแทบไร้ความรู้สึก ซูคอยได้แต่กัดฟันกรอดเมื่อได้ยินดังนั้น ก่อนจะชี้ไปทั้งทั้งสองคนแล้วไล่ตะเพิดออกไป “พวกเจ้าจะไปไหนก็ไป! อย่าเพิ่งมาให้ข้าเห็นหน้าตอนนี้” พวกเขาสองคนได้แต่รับคำ�แล้วล่าถอยออกไปจากห้องโถง ทิ้งให้ซูคอยนั่งสงบสติอารมณ์คนเดียว อยู่ในสถานที่แห่งนั้น สองหนุ่มเดินลัดเลาะกลับมายังบ้านพักของโมบิติก ก่อนที่โมบิติกจะรีบลงกลอนใส่กุญแจบ้าน ราวกับกลัวใครมาบุกบ้าน ทุบประตูก็ไม่ปาน ดูสภาพแล้วเหงื่อชโลมกายหนักหนายิ่งกว่าตอนตีกันกับพวกผู้ บุกรุกโบราณสถานเสียอีก เห็นดังนั้นก็ปลดปล่อยความตึงเครียดกลับมายิ้มสบายแบบเดิม เขาล้มตัวลงนั่งชันขาบนโซฟาตัว โปรดด้วยความผ่อนคลาย โซฟาตัวนี้เป็นโมบิติกยินยอมยกให้เป็นอภิสิทธิ์ชองแขกที่บุญหนักศักดิ์ใหญ่คนนี้ ได้นั่งเท่านั้น หลังจากแพ้พนันเกมเมื่อห้าปีก่อน จวบจนโมบิติกที่หันกลับมาเห็นท่าทีสบายอารมณ์เหมือน นั่งเล่นอยู่บ้านตัวเองแบบนั้นเข้า ก็ได้แต่มองค้อนแบบเด็กๆใส่เท่านั้น โมบิตกเดินไปพิงผนังแถวหน้าต่างแล้วมองย้อนออกไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินเบี่ยงออกมาเล็กน้อย ไปหาน้ำ�ท่าในครัวมาวางเสิร์ฟให้แขกประจำ�ของวันนี้ แต่สายตาของเขาก็ยังคงล่อกแล่กไปมาแถวหน้าต่าง ชะโงกตัวบ้างย่อตัวบ้างเหมือนเด็กๆ ทำ�ทีเหมือนว่าจะมีคนลอบติดตามมา แต่ก็ปากก็ยังคงส่งเสียงเจรจา พาทีไม่เลิกราออกมา “อือหือ... สรุเสียงขงพ่อเจ้าเนี่ย น่ากลัวว่ากลัวพระดำ�รัชในกษัตริย์เดมิสแห่งเฟอร์รุซซิโอเสีย อีกแน่ะ จริงๆน่าจะสร้างแผนยุยงให้ไปท่านพ่อเจ้าไปชิงบัลลังก์มานะ ข้าว่าสงครามที่กำ�ลังจะเกิดอยู่ตอน นี้ เทหมดหน้าตักเลยว่าฝั่งเราต้องได้รับชัยชนะชัวร์”
วินเซนเต้กล่าวว่า “แล้วไปได้ยินเสียงของกษัตริย์มาตอนไหน เอาแต่ล่วงเกินเบื้องสูงแบบนี้ เจ้านี่ท่าจะไม่อยู่รอดจนกว่าข้าจะได้ตำ�แหน่งผู้นำ�จริงๆนั่นแหละ” พูดพลางก่อนจะจิบน้ำ�ไปพลาง แต่แล้วจู่ๆโบมิติกก็เกิดเปลี่ยนเรื่องแล้วตั้งข้อสงสัยขึ้นมา “แต่มันแปลกจริงๆนะ ท่านผู้นำ�ส่งมือดีของเราเข้าไปค้นหาในนั้นแล้ว ไยถึงหาตัวการไม่เจอ เล่า ตอนที่เรารออยู่ที่แถวทางเข้าจนพวกเขาตามมาสมทบทัน ข้าก็ยังจับสัมผัสนั้นได้จางๆอยู่เลยนะ แต่ เหมือนจู่ๆพอมีคนเข้ามาเพิ่ม มันก็จะรู้ตัวค่อยๆพลางตัวได้เองแบบนั้นแหละ แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ใช่ว่ามัน จะหายไปเลยสักหน่อย ทำ�ร่องรอยมันถึงหายสาบสูญไปได้แบบนี้นะ” วินเซนเต้ได้แต่เงียบไร้ความเห็น เขาไม่อยากไปยุ่งกับปัญหาแบบนี้อีกแล้ว เขามักจะเจอแต่สิ่งที่ คนอื่นไม่เคยเจอ ได้ในสิ่งที่คนอื่นไม่เคยมี พบเจอเรื่องยุ่งยากที่หาทางพิสูจน์ไม่ได้มากมาย แต่กระนั้นแม้ ผู้เป็นพ่อจะมองมาด้วยความผิดหวังเมื่อเปิดปากเล่าอธิบาย แต่ก็ยังให้การปกป้องลับหลังเสมอมา ถึงยัง อยู่ในสังคมนี้ได้โดยไม่ถูกคนในเผ่าตั้งป้อมรังเกียจไปเสียก่อน คนที่เข้าใจเขาที่สุดเห็นจะมีพียงโบมิติก และรุ่นพี่ทรอรัสที่เสียไปแล้ว... พวกเขายอมเชื่อในสิ่งที่ เขาพูดทุกอย่าง แถมบางครั้งก็ยังช่วยเผชิญสถานการณ์แปลกประหลาดมามากมายร่วมกัน จนพวกเขาเป็น อีกสองคนที่ถูกผู้เป็นพ่อพยายามแยกออกจากห่างออกจากเขา เพราะกลัวจะเกิดการช่วยกันเสี้ยมสอนให้ โกหกกันขึ้นมาเป็นกลุ่ม ทั้งที่มันไม่ใช่ความจริงเลยสักนิด เขาจึงได้แต่ยอมรับผิดลับหลังทุกคราไป เพื่อไม่ ให้พวกเขาเผชิญชะตากรรมที่ยากลำ�บากไปมากกว่านี้ “เฮ้อ... ฉันไม่เคยต้องวิ่งเข้าปัญหา แต่ให้ตายเถอะ เหมือนปัญหาจะวิ่งไล่ตามมาติดตล อดๆเลยแหะ!” วินเซนเต้เผลอเหน็บแนมปนเย้ยหยันออกมา ฟังเหมือนอีกฝ่ายจะพูดเล่นกับตัวเองแต่แววตากลับฉายแววอ่อนล้าออกมาอย่างเห็นได้ชัด โบมิ ติกเองที่ทนเห็นไม่ไหว จึงโซเซเข้าไปตบหัวเรียกสติ จนวินเซนเต้เกือบหวิดตกจากโซฟาจึงหันไปด่าใส่ “ทำ�ไรวะเนี่ย เอาซะข้าหลุดเก๊กเลย” “แมลงสาปว่ะ ตัวเท่านิ้วโป้งข้าเนี่ย เห็นมันจะบินมาเกาะหัวเจ้า ข้าก็เลยรีบปัดออกไปให้ก่อนไง มันจะได้บินไปทางอื่น” โมบิติกแก้ตัวเสียงขุ่น “บ้านเจ้าชักจะโสโครกเกินไปแล้วนะ ตั้งแต่กลับมาเมื่อวานก็ทำ�ความสะอาดแค่ประตูกับโซฟา ใจคอจะใช้อยู่ชีวิตตอยู่ในพื้นที่แค่นี้รึ” พูดไปแล้วก็เอานิ้วปาดไรฝุ่นหนาบนโต๊ะเตี้ยข้างโซฟา ขนาดว่า สัมภาระที่หอบหิ้วกลับมา มันยังตั้งอยู่ที่เดิมตรงโซฟาที่อยู่ตรงข้ามใช่จุดเดียวกับที่โยนทิ้งไว้เมื่อวานนี้เป๊ะ! พอหันไปจะเปิดปากพูดต่อ จู่ๆเห็นหน้าสหายตนนี้แล้วพานนึกไปถึงพวกบรูฟฟ่อนที่รวมตัวกัน ออกจากหมู่บ้านไปเมื่อเช้ามืดวันนี้ ข่าวเรียกประชุมลับเมื่อคืนของพวกเขานั้น ใช้วิธีการบอกต่อๆกันไปในหมู่บ้านอย่างมีแบบแผน โดยดูจากวงจรการพบปะและตำ�แหน่งบ้านของแต่ละราย จุดหนึ่งปล่อยข่าวได้เพียงช่วงหนึ่งก็จะมีคนรับ ช่วงต่อไปกระจายในจุดของตนเอง โดยแบ่งโซนที่อยู่อาศัยตามความสนิทชิดเชื้อและความเป็นคนบ้านใกล้ เรือนเคียงกัน ทุกอย่างแทบจะดูเหมือนพวกเขาเดินเล่นยามปรกติและไปทักทายเพื่อนบ้านทุกคนหลังจาก ไม่ได้กลับมานานปี แม้แต่โมบิติกเองก็ทราบข่าวนี้เป็นคนแรกๆ ในตอนนั้นผู้ส่งสารเพียงมาเคาะประตูเบา แล้วเรียกรหัสบางอย่าง พอดีตัววินเซนเต้ก็ยังอยู่ที่บ้านด้วยจึงได้รู้เห็นทุกถ้อยคำ�ที่ส่งต่อกันมาจากคนสนิท ของบรูฟฟ่อน พวกเขาเพียงส่งสารกันผ่านประตูกั้น โมบิติกแค่รับฟังแต่กลับไม่ได้ตอบรับใดๆ
แล้วคืนนั้นเขาเองก็ยังพูดคุยถึงเรื่องโลกภายนอกไม่เว้นแม้แต่เรื่องของพี่ทรอรัส แน่นอนว่า ความต้องการของกลุ่มบรูฟนั้นเพื่อมุ่งเป้าหมายไปสืบเสาะกษัตริย์ลาเทนน์ สวนทางกับพวกเขาที่มุ่งเป้า หมายย้อนกลับมาที่เรื่องของเขาทาทารัส แต่จะทำ�อย่างไรได้ในเมื่อเค้าลางแห่งหายนะมันมองเห็นได้จาก ไม่ไกลนัก ยิ่งคิดก็ยิ่งแปลกใจ พลันนึกถึงรูปแบบการโจมีของอสูรชั้นราชาเมื่อตอนกลางวัน ที่ต่างผลุบไป มาระหว่างหินผาได้เหมือนภูตผี “...ทาทารัส” ช่วงที่อยู่ในห้วงของภวังค์ความคิด พลันได้ยินเสียงของโมบิติกดังแว่วเข้ามา วินเซนเต้ละสายตา เหม่อลอยกลับมายังสหายที่ยืนอยู่ตรงหน้า พลางกล่าวถาม “เมื่อกี้เจ้าว่าอะไรนะ??” โมบิติกยกมือกอดอก สีหน้าฉายแววลังเล ก่อนจะเอ่ยตอบออกไป “ข้าอยากขึ้นเขาทาทารัส อยากรู้เรื่องเกิดเรื่องราวอะไรบนนั้นกันแน่” ‘ในที่สุดก็พูดออกมาจนได้’ วินเซนเต้ได้แต่ถอนหายใจ นับแต่เห็นท่าทีของบรูฟที่กระตือรือร้น อยากสวมบทบาทเป็นบุคคลสำ�คัญที่ออกไปทำ�หน้าที่สำ�คัญนั้น แน่นอนว่าเกิดจากความศรัทธาตามแบบ อย่างของชนเผ่าอารักษ์มังกรที่พึงปฏิบัตมาแต่โบราณ เรื่องเล่าสั้นๆของชนเผ่าอารักษ์มังกร กล่าวถึงบรรพบุรุษคนหนึ่งของชนเผ่า นามว่า “ริออร์ เดน” ข้าราชบริพารชาวมนุษย์คนแรกที่ได้รับใช้ใกล้ชิดกับราชามังแห่งแสง อีกทั้งยังเป็นที่เคารพรักและ บูชาของมวลมนุษย์ทั้งแผ่นดินไม่เว้นแม่แต่เหล่าภูติ ราชามังกรแห่งแสงได้แต่งตั้งให้เขาผู้นี้เป็นหนึ่งใน เทพเจ้าแห่งปัญญา เพราะกล่าวกันว่าเขาเป็นผู้ริเริ่มประดิษฐ์อักขระ และจดบันทึกเรื่องราวบนโลกมนุษย์ ทั้งหมดแก่เหล่าเทพเจ้า นานวันเข้าบันทึกเหล่านั้นกลับเริ่มเขียนล้ำ�ออกไปไกลจากที่เป็นอยู่นัก เหมือนทำ�นายอนาคตเอา ไว้ล่วงหน้า ทำ�ให้กลายเป็นเทพแห่งโชคชะตาผู้มีหน้าลิขิตชะตาของโลกเบื้องล่างที่สวรรค์เป็นผู้ประทานไป ในบัดดล เขาที่เป็นบรรพบุรุษเรา กลายเป็นเทพแห่งปัญญาและโชคชะตา รวมทั้งลูกหลานทุกคนได้ถูกกะ เกณฑ์เป็นทหารสวรรค์กันทุกรุ่น ไม่แปลกที่ความหยิ่งผยองนี้นับวันจะยิ่งเลยเถิดไม่เห็นหัวผู้ใดไปบ้าง ท่านพ่อมีความคิดที่ดีในการ วางตัวเป็นกลางเพื่อความปลอดภัยของตนเอง แต่สุดท้ายสักวันย่อมต้องถูกบีบให้เข้าตาจนจนได้ บางที การเลือกเช่นนี้เมื่อฝ่ายใดชนะก็จะถูกลดทอนความสำ�คัญลงไปมา จนถูกหายท่ามกลางวงล้อมการเมืองใน ที่สุด ตอนนี้ภูเขาทาทารัสคือใจกลางแห่งโลกเบื้องล่างเพื่อติดต่อกับสวรรค์ สถานที่แห่งเดียวที่เป็นจุด เริ่มต้นของทุกสิ่งหลังจากสิ้นการปกครองแบบเบื้องหน้าของชนเผ่ามังกร แล้วแปรเปลี่ยนตนเองมากุม อำ�นาจการปกครองอยู่เบื้องหลัง “เป้าหมายที่เจ้าต้องการคืออะไรเล่า โมบิติก” “คือว่า...”
วินเซนเต้กล่าวว่า “แล้วไปได้ยินเสียงของกษัตริย์มาตอนไหน เอาแต่ล่วงเกินเบื้องสูงแบบนี้ เจ้านี่ท่าจะไม่อยู่รอดจนกว่าข้าจะได้ตำ�แหน่งผู้นำ�จริงๆนั่นแหละ” พูดพลางก่อนจะจิบน้ำ�ไปพลาง แต่แล้วจู่ๆโบมิติกก็เกิดเปลี่ยนเรื่องแล้วตั้งข้อสงสัยขึ้นมา “แต่มันแปลกจริงๆนะ ท่านผู้นำ�ส่งมือดีของเราเข้าไปค้นหาในนั้นแล้ว ไยถึงหาตัวการไม่เจอ เล่า ตอนที่เรารออยู่ที่แถวทางเข้าจนพวกเขาตามมาสมทบทัน ข้าก็ยังจับสัมผัสนั้นได้จางๆอยู่เลยนะ แต่ เหมือนจู่ๆพอมีคนเข้ามาเพิ่ม มันก็จะรู้ตัวค่อยๆพลางตัวได้เองแบบนั้นแหละ แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ใช่ว่ามัน จะหายไปเลยสักหน่อย ทำ�ร่องรอยมันถึงหายสาบสูญไปได้แบบนี้นะ” วินเซนเต้ได้แต่เงียบไร้ความเห็น เขาไม่อยากไปยุ่งกับปัญหาแบบนี้อีกแล้ว เขามักจะเจอแต่สิ่งที่ คนอื่นไม่เคยเจอ ได้ในสิ่งที่คนอื่นไม่เคยมี พบเจอเรื่องยุ่งยากที่หาทางพิสูจน์ไม่ได้มากมาย แต่กระนั้นแม้ ผู้เป็นพ่อจะมองมาด้วยความผิดหวังเมื่อเปิดปากเล่าอธิบาย แต่ก็ยังให้การปกป้องลับหลังเสมอมา ถึงยัง อยู่ในสังคมนี้ได้โดยไม่ถูกคนในเผ่าตั้งป้อมรังเกียจไปเสียก่อน คนที่เข้าใจเขาที่สุดเห็นจะมีพียงโบมิติก และรุ่นพี่ทรอรัสที่เสียไปแล้ว... พวกเขายอมเชื่อในสิ่งที่ เขาพูดทุกอย่าง แถมบางครั้งก็ยังช่วยเผชิญสถานการณ์แปลกประหลาดมามากมายร่วมกัน จนพวกเขาเป็น อีกสองคนที่ถูกผู้เป็นพ่อพยายามแยกออกจากห่างออกจากเขา เพราะกลัวจะเกิดการช่วยกันเสี้ยมสอนให้ โกหกกันขึ้นมาเป็นกลุ่ม ทั้งที่มันไม่ใช่ความจริงเลยสักนิด เขาจึงได้แต่ยอมรับผิดลับหลังทุกคราไป เพื่อไม่ ให้พวกเขาเผชิญชะตากรรมที่ยากลำ�บากไปมากกว่านี้ “เฮ้อ... ฉันไม่เคยต้องวิ่งเข้าปัญหา แต่ให้ตายเถอะ เหมือนปัญหาจะวิ่งไล่ตามมาติดตล อดๆเลยแหะ!” วินเซนเต้เผลอเหน็บแนมปนเย้ยหยันออกมา ฟังเหมือนอีกฝ่ายจะพูดเล่นกับตัวเองแต่แววตากลับฉายแววอ่อนล้าออกมาอย่างเห็นได้ชัด โบมิ ติกเองที่ทนเห็นไม่ไหว จึงโซเซเข้าไปตบหัวเรียกสติ จนวินเซนเต้เกือบหวิดตกจากโซฟาจึงหันไปด่าใส่ “ทำ�ไรวะเนี่ย เอาซะข้าหลุดเก๊กเลย” “แมลงสาปว่ะ ตัวเท่านิ้วโป้งข้าเนี่ย เห็นมันจะบินมาเกาะหัวเจ้า ข้าก็เลยรีบปัดออกไปให้ก่อนไง มันจะได้บินไปทางอื่น” โมบิติกแก้ตัวเสียงขุ่น “บ้านเจ้าชักจะโสโครกเกินไปแล้วนะ ตั้งแต่กลับมาเมื่อวานก็ทำ�ความสะอาดแค่ประตูกับโซฟา ใจคอจะใช้อยู่ชีวิตตอยู่ในพื้นที่แค่นี้รึ” พูดไปแล้วก็เอานิ้วปาดไรฝุ่นหนาบนโต๊ะเตี้ยข้างโซฟา ขนาดว่า สัมภาระที่หอบหิ้วกลับมา มันยังตั้งอยู่ที่เดิมตรงโซฟาที่อยู่ตรงข้ามใช่จุดเดียวกับที่โยนทิ้งไว้เมื่อวานนี้เป๊ะ! พอหันไปจะเปิดปากพูดต่อ จู่ๆเห็นหน้าสหายตนนี้แล้วพานนึกไปถึงพวกบรูฟฟ่อนที่รวมตัวกัน ออกจากหมู่บ้านไปเมื่อเช้ามืดวันนี้ ข่าวเรียกประชุมลับเมื่อคืนของพวกเขานั้น ใช้วิธีการบอกต่อๆกันไปในหมู่บ้านอย่างมีแบบแผน โดยดูจากวงจรการพบปะและตำ�แหน่งบ้านของแต่ละราย จุดหนึ่งปล่อยข่าวได้เพียงช่วงหนึ่งก็จะมีคนรับ ช่วงต่อไปกระจายในจุดของตนเอง โดยแบ่งโซนที่อยู่อาศัยตามความสนิทชิดเชื้อและความเป็นคนบ้านใกล้ เรือนเคียงกัน ทุกอย่างแทบจะดูเหมือนพวกเขาเดินเล่นยามปรกติและไปทักทายเพื่อนบ้านทุกคนหลังจาก ไม่ได้กลับมานานปี แม้แต่โมบิติกเองก็ทราบข่าวนี้เป็นคนแรกๆ ในตอนนั้นผู้ส่งสารเพียงมาเคาะประตูเบา แล้วเรียกรหัสบางอย่าง พอดีตัววินเซนเต้ก็ยังอยู่ที่บ้านด้วยจึงได้รู้เห็นทุกถ้อยคำ�ที่ส่งต่อกันมาจากคนสนิท ของบรูฟฟ่อน พวกเขาเพียงส่งสารกันผ่านประตูกั้น โมบิติกแค่รับฟังแต่กลับไม่ได้ตอบรับใดๆ
แล้วคืนนั้นเขาเองก็ยังพูดคุยถึงเรื่องโลกภายนอกไม่เว้นแม้แต่เรื่องของพี่ทรอรัส แน่นอนว่า ความต้องการของกลุ่มบรูฟนั้นเพื่อมุ่งเป้าหมายไปสืบเสาะกษัตริย์ลาเทนน์ สวนทางกับพวกเขาที่มุ่งเป้า หมายย้อนกลับมาที่เรื่องของเขาทาทารัส แต่จะทำ�อย่างไรได้ในเมื่อเค้าลางแห่งหายนะมันมองเห็นได้จาก ไม่ไกลนัก ยิ่งคิดก็ยิ่งแปลกใจ พลันนึกถึงรูปแบบการโจมีของอสูรชั้นราชาเมื่อตอนกลางวัน ที่ต่างผลุบไป มาระหว่างหินผาได้เหมือนภูตผี “...ทาทารัส” ช่วงที่อยู่ในห้วงของภวังค์ความคิด พลันได้ยินเสียงของโมบิติกดังแว่วเข้ามา วินเซนเต้ละสายตา เหม่อลอยกลับมายังสหายที่ยืนอยู่ตรงหน้า พลางกล่าวถาม “เมื่อกี้เจ้าว่าอะไรนะ??” โมบิติกยกมือกอดอก สีหน้าฉายแววลังเล ก่อนจะเอ่ยตอบออกไป “ข้าอยากขึ้นเขาทาทารัส อยากรู้เรื่องเกิดเรื่องราวอะไรบนนั้นกันแน่” ‘ในที่สุดก็พูดออกมาจนได้’ วินเซนเต้ได้แต่ถอนหายใจ นับแต่เห็นท่าทีของบรูฟที่กระตือรือร้น อยากสวมบทบาทเป็นบุคคลสำ�คัญที่ออกไปทำ�หน้าที่สำ�คัญนั้น แน่นอนว่าเกิดจากความศรัทธาตามแบบ อย่างของชนเผ่าอารักษ์มังกรที่พึงปฏิบัตมาแต่โบราณ เรื่องเล่าสั้นๆของชนเผ่าอารักษ์มังกร กล่าวถึงบรรพบุรุษคนหนึ่งของชนเผ่า นามว่า “ริออร์ เดน” ข้าราชบริพารชาวมนุษย์คนแรกที่ได้รับใช้ใกล้ชิดกับราชามังแห่งแสง อีกทั้งยังเป็นที่เคารพรักและ บูชาของมวลมนุษย์ทั้งแผ่นดินไม่เว้นแม่แต่เหล่าภูติ ราชามังกรแห่งแสงได้แต่งตั้งให้เขาผู้นี้เป็นหนึ่งใน เทพเจ้าแห่งปัญญา เพราะกล่าวกันว่าเขาเป็นผู้ริเริ่มประดิษฐ์อักขระ และจดบันทึกเรื่องราวบนโลกมนุษย์ ทั้งหมดแก่เหล่าเทพเจ้า นานวันเข้าบันทึกเหล่านั้นกลับเริ่มเขียนล้ำ�ออกไปไกลจากที่เป็นอยู่นัก เหมือนทำ�นายอนาคตเอา ไว้ล่วงหน้า ทำ�ให้กลายเป็นเทพแห่งโชคชะตาผู้มีหน้าลิขิตชะตาของโลกเบื้องล่างที่สวรรค์เป็นผู้ประทานไป ในบัดดล เขาที่เป็นบรรพบุรุษเรา กลายเป็นเทพแห่งปัญญาและโชคชะตา รวมทั้งลูกหลานทุกคนได้ถูกกะ เกณฑ์เป็นทหารสวรรค์กันทุกรุ่น ไม่แปลกที่ความหยิ่งผยองนี้นับวันจะยิ่งเลยเถิดไม่เห็นหัวผู้ใดไปบ้าง ท่านพ่อมีความคิดที่ดีในการ วางตัวเป็นกลางเพื่อความปลอดภัยของตนเอง แต่สุดท้ายสักวันย่อมต้องถูกบีบให้เข้าตาจนจนได้ บางที การเลือกเช่นนี้เมื่อฝ่ายใดชนะก็จะถูกลดทอนความสำ�คัญลงไปมา จนถูกหายท่ามกลางวงล้อมการเมืองใน ที่สุด ตอนนี้ภูเขาทาทารัสคือใจกลางแห่งโลกเบื้องล่างเพื่อติดต่อกับสวรรค์ สถานที่แห่งเดียวที่เป็นจุด เริ่มต้นของทุกสิ่งหลังจากสิ้นการปกครองแบบเบื้องหน้าของชนเผ่ามังกร แล้วแปรเปลี่ยนตนเองมากุม อำ�นาจการปกครองอยู่เบื้องหลัง “เป้าหมายที่เจ้าต้องการคืออะไรเล่า โมบิติก” “คือว่า...”
วินเซนเต้กล่าวว่า “แล้วไปได้ยินเสียงของกษัตริย์มาตอนไหน เอาแต่ล่วงเกินเบื้องสูงแบบนี้ เจ้านี่ท่าจะไม่อยู่รอดจนกว่าข้าจะได้ตำ�แหน่งผู้นำ�จริงๆนั่นแหละ” พูดพลางก่อนจะจิบน้ำ�ไปพลาง แต่แล้วจู่ๆโบมิติกก็เกิดเปลี่ยนเรื่องแล้วตั้งข้อสงสัยขึ้นมา “แต่มันแปลกจริงๆนะ ท่านผู้นำ�ส่งมือดีของเราเข้าไปค้นหาในนั้นแล้ว ไยถึงหาตัวการไม่เจอ เล่า ตอนที่เรารออยู่ที่แถวทางเข้าจนพวกเขาตามมาสมทบทัน ข้าก็ยังจับสัมผัสนั้นได้จางๆอยู่เลยนะ แต่ เหมือนจู่ๆพอมีคนเข้ามาเพิ่ม มันก็จะรู้ตัวค่อยๆพลางตัวได้เองแบบนั้นแหละ แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ใช่ว่ามัน จะหายไปเลยสักหน่อย ทำ�ร่องรอยมันถึงหายสาบสูญไปได้แบบนี้นะ” วินเซนเต้ได้แต่เงียบไร้ความเห็น เขาไม่อยากไปยุ่งกับปัญหาแบบนี้อีกแล้ว เขามักจะเจอแต่สิ่งที่ คนอื่นไม่เคยเจอ ได้ในสิ่งที่คนอื่นไม่เคยมี พบเจอเรื่องยุ่งยากที่หาทางพิสูจน์ไม่ได้มากมาย แต่กระนั้นแม้ ผู้เป็นพ่อจะมองมาด้วยความผิดหวังเมื่อเปิดปากเล่าอธิบาย แต่ก็ยังให้การปกป้องลับหลังเสมอมา ถึงยัง อยู่ในสังคมนี้ได้โดยไม่ถูกคนในเผ่าตั้งป้อมรังเกียจไปเสียก่อน คนที่เข้าใจเขาที่สุดเห็นจะมีพียงโบมิติก และรุ่นพี่ทรอรัสที่เสียไปแล้ว... พวกเขายอมเชื่อในสิ่งที่ เขาพูดทุกอย่าง แถมบางครั้งก็ยังช่วยเผชิญสถานการณ์แปลกประหลาดมามากมายร่วมกัน จนพวกเขาเป็น อีกสองคนที่ถูกผู้เป็นพ่อพยายามแยกออกจากห่างออกจากเขา เพราะกลัวจะเกิดการช่วยกันเสี้ยมสอนให้ โกหกกันขึ้นมาเป็นกลุ่ม ทั้งที่มันไม่ใช่ความจริงเลยสักนิด เขาจึงได้แต่ยอมรับผิดลับหลังทุกคราไป เพื่อไม่ ให้พวกเขาเผชิญชะตากรรมที่ยากลำ�บากไปมากกว่านี้ “เฮ้อ... ฉันไม่เคยต้องวิ่งเข้าปัญหา แต่ให้ตายเถอะ เหมือนปัญหาจะวิ่งไล่ตามมาติดตล อดๆเลยแหะ!” วินเซนเต้เผลอเหน็บแนมปนเย้ยหยันออกมา ฟังเหมือนอีกฝ่ายจะพูดเล่นกับตัวเองแต่แววตากลับฉายแววอ่อนล้าออกมาอย่างเห็นได้ชัด โบมิ ติกเองที่ทนเห็นไม่ไหว จึงโซเซเข้าไปตบหัวเรียกสติ จนวินเซนเต้เกือบหวิดตกจากโซฟาจึงหันไปด่าใส่ “ทำ�ไรวะเนี่ย เอาซะข้าหลุดเก๊กเลย” “แมลงสาปว่ะ ตัวเท่านิ้วโป้งข้าเนี่ย เห็นมันจะบินมาเกาะหัวเจ้า ข้าก็เลยรีบปัดออกไปให้ก่อนไง มันจะได้บินไปทางอื่น” โมบิติกแก้ตัวเสียงขุ่น “บ้านเจ้าชักจะโสโครกเกินไปแล้วนะ ตั้งแต่กลับมาเมื่อวานก็ทำ�ความสะอาดแค่ประตูกับโซฟา ใจคอจะใช้อยู่ชีวิตตอยู่ในพื้นที่แค่นี้รึ” พูดไปแล้วก็เอานิ้วปาดไรฝุ่นหนาบนโต๊ะเตี้ยข้างโซฟา ขนาดว่า สัมภาระที่หอบหิ้วกลับมา มันยังตั้งอยู่ที่เดิมตรงโซฟาที่อยู่ตรงข้ามใช่จุดเดียวกับที่โยนทิ้งไว้เมื่อวานนี้เป๊ะ! พอหันไปจะเปิดปากพูดต่อ จู่ๆเห็นหน้าสหายตนนี้แล้วพานนึกไปถึงพวกบรูฟฟ่อนที่รวมตัวกัน ออกจากหมู่บ้านไปเมื่อเช้ามืดวันนี้ ข่าวเรียกประชุมลับเมื่อคืนของพวกเขานั้น ใช้วิธีการบอกต่อๆกันไปในหมู่บ้านอย่างมีแบบแผน โดยดูจากวงจรการพบปะและตำ�แหน่งบ้านของแต่ละราย จุดหนึ่งปล่อยข่าวได้เพียงช่วงหนึ่งก็จะมีคนรับ ช่วงต่อไปกระจายในจุดของตนเอง โดยแบ่งโซนที่อยู่อาศัยตามความสนิทชิดเชื้อและความเป็นคนบ้านใกล้ เรือนเคียงกัน ทุกอย่างแทบจะดูเหมือนพวกเขาเดินเล่นยามปรกติและไปทักทายเพื่อนบ้านทุกคนหลังจาก ไม่ได้กลับมานานปี แม้แต่โมบิติกเองก็ทราบข่าวนี้เป็นคนแรกๆ ในตอนนั้นผู้ส่งสารเพียงมาเคาะประตูเบา แล้วเรียกรหัสบางอย่าง พอดีตัววินเซนเต้ก็ยังอยู่ที่บ้านด้วยจึงได้รู้เห็นทุกถ้อยคำ�ที่ส่งต่อกันมาจากคนสนิท ของบรูฟฟ่อน พวกเขาเพียงส่งสารกันผ่านประตูกั้น โมบิติกแค่รับฟังแต่กลับไม่ได้ตอบรับใดๆ
“ถ้าเจ้าแค่อยากรู้สาเหตุการตายของพี่ทรอรัสล่ะก็ ถอยออกมาเถอะ เรื่องนี้ข้าคิดว่าพัวพันกับเรื่องของ กษัตริย์แห่งลาเทมน์เสียเก้าในสิบส่วน ข้าไม่รับรองว่าเจ้าจะแบกปัญหาหลังจากค้นพบเรื่องรางเบื้องลึก พวกนั้นได้ หากเตรียมใจไปเพียงเท่านี้ เราสองคนเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ทั้งนั้น” “วินเซนเต้...” โมบิติกได้แต่ทำ�หน้าสับสน “เอาเถอะ อย่างน้อยตอนนี้เราก็มีเรื่องหนึ่งให้สงสัยและสามารถคลี่คลายลงได้” วินเซนเต้ทำ�ทีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเหยียดยิ้มออกมา “ข้าว่าเราออกไปเดินเล่นแถวภูผาบรรพชนกันดีกว่า ก็ผู้นำ�แกไม่อยากเห็นหน้าพวกเราแถวนี้ นี่?” แรงกดดันหาศาลกำ�ลังทยอยข้ามผ่านธรณีเสาหินของโบราณสถาน แม้จะพยายามเบาเสียงเท้า อย่างไรก็ยังคงสะท้อนก้องไปห้องโถงที่เกิดจากธรรมชาตินี้อยู่ดี เบื้องหน้าเป็นธารน้ำ�ตกเล็กๆที่มีร่องหิน เล็กๆเป็นทางบันไดขึ้นสู่ห้องชั้นในของโบราณสถาน รอบด้านเต็มไปด้วยซากปรักหักพังทั้งเสาหิน กำ�แพง พังทลายอยู่กลางแอ่งน้ำ�ขนาดใหญ่ ภาพวาดข้างฝารอบๆถ้ำ�หลุดเลือนไปตามกาลเวลานานแล้ว นั่น เป็นต้นแบบของอักขระและภาพวาดที่ถูกจารึกใหม่อยู่ตามตรอกหินผา หน้าทางเข้าของโบราณสถานนี่เอง โมบิติกชูคบไฟไปทางวินเซนเต้ เพื่อให้อีกฝ่ายหยิบล้วงของบางอย่างออกจากย่ามสะพายได้ สะดวก เขาควานหาลูกแก้วออกมากำ�ใหญ่แล้วร่ายบริกรรมคาถาออกมา ลูกแก้วลูกหนึ่งค่อยๆลอยขึ้นไปในระดับหนึ่งก่อนจะเปล่งแสงสีนวลออกมา แสงสว่างที่ปรากฏ ออกมาทำ�ให้คบไฟที่โมบิติกนำ�มาด้วยแลดูไร้ประโยชน์ไปในบัดดล โมบิดิกหันรีหันขวางก็ยังไม่เห็นเจ้าตัวที่ ตามหา จึงหันไปเร่งวินเซนเต้ที่มัวแต่อำ�พะนำ�ไม่พูดไม่จา จู่จะมาก็ตรงดิ่งมาที่นี่เลย “นี่ ดูท่าเจ้าจะไม่ได้กลัวพ่อเจ้าเอาเสียเลย มีอย่างที่ไหนตอนกลางวันว่ากันปาวๆเรื่องโทษที่ออก จากเขตหมู่บ้าน มาตอนนี้กลับชิ่งมาป้วนเปี้ยนแถวเขตหวงห้ามโทษร้ายแรงกว่าอีกนะเว้ย” “เอาน่าเจ้านี่มันช่างเซ้าซี้จริง แขกของเรากำ�ลังจะมาแล้วนะ” วินเซนเต้กระชับย่ามสะพายไว้ แน่น ก่อนที่มือข้างหนึ่งของทั้งสองจะแตะดาบของตนเอง เป็นเชิงเตรียมพร้อมหากเกิดเหตุไม่คาดคิดอีก “ออกมาเถอะ แม้พวกข้าจะสัมผัสได้แผ่วเบา แต่ก็อยู่ตรงหน้านี้สินะ” เสียงของวินเซนเต้สะท้อนก้องไปทั่วโถงธรรมชาติ เขาแน่ใจว่าถูกจับตาดูมาตลอดนับตั้งแต่ย่าง เท้าเข้าในเขตของภูผาบรรพชนแล้ว น่าแปลกที่เขตแดนที่ควรสร้างเสร็จแล้วกลับคลายออกเมื่อพวกเขา มาถึง แสดงว่าแขกที่มาค้างคืนที่นี่นั้นมีวิธีการเปิดปิดเขตแดนแห่งนี้เอง เพราะหลังจากก้าวเข้ามาได้ไม่ นานเขตแดนแห่งนี้ก็ถูกปิดกั้นออกจากโลกภายนอกไปในบัดดล ไม่ใช่เพียงที่แห่งนี้ที่สร้างเขตแดนกั้นโลกไว้ แต่ที่หมู่บ้านของชนเผ่าอารักษ์มังกรเองก็วาง เขตแดนเช่นนี้ไว้ด้วย จนบัดนี้จึงยังคงรอดพ้นเงื้อมมือจากเหล่าผู้มีอำ�นาจจากโลกเบื้องนอก
ความคิดถูกดึงกลับมายังปัจจุบัน เสียงฝีเท้าแม้เพียงแผ่วเบาก็ยังได้ยินแจ่มชัด หลังม่านราตรี ปรากฏร่างของคนวูบไหวไปมา เท้าเรียวเล็กค่อยๆก้าวออกจาทางมืดมาสู่ที่สว่าง ร่างของเด็กหนุ่มที่สูง เทียมอกปรากฏขึ้นมาใต้แสง ใบหน้าเล็กประกอบด้วยเค้าโครงของบุรุษเพศที่แฝงความแข็งกร้าวแต่ก็ อ่อนหวานไปในตัว ชุดคลุมยาวสีดำ�ปักดิ้นทองด้วยลวดลายมังกรตรงชายผ้า บัดนี้มีแต่รอยขาดรอยเปรอะ จนสภาพแทบดูไม่ได้ แขนเสือข้างหนึ่งขาดหายไปให้เห็นรอยแผลบาดลึกกับคราบเลือดที่แห้งติดผิวหนัง เครื่องประดับประจำ�กายขาดรุ่งริ่ง เรือนผมสีทองหยิกยาวประบ่านั้นแลดูยุ่งเหยิง ร่างของเด็กหนุ่มตรง หน้าค่อยๆสาวเท้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ในขณะที่ดาวตาสีเขียวมรกตแฝงความเศร้านั้นจับจ้องมาที่วินเซนเต้ ตลอดเวลา หากเมื่อมองลึกเข้าไปในนัยน์ตาแล้ว กลับเผยเค้าลางความคุ้นเคยขึ้นในใจ วินเซนเต้เหม่ออยู่ในภวังค์ได้ชั่วครู่ อีกฝ่ายก็ย่อกายลงคุกเข่าลงกับพื้นทันทีเมื่อเข้าระละที่มืเอื้อม ถึง ท่ามกลางความแปลกใจของโมบิติกจนต้องมองสลับกันไปไประหว่างทั้งสอง เด็กหนุ่มก้มหน้าลงมองพื้นก่อนจะเอ่ยออกมา “นายท่าน ขออภัยที่ข้าต้องมารับท่านในสภาพเช่น นี้ แม้จะยังไม่ถึงเวลาที่ผลึกความทรงจำ�ของท่านจะคลาย แต่ข้าต้องขอให้ท่านรีบขึ้นเขาทาทารัสไปกับข้า เถิด” “ห๊ะ? เกิดอะไรขึ้นตอนข้าไม่อยู่รึเปล่าวะวินเซนเต้” โมบิดิกเดินเกี่ยวคอพลางถาม วินเซนเต้งงงันไปวูบหนึ่งจู่ๆก็ไม่เข้าใจคำ�ถามขึ้นมา จึงว่า “ข้าก็ไม่เข้าใจ เอ่อ...เอาเป็นเจ้าลุก ก่อนเถอะ ไม่เห็นต้องคุกเข่าอะไรแบบนี้เลย” หันไปตอบโมบิติกแล้วจึงรับหันกลับมาพยุงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น แต่เด็กหนุ่มกลับยังขืนตัวเองเอาไว้ แล้วก้มหัวลงจรดพื้นดิน “ข้าขอเอ่ยคำ�สัตย์อีกครา ในนามของเทวทูตลำ�ดับที่ 1 ผู้ถือป้ายพระราชโองการจากลงมาเบื้อง บน ลิเล็ตต้า...” เสียงใสราวกับกระดิ่งสะท้อนมาจากที่ไกลๆ ‘...นี่มันอะไรกัน’ วินเซนเต้รู้สึกเหมือนภาพหลอน.... “บัดนี้ข้าได้พบกษัตริย์ของพวกเราแล้ว...” ‘ไม่ใช่.... เธอไม่ใช่ร่างนี้’ ภาพวูบไหวผ่านดวงตาไป มองเห็นแสงสะท้อนจากผืนน้ำ�อันกว้างใหญ่ ไกลสุดขอบช้า “ข้าจักน้อมนำ�ท่านขึ้นสู่เขาทาทารัส... “ เด็กหนุ่มยังคงพูดต่อไปโดยไม่สนใจท่าทีแปลกๆที่เกิดขึ้นกับตัววินเซนเต้ “ขึ้นครองบัลลังก์โดยชอบธรรมของสวรรค์...” ‘บัลลังก็นี้เป็นของเจ้าแล้ว...’ เสียงในความทรงจำ�นั้นมีเสียงหัวเราะดังแผ่วออกมาด้วย “รับมอบแผ่นดินทั้งสองไว้ สืบราชนิกุลต่อไปชั่วลูกชั่วหลาน” เด็กหนุ่มกล่าวจบเพียงเท่านั้น จู่ๆเหล่าอสรูและภูติจำ�นวนหลายสิบตัวก็ค่อยๆเดินออกจากเงามืด แล้วย่อตัวคุกเข่าลงข้างผู้เป็นนายของมัน “พระองค์ยังจำ�เรื่องเล่าของตำ�นานสีเทาได้หรือไม่...” วินเซนเต้พอฟังแล้วได้แต่ส่ายหน้า จะว่าทั้งเหมือนรู้จักแต่ก็เหมือนไม่รู้จัก ราวกับกำ�ลังมอบ ภาพที่หมุนเวียนกันสลับฉาก จนเริ่มแยกไม่ออกว่าอันไหนเรื่องจริง อันไหนคือความฝัน แม้แต่เรื่องใน วัยเด็กที่จำ�ได้เพียงเลือนลาง เริ่มเห็นเป็นหญิงสาวนางหนึ่งยืนอยู่ไกลออกไป ปีกทั้ง 8 ที่กางออกจนแทบ ทัศนวิสัยเบื้องหน้า นั่นคือเธอในความทรงจำ�...
“...เช่นนั้น ข้าจะเริ่มเล่านิทานใหม่อีกครา” ภาพในความทรงจำ�ก็เอ่ยคล้ายๆในแบบนี้ เมื่อสายตาของเด็กหนุ่มช้อนมองขึ้นมาสบตาของนาย เหนือหัวคนใหม่ แทบเป็นวินาทีเดียวกันที่หัวใจของวินเซนเต้แทบหยุดเต้นไป รูปลักษณ์ถึงกับคล้ายคนในความทรงจำ�นี้มาก หญิงสาวเกศาสีทองยาวประบ่า ผิวขาวเปล่งปลั่ง เป็นประกายยามต้องแสงจันทร์ ทำ�ให้หญิงสาวในชุดคลุมสีแดงที่นั่งโดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางผืนน้ำ�สีเงิน และตะเกียงลอยได้ นั่นคือจุดนัดภพของนักเดินทางตัวน้อยที่หลงทางอยู่ในป่า จนเดินหลงไปยังสถานที่ นั้น และเพื่อนร่วมทางที่ไม่รู้จักกันมาก่อน ต่างก็มานั่งเล่นอยู่ด้วยกันกับหญิงสาว แม้กาลต่อมาพวกเขาจะหลุดออกจากป่าแห่งนั้นได้โดยบังเอิญ เพราะพอหันกลับไปครานั้น ภาพ เปลี่ยนเป็นป่าโปร่งที่อยู่ไม่ห่างจากหมู่บ้านข้า และได้รับการช่วยเหลือกลับบ้านไปในเวลาต่อมา แม้หลัง จากนั้น เมื่อหลับตาลงไปแล้วเกิดโผล่ไปยังที่แห่งนั้นเมื่อไหร่ ก็แสดงว่าเขาโดนป่าจับตัวมาอีกแล้วเมื่อนั้น จนแลเหมือนเด็กหนีออกจากบ้านก็ไม่ปาน นั่นคือจุดเริ่มต้นของวังวนแห่งการถูกเข้าใจผิดโดยพ่อของเขา เอง... “...ถึงจุดเริ่มต้นสีเทา สู่เถ้าธุลีแห่งวิญญาณ” จู่ๆสองสหายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนจะง่วงงุนขึ้นมาในทันใด ก่อนที่ดวงตาจะดับสนิท พวกขาทัน เห็นภูติเด็กชายหญิงผูกผ้าปิดตาสองตนเดินเท้าเข้ามาใกล้ ร่างเล็กนั้นเทียบแล้วสูงเพียงสะโพกเท่านั้น ภายนอกดูเหมือนมนุษย์ไม่มีผิดเพี้ยน เพียงแค่มีเขาสองข้างงอกเงยขึ้นมาเหมือนกวาง ทั้งสองกล่าวขึ้น มาโดยพร้อมกันว่า “ป่าแห่งนิทรากำ�ลังเพรียกหาเหล่านักเดินทาง เปิดเส้นทางสู่ดินแดนแห่งความเป็นนิ รันดร์” จบถ้อยคำ�นั้น เสียงกระพรวนในมือดังขึ้นเป็นจังหวะจนครบสามครั้ง ร่างของพวกพวกเขาก็ค่อยๆ ลอยขึ้น สติของวินเซนเต้ยังไม่ทันวูบดับก็ได้ยินเสียงของเด็กทั้งสองแว่วมา “กษัตริย์และเหล่าอัศวินกำ�ลังเดินทางไปเข้าเฝ้า...”
ความคิดถูกดึงกลับมายังปัจจุบัน เสียงฝีเท้าแม้เพียงแผ่วเบาก็ยังได้ยินแจ่มชัด หลังม่านราตรี ปรากฏร่างของคนวูบไหวไปมา เท้าเรียวเล็กค่อยๆก้าวออกจาทางมืดมาสู่ที่สว่าง ร่างของเด็กหนุ่มที่สูง เทียมอกปรากฏขึ้นมาใต้แสง ใบหน้าเล็กประกอบด้วยเค้าโครงของบุรุษเพศที่แฝงความแข็งกร้าวแต่ก็ อ่อนหวานไปในตัว ชุดคลุมยาวสีดำ�ปักดิ้นทองด้วยลวดลายมังกรตรงชายผ้า บัดนี้มีแต่รอยขาดรอยเปรอะ จนสภาพแทบดูไม่ได้ แขนเสือข้างหนึ่งขาดหายไปให้เห็นรอยแผลบาดลึกกับคราบเลือดที่แห้งติดผิวหนัง เครื่องประดับประจำ�กายขาดรุ่งริ่ง เรือนผมสีทองหยิกยาวประบ่านั้นแลดูยุ่งเหยิง ร่างของเด็กหนุ่มตรง หน้าค่อยๆสาวเท้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ในขณะที่ดาวตาสีเขียวมรกตแฝงความเศร้านั้นจับจ้องมาที่วินเซนเต้ ตลอดเวลา หากเมื่อมองลึกเข้าไปในนัยน์ตาแล้ว กลับเผยเค้าลางความคุ้นเคยขึ้นในใจ วินเซนเต้เหม่ออยู่ในภวังค์ได้ชั่วครู่ อีกฝ่ายก็ย่อกายลงคุกเข่าลงกับพื้นทันทีเมื่อเข้าระละที่มืเอื้อม ถึง ท่ามกลางความแปลกใจของโมบิติกจนต้องมองสลับกันไปไประหว่างทั้งสอง เด็กหนุ่มก้มหน้าลงมองพื้นก่อนจะเอ่ยออกมา “นายท่าน ขออภัยที่ข้าต้องมารับท่านในสภาพเช่น นี้ แม้จะยังไม่ถึงเวลาที่ผลึกความทรงจำ�ของท่านจะคลาย แต่ข้าต้องขอให้ท่านรีบขึ้นเขาทาทารัสไปกับข้า เถิด” “ห๊ะ? เกิดอะไรขึ้นตอนข้าไม่อยู่รึเปล่าวะวินเซนเต้” โมบิดิกเดินเกี่ยวคอพลางถาม วินเซนเต้งงงันไปวูบหนึ่งจู่ๆก็ไม่เข้าใจคำ�ถามขึ้นมา จึงว่า “ข้าก็ไม่เข้าใจ เอ่อ...เอาเป็นเจ้าลุก ก่อนเถอะ ไม่เห็นต้องคุกเข่าอะไรแบบนี้เลย” หันไปตอบโมบิติกแล้วจึงรับหันกลับมาพยุงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น แต่เด็กหนุ่มกลับยังขืนตัวเองเอาไว้ แล้วก้มหัวลงจรดพื้นดิน “ข้าขอเอ่ยคำ�สัตย์อีกครา ในนามของเทวทูตลำ�ดับที่ 1 ผู้ถือป้ายพระราชโองการจากลงมาเบื้อง บน ลิเล็ตต้า...” เสียงใสราวกับกระดิ่งสะท้อนมาจากที่ไกลๆ ‘...นี่มันอะไรกัน’ วินเซนเต้รู้สึกเหมือนภาพหลอน.... “บัดนี้ข้าได้พบกษัตริย์ของพวกเราแล้ว...” ‘ไม่ใช่.... เธอไม่ใช่ร่างนี้’ ภาพวูบไหวผ่านดวงตาไป มองเห็นแสงสะท้อนจากผืนน้ำ�อันกว้างใหญ่ ไกลสุดขอบช้า “ข้าจักน้อมนำ�ท่านขึ้นสู่เขาทาทารัส... “ เด็กหนุ่มยังคงพูดต่อไปโดยไม่สนใจท่าทีแปลกๆที่เกิดขึ้นกับตัววินเซนเต้ “ขึ้นครองบัลลังก์โดยชอบธรรมของสวรรค์...” ‘บัลลังก็นี้เป็นของเจ้าแล้ว...’ เสียงในความทรงจำ�นั้นมีเสียงหัวเราะดังแผ่วออกมาด้วย “รับมอบแผ่นดินทั้งสองไว้ สืบราชนิกุลต่อไปชั่วลูกชั่วหลาน” เด็กหนุ่มกล่าวจบเพียงเท่านั้น จู่ๆเหล่าอสรูและภูติจำ�นวนหลายสิบตัวก็ค่อยๆเดินออกจากเงามืด แล้วย่อตัวคุกเข่าลงข้างผู้เป็นนายของมัน “พระองค์ยังจำ�เรื่องเล่าของตำ�นานสีเทาได้หรือไม่...” วินเซนเต้พอฟังแล้วได้แต่ส่ายหน้า จะว่าทั้งเหมือนรู้จักแต่ก็เหมือนไม่รู้จัก ราวกับกำ�ลังมอบ ภาพที่หมุนเวียนกันสลับฉาก จนเริ่มแยกไม่ออกว่าอันไหนเรื่องจริง อันไหนคือความฝัน แม้แต่เรื่องใน วัยเด็กที่จำ�ได้เพียงเลือนลาง เริ่มเห็นเป็นหญิงสาวนางหนึ่งยืนอยู่ไกลออกไป ปีกทั้ง 8 ที่กางออกจนแทบ ทัศนวิสัยเบื้องหน้า นั่นคือเธอในความทรงจำ�...
“...เช่นนั้น ข้าจะเริ่มเล่านิทานใหม่อีกครา” ภาพในความทรงจำ�ก็เอ่ยคล้ายๆในแบบนี้ เมื่อสายตาของเด็กหนุ่มช้อนมองขึ้นมาสบตาของนาย เหนือหัวคนใหม่ แทบเป็นวินาทีเดียวกันที่หัวใจของวินเซนเต้แทบหยุดเต้นไป รูปลักษณ์ถึงกับคล้ายคนในความทรงจำ�นี้มาก หญิงสาวเกศาสีทองยาวประบ่า ผิวขาวเปล่งปลั่ง เป็นประกายยามต้องแสงจันทร์ ทำ�ให้หญิงสาวในชุดคลุมสีแดงที่นั่งโดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางผืนน้ำ�สีเงิน และตะเกียงลอยได้ นั่นคือจุดนัดภพของนักเดินทางตัวน้อยที่หลงทางอยู่ในป่า จนเดินหลงไปยังสถานที่ นั้น และเพื่อนร่วมทางที่ไม่รู้จักกันมาก่อน ต่างก็มานั่งเล่นอยู่ด้วยกันกับหญิงสาว แม้กาลต่อมาพวกเขาจะหลุดออกจากป่าแห่งนั้นได้โดยบังเอิญ เพราะพอหันกลับไปครานั้น ภาพ เปลี่ยนเป็นป่าโปร่งที่อยู่ไม่ห่างจากหมู่บ้านข้า และได้รับการช่วยเหลือกลับบ้านไปในเวลาต่อมา แม้หลัง จากนั้น เมื่อหลับตาลงไปแล้วเกิดโผล่ไปยังที่แห่งนั้นเมื่อไหร่ ก็แสดงว่าเขาโดนป่าจับตัวมาอีกแล้วเมื่อนั้น จนแลเหมือนเด็กหนีออกจากบ้านก็ไม่ปาน นั่นคือจุดเริ่มต้นของวังวนแห่งการถูกเข้าใจผิดโดยพ่อของเขา เอง... “...ถึงจุดเริ่มต้นสีเทา สู่เถ้าธุลีแห่งวิญญาณ” จู่ๆสองสหายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนจะง่วงงุนขึ้นมาในทันใด ก่อนที่ดวงตาจะดับสนิท พวกขาทัน เห็นภูติเด็กชายหญิงผูกผ้าปิดตาสองตนเดินเท้าเข้ามาใกล้ ร่างเล็กนั้นเทียบแล้วสูงเพียงสะโพกเท่านั้น ภายนอกดูเหมือนมนุษย์ไม่มีผิดเพี้ยน เพียงแค่มีเขาสองข้างงอกเงยขึ้นมาเหมือนกวาง ทั้งสองกล่าวขึ้น “ มันมิใช่เพียงนิทานหรอกนะ และข้าเองก็มิใช่นักเล่านิทาน มาโดยพร้อมกันว่จึางเล่“ป่าได้าแห่ ง นิ ท รากำ� นักาเดิ ทางรับมาและนำ� เปิดเส้นมทางสู ไม่เก่งเท่าใดนักลังมัเพรี นเป็ยนกหาเหล่ เพียงเรื่อางเล่ ที่ขน้าได้ าเล่าต่่ดอินแดนแห่ หาก งความเป็นนิ รันดร์” จบถ้อยคำ� ดังขึ้นองเกี เป็น่ยจัวกังบหวะจนครบสามครั ้ง าร่นีา่แงของพวกพวกเขาก็ ค่อยๆ แต่นมั้นันเป็เสีนยเรืงกระพรวนในมื ่องที่เคยเกิดจริง อและข้ คนใดคนหนึ่งในพวกเจ้ หละ... ลอยขึ้น ริมฝีปากของข้ายกขึ้นเป็นรอยยิ้มผ่อนคลาย ก่อนจะผายมือข้างหนึ่งออก ้อเชิญยังไม่ทันวูบดับก็ได้ยินเสียงของเด็กทั้งสองแว่วมา สติของวิมาเชื นเซนเต้ นนัลกังเดิ วน้อยทัาเฝ้ ้งหลาย “กษัตริ ย์และเหล่เอาล่ าอัศะวินท่ากำ� เดินนทางตั ทางไปเข้ า...” เจ้าจะสละเวลายามค่ำ�คืนนี้เพื่อ
จุดเริ่มต้นสีเทา
ฟังเรื่องเล่าเรื่องนี้หรือไม่?” เมื่อข้ากล่าวเช่นนั้น รอบตัวข้าก็ปรากฏเด็กหนุ่มราว 10 คนก็เข้ามานั่ง โอบล้อมตัวข้าไว้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาปรากฏขึ้นที่บึงแสงจันทร์แห่งนี้ สถานที่ ตรงกลางที่เชื่อมต่อระหว่างโลกเบื้องล่างและโลกเบื้องบน
“ ปฐมบทนำ�พาปัจฉิมลิขิต เรียงร้อยรอยต่อบนกาลเวลา หลงเหลือเพียงคำ�ขาน จุดเริ่มต้นสีดำ� คือมังกรสีดำ� จุดเริ่มต้นสีขาว คือมังกรสีขาว จุดเริ่มต้นสีเทา คือพวกมนุษย์ “ ในวิหารผู้อาลัยแห่งนอร์ทีส บทลำ�นำ�ได้จารึกเก็บไว้ในภูผาบรรพชน ถึงอดีตกาลอันเนิ่นนานที่ ผู้คนเริ่มลืมเลือน ดินแดนแห่งนี้ถูกปกครองโดยเผ่ามังกรสีดำ�และผีเสื้อสีดำ�เท่านั้น ความมืดทมิฬกลืนกิน ไปถึงท้องนภา ผืนดินเต็มไปด้วยหินสีดำ� หินผา และผืนทรายที่สะท้อนรับเอาแสงขับกับประกายเพชรบน ฟากฟ้า ตะเกียงไฟของลุงข้าไล่ผ่านช่วงเวลาที่ถูกขีดเขียนอย่างวิจิตรบรรจง แม้ภายในวิหารโบราณนี้จะ มืดมิดเพียงใด แต่แสงนำ�ทางของตะเกียงนั้นก็ได้สะท้อนภาพวาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกภาพหนึ่งออกมา มัน สูงเสียดเพดานราวกับจะเชื่อมไปถึงผืนฟ้าที่ไม่มีทางไต่ไปถึงได้ แม้ท่านลุงจะไม่ได้รับรู้ถึงจุดเริ่มต้นของโลก ดีนัก แต่ก็ทราบดีถึงเรื่องราวในกาลต่อมาของมัน ท่านนำ�ทางข้าและเล่าถึงชนเผ่ามังกรสีดำ�ผู้ที่สาบสูญไปในห้วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ ดินแดนนี้ ถูกปกครองโดยพวกเขา และในความมืดมิดนี้มีเพียงผีเสื้อสีดำ�ส่องแสงนำ�ทาง กลายเป็นเพชรสีขาวที่ส่อง ประกายบนผืนดิน นานเท่าใดที่โลกถูกสร้างขึ้นมานั้น ก็คือช่วงเวลาที่ชนเผ่ามังกรสีดำ�ซึ่งเป็นเพียงผู้เดียวที่ได้ครอบ ครอง จนวังหนึ่งผู้บุกรุกสีขาวได้ปรากฏขึ้น คือชนเผ่ามังกรสีขาวที่นำ�พาหินแห่งชีวิตลงมาสู่ดินแดนนี้ จน แบ่งแยกเขตแดนออกเป็นสามโดยฉับพลัน เขตหนึ่งคือสีดำ� เขตสองคือสีเทา และเขตสามคือขาว ข้าถามท่านลุง หากผู้บุกรุกมีเพียงหนึ่ง ใยจึงเกิดเขตแดนเป็นสามได้เล่า ? ท่านหัวเราะเบาๆก่อนตอบข้าว่า “ ดูเอาเถิดเด็กน้อย แสงสว่างในตะเกียงนี้เองก็ถูกแบ่งแยกออกเป็นสามเช่นกัน นั่นคือแสงที่ สว่างเจิดจ้าที่สุดที่อยู่ตรงกลาง ไล่ลงไปถึงแสงริบหรี่ในระยะที่เจ้ามองเห็น และสุดท้ายคือความมืด ซึ่ง แสงใดๆนี้ก็ไม่อาจส่องเข้าไปถึงได้ ”
ข้ามองไปรอบๆพลางนึกตามคำ�บอกเล่านั้น จนในที่สุดก็เกือบโดนทิ้งห่างให้ถูกความมืดกลืนกิน ร่าง ทำ�เอาข้าตกใจจนต้องวิ่งเข้ามาอยู่ในอาณาเขตที่แสงจากตะเกียงส่องถึง ซึ่งสร้างความอุ่นใจและ ปลอดภัยยิ่งนักสำ�หรับข้า ท่านลุงเห็นเช่นนั้นก็ได้กล่าวขึ้นมาว่า “ ที่เจ้าเข้ามา นั่นคืออาณาเขตสีเทาที่พวกชนเผ่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย รวมถึงชนเผ่ามนุษย์ได้ถือ กำ�เนิดขึ้นเชียวนะ โอ...แต่เดี๋ยวก่อน... ” ตะเกียงถูกยกให้สูงขึ้น ภาพต่อมาปรากฏเป็นสงครามของชนเผ่ามังกรทั้งสอง กินเวลายาวนาน ที่สุดเกินกว่าที่นับได้กว่าสองพันปี จุดเริ่มต้นของภัยสงครามคือความผันแปรที่วิปลาสบนดินแดนทั้งหมด ผู้บุกรุกนำ�สีขาวมาย้อมบนดินแดนสีดำ� นำ�พาสายฟ้าเดือด สายฝนคลั่ง พายุวิปริต หมุนเวียนเปลี่ยนไป บนพื้นที่สีดำ� และเปิดสายลมอ่อนโยน สายฝนเมตตา ความอบอุ่นปลอบโยน หมุนเวียนบนพื้นที่สีขาว ในที่สุดขนเผ่ามังกรสีดำ�ก็ลุกฮือ โดยราชามังกรสีดำ�นำ�ทัพเข้าขับไล่ผู้บุรุกออกจากดินแดน จุด กึ่งกลางของทั้งสองเขตแดนคืออาณาเขตสีเทา จนกลายเป็นจุดปะทะและเป็นสมรภูมิรบไปโดยปริยาย ซึ่งอาณาเขตนั้นก็คือดินแดนทั้งหมดที่ชนเผ่าสัตว์และชนเผ่ามนุษย์ได้อาศัยอยู่มาจวบจนปัจจุบัน หรือที่ บรรพชนได้ว่าไว้ เจ้าเอย... บ้านเกิดของเราตั้งอยู่บน “ สุสานมังกร ” เชียวนะ ! ท่านลุงระบายยิ้มน้อยๆเมื่อสามารถเรียกน้ำ�เสียงตื่นตกใจของข้าได้ โอ...นี่คือเผลอยืนเหยียบอยู่ บนร่างของท่านมังกรตนใดหรือไม่ ข้าได้แต่ครุ่นคิดถึงเรื่องนั้น ก่อนที่ท่านลุงจะทำ�ลายภวังค์ของข้าและ เริ่มเล่าการมาถึงของชนเผ่าอื่นๆบนดินแดน เลื่อนไปยังภาพถัดไป คือสรรพสัตว์ทั้งหลายรวมถึงมนุษย์ได้ผุดขึ้นมาจากผืนดินสีเทา พวกเขา เกิดจากอนูวิญญาณมากมายทั้งจากพลังที่ตกค้างในสนามรบ หรือดวงจิตของเหล่ามังกรที่กำ�ลังดับสูญ นำ�พาเอาพรอันประเสริฐของมังกรผู้วายชนม์ไปอย่างละหนึ่งข้อ สองข้อ หรือมากกว่านั้น ปีกที่สามารถโบยบินไปยังดินแดนบนฟากฟ้า คมเขี้ยวที่สามารถฉีกกระชากศัตรูที่มุ่งร้าย กรงเล็บ ที่สามารถยึดเหนี่ยวกับฐานที่มั่นคง จมูกที่สามารถแยกกลิ่นดินฟ้าอากาศ หูที่สามารถได้ยินแม้ลมกระซิบที่ แวะเวียนผ่านมา ดวงตาที่สามารถมองไกลได้สุดขอบฟ้าหรือมองเห็นแม้ยามมืดมิด โอ... แม้แต่ร่างกายที่ ปนเปไปทั้งดีร้ายจากทุกส่วนที่มังกรพึงมี ข้าไพร่นึกถึงคำ�ถามก่อนหน้านั้น ว่าทำ�ไมพวกชนเผ่าสัตว์ถึงได้ไม่เหมือนกัน บ้างก็เหมือนกันแต่ ต่างกัน บ้างก็คล้ายแต่ก็มีข้อแตกต่างชัดเจน คงเพราะเลือกสรรพรจากมังกรผู้วายชนม์ไป ขนาดแม้นเผ่าผู้ มีปีกเหมือนกัน แต่กลับมีหลากหลายยิ่งนักจนสับสนอลหม่าน และข้านึกถึงชนเผ่ามนุษย์ ซึ่งไร้กำ�ลังที่จะทัดเทียมชนเผ่าอื่นๆในส่วนมาก พวกเขากลับเลือก เพียงพรแห่งปัญญา ซึ่งมีเพียงชนเผ่านี้ที่ได้รับไปมากที่สุด จนแทบจะเป็นที่ถูกจัดในลำ�ดับสุดท้ายของเผ่า ในฝ่ายนักล่าเลยก็ว่าได แม้จะเกิดเรื่องวิปลาสขึ้นมาอีกครั้งสองครั้ง รวมถึงการถือกำ�เนิดธรรมชาติและชนเผ่าอื่นๆ แต่ มังกรทั้งสองต่างก็ใคร่สนใจในชนเผ่ามนุษย์มากเป็นพิเศษ สงครามที่ซบเซาลงไปเพราะจำ�นวนที่ลดลง ของมังกร และอาการบาดเจ็บที่พอกพูนมายาวนาน ทำ�ให้เกิดเป็นสงครามเงียบที่ไร้ซึ่งการปะทะกันตรงๆ ไปในที่สุด ้
ข้าและท่านลุงมาหยุดที่ภาพถัดมา เป็นภาพของมังกรสีขาวที่ได้อยู่ในสถานะอาจารย์คนแรกของ ชนเผ่ามนุษย์ ท่านลุงว่า พวกเราจุดไฟให้ติดได้เพราะมังกรบอกวิธี ทั้งใช้ไม้แห้งปั่นหรือหินกะเทาะจนเกิด ประกายไฟ พวกเราเริ่มออกล่าได้เพราะมังกรสอนให้เราสร้างอาวุธ และบอกวิธีล่าในแบบพื้นฐาน จนพวกมนุษย์เข้าสู่การวางแผนล่าในระดับที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นไปนัก เพราะกายหยาบเราบอบบาง เมื่อเหน็บหนาวก็สั่งให้เราสร้างเครื่องนุ่มห่มโดยเอาหนังของชนเผ่าอื่นมาห่มทับให้อุ่นสบาย ยามที่อากาศ เกิดการแปรปรวน บนเขตของกึ่งกลางระหว่างความวิปลาสทั้งสองฝั่ง หรือแม้แต่ภัยสงครามและอันตราย ทุกแบบที่เกิดขึ้นในยามนี้ ก็สอนให้เรียนรู้ที่จะสร้างสถานที่อันมั่นคงปลอดภัย สถานที่ๆจะเป็นของชนเผ่า มนุษย์เท่านั้น แล้วมังกรสีดำ�เล่า ? นั่นคือคำ�ถามที่ข้าสงสัย ท่านลุงหันกลับมายิ้มให้ข้า และบอกข้าแค่เพียงการคาดเดา “ นั่นอาจเป็นอุปนิสัยที่ต่างกันของมังกรทั้งสองเผ่านี้ แต่ข้าคาดว่ามังกรสีดำ�เองก็คงมีบทบาท บ้างไม่น้อย เพียงแต่โดยมากอาจเลือกที่จะนิ่งเฉยและมองดู ” ข้าได้แต่กระพริบตาปริบๆ ข้ามองเห็นแววตาทรงภูมิที่ล่วงรู้บางอย่าง จึงได้แต่รบเร้าท่านลุง บอกว่าท่านชอบอมความรู้ไว้ไม่ชอบแพร่งพราย ท่านลุงหัวเราะเยาะแล้วหันมาถามข้า “ถ้าจะให้เอ่ยถึงตอนจบของเรื่องราว งั้นก็คงต้องย้อนกลับขึ้นไปอีกนิด ช่วงที่กำ�เนิดเผ่าพันธุ์ห มนุษย์ มีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นกับขึ้นกับหญิงสาวผู้โชคร้ายนางหนึ่ง... นางมีนามว่า ‘ฟาร์’ “ สงครามมังกรนี้กินเวลายืดเยื้อยาวนานนับหมื่นพันราตรี จนทั้งสองฝ่ายบาดเจ็บล้มตายไปเป็น จำ�นวนมาก ช่วงความอ่อนล้าของสงครามที่แสนโหดร้ายนั้น ได้เกิดการล่าถอยของทั้งสองฟากฝั่งเพื่อกลับ ไปรักษาเยียวยาบาดแผลเหล่านั้น จนเกือบจะกลายเป็นสงครามแห่งความเงียบที่เฝ้ารอความประมาท ของอีกฝ่ายแทน ทว่าบนอาณาเขตสีเทา ได้ก่อเกิดสิ่งอัศจรรย์ขึ้นมา เมื่อเถ้าธุลีแห่งวิญญาณของเหล่ามังกรทั้ง สองเผ่าพันธุ์ ล่องลอยขึ้นสู่ท้องนภาจนรวมกลุ่มก้อนขนาดใหญ่ ประกายที่เปล่งออกมานั้นราวผีเสื้อสีดำ� มาบินรวมตัวกันเป็นฝูงก็มิปาน หินสีขาวนั้นได้ดึงดูดเถ้าธุลีพวกนั้นกลับลงหลอมหลอมกับพลังของมัน ในยามต่อมา...ละอองของ เถ้าธุลีเหล่านั้นรวมจึงได้ก่อร่างสร้างตัวตนตนขึ้น และลืมตาขึ้น เผ่าพันธุ์ของพวกบินได้คือผู้ที่เลือกสรรปีกเฉกจากมังกร เผ่าพันธุ์ของพวกผู้ล่าผู้มีเขี้ยวได้คือผู้ที่เลือกสรรคมเขี้ยวจากมังกร เผ่าพันธุ์ของพวกผู้มีนัยน์ตาอันแหลมคมคือผู้ที่เลือกสรรดวงตาจากมังกร และเผ่าพันธุ์อื่นๆอีกเหลือคณานับที่เลือกสรรบางสิ่งจากมังกรไปสร้างเป็นตัวตนของเผ่าพันธุ์ ตนเอง ช่วงสงครามแห่งความเงียบผ่านไปนานนับร้อยปีก็กลับมาปะทุขึ้นอีกครั้ง ช่วงเวลาแห่งความ โกลาหลบังเกิดไปทั่ว เหล่าสรรพชีวิตต่างดิ้นรน หลบหลีกเพื่อสร้างทางรอดจากวันเวลาแห่งสงคราม
เผ่าพันธุ์ของมนุษย์นั้นทรงปัญญา แม้จะกำ�ลังมีกำ�ลังด้อยกว่าเผ่าพันธุ์ใดๆ แต่ได้สร้างสถานที่ แห่งความปลอดภัยที่สุดให้แก่ตนเองได้ นั่นคือเมืองใต้ดินที่มีชื่อว่า “ โมนาซ “ เมืองที่ค่อยๆกะเทาะหินผาล่วงลึกเข้าไปภายใน สร้างอารยธรรมของตนเองซึ่งไม่มีชนเผ่าใดจะ กระทำ�ได้ ทุกเส้นทางของโมนาซเชื่อมไปยังแทบทุกจุดของทางออกที่มี และถูกสร้างอย่างวิจิตรบรรจง เกินกว่าที่จะจินตนาการ กล่าวกันว่า โมนาซในยามนั้นเป็นเมืองแห่งความอัศจรรย์เลยก็ว่าได้ คำ�เล่าลือจากเมืองลับแลนี้ ยังได้กล่าวถึงหญิงสาวนางหนึ่ง นามนั้นคือ “ ฟาร์ “ วันหนึ่งฟาร์เข้าเดินทางเข้าป่าที่อยู่ติดทางออกของเมืองลับแล จนนางถูกชนเผ่าสัตว์ป่าเข้า ทำ�ร้ายจนแทบม้วยมรณา ท่ามกลางโลหิตสีแดงฉาน ผิวของนาวเริ่มซีดขาวจนค่อยๆแห้งเหี่ยวและลีบลง กล่าวกันว่าในยามนั้น ได้ปรากฏสายลมเข้ามาโอบตัวนางเอาไว้ ครานั้นเองที่ร่างกายของนางกลับค่อยๆ ฟื้นสภาพมาเช่นเดิม ลมหายไปเฮือกแรกของเธอกลับมาท่ามกลางความประหวั่นพรั่นพรึงของคนรอบข้าง ที่ตามมาหลังจากนั้น ทว่าสิ่งที่กำ�ลังจะเกิดต่อตัวนาง คือความหวังของเหล่าผู้คนที่กำ�ลังจะสิ้นชีพ และประสบกับความ เจ็บป่วย พวกเขาขอร้องฟาร์ช่วยมอบพรแห่งชีวิตนั้นเพื่อช่วยพวกเขาบ้าง สิ่งอัศจรรย์บังเกิดจนเมื่อฟาร์เอื้อมมือแตะบนตัวของผู้คนเหล่านั้น ทั้งผู้เจ็บป่วย ทั้งผู้ตาย ล้วน แล้วแต่กลับสู่ปรกติดังเดิม นับแต่นั้นฟาร์จึงได้ถูกยกย่องว่าเป็น “ หญิงสาวแห่งชีวิต “ แต่ทว่านางกลับกำ�ลังตั้งครรภ์ทั้งที่ตนเป็นสาวพรหมจารี ผ่านมาสามร้อยหกสิบราตรีที่เด็กในครรภ์กำ�ลังจะคลอด ลมหายหายใจของฟาร์เริ่มรวยริน นาง รู้สึกว่าชีวิตของตนกำ�ลังจะสูญสลายไปทีละน้อยจนแทบไม่เหลือกำ�ลังในที่สุด ในเฮือกสุดท้ายนั่นเองที่ สามารถคลอดเด็กน้อยออกมาได้โดยปลอดภัย แต่ไร้ซึ่งเสียงร้องอันเป็นสัญญาณของการมีชีวิต นางได้แต่ ภาวนาต่อทุกสรรพสิ่งโปรดให้ช่วยเหลือลูกน้อยของนาง... นางพร่ำ�ภาวนาอยู่เช่นนั้นจนดวงตาที่เต็มไปด้วย หยาดน้ำ�ค่อยๆปิดลงไปตลอดกาล ท่ามกลางเสียงร่ำ�ไห้ของเหล่าผู้นับถือฟาร์ที่อยู่รายล้อม โอ...ยามต่อมานั้น สิ่งเลวร้ายได้บังเกิดขึ้น เหล่ากลุ่มผู้นับถือค่อยๆเกิดอาการแปลกประหลาด ร่างเนื้อราวถูกไฟแผดเผา หายใจติดขัดราวกับจมน้ำ� เหล่าผู้คนตะเกียดตะกายดิ้นรนอย่างทุกข์ทรมาน จน ค่อยๆหมดลมหายไปไปทีละคน กลายกลับไปเป็นผู้วายชนม์อย่างแท้จริงเช่นเดียวกับฟาร์ ทว่าลูกน้อยของฟาร์กลับค่อยๆคืนสู่ชีวิตอีกคราอย่างน่าอัศจรรย์ กระแสแห่งชีวิตของเด็กน้อยซึ่งส่งผ่านไปถึงไข่มังกรสองใบ หนึ่งคือไข่มังกรของราชามังกรสีขาว สองคือไข่มังกรของราชามังกรสีดำ� ทั้งสองค่อยๆฟักตัวออกมาเพรียกหาสัมผัสพิเศษนี้อย่างกึกก้องไปทั่ว ดินแดน ประสานกับเสียงแผดร้องของทารกน้อยที่ดังสะเทือนไปจนหยุดการสู้รบของมังกรทุกตน ปรากกฎการณ์นี้ทำ�ให้สงครามหยุดชะงักลงโดยพลัน เหล่ามังกรทั้งสองเผ่าพันธุ์ต่างถูกเสียงร้อง นั้นดึงดูดให้เข้ามาหาทารกน้อยผู้แสนเดียวดาย ผู้รายล้อมไปด้วยเหล่าผู้วายชนม์ที่กองทับถมกันน่าอนาถ “สิ่งแปลกประหลาดนี้เป็นผู้หยุดสงคราม และปลุกลูกน้อยของเราที่หลับใหลมานมนานให้ตื่นขึ้น มา” ราชามังกรทั้งสองเผ่าพันธุ์ได้กล่าวเอาไว้ ราชามังกรแห่งแสงบินเข้าไปโอบอุ้มทารกหญิงไว้และประทานนามว่า “เลทีเซีย”¬
เผ่าพันธุ์ของมนุษย์นั้นทรงปัญญา แม้จะกำ�ลังมีกำ�ลังด้อยกว่าเผ่าพันธุ์ใดๆ แต่ได้สร้างสถานที่ แห่งความปลอดภัยที่สุดให้แก่ตนเองได้ นั่นคือเมืองใต้ดินที่มีชื่อว่า “ โมนาซ “ เมืองที่ค่อยๆกะเทาะหินผาล่วงลึกเข้าไปภายใน สร้างอารยธรรมของตนเองซึ่งไม่มีชนเผ่าใดจะ กระทำ�ได้ ทุกเส้นทางของโมนาซเชื่อมไปยังแทบทุกจุดของทางออกที่มี และถูกสร้างอย่างวิจิตรบรรจง เกินกว่าที่จะจินตนาการ กล่าวกันว่า โมนาซในยามนั้นเป็นเมืองแห่งความอัศจรรย์เลยก็ว่าได้ คำ�เล่าลือจากเมืองลับแลนี้ ยังได้กล่าวถึงหญิงสาวนางหนึ่ง นามนั้นคือ “ ฟาร์ “ วันหนึ่งฟาร์เข้าเดินทางเข้าป่าที่อยู่ติดทางออกของเมืองลับแล จนนางถูกชนเผ่าสัตว์ป่าเข้า ทำ�ร้ายจนแทบม้วยมรณา ท่ามกลางโลหิตสีแดงฉาน ผิวของนาวเริ่มซีดขาวจนค่อยๆแห้งเหี่ยวและลีบลง กล่าวกันว่าในยามนั้น ได้ปรากฏสายลมเข้ามาโอบตัวนางเอาไว้ ครานั้นเองที่ร่างกายของนางกลับค่อยๆ ฟื้นสภาพมาเช่นเดิม ลมหายไปเฮือกแรกของเธอกลับมาท่ามกลางความประหวั่นพรั่นพรึงของคนรอบข้าง ที่ตามมาหลังจากนั้น ทว่าสิ่งที่กำ�ลังจะเกิดต่อตัวนาง คือความหวังของเหล่าผู้คนที่กำ�ลังจะสิ้นชีพ และประสบกับความ เจ็บป่วย พวกเขาขอร้องฟาร์ช่วยมอบพรแห่งชีวิตนั้นเพื่อช่วยพวกเขาบ้าง สิ่งอัศจรรย์บังเกิดจนเมื่อฟาร์เอื้อมมือแตะบนตัวของผู้คนเหล่านั้น ทั้งผู้เจ็บป่วย ทั้งผู้ตาย ล้วน แล้วแต่กลับสู่ปรกติดังเดิม นับแต่นั้นฟาร์จึงได้ถูกยกย่องว่าเป็น “ หญิงสาวแห่งชีวิต “ แต่ทว่านางกลับกำ�ลังตั้งครรภ์ทั้งที่ตนเป็นสาวพรหมจารี ผ่านมาสามร้อยหกสิบราตรีที่เด็กในครรภ์กำ�ลังจะคลอด ลมหายหายใจของฟาร์เริ่มรวยริน นาง กริ๊ง กริ๊ง กรี๊ง รู้สึกว่าชีวิตของตนกำ� ล ง ั จะสู สลายไปทีลงะน้ อยจนแทบไม่ เหลืเว้อกำ� ังในทีว่สงหนึ ุด ่งในเฮื อกสุดท้ายนั่นเองที่ เสีญยงกระพรวนดั กังวานไปทั ่วทะเลสาบ นจัลงหวะช่ จนครบสาม สามารถคลอดเด็ครั กน้้งอเสี ยออกมาได้ โดยปลอดภั แต่ไร้ซึ่งเสียงร้องอันเป็นสัญญาณของการมีชีวิต นางได้แต่ ยงหัวเราะอย่ างยินดีดังขึย้นมาตาม ภาวนาต่อทุกสรรพสิ ช่วยเหลื อยของนาง... นางพร่ ่งโปรดให้ “มาแล้ ว กษัตอริลูยก์แน้ละอั ศวิน กลับมาแล้ ว คิกำ�ภคิาวนาอยู ก” ่เช่นนั้นจนดวงตาที่เต็มไปด้วย ความรู้สึกทีท่่เาหมื อนถูกสายน้ ไว้ ค่อายๆปลุ าผู้นทิที่อราให้ ตื่นขึอ้นม หยาดน้ำ�ค่อยๆปิด ลงไปตลอดกาล มกลางเสี ยงร่ำ�ำ�โอบอุ ไห้ข้มองเหล่ ผู้นับกถืเหล่ อฟาร์ ยู่รายล้ จากการหลั บนพืา้นยได้ ที่เหยี ่เป็นาลักลุ กษณะของผิ ่เหยียบยืน โอ...ยามต่ อมานั้นบใหล สิ่งเลวร้ บังยเกิดนอนอยู ดขึ้น เหล่ ่มผู้นับถือวทะเลสาบที ค่อยๆเกิดอาการแปลกประหลาด ได้เหมือนผืนหายใจติ หญ้านุ่มๆดขัใต้ดนราวกั ้ำ�ยังมองเห็ ปลาทองหลากหลายสี สันว่ายน้้นำ�รนอย่ เล่นไปางทุกข์ทรมาน จน ร่างเนื้อราวถูกไฟแผดเผา บจมน้นำ� ฝูงเหล่ าผู้คนตะเกียดตะกายดิ มา ยังมีตะเกียงไฟโบราณหลายร้อยหลายพันใบลอยคว้างไปมาแต่แปลกที่แม้มีไฟ ค่อยๆหมดลมหายไปไปทีละคน กลายกลับไปเป็นผู้วายชนม์อย่างแท้จริงเช่นเดียวกับฟาร์ แต่กลับไม่มีแสงสว่าง คงมีเพียงดวงจันทร์ขนาดใหญ่กว่าที่เคยเห็นปริกติหลายสิบ ทว่าลูกน้เท่อายของฟาร์ กลับ่ตค่รงหน้ อยๆคืา นเพิสู่ม่ชความลี ีวิตอีก้ลคราอย่ งน่าอัศ่แจรรย์ ตั้งตระหง่านอยู ับให้กับาสถานที ห่งนี้ กระแสแห่งชีวิตของเด็กน้อยซึ่งส่งผ่านไปถึงไข่มังกรสองใบ หนึ่งคือไข่มังกรของราชามังกรสีขาว สองคือไข่มังกรของราชามังกรสีดำ� ทั้งสองค่อยๆฟักตัวออกมาเพรียกหาสัมผัสพิเศษนี้อย่างกึกก้องไปทั่ว ดินแดน ประสานกับเสียงแผดร้องของทารกน้อยที่ดังสะเทือนไปจนหยุดการสู้รบของมังกรทุกตน ปรากกฎการณ์นี้ทำ�ให้สงครามหยุดชะงักลงโดยพลัน เหล่ามังกรทั้งสองเผ่าพันธุ์ต่างถูกเสียงร้อง นั้นดึงดูดให้เข้ามาหาทารกน้อยผู้แสนเดียวดาย ผู้รายล้อมไปด้วยเหล่าผู้วายชนม์ที่กองทับถมกันน่าอนาถ “สิ่งแปลกประหลาดนี้เป็นผู้หยุดสงคราม และปลุกลูกน้อยของเราที่หลับใหลมานมนานให้ตื่นขึ้น มา” ราชามังกรทั้งสองเผ่าพันธุ์ได้กล่าวเอาไว้ ราชามังกรแห่งแสงบินเข้าไปโอบอุ้มทารกหญิงไว้และประทานนามว่า “เลทีเซีย”¬
บทที่ 4
พวกเขาลืมตาตื่นกันหมดแล้ว ชายหนุ่มทั้ง 7 คนต่างยืนประจันหน้ากัน สถานการณ์ดูสับสนงุนงง พวกเขามาที่นี่ได้อย่างไร นับเป็นปริศนาใหญ่ มองดูไปรอบข้าง พื้นทะเลสาบทอดยาวออกไปไกลไม่มีสิ้น สุด ดวงจันทร์เบื้องหลังใหญ่โตกว่าปกติที่เห็นหลายสิบเท่านัก ราวดวงจันทร์ขยับเข้ามาใกล้เพียงแค่เอื้อม จนดูน่ากลัวเกรง “ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ข้าวของข้าล่ะ!? ข้าจำ�ได้ว่าถือมันอยู่ในมือนี่นา!?” ชายร่างเพรียวบางที่ อยู่ในชุดซอมซ่อเหมือนคนขอทาน หันรีหันขวางมองตามพื้น เผื่อว่ามันจะตกอยู่แถวนี้ “จะว่าโชคดีหรือร้ายกันแน่เนี่ย หรือว่าจะโดนเชือดทิ้งแล้วจริงๆ” ชายหนุ่มร่างสูงในชุดทหาร ที่เละพอดู พูดขึ้นมาแบบเหม่อลอยไปพลาง พอสายตาปะทะกับคนอื่นๆที่เหลือก็ร้องอุทานด้วยความยินดี ออกมา “โอ้! จะตายทั้งทีก็มีเพื่อนไปด้วยหรือนี่ พวกเจ้าตายอย่างไรกันหรือ? ข้าน่ะเพิ่งจะเข้าสนามรบ ครั้งแรกน่ะก็เลยโดนศัตรู...” ชายอีกคนในชุดเกราะรบเต็มยศเอ่ยถามด้วยน้ำ�เสียงร้อนรน “ข้าต้องรีบกลับไปบัญชาการรบ ด่วน มีผู้ใดที่สามารถบอกทางออกไปจากที่นี่ได้บ้างไหม” “อ๊ะ!? นี่ท่านเอเลซิสนี่ขอรับ ท่านบัญชาการรบอยู่ในค่ายทหารนี่นา ทำ�ไมถึง...” “ข้าเองจำ�ได้ว่ากำ�ลังปีนกำ�แพงแล้วก็รู้สึกวูบ ฟื้นขึ้นมาอีกทีก็มาอยู่ที่นี่แล้ว” ชายอีกคนที่มีแผล เป็นตรงปลายคางด้านซ้าย เขาสวนชุดรัดรูปสีดำ�เหมือนมิจฉาชีพกล่าวขึ้นมา “ทำ�ไมเจ้าถึงไปปีนกำ�แพงได้ล่ะ เข้าบ้านไม่ได้รึ?” “ ส่วนข้ากำ�ลังกันพวกสาวกที่กำ�ลังจะบุกเข้ามาวิหาร เอ่อ...คือหรือว่าข้าจะตายแล้วจริงๆ จำ�ได้ ว่าก่อนวูบไปข้าเห็นคนถือไม้พลองพุ่งมาหาข้าด้วย” ชายหนุ่มท่าทางสำ�อางในชุดของนักบวชเต็มยศกล่าว ไปหน้าซีดไป “ไม่เป็นหรอกนะท่านนักบวช ช้าเองก็เพิ่งตายมาเหมือนกัน...” วินเซนเต้กล่าวแทรกขึ้น “พวกท่านใจเย็นแล้วฟังข้าก่อนเถอะ ข้ามีนามว่าวินเซนเต้ ลามาร์ก เซย์ และนี่เพื่อนของข้า โมบิติก ซูเทมน์” ทุกคนต่างหันมามองที่เขาทีหนึ่ง ก่อนจะเริ่มแนะนำ�ตัวบ้าง “เอเลซิส แอลบัชร็อช” แม้สีหน้าจะไม่ค่อยสู้ดีนัก แต่เสนาธิการของอาณาจักรจึงได้แต่เก็บงำ� ความร้อนใจไว้ คนที่ตามมาคือนักบวชหนุ่ม “ท่านทั้งหลาย ข้าชื่อมิลอส วีไวน์ เป็นนักบวชประจำ�อยู่ที่วิหารใหญ่ ของเดลลี่เพียส” “อ๊ะ! ช้าๆ ข้าชื่อเอ็นโซ่ แรโรว์วิง นายทหารประจำ�กอง...เอ่อ เอาเป็นทหารของกาวินที่เพิ่วอ อกไปสู้ศึกเมื่อตอนรุ่งเช้า อ้อ! ท่านเอเลซิส ท่านทราบหรือไม่ว่าข้าสังกัดกองอะไรหรือไม่ขอรับ” นาย ทหารที่ดูซื่อๆโง่คนนี้พอแนะนำ�ตัวเสร็จก็ยังหันไปถามนายใหญ่ของกองทัพแบบไม่กลัวเกรง เอเลซิสยิ้มเย็นแล้วกล่าวว่า “ไว้ช้าจะหาชื่อเจ้าในทะเบียนทหารให้ แล้วค่อยส่งให้เจ้าคัดชื่อ ตนเองพร้อมตำ�แหน่งและหน่วยกองรบที่เจ้าสังกัดสักพันรอบ เช่นนั้นแล้วเจ้าอาจจะได้พอจำ�ขึ้นมาได้ บ้าง” เจ้าตัวถึงกับสะดุ้ง ถึงเพิ่งสำ�นึกได้ว่าทำ�อะไรลงไป
“ฮ่าๆ พวกเจ้านี่ตลกจริงๆนะ ข้าชื่อเคอม็องต์ ถ้าพวกเจ้าอยู่ในอาณาจักรเฟอร์รุซซิโอ ข้าเชื่อว่า อย่างนี้ก็ต้องเคยได้ยินชื่อข้ามาบ้างล่ะ” ชายร่างสูงใหญ่เจ้าของรอยบากเล็กๆบนใบหน้ากล่าวอย่างอารมณ์ ดี แต่โมบิติกถึงตกตะลึงเพราะเขาเคยเป็นทหารที่นั่นอยู่ราวสามปีได้ จึงได้ร้องโพล่งออกมาอย่าง ตื่นเต้น “บร๊ะ! นี่ท่านคือจอมโจรชื่อก้องคนนั้นรึนี่ นึกไม่ถึงจริงๆว่าจะเจอท่านในสภาพแบบนี้ได้ ฮ่าๆ นึก ได้แล้ว เมื่อเดือนก่อนข้าเพิ่งโดนสั่งให้ตามจับตัวท่าน เพราะท่านหาญกล้าไปปล้นบ้านหัวหน้ากองพันของ ข้าซะได้ น่านับถือๆ” “หืม? จำ�ได้ว่าข้าเคยปล้นที่นั่นจริง แต่ไม่เห็นพวกเจ้าจะตามจับข้าเลยนี่” เคอม็องต์กล่าวอย่าง ฉงน เพราะตอนนั้นเขาเองก็เฝ้ารอที่จะเล่นกับพวกทหารอยู่เหมือนกัน สุดท้ายก็ได้แต่รอเปล่า “ฮ่าๆๆ นี่เป็นครั้งแรกที่พวกทหารรวมใจกันเมินคำ�สั่งนี้ แค่ทำ�ทีออกค้นหาแต่ไม่ได้มีใครอยากทำ� จริงหรอก ต่างคนต่างสะใจกันจะตายไป พวกเข้าถึงได้นับถือท่านอย่างไรล่ะ ฮ่าๆๆ” ปล่อยสองหนุ่มอารมณ์ดีสนทนากันไป ขอทานที่ดูห่อเหี่ยวก็แนะนำ�ตัวบ้าง “ส่วนข้า ชื่อเตยัน ไม่มีนามสกุลหรอกนะ ข้ามันกำ�พร้า ตอนนี้ข้าเตร่อยู่แถวสลัมนอกเมืองยู ฟานของอาณาจักรวลาดิเมียร์น่ะ” พูดไปแล้วก็รู้สึกปวดท้องไม่เอา เขาหิวจนแทบขาดใจแล้ว! เป็นเอเลซิสที่ออกปากถาม “ท่านวินเซนเต้ ดูเหมือนท่านจะรู้สาเหตุบางอย่างสินะ โปรดบอก ข้ามาได้หรือไม่” วินเซนเต้เปิดปากเล่าโดยจำ�กัดเปลี่ยนฉากสถานที่และสถานะของหมู่บ้าน ว่าเป็นเพราะพวกเขา ไปตามจับผู้บุรุกสุสานของบรรพบุรุษ จนไปเจอเด็กแปลกๆที่มีภูติติดตามแล้วถูกส่งมาที่นี่ แน่นอนว่าตัด เอาเรื่องใหญ่ที่ว่าอีกฝ่ายพูดถึงเทวทูต ราชโองการ และกษัตริย์ ย่อมต้องถูกโยงไปเรื่องราชันย์แห่งชน เผ่ามนุษย์เป็นแน่ จึงต้องละเอาไว้ก่อนเพื่อดูท่าทีของสหายใหม่ตรงหน้า “นิทาน? จุดเริ่มต้นสีเทา แล้วก็”กษัตริย์และเหล่าอัศวินกำ�ลังเดินทางไปเข้าเฝ้า... ถ้าสนใจแค่ ประโยคหลังของเด็กชาวภูติล่ะก็ มันอาจจะเป็นจริงก็ได้นะ” เคอม็องต์แสดงความเห็นออกมา เริ่มรู้สึก เรื่องที่กำ�ลังจะเผชิญดูท่าจะไม่ใช่เรื่องเล็กๆเสียแล้ว เอเลซิสเอ่ยถึงจารึกที่เขาได้อ่านมาทั้งหมด “ตามจารึกโบราณที่วังของข้ามีนั้น กล่าวถึงดาบแห่ง ราชันย์ 1 เล่มตรงกลาง รายล้อมด้วยอัศวินทั้ง 6 นับตามจำ�นวนที่ของพวกเราแล้วก็ครบพอดิบพอดีเชียว นะ” เขาหรี่สายตามองดูวินเซนเต้ ‘...เรื่องที่กล่าวดูเหมือนถูกตัดทอนไปมาก ดูท่าเพื่อนใหม่คนนี้จะยัง เก็บส่วนสำ�คัญยังไงไม่รู้สิ’ วินเซนเต้ทันหายสายตาของเอเลซิสที่มองมาที่เขาอย่างครุ่นคิด ดูๆไปแล้วเขาคงไม่พ้นโดนสงสัย เป็นแน่ ดีที่ดักคอโมบิติกไว้ก่อนไม่ให้พูดอะไรทั้งนั้น สงสัยภายหน้าถ้าถูกถามเซ้าซี้อีก คงต้องไว้แถสีข้าง กันต่อไป “เอ๋? ถ้างั้นก็ต้องมีองค์ราชันย์ตัวจริงอยู่ในหมู่พวกเราสินะขอรับ แปลว่าคนที่อยู่ที่ลาเทมน์ก็เป็น ตัวปลอมสินะ? ว้าว! สุดยอดเลยล่ะ!”
คนที่ดูจะไม่เปลี่ยนไปเลยคงมีแค่เอ็นโซ่ผู้นี้ผู้เดียว พอชี้เป้าว่ามีราขาอยู่ในกลุ่มตอนนี้ เอเลซิส ถึงกับถลึงตาเป็นประกายแล้วมองเพื่อนใหม่เหล่านี้ทีละคนอย่างไตร่ตรอง โมบิติกถึงกับถลึงตาขึ้นมาแล้ว หันขวับมาทางวินเซนเต้ทันที จนวินเซนเต้ต้องเหงื่อตกก่อนรีบแก้สถานการณ์ “คงไม่หรอกๆ น่าจะเป็นอาคมชั้นสูงของภูติเท่านั้นแหละ เรื่องนี้มีแค่ท่านเทวทูตและคนของทา ทารัสที่มีสิทธิตัดสินใจนะ ไม่ใช่ภูติที่ไหนก็ได้จะมากระทำ�ตามอำ�เภอใจได้เช่นนี้” ความเปลี่ยนแปลงเมื่อครู่ย่อมไม่พ้นสายตาของเขา ยังมีอีกหลายคนที่เห็นอาการนั้นของโมบิติก ตอนที่เอ็นโซ่พูดถึงราชันย์ยังไม่ทันจบประโยคดี ตอนนี้เอเลซิสมุ่งความสนใจมาที่ทั้งวินเซนเต้และโมบิติก ‘ถึงจะยังคงติดพันในหน้าที่ แต่หากว่าทุกคนที่มาที่นี่...คือผู้จะเป็นทั้งราชันย์แห่งมวลมนุษย์และ อัศวินผู้พิทักษ์บัลลังก์ หน้าที่การบัญชาการศึกย่อมเป็นเรื่องรองไปเลยทันที เพราะอย่างน้อยที่ฝั่งนั้นก็ยัง มีคนที่สามารถมาดูแลแทนเขาได้อยู่’ เอเลซิสลอบคิดดังนั้น แต่เห็นทั้งกลุ่มเงียบเสียงลง จึงได้ประกาศแสดงเจตจำ�นงออกมาก่อน เสียงหนักแน่น “ข้าขอบอกตามตรง ข้าไม่ได้สนว่าตนเองจะได้ราชันย์หรือไม่ ไม่ว่าใครในที่นี้ได้เป็นข้าย่อมยินดี จากใจทั้งนั้น เพราะนั่นหมายถึงเขาคือตัวจริงที่สวรรค์ได้มอบให้ แค่นี้ก็พอแล้วล่ะ และถ้าหากเรื่องที่ เอ็นโซ่สันนิฐานเป็นจริงขึ้นมาแล้ว นั้นก็แปลได้ว่า... ราชันย์ที่อยู่ที่ลาเทมน์นั้นก็คือตัวปลอม!” พูดได้จบ ประโยคก็กำ�หมัดแน่นอย่างโกรธเคือง วินเซนเต้ได้แต่ลอบกลืนน้ำ�ลาย หวังเพียง...ขอให้อย่าให้เป็นเขาก็พอแล้ว แค่พอนึกถึงคำ�พูดที่ เด็กหนุ่มปริศนานั่นกล่าวออกมาก็อดรู้สึกหวาดเสียวขึ้นมาไม่ได้ ‘ไม่! เขาไม่ยอมเด็ดขาด! เป้าล่อสงครามชัดๆ!!’ “เราลองเดินไปด้วยกันไปดีไหม ดีกว่าอยู่กับที่แล้วไมได้อะไรเลยน่ะ” มิลอสเสนอความเห็นออก มา ทุกคนตกลงใจทำ�ตามนั้นแต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหนดี ยังไม่มีใครเดินนำ�ออกมา เอเลซิสก็ เลยช่วยตัดสินใจให้ทุกคนแทน “วินเซนเต้ ข้าว่าเจ้าลองเดินนำ�พวกเราไปก่อนเถอะ ที่นี่...เจ้าเป็นคนเดียวที่มีเบาะแสเรื่อง แปลกๆนี้ ถ้าพบเห็นพวกเด็กภูติพวกนั้นเจ้าก็ได้เป้าให้เราถูก” วินเซนเต้เอ่ยแย้งขึ้นมาทันควัน “เดี๋ยวนะ... ที่ก็ออกจะโล่งเตียน มีแค่ตะเกียงลอยไปสอยมา ได้ กับพระจันทร์แปลกๆที่กำ�ลังตกดิน ไม่สิตกน้ำ�อยู่ทางนั้น ถ้ามันจะเห็นอะไร มันก็ต้องเห็นพร้อมกันนั่น แหละ” เคอม็องต์เดินไปผลักหลังแรงๆวินเซนเต้แรงๆจนอีกฝ่านเกือบล่มคะม่ำ� “คิดอะไรหยุมหยิมไปได้น่าเจ้าน้องชาย ก็แค่เลือกแบบสุ่มมันจะใครก็ได้ทั้งนั้นแหละ เอ้าไปเร็ว เข้า! โมบิติกจึงรับลูกคู่ต่อจากลูกพี่ใหญ่ที่เพิ่งนับถือกันไปเมื่อครู่นี้ “เอาเบยๆ เลือกเอาสักตำ�แหน่งนะ เหนือ ใต้ ออก ตก หรือจะเฉียงไปตะวันออกเฉียงเหนือดี เลือกมุมดีๆหน่อยนะเว้ยเดี๋ยวจะกลับทิศเอา ฮ่าๆ”
กล่าวอะไรไร้สาระไปก็เหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไร ดูแล้วไม่มีใครสนใจจะออกนำ�จริงๆด้วย วินเซน เต้จึงหันเดินไปทางที่ดวงจันทร์ตั้งอยู่แทน เพราะรู้สึกว่าทางนั้นน่าสนใจกว่ากันเยอะ วินเซนเต้หันหน้าไปกล่าวกับคนอื่นๆ “เอาเถอะๆเราไปที่ดวงจันทร์นั่นก่อนก็แล้วกัน” ออกเดินไปได้เพียงครู่เดียว ครู่เดียวเท่านั้นจริงๆ พวกเขาก็เริ่มเห็นอะไรบางอย่าง เหมือนอะไร แท่งๆปักอยู่บนผืนน้ำ�ที่อยู่ไกลๆนั่น “ข้าว่าแล้วเชียว ให้เจ้าออกนำ�ก็เจอเบาะแสแล้ว สมแล้วจริงๆที่ให้เจ้าได้เลือกเส้นทาง” เอเลซิสกล่าวออกมาลอยๆ โดยเน้นคำ�ว่า ‘สม’ ทั้งที่ฟังแล้วออกมาเป็นประโยคที่ดูไม่ถูกต้องนัก ‘หน็อย... เลี่ยงยากจริงแหะ คำ�พูดทั้งประโยคนั้นจริงๆแล้วคงแค่อยากพูดคำ�ว่า สมแล้ว เท่านั้น แล้วแหละ’ วินเซนเต้ได้แต่ปลง ตอนนี้เอเลซิสมาเดินขนาบข้างแทนโมบิติกที่ระริกระรี้อยู่กับเคอม็องต์และเอ็นโซ่ ตอนนี้เขา ทำ�จตัวราวกับเพื่อนรักมักคุ้นกันมานานก็ไม่ปาน คงเพราะอยากจับตาดูและรวมทั้งสนใจในที่มาที่ไปที่เป็น ปริศนาของเขาเองกระมั้ง “จะยังไงก็เถอะ ข้าหิวเป็นบ้าเลย ได้เป็นอัศวินอะไรนั่นแล้วข้าจะอิ่มท้องไหมเนี่ย” เตยันไม่ วายบ่นอิดออด เป็นมิลอสที่ตอบคำ�ถามนี้ให้ “นั่นถือเป็นตำ�แหน่งที่มีเกียรติ แทบเท่าขุนนางขั้นหนึ่งที่มีอำ�นาจ รองลงมาจากองค์ราชันย์เลยก็ว่าได้นะ ไม่ต้องกลัวอดตายหรอก” เตยันทำ�ตาเป็นประกายวาบก่อนจะกล่าวถาม “แค่มีตำ�แหน่งนี้ก็จะกินอะไร มากมายแค่ไหน ยัง ไงก็ได้ใช่หรือไม่ขอรับ!?” ...อาหาร ขอเป็นเรื่องที่อะไรที่สู้แล้วได้มาซึ่งมาอาหารให้อิ่มท้อง เขาก็ไม่ขอ อะไรแล้ว! มิลอสยิ้มรับคำ� ก่อนจะหันกลับมามองยังแผ่นหลังของชายหนุ่มที่เดินนำ�อยู่หน้าสุดของกลุ่ม ประกายของอำ�นาจลึกลับบางอย่าง ขับออกมาจากร่างสูงสง่า หลายคนในที่นี้คงเริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศ ที่หนักอึ้ง แต่กลับรู้สึกปลอดภัยชวนให้คลายความตึงเครียดที่มี สถานที่แบบนี้ไม่ว่าใครก็ต้องเกิดความ หวาดหวั่น แต่คนที่เฉยเมยได้จริงๆคงมีเพียงเขาและข้าเองนี่แหละ ‘สุดยอดจริงๆ มีพลังระดับไหนกันนะท่านผู้นี้’ คณะได้เดินมาถึงบริเวณที่จุดผิดสังเกต ยิ่งใกล้เข้าไปเรื่อยๆก็ยิ่งเห็นมันชัดขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับใจ ที่เต้นระทึกว่าคงเป็นเรื่องแน่แท้แล้ว!? ดาบทั้ง 7 เล่มปักปลายลึกลงไปบนผิวน้ำ�เพียงเล็กน้อย แต่มันเป็นเพียงดาบทื่อๆรูปร่างธรรมดา เหมือนดาบพื้นฐานที่ทุกคนใช้ฝึกตอนเริ่มต้น ดาบเรียวเหมือนกระบี่ ตัวฐานเองก็เรียบง่ายไม่ได้ตกแต่ง อะไรเลยจนน่ามองข้ามไป คงมีเพียงลักษณะการจัดวางดาบเหล่านั้นเท่านั้น ที่กลับตรงกันกับคำ�จารึกที่ เอเลซิสเคยบอกไว้
“ดาบรอบๆนั้นไม่มีปัญหาเท่าไหร่ สำ�คัญคือดาบตรงกลางนั้นแหละที่น่าจะเป็นดาบแห่งราชันย์ และใครควรจะเข้าไปดึงก่อน?” พอเอเลซิสพูดขึ้นมาแบบนี้ทุกคนกลับเงียบกริบ เอ็นโซ่กระตือรือร้นที่จะดึงดาบมากจึงร้องขอขึ้นมาก่อน “นี่ๆนายท่านเอเลซิส คือข้าอยากลองไปดึงๆไอ้ที่อยู่รอบๆก่อนได้ไหมขอรับ ยังไงก็ไม่ใช่ข้า แน่นอนอยู่แล้วน่ะ ไม่งั้นสวรรค์คงโหดร้ายพวกประชาชนตาดำ�ๆยิ่งนัก ฮ่าๆ” ทุกคนแอบเห็นด้วย เอเลซิสจึงผายมือทำ�ทีให้เชิญก่อนได้เลย เอ็นโซ่ถลาไปยังดาบรอบๆที่เหมือนกันไปหมด พอลองดึงดาบที่ใกล้ที่สุดกลับดึงไม่ออก จึงลอง หมุนไปดึงดาบถัดไปๆก็ยังดึงไม่ออกอยู่ดี จนหลายเริ่มมีสีหน้าเขียวคล้ำ� แต่พอวนไปดาบเล่มที่ 4 เอ็นโซ่กลับขยับมันออกฐานได้ พร้อมทั้งปรากฏแสงสีเขียวเรืองรอง ขึ้นรอบๆตัวเขา พอดาบค่อยๆถูกดึงออกมา ใบไม้สีเขียวกลีบเล็กหมายๆใบต่างหมุนวนจากปลายดาบขึ้นมา ค่อยๆแปรสภาพดาบธรรมดากลายเป็นดาบคู่ชิ้นงามขึ้นมาทันที “เอ๋? อันนี้หรอของข้า เจ๋งแหะๆ มันรู้ด้วยว่าข้าถนัดชอบฟันอะไรอะไรเร็วๆ สวยชะมัดเลยแฮะ ชอบๆ” จากตัวทดลองที่ส่งออกไปก่อนเคอม็องต์ก็กระเหี้ยนกระหือขอออกไปดึงบ้าง วนไปได้ดาบเล่มที่ 5 ก็ดึงออกได้ สิ่งออกมาเป็นพลังของอัคคีเพลิงหมุนวนเป็นเกลียว ก่อนจะแปลงดาบให้กลายเป็นสนับมือ อันใหญ่ยักษ์ “นี่แหละใช่เลย ดูเหมือนดาบมือใหม่นั้นจะแค่คงลักษณะในสภาพเริ่มต้นไว้ก่อน แล้วค่อย วิเคราะห์ว่าผู้เป็นเจ้าของมันจะถนัดใช้อาวุธแบบไหน” พูดไปพลาง สำ�รวจอาวุญของตนเองไปพลาง ดูเหมือนทุกคนยกเว้นวินเซนเต้และเอเลซิส ต่างก็พุ่งตรงไปไปทดลองดึงดาบกันและผลที่ได้ก็คือ โมบิติกได้อาวุธประเภทดาบ พลังที่แฝงอยู่ภายในคือสายลมกันรุนแรงและปราดเปรียว มิลอสได้อาวุธประเภทคฑา พลังที่แฝงมาคือละอองแสงจากธาตุแสงสว่าง สมกับที่เป็นนักบวช เสียจริง ส่วนที่แปลกที่สุดแล้วนั้นย่อมเป็น เตยันที่ได้คณโฑน้ำ� พลังของสายน้ำ�หมุนวนอยู่รอบๆก่อนจะ กลับลงไปในกาน้ำ� ดูท่าจะยินดีปรีดามากเพราะเห็นเขาพึมพัมเสียงร่าเริงว่า “มีน้ำ�กินฟรีได้ตลอดเวลา หิว เมื่อไหร่ก็ดื่มได้เมื่อนั้น” “เหลือดาบเพียงสองเล่ม ไม่เจ้าก็ข้านี่แหละที่เป็นผู้ถูกเลือก” เอเลซิสพูดแฝงแววล้อเลียน รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ฝุดพรายขึ้นมาที่มุมปาก “ไม่ล่ะ ถ้าข้าได้เป็นจริงๆ คงเผลอทำ�อาณาจักรล่มสลายไปโดยไม่รู้ตัว ไม่เอาหรอกข้าชอบเดิน ตามคนอื่นมากกว่าจะนำ�คนอื่นอีกนะ เจ้าจะเอาก็เอาไปเถอะ มันเหมาะกับเจ้าสุดๆแล้วล่ะ ส่วนข้าขอแค่ ดาบที่อยู่วงนอกนั้นก็พอแล้ว ข้ายินดีตามก้นเจ้าเลยล่ะท่านผู้บัญชาการทหาร” มุมปากยิ่งยกรอยยิ้มให้สูงขึ้น ‘คนๆนี้ไม่ใฝ่อำ�นาจ ไม่ชอบเรื่องวุ่นวาย แม้ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม บ้างแต่กลับฉาวแววดื้อรั้นอยู่ข้างใน ถือเป็นคนที่น่าคบหาจริงๆ’ เอเลซิสตรึกตรองในใจ
กล่าวอะไรไร้สาระไปก็เหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไร ดูแล้วไม่มีใครสนใจจะออกนำ�จริงๆด้วย วินเซน เต้จึงหันเดินไปทางที่ดวงจันทร์ตั้งอยู่แทน เพราะรู้สึกว่าทางนั้นน่าสนใจกว่ากันเยอะ วินเซนเต้หันหน้าไปกล่าวกับคนอื่นๆ “เอาเถอะๆเราไปที่ดวงจันทร์นั่นก่อนก็แล้วกัน” ออกเดินไปได้เพียงครู่เดียว ครู่เดียวเท่านั้นจริงๆ พวกเขาก็เริ่มเห็นอะไรบางอย่าง เหมือนอะไร แท่งๆปักอยู่บนผืนน้ำ�ที่อยู่ไกลๆนั่น “ข้าว่าแล้วเชียว ให้เจ้าออกนำ�ก็เจอเบาะแสแล้ว สมแล้วจริงๆที่ให้เจ้าได้เลือกเส้นทาง” เอเลซิสกล่าวออกมาลอยๆ โดยเน้นคำ�ว่า ‘สม’ ทั้งที่ฟังแล้วออกมาเป็นประโยคที่ดูไม่ถูกต้องนัก ‘หน็อย... เลี่ยงยากจริงแหะ คำ�พูดทั้งประโยคนั้นจริงๆแล้วคงแค่อยากพูดคำ�ว่า สมแล้ว เท่านั้น แล้วแหละ’ วินเซนเต้ได้แต่ปลง ตอนนี้เอเลซิสมาเดินขนาบข้างแทนโมบิติกที่ระริกระรี้อยู่กับเคอม็องต์และเอ็นโซ่ ตอนนี้เขา ทำ�จตัวราวกับเพื่อนรักมักคุ้นกันมานานก็ไม่ปาน คงเพราะอยากจับตาดูและรวมทั้งสนใจในที่มาที่ไปที่เป็น ปริศนาของเขาเองกระมั้ง “จะยังไงก็เถอะ ข้าหิวเป็นบ้าเลย ได้เป็นอัศวินอะไรนั่นแล้วข้าจะอิ่มท้องไหมเนี่ย” เตยันไม่ วายบ่นอิดออด เป็นมิลอสที่ตอบคำ�ถามนี้ให้ “นั่นถือเป็นตำ�แหน่งที่มีเกียรติ แทบเท่าขุนนางขั้นหนึ่งที่มีอำ�นาจ รองลงมาจากองค์ราชันย์เลยก็ว่าได้นะ ไม่ต้องกลัวอดตายหรอก” เตยันทำ�ตาเป็นประกายวาบก่อนจะกล่าวถาม “แค่มีตำ�แหน่งนี้ก็จะกินอะไร มากมายแค่ไหน ยัง ไงก็ได้ใช่หรือไม่ขอรับ!?” ...อาหาร ขอเป็นเรื่องที่อะไรที่สู้แล้วได้มาซึ่งมาอาหารให้อิ่มท้อง เขาก็ไม่ขอ อะไรแล้ว! มิลอสยิ้มรับคำ� ก่อนจะหันกลับมามองยังแผ่นหลังของชายหนุ่มที่เดินนำ�อยู่หน้าสุดของกลุ่ม ประกายของอำ�นาจลึกลับบางอย่าง ขับออกมาจากร่างสูงสง่า หลายคนในที่นี้คงเริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศ ที่หนักอึ้ง แต่กลับรู้สึกปลอดภัยชวนให้คลายความตึงเครียดที่มี สถานที่แบบนี้ไม่ว่าใครก็ต้องเกิดความ หวาดหวั่น แต่คนที่เฉยเมยได้จริงๆคงมีเพียงเขาและข้าเองนี่แหละ ‘สุดยอดจริงๆ มีพลังระดับไหนกันนะท่านผู้นี้’ คณะได้เดินมาถึงบริเวณที่จุดผิดสังเกต ยิ่งใกล้เข้าไปเรื่อยๆก็ยิ่งเห็นมันชัดขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับใจ ที่เต้นระทึกว่าคงเป็นเรื่องแน่แท้แล้ว!? ดาบทั้ง 7 เล่มปักปลายลึกลงไปบนผิวน้ำ�เพียงเล็กน้อย แต่มันเป็นเพียงดาบทื่อๆรูปร่างธรรมดา เหมือนดาบพื้นฐานที่ทุกคนใช้ฝึกตอนเริ่มต้น ดาบเรียวเหมือนกระบี่ ตัวฐานเองก็เรียบง่ายไม่ได้ตกแต่ง อะไรเลยจนน่ามองข้ามไป คงมีเพียงลักษณะการจัดวางดาบเหล่านั้นเท่านั้น ที่กลับตรงกันกับคำ�จารึกที่ เอเลซิสเคยบอกไว้
เอเลซิสแสร้งทำ�เป็นแปลกใจก่อนจะถาม “ไม่ล่ะ ไม่ใช่ข้า ข้าสนที่จะอยู่ด้านหลังหรือข้างๆ กษัตริย์เท่านั้น ข้าเป็นเช่นนั้นมาตลอด และอยากเป็นเช่นนี้ตลอดไป โทษทีนะ” พูดปุ๊บก็พุ่งตัวดึงดาบ วงนอกเล่มสุดท้ายขึ้นมาทันทีอย่างมั่นอกมั่นใจ และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ทวนยาวที่มีใบมีดใหญ่ดูหนักมือ สะเก็ดของดินพุ่งแตกระจายเมื่อเอเลซิ สดึงทวนขึ้นมาจนสุดปลายด้าม ก่อนจะหันไปยิ้มให้นายเหนือหัวในอนาคต “ถึงตาพระองค์ออกมาดึงดาบนั้นได้แล้วล่ะฝ่าบาท หม่อนฉันจะได้ออกไปจัดการธุระส่วนตัว จะ ได้เริ่มงานปูรากฐานสู่แผ่นดินใหม่ของพระองค์ไงพะยะค่ะ” เอเลซิสกล่าวพลางกลั้นเสียงขบขัน เขาเดินกลับมาตรงหน้าวินเซนเต้แล้วผายมือเชื้อเชิญให้ เสด็จออกไปแต่โดยดี วินเซนเต้เบ้หน้าเหมือนคนท้องผูกแต่ยอมเดินไปดึงดาบเล่มสุดท้ายออกมา แต่ทว่าเมื่อเขาแตะไปที่ด้ามดาบ ดาบเล่มนั้นมันกลับเลือนหายไป!? ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีสลับไป มาทั้งแดงฟ้า ผิวน้ำ�เคลื่อนไหวปั่นป่วนจนพวกเขาทั้วคณะเกือบทรงตัวไม่อยู่ ดวงจันทร์สั่นสะเทือนเปลี่ยน คลื่นกดดันบางอย่างพัดผ่านไป สภาพรอบๆพลันถูกกระเทาะทำ�ลายออกช้าๆ เหมือนฉากๆหนึ่ง “นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำ�ไมเจ้าแตะดาบแล้วเป็นเช่นนั่นล่ะ หรือเจ้าเองก็เป็นตัวปลอม!?” วินาที นี้เอเลซิสรู้สึกผิดหวังขนาดหนัก เป็นเพราะเชาคาดหวังที่ให้เป็นคนนี้ๆ ความรู้สึกลึกๆของเขาบ่งบอกเช่น นั้นจริงๆ “ข้าก็อยู่พวกเจ้ามาตั้งแต่ต้น จะไปรู้ได้ยังไงเล่าว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้” ไม่นานนักรอบๆตัวพวกเขาก็มีดาบหลายเล่มปรากฏขึ้นมาจำ�นวนมาก ผิวน้ำ�ระเหยเป็นหยดน้ำ�ขึ้น ไปจนปรากฏเป็นหน้าดินแทน เบื้องหน้าของเขามีมังกรตนหนึ่งที่ค่อยๆลืมตาขึ้นมามองผู้มาเยือน ในตอน แรกที่เห็นห้องนี้ย่อมตรงกับคำ�บอกเล่าของบิดาที่เคยขึ้นเขาไปคัดเลือกดาบ ห้องโถงแห่งกษัตริย์มีร่างของ ราชามังแห่งแสงผู้หลับใหล ท่านเหลือลมหายใจเฮือกสุดท้ายเก็บไว้จำ�ศีลรอราชันย์ที่จะมาปรากฏตัว ใน ยามนี้ท่านลืมตาตื่นแล้ว สายตานั้นแม้จะดูเหมือนจับจ้องมาที่พวกเขาทั้งหมด แต่จริงๆเขารู้ดีว่าท่านมอง ไปที่ผู้ใดกันแน่ สังเกตจากแผ่นหลังเปียกชื้นขึ้นของวินเซนเต้ก็รู้ได้แล้วว่าใครเป็นผู้รับเคราะห์ “ในที่สุดก็ได้เจอ... ทายาทแห่งมังกร” น้ำ�เสียงหย่อนหยานนั้นแฝงไปด้วยอำ�นาจที่ใครได้ยิน เป็นต้องตัวแข็ง สัมผัสอุ่นๆที่ฝ่ามือนั้น เป็นอาวุธของพวกเขาเอง มันแผ่พลังด้านบวกเพื่อช่วยให้เจ้านายของ สามารถเผชิญแรงกดดันจากราชามังกร ทำ�ให้รู้สึกหายใจคล่องคอมากขึ้น หลายคนในกลุ่มนั้นถึงหลั่งน้ำ�ตา ด้วยความปิติที่ได้มีบุญวาสนาได้เข้าเฝ้าราชามังกรในตำ�นาน มากกว่าตอนที่รู้ว่าถูกเลือกให้ได้เป็นอัศวิน พิทักษ์บัลลังก์เสียอีก “เจ้ามีนามว่าอะไร... เจ้ามังกรน้อย...” ดูเหมือนเวลาของราชามังกรแห่งแสงจะมีไม่มากนัก แต่ ก็ยังพยายามยืดเวลาที่ได้พบอยู่ ตัววินเซนเต้ไม่แน่ใจนักว่าราชามังตรงหน้าร้องเรียกมังกรตนใด? หรืออาจแทนตนให้เขาเอง เสร็จสรรพ การที่ราชามังกรสะดวกจะเรียกให้เป็นมังกรแบบนี้ คงเพราะแลดูใกล้ขิดว่ามากกวากระมั้ง? “วินเซนเต้ขอรับ วินเซนเต้ ลามาร์กเซย์ ข้าเป็นลูกหลานของชนเผ่าอารักษ์มังกรขอรับ” ว่า แล้ววินเซนเต้ก็คุกเข่าลงตรงหน้า เหล่าผู้ติดตามที่เหลือต่างก็พากันคุกเข่าตาม
กล่าวอะไรไร้สาระไปก็เหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไร ดูแล้วไม่มีใครสนใจจะออกนำ�จริงๆด้วย วินเซน เต้จึงหันเดินไปทางที่ดวงจันทร์ตั้งอยู่แทน เพราะรู้สึกว่าทางนั้นน่าสนใจกว่ากันเยอะ วินเซนเต้หันหน้าไปกล่าวกับคนอื่นๆ “เอาเถอะๆเราไปที่ดวงจันทร์นั่นก่อนก็แล้วกัน” ออกเดินไปได้เพียงครู่เดียว ครู่เดียวเท่านั้นจริงๆ พวกเขาก็เริ่มเห็นอะไรบางอย่าง เหมือนอะไร แท่งๆปักอยู่บนผืนน้ำ�ที่อยู่ไกลๆนั่น “ข้าว่าแล้วเชียว ให้เจ้าออกนำ�ก็เจอเบาะแสแล้ว สมแล้วจริงๆที่ให้เจ้าได้เลือกเส้นทาง” เอเลซิสกล่าวออกมาลอยๆ โดยเน้นคำ�ว่า ‘สม’ ทั้งที่ฟังแล้วออกมาเป็นประโยคที่ดูไม่ถูกต้องนัก ‘หน็อย... เลี่ยงยากจริงแหะ คำ�พูดทั้งประโยคนั้นจริงๆแล้วคงแค่อยากพูดคำ�ว่า สมแล้ว เท่านั้น แล้วแหละ’ วินเซนเต้ได้แต่ปลง ตอนนี้เอเลซิสมาเดินขนาบข้างแทนโมบิติกที่ระริกระรี้อยู่กับเคอม็องต์และเอ็นโซ่ ตอนนี้เขา ทำ�จตัวราวกับเพื่อนรักมักคุ้นกันมานานก็ไม่ปาน คงเพราะอยากจับตาดูและรวมทั้งสนใจในที่มาที่ไปที่เป็น ปริศนาของเขาเองกระมั้ง “จะยังไงก็เถอะ ข้าหิวเป็นบ้าเลย ได้เป็นอัศวินอะไรนั่นแล้วข้าจะอิ่มท้องไหมเนี่ย” เตยันไม่ วายบ่นอิดออด เป็นมิลอสที่ตอบคำ�ถามนี้ให้ “นั่นถือเป็นตำ�แหน่งที่มีเกียรติ แทบเท่าขุนนางขั้นหนึ่งที่มีอำ�นาจ รองลงมาจากองค์ราชันย์เลยก็ว่าได้นะ ไม่ต้องกลัวอดตายหรอก” เตยันทำ�ตาเป็นประกายวาบก่อนจะกล่าวถาม “แค่มีตำ�แหน่งนี้ก็จะกินอะไร มากมายแค่ไหน ยัง ไงก็ได้ใช่หรือไม่ขอรับ!?” ...อาหาร ขอเป็นเรื่องที่อะไรที่สู้แล้วได้มาซึ่งมาอาหารให้อิ่มท้อง เขาก็ไม่ขอ อะไรแล้ว! มิลอสยิ้มรับคำ� ก่อนจะหันกลับมามองยังแผ่นหลังของชายหนุ่มที่เดินนำ�อยู่หน้าสุดของกลุ่ม ประกายของอำ�นาจลึกลับบางอย่าง ขับออกมาจากร่างสูงสง่า หลายคนในที่นี้คงเริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศ ที่หนักอึ้ง แต่กลับรู้สึกปลอดภัยชวนให้คลายความตึงเครียดที่มี สถานที่แบบนี้ไม่ว่าใครก็ต้องเกิดความ หวาดหวั่น แต่คนที่เฉยเมยได้จริงๆคงมีเพียงเขาและข้าเองนี่แหละ ‘สุดยอดจริงๆ มีพลังระดับไหนกันนะท่านผู้นี้’ คณะได้เดินมาถึงบริเวณที่จุดผิดสังเกต ยิ่งใกล้เข้าไปเรื่อยๆก็ยิ่งเห็นมันชัดขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับใจ ที่เต้นระทึกว่าคงเป็นเรื่องแน่แท้แล้ว!? ดาบทั้ง 7 เล่มปักปลายลึกลงไปบนผิวน้ำ�เพียงเล็กน้อย แต่มันเป็นเพียงดาบทื่อๆรูปร่างธรรมดา เหมือนดาบพื้นฐานที่ทุกคนใช้ฝึกตอนเริ่มต้น ดาบเรียวเหมือนกระบี่ ตัวฐานเองก็เรียบง่ายไม่ได้ตกแต่ง อะไรเลยจนน่ามองข้ามไป คงมีเพียงลักษณะการจัดวางดาบเหล่านั้นเท่านั้น ที่กลับตรงกันกับคำ�จารึกที่ เอเลซิสเคยบอกไว้
“ไม่ใช่หรอก...สกุลของเจ้าของทัลทาออส สกุลที่บรรบุรุษของเจ้าควรสืบเชื้อสายต่างหาก” ท่าน ราชามังกรกล่าวเช่นนั้น น้ำ�เสียงดูเร่งร้อนไม่น้อย แปลกใจมาก ไม่ใช่แค่ตัววินเซนเต้เท่านั้น แม้แต่ว่าที่อัศวินพิทักษ์บัลลังก์ของวินเซนเต้ยังสุดที่ แปลกใจเลยไปเป็นตื่นตะลึงมากกว่า ‘นายเหนือหัวของพวกเขามีเบื้องลึกเกี่ยวกับชาติกำ�เนิดด้วยรึนี่?’ ทุกคนแทบจะคิดตรงกันหมด “วินเซนเต้... ข้าขอประกาศ... เจ้า...คือผู้ครอง...บัลลังก์แห่ง...แผ่นดินทั้งมวล ให้เป็น...ราชันย์ ของ ทั้งสอง...ดินแดน ราชันย์...แห่งภูติ และ...มนุษย์” “ข้า....” “มันเป็น... ของตระ...กูล เจ้า มาตั้ง...แต่...ต้น” ราขามังกรแห่งแสงหลับตาลง ก่อนจะดึงพลังแห่งชีวิตภายในห้องโถงทั้งมวลมาใช้ยืดเวลาออกอีก นิด จนดาบแห่งภูติภายในห้องถูกดึงพลังจนกลายเป็นดาบธรรมดา แต่ผลตอบแทนนั้นก็ยังสั้นเพียงชั่วครู่ เท่านั้น “เราชนเผ่ามังกร... แห่งแสง เป็นผู้ช่วงชิงโลกเบื้องล่างนี้ นิทานนั่น เป็นเรื่องจริง เรื่องของ เจ้าและตระกูล ดูเหมือนว่า... จะยังฟังมาได้ไม่ครบสินะ...” ราชามังกรแห่งแสงเผยยิ้มให้อย่างเอ็นดูก่อนจะกล่าวต่อไปว่า “ลีเล็ตต้า... ไปช่วยนางเสีย...เถอะ บัดนี้นางคือเทพ...สูงสุดเพียงตนเดียว ที่ครอบครองแดน สวรรค์นั่น... นางจะตอบคำ�ถามทั้งหมด... และติดตามเจ้า... ลูกหลานของอิริอาย...” กล่าวจบ ร่างของราชามังกรก็ค่อยๆกลายเป็นละอองวิญญาณ เสียงสุดท้ายของราขามังกรดังขึ้น มาในหัวของวินเซนเต้ รวมทั้งตฃคำ�ขอสุดท้ายที่เขาอยากให้วินเซนต์ทำ� ราชามังกรแห่งแสงผู้มีชีวิตยืนยาวมานานนับ 2 พันปีได้จากไปแล้วตลอดกาล วินเซนเต้หันหลังกลับมาหาพรรคพวกของใหม่ของเขา เหล่าอัศวินพิทักษ์บัลลังก์ที่กำ�ลังเฝ้ามอง เจ้าชีวิตคนใหม่ วินเซนเต้หลับตาลงเพียงครู่เดียวแล้วจึงยกมือขวาขึ้นทาบอก “หัวใจมังกร” ดาบเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา ปลายดาบชี้ขึ้นฟ้าพร้อมเสียงคำ�รามของมังกรเปล่งออกมา จากดาบ! วินเซนเต้เอื้อมมือไปจับดับด้ามไว้แน่น เขารู้สึกถึงหัวใจที่เต้นระรัวมาจากดาบแห่งราชันย์เล่มนี้ ดาบแห่งราชามังกรที่มีชีวิต... “จงฟังนับแต่นี้พวกเจ้ามีเจ้าชีวิตเพียงผู้เดียวเท่านั้น นั่นคือเรา วินเซนเต้ ทัลทาออส นับจากนี้ จงไปปราบปรามเหล่ากบฏสวรรค์ทั้งหมด ช่วยเหลือเทวทูตสวรรค์ลิเล็ตต้า และรวบรวมแผ่นดินทั้งหมด ให้เป็นหนึ่งเดียว จงมอบมันให้แก่ข้า... ราชาแห่งราชันย์”