การเข้ ามาของคริสตศาสนาในสยาม 1.
ร่ องรอยแรกเริ่ม
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
การศึกษาที่ผา่ นมาไม่นานนี้โดยนักประวัติศาสตร์ J.C. England: The Earliest Christian Communities in South East and North East Asia: An Outline of the Eividence Available in Seven Countries before 1500 A.D., in East Asian Pastoral Review, Vol. XXV, 2 (1988) 145 ได้ให้ขอ้ มูลที่มาจากผลงานการศึกษาของนักประวัติศาสตร์ ชาวซี เรี ย (Syria) และอาหรับ (Arab) ซึ่ งศึกษาถึงเส้นทางการค้าที่เชื่อมโยงระหว่างเอเชียตะวันตกและเอเชีย ตะวันออก ไม่วา่ จะเป็ นทางบกหรื อทางทะเล "พระชาวอียปิ ต์ รูปหนึ่งชื่ อ Cosmas Indiclopluestes ได้ ให้ เรื่องราวทีพ่ บเห็นด้ วยตนเองเกีย่ วกับกลุ่มคริ สต ชนในเอเชียอาคเนย์ จากรายงานต่ างๆ ทีท่ ่ านได้ พบในระหว่ างปี ค.ศ. 520-525 A.D. โดยรวมถึงอินเดีย, ศรีลังกา, พม่ าทางใต้ , โคจินจีน, สยาม และตังเกีย๋ " หลักฐานชิ้นนี้ให้ภาพรวมๆ ว่ามีกลุ่มคริ สตชนอยูต่ ามภูมิภาคต่างๆ เหล่านี้แล้ว แต่ก็ยงั ไม่ทราบว่าเป็ นพวก ใด และมาได้อย่างไร อีกทั้งยังไม่ทราบว่าจะมีจริ งหรื อไม่ เพราะเรายังไม่ได้พบเห็นหลักฐานเหล่านี้ดว้ ยตนเอง นักศึกษาประวัติศาสตร์ อีกผูห้ นึ่งชื่อ B.C. Colles, The Trades of the Pearl: The Mercantile and Missionary Activities of Persian and Armenian Christian in South East Asia, in Abr. Nahrain, XIII (1973) 118 ff., 125-129 ได้ กล่าวว่า "ลูโดวิโก ดี วารทิ มา (LudovicodiVarthima), ชาวโบโลญ เดินทางเข้ ามาในเอเชี ยอาคเนย์ ในปี ค.ศ. 1503 หรื อ 1504 บอกว่ าได้ พบกับพ่ อค้ าชาวเนสตอเรี ยนที่ มาจากอยุธยาในเบงกอล เราทราบจากแหล่ งข้ อมูลอื่ นๆ อีกว่ ามี ชาวเอเชี ยตะวันตกในตะนาวศรี (Tenasserim) ตั้งแต่ ต้นๆ ศตวรรษที่ 4, ในจัมปาและในตังเกี๋ยในศตวรรษที่ 11 และ ในสยามในศตวรรษที่ 14 และ 15 จากหลักฐานชี ้ว่ามีพวกคริ สตชนอยู่ท่ามกลางพวกเขาด้ วย เพื่อนๆ คริ สตชนของ Varthima จาก "Sarnau" ถูกระบุว่ามาจากลพบุรี หรื อไม่ ก็ "Shangshiu" ทางเหนือของอยุธยา" เรื่ องที่วา่ Varthima เป็ นใครและเขียนหนังสื ออะไรไว้น้ นั มีอธิบายไว้อย่างละเอียดในหนังสื อ The Siam Society, Vol. VIII เขียนโดย Ulrich Guehler ตั้งแต่หน้า 239-276 เป็ นภาษาอังกฤษ มีคาํ ที่น่าสังเกตอยูค่ าํ หนึ่งคือคํา ว่า Sornau นั้นหมายถึงสยามอย่างแน่นอนเพราะมีแหล่งข้อมูลที่ช้ ีให้เห็นว่า Sornau ใช้เป็ นชื่อเรี ยกสยามใน สมัยก่อน รายละเอียดเรื่ องนี้มีอธิ บายอยูใ่ น The Siam Society Vol.VIII เช่นเดียวกัน เขียนโดย Dr. Joachim de Campos, Early Portugese Accounts of Thailand ตั้งแต่หน้า 211-237 ซึ่ งอธิ บายไว้อย่างน่าสนใจมากทีเดียว และยัง กล่าวไว้ในตอนท้ายด้วยว่า ยังมีแหล่งข้อมูลของโปรตุเกสมากมายซึ่ งยังไม่มีใครไปศึกษาเลย เปิ ดโอกาสและ รอให้ นักศึกษาทั้งหลายไปศึกษาค้นคว้าอยูจ่ นกระทัง่ บัดนี้
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 2
2.
Ba ngk o
k
เป็ นอันว่าจากข้อมูลเบื้องต้นเหล่านี้เราอาจสรุ ปได้วา่ มีความเป็ นไปได้ที่พวกเนสตอเรี ยนนิสต์ (Nestorianism) จะเข้ามาในดินแดนส่ วนที่เป็ นสยามแล้วตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 หรื อไม่ก็ราวๆ ศตวรรษที่ 13 และ 14 แต่ จะเข้ามาในรู ปแบบใด และมีการพัฒนามากน้อยเพียงใดนั้น เรายังไม่อาจทราบได้จนกว่าจะมีการศึกษาอย่างจริ งจัง การศึกษาเรื่ องนี้ก็ไม่ง่าย เพราะแหล่งข้อมูลที่จะชี้ให้เห็นถึงเรื่ องเหล่านี้คงหายากมากจริ งๆ และคําถามที่น่าถามก็คือ ว่ามีความสําคัญเพียงใดที่จะศึกษาถึงเรื่ องนี้อีกด้วย เพราะเมื่อมีบรรดามิชชันนารี เข้ามาในระยะแรกๆ ก็ไม่ปรากฏ ร่ องรอยของพวก Nestorians หรื อ ศาสนาคริ สต์หลงเหลืออยูเ่ ลย
การเข้ ามาของพวกโปรตุเกส กับศาสนาคริสต์
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
นักประวัติศาสตร์ ไทยและต่างประเทศต่างก็ยอมรับว่า ชาติโปรตุเกสนั้นเป็ นชาติตะวันตกชาติแรกที่เข้ามา ในประเทศไทย จากหนังสื อที่วาสโก ดา โกมา (Vascoda Gama) เขียนไว้เกี่ยวกับการเดินทางของท่านในปี ค.ศ. 1497-1498 โดยมี อัลวาโร เวลโฮ (Alvaro Velho) เป็ นเพื่อนร่ วมเดินทางมาด้วย และเป็ นผูบ้ นั ทึกเรื่ องราวที่ชื่อว่า "Roteiro da Viagem de Vasco da Gama" ได้ให้ขอ้ มูลเกี่ยวกับการเดินทางมาที่ประเทศสยามซึ่ งถูกเรี ยกว่า "Xarnaus" ในสมัยของพระรามาธิ บดีที่ II ซึ่ งครองราชย์อยูร่ ะหว่างปี ค.ศ. 1491-1529 นอกจากนี้ มานูแอล เตอิ เซอิรา (Manuel Teixeira) นักประวัติศาสตร์ ที่มีชื่อเสี ยงมากท่านหนึ่ง ได้รวบรวมเรื่ องราวและเอกสารเกี่ยวกับ พวกโปรตุเกสในประเทศสยามตั้งแต่แรกเริ่ ม โดยใช้ชื่อหนังสื อเป็ นภาษาโปรตุเกสว่า "Portugal na Thailandia" พิมพ์ในปี ค.ศ. 1983 ก็ได้เน้นว่าพวกโปรตุเกสได้เริ่ มติดต่อกับสยามตั้งแต่สมัยพระรามาธิ บดีที่ II นี้เช่นเดียวกัน จุ ดเริ่ มต้นของการติดต่อระหว่างพวกโปรตุเกสกับชาวสยาม เริ่ มต้นอย่างจริ งจังก็ต้ งั แต่ อัลฟอนโซ ดัลบูเคอร์ ก (Afonso d'Albuquerque) เข้ายึดครองเกาะมะละกาในปี ค.ศ. 1511 เรื่ องราวนี้ เราสามารถค้นหาอ่านได้ จากหนังสื อประวัติศาสตร์ ทวั่ ๆ ไป และต่างก็ยืนยันเหมือนกันถึงเรื่ องการส่ งทูตติดต่อและมีการทําการค้าระหว่าง กัน มีบทความภาษาอังกฤษอีกบทความหนึ่ งที่น่าจะกล่าวถึงคือ A Short Survey of Luso Siamese Relations From 1511 to Modern Times เขียนโดย Antonio da Silva Rego ซึ่ งเป็ นนักประวัติศาสตร์ ที่มีชื่อเสี ยงมากได้รวบรวม เอกสารและเขียนหนังสื อไว้มากมาย บทความนี้ อยู่ในหนังสื อที่ชื่อว่า "470 ปี แห่ งมิตรสั มพันธ์ ระหว่ างไทยและ โปรตุเกส" (Thailand and Portugal 470 years of Friendship) พิมพ์ที่ Lisbon ปี ค.ศ. 1982 ได้ให้เรื่ องราวอย่าง ละเอี ย ดเกี่ ย วกับ พวกโปรตุ เกสในไทย แต่ หากนํา มาเปรี ยบเที ย บกับ รายละเอี ยดที่ Teixeira เขี ยนไว้จะเห็ นว่า Teixeira ได้ให้รายละเอียดไว้มากกว่า เสี ยดายที่เป็ นภาษาโปรตุเกสเท่านั้น นอกจากบทความของ Silva Rego แล้ว ยังมีอีกบทความหนึ่งเขียนโดย Alberto Iria ใช้ชื่อบทความว่า "A Selection of Sixteenth Century Portugese Texts on Siam" ได้แปลเอกสารเก่าแก่ต่างๆ ที่เกี่ยวกับสยามเป็ นภาษาอังกฤษ เป็ นเอกสารที่มีขอ้ มูลที่น่าสนใจ และสามารถ ยืนยันถึงเรื่ องราวการยึดครองมะละกาของอัลบูเคอร์ ก รวมทั้งการแลกเปลี่ยนทูตระหว่างสยามและโปรตุเกส ผูท้ ี่ สนใจก็สามารถหาอ่านได้
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 3
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
ในระหว่างที่แลกเปลี่ยนทางการทูตอยูน่ ้ ี ชาวโปรตุเกสเข้ามาอาศัยอยูใ่ นกรุ งศรี อยุธยากันบ้างแล้วเพื่อทํา การค้าขาย ประวัติศาสตร์ ไทยยังได้กล่าวถึงบทบาทของทหารโปรตุเกสในการทําสงครามระหว่างสยามกับ อาณาจักรทางภาคเหนืออันได้แก่ เชียงใหม่ และเชียงกราน ไว้ดว้ ย มีความเป็ นไปได้วา่ ในขณะที่มีการแลกเปลี่ยน ทางการทูตนั้น อาจจะมีบาทหลวงบางองค์ซ่ ึ งทําหน้าที่เป็ นวิญญาณรักษ์ประจําเรื อของโปรตุเกส เข้ามาในสยามเพื่อ อภิบาลชาวโปรตุเกสที่อยูใ่ นสยามในเวลานั้น แต่ก็ไม่ปรากฏหลักฐานใดๆ เลยที่กล่าวถึงเรื่ องนี้แม้แต่หลักฐานของ ชาวโปรตุเกสเองก็ตาม หลักฐานที่น่าสนใจชิ้นหนึ่งของชาวโปรตุเกส ซึ่ งนักประวัติศาสตร์ ชาวโปรตุเกสชื่อ มานูแอล เดอ ฟาเรี ย เอ ซูซา (Manuel de Faria e Sousa) เขียนไว้ในหนังสื อของเขา Asia Portugeusa, III, 1945, pp.126-127 เขาได้เอ่ยถึงชาวโปรตุเกสผูห้ นึ่งชื่ออันโตนิโอ เดอ ปายวา (Antonio de Paiva) ซึ่ งเดินทางเข้ามาในสยาม มีโอกาสได้เข้าเฝ้ าพระเจ้าแผ่นดินสยาม เป็ นผูค้ ุน้ เคยกับราชสํานัก และที่สุดมีโอกาสสนทนากับพระชัยราชาธิราช เกี่ยวกับเรื่ องศาสนา จนในที่สุด พระเจ้า แผ่ น ดิ น ได้ รั บ ศี ล ล้ า งบาป ได้ รั บ พระนามเป็ นภาษาโปรตุ เ กส ว่ า Dom Joao หรื อนั ก บุ ญ ยวงที่เรารู ้จกั กันดีนี่เอง เอกสารชิ้นนี้ตอ้ งมีอยูจ่ ริ งแน่นอน หนังสื อเล่มหนึ่งที่รวบรวม เอกสารสําคัญๆ ไว้ในระหว่างปี ค.ศ. 1540-1549 ชื่อ Documenta Indica, Vol.I รวบรวมอยูใ่ น Monumenta Historica Societatis Iesu และได้ รั บ การตี พิ ม พ์ ใ นปี ค.ศ. 1948 ได้ พู ด ถึงเรื่ องนี้ไว้อย่างชัดเจน ในหน้า 138 นักประวัติศาสตร์ หลายท่านก็ได้อา้ งถึงเรื่ องนี้ดว้ ยเช่น Jose Maria Recondo, s.j., San Francesco Javier: Vida y Obra, Madrid: Biblioteca de Autores Chistianos, 1988, p. 606 และใน Documenta Indica II หน้า 421 ก็ยงั พูดถึงอีกครั้งหนึ่ง ซึ่ง G. Schurhammer, s.j. ก็ได้อา้ งถึงในงานเขียนของเขาปี ค.ศ. 1932 ด้วย แสดง ว่ามีนกั ประวัติศาสตร์ หลายคนรวมทั้ง Teixeira และ Silva Rego ได้อา้ งถึงเอกสารที่แสดงให้เห็นถึงเรื่ องนี้ อาจารย์บุญยก ตามไท ได้เขียนเรื่ องนี้ ไว้ในวารสารศิลปวัฒนธรรม ปี ที่ 5 ฉบับที่ 9 หน้า 88 เกี่ ยวกับเรื่ อง การเข้ามาของชาวโปรตุเกสในประเทศสยามไว้อย่างน่ าสนใจ มีขอ้ ความตอนหนึ่ งกล่าวว่า "มีเกร็ ดประวัติศาสตร์ บันทึ กโดยฝรั่ งว่ า เมื่อ พ.ศ.2087 (1544) อันโตนิโอ เด ปายวา (Antonio de Paiva) ชาวโปรตุเกสได้ เดินทางเข้ ามากรุ ง ศรี อยุธยาในแผ่ นดิ นสมเด็จพระชั ย ราชาธิ ราช และมี โอกาสได้ เข้ า เฝ้ าและสนทนาเรื่ องราวเกี่ ย วกับ ศาสนากั บ พระองค์ จนเลื่ อมใส และพระองค์ ท รงประกอบพิ ธี Baptise (พิ ธี ล้ า งบาป) ได้ รับ พระราชทิ นนามเป็ นภาษา โปรตุเกสว่ า Dom Joao ซึ่ งนับเป็ นเหตุการณ์ พิเศษอย่ างยิ่ ง" แต่นอกจากอาจารย์บุญยก ตามไทแล้ว ก็ไม่ ปรากฏว่ามี นักประวัติศาสตร์ ไทยคนใดกล่าวถึงเรื่ องนี้ อีกเลย อาจารย์บุญยก ตามไท เองก็คงยังไม่ได้เห็น เอกสารจริ งๆ เพียงแต่ได้อ่านหนังสื อที่เขียนถึงเรื่ องนี้ไว้เท่านั้น เพราะท่านได้พดู เพียงว่า "เกร็ ดประวัติศาสตร์ บันทึ ก โดยฝรั่ ง" ผมเองได้อ่านเอกสารที่บนั ทึกไว้ใน Documenta Indica ทั้ง 2 เล่มแล้ว ก็รับรองได้วา่ มีบนั ทึกอยูจ่ ริ งตามนั้น แต่การรับศีลล้างบาปของพระมหากษัตริ ยไ์ ทยนั้นคงไม่ง่ายอย่างที่เอกสาร เล่าเอาไว้แน่ๆ จนต้องทําให้มานัง่ คิด กันเล็กน้อยว่า พระชัยราชาได้เรี ยนรู ้อะไรเรื่ องคริ สตศาสนาบ้าง และมีความเชื่อแบบใด การรับศีลล้างบาปของ พระองค์มีเหตุผลอะไรอยูเ่ บื้องหลังหรื อไม่ และ หากว่ามีจริ ง ศีลล้างบาปนั้นจะถือว่าใช้ได้หรื อไม่
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 4
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
อย่างไรก็ตาม แม้วา่ จะรับศีลล้างบาปจริ งๆ ก็ไม่มีผลอะไรต่อคริ สตศาสนาในสยามเลยแม้แต่นอ้ ย เพราะยัง ไม่มีหลักฐานอื่นบอกถึงความพิเศษที่คริ สตศาสนาได้รับเลย หากเราติดตามเรื่ องนี้ให้ดี หนังสื อประวัติศาสตร์ไทย บางฉบับได้วงเล็บการสิ้ นพระชนม์ของพระชัยราชาว่า ถูกลอบวางยาพิษสิ้ นพระชนม์ หากเราจะมาอธิ บายกัน เล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่ องนี้ ก็คงสามารถแยกแยะออกมาได้ 2 สาเหตุ หากการวางยาพิษนี้เกิดขึ้นจริ ง ก็อาจจะมีเหตุผล ทางด้านการเมือง การแย่งชิงอํานาจ หรื ออาจมาจากการที่ราชสํานักไทยไม่พอใจที่พระเจ้าแผ่นดินเปลี่ยนศาสนา เรื่ องนี้ก็คงต้องจบลงเพี ย งเท่ า นี้ เพราะเหตุ ว่ า เราไม่ ส ามารถศึ ก ษาถึ ง สาเหตุ ที่ แ ท้ จ ริ งได้ และผลที่ เกิ ด ขึ้ น ก็ ไ ม่ อ าจเปลี่ยนแปลงไปจากนี้แล้ว เราเพียงแต่รับทราบถึงความเป็ นไปได้ของเหตุการณ์เท่านั้น สิ่ งหนึ่งที่เราสามารถเข้าใจได้ก็คือ คริ สตศาสนาได้เข้ามาในอยุธยาแล้วอย่างแน่นอนเพราะตามประวัติของ Antonio de Paiva ใน Documenta Indica ก็บอกว่าเขาชอบที่จะสอนคริ สตศาสนาในดินแดนที่เขาเข้าไป นอกจาก แผ่นดินสยามแล้ว เขายังเคยสอนคริ สตศาสนาให้กบั กษัตริ ยแ์ ห่ง Supa (Macacar) ด้วย เข้าใจว่าคงเป็ น Madacascar ในปั จจุบนั นี้ นอกจากนี้ก็ยงั มีชาวโปรตุเกสที่อาศัยอยูใ่ นสยามเวลานั้นจํานวนหนึ่งด้วย การติดต่อทางการทูตและ การค้าขายคงต้องไม่ลืมเรื่ องศาสนาและพิธีกรรมต่างๆ การสอนคําสอนแก่ลูกหลานก็ตอ้ งมีผปู้ ฏิบตั ิดว้ ย แต่หากจะ พูดถึงหลักฐานก็คงต้องเริ่ มกันที่ Antonio de Paiva ที่ได้กล่าวถึงเรื่ องนี้ไว้ เหตุการณ์ที่น่าสนใจอีกเหตุการณ์หนึ่ง ซึ่ง น่าจะถือว่ามีความสําคัญทั้งต่อประวัติศาสตร์ พระศาสนจักรในสยาม และต่อประวัติศาสตร์ ไทยด้วยก็คือนักบุญผู้ ยิง่ ใหญ่องค์หนึ่งคือ นักบุญฟรังซิ ส เซเวียร์ นักแพร่ ธรรมผูย้ งิ่ ใหญ่แสดงความตั้งใจที่จะเข้ามาในสยาม ทั้งนี้เพื่อ เดินทางต่อไปยังประเทศจีนอันเป็ นความปรารถนาสู งสุ ดของท่าน ฟรังซิส เซเวียร์ เป็ นพระสงฆ์ชาวสเปน และเป็ นเพื่อนรุ่ นแรกของนักบุญผูย้ งิ่ ใหญ่อีกองค์หนึ่งคือ นักบุญ อิกญาซี โอ ผูก้ ่อตั้งคณะเยสุ อิต เมื่อก่อตั้งคณะแล้วท่านได้ส่งฟรังซิ สไปที่ลิสบอน (Lisbon) เมืองหลวงของโปรตุเกส เพื่อเดินทางต่อไปยังดินแดนแพร่ ธรรมที่อยูห่ ่างไกล ฟรังซิ สมาถึงลิสบอนในปี ค.ศ. 1541 เหตุผลที่ตอ้ งออกเดินทาง จากลิสบอนนั้นก็เป็ นเรื่ องของสิ ทธิ พิเศษที่ประเทศโปรตุเกสได้รับจากพระสันตะปาปา ซึ่ งผมจะอธิ บายให้เข้าใจ ต่อไปข้างหน้า ฟรังซิ สเดินทางไปจนถึงเมืองกัว (Goa) ประเทศอินเดียในปี ค.ศ. 1542 ต่อมาก็เดินทางไปที่มะละกา และเกาะโมลูลสั ที่มะละกานี้เองท่านพบกับชาวญี่ปุ่นซึ่ งทําให้ท่านมีแรงบันดาลใจที่จะไปญี่ปุ่นในที่สุดท่านก็ เดินทางมาถึงเมืองคาโกชิมาเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 1549 การแพร่ ธรรมของท่านที่ญี่ปุ่นนี้บงั เกิดผลดีมาก ท่าน ได้พบกับคนญี่ปุ่นที่มีวฒั นธรรมสู ง ต่อมาท่านทราบว่าวัฒนธรรมญี่ปุ่นนั้นมีความคล้ายคลึงกับจีน ท่านจึงมีความ ปรารถนาที่จะเดินทางไปแพร่ ธรรมยังประเทศจีน บันทึกฉบับหนึ่งที่เขียนโดยมิชชันนารี ชาวฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 19 เราไม่ทราบว่าเป็ นใคร เพราะไม่ได้ลง ชื่อและวันเวลา แต่บนั ทึกนั้นเป็ นภาษาฝรั่งเศสเกี่ยวกับประวัติการแพร่ ธรรมในประเทศไทย ได้เริ่ มต้นบันทึกด้วย การกล่าวว่า "ฟรั งซิ ส เซเวี ยร์ อาจจะถูกพิ จารณาเป็ นเหมือนกับธรรมทูต (Apostle) องค์ แรกแห่ งสยาม ท่ านนักบุญโดย แท้ จริ งแล้ วได้ ประกาศพระวรสารในมะละกา ซึ่ งขึน้ อยู่กับสยามในสมัยนั้น และหากท่ านไม่ สิ้นชี วิตเสี ยก่ อน ท่ านก็ จะเป็ นผู้นาํ เอาแสงสว่ างแห่ งความจริ งเข้ ามาสู่ ใจกลางของอาณาจักรแน่ นอน เพราะท่ านได้ แสดงเจตนารมณ์ นี้ใน จดหมายหลายฉบับของท่ าน"
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 5
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
บันทึกนี้ยงั คงถูกเก็บรักษาไว้ในห้องเอกสารของอัครสังฆมณฑลกรุ งเทพฯ นอกจากนี้ในประวัติของคณะเย สุ อิตในประเทศไทยเอง ซึ่ งได้ส่งไปเก็บไว้ที่หอจดหมายเหตุของคณะที่กรุ งโรมด้วย ก็ได้บนั ทึกถึงเหตุการณ์น้ ี เอาไว้ เพราะเหตุวา่ ท่านนักบุญฟรังซิ ส เซเวียร์ เป็ นสมาชิกของคณะนี้ดว้ ย ความปรารถนาของท่านที่จะเดินทางเข้ามาในสยามนั้นมีเหตุผล เพราะท่านต้องการเดินทางจากสยามไป ประเทศจีนโดยอาศัยการติดต่อการค้าระหว่างสยามกับจีนในเวลานั้น เพราะหนทางอื่นที่จะเข้าประเทศจีนนั้นมี อุปสรรค ความปรารถนานี้แสดงออกในจดหมายทั้ง 4 ฉบับของท่าน จดหมายฉบับแรกเขียนเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม ค.ศ. 1552 เขียนที่เมือง Sancian ถึงเพื่อน ชื่อ ดีเอโกเปเรอีรา (Diego Pereira) ซึ่ งอยูท่ ี่มะละกาว่า "หากปี นี้ยงั ไม่ สามารถเข้ าประเทศจีนได้ ข้ าพเจ้ าจะไปทีส่ ยามพร้ อมกับดีเอโก วาซ เดอ อารากอน (Diego vaz de Aragon) โดยจะขอไปร่ วมกับทูตสยามทีจ่ ะไปพบกษัตริย์แห่ งประเทศจีน..." อีก 1 เดือนต่อมาท่านเขียนถึงฟรังซิ สโก เปเรซ (Francisco Perez) ที่มะละกา เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ค.ศ. 1522 โดยเขียนจากซานเซี ยน (Sancian) เช่นเดียวกัน "..ข้ า พเจ้ าจะไปที่ ส ยามเพื่ อ ขอร่ วมเดิ น ทางไปกั บ เรื อ ที่ พ ระมหากษั ต ริ ย์ ส ยามจะส่ งไปที่ Canton" และวันเดียวกันนั้น ก็เขียนจดหมายอีกฉบับหนึ่งถึงดีเอโก เปเรอีรา บอกถึงความตั้งใจ อันเดียวกัน จดหมายฉบับสุ ดท้ายเขียนวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1552 เขียนถึงบุคคล 2 คน คือ ฟรังซิสโก เปเรซ ที่มะละกา และกาสปาร์ บารเซโอ (GasparBarzeo) ที่เมืองกัว เขียนจากเมือง ซานเซียนเช่นกัน โดยกล่าวว่าจะหาทางทุก อย่างที่จะเดินทางไปประเทศจีนให้ได้ในปี หน้านี้ จดหมายทั้ง 4 ฉบับนี้ เราสามารถหาอ่านได้จากหนังสื อของ P.F. Zubillaga, s.j., Cartas y Escritos de San Francisco Javier, Madrid; Biblioteca Autores Cristianos, 1953 ผูร้ วบรวมได้รวบรวมเอาจดหมายต่างๆ และงาน เขียนของท่านนักบุญมาตีพิมพ์เสี ยใหม่ ดังนั้นจะตรงกับต้นฉบับ เพียงแต่วา่ เมื่อตรงกับต้นฉบับก็จะต้องเป็ นภาษา สเปนเท่านั้น ซึ่ งจะทําให้คนไทยอย่างเราเข้าใจยากสักหน่อย อย่างไรก็ตาม นักบุญฟรังซิ ส เซเวียร์ ก็ไม่สามารถไปได้ท้ งั จีนและสยามด้วย เพราะว่าท่านสิ้ นชีวติ ลง เสี ยก่อนเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม ค.ศ. 1552 ที่เมืองซานเซียนนัน่ เอง และในวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 1553 ศพที่ไม่เน่าเปื่ อย ของท่านที่ถูกส่ งมาถึงมะละกาวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 1553 ก็ถูกส่ งไปที่เมืองกัวในอินเดีย และวางไว้ในมหาวิหาร Bom Jesus บางส่ วนของร่ างกายของท่านนี้ได้ถูกนําไปเป็ นพระธาตุตามวิหารต่างๆ ในยุโรปด้วย แม้วา่ ท่านจะมิได้เดินทางมาสยามอย่างที่ต้งั ใจ เพียงแต่เอ่ยชื่อสยามในจดหมายของท่านนั้นก็นบั ว่าเป็ น เกียรติต่อพระศาสนจักรของเราแล้ว เพราะอย่างน้อยที่สุดในใจของท่านก็มีเราชาวสยามอยูบ่ า้ ง นอกจากนี้ท่านยังได้ ช่วยคลี่คลายข้อข้องใจส่ วนหนึ่งเกี่ยวกับชื่อประเทศ "สยาม" ของเรา อันที่จริ งคําว่า "สยาม" นั้น เราต่างก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า เราคนไทยใช้เรี ยกชื่อประเทศหรื อชาว ต่างประเทศใช้เรี ยกชื่อประเทศของเรา เพราะไม่สามารถบอกได้วา่ เริ่ มใช้ชื่อนี้กนั มาตั้งแต่เมื่อไร มองซิ เออร์ ซิมอน เดอ ลา ลูแบร์ (Monsieur Simon de la Loubère) ซึ่ งเป็ นผูแ้ ทนพิเศษของพระมหากษัตริ ยฝ์ รั่งเศส เดินทางมาเข้าเฝ้ า พระมหากษัตริ ยไ์ ทยในปี ค.ศ. 1687 และ 1688 ได้กล่าวไว้ในหนังสื อที่ท่านเขียนเกี่ยวกับประเทศสยาม และได้รับ การแปลเป็ นภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1693 ได้กล่าวไว้ในหน้าที่ 6 และ 7 ว่า
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 6
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
"ชื่ อ สยาม นั้นไม่ เป็ นทีร่ ้ ูจักของชาวสยาม มันเป็ นคําๆ หนึ่งในหลายๆ คํา ทีช่ าวโปรตุเกสในหมู่เกาะอินเดีย ใช้ และเป็ นคําทีย่ ากมากทีจ่ ะค้ นพบทีม่ าของคําๆ นี้ ชาวสยามมักเรียกตัวเองว่ า ไทย หรือหากจะแปลก็แปลว่ า เสรี ตามความหมายในภาษาของพวกเขา" แม้วา่ เดอ ลา ลูแบร์ จะอยูใ่ นเมืองไทยเป็ นระยะเวลาเพียง 1 ปี แต่หากเราได้อ่านหนังสื อของเขาแล้ว เราจะ พบว่าเขาเป็ นผูส้ นใจการเขียนมาก ชอบศึกษาและจดจํา ข้อมูลต่างๆ ที่เราได้รับจากหนังสื อของเขานับว่ามี ประโยชน์อย่างยิง่ สําหรับเราคริ สตชน เขาได้พดู ถึงความคิดเห็นเกี่ยวกับการแพร่ ธรรมเอาไว้อย่างน่าฟังมาก น่าจะ หาโอกาสแปลออกมาให้อ่านกัน รวมทั้งได้เขียนบทข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย บทวันทามารี อา ที่ใช้กนั ใน สมัยพระนารายณ์น้ นั ด้วย ปั จจุบนั หนังสื อของเขาถูกตีพิมพ์ข้ ึนมาอีกหลายครั้ง แม้แต่ที่ร้านหนังสื อดีๆ อย่างเช่น ดวงกมลก็มีจาํ หน่ายด้วย เป็ นอันว่าในปี ค.ศ. 1687 นั้นเราก็ยงั ไม่ทราบที่มาของคําว่า "สยาม" หนังสื ออีกเล่มหนึ่ง ที่เขียนโดย H.E. Smith ที่ชื่อว่า "Historical and Cultural Dictionary of Thailand" พิมพ์ในปี ค.ศ. 1976 ได้ให้ขอ้ มูลอีกตอน หนึ่งเกี่ยวกับเรื่ องนี้ที่น่าสนใจมากโดยกล่าวว่า "คําว่ าสยาม ถูกใช้ ครั้ งแรกโดย เซอร์ เจมส์ แลงคาสเตอร์ (Sir James Lancaster) ในปี ค.ศ. 1592 ในศตวรรษที่ 17 คําว่ าสยามนี้จึงถูกใช้ โดยทัว่ ไปในฐานะทีเ่ ป็ นชื่อประเทศ จาก บรรดาชาวยุโรป" ผูส้ นใจก็ขอให้ไปเปิ ดหนังสื อเล่มนี้ดูที่หน้า 164 นักประวัติศาสตร์ ของไทยคนหนึ่งคือ อาจารย์ รอง ศยามนันท์ อาจารย์ประวัติศาสตร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ได้สรุ ปผลเรื่ องนี้ในหนังสื อของท่านที่ชื่อว่า "A History of Thailand" พิมพ์ในปี ค.ศ. 1981 ในหน้า 4 ท่าน กล่าวว่า "คําว่ า สยาม ถูกใช้ โดยเซอร์ เจมส์ แลงคาสเตอร์ ในการเดินทางสู่ ตะวันออกไกลครั้ งแรกในปี ค.ศ. 1592 และในศตวรรษที่ 17 คําว่ าสยามก็กลายเป็ นชื่ อที่ได้ รับการยอมรั บโดยทั่วไปของประเทศในท่ ามกลางชาวยุโรป หนังสือของเดอ ลา ลูแบร์ เอง ที่เขียนเกี่ยวกับสยาม เป็ นพยานยืนยันในเรื่ องนี้ได้ หนังสื อของท่ านที่เขียนเป็ นภาษา ฝรั่ งเศสถูกตีพมิ พ์ ในปี ค.ศ. 1691 และเป็ นภาษาอังกฤษก็ออกทีล่ อนดอนในปี ค.ศ. 1693" สมิธ (Smith) อาจจะพบหลักฐานของเซอร์ เจมส์ แลงคาสเตอร์ ที่ใช้คาํ ว่าสยามในปี ค.ศ. 1592 ก็เป็ นได้ และนับว่าเป็ นหลักฐานที่เก่าแก่มากที่ใช้คาํ ว่าสยาม ในขณะที่นกั ประวัติศาสตร์ ไทยเองก็ยงั ไม่มีหลักฐานการใช้คาํ นี้ ที่เก่าและก่อนหน้าปี ค.ศ. 1592 หรื อหากมี ก็ขอให้กรุ ณาแนะนํามาด้วยเพื่อจะได้ศึกษาร่ วมกันต่อไป เวลาที่เราจะมาติดตามดูเอกสารของทางฝ่ ายคริ สตศาสนาดูบา้ ง เพราะอาจเป็ นแนวทางให้เห็นว่าการใช้คาํ ว่า "สยาม" นั้นคงมีมาก่อนหน้าปี ค.ศ. 1592 แล้วอย่างแน่นอน ก็จาํ เป็ นที่จะต้องอ้างไปถึงเอกสารที่คน้ พบในหนังสื อ Documenta Indica เล่ม I และ II ที่กล่าวถึงไปแล้วเกี่ยวกับเรื่ องของ อันโตนิโอ เดอ ปายวา ในเอกสารนั้นก็ได้ใช้คาํ ว่า "สยาม" อยูแ่ ล้ว นัน่ หมายความว่าได้ใช้กนั แล้วในปี ค.ศ. 1544 อีกไม่นานต่อมา นักบุญฟรังซิ ส เซเวียร์ ผูน้ ้ ีแหละ ที่เขียนในจดหมายทั้ง 4 ฉบับของท่านโดยใช้คาํ ว่า "สยาม" เช่นเดียวกัน เราจึงเข้าใจได้อย่างแน่นอนว่าต้องมีการใช้ คําว่า"สยาม" นี้มาแล้วตั้งแต่ปี ค.ศ. 1544 และในความเห็นส่ วนตัวของผมแล้วคงต้องมีการใช้กนั มาก่อนหน้านี้ แน่นอน ข้อสังเกตเกี่ยวกับเรื่ องนี้ก็คือ ชื่อสยามอาจไม่ได้เป็ นที่รู้จกั ของชาวสยาม แต่เป็ นคําที่ชาวต่างชาติเป็ นผูใ้ ช้ เรี ยกชื่อประเทศของเรา ก็คงต้องตั้งข้อสังเกตไว้วา่ คงเป็ นได้เหมือนกันที่คาํ ๆ นี้ถูกใช้กนั มาตั้งแต่พวกโปรตุเกส ฝรั่ง ชาติแรกที่มาติดต่อกับไทย เข้ามาถึงหมู่เกาะอินเดียในปี ค.ศ. 1511
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 7
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
ดังนั้นจดหมายทั้ง 4 ฉบับของนักบุญฟรังซิ ส เซเวียร์ ก็สามารถยืนยันเรื่ องชื่อของประเทศของเราได้ใน ระดับหนึ่ง นับว่าเป็ นเอกสารที่มีคุณค่าสําหรับประวัติศาสตร์ ไทยอยูไ่ ม่นอ้ ย หากมีการศึกษาเอกสารที่ยงั มีอยู่ มากมายในหอจดหมายเหตุของโปรตุเกสและสเปน รวมทั้งเอกสารของทางฝ่ ายพระศาสนจักรที่กรุ งโรม ที่ปารี ส และที่ประเทศไทย ให้มากกว่านี้ คงมีการค้นพบความจริ งขึ้นมาอีกหลายประการทีเดียว เมื่อเรากําลังพูดถึงคําว่า "สยาม" ก็จะถือโอกาสนี้อธิ บายอีกเล็กน้อยเกี่ยวกับคําๆ นี้ต่อไป จากการศึกษา ประวัติศาสตร์ ไทย ชาวไทยมิได้เรี ยกประเทศของตนว่า "สยาม" แต่เรี ยกว่า "เมืองไทย" ยิง่ กว่านั้นชาวไทยยังนิยม เรี ยกประเทศของตนตามชื่อเมืองหลวงเวลานั้นอีกด้วยยกตัวอย่างเช่น ในระหว่าง พ.ศ.1238-1378 เรี ยกว่าอาณาจักร สุ โขทัย, พ.ศ.1350-1767 เรี ยกว่า อาณาจักรอยุธยา ในสมัยกรุ งเทพฯ ตอนแรกๆ นั้น เรี ยกกันว่า เมืองไทย หรื อ กรุ งไทย ซึ่ งเราสามารถยืนยันได้จากสนธิ สัญญาเบอร์ นี (Burney) ในปี ค.ศ. 1826 ใช้คาํ ว่าเมืองไทย คําว่า สยาม กลายมาเป็ นชื่อทางการของประเทศในสมัยรัชกาลที่ 4 แห่งกรุ งรัตนโกสิ นทร์ นี่เอง นอกจากนั้น เมื่อครั้งทํา สนธิ สัญญากับอังกฤษเมื่อวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 1855 ก็ยงั คงใช้คาํ ว่า "เมืองไทย" อยู่ แต่เมื่อมีการแก้ไขสนธิสัญญา ที่เรี ยกกัน ว่า "สนธิ สัญญาเบาวริ่ ง" เมื่อวันที่ 5 เมษายน ค.ศ. 1856 ก็มีการใช้ คําว่า "สยาม" เป็ นครั้งแรก และใช้คาํ นี้เรื่ อยมาจนกระทัง่ ถึงวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 1939 หลังจากการปฏิวตั ิในปี ค.ศ. 1932 เปลี่ยนแปลงการปกครอง รัฐบาลใหม่ก็ค่อยๆ กลายเป็ นผูม้ ีจิตใจชาตินิยมมากขึ้นเรื่ อยๆ เมื่อสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ดํารงตําแหน่งนายกรัฐมนตรี ปลายปี ค.ศ. 1938 ก็เริ่ มต้นโครงการฟื้ นฟู ชาติข้ ึนใหม่ ชื่อประเทศก็เปลี่ยนจากสยามมาเป็ นประเทศไทย ภาษาอังกฤษใช้คาํ ว่า Thailand เรื่ องนี้ถูกประกาศ อย่างเป็ นทางการโดยกฤษฎีกาฉบับที่1 โดยมีเหตุผลว่า ชื่อใหม่น้ นั สอดคล้องกับต้นกําเนิดของชาวไทยและ สอดคล้องกับการปฏิบตั ิของประชาชน เรื่ องชื่อของประเทศนี้ยงั ไม่จบ แต่กลับเป็ นเรื่ องสําคัญมาก เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองเริ่ มต้นขึ้น อังกฤษ และฝรั่งเศสยังคงเรี ยกเราว่าสยาม เพราะนิยมคํานี้ หลังจากเพิร์ล ฮาเบอร์ ถูกโจมตีเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1941 กองทัพญี่ปุ่นก็เคลื่อนตัวผ่านประเทศของเรา ดังนั้นประเทศไทยจึงถูกบังคับให้ประกาศสงครามกับสหรัฐและ อังกฤษเมื่อวันที่ 25 มกราคม ค.ศ. 1942 โชคดีที่เป็ นเรื่ องทางการเมืองซึ่ งมีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ฝ่ ายสหรัฐและ พันธมิตรถือว่าการประกาศสงครามของคนไทยนั้นเป็ นโมฆะในเดือนสิ งหาคม ค.ศ. 1945 และเพื่อเป็ นการเอาใจ ฝ่ ายพันธมิตร รัฐบาลไทยในเวลานั้นจึงหันมาใช้คาํ ว่า "สยาม" อีกครั้งหนึ่งเมื่อปลายปี ค.ศ. 1945 นัน่ เอง หลังจาก การปฏิวตั ิเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ค.ศ. 1947 จอมพล ป.พิบูลสงคราม ขึ้นมาเป็ นนายกรัฐมนตรี อีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นจึง ประกาศเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม ค.ศ. 1949 ว่าชื่อทางการของประเทศคือ ประเทศไทย หากมีใครถามว่าชื่อนั้น สําคัญไฉน ก็ตอบได้วา่ สําคัญฉะนี้แล คําอธิ บายต่อไปนี้ ผมได้พยายามแปลให้ใกล้เคียงที่สุด จากบทความของดอกเตอร์ โจอากิม เดอ คัมโปส (Dr. Joaquim de Campos),Early Portuguese Accounts of Thailand ซึ่ งได้เคยกล่าวถึงมาแล้วข้างต้น ผูส้ นใจ ประวัติศาสตร์ หลายท่านเมื่ออ่านพบคําเหล่านี้จะได้มีความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับคําว่า Sornau หรื อ Siam นักประวัติศาสตร์ ในสมัยศตวรรษที่ 16 คือ Barros เขียนในปี ค.ศ. 1552 และ Castanheda,Historia do Descobrimento e Conquista da India, 1924 Edition เขียนชื่อประเทศโดยสะกดว่า "Siao", ส่ วน Correa สะกดโดย
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 8
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
ใช้คาํ ว่า Siam แต่ในสมัยศตวรรษที่ 15 และ 16 สยาม มีชื่อเรี ยกอีกชื่อหนึ่งว่า Sornau ถึงแม้จะเป็ นชื่อที่ไม่ใช้อย่าง กว้างขวางก็ตาม Abdur-Razzak ใช้ชื่อว่า "Shahr-i-nao" เพื่อหมายถึงชายฝั่งทะเลของอินเดียตะวันออกเมื่อต้นๆ ปี ค.ศ. 1442 แต่ก็ไม่แน่นกั ว่าจะหมายถึงประเทศสยาม Niccolo Conti เดินทางมาเยีย่ ม Mergui ประมาณปี ค.ศ. 1430 ได้ใช้ชื่อ Cernove ซึ่ งอาจจะหมายถึง Bengal หรื ออาจจะหมายถึงสยามก็ได้ ในศตวรรษที่ 16 เรามีการกล่าวอ้างอย่างแน่ชดั ว่า Sornau หรื อ Xarnauz นั้นหมายถึงประเทศสยาม ใน หนังสื อ Roteiro da Viagem de Vasco da Gama ปี ค.ศ. 1498, Ludovico di Varthima ในปี ค.ศ. 1501 และ Giovanni d'Empoli ในปี ค.ศ. 1514 ก็ได้ใช้คาํ ว่า Sornau แม้วา่ จะสะกดไม่เหมือนกัน แต่ก็หมายถึงสยามเหมือนกัน นอกจากนี้ผแู ้ ต่งหนังสื อประวัติศาสตร์ Malay "Sejarak Malaya" กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่าสยามแต่เดิมถูก เรี ยกว่า "Sher-i-nawi" Valentyn ซึ่ งเป็ นนักประวัติศาสตร์ ชาวดัชได้เล่าในปี ค.ศ. 1340 โดยประมาณ ถึงผูค้ รองนคร ผูม้ ีอาํ นาจมาก ปกครองในอาณาจักรสยามซึ่ งเวลานั้นถูกเรี ยกว่า "Sjaharnow หรื อ Sornau" ชื่อนี้มีกาํ เนิดมาอย่างไร? ไม่ตอ้ งสงสัยเลยว่าเป็ นพวก Arabs ที่ใช้กนั อย่างแพร่ หลายเพราะเหตุวา่ ทั้ง Vasco da Gama และ Varthima ต่างก็รู้ชื่อนี้จากการสอบถามชาว Arabs Henry Yule ในหนังสื อ Hobson-Jobson ได้รับชื่อนี้ มาจากเปอร์ เซี ย Shar-i-naw หรื อเมืองใหม่ New City นี้ถูกใช้เรี ยกอยุธยา อยุธยานั้นเป็ นเมืองเก่าแก่อยูแ่ ล้วเมื่อครั้งที่ ใช้ชื่อนี้ นอกจากนั้นยังเป็ นชื่อที่ใช้เรี ยกประเทศสยามทั้งประเทศ มากกว่าที่จะเรี ยกเมือง Braddel ได้พยายามอธิบาย ด้วยคําอธิ บายมากมายเกี่ยวกับความคิดเรื่ อง "New City" Bradde ได้ใช้การแยกแยะความแตกต่างระหว่างไทยใหญ่ และไทยน้อย ซึ่ ง De la Loub◌่re ได้ทาํ ไว้ Yule ได้ประสานกันเข้ากับคําว่าลพบุรี ซึ่ งเขาบอกว่าเป็ น ภาษาบาลีของคําว่า Novapuri หรื อ New City และคําว่า Shar-i-nao นัน่ เป็ นคําแปลภาษาเปอร์เซีย ส่ วน Colonel Gerini ซึ่ งไม่เคยเห็นด้วยกับใครเลย ก็ได้ให้คาํ อธิ บายที่ไม่เหมือนใคร โดยบอกว่าเป็ นคําที่มาจากคําว่า Sano หรื อ Nong Sano เมืองเก่าที่อยูต่ ิดกับอยุธยา เป็ นคําสยามซึ่ งหมายถึงต้นโสนนัน่ เอง Fernao Mendes Pinto ซึ่ งเคยเข้ามาในสยาม 2 ครั้ง ในกลางศตวรรษที่ 16 และเคยใช้ท้งั ชื่อสยามและ Sornau ชี้หนทางแก้ปัญหานี้ เขาได้ยกตัวอย่างการใช้คาํ ว่า จักรพรรดิแห่ง Sornau ซึ่ งเป็ นกษัตริ ยแ์ ห่งสยาม เขาได้ อ้างอิงในลักษณะเช่นนี้หลายครั้ง เช่นว่า Sornau King of Siam และพระเจ้า Saleu จักรพรรดิแห่ง Sornau ทั้งมวล แต่ ไม่เคยใช้คาํ ว่า จักรพรรดิแห่งสยามเลย ดังนั้นจึงปรากฏว่าคําว่า Sornau เป็ นคําที่กษัตริ ยแ์ ห่ งสยามใช้เพื่อบอกถึงความเป็ นจักรพรรดิของตนนั้น เป็ นคําเดียวกับคําว่า SuvarnaLand หรื อ Suvarnabhumi ดินแดนแห่ งทองคําซึ่ งตามภูมิศาสตร์ แล้วรวมถึงแผ่นดิน ส่ วนใหญ่ของแหลมอินโดจีน คําภาษาไทย "สุ วรรณ" ไม่มีการออกเสี ยงที่คล้ายกับ Sornau หรื อ Xarnauz ก็จริ ง แต่ก็มีความเป็ นไปได้ เพราะมีตวั อย่างภาษาไทยมากมายที่ถูกทําให้การออกเสี ยงเพี้ยนไปจากเดิมมาก เพราะถูกใช้ครั้งแรกโดย Arabs และ ก็โปรตุเกส และต่อมาโดยนักเขียนชาวยุโรปอื่นๆ เรารู ้จาก Annals of Lanchang ว่ากษัตริ ยแ์ ห่ งลานช้างถูกเรี ยกด้วย ว่าจักรพรรดิ แห่ งสุ วรรณภูมิ แต่ผูก้ ่อตั้ง กรุ งศรี อยุธ ยาได้แก่ เจ้าครองนครสุ พรรณหรื ออู่ทอง และผูส้ ื บต่อทุ ก พระองค์เรี ยกตนเองว่า จักรพรรดิแห่งสุ วรรณภูมิ ซึ่งก็ได้แก่คาํ ว่า Sornau นัน่ เอง
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 9
3.
มิชชันนารีคณะโดมินิกนั ในสยาม
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
จากหนังสื อประวัติศาสตร์ พระศาสนจักรในประเทศไทยจัดพิมพ์โดยสารสาสน์ในปี ค.ศ. 1965 รวมทั้ง หนังสื ออื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ต่างก็ลงความเห็นตรงกันว่า มิชชันนารี พวกแรกที่เข้ามาในสยามนั้นเป็ นพระสงฆ์คณะ โดมินิกนั โดยผูแ้ ต่งแต่ละท่านก็ให้สมมติฐานเอาไว้วา่ อาจเป็ นไปได้ที่จะมีพวกพระสงฆ์บางท่านเข้ามาพร้อมกับ เรื อทูต หรื อเรื อการค้าของโปรตุเกสก่อนหน้านั้น เสี ยดายที่ยงั ไม่มีการศึกษาอย่างจริ งจังเกี่ยวกับคณะโดมินิกนั ใน สยาม จึงทําให้เรารู ้เรื่ องต่างๆ เกี่ยวกับพวกท่านน้อยมาก อย่างไรก็ตาม เราก็ยงั โชคดีที่พระสงฆ์คณะรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ ผหู้ นึ่งคือ คุณพ่อ Rocco Leotilo ได้พยายาม ศึกษาเรื่ องนี้จากงานเขียนและเอกสารสําคัญซึ่ งท่านได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามิชชันนารี คณะโดมินิกนั นั้น ได้แก่ผใู ้ ด และเข้ามาในคริ สตศักราชเท่าใดแน่ รวมทั้งได้ให้ผอู ้ ่านได้เห็นถึงกิจการต่างๆ ที่บรรดามิชชันนารี เหล่านี้ ได้กระทําที่กรุ งศรี อยุธยา ผมจึงเห็นว่าควรนํามาลงในที่น้ ีท้งั หมด ที่จริ งคุณพ่อ Rocco เขียนเป็ นภาษาอังกฤษในแสง ธรรมปริ ทศั น์ ฉบับที่ 1 และ 2 ของปี ที่ 1 ซึ่ งผูท้ ี่สนใจจะหาอ่านนั้นคงไม่ยากมากนัก แต่เวลาเดียวกันท่านก็ได้ให้ผู้ แปลจัดแปลเป็ นภาษา ไทยไว้ดว้ ย บทแปลบทความทั้งหมดมีดงั นี้.
rch
มิชชันนารีคาทอลิกพวกแรกที่เข้ ามาในประเทศไทย C.S.S.
โดยคุณพ่ อ Rocco Leotilo,
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
บทนํา บทความที่จะเสนอต่อไปนี้ แบ่งเป็ น 2 ภาค เป็ นเรื่ องที่เกี่ยวกับงานของพระสงฆ์คณะโดมินิกนั หรื อ มีชื่อ เป็ นทางการว่า "คณะนักเทศ" ซึ่ งเป็ นมิชชันนารี รุ่นแรกที่ถูกส่ งมาเผยแพร่ พระ วรสารในประเทศไทย พวกเขาถูก ส่ งมาโดยผูใ้ หญ่ฝ่ายพระศาสนจักร เพื่อเผยแพร่ พระวรสารใน ราชอาณาจักรสยาม ปั จจุบนั คือประเทศไทย เรื่ องราวทั้งหมดนี้เป็ นข้อเท็จจริ งที่มีเอกสารประกอบเป็ นหลักฐาน ซึ่ งผูเ้ ขียนได้มาจากคุณพ่อเฟนนิง แห่งคณะ โดมินิกนั คุณพ่อเฟนนิงเป็ นอาจารย์ท่านหนึ่งที่สอนในมหาวิทยาลัยอันเยลีกุม ที่กรุ งโรม ประเทศอิตาลี นอกเหนือจากเป็ นอาจารย์สอนดังกล่าว ท่านยังเป็ นเจ้าหน้าที่ดูแลรักษาเอกสารเป็ นทางการของคณะโดมินิกนั อีก ด้วย ปกติท่านประจําอยูท่ ี่สาํ นักมหาธิ การที่ซนั ตา ซาบีนา ณ กรุ งโรม ข้อมูลนําสําหรับบทความนี้ได้มาจากเอกสาร ทางประวัติศาสตร์ ของคณะสงฆ์โดมินิกนั เปรดีกาตอรุ ม บทที่ 10 บันทึกทัว่ ไปเล่มที่ 5, กรุ งโรม 1901 หน้า 149153 เอกสารนี้เป็ นภาษาลาตินเล่มเล็กๆ ผูเ้ ขียนคือ คุณพ่อบี.เอม.ไรเคอร์ต แห่งคณะโดมินิกนั ข้าพเจ้าได้นาํ เอางาน ของคุณพ่อเบนโนเบียรมัน มาใช้ให้เป็ นประโยชน์ดว้ ย มีชื่อเรื่ องว่า "งานแพร่ ธรรมของคณะสงฆ์โดมินิกนั ชาว โปรตุเกสในภาคตะวันออกไกล" ซึ่งคุณพ่อ เฟนนิง ได้กรุ ณาถ่ายสําเนาให้ขา้ พเจ้า บทความนั้นเขียนเป็ น ภาษาเยอรมัน เพื่อนชาวอิตาเลียนของข้าพเจ้า 2 คน เป็ นผูเ้ ชี่ยวชาญในภาษาอิตาเลียนและเยอรมันทั้งคู่ ได้กรุ ณา แปลเอกสารนั้นเป็ นภาษาอิตาเลียนให้ขา้ พเจ้าใช้ ผูเ้ ขียนบทความนี้เมื่อเวลาเสนอเรื่ องท่านเจาะจงเสนอเพื่อความ บันเทิงของผูอ้ ่านก็จริ ง แต่ก็ได้พยายามยึดเอาความจริ งทางประวัติศาสตร์ ไว้เท่าที่สามารถทําได้
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 10
ภาค 1
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
นักประวัติศาสตร์ ที่เป็ นฆราวาสและนักบวชส่ วนใหญ่ เมื่อกล่าวถึงชื่อของมิชชันนารี 2 องค์แรกที่มา เมืองไทยนั้นถูกต้อง อย่างไรก็ตามในการกล่าวถึงวันเดือนปี ที่ท่านทั้งสองมาถึงเมืองไทย ก็ดี เหตุการณ์ ประวัติศาสตร์ ที่เกี่ยวกับชะตากรรมของท่านก็ดี ยังคลาดเคลื่อน ไม่ตรงกับข้อเท็จจริ ง เรื่ องราวที่ปรากฏในประเทศ ไทยของท่านทั้งสอง ดูคล้ายๆ กับเป็ นเรื่ องบังเอิญหรื อเป็ นไปตามโอกาสอันควรดูเหมือนยังคลุมเครื ออยูใ่ นความลับ ดํามืด ถึงกระนั้นก็ดีการเข้ามาสู่ เมืองไทยของท่านทั้งสองเป็ นส่ วนหนึ่งของความพยายามแพ่ธรรมในส่ วนที่ เกี่ยวกับคณะโดมินิกนั เท่านั้น นักประวัติศาสตร์ เมื่อพูดถึงมิชชันนารี รุ่นแรกนี้ บ้างก็มีหลักฐานเพียงเล็กน้อยไม่เป็ น ชิ้นเป็ นอัน หรื อความรู ้เรื่ องราวหรื อเหตุการณ์ที่เขาเอามาพูดมาเขียนนั้น เขาใช้ขอ้ มูลจากแหล่งที่สองรองลงมาซึ่ง เขามีอยู่ ผูอ้ ่านส่ วนใหญ่ยอ่ มทราบอยูว่ า่ มิชชันนารี รุ่ นแรกที่เข้ามาในประเทศไทยนั้น คือคุณพ่อเยโรนิโม ดาครู้ส และคุณพ่อเซบาสติอาว ดากันโต ทั้งสองท่านสังกัดอยูก่ บั คณะโดมินิกนั ชาวโปรตุเกสที่เมืองกัว ท่านทั้งสองถูก ส่ งมายังประเทศไทยโดยผูใ้ หญ่ทางศาสนาคือ คุณพ่อเฟอร์ ดินนั ดี ซันตา มารี อา ผูเ้ ป็ นเจ้าคณะแห่งมะละกาในสมัย นั้น เราสามารถยืนยันอย่างแน่นอนเกี่ยวกับเหตุการณ์น้ ี จากจดหมายที่ส่งไปยังท่านอธิ การใหญ่แห่งคณะ จดหมายฉบับนี้เป็ นจดหมายรายงานถึงภารกิจของท่านในฐานะเจ้าคณะมิสซัง นอกจากนั้นยังถือเป็ นส่ วนหนึ่งของ หลักฐานเอกสารเกี่ยวกับเหตุการณ์ของคณะโดมินิกนั ในการประชุมใหญ่เมื่อปี ค.ศ. 1571 จึงกลายเป็ นหลักฐาน เอกสารอันเป็ นทางการชิ้นหนึ่ง จดหมายฉบับนี้ได้เขียนเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม ค.ศ. 1569 จากหลักฐานอันสําคัญยิง่ ของจดหมายฉบับนี้แหละ ที่ทาํ ให้เราได้รู้ซ้ ึ งถึงกิจกรรมของคุณพ่อทั้งสอง เช่น กิจกรรมที่ท่านกระทํา ชะตากรรมที่ คุณพ่อองค์หนึ่งได้รับต่อมา พร้อมทั้งสถานการณ์แห่งราชอาณาจักรไทยด้วย เมื่อพูดกันทางประวัติศาสตร์ และระยะเวลานั้น วันเดือนปี ที่อา้ งถึงการเข้ามาของมิชชันนารี ท้งั สองท่านนั้น ไม่ถูกต้อง วันเดือนปี ที่ให้ไว้ในหนังสื อทุกเล่มและบทความทุกบทที่คน้ คว้าวิจยั กันว่าเหตุการณ์ดงั กล่าวเกิดขึ้นเมื่อ ปี ค.ศ. 1555 นั้นไม่ถูกต้อง หนังสื อแนะนําที่เกี่ยวกับคาทอลิกในประเทศไทย (The Catholic Directory; ที่พิมพ์จาก บ้านเซเวียร์ ค.ศ. 1963) เสนอวันเดือนปี ดังกล่าวทางประวัติศาสตร์ พระศาสนจักรในประเทศไทยไม่ถูกต้อง รวมทั้ง พวกโปรเตส ตันท์ ก็เสนอข้อมูลที่คลาดเคลื่อนเช่นกันด้วย ดร. โรนัลฮิล ในบทความที่มีหวั ข้อว่า "คริ สตศาสนาใน เมืองไทย" (Christianity in Thailand) เขียนสําหรับหนังสื อแนะนําคริ สเตียนโปรเตสตันท์ (The Protestant Christian Directory; พิมพ์เมื่อปี ค.ศ. 1973) ก็ใช้วนั เดือนปี ข้างต้นนี้เช่นเดียวกัน แม้แต่ประวัติพระศาสนจักรคาทอลิกใน ประเทศไทยก็ยงั ผิดพลาดในเรื่ องนี้เช่นเดียวกัน วันเดือนปี ที่มิชชันนารี รุ่ นแรกมาเมืองไทยคือ ปี ค.ศ. 1567 ตาม หลักฐานทางเอกสารโดยชัดแจ้งของคุณพ่อเบียรมัน คณะโดมินิกนั ท่านพิสูจน์ขอ้ ความในเรื่ องนี้โดยใช้ หลักฐานจากจดหมายเหตุของคุณพ่อเฟอร์ ดินนั ดา ซันตา มารี อา ส่ งถึงมหาธิ การแห่งคณะโดมินิกนั ในจดหมายนั้น ได้เรี ยนให้อธิ การใหญ่ทราบถึงการออกเดินทางใหม่ๆ ของมิชชันนารี ท้งั สอง ทราบกันว่าเป็ นผูเ้ ลื่อมใสศรัทธาและ มีความรู ้ปราดเปรื่ องยิง่
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 11
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
มิชชันนารี ท้ งั 2 องค์ใช้เวลา 1 เดือนในการเดินทางและได้มาถึงกรุ งศรี อยุธยาในปี ค.ศ. 1567 (พ.ศ. 2110) ระหว่างรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิ ราช (ค.ศ.1569-1590) และดูเหมือนว่ามิได้ประสบความ ยากลําบากในการเข้าประเทศแต่อย่างใด ในสมัยนั้นราชอาณาจักรไทยได้เปิ ดกว้างให้แก่อาํ นาจ ของชาวยุโรปเข้ามา ในฐานะมิตรภาพ ซึ่ งทําให้บรรดาคนต่างชาติเหล่านี้ค่อยๆ ลุกลํ้าเข้ามาและแย่งชิงเอาที่ดินในพื้นที่ในลักษณะเอา เป็ นเมืองขึ้นแบบบิดา เวลานั้นในเมืองหลวงของไทยมีพวกโปรตุเกสไม่ใช่นอ้ ยในสังคม และเป็ นธรรมดาอยูเ่ องที่บางคนในพวก นี้ยอ่ มอ้าแขนต้อนรับพวกเดียวกันที่เป็ นนักบวช เพราะขณะนั้นหาพระสงฆ์ที่จะมาช่วยดูแลรักษาในเรื่ องวิญญาณ เมื่อพวกเขาต้องการไม่มีเลย จดหมายของคุณพ่อเฟอร์ ดินลั มีกล่าวถึงเรื่ องนี้อยูด่ ว้ ย ตามหลักฐานปรากฏว่าคุณพ่อ เฟอร์ ดินลั ได้เรี ยนให้อธิ การใหญ่ทราบด้วยว่า เขาได้ให้สถานที่พาํ นักอย่างสมควรในแหล่งที่ดีที่สุดในตัวเมืองแก่ มิชชันนารี ท้ งั สอง คุณพ่อทั้ง 2 องค์ ได้เริ่ มงานช่วยเหลือเพื่อนร่ วมชาติของท่านทันที ในเวลาเดียวกันก็ได้ศึกษา ภาษาไปด้วย คุณพ่อเฟอร์ ดินลั กล่าวถึงคุณพ่อ 2 องค์น้ นั ว่า ได้กลายเป็ นคนพูดภาษาไทยได้คล่องแคล่ว ด้วยเหตุน้ ีท่านทั้งสองจึงสามารถสนทนาและติดต่อสังสรรกับชาวไทยได้เอง มีผคู ้ นเป็ นอันมากได้มาเยีย่ ม เยือนและติดต่อกับท่านไม่วา่ หญิงชาย หรื อพวกขุนนางมียศศักดิ์ แม้กระทัง่ พระภิกษุของศาสนาอื่น นี่คงหมายถึง พวกพราหมณ์ เพราะจดหมายได้กล่าวโดยระบุถึงการเยีย่ มของพระภิกษุทางพุทธหลังจากการเยีย่ มของศาสนาอื่น ทุกคนรู ้สึกประทับใจในความดีของคุณพ่อ ทั้งสอง ด้วยเหตุน้ ีท่านจึงค่อยๆ มีอิทธิ พลขึ้น กระทัง่ บริ เวณ พระราชฐาน อิทธิ พลนั้นก็ยงั เข้าถึงได้ อย่างไรก็ดี ได้มีชนกลุ่มหนึ่งที่มิได้สนใจกับมิชชันนารี ท้ งั 2 พวกนี้คือพวกมุสลิม บางทีอาจจะเป็ นเพราะ พวกเขากลัวว่าอิทธิ พลของพวกเขาจะเลื่อมลง และนี่ก็จะเป็ นเพราะพวกโปรตุเกสกําลังมีอาํ นาจวาสนาครอบคลุมอยู่ ในท้องที่น้ ี อย่างไรก็ตาม ในบรรดาพวกนี้ได้มีการริ ษยาและความเกลียดชังต่อพวกคริ สตังและชาวโปรตุเกสเกิดขึ้น เขาไม่อาจโจมตีพวกมิชชันนารี ซ่ ึ งเป็ นที่นบั ถือรักใคร่ ของคนทัว่ ไปอย่างเปิ ดเผย ด้วยเหตุที่เขาอาจจะต้องเสี่ ยงกับ อันตรายจากเจ้าหน้าที่ของไทย ซึ่ งมีจิตใจกว้างขวางที่สุดในเรื่ องของศาสนา ฉะนั้นเขาจึงรอเวลาและวางแผนหาวิธี ว่า ทําอย่างไรจะได้พน้ อันตรายจากพวกคริ สตัง เวลาที่เขารอคอยนั้นก็ได้มาถึงในไม่ชา้ เป็ นเพราะความดีของคุณพ่อ ทั้งสองแท้ๆ ที่กลับกลายเป็ นการนําเอาความหายนะมาสู่ ท่าน ในการรายงานถึงท่านอธิ การใหญ่แห่งคณะโดมินิกนั ก็มีรายงานเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น คุณพ่อเฟอร์ ดินลั ได้กล่าวถึงแผนการณ์ของพวกมุสลิมด้วย เพื่อที่จะให้แผน นั้นสําเร็ จให้จงได้ เขาได้ใช้เงินซื้ อชาวบ้านอย่างไร แผนนั้นก็คือกําจัดพวกมิชชันนารี ให้พน้ จากแผ่นดินไทยด้วย การฆ่าเสี ยให้หมด วันหนึ่ง พวกมุสลิมได้จา้ งชาวบ้านโดยยุยงให้ไปก่อความวุน่ วายขึ้นกับพวกโปรตุเกสด้วยการดูหมิ่นเขา และศาสนาของเขา ดาบได้ถูกชักออก ทั้งสองฝ่ ายไม่มีใครคอยห้ามปราม มิชชันนารี ท้งั 2 เมื่อได้ยนิ เสี ยงต่อสู ้และ เสี ยงร้องดังขึ้นก็ได้ออกจากที่อยูข่ องท่าน และได้พยายามหยุดการต่อสู ้ นัน่ ก็คือสิ่ งที่ศตั รู ของท่านต้องการ คุณพ่อเย โรนิโมถูกแทงด้วยหอกและถึงแก่กรรม ส่ วนคุณพ่อ เซบาสติอาวได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการใช้กอ้ นอิฐก้อนหิน ปาจากพวกก่อความไม่สงบ หลังจากได้พกั ผ่อนและได้รับการรักษาดูแลจากแพทย์ไม่กี่วนั ท่านก็หายเป็ นปกติ ความปั่ นป่ วนและห่วงใยอย่างลึกซึ้งได้เกิดขึ้นทั้งเมือง พวกเด็กๆ ได้ร้องไห้เรี ยกหาคุณพ่อ ไม่วา่ ขุนนางหรื อ
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 12
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
ประชาชนคนสามัญทุกคนได้ใช้เครื่ องหมายไว้ทุกข์กนั ทัว่ ไป หลายคนได้มาแสดงความเคารพศพคุณพ่อเป็ นครั้ง สุ ดท้าย บางคนถึงกับเข้าไปกอดจูบศพคุณพ่อ สําหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ วั นั้นในขณะที่เกิดเหตุการณ์น้ ี พระองค์มิได้ทรงประทับอยู่ พระองค์ได้ ทรงพระพิโรธเป็ นอย่างยิง่ เมื่อทรงทราบถึงการฆาตกรรมอันเป็ นความผิดอย่างทารุ ณโหดเหี้ยม พระองค์ทรงเสี ย พระราชหฤทัยอย่างสุ ดซึ้ ง และได้ทรงรับสั่งให้สืบสวนเรื่ องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด เมื่อได้ทราบและได้พิสูจน์ความ เป็ นจริ งอย่างเปิ ดเผยแล้ว พระองค์ได้ทรงมีรับสัง่ ให้ประหารชีวติ ผูก้ ระทําผิดที่เป็ นชาวมุสลิม และที่มิได้เป็ น คริ สตัง โดยนําไปให้ชา้ งเหยียบ ส่ วนบรรดาที่เป็ นขุนนางและบรรดาข้าราชการที่พวั พันกับความผิดนั้น บางคน ก็ให้ตดั ศีรษะและบางคนก็ให้เนรเทศไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ วั ทรงมุ่งเล็งถึงความยุติธรรมพระองค์ทรง ตระหนักดีถึงการกระทําของมิชชันนารี และพระองค์ทรงนิยมชมชอบยิง่ นัก ยิง่ กว่านั้น เมื่อคุณพ่อเซบาสติอาวได้หายจากบาดแผลแล้ว เพื่อให้ทนั กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อได้เห็นการ นองเลือดยังมีต่อไปอีก ท่านรู ้สึกห่วงใยเป็ นอย่างยิง่ และต้องการให้หยุดการฆ่ากันต่อไปทันทีที่ได้พกั ฟื้ นเพียงพอ แล้ว ท่านก็ได้เข้าพบเจ้าหน้าที่เพื่อขอเข้าเฝ้ าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ วั ต่อมาอีก 2-3 วันก็ได้รับพระบรมรา ชานุญาตให้เข้าเฝ้ า เมื่อคุณพ่อได้เข้ามาปรากฏเฉพาะพระพักตร์ พระองค์ท่านได้ทรงตบพระหัตถ์และทรงแสดงว่า พระองค์ทรงมีความสุ ขมากที่ได้เห็นคุณพ่อสบายดีมีชีวติ ชีวาขึ้น ต่อจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ วั ได้ทรงถามคุณพ่อเซบาสติอาวถึงความประสงค์ของท่าน ซึ่งคุณ พ่อก็ได้กราบทูลพระองค์วา่ "ขอทรงพระมหากรุณาสดับฟังทาสของพระองค์ ด้วยเถิดพระเจ้ าข้ า" พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยูห่ วั จึงทรงตรัสว่า "พูดมาเถิด" คุณพ่อเซบาสติอาวจึงได้ทูลอธิ บายถึงเหตุผลที่ได้ขอเข้าเฝ้ าว่า ท่าน ปรารถนาที่จะทูลขอให้พระองค์ทรงหยุดการหลัง่ เลือดเสี ย พระมหากษัตริ ยไ์ ทยได้ทรงหวัน่ ไหวพระทัยอย่างเห็น ได้ชดั และได้ทรงพระมหากรุ ณาประทานให้ตามที่ท่านขอ พร้อมกับตรัสว่า "ท่ านเป็ นคนดี และมีจิตใจที่ สูงส่ งยิ่ง นัก" ต่ อ จากนั้ นพระองค์ ไ ด้ ท รงแสดงความรั ก และความเป็ นมิ ต รต่ อ คุ ณ พ่ อ มากยิ่ ง ขึ้ น พร้ อ มกั บ ทรง ขอร้องท่านอย่าได้ทอดทิ้งราชอาณาจักรของพระองค์ไปเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ต่อจากนั้นพระองค์ได้ทรงมีรับสั่งให้หยุดการประหาร ความสงบสุ ขจึงเกิ ดขึ้นในที่สุด คุณพ่อเซบาสติ อาวได้ทูลขอพระบรมราชานุญาตไปยังเมืองมะละกา เพื่อขอมิชชันนารี มาเพิ่ม พระบามสมเด็จพระเจ้าอยูห่ วั ได้ ทรงยินยอมให้ไปตามที่ท่านขอ พระสงฆ์ 2 องค์ได้ถูกส่ งมาเพื่อปฏิบตั ิหน้าที่เผยแพร่ พระศาสนา แต่นามของท่าน ทั้งสองไม่เป็ นที่ทราบกัน จดหมายของคุณพ่อเฟอร์ ดินลั ถึงท่านอธิ การใหญ่มีเพียงเท่านี้ และนี่ ก็เป็ นรายงานอย่าง เดียวกันโดยคุณพ่อเบียรมัน แห่งคณะโดมินิกนั เช่นกัน ด้วยเหตุน้ ี เราจึงเห็นความเข้าใจผิดอีกข้อหนึ่ ง ซึ่ งต้องแก้ให้ถูกต้องนัน่ คือ มีพระสงฆ์องค์เดียวเท่านั้นที่ถูก ฆ่า ไม่ใช่ท้งั สององค์ดงั ที่บรรดานักประวัติศาสตร์ ทางฝ่ ายคาทอลิกในเมืองไทยบรรยายเอาไว้ คุณพ่อเยโรนิ โม ดา ครู ้ส องค์เดียวเท่านั้นที่ถูกฆ่า และที่ถูกฆ่าก็เนื่ องมาจากการยุยงของพวกมุสลิม และมิใช่คนไทยหรื อเจ้าหน้าที่ไทย เช่นเดียวกัน
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 13
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
หลักฐานเอกสารที่ เป็ นภาษาลาติ น กล่า วถึ ง การคอรั ปชั่นในหมู่ข ้า ราชการและการถูก ลงโทษด้วย แต่ สําหรับบรรดานักประวัติศาสตร์ ได้ให้ขอ้ คิดว่า คนไทยได้ฆ่าพวกมิชชันนารี เพราะว่าพวกเขาไม่ตอ้ งการได้ยินว่า คําสอนของพวกเขานั้นเป็ นเรื่ องที่ไม่ถูกต้องและไม่มีเหตุผล พระมหากษัตริ ยไ์ ทยทรงพระพิโรธอย่างใหญ่หลวงต่อ เหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้น และได้ทรงพยายามแก้ไขเรื่ องราวให้ถูกต้องโดยทรงกวดขันการลงอาญาแก่พวกอาชญากรที่ พัวพันเกี่ ยวข้อง มรณสักขีของคุ ณพ่อเยโรนิ โมเกิ ดจากพวกมุสลิมไม่ใช่ ชาวไทยพุทธ ในการรายงานของคุณพ่อ เฟอร์ดินลั ถึงท่านอธิ การใหญ่แห่งคณะโดมินิกนั ได้ยนื ยันอย่างชัดแจ้งในเรื่ องนี้ ส่ วนอัฐิของคุณพ่อเยโรนิโมนั้น หลังจากเหตุการณ์อนั ร้ายแรงเกิดขึ้นที่กรุ งศรี อยุธยา 1 ปี จึงได้ถูกนํามายัง เมืองมะละกา ที่นนั่ พระสังฆราชและบรรดานักบวชได้จดั พิธีทางศาสนาอย่างสง่า ท่ามกลางคริ สตชนที่มาร่ วมใน พิธีดว้ ยความเคารพในตัวคุณพ่อเป็ นอย่างยิง่ และได้ถูกฝังไว้ในสุ สานที่สร้างขึ้น ทุกคนถือว่าท่านได้เป็ นมรณสักขี ผูห้ นึ่ง ส่ วนสหายของท่านคือ คุณพ่อเซบาสติอาวนั้น ทราบว่าท่านได้กลับมายังประเทศไทยเพื่อเผยแพร่ พระวรสาร หลังจากความตายของสงฆ์ผรู ้ ่ วมงานของท่าน แต่ก็มิได้มีหลักฐานอื่นใดที่กล่าวถึงท่านในสถานที่เก็บรักษาเอกสาร ของคณะโดมินิกนั เลย เรื่ องความตายของคุณพ่อเซบาสติอาวนั้นเป็ นอันกล้ายืนยันโดยชัดแจ้งอย่างตรงกันข้ามว่า ท่านได้เสี ยชีวติ ลงอย่างธรรมดา หาใช่เสี ยชีวติ แบบมรณสักขีตามที่นกั ประวัติศาสตร์ บางท่านอ้างไว้ไม่ ภาคที่ 2 แห่งบทความนี้ จะกล่าวถึงเหตุการณ์ต่อมาของคณะโดมินิกนั เรื่ องที่กล่าวมาแล้วเป็ นเรื่ องการ ทํางานของพระสงฆ์ 2 องค์แรก และเป็ นเรื่ องที่เราทราบเกี่ยวกับท่าน.
sA
ความวิริยะอุตสาหะของมิชชันนารีคาทอลิกรุ่ นแรกในประเทศไทย ภาคที่ 2
Hi sto
ric al A
rch ive
ในบทความภาคแรกนั้น เราได้ประจักษ์แล้วว่าสงฆ์คณะโดมินิกนั รุ่ นแรกได้มาปฏิบตั ิงานเผยแพร่ ศาสนา คาทอลิ กในเมืองไทยอย่างไร และพระสงฆ์องค์หนึ่ งในสององค์ที่มาแพร่ ธรรมได้ถวายชี วิตเพื่อพระคริ สตเจ้า อย่างไร บทความที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าท่านนี้ จะบรรยายเรื่ องราวที่จะตามมาเกี่ยวกับสงฆ์คณะโดมินิกนั ที่อยู่ใน ราชอาณาจักรไทยต่อไป ถึงแม้วา่ งานแพร่ ธรรมในช่วงแรกของบรรดามิชชันนารี เหล่านี้ได้ถดถอยลง ท่านผูก้ ล้าหาญทรหดเหล่านี้ก็ มิได้เสี ยนํ้าใจ หากจะพูดให้ถูกความ ตายและมรณสักขีของคุณพ่อเยโร นิโมกลับเป็ นเหตุกระตุน้ ให้เกิดความร้อน รนที่จะดําเนินงานที่ได้เริ่ มไว้แล้ว ด้วยการเสี ยสละอย่างใหญ่หลวงยิง่ ขึ้นต่อไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ วั ดังที่ ได้กล่าวไว้ในบทความภาคแรกว่าพระองค์ทรงประทับพระราชหฤทัยด้วยความโปรดปรานเป็ นที่สุด ในการที่ มิชชันนารี ที่ยงั เหลืออยู่ (คุณพ่อเซบาสติอาว ดากันโต) มีความใจดีและจิตใจปราณี ยกโทษให้แก่ศตั รู ของ คริ สตศาสนา ด้วยการขออภัยโทษพวกเขาให้พน้ จากการลงอาญา อันเป็ นชะตากรรมที่พวกเขาควรจะได้รับ เพราะ การกระทําอันโหดเหี้ ยมทารุ ณอย่างขี้ขลาดของพวกเขา เรื่ องนี้ประชาชนพลเมืองทราบดี ด้วยเหตุน้ ีชื่อเสี ยงกิตติศพั ท์ของมิชชันนารี คาทอลิกจึงเป็ นที่นิยมนับถือจากพระเจ้าแผ่นดินและพสกนิกร ของพระองค์เป็ นอย่างสู ง พวกเขาได้เห็นว่าคําสอนของพระคริ สต์น้ นั ท่านเองได้ปฏิบตั ิตามอย่างที่ท่านสอนไว้ คุณ พ่อเซบาสติอาว ดา กันโต ที่ยงั มีชีวติ อยู่ ด้วยนํ้าใจอันดีงามของท่านได้ทาํ ประโยชน์ให้ท่านมาก ท่านได้ทูลขอพระ
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 14
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
บรมราชานุญาตไปยังเมืองมะละกาเพื่อไปขอมิชชันนารี มาช่วยงานเพิ่ม พระสงฆ์สององค์ได้กลับมาทํางาน กับท่าน แต่เป็ นที่น่าเสี ยดายที่เราไม่ทราบนามของท่านทั้งสอง เมื่อพวกมิชชันนารี ได้กลับมาถึงอยุธยา เมืองหลวงแห่งราชอาณาจักรไทย ท่านก็ได้เริ่ มสอนพระวรสาร อย่างเปิ ดเผยดังเก่า ตราบใดที่ความเป็ นศัตรู ซ่ ึ งเป็ นเหตุให้คุณพ่อเยโรนิโมถึงแก่ความตายยังไม่หมดสิ้ นไป พวก มิชชันนารี ก็ตอ้ งทํางานอยูก่ บั เพื่อนร่ วมชาติของตนเอง คือชาวโปรตุเกสซึ่ งเป็ นเพื่อนร่ วมชาติของเขา โดยใช้พวกนี้ เป็ นฐานติดต่อและทําให้ชาวพื้นเมืองสนใจคริ สตศาสนา อย่างไรก็ดี นํ้าใจดีและความสนใจที่ชาวเมืองแสดงออกมา ถึงแม้จะมีการตั้งกลุ่มสนทนากันหลายครั้งหลาย หนเพื่ อ ที่ จ ะสนับ สนุ น คริ ส ตศาสนา ชาวเมื อ งก็ ย งั ไม่ ก ล้า เสี่ ย งที่ จ ะนับ ถื อ เหตุ ผ ลหนึ่ งอาจจะเป็ นเพราะ คริ สตศาสนายังเป็ นศาสนาใหม่สาํ หรับพวกเขา และเป็ นศาสนาของชาวต่างชาติ คริ สตชนบางคนก็ทาํ ตัวอย่างไม่ดี ให้เห็ น บางทีอาจจะเป็ นเพราะประชาชนยังไม่แน่ใจว่าพระเจ้าแผ่นดินทรงมีน้ าํ พระทัยอย่างไร ในเรื่ องนี้ ตอ้ ง ระลึกด้วยว่าประเทศไทยในเวลานั้นถือระบบสมบูรณาญาสิ ทธิ ราช และชาวเมืองก็ได้เคยชินอยูก่ บั การเดินตามผูน้ าํ ของตน ความจงรักภักดีและความเคารพนับถือ อันเป็ นนิสัยซึ่ งประชาชนชาวไทยมีต่อองค์พระมหากษัตริ ยแ์ ห่ ง ตนนั้น หยัง่ รากลึ กจนยากที่จะถอนได้ รวมทั้งศาสนาพุทธด้วยซึ่ งเป็ นศาสนาประจําชาติที่พระมหากษัตริ ยแ์ ละ ประชากรของพระองค์นบั ถืออยู่ ข้าพเจ้าคิดว่าการประเมินตามสภาพการณ์ดงั กล่าวก็น่าจะเห็นใจพวกเขา ตาม ทัศนะของนักประวัติศาสตร์ ที่เป็ นกลาง ในครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ วั ทรงหมกมุ่นอยูก่ บั เรื่ องอื่นๆ ที่สาํ คัญมากกว่า ได้เกิดสงคราม ครั้งแรกในจํานวนสามครั้งกับประเทศพม่าซึ่ งเป็ นประเทศเพื่อนบ้าน (1549-1563 และ 1569) ซึ่ งเป็ นสภาพที่ลงเอย ด้วยความพินาศของกรุ งศรี อยุธยา โชมีกรอน กษัตริ ยข์ องพม่าได้เข้ามารุ กรานประเทศไทยพร้อมด้วยกองทัพมหึมา และได้ประสบผลสําเร็ จจนกระทัง่ ได้เข้ามาล้อมกรุ งศรี อยุธยา ไม่อาจต้านทานความชุลมุนวุน่ วายของสงครามได้ มิชชันนารี คณะโดมินิกนั ที่พาํ นักอยูใ่ นเขตของพวกโปรตุเกสในเมือง ได้เสี ยชีวติ ทั้งหมดพร้อมกับการเสี ยกรุ ง สงครามได้ทาํ ให้ผคู ้ นเสี ยชีวติ ลงด้วย คุณพ่อเฟอร์ ดินลั อยูใ่ นมะละกาได้ขอร้องคุณพ่อฟรังซิ ส เดอ อาเปรอ (16691674) ประมุขของคณะโดมินิกนั ในอินเดีย ให้ส่งมิชชันนารี องค์อื่นมายังประเทศไทย เคราะห์ร้ายที่ชื่อและจํานวน พระสงฆ์เหล่านั้นมิได้ถูกบันทึกไว้ ทําให้เราไม่สามารถทราบข่าวคราวของผูร้ อดชีวติ เราจึงไม่ทราบว่ามีอะไรเกิด ขึ้นกับพวกท่านเหล่านั้นบ้าง เมื่อต้องต่อสู ้กบั สงครามที่รบกันอยูอ่ ย่างไม่หยุดหย่อนตลอดเวลา งานแพร่ ธรรมก็ยอ่ มจะดําเนินไปไม่ได้ มิชชันนารี บางองค์ได้เดินทางกลับไปยังมิสซังของตน บางองค์ได้เดินทางไปยังเมืองท่าต่างๆ ในภาคตะวันออกไกล โดยหวังจะเริ่ มงานเผยแพร่ ศาสนาในที่ใหม่ต่อไป ทั้งๆ ที่รู้วา่ จะต้องต่อสู ้กบั ความเจ็บป่ วยและความตาย พระสงฆ์ ผูช้ ่วยองค์หนึ่งคือคุณพ่อเปโดร ดอส ซันตอส ได้ตกอยูใ่ นเงื้อมมือของพวกมุสลิมและได้เป็ นมรณสักขี ดังนั้นจึงเป็ นเรื่ องที่ไม่น่าประหลาดใจและเป็ นเรื่ องที่ควรจะเข้าใจว่า เมืองกัว สังฆมณฑลของคณะ โดมินิกนั ที่ตอ้ งแบกภาระหนักอยูแ่ ล้ว มิสซังอื่นๆ ในอาฟริ กา, อินเดีย พร้อมทั้งบรรดาเกาะต่างๆ ของอินเดียที่กาํ ลัง ขาดผูค้ นอยู่ นอกจากนี้ยงั ได้รับความเสี ยหายกับการแพร่ ธรรมใน มิสซังไทยที่ผนั แปรอยูเ่ สมอ ที่สุดคณะ โดมินิกนั ก็จาํ ต้องทิ้งงานแพร่ ธรรมในประเทศไทยไปด้วยความไม่เต็มใจเป็ นอย่างยิง่
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 15
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
จากปี ค.ศ. 1582 จนถึงสิ้ นปี ค.ศ. 1584 คณะฟรันซิ สกันชาวสเปนได้พยายามดําเนินงานแพร่ ธรรมที่คณะ โดมินิกนั ได้เริ่ มไว้แล้วในประเทศไทย ในที่สุดพวกท่านเหล่านี้ก็ได้ทิ้งแหล่งแพร่ ธรรมนี้ไปด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ ตามได้มีผแู ้ พร่ ธรรมคนอื่นมารับภาระแพร่ ธรรมในราชอาณาจักร มีการกล่าวถึงคุณพ่อดีเอโก เปเรี ย ตีบาว แห่ง คณะเยสุ อิต, คุณพ่อมานูแอล เปเรรา และมาคอส โกเมซ แต่คณะโดมินิกนั ก็ยงั คงยืดมัน่ ต่อความหวังในแหล่ง แพร่ ธรรมเดิมที่เขาได้ทาํ ไว้ดว้ ยความเสี ยสละ และทุกข์ยากลําบากมามากต่อมากแล้ว เมื่อสมเด็จพระนเรศวรได้ทรงทําสงครามกับประเทศเขมร พระองค์ได้ทรงเอาชนะเมืองละแวกได้ บรรดา มิชชันนารี ที่ทาํ งานอยู่ในเขมรได้ตกอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ดว้ ย พวกท่านเหล่านี้ ได้ถูกบังคับให้ตอ้ งติดตาม พระองค์ในฐานะเชลยศึกกลับมายังประเทศไทย พวกพระสงฆ์เหล่านี้ได้รับความยากลําบากมาก ณ ที่น้ ี พระญาณ สอดส่ องก็ได้ช่วยให้ได้รับพระมหากรุ ณาธิ คุณจากองค์พระมหากษัตริ ย ์ เฉพาะอย่างยิ่งในบรรดาพวกท่านเหล่านี้ มี คุณพ่อองค์หนึ่ง คือ คุณพ่อ ชอรเก ดา โมตา กับเพื่อนของท่านคนหนึ่ งชื่ อ ดีเอโก แบลโลโซ ได้ทูลขอสมเด็จพระ นเรศวรผูเ้ ป็ นเจ้า ให้ทรงปล่อยพี่น้องผูร้ ่ วมงานคนอื่นๆ พร้อมทั้งชาวโปรตุเกสที่เป็ นเชลยศึกให้ได้รับอิสรภาพ หลังจากได้ดาํ เนินเรื่ องค่าไถ่ถอนเชลยศึกจากมะนิลาในนามของพระมหากษัตริ ยไ์ ด้เรี ยบร้อยแล้ว คุณพ่อชอรเกก็ได้ เข้าเฝ้ าสมเด็จพระนเรศวรเพื่อทูลรายงาน องค์พระมหากษัตริ ยไ์ ด้ทรงพอพระทัยอย่างลึกซึ้ ง ได้ประทานสิ ทธิพิเศษ และเกียรติเป็ นอันมากให้แก่คุณพ่อ ถึงกระนั้นความสัมพันธ์ อันดีเลิศนี้ ก็ยงั อยูไ่ ด้ไม่นาน และโอกาสอันดีที่จะ สอนพระวรสารได้ก็หมดไปด้วย เพราะความทรยศของนายเบลโลโซชาวโปรตุเกส เพื่อนของคุณพ่อชอรเก ซึ่ งพระมหา กษัตริ ยไ์ ด้ทรงโปรด ให้ไปยังเมืองมะนิลาในฐานะเป็ นทูตผูห้ นึ่ง และต่อมาได้หาทางเข้าประจบ ประแจงเพื่อให้ได้รับความโปรดปราน และความช่วยเหลือจากกษัตริ ย ์ เป็ นสาเหตุให้พระมหา กษัตริ ยไ์ ทยทรงแสดงความเป็ นมิตรกับชาวโปรตุเกสน้อยลง อันที่จริ ง ในเวลานั้นมีชายผูห้ นึ่งชื่อ ซูซา ได้ตาํ หนิเขาเรื่ องความประพฤติของพวกพ่อค้าชาวโปรตุเกส และ พระมหากษัตริ ยก์ ็ได้ทรงห่างเหิ นกับเขาอย่างตลอดมา พระองค์ได้ทรงห้ามมิให้สอนพระวรสารซึ่ งกําลังจะได้ผลอยู่ แล้ว คุณพ่อหลุยส์ ดา ฟอนเซกา ได้เคยโปรดศีลล้างบาปให้แก่สตรี ที่มีชื่อเสี ยงท่านหนึ่ง ซึ่ งเป็ นภรรยาของพ่อค้า ชาวญี่ปุ่น สาเหตุน้ ีทาํ ให้เกิดเรื่ องร้ายแรงขึ้นอีกเรื่ องหนึ่ง เมื่อชาวญี่ปุ่นพ่อค้าผูน้ ้ นั รู ้ถึงการกลับใจของภรรยาตนเข้า เขาจึงโกรธเป็ นฟื นเป็ นไฟ
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 16
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
ในวันศุกร์ ศกั ดิ์สิทธิ์ เขาพร้อมด้วยเพื่อนชาวญี่ปุ่นบางคนได้เข้าไปในโบสถ์ และได้ฆ่ามิชชันนารี องค์น้ นั ถึง แก่ความตายหน้าพระแท่นนั้นเอง พวกโปรตุเกสได้รวมกันจับอาวุธป้ องกันตัวและเพื่อแก้แค้นในการฆ่าครั้งนี้ คุณ พ่อชอรเกเห็นว่าไม่มีอะไรที่จะสามารถทําต่อไปในเมืองไทยสําหรับเวลานั้นแล้ว ประกอบกับตัวท่านเองก็ได้รับ บาดแผลในการวิวาทกันครั้งนั้นด้วย ดังนั้นท่านจึงได้ทูลขอพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ วั เพื่อไปเยีย่ มเพื่อนร่ วมงาน ของท่านผูห้ นึ่งชื่อคุณพ่อจอห์น มัลโดนาโด ซึ่ งอยูบ่ นเรื อของสเปนที่วงิ่ ผ่านไปมาอยู่ และท่านได้ถือโอกาสไปยังมะ ละกาด้วย ในระหว่างนั้น พวกสงฆ์คณะโดมินิกนั ได้จดั เตรี ยมมิชชันนารี คนอื่นๆ ที่เมืองกัว และอินเดียเพื่อส่ ง มายังมิสซังไทย เนื่องจากระยะทางไกล และการคมนาคมก็ลาํ บากมาก พวกมิชชันนารี เหล่านี้ไม่ทราบถึง สถานการณ์ของมิสซังดังกล่าว หนึ่งปี ต่อมาหลังจากความไม่สงบในเมืองไทย คือปี ค.ศ. 1600 ท่านอธิ การใหญ่ของ คณะโดมินิกนั คือ คุณพ่อเยโรนิโมดี ซันโดมินโกส ได้ส่งพระสงฆ์มาอีก2 องค์ คือ คุณพ่อเปโดร โลบาโต และ คุณพ่อเยโรนิโม มาสกาแรนอาส อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกที่อยูม่ ะละกาเหล่านี้มาถึงประเทศไทยแล้วจึงได้ทราบว่า คุณพ่อหลุยส์ได้ถูกฆ่าตาย แล้ว และคุ ณพ่อชอรเกซึ่ งเคยถู กส่ งมาในฐานะเป็ นทูตสําหรับพระเจ้าแผ่นดิ น ก็ได้สิ้นชี วิตไปแล้วด้วย บางที อาจจะเป็ นเพราะบาดแผลที่ได้รับเมื่อพวกญี่ปุ่นบุกเข้าวัดเมื่อคราวนั้นก็เป็ นได้ ท่านคารโดโซบุคคลผูห้ นึ่ งที่มีความ รอบรู ้ในสมัยนั้น ได้ต้ งั วันเดือนปี ของการเป็ น มรณสักขีของคุณพ่อหลุยส์ดา ฟอนเซกา เป็ นวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ. 1600 พวกสงฆ์เหล่านี้ มิได้ทิ้งความตั้งใจในการแพร่ ธรรม อาจจะเป็ นเพราะเจ้าหน้าที่ในมะละกาได้เตือนพวก เขาว่า สถานการณ์ ในราชอาณาจักรยังไม่สมควรจะปฏิบตั ิงานแพร่ ธรรมในเวลานั้น อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ที่ ยุง่ ยากในการแพร่ ธรรมก็ไม่อาจจะยับยั้งคณะโดมินิกนั ได้นานนัก พวกเขาได้หาวิธีอื่นเพื่อขจัดอุปสรรคให้ได้ต่อไป หลังจากคุณพ่อชอรเกได้ไปยังมะละกาไม่นาน คุณพ่อคณะโดมินิกนั องค์หนึ่ง คือ คุณพ่อแบคคีออร์ดา ลูซ ได้ลงมาที่มาร์ ตาบัง ซึ่ งเป็ นช่องแคบเล็กๆ ของทะเลอันดามัน ปั จจุบนั อยูท่ างทิศตะวันออกเฉี ยงใต้ของพม่า เจ้าเมือง ซึ่งรู ้จกั พฤติการณ์ของคุณพ่อชอรเก ได้มอบท่านให้เจ้าหน้าที่ เพื่อให้พระมหากษัตริ ยท์ รงกริ้ วในฐานะที่เข้าประเทศ โดยมิได้รับอนุญาต อย่างไรก็ตาม คุณพ่อแบคคีออร์ ก็ได้รับพระมหากรุ ณาธิ คุณจากสมเด็จพระนเรศวร ซึ่ งได้ทรงปกป้ องท่าน และได้ประทานสิ ทธิ พิเศษให้แก่ท่านหลายประการ พระองค์ทรงประทานอนุญาตให้มิชชันนารี เทศน์สอนได้ ยิง่ กว่านั้นพระองค์ทรงสร้างวัดสําหรับคุณพ่อและคริ สตชนของท่านด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ กระทัง่ เมือง มะละกาก็ยงั ได้รับนํ้าพระทัยอันกว้างขวางจากพระองค์ดว้ ย โดยได้ทรงส่ งเรื อบรรทุกข้าวเต็มลําเพื่อไปช่วยเหลือ ชาวเมืองและทรงบริ จาคสิ่ งของแก่อารามที่นนั่ ด้วย นี่เป็ นตัวอย่างประวัติศาสตร์ ในระยะแรกๆ กล่าวถึงพระทัย อันกว้างขวางของกษัตริ ยไ์ ทย ผู้ทรงนับถือพุทธศาสนา ซึ่งเป็ นประเพณีและปฏิบัติตลอดมาจนกระทัง่ ทุกวันนี้ ในรัฐธรรมนู ญไทยขนานนามพระมหากษัตริ ยว์ ่าเป็ นองค์อุปถัมภ์ศาสนาทุกศาสนา และทุกๆ ปี ผูแ้ ทน ของศาสนาต่างๆ ยกเว้นศาสนาพุทธซึ่ งเป็ นศาสนาประจําชาติ ได้รับพระราชทานให้เข้าเฝ้ า พระองค์ทรงทราบและ ตระหนักถึงงานของพวกเขาอย่างลึ กซึ้ ง พระองค์ทรงสบพระทัยในการปฏิบตั ิในศาสนา สนับสนุ นเขา และทรง บริ จาคสิ่ งของเพื่อช่วยเหลือทั้งด้านศาสนาและงานกุศล
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 17
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
กลับมากล่าวถึ งคุ ณพ่อแบลคีออร์ ด และความพยายามในการดําเนิ นงานแพร่ ธรรมของท่านต่อไป ต้อง สังเกตว่าคุณพ่อเป็ นบุคคลที่กล้าหาญชาญชัยและมีหวั คิดอย่างยอดเยี่ยมผูห้ นึ่ ง ท่านไม่ตอ้ งใช้ความพยายามมากนัก ในเรื่ องเกี่ยวกับงานเผยแพร่ พระคริ สตศาสนา บางทีอาจจะเป็ นเพราะความเป็ นผูก้ ล้าหาญมีสติปัญญาและความไม่ เกรงกลัวต่ออันตรายใดๆ ทั้งสิ้ นนั้นได้ดึงดูดให้สมเด็จพระนเรศวรทรงสบพระทัยมาก ซึ่ งลักษณะดังกล่าวนี้ ตวั พระองค์ท่านเองก็มีอยูอ่ ย่างพร้ อมมูล ฉะนั้นชาวไทยจึงถือว่าพระองค์เป็ นหนึ่ งในบรรดากษัตริ ยผ์ ยู้ ิ่งใหญ่ท้ งั หลาย โดยขนานพระนามว่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราช แม้เมื่อพระองค์ได้ทรงพระประชวรหนัก คุณพ่อแบล คีออร์ ก็ได้ เสี่ ยงกับความยุ่งยากและอันตราย เข้าไปในราชสํานักกรุ งตะนาวศรี ปั จจุบนั คือ ประเทศพม่า โดยเร่ งด่วนในนาม ของมิชชันนารี และนี่ ก็มิได้ทาํ ให้ความช่วยเหลือของพระองค์ลดน้อยลงไป เมื่อพระองค์ทรงฟื้ นจากพระประชวร งานแพร่ ธ รรมนี้ ได้ ป ระสบผลสํ า เร็ จ ซึ่ งยัง ผลให้ บ รรดามิ ช ชัน นารี อ งค์ ต่ อ ๆ มาสามารถเดิ น ทางเข้า มาใน ราชอาณาจักรได้ เราพบว่าคุ ณพ่อเปโดร โลบาโต และเปโดร มาสคาเรนอาส ซึ่ งได้ทาํ งานอยู่ก่อนในมิสซังมะละกา ใน รายชื่ อของบรรดามิชชันนารี ที่ทาํ งานอยู่ในประเทศไทย ต่อมาก็มีคุณพ่อเยโรนิ โม เดอ ซัน โดมินโกส และคุณพ่อ ยอง ดี ซานโต สปี ริ โต มาร่ วมด้วย คุณพ่อองค์สุดท้ายนี้ได้สิ้นชีวิตในประเทศไทย แต่งานแพร่ ธรรมที่กาํ ลังรุ่ งโรจน์ ทั้งหมดนี้หาได้เรื องรองอยูไ่ ด้นานนักไม่ อาจจะเป็ นตั้งแต่การสิ้ นพระชนม์ของสมเด็จพระนเรศวร ซึ่ งสวรรคตในปี ค.ศ. 1605 คุณพ่อแบลกีออร์ เองก็ได้ออกจากประเทศไทยเมื่อปี ค.ศ. 1602 เพื่อทํางานในมิสซังอาราคันในประเทศเบ งกอล และที่เมืองนี้เองมิชชันนารี ผูก้ ล้าหาญแสนทรหดผูน้ ้ ี ได้เสี ยชี วิตโดยจมนํ้าตายในตอนที่ท่านข้ามแม่น้ าํ แห่ ง หนึ่งในเมืองนั้น สมเด็จพระเอกาทศรถ พระอนุชาผูซ้ ื่ อสัตย์และจงรักภักดีต่อองค์พระเชษฐาได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติต่อ จากสมเด็จพระนเรศวร พระองค์ทรงจดจ่ออยูก่ บั การที่จะพัฒนาประเทศของพระองค์ ได้ทรงเปิ ดการติดต่อกับ ประเทศดัช, ประเทศอังกฤษ และญี่ปุ่น พวกสเปนได้มาก่อนประเทศเหล่านี้นานตั้งแต่ ค.ศ. 1598 สมัยรัชกาล พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในรัชสมัยของพระเจ้าอยูห่ วั พระองค์ใหม่ คุณพ่อคณะเยสุ อิตองค์แรกที่จะพัก อยูอ่ ย่างถาวรในเมืองไทยได้เดินทางมาถึง ท่านผูน้ ้ ีคือ คุณพ่อบัลทาซาร์ เดอ เซเกรา คุณพ่อเบนโน เบียรมาน นัก ประวัติศาสตร์ คณะโดมินิกนั ประมาณว่าเป็ นเวลาราวปลายปี ค.ศ. 1606 แต่นกั ประวัติศาสตร์คนอื่นๆ เช่นหนังสื อ พจนานุกรมคาทอลิกปี ค.ศ. 1963 ที่พระสงฆ์คณะเยสุ อิตพิมพ์ที่กรุ งเทพฯ ว่าเป็ นปี ค.ศ. 1609 คณะฟรันซิสกัน องค์หนึ่งชื่อ คุณพ่ออันดรู ได้มาทํางานในประเทศปี ค.ศ. 1616 ในวันที่ 3 พฤษภาคม ค.ศ. 1616 คุณพ่อฟรังซิ สโก ดา อันนุนชีอา ได้มาถึง ท่านได้เคยแสดงความสามารถในทางเป็ นทูตการเมืองในนามอุปราชอินเดียมาแล้วอย่างน่า พิศวง ดอน เยโรม เดอ อาเซวาโด และท่านได้ถูกส่ งมายังเมืองไทยเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี กบั มะละกา ซึ่ งได้หยุด พักไว้ชวั่ คราว ท่านทํางานที่ได้รับมอบหมายมาอย่างได้ผลดี แต่มิได้มีการกล่าวถึงมิชชันนารี คณะโดมินิกนั ที่ถูกส่ ง มาทํางานแพร่ ธรรมเลย คุณพ่อเปโดร เดอ มอเรฮอน และคุณพ่ออันโตนิโอ ฟรันซิสโก การ์ดิน สามารถเข้าประเทศ เพื่อดําเนินการแพร่ ธรรมได้ต่อไป ในปี ค.ศ. 1619 แต่อาจจะเป็ นเพราะพวกท่านเห็นว่าคงจะทําอะไรไม่ได้มากนัก และสถานการณ์ก็ไม่ค่อยจะอํานวยด้วย ท่านจึงได้ไปดําเนินงานที่ประเทศญี่ปุ่นต่อไป
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 18
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
อย่างไรก็ตามคุณพ่อการ์ ดินก็ได้กลับมาเมืองไทยเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ คือปี ค.ศ. 1629-1630 ในปี ค.ศ. 1627 ทั้งพวกคณะฟรันซิ สกันและคณะโดมินิกนั ก็ได้พยายามตั้งต้นทํางานแพร่ ธรรมขึ้นใหม่ คุณพ่อยูลีอุส ซีซาร์ มารยีโก ได้เข้าร่ วมทํางานทางฝ่ ายของคณะโดมินิกนั ต่อมา คุณพ่อลูกาซ เดอ ซันตา กาทารี นา แจ้งให้เราทราบว่า บางครั้งบางคราวก็อาจจะลองเสี่ ยงดูวา่ จะได้ผลแค่ไหนเพียงใด และบางทีก็ได้มาไม่เพียงพอ แต่ตามทัศนะที่ควรเชื่อ ก็เห็นจะเป็ นเพราะสถานการณ์นนั่ เอง ประเทศไทยในปี ค.ศ. 1631 ก็ตอ้ งประสบกับความหายนะทางการเมืองอีก ราชวงศ์ต่อมาที่สถาปนาขึ้น ครองอํานาจเป็ นกษัตริ ยพ์ ระองค์ใหม่คือ สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ซึ่ งได้เสวยราชย์อยูจ่ นถึงปี ค.ศ. 1656 ตอนแรก กษัตริ ยพ์ ระองค์ใหม่ทรงโปรดปรานพวกดัชและไม่ทรงชอบพวกโปรตุเกส แน่นอนย่อมเป็ นลางไม่ดีสําหรับบรรดา มิชชันนารี ที่เป็ นพวกเดียวกับชาวโปรตุเกส และสําหรับชาวคริ สตชนส่ วนใหญ่ก็เป็ นชาวโปรตุเกสเสี ยด้วย ศาสนา คริ สต์ก็ยอ่ มเกี่ยวพันกับชาวโปรตุเกสนัน่ เอง อย่างไรก็ตาม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ วั ได้ทรงเปลี่ยนพระทัยในเวลาต่อมาในปี ค.ศ. 1639 คราวนี้ความ ไม่วางพระทัยของพระองค์พุง่ ตรงไปยังพวกดัช ซึ่ งพระองค์ทรงเกรงว่าพวกนี้จะรุ กลํ้าอธิ ปไตยของเมืองไทย พระองค์มีพระบรมราชโองการให้ประหารพวกดัชทุกคนที่ทาํ การรุ กลํ้าดังกล่าวนั้น และทรงพยายามหาทางฟื้ นฟู การติดต่ออย่างพระสหายกับพวกโปรตุเกสต่อไป ลูกาส เดอ ซันตา มารี อา ได้บรรยายว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ วั ได้ทรงส่ งโปรตุเกสผูห้ นึ่งไปยังมะละ กาเพื่อการนี้ ดูเหมือนว่าพระองค์ทรงทราบดีวา่ พวกดัชรบกับพวกโปรตุเกสเพื่อความยิง่ ใหญ่ในทางจะเอาเป็ น เมืองขึ้นในแถบนี้ เราทราบว่าเมืองมะละกาได้เคยถูกยึดจากชาวดัชในปี ค.ศ. 1640-1641 คุณพ่อลูกาส เดอ ซันตา มา รี อา ได้กล่าวในปี ค.ศ. 1639 ดังนั้นพวกโปรตุเกสจึงต้องไปที่มาเก๊า นายพลผูด้ ูแลมาเก๊าคือ ดอน เซบาสเตียน โลโบ ได้รับข้อเสนอและได้ส่งทูตมายังราชสํานักไทย และยังได้ จัดส่ งมิชชันนารี มาด้วยเพื่อจุดประสงค์น้ ี คุณพ่อแอนโทนี ดี ซาน โดมินโคส และคุณพ่ออาซินท์ซีเมเนส ได้เข้าหา ผูใ้ หญ่อาสาสมัครเข้ารับใช้และได้มายังมิสซังไทยเพื่อประโยชน์ในโชคชะตาของชาวคริ สต์ เมื่อท่านมาถึงเมืองไทย ก็ได้พบเห็นพวกคริ สตังได้ถูกเบียดเบียนและถูกข่มเหงรบกวนอย่างหนักจากชาวดัชและชาวไทย ส่ วนใหญ่ถูกจับ เป็ นทาส ชะตากรรมนี้เกิดขึ้นกับพวกเขาในการปฏิวตั ิครั้งสุ ดท้าย คริ สตชนส่ วนใหญ่มีชีวติ อยูโ่ ดยไม่รู้จกั ศาสนา ของพวกเขา เขารู ้สึกท้อแท้หมดกําลังใจอย่างที่สุด แต่บรรดามิชชันนารี มิได้เสี ยกําลังใจ เขาได้รับพระมหากรุ ณา จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ วั ได้ประทานที่อยูอ่ ย่างดีเลิศในบริ เวณที่ดีแห่งหนึ่งในตัวเมืองให้ โบสถ์เก่าๆ หลัง หนึ่งได้ถูกรื้ อทิง้ โดยไม่ถูกต่อต้านจากประชนชนที่ไม่ใช่คริ สตัง และโบสถ์หลังหนึ่งก็ได้ถูกสร้างขึ้นบนที่ตรง นั้นเอง คุณพ่อลูกาสได้เล่าถึงเรื่ องนี้อย่างภูมิใจยิง่ ดังนี้ดว้ ยคําพูดด้วยตัวอย่างที่ทาํ ให้เห็น พวกมิชชันนารี ได้พยายาม ปลุกปลอบใจบรรดาคริ สตัง และในเวลาเดียวกันก็ได้หาทางโปรดศีลล้างบาปให้คนอื่นๆ อีกเป็ นอันมาก โดยมิได้ เอาใจใส่ วา่ เจ้าหน้าที่ในท้องที่จะคิดหรื อจะขู่แต่อย่างใด ครั้งหนึ่งเมื่อมีการกบฎต่อพระมหากษัตริ ยเ์ กิดขึ้น บรรดาพระสงฆ์ก็ได้ถูกจับจองจําในคุก แต่ในคุกนัน่ เอง ท่านได้ดาํ เนินงานของท่านต่อไป ได้ทาํ ให้ผคู ้ นกลับใจเป็ นจํานวนมาก ท่านได้ชนะทั้งไม่วา่ ผูค้ นหรื อนักโทษ และ นักโทษหลายคนได้ขอให้ท่านโปรดศีลล้างบาปให้
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 19
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
ต่อมาเมื่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้สงบลงอย่างสิ้ นเชิงแล้ว บรรดามิชชันนารี รุ่นใหม่กไ็ ด้ถูกเรี ยกมาช่วยแพร่ ธรรม ในบรรดาพวกที่มานี้ก็มี คุณพ่อโยเซ ดี ซันตา มารี อา, คุณพ่อซี เมา ดีอนั นอส ยาว ดี ซัน กอนซาแลส, คุณพ่อ มานูแอล ดี ฟอนเซกา, คุณพ่อยาว ดี ซานโดมินโกส และต่อมาก็มีคุณพ่อเดนิส และคุณพ่อหลุยส์ โด โรซารี โอ โดย กิจกรรมและการเสี ยสละของท่านเหล่านี้ผเู ้ ป็ นข้าช่วงใช้ที่แท้จริ งแห่งพระวรสาร ศาสนาคริ สต์ในประเทศไทยได้ เจริ ญขึ้นจนถึงปี ค.ศ. 1662 ในปี นี้เองข่าวเล็กๆ น้อย ๆ ที่เกี่ยวกับการแพร่ ธรรมของคณะโดมินิกนั ในเมืองไทยก็ สิ้ นสุ ดลง ในช่วงระยะเวลา 95 ปี มีการหยุดชงักลงนี้ นับเนื่องจากความวิบตั ิทางการเมืองบ้าง การเบียดเบียนศาสนา บ้าง และความไม่เข้าใจซึ่ งกันและกัน การแพร่ ธรรมของสงฆ์โดมินิกนั ในไทยอยูใ่ นความอารักขาของสังฆมณฑล คณะโดมินิกนั ชาวโปรตุเกส และดังที่คุณพ่อลูกาส เดอ ซันตา คาทารี นาแจ้งไว้ "มันเป็ นข้อมูลสําหรับ ประวัติศาสตร์ ที่เราได้มา..." จากเรื่ องราวที่ได้บรรยายมานี้ เราสามารถที่จะเห็นได้วา่ บรรดาพระสงฆ์คณะโดมินิกนั เหล่านี้ได้ทาํ งานเป็ น เวลาอันยาวนานด้วยความยากลําบาก เพื่อจะปลูกฝังพระศาสนจักรในประเทศไทย พวกท่านเหล่านั้นสามารถที่จะ ภาคภูมิใจในผลงานที่เกิดขึ้น ในหนังสื อบันทึกประวัติการแพร่ ธรรมที่เกี่ยวกับพระศาสนจักรในประเทศไทย เป็ น ประวัติศาสตร์ เล่มเล็ก ๆ ที่น่ารู ้เล่มหนึ่ง ซึ่ งน่าจะเป็ นประโยชน์แก่ชาวไทยคาทอลิกของเรา ซึ่ งมีส่วนแบ่งในมรดก แห่งความเชื่อที่ได้ถูกหว่านลงโดยท่านผูเ้ รื องนามแห่งพระศาสนาเหล่านี้ ซึ่ งได้เสี ยสละกระทัง่ ถึงถูกจองจําติดคุกติด ตะรางและหลัง่ เลือดในสมัยนั้นชาวไทยคาทอลิกทุกวันนี้ได้รับความสุ ขจากผลของความเหนื่อยยาก ความเสี ยสละ อย่างเหนียวแน่นไม่ยอมให้หลุดพ้นไปได้ วีรชนแห่งความเชื่อเหล่านี้ไม่มีใครสรรเสริ ญ ไม่มีผใู ้ ดรู ้จกั มาช้านาน ถูกมองข้ามและถูกลืม ท่านควรจะได้รับตําแหน่งแห่งเกียรติยศชื่อเสี ยง อันพึงมีพึงได้ดว้ ยความเป็ นธรรมเป็ น อย่างยิง่ เพราะท่านได้เป็ นส่ วนหนึ่งแห่งกองมรดกคาทอลิก ที่ได้มอบให้แก่พระศาสนจักรของประเทศไทย โดยพระญาณสอดส่ องแห่งพระเจ้า พระศาสนจักรในประเทศไทยเป็ นหนี้พระคุณอันใหญ่หลวงแก่คุณพ่อ แห่งคณะนักเทศน์ (คุณพ่อคณะโดมินิกนั ) เพราะว่าท่านเหล่านี้แหละที่ได้หว่านเมล็ดพืชแห่งความเชื่อลงในประเทศ ไทย บทความทั้ง 2 ภาคของคุณพ่อ Rocco นี้มีประโยชน์ต่อการเรี ยนรู้เรื่ องราวของคณะโดมินิกนั ในสยามอย่าง มาก เอกสารที่คุณพ่อได้อา้ งถึงนั้นได้แก่ จดหมายของ Fernando di S. Maria เราสามารถพบได้ใน Monumenta Ordinis Fratrum Praedicatorum Historica, Tomo X, Acta Capitulorum Generalium, vol. V, Rome, 1901, pp. 149153 เขียนเป็ นภาษาลาติน และคุณพ่อร็ อคโกก็ได้ช้ ีแจงเรื่ องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นโดยใช้เอกสารนี้ส่วนหนึ่ง เอกสารได้ ชี้ให้เห็นว่าปี ค.ศ. 1567 เป็ นปี ที่คณะโดมินิกนั เข้ามาในสยาม ไม่ใช่ปี ค.ศ. 1555 ดังที่หลายฝ่ ายเข้าใจกัน นอกจากนี้ยงั มีหนังสื ออีกเล่มหนึ่งคือ Compendium Historiae Ordinis Praedicatorium เขียนโดย A. Walz พระสงฆ์คณะโดมินิกนั พิมพ์ที่กรุ งโรมในปี ค.ศ. 1948 หน้า 497 ก็ได้ยนื ยันปี ค.ศ. 1567 นี้เช่นเดียวกัน และได้ กล่าวชื่อของมิชชันนารี 2 ท่านแรกตรงกันทีเดียว
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 20
มิชชันนารีคณะฟรันซิสกันและคณะเอากุสติเนียนในสยาม
dio
4.
ces e
of
Ba ngk o
k
ในระหว่างที่สยามมีสงครามกับพม่าในปี ค.ศ. 1569 ซึ่ งเป็ นปี ที่พม่ายึดกรุ งศรี อยุธยาไว้ได้ พวกพม่าได้พบ มิชชันนารี 3 ท่านกําลังสวดภาวนาอยูใ่ นวัดพวกพม่าได้ตดั ศีรษะพวกท่านเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1569 เนื่อง ด้วยพวกท่านทํางานอยูใ่ นสยาม เรื่ องนี้เราสามารถพบได้ในเอกสารของชาวโปรตุเกสซึ่ ง Da Silva ในหนังสื อของ เขาชื่อ Documentacao para a Historia das Missoes do Padroado Portugues do Oriente, หน้า 460-461และใน หนังสื อ Portugal na Tailandia ของ Teixeira หน้า 281 จึงเป็ นไปได้วา่ ทั้ง 3 ท่านนี้คงได้แก่ คุณพ่อเซบาสติอาว ดา กันโต กับมิชชันนารี อีก 2 ท่าน ที่ท่านได้นาํ มาจากมะละกา เพราะปี ค.ศ. 1567 และ 1569 นั้นอยูใ่ นระยะเวลาที่เกิด เหตุการณ์น้ ีพอดี เหตุการณ์เช่นนี้ได้เกิดขึ้นกับคุณพ่อ Jorge da Mota และคุณพ่อ Fonseca คือได้ถูกฆ่าตายในสยาม เราทราบจากหนังสื อเล่มเดียวกันนี้ การทํางานของคณะโดมินิกนั ในสยามมีอุปสรรคอยูเ่ สมอ จนกระทัง่ ในระหว่าง ปี ค.ศ. 1601-1619 คุณพ่อ Francisco da Anunciacao ได้ปักหลักสําเร็ จในสยาม งานแพร่ ธรรมของคณะโดมินิกนั ใน สยามดําเนินต่อมาโดยมีการขาดตอนอยูบ่ า้ งจนกระทัง่ ถึงปี ค.ศ. 1783 ผูท้ ี่สนใจเกี่ยวกับคณะโดมินิกนั ในสยาม ผมขอแนะนําให้อ่านหนังสื อของ Teixeira และขอให้มีความรู้ ภาษาโปรตุเกสด้วย เพราะในหนังสื อเล่มนี้มีเนื้อหาที่น่าสนใจอีกหลายประการทีเดียว
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
เกี่ยวกับเรื่ องราวของคณะฟรันซิ สกันในระยะแรกนั้น เรายังไม่ทราบอะไรมากนัก จากการศึกษาเอกสาร ของโปรตุเกส Da Silva ได้เล่าให้เรารู ้แต่เพียงชื่อของมิชชันนารี และระยะเวลาที่เข้ามาอยูใ่ นสยามเท่านั้น จึงเป็ นเรื่ อง ที่เราสามารถจะศึกษากันได้ต่อไป แต่ผมก็ยงั เชื่อว่าเราจะรู ้อะไรมากคงไม่ได้ Teixeira เองก็ยงั ไม่ได้ให้ขอ้ มูลมากนัก ข้อสังเกตประการหนึ่งก็คือ แต่เดิมเราเชื่อว่ามิชชันนารี ฟรันซิ สกันเข้ามาในสยามครั้งแรกในปี ค.ศ. 15841585 ผมได้รับหนังสื อประวัติของคณะฟรันซิ สกันเล่มหนึ่งชื่อ P. LORENZO PEREZ,O.F.M., Origen DE LAS Missiones Franciscanas en el Extremo Oriente, Madrid 1916 ซึ่ งเป็ นหนังสื อที่ศึกษามาจากเอกสารของคณะใน หอจดหมายเหตุ Archivo Ibero-Amenicano เลขที่ I, II, III, IV, V, VII, IX, XI, XIII, XV, XVIII. หนังสื อนี้เขียนเป็ น ภาษาสเปน ได้ให้เรื่ องราวส่ วนหนึ่งที่น่าศึกษา เสี ยดายที่ผมยังไม่เข้าใจภาษาสเปนดีพอ จึงยังไม่สามารถศึกษาได้ ยัง มีหนังสื ออีกเล่มหนึ่งคือ P. MARENLO DE RIBADENEIRA, Historia de las Islas del Archipielago Filipino y Reinos de la Jean China, Tartaria, Cochinchina, Malaga, Siam, Cambodge y japon, Madrid 1947 โดยคณะฟรัน ซิสกันเป็ นผูจ้ ดั พิมพ์ข้ ึน ก็มีเรื่ องราวของคณะนี้ในสยามอยูบ่ า้ งเหมือนกัน จากหนังสื อ 2 เล่มนี้รวมทั้งงานเขียนของ Da Silva และ Teixeira เราทราบว่า มิชชันนารี คณะนี้เข้ามามาใน สยามครั้งแรกในปี ค.ศ. 1582 รายชื่อและกิจการต่างๆ ของพวกมิชชันนารี ก็มีให้พวกเรารู ้ได้บา้ ง แต่ก็ไม่มากนัก จึง เป็ นเรื่ องที่สามารถศึกาาค้นคว้าได้ต่อไป ปี สุ ดท้ายที่เราพบพวก ฟรันซิสกันในสยามได้แก่ปี ค.ศ. 1755 ปั จจุบนั นี้มี นักบวชคณะฟรันซิ สกันเข้ามาทํางานในประเทศไทยเมื่อเร็ ว ๆ นี้เองอีกครั้งหนึ่ง
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 21
5.
มิชชันนารีคณะเยสุ อติ ในสยาม
5.1
เยสุ อติ องค์ แรกในสยาม
Ba ngk o
k
ส่ วนเรื่ องราวของคณะเอากุสติเนียนในสยาม เรายิง่ รู ้นอ้ ยกว่าคณะอื่นๆ เราทราบแต่เพียงชื่อของมิชชันนารี คณะนี้ที่เข้ามาในสยาม และมีการบันทึกไว้ในเอกสารเท่านั้น มิชชันนารี คณะนี้เข้ามาในสยามระหว่างปี ค.ศ. 16771704 จากนั้นเราก็ไม่ทราบอะไรอีกเลยเกี่ยวกับคณะนี้ในสยาม จากการอ่านหนังสื อของ Teixeira ได้บอกแต่ เพียงว่าในปี ค.ศ. 1704 นั้นคุณพ่อ Estevao de Sousa ได้สร้างโรงพยาบาลขึ้นมาเพื่อชาวโปรตุเกสในสยาม ดังนั้น นี่ก็เป็ นอีกเรื่ องหนึ่งซึ่ งเปิ ดกว้างสําหรับการศึกษาต่อไป เนื่องจากยังมีเอกสารภาษาโปรตุเกสและ สเปนอีกมากที่ยงั มิได้รับการศึกษาเลย
rch
dio
ces e
of
เรื่ องราวของคณะเยสุ อิตในสยามนี้ ดูเหมือนว่าเราสามารถรู ้ได้มากกว่าคณะอื่นๆ ในบรรดามิชชันนารี รุ่น แรกๆ ที่เข้ามาในสยาม ทั้งนี้เป็ นเพราะว่ามิชชันนารี เหล่านั้นชอบบันทึกและส่ งบันทึกนั้นกลับไปที่คณะของตนอยู่ เสมอ ประกอบกับคณะนี้ชอบการศึกษา ดังนั้นการเก็บเอกสารต่างๆ ก็เก็บไว้อย่างดี คณะเยสุ อิตในประเทศไทยก็ สนใจเรื่ องราวของตนเองมาก ได้ศึกษาและได้จดั ทําประวัติของคณะตนเองขึ้นมาด้วย คณะเยสุ อิตมีบทบาทอย่าง สําคัญในพระศาสนจักร มิชชันนารี ก็เป็ นผูท้ ี่ทุ่มเทเพื่อการประกาศพระวรสาร และมีชื่อเสี ยงหลายต่อหลายท่าน เป็ น มรณสักขีก็มากมาย ดังนั้นการศึกษาเรื่ องนี้จึงน่าสนใจอยูม่ ิใช่นอ้ ย.
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
นักประวัติศาสตร์ ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าเยสุ อิตองค์แรกที่เข้ามาในสยามนั้น ได้แก่ คุณพ่อบัลทาซาร์ เซเกอี ร า (Balthasar Sequeira) ชื่ อ นั้น ตรงกัน หมด แต่ ม ัก จะบอกปี ที่ เ ข้า มาแตกต่ า งกัน ไป เช่ น หนัง สื อ ประวัติศ าสตร์ พ ระศาสนจัก รในประเทศไทย ที่ ส ารสาสน์พิม พ์ข้ ึ นมา บอกว่า เป็ นปี ค.ศ. 1609, Wood และ Hutchinson นั้นบอกว่า เป็ นปี ค.ศ. 1606 พระสงฆ์เยสุ อิตผูห้ นึ่ ง ชื่ อ J.Burnay, Notes Chronologiques sur les Missions Jesuits du Siam au XVII Siecle, AHSI, XXII (1953) 171 หลังจากได้ตรวจสอบเอกสารต่างๆ และศึกษา จากหนังสื อต่างๆ โดยเฉพาะของ Du JARRIC แล้ว ก็ได้สรุ ปออกมาอย่างชัดเจนว่าคุณพ่อบัลทาซาร์ ได้ เดินทางออกจาก San Tome ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1606 และมาถึง Merqui, Tenasserim ประมาณเดือนธันวาคมและ มกราคม และในที่สุดก็เดินทางมาถึงอยุธยาระหว่างอาทิตย์ศกั ดิ์สิทธิ์ ของปี ค.ศ. 1607 นัน่ คือประมาณระหว่างวันที่ 19-26 มีนาคม ค.ศ.1607 ผูท้ ี่กล่าวว่าปี ค.ศ. 1606 นั้นเราก็สามารถพูดได้วา่ ไม่ผดิ เพราะเวลานั้น Merqui และ Tenasserim ยังเป็ นของ สยามอยู่ นักเขียนในสมัยนั้นคือ S. Purchas, Relations of the World Asia (the Fifth Book) พิมพ์ที่ London ในปี ค.ศ. 1617 เป็ นครั้งแรกได้ให้ความเห็นที่สอดคล้องกับเรื่ องนี้ในหน้า 556 ว่า "ในปี ค.ศ. 1606 บัลทาซาร์ เซเกอี รา เยสุ อิตขึน้ บกที่ Tenassary และเดินทางผ่ านไป ข้ ามแม่ นา้ํ ลําธาร ข้ ามห้ วยเนินที่ ลาํ บากและกันดาร ข้ ามป่ าเขาลําเนาไพร จนกระทั่งมาถึง Odia"
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 22
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
จากการศึกษาประวัติของคุณพ่อผูน้ ้ ี โดยใช้เอกสารที่เก็บอยูใ่ นหอจดหมายเหตุคณะเยสุ อิต ที่กรุ งโรม เรา ทราบว่าท่านเกิดที่ลิสบอนในปี ค.ศ. 1511 รับเข้าคณะในปี ค.ศ. 1566 ออกเดินทางจากลิสบอนเมื่อวันที่ 24 มีนาคม ค.ศ. 1578 มุ่งสู่ อินเดียด้วยเรื อชื่อ เซนต์หลุยส์ ซึ่ งเป็ นเรื อลําหนึ่งในขบวนเรื อที่ออกไปสู่ อินเดียทุกปี ท่านได้ถวาย มิสซาแรกที่ San Roque เมื่อวันที่ 12 มีนาคม ค.ศ. 1579 พร้อมกับเพื่อนๆ อีก 13 องค์ ซึ่ ง 1 ใน 3 องค์น้ ีได้แก่ คุณพ่อ Matteo Ricci ซึ่ งเป็ นมิชชันนารี ที่มีชื่อเสี ยงมากของคณะเยสุ อิตที่ทาํ งานในประเทศจีน คุณพ่อบัลทาซาร์ ได้เรี ยนและทํางานอภิบาลบ้าง สอนภาษาลาตินบ้างในอินเดิยนี้ จนถึงปี ค.ศ. 1605 แรก ทีเดียวคุ ณพ่อบัลทาซาร์ และคุณพ่อ Joao Costa ถูกกําหนดให้เดินทางไปแพร่ ธรรมที่ Pegu แต่บงั เอิญเกิดสงคราม ในพม่า จึงเห็นว่าอันตรายเกินกว่าจะเดินทางไปได้ ในระหว่างรัชสมัยของพระเจ้าเอกาทศรถ (ค.ศ. 1605-1610) ซึ่ ง ครองราชย์สืบต่อจากพระนเรศวรคณะทูตไทยคณะหนึ่ งถูกส่ งไปเข้าพบผูแ้ ทนพระมหากษัตริ ยโ์ ปรตุเกสที่เมืองกัว ทั้งนี้เพื่อฟื้ นฟูสัมพันธภาพกับอินเดีย ทูตผูน้ ้ นั มิได้นาํ พระราชสาสน์ไปมอบให้แก่ผแู้ ทนพระมหากษัตริ ยโ์ ปรตุเกส แต่อย่างเดียว แต่ยงั ได้นาํ จดหมายส่ วนพระองค์หลายฉบับไปมอบให้แก่ชาวโปรตุเกสบางคนที่เคยอาศัยอยูใ่ นสยาม และรู้จกั กับพระองค์ดว้ ย และหนึ่ งในจํานวนคนเหล่านั้นคือนาย Tistao Golayo ตอนนั้น Golayo อยูท่ ี่ San Tome และเคยมีมิตรภาพส่ วนตัวกับพระมหากษัตริ ยไ์ ทยเมื่อครั้งที่พระองค์ยงั ทรงเป็ นเจ้าฟ้ าอยู่ Golayo ตัดสิ นใจกลับมายัง สยามเพราะตระหนักดีวา่ มิตรภาพเช่นนี้เอื้ออํานวยและเป็ นผลดีกว่าการอยูท่ ี่อินเดีย Golayo เองยังเป็ นเพื่อนที่ดีของ คณะเยสุ อิตด้วย ประจวบกับเวลานั้นที่อินเดีย คุณพ่อ เจ้าคณะแขวงของเยสุ อิตอยู่ที่น่นั ด้วยคือ คุณพ่อ Gaspar Fernandes เขาจึงขอให้ส่งพระสงฆ์เยสุ อิตบางองค์มาที่สยามกับตน เพื่อเรี ยนรู้ลกั ษณะนิ สัย และขนบธรรมเนี ยม ประเพณี ของชาวสยาม คุณพ่อเจ้าคณะแขวงผูน้ ้ ีเอง เป็ นผูม้ ีความกระตือรื อร้นเต็มเปี่ ยมเพื่อพระราชัยของพระเป็ นเจ้า ได้มองเห็น โอกาสสําคัญนี้ที่จะเปิ ดภารกิจใหม่ข้ ึนมา จึงได้ส่งคุณพ่อเซเกอีราและมอบหมายภารกิจนี้ให้ เราไม่ทราบว่าท่านได้ทาํ อะไรไว้บา้ งในสยามในขณะที่ท่านอยู่ เรารู ้แต่เพียงว่าท่านอยูท่ ี่สยามเป็ นเวลา ประมาณ 2 ปี ครึ่ ง ท่านค่อนข้างชราแล้วเพราะท่านอยูท่ ี่อินเดียเป็ นเวลานานถึง 30 ปี แต่เนื่องจากท่านเป็ นเยสุ อิตคน เดียวที่มีอยูเ่ วลานั้นและสามารถไปสยามได้ ท่านจึงเป็ นผูถ้ ูกเลือก ราวๆ ปลายปี ค.ศ. 1609 ท่านป่ วยและต้องการ กลับไปที่เมืองกัว หรื อ โคชิน (แคว้นหนึ่งในอินเดีย) อย่างไรก็ตาม ท่านเสี ยชีวติ ระหว่างที่ท่านเดินทางกลับนัน่ เองที่เมือง Piple (ปัจจุบนั คือ เมืองเพชรบุรี) ใน หอจดหมายเหตุของคณะเยสุ อิตได้บนั ทึกเรื่ องราวของท่านไว้โดยบอกด้วยว่า ท่านมีอายุระหว่าง 55 หรื อ 59 ปี นอกจากนี้ De Marini สงฆ์เยสุ อิตอีกผูห้ นึ่งที่เข้ามาสยามหลังจากท่านเขียนบันทึกไว้และพิมพ์เป็ นหนังสื อในปี 1663 เล่าเช่นเดียวกันว่า "เป็ นเวลา 50 ปี มาแล้ วที่ คุณพ่ อ Baldassar Sequeira สมาชิ กคณะของเราได้ เข้ ามาและนํา พระวรสารมาสู่ อาณาจักรนี ้ ท่ านป่ วยและปรารถนาจะกลับไปที่ Goa หรื อ Cochin แต่ ท่านก็เสี ยชี วิตในระหว่ างการ เดินทางที่ เมือง Piple" จากการศึกษาของ Du Jarric เราทราบด้วยว่าท่านได้พยายามทํางานที่สยามเพื่อความรอด ของวิญญาณ และท่านยังได้ติดต่อกับพระสังฆราชแห่งมะละกาหลายครั้ง เพราะเป็ นผูม้ ีอาํ นาจทางพระศาสนจักร เหนือสยาม
5.2
บ้ านเยสุ อติ แห่ งแรกในอยุธยา (ค.ศ.1626-1632)
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 23
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
เบื้องต้นนั้น งานของคณะเยสุ อิตในสยามยังขาดบุคคลากรที่จะทํางานในสยาม งานจึงขาดช่วงอยูน่ าน พอสมควร การเข้ามาของสงฆ์เยสุ อิตก็มีความเป็ นมาแตกต่างกัน ดังจะเห็นได้จากการเข้ามาของคุณพ่อ Morejon, คุณพ่อ Antonio Francesco Cardim และคุณพ่อ Romano Nixi สงฆ์ญี่ปุ่น คุณพ่อ Morejon เข้ามาในสยามโดยบังเอิญ ในขณะที่คุณพ่อ Cardim ผ่านมาเท่านั้นเพื่อเดินทางไปลาว คุณ พ่อ Morejon เป็ นพระสงฆ์ชาวสเปน อายุ 63 ปี เกิดในปี ค.ศ. 1562 เข้าคณะ เยสุ อิตในปี ค.ศ. 1577 ออกจาก ยุโรปในปี ค.ศ. 1586 และทํางานเป็ นเวลานานในญี่ปุ่น ท่านเดินทางกลับไปยุโรปในฐานะผูด้ ูแลแขวงญี่ปุ่น แต่ดว้ ย กระแสเรี ยกแห่งธรรมทูต ท่านมีความปรารถนาที่จะกลับไปญี่ปุ่น จากหนังสื อของ Marini เราทราบว่าท่านเป็ น หลานชายของอัครสังฆราชแห่ง Toledo ในปี ค.ศ. 1625 ในขณะที่ท่านเดินทางกลับไปญี่ปุ่น ท่านเดินทางมาที่มะละ กาและเมื่อดูสถานการณ์ต่างๆ แล้ว ท่านตัดสิ นใจเดินทางมาสยามเพื่อรอโอกาสที่เหมาะสมในอันที่จะเดินทางไป ญี่ปุ่นต่อไป ท่านเดินทางมาถึงเมือง Ligor (ปั จจุบนั คือ จังหวัดนครศรี ธรรมราช) และได้รับทราบจาก Antonio Gonzalves Cavalleiro ชาวโปตุเกสซึ่ งเป็ นเพื่อนที่ดีของคณะเยสุ อิตว่า ไม่นานมานี้เกิดเหตุการณ์ ไม่เข้าใจกัน ระหว่างชาวสเปนที่มาจากฟิ ลิปปิ นส์ กับชาวสยาม นอกจากนี้ยงั ได้เล่าให้คุณพ่อ Morejon ทราบเกี่ยวกับความเป็ นไปได้ในการทํางาน แพร่ ธรรมในสยาม เขาได้เล่าว่าFernando de Silva ผูบ้ ญั ชาการจากฟิ ลิปปิ นส์ได้เข้ายึดเรื อของชาวดัชในแม่น้ าํ เจ้าพระยา ดังนั้นกษัตริ ย ์ สยามจึงสั่งให้จบั Fernando พร้อมทั้งทหารทั้งหมด Fernando ได้ต่อสู ้จนเสี ยชีวติ ทหารบางคนได้ถูกฆ่าตาย และอีก 30 คน ถูกจับขังคุก เมื่อคุณพ่อ Morejonได้ทราบเรื่ องนี้แล้ว ท่านก็เปลี่ยนแผนเดินทางทันที โดยเดินทางไปกัมพูชา แทน แต่จากกัมพูชา ท่านก็ไม่สามารถหาโอกาสเดินทางไปญี่ปุ่นได้เลย ดังนั้นในที่สุด ท่านก็จาํ ต้องเดินทางไปฟิ ลิปปิ นส์ และถึงที่นนั่ ราวๆ ครึ่ งปี แรกของ ค.ศ. 1625 โดยมุ่งหวังที่จะไปญี่ปุ่นเช่นเดิมโดย ผ่านทางมาเก๊า อีกทอดหนึ่ง ผูป้ กครองฟิ ลิปปิ นส์เวลานั้นคือ Fernando de Silva (คนละคนกับผูบ้ ญั ชาการทหารที่ถูกฆ่าตาย) ได้สนทนา กับคุณพ่อ Morejon ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1624 ที่สยาม คุณพ่อ Morejon มีประสบการณ์อนั ยาวนานกับ ชาวญี่ปุ่น และทหารองครักษ์ของกษัตริ ยส์ ยามซึ่ งเป็ นชาวญี่ปุ่นด้วย ก็มีอิทธิ พลมากในสยามเวลานั้น และก็เป็ น ชาวญี่ปุ่นนี้แหละที่ได้ร่วมต่อสู ้กบั ผูบ้ ญั ชาการ Fernando อย่างไรก็ตาม คุณพ่อ Morejon ก็จาํ ต้องเดินทางไป Macao ตามหมายกําหนดการ ดังนั้น ผูป้ กครอง ฟิ ลิปปิ นส์จึงได้เขียนจดหมายถึงอธิ การคณะเยสุ อิตที่ Macao โดยขอให้คุณพ่อ Morejon รับภารกิจในการไปสยาม เพื่อขอเชลยศึกคืนจากสยาม ซึ่ งอธิ การที่มาเก๊าก็เห็นดีดว้ ยกับข้อเสนอนี้ จึงให้คุณพ่อ Morejon ไปสยามโดยมี จุดมุ่งหมาย 2 ประการคือ 1. ก่อตั้งสยามให้เป็ นดินแดนแพร่ ธรรม 2. ปลดปล่อยเชลยชาวสเปนที่อยูใ่ นคุก
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 24
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
อันที่จริ ง นับว่าเป็ นสิ่ งที่ดีสาํ หรับคุณพ่อด้วย เพราะเท่าที่ผา่ นมาการเข้าประเทศญี่ปุ่นนั้นยากลําบากมาก เนื่องจากมีการเบียดเบียนศาสนาอยูใ่ นที่สุดคุณพ่อ Morejon ก็ออกจากมาเก๊าเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 1625 พร้อม กับเพื่อนอีก 2 ท่าน คือ คุณพ่อ Antonio Cardim ชาวโปรตุเกส และ คุณพ่อ Romano Nixi ชาวญี่ปุ่น หลังจากหยุดพัก สั้นๆ ที่ มะนิลาแล้วก็ออกเดินทางจากมะนิลาในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1626 และถึงอยุธยาในเดือนมีนาคม ท่าน สามารถทําให้ชาวสเปนที่อยูใ่ นคุกเป็ นอิสระได้ ท่านจึงเดินทางกลับมาที่มะนิลาอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับนักโทษ เหล่านั้น คุณพ่อ Cardim เล่าในหนังสื อที่ท่านเขียนไว้ในปี ค.ศ. 1645 ว่าดังนี้ "พวกเราเดินทางไปทีม่ ะนิลาและจากทีน่ ั่นก็เดินทางไปสยาม พวกเราเริ่มต้ นดําเนินการเพือ่ ปลดปล่ อยชาว สเปนให้ เป็ นอิสระและก็เป็ นผลสํ าเร็ จ คุณพ่ อเปโตร (Morejon) ก็เดินทางกลับพร้ อมๆ กับชาวสเปน" ส่ วนคุณพ่อ Cardim เองในขณะที่หาโอกาสที่จะไปลาวอยูน่ ้ นั ก็เริ่ มต้นเรี ยนภาษาสยาม ในขณะที่คุณพ่อ Nixi ก็อภิบาลชาวญี่ปุ่นประมาณ 400 คน ในหนังสื อของคุณพ่อ Marini ได้เล่าว่าคุณพ่อ Morejon และคุณพ่อ Cardim ได้สร้างบ้านเยสุ อิตหลังแรกในสยาม เป็ นไปได้มากที่สุดว่าสร้างอยูใ่ นค่ายของชาวญี่ปุ่นที่อยุธยานัน่ เอง เนื่องจากว่าในศตวรรษที่ 17 นั้น ในกรุ งศรี อยุธยามีค่ายของชนต่างชาติอยูห่ ลายค่ายด้วยกันทางตะวันออกเฉียงใต้ ของอยุธยา ตามชายฝั่งแม่น้ าํ คุณพ่อ Cardim ก็ได้พดู ถึงบ้านแห่งนี้เมื่อท่านเล่าว่า คุณพ่อ Nixi ดูแลอภิบาลชาวญี่ปุ่น ในวัดที่สยามที่พวกเขาได้สร้างขึ้นมา หลังจากที่คุณพ่อ Morejon เดินทางกลับไปมะนิลาแล้ว คุณพ่อชาวอิตาเลียนชื่อ Giulio Cesare Margico ถูก ส่ งมาอยุธยาเพื่อเป็ นอธิ การบ้าน ท่านมาถึงในเดือนสิ งหาคม ค.ศ. 1627 พร้อมทั้งได้นาํ จดหมายของผูป้ กครอง ฟิ ลิปปิ นส์มาถวายกษัตริ ยส์ ยามด้วย ในจดหมายนั้นได้กล่าวแสดงถึงความพึงพอใจในพระมหากรุ ณาธิ คุณในการ แก้ไขปั ญหาของชาวสเปนในสยามครั้งนี้ แต่ตน้ ๆ ปี ค.ศ. 1628 ชาวสเปนก็เริ่ มต้นสงครามโจรสลัดกับการค้าของ ชาวสยามอีก โดยการยึดเรื อและเผาเรื อของชาวสยาม ชาวสเปนจึงเป็ นที่หวาดกลัวของชาวสยามที่คา้ ขายทางเรื อ ดังนั้นชาวสยามจึง เกลียดชังคุณพ่อ Margico ด้วยโดยคิดว่าคุณพ่อมีส่วนอยูใ่ นการหลอกลวงของชาวสเปน ชาว สยามขู่ท่านถึงกับจะเผาท่านทั้งเป็ น ข้อนี้เป็ นไปตามคําเล่าของ Cardim เอง อย่างไรก็ตาม พระเจ้าทรงธรรม (ค.ศ. 1628-1629) ก็ได้แสดงพระองค์คู่ควรกับพระนามอย่างยิ่ง ด้วยการ ปล่อยท่านให้เป็ นอิสระ แต่ความเป็ นศัตรู ของชาวสยามก็ยงั คงมีอยู่ ท่านจึงต้องระวังกิจการต่างๆ ที่ท่านกําลังทํา เมื่อ พระเจ้าทรงธรรมเสด็จสวรรคตในปี ค.ศ. 1629 ประเทศสยาม ก็วุ่นวายไปด้วย ส่ วนสงฆ์เยสุ อิตเองก็ประสบกับ ความยุง่ ยากเช่นเดียวกัน คุณพ่อ Cardim เขียนเล่าไว้ดงั นี้ "สองสามเดือนหลังจากการสวรรคตของพระมหากษัตริ ย์ เมื่ อวันที่ 13 ธั นวาคม ค.ศ. 1629 ข้ าพเจ้ าก็ป่วยหนักจนกระทั่งว่ า พระมหากษัตริ ย์ พระองค์ ใ หม่ ทรงอนุญาตให้ ข้ าพเจ้ าเดินทางออกนอกประเทศได้ " ดังนั้นคุณพ่อ Cardim จึงออกจากสยามไปมะนิลา ส่ วนคุณพ่อ Margico และคุณพ่อ Nixi นั้นก็ถูกคริ สตัง เลวคนหนึ่งทรยศ เพราะว่าต้องการให้ตนพ้นจากความผิดบางอย่างที่คุณพ่อ Margico รู ้ดี คริ สตังคนนี้ใส่ ร้ายท่าน จนกระทัง่ คุณพ่อทั้งสองถูกจับและถูกคุมขัง ชาวญี่ปุ่นสามารถช่วยเหลือจนคุณพ่อ Nixi ได้รับการปล่อยตัวเป็ น อิสระ แต่ไม่สามารถช่วยเหลือคุณพ่อ Margico ได้ ต่อมาท่าน
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 25
5.3
Ba ngk o
k
ถูกวางยาพิษโดยคริ สตังผูน้ ้ นั และเสี ยชีวติ ในคุกในปี ค.ศ. 1630 คุณพ่อ Nixi ยังคงดูแลอภิบาลชาวญี่ปุ่นในสยาม ต่อไป แต่พระมหากษัตริ ยพ์ ระองค์ใหม่น้ ีไม่ไว้วางใจชาวญี่ปุ่นเหมือนเดิม ในระหว่างเดือนกันยายนถึงเดือน พฤศจิกายน ค.ศ. 1632 ทหารของพระมหากษัตริ ยก์ ็เข้าโจมตีค่ายญี่ปุ่น ชาวญี่ปุ่นจํานวนมากพร้อมกับคุณพ่อ Nixi ก็หลบหนีโดยเรื อ โดยไปที่เมือง Ligor และจากนั้นก็ต่อไปที่กมั พูชา คุณพ่อ Nixi เดินทางต่อไปมาเก๊า ซึ่ งท่านก็ เสี ยชีวติ ไม่นานหลังจากนั้น เป็ นอันว่ายุคแรกของคณะเยสุ อิตในสยามได้สิ้นสุ ดลงแล้ว
บ้ านเยสุ อติ หลังทีส่ อง และวิทยาลัยในอยุธยา (ค.ศ. 1655-1709)
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
พระสงฆ์เยสุ อิตเริ่ มเข้ามาในสยามอีกครั้งหนึ่งเมื่อคุณพ่อ Joao Maria Leria เข้ามากรุ งศรี อยุธยาในปี ค.ศ. 1639 แต่เป็ นเพียงทางผ่านเท่านั้น เพราะจุดมุ่งหมายที่แท้จริ งของท่านคือเดินทางไปลาว ดังนั้นเมื่อพักอยูท่ ี่สยามเป็ น เวลาไม่นานแล้ว ท่านก็ออกเดินทางไปจากสยามในปี ค.ศ. 1641 ปี ต่อมาคุณพ่อ Giovanni Filippo de Marini มาถึงกรุ งศรี อยุธยาเป็ นครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1642 คุณพ่อผูน้ ้ ีแหละที่ได้บนั ทึกหนังสื อขึ้นมาเล่มหนึ่งที่มีคุณค่ามากเกี่ยวกับ เยสุ อิตในสยาม ซึ่ งเราก็ใช้อา้ งอิง หลายครั้งแล้วในงานเขียนนี้ อันที่จริ งคุณพ่อ Marini มาถึง Tenasserim เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 1641 และ เดินทางมาถึง Piple (เพชรบุรี) เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1642 หลังจากนั้น 11 วันก็มาถึงอยุธยา ครั้งนี้นบั เป็ นการ เข้ามาสยามเป็ นครั้งแรกของท่าน เป็ นเรื่ องที่น่าสังเกตว่าระยะนี้สงฆ์เยสุ อิตที่เข้ามาในสยามนั้น มิได้เข้ามาเพื่อแพร่ ธรรมแต่มกั ผ่านมาเท่านั้น คุณพ่อ Marini มีจุดหมายปลายทางคือญี่ปุ่น ดังนั้นท่านจึงออกจากสยามในปี 1643 ทิ้ง สยามให้ปราศจากสงฆ์เยสุ อิตจนกระทัง่ ถึงปี ค.ศ. 1655 เมื่อคุณพ่อที่มีชื่อเสี ยงผูห้ นึ่งเข้ามาในสยามคือ คุณพ่อ Tomasso Valguarnera ชาวซิ ซิเลียนในอิตาลี ท่านผูน้ ้ ีเองจะเป็ นผูก้ ่อตั้งบ้านเยสุ อิตหลังที่สอง และวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ซึ่งมีชื่อว่า San Salvador เรื่ องนี้มีรายงานไว้อย่างชัดเจนในหนังสื อของ Sommervogel พระสงฆ์คณะเยสุ อิต ซึ่งพิมพ์ ในปี ค.ศ. 1898 คุณพ่อ Valguarnera เดินทางมาจากมาเก๊าและท่านก็อยูใ่ นสยามจนกระทัง่ ถึงปี ค.ศ. 1670 จากนั้น ท่านได้รับแต่งตั้งจากคณะให้เป็ นผูต้ รวจการแขวงปกครองจีนและญี่ปุ่นด้วย ท่านกลับมาอยูท่ ี่สยามอีกครั้งหนึ่งเมื่อ วันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1675 และเสี ยชีวติ ที่สยามนี้เองเมื่อวันที่ 19 มกราคม ค.ศ. 1677 คุณพ่อ Valguarnera เข้ามาสยามครั้งนี้พร้อมกับคุณพ่อ Francisco Rivas ซึ่ งต้องการมาสยามเพื่อผ่านไป โคจินจีน สาเหตุของการมาของคุณพ่อทั้งสองก็เนื่องมาจากว่าคริ สตังจํานวนมากซึ่ งส่ วนใหญ่เป็ นชาวญี่ปุ่นได้ขอ พระสงฆ์เยสุ อิต 1 หรื อ 2 องค์เพื่อมาอภิบาลดูแลวิญญาณพวกเขาในสยาม เกี่ยวกับเรื่ องนี้ Marini เขียนไว้วา่ "เนื่องจากว่ าในเมืองมีคริ สตชนจํานวนมากซึ่งส่ วนใหญ่แล้ วเป็ นชาวญีป่ ุ่ น ได้ ตกลงกันเป็ นเอกฉันท์และส่ งจดหมาย ฉบับหนึ่งไปทีม่ าเก๊ า เขียนถึงผู้ตรวจการของคณะโดยขอร้ องให้ ท่านส่ งพระสงฆ์บางองค์ มาอภิบาลดูแลวิญญาณ พวกเขาพวกเขาขอพระสงฆ์ 2 องค์ หนึ่งในสององค์ นั้นคือ คุณพ่อ Tomasso Valguarnera ชาวซิซิเลียน" กัปตันเรื อชาวโปรตุเกสคนหนึ่งชื่อ Sebastiao Andres เดินทางมาถึงอยุธยาในเวลาไล่เลี่ยกับคุณพ่อ Valguarnera และได้ขอสมัครเข้าเป็ นสมาชิกของคณะเยสุ อิตในฐานะ Brother ผูช้ ่วย เขาเสี ยชีวติ 7 เดือนต่อมา โดยทิ้งทรัพย์สินของเขามูลค่า 14,000 Seudi Romani ให้แก่คณะเยสุ อิตเพื่อใช้ก่อสร้างวิทยาลัย เขายังไม่ทราบแน่ชดั ว่าหากเปรี ยบเทียบกับค่าเงินในปั จจุบนั นี้ ทรัพย์สินจํานวนนี้จะคิดเป็ นเงินเท่าใดกันแน่
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 26
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
คุณพ่อ Valguarnera ได้สร้างบ้านพักหลังที่สองขึ้นพร้อมกับวัดแห่งหนึ่งในบริ เวณค่ายโปรตุเกส คนละฝั่ง แม่น้ าํ เยื้องๆ กับค่ายญี่ปุ่น ประมาณปี ค.ศ. 1656 และประวัติของคณะเยสุ อิตบันทึกว่า คุณพ่อเองได้รับแต่งตั้งเป็ น อธิการองค์แรก นอกจากนี้ยงั มีบนั ทึกไว้ดว้ ยว่าในปี ค.ศ. 1666 มีโรงเรี ยนอยูใ่ นบ้านพักของท่านด้วย "คุณพ่อเหล่ านี้ ตั้งโรงเรียนแห่ งหนึ่งขึ้นในบ้ านของพวกท่ าน ซึ่งพวกท่านใช้ ในการสอนและอภิบาลไปด้ วย" นอกจากบ้านพัก วัด และโรงเรี ยนแห่งนี้แล้ว วิทยาลัยที่ Sebastiao Andres มีความปรารถนาให้สร้างขึ้นด้วย ทรัพย์สินของตนนั้น ก็จาํ เป็ นต้องสร้างขึ้นด้วย และที่สุดคุณพ่อ Valguarnera ก็สร้างขึ้นมา ในจดหมายเวียนปี ค.ศ. 1671 กล่าวเอาไว้วา่ "คุณพ่ อ Valguarnera ซึ่งเวลานี้เป็ นผู้ตรวจการคนแรกของคณะในตะวันออกได้ สร้ างบ้ านพัก วิทยาลัย ในอาณาจักรสยาม พระสงฆ์ 4 องค์ และ Brother ผู้ช่วย 1 องค์ ทํางานในด้ านอภิบาล ศีลศักดิ์สิทธิ์ ประกาศ พระวาจาในวิทยาลัย สอนนักเรี ยนในโรงเรี ยน" บันทึกนี้แสดงว่าคุณพ่อ Valguarnera ต้องสร้างวิทยาลัยแล้วใน ระหว่างปี ค.ศ. 1660-1670 เพราะว่าท่านได้รับแต่งตั้งเป็ นผูต้ รวจการจีนและญี่ปุ่นในระหว่างปี ค.ศ. 1671-1675 แล้ว จึงกลับมาสยามอีกครั้งหนึ่งในปี ค.ศ. 1675 พระเจ้าแผ่นดินแห่งสยามทรงได้ยนิ ชื่อเสี ยงกิตติศพั ท์ของคุณพ่อ Valguarnera เกี่ยวกับความสามารถใน การออกแบบก่อสร้างและวิศวกรรม ทรงมีรับสัง่ ให้คุณพ่อเป็ นผูส้ ร้างป้ อมปราการต่างๆ ที่กรุ งเทพ, นนทบุรี, อยุธยา และหัวเมืองอื่นๆ เพื่อป้ องกันราชอาณาจักร นอกจากนี้ยงั ทรงมีรับสั่งให้สร้างตําหนักใหม่ของพระองค์ที่ลพบุรี ภายใต้การออกแบบและควบคุมการก่อสร้างของคุณพ่อ Valguarnera ผูน้ ้ ี จากเอกสารที่ Launay รวบรวมไว้มีบนั ทึก ไว้วา่ "ทางด้ านคณะเยสุ อิต คุณพ่ อ Thomas Valguarnera ชาวซิซิเลียน และอธิการกําลังยุ่งทีเดียวกับการก่อสร้ าง ต่ างๆ " คุณพ่อ Valguarnera เป็ นที่พอพระทัยของพระนารายณ์อย่างยิง่ จนว่าเมื่อครั้งที่วดั เยสุ อิตเกิดไฟไหม้ข้ ึนโดย อุบตั ิเหตุน้ นั สมเด็จพระนารายณ์ทรงพระราชทานวัดใหม่ให้คุณพ่อซึ่ งเป็ นวัดที่ดีกว่าวัดเดิมเสี ยอีก ไฟไหม้ครั้งนั้นเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1658 เรื่ องนี้เราทราบจากหนังสื อของ Chappoulie นอกจากนี้ในเอกสารที่ รักษาไว้ในหอจดหมายเหตุของคณะที่กรุ งโรม หมวดญี่ปุ่นและจีน vol.162 แผ่นที่ 67 ได้แสดงให้เห็นว่าพระ นารายณ์ทรงมีพระบรมราชานุญาตให้คุณพ่อ Valguarnera ปฏิบตั ิ งานแพร่ ธรรมท่ามกลางประชาชนในสยามอย่าง อิสระเสรี ทุกประการ อีกประการหนึ่งที่น่าสนใจ ก็คือ ตามปกติพระองค์ไม่ทรงอนุญาต ให้ชาวต่างชาติติดตามพระองค์ไปในที่ต่างๆ มีแต่คุณพ่อผูน้ ้ ี ที่สามารถอยูข่ า้ งพระกายพระองค์ ยังมี เรื่ องที่น่าสนใจของคุ ณพ่อผูน้ ้ ี อีกประการหนึ่ งซึ่ ง ผมพบจากหนังสื อของ Giovanni Gnolfo ชื่ อ Un Missionario Assorino : Tommaso dei Conti Valguarnera s.j. (1609-1677) เป็ นประวัติอย่างละเอียดของคุณ พ่อโดยอ้างอิงเอกสารต่างๆ มากมายที่น่าเชื่ อถือ หนังสื อนี้ บรรยายถึงวิธีการของสงฆ์เยสุ อิตในเอเชียประการหนึ่ งก็ คือ การปรับวัฒนธรรม เช่น Matteo Ricci (+ค.ศ. 1610) ได้กระทําในประเทศจีน, Roberto de Nobile ในอินเดีย คุณ พ่อ Valguarnera เองก็ได้ทาํ เช่นเดี ยวกันนี้ ในเมืองกัว, มาเก๊า และที่สยามด้วย ท่านเขียนงานเขียนทางด้านศาสนา ขึ้นมาหลายชิ้นโดยเขียนเป็ นภาษาสยาม "ในด้ านงานแพร่ ธรรมของท่ านด้ วยงานเขียน งานเขียนที่ สําคัญที่ สุดได้ แก่ พจนานุกรมภาษาสยาม ซึ่ งธรรมทูตร่ วมสมัยของท่ า นได้ แก่ Marini ได้ กล่ าวถึ งเรื่ องนี ้ไว้ ในงานเขี ยนของเขา" อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีใครค้นพจนานุกรมเล่มนี้เลย รวมทั้งงานเขียนอื่นๆ ของคุณพ่อด้วย หนังสื อของ Gnolfo เล่มนี้ ให้ขอ้ มูลที่น่าสนใจอีกมากเกี่ยวกับคุณพ่อ Valguarnera
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 27
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
ในปี ค.ศ. 1659 คุณพ่อ Cardoso มาที่สยามโดยเดินทางมาจากมาเก๊า และในปี ค.ศ. 1663 ท่านก็สืบตําแหน่ง อธิ การที่สยามนี้แทนคุณพ่อ Valguarnera ซึ่ งกําลังยุง่ มากเกี่ยวกับการก่อสร้างต่างๆ J. Burnay ซึ่ งศึกษาเกี่ยวกับเย สุ อิตกล่าวไว้ดว้ ยว่า ท่านไม่ทราบว่าคุณพ่อ Cardoso ออกจากสยามไปตั้งแต่เมื่อใดเพราะไม่พบหลักฐานบันทึกไว้ ทราบแต่เพียงว่าท่านได้รับแต่งตั้งเป็ นเจ้าคณะแขวงญี่ปุ่นในระหว่างปี ค.ศ. 1673-1676 คุณพ่ออีกองค์หนึ่งซึ่ งต่อไป จะมีบทบาทที่สาํ คัญในส่ วนหนึ่งของคณะเยสุ อิตในสยามที่ควรกล่าวถึงไว้ ณ ที่น้ ีได้แก่ คุณพ่อ John Baptist Maldonado ชาวเบลเยีย่ ม ท่านอยูใ่ นกรุ งศรี อยุธยาระหว่างปี ค.ศ. 1673-1691 และหลายปี ในระหว่างนี้ท่านเป็ น อธิ การด้วย นอกเหนือจากพระสงฆ์ที่เอ่ยนามมาแล้วนี้ ในระหว่างระยะเวลา 54 ปี คือ ค.ศ. 1655-1709 มีพระสงฆ์เย สุ อิตประมาณ 30 องค์ ผ่านมาพักที่บา้ นเยสุ อิตในสยาม เป็ นชาวโปรตุเกส 19 องค์, เบลเยีย่ ม 1 องค์, โปแลนด์ 1 องค์, ชาวญี่ปุ่น 1 องค์ และชาวฝรั่งเศส 4 องค์ เราสามารถสรุ ปจุดมุ่งหมายในการผ่านมาสยามได้ดงั นี้ พระสงฆ์พวก นี้ประมาณ 16 องค์ ผ่านมาเพื่อเดินทางต่อไปจีน หรื อไม่ก็ถูกขับไล่มาจากมิสซังอื่นๆ บริ เวณนี้ ตามปกติ ที่บา้ นพักของเยสุ อิตนี้มีนอ้ ยครั้งมากที่มีสมาชิกประจํา 4 องค์ ปกติมีเพียง 2 องค์ประจําเท่านั้น ราวๆ ต้นศตวรรษที่ 18 มีแต่เพียงคุณพ่อ Gaspar da Coste เท่านั้น และเมื่อท่านเสี ยชีวติ ในปี ค.ศ. 1709 ก็มี ระยะเวลาประมาณ 1-2 ปี ที่ไม่มีสงฆ์เยสุ อิตอยูท่ ี่บา้ นพักเลยแม้แต่ องค์เดียว.