ความเจริญก้ าวหน้ าและอุปสรรคของงานเผยแพร่ ความเชื่อ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา
ces e
of
Ba ngk o
k
มิสซังสยามเจริ ญก้าวหน้าอย่างเห็นได้ชดั ในสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เพราะนโยบายทางการ เมืองในการเปิ ดประเทศให้แก่ชาวตะวันตก รวมทั้งให้เสรี ภาพในการเผยแพร่ พระศาสนาด้วย นอกจากนี้ เวลานั้น ประเทศฝรั่งเศสกําลังเริ่ มมีอิทธิ พลอยูใ่ นดินแดนแถบนี้ ซึ่ งมีผล ทําให้การประกาศพระวรสารเป็ นไปได้ง่ายขึ้น และบทบาทของบรรดามิ ช ชันนารี เด่ นชัดขึ้ นด้วย คุ ณพ่อ Marini ได้บรรยายเกี่ ยวกับงานแพร่ ธ รรมของ Valguarnera ไว้ดงั นี้ ในปี ค.ศ. 1657 ชาวเมือง 8 คน ได้ รับศีลล้ างบาป... ชาวโคจิ นจี นอี กประมาณ 30 คน ซึ่ งหนีภัย สงครามครั้ งสุ ดท้ ายมา ก็ได้ เข้ ารั บศีลล้ างบาปในสยาม... ยิ่งกว่ านั้น คุณพ่ อธิ การ (คุณพ่ อ Valguarnera) ก็ไม่ ยอมเสี ยเวลาให้ น่าเบื่ อ... ท่ านออกเยี่ยมตามคุกต่ างๆ ไปตามวัดวาอารามต่ างๆ ของ พระภิกษุพุทธ ซึ่ งท่ านก็ได้ สนทนาเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ ของทางคริ สตศาสนา ซึ่ งก็ไม่ ไร้ ผล ท่ านทําให้ มี จิ ตตารมณ์ เดียวกัน 1 คุณพ่อ Marini ยังเสริ มด้วยว่าคุณพ่อ Valguarnera ยังได้พยายามทุกวิถีทางที่จะกลับใจพระภิกษุพุทธ เพราะ การกลับใจพระภิกษุพุทธนั้นมีความสําคัญมาก เนื่องจากจะมีอิทธิ พล อย่างลึกซึ้ งเหนือคนอื่นๆ ทั้งหลาย คุณ พ่อ Launay ก็ได้เล่าให้เราฟังถึงเหตุผลของคุณพ่อ Laneau และความสําเร็ จของท่านในการกลับใจพระภิกษุพุทธ เราทราบกันดีว่ามีการขัดขวางการเปลี่ยนศาสนามาก โดยเฉพาะการเปลี่ยนศาสนาของพระภิกษุ เพราะถือ ว่ าพระภิ กษุนั้นได้ ก้าวเข้ าสู่ วัยกลางคนโดยยึดถือความเชื่ อเหล่ านั้นเป็ นวิถีของชี วิต อี กทั้งเป็ นผู้ที่ต้อง ถ่ ายทอดความเชื่ อนี ใ้ ห้ กับชนรุ่ นหลังด้ วยด้ วยพระเมตตาของพระผู้เป็ นเจ้ า ประกอบกับพลังจิ ตและสติ พระบิดาของคุณพ่ อลาโน ทําให้ อุปสรรคต่ างๆ ผ่ านพ้ นไปได้ ปรากฏว่ ามีพระภิกษุมาขอรั บศีลล้ างบาป และกลายเป็ นสาวกของพระองค์ ตัวอย่ างนี แ้ ละการแพร่ ธรรมอย่ างจริ งจังของคุณพ่ อ ทําให้ ชาวสยาม หลายคนเปลี่ยนมานับถือศาสนาคาทอลิก บ้ าง 2 เกี่ยวกับเรื่ องนี้ เรายังไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่า นี่คือความสําเร็ จและความก้าวหน้า เพราะจากท่าที ภายหลังจะเป็ นอุปสรรคประการสําคัญประการหนึ่งต่องานเผยแพร่ พระศาสนา คุณพ่อ Robert Costet ได้ศึกษาถึง ท่าทีประการนี้ และได้เขียนไว้อย่างน่าสนใจดังนี้ 1
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
0
Hi sto
ความคิดด้ านเทวศาสตร์ ของคนสมัยนั้นเกีย่ วกับศาสนาที่ไม่ ใช่ คริสตศาสนา
เราทุกคนเป็ นผลผลิตของสมัยของเรา คริ สตศาสนาที่ได้มาแพร่ ในเมืองไทย 300 ปี ก่อนนี้ มาจากยุโรป เรา ควรจะได้ศึกษาความคิ ดของนักเทวศาสตร์ ของยุโรปสมัยโน้นเกี่ ยวกับคนต่างศาสนาบ้าง เพราะธรรมทูตที่มา
1MARINI, op. cit., pp. 411, 418. 2 A. LAUNAY, Siam et les Missionaires Français, Tours: Alfred Mame et File, 1846, p. 75.
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 100
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
เมืองไทยได้คิดวินิจฉัยและปฏิบตั ิดงั ที่อาจารย์ของเขาได้สอนเราต้องทราบด้วยว่าคําสอนด้านเทวศาสตร์ น้ นั จะไม่ได้ เปลี่ยนแปลงจนถึงสิ บปี ก่อนสังคายนาวาติกนั ที่ 2 เมื่อธรรมทูตคาทอลิกมา (พ.ศ. 2205 / ค.ศ. 1662) ลูเธอร์ตาย 100 ปี มาแล้ว (ค.ศ. 1546) ในยุโรปเป็ นการ แตกแยกและต่อสู้ระหว่างคาทอลิกและโปรเตสตันท์ และการขัดแย้งกันนั้นจะขยายมาถึงประเทศสยามโดยการกีด กันระหว่างโปรตุเกส (คาทอลิก) ฮอลันดา และอังกฤษ (คริ สเตียน) ตอนที่ธรรมทูตมา การปฏิรูปและการฟื้ นฟูชีวิตคริ สตังในยุโรปได้เริ่ มแล้ว เป็ นสมัยที่อาจารย์ทางชีวิตฝ่ าย วิญญาณเขียนหนังสื อที่มีชื่อเกี่ยวกับชี วิตทางใจ และตั้งคณะนักบวชใหม่ เช่น พระคาร์ ดินลั เบรี เลอะ (Bérire) ผูต้ ้ งั คณะโอราโตเรี ยน กองแดรง (Condren), นักบุญเออแดส (Eudes) ผูต้ ้ งั คณะเออดิสต์, นักบุญวินเซนต์เดอปอล ผูต้ ้ งั คณะลาซาริ สต์ และธิ ดาเมตตาธรรม, นักบุญฟรังซัว เดอ ซาล ผูต้ ้ งั คณะวิซิตาโอ, คุณพ่อโอลีเอร์ (Olier) ผูต้ ้ งั คณะซื ลปิ เซี ยน และอีกหลายคน ระยะนั้นเป็ นสมัยรุ่ งเรื องสําหรับพระศาสนจักรจริ งๆ อาจารย์เหล่านั้นได้เป็ นครู หรื อเพื่อนของพระคุณเจ้า ปั ลลือ พระคุณเจ้าลังแบรต์ และพระคุณเจ้าลาโน ที่ได้นาํ คําสอนของอาจารย์เหล่านั้นมา ประยุกต์ ในการแพร่ ธรรมที่เมืองไทย ครั้งก่อนความเฉื่ อยชาของคริ สตังในยุโรปได้เป็ นเหตุอย่างหนึ่ งที่ได้เกิดการ ปฏิรูปของลูเธอร์ แต่เวลานี้ การปฏิรูปชีวติ คริ สตังจะนําความรุ่ งเรื องแก่พระศาสนจักร แต่ทุกคนไม่ได้เป็ นนักบุญ การปฏิรูป คริ สตังบางครั้งจะเลยเกินขอบเขตจึงจะมีลทั ธิ ยนั เซนิสระบาดทัว่ ฝรั่งเศสหัวหน้าของลัทธิ น้ ี เรี ยกกันสั้นๆ ว่าเซนต์ ซี รัง (Saint Cyran) เป็ นผูย้ ืนยันว่าคนต่างศาสนาไม่รับ พระหรรษทานแม้แต่หยดเดียว สมัยนั้นอาจารย์เทว ศาสตร์ อธิ บายคําของนักบุญซี ปริ อาโนที่วา่ "ไม่ มีความรอดภายนอกพระศาสนจักร (คาทอลิก)" อย่างแคบๆ ท่าน สอนว่าต้องรับศีลล้างบาปจริ งๆ จึงจะเข้าสวรรค์ได้ ฉะนั้นเด็กๆ ที่ตายก่อนรับศีลล้างบาปไปอยูท่ ี่แห่ งหนึ่ ง ที่ใน ภาษาไทยเราได้แปลว่า "ใต้ บาดาล" คนต่างศาสนาที่ถึงอายุรู้ความแล้ว แม้วา่ เขาจะไม่ได้มีโอกาสที่จะรู ้จกั แผนการณ์ แห่งความรอด คือ ไม่มีความผิดที่ไม่ได้เป็ นคริ สตัง คนเหล่านั้นไม่มีทางไปสวรรค์เช่นกัน ถ้าเขาได้ประพฤติดีตาม มโนธรรม เขาจะไปในที่แห่งหนึ่ งที่เขาจะมีความสุ ขตามธรรมชาติ แต่จะไม่เห็นพระเป็ นเจ้า แม้แต่ในศตวรรษนี้ (ค.ศ. 1900-1920) พระคาร์ ดินลั บีโย (Billot) อธิ บายว่าคนต่างศาสนาที่เป็ นผูใ้ หญ่แล้ว ที่ไม่เคยได้ยินพูดถึงการไข แสดงเรื่ องพระคริ สต์ เขาเป็ นผูใ้ หญ่ตามปฏิทิน ก็จริ ง แต่ฝ่ายชีวติ วิญญาณเป็ นเหมือนเด็กที่ยงั ไม่รู้เดียงสา ฉะนั้นจะ ไปอยูก่ บั เด็กใต้บาดาล โดยทัว่ ไปเชื่ อกันว่า การไขแสดงของพระเป็ นเจ้าได้ถูกป่ าวประกาศทัว่ โลกแล้ว แต่มนุษย์ส่วนมากไม่ได้ สนใจและลืมไปหมด ฉะนั้นเขาต้องรับผิดชอบในการไม่ปฏิบตั ิตามคําสอนของ พระเป็ นเจ้า ธรรมทูตจึงได้มา เพื่อให้ชาวไทยได้กลับใจไปสวรรค์ได้ คําสอนนี้ ช่วยเราให้เข้าใจความเอาใจใส่ ของธรรมทูตสมัยก่อนในการล้าง บาปเด็กเล็กๆ ของคริ สตังและคนพุทธ เมื่อเด็กป่ วยจวน จะตาย เพราะเหตุเดียวกัน สมัชชาอยุธยาบัญญัติให้ต้ งั ผูห้ ญิงคริ สตังเป็ นหมอตําแยที่มีหน้าที่ไปตามหมู่บา้ นต่างๆ เพื่อหาเด็กจวนจะตายล้างบาปเขา ไม่วา่ เป็ นลูกคริ สต์ หรื อลูกคนพุทธ การล้างบาปเด็กจวนจะตายนี้ บางครั้งจะเป็ นงานเดียวที่ธรรมทูตและสังฆราชจะทําได้ เพราะเหตุ เดียวกัน รัชกาลที่ 1 คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้ าจุฬาโลกมหาราชได้รับศีลล้างบาปจากหมอชาวโปรตุเกส
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 101
ชื่อ ซิ กซ์โต ริ เบโร ตอนที่พระองค์ยงั ทรงพระเยาว์และทรงพระประชวร ในการรายงานถึงกรุ งโรมจนถึงไม่กี่ปีมา ก่อน สังฆราชต้องบอกจํานวนเด็กลูกคริ สตังและคนต่างศาสนาที่ได้ลา้ งบาปจวนจะตาย
k
ธรรมทูตรุ่ นแรกได้ มีท่าทีอย่ างไรต่ อพุทธศาสนา
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
เมื่อเราได้ศึกษาภูมิหลังของธรรมทูตเกี่ยวกับการศึกษา เราพอจะเดาท่าทีของท่านต่อพุทธศาสนา สําหรับ ท่าน พุทธศาสนาช่ วยให้รอดไปสวรรค์ไม่ได้ ก่อนที่จะพูดถึงความคิดและการปฏิบตั ิต่อชาวพุทธ เราควรจะ พิจารณาพุทธศาสนาในประเทศสยามสมัยพระนารายณ์ คนเดิมในประเทศสยามนับถือผีสางเทวดา เมื่อพวกมอญ ละว้า เขมร มาครอบครองประเทศสยามเดิม ได้นาํ พุทธศาสนาทั้งสองนิ กายและศาสนาพราหมณ์ (อินเดีย) มาเป็ น รากฐาน ชาวไทยที่ลงมาจากประเทศจีนได้นาํ พุทธศาสนาหิ นยานนิกาย (นิกายเถรวาท) ผลสุ ดท้ายชาวไทยหันมา นับถือศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์ และยังนับถือผีสางเทวดา นับเป็ นการผสมผสานลัทธิ ความเชื่ อถือให้เป็ น อันหนึ่ง อันเดียวกัน ธรรมทูตจะสามารถเข้าใจธรรมะของพุทธศาสนาที่ปนกับ "ลัทธิ " ต่างๆ มากมายหรื อ? เรา ไม่ควรจะลืมว่าสมัยนั้นยุโรปเกือบไม่รู้จกั พระพุทธศาสนาเลย ไม่มีใครสนใจศึกษาศาสนาที่ไม่ใช่คริ สตศาสนา คุณ พ่อโนบิลิ (NOBILI) ที่อินเดี ย เป็ นชาวยุโรปคนแรกที่ได้เรี ยนภาษาสันสกฤต เพื่อศึกษาศาสนาของพราหมณ์ ดู เหมือนยังไม่มีใครได้เรี ยนภาษาบาลี ธรรมทูตที่ได้เรี ยนเทวศาสตร์ ในยุโรปต้องมีอคติต่อศาสนาอื่นที่ไม่เป็ นศาสนา "เที่ ยงแท้ " และไม่สามารถช่วยเราให้รอด คุณพ่อ ลาโน (ที่ได้มาพร้อมกับพระคุ ณเจ้าปั ลลื อ) ได้สังเกตเหมือน พระคุณเจ้าลังแบรต์วา่ พระภิกษุ มีอิทธิ พลมากในเมืองไทย ชาวไทยทุกคนเคารพพระ ชายหนุ่มเกือบทุกคน ไปบวชเรี ยนระยะหนึ่ง คุณพ่อลาโนไปเรี ยนที่วดั พุทธ 3 ปี เรี ยนทั้งภาษาไทย ภาษาบาลี และศาสนาพุทธด้วย คิดว่าเป็ นชาวยุโรป คนแรกที่ได้เรี ยนภาษาบาลี ในจดหมายที่คุณพ่อลาโนจะเขียนเมื่อได้รับการแต่งตั้งเป็ นพระสังฆราชองค์แรกของ ประเทศสยามปี พ.ศ. 2225 / ค.ศ. 1682 ท่านทูลสันตะปาปาขออนุญาตให้พระสงฆ์คาทอลิกแต่งกายเหมือน พระภิกษุ ท่านอธิ บายชีวติ ของพระว่าดังนี้ พระมีระเบียบวินยั มากมาย แต่ดูเหมือนระเบียบวินยั ทั้งหลายแหล่เหล่านี้จะมุ่งไปยังจุดเดียวกัน คือ เพื่อช่วย ให้พระภิกษุถือความยากจน ปราบกิเลส สละโลกียสมบัติให้ได้มากที่สุด พระภิกษุไม่โกรธ รักษาความบริ สุทธิ์ ตราบเท่าที่ยงั อยูใ่ นสมณเพศ แต่ก็จะลาสิ กขาเสี ยเมื่อไรก็ได้ พระภิกษุเป็ นคนมักน้อยในอาหาร ไม่ดื่มสุ ราเด็ดขาด ไม่รับประทานอาหารคํ่า ที่จะเว้นอาหารคํ่า ก็เพราะเพื่อป้ องกันกามตัญหารบกวนเวลานอน ไม่สนับสนุนการถือผี สาง ไม่ยอมรับพิธีถวายบูชา ที่งมงายทั้งปวง พระภิกษุไม่ได้ปฏิบตั ิหน้าที่สงฆ์เหมือนสงฆ์คาทอลิก แต่คงทําหน้าที่ สงฆ์ในการ สั่งสอนประชาชนจากธรรมาสน์ สวดมนต์เป็ นทํานองทั้งในโบสถ์ และในบ้านคนป่ วย เท่าที่ทราบ คุณพ่อลาโนซึ่ งเป็ นคนแรกที่ได้ศึกษาพุทธศาสนาอย่างดี ท่านไม่เคยเอ่ยชื่อ "พระพุทธเจ้ า" เมื่อ กล่าวถึงพระพุทธรู ป ท่านพูดว่ารู ปฏิมากร (พระเท็จเทียม) เมื่อท่านกล่าวถึงพระหรื อชาวบ้านกราบไหว้พระ ท่าน พูดว่าเขานมัสการ (อย่างนมัสการพระเป็ นเจ้า) ฉะนั้นมีปัญหาอยู่วา่ คุ ณพ่อลาโนที่ชมเชยชี วิตพระและบางครั้ง ยกตัวอย่างวีรกรรมของพระ และธรรมทูตรุ่ นแรกนี้ ได้เข้าใจพุทธศาสนาอย่างจริ งจังหรื อเปล่า? ท่านได้เข้าถึงหัวใจ ของพุทธศาสนา ถึงธรรมะ หรื อว่าได้เข้าใจว่าลัทธิ ต่างๆ เป็ นส่ วนประกอบของพุทธศาสนา? ธรรมทูตคงจะไม่ได้
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 102
Ba ngk o
k
เข้าใจพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ ง ท่านอาจจะไม่ได้มีอาจารย์ที่สามารถสอนท่านอย่างดี แต่ที่สําคัญกว่า ท่านรับไม่ได้ เมื่อคําสอนของสมัยนั้นเกี่ยวกับศาสนาอื่นสอน อย่างที่ได้อธิ บายมาพุทธศาสนาเป็ นแต่ศตั รู เป็ นอุปสรรค ธรรมทูต เรี ยนศาสนาพุทธเพื่อสามารถจะชนะคนพุทธ สําหรับธรรมทูตตั้งแต่สมัยแรกจนถึงไม่กี่สิบปี ก่อนสังคายนาวาติกนั พุทธศาสนาเป็ น "อาณาจักรของปี ศาจ" หรื อ "อาณาจักรแห่ งความมืด" ท่าทีต่อศาสนาพุทธนี้ ได้เป็ นท่าทีของคริ สตัง ต่อทุกศาสนาทัว่ โลก
4.1 ความเจริญก้ าวหน้ าของงานแพร่ ธรรมในกรุ งศรีอยุธยา
ces e
of
แม้วา่ จะไม่มากนัก แต่ก็เกิดผลดีหลายอย่างต่อประเทศสยามเอง และต่อพระศาสนจักรในอนาคต มี องค์ประกอบอยูห่ ลายประการที่ก่อให้เกิดความเจริ ญก้าวหน้านี้ได้ เช่น ความสัมพันธ์อนั ดีกบั พระมหากษัตริ ย ์ จนกระทัง่ ต่อมามีความสัมพันธ์ทางการติดต่อทางการทูต ความกระตือรื อร้นของบรรดามิชชันนารี การวางแผนงาน ด้วยความรอบคอบ เป็ นต้น ความสั มพันธ์ กบั ประเทศสยามของการติดต่ อทางการทูต ทูตโปรตุเกสจากมะละกาซึ่ งมีดูอาร์ เต เฟอร์นนั เดส เป็ นหัวหน้าคณะ ได้เข้ามาถึงกรุ งศรี อยุธยาในรัชสมัย สมเด็จพระรามาธิ บดีที่ 2 (ค.ศ. 1491-1529 / พ.ศ. 2034-2072) เมื่อปี พ.ศ. 2059 (ค.ศ. 1516) เพื่อทําสนธิสัญญา ทางการค้าและตั้งคลังสิ นค้า ซึ่ งก็ได้รับพระบรมราชานุญาตให้ต้ งั ที่พาํ นักอาศัยอยูใ่ นพระนครได้ (ไม่แน่วา่ ที่ ตรงไหน) นอกจากนั้นจนถึงปี ค.ศ. 1538 (พ.ศ. 2081) ยังมีชาวโปรตุเกสเข้ามาพํานักอยูท่ ี่ปัตตานี นครศรี ธรรมราช ทวาย และตะนาวศรี อีกด้วย เมื่อเฟอร์ นนั เดสกลับไป ทางกรุ งศรี อยุธยาก็ได้ส่งทูตเดินทางไปมะละกาด้วย ต่อมาในสมัยพระไชยราชาธิ ราช (ค.ศ. 1534-1546 / พ.ศ. 2077-2089) ทหารชาวโปรตุเกสได้ช่วยกองทัพ ไทยตีได้เมืองเชียงกรานและเชี ยงใหม่ จึงได้พระราชทานที่ดินให้พวกโปรตุเกสตั้งบ้านเรื อนอยูท่ ี่ตาํ บลบ้านดิน ริ ม ฝั่งตะวันตกของแม่น้ าํ เจ้าพระยา เหนื อคลองตะเคียน ทหารโปรตุเกสรับราชการในกองทัพไทยจนสิ้ นสมัยกรุ งศรี อยุธยา (แต่ในกองทัพพม่าก็มีทหารอาสาชาวโปรตุเกสด้วยเหมือนกัน) นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1597 (พ.ศ. 2140) ฮอลันดาเริ่ มมีอาํ นาจขึ้นแข่งขันกับสเปน ซึ่ งรวมโปรตุเกสไว้ดว้ ยเป็ น เวลาถึง 60 ปี (ค.ศ. 1580-1640 / พ.ศ. 2123-2183) เข้ามาแย่งเส้นทางการค้าทางตะวันออกจากชาวโปรตุเกสและ ประสบผลสําเร็ จ เมื่อพวกฮอลันดาเข้ามาติดต่อค้าขายด้วยในรัชสมัยพระเอกาทศรถ (ค.ศ. 1605-1620/ พ.ศ. 21482163) ก็ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากไทย เพื่อเป็ นการถ่วงดุลอํานาจของโปรตุเกส ในปี ค.ศ. 1607 (พ.ศ. 2150) พระเอกาทศรถทรงส่ งทูตไปยังประเทศฮอลันดา นับเป็ นทูตไทยคณะแรกที่ไปยุโรป ไทยได้ทาํ สนธิ สัญญาทางการ ค้ากับฮอลันดาในปี ค.ศ. 1617 (พ.ศ. 2160) ซึ่ งทําความไม่พอใจแก่โปรตุเกสเป็ นอย่างมาก ราชสํานักไทยยังคงมี ความประสงค์จะติดต่อกับโปรตุเกสต่อไปดังเดิม ในปี ค.ศ. 1618 ทางกรุ งศรี อยุธยาได้ส่งทูตไปยังเมืองกัว เพื่อ เดินทางต่อไปยังประเทศโปรตุเกส แต่ในที่สุดได้แต่ส่งเพียงพระราชสาสน์และบรรณาการไปเท่านั้น ตัวทูตไปถึง
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
1.
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 103
ความสั มพันธ์ กบั ต่ างประเทศสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ฯ การศึกกับพม่าตอนต้นรัชกาลทําให้พระราชทรัพย์ในพระคลังลดน้อยลงอย่างมาก การค้า ขายซบเซาลงไป ด้วย เมื่อเสร็ จศึกแล้ว สมเด็จพระนารายณ์ฯ จึงทรงผูกขาดการค้ากับต่างประเทศไว้ท้งั หมด ทําความไม่พอใจกับ บริ ษทั อินเดียตะวันออกของฮอลันดาเป็ นอย่างมาก ในปี ค.ศ. 1661 (พ.ศ. 2204) พวกฮอลันดาได้ยดึ เรื อสิ นค้าของ ไทยที่ใกล้มาเก๊า ทําให้เกิดกรณี พิพาทกันต่อมาจนถึงปี ค.ศ. 1664 (พ.ศ.2207) เพราะฮอลันดาต้องการมีอาํ นาจทาง การค้าแต่ฝ่ายเดียว ในปี นั้นเอง ชาวจีนที่กรุ งศรี อยุธยาได้เข้ายึดคลังสิ นค้าของฮอลันดา ฮอลันดาจึงถือโอกาส ประกาศสงครามกับไทย และส่ งเรื อรบ 2 ลํามาปิ ดอ่าวไว้ ทางไทยไม่มีเรื อรบจะไปสู ้ และยังติดศึกทางลานนาและ เมืองมอญอีกด้วย จึงจําต้องยอมทําสัญญากับฮอลันดา ซึ่ งไทยต้องเสี ยเปรี ยบอย่างมาก ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เสี ย อิสรภาพแก่ออลันดาอย่างชวาและสุ มาตรา สัญญานี้ทาํ ขึ้นเมื่อวันที่ 22 สิ งหาคม ค.ศ. 1664 (พ.ศ.2207) นัน่ คือ 2 ปี พอดี หลังจากที่พระสังฆราชลังแบรต์มาถึงกรุ งศรี อยุธยา และ 8 เดือนหลังจากพระสังฆราชปั ลลือมาถึง
Hi sto
ric al A
1.1
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
เพียงเมืองกัว อํานาจของโปรตุเกสทางภาคตะวันออกได้เสื่ อมทรามลง จนในที่สุดมะละกาก็ถูกฮอลันดายึดไปได้ใน ปี ค.ศ. 1641 (พ.ศ. 2184) ในรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรม (ค.ศ. 1620-1628 / พ.ศ. 2163-2171) ทางไทยได้ส่งทูตไปเมืองกัว เพื่อ ขอบคุณที่โปรตุเกสได้ช่วยเหลือในการรบกับพม่า และยินดียกเมืองเมาะตะมะให้โปรตุเกสใช้เป็ นฐานทัพเรื อ (ค.ศ. 1620 / พ.ศ. 2163) ในโอกาสนี้ได้ทรงขอร้องรัฐบาลโปรตุเกส ที่เมืองกัวให้ส่งธรรมทูตมาดูแลคริ สตชนที่กรุ งศรี อยุธยาด้วย เป็ นการเอาใจโปรตุเกสไว้ป้องกันภัยจากชาวฮอลันดา แต่ดูเหมือนว่าไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก เพราะเมื่อ โปรตุเกสเข้ายึดเรื อสิ นค้าของฮอลันดาในปี ค.ศ. 1624 / พ.ศ. 2167 ไทยต้องใช้มาตรการแข็งกร้าวเข้ายึดเรื อ โปรตุเกส เพื่อบังคับให้คืนเรื อแก่ฮอลันดา ทําให้โปรตุเกสไม่พอใจอย่างมาก ต่อมาในปี ค.ศ. 1628 (พ.ศ. 2171) โปรตุเกสยังนําเรื อเข้าปล้นเรื อสําเภาหลวงและเรื อสิ นค้าญี่ปุ่นอีก ในปี นั้นเองพระเจ้าทรงธรรมก็เสด็จสวรรคต ในรัชกาลต่อมา คือ รัชการพระเจ้าปราสาททอง (ค.ศ. 1630-1655 / พ.ศ. 2173-2198) ความสัมพันธ์ ระหว่างไทยกับพ่อค้าชาวโปรตุเกสเสื่ อมทรามลง แต่เมื่อทางการโปรตุเกสส่ งทูตเข้ามาอีกในปี ค.ศ. 1633 / พ.ศ. 2176 ความสัมพันธ์ก็ค่อยดีข้ ึนบ้างจนถึงปลายรัชกาล โดยเฉพาะเมื่อชาวฮอลันดาพยายามจะติดต่อทางการค้า โดยตรงกับญี่ปุ่นโดยไม่ผา่ นทางไทย และเมื่อไทยขอร้องให้ฮอลันดาช่วยปราบจลาจลที่ปัตตานีก็ไม่ได้รับความ ร่ วมมือ ทําให้เรื อไทยถูกปล้นไปด้วย ความ สัมพันธ์ระหว่างไทยกับฮอลันดาจึงอยูใ่ นภาวะตึงเครี ยดตอนปลาย รัชกาลนี้ ไทยไม่ยอมขายข้าวให้ฮอลันดา และยังมีขอ้ พิพาทกันเรื่ องเมืองสงขลาและตะนาวศรี อีกด้วย จะเห็นได้วา่ ในยุคแรกนี้ ไทยทําการติดต่อกับชาวยุโรปเพื่อผลประโยชน์ทางการค้ามากกว่าอย่างอื่น การ ติดต่อทางการเมืองระหว่างไทยกับโปรตุเกสก็มีจุดประสงค์เพื่อจะถ่วงดุลอํานาจไว้ป้องกันการรุ กรานเอาเปรี ยบจาก ฮอลันดา แม้วา่ การแข่งขันกันระหว่างสองชาติน้ ี ทีแรกก็เป็ น แต่เพียงการแข่งขันกันด้านการค้าและทางการเมือง แต่ความแตกต่างกันเรื่ องศาสนาก็มีส่วนอยูด่ ว้ ยไม่นอ้ ย ในความสัมพันธ์ดา้ นการเมืองซึ่ งพระเจ้าแผ่นดินสยามก็ได้ ใช้เรื่ องนี้ให้เป็ นประโยชน์ดว้ ย
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 104
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
สมเด็จพระนารายณ์ฯ ได้ทรงพระกรุ ณาโปรดให้บรรดาธรรมทูตเข้าเฝ้ า และได้พระราช ทานที่ดินสําหรับ สร้างวัดและโรงเรี ยนดังที่ได้กล่าวแล้ว ทําให้พระสังฆราชมีความหวังว่าสมเด็จพระนารายณ์ฯ อาจจะทรงกลับใจ เปลี่ยนศาสนาในไม่ชา้ พระสังฆราชลังแบรต์มีความคิดต่อไปว่า การมีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชสํานัก กรุ งศรี อยุธยากับราชสํานักฝรั่งเศสของพระเจ้าหลุยส์ ที่ 14 น่าจะเป็ นโอกาสช่วยให้สมเด็จพระนารายณ์ฯ มีความ เอนเอียงเข้ามารับคริ สตศาสนาได้ง่ายขึ้น ท่านได้เขียนแสดงความคิดเช่นนี้ในจดหมายลงวันที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 1667 (พ.ศ. 2210) ถึงพระสังฆราช ปัลลือซึ่ งขณะนั้นกลับไปยุโรปแล้ว โดยขอร้องให้รัฐบาลฝรั่งเศสจัดตั้งบริ ษทั ทําการค้าขายกับตะวันออก โดยมาตั้ง สํานักงานที่กรุ งศรี อยุธยา พร้อมทั้งจัดส่ งคณะทูตมายังราชสํานักสยามด้วย เช่นเดียวกับที่พวกฮอลันดาได้ทาํ สําเร็ จ มาแล้ว และโดยสัมพันธภาพนี้ เอง พระเจ้าหลุยส์ จะสามารถโน้มนําสมเด็จพระนารายณ์ฯ ให้เปลี่ยนพระทัยมานับ ถือคริ สตศาสนาได้โดยง่าย เพราะคริ สตศาสนา "เป็ นศาสนาที่ เที่ ยงแท้ และบันดาลให้ พระมหากษัตริ ย์ที่ทรงนับถือ ศาสนานีม้ ีอาํ นาจปกครองยิ่งใหญ่ เพราะบทบัญญัติของศาสนานี บ้ ังคับคริ สตชนโดยคาดโทษ (ผู้ฝ่าฝื น) ไว้ ถึง นรก..." อันที่จริ งทางรัฐบาลฝรั่งเศสก็ได้จดั ตั้งบริ ษทั อินเดียตะวันออกของตนขึ้นแข่งขันกับฮอลันดาแล้วเมื่อ 3 ปี ก่อนหน้านั้น ค.ศ. (1664 /2207) บรรดาธรรมทูตที่ตอ้ งเดินทางด้วยความยากลําบาก จึงหวังจะได้รับบริ การจาก เรื อของฝรั่งเศสเองในการเดินทางและจัดส่ งสัมภาระต่างๆ ด้วย พระสังฆราช ลังแบรต์เห็นว่าความสัมพันธ์ ส่ วนตัวระหว่างสมเด็จพระนารายณ์ฯ กับพระมหากษัตริ ยอ์ ย่างพระเจ้าหลุยส์คงจะมีน้ าํ หนักมากกว่ามิชชันนารี คน หนึ่งในการชักชวนพระองค์ให้ทรงเปลี่ยนศาสนา ซึ่ งท่านคิดว่าเมื่อพระมหากษัตริ ยท์ รงกลับใจเปลี่ยนศาสนา แล้ว ประชาชนพลเมืองก็คงจะเปลี่ ยนศาสนาตามพระเจ้าแผ่นดินของตนไปด้วย ดังตัวอย่างที่เกิดขึ้นกับพระเจ้า คอนสแตนติน กษัตริ ย ์ โคลวิส และกษัตริ ยใ์ นยุโรปอีกหลายพระองค์ รวมทั้งในกรณี ของชาวมุสลิมในหลาย ประเทศด้วย ในเรื่ องนี้ ดูเหมือนว่าพระสังฆราชลังแบรต์จะเล็งผลเลิศเกินไปสักหน่อย ท่านอาจไม่ทราบว่าในราช สํานักกรุ งศรี อยุธยานั้น ได้เริ่ มมีขบวนการต่อต้านอิทธิ พลของธรรมทูตขึ้นแล้ว และพระมหา กษัตริ ยไ์ ม่ทรงมี อิสระมากนักในการตัดสิ นพระทัย พระสังฆราชปั ลลือเห็นพ้องกับความคิดของท่านลังแบรต์ และระหว่างปี ค.ศ. 1667-1672 (พ.ศ. 22102215) ท่านได้ส่งสาสน์ไปถึงพระเจ้าหลุยส์ บรรดาเสนาบดีและผูอ้ าํ นวยการบริ ษทั อินเดียตะวันออกของฝรั่งเศส ขอร้องให้ติดต่อทางการค้ากับกรุ งสยาม และตั้งคลังสิ นค้าขึ้นที่กรุ งศรี อยุธยา โดยเน้นให้เห็นว่าเป็ นผลดีและเพิ่ม ความยิง่ ใหญ่ให้ราชสํานักฝรั่งเศสมากขึ้น และก่อนจะเดินทางกลับกรุ งศรี อยุธยา ท่านปั ลลือได้ขอพระราชทานพระ ราชสาสน์จากพระเจ้าหลุยส์ ที่ 14 และจากพระสันตะปาปาเคลเมนต์ ที่ 9 มาถวายสมเด็จพระนารายณ์ฯ แห่งกรุ ง สยามด้วย ท่านกลับมาถึงกรุ งศรี อยุธยาเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 1673 (พ.ศ. 2216) เมื่อทางราชสํานักได้ทราบ ถึงพระราชสาสน์จากพระเจ้ากรุ งฝรั่งเศสและพระสันตะปาปา ก็ได้จดั การต้อนรับพระราชสาสน์และพระสังฆราช อย่างเอิกเกริ ก แต่มาติดขัดอยูว่ า่ จะให้พระสังฆราช (ในฐานะผูน้ าํ พระราชสาสน์) เข้าเฝ้ าตามธรรมเนียมไทย โดยถอดรองเท้าคลานเข้ามากราบเฉพาะพระพักตร์ สมเด็จพระนารายณ์ฯ (ซึ่ งพระสังฆราชเห็นว่าเป็ นการเสื่ อม เกียรติของพระเจ้าหลุยส์ และพระสันตะปาปา) หรื อว่าจะให้เข้าเฝ้ าแบบยุโรป การเจรจายืดเยื้ออยูถ่ ึง 4 เดือน ในการ
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 105
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
นี้ ฟอลคอนเข้ามามีบทบาทด้วยอย่างมาก และในที่สุดก็ตกลงกันได้วา่ ให้พระสังฆราชเข้าเฝ้ าตามธรรมเนียมยุโรป ทําให้บรรดาขุนนางไทยส่ วนใหญ่ไม่พอใจเป็ นอย่างมาก (18 ตุลาคม ค.ศ. 1673) หลังจากการเข้าเฝ้ าทางการครั้งนี้แล้ว อีก 1 เดือนต่อมา คือวันที่ 22 พฤศจิกายน สมเด็จพระนารายณ์ฯ ก็ให้ พระสังฆราชและธรรมทูตเข้าเฝ้ าอย่างไม่เป็ นทางการที่เมืองละโว้ เพื่อทรงไต่ถามถึงเรื่ องประเทศฝรั่งเศส และพระ สันตะปาปาเพิ่มเติมอีก เมื่อสมเด็จพระนารายณ์ ฯ ทรงรู ้ จกั บรรดาธรรมทูตฝรั่งเศส ก็คงจะทรงคิดว่ามิชชันนารี เหล่านี้คงถูกส่ งมาโดยพระเจ้ากรุ งฝรั่งเศสเช่นเดียวกับธรรมทูตโปรตุเกส ในการเข้าเฝ้ าครั้งนี้ สมเด็จพระนารายณ์ฯ ทรงถามธรรมทูตเหล่ านี้ ว่ามีแรงบันดาลใจอะไรที่ทาํ ให้บรรดาธรรมทูตยอมเสี่ ยงอันตรายเดิ นทางมาด้วยความ ยากลําบากเช่นนี้ และทําไมพระเจ้ากรุ งฝรั่งเศสจึงส่ งข้าแผ่นดินของพระองค์มาไกลถึงเพียงนี้ เป็ นที่น่าเสี ยดายว่า คําตอบของธรรมทูตไม่ได้แก้ความเข้าใจผิดที่มีอยูป่ ระการนี้ พระสังฆราชได้ตอบว่า ความปรารถนาจะช่วยวิญญาณ เป็ นเหตุผลสําคัญประการเดียวที่ทาํ ให้บรรดาธรรมทูตบุกบัน่ มาถึงแดนไกลเช่นนี้ ยังเสริ มด้วยว่าพระเจ้ากรุ ง ฝรั่งเศสทรงมีพระประสงค์อย่างแรงกล้าด้วยเช่นกันที่จะขยายพระอาณาจักรของพระเป็ นเจ้า คําตอบเช่ นนี้ ทาํ ให้ สมเด็จพระนารายณ์ฯ ทรงรู ้สึกนิยมชมชอบพระเจ้าหลุยส์ก็จริ ง แต่ก็ทาํ ให้เกิดความสับสนได้เช่นกัน หลังจากรับพระราชสาสน์เป็ นทางการแล้ว ทางราชสํานักกรุ งศรี อยุธยาก็ต้ งั ใจจะส่ งคณะทูตไปยุโรปถึง พระเจ้ากรุ งฝรั่งเศสและพระสันตะปาปาด้วยเป็ นการตอบแทน ทูตคณะนี้ จะเจริ ญ สัมพันธไมตรี กบั พระเจ้าหลุยส์ ที่ 14 โดยจะยกเมืองท่า (สงขลา) ให้ชาวฝรั่งเศสสร้างป้ อมและคลังสิ นค้า เพื่อทําการค้าได้โดยปลอดภัยด้วย แต่การ ส่ งทูตคณะนี้ตอ้ งล่าช้าไป เพื่อรอฟังผลการสงครามระหว่างฝรั่งเศสกับฮอลันดาเสี ยก่อน
ทูตไทยคณะแรกไปฝรั่งเศส เมื่อสงครามระหว่างฝรั่งเศสกับฮอลันดา (ค.ศ. 1672-1678 / พ.ศ. 2215-2221) สงบลงโดยฝรั่งเศสมีชยั ชนะ สมเด็จพระนารายณ์ฯ จึงทรงส่ งทูตคณะแรกไปยุโรป มีออกญาพระพิพฒั น์ราชไมตรี เป็ นราชทูต ออกหลวงศรี วิศาลสุ นทร เป็ นอุปทูต ออกขุนนครวิชยั เป็ นตรี ทูต และมีคุณพ่อเกม (Gaymes) เป็ นล่าม โดยออกเดินทางเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม ค.ศ. 1680 (พ.ศ. 2223) ไปกับเรื อของบริ ษทั อินเดียตะวันออกของฝรั่งเศสซึ่ งเข้ามาเปิ ดคลังสิ นค้าที่ กรุ งศรี อยุธยาและเดินทางกลับ จุดประสงค์ของทูตคณะนี้ก็คือ 1. เพื่อทราบถึงพระราชอํานาจของพระเจ้าหลุยส์และความเจริ ญของฝรั่งเศสโดยตรงเพื่อเทียบกับเมืองจีน 2. เพื่อเจริ ญพระราชไมตรี กบั พระเจ้าหลุยส์และสมเด็จพระสันตะปาปา เพื่อช่วยเหลือไทยให้พน้ จากการ คุกคาม จากฮอลันดา 3. เพื่อขอให้ทางฝรั่งเศสจัดส่ งทูตมาเจริ ญสัมพันธไมตรี เช่นเดียวกัน แต่คณะทูตนี้ เดินทางไปไม่ถึงฝรั่งเศส เนื่องจากเรื อไปอับปางใกล้เกาะมาดากัสกา ส่ วนทางกรุ งศรี อยุธยา ทุกคนกําลังรออนาคตอันแจ่มใสด้วยความยินดี บรรดาธรรมทูตคิดว่าถ้าสัมพันธไมตรี สถาปนาขึ้นแล้ว งานพระ ศาสนาจะได้รับความคุม้ ครองให้เจริ ญก้าวหน้าได้เต็มที่ สมเด็จพระนารายณ์ฯ ก็ทรงพระกรุ ณาต่อบรรดาธรรมทูต ต่อไป เช่น พระราชทานที่ดินเพิม่ เติม ถึงกระนั้นเมื่อท่านลังแบรต์ได้ทราบว่าพระเจ้าแผ่นดินโคชินจีนให้อิสระทาง ศาสนาแก่พลเมืองแล้ว ก็อยากจะเดินทางไปในเขตปกครองของท่าน แต่สมเด็จพระนารายณ์ฯ ซึ่ งยังทรงต้องการ
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
1.2
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 106
Ba ngk o
k
ความช่ วยเหลื อจากพระสังฆราชในการดําเนิ นความสัมพันธ์ท างการทูตกับ ฝรั่ง เศสอยู่ จึง ไม่ท รงอนุ ญาตให้ พระสังฆราชออกจากกรุ งศรี อยุธยา พระสังฆราชจึงทูลให้ทราบว่าท่านจะอยูต่ ่อไปถ้าจะทรงให้อิสระทางศาสนา อย่างกับโคชินจีน แต่ก็ได้รับคําตอบโดยผ่านทางขุนนางผูห้ นึ่ งว่า "มากเกินไป" ท่านลังแบรต์จึงพอจะเข้าใจว่าแม้ สมเด็จพระนารายณ์ฯ จะทรงแสดงพระทัยกรุ ณาต่อบรรดา ธรรมทูต แต่ท่านจะไม่มีโอกาสจะได้รับอย่างที่ ต้องการในเรื่ องอิสรภาพการถือศาสนา.
พระสังฆราชลังแบรต์ ถงึ แก่ มรณภาพ
dio
ces e
of
คุณพ่อลาโนได้รับแต่งตั้งเป็ นประมุขมิสซังสยามตั้งแต่ปี ค.ศ. 1674 (พ.ศ. 2217) แล้วก็จริ ง แต่ในทาง ปฏิบตั ิแล้ว พระสังฆราชลังแบรต์ยงั คงบริ หารงานคล้ายกับประมุขอยูต่ ่อไปพระสังฆราชลาโนทําตัวเหมือนกับ ผูช้ ่วยพระสังฆราชลังแบรต์ตลอดมาจนถึงปี ค.ศ. 1679 (พ.ศ. 2222) อันเป็ นปี ที่พระสังฆราชลังแบรต์ถึงแก่ มรณภาพเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน หลังจากอาพาธอยูเ่ ป็ นเวลาหลายเดือน เมื่อถึงแก่มรณภาพ ท่านมีอายุได้ 55 ปี (ท่าน เกิดที่เมืองลาบัวเซี ยร์ สังฆมณฑลลีซิเออซ์ เมื่อ 2 มกราคม ค.ศ. 1624 / พ.ศ. 2167)
ออกญาวิชาเยนทร์ หรือ คอนสแตนติน ฟอลคอน
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
เมื่อกล่าวถึงเหตุการณ์ เรื่ องความสัมพันธ์ระหว่างธรรมทูตกับราชสํานักกรุ งศรี อยุธยาและกรุ งฝรั่งเศสนี้ จะ เว้นไม่กล่าวถึงบุคคลผูห้ นึ่งเสี ยไม่ได้ นัน่ คือ ออกญาวิชาเยนทร์ หรื อ คอนสแตนติน ฟอลคอน ขุนนาง "ฝรั่ งเศส" ผู ้ นี้เป็ นที่โปรดปรานยิง่ ของสมเด็จพระนารายณ์ฯ เป็ นที่วางพระราชหฤทัยอย่างยิง่ ในนโยบายต่างประเทศขณะนั้น ความเห็นเกี่ยวกับบุคคลผูน้ ้ ีออกจะลึกลับสับสนอยูไ่ ม่นอ้ ย แล้วแต่วา่ จะฟังความเห็นของใคร ผูท้ ี่ได้รับประโยชน์ จากเขาก็ยกย่องเสี ยเลอเลิศ เช่น คุณพ่อตาชารด์ และพระสงฆ์คณะเยสุ อิตชาวฝรั่งเศส แต่ชาวไทย ฮอลันดา อังกฤษ และธรรมทูตคณะมิสซังต่างประเทศมีความเห็นว่า ขุนนางผูน้ ้ ีพยายามใช้ตาํ แหน่งหน้าที่เพื่อสร้างความ ยิง่ ใหญ่ และผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น เท่าที่ทราบกัน ฟอลคอนมีชื่อเดิมว่า คอนสแตนติน เยรากี (Hieraki) เกิดที่เกาะเซฟาโลนี ซึ่งเวลานั้นเป็ น ของรัฐเวนิส เมื่อปี ค.ศ. 1648 (พ.ศ. 2191) ครอบครัวของเขาดูเหมือนจะเคยเป็ นผูด้ ีเก่า แต่ยากจน เมื่ออายุ 10 ปี เขาได้หนีออกจากบ้านไปแสวงหาโชคด้วยตนเอง โดยสมัครรับใช้อยูใ่ นเรื อพ่อค้าชาวอังกฤษและเปลี่ยนชื่อเป็ น ฟอลคอน (Phaulcon) ซึ่ งมีความหมายเดียวกับชื่อเก่า ต่อมาจึงได้เป็ นพนักงานในเรื อสิ นค้าของบริ ษทั อินเดีย ตะวันออกของอังกฤษ เดินทางมายังอินเดียและเมืองบันตัม (ชวา) ความดีความชอบที่ช่วยให้คลังสิ นค้าของอังกฤษ รอดพ้นจากไฟไหม้ที่นี่ ทําให้เขาได้รับรางวัลเป็ นจํานวนเงิน 1000 เอกู ด้วยเงินจํานวนนี้ ฟอลคอนได้ตกลงใจเสี่ ยง โชคเข้ามาค้าขายส่ วนตัวในประเทศสยามโดยการสนับสนุนของยอร์ จ ไวท์ และริ ชาร์ ด บาร์ บานี ผูจ้ ดั การคลังสิ นค้า อังกฤษ หลังจากเรื ออับปางหลายครั้ง เขาก็ยงั ไม่ละความพยายาม ในที่สุดเข้ามาฝากตัวทําราชการสังกัดกรมพระ คลังสิ นค้า (ข้อมูลอีกทางหนึ่งกล่าวว่า เขาได้ประสบภัยเรื ออับปางที่ฝั่งมาลาบาร์ และได้พบกับราชทูตไทยซึ่ง เดินทางกลับจากเปอร์ เซี ย ซึ่ งเรื ออับปางเช่นกัน จึงได้ใช้เงินที่เหลือซื้ อเรื อกลับมากับราชทูตผูน้ ้ นั ซึ่ งได้แนะนําตัว
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 107
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
เขากับพระยาพระคลัง) เมื่อเริ่ มรับราชการ ฟอลคอนยังไม่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ และขณะเดียวกันยังคงทํา การค้าส่ วนตัวต่อไป มีหลักฐานกล่าวถึงการปรากฏตัวของฟอลคอนในราชสํานักเมื่อ พ.ศ. 2217 (ค.ศ. 1674) โดยเป็ นผูไ้ ปรายงานให้บรรดาธรรมทูตชาวฝรั่งเศสทราบว่าได้ทรงรับหนังสื อที่พระ สังฆราชลังแบรต์ทูลเกล้าถวาย นั้นด้วยความพอพระทัย ในครั้งนั้น ฟอลคอนอายุราว 27 ปี ชาวยุโรปร่ วมสมัยกล่าวว่าเขาเป็ นคนรู ปงาม ร่ างสันทัด มีไหวพริ บ ขยัน คุยสนุ ก และติดจะเพ้อฝัน การเดินเรื อและการคลุกคลีอยูก่ บั การค้าเป็ นเวลานาน ทําให้เขามีความชํานาญในการ เดินเรื อและการค้าเป็ นอย่างยิง่ รู้ทนั เล่ห์เหลี่ยมและวิธีการค้าของพวกพ่อค้าชาวมุสลิมที่มีอิทธิ พลในย่านนี้เป็ นอย่าง ดี นอกจากนั้น ฟอลคอนยังรู ้จกั ปรับตัวได้รวดเร็ วด้วย เช่น สามารถศึกษาราชาศัพท์ ขนบธรรมเนียมของราชสํานัก ไทยจนสามารถพูดภาษาไทยได้เป็ นอย่างดี สิ่ งเหล่านี้เป็ นปั จจัยให้ฟอลคอนก้าวขึ้นมามีอาํ นาจในประเทศไทยซึ่ ง กําลังประสบปั ญหาทางด้านการค้าอยูใ่ นขณะนั้น เมื่อเข้ามารับราชการแล้วก็ได้แสดงความสามารถหลายอย่าง ได้ จัดการจําหน่ายสิ นค้าของพระคลังหลวงได้กาํ ไรถึงสองเท่าที่พวกแขกมัวร์ เคยทูลเกล้าถวาย เมื่อออกญาโกษาธิ บดี นาํ เขาเข้าเฝ้ า และสมเด็จพระนารายณ์ ฯ ได้ทรงปฏิสันถารกับเขาก็ทรงพอพระทัยในความเฉลียวฉลาดและ กิริยามารยาทเป็ นอันมาก จึงทรงพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็ น "ออกหลวงสุ รสงคราม" มีหน้าที่ควบคุมการต่อ กําปั่ นหลวงและจัดส่ งสิ นค้าไปขายโดยสังกัดกรมท่า จากประสบการณ์ดา้ นการค้าของเขา ฟอลคอนได้จดั การค้าของหลวงให้มีระเบียบ ทําให้รายได้ของแผ่นดิน เพิม่ ขึ้น ดังนั้น เมื่อออกญาโกษาธิ บดีถึงแก่สัญญกรรมเมื่อปี ค.ศ. 1684 (พ.ศ. 2227) สมเด็จพระนารายณ์ฯ จึงมีพระ ประสงค์ให้เขาเข้ารับตําแหน่งพระคลังสื บแทน แต่ฟอลคอนเกรงว่าจะเป็ นที่ริษยาของขุนนางผูใ้ หญ่ จึงไม่ยอมรับ ยอมรับเพียงบรรดาศักดิ์ "ออกญาพระฤทธิ กาํ แหงภักดี" ผูช้ ่วยออกญาพระเสด็จซึ่ งดํารงตําแหน่งพระคลังคนใหม่ แต่ ออกญาผูน้ ้ ีไม่สันทัดในการค้าและการต่างประเทศ ดังนั้น ฟอลคอนจึงเป็ นผูอ้ ยูเ่ บื้องหลัง และมีอาํ นาจอย่างแท้จริ ง ตําแหน่งสุ ดท้ายของเขาคือ "ออกญาวิชาเยนทร์ " ทั้งๆ ที่ฟอลคอนไม่เคยเกี่ยวข้องกับราชสํานักใดในยุโรปเลย แต่การ ที่เขาเป็ นนักผจญภัย เขาจึงมีความพยายามและกระตือรื อร้นที่จะรับราชการอย่างขยันขันแข็งและสามารถแก้ปัญหา เฉพาะหน้าได้ดี ดังนั้นสมเด็จพระนารายณ์ ฯ จึงโปรดปรานยิ่งขึ้น และโปรดให้ตามเสด็จพระราชดําเนิ นไปด้วยทุกแห่ ง ฟอลคอนมีอาํ นาจมากเทียบเท่าอัครมหาเสนาบดี และในระยะหลังมีอาํ นาจปฏิบตั ิราชการโดยไม่ตอ้ งนําความขึ้น กราบบังคมทูลพระกรุ ณา ฐานะของเขาจึงเปรี ยบเหมือนผูเ้ ผด็จการ ซึ่ งแน่นอนที่บรรดาขุนนางไทยและต่างชาติใน ขณะนั้นจะต้องตระหนักถึงอิทธิ พลของเขา (พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถ์เลขา กล่าวว่าเขาเข้ามารับราชการ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2217 / ค.ศ. 1674 เท่านั้น) ฟอลคอนทราบดีวา่ อนาคตของตนผูกไว้กบั สมเด็จพระนารายณ์ฯ ไม่ได้ตลอดไป เขาจึงพยายามที่จะเข้าหา อํานาจของชาติยโุ รปไว้อุปถัมภ์ต่อไป ขณะนั้นไทยไม่นิยมฮอลันดา เพราะคิดว่าฮอลันดาต้องการจะเข้าครอบครอง ไทย อังกฤษก็ไว้ใจไม่ได้ สเปนและโปรตุเกสก็อ่อนแอเกินไป ฟอลคอนจึงเข้าหาชาวฝรั่งเศส ซึ่ งได้แก่บริ ษทั อินเดีย ตะวันออกของฝรั่งเศสที่เพิ่งได้รับสิ ทธิ จากรัฐบาลไทยและบรรดาธรรมทูต เขาจึงกลับใจเป็ นคาทอลิกโดยแสดง ความเชื่อต่อคุณพ่ออันตน โทมัส พระสงฆ์เยสุ อิตในค่ายโปรตุเกส ซึ่ งมาอยูท่ ี่กรุ งศรี อยุธยาระหว่างปี ค.ศ. 1681-82
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 108
Ba ngk o
k
(พ.ศ. 2224-5) ก่อนจะไปปั กกิ่ง นอกนั้นยังทําพิธีแต่งงานกับสาวคริ สตังญี่ปุ่นชื่อ มารี ย ์ Gimard ซึ่ งเป็ นเหลนของ คริ สตังที่นกั บุญฟรังซิ ส เซเวียร์ ล้างบาปที่ญี่ปุ่น จดหมายของคุณพ่อเดอ ลีออน ลงวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 1684 (พ.ศ. 2227) ถึ งสามเณราลัยที่กรุ งปารี สกล่าวชมเชยฟอลคอนว่าได้ช่วยเหลื อบรรดาธรรมทูตอย่างมากมาย พระสังฆราชลาโนก็ได้เขียนแบบเดี ยวกันในเดือนต่อมา (17 พฤศจิกายน) ฟอลคอนไม่กลัวที่จะแสดงตนเป็ น คริ สตังก็จริ ง แต่ในขณะเดียวกันก็ต้ งั ตนเป็ นผูอ้ ารักขาทางการของศาสนาคาทอลิกในสยาม ซึ่ งหมายความว่ากิจการ ทางศาสนาคาทอลิกทุกเรื่ องจะต้องผ่านทางตัวเขาเท่านั้น พระสังฆราชลาโนและบรรดาธรรมทูตไม่สามารถเข้าเฝ้ า สมเด็จ พระนารายณ์ฯ ได้โดยตรงอีกต่อไป เขาจัดการสร้างสามเณราลัยที่ตาํ บลมหาพราหมณ์ และให้เณรไปอยูท่ ี่ นัน่ โดยที่พระสังฆราชลาโนไม่เต็มใจนัก พระสังฆราชลาโนพยายามจะปลีกตัวออกจากฟอลคอน แต่ก็สายไปแล้ว
ทูตไทยคณะทีส่ องไปฝรั่งเศส พระสังฆราชปั ลลือกลับจากยุโรปครั้งที่สองเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1682 (พ.ศ. 2225) โดยนําพระราช สาสน์จากพระเจ้ากรุ งฝรั่งเศสมาถวายสมเด็จพระนารายณ์ฯ ด้วย จึงทราบว่าพระราชสาสน์ที่คณะทูตนําไปเมื่อ 2 ปี ก่อนนั้นไม่ถึงฝรั่งเศส ทางกรุ งศรี อยุธยาได้จดั การต้อนรับพระราชสาสน์อย่างสมเกียรติเหมือนครั้งก่อนสมเด็จพระ นารายณ์ฯ ได้ทรงพระกรุ ณาสร้างวัดให้ชาวคริ สต์ ที่ลงรากเมื่อวันที่ 15 มีนาคม ค.ศ. 1683 (พ.ศ. 2226) และใน เดือนพฤษภาคมปี นั้นเอง พระสังฆราชปั ลลือก็ออกจากประเทศไทยไปประเทศจีนผ่านมาเก๊า โดยเรื อของไทย เมื่อวันที่ 13 กันยายน ค.ศ. 1683 (พ.ศ. 2226) เรื อที่มาจากลอนดอนก็ส่งข่าวที่ กรุ งศรี อยุธยาว่า เรื อ Soleil d'Orient ที่คณะทูตไทยอาศัยไปนั้นยังไม่ถึงฝรั่งเศส สมเด็จพระนารายณ์ฯ จึงทรงตัดสิ นพระทัยส่ งขุนนางไทย 2 ท่านไปฝรั่งเศสในฐานะทูตพิเศษคือ ออกขุนวิชยั วาทิต และออกขุนพิชิตไมตรี โดยมีคุณพ่อวาเชต์ (Vachet) เป็ นล่าม และที่ปรึ กษา หน้าที่ของทูตคณะนี้คือไปสื บเรื่ องราวเกี่ยวกับราชทูตคณะก่อนที่หายไป รวมทั้งทูลเชิญพระเจ้า หลุยส์ให้ส่งราชทูตมาไทยด้วย นอกจากนั้นยังเพื่อร่ วมแสดงความยินดีในการประสู ติของ Duc de Bourgogne (ค.ศ. 1682) อีกด้วย ทูตคณะนี้ออกจากกรุ งศรี อยุธยาโดยเรื ออังกฤษเมื่อวันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 1684 (พ.ศ. 2227) โดย ไปแวะที่กรุ งลอนดอนเพื่อเข้าเฝ้ าพระเจ้าชาร์ ลส์ที่ 2 แห่งอังกฤษ ก่อนจะเดินทางต่อไปยังฝรั่งเศส นับเป็ นทูตไทยชุด แรกที่ไปเฝ้ าพระเจ้ากรุ งอังกฤษ แม้วา่ ทูตคณะนี้ไม่ได้นาํ พระราชสาสน์มาด้วย พระเจ้าหลุยส์ก็โปรดให้จดั การ ต้อนรับอย่างดี และให้เข้าเฝ้ าเป็ นการส่ วนพระองค์ที่เฉลียงกระจกในพระราชวังแวร์ ซายส์
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
1.3
ทูตฝรั่งเศสคณะแรกมายังกรุงศรีอยุธยา หลังจากที่พระเจ้าหลุยส์ทรงชัง่ พระทัยถึงผลประโยชน์ที่ฝรั่งเศสจะได้รับแล้ว (โดยเฉพาะการโค่นอํานาจ ทางการค้าของฮอลันดาในตะวันออก) จึงทรงจัดส่ งคณะทูตมายังราชสํานักกรุ งศรี อยุธยาโดยมีเชอวาลีเอร์ (อัศวิน) เดอ โชมองต์ (Chevalier de Chaumont) เป็ นราชทูต และมี Abbé de Choisy เป็ นอุปทูต โดยทรงกําชับให้ราชทูต ชักชวนสมเด็จพระนารายณ์ฯ ให้เป็ นคริ สตังให้ได้ รวมทั้งให้จดั การเจรจาเกี่ยวกับการค้าให้เป็ นประโยชน์แก่ ฝรั่งเศสด้วย
Hi sto
1.4
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 109
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
ในคณะทูตยังมีขนุ นางหนุ่มอีก 12 คน (ในจํานวนนี้มี Chevalier de Forbin ซึ่ งต่อมาจะรับราชการอยูใ่ นกรุ ง สยามเป็ นที่ "ออกพระศักดิสงคราม" และจะเป็ นคู่ปรับกับฟอลคอน) ธรรมทูตคณะมิสซังต่างประเทศ 4 ท่าน และ พระสงฆ์เยสุ อิตอีก 6 ท่าน ซึ่ งเป็ นนักดาราศาสตร์ และคณิ ตศาสตร์ เพื่อทําการสํารวจทางวิทยาศาสตร์ ที่อินเดียและ จีน (ในจํานวนนี้มีคุณพ่อ Guy Tachard รวมอยูด่ ว้ ย) สมเด็จพระนารายณ์ฯ โปรดให้ยกเมืองสงขลาให้ฝรั่งเศสตามที่เดอโชมองต์ทูลขอ เพื่อฝรั่งเศสจะได้มีที่มนั่ ร่ วมกับไทยในการต่อสู ้กบั ฮอลันดา แต่จุดมุ่งหมายที่แท้จริ งของฝรั่งเศสคือ ต้องการจะสร้างเมืองสงขลาให้เป็ น คู่แข่งกับปั ตตาเวียของฮอลันดา สมเด็จพระนารายณ์ฯ ได้ทรงทาบทามให้ฝรั่งเศสทําสัญญารุ กรบและต้านรับ (Offensive and Defensive Alliance) เพื่อต่อต้านอํานาจของฮอลันดา แต่เดอโชมองต์ปฏิ เสธโดยอ้างว่าตนไม่มีอาํ นาจ ทําสัญญาดังกล่าวได้ สมเด็จพระนารายณ์ฯ จึงขอเพียงแต่ให้มีเสี ยงเล่าลือว่าไทยกับฝรั่งเศสได้ทาํ สัญญารุ กรบและ ต้านรับ เพื่อ ให้รู้ไปถึ งฮอลันดาด้วย ถึงแม้วา่ ไทยจะไม่ได้ทาํ สัญญารุ กรบและต้านรับดังพระราชประสงค์ของ สมเด็จพระนารายณ์ฯ ก็ตาม แต่ก็ได้ทาํ อนุสัญญาทางศาสนาและการค้ากับฝรั่งเศส สนธิ สัญญาทางการค้ากระทํากัน ได้โดยไม่ชกั ช้านัก บริ ษทั อินเดียตะวันออกของฝรั่งเศสได้รับสิ ทธิ ทาํ การค้าและผูกขาดแร่ ดีบุกที่เกาะภูเก็ตและเข้า ครอบครองเมืองสงขลา แต่สัญญาทางศาสนาทําได้ไม่ง่ายเช่นนั้น เพราะสมเด็จพระนารายณ์ฯ ยังไม่มีพระราช ประสงค์จะเปลี่ยนศาสนาในเวลานั้น และอีกประการหนึ่ ง ฟอลคอนก็เห็นว่าการที่พระมหากษัตริ ยจ์ ะทรงเปลี่ยน ศาสนาเป็ นเรื่ องการเมืองมาก กว่า แต่ท่านทูตเดอโชมองต์ตอ้ งการให้มีการทําสัญญาให้เสรี ภาพเรื่ องศาสนาเพื่อ ประกันความสะดวกในการประกาศศาสนาตามที่บรรดาธรรมทูตอยากจะได้ แต่ฟอลคอนไม่เห็นด้วยกับสัญญานี้ โดยกล่าวว่าไม่จาํ เป็ น เพราะบรรดาธรรมทูตก็มีอิสระอยูแ่ ล้วที่กรุ งศรี อยุธยา จึงพยายามถ่วงเวลาไว้โดยหันเหความ สนใจของท่านทูตไปยังการรับรองในโอกาสต่างๆ จนเมื่อฟอลคอนเสนออนุ สัญญาเรื่ องนี้ ให้แก่ท่านทูตในนาที สุ ดท้าย ก็ไม่มีเวลาจะพิจารณาแก้ไขอะไรได้อีก เพราะข้อความในสัญญาดังกล่าวมีขอ้ แม้ซ่ ึ งฟอลคอนอาจจะตีความ ได้หลายอย่างให้เข้ากับตัว (ข้อความสัญญานี้ ดูได้ใน พลับพลึง มูลศิลป์ "ความสั มพันธ์ ไทย-ฝรั่ งเศส สมัยอยุธยา" หน้า 303-306) และฟอลคอน ก็ไม่ได้ประกาศใช้สัญญานี้ เป็ นทางการ โดยอ้างว่าเสรี ภาพทางศาสนานั้นชาว ไทยมีอยู่แล้ว ซึ่ งอันที่จริ งแล้วหามีอยูไ่ ม่ เพราะผูป้ กครองคอยขัดขวางและข่มขู่ไม่ให้ผอู้ ยูใ่ ต้บงั คับเปลี่ยนใจเข้า เป็ นคริ สตชน หรื อปฏิ บตั ิศาสนกิจได้โดยสะดวก การที่สมเด็จพระนารายณ์ฯ ให้เสรี ภาพทางศาสนาแก่ ชาว ยุโรป ไม่ได้หมายความว่าชาวไทยจะมีเสรี ภาพเช่นเดียวกัน โดยวิธีน้ ี จึงไม่มีขา้ ราชการไทยคนใดเข้าเป็ นคริ สตัง นอกจากฟอลคอนซึ่ งเป็ นคนกลางแต่ผเู ้ ดียวระหว่างธรรมทูตกับทางราชสํานัก เราได้เห็นแล้วว่าท่านทูตเดอโชมองต์ไม่ยอมทําสัญญารุ กรบและต้านรับอย่างที่สมเด็จพระนารายณ์ฯ ทรงมี พระประสงค์ โดยอ้างว่าไม่มีอาํ นาจที่รับมา ฟอลคอนซึ่ งมีความสนใจเรื่ องนี้ มากกว่าเรื่ องการค้าและศาสนา จึงเข้า หาพวกเยสุ อิตที่มากับคณะทูตฝรั่งเศส เพื่อใช้เป็ นหนทางเข้าถึงราชสํานักฝรั่งเศสได้ ท่านลาโนทราบแล้วว่าพระสงฆ์ชุดนี้ ไม่ได้รับอนุ มตั ิจากกรุ งโรมและมีแต่หนังสื อนําตัวจากราชสํานัก ฝรั่งเศสเท่านั้น จึงหาทางออกโดยถือว่าพระสงฆ์เหล่านี้เป็ นเพียงนักดาราศาสตร์ และคณิ ตศาสตร์ เท่านั้น ไม่ใช่ธรรม ทูต จึงเลี่ยงคําสั่งของสมณกระทรวงเรื่ องการสาบานจะเชื่อฟังต่อผูแ้ ทนพระสันตะปาปาได้ เมื่อเป็ นเช่นนี้ พวกเย สุ อิตเหล่านี้ จึงกลายเป็ นเครื่ องมือของฟอลคอนไปโดยปริ ยาย ฟอลคอนได้ขอร้ องให้ส่งพระสงฆ์เยสุ อิต นัก
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 110
ทูตไทยคณะทีส่ ามไปฝรั่งเศส สมเด็จพระนารายณ์ฯ ทรงตัดสิ นพระทัยที่จะมีสัมพันธไมตรี กบั ฝรั่งเศสอย่างแน่นแฟ้ น ยิ่งขึ้น ดังนั้นเมื่อ ราชทูตเดอโชมองต์ทูลลา จึงได้ทรงพระราชทานตะลุ่มทองคําและของมีค่ามากมาย พร้อมกันนี้ก็โปรดส่ งราชทูต ไทยและเครื่ องบรรณาการดีที่สุดไปถวายพระเจ้าหลุยส์และราชวงศ์ฝรั่งเศส คณะราชทูตไทยมีบุคคลสําคัญคือ ออก พระวิสุทธิ์ สุนทร (โกษาปาน) เป็ นราชทูต ออกหลวงกัลยาราชไมตรี เป็ นอุปทูต ออกขุนศรี วิศาลวาจา เป็ นตรี ทูต และคุณพ่อเดอลีออน เป็ นล่ามและที่ปรึ กษา เช่นเดียวกับที่คุณพ่อวาเชต์ได้ทาํ หน้าที่น้ ี ในการส่ งทูตคณะที่ สองไป ดังได้กล่าวแล้ว คุณพ่อตาชารด์ได้เดินทางกลับไปฝรั่งเศสพร้อมกับคณะทูตนี้ ดว้ ย นอก จากนั้น ยังมีเณร จากสามเณราลัยนักบุญยอแซฟที่กรุ งศรี อยุธยาเดินทางไปศึกษาต่อที่กรุ งโรมด้วย คือ อันโตนิ โอ ปิ นโต จุดมุ่งหมาย ของสมเด็จพระนารายณ์ฯ ในการส่ งคณะทูตไทยชุดนี้ ไปฝรั่งเศส นอกจากจะเกี่ยวกับเรื่ องพระราชไมตรี และเรื่ อง การค้าแล้ว ยังมีพระราชประสงค์ให้คณะทูตได้ไปสื บพระเกียรติคุณของพระเจ้าหลุยส์ เพื่อนํามากราบทูลให้ทรง ทราบอย่างละเอียด คณะทูตไทยซึ่ งมีผตู ้ ิดตามเกือบ 40 คน ได้ออกเดินทางจากประเทศไทยราวกลางเดือนธันวาคม ค.ศ. 1685 (พ.ศ. 2228) และไปถึงฝรั่งเศส ขึ้นบกที่เมืองเบรสต์เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ. 1686 (พ.ศ. 2229)
Hi sto
ric al A
1.5
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
คณิ ตศาสตร์ มาอีก 12 ท่าน เพื่อปฏิบตั ิงานที่หอดูดาวซึ่ งสมเด็จพระนารายณ์ฯ โปรดให้สร้างที่อยุธยาและละโว้ คุณพ่อตาชารด์จึงกลับไปฝรั่งเศสเพื่อเจรจาเรื่ องนี้ นอกจากนั้น ฟอลคอนยังมีขอ้ เสนออย่างที่คุณพ่อมัลโดนาต์เคยเสนอไปแล้ว คือ ให้เปิ ดบ้านเยสุ อิตที่มีการ เจริ ญชีวติ ตามแบบพระภิกษุ โครงการดัดแปลงปรับปรุ งให้เข้ากับวินยั ของพระภิกษุ เช่นนี้มิใช่ของใหม่หรื อเป็ น ความคิดริ เริ่ มของฟอลคอนเลย คุณพ่อโนบีลีได้เคยทํามาแล้วที่อินเดียกับพวกพราหมณ์ อันที่จริ งเมื่อปี ค.ศ. 1677 (พ.ศ. 2220) คุณพ่อลาโนได้ไปเทศน์ที่หมู่บา้ นแห่งหนึ่ ง มีพระภิกษุรูปหนึ่ งต้องการเป็ นคริ สตัง แต่อยากรักษา เครื่ องแบบภิกษุไว้อย่างเดิม (บางทีเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเกณฑ์ให้ไปทํางานหลวง) คุณพ่อลาโนจึงมีความคิดจะแต่ง กายเช่นเดียวกับพระภิกษุดว้ ย โดยคิดว่าจะได้รับความเคารพนับถือมากขึ้นจากชาวบ้าน พระสังฆราชลังแบรต์ได้มี หนังสื ออนุ ญาตเมื่อวันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 1677 และบรรดาธรรมทูตก็แต่งกายเช่นนั้นในขณะออกไปทํางานแพร่ ธรรม หลังจากที่พระสังฆราชลังแบรต์ถึงแก่มรณภาพแล้ว พระสังฆราชลาโนได้รับการวิพากษ์ วิจารณ์จากพวกเย สุ อิต จึงได้เขียนหนังสื อเป็ นทางการไปขออนุญาตจากกรุ งโรมเมื่อปี ค.ศ. 1682 (พ.ศ. 2225) โดยมัน่ ใจว่าทางกรุ ง โรมคงไม่ขดั ข้อง แต่ทางกรุ งโรมได้ตอบปฏิเสธมาเมื่อวันที่ 20มีนาคม ค.ศ. 1685 (พ.ศ. 2228) ไม่ให้ใช้แม้กระทัง่ สี เหลือง (ของจีวรพระภิกษุ) บรรดาธรรมทูต จึงต้องเลิกใช้เครื่ องแต่งกายอย่างพระภิกษุซ่ ึ งเคยใช้มาเป็ นเวลาเกือบ 9 ปี แล้ว ฟอลคอนไม่ทราบถึงข้อห้ามนี้ อย่างไรก็ตาม คุณพ่อตาชารด์จะกลับไปฝรั่งเศสพร้อมกับคณะทูต เพื่อเจรจา เรื่ องราวต่างๆ ตามความประสงค์ของฟอลคอน ซึ่ งเป็ นเรื่ องการเมืองและการทหารมากกว่าการศาสนา คุณพ่อ Fontaney อธิ การสงฆ์เยสุ อิตที่กรุ งศรี อยุธยาไม่ได้เห็นด้วยกับแผนของฟอลคอน และได้มีหนังสื อเตือนไปทางกรุ ง ปารี สด้วย
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 111
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
คณะทูตได้รับการต้อนรับอย่างสมเกียรติ ขณะที่เดินทางผ่านเมืองต่างๆ จนถึงกรุ งปารี สเมื่อวันที่ 12 สิ งหาคม ในขบวนมีรถเทียมม้า 6 ถึง 60 คัน พระเจ้าหลุยส์ได้ทรงจัดการต้อนรับพระราชสาสน์ของสมเด็จพระ นารายณ์ฯ อย่างใหญ่โต คณะทูตไทยได้เข้าเฝ้ าตามธรรมเนียมไทยเมื่อวันที่ 1 กันยายน ซึ่ งเป็ นที่ประทับใจชาว ฝรั่งเศสอย่างมาก ระหว่างที่อยูท่ ี่กรุ งปารี ส คณะทูตไทยได้รับเชิญให้ไปเยีย่ มดูกิจการด้านต่างๆ ของฝรั่งเศส ซึ่ง ราชทูตไทยได้แสดงความสนใจและซักถามเกี่ยวกับเรื่ องต่างๆ อย่างละเอียด ท่านยังได้ไปร่ วมฟังอันโตนิโอ ปิ นโต สอบรับปริ ญญาที่มหาวิทยาลัย ซอร์ บอนด้วย นอกจากนั้น คณะราชทูตไทยยังได้เข้าเฝ้ าพระเจ้าหลุยส์และพระราชวงศ์เป็ นการส่ วนพระองค์อีก ซึ่ ง นับว่าเป็ นเกียรติอย่างยิ่ง คณะทูตไทยอยู่ที่ฝรั่งเศสจนปลายฤดูหนาว ในที่สุดราชทูตก็ได้กราบถวายบังคมลาเมื่อ วันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 1687 (พ.ศ. 2230) คณะราชทูตไทยชุดนี้ ได้สร้างชื่อเสี ยงให้แก่ประเทศไทยเป็ นอัน มาก โดยเฉพาะออกพระวิสุทธิ์ สุ นทรนั้นเป็ นที่สรรเสริ ญว่าเฉลียวฉลาดรอบคอบ จะทําสิ่ งใดก็นึกถึงทางได้ทาง เสี ยก่อนทุกครั้ง อย่างไรก็ตาม แม้วา่ จะมีผสู ้ รรเสริ ญออกพระวิสุทธิ์ สุ นทร แต่เซเบเรต์ (ซึ่ งจะเข้ามากับทูตฝรั่งเศสชุดที่สอง เพื่อดูแลผลประโยชน์ของบริ ษทั อินเดียตะวันออกของฝรั่งเศส) กล่าวว่าท่านราชทูตผูน้ ้ ี ประพฤติตนตามที่สมเด็จ พระนารายณ์ฯ ทรงเห็นชอบเท่านั้น ที่เป็ นเช่นนี้ อาจจะเป็ นเพราะว่าเซเบเรต์ไม่ชอบออกพระวิสุทธิ์ สุ นทรที่รู้ทนั ฝรั่งเศส และได้แสดงปฏิ กิริยาไม่เต็มใจให้ฝรั่งเศสไปอยูเ่ มืองไทย และยังขัดผลประโยชน์ของฝรั่งเศสที่บอกปั ด เกี่ยวกับเรื่ องอนุ สัญญาการค้าฉบับเดอโชมองต์นนั่ เอง คณะราชทูตไทยแล่นเรื อออกจากเมืองเบรสต์เมื่อวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 1687 พร้อมกับคณะราชทูตฝรั่งเศสชุดที่สอง และเดินทางกลับมาถึงปากนํ้าเมื่อวันที่ 27 กันยายน ปี เดียวกัน ขณะที่คณะราชทูตไทยอยูท่ ี่ฝรั่งเศส และไปเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ อยู่น้ นั ผูท้ ี่ทาํ การวิ่งเต้นติดต่อกับทาง ราชการฝรั่งเศสคือคุณพ่อตาชารด์ ซึ่ งได้รับมอบหมายจากฟอลคอนให้เจรจาในเรื่ องต่างๆ โดยกีดกันคุณพ่อวาเชต์ และเดอลีออนออกจากการเจรจาเหล่านี้ดว้ ย ได้เกิดมีปัญหาขึ้นอีกเกี่ยวกับพระสงฆ์เยสุ อิต 14 รู ปที่ได้รับเลือกให้มา ประเทศสยามว่า จะต้องสาบานตนเชื่ อฟั งผูแ้ ทนพระสันตะปาปา Vicarii Apostolici ตามคําสั่งของทางกรุ งโรม หรื อไม่ เพราะทางราชสํานักฝรั่งเศสห้ามมิให้ทาํ เช่นนั้น ทางกรุ งโรมได้ตาํ หนิพระสังฆราชลาโนที่ยอมให้พระสงฆ์ เยสุ อิตที่ไปกับคณะทูตของเดอโชมองต์ไม่ตอ้ งทําการสาบานนี้ และทําให้ทางสมณกระทรวงไม่ไว้ใจคณะธรรมทูต มิสซังต่างประเทศอย่างแต่ก่อน อย่างไรก็ตาม ทางกรุ งโรมก็ไม่ยอมยกเว้นให้พวกเยสุ อิตในเรื่ องการสาบานดังกล่าว ทําให้พวกเยสุ อิตไม่พอใจอย่างมาก ถึ งกระนั้นพระสงฆ์เยสุ อิตเหล่านี้ ก็ทาํ การสาบานต่อหน้าคุณพ่อเดอลี ออนที่ เมืองเบรสต์ก่อนจะออกเดินทาง แต่คุณพ่อตาชารด์ก็ได้เขียนหนังสื อคัดค้านการกระทําดังกล่าวเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1687 นับเป็ น การแสดงออกของทฤษฎี Gallicanism อย่างชัดเจน
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 112
เหตุการณ์ ในประเทศสยามระหว่ างทีร่ าชทูตอยู่ในฝรั่งเศส หลังจากเดอโชมองต์กลับไปแล้ว ฟอลคอนก็ลม้ ป่ วย สมเด็จพระนารายณ์ฯ ทรงเป็ นห่วงใยอย่างมาก หลังจากนั้น พระสังฆราชลาโนก็ลม้ ป่ วยด้วย ต่อมาช้างทรงของสมเด็จพระนารายณ์ฯ ได้หนีเข้าป่ าไป ประชาชน ถือว่าเป็ นลางร้าย ต้องใช้ผคู ้ นถึง 2 หมื่น ตามหาอยูถ่ ึงหนึ่งเดือนจึงได้ตวั กลับมา พระสงฆ์เยสุ อิตที่มากับคณะทูต ของเดอโชมองต์ได้พกั อาศัยอยูใ่ นค่ายโปรตุเกส และเมื่อเรี ยนรู ้ภาษาโปรตุเกสบ้างแล้วก็เริ่ มทํางานอภิบาล เทศน์ และสอนคําสอนบ้าง ในที่สุดเมื่ออยูใ่ นประเทศสยามได้ 10 เดือน ก็ออกเดินทางต่อไปประเทศจีน เว้นแต่คุณพ่อ ่ อยพระสงฆ์ชุดใหม่ที่จะมาจากฝรั่งเศสกับคุณพ่อตาชารด์ Comte ซึ่ งอยูค ฟอลคอนที่เคยได้รับความช่วยเหลื อจากเพื่อนชาวอังกฤษ ได้เสนอให้ต้ งั ริ ชารด์ บาร์ นาบี เป็ นเจ้าเมือง ตะนาวศรี และให้ต้ งั แซมมวล ไวท์ (น้องชายของยอร์ จ ไวท์) เป็ นเจ้าท่าเมืองมะริ ด ตั้งแต่ พ.ศ. 2225 (ค.ศ. 1682) เพื่อควบคุมเส้นทางการค้าในอ่าวเบงกอล เป็ นการเพิ่มพูนรายได้ของพระคลังสิ นค้า และบรรดาขุนนางไทยต่างก็ พอใจที่ได้ขจัดอิทธิ พลของพวกมุสลิมด้วย ต่อมา แซมมวล ไวท์ กลับมีพฤติกรรมเป็ นโจรสลัดในอ่าวเบงกอล เพราะถือว่าฟอลคอนกับเขาเป็ นเพื่อนกันและเป็ นคนมีอาํ นาจสู งสุ ดของไทย นอกจากนั้นดูเหมือนว่าฟอลคอนจะ ได้รับผลประโยชน์จากการนี้ ดว้ ย หลักฐานของพวกมุสลิมยังกล่าวด้วยว่าสมเด็จพระนารายณ์ฯ ทรงรู้เห็นกับการ เป็ นโจรสลัดของไวท์ อย่างไรก็ตาม บริ ษทั อินเดียตะวันออกของอังกฤษประสบกับการขาดทุน เพราะฟอลคอนได้ชกั ชวนพ่อค้า เอกชนทําการค้าแข่งขันด้วย จึงได้เรี ยกร้องค่าเสี ยหายจากสมเด็จพระนารายณ์ฯ แต่สมเด็จพระนารายณ์ฯ ทรงเห็น ว่าอังกฤษไม่ให้ประโยชน์แก่ไทยไม่วา่ ในทางใด และมีความมัน่ ใจในอํานาจของฝรั่งเศส จึงไม่ทรงสนพระทัยในคํา เรี ยกร้องของอังกฤษ อังกฤษจึงคิดจะเข้ายึดเมืองมะริ ดตัดหน้าฝรั่งเศส โดยติดสิ นบนไวท์ แม้วา่ ไวท์ปฏิเสธไม่ยอม เล่นด้วย แต่ชาวเมืองคิดว่าไวท์จะยกเมืองมะริ ดให้องั กฤษ จึงลุกฮือขึ้นต่อต้านทําการฆ่าฟันชาวอังกฤษ รวมทั้งชาว สเปนและโปรตุเกสด้วยเพราะแยกกันไม่ออก (14 กรกฎาคม ค.ศ. 1687 / 2230) การนี้ทาํ ให้การดําเนินการค้าขาย ของฟอลคอนร่ วมกับพ่อค้าเอกชนชาวอังกฤษสิ้ นสุ ดลง แต่ฟอลคอนก็มีอาํ นาจเต็มที่แล้ว สมเด็จพระนารายณ์ฯ ได้ทรงประหารชีวติ ข้าราชการไทยที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าฟั นชาวอังกฤษครั้งนี้ และได้ ส่ งตัวเมอซิ เออร์ เดอ โบเรอการด์ (M. de Beauregard) ซึ่ งมากับคณะทูตของเดอโชมองต์และรับราชการอยูท่ ี่กรุ งศรี อยุธยา ให้ไปเป็ นเจ้าเมืองมะริ ด และให้อาํ นาจสิ ทธิ ในการเจรจากับอังกฤษ จึงทําให้สงคราม (กับบริ ษทั อินเดีย ตะวันออกของอังกฤษ) ครั้งนี้ไม่ลุกลามไป แต่ก็ทาํ ให้สัมพันธภาพระหว่างไทยกับอังกฤษสมัยอยุธยายุติลง ในเดือนสิ งหาคม ค.ศ. 1686 /2229 ได้เกิดกบฏมักกะสันโดยการยุยงของพวกอิหร่ าน ที่นอ้ ยใจว่าทาง ราชสํานักให้เกียรติแก่ทูตฝรั่งเศสมากกว่าแก่ทูตของตน จุดประสงค์ของการกบฏคราวนี้ ก็คือยึดประเทศไทย ตั้งตัว เป็ นกษัตริ ย ์ แล้วปลงพระชนม์สมเด็จพระนารายณ์ฯ และฆ่าคริ สตัง พร้อมกับบังคับราษฎรให้นบั ถือศาสนาอิสลาม การกบฏของพวกมักกะสันเกิ ดที่อยุธยาและบางกอก ผูอ้ าํ นวยการปราบปรามที่อยุธยาก็คือฟอลคอน โดยมีชาว อังกฤษและฝรั่งเศสเป็ นผูช้ ่วย พวกมักกะสันต่อสู้อย่างกล้าหาญ แม้ฟอลคอนก็เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด พวกฝรั่งถูก ฆ่าตายหลายคน แต่ในที่สุดฟอลคอนก็สามารถปราบปรามพวกกบฏได้ พวกมักกะสันถูกฆ่าตายหมด เว้นแต่ลูกชาย เล็กของหัวหน้า 2 คน ซึ่ งภายหลังฟอลคอนส่ งไปเรี ยนที่ฝรั่งเศสและเข้ารับราชการในกองทัพเรื อฝรั่งเศส ส่ วนทาง
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
1.6
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 113
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
บางกอก De Forbin ต้องใช้เวลาถึงหนึ่ งเดือนในการปราบปราม กบฏมักกะสัน ในคราวนี้มีผลทําให้สูญเสี ยชีวิต ผูค้ นรวมทั้งชาวต่างประเทศเป็ นจํานวนมาก เป็ นเรื่ องใหญ่ที่ทาํ ความสยดสยองให้แก่ราษฎรเป็ นอันมาก จนทําให้ ขวัญเสี ย โดยคิดว่าเป็ นลางร้ายที่เกิดขึ้นกับพระมหากษัตริ ย ์ การที่ฟอลคอนสามารถปราบกบฏมักกะสันได้ ทําให้ อํานาจของเขามัน่ คงขึ้น และทําให้เขาสามารถขจัดอิทธิ พลของมุสลิมไปได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง สมเด็จพระนารายณ์ฯ ทรงมีพระอนุชาอยูส่ องพระองค์ที่มีสิทธิ ในการสื บราชสมบัติ องค์ใหญ่คือ เจ้าฟ้ า อภัยทศ ซึ่งพิการเป็ นง่อย มีพระนิสัยฉุนเฉียว มุทะลุดุดนั มักจะแสดงความเกรี้ ยวกราด ขาดความเคารพยําเกรงใน สมเด็จพระนารยณ์ฯ ในที่สุดจึงรับสั่งให้คุมตัวไว้ในตําหนักที่อยุธยา พระอนุชาพระองค์น้ ีทรงเลื่อมใสใน คริ สตศาสนา ส่ วนพระอนุชาอีกองค์หนึ่งทรงพระนามว่า เจ้าฟ้ าน้อย มีพระจริ ยวัตรและรู ปร่ างงดงาม สุ ภาพและ กว้างขวางในหมู่ชนทุกชั้น เป็ นที่นิยมในหมู่ราษฎร สมเด็จพระนารายณ์ฯ ทรงพระดําริ จะให้พระราชธิ ดาองค์เดียว ของพระองค์คือ เจ้าฟ้ าหญิงกรมหลวงโยธาเทพ อภิเษกด้วย แต่เจ้าฟ้ าน้อยได้เป็ นชูก้ บั พระสนมเอกว่าที่ทา้ วศรี จุฬา ลักษณ์ น้องสาวของพระเพทราชา พระสนมถูกสําเร็ จโทษ ส่ วนพระอนุชาถูกโบยโดยมีพระเพทราชาและพระปี ย์ เป็ นผูร้ ับสนองพระบรมราชโองการ เมื่อฟื้ นจากสลบเจ้าฟ้ าน้อยก็ทรงเป็ นใบ้ เมื่อคราวกบฏมักกะสัน มีผกู ้ ล่าวโทษ ว่าพระอนุชาทั้งสองมีส่วนร่ วมในการกบฏด้วย สมเด็จพระนารายณ์ฯ ได้ทรงเชื่อและให้พระปี ย์เป็ นผูโ้ บยพระอนุชา ทั้งสองพระองค์ พระปี ย์เป็ นบุตรบุญธรรมของสมเด็จพระนารายณ์ฯ เป็ นบุตรขุนไกรสิ ทธิ์ ศกั ดิ์ ชาวบ้านแก่ง เมือง ละโว้ ถูกนําตัวมาถวายตั้งแต่ยงั ไม่หย่านม พระปี ย์แม้ไม่ฉลาดและไม่มีปฏิภาณ แต่ก็รู้จกั เอาพระทัยสมเด็จพระ นารายณ์ฯ จึงเป็ นที่โปรดปราน เมื่อเจ้าฟ้ าน้อยต้องพระอาญาครั้งแรก สมเด็จพระนารายณ์ฯ ทรงพระดําริ จะให้ เจ้าฟ้ าหญิงอภิเษกกับพระปี ย์ แต่เจ้าฟ้ าหญิงไม่ทรงยินยอม เพราะทรงรักเจ้าฟ้ าน้อย และทรงรังเกียจตระกูลตํ่าของ พระปี ย์ การที่พระปี ย์เป็ นผูร้ ับสนองพระบรมราชโองการโบยพระอนุชา ชวนให้คนทัว่ ไปเชื่ อว่าพระปี ย์เป็ นผูท้ ูล กล่าวหาพระอนุชาทั้งสอง เพื่อแก้แค้นเจ้าฟ้ าหญิงที่สบประมาทตนว่าเป็ นไพร่ และอิจฉาพระอนุชาทั้งสอง จึงคิด กําจัดเสี ย เพื่อจะได้รับตําแหน่งรัชทายาทแทน สมเด็จพระนารายณ์ ฯ ทรงทราบดีวา่ พระปี ย์ไม่เป็ นที่นิยมของ ประชาชน จึงดําริ จะส่ งไปปกครองเมืองพิษณุ โลก โดยที่พระปี ย์ไม่ทราบ การที่สมเด็จพระนารายณ์ฯ ยังมิได้แต่งตั้ง ใครเป็ นรัชทายาท จึงมีการสะสมอํานาจ บรรดาขุนนางแตกกันเป็ นสองพวก ฝ่ ายหนึ่ งคือพระเพทราชา ซึ่ งโฆษณา ว่าจะป้ องกันพระบัลลังก์ให้พระอนุชา จึงมีขนุ นางสมัครเข้าร่ วมด้วยเป็ นจํานวนมาก อีกฝ่ ายหนึ่งคือฟอลคอน ซึ่งคิด จะใช้กาํ ลังฝรั่งเศสช่วยยกพระปี ย์ข้ ึนเป็ นกษัตริ ย ์ นี่คือ สภาพการณ์ทางการเมืองที่กรุ งศรี อยุธยา ก่อนที่ทูตฝรั่งเศส คณะที่สองจะมาถึง 1.7 ราชทูตฝรั่งเศสคณะทีส่ องมาถึงกรุงศรีอยุธยา คณะทูตฝรั่งเศสที่กลับมาพร้อมกับคณะทูตไทยชุดที่สามในปี ค.ศ. 1687 / พ.ศ. 2230 ประกอบด้วย บุคคล สําคัญต่อไปนี้คือ 1. เมอสิ เออร์ เดอ ลา ลูแบร์ (M. de la Loubère) เป็ นราชทูต มีหน้าที่เจรจาเรื่ องการเมืองและศาสนา 2. เมอสิ เออร์ เซเบเรต์ (M. Cébéret) เป็ นอุปทูต มีหน้าที่เจรจาเรื่ องการค้า
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 114
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
3. นายพลแดฟาร์ จ (Desfarges) เป็ นผูค้ ุมกองทหารฝรั่งเศสจํานวน 636 นาย ที่จะมาประจําในประเทศ สยามที่บางกอกและมะริ ด 4. คุณพ่อตาชารด์ คุณพ่อเดอ ลีออน (คุณพ่อวาเชต์ไม่กลับมาอีก)และมีพระสงฆ์คณะเยสุ อิต 14 รู ป ติดตามมาด้วย ดังได้กล่าวแล้ว คณะทูตออกเดินทางจากเมืองเบรสต์เมื่อวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 1687 แต่เมื่อมาถึงปั ตตาเวีย คุณพ่อตาชารด์ ได้ลงเรื อลําอื่นล่วงหน้าคณะทูตมาถึงกรุ งศรี อยุธยา เพื่อพบกับฟอลคอนก่อน คณะทูตมาถึงปากนํ้าเมื่อวันที่ 27 กันยายน จุดมุ่งหมายของฝรั่งเศสในการส่ งทูตมาครั้งนี้ เนื่ องจากความล้มเหลวในการเจรจาเรื่ องศาสนาและ การค้าของเดอโชมองต์ เพราะฝรั่งเศสไม่พอใจอนุสัญญาทางการค้า ไม่ทราบว่าทางไทยต้องการอะไรตอบแทนการ ยอมให้ฝรั่งเศสผูกขาดการค้าดีบุกที่เกาะถลาง นอกจากนั้น เดอโชมองต์ได้รับเมืองสงขลาโดยไม่ได้คาํ นึงถึงเมืองอื่นที่มีทาํ เลทางยุทธศาสตร์ดีกว่า ราชทูตคณะนี้จึงได้รับคําสั่งให้ทาํ การเจรจาทําสัญญาการค้าใหม่กบั ไทยอีกฉบับหนึ่ง เพื่อให้ได้เปรี ยบไทยยิง่ ขึ้น (สัญญาดังกล่าวทําที่เมืองละโว้เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 1687 / พ.ศ. 2230 แต่ไม่ได้เกิดประโยชน์ให้แก่ฝรั่งเศส เพราะได้เกิดรัฐประหารขึ้นที่กรุ งศรี อยุธยาเสี ยก่อน) ส่ วนเรื่ องการทหารนั้น ฝรั่งเศสขอตั้งกองทหารไว้ที่บางกอก และมะริ ด ดังนั้น เมื่อคณะทูตมาถึงปากนํ้าก็ได้มีการเจรจาขอให้ยกเมืองทั้งสองให้ฝรั่งเศสตั้งกองทหารทันที ฟอล คอนฉวยโอกาสที่จะเข้าบัญชาการกําลังทหารฝรั่งเศส โดยรับจะจัดการให้เป็ นไปตามความต้องการของฝรั่งเศส (กองทหารฝรั่งเศสจึงเข้าไปตั้งอยูท่ ี่บางกอกเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ค.ศ. 1687 / พ.ศ. 2230 ส่ วนที่จะไปมะริ ดก็ออก เดินทางพร้อมกับเซเบเรต์เมื่อวันที่ 31 ธันวาคมปี เดียวกัน และไปถึงเมืองมะริ ดเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1688 / พ.ศ. 2231) แต่ราชทูตจะต้องทําสัญญาลับโดยให้ฟอลคอนมีอาํ นาจบังคับบัญชาทหารฝรั่งเศสที่บางกอกและมะริ ด ได้แต่เพียงผูเ้ ดียว ท่านราชทูตจําใจต้องยอมทําสัญญานี้ เพราะพวกทหารอยูใ่ นสภาพอิดโรยจากการเดินทางอย่าง มาก สมเด็จพระนารายณ์ฯ โปรดให้ทาํ พิธีตอ้ นรับราชทูตเช่นเดียวกับครั้งก่อน และโปรดให้คณะราชทูตเข้าเฝ้ า เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 1687 เมื่อเดอลาลูแบร์ ถวายพระราชสาสน์น้ นั พระองค์ไม่ได้วางไว้เหนือพระเศียร เหมือนเมื่อครั้งเดอโชมองต์ แต่ทรงคํานับ ทั้งนี้เพื่อเลียนแบบพระเจ้าหลุยส์ ท่านราชทูตได้ถวายบรรณาการจากพระ เจ้าหลุยส์ รวมทั้งนําของประทานจากพระเจ้าหลุยส์มาให้ฟอลคอนด้วยนัน่ คืออิสริ ยาภรณ์ Saint-Michel พระราช โองการประทานสัญชาติฝรั่งเศสรวมทั้งตําแหน่งเคานต์สาํ หรับบุตรชายของฟอลคอนด้วย เมื่อคณะทูตเข้าเฝ้ าเป็ นการส่ วนพระองค์ที่ละโว้ ทรงรับสั่งจะช่วยเหลือบริ ษทั อินเดียตะวันออกของ ฝรั่งเศสให้ทาํ การค้า และตรัสเป็ นทํานองว่าให้พนักงานของบริ ษทั อยูใ่ นบังคับบัญชาของฟอลคอน แต่ในที่สุด เซเบ เรต์ก็ได้เจรจาทําสัญญาการค้ากับไทยได้ใหม่ดงั ได้กล่าวแล้ว ส่ วนเดอลาลูแบร์ ได้เตือนฟอลคอนให้กราบ ทูลถึง เรื่ องสัญญาทางศาสนา แต่ฟอลคอนพยายามบ่ายเบี่ยง โดยกล่าวโทษพระสังฆราชลาโนว่าพูดภาษาไทยไม่ดี ทําให้ สมเด็จพระนารายณ์ฯ ทรงฟั งคําสอนไม่เข้าพระทัย และคุณพ่อตาชารด์เสริ มว่าต้องรอให้พระสงฆ์เยสุ อิตที่มาใหม่ เรี ยนรู ้ภาษาไทยให้เชี่ยวชาญก่อน จึงจะเริ่ มสอนศาสนาได้ ส่ วนการประกาศอนุสัญญาทางศาสนานั้น ต้องรอให้มีผู้
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 115
เข้ารี ตจํานวนหนึ่งเสี ยก่อน ไม่เช่นนั้นอาจเกิดการจลาจลเพราะราษฎรไม่พอใจอย่างคราวกบฏมักกะสันขึ้นได้ ฟอล คอนได้จดั การให้พระสงฆ์เยสุ อิตที่มาใหม่พวกนี้ไปศึกษาภาษาไทยกับพระภิกษุในวัดพุทธศาสนาแห่งเมืองละโว้ ฟอลคอนกับพระสั งฆราชลาโน เพื่อแก้แค้นพระสังฆราชลาโนที่เข้ากับราชทูตลาลูแบร์ ไม่สนับสนุนแผนการของตน ฟอลคอนได้ กล่าวหาพระสังฆราชว่าแม้จะอยูป่ ระเทศไทยมาตั้ง 20 ปี แล้ว แต่ยงั พูดไทยไม่ได้ จึงทําให้สมเด็จพระนารายณ์ฯ ไม่ได้กลับใจ ในจดหมายที่ฝากไปกับคุณพ่อตาชารด์ในฐานะทูตไทยไปฝรั่งเศส ฟอลคอนยังได้กล่าวหา พระสังฆราชและบรรดาธรรมทูตในความผิดหนักๆ หลายข้อ แต่ผทู้ ี่รู้จกั พระสังฆราชและธรรมทูตเหล่านี้ดี ก็ เห็นชัดว่าเป็ นการใส่ ร้ายป้ ายสี เท่านั้นยังไม่พอ ฟอลคอนยังกล่าวหาพระสังฆราชไปยังกรุ งโรมด้วย ในเรื่ องเกี่ยวกับ ความขัดแย้งระหว่างคณะนักบวชและพระสังฆราชผูแ้ ทนพระสันตะปาปา (Vicarii Apostolici) เรื่ องนี้ได้เกิดขึ้นที่ ตังเกี๋ย ทางสมณกระทรวงได้เรี ยกธรรมทูตเยสุ อิตของ Padroado กลับมาจากที่นนั่ คุณพ่อฟูชีติซ่ ึงเป็ นคนหนึ่งใน จํานวนนี้ ได้เข้ามากรุ งศรี อยุธยากับเดอโชมองต์ มีข่าวส่ งมาจากตังเกี๋ยว่าคริ สตังที่นน่ั ไม่ยอมรับพระสงฆ์พ้ืนเมืองที่ สนับสนุนพระสังฆราชผูแ้ ทนพระสันตะปาปา และขอให้พวกเยสุ อิตกลับไป ฟอลคอนจึงใช้ความขัดแย้งในเรื่ องนี้ กล่าวหาพระสังฆราชลาโนด้วย คุณพ่อฟูชีติเขียนบอกให้ครู สอนคําสอนจากตังเกี๋ยชื่อ Denis ly Thank มาหาท่าน พร้อมกับเพื่อนอีก 3 คน เพื่อขอพระสังฆราช ลาโนให้อนุญาตให้พวกเยสุ อิตกลับไปตังเกี๋ยอีก พระสังฆราชตอบ ว่าท่านไม่มีอาํ นาจจะทําเช่นนั้นได้ ครู สอนคําสอน 2 คนจึงกลับไป คนที่สามชื่อ Michel Phuong ขออนุญาตเข้าบ้าน เณรที่กรุ งศรี อยุธยา ก่อนจะเดินทางไปฝรั่งเศสในฐานะราชทูตพิเศษในปี ค.ศ. 1687 / 2230 คุณพ่อตาชารด์ให้ Denis Ly Thank เขียนจดหมาย "จากคริ สตังชาวตังเกี๋ย" ถึงพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 และพระสันตะปาปา โดยอ้างว่าตนเป็ นผูพ้ ดู แทน คริ สตังจํานวน 3 แสน และครู สอนคําสอนทั้งหลายในตังเกี๋ย (อันที่จริ งเขาไม่ได้เป็ นครู สอนคําสอนมาตั้ง 8 ปี แล้ว และเขาก็เป็ นผูแ้ ทนคริ สตังราว 2 หมื่นคนเท่านั้น) และว่าตังเกี๋ยเป็ นเหมือนลูกกําพร้าเพราะขาด "บิดาที่ สอนเขาให้ มี ความเชื่ อ" และเขาเหล่านั้นยินดีตายโดยไม่มีโอกาสรับศีลศักดิ์สิทธิ์ ดีกว่าจะไปพึ่งพระสงฆ์พ้นื เมืองและธรรมทูต ฝรั่งเศส เพื่อที่จะให้มีพยานเพิ่มขึ้น จึงได้มีการลักพาตัว Michel Phuong ขึ้นเรื อไปกับคุณพ่อตาชารด์และ Denis Ly Thank ด้วย เณร Michel Phuong ผูท ้ ี่จะรู้ถึงข้อความในจดหมายก็เมื่อไปถึงปารี สแล้วเท่านั้น "ผู้แทน" ชาวตังเกี๋ยทั้ง สองสวมบทบาทที่ถูกยัดเยียดให้เป็ นอย่างดี ว่ากันว่าพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ ที่ 11 ถึงกับทรงพระกันแสงเมื่อ อ่านจดหมายนี้ จึงทรงมีคาํ สั่งลงวันที่ 7 มกราคม ค.ศ. 1689 / พ.ศ. 2232 อนุญาตให้คณะสงฆ์เยสุ อิตกลับไปตังเกี๋ย ได้ และให้ยกเลิกข้อบังคับที่ให้นกั บวชธรรมทูตสาบาน จะเชื่อฟังต่อพระสังฆราชผูแ้ ทนพระสันตะปาปา Michel Phuong ได้กลับมาที่กรุ งศรี อยุธยาและเข้าบ้านเณรอีก และในที่สุดได้เป็ นพระสงฆ์ ที่ดีมาก ส่ วน Denis Ly Thank ได้กลับไปตังเกี๋ยและภายหลังถูกกล่าวหาเรื่ องฆาตกรรม เมื่อเรื่ อง "จดหมายจากผู้แทน" นี้ ทราบถึง พระสงฆ์พ้นื เมืองที่ตงั เกี๋ย พระสงฆ์ท้งั 11 องค์ที่นนั่ ได้เขียนหนังสื อส่ งถึงพระสันตะปาปา แต่ก็สายเกินไป พวกเย สุ อิตได้กลับเข้าไปตังเกี๋ยแล้ว ส่ วนพระสังฆราชลาโน ทั้งๆ ที่ทราบดีวา่ ฟอลคอนและคุณพ่อตาชารด์เป็ นอริ กบั ท่าน ท่านก็ยงั ให้อาํ นาจทุกอย่างแก่พระสงฆ์เยสุ อิตที่จะทํางานอภิบาลแพร่ ธรรมได้โดยเสรี โดยเฉพาะเรื่ องสั่งสอน
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
1.8
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 116
Ba ngk o
k
เยาวชน แต่คุณพ่อ ตาชารด์ก็ยงั ไม่พอใจ หลังจากกลับถึงฝรั่งเศสแล้วได้เขียนจดหมายถึงคุณพ่อเดอ ลา แชส (De la ้ นรับพระสงฆ์คณะเย Chaize) ลงวันที่ 26 กรกฎาคม ค.ศ. 1688 / พ.ศ. 2231 กล่าวหาว่าการที่พระสังฆราชไม่ตอ สุ อิต เป็ นเหตุหนึ่งที่ทาํ ให้ท่านต้องกลับมาฝรั่งเศส ท่านต้องนําครู สอนคําสอนชาวตังเกี๋ยทั้งสองมาด้วย ก็เพราะ พระสังฆราชลาโนไม่ยอมรับฟังและแก้ปัญหาของพวกเขา ในระหว่างนั้น ฟอลคอนแสดงอํานาจมากขึ้น แต่ก็มีศตั รู เพิ่มขึ้นด้วย ยิง่ กว่านั้นออกพระวิสุทธิ์ สุนทร ซึ่ง เป็ นราชทูตไปฝรั่งเศสเข้าใจถึงจุดประสงค์ของฝรั่งเศส และแผนการของฟอลคอนกับคุณพ่อตาชารด์เป็ นอย่างดี จึง ไม่ยอมเป็ นเครื่ องมือของบุคคลทั้งสอง
ทูตไทยชุ ดทีส่ ี่ ไปฝรั่งเศส สมเด็จพระนารายณ์ฯ ทรงวิตกเรื่ องความขัดแย้งระหว่างฟอลคอนกับราชทูตเดอลาลูแบร์ ซึ่ งจะทําให้พระ ราชไมตรี ระหว่างประเทศทั้งสองเสื่ อมลง จึงได้โปรดให้คุณพ่อตาชารด์เป็ นราชทูตพิเศษอันเชิญพระราชสาสน์และ เครื่ องบรรณาการไปฝรั่งเศส การที่สมเด็จพระนารายณ์ฯ ทรงเลือกคุณพ่อตาชารด์เป็ นราชทูต นับว่าเป็ นเรื่ องพิเศษ ผิดปรกติ คงจะเนื่องมาจากการที่ท่านผูน้ ้ ีเป็ นคนสนิทของฟอลคอน ซึ่ งสมเด็จพระนารายณ์ฯ ไว้พระทัยว่าพอที่จะ กล่าวโทษถึงความประพฤติของคณะราชทูตเดอลาลูแบร์ วา่ พยายามขัดขวางความมุ่งหมายอันดีของพระองค์และ เสนาบดี (ฟอลคอน) เหตุผลอีกประการหนึ่งก็คือ คุณพ่อตาชารด์เป็ นสงฆ์คณะเยสุ อิตซึ่ งพระเจ้าหลุยส์ทรงโปรด ปราน การเจรจาเพื่อรักษาพระราชไมตรี น้ ีคงจะดําเนินไปด้วยความราบรื่ น คณะราชทูตพิเศษของไทยนี้ประกอบด้วยขุนนางไทย 3 คนคือ ออกขุนวิเศส ออกขุนชํานาญ และออกหมื่น พิพิธ ครู สอนคําสอนชาวตังเกี๋ย 2 คนที่กล่าวในตอนที่แล้ว และบุตรข้าราชการไทยอีก 12 คน ที่จะไปเรี ยนที่ ฝรั่งเศส คณะทูตออกจากอยุธยาเมื่อวันที่ 3 มกราคม ค.ศ. 1688 / พ.ศ. 2231 และถึงเมืองเบรสต์ในเดือนกรกฎาคม เมื่อเดินทางมาถึงฝรั่งเศสและจัดเตรี ยมข้อชี้แจงต่างๆ แล้ว คุณพ่อตาชารด์ได้เดินทางไปเฝ้ าพระสันตะปาปาในปลาย เดือนธันวาคม คุณพ่อ ตาชารด์ได้ถวายพระราชสาสน์และจดหมายของฟอลคอนซึ่ งชี้ แจงเรื่ องการประกาศพระวร สารในประเทศสยาม และอุปสรรคต่างๆ รวมทั้งการแก้ไข โดยเน้นว่าอุปสรรคที่สาํ คัญคือ การแตกความสามัคคีกนั ระหว่างธรรมทูตคณะนักบวชและคณะมิสซังต่างประเทศ คุณพ่อตาชารด์ได้กราบทูลเหตุการณ์น้ ีต่อพระเจ้าหลุยส์ เช่นกัน ซึ่ งพระองค์คงจะเกิดความหวังที่จะส่ งเสริ มการเผยแพร่ พระศาสนาในประเทศสยามต่อไป การเจรจาครั้งนี้เกี่ยวกับการทหารเป็ นส่ วนใหญ่ ได้มีการทําสัญญาระหว่างมาร์ ควิส เดอ แซเญอเล (Marquis ู ้ ทนฝ่ ายไทยเมื่อวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 1689 / พ.ศ. 2232 ข้อความในสัญญาแสดง de Seignelay) กับคุณพ่อตาชารด์ผแ ให้เห็นว่าฝรั่งเศสหวังว่าจะเข้าควบคุมสํานักไทยด้วย แต่ความ หวังของฝรั่งเศสประการนี้ก็ตอ้ งล้มละลาย เพราะใน เวลาที่คุณพ่อตาชารด์พร้อมกับกองทหารที่จะส่ งมาเมืองไทยเตรี ยมตัวจะขึ้นเรื อที่เมืองเบรสต์ ฝรั่งเศสก็ได้ทราบข่าว การรัฐประหารของพระเพทราชา ซึ่ งทําลายอิทธิ พลของฟอลคอนและฝรั่งเศสลงโดยสิ้ นเชิง
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
1.9
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 117
2.
การสมัชชาที่กรุ งศรีอยุธยาปี ค.ศ. 1664
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
นับเป็ นการวางแผนที่รอบคอบก่อนจะเริ่ มต้นการทํางานใดๆ ของบรรดามิชชันนารี ที่เดินทางเข้ามาในสยาม ตามที่เราได้เรี ยนรู ้มาแล้ว เมื่อบรรดามิชชันนารี เข้ามาถึงกรุ งศรี อยุธยาแล้วได้พบว่าสภาพของการเผยแพร่ ศาสนาใน สยามนั้นแย่มาก 2.1 สภาพของคริสตศาสนาในประเทศสยามเมื่อธรรมทูตของสมณกระทรวงการเผยแพร่ ความเชื่อมาถึง พระคุณเจ้าลังแบรต์มาถึงตะนาวศรี วนั ที่ 16 (หรื อ 19) พฤษภาคม ค.ศ. 1662 สมัยนั้น เมืองตะนาวศรี อยู่ ในปกครองของกษัตริ ยไ์ ทย เวลานั้นมีคนต่างชาติมากมายมาทําการค้าขายที่นน่ั มีพระสงฆ์คาทอลิกคณะเย สุ อิตชื่อ ยวง การโดโซ ประจําอยูท่ ี่วดั ตะนาวศรี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1659 ท่านได้ตอ้ นรับพระคุณเจ้าและพระสงฆ์ที่ร่วม เดินทางมาด้วยดี คุณพ่อได้ขอให้พระคุณเจ้าโปรดศีลกําลังแก่คริ สตังที่ยงั ไม่ได้รับด้วย พระคุณเจ้าลังแบรต์รู้สึก ประทับใจในอิสรภาพที่ชาวสยามให้แก่คริ สตังในการปฏิบตั ิศาสนา คุณพ่อยาโกเบ เดอ บูรช์ เพื่อนเดินทางคนหนึ่งของพระคุณเจ้าลังแบรต์ ได้บนั ทึกไว้วา่ กรุ งศรี อยุธยาสมัย นั้นเป็ นเมืองที่พอ่ ค้าจากตะวันออกและตะวันตกมาพบกัน มีคนมาจากจีน ญี่ปุ่น ฟิ ลิปปิ นส์ เขมร จามปา (เวียดนาม ใต้) อินเดีย ชาวโปรตุเกส ชาวฮอลันดา และอังกฤษ มีโรงเก็บสิ นค้าที่นน่ั ส่ วนสําคัญของเมืองอยูท่ ี่เกาะกลางนํ้า เจ้าพระยา พระราชวังตั้งอยูท่ างเหนือของเกาะ ล้อมรอบด้วยกําแพง 2 ชั้น ตึกต่างๆ ของราชวังตั้งอยูใ่ นอุทยานที่มี ธารนํ้า ทําให้อากาศเย็นสบายตลอดเวลา ร้านของนายช่างอยูใ่ นส่ วนอื่นของเกาะ มีตน้ ไม้ปลูกตามถนน ทําให้ร่มดี ถนนบางสาย ปูดว้ ยอิฐ เวลาเช้าเย็นทุกวันมีตลาดนัด มีปลา ผลไม้ และผักขาย ในเมืองมีวดั ประมาณ 500 วัด ซึ่งมี พระพุทธรู ปปิ ดทองสวยงามมาก ย่านของคนต่างชาติอยูท่ างทิศใต้และทางตะวันออกตามริ มฝั่งแม่น้ าํ คนต่างชาติอยูร่ วมกันเป็ น ค่ าย (คํานี้ ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม เรี ยกว่า AMP หรื อ AMPU เป็ นที่มาของคําว่าอําเภอ) แต่ละชาติมีค่ายของตน โดย มีคนหนึ่งในชาติน้ นั เป็ นหัวหน้า มีค่ายของชาวจีน ของญี่ปุ่น ของโปรตุเกส ซึ่ งเป็ นค่ายที่ใหญ่กว่าทั้งหมด และเก่า กว่าหมดด้วย เพราะชาวโปรตุเกสได้อพยพมาอยูป่ ระเทศสยามเป็ นจํานวนมาก เมื่อชาวฮอลันดาได้ยดึ เมืองมะละกา (ปี ค.ศ. 1641) และเมือง มากาซาส ในสมัยนั้นสมเด็จพระนารายณ์ฯ ทรงรับคนต่างชาติดว้ ยดี และให้อิสรภาพ ในการปฏิบตั ิศาสนาของเขา ตอนนั้นคอนสตันติน ฟอลคอน เป็ นคนโปรดของสมเด็จพระนารายณ์ฯ แล้ว ที่จริ งคริ สตังในประเทศสยาม ได้รับอิสรภาพในการปฏิบตั ิศาสนาตั้งแต่นานมาแล้ว เป็ นสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมที่อนุญาตเป็ นทางการให้คริ สตัง ปฏิบตั ิศาสนาในปี ค.ศ. 1622 พระองค์เองได้ทรงขอให้สังฆราชแห่งมะละกา พระคุณเจ้าโกงซาลเวส ดา ซิ ลวา (Gonzalvez Da Silva) ส่ งพระสงฆ์มาดูแลชาวโปรตุเกสที่กรุ งศรี อยุธยา ตามความจริ ง มีพระสงฆ์คาทอลิกในประเทศสยามแต่นานแล้ว เราไม่ทราบว่ามีพระสงฆ์หรื อไม่ ในคณะ ทูตโปรตุเกส ที่อุปราชอัลบูเคอร์ ก (Albuquerque) ได้ส่งมายังพระเจ้าแผ่นดิน เพื่อเจริ ญพระราชไมตรี กบั ประเทศสยามปี ค.ศ. 1511 ธรรมทูตคนแรกในประเทศสยามที่เรารู ้จกั ซึ่ งเป็ นพระสงฆ์คณะโดมินิกนั 2 องค์ มา จากมะละกาปี ค.ศ. 1555 (คุณพ่อเยโรม แห่งไม้กางเขน และคุณพ่อเซบัสเตียน ดา กันโต) แต่คุณพ่อทั้งสองถูกฆ่า
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 118
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
ตาย คนแรกวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1609 และคนที่สองวันที่ 11 มกราคม ค.ศ. 1569 พระสงฆ์คณะเยสุ อิตคนแรก ที่มาคือ คุณพ่อบารเทเลอมี เซเกอีรา (Barthelemy Sequeyra) ปี ค.ศ. 1609 ต่อมาคุณพ่อยุลีโอ เซซาร์ มักยิโก (Julius Cesar Margico) เยสุ อิต มาถึงปี ค.ศ. 1624 คุณพ่อองค์น้ ีพยายามตั้งวัด ตาม คําบอกเล่าของคุณพ่อเดอ โรดส์ ที่ได้รู้จกั ท่านเป็ นอย่างดี คุณพ่อมักยิโก ได้ผกู มิตรภาพกับพระมหากษัตริ ย ์ และ ขุนนางคนสําคัญในแผ่นดินสยาม แต่คริ สตังไม่ดีที่คุณพ่อ ติความประพฤติได้วางยาพิษ คุณพ่อจึงถึงแก่ความตาย ปี ค.ศ. 1655 คุณพ่อเยสุ อิตจากมาเก๊าส่ งคุณพ่อโทมาส วัลคาเนรา (Thomas Vlguanera) เพื่อดูแลพวกชาว ญี่ปุ่นคริ สตังที่ได้หนี การเบียดเบียนศาสนาในประเทศของตน และมาอาศัยในประเทศสยาม คุณพ่อองค์น้ ี ได้สร้าง โบสถ์ดว้ ยหิ นที่เอามาจากมาเก๊า ได้ทาสี และปิ ดทองหน้ามุขของโบสถ์อย่างสวยงาม แต่ในปี ค.ศ. 1658 เกิดไฟไหม้โบสถ์น้ ี สมเด็จพระนารายณ์ฯ ได้พระราชทานที่ดินแปลงหนึ่งเพื่อสร้าง โบสถ์ใหม่ในที่ที่เหมาะสมกว่า พระสงฆ์โดมินิกนั ฟรังซิ สกัน และเยสุ อิต ทํางานในประเทศสยามมากกว่า 100 ปี แต่ได้ผลน้อย ที่สุด แม้ท่านเหล่านั้นจะได้พยายามสอนสุ ดความสามารถ เพื่อให้คนไทยกลับใจพระสงฆ์เหล่านั้นจึงหันมาเอาใจใส่ กับเพื่อร่ วมชาติมากกว่า ใช้นโยบายใหม่ ซึ่ งคิดว่าเป็ นวิธีที่ดีกว่าทั้งหมดเพื่อให้คนกลับใจคือ ให้คนโปรตุเกส แต่งงานกับหญิงไทยที่เขาสามารถบังคับให้เข้านับถือศาสนาคริ สต์ ตั้งแต่สมัยนั้นเป็ นต้นมา เมื่อชาวไทยอยากบอก ว่ามีคนไทยเข้ามานับถือศาสนาคริ สต์ เขาพูดว่า ได้เข้าเป็ นโปรตุเกส ในปี ค.ศ. 1662 ที่กรุ งศรี อยุธยา มีพระสงฆ์ 11 องค์ เป็ นเยสุ อิต 4 องค์ โดมินิกนั 2 องค์ ฟรังซิสกัน 2 องค์ และพระสงฆ์ที่ไม่ใช่นกั บวชอีก 3 องค์ ใน 11 องค์น้ ี 2 องค์เป็ นชาวสเปน นอกนั้นเป็ นชาวโปรตุเกส นักบวชแต่ละ คณะมีโบสถ์ของตน แม้พระสงฆ์ที่ไม่ใช่นกั บวชก็มีโบสถ์ประจําของตนด้วย ปี นั้นมีคริ สตังประมาณ 2,000 คน ส่ วนมากเป็ นโปรตุเกสหรื อลูกครึ่ ง ในค่ายญวนมีชาวโคชินไชนาเป็ นคริ สตังประมาณ 40 คน เมื่อมาถึงกรุ งศรี อยุธยาแล้ว พระคุณเจ้าลังแบรต์ได้คาํ นับหัวหน้าโปรตุเกสที่ได้ตอ้ นรับพระสังฆราชอย่างดี และเชิญชวนท่านให้พกั อาศัยที่ค่ายของโปรตุเกส พระคุณเจ้าแจ้งให้หวั หน้าฮอลันดาทราบความมุ่งหมายของท่าน ในการมาในเอเซี ยอาคเนย์น้ ี ท่านยังมีจดหมายถึงมะนิ ลาและมาเก๊าให้ผใู้ หญ่ของคณะนักบวชทราบ ทีแรกทุกสิ่ ง เป็ นไปอย่างเรี ยบร้อย ปี เดียวกันนั้น ก่อนฉลองพระคริ สตสมภพเล็กน้อย มีคาํ สั่งจากอุปราชเมืองกัว กําชับให้กีดกันทุกวิถีทาง ไม่ให้ธรรมทูตชาวฝรั่งเศสเข้าไปในสังฆมณฑลของตน ตั้งแต่เวลานั้นมา ชาวโปรตุเกสในค่ายแสดงตัวเป็ นปรปั กษ์ กับธรรมทูต จนจะอยูใ่ นค่ายโปรตุเกสไม่ปลอดภัย ธรรมทูตปฏิเสธคําเชิญของหัวหน้าฮอลันดาให้ไปอาศัยในค่าย ของฮอลันดา และเข้าไปอยูใ่ นค่ายของญวน มีการโจมตีกนั ระหว่างโปรตุเกสและธรรมทูต บางครั้งถึงขั้น รุ นแรง เป็ นเรื่ องที่น่า สลดใจที่เห็นพระสงฆ์ซ่ ึ งได้มีความเสี ยสละมากเพื่อพระอาณาจักรของพระเป็ นเจ้า กลับมา ถกเถียงกันต่อหน้าคนต่างศาสนา พระคุณเจ้าลังแบรต์อยูเ่ มืองสยามไม่ถึง 6 เดือน ท่านติเตียนความเสื่ อมเสี ยในการ ปฏิบตั ิศาสนา เช่น ด้านพิธีทางศาสนา ไม่มีมิสซาขับ ไม่มีการเทศน์ ไม่มีกิจศรัทธา นอกจากวันฉลองนักบุญผูต้ ้ งั คณะปี ละครั้ง ในด้านคําสอน พระคุณเจ้าลังแบรต์เห็นว่าคริ สตังญวนมีความรู้นอ้ ยมาก เขาเกือบไม่ได้เรี ยนคําสอน หรื อเรี ยนวันเดียว สองวันก่อนพิธีลา้ งบาป โดยทัว่ ไป พระคุณเจ้าลังแบรต์บอกว่าคริ สตังเป็ นที่สะดุด เฉื่ อยชา ไม่
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 119
การก่อตั้งบ้ านเณร
ric al A
1.
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
มีความรู ้ดา้ นศาสนา ท่านโจมตีพระสงฆ์ เป็ นต้นสงฆ์เยสุ อิต ที่สะเพร่ าในการปฏิบตั ิหน้าที่สงฆ์ เราทราบอยูแ่ ล้วว่า พระคุณเจ้าลังแบรต์เป็ นผูม้ ุ่งความศักดิ์สิทธิ์ เป็ นคนเคร่ งครัดกับตัวเองและคนอื่น เป็ นคนค่อนข้างใจร้อน จึงทน ไม่ได้เมื่อเห็นความบกพร่ องเหล่านั้น ฝ่ ายโปรตุเกสตอบว่า ธรรมทูตไม่มีสิทธิ์ และไม่มีอาํ นาจที่อยุธยา ประเทศโปรตุเกสไม่ได้รับรองท่าน ท่าน มาอย่างผิดกฎหมาย พระสงฆ์โปรตุเกสประกาศห้ามคริ สตังติดต่อกับท่าน ทั้งพยายามจับท่านเพื่อส่ งเข้าคุก ในเมืองกัว พระคุณเจ้าลังแบรต์เขียนรายงานถึงโรม เกี่ยวกับสภาพของมิสซังในเมืองไทย และเขียนใบลาออกจากการ เป็ นประมุขของเทียบสังฆมณฑล เพื่อนําสันติคืนมาในวงการคริ สตศาสนา ที่อยุธยา แต่กรุ งโรมไม่อนุมตั ิ ใบลานั้น ที่จริ ง พระคุณเจ้าลังแบรต์มีความลําบากใจ เพราะท่านไม่ได้รับอํานาจปกครองคริ สตังของอยุธยา ท่านมี เพียงอํานาจเหนือคริ สตังญวนที่มาจากสังฆมณฑลของท่าน วันที่ 16 มกราคม ค.ศ. 1663 พระคุณเจ้าลังแบรต์ลงเรื อออกเดินทางพร้อมกับคุณพ่อ เดดีเอร์ มุ่งไป ทางตอนใต้ของประเทศจีนที่เป็ นสังฆมณฑลของท่าน แต่เรื ออับปางลงใกล้ชายฝั่งของประเทศเขมร ท่านจึงต้อง เดินทางกลับมายังค่ายญวนที่อยุธยา วันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 1664 พระสังฆราชปัลลือมาถึงกรุ งศรี อยุธยาพร้อมกับคุณพ่อลาโน คุณพ่อแบรงโด และพระสงฆ์เพื่อนเดินทางของพระคุณเจ้าโกโตลังดีที่ได้ตายที่มาสุ ลีปาตัม (อินเดีย) วันที่ 26 สิ งหาคม ค.ศ. 2205 สังฆราชทั้งสองอยากไปเวียดนามซึ่ งเป็ นเทียบสังฆมณฑลของท่าน แต่ท่านได้รับจดหมายจากตังเกี๋ยและโคชิ นไช นา ขอให้เลื่อนการไปเยี่ยม เพราะระยะนั้นมีการเบียดเบียนศาสนา จึงตัดสิ นใจจะทําประชุมสมัชชา (Synod) เพื่อ กําหนดแนวปฏิบตั ิในการแพร่ ธรรมต่อไป การตกลงกันนี้ได้ร่างเป็ น "คําแนะนําธรรมทูต" ที่จะกล่าวต่อไป วันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 1664 พระคุณเจ้าปั ลลือและคณะเดินทางมาถึงกรุ งศรี อยุธยา พระสังฆราชทั้งสอง พร้อมกับพระสังฆราชผูร้ ่ วมงานก็ร่วมใจกันจัดประชุมสมัชชา (Synod) ขึ้นที่กรุ งศรี อยุธยาในปี ค.ศ. 1664 นัน่ เอง โดยมีพระคุณเจ้าลังแบรต์เป็ นประธานของการประชุม เราจะแยกแยะการประชุมครั้งนี้ออกได้ดงั นี้
Hi sto
เนื่องจากเป็ นจุดหมายเอกของสมณกระทรวงเผยแพร่ ความเชื่อ ที่ประชุมได้ตดั สิ นใจก่อตั้งบ้านเณรขึ้นที่ กรุ งศรี อยุธยา ทั้งนี้เป็ นไปตามคําสัง่ สอนที่รับมา เพื่อผลิตพระสงฆ์พ้ืนเมือง ท่าน ลังแบรต์ทาํ ให้ผลการประชุม เรื่ องนี้สาํ เร็ จไป เมื่อท่านตั้งบ้านเณรขึ้นสําเร็ จในปี ค.ศ. 1665 อย่ างไรก็ตาม พระสั งฆราชก็ต้องการฉวยโอกาสขณะที่ ท่านพบกับความพร้ อมทางด้ านภายนอกที่ ดี ต่ างๆ ที่ มาจากพระมหากษัตริ ย์ จึ งขอพระบรมราชานุญาตจัดตั้งบ้ านเณรด้ วยการยื่นขอเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ. 1665... หนังสื อที่ ท่านกราบทูลขอต่ อสมเด็จพระนารายณ์ ฯ ซึ่ งได้ เขียนขึน้ จากจิ ต ตารมณ์ แห่ งความเชื่ อ และความรู้ ในเรื่ องขนบธรรมเนี ย มของชาวสยามนั้ น ทํา ให้ พระองค์
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 120
พระราชทานที่ ดินแปลงหนึ่งในหมู่บ้านมหาพราหมณ์ ซึ่ งห่ างจากเมืองอยุธยาหนึ่ งร้ อยเส้ น และวัสดุ ที่จาํ เป็ นสําหรั บสร้ างวัดและบ้ านเณรด้ วย 3 บ้านเณรนี้ ถือเป็ นวิทยาลัยแห่ งแรกของคณะสงฆ์ M.E.P.มีจุดมุ่งหมายที่จะผลิตสงฆ์พ้ืนเมือง โดยรับเณร จากประเทศต่างๆ ใกล้เคียงนั้นมาอบรมให้เป็ นพระสงฆ์ บ้านเณรแห่งนี้ต้ งั อยูท่ ี่ตาํ บลมหาพราหมณ์ ไม่ไกลจากกรุ ง ศรี อยุธยามากนัก บรรดามิชชันนารี ยกให้อยูภ่ ายใต้อารักขาของท่านนักบุญยอแซฟ นอกจากจะเป็ นวิทยาลัยสําหรับ อบรมผูท้ ี่มีกระแสเรี ยกเป็ นพระสงฆ์แล้ว ยังเปิ ดเป็ นโรงเรี ยนสอนภาษาและวิทยาศาสตร์ แก่เด็กๆ ลูกหลานของ ข้าราชการในสมัยนั้นด้วย โดยพระมหากษัตริ ยเ์ ป็ นผูอ้ อกค่าใช้จ่ายสําหรับเด็กๆ เหล่านั้น คุณพ่อ Pascal M. D'Elia ได้บนั ทึกไว้ในหนังสื อของท่านดังนี้ เนื่องด้ วยจํานวนของบรรดามิชชั นนารี มีน้อย และการเบียดเบียนศาสนาต่ างๆ บรรดาพระสั งฆราช มิชชั นนารี ของคณะได้ ตัดสิ นใจในปี ค.ศ. 1664 เปิ ดบ้ านเณรรวมขึน้ แห่ งหนึ่งเพื่อเยาวชนทางภาค ตะวันออกนี ้ โดยมีความหวังที่ ดี บรรดาเยาวชนเหล่ านี จ้ ะมาจากอาณาจักรต่ างๆ ของตะวันออกไกล เช่ น อิ นเดีย จี น อันนัม ตังเกี๋ย กัมพูชา โคชิ นจีน และญี่ปุ่น บ้ านเณรรวมแห่ งนีเ้ ปิ ดขึน้ ที่ อยุ ธ ย า 2 ปี หลังจากการบวชพระสงฆ์ พืน้ เมืองครั้ งแรกที่ อยุธยา ซึ่ งเกิดขึน้ ในปี ค.ศ. 1669 พระคาร์ ดิ นัล Barberini เจ้ ากระทรวง Propaganda Fide ได้ แสดงความยิ นดี ต่อพระคุณเจ้ าลังแบรต์ ว่า "ตามที่ พระคุณเจ้ าได้ เขียนถึงเราเกี่ ยวกับการบวชพระสงฆ์ พืน้ เมือง คุณสมบัติทั่วๆ ไปของพวกเขา ความ กระตื อรื อร้ นและการงานของพวกเขา ทําให้ เราเต็มเปี่ ยมไปด้ วยความยินดี ดังนั้นเราจึ งขอเตือนยํา้ มายังพระคุณเจ้ าในนามของพระสวามีเจ้ า ที่ จะใช้ ความพยายามทุกอย่ างเท่ าที่ เป็ นไปได้ ในวันที่ จะทวี จํานวนของพระสงฆ์ พืน้ เมือง 4 ความจริ งเรารู ้เรื่ องราวเกี่ยวกับความเป็ นไปในบ้านเณรกลางนี้ นอ้ ยมาก พระสังฆราชกล่าวถึงโครงการที่ จะสร้างวิทยาลัยกลางนี้ ไว้วา่ "จะสร้ างสามเณราลัยและวิทยาลัยถาวรแห่ งหนึ่ง ที่ รับคนทุกชาติ และจุคนได้ 100 คน" หลังจากที่วิทยาลัยกลางได้ก่อตั้งเสร็ จเรี ยบร้อยแล้ว อธิ การองค์แรกของวิทยาลัยกลางนี้ ได้แก่ คุณพ่อลาโน (ต่อมาเป็ น ฯพณฯ ประมุของค์แรกของมิสซังสยาม) ในบรรดาสามเณรที่มาจากที่ต่างๆ นี้ หลายๆ คนได้เริ่ มเรี ยนเทววิทยาที่เมืองมาเก๊าและเมืองกัวมาแล้ว ที่ เด่นมีประมาณ 10 คน วันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1666 พระสังฆราชประกอบพิธีโกน (Tonsure) ให้แก่สามเณรใน พวกเขา คุณพ่ออาเดรี ยง โลเนย์ เล่าเรื่ องชีวติ ในวิทยาลัยกลางนี้ไว้ค่อนข้างชัดเจนดังนี้ ในสํานักนี ้ มีการพิ จารณารําพึ งวันละ 2 ครั้ ง คื อเวลาเช้ าและเวลาคํา่ พระสั งฆราชกับพวกพระสงฆ์ มิชชันนารี ร่วมในการพิจารณารําพึงเวลาเช้ า กฎวินัยยังกําหนดให้ มีการพิจารณามโนธรรมเฉพาะเรื่ อง (เพื่อแก้ นิสัยไม่ ดีข้อใดข้ อหนึ่งโดยเฉพาะ) การอ่ านหนังสื อเวลารั บประทานอาหารและการให้ โอวาท อบรม นักเรี ยนสวมเสื ้อหล่ อสี ม่วงตามแบบโปรตุเกสอย่ างน้ อยในวันอาทิ ตย์ กล่ าวโดยย่ อ วิทยาลัย
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
2
Hi sto
ric al A
rch ive
3
3LAUNAY, Siam et les Missionaires Francais, pp. 71-72. 4P.M. D'Elia, S.J., Catholic Native Episcopacy in China, Schanghai : T'usewei Printing Press, 1927, p. 39. The history of the general college was narrated in detail by P. Paul DESTOMBERS, Le College General de la Societe des Missions Etrangeres, Hong Kong, 1934.
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 121
แห่ งนีไ้ ด้ รับการจัดให้ มีระเบียบเหมือนสถาบันที่ คล้ ายคลึงกันในประเทศฝรั่ งเศส อธิ การองค์ แรกของ วิทยาลัยดังกล่ าวคื อ คุณพ่ อลาโนซึ่ งท่ านลังแบรต์ กล่ าวว่ าเป็ น "คนน่ านิ ยมยกย่ องที่ สุดคนหนึ่ งที่ ข้ าพเจ้ ารู้ จัก" ท่ านทํางานด้ วยความเอาใจใส่ และตั้งอกตั้งใจอย่ างเหลือเชื่ อ 5 วิทยาลัยกลางนี้มีความเจริ ญก้าวหน้ามาเป็ นลําดับ วันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 1668 บุตรของชาวโปรตุเกสคน หนึ่งชื่อ ฟรังซิ สโก เปเรส ได้รับศีลบวชเป็ นพระสงฆ์ เขาได้เริ่ มเรี ยนที่เมืองกัว แล้วมาเรี ยนต่อจนจบที่วทิ ยาลัยกลาง โดยพระสังฆราชลังแบรต์เป็ นจิตตาธิ การ หลังจากนี้ไม่กี่เดือนได้มีการบวชผูส้ อนคําสอนชาวตังเกี๋ยสองคนซึ่งคุณ พ่อเดดีเอร์เป็ นผูส้ อนอบรมให้เป็ นพระสงฆ์ แล้วต่อมาก็มีการบวชผูส้ อนคําสอนชาวโคชินจีนอีกบางคนที่คุณพ่อ แฮงก์ (Hainques) เป็ นผูส้ อนอบรม ในปี ค.ศ. 1670 หรื อ 1671 คุณพ่อลาโนได้มีคุณพ่อลังคลัวส์ (Langlois) ซึ่งเป็ นคนขยันและสติปัญญาเฉี ยบ แหลมมากมาเป็ นผูช้ ่วย ในปี ค.ศ. 1672 ท่านได้รับตําแหน่งอธิ การวิทยาลัยต่อจากคุณพ่อลาโน คุณพ่อลังคลัวส์มี ผูช้ ่วยคนหนึ่งเป็ นฆราวาสซึ่ งเราไม่รู้จกั ชื่อ กับผูช้ ายอีกคนหนึ่งเป็ นสงฆ์คณะฟรังซิ สกันชื่อ Louis de la Mère de Dieu คุณพ่อหลุยส์ เป็ นชาวโปรตุเกสแต่ท่านไม่มีอคติต่อพวกมิชชันนารี ฝรั่งเศสเหมือนเพื่อนร่ วมชาติของท่าน ท่าน มีความสามารถพิเศษในด้านการแนะนําเยาวชนและการสอน นอกเหนือจากการถือวินยั อย่างเคร่ งครัดและมีจิตตา รมณ์การถือความยากจน ในปี ค.ศ. 1675 บ้านเณรใหญ่ประกอบไปด้วย รองสังฆาณุ กร (Subdeacon) 1 คนจากมาเก๊า, ผูร้ ับศีลโกน ชาวโคชินจีน 6 คน, นักบวช 1 คน (Clerc) จาก Tenasserim และเยาวชนอีก 20 คนจากชาติต่างๆ รวมทั้งหมด 28 คน ส่ วนบ้านเณรเล็กถูกแบ่งออกเป็ น 3 ชั้น คือ ชั้นของเณรที่มาจากอันนัม, ตังเกี๋ย และโคชินจีน ซึ่งพูดภาษาเดียวกันแม้ จะมีการออกเสี ยงต่างกัน อีกชั้นหนึ่งเป็ นชั้นของเณรที่มาจากจีน, ญี่ปุ่น, มาเลเซีย, อินเดีย, โปรตุเกส และอื่นๆ ประมาณทั้งหมด 20 คน ชั้นสุ ดท้ายเป็ นชั้นของพวกสยามซึ่ งมีจาํ นวนมากที่สุด 6 นอกจากนี้คุณพ่อลาโนและ คุณพ่อลังคลัวส์ยงั ได้เปิ ดสอนวิชาภาษาบาลีแก่พวกเณรด้วย เพื่อจะสามารถทํางานกับชาวพุทธได้ดีข้ ึน ปี ค.ศ. 1680 ฯพณฯ ลาโน ได้ตดั สิ นใจย้ายวิทยาลัยกลางไปอยูท่ ี่หมู่บา้ นมหาพราหมณ์ และมอบวิทยาลัย กลางนี้ให้อยูใ่ นความอุปถัมภ์ของอารักขเทวดา (Saints Anges) (ในส่ วนที่เป็ นบ้านเณรจึงเรี ยกว่า "บ้ านเณรยอแซฟ") สาเหตุที่ยา้ ยวิทยาลัยกลางในครั้งนี้ ผูบ้ นั ทึกเหตุการณ์คนหนึ่งบันทึกไว้วา่ "เป็ นเพราะลิน้ และยุงชุม จน นักเรี ยนเรี ยนหนังสื อไม่ ได้ " นอกจากนั้น ยังมีเหตุอื่นอีก เช่น เนื่องจากวิทยาลัยกลางอยูร่ วมกับสํานักพระสังฆราช บ้านพักพระสงฆ์ และโบสถ์ ซึ่ งคริ สตังและคนต่างศาสนาพากันมา ไม่ขาดสาย จึงไม่ใช่สถานที่ที่นกั เรี ยนจะมี ความสงบได้เท่าที่พึงปรารถนา พระคุณเจ้าลาโนเข้าใจ ท่านจึงขอพระราชทานที่ดินแห่งหนึ่งที่มหาพราหมณ์ จัด ให้สร้างบ้านที่ทาํ ด้วยไม้ไผ่และใบไม้หลายหลัง และอุทิศสิ่ งก่อสร้างนี้แด่เทวดาทั้งหลาย ท่านส่ งสามเณรเล็ก จํานวนราวสามสิ บคนไปก่อน และต่อมาไม่นาน สามเณรใหญ่ก็ได้ยกไปอยูท่ ี่มหาพราหมณ์ดว้ ย เรื่ องนี้คุณพ่อลาโน ได้บรรยายไว้โดยละเอียด พร้อมทั้งให้ชื่อของบรรดาอาจารย์ต่างๆ ที่สอนในบ้านเณรด้วย
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
4
5A. LAUNAY, Histoire de La Mission de Siam, Paris, 1920, p. 16. 6Cf. J. GUENNOU, Missions Etrangeres de Paris, Fayard, 1984, p. 158.
5
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 122
sA
rch
dio
ces e
of
ตื่นนอน ภาวนา เรี ยน (Study) มิสซา อาหารเช้า และหย่อนใจ เรี ยน (Study) เข้าห้องเรี ยน (Class) หัดขับร้อง หรื อสวดมนต์ (Phain Chant) อาหารเที่ยง และหย่อนใจ เรี ยน (Study) เข้าห้องเรี ยน (Class) ทํางาน (Manual Work) สวดสายประคํา อาหารคํ่า และหย่อนใจ สวดทําวัตรเย็น อ่านหนังสื อศรัทธา และเรี ยนจนถึงเวลานอน
rch ive
5.00 น. 5.30 น. 6.00 น. 7.00 น. 8.00 น. 9.00 น. 10.00 น. 11.30 น. 12.00 น. 14.00 น. 15.30 น. 17.00 น. 18.30 น. 20.00 น.
Ba ngk o
k
ปี ค.ศ. 1682 มีเณรทั้งหมด 39 คน ซึ่ งกําลังฝึ กอบรมที่วทิ ยาลัยกลางแห่งนี้ โดย 11 คน มาจากตังเกี๋ย, 8 คน จากโคชินจีน, 3 คน จากมะนิลา, 1 คน มาจากเบงกอล, 3 คน จากสยาม และ 1 คน จากจีน ที่เหลือก็เป็ นชาว โปรตุเกส, ชาวเปรู หรื อเชื้อชาติญี่ปุ่น คุณพ่อ D'Elia กล่าวว่า บรรดาสามเณรเหล่านี้ได้รับการฝึ กอบรมอย่างดีเยีย่ ม จะเห็นได้จากตารางเวลา ซึ่ งท่านได้พบจากบันทึกของพวกเณรจีนในประเทศจีน (สามเณรจีนได้มาเรี ยนที่วทิ ยาลัย กลางอยุธยา)
ric al A
พระสงฆ์จีนที่มีชื่อเสี ยงมากคนหนึ่ งชื่ อ Andrew Lee (ค.ศ. 1692-1774) เกิดที่เมืองฮานจุง ในแคว้นเชนสี เป็ นผูท้ ี่ผา่ นการอบรมที่สยามและรับศีลบวชในปี ค.ศ. 1725 คุณพ่อผูน้ ้ ี ถูก นับว่าเป็ นพระสงฆ์ที่มีความสําคัญ ต่อประวัติศาสตร์ พระศาสนจักรจีนมากที่สุดผูห้ นึ่ ง และเป็ นผูท้ ี่ถูกเสนอให้เป็ น Apostolic Vicar แม้ในขณะที่ท่าน อายุ 72 ปี แล้ว 7 วันที่ 14 ตุลาคม ค.ศ. 1685 ทูตฝรั่งเศสโดยการนําของเชอวาลิเอร์ เดอ โชมองต์ (Chevalier de Chaumont) มาถึงสยามและได้มาเยีย่ มสามเณราลัยนักบุญยอแซฟ และวิทยาลัยกลางมหาพราหมณ์ L'abbé de Choisy ได้บรรยาย ถึงพระสงฆ์ สามเณรจากชาติต่างๆ ไว้อย่างชัดเจน รวมทั้งบรรยายถึงความสามารถต่างๆ ของสามเณร ในด้านภาษา
Hi sto
6
7รายละเอียดที่เกี่ยวกับตารางเวลาอบรมสามเณร และบรรดาเณรจากประเทศจีนนี้ พบได้ใน D'Elia, op. cit., pp. 39 ss.
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 123
ลาติน และอื่นๆ ไว้ดว้ ย ท่านกล่าวว่าท่านเชื่อว่าท่านอยูใ่ นบ้านเณรของ Saint Lazare ในฝรั่งเศส มีการสอนปรัชญา และเทวศาสตร์ เหมือนที่กรุ งปารี ส 8 ปี ค.ศ. 1686 พระคุณเจ้าลาโนได้ส่งสามเณรไทยผูห้ นึ่งอายุ 20 ปี ชื่ออันโตนิโอ ปิ นโต (Antoine Pinto) มา ศึกษาที่วทิ ยาลัยของ Propaganda Fide ที่โรม ในขณะที่อยูร่ ะหว่างทางและหยุดที่กรุ งปารี ส สามเณรผูน้ ้ ีได้รับอนุมตั ิ ให้เสนองานเขียนชิ้นหนึ่งต่อหน้าบรรดาอาจารย์ของมหาวิทยาลัยซอร์ บอนน์ โดยทําการเสนอเป็ นภาษาลาติน ซึ่ง ประสบความสําเร็ จอย่างงดงาม งานเขียนชิ้นนี้ไม่ใช่เป็ นงานเขียนเพื่อปริ ญญาเอก แม้จะเรี ยกว่าเป็ นวิทยานิพนธ์ก็ ตาม แต่เรื่ องเกี่ยวกับงานเขียนด้านการศึกษาเชิงวิชาการ และนํามาเสนอต่อหน้าผูฟ้ ังอย่างสง่าเท่านั้น วันรุ่ งขึ้น สามเณรปิ นโตก็ได้กระทําเช่นเดียวกันนี้ที่ Notre-Dame ในห้องที่ชื่อว่า L'Officialire ที่โรม ท่านก็ได้อภิปรายต่อหน้า พระสันตะปาปา พระคาร์ ดินลั และสงฆ์ช้ นั ผูใ้ หญ่ และก็ประสบความสําเร็ จเช่นเดียวกัน 9 ตัวอย่างทั้งหมดนี้ยอ่ มแสดงว่า งานของวิทยาลัยกลางที่อยุธยานี้ประสบความสําเร็ จอย่างงดงาม แม้จะเพิ่ง เปิ ดมาได้เพียง 20 ปี เท่านั้น องค์ประกอบประการหนึ่งของความสําเร็ จนี้ก็คือ การอบรมอย่างเข้มงวด อย่างมี วินยั ซึ่ งก็เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในสมัยนั้น คุณพ่อ Guennou ยังเสริ มด้วยว่าการใช้ภาษาลาตินเป็ นภาษาพูด แต่เพียงภาษาเดียวในวิทยาลัยกลาง เป็ นองค์ประกอบหนึ่งสําหรับความสําเร็ จของวิทยาลัยกลางที่อยุธยา ในปี ค.ศ. 1686 เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ หรื อ Constantine Phalcon เสนอพระคุณเจ้าลาโนให้ยา้ ยวิทยาลัยกลาง มาอยูท่ ี่อยุธยา ซึ่งท่านลาโนก็เห็นด้วย ในปี นั้นมีสามเณรใหญ่ 22 คน และสามเณรเล็กอีก 47 คน แต่ก็อยูท่ ี่อยุธยา ไม่นาน ก็ยา้ ยกลับมาอยูท่ ี่มหาพราหมณ์อีกครั้งหนึ่งเพื่อความสงบเงียบ วิทยาลัยกลางแห่งนี้มีอยูท่ ี่มิสซังสยามจนถึง ปี ค.ศ. 1760 เมื่อพม่าเริ่ มบุกกรุ งศรี อยุธยา และทําลายกรุ งศรี อยุธยาได้ในปี ค.ศ. 1767 และในปี ค.ศ. วิทยาลัยกลางถูกย้ายไปอยูท่ ี่ฮอนดัท (Hondat) ในกัมพูชา, ที่ Viramparnam ในอินเดีย 1808 ย้ายมาอยูท่ ี่ปีนัง
2.
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
8
Ba ngk o
k
7
จัดพิมพ์เผยแพร่ “คู่มอื มิชชันนารี”
Hi sto
ric al A
ที่ประชุมได้ตดั สิ นใจที่จะจัดพิมพ์คาํ สั่งสอนที่มีชื่อเสี ยงปี ค.ศ. 1659 ซึ่ งสมณกระทรวงเผยแพร่ ความเชื่อ ได้ให้มา รวมทั้งคําแนะนําต่างๆ สําหรับบรรดามิชชันนารี จะได้ใช้สาํ หรับทํางาน หนังสื อคู่มือนี้ประกอบไปด้วย 10 บท เต็มไปด้วยหลักวิชา Missiologie เป็ นการกําหนดแนวปฏิบตั ิในการแพร่ ธรรม ร่ างคู่มือมิชชันนารี เล่มนี้ พระคุณ เจ้าปั ลลือได้นาํ ไปขออนุญาตจัดพิมพ์ที่โรม และได้รับอนุมตั ิในปี ค.ศ. 1669 สมณกระทรวงได้จดั พิมพ์เองครั้งแรก ในปี ค.ศ. 1669 นัน่ เอง โดยใช้ชื่อว่า "Instructions ad Munera Apostolica rite Obeunda Perutiles" หนังสื อเล่มนี้ได้ ถูกจัดพิมพ์ใหม่ถึง 11 ครั้ง รวมเป็ น 12 ครั้ง เป็ นภาษาลาติน 10 ครั้ง และภาษาฝรั่งเศส 2 ครั้ง โดยนับตั้งแต่ครั้งที่สี่ ชื่อหนังสื อเปลี่ยนเป็ น "Monita ad Missionaires" สําหรับภาษาฝรั่งเศสใช้ชื่อว่า "Instructions aux Missionnaires" นับว่าเป็ นหนังสื อวิชาธรรมทูต (Missiology) ที่มีชื่อเสี ยงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ทีเดียว มิใช่เฉพาะ สําหรับสยามเท่านั้น
8Cf. GUENNOU, op. cit., pp. 158-159. 9Cf. Ibid.
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 124
3.
จิตตารมณ์ ผู้แพร่ ธรรม
k
เนื่ องจากพวกเขาได้พบกับการเป็ นที่สะดุดจากความประพฤติของพวกมิชชันนารี ที่พวกท่านพบที่กรุ งศรี อยุธยา พระคุณเจ้าลังแบรต์จึงปรารถนาที่จะสร้างจิตตารมณ์แห่งกระแสเรี ยกพิเศษนี้ข้ ึน
•
of
ces e
•
บุคคลิกลักษณะของพระสังฆราชลังแบรต์ ท่านเป็ นคนใจเร่ าร้อน มุ่งถึงความศักดิ์สิทธิ์ ขั้นสู ง ตามแบบ และคําสอนของอาจารย์ชีวติ ภายในของสํานักฝรั่งเศส ท่านมีความศรัทธาพิเศษต่อพระมหาทรมานของพระ เยซูคริ สตเจ้า ตามคําสอนของแบรนีเอร์ (Bernieres) และต้องการปฏิบตั ิทุกสิ่ งตามการดลใจของพระจิต ท่าน ลังแบรต์เป็ นผูน้ าํ ในการประชุมนี้ และความคิดที่ปรากฏใน "คําแนะนําธรรมทูต" มาจากท่านเป็ นส่ วนมาก การเห็นสภาพของมิสซังในเมืองไทย และความประพฤติของพระสงฆ์โปรตุเกสบางคน ที่สะเพร่ าในการ ทําหน้าที่สงฆ์ ขาดความศรัทธา ไม่เทศน์ ถือกษัตริ ยข์ องตนสําคัญกว่า พระสันตะปาปา ทําการค้าขาย การประทับใจจากชี วิตของพระภิกษุที่มีวินยั ที่มีความอดทน เป็ นที่เคารพนับถือและเลื่อมใสของชาวบ้าน เพราะความศักดิ์สิทธิ์ ในการดําเนินชีวติ
ric al A
•
sA
•
ต้องเป็ นคนเคร่ งครัด อดทนต่อความยากลําบาก ไม่เป็ นห่วงถึงความสุ ขสบาย ไม่ผกู ใจกับเงินทอง รําพึงถึง การประจญของพระเยซูเจ้าบ่อยๆ เอาอย่างนักบุญฟรังซิส ซาวีเอรี ไม่ตอ้ งไว้ใจในกําลังของตนมากเกินไป ไม่ตอ้ งวุน่ กับงานมากจนเกินไปจนไม่มีเวลาทํากิจศรัทธา ต้อง รักษาความถ่อมตน รําพึงถึงตัวอย่างของพระเยซูเจ้า ปรึ กษากับพระจิตเจ้าก่อนลงมือทําอะไร ต้องเป็ นคนจน ไม่ปราถนาจะได้ทรัพย์สมบัติ แต่ตอ้ งมีชีวติ ยากจน เสี ยสละ ไม่ตอ้ งรับของถวาย หรื อเมื่อ รับแล้วจะมอบให้ผอู ้ ื่น
rch ive
•
rch
จิตตารมณ์ (Spirituality) ของสงฆ์ ผู้แพร่ ธรรม ชีวติ อันศักดิ์สิทธิ์
หลักการทางปฏิบัติในการแพร่ ธรรม •
เริ่ มงานแพร่ ธรรมทุกครั้งด้วยการเข้าเงียบ ดูตวั อย่างของพระวรสารและชีวติ ของนักบุญฟรังซิ สซาวีเอรี พื้นฐานของการแพร่ ธรรม 1. การบําเพ็ญตบะ (การทุกข์ทรมาน) และการอดอาหาร 2. ภาวนา รําพึง วิปัสสนา ธรรมทูตเป็ นเครื่ องมือของพระเป็ นเจ้า ฉะนั้น ก่อนจะทําอะไรต้องแสวงหา พระเป็ นเจ้าด้วยการวิปัสสนา ผูท้ ี่ถูกส่ งไปต้องฟังเสี ยงของผูท้ ี่ส่งตนไปอยูเ่ สมอ 3. ไม่สนใจในเครื่ องมือที่เป็ นแต่เครื่ องมือของมนุษย์ เช่น การค้าขายเพื่อมีเงินบํารุ งมิสซัง 4. ธรรมทูตต้องต่อสู ้เพื่อแย่งชิงอาณาจักรของปี ศาจ เป็ นต้นด้วยการเทศนา
Hi sto
•
dio
•
Ba ngk o
ทีป่ ระชุมได้ รับอิทธิพลจาก
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 125
ces e
of
Ba ngk o
k
5. ต้องรู ้จกั สภาพของมิสซังของตน ศึกษาอุปนิสัยของชาวบ้าน ธรรมเนียมประเพณี และความประพฤติ ของเขา ศึกษาค่านิยม คุณสมบัติและตําหนิความบกพร่ องสําคัญของเขา 6. ต้องดูสิ่งที่จูงใจเขาได้ ดูท่าทีของผูป้ กครองต่อคริ สตศาสนา 7. ต้องศึกษาทุกสิ่ งที่เกี่ยวกับศาสนาของชาวบ้าน พิธีทางศาสนาของเขา ความผิดใน คําสอนของเขา ต้องศึกษาวิชาความรู ้ของพระภิกษุ วิธีปฏิบตั ิของเขา อํานาจที่พระภิกษุมีเหนือชาวบ้าน รวมทั้งอุบาย ต่างๆ ของเขา หาดูคนที่มีความประพฤติและจิตตารมณ์คล้ายคริ สตัง แต่ในเรื่ องนี้ตอ้ งปฏิบตั ิอย่าง รอบคอบ 8. ต้องศึกษาประวัติของมิสซัง เราต้องสังเกตว่าในปั จจุบนั เพลิงแห่งความเชื่อได้ถูกนําถึงเกือบทุกเมืองสําคัญ ต้องศึกษาสมัยเริ่ มแรกของ การนําความเชื่อเข้ามาในประเทศของเรา ศึกษาวิธีปฏิบตั ิของธรรมทูต เพื่อให้ ความเชื่อมัน่ คงขึ้น ดูวา่ วิธีไหนที่ ได้ผลดีมากกว่า ถ้าการแพร่ พระศาสนาหยุดชะงักไป เป็ นเพราะเหตุใด และธรรมทูตได้ปฏิบตั ิอย่างไร
dio
โครงการของพระสั งฆราชลังแบรต์ คณะ "รักไม้ กางเขน"
ric al A
rch ive
sA
rch
ในขณะที่ท่านลังแบรต์ถึงกรุ งศรี อยุธยา ในนครหลวงมีพระภิกษุประมาณ 2,000 รู ป ที่อาศัยอยูใ่ น วัด 500 แห่ง ท่านลังแบรต์ได้สังเกตว่า ทุกคนตั้งแต่พระมหากษัตริ ยล์ งมา จนถึงคนธรรมดาเคารพนับถือพระภิกษุ มาก เพราะความศักดิ์สิทธิ์ ของท่าน เหมือนชาวอินเดียนับถือสันยสี เขาถือเพศพรหมจรรย์ อดอาหารทุกวัน ไม่ดื่ม สุ รา ไม่ฉนั เนื้อ วิปัสสนาหลายชัว่ โมง ไม่ใช้ยารักษา ในระหว่างการประชุมสมัชชา พระสังฆราชลังแบรต์เขียนจด หมายถึงอธิ การคณะฟรังซิ สกันในเมืองตุลูส (ฝรั่งเศส) เพื่อขอนักบวชคณะนั้น เพราะเขามีชีวติ คล้ายพระภิกษุ เหมาะสมเพื่อทํางานในประเทศสยาม แต่วา่ น่าเสี ยดายที่ได้รับคําตอบว่า "ส่ งนักบวชมาไม่ ได้ " ความคิดสําคัญของพระสังฆราชลังแบรต์คือ ถ้าเราอยากแพร่ ธรรมให้ได้ผล ต้องมีคณะ "แพร่ ธรรม" ที่มุ่ง ชีวติ ศักดิ์สิทธิ์ ยงิ่ คนจะกลับใจอาศัยการภาวนา อดทนทรมานตน คณะที่พระคุณเจ้าเสนอจะตั้งชื่อขึ้นนั้นต้องมีชื่อว่า "คณะรั กไม้ กางเขน" แบ่งออกเป็ น 3 สาขา
สาขาสั งฆราช พระสงฆ์
จะปฏิญาณตน ถือศีลบนภายใน 3 ประการ • ถือความยากจนภายในคือ สละ ไม่ใช้สมรรถภาพของตนเองสําหรับตนเอง (Faculty) ถือความบริ สุทธิ์ ภายในคือ สละ ไม่มีความรักพิเศษสําหรับตนเอง • • ถือความนอบน้อมเชื่อฟังภายใน ปฏิบตั ิงานภายใต้การนําของพระจิต และปรึ กษาผูใ้ หญ่ในเรื่ องสําคัญ • ใช้วนิ ยั ของพระภิกษุในทางปฏิบตั ิ ไม่ดื่มสุ รา ไม่รับประทานเนื้อ และอดอาหารทุกวัน เว้นวันฉลอง พระคริ สตสมภพ ปาสกา และฉลองพระจิต รําพึง (วิปัสสนา) วันละ 2 ชัว่ โมง ไม่ใช้ยารักษา • จิตตารมณ์ (Spirituality)
Hi sto
1.
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 126
สาขานักบวชหญิง สาขาฆราวาส (ประเภทที่ 3) ดูเหมือนไม่เคยมี
Ba ngk o
2. 3.
k
จากหนังสื อจําลองแบบพระคริ สต์ภาค 2 บทที่ 11, 12 ซึ่ งเป็ นคําอธิ บายพระวาจาของพระคริ สต์ที่ตรัสว่า "ถ้ าใครอยากตามเรามา ก็ให้ เขาเสี ยสละตนเอง แบกกางเขนของตน และตามเรามา" (มธ. 16, 24 / มก. 8, 34 / ลก. 9, 23) ธรรมทูตทั้ง 8 คน ที่ร่วมประชุมตกลงกันเริ่ มปฏิบตั ิตามวินยั ของคณะรักไม้ กางเขน
การแพร่ ธรรมตามสมัชชาสมัยอยุธยา (ค.ศ. 1664) ปัญหา
ces e
of
ก. คนต่ างศาสนาไม่ บรรลุถึงความรอด ในสมัชชานี้ได้อธิ บายถึงคําสอนเกี่ยวกับความรอดของคนต่างศาสนาอย่างชัดเจนดังนี้
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ถ้าพระบัญญัติของพระเจ้าจําเป็ นทีเดียวเพื่อความรอดตลอดนิรันดร ทําไมพระองค์ทรงล่าช้าในการส่ งธรรม ทูตมา? ถ้าพระองค์ทรงเมตตาไม่ได้ทรงปล่อยให้บรรพบุรุษของเราเสี ยวิญญาณไป? ตอบ ศีลธรรมตามธรรมชาติ มนุษย์ทุกคนแม้คนป่ าเถื่อนเข้าใจว่าต้องนมัสการและรับใช้พระผูส้ ร้าง และไม่ตอ้ งโกหกไม่ตอ้ งขโมย ไม่ ต้องฆ่า หรื อผิดความยุติธรรม ไม่ตอ้ งลามก เพราะพระเป็ นเจ้าได้ทรงฝังความรู ้สึกนั้นในที่ลึกของหัวใจของทุกคน การช่ วยเหลือพิเศษของพระเป็ นเจ้ า ถ้ามนุษย์คนใดปฏิบตั ิตามเสี ยงของมโนธรรมของตน นักบุญโทมัสสอนไว้วา่ "พระผู้เป็ นเจ้ าองค์ ความสว่ าง ของมนุษย์ ทุกคนที่ เกิดมาในโลกนีจ้ ะทรงไขแสดงภายในจิ ตใจในสิ่ งที่ เขาต้ องเชื่ อ หรื อพระองค์ จะทรงส่ งผู้ประกาศ ความเชื่ อคนใดคนหนึ่ง ดังที่ พระองค์ ได้ ทรงปฏิ บัติสาํ หรั บข้ าราชการของราชิ นีแห่ งเอธิ โอเปี ย สําหรั บนายร้ อยโคร เนลิโอและคนอื่นๆ อี กหลายคน" มนุษย์ไม่ ยอมรับความสว่ าง มนุษย์ส่วนมากมีความประพฤติขดั ต่อพระบัญญัติของพระเจ้า เขาไม่ได้รับแสงสว่างมากกว่านั้น และถูก ลงโทษเพราะเขาได้ละเมิดต่อบัญญัติของธรรมชาติ เขาได้ปิดตาของสติปัญญาต่อแสงแห่ งความเชื่ อที่พระเป็ นเจ้า ทรงเตรี ยมจะส่ งให้แก่เขา การมาเยีย่ มของธรรมทูตเป็ นพระหรรษทานอันใหญ่หลวง เวลานี้เขาต้องโมทนาพระคุณพระผูเ้ ป็ นเจ้าที่ได้ ทรงส่ งผูป้ ่ าวประกาศพระวรสารมาหาเขา ทั้งที่เขาไม่สิทธิ์ และไม่สมจะได้รับ
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 127
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
บรรพบุรุษ เพราะฉะนั้นเขาไม่ตอ้ งแปลกใจที่จะเรี ยนรู ้วา่ บรรพบุรุษของเขาได้รับการพิพากษา ถูกพบเป็ นฝ่ ายผิดที่เขา เต็มใจได้ละเมิดพระบัญญัติของพระเป็ นเจ้า ที่เขาได้รู้จกั บ้างอาศัยหลักเหตุผลตามธรรมชาติ เราคิดว่านักเทวศาสตร์ ปัจจุบนั คงจะไม่เห็นดีกบั การสรุ ปดังกล่าว การเทศนา เป็ นหน้าที่อนั สําคัญของผูแ้ พร่ ธรรมและคู่กนั กับการวางตัวเป็ นแบบฉบับในชีวติ ของตน • มีความเสี ยสละและไม่ผกู ใจกับทรัพย์สิน • เป็ นตัวอย่างในความศรัทธา ความศักดิ์สิทธิ์ • เสี ยสละเยีย่ งบิดาต่อสัตบุรุษ ใจดีและช่วยเหลือเขา ต้ องเตรียมเทศนา • ด้วยการศึกษา • ด้วยการรําพึง (วิปัสสนา) การเทศนาต้องเป็ นผลของการรําพึงมากกว่าการศึกษา ต้ องทําอย่ างไรเพือ่ ให้ คนต่ างศาสนากลับใจ • ข้อความเชื่ออันสําคัญที่พิสูจน์ความจําเป็ นของคริ สตศาสนา 1. มีพระเจ้าผูพ้ ระทัยดีพระองค์เดียวที่รักเรา 2. วิญญาณของเราไม่รู้ตาย (อมตะ) 3. ความสุ ขแท้ไม่ได้อยูใ่ นโลกนี้ แต่อยูใ่ นโลกหน้า 4. ความสุ ขของเราไม่ได้ข้ ึนกับความพยายามของเรา แต่ข้ ึนกับพระทัยดีของพระเป็ นเจ้า 5. อาศัยความช่วยเหลือของพระเป็ นเจ้า มนุษย์ตอ้ งทําทุกสิ่ งเพื่อบรรลุถึงความสุ ข
ric al A
ต้องใช้วธิ ี สอนให้คนต่างศาสนาที่ฟังคําสอนรู ้สึกว่า ไม่ใช่เป็ นคําสอนใหม่ แต่พดู กับเขาเหมือนว่าเขาได้รู้ เรื่ องเหล่านี้บา้ งแล้ว ต้องพิสูจน์ความจําเป็ นที่จะต้องมีพระเป็ นเจ้า และเน้นความเป็ นบิดาของพระเจ้า และพระญาณ สอดส่ อง พระปรี ชาญาณ และความศักดิ์สิทธิ์ ของพระองค์ เกี่ยวกับการไหว้นมัสการพระเท็จเทียม 1. ต้องให้เขาเลิกการบูชาพระ โดยแสดงให้เขาเห็นที่มาของธรรมเนียมนี้ (ปี ศาจ) 2. เตือนคนต่างศาสนาให้เขาเสี ยใจ ขอโทษด้วยนํ้าตา สําหรับบาปการบูชาพระเท็จเทียม (พระพุทธรู ป) 3. ให้เขาทราบว่าการอดทนใช้โทษบาป และการทําบุญในศาสนาของเขาไร้ประโยชน์ เตือนเขาให้คิดถึง ความตาย การพิพากษาของพระเจ้า และนรกที่ไม่มีวนั สิ้ นสุ ด 4. ก่อนจะอธิ บายศาสนาของเรา ให้เขาอธิ บายความเชื่อถือในศาสนาของเขา รวมทั้งที่มาของศาสนาของ เขา คําตอบของธรรมทูตจะเป็ นการพิสูจน์หกั ล้างความเชื่ออันบัดซบของเขา เป็ นวิธีที่นกั บุญฟรังซิ ส ซาวีเอรี ได้ใช้
Hi sto
•
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 128
5. ข้อสังเกต ประวัติศาสตร์ ได้พิสูจน์วา่ การปฏิบตั ิเช่นนี้มีผลร้ายมากกว่าผลดี และไม่ตรงกับคําแนะนํา ของสมณกระทรวงในด้านจิตวิทยา การวิจารณ์และประมาทศาสนาของคนอื่น ทําให้เขาเสี ยใจ และ เขาจะไม่ยอมฟังเราอีกต่อไป เพราะพุทธศาสนามีคาํ สอนที่ดีหลายข้อหลายประการ
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
การอบรมผู้เตรียมตัวจะรับศีลล้ างบาป • ต้องปฏิบตั ิอย่างไรต่อผูส้ มัครรับศีลล้างบาป 1. สอบสวนหาสาเหตุที่เขาสมัครเป็ นคริ สตัง 2. ใช้วธิ ีสอนที่มีระเบียบแบบแผน ก้าวหน้าเป็ นลําดับ อนึ่ง ต้องมีความอดทนต่อความบกพร่ องของ ผูส้ มัคร 3. ใช้พิธีไล่ปีศาจและปรกมือบ่อยๆ • หลักเพื่อให้คนกลับใจ 1. อดอาหาร ภาวนา ไม่วางใจในวิธีหรื อเครื่ องมือที่เป็ นมนุษย์ลว้ นๆ ผลขึ้นอยูก่ บั การอดทนทรมาน และการภาวนา 2. รู ้จกั ภาษาวรรณคดี และภาษาธรรมดาของชาวบ้าน การใช้ล่ามไม่ค่อยได้ผลดี • การล้างบาป 1. เตรี ยมตัวผูส้ มัครนานพอสมควร ไม่มีคริ สตังที่เลวกว่าคนที่ได้รับศีลล้างบาปเร็ วเกินไป 2. ลงทะเบียนในบัญชีผสู ้ มัครอย่างน้อย 40 วันก่อนวันล้างบาป และยืดเวลาเตรี ยม ถ้าผูส้ มัครยังไม่ พร้อม 3. ทําพิธีลา้ งบาปในวันที่กาํ หนดไว้ วันปาสกา วันฉลองพระจิตเสด็จลงมา ธรรมทูตต้องสอนเอง ให้มี การสอบ เพื่อจะรู ้จกั ความเชื่อ ความไว้ใจ และความรักของผูส้ มัคร 4. เขาต้องเรี ยน ท่องบท "ข้ าแต่ พระบิดา" และบท "ข้ าพเจ้ าเชื่ อถึงพระเป็ นเจ้ า" ให้ได้ข้ ึนใจ 5. ผูส้ มัครต้องดัดสันดานเปลี่ยนนิสัยไม่ดีจริ งๆ ก่อนพิธีลา้ งบาป ไม่ใช่เพียงสัญญาจะเปลี่ยนเท่านั้น
Hi sto
ระบบการปกครองกลุ่มคริสตัง (วัด) บ่อยครั้งกลุ่มคริ สตังไม่มีพระสงฆ์ประจํา เพราะมีพระสงฆ์นอ้ ย และวัดอยูห่ ่างไกลมาก ฉะนั้นสมัชชา บัญญัติระเบียบการปกครองวัดดังนี้ 1. แต่ละวัดต้องมีหวั หน้า • เลือก 1 หรื อ 2 คน แล้วแต่มีคริ สตังมากหรื อน้อย • หัวหน้าต้องรู ้จก ั ศาสนาดีพอสมควร เป็ นคนศรัทธา มีความประพฤติดี • แต่งตั้งหัวหน้าโดยพระสังฆราช หรื อผูแ ้ ทน - ให้หวั หน้าปฏิญาณความเชื่อต่อหน้าพระสังฆราช และคริ สตชนที่ชุมนุมกันในโอกาสนั้น - ให้สัญญาที่จะสอนคําสอน โดยไม่เปลี่ยนแม้แต่ขอ้ เดียว และจะไม่ใช้ของถวายของสัตบุรุษ สําหรับตนเอง
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 129
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
2. หน้าที่ของหัวหน้า • เป็ นประธานในการประชุ มวันอาทิตย์ และวันฉลอง ภาวนาที่กาํ หนด เช่น หนังสื อบํารุ งศรัทธา หรื ออธิ บายคําสอน ประกาศการแต่งงาน • ล้างบาปเด็ก และผูใ้ หญ่ที่ใกล้จะสิ้ นใจ และบันทึกในบัญชี วด ั • เอาใจใส่ คนป่ วย และเป็ นประธานพิธีฝังศพ • เอาใจใส่ การเรี ยนคําสอนของเด็กๆ • ดูแลแม่ม่ายและเด็กกําพร้า • รักษาความสามัคคีในหมู่บา้ น แต่ไม่ได้เป็ นผูพ ้ ิพากษาตัดสิ นเมื่อมีคดี • อ่านจดหมายเวียนของสังฆราช • ประกาศวันฉลอง • รักษาบัญชี ของวัด 3. ผูช้ ่วยหัวหน้า • มี 2-3 คน เพื่อช่วยประนี ประนอมกันเมื่อมีเรื่ องขัดแย้งกันในกลุ่มคริ สตัง (เป็ นเฒ่าแก่) • มีครู สอนหนังสื อ • มีหญิงหมอตําแย (ผดุงครรภ์) เป็ นคริ สตังดี เพื่อล้างบาปเด็ก • มีตว ั แทนที่รายงานถึงสังฆราชเกี่ยวกับชีวติ ในหมู่บา้ น
• •
ric al A
•
ความประพฤติเรี ยบร้อย เป็ นคนสุ ภาพถ่อมตน ไม่แสวงหาทรัพย์สมบัติ ไม่เล่นการพนัน เอาใจใส่ ในชีวติ ทางใจ อดทน กระตือรื อร้นเพื่อการแพร่ ธรรม ใจเมตตาต่อผูอ้ ื่น สอนได้ มีวชิ าความรู ้ และความศรัทธา อ่านหนังสื อของศาสนาอื่นได้ รู ้จกั คําสอนของศาสนาอื่น สามารถโจมตีความผิดที่ศาสนาเหล่านั้น สอน และรู ้จกั รับความดีของเขาด้วย สอนเป็ น รู ้จกั วิชาครู สามารถตอบคําถามและปั ญหา ควรจะถือเพศพรหมจรรย์ แต่ก็รับคนที่แต่งงานแล้วด้วย ไม่มีตาํ หนิ ไม่เป็ นคนพิการ และพูดคล่องเพื่อไม่เป็ นเหตุให้คนอื่นรังเกียจหรื อหัวเราะเยาะ ต้องให้ปฏิญาณความเชื่อและได้รับการรับรองจากผูใ้ หญ่ของมิสซัง ต้องผ่านบ้านเณรนานพอสมควร เพื่อให้ผใู้ หญ่รู้จกั สมรรถภาพ และความถนัดของเขาก่อน เริ่ มการสอนคําสอนจากการสอนผูส้ มัครที่ยงั ไม่มีความรู ้เมื่อชํานาญแล้วจะสอนชั้นสู งกว่าได้
rch ive
•
sA
ครู สอนคําสอน 1. คุณสมบัติทคี่ รู สอนคําสอนควรมี
• •
Hi sto
• • • • • •
2. คําแนะนําแก่ครู สอนคําสอน
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 130
การสอนคําสอนเป็ นงานที่เกี่ยวกับพระเป็ นเจ้าโดยตรง ฉะนั้น ไม่ควรจะสอนเมื่อตัวเองรู้สึกว่ามี บาปหนัก • ต้องมีความศรัทธาต่อนักบุญองค์อุปถัมภ์ และเทวดารักษามิสซัง • เมื่อสอนคําสอนไม่เกิดผล ต้องโทษตัวเอง อาจจะสวดภาวนาและทรมานตนไม่เพียงพอ • สอนตามที่ธรรมทูตสอน ถ้าตอบคําถามไม่ได้ก็ยอมรับว่าไม่มีความรู ้เพียงพอ • ต้องมีมารยาทดี สุ ภาพเรี ยบร้อย กับผูห ้ ญิงเป็ นต้น ไม่เย้ยหยันคนอื่น • มีใจรักความจน ไม่ติดใจกับสิ่ งของ ไม่ขอสิ่ งตอบแทนจากคริ สตัง • มีใจกล้า ทนการสบประมาท ในสมัชชาได้กล่าวถึงเงื่อนไขเพื่อผูท้ ี่บวชเป็ นพระสงฆ์ สมัยนั้นก่อนบวชเป็ นพระสงฆ์ ต้องเป็ นครู สอนคํา สอน และบวชเมื่ออายุ 40 ปี
of
Ba ngk o
k
•
ces e
พระสังฆราชปัลลือกลับไปยังกรุ งโรม
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
บรรดาพระสังฆราชที่ประชุมกันที่อยุธยา ได้มีความคิดเห็นว่าจําเป็ นต้องมีคนกลับไปยุโรป • เพื่อรายงานถึงสภาพความเป็ นอยูข่ องมิสซังในภาคเอเชียอาคเนย์ • เพื่อขอให้รับรองคณะแพร่ ธรรม "รั กไม้ กางเขน" • เพื่อรายงานเกี่ยวกับการค้าขายที่คณะนักบวชทํากัน • เพื่อขออํานาจปกครองประเทศสยาม จะได้จดั เป็ นศูนย์กลางของมิสซังในเอเชีย • เพื่อขอธรรมทูตมาทํางานเพิม่ ขึ้นในมิสซัง เมื่อปรึ กษากันแล้ว เห็นว่าพระสังฆราชปั ลลือเป็ นผูเ้ หมาะสมที่จะไปที่กรุ งโรม หลังจากอยูใ่ นประเทศไทยได้ 1 ปี พระสังฆราชปัลลือก็ออกเดินทางเมื่อวันที่ 17 มกราคม ค.ศ. 1665 ท่าน กลับไปทางเส้นทางเดียวกัน ถึงกรุ งโรมวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 1667 ใช้เวลาเดินทาง 2 ปี กับ 3 เดือน จะเป็ นครั้ง สุ ดท้ายที่ท่านและธรรมทูตจะเดินทางไปทางนี้ เพราะต้องใช้เวลามากเกินไป และมีอนั ตรายมากทีเดียว ประเทศ ฝรั่งเศสได้ต้ งั บริ ษทั "อิ นเดียตะวันออก" ที่เป็ นบริ ษทั เดินเรื อ ต่อมาธรรมทูตจะลงเรื อที่ "ลารอแซล" (ฝรั่งเศส) และจะ มาประเทศสยามโดยไม่ตอ้ งเกี่ยวกับเรื อโปรตุเกส
การตัดสินของกรุงโรม
Hi sto
เมื่อพระสังฆราชปั ลลือถึงกรุ งโรม พระสันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ ที่ 7 ประชวรหนัก และสวรรคต 2 เดือน ต่อมา ฉะนั้นท่านต้องรอ 2 ปี ก่อนที่จะตกลงอะไรกันได้ ปี ค.ศ. 1669 ได้มีสมณกฤษฎีกาดังนี้ • ประกาศแต่งตั้งเทียบสังฆมณฑลสยาม (4 กรกฎาคม ค.ศ. 1669) อยูใ่ นปกครองของธรรมทูตของ สมณกระทรวง • ห้ามนักบวชทําการค้าขาย • ต่ออายุการขออนุญาตบวชพระสงฆ์ที่ไม่เข้าใจภาษาลาติน
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 131
k
•
รับรอง "คําแนะนําธรรมทูต" ที่ได้ร่างในการประชุมสมัชชาที่อยุธยาปี ค.ศ. 1664 สมณกระทรวงจัดพิมพ์เอง จะเป็ นหนังสื อวิชาธรรมทูตที่มีชื่อเสี ยงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ และได้ พิมพ์ 12 ครั้ง ภาษาลาติน 10 ครั้ง ภาษาฝรั่งเศส 2 ครั้ง ส่ วนคณะแพร่ ธรรม "รั กไม้ กางเขน" สมณกระทรวงไม่รับรอง เพราะทางกรุ งโรมไม่อยากให้ธรรมทูต มีศีลบนเหมือนนักบวช ไม่เห็นดีดว้ ยที่ไม่ใช้ยารักษา และรู ้สึกว่าเคร่ งเกินไป กลัวว่าจะมีคนสมัครไป เป็ นธรรมทูตน้อย
Ba ngk o
•
คณะแพร่ ธรรม “สตรีรักไม้ กางเขน” 1.
การตั้งคณะสาขาทีส่ อง (ฝ่ ายหญิง)
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
เมื่อสมัชชาอยุธยาปี ค.ศ. 1664 สิ้ นสุ ดลงแล้ว พระสังฆราชปั ลลือได้กลับไปกรุ งโรม ส่ วนธรรมทูตอื่นๆ ได้แยกย้ายกันไป คุณพ่อแบรงโดไปประเทศจีน คุณพ่อเดดีเอร์ ไปที่ตงั เกี๋ย คุณพ่อ เชอเกริ ลทีแรกไปโคชินไชนา ต่อมาย้ายไปอยูเ่ ขมร และคุณพ่อแฮงก์ไปอยูท่ ี่โคชินไชนาแทน ในประเทศสยามจึงเหลือเพียง 2 องค์ คือ พระ สังฆราลังแบรต์และคุณพ่อลาโน ทั้งสองท่านเริ่ มทําการแพร่ ธรรมทันทีที่อยุธยา และบริ เวณใกล้เคียง ในเวลาเดียวกัน ท่านทําการรักษาคน ป่ วย และไปเยีย่ มนักโทษตามเรื อนจํา การแพร่ ธรรมครั้งแรกนี้ไม่ค่อยได้ผล นอกจากการประกาศศาสนาของคุณพ่อ ลาโนในหมู่บา้ นคนลาว ซึ่ งมีประมาณ 70 คน อยูห่ ่างจากกรุ งศรี อยุธยาหนึ่งลี้ (4 กม.) ท่านไปสอนคําสอนที่นน่ั เป็ น ประจํา และได้สร้างวัดเล็กที่นนั่ เริ่ มทํามิสซาครั้งแรกวันที่ 29 สิ งหาคม ค.ศ. 1666 ในระยะแรกนั้น พระสังฆราชลังแบรต์เขียนว่า "ตามประสบการณ์ ของธรรมทูต ยิ่งวันยิ่งเข้ าใจมากขึน้ ว่ า เป็ นความจริ งที่ พระเป็ นเจ้ าพระองค์ เดียว ทรงสามารถบันดาลให้ คนกลับใจได้ " ท่านยังบอกวิธีปฏิบตั ิวา่ "พระเป็ น เจ้ าทรงบันดาลให้ คนหลายคนกลับใจ ต่ อเมื่อบริ กรของพระองค์ ทนทุกข์ ทรมาน รําพึง และแสดงเมตตาธรรมอย่ าง พิเศษ" ท่านตัดสิ นใจจะสร้างโรงพยาบาลใกล้บา้ นพักของพระสงฆ์ เพื่อแสดงความเมตตาจิตต่อเพื่อนบ้าน ในปี ค.ศ. 1666 พระสังฆราชลังแบรต์ยงั ไม่ทราบว่า ทางกรุ งโรมจะไม่รับรองคณะรักไม้กางเขน (ฝ่ ายชาย) ได้รวบรวมสตรี ใจศรัทธากลุ่มหนึ่ง และตั้งเป็ นคณะสตรี รักไม้กางเขน ในปี ค.ศ. 1669 พระสังฆราชลังแบรต์ไป เยีย่ มสังฆมณฑลตังเกี๋ยแทนพระสังฆราชปั ลลือที่ยงั อยูก่ รุ งโรม ท่านได้เข้าร่ วมประชุมสมัชชาที่ตงั เกี่ย ในปี ค.ศ. เมื่อประชุมจบแล้ว ท่านได้ต้ งั คณะสตรี รักไม้กางเขนที่ตงั เกี๋ย ตามคําขอร้องของคุณพ่อเดดีเอร์ เราได้รู้จุดมุ่งหมาย และโอกาสตั้งคณะนี้ที่ตงั เกี๋ย จากจดหมายของท่านลังแบรต์เอง ท่านเขียนว่าดังนี้ แผนการของพระเป็ นเจ้ า ขณะที่ พระองค์ สิ้นพระชนม์ บนกางเขนเพื่อความรอดของมนุษย์ คือให้ มนุษย์ ตาย แก่ ตนเอง และมีชีวิตเพื่อพระองค์ เท่ านั้น ตามคําสอนของนักบุญเปาโลในจดหมายถึงชาวโคริ นทร์ ว่า "พระเยซู สิ ้นพระชนม์ เพื่อทุกคน เพื่อว่ าทุกคนที่ ยงั มีชีวิตอยู่ จะได้ ไม่ มีชีวิตเพื่อตนเองอีกต่ อไป แต่ เพื่อพระองค์ ผ้ ไู ด้ สิ ้นพระชนม์ และได้ ทรงกลับคื นชี พขึน้ มาเพื่อเขา" (2 คร. 5, 15) ฉะนั้น หน้ าที่ ของชุมพาบาลโดยเฉพาะในถิ่นที่ พระศาสนจักรเพิ่งเริ่ มก่ อตั้งขึน้ ใหม่ คื อการประกาศอัตถ์ ความจริ งข้ อนีท้ ี่ บรรดาคริ สตังยังไม่ ร้ ู จัก
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 132
Hi sto
ric al A
rch ive
sA
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
เพราะเหตุนี้ ตั้งแต่ หลายปี มาแล้ ว ข้ าพเจ้ าได้ เสาะหาวิธีที่จะนําคริ สตังให้ ลุถึงจุดมุ่งหมายอันสู งส่ งนี ้ ข้ าพเจ้ า ปรารถนาจะตั้งคณะ "ผู้รักไม้ กางเขนของพระเยซู คริ สตเจ้ า" ในทุกมิสซั งของเรา สมาชิ กของคณะนีม้ ่ งุ จะอุทิศตน เพื่อรําพึงตลอดชี วิต ถึงพระมหาทรมานของพระเยซู และมีส่วนร่ วมทุกวันในพระมหาทรมานของพระองค์ ได้ มีสตรี ใจศรั ทธาในแคว้ นตังเกี๋ย ที่ ได้ ปฏิ ญาณตนถือพรหมจรรย์ ตั้งแต่ นานแล้ ว เมื่อสตรี เหล่ านั้นได้ ทราบ แผนการณ์ ที่จะตั้งคณะเช่ นนี ้ เขาก็เชื่ อว่ าเพื่อเป็ นการแสดงความรู้ คุณต่ อพระหรรษทานที่ เขาได้ รับจากพระเป็ นเจ้ า ไม่ มีวิธีใดดีกว่ าการเข้ าคณะนี ้ ความรั กต่ อพระเยซู คริ สตเจ้ าได้ กระตุ้นเขามาก พวกเขาจึ งได้ แสดงความปรารถนา อย่ างเร่ าร้ อนที่ จะทราบว่ า พวกเขาต้ องทําอย่ างไร เพื่อจะถวายตัวแด่ พระเป็ นเจ้ าอย่ างสิ ทธิ์ ขาด พวกเขาจึงเป็ น เครื่ องมือที่ พระเป็ นเจ้ าทรงพระกรุ ณาใช้ เป็ นพืน้ ฐานของชี วิตนักบวชที่ ตังเกี๋ย และเป็ นคณะพิเศษที่ ยึดเอาความรั กต่ อ ไม้ กางเขนของพระบุตรของพระเป็ นเจ้ าเป็ นคติพจน์ ในจดหมายถึงซิ สเตอร์ อกั แนส และเปาโล ลงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1670 เขียนจากบนเรื อที่สันดอน ปากแม่น้ าํ แดงในตังเกี๋ย พระสังฆราชสรุ ปจิตตารมณ์ของคณะอย่างชัดเจนดังนี้ วันพุธรั บเถ้ าที่ แล้ ว พ่ อปรารถนาจะสนทนากับพวกเธอหลังพิธีถวายตัวเป็ นทางการของเธอต่ อหน้ าพ่ อ วัน นั้นพ่ ออยากพูดถึงเกียรติในฐานะของพวกเธอ และความครบครั นที่ พระเป็ นเจ้ าทรงพระกรุ ณาให้ เธอมุ่งแสวงหา แต่ เนื่องจากวันนั้น พ่ อจําเป็ นต้ องจากไปเพื่อกลับ (เมืองไทย) พ่ อไม่ มีเวลา วันนีพ้ ่ อจึงคิดจะเขียนจดหมายสั้ นๆ นี ้ เพื่อ เตือนเธอให้ ระลึ กไว้ ว่าเธอไม่ เป็ นเจ้ าของตัวเธออี กต่ อไป แต่ เป็ นคนของพระเยซู คริ สตเจ้ า ผู้ที่เธอได้ มอบสิ ทธิ์ ขาด ไว้ แล้ ว เพื่อมุ่งแต่ จะรู้ จักและรั กพระองค์ ทั้งนี ้ โดยการรําพึงและเลียนแบบชี วิตของพระองค์ ตอนที่ พระองค์ ทรงทน ทรมาน และโดยปฏิ บัติหน้ าที่ ตามความมุ่งหมายของคณะของพวกเธอ พ่ อขอเตื อนอี กครั้ ง ให้ เธอสั ตย์ ซื่อต่ อ จุดมุ่งหมายของคณะ เธอรู้ แล้ วว่ าตัวเธอและพระศาสนจักรจะรั บผลประโยชน์ มากมายจากการดํารงชี วิตแบบนี ้ พ่ อ ขอเตื อนเป็ นพิ เศษอี ก ให้ เอาใจใส่ มากต่ อพวกเณรี ของเธอ ต้ องถือว่ าพระเป็ นเจ้ าทรงฝากเขาไว้ ในการดูแลของเธอ ต้ องจําไว้ และสอนเขาถึงจุดมุ่งหมายอันสําคัญของคณะของเธอ คื อการทําให้ ชีวิตแห่ งพระมหาทรมานของพระเยซู ค ริ สตเจ้ าดําเนิ นต่ อไปในตัวเขา และอ้ อนวอนพระองค์ ทุกวันด้ วยการภาวนา ด้ วยนํา้ ตา ด้ วยการทําหน้ าที่ และด้ วย การพลีกรรม ขอให้ คนต่ างศาสนาและคริ สตังที่ ไม่ ดีกลับใจ เป็ นการจําเป็ นยิ่งที่ เขาจะทําทุกสิ่ งแทนที่ พระเยซู คริ สต เจ้ า พระองค์ ทรงปรารถนาจะทําด้ วยพระองค์ เอง แต่ พระองค์ ทาํ ไม่ ได้ พระองค์ จึงทรงใช้ บางคนที่ พระองค์ ได้ ทรงเลือกสรรไว้ พระองค์ ทรงหลั่งจิ ตตารมณ์ แห่ งความเป็ นคนกลางในตัวเขา พระองค์ ดาํ รงชี วิตอันเสี ยสละในโลก นีจ้ นถึงวันสิ ้นพิภพ ดังนั้น ซิ สเตอร์ เป็ นเกียรติแห่ งพระกระแสเรี ยกของพวกเธอแล้ ว เธอได้ ตายแก่ โลกแล้ วคื อ ตาย ต่ อความรู้ สึ ก ธรรมชาติ และสติ ปัญญาของมนุษย์ เพื่อดําเนินชี วิตตามพระวาจา แบบปฏิ บัติและชี วิตของพระ เยซูคริ สตเจ้ าเท่ านั้น
2.
จุดมุ่งหมายของคณะ (ตามความคิดของพระคุณเจ้ าลังแบรต์ )
จุดมุ่งหมายของคณะ โดยทัว่ ไปคือการหมกมุ่นกับรําพึงถึงมหาทรมานของพระคริ สตเจ้า ทุกวัน เป็ นวิธีที่ ดีกว่าหมด เพื่อรู ้จกั และรักพระองค์ ก. หน้าที่อนั แรกของผูท้ ี่จะเข้าคณะ คือการถวายนํ้าตา คําภาวนา การทนทุกข์ทรมานร่ วมกับพระบารมีของ พระผูก้ อบกูโ้ ลกเพื่อขอจากพระเป็ นเจ้าให้คนต่างศาสนาที่อยูใ่ นเขตของทั้งสามมิสซังของเรากลับใจ
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 133
พระวินัยฉบับแรก (เขียนเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1670)
มาตรา 4 มาตรา 5
ces e
dio
ric al A
มาตรา 6
rch
มาตรา 2 มาตรา 3
ผูท้ ี่ได้รับเลือกเข้าคณะนี้ จะปฏิญาณตนถือศีลบน 3 ประการปรกติ คือ ความยากจน ความบริ สุทธิ์ และความนบนอบ แต่ตอ้ งผ่านการทดลอง 2 ปี ก่อนจะได้รับเลือก ในปั จจุบนั นี้ ในแต่ละหมู่คณะ จํานวนสมาชิกรวมทั้งอธิ การิ ณีจะไม่เกิน 10 คน สังฆราชหรื ออุปสังฆราช เมื่อได้ปรึ กษากับผูบ้ ริ หารแคว้นที่คณะอยู่ จะเป็ นผูเ้ ลือกอธิการิ ณี และ เจ้าหน้าที่อื่นๆ ในด้านการเงิน คณะขึ้นอยูก่ บั ผูป้ กครองแคว้นที่คณะสังกัดอยู่ และต้องรายงานการใช้จ่ายกับ ผูป้ กครองแคว้นทุกปี สมาชิกคณะนี้ไม่มีเขตพรต เนื่องจากสมาชิกมีหน้าที่พิเศษในการช่วยเพื่อนมนุษย์ให้เอาตัวรอดเมื่อ สมาชิกคนหนึ่งต้องออกจากบ้าน เพื่อปฏิบตั ิหน้าที่น้ ีโดยได้รับอนุญาตจากอธิ การิ ณีแล้ว ท่านแม่อธิ การิ ณีตอ้ งจัดให้มีสมาชิกอีกคนหนึ่งไปเป็ นเพื่อน ตลอดเวลาที่สมาชิกว่างไม่ได้ทาํ งานช่วยเพื่อนมนุษย์ เขาจะต้องทํางานที่บา้ น เว้นวันอาทิตย์ และ วันฉลองบังคับ วันนั้นเขาจะสวดสายประคํา 3 สาย และจะอ่านหนังสื อบํารุ งความศรัทธาจาก ชีวะประวัติของนักบุญเหนือหนังสื ออื่นๆ เป็ นเวลา... ชัง่ โมง สมาชิกจะเข้าในบ้านเวลาประมาณ 21.30 น. จะพิจารณามโนธรรม 15 นาที เกี่ยวกับกิจการ ที่ กระทําวันนั้น และจะสวดพร้อมกันอีก 15 นาที แล้วจะเข้านอน จะตื่นนอนเวลาตี 4 เพื่อทําการรําพึง จะเริ่ มต้นด้วยคําภาวนาที่สัตบุรุษสวดในวัดวันอาทิตย์ก่อน มิสซา ต่อจากนั้นจะรําพึงหนึ่ งชัง่ โมงตามหัวข้อที่ได้เตรี ยมไว้เกี่ยวกับทรมาน และความตายของ พระเยซูคริ สตเจ้า อธิ การิ ณีหรื อผูแ้ ทนจะอ่านข้อรําพึงให้ผอู้ ื่นฟัง เมื่อรําพึงเสร็ จแล้ว เขาจะสวดบท เร้าวิงวอนของนักบุญทั้งหลาย บท "ข้ าพเจ้ าขอสารภาพบาป" เพลงสดุดีที่ 50 (ของดาวิด) ด้วยบท รับ "พระคริ สตเจ้ าได้ ทรงนบนอบจนถึงความตาย" ลงท้ายด้วยบทวิงวอน "รั บสปิ เช" เขาจะเฆี่ยนตัว ด้วยเครื่ องทรมาน (แส้) พลางระลึกถึงทรมานอันทารุ ณที่พระบุตรของพระเจ้าได้ทรงรับทน เขา
sA
มาตรา 1
rch ive
3.
มาตรา 7
Hi sto
มาตรา 8
of
Ba ngk o
k
ข. หน้าที่อนั ที่สอง คือ การสอนหญิงสาวที่เป็ นคริ สตัง หรื อต่างศาสนาให้มีความรู้ในสิ่ งที่ผหู้ ญิงควรจะรู้ ถ้า หากปั จจุบนั นี้สมาชิกของคณะไม่สามารถปฏิบตั ิหน้าที่น้ ี เนื่องจากสภาพของศาสนาบังคับให้ทาํ งานอื่นที่ ด่วนกว่า ขอให้เขาจําไว้วา่ การสอนผูห้ ญิงสาวเป็ นหน้าที่อนั สําคัญอันหนึ่งที่เขาจะต้องทําเมื่อทําได้ ค. หน้าที่อนั ที่สาม คือการรักษาพยาบาล ผูห้ ญิงและหญิงสาวที่ป่วย ไม่วา่ เป็ นคริ สตังหรื อไม่เป็ นคริ สตัง เพื่อ ใช้งานนี้เป็ นทางช่วยเขาให้รอดและกลับใจ ง. หน้าที่ที่สี่ คือ การเอาใจใส่ ในการล้างบาปเด็กเล็กที่ป่วยอยูใ่ นอันตรายจะตายก่อนรับศีลล้างบาป เมื่อมี กรณี จาํ เป็ น จ. หน้าที่ที่ห้า คือ การพยายามสุ ดความสามารถช่วยผูห้ ญิงและหญิงสาวที่มีความประพฤติไม่ดีให้ออกจาก ความชัว่
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 134
มาตรา 13
k
Ba ngk o
rch
มาตรา 14
of
มาตรา 12
ces e
มาตรา 10 มาตรา 11
dio
มาตรา 9
จะยินดีถวายการพลีกรรมเล็กน้อยนี้ ร่วมกับความปราถนาของพระองค์ ถ้าพระองค์ได้ทรงทน แทนที่เขาเพื่อมีความปราถนาอันเดียวกันกับพระองค์ ถ้ามีเหตุผลให้งดการทรมานตนรวมกันแบบ นี้ เขาจะทรมานตนแบบอื่นก็ได้ เช่น ใช้โซ่ สุด แล้วแต่ผฟู้ ังแก้บาปจะแนะนํา แต่ไม่ให้เป็ นการ ทรมานตนที่ เบากว่า วันอาทิตย์ใบลาน และ 4 วันแรกของสัปดาห์ศกั ดิ์สิทธิ์ เขาจะทรมานตนสองเท่า และวันศุกร์ ศักดิ์สิทธิ์ สามเท่า เพื่อระลึกถึงมหาทรมานและการสิ้ นพระชนม์ของพระบุตรของพระเป็ นเจ้า สมาชิกจะมีความศรัทธาเป็ นพิเศษต่อวันฉลองพระเยซูรับศีลตัด วันพบและวันเชิดชูไม้กางเขน จะรับประทานอาหารวันละ 2 ครั้ง ตอนเช้าและตอนเย็น จะอดเนื้อตลอดชีวติ เว้นวันฉลองพระ คริ สตสมภพ ปั สกา และพระจิตเสด็จลงมา จะอดอาหารทุกวันศุกร์ เป็ นการระลึกถึงมหาทรมานและความตายของพระเยซู คริ สตเจ้า วันอด อาหารจะไม่รับประทานอาหารก่อน 10 โมงเช้า สตรี และหญิงสาวคนบาปที่กลับใจ ถ้าสมัครเข้าคณะรับได้โดยมีความมุ่งหมายและวินยั เดียวกัน แต่จะเป็ นกลุ่มต่างหาก (อยูบ่ า้ นต่างหาก) และอธิ การิ ณีตอ้ งเป็ นคนที่ไม่เคยมีความประพฤติไม่ดี นักบุญองค์อุปถัมภ์ของคณะนี้จะเป็ นนักบุญยอแซฟ สมาชิกของคณะจะสวดขอให้กา้ วหน้าใน ความศักดิ์สิทธิ์ ครบครัน อาศัยคําวิงวอนของท่านนักบุญยอแซฟ ผูท้ รงศรี
ric al A
rch ive
sA
ข้ อสั งเกต (จากผูแ้ ปล) ก. คณะนี้เป็ นคณะ "แพร่ ธรรม" ไม่ได้เรี ยกคณะ "นักบวช" เพราะความมุ่งหมายอันดับแรกคือการประกาศ พระวรสาร ชี วิตส่ วนตัวของสมาชิกเป็ นพื้นฐานอันจําเป็ นเพื่อการประกาศความเชื่ อในท่ามกลางคน ต่างศาสนา สงสัยว่าที่โรมอาจจะไม่ได้เข้าใจเอกลักษณ์ของคณะนี้ ข. แต่ละกลุ่ม แต่ละบ้านเป็ นอิสระ สมาชิกทุกบ้านมีจิตตารมณ์อนั เดียวกันก็จริ ง แต่วา่ แต่ละคณะรักษา ลักษณะเฉพาะตน คงเป็ นเอกลักษณ์ของคณะนี้ในสมัยเริ่ มแรก และได้เป็ นเอกลักษณ์ที่เหมาะสมที่สุด ในสมัย เบี ย ดเบี ย น แต่ ล ะบ้า นมี อิส ระพร้ อมที่ จะปฏิ บ ตั ิ ง านและไปในที่ ต้องการอย่า งทันเหตุ ก ารณ์ โครงสร้างแบบนักบวชในยุโรปจะถูกนํามาใช้พร้อมกับคณะนักบวชที่จะมาทํางานในประเทศไทย คณะสตรี รักไม้ กางเขนจะเสี ยเอกลักษณ์ เพื่อปรับตัวให้เข้าแบบคณะนักบวชทั้งหลาย
การรับรองคณะ
Hi sto
4.
พระคุณเจ้าลังแบรต์ได้คิดจะขอการรับรองจากกรุ งโรม จึงเขียนจดหมายถึงพระคุณเจ้า ปั ลลือเพื่อช่วย ติดต่อขอการรับรองสําหรับคณะใหม่ ในจดหมายที่เขียนจากสุ หรัต (อินเดีย) พระคุณเจ้าปั ลลือตอบว่า "เรื่ องสตรี ใจ ศรั ทธาที่ พระคุณเจ้ าลังแบรต์ ได้ รวบรวมโดยมีวินัยและการปฏิ ญาณตัว 3 ประการ ความบริ สุทธิ์ ความยากจน และ ความนบนอบนั้น ไม่ ต้องขอการรั บรองเชิ งเป็ นคณะนักบวชใหม่ เรายังไม่ ถึงขั้นนี ้ ถ้ าเราไปขอแบบนี เ้ ราคงจะ ผิดหวังแน่ เราต้ องขอการรั บรองในทํานองเป็ นแต่ คณะสตรี ใจศรั ทธาอย่ างที่ มีมากในยุโรป เราต้ องรายงานเรื่ อง
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 135
คณะนีต้ ามความเป็ นจริ งแก่ สมณกระทรวง วิธีปฏิ บัติในการขอการรั บรองที่ ข้าพเจ้ าเห็นจะดีกค็ ื อ ขอพระคุณการุ ณ สําหรั บคณะสตรี ที่พระคุณเจ้ าได้ ตั้งขึน้ "
อุปสรรคของงานเผยแพร่ ความเชื่อในสมัยกรุงศรีอยุ ธยา
k
4.1
rch
dio
ces e
of
Ba ngk o
เมื่อเราพูดถึงความเจริ ญก้าวหน้าของงานเผยแพร่ ความเชื่อ ของบรรดามิชชันนารี ในสมัยกรุ งศรี อยุธยา เรา จําเป็ นต้องเข้าใจเรื่ องนี้ 2 ประการ 1. ความเจริ ญก้าวหน้าที่กล่าวนั้นเป็ นความเจริ ญก้าวหน้าที่นอ้ ยและช้ามาก 2. เราต้องแยกแยะความเจริ ญก้าวหน้าดังกล่าวนี้ออกเป็ น 2 ฝ่ าย • ฝ่ ายมิชชันนารี ของปาโดรอาโด ซึ่ งนําความเจริ ญก้าวหน้าในลักษณะที่ชา้ และน้อยเช่นเดียวกัน แต่ ปัญหาและอุปสรรคส่ วนใหญ่ของมิชชันนารี น้ ีได้แก่ - จุดประสงค์ของการเข้ามาในสยามนั้นมีหลากหลายจนเกินไป เช่น เพื่อลี้ภยั การเบียดเบียน เพื่อหา โอกาสไปยังมิสซังอื่น หรื อเป็ นทางผ่านเพื่อไปยังมิสซังอื่น - ผูท้ ี่ถูกส่ งมาสยามโดยตรงนั้น อยูใ่ นสยามสั้นๆ และการส่ งมาก็ไม่ต่อเนื่องด้วย มีการเว้น ระยะเวลาที่ไม่สามารถทําให้งานแพร่ ธรรมสื บเนื่องไปอย่างราบรื่ น • ฝ่ ายมิชชันนารี ของ M.E.P. ซึ่ งทํางานในสยามอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด แม้จะมีระยะเวลาที่ไม่มี มิชชันนารี อยูใ่ นสยามเลยบางช่วง ก็เป็ นช่วงระยะเวลาอันสั้นเท่านั้น
1.
rch ive
sA
อย่างไรก็ตาม มิชชันนารี ท้ งั 2 พวกนี้ ต่างก็ได้รับผลกระทบจากปั ญหาและอุปสรรคของงานแพร่ ธรรม ด้วยกัน ปัญหาและอุปสรรคเหล่านี้เกิดขึ้น ทั้งจากบรรดามิชชันนารี ได้สร้างขึ้นมาเอง และเกิดมาจากเหตุการณ์ ภายนอก ดังที่เราจะสรุ ปให้เข้าใจดังนี้
การกลับใจของชาวสยาม
Hi sto
ric al A
บรรดามิชชันนารี เห็นว่าการกลับใจของชาวสยามนั้นเป็ นเรื่ องยากมาก เพราะชาวสยามมีความผูกพันกับ พุทธศาสนามาก เด็กๆ ชาวสยามต้องไปอยูท่ ี่วดั เพื่อเรี ยนหนังสื อและรับการอบรม คุณพ่ออาเดรี ยง โลเนย์ ได้ให้ ข้อสังเกตโดยนํามาจากเอกสารของบรรดามิชชันนารี ไว้ดงั นี้ การกลับใจนั้นประสบกับอุปสรรคโดยทั่วไป อุปสรรคประการสําคัญของการกลับใจ ของชาวสยามได้ แก่ นิสัยความเฉื่ อยชาและการศึกษา เด็กหนุ่มชาวสยามทุกคนต้ องใช้ เวลาอยู่ในบวรพุทธศาสนาเป็ นเวลาหลายปี ท่ ามกลางพระภิกษุที่บูชารู ปเคารพ ยอมรั บ การสั่ งสอนของพวกเขา และติดตามแบบอย่ างของพวกเขา ในบรรยากาศเช่ นนั้นจึ งทํา ให้ สติปัญญา จิ ตใจ และจิ ตสํานึกของพวกเขาซึ มซาบเข้ าไปในแก่ นสารของลัทธิ การ เคารพรู ปบูชา 10 9
10LAUNAY, Siam et Les Missionnaires Francais, pp. 72-75
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 136
dio
ces e
of
Ba ngk o
k
นอกจากนี้ อุปสรรคอีกประการหนึ่ งของเรื่ องนี้ คือ ท่าทีของชาวสยามต่อชาวต่างชาติที่เข้ามาในดินแดน สําหรับชาวสยามแล้ว จุดมุ่งหมายหรื อจุดประสงค์ในการเข้ามาของชาวต่างชาติ ได้แก่ การแสวงหาผลประโยชน์ แสวงหาผลกําไรจากการค้าขาย และบางทีอาจเป็ นไปได้ดว้ ยว่า ชาวต่างชาติตอ้ งการสยามเป็ นเมืองขึ้นด้วย ดังนั้น ชาวสยามจึงไม่ค่อยวางใจชาวต่างชาติมากนัก ทัศนคติน้ ีแพร่ กระจายและครอบคลุมไปถึงบรรดามิชชันนารี ซ่ ึ งเป็ น ชาวต่ า งชาติ ด้ว ยเช่ น กัน ลัก ษณะที่ สํ า คัญ อี ก ประการหนึ่ ง ของชาวสยามคื อ การยอมรั บ อํา นาจสู ง สุ ด ของ พระมหากษัตริ ยโ์ ดยถื อเป็ นเทพ ดังนั้นแม้วา่ จะเห็นศาสนาและความเชื่ออื่นดีและพร้อมจะยอมรับ แต่ก็จาํ เป็ นที่ จะต้องมองดูท่าทีของพระมหากษัตริ ยด์ ว้ ยว่า มีท่าทีอย่างไร วิธีการที่มิชชันนารี ใช้ในการกลับใจชาวสยามนั้น ก็มกั จะใช้วธิ ี การโต้เถียงกับหลักการของพุทธศาสนา พยายามกลับใจพระภิกษุเพื่อจะได้รับความเชื่อ พร้อมทั้งลูกศิษย์ลูกหา ซึ่ งก็ได้ผลอยูบ่ า้ ง แต่นอ้ ยเหลือเกิน เวลา เดียวกัน ท่าทีและทัศนคติที่ไม่ดีต่อพุทธศาสนาในสยามนั้น กลับกลายมาเป็ นอุปสรรคสําคัญของการแพร่ ธรรมใน สยามในเวลาต่อๆ มาด้วย คุณพ่อ Le Faure จึงกล่าวว่า ไม่มีความหวังที่จะกลับใจชาวสยามและชาวเขมร ดังนั้น พวกเขาจึงหันไป ทางตังเกี๋ย โคชินจีน และประเทศจีนแทน
2.
ความขัดแย้ ง และกรณีพพิ าทระหว่ างมิชชันนารี
3.
สมเด็จพระนารายณ์ มนี โยบายทางการเมืองเปิ ดรับชาวต่ างชาติทุกชาติ
rch ive
sA
rch
ดังที่เราได้เรี ยนรู ้มาแล้ว เมื่อพระคุณเจ้าลังแบรต์และพระคุณเจ้าปั ลลือเดินทางมาถึงกรุ งศรี อยุธยาแล้ว ต้อง พบกับการต่อต้านอํานาจของมิชชันนารี ปาโดรอาโด รวมทั้งยังต้องต่อสู ้กบั เรื่ องการค้าขายของบรรดามิชชันนารี เหล่านี้อีกด้วย ท่าทีและการแสดงออกในเรื่ องเหล่านี้ยอ่ มมีผลไม่ดีเลยต่อการแพร่ ธรรม เพราะเป็ นเรื่ องที่ชาวสยาม ไม่อาจจะเข้าใจได้ การทะเลาะเบาะแว้งกันเอง ความแตกแยกภายใน มีผลอันใหญ่หลวงต่อการแพร่ ธรรมเสมอ และ เป็ นที่สะดุดแก่คนทัว่ ไป
Hi sto
ric al A
ทั้งนี้ เพื่อให้มีดุลถ่วงอํานาจของกันและกัน รวมทั้งทําให้สยามมีมิตรมากขึ้น เพื่อทําให้ศตั รู ของสยามคือ พม่าและกัมพูชาไม่กล้าหรื อเกรงที่จะทําสงครามกับสยาม ท่าทีของสมเด็จพระนารายณ์น้ ีทาํ ให้บาดหลวงกีย ์ ตา ชารด์, คอนสแตนติน ฟอลคอน รวมทั้งพระเจ้าหลุยส์ ที่ 14 แห่ งฝรั่งเศส เข้าใจผิดคิดว่ามีความหวังที่จะกลับใจ สมเด็จพระนารายณ์และคนทั้งประเทศได้ แม้วา่ คอนสแตนติน ฟอลคอน และพระคุณเจ้าลาโนจะเห็นว่าเรื่ องนี้ จะ นําผลเสี ยที่ร้ายแรงมาสู่ การ แพร่ ธรรม แต่บาดหลวงกีย ์ ตาชารด์ และพระเจ้าหลุยส์ ที่ 14 ต่างก็เล็งเห็นว่าน่าจะ ใช้อิทธิ พลของตนทําให้เป็ นจริ งความคิดนี้ได้ส่งผลร้ายอย่างมากในเวลาต่อมา เมื่อพระเพทราชาได้ทาํ การปฏิวตั ิข้ ึน ในปี ค.ศ. 1688
4.
การปฏิวตั ิในปี ค.ศ. 1688 และการเบียดเบียนในสมัยของพระเพทราชา
เนื่องจากพระเพทราชามีท่าทีที่เป็ นปฏิปักษ์กบั ชาวต่างชาติ ดังนั้นเมื่อพระเพทราชาปฏิวตั ิสาํ เร็ จแล้ว จึง เบียดเบียนการแพร่ พระศาสนาทันที บรรดามิชชันนารี ถูกจับและทรัพย์สมบัติทุกอย่างถูกยึด ในปี ค.ศ. 1691
.
ประวัติพระศาสนจักรไทย 137
5.
Ba ngk o
k
สถานการณ์ต่างๆ คลี่คลายลง พระเพทราชาได้คืนบ้านเณรและทรัพย์สมบัติให้แก่บรรดามิชชันนารี การแพร่ ธรรม ต้องเริ่ มต้นกันใหม่ นอกจากการเบียดเบียนครั้งนี้ แล้ว ในสมัยอยุธยานี้ เองก็ยงั มีการเบียดเบียนอยูบ่ า้ ง เช่น ในสมัยพระเจ้า ท้ายสระ (ค.ศ. 1709-1733) บรรดามิชชันนารี ถูกห้ามออกจากเมืองหลวง ห้ามใช้ภาษาสยามและบาลีในการสอน ศาสนา ห้ามประกาศศาสนาแก่ชาวสยาม มอญ และลาว ข้อห้ามต่างๆ ถูกจารึ กลงในแผ่นศิลาและตั้งไว้ที่หน้าวัด นักบุญยอแซฟ ที่อยุธยา นอกจากนี้ ก็ยงั มีความไม่สะดวกในการแพร่ ธรรมเกิดขึ้นด้วยในระหว่างปี ค.ศ. 1730, 1743-1749
อุปสรรคทีส่ ํ าคัญยิง่ ในการแพร่ ธรรม
rch
dio
ces e
of
ได้แก่การรุ กรานของพม่า และการยึดครองกรุ งศรี อยุธยาของพม่าในปี ค.ศ. 1767 พระคุณเจ้าบรี โกต์ถูก จับและถูกนําตัวไปพม่า วัดนักบุญยอแซฟถูกเผาและบ้านเณรถูกปล้น การแพร่ ธรรมต้องหยุดโดยสิ้ นเชิ ง ครั้นเมื่อ พระเจ้าตากสิ นกอบกูเ้ อกราชคืนมาได้แล้ว บรรดามิชชันนารี ซ่ ึ งมิได้ทาํ ตามพระประสงค์ของพระองค์ ยังต้องถูกขับ ไล่ออกจากอาณาจักรสยามและสามารถกลับมาได้อีกครั้งหนึ่งเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้ าจุฬาโลกเสด็จขึ้น ครองราชสมบัติ.
Hi sto
ric al A
rch ive
sA