ภูมหิ ลังของประวัติศาสตร์ มสิ ซังสยาม
การสั งคายนาเตรนโต (ค.ศ. 1545-1563)
ces e
1.
of
Ba ngk o
k
อันที่จริ งเรื่ องราวของสงฆ์คณะต่างๆ ที่มีอยูใ่ นสยามจนถึงตอนนี้ยงั มีเรื่ องที่น่าสนใจที่เกิดขึ้น และควรแก่ การศึกษา แต่เรื่ องทั้งหมดนี้จาํ เป็ นต้องทราบภูมิหลังเสี ยก่อน ดังนั้น เราจะหยุดเรื่ องของสงฆ์คณะต่างๆ ไว้เพียง เท่านี้เพื่อมาเรี ยนรู ้ถึงภูมิหลังเสี ยก่อน เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องและชัดเจนในการลําดับความคิด ภูมิหลังเหล่านี้ ผูกพันไปมิใช่เฉพาะทางเอเชีย แต่ตอ้ งโยงกลับไปถึงยุโรปด้วย นอกจากนี้ภูมิหลังของประวัติศาสตร์ ไทยเองก็มีความสําคัญไม่นอ้ ย แต่สาํ หรับทางด้านประวัติศาสตร์ไทย นั้นจะไม่ขอกล่าวถึงมากนักเพื่อการแยกแยะเรื่ องราวที่ชดั เจน ผูป้ ระสงค์จะเข้าใจให้ละเอียดมากกว่านี้ก็ขอให้ศึกษา ประวัติศาสตร์ ไทยในสมัยนี้ไว้ดว้ ย และเมื่อเราเรี ยนรู ้ภูมิหลังเหล่านี้แล้ว เราจะทราบถึงบทบาทของสงฆ์คณะต่างๆ ในสยามต่อไป
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ศตวรรษที่ 16 เป็ นยุคสมัยแห่งการปฏิรูปโดยแท้จริ ง เพราะเหตุวา่ มีปัจจัยหลายด้านทําให้เกิดมีการ เปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในพระศาสนจักร ทั้งด้านความเชื่อและการปกครองของพระ ศาสนจักร เกิดมี แนวความคิดทางเทวศาสตร์ และแนวทางปฏิบตั ิใหม่ๆ ขึ้นมา จนกระทัง่ ก่อให้เกิดมีการแยกตัวของลัทธิ ความเชื่อ ต่างๆ เช่น แองกลิกนั , ลูเธอราน, คาลวิน, ซวิงลี พระศาสนจักรคาทอลิกต้องหันมาปฏิรูปตัวเองด้านต่างๆ เพื่อปรับ จุดอ่อนต่างๆ ของตน จุดศูนย์กลางของการปฏิรูปพระศาสนจักรคาทอลิกในเวลานั้น อยูท่ ี่การสังคายนาที่เมืองเตรนโต ซึ่งถือเป็ น เหมือนพลัง แนวโน้มพิเศษ และหลากหลายในการปฏิรูปด้านต่างๆ ของพระ ศาสนจักร เป็ นการรวมเอาการ ตัดสิ นใจทั้งหมดทั้งด้านข้อคําสอน ระบบเทวศาสตร์ ระเบียบวินยั กฎเกณฑ์ และการอภิบาลวิญญาณ การสังคายนา ที่เมืองเตรนโตเป็ นพลังที่อยูภ่ ายในพระศาสนจักรมาเป็ นเวลานานถึง 4 ศตวรรษทีเดียว เป็ นจุดอ้างอิงถึงชีวติ พระศา สนจักรในแง่มุมต่างๆ เสมอมา แน่นอนที่สุด บรรดามิชชันนารี ที่เข้ามาแพร่ ธรรมตามที่ต่างๆ ทัว่ โลกต่างได้รับการ อบรมและ เตรี ยมตัวด้วยข้อคําสอนเหล่านี้ของสังคายนาที่เมืองเตรนโตนี้ดว้ ย เราจึงควรศึกษาถึงการสังคายนาเตรน โตนี้สักเล็กน้อย เพื่อจะได้ทราบว่าบรรดาธรรมทูตเหล่านี้มีอะไรที่ฝังแน่นในจิตใจ และเขามีท่าทีอย่างไรกับศาสนา อื่นๆ ที่พวกเขาได้มาสัมผัสด้วย ผูท้ ี่สนใจศึกษาเกี่ยวกับการสังคายนานี้ อย่างละเอียดก็สามารถทําได้ไม่ยากนัก เพราะมีหนังสื อมากมายที่ศึกษาถึงเรื่ องนี้ไว้แล้ว
จุดประสงค์ ของการสั งคายนาทีเ่ ตรนโต
Hi sto
ก.
ข.
1. ตัดสิ นใจลงโทษเฮเรติ๊ก 2. ปฏิรูปพระศาสนจักร 3. เพื่อความเป็ นหนึ่งเดียวของพระศาสนจักรต่อต้านอันตรายจากพวกเติร์ก
ระยะเวลาของการสั งคายนา
ด้วยเหตุผลสําคัญหลายประการทําให้การสังคายนาต้องใช้ระยะถึง 3 ระยะด้วยกันดังนี้
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 35
k
Ba ngk o
สรุปข้ อคําสอนและคําสั่ ง (Docrine, Decree) ของการสั งคายนาทีเ่ ป็ นประโยชน์
1. ศีลศักดิ์สิทธิ์ มีท้งั หมด 7 ศีลเท่านั้น 2. ไม่ได้เกิดใหม่ดว้ ยนํ้าและพระจิต ไม่ได้รับความรอด 3. เอกสารคําสั่งทางการที่ออกมา หลังจากได้ถกเถียงและประกาศแล้ว • เกี่ยวกับข้อความเชื่ อ สังคายนาที่เตรนโตกําหนดแหล่งต่างๆ ของการเปิ ดเผยของพระ (Revelation) กําหนดให้หนังสื อพระคัมภีร์เป็ นแหล่งของการเปิ ดเผยของพระและพระศาสนจักร มีสิทธิ์ ในการ ตีความพระคัมภีร์ที่แท้จริ งได้ ตัดสิ นลงโทษการตีความส่ วนบุคคล ทั้งนี้มิใช่ต่อสู ้กบั แนวความคิดของ พวก Protestants เท่านั้น แต่ยงั เป็ นการต่อสู ้กบั ข้อสงสัยต่างๆ ของอาจารย์ต่างๆ ฝ่ ายคาทอลิกอีกด้วย • เกี่ยวกับบาปกําเนิ ดและการตัดสิ นความรอด (Justification) เอกสารนี้ สืบเนื่ อง มาจากคําสอนของลู เธอร์ และของพวก Anabaptists การออกเอกสารนี้พบกับความยากลําบากมาก ต้องประชุมขั้นแรกถึง 34 ครั้ง และขั้นที่สอง 61 ครั้งด้วยกัน ในที่สุดก็ปฏิเสธคําสอนของลูเธอร์และของพวก Anabaptists รวมทั้งไม่ยอมรับความคิดเห็นของ Seripando ซึ่ งมีแนวความคิดของ St.Augustine ที่วา่ ราคะตัณหานั้นเป็ นบาปในตัวของมันเองและไม่ยอมที่จะให้คาํ จํากัดความเรื่ องการปฏิสนธิ ของพระ นางมารี อาซึ่ ง Pacheco เป็ นผูเ้ สนอด้วยเกี่ยวกับเรื่ อง Justification สังคายนาบัญญัติวา่ พระหรรษทาน เป็ นสิ่ งแรกของขบวนการทั้งหมดของการตัดสิ นความรอด แต่มนุษย์มีอิสระที่จะร่ วมมือกับพระหรรษ ทาน ยืนยันว่ามนุษย์สามารถทําตนให้ศกั ดิ์สิทธิ์ ได้ดว้ ยตนเอง มิใช่แต่เป็ นได้โดยจากภายนอกเข้ามา ปฏิเสธข้อคําสอนที่วา่ ความเชื่อเท่านั้นช่วยให้รอดได้ นอกจากนี้ยงั บัญญัติให้ถือพระบัญญัติต่างๆ และมีความพากเพียรอุตสาหะด้วย • ให้คาํ จํากัดความข้อคําสอนเกี่ยวกับศีลศักดิ์ สิทธิ์ ต่างๆ กําหนดให้มีศีลศักดิ์สิทธิ์ ท้ งั หมด 7 ศีล และผล ของศีลศักดิ์สิทธิ์ แบบ Ex opere operato ไม่ใช่มีผลแบบ Ex opere operantis เท่านั้น จํากัดความว่า ศีลศักดิ์สิทธิ์ น้ ีพระเป็ นเจ้าเองเป็ นผูต้ ้งั ขึ้น สังคายนาทําเช่นนี้เพราะได้รับอิทธิ พลจากหนังสื อ De Captivitate Babylonica ของลูเธอร์ รวมทั้ง Confessio Augustana ซึ่ งสังคายนาจําเป็ นต้องชี้แจงเรื่ องนี้ ให้แจ่มชัด • เกี่ยวกับการปฏิรูปพระศาสนจักร สังคายนาใช้เอกสารที่สาํ คัญๆ 2 ชิ้นด้วยกัน
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
ค.
1. ระยะเวลาที่หนึ่ง ตั้งแต่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 1545 ถึง 2 เมษายน ค.ศ. 1547 ที่เมืองเตรนโตตั้งแต่ 21 เมษายน ค.ศ. 1547 ถึง 17 กันยายน ค.ศ. 1549 ที่เมืองโบโลญ 2. ระยะเวลาที่สอง ตั้งแต่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1551 ถึง 28 เมษายน ค.ศ. 1552 ที่เมือง เตรนโต 3. ระยะเวลาที่สาม ตั้งแต่ 18 มกราคม ค.ศ. 1562 ถึง 4 ธันวาคม ค.ศ. 1563 ที่เมืองเตรนโต
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 36
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
1. เพื่อการประกาศพระวรสาร (Evangelization) สังคายนากําหนดให้มีการสอนพระคัมภีร์โดยบังคับ ให้สอนในอาสนวิหารต่างๆ ในวิทยาลัย ในอารามฤาษีและอารามนักบวชต่างๆ ในโรงเรี ยนระดับ มัธยม พระสงฆ์ถูกบังคับให้เทศน์ใน วันอาทิตย์ ในโอกาสฉลองอย่างสง่า และสังฆราชต้องเป็ น ผูเ้ ทศน์ดว้ ยตนเอง รวมทั้งพวกพระสงฆ์และพวกที่ดูแลวิญญาณทั้งหลายด้วย มิฉะนั้นจะต้องถูก เตือนและถูกลงโทษตามกฎหมายพระศาสนจักร 2. เพื่อการอภิบาลสัตบุรุษ สังคายนาออกกฎบังคับให้บรรดาพระสังฆราชและ ผูอ้ ภิบาลทุกคนที่ เป็ นเจ้าของ Benefices ต่างๆ ให้ประจําอยูใ่ นสังฆมณฑลและวัดของตน มิฉะนั้นต้องถูกปรับเงิน ส่ งให้สันตะสํานัก 3. Decree ที่สองของการปฏิรูปได้แก่ การห้ามมิให้บุคคลคนหนึ่งเป็ นเจ้าของ Benefice มากกว่า 1 แห่ง เพราะเป็ นสาเหตุทาํ ให้เกิด Absentism ขึ้นมา 4. เรื่องของความเชื่ อ ได้มีการถกเถียง พิจารณาและหาข้อสรุ ปได้รวดเร็ วมาก เพราะได้มีการพิจารณาเรื่ อง นี้กนั มาแล้วที่ Trento และ Bologna ดังนั้นจึงได้ออกเอกสารคําสั่ง (Decreee) เกี่ยวกับศีลมหาสนิท ว่า เป็ นการประทับอยูจ่ ริ งๆ แบบ Transubstantiation รวมทั้งที่สักการะภายนอกของมิสซาให้คาํ จํากัดความ ข้อความเชื่อในกฎหมาย และเน้นด้านการอภิบาลในเรื่ องนี้ดว้ ยเกี่ยวกับศีลอภัยบาปว่าเป็ นศีลศักดิ์สิทธิ์ เป็ นพระที่ได้ต้งั ขึ้น ธรรมชาติของศีลอภัยบาปได้แก่ การเป็ นทุกข์เสี ยใจ การสารภาพบาป และการใช้ โทษบาป ความหมายของการตัดสิ นและการยกบาป รวมทั้งเรื่ องการสารภาพบาปส่ วนตัวอีกด้วย เกี่ยวกับศีลเจิมสุ ดท้าย อธิ บายความเป็ นศีลศักดิ์สิทธิ์ พระเป็ นผูต้ ้ งั ขึ้น และผูป้ ระกอบพิธี ฯลฯ 5. การรับศีล 2 เพศ ในพระคัมภีร์ได้บนั ทึกไว้อย่างแจ้งชัด และมิได้บงั คับให้รับศีล 2 เพศ โดยถือว่าเป็ น กฎของพระเลย การรับศีลภายใต้เพศเดียวก็รับพระคริ สตเจ้าทั้งครบ และเพียงพอโดยสมบูรณ์สาํ หรับ ความรอด ทั้งไม่สูญเสี ยพระหรรษทานที่จาํ เป็ นประการใดเลย อย่างไรก็ตาม พระศาสนจักรมีอาํ นาจที่ จะเปลี่ยนแปลงการประกอบศีลศักดิ์สิทธิ์ โดยให้การตัดสิ นใจอยูท่ ี่พระสันตะปาปาว่าให้ชาติใดรับศีล 2 เพศหรื อไม่ เอกสารคําสั่งเรื่ องนี้ ยังไปเกี่ยวข้องกับเรื่ องศีลมหาสนิทที่พิจารณากันในระยะที่สองของ การสังคายนาด้วย จึงปรากฎว่าเป็ นการสังคายนาที่มีความต่อเนื่องกัน 6. มิสซา เอกสารคําสั่งให้คาํ จํากัดความว่าเป็ น Representation และเป็ นการระลึกถึงการถวายบูชาบนไม้ กางเขน เป็ นการถวายบูชาเดียวกันกับการที่พระคริ สตเจ้ามอบพระองค์เป็ นบูชา เป็ นสงฆ์ ผิดกันแต่วา่ วิธีการถวายบูชาบนไม้กางเขนกับบนพระแท่นในมิสซาเท่านั้น ผูม้ ีความเชื่อได้รับผลจากการถวายบูชา บนไม้กางเขนนี้ ทั้งสําหรับผูเ้ ป็ นและผูต้ าย ดังนั้นเป็ นการถวายบูชาที่แท้จริ ง ถวายแด่พระเท่านั้น แม้วา่ จะเป็ นการให้เกียรติแก่บรรดานักบุญด้วย มิสซาส่ วนตัวได้รับการรับรองเพราะมีความหมายส่ วนรวม ผูถ้ วายบูชาถวายมิสซาสําหรับทุกๆ คน การถวายมิสซาโดยใช้ภาษาท้องถิ่น ถูกตัดสิ นว่าไม่เหมาะสม แต่ย้าํ ว่าให้มีการอธิ บาย สิ่ งที่อ่านในมิสซาอยูเ่ สมอๆ ให้ใช้บท Canon ที่กาํ หนดไว้ กฎของการแต่งกาย การจัดเทียนบนแท่นและอื่นๆ
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 37
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
7. ศีลบวช ความเป็ นสงฆ์ที่เห็นได้และทําหน้าที่ศกั ดิ์สิทธิ์ ถูกแสดงอยูใ่ นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ งกับการ ถวายบูชาของมิสซา ยืนยันถึงความศักดิ์สิทธิ์ ของศีลบวชและมีฐานันดรศักดิ์พระสังฆราชนั้นอยูเ่ หนือ พระสงฆ์ ส่ วนหน้าที่ต่างๆ เกี่ยวกับเรื่ องการเงินจากศีลต่างๆ นั้นให้คงอยูต่ ่อไป 8. ศีลแต่ งงาน ยืนยันถึงความศักดิ์สิทธิ์ การลบล้างไม่ได้ของการแต่งงาน และอํานาจของพระศาสนจักรที่ จะกําหนดข้อขัดขวางต่างๆ ตัดสิ นลงโทษการสอนของพวก Protestants เช่น การแต่งงานของ พระสงฆ์และนักบวช การแต่งงานทุกชนิดที่กระทําโดยไม่มีพระสงฆ์เจ้าวัด หรื อผูแ้ ทนเจ้าวัด พร้อมทั้ง พยาน เป็ นการแต่งงานที่ไม่ถูกต้องและเป็ นโมฆะ ทั้งนี้เพื่อป้ องกันมิให้มีการแต่งงาน 2 ครั้ง ดังนั้นจึงมี การประกาศการแต่งงานล่วงหน้าก่อนพิธีแต่งงาน 9. พระคุณการุ ณ สังคายนายืนยันถึงอํานาจของพระศาสนจักรที่จะมอบพระคุณการุ ณ รวมทั้งประโยชน์ ของการใช้ดว้ ย เวลาเดียวกันก็ตดั สิ นลงโทษข้อคําสอนที่สอนตรงข้ามเกี่ยวกับเรื่ องไฟชําระ สังคายนาก็ ยืนยันถึงความมีอยูข่ องไฟชําระความช่วยเหลือของผูเ้ ป็ น และความช่วยเหลือของบูชามิสซา แต่ก็หา้ ม การหาเงินและการยึดถือเรื่ องนี้แบบซูแปร์ ติซงั หรื อสอนผิดๆ ให้แก่ประชาชน 10. เรี ยกร้องให้คณะสงฆ์ได้ตระเตรี ยมด้านการศึกษา ด้านศีลธรรม เพื่อศักดิ์ศรี ของพระสงฆ์ 11. พระสังฆราชต้องเอาใจใส่ ในการปฏิรูปอารามนักบวชต่างๆ โดยต้องออกเยีย่ ม (Pastoral Visit) ประจําปี และต้องเรี ยกอธิ การต่างๆ เพื่อให้แก้ไขข้อบกพร่ องต่างๆ ที่มีในฐานะที่เป็ นผูร้ ับมอบอํานาจ จากสันตะสํานัก พระคุณการุ ณมีแต่สังฆราชเท่านั้น ที่มอบให้ได้ อารามนักบวชใดมอบพระคุณกา รุ ณเพื่อเงิน ต้องถูกยุบเลิกและสู ญเสี ยสิ ทธิพิเศษต่างๆ 12. การเลือกบุคคลและระเบียบวินยั ของคณะสงฆ์ ชีวติ ของผูอ้ ภิบาลต้องเป็ นการสร้างชีวติ ให้แก่ผมู ้ ีความ เชื่อ มีการกําหนดกฎเกณฑ์เพื่อเลือกบุคคลที่เหมาะสมสําหรับ Benefi-ces ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิง่ สังฆราชมีการเน้นเป็ นพิเศษถึงความประพฤติทางศีลธรรม และความศรัทธาของพระสงฆ์ 13. การอบรมคณะสงฆ์และการอยูก่ บั ประชาชน เพื่อจะมีคณะสงฆ์ที่สมควร จําเป็ นต้องมีการอบรมทาง การศึกษา ศีลธรรม และศาสนาในทุกๆ สถาบัน ออกคําสั่งให้ทุก สังฆมณฑลมีบา้ นเณร ผูท้ ี่จะบวช ต้องผ่านการสอบที่เข้มข้นเสี ยก่อน ส่ วนเรื่ อง Residence ของพวกพระสังฆราชและพระคาร์ดินลั รวมทั้งเจ้าวัดต่างๆ ด้วยแม้จะเห็นว่าไม่ใช่เป็ นกฎของพระแต่ก็เป็ นความจริ งที่วา่ เป็ นระเบียบของพระที่ จะต้องเทศน์สอน และเป็ นตัวอย่างที่ดีแก่ฝงู แกะของตน พวกเขาต้องถวายบูชาศีลมหาสนิท เอาใจใส่ คน ยากคนจนและผูต้ อ้ งการความเชื่อ โดยเฉพาะในโอกาสสําคัญๆ Residence มีความจําเป็ นมาก เช่น ในเทศกาล Advento และมหาพรตและในวันฉลองสําคัญต่างๆ ตลอดปี หากมีกรณี ที่จาํ เป็ นจริ งๆ ที่ไม่อาจอยูป่ ระจําที่ได้น้ ีก็ตอ้ งไม่เกิน 3 เดือน พระสงฆ์ทุกองค์ตอ้ ง สังกัดสังฆมณฑลใดสังฆมณฑลหนึ่ง และอยูใ่ ต้อาํ นาจของพระสังฆราช
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 38
บทสรุปและการตีความการสั งคายนาทีเ่ ตรนโต
rch ive
ง.
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
14. งานอภิบาล ประกาศยกเลิกผูเ้ ป็ นเจ้าของ Benefices เกินกว่า 1 แห่ง และขอให้ พระสันตะปาปาเป็ น แบบอย่างในการเลือกพระสันตะปาปาที่เหมาะสม รวมทั้งการเลือกพระสังฆราชที่เหมาะสมด้วย พระสังฆราชที่ได้รับการเลือกต้องจัดประชุม Diocesan Synod ปี ละ 1 ครั้ง รวมถึงต้องเข้าร่ วมประชุม Provincial Synod ซึ่งมี 3 ปี ครั้ง ต้องทํา Pastoral Visit สังฆมณฑลของตนปี ละครั้ง ต้องเป็ นผูเ้ ทศน์ทุก วันอาทิตย์และวันฉลองต่างๆ ต้องเอาใจใส่ ดูแลการอบรมคําสอนให้แก่เด็กๆ สําหรับคริ สตชน สังฆราช ต้องอธิ บายเรื่ องศีลศักดิ์สิทธิ์ และพิธีต่างๆ ของศีลศักดิ์สิทธิ์ และในกรณี ที่มีประโยชน์ก็สามารถโปรด ศีลศักดิ์สิทธิ์ เป็ นภาษาท้องถิ่นได้ 15. ข้อเรี ยกร้องสําหรับผูอ้ ภิบาล ต้องมีการปฏิรูปเช่นเดียวกัน พระสังฆราชจะต้องมัน่ ใจว่าผูจ้ ะบวชเป็ นผูม้ ี กระแสเรี ยกที่แท้จริ ง มิใช่เข้ามาสู่ ชีวติ สะดวกสบายหรื อแสวงหาความรํ่ารวยฟุ้ งเฟ้ อ แต่เพื่อทําทุกสิ่ งเพื่อ สิ ริโรจนาของพระ ผูม้ ีความเชื่อจะถูกสร้างขึ้นมาเป็ นชีวติ แท้ เมื่อเขาเห็นว่าพวกผูอ้ ภิบาลทํางานเพื่อ ความรอดของวิญญาณ พวกเขาจึงต้องใช้ชีวติ ที่เหมาะสม ประพฤติตนเหมาะสมกับหน้าที่อภิบาลและมี ชีวติ สุ ภาพ เรี ยบง่ายและศักดิ์สิทธิ์ ต้องละทิ้งญาติพี่นอ้ ง ไม่เสริ มความรํ่ารวยให้แก่ญาติพี่นอ้ งทุกคน แต่ช่วยเหลือคนยากคนจน สังคายนาขอร้องให้พระสังฆราชไม่ถวายตนเป็ นผูร้ ับใช้ของบรรดาเจ้าครอง นครทั้งหลาย แต่ให้เป็ นผูอ้ ภิบาลและบิดาซึ่ งยังต้องให้ความเคารพต่ออํานาจบ้านเมือง 16. นอกจากนี้ ก็ยงั มีมาตรการอื่นๆ ของสังคายนา เช่น เรี ยกร้องให้ฆราวาสเคารพต่อสิ ทธิ์ และเสรี ภาพของ พระศาสนจักร และขอให้คืนสิ ทธิ์ ต่างๆ ที่ถูกยกเลิกไป นี่เป็ นการปฏิรูปบรรดาฆราวาสโดยเฉพาะผูเ้ ป็ น นักปกครองทั้งหลาย ซึ่ งเรื่ องนี้บรรดาเจ้าครองนครพากันต่อต้านด้วยทุกวิธีการ ทั้งๆ ที่เป็ นที่รู้กนั ดีวา่ พวกเขาชอบเข้ามายุง่ เกี่ยวกับเรื่ องต่างๆ ของพระศาสนจักร
Hi sto
ric al A
ใน Session สุ ดท้ายเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ. 1563 มีความต้องการที่จะขจัดความสงสัยกันว่าเอกสารคําสั่ง ต่างๆ ของสังคายนาในระยะที่ 1 และระยะที่ 2 เป็ นเอกสารที่ถูกต้องใช้ได้หรื อไม่ และหลังจากที่ได้อ่านทุกฉบับอีก ครั้งหนึ่งแล้ว ทุกคนก็ให้การรับรองความเป็ นหนึ่งเดียวของสังคายนา แม้วา่ จะแบ่งแยกออกถึง 2 ระยะเวลา ภายใต้ พระสันตะปาปาถึง 3 องค์ ก็นบั ว่าก่อผลดีต่อพระศาสนจักร เอกสารคําสั่งทุกฉบับได้รับการลงนามจากทุกคนในที่ ประชุม 215 คน แม้ผทู ้ ี่มิได้มาร่ วมก็ลงชื่อโดยไม่พดู อะไรเลย สังคายนาจึงขอให้พระสันตะปาปาลงนามในเอกสาร คําสั่งทั้งหมด ซึ่ งพระองค์ก็ให้การรับรองด้วยวาจาใน Consistory ของวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1564 แต่ Bull "Benedictus Deus" ออกมาช้าถึง 6 เดือน จึงถูกพิมพ์ประกาศ แม้จะใช้วนั ที่ของการประชุม Consistory ก็ตาม เป็ นอันว่าการสังคายนาที่เตรนโตจบลงแล้วโดยสมบูรณ์ เวลานี้เราจะหาข้อสรุ ปต่างๆ เพื่อการประเมินผล ของการสังคายนา ซึ่ งเราจะสามารถแยกแยะออกมาได้เป็ นข้อๆ ดังนี้
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 39
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
1. จุดประสงค์ของการสังคายนา สังคายนาครั้งนี้ถูกเรี ยกขึ้นมาโดยมีจุดประสงค์เพื่อต่อสู ้กบั เฮเรติ๊ก เพื่อการ ปฏิรูปพระศาสนจักรและความเป็ นหนึ่งเดียวของคริ สตชน เพื่อต่อสู ้กบั อันตรายของพวกเติร์ก จุดมุ่งหมาย ประการสุ ดท้ายนี้ไม่บรรลุความสําเร็ จ เพราะว่าพวกเจ้าครองนครต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิง่ ฝรั่งเศส และ Absburg ต่างก็ทาํ สงครามระหว่างพวกกันเอง เพื่อชิงความมีอาํ นาจเหนือยุโรป นอกจากนี้ในเอกสารเรี ยก การสังคายนา ก็มิได้บอกว่ามีจุดประสงค์เพื่อความเป็ นหนึ่งเดียวของพระศาสนจักร แต่ที่สาํ คัญกว่านี้ก็คือ การเรี ยกสังคายนานี้กระทํากันช้าเกินไป เพื่อความเป็ นหนึ่งเดียวกันนี้พระศาสนจักรยังคงแบ่งแยกกันอยู่ 2. การสังคายนาแม้วา่ จะเรี ยกช้าเกินไป และยังมีการเตรี ยมตัวที่ไม่พร้อมพอ นอกจากนี้จาํ นวนผูเ้ ข้าร่ วม สังคายนาก็นอ้ ยกว่าการสังคายนาที่สาํ คัญๆ ที่ผา่ นมา เช่นที่ Nicia แต่ในที่สุดก็สามารถพบความ กลมกลืน และรายการประชุมต่างๆ ได้ การสังคายนาครั้งนี้จึงกลายเป็ นการสังคายนาที่สาํ คัญที่สุดครั้งหนึ่ง ในประวัติศาสตร์ และนําผล ที่สาํ คัญๆ ให้แก่พระศาสนจักรมิใช่นอ้ ยเลย โดยเฉพาะพระศาสนจักร ตะวันตกยังคงซื่ อสัตย์ต่ออํานาจของนักบุญเปโตร 3. เกี่ยวกับข้อความเชื่อ การสังคายนา • ตัดสิ นลงโทษเฮเรติ๊ก แต่ก็ไม่ได้แตะต้องผูก้ ่อตั้งลัทธิเฮเรติ๊กเหล่านี้ ทั้งมิได้เอ่ยชื่อพวกเขาด้วย • ให้คาํ จํากัดความที่แท้จริ งของคําสอนคาทอลิก มิใช่เพื่อให้พวก Protestants กลับใจ แม้วา่ จะหวังอยูเ่ ล็กน้อย แต่เพื่อขจัดความเชื่อที่กาํ ลังสั่นคลอนไม่แน่ใจ ให้เกิดเป็ นความเชื่อที่มนั่ คง รวมทั้งขจัดข้อผิดพลาดอื่นๆ ด้วย น่าเสี ยดายที่การสังคายนาถูกปิ ดลงเร็ วเกินไปหน่อย จนไม่สามารถหาข้อสรุ ปเกี่ยวกับปั ญหาเรื่ อง พระคุณการุ ณ พิธีของบรรดานักบุญ พระธาตุ และการเคารพรู ปภาพต่างๆ ข้อคําสอนของการสังคายนา มิได้ต้ งั อยูบ่ นเทววิทยาของคนหนึ่งคนใด แต่นาํ มาจากแก่นแท้ของความเชื่อ เนื้อหาของข้อความเชื่อมุ่งไปสู่ เรื่ องสําคัญๆ 2 เรื่ องด้วยกัน โดยใช้แหล่งความเชื่อ 3 แหล่งด้วยกันคือ การเปิ ดเผยของพระคัมภีร์ และ ขนบธรรมเนียมประเพณี ก. เรื่ องการตัดสิ นความรอด (Justification) สังคายนายืนยันข้อคําสอนเกี่ยวกับบาปกําเนิด ศีลล้างบาป ศีลเจิม คนป่ วย พระคุณการุ ณ และไฟชําระ ข. เรื่ องการถวายบูชาของมิสซา สังคายนารวมถึงเรื่ องศีลมหาสนิท การรับศีลมหาสนิทและศีลบวช ความ ศรัทธาต่อนักบุญ ต่อพระธาตุ ต่อรู ปภาพต่างๆ นั้น ให้ถือว่าเกี่ยวเนื่องกับความศรัทธาแบบคริ สตชน การสังคายนามิได้ให้ความหมายเกี่ยวกับ Ecclesiology ทั้งๆ ที่เรื่ องธรรมชาติของพระศาสนจักรนี้ได้รับการ • ถกเถียงกันมายาวนานกว่า 2 ศตวรรษ และพวกผูน้ าํ ของ Protestants เองต่างก็สอนถึงเรื่ องนี้ นอกจากนี้ในระหว่าง วิกฤติการณ์ในระยะที่ 3 ของการสังคายนา อํานาจการสั่งสอน (Magisterium) และอํานาจหน้าที่ (Jurisdiction) ระหว่างพระสันตะปาปาและสังฆราชก็ถูกนํามาเป็ นปั ญหาด้วย แต่การสังคายนาก็มิได้มีขอ้ สรุ ปอะไรที่ชดั เจนเลย เกี่ยวกับเรื่ องนี้ ที่เป็ นเช่นนี้ก็เพราะว่า แนวทางของพระสันตะปาปาไม่ตอ้ งการให้สังคายนาพูดถึงเรื่ องนี้ Ecclesiology ในการสังคายนาครั้งนี้ตอ้ งเผชิญกับปั ญหาดังนี้ ความหมายของอํานาจสู งสุ ด ความหมายของการ สังคายนาว่า สังคายนามีอาํ นาจมากกว่าพระสันตะปาปาหรื อไม่ Ecclesiology ของบรรดาพระสังฆราชต่างๆ โดยเฉพาะจากสเปน ซึ่ งยืนยันว่าการรวมกันของพระสังฆราชนั้นเป็ นอํานาจสู งสุ ดได้ อย่างไรก็ตามสังคายนามิได้ แก้ไขปัญหาเหล่านี้เลย จึงกลายเป็ นการพัฒนาเรื่ องนี้สืบต่อมาจนถึงสังคายนาวาติกนั ที่ I และ II
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 40
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
4. เกี่ยวกับการปฏิรูปพระศาสนจักร นับว่าเป็ นงานเอกของการสังคายนา เพราะจากเอกสารคําสัง่ ต่างๆ ที่ ออกมานั้นนําผลไปสู่ ภาคปฏิบตั ิได้อย่างดี และการปฏิรูปนี้ก็กระทํากันอย่างจริ งจัง แม้วา่ จะพบกับความ ยากลําบาก อุปสรรคต่างๆ และแม้วา่ จะช้าไปบ้าง แต่ก็ได้มีการพัฒนา ประยุกต์นาํ ไปใช้กนั อย่าง กว้างขวาง เรี ยกได้วา่ เกือบทุกส่ วนของพระศาสนจักรได้รับการปฏิรูป ส่ วน Curia นั้นก็ตกเป็ นเรื่ องของ พระสันตะปาปาที่จะต้องทําการปฏิรูป • หลักเกณฑ์พ้ืนฐานของการปฏิรูปได้แก่ "ความรอดของวิญญาณเป็ นกฎหมายสู งสุ ด" ฐานันดรศักดิ์ต่างๆ ในพระศาสนจักรมีหน้าที่รับผิดชอบดูแลวิญญาณ ดังนั้นจึงออกกฎบังคับให้ทุกฝ่ ายมี Residence ทํางาน อภิบาลเพื่อผูม้ ีความเชื่อ • ภาพพจน์ของผูม ้ ีความรับผิดชอบต่อชีวติ คริ สตชนในสังฆมณฑล ชีวติ ของอารามนักบวชต่างๆ ที่ยงั ไม่ได้ รับการปฏิรูป แม้ได้รับการปฏิรูปแล้วก็ตอ้ งติดตามผล นอกจากนี้ในฐานะที่เป็ นผูแ้ ทนของสันตะสํานัก ยังต้องปกป้ องอํานาจสู งสุ ดของพระสันตะปาปา พระสังฆราชาเป็ นผูร้ ับผิดชอบเรื่ องการประกาศพระวร สารเป็ นพิเศษ เรื่ องการทํา Pastoral Visit และร่ วมประชุม Provincial Synod พระสังฆราชเป็ นผูร้ ับผิดชอบ โดยตรงสําหรับเตรี ยมตัวคณะสงฆ์ในอนาคตในบ้านเณร เช่นเดียวกับที่ตอ้ งดูแลชีวติ ของคณะสงฆ์ ให้เหมาะสม พระสังฆราชสามารถมี Benefice เพียงแห่งเดียว นอกจากนี้ยงั ต้องดําเนินชีวติ ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้สอดคล้องกับอุดมคติ "Pastor Bonus" • ภาพพจน์ของเจ้าอาวาส คือเป็ นสงฆ์ผร ู ้ ับใช้ศกั ดิ์สิทธิ์ แสดงออกในการถวายบูชาศีลมหาสนิทและในศีล อภัยบาป พระสงฆ์เป็ นข้าบริ การของพระ มีหน้าที่รับผิดชอบผูม้ ีความเชื่อต่อหน้าพระ ความประพฤติ ทางศีลธรรมมีความสําคัญอย่างยิง่ ท่านต้องมีประสิ ทธิ ภาพในการเทศน์สอน • คณะนักบวชใหม่ๆ ต้องมุ่งไปสู่ การอภิบาลด้านใดด้านหนึ่ งโดยเฉพาะ เช่น อบรมเยาวชน อบรมวิทยาการ ให้แก่คณะสงฆ์และสังคม ปกป้ องความเชื่อคาทอลิก หรื อไม่ก็ประกาศแพร่ ธรรมไปยังที่ต่างๆ 5. เกี่ยวกับการเป็ นหนึ่งเดียวกับพวก Protestants • สังคายนาไม่สามารถขัดขวางการแบ่งแยกทางพระศาสนจักรได้ เพราะการสังคายนาถูกเรี ยกช้าเกินไป แม้วา่ พวกเขาได้รับเชิญเข้าร่ วมสังคายนา แต่การเมืองก็เข้ามาเกี่ยวข้อง ตอนแรกพวกเขาปฏิเสธ แต่ต่อมาก็ ตอบรับ เมื่อตอบรับแล้วก็มีเงื่อนไขต่างๆ ที่ไม่อาจรับได้ ทําให้ตอ้ งปฏิเสธอีกครั้งหนึ่ง เช่นเงื่อนไข เกี่ยวกับความหมายของการสังคายนาที่เปลี่ยนแปลงความหมายในสมัยเก่าอย่างสิ้ นเชิง ดังนั้น การ สังคายนาจึงตัดสิ นลงโทษความผิดพลาดของพวกเขา แต่ไม่ได้ตดั สิ นลงโทษบุคคล เพราะสังคายนาไม่ ต้องการเป็ นศาลตัดสิ นบุคคล • ข้อคําสอนคาทอลิกที่สังคายนาจํากัดความไว้ ชี้ ให้เห็นถึงข้อผิดพลาดที่ไม่อาจรับได้อย่างชัดเจน แต่ก็ เปิ ดทางกว้างไว้เพื่อให้ท้ งั ฝ่ าย Protestants และฝ่ ายคาทอลิกสามารถศึกษาต่อไปอย่างลึกซึ้ งและสามารถ ร่ วมมือกันพิจารณาและทํา Dialogue กันเพื่อความเป็ นหนึ่งเดียวต่อไปได้
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 41
2.
สิ ทธิอปุ ถัมภ์ ศาสนา (Padroado)
ก.
ความหมายและต้ นกําเนิดของปาโดรอาโดความหมาย
ces e
of
Ba ngk o
k
สิ ทธิ พิเศษที่เรากําลังจะกล่าวถึงอยูน่ ้ ี เราใช้คาํ เรี ยกทับศัพท์เพื่อให้ใช้กนั อย่างถูกต้องและสากลแม้วา่ เราจะ ไม่เคยชินกับคําว่า "ปาโดรอาโด" มากนัก เวลานี้กาํ ลังจะศึกษาเพื่อให้รู้ถึงที่มาและความเป็ นมาของสิ ทธิพิเศษ ประการนี้ที่พระศาสนจักรมอบให้แก่ประเทศสเปนและโปรตุเกส สาเหตุอีกประการหนึ่งที่เราควรศึกษาถึงเรื่ องนี้ ก็ คือ บรรดามิชชันนารี ที่เข้ามาในสยามในศตวรรษที่ 16 และศตวรรษที่ 17 นั้น ต่างก็เป็ นนักบวชที่มาจากมะละกา, กัว มาเก๊า และมะนิลา ซึ่ งล้วนเป็ นนักบวชที่ข้ ึนอยูก่ บั สิ ทธิ พิเศษนี้ท้ งั สิ้ น และเมื่อบรรดามิชชันนารี เหล่านี้ตอ้ งพบ และอยูร่ ่ วมกับมิชชันนารี ที่ทางสมณกระทรวงโปรปากันดา ฟี เด ส่ งมา ได้แก่ มิชชันนารี ของคณะมิสซังต่างประเทศ แห่งกรุ งปารี ส (M.E.P.) ก็เท่ากับมีสองอํานาจที่อยูใ่ นที่เดียวกันปั ญหาต่างๆย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่ งเราจะศึกษา กันต่อไป อันที่จริ งการศึกษาถึงเรื่ องนี้ไม่ยากนัก เพราะมีนกั ประวัติศาสตร์ ที่ศึกษาถึงเรื่ องนี้อยูม่ ากมายและมีงาน เขียนหลายชิ้นที่ช่วยให้เราเข้าใจง่ายขึ้น เพียงแต่วา่ เป็ นภาษาต่างประเทศเท่านั้น
rch ive
sA
rch
dio
ปาโดรอาโดไม่ใช่เป็ นเพียงรู ปแบบของผลประโยชน์ทางพระศาสนจักร และการอุปถัมภ์ศาสนาของกษัตริ ย ์ แต่ยงั หมายถึงสัญญาด้วย จึงไม่ใช่เฉพาะรู ปแบบ (Form) แต่เป็ นสัญญา (Contracts) ที่ทาํ ขึ้นระหว่างพระศาสนจักร กับรัฐ เป็ นดังรู ปแบบหนึ่งของความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองสถาบันนี้ พระศาสนจักรเป็ นสถาบันที่มีความสําคัญ มากในยุโรป เพราะเหตุวา่ นับจากสมัยกลางมาจนถึงปี ค.ศ. 1415 ยุโรปและส่ วนต่างๆ ของโลกได้รู้จกั กับ คริ สตศาสนาแล้ว โดยเฉพาะยุโรปนั้นการแพร่ ธรรมได้แผ่กว้างและขยายตัวออกไปทัว่ ทวีปทีเดียว และด้วยความ เชื่อในคริ สตศาสนานี้ พระสันตะปาปานั้นเป็ นผูม้ ีอิทธิพลใหญ่หลวงแม้แต่ต่อผูป้ กครองรัฐ และประเทศต่างๆ เองก็ ยังต้องเชื่อฟัง สัญญานี้จึงผูกมัดให้ผปู ้ กครองรัฐที่ทาํ สัญญานี้มีบทบาทมากในการบริ หารและสนับสนุนพระศาสน จักร ในยุโรปเวลานั้นมีอยูเ่ พียง 2 ประเทศที่มีอาํ นาจยิง่ ใหญ่มากได้แก่ ประเทศสเปนและโปรตุเกส ดังนั้นเมื่อทั้ง 2 ประเทศนี้ได้รับสิ ทธิ พิเศษปาโดรอาโดแล้ว สิ ทธิ น้ ีก็ขยายวงกว้างออกไปยังดินแดนอาณานิคมที่พวกเขาได้มา ครอบครองด้วย และทั้งสองประเทศนี้ก็พยายามปกป้ องสิ ทธิ ของตนอย่างเต็มที่
ric al A
ต้ นกําเนิด
Hi sto
ต้นกําเนิดนี้เราสามารถแบ่งออกได้เป็ น 3 อย่างด้วยกัน
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 42
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
1. การฟื้ นฟูศิลปวิทยาการ และความเจริ ญก้าวหน้าทางการเดินเรื อของสเปนและโปรตุเกสทําให้ปา โดรอาโดขยายวงกว้างออกไปยังดินแดนที่คน้ พบขึ้นใหม่ ในประเทศโปรตุเกสนั้นมีการก่อตั้งคณะแห่งพระคริ สต์ (Order of Christ) ขึ้นมาโดยพระสันตะปาปายอห์นที่ 22 เมื่อวันที่ 15 มีนาคม ค.ศ. 1319 โดยเป็ นคณะทหารที่จะ ปกป้ องพระศาสนจักรจากการรุ กรานของมุสลิมที่กาํ ลังขยายตัวเข้ามาสู่ ยโุ รป คณะนี้อยูภ่ ายใต้การดูแลโดยกษัตริ ย ์ โปรตุเกสเองทีเดียวทําหน้าที่เป็ นอธิ การของคณะ ดังนั้น กษัตริ ยโ์ ปรตุเกสจึงมีอาํ นาจมากทีเดียวในการปกครองดูแล อาณานิคมของตนทั้งทางโลกและทางธรรมด้วย การเดินเรื อของโปรตุเกสเริ่ มต้นขึ้นโดยเจ้าชายเฮนรี ซึ่ งได้รับ สมญานามว่า "นักเดินเรื อ" เป็ นโอรสองค์หนึ่งของพระเจ้ายอห์นที่ 1 กษัตริ ยโ์ ปรตุเกส (ค.ศ. 1385-1433) เจ้าชายเฮ นรี เดินเรื อไปจนถึงเมืองเซวต้า (Ceuta) ซึ่ งอยูใ่ นเมาริ ตาเนีย ชายฝั่งทะเลของทวีปอาฟริ กาเหนือและยึดเมืองนี้ไว้ได้ เมื่อวันที่ 21 สิ งหาคม ค.ศ. 1415 พระสันตะปาปาจึงทรงตั้งให้เซวต้าเป็ นสังฆมณฑล ขึ้นอยูก่ บั สังฆมณฑลราคาใน โปรตุเกสการเข้ายึดส่ วนหนึ่งของอาฟริ กานั้นเป็ นผลดี เพราะเท่ากับเป็ นการตัดกําลังพวกแขกมัวร์ (มุสลิม) ที่กาํ ลัง ข่มขู่ยโุ รปอยู่ อีกทั้งยังเป็ นการแพร่ ขยายพระศาสนาด้วย พระสันตะปาปาเริ่ มให้อภิสิทธิ์ แก่โปรตุเกสคืออํานาจใน การปกครองเมืองและดินแดนที่ชนะมาได้ ทั้งเวลานั้นและในเวลาต่อๆไปด้วย โปรตุเกสจึงเริ่ มต้นงานค้นพบ ดินแดนใหม่ทางการเดินเรื อ เจ้าชายเฮนรี พยายามทํางานอย่างเต็มที่ที่จะนําคริ สต์ศาสนาเข้าไปในมหาสมุทรอินเดีย ประเทศสเปนเองก็กาํ ลังขึ้นมาเป็ นประเทศมหาอํานาจใหม่ในเวลานั้น ความแข็งแกร่ งและความเป็ น ปึ กแผ่นของสเปนนั้น เกิดขึ้นภายในช่วงระยะเวลาประมาณหนึ่งศตวรรษเท่านั้น ทั้งนี้เพราะในระหว่าง ค.ศ.714 และ 732 พวกแขกมัวร์ ได้เข้าครอบครองคาบสมุทรนี้อยูน่ านทีเดียว ในที่สุดอาณาจักรคริ สเตียนที่เหลืออยู่ 2-3 แห่งทางภาคเหนือของคาบสมุทร ได้รวมตัวกันขับไล่ออกไป โดยมีอาณาจักรอารากอน และอาณาจักรคาสตีลเป็ น แกนนํา ปี ค.ศ.1469 ดินแดนสเปนรวมเข้าเป็ นรัฐเดียวโดยการอภิเษกสมรสระหว่างพระเจ้าเฟอร์ ดินนั โด (Ferdinando) แห่งแคว้นอารากอน และพระนางอิสซาเบลลา (Isabella) แห่งแคว้นคาสตีล สเปนสามารถขับไล่ แขกมัวร์ ออกไปได้เมื่อยึดแคว้นกรานาดาได้ในปี ค.ศ. 1492 และที่สุดยังสามารถยึดโปรตุเกสได้ดว้ ยในปี ค.ศ. 1581 ความยิง่ ใหญ่ของสเปนเริ่ มขึ้นเมื่อคริ สโตเฟอร์ โคลัมบัส ค้นพบทวีปอเมริ กาและยึดไว้ได้ในนามของประเทศสเปน ในปี ค.ศ. 1492 พระเจ้าเฟอร์ ดินลั โดและพระนางอิสซาเบลลาก็เรี ยกร้องและขอจากพระสันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ ที่ 6 (ค.ศ. 1492-1503) ทันทีโดยขอเอกสาร (Bull) เพื่อยืนยันถึงสิ ทธิที่ตนควรได้รับเช่นเดียวกับที่โปรตุเกส ได้รับเหนือทวีปอาฟริ กามาแล้ว และนับจากนี้ไปมีสองสิ่ งที่ควบคู่กนั ไปเสมอได้แก่ • การล่าอาณานิคม การสํารวจโลกใหม่อย่างจริ งจังทั้งของโปรตุเกสและสเปน • การขอสิ ทธิ พิเศษ Padroado เหนือดินแดนใหม่ อํานาจในการปกครอง แพร่ ธรรม ซึ่ งสิ ทธิ พิเศษมี การแก้ไข เปลี่ยนแปลง เพิ่มเติม อยูต่ ลอดเวลา ข้อสังเกตประการหนึ่งก็คือ แม้วา่ สเปนกับโปรตุเกสจะเป็ นมหาอํานาจในยุโรป แต่ต่างก็ตอ้ งขออนุญาตจาก พระสันตะปาปา เพราะว่าเป็ นเรื่ องของความเชื่อโดยแท้จริ งว่า พระสันตะปาปาในฐานะเป็ นผูแ้ ทนพระคริ สตเจ้าบน โลกนี้ มีอาํ นาจหน้าที่โดยสมบูรณ์ที่จะถอดถอนประเทศทั้งหลายของคนต่างศาสนา เพื่อประโยชน์สาํ หรับนัก ปกครองซึ่ งถือศาสนาคริ สต์ และในกรณี ของพระเจ้าเฟอร์ นนั โดและพระนางอิสซาเบลลานี้ โรมถึงกับเรี ยกทั้งสอง พระองค์น้ ีวา่ "คาทอลิกสุ ดๆ" (Catholicissimus) เลยทีเดียว
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 43
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
2. การรุกรานของพวกแขกมัวร์ หรื อจะเรี ยกว่ามุสลิม หรื อชาวเติร์กก็ได้ ซึ่งกําลังเป็ นที่หวาดหวัน่ ของชาวยุโรป ในศตวรรษที่ 14 และ 15 แขกมุสลิม หรื อพวกเติร์ก (Turk) กําลังมีอาํ นาจมากและรุ กรานยุโรปและเมือง สําคัญเช่น Constantinople ถูกตีแตกในวันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ. 1453 ชาวยุโรปและพระศาสนจักรเองก็เริ่ มกลัวกัน ว่า ยุโรปจะรอดพ้นมือของพวกเติร์กหรื อไม่ ในยุโรปตอนนั้นก็มีเพียง 2 ประเทศที่มีอาํ นาจและเข้มแข็งเพียงพอที่จะ ต้านทานการรุ กรานของพวกแขกมุสลิมได้ ได้แก่ โปรตุเกส และสเปน นอกจากมีอาํ นาจและกําลังเพียงพอแล้ว ยังมี ความก้าวหน้าในการสํารวจดินแดนใหม่ๆ อีกด้วย กษัตริ ยข์ องทั้ง 2 ประเทศ (ซึ่ งเป็ นประเทศคริ สตัง) ต่างก็ขอ อํานาจจากพระสันตะปาปาที่จะทําหน้าที่เผยแพร่ ความเชื่อไปยังดินแดนที่เพิ่งค้นพบใหม่ๆ เหล่านั้น บรรดาพระ สันตะปาปาในสมัยนั้นต่างก็เห็นถึงประโยชน์ท้งั ด้านวิญญาณและด้านวัตถุดว้ ย จึงได้มอบสิ ทธิ พิเศษมากมายแก่ พวกนักสํารวจของโปรตุเกสและสเปน และมอบหมายให้ท้งั 2 ประเทศนี้ทาํ หน้าที่เผยแพร่ ความเชื่อ ในลักษณะ เช่นนี้ สิ ทธิ พิเศษเหล่านี้ทาํ ให้ประเทศโปรตุเกสและสเปน กุมบังเหี ยนการแพร่ ธรรมเอาไว้ รวมทั้งยังประโยชน์ ต่างๆ ด้วย 3. เอกสารมอบสิ ทธิพเิ ศษที่ออกโดยพระสันตะปาปาต่างๆ รายละเอียดจริ งๆ ของสิ ทธิ พิเศษเหล่านี้ก็ มีอยูใ่ นเอกสารต่างๆ เหล่านี้นี่เอง ต้นกําเนิดของสิ ทธิ พิเศษนี้ที่แท้ได้แก่พระสันตะปาปา เราจะสรุ ปเอกสารต่างๆ และเนื้อหาที่สาํ คัญของเอกสารเหล่านี้ดว้ ย เพื่อให้ทราบว่าโปรตุเกสและสเปนนั้นมีสิทธิ พิเศษอะไรกันนัก นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1418 พระสันตะปาปามาร์ ตินที่ 5 (ค.ศ. 1417-1431) เริ่ มต้นมอบสิ ทธิ พิเศษให้แก่ชาว โปรตุเกสโพ้นทะเลหลายข้อด้วยกันด้วยเอกสาร Bull"Sane Charissimus" วันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1418 ตามมาด้วย Bull "Romanus Pontifex" วันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 1455 ของพระสันตะปาปานิโคลาสที่ 5 พระสันตะปาปากัลลิสต์ ที่ 3 ก็มอบ Bull "Inter Caetera" ลงวันที่ 13 มีนาคม ค.ศ. 1456 โดยทั้งหมดนี้มอบให้แก่เจ้าชายเฮนรี นักเดินเรื อ โปรดสังเกตดูวา่ เอกสารทางการของพระศาสนจักรนั้น จะเรี ยกชื่อเอกสารโดยใช้คาํ แรกของเอกสารเป็ น หลัก สิ ทธิ พิเศษเหล่านี้ให้ไว้เพื่อความเชื่ออันได้แก่ เพื่อการกลับใจของชาวนิโกรอาฟริ กนั นอกจากนี้เจ้าชายเฮนรี ยงั ได้รับสิ ทธิ์ และอํานาจหลายประการจากกษัตริ ยโ์ ปรตุเกสด้วย เพื่ออํานวยความสะดวกในการทํางานด้านการเดินเรื อ ตามแผนของเจ้าชายเฮนรี เอง หลังจากที่เจ้าชายเฮนรี สิ้นพระชนม์แล้วในปี ค.ศ. 1460 การสํารวจทางทะเลก็มีอยู่ ประปรายและมีความสําคัญน้อย พระสันตะปาปาซิ กตุสที่ 4 (ค.ศ. 1471-1484) ได้สถาปนาสิ ทธิ อุปถัมภ์ศาสนาปาโดรอาโดอีก ด้วยเอกสาร Bull "Clara Devotionis" ลงวันที่ 21 สิ งหาคม ค.ศ. 1472 และได้ส่งจดหมายไปให้แก่อคั รสังฆราชแห่ง Lisbon และ สังฆราชแห่ง Lamego ให้สิทธิ ปาโดรอาโดในการตั้ง สังฆมณฑลต่างๆ สร้างวัด และจัดหาบุคคลากรของ พระศาสนจักร นักประวัติศาสตร์ ผหู ้ นึ่งคือ Silva Rego ได้สรุ ปถึงสิ ทธิ พิเศษต่างๆ เหล่านี้ของปาโดรอาโดไว้ส้ ันๆ ดังนี้ • การเดินเรื อเพื่อค้นหาดินแดนใหม่ๆ ถูกสงวนไว้เฉพาะนักเดินเรื อชาวโปรตุเกสเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อผลดี ต่อผูท้ ี่ยงั ไม่เชื่อในพระศาสนาเอง
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 44
ชาวโปรตุเกสเป็ นผูป้ กครองที่แท้จริ งของทะเล รวมทั้งแผ่นดินต่างๆ ที่จะค้นพบและยึดครอง นอกเหนือจากที่คน้ พบและยึดครองไว้แล้ว • ชาวโปรตุเกสมีอาํ นาจในการเจรจาโดยตรงและอิสระกับผูท้ ี่ยงั ไม่เชื่อทั้งมวลรวมทั้งกับพวกมุสลิมด้วย • กษัตริ ยโ์ ปรตุเกสสามารถสร้างและก่อตั้งวัดวาอารามต่างๆ รวมทั้งสถานที่ศกั ดิ์สิทธิ์ , จัดตั้งและจัดหา คณะนักบวชสําหรับวัดวาอารามต่างๆ เหล่านั้น เพื่อโปรดศีลศักดิ์สิทธิ์ ต่างๆ การยกบาปยกเว้นเฉพาะ กรณี ที่พระสันตะปาปาสงวนไว้เท่านั้น • ประเทศโปรตุเกสเป็ นผูม้ ีอาํ นาจในการปกครอง (Jurisdiction) แถบอินเดียตลอดไป เป็ นที่น่าสังเกตว่าสิ ทธิ พิเศษจนถึงตอนนี้ยงั ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอํานาจในการแพร่ ธรรมโดยตรงมีแต่ทางอ้อม
เท่านั้น
Ba ngk o
k
•
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
พระเจ้ายอห์นที่ 2 (ค.ศ. 1481-1495) แห่งโปรตุเกสพยายามทํางานของเจ้าชายเฮนรี ต่อไปด้วยความ กระตือรื อร้น แต่ในสมัยนี้เองสเปนกําลังเป็ นมหาอํานาจคู่แข่งที่สาํ คัญมาก และเมื่อโคลัมบัสค้นพบทวีปอเมริ กา สเปนก็เรี ยกร้องต่อพระสันตะปาปาถึงสิ ทธิ พิเศษ Padroado เช่นเดียวกับที่โปรตุเกสได้รับ พระสันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ ที่ 6 ออกเอกสาร Bull "Inter Caetera" ลงวันที่ 3 พฤษภาคม ค.ศ. 1493 โดยกล่าวว่าหลังจากที่พระองค์ได้พิจารณาทุกอย่างโดยรอบคอบและอาศัยอํานาจของพระองค์ในฐานะผูแ้ ทนพระ คริ สตเจ้า พระองค์ทรงรับรองสิ ทธิ อนั ชอบธรรมทุกประการในการปกครองดินแดนที่ถูกค้นพบขึ้นใหม่ และที่จะ ถูกค้นพบและยึดครองต่อไปของชาวสเปนในมหาสมุทรตะวันตก รวมทั้งสิ ทธิ อาํ นาจในการปกครองของพระศา สนจักรตามที่ประเทศโปรตุเกสได้รับด้วย และด้วยเอกสารฉบับนี้ พระสันตะปาปาพยายามหลีกเลี่ยงปั ญหาความ เข้าใจผิดระหว่างประเทศมหาอํานาจทั้งสอง พระองค์จึงทรงลากเส้นแบ่งดินแดนในโลกใบนี้ โดยแยกเป็ น 2 ฝั่ง อาโซราช (Azores) และกั้นเขตด้วยการลากเส้นสมมติจากขั้วโลกใต้ ผ่านราวๆ 100 ลีกตะวันตกของเกาะ และ Cape de Verd ซึ่ งหมายความว่าทางซี กตะวันตกนั้นเป็ นของสเปนและทางซี กตะวันออกเป็ นของโปรตุเกส หลังจากนี้พระสันตะปาปายังออกเอกสาร Bull "Piis Fidelium" ลงวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 1493 มอบอํานาจ ในการแต่งตั้งมิชชันนารี เพื่อไปอินเดีย รวมทั้งสิ ทธิพิเศษอื่นๆ เหนือดินแดนและชนพื้นเมืองของดินแดนที่คน้ พบ เอกสาร Bull "Inter Caetera" ลงวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1493 ได้ช้ ีแจงและขยายสิ ทธิ พิเศษมากกว่าเดิม เอกสาร Bull "Eximiae Devotionis" ลงวันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ. 1493 ได้มอบอํานาจในการปกครองทางพระศาสนจักร เช่นเดียวกับที่โปรตุเกสได้รับ และเอกสาร Bull "Dudum Siquidem" ลงวันที่ 25 กันยายน ค.ศ. 1493 ได้ประกาศ ยกเลิกอํานาจต่างๆ ที่มอบให้ไปแล้วและให้สิทธิ พิเศษต่างๆ ใหม่ โดยครั้งนี้ให้สิทธิ พิเศษแบบไม่จาํ กัดและไม่มี เงื่อนไข แต่กลับกว้างขวางกว่าเดิมด้วย ทางฝ่ ายประเทศโปรตุเกสเห็นว่าเส้นแบ่งโลกที่พระสันตะปาปากําหนดไว้น้ นั นําผลประโยชน์ ให้แก่สเปน มากกว่าจึงร้องเรี ยนไปยังสันตะสํานักโดยเสนอให้เคลื่อนย้ายเส้นแบ่งจาก 100 ลีก ของหมู่เกาะอาโซราชให้เป็ น 370 ลีก ในสนธิ สัญญาที่กระทําด้วยกันที่โทรเดซิ ลลาช ลงวันที่ 7 มิถุนายน ค.ศ. 1494 เส้นแบ่งเขตแดนนี้ได้ถูก เปลี่ยนไปตามที่โปรตุเกสต้องการซึ่ งหมายความว่าประเทศบราซิ ลนั้นอยูใ่ นสิ ทธิ พิเศษของโปรตุเกส
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 45
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
ต่อมาพระสันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ ที่ 6 โดยเอกสาร Brief "CumSicut Magestas" ลงวันที่ 26 มีนาคม ค.ศ. 1500 ได้ยนื ยันและประกาศอีกครั้งหนึ่งว่า เจ้าหน้าที่ของพระศาสนจักรในดินแดนที่คน้ พบใหม่น้ ีตอ้ งได้รับการ แต่งตั้งจากกษัตริ ยโ์ ปรตุเกส อย่างไรก็ตาม จากเอกสารต่างๆ เหล่านี้ยงั ไม่มีการพูดถึงหมู่เกาะอันเดียวอย่างชัดเจน เลย ดังนั้นพระสันตะปาปาจูเลียร์ ที่ 2 (ค.ศ. 1503-1513) ด้วยเอกสาร Bull "Universalis Ecclesiae" ลงวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1508 ได้มอบให้ผปู ้ กครองแห่งคาสตีลและจีออง มีสิทธิ พิเศษในการที่จะอนุมตั ิการสร้างวัดวา อารามต่างๆ รวมทั้งเสนอชื่อบุคคลต่างๆ ที่จะรับหน้าที่อภิบาลอาสนวิหาร วัดวาอารามและสถาบันนักบวช และการ เสนอชื่อเหล่านี้ตอ้ งเสนอให้แก่พระสันตะปาปาและคณะพระสังฆราชในที่ประชุม Consistory พระสันตะปาปาเลโอ ที่ 10 (ค.ศ. 1513-1521) ออกเอกสาร Bull "Dum Fidei Constantiam" ลงวันที่ 7 มิถุนายน ค.ศ. 1514 คืนอํานาจของคณะแห่งพระคริ สต์ให้แก่โปรตุเกส และเวลาเดียวกันนั้นด้วยเอกสาร Bull "Pro Excellinti Praemanentia" ลงวันที่ 12 มิถุนายน ค.ศ. 1514 ก็ได้ก่อตั้ง สังฆมณฑล Funchal ในหมู่เกาะมาเคอีรา ยิง่ กว่านั้นพระองค์ยงั ทรงรับรองถึงสิ ทธิ ปาโดรอาโดเหล่านี้อีก รวมทั้งได้ขยายสิ ทธิ พิเศษนี้ไปยังดินแดนที่ยงั ไม่รู้จกั อีกด้วย โดยอาศัยการออกเอกสารเหล่านี้ พระสันตะปาปาเปาโล ที่ 3 (ค.ศ. 1534-1549) ด้วยเอกสาร Bull "Aequum Reputamus" ลงวันที่ 3 พฤศจิกายน ค.ศ. 1534 ก่อตั้งสังฆมณฑลกัว ภายใต้การปกครองของกษัตริ ยโ์ ปรตุเกส เอกสารนี้เองได้ให้คาํ จํากัด ความของสิ ทธิ พิเศษปาโดรอาโดไว้อย่างชัดเจนที่สุด ตามเอกสารนี้ให้สิทธิ ต่อกษัตริ ยโ์ ปรตุเกส • ในการเสนอชื่อผูท้ ี่เหมาะสมจะเป็ นพระสังฆราชต่อพระสันตะปาปา • ผูท้ ี่เหมาะสมจะเป็ นผูป้ กครอง • ผูท้ ี่เหมาะสมจะเป็ นผูร้ ับผลประโยชน์ต่างๆ ของพระศาสนจักรส่ วนกษัตริ ยเ์ องก็มีหน้าที่ • จัดเตรี ยมและจัดหาสิ่ งจําเป็ นต่างๆ ของสังฆมณฑล • ค่าใช้จ่ายของเจ้าหน้าที่ของพระศาสนจักร • สร้างและซ่อมแซมวัดวาอารามต่างๆ • จัดหาสิ่ งจําเป็ นสําหรับการถวายบูชาและพิธีกรรม เวลานี้เราควรจะสรุ ปสักเล็กน้อยถึงหลักใหญ่ๆ ของสิ ทธิ พิเศษเหล่านี้ เราต้องไม่ลืมด้วยว่าหลักการเหล่านี้ ประเทศโปรตุเกสและสเปนได้ออกระเบียบมากมายเอาไว้ดว้ ย เพื่อปกป้ องสิ ทธิ พิเศษของตน เช่น มิชชันนารี ที่จะไป แพร่ ธรรมยังดินแดนที่คน้ พบนั้นต้องได้รับการแต่งตั้งจากกษัตริ ย ์ ต้องออกเดินทางที่เมืองท่าอะไร เป็ นต้น รายละเอียดเรื่ องเหล่านี้เป็ นสิ่ งที่น่าสนใจ หลักใหญ่ๆ ของสิ ทธิ พิเศษเราจะสรุ ปได้ดงั นี้ โดยเราจะสรุ ปเฉพาะ เรื่ องที่เกี่ยวข้องกับสิ ทธิ พิเศษ ปาโดรอาโดเท่านั้น เพราะเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ ของเราโดยตรง ดังนี้ตามที่คุณ พ่อโรแบรต์ คอสเต ได้จดั ทําไว้แล้ว
ระบบของ "ปาโดรอาโด" หรือการปกครองของโปรตุเกส 1.
อํานาจปกครองของกษัตริย์ กษัตริ ยม์ ีส่วนร่ วมในกิจการเผยแพร่ ศาสนา ฉะนั้น
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 46
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
ก. พระองค์เป็ นผูเ้ สนอชื่อของผูท้ ี่จะเป็ นสังฆราชในสังฆมณฑลต่างๆ ของอาณานิคม พระองค์แต่งตั้งเจ้า อาวาสโดยตรง สําหรับสังฆราชไม่ตอ้ งการการแต่งตั้งจากพระสันตะปาปา เพราะพระสงฆ์จิตตาธิการ ของคณะ "กองพลของพระคริ สต์ " มีอภิสิทธิ์ มอบอํานาจฝ่ ายธรรมแก่พระสังฆราชองค์ใหม่ ข. กษัตริ ยเ์ ป็ นผูอ้ อกเงินเพื่อบํารุ งวัดและอาราม • พระองค์ให้เงินเลี้ยงพระสงฆ์และฆราวาสที่ทาํ งานเกี่ยวกับวัด • พระองค์มีหน้าที่ซ่อมแซมวัดวาอาราม และสร้างใหม่เมื่อต้องการ 2. คําสอนสมัยนั้นเกีย่ วกับอํานาจฝ่ ายธรรมของกษัตริย์ • สมัยนั้นถือว่า กษัตริ ยม์ ีส่วนในฝ่ ายธรรมของพระศาสนจักร เพราะพระองค์ตอ้ งรับผิดชอบในความ รอดฝ่ ายวิญญาณของไพร่ พล • พระองค์ทรงรับผิดชอบความเจริ ญของศาสนา และความเป็ นระเบียบเรี ยบร้อยของพระศาสนจักรใน ราชอาณาจักร • พระสันตะปาปาได้ทรงมอบภาระหน้าที่การเผยแพร่ ศาสนาและการจัดระเบียบการปกครองของ พระศาสนจักรในประเทศที่ไม่อยูใ่ นยุโรปให้กษัตริ ย ์ ในสมัยนั้น ทุกคนย่อมรับสิ ทธิ์ การปกครองทางธรรมของกษัตริ ย ์ เช่นตัวอย่าง นักบุญ ฟรังซิส ซาวีเอรี ท่านเขียนจดหมายทูลกษัตริ ยย์ วงที่ 3 กล้าติความบกพร่ องในการปฏิบตั ิหน้าที่ของพระองค์ ที่ล่าช้าในการจัดการ เกี่ยวกับงานแพร่ ธรรม (พ.ศ. 2092 / ค.ศ. 1549) ว่าดังนี้..."ข้ าพเจ้ าทราบทางประสบการณ์ ว่า พระองค์ ไม่ มี ความสามารถในการเผยแพร่ ความเชื่ อในประเทศอิ นเดีย แต่ พระองค์ กลับมีความสามารถเพื่อกอบโกยสะสม ทรั พย์ สินฝ่ ายโลกจากประเทศอิ นเดีย..." 3. ระเบียบของปาโดรอาโด • ธรรมทูตที่ไปในดินแดนมิสซังต้องโดยสารทางเรื อของโปรตุเกสประเทศเดียว • ต้องออกเดินทางจากเมืองลิสบอนเมืองเดียว ฉะนั้นพระสงฆ์และนักบวชชาวโปรตุเกส หรื อชาว ต่างประเทศทัว่ ยุโรป ต้องไปรวมกันที่ลิสบอน ที่นนั่ เจ้าหน้าที่โปรตุเกสตรวจคนที่จะออกเดินทาง อย่างละเอียด (เกี่ยวกับอายุ สัญชาติ ยศ ตําแหน่ง...) คนต่างชาติตอ้ งเรี ยนภาษาโปรตุเกส เพราะเป็ น ภาษาที่ใช้ทว่ั ไปใน มิสซัง ชื่อของคนต่างชาติบางครั้งถูกตัดให้เป็ นสําเนียงโปรตุเกส • ธรรมทูตทุกคนต้องไปเฝ้ าพระมหากษัตริ ยแ์ ละปฏิญาณตัวต่อพระองค์ สัญญาที่จะซื่อสัตย์ต่อกษัตริ ย ์ โปรตุเกส • ธรรมทูตเดินทางภายใต้การนําของพระสงฆ์ชาวโปรตุเกส • เมื่อถึงเมืองกัว อุปราชจะตรวจตัวธรรมทูตอีกครั้ง • ในมิสซัง ต้องทํางานภายใต้การปกครองของนักบวชโปรตุเกส
จุดอ่อนของการปกครองของโปรตุเกส
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 47
of
Ba ngk o
k
ประเทศโปรตุเกสเป็ นประเทศเล็ก เมื่อนักเดินเรื อเริ่ มพบดินแดนใหม่ ในโปรตุเกสเองพลเมืองมีไม่เกินหนึ่ง ล้านห้าแสนคน ฉะนั้นโปรตุเกสประเทศเดียวไม่สามารถรับผิดชอบการเผยแพร่ ศาสนาทัว่ อาณานิคมของตน ฉะนั้น กษัตริ ยจ์ ึงขอความช่วยเหลือจากคณะนักบวช ทั้งขอให้นกั บวชเรี ยกสมาชิกของคณะที่เป็ นชาวต่างประเทศมาช่วย ด้วย จึงมีนกั บวชชาวอิตาเลียน สเปน เยอรมัน ออสเตรี ย โปแลนด์... ไปสมทบชาวโปรตุเกสเป็ นธรรมทูตเป็ น จํานวนมาก • ในดินแดนมิสซัง เขาใช้ครู คาํ สอนช่วยสอนศาสนา แต่ไม่ส่งเสริ มการบวชพระสงฆ์พ้นื เมือง • ตามธรรมดา ชาวโปรตุเกสยึดครองดินแดนทางชายทะเล ไม่นิยมเข้าไปลึกในแผ่นดินที่เป็ นอาณานิคม ของเขา • ฉะนั้นโปรตุเกสไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการมากมายของประเทศมิสซังอันกว้างใหญ่ เหลือเกิน
น่าสังเกตว่า แม้ระยะเวลานั้นจะอยูใ่ นศตวรรษที่ 16 แล้วก็ตาม แต่ประเทศโปรตุเกสและสเปนยังคงยึดถือ จิตตารมณ์ของสมัยกลางอยู่ นัน่ คือการยึดติดอยูก่ บั สถาบันพระสันตะปาปา แทนที่จะยึดติดอยูก่ บั ความโน้ม เอียงไปสู่ ความเปลี่ยนแปลงจากสมัยกลางไปสู่ สมัยใหม่ ตามที่มีอยูท่ วั่ ไปในยุโรปเวลานั้น ประเทศทั้งสอง จึงกลายเป็ นเสมือนเครื่ องมือที่พระศาสนจักรใช้ในการขยายพระศาสนจักรไปสู่ ดินแดนที่เพิ่งค้นพบใหม่ การก่อตั้งระบบปาโดรอาโด ทําให้ประเทศสเปนและโปรตุเกสต้องรับหน้าที่ในการต่อสู ้กบั พวกแขกมัวร์ มุสลิมที่กาํ ลังคุกคามยุโรปในเวลานั้น และด้วยการสํารวจดินแดนใหม่ พระศาสนจักรก็สามารถทําให้มี การกลับใจได้ ในปี ค.ศ. 1580 ประเทศโปรตุเกสตกอยูภ่ ายใต้การปกครองของสเปนและเป็ นอยูเ่ ช่นนี้จนกระทัง่ ปี ค.ศ. 1640 เมื่อมีการปฏิวตั ิกนั ขึ้นและที่สุดก็สถาปนาระบบพระมหากษัตริ ยป์ กครองโปรตุเกสต่อไป ในช่วง ระยะเวลาที่โปรตุเกสอ่อนแอมากเช่นนี้เอง ก็มีสิ่งใหม่เกิดขึ้นในพระศาสนจักร นัน่ คือการก่อตั้งสมณ กระทรวงเผยแพร่ ความเชื่อหรื อ ที่รู้จกั กันในนาม โปรปากันดา ฟี เด (Propaganda Fide) ทั้งนี้เป็ นเพราะ ระบบปาโดรอาโดทําให้เกิดอุปสรรคในการทํางานแพร่ ธรรมของพระศาสนจักร เมื่อเป็ นเช่นนี้ สิ ทธิพิเศษ ปาโดรอาโด กับบุคคลากรของโปรปากันดา ฟี เด ก็ตอ้ งเผชิญหน้ากันในดินแดนที่ท้งั สองต้องทํางานร่ วมกัน มิสซังสยามก็ไม่ได้รับการยกเว้น ดังที่เราจะศึกษาต่อไป
sA
ric al A
3.
rch ive
2.
rch
dio
1.
ces e
ข้ อสั งเกตบางประการเกีย่ วกับระบบปาโดรอาโด
การสถาปนาพระสั งฆราชโปรตุเกสในเอเชีย
1.
กัว สั งฆมณฑลแห่ งแรกของตะวันออก
Hi sto
ข.
เราจะสามารถเห็นถึงความเป็ นปึ กแผ่นของระบบปาโดรอาโดในเอเชียได้ก็ตอ้ งดูจากสังฆมณฑลต่างๆ ที่ พวกเขาได้ช่วยกันก่อตั้งขึ้นมา นับเป็ นฐานกําลังที่สาํ คัญในการทํางานแพร่ ธรรม ในสมัยนั้น เราจําเป็ นต้องรู ้เรื่ อง เหล่านี้ดว้ ยเช่นกัน เพื่อจะได้มองเห็นภาพรวมของระบบปาโดรอาโดนี้ได้ รวมทั้งเห็นอิทธิ พลของชาวโปรตุเกสใน ดินแดนแถบเอเชียนี้ดว้ ย
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 48
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
กัวเป็ นแคว้นๆ หนึ่งของอินเดียปั จจุบนั ซึ่ งมีจาํ นวนคริ สตชนมาก บางครั้งถึงกับเรี ยกว่า โรมแห่งตะวันออก เพราะคริ สตศาสนาที่นี่มีรูปแบบทางตะวันตกและเป็ นรู ปแบบของชีวติ ประชาชนที่นี่ดว้ ย ที่เป็ นเช่นนี้เนื่องจากว่า เมืองกัวเป็ นอาณานิคมของโปรตุเกสตั้งแต่ปี ค.ศ. 1510 จนถึงปี ค.ศ. 1961 นักประวัติศาสตร์ เห็นพ้องต้องกันว่า การที่โปรตุเกสเข้ามาสํารวจและยึดครองดินแดนทางตะวันออกนี้ จุดมุ่งหมายเอกนั้นมิใช่เพื่อก่อตั้งอาณานิคม แต่ เพื่อควบคุมการค้าอันนําประโยชน์มาให้มากกว่า จึงจําต้องหาทําเลที่เหมาะๆ เพื่อยึดเป็ นหัวหาดทางการค้าขายโดย ให้ทาํ เลนั้นๆ ขึ้นตรงต่อการปกครองของกษัตริ ยโ์ ปรตุเกส Albuquerque (ค.ศ. 1509-1515) เข้าใจความจําเป็ น ประการนี้ดีจึงออกแสวงหาและยึดครองสถานที่สาํ คัญๆ ในหมู่เกาะอินเดีย นัน่ คือ เข้ายึดครองเมืองกัวในปี ค.ศ. 1510, มะละกาในปี ค.ศ. 1511, ออร์ มุซ ในปี ค.ศ. 1515 รวมทั้ง Chaul, Damen, Diu และที่อื่นๆ ด้วย เมืองกัวได้ กลายเป็ นการครอบครองที่ใหญ่และสําคัญมากของโปรตุเกสในตะวันออก พระสันตะปาปาเคลเมนต์ ที่ 7 สถาปนาเมืองกัวให้เป็ นสังฆมณฑลในการประชุม Consistory วันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 1533 แต่ Bull ทางการนั้นออกเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน ค.ศ. 1534 ในสมัยพระสันตะปาปาเปาโล ที่ 3 เพราะว่าพระสันตะปาปาเคลเมนต์ ที่ 7 สิ้ นพระชนม์เสี ยก่อนในเดือนกันยายนปี เดียวกันนี้ อย่างไรก็ตาม การแต่งตั้ง พระสังฆราชแห่งเมืองกัวนั้นเริ่ มขึ้นในปี 1538 และพระสังฆราชที่ได้รับการแต่งตั้งเริ่ มมาประจําที่นี่ในปี ต่อมา อํานาจที่แท้จริ งในการปกครองดูแลเมืองกัวนั้นอยูภ่ ายใต้คณะแห่งพระคริ สต์ นอกจากนี้ อาศัยธรรมนูญแห่งพระศา สนจักร (Apostolic Constitution) ชื่อ "Etsi SanctaetImmaculata" ลงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1558 ได้ยกสังฆ มณฑลกัวให้เป็ นอัครสังฆมณฑลโดยอาศัยเอกสาร Bull "Pro Excellenti Praeminentia" ลงวันที่เดียวกัน นอกจากนี้ เวลาเดียวกันพวกโปรตุเกสก็ขอพระสันตะปาปาก่อตั้งสังฆมณฑลใหม่ๆ ขึ้น เช่น Cochin, มะละกาให้เป็ นสังฆ มณฑลขึ้นกับอัครสังฆมณฑลกัวด้วย และพระสันตะปาปาก็ทรงเห็นด้วยและแต่งตั้งเป็ นสังฆมณฑลตามที่พวกเขา เสนอมาโดยอาศัยเอกสาร Bull ฉบับเดียวกันนี้เองโดยพระสันตะปาปาเปาโล ที่ 4 2. สั งฆมณฑลมะละกา หลังจาก Albuquerque ยึดครองมะละกาได้ในปี ค.ศ. 1511 ไม่นานนัก ท่านก็ได้สร้างป้ อมปราการและวัด แห่งหนึ่งขึ้นชื่อว่าวัดแม่ พระรับสาร วัดนี้ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็ นวัดอัสสัมชัญมะละกาได้รับการยกขึ้นเป็ นสังฆมณฑล โดยเอกสารลงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1558 ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น มะละกาจึงกลายเป็ นศูนย์กลางการแพร่ ธรรม ในภูมิภาคนี้ จากมะละกานี่เองที่บรรดามิชชันนารี ออกไปแพร่ ธรรมยังกัมพูชา, สยาม, โคจินจีน, อินโดนีเซี ย, โมลค คาส, โซลอร์ , ติมอร์ , จีน และญี่ปุ่นด้วย อาศัย Brief "Multa Praeclara" ลงวันที่ 24 สิ หาคม ค.ศ. 1838 โดยพระสันตะปาปาเกรโกรี ที่ 16 (ค.ศ. 1831-1846) ได้ยกเลิกการเป็ นสังฆมณฑล ต่อมาพระองค์ก็ได้จดั ตั้งเป็ น Apostate Vicariale เมื่อวันที่ 10 กันยายน ค.ศ. 1841 และมอบหมายให้สงฆ์คณะ M.E.P. เป็ นผูด้ ูแลแทน ในที่สุดได้รับการยกขึ้นเป็ นสังฆมณฑลอีกครั้ง หนึ่งโดยพระสันตะปาปาเลโอ ที่ 13 เมื่อวันที่ 10 สิ งหาคม ค.ศ. 1888 ต่อมาได้รับการยกขึ้นเป็ นอัครสังฆมณฑลเมื่อ วันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 1953 มะละกาถูกแบ่งออกเป็ น 3 สังฆมณฑลเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1955 ได้แก่อคั ร สังฆมณฑล มะละกา-สิ งคโปร์ , สังฆมณฑลกัวลาลัมเปอร์ และสังฆมณฑลปี นัง 3. สั งฆมณฑลมาเก๊ า
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 49
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
มาเก๊าได้รับการสถาปนาเป็ นสังฆมณฑลโดยเอกสาร Bull "Super Specula" ลงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1576 โดยพระสันตะปาปาเกรโกรี ที่ 13 โดยตั้งขึ้นเพื่อรับใช้คริ สตชนแห่งจีนและญี่ปุ่น มาเก๊าได้ชื่อว่าเป็ นประตูสู่ เมืองจีน มิชชันนารี ที่ปรารถนาจะเข้าไปยังจีนและญี่ปุ่นจะมาที่นี่และพักอยูจ่ นกว่าจะสามารถเข้าประเทศนั้นๆ ได้ สิ่ งที่น่าสังเกตประการหนึ่งก็คือในระหว่างปี ค.ศ. 1583-1632 มีแต่เพียงมิชชันารี คณะเยสุ อิตเท่านั้นที่กาํ ลังทํางานใน จีนและญี่ปุ่น โดยมีวทิ ยาลัยของตนอยูท่ ี่มาเก๊านี้เอง ที่เป็ นดังนี้ก็เพราะว่าพระสันตะปาปาเกรโกรี ที่ 13 ได้ให้สิทธิ พิเศษแก่คณะ เยสุ อิตเท่านั้นในการแพร่ ธรรมในจีนและญี่ปุ่นโดยออกเอกสาร Brief "Ex Pastoral Officio" ลง วันที่ 28 มกราคม ค.ศ. 1585 แต่ต่อมาในวันที่ 12 ธันวาคม ค.ศ. 1600 พระสันตะปาปาเคลเมนต์ ที่ 8 เพิกถอน สิ ทธิพิเศษนี้โดยออกเอกสารธรรมนูญ "Onerosa Pastoralis" อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลานั้นก็มีสงฆ์ฟรังซิ สกันบาง คนเข้าไปทํางานโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วย เป็ นอันว่าจากระบบปาโดรอาโดนี้ อํานาจในการแพร่ ธรรมจริ งๆ ของพระศาสนจักรกลับไปตกอยูใ่ นมือ ของโปรตุเกสและสเปน ทําให้งานแพร่ ธรรมไปปะปนกับการล่าอาณานิคมและการค้าหาผลประโยชน์ มิชชันนารี คณะต่างๆ ภายใต้ระบบนี้ก็ละเลยหน้าที่ในการแพร่ ธรรมโดยที่พระศาสนจักรเองไม่สามารถเข้าแทรกแซงได้เลย พระศาสนจักรจึงต้องการแก้ไขเรื่ องนี้โดยพยายามนําเอาอํานาจในการแพร่ ธรรมกลับคืนมา การสังคายนาที่เตรนโต ก็ถกเถียงกันถึงเรื่ องนี้ดว้ ย ดังนั้นหลังจากการสังคายนาสากลที่เมือง Trent ระหว่างปี ค.ศ. 1545-1563 ทางโรมเห็นว่าระบบนี้ไม่ เหมาะสม และมีหลายอย่างที่เป็ นอุปสรรคต่อการแพร่ ธรรม จึงหาหนทางที่จะเอาอํานาจการแพร่ ธรรมกลับคืนมา และเพื่อมิให้มีขอ้ บาดหมางกับทั้ง 2 ประเทศนั้นด้วย ก็ตอ้ งหาทางออกที่เหมาะสมโดยการก่อตั้งสมณกระทรวงโปร ปากันดา ฟี เด ขึ้นมาในปี ค.ศ. 1622 เพื่อรับผิดชอบในการแพร่ ธรรมในส่ วนต่างๆ ของโลก บังเอิญในช่วงปี ค.ศ. 1622 นั้น ประเทศโปรตุเกสกําลังอยูใ่ นสภาพสู ญเสี ยความเป็ นมหาอํานาจ อย่างไรก็ตาม การที่โปรปากันดา ฟี เดจะ ทําอะไรสักอย่างเพื่อการแพร่ ธรรม ก็ตอ้ งทําด้วยความระมัดระวัง เพื่อมิให้เกิดเรื่ องขึ้นได้ เพราะอาจจะไปล่วงลํ้า สิ ทธิ พิเศษ
Hi sto
ric al A
ต่างๆ เหล่านั้น การแต่งตั้งพระสังฆราชปกติเป็ นไปไม่ได้เพราะสิ ทธิ พิเศษประการหนึ่ง แต่ไม่มีสิทธิ พิเศษข้อใด ขัดแย้งกับการส่ งผูแ้ ทนพระสันตะปาปาเข้ามาดูงานในเขตดินแดนเหล่านั้น รวมทั้งในเขตที่ยงั ไม่ถูกยึดครองโดย โปรตุเกสและสเปน ดังนั้นทางเดียวที่ทาํ ได้คือ แต่งตั้งพระสังฆราชและมอบหมายให้เป็ น Apostolic Vcar ดังกล่าว ถึงกระนั้นก็ดี ทั้งสองประเทศนั้นต่างก็ถือว่าบรรดามิชชันนารี ของโปรปากันดา ฟี เด ได้เข้ามาล่วงลํ้าสิ ทธิ พิเศษของ ตน จึงไม่ยอมรับอํานาจของพระสังฆราชที่ถูกส่ งมา เรื่ องของเรื่ องก็คือบรรดามิชชันนารี ของปาโดรอาโด และของ โปรปากันดา ฟี เด ก็ตอ้ งทะเลาะกันและบาดหมางกันในทุกภาคของโลกก็วา่ ได้
3.
สมณกระทรวงเผยแพร่ ความเชื่อ (Propaganda Fide)
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 50
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
การก่อตั้งสมณกระทรวงเผยแพร่ ความเชื่อ นับว่าเป็ นเหตุการณ์ที่สาํ คัญยิง่ ในประวัติศาสตร์ พระศาสนจักร และโดยเฉพาะอย่างยิง่ ในประวัติศาสตร์ การแพร่ ธรรม เราเห็นแจ้งว่าระบบปาโดรอาโดนี้ ด้านหนึ่งก็เท่ากับเป็ นการ ช่วยพระศาสนจักรในการแพร่ ธรรม ส่ วนอีกด้านหนึ่งการแพร่ ธรรมได้รับการกระทบกระเทือน เพราะเหตุวา่ อาณา นิคมของโปรตุเกสกว้างใหญ่ไพศาล กษัตริ ยไ์ ม่สามารถดูแลและช่วยคริ สตังได้ทว่ั ถึง ปั ญหาต่างๆ ก็ตามมาหลาย อย่างด้วยกัน คุณพ่อกอสเตได้สรุ ปไว้ดงั นี้ หลังสังคายนาเตรนโต พระสันตะปาปาปี โอ ที่ 5 ได้ต้ งั คณะกรรมการคณะหนึ่ง เพื่อส่ งเสริ มการเผยแพร่ ศาสนา ครั้งแรกมีพระคาร์ ดินลั 4 องค์เป็ นกรรมการ ต่อมาเพิ่มจํานวนถึง 11 องค์ (ปี ค.ศ. 1568) ต่อมาปี ค.ศ. 1622 พระสันตะปาปาเกรโกรี ที่ 15 ได้ทรงสถาปนาสมณกระทรวงหนึ่งเรี ยกว่า สมณกระทรวงการเผยแพร่ ความเชื่อ เพื่อให้พระศาสนจักรเองได้รับอํานาจปกครองการเผยแพร่ คืนมา มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นเพราะประเทศโปรตุเกส จะไม่ยอมสละอภิสิทธิ์ ที่ได้รับจากพระสันตะ ปาปาองค์ก่อนๆ ทั้งๆ ที่ไม่สามารถปฏิบตั ิหน้าที่ในด้านนั้นอย่าง ครบถ้วน สมณกระทรวงใหม่เริ่ มทํางานโดยทําการสํารวจสื บสวน เพื่อทราบสภาพความเป็ นอยูข่ องการแพร่ ธรรมใน มิสซังถึง 3 ครั้ง (ปี ค.ศ. 1625, 1628, 1644) สมณกระทรวงได้รับคําตอบที่จะสรุ ปได้ดงั ต่อไปนี้ ในมิสซังมีการขัดแย้งกันระหว่างสังฆราชกับนักบวช และระหว่างนักบวชด้วยกัน, ธรรมทูตทําการค้าขาย, ธรรมทูตไม่เรี ยนภาษาของชาวบ้านในประเทศที่เขาแพร่ ธรรม, เขตสังฆมณฑลกว้างเกินไป, ธรรมทูตไปยุง่ กับ การเมือง, นักการเมืองไปยุง่ ในงานแพร่ ธรรมของธรรมทูต, ธรรมทูตไม่มีโครงการจะเตรี ยมคนพื้นเมืองให้บวชเป็ น พระสงฆ์ หรื อคัดค้านไม่ยอมให้คนพื้นเมืองบวชเป็ นพระสงฆ์, พระสันตะปาปาไม่สามารถประกาศสมณสารใน ประเทศมิสซัง ถ้ากษัตริ ยโ์ ปรตุเกสไม่ได้รับรองเสี ยก่อน อันที่จริ งปัญหาเหล่านี้มีมานานแล้ว เพียงแต่สมณกระทรวงได้เริ่ มสอบสวนและหาทางแก้ไขต่อมาเท่านั้น เป็ นอันว่าเราสามารถมองเห็นถึงความจําเป็ นในอันที่จะต้องจัดตั้งสมณ กระทรวงเผยแพร่ ความเชื่อขึ้นแล้ว เรื่ องการ ก่อตั้งอย่างละเอียดนั้นผูส้ นใจสามารถหาศึกษาได้จากหนังสื อหลายเล่มทีเดียว และทั้งจากหอจดหมายเหตุของ สมณกระทรวงเอง ซึ่ งผมขอสรุ ปให้ดงั ต่อไปนี้ พระสันตะปาปาเกรโกรี ที่ 15 ก่อตั้งสมณกระทรวงเผยแพร่ ความเชื่อนี้ข้ ึนเมื่อวันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 1622 หน้าแรกของเอกสารแห่งสมณกระทรวง บันทึกไว้อย่างชัดเจนเป็ นภาษาลาตินว่าดังนี้ "In Christi Nomine Amen Anno ab ejusdem Nativitate 1622, die 6 Januarii Acta Sacrae Congregationis Cardinatium de Propaganda Fide. Sub Gregorio XV Pontifice Maximo"
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 51
จุดมุ่งหมายของการส่ งผู้แทนพระสั นตะปาปา
rch ive
ก.
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
อย่างไรก็ตามเอกสาร Bull ซึ่ งเป็ นคําสัง่ แต่งตั้งทางการออกมาเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 1622 ธรรมนูญใน การก่อตั้งนี้ข้ ึนต้นด้วยคําว่า "Inscrutabili divinae Providentiae Arcano" งานที่พระสันตะปาปาทรงมอบหมายให้แก่ สมณกระทรวงใหม่น้ ีไม่มีอะไรมากไปกว่า ให้ทาํ ทุกอย่างเพื่อช่วยการเผยแพร่ ความเชื่อคาทอลิก สนามงานของ สมณกระทรวงได้แก่ โลกทั้งโลก พระองค์ทรงจัดทําจดหมายเวียนไปยังบรรดาพระสังฆราชทั้งหลายเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1623 กล่าวถึงเรื่ องเหล่านี้ และทรงเสริ มด้วยว่าสมณกระทรวงต้องนําเอาเหตุการณ์ 2 อย่างที่สาํ คัญ มากในศตวรรษที่ 16 ได้แก่ การค้นพบดินแดนใหม่ๆ ในโลก และการปฏิรูปของพวกโปรเตสตันท์ ให้ท้งั 2 เหตุการณ์น้ ีเข้ามามีความสัมพันธ์กบั พระศาสนจักรให้จงได้ นอกจากนี้ ยังมีหน้าที่ที่จะต้องติดต่อกับพระศาสนจักร ตะวันออกซึ่ งแยกออกจากคาทอลิกไปแล้วด้วย คําว่า Mission หรื อที่เราเรี ยกกันว่า มิสซังนั้น ก็ถูกใช้โดยสมณกระทรวงตั้งแต่แรกๆ เลยทีเดียว เพราะคําๆ นี้หมายถึงการส่ งออกไป การส่ งออกไปนี้ได้แก่การส่ งบรรดา "ผู้แทนพระสั นตะปาปา" (Apostolic vicars) ออกไป ทํางานในนามของพระสันตะปาปาโดยพยายามหลีกเลี่ยงกับสิ ทธิ พิเศษของโปรตุเกสและสเปนด้วย แต่ก็ไม่สามารถ หลีกเลี่ยงปัญหาได้ คุณพ่อกอสเตบรรยายไว้วา่ วันที่ 30 พฤศจิ กายน ค.ศ. 1637 พระคาร์ ดินัล Ingoli เลขาธิ การของสมณกระทรวงเผยแพร่ ความเชื่ อได้ รับ อนุญาตให้ มีการอภิเษกพระสงฆ์ ชาวอิ นเดียองค์ หนึ่งอย่ างลับๆ ชื่ อ มาฮิ ว เดกาสโตร ให้ เป็ นพระสั งฆราช ปี ต่ อมา ค.ศ. 1638 ท่ านส่ งสั งฆราชใหม่ นั้นไปปกครองสั งฆมณฑลหนึ่งในอิ นเดียในนามของผู้แทนพระสั นตะปาปา แต่ อัคร สั งฆราชแห่ งมาเก๊ าไม่ ยอมรั บพระสั งฆราชของสมณกระทรวง โดยอ้ างสิ ทธิ ของปาโดรอาโด ในที่ สุดพระสั งฆราช ชาวอิ นเดียนั้นต้ องกลับกรุ งโรมในปี ค.ศ. 1640 เราจะมาดูเรื่ องราวของสมณกระทรวงในส่ วนที่เกี่ยวข้องกับสยาม ดังต่อไปนี้
Hi sto
ric al A
การก่อตั้งสมณกระทรวงเผยแพร่ ความเชื่อมาจากความจําเป็ นต่างๆ ดังกล่าวมาแล้ว เป็ นต้นว่าการ ตัดสิ นใจ ของสังคายนาที่เมืองเตรนโต การต้องการเอาอํานาจในการแพร่ ธรรมกลับคืนมาสู่ มือพระศาสนจักร การขจัดความ ไม่สะดวกต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากสิ ทธิ พิเศษต่างๆ ที่โปรตุเกสและสเปนได้รับจากสิ ทธิ พิเศษของปาโดรอาโด ประกอบ กับเวลานั้นประเทศโปรตุเกสกําลังสู ญเสี ยอํานาจของตนไปอันเนื่องมาจากมีคู่แข่งมากขึ้นทั้งจากอังกฤษ, ฮอลแลนด์ , ฝรั่งเศส รวมทั้งสเปนก็เข้าครอบครองโปรตุเกสด้วย นอกจากนี้ประเทศโปรตุเกสเองก็ยงั ไม่สามารถบริ หารงาน แพร่ ธรรมในดินแดนต่างๆ ที่ตนยึดครองอยูอ่ ย่างมีประสิ ทธิ ภาพอีกด้วย ตามที่กล่าวมาแล้วว่า สมณกระทรวงจําเป็ นต้องระมัดระวังที่จะไม่ล่วงลํ้าสิ ทธิ พิเศษของโปรตุเกส แต่งาน แพร่ ธรรมก็จาํ เป็ นต้องเริ่ มขึ้น จึงได้จดั ส่ ง Apostolic Vicar ไปตามภูมิภาคต่างๆ ของโลก เราอาจจะแปลคําว่า Apostolic Vicar ได้วา่ "รองอัครสาวก" หรื อ "ผู้แทนพระสั นตะปาปา" โดยเป็ นผูไ้ ด้รับการแต่งตั้งเป็ นสังฆราช ของสังฆมณฑลใดสังฆมณฑลหนึ่งหรื อเมืองใดเมืองหนึ่ง ซึ่ งเราเรี ยกว่าเป็ น Titular Bishop in partibus infidelium ซึ่งหมายความว่าเป็ นสังฆราช แต่ไม่ตอ้ งประจําในท้องที่ที่ถูกกําหนดไว้ตามตําแหน่ง แต่ให้ไปทําหน้าที่เป็ นผูแ้ ทน พระสันตะปาปา สมณกระทรวงยังคงยอมรับสิ ทธิ พิเศษปาโดรอาโด แต่เวลาเดียวกันก็ปฏิเสธอย่างแข็งขันใน ดินแดน ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ดว้ ย คือ
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 52
ในดินแดนซึ่ งยังไม่เคยถูกโปรตุเกสครอบครองมาก่อน • ในดินแดนซึ่ งเคยถูกโปรตุเกสครอบครอง แต่ได้รับเสรี ภาพแล้วโดยมีผปู ้ กครองของตนเอง • ในดินแดนที่ถูกยึดครองโดยชาวฮอลแลนด์ และชาวอังกฤษ ตัวอย่างที่เห็นได้ชดั จากเรื่ องนี้ได้แก่ สมณกระทรวงไม่เคยยอมรับเลยว่าขอบเขตของ สังฆมณฑลมาเก๊า แผ่ขยายเข้าไปจนถึงประเทศจีนด้วย ตามที่ประเทศโปรตุเกสอ้างอยูเ่ สมอ เกี่ยวกับเรื่ องนี้พระสันตะปาปา Innocent XII สนับสนุนแนวทางของสมณกระทรวงและให้การรับรองด้วยพระองค์เอง ดังนั้นสมณกระทรวงจึงจัดส่ งผูแ้ ทน พระสันตะปาปาเข้าไปในดินแดนต่างๆ ดังกล่าวรวมทั้งจีนและอินโดจีนด้วย ผูท้ ี่จะเป็ น Apostolic Vicars ก็ได้รับ การเลือกมาจากพระสงฆ์พ้ืนเมือง (Diocesan Priests) หรื อพระสงฆ์สังฆมณฑล หรื อจากผูท้ ี่เป็ นอิสระจากอิทธิพล ของปาโดรอาโด และจากอํานาจหน้าที่ของอธิ การคณะนักบวชต่างๆ ด้วย และเพื่อมิให้เกิดปั ญหากับปาโดรอาโด ก็ได้ย้าํ เตือนบรรดาผูแ้ ทนพระสันตะปาปาเหล่านี้ให้ระวัง และให้ถือตามแนวทางต่างๆ ที่ สมณกระทรวงให้ ไว้ดว้ ย ด้วยวิธีการนี้เท่านั้นการแพร่ ธรรมได้กลับมาอยูใ่ นมือของพระสันตะปาปา อีกครั้งหนึ่ง แน่นอนที่สุด กษัตริ ยโ์ ปรตุเกสได้อา้ งว่า การแต่งตั้งผูแ้ ทนพระสันตะปาปาในลักษณะเช่นนี้เป็ นการล่วงลํ้า ต่อสิ ทธิ พิเศษของตน ในปี ค.ศ. 1680 สมณกระทรวงภายใต้การรับรองของพระสันตะปาปาได้ออกประกาศทางการ ส่ งไปให้กษัตริ ยโ์ ปรตุเกส ประกาศให้ทราบว่าการก่อตั้งสถาบันผูแ้ ทนพระสันตะปาปานี้มิได้เป็ นการล่วงลํ้าปาโดร อาโดแต่ประการใด อีกทั้งยังไม่เกี่ยวข้องกับอํานาจหน้าที่ของบรรดาพระสังฆราชซึ่ งอยูภ่ ายใต้ระบบปาโดรอาโดอีก ด้วย เพราะเหตุวา่ ผูแ้ ทนพระสันตะปาปามิได้ถูกแต่งตั้งเข้าไปอยูใ่ นดินแดนที่โปรตุเกสครอบครองอยู่ อีกทั้งสิ ทธิ พิเศษต่างๆ ของโปรตุเกสนั้นก็ยงั อยูค่ รบถ้วนทุกประการด้วย สิ่ งที่น่าสังเกตก็คือ สมณกระทรวงใช้เวลานานทีเดียวกว่าจะประกาศให้กษัตริ ยโ์ ปรตุเกสทราบอย่างเป็ น ทางการ ในระหว่างเวลาก่อนหน้านั้นมีเหตุการณ์บาดหมางกันระหว่าง 2 สถาบันนี้เกิดขึ้นมากมาย สิ่ งที่น่าสนใจอีก ประการหนึ่งก็คือ ปลายๆ ศตวรรษที่ 16 และต้นๆ ศตวรรษที่ 17 ในดินแดนของปาโดรอาโดเองก็เกิดเหตุการณ์ไม่ดี อยูห่ ลายอย่างด้วย ได้แก่ ความบาดหมางระหว่างคณะนักบวชต่างๆ, พวกมิชชันนารี ไม่เตรี ยมพระสงฆ์พ้ืนเมือง, ไม่ ประยุกต์วฒั นธรรม สมณกระทรวงยังคงพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้เกิดความร่ วมมือระหว่างกัน โดย วางแผนและโครงการไว้หลายประการด้วยกันเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ เพื่อให้งานแพร่ ธรรมก้าวหน้า แม้วา่ สมณ กระทรวงมีขอ้ คําสอนหลายอย่างเกี่ยวกับเรื่ องนี้ แต่เมื่อถึงเวลาที่จะต้องประยุกต์จารี ตต่างๆ ก็ไม่สามารถทําได้ อาจ เป็ นเพราะทฤษฎีของพวก Jansenism ยังมีอยูใ่ นพระศาสนจักรเวลานั้น และมีอิทธิ พลอยูด่ ว้ ย ดังนั้นสิ่ งที่เราน่าจะ สนใจเวลานี้คือ สมณกระทรวงให้ขอ้ คําสอนอะไรแก่บรรดามิชชันนารี ของตนบ้าง
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
•
ข้ อคําสอนของสมณกระทรวงต่ อบรรดาผู้แทนพระสั นตะปาปา
Hi sto
ข.
สมณกระทรวงเห็นว่าสิ่ งแรกที่จะต้องทําก็คือ การแสวงหาความคิดทัว่ ๆ ไปเกี่ยวกับงานแพร่ ธรรมของ พระศาสนจักร ซึ่ งเป็ นงานที่พระสันตะปาปาเกรโกรี ที่ 15 มอบหมาย จึงได้ขอความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่ องนี้ไปยัง บรรดาสมณทูต, พระสังฆราช มหาอธิ การของคณะนักบวชต่างๆ และขอคําแนะนําจากผูม้ ีความสันทัดในเรื่ องนี้ ด้วย พระคาร์ดินลั Ingoli เลขาธิ การของสมณ กระทรวงในเวลานั้น ได้รวบรวมความคิดเห็นต่างๆ และได้แต่งเป็ น บันทึกความทรงจํา (Memorandum) ขึ้นมา 3 เล่ม บรรยายเกี่ยวกับความยากลําบากต่างๆ ที่บรรดามิชชันนารี
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 53
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
ประสบในตะวันออกไกล และอินเดียตะวันตก พร้อมทั้งแสดงความคิดเห็นและทางแก้ไขต่างๆ เอาไว้ดว้ ย Ingoli เองเกิดมีความคิดด้านแพร่ ธรรมอันยิง่ ใหญ่ข้ ึนมาด้วย นัน่ คือ อบรมและเตรี ยมคณะสงฆ์พ้นื เมือง และจัดตั้งฐานันดร ของพระศาสนจักรท้องถิ่นด้วย (Native Hierarchy) แผนงานต่างๆ ของสมณกระทรวงตามที่มีอยูใ่ นกฤษฎีกาและข้อคําสั่งสอนต่างๆ ที่จดั ทําขึ้นในปี แรกๆ ของ การก่อตั้ง รวมทั้งงานเขียนต่างๆ ของพระคาร์ ดินลั อินโกลี ค่อยๆ ถูกจัดทําขึ้นมาโดยวางพื้นฐานอยูบ่ นแนวทางที่ พระสันตะปาปาเกรโกรี ที่ 15 มอบไว้ รวมทั้งบทประสบการณ์และบทสะท้อนของพระคาร์ ดินลั อินโกลี เอกสาร รู ปแบบของเรื่ องนี้ได้แก่ ข้อคําสอนที่มีชื่อเสี ยงมากซึ่ งเราเรี ยกกันว่า "ข้ อคําสั่ งสอน ปี ค.ศ. 1659" มอบให้แก่บรรดา ผูแ้ ทนพระสันตะปาปาแห่งอินโดจีน มีชื่อว่า "Instructio Vicariorum Apostolicoum ad regna Sinarum Tonchini et Cocincinae proficiscentium 1659" ออกโดยสมณกระทรวง มอบให้ ฯพณฯ FranÇois Pallu พระสังฆราชแห่ง เอลี โอโปลิศ, ฯพณฯ Pierre Lambert de la Motte พระสังฆราชแห่งเบริ ธ และ ฯพณฯ Ignatius Cotolendi พระสังฆราช แห่งเมแตลโลโปลิศ เราสามารถศึกษาเอกสารฉบับนี้โดยแบ่งออกเป็ น 3 ส่ วน ดังนี้ 1. ก่อนออกเดินทาง Antequam discedant จุดสําคัญๆ ของคําสัง่ สอนส่ วนนี้ ได้แก่ ก. คุณสมบัติของผูท้ ี่จะร่ วมงานและท่าทีของผูแ้ ทนพระสันตะปาปาในการเลือกผูร้ ่ วมงานและเชื้อเชิญพวกเขา ไปร่ วมทํางาน มีดงั ต่อไปนี้ 1. เป็ นผูม้ ีความร้อนรนในทางศาสนา และความเลื่อมใสศรัทธาที่มาจากพระเป็ นเจ้าพระองค์เอง 2. หลังจากพิจารณาบุคคลต่างๆ ที่มาสมัครด้วยความรอบคอบแล้ว ผูแ้ ทนพระสันตะปาปาต้องเลือกผูท้ ี่มี อายุ และสุ ขภาพที่เหมาะสมกับงานที่ตอ้ งพบกับความยากลําบากต่างๆ ได้ 3. เลือกแล้วต้องส่ งรายชื่อผูม้ ีคุณสมบัติที่ถูกเลือกเหล่านั้นให้แก่สมณทูตแห่งปารี สเพื่อให้สมณทูตลงชื่อ บุคคลเหล่านั้นในจดหมายที่จะอํานวยความสะดวกต่างๆ ให้แก่คณะผูแ้ ทนพระสันตะปาปาได้ ข. การติดต่อสื่ อสารกันระหว่างผูแ้ ทนพระสันตะปาปา สมณกระทรวง และสมณทูต ต่างกระทําด้วยความ แน่นอนและปลอดภัย ทั้งวิธีการที่ใช้ รวมทั้งด้วยคนที่ไว้ใจได้ ซึ่ งเต็มไปด้วยความรับผิดชอบที่จะส่ ง จดหมายได้อย่างปลอดภัยเท่าที่สามารถเป็ นไปได้ ก่อนที่จะจบส่ วนนี้ สมณกระทรวงสั่งให้พวกเขารี บออกเดินทางโดยเร็ วที่สุดที่จะเป็ นไปได้ และ เดินทางอย่างลับที่สุดด้วย หลังจากข้อคําสั่งสอนเหล่านี้แล้วจากสมณทูต
2.
ในระหว่ างการเดินทาง In ipso intinere
Hi sto
เพื่อหลีกเลี่ยงแคว้นและสถานที่ต่างๆ ภายใต้การยึดครองของโปรตุเกส ทิศทางและเส้นทางซึ่ งเขาใช้น้ นั จะ เป็ นเส้นทางที่ผา่ นซี เรี ยและเมโสโปเตเมีย ไม่ใช่เส้นทางที่ผา่ นมหาสมุทรแอตแลนติก และแหลมกู๊ดโฮป นัน่ หมายความว่าให้เดินทางผ่านเปอร์ เซี ยและอาณาจักรมองโกล ในระหว่างการเดินทาง พวกเขาต้องเขียนบรรยายการเดินทาง รวมทั้งบรรยายถึงแคว้นต่างๆ ที่พวกเขาผ่าน ไปด้วย ให้สังเกตสิ่ งต่างๆ ซึ่ งอาจเป็ นประโยชน์ต่อการประกาศความเชื่อ นําความรอดสู่ วญ ิ ญาณ และเพื่อสิ ริมงคล ของพระเป็ นเจ้า พวกเขาจะต้องสังเกตสภาพของคริ สตศาสนาที่มีอยูแ่ ล้วด้วยว่าเป็ นอย่างไร สังเกตสภาพของมิสซัง และมิชชันนารี ต่างๆ ด้วย พวกเขาต้องเขียนสิ่ งต่างๆ เหล่านี้และส่ งกลับไปให้สมณกระทรวง
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 54
3.
ภารกิจทีต่ ้ องกระทํา In ipsa missione เราสามารถสรุ ปส่ วนสําคัญๆ ของส่ วนนี้ได้ดงั ต่อไปนี้
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
ก. คณะสงฆ์พ้นื เมืองต้องได้รับการก่อตั้งขึ้น และนี่ตอ้ งถือว่าเป็ นเหตุผลหลักของการเดินทางครั้งนี้ ข. มิชชันนารี ถูกห้ามไม่ให้ยงุ่ เกี่ยวกับการเมืองและการค้าขายด้วย พวกเขาต้องอยูห่ ่างๆ จากเรื่ องต่างๆ ทาง การเมืองและธุ รกิจ และมิให้เข้ารับหน้าที่บริ หารเรื่ องราวทางบ้านเมือง สมณกระทรวงได้หา้ มเรื่ องเหล่านี้อย่าง จริ งจังและเคร่ งครัดเสมอมา และห้ามเช่นนี้ต่อไป หากว่ามีใครถลําเข้าไปสู่ ความโง่เขลาชนิดนี้ เขาจะต้องถูก ปลดออกจากหน้าที่โดยไม่ตอ้ งลังเลเลย ให้ปลดและขับไล่ออกจากมิสซังเพื่อมิให้มีสิ่งใดถูกพิจารณาว่าเป็ น ผูน้ าํ เอาความพินาศและเป็ นการทําร้ายต่องานของพระผูเ้ ป็ นเจ้า ค. การประยุกต์ต่างๆ ต้องถูกนํามาใช้กบั วัฒนธรรมและประเพณี ของประชาชน เกี่ยวกับเรื่ องนี้ขอ้ คําสั่งสอนกล่าว ว่า พวกเขาต้องไม่วจิ ารณ์การกระทําและการปฏิบตั ิใดๆ ของประชาชน ไม่วา่ ในส่ วนตัวหรื อในที่สาธารณะ พวกเขาต้องไม่ถกเถียงอย่างรุ นแรงรวมทั้งต้องไม่ให้ความเห็นใดๆ ด้วย แต่พวกเขาต้องสอนความเชื่อซึ่งไม่ โจมตีและทําร้ายพิธีการและประเพณี ของชนชาติใดเลย เพราะเหตุวา่ เป็ นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะรักและให้ คุณค่าต่อสิ่ งที่เป็ นของตนเองและโดยเฉพาะอย่างยิง่ ต่อชาติของตนเอง พวกเขาต้องพยายามแปลหนังสื อต่างๆ ของบรรดาปิ ตาจารย์ของพระศาสนจักร และหนังสื อชนิดต่างๆ เหล่านี้ให้เป็ นภาษาพื้นเมือง ง. ต้องจัดตั้งการศึกษาทั้งทางศาสนาและทางวิทยาการ ต้องจัดตั้งโรงเรี ยนขึ้นทุกแห่งด้วยความเอาใจใส่ อย่างที่สุด และด้วยความมานะอย่างที่สุด เพื่อบรรดาเยาวชนของแคว้นต่างๆ โดยไม่คิดเงินใดๆ ให้สอนภาษาลาตินและ ข้อคําสอนของคริ สตศาสนาด้วย เพื่อว่าจะไม่มีคาทอลิกคนใดเลยจําต้องส่ งบุตรหลานของตนไปรับการศึกษา ประเภทอื่น เวลาเดียวกันบรรดามิชชันนารี ตอ้ งพยายามหากระแสเรี ยกทางศาสนาในท่ามกลางเยาวชนเหล่านั้น หากเห็นว่าเขามีความศรัทธาและใจกว้าง ข้อคําสอนนี้ถูกเขียนขึ้นเป็ นภาษาลาติน แน่นอนที่สุดบรรดาผูแ้ ทนพระสันตะปาปายึดถือแนวทางเหล่านี้ ในการทํางาน อย่างไรก็ตาม ปั ญหามิใช่เกิดจากข้อคําสอนแต่เกิดจากการเผชิญหน้ากันกับระบบสิ ทธิ พิเศษปาโดรอา โดร ซึ่งเราจะศึกษากันต่อไป เกี่ยวกับเรื่ องข้อคําสอนและทิศทางของศตวรรษที่ 17 นี้ มีบทความพิเศษบทหนึ่งของ คุณพ่อทวีศกั ดิ์ บุญสู่ ลงในอุดมศานต์รายเดือนของเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1992 หน้า 13-17 มีตอนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่ องนี้ เพราะได้อา้ ง ถึงกระแสความคิดของลัทธิ หนึ่งในยุโรปคือ ลัทธิ แจน เซนนิสต์ (Jansenism) และทัศนะและท่าทีของพระศาสน จักรต่อวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณี ของศาสนาอื่นๆ ที่มิใช่คริ สตศาสนา จึงขอคัดมาให้ศึกษากันด้วย ดังนี้
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 55
Ba ngk o
k
กระแสความคิ ดแห่ งความยิ่งใหญ่ และเหนือกว่ าคนอื่ นของชาวตะวันตกได้ แทรกซึ มเข้ าไปมีอิทธิ พลต่ อ แนวคิ ดทางด้ านเทวศาสตร์ ของคริ สตศาสนา เป็ นต้ นในระหว่ างคริ สตศตวรรษที่ 17 จนกระทั่งถึงไม่ กี่สิบปี ก่ อน สังคายนาวาติกันครั้ งที่ 2 เหตุที่กล่ าวเช่ นนีเ้ พราะลัทธิ แจนเซนนิสต์ ที่แพร่ หลายมากในสมัยนั้น ได้ มีอิทธิ พลต่ อ แนวคิ ดทางเทวศาสตร์ ของบรรดาธรรมทูตจํานวน ไม่ น้อยในแนวคิดที่ว่า "นอกพระศาสนจักรไม่ มีความรอด" ดังนั้นจุดมุ่งหมายหลักของธรรมทูต ในระยะนั้นจึ งถือเอาการโปรดศีลล้ างบาปเป็ นหลัก เพราะถือเป็ นทางเดียว เท่ านั้นที่ จะส่ งมอบความรอดให้ กับชนชาติที่นับถือศาสนาอื่นทั่วโลก (โรแบรต์ กอสเต, 2524: 47-48) 1 กระนั้นก็ดีเมื่อพิจารณาดูท่าที ของคริ สตศาสนาโดยหลักการแล้ ว พบว่ าพระศาสนจักร โดยสมณ กระทรวงเผยแพร่ ความเชื่ อได้ มีทัศนะในด้ านบวกต่ อวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมของศาสนาอื่ นมาตั้งแต่ ต้น ดัง ปรากฏในเอกสารคําแนะนําปี ค.ศ.1659 ที่ มีใจความตอนหนึ่ง (J.Atitya, 1989 :145) 2 ดังนี ้ "จงพยายามอย่ าชักจูงประชาชนให้ เปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมประเพณี และแนวปฏิ บัติเว้ นแต่ สิ่งเหล่ านั้น ขัดต่ อศีลธรรมและหลักศาสนาจริ งๆ อย่ านําเอาสิ่ งใดนอกจากความเชื่ อมายังประเทศของเขา ดังนั้นจึงไม่ ต้องล้ ม ล้ างขนบธรรมเนียมประเพณี ของชนชาติใดเลย เว้ นแต่ ว่าขนบธรรมเนียมนั้นจะเลวจริ งๆ แต่ ความเชื่ อย่ อมคงความ บริ บูรณ์ ของขนบธรรมเนียมประเพณี นั้นไว้ เนื่องด้ วยธรรมชาติมนุษย์ ย่อมหวงแหนและเชิ ดชูธรรมเนียม ประเพณี ของชาติของตนมากกว่ าชาติอื่น คงไม่ มีสาเหตุแห่ งความเกลียดชัง และความหมางเมินมากไปกว่ าการ เปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมที่ สืบทอดมาจากบรรพบุรุษมาช้ านาน แล้ วเอาขนบธรรมเนียมของชาติอื่นมาทดแทน ดังนั้นอย่ าเปลี่ยนธรรมเนียมปฏิ บัติของเขาให้ เป็ นแบบยุโรป แต่ จงมีมานะเอาใจใส่ ปรั บตัวให้ เข้ ากับพวกเขาอย่ าง ดี จงยกย่ องสิ่ งที่ ควรยกย่ องสรรเสริ ญ ส่ วนประเพณี ที่ไม่ ควรยกย่ อง จงอย่ าด่ วนประจบประแจงหรื ออย่ าด่ วน ตัดสิ นไป หรื อที่ แน่ นอนที่ สุดจงอย่ าด่ วนประณาม แต่ จงอดกลั้นด้ วยความเงียบ และไม่ นานพวกเขาจะละทิ ง้ สิ่ ง เหล่ านั้นมารั บความจริ ง" คําแนะนําปี ค.ศ.1659 นีส้ มณกระทรวงเผยแพร่ ความเชื่ อได้ มีถึงพระสั งฆราชในเขตมิสซัง (Vicar Apostolic) แต่ เป็ นที่ น่าแปลกใจที่ เอกสารนีไ้ ด้ ถกู เก็บไว้ เป็ นความลับจนกระทั่ง 16 ปี ต่ อมาจึ งได้ ถกู เปิ ดเผยต่ อ สาธารณชนที่ กรุ งปารี สเป็ นครั้ งแรก ปรากฏการณ์ นีน้ ับเป็ นประเด็นหนึ่งที่ อาจคาดคะเนได้ ถึงแนวคิดทาง วัฒนธรรมของชาวตะวันตกที่ เป็ นธรรมทูตในสมัยนั้น ทั้งนีอ้ าจเป็ นเพราะอิ ทธิ พลของลัทธิ แจนเซนนิสต์ กอ็ าจ เป็ นได้ 0
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
1
4.
คณะสงฆ์ มิสซังต่ างประเทศแห่ งกรุ งปารีส (M.E.P.)
โรแบรต์ กอสเต, "สมัยแรกที่ คริ สาตศาสนาและวัฒนธรรมตะวันตกมาพบกับพุทธศาสนาและวัฒนธรรมไทย", แสงธรรมปริ ทศั น์ ปี ที่ 5 ฉบับที่ 3 กันยายน-ธันวาคม พ.ศ. 2524, กรุ งเทพฯ, โรงพิมพ์จาํ รัสการพิมพ์, 2524. 1
2 J. Atitya, "The Catholic Church's Attitude Towards non-Christian Religious : Past and Present" The Marriage of Catholic and Buddist : Its Celebration and Dissolution in the Pastoral Circumstance of Thailand Rome : Academa Alfonsiana, 1989
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 56
Ba ngk o
k
เป็ นคณะสงฆ์ที่มีความสําคัญต่อมิสซังสยามมากที่สุด และเป็ นผูร้ ิ เริ่ มรวมทั้งก่อตั้งมิสซังสยามขึ้นมาด้วย นอกจากนี้ยงั ได้สร้างสรรค์มิสซังสยามในทุกๆ ด้าน ตั้งแต่แรกเริ่ มมาจนถึงปั จจุบนั นี้ บรรดาผูแ้ ทนพระสันตะปาปา ซึ่งเดินทางมายังตะวันออกไกลและอินโดจีนก็เป็ นพระสังฆราชจากคณะนี้นนั่ เอง ดังนั้นการเรี ยนรู ้จกั กับคณะสงฆ์น้ ี บ้างจะช่วยให้เราเข้าใจประวัติศาสตร์ มิสซังสยาม ดีข้ ึน
ผู้มีส่วนในการก่ อตั้งคณะสงฆ์ มิสซังต่ างประเทศแห่ งกรุ งปารีส (M.E.P.)
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
บุคคลแรกที่สมควรจะกล่าวถึงในหัวข้อนี้ได้แก่ คุณพ่ออเล็กซานเดอร์ เดอ โรดส์ (Alexandre de Rhodes) สงฆ์มิชชันนารี คณะเยสุ อิต เป็ นผูเ้ ชี่ยวชาญด้านภาษา เดินทางมาทํางานแพร่ ธรรมในหลายประเทศของตะวันออก ไกล เช่น ประเทศจีน, โคจินจีน, ตังเกี๋ย, ญี่ปุ่น, มาเก๊า การทํางานในประเทศเหล่านี้ประสบกับปั ญหาหลาย ประการคือ ปั ญหาการเบียดเบียนศาสนา, ปั ญหาการขาดแคลนมิชชันนารี และดูเหมือนว่าปั ญหาการขาดแคลน มิชชันนารี จะยิง่ ใหญ่กว่าปั ญหาการเบียดเบียนด้วยซํ้า คุณพ่ออเล็กซานเดอร์ เดอ โรดส์ เห็นว่าควรจะเสนอกรุ งโรม ให้ก่อตั้งสงฆ์พ้นื เมืองเพื่อทําหน้าที่แพร่ ธรรมในหมู่ประชาชนของตนได้ คุณพ่อจึงเดินทางไปกรุ งโรมเพื่อขอ อนุญาตเรื่ องนี้ พระสันตะปาปาอินโนเซนต์ ที่ 10 (Innocent X) และสมณกระทรวงเผยแพร่ ความเชื่อปรอปากันดา ฟี เด (Propaganda Fide) เห็นด้วย และได้ออกกฤษฎีกาหลายฉบับมาแล้วเพื่อเร่ งเร้าเรื่ องเหล่านี้ต้งั แต่ปี ค.ศ. 1630 และ 1633 จึงมีความประสงค์ที่จะแต่งตั้งคุณพ่ออเล็กซานเดอร์ เดอ โรดส์ ให้เป็ นสังฆราช แต่คุณพ่อเห็นว่าควรจะหา พระสงฆ์ที่ฝรั่งเศสมากกว่า ท่านก็อายุมาก และเคยถูกเนรเทศมาจากดินแดนแถบนั้น แถมยังมีปัญหามาก่อนกับพวก ปาโดรอาโด (Padroado คือสิ ทธิ พิเศษผูกขาดซึ่ งชาวโปรตุเกสและชาวสเปนได้รับจากพระสันตะปาปาในการที่ล่า อาณานิคม และแพร่ ธรรมในดินแดนเหล่านั้น) ด้วย ท่านเดินทางไปปารี สในปี ค.ศ. 1652 มีเพื่อนพระสงฆ์เยสุ อิต ประมาณ 20 องค์ แสดงเจตจํานงที่จะร่ วมเดินทางไปกับท่านที่ตะวันออกไกล บราเดอร์ เยสุ อิตชื่อ เอฟ. บาโกต์ (F. Bagot) ซึ่ งเป็ นหัวหน้าของสงฆ์ไม่สังกัดคณะใดอยูจ่ าํ นวนหนึ่ง ซึ่ งสงฆ์เหล่านี้ตอ้ งการถวายตนเพื่อทํางานต่างแดน ได้แจ้งให้ท่านทราบถึงเรื่ องนี้ ท่านจึงตัดสิ นใจเสนอบางคนในกลุ่มนี้แก่กรุ งโรมเพื่อแต่งตั้งให้เป็ นพระสังฆราชตาม โครงการของท่าน แต่ขอ้ เสนอของท่านยังไม่ทนั ได้รับอนุมตั ิ ท่านก็ถูกส่ งไปทํางานแพร่ ธรรมที่เปอร์ เซี ย (Persia) ในปี ค.ศ. 1660 อันเป็ นปี เดียวกับที่ ฯพณฯ ลังแบรต์ เดอ ลาม็อต (Lambert de La Motte) ออกเดินทางมุ่งสู่ ตะวันออก อีกบุคคลหนึ่งซึ่ งมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากกับการก่อตั้งคณะสงฆ์น้ ีข้ ึนมาได้แก่ ขุนนางผูด้ ีชาวฝรั่งเศสผู้ หนึ่งคือ ดัสเชส แห่งอัยกียอง (Duchess แห่ง Aiguiilon) หลานของพระคาร์ ดินลั รี เชอเลอ (Richelieu) ขุนนาง ผูด้ ีผนู ้ ้ ีได้ยนิ ถึงเรื่ องแผนการและโครงการของคุณพ่อเดอโรดส์ ก็มีความปรารถนาที่จะใช้อิทธิ พลของเธอเองช่วยให้ โครงการนี้บรรลุผลสําเร็ จ เธอเขียนจดหมายหลายฉบับไปกรุ งโรม และยังได้เร่ งเร้าและสนับสนุนคุณพ่อปั ลลือ (M. Pallu) ให้ติดต่อกับพระคาร์ ดินลั บาญี (Cardinal Bajny) ผูซ้ ่ ึ งเธอได้เขียนจดหมายหลายฉบับเกี่ยวกับเรื่ องนี้
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 57
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
นอกจากคุณพ่อปั ลลือแล้ว ยังมีคุณพ่อลังแบรต์ (M. Lambert) และพระสงฆ์ชาวฝรั่งเศสหลายองค์ที่แสดง เจตจํานงต่อกรุ งโรมเพื่อการทํางานด้านนี้ อาศัยเงินสนับสนุนจากขุนนางสตรี ผนู ้ ้ ีและสมบัติของคุณพ่อลังแบรต์ คณะสงฆ์คณะนี้จึงได้รับการก่อตั้งขึ้นมา ที่สุดวันที่ 8 มิถุนายน ค.ศ. 1658 พระสันตะปาปาได้ลงนามในใบแต่งตั้ง พระสังฆราช 3 องค์ เพื่อไปแพร่ ธรรมในเอเชีย ในนามของผูแ้ ทนพระสันตะปาปาเป็ นพระสังฆราช "in partibus infidelium" คณะสงฆ์ M.E.P. จึงถือกําเนิดขึ้นมาและเป็ นผูน้ าํ พระวรสารไปยังมุมต่างๆ ของโลกในเวลาต่อมาอย่างมี ประสิ ทธิ ภาพ จุดหมายปลายทางของการเดินทางมาตะวันออกไกลของ ฯพณฯ ลังแบรต์ และ ฯพณฯ ปัลลือ ได้แก่ ประเทศจีน, โคจินจีน และตังเกี๋ย แต่เนื่องจากประเทศเหล่านี้มีการเบียดเบียนศาสนาอยู่ ประเทศสยามเป็ นประเทศที่ สงบสุ ขและเอื้ออาทรแก่ศาสนาต่างๆ หลังจากที่พระสังฆราชและมิชชันนารี ได้มองเห็นสถานการณ์ทว่ั ๆ ไปของ ประเทศสยาม และมองเห็นท่าทีที่เป็ นมิตรของพระมหากษัตริ ยแ์ ล้ว เห็นชัดว่าเป็ นผลดีต่อการตั้งมัน่ เพื่อใช้เป็ นฐาน ในการเดินทางต่อไป เวลาเดียวกันก็เริ่ มประกาศเทศนาสั่งสอนพระวรสารไปด้วย จึงตัดสิ นใจอยูท่ ี่อยุธยา ดังที่เรา ทราบกันมาบ้างแล้ว บรรดามิชชันนารี ฝรั่งเศสเหล่านี้ตอ้ งต่อสู ้และต้านทานอิทธิ พลของบรรดามิชชันนารี ของปา โดรอาโดในดินแดนแถบนี้ หลังจากที่เราได้ทราบถึงความเป็ นมาและภูมิหลังของคริ สตศาสนาในสยามมาพอสมควรแล้ว ต่อไปเราจะ ศึกษาถึงความเป็ นไป เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยต่างๆ ของอาณาจักรสยามนี้ ก่อนที่จะผ่านไป หลายคนคงจะ ต้องการบรรณานุกรมที่ได้ใช้อา้ งอิงในบทนี้ หลายเล่มผมได้ระบุไว้ในเนื้อหาแล้ว ส่ วนอีกจํานวนมากนั้นก็มาจาก หนังสื อต่างๆ ที่ผมได้คน้ คว้ามาแล้ว และข้อมูลเหล่านี้ก็ผา่ นการศึกษาของนักประวัติศาสตร์ มาแล้วด้วย ผูส้ นใจ อยากได้บรรณานุกรมก็ขอให้รอสักเล็กน้อย เพราะจะให้ไว้ในตอนสุ ดท้าย.