Christian ART
St Peter's Basilica, Italy
magazine
Christian
Magazine Team
ART
Ponwilai Trisajja Founder / Executive dirceyor wi_bodyjubujubu@hotmail.com
Suphamas Vongsraluang Translator and Editorial staff spookiiz_13@hotmail.com
Palita Chaiwong Graphic designer allen_alice@hotmail.com
Patinya Phasongdee Photographer ioxio_haha@hotmail.com
Waraporn Mangmee Editor in chief muay_123_7@hotmail.com
Nachanok Srikeaw Administration and Accounting officer rosiiposiisweeties@gmail.com Kanokwan Boonyonk Proofreader maruko_ko@hotmail.com
Yosawadee Mutuwan General Manager deejung6@hotmail.com
Supattra Tabjok Circulation and Subscription Chair_rin@hotmail.com
Waranva Buaolop Traffic Manager planoise_ap@homail.com
Nuttida Wanichsane Marketing and Advertising manaw_jujub@hotmail.com
St. Peter's in 1630.
CONTENTS
!"#$%&'()*+,-./$0123456,78(.9(1,,/:05&&!;6....................................................6 &,<0=>,+1?!;!$*@-;/$0123...................................................................................8 8A$B6,78&(:B5B)6?,* ........................................................................................10 97!3*,,A...........................................................................................................11 8C+3D(B*,,A....................................................................................................14 E7(,*,,A?!;*+,3,;#$%'758:..........................................................................18 3,;(7A+*,,A....................................................................................................24 Cathedra (Throne) of St. Peter
การรวมตัวกันของนักออกแบบทั้ง 11 คน ที่มีแรงบันดาลใจ จาก Christian Art
26
ดิจิตอลเพ้นท์ คอมกราฟฟิก (CG)
30
ที่คั่นหนังสือ คริสเตียน
32
ออกแบเสื้อผ้า ชุดCuttety Girl
35
ลายเสื ้ อ ‘Jesus of the T-Shirt’
37
ลู ก แกะน้ อ ยจาก
38
สร้ อ ยคอ สร้ อ ย
40
ปฏิทินคริสเตียน
ที่คั่นหนังสือคริสเตียน
ดิจิตอลเพ้นท์ คอมกราฟฟิก (CG)
ออกแบบลายเสื้อ ‘Jesus of the T-Shirt’
ดอกกะหล่ํา
ข้อมือคริสตัล
ลูกแกะน้อยจากดอกกะหล่ํา ออกแแบเสื้อผ้าชุด chilling Day
42 ออกแบบเสื้อผ้าชุดCuttety Girl
สร้อยคอ สร้อยข้อมือคริสตัล
44
ออกแแบเสื ้ อ ผ้ า ชุด chilling Day
mini bible
ปฏิทินคริสเตียน
46 Painting Shirts 48 PaintingShirts
ออกแบบเสื้อผ้าชื่อ sexystar
mini bible
ออกแบบเสื้อผ้า ชื่อ sexystar
ลําดับเหตุการณ์ทั่วไปในคริสต์ศตวรรษที่ 5 เเละ6 ค.ศ.284-305!
!
จักรพรรดิไดโอคลีเซียน
ค.ศ. 306-337! !
จักรพรรดิคอนสเตนติน
ค.ศ.131 !
!
ราชโองการที่มิลานให้ชาวคริสเตียนมีเสรีภาพในการนับถือศาสนา
ค.ศ. 323!
!
ค.ศ.324!
!
!
สร้างกรุงคอนสแตนติโนเปิลขึ้นเพื่อให้เป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิโรมันตะวันออก!
ค.ศ.402-476!
!
กรุงราเวนนากลายเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิโรมันตะวันตก
ค.ศ.410!
!
!
พวกวิสิกอธยกเข้าโจมตีโรม
ค.ศ.445!
!
!
พวกแวนดัลยกเข้าโจมตีโรม
ค.ศ.476!
!
!
โอโดอาเซอร์ยกทัพเข้าโจมตีโรม และมีชัยชนะเหนือกรุงราเวนนา
!
!
!
!
โบสถ์เซนต์ ปีเตอร์ หลังเก่าสร้างขึ้นที่เนินเขาวาติกันในโรม
เป็นอันสิ้นสุดของจักรวรรดิโรมันตะวันตก!
ค .ศ. 476-540! !
กรุงราเวนนาเป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรออสโตรกอธ โดยมีโอโดอาเซอร์เป็น
!
ปฐมกษัตริย์ (ค.ศ.476 -493)
!
!
!
ค.ศ. 493-526! !
รัชสมัยของจักรพรรดิเธโอโดริคมหาราช พระองค์ทรงสร้าโบสถ์ซานต์อโพลินาเร -
!
!
!
นูโอโวสร้างพระราชวังเธโอโดริค และสุสานของพระองค์
ค.ศ.527-565!
!
รัชสมัยของจักรพรรดิเธโอโดริคมหาราช พระองค์ทรงสร้างโบสถ์ซนาต์อพอลลินาเล
!
!
นูโอโว สร้างพระราชวังเธโอโดริก และสุสานของพระองค์
! !
!
ค.ศ. 527-565! !
รัชสมัยของจักรพรรดิจัสติเนียนของจักรวรรดิโรมันตะวันออก
ค.ศ.523-537!
!
โบสถ์ฮาเกีย โซเฟีย หรือเซนต์ โซเฟีย ออกแบบและควบคุมการก่อสร้างโดย
!
!
!
สถาปนิกแอนเธมิอุส แห่งเมืองทราลิส และอิสิโอรุสแห่งเมืองเลตุส
ค.ศ.534-540!
!
ขุนพลของจักรวรรดิจัสติเนียน ชื่อ เบลิซาริอุส สามารถรพชนะอิตาลี
ค.ศ.535-549!
!
สร้างโบสถ์ ซาน อพอลลินาเร คลาสเส
ค.ศ.540!
!
!
บาลิซาริอุสยกทัพตีราเวนนาแตก เป็นอันสิ้นสุดราชอาณาจักรออสโตรกอธิกของ
!
!
!
จักรพรรดิเธโอโดริค
!
!
โบสถ์ของวัดซาน ไวตาเล ในราเวนนาสร้างเสร็จสมบูรณ์
!
!
ค.ศ.547!
[6]
CHRISTIAN สมัย
คริส เตีย นยุค พ.ศ .64 แรก 0-1 040
มนุษย์นอกจากมีปัจจัยในการดํารงชีวิตที่ เรียกว่าปัจจัยสี่ คืออาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่ อยู่อาศัย และยารักษาโรค เพื่อให้มนุษย์ ดํารงอยู่ได้ มีความปลอดภัยทางกายแล้ว มนุ ษ ย์ ย ั ง มี ค วามต้ อ งการความปลอดภั ย ทางใจอีกทางหนึ่ง เพราะมนุษย์มีความกลัว ในสิ่งที่ไม่รู้ กลัวความตาย หรือสิ่งที่ไม่ สามารถพิสูจน์ได้ ดังนั้นมนุษย์จึงหาทาง ผ่ อ นคลายความกลั ว ดั ง กล่ า ว ด้ ว ยการ แสวงหาสิ่งยึดเหนี่ยว ป้องกันอันตรายเล่า นั้น จึงมีการตั้งตัวแทนต่าง ๆ ขึ้นมาสักกา ระบูชาเช่นเทพเจ้าต่าง ๆ จนกระทั่งพัฒนา มาเป็ น ศาสนา เนื ่ อ งจากศาสนาเเป็ น นามธรรม เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยาก ศิลปินจึง ต้องรับภาระ การอธิบายเรื่องราวในศาสนา ที่เป็นนามธรรมออกมา เป็นรูปธรรม ผ่าน สื่อศิลปะต่าง ๆ ศิลปะลักษณะนี้จึงมีี่มาจาก ความเชื่อทางศาสนา ยุคศิลปะกับศาสนา สามารถแบ่งแยกออกเป็นสมัยต่าง ๆ ดัง ต่อไปนี้
เกล็ดน่ารู้
ผังแสดงระยะเวลาของศิลปะทางศาสนาคริสต์
ศิลปะคริสเตียน (Cristian Art) ศิลปะสมัยบีแซนไตน์ (Byzantine) ศิลปะโรมันเนสก์ (Romanesque) และศิลปะสมัยโกธิค (Gothic)
[7]
เรื่องราวและลักษณะทั่วไป ในดินแดนปาเลสไตน์ประมาณ
การเสี ย สละชี ว ิ ต ของจี ซ ั ส มี ผ ล
จึงเป็นไปอย่างกว้างขวางลึกซึ้ง ชาว
4ปีก่อนคริสตการ จีซัส ไครสต์ ได้ถือ
สะท้ อ นออกไปอย่ า งกว้ า งขวางลและ
คริสเตียนจะไม่ยอมร่วมพิธีทางศาสนา
กํ า เนิ ด หมู ่ บ ้ า นเบธเลเฮมของชาวยิ ว
ล้ําลึก สาวกผู้มีศรัทราอย่างแรงกล้าได้
ที ่ ท างรั ฐ จั ด ขึ ้ น ไมยอมรั บ ราชการ
ใช้ชีวิตวัยหนุ่มส่วนใหญ่เป็นช่างไม้ใน
นําคําสั่งสอนของพระองค์เผยแผ่ออก
ทหารหนือดํารงตําแหน่งทางการเมือง
หมู่บ้านนาซาเรธ พระองค์เกิดมาใน
ไป โดยเฉพาะในแหล่งชุมชนของชาว
ใดๆ ทางการโรมจึ ง ปราบปรามชาว
ท่ า มกลางของความกดขี ่ ข ู ด รี ด อย่ า ง
ยิว ซึ่งอยู่กระจัดกระจายทั่วไปในเมือง
คริ ส เตี ย นอย่ า งเหี ้ ย มโหดเป็ น ระยะ
หนั ก ของจั ก รพรรดิ โ รมั น ต่ อ ชาวยิ ว
ต่างๆ แถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และ
เวลารวม 300 ปี แต่ดูเหมือนว่ายิ่ง
ความเดือดร้อนเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า
ที่อยู่ในกรุงโรม ต่อมาจึงได้เผยแผ่ออก
ปราบปรามมากเท่าใดก็ยิ่งเิ่มมากขึ้น
ทําให้ชาวยิวต่างใฝ่ฝันที่จะได้เมซ -อะ
ไปสู ่ ช นชาติ ต ่ า งๆอย่ า งไม่ จ ํ า กั ด จน
เท่านั้น จนมีผู้กล่าวว่า “โลหิตของผู้
(Messiah)หรือผู้มาโปรดโลก เพื่อขับไล่
กลายเป็นศาสนาใหญ่และสําคัญที่สุด
เสี ย สละกลายเป็ น เมล็ ด เพาะพั น ธุ ์ ใ ห้
ชาวโรมั น ให้ อ อกจากดิ น แดน และ
ในโลกศาสนาหนึ่ง
กั บ ศาสนา” ตราบจนกระทั ่ ง ถึ ง สมั ย
!
สถาปนารัฐยิวที่เป็นของชาวยิวขึ้นมา
อนึ่ง ในระหว่างที่จักรวรรดิโรมัน
ของจั ก รพรรดิ ค อนสแตนติ โ นเบิ ล
จีซัส ไครสต์ ได้เริ่มต้นสั่งสอนให่
เรื อ งอํ า นาจชาวโรมั น มี ค วามเป็ น อยู ่
พระองค์ ท รงมี พ ระราชกรณี ย กิ จ ที ่
มนุ ษ ย์ ม ี ค วามรั ก ความกรุ ณ าตอกั น
อย่างสุขสบาย แต่คนอื่นซึ่งมิได้เป้น
สําคัญไว้ สองประการคือ ประการแรก
ตั้งแต่ ค.ศ. 28 หลักฐานคําสั่งสอนของ
ชาวโรมั น กลั บ เต็ ม ไปด้ ว ยความทุ ก ข์
ได้อกพระราชกฤษฎีกาแห่งเมืองมิลาน
พระองค์ ไ ด้ แ พร่ ห ลายออกไป ก่ อ ให้
ยาก ทุ ก คนใฝ่ ฝ ั น ที ่ จ ะมี เ สรี ภ าพและ
(Decree of Milan)ใน ค.ศ.313
เกิ ด ความสนใจต่ อ ชาวยิ ว อย่ า งยิ ่ ง
ความเสมอภาคในหมู่มนุษย์ดัง
ประกาศยกย่องในฐานะของชาวคริสต์
จนถึงกับทึกทักว่าพระองค์คือ เมซ -อะ
ตัวอย่างเช่น มีคําสอนในศาสนากล่าว
เตี ย นให้ ม ี ส ิ ท ธิ เ ที ่ เ ที ย มกั บ ชาวโรมั น
ที่ทุกคนเฝ้ารอ แต่เล้วจีซัสกลับสนใจ
ว่า พระผู้เป็นเจ้าหรือพระบิดาที่เปี่ยม
ยกเลิ ก คํ า สั ่ ง ห้ า มชาวคริ ส เตี ย นรั บ
ของจิตวิญญาณ มิใช่เรื่องทางวัตถุ จึง
ด้ ว ยความรั ก ความกรุ ณ า ได้ ส ั ่ ง พระ
ราชการ ยอมให้ ถ ื อ กรรมสิ ท ธิ ์ ใ น
สร้ า งความผิ ด หวั ง และกลายเป็ น การ
บุ ต รหรื อ พระเยซู ล งมาเพื ่ อ ไถ่ บ าป
ทรัพย์สินและสามารถปฎิบัติศาสนกิจ
ต่อต้านและเป็นปฏิปัก์การการกระทํา
มนุ ษ ย์ อนึ ่ ง ในเรื ่ อ งสิ ท ธิ ก ารนั บ ถื อ
ได้ตามใจชอบ ประการที่สอง ได้สร้าง
ของพระองค์อย่างกว้างขวาง ทีทั้งพวก
ศาสนา แม้ ว ่ า โรมไม่ ม ี น โยบายเป็ น
กรุงคอนสแตนติโนเบิลที่แคว้นบิเเซนติ
คลั่งชาติ พวกเจ้าหนี้ที่คอยเอารัดเอา
ปฏิปักษ์ต่อความเชื่อความศรัทธาใน
อุมให้เป้นราชธานีของจักรวรรดิโรมัน
เปรียบ และพวกนักบวชซึ่งเกรงว่าจีซัส
ศาสนาใดศาสนาหนึ่งโดยเฉพาะ
ตะวั น ออก นั บ ตั ้ ง แต่ น ั ้ น มา คริ ส ค์
จะทําให้ฐานะและสิทธิของตนหมดสิ้น
ตราบใดที ่ ผ ู ้ น ั ้ น ยั ง ร่ ว มถวายสั ก การะ
ศาสนาก็เป็นศาสนาอันถูกต้องตามกฏ
ไป ทุกฝ่ายต่างพากันกล่าวหาว่าจีซัส
บูชาองค์จักรพรรดิให้เป็นประดุจหนุ่ง
หมาย ยิ่งกว่านั้น รัฐบาลในสมัยหลัง
คื อ ผู ้ ท ํ า ลายความสงบสุ ข และลบหลุ ่
เทพของพวกตน นอกจากนี้ ชาวโรมัน
เริ่มเกื้อกูลการอุปถุม์พร้อมกับร่วมมือ
พระยะโฮวาอั น ศั ก ดิ ์ ส ิ ท ธิ ์ ข องพวกตน
เชื่อว่าหน้าที่สําคัญของมนุษย์ควรพึง
ในการสลายเปลี ่ ย นแปลงเทวสถาน
จนกระทั่งจีซัสถูกสาวกหักหสาสนาลัง
ปฏิบัติต่อรัฐ ส่วนชาวคริสเตียนมีความ
และกวาดล้ า งลั ท ธิ อ ื ่ น ๆซึ ่ ง มิ ไ ด้ เ ป็ น
โดยให้เจ้าหน้าที่มาจับตัวไปให้ศาลซา
เห็นว่า หน้าที่สําคัญของมนุษย์คือ การ
ศาสนาคริสต์อีกด้วย
เฮดริ น ของพวกยิ ว ตั ด สิ น และถู ก
ปฏิบัติต่อพระเจ้า ดังนั้นความขัดแย้ง
พิ พ ากษาประหารชี ว ิ ต ด้ ว ยการตรึ ง
อย่ า งรุ น แรงในขั ้ น พื ้ น ฐานของความ
กางเขนราวกับผู้ร้าย
ศรัทธาระหว่างชาวโรมันและคริสเตียน
[8]
9
9
PAGE
PAGE
เกล็ ดน่ดาน่ รู้ ารู้ เกล็ จักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 1 ครองราชสมบัติเป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมัน ระหว่างวันที่ 25 กรกฎาคม ค.ศ. 306 ถึงวันที่ 29 ตุลาคม ค.ศ. 312 มีพระนามเต็มว่า “Flavius Valerius Aurelius Constantinus” หรือที่รู้จักกันว่า “คอนสแตนตินที่ 1” ใน บรรดาผู้นับถือนิกายโรมันคาทอลิก หรือ “คอนสแตนตินมหาราช” หรือ “นักบุญคอนสแตน ติน” ในบรรดาผู้นับถือนิกายอีสเติร์นออร์โธด็อกซ์หรือนิกายไบแซนไทน์คาทอลิก พระราช กรณียกิจสําคัญที่สุดคือการประกาศให้ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่ถูกต้องตามกฎหมาย ของจักรวรรดิโรมันเมือปี ค.ศ. 313 จักพรรดิคอนส
แตนตินที่ 1 จึงเป็นจักรพรรดิ
พระองค์แรกของจักรวรรดิโรมันที่นับถือศาสนาคริสต์ตามพระราชกฤษฎีกาแห่งมิลาน (Edict of Milan) ที่ประกาศโดยจักรพรรดิลีซีนีอุส (Licinius) ผู้ทรงเป็นจักรพรรดิร่วมกับ พระองค์ พระราชกฤษฎีกาแห่งมิลานเป็นพระราชกฤษฎีกาที่ยกเลิกการทารุณกรรมต่อ คริสต์ศาสนิกชนทั่วทั้งจักรวรรดิโรมัน
จักรพรรดิ์คอนสแตนติน
อํานาจความคิดทางศาสนาคริสต์
นับเป็นเวลานานก่อนที่พระจักรพรรดิคอนสแตน
สิิ่งที่นํามาสู่การเปลี่ยนแปลงชาวตะวันตกได้มาก
ติน จะทรงยอมรับศาสนาคริสต์ให้เป็นศาสนาที่ถูก
ที่สุด คิดว่าน่าจะมาจากอํานาจความคิดทางศาสนา
ต้องตามกฎหมาย เมื่อ พ.ศ. 856 นั้น จิตรกรรมเนื้อ
คริสต์ ที่มาครอบงําโลกโรมันเอาไว้ได้ประวัติศาสตร์
เรื่องศาสนาคริสต์มีทํากันบนผาผนัง สุสานตาคอมบ์
โรมันยุคปลายเผยให้เห็นว่า มีความสนใจในศาสนา
ซึ่งก็คือสุสานใต้ดินนั้นเอง สุสานแบบนี้เป็นทางเดิน
ของชาวต่างชาติกันมากขึ้น อันได้แก่ ลัทธิบูชาเทพไอ
ใต้ดิน มีช่องเจาะตามผาผนังอยู่หลายช่อง สําหรับให้
ซิสของชาวอียิปต์ หรือลัทธิบูชาเทพมิทรัสของชาว
ชาวคริสต์ใช้เป็นที่ผังศพ ด้วยเหตุนี้เองยุคสมัยของ
เปอร์ เ ซี ย เป็ น ต้ น แต่ ศ าสสนาคริ ส ต์ ป ระสบชั ย ชนะ
ศิลปะคริสต์เตียนยุคแรก จึงทับซ้อนเหลื่อมกันกับยุค
เหนื อ ลั ท ธิ ศ าสนาใดๆทั ้ ง หมด และกลายเป็ น ส่ ว น
สมัยของศิลปะโรมันอยู่บ้าง คําว่า “ศิลปะคริสต์เตียน
สําคัญในการสร้างรากฐานให้แก่ทัศนภาพต่อโลกใน
ยุคแรก”ไม่ได้หมายถึงแบบอย่างศิลปะใดๆโดยเฉพาะ
แนวใหม่อีกด้วย
เท่าไร่นัก แต่หมายถึงยุคสมัยหนึ่งของศิลปะ ซึ่งตกอยู่
สําหรับศาสนาคริสต์แล้ว ความเป็นจริงก็คือ การ มีพลังทัดทานกันอยู่ภาายใน การช่วงชิงกันระหว่าง
ในราว พ.ศ. 640-1040และหมายถึงศิลปกรรมที่ทําขึ้น ในช่วงดังกล่าวนี้ ด้วยเนื้อเรื่องทางศาสนาคริสต์ด้วย
ความดีกับความชั่วการรักษาจิตวิญญาณให้พ้นจาก
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีเส้นแบ่งที่ชัดเจนในระหว่าง
ความผิดบาป และการมีชีวิตใหม่หลังการตาย โลก
ศิ ล ปกรรสมั ย คริ ส เตี ย นยุ ค แรก กั บ สมั ย ไปซั น ไทน์
ทางวั ต ถุ เ ป็ น ปฏิ ป ั ก ษ์ ก ั บ ความคิ ด ทางศาสนาคริ ส ต์
เพราะศิ ล ปกรรมบางชิ ้ น อาจนั บ เนื ่ อ งว่ า เป็ น ทั ้ ง สอง
ด้วยเหตุว่าเป็นสิ่งไม่สําคัญต่อชีวิตเท่าไรนัก หรือมิ
สมัยของยุคแรกและสมัยไบซันไทน์เลยก็ได้ ศูนย์สร้าง
ฉะน้ันก็เป็นแค่สัญลักษณ์ของความเป็นจริงจากส่วน
ผลงานศิลปะที่สําคัญในช่วงสมัยนั้น ได้แก่ กรุงโรม
ลึกภายในจิตใจเท่านั้นเอง ความเป็นจริงทางวัตถุเริ่ม
กรุงคอนสแตนติโนเบิลเมืองอันติออคและเมืองอะเล็ก
มีน้อยลงไปทุกทีอและบทบาทของศิลปะก็เริ่มซับซ้อ
ซานเดรีย
นมากขึ้นทุกทีด้วย
[9]
!
PAGE
10
สมัยคริสเตียนยุคแรก เป็นยุคศิลปะกับศาสนาอยู่ในยุค ศิลปะสมัยกลาง (Miderval Art) เกิดขึ้น ภายใต้ อ ิ ท ธพล ของคริ ส ต์ ศ าสนา ซึ ่ ง เป็นการนับถือเทพเจ้าองค์เดียว คือพระ เยซูคริสต์ รูปแบบของศิลปะยุคนี้ ในยุค แรก ๆ ได้ ร ั บ อิ ท ธิ พ ลและแบบอย่ า ง (Style) จากศิลปะกรีก และโรมันเป็น สําคัญ โดยมีจุดมุ่งหมายมาจากปรัชญา ที่ว่า “เมื่อมนุษย์มีความทุกข์ เกิดความ หวาดกลัวต้องมีการ สมมุติอํานาจบาง อย่างขึ้นมา เพื่อปลอบประโลม จึงเกิดมี พระเจ้าขึ้น” ทํ า ให้ เ กิ ด ความเชื ่ อ ทางความ งามที ่ ว ่ า ศิ ล ปะที ่ ส ู ง ค่ า จะต้ อ งรั บ ใช้ ศาสนา และสร้างศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้า ร่วมกัน นักประวัติศาสตร์ได้ชี้ให้เห็นว่า ศิลปกรรมในช่วงนี้มุ่งเน้นแสดงออกเพื่อ เทิ ด ทู น ศาสนาหรื อ สิ ่ ง ศั ก ดิ ์ ส ิ ท ธิ ์ เ พี ย ง อย่ า งเดี ย ว นั บ เป็ น ยุ ค แห่ ง การสร้ า ง โบสถ์วิหารให้สูงใหญ่ยอดเสียดฟ้าวิจิตร พิสดาร เพื่อแสดงศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้า และมิใช่เพียงแต่เท่านั้นผลงานทางด้าน จิตรกรรม ประติมากรรม หรือวรรณกรรม ก็อยู่ในความเชื่ออันเดียวกัน การที่ศาสนาคริสต์ มีอิทธิพลต่อ คนในยุคนี้มากขึ้นเพราะตั้งแต่ประมาณค ริสตศวรรษที่ 5 เป็นต้นมา สภาพของ สังคมก่อนหน้านั้นคนส่วนใหญ่ตกอยู่ใน สภาพที่สิ้นหวัง สิ่งที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว สถาบันต่าง ๆ ไม่ิสามารถทําให้คนส่วน ใหญ่หลุดพ้นจากปัญหาได้ แต่คําสอนข
องคริ ส ตศาสนากลั บ กลายเป็ น ความ สว่างอันอบอุ่นให้กับมวลชีวิต ที่ตกอยู่ ท่ามกลางของห้วงชีวิตที่ยากลําบาก และ คิดว่า สิ่งนี้จะทําชีวิตดี ขึ้นกว่าเดิม ศาสนาคริ ส ต์ ได้ถูกยอมรับอย่างเป็น ทางการในปี ค.ศ. 313 ในยุคหลังของ อาณาจั ก รโรมั น โดย จักรพรรดิ์องค์สุดท้าย ของโรมั น คื อ จั ก รพร รดิ์คอนสแตนติน ตาม ปฏิ ญ ญาแห่ ง เมื อ งมิ ล าน ค.ศ. 313 (Edict of Milan 313 A.D.) หลังจากที่ผู้ นับถือศาสนาคริสต์ได้หลบ ๆ ซ่อน ๆ มา ตั้งแต่ ค.ศ. 33 นับจากพระเยซูถูกตรึงไม้ กางเขน ศิลปะและสถาปัตยกรรม คริสเตียนยุคแรก คือศิลปะที่สร้างโดยผู้ นับถือคริสต์ศาสนาหรือโดยผู้ได้รับการ อุปถัมภ์จากผู้นับถือคริสต์ศาสนาที่เริ่ม ตั้งแต่ราวปี ค.ศ. 100 จนถึงราวปี ค.ศ. 500 ก่อนหน้าปี ค.ศ. 100 ไม่มีหลักฐาน ทางศิลปะที่หลงเหลือให้เห็นที่จะเรียกได้ ว่ า เป็ น ศิ ล ปะหรื อ สถาปั ต ยกรรมของผู ้ นับถือคริสต์ศาสนาได้อย่างแท้จริง หลัง จากปี ค.ศ. 500 ศิลปะและ สถาปัตยกรรมคริสเตียนก็เริ่ม เปลี่ยนแปลงไปมีลักษณะของศิลปกรรม แบบไบแซนไทน์
“
มี ค วามทุ ก ข์ เกิดความ หวาดกลัวต้อง มีการ สมมุติ อํานาจบาง อย่างขึ้นมา เพื่อปลอบ ป ร ะ โ ล ม จึ ง เกิ ด มี พ ระเจ้ า ขึ้น
[10]
เมื่อมนุษย์
”
ศิลปกรรม
โองการอนุญาตให้ประกอบพิธีกรรม
นรับรองศาสนาคริสต์ให้เป็นศาสนาที่
ทางศาสนาได้ตามใจชอบจึงเลิก
ถูกต้องตามกฎหมาย การเจาะขุด
กระทํา ในกรุงโรมมีอุโมงค์อยู่หลาย
อุโมงค์คาตาโคมบ์จึงเลิกไป คริสต์
แห่ง บางแห่งยาวนับเป็นไมล์ๆ สร้าง
ศาสนิกชนได้หันมาแสวงหาสถานที่
ในจักรวรรดิเมื่อคริสต์ศตวรรษ
สลับคดเคี้ยวและซับซ้อนกันหลายชั้น
ใหม่บนพื้นดิน ระยะแรกคงกระทันหัน
ที่ 1 เรื่อยมาจนกระทั่งได้รับ
ตามข้างกําแพงอุโมงค์จะเจาะเป็น
เกินไป ไม่มีเวลาและเงินทองจะสร้าง
อิสรภาพและกรุงโรมแตก”
ช่องสําหรับบรรจุศพเรียงรายกันไป
ของใหม่ได้จึงนําเอาอาคารของชาว
ช่องเหล่านี้เรียกว่า ( Loculi )
โรมันมาใช้ อาทิ เช่น นําเอาบาสิลิ
นอกจากนี้แต่ละอุโมงค์ยังมีห้องเล็กๆ
กามาดัดแปลงเป็นโบสถ์ ครั้นเวลา
1 สมัยแห่งการถูกประหัตประหาร
โดยเฉพาะเรียกว่า คูบิคูลา
ล่วงเลยมาจึงมีการสร้างเพิ่มเติมขึ้น
ค.ศ. 313 เป็นยุคที่ชาวคริสเตียนถูก
โคมบ์ค้นพบศพจํานวนทั้งหมดเท่าที่
โรมันอยู่ ทั้งนี้จะเห็นได้จากโบสถ์หลัง
รวบรวมได้มีมากกว่า 2 ล้านศพฝังไว้
เก่าของเซนต์ปีเตอร์ ยืมเอารูปแบบ
กฎหมา
ในนั้น
ของบาสิลิกามาใช้ แต่ดัดแปลงเสีย
2 สมัยที่ได้รับการรับรอง (Period of
!
“ศิลปกรรมของชาว คริสเตียนในระยะแรกเริ่ม นับ ตั้งแต่ศาสนาได้วางรากฐานลง
แบ่งออกเป็น 2 สมัยด้วยกัน คือ
แต่ก็ยังไม่มีรูปแบบเด่นเป็นพิเศษ ยัง ( Period of Persecution ) นับตั้งแต่ ( Cibicula ) เพื่อใช้เป็นที่ประกอบ ศาสนกิจ จากการสํารวจภายในคาตา คงนิยมลอกเลียนสิ่งก่อสร้างของ คริสต์ศตวรรษที่ 1 เรื่อยมาจนถึง ปราบปรามและถือว่าเป็นพวกนอก
*ห้องคูบิคูลา หรือห้อง
Recognition ) เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 325 ประกอบศาสนกิจส่วนมากจะมีภาพ เมื่อจักรพรรดิคอนสแตนตินยกฐาน จิตรกรรมวาดด้วยวิธีเฟรสโก้ประดับ ศาสนาคริสต์ขึ้นจนคล้ายกับเป็น
ศาสนาของจักรวรรดิโรมันและสิ้นสุด ลงเมื่อกรุงโรมตกอยู่ภายใต้การ ปกครองของชนชาวป่าเถื่อนใรราวปี ค.ศ. 500 ซึ่งทําให้อํานาจของ จักรวรรดิแตกสลาย
!
ศิลปกรรมสมัยถูกประหัต
ตกแต่งตามฝาผนังและบนเพดาน ฝีมือและรูปแบบยังคงเป็นแบบโรมัน อยู่ ช่างชาวคริสเตียนได้นํามา ดัดแปลงเสียใหม่ให้ตรงกับความเชื่อ ของตน มีการเน้นถึงความรู้สึกใน เรื่องของวิญญาณและความศรัทธาใน ศาสนา มากกว่าจะมามัวเอาใจใส่แต่
ประหาร * สถาปัตยกรรม ในสมัย
เรื่องของความงามเพียงอย่างเดียว
แห่งการถูกประหัตประหาร ชาว
เหมือนดังเช่นกรีก-โรมันชอบคํานึงถึง
คริสเตียนถูกตามล่าจองล้างจอง
จากมูลเหตุดังกล่าว ทําให้ชาว
ผลาญจนต้องหาที่ปลอดภัยสําหรับ
คริสเตียนพุ่งความสนใจในการแสดง
ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา พวกเขา แบบสัญลักษณ์มากกว่าจะเป็นความ ขุดอุโมงค์ลงไปใต้พื้นดินซึ่งมีชื่อเรียก งามที่มองเห้นด้วยตาได้ จากการที่ไม่ เฉพาะว่า คาตาโคมบ์
พิถีพิถันในเรื่องฝีมือกับกรรมวิธีจึง
( Catacombs ) เพื่อใช้เป็นที่ลี้ภัย
ทําให้ผลงานดูไม่มีสุนทรียภาพสูง
ประกอบพิธีกรรมและเป็นที่ฝังศพ
และปราศจากฝีมือ
โดยเลือกขุดจากบริเวณที่มีดินทูฟา อันแข็งแกร่ง การขุดอุโมงค์เริ่ม กระทํากันตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 2 เรื่อยมา จนกระทั่งได้รับพระราชทาง
!
ศิลปกรรมสมัยได้รับการ
รับรองเมื่อจักรวรรดิคอนสแตนติ [11]
ใหม่ให้มีแผนผังเป็นรูปตัว T นําเอา เอทริอุม ( Atrium = ลานบ้านชาว โรมัน อยู่หน้าบ้าน เปิดโล่งไม่มี หลังคา ) มาผสมกันกับบาสิลิกา กล่าวคือ มีบันไดขึ้นด้านหน้าสู่เฉลียง กว้างก่อนผ่านเข้าประตูใหญ่ เมื่อผ่าน เข้าไปภายในจะเป็นลานขนาดใหญ่ เปิดโล่งตามแบบเอทริอุมของโรมัน รอบลานนี้จะทําเป็นระเบียงทางเดิน มุงหลังคาเรียบร้อย ตรงใจกลางลาน มีน้ําพุสําหรับผู้มาประกอบพิธีกรรม ล้างมือ ถัดจากบริเวณนี้จะเป็นตัว โบสถ์ซึ่งภายในทางด้านซ้ายและขวา มือจัดเป็นที่นั่งฟังธรรม บริเวณดัง กล่าวเรียกว่า ไอล ( Aisle ) จาก ประตูโบสถ์ถึงแท่นบูชามีช่องทางเดิน กว้าง เรียกว่า เนฟ ( Nave ) ส่วนสุด ห้องใช้เป็นที่ตั้งของแท่นบูชา ด้าน ข้างทั้งสองของแท่นบูชาขยายกว้าง ออกไปเป็นห้องยาวขวาง เรียกว่า ทรานเซพ( Trancept ) คล้ายกับหาง ของตัว T
Old St. Peter's
สถาปัตยกรรม
ภาพวาดบูรณะ เชิงคาดคะเนโบสถ์ เซนต์ปีเตอร์หลัง เก่าในกรุงโรม ประเทศอิตาลี ที่ สร้างเมื่อราว พ.ศ. 876 มีความกว้าง ราว 215 ฟุต
ผู้
สร้างอาคารสมัยคริสเตียนไม่ได้แสดงความโอราฬ แต่เน้นถึงการถึงผู้เข้ามาสักการะบูชาภายในอาคาร
สถาปัตยกรรมสมัย
แพร่หลาย ได้แก่ อาคาร “บัพ
เสาตั้งเรียงรายเป็นแถวๆ แบบ
คริสเตียนยุคแรก ได้รับมรดก
ติสเอรี” ซึ่งเป็นที่ประกอบ
อาคารกรีกและโรมันมีช่องทาง
ตกทอดทางเทคนิค และรูป
ศาสนพิธีรับศีลรดน้ํามนต์
เดินที่มีโครงสร้างหลังคาเป็น
ผู้สร้างอาคารสมัย
แบบทรงโค้งอยู่ขนาบ 2 ข้าง
แบบมาจากอาคารโรมัน แต่มี จุดประสงค์การใช้งานเปลี่ยน
คริสเตียนยุคแรก ไม่ได้
ของห้องโถงกลางอาคาร หรือ
ไป และรูปแบบอาคารก็ได้รับ
แสวงหาความใหญ่โตโอฬาร
ไม่ก็มีเสาหินก่อขนาดใหญ่ตั้ง
การเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ให้
เหนือพื้นพสุธาอย่างวิหารของ
รับน้ําหนักหลังคา ปรากฎอยู่
สอดคล้องกับการใช้งานด้วย ผู้ ชาวโรมัน แต่เน้นถึงการดึงผู้
ในอาคารด้วย(มักทําด้วยเสา
สร้างอาคารในสมัยคริสเตียน
เข้ามาสักการบูชาภายใน
หินที่นํามาจากวิหารร้างของ
ยุคแรก มักเพ่งคามสนใจไปที่
อาคาร ให้พ้นจากโลกทางวัตถุ
ชาวโรมัน) สิ่งเหล่านี้ได้รับการ
การสร้างโบสถ์ศาสนาคริสต์
และประสบกับภาวการณ์อัน
จัดทําไว้ เพื่อให้เกิดผลลักษะ
และอาาร “มาร์ตีเรีย” ซึ่งเป็น
ลึกลับทางศาสนา ที่ทําให้เข้าสู
ของการลดหลั่นความน่าสนใจ
อาคารที่สร้างเป็นที่หมาย
ภาวการณ์ได้รับความคุ้มครอง
เป็นลําดับ และมีที่รวมความน่า
เกี่ยวข้องกับบุคคลที่ยอมสระ
ให้รอดพ้นจากความชั่วร้าย(ผิด สนใจอยู้ที่แท่นบูชาภายใน
ชีพเพื่อปกป้องความเชื่อทาง
บาป) ทั้งปวงไดด้วย ภายนอก
ศานาคริสต์ ได้แก่ สถานที่ผัง
อาคารมักปล่อยไว้เรียบๆ โดย
ศพ หรือสถานที่ตาย หรือ
ไม่ใส่ลวดลายประดับลงไป
อาคารมีอยู่ 2 แบบ คือ แบบ
สถานท่ีบรรจุอัฐิอันศักดิ์สิทธิ์
เท่าไรนัก แต่สําหรับภายใน
แนวยาว และแบบศูนย์รวม ทั้ง
ของบุคคลนั้นๆ ส่วนอาคารอีก
อาคารแล้ว มีความแพรวพราว
สองแบบนี้มีต้นกําเนิดมาจาก
ประเภทหนึ่งที่นิยมสร้างกัน
ไปด้วยลายประดับหินสี และมี
สถาปัต-ยกรมโรมัน
[14]
อาคารนั้นเพียงที่เดียว แผนผังแบบพื้นฐานของ
อาคารเเบบแนวยาวเป็นแบบที่ดัดแปลงมา
ผังแบบศูนย์รวม ใช้เป็นโบสถ์กันด้วย ถึงแม้ว่า
จาดผังอาคารทรงบาซิลิาของโรมัน ดังนั้น จึง
ผังอาคารแบบนี้จะเน้นบริเวณว่างเเบบศูนย์รวม
ยังคงเรียกว่าอาคารทรงบาซิลิก้าดังเดิม โบสถ์
เป็นหลักก็ตาม แต่เราอาจสังเกตเห็นเส้นแกน
เซน์ปีเตอร์หลังเก่าในกรุงโรม ก็มีผังเป็นแบบนี้
พอเป็นลางๆได้เหมือนกัน เนื่องจากมีการตั้งแที
ด้วยเหมือนกัน จะเห็นได้ว่า จากประตูทางเข้า
นบูชาถัดจุดศูนย์กลางเข้าไปอ่ตรงหน้าห้องผนัง
อาคารแบบนี้ ผู้ที่เดินเข้าไปจะต้องผ่านลานโล่ง
โค้ง (เอพส์) ด้านหลังโบสถ์ด้านทิศตะวันออก
ที่เรียกว่า “อะตรีอุม” เข้าไปสู้ทางเดินภายใน
ผังอาคารแบบศูนย์รวมมีอยู่หลายรูปแบบ
อาคารที่สามารถแยกเข้าสู่ช่องต่างๆภายใน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในดินแดนซีเรีย และดินแด
โบสถ์ได้ ทางเดินดังกล่าวนี้เรียกว่า “นาร์เท
นอาร์เมเนีย มีตั้งแต่แบบวงกลมอรื่อยไปจนถึง
รกซ์” เมื่อใครเข้าไปอยู่ในบริเวณนั้นแล้ว ็
แบบจัตุรัส หรือไม่ก็แบบไม้กางเขนกรีก ซี่งมี
สามารถมองเห็นแ่นบูชาที่อยู่ ณ ด้านหลังสุด
แขนกางเขนยาวเท่ากันทุกด้านบรรจุอยู่ในรูป
ของห้องโถงช่องกลางโบสถ์นั้นได้ การจัด
จัตตุรัส ส่วนแบบอื่น ที่ต่างไปจากนี้ เกิดขึ้นใน
บริเวณว่างด้วยวิธีการเช่นนี้เองจะทําให้รู้สึกว่า
สมัยไบซันไทน์ โบสถ์แบบศูนย์รวมมักมีเพดาน
เราถอยห่างไกลจากโลกภายนอกมากขึ้นอีก
ทรงโค้ง หรือไม่ก็มีหลังคาทรงกลมทําด้วยอิฐ
ตามลําดับบริเวณว่างแบบนี้ยังช่วยทําให้แท่น
อาคารทรงบาซิลิกาขนาดใหญ่ มักจะมุง
บูชามีความหมายอันสําคัญมากด้วยอาคาร
หลังคาด้วยท่อนไม้ แม้กระนั้นก็ตาม หลังคา
ทรงบาซิลิกานี้ ใช้งานได้ดีในพิธีสวดมนต์อัน
ช่องทางเดิน 2 ข้างของห้องโถง มักมีทําเป็น
เคร่งขรึมและสง่างาม
ทรงโค้งแบบอุโมงด้วยเหมือนกัน ส่วนอาคาร
ต่อมาในสมัยพุทธศตวรรษที่ 9 อาคารแบบ
บาซิลิก้าขนาดเล็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่สร้าง
ศูนย์รวมก็เข้ามาแทนที่อาคารแบบแนวยาว
กันในดินแดนซิเรีย และดินแดนอาเชียไมเนอร์
อาคารที่มีผังแบบศูนย์รวมมักใช้สํารับเป็น
ทําเพดาน หลังคาทรงโค้งด้วยหินและอิฐ
อนุสรณ์สถานของบุคคลที่พลีชีพเพื่อศาสนา คริสต์ แต่ต่อมาไม่นานนักก็มีการใช้อาคารที่มี
[15]
จิตรกรรม โดย Mosaic "Justinian and His Attendants"ประดับภายใน Church of San Vitale
จิตรกรรม และการประดับหินสี
นิ
ยมสร้างภาพให้มีความหมายเป็นสัญลักษณ์นิยม
มากกว่าจะแสดงให้เห็นจริง ยูงหมายถึงความเป็นอมตะ เป็นต้น ครั้นต่อมาใน
โดยทั่วไปจิตกรรมของศิลปะคริสเตียนสมัยแรก คริสต์ศตวรรษที่ 3 จึงค่อยพัฒนาเพิ่มภาพบรรยาย เป็นไปในแนวทางแบบสัญลักษณ์นิยม หรือไอโคโด คริสต์ประวัติจากพระคัมภีร์ มีการวาดภาพสาวก กราฟฟิค (Iconography) สร้างภาพให้มีความหมาย และพระเยซูแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ต่างๆ ในระยะ เป็นสุญลักษณ์มากกว่าจะแสดงให้เห็นจริง มีจุด แรกมีสิ่งที่น่าสังเกตคือ ภาพของพระเยซูมัก ประสงค์สําหรับเป็นที่กราบไหว้เคารพบูชา ดังเช่น รูปของเด็กเลี้ยงแกะ มีความหมายถึงพระเยซู รูป นกเขามีความหมายถึงพระจิต หรือรูปสมอเรือมี ความหมายไปในทํานองเป็นความหวัง และรูปนก
[18]
ปราศจากหนวดเครา ภาพแม่กับพระบุตรซึ่งนิยม วาดในสมัยหลัง ก็ปรากฎให้เห็นอยู่ในสมัยนี้เช่นกัน
นอกจากนี้ สถานที่ไม่เหมาะสมต่อการวาดภาพ
สันนิษฐานกันว่า จิตรกรรตามคาตาโคมบ์และโบสถ์
เพราะมีแสงน้อย อากาศอับและความชื้นสูง ซึ่งทําลาย
วิหารที่สร้างขึ้นใหม่ ยังไม่สามารถบรรยายภาพต่างๆ
ภาพให้ทรุดโทรมอย่างรวดเร็ว ในขณะวาดก็ได้แสง
ได้กระจ่างแจ้ง อีกทั้งวิธีการวาดภาพประกอบซึ่งมีมา
สว่างจากตะเกียงน้ํามัน ทําให้เห็นไม่ชัดเจน อีกทั้ง
นานตั้งแต่ครั้งสมัยฟาโรห์อียิปต์(สมุดเล่มแรกของอยิ
เวลาที่ใช้วาดคงมีจํานวนจํากัดด้วย ศิลปินในสมัยนี้จึง
ปต์ที่มีชื่อเสียงมากคือ หนังสือของความตาย Book of
อยู่ในสภาพทุลักทุเลอย่างยิ่ง ซ้ํายังคอยถูกตามล่า
the Dead)พบในสุสานแห่งหนึ่ง) และได้พัฒนาให้แพร่
ประหัตประหารจากโรมันอีก ความจริงยังมีสถานที่
หลายยิ่งขึ้นในศิลปกรรมสมัยเฮเลนิสติกของกรีก ใน
ประกอบพิธีกรรมบนพื้นดินด้วยเช่นกัน ชาวคริสเตียน
รัชสมัยของจักรพรรดิคอนสแตนติน พระองค์ทรง
จะจัดพิธีกรรมทางศาสนาตามปกติภายในบ้านหรือ
บัญชาให้เหล่าช่างของพระองค์วาดภาพประกอบใน
สถานที่พิเศษอันเร้นลับ ยกเว้นกรณีพิเศษหรือสําคัญ
พระคัมภีร์ขึ้นนับเป็นจํานวนพันๆเล่มถวายเป็นคริสต์
จึงจัดในคาตาโคมบ์
บูชา เนื่องจากยังอยู่ในระยะเเรกเริ่ม เรื่องราวที่ใช้วาด
สถานที่บนพื้นดินส่วนมากถูกทําลายลงในสมัย
จึงปนเปสับสับสนกัน กล่าวคือ มีเรื่องราวที่เป็นของ
การกวาดล้างครั้งใหญ่ครั้งสุดท้ายสมัยจักรพรรดิไดโอ ชาวฮิบรู กรีกและของชาวคริสเตียนเองผสมกันไป คลีเซียนคาตาร์โคมบ์ที่มีภาพจิตกรรมตกแต่งภายในที่ ภาพวาดเหล่านี้ต่อมาได้กลายเป็นต้นฉบับแบบใช้ช่าง มีชื่อเสียงที่สุดอยู่ที่เพดานของคาตาโคมบ์ เซนต์ปิเอ
รุ่นหลังลอกเลียนสืบต่อกันมาเป็นระยะเวลาหลาย
โตร และประหัตประหารชาวคริสเตียนสิ้นสุดลงในสมัย ศตวรรษ พระคัมภีร์ภาพในระยะแรกยังคงทําตามแบบ จักรพรรดิไดโอคลีเซียนคาตาโคมบ์ (Catacomb of
อย่างของอียิปต์ ซึ่งเป็นแผ่นยาว เเล้วพับกลับไปกลับ
Saints Ppietro And Macrllion) ในโรม ครั้นเมื่อผ่่านพ้
มา ทําปกหน้าด้วยในตัว กระดาษอียิปต์ทําจากต้นปาปิ
นระยะแห่งการติดตามประหัดประหารชาวคริสเตียน
รัสซึ่งฉีกขาดง่าย ช่างชาวคริสเตียนเปลี่ยนไปใช้วัสดุที่
สิ้นสุดลงในสมัยจักรพรรดิคอนสแตนติน โบสถ์วิหาร
คงทนถาวรกว่าด้วยหนังลูกวัว (Vellum of Veal Skin)
และสถานที่สําคัญทางศาสนาสร้างขึ้นใหม่มีหลายแห่ง
และหนังแกะ (Parchment or Lamp Skin) การตกแต่ง
แต่ละแห่งมีความต้องการภาพตกแต่งภายใน
พระคัมภีร์ทําได้ 3 แบบใหญ่ๆ ด้วยกันคือ
จิตรกรรมจึงได้เฟื่องฟูขึ้น วิธีโมเสก (Mosaic) ได้รับ
1.ภาพขนาดเล็ก (Miniatures of Small Pictures)
ความนิยมมากที่สุด วิธีการนี้แม้ได้นํามาจากพวกโรมัน
2.ภาพตัวอักษรปรดิษฐ์ ( Initail Letters)ซึ่งส่วน
ก็ตาม แต่ศิลปินคริสเตียนก็นําความศรัทราใหม่มาส
มากวาดเป้นภาพทิวทัศน์สําคัญในคริสต์ประวัติและ
ร้างเป้นภาพเพื่อบรรยายความเชื่อของตน นอกจากนี้
ประดิษฐ์ด้วยอักษรอย่างวิจิตรพิสดาร
ยังนิยมทําแผ่นแก้วสีสดใสโปร่งแสงและมีความ
3.แบบบอร์เดอร์ (Border) อาจมีภาพขนาดเล็ก
แวววาวจับตามาใช้แทนหินสีที่มีคุณสมบัติทึบแสงซึ่ง
หรืออื่นๆก็ได้ แต่โดยส่วนมากมักนิยมออกแบบ
ชาวโรมันชอบใช้ด้วย โมเสกจึงเป็นวิธีการที่ชาว
ลวดลายต่างๆ
คริสเตียนนํามาใช้ตกแต่งภายในสถานที่สําคัญทาง
วิธีการวาดมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบใหญ่ๆคือวิธีหนึ่ง มี
ศาสนาของพวกตนเรื่อยมาติดต่อกันเป็นระยะเวลา
การใช้สีมาก และวิธีที่ 2 เป้นภาพลายเส้น มีสีน้อยสี สี
นานหลายร้อยปี ผลงานสมัยแรกสุดจะมีแนวโน้ม
ที่ใช้ส่วนมากเป็นฝุ่นผสมกับไข่ขาวและยางไม้ ส่วน
แสดงให้เห็นว่าฐานะของพวกเยซูเริ่มต้นความเป็น
ลายเส้นใช้หมึกสีดําวาด
ปูชนียบุคคล จากครูและนักปรัชญา ครั้นต่อมาจึงได้
พระคัมภีร์ภาพเก่าแก่และมีชื่อเสียงคือ วาติกัน
เพิ่มคุณค่าขึ้น จนกระทั่งกลายเป็นดังองค์ศาสดาผู้
เวอร์จิน (Vatican Verjil) อยู่ในห้องสมุดวาติกันกรุงโรม
ปกครองสวรรค์และโลก
สร้างขึ้นเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 5 แสดงเรื่องราวของ
นอกจากได้มีการประดับตกแต่งสถานที่สําคัญท
แม่พระ วิธีการวาดเป็นแบบโรมัน คือ วาดลายเส้น
ทางศาสนาด้วยโมเสกแล้ว ศิลปะคริสเตียนระยะเเรก
อย่างรวดเร็ว และเล่นบรรยากาศด้วยแสงและเงา ยัง
ยังนิยมวาดภาพประกอบแสดงเรื่องราวต่างๆลงใน
ไม่มีลวดลายประดับตกแต่งซึ่งพัฒนาขึ้นในระยะหลัง
พระคัมภีร์ด้วย (The Illuminated Manuscript) [19]
ก าร ป ระ ด ั บ ห ิ น ส ี ( M O S A I C)
"Christ as the Good Shepard" จิตรกรรมโดยใช้หินสี ก้อนเล็ก ๆ (Mosaic) ติดตั้งบนผนังโค้ง หลังแท่่นบูชาใน โบสถ์เป็นผลงานทาง ศิลปะแบบเหมือน จริงที่งดงาม (Realistic )
จิตรกรรมโดยใช้หินสีก้อนเล็ก ๆ (Mosaic) รูปลอตกับอับรา ฮัม ที่วัดซานดา มาเรีย แมก โจเร ในกรุงโรมมีอายุใน ราว ค.ศ.430
สัญลักษณ์คริสเตียน ปลา สัญลักษณ์รูปปลามีที่มาจากตัวอักษรกรีก 5 ตัวคือ !"#$% อ่านว่า “อิคตุส”แปลว่า “ปลา” ตัวอักษรกรีก 5 ตัวนี้ แต่ละตัวเป็นตัวแรกของคํากรีก 5
!
! เป็นอักษรตัวแรกของพระนาม “ เยซู” " เป็นอักษรตัวแรกของคําว่า “คริสต์” # เป็นอักษรตัวแรกของคําว่า “พระเจ้า” $ เป็นอักษรตัวแรกของคําว่า “พระบุตร” % เป็นอักษรตัวแรกของคําว่า “พระผู้ช่วยให้รอด”
แกะ ในสมัยพันธสัญญาเดิม (ก่อนพระ เยซูประสูต)ิ คนอิสราเอลจะต้องนําสัตว์มาเป็นเครื่อง บูชาลบล้างความผิดบาปของตน และสัตว์ชนิดหนึ่งที่คนอิสราเอลนํามาถวายแก่พระเจ้า คือแกะ นอก จากนี้ในเทศกาลเลี้ยงปัสกา คนอิสราเอลก็จะฆ่าลูกแกะเพื่อระลึกถึงวันที่ พระเจ้าช่วยให้คนอิสราเอลพ้นจาก การเป็นทาสของอียิปต์ โดยในวันนั้นคนอิสราเอลจะ ต้องฆ่าลูกแกะและเอาเลือดมาทาที่วงกบประตู เพื่อทูตของพระเจ้าจะทราบว่าเขาเป็น ประชากรของพระเจ้าและจะผ่านไปโดยละเว้น ไม่ฆ่าบุตรหัวปีของครอบครัวนั้น ส่วน บ้านใดที่ไม่มีเลือดทาที่วงกบประตูก็ต้องสูญเสียบุตรหัวปีไปในวันนั้น
นกยูง
เป ล ื อ กหอ ย
เป็นสัญลักษณ์ของความอมตะ (แม้เซนต์ Augustine เชื่อว่าเนื้อ peackock ที่จะมี"คุณภาพน้ํายาฆ่า เชื้อ"และว่ามันไม่ได้เสียหาย), นกยูงเป็นสัญลักษณ์ ของการฟื้นคืนชีพและคริสต์ ภาพมัน embellished ทุกอย่างตั้งแต่ Catacombs กับวัตถุในชีวิตประจําวัน เช่นเดียวกับโคมไฟโดยเฉพาะอย่างยิ่งในคริสตจักร โรมันและ Byzantine ต้น (, นกยูง, ชัดเจนเพื่อความ ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของความภาคภูมิใจเช่นกัน)
เปลือกหอยทะเลโดยเฉพาะเปลือกหอยแครง เป็นสัญลักษณ์ของศีลล้างบาป, และสามารถ พบได้บ่อยในแบบอักษรเกี่ยวกับพิธีศีลจุ่ม ศีล ล้างบาปจานที่ใช้โดยพระสงฆ์จะสรงน้ําพระ เหนือศีรษะของ catechumens ในมักจะมี ลักษณะคล้ายหอยเชลล์ หอยเชลล์, เกินไป, มากกสัญลักษณ์ของอัครสาวกเจมส์
[21]
แมไจมอบของขวัญให้พระเยซูบนโลงหินจากคริสต์ศตวรรษที่ 4 ที่ โรม
ประติมากรรม รูปสลักรูปแรกๆ ที่สุด ของ “การ ประสูติของพระเยซู” จากคริสต์ศตวรรษ ที่ 4 บนโลงหินที่มิ ลาน
ง
านประติมากรรมในสมัยคริสเตียนถูกลดความสําคัญ อันเนื่องมาจากบทบัญญัติพระคัมภีร์ เกี่ยวกับรูปเคารพบูชา
ผลงานประติมากรรม แสดงถึงการเสื่อมความสําคัญ ลงอย่างเห็นได้ชัด เหตุผลบาง ส่วนอาจเป็นเพราะ บทบัญญัติ ของพระคําภีร์ไบเบิลเป็น ปฏิปักษ์กับรูปเคารพ และบาง ส่วนอาจเป็นเพราะ ปฏิกิริยา ต่อต้านการเคารพรูปแกะสลัก ที่มีอยู่มากมายในวิหารโรมัน สําหรับงานประติมากรรม คริสเตียนส่วนมากอนุโลมตาม สถาปัตยกรรม ซึ่เปลี่ยนแปลง โครงสร้างจากความมั่นคงแข็ง แรงสง่างาม ตามลักษณโรมัน ไปสู่ความเพรียวบางไม่หนัก แน่น มั่นคงเท่าสถาปัตยกรรม โรมัน ประติมากรรมจึงต้อง เปลี่ยนแปลง เพื่อใสอดคล้อง กลมกลืนกัน และเพื่อสนอง ความต้องการในด้านความ เลื่อมใสศรัทธา ศาสนาคริสต์ เป็นสําคัญ
ขนาดเล็ก ได้แก่ การแกะสลัก ลวดลายบศพ จาน หรือถ้วย โลหะที่ใช้ใส่เหล้าองุ่นในพิธี ทางศาสนาคริสต์ ภาชนะ บรรจุอัฐิอันศักดิ์สิทธิ์ และงาน แกะสลักงาช้าง เป็นต้น ที่ทํา เป็นรูปเหมือนนั้นก็แสดงว่า มี ความสนใจในส่วนละเอียด เฉพาะตามที่ปรากฏทาง กายภาพน้อยเหลือเกิน
แถวภาพซ้อนกัน 2 ชั้นเลยก็มี เหมือนกัน เนื้อหาของภาพ ประติมากรรมนูนประดับโลง ศพหินก็เช่นเดียวกันภาพ จิตรกรรมประดับสุสานฝังศพ ใต้ดิน คือ มักจะสัมพันธ์กับ เรื่องความตาย ตามความเชื่อ ทางคริสตศาสนา ซึ่งมิได้ หมายถึงการดับสูญ และเป็น เพียงการแปรสภาพไปสู่อีก ศพชาวคริสต์ที่ทํากัน สภาวะหนึ่งเท่านั้น ส่วนใหญ่ เป็นแบบ “ฟรีซ-ไทพ์” คือเป็น แล้วจะเน้นความเชื่อที่ว่า อย่างแผงลายแกะสลักบนคาน มนุษย์จะถูกปลูกให้ฟื้นคืนชีพ พาดหัวเสากรีกโดยภาพ ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งโดยพระเมษ เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เลือกมา โปดกนอกจากนั้นยังเป็นภาพ แสดง ได้รับการแกะสลักเป็น พระเยซูหรือสัญลักษณ์แทน แผงภาพติดต่อกันไปตลอด พระเยซู ภาพนักบุญต่างๆและ แผงด้านข้างขอบศพ หรือมิ เรื่องราวจากภาพคัมภีร์เกี่ยว ฉะนั้นก็จะเป็นลายบศพแบบ กับการรอดชีวิตของบุคคล “คอลัมนาร์-ไทพ์” ซึ่งเป็นแบบ ต่างๆ ด้วย อภินิหารและพระ มีเสาแบ่งกั้นช่องภาพแต่ละ เมตตาของพระผู้เป็นเจ้า สมัย ช่องแยกจากกันโดยภาพ นี้เริ่มใช้สัญลักษณ์ทางคริสต เหตุการณ์แต่ละตอน จะถูก โดยทั่วไปแล้ว ศาสนา ในงานศิลปะเพิ่มมาก แบ่งออกเป็นช่อง ๆ ด้วยเสาที่ ประติมากรรมสมัยคริสเตียน ขึ้น ยุคแรก จํากัดอยู่เฉพาะผลงาน ติดกับพื้นหลัง และที่มีการวาง
[24]
Step CG ของเราเองล่ะ ' w ' อุปกรณ์ก็ 1.โปรแกรม Sai 2.โปรแกรม Photoshop 3.เม้าท์ปากกา 4.เทคเจอร์
1
><
: ก่อนอื่นช่วยแนะนําตัวหน่อยน่ะค่ะ
ปลิตา : ชื่อ ปลิตา ชัยวงค์ เรียนอยู่คณะ ศิลปกรรมศาสตร์มหาลัยบูรพา ปี 1 ค่ะ ><
1 . ภาพร่าง ' 3 ' เราร่างด้วยดินสอ ไม่ตัด เส้นล่ะ
: ผลงานที่คุณทํามาคืออะไรค่ะ
ปลิตา : ผลงานคือ ดิจิตอลเพ้นท์ คอม กราฟฟิก (CG) ><
2
: วิธีการสร้างงานของคุณเป็นอย่างไร
บ้างค่ะ ปลิตา : ก็ใช้พวกโปรแกรมสร้างงานราฟฟิค ต่างๆและอุปกรณ์ในการเพ้นเช่น 1.โปรแกรม Sai 2.โปรแกรม Photoshop 3.เม้าท์ปากกา 4.เทคเจอร์ เพียงแค่นี้ก็สามารถทําได้แล้วค่ะ > < : และคุณได้รับแรงบันดาลใจมาจาก อะไรค่ะ ปลิตา :ได้แรงบันดาลใจจากการภาวนาต่อ ศาสนา นักบวช พระคัมภีร์ และนิทานเด็ก ซึ่งเอามารวมกันค่ะ
2.ลงพื้นไว้ เผื่อไว้คุมโทนภาพ
[26]
3
4
4. ปาดไป แล้วก็ตัดเส้นไปด้วย เพราะว่าเราไม่ได้ ตัดเส้นดําเหมือนหลายๆคนทํานะ XD
6
3. สีผิว ' 3 'ปล.เลเยอร์เส้น เปลี่ยนมันเป็น มัลติพายด้วยนะ เส้นจะโปร่งๆทําให้ลงสี ง่าย (เผื่อคนไม่ร)ู้
5 6.ส่วนพื้น ก็ปาด ปาดๆเหมือนสีน้ําน่ะล่ะ จัดๆไป 5.ลงสีส่วนอื่นๆ สีพื้นๆน่ะ ลงเงาที่ผม ตอนลงเงา นี่ไม่ได้แยกเลเยอร์อีกทีนะ ลงในเลเยอร์พื้นมัน เลย เพราะปาดง่ายกว่า แต่ถ้าบางคนกลัวเสีย ก็ ไปปาดเงาในอีกเลเยอร์ก็ได้นะ
8
7
7 .ลงสีตรงกระจกโมเสก แล้วก็ ดอกไม้ ตอน แรกกะลงดอกเดซี่ แต่มันละเอียดเกิน รําคาญ 555! ลงแบบนี้เลยล่ะกัน [27]
8.เก็บรายละเอียดจนเสร็จก็ย้ายมาโปรแกรม โฟโต้ชอป จะใช้รุ่นไหนก็ใช้ไปเหอะ เพราะทาง นี้ใช้ปรับสีเส้น แล้วก็เส้นเอฟเฟคเฉยๆ
9
9.เปิด เทคเจอร์ขึ้นมา เลือกๆมาล่ะ ว่าอันไหนดู น่าจะเหมาะ กับภาพเราเปิดมาก่อน ลองๆแปะๆ ไป สวยก็เอา 55+
10 Type to enter text
10.อันนี้ใช้เทคเจอร์แผ่นข้างๆ ภาพจะดูสดขึ้น มาหน่อยลืมบอก เล่นเอฟเฟคมันด้วยนะ - w -;;
11 11.ราวนี้มาปรับที่ภาพ ' 3 ' ไอ้เลเยอร์สี เส้น ทั้งหมด รวมเข้าไปในโฟลเดอร์เดียวกัน แล้วก็ เมร์ก(รวมเลเยอร์) แล้วก็กอปมันขึ้นมาทับ เลเยอร์เก่ามันซะ(ปรับเป็นมัลติพายด้วยนะ) เราจะปรับภาพให้เหมือนสีน้ําน่ะ โดยการเล่น เอฟเฟคที่เห็น ' w '
12 12.ปรับโทนภาพ (ภาพที่กอบขึ้นมานะ เลเยอร์หลักอย่าไปทําอะไรมัน)
13 13.แล้วก็ เอา เทคเจอร์อีกแผ่นมาใส่ ทําโทน ให้ดูเหมือนนิทานเก่าๆนิดๆ (ฮาา) เราชอบ โทนเก่าหน่อยๆน่ะ
[28]
[29]
อุปกรณ์ 1.กระดาษแข็งสีดํา สีขาว
Suphamas Vongsraluang
spookiiz_13@hotmail.com
2.กรรไกร 3.คัตเตอร์ 4.ปากกาดํา 5.โบว์ วิธีการทํา
Type to enter text
ร่ า งลั ก ษณะที ่ ค ั ่ น หนั ง สื อ บนกระดาษที ่ ต้ อ งการ แล้ ว ตั ด ตามที ่ ร ่ า งไว้ จากนั ้ น ตกแต่งให้สวยงาม
> < : ก่อนอื่นช่วยแนะนําตัวหน่อยน่ะ ค่ะ ศุภมาศ : สวัสดีค่ะ ชื่อ ศุภมาศ วงศ์ สระหลวง คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหา ลัยบูรพา ปี1 > < : ผลงานที่คุณทํามาคืออะไรค่ะ ศุภมาศ: ที่คั่นหนังสือ ค่ะ > < : วิธีการสร้างงานของคุณเป็น อย่างไรบ้างค่ะ ศุภมาศ : ร่างลักษณะที่คั่นหนังสือบน กระดาษที่ต้องการ แล้วตัดตามที่ร่างไว้ จากนั้นตกแต่งให้สวยงาม > < : และคุณได้รับแรงบันดาล ใจมาจากอะไรค่ะ ศุภมาศ : ได้มาจาก ลักษณะของไม้ กางเขน และ ปลา ในทางคริสต์ศาสนา ซึ่งเป็นเหมือนรหัสลับในหมู่คริสตชน ด้วยกันในยุคนั้นโดยใช้อักษรกรีก ΙΧΘΥΣ อ่านว่า อิคตุส แปลว่าปลา นอกจากนี้ก็ยังมีเถาองุ่น ที่เปรียบ เหมือนการลักษณะของคริสตชนและน้ํา ที่มีความหมายถึงการชําระบาปให้ บริสุทธิ์
[30]
ได้แรง บันดาใจมาจาก ลักษณะของไม้ กางเขน และ ปลา ในทางคริสต์ ศาสนา ซึ่งเป็น เหมือนรหัสลับใน หมู่คริสตชน หนังสือ สามารถนํามาใช้ ประโยชน์ได้จริง และทําได้ง่ายๆมี ให้เลือกหลายรูป แบบ
Rhoncus tempor placerat.
[31]
Cuttety Girl
> < : ก่อนอื่นช่วยแนะนําตัวหน่อยน่ะค่ะ ณชนก:สวัสดีค่ะชื่อณชนก ศรีแก้ว ศึกษาอยู่ คณะศิลปะกรรมศาสตร์ มหาลัยบูรพา คอมพิวเตอร์กราฟฟิกปี1 > < : ผลงานที่คุณทํามาคืออะไรค่ะ
สเก็ตภาพด้วยดินสอ
ณชนก: ออกแบบเสื้อผ้าค่ะ > < : วิธีการสร้างงานของคุณเป็นอย่างไร บ้างค่ะ ณชนก: สเก็ตภาพด้วยดินสอแล้วลงน้ําหนัก ของผิวก่อนและตามด้วยเสื้อผ้าต่อจากนั้นลง สีเสื้อผ้าและผิว หลังจากลงสีรองเท้าและผมก็ แต่งสีขาวด้วยลิคควิด > < : และคุณได้รับแรงบันดาลใจมาจาก อะไรค่ะ ณชนก: ได้แรงบัลดาลใจจากการออกแบบ เครื่องแต่งกายสมัยคริสเตียนและเป็นคน ชอบแต่งตัวและชอบเสื้อผ้าที่มีสีสันสดใส ลักษณะของชุดเป็นชุดเดรสจั้มเอว กระโปรง จับพรีทเล็กน้อยมีดอกไม้ประดับเน้นคว่ม เรียบง่ายหรูหรา เป็นผ้าชีฟองสวมใส่สบาย ชุดนี้สามารถใส่ในงานสังคมต่างๆได้ไม่เพียง สวยงามอย่างเดียวในความเรียบง่ายจากชุด ต้นแบบของสมัยคริสเตียนยังสามารถนํามา ปรับและดัดแปลงเป็นชุดที่สวยงามและ หรูหราในยุคปัจจุบัน
ลงน้ําหนักของผิวก่อน
[32]
ต่อจากนั้นลงสีเสื้อผ้าและผิว หลังจากลงสีรองเท้าและผมก็แต่งสีขาวด้วยลิคควิด
ได้ผลงานที่เสร็จสมบูรณ์แล้วค่ะ
[33]
อุปกรณ์ 1.สมุดสเก็ต 2.ดินสอ 3.โปรแกรมตกแต่งภาพโฟโต้ชอป 4. สแกนเนอร์ วิธีการทํา 1.เริ่มจากการล่างรูปแบบลวดลายตาม
ที่ต้องการ 2.สแกนรูปต้นฉบับเข้าเครื่อง คอมพิวเตอร์ 3.หลังจากนั้นนํามาออกแบบใน คอมพิวเตอร์ 4.จัดรูปแบบตามที่กําหนดไว้ 5.ก็จะได้แบบเสื้อตามที่ต้องการแล้วค่ะ
> < : ก่อนอื่นช่วยแนะนําตัวหน่อยน่ะ ค่ะ ยศวดี:สวัดดีค่ะชื่อ นางสาวยศวดี มุธุ วรรณศึกษาอยู่คณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขานิเทศศิลป์ เอกคอมพิวเตอร์ กราฟิก ปี1 ค่ะ > < : ผลงานที่คุณทํามาคืออะไรค่ะ ยศวดี:เป็นการออกแบบลายเสื้อค่ะ > < : วิธีการสร้างงานของคุณเป็น อย่างไรบ้างค่ะ ยศวดี: เริ่มจากการล่างรูปแบบ ลวดลาย ตามที่ต้องการ หลังจากนั้น นํามาออกแบบในคอมพิวเตอร์ ตามที่ ต้องการ > < : และคุณได้รับแรงบันดาล ใจมาจากอะไรค่ะ ยศวดี: การออกเเบบลายเสื้อนี้ได้รับ แรงบัลดาลใจมาจากพระเยซูเจ้าใน เชื่อว่า ท่านจะนําเส้นทางสู่ความสําเร็จ มาให้
[34]
‘Jesus of the T-Shirt’ ‘Jesus of the T-Shirt’
[35]
ลูกแกะน้อย อุปกรณ์ 1.กะหล่ําดอก 2.ดินน้ํามัน สีต่างๆ 3.ไม้จิ้มฟัน
วิธีการทํา 1. นําผักกะหล่ําดอกมาแยกเป็นช่อๆขนาดพอ
> < : ก่อนอื่นช่วยแนะนําตัวหน่อยน่ะค่ะ
ประมาณตามต้องการ
พรวิไล: ชื่อพรวิไล ไตรสัจจะ ค่ะ ชื่อเล่น วิ เรียนอยู่คณะศิลปกรรมศาสตร์มหาลัย บูรพา ปี 1 ค่ะ > < : ผลงานที่คุณทํามาคืออะไรค่ะ พรวิไล : เป็นแกะน้อยซึ่งถือว่าเป็น สัญลักษณ์ของศาสนาคริสต์เป็นการเลือก ลักษณะพื้นผิวและรูปทรงที่มีที่มี เอกลักษณ์ของผักนํามาออกแบบเป็นผล งาน > < : วิธีการสร้างงานของคุณเป็น อย่างไรบ้างค่ะ พรวิไล : เราใช้ลักษณะผักท่ีคล้ายแกะ มากที่สุกนั้นก็คือดอกกะหล่ําปลีและ ออกแบบให้น่ารักโดยการปั้นหน้าตาให้ มัน > < : และคุณได้รับแรงบันดาลใจมา จากอะไรค่ะ พรวิไล : นําแรงบันดาลใจมาจากเรื่องเล่า ประวัติของพระเยซู ค่ะซึ่งแกะมีความผูก พันธ์กับผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์
2.ปั้นดินน้ํามันเป็นเส้นยาวๆ 4เส้นเพื่อทําเป็นขา แล้ว เอาไม้จิ้มฟันเสียบทั้ง4ขา
3.ปั้นดินน้ํามันเป็นส่วนหน้าพร้อมตกแต่งแล้วใช้ไม้ จิ้มฟันเสียบ
4.จัดแต่งให้สวยงาม เป็นอันเสร็จ [36]
!"#$"%&'()*+,-./)01234.52)678"9:; 5<7+=" +>?"@A#7+#B<%&'/"C01)<+CB4DC +%E5<B>F15< ()*+,-./)0123G67+>)&,8 +H:DC"5$8I5*>F15<%&'9J;2<,+(D'C!H;:"KL,3 (;"G<58<> %$M7N%LIB*CO"<G=C7:$"
แกะทํามาจากดอกกะหล่ําปลี
นําแรงบันดาลใจมาจากเรื่องเล่า ประวัติของพระเยซู
[37]
=)3*,-./:0(F=>4GF 2#F?*H I (!"#$%&"'()*+$,-$./0$$10$232 45678-+3(.%9%2:(499:;$'<"(2=&'5*
'>$:"5-?@9-=!A=362 ) 1. $/A ;(B% 3(/@5>AC1$@1DE F(,'A? G$-D 4 ?/AH 2. 3(/@5>A HG$-D 4 ?/A H 3. ?&G@156-,I 4. 52G% 5. 5>J!'<9"? 6. !%<$!9%(* 30 1 . G>0$4(' '<(8%=!%<$'>95>J!'<9"?:J8 3 !@8$H=>,:?658%,!%-:"56%'>952G% '<:D8 :J8!@(<C4A8J36%=!%-:"56%'>952G% ><
: ก่อนอื่นช่วยแนะนําตัวหน่อยน่ะค่ะ
วราภรณ์ : ชื่อ วราภรณ์ มั่งมีค่ะ ชื่อเล่น พร เรียนอยู่คณะศิลปกรรมศาสตร์มหาลัยบูรพา ปี 1 ค่ะ > < : ผลงานที่คุณทํามาคืออะไรค่ะ วราภรณ์: สร้อยข้อมือองุ่น ทําจากคริสตัล เเละมุขสีต่างๆค่ะ > < : วิธีการสร้างงานของคุณเป็น อย่างไรบ้างค่ะ วราภรณ์: คิดรูปแบบโดยใช้ลูกปัดมาร้อย เข้ากับเอ็นให้เกิดเป็นรูปร่างของเถาองุ่น > < : และคุณได้รับแรงบันดาลใจมา จากอะไรค่ะ วราภรณ์:ได้เเรงบันดาลใจมากจากงานจิต กรรมในสมัยคริสเตียนที่นิยมเขียนภาพเถา องุ่นเพราะเชื่อว่าเยซูคริสต์ได้เปรียบความ สัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับเหล่าสาวกกับ เรื่องราวของ เถาองุ่น โดยพระองค์เปรียบ พระองค์เองเสมือนเถาองุ่น ส่วนเหล่าสาวก เปรียบเสมืนกิิ่งหรือแขนง ซึ่งกิ่งและแขนงจะ ไสามารถ แตกกิ่งก้านเกิดดอกออกผลเองได้ ถ้าไม่ได้ ติดอยู่กับเถา ฉันใดก็ฉันนั้น ชีวิตคริสตชนก็ จะเกิดผลไม่ได้หากไม่ติดสนิทกับพระเยซู คริสต์โดยความเชื่อและการประพฤติตามพ ระวจนะ จึงทําให้เกิดผลงานชิ้นนี้ขึ้นมาค่ะ
2.!%<$456A2!@8$ (8%=3(/@5>A K'!?$ $/A !G8-:""(2?-)$10H"(2=&'5*5-? .%9:D8!A=C8-(8%=!@(<C4A8J'<!'<9"?D8J=5>J"LD"? 4A8J'<+@652G%!G8-:" 456A2G8-,:D8"A. H5>D!%<$ +;83J-?=-J?-''J6-G8%?B% M%"(2?-)H!M(-2 J6- !?BN%9/D!%<$ 3 !@8$4A8J ?>$C2@>0$A,:"%1'
5. 56%?- !(-'<9/D +;8?>$!"#$!'A1=J H!;?B%$!(-9/DO8-%62436$10 !"#$%>$!@(<C
[38]
Wrist grapes สร้อยข้อมือพวงองุ่น
Necklace Cross สร้อยคอกางเขน
[39]
ตียน เ ส ิ ร ค ปฏิ ทิน
์ อุปกรณ าล ษสีน้ําต า ด ะ ร 1.ก ์ ต์เตอร 2.ปริน ต้ชอป รมโฟโ ก แ ร ป 3.โ
รม โปรแก ็ ตภ าพ ก ย เ ว ้ ส ด า ํ ด ุ พ ท ี วิธ ต่งภา งในสม ้ ว ต กแ แบ บ ล ล ป ู แ ร ร ง า า ่ 1.ล ี่ต้องก ้ แบ บ ท ด ไ อ ่ ื ม 2.เ า ะ สม ็จสิ้น อป ให้เหม อันเสร ษ น ็ า ป เ ด ะ โฟโต้ช ย กร รียบร้อ ียงหน้า ล่มให้เ เ า ้ 3.จัดเล ข เ า ต์ออกม 4.ปริน
> < : ก่อนอื่นช่วยแนะนําตัวหน่อยน่ะ ค่ะ ปฏิญญา: โอ ปฎิญาญา ประสงค์ดี ศิลปกรรมศาสตร์ มหาลัยบูรพา คอมพิวเตอร์กราฟฟิกปี1 > < : ผลงานที่คุณทํามาคืออะไรค่ะ ปฏิญญา : ปฎิญทิน คริสเตียน > < : วิธีการสร้างงานของคุณเป็น อย่างไรบ้างค่ะ ปฏิญญา : เลือกรูปที่สื่อถึงความหมาย ทางศาสนาคริสต์ นํามาออกแบบ ปฏิทินและยังนําไปใช้ประโยชน์ได้จริง อีกด้วย > < : และคุณได้รับแรงบันดาล ใจมาจากอะไรค่ะ ปฏิญญา: ที่มีแนวคิดในการออกแบบ จากแนวคิดศิลปะคริสเตียนที่เน้นไปที่ ลัทธิศาสนา และรูปแบบนามธรรม สัญลักษณ์ ของคริสเตียน ที่นํามาผสม ผสานอยู่ในงานด้วย
[40]
Calendar
มีแนวคิดในการออกแบบ จากแนวคิดศิลปะคริสเตียนที่เน้นไป ที่ลัทธิศาสนา และรูปแบบนามธรรม สัญลักษณ์ ของคริสเตียน ที่นํามา ผสมผสานอยู่ในงานด้วย
[41]
CHILLING DAY
Waranya Bualop planoise_ap@hotmail.com
อุปกรณ์ 1.สมุดสเก็ตภาพ 2.ปากกา สีต่างๆ 3. ดินสอ 4. ยางลบ
> < : ก่อนอื่นช่วยแนะนําตัวหน่อยน่ะค่ะ วรัญญา:สวัสดีค่ะ ชื่อปลาค่ะ น.ส วรัญญา บัวลบ ค่ะ ปี 1 อยู่คณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขานิเทศศิลป์ เอกคอมพิวเตอร์กราฟฟิค > < : ผลงานที่คุณทํามาคืออะไรค่ะ วรัญญา : การออกแบบเสื้อผ้าใช้ผลงาน ชื่อ Chilling day ค่ะ เพราะสวมใส่ สบายๆ > < : วิธีการสร้างงานของคุณเป็น อย่างไรบ้างค่ะ วรัญญา : หาแรงบัลดาลใจซึ่งได้แรงบัล ดาลใจนี้มาจากสมัยคริสเตียน หลังจา กนั้นสเก็ตรูป แล้วลงสี > < : และคุณได้รับแรงบันดาลใจมา จากอะไรค่ะ วรัญญา : ชุดนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาก จากชุดสมัยคริสเตียน จากปุโรหิต ที่เป็น แค่ผ้านํามาคุมตัวเฉยๆ จึงได้นํามา ดัดแปลงเป็นชุดผู้หญิงโดยใช้ผ้าสีสันสดใส และใช้เนื้อผ้า 2แบบม่ดัดแปลง
วิธีทํา 1.สเก็ตภาพด้วยดินสอ 2.ลงน้ําหนักของผิวก่อนและตามด้วยเสื้อผ้า 3.ลงสีเสื้อผ้าและผิว 4.หลังจากลงสีรองเท้าและผมแค่นี้ก็เป็นอันเสร็จ สมบูรณ์ [42]
“
ชุดนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาก จากชุดสมัยคริสเตียน จาก ปุโรหิต ที่เป็นแค่ผ้านํามาคุม ตัวเฉยๆ จึงได้นํามาดัดแปลง เป็นชุดผู้หญิงโดยใช้ผ้าสีสัน สดใสและใช้เนื้อผ้า 2แบบมา ดัดแปลง
[43]
”
mini bible
ปรินต์หน้าปกที่ออกแบบไว้แล้ว
> < : ก่อนอื่นช่วยแนะนําตัวหน่อยน่ะค่ะ ณัฐธิดา: ชื่อฟองเบียร์ ค่ะ ณัฐธิดา วาณิช สันต์ ศึกษาอยู่คณะศิลปะกรรมศาสตร์ มหา ลัยบูรพา คอมพิวเตอร์กราฟฟิก ปีที่ 1 ค่ะ > < : ผลงานที่คุณทํามาคืออะไรค่ะ ณัฐธิดา: ผลงานชิ้นนี้เรียกว่า mini bible หรือคัมภีร์ไบเบิ้ลจิ๋วค่ะ > < : วิธีการสร้างงานของคุณเป็นอย่างไร บ้างค่ะ ณัฐธิดา: เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมค่ะ แล้ว ลงมือทําอย่างตั้งใจ ต้องใจเย็นเพราะขนาด ของคัมภีร์ค่อนข้างเล็กค่ะ > < : และคุณได้รับแรงบันดาลใจมาจาก อะไรค่ะ ณัฐธิดา : ได้เเรงบันดาลใจจากคัมภีร์ไบเบิ้ล ของศาสนาคริสต์ที่ไม่ว่าเล่นไหนก็ดูสวยเเละ เก่าแก่ดีค่ะดี คนคริสต์มักจะมีคัมภีร์ไบเบิ้ล กันทุกบ้านอยู่เเล้วก็เลยคิดทําคัมภีร์เล่มเล็กๆ ไว้ติดตัว จะเอาไปปรับใช้เป้นที่ห้อยกระเป๋า พวงกุญแจ หรือที่ห้อยโทรศัพท์ ก็ได้ค่ะ หรือ
นํามาตัดให้ได้ขนาดที่ต้องการ
นํามาพับให้เป็นหน้าปกหนังสือค่ะ
[44]
ตัดกระดาษตามขนาดที่ได้กําหนดไว้
ติดหน้าปกกับตัวกระดาษที่ทากาวไว้
นํากระดาษมาทากาวที่สันหนังสือ
แค่นี้ก็ได้ MINI BIBLE แล้วค่ะ
ได้ผลงานท
สมบูรณ์แล้ว
[45]
ี่เสร็จ
ค่ะ
วิธีการทํา 1.หาซื้อหรือนําเสื้อที่มีอยู่ เสื้อยืดคอกลม และเสื้อกล้ามสี ขาว 2.ออกแบบลวดลายไว้ก่อน 3.ลงมือเพ้นท์สีตามที่ออกแบบไว้ 4.รอจนแห้งเป็นอันเสร็จได้เสื้อลายใหม่
> < : ก่อนอื่นช่วยแนะนําตัวหน่อยน่ะค่ะ กนกวรรณ:สวัสดีค่ะ ชื่อแอ๊มค่ะ น.ส กนก วรรณ บุนยงค์ ค่ะ ปี 1 อยู่คณะศิลปกรรม ศาสตร์ สาขานิเทศศิลป์ เอกคอมพิวเตอร์ กราฟฟิค ><
สีเพ้นท์เสื้อ
: ผลงานที่คุณทํามาคืออะไรค่ะ
กนกวรรณ : เสื้อยืดเพ้นส์เองลา สัญลักษณ์คริตรเตรียน
> < : วิธีการสร้างงานของคุณเป็น อย่างไรบ้างค่ะ กนกวรรณ :นําเสื้อยืดมาเพ้นส์ด้วยสี เพ้นส์ผ้า และเพ้นเป็นลายสัญลักษณ์ คริสเตียน
> < : และคุณได้รับแรงบันดาลใจมา จากอะไรค่ะ กนกวรรณ:ได้แนวคิดมาจากสัญญา ลักษณ์ของคริตรเตรียน
[46]
าย ล ์ ส ้น พ น เ ย ี ด ื ต ย เ ิส ักได้ ร เสื้อ ค ์ ณ ติดทน ซ ษ ก ั สัญลากสีเพนส์เสื้อ เพ้นส
์จ
ได้แนวคิดมาจา กสัญญา ลักษณ์ของคริต รเตรียน
PAINTING SHIRTS [47]
> < : ก่อนอื่นช่วยแนะนําตัวหน่อยน่ะ ค่ะ สุพัตรา: ชืิ่อสุพัตรา ทับจ๊อก ชื่อเล่น เร ศึกษาอยู่ทที่คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาลัยบูรพา คอมพิวเตอร์กราฟฟิก ปี 1 > < : ผลงานที่คุณทํามาคืออะไรค่ะ สุพัตรา: ออกแบบเครื่องแต่งกาย ชื่อ Sexy Star > < : วิธีการสร้างงานของคุณเป็น อย่างไรบ้างค่ะ สุพัตรา: หาแรงบัลดาลใจ ซึ่งมีจากชุด สมัยคริสเตียน สเก็ตรูป ลงสี แรงบัล ดาลใจ คือ ชอบแต่งตัว > < : และคุณได้รับแรงบันดาล ใจมาจากอะไรค่ะ สุพัตรา : เป็นคนชอบแต่งตัวสไต์นี้และ เป็นคนชอบสีโทนนี้จึงดัดแปลงมาจาก สมัยคริสเตียนซึ่งเป็นแค่ผ้าที่นํามาปก คลุมตัวเลยมีแนวคิดทําเป็นชุดเดส สีสันสดใสพร้อมเสื้อกั๊กสีสวย
[48]
SEXY STAR
S
EXY TAR
ผลงานชื่อ การออกแบบเครื่องแต่งกาย ภายใต้หัวข้อ Sexy Star วิธีการสร้างงาน หาแรงบัลดาลใจ ซึ่งมีจากชุดสมัยคริสเตียน สเก็ตรูป ลงสี แรงบัลดาลใจ คือ ชอบแต่งตัว แรงบันดาลใจ ดัดแปลงมาจากสมัยคริสเตียนซึ่งเป็นแค่ผ้าที่นํามาปก คลุมตัวเลยมีแนวคิดทําเป็นชุดเดสสีสันสดใสพร้อม เสื้อกั๊กสีสวย
[49]
magazine
Christian
ART