“วิจัย วิจักขณ์” การนาเสนอผลงานวิชาการ กรมศิลปากร ประจาปี พ.ศ. 2560
เล่ม ๑ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๐ www.finearts.go.th
สารบัญ หน้า บทคัดย่อการสัมมนา วิจัย วิจักขณ์ การนาเสนอผลงานวิชาการของกรมศิลปากร วันพฤหัสบดีที่ 31 สิงหาคม 2560 ๑. จารึกพระเจ้าจิตรเสนที่พบในประเทศไทย สปป.ลาว และกัมพูชา โดย นางสาวพิมพ์พรรณ ไพบูลย์หวังเจริญ ๒. ไตรภูมิฉบับหลวง : พระราชมรดกทางภูมิปัญญาอันทรงคุณค่า โดย นายสมชัย ฟักสุวรรณ์ ๓. วิเคราะห์ : คัมภีร์เก่า เล่าเรื่องวัดทองนพคุณ โดย นายวัฒนา พึ่งชื่น ๔. ราแต่งองค์ทรงเครื่องโขน โดย นายชวลิต สุนทรานนท์
1 6 12 17
๕. ลาพพระนาสวน:รามเกียรติ์ฉบับคัมภีร์ใบลานของจังหวัดเลย โดย นางสาวเอมอร เชาวน์สวน ๖. วัดสวนดอก : สุสานหลวงเจ้านายฝ่ายเหนือ โดย นางสาวระชา ภุชชงค์
20
๗. การใช้ประโยชน์และการตีความเอกสารจดหมายเหตุ: กรณีศึกษาเอกสารจดหมายเหตุ สานักนายกรัฐมนตรีกองกลาง สานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (2) สร0201.40 1-8 เรื่องอุทกภัยระหว่างปี พ.ศ. 2475 -2480 โดย นางสาววรนุช วีณะสนธิ
30
๘. หมอบรัดเลกับงานด้านการแพทย์ในสยาม โดย นายธันวา วงศ์เสงี่ยม ๙. คาฟ้องมองซิเออไซแงซึ่งกล่าวโทษอุปฮาดเมืองอุบล: หลักฐานประวัติศาสตร์เมืองอุบลที่พบใหม่ โดย นางสาวเชาวนี เหล็กกล้า
35 39
๑๐. ปัญหาเรื่อง โต๊ะเท้าช้าง โดย นายยุทธนาวรากร แสงอร่าม ๑๑. คุกนั้นสาคัญตรงไหน โดย นางสาวภัคพดี อยู่คงดี ๑๒. ระบบบริหารจัดการน้าเมืองศรีสัชนาลัย โดย นายภัทรพงษ์ เก่าเงิน
43 48 51
๑๓. บารายเมืองสุโขทัย โดย นายธงชัย สาโค ๑๔. ผ้าปักโคลงสุภาษิตอิศปปกรณา เครื่องตั้งงานพระเมรุท้องสนามหลวง ร.ศ. 108 โดย นางสาวเด่นดาว ศิลปานนท์ ๑๕. ข้อมูลและความรู้เพิ่มใหม่จากโครงการศึกษาการตั้งถิ่นฐานในเขตเมืองโบราณศรีเทพ ปี พ.ศ. 2559 โดย นางสุริยา สุดสวาท ๑๖. วัดร้างกลางกรุงเทพฯ และวัดน้อยอยู่(ร้าง) : ผลการสารวจและการขุดตรวจทางโบราณคดี โดย นางจิรนันท์ คอนเซฟซิออน ๑๗. อาศรมฤาษีที่ภูเขากัจโตน โดย นายวสันต์ เทพสุริยานนท์ ๑๘. โครงกระดูกมนุษย์จากวัดวิหารทอง เมืองพิษณุโลก โดย นางสาวนาตยา ภูศรี
60 65
๑๙. พระพิมพ์และพระพุทธรูป กรุพระเจดีย์วัดมหาธาตุเพชรบูรณ์ โดย นางสาวอภิรดี พิชิตวิทยา และนางสาวจุฑารัตน์ เจือจิ้น
95
27
74 80 83 88
สารบัญ (ต่อ) ๒๐. หลักฐานการรับพุทธศาสนาแรกสุดในประเทศไทย โดย ร.อ.บุณยฤทธิ์ ฉายสุวรรณ
หน้า 107
๒๑. การใช้เสียมลม (Air Spade) ในการขุดทางโบราณคดี โดย นายสายกลาง จินดาสุ ๒๒. คอกช้างดิน โดย นางสาวสุภมาศ ดวงสกุล ๒๓. ภาชนะบรรจุกระดูกสู่วัฒนธรรมเจนละ ณ แหล่งโบราณคดีบ้านศรีคุณ ตาบลพังเคน อาเภอนาตาล จังหวัดอุบลราชธานี โดย นางสาวสิริพัฒน์ บุญใหญ่ ๒๔. อายุสมัยของพระมหาธาตุเจดีย์ นครศรีธรรมราช จากงานโบราณคดีล่าสุด โดย นายภาณุวัฒน์ เอื้อสามาลย์ ๒๕. พระพุทธรูปนาคปรกผู้ทรงภูษาสมพต โดย นายกมลาศ เพ็งชะอุ่ม ๒๖. ยันต์ที่ซ่อนอยู่ในกลองสาหรับพระนคร:การศึกษาเปรียบเทียบกับ สมุดไทยดา เรื่อง ตาราเลขยันต์ ฉบับห้องสมุดบริติช โดย นางสาวศุภวรรณ นงนุช
111 116 122
๒๗.กระบวนการศึกษาวิเคราะห์ทมี่ าของโบราณวัตถุ : ทับหลังจาหลักภาพพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์ โดย นางสาวพรเพ็ญ บุญญาทิพย์ ๒๘. การตรวจสอบใหม่เกี่ยวกับเทคนิคการผลิตเกลือสินเธาว์ของชุมชนโบราณในลุ่มน้ามูลและชี โดย นายมนตรี ธนภัทรพรชัย ๒๙. ข้อมูลเบื้องต้นที่ได้จากงานโบราณคดีในพระราชวังหลวงและวัดพระศรีสรรเพชญ์ ตาบลประตูชัย อาเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พ.ศ. 2560 โดย นายวีระศักดิ์ แสนสะอาด และนายศุทธิภพ จันทราภาขจี
142
126 133 136
147 152
จารึกพระเจาจิตรเสน ที่พบในประเทศไทย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และกัมพูชา
พิมพพรรณ ไพบูลยหวังเจริญ
พระเจาจิตรเสน เปนพระมหากษัตริย ผูยิ่ง ใหญ แหง อาณาจัก รเจนละ ครองราชยส มบัติ ประมาณพุทธศักราช ๑๑๔๒ – ๑๑๕๘ เมื่อประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกแลว เฉลิมพระนามใหมวา พระเจา มเหนทรวรมั น พระองค มั ก สร า งจารึ ก ประกาศพระราชประวั ติ และพระราชกรณี ย กิ จ ตลอดรั ช กาล ไวตามสถานที่ตาง ๆ ที่ทรงกรีฑาทัพไปถึง ดวยอักษรปลลวะ ภาษาสันสกฤต ที่ชัดเจนสวยงาม ปจจุบันพบ จารึกพระเจาจิตรเสนในประเทศไทย จํานวนมากถึง ๑๔ รายการ สวนใหญเปนจารึกที่พบในพื้นที่จังหวัดตาง ๆ ครอบคลุม ตลอดลําแมน้ํามูล และแมน้ําชี ซึ่งสะทอนใหเห็นถึง การขยายพระราชอาณาเขตในรัชสมัยของ พระองคไดเปนอยางดี
จารึกพระเจาจิตรเสนที่พบในประเทศไทย จารึกพระเจาจิตรเสนทั้ง ๑๔ รายการ ที่พบในประเทศไทย คือ ๑. จารึกถ้ําเปนทองดานใน ตําบลประคํา อําเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย เลขทะเบียนจารึก บร. ๓ จารึกนี้ชํารุดเหลืออักษรเพียง ๒ บรรทัด เพราะเปนจารึกบนผนังถ้ําริมฝงน้ําลําปลายมาศ เขตอําเภอ ลําปลายมาศ ตอเนื่องกับอําเภอนางรอง บริเวณที่ปรากฏอักษรจารึกนั้น มีการเตรียมผนังถ้ําใหเปนแผนเรียบ หนากระดาน ลึกลงไปประมาณ ๕ มิลลิเมตร แตงเปนกรอบสี่เหลี่ยมผืนผา แลวจึงจารึกตัวอักษร ปจจุบันผนัง ถ้ําที่มีจารึกจมอยูใตน้ํา เพราะจังหวัดไดสรางเขื่อนกั้นน้ําไว ๒. จารึกถ้ําเปดทองดานนอก พบในแหลงเดียวกัน กําหนดเลขทะเบียนเปน บร. ๔ มีจารึก ขอความเพียง ๒ บรรทัด ๓. จารึกผนังถ้ําเปดทอง พบในแหลงเดียวกัน กําหนดเลขทะเบียนเปน บร. ๕ จารึกรายการ นี้อักษรลบเลือนมาก เหลือตัวอักษรเพียงพระนามจิตรเสน และคําวา กีรฺตติ เทานั้น ๔. จารึกปากโดมนอย เปนศิลาจารึกรูปใบเสมา พบที่ริมฝงแมน้ํามูล ปากลําโดมนอย ในเขต อุท ยานแหง ชาติแกง ตะนะ ตําบลโขงเจียม อําเภอโขงเจียม จัง หวัดอุบ ลราชธานี จารึก ขอความ ๑ ดา น ๖ บรรทัด กําหนดเลขทะเบียนเปน อบ. ๒๘ ๕. จารึ กปากน้ํา มูล ๑ เปนศิ ล าจารึก รูป ใบเสมา พบที่ ฝง ขวาของปากแมน้ํา มูล ตําบล โขงเจียม อําเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี จารึก ขอความ ๑ ดาน ๖ บรรทัด กําหนดเลขทะเบียนเปน อบ. ๑ ๖. จารึกปากน้ํามูล ๒ เปนศิลาจารึกรูปใบเสมา พบที่ฝงขวาปากแมน้ํามูล ตําบลโขงเจียม อํ า เภอโขงเจี ย ม จั ง หวั ด อุ บ ลราชธานี จารึ ก ข อ ความ ๑ ด า น ๖ บรรทั ด กํ า หนดเลขทะเบี ย นเป น อบ. ๒ ๗. จารึกวัดสุปฏนาราม ๑ เปนศิลาจารึก รูป ใบเสมา พบที่ถ้ําภูห มาใน อําเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี จารึกขอความ ๑ ดาน ๖ บรรทัด กําหนดเลขทะเบียนเปน อบ. ๔ ๘. จารึกถ้ําภูหมาใน เปนภาพสําเนาจารึกทรงสี่เหลี่ยมผืนผา จารึกอักษร ๑ ดาน ๓ บรรทัด กําหนดเลขทะเบียนเปน อบ. ๙ จารึกรายการนี้มีความสับสนในสถานที่พบบางวา พบที่ถ้ําภูหมาใน ริมฝงแมน้ํา มูล บางวาเปนจารึกจากถ้ําปราสาทบริเวณปากแมน้ํามูล สํานักหอสมุดแหงชาติไดตรวจสอบเปรียบเทียบกั บ
นักอักษรศาสตร์ ทรงคุณวุฒิ กรมศิลปากร นําเสนอในโครงการวิจยั วิจกั ขณ์ เมือวันที ๓๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
1
หนังสือ Inscriptions du Cambodgeและหนังสือ Inscriptions of Kambujaของ Sri Prakash Chandra Majumdarแลวเชื่อวา จารึกถ้ําภูหมาใน และจารึกถ้ําปราสาทเปนจารึกหลักเดียวกัน ๙. จารึ ก ศาลหลั ก เมื อ งสุ ริ นทร เป น เศษจารึ ก รู ป สี่ เ หลี่ ย มด า นเท า มี ร อยแตก พบที่ ศาลหลักเมืองจังหวัดสุรินทร จารึกขอความ ๑ ดาน ๓ บรรทัด กําหนดเลขทะเบียนเปน สร. ๓๗ ๑๐. จารึกฐานรูปเคารพแหลงโบราณคดีดอนขุมเงิน เปนจารึกฐานรูปเคารพทรงสี่เหลี่ยม พบที่แหลงโบราณคดีดอนขุมเงิน บานหนองคูณ ตํา บลเดนราษฎร กิ่งอําเภอหนองฮี จังหวัดรอยเอ็ด จารึก ขอความ ๑ ดาน ๔ บรรทัด กําหนดเลขทะเบียนเปน รอ. ๖ ๑๑. จารึกวัดศรีเมืองแอม เปนศิลาจารึก แทง สี่เ หลี่ยม สภาพชํารุด พบที่วัดศรีเมืองแอม กิ่งอําเภอเขาสวนกวาง จังหวัดขอนแกน จารึกอักษร ๑ ดาน ๓ บรรทัด กําหนดเลขทะเบียนเปน ขก. ๑๕ ๑๒. จารึกวัดบานเขวา เปนศิลาจารึกฐานรูป เคารพทรงสี่เหลี่ยม พบที่วัดธรรมประสิท ธิ์ สุทธาราม (วัดบานเขวา) ตําบลปะเดียม อําเภอคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย จารึกอักษร ๑ ดาน ๓ บรรทัด กําหนด เลขทะเบียนเปน บร. ๓๘ ๑๓. จารึกชองสระแจง เปนศิลาจารึกทรงกลมแบนคลายใบเสมา พบที่บานชองสระแจง ตําบลตาพระยา อําเภอตาพระยา จังหวัดสระแกว จารึกอักษร ๑ ดาน ๔ บรรทัด กําหนดเลขทะเบียนเปน ปจ. ๕ ๑๔.จารึกพระเจาจิตรเสนในคลังพิพิธภัณฑสถานแหงชาติพิมาย เปนศิลาจารึกรูปใบเสมา พบที่คลัง พิพิธภัณฑสถานแหง ชาติพิม าย จัง หวัดนครราชสีมา จารึกอัก ษร ๑ ดาน ๖ บรรทัด กําหนดเลข ทะเบียนเปน นม. ๖๓
สรุปสาระจากจารึกพระเจาจิตรเสนในประเทศไทย ๑. จารึกพระเจาจิตรเสนที่พบในประเทศไทย สามารถจําแนกรูปลักษณะได ๓ ประเภท คือ - จารึกพบที่ผนังถ้ํา เชน จารึกถ้ําเปดทอง บร. ๓ บร. ๔ และ บร. ๕ - จารึกขอบฐานรูปเคารพ เชน จารึก ฐานรูป เคารพแหลง โบราณคดีดอนขุม เงิน จังหวัดรอยเอ็ด และจารึกวัดบานเขวา จังหวัดบุรีรัมย - จารึกลอยตัวรูปใบเสมาหรือทรงกลีบบัว เชน จารึกปากแมน้ํามูล ๑ และ ๒ จารึก ชองสระแจง จังหวัดสระแกว จารึกปากโดมนอย จังหวัดอุบ ลราชธานี และจารึกพระเจาจิตรเสน ในคลัง พิพิธภัณฑสถานแหงชาติพิมาย จังหวัดนครราชสีมา เปนตน ๒. จารึกพระเจาจิตรเสน สามารถจําแนกอายุได ๓ สมัย ดังนี้ - จารึกรุนแรกในรัช กาลของพระองค คือ กลุม จารึ ก ที่ผ นัง ถ้ําเปดทอง จัง หวั ด บุรีรัมย มีเนื้อหากลาวถึง ความภักดีอยางแนวแนตอพระมารดา และพระบิดา (พระองค) ไดทําตามคําสั่งให ประดิษฐานพระผูเปนเจาเปนที่เคารพบูชา นอกจากนั้นยังมีจารึกที่สรางรุนแรกในรัชกาลของพระองคอีก ๒ ชิ้น คือ จารึกพบที่แหลง โบราณคดีดอนขุมเงิน จังหวัดรอยเอ็ด และจารึกพบที่ศาลหลักเมือง จังหวัดสุรินทร จารึกพบที่แหลงโบราณคดี ดอนขุมเงินมีรูปลักษณะเปนฐานศิลาทรงสี่เหลี่ยมประดิษฐานรูปโค ซึ่งเปนสัญลักษณแทนองคพระศิวะ มีจารึก อักษรปรากฏบนขอบฐาน ๔ บรรทัด ขอความในจารึกตอนตนกลาวถึงพระราชประวัติของพระองควาเปนโอรส ของพระเจาวีรวรมัน เปนพระราชนันดาของพระเจาสารวเภามะ แมโดยศักดิ์จะเปนอนุชา แตมีพระชนมายุ มากกวาจึงเปนเชษฐาของพระเจาภววรมันที่ ๑ และเมื่อพระองคไดเปนกษัตริยแลวไดเฉลิมพระนามใหมวา พระเจามเหนทรวรมัน ความตอนทายของจารึก กลาววาหลัง จากที่พระองคไดชัยชนะอยางสมบูร ณแลว ไดสรางรูปโคศิลาเปนธงชัยไวเปนรูปเคารพแสดงความจงรักภักดีตอพระศิวะกับไดสรางบอน้ําไวเพื่อขจัดความ แหงแลงที่มีมาแตโบราณกาลใหหมดสิ้นไป อยางไรก็ดีแมจารึกพบที่ศาลหลักเมืองสุรินทรจะชํารุดเหลือขอความ 2
เพียง ๒ – ๓ บรรทัด แตขอความที่เหลือนั้นตรงกับขอความจารึกฐานรูปเคารพแหลงโบราณคดีดอนขุมเงิน เฉพาะสวนวรรคหลังของบรรทัดที่ ๒ และ ๓ - จารึกรุนที่สอง คือ กลุมจารึกพบที่จังหวัดอุบลราชธานี จํานวน ๕ รายการ คือ จารึกปากแมน้ํามูล ๑ และ ๒ จารึกวัดสุปฏนาราม จารึกปาโดมนอย และจารึกถ้ําภูหมาใน เนื้อหาของจารึก กลุมนี้ ตอนตนกลาวถึงพระราชประวัติของพระองค จนถึงการอภิเษกเปนพระเจาแผนดิน และเฉลิมพระนาม ใหมแลว จารึก กลุมนี้กลาววา “เมื่อไดชัยชนะประเทศกัมพูทั้ง ปวงแลว ไดส รางพระศิวลึง คอันเปนเสมือน เครื่องหมายแหงชัยชนะของพระองคไว ณ ที่นี้” - จารึกรุนที่สาม ไดแก จารึกวัดศรีเมืองแอม จัง หวัดขอนแกน จารึกวัดบานเขวา จังหวัดบุรีรัมย และจารึกชองสระแจง จังหวัดสระแกว แมวาจารึกวัดศรีเมืองแอม และจารึกวัดบานเขวา จะมี เนื้อหาคลายคลึงกับจารึกรุนแรก และรุนที่สองก็ตาม แตสามารถจําแนกอายุไดจากลักษณะตัวอักษรที่เริ่ม พัฒนารูปแบบไปตามความรูความสามารถของคนรุนลูกศิษย ซึ่งแตกตางจากพราหมณผูรู ศาสตรร ะดับครู อาจารยที่มีความรูเรื่องรูปอักษรที่ใชในระหวางพุทธศตวรรษที่ ๑๑ เปนอยางดี นอกจากนั้นจารึกชองสระแจง ยังมีการจารึกขอความที่มีความตางกับหลักอื่น ๆ กลาวคือ ไมไดเริ่มตนเลาพระราชประวัติตอนตน แตออกพระ นามใหมหลังจากราชาภิเษกวา มเหนทรวรมันทรงเปนเหมือนเทพเจา ทรงขุดบอน้ํานี้เพื่อใชชําระลางใหเกิด ความสุข บริสุทธิ์ แสดงใหเห็นวานาจะเปนจารึกที่สรางขึ้นในชวงปลายรัชกาล เพราะทรงเปนพระมหากษัตริยท ี่ ยิ่งใหญสมบูรณ พรอมดวยเกียรติยศ เปนที่ยอมรับของประชาชนทั่วไปแลว อยางไรก็ตามขอมูลจากจารึกของพระเจาจิตรเสนก็เปนหลักฐานใหสามารถสรุปสายตระกูล ของพระองคไดระดับหนึ่ง ดังปรากฏในบทความของ อาจารยกองแกว วีระประจักษ ดังนี้ ราชวงศของพระเจาจิตรเสน (พระเจามเหนทรวรมัน) พระสนม + พระเจ้ าโกณฑินยะ + พระนางกุลประภาวดี (พระเจ้ าโกณฑินยะพระราชาแห่งอาณาจักรฟูนนั สินพระชนม์ พ.ศ. ๑๐๕๗)
พระเจ้ ารุทรวรมัน พ.ศ. ๑๐๕๗ – ๑๐๙๐
ศรีคุณวรมัน
ศรีปฤถิวีนทรวรมัน พระเจ้ าภววรมันที ๑ สินพระชนม์ พ.ศ. ๑๑๔๑
ศรี สารวเภามะ
ศรีวีรวรมัน พระเจ้ าจิตรเสน (พระเจ้ ามเหนทรวรมัน) พ.ศ. ๑๑๔๒ – ๑๑๕๘) พระเจ้ าอีศานวรมัน พ.ศ. ๑๑๕๙ – ๑๑๘๐
สันนิษฐานจากข้ อความในจารึ ก
3
จารึกพระเจาจิตรเสนที่พบในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จารึกพระเจาจิตรเสนที่พบในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มี ๓ รายการ คือ จารึก พระเจาจิตรเสน พบที่บานหวยสระหัว แขวงจําปาสัก จารึก ๒ รายการนี้ มีชื่อเรียกแตกตางกันเปนหลายทาง อาจารยกองแกว วีระประจัก ษ และ ดร.กังวล คัชชิมา มหาวิท ยาลัยศิลปากร ใหชื่อวา จารึกพบที่วัดหลวง (เกา) อําเภอปากเซ แขวงจําปาสัก สํานักหอสมุดแหงชาติใหชื่อวา จารึกในสาง ๑ และ ๒ ปจจุบันเก็บรักษาไว ในคลัง (สาง) พิพิธภัณฑสถานแหงชาติวัดพู แขวงจําปาสัก มีลักษณะเปนศิลาจารึกแทงสี่เหลี่ยมผืนผา จารึก อักษรปลลวะ ภาษาสันสกฤต จํานวน ๓ บรรทัด และจารึกพบที่ภูละคร ริมฝงแมน้ําโขง จํานวน ๑ รายการ จารึกทั้ง ๓ รายการนี้ มีเนื้อหาสาระเชนเดียวกับจารึกพระเจาจิตรเสนที่พบในประเทศไทย กลาวคือ เลาพระราชประวัติในตอนแรก และกลาวถึงการสรางรูปโคศิลาเพื่อเปนที่ระลึกแกพระราชบิดา และ พระปตุจฉาของพระองค
จารึกพระเจาจิตรเสนที่พบในกัมพูชา จารึก พระเจ าจิตรเสนที่พ บในกัม พูชา มีขอมูล อยูเ พียง ๒ รายการ คือ จารึก พบที่เ มือ ง กระแจะ และจารึกจรวยอัมพิล (Cruoyamphil) จารึก พบที่เ มืองกระแจะ มีขอความรูป อักษรและภาษาเหมือนกับจารึกถ้ําเปดทองดานใน (บร. ๓) แตมีขอความครบถวนสมบูรณกวา ความวา “ดวยความภักดีอยางแนวแนตอพระมารดา และพระบิดา ไดทําตามคําสั่งใหประดิษฐานพระผูเปนเจา เปนที่เคารพบูชา”สวนจารึกจรวยอัมพิลชํารุดมาก แมจะเหลือ ขอความเพียง ๒ บรรทัด เทานั้น แตก็มีสาระเปนเรื่องเดียวกันที่วาดวยพระราชประวัติ กลาวไดวา จารึกพระเจาจิตรเสนทุกรายการ เปนจารึกที่แสดงใหเห็นถึงพระราชประวัติและ พระราชกรณียกิจตาง ๆ ตลอดจนการขยายอาณาเขตสรางอาณาจักรเจนละของพระองคอยางชาญฉลาด และ สงเสริมใหประชาชนนับถือศาสนาพราหมณลัทธิไศวนิกาย ดวยการทรงสรางรูป เคารพตามคติศาสนาไวใน สถานที่ตามธรรมชาติที่มีชัยภูมิเหมาะสม เพื่อใหประชาชนมีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ และอยูอยางมีความสุข อันเปน การประกาศพระราชอํ า นาจและพระเกี ย รติ คุ ณ ของพระองค ใ ห เ ป น ที่ ป รากฏสื บ มาตราบจนป จ จุ บั น นอกจากนั้นจารึกทุกรายการของพระองค แมบางรายการจะชํารุดแตกหัก ลบเลือนไปตามกาลเวลา แตสาระใน จารึกที่เหมือนหรือคลายคลึงกันทั้งหมด ทําใหตีความหรือสรุปสาระไดงาย และการบันทึกดวยตัวอักษรปลลวะ ภาษาสันสกฤตที่ชัดเจน สวยงาม ทําใหสามารถกําหนดระยะเวลาการสรางจารึก ไดเปน ๓ รุน ตามลักษณะ ตัวอักษรที่พัฒนาเปลี่ยนแปลงไปตามความรูความสามารถของพราหมณจากรุนครูผูรูศาสตรในพุทธศตวรรษที่ ๑๑ สูรุนศิษยในพุทธศตวรรษที่ ๑๒ อยางชัดเจน แมวาจารึกเหลานี้จะไมไดบอกศักราชที่สรางไวเลยก็ตาม
4
บรรณานุกรม กองแกว วีระประจักษ. จารึกพระเจาจิตรเสน กษัตริยแหงลุมแมน้ํามูลและแมน้ําชี. พ.ศ. ๒๕๕๘, (เอกสารอัดสําเนา). จารึกในประเทศไทย เลม ๑ อักษรปลลวะ อักษรหลังปลลวะ พุทธศตวรรษที่ ๑๑ – ๑๔. พิมพครัง้ ที่ ๒ แกไขเพิ่มเติม. กรุงเทพฯ: หอสมุดแหงชาติ กรมศิลปากร, ๒๕๕๙. นานาสารัตถคดีจากจารึกและเอกสารโบราณ. กรุงเทพฯ: สํานักหอสมุดแหงชาติ, ๒๕๕๗. สุภัทรดิศดิศสกุล, ม.จ. ประวัติศาสตรเอเชียอาคเนยถึง พ.ศ. ๒๐๐๐. กรุงเทพฯ: สํานักนายกรัฐมนตรี, ๒๕๒๒. ฮอลล, แดเนียลจอรจ เอ็ดเวิรด. ประวัติศาสตรเอเชียตะวันออกเฉียงใต. แปลจาก A History of South – East Asia by D.G.E. Hall โดย คุณวรุณยุพา สนิทวงศ ณ อยุธยา และคนอื่น ๆ. กรุงเทพฯ: มูลนิธิ โครงการตําราสังคมศาสตรและมนุษยศาสตร, ๒๕๒๒. Coedis. George. Inscriptions du Cambodge.Vols II. Hanai :ImprimericD’Extremeorient, 1937.
5
ไตรภูมิฉบับหลวง : พระราชมรดกทางภูมิปญญาอันทรงคุณคา “นมตฺถุ พระพุทธศักราชลวงแลวได ๒๓๒๕ พระวัสสา ปขาล จัตวาศก เดือน ๕ แรม ๙ ค่ํา วัน เสาร สมเด็ จ บรมนาถพระบาทบพิ ต รพระเจ า อยู หัว ปรมธรรมิ ก ราชาธิ ร าชผู ป ระเสริ ฐ ได ผ า นพิ ภ พ ปราบดาภิเษกเอกไอสุริยมไหสมบัติในกรุงเทพมหานครบวรอยุธยามหาดิลกพิภพนพรัตนราชธานีบุรีรมย อุดมราชมหาสถาน ทรงพระราชศรัทธาปรารถนาพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ ตั้งพระหฤทัยทํานุบํารุงพระ บวรพุทธศาสนาใหรุงเรืองบมิไดล ะเลยในการที่จะบํารุง พระพุท ธศาสนาทรงบริจาคพระราชทรัพยเปนอัน มากกวามาก ทรงสรางพระพุทธรูป พระสถูป พระเจดีย พระวิหาร พระอุโบสถ พระอารามหลวง รจนาไวเพื่อ จะใหเปนที่ไหวที่สักการบูชาแดฝูงเทพยดาแลมนุษยทั้งปวง และพระราชทานจตุปจจัยทั้ง ๔ แลนิจภัตคิลานภัต แกภิก ษุส งฆทั้ง ปวง เพื่อจะใหเ ปนกําลัง บอกกลาวเลาเรียนบําเพ็ญ เพียรในฝายคันถธุร ะแลวิปส สนาธุร ะ ปรารถนาจะยังภิกขุสงฆสามเณรทั้งปวงใหยิ่งดวยสีลคุณและสมาธิคุณปญญาคุณ จะใหเปนรากเปนเหงาแหง พระพุทธศาสนา ทรงพระราชศรัทธาและพระราชอุตสาหะในกองการกุศลมีกําลัง” ขอความขางตนนั้น ปรากฏอยูในคําปรารภการแตงพระคัมภีรไตรภูมิโลกวินิจฉัยๆ นี้ ถือวาเปน พระราชมรดกทางภูมิปญ ญาชิ้นสํา คัญ ชิ้นหนึ่ ง ที่พระบาทสมเด็จ พระพุท ธยอดฟาจุฬาโลกมหาราชทรง พระราชทานใหแกชนชาวสยามหรือคนไทยทั้งประเทศ พระคัมภีรไตรภูมิโลกวินิจฉัยนี้ เปนคัมภีรที่สมบูรณดวย สรรพวิทยาการทุกอยาง ทั้งทางโลกและทางธรรม ในทางโลกนั้นมีความรูตางๆ ทั้งภูมิศาสตร ประวัติศาสตร ธรณีวิท ยา อุทกวิท ยา สัตววิท ยา พฤกษศาสตร เกษตรกรรม สถาปตยกรรม ศิลปะ และโดยเฉพาะความรู ทางดานวิทยาศาสตรที่สามารถพิสูจนไดดวยหลักวิทยาศาสตรในปจจุบัน ในทางธรรมนั้น ก็ประมวลหลักธรรม ตางๆ ไวเปนจํานวนมาก ตั้งแตขั้นพื้นฐานระดับศีลธรรม ไปจนถึงขั้นโลกุตรธรรมอันเปนหลักธรรมสูงสุดทาง พระพุทธศาสนา คือทําใหผูป ฏิบัติตามสามารถดับ ทุกขไดอยางเด็ดขาด ฉะนั้น ถาผูใดไดพบไดอานหนังสือ คัมภีรไตรภูมิโลกวินิจฉัยนี้ ก็ตองถือวาเปนคนโชคดีโดยแท เหมือนไดพบขุมทองทางปญญาขุมใหญทีเดียว หนังสือไตรภูมิโลกวินิจฉัยนี้ มีชื่อเรียกกันหลายอยาง เรียกวา เตภูมิกถาบาง เรียก ไตรภูมิกถา บาง ไตรภูมิวินิจฉยกถาบาง ไตรภูมิโลกวินิจฉัยบาง ไตรโลกวินิจฉยกถาบาง ไตรโลกวินิจฉัยบาง แตที่นิยมเรียก กันสวนใหญวา ไตรภูมิฉบับหลวง หนังสือไตรภูมิฉบับหลวงหรือไตรภูมิโ ลกวินิจฉัยนี้ พระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟาจุฬาโลก มหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกลาฯ ใหคณะสงฆซึ่งมีสมเด็จพระสังฆราชเปนประธาน และเหลานักปราชญราช บัณฑิตพฤฒาจารยชวยกันแตง ขึ้นถวายครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๖ เมื่อแตงเสร็จ แลว ไดทูล เกลาถวาย เมื่อ พระองคทรงอานตรวจดูแลว ทรงพระราชดําริวา ขอความไมเปนแนวเดียวกัน สํานวนก็ไมสม่ําเสมอ สวนที่ยอก็ ยอเกินไป ไมสมดวยพระบาลีและอรรถกถา ตอมาถึงป พ.ศ. ๒๓๔๕ ทรงมีพระราชดําริที่จะปรับปรุงแกไขพระ คัมภีรไตรภูมิโลกวินิจ ฉัยใหดียิ่งขึ้น จึง ทรงพระกรุณาโปรดเกลาฯ ใหพระยาธรรมปรีชาจางวางราชบัณฑิต เจากรมอาลักษณเปนแมงานในการปรับปรุงแกไข ดังปรากฏหลักฐานในคําปรารภเรื่องไตรภูมิกถาตอนหนึ่งวา “ครั้นอยูมา ณ ปจอ จัตวาศก ทรงพระราชปรารภดวยพระญาณปรีชาวา ไตรภูมิกถาที่แตงไวนั้น ปนแจกแยกกันแตงเปนสวนๆ ความไมเสมอกัน ขึ้นๆ ลงๆ กวากันอยูเปนอันมาก ที่ยังวิปลาสคลาดเคลื่อนวา เนื้อความไมสมดวยพระบาลีและพระอรรถกถานั้นก็มี ถาแตงขึ้นใหมใหเปนคารมเดียว ชําระดัดแปลงเสียใหดี ใหสมดวยพระบาลีและอรรถกถามหาฎีกาและอนุฎีกา ที่ไหนยังเปนสังเขปกถายนยออยูนั้นแตงเพิ่มเติมเขาให พิสดาร จะไดเปนธรรมทานอันล้ําเลิศประเสริฐ เปนที่เกิดกองการกุศลใหสําเร็จผลและประโยชนแกผูอานและ 6
ผูฟงนั้นเปนอันมากกวามาก ทรงพระราชดําริดวยพระญาณสัมปยุต กามาพจรกุศลเจตนาดังนี้แลว ครั้นถึงวัน อัฏฐมีอุโบสถศุกลปกษเดือน ๑๑ เสด็จออกพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ถวายสังฆภัตทานแกพระภิกษุสงฆ มีองค พระปฏิมากรเจาเปนประธาน แลวจึงมีพระราชโองการดํารัสสั่งพระยาธรรมปรีชา จางวางราชบัณฑิต จะให ชําระดัดแปลงไตรภูมิกถาอยางพระราชดํารินั้น พระยาธรรมปรีชาจึงกราบทูลพระกรุณาขอเอาพระพุท ธ โฆษาจารยเปนผูชวย พระธรรมอุดมเปนผูสอบ สมเด็จพระสังฆราชาธิบดีเปนที่ปรึกษาไถถามขอความที่สนเทห สงสัย แรกจับการชําระดัดแปลงแตงไตรภูมิกถาครั้งนี้ ปจอ จัตวาศก เดือนอาย แรม ๘ ค่ํา วันศุกร เพลาบาย ๔ โมง พระพุทธศักราชศาสนาลวงแลว ๒๓๔๕ พระวัสสา เศษสังขยา ๖ เดือน กับ ๒๒ วันโดยกําหนด” พระคัมภีรไตรภูมิโลกวินิจฉัยที่พระยาธรรมปรีชาจางวางราชบัณฑิตทําการปรับปรุงแกไขนั้น เปน ฉบับพิสดาร เปนคัมภีรใบลานถึง ๖๐ ผูก โดยแบงเปน ๓ บั้นหรือ ๓ ภาค บั้นตนจํานวน ๒๖ ผูก บั้นกลาง ๑๖ ผูก และบั้นปลายจํานวน ๑๘ ผูก รวมทั้งสิ้น ๖๐ ผูก เมื่อถายถอดออกเปนอักษรไทยแลว พิมพดวยกระดาษ A 4 จะไดประมาณ ๑,๑๑๔ หนา พระคัมภีรไตรภูมิโลกวินิจฉัยฉบับที่ถายถอดและนํามาวิเคราะหนี้ จารดวย อักษรขอม ภาษาบาลีและภาษาไทย เสนอักษรเปนเสนจาร ฉบับลองชาด รวมทั้งสิ้น ๖๐ ผูก แตเนื่องจากที่ หอสมุดแหงชาตินี้ ไมพบฉบับที่สมบูรณแมเพียงฉบับเดียว จึงตองนําคัมภีรจํานวน ๘ ฉบับมาถายถอด จึงได เนื้อความครบถวน และพิจารณาเอาฉบับที่มีเนื้อความตอเนื่องกันเทานั้น นาสลดใจที่พระคัมภีรไตรภูมิโลก วินิจฉัย เปนเอกสารสําคัญชิ้นหนึ่งทางวรรณกรรมในยุครัตนโกสินทร เทียบไดกับไตรภูมิพระรวงในยุคสุโขทัย แตกาลเวลาลวงไปเพียงสองรอยกวาป ตนฉบับที่สมบูรณก็แทบหาไมไดแลว ในการนําเสนอครั้งนี้ จะนําเสนอทางดานภาษาศาสตรและเกร็ดความรูบางอยางซึ่งคิดวาจะเปน ประโยชนแกผูอาน ทางดานภาษาศาสตรนั้น จะวิเคราะหการยืมคําภาษาบาลีมาใชในภาษาไทยซึ่งปรากฏอยูใน พระคัมภีรไตรภูมิโลกวินิจฉัย สวนเกร็ดความรูนั้น จะนําเสนอเรื่องสังคมมนุษยชาวอุตตรกุรุทวีปที่เรานาจะเอา แบบอยาง แตจะนําเสนอดวยวาจาในวันสัมมนา เนื่องจากหนังสือมีเนื้อที่จํากัด วิเคราะหการยืมคําภาษาบาลีมาใชในภาษาไทยจากพระคัมภีรไตรภูมิโลกวินิจฉัย ในขณะถ ายถอดต นฉบั บ จากอั ก ษรขอมสูอัก ษรไทยนั้ น ไดพ บการยืม คําภาษาบาลี ม าใช ใ น ภาษาไทยเปนจํานวนมาก ที่สําคัญพบวาการใชคําศัพทในสมัยรัตนโกสินทรตอนตนนั้น ตางจากการใชคําศัพท ในสมัยปจจุบันมาก การใชคําศัพทในสมัยนั้น จะใชคําภาษาบาลีโดยตรง มีคําเปนจํานวนมากที่ใชในสมัยนั้น ปจจุบันเปลี่ยนมาใชคําสันสกฤตแทน ทําใหทราบถึงวัฒนาการการใชภาษาของคนไทยที่เปลี่ยนแปลงมาโดย ตลอด จะยกตัวอยางการใชคําศัพทและตัวอยางอักษรขอมจากพระคัมภีรไตรโลกวินิจฉัยมาใหดูพอเปนแนวทาง การศึกษาแกผูสนใจ ดังตอไปนี้ ตัวอยาง อักษรขอม
ยุคตนรัตนโกสินทร คําถายถอด คําอาน กมฺม กัมมะ กิตฺติ กิตติ กิตฺติสทฺท กิตติสัททะ กุสล กุสล จกฺกวาฬ จักกวาฬ จกฺขุ จักขุ
ภาษา บาลี “ “ “ “ “ 7
ยุคปจจุบัน การใชคํา ภาษา กรรม สันสกฤต เกียรติ “ เกียรติศัพท “ กุศล “ จักรวาล “ จักษุ “
ตัวอยาง อักษรขอม
คําถายถอด ติตฺถี ทสฺสน ทิพฺพ ธมฺม ธมฺมตา นิราสฺส บริกมฺม ปณฺณสาลา ปริสชฺช ปุตฺต ภิกฺขุ มคฺค มนุสสฺ วณฺณ สตฺตู สทฺธา สพฺพ สนฺนิฏฐาน สามาตฺถ สาลา สิลา สีล สีส สูล เสฏฐี โหราสาตฺถ อาสม อตฺถ
ยุคตนรัตนโกสินทร คําอาน ติตถี ทัสสนะ ทิพพะ ธัมมะ ธัมมดา นิราส บริกมั ม ปณณสาลา ปริสัชชะ ปุตตะ ภิกขุ มัคค มนุสส วัณณะ สัตตู สัทธา สัพพะ สันนิฏฐาน สามาตถ สาลา สิลา สีล สีสะ สูล เสฏฐี โหราสาตถ อาสม อัตถะ
ภาษา บาลี “ “ “ “ “ “ “ “ “ “ “ “ “ “ “ “ “ บาลี “ “ “ “ “ “ “ “ “
ยุคปจจุบัน การใชคํา ภาษา เดียรถีย สันสกฤต ทัศนะ “ ทิพย “ ธรรม “ ธรรมดา “ นิราศ “ บริกรรม “ บรรณศาลา “ บริษัท “ บุตร “ ภิกษุ “ มรรค “ มนุษย “ วรรณ “ ศัตรู “ ศรัทธา “ สรรพ “ สันนิษฐาน “ สามารถ สันสกฤต ศาลา “ ศิลา “ ศีล “ ศีรษะ “ ศูล “ เศรษฐี “ โหราศาสตร “ อาศรม “ อรรถ “
ตามตัวอยางที่ยกมานีเ้ ปนเพียงเศษเสี้ยวของการใชจริง อาจกลาวไดวาในยุคตนกรุง รัตนโกสินทรนั้น มีการยืมคําศัพทในภาษาบาลีมาใชเปนจํานวนมาก เมื่อกาลเวลาลวงมาถึงปจจุบันนี้ บางคําก็ 8
ถูกเปลี่ยนไปใชคําศัพทสันสกฤตแทน บางคําศัพทก็ถูกดัดแปลงใหเปนคําไทย แตบางคําทีเ่ คยใชในพระคัมภีร ไตรภูมิโลกวินจิ ฉัยในตนยุครัตนโกสินทร ปจจุบันก็ยงั คงใชอยู คําบางคําที่ถูกเปลี่ยนไปใชคําศัพทสันสกฤตแทน (ดูตัวอยางจากดานบน) คําศัพทบางคําก็ถูกดัดแปลงใหเปนคําไทยจนบางครั้งก็ดูไมออกวามีรากศัพทมาจากคําภาษาบาลี เชน คําวา บรรจง พบการเขียนในพระคัมภีรไตรภูมิโลกวินิจฉัยวา (บัญจงค) คําๆนี้มาจากภาษาบาลี วา ปญจ กับ อังค ใชวิธีสนธิ คือตอศัพทเปน ปญจังค แปลวาประกอบดวยองคหา เลียนแบบคําวา เบญจางค คือไหวอยางนอบนอมประกอบดวยองคหา สวนคําวา บัญจงค นี้ไมไดแปลตามตัว แตหมายถึง ทําอะไรดวย ความประณีตหรือตั้งอกตั้งใจทํา เดิมทีคงใชกันอยางนี้ ตอมาตัดตัว ค ออก เปน บัญจง ตอมาเปลี่ยนตัว ญ เปน ตัว น มีรูปคําเปน บันจง ในปจจุบันไดเปลี่ยนตัว สระ อะ กับตัว น ใหเปน ร หัน คือใชตัว ร สองตัวเปน บรรจง เพื่อใหดูสวยงามเหมือนคําสันสกฤต มีคําเปรียบเทียบ เชน คําวา กรรไกร เดิมทีเขียนวา กันไตร ตอมาเปลี่ยน ไมหันอากาศกับตัว น เปน ร สองตัว เปน กรรไตร แลวตอมาจึงเปลี่ยนตัว ต เปนตัว ก จึงเปน กรรไกร อยาง ทุกวันนี้ หรืออยางคําวา บรรจถรณ เดิมมาจากคําภาษาบาลีวา ปจฺจตฺถรณ ซึ่งแปลวา เครื่องลาดหรือที่นอน ภายหลังตัดตัว ต ออกเปน ปจจถรณ ตอมาเห็นวา ปจจถรณ ไมคลองปากคนไทย ฟงไมเพราะจึงเปลี่ยนสระ อะ กับตัว จ เปน ร หัน แลวเติมไมทัณฑฆาตบนหัวตัว ณ จึงเปน บรรจถรณ เปนตน ปกติคนไทยเราจะนําคําจากภาษาบาลีห รือสันสกฤตมาใช เรามัก จะตัดโนน ตอนี้ เพื่อใหคํา สละสลวย กลมกลืน เหมาะกับการพูดของคนไทย อยางเชน คําวา รัฐบาล เดิมทีเปนคําภาษาบาลี ๒ คํา คือ รฏฐ + ปาล (แปลวา ผูคุมครองแวนแควนหรือผูดูแลบานเมือง) เวลาเราจะเอามาตอกันเพื่อใชพูดในภาษาไทย เราก็ตัดตัว ฏ ออกเหลือแต ฐ จึงเปน รัฐ + ปาล เปน รัฐปาล แลวแปลง ป เปน บ จึงเปน รัฐบาล หรืออยางคํา วา บงกช ซึ่งเราแปลกันวา ดอกบัว นั้น ก็มาจากคําภาษาบาลี ๒ คํา คือ คําวา ปงฺก (เปอกตม) + ช (เกิด) เปน ปงฺกช (เกิดจากเปอกตม) แลวแปลง ป เปน บ จึงเปน บงกช และคําเดียวกันนี้แหละ เราตัดเอาเฉพาะตัวหลัง มาใชเปน กช แลวเอาไปตอกับคําอื่น เชน กร เปน กชกร แปลวาทํากระพุมมือเหมือนดอกบัว หรืออยางคําวา บรรทัด นี้ก็สันนิษฐานวามาจากคําบาลีวา ปทัฏฐาน (เหตุใหถึง ความสําเร็จหรือที่ตั้ง ของความสําเร็จหรือ แนวทางใหถึง) คํานี้อานวา ปะ – ทัด – ถาน เราตัดเอาแตคําหนา ปทัฏ มาแลวเปลี่ยนสระ อะ ที่ตัว ป ใหเปน ร หัน แลวแปลง ฏ เปน ด จึงเปนบรรทัด อีกคําหนึ่งที่พบในพระคัมภีรไตรภูมิโลกวินิจฉัย คือคําวา สบาย เขียน เปนคําภาษาบาลีโดยตรงวา (สปฺปาย = ความพอเหมาะพอดี) ปจจุบันเราเอามาดัดแปลงใชโดย ตัดตัว ป ขางหนาออกตัวหนึ่งแลวแปลงตัว ป ขางหลังใหเปนตัว บ จึงเปน สบาย เปนตน คําศัพท ภาษาบาลีจํานวนมากที่เคยใชในพระคัมภีรไตรภูมิโลกวินิจ ฉัยในตนยุครัตนโกสินทร ปจจุบันก็ยังคงใชอยู เชน คําวา ทุกข เวทนา ชาติ บาป ทารุณ เวร อาฆาต เสนา โยธา ยุทธภูมิ ผล นรก นาม นที โยชน กาย โลหิต ตาล ทวาร อาการ บริโภค ปจจัย นัย สาหัส อาหาร ฯ ล ฯ เปนตน แตคําบางคําที่พบวา เขียนตามคําอานในยุคนั้น ปจจุบันเราไดมาดัดแปลงแกไขใหมเพื่อใหถูกตองตามหลักภาษานั้นๆ บาง เพื่อใหดู สวยงามบาง เพื่อใหเหมาะกับการพูดของคนไทยเราบาง เชนคําดังตอไปนี้ ตัวอยาง อักษรขอม
ยุคตนรัตนโกสินทร การเขียน ภาษา จักกรพัตติ บาลี ชนมายุศม บาลี+สันสกฤต แตกตฤน ไทย โตมอน บาลี 9
ยุคปจจุบัน การเขียน ภาษา จักรพรรดิ สันสกฤต ชนมายุ บาลี แตกตื่น ไทย โตมร บาลี
ตัวอยาง อักษรขอม
ยุคตนรัตนโกสินทร การเขียน ภาษา นามกอน “ เนยยนา “ บริบรู รณ สันสกฤต ผาสุข บาลี พรราชโอรถ บาลี ไพโทรท สันสกฤต มริคค “ รัศะหมี “ ศัตรี “ สีลปรสาท บาลี+สันสกฤต อกษรพิศม สันสกฤต อัชฌาไศรย บาลี อัปปหยด สันสกฤต
ยุคปจจุบัน การเขียน ภาษา นามกร “ นัยนา “ บริบรู ณ สันสกฤต ผาสุก บาลี พระราชโอรส บาลี ไพโรจน สันสกฤต มฤค “ รัศมี “ สตรี “ ศิลปศาสตร “ อสรพิษ “ อัชฌาสัย บาลี อัปยศ สันสกฤต
คําบางคําที่ใชภาษาไทยปจจุบันนี้ ถาไมบังเอิญพบที่มาของศัพทก็ไมสามารถรูไดเลยวา คําศัพท นั้นมีที่มาอยางไร เชนคําวา พยาน เรารูกันโดยทั่วไปวา หมายถึงบุคคลผูรูเห็นเหตุการณแลวมาใหการในชั้น ศาล แตเราไมรูวาคําๆ นี้เปนคําภาษาอะไร มีความเปนมาอยางไร เผอิญไดพบในพระคัมภีรไตรภูมิโลกวินิจฉัย ตอนวาดวยเรื่องสอบสวนคดีบอกวาใหนํา ผูญาณ ( ) มาใหการ ทําใหรูทันทีวา คําวา พยาน นี้ เพี้ยน มาจากคําวา “ผูญาณ” นี่เ อง คําๆ นี้แปลวา ผูรู เปนคําไทยผสมคําบาลี ตอมาคําวา ผู เพี้ยนเปน พ เปน พญาณ เมื่อฟงกันตอๆ มาโดยไมรูรากศัพทก็ทําใหเกิดการเขียนผิดจาก ผูญาณ เปน พญาณ แลวเปน พยาน ใน ที่สุด คํ า บางคํ า ซึ่ ง ในป จ จุ บั น แทบจะไม มี ผู ใ ช ห รื อ ไม มี ผู รู เช น คํ า ว า ทั บ (กระท อ ม) สะพัก (ยกขึ้น,ยกแขนขึ้น) โพล (ภาชนะชนิดหนึ่ง สําหรับใสเสบียงกรังและของใชตาง ๆ เชน ขาวสาร เสื้อผา ประอบดวยกระชุ ๒ ใบ สานเปนตาชะลอม กรุดวยกาบไผกระชุนั้นผูกติดกับคันซึ่งทําเปน ขา ๒ ขา สวนบนไขวกัน มีหูสําหรับสอดไมคานเพื่อหาบไป ดานบนมีกัญญาซึ่งสานดวยไมไผเปนตาชะลอมแลว กรุดวยใบไมผูกติดกับคันสําหรับกันแดดกันฝน) แสลม (กลมเรียว). ขยูขยี้ (กระจองอแง) มึก (ดื่มเหลาจนเมา) ระวาดระไว (พอดี ไมสูงไมต่ํา) เปนตน คําวา ระวาดระไว นี้ปรากฏในตอนนางอลัมพสาทําลายตบะของฤาษีอิสิสิงคะ ๆ พบนางแลวเกิด ความพึงพอใจ จึงพรรณนาถึงความงามของนาง ซึ่งเนื้อความตอนนี้ มีการใชสํานวนภาษาและอุปมาที่ไพเราะ มาก ดังจะยกตัวอยางมาใหดู ดังนี้ “นางอลัมพสาเทพยกัลยากราบทูลฉะนี้แลว ก็เขาไปในหองสิริไสยาสน ตกแตงประดับองคดวย ทิพยอลังการแลว ก็ลงมาสูสํานักอิสิสิงคะดาบส ในเพลาอรุโณทัย ขณะนั้นอิสิสิงคะดาบสถือตราดกวาดศาลา โรงไฟอยู นางอลัมพสาจึงขึ้นไปยืนในเบื้องหนา สําแดงกายใหปรากฏ พระดาบสเห็นโฉมนางเทพยธิดาก็มียินดี ปรีดาเปนกําลัง ตั้งสติไวบมิได เขาใจอยูวาหญิงแลว แตทวาลุอํานาจแกความประมาทลักลวงเสียซึ่งโอวาทที่ พระดาบสบิดาสั่งสอนไว จึงออกวาจาปราศรัยดวยนางอลัมพสาวา 10
“กา นุ วิชฺชุริวาภาสิ ดังเราถาม ทานนี้เปนเทพยดาหรือมนุษย กายแหงทานนี้บ ริสุทธิ์ผองใส ไพโรจน เปรียบประดุจขวานฟาแลดาวประกายพรึกอันสุกชวงโชติในอัมพรประเทศ วิถีเครื่องอาภรณประดับ หัตถแลกุณฑลแกวมณีที่ทานประดับมาบัดนี้ มีรัศมีรุงเรือง เปรียบประดุจรัศมีพระสุริยเทพบุตรเมื่อเสด็จอุทัย เหมจนฺทนคนฺธีนิ แกนจันทอันเปนเครื่องลูบไลชโลมกายแหงทานนี้มีสีดัง สีทอง สงกลิ่นหอมอยูรวยรินมโน ภิรมย สฺญครุ ทานนี้มีเพลาทั้งสองกลมอุดมดวยลักษณะไมมีที่ติ เปนกุมารีมีสิริมากไปดวยมายา จารุทสฺสนา งามไปดวยจริตกิริยาควรจะทัศนาการยิ่งพิศยิ่งงามเลหจะทําขวัญตา วิณกา มุทุกา สุทฺธา ทานนี้มีทามกลาง องคนอยมังสะออนเจริญอยูในสุข มีฉวีวรรณบริสุทธิ์ปราศจากมลทิน ปาทา เต สุปติฏฐิตา เทาแหงทานนี้ ประดิษฐานลงเหนือพื้นนั้นเสมอกัน ขณะเมื่อยกยางดําเนินนั้นประกอบดวยสิริวิลาศ ควรจะเปนที่ปรารถนา ควรจะเปนที่ยินดีปรีดายิ่งนัก หรนฺติ เยว มโน แตเทาแหงทานนี้ก็อาจจะยั่วยวนชวนชักจิตแหงเราใหพิศวงได อนุปุพฺโพ อูรุ ทานนี้มีลําเพลาเรียวลงไปโดยลําดับ ไมกิ่วไมคอดงามตลอดทั้งเบื้องตนแลเบื้องปลาย เปรียบ ประดุจงวงไอยรา ไมมีที่บกพรอง วิมฏฐา ตระโพกแหงทานนี้ผึ่งผายแลดั่งแผนกระดานสกาทองงามจับจิต เมื่อ เราเพงพิศนาภีแหงทานนี้มีสัณฐานงามเปรียบประดุจดอกนิลุบลอันเบิกกลีบ แยมผกา มิฉะนั้น เปรียบประดุจ ดอกอัญชันอันเขียวขํา ปรากฏแตไกล อปติตา ปโยธรา ปโยธรแหงทานนี้มิไดคลอยลงเบื้องใต คัดเครงเปลง ปลั่ง กลมประดุจ ผลน้ําเตาทองที่ก ลม อุดมดวยสิริ แลสัณฐานทั้งสองเสมอกันทั้ง เตาซายแลเตาขวา อุรชา บังเกิดในอุระประเทศเปนคูเคียงบมิไดหาง โอภาสดวยรัศมีสีสองสวางอยางสีทองทิพยพิเศษสุดงามประโลมจิต ใหพิศวง คีวา เอเณยฺยกาย ลําศอแหงทานนี้สูงระหงกลมงามดังคอมฤคชาติเนื้อทราย ดูไหนงามนั้น ปณฺฑ ราวรณา ริมโอฐกับชิวหานี้แดงเสมอกัน แดงดังแสงแกวประพาฬ อุทฺธตฺตา อจตฺตา ฟนแหงทานทั้งเบื้องบน แลเบื้องต่ํานั้นดําบริสุทธิ์ ดําเปนแสง ชิฺชกผลสนฺนิภา ริมไรฟนนั้นแดงเปรียบประดุจผลหมากกล่ํา ดูงาม พิเศษ ดวงเนตรแหงทานนี้วิจิตรไปดวยประสาท ๕ ประการ คือที่ควรจะขาวนั้นก็ขาวบริสุทธิ์ ขาวสะอาด ที่ควร จะแดงก็แดงยิ่งกวาแตมชาดแตมกล่ํา ที่ควรจะเขียวก็เขียวล้ํา ที่ควรจะดําก็ดําสนิท ที่ควรจะเหลืองก็อรามเรือง พิจิตรดังสีทอง จักษุทั้งสองนั้นงามไปดวยสัณฐานยาวแลกวางอยางสิงหบัญชรในทิพยพิมานที่เปดไว นาติทีฆา รูปทรงแหงทานนี้ระวาดระไว ไมสูงนักไมต่ํานัก พอควรประมาณ สุสมฏฐากนกพฺยา เบื้องปฤษฎางคแหงทานนี้ เปรียบดังแผนกระดานทองที่ชําระแลวเปนอันดี อุตฺตมงฺครุหา กลุมเกศแหงทานนี้ดําเปนแสงสีล้ํามณีนิล สง กลิ่นหอมฟุงดังกลิ่นจันท ยาวตา กสิโครกฺขา แตบรรดาสัตวที่กระทํานารักษาสวนเลี้ยงชีวิต แตบรรดาสัตวที่ เปนพานิชเที่ยวซื้อขายนั้นก็ดี อิสินฺจ ปรกฺกนฺตํ แตบรรดาฤาษีในปาพระหิมพานที่บําเพ็ญเพียรพิธีฌานเจริญ ศีลตบะนั้นก็ดี แตบรรดาสัตวที่เที่ยวอยูในภูมิกมณฑลนี้มีมากนอยเทาใด เราพิจารณาไปนี่ไมเห็นเลยที่ผ ูใดผู หนึ่งจะงามเสมอทาน ๆ นี้ชื่อไร เปนบุตรของใคร ไฉนเราจึงจะไดรูจักทาน” “น ปฺหกาโล ภทฺทนฺเต ขาแตพระผูเปนเจา ผูเปนกัสสปะโคตร ผูเปนเจาอยากลาวเปนปริศนา ไปเลย ถาจิตประหวัดปฏิพัทธในขาพเจาแลว ก็มาเถิด มาไปอาศรมศาลาดวยกัน” นางอลัมพสากลาววาจา ดังนั้นแลวก็กระทําเปนเดินหนี อิสิสิงคดาบสก็แลนไปมะนิมมะนาควาเอากลุมเกศ นิวตฺติตฺวา นางอลัมพสาก็ กลับหนามาสวมกอดอิสิสิงคดาบสเขาไว ฌานตบะแหงอิสิสิงคดาบสก็อันตรธานเสื่อมสูญไปในขณะนั้น ครั้น ฌานเสื่อมแลวก็สิ้นสติดวยสามารถทิพยสัมผัส ก็หลับสนิทปราศจากสัมปฤดี” คําวา ลําเพลา ในตัวอยางขางบนที่วา “อนุปุพฺโพ อูรุ ทานนี้มีลําเพลาเรียวลงไปโดยลําดับ ไมกิ่ว ไมคอดงามตลอดทั้งเบื้องตนแลเบื้องปลาย เปรียบประดุจงวงไอยรา ไมมีที่บกพรอง” นั้น นาจะแปลวาขาหรือ ลําขา ที่รูเพราะมีภาษาบาลีกํากับอยูวา อูรุ ๆ คํานี้แปลวา ขา ซึ่งหมายความวาผูห ญิง คนนี้ มีลําขาที่เ รียว สวยงามมาก ซึง่ ทานเปรียบดวยงวงชางที่เรียวลงมาตามลําดับตั้งแตโคนจรดปลาย และไมมีขอตอ ซึ่งการยก อุปมาเปรียบเทียบของทานแตละแหงชางไพเราะและมองเห็นภาพไดชัดเจน 11
วิเคราะห : คัมภีรเกาเลาเรื่องวัดทองนพคุณ ประวัติวัดทองนพคุณ วัดทองนพคุณ เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร เปนวัดเกาแกที่เชื่อกันวามีมาแตสมัยกรุงศรี อยุธยาตอนปลาย ชาวบานเรียกวา วัดทองลาง เพราะอยูดานลางของสายน้ําตามลําแมน้ําเจาพระยา สวน วัดทองบน คือวัดทองธรรมชาติ ในปจจุบัน วัดทองนพคุณ เปนพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ ตั้งอยูบนถนนสมเด็จเจาพระยา แขวง คลองสาน เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร วัดแหงนี้ยังไดขนึ้ ทะเบียนเปนโบราณสถานโดยกรมศิลปากร เดิมชื่อวัดทองลาง ไมทราบชัดวาใครเปนผูส ราง แตคาดวาสรางขึ้นสมัยอยุธยาตอนปลาย ตอมาพระยาโชฎึก ราชเศรษฐี (ทองจีน) ไดเปนผูบ รู ณะซอมแซม และถวายใหเปนพระอารามหลวงในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่ง เกลาเจาอยูห ัว และบูรณปฏิสงั ขรณใหญอีกครั้งในสมัยรัชกาลที่ ๔ (วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี) ลําดับความเปนมาในการอนุรักษ จัดทําทะเบียน วัดทองนพคุณ มีหนังสือขอความอนุเคราะหถึงสํานักหอสมุดแหงชาติ เมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ใหจัดสงเจาหนาที่เขาดําเนินการตามหลักวิชาการ เพื่อดูแลรักษาคัมภีรใบลานใหมอี ายุยาวนานสําหรับ การศึกษาคนควาหาความรูตอๆไป จากนั้น กลุมงานสํารวจเอกสารโบราณดําเนินการ โดยสํารวจเบื้องตน เมื่อ วันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๙ เพื่อประเมินปริมาณงาน และทําแผนการดําเนินงานเสนอตออธิบดีกรมศิลปากร เขาปฏิบัติงาน เมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๙ - ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ เปนเวลา ๕ เดือน จัดระบบคัมภีรใบ ลาน ตามหลักวิชาการเพือ่ บริการศึกษาคนควา ทั้งสิ้น ๑,๙๐๐ เลขที่ ๗๘๒ มัด จํานวน ๑๓,๒๐๐ ผูก/รายการ ขั้นตอนการปฏิบัติงานภาคสนาม แหลงเอกสารโบราณ วัดทองนพคุณ ขนยาย-คัดแยกคัมภีรชํารุดพลัดผูก ทําความสะอาด แยกหมวดหมู ประเภทอักษร-ภาษา
เรียงอังกา-อาน วิเคราะหชื่อเรื่อง
ใหชื่อเรื่อง-แบบฉบับ ตามหลักวิชาการ
ลงทะเบียนใหรหัส เลขที่
บันทึกขอมูล ภาคสนาม
เขาชุดคัมภีรทําให เปนมัด
ประทับตราวัด-เขียนเลขประจําผูก เขาไมประกับ-เขียนปายหนามัดหอ/มัดคัมภีร จัดเก็บในตูพระธรรม ดูแลปองกันแมลง 12
มัด/หอคัมภีรที่ชํารุด พลัดผูก
การวิเคราะหหมวดหมู ชื่อเรื่อง และลงทะเบียน ลงทะเบียนคัมภีรใบลานถือเปนหัวใจของการจัดระบบเพือ่ การสืบคนและเปนสวนสําคัญของการ อนุรักษเอกสารโบราณ ซึ่งมีผลตอการใหบริการทางวิชาการแกประชาชน ในรูปแบบอื่นๆ อีกตอไป ทะเบียนคัมภีรใบลานวัดทองนพคุณนี้ จัดระบบตามแบบการจัดหมวดหมูตามหลักเกณฑการจัด หมวดและเรียกชื่อหนังสือประเภทตัวเขียนทางพระพุทธศาสนา หรือตามหมวดหมูในสายพระไตรปฎกนั่นเอง เนื่องจากคัมภีรใบลานสวนใหญเปนเรื่องหลักธรรมคําสอนในทางพระพุทธศาสนา ซึง่ มีระดับชั้นความสําคัญ ตั้งแต พระไตรปฎก อรรถกถา ฎีกา และอนุฎีกา รวมถึงหลักไวยากรณภาษาบาลีที่เรียกวา สัททาวิเสส เปนตน แผนผังหมวดหมูชื่อเรื่องและทะเบียนคัมภีรใบลานวัดทองนพคุณ หมูเรื่อง เลขที่ มัดที่ พระวินัยปฎก
๑-๙๖
๑-๕๔
พระสุตตันตปฎก
๙๗-๔๒๑
๕๕-๒๕๗
พระอภิธรรมปฎก
๔๒๒-๕๔๙
๒๕๘-๓๕๔
พระวินัย-พระสูตร(เพิ่ม),วิสุทธิมรรค,ปกิณณกะ ,สังคีติกถา,พงศาวดาร,ตํานาน-ประวัติ,สัมภาร วิบาก,ปฐมสมโพธิกถา,โลกศาสตร
๕๕๐-๙๐๙
๓๕๕-๔๖๐
ไวยากรณ,บาลี-เขมร,เสนชุบหมึก, ลานนา,เสนหมึก,ลานกอม
๙๑๐-๑๖๗๘
๔๖๑-๖๕๒
คัมภีรใบลานที่จารระบุปที่สราง ศึกษาอายุสมัยของคัมภีรใบลานวัดทองนพคุณทีป่ รากฏจากการจารระบุปพ ุทธศักราชหรือปจลุ ศักราชที่ผสู รางไดมีศรัทธาสรางไว เพื่อสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาใหครบถวน ๕,๐๐๐ พระวัสสา(ป) ตามคติ ความเชื่อของพุทธศาสนิกชน การจารระบุปท ี่สรางนี้ เปนหลักฐานในเชิงประวัติศาสตรที่สาํ คัญและพิสูจนไดจากการอานอักษร และภาษาที่ปรากฏบนคัมภีรใบลาน อันมีลกั ษณะเปนเสนจาร อยูทสี่ วนตางๆของผูกคัมภีรฯ ทําใหทราบอายุ สมัยไดโดยการนําปปจ จุบันตั้งแลวลบดวยปทสี่ รางคัมภีร ผลตางจากการคํานวณคืออายุของคัมภีรฯ ผูกนั้นๆ อยางไรก็ตาม ยังมีคัมภีรที่ไมปรากฏปทสี่ รางอีกจํานวนมาก คัมภีรที่ระบุปท ี่สรางมีเพียง ๑๐ % ที่เหลือ ๙๐ % ตองทําการพิสจู นโดยการเปรียบเทียบรูปลักษณอักษรกับคัมภีรที่ทราบแนชัดวามีอายุสมัยใด การศึกษาวิจัย ทราบวา จํานวนคัมภีรทั้งหมด ๑๙๐๐ เลขที่ ในจํานวนนี้มี ๑๗๔ เลขที่ ระบุปที่ สรางคัมภีร และในจํานวน ๑๗๔ เลขที่นั้นอายุคัมภีรโดยเฉลีย่ อยูในราว ๑๐๐-๒๐๐ ป อยูในสมัยรัตนโกสินทร เมื่อวิเคราะหตอไปจึงทราบวา คัมภีรจํานวน ๒๓ เลขที่ มีอายุมากกวา ๒๐๐ ป เปรียบเทียบไดตามตาราง ดังนี้ 13
เลขที่ (วท.) ๑๘/๕ ๑๗๒/๙ ๒๕๕/๒ ๒๖๔ ๒๗๙/๓ ๓๕๗ ๓๕๘ ๓๕๙ ๓๘๐ ๓๘๘ ๓๘๙ ๔๒๒ ๘๑๓/๑๑ ๘๑๘ ๘๖๗ ๙๑๔ ๙๕๗ ๙๕๘ ๙๕๙ ๑๐๖๗ ๑๕๘๙ ๑๕๙๑ ๑๖๖๐
ชื่อเรื่อง จตุตถสมันตปาสาทิกา ปาฏิกวัคคปาลิ ทีฆนิกาย พระธรรมบท พระธรรมบท พระธรรมบท คาถาพัน คาถาพัน คาถาพัน พระเวสสันดรชาดก พระเวสสันดรชาดก พระเวสสันดรชาดก หัตถสาร อภิธัมมาวตารวัณณนา มหาวังสะ มาลัยยสูตร โลกนยชาตก กัจจายนมูล วิทัคธมุขมัณฑน วิทัคธมุขมัณฑนฎีกา วิทัคธมุขมัณฑนโยชนา วุตโตทัยโยชนา บทสวดเปลี่ยนวันเดือนป โอวาทานุสาสนี ปวารณาวิธิ
ปที่สราง(พ.ศ.) ๒๓๒๒ ๒๑๖๖ ๒๓๐๔ ๒๓๔๓,๒๓๓๘ ๒๓๓๖ ๒๓๕๐ ๒๓๕๒ ๒๓๔๒ ๒๓๒๖ ๒๒๓๘ ๒๓๓๘ ๒๓๓๑ ๒๒๘๕ ๒๒๖๔ ๒๒๖๑ ๒๓๕๕ ๒๓๓๐ ๒๓๓๐ ๒๓๓๐ ๒๓๒๙ ๒๓๒๐ ๒๓๕๖ ๒๓๔๓
ผูสราง สีกาปู มหาธมฺมราช เณรวัน ยายเงิน ตาชาง จีนสุก กิมลี้ ประสักสีจัน เจานนฺทฺอง นายชู นางสา ประ......... ประจักอินทสร สมีชิม สมเด็จพระมหากษัตริยบรมธัมมิก ราชาธิราช และพระอนุชาธิราช อุบาสิกาทองมาก อุบาสกอู,อุบาสิกาเปา ทานยายทองคํา เจาฟากรมหลวงเทพหริรัก เจาฟากรมหลวงเทพหริรัก เจาฟากรมหลวงเทพหริรัก -
อายุคัมภีร( ป) ๒๓๘ ๓๙๔ ๒๕๖ ๒๑๗,๒๒๒ ๒๒๔ ๒๑๐ ๒๐๘ ๒๑๘ ๒๓๔ ๓๒๒ ๒๒๒ ๒๒๙ ๒๗๕ ๒๙๖ ๒๙๙ ๒๐๕ ๒๓๐ ๒๓๐ ๒๓๐ ๒๓๑ ๒๔๐ ๒๐๔ ๒๑๗
คัมภีรเกาที่สุดของวัดทองนพคุณ ศึกษาวิเคราะหขอมูลเอกสาร ไดตารางเปรียบเทียบอายุคมั ภีรฯ ๒๐๐ ปขึ้นไป ๒๓ เลขที่ ปรากฏ วามีคัมภีรเ กาทีส่ ุดของวัดทองนพคุณตามทีจ่ ารระบุปทสี่ รางไว เรียงลําดับคัมภีรเกาที่สุด ๓ ลําดับ ดังนี้ ๑.คัมภีรใบลาน เลขที่ ๑๗๒/๙ เรื่อง ปาฏิกวัคคปาลิ ทีฆนิกาย อายุ ๓๙๔ ป
“พุทฺธสกฺกราชได ๒๑๖๖ ปกุร”
“มหาธมฺมราช”
“ปาฬิทิฆนิกายปาฏิกวคฺค ผูก ๙”
อักษรขอมสมัยสมเด็จพระเจาทรงธรรม
สรางเมื่อ พ.ศ. ๒๑๖๖ ยุคกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระเจาทรงธรรม เปน คัมภีรฯ ฉบับลองชาด จํานวน ๑ ผูก อักษรขอม ภาษาบาลี เนื้อเรื่องเกี่ยวกับพระสูตรในพระไตรปฎก ที่มีสาระ ขนาดยาว มีปาฏิกสูตร เปนตน กลาวถึงนักบวชเปลือยชื่อปาฏิกบุตร ทาใหพระพุทธเจาแสดงอิทธิปาฏิหาริย เชื่อวา เปนคัมภีรใบลานฉบับหลวงสมัยสมเด็จพระเจาทรงธรรม เนือ่ งจากปกคัมภีรจารคําวา“มหาธมฺมราช” หมายถึงคําที่ยกยองและเฉลิมพระเกียรติของพระองคทานทีเ่ ปนพระราชาผูยิ่งใหญในทางธรรม 14
๒.คัมภีรใบลาน เลขที่ ๓๘๘ เรื่อง พระเวสสันดรชาดก อายุ ๓๒๒ ป
“พุทฺธสกฺกราชได ๒๒๓๘ ปจอฉสก” อักษรขอมสมัยสมเด็จพระเพทราชา “อุปาสกอินฺทสรเปนอุปถมฺภก” “มหาราชปพฺพ ผูก ๑๑”
สรางเมื่อ พ.ศ. ๒๒๓๘ ในยุคกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระเพทราชา เปน คัมภีรฯ ฉบับทองทึบ จํานวน ๑ ผูก อักษรขอม ภาษาบาลี ตอนมหาราช ๖๙ พระคาถา เนื้อเรื่องเกี่ยวกับ ชูชก จูง พระชาลี พระกัณหา ดวยกิริยาโหดรายประหนึ่งสองกุมารคือทาสรับใช ทายสุดพระเจาสญชัยทรงฝนวา จะ มีผูนําดอกบัวสองดอกมาถวาย จากนั้นพระองคก็พบพระชาลี พระกัณหา และไถตัวสองกุมาร พรอมกับยกทัพ ไปรับพระเวสสันดรกลับพระนคร คัมภีรฯ นีร้ ะบุผสู รางวา “อุปาสกอินทสรเปนอุปถัมภก” ๓.คัมภีรใบลาน เลขที่ ๘๖๗ เรื่อง โลกนยชาตก อายุ ๒๙๙ ป
“พุทฺธสกฺกราชได ๒๒๖๑ ปวอฺกสําริทฺธิสกฺก”
“อุปาสกฺกอูแลอุปาสิกาเปาวิปูลฺลสทา ลิกฺขิตฺตํ”
อักษรขอมสมัยสมเด็จพระเจาอยูหัวทาย สระ “โลกเนยฺย ผูก ๖”
สรางเมื่อปพทุ ธศักราช ๒๒๖๑ ในยุคกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระ เจาอยูห ัวทายสระ เปนคัมภีรฯ ฉบับลองชาด จํานวน ๗ ผูก อักษรขอม ภาษาบาลี เนื้อเรือ่ งเกี่ยวกับนิทานคติ ธรรมมีลักษณะเปนชาดกนอกนิบาต เกี่ยวกับอดีตชาติของพระพุทธเจาผูสรางคือ อุปาสกอูและอุปาสิกาเปา เชื่อมโยงคัมภีรเกาเลาเรื่องวัดทองนพคุณ จากการวิจัยคัมภีรใบลานวัดทองนพคุณปรากฏวา พบคัมภีรฯเกาแกในสมัยกรุงศรีอยุธยา ตอนกลางในรัชสมัยสมเด็จพระเจาทรงธรรม(พ.ศ. ๒๑๕๔-๒๑๗๑)(อาณาจักรอยุธยา:วิกิพีเดีย) ซึ่งระบุป พุทธศักราชในการสรางคัมภีรฯ ไวอยางชัดเจน ทําใหอาจสันนิษฐานไดวา วัดทองนพคุณ เปนวัดเกาแกมมี าแต เดิมตั้งแตสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง(พ.ศ.๑๙๙๑-๒๒๓๑) ขอสันนิษฐานนี้มีทมี่ าจากการวิเคราะห ดังนี้ ๑.คัมภีรฯที่พบไมนาจะเปนคัมภีรที่เคลื่อนยายมาจากทีอ่ ื่น แตเปนไปไดอยางมากวาเปนคัมภีรฯ ที่อยูคูกับวัดทองนพคุณมาแตดั้งเดิม เนื่องจากอักษรที่พบเปนอักษรขอมแทบทัง้ สิ้นโดยเฉพาะคัมภีรฯที่เกา ที่สุดของวัดทองนพคุณเปนอักษรขอม ภาษาบาลี และในทางตําราวิชาการพื้นที่ภาคกลางจะพบอักษรขอมเปน สวนใหญ ในเขตพื้นทีอ่ าณาจักรอยุธยาเดิม หมายความวาวัดทองนพคุณอยูในเขตไดรบั อิทธิพลหรือการ 15
แพรกระจายของอักษรขอมโดยปกติไมจําเปนตองมีการเคลือ่ นยายคัมภีรฯอักษรขอมมาแตที่อื่น ซึง่ แนวคิดนี้ มิไดขัดกับหลักประวัติศาสตรแตอยางใด ๒.รองรอยความเจริญรุง เรืองของวัดทองนพคุณตั้งแตอดีตจนถึงปจจุบัน ซึง่ มีใหเห็นเปนประจักษ จากคัมภีรใบลานทีม่ ีอยูเปนจํานวนมหาศาลถึง ๑๓,๒๐๐ รายการ/ผูก และมีความเกาแกอยางนอยสมัย รัตนโกสินทรไปจนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง โดยมีคัมภีรทอี่ ายุ ๒๐๐ ปขึ้นไปถึง ๒๓ เลขที่ ประมาณ ๕๐-๑๐๐ รายการ/ผูก เอกสารโบราณเหลานี้บง บอกถึงความเจริญรุงเรืองในอดีตซึง่ วัดเปนศูนยกลางของ การศึกษาเปนแหลงรวบรวมศิลปวิทยาการตางๆ และเปนแหลงเรียนรูของพระภิกษุสามเณรและชุมชน เมื่อเปนศูนยกลางความเจริญจึงเปนที่รวมของผูคนที่มาศึกษาหาความรูจากที่ตางๆ มีความ จําเปนตามธรรมชาติที่จะตองมีการผลิตตําราหรือคัมภีรร องรับผูคนที่เขามาศึกษาหาความรู ทําใหเกิดการ จําลองคัมภีรฯฉบับตางๆขึ้นเพื่อใหพอเพียงตอความตองการ ในเบื้องตนจึงมีการจําลองคัมภีรฯพระไตรปฎก สืบตออายุพระศาสนาเพื่อการศึกษาหลักธรรมคําสอนในทางพระพุทธศาสนา จึงสอดคลองกับคัมภีรฯ เกาที่สดุ ของวัดทองนพคุณ อายุ ๓๙๔ ป วาดวยคัมภีรฯพระสูตรในพระไตรปฎก(ปาฏิกวัคคปาลิ ทีฆนิกาย) ๓.เปนไปไดวา คัมภีรฯฉบับลองชาด เรื่อง ปาฏิกวัคคปาลิ ทีฆนิกาย จารคําวา “มหาธมฺมราช” เปนคัมภีรฯพระไตรปฎก ฉบับหลวง ทีพ่ ระมหากษัตริยทรงสรางพระราชทานแกวัดที่มีความสําคัญหรือมีพระ ราชประสงคจะถวายตามอัธยาศัย เนื่องจากคัมภีรฯ ฉบับลองชาด ในสมัยเมื่อประมาณ ๔๐๐ ปกอน นาจะมี เทคนิคกระบวนการผลิตที่ประณีตและกรรมวิธีที่ยากและละเอียดออน สามัญชนไมนาจะทําไดอยางประณีต และมีคุณภาพ ยกเวนแตราชสํานักซึ่งมีความพรอมและทําไดดีมีคณ ุ ภาพกวาชาวบาน คัมภีรฯ ฉบับนี้ มีสภาพ สมบูรณและมีส(ี ชาด)สดใส จึงนาจะเปนคัมภีรฯ ฉบับหลวงที่พระองคทรงสราง ดังนั้นวัดทองนพคุณจึงนาจะ เปนวัดที่มมี าแตเดิมตั้งแตสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง พลิกหนาประวัติศาสตรการสรางวัดทองนพคุณ การวิเคราะหคัมภีรใบลานวัดทองนพคุณตามที่กลาวมาแลว ไดแนวโนมในการพลิกโฉมหนา ประวัติศาสตรที่กลาววา วัดทองนพคุณ คาดวาสรางขึ้นสมัยอยุธยาตอนปลาย การคาดการดังกลาวไมมเี อกสารหลักฐานเปนเครื่องบงชี้ ในชั้นหลังสมัยรัชกาลที่ ๓ มีเอกสาร จดหมายเหตุระบุวาพระยาโชฎึกราชเศรษฐี บูรณะซอมแซมแลวถวายใหเปนพระอารามหลวงเทานั้น การวิเคราะหเอกสารคัมภีรใบลานวัดทองนพคุณ จากเหตุผล ๓ ประการขางตน โดยมีหลักฐาน คัมภีรใบลาน เลขที่ ๑๗๒/๙ เรื่องปาฏิกวัคคปาลิ สรางเมื่อ พ.ศ.๒๑๖๖ อายุ ๓๙๔ ป เปนหลักฐานเอกสารชิ้น สําคัญที่นาเชื่อไดวา คัมภีรฯเรื่องนี้ถูกสรางขึ้นมาในขณะที่มวี ัดทองนพคุณอยูกอนแลว ถานับเอาอายุของคัมภีร เปนตนทางของการสรางวัดทองนพคุณ จึงเปนทีป่ ระจักษวา วัดทองนพคุณมีมากอน พ.ศ.๒๑๖๖ สมัยกรุงศรี อยุธยาตอนกลาง ในรัชกาลสมเด็จพระเจาทรงธรรม เปนอยางนอย สรุปคัมภีรเกาเลาเรื่องวัดทองนพคุณ จากการปฏิบัติงานภาคสนามในการสํารวจ อนุรักษ จัดทําทะเบียนเอกสารโบราณประเภทคัมภีร ใบลานวัดทองนพคุณ เก็บขอมูลภาคสนามในสวนที่เปนสาระองคความรู กลับมาทําการศึกษา วิจัย วิเคราะห ขอมูลเหลานั้น ทําใหเกิดผลงานวิจัยซึ่งเปนงานวิชาการอันจะกอประโยชนตอสาธารณชนอยางเปนรูปธรรม ใน กรณีที่ทําวิจัยนี้ สาธารณชนจะไดทราบประวัติวัดทองนพคุณที่เปนนัยที่นาเชื่อถืออีกนัยหนึ่ง ซึง่ ทําใหเกิด ศรัทธาเลือ่ มใสแกประชาชนในความเกาแกของวัดซึ่งนาจะมากกวาประวัติศาสตรเดิมอีกเปนรอยป โดยอางอิง หลักฐานคัมภีรฯ ตามที่ไดวิเคราะหมาเปนลําดับ
16
รําแตงองคทรงเครื่องโขน
รําแตงองคทรงเครื่องเปนการรําที่บรมครูทางนาฏศิลปไทยตองการจะใชตัวละครเปนสื่อ เพื่อถายทอด ใหเห็นถึงภูมิปญญา หรือกระบวนการทางความคิด ในเรื่องของความวิจิตรงดงามไมวา จะเปนกระบวนทารํา เครื่องแตงกาย เพลงรองและดนตรี รวมถึงฝมือของผูแสดง ที่ตองผานขั้นตอนการฝกหัดจนสามารถถายทอดสิ่ง ตางๆ เหลานั้น ออกมาไดอยางวิจิตรบรรจงรวมทั้งยังแสดงใหเห็นความสามารถในการเลียนแบบเครื่องทรงของ พระมหากษัตริย ที่เมื่อนํามาใชในการแสดง จําเปนที่ตองถายทอดความงดงามของเครื่องทรงทั้งหมด แลว นําเสนอออกมาในรูปแบบของบทแตงตัว หรือการแสดงอารมณออกมาของตัวละครดวยความพึงพอใจที่ตนเอง แตงกายไดสวยงาม จึงทําใหเกิดบทรําทางนาฏกรรมขึ้นมากมายหลายบท เชน บทรําลงสรง บทรําชมตลาด และบทรําฉุยฉาย ซึ่งแตละบทมีความหลากหลาย และแตกตางไปตามโอกาสหรือตามเหตุการณที่เกิดขึ้นตาม เนื้อเรื่อง การรําลงสรงเปนการรําเกี่ยวกับการอาบน้ําแตงตัวของตัวละคร ในการแสดงโขน - ละคร ซึ่งประเพณี การอาบน้ํารดน้ํา และสรงน้ําของคนไทยตามความเชื่อ ในอดีตซึ่งไดรับอิทธิพลมาจากความเชื่อทางศาสนา พราหมณ - ฮินดูในเรื่องความสําคัญของน้ําที่มีตอพระมหากษัตริยและใชน้ําในการอาบน้ําเพื่อความเปนสิริ มงคลและเพื่อแสดงความเปนเทวราชาโดยสมบูรณและจากการที่พราหมณเขามาทําหนาที่ทางศาสนาจึงทําให คติความเชื่อเหลานี้ถูกถายทอดมาสูความเชื่อของพระมหากษัตริยไทยจนทําใหน้ําเปนสิ่งสําคัญตอความเปนอยู ของคนไทยทั้งในชีวิตประจําวันในพิธีทางศาสนาและในพระราชพิธีของราชสํานักที่กระทําขึ้นในโอกาสพิเศษ ศาสนาพราหมณ - ฮินดูถือวาแมน้ําคงคาเปนแมน้ําศักดิ์สิทธิ์สามารถที่จะชําระลางบาปใหหมดไปแลวถาตายก็ จะนําศพไปทิ้งลงแมน้ําคงคาเพื่อเปนทางไปสูสรวงสวรรคดวยเหตุนี้น้ํานอกจากจะเปนทรัพยากรธรรมชาติที่มี ความสําคัญตอคนไทยในการดํารงชีวิตและการประกอบอาชีพการเลือกทําเลที่ตั้งเพื่อความอุดมสมบูรณรวมทั้ง การพัฒนาเปลี่ยนแปลงของอารยธรรม ดวยการติดตอคาขายหรือการเจริญสัมพันธไมตรีทางการทูตกับนานา ประเทศโดยใชน้ําเปนเสนทางคมนาคมน้ํายังมีความสําคัญที่เปนเครื่องแสดงถึงการแปรเปลี่ยน ทางสถานภาพ ของบุคคลใหเปนที่ยอมรับของสังคมตามความเชื่อทางศาสนา ประเทศไทยเปนประเทศที่อยูในเขตรอนมีอากาศอบอาวการอาบน้ําจึง กลายเปนเรื่องจําเปนใน ชีวิตประจําวันและเปนความนิยมที่ตองถือปฏิบัติกันทุกครั้งกอนออกจากบานเพื่อไปประกอบภารกิจใดๆ ซึ่ง การอาบน้ําของคนสมัยกอนมักอาบกันในแมน้ําลําคลองหรืออาบบนชานบานแลวแตความสะดวกสวนการ อาบน้ําในพิธีกรรมตางๆที่ไทยรับ อิทธิพลมาจากศาสนาพราหมณ - ฮินดูก็ปรากฏใหเห็นอยูในพิธีก รรมทาง ศาสนามากมายอาทิพิธีโกนจุกพิธีบวชนาค พิธีแตงงานและพิธีทําศพซึ่งจะมีน้ําเขามาเกี่ยวของเพื่อเปนเครื่อง แสดงถึงความบริสุทธิ์เปนการชําระลางมลทินใหหมดไปและการอาบน้ําในลักษณะพิเศษที่เกิดขึ้นเฉพาะในพระ ราชพิธีของหลวงเรียกวา “ลงสรง” จะเปนการสรงน้ําของเจานายชั้นสูงและการสรงน้ําของพระมหากษัตริยใน การแปรสถานภาพ ของพระองคไดแกพระราชพิธีลงสรงหรือลงทาเปนพระราชพิธีสรงน้ําของพระกุมารทําเมื่อ พระชันษาได 9 ป ซึ่งมีปรากฏมาแตครั้งกรุงศรีอยุธยาจนกระทั่งถึงในสมัยรัตนโกสินทรไดมีพระราชพิธีลงสรง 2 ครั้ง คือในพ.ศ. 2355 เปนพระราชพิธีลงสรงของเจาฟามงกุฎและในพ.ศ. 2429 เปนพระราชพิธีลงสรงของเจา ฟามหาวชิรุณหิศ เปนพระราชพิธีลงสรงที่กระทําในน้ําเปรียบเสมือนให พระกุมารวายน้ําไดสวนพระราชพิธีสรง มูรธาภิเษกเปนพระราชพิธีสรงน้ําของพระเจาแผนดินเพื่อชําระพระวรกายใหบริสุทธิ์กอนจะประกอบพิธีบรม ราชาภิเษกเพื่อแสดงความเปนพระมหากษัตริยโดยสมบูรณเปนพระราชพิธีที่กระทําบนบกและเมื่อเสร็จจาก พระราชพิธีทั้งสองแลวก็จะเสด็จไปเปลี่ยนเครื่องทรงเปนเครื่องตนตามขัตติยราชประเพณีตอไป กลาวไดวาการอาบน้ําและการสรงน้ําทั้งของสามัญชนและของเจานายชั้นสูง มีอยูทั้งในชีวิตประจําวัน ในพิธีกรรมที่ทําในชวงระยะเวลาที่สําคัญของชีวิตและในพระราชพิธีของราชสํานักเรียกกันวาอาบน้ํารดน้ําและ สรงน้ําตามลําดับ และจากการสรงน้ําที่เกิดขึ้นในพระราชพิธีที่สําคัญทั้ง 2พิธีโดยจัดขึ้นเปนพิเศษ จึงทําใหเกิด 17
คานิย มนํา เอาเรื่อ งราวของการอาบน้ํา และการแตง ตัวไปสอดแทรกไว ในวรรณกรรมและบทละคร ซึ่ ง สันนิษฐานวามีมูลเหตุมาจาก 1.การที่พระมหากษัตริยเปนผูพระราชนิพนธวรรณกรรมและบทละครเหลานั้นจึงทําใหพระองคนําเอา เรื่องราวหรือเหตุการณที่ใกลชิดไปทรง ไวในบทพระราชนิพนธ 2. เปนการรัก ษาขนบธรรมเนียมประเพณีที่มีม าแตโ บราณใหคงอยูสืบ ไปและยัง ใชประโยชนใน การศึกษาถึงภูมิหลังทางประวัติศาสตร 3.เพื่อแสดงใหเห็นถึงความเจริญรุงเรืองที่เกิดขึ้นภายในราชสํานักโดยถายทอดออกมาเปนบทกลอนที่ พรรณนาเรื่องราวตางๆรวมทั้งบทบรรยายเครื่องแตงตัวและเครื่องประดับของตัวละครพี่เลียนแบบเครื่องทรง ของพระมหากษัตริย ตอมาเมื่อมีการนําวรรณกรรมและบทละครมาใชสําหรับแสดง ก็ปรากฏวา มีบทที่เกี่ยวกับการอาบน้ํา และแตงตัวของตัวละครรวมอยูดวยจึงทําใหการรําชนิดนี้ถูกเรียกวา “รําลงสรง” หรือ “รําลงสรงทรงเครื่อง” ซึ่งความเปนมาของการรําลงสรงมีความเกี่ยวของเชื่อมโยงกันอยูกับเพลงบรรเลงทางดนตรีโดยในครั้งแรกเปน การนําเพลงลงสรงที่ใชในพระราชพิธีลงสรงหรือลงทาของเจานายชั้นสูงมาเปนเพลงใหตัวละครทําทาทางการ อาบน้ําในการแสดงละครชาตรีเปนลําดับแรกโดยไมมีบทรองเรียกวารําลงสรงปพาทย ครั้นเมื่อมีการแตงบท รองบรรยายลักษณะการอาบน้ําและการแตงกายจึงทําใหเกิดรําลงสรงขึ้นอีกหลายประเภทคือรําลงสรงสุหราย รําลงสรงโทน รําลงสรงมอญ รําลงสรงลาว รําลงสรงแขก และรําชมตลาด รําลงสรงสุหรายเปนการรําที่นิยม ใชกับตัวละครฝายพระเปนสวนใหญเชนรําลงสรงสุหรายของพระ อุณรุท รําลงสรงมอญ รําลงสรงลาว และรําลงสรงแขกนิยมใชกับตัวละครทั้งฝายพระและนางสวนรําชมตลาด จะเปนการรําที่นิยมใชสําหรับการอาบน้ําแตงตัวของตัวละครทุกตัวไมวาจะเปนฝายพระ นาง ยักษ และลิง แต รําลงสรงโทน จะเปนการรําที่นิยมใชสําหรับตัวละครฝายพระ ยักษ และลิงเปนสวนใหญซึ่งตัวละครฝายนางก็ สามารถใชรําลงสรงโทนในการอาบน้ําแตงตัวไดแตตองเปนการรําคูหรือรําหมูซึ่งตองมีตัวพระเปนหลักเพราะมี ปรากฏใชอยูในบทละครเพียงแตไมนิยมนํามาใชแสดง ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากเพลงที่ใชนาจะเหมาะสมกับลีลา ทาทางของฝายพระมากกวาฝายนาง เห็นไดจากการรําที่มีลักษณะของการเลนเทาในทํานองเอื้อน จะใหความ สงางามและความคลองแคลววองไวกับฝายพระมากกวาหรือถาจะนํามาใชสําหรับแสดงก็นิยมที่จะใชเปนการรํา คู ระหวางฝายพระกับฝายนางซึ่งนาจะเปนจารีตอยางหนึ่งในทางการแสดง จากการรําลงสรงที่ใชสําหรับการอาบน้ําและการแตงกายของตัวละครดังกลาวขางตนรําลงสรงโทนจะ เปนการรําที่ไดรับความนิยมมากที่สุดปรากฏวามีอยูทั้งในการแสดงโขนและการแสดงละครไมวาจะเปนละคร ชาตรีละครนอกละครในและละครพันทางซึ่งเปนการรําที่มีมาตั้งแตสมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร ขั้นตอนการรําลงสรงโทนมีอยู 3 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 เปนการอาบน้ําที่เรียกวา "ลงสรง" มีลักษณะการรําทั้งแบบนั่งรําและยืนรํา โดยพิจารณา จากการอาบน้ําวาเปนการอาบน้ําโดยวิธีใดซึ่งมีอยูดวยกัน 3 วิธี คือ - การอาบน้ําแบบสรงสนามจะเปนการอาบน้ําตามแมน้ําหรือลําธารลักษณะการรําจะเปนการทํา ทาทางดวยการวักน้ําขึ้นมาลูบหนาลูบตา ลูบแขนและขา เปนการนั่งรําแตถาเปนการรําดวยการทํามือ ตั้งวงขึ้นในระดับหนาแลวแหวกลงมา หรือการรําทําทาสาย แขนทั้งสองขางเหมือนการวายน้ํามักจะ เปนการยืนรําเพื่อใหเกิดการเคลื่อนไหวไปมาบนเวที - การอาบน้ําแบบขันสาคร จะเปนการอาบน้ําดวยการใชขันตักอาบ โดยจะเปนการนั่งรํา - การอาบน้ําแบบไขสุหราย จะเปนการอาบน้ําดวยการใชฝกบัวซึ่งลักษณะการอาบน้ําแบบนี้จะเปนที่ นิยมในบทละครเล็กจะมีปรากฏอยูมากโดยจะกลาวถึงในลักษณะตางๆเชนไขสหัสธารา ไขทอปทุม ทอง เปนตน โดยจะเปนการยืน รําดวยการทํามือรองรับน้ําที่ไหลออกมาจากทอสงน้ํา ขั้นตอนที่ 2 เปนการประพรม เครื่องหอมที่เรียกวา "ทรงสุคนธ" มีลักษณะการรําเปนแบบนั่งรํา โดย การทํามือเปดผอบหยิบแปงมาทาหนาและเทน้ําอบใสฝามือมาประพรมตามรางกาย ขั้นตอนที่ 3 เปนการแตงตัวที่เรียกวา "ทรงเครื่อง" มีลักษณะการรําเปนแบบยืนรําดวยการทํา ทาที่ เกี่ยวกับการนุงสนับเพลา สวมเสื้อใสเครื่องประดับ ในการรําลงสรงโทนแตละครั้งอาจจะมีครบทั้ง 3 ขั้นตอน หรือมีเพียงขั้นตอนของการแตงตัวเพียง ขั้นตอนเดียวแตลักษณะของการรําจะตองเปนไปตามแบบแผนที่กําหนดไวอยางชัดเจน สําหรับกระบวนทารําลงสรงโทนจะเปนกระบวนทาที่เกิดขึ้นตามความสมจริงหรือเปนกระบวนทาที่ แสดงใหเห็นถึงเครื่องแตงกายที่ตัวละครสวมใสอยูโดยทาที่ใชตองสื่อสาร ใหผูชมเห็นความสําคัญและความ งดงามซึ่งกระบวนทารําทั้งหมดจะเปนกระบวนทาที่เปนแบบแผนดั้งเดิมจากแมทาชาเพลงเร็วเพลงแมบทและ ระบําสี่บทโดยจะเลือกทารํามาใชใหตรงกับ 18
1. ลักษณะของเครื่องแตงกาย 2. ตําแหนงของเครื่องแตงกาย 3. คุณสมบัติของเครื่องแตงกาย โดยมีทาเชื่อมมารอยเรียงใหทารําทั้งหมดเกิดความงดงามตามแบบอยางทางนาฏศิลปไทย กระบวนทารําลงสรงโทนจึงประกอบดวยถารําหลักทารําขยาย ทาเชื่อมและทารับ - ทารําหลัก เปนทาที่เกิดขึ้นจากการตีบทตามบทรองเพื่อใชแทนความหมายของเครื่องแตงกายที่ตัว ละครสวมใสซึ่งจะมีทั้งทาเดี่ยวและทาคูโดยเปนที่สามารถ สื่อความหมายได ชัดเจนเหมาะสมที่สุด - ทารําขยาย เปนทารําที่ใชขยายความหมายของทารําหลัก โดยตองมีความสัมพันธกับทารําหลัก เพื่อ ขยายคุณลักษณะของทารําหลักวาสิ่งนั้นมีความหมายหรือมีความสวยงามอยางไรทาขยายนี้มีทั้งทาที่ แตงขึ้นเพื่ออธิบายถึงวิธีการหรือลักษณะการแตงกายรวมทั้งเปนทาที่นํามาจากแมทาเพลงชา เพลง เร็วและเพลงแมบทโดยเลือกนํามาใชใหเหมาะสมกับความหมายของบทขับรองถึงแมวาในการ ทําทารําหลัก จะเปนทาเดียวกัน แตทารําขยายอาจจะตางกันได - ทาเชื่อมเปนทารําที่ใชเชื่อมระหวางทารําหลักและทารําขยายใหรอยเรียงตอกันอยางสวยงาม กลาวไดวาการรําลงสรงโทนเปนการรําที่เปดโอกาสใหเห็นความเพรียบพรอม ของเจานายในวังที่มีแต สิ่งสวยงามไวในครอบครองเห็นขนบจารีตของพระมหากษัตริยในการแตงองคทรงเครื่องเพื่อประกอบพระราช พิธีตางๆตลอดจนเปนการทดสอบฝมือของครูผูถายทอด และตัวศิลปนผูแสดงอันแสดงใหเห็นถึงภูมิปญญาการ ถายทอดจากวรรณกรรมมาสูการแสดงทางนาฏศิลปไทยตามลําดับ สวนกระบวนทารําลงสรงโทนนั้นเปนทารํา ที่เกิดขึ้นจากการนําทารําที่มีอยูเดิม หรือประดิษฐขึ้นมาเพื่อใหเกิดความเหมาะสมและตรงตามความหมายของ บทรองซึ่งกระบวนทารําเหลานั้นอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปหรืออาจจะปฏิบัติไดหลายวิธีโดยยังยึดถือตําแหนง คุณสมบัติห รือคุณลัก ษณะของเครื่องแตงกายแตล ะชนิดไวแตก ารทําทารําขยาย ทาเชื่อม และทารั บ อาจ เปลี่ยนแปลงไปตามประสบการณและความชํานาญของครูผูถายทอดหรือตัวผูแสดงซึ่งเปนวิธีการหนึง่ ทีแ่ สดงให เห็นวานาฏศิล ปไทยมีทั้ง การอนุรัก ษและมีทั้ง การพัฒนาใหกาวหนาไปตามกาลเวลา ศิล ปะแขนงนี้ถือเปน ศาสตรที่ตองอาศัยการเรียนรูการฝกฝนและประสบการณเพื่อสรางสรรคการแสดงสูผูชมโดยอาศัยแนวทางจาก ของเดิม รํา ฉุ ย ฉาย เป น การแสดงที่ มี สุ น ทรี ย ะในด า นนาฏกรรมของไทยที่ น า ชมชุ ด หนึ่ ง ผู แ สดงต อ งมี ความสามารถในเชิงศิลปะการรายรํา เรียกไดวา เปนการรําอวดฝมือกันเลยทีเดียว ฉะนั้น ผูรําตองมีพื้นฐาน ที่ผ า นการฝก ฝน ฝ ก หั ดมาอย า งยาวนานและเป น อย า งดี เ พราะลี ล าการรํ า ฉุ ยฉายนั้ น มี ท วงที ที่ ง ดงาม แสดงอารมณและความรูสึกดวยใบหนาทาทางซึ่งตัวละครจะแสดงออกถึงความภาคภูมิใจเมื่อเห็นวาตนเอง แตงตัวไดอยางสวยสดงดงาม หรือแปลงกายที่ไมสวยใหสะสวยเปนตนการรําฉุยฉายจึงเปนศิลปะชั้นสูงที่รําใหดี ไดยากในสวนของผูชมนอกจากจะดูทารําแลว เขานิยมฟงบทรองลอใหปเปาเลียนเสียงไปตามคํารองอีกดวย ถาคนปสามารถเปาปเลียนเสียงขับรองไดชัดถอยชัดคําก็นิยมวาศิลปนคนนั้นเปาปดีเลิศ การรําฉุยฉายจะพบไดใน 3ลักษณะ คือ 1.รําฉุยฉายแบบเต็ม หมายถึง การรําฉุยฉายเต็มรูปแบบ โดยการรําเพลงฉุยฉาย ๒ บท และรําเพลง แมศรี 2บท ซึ่งในแตละบท ดนตรีจะเปาปเลี ยนเสียงบทรอง และแตละบทผูแสดงรําทารับ ปพาทยทั้งเพลง ฉุยฉายและเพลงแมศรี แลวลงทายดวยเพลงเร็ว – ลาหรือเมื่อจบเพลงอื่นๆ 2.รําฉุยฉายแบบตัด หมายถึง การรําฉุยฉายโดยตัดทอนจากบทเต็มใหสั้นลงโดยคงเหลือรําเพลงฉุยฉาย และเพลงแมศรีอยางละ1บทซึ่งในแตละบท ดนตรีจะเปาปเลียนเสียงบทรอง และเมื่อจบแตละบท ผูแสดงรําทา รับปพาทยทั้งเพลงฉุยฉายและเพลงแมศรี แลวลงทายดวยเพลงเร็ว – ลา หรือเพลงอื่นๆ 3.รําฉุยฉายพวง หมายถึง การรําเพลงฉุยฉาย และเพลงแมศรี ตอเนื่องกันไปโดยไมมีการ เปาปเลียน เสียงบทรอง พอจบแตละบทจึงจะรําทารับปพาทย แลวลงทายดวยเพลงเร็ว – ลา เชน รําฉุยฉายกิ่งไมเงินทอง เปนตน รําแตงองคทรงเครื่องหนุม าน เปนการแสดงขั้นตอนการอาบน้ํา แตงตัว และชมโฉม ของตัวละคร สําคัญในเรื่องรามเกียรติ์ คือ หนุมาน เมื่อครั้งที่ไดรับพระราชทานบรรดาศักดิ์เปน พระยาอนุชิตจักรกฤษพิพัทธ พงศาครองเมืองนพบุรี หนุมานไดรําแตงองคทรงเครื่องประกอบบทรองเพลงชมตลาด และอีกตอนหนึ่งเมื่อครั้ง ไดเ ปนอุป ราชเมืองลงกาแทนอินทรชิต หนุม านไดแตง เครื่องทรงของอินทรชิตแลวรําแตงองคท รงเครื่อง ประกอบบทรองเพลงฉุยฉาย และเพลงแมศรี อวดความสงางามและความภาคภูมิใจ และรําแตงองคทรงเครื่อง ประกอบบทรองเพลงลงสรงโทน ในการอาบน้ําแตงตัว เพื่อไปหานางสุวรรณกันยุมากอนที่จะยกกองทัพออกไป ทําสงครามกับกองทัพพระลักษมณ 19
ลาพพระนาสวน : รามเกียรติ์ฉบับคัมภีรใบลานของจังหวัดเลย เอมอร เชาวนสวน* ลาพพระนาสวน เปนวรรณกรรมทีม่ ีเนื้อหาเปนรามเกียรติ์ฉบับทองถิ่น จารบนเอกสารโบราณ ประเภทคัมภีรใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาไทยอีสาน และภาษาบาลี เลขที่ ๙๘๑/๑ จํานวน ๑ ผูก ๔๔ หนาลาน หนาลานละ ๔ บรรทัด ศักราชที่สรางกลาวไวในขอความตอนทายเรื่องวา “จุลศักราชราชาได ๑๖๘ ตัว ปรวายยี๑่ เดือน ๙ ออกใหม๒๙ วัน ๗ มื้อรับเหมา๓” ซึ่งตรงกับวันเสาร เดือน ๙ ขึ้น ๙ ค่ํา ปขาล จุลศักราช ๑๑๖๘ พุทธศักราช ๒๓๔๙ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟาจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ แหงกรุงรัตนโกสินทร (ครองราชย พุทธศักราช ๒๓๒๕ – ๒๓๕๒) ขนานอิน เปนผูแ ตงและผูส รางใหไวแกพระพุทธศาสนา เจาหนาทีก่ ลุมหนังสือ ตัวเขียนและจารึก สํารวจพบที่วัดศรีภมู ิ บานนาหอ หมูที่ ๒ ตําบลนาหอ อําเภอดานซาย จังหวัดเลย เมื่อพุทธศักราช ๒๕๑๘ ปจจุบันใหบริการอยูที่กลุมหนังสือตัวเขียนและจารึก สํานักหอสมุดแหงชาติ ลาพพระนาสวน มาจากคําวา ราพนาสูรย ซึ่งมีรากศัพทมาจากคําภาษาสันสกฤตวา ราวณ + อสุร = ราพณาสูร คําวา ราพณ แปลวา ยักษ หรือหมายถึง ทศกัณฐ มีโครงเรื่องเชนเดียวกับเรื่องรามเกียรติ์ แมวา ตนเคา เดิมของวรรณคดีเรื่อง รามเกียรติ์เปนเรือ่ งในศาสนาพราหมณฮินดู แตวรรณกรรมเรื่อง ลาพพระนาสวน กลับ เชื่อมโยงกับคติแนวความเชื่อในพระพุทธศาสนา และสรางขึน้ เพื่อพระพุทธศาสนา การศึกษาวิจัยนีน้ าํ คัมภีรใบลานมาคัดถายถอดตัวอักษรโบราณใหเปนอักษรปจจุบัน จัดทําคําอาน ปจจุบัน ศึกษาวิเคราะหอักษร ภาษา เนื้อหา สาระสําคัญของเรื่อง เพื่อใชเปนงานวิจัยอางอิงทางอักขรวิทยา ภาษา ถิ่นโบราณ โดยเฉพาะรูปแบบอักษรธรรมอีสานสมัยตนรัตนโกสินทร พรอมทั้งศึกษาเปรียบเทียบเนื้อหากับรามเกียรติ์ ฉบับทองถิ่นภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคใต และฉบับไทลื้อในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ๑. เนื้อเรือ่ งลาพพระนาสวนจากคัมภีรใบลาน ลาพพระนาสวน หรือลาบภนาสวร , พิกพีและอินทชิต๔ ทั้งสามเกิดในตระกูลพรหมเปนพี่นองครอง เมืองลงกา ลาพพระนาสวนลักลอบเขาหานางสุชาดาชายาพระยาอิน นางสุชาดาโกรธ ขอลงมาเกิดเปนลูก ลาพพระนาสวน พราหมณถวายคําวานางจะเปนโทษแกพอ จึงนํานางใสอูบคําไปไหลลงน้าํ ฤษีนํานางไปเลี้ยงตัง้ ชือ่ วา นางสีดา (หรือ สีตา) ฝายทตรถราชา๕ มีลูกชายชือ่ พระรามมราช กับพระลัก พระรามยกธนูได จึงแตงงานกับนาง สีดา พระยาอินเนรมิตกวางคํา นางสีดาอยากไดกวางคํา พระราม พระลักตามกวาง ลาพพระนาสวนลักเอาตัวนาง สีดาไป *นักภาษาโบราณเชี่ยวชาญ สํานักหอสมุดแหงชาติ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ๑ ปรวายยี่ - ปไทยแบบหนึ่งที่ใชในสมัยโบราณ ๒ ออกใหม - วันขางขึ้นทางจันทรคติ ๓ มื้อรับเหมา - ชื่อวันที่ใชในสมัยโบราณ ๔ รามเกียรติ์ฉบับพระราชนิพนธพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟาจุฬาโลก พิกพี คือ พิเภก สวนอินทรชิตเปนลูกชายทศกัณฐ ๕ รามเกียรติ์ฉบับพระราชนิพนธพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟาจุฬาโลก เรียกวา ทาวทศรถ
๒๐
พระราม พระลักเดินทางพบสังคีบ๑ นองของพาลี ซึง่ ครองเมืองกาสี๒ พาลีไปรบกับทัวรพี สังคีบปด ปากถ้าํ ทําใหพาลีโกรธ ไลสังคีบหนี สังคีบฝากตัวกับพระราม บอกวายังมีหลานอีก ๓ คนจะใหมารับใชพระราม ไดแก องคฑ (องคต) รยฑ (ระยดหรือวรยด)๓ และหุรมาน (หรือหูรมาน) สังคีบพาพระราม พระลักไปรบกับพาลี พาลีตาย สังคีบไดครองเมือง พระรามจะไปรบกับลาพพระนาสวนเพื่อนํานางสีดาคืนมา ทาวพระยาทตรถสอนพระรามวา เปน กษัตริยนั้นหากถอยคําใดยังไมกระจางแจงก็ไมควรกระทํา เลาเรื่องประกอบวา “พราหมณเลี้ยงพังพอนไว งูเหาเขามา กัดลูกชายตาย คิดวาพังพอนฆาลูก จึงตีพังพอนตาย ตอมาเห็นซากงู จึงทราบวาพังพอนไมไดฆา ลูก” พระรามมอบใหหรุ มานไปกรุงลงกา หุรมานเขาไปในปราสาทเห็นลาพพระนาสวนนอนอยูก ับนาง เทวีจึงแกลงผูกผมทั้งสองใหติดกัน และเผาเมืองลงกา พระรามแตงบรรณาการขอนางสีดาคืน ลาพพระนาสวนบอก วาถาเดินทางผานมหาสมุทรมาไดก็จะใหนางสีดาไป หนุมานตอกหลักไมไปสูเมืองลงกา ผานเมืองปตตลุม เมื่อถึง เมืองลงกาใหวรยดไปบอกขาวแกลาพพระนาสวน ลาพพระนาสวนใหพิกพีทาํ นาย พิกพีทาํ นายวา เมืองลงกาแพ ลาพพระนาสวนโกรธจึงขับไลพกิ พีไป ๒.วิเคราะหรูปอักษรและภาษา อักษรที่ใชบันทึกวรรณกรรม เรื่อง ลาพพระนาสวน คือ อักษรธรรมอีสาน เปนอักษรที่พบในภาค ตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และกลุมลาวหลายกลุม ซึ่งอยูในภาคกลางและภาคตะวันออกของประเทศไทย วิเคราะหรูปอักษรและภาษา ดังนี้ ๑. รูปอักษร รูปอักษรธรรมอีสานที่ใชบันทึกลาพพระนาสวน ประกอบดวย ๑.๑ รูปพยัญชนะตัวเต็ม รูปพยัญชนะตัวเชิง ๑.๒ รูปสระ ซึ่งประกอบดวยสระลอยและสระจม ๑.๓ รูปตัวเลข
_____________________ ๑
รามเกียรติ์ฉบับพระราชนิพนธฯ เรียกวา สุครีพ รามเกียรติ์ฉบับพระราชนิพนธฯ เรียกวา เมือ งขีดขิน ๓ รามเกียรติ์ฉบับพระราชนิพนธฯ นาจะหมายถึงชมพูพาน ลูกบุญธรรมของพาลี ๒
๒๑
๑
พยัญชนะตัวเต็ม หมายถึง รูปของพยัญชนะที่เขียนเต็มตามรูป เขียนบนบรรทัด ทําหนาที่เปนพยัญชนะตน หรือ บางตัวอาจทํา หนาที่เปนตัวสะกดก็ได ๒ พยัญชนะตัวเชิง หมายถึง รูปของพยัญชนะที่เขียนใตพยัญชนะตัวเต็มหรือเขียนใตเสนบรรทัด
๑
สระลอย คือ สระที่เปนใหญในตัวเองโดยไมตองอาศัยหรือมีพยัญชนะอื่น สระจม คือ สระที่ตองอาศัยพยัญชนะอื่นมาประกอบจึงจะออกเสียงไดตามพยัญชนะนั้น ๆ
๒
๒๒
๒. ภาษา วิเคราะหภาษาในวรรณกรรม เรื่อง ลาพพระนาสวน ไดดังนี้ ๒.๑. การใชคําซอน มีการนําคํามากกวาหนึ่งคําทีม่ คี วามหมายไปในทํานองเดียวกันมา ซอนกัน มีการสัมผัสคําเพื่อใหเห็นภาพพจน เชน โกรธธรรมคําเคียด แยกเปนคําวา โกรธธรรม = กระทําโกรธ คําเคียด = โกรธ , ชั้นฟาภายบน แยกเปนคําวา ชั้นฟา = บนฟา ภายบน = ดานบน หมายถึง ฟา ๒.๒ การใช สํ า นวนที่ มีค วามคล อ งจอง เป นถ อยคํ า ที่ มีคํ า คล อ งจอง เชน ขั บ ฟ อ น ออนแอนทวยทวายไปมา แปลวา ฟอนรําอยางออนชอย , มาตบมาตอยประตู แปลวา มาเคาะประตู ๒.๓ การใชคําซ้ํา การใชคาํ ซ้าํ เพื่อใหไดคาํ ที่มีนา้ํ หนักเจาะจง ลักษณะคําซ้ํานี้นิยมใชใน จารึกสมัยสุโขทัย เชน จารึกพอขุนรามคําแหงมหาราช ไดแก มันบมชี า งบมีมา , กลางบานกลางเมือง คําซ้าํ ที่พบ ในเรื่องลาพพระนาสวน เชน บปลอยบวาง ในประโยควา “ปลิงตัวนั้นก็บป ลอยบวางหูรมาน” หมายถึง ปลิงตัว นั้นไมปลอยหูรมาน”, รูเ สี้ยงรูห มด ในประโยควา “กินอยารูเสี้ยงรูหมดสักเทือ” หมายถึง “กินอยารูห มดสักครัง้ เลย” ๒.๔ การใชคําเหมือนคําในจารึกสมัยสุโขทัย มีการใชคาํ เหมือนคําทีป่ รากฏในจารึกสุโขทัย ซึ่งพบในวรรณกรรมเรื่อง “ลาพพระนาสวน” ดังนี้ - มีคําวา “ขึ้นใหญ” ที่แปลวา เติบโต เหมือนจารึกพอขุนรามคําแหงมหาราช วา เมื่อ กู ขึ้นใหญไดสิบเกาเขา ซึ่งปรากฏในเรื่อง ลาพพระนาสวน วา นางสีดาขึ้นใหญมาได ๑๒ ป - มีคําวา “ลุกแตเมิงลังกามาอุมเอานางสีดาบัดเดียวนั้น” คําวา “ลุกแต” หมายถึง มา จาก เหมือนจารึกพอขุนรามคําแหงมหาราช วา สังฆราชปราชญเรียนจบปฎกไตรหลวักกวาปูครูในเมืองนี้ ทุกคน ลุกแตเมืองศรีธรรมราชมา” - จารึก สมัยสุโขทัย เชน จารึก นครชุม เรียกพอขุน รามคํา แหงวา พรญารามราช ซึ่ง เรียกชื่อเหมือนกับเรื่อง ลาพพระนาสวน ที่เรียกชื่อพระรามวา พระรามมราช (คําถายถอดวา “พฺรราฺมมราฺฑ”) ๒.๕ การใชคําลงทาย คําลงทาย หมายถึง คําที่อยูทา ยประโยคหรือวลี เชน วา อั้นแลวควร ซอยนางแทแล ,นางสีดาก็ไดไปกับดอมพระรามมราชแชล (แชล = นั่นแล,แทแล) ๒.๖ ภาษาถิ่นที่ใชในวรรณกรรม ภาษาถิ่น (Dialect) หมายถึง ภาษาที่ใชพูดกันในถิ่นใดถิ่นหนึ่งหรือมีลักษณะแตกตา ง จากภาษามาตรฐานที่ใชกันอยู ดังยกตัวอยางภาษาถิ่นที่ปรากฏในวรรณกรรมเรื่องนี้ เชน เสี้ยง แปลวา หมด, มืน ตา แปลวา ลืมตา ๒.๗ มีการใชคําที่แปรเสียงไปจากคํา ในภาษาไทยภาคกลาง เชนคําวา พิกพิ , พิกพี ใน ภาษาไทยภาคกลางคือ พิเภก สังคีบ ในภาษาไทยภาคกลางคือ สุครีพ เรื่องลาพพระนาสวน เรียกชื่อนางสีดา วา “สีตา” ซึ่งเมื่อไดศึกษารามเกียรติ์ในเอกสารของประเทศในภูมิภาคอาเซียน เชน อินโดนีเซีย ฟลิปปนส กัมพูช า เมียนมา เวียดนาม เรียกชื่อนางสีดา วา “สีตา”(sita) เชนกัน
๒๓
๓.การเปรียบเทียบเนื้อเรื่องลาพพระนาสวนกับรามเกียรติ์ฉบับทองถิ่น การศึกษาเปรียบเทียบเนื้อเรื่องลาพพระนาสวนกับรามเกียรติฉบับทองถิ่น เพื่อเปรียบเทียบ ลักษณะที่คลายคลึงและแตกตางของเนื้อเรื่อง โดยคัดเลือกเรื่องรามเกียรติฉ์ บับทองถิ่นมาเปรียบเทียบ สรุปการ เปรียบเทียบเนือ้ เรือ่ งสําคัญซึ่งแสดงในรูปตาราง ดังนี้ รามเกียรติพ์ ระราชนิพนธ รัชกาลที่ ๑๑(ภาคกลาง)
ลาพพระนาสวน ฉบับ วัดศรีภูมิ จังหวัดเลย๒
ลังกาสิบหัว ฉบับ ไทลื้อสิบสองปนนา๓
- ทศกัณฐเกิดในตระกูล พรหม
- ทศกัณฐ ชือ่ ลาพพระนา สวน เกิดในตระกูลพรหม
- ทศกัณฐ ชือ่ ภุมมะจัก เปนโอรสพระพรหม
- นางสีดาถูกนําใสใน ผอบทอง ทศกัณฐให สุกรสารนําไปทิ้งใน มหาสมุทร มีดอกบัวทอง มารับเพราะพิเภกทายวา เปนกาลกิณี
- นางสีดาหรือสึตาถูกนําใส อูบคําลอยน้ําไปเพราะ พราหมณทํานายวาเปน กาลกิณี
- พระรามมีนอ งชือ่ พระลักษมณ
- พระรามคือ พระนารายณ
พรหมจักร ฉบับลานนา๔
พระลัก พระลาม ฉบับอีสาน๕
รามเกียรติ์ ฉบับภาคใต๖
-ทศกัณฐ ชื่อ วิโลหา ราชะ หรือพระยา ลังกา - นางสิดากําเนิดใหม - นางสีดาถูกนําใสแพ เปนนารีผล ภุมมะจักจะ ลอยน้ําไปเพราะโหร ฆานาง ขุนนางหามไว ทายวาเปนกาลกิณี ภุมมะจักจึงนํานางใส หีบปลอยไป
- ทศกัณฐชอื่ พระญาฮาบมะนา สวน ครองลังกา - นางสีดาจันทะแจม ถูกนําขามน้ําไปหิม พานต และนําไปไวใน ดอกบัวทองเพราะ พราหมณทายวาเปน กาลกิณี
- กลาวถึงนางสี ดาแตไมม ี ขอความตอนนี้
- พระราม ชือ่ พระรามมราช นองชือ่ พระลัก
- พระราม ชือ่ เจาลํามา - พระราม ชือ่ นองชือ่ เจาละคะนา พรหมจักร นองชื่อ รัมมจักรกุม าร
- พระราม ชือ่ พระลาม นองชือ่ พระลัก
- พระรามมีนอ ง ชือ่ พระลักษมณ
- เรื่องพระรามนีส้ รางไวใน พระพุทธศาสนา (ใชคําวา สรางไวกบั พุทธชาติศาสนา พระโคตมเจา)
- พระรามคือ พระโพธิสตั ว
- พระรามคือ พระโพธิสัตว
- พระรามคือ พระนารายณ
- พระรามคือ พระโพธิสตั ว
ทศกัณฐชอื่ ทศกัณฐ
ขอมูลจาก๑ วรรณกรรมฉบับรัตนโกสินทร พระราชนิพนธในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟาจุฬาโลก เลม ๑ – ๔ . กรมศิลปากร. กรุงเทพฯ : โสภณการพิมพ, ๒๕๔๐. ๒ ลาพพระนาสวน. หอสมุดแหงชาติ. คัมภีรใบลาน อักษรธรรมอีสาน เลขที่ ๙๘๑/๑. ๓ วิเคราะหวรรณกรรมอัก ษรไทยลื้อ เรื่องคําขับลังกาสิบหัว. เจริญ มาลาโรจน. วิทยานิพนธศิลปศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๒๙. ๔ ชาดกนอกนิบาต พรหมจัก ร(ลําพูน) . สิงฆะ วรรณสัย ปริวรรต. กรุงเทพฯ : มิต รนราการพิมพ, ๒๕๒๒. ๕ พระลัก พระราม (รามเกียรติ์) สํานวนเกาของอีสาน. (สกลนคร)ตรวจชําระโดยพระอริยานุวัตร เขมจารีเถระ กรุงเทพฯ : มูลนิธิเสถียรโกเศศ – นาคะประทีป, ๒๕๑๘. ๖รามเกียรติ์ฉบับบานควนเกย(นครศรีธรรมราช) เรียบเรีย งโดย ฉันทัส ทองชวย. รามเกีย รติ์กับวรรณกรรมทองถิ่นภาคใต. สงขลา : โครงการบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สงขลา. ๒๕๒๒.
เนื้อหาหรือโครงเรือ่ งวรรณกรรมเรื่องรามเกียรติ์ในแตละทองถิ่นมีความคลายคลึงกัน แตสวนประกอบ ตางๆ ของเนื้อเรื่องอาจแตกตางกันไปตามแตละถิ่น สันนิษฐานวาเกิดจากจินตนาการของคนและวัฒนธรรมแตละ ทองถิ่น มีผลใหนทิ านเรื่องเดียวกัน มีเรื่องราวผิดแผกกันไป ซึ่งอาจเกิดจากการเลาเรื่อง ผูเลาอาจเลาเรื่องตาม ความคิดการตีความของตน เปนผลใหเนื้อเรื่องเดิมบางสวนก็คงอยู และก็มีเนื้อเรื่องแบบใหมเขามาปะปน ๒๔
๔. คําสอนที่ปรากฏในวรรณกรรม คําสอนที่ปรากฏในวรรณกรรมเรื่อง ลาพพระนาสวน มีดังนี้ ๔.๑ การปฏิบัติตนเปนภรรยาที่ดี ตอนนางสีดาดูแลพระราม เชน ลุกกอนสามี นอนหลังสามี ๔.๒ หลักธรรมของพระมหากษัตริยในการปกครองบานเมือง เชน ครองเมืองดวยหลักทศพิธราชธรรม ๕. ความเชือ่ ที่ปรากฏในวรรณกรรม ๕.๑ ความเชือ่ ในพระพุทธศาสนา เรื่องลาพพระนาสวนแตงขึ้นเพื่อพระพุทธเจาศาสดาแหง พระพุทธศาสนา ผูแ ตงปรารถนาจะไดไปสูน ิพพาน อันเปนหลักธรรมะสูงสุดของพระพุทธศาสนา ๕.๒ เชื่อในเรื่องบุญบาป นางสีดามีบุญ เมื่อนางอยูในอูบคํา (หีบทอง) ที่ถูกปลอยใหไหลไปตามน้าํ ฟอง คลื่นในแมน้ําก็ประคองอูบคําของนางไว ๕.๓ เชื่อในเรื่องไสยศาสตร ฤษีสอนหุรมาน(หนุมาน) วาสิ่งที่ทําใหเสียฤทธิ์เดช คือ เอาไมไผมาสีฟน ปลิง เกาะที่หนาผากและการใชมุมผาเช็ดที่ใบหนา วิเคราะหวา เปนกุศโลบายของคนในสมัยโบราณทีส่ อนวาการกระทํา นี้เปนอันตราย ๖. วัฒนธรรมทองถิ่นที่แทรกอยูในวรรณกรรม ๖.๑ พระรามยกธนูขึ้นอยางงายดายราวกับผูหญิงขึ้นกงดีดฝาย กงดีดฝาย หมายถึง กงสําหรับ กรอดายทีท่ าํ จากฝายใหเปนไจ แสดงถึงวัฒนธรรมความเปนอยูข องสังคมทองถิ่นอําเภอดานซาย จังหวัดเลย ๖.๒ ฤษีบิณฑบาตในตอนเชา ฤษีเปนนักบวชในศาสนาพราหมณฮินดู ผูแตงใชจินตนาการวา ฤษี คือนักบวชที่เหมือนพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ตองออกบิณฑบาตในตอนเชา ๖.๓ แทรกจินตนาการและความสนุกสนาน มีคนจับหนุมานไปใสครกตํา เปนตน ๗. การแทรกวรรณกรรมอื่นในเนื้อหา ผูแตงนํานิทานเรื่อง พราหมณกับ พังพอนแทรกในเนื้อหา ซึ่งนิทานเรื่องนี้มีตนเคา มาจากปญจ ตันตระนิทานของอินเดีย ไดแก เรื่องปกษีปกรณัม พบในจังหวัดแพรและในลาวดวย๑ ๘.บทสรุป การศึกษาเรื่องลาพพระนาสวนทําใหทราบวาวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ที่มีตนกําเนิดในอินเดียไดเขา มาแพรหลายในเอเชียอาคเนย ไมเวนแมในกลุมผูพูดภาษาตระกูลไทหรือไตซึ่งอาศัยอยูทางเหนือของเอเชียอาคเนย หา งไกลเสนทางคมนาคมทางทะเล เชน กลุมคนในจังหวัดเลย,ไทลื้อในสิบสองปนนา,ลานนา,ลานชาง ก็ไดรับ อิทธิพลนี้เชนกัน สวนเนื้อหาของเรื่องลาพพระนาสวนนั้นมีโครงเรื่องคลายวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ของภาคกลาง แตแทรกความเปนทองถิ่นเขาไป การเปรียบเทียบเนื้อหากับรามเกียรติ์ฉบับตางๆพบวาโครงเรื่องมีความคลายคลึง ๑
สยาม ภัทรานุประวัต.ิ ปก ษีปกรณัม : การศึกษาเปรียบเทียบฉบับสันสกฤต ลานนาและไทย. วิทยานิพนธ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาสันสกฤต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร ๒๕๔๖. หนา ๒๕ – ๓๕. ๒๕
กัน แตสวนประกอบตาง ๆ ของเนื้อเรื่องอาจแตกตางกันไปตามแตละทองถิ่น เนื่องจากวัฒนธรรมและจินตนาการ ของคนในแตละทองถิ่น ประกอบกับการถายทอดแบบเลาเรื่อง มีผลใหนิทานเรื่องเดียวกันมีเรื่องราวผิดแผกกัน อั ก ษรที่ ใ ช บั น ทึ ก เรื่ อ งลาพพระนาสวนได แ ก อั ก ษรธรรมอี ส าน เป น อั ก ษรที่ พ บในภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งลาวในภาคกลาง ลาวในภาคตะวันออกของประเทศไทย อักษรธรรมอีสานมีรูปอักษร ใกลเ คียงกั บ อักษรธรรมลา นนา สั น นิษฐานวา ไดรับ อิทธิพ ลจากรูป อัก ษรธรรมลา นนาผ า นมาทางลา นชา ง วิวัฒนาการเปนอักษรธรรมอีสาน ตัวอักษรรูปแบบใกลเคียงกั นนี้ยังใชในกลุมคนพูดภาษาตระกูลไทอื่นๆ เชน อักษรไทลื้อหรือทีเ่ รียกวา “ตัวลื้อ” อักษรไทขึน เปนตน การศีกษารูปอักษรจึงเปนหลักฐานสําคัญที่ทําใหทราบถึง อิทธิพลทางอักษรที่มีตอกันได ลาพพระนาสวน เปน วรรณกรรมที่ บั น ทึก ว า สรา งไวเพื่ อ พระพุ ท ธศาสนาพระโคตมเจ า หรื อ พระพุทธเจา สวนรามเกียรติ์ฉบับไทลื้อ ฉบับลานนา ฉบับอีสาน กลาววา พระราม คือ พระโพธิสัตว ซึ่งแสดงให เห็นวา กลุมคนที่พูดภาษาตระกูลไทในแถบนี้ นับถือพระพุทธศาสนา แตไดนําวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ที่มีเคาเรื่อง เดิมเปนศาสนาพราหมณฮินดู เขา มาผนวกกับ ความเชื่อในพระพุทธศาสนาของตน มีค วามเชื่อเรื่องบาป บุญ สวรรค ผสมความเชื่อในเรื่องไสยศาสตรของทองถิ่น นอกจากนั้นยังปรากฏคําสอน วัฒนธรรมทองถิ่น รวมทั้งนํา วรรณกรรมอื่นเขามาปะปน และบันทึกดวยภาษาไทยอีสาน(ภาษาถิ่นจังหวัดเลย) ซึ่งพบวา มีการใชคํา ประโยค หรือวลีทคี่ ลายคลึงกับภาษาในจารึกสมัยสุโขทัยดวย คัมภีรใบลานเรื่อ งลาพพระนาสวนฉบับ วัดศรีภูมิ ตําบลนาหอ อํา เภอดานซา ย จัง หวัด เลยนี้ นอกจากเปนเอกสารโบราณหลักฐานสําคัญทางอักขรวิทยา ภาษาถิ่นโบราณแลว ขอความตอนทายของคัมภีรใบ ลานที่กลาววา “ผูแตงมีความศรัทธาปรารถนาขอใหไปถึงนิพพาน และอยาไดเที่ยวสงสารบาปเวร” คําวา นิพพาน นั้นหมายถึง ความดับสนิทแหงกิเลส และกองทุกข สวนคําวา สงสาร สังสารหรือสังสารวัฏ หมายถึง การเวียนวาย ตายเกิด ซึ่ง “นิพพาน”นั้นเปนจุดมุงหมายสูงสุดของการปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนา เปนหลักฐานวา ผูคนใน ดินแดนนี้ยึดมั่นในหลักพุทธธรรมอยางแนนแฟน และยังคงยึดมั่นในพระพุทธศาสนาตอเนื่องมายาวนานจนถึง ปจจุบัน
________________
๒๖
วัดสวนดอก: สุสานหลวงของเจานายฝายเหนือ นางสาวระชา ภุชชงค *
วัดสวนดอก เปนวัด สําคัญ คูบ านคูเ มืองเชียงใหม สรางขึ้ นเมื่อ พ.ศ. ๑๙๑๔ ในสมัย พญากือนา แหงราชวงศมังราย ในชวงยุคทองของอาณาจักรลานนา พระอารามแหงนี้เปนศูนยกลางความเจริญรุงเรือง ทางพระพุ ท ธศาสนาแบบลัง กาวงศ หรือ ที่เ รี ยกว า “นิก ายสวนดอก” และไดรั บ การอุป ถัม ภ ทํานุ บํารุ ง จากเจาผูครองนครเชียงใหมสืบมาโดยตลอด ถึง พ.ศ. ๒๔๕๑ พระราชชายา เจา ดารารั ศ มี ในพระบาทสมเด็ จ พระจุ ล จอมเกล า เจ า อยู หั ว ทรงพิจารณาวา “กู” หรือสถานที่บรรจุพระอัฐิเจาผูครองนครเชียงใหมและพระญาติวงศในวงศสกุลเจาเจ็ดตน ประดิษฐานกระจัดกระจายไมสมพระเกียรติ จึงมีพระดําริที่จะรวบรวมพระอัฐิมาสถาปนาไว ณ อนุสรณสถาน แห ง เดีย วกั น จึ ง โปรดใหส ร า งสุ ส านหลวงเพื่ อ ประดิ ษ ฐานกู บ รรจุ อั ฐิพ ระญาติ ว งศขึ้ น ณ วั ด สวนดอก เมืองเชียงใหม
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยูหัว
พระราชชายา เจาดารารัศมี
หากพิจารณาถึงพระดําริของพระราชชายา เจาดารารัศมี ในการสรางสุสานหลวงดังกลาว สันนิษฐาน วานาจะทรงไดรับแนวพระดําริจากการสรางสุสานหลวงของราชสํานักสยาม เพื่อประดิษฐานพระอัฐขิ องบรรดา พระราชวงศ ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๐ พระองคจึงทรงนํามาปรับใหเขากับธรรมเนียม จารีตประเพณีของลานนาในเวลาตอมา อนึ่ง หากพิ จ ารณาถึง มูล เหตุ ที่ท รงเลือกวั ดสวนดอกเปนสถานที่ส รา งสุส านหลวงเพื่อบรรจุอั ฐิ ของเจานายฝายเหนือ อาจเปนเพราะเหตุผล ๒ ประการ คือ วัดสวนดอกเปนวัดสําคัญคูบานคูเมืองเชียงใหม ที่เจาผูครองนครเชียงใหมทรงอุปถัมภสืบมาแตโบราณ อีกประการหนึ่งคือ วัดสวนดอกตั้งอยูทางทิศตะวันตก ซึ่งเปนทิศสําคัญของเมืองเชียงใหม เนื่องจากเปนที่สถิตของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจํา เมืองและเปนที่ประดิษฐาน พระธาตุดอยสุเทพ ซึ่งเปนที่เคารพบูชาของชาวเชียงใหมเปนอยางยิ่ง *
นักอักษรศาสตรปฏิบัติการ กลุมประวัติศาสตร สํานักวรรณกรรมและประวัติศาสตร ๒๗
ส ว นการก อ สร า งกู นั้ น พระราชชายา เจ า ดารารั ศ มี ท รงใช ทุ น ทรั พ ย ส ว นพระองค ร ว มกั บ เจาอินทวโรรสสุริยวงษและเจาอุป ราช โดยทรงมอบใหเจาสุริยะวงษ (เจานอยคําตัน สิโรรส) เปนแมกอง ในการจัดสราง ตลอดระยะเวลาในการกอสรางและตกแตงกู พระราชชายา เจาดารารัศมี ทรงเอาพระทัยใส และเสด็จฯ ไปทรงควบคุมดูแลการกอสรางดวยพระองคเองอยูเนืองๆ เมื่อการกอสรางกูแลวเสร็จสมบูรณในวันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๒ พระราชชายา เจาดารารัศมี โปรดใหจัด ขบวนพิ ธีแ หอัญ เชิ ญ พระอั ฐิเ จ าผู ครองนครเชีย งใหมแ ละชายา เพื่อ เคลื่ อนยายเชิ ญ พระอั ฐิ จากข ว งเมรุ เ ข า มาทางประตู ท า แพ และเคลื่ อ นออกจากเมื อ งทางประตู ส วนดอกไปประดิ ษ ฐานที่ กู ณ วัดสวนดอก ตามลําดับ พระอัฐิชุดแรกของเจาผูครองนครเชียงใหมและชายามีจํานวน ๑๑ องค ไดแก ๑. พระเจากาวิละ เจาผูครองนครเชียงใหมองคที่ ๑ (พ.ศ. ๒๓๒๕ – ๒๓๕๘) ๒. เจาหลวงธรรมลังกา เจาผูครองนครเชียงใหมองคที่ ๒ (พ.ศ. ๒๓๕๙ – ๒๓๖๔) ๓. เจาหลวงเศรษฐีคําฝน เจาผูครองนครเชียงใหมองคที่ ๓ (พ.ศ. ๒๓๖๖ – ๒๓๖๙) ๔. เจาหลวงพุทธวงศ เจาผูครองนครเชียงใหมองคที่ ๔ (พ.ศ. ๒๓๖๙ – ๒๓๘๙) ๕. พระเจามโหตรประเทศ เจาผูครองนครเชียงใหมองคที่ ๕ (พ.ศ. ๒๓๙๐ – ๒๓๙๗) ๖. พระเจากาวิโลรสสุริยวงศ เจาผูครองนครเชียงใหมองคที่ ๖ (พ.ศ. ๒๓๙๙ – ๒๔๑๓) ๗. พระเจาอินทวิชยานนท เจาผูครองนครเชียงใหมองคที่ ๗ (พ.ศ. ๒๔๑๖ – ๒๔๔๐) ๘. แมเจาอุสาห ชายาพระเจากาวิโลรสสุริยวงศ ๙. แมเจาทิพยเกษร ชายาพระเจาอินทวิชยานนท ๑๐. แมเจารินคํา ชายาพระเจาอินทวิชยานนท ๑๑. แมเจาพิณทอง ชายาเจาหลวงพุทธวงศ
อนุสาวรีย (กู) เจานายฝายเหนือในราชตระกูล ณ เชียงใหม ซึ่งประดิษฐาน ณ วัดสวนดอก อําเภอเมืองเชียงใหม จังหวัดเชียงใหม
ภายหลังจากที่ประดิษฐานพระอัฐิของเจาผูครองนครเชียงใหมและพระญาติวงศ ณ กูวัดสวนดอก เรียบรอยแลว พระราชชายา เจาดารารัศมีโปรดใหมีก ารบําเพ็ญ พระกุศลตามธรรมเนียมจารีตประเพณี ตลอดจนโปรดใหจัดงานเฉลิมฉลองกูเปนเวลา ๕ วัน มีการละเลนมหรสพตางๆ และที่สําคัญคือ โปรดคัดเลือก บทละครเรื่องอิเหนาบางตอน รวมทั้งเรื่องพระลอและสาวเครือฟา ซึ่งเปนบทละครของพระเจาบรมวงศเธอ กรมพระนราธิปประพันธพงศ มาฝกหัดใหคณะละครรําของเจาอินทวโรรสสุริยวงศแสดงในงานเฉลิม ฉลองกู ครั้งนี้ดวย นับเปนครั้งแรกที่มีการนําศิลปะการแสดงแบบกรุงเทพฯ มาจัดแสดงที่ลานนา ในโอกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยูหัว โปรดเกลาฯ ใหมีการสรางเหรียญพระราชทาน เปนที่ระลึกในงานเฉลิมฉลองกู เปนเหรียญรูปดาว ๖ แฉก ดานหนึ่งจารึกอักษรชื่อไขวกัน คือ อ. (อินทวิชยา ๒๘
นนท) และ ด. (ดารารัศมี) สวนอีกดานจารึกคําวา “ฉลองกู ร.ศ.๑๒๘” งานเฉลิมฉลองกูในครั้งนั้น นับเปน งานใหญและเปนที่ชื่นชมยินดีของราษฎรผูพบเห็นโดยถวนหนา
เหรียญจารึกอักษร อ.ด. พระราชทานเปนที่ระลึกในงานเฉลิมฉลองกูวัดสวนดอก
สมเด็จพระเจาบรมวงศเธอ เจาฟาบริพัตรสุขุมพันธ กรมพระนครสวรรควรพินิต ฉายพระรูปรวมกับพระราชชายา เจาดารารัศมี และเจานายฝายเหนือ ณ สุสานหลวงวัดสวนดอก คราวเสด็จตรวจราชการมณฑลพายัพ พ.ศ. ๒๔๖๔
จากการศึก ษาและการสํารวจภาคสนามเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ ในวาระครบ ๑๐๖ ป แหงการสถาปนากูวัดสวนดอก พบวามีกูของเจาผูครองนครเชียงใหมและเจานายในราชตระกูลรวม ๑๐๕ องค ในจํานวนนี้มีกูที่มีจารึก จํานวน ๗๙ องค (ระบุนามและประวัติผูวายชนม รวม ๑๗๓ ทาน ดวยเหตุที่พื้นที่ จัดสรางกูไมสามารถขยายเพิ่มเติมออกไปไดอีก ในบางกูจ ึงมีการบรรจุอัฐิรวมกันหลายทาน) และกูที่ไมปรากฏ จารึกอื่นใด จํานวน ๒๖ องค ปจจุบันกูเจานายฝายเหนือ ณ วัดสวนดอกเปนอนุส รณส ถานที่สําคัญแหงหนึ่งของเมืองเชียงใหม ในชวงเทศกาลสงกรานตหรือ “ปใหมเมือง” จะมีการจัดพิธี “ดําหัวกู ” หรือบวงสรวงกู ซึ่งชาวเชียงใหม รวมทั้ง หนวยงานภาครั ฐและเอกชนต างรวมใจกันจั ดขบวนแหเ ครื่ องสัก การะถวายกูเ จ านายฝ ายเหนื อ ณ วัดสวนดอก อยางงดงามพรอมเพรียงกันเปนประจําทุกป ๒๙
การใชประโยชนและการตีความเอกสารจดหมายเหตุ: กรณีศึกษาเอกสารจดหมายเหตุ สํานักนายกรัฐมนตรี กองกลาง สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (2)สร0201.40 1-8 เรื่องอุทกภัยระหวางป พ.ศ. 2475 -2480 นางสาววรนุช วีณะสนธิ นักจดหมายเหตุชาํ นาญการ สํานักหอจดหมายเหตุแหงชาติ เอกสารจดหมายเหตุเปนเอกสารชั้นตนที่เกิดจากการดําเนินงานหรือกิจกรรมของบุคคลและ หนวยงาน ที่ปรากฎในรูปของเอกสารราชการ จดหมายโตตอบ บันทึก รายงาน หรือไดอารี่ รวมถึงเอกสารโสต ทัศนจดหมายเหตุประเภทตางๆ เอกสารจดหมายเหตุจงึ เปนเอกสารทีส่ ะทอนใหเห็นภาพและบริบททางสังคม ใน ยุคสมัยที่เอกสารนั้นไดรบั การจัดทําหรือผลิตขึ้น การใชเอกสารจดหมายเหตุจึงแตกตางไปจากการใชสารสนเทศ จากหนังสือหรืองานเขียนที่ผา นการวิเคราะห รวบรวม ตีความ และเรียบเรียงผานมุมมองของผูเขียน หาก เปรียบเทียบเอกสารจดหมายเหตุ และหนังสือหรืองานเขียนกับอาหาร เอกสารจดหมายเหตุเปรียบไดกับวัตถุดิบที่ มีอยูหรือที่ไดซื้อหามาเพื่อประกอบอาหาร ผูป ระกอบอาหารจะพิจารณาวัตถุดิบทัง้ หมดเพื่อสรางสรรคเปนอาหาร จานที่ตองการ บางคนอาจทําอาหารไดหลายอยางจากวัตถุดบิ ที่มีอยู ในขณะที่บางคนอาจทําอาหารไดเพียงชนิด เดียว ทั้งนี้ขนึ้ อยูกับความชํานาญ ความคิดสรางสรรค และประสพการณในการทําอาหาร สวนหนังสือหรืองาน เขียนเปรียบไดกบั อาหารสําเร็จรูปหรืออาหารพรอมทาน ที่ผา นการประกอบอาหารและปรุงรสมาเรียบรอยโดยผู ประกอบอาหาร ในแตละหนา แตละบรรทัดของเอกสารจดหมายเหตุอาจมีเรือ่ งราวที่นา สนใจมากมายหลายเรื่อง และชวน ใหคนหา ทั้งนีข้ ึ้นอยูกบั นัยยะทีแ่ ฝงอยูในเอกสาร และการตีความของผูอา นจากภูมิหลัง ความรู วิชาชีพ ประสพการณ และความสนใจทีแ่ ตกตางกันออกไปของแตละคน บางครั้งเหตุการณหนึง่ เหตุการณ อาจสืบคน ขอมูลเชิงลึก ผานความเชือ่ มโยงกับเอกสารชุดอื่นหรือจากเอกสารของหนวยงานที่มภี ารกิจเกี่ยวเนื่องกับหัวขอที่ สนใจในชวงเวลาที่เกี่ยวเนื่องกัน นอกจากนี้ยังอาจหาไดจากเอกสารสวนบุคคลที่เกี่ยวของหรือมีสวนรูเห็นใน เหตุการณนั้น และเพื่อใหขอมูลจากเอกสารลายลักษณมคี วามชัดเจนมากขึ้นอาจหาหลักฐานจากเอกสารจดหมาย เหตุประเภทภาพถาย ภาพยนตร หรือเอกสารที่เกี่ยวของ เพื่อนํามาประกอบหัวขอทีส่ นใจ การสืบคนแบบเชื่อมโยง นี้เปรียบเสมือนการสืบหาขอเท็จจริงจากเอกสาร หากผูใชเอกสารสนใจเรื่องราวของน้าํ ทวมที่เกิดขึ้นในอดีตทีผ่ า นมา ผูใชเอกสารควรจะเริม่ ตนในการคนหา อยางไร และเมื่อไดอา นเอกสารจะตีความและสืบคนแบบเชือ่ มโยงอยางไร ผูเขียนจะใชเอกสารเกี่ยวกับ “น้ําทวม” เปนกรณีศกึ ษา เพื่อใหผูอา นเกิดความเขาใจในการใชและการตีความเอกสารจดหมายเหตุ ผูใชเอกสารตองเริม่ ตน การสืบคนจากคําวา “น้าํ ทวม” ตอมาคือระยะเวลาของการเกิดน้ําทวมที่ตองการจะสืบคน ทั้งนีผ้ ูเขียนขอสมมุติ ตัวเองเปนผูค นควาที่สนใจเรื่องราวเกี่ยวกับน้าํ ทวมในอดีตเพื่อลดขั้นตอน ผูเขียนสอบถามนักจดหมายเหตุวา หาก 30
ตองการสืบคนเรื่องราวเกี่ยวกับน้าํ ทวม ควรสืบคนที่เอกสารชุดใด ซึ่งผูเขียนไดรับคําแนะนําใหสบื คนที่บญ ั ชี เอกสารของสํานักนายกรัฐมนตรี กองกลาง สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ประกอบดวยชุดเอกสารรหัส สร 0201 , (1)สร0201 และ(2) สร 0201 จากหนาบัญชีเอกสารพบวาเอกสารเกี่ยวกับน้าํ ทวมจะปรากฎอยูในเอกสารชุด สร 0201หัวขอ อุทกภัย ระหวางป พ.ศ. 2490 –พ.ศ. 2496 และเอกสารชุด (2) สร 0201.40 ซึ่งผูเขียนจะใชเอกสารชุดนี้เปนกรณีศึกษา เอกสารชุดนี้ประกอบดวยเอกสารจํานวน 2 กลอง ชวงเวลาเอกสารอยูระหวาง ป พ.ศ. 2475- พ.ศ. 2496 กลองที่ 1 ประกอบดวยเอกสาร ดังนี้ รายงานน้าํ ทวม พ.ศ. 2475 ,อุทกภัย พ.ศ. 2475 (ตอน 1),อุทกภัย พ.ศ. 2476 (ตอน 2) ,อุทกภัย พ.ศ. 2477 กลองที่ 2 ประกอบดวยเอกสาร ดังนี้ อุทกภัย พ.ศ.2478,อุทกภัย พ.ศ.2479, รายงานน้าํ ทวม (3 มิ.ย.พ.ศ. 2486-8 ส.ค.2496) และอุทกภัย พ.ศ.2480 ผูเขียนทําการสํารวจเอกสารทางกายภาพ พบวา เอกสารประกอบดวย รายงาน ,บันทึกขอความ, จดหมายโตตอบ,สําเนาโทรเลข,บัญชีสํารวจทรัพยสิน และแผนทีส่ ังเขปแสดงเสนทางน้าํ เอกสารเปนภาษาไทย พบ เอกสารภาษาอังกฤษจํานวนหนึ่งแผน ผูเขียนไดอา นเอกสารแตละหนา แตละบรรทัด โดยใชพื้นฐานความรู และ ความสนใจของผูเขียน เพื่อนํามาหาขอมูลที่นาสนใจหรือสะดุดใจผูเ ขียนใหทาํ การสืบคนขอมูลเชื่อมโยง และ ตีความในสวนทีผ่ ูเขียนสนใจ ตัวอยางที่นาํ มาผูอา นสามารถตีความตามความสนใจหรือจากพื้นฐานของผูอา นเอง ซึ่งอาจมีความคิดเห็นทีแ่ ตกตางกันออกไปจากมุมมองของผูเขียน จากการอานเอกสารพบวาน้าํ ทวมเกิดจากการที่ฝนตกหนักติดตอกัน ไมพบคําวาพายุไตฝุน หรือดีเปรสชั่น ในเอกสารภาษาไทย คงพบคําวา “typhoon” และ “depression” ในเอกสารภาษาอังกฤษ ซึง่ เปนสําเนาเอกสาร ไมระบุวันที่ และนามผูร ับ พบเพียงชื่อผูส งชื่อ Sd. H. Brandli มุมลางซายมีขอความ To D.G. true copy ลง ลายมือชื่อ เปนภาษาอังกฤษ
31
ภาพที่ 1 เอกสารภาษาอังกฤษแผนเดียวที่พบในเอกสารชุดนี้ ผูเขียนวิเคราะหเอกสารแผนนี้ ดวยพื้นฐานของการทํางานดานจดหมายเหตุ จากการศึกษาดานการ บริหารจัดการเอกสาร และวิชาการวิเคราะหรปู แบบเอกสาร (Diplomatics) ซึ่งเปนวิชาทีว่ า ดวยการผลิตเอกสาร รูปแบบของเอกสาร การติดตอสื่อสาร เพื่อใชในการวิเคราะหเอกสาร โดยเฉพาะอยางยิ่งเอกสารประวัตศิ าสตร เพื่อใหทราบที่มา และใชในการพิสจู นความแทจริงของเอกสารโดยพิจารณาจากลักษณะทางกายภาพ( physical) เชน วัสดุที่ใชในการจัดทําเอกสาร อักขระ ตัวอักษร ภาษาทีใ่ ช เครื่องหมายพิเศษ ตราและบรรณนิทศั น (annotation) และพิจารณาจากแบบทางภูมิปญ ญาหรือลักษณะภายใน(intellectual or intrinsic form)เชน สวนประกอบตางๆของเอกสาร เนื้อหาและสวนทายของเอกสาร ความเห็นของผูเขียนเอกสารแผนนี้ เปนสําเนา เอกสารหรือโทรเลข ทีส่ งถึงผูใดผูห นึ่ง หรือสงถึง D.G. ซึ่งอาจยอมาจาก Director General โดยผูสงชื่อ Sd. H.Brandli เอกสารไมปรากฏวันที่ ทําใหไมสามารถระบุไดแนชัดวา เนื้อหาในเอกสารแผนนี้ กลาวถึงเหตุการณใน ชวงเวลาใด แมวา เอกสารนี้จะอยูรวมกับเอกสารในชวงเวลาของเหตุการณนา้ํ ทวมระหวางป พ.ศ. 2475- 2496 ก็ ตาม เอกสารอีกหนึ่งแผนทีผ่ ูเขียนพบวามีความนาสนใจ ไดแก เอกสารการบริจาคเงินเพื่อชวยเหลือผูประสบ อุทกภัย ลงวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2476 จากมหาอํามาตยตรี พระยาอุดมพงศเพ็ญสวัสดิ์ (หมอมราชวงศประยูร อิศรศักดิ์) รัฐมนตรีวา การกระทรวงมหาดไทย ถึงพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน พหลโยธิน) นายกรัฐมนตรีใน ขณะนั้น ความวา “วันนี้พระยาสิรจิ ุลเสวก ไดสงเช็กจาย ๓,๐๐๐ บาท มาใหกระทรวงมหาดไทย วาเปนเงินที่ พระเจา วรวงศเธอ พระองคเจาจุลจักรพงศ ประทานชวยราษฎรที่ตองอุทกภัยในมณฑลพายัพครั้งนี้ ผมไดตอบขอบพระ เดชพระคุณไปแลว และจะไดสง กองการโฆษณา ตามทางการ จึ่งเสนอขอความนี้มาเปนรายพิเศษ” ผูเขียนพบวาจํานวนเงินบริจาคสามพันบาทเปนจํานวนที่มหาศาลเมื่อเทียบกับจํานวนบริจาคจากบุคคล 12 คน เปนจํานวนเงิน 16 บาท ซึ่งทําใหผูเขียนคิดวา พระเจาวรวงศเธอ พระองคเจาจุลจักรพงศ ทรงเปนผูมี ความเมตตาตอผูป ระสพภัย จึงประทานเงินจํานวนมาก และทําใหเห็นวามีการระดมทุนเพื่อชวยเหลือผูประสพ อุทกภัยดวยการเชิญชวนใหบริจาคเงินมาตั้งแตในอดีต จากรายงานและเอกสารทั้งหมด สามารถสรุปสาเหตุของน้าํ ทวมที่เกิดจากฝนที่ตกหนักติดตอกันเปนเวลา หลายวัน น้ําที่ลนตลิ่ง ทําใหฝายทีส่ รางไวชวั่ คราวเสียหาย น้าํ ทวมเกิดขึ้นในทุกภาคของประเทศ “23 เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2475 ฝนตกหนักในจังหวัดเชียงใหม ระดับน้ําในแมน้ําแมปง มีระดับสูงขึ้นมาก สะพานขามแมนา้ํ ปงสรางมาประมาณ 40 ปและชํารุดอยูถ กู ทอนซุงหลายพันตนมาปะทะทําใหสะพานหลุดลอยไป ฝนที่ตกหนักติดตอกันตัง้ แตวันที่ 22 – 25 กรกฎาคม ป พ.ศ. 2475 ทําใหนา้ํ จากหวยแมสรวย ในจังหวัด 32
เชียงรายไหลทวม บานเรือน บริษัทเอชียทีค ถือโอกาสดันทอนซุงจํานวนมากลงแมนา้ํ ทําใหทอนซุงไหลไปชน สะพานชํารุด และทําใหฝายของชาวบานเสียหาย 1 สิงหาคม พ.ศ. 2476 ทอนซุงจํานวนมากจากบริษัท บอมเบย เบอรมารไหลมาปะทะฝายทําใหฝาย เสียหาย น้ําทวมภาคเหนือในป พ.ศ. 2576 สรางความเสียหายใหกบั บานเรือน โรงเรียน ถนน ทางรถไฟ และครา ชีวิตผูค น 52 รายในจังหวัดแพร รวมถึงสัตวเลี้ยงอีกเปนจํานวนมาก” ผูเขียนใหความสนใจกับ “ทอนซุง” ทีป่ รากฎในรายงานและเกิดคําถามวา ทอนซุงมาจากไหน เหตุใดจึงมี ทอนซุงจํานวนมากมายลอยมาชนสะพาน เหตุใดบริษทั เอเชียทีค จึงถือโอกาสดันทอนซุงจํานวนมากลงแมนา้ํ เพื่อ หาความกระจางชัด ผูเขียนทําการสืบคนเอกสารของกรมปาไม กระทรวงเกษตราธิการ ซึ่งมีหนาที่เกี่ยวกับเรื่อง ของปาไมของประเทศ รหัสเอกสาร กส17/16-30 เปนเอกสารทีแ่ สดงใหเห็นถึงการใหสัมปทานปาไม ใน ป พ.ศ. 2467 แกบริษัททั้งของไทยและตางประเทศ ตลอดจนรายบุคคล จํานวน 16 สัมปทาน และการใหสัมปทานมี ระยะเวลา 15 ป ในจํานวนนีม้ ีสมั ปทานของ บริษัท บอมเบเบอรมา อยูดว ย ซึ่งอาจเปนสาเหตุของการเกิดน้าํ ทวม ที่เกิดจากการทําลายปา นอกจากนี้ยังมีเอกสารรายละเอียดเกี่ยวกับการทําปาไมที่นาสนใจ ซึง่ หากผูค นควาสนใจ ในเรื่องของการทําปาไมในประเทศไทยก็สามารถสืบคนไดจากเอกสารชุดนี้ เพื่อฉายภาพของการทําปาไม และการที่ทอนซุงจํานวนมากกอใหเกิดความเสียหายในขณะทีฝ่ นตกหนัก ผูเขียนจึงสืบคนภาพการทําปาไมในอดีตวามีกระบวนการอยางไร และเกี่ยวของอยางไรกับแมน้ํา ภาพที่พบทําให เห็นภาพชัดเจนวาในการทําปาไมจะใชชา งชักลากซุงจากในปา และดันทอนซุงลงในน้าํ เพื่อผูกทอนซุงเปนแพ รอ การลองไปตามแมนา้ํ ไปยังจุดหมายปลายทาง เมื่อสืบคนภาพยนตรเกาจากยูทปู ผูเขียนพบภาพยนตรที่เกี่ยวกับ การทําปาไมดวยชางในสยามเรื่อง “Teak Logging With Elephants In Siam 1925” ที่ https://www.youtube.com/watch?v=iKjaiW6gHPQ ภาพยนตรดงั กลาวเปนภาพยนตรเงียบ ขาวดํา ความ ยาว 3.41 นาที ภาพยนตรระบุป 1925 (พ.ศ. 2468) ผลงานของ Burton Holmes ผูถ ายทอดเรื่องราวจาการ เดินทางในรูปของสารคดีทองเที่ยว (travelogue) ผานวรรณกรรมและภาพยนตร ภาพยนตรแสดงใหเห็นการทําปา ไมโดยใชชางเริ่มตั้งแตการดันทอนซุงในปา การดันทอนซุงในน้ํา การลากซุงออกจากปา ทั้งภาพนิ่งและภาพยนตร ทําใหผูเขียนเห็นภาพที่ชัดเจนของการทําปาไมและไดคาํ ตอบเกี่ยวกับทอนซุงวามีความสัมพันธกับแมนา้ํ อยางไร เหตุใดเมื่อมีฝนตกหนัก น้ําทวม จึงเปนเหตุใหทอนซุงไหลมาตามน้าํ กอใหเกิดความเสียหายแกสิ่งปลูกสรางทีอ่ ยูไกล ทางน้าํ อุทกภัยที่เกิดขึ้นสะทอนใหเห็นภาพการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพยสิน ทําใหทราบถึงสาเหตุของอุทกภัย และยังใชในการคาดการณเหตุการณ หรือสภาวะการณไดในอนาคตหากเกิดอุทกภัย เพื่อปองกันและเตรียมการใน 33
การรับมือ เชน การเกิดโรคระบาด พาหะของโรค การเตรียมยารักษาโรคและสิ่งของที่จําเปนในระหวางการเกิด อุทกภัย การคํานวนคาเสียหายของทรัพยสินของราษฎร ซึ่งผูสนใจสามารถศึกษารายละเอียดไดจากเอกสาร ดังกลาว เอกสารทีผ่ ูเขียนนํามาเปนกรณีศึกษาในครั้งนี้ สะทอนใหเห็นภาพและสถานการณที่เกิดขึ้น ทีละฉากทีละ ตอนจากเอกสารแตละบรรทัดในแตละหนา ประดุจภาพยนตรทฉี่ ายภาพใหปรากฏแกสายตา เอกสารจดหมาย เหตุเปนเอกสารทีม่ ีคุณคาตอการศึกษา คนควา และวิจัย ไมเพียงแตนักประวัตศิ าสตร แตเอกสารจดหมายเหตุ สามารถนํามาใชประโยชนไดในทุกสาขาอาชีพ ขึ้นอยูกบั ตัวผูใชและการตีความขอความทีป่ รากฎในเอกสาร จดหมายเหตุ เอกสารจดหมายเหตุชุดทีผ่ ูเขียนนํามาเปนตัวอยางในครั้งนี้ยงั รอการพิสูจนจากผูอา นเพื่อรวมกัน พิสูจนวา ผูอา นที่ตา งกันอาจตีความเอกสารจดหมายเหตุที่อา นไดเหมือนหรือแตกตางกันอยางไร บรรณานุกรม เอกสารจดหมายเหตุ หอจดหมายเหตุแหงชาติ. เอกสารกระทรวงเกษตร กรมปาไม กส 17/16-30 (2464-2475) หอจดหมายเหตุแหงชาติ. เอกสารสํานักนายกรัฐมนตรี กองกลาง สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (2)สร0201.40 1-8 เรื่องอุทกภัย สื่ออิเล็กทรอนิกส Burton Holmes, Extraordinary Traveler Retrieved June 8, 2017. From http://www.burtonholmes.org/ Eric Ketelaar, Tacit Narratives: The Meaning of Archives. Archival Science 1: 131-141,2001. Retrieved June 8, 2017. From https://deepblue.lib.umich.edu/bitstream/handle/2027.42/41812/10502_2004_Art icle_35 9685.pdf?sequence=1&isAllowed=y National Archives. History in the Raw Retrieved June 8, 2017. From https://www.archives.gov/education/history-day/onsite.html “Teak Logging with Elephants in Siam 1925”Retrieved June 8, 2017. From https://www.youtube.com/watch?v=iKjaiW6gHPQ 34
หมอบรัดเลกับงานดานการแพทยในสยาม นายธันวา วงศเสงี่ยม
*
นายแพทยแดน บีช แบรดลีย (Dan Beach Bradley) หรือที่คนไทยเรียกวาหมอบรัดเล คือมิชชันนารี อเมริกัน จากคณะมิชชันนารีอเมริกันเพื่อพันธกิจ ตางชาติ (American Board of Commissionersfor Foreign Missions : A.B.C.F.M.)ซึ่งเดินทางเขามาเผยแผคริสตศาสนาในสยาม ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระนั่งเกลาเจาอยูหัว รัชกาลที่ ๓ แหงกรุง รัตนโกสินทร และมีบทบาทสําคัญในฐานะผูนําวิท ยาการทาง การแพทยตะวันตกเขามาแกไขปญหาในสังคมไทย กอใหเกิดคุณประโยชนดานสาธารณสุขอยางกวางขวาง และเปนจุดเริ่มตนของการศึกษาการแพทยตะวันตกในเวลาตอมา งานดานการแพทยของหมอบรัดเลในสยาม ปรากฏขอมูลในเอกสารประวัติศาสตรหลายเรื่อง เชน “จดหมายเหตุของหมอบรัดเล” ในประชุมพงศาวดารภาคที่ ๑๒ “จดหมายเหตุเรื่องมิชชันนารีอเมริกันมา ประเทศสยาม” ในประชุมพงศาวดารภาคที่ ๓๑ หนังสือของหมอบรัดเลเรื่อง “ตําราปลูกฝโคใหกันโรค ธระพิศมไ มใหขึ้นได ” และ “คําภีรครรภทรักษา” รวมไปถึง บทความตางๆ ของหมอบรัดเล ในหนังสือ จดหมายเหตุบางกอกรีคอรเดอร (Bangkok Recorder)นอกจากนี้ยังมีขอมูลจากเอกสารภาษาอังกฤษอีก จํานวนมากที่ยัง ไมคอยมีการศึก ษาคนความากนัก เชน รวมบันทึก ของหมอบรัดเล (Abstract of the Journal of Dan Beach Bradley) จดหมายของหมอบรัดเลเกี่ยวกับการปลูกฝในสยาม ซึ่งสงไปตีพิมพใน วารสารอายุรกรรมและศัลยกรรมแหงบอสตัน (The Boston Medical and Surgical Journal) ระหวาง พ.ศ. ๒๓๘๐ – ๒๓๘๘ และหนังสือบางกอกคาเลนเดอร (Bangkok Calendar) โดยเฉพาะฉบับ ค.ศ. ๑๘๖๕ (พ.ศ. ๒๔๐๘) ซึ่งรวบรวมคําอธิบ ายของหมอบรัดเล เกี่ยวกับ การแพทยในดานตางๆ ของสยาม ทั้งการแพทยแบบดั้งเดิม และการแพทยที่รับมาจากตะวันตก จากการศึกษาเอกสารประวัติศาสตรตางๆ เหลานี้พบวา งานดานการแพทยของหมอบรัดเลในสยาม อาจแบงไดเปน ๓ ดาน คือ งานปองกันโรค งานรักษาโรค และงานผดุงครรภ งานปองกันโรค
นักอักษรศาสตร์ ปฏิบตั ิการ กลุม่ ประวัตศิ าสตร์ สํานักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์
*
35
หมอบรัดเลพยายามจัดการปองกันโรคระบาดสําคัญ ที่ทําใหร าษฎรเสียชีวิตจํานวนมาก คือโรค ไขทรพิษ โดยใชวิธีการปลูกฝดวยหนองฝวัว (Vaccination) ซึ่งเปนวิธีที่นายแพทยเอ็ดเวิรด เจนเนอร คิดคน ขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๙ และใชอยางแพรหลายในยุโรปและสหรัฐอเมริกา หมอบรัดเลพยายามนําวิธีนี้มาใชใน สยามตั้งแต พ.ศ. ๒๓๗๙โดยใชหนองฝวัวที่สงมาจากตางประเทศ แตระยะแรกไมประสบความสําเร็จ เพราะ ตองขนสงเปนระยะทางไกลและใชเวลานาน หนองฝวัวจึงเสื่อมคุณภาพไปทั้งหมด เมื่อโรคไขทรพิษระบาด ใน พ.ศ. ๒๓๘๑ หมอบรัดเลจึง จําเปน ตองใชวิธีการปลูกทรพิษ (Inoculation) โดยปลูกเชื้อไขทรพิษใหแก ราษฎรโดยตรง เพื่อใหเกิดภูมิคุมกันขึ้น แตก็เสี่ยงที่จะเปนอันตรายจากโรคไขทรพิษ การปลูกทรพิษครั้งนั้น ประสบความสําเร็จเปนอยางดี พระบาทสมเด็จพระนั่งเกลาเจาอยูหัวจึงโปรดใหเหลาหมอหลวงเรียนรูวิธีการ ปลูกทรพิษจากหมอบรัดเล และสามารถนําไปปลูกทรพิษแกราษฎรอีกเปนจํานวนมาก ตอมาหมอบรัดเลปลูกฝดวยหนองฝวัวสําเร็จเปนครั้งแรกในสยามเมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๒ โดยใชหนองฝวัว ที่สงมาจากสหรัฐอเมริกา และไดรับความชวยเหลือจากเจาพระยาพระคลัง (ดิศ บุนนาค) แตหลังจากปลูกฝ ให แ ก ร าษฎรจํ า นวนหนึ่ ง หนองฝ ก็ ข าดช ว งไป ถึ ง พ.ศ. ๒๓๘๗ หมอบรั ด เลปลู ก ฝ ไ ด สํ า เร็ จ อี ก ครั้ ง โดยพยายามรักษาพันธุหนองฝไมใหขาดชวง ทั้ง ยังจัดพิมพ “ตําราปลูกฝโคใหกันโรคธระพิศมไมใหขึ้นได ” เพื่อใหความรูแกร าษฎรเกี่ยวกับประโยชนและวิธีก ารปลูก ฝ จึงมีผูสนใจมารับ การปลูกฝเ ปนจํานวนมาก หลังจากนั้นหมอบรัดเลและเหลามิชชันนารีก็จัดการปลูกฝปองกันโรคไขทรพิษใหแกราษฎรเรื่อยมา
การปลูกฝใหแกราษฎรในสมัยรัชกาลที่ ๕
ถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยูหัว โปรดเกลาฯ ใหตั้งกรมพยาบาลขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๑ และขยายการปลูกฝใหแกราษฎรในหัวเมือง ทั้งยังจัดตั้งสถานผลิตหนองฝวัวขึ้นใชเองในสยาม เพื่อให การปลูกฝมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลาเจาอยูหัว โปรดเกลาฯ ใหประกาศ พระราชบัญ ญัติจัดการปองกันไขท รพิษ พ.ศ. ๒๔๕๖ บัง คับ ใหร าษฎรทุก คนตองปลูก ฝปองกันไขท รพิษ ยังผลใหราษฎรไดรับการปลูกฝอยางกวางขวางทั่วประเทศ งานรักษาโรค หมอบรัดเลเริ่ม เปดสถานพยาบาลรัก ษาโรคใหแกร าษฎรตั้ง แต พ.ศ. ๒๓๗๘ มีผูมารับการรัก ษา วันละประมาณ ๑๐๐ คน สวนใหญเ ปนโรคที่มีอาการรายแรง เชน แผลเนาเปอย ติดเชื้อในลูกตา ซิฟลิส ผิวหนังพุพอง สะเก็ดเงิน และโรคไขขอ ซึ่งลวนเปนโรคที่การแพทยแผนไทยแบบดั้งเดิมไมสามารถรักษาได อยางมีประสิทธิภาพหมอบรัดเลจึงใชวิธีการผาตัดรักษาโรคใหแกราษฎรจํานวนมาก ทั้งการตัดกอนเนื้อ ตัดนิ้ว 36
มือนิ้วเทา ตัดเนื้องอกมะเร็ง ตัดเนื้องอกที่เปลือกตา ตัดตอกระจกและตอเนือ้ ฯลฯหมอบรัดเลจึงมีชื่อเสียงมาก ขึ้น และทําใหการแพทยตะวันตกเริ่มไดรับ ความเชื่อถือจากราษฎร มีผูปวยจํานวนมากที่เ ดินทางมาจาก ที่หางไกลเพื่อมารักษาโรคกับหมอบรัดเล
ภาพจิตรกรรมแสดงการผาตัดของหมอบรัดเลในงานฉลองวัดประยุรวงศาวาส
ใน พ.ศ. ๒๓๗๙ หมอบรัดเลไดทําการผาตัดแขนของภิกษุรูป หนึ่ง ที่ไดรับบาดเจ็บ สาหัสจากพลุไฟ ระเบิด ในงานฉลองวัดประยุร วงศาวาส จนสามารถรักษาชีวิตของภิกษุรูป นั้นไวได ถือเปนการผาตัดใหญ ครั้งแรกในสยาม และมีผลสําเร็จโดยไมตองใชยาสลบหรือยาชาแตอยางใด เปนที่อัศจรรยใจแกราษฎรที่มาดู เพราะเชื่อกันวาหากตัดอวัยวะ เชน แขน ขา ออกจากรางกายแลว จะไมสามารถมีชีวิตอยูไดตอมาใน พ.ศ. ๒๓๘๗ หมอบรัดเลไดรับพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระนั่งเกลาเจาอยูหัว ใหผาตัด รัก ษาดวงตาแก เ จาพระยาพลเทพ (ฉิม ) เสนาบดีก รมนา จนทําใหเ จาพระยาพลเทพสามารถมองเห็นได ตามปกติ หมอบรัดเลจึงไดรับความนับถือจากเหลาหมอหลวงและราษฎรเปนอยางมาก นอกจากนี้ห มอบรัดเลยัง ไดจัดพิม พหนัง สือจดหมายเหตุบ างกอกรีคอรเ ดอร และเขียนบทความ เกี่ยวกับกายวิภาคศาสตรพรอมวาดภาพประกอบ เพื่อใหราษฎรมีความรูเกี่ยวกับการทํางานของอวัยวะตางๆ ในรางกาย เชน หัวใจ ตับ ปอด การไหลเวียนของเลือด ฯลฯ และไดรับความสนใจจากราษฎรเปนอยางยิ่ง เพราะเป น ความรู ใ หม ที่ ไ ม เ คยมี ม าก อ นในหลั ก การแพทย แ ผนไทย ต อ มาในรั ช สมั ย พระบาทสมเด็ จ พระจุลจอมเกลาเจาอยูหัว โปรดเกลาฯ ใหตั้งโรงศิริราชพยาบาลเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๑ และตั้งโรงเรียนแพทยขึ้น จึงมีการเรียนการสอนวิชาผาตัดและกายวิภาคศาสตรในโรงเรียนแพทยตั้งแตนั้นเปนตนมา งานผดุงครรภ หมอบรัดเลเห็นวาการผดุงครรภแบบดั้งเดิมในสังคมไทย ทําใหผูหญิงตองเสี่ยงอันตรายจากการคลอด บุตรมาก สาเหตุหนึ่งมาจากการตองอยูไฟหลังคลอดเปนเวลานาน อีกทั้งทารกมักมีโรคแทรกซอน ทําใหอัตรา การตายของแมและเด็กสูง สงผลใหจํานวนประชากรมีนอย หมอบรัดเลจึงพยายามผลักดันใหสังคมไทยหันมา ใชวิธีการผดุงครรภตามหลักการแพทยตะวันตก โดยจัดพิมพ “คําภีรครรภทรักษา” ซึ่งแปลจากตําราผดุงครรภ ของตะวันตก แจกจายแกเหลาหมอหลวงเมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๕ เพื่อเผยแพรความรูแกราษฎรใหมีความเขาใจ 37
เกี่ยวกับการตั้งครรภมากขึ้นในคําภีรครรภทรักษามีความรูเกี่ยวกับการผดุงครรภตั้งแตเริ่มตั้งครรภจนถึงหลัง คลอดบุตร พรอมภาพประกอบทุกขั้นตอน
ภาพประกอบเรื่องการตั้งครรภ ในคําภีรครรภทรักษา
อยางไรก็ตาม ราษฎรยังไมนิยมการผดุงครรภตามหลักการแพทยตะวันตก เนื่องจากยัง เชื่อ มั่นใน ประเพณีอยูไฟ ตอมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกลาเจาอยูหัวหมอบรัดเลไดรับพระบรมราชโองการ ให เ ข า ไปดู แ ลรั ก ษาเจ า จอมมารดาแพ ซึ่ ง เพิ่ ง มี ป ระสู ติ ก าลพระราชธิ ด า และมี พ ระอาการไม ดี นั ก หมอบรัดเลจึงใชวิธีการผดุงครรภตามหลักการแพทยตะวันตก จนมีพระอาการดีขึ้นตามลําดับ ถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยูหัว เมื่อครั้งสมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ มีพระประสูติกาลสมเด็จฯ เจาฟาอัษฎางคเดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา ใน พ.ศ. ๒๔๓๒ ทรงเห็นประโยชน ของการผดุงครรภตามหลักการแพทยตะวันตก จึงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเลิกการอยูไฟ จึงโปรด ใหหมอกาแวน (Peter Gowan) รักษาพยาบาลตามหลักการแพทยตะวันตก ปรากฏผลเปนที่พอพระราช หฤทัย ภายหลังสมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชานีนาถ จึงทรงเปนองคอุปถัมภโรงเรียนแพทยผดุงครรภตาม หลักการแพทยตะวันตก และทรงชักจูงใหราษฎรเลิกการอยูไฟ กลาวโดยสรุป หมอบรั ดเลเปนบุ คคลแรกที่นํ าหลั ก การแพทย ตะวัน ตกมาใชใ นสัง คมไทยอยา ง กวางขวาง เปนผลใหชวยรัก ษาชีวิตราษฎรไวไดเปนจํานวนมาก การแพทยตะวันตกจึง เริ่มเปนที่สนใจและ ยอมรับจากชาวสยามมากขึ้น หมอบรัดเลตรากตรําทํางานดวยความเหนื่อยยากโดยไมหวังสิ่งตอบแทน แมจะ พบอุปสรรคนานัปการก็ไมเคยยอทอ จึงไดรับความนับถือจากบุคคลทุกระดับชั้น และนับเปนจุดเริ่มตนที่สาํ คัญ ของการรับวิทยาการทางการแพทยตะวันตกในสังคมไทย ทําใหการแพทยและสาธารณสุขของไทยมีความ เจริญกาวหนาในเวลาตอมา บรรณานุกรม ธันวา วงศเสงี่ยม. หมอบรัดเลกับการปลูกฝในสยาม. กรุงเทพฯ : สํานักวรรณกรรมและประวัติศาสตร กรมศิลปากร, ๒๕๖๐. ธันวา วงศเสงี่ยม. “หมอบรัดเลกับบันทึกการผาตัดในสยาม. ศิลปากร. ๖๐, ๒ (มีนาคม – เมษายน), ๒๕๖๐. นภนาท อนุพงศพัฒน และคณะ. รอยเวลา : เสนทางประวัติศาสตรสุขภาพ. นนทบุรี : สุขศาลา สํานักวิจัย สังคมและสุขภาพ, ๒๕๕๖. Bradley, Dan Beach (editor). Bangkok Calendar, for the year of our lord 1865. Bangkok : The Press of the American Missionary Association, 1865. 38
คําฟองมองซิเออไซแงซึ่งกลาวโทษอุปฮาดเมืองอุบล: หลักฐานประวัติศาสตรเมืองอุบลที่พบใหม นางสาวเชาวนี เหล็กกลา ภัณฑารักษชํานาญการ พิพิธภัณฑสถานแหงชาติ อุบลราชธานี ประวัติศาสตรเมืองอุบลราชธานีในชวงปลายรัชกาลที่ ๔ – ตน รัชกาลที่ ๕ แหง กรุง รัตนโกสินทร อันเปนหวงเวลาที่ชาติตะวันตกเริ่มเขามามีอิทธิพลทางการเมืองการปกครองในภูมิภาคอินโดจีน นอกจาก ปญหาภายนอกแลว ปญหาภายในเมืองอุบลราชธานีเองก็มีความขัดแยงระหวางกลุมเจานายพื้นเมืองเดิมของ เมืองอุบล กับเจาพรหมเทวานุเคราะหวงศ เจาเมืองเชื้อสายเวียงจันทร ซึ่งรัชกาลที่ ๔ โปรดเกลาฯ ใหรับ ตําแหนงเจาเมืองอุบล๑ ใน พ.ศ. ๒๔๑๒ เกิดเหตุการณที่เปนชนวนเหตุนําไปสูความขัดแยงเปนเวลานานถึง ๑๗ ป กลาวคือ วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๔๑๒ (วันจันทร ขึ้น ๑๕ ค่ํา เดือน ๑๐ ปมะเส็ง จ.ศ.๑๒๓๑) มองซิเออไซแง ชาวฝรั่งเศส เดินทางจากไซงอน ผานนครจําปาศักดิ์มาถึงเมืองอุบล จาก พงษาวดารหัวเมืองมณฑลอิสาน ของ หมอมอมร วงษวิจิตร (ม.ร.ว.ปฐม คเนจร) ระบุวา มองซิเออไซแงไดไปพบเจาพรหมเทวานุเคราะหวงศ แจงวามาทําแผนที่ ลําน้ํามูลและนําสิ่งของตางๆ มาจําหนายดวย เจาพรหมเทวาฯ จึงใหกรมการจัดที่พักแกมองซิเออไซแง วันที่ ๕ ตุลาคม ๒๔๑๒ (วันอังคาร แรม ๑๕ ค่ํา เดือน ๑๐) มองซิเออไซแงนําแผนที่ไปมอบใหเจาพรหมเทวาฯ ๒ แผน และแจงวาพักที่เมืองอื่นไมตองซื้อเสบียงอาหารรับประทานเอง เพราะเจาเมืองกรมการไดเกื้อหนุนเจาพรหมเท วาฯ จึงให มองซิเออไซแง ไปรับเสบียงที่เพี้ยพันนา เพี้ยศรีสุนน ซึ่งอยูที่บานอุปฮาด (โท) เจาพรหมเทวาฯ ทราบวา มองซิเออไซแง จะไปบานอุปฮาดในวันรุงขึ้นเห็นโอกาสที่จะเลนสนุก จึงได เที่ยวพูดใหเขาหูถึงกรมการฝายอุปฮาด (โท) วา พรุงนี้ฝรั่งจะมาจับอุปฮาด (โท) สงไปไซงอน ฝายอุปฮาด (โท) ทราบดังนั้น สําคัญวาจริงจึงสั่งวาถาพรุงนี้ฝรั่งมาถามหาอุปฮาดก็ใหบอกวาไมอยู วันที่ ๖ ตุลาคม ๒๔๑๒ (วันพุธ ขึ้น ๑ ค่ํา เดือน ๑๑) เวลาเชา มองซิเออไซแง ไปหาเจาพรหมเทวาฯ ขอใหกรมการพาไปบานอุปฮาด (โท) เพื่อขอเสบียงอาหาร เจาพรหมเทวาฯ จึงใหเพี้ยขันอาสา เสมียนบง และ นายเหล็ก นํามองซิเออไซแงไป เมื่อถึงบานอุปฮาด เพี้ยขันอาสา เสมียนบง หยุดคอยอยูนอกรั้วบานอุปฮาด ให แตนายเหล็ก พา มองซิเออไซแง เขาไปถึงหอนั่ง เรือนอุป ฮาด พบทาวสุริโยและทาวสุวรรณเสน จึง ถามหา อุปฮาด ทาวสุริโยบอกวาไมอยู มองซิเออไซแง จึงถามหาเพี้ยศรีสุนน กรมการในที่นั้นบอกวาไปรับประทาน อาหารที่บานยังไมกลับมา มองซิเออไซแง บอกกรมการใหไปตามเพี้ยศรีสุนนมาหา กรมการยังไมทันใหผูใดไป ตาม ขณะนั้น มองซิเออไซแง จึงถามวาใครเปนผูใหญอยูในที่นี้ ทาวสุริโยจึงชี้ไปที่ทาวสุวรรณเสน และบอกวา ทาวสุวรรณเสนเปนผูใหญ ทันใดนั้นมองซิเออไซแงก็ลุกขึ้นเดินตรงเขาไปจับมือทาวสุวรรณเสนสั่น เปนการ คํานับตามธรรมเนียมยุโรป ฝายทาวสุวรรณเสนไมรูจักธรรมเนียมคํานับของฝรั่ง เขาใจวาฝรั่งจะจับตนไป ก็ รองเอะอะ และสลัดมือหลุดออกมาได แลวชกมองซิเออไซแงกลับ ฝายทาวสุริโยแลกรมการ ซึ่งอยูในที่นั้น ก็ ๑
ดู ปรีชา พิณทอง, ผูรวบรวม, ประวัติเมืองอุบลราชธานีสํานวนอีสาน, พิมพครั้งที่ ๒ (อุบลราชธานี : โรงพิมพศิริ ธรรมออฟเซ็ท, ๒๕๓๕), หนา ๒๑๑.
39
พรอมกันเขารุมชกฝรั่ง ถูก รางกายบาดเจ็บหลายแหง ถึงกับปากแตกโลหิตไหล แลวจับมองซิเออไซแงไปจํา ตรวนไว๒ ใน หนังสือประวัติศาสตรอีสาน ซึ่งเรียบเรียงโดย เติม วิภาคยพจนกิจ ไดใหรายละเอียดเพิ่มเติมไป อีกวา เหตุที่ทาวสุวรรณเสนเขาใจวาฝรั่งจะจับตนไปนั้น “...เพราะเห็นคนใชฝรั่งถือเชือกมาดวยเห็นสมจริง ตามที่กรมการฝายเจาพรหมฯ มาพูดใหเขาหูเมื่อวานนี้...”๓ แตเชือกนี้ คนใชของมองซิเออไซแงถือไปสําหรับจะ ผูกแมวัวเพื่อรีดนม และยังกลาวตอไปอีกวา “เมอสิเออรไซแงไดเอาสําลีชุบโลหิตบาดแผลที่ถูกชกตอยเขาหีบ หอไวเปนหลักฐาน แลวยื่นตอเจาเมืองเพื่อดําเนินการตามระบิลเมืองตอไป”๔ เอกสารจดหมายเหตุที่ พบใหมเ กี่ย วกับ เหตุ ก ารณนี้ คือ เอกสารเย็บ เลม รัช กาลที่ ๕ กระทรวง ตางประเทศ (จ.ศ. ๑๒๓๐ – ๑๒๓๑) มีจํานวน ๑๐ เอกสาร โดยเอกสารที่สําคัญ คือ คําฟองมองซิเออไซแงซึ่ง กลาวโทษอุปฮาดเมืองอุบล ซึ่งมีเนื้อความดังนี้ ๏ คฤษตศักราช ๑๘๗๐ วันที่ ๒๙ แหงเดือนมาช มองซิเออเซแงงแวงแซษลา ฝรั่งเสศ เกีตที่เมืองวิลเลอเนอแวน แควนฝรั่งเสศ ไดมาตอหนากงสุลฝรั่งเสศที่กรุงเทพฯ ใหการตางฟองวา ณ วันที่ ๒๕ เดือนยังวิเอร คฤษตศักราช ๑๘๖๙ ป ฃาพเจาเซแงไดออกจากเมืองไซงอน ฃาพเจามีน้ําใจ ฃึ้นไปทําปลาที่ทเลสาบ แลวจะไปที่เมืองลาว หาที่คาฃายสินคาตางๆ ดวยฃอนี้ฃาพเจาไดซื้อสินคา ตางๆไป ผาแพร ผาฃาวมีต น้ําหอม กับสินคาตางๆเปนราคา ๓๐๐๐ เหรียน สินคาเหลานี้เปนฃองนาย หางบลูมบรอดเทรอที่เมืองไซรงอนฃายเชื่อ ฃาพเจายังติดคางเงินอยู ๑๕๐๐ เหรียน ที่ใชไปบางก็มี เวลานั้นฃาพเจาออกจากเมืองพนมเปน ณ วันที่ ๑ เดือนเอปปริลฃาพเจาเอาเฃาฃองสินคาขึ้นไปเมือง ลาวตามแมน้ําโฃง ครั้น ณ ปลายเดือนเสบเตมเบอร ฃาพเจาไดไปเมืองอุบล เปนหัวเมืองลาวฃองเมือง ฝายสยาม ที่นั้นเจาเมืองอุบลไดทําดีตอฃาพเจาโดยมาก ครั้นอยูมาประมาณ ๘ วัน ไมมีขอเหตุการอาไร เลย ภอเวลานั้นอุปฮาตตายลง พวกอุปฮาตประมาณ ๑๒๐๐ ฤา ๑๕๐๐ คน ถือเครื่องอาวุธเปนพวก กระบถ ภอเฃาเห็นฃาพเจา เฃาพากันทุบตีฃาพเจาลมลง เกือบจะตายอยูแลวฃาพเจานอนอยูกลางแดด ศรีสะเปอย นอนตากแดดอยูวันหนึ่ง เขามัดมือมัดตีนขาพเจาอยู เวลาอยูนั้นมีคนชื่ออางฮาพอติซาน ลูกชายของผูรองเจาเมืองไดเฃามาเอาเทาถีบเอาหัวอกฃาพเจาโดยแรงเหลือเกิน ทําใหขาพเจาตองราก โลหิตออกประมาณ ๔๐ วัน พนจากที่นั้นเฃาไดเอาตัวฃาพเจาไปจําไวในคุก แลวเฃาเอาตรวนไสตีน ขาพเจาแหนนหนา พวกเหลานั้นชวนกันริบเอาเฃาฃองแลสินคาฃองฃาพเจาหมด เปนเงินประมาณ ๔๒๘๖ บาท เปนราคาฃายที่ลาว ฃองเหลานี้มีแจงอยูในบาญชีนี้แลว ฃาพเจาตองติดคุกอยู ๑๐๕ วัน พวกนั้นเขาพูดจายาบชา ประมาดฃาพเจาทุกๆวันแลวนั้น พวกลาวไสคุก ฃาพเจาอยูทั้งนี้เปนที่ฃัตฃ วางฃาพเจาที่จะคาฃายกับพวกจีนที่เมืองลาวนั้น ฃาพเจาเหนวาถาไดคาขาย จะมีกําไรสัก ๕๐๐๐ เห รียนนอกจากเงิน ๔๒๘๖ บาท นั้นที่ไดวามาฃางบนแลวเวลาฃาพเจาอยูในคุก ฃาพเจาไดมีหนังสือมาถึง ๒
หม อมอมรวงษ วิจิต ร (ม.ร.ว.ปฐม คเนจร), “พงษาวดารหั วเมื องมณฑลอิส าน,” ใน ประชุม พงศาวดารฉบั บ กาญจนาภิเษก เลม ๙ (กรุงเทพฯ : กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร กรมศิลปากร, ๒๕๔๖), หนา ๓๔๖ -๓๔๗. ๓ เติม วิภาคยพจนกิจ, ประวัติศาสตรอีสาน, พิมพครั้งที่ ๒ (กรุงเทพฯ : มูลนิธิตําราสังคมศาสตร, ๒๕๑๕), เลม ๑ : หนา ๑๔๖. ๔ เติม วิภาคยพจนกิจ, ประวัติศาสตรอีสาน, เลม ๑ : หนา ๑๔๗.
40
กงสุลฝรั่งเสศที่กรุงเทพฯ ๒๔ ใบ ขอใหทานกงสุลชวย แตวากงสุลฝรั่งเสศไดรับหนังสือฃาพเจา แต ๓ ใบเทานั้นฃาพเจาจึงรูวาพวกเหลานี้ชิงเอาหนังสือฃาพเจาไว แกลงจะใหฃาพเจาติดคุกใหตายเสีย ฃ าพ เจ า จะหาถ า ทางหนี ก็ ไ ม ไ ด แล ว พวกนั้ น ก็ จํ า ฃ า พเจ า อี ก เขามั ด ฃ า พเจ า ไว แ ล ว เอาตรวนไสตี น ฃาพเจาเปนคราวที่ ๓ ครั้นอยูมา ฃาพเจาไดรับหนังสือมาจากทานกงสุลฉบับหนึ่ง ใจความวา เจาคุณ ผูใหญมีรับสั่งใหปลอยตัวฃาพเจามา เวลานั้นพวกลาวมาพูดจาขอใหเงินฃาพเจา ๔๐๐๐ บาท คาปรับ ไหม ขาพเจาไมยอมรับเงินฃาพเจาวาจะตองเอาเนื้อความนี้ลงไปกรุงเทพฯ ฟองตอนาทานกงสุลฝรั่ง เสศครั้น ณ วันที่ ๑๒ เดือนยันนุวารี พวกลาวเฃาไดปลอยตัวฃาพเจาออกจากคุก ฃาพเจาก็ไดไปอาศัย อยูที่บานจีน อยูที่เมืองอุบล คนหนึ่งชื่อหลวงพิซอ คนนี้ไดเอาใจไสดูแลฃาพเจาอยูนั้นเดือนหนึ่งภอให ฟนตัวขึ้น ครั้นณวันที่ ๑๒ เดือน เฝบวารี ฃาพเจาก็ออกจากเมืองอุบนตรงไปเมืองบางกอก ฃาพเจาได หาคนพมา ๒ คนชื่อบูแลเวียงมาเปนเพื่อนฃาพเจาจนถึงบางกอก ฃาพเจามาถึงบางกอกวันที่ ๒๙ เดือน มาชคฤษตศักราช ๑๘๗๐ ความเรื่องราวของฃาพเจาวามาแตเทานี้ ควรมิควรแลวแตจะโปรด ๚ชื่อกาม ตูมแลกามทอง คนพมาทั้ง ๒ คนเปนลูกคาที่เมืองอุบล ไดมาตอนาเรากงสุลฝรั่งเสศ เมื่อ ณ วันที่ ๑ เดือนอาปลิน ๒ คนนี้ไดใหการวา ไดเหนมองซิเออเซแงงติดคุกติจตรวนอยู แลไดยินเฃาวาเซแงงถูกตี เปนบาทแผลหลายแหง แต ๒ คนนี้เวลาเขาตีเซแงงนั้นเขาไกลไมไดเพราะเขาหามไมใหเขาไป๚ะ๕ หลังจากเหตุการณนี้ ทั้งฝายเจาพรหมเทวานุเคราะหวงศและฝายอุปฮาด (โท) ที่ไมปรองดองกันอยูนั้น ตางก็มีใบบอกแจงเหตุที่เกิดขึ้นนี้ไปยังกรุงเทพฯ เพราะเปนเรื่องเกี่ยวกับชาวตางประเทศ จึงมีพระบรมราช โองการโปรดเกลาฯ ใหสง มองซิเออไซแงและกรมการที่เกี่ยวของในเรื่องนี้ทั้งหมดมายังกรุงเทพฯ คงเหลือไวแต อุปฮาด (โท) เมื่อพิจารณาไดความจริงวากรมการมีความผิด โปรดเกลาฯ ใหผูที่ผิดเสียเงินทําขวัญใหแก มองซิ เออไซแงและโปรดใหลงพระราชอาญาแกกรมการผูผิดตามควรแกกรณี๖ ในเอกสารของหมอมอมรวงษวิจิตร (พงษาวดารหัวเมืองมณฑลอิสาน) กับ เติม วิภาคยพจนกิจ (ประวัติศาสตรอีสาน) ระบุจํานวนเงินคาทําขวัญ มองซิเออไซแง ตรงกันวา ๖,๐๐๐ บาท ซึ่งจะเทากับ ๗๕ ชั่ง แตใน ประวัติเมืองอุบลราชธานีสํานวนอีสาน นั้นระบุตางไปในหลายประเด็น กลาวคือ เงินคาทําขวัญคือ ๒๐ ชั่ง (ซาวซั่ง= ๒๐ ชั่ง ซึ่งเทากับ ๑,๖๐๐ บาท) และผูที่ชกมองซิเออไซแงกลับเปนราชบุตร (สุย)๗ ๕
หอจดหมายเหตุแหงชาติ, ร.๕ กต. (ล) เลม ๕, เอกสารเย็บเลม รัชกาลที่ ๕ กระทรวงตางประเทศ (จ.ศ. ๑๒๓๐ – ๑๒๓๑), หนา ๒๑๕ - ๒๑๘. ๖ หมอมอมรวงษวิจิตร (ม.ร.ว.ปฐม คเนจร), “พงษาวดารหัวเมืองมณฑลอิสาน,” หนา ๓๔๗. และ เติม วิภาคยพ จนกิจ, ประวัติศาสตรอีสาน, เลม ๑ : หนา ๑๔๘. อยางไรก็ดีระหวางทีค่ ดีความยังตัดสินไมเสร็จสิ้น ราชวงศ (โงนคํา) ปวยเปน ลมถึ งแก กรรม เมื่อวั นที่ ๑๑ กุม ภาพั นธ ๒๔๑๒ (วันศุกร ขึ้น ๑๑ ค่ํา เดื อน ๓ ปมะเส็ง เอกศก) ต อมาราชบุตร (สุ ย) ปวย รางกายซูบผอมถึงแกกรรม ๑๙ พฤษภาคม ๒๔๑๓ (วันพฤหัสบดี แรม ๕ ค่ํา เดือน ๖ ปมะเมียโทศก) และหลังจากนั้นเพียง ไมกี่เดือน อุปฮาด (โท) ผูอยูรักษาเมืองอุบล ไดถึงแกกรรมอีกคน ดู หอจดหมายเหตุแหงชาติ, ร.๕ - มท. (ล) เลม ๓, เอกสาร เย็บเลม กรมราชเลขาธิการ รัชกาลที่ ๕ กระทรวงมหาดไทย (จ.ศ. ๑๒๓๑ – ๑๒๓๒), หนา ๒๘๑. ๗ ดังขอความวา “ถืกเทื่อเจาพรหมเหลน เสียเงินใหฝรั่ง ซาวชั่งถวน พอค้ําอยูส่ําบาย ราชบุตรคั่งแคน แสนแสบ ทวงอก บมียามเหย บมมโนเลิงเรื้อย คึดเคียดแคน หาเหลี่ยมคืนจนได เคียดวาเจาพรหมเลี้ยว อุบายกลตีฝรั่ง ไทตางดาว เสียเปไถถอน ตื่มเงินให ก็ยังไคแคลนแน มันกลับเสียชื่อตั้ง เทิงพรอมเลาอาย” ดู ปรีชา พิณทอง, ผูรวบรวม, ประวัติเมือง อุบลราชธานีสํานวนอีสาน, หนา ๒๒๕.
41
ขอสังเกตในเรื่องจํานวนเงินสินไหมทําขวัญนี้ จากเนื้อความโตตอบกันไปมาระหวางเจาพระยาภาณุ วงษมหาโกษาธิ บ ดีที่ พระคลัง ว าการตางประเทศ และ มองซิเ ออกิล อง กงสุล ฝรั่ง เศส ฉบับ ลงวัน ที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๔๑๓ (วัน ๗ แรม ๗ ค่ําเดือน ๖ ปมะเมีย โทศก) ตอนหนึ่งระบุวา “คนเหลานี้ตองเสียเงินแต เพียง ๑๕๐๐ บาทเทานี้ ก็เปนที่เข็ดหลาบหนักหนาแลว แตสิ่งของมองซิเออเซแงงที่ทาวเพี้ยเอามารวบรวมไว มองซิเออเซแงงตีราคาเปนเงิน ๔๒๘๖ นั้น เจาพระยาภูธราภัยทานวา ตรวจบาญชีถูกตองกันแลว ใหทาวเพี้ย เอาสิ่งของไวคิดเงินใหมองซิเออเซแงงตามราคาสิ่งของจงครบ...”๘ พอเขาใจไดวา คาทําขวัญ ๑,๖๐๐ บาท (ซาวซั่ง) นั้นยังไมไดรวมกับ ราคาของสินคาที่มองซิเออไซแง นํามาจากไซงอน ที่กลุมอุปฮาดริบไวครั้งเกิดเรื่อง ตามบัญชีที่มองซิเออไซแงใหรายละเอียดไว เปนเงิน ๔,๒๘๖ บาท บทสรุป เอกสารหลักสามเลมที่ใชศึกษาเหตุการณประวัติศาสตรนี้ ไดแก ประวัติเมืองอุบลราชธานีสํานวน อีสาน รวบรวมโดย ปรีชา พิณทอง พงษาวดารหัวเมืองมณฑลอิสาน หมอมอมรวงษวิจิตร (ม.ร.ว.ปฐม คเนจร) และประวัติศาสตรอีสาน โดย เติม วิภาคยพจนกิจ ใน พ.ศ. ๒๔๔๓ พระเจาบรมวงศเธอ กรมหลวงสรรพสิทธประสงค มีรับสั่งใหเรียกเอาสมุดขอย หรือ เอกสารสําคัญเกาแก ตลอดจนสัญญาบัตร ของเจาเมือง อุปฮาด ราชวงศ ราชบุตรในอดี ตและปจจุบันที่มีอยู ตามบรรดาหัวเมืองนอยใหญทั้งปวงในมลฑลอีสาน หรือหัวเมืองอื่นเทาที่จะรวบรวมได แลวมีรับสั่งใหหมอม อมรวงศวิจิตร (ม.ร.ว.ปฐม คเนจร) ปลัดมลฑลประจําจังหวัดอุบลราชธานี เมื่อครั้งเปนมหาดไทยมลฑล เปนแม กองรวบรวมเรื่องราวหัวเมืองตะวันออกเฉียงเหนือขึ้น และโปรดใหพระวิภาคพจนกิจ (เล็ก สิงหัษฐิต) เปนผูชวย จึงได พงษาวดารหัวเมืองอิสาน เปนหนังสือไมนอยกวา ๒๕ ยก เดือนกุมภาพันธ พ.ศ. ๒๔๙๐ เติม วิภาคยพจนกิจ บุตรพระวิภาคพจนกิจ (เล็ก สิงหัษฐิต) พบบันทึก การปกครองหัวเมืองมลฑลอีสาน ซึ่งบิดาไดรวบรวมไว จึงนํามาปรับปรุงปะติดปะตอกับหลักฐานอื่นที่หาไดใหม โดยอาศัยพงษาวดารหัวเมืองมณฑลอิสานรวมกับบันทึกการปกครองหัวเมืองมลฑลตะวันออกเฉียงเหนือ โดยใช เวลาราว ๒๐ ปเศษ จึงได หนังสือประวัติศาสตรอีสาน หนังสือประวัติเมืองอุบลราชธานี ฉบับเดิมเปนหนังสือใบลาน จารดวยตัวไทยนอย สํานวนอีสาน ดร. ปรีชา พิณทอง เปนผูรวบรวมคัดลอกไว เนื้อหาโดยภาพรวมในเรื่องคดีความมองซิเออรเซแงง ของเอกสารทั้งสามเลม มีความใกลเคียงกัน แต อาจมีร ายละเอียดปลีกยอยบางอยางที่แตกตางกัน เนื่องจากมุม มองของผูถายทอด ในหนังสือประวัติเมือง อุบลราชธานีที่คัดลอกจากใบลาน ถึงจะมีตัวเลขคาสินไหมทําขวัญไมตรงกับสองเอกสาร แตในมุมมองของผูที่ อยูในพื้นที่ กับเอกสารที่มีหลักฐานทางราชการในการอางอิง ยอมมีความคลาดเคลื่อนกันไปไมมากก็นอย แตก็ ใชวาจะเชื่อถือไมไดเลย แมแตในคําฟองของมองซิเออรเซแงง ที่มีการกลาวถึงกบฏ เอกสารทั้งสามเลม ก็มิได ปรากฏเรื่องนี้เลย ๘
เอกสารหอจดหมายเหตุแหงชาติ, ร.๕ กต. (ล) เลม ๕, เอกสารเย็บเลม รัชกาลที่ ๕ กระทรวงตางประเทศ (จ.ศ. ๑๒๓๐ – ๑๒๓๑), หนา ๒๔๙.
42
ปญหาเรื่อง “โตะเทาชาง” นายยุทธนาวรากร แสงอราม ภัณฑารักษชาํ นาญการ พิพธิ ภัณฑสถานแหงชาติ พระนคร “โตะ” ที่จ ะอธิบ ายตอไปนี้มิใ ช “โตะ” ในความหมายที่ปจ จุบันคนไทยเขา ใจโดยทั่ว ไป หากแตเปน “ภาชนะมีเชิงสูงรูปคลายพาน มีพื้นตื้นสําหรับวางหรือใสสิ่งของ มักทําดวยโลหะ เชน เงิน ทองคํา ทองเหลือง”๑ โตะจําแนกเปนขนาดตาง ๆ โตะขนาดใหญใชจัดสํารับอาหารคาวหวาน โตะขนาดเล็กใชสําหรับรองสิ่งของตา ง ๆ เชน กาน้ํา หรือลวมหมาก หากจะอธิบายจากรูปลักษณะความแตกตางระหวาง “โตะ” กับ “พาน” ใหเขาใจได งายคือ โตะจะมีกนตื้นปากกวางมีขอบแผ ริมเปนจัก ๆ โดยรอบ ในวัฒ นธรรมไทยเครื่องอุป โภคบริโภคที่เปน เครื่องโลหะเปนหนึ่ง ใน “เครื่อ งยศ” หรือ “เครื่อ งราช อิส ริ ยยศ” ซึ่ง เป นพระเจา แผน ดิน พระราชทาน แก พระบรมวงศานุ ว งศ ขุ นนาง และขา ราชการ ผูส รา ง คุณประโยชนใหแกบานเมือง โดยจะแตกตางกันไปตามฐานันดรศักดิ์ที่ไดรับ สํา หรับ “โตะ” ก็เปนหนึ่งในสิ่งของ พระราชทานดวย ดังจะปรากฏคําเรียกขาราชการที่ไดรับพระราชทานเฉพาะโตะทองคํารองกาน้ําวา “พระยาโตะ ทอง” ซึ่งจะมียศศักดิ์ต่ํากวา “พระยาพานทอง” พระยาที่ไดรับพระราชทานพานหมากทองคําเปนการเพิ่มเติม๒ อยางไรก็ดีมีโตะขนาดใหญชนิดหนึ่งเรียกวา “โตะเทาชาง” ซึ่งตาม พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ให คํา อธิบ ายวา “น. ภาชนะโลหะชนิด หนึ่ งคลา ยโตกมี ข าใหญห นาเทอะทะ ๓ ขา”๓ และ พจนานุกรมศัพทศิลปกรรม อักษร ซ – ฮ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ก็ใหคํา อธิบ ายในทิศทางเดีย วกันคือ “ภาชนะประเภทหนึ่ง ทําดวยโลหะ เชน เงิน ทอง นาก ลักษณะคลายถาดมีขอบสูงหรือกนลึก และมีขาตอตรงกน ภาชนะเปนรูปเทาชาง จากลักษณะนี้เองจึงมักเรียกวา โตะ หรือ โตก สวนลักษณะของเทา ชา งนั้น เปนรูปออน โคงมี ๓ หรือ ๔ ขา และนิยมสลักดุนลายหรือลงถมดําบาง ถมทองบาง.”๔ โตะเทาชาง มี “ขา” หรือมี “เชิง” ตามคํานิยามที่ปรากฏในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานโตะเทาชางยอมจะตองมี “ขา” ไมใช “เชิง” ทั้งนี้ห นา ที่การใชงานของโตะเทา ชา ง เปนโตะโลหะขนาดใหญสําหรับ จัดสํารับ อาหารคาวหวาน ดังปรากฏ หลักฐานวาใน พ.ศ. ๒๔๑๘ พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกลาเจา อยูหัว รัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกลา ฯ ๑
๕๑๙.
ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ (กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๕๖), หนา
๒
การจะสังเกตความแตกตางของชั้นบรรดาศักดิ์สมัยโบราณนั้น อาจพิจารณาไดจากเครื่อ งอุปโภคบริโภคที่เปนเครื่อ งยศ ใน ๓ ประเด็น คือ ๑. โลหะที่ใชผลิต ไดแก ทองเหลือง-ทองขาว เงิน และทองคํา ๒. กรรมวิธีในการตกแตง คือ เงิน กะไหลทอง เงินถมทอง ทองคําเกลี้ยง ทองคําสลักลาย และทองคําลงยาราชาวดี และ ๓. รูปทรงของเครื่อ งยศ เชน กาน้ําทรงกระบอกจะเปน เครื่องใชเฉพาะพระบรมวงศานุวงศ เปนตน โปรดอานรายละเอียดเพิ่มเติมใน ยุทธนาวรากร แสงอราม, โลหศิลป ณ พระที่นั่ง ปจฉิมาภิมุข พิพิธภัณฑสถานแหงชาติ พระนคร (กรุงเทพฯ : สํานักพิพิธภัณฑสถานแหงชาติ, ๒๕๖๐), หนา ๓๓ - ๔๓. ๓ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔, หนา ๕๑๙. ๔ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมศัพทศิลปกรรม อัก ษร ซ – ฮ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน (กรุงเทพฯ : บริษัทดาน สุทธาการพิมพ จํากัด, ๒๕๕๐), หนา ๔๑๘. 43
พระราชทานบําเหน็จความชอบแกหมอชาง และควาญชา ง ผูคลองพระเสวตวรลักษณ ชางเผือกได ซึ่งรายการ สิ่งของสวนหนึ่งเปนเครื่องอุปโภคบริโภคดวย อาทิ“...ลวมเขมขาบมีถาดทองขาวรอง ขันน้ํา จอกลอยทองขาว สํารับ ๑ โตะเทาชางทองขาวคาวหวานคู ๑ กระโถนปากแตรทองขาวกระโถน ๑ ชามขาวมีพานรอง ๑...”๕ หรือ ใน พ.ศ. ๒๔๓๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกลาฯ พระราชทานสิ่งของบําเหน็จความชอบแกหมอชาง และควาญชาง ที่ คลองชางเผือกเมืองจําปาศักดิ์ ซึ่งรายการสิ่งของพระราชทานก็ปรากฏ “...ชามขา วมีฝ าพานรอง ๑ โตะเทาชาง คาว ๑ หวาน ๑...” ๖ รวมอยูดวย พระสุพรรณภาชนคาว (ที่มา : สํานักงานเสริมสรางเอกลักษณ ของชาติ, ราชาศัพท, พิมพครั้งที่ ๔ (กรุงเทพฯ: สํานักงานเสริมสราง เอกลักษณของชาติ, ๒๕๕๕), หนา ๙๔)
และเมื่อศึกษาจากเครื่องราชูปโภค โตะโลหะขนาดใหญสําหรับตั้งพระกระยาหารเครื่องคาวเครื่องหวาน มีคําเรียกเฉพาะวา “พระสุพรรณภาชน” ตาม พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ใหคําจํา กัด ความวา “(ราชา) น. ภาชนะสําหรับใสพระกระยาหาร ทําดวยทองคํา ทั้งชุด , ใชวา พระสุพรรณภาชน; (โบ) โตะ เทาชาง.”๗ สอดคลองกับคําบรรยายของจมื่นมานิตยนเรศร (เฉลิม เศวตนันทน) เกี่ยวกับเรื่องราวในสมัยรัชกาลที่ ๖ ในรายการวิทยุ “รอบเมืองไทย” ของกรรมการสงเสริมสภาการศึกษา มหามกุฎราชวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ ๒๕๐๒ ตอนหนึ่งไดกลาวถึง “พระสุพรรณภาชน” ดังนี้ “พระสุพรรณภาชนคือโตะเทาชาง อยา งที่นํามาใชสําหรับบรรจุดอกไมธูป เทียนเผาศพซึ่งเปนนิเกิลหรือเงิน ที่วัดมกุฎหรือวัดโสมนัสสมัยนี้ [พุทธศักราช ๒๕๐๒ผูเขียน] ชุดหนึ่งมี ๓ องค คือ ๓ โตะ เปนโตะทําดวยทองคําบาง เงินบาง ปากโตะเปน กุดั่นคือฝงพลอยสีตางๆ...”๘ ๕
“การสมโภชพระเสวตวรลัก ษณ, ” ราชกิ จ จานุเบกษา เลม ๒, แผ น ๑๒ (วั นอาทิต ย ขึ้น ๒ ค่ํ า เดือ น ๘ จุลศั กราช ๑๒๓๗) : หนา ๙๘. ๖ หมอมอมรวงษวิจิตร (หมอมราชวงศปฐม คเนจร), “พงษาวดารหัวเมือ งมณฑลอิสาน,” ใน ประชุมพงศาวดารฉบับ กาญจนาภิเษก เลม ๙ (กรุงเทพฯ : กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร กรมศิลปากร, ๒๕๔๖), หนา ๔๐๕. ๗ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔, หนา๑๒๔๕. ๘ อนุสรณ ศุกรหัศน (พระนคร: โรงพิมพมหามกุฎราชวิทยาลัย, ๒๕๑๑, ที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพ เสวกโท จมมื่น มานิตยนเรศ ( เฉลิม เศวตนันทน) ๒๐ มกราคม ๒๕๑๑), หนา ๓๓๓. 44
หรือ จมื่นอมรดรุณารักษ (แจม สุนทรเวช) อธิบายถึงลักษณะของพระสุพรรณภาชน ในประเพณีการเสวย ตน ในรัชกาลที่ ๖ วา “พระสุพรรณภาชน ขอไดโปรดพิจ ารณาจากภาพที่นํามาลงไวเปนชนิดโตะมีเทา สว น ขางบนมีลักษณะเหมือนถาดกับขา วอยางกลม แตปากถาดบานออกไปกวาง ทํา ใหเกิดความสวยงาม ฉลุล าย โปรง”๙ ทั้งนี้จากภาพลายเสนและภาพถาย พระสุพรรณภาชน เปนโตะทองคําสลักลายขนาดใหญที่มีเชิง มิไดมีขา ๓ ขา หรือ ๔ ขา แตอยางใด ซึ่งหนังสือ อักขราภิธานศรับท พจนานุกรมของหมอบรัดเลย ซึ่งตีพิมพค รั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๖ นิยามคําวา “เทาชาง” วา “ทาวชาง, ตีนชาง, คือตีนชางฤๅโตะทองขาวที่เหมือนทาวชางนั้น, เชน โตกเทาชาง.”๑๐ โตะเทาชาง จึงยอมที่จะตองมีเชิงหรือขาที่ใหญคลายกับเทาของชาง นอกจากนี้ในประกาศราช กิจจานุเบกษาในรัชกาลที่ ๕ (พ.ศ. ๒๔๑๗–๒๔๒๒ และ ๒๔๒๗ – ๒๔๕๓) พบหลักฐานการเรียกชื่อโตะสํารับคาว หวานชนิดอื่น ๆ นอกจากโตะเทาชาง อาทิ “โตะเงินทาวชาง ๒ โตะ โตะเงินมีทาว ๒ โตะ”๑๑ “โตะเงิน ๔ เทา คาว ๑ หวาน ๑”๑๒ และ “โตะเงินเทาสิงห”๑๓ จึงเปนไดวาแตเดิมนั้น โตะโลหะทีม่ ีขาใหญรูปออนโคง ๓ – ๔ ขา นั้นนาจะเรียกวา “โตะมีเทา” หรือ “โตะ ๔ เทา” มากกวา ภาพลายเสนพระสุพรรณภาชน (ที่มา : จมื่นอมรดรุณารักษ (แจม สุนทรเวช), พระราช กรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎ เกลาเจา อยูหัว เลม ๑๐ เรื่อง พระราชประเพณี (ตอน ๒) (พระนคร : องคการคาของคุรุสภา ๒๕๑๔).) สํานักงานเสริมสรางเอกลักษณของชาติ, ราชาศัพท, พิมพครั้งที่ ๔ (กรุงเทพฯ : สํานักงานเสริมสราง
๙
จมื่นอมรดรุณารักษ (แจม สุนทรเวช), พระราชกรณีย กิจในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา เจาอยูหัว เลม ๑๐ เรื่อง พระราชประเพณี (ตอน ๒) (พระนคร : องคการคาของคุรุสภา ๒๕๑๔), หนา ๙๕. ๑๐ แดนบีช แบรดเลย, อักขราภิธ านศรับ ท, พิมพค รั้งที่ ๒ (กรุงเทพฯ : โรงพิมพคุรุสภา, ๒๕๑๔), หนา ๓๑๐. และยัง ปรากฏคําวา “โตะทาวชาง, โตกทาวชาง, เปนชื่อโตะที่เขาทําดว ยเงิน บาง, ทองบาง, ทองเหลืองบาง, คลายกับ ทาวชาง, สํารับใส ของกินนั้น” ดู เรื่องเดียวกัน, หนา ๒๖๐. ๑๑ “วาดวยเครื่องแตงตั้งในหอมิวเซียม” ราชกิจจานุเบกษา เลม ๕ (วันอาทิตย ขึ้น ๒ ค่ํา เดือน ๑๒ จุลศัก ราช ๑๒๔๐) : หนา ๒๓๗. ๑๒ พระราชทานแก พระยาคทาธรธรณินทร พระยาพานทอง ดู “ขาราชการถวายบังคมลาแลพระราชทานเครื่อ งยศ” ราชกิจจานุเบกษา เลม ๑๑, ตอน ๕ (๒๙ เมษายน รัตนโกสินทรศก ๑๑๓) : หนา ๓๖. ๑๓ “ประวัติ [เจานรนัน ทไชยชวลิต ]” ราชกิจจานุเบกษา เลม ๑๓, ตอน ๙ (๓๑ พฤษภาคม รัตนโกสิ นทรศก ๑๑๕) : หนา ๑๑๐. 45
การเรียกโตะมีเทาวา โตะเทาชางนั้น คงมีมานานแลวอยางนอยในรัชกาลที่ ๗ – ตนรัช กาลที่ ๘ ดวยใน สมุดทะเบียนโบราณวัตถุของพิพิธภัณฑสถานแหงชาติ พระนคร เลม ๒วัตถุเลขทะเบียน ฎ. ๑๐/๗ และ ฎ. ๑๖/๗ มีชื่อวัตถุวา “โตะเทาชาง” โดยมีลักษณะเปนภาชนะทองเหลืองกนตื้นปากกวางมีขอบแผ ริมเปนจัก ๆ โดยรอบ มีขาออนโคง ๓ ขา ปจจุบันโตะมีเทาทั้งสองใบนี้จัดแสดงในพระตําหนักแดง อนึ่งสมุดทะเบียนเลมเดียวกัน วัตถุ เลขทะเบียน ญ. ๑๔๗ มีชื่อ วัตถุวา “โตะเทา สิงห (เครื่องสํารับ กับขา ว)” โดยมีลักษณะเปนภาชนะเงินกนตื้น ปากกวางมีขอบแผริมหยักโคงประดับลวดลายพันธุพฤกษาโดยรอบ มีข าสิงหออนโคง ๔ ขา ปจจุบันโตะเงินเทา สิงหใบนี้เก็บรักษาในคลังพิพิธภัณฑสถานแหงชาติ พระนคร โตะเทาชาง (เลขทะเบียน ฎ. ๑๖/๗) ศิลปะรัตนโกสินทร พุทธศตวรรษที่ ๒๕ หรือประมาณ ๑๐๐ ปมาแลว ทองเหลือง สูง ๑๖ เซนติเมตร เสนผาศูนยกลาง ๕๔ เซนติเมตร ท า วภั ณ ฑสารนุ รั ก ษ (แก ว ) ส ง มาจากคลั ง ในเมื่ อ วั น ที่ ๑๒ เมษายน ๒๔๗๑ พิพิธภัณฑสถานแหงชาติ พระนคร
ที่มาของคําอธิบายเรื่องโตะเทาชาง วาเปนโตะทีม่ ขี าใหญหนาเทอะทะ ๓ ขาเขาใจวาคงเนื่องมาจาก คําอธิบายเรื่อง “โตะ” ของสมเด็จพระเจาบรมวงศเธอ กรมพระยาดํารงราชานุภาพซึ่งกราบทูล สมเด็จพระเจา บรมวงศเธอ เจาฟากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๘ ดังเนื้อความตอไปนี้ “เครื่องยศอยางหนึ่งเรียกวา “โตะเทาชาง” หมอมฉันอยากรูวามันเปนอยา ง ไรก็คนไมพบ เห็นโตะสามขาก็เปนเล็บสิงห คิดไมเห็นวาโตะเทาชางจะเปนอยางไร มา จนวันหนึ่ง ดูเหมือนจะเปนในรัชชกาลที่ ๖ คุณหญิงเนื่อง ภรรยาพระยาเพ็ช รรัตน สงคราม (เลื่อน) สมุหเทศาภิบาลมณฑลเพชรบูรณ มาหามารดาหมอมฉัน มีลูกไมใส โตะสามขามาให หมอมฉันแลดูเห็นขาโตะใบนั้นทํา เปนรูปเทา ชางเปนใบแรก จึงได คิดวาที่เรียกวาโตะเทาชางคือโตะนั่นเอง แตชั้นเดิมเห็นจะทําขาเปนเทาชา งโดยมาก จึงเรียกวาโตะเทาชาง ครั้นภายหลังยักไปทําเปนรูปเทาสิงหแตคนยังเรียกอยูอยา งเดิม ...”๑๔
๑๔
สมเด็จพระเจาบรมวงศเธอ เจาฟากรมพระยานริศ รานุวัด ติวงศ และ สมเด็จพระเจาบรมวงศเธอ กรมพระยาดํารงรา ชานุภาพ, สาสนสมเด็จ เลม ๘ พ.ศ. ๒๔๗๘ (ตุลาคม – มีนาคม), พิมพครั้งที่ ๒ (กรุงเทพฯ : องคการคาของคุรุสภา, ๒๕๔๖), หนา ๕๒. 46
โตะเทาสิงห (เลขทะเบียน ญ. ๑๔๗) ศิลปะรัตนโกสินทร พุทธศตวรรษที่ ๒๕ หรือประมาณ ๑๐๐ ปมาแลว เงิน สูง ๑๔.๕ เซนติเมตร เสนผาศูนยกลาง ๕๑ เซนติเมตร สมบัติเดิมของพิพิธภัณฑสถานแหงชาติ พระนคร พิพิธภัณฑสถานแหงชาติ พระนคร
47
“คุกนัน้ สําคัญทีต่ รงไหน”: กรณีศกึ ษา เรือนจํานครปฐม ภัคพดี อยูคงดี ผูเชี่ยวชาญเฉพาะดานโบรณคดี ๑. คําสําคัญ“คุก” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ พิมพครั้งที่ ๒ ใหความหมายวา ที่ขงั นักโทษ, เรือนจํา (หนา ๒๖๒) สวน“นักโทษ” หมายถึง บุคคลทีถ่ ูกลงโทษจําคุก นอกจากนี้ยังมีคาํ วา “นักโทษเด็ดขาด” หมายถึง บุคคลที่ถกู จําขังไวตามหมายจําคุกภายหลังคําพิพากษาถึงที่สุด คําศัพทที่มคี วามหมายเกี่ยวเนื่องกันอีก คําหนึง่ คือ “ทัณฑสถาน” หมายถึง เรือนจําพิเศษประเภทหนึ่ง ที่ใชเปนทีค่ วบคุมกักชังผูตอ งขังเฉพาะแตละ ประเภทใหเหมาสมกับประเภทของผูตองขังนั้นๆ เชน ทัณฑสถานวัยหนุมเปนสถานที่ควบคุมกักขังและฝกอาชีพแก ผูตองขังที่อยูในวัยหนุม(หนา ๕๖๐)คําวา คุก เปนคําทีร่ ูจักกันมานานมากแลว สําหรับนักโบราณคดีไทยก็คงคุนชื่อ กับชือ่ คุกขี้ไก ๒. ประวัตกิ ิจการคุก ๒.๑กอนรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยูห ัวคุกสังกัดอยูตามสวนราชการตาง ๆ สอดคลองกับการ ปกครองแบบจตุสดมภคอื แบงเปนคุกหรือเรือนจําในกรุงเทพฯและเรือนจําในหัวเมืองชั้นนอก เรือนจําในกรุงเทพฯ มี ๒ ประเภท คือ คุก เปนที่คมุ ขังผูตอ งขังที่มีโทษตั้งแต ๖ เดือนขึ้นไปอยูในสังกัดกระทรวงนครบาล ตะราง ใชเปน ที่คุมขัง ผูตองขังที่มีโทษนอยกวา ๖ เดือน หรือนักโทษที่มิใชโจรผูรา ยสังกัดกระทรวง ทบวง กรม ทีบ่ ังคับกิจการ นั้น ๆ สวนเรือนจําในหัวเมืองชั้นนอก มีที่คมุ ขัง ผูตอ งโทษเรียกวา “ตะราง” การคุมขังอยูในความรับผิดชอบของ ผูวา ราชการเมืองหรืออาจสงตอใหกระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม รับตัวไปคุมขัง แลวแตกรณี ๒.๒ หลังการปรับปรุงระเบียบราชการแผนดินใหมในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยูห ัว ในป โปรดฯใหสรางคุกใหม เรียกวา กองมหันตโทษ สรางตะรางใหม เรียกวา กองลหุโทษ สังกัดกระทรวงนครบาล และในปพ.ศ. ๒๔๔๔ โปรดเกลาใหตรา “พระราชบัญญัติลักษณะเรือนจํา” เพื่อใหการจัดการเรือนจําเปนไปอยาง เรียบรอยยิง่ ขึ้นและในป พ.ศ. ๒๔๕๘ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลาเจาใหตรา “พระราชบัญญัติจัดตั้งกรม ราชทัณฑ” มีพระยาวิชิตวิศิษฎธรรมธาดา (ขํา ณ ปอมเพชร)เปนอธิบดีกรมราชทัณฑคนแรกกิจการคุกอยูในสังกัด กระทรวงยุตธิ รรม มีพฒ ั นาการเปนลําดับเรื่อยมา ๒.๓. การกอตัง้ เรือนจํานครปฐม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยูห ัว โปรดใหตงั้ มณฑลนครไชยศรี เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๘ โดยรวมเอาเมืองนคร ไชยศรี สุพรรณบุรี สมุทรสาคร ขึ้นเปนมณฑล มีที่ทาํ การอยูท ี่บา นทานา เมืองนครไชยศรี มีตะรางขังนักโทษ ตั้งอยูหลังจวนผูว า การมณฑล ป พ.ศ.๒๔๔๑ ยายทีว่ า มณฑลมาไวที่ตําบลพระปฐมเจดีย จัดวางผังเมืองนครปฐม ใหม จากบันทึกตรวจราชการมณฑลนครไชยศรีของสมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุภาพ ความวา “วันที่ ๑๕ (พ.ศ. ๒๔๔๑) ...ฉันไดสั่งพระยาสุนทรบุรี ใหรบี คิดทําตะรางขึ้นทีพ่ ระปฐมเจดีย แลใหสงคนโทษเมืองสุพรรณ เมืองนคร 48
ไชยศรีที่มกี าํ หนดโทษเกิน ๓ เดือน เอาขึ้นมาไวใชที่พระปฐมเจดีย” และเปดกิจการเดินรถไฟสายใตตัดเสนทางเดิน รถใกลกบั องคพระปฐมเจดียในป พ.ศ. ๒๔๔๓ ๓. องคประกอบเรือนจํานครปฐม
ระวางที่ดิน พ.ศ. ๒๔๔๑ แสดงใหเห็นวาคุกมีแผนผังเปนรูปสี่เหลี่ยมผืนผามีกาํ แพงหนาลอมรอบมี ทางเขา-ออก อยูทางทิศเหนือพื้นที่ ๒๘ ไร - งาน ๘๑ ตารางวา พื้นทีภ่ ายนอก ๑๒ ไร ๒ งาน ๓๕ ตารางวา
เอกสารแผนกราชทัณฑ จังหวัดนครปฐม ที่ ๕๐๓๓/๒๔๗๘ ลงวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๔๗๘ เรื่อง ขออนุญาตขอ อนุญาตซอมเรือนขังนักโทษชาย ๑ หลัง ระบุขนาดกวาง-ยาว ๑๒ x ๒๔ เมตร รูปทรงปนหยา หลังคาสังกะสี ปลูก สรางมา ๒๖ ป แสดงวาอาคารหลังนี้สรางขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๒ นอกจากนี้ยังมีแผนผังแสดงตําแหนงอาคารเรือน 49
ขังนักโทษที่ใชงานในชวงเวลานั้นปรากฏอยูซ ึ่งเห็นถึงพัฒนาการและการใชสอยพื้นที่เรือนจํานครปฐมตาม ระยะเวลาจนกระทั่งปจจุบัน ๔. ที่มาของปญหา ๔.๑ คณะอนุกรรมการอนุรักษสงิ่ แวดลอมธรรมชาติและศิลปกรรม ยืนยันมติใหพื้นทีแ่ ปลงเรือนจําเกานครปฐม เปนพื้นที่สีเขียว เพื่อใหสอดคลองกับนโยบายกรมธนารักษปรับปรุงกลุม อาคารเกา รวมทัง้ ตนไมใหญในพืน้ ที่ ทั้งนี้ ไมควรมีหนวยงานใดๆ ในพื้นที่ ควรยายหนวยราชการการไปยังศูนยราชการแหงใหม ๔.๒ กรมศิลปากร ขอใชพื้นที่บางสวนเปนที่กอสรางพิพธิ ภัณฑสถานแหงชาติ พระปฐมเจดีย แหงใหม ซึง่ คณะอนุกรรมการอนุรักษฯ มีมติตามขอ ๔.๑ ๕. วัตถุประสงคของการประเมินคุณคา “คุก” ๕.๑ คุก เปนโบราณสถานหรือไม ๕.๒ สวนใดของคุกควรคาแกการอนุรักษหรือรักษาไว ๖. การวิเคราะห ตาม พระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ แกไข เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๔“อสังหาริมทรัพยซึ่งโดยอายุหรือโดยลักษณะแหงการกอสราง หรือโดยหลักฐานเกี่ยวกับประวัตขิ อง อสังหาริมทรัพยนั้น เปนประโยชนทางศิลปะ ประวัติศาสตร หรือโบราณคดี ทั้งนี้ใหรวมถึงสถานที่เปนแหลง โบราณคดี แหลงประวัติศาสตร และอุทยานประวัติศาสตรดวย” ผลการวิเคราะห- นําเสนอในงานวิจัย วิจักขณ
50
ระบบบริหารจัดการน้าเมืองศรีสัชนาลัย นายภัทรพงษ์ เก่าเงิน หัวหน้าอุทยานประวัติศาสตร์สรีสัชนาลัย เมืองศรีสัชนาลัยตั้งอยู่ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ายมในบริเวณที่เรียกว่าแก่งหลวง เขตพื้นที่ต้าบลศรีสัช นาลัย อ้าเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ตัวเมืองมีผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าด้านไม่เท่า ก้าแพงเมืองด้าน ทิศเหนือทิศตะวันตกและทิศใต้ก่อด้วยศิลาแลงตั้งอยู่บนคันดินสูงและมีก้าแพงดินที่สลับคั่นด้วยคูน้าล้อมรอบ อีก 2 ชั้น ส่วนก้าแพงเมืองด้านทิศตะวันออกซึ่งติดแม่น้ายมมีก้าแพงก่อด้วยศิลาแลงชั้นเดียวเมืองนี้เป็นเมืองใน สมัยหลังที่ถูกตัดย่อลงจากเมืองเดิมที่มีรูปร่างคล้ายหอยสังข์ โดยแต่เดิมแนวก้าแพงเมืองนี้ยาวขึ้นไปในพื้นที่ บ้านป่ายางเหนือเมืองปัจจุบันและยาวลงไปตามล้าน้้ายมทางทิศตะวันออกของเมืองปัจจุบันอีกราว2 กิโลเมตร
ประวัติความเป็นมา
พื้นที่บริเวณนี้เ ป็นพื้นที่ที่เหมาะแก่การตั้งถิ่นฐาน เนื่องจากมีชัยภูมิดีมีภูเขาและแม่น้าเป็นปราการ ล้อมรอบและมีความอุดมสมบูรณ์จากแม่น้ายมและคลองเล็กคลองน้อยที่ไหลเชื่อมโยงในพื้นที่ จึงท้าให้พบ หลักฐานว่ามีผู้คนเข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่อาศัยในพื้นที่บริเวณนี้ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย(สมัยทีย่ งั ไม่มีการใช้ตัวอักษร)เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๙ มาจนถึงสมัยทวารดีในพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๖ และสมัยลพบุรี ในพุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘ ต่อเนื่องมาจนถึงสมัยสุโขทัยในพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ศรีสัชนาลัยเป็นเมืองส้าคัญแห่งหนึ่งในแคว้นสุโขทัย ที่มักจะปรากฏชื่อควบคู่ไปกับเมืองหลวงในจารึก ว่า “ ศรีสัชนาลัย สุโขทัย” โดยปัจจัยหลักแห่งความรุ่งเรืองของเมืองศรีสัชนาลัยนั้น น่าจะมาจากอุตสาหกรรม การผลิตเครื่องสังคโลกในสมัยสุโขทัยและอยุธยา ที่พัฒนาจากการผลิตเพื่อใช้ในชุมชุนไปสู่การผลิตเพื่อส่งออก ไปขายยังชุมชนภายนอก อันน้ามาซึ่งรายได้เป็นจ้านวนมาก และจากความส้าคัญในเชิงเศรษฐกิจนี้เองที่ท้าให้ เมืองศรีสัชนาลัยได้รับการปกครองจากเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงในสมัยสุโขทัย ก่อนที่จะถูกยึดครองโดยรัฐต่างๆ ที่ เข้ม แข็ง กว่าในเวลาต่อ มา เช่น ล้านนา ที่เ รียกเมื องนี้ว่า “ เชี ย งชื่ น” หรือกรุงศรีอยุธยาที่ เรียกเมื องนี้ว่า “ สวรรคโลก” ภายหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๑ ใน พ.ศ.๒๑๑๒ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องสังคโลกที่ เมืองศรีสัชนาลัยก็ยุติลง ส่งผลให้เมืองศรีสัชนาลัยถูกลดฐานะลงเป็นเพียงหัวเมืองชั้นโท จนกระทั่ง เสียกรุงศรี อยุธยาครั้งที่ ๒ ใน พ.ศ.๒๓๑๐ เมืองศรีสัชนาลัยจึงถูกทิ้งร้างไปโดยสิ้นเชิง โดยผู้คนได้อพยพไปตั้งบ้านเรือนอยู่ บริเวณบ้านวังไม้ขอน อ้าเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัยในปัจจุบัน สภาพภูมิประเทศ ศรีสัชนาลัยเป็นเมืองที่มีเทือกเขาและแม่น้าโอบล้อม โดยเริ่มจากด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของ เมืองมีเขาอินทร์และเขาพระบาททอดยาวมายังแก่งหลวง (แก่งหินขนาดใหญ่ที่ขวางกันแม่น้ายมซึ่งเป็นส่วน หนึ่งของเทือกเขานี้) ผ่านล้าน้้ายมเข้ามายังเมืองแล้วทอดยาวผ่านเข้ามาภายในตัวเมืองทางด้านทิศเหนือได้แก่ เขาพนมเพลิงและเขาสุวรรณคีรี จากนั้นผ่านออกนอกเมืองทางก้าแพงเมืองด้านทิศตะวันตกเป็นเขาแก้ว เขา ใหญ่ เขาน้อย เขานางม้า เขานางนอน เขาพระศรี เขาหมาแหงนและไปจดแม่น้ายมอีกครั้งที่เขาเชิงคีรี
๕๑
พื้นที่ของเมืองและบริเวณโดยรอบมีความลาดเอียงจากทิศตะวันตกซึ่งเป็นเทือกเขามาสู่แม่น้ายมทาง ทิศตะวันออก และลาดเอียงจากทิศเหนือมาทางทางทิศใต้ (ยกเว้นบริเวณที่ตั้งเมืองซึ่งมีเทือกเขาพาดผ่านจะ สูงกว่าพื้นที่โดยรอบเล็กน้อย)
แผนที่แสดงสภาพภูมิประเทศที่ตั้งของเมืองศรีสชั นาลัยซึ่งมีภูเขาและแม่น้าเป็นปราการล้อมรอบ ที่มา : แผนที่ทางทหารมาตราส่วน ๑ : ๕๐,๐๐๐ ระวาง 4943I L7018 พิมพ์ครั้งที่ 1-RTSD แม่น้า
ล้าน้้าสายหลักที่ไหลผ่านตัวเมืองศรีสัชนาลัยมีอยู่ ๒ สายประกอบด้วย แม่น้ายมไหลผ่านตัวเมือ งศรีสัชนาลัย ทางด้านทิศตะวันออก มีต้นก้าเนิดจากเทือกเขาผีปันน้้าทาง ภาคเหนือ ของประเทศไทย ไหลผ่านจัง หวัดแพร่จ นถึง อ้าเภอศรีสั ชนาลัยไปสุโ ขทั ย พิษณุโ ลก พิจิตรและ นครสวรรค์ ในช่วงที่ไหลผ่านตัวเมืองโบราณศรีสัชนาลัยท้าให้เกิดแก่งน้้าอยู่ 3 แก่ง คือ แก่งหลวง แก่งคันนา และแก่งสัก ร่องตาเต็มเป็นล้าน้้าขนาดเล็กที่ไหลมาจากทิศตะวันตกของเมือง ไหลผ่านทางด้านทิศเหนื อของเมือง ไปลงแม่น้ายมในช่วงที่ร่องตาเต็มจะไหลมาบรรจบกับแม่น้ายมได้แยกล้าน้้าออกเป็น ๓ สาย ไปยังบ้านเกาะ น้อย บ้านป่ายางและบริเวณริมก้าแพงเมืองศรีสัชนาลัยด้านทิศเหนือตามล้าดับ ปัจจุบันปลายล้าน้้าทั้ง ๓ สาย ถูกถมจนไม่เชื่อมต่อกับแม่น้ายมแล้ว ท้าไมต้องบริหารจัดการน้า? ปัจจัยส้าคัญที่ท้าให้ศรีสัชนาลัยสามารถคงสถานะของเมืองที่มีขนาดใหญ่ ที่มีความส้าคัญทั้งในด้าน การเมืองเศรษฐกิจสังคมของภูมิภาคได้อย่างยาวนานนั้น นอกจากจะมีที่ตั้งที่เป็นชัยภูมิที่เหมาะสมมีภูเขาและ แม่น้าเป็นปราการล้อมรอบท้าให้ข้าศึกโจมตีได้ยากแล้วนั้น ความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ก็ยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่มีความส้าคัญไม่น้อยไปกว่ากัน ซึ่งปัจจัยพื้นฐานของความอุดมสมบูรณ์ในพื้นที่ที่ส้าคัญประการหนึ่งได้แก่ “น้า” แม้ ว่าเมื อ งศรีสัชนาลัยจะตั้งอยู่ริมแม่ น้ายมอันเป็นแม่ น้าส้าคัญ สายหนึ่ง ของประเทศ แต่แม่ น้ายม โดยเฉพาะช่วงต้นน้้าจนถึงตัวเมือ งศรีสัชนาลัยเป็นแม่ น้าที่ มีร ะดับความลาดเอียงของท้ องน้้าสูง ลักษณะ ดังกล่าวเช่นนี้จะท้าให้แม่น้ายมไม่สามารถกักเก็บน้้าได้สม่้าเสมอทั้งปี โดยในฤดูฝนหรือฤดูน้าหลากน้้าในแม่น้า จะมีระดับสูงและลดต่้าลงอย่างมากในฤดูแล้ง (ในฤดูแล้งน้้าในแม่น้าจะมีระดับต่้ากว่าชายตลิ่งกว่า ๑๐ เมตร) ท้าให้ผู้คนในเมืองไม่สามารถใช้น้าจากแม่น้ายมได้ตลอดทั้งปี นอกจากนี้ต้าแหน่งที่ตั้งของตัวเมืองที่มีเทือกเขา ๕๒
ล้อมรอบก็ยังส่งผลเสียให้กับเมืองในช่วงฤดูฝน คือน้้าฝนที่ตกลงมาสะสมตามเทือกเขาโดยรอบจะไหลบ่าตาม ความลาดเอียงของพื้นที่เข้าท่วมตัวเมืองท้าให้เกิดความเสียหายต่อเมืองได้ จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่า เมืองศรีสัชนาลัยมีปัญหาเรื่องน้้าคือมีน้ามากจนเกินความต้องการ ในฤดูฝน (จนท้าให้เกิดปัญหาน้้าท่วม) และมีน้าน้อยจนไม่เพียงพอต่อการใช้อุปโภคบริโภคในฤดูแล้ง ท้าให้ (ผู้ปกครองเมือง)ต้องท้าการบริหารจัดการน้้าเพื่อให้เมืองมีน้าใช้ตลอดปีและลดผลกระทบจากปัญหาน้้าท่วมน้า้ หลากซึ่งในที่นี้จะอธิบายการบริหารจัดการน้้าของเมืองศรีสัชนาลัยแยกออกเป็น ๒ พื้นที่ประกอบด้วย การ บริหารจัดการน้้านอกเมืองและการบริหารจัดการน้้าภายในเมือง(ภายในก้าแพงเมือง) การบริหารจัดการน้านอกเมืองศรีสัชนาลัย พื้นที่นอกเมืองศรีสัชนาลัยทางด้านทิศตะวันตกและทิศใต้ซึ่งเป็นเทือกเขาที่ลาดเชิงเขานั้น เป็นพื้นที่ ส้าคัญบริเ วณหนึ่ง ของเมื องเนื่องจากพบหลัก ว่ามี ก ารใช้พื้นที่ บริเ วณดัง กล่าวส้าหรับ การอยู่อาศัย โดยพบ โบราณสถานซึ่งส่วนใหญ่เป็นวัดในพุทธศาสนาตั้งอยู่หลายสิบแห่ง ทั้งที่อยู่บนภูเขาและที่ลาดเชิงเขา พื้นที่ บริเวณนี้ในฤดูฝนน้้าฝนที่ตกสะสมตามเทื อกเขาจะไหลบ่าลงมาท้ าความเสียหายให้กั บพื้นที่ อยู่อาศัย แต่ ขณะเดียวกันในฤดูแล้งพื้นที่บริเวณนี้ซึ่งเป็นพื้นที่สูงไม่มีแหล่งน้้าตามธรรมชาติใดๆ ก็จะเกิดปัญหาภัยแล้งไม่ มี น้้าใช้เพื่อการอุปโภคบริโภค (ดังจะเห็นได้จากมีการขุดบ่อหรือสระน้้าเป็นจ้านวนมากในพื้นที่ทั้งในที่ราบและ บนภูเขา) ดังนั้นการบริหารจัดการน้้าของพื้นที่บริเวณนี้จึงจ้าเป็นต้องควบคุมหรือบังคับทิศทางการไหลของน้้า ในฤดูฝนเพื่อไม่ให้น้าไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่อยู่อาศัย และยังจะต้องกักเก็บน้้าที่มีมากในฤดูฝนเอาไว้ใช้ในฤดู แล้งอีกด้วย จากการส้ารวจศึกษาพบว่าเครื่องมือส้าคัญอย่างหนึ่งที่ใช้ในการบริหารจัดการน้้าในพื้นที่บริเวณนี้ ได้แก่ “คันดิน”ซึ่งมีทั้งคันดินที่ท้าหน้าที่เป็นเขื่อนส้าหรับกักเก็บน้้าและคันดินส้าหรับ ชะลอหรือบังคับน้้า ซึ่ง จากการศึกษาส้ารวจมีรายละเอียดดังนี้๑
แผนผังเมืองศรีสชั นาลัยแสดงคันดินที่ใช้ในการบริหารจัดการน้้าพื้นที่กักเก็บน้้าและทิศทางการไหลของน้้า ในเอกสารฉบับนี ้จะกล่าวถึงเฉพาะคันดินหลักที่ทาหน้ าทีบ่ ริ หารจัดการน ้าในภาพรวมของเมือง โดยจะไม่กล่าวถึงคันดินขนาดเล็กทีท่ า หน้ าทีบ่ ริ หารจัดการน ้าเฉพาะจุด
๕๓
๑.คันดินที่ท้าหน้าที่เป็นเขื่อนกักเก็บน้า มี ๓ คันดิน ประกอบด้วย คันดินหมายเลข ๑ตั้งอยู่ห่างจากเมืองศรีสัชนาลัยไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ ๑.๕ กิโลเมตร ลักษณะเป็นคันดินรูปโค้ง ยาว ๖๒๐ เมตร กว้างประมาณ ๒๐ เมตร สูงประมาณ ๓ เมตร เชื่อมระหว่างเชิง เขาพระศรีและเชิงเขาลูกเล็กไม่มีชื่อ๒ท้าให้พื้นที่ภายในคันดินมีลักษณะเป็นอ่างหรือเขื่อนกักเก็บน้้ารองรับน้้าที่ ไหลลงมาจากภูเขามีพื้นที่ประมาณ ๕๐ ไร่ หรือ ประมาณ ๘๐,๐๐๐ ตารางเมตร สามารถกักเก็บน้้าได้นับแสน ลูกบาศก์เมตร
แผนผังคันดินหมายเลข ๑ ลักษณะเป็นคันดินรูปโค้ง ยาว ๖๒๐ เมตร กว้างประมาณ ๒๐ เมตร สูงประมาณ ๓ เมตร เชื่ อมระหว่างเชิงเขาพระศรีและเชิงเขาลูกเล็กไม่มีชื่ อท้าให้พื้นที่ภายในคันดินมี ลักษณะเป็นเขื่อนกักเก็บน้้ารองรับน้้าที่ไหลลงมาจากภูเขา
คันดินหมายเลข ๑
ว่าทีร่ ้ อยตรี พิทยา ดาเด่นงาม,สรีดภงส์ และเขื่อนกันนำ้ โบรำณในประเทศไทย,เชียงใหม่ : โรงพิมพ์มิ่งเมือง, ๕๔๘, หน้ า ๔๘๐ – ๔๙๐.
๕๔
คันดินหมายเลข ๔ตั้งอยู่ห่างจากเมืองศรีสัชนาลัยมาทางทิศตะวันตกประมาณ ๒ กิโลเมตร เป็นคันดิน ที่เชื่อมช่องเขาระหว่างเขาน้อยและเขานางม้าลักษณะเป็นคันดินตรงยาวประมาณ ๑๒๐ เมตร กว้างประมาณ ๑๐ เมตร สูงประมาณ ๒ เมตร คันดินหมายเลข ๕ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองศรีสัชนาลัยมาทางทิศตะวันตกประมาณ ๒.๕ กิโลเมตร เป็น คันดินที่เชื่อมช่องเขาระหว่างเขานางม้าและเขานางนอน ลักษณะเป็นคันดินตรงยาวประมาณ ๑๕๐ เมตร กว้างประมาณ ๑๐ เมตร สูงประมาณ ๒ เมตร
แผนผังคันดินหมายเลข ๔ และคันดินหมายเลข ๕ ที่จะท้างานร่วมกันในการกักเก็บน้า้ ในการกักเก็บน้้าคันดินหมายเลข ๔และคันดินหมายเลข ๕ จะท้างานร่วมกัน เนื่องจากพื้นทีบ่ ริเวณ หุบเขาระหว่างเขาใหญ่เขานางม้าและเขานางนอนเป็นทีล่ ุ่มกลางหุบเขา (ชาวบ้านเรียกพื้นทีบ่ ริเวณนี้ว่านาสาม มุม) โดยพื้นทีจ่ ะลาดเอียงจากทางทิศตะวันออก (เขาใหญ่) ไปทางทิศตะวันตก (เขานางม้าและเขานางนอน) การท้าคันดินหมายเลข ๔ เชื่อมระหว่างช่องเขาน้อยกับเขานางม้าและคันดินหมายเลข ๕ ที่เชื่อมระหว่างเขา นางม้าและเขานางนอน จะท้าให้พื้นที่ภายในหุบเขาดังกล่าวกลายเป็นอ่างหรือเขื่อนกักเก็บน้้าขนาดใหญ่มี พื้นที่กักเก็บน้้าร่วมร้อยไร่และสามารถกักเก็บน้้าได้หลายแสนลูกบาศก์เมตร
คันดินหมายเลข ๔ ที่เชื่อมช่องเขาระหว่างเขาน้อยและเขานางม้า เป็นคันดินตรงยาวประมาณ ๑๒๐ เมตร กว้างประมาณ ๑๐ เมตร สูงประมาณ ๒ เมตร
๕๕
คันดินหมายเลข ๕ เชื่อมช่องเขาระหว่างเขานางม้าและเขานางนอน เป็นคันดินตรงยาวประมาณ ๑๕๐ เมตร กว้างประมาณ ๑๐ เมตร สูงประมาณ ๒ เมตร
สภาพพื้นที่บริเวณหุบเขาระหว่างเขาใหญ่ เขานางม้าและเขานางนอนเป็นที่ลุ่มกลางหุบเขา ที่ชาวบ้านเรียกพื้นที่บริเวณนี้ว่านาสามมุม ๒. คันดินที่ท้าหน้าที่เป็นคันบังคับน้า มีจ้านวน ๑ คันดิน ได้แก่ คันดินหมายเลข ๒ตั้งอยู่ห่างจากเมืองศรีสัชนาลัยไปทางทิศตะวันตก ๑ กิโลเมตร เป็นคันดินที่วางตัว ยาวตามแนวทิศเหนือ – ใต้เชื่อมระหว่างเขาใหญ่กับเขาพระศรี ยาว ๑,๐๖๕ เมตร กว้างประมาณ ๑๐ เมตร สูงประมาณ ๒ เมตร คันดินนี้ท้าหน้าในการชะลอน้้าจากเขาใหญ่และเขาพระศรีก่ อนที่จ ะไหลเข้า ด้านทิ ศ ตะวันตกของเมืองศรีสัชนาลัย เนื่องจากพื้นที่ทางด้านทิศตะวันตกของเมืองศรีสัชนาลัยเป็นพื้นที่ส้าคัญในฐานะ เขตอรัญวาสี ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดในสายวิปัส สนาธุระเป็นจ้า นวนมาก เช่น วัดสระไข่น้า วัดราหู วัดพญาด้า วัดสระปทุม วัดพรหมสี่หน้าและวัดยายตา เป็นต้น คันดินนี้จึงท้าหน้าที่ชะลอและบังคับทิศทางน้้าที่จะไหล จากเขามาสู่เมือง (ลงคูเมือง)เพื่อให้น้าที่ไหลลงมาจากภูเขาไม่ท้าความเสียหายแก่วัดวาอารามต่างๆ ที่ตั้งอยู่ใน พื้นที่ บริ เวณนี้ นอกจากชะลอและบัง คับ น้้า ให้มี แสน้้าที่เ บาลงและไหลไปตามทิ ศทางที่ ก้าหนดแล้วคันดิน ดังกล่าวยังท้าหน้าที่ดักเก็บสิ่งแขวนลอยต่างๆ ที่น้าพัดพามา เช่น กิ่งไม้ เศษดินเศษหินต่างๆ ไม่ให้เข้ามาใน พื้นที่ (เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นที่ลาดเชิงเขา น้้าที่ไหลมาจะพัดพาสิ่งแขวนลอยต่างๆ มากับน้้าได้มาก) น้้าที่ไหลผ่านคันดินบังคับน้้าดังกล่าวจะมาไหลลงคูเมืองทางด้านทิศตะวันตก โดยก่อนที่น้าจะไหลลงคู เมืองนั้น จะมีคันดินหรือก้าแพงเมือง (ชั้นนอก)คอยดักสิ่งแขวนลอยต่างๆ ที่ลอยมากับน้้าไม่ให้ไหลลงไปในคู เมือง (หากปล่อยให้น้าไหลลงคูเมืองเลยโดยมิได้ดักเก็บสิ่งแขวนลอยอาจท้าให้คูเมืองตื้นเขินเร็ว ) จากนั้นน้้าที่ ไหลเขาคูเมืองทางด้านทิศตะวันตกก็จะไหลสู่คูเมืองด้านทิศใต้ตามความลาดเอียงของพื้นที่ ๓ ลงไปเก็บที่คูเมือง ด้านทิศใต้และสระท้องกุลี จากนั้นน้้าส่วนที่เหลือก็จะไหลตามร่องน้้าสายเล็กๆไปทางทิศใต้ สู่หนองช้างแหล่ง น้้าส้าคัญของพื้นที่ที่มีขนาดพื้นที่มากกว่า ๒๐๐ ไร่ กักเก็บน้้าได้มากกว่าล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งหนองน้้าแห่งนี้ อยู่ห่างจากเมืองศรีสัชนาลัยไปทางทิศใต้ประมาณ ๑ กิโลเมตร เนื่องจากคูเมืองด้านทิศตะวันตกมีความลาดเอียงของพื้นที่สูงในอดีตอาจมีการท้าฝายทดน้้าเป็นระยะเพื่อจะสามารถกับเก็บ น้้าไว้ได้ทั้งคู ๕๖
คันดินหมายเลข ๒ ที่ท้าหน้าที่ชะลอและบังคับทิศทางการไหลของน้า เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายกับพืนที่อรัญวาสีทางด้านทิศตะวันตกนอกเมืองศรีสัชนาลัย
แผนผังคันดินหมายเลข ๒ ที่ท้าหน้าที่ชะลอและบังคับทิศทางการไหลของน้้า เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายกับพื้นที่อรัญวาสีทางด้านทิศตะวันตกนอกเมืองศรีสัชนาลัย จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าการบริหารจัดการน้้านอกเมืองศรีสัชนาลัย จะใช้คันดินเป็นเครื่องมือส้าคัญ โดยมีทั้งการบังคับควบคุมน้้าด้วยคันดินเพื่อให้น้าไหลไปในทิศทางที่ต้องการไม่ให้เกิดความเสียหายต่อพื้นที่ที่ ต้องการป้องกันรักษาไว้ และมีการกักเก็บน้้าที่มีมากในฤดูฝนไว้ใช้ในฤดูแล้ง โดยการสร้างเขื่อน (คันดิน) กัก เก็บน้้า เช่นเขื่อนคันดินหมายเลข ๑ และมีการบังคับควบคุมน้้าเข้าไปกักเก็บในแหล่งเก็บน้้าที่ มีอยู่แล้ว เช่น หนองช้าง ซึ่งตามเขื่อนเก็บน้้าหรือแหล่งน้้าธรรมชาตินี้มักพบว่าจะมีการสร้างศาสนสถาน (วัด) อยู่ในบริเวณ ใกล้เคียง ซึ่งอาจเนื่องมาจากพื้นที่ใกล้แหล่งน้้าเป็นพื้นที่เหมาะสมส้าหรับการสร้างวัด แต่ในขณะเดียวกัน แหล่งน้้าต่างๆ เหล่านี้คงเป็นแหล่งน้้าสาธารณะที่สาธารณะชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน การสร้างวัดติดกับแหล่งน้้า อาจเป็นการสร้างความศักดิ์สิทธิ์ให้แหล่งน้้าเป็นการสร้างกลไกในการควบคุมการใช้น้าอีกวิธีหนึ่ง นอกจากนี้ตามวัดหรือชุมชนต่างๆ ในพื้นที่ก็จะมีการบริหารจัดการน้้าของตัวเองด้วย เช่น บางวัดอาจ มีการสร้างคันดินบังคับน้้าของตัวเองเพื่อป้องกันความเสียหายจากน้้าหลาก และที่ส้าคัญเกือบทุกวัดจะมีการ ขุดบ่อน้้าหรือสระน้้าของตัวเอง(ทั้งบนที่ราบและบนภูเขา)เพื่อเก็บน้้าไว้ใช้ยามฤดูแล้งอีกด้วย การบริหารจัดการน้าภายในเมือง (ภายในก้าแพงเมือง) พื้นที่ภายในเมืองศรีสัชนาลัย (ภายในก้าแพงเมืองรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าริมแม่น้ายม) ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ ๑ ตารางกิโลเมตรประกอบไปด้วยพื้นที่ราบและภูเขาเป็ นพื้นที่ส้าคัญสูงสุดของเมืองมีโบราณสถานที่เป็นที่อยู่ อาศัยประเภทวัดและพระราชวัง อยู่ราว ๓๐ แห่ง นอกจากนี้ยัง พบหลัก ฐานเครื่องใช้ของคนในอดีต (เศษ ๕๗
ภาชนะดินเผา) กระจายอยู่โดยทั่วไป หลักฐานต่างๆ เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าในอดีตพื้นที่ภายในเมืองศรีสัชนา ลัยนั้นมีผู้คนอยู่อาศัยอย่างหนาแน่น แม้ว่าเมืองจะตั้งอยู่ติดกับแม่น้ายมแต่ในอดีตผู้คนในเมืองก็คงไม่สามารถ ใช้ประโยชน์จากแม่น้ายมได้ตลอดทั้งปี (จากเหตุผลที่กล่าวมาก่อนหน้านี้) ดังจะเห็นได้จากมีการขุ ดบ่อน้้าและ สระน้้าภายในเมืองมากกว่า ๕๐ แห่ง และยังมีก ารขุดคูน้าเพื่อ กักเก็บ น้้าและระบายน้้าภายในเมืองอีกเป็น จ้านวนมาก โดยจากการศึกษาพบว่าน้้าต้นทุนที่คนในเมืองศรีสัชนาลัยในอดีตน้ามาใช้อุปโภคบริโภคกันนั้นมา จาก ๓ แหล่งส้าคัญ ประกอบด้วย ๑. น้้าฝน น้้าฝนที่ตกลงมาจะถูกกักเก็บไว้ตามบ่อ สระ และคูน้าต่างๆ แต่เนื่องจากพื้นที่ภายในเมือง ศรีสัชนาลัยมีความลาดเอียงสูงพื้นที่ทางด้านทิศเหนือของเมืองมีความสูงกว่าทางทิศใต้ประมาณ ๒ เมตร (ตัว เมืองมีความยาวประมาณ ๑ กิโลเมตร) ท้าให้ระดับคูน้ามีความลาดเอียงสูงตามไปด้วย ดังนั้นคูน้าภายในเมือง จึงเป็นทางระบายน้้าอย่างดีช่วยป้องกันน้้าท่วมภายในเมืองในช่วงฝนตกหนัก (โดยจะระบายน้้าออกทางด้านทิศ ใต้ของเมืองบริเวณวัดนางพญา จากนั้นจะไหลออกนอกเมืองสู่หนองช้าง)แต่น้าฝนก็คงไม่ใช้น้าต้นทุนที่คน ภายในเมืองศรีสชั นาลัยใช้ประโยชน์ได้มากนัก เนื่องจากพื้นที่บริเวณนี้ไม่ใช่พื้นที่ที่มีฝนตกชุก (มีปริมาณน้้าฝน เฉลี่ย ๑,๒๐๐ มิลลิเมตรต่อปี) อีกทั้งพื้นดินส่วนใหญ่ของเมืองที่มีชั้นศิลาแลงอยู่ด้านล่างก็ไม่เหมาะกับการกัก เก็บน้้ามากนัก ๒. แม่น้ายม แม่น้ายมที่ไหลผ่านตัวเมืองศรีสัชนาลัยนั้นชาวศรีสัชนาลัยในอดีตคงน้ามาใช้ประโยชน์ได้ ไม่มากนัก เนื่องจากน้้าในแม่น้ายมจะมีปริมาณมากในฤดูฝนหรือฤดูน้าหลากเท่านั้น ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว ผู้คนในเมื อ งคงอาศัยน้้าฝนที่ ตกลงมาในการอุปโภคบริโ ภคมากกว่า แต่คนในเมืองศรีสัชนาลัยอาจได้ใช้ ประโยชน์จากน้้าในแม่น้ายมทางอ้อ ม โดยในฤดูน้าหลากน้้าในแม่น้ายมที่มีระดับสูง จะไหลเข้าไปตามล้าน้้า สาขาต่างๆ ทั้งสองฝั่งของแม่น้ายมเพื่อกักเก็บน้้าไว้ใช้ในฤดูแล้ง ๓.ร่องตาเต็ม ร่องตาเต็มเป็นล้าน้้าขนาดเล็กไหลมาจากทางทิศตะวันตกของเมือง ไหลผ่านก้าแพง เมืองด้านทิศเหนือ (ในช่วงนีจ้ ะใช้ร่องตาเต็มเป็นคูเมืองด้วย) และไหลลงแม่น้ายมบริเวณประตูเตาหม้อ ร่องตา เต็มนี้คงเป็นแหล่งน้้าส้าคัญที่คนในเมืองศรีสัชนาลัยได้ใช้ประโยชน์โดยเฉพาะในฤดูแล้ง โดยในฤดูแล้งจะมีการ ท้าฝายทดน้้าปิดกั้นบริเวณที่ร่องตาเต็มไหลมาบรรจบกับแม่น้ายม (บริเวณประตูเตาหม้อ) เพื่อยกระดับน้้าใน ร่องตาเต็มให้สูงและไหลเข้าคูน้าภายในเมืองศรีสัชนาลัยทางประตูน้าที่อยู่ติดกับประตูเตาหม้อ ๔และเนื่องจากคู น้้าภายในเมืองมีความลาดเอียงสูงในอดีตคงมีการท้าฝายทดน้้าเป็นระยะเพื่อให้คูน้าสามารถกักเก็บน้้าได้ดีขึ้น อีกทั้งฝายดังกล่าวยังช่วยยกระดับน้้าให้สูงขึ้นจนสามารถส่งน้้าไปยังพื้นที่ที่ต้องการได้ นอกจากนี้น้าที่ไหลเข้า มาภายในเมืองยังช่วยท้าให้ระดับน้้าใต้ดินภายในเมืองสูงขึ้น ส่งผลให้บ่อหรือสระน้้าต่างๆ ภายในเมืองมีน้า ตามไปด้วย แม้ว่าสภาพดินภายในเมืองศรีสัชนาลัยจะไม่เหมาะกับการกักเก็บน้้ามากนักแต่หากมีน้าต้นทุนจาก ร่องตาเต็มเข้ามาเติมอย่างสม่้าเสมอก็จะท้าให้คูน้ามีน้าตลอดทั้งปี และหากช่วงใดที่น้าจากร่องตาเต็มมีปริมาณ มากเกินไป น้้าส่วนเกินก็จะถูกระบายตามคูเมืองออกนอกเมืองทางทิศใต้ไปกักเก็บไว้ในหนองช้างหรือระบาย ลงแม่น้ายม
๔
จากการขุดตรวจคูเมืองศรี สชั นาลัยทางด้ านทิศเหนือในปี พ.ศ. ๕๕๘ พบว่าตะกอนในคูเป็ นตะกอนน ้านิ่งหรื อน ้าไหลช้ าซึ่งสันนิษฐาน
ว่าเกิดจากการทาฝายปิ ดกันบริ ้ เวณปลายร่ องตาเต็ม
๕๘
แผนผังเมืองศรีสัชนาลัย แสดงแหล่งกักเก็บน้้าภายในเมืองและทิศทางการไหลของน้้า จากที่ ก ล่าวมาข้างต้นแสดงให้เ ห็นถึงวิธีก ารบริห ารจัดการน้้าภายในเมื องศรีสัชนาลัยว่าใช้ร ะบบ “เหมือง – ฝาย”เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการน้้า โดยมีการขุดเหมืองหรือคูน้าไว้กักเก็บน้้าและระบายน้า้ ส่วนในช่วงฤดูแล้งจะมีการท้าฝายทดน้้า ทดน้้าจากร่องตาเต็มให้มีระดับสูงขึ้นจากนั้นจึงน้าน้้าดังกล่าวเข้ามาใช้ ประโยชน์ภายในเมืองผ่านทางฝายหรือคูน้าที่ขุดไว้ เนื่องจากพื้นที่ภายในเมืองมีความลาดเอียงสูงจึงอาจมีก าร ท้าฝายทดน้้าตามคูน้าเป็นระยะเพื่อให้คูน้ากักเก็บน้้าได้มากยิ่งขึ้น อีกทั้งฝายดังกล่าวยังช่วยยกระดับน้้าให้ สูงขึ้นจนสามารถส่งน้้าไปยังพื้นที่ที่ต้องการได้ ส่วนในช่วงเวลาที่ปริมาณน้้ามีมากเกินความต้องการก็จะท้าการ ระบายน้้าตามคูเมืองออกนอกเมืองทางทิศใต้ไปกักเก็บไว้ในหนองช้างหรือระบายลงแม่น้ายม สรุป แม้ว่าศรีสัชนาลัยจะเป็นเมืองที่มีชัยภูมิที่ดีมีภูเขาและแม่น้าเป็นปราการล้อมรอบ แต่ปัญหาอย่างหนึ่ง ที่คนในเมืองศรีสัชนาลัยต้องประสพก็คือปัญหาเรื่ องน้้า คือมีน้ามากเกินความต้องการจนน้้าดังกล่าวก็มาท้า ความเสียหายให้แก่เมืองได้ในฤดูฝนหรือฤดูน้าหลาก ในขณะเดียวกันในฤดูแล้งก็ไม่มีน้าเพียงพอต่อการอุปโภค บริโภค ผู้ปกครองเมืองในอดีตจึงมีการแก้ปัญหาดังกล่าวโดยท้าการบริหารจัดการน้้าให้เหมาะสมกับสภาพภูมิ ประเทศนั้นๆ โดยนอกเมืองซึ่งเป็นพื้นที่ภูเขาและที่ลาดเชิงเขาใช้ระบบ “คันดิน” เป็นเครื่องมือในการบริหาร จัดการน้้าซึ่งมีทั้งคันดินที่เป็นอ่างหรือเขื่อนกักเก็บน้้า และคันดินบังคับน้้าชะลอ/ควบคุมทิศทางการไหลของ น้้าเพื่อไม่ให้ท้าความเสียหายแก่พื้นที่ที่ต้องการป้องกัน และน้าน้้าดังกล่าวไปกักเก็บไว้ใช้ในยามแล้ง ส่วนพื้นที่ ภายในเมืองนั้นใช้ระบบ “เหมือง – ฝาย” เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการน้้า โดยการขุดเหมืองหรือคูน้าไว้ กักเก็บน้้า/ระบายน้้า และท้าฝายทดน้้า ทดน้้าจากแหล่งน้้า(ร่องตาเต็ม) ให้มีระดับสูงขึ้นและน้าน้้า เข้าไปใช้ ประโยชน์ภายในเมืองผ่านทางฝายหรือคูน้าที่ขุดไว้
๕๙
บารายเมืองสุโขทัย ธงชัย สาโค1
บทนา บารายเป็นค้าที่ใช้เรียก อ่างเก็บน้้าหรือสระน้้า ที่สร้างขึ้นในสมัยวัฒนธรรมเขมรโบราณ มักมีแผนผัง รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหรือสี่เหลี่ยมจัตุรัส ตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงศาสนสถาน หรือชุมชน และมีแผนผังสัมพันธ์กับ ศาสนสถานและผังเมือง โดยมีขนาดใหญ่หรือเล็กตามวัตถุประสงค์และก้าลังคนในการสร้างของแต่ละชุมชน จากการศึกษาเกี่ยวกับบารายที่ผ่านมา ได้ข้อสรุปว่า บารายมักเกี่ยวข้องกับคติความเชื่อ และการจัดการน้้า โดยการจัดการน้้านั้นก็เพื่อประโยชน์ในการด้ารงชีพของมนุษย์ด้านต่างๆ เช่น การเพาะปลูก การอุโภคบริโภค การป้องกันน้้าท่วม และการคมนาคม เป็นต้น ส่วนบารายตามคติความเชื่อทางศาสนาฮินดู หรือศาสนาพุทธ มหายานนั้น ถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างทางกายภาพของเมืองที่พยายามจะสะท้อนภาพจ้าลองจักรวาล อันมีเขาพระสุเมรุเป็นแกนกลาง และมีคูเมืองก้าแพงเมืองล้อมรอบ อันเป็นเชิงสัญลักษณ์แทน ภูเขา หรือทวีป และมหาสมุ ทร หรือ ทะเลสีทันดร นอกจากนี้ บารายยังแสดงให้เ ห็นถึงความก้ าวหน้าและมาตรฐานทาง วิศวกรรมชั้นสูงของวัฒนธรรมเขมรโบราณ ด้านการจัดการน้้าทั้งน้้ามากและน้้าแล้ง ที่ประกอบด้วย อ่างเก็บน้้า เขื่อน คลองส่งน้้า ทางระบายน้้าล้น ถนน และสะพาน การสร้างอ่างเก็บน้้า หรือบารายในวัฒนธรรมเขมร มี ๒ แบบ คือ แบบก่อสร้างโดยการขุด หรืออาศัย ที่ลุ่มทางธรรมชาติ เช่น คูน้าที่สร้างรอบเมือง ส่วนอีกแบบ เป็นการก่อสร้างพนังสูงเหนือพื้นดินกักเก็บน้้าเหนือ ระดับดินเดิม เกิดเป็นรูปแบบอ่างเก็บน้้าขนาดใหญ่ที่เรียกว่า บารายดังนั้นพัฒนาการของบาราย จึงเชื่อว่าเกิด จากการสร้างพนัง หรือคันดินเพื่อกักเก็บน้้าบางส่วน หรือบังคับน้้าให้ไหลไปในทิศทางต่างๆ ต่อมาเมื่อพนังหรือ คันดินด้านเดียวเริ่มใช้งานไม่ได้ จึงมีการพัฒนากลายเป็นพนังหรือคันดินปิดล้อมทั้ง ๔ ด้าน จนเกิดเป็นลักษณะ ของบารายขึ้น ดังปรากฏกับบารายอินทรตฏากะ ที่เมืองหริหราลัย 2 และบารายอื่นๆ ในเมืองพระนคร ของ เขมรโบราณเช่น บารายตะวันออก ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกเมืองพระนคร สร้างเสร็จสมัยพระเจ้ายโศวรมันที่ ๑ (พ.ศ. ๑๔๓๒-๑๔๔๓) มีขนาด ๑,๘๓๐x๗,๕๐๐ เมตร ความลึกเฉลี่ย ๔-๕ เมตร มีการสร้างปราสาทแม่บุญตะวันออก บริเวณเกาะกลางบารายในสมัยพระเจ้าราเชนทรวรมัน (พ.ศ.๑๔๘๗-๑๕๑๑) เพื่ออุทิศให้บรรพบุรุษ บารายตะวันตก อยู่ตรงข้ามบารายตะวันออก ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกของเมืองพระนคร เริ่มสร้างสมัย พระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ (พ.ศ.๑๕๔๕-๑๕๙๓) ราวปี พ.ศ.๑๕๙๓ แล้วเสร็จสมัยพระเจ้าอุทัยทิตยวรมันที่ ๒ (พ.ศ. ๑๕๙๓-๑๖๐๙) ถูกสร้างเนื่องจากบารายตะวันออกใช้การไม่ได้ เป็นบารายที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองพระนคร ขนาด ๒,๒๐๐ x ๗,๙๐๐ เมตร ก่อสร้างโดยก่อคันดินบางส่วนและขุดดินบางส่วน คันดินสูง ๑๐-๑๗ เมตร 1
นักโบราณคดีชานาญการ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย สานักศิลปากรที่ ๖ สุโขทัย กรมศิลปากร บารายอินทรตฏากะ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเมืองหริหราลัย ในต้าบลร่อลวยปัจจุบัน ถือเป็นบารายขนาดใหญ่แห่ง แรก แต่เดิมในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๒ (พ.ศ.๑๓๔๕-๑๓๙๓) มีการก่อสร้างพนังเพียงด้านเดียว ยาว ๓.๘ กิโลเมตร เพื่อกั้น ล้าน้้าเล็กๆ ที่ไหลมาจากเขาพนมกุเลน ต่อมาพนังเริ่มใช้การไม่ได้ จึงเสริมพนังเพิ่มอีก ๒ ด้าน และต่อมาก่อเพิ่มอีก ๑ ด้าน จน ปิดล้ อมเป็นรู ปสี่เ หลี่ย ม ในรั ชสมั ยพระเจ้ าอินทรวรมั นที่ ๑ (พ.ศ.๑๔๒๐-๑๔๓๒). คีต ศิลป์ ลิ้มศรี สกุล วงศ์ , บารายในภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ : กรณีศึกษาบารายในจังหวัดนครราชสีมาและจังหวัดสุรินทร์ . การค้นคว้าอิสระปริญญาศิลปศาสตรมหา บัณฑิต สาขาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๕, ๑๗-๑๙. 60 2
กว้าง ๑๐-๑๒ เมตร บริเวณเกาะกลางบารายเป็นที่ตั้งของปราสาทแม่บุญตะวันตก สร้างอุทิศให้บรรพบุรุษ เช่นเดียวกับปราสาทแม่บุญตะวันออก ขณะเดียวกันการสร้างบารายในวัฒนธรรมแบบเขมรก็ส่งอิทธิพลมายังพื้นที่ประเทศไทยปัจจุบัน ซึ่งใน อดีตเคยได้รับ หรือ ตกอยู่ใต้วัฒนธรรมและการปกครองของเขมรโบราณ โดยเฉพาะช่วงวัฒ นธรรมในพุท ธ ศตวรรษที่ ๑๕-๑๘ พบบารายในวัฒนธรรมเขมรเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งแหล่งน้้าที่มีรูปทรง สี่เหลี่ยมผืนผ้า จ้านวน ๑๑๕ แห่ง มีขนาดพื้นที่ตั้งแต่ ๑๐,๐๐๐-๒,๐๔๐,๐๐๐ ตารางเมตร กระจายอยู่ใน จังหวัด นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ และศรีสะเกษ เช่น บารายเมืองพิมาย อ้าเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา ตั้งอยู่ทิศตะวันออกของเมืองพิมาย ห่างออกไป ประมาณ ๙๐๐ เมตร ขนาด ๗๐๐x๑,๕๔๐ เมตร และยังพบการสร้างถนนเชื่อมจากเมื องพิมายถึงบาราย เมืองพิมายด้วย บารายเมืองต่้า อ้าเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของปราสาทเมืองต่้า ห่างออกไป ราว ๒๐๐ เมตร ขนาด ๓๖๐x๑,๐๕๐ เมตร ผังบารายวางตัวแนวแกนทิศตะวันออก-ตะวันตก สันนิษฐานว่า สร้างขึ้นตามคติความเชื่อทางศาสนา และจ้าเป็นมากต่อการยังชีพของชุมชนโบราณ เนื่องจากบริเวณโดยรอบ ไม่ พบแหล่ ง น้้าธรรมชาติ นอกจากนี้ยั ง พบคูคลองที่ เ ชื่อ มกั บ บารายเพื่อส่ง น้้าไปยัง พื้นที่ ชุม ชนและพื้น ที่ เพาะปลูกที่อยู่โดยรอบ เป็นต้น ส่วนบารายเมืองสุโขทัย มีความคิดเห็นจากนักวิชาการ ๒ ประเด็น คือ ๑. เป็นบารายที่สร้างขึ้นตามคติความเชื่อทางศาสนาอันสืบเนื่องจากวัฒนธรรมเขมร ๒. เป็นเพียงคันกั้นน้้า หรือท้านบกั้นน้้าในฤดูน้าหลาก ไม่เกี่ยวข้องกับคติทางศาสนาแต่อย่างใด บารายเมืองสุโขทัย สภาพปัจจุบัน บารายเมืองสุโขทัย3ตั้งอยู่นอกเขตก้าแพงเมืองเก่าสุโขทัยด้านตะวันออกเฉียงเหนือ แต่อยู่ในแนวแกน ทิศตะวันออก -ตะวันตก ซึ่งเป็นแกนเดียวกับวัดพระพายหลวงสภาพปัจจุบันเป็นคันดิน ๓ ด้าน มีขนาดดังนี้ - ด้านทิศเหนือยาวประมาณ ๑,๔๐๐ เมตร กว้างประมาณ ๒๕-๓๐ เมตร สูงประมาณ ๑.๐๐-๑.๕๐ เมตร - ด้านทิศตะวันออกยาวประมาณ ๗๕๐ เมตร กว้างประมาณ ๒๕-๓๐ เมตร สูงประมาณ ๒.๕๐-๓.๐๐ เมตร - ด้านทิศใต้ยาวประมาณ ๑,๐๕๐ เมตร กว้างประมาณ ๒๕-๓๐ เมตร สูงประมาณ ๒.๐๐-๒.๕๐ เมตร - ส่วนด้านทิศตะวันตกไม่พบแนวคันดินเนื่องจากติดคลองแม่ล้าพัน นอกจากนี้ บารายเมืองสุโขทัย ยังมีศาสนสถานอีก ๕ แห่ง ประกอบด้วย โบราณสถานภายในบาราย ๓ แห่ง คือ วัดตระพังช้างและตระพังช้าง (ตั้งอยู่มุมทิศตะวันตกเฉียงใต้) วัดโบสถ์ (ตั้งอยู่มุมทิศตะวันออกเฉียง ใต้) และวัดขโพงผี หรือขพุงผี (ตั้งอยู่มุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ) โบราณสถานภายนอกคันบาราย ๒ แห่ง คือ วัดปากท่อ ๑ (ตั้ง อยู่ติดกั บ คันบารายด้านตะวันออกฝั่ง ใต้ ) และวัดปากท่อ ๒ (ตั้ง อยู่ติดกั บ คันบารายด้าน ตะวันออกฝั่งเหนือ) 3
หรือเรียกตามชื่อโบราณสถานว่า ท้านบ ๗ อ หรืออ่างเก็บน้้าหมายเลข ๒ ในเบื้องต้นของบทความนี้ ขอเรียก “บา รายเมืองสุโขทัย” ก่อน 61
เมื่อพิจารณาและวิเคราะห์จากภาพถ่ายทางอากาศเมืองสุโขทัยบริเวณบารายเมืองสุโขทัย (ชาวบ้าน เรียกว่า หนองเป็ดน้้า ) จะพบว่า ราว พ.ศ.๒๔๙๖ และ พ.ศ.๒๕๑๐ ไม่ พบการปลูก สร้างบ้านเรือน หรือ สิ่งก่อสร้างใดๆ ภายใน และยังพบร่องรอยของบริเวณที่เป็นฝาย โดยขุดเป็นล้าเหมืองเพื่อส่งน้้าจากล้าน้้าแม่ ล้า พันเข้ามาในบริเ วณนี้เ พื่อ ใช้ในการกั กเก็ บน้้า หรือเพาะปลูก และยัง พบแนวท่ อหรือช่องระบายน้้า ๒ จุด บริเวณคันดินบารายด้านตะวันออก ตรงวัดปากท่อ และวัดปากท่อ ๒ เพื่อระบายน้้าออกสู่พื้นที่เพาะปลูกรอบ นอก จากภาพถ่ายทางอากาศ พ.ศ.๒๕๑๙ เริ่มพบสิ่งปลูกสร้างภายในบารายเมืองสุโขทัยด้านตะวันตกแล้ว แสดงให้เห็นถึงการเริ่มเข้ามาอยู่อาศัยภายในพื้นที่และเพาะปลูกท้าการเกษตรกรรมบริเวณพื้นที่ที่แต่ละรายได้ จับ จอง และภาพถ่ายทางอากาศ พ.ศ.๒๕๓๙ ปรากฏสิ่ง ปลูก สร้างจ้านวนมากภายในบารายเมื องสุโ ขทั ย โดยเฉพาะด้านตะวันตกที่ติดล้าน้้าแม่ล้าพัน ปัจจุบันภายในบารายเมืองสุโขทัย มีราษฎรเข้าไปใช้ประโยชน์ใน พื้นที่ท้าการเพาะปลูกข้าว ขุดสระน้้า และปลูกบ้านเรือนสิ่งก่อสร้าง ซึ่งจากการส้ารวจเมื่ อ พ.ศ.๒๕๖๐ พบ การครอบครองที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์ในเขตบารายเมืองสุโขทัย จ้านวน ๕๓ แปลง ผู้ครอบครองสิ่งปลูกสร้าง ภายในเขตโบราณสถานบารายเมืองสุโขทัยจ้านวน ๓๕ หลัง การศึกษาทางโบราณคดี ปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๐4 กรมศิลปากรมอบหมายให้ส้านักศิลปากรที่ ๖ สุโขทัย โดยอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ด้าเนินการ ขุดศึกษาคันดินบารายด้านตะวันออก และด้านใต้ เพื่อศึกษาเทคนิคการก่อสร้าง ระดับชั้นดินทับถม และอายุ สมัย ขุดค้นทางโบราณคดีจ้านวน ๒ หลุม เพื่อศึกษาหลักฐานทางโบราณคดี เทคนิคการก่อสร้างโบราณสถาน อายุสมัย และชั้นดินทับถมภายในบาราย และขุดแต่งโบราณสถาน ๒ แห่ง ประกอบด้วย โบราณสถานวัดโบสถ์ และโบราณสถานวัดขโพงผี (วัดขพุงผี) เพื่อศึกษารายละเอียดโบราณสถาน และอายุสมัยผลการด้าเนินงานทาง โบราณคดีสรุปได้ดังนี้ ๑. ขุดตรวจคันดินบารายด้านตะวันออก (หลุม T.1 E) และคันดินบารายด้านใต้ (หลุม T.2 S) โดยก้าหนดพื้นที่ขอบคันบารายด้านตะวันออก ใกล้กับโบราณสถานวัดโบสถ์ เพื่อศึกษาชั้นดินทับถม การก่อสร้างคันดิน วางแนวหลุมขุดตรวจขนาดกว้าง ๑.๕ เมตร และยาวขวางคันดิน ๑๖.๗ เมตร แต่เว้นพื้นที่ บริเวณชายเนินด้านนอกคันบารายเพื่อเป็นทางสัญจร และวางผังหลุมขุดตรวจชายเนินดั งกล่าวขนาด ๒x๒ เมตร คันดินบารายมีลักษณะตรงกลางสูงกว่าด้านข้างที่ลาดเทลงทั้งสองด้าน ซึ่งจุดสูงสุดของคันดินด้านนี้อยู่ที่ ระดับ ๖๐ เมตรจากระดับน้้าทะเลปานกลาง ส่วนระดับพื้นที่ทั้งในบารายและนอกบารายเฉลี่ยอยู่ที่ ๕๖.๕๐ เมตรจากระดับน้้าทะเลปานกลาง ๒. การขุดค้นทางโบราณคดีหลุมขุดค้น TP.1 และหลุมขุดค้น TP.2 หลุมขุดค้น TP.1 ท้าการขุดค้นขนาด ๓x๓ เมตร ทางด้านตะวันออกบนเนินโบราณสถานวัดโบสถ์ เพื่อ ศึกษาเทคนิคการก่อสร้างของศาสนสถานแห่งนี้ ขุดค้นระดับละ ๑๐ เซนติเมตร ลึก ๕ เมตร (ระดับเส้นสมมติ มาตรฐานอยู่ที่ ๖๐ เมตรจากระดับน้้าทะเลปานกลาง โดยขุดค้นถึงระดับที่ ๕๕ เมตรจากระดับน้้าทะเลปาน กลาง) ซึ่งเป็นระดับความลึกเดียวกันกับหลุมขุดตรวจคันบารายทิศตะวันออก และทิศใต้ ๓. การขุดแต่งโบราณสถานวัดโบสถ์ เนิน โบราณสถานวั ด โบสถ์ เป็ นเนินดิ นขนาด ๓๐x๓๐ เมตร ตั้ง อยู่ ภายในบารายบริ เ วณมุ ม ทิ ศ ตะวัน ออกเฉีย งใต้ เนิ นนี้ สูง กว่ าพื้ นดิ นภายในบารายประมาณ ๓.๕๐-๔ เมตร หลั ง การขุด แต่ ง พบว่ า โบราณสถานแห่งนี้ เป็น อุโบสถ เนื่องจากพบฐานเสมาก่ออิฐ ตัวอุโบสถ หรือโบสถ์ มีขนาดประมาณ ๘x๑๕ เมตร วางแนวแกนทิศตะวันออก-ตะวันตก บันไดทางขึ้นน่าจะอยู่ทางทิศตะวันออก มีแนวเสาศิลาแลงกลม ๒ 4
กำลังจัดท้ารายงานฉบับสมบูรณ์ ผลการด้าเนินงานโครงการอนุรักษ์และพัฒนาแหล่งน้้าโบราณเมืองเก่าสุโขทัย ท้านบ ๗ อ. (บาราย) ปีงบประมาณ ๒๕๖๐ คาดว่าจะแล้วเสร็จ กันยายน ๒๕๖๐) 62
แถวๆ ละ ๕ ต้น ส่วนฐานของอาคารก่อด้วยอิฐ เหนือขึ้นไปไม่พบผนังของอาคารเนื่องจากการพังทลาย หรือ อาจจะเป็นอาคารโถงไม่มีผนัง พื้นรอบอาคารปูด้วยหินชนวน ส่วนหลังคามุงด้วยกระเบื้องดินเผา มีส่วนประดับ สถาปัตยกรรมตามแบบแผนสมั ยสุโ ขทั ย เพราะพบชิ้นส่วนประกอบสถาปัตยกรรมเคลือบหลายชิ้น เช่น มกรสังคโลก ครอบหัวแป บราลี และใบระกา เนินวัดโบสถ์ยัง ก่ อสร้างก้าแพงล้อมรอบด้วยศิล าแลง สูง ประมาณ ๑.๕-๒ เมตร อาจสร้างเพื่อเป็นขอบเขตของวัด และกันการพังทลายของเนินดิน ผลการกาหนดอายุ การก้ าหนดอายุด้ว ยวิธี ก าร AMS dating ในครั้ง นี้ ได้ จัดส่ ง ตัว อย่า งถ่า นไปท้ าการวิ เ คราะห์ ณ ห้องปฏิบัติก ารก้ าหนดอายุด้วยเรดิโ อคาร์บ อนของมหาวิท ยาลัยไวกาโต้ (TheUniversity of Waikato Radiocarbon Dating Laboratory)เมืองฮามิลตัน ประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งเป็นห้องปฏิบัติการที่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๕๑๗ (ค.ศ.1974) และเริ่มท้าการวิเคราะห์ด้วยวิธี AMS Dating มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1996 หากนับตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1980 ทางห้องปฏิบัติการได้ด้าเนินการวิเคราะห์ตัวอย่างด้วยวิธีเรดิโอคาร์บอนและAMS มาแล้วกว่า ๓๗,๐๐๐ ตัวอย่าง จึงถือได้ว่าเป็นห้องปฏิบัติการที่มีความประสบการณ์และความน่าเชื่อถือ จากการกระบวนการวิเคราะห์ตัวอย่างทั้งหมดช่วยยืนยันว่าสภาพทางกายภาพของตัวอย่างก่อนการ วิเคราะห์ไม่มีการปนเปื้อนส้าหรับการวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการแห่งนี้ ใช้วิธีหาค่าอายุตามหลักการพื้นฐานของ ลิบบี้ ซึ่งในการค้านวณจะใช้ค่าครึ่งชีวิตที่ ๕,๕๖๘ ปี และใช้ปี ค.ศ.1950 เป็นจุดศูนย์ของปีในการนับ โดย น้าเสนอค่าอายุที่น่าจะเป็นสองช่วง คือ ๖๘.๒% และ ๙๕.๔%5ผลจากการก้าหนดค่าอายุตัวอย่างถ่านที่พบใน หลุมขุดค้นบริเวณท้านบ ๗ อ. ทั้ง ๒ ตัวอย่าง ตามค่าอายุที่ได้ (Conventional age) โดยไม่ต้องท้าการบวกลบ ปี เพราะเป็นค่าตัวกลางที่น่าจะเป็นที่สุดในช่วงค่าอายุ ดังนี้ ๑. ค่าอายุของตัวอย่างถ่านจากหลุมขุดค้นที่ ๑ (TP.1) มีค่าอายุ ๕๗๘ ปีมาแล้ว ตรงกับ ค.ศ. 1372 หรือ พ.ศ. ๑๙๑๕หรือน่าจะเป็นชั้นกิจกรรมที่เกิดขึ้นในรัชสมัยพญาลือไทย ๒. ค่าอายุของตัวอย่างถ่านจากหลุม T.1 มีค่าอายุ ๖๑๓ ปีมาแล้ว ตรงกับ ค.ศ. 1337 หรือ พ.ศ. ๑๘๘๐ หรือน่าจะเป็นชั้นกิจกรรมที่เกิดขึ้นในรัชสมัยพญางั่วนาถม (ดูตารางล้าดับกษัตริย์สมัยสุโขทัย) เมื่อพิจารณาตามค่าอายุดังกล่าวข้างต้น จึงมีความเป็นไปได้ที่ท้านบ ๗ อ. เป็นแหล่งน้้าโบราณสุโขทัย ที่เริ่มสร้างในช่วงพญางั่วน้าถม หรือปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๙ หลังจากนั้นคงมีการใช้งานแหล่งน้้าแห่งนี้ต่อมา จนถึงช่วงพญาลือไทย หรือต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๐ จึงได้มีการสร้างโบราณสถานวัดโบสถ์ สรุปผลการศึกษาทางโบราณคดี ระบบการสร้างแหล่งน้้า สร้างคันบังคับ น้้า และสร้างคันกั้นน้้า เพื่อ การกักเก็บ น้้าใช้อุปโภคบริโภค และการเกษตรมีมาแล้วตั้งแต่สมัยต้นสุโขทัย ราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙ เห็น เด่นชัดตั้งแต่รัชสมัยพ่อขุนรามค้าแหงมหาราช ดังปรากฏค้าจารึกจากศิลาจารึก หลัก ที่ ๑ (พ.ศ.๑๘๓๕) ว่า “เบื้องตะวันออกเมืองสุโขทัยนี้มีพิหาร มีปู่ครู มีทะเลหลวง...เบื้องหัวนอนเมืองสุโขทัยนี้ มีกุฏี พิหาร ปู่ครูอยู่ มีสรีดภงส มีป่าพร้าว ป่าลาง มีป่าม่วง ป่าขาม...” แสดงให้เห็นถึงการพยายามบริหารจัดการน้้าของผู้ปกครอง สุโขทัยมาตั้งแต่อดีต โดยกรณีที่มีปริมาณน้้ามากในแต่ละปีได้สร้างคันบังคับน้้าเพื่อก้าหนดทิศทางการไหลของ น้้าลงสู่พื้นที่ที่ต้องการ ส่วนกรณีน้าน้อยนั้นพบหลักฐานการขุดบ่อน้้าและขุดสระ หรือตระพัง กักเก็บน้้าเป็น จ้านวนมาก บารายเมืองสุโขทัย หรือท้านบ ๗ อ. จึงเป็น ๑ ในท้านบของเมืองสุโขทัย ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อจัดการน้้า โดยสร้างคันดินสูงเพื่อชะลอน้้าและกักเก็บน้้า โดยท้านบกั้นน้้าสมัยสุโขทัย ปัจจุบันกรมศิลปากรส้ารวจและ
63
จัดท้าแผนผังแล้ว ๘ แห่งประกอบด้วย สรีดภงส์ ๑หรือ (ท้านบ ๑ ตต.)และสรีดภงส์ ๒ (ท้านบกั้นน้้าโคกมน) หรือ (ท้านบ ๒ ต.) ท้านบกั้นน้้าหมายเลข ๓ ตต. อ่างเก็บน้้าหมายเลข ๓/๑ ตต.คันดินบังคับน้้าหมายเลข ๓/ ๒ ตต.ท้านบกั้นน้้าหมายเลข ๔ ต. (ถนนพระร่วง)ท้านบกั้นน้้าหมายเลข ๕ น.ท้านบกั้นน้้าหมายเลข ๖ น.ท้านบ กั้นน้้าหมายเลข ๗ อ. หรือ ตอ.และ ท้านบกั้นน้้าหมายเลข ๘ อ. หรือ ตอ.เป็นต้น รายการอ้างอิง กรมศิลปากร.ทาเนียบโบราณสถานอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย. กรุงเทพฯ: หัตถศิลป์, ๒๕๓๑. คีตศิลป์ ลิ้มศรีสกุลวงศ์. บารายในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : กรณีศึกษาบารายในจังหวัดนครราชสีมาและ จังหวัดสุรินทร์. การค้นคว้าอิสระปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๕. ปรมาภรณ์เชาวนปรีชา.การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างแหล่งนากับชุมชนสุโขทัย. วิทยานิพนธ์ปริญญา ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๒๙. ประเสริฐ ณ นคร. “การอ่านศิลาจารึก,” ดารงวิชาการ ๒,๔(กรกฎาคม-ธันวาคม ๒๕๔๖): ๒๕-๒๖. วิลาสวงศ์ พงศะบุตรและวุฒิชัย มูลศิลป์. “ล้าดับพระมหากษัตริย์ไทย” ใน สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชน ฉบับเสริมการเรียนรู้ เล่ม ๓.พิมพ์ครั้งที่ ๑๖, กรุงเทพฯ: โครงการสารานุกรมไทยส้าหรับเยาวชน, ๒๕๕๙. อมรา ศรีสุชาติ. ลาดับเหตุการณ์สาคัญในประวัติศาสตร์สุโขทัย. กรุงเทพฯ: ส้านักพิมพ์สมาพันธ์, ๒๕๔๖. http://www.radiocarbondating.com/about-us .
64
ผาปกโคลงสุภาษิตอิศปปกรณํา เครื่องตั้งงานพระเมรุทองสนามหลวง ร.ศ. ๑๐๘ นางสาวเดนดาว ศิลปานนท ภัณฑารักษชํานาญการพิเศษ สํานักพิพิธภัณฑสถานแหงชาติ เครื่องตั้งงานพระเมรุทองสนามหลวง เครื่องตั้งงานพระเมรุ คือเครื่องประดับตกแตงรอบพระเมรุ เชน หุนภาพเลาเรื่องวรรณคดี เครื่องกล ตางๆ เครื่องประทีปโคมไฟ ไมประดับ ไมดัด ไมดอก เครื่องแขวน งานประณีตศิลป สิ่งของซึ่งถือเปนของแปลก ของงามตามสมัย เชน นาฬิกา เครื่องโตะ เครื่องกระเบื้อง เครื่องแกว ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัวโปรดให ตั้งแตงประดับเพิ่มเติมขึ้นเปนพิเศษ หรือเปนของพระบรมวงศานุวงศ และขาทูลละอองธุลีพระบาท จัดมาตั้ง เปนการฉลองพระเดชพระคุณ เปนเครื่องประกอบพระเกียรติยศตามพระราชประเพณี เนื่องจากงานพระเมรุ เปนวาระที่คนมาประชุมกันเที่ยวชมพระเมรุและการมหรสพเปนจํานวนมาก จึงมีการจัดตั้งเครื่องประดับแก มหาชนไดชมเปนพระเกียรติยศ โดยเฉพาะงานพระเมรุทองสนามหลวง อันเปนงานพระเมรุใหญ มีเกียรติยศสูง เนื่องดวยการพระราชพิธีพระบรมศพและพระศพของพระราชวงศชั้นสูง เฉพาะพระเจาแผนดินและพระบรม วงศานุวงศตั้งแตชั้นเจาฟาขึ้นไป ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัวทรงพระกรุณาโปรดเกลาโปรดกระหมอมให ถวายพระเพลิ ง หรือ พระราชทานเพลิ ง ณ พระเมรุ ม าศหรือ พระเมรุ ก ลางเมื อง จึ ง มั ก ตกแตง เครื่อ งตั้ ง เครื่องประดับตาง ๆ เปนพิเศษ ตามความนิยมของยุคสมัย เครื่องตั้งงานพระเมรุทองสนามหลวง รัตนโกสินทรศกป ๑๐๘ รัตนโกสินทรศกป ๑๐๘ ตรงกับ ปพุทธศักราช ๒๔๓๒ ในแผนดินพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา เจาอยูหัว รัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกลาโปรดกระหมอมใหจัดงานพระเมรุทองสนามหลวง เพื่อ พระราชทานเพลิงพระศพพระเจาลูกเธอและพระเจานองยาเธอรวม ๓ พระองค โดยแบงออกเปน ๒ งาน ตามลําดับพระราชสกุลยศ งานแรกเปนงานพระศพพระเจาลูกเธอ เจาฟานภาจรจํารัสศรีภัทรวดีราชธิดา และ พระเจาลูกเธอ พระองคเจาสมัยวุฏฐิวโรดม จัดขึ้นระหวางวันที่ ๓๑ มกราคม–๙ กุมภาพันธ พ.ศ. ๒๔๓๒ โดย แหพระศพออกพระเมรุวันที่ ๔ กุมภาพันธ พ.ศ. ๒๔๓๒ และพระราชทานเพลิงพระศพวันที่ ๖ กุมภาพันธ พ.ศ. ๒๔๓๒๑ และงานที่สองเปนงานพระศพพระเจานองยาเธอ พระองคเจาศรีเสาวภางค ระหวางวันที่ ๑๓–๑๗ กุมภาพันธ พ.ศ. ๒๔๓๒ แหพระศพสูพระเมรุเมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ พ.ศ. ๒๔๓๒ และพระราชทานเพลิงพระ ศพเมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ พ.ศ. ๒๔๓๒๒ ระหวางการพระเมรุ ร.ศ. ๑๐๘ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยูหัว ทรงมีกระแสพระราชดําริที่ จะบํารุงการชาง การประดิษฐสิ่งของใชสอย ใหดีงามทัดเทียมกับชางฝมือตางชาติ ซึ่งสงสินคาเขามาคาขายใน เมืองสยาม เพื่อผลทางการคา การบํารุงเศรษกิจของประเทศ ทรงดําริวาเครื่องตั้งตามแบบอยางธรรมเนียมที่ เคยมีมาเปนของทําขึ้นใชแตชั่วคราว ไมเปนประโยชนยั่งยืน ประสงคใหมีการคิดประดิษฐสิ่งของเครื่องใชดวย ฝมืออันมีคุณคาเชิงเศรษฐกิจ สามารถสงไปจําหนายตางประเทศได จึงทรงประกาศใหมีก ารประกวดงาน ชางฝมือประดิษฐสิ่งของตางๆ จัดตั้งประดับในพระเมรุ๓ ๑
“การพระเมรุทองสนามหลวง,” ราชกิจจานุเบกษา, เลมที่ ๖, ตอน ๔๕, วันที่ ๙ กุมภาพันธ พ.ศ. ๒๔๓๒, ๓๘๔๓๙๐. ; จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยูหัว ปฉลู เอกศก พุทธศักราช ๒๔๓๒, ๘๘, ๑๗๖–๑๘๔. ๒ “ขาวพระเมรุทองสนามหลวงตอไป เชิญพระศพ พระองคเจาศรีเสาวภางคสูพระเมรุ,” ราชกิจจานุเบกษา, เลมที่ ๖, ตอน ๔๗, วันที่ ๒๓ กุมภาพันธ พ.ศ. ๒๔๓๒, ๔๐๓–๔๐๖. ๓ “ประกาศเรื่องสิ่งของตั้งประดับในการพระเมรุ,” ราชกิจจานุเบกษา, เลมที่ ๖, แผนที่ ๓๒, วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๓๒, ๒๖๘-๒๗๒. ; “ประกาศกําหนดรางวัลพระราชทาน แกผูประดิดทําสิ่งของมาตั้งในการพระเมรุทองสนามหลวง ,” ราชกิจจานุเบกษา, เลม ๖, ตอนที่ ๓๙, วันที่ ๒๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๒, ๓๔๔-๓๔๕. 65
งานพระเมรุพระเจาลูกเธอ เจาฟานภาจรจํารัสศรีภัทรวดีราชธิดา และพระเจาลูกเธอ ณ ทองสนามหลวง ร.ศ. ๑๐๘
แลว จึงโปรดใหระงับการประกวดงานชางฝมือประดิษฐสิ่งของ และโปรดใหขอแรงพระบรมวงศานุวงศและ ขาราชการ จัดหาเครื่องโตะมาตั้งประกวดประชันกันในงานพระเมรุพระเจาลูกเธอทั้งสองพระองค ตามบริเวณ ราชวัตรทึบ ศาลาจั ตุรมุข ศาลาโรงปน คดและปะรํา โปรดเกลาฯ พระราชทานรางวัลแกผูชนะ เปนการ สนุกสนาน เนื่องจากเปนสมัยนิยมเลนเครื่องโตะเครื่องชาลายครามกันมาก ไมลําบากแกจัดหา และเปนการ แปลกวาการตั้งเครื่องประดับพระเมรุแตกอนมา๔ สําหรับงานพระเมรุพระเจานองยาเธอ โปรดใหพระสงฆ พระบรมวงศานุวงศ และขาราชการตั้งเครื่อง โตะทอง เครื่องโตะเครื่องแกว เครื่องไม เครื่องตุกตา ตามราชวัตรทึบ ศาลาจัตุรมุขและคด และใหจัดสังเค็ด ของพระบรมวงศานุวงศฝายหนาและฝายใน ตามศาลาโรงปน ราชวัตรทึบ และคด เปนเครื่องตกแตงประดับ พระเมรุ เพราะสังเค็ดงานพระศพพระเจานองยาเธอ พระองคเจาศรีเสาวภางค มีการประกวดประขันกันมาก จัดทําอยางงดงาม และเปนของมีราคาสูง กลาววางานพระศพคราวนี้เปนการครึกครื้นเอิกเกริกมาก๕ อยางไรก็ดี แมทรงประกาศเลื่อนประกวดงานฝมือชางประดิษฐเครื่องตั้งประดับพระเมรุแลว ยังไดพบ หลักฐานงานประณีตศิลปประดับพระเมรุทองสนามหลวง ร.ศ. ๑๐๘ ชุดหนึ่ง เขาใจวาเปนงานฝมือชางหลวงทํา ขึ้นเพื่อประดับพระเมรุ นอกเหนือไปจากเครื่องโตะ ซึ่งโปรดเกลาฯ ใหพระสงฆ พระบรมวงศานุวงศ และขาทูล ละอองธุ ลี พ ระบาทนํ า มาตั้ง แสดง คื อ ภาพผ า ป ก โคลงสุ ภ าษิ ต อิ ศ ศปปกรณํ า ป จ จุ บั น เก็ บ รั ก ษาไว ณ พิพิธภัณฑสถานแหงชาติ พระนคร จํานวน ๑๘ รายการ ผาปกโคลงสุภาษิตอิศปปกรณํา งานพระเมรุทองสนามหลวง ร.ศ. ๑๐๘ ผาปกโคลงสุภาษิตอิศศปปกรณํา ปกดวยไหมสีตาง ๆ บนผืนผาไหมอยางงดงาม เปนภาพเลา เรื่อง นิทานอิศปปกรณํา พรอมดวยอักษรโคลงสุภาษิตประจําภาพ และอักษรบอกชื่องานพระเมรุทองสนามหลวง รัตนโกสินทรศกป ๑๐๘ บนแถบริบบิ้น ผูกลายตกแตงชอไมดอกไมประดับตาง ๆ ฝมือปกลายแนบเนียนทั้ง ดานหนาและดานหลังแบบฝมือชางหลวง ซึ่งเปนที่นิยมเฟองฟูในราชสํานักครั้งนั้น มักใชสําหรับการประดิษฐ เครื่องไทยธรรมและเครื่องประดับตกแตงสถานที่ตาง ๆ ภาพผาปก บรรจุในกรอบไมปดกระจก มีลวดลายเฉพาะมุม กรอบทั้ง สี่ดาน เปนลายเครือเถาแบบ ตะวันตก เชน ลายเครือเถาองุน ลายเครือดอกกุหลาบ ลายเครือดอกเบญจมาส หรือลายเครือกระหนกแบบ ไทยประเพณี ตางกันเปน ๒ ขนาด ขนาดใหญเปนภาพผาปกแนวนอน กวางประมาณ ๙๐ เซนติเมตร สูง ๗๐ เซนติเมตร และขนาดเล็กเปนภาพผาปกแนวตั้ง ขนาดกวางประมาณ ๕๐ เซนติเมตร สูง ๘๐ เซนติเมตร สันนิษฐานวาเปนเครื่องตั้งของหลวง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยูหัวโปรดเกลา ฯ ใหทํา ขึ้นเปนพิเศษ สําหรับตั้งในงานพระเมรุสมเด็จพระเจาลูกเธอ เจาฟานภาจรจํารัสศรีภัทรวดีราชธิดา และพระ ๔
“การพระเมรุทองสนามหลวง,” ราชกิจจานุเบกษา, เลม ๖, แผนที่ ๔๕, วันที่ ๙ กุมภาพันธ พ.ศ. ๒๔๓๒, ๓๘๔๓๙๐. ; “เรื่องตั้งโตะในการพระเมรุทองสนามหลวง,” ราชกิจจานุเบกษา, เลม ๖, แผนที่ ๔๖, วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ พ.ศ. ๒๔๓๒, ๓๙๔-๓๙๙. ๕ “ขาวพระเมรุทองสนามหลวงตอไป เชิญพระศพพระองคเจาศรีเสาวภางคสูพระเมรุ,” ราชกิจจานุเบกษา, เลม ๖, แผนที่ ๔๗, วันที่ ๒๓ กุมภาพันธ พ.ศ. ๒๔๓๒, ๔๐๓–๔๐๗. 66
เจาลูกเธอ พระองคเจาสมัยวุฏฐิวโรดม ดวยเปนผาปกนิทานสําหรับเด็ก เนื่องจากสํานวนโคลงสุภาษิตผาปก เทียบไดกับ โคลงประกอบนิทานอีสปฉบับพระราชนิพนธในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยูหัว นิทานอีสปสํานวนนี้ เรียกวา “อิศปปกรณํา” มีตนฉบับตัวเขียน เปนสมุดไทยดําชุบรงค ปจจุบันเก็บ รักษาไวที่กลุมหนังสือตัวเขียนและจารึก สํานักหอสมุดแหงชาติ กรุง เทพฯ จํานวน ๔ เลม มีนิทานทั้งหมด ๑๐๖ เรื่อง มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชจัดพิมพตามสําเนาตนฉบับเดิมแลว เมื่อป พ.ศ. ๒๕๕๒๖ นอกจากนี้ มีหนังสือตัวเขียนเสนดินสอ มีเนื้อเรื่องซ้ํากันกับฉบับตัวรงคบาง มีเนื้อเรื่องตางกันบางอีกหลายเลม เปนสํานวน เดียวกัน เชื่อวาเปนฉบับราง ประกอบดวยเลขที่กํากับนิทาน ชื่อเรื่อง และเนื้อหาเปนสํานวนรอยแกวสั้น ๆ มี กระทู หรือโคลงสุภาษิตบทหนึ่งประกอบทายเรื่อง บางครั้งมีชื่อผูแตงกํากับทายโคลง ในฉบับตัวรงค มีโคลง สุภาษิตเปนพระราชนิพนธของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยูหัวจํานวน ๔ เรื่อง ดังตอไปนี้ ๑) ราชสีห กับหนู ๒) บิดากับบุตรทั้งหลาย ๓) สุนักขปากับลูกแกะ ๔) กระตายกับเตา นอกจากนี้ มีผูแตงรวมอีกเชน กรมหลวงพิชิตปรีชากร พระองคเจาโสณบัณฑิต พระองคเจาวรวรรณากร พระยาศรีสุนทรโวหาร พระยาราชสัมภารกร ขุนวิสุทธิการ ขุนภักดีอาษา พระยาศรีสิงหเทพและพระเทพกระวี นิทานอีสปสํานวนพระราชนิพนธในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยูหัว ทรงแปลเมื่อใดไมมี หลักฐานแนชัด พบปรากฏกลาวถึงในพระราชวิจารณวาดวยนิทานชาดก ซึ่งทรงนิพนธไวเมื่อป พ.ศ. ๒๔๔๗ มี ความตอนหนึ่งกลาววา “นิท านอยางเชนชาดกนี้ ไมไดมีแตในคัมภีรฝายพระพุทธศาสนา ในหมูชนชาติอื่น ภาษาอื่นนอก พระพุทธศาสนาก็มีปรากฏเหมือนกันฯ ชาติอื่น ๆ เชน อาหรับ เปอรเซีย เปนตน ก็วามีนิทานเชนนี้ คลายคลึง กัน แตจะยกไวไมกลาว เพราะไมมีตัวเรื่องมาเทียบ จะยกแตนิทานอีสอป ซึ่งขาพเจาไดแปลลงเปนหนังสือไทย ชานานมาแลว ไดตั้งชื่อวาอีสอปปกรณําของนักปราชญผูซึ่งชื่อวาอีสอปเปนผูแตงขึ้นในประเทศอื่น” จากหลักฐานสอบเทียบกับภาพผาปกโคลงสุภาษิต งานพระเมรุทองสนามหลวงรัตนโกสินทรศกป ๑๐๘ อาจระบุไดวาพระราชนิพนธ “อิศปปกรณํา” แตงขึ้นกอนป พ.ศ. ๒๔๓๒ และจากหนังสือวชิรญาณวิเศษ เลม ๘ แผน ๒ วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๕ เรื่องจดหมาย เหตุการณประชุมสมาชิกเฝาทูลละอองธุลีพระบาท ยังกลาวถึงผาปกโคลงอิศปปกรณํา ซึ่งทําคราวพระเมรุทอง สนามหลวง ปกุน นพศก ๑๒๔๙ (พ.ศ. ๒๔๓๐) ซึ่งเปนของพระราชทานมาสําหรับประดับหอพระสมุด ดังนั้น งานผาปกโคลงสุภาษิตอิศปปกรณํา จึงนาจะทําขึ้นประดับพระเมรุหลายคราว และงานพระราชนิพนธก็อาจจะ เกิดขึ้นกอนป พ.ศ. ๒๔๓๐ ผาปกโคลงสุภาษิตนิทานอิศปปกรณํา ร.ศ. ๑๐๘ บางสํานวนเทียบไดใกลเคียงกับฉบับตัวเขียน บาง โคลงมีสํานวนตางไป อาจมีการปรับแตงสํานวนใหมสําหรับปกผาประกอบภาพเลาเรื่องตั้งในงานพระเมรุ ผาปก ทั้ง ๑๘ รายการ มีสํานวนโคลง เปรียบเทียบฉบับตัวเขียนไดดังนี้ ๑. นิทานเรื่อง หมีกับคนเดินทาง จากสมุดไทย อักษรชุบรงค เลมที่ ๑ เรือ่ งที่ ๓๔
สํานวนผาปกโคลงสุภาษิต เวลาเราเคราะหราย ทุระพล เปนชองเห็นใจชน เพื่อนพอง ใครรักรวมอับจน ฤารักไฉนนา มิตจิตรมิตรใจซอง สอใหเห็นกัน
สํานวนฉบับสมุดไทย ............................ เปนชองเหนใจชน ใครรักษรวมอับจน มิตรจิตรมิตรใจซอง
๖
ทุระพล เพื่อนพอง ฤารัก ไฉนนา สอใหเหนกัน
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยูหัว, อิศปปกรณํา : นิทานอีสป ฉบับสมุดไทย (นนทบุรี : สํานักพิมพ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, ๒๕๕๑). 67
๒. นิทานเรื่อง สุนัขในรางหญา จากสมุดไทย อักษรชุบรงค เลมที่ ๒ เรื่องที่ ๓๕
สํานวนผาปกโคลงสุภาษิต สุนักขนอนรางใสหญา โคปอง หญาเฮย สุนักขเห็นหอนมอง เหาหาว สัญชาติอิจฉาจอง ใจดับ ยากเฮย หวงใชเหตุกาวราว กอรายฤษยา
สํานวนฉบับสมุดไทย สุนักขนอนรางใสหญา สุนักขบเหนมอง สรรพชาติอิจฉาจอง หวงใชเหตุกาวราว
โคปอง หญาเฮย เหาหาว ใจดับ ยากเฮย กอรายฤษยา
๓. นิทานเรื่อง แมว กับ ไก จากสมุดไทย อักษรชุบรงค เลมที่ ๓ เรื่องที่ ๔๔
สํานวนผาปกโคลงสุภาษิต ผูสงู อํานาจแมน ใจพาล ผิจักคิดระราญ รุกเรา อํานาจต่ําจักหาญ เถียงตอบไฉนฤา คงจะกดขี่เขา เขตรขางตนประสงค
สํานวนฉบับสมุดไทย ผูสงู ................ ผิจักคิดรราน อํานาจต่ําจักพาน คงจะกดขี่เขา
ใจพาล รุกเรา เถียงตอบ ไฉนฤา เขตรขางตนประสงค
๔. นิทานเรื่อง สุนักขซนอยางคุม จากสมุดไทย อักษรชุบรงค เลมที่ ๒ เรือ่ งที่ ๕๑
สํานวนผาปกโคลงสุภาษิต ฤาชื่อเพราะชั่วราย ทรชน เรียกตอฉัยยาจน เลื่องอาง เขาใจผิดวาตน บุญประกอบ เกียรติยศเกียรติคุณขาง ชั่วนั้นฤาถวิน
สํานวนฉบับสมุดไทย ฤาชื่อเพราะชั่วราย เรียกตอฉายาจน เขาใจผิดวาตน เกียรติยศเกียรติคุณขาง 68
ทรชน เลื่องอาง บุญประกอบ ชั่วนั้นฤาถวิล
๕. นิทานเรื่อง โหรเปนนักเรียนทางอากาศ จากสมุดไทย อักษรชุบรงค เลมที่ ๓ เรื่องที่ ๖๐
สํานวนผาปกโคลงสุภาษิต เนตรบงตรงฝายฟา เมีลหมาย นอนนังยืนเดีนหงาย ภักตรฉแง บดูแผนดินคลาย ใจถอม ใจนา ตาเพงเลงสูงแท พลาดแลว จึงเห็น
สํานวนฉบับสมุดไทย เนตรบงตรงฝาฟา เมินหมาย นอนนั่งยืนเดินหงาย ภักตรฉแง บดูแผนดินคลาย ใจถอมใจนา ตาแพงเล็งสูงแท พลาดแลวจึง่ เห็น (พระยาราชสัมภารากร)
๖. นิทานเรื่อง มากับเจาของผูท ี่ขี่ จากสมุดไทย อักษรชุบรงค เลมที่ ๔ เรือ่ งที่ ๖๙
สํานวนผาปกโคลงสุภาษิต มากลาวคราวศึกอวน พีถนอม แรงเฮย เสร็จศึกใหอดตรอม ตรากไข ปางเกิดยุทธยงผอม แรงเรี่ยว หยูนา ใหนจะทานศึกได ดั่งโพนพึงถวิล
สํานวนฉบับสมุดไทย ใชพลบใหภัก แรงทํา ทุกทีวากรากกรํา แกรวสู ยามเกิดกิจใหญสํา คัญจัก ใชนา คนบอบฤาจักกู กิจนั้นฉันใด (พระยาศรีสุนทรโวหาร)
๗. นิทานเรื่อง ราชสีหกับสุกรปา จากสมุดไทย อักษรชุบรงค เลมที่ ๔ เรือ่ งที่ ๑๐๕
สํานวนผาปกโคลงสุภาษิต สุกรกับสีหราชปล้ํา ชิงชล ดื่มเฮย นกหกแรงกาวน จับจอง สองเห็นตางหยุดผจน พลางกลาว คําเฮย เปนมิตรดีกวาตอง ตากใหกากิน
สํานวนฉบับสมุดไทย เมธาทานรอบรู เห็นวาแตกราวโกรธ เกื้อกูลแตปราโมทย ตนเสื่อมมหิตคุณรู 69
ทางประโยชน ตางผู ชนมอื่น ประสมนา ตอแลวจึ่งเห็น (พระเทพกระวี)
๘. นิทานเรื่อง ไกชนทั้งสองกับนกอินทรีย จากสมุดไทย อักษรเสนดินสอ เลมที่ ๓ เรื่องที่ ๗๒
สํานวนผาปกโคลงสุภาษิต ความกําเริบชักไห อันตราย ถึงเฮย ดุจคูไกชนหมาย แขงกลา ตัวชะนะเหอเหิมผาย ขึ้นสุด ผนังเฮย ขันอวดอินทรีควา ฉีกเนื้อเปนจุน
สํานวนฉบับสมุดไทย (ไมปรากฏโคลงทายเรื่อง)
๙. นิทานเรื่อง สุนัขปากับราชสีห จากสมุดไทย อักษรเสนดินสอ เลมที่ ๖ เรือ่ งที่ ๑๓๓
สํานวนผาปกโคลงสุภาษิต สุนักขลกั แกะพอง สีหชิง ชวงเฮย ออกหางพลางพิโรธติง ติพรอง สีหเ อยจะชิงจิง เห็นชอบธรรมฤา สีหวานี่พวกพอง เพื่อนใหฤาไฉน
สํานวนฉบับสมุดไทย ผูใดไปตั้งอยู ประกอบทุจริตกํา ฤาอาจจัดแสดงนํา อํานาจปราศจากควา
สํานวนผาปกโคลงสุภาษิต เสือดาววาจิ้งจอก หางาม ไมเฮย ซ้ําอวดตัวลายลาม พรางพรอย จิ้งจอกวาตูซาม จิงหยู แตเลียมกวาเจารอย สวนน้ําใจงาม
สํานวนฉบับสมุดไทย (ไมปรากฏโคลงทายเรื่อง)
ในธรรม เริบกลา ปวงประโยชน ไฉนฤา เปลาขอยุติธรรม (ขุนภักดีอาษา) ๑๐. นิทานเรื่อง สุนักขจิ้งจอกกับเสือดาว จากสมุดไทย อักษรเสนดินสอ เลมที่ ๖ เรื่องที่ ๑๕๕
70
๑๑. นิทานเรื่อง นายขมังธนูกับราชสีหจากสมุดไทย อักษรเสนดินสอ เลมที่ ๗ เรื่องที่ ๑๗๕
สํานวนผาปกโคลงสุภาษิต คนที่ตีไดแต ไกลกาย เปนเพื่อนบานอยูส บาย ขัดแท เฉกฉมังธนูนาย พรานเรื่อง นี้พอ ยิงถูกสิงหวิ่งแต สุนักขรงั้ ฤารอ
สํานวนฉบับสมุดไทย (ไมปรากฏโคลงทายเรื่อง)
๑๒. นิทานเรื่อง ทหารแตรเดี่ยวซึ่งเปนโทษการศึก จากสมุดไทย อักษรเสนดินสอ เลมที่ ๑๐ เรื่องที่ ๒๔๙
สํานวนผาปกโคลงสุภาษิต ทหานแตรเดี่ยวตองฆา ศึกมัด เถียงวาใชถูกปด รบเรา ริปูวาเหตุฉะนั้นจัด เปนโทสใหยแล ถึงบสเู สียงเยา ยั่วกลาพลผอง
สํานวนฉบับสมุดไทย นําหนุนใหผูอื่น ทําการ โดยทรัพยบุญพละญาณ และรู แมผิดสอสัปปบเปนพาล ผิดกลับ เกิดฤา ผิดที่เกิดนั้นผู ชวยตองมีเสมอ (กรมหมื่นพิชิตปรีชากร)
๑๓. นิทานเรื่อง นกอินทรียกบั นกกิจากสมุดไทย อักษรเสนดินสอ เลมที่ ๑๐ เรือ่ งที่ ๒๖๐
สํานวนผาปกโคลงสุภาษิต นกนิดคิดแขงสู สกุณิน ทรีเฮย เฉี่ยวแกะเทาติดบิน ไปได เขาจับสับปกสิ้น เปนทอน เพราะจิตตริสยาไห โทสรายแรงถึง
สํานวนฉบับสมุดไทย เห็นทานสามารถเกื้อ การใด ขาดคาดตนทําใจ ใหญบาง แรงนอยยกหนักไฉน จักรอดตนนอ หนูจะใชอยางชาง จะใชไฉนนอ (กรมหมื่นพิชิตปรีชากร) 71
๑๔. นิทานเรื่อง สุนักขทงั้ ปวงกับหนัง จากสมุดไทย อักษรเสนดินสอ เลมที่ ๑๐ เรื่องที่ ๒๖๖
สํานวนผาปกโคลงสุภาษิต การลนอํานาจลน กําลัง กายเฮย แรงออนจะหวังหวัง หอนได ดังสุนักขจะกินหนัง ในสมุทร หลวงแล คิดดื่มชลเพื่อให เหือดทองทลายตาย
สํานวนฉบับสมุดไทย (ไมปรากฏโคลงทายเรื่อง)
๑๕. นิทานเรื่อง นกลากกับบุตร ไมปรากฏเรื่องในฉบับสมุดไทย
สํานวนผาปกโคลงสุภาษิต นกลากชวนบุตรยัง้ รังเขา กอนเฮย คนจะวานเพื่อนเขา เกี่ยวเขา ยายรังตอเขาเอา เคียวเกี่ยว เองแล สรรพกิจวานเพื่อนเหยา ยากไดเสร็จประสงค
สํานวนฉบับสมุดไทย (ไมพบเรื่อง)
๑๖. นิทานเรื่อง สุนัขปากับแกะ ไมปรากฏเรื่องในฉบับสมุดไทย
สํานวนผาปกโคลงสุภาษิต หมาปาหมากัดลม ลากกาย อยูเฮย วานแกะตักน้ําหมาย กัดเนื้อ แกะรูเทาอุบาย จึงตอบ คําเฮย ชาติสัตวรายใครเอื้อ อาจให ไภยถึง
สํานวนฉบับสมุดไทย (ไมพบเรื่อง)
72
๑๗. นิทานเรื่อง สุนัขกับโจร ไมปรากฏเรือ่ งในฉบับสมุดไทย
สํานวนผาปกโคลงสุภาษิต สุนักขตอบโจรเมือ่ ไห มังสา หาญเฮย วาคิดปดปากหมา ผิดแท โดยตระบัดทานเมตตา เตือนตื่น เรานา ทานยอมหมายประโยชนแม สิทธิเจาเราเสีย
สํานวนฉบับสมุดไทย (ไมพบเรื่อง)
๑๘. นิทานเรื่อง สุนักขปากับแพะ ไมปรากฏเรื่องในฉบับสมุดไทย
สํานวนผาปกโคลงสุภาษิต สํานวนฉบับสมุดไทย ลวงเขาเขารูเทา ทําเหน็บ แนมเฮย (ไมพบเรื่อง) ชื่อก็ชั่วตัวเจ็บ จิตรของ ดังสุนักขแนะแพะเก็บ กินระบัดหญาเฮย แพะตอบทานแสบทอง จึงเชื้อเชิญเรา ผาปกโคลงสุภาษิตอิศปปกรณํางานพระเมรุทองสนามหลวง รัตนโกสินทรศกป ๑๐๘ สันนิษฐานวา จัดทําขึ้นเปนจํานวนมาก ตามเรื่องนิทานซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยูหัวทรงพระราชนิพนธแปล ซึ่งตนฉบับตัวเขียนซึ่งเก็บรักษายังหอสมุดแหงชาติ กรุงเทพฯ นาจะยังขาดฉบับอีกมาก เมื่อเทียบกับฉบับร าง และสํานวนโคลงผาปก งานผาปก โคลงสุภาษิตอิศปปกรณําเมื่อแลวเสร็ จ จากตั้ง ประดับงานพระเมรุ พบ หลักฐานพระราชทานไปประดับผนังยังที่ตาง ๆ อาทิ โรงเรียน๗ และพิพิธภัณฑสถาน เปนตน สรุป ผาปกโคลงสุภาษิตอิศปปกรณํา เปนงานประณีตศิลปที่ทําขึ้นเปนเครื่องตั้งประดับพระเมรุ นอกจากจะ มีคุณคาดานศิลปกรรม ที่สะทอนถึงราชประเพณีแลว ยังมีคุณคาแสดงหลักฐานดานวรรณกรรมอันเปนพระราช นิพนธในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยูหัว อีกดวย
๗
“เรื่องชมโณงเรียน,” วชิรญาณวิเศษ, เลม ๘ แผนที่ ๓๒ วันที่ ๑๘ เดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๓๖, ๓๗๔. 73
ขอมูลและความรูเพิ่มใหมจากโครงการศึกษาการตั้งถิ่นฐานในเขตเมืองโบราณศรีเทพ ปพ.ศ. ๒๕๕๙ สุริยา สุดสวาท นักโบราณคดีชํานาญการ อุทยานประวัติศาสตรศรีเทพ
บทนํา เมืองโบราณศรีเทพเปนเมืองโบราณทีส่ ําคัญแหงหนึง่ ในลุม น้าํ ลพบุร-ี ปาสัก ตั้งอยูในพื้นที่ตําบลศรีเทพ อําเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ บริเวณรุง ที่ ๑๕ องศา ๒๗ ลิปดา ๓๐ ลิปดาเหนือ และแวงที่ ๑๐๑ องศา ๐๓ ลิปดา ๒๐ ฟลปิ ดาตะวันออก หรือ พิกัด ๔๘ PQT ๓๐๕๑๐๘ (กรมแผนที่ทหาร แผนที่ลําดับชุดL ๗๐๑๗ ระวาง ๕๒๓๙ IV )ลักษณะเปนเมืองแฝด วางตัวตามแนวตะวันออก-ตะวันตก มีขนาดพื้นทีป่ ระมาณ ๒,๘๘๙ ไร หรือ ประมาณ ๔.๗ ตารางกิโลเมตร มีคูน้ําคันดินลอมรอบ แบงพื้นทีอ่ อกเปนสองสวน คือ เมืองในมีพื้นที่ ประมาณ ๑,๓๐๐ ไร และเมืองนอกมีพื้นทีป่ ระมาณ ๑,๕๘๙ ไร พบโบราณสถานกระจายอยูตามพื้นที่ตางๆ ภายในเขตเมืองในมีโบราณสถาน จํานวน ๔๘ แหง โบราณสถานที่สําคัญ ไดแก โบราณสถานเขาคลังใน ปรางค ศรีเทพ และปรางคสองพี่นองโบราณสถานในเขตเมืองนอกมีจํานวน ๖๔ แหง และมีโบราณสถานกระจายอยู นอกเมืองอีกราว ๕๐ แหง ที่สําคัญไดแก โบราณสถานเขาคลังนอก และปรางคฤาษีนอกจากนี้ยังมีถ้ําศาสน สถานบนเขาถมอรัตน ซึ่งตัง้ อยูหางจากเมืองโบราณศรีเทพไปทางทิศตะวันตกเปนระยะทาง ๑๕ กิโลเมตรวัด ระยะตามแนวตรงในแผนที่ เมื่อพิจารณาจากสภาพภูมิศาสตรของเมืองโบราณศรีเทพ จัดวาตั้งอยูในพื้นที่ราบสูงภาคกลาง (Central Highland) สูงจากระดับน้ําทะเลปานกลางประมาณ ๗๐-๘๐ เมตร ตัวเมืองตั้งอยูบ นลานตะพักลําน้ํา มีลําน้ําไหลผาน ๒ สาย ไดแก แมน้ําปาสัก อยูหางไปทางทิศตะวันตกของเมืองราว ๕ กิโลเมตร และลําน้ําเหียง ซึ่งเปนลําขาสาของแมน้ําปาสัก อยูห างจากตัวเมืองไปทางทิศตะวันตกราว ๒ กิโลเมตร พื้นที่ภายในตัวเมืองมี ความลาดเอียงจากทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตก ลักษณะพื้นที่โดยทั่วไปเปนลูกคลื่นลอนลาดและมีแหลงน้ํา กระจายตัวอยูตามพื้นที่ตางๆของเมืองซึ่งผลจากการดําเนินงานอนุรักษและพัฒนาพื้นที่เมืองโบราณศรีเทพ ภายใตการบริหารจัดการของอุทยานประวัติศาสตรศรีเทพทีผ่ านมาตั้งแตปพ .ศ.๒๕๒๗ ทําใหทราบวาบริเวณ พื้นที่ “เมืองใน” ของเมืองโบราณศรีเทพ มีการใชประโยชนเปนพื้นทีก่ อสรางศาสนสถานขนาดใหญและขนาด เล็กตามคติความเชื่อทางศาสนาในวัฒนธรรมทวารวดีและวัฒนธรรมเขมร และผลจากการขุดคนทางโบราณคดี ในปพ.ศ. ๒๕๓๒ พ.ศ.๒๕๓๗ และพ.ศ. ๒๕๕๒ขุดพบแหลงที่ฝงศพของคนในชุมชนสังคมเกษตรกรรรมยุคกอน ประวัติศาสตรตอนปลาย สมัยเหล็ก นอกจากนี้กม็ ีพื้นที่อกี หลายบริเวณที่ยังไมทราบถึงลักษณะของการเขามา ตั้งถิ่นฐานและการเขามาใชประโยชนของมนุษยในอดีต โดยเฉพาะพื้นทีท่ ี่มลี ักษณะเปนเนินดินหรือพื้นที่ลกู คลื่นลอนลาดและมีแหลงน้ําอยูในบริเวณใกลเคียง อุทยานประวัติศาสตรศรีเทพจึงไดดําเนินโครงการศึกษาการ ตั้งถิ่นฐานในเขตเมืองโบราณศรีเทพ(ระยะที่ ๑) ปงบประมาณพ.ศ.๒๕๕๘ และ (ระยะที่ ๒) ปงบประมาณพ.ศ. ๒๕๕๙โดยมีวัตถุประสงคเพื่อศึกษาลักษณะการตัง้ ถิ่นฐานและความสัมพันธของการเขามาใชพื้นทีบ่ ริเวณเนิน ดินลูกคลื่นลอนลาดดังกลาวกับประเภทของกิจกรรมที่เกิดขึน้ จากการกระทําของมนุษยในอดีตภายในเขตพื้นที่ เมืองในของเมืองโบราณศรีเทพตลอดจนการลําดับอายุสมัย อันจะนําไปสูการเพิ่มเติมองคความรูเกี่ยวกับ พัฒนาการทางโบราณคดีและประวัติศาสตรของเมืองโบราณศรีเทพซึ่งบทความนี้ไดจัดทําขึ้นเพื่อวัตถุประสงค ในการนําเสนอขอมูลและความรูเพิม่ ใหมที่ไดจากการขุดคนทางโบราณคดีตามโครงการศึกษาการตั้งถิ่นฐานใน เขตเมืองโบราณศรีเทพ ปงบประมาณ พ.ศ.๒๕๕๙
74
โครงการศึกษาการตั้งถิ่นฐานในเขตเมืองโบราณศรีเทพ ปพ.ศ. ๒๕๕๙ โครงการศึกษาการตัง้ ถิ่นฐานในเขตเมืองโบราณศรีเทพ ปงบประมาณ พ.ศ.๒๕๕๙ เปนการดําเนิน โครงการตอเนือ่ งมาจากโครงการศึกษาการตัง้ ถิ่นฐานในเขตเมืองโบราณศรีเทพ(ระยะที่ ๑)ปงบประมาณพ.ศ. ๒๕๕๘ โดยในปพ.ศ.๒๕๕๘ ไดดําเนินการเลือกพื้นที่ขุดคน ๒ บริเวณดวยกัน ไดแก ๑. หลุมขุดคน Trench I ตั้งอยูทางทิศตะวันตกของอาคารศูนยขอมูลเกาของอุทยาน ประวัติศาสตรศรีเทพ ทําการขุดคนเปนหลุมยาว ขนาดความกวาง ๒ เมตร ความยาว ๑๔ เมตร โดยขุดคนจาก ระดับผิวดินเดิมจนถึงชั้นที่ไมปรากฏรองรอยหลักฐานทางโบราณคดี หรือตั้งแตระดับความลึก ๒๗๐-๕๙๐ cm.dt.จากจุดอางอิงระดับมาตรฐานสมมุติ (datum point) บริเวณหนาปรางคศรีเทพ พบชั้นดินทับถมทาง วัฒนธรรมที่มีความเกี่ยวของกับการใชพื้นทีเ่ ปนแหลงที่อยูอาศัยของชุมชนยุคกอนประวัติศาสตรตอนปลาย สืบเนื่องมาจนชวงเวลาที่เปนเมืองที่ไดรับวัฒนธรรมทวารวดีและวัฒนธรรมเขมร และพบวามีการอยูอาศัย หนาแนนในชวงวัฒนธรรมทวารวดีชั้นลางสุดเปนพื้นศิลาแลงธรรมชาติอยูในระดับความลึกจากผิวดินประมาณ ๒.๘๐ เมตร ๒. หลุมขุดคน Wall-Wตั้งอยูบริเวณคันดินกําแพงเมืองดานทิศตะวันตก ฝงดานเหนือของประตูแสน งอน (ชองทางเขา-ออกทางทิศตะวันตกของเมืองโบราณศรีเทพ) ทําการขุดคนเปนหลุมยาวขนาดความกวาง ๓ เมตร ความยาว ๒๐ เมตร ทําการขุดคนจากระดับผิวดินเดิมจนถึงชั้นที่ไมปรากฏรองรอยหลักฐานทาง โบราณคดี หรือตั้งแตระดับความลึก ๔๐-๕๒๐ cm.dt. จากจุดอางอิงระดับมาตรฐานสมมุติ (datum point) บริเวณหนาปรางคศรีเทพ พบชั้นดินทับถมที่มีความเกี่ยวของกับกิจกรรมของมนุษยในอดีต ในลักษณะของการ ใชเปนที่พักอาศัยเฉพาะจุดในระยะเวลาสั้นๆกอนที่จะมีการขุดดินขึ้นมาถมเปนคันดินกําแพงเมืองและใน ระหวางที่มีการนําดินมาถมเพื่อกอสรางคันดินกําแพงเมืองนีใ้ นชวงวัฒนธรรมทวารวดีและชั้นลางสุดเปนพื้น ศิลาแลงธรรมชาติอยูในระดับความลึกจากผิวดินประมาณ ๖ เมตร ตอมาในปงบประมาณพ.ศ. ๒๕๕๙ ดําเนินการขุดคนทางโบราณคดีในเขตพื้นที่เมืองในกําหนดเลือกสุม พื้นที่ขุดคน จํานวน ๔ หลุม แตละหลุมมีขนาดพื้นที่ ๕X๕ เมตร ดังนี้ ๑. หลุมขุดคน TP.I และ TP.IV ตั้งอยูทางดานทิศใตของหลุมขุดคน Trench.Iเปนระยะทาง ประมาณ ๖๐ เมตรหรือทางทิศตะวันตกเฉียงใตของอาคารศูนยขอมูล(ผลการขุดคนจะกลาวถึงรายละเอียดใน บทความ) ๒. หลุมขุดคน TP.II ตั้งอยูบริเวณพื้นทีล่ ูกคลืน่ ลอนลาด หางไปทางทิศตะวันออกเฉียงใตของ ปรางคศรีเทพเปนระยะทาง ๑๗๘ เมตร โดยขุดคนจากระดับผิวดินเดิมจนถึงชั้นที่ไมปรากฏรองรอยหลักฐาน ทางโบราณคดี หรือตัง้ แตระดับความลึก ๑๗๖-๕๑๐ cm.dt จากจุดอางอิงระดับมาตรฐานสมมุติ (datum point) บริเวณหนาปรางคศรีเทพ ชั้นลางสุดเปนพื้นศิลาแลงธรรมชาติอยูในระดับความลึกจากผิวดินประมาณ ๓.๓๐ เมตร ๓. หลุมขุดคน TP.III ตั้งอยูพื้นทีท่ างดานตะวันตกเฉียงเหนือของปรางคศรีเทพเปนระยะทาง ๓๔๔ เมตร โดยขุดคนจากระดับผิวดินเดิมจนถึงชั้นที่ไมปรากฏรองรอยหลักฐานทางโบราณคดี หรือตั้งแตระดับ ความลึก ๑๙๐-๔๑๐ cm.dt. จากจุดอางอิงระดับมาตรฐานสมมุติ (datum point) บริเวณหนาปรางคศรีเทพ ชั้นลางสุดเปนพื้นศิลาแลงธรรมชาติอยูในระดับความลึกจากผิวดินประมาณ ๒.๒๐ เมตร ผลจากการดําเนินการขุดคนในพื้นที่หลุมขุดคน TP.II และหลุมขุดคน TP.IIIขุดพบชั้นดินทับถมทางวัฒนธรรมที่ เกี่ยวของกับการใชพื้นทีเ่ ปนแหลงที่อยูอ าศัย และมีการอยูอาศัยหนาแนนในชวงวัฒนธรรมทวารวดีและ วัฒนธรรมเขมร และทีส่ ําคัญคือ การพบหลักฐานเพิ่มเติมจากการทีเ่ คยขุดพบโครงกระดูกมนุษยบริเวณพื้นที่ เมืองในของเมืองโบราณศรีเทพเมื่อปพ.ศ.๒๕๓๑ ,พ.ศ.๒๕๓๗ และปพ.ศ. ๒๕๕๒ ซึง่ เปนหลักฐานที่แสดงให เห็นถึงการเขามาตั้งถิ่นฐานของกลุมคนระยะแรกทีเ่ ขามาตั้งถิ่นฐานในเขตเมืองโบราณศรีเทพ ในชวงยุคกอน ประวัติศาสตรตอนปลาย สมัยเหล็กพบจากหลุมขุดคน TP. Iและหลุมขุดคน TP. IV 75
ตําแหนงทีต่ ั้งของหลุมขุดคนทางโบราณคดี ปพ.ศ.๒๕๕๘และ๒๕๕๙ ที่มา: ภาพถายดาวเทียมจาก Google Earth
ตําแหนงทีต่ ั้งของหลุมขุดคนทางโบราณคดี ปพ.ศ.๒๕๕๘ และ๒๕๕๙ ที่มา: ภาพถายดาวเทียมจาก Google Earth
ผลการขุดคนทางโบราณคดี ที่พบจากหลุมขุดคน TP.I และ TP.IVสามารถสรุปไว ดังนี้ หลุมขุดคนTP. I ตั้ง อยูท างด านทิศ ตะวั นตกเฉียงใต หางจากอาคารศู นย ขอมู ล เกาอุ ท ยานประวัติ ศาสตร ศรี เ ทพ ระยะทางประมาณ ๖๕ เมตรหรือ รุงที่ ๑๕ องศา ๒๗ ลิปดา๕๕ ฟลิปดาเหนือ และแวงที่ ๑๐๑ องศา ๐๘ ลิปดา ๒๗ ฟลิปดา ตะวันออกดําเนินการขุดคนทางโบราณคดีระหวางวันที่ ๑๙ มกราคม – ๒๕ กุมภาพันธ ๒๕๕๙ทําการขุดคนหลุม ขนาด ๕X๕ เมตร โดยขุดคนจากระดับ ผิวดิ นเดิม จนถึง ชั้นที่ไมป รากฏรองรอย หลัก ฐานทางโบราณคดี หรือตั้งแตร ะดับ ความลึก ๔๒๐-๗๒๐ cm.dt.จากจุดอางอิง ระดับมาตรฐานสมมุติ (datum point) บริเวณหนาปรางคศรีเทพ พบชั้นดินทับถมที่มีความเกี่ยวของกับกิจกรรมของมนุษยในอดีต ชั้นลางสุดเปนพื้นศิลาแลงธรรมชาติอยูในระดับความลึกจากผิวดินประมาณ ๓ เมตร มีผลการขุดคน ดังนี้ ในระดับความลึก๖๒๐-๖๕๐ cm.dt. ของหลุมขุดคน TP.I ขุดคนพบโครงกระดูกมนุษยเพศชาย (Burial#1) ความสูงประมาณ ๑๕๐ เซนติเมตร อายุขณะทีเ่ สียชีวิตระหวาง๒๕-๓๕ ป ลักษณะการฝงศพอยู ในทานอนหงายเหยียดยาวหันศีรษะไปทางทิศตะวันตก มีเครื่องมือเหล็กฝงรวมอยูบ ริเวณเหนือกระดูกตนแขน ซาย บริเวณลําคอและกกหูซายตกแตงดวยแผนโลหะเงินแบนยาว มีแวดินเผาวางอยูทางดานซายใกลกบั กระดูกตนขาและกระดูกนองซาย และภาชนะดินเผา ๑ ใบ สภาพชํารุดแตก ลักษณะเปนภาชนะดินเผาทรง ชาม ดานนอกเปนสีดําและน้ําตาล ตกแตงดวยลายเชือกทาบ เนื้อดินคอนขางหยาบ ขึ้นรูปดวยมือ วางทับ บริเวณกระดูกเทาซาย มีลักษณะของการทุบใหแตกโดยตั้งใจเพื่อวางที่ปลายเทา การหาคาอายุดวยวิธีการทางวิทยาศาสตรของโครงกระดูกมนุษยที่พบโดยใชฟนเขี้ยวไปวิเคราะหดวย วิธี AMS (Accelerator Mass Spectrometry)ที่หองปฏิบตั ิการ BETA ANALYTIC INC . ประเทศ สหรัฐอเมริกา ไดคากําหนดอายุ (Radiocarbon) ๑,๗๓๐± ๓๐(BP.) ปมาแลว (ค.ศ.๒๔๐-๓๙๐ หรือ พ.ศ. ๗๘๓-๙๓๓) บริเวณทางดานซายของโครงกระดูกมนุษยหางจากกระดูกหนาแขงออกมาเล็กนอย (ในระดับ ๖๑๐๖๕๐ cm.dt.) พบกลุมภาชนะดินเผาจํานวน ๙ ใบ มีรูปทรงตางๆ ไดแก ภาชนะดินเผาแบบหมอสีสันขนาด ใหญ ขอบปากผาย ,หมอกนกลมขนาดใหญ ตกแตงดวยการเคลือบน้ําดิน การปนแปะดินและกดประทับลาย 76
บริเวณไหล ,ภาชนะดินเผาแบบหมอทรงกลมขนาดใหญ สวนขอบปากหักหายไป ,ภาชนะแบบหมอมีพวย กน ดานนอกเวาลงไปเปนแองตรงกลาง ,ชามกนตัดครอบอยูบ นภาชนะแบบหมอทรงกลม กนตัด ขอบปากผาย ,ภาชนะทรงกลมขอบปากโคงเขาเล็กนอยคลายทรงบาตรพระ และภาชนะแบบหมอกนกลม คอตรง ขอบปาก ผายออกกลุมภาชนะนี้พบวา ภาชนะบางใบมีชิ้นสวนกระดูกขาของหมูทมี่ ีอายุนอยหรือยังโตไมเต็มที่ (young pig) บรรจุอยูภายในภาชนะเพื่อเปนของอุทิศใหแกผูเสียชีวิต บางใบพบวาภายในบรรจุชิ้นสวนกะโหลกศีรษะ ชิ้นสวนเครื่องมือเหล็ก รวมกับชิ้นสวนถานและดินถูกความรอนจนจับตัวเปนกอนแข็ง สันนิษฐานวาเปนภาชนะ ที่เกี่ยวของกับพิธีกรรมการฝงศพครั้งที่ ๒ บริเวณทางดานขวาของโครงกระดูกมนุษยในระดับชั้นดินเหนือขึ้นมาเล็กนอย (ในระดับ ๖๑๐๖๓๐ cm.dt.) พบกลุมภาชนะดินเผา ๓ ใบ เรียงตัวกันตามแนวตะวันออก-ตะวันตก ไดแก ภาชนะทรงกนกลม ขนาดใหญ ตกแตงดวยลายเชือกทาบ ,ภาชนะดินเผาทรงกนกลม ตกแตง ผิวดวยการขัดมันและลายเสนนูน บริเวณรอบคอภาชนะ จํานวน ๔ เสน และภาชนะดินเผาใบที่สามจากทางทิศตะวันออกเปนภาชนะทรงกน กลม ปากผายเล็กนอย เคลือบน้ําดินสีน้ําตาล ขัดมันทั้งดานนอกและดานใน ภายในภาชนะดินเผาพบวามี ชิ้นสวนฟน จํานวน ๑ ซี่ ชิ้นสวนกะโหลกศีรษะ สันนิษฐานวาเปนชิ้นสวนของโครงกระดูกเด็ก ชิ้นสวนถาน และ ชิ้นสวนแผนโลหะบาง(ตะกั่ว?) จํานวน ๑ ชิ้น สันนิษฐานไดวาเปนการประกอบพิธีกรรมการฝงศพครั้งที่สอง ในระดับความลึก ๕๕๐-๕๖๐ cm.dt. พบแนวพื้นเรียงดวยอิฐ ๕ กอน จํานวน ๑ แถวขนาดความกวางของ แนวอิฐ ๓๖ เซนติเมตร ความยาว ๕๗ เซนติเมตร ซึ่งไดสง ตัวอยางอิฐไปหาคาอายุทางวิทยาศาสตรดวยวิธี เทอรโมลูมเิ นสเซนต(TL-Thermoluminescence)ที่หอ งปฏิบัติการเทอรโมลูมิเนสเซนต ภาควิชาวิทยาศาสตร พื้นพิภพ คณะวิทยาศาสตรมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร ไดคากําหนดอายุ (BP.) ๑,๒๓๖±๘๖ ปมาแลว (ค.ศ. ๖๒๘-๘๐๐ หรือ พ.ศ. ๑,๑๗๑-๑,๓๔๓)
แนวพื้นเรียงดวยอิฐ พบในระดับความลึก ๕๕๐-๕๖๐ cm.dt. โครงกระดูกหมายเลข ๑ พบฝงอยูในระดับ ๖๒๐-๖๕๐ cm.dt.บริเวณทางขวาของโครงกระดูกพบกลุมภาชนะดินเผา จํานวน ๓ ใบ บริเวณทางดานซายของโครงกระดูกมนุษยหางจากกระดูกหนาแขงออกมาเล็กนอย พบกลุมภาชนะดินเผา จํานวน ๙ ใบ
หลุมขุดคน TP. IV ตั้งอยูทางดานทิศเหนือของหลุมขุดคน TP.Iหางออกไป ๑ เมตรดําเนินการขุดคนทางโบราณคดีระหวางวันที่ ๒๖ กันยายน – ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๙ เปนการขุดคนทางโบราณคดีเพื่อศึกษาความสัมพันธของการใชพื้นทาง ตอนเหนือของหลุมขุดคน TP.I ดําเนินการขุดคนหลุมขนาด ๕X๕ เมตร โดยขุดคนจากระดับผิวดินเดิมจนถึง ชั้นที่ไมปรากฏรองรอยหลักฐานทางโบราณคดี หรือตั้งแตระดับความลึก ๔๓๐-๖๖๐ cm.dt.จากจุดอางอิง ระดับมาตรฐานสมมุติ (datum point) บริเวณหนาปรางคศรีเทพ พบชั้นดินทับถมที่มีความเกี่ยวของกับ กิจกรรมของมนุษยในอดีต ชั้นลางสุดเปนพื้นศิลาแลงธรรมชาติอยูในระดับความลึกจากผิวดินประมาณ ๒.๓๐ เมตร ผลการขุดคนในระดับความลึก๖๑๐-๖๕๐ cm.dt. พบโครงกระดูกมนุษย จํานวน ๔ โครง สภาพ คอนขางสมบูรณจํานวน ๑ โครง ไดแก 77
โครงกระดูกมนุษยหมายเลข ๕ (Burial#5) พบในระดับความลึก ๖๔๐-๖๖๐ cm.dt. เปนโครงกระดูกมนุษย เพศหญิง ความสูงประมาณ ๑๖๔ เซนติเมตร อายุขณะที่เสียชีวิตระหวาง๓๕-๔๕ ป ลักษณะการฝงศพอยูใน ทานอนหงายเหยียดยาว หันศีรษะทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ลักษณะของกระดูกแขนแนบลําตัว กระดูกหัว เขาและกระดูกขอเทาชิดกันในลักษณะถูกมัด มีภาชนะดินเผาแบบผิวเรียบวางไวเหนือกระดูกตนขา ดานละ ๑ ใบ บริเวณใกลกับกระดูกขาดานซายมีภาชนะดินเผาแบบหมอกนกลมปากบานลายเชือกทาบ ๑ ใบ และชาม ดินเผาแบบผิวเรียบ ๑ ใบสวนบริเวณปลายเทามีชามดินเผาแบบผิวเรียบ ๑ ใบ และหมอดินเผากนปากบาน ลายเชือกทาบ ๑ ใบ สวนดานขางโครงกระดูกมนุษยบริเวณใกลกับกระดูกขาขวาพบโครงกระดูกสุนัขมีภาชนะ ดินเผาซึง่ เปนของอุทิศ จํานวน ๒ ใบ บริเวณใตขาหลังขวาและดานหนาของกะโหลกสุนัขลักษณะเปนชามดิน เผาบรรจุกระดูกสัตวขนาดเล็กที่มรี องรอยการถูกความรอน โครงกระดูกหมายเลข ๒ (Burial#2) พบในระดับความลึก ๖๑๐-๖๔๐ cm.dt. เปนโครงกระดูกของผูใหญ อายุตอนเสียชีวิต ประมาณ ๓๕-๔๕ สภาพของโครงไมสมบูรณ พบชิ้นสวนกะโหลกศีรษะ(Cranium) กระดูก สันหลังชวงลาง (Lumbar) กระดูกซี่โครง (Ribs) กระดูกตนแขน (Humerus) กระดูกตนขา (Femer) กระดูก นอง (Fibular) ขากรรไกรลาง (Mandible) กระดูกเทา กระจายปะปนกัน พบรวมกับสิ่งของที่อุทิศใหกับ ผูตาย ไดแก ภาชนะดินเผาแบบหมอกนกลม สีสมปนดํา ภาชนะดินเผาทรงชามกนตัดขนาดเล็ก สีดํา ๑ ใบ ภาชนะดินเผาทรงชามกนตัด สีดํา ขนาดเสนผานศูนยกลาง ๑๒ เซนติเมตร ๑ ใบ และภาชนะดินเผาทรงกลม ลายเชือกทาบ ๑ ใบ โครงกระดูกหมายเลข ๓ (Burial#3)พบในระดับความลึก ๖๓๐ cm.dt. พบชิ้นสวนกระดูกนอง (Fibula) ดานซายและดานขวา สวนบนติดกับผนังดานทิศเหนือของหลุม TP.IV โครงกระดูกหมายเลข ๔ (Burial#4)พบในระดับความลึก ๖๒๐-๖๔๐ cm.dt. พบสวนกะโหลกศีรษะ (Cranium) ในลักษณะกระจาย ขากรรไกรลาง(Mandible) และฟนลางดานขวา พบเพียงครึ่งเดียว
กระดูกนอง(Fibula) ดานซายและดานขวา ของโครงกระดูกมนุษยหมายเลข ๓ สวนกระโหลกศีรษะของโครงกระดูกหมายเลข ๔
โครงกระดูกมนุษยหมายเลข ๕ พบวามีการฝง ภาชนะดินเผาเปนสิ่งของอุทิศใหแกผูเสียชีวิต และบริเวณดานขางของขาขวาพบโครงกระดูก สุนัขที่มีการฝงรวมกับภาชนะดินเผา
โครงกระดูกมนุษยหมายเลข ๒ พบวามีสวนตางๆของ โครงกระดูกปะปนกัน ฝงรวมกับกลุมภาชนะดินเผา
การฝงโครงกระดูกสุนัขรวมกับภาชนะดินเผา บริเวณดานขางของโครงกระดูกมนุษยหมายเลข ๕
78
โบราณวัตถุที่พบจากหลุมขุดคน TP.I และ TP.IV โบราณวัตถุสวนใหญเปนชิ้นสวนของภาชนะดินเผาแบบเนื้อดิน (earthenware) ซึ่งเปนชิ้นสวนของ ภาชนะดินเผาที่มักพบในแหลงโบราณคดียุคกอนประวัติศาสตรตอนปลาย สมัยเหล็กและสมัยทวารวดี และ พบชิ้นสวนภาชนะดินเผาประเภทเนื้อแกรง (stoneware) แบบเครื่องถวยเขมรและเนื้อกระเบื้อง (Porcelain) แบบเครื่องถวยจีนกําหนดอายุสมัยราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๘ นอกจากนี้เปนโบราณวัตถุประเภทเครื่องมือ เครื่องใชในชีวิตประจําวัน ไดแก ขวานหินขัด ชิ้นสวนแทงหินบด ลูกกระสุนดินเผา แวดินเผา ตะคันดินเผา เบี้ยดินเผา ชิ้นสวนแทงดินเผาที่ใชขึ้นรูปและตกแตงลวดลายภาชนะดินเผาแมพิมพดินเผา ตราประทับดินเผา รูปสิงหดินเผารูปวัวมีหนอก ชิ้นสวนตุกตาดินเผาเครื่องมือเหล็กแบบชะแลงมีบอง ชิ้นสวนเครื่องมือเหล็ก แผน ตะกั่วขดเปนวงซอนกันกอนตะกั่วขนาดเล็กรูปทรงกลมแบน หวงโลหะ และเครื่องประดับ ไดแก ตุมหูทําจาก ตะกั่ว ตุมหูทําจากหินคารเนเลียนชิ้นสวนกําไล แหวนและกระพรวนทําจากสําริด ชิ้นสวนกําไลหินทําจากหิน ตระกูลหยก ลูกปดหินกึ่งอัญมณี จําพวกหินคารเนเลียนหินอะเกตและหินควอรทซ ลูกปดดินเผาและลูกปดแก วสีตางๆ เครื่องประดับ?ทําจากดินเผา และชิ้นสวนหวีงาชาง เปนตน หลักฐานทางโบราณคดีที่พบจากหลุมขุดคนทั้งสองหลุมนี้แสดงถึงความสําคัญของพื้นที่เกือบกึ่งกลางเมืองของ พื้นที่”เมืองใน”ของโบราณศรีเทพ ซึ่งมีลักษณะเปนพื้นที่ลูกคลื่นลอนลาดมีแหลงน้ําอยูใกลเคียงวา กอนหนา การสรางเมืองโบราณศรีเ ทพ ไดมีก ารเขามาใชพื้ นที่ของกลุม คนในสัง คมหมูบานเกษตรกรรมที่รูจัก การ เพาะปลูกเลี้ยงสัตว ลาสัตวบกและสัตวน้ําในบางฤดูก าล การทอผา การทําภาชนะดิ นเผา การทําเครื่องมือ เครื่องใชและเครื่องประดับจากโลหะและแกว มีความเชื่อเรื่องการประกอบพิธีกรรมการฝงศพ โดยฝงสิ่งของ เครื่องใช เครื่องประดับและสัตวเพื่อเปนการอุทิศใหแกผูเสียชีวิตในยุคกอนประวัติศาสตรตอนปลาย สมัยเหล็ก เมื่อราว ๑,๗๐๐ ปมาแลว มีการแลกเปลี่ยนสินคากับชุมชนทั้งที่อยูใกลเคียงและดินแดนที่ไกลออกไป จนเมื่อ เขาสูชวงระยะเวลาเมื่อราว ๑,๒๐๐-๑,๓๐๐ ปมาแลว มีการใชพื้นที่บางบริเวณกอเรียงอิฐเปน แนวพื้นของ สิ่งกอสราง(ยังไมทราบหนาที่การใชงาน) และใชพื้นที่เปนแหลงที่อยูอาศัยรวมสมัยกับเมืองโบราณศรีเทพใน วัฒนธรรมทวารวดีและวัฒนธรรมเขมรโบราณ กอนถูกทิ้งรางไปในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘
โบราณวัตถุทําจากตะกั่ว พบจากหลุมขุดคน TP.I
ตัวอยางชิ้นสวนภาชนะดินเผาพบจากหลุมขุดคน TP.IและTP.IV ดินเผารูปวัวมีหนอก ชิ้นสวนกําไลหิน ทําจากหินตระกูลหยก
ชิ้นสวนตุมหู ทําจากหินคารเนเลียน
เครื่องประดับทําจากหินอะเกต ตัวอยางตะคันดินเผาพบจากหลุมขุดคน TP.IและTP.IV
ตราประทับดินเผารูปสิงห
79
ชิ้นสวนหวีงาชาง
วัดรางกลางกรุงเทพฯและวัดนอยทองอยู (ราง): ผลการสํารวจ และการขุดตรวจทางโบราณคดี นางจิรนันท คอนเซพซิออน นักโบราณคดีชาํ นาญการ กลุมวิจัยและพัฒนางานโบราณคดี กองโบราณคดี ที่มาของโครงการ โครงการสํารวจวัดในกรุงเทพฯ เปนโครงการที่ดําเนินการโดยใชงบประมาณจากโครงการสํารวจแหลง โบราณคดี ปงบประมาณพ.ศ. ๒๕๕๙ – ๒๕๖๐ โดยมีระยะเวลาดํา เนินการสํา รวจในเดือ นตุลาคม ๒๕๕๙ – พฤษภาคม ๒๕๖๐ รวม ๒๒๐ วัด สําหรับเปาหมายวัดที่ดําเนินการสํารวจตามโครงการฯ เปนวัดในเขตฝงตะวันตก และตะวันออกของแมน้ําเจาพระยาที่สว นใหญกรมศิลปากรยังไมมีขอมูลในการสํา รวจมากอนโดยมีประวัติการ จัดตั้งวัดตั้งแตปพ.ศ. ๒๑๐๘ – ๒๔๗๐ การดําเนินการสํารวจครั้งนี้มีเปาหมายเพื่อการจัดทําฐานขอมูลทางดาน วิชาการ รวมทั้งมีการประเมินความเปนไปไดเบื้องตนสําหรับการดําเนินการโครงการที่สืบเนื่อง เชน การสํารวจเก็บ ขอมูลทางวิชาการโบราณคดีในเชิงลึก , การบูรณะหรือการอนุรักษ เปนตน สําหรับการนําเสนอในครั้งนี้ ไดคัดเลือกเฉพาะแหลงโบราณคดีที่เปนวัดรางในกรุงเทพฯ โดยการสํารวจได ตรวจสอบสืบคนขอมูลประวัติความเปนมา สิ่งสําคัญและสภาพของวัดในปจจุบนั ซึง่ ผลจากการสํารวจวัดสวนใหญมี การเปลี่ยนแปลงสภาพไปแลว เกือบทั้งสิ้น หลักฐานที่ยังคงเหลืออยูอาจปรากฏในรูปภาพเกา อยูบาง หรือยังคง หลงเหลือหลักฐานเกี่ยวกับโบราณวัตถุ หรือซากของโบราณสถานอยูบางแตมีการซอมแซม ตอเติม สวนการขุดตรวจทางโบราณคดีวัดนอยทองอยู (ราง) เปนโครงการที่เกิดขึ้นเนื่องมาจากโครงการกอสรา ง อาคารเอนกประสงคขนาด ๓ ชั้นของวัดดุสิดารามวรวิหาร ( ซึ่งเปนวัดทีไ่ ดรับพระราชโองการใหดูแลวัดภุมรินราช ปกษีและวัดนอยทองอยูซึ่งถูกยุบรวมมาตั้งแต พ.ศ. ๒๔๕๖ ) เพื่อใชเปนสถานที่ปฏิบัติธรรมในเขตพื้นที่วัดนอยทอง อยู จากการตรวจสอบหลักฐานทางโบราณคดีทางดานเอกสาร แผนที่ และภาพถายเกา พบวา บริเวณกอสรา ง อาคารอเนกประสงคดังกลา วมีตําแหนงของสิ่ง กอสรางของวัดนอยทองอยูป รากฏอยูใ นบริเวณที่จะกอสรา ง คณะกรรมการวิช าการเพื่อการอนุรักษโบราณสถาน จึงไดมีการประชุมเมื่อ วันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๘ ณ หองประชุมกองโบราณคดี อาคารกรมศิลปากร เทเวศร มีมติใหดําเนินการขุดตรวจทางโบราณคดี เพื่อนําผลการ ขุดตรวจมาประกอบการพิจารณาอนุญาตอีกครั้ง ขอมูลหลักฐานเกี่ยวกับประวัติวัดนอยทองอยูนั้นไมปรากฏอยางแนชัด หลักฐานที่เปนสิ่ง กอสรา งที่ ยังคงปรากฏอยูใหเห็นบนผิวดิน คือ เจดียยอดดานขางอาคารโรงเรียนมัธยมวัดดุสิดาราม กรมศิลปากรไดประกาศ ขึ้นทะเบียนโบราณสถานแลวเมื่อป พ.ศ.๒๕๔๓ ภาพเจดียยอดซึ่งปจจุบันสวนยอดหักพังจนหมดแลวนั้นปรากฏ ภาพถายที่สมบูรณในงานวิจัยของนายคารล ดอหริ่ง สถาปนิกชาวเยอรมันซึ่งเขามารับราชการในประเทศไทย ในชวงรัชกาลที่ ๕ – ๗ ซึ่งนอกจากภาพเจดียยอด ดังกลาวยังมีภาพเจดียอีก ๒ องคภายในวัดนอยทองอยู นอกจากนี้ ในแผนที่บริเวณกรุงเทพฯ ป พ.ศ.๒๔๘๔ ยังแสดงตําแหนงและรายละเอียดสิ่งกอสราง ตางๆภายในวัดนอยทองอยูที่สมบูรณกอนการตัดถนนและสรางสะพานปนเกลาในป พ.ศ.๒๕๑๖ โดยพื้นที่ของ วัดนอยทองอยู (ราง) ที่ยังคงเหลืออยู มีเพียงดานตะวันตกซึ่งมีขอบเขตติดกับคลองวัดดุสิดารามในพื้นที่ประมาณ ๑ ไร ๓ งานซึ่งเดิมทางวัดดุสิดารามเคยใหบริษัทกัปตันเชาดําเนินการ ปจจุบันเมื่อหมดสัญญาเชาทางวัดดุสิดารามได ใชเปนที่จอดรถนักทองเที่ยวและอาคารเอนกประสงค สําหรับ การขุดตรวจทางโบราณคดีวัดนอยทองอยู (ราง) กรมศิลปากร โดยกองโบราณคดีไดกํา หนด 80
แนวทางการขุดเฉพาะจุดที่จําเปน และคาดวาจะพบหลักฐานซากโบราณสถานใตดินโดยใชหลักฐานแผนที่บริเวณ กรุงเทพฯ ป พ.ศ.๒๔๘๔ กําหนดแนวการขุดเปนหลุมขนาดยาว ๒ หลุม โดยใหมีแนวที่ตัดกัน (ลึกประมาณ ๒ เมตร) และหลุมขุดทดสอบ ๔ หลุม เพื่อใหไดห ลักฐานในการกํา หนดอายุการกอสรา งวัด หลักฐานที่ใชในการ สันนิษฐานเกี่ยวกับลักษณะความเปนอยูของชุมชนและวัดในสมัยนั้น และประการสําคัญคือ เพื่อใหไดหลักฐานที่ใช ประกอบการสันนิษฐานถึงสภาพพื้นที่เดิมของวัดนอยทองอยู ประกอบการพิจารณาการขออนุญาตกอสรางอาคาร เอนกประสงคตอไป
วัดรางที่ทําการสํารวจ 1.วัดกระดังงา (ราง) 2. วัดอังกุลา (ราง) 3. วัดตะเข – ปูเถร 4. วัดโคกโพธิ์ราม วัดรางที่ไดขอมูลจากการสัมภาษณ 1.วัดโคกเจดีย (ราง) 2. วัดมะขาม (ราง) 3. วัดโคกน้ําผึ้ง (ราง) 4. วัดหลวงเภสัช (ราง) 5. วัดประวาส (ราง)
5. วัดปาเชิงเลน 6. วัดสวนสวรรค (ราง) 7. วัดสุวรรณคีรี (ราง) 8. วัดใหมวิเชียร (ราง)
9. วัดบางบอน (ราง) 10. วัดสี่บาท (ราง) 11. วัดนาค (ราง) 12. วัดพระยาไกร (ราง)
6. วัดปา (ราง) 7. วัดชางนอก (ราง) 8. วัดชางใน (ราง) 9. วัดเจาหรือวัดนก (ราง) 10. วัดหนาพระธาตุ (ราง)
11. วัดไกเตี้ย (ราง) 12. วัดเงิน (ราง) 13. วัดทอง (ราง)
81
แผนผังแสดงพื้นทีโ่ ครงการขุดตรวจทางโบราณคดีวัดนอยทองอยู (ราง)
82
อาศรมฤาษีที่ภูเขากัจโตน วสันต เทพสุริยานนท๑ ความนํา กัจโตน เปนชื่อภูเขาที่ปรากฏอยูในจารึกปลายบัด ๒ ดานที่ ๑ ดังความวา “...เมื่อ พ.ศ. ๑๔๖๘ เดือนยี่ วันอาทิตย พระเจาอีศานวรมันที่ ๒ มีพระบรมราชโองการไปถึง ศรีประถิวีนทรมัน ศรีมหิธวรมัน ศรีลักษมี ปติวรมัน ราชนิกุลทั้งหมด ศรีราเชนทราธิปติวรมัน ศรีนฤปตีนทรวรมัน มหามนตรีทุกคน และอาจารยทั้ง ๕ ใหแจง วาบอมฤตมาทําจารึกประกาศไวที่ภูเขากัจโตน...”๒ เนื้อความจากการอาน-แปลจารึกดังกลาวทําใหทราบวา “กัจโตน” เปนชื่อเดิมของเขาปลายบัดใน ปจจุบัน ซึ่งหางจากเขาพนมรุงลงมาทางทิศใตประมาณ ๕ กิโลเมตร ในเขตพื้นที่ตําบลจรเขมาก อําเภอประโคนชัย นับเปนภูเขาไฟในจังหวัดบุรีรัมยอีกลูกหนึ่งที่ดับสนิทแลว ลักษณะทอดตัวยาวตามแนวทิศตะวันออก-ทิศตะวันตก ประมาณ ๓ กิโลเมตร และกวางตามแนวทิศเหนือ-ทิศใต ประมาณ ๒ กิโลเมตร มียอดเขาสูงสุดจากระดับน้ําทะเล ปานกลางประมาณ ๒๘๙ เมตรบริเวณกึ่งกลางเขามีป ากปลองภูเขาไฟเปนรูปวงรี แนวขอบกวางตามแนวทิศ ตะวันออก-ทิศตะวันตก ประมาณ ๓๐๐ เมตร และลาดเอียงลงตามยาวแนวทิศหนือ-ทิศใต ประมาณ ๓๕๐ เมตร “กัจโตน” เปนชื่อที่ยังไมทราบความหมาย สว น “ปลายบัด” ซึ่งเปนชื่อเรียกในปจจุบัน แปล ความหมายตามสําเนียงการออกเสียงในภาษาเขมรทองถิ่นไดวา “ยอดหาย” หรือ “ไมมียอด” ซึ่งนาจะเปนการ เรียกตามลักษณะของภูเขาที่มองเห็นไดจากหมูบานโคกเมืองไปยังเขาปลายบัด ที่จะเห็นสว นยอดเขาหายไปไมมี ลักษณะสอบแหลมอยางที่เห็นทั่วไป แตกลับมีลักษณะราบเรียบคลา ยถูกตัดออกไป ซึ่งพบวาเกิดจากการกระทํา ของคนโบราณในการปรับพื้นที่ยอดเขาปลายบัดใหราบเรียบเพื่อใชพื้นที่ในการกอสรางปราสาทปลายบัด ๑ บน ยอดเขาทางทิศตะวันออกนั่นเอง จารึกเขาปลายบัด จากการดําเนินงานทางโบราณคดีที่เขาปลายบัดในอดีตที่ผานมา ไดพบจารึกจากเขาปลายบัด จํานวน ๒ หลัก ไดแก จารึกปลายบัด ๑ และจารึกปลายบัด ๒ โดยใหชื่อและหมายเลขตามชื่อปราสาทปลายบัด ๑ และปราสาทปลายบัด ๒ ตามประวัติการพบจารึกดังกลาว จารึกปลายบัด ๑ ตามประวัติกลา วว า หอสมุดแหงชาติไ ดรับแจงจาก นางสาวทัศนีย พิกุล หัวหนาพิพิธภัณฑสถานแหงชาติ พิมาย (ขณะนั้น) และนายสุรพงษ พิลาวุธ ศึกษาธิการอํา เภอบานกรวด จังหวัด บุรีรัมย เมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๔๒ วา ไดพบจารึกหลักใหม เก็บ รักษาไวที่วัดพระสบาย อํา เภอบานกรวด หอสมุดแหงชาติจึงไดมอบหมายใหนักภาษาโบราณเดินทางไปทํา สําเนาจารึกเมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๔๒ และ ตอมาในป พ.ศ. ๒๕๔๓ อุทยานประวัติศ าสตรพนมรุงไดไปขอรับมอบจารึกหลักนี้มาและสงไปเก็บรักษาไวใ น พิพิธภัณฑสถานแหงชาติ พิมาย จนปจจุบัน ลักษณะเปนจารึกบนกรอบประตูหินทราย กวา งประมาณ ๕๒.๕ ๑ ๒
นักโบราณคดีชาํ นาญการ อุทยานประวัติศาสตรพนมรุง สํานักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา ชะเอม แกวคลาย. “จารึกปลายบัด๒” ศิลปากร. ปที่ ๔๔ ฉบับที่ ๒ (พฤษภาคม–มิถุนายน ๒๕๔๔) หนา ๘๙. ๘๓
เซนติเมตร หนาประมาณ ๒๑.๕ เซนติเมตร สูงประมาณ ๑๓๙ เซนติเมตร เปนอักษรขอมโบราณ ภาษาเขมร อานแปลความไดวา๓ มหาศักราช ๘๔๓ ขึ้น ๑๐ ค่ํา เดือน ๓ วันพุธ มีพระบรมราชโองการของพระบาทกัมรเตงอัญ พระเจาศรีหรษวรมัน(ที๑่ ) ใหโขลญพลไปทําการบูชาพระกัมรเตงชะคัตวิศ วรูป ที่แ ทนบูช า .......... พระ อาจารยทั้ง ๗ สาขา พระองคเสด็จไปยังอาศรม เพื่อสถาปนาพระอาจารยวิษณุเทวะ ที่วิหาร... จารึกปลายบัด ๒ ตามประวัติกลาววา นายพูน เลื่อยคลัง ราษฎรหมูบา นยายแยม ตําบลถาวร อํา เภอละหานทราย จังหวัด บุรีรัมย นํา มาจากปราสาทปลายบัดเมื่อ ครั้งมีการขุดทําลายและมอบใหกลับกรม ศิล ปากร เมื่อ เดือนมีนาคม ๑๕๑๓ ลักษณะจารึกเปนรูปใบเสมา อักษรขอมโบราณ ภาษาเขมรและสันสกฤต ปจจุบันเก็บรักษาที่พิพิธภัณฑสถานแหงชาติมหาวีรวงศ มีขอความ ๒ ดาน อาน-แปลความ สรุปไดดังนี๔้ ๑.ใหอภัยแกพระกัมเสตงอัญแหงกัจ โตนคนกอ นที่สละเพศคฤหัส ถออกถือบวช ไมตองอยูใ น ปกครองของโขลญวิษัย ใหทา นทํา หนาที่ป ฏิบัติเทวาจารยอยา งสมบูรณ และไมตองใหทา น รับภาระเรื่องหนี้ที่มีอยูในการสรางลิงคปุระ ๒.สาปแชงผูทําลายศาสนสถานและลบลางพระบรมราชโองการ ใหตกนรกตราบเทาที่พระจันทร และอาทิตยยังมีอยู ๓.มีพระบรมราชโองการกําหนดหนาที่ใหผูที่อยูในภายหลังพึงปฏิบัติตอพระราชาผูสวรรคตแลว พรอมทั้งวิธีปฏิบัติและวัตถุสิ่งของพึงถวายแกพระราชา ๔.บรมราชโองการอวยพรแกผูที่ทําความดี ชว ยอนุรักษศ าสนสถาน ชว ยรักษาพระบรมราช โองการ ชวยสงเสริมการทําบุญกุศลใหเจริญขึ้น บุคคลผูนั้นจะไดรับสวนบุญครึ่งหนึ่งดวย ขอความจากการอา น-แปล จารึกปลายบัด ทั้ง ๒ หลักดังกลา วมีสาระสําคัญที่นา สนใจหลาย ประการ ซึ่งไดแก การบอกใหทราบวาบนภูเขากัจโตนหรือเขาปลายบัดแหงนี้มีการสราง “ลิงคปุระ” มีการสราง แทนบูชาเพื่อประดิษฐาน “พระกัมรเตงชะคัตวิศวรูป” มีการสราง “อาศรม” อันเปนที่อยูของพระอาจารยทั้ง ๗ สาขา จึงเปนที่นาสนใจศึกษาและสืบคนหาวาสิ่งกอสรางเหลานี้อยูบริเวณใดบนเขาปลายบัด โบราณสถานบนเขาปลายบัด จากการดํ า เนิน งานทางโบราณคดีใ นพื้ นที่ เขาปลายบัด ที่ผ า นมาจนถึง ปจ จุบั น ได พบกลุ ม โบราณสถานอยางนอย ๕ แหง ดังนี้ ๑. ปราสาทปลายบัด ๑ ตั้งอยูบนยอดเนินดานทิศตะวันออกของเขาปลายบัด มีการปรับแตงเนิน เขาใหราบเพื่อสรางปราสาท ซึ่งประกอบดวยปราสาทประธาน มีลักษณะสวนฐานอาคารสรางจากศิลาแลงรูป สี่เหลี่ยมผืนผา ตัวปราสาทสรางดวยหินทรายปนอิฐและหินภูเขาไฟ สวนยอดใชอิฐเปนวัส ดุสํา คัญแตพังทลายลง หมดแลว ดานหนาทางทิศตะวันออกมีวิหารรูปสี่เหลี่ยมผืนผาสรางดวยศิลาแลงปนอิฐ ฝงตรงขามพบฐานอาคารรูป ๓ ๔
ชะเอม แกวคลาย. จารึกปราสาทปลายบัด. เอกสารอัดสําเนา, ๒๕๔๒ เรื่องเดียวกัน, ๒๕๔๔. หนา ๙๑ ๘๔
สี่เหลี่ยมจัตุรัสสรางดวยศิลาแลง ชายเนินดานทิศตะวันออกหางไปประมาณ ๑๕๐ เมตร เปนบารายประจํา ศาสน สถาน รูปสี่เหลี่ยมผืนผาขนาดประมาณ ๔๐×๖๐ เมตร จากการอาน-แปล จารึกปลายบัด ๑ ความวา “...ใหโขลญพลไปทําการบูชาพระกัมรเตงชะคัตวิศว รูป ที่แทนบูชา...” ทําใหสันนิษฐานวา แทนบูชาพระกัมรเตงชะคัตวิศวรูปดังกลาวนาจะหมายถึงแทนบูชาทีป่ ราสาท ปลายบัด ๑ ซึ่งจะสอดคลองกับทับหลังรูปพระอินทรทรงชางเอราวัณ ขอบดานบนปรากฏรูปโยคีอยูภายในซุงเรือน แกว๕ ซึ่งเปนทับหลังประจําโคปุระทิศตะวันออกและโยคีก็เปนสัญลักษณสาวกแหงองคพระศิวะ ๒. ปราสาทปลายบัด ๒ ตั้งอยูบนยอดเนินดานทิศตะวันตกของเขาปลายบัด ปรากฏรองรอยหลุม เปนจํานวนมากที่เกิดจากการขุดหาโบราณวัตถุ ลักษณะแผนผังเปนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาดดา นละประมาณ ๔๕ เมตร ซึ่งเปนกํา แพงแกวที่ส รา งดว ยศิล าแลงและหินภูเขาไฟ สว นปราสาทประธานอยูภายในคอ นมาทางทิศ ตะวั น ตก เป น ปราสาทอิ ฐ หลัง เดี ยวตั้ง อยู บ นฐานศิ ล าแลง สภาพทรุ ดโทรมมาก เคยมี ป ระวั ติ ก ารขุ ด พบ ประติมากรรมพระโพธิสัตวสําริดจํานวนมาก รวมไปถึงพระพุทธรูปนาคปรกหินทรายและประติมากรรมรูปอืน่ ๆ ซึง่ นักวิช าการหลายทา นเชื่อวา เปน ประติมากรรมที่เคลื่อนยายมาจากแหลงอื่น เนื่องจากรูปแบบศิลปกรรมของ ประติมากรรมกลุมดังกลาวกําหนดอายุอยูในชวงศิลปะเขมรกอนเมืองพระนคร สวนปราสาทปลายบัด ๒ กําหนด อายุอยูในสมัยเขมรเมืองพระนคร๖ จากการอาน-แปล จารึปปลายบัด ๒ ความวา “ใหอภัยแกพระกัมเสตงอัญแหงกัจโตนคนกอนที่ สละเพศคฤหัสถออกถือบวช ไมตองอยูในปกครองของโขลญวิษัย ใหทานทําหนาที่ปฏิบัติเทวาจารยอยางสมบูรณ และไมตองใหทานรับภาระเรื่องหนี้ที่มีอยูในการสรา งลิงคปุระ” จึงสันนิษฐานในเบื้องตนวา “ลิงคปุระ” ในที่นี้ นาจะหมายถึงปราสาทปลายบัด ๒ ที่พระกัมเสตงอัญแหงกัจโตนคนกอนเปนผูสราง ตามความที่ปรากฏในจารึก ๓. แนวฐานหินรูปสี่เหลี่ยม ลักษณะเปนแนวฐานของสิ่งกอสรางรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดดานละ ๑๖ เมตร เรียงตัวตามแนวทิศเหนือ-ใต จํานวน ๑๒ หลัง มีระยะหางระหวางแตละหลังประมาณ ๒๑ เมตร จาก การสํารวจภาคพื้นดินพบวาเปนการนําเอาหินภูเขาไฟธรรมชาติมากองเรียงกันเปนรูปสี่เหลี่ยมสูงจากพื้นโดยรอบ ประมาณ ๑.๒๐ เมตร ขางๆดานทิศ ตะวันตกของฐานหินทุกหลังมีการนําหินธรรมชาติมาเรียงเปนแนวกรอบรูป สี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดดานละ ๓๕ เมตร เรียงคูขนานกันไป บางหลังมีรองรอยการขุดหาโบราณวัตถุ จากการอานแปลจารึกปลายบัด ๑ ความวา “...ใหโขลญพลไปทํา การบูชาพระกัมรเตงชะคัต วิศวรูป ที่แทนบูชา .......... พระอาจารยทั้ง ๗ สาขา พระองคเสด็จไปยังอาศรม เพื่อสถาปนาพระอาจารยวิษณุเทวะ ที่วิหาร...” จึงสันนิษฐานในเบื้องตนวา รองรอยแนวกรอบหินรูปสี่เหลี่ยมดังกลาวนา จะเปนแนวเขตพื้นที่อยูอาศัย ของคนโบราณบนเขาปลายบัด หรืออาจจะเปนอาศรมของนักบวช เชน พระอาจารยทั้ง ๗ สาขา ซึ่งตามคติใน ศาสนาฮินดูไ ศวะนิกาย พระอาจารยทั้ง ๗ นา จะหมายถึง ฤาษี ๗ ตน อันเกิดจากการบันดาลของพระศิว ะ ประกอบดวย ฤาษีมรีจิ ฤาษีอัตริ ฤาษีอังคีรส ฤาษีปุจหะ ฤาษีกระตุ ฤาษีปุจลัสตะยะ ฤาษีวิสิษฐิ๗และแทนฐานหิน ๕
กมลวรรณ นิธินันทน. รายงานโครงการขุดแตงและออกแบบเพื่อการบูรณะปราสาทปลายบัด๑ ตําบลจรเขมาก อําเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย. กรมศิลปากร จัดพิมพ. ๒๕๕๙, หนา ๗๒-๗๔. ๖ ศิริพจน เหลามานะเจริญ. ประติมากรรมสําริดแบบประโคนชัย : หลักฐานศิลปกรรมเริ่มแรกของสมัยประวัติศาสตรในที่ราบสูง โคราช. วิทยานิพนธตามหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตรศิลปะ ภาควิชาประวัติศาสตรศิลปะ บัณฑิต วิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร ปการศึกษา ๒๕๔๖, หนา ๓๘. ๗ http://www.ongtep.com/detail.php?id=254 สืบคนเมื่อ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๐ ๘๕
รูปสี่เหลี่ยมจํานวน ๑๒ หลังดังกลาวนาจะเปนแทนบูชาหรือแทนประดิษฐานรูปเคารพตางๆ ดังความในจารึกปลาย บัด ๑ ก็เปนได ๔.ปากปลองภูเขาไฟปลายบัดลักษณะเปนรูปวงรี กวางตามแนวตะวันออก-ตะวันตก ประมาณ ๓๐๐ เมตร ยาวลาดเอียงลงตามแนวเหนือ-ใต ประมาณ ๓๕๐ เมตร ถูกปรับแตงใหเปนอางเก็บน้ําโบราณดว ยการ นําเอาหินภูเขาไฟปนดินมาสรางเปนคันเขื่อนทางดานทิศใตของปากปลองภูเขาไฟเปนแนวยาวประมาณ ๔๐๐ เมตร กวางประมาณ ๑๒ เมตร เพื่อกักเก็บ น้ําไวและเมื่อระดับน้ําสูงกวา ระดับที่กักเก็บไดจะเออลนคันเขื่อนเปน น้ําตกหวยลึกลงสูอางเก็บน้ําหวยลึกบริเวณเชิงเขาปลายบัดดานทิศตะวันออกเฉียงใต ๕.อางเก็บน้ําหวยลึก เปนอางเก็บน้ําโบราณที่สรางคันเขื่อนเชื่อมระหวางเนินเขา ๒ เนินทางดา น ทิศเหนือและทางดานทิศใตเขาดวยกัน มีความยาวประมาณ ๔๔๐ เมตร บริเวณคันเขื่อนจะมีชองทางน้ํา ลน ไหล ออกไปลงลําหวยตะแบงซึ่งมีทางน้ําไหลไปลงบารายเมืองต่ําบริเวณมุมดานทิศตะวันออกเฉียงใตของบาราย นับเปน ระบบชลประทานโบราณที่สําคัญในบริเวณนี้ สรุป ภูเขากัจโตนเปนชื่อเดิมของภูเขาปลายบัด ซึ่งปรากฏชื่อในจารึกปลายบัด ๒ ปจจุบันตั้งอยูใ นพืน้ ที่ ตํา บลจรเขมาก อําเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมยภ ายในบริเวณภูเขาแหงนี้มีสิ่งกอสรางตางๆ จํานวนมาก ทั้ง ปราสาทปลายบัด ๑ บนยอดเขาทางทิศตะวันออก ปราสาทปลายบัด ๒ บนยอดเขาทางทิศ ตะวันตก ฐานหินรูป สี่เหลี่ยม จํานวน ๑๒ หลัง เรียงตัวยาวตามแนวทิศเหนือ-ทิศใต ปากปลองภูเขาไฟที่มีการปรับแตงเปนอา งเก็บน้ํา ขนาดใหญบนภูเขาและไหลลนลงมาสูอางเก็บน้ําบริเวณเชิงเขาดานทิศตะวันออก กอนจะไหลลนลงสูลาํ หวยตะแบง ซึ่งเปนลําหวยธรรมชาติที่ไหลเชื่อมลงสูบารายเมืองต่ําและทองทุงเกษตรกรรม เขาปลายบัดในชวงพุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๖ จึงเปนหนึ่งในศูนยกลางศาสนาและความเชื่อในลัทธิ ไศวะนิกาย บนภูเขามีการอยูอาศัยของนักบวชในศาสนาเพื่อปฏิบัติเทวาจารย อยา งเชน พระกัมเสตงอัญแหงกัจ โตนคนกอนที่สละเพศคฤหัสถออกถือบวช หรือ อาจารยทั้ง ๗ สาขา ซึ่งตางตองมีอาศรมหรือที่อยูอาศัยบนเขา ปลายบัดแหงนี้ นอกเหนือจากการมีอยูของลิงคปุระและแทนบูชาพระกัมรเตงชะคัตวิศวรูป ดังปรากฏความในจารึก ทั้ง ๒ หลัก และหลักฐานสิ่งกอตางๆ บนเขาปลายบัดที่พบเห็นไดในปจจุบัน บรรณานุกรม กมลวรรณ นิธินันทน. รายงานโครงการขุดแตงและออกแบบเพื่อการบูรณะปราสาทปลายบัด๑ ตําบลจรเขมาก อําเภอประโคนชัย จังหวัดบุรรี ัมย. กรมศิลปากร จัดพิมพ. ๒๕๕๙. ชะเอม แกวคลาย. จารึกปราสาทปลายบัด. เอกสารอัดสําเนา, ๒๕๔๒ ชะเอม แกวคลาย. “จารึกปลายบัด๒” ศิลปากร. ปที่ ๔๔ ฉบับที่ ๒ พฤษภาคม–มิถุนายน ๒๕๔๔. ศิรพิ จน เหลามานะเจริญ. ประติมากรรมสําริดแบบประโคนชัย: หลักฐานศิลปกรรมเริ่มแรกของสมัยประวัตศิ าสตร ในที่ราบสูงโคราช. วิทยานิพนธตามหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัตศิ าสตร ศิลปะ ภาควิชาประวัตศิ าสตรศิลปะ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร ปการศึกษา ๒๕๔๖. ๘๖
แผนทีแ่ สดงตําแหนงที่ตั้งภูเขาปลาย บัด ทางดานทิศใตของเขาพนมรุง และระบบชลประทานที่เชื่อมตอกัน ระหวางเขาพนมรุง เขาปลายบัดและ บารายเมืองต่าํ (แผนที่มาตราสวน ๑:๕๐,๐๐๐ WGS ๘๔ อําเภอละหานทราย พิมพครั้งที่ 1-RTSD ลําดับชุด L7018 ระวาง 5537 I )
๘๗
โครงกระดูกมนุษยจากวัดวิหารทอง เมืองพิษณุโลก นางสาวนาตยา ภูศรี นักโบราณคดีชํานาญการ สํานักศิลปากรที่ ๖ สุโขทัย
วัดวิหารทอง เปนวัดโบราณที่สันนิษฐานวาสรางขึ้นในสมัยอยุธยาตอนตน ตั้งอยูบนริมฝงแมน้ํานาน ดานตะวันตก กลางเมืองพิษณุโลก กรมศิลปากรไดประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานวัดวิหารทองเปนสวนหนึ่ง ของพระราชวัง จันทน เมื่อพ.ศ. ๒๕๓๗ และสํานัก ศิล ปากรที่ ๖ สุโ ขทัย ไดดําเนินการขุดคนขุดแตง ทาง โบราณคดีในพื้นที่วัดวิหารทองตั้งแตพ.ศ. ๒๕๓๙ เปนตนมา
ภาพถายทางอากาศเมืองโบราณพิษณุโลกแสดงตําแหนงที่ตั้งวัดวิหารทอง ปลายป ๒๕๕๙ สํานักศิลปากรที่ ๖ สุโขทัย ไดรับงบประมาณโครงการอนุรักษและพัฒนาพระราชวัง จันทน กิ จ กรรมขุด คนขุ ดแต ง ทางโบราณคดีพื้น ที่ด านหนา วัดวิ ห ารทอง โดยเริ่ม ดําเนิน การตั้ง แตเ ดือ น พฤศจิกายน ๒๕๕๙ – มีนาคม ๒๕๖๐ การขุดคนพื้นที่ดานหนาวัดวิหารทองในระยะแรก ไดพบหลักฐานเปน โครงกระดูกมนุษย จํานวน ๒ โครง ฝงอยูนอกกําแพงแกววัดวิหารทอง บริเวณดานทิศตะวันออก การคนพบ ดังกลาวเปนสิ่งที่อยูเหนือความคาดหมาย เนื่องจากโครงกระดูกมนุษยนั้นเปนหลักฐานทางโบราณคดีที่พบได นอยมากสําหรับแหลงโบราณคดียุคประวัติศาสตร ตั้งแตสมัยสุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร บทความเรื่องนี้ เปนการนําเสนอขอมูลหลักฐานเกี่ยวกับโครงกระดูกมนุษยทั้งสองโครงวาจะมีความสัมพันธกับวัดวิหารทอง หรือไม อยางไร วัดวิหารทอง : ความสําคัญ ชื่อวัดวิหารทอง ปรากฏครั้งแรกในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร รัชกาลที่ ๓ ฉบับเจาพระยา ทิพากรวงศ ซึ่งกลาวถึงการสรางพระวิหารวัดสระเกศเพื่อเปนที่ประดิษฐานพระอัษฐารส ที่ไดอัญเชิญไปจากวัด วิหารทอง เมืองพิษณุโลก ความวา
๘๘
“....สรางพระวิหารขึ้นไว พระอัษฐารส ศรีสุคตทศพลญาณบพิตร สูง ๒๑ ศอก ๑๔ นิ้ว ซึ่งไดมาแตวัด พิหารทอง เมืองพิษณุโลก.....”๑ พระอัษฐารส ที่ปรากฏชื่อในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร รัชกาลที่ ๓ นี้ เปนพระพุทธรูปยืน ขนาดใหญ หลอดวยสําริด แสดงปางประทานอภัย พระพักตรแบบศิลปะอยุธยา เม็ดพระศกขมวดเปนกน หอย พระรัศมีเปนเปลว ครองจีวรหมคลุม ปลายพระหัตถเสมอกัน กําหนดอายุอยูในสมัยอยุธยา พุทธศตวรรษ ที่ ๒๐-๒๑ พระนามของพระพุทธรูปองคนี้ในปจจุบัน คือ “พระอัฏฐารสศรีสุคตทศพลญาณบพิตร”๒ หรือ เรียกสั้นๆวา พระอัฏฐารส
พระอัฏฐารสศรีสุคตทศพลญาณบพิตร ปจจุบัน ประดิษฐานอยูท ี่วัดสระเกศ
นอกจากเอกสารไทยแลว หลักฐานเกี่ยวกับวัดวิหารทองยังปรากฏในหนังสือของชาวตางชาติ เรื่อง “Le Siam Ancient” เขียนโดย Lucien Fournereau ชาวฝรั่งเศส ตีพิมพเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๑ (ค.ศ.๑๙๐๘) ซึ่งไดแสดงภาพถายผังวัดวิหารทองไวดวย ผังวัดวิหารทอง ในหนังสือ “Le Siam Ancient” ซึ่งตีพิมพเมื่อพ.ศ.๒๔๕๑ (ค.ศ.๑๙๐๘)
ผลจากการขุดคนขุดแตงทางโบราณคดีในพื้นที่วัดวิหารทอง พบหลักฐานที่นาสนใจดังนี้ ๑. เจดียประธาน มีรูปแบบเปนพระปรางคสมัยอยุธยาตอนตน ขนาด ๒๗ x ๒๗ เมตร สภาพใน ปจจุบันเหลือเพียงสวนฐานเขียงและฐานบัวลูกฟกสวนเรือนธาตุและสวนยอดนั้นไมปรากฏแลว จากการขุดคน ขุดแตงเมื่อพ.ศ.๒๕๓๙ ไดพบชิ้นสวนของกลีบขนุนปูนปน บริเวณสวนพื้นรอบเจดียประธานนั้นพบวามีการปู พื้นดวยกระเบื้องเคลือบสีขาว เจดียประธานลอมรอบดวยระเบียงคต
๑
เจาพระยาทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี, พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร รัชกาลที่ ๓. (กรุงเทพ:โรงพิมพคุรุ สภา), ๒๕๔๗, ๑๔๔. ๒ ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการวาดวยการกอสรางอนุสาวรียแหงชาติและการจําลองพระพุทธรูปสําคัญ พ.ศ.๒๕๒๐. ๘๙
เจดียประธานวัดวิหารทอง
๒. วิหารพระอัฎฐารส เปนอาคารขนาดใหญ (วิหารขนาด ๙ หอง) ขนาดกวาง ๑๙.๕๐ เมตร ยาว ๔๙.๕๐ เมตร ตั้งอยูทางดานทิศตะวันออกเฉียงเหนือของพระปรางค อาคารหันหนาไปทางทิศตะวันออก มี มุขดานหนาและดานหลัง มีบันไดอยูทางดานทิศตะวันออก วิหารหลังนี้มีฐานชุกชีที่ไมกวางนัก แตคอนขางสูง จึงสันนิษฐานวานาจะเคยเปนที่ประดิษฐานพระอัฎฐารส ศรีสุคตทศพลญาณบพิตร ที่มีหลักฐานปรากฏในพระ ราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร รัชกาลที่ ๓
วิหารพระอัฏฐารส
๓. อุโบสถ ตั้งอยูทางดานทิศตะวันออกเฉียงใตของพระปรางค ลักษณะเปนอาคารกออิฐถือปูนขนาด ใหญ (ขนาด ๙ หอง) กวาง ๑๔ เมตร ยาว ๔๐ เมตร หลังคาเครื่องไมมุงกระเบื้อง มีมุขดานหนาและดานหลัง มีบันไดอยูทางดานหนาและดานขางมุขหลัง รูปแบบทางสถาปตยกรรมสันนิษฐานวามีลักษณะเหมือนกับวิหาร คือ เปนอาคารกออิฐถือปูน ใชผนังและเสารับน้ําหนักโครงสรางหลังคาที่เปนเครื่องไมมุงกระเบื้อง ผนังอาคาร มีการเจาะชองแสง จากการขุดแตง ไมพบรองรอยของฐานใบเสมา แตจ ากแผนผังในหนัง สือ “Le Siam Ancient” ของ Lucien Fournereau ซึ่งตีพิมพเมื่อพ.ศ.๒๔๕๑ ยังปรากฏรองรอยของตําแหนงใบเสมาทั้ง แปดทิศ๓
อุโบสถวัดวิหารทอง
๓
Lucien Fournereau, Le Siam Ancient (Paris : Ministere de L’Instruction Publique et des BeauxArts, 1908), Pl.XL. ๙๐
๔. ศาลา ตั้งอยูทางดานทิศตะวันออกของวิหารหนาพระปรางค เปนอาคารขนาดเล็ก ไมพบหลักฐาน ใดมากนักนอกจากฐานเขียง จึงไมอาจสันนิษฐานรูปแบบของอาคารไดชัดเจน ๕. กําแพงแกว จากการขุดแตงไดพบแนวกําแพงแกวดานทิศเหนือ ดานทิศตะวันตก และดานทิศ ตะวันออก สวนแนวกําแพงแกวดานทิศใตนั้นอยูใตแนวถนนขางศาลากลางจังหวัดพิษณุโลก โดยมีชองประตู ทางดานทิศตะวันออก ทิศตะวันตก และทิศเหนือ ๖. วิ ห ารดานทิศตะวัน ออก แมวา จากการขุดแต ง จะไมพ บหลั ก ฐานที่ชั ดเจนของวิห ารด านทิ ศ ตะวันออกที่อยูดานหนาพระปรางค แตการกอระเบียงคตลอมรอบเจดียประธาน ซึ่งเปนรูปแบบของการสราง วัดในสมัยอยุธยาตอนตนที่นิยมสรางพระปรางคไวเปนประธานหลักของวัดโดยมีวิหารอยูทางดานทิศตะวันออก สวนทายของวิหารจะเชื่อมตอกับระเบียงคตที่ลอมรอบพระปรางค เชน ที่วัดพุทไธสวรรย วัด ราชบูรณะ เปนตน ในพิษณุโลกพบรูปแบบแผนผังลักษณะเชนนี้ที่วัดอรัญญิก และวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหารก็ นาจะมีลักษณะเชนเดียวกันนี้ แตเนื่องจากการบูรณะปฏิสังขรณในสมัยหลังทําใหสวนระเบียงคตชั้นในของวัด พระศรีรัตนมหาธาตุถูกตัดขาดจากสวนทายของวิหารพระอัฎฐารศทางดานทิศตะวันออก ดังนั้นจึงสันนิษฐานวา ที่วัดวิหารทองนั้น เดิมนาจะมีวิหารอยูทางดานหนา (ทิศตะวันออก) ของพระปรางคดวย เมื่อพิจ ารณาหลัก ฐานจากการขุดคนขุดแตง วัดวิหารทอง ทั้งทางดานสถาปตยกรรมและหลัก ฐาน โบราณวัตถุ สันนิษฐานวาวัดวิห ารทองนาจะสรางขึ้นในชวงระหวางพุท ธศตวรรษที่ ๒๐ – ๒๑ เนื่องจาก สถาปตยกรรมแบบพระปรางคนั้นเปนรูปแบบที่ไดรับความนิยมในสมัยอยุธยาตอนตน นอกจากนี้หลักฐาน ทางดานเอกสารยังระบุถึงความสําคัญของเมืองพิษณุโลกในฐานะเมืองอุปราชสมัยอยุธยาตอนตน เปนเหตุใหมี การสงพระราชโอรสซึ่ง จะขึ้นครองราชยต อไป มาครองเมืองพิษณุโลก ซึ่ง ความสัม พันธดัง กลาวนี้ส ะทอน ออกมาในงานทางดา นสถาปต ยกรรมของเมืองพิษณุ โ ลกดวย เช น พระปรางค วั ดพระศรี รัตนมหาธาตุ วรมหาวิหาร เมืองพิษณุโลก ที่ไดรับการปฏิสังขรณจนมีรูปแบบสถาปตยกรรมแบบอยุธยาตอนตน ซึ่งนาจะเปน ตนแบบใหกับวัดวิหารทอง จากการขุดคนขุดแตงทางโบราณคดีในพ.ศ. ๒๕๕๕ บริเวณดานนอกกําแพงแกววัดวิหารทองทางดาน ตะวันออกเฉียงใต ไดพบหลักฐานเปนฐานเจดีย ตั้งอยูในตําแหนงดานหนาประตูกําแพงแกววัดวิหารทอง ดังนั้น จึงเปนสวนที่สันนิษฐานวามีการสรางเพิ่มเติมในภายหลัง กําหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๒๒ – ๒๓ การคนพบโครงกระดูกมนุษย ในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๙ หลังจากเริ่มดําเนินการขุดคนขุดแตงทางโบราณคดีบริเวณหนาวัดวิหาร ทองไปไดเพียงเล็กนอย ในวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ระหวางดําเนินการขุดคนขุดแตงพื้นที่บริเวณดานนอก กําแพงแกววัดวิหารทองทางดานทิศตะวันออก ไดพบหลักฐานเปนโครงกระดูกมนุษย โดยเริ่มพบสวนกะโหลก ศีรษะกอน จากนั้นจึงไดขุดคนตอจนพบโครงกระดูกทั้งรางตั้งแตศีรษะถึงปลายเทา โครงกระดูกดังกลาวฝงอยู ในระดับลึกจากผิวดินประมาณ ๘๐ เซนติเมตร หันศีรษะไปทางทิศตะวันออก มีอิฐแตกหักวางปกคลุมสวน บริเวณหนาอกของโครงฯ ใตโครงกระดูกเปนอิฐแตกหักเชนกัน ตอมา ในวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ไดขุดคนพบโครงกระดูกมนุษยเพิ่มเติมอีก ๑ โครง หางจากโครงกระดูกโครงแรกไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ประมาณ ๑.๕๐ เมตร แตโครงกระดูกโครงที่สองนี้ถูกรบกวนอยางมากทําใหเหลือหลักฐานเพียงกระดูกขาและ กระดูกกะโหลกบางสวนอยูปะปนกัน
๙๑
ตําแหน่งทีพบโครงกระดูก
ผังบริเวณวัดวิหารทอง เสนสีแดงแสดงแนวกําแพงแกววัดวิหารทอง ผลการวิเคราะหโครงกระดูกมนุษย การวิเคราะหโครงกระดูกมนุษยจํานวน ๒ โครง ซึ่งพบบริเวณหนาวัดวิหารทอง เปนการศึกษาขอมูล พื้นฐานของโครงกระดูกมนุษยที่พบ โดยใชกระบวนการทางมานุษยวิทยากายภาพในการศึกษา เพื่อใหทราบถึง อายุเมื่อตาย (Age Estimation) เพศของโครงกระดูก (Sex Estimation) และการคํานวณความสูง (Stature Estimation) ซึ่งเปนขั้นตอนพื้นฐานในการวิเคราะหโครงกระดูกมนุษยที่ไดจากการขุดคนทางโบราณคดี ผล การวิเคราะหโครงกระดูกมนุษยจากการขุดคนหนาวัดวิหารทอง ปรากฏผลดังนี้ โครงกระดูกหมายเลข ๑ สภาพคอนขางสมบูรณพบกระดูกตัง้ แตกะโหลกศีรษะจนถึงปลายเทา ลักษณะการฝงศพของโครง กระดูกหมายเลข ๑ หันศีรษะไปทางทิศตะวันออก นอนหงาย วางแขนหงายมือสอดอยูใตสะโพก มีการหอศพ ดวยเสื่อหรือผากอนจะมัดศพ แลววางลงบนพื้นดิน ไมพบวามีการขุดหลุมฝง จากนั้นจึงนําดินมาพูนทับศพอีก ครั้งหนึง่ เพศ โครงกระดูกหมายเลข ๑ เปนโครงกระดูกมนุษยเพศชาย โดยพิจ ารณาจากลัก ษณะของกระดูก กราม ขนาดของฟนที่ มี ขนาดใหญ และลักษณะกระดูกสวนสะโพก อายุเมื่อตาย อายุ ๑๕ – ๒๐ ป โดยพิจารณาจากการขึ้นของฟน กรามซี่ที่ ๓ การสึกของฟน (Dental Attrition) ยังไมมากนัก และการเชื่อมของกระดูก (Union of Epiphyses) ที่ยัง ไม สมบูรณ จากการวิเคราะหฟนพบวามีรองรอยของการกินหมาก สวนสูงประมาณ ๑๕๗.๕๓ เซนติเ มตร (จากการคํานวณดวย สมการไทย – จีน) และ ๑๖๐.๖๑ เซนติเมตร (จากการคํานวณ ดวยสมการอเมริกันผิวขาว) ๙๒
โครงกระดูกหมายเลข ๑ การสึกของฟนยัง ไมมาก ฟนกรามซี่ที่ ๓ ดานลาง เริ่มขึ้น แลว แตมีลักษณะเปนฟนคุด และมี รองรอยของการกินหมาก (ลูกศรชี)้
โครงกระดูกหมายเลข ๒ สภาพไมสมบูรณ เนือ่ งจากมีการรบกวน ทําใหพบชิ้นสวนของกะโหลกปะปนอยูกบั กระดูกตนขา ลักษณะการฝงศพของโครงกระดูกหมายเลข ๒ หันศีรษะไปทางทิศตะวันออก นอนตะแคงซาย
โครงกระดูกหมายเลข ๒ เพศ โครงกระดูกหมายเลข ๒ เปนโครงกระดูกมนุษยเพศชาย โดยพิจารณาจากลักษณะของกระดูกบริเวณ กกหู (Mastoid process) อายุเมื่อตาย อายุ ๑๕ – ๒๐ ป โดยพิจารณาจากลักษณะการเชื่อมตอของกระดูกที่ยังไมสมบูรณ สวนสูง ประมาณ ๑๖๓.๘๒ เซนติเมตร (จากการคํานวณดวยสมการไทย – จีน) และ ๑๖๙.๓๔ เซนติเมตร (จากการคํานวณดวยสมการอเมริกันผิวขาว) ๙๓
การกําหนดอายุสมัยของโครงกระดูกดวยวิธีการทางวิทยาศาสตร เนื่องจากโครงกระดูกมนุษยเปนหลักฐานทางโบราณคดีที่พบไมมากนักในแหลงโบราณคดีสมัยสุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร การพบโครงกระดูกมนุษยบริเวณหนาวัดวิหารทองจึงนํามาซึ่งคําถามวา เจาของราง โครงกระดูกทั้งสองนี้ ตายเมื่อใด กอนหรือหลังการสรางวัดวิหารทอง ซึ่งในเบื้องตนไดตั้งประเด็นเกี่ยวกับอายุ สมัยของโครงกระดูกทั้งสองไว ดังนี้ ๑. โครงกระดูกทั้งสองโครงนาจะถูกฝงในชวงที่วัดวิหารทองไดถูกทิ้งรางไปแลว เนื่องจากในชวงที่วัดมี การใชงานอยูนั้นไมนาจะมีการนําศพมาฝง เพราะโดยทั่วไปใน สมัยสุโขทัยเปนตนมา วัฒนธรรมในการปลงศพ คือ การเผาศพแลวนํากระดูกมาบรรจุในภาชนะดินเผากอนจะนํามาฝงในบริเวณวัด ๒. ระดับที่พบโครงกระดูกทั้งสองโครงอยูในระดับลึกจากผิวดินปจจุบัน เพียง ๘๐ เซนติเมตร จึงไม นาจะเปนโครงกระดูกในยุคกอนประวัติศาสตร นอกจากนีร้ ะดับที่พบโครงกระดูกยังอยูในระดับเดียวกับโบราณ สถานที่มีการสรางเพิ่มเติมในสมัยอยุธยาตอนปลาย การวางศพลงบนพื้นอิฐแตกหักยอมแสดงใหเห็นวา พื้นที่ บริเวณดังกลาวนาจะตองเปนจุดที่ไมไดมีการใชงานหรือเปนพื้นที่ทิ้งราง ดังนั้นโครงกระดูกทั้งสองโครงนาจะถูก ฝงในชวงตั้งแตอยุธยาตอนปลาย – รัตนโกสินทร อยางไรก็ตาม เนื่องจากไมพบโบราณวัตถุรวมกับโครงกระดูกทั้งสองโครง จึงเปนการยากที่จะระบุอายุ สมัยของโครงกระดูกทั้งสองโครง ดังนั้นเพื่อพิสูจนสมมติฐานขางตน จึงไดมีการสงตัวอยางฟนจากโครงกระดูก หมายเลข ๑ เพื่อวิเ คราะหหาคาอายุดวยวิธีการทางวิท ยาศาสตร ดวยวิธี AMS (Accelerator Mass Spectrometry Radiocarbon Dating) ผลการวิเคราะหดวยวิธี AMS ปรากฏวา ตัวอยางฟนจากโครงกระดูกหมายเลข ๑ มีคาอายุอยูที่ ๑๖๐ +/- ๓๐ ปมาแลว ซึ่งเมื่อคํานวณออกมาเปนพุทธศักราช จะตรงกับชวง พ.ศ. ๒๓๐๓ – ๒๓๖๓ (การคํานวณหา คาอายุในกรณีที่ผลออกมาเปน 160+/-30 BP. จะตองลบดวย 1950 เสมอ เนื่องจาก 1950 คือปคริสตศักราช ที่กําหนดใชเทียบอายุคากัมมันตรังสีกับปตามปฏิทิน) สรุป การศึก ษาโครงกระดูก มนุษย ๒ โครงซึ่ง พบจากการขุดค นขุดแตงทางโบราณคดีบ ริเ วณดานนอก กําแพงแกววัดวิหารทอง พบวาโครงกระดูกทั้ง ๒ โครง เปนผูชายที่เสียชีวิตขณะมีอายุระหวาง ๑๕ – ๒๐ ป ทั้ง สองโครงมีรองรอยของพิธีกรรมการมัดศพและหอศพ และกระบวนการในการฝงศพทั้งสองเกิดขึ้นในชวงที่วัด วิหารทองไดถูกทิ้งรางไปแลว ระหวาง พ.ศ. ๒๓๐๓ – ๒๓๖๓ นอกจากนี้สันนิษฐานวาชายทั้งสองนาจะมิใชคน ในทองถิ่นเมืองพิษณุโลก จึงทําใหไมมีญาติที่จะทําพิธีกรรมการเผาศพใหได บรรณานุกรม เจาพระยาทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร รัชกาลที่ ๓. กรุงเทพ : โรงพิมพ คุรุสภา, ๒๕๔๗. ประพิศ ชูศิริ. คูมือการศึกษาโครงกระดูกมนุษยเบื้องตน. กรุงเทพฯ : กองโบราณคดี, ๒๕๓๔. ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการวาดวยการกอสรางอนุสาวรียแหงชาติและการจําลองพระพุทธรูปสําคัญ พ.ศ. ๒๕๒๐. Lucien Fournereau. Le Siam Ancient. Paris : Ministere de L’Instruction Publique et des Beaux-Arts, 1908.
๙๔
พระพิมพกรุพระเจดีย วัดมหาธาตุเพชรบูรณ นางสาวอภิรดี พิชิตวิทยา ภัณฑารักษปฏิบัติการ
ขอมูลทั่วไปของวัดมหาธาตุเพชรบูรณ วัดมหาธาตุเ พชรบูรณ ตั้งอยูบ นถนนนิกรบํารุง ตําบลในเมือง อําเภอเมือง จังหวัดเพชรบูร ณ ใน บริเวณใจกลางเมืองโบราณเพชรบูรณ ที่มีผังเมืองเปนรูปสี่เหลี่ยมผืนผาวางตัวตามแนวทิศเหนือ -ใต ปรากฏ รองรอยแนวกําแพงเมืองสี่ดาน ลอมรอบดวยคูน้ํา ปรากฏแนวอยูดานทิศเหนือ ทิศใต และทิศตะวันออก เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๗ สมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุภาพ ไดเสด็จไปตรวจราชการเมืองเพชรบูรณ ทรงบันทึก สภาพกําแพงเมืองเพชรบูรณและกลาวถึงวัดมหาธาตุเพชรบูรณไวความวา “...ตัวเมืองเพชรบูรณ เปนเมืองที่มีปอมปราการสรางมาแตโบราณ เห็นไดวาตั้งเปนเมืองดาน โดยเลือกที่ชัยภูมิตรง แนวภูเขาเขามาใกลกับลําแมน้ําสัก ทางเดินทัพแคบกวาแหงอื่น ตั้งเมืองสกัดทางทําปราการทั้งสองฟาก เอาลําน้ําสักไวกลาง เมืองเหมือนเชนเมืองพิษณุโลก สังเกตตามรอยที่ยังปรากฏเห็นไดวาสรางเปน ๒ครั้ง ๆ แรกสรางเมื่อสมัยกรุงสุโขทัย แนว ปราการขนาดราวดานละ ๒๐เสน เดิมเปนแตถมดินปกเสาระเนียดขางบนมาสรางใหมในที่อันเดียวกันเมือ่ สมัยกรุงศรีอยุธยาอีก ครั้งหนึ่งรนแนวยอมเขามา แตทําปราการกอดวยหินและมีปอมรายรอบสําหรับสูขาศึกซึ่งจะยกมาแตลานชางขางในเมืองมีวัด ๑ มหาธาตุ กับพระปรางคเปนสิ่งสําคัญอยูกลางเมือง...”
ที่มา : สํานักศิลปากรที่ ๔ ลพบุรี
พระเจดียทรงยอดดอกบัวตูมวัดมหาธาตุเพชรบูรณ
ภายในวัดมหาธาตุ มีโบราณสถานสําคัญประกอบดวย พระเจดียทรงยอดดอกบัวตูมเปนประธานของ วัด ใกลกันมีฐานเจดียกอดวยศิลาแลง ซึ่งมีสวนฐานตอเนื่องกับฐานอาคารโบราณสถานที่อยูใตพระอุโบสถหลัง ปจจุบัน มีใบเสมาหินทรายอยูในซุมรอบพระอุโบสถทั้ง ๘ ทิศ และเจดียทรงปรางคแบบอยุธยา ๒ องค อยู ดานหนาพระอุโบสถ การดําเนินงานทางโบราณคดีในป พ.ศ. ๒๕๑๐ กรมศิลปากร โดยหนวยศิลปากรที่ ๓ สุโขทัย มีนายมะลิ โคกสันเทียะ รักษาการในหนาที่หัวหนา หนวย ไดดําเนินการขุดคนและบูรณะพระเจดียทรงยอดดอกบัวตูม โดยมีบันทึกการดําเนินงานในครั้งนั้นไว ใจความวา “แตกอนที่จะบูรณะซอมแซมพระเจดียองคนี้ กรมศิลปากรเห็นวา ควรจะนําเอาโบราณวัตถุที่บรรจุอยู ในเจดียออกมาเสียกอน เพื่อความปลอดภัยของพระเจดียองคนี้ เพราะปรากฏวามีคนรายแอบมาลักลอบขุดอยู เสมอๆ เจาหนาที่กรมศิลปากร จึงไดทําการขุดกรุโดยขุดพระเจดียทางทิศตะวันออกเขาไปตรงกลาง แล วขุด ตรงกลางลงไปต่ํากวาพื้นดิน ๓.๕๐ เมตร ก็ไดพบกรุบรรจุโบราณวัตถุเขากรุหนึ่ง
๑
ดํารงราชานุภาพ,สมเด็จพระเจาบรมวงศเธอ กรมพระยา, นิทานโบราณคดี, พิมพครั้งที่ ๔, (กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๑๕), หนา ๙๖-๙๗.
95
สําหรับกรุที่พบนี้ มีเสาศิลาแลงกวางประมาณ ๗๐ เซนติเมตร สูงประมาณ ๖๐ เซนติเมตร ซอนกันอยู ๒ กอน และมีไหแบบสุโขทัยตั้งลอมรอบเสาศิลาแลง ไหเหลานี้ทรงรูปอยูก็มี ที่แตกกระจัดกระจายมาแตเดิมก็มี ไหดังกลาวมีห ลายขนาดมีทั้ง เล็กและใหญ ในไหบรรจุพระพุทธรูปและพระพิมพจํานวนมาก นอกจากนี้ก็มี เครื่องถวยชามจีน ซึ่งนายกฤษณอินทโกศัย สันนิษฐานวา นาจะอยูในราชวงศเหม็ง และรูปคน สัตว เชน สุนัข ควาย ฯลฯ กับมีโถสังคโลก และตลับทองคําจํานวนหนึ่ง ที่สําคัญคือ ไดพบลานทองคําจารึกอักษรไทยโบราณ มวนอยูในทองหมูสัมฤทธิ์ มีขนาดกวาง ๔ เซนติเมตร ยาว ๒๔ เซนติเมตร หนา ๑/๒ มิลลิเมตร สวนที่พบอยูใน ไหอีก ๒ แผน แผนหนึ่งมีขนาดกวาง ๒.๓ เซนติเมตร สูง ๖ เซนติเมตร หนา ๑/๒ มิลลิเมตร อีกแผนหนึ่งมี ขนาดกวาง ๑.๕ เซนติเมตร ยาว ๗.๒ เซนติเมตร หนา ๑/๑ มิลลิเมตร…”๒ โบราณวัตถุที่ไดจากการขุดคน โบราณวัตถุที่ไดจากการขุดคนในครั้งนั้น หนวยศิลปากรที่ ๓ สุโ ขทัย ไดสง มอบใหพิพิธภัณฑสถาน แหง ชาติ เก็บ รัก ษา สวนใหญ จัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแหง ชาติ พระนคร บางสวนไดนําไปจัดแสดงยัง พิพิธภัณฑสถานแหงชาติ สวนภูมิภาคหลายแหง เพื่อเผยแพรขอมูลหลักฐานดานประวัติศาสตรและโบราณคดี แกประชาชนในจังหวัดตางๆ และบางสวนไดเก็บรักษาไวที่คลังพิพิธภัณฑสถานแหงชาติ จังหวัดปทุมธานี โบราณวัตถุที่ไดรับมอบจากการขุดคนทางโบราณคดี สามารถแบงประเภทไดดังนี้ ๑. จารึกลานทอง ๒. พระพิมพ ๓. พระพุทธรูป ๔. เครื่องปนดินเผา ๕. เครื่องใชประเภทตางๆ เชน ผอบ ๖. ประติมากรรมรูปสัตว โดยในจํานวนโบราณวัตถุที่พบทั้งหมด พระพิมพเปนโบราณวัตถุประเภทที่พบมากที่สุด สวนใหญทํา ดวยชิน รองลงมาเปนแผนทองคํา แผนเงิน และดินเผา วัตถุประสงคในการศึกษารูปแบบพระพิมพ การศึกษาพระพิมพในครั้งนี้เปนการศึกษาวิเคราะหรูปแบบทางศิลปกรรมของพระพิมพเพื่อใชในการ กําหนดอายุรวมกับพระเจดียทรงยอดดอกบัวตูมของวัดมหาธาตุเพชรบูรณ ซึ่งหากพิจารณาเพียงรูปแบบของ พระเจดีย โดยมิไดพิจารณารวมกับหลักฐานอื่นในเบื้องตนก็อาจกําหนดอายุการสรางไดอยางกวางๆวาอยูใน สมัยสุโขทัยที่มีรูปแบบเจดียอันเปนเอกลักษณของสุโขทัยอยางแทจริงสรางขึ้นในราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๙๓ แตหากไดศึกษาวิเคราะหรวมกับโบราณวัตถุประเภทตางๆที่พบจากแหลงเดียวกันรวมทั้งศึกษาเปรียบเทียบกับ โบราณวัตถุทที่ ี่มีรูปแบบใกลเคียงกันที่พบจากกรุพระเจดียหรือพระปรางคที่มีการกําหนดอายุแนนอนแลว ก็จะ ชวยใหการศึกษาวิเคราะหเพื่อกําหนดอายุมีความสมบูรณมากขึ้นโดยโบราณวัตถุประเภทพระพิมพสวนใหญมัก เปนวัตถุที่สรางขึ้นเพื่อบรรจุกรุในคราวสรางพระเจดียอายุของพระพิมพจึงควรอยูในชวงเวลาเดียวกันกับการ สรางกรุพระเจดีย ดังนั้น การศึกษาวิเคราะหรูปแบบของพระพิมพในครั้งนีจ้ ึงสามารถใชเปนขอมูลเปรียบเทียบ ในการกําหนดอายุรวมกับหลักฐานประเภทจารึกที่พบจากแหลงเดียวกันไดเปนอยางดี ๒
คณะกรรมการฝายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุในคณะกรรมการอํานวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัวเนื่อง ในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๒, วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร เอกลักษณและ ภูมิปญญาจังหวัดเพชรบูรณ, (กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร,๒๕๔๓), หนา ๙๓. ๓ สันติ เล็กสุขุม, ศิลปะสุโขทัย,(กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ,๒๕๔๙), หนา ๔๙.
96
การจําแนกประเภทของพระพิมพที่ไดจากกรุพระเจดีย วัดมหาธาตุเพชรบูรณ พระพิมพที่คนพบในกรุพระเจดียวัดมหาธาตุเพชรบูรณ สามารถแบงตามรูปแบบศิลปะไดอยางกวางๆ ดังนี้ ๑. พระพิมพศิลปะลพบุรพี ุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘ ๑.๑ พระพุทธรูปปางมารวิชัยในซุมปราสาท เนื้อดินเผา ๑.๒ พระไตรรัตนมหายานในซุมปราสาทเนื้อดินเผา
พระพิมพศิลปะลพบุรี พุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘
๒. พระพิมพศิลปะสุโขทัยพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ๒.๑ พระพุทธรูปลีลายกพระหัตถซายบนฐานบัวเนื้อดินเผา
พระพิมพศิลปะสุโขทัยพุทธศตวรรษที่ ๒๐
๓. พระพิมพศิลปะอยุธยาตอนตนที่ไดรับอิทธิพลศิลปะลพบุรีพุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๐ ๓.๑ พระพุทธรูปสมาธินาคปรกลักษณะตางๆ เนื้อชิน ๓.๒ พระอาทิพุทธแสดงออกเปนตรีกายในซุมปราสาทและซุม ปราสาทฐานสถูปเนื้อชิน ๓.๓ พระพุทธรูปปางมารวิชัยทรงเครื่องสวมมงกุฎเทริดเนื้อชิน ๓.๔ พระพุทธรูปปางมารวิชัยบนฐานบัวเนื้อชิน ๓.๕ พระพุทธรูปปางประทานอภัยในซุมกินรีเสาซุมวยาล เนื้อชิน
พระพิมพศิลปะอยุธยาตอนตนที่ไดรับอิทธิพลศิลปะลพบุรีพุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๐
๔. พระพิมพศิลปะอยุธยาตอนตนปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๙ - กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ๔.๑ แบบอูทอง รุนที่ ๑ พระพุทธรูปปางมารวิชัย เนื้อชิน ๔.๒ แบบอูทอง รุนที่ ๒พระพุทธรูปปางประทานอภัยและ พระพุทธรูปปางมารวิชัย เนื้อชิน ๔.๓ แบบอยุธยาตอนตนพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ๔.๓.๑ พระพุทธรูปปางมารวิชัยแบบไมมีซุมเนื้อชิน ๔.๓.๒ พระพุทธรูปปางมารวิชัยแบบสามเหลี่ยมเนือ้ ชิน 97
๔.๓.๓ พระพุทธรูปปางมารวิชัยในซุมเรือนแกวเนือ้ ชิน ๔.๓.๔ พระพุทธรูปปางมารวิชัยในซุมหนานางหรือซุม จิกเนือ้ ชิน ๔.๓.๕ พระพุทธรูปปางมารวิชัยในซุมโพธิบัลลังกเนื้อชิน ๔.๓.๖ พระพุทธรูปลีลาบนฐานบัวเนื้อชิน ๔.๓.๗ พระพุทธรูปลีลาในซุมเรือนแกว เนื้อชิน ๔.๓.๘ พระพุทธรูปลีลาในซุมปรกโพธิ์เนื้อชิน ๔.๓.๙ พระพุทธรูปปางเปดโลกบนฐานบัวเนือ้ ชิน ๔.๓.๑๐ พระพุทธรูปปางเปดโลกในซุมเรือนแกวเนือ้ ชิน ๔.๓.๑๑ พระพุทธรูปปางประทานอภัยเนื้อชิน ๔.๓.๑๒ พระพุทธรูปปางสมาธิเนือ้ ชิน ๔.๓.๑๓ พระพิมพรูปพระโพธิสัตวเนื้อชิน ๔.๓.๑๔พระพุทธรูปปางมารวิชัยแผนทองและแผนเงินดุนลาย ๔.๓.๑๕ พระพุทธรูปปางมารวิชัยในซุมเรือนแกวแผนทองและแผนเงินดุนลาย ๔.๓.๑๖ พระพุทธรูปปางมารวิชัยในซุมโพธิบ์ ัลลังกแผนทองดุนลาย ๔.๓.๑๗ พระพุทธรูปปางมารวิชัยในซุมหนานางหรือซุมจิกแผนทองดุนลาย ๔.๓.๑๘ พระพุทธรูปปางเปดโลกบนฐานบัว แผนเงินดุนลาย ๔.๓.๑๙ พระพุทธรูปลีลาในซุมเรือนแกวแผนทองดุนลาย
พระพิมพศิลปะอยุธยาตอนตน ปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๙ - กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๐เนื้อชิน
พระพิมพศิลปะอยุธยาตอนตน ปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๙ - กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๐แผนเงินและแผนทองดุนลาย
การกําหนดอายุรูปแบบศิลปกรรมของพระพิมพ จากการศึกษาวิเคราะหพระพิมพที่ไดจากกรุพระเจดียวัดมหาธาตุเพชรบูรณ ที่ไดจากการขุดคนทาง โบราณคดี โดยหนวยศิลปากรที่ ๓ สุโขทัย เมื่อป พ.ศ. ๒๕๑๐ สามารถจัดกลุมเพื่อศึกษารูปแบบไดดังตอไปนี้ กลุมที่ ๑ พระพิมพศิลปะลพบุรพี ุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘ พระพิมพศิลปะแบบลพบุรีนิยมสรางดวยดินเผาและโลหะสําริด พบพระพิมพรูปพระไตรรัตนมหายาน สรางเปนพระพุทธรูปอยูตรงกลางขนาบขางดวยพระโพธิสัตวอวโลกิเตศวรและนางปรัชญาปารมิตา ตามคติ ศาสนาพุ ท ธแบบมหายาน และพระพิ ม พ รู ป พระพุ ท ธรู ป ปางมารวิ ชัย ประดิ ษ ฐานในซุ ม ปราสาท เป น ลักษณะเฉพาะของศิลปะลพบุรี ที่ปรากฏในบริเวณภาคกลางของประเทศไทยในชวงพุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘ 98
กลุมที่ ๒ พระพิมพศิลปะสุโขทัย พุทธศตวรรษที่ ๒๐ พระพิมพดินเผา พระพุทธรูปลีลายกพระหัตถซาย ยกสนพระบาทขวา ลักษณะทางศิลปกรรมยังคง ใกลชิดกับศิลปะสุโขทัย ชายจีวรดานซายของพระพุทธรูปตกลงมาเปนริ้วคลื่นแบบที่พบในพระพุทธรูปลีลาชวง พุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๐ ในจังหวัดสุโขทัยไดพบพระพิมพพระพุทธรูปลีลาทําดวยดินเผา ที่ไดจากวัดมหาธาตุ สุโขทัยปจจุบันจัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแหงชาติ รามคําแหง จังหวัดสุโขทัย กลุมที่ ๓พระพิมพศิลปะอยุธยาตอนตนที่ไดรับอิทธิพลศิลปะลพบุรพี ุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๐ ไดแก รูปพระพุทธรูปสมาธินาคปรกเปนพระพิมพแบบนูนสูง ไมมีองคประกอบดานขาง ดูลักษณะ คลายพระพุทธรูปลอยตัว บางรายการอาจเปนพระพุทธรูปนาคปรกที่เปนพระไตรรัตนมหายาน กลาวคือมีพระ โพธิสัตวโลเกศวรอยูดานขวา และนางปรัชญาปารมิตาอยูดานซาย แลวชํารุดหัก หายไป ซึ่งหากพระพิม พ ดังกลาวมีสภาพสมบูรณจะเปนลักษณะเดียวกับที่พบในกรุวัดราชบูรณะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งสรางขึ้น เมื่อ พ.ศ. ๑๙๖๗ รู ป พระอาทิ พุ ท ธแสดงออกเป น ตรี ก ายสื บ ทอดคติ ก ารสร า งมาจากวั ฒ นธรรมเขมรที่ นั บ ถื อ พระพุทธศาสนาแบบมหายาน ประดิษฐานในซุมปราสาท และซุมปราสาทฐานสถูปแบบศิลปะลพบุรี พระพิมพ ลักษณะนี้พบเชนกันที่กรุพระปรางควัดราชบูรณะ และวัดมหาธาตุ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พระพิมพอิทธิพลศิลปะลพบุรีที่ไดรับอิทธิพลศิลปะแบบปาละ พบพระพิมพพระพุทธรูป ปางมารวิชัย ทรงเครื่องสวมเทริดขนนก พระพิม พพระพุท ธรูป ปางมารวิชัยบนฐานบัว และพระพิม พพระพุท ธรูป ปาง ประทานอภัยประดิษฐานในซุมเรือนแกวปลายซุมเปนรูปกินรีเสาซุมประดับตัววยาล พระพิมพกลุมนี้ทั้งหมดทําดวยชิน ซึ่งเปนโลหะที่นิยมใชทําพระพิมพสมัยอยุธยา อาจเปนการหลอจาก แมพิมพเดิมหรือถอดแบบจากพระพุทธรูปที่เปนของเกา เนื่องจากในกรุเดียวกันนี้ก็ไดพบพระพุทธรูปปางมาร วิชัยทรงเครื่อง สวมเทริดขนนกที่ทําจากสําริด ศิลปะแบบลพบุรี พุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘ ดวย กลุมที่ ๔พระพิมพศิลปะอยุธยาตอนตนปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๙ - กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๐ พระพิมพจากกรุวัดมหาธาตุเพชรบูรณที่เปนลักษณะเฉพาะของศิลปะอยุธยาตอนตน สวนใหญทําดวย ชิน รูปแบบทางศิลปกรรมยังมีเคาโครงสืบทอดจากศิลปะที่เปนพื้นฐานดั้งเดิมไดแกศิลปะลพบุรี ผสมผสานกับ การรับอิทธิพลจากศิลปะสุโขทัย พระพิมพกลุมนี้สวนใหญสรางเปนพระพุทธรูปปางมารวิชัย ทั้งแบบไมมีซุม และแบบซุมเรือนแกวที่ คลี่คลายมาจากซุมจรนําหรือซุมปราสาทแบบลพบุรี พระพิมพพระพุทธรูปปางมารวิชัยประดิษฐานในซุมหนานางยอดซุมเปนลายดอกบัวหรือที่เรียกวา “ซุ ม จิ ก ” ๔พระพิ ม พ แ บบนี้ พ บทั้ ง จากกรุ พ ระปรางค วั ด มหาธาตุ และจากกรุ วั ด ราชบู ร ณะ จั ง หวั ด พระนครศรีอยุธยา พระพิมพพระพุทธรูปปางมารวิชัยประดิษฐานในซุมเรือนแกวปรกโพธิ์ เปนแบบที่พบทั้งกรุพระเจดีย วัดพระศรีสรรเพชญ กรุพระปรางควัดมหาธาตุ และกรุพระปรางควัดราชบูรณะ นอกจากวัสดุชินและดินเผาแลว ยังพบพระพิมพที่ทําดวยแผนทองและแผนเงินดุนลายบรรจุรวมกับ เครื่องใชเครื่องประดับประเภทตางๆที่ทําดวยทอง รูปแบบของพระพิมพเปนพระพุทธรูปปางมารวิชัย ทั้งแบบ ไมมีซุม และแบบประดิษฐานในซุมเรือนแกวและพระพิมพแผนทองดุนลายที่รูปแบบคลายพระพิมพที่ทําดวย
๔
สงศรี ประพัฒนทอง, รายงานการวิจัย เรื่อง พระพิมพสมัยอยุธยา : การศึกษาเปรียบเทียบดานคติความเชื่อ รูปแบบวิวัฒนาการทางศิลปะ และการกําหนดอายุ., (กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร,๒๕๓๗), หนา ๔๒.
99
ชิน คือพระพุทธรูปปางมารวิชัยประดิษฐานในซุมหนานางยอดซุมเปนลายคลายดอกบัวหรือ “ซุมจิก” และ พระพุทธรูปปางมารวิชัยประดิษฐานในซุมโพธิบัลลังก สรุป จากการศึกษาวิเคราะหรูปแบบทางศิลปกรรมของพระพิมพแลว มีพระพิมพที่แบงตามลักษณะทาง ศิลปกรรม ไดเปน ๔ กลุม ดังนี้ ๑. ศิลปะลพบุรี พุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘ ๒. ศิลปะสุโขทัย พุทธศตวรรษที่ ๒๐ ๓. ศิลปะอยุธยาตอนตนที่ไดรับอิทธิพลศิลปะลพบุรี พุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๐ ๔. ศิลปะอยุธยาตอนตน ปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๙ - กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๐ จะเห็นไดวากลุมที่เปนศิลปะลพบุรีมีรูปแบบที่เกาที่สุดและพบในจํานวนไมมากเมื่อเทียบกับกลุมอื่นๆ พระพิมพศิลปะลพบุรีจึงอาจเปนของเกาที่นํามาบรรจุกรุเมื่อคราวสรางพระเจดีย พระพิมพลีลาศิลปะสุโขทัย อาจเปนของเกาที่นํามาบรรจุเชนกัน สวนพระพิมพอยุธยาสวนใหญสรางจากชิน ซึ่งเปนวัสดุที่นิยมใชในสมัย อยุธยาเปนหลัก ถึงแมจะมีรูปแบบเปนอยางศิลปะลพบุรี แตเมื่อพิจารณาจากวัสดุที่ใชสรางเปนเนื้อชินจึงเชือ่ วา อาจเปนการนําแมพิมพของเกามาสรางในชวงสมัยอยุธยา และพระพิมพแบบที่พบมากที่สุดเปนแบบอยุธยา ตอนตนที่มีพัฒนาการจากพื้นฐานศิลปะลพบุรีและรับอิทธิพลจากศิลปะสุโขทัย การสรางพระพิม พซึ่ง เปนวัตถุขนาดเล็ก นั้นสามารถสรางไดงายและจํานวนมากในคราวเดียวกัน โดยเฉพาะการสรางพระพิม พจํานวนมากเพื่อบรรจุภายในกรุพระเจดียหรือพระปรางค ดังนั้นพระพิมพ ที่มี รูปแบบใหมที่สุดจึงควรเปนพระพิมพที่มีอายุใกลเคียงกับการสรางกรุพระเจดียมากที่สุด พระเจดียประธานของวัดมหาธาตุเพชรบูรณ เปนทรงยอดดอกบัวตูม ซึ่งเปนรูปแบบเฉพาะของศิลปะ สุโขทัย ภายในกรุไดบรรจุพระพิมพที่สวนใหญกําหนดอายุไดในสมัยอยุธยาตอนตนราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๙ - กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๐สอดคลองกับหลักฐานจารึกลานทองที่พบจากการขุดคนในคราวเดียวกัน จาก การอานของนายประสาน บุญประคอง และนายเทิม มีเต็ม ระบุปไวราว พ.ศ. ๑๙๒๖พระเจดียทรงยอดดอก บัวตูมนี้คงถูกสรางขึ้นเมื่อเมืองเพชรบูรณอยูภายใตอิทธิพลของอาณาจักรอยุธยาแลว ซึ่งในเวลาตอมาหลักฐาน ทางอยุธยาก็ไดกลาวถึงเมืองเพชรบูรณอีกหลายครั้ง และงานศิลปกรรมที่ปรากฏตามโบราณสถานตางๆ ที่สราง ขึ้นหลังจากนี้ ก็ไดมีพัฒนาการเปนศิลปะอยุธยาอยางแทจริง บรรณานุกรม เซเดส, ยอช, สุภัทรดิศดิศกุล, ม.จ. ตํา นานพระพิมพ พุทธศิล ปในประเทศไทย และตํา นานพระพุทธบาท. กรุงเทพฯ : รัชดารมภการพิมพ, ๒๕๐๘. คณะกรรมการฝายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุในคณะกรรมการอํานวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๒.วัฒนธรรม พัฒ นาการทางประวัติศาสตร เอกลั กษณแ ละภู มิป ญญาจัง หวั ด เพชรบูรณ. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร,๒๕๔๓. ดํารงราชานุภาพ,สมเด็จพระเจาบรมวงศเธอ กรมพระยา.นิทานโบราณคดี. พิมพครั้งที่ ๔. กรุงเทพฯ : กรม ศิลปากร, ๒๕๑๕. ศิลปากร, กรม. พระพุทธรูปและพระพิมพในกรุพระปรางควัดราชบูรณะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา. พิมพ ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ : บริษัท ไทภูมิ พับลิชชิ่ง จํากัด, ๒๕๕๗. สงศรี ประพัฒนทอง.รายงานการวิจัย เรื่อง พระพิมพสมัยอยุธยา : การศึกษาเปรียบเทียบดานคติความเชื่อ รูปแบบวิวัฒนาการทางศิลปะ และการกําหนดอายุ.กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร,๒๕๓๗. 100
พระพุทธรูป กรุพระเจดียว ัดมหาธาตุ จังหวัดเพชรบูรณ พระอารามหลวง นางสาวจุฑารัตน เจือจิ้น ภัณฑารักษปฏิบัติการ สํานักพิพิธภัณฑสถานแหงชาติ
วัดมหาธาตุ ตั้งอยูริม ถนนนิก รบํารุง ในเขตเทศบาลเมืองเพชรบูร ณ อําเภอเมือง จังหวัด เพชรบู ร ณ เป น วั ด หลวง สั น นิ ษ ฐานว า สร า งในป พ.ศ. ๑๙๒๖ และได ก ลายเป น วั ด ร า ง ตอมาสมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพมีรับสั่งใหพระยาเพรชรัตน (เฟอง) เจาเมืองเพชรบูรณ เกณฑคนมา ทําการบูรณะวัดมหาธาตุครั้งใหญในปพ.ศ. ๒๔๔๗๑ วัดมหาธาตุไดรับการยกฐานะขึ้นเปนพระอารามหลวงชั้น ตรี ชนิดสามัญเมื่อป พ.ศ. ๒๕๓๖๒
เจดียประธานทรงยอดดอกบัวตูม วัดมหาธาตุ อําเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ
เจดียป ระธานทรงยอดดอกบัวตูม ที่วัดมหาธาตุ อําเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ อยูดานหลัง พระอุโบสถ อันเปนรูปแบบของศิลปะสุโขทัย ที่ไดรับความนิยมในชวงรัชกาลพญาลิไท ถือเปนสัญลักษณของ เจดียแบบสุโขทัย อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๒๐๓ กรมศิล ปากรทําการขุดแตง เมื่อป พ.ศ. ๒๕๑๐ โดยไดนํา โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุที่บรรจุอยูภายในกรุพระเจดียออกมากอนทําการบูรณะ๔ โบราณวัตถุที่ไดจากกรุเจดียประธานวัดมหาธาตุ จังหวัดเพชรบูรณ นัน้ มีหลากหลายประเภท จากฐานขอมูลทะเบียนโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ของกรมศิลปากร พบวาโบราณวัตถุ ที่มีประวัตกิ ารไดมาจากการ ขุดพบภายในพระเจดียดานหลัง พระอุโบสถวัดมหาธาตุ อําเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ เมื่อปพุท ธศักราช ๒๕๑๐ รวม ๔๓๒ รายการ เปนพระพุทธรูป ๔๖ รายการ และมีการพบแผนทองจารึก จํานวน ๓ แผน รูปจารึกลานทอง พบในเจดียทรงยอดดอกบัวตูม วัดมหาธาตุ อําเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ
จากการเทียบเคียงตัวอักษรแลว กําหนดอายุที่ พ.ศ. ๑๙๒๗๕ ใจความกลาวถึงการสราง และ ชื่ อ ผู ส ร า งเจดี ย นอกจากนี้ ยั ง พบเครื่ อ งถ ว ย พระพิ ม พ และพระพุ ท ธรู ป ป จ จุ บั น เก็ บ รั ก ษาไว ที่ ค ลั ง ๑
คณะกรรมการฝายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ ในคณะกรรมการอํานวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัว, วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร เอกลักษณและภูมิปญญา จังหวัดเพชรบูรณ. (กรุงเทพฯ: คุรุสภาลาดพราว, ๒๕๔๓), หนา ๗๗. ๒ กรมศิลปากร, ระบบภูมิสารสนเทศ แหลงมรดกศิลปวัฒนธรรม, สืบคนเมื่อวันที่ ๒๓ เดือนมิถุนายน, ๒๕๖๐, Web site: http://gis.finearts.go.th/fineart/. ๓ สันติ เล็กสุขุม, ศิลปะสุโขทัย. (กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ, ๒๕๔๙), หนา ๕๐ - ๕๑ . ๔ คณะกรรมการฝายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ ในคณะกรรมการอํานวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัว, เรื่องเดียวกัน, หนา ๙๓. ๕ คณะกรรมการฝายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ ในคณะกรรมการอํานวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ ๑๐๑
พิพิธภัณฑสถานแหง ชาติ และพิพิธภัณฑสถานแหง ชาติตาง ๆ ทั่วประเทศ นับ เปนหลักฐานสําคัญ ที่ควร ทําการศึกษาวิเคราะห เพื่อชวยกําหนดอายุ และหาความสัมพันธทางรูปแบบศิลปะที่พบในเมืองเพชรบูร ณ ในชวงสมัยของการสรางเจดีย รูปแบบพระพุทธรูปจากกรุพระเจดียวัดมหาธาตุ จังหวัดเพชรบูรณ จากการศึก ษารูป แบบทางศิล ปะของพระพุท ธรูป ที่มีป ระวัติก ารรับ มอบ วามาจากเจดีย ดังกลาว แบงไดเปน ๓ กลุม ดังนี้ ๑. พระพุทธรูปรวมแบบศิลปะเขมร ชวงพุทธศตวรรษที่ ๑๗ – ๑๘ ๑.๑ พระพุทธรูปทรงเครื่องนาคปรก พบจํานวน ๙ องค ลักษณะของพระพุทธรูปทรงเครื่องกลุม นี้ คือพระพักตรสี่เหลี่ยม ถมึงทึง พระขนงเปนสันตอกันเกือบเปนเสนตรง พระเนตรเปด มองตรง แสดงเฉพาะ เสนขอบพระเนตร (ไมแสดงดวงพระเนตร) พระนาสิกแบน พระโอษฐแบะกวาง เสนพระโอษฐเปนเสนตรง สวม เทริด (กระบังหนา) และมีมงกุฎทรงกรวย สังฆาฏิเปนแผนใหญยาวลงมาจรดพระนาภี ปลายตัดตรง ประดับ เครื่องอาภรณ ไดแก กุณฑล กรองศอ พาหุรัด ทองพระกร ประทับนั่งขัดสมาธิราบเหนือขนดนาคสามชั้น ขนด นาคสอบเปนสามเหลี่ยม สวนเศียรนาคมี ๗ เศียร
ภาพตัวอยางกลุมพระพุทธรูปทรงเครื่องนาคปรก รวมแบบศิลปะเขมร ชวงพุทธศตวรรษที่ ๑๗ – ๑๘ ที่ไดจากกรุพระเจดียวัดมหาธาตุ จังหวัดเพชรบูรณ
๑.๒ พระพุทธรูปทรงเครื่อง เปนพระพุทธรูปยืน จํานวน ๙ องค และพระพุทธรูปนั่ง จํานวน ๒ องค พระพักตรสี่เหลี่ยม ถมึงทึง พระเนตรเปด มองตรง บางองคมีพระมัสสุ ทรงเครื่องอาภรณ ประกอบดวย รัดเกลา (เทริด) และมีมงกุฎเปนรูปกรวยสูง พระเกศาดานหลังเปนเสนถักแนวตรง สรอยพระศอหอยอุบะ พาหุ รัด ทองพระกร ทองพระบาท บางครั้ง ทรงกุณฑล สบงเปนผาจีบหนานางทําเปนขอบนูนขึ้นมา ชายสบง ดานหนามีลวดลาย ชายจีวรดานลางบานออกและมวนเขาที่มุมลาง ประดับอุบะหอยลงมาที่รัดประคด
ภาพตัวอยางกลุมพระพุทธรูปทรงเครื่อง รวมแบบศิลปะเขมร ชวงพุทธศตวรรษที่ ๑๗ – ๑๘ ที่ไดจากกรุพระเจดียวัดมหาธาตุ จังหวัดเพชรบูรณ
พระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัว, เรื่องเดียวกัน, หนา ๙๔. ๑๐๒
๑.๓ พระพุทธรูปทรงมงกุฎทรงเทริดขนนก พบจํานวน ๔ องค มีลักษณะคือ พระพักตรคอนขาง ยาวเรียว ที่ไรพระศกมีลายเม็ดประคํา ทรงเทริดขนนก ลักษณะคลายฝกเพกา ซึ่งเปนรูปแบบเฉพาะของศิลปะ ปาละ เหมือนกับที่พบมากในศิลปะพุกามของพมา ซึ่งเปนรูปแบบในศิลปะปาละ ชวงพุทธศตวรรษที่ ๑๘๖
ภาพกลุมพระพุทธรูปทรงมงกุฎทรงเทริดขนนก รวมแบบศิลปะเขมร ชวงพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ที่ไดจากกรุพระเจดียวัดมหาธาตุ จังหวัดเพชรบูรณ
๑.๔ พระพุทธรูปไมทรงเครื่อง พบแบบนั่งจํานวน ๔ องค และยืนจํานวน ๒ องค มีลักษณะคือ พระพักตรสี่เหลี่ยม พระขนงตอกัน พระเนตรปด พระโอษฐแบะกวาง ริมพระโอษฐหนา พระเกตุมาลาเปนรูป กรวย ครองจีวรหมเฉียง มีขอบจีวรตอจากชายสี่เหลี่ยมที่พระอุระดานซายลงมาคลุมพระหัตถและพระโสณี ซึ่ง เปนรูปแบบการครองจีวรในศิลปะปาละ ชวงพุทธศตวรรษที่ ๑๘๗
กลุมพระพุทธรูปไมทรงเครื่อง รวมแบบศิลปะเขมร ชวงพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ที่ไดจากกรุพระเจดียวัดมหาธาตุ จังหวัดเพชรบูรณ
๒. พระพุทธรูปศิลปะลพบุรี ชวงพุทธศตวรรษที่ ๑๘ – ๑๙ ๒.๑ พระพุทธรูปทําจากหินทราย พบจํานวน ๑ องค มีลักษณะคือ พระพักตรเหลี่ยม พระขนง ตอเปนรูปปกกา พระเนตรเปด พระโอษฐแบะกวาง ริมพระโอษฐหนา พระอุษณีษะสูง มีเสนขมวดพระเกศา เปนลายเสนคลายเลขหนึ่งไทย ครองจีวรเรียบ เจาะชองดานขางพระวรกายทั้งสองขาง เปนรูปแบบที่ มีความ ใกลเคียงกับพระพุทธรูปศิลปะเขมรแบบบายน นาจะกําหนดอายุในชวงปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘
๖
ศักดิ์ชัย สายสิงห, พระพุทธรูปในประเทศไทย: รูปแบบ พัฒนาการ และความเชื่อของคนไทย (กรุงเทพฯ: ภาควิชาประวัติศาสตรศิลปะ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๖), หนา ๑๐๙ - ๑๑๐. ๗ ศักดิ์ชัย สายสิงห, เรื่องเดียวกัน, หนา ๑๐๙. ๑๐๓
ภาพพระพุทธรูปทําจากหินทราย ศิลปะลพบุรี ชวงปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ที่ไดจากกรุพระเจดียวัดมหาธาตุ จังหวัดเพชรบูรณ
๒.๒ พระพุทธรูปทําจากสําริด ๒.๒.๑ นั่งขัดสมาธิราบ แบบอูทอง ๑ ชวงพุทธศตวรรษที่ ๑๘ - ๑๙ พบจํานวน ๑ องค พระพุทธรูปรูปแบบนี้มีพระพักตรเปนสี่เหลี่ยมแบบพระพุทธรูปศิลปะเขมร พระเศียรมีเม็ดพระศกขมวดเปนกน หอย พระอุษณีษะทรงกรวย และมีพระรัศมีเปนตุมเล็ก ๆ๘ แสดงใหเห็นความเกี่ยวเนื่องกับศิลปะทวารวดีและ ศิลปะเขมรที่เขามาปะปนกัน จนมีรูปแบบที่เปนศิลปะลพบุรีอยางแทจริง
ภาพพระพุทธรูปแบบอูทอง ๑ ศิลปะลพบุรี ชวงพุทธศตวรรษที่ ๑๘ - ๑๙ ที่ไดจากกรุพระเจดียวัดมหาธาตุ จังหวัดเพชรบูรณ
๒.๒.๒ นั่งขัดสมาธิเพชร ชวงพุท ธศตวรรษที่ ๑๘ - ๑๙ พบจํานวน ๑ องค พระพักตร สี่เหลี่ยม พระขนงตอกัน พระเนตรปด พระโอษฐแบะกวาง ริมพระโอษฐหนา พระเกตุมาลาเปนรูปกรวย ครอง จีวรเรียบหมคลุม พระพุทธรูปปางสมาธิ นั่งขัดสมาธิบนฐานบัว ทานั่งขัดสมาธิเพชร แสดงอิทธิพลศิลปะปาละ อาจเปนการนํารูปแบบศิลปะอินเดียแบบปาละเขามาผสมกับทวารวดีอีสาน
ภาพพระพุทธรูป ศิลปะลพบุรี ชวงพุทธศตวรรษที่ ๑๘ - ๑๙ ที่ไดจากกรุพระเจดียวัดมหาธาตุ จังหวัดเพชรบูรณ
๓. พระพุทธรูปสมัยอยุธยา ชวงพุทธศตวรรษที่ ๑๙ - ๒๐ ๓.๑ พระพุทธรูปแบบอูทองรุนที่ ๒ ชวงปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๙ – กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๐๙ จํานวน ๑ องค มีลักษณะพระพักตรเปนสี่เหลี่ยมแบบพระพุทธรูปศิลปะเขมร พระขนงเชื่อมตอเปนรูปปกกา พระเนตรเบิกกวางเหลือบลงต่ําเล็กนอย ไมแสดงดวงเนตร พระนาสิกคอนขางใหญ พระโอษฐแบะกวาง แนว ๘
สันติ เล็กสุขุม, ศิลปะอยุธยา งานชางหลวงแหงแผนดิน (กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ, ๒๕๔๔), หนา ๑๓๘. ศักดิ์ชัย สายสิงห, พระพุทธรูปในประเทศไทย: รูปแบบ พัฒนาการ และความเชื่อของคนไทย. (กรุงเทพฯ: ภาควิชาประวัติศาสตรศิลปะ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๖), หนา ๓๖๙. ๑๐๔ ๙
เสนพระโอษฐเกือบเปนเสนตรง ริมพระโอษฐหนา มีไรพระศก พระเศียรมีอุษณีษะไมสูงมาก และขมวดพระ เกศาขนาดเล็กมาก แบบหนามขนุน พระรัศมีเปนเปลวสูง ครองจีวรเรียบ ปลายสังฆาฏิตัดตรง ซึ่งเปนอิทธิพล ของศิลปะเขมรและลพบุรี
พระพุทธรูป ศิลปะอยุธยา แบบอูทองรุน ๒ ชวงปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๙ – กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ที่ไดจากกรุพระเจดียวัดมหาธาตุ จังหวัดเพชรบูรณ
๓.๒ พระพุทธรูปแบบอูทองรุนที่ ๓ อิทธิพลศิลปะสุโขทัย ชวงตนถึงปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๐๑๐ จํานวน ๙ องค มีลักษณะเดนคือประทับนั่งบนฐานที่มีลักษณะแอนเวาเขาขางใน พระพักตรรูปไข พระขนงโกง พระเนตรหรี่เรียวเหลือบต่ํา แยมพระโอษฐเล็กนอย ครองจีวรเรียบ สังฆาฏิเปนแผนเล็ก ๆ ยาวลงมาจรดพระ นาภี ปลายสังฆาฏิที่พบเปนแบบตัดตรง มีไรพระศก ขมวดพระเกศาเล็กมากแบบหนามขนุน พระรัศมีเปนเปลว สูง
ภาพตัวอยางพระพุทธรูป ศิลปะอยุธยา แบบอูทองรุน ๓ ชวงตนถึงปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ที่ไดจากกรุพระเจดียวัดมหาธาตุ จังหวัดเพชรบูรณ
๓.๓ พระพุทธรูปหินทรายที่มีอิทธิพลสุโขทัย ชวงพุทธศตวรรษที่ ๒๐๑๑ จํานวน ๑ องค สวนองค พระพุทธรูปหินทรายที่พบจากกรุวัดมหาธาตุนี้ ทําจากหินทรายสีแดง ครองจีวรเรียบ มีรอยสลักใหเห็นขอบจีวร และชายสังฆาฏิเปนเสนเล็กมีปลายแยกเปนเขี้ยวตะขาบ อันแสดงใหเ ห็นถึงอิท ธิพลของศิลปะสุโ ขทัย และ เทคนิคการทําพระพุทธรูปหินทรายโดยสลักแยกเปนสวน ๆ ๓ - ๕ สวน เชน สวนเศียร สวนองค และสวนพระ เพลา แลวนํามาตอกัน ปดรอยตอดวยการลงรักปดทอง เปนเทคนิคเฉพาะของการสรางพระพุทธรูปหินทราย สมัยอยุธยาตอนตน
ภาพสวนองคพระพุทธรูปหินทราย ชวงพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ที่ไดจากกรุพระเจดียวัดมหาธาตุ จังหวัดเพชรบูรณ
๑๐
เรื่องเดียวกัน, หนา ๓๘๙ - ๓๙๐. ๑๑ เรื่องเดียวกัน, หนา ๓๙๕ - ๓๙๘. ๑๐๕
สรุป
จากผลการศึกษาพระพุทธรูป ในในกรุพระเจดียมหาธาตุ จังหวัดเพชรบูรณ พบพระพุท ธรูป ที่ กําหนดอายุไดในชวงราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗ – ๒๐ ที่มีรูปแบบรวมกับศิลปะเขมรแบบนครวัด เรื่อยมาจนถึง สมัยอยุธยา ซึ่งพระพุทธรูปที่กําหนดอายุใหมที่สุดที่พบคือ พระพุทธรูปศิลปะอยุธยา ชวงพุทธศตวรรษที่ ๒๐ พระพุทธรูปที่พบมากที่สุดเปนพระพุทธรูปรวมแบบศิลปะเขมรแบบนครวัด ชวงพุทธศตวรรษที่ ๑๗ - ๑๘ และกลุมพระพุท ธรูป ศิลปะอยุธยา แบบอูท องรุนที่ ๓ แสดงใหเ ห็นถึงความนิยมพระพุทธรูปที่มี อิทธิพลของศิลปะสุโขทัย ในชวงตนพุทธศตวรรษที่ ๒๐ รองลงมาคือพระพุทธรูปรวมแบบศิลปะเขมรแบบบายน และศิลปะลพบุรี ชวงพุทธศตวรรษที่ ๑๘ แสดงใหเห็นถึงความนิยมของพระพุทธรูปในศิลปะเขมร และศิลปะลพบุรีของผูคนในเมืองเพชรบูรณ ใน หวงเวลาดังกลาว สวนพระพุทธรูปศิลปะลพบุรี ชวงพุทธศตวรรษที่ ๑๘ - ๑๙ นั้นพบนอย อาจเปนเพราะอยูในชวง หัวเลี้ยวหัวตอของการเปลี่ยนผานความนิยมในตัวรูปแบบงานศิลปกรรมในศิลปะเขมร กอนที่จะคลี่คลายมา เปนพระพุทธรูปศิลปะอยุธยา การพบพระพุทธรูปที่แสดงใหเห็นชวงหัวเลี้ยวหัวตอของการเปลี่ยนผานรูปแบบ งานศิลปะ ทําใหเห็นพัฒนาการทางดานรูปแบบจากเขมร มาเปนศิลปะลพบุรี และอยุธยา อันมีความเกี่ยวของ ของศิลปะปาละ และ พุกาม จากพระพุทธรูปทรงเทริดขนนก และพระพุทธรูปขัดสมาธิเพชร ผลการศึก ษาพระพุท ธรูป สอดคลองกับรูปแบบของเจดียทรงยอดดอกบัวตูม อันเปนรูปแบบ สถาปตยกรรมแบบสุโขทัยแท ที่กําหนดอายุชวงพุทธศตวรรษที่ ๒๐ และยังมีความสัมพันธอาณาจักรสุโขทัย ซึ่ง ในชวงสมัยสุโขทัย (พุทธศควตรรษที่ ๑๙-๒๐) เมืองเพชรบูรณมีฐานะเปนเมืองแวนแควนดานตะวันออกเฉียงใต หลักศิลาจารึกหลักที่ ๑ มีขอความตอนหนึ่งกลาวถึงการแผขยายมาถึงพื้นที่ดานตะวันออกของสุโขทัย มีคําวา “ลุมบาจาย” อันเชื่อวาคือเมืองหลมเกา จังหวัดเพชรบูรณ๑๒ และหลักศิลาจารึกหลักที่ ๙๓ วัดอโศการาม ดาน ที่ ๒ กลาวถึงอาณาเขตของสุโขทัย มีขอความวา “...ดานทิศตะวันออกเฉียงใต ทรงทําเมืองวัชชปุระเปนรัฐ สีมา”๑๓ ประกอบกับขอความในจารึกลานทอง ที่เอยนามพระเจาเพชบุร ผูประดิษฐานจารึก และพอพระ ยาลก ผูเ ปนกษัตริย๑๔ แสดงถึง ความสําคัญ ของผูมีอํานาจปกครองเมืองเพชรบูร ณ ซึ่ง อาจมีความสัม พันธ ทางดานเครือญาติกับอาณาจักรสุโขทัย จึงปรากฏเจดียรูปแบบทรงยอดดอกบัวตูมอิทธิพลศิลปะสุโขทัยที่เมือง เพชรบูรณ ----------------------------------------บรรณานุกรม กรมศิลปากร. ระบบภูมิสารสนเทศ แหลงมรดกศิลปวัฒนธรรม. สืบคนเมื่อวันที่ ๒๓ เดือนมิถุนายน, ๒๕๖๐, Web site: http://gis.finearts.go.th/fineart/. คณะกรรมการฝายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ ในคณะกรรมการอํานวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัว. วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร เอกลักษณและภูมิปญญา จังหวัดเพชรบูรณ. กรุงเทพฯ: คุรุสภาลาดพราว, ๒๕๔๓. สันติ เล็กสุขุม. ศิลปะสุโขทัย. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ, ๒๕๔๙. .ศิลปะอยุธยา งานชางหลวงแหงแผนดิน. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ, ๒๕๔๔. ศักดิ์ชัย สายสิงห. พระพุทธรูปในประเทศไทย: รูปแบบ พัฒนาการ และความเชื่อของคนไทย. กรุงเทพฯ: ภาควิชาประวัติศาสตรศิลปะ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๖. ๑๒
คณะกรรมการฝายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ ในคณะกรรมการอํานวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จ พระเจาอยูหัว, วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร เอกลักษณและภูมิปญญา จังหวัดเพชรบูรณ. (กรุงเทพฯ: คุรุสภา ลาดพราว, ๒๕๔๓), หนา ๒๖. ๑๓ เรื่องเดียวกัน, หนา ๒๖ . ๑๔ เรื่องเดียวกัน, หนา ๙๔ - ๙๕. ๑๐๖
หลักฐานการรับพุทธศาสนาแรกสุดในประเทศไทย รอยเอกบุณยฤทธิ์ ฉายสุวรรณ* หลักฐานทางโบราณคดีที่บงชี้ถึงการแพรกระจายของพระพุทธศาสนาที่เกาทีส่ ดุ ทีเ่ ขามาในดินแดนประเทศ ไทย การอธิบายผานหลักฐานทางโบราณคดีแตเดิมนั้น เริ่ม ตนจากการปรากฏอิทธิพลศิลปะอินเดียอมราวดี โดย หลักฐานที่เดนชัดที่สุดคือ พระสาวกอุมบาตร ทํา ดวยดินเผา พบที่อูทอง จังหวัดสุพรรณบุรี อายุประมาณพุทธ ศตวรรษที่ ๘-๙ การทําดวยดินเผานั้นทําใหเชื่อวาทําขึ้นเองในทองถิ่นมิไดนํา มาจากภายนอก หลักฐานดังกลาว แสดงใหเห็นวาชุมชนโบราณที่อูทองไดยอมรับ นับถือพุทธศาสนาแลว แตจากหลักฐานทางโบราณคดีที่พบใหม ในทางภาคใตทํา ให เห็นเคา รางที่พอเชื่อไดวา พุทธศาสนานา จะเขา มาในดินแดนประเทศไทยกอนหนา นั้นเปน เวลานานแลว ตั้งแตยังไมมีการสรางพระพุทธรูปเปนรูปเคารพแทนองคศาสดาดวยซ้ํา โดยหลักฐานทางโบราณคดีที่ พบใหมในภาคใตในสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ ๕ ไดพบหลักฐานทั้งทางตรงและ ทางออมทีส่ ามารถเชื่อมโยงใหเห็นไดวาพุทธศาสนาไดเริ่มเขามายังดินแดนภาคใตประเทศไทยตั้งแตเมื่อประมาณ ๒,๐๐๐ ปมาแลว โดยอธิบายผานมุมมองและหลักฐานตางๆ ดังนี้ ๑. หลักฐานการเขามาของคนอินเดีย เมื่อดินแดนภาคใตของประเทศไทยไดกลายเปนเมืองทาหรือสถานีการคาโดยเปนสวนหนึง่ ของเสนทาง สายไหมทางทะเลหลักฐานสําคัญในการยืนยันเรื่องดังกลาวคือ การพบโบราณวัตถุที่เปนสินคาของโรมันเชน จี้รูป บุคคลแบบโรมัน ภาชนะแกวโรมัน รวมทั้งพบโบราณวัตถุจากประเทศจีนเชน คันฉองสําริดและภาชนะดินเผาสมัย ราชวงศฮั่น (Han Dynasty) ทํา ใหภ าคใตพบโบราณวัตถุทั้งที่มาจากซีกโลกตะวันออกและตะวันตกพรอมๆ กัน การเปนสวนหนึ่งของเสนทางการคาสําคัญดังกลาวนับเปนแรงกระตุนสําคัญที่ทําใหคนอินเดียเดินทางเขามาคาขาย รวมถึงการเขามาตั้งถิ่นฐานในพื้นทีแ่ ถบนี้ บวกกับพื้นที่ภาคใตมีทรัพยากรที่เปนสินคาที่ตองการของตลาดไดแก เครื่องเทศ ของปา และที่สําคัญที่สุดอีกชนิดหนึ่งแตแถบจะไมมีการกลาวถึงเลยคือ ดีบุก สําหรับหลักฐานทีย่ นื ยันถึง การเขามาของคนอินเดีย ดังนี้ ๑.๑ อักษรและภาษาของอินเดีย การพบหลักฐานที่เปนตัวอักษรและภาษาของอินเดียแสดงใหเห็นถึง อิทธิพลทางวัฒนธรรมของอินเดียที่มีตอดินแดนภาคใตของประเทศไทยโดยตรงตั้งแตสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตรที่ สํา คั ญ ได แ ก ตราประทั บ ทองคํ า มี รู ป ภัท รบิฐ (บัล ลั ง ก ) อยู ต รงกลางล อ มรอบด ว ยอัก ษรพราหมี (Brahmi characters) กลาวถึงนายเรือชื่อพฤหัสบดี อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๖ นอกจากนี้ยังพบตัวอักษรที่เขียนลงบน ภาชนะดินเผาการเขียนตัวอักษรลงบนภาชนะดินเผาในลักษณะนี้พบมากที่แหลงโบราณคดีอริกเมฑุ (Arikamedu) ในประเทศอินเดีย (Wheeler:1946, 110-114) ที่ภูเขาทองพบตัวอักษรพราหมีเขียนลงบนภาชนะดินเผาอานวา ‘pu aa’ นอกจากนี้ยังพบตัวอักษรทมิฬภาษาทมิฬ-พราหมี(Tamil-Brahmi) มีอักษรเหลือเพียง ๓ ตัวอยูบนเศษ ภาชนะดินเผาอานวา “Tu Ra O...”ตัวอักษรทั้งสองชิ้นนี้มีอายุในชวงประมาณพุทธศตวรรษที่ ๗-๙ ๑.๒ ภาชนะดินเผานํา เขาจากอินเดีย การพบภาชนะดินเผาที่นําเขามาจากอินเดียเปนหลักฐาน สําคัญอยางยิ่ง หากภาชนะดินเผาถูกนําเขามาเพื่อใชในพิธีกรรมก็แสดงถึงอิทธิพลทางความเชื่อทางศาสนา หาก นํามาเพื่อใชสอยในชีวิตประจําวันก็อาจหมายถึงมีการนําติดตัวเขามาตั้งถิ่นฐานของคนอินเดียโดยตรง ภาชนะดิน เผาที่นําเขามาจากอินเดียที่สําคัญ ไดแก - รูเล็ทเต็ดแวร (Rouletted ware) ภาชนะดินเผาชนิดนี้ถือเปนหลักฐานที่โดดเดนในการอธิบายถึง แพรกระจายตัวทั้งทางดานการคา และวัฒนธรรมระหวางอินเดียกับดินแดนตางๆ โดยเฉพาะที่เขา มาในเอเชีย ตะวันออกเฉียงใตในชวงสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร ทีแ่ หลงโบราณคดีภูเขาทอง จังหวัดระนอง พบภาชนะดินเผา ชนิดนีจ้ ํานวนมากและอาจจะมีจํานวนมากที่สุดที่พบนอกประเทศอินเดีย ภาชนะดินเผาชนิดนี้พบกระจายตัวทั้งใน อินเดียและศรีลังกามากกวา ๕๐ แหง มีอายุประมาณ ๒,๐๐๐-๒,๒๐๐ ปมาแลว (Vimala Beyley: 1988, 427) ในเอเชียตะวันออกเฉียงใตพบภาชนะดินเผาชนิดนี้ที่ชายฝงทะเลของเกาะชวา และตอนเหนือของเหนือของเกาะ บาหลี ในประเทศอินโดนีเชีย, พบที่ Trakieu ในภาคกลางของประเทศเวียดนาม ภาชนะชนิดนี้อาจจะผลิตจาก ทมิฬนาดูทางภาคใตของประเทศอินเดีย (Bellina Berenice: 2004,78) ไดมีวิเคราะหเนื้อดินทางวิทยาศาสตร จากตัวอยางในหลายๆ ที่ทั้งจากประเทศอินเดีย ศรีลังกา และอินโดนีเซียไดแก Anuradhapura, Arikamedu, 107
Karaikadu, Sembiran, Pacung พบวาเนื้อดินมีลักษณะเดียวกันทําใหสรุปไดวา ทั้งหมดผลิตจากแหลงผลิตเพียง สองสามแหลงเทานั้นแลวถูกนําไปใชยังดินแดนตา งๆ (Ardika 1991: 224) รวมทั้งชายฝงทะเลอันดามันของ ประเทศไทยดวย - น็อบแวร (Knobbed ware) ภาชนะดินเผาชนิดนี้จะมีปุมแหลมทรงกรวยคว่ําที่กนดานใน การทําปุม แหลมที่กนดา นในยังนิยมทํา กับ ภาชนะสํา ริด ที่มีดีบุก ผสมในปริมาณสูง (high-tin bronze) เชนพบที่ แ หลง โบราณคดีดอนตาเพชร จังหวัด กาญจนบุรี ภาชนะดินเผาชนิด นี้เชื่อวา มี ตน กํา เนิดมาจากอินเดียโดยนาจะถูก นํามาใชในพิธีกรรม ภาชนะดินเผาน็อบแวรนี้พบที่ Wari-Bateshwar ประเทศบังคลาเทศ และอีกสองสามแหลง ทางดานชายฝงทะเลตะวันออกของประเทศอินเดีย ภาชนะชนิดนี้ยังพบกระจายตัวอยูในเอเชียตะวันออกเฉียงใต ดวย (Bellina and Glover: 2004, 80, Selvakumar, V.: 2011, 200) ที่แหลงโบราณคดีถ้ําเสือ จังหวัด ระนองพบรูปทรงสมบูรณ ๑ ใบ การทําปุมแหลมทรงกรวยคว่ํา ที่สว นกนดานในนอกจากจะทําดว ยดินเผา และ สําริดแลว ยังพบวามีการทํา จากหินแกรนิตดวยโดยพบที่ตักศิลา (Taxila) ปจ จุบันจัดแสงอยูพิพิธภัณฑบริติช มิว เซียมประเทศอังกฤษ ภาชนะชนิดนี้อยูรวมสมัยกับรูเล็ทเต็ดแวร อายุประมาณ ๒,๐๐๐ ปมาแลว - ภาชนะดินเผาชนิดอื่นๆ ที่แหลงโบราณคดีภูเขาทองพบภาชนะดินเผาหลายประเภทเหมือนกับทีพ่ บที่ อริกเมฑุ เชน จานกนตื้นมีลายกดประทับรูปดอกไมที่สวนกนดานในผิวขัดมันสีดําเนื้อดินสีเทาละเอียด ภาชนะดิน เผาทรงถว ยขนาดเล็กขัดมันสีดํา เปนตน (Wheeler, R.E.M. :1946, 89) ภาชนะดินเผาเหลานี้ลวนมีเนื้อดิน ละเอียดเปนพิเศษตางจากภาชนะดินเผาอื่นๆ โดยทั่วไป พบรวมกับรูเล็ทเต็ดแวร ๑.๓ การรับเทคโนโลยีจากอินเดีย สิ่งที่นับวาเปนเทคโนโลยีขั้นสูงที่เกิดขึ้นในภาคใตอยางกาวกระโดด คือ เปนแหลงผลิตลูกปดแกวและหิน จากเดิมที่เคยพบลูกปดทีท่ ําจากกระดูกสัตว และเปลือกหอยตามถ้ําสมัยกอน ประวัติศาสตร ไดเปลี่ยนมาเปนการพบลูกปดแกวและหินเปนจํานวนมากแถบชายฝงทะเลในภาคใตข องประเทศ ไทย มีแ หลงโบราณคดีอยา งนอย ๒ แหงไดแก ควนลูกปดหรือคลองทอม จังหวัดกระบี่ และภูเขาทอง จังหวัด ระนอง ไดกลายเปนแหลงอุตสาหกรรมการผลิตลูกปดทีส่ ําคัญในระดับภูมิภาค แหลงโบราณคดีทั้ง ๒ แหงนีพ้ บทั้ง วัตถุดิบที่นํา มาใชทํา ลูกปดทั้งกอนแกว หินกึ่งอัญมณี (semi-precious stone) ลูกปดที่ยังทําไมเสร็จ ลูกปดที่ เสียหายในขั้นตอนการผลิตเปนจํานวนมาก ปรากฏการณที่ภาคใตกลายเปนแหลงผลิตลูกปดสํา คัญในระดับภูมิภ าคนี้ตองยอมรับวา เปนการรับ เทคโนโลยีขั้นสูงโดยตรงมาจากอินเดีย โดยเฉพาะการผลิตลูกปดแกวนั้นจะตองใชทักษะและเทคโนโลยีการใชความ รอนทีส่ ูงมากในขบวนการผลิต ในขณะทีภ่ าคใตไมมีหลักฐานทางโบราณคดีใดๆ ที่ยืนยันไดวามีทกั ษะความรูพ นื้ ฐาน ในเรื่องการใชความรอนสูงในการผลิตเครื่องมือเครื่องใชหรือเครื่องประดับโลหะมากอนเลย ในสว นของลูกปดหิน นั้นแมวาคนในภาคใตของประเทศไทยรูจักการขัดฝนหินเพื่อทําเครื่องมือหินขัดแลว แตวัตถุดิบที่ใชในการทําลูกปด หินที่เปนหินกึ่งอัญมณีเชน agate, Carnelain, amethyst ที่มีคุณภาพดีกลับไมมีในทองถิ่น อีกทั้งการขัดและเจาะ ในขบวนการผลิตลูกปดหินที่มีความแข็งมากๆ คนพื้นเมืองดั้งเดิมในภาคใตกอนการเขามาของคนอินเดียก็ไมมี เทคโนโลยีพื้นฐานพอทีจ่ ะสามารถทําลูกปดหินกึ่งอัญมณีเหลานี้ขึ้นไดเองในทองถิ่นเชนกัน ดังนั้นทําใหเชื่อวา คน อินเดียไดเขามาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ภาคใตพรอมๆ การใชพื้นที่ภาคใตเปนแหลงผลิตลูกแกวและหินในเวลาเดียวกัน ๒. หลักฐานที่เกี่ยวของกับพระพุทธศาสนา แหลง โบราณคดีภูเขาทองพบจี้สิงโตครึ่งตัวอยูในทา หมอบแกะสลักจากคริส ตัล (rock crystal) มี รายละเอียดและสัดสวนสวยงามมาก ในประเทศไทยพบสิงโตทําจากหินคารเนเลียนที่บานดอนตาเพชร จังหวัด กาญจนบุรี และที่ทาชนะ จังหวัดสุราษฎรธานี รูปสิงโตที่แกะสลักจากหินตาง ๆ พบเปนจํานวนมากที่เมืองตักษิลา (Taxila) ปจจุบันอยูในประเทศปากีสถาน ตักษิลาเปนศูนยกลางของพระพุทธศาสนาทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ของอินเดีย (พุทธศตวรรษที่ ๕-๘) ยังพบจี้สิงโตอยูในเมืองโบราณในภูมิภาคตะวันตกในสมัยราชวงศสาตวาหนะ (Satavahana) อีกดวย เชน ที่เมืองสัมภร (Sanbhar) เมืองนาสิก(Nasik) จี้สิงโตจัดเปนเครื่องรางประเภทหนึ่งคือ เปนสัญลักษณของอํานาจ และความยิ่งใหญ ในสมัยราชวงศกุษาณะ(Kusana) (พุทธศตวรรษที่ ๕-๘) ไดใชเปน สัญลักษณที่แสดงสถานะภาพของพระพุทธเจาทรงเปนสิงหแหงศากยะ (ผาสุข อินทราวุธ :๒๕๔๘,๔๘) รวมทั้ง พบสัญลักษณมงคลหลายอยางไดแก สังข ศรีวัตสะ(srivatsa) สวัสติกะ(Svastika) สัญลักษณเหลานี้ลวนเปน สัญลักษณสําคัญในศาสนาพุทธ มีสัญลักษณหนึ่งที่ไมถูกใชรวมในศาสนาอื่นเปนสัญลักษณที่มีความสําคัญอยางมาก ในศาสนาพุทธคือ ตรีรัตนะ(Triratana) ในพื้นทีภ่ าคใตของประเทศไทยทั้งชายฝงทะเลอันดามันโดยเฉพาะที่ภูเขา 108
ทอง รวมฝงอาวไทยที่เขาสามแกว จังหวัดชุมพร พบสัญลักษณนี้จํานวนไมนอย ที่ภูเขาทองนอกจากจะพบลูกปด หินที่ทําสัญลักษณตรีรัตนะแลวยังพบสัญลักษณนี้ทําดวยทองคําอีกดวย ในประเทศอินเดียกอนที่จะมีการสรางพระพุทธรูปเปนรูปเคารพแทนองคศาสดามีการใชสัญลักษณตรี รัตนะอยางแพรหลาย หนึ่งในนั้นคือทําเปนลูกปดหอยคอดังไดพบหลักฐานที่รูปสลักหินสมัยอินเดียโบราณที่สถูป สาญจี และภารหุต นอกจากนีย้ ังพบเปนภาพสลักประดับตกแตงบนสถูปอยูเปนจํานวนมาก นอกจากนี้ยังพบบน ภาชนะดินเผาที่ Arikamedu ดวย (Wheeler, R.E.M.:1946,XXXI.No.A, Ray, H.P.:1996,50) สถูป ปปราหวะตั้งอยูระหวางพรมแดนอินเดีย-เนปาล นักวิชาการสวนหนึ่งเชื่อวาคือที่ตั้งของกรุง กบิลพัสดุไ ดมีการขุดคนพบผอบบรรจุพระบรมสารี ริกธาตุ ที่ตัว ผอบมีจ ารึกอักษรพราหมีระบุวา เปนพระบรม สารีริกธาตุจารึกไวดวย สิ่งที่พบรวมกับพระบรมสาริกธาตุนั้น มีสัญลักษณมงคลหลายชนิดหนึ่งในนั้นคือ ตรีรัตนะ ผอบพร อมพระบรมสารีริธ าตุชุด นี้ รัฐบาลอิน เดีย ไดนอ มเกลา ถวายรัช กาลที่ ๕ แลว พระองค โปรดใหบ รรจุ ประดิษฐานไวที่พระบรมบรรพตหรือเจดียภูเขาทอง วัดสระเกษ กรุงเทพมหานคร การพบสัญลักษณตรีรัตนะ รวมกับพระบรมสารีริกธาตุนี้สะทอนใหเห็นภาพไดอยางชัดเจนวา “ตรีรัตนะ” เปนสัญลักษณในพุทธศาสนาที่มี ความสําคัญอยางยิ่ง นอกจากนี้ที่คลองทอม จังหวัดกระบี่ ยังพบธรรมจักรดินเผาอีกดวย ดังนั้นถาหากคนอินเดียที่ เขามาคาขายรวมถึงตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยเปนกลุมคนที่นับถือศาสนาพุทธนั้นก็หมายความวา พุทธศาสนาได เผยแพรเขามายังดินแดนของประเทศไทยโดยเฉพาะทางชายฝงทะเลอันดามันตั้งแตเมื่อประมาณ ๒,๐๐๐ ปมาแลว ๓. การเปลี่ยนแปลงโครงสรางทางสังคม จากหลักฐานทางโบราณคดีที่พบในพื้นที่ภาคใตข องประเทศไทยแสดงใหเห็นวา การเขามาของคน อินเดียมีผลอยางมากตอการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในพื้นที่แถบนี้ ดูเหมือนชุมชนในภาคใตมีพัฒนาการอยา งกาว กระโดดจากยุคหินใหมมาสูสังคมสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตรพรอมกับการปรากฏอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากอินเดีย ที่สามารถกลาวเชนนี้ไดก็เนื่องจากวา นับถึงปจจุบันยังไมพบชุมชนสมัยกอนประวัติศาสตรที่มีการใชเครือ่ งมือโลหะ ทีม่ ีการตั้งถิ่นฐานรวมกลุมเปนหมูบานขนาดใหญตามลักษณะสังคมเกษตรกรรมในยุคโลหะในพืน้ ทีภ่ าคใตเลย ทําให ในพื้นที่ภาคใตไมพบโครงกระดูกถูกฝงรวมกับเครื่องมือเครื่องใชทั้งที่ทําจากสําริด และเหล็ก แนวความคิดนี้ไดรับ การยืนยันจากผลการขุดคนที่แ หลงโบราณคดีก ะเปอร จังหวัดระนองโดยพบวา ใตชั้น วัฒนธรรมสมัยแรกเริ่ม ประวัติศ าสตร ที่ พบลูก ปดในชั้นกิจ กรรมการอยูอาศัย มีชั้นวัฒ นธรรมของชุม ชนที่ใ ชห มอสามขาในสมัย กอน ประวัติศาสตรกอนการเขามาของคนอินเดีย โดยสมัยกอนประวัติศาสตรยุคโลหะไดขาดหายไป ปรากฏการณที่ทําใหชุมชนยุคโลหะในภาคใตขาดหายไปนี้พออธิบายไดวา ในชว งกอน ๒,๐๐๐ ปคน ในภาคใตยัง ไมไ ดติด ตอกับ คนสมัย กอนประวัติศ าสตร ยุค เหล็กในภาคกลางหรือ ภาคอื่นๆ ของประเทศไทย จนกระทั่งตอมาเมื่อคนอินเดียที่นับถือศาสนาพุทธไดเริ่มเขามาติดตอคา ขายตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ภาคใต จนเกิดการ ผสมผสานกันทั้งทางดานกายภาพและวัฒนธรรมกับคนพื้นเมืองภาคใตดั้งเดิม โดยนาจะเปนกลุมคนที่อาศัยอยูต าม ชายฝงทะเลอันดามันที่เปนเจาของภาพเขียนสีสมัยกอนประวัติศาสตร (rock art) หรือกลุมคนที่ใชหมอสามขา ดังนั้นการไมพบประเพณีการฝงศพก็เทากับวากลุมคนเหลานี้ไดเปลี่ยนมายอมรับ นับถือโดยมีพิธิกรรมทางศาสนา เกิดขึ้นแลว และพิธีทางศาสนาเมื่อพิจารณาจากหลักฐานทางโบราณคดีที่พบก็นาจะหมายถึงเกิดการยอมรับนับถือ ศาสนาพุทธขึ้นในสังคมภาคใตในเวลานั้นแลว สรุป จากหลักฐานการเขามาของคนอินเดียโดยบริบ ททางสังคมของอินเดียเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ ๕ เปนที่ยอมรับกันวาพุทธศาสนาเจริญรุงเรืองอยางมากมีอิทธิพลเหนือศิลปกรรมของอินเดีย จนสามารถกลาวไดวา ศิลปกรรมเกือบทั้งหมดที่สรางขึ้นในประเทศอินเดียระหวางพุทธศตวรรษที่ ๓-๕ ลวนสรางขึ้นภายใตอิทธิพลทาง พุทธศาสนาทั้งสิ้น (สุภัทรดิศ ดิศกุล ศ.มจ.: ๒๕๓๔, ๓๖-๓๗) ดังนั้นคนอินเดียที่เดินทางเขามาติดตอคาขายหรือตั้ง ถิ่นฐานในภาคใตจึงควรเปนคนที่นับถือศาสนาพุทธ เมื่อคนอินเดียที่เปนชาวพุทธไดเดินทางเขา มาในพื้นที่ภาคใต โดยตรงก็หมายความวาพุทธศาสนาไดเผยแพรเขามาในดินแดนประเทศไทยแลว การเขามาไมวาจะเปนไปเพื่อการ ติดตอคาขายหรือการเผยแพรศาสนาเปาหมายเหลานี้ลวนตองอาศัยการติดตอกับคนพื้นเมืองดั้ งเดิมทั้งสิ้น เมื่อมี การติดตอกันแลวจึงเกิดการรับสงวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน การพบหลักฐานที่เปนสัญลักษณในศาสนาพุทธ การ เปลี่ยนแปลงโครงสรางทางสังคมที่เกิดขึ้นในภาคใต เหลานี้ลวนเปนองคประกอบแวดลอมที่นาจะมีเหตุอธิบายไดวา พุทธศาสนาไดเผยแพรเขามาในประเทศไทยเมื่อประมาณ ๒,๐๐๐ ปมาแลว 109
บรรณานุกรม ผาสุข อินทราวุธ. สุวรรณภูมิจากหลักฐานทางโบราณคดี. ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัย ศิลปากร, ศักดิ์โสภาการพิมพ, กรุงเทพฯ, ๒๕๔๘ สุภทั รดิศ ดิศกุล. ศ.มจ. ศิลปะอินเดีย. องคการคาคุรุสภา, กรุงเทพฯ, ๒๕๓๔ Ardika, I. W. and Bellwood, P. “Sambriran:the beginning of India contact with Bali”, Anquity 65 (247): 221-232,1991 Begley, V., “Rouletted Ware at Arikamedu: A New Approach” American Journal of Archaeology 92 PP 427-440, 1988 Bellina, B. and I. C. Glover, ‘The Archaeology of Early Contact with India and the Mediterranean World, from the fourth century B.C. to the fourth century A.D.’ in Southeast Asia: From Prehistory to History, ed. I. Glover and P. Bellwood, New York: Routledge/Curzon, 2004 Francis, P., “Bead,the Bead Trade and Development in Southeast Asia” Ancient Trades and Culture Contacts in Southeast Asia. The Office of the National Culture Comission. Bangkok, Thailand,1996. Glover, I. C., The Southern silk Road: Archaeological Evidence for Early Trade Between India and Southeast Asia. Ancient Trades and Culture Contacts in Southeast Asia. The Office of the National Culture Comission. Bangkok, Thailand, 1996. Lois Sherr Dubin. The History of Bead From 30,000 B.C.to Present. Japan,1995 Ray, H.P., “Early Trans-Oceanic Contacts Beetween South and Southeast Asia” Ancient Trades and Culture Contacts in Southeast Asia. The Office of the National Culture Comission. Bangkok, Thailand, 1996 Selvakumar, V., “Contacts between India and Southeast Asia in Ceramics and Boat Building Traditions”, Early Interaction between South and Southeast Asia. Manohar Publishers & Distributors. New Delhi, 2011 Verapasert Mayuree, ‘Khlong Thom: An Ancient Bead-Manufacturing Location and An Ancient Entrepot’, in Early Metallurgy Trade and Urban Centres in Thailand and Southeas Asia. Bangkok, 1992, Wheeler, R. E. M., Gosh, A. and Krishna Deva, “Arikamedu: an Indo-Roman trading station on the East coast of India”, Ancient India, Bulletin of the Archaeological Survey of India 2: 17-125, 1946
110
การใชเสียมลม (Air Spade) ในการขุดทางโบราณคดี นายสายกลาง จินดาสุ นักโบราณคดีชํานาญการ สํานักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม การพัฒ นารูปแบบการดําเนินงานทางโบราณคดี หัวใจหลัก คือ ความพยายามในการแสวงหาองค ความรู ศาสตรตางๆ รวมถึงอุปกรณเครื่องมือตางๆเพื่อประยุกตใชกับงานโบราณคดี โดยมีเปาหมายคือ ผล การศึก ษาในทางโบราณคดีและการบริห ารจั ดการพื้นที่เ พื่อดําเนินการ เพื่อใหลุลวงตามวัตถุประสงคและ เงื่อนไขของแตละงานแตละพื้นที่ ตนไมกับโบราณสถาน : ที่มาของการดําเนินงาน ปจจุบันกระแสการอนุรักษตนไมและพื้นที่สีเขียวเกิดขึ้นในเมืองใหญรวมถึงจังหวัดเชียงใหม ดังจะเห็น ไดจากกิจกรรมการรณรงคปลูกตนไม ในชื่อโครงการ มือเย็น เมืองเย็น และกลุมภาคีประชาชนและนักวิชาการ อนุรักษตนไม เชน กลุมเขียว สวย หอม และหมอตนไม ที่มีบทบาทในการดูแลรักษาพื้นที่สีเขียวและตนไม โดย ใชองคความรูในเชิงวิชาการในการดูแลรักษา หรือที่เรียกวา “รุกขกร” ดังนั้นการดําเนินการในโครงการของ ภาครัฐและเอกชนในจังหวัดเชียงใหม จึงมิอาจละเลยประเด็นการรักษาตนไม ซึ่งทั้งนี้รวมถึงการดําเนินงานทาง โบราณคดี ในป พ.ศ.๒๕๕๙ - ๒๕๖๐ สํานักศิลปากรที่๗ เชียงใหม ไดมีการดําเนินการทางโบราณคดี ในชื่อ โครงการ “ขุดคนขุดแตงทางโบราณคดีในพื้นที่ขวงหลวงเวียงแกว ตําบลศรีภูมิ อําเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม” การดําเนินการดังกลาวเกิดจากการที่จัง หวัดเชียงใหมมีความตองการที่จะปรับ ปรุงพื้ นที่ทัณฑสถานหญิง เชียงใหม(เดิม) ใหเปนสวนสาธารณะ ทั้งนี้ขอมูลทางโบราณคดีพบวา พื้นที่บริเวณทัณฑสถานและบริเวณรอบ ขาง ทับซอนกับพื้นที่สําคัญทางประวัติศาสตรที่ปรากฏหลักฐานในแผนที่โบราณนครเชียงใหม พ.ศ.๒๔๓๖ ที่ ปรากฏขอบเขตพื้นที่คลายรูป แบบวัง หลวง ที่มีก ารแบง สวนวัง ชั้นนอกและชั้นใน โดยปรากฏชื่อในแผนที่ โบราณนั้นวา “เวียงแกว” ทั้งนี้พื้นที่ดังกลาวถูกใชงานเปนวังของเจาผูครองนครเชียงใหมในชวงรัตนโกสินทร ตอนกลาง ราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๔ กอนที่เจาผูครองนครองคที่ ๗ (เจาอินทวิชยนนท) จะสรางและยายที่ ประทับไปยังพื้นที่แหงใหม คือ บริเวณโรงเรียนยุพราชในปจจุบัน (อยูหางจากทัณฑสถานหญิงเชียงใหมมาทาง ทิศตะวันออกราว ๒๐๐ เมตร) ซึ่งตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยูหัว รัชกาลที่ ๕ ทั้งนี้ จากขอมูลการทับซอนพื้นที่โดยใชภาพถายทางอากาศและแผนที่โบราณนครเชียงใหม พบสิ่งที่นาสนใจประการ หนึ่ง คือ พบเนินโบราณสถานที่ปรากฏโบราณสถานรูปแบบมณฑป ๑ แหง ในพื้นที่ขอบเขตเวียงแกว โดย โบราณสถานนี้ เปนเนินโบราณสถานเพียงแหงเดียวที่โผลพนผิวดิน ดวยเหตุนี้จึงนําไปสูการดําเนินการขุดแตง ทางโบราณคดีบริเวณเนินโบราณสถานนี้ กายภาพเนินโบราณสถานแหงนี้ นอกจากจะมีมณฑปปรากฏที่สวนทายของเนิน ยังมีตนไมใหญ คือ ตนมะเดื่อและตนไทรขึ้นบนเนินและชายเนิน โดยมีรากไทรบางสวนที่ครอบหุมมณฑปอยู สวนพื้นที่ทางดานทิศ ตะวันออกของมณฑปใชงานเปนศาล โดยประชาชนในพื้นที่เรียกศาลแหงนี้วา “ศาลเจาพอขอมือเหล็ก” ดวย กายภาพของเนินโบราณสถานที่มีตนไมใหญขึ้น โดยเฉพาะตนไทรที่มีรากเปนจํานวนมากแผขยายลงมาตาม ขอบเนินโบราณสถาน ทําใหการขุดแตงทางโบราณคดีตองตัดรากไทรเหลานี้ออกเพื่อใหสามารถขุดเปดดินเขา 111
ไปถึง สวนฐานมณฑปได โดยไดดําเนินการขุดเปดดานทิศตะวั นตกและทิศเหนื อบางสวน และระหวางที่ ดําเนินการขุดแตงทางโบราณคดีอยูนี้ ไดมีกลุมภาคีประชาชนและนักวิชาการดานการอนุรักษตนไมขอเขาหารือ เกี่ยวกับแนวทางการดําเนินงาน โดยมีประเด็นในการหารือคือ “จะขุดแตงทางโบราณคดีไดอยางไรโดยยัง สามารถรักษาตนไมใหอยูคูกับโบราณสถาน” ซึ่งทั้งนี้ในแนวทางการหารือสรุปไดวา ตองทําการขุดแตงทาง โบราณคดีเพื่อเปดใหเห็นอาคารโบราณสถานกอน ซึ่งจะสามารถประเมินภาวะความเกื้อกูลกันของตนไมและ โบราณสถานวา ตนไมจะเปนสิ่งเกื้อกูลชวยค้ําจุนโบราณสถานหรือทําลาย ทั้งนี้การจะดําเนินการทางโบราณคดี ไปถึงจุดที่จะวิเคราะหสภาพการณดังกลาวได จําเปนจะตองขุดดินจากขอบเนินโบราณสถานไลเ ขาหาขอบ อาคารโบราณสถาน ซึ่งก็ตองมีการตัดรากไมที่อยูในจุดนั้นๆออก จึงนําไปสูการหาวิธีการขุดทางโบราณคดีที่ รักษารากไมไว ซึ่งก็คือ การใชเสียมลมหรือที่เรียกวา Air spade ในการขุดทางโบราณคดีครั้งนี้ เสียมลม (Air Spade) : การใชแรงดันลมในการขุดทางโบราณคดี แตเดิมเสียมลม(Air Spade) คือ เครื่องมือที่ใชในการกอสรางถนนหรือใชในงานขุดเจาะ วางทอ หรือ เปนเครื่องมือในดานเกษตรกรรม ตอมาผูทํางานดานตนไมมองเห็นประโยชนในการใชงาน จึงนํามาประยุกตใช ในการบํา รุง รั ก ษาต น ไม เช น ขุ ดหลุม พรวนดิ น จนขยายขอบเขตการใชง านไปสู ก ารดูแ ลตน ไม ใ นเชิ ง ความสัมพันธกับสิ่งอื่นๆ เชน การเปาดินออกจากรากไมเพื่อใหสามารถวางทอผานพื้นที่รากไมได เพื่อลดการ ตัดรากไมซึ่งจะเปนสาเหตุทําใหตนไมตายในที่สุด ทั้งนี้ที่ผานมาการใชเสียมลมยังจํากัดอยูในงานดานการกอสราง และการเกษตรเทานั้น การนําเสียมลม มาใชในการดําเนินงานทางโบราณคดีในครั้งนี้ จึงถือเปนครั้งแรกที่มีการประยุกตนําเสียมลมมาใชในการขุดทาง โบราณคดี หรือเรียกไดวาเปนการขุดทางโบราณคดีโดยใชแรงดันลม การใชเสียมลมดําเนินงานทางโบราณคดีประกอบดวยอุปกรณ ดังนี้ ๑. หัวเปา เปนตัวควบคุมการปลอยอากาศ (Air Spade) แตเ ดิมใชในการกอสราง วางทอ เปาไลดิน หรือขุดหลุมในแนวดิ่ง(ตรง) ตอมารุกขกรเห็นประโยชน จึงนํามาประยุกตใชกับการเปาไลหนาดิน ขุดหลุมใสปุย ตนไมและวางทอลอดรากไม ๒. เครื่องอัดอากาศ เปนเครื่องอัดอากาศที่ใชในงานกอสราง (เจาะถนน) และงานอุตสาหกรรมอื่นๆ แรงดันลมที่ เหมาะสมอยูที่ประมาณ ๗ บาร (เครื่องโดยปกติเมื่อเปดใชงานจะอยูที่ ๗ บาร) และเมื่อเรงแรงดันลม ความแรง ควรจะอยูที่ ๘ บาร (ขอจํากัดการใชงานเครื่องอัดอากาศ คือ ใชงานตอเนื่องได ๓๐ นาที แลวตองทําการพัก เครื่ อ ง ๑ ครั้ ง โดยใช เ วลาพั ก เครื่ อ ง ๑๐ นาที ดั ง นั้ น ในการดํ า เนิ น การต อ รอบ จะใช เ วลา ๔๐ นาที โดยประมาณ) ๓. อุปกรณปองกันอันตราย ประกอบดวยอุปกรณหลัก ๒ อยาง คือ หมวกที่มีที่ครอบตาและใบหนา และหูครอบกันเสียง หรือที่อุดหู (เสียงจากการใชเสียมลม มีความดังมาก เปนอันตรายตอระบบการไดยินไดหากฟง เปนระยะ เวลานาน) 112
การดํา เนินการทดลองขุดแตง ทางโบราณคดีโ ดยใชเ สี ยมลมนี้ ดําเนินการระหว างวันที่ ๒๖-๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๐ รวมระยะเวลาทั้งหมด ๕ วัน การดําเนินการนี้มีหลักการ คือ ทุกกระบวนการปฏิบัติเปน การทํางานตามกระบวนการทางโบราณคดี (การวางผัง บันทึกขอมูล การเก็บโบราณวัตถุ ) เพียงแตเปลี่ยน อุป กรณในการขุดจาก จอบ เสียม เกรียง ไปเปนเสียมลม(Air Spade) โดยทําการขุดตรวจแบบรองยาว (trench) ๒ จุด คือ บริเวณมุมฐานมณฑปดานทิศตะวันตกเฉียงเหนือและดานทิศเหนือของเนินโบราณสถาน โดยขุดไลจากขอบเนินโบราณสถานเขาหาตัวโบราณสถาน ทั้งนี้ใชวิธีการขุดแบบผสมคือ ขุดตามระดับชั้นดิน สมมุติกอน เมื่อพบระดับแนวอาคารโบราณสถานจึงขุดตามชัน้ วัฒนธรรม (ตามแนวโบราณสถาน ขอสรุปการทดลองใชเสียมลม(Air Spade) ในการขุดทางโบราณคดี จากการทดลองใชเ ครื่องมือเสียมลม ในการขุดคนโบราณสถานเปนระยะเวลา ๕ วัน ที่ศาลเจาพอ ขอมือเหล็ก สามารถสรุปผลการทํางานได ดังนี้ ขอดี ๑. เสียมลมสามารถเปาดินออกจากรากไมและโบราณสถานไดเปนอยางดี ดินที่หลุดออกมาถูก แรงดันลมยอยใหมีขนาดเล็ก ละเอียด จึง สามารถสัง เกตโบราณวัตถุที่อยูในดินไดดีขึ้น และสามารถเก็บ หลักฐานทางโบราณคดีชิ้นเล็กๆ ไดมากขึ้นกวาวิธีเดิมที่ดินมักหลุดออกมาเปนกอนใหญ ทําใหสังเกตโบราณวัตถุ ไดยาก ๒. เสียมลมใชงานไดดีในการขุดพื้นที่ขนาดเล็ก เชน รองหรือรูขนาดเล็กที่คนยากจะเขาไปได รวมถึงยังชวยทุนแรงคนงาน (ผูใชงาน) ไมใหเหนื่อยจนเกินไป และอาจชวยลดจํานวนแรงงานในการขุดได ๓. สามารถใชเสียมลมเปนเครื่องมือหนัก ทดแทนการใชจอบ เสียม และอีเตอร ไดในบางกรณี ๔. สามารถนําเสียมลมมาประยุก ตใชกับงานขุดแตงโบราณสถาน โดยเฉพาะโบราณสถานที่มี ตนไมขึ้นคลุมทับและไมตองการตัดตนไมออก เชน กรณีที่ตนไมและโบราณสถานมีการค้ํายันกันอยู หรือใชใน งานดูแลรักษาพื้นที่และโบราณสถานได ขอเสีย/ขอจํากัด ๑. เนื่องจากเสียมลมมีแรงดันลมสูง มาก ในระหวางเปาดินอาจทําใหโ บราณวัตถุเ กิดความ เสียหาย หรือหลุดออกไปจากตําแหนงเดิม จึงไมเหมาะสมตอการนําไปใชในงานขุดคนทางโบราณคดีที่ จําเปนตองมีการจดบันทึกตําแหนงเดิมของโบราณวัตถุที่พบในหลุม (In situ) ซึ่งมีผลตอการวิเคราะห และแปลความขอมูลทางโบราณคดี ๒. ในการขุดแตงโบราณสถานโดยการใชแรงดันลม อาจทําใหอิฐบางกอนที่ไมไดสอดิน หรือสอ ดินแบบหลวมๆ หลุดออกจากแนวเดิมได จึงตองมีการควบคุมลมอยางระมัดระวัง รวมถึงยังคงตองใชเครื่องมือ เบา เชน เกรียง และเสียมเล็ก ในการขุดแตงจุดที่ใกลแนวโบราณสถานอยู เพื่อปองกันไมใหเกิดความเสียหาย กับแนวโบราณสถาน ๓. ในระหวางการเปาดินดวยเสียมลม ดินมีลักษณะกระจายออกไปทั่วพื้นที่ขุด และกลบพื้นที่ บางสวนที่ไดทําการขุดไปแลว ไมสามารถควบคุมใหดินไปในทางเดียวกันได อาจมีผลใหการทํางานช าลงและ ตองโกยดินไปทิ้งบอยครั้งขึ้น 113
๔. ผูใชงานเสียมลมและผูที่อยูในบริเวณโดยรอบควรมีการปองกันตนเองจากเศษดินที่กระเด็น ออกมาโดยรอบพื้นที่ขุด และเสียงจากทอลมที่ดังมาก ผูปฏิบัติงานควรสวมหมวกกันกระแทก แวนตากันฝุน ผา ปดจมูก และมีที่อุดหูหรือที่ครอบหูปองกันเสียง รวมถึงแตงกายดวยเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวในระหวาง ปฏิบัติงานทุกครั้ง การใชเสียมลม (Air Spade) ในการดําเนินงานทางโบราณคดีครั้งนี้ เปนนิมิตหมายที่ดีในการพัฒนา เครื่องมือที่นํามาใชในงานโบราณคดี แตทั้ง นี้ก็ ยัง ไมใชจุดสิ้น สุดของคําตอบที่มีตอเครื่องมือ ในการนํามา ประยุกตใชกับงานโบราณคดี เนื่องดวยเปนการทดลองใชครั้งแรก ทั้งนี้การจะนําเครื่องมือดังกลาวมาใชใน กระบวนการทางโบราณคดีอยางจริงจังได จําเปนที่จะตองมีการทดสอบ ทดลองเพิ่มเติมเพื่อพิเคราะห ขอดี ขอเสีย เงื่อนไขและความเหมาะสมของเครื่องมืออยางถี่ถวน ที่จะนํามาใชกับงานทางโบราณคดีแตละรูปแบบ เพื่อใหเครื่องมือนี้เปนสิ่งที่สามารถตอบสนองและประสานประโยชนระหวาง ความสะดวกในการดําเนินงาน
และการรักษาขอมูลหลักฐาน ซึ่งเปนหัวใจสําคัญในงานโบราณคดีได ภาพถายทางดาวเทียมแสดงตําแหนงที่ตั้งของโบราณสถาน (วงกลมสีแดง) ทีท่ ําการทดลองขุดทางโบราณคดี โดยใชเสียมลม (Air Spade) ที่มา : Google Earth
เนินโบราณสถานที่ไดรบั การขุดแตงทางโบราณคดีกอนที่จะทดลองใชเสียมลม(Air Spade) ขุดทางโบราณคดี (จะเห็นวารากไมถูกขุดตัดจนรากลอยตัวเหนือผิวดินดานลาง) 114
อุปกรณในการดําเนินการ (เครื่องอัดอากาศ หัวเปา และอุปกรณปองกันอันตราย)
การใชเสียมลม(Air Spade) ในการขุดแตงเนินโบราณสถาน
ผลการขุดแตงโบราณสถานโดยใชเสียมลม (Air Spade) (จะเห็นวาแรงดันลมสามารถเปาดินที่คลุมโบราณสถานออกไดเปนอยางดีและคงเหลือรากไมไว) 115
การขุดตรวจเพื่อพิสูจน์หน้าที่ใช้งานของ "คอกช้างดิน" เมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี นางสาวสุภมาศ ดวงสกุล นักโบราณคดีชานาญการ สานักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี
คอกช้างดิน เป็นชื่อเรียกสิ่งก่อสร้างสมัยโบราณ ซึ่งตั้ง อยู่นอกเมืองโบราณอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ตรงเชิงเขาคอกในเขตวนอุทยานแห่งชาติพุม่วงในปัจจุบัน มีลักษณะเป็นคันดินสูงใหญ่ จานวน ๓ แห่ง ก่อโอบ ล้อมเป็นรูปสี่เหลี่ยมมุมมน มีช่องทางเข้าด้านหน้า ด้วยรูปร่างที่คล้ายกับคอกขังสัตว์ทั้งยังมีขนาดใหญ่ ชาวบ้าน จึงเชื่อกันว่า สิ่งก่อสร้างนี้น่าจะเป็นคอกจับช้างป่า หรือ เพนียดคล้องช้าง และเรียกสืบต่อกันมาว่า “คอกช้าง ดิน” นักวิชาการหลายท่านที่เคยมาสารวจและศึกษาทางโบราณคดีที่เมืองอู่ทอง เช่น ศาสตราจารย์หม่อม เจ้า สุภัทรดิศ ดิศกุ ล นายพอล วีท ลีย์ ศาสตราจารย์ ช็อง บวสเซอลิเ ยร์ ต่า งก็เ คยมาสารวจที่ แห่งนี้ และ สันนิษฐานว่าเป็นเพนียดคล้องช้างด้วยเช่นกัน นายพอล วีทลีย์ นั้นได้ตีความเนื้อหาในจดหมายเหตุของจีนสมัย ราชวงศ์เหลียง ที่กล่าวถึงอาณาจักรโบราณที่ชื่อ “จินหลิน” อันเป็นดินแดนสุดท้ายที่พระเจ้าฟันมัน กษัตริย์ แห่งฟูนันโจมตีได้ว่า คงหมายถึง “เมืองอู่ทอง” เพราะ "จินหลิน" แปลว่า ดินแดนแห่งทอง หรือ สุวรรณภูมิ และมีตาแหน่งที่ตั้งสอดคล้องกัน และที่สาคัญคือในจดหมายเหตุนี้ยังกล่าวไว้ด้วยว่า ประชากรของเมืองนี้นิยม คล้องช้างป่า “คอกช้างดิน” จึงดูจะสอดคล้องกับเรื่องราวนี้ได้ดี นายสมศักดิ์ รัตนกุล เป็นนักวิชาการท่านแรกที่ตั้งข้อสงสัยว่า “คอกช้างดิน” อาจจะไม่ใช่เพนียดคล้อง ช้าง แต่น่าจะเป็น “สระกักเก็บน้า” เนื่องจากท่านได้สารวจและขุดค้นทางโบราณคดีที่เนินโบราณสถาน 2 แห่ง ใกล้ๆ กับคอกช้างดิน เมื่อ พ.ศ. 2509 แล้วได้พบฐานอาคารก่อด้วยศิลาแลงประดิษฐาน “เอกมุขลึงค์” และ หม้อดินเผาบรรจุเหรียญเงินและทองแดงจานวนมาก เหรียญมีลักษณะเป็นแผ่นบางคล้ายเกล็ดปลาประทับตรา โอม นายสมศักดิ์ รัตนกุล จึงสันนิษฐานว่าบริเวณที่โบราณสถานคอกช้างดินตั้งอยู่น่าจะเป็นเขตชุมชนพราหมณ์ ลัทธิไศวนิกาย ส่วนตัวคอกช้างดินนั้น ก็น่าจะเป็นสระน้ามากกว่า เมื่อกรมศิลปากรได้เข้ามาสารวจทาผัง และขุดค้นทางโบราณคดีในบริเวณนี้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 เป็น ต้นมา ก็ได้หลักฐานข้อมูลเพิ่มใหม่อีกหลายประการที่ช่วยสนับสนุนข้อสันนิษฐานว่า คอกช้างดิน ไม่ใช่คอกจับ ช้าง หากแต่เป็น สระกักเก็บน้า กล่าวคือ ได้พบว่า บริเวณที่ตั้งของคอกช้างดิน มีโบราณสถานอยู่ 2 ประเภท คือ 1) คอกช้างดิน หรือสิ่งก่อสร้างด้วยดินพูนขึ้นเป็นคันล้อมรอบ มีอยู่ 4 แห่ง 2) แท่น หรืออาคารก่อด้วยศิลา แลง หิน หรืออิฐ ได้พบแล้ว 16 กลุ่ม ตั้งเรียงรายอยู่สองข้างน้าตกพุม่วงและลาธารของน้าตกนี้ โดยกลุ่มสุดท้าย มีอยู่ ๑๒ แห่ง ตั้งกระจายอยู่บนยอดเขาคอก เป็นสิ่งก่อสร้างที่บางแห่งน่าจะสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยทวารวดี และมี การซ่อมสร้างเพิ่มเติมเพื่อใช้งานอีกครั้งในสมัยอยุธยา การตรวจพิสูจน์ว่า “คอกช้างดิน” คืออะไรกันแน่ ข้อมูลการสารวจและขุดค้นของกรมศิลปากรในระยะหลังได้พบหลักฐานสาคั ญอีกหลายประการ เช่น ได้พบศิวลึงค์ถึง 4 องค์ เหรียญเงินมีจารึก “ศรีทวารวตี ศวรปุณยะ” ซึ่งขุดค้นพบ 3 เหรียญ ร่วมกับเหรียญไม่ มีจารึกอีก 6 เหรียญ บรรจุอยู่ในภาชนะพบที่เนินโบราณสถานที่ตั้งอยู่บนคันคอกที่ 3 ฯลฯ หลักฐานเหล่านี้บ่งชี้ ชัดว่า บริเวณเชิงเขาคอกเป็นเขตที่อยู่อาศัยและประกอบพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ของชุมชนพราหมณ์ในสมัยทวาร วดี ซึ่งนับถือพระศิวะเป็นเทพเจ้าสูงสุด กระนั้นก็ยังคงมีข้อถกเถียงว่า คอกช้างดิน คือ อะไรกันแน่ และผู้คน ส่วนใหญ่ก็ยังเชื่อกันว่ามันคือ คอกขังช้าง (เพนียดคล้องช้าง) การตรวจพิสูจน์ตามกระบวนการทางวิชาการโดยตรงที่ตัว “คอกช้างดิน” น่าจะช่วยชี้ชัดถึงหน้าที่ใช้ งานของสิ่ง ก่อสร้างนี้ได้ ด้วยเหตุนี้ จึงได้มีการขุดค้นศึกษาบริเ วณคอกช้างดิน 3 แห่ง โดยมีจุดมุ่ งหมายเพื่อ ตรวจสอบระดับพื้นที่ใช้งานดั้งเดิมเมื่อแรกก่ อสร้างว่าลึกขนาดไหน รูป ร่างเมื่อแรกสร้างเสร็จลักษณะเป็น 116
อย่างไร สภาพภูมิประเทศดั้งเดิมก่อนที่จะมีสิ่งก่อสร้างเป็นเช่นไร และกว่าจะมาถึงปัจจุบันสิ่งก่อสร้างเหล่านี้มี การเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง โดยขุดค้นภายในคอกช้างดินทั้ง 3 แห่งๆ ละ 2 หลุม และขุดตัดขวางแนวคัน ดินทั้ง 3 แห่งด้วย ผลการขุดตรวจที่คอกช้างดินทั้ง 3 แห่ง นั้นน่าสนใจมาก และช่วยยืนยันว่า ตัวคอกช้างดินทั้ง 3 แห่ง เป็นสระกักเก็บน้า ไม่ได้เ ป็นคอกขังช้างหรือเพนียดคล้องช้างอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคอกช้างดิน หมายเลข 1 ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุด กล่าวคือ คอกช้างดินหมายเลข 1 นั้น สร้างขึ้นขวางลาห้วยเดิมที่ไหลลงมาจากน้าตกพุม่วง โดยการ ขุดสระน้าขนาดใหญ่ ลึกจากพื้นที่ดินเดิมประมาณ 8 เมตร กว้างยาวประมาณ 120 เมตรขวางทางน้า ดินที่ได้ จากการขุดสระนาขึ้นไปพูนเป็นคันล้อมรอบสระ เว้นช่องให้น้าเข้ามาตรงแนวลาห้วยเดิม ลาห้วยด้านหน้ามีแนว เขื่อนเปิดปิดให้น้าเข้ามาตามต้องการ การศึกษาชั้นดินทับถมภายในคอกพบว่า เป็นการทับถมที่เกิดจากน้าพัดพาเอาตะกอนดินเข้ามาจาก ภายนอกและจากบนคันดินเองด้วย ตะกอนที่ทับถมภายในคอกแสดงให้เห็นถึงการตกตะกอนเมื่อมีน้าขัง ซึ่งมี หลักการทั่วไปคือ เมื่อน้าไหลบ่าเข้ามาแช่ขังในสระน้าแล้ว น้าจะนิ่ง ตะกอนที่มีขนาดใหญ่น้าหนักมากจาพวก ก้อนหิน ก้อนกรวดจะตกลงไปทับถมอยู่ข้างล่างก่อน ตะกอนที่เล็กลงมาจาพวกทราย ทรายละเอียดจะทับถม ตามลงไป ท้ายที่สุดพวกตะกอนดินละเอียดน้าหนักเบาจะตกลงไปทับถมทีหลังสุด เมื่อเปิดเขื่อนด้านหน้าให้น้า ไหลเข้ามาเก็บไว้อีกก็จะเกิดการตกตะกอนเป็นชั้นๆ เช่นนี้ ขึ้นมาเรื่อยๆ และที่ส าคัญคือ ตะกอนดินเหนียวสีดาชั้นล่างสุดที่ พบอยู่ก้นสระบ่ง ชี้ชัดว่า ในช่วงเวลาที่ มีชุม ชน พราหมณ์ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่ น้าไม่เคยแห้ง ไปจากสระน้านี้ (ดินเหนียวสีดาแสดงว่าดินไม่ ได้รับ ออกซิเ จนจาก อากาศ ถ้าน้าแห้งดินจะเป็นสีแดงเพราะแร่ธาตุเหล็กในดินทาปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศจนเกิดสนิม ) โดย ได้นาตะกอนดินเหนียวสีดานีไ้ ปวิเคราะห์หาละอองเรณูของพืช (Pollen analysis) พบละอองเรณูของพืชน้า จาพวก สาหร่าย ผักขาเขียด เฟิร์น ละอองเรณูของพืชน้าเหล่านี้ทาให้เรามองเห็นภาพของสระเก็บน้าได้อย่าง ชัดเจน เมื่อชุมชนพราหมณ์ที่นี่ร้างไป สระน้านี้ก็ถูกทิ้งร้างด้วยเช่นกัน ทาให้น้าฝนไหลบ่าเอาตะกอนเข้ามาทับ ถมตลอดช่วงระยะเวลาอันยาวนาน สระที่เคยมีน้าขังลึกหลายเมตรก็ตื้นเขินจนไม่เหลือสภาพเดิมให้เห็น จนคน รุ่นหลังเข้ามาพบเห็นแต่แนวคันดินพูนเป็นคอกขนาดใหญ่ จึงเข้าใจผิดว่าเป็นคอกสาหรับจับขังสัตว์ขนาดใหญ่ เรียกต่อๆ กันมาว่า คอกช้างดิน นั่นเอง การขุดค้นตรวจสอบในคอกที่ 2 และ 3 ก็ให้ผลคล้ายคลึงกับคอกที่ 1 นั่นคือ คอกที่ 3 นั้นเป็นการ สร้างคันดินรูปตัว L โอบธารน้าตรงลานหินเชิงเขา โดยบนคันดินเป็นศาสนสถานสาหรับประกอบพิธีกรรมด้วย ส่วนคอกที่ 2 เป็นการสร้างคันดินล้อมรอบหนองน้าเดิมที่มีลาห้วยไหลผ่าน
117
118
คอกช้างดินหมายเลข 1
119
ดินตะกอนที่ทับถมภายในคอก 1 ในแต่ละครังตะกอนใหญ่จะทับถมอยู่ด้านล่าง ตะกอนขนาดเล็กละเอียดกว่าจะตกมาทับถมทีหลังอยู่ด้านบน (1 ชัน = 1 ครัง) แสดงถึงการตกตะกอนในพืนที่น้าแช่ขัง
120
121
ภาชนะบรรจุกระดูกสูวัฒนธรรมเจนละ ณ แหลงโบราณคดีบานศรีคุณ ตําบลพังเคน อําเภอนาตาล จังหวัดอุบลราชธานี นางสาวสิริพัฒน บุญใหญ นักโบราณคดีชํานาญการ สํานักศิลปากรที่ ๙ อุบลราชธานี แหลงโบราณคดีบานศรีคุณ แหล ง โบราณคดี บ า นศรี คุ ณ ตั้ ง อยู ที่ บ า นศรี คุ ณ หมู ๓ ตํ า บลพั ง เคน อํ า เภอนาตาล จั ง หวั ด อุบลราชธานี สภาพพื้นที่เปนเนินดินหนาตัด มีบริเวณที่สําคัญของหมูบานคือ ดอนใหญ (ดอนปูตา) ซึ่งเดิมเปน ปารก เปนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชุมชน บริเวณดอนปูตามีตนมะคาขนาดใหญ และมีหนองน้ําอยู เรียกวา หนอง ดอนใหญ หรือหนองสีก สํานักศิลปากรที่ ๙ อุบลราชธานี ไดรับการแจงวามีการขุดพบภาชนะดินเผาขนาดใหญ บริเ วณที่ กอสรางอาคารภายในวัดศรีรัตนะ จึงไดเขามาตรวจสอบ พบกลุมภาชนะดินเผา และไดขออนุญาตอธิบดีกรม ศิลปากร ไดรวมกับประชาชนในชุมชนขุดกูขึ้นและเก็บรักษาไวที่ดอนปูตาปจจุบันเก็บรักษาไวในศูนยการเรียนรู บานศรีคุณ ตําบลพังเคน อําเภอนาตาล จังหวัดอุบลราชธานี
สภาพภาชนะดินเผาบรรจุกระดูกขณะขุดกู
ปจจุบันเก็บรักษาไวที่ศูนยการเรียนรูบานศรีคุณ
122
แหลงฝงศพสมัยกอนประวัติศาสตร ภาชนะดินเผาขนาดใหญที่พบและไดขุดกูขึ้นนี้ เปนภาชนะดินเผาบรรจุกระดูก จากการขุดแตงจํานวน ๑ ใบ พบวาภายในมีกระดูกมนุษยและเครื่องอุทิศ โดยกระดูกเปนกระดูกสวนกะโหลกและกระดูกชิ้นยาวเปน สําคัญ สําหรับเครื่องอุทิศ เปน เครื่องมือ เครื่องใช ที่ทําจากเหล็กและสําริด แตจากการสัมภาษณไดขอมูล เพิ่มเติมวา บริเวณทางทิศของเนินดิน ในที่ดินของ นางจูม โคตรนาม และที่ดินของนางจันทา ขันทอง เคยมีการ ขุดพบภาชนะดินเผาบรรจุกระดูกขนาดใหญ และเมื่อมีการทุบภาชนะดินเผา พบโครงกระดูกมนุษยทั้งโครงอยู ในลักษณะนั่งชันเขา ภายในภาชนะดินเผามีเครื่องใชเชน ลูกปด และกําไลสําริด เมื่อพิจาณาจากคําบอกเลาและหลักฐานที่พบ ทําใหเชื่อไดวา บริเวณแหลงโบราณคดีบานศรีคุณ เปน แหลงที่อยูอาศัยของมนุษยในสมัยกอนประวัติศาสตร โดยบริเวณเนินดินอาจใชเปนแหลงฝงศพ โดยเปนการฝง ศพในภาชนะดินเผาใน ๒ ลักษณะ กลาวคือ ๑. การฝงศพครั้งที่หนึ่ง จากสัมภาษณบริเวณดานทิศของเนิน เคยพบภาชนะดินเผาที่พบโครงกระดูกทั้ง โครงในลักษณะนั่งชันเขา ลักษณะการฝงศพครั้งที่หนึ่ง คือ เมื่อผูตายเสียชีวิต ไดมีการบรรจุศพทั้ง โครงในภาชนะดินเผา ในลักษณะเชนนี้จะพบวาโครงกระดูกจะอยูในลักษณะเรียงตัวตามลักษณะทาง กายภาพ โบราณวัตถุทพี่ บวาเปนเครื่องอุทิศ คือ ลูกปดและกําไลสําริด ๒. การฝงศพครั้งที่สอง เปนพิธีกรรมการฝงศพที่เมื่อผูตายเสียชีวิต ไดมีการนําศพของผูตายไปฝงไวชั่ว เวลาหนึ่ง จากนั้นจึงไดรวบรวมนํากระดูกมาบรรจุในภาชนะดินเผาบรรจุกระดูกในนํามาฝงอีกครัง้ จาก การขุดแตงภาชนะดินเผาบรรจุกระดูกที่พบจาการขุดกูพบวา กระดูกที่พบ คือ กะโหลกและชิ้นสวน แขนขา อันเปนกระดูกชิ้นใหญ พิธีกรรมการฝงศพในภาชนะดินเผาที่พบบริเวณแหลงโบราณคดีศรีคุณ มีลักษณะพิเศษ คือ เมื่อเก็บรวบรวมกระดูกแลว กระดูกไมไดถูกบรรจุลงไปภาชนะดินเผาขนาดใหญ โดยตรง หากแตภายในภาชนะดินเผาขนาดใหญมีภาชนะดินเผาอีกใบรองรับกระดูกอีกชั้นหนึ่ง สําหรับ เครื่องอุทิศไดแก เครื่องมือเครื่องใชจ ากสําริดและเหล็กบรรจุ ไดถูกบรรจุ ลงไปดวย โดยสวนปาก ภาชนะมีภาชนะลักษณะคลายชามครอบทําหนาที่เปนฝาปด
ภาชนะดินเผาบรรจุกระดูกถูกบรรจุลงไปภาชนะดินเผาขนาดใหญอีกชั้น 123
จากการเปรียบเทียบกับแหลงโบราณคดีที่มีลักษณะเดียวกัน ซึ่งอยูใกลเคียงกัน คือ แหลงโบราณคดี ดอนไร บานนาหนองเชือก ตําบลเจียด อําเภอเขมราฐ ซึ่งอยูหางออกไปทางทิศออกเฉียงใต ป ระมาณ ๘ กิโ ลเมตรแหลง โบราณคดีดอนแสนพัน หางออกไปทางทิศออกเฉียงใต ประมาณ ๕ กิโ ลเมตร และแหลง โบราณคดีบานดงเย็นหางไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ ๑๐ กิโลเมตร
ภาพถายสภาพภูมิประเทศแสดงตําแหนงแหลงโบราณคดีประเภทแหลงฝงศพในภาชนะดินเผา วัฒนธรรมเจนละ ทางทิศของดอนปูตา จากการศึกษาสภาพปจจุบันพบรองรอยคันดิน และเมื่อตรวจสอบภาพถายทาง อากาศในป พ.ศ. ๒๔๗๕ พบวา รองรอยคันดินนั้นมีลักษณะเปนผังรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผา และเมื่อพิจารณาจาก โบราณสถาน โบราณวัตถุที่พบใกลเคียง ทําใหสันนิษฐานวา รองรอยคันดินแหง นี้เป นรองรอยหลักฐานของ มนุษยในวัฒนธรรมเจนละ หรือเขมรโบราณกอนเมืองพระนคร
ภาพถายทางอากาศป พ.ศ. ๒๔๗๕ แสดงตําแหนงบานศรีคุณ
124
เจนละเปนอาณาจักรที่เกิดขึ้นในชวงพุทธศตวรรษที่ ๑๑ และจากเอกสารจีน ไดบันทึกวา เจนละไดสง ราชฑูตไปจีนเมื่อราว ๑๑๕๙ คือชวงกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๒ โดยไดระบุวา เจนละมีชัยชนะเหนืออาณาจักร ฟูนัน ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนลางหรืออีสานตอนลาง ลุม แมน้ํามูล -ชี ไดพบหลักฐานมากมาย เกี่ยวกับเจนละ โดยเฉพาะอยางยิ่งจารึกเกี่ยวกับเจาชายจิตรเสน หนึ่งในกษัตริยผูยิ่งใหญของเจนละ ในเขต จังหวัดอุบลราชธานีพบจารึกเจาชายจิตรเสน จํานวนมากที่สุดถึง ๕ หลัก ดังนี้ ๑. จารึกปากน้ํามูล ๑ (อบ. ๑) ๒. จารึกปากน้ํามูล ๒ (อบ. ๒) ๓. จารึกวัดสุปฏนาราม (อบ. ๔) ๔. จารึกปากโดมนอย (อบ. ๒๘) ๕. จารึกถ้ําภู หมาไน (อบ. ๙) จังหวัดอุบลราชธานี (สรางพระโค) ในเขตบานโนนขุมคํา (หมู ๗ ตําบลพังเคน อําเภอนาตาล จังหวัดอุบลราชธานี) เคยมีการพบหลักฐาน ซากโบราณสถานกออิฐและไดมีการเคลื่อนยายโบราณวัตถุบางสวนออกจากบริเวณนั้น ซึ่งเมื่อศึกษาโดยการ เปรียบเทียบรูปแบบทางศิลปกรรมแลว หลักฐานดังกลาวเปนศิลปกรรมที่นิยมสรางอยูในชวงวัฒนธรรมเจนละ รุงเรืองกลาวคือ เสาประดับกรอบประตู ศิลปะกอนเมืองพระนคร (ไพรกะเมง) ปจจุบันถูกเก็บรักษาไวที่วัดโนน สวาง ตําบลพังเคน อําเภอนาตาล จังหวัดอุบลราชธานี นอกจากนี้ที่บริเวณดอนปูตาของบานศรีคุณยังมีการขุด ฐานรูปเคารพหินทราย ซึ่งอาจสรางขึ้นในชวงเวลานี้เชนกัน และธรณีประตูหินทราย เก็บรักษาไวที่วัดศรีอุดม ราษฎรสามัคคี ตําบลพังเคน อําเภอนาตาล จังหวัดอุบลราชธานี
ธรณีประตูที่วัดศรีอุดมราษฎรสามัคคี ตําบลพังเคน อําเภอนาตาล จังหวัดอุบลราชธานี
เสาประดับกรอบประตู ศิลปะไพรกะเมง เก็บรักษาที่วัดสวางตําบลพังเคนอําเภอ นาตาล จังหวัดอุบลราชธานี
ประวัติการกอตั้งชุมชนบานศรีคุณ จากคําบอกเลาสืบตอกันมา (แมหนูหริ่ง ทองรุงโรจน) ไดเลาเกี่ยวกับประวัติของชุมชนบานศรีคุณวา เมื่อชวงตนรัตนโกสินทร พระอุทุมมิ่งเมือง ซึ่งเปนเชื่อพระวงศไดยายถิ่นฐานพรอมไพรพลมาจากสาธารณรัฐ ประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยเลือกทําเลที่มีแหลงน้ํา และไดตั้งบานเรือนอยูทางทิศตะวันตกของดอนใหญ (ดอนปูตา) พระอุทุมมิ่งเมืองมีลูกสาว จํานวน ๔ คน คนที่ ๑ ชื่อ ยายตื้อ ปจจุบันมีลูกหลานเชื้อสายสืบสกุล เชน นามสกุล ทนทาน คํากุนา ผองใส คนที่ ๒ ยายตอน นายสกุล ทองรุงโรจน เทศวงค คนที่ ๓ ยายเขี่ยม นามสกุล อาจหาญ ทองชมภู และคนที่ ๔ ยายเงา นามสกุล ดาวเรือง ชาวเมืองโขง วงศเกย
125
อายุสมัยของพระมหาธาตุเจดีย์ นครศรีธรรมราช จากงานโบราณคดีล่าสุด นายภาณุวัฒน์ เอื้อสามาลย์ นักโบราณคดีชานาญการ สานักศิลปากรที่ 12 นครศรีธรรมราช บทคัดย่อ
พระมหาธาตุเจดีย์ นครศรีธรรมราช ตั้งอยู่ภายในบริเวณวัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหารตาบลใน เมือง อาเภอเมืองฯ จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นเจดีย์ทรงกลมหรือทรงระฆังขนาดมหึมา สูง 56 เมตร นับเป็น เจดียสถานที่สาคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดในพื้นที่คาบสมุทรภาคใต้ จวบจนปัจจุบันได้รับการบรรจุไว้ในบัญชีแหล่ง มรดกโลกเบื้องต้น (Tentative list) ขององค์การยูเนสโก จากการขุ ดค้ น ทางโบราณคดี ค รั้ง ล่ า สุด เมื่ อ ปี พุท ธศั ก ราช2559 โดยส านั ก ศิล ปากรที่ 12 นครศรีธรรมราชที่ บ ริเ วณส่วนฐานล่างของพระมหาธาตุเ จดีย์ และนาตัวอย่างอิฐไปก าหนดหาอายุ (แบบ สัมบูรณ์) ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ปรากฏผลอายุราวกลางพุทธศตวรรษที่ 15 หรือประมาณ 1,100 ปี มาแล้วซึ่ง เก่ าแก่ ก ว่าการก าหนดอายุ (แบบเชิง เที ยบ) ที่ ผ่านมาว่าควรมี อายุ ร าวพุท ธศตวรรษที่ 18หรือ ประมาณ800 ปีมาแล้ว บทความนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา วิเคราะห์ และแปลความการกาหนดอายุสมัยในมุมมองใหม่ว่า พระมหาธาตุเจดีย์จะมีอายุเก่าแก่ไปถึงพุทธศตวรรษที่ 15ได้อย่างไร โดยใช้หลักฐานทางโบราณคดีที่ได้จากการ ขุดค้นในครั้งนี้ประกอบกับจารึก ตานาน รูปแบบศิลปกรรม และการศึกษาที่ผ่านมา ที่อาจสันนิษฐานได้ว่าพระ มหาธาตุเจดีย์ นครศรีธรรมราช น่าจะสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกในราวพุทธศตวรรษที่ 15 ก่อนที่ได้รับการฟื้นฟู บูรณะอีกหลายครั้งในสมัยต่อๆ มา คาสาคัญ: พระมหาธาตุเจดีย์ นครศรีธรรมราช / การกาหนดอายุสมัย / การขุดค้นทางโบราณคดี
แผนผังบริเวณวัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช แสดงตาแหน่งหลุมขุดค้น ปี พ.ศ. 2559
การศึกษาที่ผ่านมา ในระยะแรกเริ่มสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพทรงตั้งข้อสังเกตเกีย่ วกับอายุ และรูปแบบของพระมหาธาตุเจดีย์ นครศรีธรรมราช ว่าน่าจะมีการสร้างทับซ้อนเป็น 2 สมัยองค์เดิมน่าจะเป็น เจดีย์ทรงปราสาทศิลปะศรีวิชัยแบบพระบรมธาตุไชยา(พุทธศตวรรษที่ 14 – 15) ส่วนองค์ที่เห็นในปัจจุบัน เป็นเจดีย์ทรงกลมแบบลังกา (พุทธศตวรรษที่ 17 – 18)1 ซึ่งหม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล เพิ่มเติมว่ามีลักษณะ 1
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพ, ตานานพระพุทธเจดีย์(กรุงเทพฯ: มติชน, 2545), 201. 126
คล้ายกับเจดีย์กิริวิหาร เมืองโปลนนารุวะ ประเทศศรีลังกา2 แต่ต่อมาทรงสันนิษฐานว่าเจดีย์องค์เดิมที่อยู่ ภายในอาจมีรูปทรงเดียวกับเจดีย์องค์กลางที่บุโรพุทโธ ศิลปะชวาภาคกลางก็เป็นได้3 ระยะต่อมานักวิชาการส่วนหนึ่งได้แสดงความคิดเห็น ต่างไปว่าภายในพระมหาธาตุเจดีย์ไม่ น่าจะมี เจดีย์ทรงปราสาทแบบศรีวิชัยอยู่ภายใน โดยอ้างข้อมู ล การเจาะส ารวจภายในองค์พระมหาธาตุเ จดีย์ของ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) พบว่าเป็นเจดีย์ทึบตัน ไม่ปรากฏสิ่งก่อสร้างใดๆ ภายในนอกจากโครงสร้างที่ เป็นอิฐสอดินเหนียวและมีส่วนที่สอปูนเล็กน้อยบริเวณใกล้ผิวภายนอก4 สาหรับเรื่องอายุสมัยนั้นยังคงยอมรับ อายุที่กาหนดไว้ราวพุทธศตวรรษที่ 17 – 18 ภายใต้อิทธิพลศิลปะลังกาซึ่งอายุดังกล่าวก็สอดคล้องกับตานาน พระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช ที่ บันทึกไว้ว่าพระมหาธาตุเจดีย์สร้างขึ้นเมื่อศักราช 1098 ซึ่งหากเป็นมหา ศักราชก็จะตรงกับปีพุทธศักราช 1719 หรือต้นพุทธศตวรรษที่ 185 ในระยะหลัง มานี้ ได้มี ก ารศึก ษาวิเ คราะห์ เ จาะลึก รายละเอียดมากยิ่ง ขึ้ น ประภัส สร์ ชูวิเ ชีย ร ทาการศึกษาทางประวัติศาสตร์ศิลปะพบว่า พระมหาธาตุเจดีย์ นครศรีธรรมราช มีองค์ประกอบหลายประการ ที่คล้ายคลึงและน่าจะเป็นการถ่ายแบบมาจากเจดีย์ระดับ “มหาสถูป” ของลังกาจึงกาหนดอายุไว้ราวพุท ธ ศตวรรษที่ 186 ขณะที่เกรียงไกร เกิดศิริ ทาการศึกษาทางประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมเสนอว่า แผนผัง ของ พระมหาธาตุเจดีย์ที่มีบันไดขึ้นทางทิศเหนือ ด้านบนมีเจดีย์ประธานขนาดใหญ่ตรงกลาง มีเจดีย์ขนาดเล็ก 4 มุม รวมเป็น 5 องค์ หรือเรียกว่า “ปัญจายตนะ” น่าจะได้รับอิทธิพลมาจากสถูปหมายเลข 3 หรือสถูปพระสารี บุตร ที่นาลันทามหาวิหาร ศิลปะอินเดียสมัยปาละจึงเชื่อว่าน่าจะมีพระมหาธาตุองค์เดิมมาก่อนที่จะสร้างเป็น เจดีย์ทรงลังกาในราวพุทธศตวรรษที่ 187 การขุดค้นทางโบราณคดีและผลการกาหนดอายุทางวิทยาศาสตร์ ในปี พ.ศ. 2559 สานักศิลปากรที่ 12 นครศรีธรรมราชทาการขุดค้นทางโบราณคดีภายในบริเวณ วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหารได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากคณะกรรมการนาเสนอวัดพระมหาธาตุ วรมหาวิห าร จังหวัดนครศรีธรรมราช (พระบรมธาตุนครศรีธรรมราช) ขึ้นบัญชีเ ป็นมรดกโลก และวัดพระ มหาธาตุ วรมหาวิหารโดยทาการขุดค้นจานวน 10 หลุม ณ ตาแหน่งอาคารโบราณสถานที่สาคัญ ได้แก่ พระ มหาธาตุเจดีย์ วิหารทับเกษตร วิหารเขียน วิหารโพธิ์ลังกา วิหารโพธิ์พระเดิม วิหารธรรมศาลา พระวิหารหลวง ระเบียงคด เจดีย์รายแถวชั้นใน และเจดีย์รายทรงปราสาทนอกระเบียงคด ผลการขุดค้น พบโบราณวัตถุ ส าคัญ อาทิ ภาชนะดินเผาบรรจุอัฐิ กระเบื้องมุ ง หลัง คา ชิ้นส่วน พระพุทธรูปสาริด ตะปูโบราณ เหรียญสตางค์ และเศษภาชนะดินเผา ซึ่งมีทั้งเนื้อดินแบบพื้ นเมือง เนื้อแกร่ง และเนื้อกระเบื้องซึ่งเป็นของนาเข้า มีทั้งเครื่องถ้วยจีน เครื่องถ้วยเวียดนาม เครื่องถ้วยสุ โขทัย และเครื่องถ้วย ยุโรปนอกจากนี้ยังพบร่องรอยของอาคารที่ฝังอยู่ใต้ดินลงไป มีทั้งที่เป็นฐานรากของอาคาร และอาคารหลังเดิม 2
หม่อมเจ้าสุภัทดิศ ดิศกุล, เที่ยวเมืองลังกา(กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภา, 2517), 59. M.C.SubhadradisDiskul, “Srivijaya art in Thailand,” in The art of Srivijaya(Kuala Lumpur: Oxford University Press, 1980), 41. 4 ประทีป ชุมพล, “การกาหนดอายุพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช,” วารสารมหาวิทยาลัยศิลปากรฉบับพิเศษ 40 ปี มหาวิทยาลัยศิลปากร (2527): 103-106. และนงคราญ ศรีชาย, “มีอะไรอยู่ในพระบรมธาตุเ จดีย์เมืองนครศรีธรรมราช ,” ศิลปากร44, 3 (พฤษภาคม-มิถุนายน, 2544): 42. 5 นงคราญ ศรี ช าย, “วั ด พระมหาธาตุ วรมหาวิ ห าร: กรณี ศึ กษาเกี่ ย วกั บ การตั้ ง เมื องนครศรี ธรรมราช,” ใน ประวัติศาสตร์ โบราณคดี นครศรีธรรมราช (กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร,2545), 192. 6 ประภัสสร์ ชูวิเชียร, “พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชกับการวิเคราะห์ด้านประวัติศาสตร์ศิลปะ”(วิทยานิพนธ์ ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2547), 96. 7 เกรียงไกร เกิดศิริ และอิสรชัย บูรณะอรรจน์ , “วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารกับการวางผังอาคาร,” ใน 100ปี สถาปนาพระอารามหลวง พ.ศ.2458-2558 วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช(นครศรีธรรมราช: โรง พิมพ์อักษรการพิมพ์, 2558), 164-166. 127 3
ที่ถูกสร้างซ้อนทับ อาคารเหล่านี้ก่อด้วยอิฐทั้งสิ้น ในการนีไ้ ด้นาตัวอย่างอิฐส่งไปหาค่าอายุทางวิทยาศาสตร์ด้วย วิธี Thermoluminescence Dating (TL)และAccelerator Mass Spectrometry Radiocarbon Dating(AMS) โดยอาคารแต่ละหลังจะเก็บอิฐจานวน 3 ตัวอย่างหรือมากกว่านั้น เพื่อผลลัพธ์เป็นที่ยอมรับใน เชิงสถิติ รวมจานวนอิฐที่ส่งไปหาค่าอายุ 52 ตัวอย่าง8 จากนั้นได้พิจารณาเลื อกค่าอายุที่มีความน่าเชื่อถือ นาเสนอเป็นตารางจาแนกตามโบราณสถานแต่ละแห่งได้ดังนี้ ตารางที่ 1 แสดงผลค่าอายุทางวิทยาศาสตร์ของโบราณสถานแต่ละแห่ง โบราณสถาน อายุ (ปีมาแล้ว) ตรงกับปี พ.ศ. ฐานพระมหาธาตุ ระดับล่าง 1,061 – 1,114 1445 – 1498 ฐานพระมหาธาตุ ระดับกลาง 1,070 – 1,097 1462 – 1489 ฐานพระมหาธาตุ ระดับบน 833 – 850 1709 – 1726 ฐานพระมหาธาตุ อิฐประกบเป็นพื้น 468 – 471 2088 – 2091 วิหารโพธิ์ลังการะดับล่าง 1,084 – 1,106 1453 – 1475 วิหารโพธิ์ลังกา ระดับบน 561 – 564 1995 – 1998 วิหารโพธิ์พระเดิม 1,058 – 1084 1475 – 1501 เจดีย์ราย แถวชั้นใน 1,021 – 1,048 1511 – 1538 วิหารเขียน 716 – 721 1838 – 1843 ระเบียงคด 508 – 555 2004 – 2051 เจดีย์รายทรงปราสาท นอกระเบียงคด 514 – 527 2032 – 2045 วิหารธรรมศาลา 497 – 503 2056 – 2062 แนวอิฐล้อมฐานพระวิหารหลวง 492 – 515 2044 – 2067
หลุมขุดค้นที่ 10 2 2 10 5 5 3 1 6 4 7 8 9
จากผลค่าอายุทางวิทยาศาสตร์ สามารถลาดับพัฒนาการสิ่งก่อสร้างได้เป็น 3 ระยะคือ ระยะที่ 1ราวครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ 15 มีการก่อสร้างพระมหาธาตุเจดีย์ วิหารโพธิ์ลังกา และวิหาร โพธิ์พระเดิม ต่อมาในต้นพุทธศตวรรษที่ 16 มีการสร้างเจดีย์รายแถวชั้นใน ระยะที่ 2ราวต้นพุทธศตวรรษที่ 18 มีการบูรณะต่อเติมพระมหาธาตุเจดีย์ ระยะที่ 3ราวพุทธศตวรรษที่ 19 มีการก่อสร้างวิหารเขียน ราวพุทธศตวรรษที่ 20 มีการบูรณะต่อ เติมวิหารโพธิ์ลังกา และราวพุทธศตวรรษที่ 21 มีการก่อสร้างระเบียงคด เจดีย์รายทรงปราสาทนอกระเบียงคด วิหารธรรมศาลา พระวิหารหลวง และงานปรับปรุงพื้นทางเดินรอบพระมหาธาตุ เจดีย์ การวิเคราะห์อายุสมัยของพระมหาธาตุเจดีย์ นครศรีธรรมราช ค่าอายุทางวิทยาศาสตร์ข้างต้น หากพิจารณาเฉพาะระยะที่ 2 และ 3 จะพบว่ามีความสอดคล้องกับ ผลการศึกษาที่ผ่านมา ได้แก่ การกาหนดอายุพระมหาธาตุเจดีย์ไว้ราวพุทธศตวรรษที่ 18 เป็นอิทธิพลศิลปะ ลังกา และการกาหนดอายุโบราณสถานแวดล้อมต่างๆ ซึ่งเป็นงานก่อสร้างเพิ่มเติมภายหลัง ในสมัยสุโขทัย – อยุธยา ราวพุทธศตวรรษที่ 19 – 22แม้จะมีบางส่วนที่แตกต่างไปบ้างแต่ก็เป็นช่วงระยะเวลาไม่ห่างกันมากนัก ดังนั้นประเด็นสาคัญที่จะวิเคราะห์ ในบทความนี้ก็คือการกาหนดอายุระยะที่ 1 ซึ่งมีความเก่าแก่ไปถึงพุท ธ ศตวรรษที่ 15 8
ส่ ง อิ ฐ ไปหาค่ า อายุ ด้ ว ยวิ ธี TL ที่ ห้ อ งปฏิ บั ติ ก ารภาควิ ช าวิ ท ยาศาสตร์ พื้ น พิ ภ พ คณะวิ ท ยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ระยะที่ 1 จานวน 12 ตัวอย่าง ระยะที่ 2 จานวน 34 ตัวอย่าง และส่งไปหาค่าอายุ ด้วยวิธี AMS ที่ห้องปฏิบัติการ Beta AnalyticInc. รัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา จานวน 6 ตัวอย่าง. 128
ในการนี้ผู้เ ขียนได้มี โอกาสปรึก ษาหารือกับ นัก วิชาการหลายท่าน 9 เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์ แนวทางในการกาหนดอายุพระมหาธาตุเจดีย์ นครศรีธรรมราช ในสมัยแรกสร้าง ซึ่งการตีความ อาจพิจารณาได้เป็น2 แนวทางคือ แนวทางที่ 1หากเชื่อว่าพระมหาธาตุเจดีย์สร้างขึ้นเป็นครั้งแรกในพุทธศตวรรษที่ 18 ดังนั้นอิฐส่วน ฐานรากที่กาหนดอายุทางวิทยาศาสตร์ได้ในพุทธศตวรรษที่ 15 ก็อาจถูกตีความว่าเป็นอิฐเก่าที่เคลื่อนย้ายมา จากโบราณสถานแห่งอื่น เพื่อมาสร้างพระมหาธาตุเจดีย์ในพุทธศตวรรษที่ 18 แนวทางที่ 2หากเชื่อว่าพระมหาธาตุเจดีย์สร้างขึ้นเป็นครั้งแรกในพุทธศตวรรษที่ 15 ตามผลค่าอายุ ทางวิทยาศาสตร์ที่ได้ ก็ จาเป็นต้องหาหลักฐานอื่นๆ มาอธิบายเพื่อสนับสนุนแนวคิด ซึ่งตามความเห็นของ ผู้เขียน เชื่อตามแนวทางที่ 2 นีว้ ่าพระมหาธาตุเจดีย์ นครศรีธรรมราช ควรสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกในพุทธศตวรรษ ที่ 15 โดยขอเสนอหลักฐานประกอบการพิจารณาดังนี้ 1.) จากการขุดค้นพบฐานรากก่ออิฐ เป็นอิฐเต็มก้อน มีขนาดค่อนข้างใหญ่ ก่อเรียงเป็นระบบ ระเบียบ ไม่ใช่ลักษณะการนาอิฐเก่าหรืออิฐหักมาใช้งานแต่อย่างใด ดังนั้นค่าอายุทางวิทยาศาสตร์ที่ได้จึงน่าจะ เป็นค่าอายุของพระมหาธาตุสมัยแรกสร้างในพุทธศตวรรษที่ 15หลักฐานนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากการขุดค้น ทางโบราณคดีเมื่อปี พ.ศ. 2552 โดยวัณณสาส์น นุ่นสุข ทาการขุดค้นพื้นที่อื่นภายในบริเวณวัดพระมหาธาตุ และได้ผลอายุตวั อย่างอิฐด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ (TL)ในกลางพุทธศตวรรษที่ 1510เช่นกัน 2.) รูปแบบศิลปกรรมส่วนฐานประทักษิณที่มีการประดับเสาติดผนัง ทาให้ อยู่ในผังยกเก็จ ตาม ความเห็นของศาสตราจารย์ ชอง บวสเซอลิเยร์ กล่าวว่ามี ความคล้ายคลึงกับฐานอาคารในศิลปะทวารวดี 11 ขณะที่ประภัสสร์ ชูวิเชียร กล่าวว่ามีความคล้ายคลึงกับสถาปัตยกรรมศรีวิชัย เช่น ฐานของพระบรมธาตุไชยา ที่มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 14 – 15 แต่ขณะนั้นเขาวิเคราะห์ว่าน่าจะเป็นการย้อนกลับไปสร้างตามรูปแบบ เก่าที่เคยมีมาก่อน12 ในกรณีนี้จึงอาจพิจารณาใหม่ได้ว่า หากมิใช่การย้อนกลับไปสร้าง แต่เป็นงานก่อสร้างที่ ร่วมสมัย ก็จะสามารถกาหนดอายุรูปแบบศิลปกรรมส่วนฐานประทักษิณของพระมหาธาตุได้ราวพุทธศตวรรษที่ 15 สาหรับกรณีซุ้มช้างอาจพิจารณาว่าเป็นงานก่อสร้างเพิ่มเติมภายหลัง (พุทธศตวรรษที่ 18) เพราะหาก พิจารณาความสูงของซุ้มช้างแล้วจะพบว่าไม่ได้สัดส่วนกับความสูงของฐานประทักษิณ อนึ่งซุ้มช้างอาจทาด้วย เทคนิคการเจาะผนังและการก่อเพิ่มปริมาตรของผนังข้างๆ ก็เป็นได้ 3.) หากพิจ ารณาข้อเสนอของหม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล ที่เอ่ยถึงเจดีย์องค์กลางที่บุโรพุทโธ ศิล ปะชวาภาคกลาง 13อายุร าวพุ ท ธศตวรรษที่ 14ก็ จ ะพบว่ามี ลัก ษณะรูป ทรงองค์ระฆัง ใกล้เคียงกั บ พระ มหาธาตุเจดีย์ นครศรีธรรมราช เป็นอย่างมาก อนึ่งคติการสร้างเจดีย์รายล้อมรอบในแผนผังแบบมณฑล 14 ก็ แสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวข้องกับเจดีย์ที่บุโรพุทโธ15ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้สถูปจาลองดินดิบที่มักพบร่วมกับ 9
ขอขอบพระคุ ณ ดร.นันทนา ชุติ วงศ์ ผศ.ดร.ประภัสสร์ ชูวิเ ชียร ดร.วัณณสาส์น นุ่ นสุขนายอาณั ติ บารุงวงศ์ นายสารัท ชลอสันติสกุล และนักโบราณคดีที่ร่วมขุดค้นคือ นางสาวสุภาวดี อินทรประเสริฐ นายอภิรั ฐ เจะเหล่า และนายจักร พันธ์ เพ็งประไพ ซึ่งได้ให้ข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ มีทั้งที่สอดคล้องและแตกต่างกันไปตามมุมมองของแต่ละคน ทาให้ผู้เขียน ได้รับความรู้และแนวทางในการศึกษาครั้ งนี้เป็นอย่างดี อนึ่งหากผลการกาหนดอายุดังกล่าวบรรลุวัตถุประสงค์ก็นับว่าเป็ น คุณูปการจากทุกท่านที่กล่าวมา แต่หากมีข้อผิดพลาดประการใดผู้เขียนขอน้อมรับไว้แต่เพียงผู้เดียว. 10 วัณณสาส์น นุ่ นสุข , พั ฒนาการของบ้านเมืองบนหาดทรายแก้วนครศรีธรรมราชจากหลักฐานทางโบราณคดี (นครศรีธรรมราช: มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช, 2559),100. 11 ชอง บวสเซอลิเยร์, “โบราณวัตถุสถานทางภาคใต้ของประเทศไทย,” แปลโดย หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล ใน รายงานสัมมนาประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช (กรุงเทพฯ: กรุงสยามการพิมพ์, 2521), 403. 12 ประภัสสร์ ชูวิเชียร, “พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชกับการวิเคราะห์ด้านประวัติศาสตร์ศิลปะ”,47-48. 13 M.C.SubhadradisDiskul, “Srivijaya art in Thailand”, 41. 14 เอเดรี ย น สนอดกราส, สัญ ลั กษณ์ แ ห่ งพระสถู ป ,พิมพ์ ค รั้ง ที่ 2, แปลโดย ภั ท รพร สิริ กาญจน (กรุ ง เทพฯ: อมรินทร์วิชาการ, 2541),134. 15 เกรียงไกร เกิดศิริ และอิสรชัย บูรณะอรรจน์, “วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารกับการวางผังอาคาร”, 172. 129
พระพิมพ์ดินดิบในพื้นที่คาบสมุทรภาคใต้ อายุราวพุทธศตวรรษที่ 14 – 1516ก็ยังมีรูปทรงแบบเดียวกันนี้ด้วย ดังนั้นจึงสันนิษฐานว่ารูปทรงองค์ระฆัง (ที่ปรากฏในปัจจุบัน) ของพระมหาธาตุเจดีย์ นครศรีธรรมราช อาจมี มาแล้วตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 15 ก็เป็นได้
ภาพลายเส้นเปรียบเทียบรูปแบบองค์ระฆัง พระมหาธาตุเจดีย์ นครศรีธรรมราช กับเจดีย์อื่นๆ
4.) เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างนครศรีธรรมราชกับเกาะชวานั้น ศิลาจารึกวัดเสมาเมือง พบที่ วัดเสมาเมือง อาเภอเมืองฯ จังหวัดนครศรีธรรมราช ด้านที่ 1 ระบุศักราชตรงกับปี พ.ศ. 1318 ส่วนด้านที่ 2 (ซึ่งศาสตราจารย์มาชุมทาร์สันนิษฐานว่าจารึกขึ้นภายหลังสักเล็กน้อย)พรรณนาความเกี่ยวกับศรีมหาราช ผู้อยู่ ในไศเลนทรวงศ์ บ่งบอกความสัมพันธ์ระหว่างนครศรีธรรมราช บนความสมุทรภาคใต้ กับราชวงศ์ไศเลนทร์ บน เกาะชวา17อันน่าจะส่งผลให้เกิดการถ่ายทอดรูปแบบทางศิลปกรรมให้แก่กัน 5.) พระมหาธาตุเ จดีย์ นครศรีธรรมราช ในพุ ท ธศตวรรษที่ 15 น่ าจะสร้ างขึ้นเนื่อ งใน พระพุทธศาสนาลัทธิมหายานที่เมืองนครศรีธรรมราชได้มีการค้นพบพระโพธิสัตว์ไมเตรยะสาริด (จัดแสดงใน พิพิธภัณฑ์วัดพระมหาธาตุ) พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรสาริดพบใกล้วัดพระเพรง18พระโพธิสัตว์ไมเตรยะสาริด พบใกล้วัดชายคลอง19ทั้งหมดนี้มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 14 – 15ถึงแม้จะพบจานวนน้อยเมื่อเทียบกับเมือง ไชยาแต่ก็นับว่าเป็นหลักฐานสาคัญที่แสดงถึงการนับถือพระพุทธศาสนาลัทธิมหายานได้เป็นอย่างดี 6.) พระมหาธาตุเจดีย์ วิหารโพธิ์ลังกา วิหารโพธิ์พระเดิม ที่ตั้งเรียงกันตามแนวทิศเหนือ – ใต้ และกาหนดอายุได้ร่วมสมัยกันคือพุทธศตวรรษที่ 15 บ่งชี้พัฒนาการในระยะแรกเริ่มว่าเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับภูมิ ประเทศแบบสันทรายตามแนวยาว (เหนือ – ใต้) อนึ่งก่อนหน้านี้เคยมีการกล่าวว่าพระมหาธาตุสร้างขึ้นร่วม สมัยกับเมืองพระเวียง (พุทธศตวรรษที่ 17 – 18) ให้เป็นพระเจดีย์สาคัญนอกเมืองทางด้านทิศเหนือ แต่กลับ เกิดคาถามว่า เหตุใดบันไดทางขึ้นพระมหาธาตุจึงตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือ ไม่สัมพันธ์กับตัวเมืองพระเวียงซึ่ง ตั้งอยู่ทางด้านทิศใต้ กรณีนี้จึงอธิบายได้ว่า เพราะพระมหาธาตุเจดีย์สร้างขึ้นตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 15 ซึ่งมีมา ก่อนการสร้างเมืองพระเวียง ดังนั้นบันไดทางขึ้นจึงไม่มคี วามสัมพันธ์กับที่ตั้งของตัวเมืองนั่นเอง 7.) การขุดค้นครั้งนี้ พบภาชนะดินเผาบรรจุอัฐิฝังไว้ที่ฐานพระมหาธาตุ ใบเก่าสุดเป็นกระปุก เคลือบสีเขียวมะกอกของจีนสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ (พุทธศตวรรษที่ 17 – 18)20บ่งชี้ว่าพระมหาธาตุ ควรมีอายุที่ เก่าแก่กว่านั้น แม้ขณะนี้จะยังไม่พบหลักฐานภาชนะดินเผาที่มีอายุร่วมสมัยพุทธศตวรรษที่ 15 (เครื่องถ้วยจีน สมัยราชวงศ์ถัง) ภายในบริเวณวัดพระมหาธาตุแต่ที่ผ่านมาก็เคยมีการขุดพบเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์ถัง ใน 16
อมรา ศรีสุชาติ, ศรีวิชัยในสุวรรณทวีป (กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, 2557),204-205. เรื่องเดียวกัน,243. 18 อมรา ศรีสุชาติ, ศรีวิชัยในสุวรรณทวีป,142, 196. 19 วัณณสาส์น นุ่นสุข, พัฒนาการของบ้านเมืองบนหาดทรายแก้วนครศรีธรรมราชฯ, 96. 20 สัมภาษณ์ ดร.ปริ วรรต ธรรมาปรี ชากร, ผู้ อานวยการพิ พิธภั ณฑสถานเครื่ องถ้ วยเอเชี ย ตะวั นออกเฉี ย งใต้ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ, 17 พฤษภาคม 2560. 130 17
พื้นที่รายรอบทั้งทางทิศเหนือได้แก่ วัดจันทาราม (ห่างไป 3 กิโลเมตร) และทิศใต้ ได้แก่ วัดสวนหลวง (ห่างไป 1 กิโลเมตร) และชุมชนโบราณท่าเรือ (ห่างไป 5 – 6กิโลเมตร)21 8.) ตานานพระธาตุ เ มื อ งนครศรีธรรมราชมี ค วามตอนหนึ่ง กล่า วว่า “ช่ วยท ำอิฐ ปูนก่ อพระ มหำธำตุขึ้นยังหาสาเร็จไม่ ภอไข้ห่ำลงพระญำก็พำญำติวงษ์ลงสำเภำหนี ใช้ใบถึงกลำงชเลผู้คนตำยสิ้น เมือง นั้นก็ร้ำงอยู่ครั้งหนึ่ง” และต่อมาว่า “ก่อพระมหำธำตุขึ้นตำมพระญำศรีธรรมำโศกรำชทาไว้แต่ก่อน”22 ตีความ ได้ว่าการสร้างพระมหาธาตุมิได้สาเร็จในคราวเดียว มีการทาค้างไว้ กระทั่งมาทาต่อจนแล้วเสร็ จ และยังมีการ บูรณะฟื้นฟูอีกหลายครา ทาให้รูปแบบศิลปกรรมมีลักษณะผสมผสานหลายยุคสมัย อนึ่งผลการตรวจวัดขนาด อิฐพบว่าส่วนฐานรากมีขนาดใหญ่ (28 x 40 x 10 เซนติเมตร) ขณะที่ส่วนองค์ระฆัง มีขนาดเล็กกว่า (16 x 32 x 7เซนติเมตร)23ทั้งนี้คงเนื่องมาจากการบูรณะต่อเติมในสมัยต่อๆ มา สรุปและเสนอแนะ สืบเนื่องจากการขุดค้นทางโบราณคดีและการกาหนดอายุหลักฐานด้วยวิธี ทางวิทยาศาสตร์ นาไปสู่ การกาหนดอายุพระมหาธาตุเจดีย์ นครศรีธรรมราช ในสมัยแรกสร้างว่าน่าจะมีอายุราวกลางพุทธศตวรรษที่ 15 ในครั้งนั้นน่าจะมีการสร้างส่วนฐานประทักษิณที่มีเสาประดับผนังตามแบบศิลปะศรีวิชัย มีบันไดทางขึ้นอยู่ ทางด้านทิศเหนือ มีเจดีย์ประธานทรงระฆัง และในต้นศตวรรษต่อมามีการสร้างเจดีย์รายล้อมรอบในแผนผัง แบบมณฑล ที่สันนิษฐานว่าได้รับอิทธิพลมาจากเจดีย์บุโรพุทโธ ศิลปะชวาภาคกลาง ก่อนที่ในเวลาต่อมาจะ ได้รับการบูรณะซ่อมแซมโดยรับอิทธิพ ลศิลปะลังกา สมัยโปลนนารุวะ ราวพุทธศตวรรษที่ 18 และศิลปะ อยุธยา ราวพุทธศตวรรษที่ 20 – 22ตามลาดับ ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เป็นข้อเสนอเพื่ออธิบายความเป็นไปได้ในการกาหนดอายุสมัยของพระมหาธาตุ เจดีย์ นครศรีธรรมราช ว่าน่าจะมีความเก่าแก่ถึงพุทธศตวรรษที่ 15 เพื่อพิจารณา ตรวจสอบ และต่อยอดองค์ ความรู้กันต่อไป บรรณานุกรม กรมศิ ล ปากร. ต านานพระธาตุ และต านานเมื องนครศรีธ รรมราช. กรุ ง เทพฯ: ส านั ก วรรณกรรมและ ประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, 2560. เกรียงไกร เกิดศิริ และอิสรชัย บูรณะอรรจน์. “วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารกับการวางผังอาคาร.” ใน 100ปี สถาปนาพระอารามหลวง พ.ศ.2458-2558 วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช, 160-189. นครศรีธรรมราช: โรงพิมพ์อักษรการพิมพ์, 2558. ชอง บวสเซอลิเยร์. “โบราณวัตถุสถานทางภาคใต้ของประเทศไทย.” หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล ทรงแปลและ เรียบเรียง ใน รายงานสัมมนาประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช, 396-412. กรุงเทพฯ: กรุงสยามการ พิมพ์, 2521. ดารงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา. ตานานพระพุทธเจดีย์. กรุงเทพฯ: มติชน, 2545. นงคราญ ศรีชาย. “มี อะไรอยู่ในพระบรมธาตุเจดีย์เมืองนครศรีธรรมราช.” ศิลปากร44, 3 (พฤษภาคมมิถุนายน, 2544): 31-45. _____. “วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร: กรณีศึกษาเกี่ยวกับการตั้งเมืองนครศรีธรรมราช.” ในประวัติศาสตร์ โบราณคดี นครศรีธรรมราช, 187-198.กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, 2545.
21
วัณณสาส์น นุ่นสุข, พัฒนาการของบ้านเมืองบนหาดทรายแก้วนครศรีธรรมราชฯ,87, 95, 105. กรมศิ ลปากร, “ตานานพระธาตุเ มืองนครศรี ธรรมราช,”ในตานานพระธาตุและตานานเมืองนครศรีธรรมราช (กรุงเทพฯ: สานักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, 2560), 160-161. 23 สานักศิลปากรที่ 14 นครศรี ธรรมราช, รายงานผลการวั ดขนาดอิฐ ที่องค์ พระบรมธาตุเ จดีย์นครศรีธรรมราช (เอกสารรายงาน สานักศิลปากรที่ 14 นครศรีธรรมราช, 2559),1. 131 22
นนทรัตน์นิ่มสุวรรณ. รายงานหาอายุด้วยวิธีเรืองแสงความร้อน (TL-Dating) โครงการขุดค้นทางโบราณคดีวัด พระมหาธาตุวรมหาวิหารจังหวัดนครศรีธรรมราชเพื่อขึ้นบัญชีเป็นมรดกโลก ระยะที่ 1.เสนอสานัก ศิลปากรที่ 14 นครศรีธรรมราช, 2559. _____. รายงานหาอายุด้วยวิธีเรืองแสงความร้อน (TL-Dating) โครงการขุดค้นทางโบราณคดีวัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหารจังหวัดนครศรีธรรมราชเพื่อขึ้นบัญชีเป็นมรดกโลก ระยะที่ 2.เสนอสานักศิลปากรที่ 14 นครศรีธรรมราช, 2559. นันทนา ชุติวงศ์. ผู้เชี่ยวชาญด้านประติมานวิทยาและประวัติศาสตร์ศิลปะเอเชีย . สัมภาษณ์,10 มิถุนายน 2560. ประทีป ชุมพล. “การกาหนดอายุพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช.” วารสารมหาวิทยาลัยศิลปากร. ฉบับพิเศษ 40 ปี มหาวิทยาลัยศิลปากร, (2527): 103-115. ประภัส สร์ ชูวิเ ชี ยร. “พระบรมธาตุเ จดี ย์ นครศรีธรรมราช กั บ การวิเ คราะห์ด้ านประวัติศาสตร์ศิล ปะ ” วิ ท ยานิ พ นธ์ ป ริ ญ ญาศิ ล ปศาสตรมหาบั ณ ฑิ ต สาขาวิ ช าประวั ติ ศ าสตร์ ศิ ล ปะ บั ณ ฑิ ต วิ ท ยาลั ย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2547. _____. อาจารย์ประจาภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ คณะโบราณคดี มหาวิ ทยาลัยศิลปากร. สัมภาษณ์,27 มีนาคม2560. ปริวรรต ธรรมาปรีชากร. ผู้อานวยการพิพิธภัณฑสถานเครื่องถ้วยเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มหาวิท ยาลัย กรุงเทพ. สัมภาษณ์,17 พฤษภาคม 2560. ฟีเจอร์วัน, ห้างหุ้นส่วนจากัด.รายงานผลการตรวจหาค่าอายุทางวิทยาศาสตร์ด้วยวิธี AMS (Accelerator Mass Spectrometry Radiocarbon Dating) by Beta Analytic Inc., Florida, USA.เสนอสานัก ศิลปากรที่ 14 นครศรีธรรมราช, 2559. วัณณสาส์น นุ่นสุข. พัฒนาการของบ้านเมืองบนหาดทรายแก้วนครศรีธรรมราชจากหลักฐานทางโบราณคดี . นครศรีธรรมราช: มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช, 2559. _____. ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส ศูนย์ภูมิภาคโบราณคดีและวิจิตรศิลป์ (SEAMEO-SPAFA). สัมภาษณ์,12 มิถุนายน 2560. สานักศิลปากรที่ 14 นครศรีธรรมราช. รายงานผลการวัดขนาดอิฐที่องค์พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช. เอกสารรายงาน สานักศิลปากรที่ 14 นครศรีธรรมราช, 2559. สุภัทดิศ ดิศกุล, หม่อมเจ้า. เที่ยวเมืองลังกา. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภา, 2517. อมรา ศรีสุชาติ. ศรีวิชัยในสุวรรณทวีป. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, 2557. เอเดรียน สนอดกราส.สัญลัก ษณ์แห่ง พระสถูป .พิม พ์ครั้ง ที่ 2.แปลโดย ภัท รพร สิริกาญจน. กรุง เทพฯ: อมรินทร์วิชาการ, 2541. SubhadradisDiskul, M.C.“Srivijaya art in Thailand.” in The art of Srivijaya, 21-54.Kuala Lumpur: Oxford University Press, 1980. ___________________________
132
พระพุทธรูปนาคปรกผูท รงภูษาสมพต
(พระพุทธรูปนาคปรกผูทรงภูษาสมพต) นายกมลาศ เพ็งชะอุม ภัณฑารักษปฏิบัติการ กลุมสงเสริมและพัฒนาพิพิธภัณฑ สํานักพิพิธภัณฑสถานแหงชาติ พระพุทธรูปนาคปรก ที่มีการพบในประเทศไทยนั้น ถูกสรางขึ้นตั้งแตสมัยทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๖) โดยไดรับอิทธิพลในการสรางจากอินเดีย ศิลปะแบบอมราวดี (พุทธศตวรรษที่ ๗ – ๙) ซึ่งเปนสกุล ชางที่เจริญอยูในแถบอินเดียใต ศิลปะอินเดียสกุลชางอมราวดีนั้นนิยมสรางพระพุทธรูปนาคปรก และมีการ สงผานรูปแบบการสรางพระพุทธรูปนาคปรกมาสูทวารวดี ซึ่งนอกจากทวารวดีแลวยังพบพระพุทธรูปนาคปรก ในศิลปะศรีวิชัย (พุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๘) และศิลปะลพบุรี (พุทธศตวรรษที่ ๑๓ – ๑๘) และในสมัยตอๆ มา ก็ยัง พบการสรางพระพุท ธรู ป นาคประทั้ง ในสมัยสุ โ ขทั ย สมั ยกอนการสถาปนากรุ ง ศรี อยุธยา และสมั ย รัตนโกสินทร ในการสรางพระพุทธรูปนาคปรกอาจมีคติในการสรางอยูหลายอยางไมวาจะสรางขึ้นเพื่อใหสอดคลอง กับพุทธประวัติ ซึ่งเปนพุทธประวัติที่ปรากฏทั้งคัมภีรของทางพุทธศาสนาทั้งเถรวาท และมหายาน เมื่อพูดถึง คติก ารสรางพระพุท ธรูป นาคปรกในทางเถรวาทไดป รากฏคัม ภีรฝายเถรวาทที่ก ลาวถึง พระพุทธรูปนาคปรก ไดแกคัมภีรปฐมสมโพธิกถา ในปริเฉทที่ ๑๑ โพธิสัพพัญูปริวรรต กลาววา “สัปดาหที่ ๖ ประทับที่ตนมุจลินท ฝนตกติดตอ ๗ วัน พระยานาคแผพังพานกั้นฝนถวาย ในลําดับนั้น ครั้น ๗ วันลวงไปแลว สมเด็จพระศาสดาจารยก็เสด็จอุฏฐาการจากบัลลังกสมาธินั้น เสด็จพระพุทธดําเนินไปสู มุจลินทพฤกษไมจิก อันประดิษฐานในปราจีนทิศแหงพระมหาโพธิ ทรงนิสัชนา การดวยบัล ลังกส มาธิ ณ ใต รมไมนั้นเสวยวิมุติ สมาบัติสุข.....ยังมีพระยานาคตนหนึ่งมีนามวามุจลินทนาคราช มีอานุภาพมาก บังเกิดอยูในสระโบกขรณีอันมี ในที่ใกลมุจลินทพฤกษนั้น เบื้องวาพระยาอหินาคไดเห็นซึ่งพระพุทธมหานาคดังนั้นก็มิอาจอยูในพิภพแหง ตน ได ก็ขึ้นมาจากมหาสระจินตนาการวา.....อยาใหถูกตองพระกรัชกาย จึงขดเขาซึ่งขนดกายเปน ๗ รอบ แวดวง องคพระศาสดาจารย แลวก็แผพังพาน อันใหญปูองปกเบื้องบนพระอุตมังคศิโรตม หวั งประโยชนจะมิใหเย็น และรอนถูกตองแดดลมแลฝนเหลือบ ยุงและแลสรรพสัปปชาติตางๆ สมผัสผัสพระกรัชกาย...” 133
ในสวนคัมภีรฝายมหายาน ที่ปรากฏการกลาวถึงพระพุทธรูปนาคปรก ไดแกคัมภีรลลิตวิสตระ อัธยาย ที่ ๒๘ ตระปุษะภัทลิกะปริวรรต ไดกลาววา “.....ดูกรภิกษุทั้งหลายในสัปดาหที่ ๕ ตถาคตอยูในพิภพของมุจลิ นทนาคราช เปนวันฟาวันฝนตลอดสัปดาหครั้งนั้นแล มุจลินทนาคราชออกจากที่อยูของตนพันกายตถาคตดวย ขนดนาค ๗ รอบ แผพังพานบังไวโดยคิดวาลมหนาวอยาแผวพานพระกายของพระผูมีพระภคะเลย.....แมมุจลินทนาคราชไหวบาทตถาคตดวยศีรษะ ทําประทักษิณ ๓ รอบ แลวเขาไปสูที่ของตน ในพุทธประวัติฝายมหายานในทิเบต ก็ปรากฏการการกลาวถึงพระพุทธรูปนาคปรก กลาววา “.....พระ ยามุจลินทนาคราช ปรารถนาที่จะปองกันแดดแลฝนใหพระพุทธเจา จึงพันกายพระผูมีพระภาคเจาถึง ๗ รอบ แลวแผพังพานบนพระเศียร อีกหนึ่งคติที่เชื่อวาเปนที่มาในการสรางพระพุทธรูปนาคปรก คือในอินเดียใตมีลัทธิการบูชางู เพราะ เปนภูมิภาคที่มีงูชุกชุม และนับถืองูเปนเทพเจา มีการสรางรูปเคารพและพัฒนาขึ้นเปนรูปบุคคล (มนุษยนาค) และการที่จะหลอมรวมพุทธศาสนาเขากับความเชื่อในทองถิ่นนั้นจึงตองมีการผสมผสานรูปแบบของรูปเคารพ ของพุทธศาสนาคือพระพุทธรูปกับนาคอันเปนสัญลักษณแทนเทพทองถิ่น ศาสนาใหมที่เขามาคือพุทธศาสนา นั่นเอง เพื่อการยอมรับของชาวดราวิเดียนในอินเดียใต เมื่อความสนใจในพระพุทธรูปนาคปรกเปนทุนเดิมอยูแลวนั้นจึงบังเอิญที่วันหนึ่งกระผมไดมีโอกาสเขา ชมที่พิพิธภัณฑสถานแหงชาติ พระนคร ไดพบกับพระพุทธรูปหินทรายองคหนึ่งซึ่งจัดแสดงอยูบริเวณระเบียง ทางทิศใตของหมูพระวิมาน ซึ่งเปนพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะที่แปลกจากพระพุทธรูปนาคปรกที่เคยพบเห็น กลาวคือเปนพระพุทธรูปประทับนั่งขัดสมาธิราบอยูเหนือขนดนาค ๓ ชั้น องคพระพุทธรูปไมปรากฏพระเศียร และพังพานของนาคที่แผอยูเหนือพระเศียร คงเหลือแตขนดนาค ๓ ชั้นและสวนตัวของนาคที่ติดกับสวนหลัง ของพระพุทธรูปเทานั้น พระหัตถทั้งสองวางประสานกันอยูบนหนาตักในอิริยาบถสมาธิ พระวรกายไมปรากฏ การครองจีวรเหมือนพระพุทธรูปนาคปรกทั่วไป แตที่นาสนใจที่สุดของพระพุทธรูปนาคปรกองคนี้คือ ปรากฏ การครองภูษาสมพต (โจงกระเบนสั้น) ซึ่งมีลักษณะของสมพตที่มีการสลักลวดลายจีบเปนริ้วโดยรอบสมพต มี การคาดทับดวยสายรัดพระองค (รัดประคด) ลายดอกไม และมีการสลักลายอุบะสั้นหอยอยูดานใตโดยรอบสาย รัดพระองค (รัดประคด) กระผมจึงสงสัยในรูปแบบพุทธลักษณะของพระพุทธรูปองคนี้ที่ดูแปลกตาในสวนของ การครองภูษาสมพต แทนการหมจีวร จึงเปนที่มาในการสืบคนเพื่ออธิบายประวัติความเปนมา อายุสมัยของ พระพุท ธรูป นาคปรกองค นี้ และคติ ในการสร างพระพุท ธรู ป นาคปรกองค นี้ที่ มีพุ ท ธลั ก ษณะตางไปจาก พระพุทธรูปนาคปรกองคอื่นๆ เมื่อกระผมไดทําการสืบ คนประวัติความเปนมาจากทะเบียนโบราณวัตถุ ไมป รากฏในทะเบียนวา พิพิธภัณ ฑสถานแหง ชาติ พระนคร ได รับ จากใคร เมื่อ ใด หรือมีที่ ม าจากที่ใด จึง ตอ งศึก ษารูป แบบของ พระพุทธรูปนาคปรกองคนี้เพื่อกําหนดอายุสมัยของพระพุทธรูปนาคปรกองคนี้ ลักษณะของพระพุทธรูปนาคปรกองคนี้ที่สามารถนํามาวิเคราะหและกําหนดอายุสมัยไดประกอบดวย ๓ สวน คือ ๑. กําหนดอายุสมัยจากลักษณะและลวดลายของภูษาสมพต กลาวคือมีลวดลายลักษณะของสมพตที่ คลายคลึงกับภูษาสมพตของประติมากรรมหินสลักรูปเหมือนลอยตัวของพระเจาชัยวรมันที่ ๗ ที่พบที่ปราสาท หินพิมาย นครราชสีมา ซึ่งมีอายุอยูในพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ศิลปะลพบุรี อิทธิพลศิลปะบายน อีกทั้งยังมีลักษณะ ของภูษาสมพตที่คลายคลึงกับภูษาสมพตของประติมากรรมหินสลักลอยตัวเปนรูปพระโพธิสัตวอวโลกิเตศวร เปลงรัศมี ที่พบที่ปราสาทเมืองสิงห กาญจนบุรี ซึ่งมีอายุอยูในพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ศิลปะลพบุรี อิทธิพลศิลปะ บายน เมื่อสังเกตจากลักษณะลวดลายภูษาสมพตในรูปแบบนี้ที่มีลักษระลวดลายที่สอดคลองกัน จึงเปนไปไดวา พระพุทธรูปนาคปรกผูทรงภูษาสมพตนี้ จะมีอายุอยูในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ๒. กําหนดอายุสมัยจากลัก ษณะของขนดนาค ๓ ชั้น ซึ่ง พระพุทธรูป นาคปรกผูท รงภูษาสมพตนี้ มี ลักษณะของขนดนาคที่เสมอกันไมมีลักษณะสอบเปนสามเหลี่ยม ซึ่งเปนรูปแบบขนดนาคที่นิยมในศิลปะลพบุรี ที่ไดรับอิทธิพลศิล ปะบาปวน และบายน ซึ่ง จะแตงตางจากศิลปะลพบุรีที่ไดรับอิท ธิพลศิลปะนครวัดที่จะมี 134
ลักษณะของขนดนาค ๓ ชั้น ที่สอบจากบนลงลางเปนลักษณะสามเหลี่ยม ในสวนของพระพุทธรูปผูทรงภูษา สมพตนี้เ นื่องดวยมีลักษณะลวดลายของภูษาสมพตที่สอดคลองไปยังรูปแบบอายุสมัยศิล ปะลพบุรี อิทธิพล ศิลปะบายน พุทธศตวรรษที่ ๑๘ ดังนั้นขนดนาคที่เสมอกันจึงกําหนดอายุสมัยของขนดนาคไดวาอยูในรูปแบบ ของขนดนาคในศิลปลพบุรี อิทธิพลศิลปะบายน ๓. ลักษณะของพระชงฆ (หนาแขง) ของพระพุทธรูปนาคปรกผูทรงภูษาสมพต องคนี้ มีลักษณะเปน สันคมขึ้นมา ซึ่งสอดคลองตามรูปแบบของพุทธลักษณะเฉพาะของพระพุทธรูปในศิลปะลพบุรี อิทธิพลศิลปะ บายน พุทธศตวรรษที่ ๑๘ จากทั้งขอสังเกตทั้ง ๓ จึง สันนิษฐานไดวาพระพุทธรูปนาคปรกผูทรงภูษาสมพตองคนี้ นาจะมีอายุ สมัยอยูในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ เนื่องดวยเปนศิลปลพบุรีที่มีอิทธิพลของศิลปะบายนอยูในหลายสวนของพระ วรกายและขนดนาค แตอีก ๑ ขอสังเกตของพระพุทธรูปองคนี้ที่มีพุทธลักษณะแตกตางจากพระพุทธรูปศิลปะ ลพบุรี อิทธิพลศิลปะบายน หรือแมแตกระทั่งประติมากรรมบุคคลหินสลักในศิลปะลพบุรี อิทธิพลศิลปะบายน คือลักษณะของพระองค (ลําตัว) ที่มีลักษณะตั้งตรง พระอังสาใหญ (ไหลกวาง) ที่มักจะไมปรากฏในพระพุทธรูป นาคปรกและประติมากรรมบุคคลหินสลักในศิลปะลพบุรี อิทธิพลศิลปะบายน เทาใดนัก ซึ่งพระพุทธรูปนาค ปรกและประติมากรรมบุคคลหินสลักในศิลปะลพบุรี อิทธิพลศิลปะบายน สวนใหญจะมีลักษณะหลังคอมลง เล็ก นอย และพระอังสาจะไมใหญ (ไหลไมกวาง) ซึ่งข อนี้อาจแสดงใหเ ห็นถึง การปรับ เปลี่ยนรูป แบบของ พระพุทธรูปศิลปะลพบุรี อิทธิพลศิลปะบายน พุทธศตวรรษที่ ๑๘ ไปบาง ในสวนของคติการสรางพระพุทธรูปองคนตี้ ีความคติในการสรางไดดังนี้ ๑. อาจมีคติการสรางเพื่อใหเปนชัยพุทธมหานาท ที่เปนพระพุทธรูป ที่มีปรากฎในจารึกปราสาทพระ ขรรควา พระเจาชัยวรมันที่ ๗ แหงอาณาจักรเขมรโบราณ มีคําสั่งใหประดิษฐาน ไวในหัวเมืองทั้ง ๓๓ เมืองที่ ปรากฏในจารึกปราสาทพระขรรค ๒. อาจมีคติในการสรางเพื่อเปนพระพุทธรูปแทนองค พระเจาชัยวรมันที่ ๗ ที่มีรูปแบบคลายคลึงกับ พระพุทธรูปแทนองคพระเจาชัยวรมันที่ ๗ หลังจากการสวรรคตแลว จึงมีการสรางพระพุทธรูปที่แสดงถึงการ หลอมรวมระหวางพระเจาชัยวรมันที่ ๗ กับพระพุทธเจา จึงมีการผสานรูปแบบของพระพุทธรูปกับตัวบุคคล ๓. อาจเปนไปไดวาชางในอดีตมีการนํารูปแบบเครื่องแตงกายของพระโพธิสัตวอวโลกิเตศวร หรือ แมกระทั่งเทวรูปที่นิยมนับถือในสมัยกอนหนานั้นมาหลอมรวมกับรูปแบบของพระพุทธรูปนาคปรกที่นิยมใน สมัยตอมา แตไมวาคติจะเปนดวยเหตุใดก็ตามจะเห็นวามีรูปแบบของพระพุทธรูปนาคปรกที่มีรูปแบบที่แตกตาง ไปจากรูปแบบพระพุทธรูปนาคปรกผูทรงจีวรเฉกเชนปกติวิสัย ปรากฎใหเห็น หรือจะเปนคติที่คนโบราณแฝงไว ใหเราถอดรหัสเพื่อการศึกษาในวันนี้ บรรณานุกรม สุริยวุฒิ สุขสวัสดิ,์ หมอมราชวงศ. กัมพูชาราชลักษมีถึงศรีชยวรมัน. กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๔๓. ปรมานุชิตชิโนรส, สมเด็จพระมหาสมณะเจา กรมพระ. พระปฐมสมโพธิกถา. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ ธรรมบรรณาคาร, ๒๕๓๙. สุชิน ทองหยวก, อิงอร ไทยดี. คัมภีรลลิตวิสตระ: พระพุทธประวัติฝายมหายาน ภาคภาษาไทย. กรุงเทพฯ: วัดบวรนิเวศวิหาร, ๒๕๕๘. พีรพน พิสณุพงศ. พระพุทธรูปนาคปรก. สารนิพนธศิลปะศาสตรบัณฑิต (โบราณคดี) มหาวิทยาลัย ศิลปากร, ๒๕๒๐. 135
ยันต์ที่ซ่อนอยู่ในกลองสำหรับพระนคร : กำรศึกษำเปรียบเทียบกับสมุดไทยดำ เรื่อง ตำรำเลขยันต์ ฉบับห้องสมุดบริติช นางสาวศุภวรรณ นงนุช1 กลองสาหรับพระนคร เป็นหนึ่งในสิ่งสาคัญยิ่งของการสถาปนาพระนคร ดังปรากฏในพระราชพิธีพระ 2 นครฐาน เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงโปรดฯ ให้ตั้งกรุงเป็นเทพมหานครเป็น เมืองหลวง โดยทั้งฝังเสาหลักเมืองและสร้างกลองขึ้นมาสามใบ อย่างเดียวกับเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราช ธานี ว่ามีหอกกลองสูงสามสิบวาทาสีแดงตั้งอยู่ ที่ถนนตะแลงแกง สาหรับแขวนกลองสามใบซึ่งมีเจ้าพนักงาน กรมพระนครบาลคอยก ากับดูแล กลองทั้งสามใบมีขนาดและทาหน้าที่ แตกต่างกันออกไป กลองชั้นต้นเป็น กลองใบใหญ่อยู่ชั้นล่าง ชื่อว่า พระทิวาราตรี3 ใช้ตีบอกเวลาย่ารุ่งย่าค่าทุกวัน รวมถึงตีเพื่อเรียกประชุม กลอง ชั้นกลางแขวนไว้ชั้นถัดไป สาหรับตีบอกเหตุไฟไหม้ ทั้งในพระนครและอีกฝากแม่น้า ชื่อว่า พระมหาระงับ ดับเพลิง4 กลองชั้นยอดบนยอดบนยอดหอกลอง คอยดูข้าศึกและตีสัญญาณ ชื่อว่า พระมหาฤกษ์5 ปัจจุบันไม่ ปรากฏหลักฐานหลงเหลืออยู่ ส่วนกลองสาหรับพระนครทั้งสามใบของกรุงรัตนโกสินทรานั้น ทาหน้าที่เช่นเดียวกับเมื่อครั้งกรุงศรี อยุธยา โดยมีขนาดลดหลั่นกันลงไป แต่ละใบทาจากไม้ท่อนเดียวขุดกลอง ที่หน้ากลองแต่ละใบขึ้นหนังต่างชนิด กัน ทั้งหมดแขวนที่หอกลอง ซึ่งสร้างขึ้นบริเวณหับเผย หลังวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ปัจจุบันคือ กรม รักษาดินแดน หอกลองนั้นถูก รื้ออออกสมัยรัชกาลที่ 5 ต่อมาในโอกาสครบรอบ 200 ปี กรุงรัตนโกสินทร์ จึงได้สร้างขึ้นมาใหม่ กลองใบลานแขวนบนชั้นที่สองของหอกลอง ชื่อว่า ย่ ำพระสุริย์ศรี6 ใช้ตีบอกเวลาเช้าเย็นและเป็น สัญญาณเปิดประตูเมือง กลองใบที่สองแขวนบนชั้นที่สามของหอกลอง ชื่อว่า อัคคีพินำศ7 ใช้ตีบอกเหตุการณ์ ไฟไหม้ในพระนคร ส่วนใบสุดท้ายอยู่ชั้นยอด ชื่อว่า พิฆำตไพรี8 จะถูกตีก็ต่อเมื่อข้าศึกประชิดเมืองเท่านั้น
1
นางสาวศุภวรรณ นงนุชภัณฑารักษ์ชานาญการ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร สมุดไทยดาเรื่อง ตาราเลขยันต์ เลขทะเบียน Or15568, British Library 3 คาให้การขุนหลวงหาวัดประดู่ทรงธรรม เอกสารจากหอหลวง (นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2555), หน้า 25. 4 เรื่องเดียวกัน, หน้า 25. 5 เรื่องเดียวกัน, หน้า 26. 6 ทะเบียนเล่ม 3 (3/2), พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร, สานักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ, กรมศิลปากร 7 เรื่องเดิม 8 เรื่องเดิม 2
136
ปัจจุบันกลองทั้งสามใบจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ลักษณะสาคัญของกลองทั้ง สามใบทาจากท่อนไม้เดียวขุดเป้นกระบอกกลอง เรียกว่า หุ่น ขึ้นหนังสัตว์เป็นหน้ากลองทั้งสองด้าน แล้วตรึง ด้วยหมุดโลหะโดยรอบ เรียกว่า แส้ นอกจากนั้นไม่ปรากฏการตกแต่งใดๆ ที่โดดเด่น อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เห็น อาจไม่ใช่สิ่งที่เป็น กลองทั้งสามใบได้ซ่อนสิ่งสาคัญเอาไว้ และเราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า หากนับว่า เป็นโชคดีที่ยังมีผู้บันทึกสิ่งสาคัญเอาไว้ได้ นั่นคือ อักขระเลขเลขยันต์ที่ลงบนหุ่นและหน้ากลอง เมื่อครั้งการพระ ราชพิธีพระนครฐาน การตั้งกรุงเทพมหานครเป็นราชธานี ซึ่งกลองแต่ละใบได้รับการลงอักขระไว้แตกต่างกัน แต่สอดคล้องกันในเชิงความหมายและสัญลักษณ์เพื่อพิทักษ์รักษาราชอาณาจักรไว้ด้วยพระพุทธคุณ ดังจะกล่าว ต่อไป กลองใบแรก ย่ำพระสุริย์ศรี ทาจากท่อนไม้ขุดเป็นหุ่นกลอง ทั้งสองด้านขึ้นหน้าด้วยหนังกระบือ 9 แส้ เป็นหมุดโลหะตอกโดยรอบ ที่ด้านหน้ากลองนั้น ลงยันต์ด้านละหนึ่งดวงดวงแรกคือ คาถาหัวใจพระเจ้าห้าองค์ ว่า นะ โม พุธ ธา ยะ อีกดวงหนึ่งคือ คาถาหัวใจตรีเพชรหรือพระรัตนตรัยอันประกอบด้วยพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ว่า นะ มะ อะ อุ ส่านหุ่นกลองได้รับการลงอักขระด้านในกระบอกอีกสามดวงคือ ยันต์โสฬสมหา มงคล ยันต์จัตุโรและยันต์ตรีนิสิงเห
9
สมุดไทยดาเรื่อง ตาราเลขยันต์ เลขทะเบียน Or15568, British Library
137
138
กลองชั้นกลาง อัคคีพินำศ ทาจากท่อนไม้เดียวเช่นกัน ขุดเป็นกระบอกได้หุ่นกลองขนาดย่อม ขึ้นหน้า กลองด้วยหนังโคทั้งสองด้าน10 ส่วนแส้นั้นนอกด้วยหมุดโลหะโดยรอบ ด้านบนมีหูระวิงทาจากเหล็กสาหรับ แขวน ด้านในของหุ่นกลองลงอักขระอักษรขอมเป็นยันต์สามดวงเช่นเดียวกับกลองชั้นต้น ได้แก่ ยันต์โสฬสมหา มงคล ยันต์จัตุโร และยันต์ตรีนิสิงเห ส่วนด้านในหน้ากลองทั้งสองด้านลงยันต์หัวใจธาตุทั้ง 4 ว่า นะ มะ พะ ทะ กับคาถาหัวใจธาตุกรณีหรือหัวใจกาสลัก จะ ภะ กะ สะ
10
สมุดไทยดาเรื่อง ตาราเลขยันต์ เลขทะเบียน Or15568, British Library
139
กลองใบที่สามหรือกลองชั้นยอด พิฆาตไพรี ทาจากท่อนไม้ท่อนเดียวขุดเป็นหุ่น มีขนาดเล็กที่สุดใน บรรดากลองสาหรับพระนครทั้งสามใบ ในกระบอกกลองหรือหุ่นกลองนั้น ลงยันต์สามดวง ดวงแรกซึ่งถือเป็น ยอดแห่งยันต์ทั้งปวง นั่นคือ คาถามงกุฎพระพุทธเจ้า ว่า อิติปิโส วิเสเส พุทธนาเมอิ อิเมนา พุทธตังโสอิ อิโสตัง พุทธปิติอิ ยันต์ดวงท่าองคือ คาถาหัวใจนวหรคุณ หรือหัวใจนวหรคุณ หรือ หัวใจอิติปิโส ว่า อะ สัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะ และยันต์ดวงที่สาม คือ คาถาหัวใจพระเจ้าห้าพระองค์ ว่า นะ โม พุธ ธา ยะ สาหรับด้านในของหน้า กลองพิฆาตไพรีลงยันต์ด้านละดวง เป็นคาถาบารมีพระพุทธเจ้า 140
เมื่อพิจารณาหลักฐานทางเอกสารสมุดไทยดาที่บันทึกเลขยันต์ ซึ่งใช้ในพระราชพิ ธีพระนครฐาน ใน การจารอักขระเลขยันต์ล งบนกลองส าหรับพระนครทั้ งสามใบแล้ว พบว่า ทั้ง หมดล้วนเป็นบทสนทนาใน พระพุทธศาสนา โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธคุณ กลองชั้นยอดนั้น คือ ยอดมงกุฎพระพุทธเจ้า ซึ่งป้องกัน ภยันตรายและแคล้วคลาด กลองชั้นกลางกับ กลองชั้นล่างรวมกันเป็นยั นต์ซึ่งรวมเอามงคล 108 ประการ แสดงให้ เ ห็ นถึ ง พระปรีช าของพระบาทสมเด็จ พระพุท ธยอดฟ้า จุฬ าโลกมหาราช รัช กาลที่ 1 แห่ ง กรุ ง รัตนโกสินทร์ ว่าทรงตั้งพระราชหฤทัยให้กลองทั้งสามใบนี้ เมื่อถูกตีครั้งหนึ่งก็จะได้แผ่อานาจแห่งคุณพระศรี รัตนตรัย อันได้แก่ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสงฆ์คุณ ปกปักรักษาพระราชอาณาจักรและพสกนิกรของ พระองค์ให้อยู่ดีมีสุขทุกคืนวัน ทั้งนี้การพบยันต์ที่จารลงในกลองชั้นต้น ย่ำพระสุริย์ศรี และกอลงชั้นกลาง อัคคีพินำศ เป็นจริงดังที่ ปรากฏในสมุดไทยดา เรื่องตาราเลขยันต์ ฉบับห้องสมุดบริติช ทาให้เชื่อได้ว่า ในกลองชั้นยอด พิฆำตไพรี ก็มี ยันต์จารเอาไว้เช่นกัน ซึ่งควรค่าแก่การศึกษาเพิ่มเติมต่อไปในอนาคต บรรณานุกรม คำให้กำรขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม เอกสำรจำกหอหลวง. นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2555. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร. ทะเบียนเล่ม 3 (3/2). สานักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ, กรมศิลปากร สมุดไทยดา เรื่อง ตำรำเลขยันต์ เลขทะเบียน Or15568, British Library, 2016 141
ผลงานการศึกษา คนควา วิจัย สาขาวิชาการ กระบวนการศึกษาวิเคราะหที่มาของโบราณวัตถุ : ทับหลังจําหลักภาพพระอินทรทรงชางเอราวัณ พิพิธภัณฑสถานแหงชาติ สุรินทร นางสาวพรเพ็ญ บุญญาทิพย ภัณฑารักษปฏิบัติการ พิพิธภัณฑสถานแหงชาติ สุรินทร ที่มาและความสําคัญของการศึกษา พิพิธภัณฑสถานแหงชาติ สุรินทร เปนหนึ่งในพิพิธภัณฑสถานแหงชาติที่มีการจัดแสดงและเก็บรักษา โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ประเภทชิ้นสวนของโบราณสถาน เชน ทับหลัง บันแถลง เสาประดับกรอบประตู ฯลฯ ในศิลปะลพบุรี(ศิลปะเขมรในประเทศไทย)ที่มีความสําคัญอีกแหงหนึ่ง ในจํานวนโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุกวา ๑,๐๐๐ รายการ ที่พิพิธภัณฑสถานแหงชาติ สุรินทรดูแลรักษาอยูนั้น มีโบราณวัตถุที่เปนทับหลังในศิลปะลพบุรี (ศิลปะเขมรในประเทศไทย) ทั้งสิ้น ๗ รายการ และมีทับหลังเพียง ๓ รายการเทานั้นที่ทราบประวัติที่มาของ วัตถุอยางชัดเจน นั้นคือ ทับหลังศิลปะแบบไพรกเม็งจากปราสาทภูมิโปน ๑ รายการ และทับหลังศิลปะแบบ นครวัดจากปราสาทศีขรภูมิ ๒ รายการ นอกเหนือจากนั้น อีก ๔ รายการ ทราบประวัติเ พียงวาไดรับมอบ (บริจาค)จากบุคคลตางๆ ในจังหวัดสุรินทร ซึ่งไมสามารถระบุไดชัดเจนวานํามาจากปราสาทหลังใด ซึ่ง ๑ ใน ๔ ของทับหลังที่ไมทราบประวัติที่มาเหลานี้ คือ ทับหลังจําหลักภาพพระอินทรทรงชางเอราวัณ เบื้องตนผูศึกษาจึงเกิดเจตนารมณที่จะสืบคน หาประวัติที่มาของทับหลังทั้ง ๔ รายการ โดยสวนหนึ่ง เกิดจากการลงพื้นที่สํารวจตามโครงการสํารวจและขึ้นทะเบียนโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ในครอบครองของวัดและ เอกชน ในปงบประมาณ ๒๕๖๐ ผูศึกษาพรอมดวยเจาหนาที่พิพิธภัณฑสถานแหงชาติ สุรินทร ไดดําเนิ นการ สํารวจในพื้นที่อําเภอทาตูม จังหวัดสุรินทร โดยเขาสํารวจ ณ วัดปทุมศิลาวารีปราสาท ซึ่งเปนที่ตั้งของปราสาท นางบัวตูม จากการสอบถามเจาอาวาสวัดไดความวา เมื่อสมัยกอนผูวาราชการจังหวัดสุรินทร ไดมาขอยืมทับ หลังจําหลักภาพพระอินทรทรงชางเอราวัณจากปราสาทนางบัวตูมไปจัดแสดงในอําเภอเมืองสุรินทร และยังไมมี การนํากลับคืนมาจนกระทั่งปจจุบัน วัตถุประสงคในการศึกษา ๑. เพื่อสืบหาประวัติที่มาของโบราณวัตถุ ทับหลังจําหลักภาพพระอินทรทรงชางเอราวัณ เพื่อนําเสนอ ขอมูลที่ถูกตองแกสาธารณะ ๒. เพื่อยืนยันขอสันนิษฐานที่อาจเปนไปไดวา ทับหลังจําหลัก ภาพพระอินทรทรงชางเอราวัณ เปน ชิ้นสวนประดับที่ไดเคลื่อนยายมาจากปราสาทนางบัวตูม และหากขอสันนิษฐานถูกตองจะเปนการเติมเต็ม ความสมบูรณดานขอมูลทางประวัติศาสตรศิลปะแกปราสาทนางบัวตูมใหชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งอาจเปนประโยชนตอ งานบูรณะซอมแซมปราสาทนางบัวตูมตอไปในอนาคต วิธกี ารศึกษาวิเคราะห ๑.ศึกษาขอมูลจากเอกสารและมัลติมีเดียโดยสืบคนขอมูลของโบราณวัตถุจากบัญชีเดินทุง ทะเบียน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุของพิพิธภัณฑสถานแหงชาติ สุรินทร และศึกษาขอมูลโบราณสถานจากหนังสือทําเนียบ โบราณสถาน และขอมูลจากระบบภูมสิ ารสนเทศ แหลงมรดกทางศิลปวัฒนธรรม กรมศิลปากร ๑๔๒
๒. ศึกษาขอมูลจากโบราณวัตถุ โดยการตรวจสอบประเภทวัสดุ วัดขนาด ตรวจสภาพความสมบูรณ วิเคราะหรูปแบบศิลปะ ๓. ลงพื้นทีส่ ํารวจโบราณสถาน และเก็บขอมูลจากหลักฐานโบราณวัตถุที่ปรากฏอยู บทวิเคราะห ๑. ขอมูลจากทะเบียนโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ชื่อวัตถุ เลขทะเบียน ศิลปะ อายุ/สมัย วัสดุ ขนาด ลักษณะ สภาพ ประวัติ
ทับหลังพระอินทรทรงชางเอราวัณ ๔๒/๑/๒๕๔๔ (เลขทะเบียนเดิมจากพิพิธภัณฑสถานแหงชาติ พิมาย ๒๒/๒๕๐๙) ลพบุรีหรือศิลปะเขมรในประเทศไทย (เขมรแบบนครวัด) ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ – ๑๗ หินทราย กวาง ๔๖ ซม. ยาว ๑๐๕* ซม. หนา ๒๔ ซม. ทับหลังสลักจากหินทรายรูปพระอินทรทรงชางเอราวัณ ๓ เศียร อยูเหนือหนากาลที่คาย ทอนพวงมาลัยออกมาทั้งสองขาง ชํารุด รายละเอียดภาพจําหลักสวนมากแตกหายไป ผูวาราชการจังหวัดสุรินทรมอบให และเคลื่อนยายมาจากพิพิธภัณฑสถานแหงชาติ พิมาย เมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๔๔ เพื่อนํามาจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแหงชาติ สุรินทร
* ขนาดความยาว ๑๐๕ ซม. เปนขอมูลเดิมที่ยังไมไดรับการแกไข
๒. ขอมูลเพิ่มเติมจากตรวจสอบโบราณวัตถุ เนื่องจากผูศึกษาไดตรวจสอบขนาดของทับหลังที่ปรากฏอยู ณ ปราสาทนางบัวตูมทั้งหมด เพื่อนํามา เปรียบเทียบกับทับหลังชิ้นที่เปนกรณีศึกษา แลวพบวามีขนาดที่แตกตางกันอยูมาก ทําใหขอสันนิษฐานตั้งแต แรกเริ่มนั้นเกิดความสับสน จึงไดทําการตรวจสอบวัดขนาดของทับหลังพระอินทรทรงชางเอราวัณชิ้นที่เปน กรณีศึกษาใหมอีกครั้ง พบวาขอมูลของโบราณวัตถุที่ปรากฏอยูในเอกสารทะเบียนเดิมนั้นมีความคลาดเคลื่อน ขนาดของโบราณวัตถุจากการตรวจสอบใหม คือ มีความกวาง ๔๖ ซม. ยาว ๑๖๕* ซม. และหนา ๒๔ ซม. ทํา จากวัสดุประเภทหินทรายสีชมพู ลวดลายจําหลักบนทับหลังมีสภาพลบเลือน ภาพบุคคลที่ประทับเหนือชาง เอราวัณ ๓ เศียร ไดกะเทาะหายไป หากพิจารณาจากภาพของหนากาลที่คายทอนพวงมาลัยออกมา โดยใชมือ ทั้งสองขางยึดทอนพวงมาลัยไว ทอนพวงมาลัยซึ่งออกมาจากดานลางแลววกกลับขึ้นดานบนโดยไมปรากฏพวง อุบะแบงเสี้ยว เปนลักษณที่พบในศิลปะเขมรแบบบาปวนชวงครึ่งแรกของพุทธศตวรรษที่ ๑๗ ๓. ขอมูลที่ไดจากการลงพื้นที่สํารวจโบราณสถาน ปราสาทนางบัวตูม อําเภอทาตูม จังหวัดสุรินทร ปราสาทนางบัวตูมประกอบดวยปราสาท ๓ หลังสรางดวยศิลาแลง ตั้งอยูบนฐานเดียวกัน เรียงตัวใน แนวแกนทิศเหนือ–ทิศใต ตัวปราสาทหันหนาไปทางทิศตะวันออก องคปราสาททั้ง ๓ หลังมีประตูทางเขา–ออก เพียง ๑ ดานคือดานทิศตะวันออก อีก ๓ ดานทําเปนประตูหลอก สวนยอดของปราสาทไดพังทลายลงมา ตัว ปราสาทยังไมไดรับการขุดแตงหรือบูรณะซอมแซม
๑๔๓
ปราสาทนางบัวตูม เปนศาสนสถานที่สรางขึ้นเนื่องในศาสนาฮินดู อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ – ๑๗ เปนศิลปะลพบุรีหรือศิลปะเขมรในประเทศไทย แบบบาปวน-นครวัดตอนตน วิเคราะหจากภาพจําหลักของทับ หลัง ที่อยูในบริเ วณปราสาทจํานวน ๕ ชิ้น (สมบูร ณ ๓ ชิ้น และชํารุด ๒ ชิ้น) ปรากฏภาพทับหลัง ที่มีทอน พวงมาลัยแบบศิลปะบาปวนผสมผสานกับภาพหนากาลที่ใชมือทั้งสองจับสิงหที่คายทอนพวงมาลัยอีกตอหนึ่ง และทับหลังอีกชิ้นที่ปรากฏภาพสิงหสองตัวหันหนาออกและจับทอนพวงมาลัย ซึ่งเปนลักษณะที่พบในศิลปะ แบบนครวัด จึง อาจกลาวไดวาทับหลังปราสาทนางบัวตู ม นี้จัดอยูในศิล ปะแบบบาปวนตอนกลาง-นครวัด ตอนตน นอกจากนี้ยัง พบเสาประดับ กรอบประตูแปดเหลี่ยม แทนประดิษฐานประติมากรรม และพื้นธรณี จําหลักภาพดอกบัวแปดกลีบที่อยูบริเวณกรอบประตูทางเขาปราสาทองคกลางสันนิษฐานวาอาจเปนที่มาของ ชื่อเรียกปราสาทหลังดังกลาว ขอมูล จากทั บ หลัง ทั้ง ๕ ชิ้นที่ป รากฏอยู ณ ปราสาทนางบั วตูม เปนหลัก ฐานสําคั ญ ที่ผูศึก ษาใช ประกอบการวิเคราะห ขนาด ประเภทวัสดุ และรูปศิลปะ เปรียบเทียบกับทับหลังพระอินทรทรงชางเอราวัณที่ เปนกรณีศึกษา โดยปรากฏขอมูลดังตารางเปรียบเทียบตอไปนี้ โบราณวัตถุ ทับหลังพระอินทรทรงชางเอราวัณ ทับหลังปราสาทนางบัวตูมชิ้นที่ ๑ จําหลักภาพพระกฤษณะปราบชางกุวลั ยปถะ ทับหลังปราสาทนางบัวตูมชิ้นที่ ๒ จําหลักภาพพระกฤษณะตอสูก ับจาณูระ ทับหลังปราสาทนางบัวตูมชิ้นที่ ๓ สันนิษฐาน วาจําหลักภาพพระกฤษณะปราบนาคกาลียะ ชิ้นสวนทับหลังปราสาทนางบัวตูมชิ้นที่ ๔* ชิ้นสวนทับหลังปราสาทนางบัวตูมชิ้นที่ ๕*
ขนาด (เซนติเมตร) กวาง ยาว หนา ๔๖ ๑๖๕ ๒๔ ๔๖ ๑๖๖.๕ ๒๖
หินทราย สีชมพู หินทราย สีชมพู
๔๖
๑๖๗
๒๕.๕
หินทราย สีชมพู
๔๕
๑๖๗
๒๙
หินทราย สีชมพู
๔๕ ๔๖
๕๗ ๖๘
๒๖ ๒๗
หินทราย สีชมพู หินทราย สีชมพู
ประเภทวัสดุ
* ชิ้นสวนทับหลังชิ้นที่ ๔ และ ๕ สันนิษฐานวานาจะเปนทับหลังชิ้นเดียวกัน แตดานขางแตกหายไปบางสวน ตรงกลางถูก กะเทาะแตกหายไปและแตกออกจากกันทําใหไมสามารถระบุไดวาเปนภาพจําหลักตอนใด
๑๔๔
ทับหลังจําหลักภาพพระอินทรทรงชางเอราวัณ จากพิพิธภัณฑสถานแหงชาติ สุรินทร
ทับหลังปราสาทนางบัวตูม ชิ้นที่ ๑ จําหลักภาพพระกฤษณะปราบชางกุวัลยปถะ
ทับหลังปราสาทนางบัวตูม ชิ้นที่ ๒ จําหลักภาพพระกฤษณะตอสูกบั จาณูระ
ทับหลังปราสาทนางบัวตูม ชิ้นที่ ๓ สันนิษฐานวาจําหลักภาพพระกฤษณะปราบนาคกาลียะ
ชิ้นสวนทับหลังปราสาทนางบัวตูม ชิ้นที่ ๔ และ๕ สันนิษฐานวาเปนทับหลังชิ้นเดียวกันภาพจําหลักตรงกลางหายไป ปรากฏเพียงภาพบุคคล ๒ คนนั่งอยูบ นหนากาล สันนิษฐานวาอาจเปนภาพของคนเลี้ยงวัวที่หลบอยูเ บื้องลางขณะที่ ๑๔๕ พระกฤษณะยกเขาโควรรธนะ
สรุปผลการศึกษา ผลการวิเคราะหจากตารางขอมูลทางกายภาพของโบราณวัตถุเปรียบเทียบทับหลังพระอินทรทรงชาง เอราวัณกับทับ หลังจากปราสาทนางบัวตูม ทั้ ง ๕ ชิ้น ปรากฏวา ทับ หลัง มีขนาดความกวาง ยาว และหนา ใกลเคียงกัน พบคาเฉลี่ยตางกันประมาณ ๑ – ๕ เซนติเมตร และเมื่อทําความสะอาดทับหลังแลวไดปรากฏให เห็นพื้นผิวที่สรางมาจากหินทรายสีชมพูเชนเดียวกันหมด และขอมูลจากระบบภูมิสารสนเทศ แหลงมรดกทาง ศิลปวัฒนธรรม กรมศิลปากร ยังระบุไววา ปราสาทนางบัวตูม มีทับหลัง ๓ ชิ้นที่พบเปนศิลปะขอมแบบบาปวน ไดแก ทับหลังสลักภาพพระอินทรทรงชางเอราวัณ พระกฤษณะปราบชางกุวัลยะปถะ และภาพที่สันนิษฐานวา สลักภาพพระกฤษณะตอสูกับจาณูระ ซึ่งอาจเปนไปไดวาทับหลังสลักภาพพระอินทรทรงชางเอราวัณที่กลาวถึง อาจเปนทับหลังชิ้นเดียวกับทับหลังที่พิพิธภัณฑสถานแหงชาติสุรินทรเก็บรักษาอยูก็เปนได นอกจากนี้การวิเคราะหดานประวัติศาสตรศิลปะยังพบวา ทับหลังของปราสาทนางบัวตูมเริ่มมีการ ผสมผสานระหวางทอนพวงมาลัยแบบศิลปะบาปวนเขากับภาพสิงหคายทอนพวงมาลัยซึ่งเปนลักษณะที่พบใน ศิลปะแบบนครวัด จึงอาจเปนไปไดวาทับหลังพระอินทรทรงชางเอราวัณจากพิพิธภัณฑสถานแหงชาติ สุรนิ ทรที่ ไดกําหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ – ๑๗ ศิลปะแบบนครวัดนั้นอาจรวมสมัยเดียวกับทับหลังจากปราสาท นางบัวตูมก็เปนได อีกทั้งการศึกษาปราสาทในพื้นที่จังหวัดสุรินทร ยังพบวามีปราสาทในศิลปะแบบนครวัดอยู เพียงหนึ่งแหงนั่นคือ ปราสาทศีขรภูมิ ซึ่งไมนามีความเปนไปไดเ มื่อเปรียบเทียบจากขนาดของทับ หลัง และ ประเภทของวัสดุ ขอเสนอแนะเพิ่มเติม แมวาผลการศึกษาวิเคราะหขอมูลทางดานกายภาพของโบราณวัตถุ ที่มีการเปรียบเทียบจากขนาด และประเภทวัสดุจะมีผลปรากฏออกมาวามีความใกลเ คียงกัน ก็ตาม แตการศึกษาในครั้งนี้ ยัง ไมครบถวน สมบูรณนัก เพราะยังขาดการวิเคราะหเปรียบเทียบกับปราสาทหลังอื่นๆ ที่อยูนอกพื้นที่จังหวัดสุรินทร อีกทั้ง ยังขาดขอมูลจากการสัมภาษณบุคคลที่เกี่ยวของ และควรมีการศึกษาหนาที่การใชงานและตําแหนงที่ตั้งของทับ หลังเหลานี้ตอไป บรรณานุกรม ศิลปากร, กรม. ทําเนียบโบราณสถานขอมในประเทศไทย เลม ๓ จังหวัดสุรินทร. กรุงเทพฯ : หางหุนสวน จํากัด อารตโปรเกรส, ๒๕๓๘. ศิลปากร, กรม. ประวัติศาสตรเมืองสุรินทร. กรุงเทพฯ : บริษัท อมรินทรพริ้นติง้ แอนดพับลิชชิ่ง จํากัด (มหาชน), ๒๕๕๐. สุริยวุฒิ สุขสวัสดิ,์ หมอมราชวงศ. ทับหลังในประเทศไทย.กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, ๒๕๓๑. อรุณศักดิ์ กิ่งมณี. ทิพยนิยายจากปราสาทหิน. กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, ๒๕๕๕. อางอิงจากเว็บไซต ศิลปากร, กรม. ระบบภูมสิ ารสนเทศ แหลงมรดกทางศิลปวัฒนธรรม กรมศิลปากร สืบคนเมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๐, http://gis.finearts.go.th/fineart/ ๑๔๖
การตรวจสอบใหมเกี่ยวกับเทคนิคการผลิตเกลือสินเธาวของชุมชนโบราณในลุมน้ํามูลและชี A REAPPRAISAL OF THE SALT-MAKING TECHNIQUES OF ANCIENT SETTLEMENT IN THE MUN-CHI BASIN นายมนตรี ธนภัทรพรชัย นักโบราณคดีชํานาญการ สํานักศิลปากรที่ 8 ขอนแกน บทนํา ในที่ราบสูงโคราชซึ่งรองรับดวยหมวดหินมหาสารคามนั้นมนุษยในอดีตไดผลิตเกลือสินเธาวใน บริเวณใกลเคียงกับแหลงที่อยูอาศัยเพื่อตอบสนองความตองการบริโภคและใชสอยภายในครัวเรือนและการ แลกเปลี่ยนภายในทองถิ่นเปนอันดับแรก ตอมาเมื่อผลผลิตมีมากขึ้นเกลือสินเธาวสวนเกินไดกลายเปนสินคา สําคัญสงไปยังชุมชนอื่นๆที่อยูลึกเขาไปในแผนดินรวมทั้งสงออกไปยังอาณาจักรกัมพูชาโบราณ(ชลิตชัยครรชิต, 2540; ชารลสไฮแอมและรัชนีทศรัตน, 2542; ศรีศักรวัลลิโภดม, 2535; Rivettand and Higham, 2007) อยางไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากผลการศึกษาทางโบราณคดีและมานุษยวิทยาเกี่ยวกับการผลิตเกลือสินเธาวใน แถบลุมน้ํามูลและลุมน้ําชีที่ผานมาพบวา คําอธิบายที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับความสัมพันธระหวางการเกิดขึ้น ของแหลงผลิตเกลือสินเธาว สิ่งแวดลอมทางกายภาพของแหลงผลิตเกลือสินเธาว เทคนิคการผลิตเกลือสินเธาว และชุมชนโบราณที่อยูใกลเคียงยังคงเปนประเด็นการศึก ษาวิจัยที่มีความจําเปน ดังนั้น เพื่อความเขาใจที่ ชัดเจนมากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับการปรากฏขึ้นของการผลิตเกลือสินเธาวในลุมน้ํามูลและลุมน้ําชี การศึกษาครั้งนี้จึง พยายามจําแนกเทคนิคการผลิตเกลือสินเธาวและกําหนดความสัมพันธระหวางแหลงผลิตเกลือ สินเธาวและ เทคนิคการผลิตเกลือสินเธาวโดยวิธีการศึกษาทางโบราณคดีรวมกับการใชเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศซึ่งวิเคราะห ปจจัยที่เกี่ยวของกับการผลิตเกลือสินเธาว ไดแก ปจจัยดานสิ่งแวดลอม และ ปจจัยดานวัฒนธรรม ซึ่งไดมาจาก ขอมูลทางโบราณคดีและมานุษยวิทยา สภาพภูมิศาสตร ลุมน้ํามูลและลุมน้ําชีเปนสวนหนึ่งของที่ราบสูงโคราช ลุมน้ําชีครอบคลุมบริเวณตอนกลาง สวนลุมน้ํามูลครอบคลุมพื้นที่ตอนใตของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีพื้นที่รวมกันประมาณ 120,085 ตาราง กิโลเมตร หรือ ประมาณ 71.8%ของพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งหมด(ภาพที่ 1) พื้นที่บางสวนใตผิวดิน รองรับดวยหมวดหินมหาสารคามซึ่งประกอบดวยหินทรายแปงและหินทราย มีชั้นโพแทช ยิปซัมและเกลือหิน พื้นที่ลาดเอียงไปยังทิศตะวันออกและมีพื้นที่ราบเรียบซึ่งประกอบดวยที่ราบน้ําทวมถึง และที่ราบน้ําทวมไมถึง อยูกลางแองซึ่งมีการแทรกดันของเกลือหินกระจายอยูทั่วไป ทําใหเกิดพื้นที่ดินเค็มและน้ําเค็มแมน้ําในบริเวณนี้ สวนใหญมีตนกําเนิดจากเทือกเขาทางทิศเหนือและทิศตะวันตก แมน้ําชีมีตนกําเนิดจากเทือกเขาเพชรบูรณ สวนแมน้ํามูลไหลจากเทือกเขาสันกําแพง แมน้ําทั้งสองสายจะไหลผานที่ราบตอนกลางของแองโคราช-อุบลและ บรรจบกันเปนแมน้ําสายใหญกอนไหลลงสูแมน้ําโขงทางทิศตะวันออกสภาพภูมิศาสตรสงผลใหบ ริเวณนี้มี ภูมิอากาศแบบกึ่งแหงแลงและมีการปรากฏของดินเค็มและโครงสรางเกลือใตดิน พื้นที่ทั้งสองลุมน้ําตั้งอยูในเขตรอนจึงไดรับอิทธิพลจากลมมรสุมโดยจะเขาสูฤดูฝนตั้งแตเดือน พฤษภาคม ถึง ตุลาคม ฤดูหนาวระหวางเดือนพฤศจิกายน ถึง กุมภาพันธ และฤดูร อนเริ่มเดือนมีนาคม หรือ เมษายนกระทั่งตนเดือนพฤษภาคม เวลาสวนใหญของป อากาศคอนขางแหง ยกเวนชวงเดือนสิงหาคมและ กันยายนซึ่งมีฝนตกบอยครั้ง(Sukchan and Yamamoto, 2002). คนและลักษณะทางกายภาพของพื้นทีก่ ําหนดรูปแบบเทคโนโลยี จากการศึกษาที่ผานมาในลุมน้ํามูล -ชี พบวา การผลิตเกลือสินเธาวแบบโบราณซึ่งมีการสืบ ทอดมายังปจจุบันนั้นสามารถกําหนดอายุยอนกลับไปไดถึงสมัยกอนประวัติศาสตรตอนปลายยุคเหล็กเนินดิน แหลง ผลิตเกลือสินเธาวทุ ก แหง เปนพื้น ที่ดินเค็ม ที่ตั้ ง อยูบ นโดมเกลือธรรมชาติและเกือบทุ ก แหง มีความ เกี่ยวเนื่องกับชุมชนสมัยกอนประวัติศาสตร หรือ กลุมของแหลงโบราณคดีสมัยกอนประวัติศาสตร และตั้งอยู 147
ใกลแมน้ําสายหลัก หรือ หนองน้ําธรรมชาติ (ภาพที่ 2 )(Nitta, 1992; Rivettand and Higham, 2007)แตก็ ยังไมสามารถอธิบายไดอยางชัดเจนวาทําไมเทคนิคการผลิตเกลือสินเธาวแตละแบบจึงมีทั้งสวนที่เหมือนและ แตกตางกัน ลักษณะเฉพาะทางกายภาพและทางวัฒนธรรมของแหลงผลิตเกลือ สินเธาวแตละแหงและชุมชน โบราณที่อยูใกลเคียงสงผลอยางไรตอความหลากหลายของเทคนิคการผลิตเกลือสินเธาวของมนุษยในอดีต ปจจัยที่เกี่ยวของกับการผลิตเกลือสินเธาว อยางไรก็ตาม มีความเปนไปไดวา จํานวนและขนาดของเนินดินดังกลาวมีความสัมพันธกับ ชนิด คุณภาพ และตําแหนงที่พบแหลงวัตถุดิบเกลือที่สงผลโดยตรงตอการเลือกใชเทคนิคการผลิตเกลือสินเธาว ปริมาณการผลิตในแตละฤดูกาลและการผลิตอยางตอเนื่องตามความตองการใชงานที่หลากหลาย ปจจัยเหลานี้ จึงสามารถทําใหลักษณะภูมิประเทศของแหลงผลิตเกลือแตละแหงมีลักษณะเฉพาะเนื่องจากมีการเปลีย่ นแปลง ในอัตราความเร็วที่แตกตางกัน จากทุงโลงที่มีเพียงพุมไมทนเค็มและคราบเกลือบนดิน เมื่อมีการผลิตเกลือก็เริม่ มีการกอตัวของเนินดินที่เหลือทิ้งจากกระบวนการกรองน้ําเกลือ เนินดินขนาดยอมจะเกิดขึ้นรอบๆพื้นที่กรอง น้ําเกลือ เมื่อเวลาผานไปเนินดินเหลานี้เชื่อมตัวและพอกพูนกันกลายเปนเนินดินที่มีขนาดใหญขึ้น บางสวนถูก ขุดเปนเตา บางสวนถูกปรับเปนบอกรองน้ําเกลืออีก ปาไมรอบๆลดลงเนื่องจากความตองการไมฟนเพิ่มมากขึ้น ทําใหดินเค็มมีโอกาสขยายตัวมากขึ้น หากแตถูกควบคุมดวยการไหลบา หรือ ทวมขังของน้ําและการเขาสูฤดูฝน ทุกป แหลงผลิตเกลือสินเธาวเหลานี้จะยังคงมีการใชงานตราบเทาที่ยังมีความตองการเกลือของชุมชน ในขณะ ที่เ นินดินที่เ กิดใหมในแหลง ผลิตเกลือมีแนวโนม ที่จ ะมีขนาดเล็กลงเนื่องจากเริ่ม ขาดแคลนแรงงาน หรือ เชื้อเพลิง หรือเหตุปจจัยอื่นๆและถูกทิ้งรางไปในที่สุด นอกจากนี้ รูปแบบการแพรกระจายของเทคนิคการผลิตเกลือยังอาจสัมพันธกับการอพยพ ยายถิ่นของกลุมชาติพันธุตางๆตั้งแตสมัยกอนประวัติศาสตรตอนปลาย ที่เคลื่อนยายไปพรอมกับองคความรูใน การผลิตเกลือสินเธาวพื้นฐานและมีการปรับใชใหเขากับสภาพแวดลอมของชุมชนโบราณและแหลงวัตถุดิบ เกลือแตละแหลงที่มีขอจํากัดที่แตกตางกัน(ภาพที่ 3) กระบวนการผลิตเกลือสินเธาวในพื้นที่ลุมน้ํามูลและลุมน้ําชี เทคนิคและโครงสรางที่ใชในการผลิตเกลือสินเธาวแบบโบราณที่ใชในกระบวนการผลิต คลายคลึงกับเทคนิคและโครงสรางที่ใชในปจจุบัน (Nitta, 1992; Rivettand and Higham, 2007) และเมื่อ พิจารณาแลวจะพบวา กระบวนการผลิตเกลือสินเธาวในพื้นที่ลุมน้ํามูลและลุมน้ําชีสอดคลองกับการศึกษาของ Olivier Weller (2015) (ภาพที่ 4) การผลิ ตเกลื อ สิน เธาวจ ะเริ่ ม ต นขึ้ น หลั ง การเก็ บ เกี่ย วขา วราวเดือ นธัน วาคม ถึง เดื อ น พฤษภาคม ซึ่งเปนฤดูแลงที่อากาศแหงในกรณีที่แหลงวัตถุดิบเกลือเปนดินที่มีคราบเกลือ หลายครัวเรือนจะ แสวงหาวั ตถุ ดิบ เกลื อ ในบริเ วณโดยรอบชุ ม ชนในระยะทางที่ ส ามารถเดิน ทางไปกลับ ไดเ ปน อัน ดับ แรก (ระยะทางประมาณ 2-5 กิโลเมตร)พื้นที่ดินเค็มที่ปรากฏคราบเกลือบนผิวดิน หรือ “ดินเอียด” พบรวมกับพืช ทนเค็มที่ขึ้นอยูอ ยางกระจัดกระจาย แวดลอมดวยพื้นที่เพาะปลูกและอยูใกลแหลงน้ํา ในอดีตการผลิตเกลือสินเธาวเปนกิจกรรมที่มีการแบงงานกันทําอยางชัดเจน ตัวอยางเชน ผูชายก็จะมีหนาที่ขนยายวัสดุอุปกรณจากชุมชนไปยังแหลงผลิตเกลือและนําผลผลิตที่ไดกลับมายังชุมชนเพือ่ ใช ประโยชนตอไป หาและสะสมฟน การหาเปลือกยางบง หรือ ดินเหนียวเพื่อใชฉาบกันซึมภายในบอกรองและบอ น้ําเกลือขุดบอกรองน้ําเกลือและบอน้ําเกลือสรางอุปกรณหรือโครงสรางที่ทําจากไมทุกชนิดไดแก ไมกวาดกะทา (เครื่องมือที่เปนแผนไมเนื้อแข็งตอดามใชกวาดคราบเกลือ) ขุดและติดตั้งฮางเกลือ (รางไมสําหรับกรองเกลือ) สาน “กะทอ”ภาชนะสานที่บุภายในดวยใบตองกุงฯลฯ สวนผูหญิงจะทําหนาที่ปนภาชนะดินเผาเนื้อดินที่เรียกวา “หมอบง”และภาชนะดินเผาเนื้อ ดินขนาดใหญปากกวางเนื้อหนาเพื่อบรรจุน้ําเกลือไปตม กวาดดินที่มีคราบเกลือมารวมเปนกอง หาบน้ํามาตม เกลือ ใสฟน และบรรจุเกลือลงภาชนะจักสานที่ใชบรรจุเกลือ 148
เมื่อถึงฤดูแลงภายหลังการจับจองพื้นที่และกําหนดพื้นที่ทํางาน ไดแก บริเวณเก็บรวบรวมดิน ที่มีคราบเกลือ พื้นที่กรองเกลือ เตาตมน้ําเกลือ และจุดกองฟนและพักเกลือแลว ผูหญิงก็จะเริ่มกวาดดินเอียด มารวมกองไวปริมาณเทาๆกันเพื่อใหสะดวกตอการขนยาย (ภาพที่ 5) จากนั้นจึงนําดินไปใสในบอกรองเกลือที่ ขุดขึ้นหรือ ฮางเกลือที่ตั้งไว เติมน้ําจนเต็ม และทิ้งไวระยะเวลาหนึ่งตั้งแตครึ่งชั่วโมงจนถึงหลายชั่วโมงแตกตาง กันตามคุณภาพของดินเอียด รวมทั้งขอจํากัดดานเวลาและแรงงานของคนตมเกลือ เมื่อไดน้ําเกลือที่ไหลผานชัน้ วัสดุกรอง เชน แกลบ ฟาง กาบมะพราว ที่ปูรองที่กนบอกรอง หรือ ฮางเกลือแลว น้ําเกลือที่ไดจะไหลผานทอ ไมไผไปยังบอน้ําเกลือสวนดินในบอกรอง หรือ ฮางเกลือจะถูกนําออกไปทิ้งและเริ่มกระบวนการผลิตซ้ําอีกครั้ง (ภาพที่ 6-7)ถัดจากนั้นน้ําเกลือจะถูกนําไปตม (ภาพที่ 8 ) และบรรจุเกลือที่ไดในกระทอพรอมขนยายไปกลับไป ยังชุมชนตอไป การใชประโยชนเกลือและการคาเกลือ จากหลักฐานทางโบราณคดีแสดงใหเห็นวา การใชประโยชนเกลือสินวเนนการใชประโยชนใน ระดับครัวเรือนและชุมชนมาตั้งแตสมัยกอนประวัติศาสตรตอนปลาย กระทั่งสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตรและ สมัยประวัติศาสตรที่การผลิตเกลือมีการผลิตในระดับอุตสาหกรรม (Nitta, 1992; Rivettand and Higham, 2007) อยางไรก็ตาม นักโบราณคดีและนักมานุษยวิทยาไดใหความสําคัญของการใชประโยชนเกลือของชุมชน เกษตรกรรมในการถนอมอาหารเปนหลัก (ชลิตชัยครรชิต, 2540; ชารลสไฮแอมและรัชนีทศรัตน, 2542; ศรีศักรวัลลิโภดม, 2535; Rivettand and Higham, 2007; Yankowski, Kerdsap and Chang,2015) ในสมัยอดีตนอกเหนือจากการใชประโยชนเพื่อการถนอมอาหาร เชน ปลารา ปลาแหง เกลือ สินเธาวยังเปนวัตถุดิบที่สามารถใชประโยชนไดหลากหลาย เชน การฟอกหนังสัตว ยารักษาโรค การชุบแข็ง โลหะ ฯลฯดังนั้นจึงเปนที่ตองการของชุมชนตั้งอยูนอกพื้นที่ดินเค็ม หรือ ไมสามารถผลิตเกลือสินเธาวขึ้นใชได เอง ความตองการดังกลาวเปนปจจัยที่เรงเรา ใหเกิดการเพิ่มกําลังการผลิตเปนระดับอุตสาหกรรมและการ แลกเปลี่ยนเกลือระหวางชุมชนที่อยูใกลเคียงกลายเปนการคาเกลือสินเธาวที่มีหวงโซการผลิต มีการควบคุมการ ผลิตเกลือ การผลิตภาชนะดินเผาเพื่อใสน้ําเกลือสําหรับตม การรับจางขนสงผลผลิตไปแลกเปลี่ยนยังชุมชนที่ อยูโดยรอบและไกลออกไปตามเสนทางเกวียนที่เชื่อมโยงระหวางชุมชนเกลือสินเธาวคุณภาพดีเปนสินคาที่มี คาที่นํามาแลกขาว หรือ ปลา หรือ ผลผลิตอื่นๆไดโดยมีอัตราแลกเปลี่ยนที่เหมาะสม เสนทางคาเกลือสินเธาว จากลุมแมน้ํามูล ไดเชื่อมโยงชุมชนโบราณตางๆไปจนถึงอาณาจักรกัมพูชาโบราณ (ชลิตชัยครรชิต, 2540; ชารลสไฮแอมและรัชนีทศรัตน, 2542; ศรีศักรวัลลิโภดม, 2535; Rivettand and Higham, 2007) สรุป นอกเหนือจากความแตกตางของแหลง วัตถุดิบเกลือ ที่ ทําใหเทคนิคการผลิตเกลือสินเธาว แตกตางกันแลวความพยายามในการเพิ่มผลผลิตเกลือสินเธาวภายใตขอจํากัด ไดแก ระยะเวลาและฤดูกาลใน การผลิต ปริมาณเชื้อเพลิงที่ไดจากปารอบๆพื้นที่ดินเค็มและแรงงานในครัวเรือน ยังอาจเปนปจจัยสําคัญที่ทํา ใหคนในอดีตพัฒนาปรับ ปรุง เทคนิคการผลิตใหส ามารถเพิ่มผลผลิตไดมากขึ้น และอาจสงผลใหเ กิดความ แตกตางบางประการในองคประกอบของเทคนิคการผลิต วัสดุ อุปกรณและโครงสรางที่เกี่ยวของกับแหลงผลิต เกลือแตละแหง การจําแนกเทคนิคการผลิตเกลือในพื้นที่ลุมน้ํามูล และลุมน้ําชี โดยอาศัยความแตกตางของ วิธีการและรูปทรงของบอกรองน้ําเกลือสามารถแบงได 3 วิธี ดังตอไปนี:้ วิธีที่ 1: การใชบอกรองน้ําเกลือทรงกลม (ภาพที่ 9) พบมากบริเวณทิศตะวันตกของลุมน้ํามูล วิธีที่ 2: การใชบอกรองน้ําเกลือทรงสี่เหลี่ยม (ภาพที่ 10) พบมากบริเวณทิศตะวันตกของลุมน้ํามูลถึง ตอนกลางของลุมน้ําชี วิธีที่ 3: การใชฮางเกลือ หรือ รางไมกรองน้ําเกลือ (ภาพที่ 11) พบมากตามลํานําสาขาตอนกลางลุมน้ํา มูลและลุมน้ําชี 149
เมื่อพิจารณาในรายละเอียดของความแตกตางของวัสดุที่ใชเปนองคประกอบของโครงสรางบอ กรองอาจแสดงใหเห็นลักษณะเฉพาะของสภาพแวดลอมของแหลงผลิตเกลือและชุม ชนโบราณที่อยูใกลเคียง และความสัมพันธของกลุมชาติพันธุตางๆในลุมน้ํามุลและลุมน้ําชีได
(1)
(2)
(3)
(4)
(5)
(6)
ภาพที่ 1แผนที่แสดงพื้นที่ศึกษาลุมน้ํามูลและลุมน้ําชี ภาพที่ 2 ภาพถายจากดาวเทียมแสดงลักษณะสภาพแวดลอมของแหลงโบราณคดีประเภทแหลงผลิตเกลือสินเธาว บริเวณบาน ดอนพะงาด ตําบลพะงาด อําเภอขามสะแกแสง จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งประกอบดวย พื้นที่ดินเค็มที่ปรากฏคราบเกลือบนผิวดิน เนินดินที่เกิดจากกระบวนการผลิตเกลือและแหลงน้ํา จากโปรแกรม Google Earth ภาพที่ 3การแพรกระจายของแหลงโบราณคดีประเภทแหลงผลิตเกลือสินเธาว (a) การกระจายตัวของเนินดินแหลงโบราณคดี ประเภทแหลงผลิตเกลือสินเธาวบริเวณลุมแมน้ํามูลจาก Rivettand P., and C.F.W.Higham (2007) ภาพที่ 4 ผังแสดงกระบวนการผลิตเกลือโดยทั่วไป จากWeller (2015) ภาพที่ 5 กองดินที่ถูกเก็บรวบรวมไวสําหรับการผลิตเกลือ ภาพที่ 6 เมื่ อกรองน้ํ าเกลื อแล วดิ นที่ ผ า นการกรองน้ํ าเกลื อแล วจะถู กขุ ด จากบ อบ อกรองน้ํ าเกลื อออกมากองรอบๆจาก http://www.andreayankowski.com/v3/photos2.html?page=2#
(7)
(8)
(10)
150
(9)
(11)
ภาพที่ 7การกรองน้ําเกลือในรางไม จาก https://www.silpa-mag.com/club/miscellaneous/article_6496 ภาพที่ 8 การตมนําเกลือในภาชนะ(เดิมเปนภาชนะดินเผาเนื้อดิน) จาก http://oknation.nationtv.tv/blog/somchoke101/2010/03/24/entry-1/comment ภาพที่ 9 ภาพเปรียบเทียบระหวางการผลิตเกลือสินเธาวสมัยกอนประวัติศาสตรจากบานโนนวัด กับการผลิตเกลือสินเธาวใ น ปจจุบันจากบานดอนพะงาด ตําบลพะงาด อําเภอขามสะแกแสง จังหวัดนครราชสีมา จาก Duke, Carter, and Chang (2010) และhttp://www.andreayankowski.com/v3/ photos2.html?page=2# ภาพที่ 10 ภาพเปรียบเทียบระหวางการผลิตเกลือสินเธาวสมัยกอนประวัติศาสตรจากโนนทุงผีโพน กับการผลิตเกลือสินเธาวใน ปจจุบันจากบานมะรุม ตําบลมะคา อําเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา จาก Nitta (1997) ภาพที่ 11รางไมสําหรับกรองน้ําเกลือ จาก http://www.lek-prapai.org/home/slide.php?id=5 เอกสารอางอิง ชลิต ชัยครรชิต. (2540). ยุคเหล็กในประเทศไทย: พัฒนาการทางเทคโนโลยีและสังคม. ในการประชุมทางวิชาการโครงการ เมธีวิจัยอาวุโส สกว.กรุงเทพฯ: ศูนยมานุษยวิทยาสิรินธร (องคการมหาชน). ชารลส ไฮแอม และ รัชนี ทศรัตน. (2542). สยามดึกดําบรรพ ยุคกอนประวัตศิ าสตรถึงสมัยสุโขทัย .กรุงเทพฯ: บริษัท อมรินทรพริ้นติ้งแอนด พับลิชชิ่ง จํากัด (มหาชน). ศรีศักร วัลลิโภดม. (2535). เกลืออีสาน. เมืองโบราณ.18 (1): 71-123. Duke, B.J., Carter, A.K., and Chang, N.J. (2010). The excavation of iron age working floors and small-scale industry at Ban Non Wat, Thailand.Papers from the Institute of Archaeology, 20: 123-130. Nitta, E. (1992). Ancient industries, ecosystem and environment: special reference to the Northeast of Thailand. Historical Science Reports, Kagoshima University. 39: 61-80. Nitta, E. (1997). Iron smelting and salt-making industries in Northeast Thailand. Bulletin of the Indo-Pacific Prehistory Association.16: 153-60. Rivettand P., and C.F.W. Higham. (2007). The archaeology of salt production. In C.F.W. Higham, A. Kijngam, and S.Talbot (eds). The origins of the civilization of Angkor: the excavation of Noen U-Loke and Non Muang Kao2 (pp 589-593). Bangkok: Prachachon. Sukchan, S., Yamamoto, Y. (2002). Classification of salt affected areas using remote sensing and GIS.In JIRCAS Working Report2002. 30: 15-19. Weller, Olivier. "First Salt Making in Europe: A Global Overview From Neolithic Times." Archaeology of Salt 2015. Yankowski, A. and Kerdsap,P., Salt-making in Northeast Thailand. Silpakorn University Journal of Social Sciences, Humanities, and Arts Vol.13 (1) : 231-252, 2013 Yankowski, A., Kerdsap,P and Chang, N.J., "Please Pass the Salt"-An Ethnoarchaeological Study of Salt and Salt Fermented Fish Production, Use and Trade in Northeast Thailand. Journal of Indo-Pacific Archaeology Vol.37: 4-13, 2015 151
ขอมูลเบือ้ งตนที่ไดจากงานโบราณคดีในพระราชวังหลวงและวัดพระศรีสรรเพชญ ตําบลประตูชัย อําเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พ.ศ. 2560 นายวีระศักดิ์ แสนสะอาด นักโบราณคดีปฏิบัตกิ าร อุทยานประวัติศาสตรพระนครศรีอยุธยา นายศุทธิภพ จันทราภาขจี นักโบราณคดีปฏิบัติการ สํานักศิลปากรที่ 3 พระนครศรีอยุธยา ในป พ.ศ. 2560 สํานักศิลปากรที่ 3 พระนครศรีอยุธยา ไดดําเนินโครงการอนุรักษและพัฒนาวัดพระ ศรีสรรเพชญและพระราชวังโบราณ ซึ่งเปนพื้นที่สําคัญทั้งทางดานโบราณคดีและการทองเที่ยวของอุทยาน ประวัติศาสตรพระนครศรีอยุธยา เพื่อศึกษาการใชงานของพื้นที่และเตรียมพัฒนาพื้นที่เพื่อรองรับนักทองเที่ยว ผูที่สนใจไดเขาชมไดอยางสะดวกตอไป การดําเนินงานทางโบราณคดีในพื้นที่พระราชวังหลวง ไดดําเนินการขุดแตงเพื่อลอกชั้นผิวดินที่เกิดจากการทับถมในการใชพื้นที่ในชวงหลังออก เพื่อแสดงให เห็นถึงชั้นดินในสมัยอยุธยาตอนปลายถึงสมัยรัตนโกสินทรชวงการใชพื้นที่บริเวณนี้จัดพระราชพิธีรัชมังคลาภิเษ กของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยูหัว รวมทั้งดําเนินการขุดคนและขุดตรวจทางโบราณคดีบริเวณ ฐานพระที่นั่งสรรเพชญปราสาทและพระที่นั่งสุริยาศนอัมรินทร เพื่อศึกษาการใชงานของพื้นที่และตรวจสอบ รากฐานขององคพระที่นั่งทั้งสอง สําหรับพื้นที่การดําเนินงานทางโบราณคดีแบงเปนสามพื้นที่ยอย ไดแก 1. พื้นที่บริเวณโดยรอบพระที่นั่งสุริยาศนอัมริทร 2. พื้นที่โดยรอบพระที่นั่งสรรเพชญปราสาท 3. พื้นที่ระหวางพระที่นั่งวิหารสมเด็จและพระที่นั่งสรรเพชญปราสาท ขอมูลการดําเนินงานโบราณคดีปจจุบัน (23 มิถุนายน 2560) ไดดําเนินการขุดแตงและขุดตรวจโบราณสถาน แลวเสร็จประมาณรอยละ 80 ของพื้นที่ โดยมีขอมูลและหลักฐานทางโบราณคดีที่นาสนใจจากการดําเนินงาน ในครั้งนี้ ดังนี้ 1. พื้นที่บริเวณโดยรอบพระที่นั่งสุริยาศนอัมริทรทําการขุดแตงทางทิศตะวันออก ทิศใต ทิศตะวันตก ของพระที่นั่ง จากการขุดแตงพบวาชั้นดินในสมัยอยุธยาตอนปลาย – รัตนโกสินทรตอนตนอยูลึกจากผิวดิน ตั้งแต 30 เซนติเมตร – 90 เซนติเมตร โดยขุดพบแนวอิฐจํานวนมาก แนวอิฐที่สามารถระบุได ไดแก - แนวทางเดินที่ใชอิฐตั้งปูแบบลายสาน โดยพบรอบพระที่นั่งแตยังไมสามารถระบุเสนทางที่เชื่อตอกัน ไดเนื่องจากแนวทางเดินถูกทําลายไปบางสวน - แนวกําแพงพระราชวัง พบแนวอิฐที่เรียงตัวเปนกําแพงขนาดใหญยาวตอเนื่องจากทิศตะวันออก – ตะวันตกบริเวณทางทิศใตของพระที่นั่ง สันนิษฐานวาเปนแนวกําแพงพระราชวังหลวงในสมัยอยุธยาตอนกลาง กอนที่จะมีการสรางพระที่นั่งสุริยาศนอัมริทร นอกจากนี้ยังพบหลักฐานที่นาสนใจจากการดําเนินงานในครั้งนี้ อีก 2 ประเภท ไดแก - แนวทอประปาดินเผา บริเวณทางทิศตะวันตกของพระที่นั่ง ขุดพบจํานวน 2 แนว สันนิษฐานวาแนว หนึ่งใชในการนําน้ําเขามาใชในบริเวณพระที่นั่งและอีกแนวใชสําหรับปลอยทิ้ง โดยบริเวณทอน้ําทิ้งพบรองรอย ที่สันนิษฐานวาเปนปลองระบายความดัน นอกจากนี้บนทอประปาบางชิ้นยังพบจารึกอักษรไทย ภาษาไทยสมัย อยุธยาตอนปลาย อานไดเบือ้ งตนความวา “หามรุก” และ “ยกามํเสั้ายม” จากภาพรวมหลักฐานสันนิษฐาน เบื้องตนไดวา ทอประปานี้คงทําขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย ในชวงสมเด็จพระนารายณมหาราช 152
- แนวรากฐานเดิมที่สันนิษฐานวาเปนฐานของพระที่นั่งสุริยาศนอัมริทร จากการขุดตรวจมุมพระที่นั่ง ทางทิศตะวันออกเฉียงใต พบแนวอิฐที่กอเปนฐานขนาดใหญอยูลึกจากผิวดินประมาณ 1 เมตร อีกทั้งแนวอิฐนี้ ยังไมสัมพันธกับแนวพระที่นั่งดานบนที่อยูบนผิวดินและอยูใตชั้นทรายที่สันนิษฐานวาเกิดจากการเตรียมพื้นที่ ในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งตองรอการขุดศึกษาตอไป 2. พื้นที่โดยรอบพระที่นั่งสรรเพชญปราสาททําการขุดแตงทางทิศตะวันออก ทิศ เหนือ ทิศตะวันตก ของพระที่นั่ง จากการขุดแตงพบวาชั้นดินในสมัยอยุธยาตอนปลาย – รัตนโกสินทรตอนตนอยูลึกจากผิวดิน ตั้งแต 30 เซนติเมตร – 70 เซนติเมตรโดยขุดพบแนวอิฐกระจายตัวมากทางทิศตะวันตก แนวอิฐที่สามารถระบุ ได คือแนวทางเดินปูอิฐตั้งลายขัดสาน โดยพบแนวปูอิฐเปนบางสวนไมตอเนื่องกันทั้งพื้นที่ มีขอสังเกตวาแนวอิฐ ที่พบบริเวณนี้มีจํานวนนอยหรือมีการรบกวน ทําลายแนวอิฐจนทําใหขาดความตอเนื่องจากการเขามาปรับพืน้ ที่ และสรางพระที่นั่งใหมในพระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก รัชกาลที่ 5 3. พื้นที่ระหวางพระที่นั่งวิหารสมเด็จและพระที่นั่งสรรเพชญปราสาทจากการขุดแตงพบวาชั้นดินใน สมัยอยุธยาตอนปลาย – รัตนโกสินทรตอนตนอยูลึกจากผิวดินตั้งแต 30 เซนติเมตร – 50 เซนติเมตร โดยพบ แนวอิฐกระจายตัวมากทั้ง พื้นที่ ซึ่ง แนวอิฐสวนใหญกอในชวงพระราชพิธีรัชมัง คลาภิเษก รัชกาลที่ 5 สวน หลักฐานที่นาสนใจของพื้นที่นี้ ไดแก - การขุดพบชิ้นสวนปะการังและพื้นบอน้ําที่มีรองรอยการปูหินขนาดใหญ ซึ่งหลักฐานนี้มักพบในพื้นที่ ที่ตกแตงเปนสวน เหมือนกับพื้นที่บริเวณโดยรอบพระที่นั่งบรรยงกรัตนาสน ที่พบการจัดสวนและใชปะการัง และมีการกรุบอน้ําดวยหินอัคนีเชนกัน จึงสันนิษฐานเบื้องตนไดวา พื้นที่ระหวางพระที่นั่งทั้งสององคเคยเปน สวนและมีการประดับดวยหินปะการังและบอน้ําที่กรุดวยหินในสมัยอยุธยาตอนปลาย กอนมีการกอแนวอิฐ ตางๆในพื้นที่เพื่อใชในพระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก - พบแนวอาคารที่สันนิษฐานวาเปนโรงชางทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของพระที่นั่งวิหารสมเด็จ โดย ขุดพบแนวสวนทายอาคารที่ปรากฏรองรอยฐานบัวกวางประมาณ 10 เมตร ซึ่งมีรูปแบบและยังตั้งอยูในบริเวณ เดียวกับโรงชางที่เคยขุดพบและบูรณะแลว ที่แตเดิมพบ 2 หลัง - พบแนวกําแพงบริเวณทิศเหนือของพระที่นั่งวิหารสมเด็จ สันนิษฐานวาเปนแนวกําแพงแกวหรือ กําแพงขนาดเล็กสําหรับกั้นขอบเขตพระที่นั่งวิหารสมเด็จ จากการดําเนินงานพบโบราณวัตถุจํานวนมาก โดยเฉพาะโบราณวัตถุประเภทภาชนะดินเผา โดยพบ เปนภาชนะดินเผาเนื้อดิน (earthenware) ทั้งแบบเต็มใบและเศษที่มีลายตกแตกที่หลายหลาย ภาชนะดินเผา เนื้อแกรง (stoneware) ทั้งแหลงเตาในประเทศ ไดแกเตาแมน้ํานอย เตาสุโขทัย และแหลงเตาตางประเทศ ไดแก เครื่องถวยจีนซึ่งสวนใหญพบเปนประเภทเครื่องเคลือบลายคราม สันนิษฐานเบื้องตนจากลวดลายวาเปน เครื่องถวยจีนในสมัยราชวงศชิง ตรงกับพุทธศตวรรษที่ 23 – 25 ตรงกับสมัยอยุธยาตอนปลาย – รัตนโกสินทร ตอนตน ซึ่งสอดคลองกับชั้นดินในการขุดแตงครั้งนี้ สวนโบราณวัตถุประเภทอื่นๆที่พบ เชน เศษชิ้นสวนใบเสมา ดินเผาประดับทับหลังกําแพง หอยเบี้ย ชิ้นสวนทอน้ําดินเผา ชิ้นสวนปะการัง เศษกระเบื้องดินเผามุงหลังคา ประเภทกระเบื้องกาบกลวย กระเบื้องเชิงชายลวดลายตางๆ เปนตน จากขอมูลการดําเนินงานโบราณคดีในพื้นที่พระราชวังหลวงในครั้งนี้ สามารถพบรองรอยการใชพื้นที่ แนวโบราณสถาน และโบราณวัตถุสวนใหญในสมัยอยุธยาตอนปลายจนถึง สมัยรัตนโกสินทรตอนตน ซึ่ง หลักฐานประเภทตางๆมีความสัมพันธกัน อีกทั้งยังพบหลักฐานใหมที่อาจแสดงใหเห็นถึงการใชพื้นที่ในบริเวณนี้ เชน บริเวณพื้นที่ระหวางพระที่นั่งวิหารสมเด็จและพระที่นั่งสรรเพชญปราสาทที่อาจเคยมีการจัดสวนและใช ปะการังประดับ รองรอยระบบน้ําประปาและทอดินเผาในบริเวณทิศตะวันตกของพระที่นั่ง สุริยาศนอัมริทร รองรอยแนวกําแพงพระราชวังหลวงเดิมบริเวณพื้นที่ระหวางพระที่นั่งสรรเพชญปราสาทและพระที่นั่งสุริยาศน อัมริทร เปนตน 153
การดําเนินการทางโบราณคดีในพื้นที่วัดพระศรีสรรเพชญ การดําเนินงานในพื้นที่วัดพระศรีสรรเพฃญสามารถแบงไดเปน 2 วิธี คือ การขุดแตงเพื่อศึกษาการใช พื้นที่ในสมัยอยุธยาตอนปลายและการขุดคนเพื่อศึกษาอายุสมัยและลําดับพัฒนาการของการใชพื้นที่ 1. การขุดแตงในวัดพระศรีสรรเพชญ ดําเนินการในพื้นที่ภายในพระวิหารหลวงและดานหนาทิศ ตะวันออก รอบวิหารพระโลกนารถ รอบวิหารพระปาเลไลย การขุดแตงรอบวิหารพระโลกนารถ พบแนวกําแพงดานทิศที่สันนิษฐานวาเปนกําแพงวัด พระศรีสรรเพชญสมัยแรก และมีการปรับปรุงเพิม่ เติมในสมัยตอมา โดยเห็นไดชัดเจนวามี การปรับพื้นที่โดยการปูพื้นขึ้นใหมในสมัยเดียวกับการใชงานพระที่นงั่ จอมทองนอกจากนี้ ยังพบแนวทางเดินที่มกี ารเปลี่ยนแปลงจากกําแพงแกวขนาดเล็กของวิหารพระโลกนารถ และวิหารหลวง นอกจากนี้ยงั พบแนวอิฐที่นาสนใจแมวายังไมสามารถสันนิษฐานได ชัดเจนถึงหนาที่การใชงานแตกส็ ามารถกําหนดอยูในสมัยสุดทายของการกอสราง การขุดแตงรอบวิหารพระปาเลไลย พบหลักฐานทีส่ ําคัญหลายอยางโดยเฉพาะ พัฒนาการการใชพื้นที่ชวงอยุธยาตอนปลาย ซึ่งพบ ถึงสองสมัย โดยการบูรณะครัง้ สุดทายในสมัยอยุธยามีการปรับพื้นโดยการถมดินประมาณ 20 เซนติเมตรแลวปูอิฐ สันนิษฐานวาเปนงานบูรณะครั้งใหญในรัชพระเจาอยูห ัวบรมโกศและในสมัยดังกลาวนี้มี หลักฐานแสดงใหเห็นวามีการบูรณะปูนสวนอื่นๆดวยเนื่องจากมีการพบบอปูนอยูเ ปน จํานวนมากเรียงรายโดยรอบตัววิหาร การขุดแตงบริเวณดานหนา(ทิศตะวันออก) วิหารพระปาเลไลยยังแสดงใหเห็น สวนของ มุขที่ยื่นออกมาของตัววิหาร ซึง่ ทําใหกําหนดรูปแบบอาคารที่ชัดเจนขึ้น การขุดแตงภายในวิหารหลวง พบหลักฐานทีส่ นใจ คือ พื้นวิหารปูดวยอิฐที่การดาดปูน หนาเนื่องจากรอยบริเวณผนังแสดงใหเห็นวาชองวางพื้นอิฐและปูนผนังมีขอบซึ่งนาจะ เปนการดาดปูนทีพ่ ื้นหนากวา 5 เซนติเมตร การขุดแตงบริเวณเนินดินทายวิหารหลวง แสดงใหเห็นวาบริเวณดังกลาวมีลักษณะคลาย หองผังสี่เหลี่ยมจัตรุ สั ที่อยูภายในวิหารโดยมีทางเขา – ออกหันหนาไปทางทิศตะวันตก จากลักษณะของสิง่ กอรสรางดังกลาวชวนใหคิดวาเปนหองดานหลังพระพุทธรูปยืนขนาด ใหญแบบที่พบไดทั่วไปในสมัยรัตนโกสินทรตอนตน โดยใชผนังหองดังกลาวเปนที่ติดตั้ง เครื่องมือที่ใชยึดพระยืนไวดวย 2. การขุดคนในวัดพระศรีสรรเพชญ ไดดําเนินการขุดคนทั้งสิ้น 4 หลุม คือ
1) TP.1 บริเวณทิศใตของฐานวิหารหลวงจรดฐานทิศเหนือของวิหารพระโลกนารถ ขนาด 1.5 × 2 เมตร 2) TP.2 ติดกับวิหารพระโลกนารถดานทิศใต บริเวณสวนของการลดมุมอาคาร โดยหลุมมี ขนาด 3×4 เมตร 3) TP.4 ทิศเหนือของวิหารพระโลกนารถ นอกกําแพงเดิมของวัดพระศรีสรรเพชญ ไดทํา การขุดคนในพื้นที่ขนาด 3×3 เมตร โดยผนังหลุมขุดคนดานทิศใตติดกับกําแพงเดิม 154
4) TP.3,5 ทิศใตของฐานวิหารพระปาเลไลย จรดฐานเจดียราย เปนหลุดที่มีขนาดใหญทสี่ ุด ในการดําเนินงานคือ 4×6 เมตร ขอมูลสําคัญที่ไดจากการขุดคนในวัดพระศรีสรรเพชญ จากการขุดคน TP.1 ทําใหทราบวาวิหารหลวงและวิหารพระปาเลไลยนาจะสรางขึ้นในระยะเวลา ไลเรี่ยกัน เนื่องจากการพบชุดฐาน ทีฝ่ งดินอยูในความลึกระดับใกลเคียงกัน โดยวิหารพระศรีสรร เพชญสรางขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ซึ่งครองราชยในชวง พ.ศ.2034 – 2072 ขอมูลจากการขุดคน TP.2 แสดงใหเห็นการตอเติม วิหารพระโลกนารถออกมาทางทิศตะวันออก ซึ่งแตเดิมนาจะเปนอาคารในผังสี่เหลี่ยมจัตรุ ัส ตอมามีการตอเติมใหเปนอาคารในผัง สี่เหลี่ยมผืนผาโดยสวนที่ตอ เติมนีม้ ีการถมดินสูงประมาณ 1 เมตรกอนการกอสราง ซึง่ การถมดิน ในสมัยนี้จะมีความสัมพันธกับหลุมขุดคนอื่นๆ ขอมูลที่นาสนใจอีกขอหนึง่ ของสวนที่มีการตอเติมนี้ คือการสรางผนังที่เจาะชองแสงไวเหนือสวนทีเ่ ปนสวนตอเติม ซึ่งอาจจะสามารถนําไปกําหนดอายุ รูปแบบศิลปะและเทคนิคการกอสรางได การขุดคน TP.2 ในระดับลึกตั้งแต 250 – 270 เซนติเมตรจากผิวดิน พบหลักฐานที่มีความสําคัญ คือ การคนพบชั้นดินคลายกับดินโดนความรอนหนาประมาณ 10 เซนติเมตร ที่ผนังดานทิศใตของ ชั้นดินนี้ยังพบทอนไมขนาดใหญที่โดนเผาไหมทงั้ ชิ้น ใตชั้นดินดังกลาวเปนพื้นทีม่ ีการปูศิลาแลง โดยตัดเปนรูปสี่เหลี่ยมจัตรุ ัส จากการสืบคนขอมูลมีความเปนไปไดวาจะเปนรองรอยของวังโบราณ ตามที่ระบุไวในพระราชพงศาวดารวามีการเกิดไฟไหมใหญในรัชสมัยเจาสามพระยา จนตองมีการ ยายพระราชวังหลวงไปอยูทางทิศเหนือ ณ บริเวณปจจุบันในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลก นารถ ซึ่งพระองคไดยกวังหลวงเดิมในเปนพื้นที่วัดพระศรีสรรเพชญ และจากการขุดคน TP.2 นี้เองสามารถแบงสมัยพื้นที่การใชงานตามชั้นดิน เปน 4 สมัย คือ กอนที่ จะมีการสรางวิหารพระโลกนารถ – การใชงานวิหารพระโลกนารถระยะที่ 1 – การตอเติมวิหาร พระโลกนารถเปนผังสี่เหลี่ยมผืนผา – ปรับปรุงพื้นที่โดยรอบในเวลาใกลเคียงกับการกอสราง พระที่นงั่ จอมทอง จากการขุดคน TP.4 ซึ่งเปนหลุมทีอ่ ยูดานนอกกําแพงวัดพระศรีสรรเพชญเดิม พบวากําแพง ดังกลาวนาจะมีความสัมพันธกับสิ่งกอสรางสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2และที่ความลึก 2 เมตร จากผิวดินพบแนวทางเดินปูอิฐซึง่ มีเสนทางเบนออกไปจากแนวแกน เมื่อวิเคราะหจากความลึก แลวมีความสัมพันธการใชงานวิหารพระโลกนารถระยะที่ 1 TP.3,5 เปนหลุมขุดคนที่มีขนาดยาวจากฐานวิหารพระปาเลไลย ขามกําแพงเดิม(นาจะเปนกําแพง เดียวกับทิศเหนือของวิหารพระโลกนารถ) จากหลุมนี้สอดรับกับการกําหนดอายุสมัยในหลุมขุดคน TP.2 ขอมูลจากหลุมขุดคน TP.3,5 คือพบสมัยที่มีการขยายพื้นทีอ่ อกนอกกําแพงเดิม โดยพบ สิ่งกอสรางทีส่ รางอิงอยูกับแนวกําแพง โดยมีหลักฐานสําคัญที่พบรวมกันคือศิลาจารึกหินชนวน ซึ่ง ปจจุบันอยูในระหวางดําเนินการศึกษาและแปลความหมาย
155