Category
- Opinion - Art space - Music review - Tech feed - Movie Review - Read me - The ITEM Collection - Watch TV - Screenplay
OPINION ชื่อบทความ:
ภาวะตกงานของผม กับการคิดแทนลูกด้วย ความจริงชุดเดียวของพ่อ (2559)
สถานะ: เผยแพร่ใน storylog.co/push
(ก่อนอ่านก่อนอื่น -- ผมต้องเรียนให้ท่านผู้อ่าน ทราบว่า บทความนี้เขียนขึ้นบนเจตนาที่จะบอกเล่าเรื่อง ของความคิด ทัศนคติของผมและพ่อ ที่ขัดแย้งกันอย่างปกติ ธรรมดามากๆ และชีวิตที่เกิดขึ้นในการหางานท�ำครั้งแรก ในชีวิตเท่านั้น โดยไม่มีเจตนาจะว่าร้าย หรือป้ายโทษพ่อผม หรือกล่าวหาบริษัทที่ผมไปสัมภาษณ์งานด้วยแต่อย่างใด ผมต้องการจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งทางความ คิดระหว่างพ่อกับผม-ผู้เป็นลูกชายก็เพียงเท่านั้น ซึ่งต่อให้ ขัดแย้งกันเท่าไหร่ ก็ไม่ได้แปลว่าจะขัดแย้งกันจนไม่ยอมกัน แม้ว่าพ่อผมจะดูถูก แต่ก็ไม่ได้กั้นขวางผมออกจากความฝัน ความทะเยอทะยานของผมในโลกแห่งความเป็นจริง พ่อเขา ก็แค่หวังดีในแบบของเขา และผมก็ชินเสียแล้ว แถมยังดื้อ ด้านอีกต่างหาก -PUSH) นับตั้งแต่ช่วงก่อนเดือนตุลาคม จนมาถึงตอนนี้ก็คือ หลังเดือนตุลาคม มีเรื่องหนึ่งที่ท�ำให้ผมรู้สึกเป็นทุกข์มากถึง มากที่สุด แล้วก็มากจนแทบจะท�ำอะไรไม่ได้ ซึ่งมันก็เป็น ผลเนื่องมาจากสิ่งที่เรียกกันว่า “เรียนจบ” เนื่องจากว่าผม เพิ่งเรียนจบระดับปริญญาตรีมาหมาดๆ แต่ก็ต้องกลายเป็น ไอ้คนไร้อนาคตที่นอนเฉยๆ อยู่บ้านไปวันๆ เหมือนเป็นคนบ้า คนพิการ คนไร้ความหมาย เพราะว่าผมค้นพบว่า การหางาน โดยเฉพาะงานแรกในชีวิตนั้นไม่ง่ายอย่างที่คิด
สารภาพกันตามตรงเลยว่า ภาวะตกงานท�ำให้ผมรู้สึก เครียด ซึมเศร้า บางครั้งก็กลายเป็นคนขี้โมโหง่าย ขึ้นง่าย เห็น อะไรก็ขัดหูขัดตา กลายเป็นคนติดบ้านอย่างไม่ตั้งใจ ทั้งๆ ที่ผม ตั้งใจไว้แม่นมั่นว่า ผมจะเรียนจบแล้วออกไปท�ำงานอย่างที่ตัว เองรัก และก็สร้างฐานะขึ้นมา แล้วหลังจากนั้นผมก็อยากจะ มีครอบครัวเล็กๆ ที่ไม่ต้องรวยมาก แต่ก็อยู่กันได้อย่างอบอุ่น อยู่ข้างๆ กันในยามที่เป็นทุกข์ แต่แล้วยังไงล่ะ? งานแรกใน ชีวิตมึงยังหาไม่ได้เลย
แต่แล้วผมก็เริม่ ตะหงิดๆ เพราะพีท่ สี่ มั ภาษณ์กลับบอก ว่า เนือ่ งจากว่าบรรณาธิการ ซึง่ เป็นเจ้าของบริษทั ด้วย นัน้ ไม่อยู่ เลยจะขอให้ผมมาสัมภาษณ์ครั้งที่สอง โดยให้รอโทรศัพท์จาก ออฟฟิศ วันนัน้ ผมออกจากออฟฟิศไปแล้วก็เดินกระหยิม่ ยิม้ ย่อง ว่ามีความหวังโว้ย มัน่ ใจสุดๆ ได้งานแน่ๆ คราวนี้ ถ้าเรียกอีก กู จะงัดไม้ตายออกมาปิดเกมกับ บ.ก. ให้จบดีลกันไปเลย
(เรื่องหนึ่งที่ท่านไม่ต้องรู้ก็ได้ (แต่ผมอยากบอก) คือวัน สัมภาษณ์วันนั้น คือวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคมครับ... ถึงว่าวัน จริงๆ แล้วผมก็ส่งเรซูเม่และพอร์ตฟอลิโอ เพื่อ นั้นท�ำไมมันมืดๆ หม่นๆ แปลกๆ ไปหมด) สมัค รงานในแนวงานที่ชอบคือ การท�ำหนังสือ ไม่ ว่ า จะ เป็น กราฟิ ก ดี ไ ซน์ เนอร์ ทั้งออกแบบและจัดหน้า หรื อ จะ ซึ่งผมก็ท�ำตัวดี รอให้ออฟฟิศโทรมา มั่นใจมั่นหน้าถึง เป็นกองบรรณาธิการก็ได้ เป็นนักเขียนก็ได้ เรียกว่าช่วงที่ ขั้นเริ่มเช็คหาหอพักบริเวณใกล้ๆ ออฟฟิศแล้วด้วยซ�้ำ ซึ่งทุก ผ่านมา ถ้าส�ำนักพิมพ์ไหน หรือนิตยสารไหนเปิดรับสมัคร วันนี้ ก็ยังไม่โทรมาเลย กลายเป็นว่า การสัมภาษณ์งานครั้ง งานพวกนี้ ผมยิงเรซูเม่ ยิงพอร์ตใส่ไปหมด แต่ผลปรากฏว่า แรกในชีวิตของผมครั้งนี้ กลายเป็นการเคาะกะลาให้หมาดีใจ ซะงั้น แล้วหมาก็ดีใจเก้อด้วยนะ รออยู่ร่วมเดือนก็ไม่มีวี่แวว ผมส่งไปหลายส�ำนักเหมือนกัน ทั้งนิตยสารและส�ำนัก ว่าจะเรียกไปอีก พิมพ์ เรียกได้ว่าเป็นสิบๆ ที่ละมั้ง ผลคือ เรียกสัมภาษณ์แค่ สองที่ บังเอิญว่า ที่แรกที่เรียกสัมภาษณ์นั้น ผมไม่ได้ไป เพราะ จากเรือ่ งนี้ ทีป่ กติกห็ างานไม่ได้อยูแ่ ล้ว ส่งไปก็ไม่มใี คร ว่าวันนั้นดันป่วยหนักทิ้งช่วงมาตั้งแต่สองวันก่อน เลยไม่ได้ไป ตอบกลับ ส่งเมลไปบริษทั ก็เหมือนส่งเมลไปหลุมด�ำ คือโดนกลืน เลย แล้วก็ไม่ได้โทรไปแคนเซิลด้วย เสียมารยาทสุดๆ ก็เลย หายไปอย่างเงียบเชียบ แค่นกี้ ว็ า่ ทุกข์แสนสาหัสแล้ว แต่การทีโ่ ดน ปล่อยเลยตามเลย เรียกไปสัมภาษณ์แล้วแท้ๆ แต่กลับหายไปเงียบๆ แบบนี้ ผมรูส้ กึ ว่าหมดสิน้ ความหวังทุกอย่างไปเลย เหมือนคนทีไ่ ร้คา่ ไร้ความ ส่วนนิตยสารฉบับที่สองนี้ ผมตั้งใจว่า น่าจะเป็นการ หมาย ผมรูส้ กึ เหมือนว่าผมนัน้ ถูกวงการนิตยสาร หรือวงการ เริ่มงานที่ดี เพราะเป็นนิตยสารที่เพิ่งก่อตั้งใหม่ๆ แล้วออฟฟิศ กราฟิกดีไซน์เนอร์รงั เกียจ ไม่อยากให้ไปท�ำงานด้วย ก็ไม่ใหญ่มาก เรียกได้ว่าค่อนข้างอบอุ่น พอไปเห็นออฟฟิศ จริงๆ ก็พบว่าน่าอยู่มากจริงๆ ไม่ใช่ว่าสวยนะครับ แต่ออฟฟิศ ผมคิดจะฆ่าตัวตายด้วยนะครับ คือคิดว่าตอนนี้แหละ กองบรรณาธิการนิตยสารฉบับนี้มีมีทีมท�ำงานไม่เยอะ แล้วก็ดู แม่งน่าฆ่าตัวตายที่สุด เพราะไม่เคยรู้สึกว่าสิ้นหวังมากเท่านี้ อบอุ่น สนุกสนาน ท�ำไปเล่นไป คุยไปได้ ซึ่งก็ตรงกับจริตของ มาก่อน สิ่งที่เคยหวัง สิ่งที่เคยอยากท�ำ ยิ่งสิ่งที่เคยอยากจะซื้อ ผมด้วยซ�้ำ แถมตอนเวลาสัมภาษณ์ ทุกคนในกองฯ แทบจะมา อยากจะมีเมื่อตอนท�ำงานมีเงินเดือน ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย ทุก รุมสัมภาษณ์ผมใหญ่เลย ผมก็โชว์ศักยภาพเท่าที่จะมีให้พวก วันนี้กลายเป็นผีเฝ้าบ้านที่ไม่สามารถออกไปสร้างชีวิต มีความ เขาดู โชว์งานที่เคยท�ำระหว่างเรียนด้วย เรียกว่า ผมรู้สึกว่ามี หวัง สานต่อความฝันได้ซักที มันติดๆ ขัดๆ ไปหมด มันมืดหม่น ของ และได้เปรียบ และท�ำให้เผลอคิดไปเองว่า ผมคงจะได้เริ่ม จนมองไม่เห็นทางออก ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน เหมือนว่าสิ่งที่เคย งานแรกในที่ที่เพอร์เฟกท์ขนาดนี้ คิด สิ่งที่เคยเชื่อ สิ่งที่เคยคาดหวัง ความสามารถ ความตั้งใจที่ มีมันกลายเป็นสิ่งที่ผิดไปโดยทันที
>>>
>>>
ผมเลยรูส้ กึ ว่า แม่ง...ผมอยากจะหักล้างค�ำพูดของพ่อผม ให้สนิ้ ซาก อยากให้พอ่ ผมพูดไม่ออก อยากให้พอ่ ผมเห็นว่าความ อ้วนไม่ได้เป็นอุปสรรคในการท�ำงาน เพราะผมมัน่ ใจและเคยเห็น เรือ่ งของบทความนีเ้ ริม่ จากตรงนีค้ รับ คือต้องปูพนื้ ก่อน ว่า คนทีอ่ ว้ นมากกว่าผม เขาก็มกี ารงานทีด่ ที ำ� สามารถสร้าง ว่า ผมกับพ่อนัน้ ปกติกเ็ ถียงกันเป็นวรรคเป็นเวรอยูแ่ ล้ว เรียก ครอบครัว มีฐานะการงานทีด่ ไี ด้ นีเ่ ป็นค�ำพูดเดียวของพ่อผมทีผ่ ม ได้วา่ เถียงกันเป็นปกติ คนนอกทีม่ องเห็นผมกับพ่อจึงรูส้ กึ ว่านี่ พยายามต่อต้านมาโดยตลอด เป็นการทะเลาะกัน ซึง่ ก็ดเู หมือนกับทะเลาะด้วยแหละ แต่กแ็ ค่ เป็นการเถียงกัน ไม่ได้ทมุ่ เถียงกันเพราะต่างฝ่ายต่างเกลียดกัน แต่อย่างที่เล่าไปตอนต้นแหละครับ ทุกวันนี้ผมยังไม่ได้ งานเสียที แล้วประกอบกับว่ามีเหตุการณ์ที่ได้ออกไปสัมภาษณ์ ตัดภาพตอนทีก่ ลับมาบ้าน เมือ่ ผมเล่าเรือ่ งนีใ้ ห้พอ่ ฟัง พ่อ แล้ว แต่ก็โดนปล่อยผ่านไปด้วยการบอกว่าให้รอสัมภาษณ์อีก ผูก้ งั วลว่าลูกชายเมือ่ ไหร่จะได้งานเสียที และพ่อผูไ้ ม่มกี ารวิเคราะห์ รอบ รูปการแบบนี้มันก็เข้าทางพ่อผมน่ะสิ พ่อผมยิงสวนแบบ อะไรเลยก็พดู ว่า นีไ่ ง มึงโดนหลอกแล้วละ ใครมันจะสัมภาษณ์ ชุดใหญ่ไฟกระพริบในทันใด สองสามรอบ สัมภาษณ์รอบเดียวก็พอมัง้ นีอ่ ะไร สัมภาษณ์สอง สามรอบ กูวา่ มึงอดแล้วละ “นีไ่ ง เค้าหลอกมึงไง เค้าคงเห็นรูปร่างจริงๆ ของมึงแล้ว ตกใจผงะ (ท�ำท่าตกใจผงะประกอบด้วย-เพือ่ ?) เค้าเลยท�ำทีบอก จริงๆ ผมก็พอรูอ้ ยูน่ ะว่าปกติในบางองค์กร เวลาทีเ่ รียก ว่าให้มาสัมภาษณ์อกี รอบ จริงๆ เค้าก็ไม่เอามึงแล้วแหละ ก็อย่าง สัมภาษณ์ก็อาจจะต้องมีการเรียกสัมภาษณ์ โดยเฉพาะองค์กร นีแ้ หละกรุงเทพฯ ถ้าเขาปฏิเสธมึงตรงๆ มันจะดูดมี ยั้ ล่ะ มันก็ ใหญ่ๆ ทีต่ อ้ งสัมภาษณ์ไล่กนั ไปเป็นแผนกๆ เพราะด้วยเงือ่ นไข ต้องบอกแบบเลีย่ งๆ อย่างนีแ้ หละ” ทีบ่ งั คับ ไม่สามารถนัดผูส้ มั ภาษณ์มาอยูพ่ ร้อมๆ กันได้ บางที HR ก็ไม่สะดวก ผูบ้ ริหารก็ไม่อยู่ หัวหน้าแผนกก็ไม่วา่ ง ปิดเล่ม (เอ่อ...ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าการพูดตรงๆ น่ะมันไม่เท่ตรง อยู่ (ปิดเล่มนิตยสารนีไ่ ม่ตอ้ งหาช่วงว่างนะครับ ท�ำงานข้ามวัน ไหน สือ่ สารตรงๆ ไปเลยให้เข้าใจยังจะเท่ซะกว่า อย่างน้อยการพูด ข้ามคืน) อะไรท�ำนองนี้ แต่กบั องค์กรขนาดเล็กมากๆ เหมือน ตรงๆ มันก็แปลว่า คุณก็ซอื่ สัตย์กบั สิง่ ทีพ่ ดู มากพอทีจ่ ะพูดออกมา นิตยสารฉบับนี้ ผมเริม่ ไม่แน่ใจ พอผมไม่แน่ใจ พ่อผมก็พดู สวน แม้วา่ อีกฝ่ายจะปวดร้าวไปบ้าง แต่มนั ก็คอื ความจริง ไม่ใช่คดิ อย่าง ขึน้ มาเลย พูดอีกอย่าง ต้องตกแต่งค�ำให้แลดูเป็นคนรักษาน�ำ้ ใจ แต่ดซู บั ซ้อน วกวนไปมาเหมือนคนมีเลศนัย เหมือนคนทีไ่ ม่แน่ใจกับอะไรเลยใน หรือว่าเพราะเห็นว่ามึงอ้วน ก็เลยพูดแบบนี้ ชีวติ เหลาะแหละ ไม่เด็ดขาด ดูไม่เท่เลยให้ตายเหอะ) ประโยคคลาสสิคตลอดกาลเลยครับ คือก็นนั่ แหละ ผม อ้วน แล้วพ่อผมก็ไม่เคยให้กำ� ลังใจอะไรลูกเลย โอเค เขาอาจ จะไล่ให้ผมจัดการอะไรกับเรือ่ งนีบ้ า้ ง แต่ผมก็ยงุ่ มากจนไม่ได้ทำ� อะไร จนกระทัง่ เมือ่ ต้องมาหางานท�ำ คือผมตัง้ ใจไว้อกี อย่างว่า ผมจะต้องหางานท�ำให้ได้ เพือ่ ลบล้างค�ำครหาดัง้ เดิมของพ่อที่ ได้ยนิ มาแต่เด็กๆ ว่า
“อ้วนยังงี้ไม่มีใครเขาเอาไปท�ำงานหรอก”
ถึงตรงนี้ มันจะต่างอะไรกับการฆ่าคนด้วยการเอาปืนมา ยิง คือยิงแขนขาทรมานไปเรือ่ ย เจ็บ เลือดออก แต่ไม่ตายเสียที งัน้ นัดสุดท้าย กูยงิ มันทีข่ วั้ หัวใจ หรือจ่อยิงกบาลไปเลยดีกว่า จบ นัน่ แหละครับ ความรูส้ กึ ไม่ตา่ งกัน ผมจากทีเ่ คยมีความ หวัง ก็พลันหมดหวัง รูส้ กึ ท้อแท้และไม่เหลือก�ำลังใจอะไรอีก ปกติกไ็ ม่มอี ยูแ่ ล้ว อันนีต้ ดิ ลบไปเลย จากทีเ่ คยคิดจะท�ำงานเพือ่ สร้างครอบครัวก็เริม่ จะไม่แน่ใจว่าจะท�ำได้
นีย่ งั ไม่รวมว่า ผมแอบรักผูห้ ญิงคนหนึง่ ด้วย อยากสร้าง ครอบครัวกับเธอคนนัน้ คือผมก็เสียเปรียบเพราะรูปร่างหน้าตา ไปแล้วด้วย ยิง่ ไม่มงี าน ไม่มเี งิน ไม่มอี นาคตอีก ผมควรจะเลิกรัก เธอไปเลยมัย้ ผมอายฉิบหาย ไม่มอี ะไรซักอย่าง กระแดะอยาก จะมีลกู มีเมีย อยากมีครอบครัว ทุกอย่างสิน้ หวังเพราะค�ำว่าอ้วน (ของพ่อผม) เพียงค�ำเดียว
เพราะฉะนัน้ ไม่แปลกทีจ่ ะเห็นคนใส่เสือ้ ยืดกางเกงยีนส์มา ท�ำงาน ซึง่ ผมก็เห็นมาสิบกว่าปีแล้ว โดยเฉพาะบริษทั เล็กๆ บริษทั ทีท่ ำ� งานสร้างสรรค์ เช่น นิตยสาร ส�ำนักพิมพ์ เป็นต้น หรือบริษทั Startup นีย่ งิ่ ไม่เคร่งใหญ่เลย อยากแต่งอะไรก็แต่ง ปกติผมก็แต่ง แนว Over-aged คือแต่งตัวแนวผูใ้ หญ่อยูแ่ ล้ว ใส่เสือ้ เชิต้ กางเกงขา ยาว รองเท้าหนัง ผูกเน็กไท ซึง่ เป็นสไตล์ทไี่ ปรอดได้ทงั้ การงานและ ธุระทัว่ ไป ส่วนยูนฟิ อร์มกลายเป็นเรือ่ งของบริษทั ใหญ่ๆ หรือไม่ก็ ผมยอมรับแต่โดยดีวา่ ผมอ้วนครับ ตัง้ แต่ผมเริม่ อ้วนตอน บริษทั เก่าๆ ทีต่ งั้ มานานนัน่ แหละ หรือไม่กบ็ ริษทั ทีย่ งั เคร่งครัดเรือ่ ง ป.4 (ตอนเด็กๆ ผมผอมครับ ผอมอีกนิดก็แคระแกร็นแล้ว เพือ่ น ระเบียบ ต้องการความเรียบร้อย ซึง่ ผมก็ไม่คดิ ว่าจะไปท�ำงานแบบ แบกขึน้ บ่าได้ดว้ ยซ�ำ้ ) ก็ไม่เคยเข้าใจในสิง่ ทีพ่ อ่ ผมพูดว่า ลดน�ำ้ หนัก นัน้ อยูแ่ ล้ว ฉะนัน้ บริษทั ไหนทีบ่ งั คับใส่ยนู ฟิ อร์ม ผมก็ไม่สมัคร นะ ไม่งนั้ โตไปจะหางานไม่ได้ โอเค ลดน�ำ้ หนักนัน้ เข้าใจได้ และผม ก็ทำ� บ้าง เว้นบ้างตามระยะและศักยภาพทีพ่ อท�ำได้ แต่ประโยคห สอง อุ้ยอ้ายเวลาท�ำงาน ลังเนีย่ แก่จนจะสามสิบแล้วก็ยงั ไม่เข้าใจ แล้วก็เข้าใจไม่ได้ซกั ที คือมันก็จริงทีว่ า่ ความอ้วนมันท�ำให้ความคล่องตัวหายไป ตั้งแต่เด็กจนโต จนเรียนจบปริญญาตรีได้แล้วเนี่ย พ่อ ก็ไม่ได้อยากจะเถียงกับพ่อในข้อนีห้ รอกนะครับ แต่แค่รสู้ กึ ว่า ก็ผม ผมก็พูดมาเสมอว่าให้ผมดูแลรูปร่างนะ จะได้สมัครงานได้ ซึ่ง ท�ำงานออฟฟิศนีห่ ว่า ไม่ได้เป็นจับกังแบกข้าวสาร หรือเป็นต�ำรวจ ผมก็ได้แต่ไม่เข้าใจว่ามันจะเกี่ยวอะไรด้วยวะ แล้วด้วยความที่ วิง่ ไล่จบั วงไพ่ ท�ำหนังสือมันจะต้องใช้ความคล่องตัวมากแค่ไหน ผมก็มีอะไรยุ่งๆ ทั้งการงาน การเรียน อะไรสารพัด จนแทบ นอกจากว่าจะลุกออกไปประชุมกับชงกาแฟ หรือถ้าต้องออกไป จะไม่มีเวลา มันดูเป็นข้ออ้าง แต่ว่ามันจริงครับ คือท�ำได้แต่ลด ท�ำงานข้างนอก ผมว่าผมก็คล่องกว่าคนอ้วนหลายๆ คนนะ ตอน งดอาหารบางอย่าง ไม่กินของบางอย่างตลอดชีวิต แต่แค่ไม่มี เรียนผมก็เดินเร็วกว่าใคร คือเดินแซงคนผอมได้กแ็ ล้วกัน จังหวะ เวลาและแรงจูงใจในการออกก�ำลังกายแค่นั้นเอง ถ้าแถวบ้าน เดินของผมมันล�ำ้ หน้าคนอืน่ ตลอดแหละ มีไม่กคี่ นทีเ่ ดินตามผม มีฟิตเนสก็ไปออกแล้ว ส่วนแอโรบิคน่ะ ให้ข้ามไปเลย เพราะ ทัน ให้วงิ่ ก็พอไหว หรือความคิด พ่อชอบมีอคติบอกว่าคนอ้วน ผมเกลียดแอโรบิค นี่จึงเป็นเหตุผลที่ท�ำให้ผมลดน�้ำหนักอะไร น่ะ สมองจะช้า แต่พอ่ คงไม่เห็นตอนผมยกมือตอบค�ำถามอาจารย์ ไม่ได้อย่างที่ควรจะเป็น ตอนเรียนอยูค่ นเดียวหรอกมัง้ หรือคนอ้วนคนอืน่ ๆ ทีผ่ มรูจ้ กั ก็ไม่ เห็นจะสมองช้าตรงไหน ก็ปกติเฉลีย่ ๆ อันนีผ้ มก็ไม่รวู้ า่ พ่อไปได้ยนิ สิง่ นีก้ เ็ ลยหลอกหลอน และท�ำให้พอ่ ผมใช้วาทะกรรมเดิมๆ ข้อมูลนีม้ าจากไหน รูแ้ ต่วา่ แหล่งทีพ่ อ่ ไปเห็นมามันคงจะเป็นแหล่ง มาหลอกหลอนผมซ�ำ้ ไปซ�ำ้ มา ทัง้ ๆ ทีผ่ มไม่เข้าใจเสียทีวา่ เพราะอะไร ข้อมูลทีไ่ ม่คอ่ ยจะดีซกั เท่าไหร่ และก็ยงั ไม่เกิดขึน้ ให้เห็นจริงๆ ด้วยซ�ำ้ ว่ามันจริงอย่างนัน้ ไหม สาม อ้วนง่ายก็เลยมีโอกาสป่วยบ่อย จนกระทั่งหลังจากที่ไปสัมภาษณ์เก้อๆ คราวนั้นแหละ ครับ พ่อถึงได้ชี้แจงเหตุผลที่เขาคิดว่าผมที่เป็นคนอ้วนนั้นจะ ก็มสี ว่ นจริง ผมเองก็ยอมรับว่าไม่ได้แข็งแรงอะไรขนาด หางานไม่ได้ ก็เนื่องด้วยเพราะ นัน้ ค่อนไปทางอ่อนแอนิดหน่อย แต่ไม่ได้ปว่ ยแบบถีๆ่ สามวันดี สีว่ นั ไข้ แค่ตอนเวลาป่วยจะป่วยหนักและนาน เช่น เวลาท้องเสีย หนึ่ง ชุดยูนิฟอร์มตัวใหญ่หายาก ก็จะเข้าห้องน�ำ้ เหมือนท้องรัว่ หรือเวลาเป็นไข้หวัด ก็จะมาเป็น คอมโบ คือมาทัง้ หวัด ไอ เจ็บคอ มีนำ้� มูก เสมหะ บางทีกล็ ามจน ข้อนี้จริงเป็นบางบริษัท แต่ก็ต้องเข้าใจว่า เดี๋ยวนี้บาง เป็นไข้ตวั ร้อน ปวดหัว ปวดไซนัสไปพร้อมๆ กัน บางทีกเ็ วียนหัว บริษัทก็ไม่ได้ให้แต่งชุดยูนิฟอร์มแล้วนะครับ ขอให้แต่งตัวให้ดู แถมด้วยอีกแนะ เหมาะสมกับการท�ำงาน และคล่องตัว เหมาะกับสไตล์ของตัว เองมากกว่า
>>>
>>>
เหมื อ นว่ า พ่ อ ผมจะมี อ คติ ว่ า คนอ้ วนถ่ า ยรู ป แล้ ว ไม่ สวย ก็เลยคิดแทนบริษัทว่า เฮ้อ ถ้าเอามันมาท�ำงาน แล้วใน จริงๆ ผมก็คดิ ว่า เมือ่ ท�ำงานมีเงินเดือนแล้ว ถึงเวลา อนาคตต้องถ่ายรูปมัน แล้วจะออกมาไม่สวย ถ้างั้นเราไม่เอา นัน้ คงต้องดูแลร่างกายหน่อย ซือ้ เครือ่ งออกก�ำลังกาย ลดอาหาร มันมาท�ำงานดีฝ่าเนะ... อย่างเป็นเรือ่ งเป็นราว (เพราะเงินเอาไปซือ้ เครือ่ งออกก�ำลัง กายหมดแล้ว 55) คือพ่อคงกลัวว่า ถ้าป่วยบ่อยก็มโี อกาสหยุด ณ จุดนี้ ผมเลยรูส้ กึ ว่าพ่อน่ะ คิดแทนคนอืน่ มากไปหรือ งานบ่อย แล้วก็มโี อกาสโดนไล่ออกได้มากกว่า ถ้าพูดในแง่คน เปล่า โอเค ผมพอรูว้ า่ มีบางข้อทีจ่ ริง แต่ผมเป็นคนทีไ่ ม่เชือ่ ว่าความ อ้วน ผมก็คงต้องรับผิดชอบในการดูแลร่างกายมากขึน้ อีก ส่วน จริงชุดเดียวนัน้ จะเป็นความจริงทัง้ หมด ความจริงส�ำหรับผม มัน ถ้าพูดในแง่คนทัว่ ๆ ไป บางคนทีด่ ผู อมๆ กลับป่วยบ่อยกว่าเดิม ไม่มอี ะไรทีจ่ ริงร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ได้แปลว่ามีเรือ่ งโกหกตอแหล อีก (ไม่นบั ทีม่ โี รคประจ�ำตัวนะครับ) ส่วนโรคประจ�ำตัวผมก็พอ ผสมอยู่ แต่หมายความว่า ความจริงทีเ่ ราได้ยนิ ได้รมู้ า มันอาจจะ มี คือหอบหืด ทีเ่ ป็นกรรมพันธุ์ ปูก่ เ็ ป็น น้าอาฝัง่ พ่อก็เป็น พ่อก็ เป็นเพียงเสีย้ วเดียวของความจริงทัง้ หมดก็ได้ คนเราไม่ควรยึดเอา เป็น ผมก็เป็น แต่โชคดีกว่าคือ ไม่ได้มอี าการก�ำเริบบ่อย ถ้าหลีก ความจริงเดีย่ วๆ นัน้ มายึดเหนึย่ วเป็นดังสรณะ อย่ามัวแต่เพ้อฝัน เลีย่ งการออกแรงหนักๆ หักโหม หรือหลีกเลีย่ งแอลกอฮอล์ทงั้ การ ว่าความจริงเดีย่ วๆ ชุดนัน้ เป็นความจริงชุดเดียวทีฉ่ นั จะเคีย้ วดูด กิน (เหล้า เบียร์ ไวน์ กระแช่ สาโท ฯลฯ) และการดม (น�ำ้ หอมที่ น�ำ้ หวานแล้วกลืนมันไปจนตาย ผสมแอลกอฮอล์) ก็ไม่มปี ญ ั หาอะไร เชือ่ ไหมว่าบางปีผมก็ไม่ได้มี อาการหอบหืดก�ำเริบเลย แต่ถา้ ตรงกันข้าม ก็กลายเป็นว่า คนๆ นัน้ งมงายอยูก่ บั ความ จริงชุดเดียว ความจริงทีฉ่ นั เห็นมาว่าเป็นอย่างนัน้ อย่างนี้ สุดท้าย สี่ เวลาถ่ายรูปออกมาแล้วจะดูไม่ดี ความจริงอันนัน้ ก็กลายเป็นซากอ้อยทีไ่ ร้ประโยชน์กไ็ ด้ เพราะสิง่ ที่ เราเชือ่ กันว่าจริงนัน้ อาจจะไม่สามารถกลายเป็นความจริงทีเ่ ชือ่ ถือ ดะ...เดีย๋ วนะ อะไรนะ นีผ่ มก�ำลังจะไปประกวดซูเปอร์ ได้อกี ในอนาคต และแล้วก็กลายเป็นคนทีเ่ ลือ่ นลอยอยูก่ บั ความจริง โมเดลหรืออะไร ท�ำไมต้องห่วงด้วยว่าจะถ่ายรูปแล้วไม่สวย ผมก็ แคบๆ จักรวาลเล็กๆ ทีม่ แี ต่ตวั เองอาศัยอยู่ ทัง้ ๆ ทีโ่ ลกทีเ่ ขายืนอยู่ ไม่รู้เหมือนกันว่าพ่อผมเอาข้อนี้มาจากที่ไหน และผมก็รู้ตัวอยู่ นัน้ กว้างใหญ่กว่าทีเ่ หตุผลของเขาจะวิเศษพอทีจ่ ะสรุปรวบสิง่ ทีเ่ กิด หรอกว่าผมเป็นคนถ่ายรูปแล้วไม่ขนึ้ ถ่ายให้ตายยังไงก็ไม่หล่อ (จะ ขึน้ ว่ามันเป็นเพราะสิง่ นัน้ ได้แต่เพียงอย่างเดียว เชือ่ มัย้ ครับ ผมไม่เคยเซลฟีเ่ ลยซักรูปในชีวติ นะจะบอกให้ ยกเว้น ว่าร่วมเฟรมเซลฟีก่ บั คนอืน่ หรือคนอืน่ ถ่ายให้ อันนีไ้ ม่เป็นไร) พอ แต่เมือ่ เราตระหนักว่า ความจริงนัน้ เป็นสิง่ ไม่ถาวร เรา ผมได้ยนิ ข้อนี้ ผมอยากจะอุทานด้วยเสียงดังทะลุฟา้ ว่า What the ก็จะพบว่า สิง่ ทีอ่ ยูต่ รงหน้า มันอาจเต็มไปด้วยความหมายหลาย fuck it is! ชุด หลายแบบ หลายบริบท ขึน้ อยูก่ บั ว่าเราจะหยิบยกขึน้ มาพูด คือไม่เมกเซนส์สดุ ๆ อะ ใครจะมาอภิรมย์ถา่ ยรูปกูตอน ในเวลาไหนอย่างไร ด้วยท่าทีอะไร ความจริงของอีกคนหนึง่ อาจ ท�ำงานวะ นอกจากถ่ายรูปติดบัตรพนักงาน หรือถ่ายรูปตอนไป จะกลายเป็นเรือ่ งโกหกของอีกคนหนึง่ เมือ่ เวลาผ่านไป เอาท์ตงิ้ ผมไม่เห็นจะมีเหตุให้ตอ้ งถ่ายรูปบ่อยๆ เลย ถึงต่อให้ถา่ ย เขาก็อาจจะไม่ถา่ ยให้ตดิ ผม หรือติดมาแล้วเขาก็เอาไป Crop ทิง้ แต่เหนืออืน่ ใด ผมว่านะ ส�ำหรับผม การทีจ่ ะได้งานหรือ ซึง่ ผมก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ผมก็คงก้มหน้าท�ำงานต่อไป ถ้าใครจะ ไม่ได้งาน ผมว่ามันก็มปี จั จัยร้อยแปดประการ และบางครัง้ เหตุผล มาบอกให้ผมร่วมเฟรม ผมก็ยนิ ดีทงั้ นัน้ ซึง่ ถ้าเป็นอย่างนัน้ เขาคง ของการเกิดอะไรบางอย่างก็อาจจะเกิดจากสิง่ ทีม่ องไม่เห็น คือ ไม่คดิ เรือ่ งจะต้อง Aesthetic อะไรขนาดนัน้ แล้วมัง้ หรือถ้าจะถ่าย เป็นเรือ่ งทีบ่ างทีกเ็ กินวิสยั ทีค่ นนอกอย่างเราๆ จะล่วงรูไ้ ด้ รูปโปรโมทองค์กร เพือ่ ท�ำข่าวแจกหรืออะไรก็ตามทีต่ อ้ งการความ Aesthetic ก็อย่าเอาผมไปก็แล้วกัน
เพราะฉะนั้น การคิดแทนด้วยการสรุปเหมารวมด้วย ความจริงเพียงชุดเดียวจึงเป็นสิง่ ทีผ่ มมองว่าช่างตืน้ เขินนัก การหยิบ ความจริงชุดเดียวมาสรุปรวม แล้วเหมารวมนัน้ ยังพอท�ำได้ เพราะยัง เป็นแค่สมมติฐาน แต่เมื่อไหร่ที่คุณหยิบเอาสิ่งนั้นมาป้ายโทษว่า สิ่งที่ เกิดอย่างนี้เพราะอย่างนี้แหละ ไม่มีอย่างอื่น นอกจากจะเต็ม ไปด้วยอคติแล้ว มันก็ยังเต็มไปด้วยความแคบทางปัญญาของ ผู้พูดด้วย ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เห็นอะไรที่เป็นจริงตามสถานการณ์ นั้นๆ เลย หรือไม่มีข้อมูลที่จะสรุปสิ่งเหล่านั้นได้เลยว่า สิ่งที่ เขาพูดนั้นถูกต้อง แต่เมื่อพูดไปแล้ว คนได้ยินก็ได้แต่ช�้ำใจ ได้ แต่ท้อถอย กลายเป็นการท�ำลายความหวัง แม้จะสมอ้างว่านี่ แหละคือการชี้ให้เห็นความจริง หรือเป็นการวิเคราะห์ถึงความ เป็นไปได้ให้รู้ แต่มันก็เต็มไปด้วยธงอคติที่ปักป้ายไว้เหมือนธง เจที่ติดอาหารเจนั่นแหละ คือคนท�ำปักป้ายเจ ก็เป็นอาหารเจ ไงจ๊ะ ทั้งๆ ที่ตอนท�ำอาจจะแอบใส่น�้ำปลาติดมาด้วย คนท�ำก็ ท�ำมึนๆ คนกินก็ไม่รู้ กูก็กินไป เพราะสรุปเอาง่ายๆ ว่า นี่ไงเจ เพราะมันมีป้ายเจ สรุปคือ เจแตกเพราะแดกน�้ำปลา การตักเตือน ให้คำ� แนะน�ำนัน้ เป็นสิง่ ทีด่ คี รับ ผมก็รเู้ จตนา ของพ่อผมดีอยูห่ รอกว่าพ่อผมต้องการจะตักเตือนตามหน้าทีพ่ อ่ แต่ทา่ นพ่อก็ดนั ใช้การตักเตือนลูกด้วยสไตล์ “ลบ บวก ลบ เป็น บวก” คือให้พลังลบกับลูก ลูกจะได้เอาไปเปลีย่ นเป็นพลังบวก เอา ค�ำสบประมาทมาแปรเปลีย่ นเป็นพลังทีจ่ ะเอาชนะ ...ซึง่ ได้ผลมาก เลย นอนร้องไห้จะฆ่าตัวตายอยูแ่ ล้วเนีย่
แล้วพอมันไม่เป็นจริงดังทีค่ ดิ ก็กลายเป็นว่าเพราะเหตุผล ทีต่ วั เองเดาไว้นนั่ แหละคือต้นตอของปัญหาของคนคนนัน้ ทัง้ ที่ จริงๆ แล้วอาจจะไม่ใช่เลยก็ได้ และที่แย่ก็คือ เอาความจริงชุดเดียวนั้นออกมาท�ำลาย ความเชือ่ ความฝันของอีกคนหนึง่ ด้วยการประณาม ด้วยการ ป้ายโทษ เอาแต่พดู ว่า เพราะอย่างนีไ้ ง ถึงได้เป็นอย่างนัน้ ท�ำให้ สิง่ ทีอ่ กี คนเป็น สิง่ ทีค่ นนัน้ เชือ่ สิง่ ทีค่ นนัน้ คิด สิง่ ทีค่ นนัน้ ท�ำ นัน้ กลายเป็นสิ่งที่แย่ เลวร้าย ไม่มีความดีอะไร ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ ดีเลย ไม่มขี อ้ ดี ไม่มแี ละไม่ชว่ ยสร้างพลังบวกอะไรเลย ลบล้วนๆ มันท�ำให้กลายเป็นว่าคนที่พูดนั้นยิ่งกลายเป็นคนที่เหมือนจะ รูม้ าก แต่รไู้ ม่จริง และพยายามประณาม กดขี่ กาหัวชีวติ ของอีก คนด้วยความจริงปลอมๆ ชุดเดียว โอเค แม้วา่ จะไม่มกี ำ� ลังใจหรือความหวังอะไรเท่าไหร่ แต่ ด้วยความดือ้ ของผม ผมก็ยงั จะดือ้ หางานท�ำต่อไป ผมไม่ได้ต้องการจะพิสูจน์ว่า ค�ำพูดของพ่อผมนั้นมัน เป็นเรื่องโกหกไร้สาระ แต่ผมต้องการพิสูจน์ว่า คนอ้วนก็ท�ำงานได้ดีไม่แพ้กับ คนผอม และรูปร่างนัน้ ไม่ควรจะมีผลต่อการท�ำงานมากนัก หาก มีความสามารถทีเ่ พียงพอ มีความคิดสร้างสรรค์ ขยัน มีทกั ษะการ เข้าสังคม มีนำ�้ ใจไมตรี เจรจาเป็น อดทนต่ออุปสรรค ประหยัด และใฝ่รู้ ส่วนสุขภาพก็ตอ้ งดูแล คนอ้วนทีแ่ ข็งแรงก็มเี ยอะแยะไป
และผมต้องการพิสจู น์อกี ว่า ความจริงในโลกนีไ้ ม่ได้มชี ดุ สิง่ ทีผ่ มอยากจะบอกคือ การแนะน�ำ ตักเตือนเป็นสิง่ ทีด่ ี เดียวนะพ่อ ครับ แต่ไม่จำ� เป็นต้องคิดแทนว่ามันจะเกิดอะไรขึน้ เพราะอะไร บ้าง ไม่จำ� เป็นเลย บางทีมนั ก็ตอ้ ง Go with the flow คือปล่อยให้ อย่าคิดแทนผมสิ ความจริงมันเป็นไปอย่างทีม่ นั จะเป็นบ้าง การคิดแทนมันก็ไม่ตา่ ง จากการคาดหวังนักหรอก คือคิดแล้วจะต้องเป็นอย่างนี้ เลยเชือ่ ว่า จะเป็นอย่างนี้ ถ้าคิดเองไม่เท่าไหร่หรอก เพราะเรายังพอเผือ่ ความ คิดชุดอืน่ ๆ ไว้เผือ่ ใจยามพลาดได้ แต่สำ� หรับคนอืน่ ๆ แม้แต่พอ่ แม่ เราเอง ทีเ่ ห็นความคิดด้านเดียวของเรา และรูเ้ รือ่ งของเราเพียง เสี้ยวเดียว ก็คิดแทนได้เพียงอย่างเดียว แล้วก็คาดหวังว่ามันจะ กลายเป็นความจริงได้แบบเดียวเท่านัน้ ซึง่ มันอาจไม่เป็นอย่างนัน้
ART SPACE ชื่อบทความ:
ฝากไฟล์ไว้ในก�ำแพง (2558)
สถานะ: ยังไม่ได้เผยแพร่
ยุคปัจจุบันนี้คือยุคแห่งการแบ่งปันข้อมูลโดยสมบูรณ์ แม้ว่าจะมีขอบเขตของการแบ่งว่าข้อมูลไหนเอาไว้ “แบ่งปัน” หรือข้อมูลชุดไหน “จ�ำกัด” อาจจะด้วยการจ�ำหน่าย หรือการ จ�ำกัดการแบ่งปันข้อมูลเป็นการเฉพาะ แต่เชื่อเถอะว่า ยัง ไงๆ ก็ต้องมีคนเอาข้อมูลที่จ�ำกัดเหล่านั้น ข้ามขอบเขตเอามา แจกจ่ายอยู่ดี ไม่ว่าด้วยทางไหนก็ตาม ยุคนี้จึงเป็นยุคแห่งการ แจกจ่ายข้อมูล (หรือถ้าจะให้ดูฮิปสเตอร์ก็ต้องเรียกว่า “แชร์” สินะ) โดยค�ำว่า กฎหมาย ลิขสิทธิ์ มันสมอง ความปลอดภัย ความมั่นคง และความคิดสร้างสรรค์ อาจถูกละไว้ชั่วคราว เพราะยิง่ ข้อมูลไหนหายาก แพง และดี ใครๆ ก็อยากได้ทงั้ นัน้ แหละ อารัม บาร์ทอลล์ คือศิลปินชาวเยอรมันที่รู้จักกันด้วย ผลงานที่เป็นคอนเซปท์ชวล และมีเอกลักษณ์ที่เน้นไปในเรื่อง ของการน�ำเทคโนโลยีมาประยุกต์ในงานศิลปะ ทั้งฮาร์ดแวร์ และซอฟท์แวร์ให้เข้ากับโลกยุคนี้ ชนิดที่คนยุคนี้เห็นแล้วคงทึ่ง ว่าคิดได้ไง (วะ) งานที่จี๊ดๆ ก็เช่น PAINT figure drawing class!! (2014) เป็นงานศิลปะในรูปแบบ workshop โดยให้นักศึกษา มาวาดรูปเปลือย ซึ่งธรรมดามาก แต่ที่ไม่ธรรมดามากๆ คือ ต้องใช้คอมพิวเตอร์ในการวาด! ให้นักศึกษาวาดรูปแบบเปลือย ทั้งชายและหญิง โดยบาร์ทอลล์ตั้งกฎไว้ว่า ใช้คอมพิวเตอร์ อะไรก็ได้ (ห้ามใช้แท็ปเล็ต) ใช้โปรแกรมวาดรูปพื้นฐานเท่านั้น ต้องใช้เมาส์เท่านั้น กด Ctrl+Z หรือ Cmd+Z ในแม็ค Undo ได้ไม่เกินสามครัง้ ห้ามซ้อนภาพ (No layers) ห้ามใช้สเี กิน 48 สี
ห้ามตกแต่งด้วยโปรแกรมอืน่ ๆ เพิม่ และให้เซฟไฟล์เป็นบิตแมพ (.bmp) เท่านัน้ และที่เรายกตัวอย่างมาให้เห็นภาพนี้คืองานที่เกี่ยวกับ โลกดิจิตอล คืองานที่ชื่อว่า USB Dead Drops โดยถือว่าเป็น งานไฮไลต์ของพี่แกก็ว่าได้เวลาพูดถึงพี่บาร์ทอลล์ อธิบายอย่าง ง่ายก็คอื เป็นการเอายูเอสบีแฟลชไดร์ฟทีเ่ ราใช้ๆ กันธรรมดามา ฝังไว้ในรูก�ำแพง หรือตรงจุดไหนก็ได้ แล้วโผล่ด้านที่เสียบออก จากก�ำแพงเพื่อเปิดโอกาสให้ใครก็ได้ที่เจอสามารถเอาโน้ตบุ๊ก (หรือสมาร์ทโฟน-แท็บเล็ตที่ต่อสายแปลงยูเอสบีตัวเมียไว้ด้วย) มาเสียบเพื่อเปิดอ่านข้อมูลตามใจชอบ และแน่นอนว่า ใคร อยากจะฝากไฟล์อะไรก็เอาลงแฟลชไดร์ฟไว้ และแน่ น อนอี ก เช่ น กั น ว่ า ไฟล์ ทั้ ง หมดที่ มี ค นมา ทิ้งไว้ในเดธดร็อปอันนีก้ ส็ ามารถโหลดเอาไปได้เช่นกัน โดยทั้งผู้ ให้และผู ้ รั บ ต่ า งไม่ รู ้ จัก กัน นั่นหมายความว่าพี่แกก� ำ ลั ง จะ ท� ำ บริการฝากไฟล์โดยไม่ต้องพึ่งอินเทอร์เน็ตเลยแม้แต่เมกกะ ไบต์เดียว! และงานนี้พี่แกไม่ได้ท�ำคนเดียวซะด้วย เพราะเขาได้ แบ่งปันวิธีท�ำให้กับใครก็ได้ที่อยากจะท�ำ งานนี้เลยกลายเป็น งานศิลปะทีใ่ ครก็มสี ว่ นร่วมได้ วิธบี อกไว้ในเว็บ deaddrops.com อย่างคร่าวๆ แล้ว มีดงั นี้ 1. อ่านข้อมูลก่อนว่าเค้าท�ำอะไรกัน เข้าไปยืนยันด้วย ว่าจะท�ำ ศึกษาข้อมูลว่าต้องท�ำอะไรบ้าง 2. หาแฟลชไดร์ฟขนาดใดก็ได้ 3. แกะเปลือกนอกออก 4. เอาเทปพันก๊อกน�้ำ (plumbers tape) มาพันรอบ แฟลชไดร์ฟเพื่อกันความชื้น 5. ดาวน์โหลดไฟล์ Readme.txt มาใส่ในแฟลชไดร์ฟ เป็นการอธิบายว่านี่คืออะไร เผื่อมีคนมาเปิดเจอ 6. ใช้ซีเมนต์แบบแห้งเร็วอัดเข้าไปในรูก�ำแพงหรือซอก หลืบตรงไหนก็ได้ (อย่าไปเจาะรูกำ� แพงชาวบ้านนะเดีย๋ วโดนจับ) 7. ยัดแฟลชไดร์ฟเข้าไปแล้วตกแต่งให้สวยงาม อาจจะ ทาสีเพื่อให้ดูกลมกลืนด้วยก็ได้ 8. สังเกตด้วยว่าช่องยูเอสบีวางในต�ำแหน่งที่สามารถ เสียบได้หรือไม่ (ตามหลักคือต้องเอาด้านโปร่งขึ้นบน เอาด้าน ที่มีแถบไว้ด้านล่าง)
9.สั ง เกตด้ ว ยว่ า ยู เ อสบี โ ผล่ พ ้ น มามากพอที่ จ ะเอา โน้ตบุ๊กเสียบเข้าไปได้ 10. ถ่ายรูปอวดสามรูป! - ถ่ายรูปกว้างๆ ว่าคุณเอาเดธ ดร็อปไปไว้ไหน .ในระยะปานกลาง และระยะใกล้ๆ หลังจากโปรโมท มีหลายสถานที่ทั้งในนิวยอร์คและ ที่อื่นๆ ในโลกที่มีเดธดร็อปฝังเอาไว้มากมาย ตามก�ำแพงบ้าง ตามซอกหลืบบ้าง ช่องตรงบันได สะพานก็มี กลายเป็นชุมชน กระจายไฟล์แบบตัวต่อตัวที่กลายเป็นงานศิลปะ และกลาย เป็นงานประดิษฐ์ไปด้วยในแบบที่ไม่ตายตัว และแน่นอนว่าสิ่ง ที่อยู่ในไฟล์ก็ไม่ตายตัวเช่นเดียวกัน จะเป็นอะไรก็ได้ และที่ แน่นอนกว่าก็คือ งานนี้ไวรัส มัลแวร์ โทรจันมาเต็มแน่นอน ก็อย่างที่บอกไปตอนต้นว่ายุคนี้เป็นยุคแห่งการแชร์ แชร์ ทั้ ง สิ่ ง ที่ เ ราอยากได้ แ ละสิ่ ง ที่ เ ป็ น อั น ตราย ผิ ด กฎหมายและศี ล ธรรมต่ อ เราไปด้ ว ยพร้ อ มกั น ไง
MUSIC REVIEW ชื่อบทความ:
Giorgio Moroder ชายผู้กลับมาจากอดีต (2558)
สถานะ: ยังไม่ได้เผยแพร่
Giorgio Moroder ชายผู้กลับมาจากอดีต เมื่อกลางปี 2013 คู่หูหุ่นยนต์แนวเพลงเฮาส์จาก ฝรั่งเศสนามว่า Daft punk ตัดสินใจย้ายค่ายดั้งเดิมอย่าง Virgin/EMI ไปอยู ่ ค่ า ยไซส์ ใหญ่ ก ว่ า มากอย่ า ง Columbia เรื่องนี้ไม่แปลกเท่ากับการสลัดคราบดีเจแนวอิเล็กทรอนิกส์ เฮาส์ และดึงตัวเองกลับสู่ความเป็นฟังกี้ยุค 70 และ 80 ให้ กลับมาใน Random Access Memories ซึ่งเต็มไปด้วย 13 เพลงที่ผสมผสานความเป็นฟังกี้ และอิเล็กทรอนิกส์จากเสียง ซินธิไซเซอร์แท้ๆ และการน�ำศิลปินมากมายมาร่วมฟี เ จอริ่ ง ผลจากการปฏิ วั ติ ใ นครั้ ง นั้ น ส่ ง ผลขึ้ น แก่ นั ก ร้ อ ง ที่ ร ่ วมฟี เ จอริ่ ง สองคน คนแรกคื อ Pharrell Williams ที่ ปรากฏในเพลง Get lucky และ Lose yourself to dance กลายเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงในวงกว้างมากขึ้น ส่วนอีกคนที่ปรากฏเสียงสัมภาษณ์ในเพลง Giorgio by Moroder แทร็คที่ยาวที่สุดถึง 9.05 นาที นั้นกลายเป็น เพลงที่ดาฟท์พังค์ตั้งใจท�ำเพื่อสดุดีชายผู้เป็นต�ำนานแห่งเพลง แดนซ์ยุคเก่าอายุ 74 ปีคนนี้ และที่ส�ำคัญกว่าคือเพลงนี้พาเขา กลับมาจากอดีตอันไกลโพ้นมาสู่ผู้ฟังในห้วงปัจจุบันอีกครั้งได้ อย่างเต็มภาคภูมิ *My name is Giovanni Giorgio, but everybody calls me Giorgio. “ผมชื่ อ จิ อ อวานนี จอร์ โ จ แต่ ใครๆ ก็ เ รี ย กผมว่ า จอร์ โ จ”
แน่นอนว่า คนไทยจ�ำนวนมากคงยังไม่รู้จักโปรดิวเซอร์ ดีเจ นักแต่งเพลง และนักร้องในต�ำนานคนนี้แน่ๆ เพราะด้วย ความที่เขาท�ำงานอยู่เบื้องหลังมากกว่าเบื้องหน้า ท�ำดนตรี มาตั้งแต่ยุค 70 ในแนวอิเล็กทรอนิกส์ดิสโก้ เทคโน และแนว อื่นๆ ตามถนัด จนถึงยุค 80 ก็เริ่มมีคนรู้จักบ้างผ่านบทเพลง ซึ่งจริงๆ แล้วผลงานของเขาจ�ำนวนมากก็เคยผ่านหูคนไทยมา บ้างไม่มากก็น้อย อาทิเช่น “Flashdance (What a Feeling)” (Irene Cara), “Call Me” (Blondie), เพลง To be number one ที่ใช้ประกอบการแข่งขันฟุตบอลโลกที่อิตาลี ปี 1990 (italia 90) และเพลงประกอบภาพยนตร์ยุค 80-90 อีก หลายเรื่อง ก่อนที่เขาจะหายไปกับกระแสวงการดนตรีที่มักพัด พาของเก่าๆ ในวงการไปอย่างเงียบๆ จากอัลบั้มสุดท้ายจนมาถึงบัดนี้ก็สามสิบปีกว่าเข้าไป แล้ว จริงๆ ตัวเขาเองก็มีงานเพลงออกมาประปราย ในรูปของ เพลงประกอบภาพยนตร์บ้าง ซิงเกิลบ้าง และในรูปแบบอื่นๆ ตามแต่วาระโอกาส ซึ่งตั้งแต่ช่วงนั้นเอง ที่ชื่อของเขากลายเป็น ชื่อที่รู้จักกันในวงแคบๆ ในหมู่คนฟังเพลงอิเล็กทรอนิกส์ คน ฟังดิสโก้ ฟังกี้ (ซึ่งก็ไม่ใช่คนกลุ่มใหญ่อยู่แล้ว) และในแวดวง คนฟังเพลงแบบสายแข็งก็รู้จักเขาในฐานะดีเจและโปรดิวเซอร์ บ้างก็เท่านั้น ทั้งๆ ที่ในต่างประเทศ งานเพลงของเขามีชื่อเสียง รู้จักในระดับหนึ่ง เป็นดีเจเปิดเพลงตามงานคอนเสิร์ตและ ปาร์ตี้อย่างปกติ และวัยรุ่นก็เต้นตามเพลงของเขาอย่างปกติ เช่นกัน และถ้าใครรู้จัก Donna Summer เจ้าแม่ดิสโก้ผิวสี แล้วไม่รู้จักจอร์โจ โมโรเดอร์ที่เป็นโปรดิวเซอร์ นักแต่งเพลง คู่บุญแล้วละก็ถือว่าผิด! ในเพลง Giorgio by Moroder เป็นแนวอิเล็กทรอนิกส์ ฟังกี้ผสมกับเฮาส์และแจ๊สฟิวชั่นหนักหน่วงออกไปทางร็อค เนื้อหาสไตล์สารคดีหน่อยๆ ที่ค่อยๆเปิดด้วยดนตรีเบาๆ และ เริ่มต้นด้วยเสียงของจอร์โจที่เล่าถึงประสบการณ์การอยาก เป็นนักดนตรี และคนท�ำดนตรีที่ไม่ง่าย ต้องหยุดเรียนกลางคัน และย้ายไปอยู่เยอรมนี จนได้เล่นซินธิไซเซอร์ตัวแรก เขาจึงเริม่ คิดถึงการท�ำเพลงในแบบทีเ่ รียกว่า “เสียงเพลงแห่งอนาคต” ขึน้ มา จนถึงกลางเพลงเขาก็พดู ถึงการท�ำดนตรีแบบสบายๆ โดย ไม่ต้องยึดติดกับอะไรมากมาย เพราะเขาเองก็ไม่เคยมีใคร มาบอกหรือต้องเดาล่วงหน้าเลยว่าจะท�ำเพลงยังไง ส่วน
จั ง หวะทั้ ง เพลงเริ่ ม จากฟั ง กี้ ง ่ า ยๆ คั่ นด้ วยดนตรี ค ลาสสิ ค และค่อยๆ เร่งเร้าจังหวะขึ้นเป็นแจ๊สฟิวชั่นจังหวะเข้มข้น รุ น แรง และจบด้ ว ยเสี ย งเอฟเฟคซิ น ธิ ไ ซเซอร์ อ ย่ า งช้ า ลงเรื่อยๆ และกลายเป็นเพลงที่แม้ไม่ได้โปรโมทเป็นซิงเกิล แต่ก็เป็นเพลงที่ถูกพูดถึงและชื่นชมมากที่สุดในอัลบั้ม Random Access Memories การกลั บ มาของจอร์ โ จ โมโรเดอร์ เป็ น อานิ ส งค์ กลายๆ ที่ ศิล ปิ นรุ ่ นน้ อ งได้ พ าศิ ล ปิ นรุ ่ นพี่ ก ลั บขึ้ น มาในยุ ค ใหม่อีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่หายไปนานนับ 30 ปี และใน ปีนี้ เขาก�ำลังจะกลับมาออกอัลบั้มใหม่ และนั่นหมายความ ว่า ศิลปินผู้กลับมาจากอดีตคนนี้จะพาเราไปสู่สิ่งที่เรียกว่า “เสียงเพลงแห่งอนาคต” อีกครั้งหนึ่ง! *ส่วนหนึ่งจากเสียงสัมภาษณ์ที่ปรากฏในเพลง Giorgio by Moroder โดย Daft punk
TECH FEED ชื่อบทความ:
ตัวเลขโรคจิต (2558)
สถานะ: ยังไม่ได้เผยแพร่
เวลาที่เราเล่นเฟสบุ๊ก เคยมีบางช่วงที่เรารู้สึกคล้าย ว่าตัวเองจะเป็นโรคจิตมัย้ ครับ แม้ว่าเฟสบุ๊กนั้นมีข้อดีที่เอาไว้ สื่อสาร เอาไว้แชร์ กลายเป็นช่องทางหลักที่เอาไว้สูบข้อมูล และก็ปล่อยข้อมูล ซึ่งไอ้การสูบและปล่อยนี่แหละที่มักเป็นบ่อ เกิดแห่งอาการโรคจิต เพราะเมื่อเราปล่อยข้อมูล เช่นการแชร์ สเตตัส อัพรูป แชร์ลิงค์ แชร์วีดีโอ อีกซักไม่เกินครึ่งชั่วโมง เรา จะกลับเข้าไปใหม่ เพื่อเช็กว่ามีคนกดไลค์หรือยัง กี่คน มาก หรือน้อยกว่าเดิม ซึ่งถ้ากดไลค์เยอะๆ ก็ดีไป แต่ถ้าไม่มีเลย คุ ณ จะเริ่ ม เครี ย ดและหาเหตุ ผ ลว่ า ท� ำ ไมไม่ มี ค นกดไลค์ (เลยวะ!) หรือถ้าวันไหนเพื่อนเฟสของเรา เกิดโพสหรืออัพ รูปขึ้นมา แม้ว่าจะเป็นภาพหรือข้อความไร้สาระประมาณว่า “หิวข้าวจัง” “วันนี้ท�ำงานเหนื่อยโว้ย” หรือเซลฟี่หน้าเงือกๆ ลงฟีดแล้วผลกลับเป็นว่ามีคนกดไลค์ในปริมาณมากผิดปกติ คุณจะเริ่มเครียดและหาเหตุผลว่าท�ำไมไม่มีคนกดไลค์ภาพ กับข้อความอันเปี่ยมไปด้วยเนื้อหาสาระ และรูปเซลฟี่หน้า ใส (เพราะใช้แอพแต่ง) ของเราบ้าง (เลยวะ!) อ้ อ โรคจิ ต ใน เฟสบุ ๊ กอีกกรณีกค็ อื เมื่อเราเข้าเฟสบุ๊กครั้งแรกของวัน สิ่งที่จะ ท�ำให้ใจเต้นแรง (หรือจิตใจหดหู่) ก็คือตัวแจ้งเตือนหรือ Notification นั่นเอง ประมาณว่าถ้าเป็นตัวขาวๆ แล้วมีป้ายแดงๆ ขึ้น ผมนี่ใจเต้นแรงเลย แต่มีแล้วก็อย่าเพิ่งดีใจไปครับ เพราะ ว่าไอ้ที่ขึ้นขาวๆ นั่นน่ะ มันเป็นแจ้งเตือนจากเพื่อนเราเพื่อชวน เล่นเกม Pirate King ต่างหาก (ถุย!)
ใครที่ เป็ น โรคจิตชนิดนี้ ผู้เ ขียนขอเรียนว่ า นี่ ไ ม่ ใช่ ปัญหาของคุณผู้อ่านคนเดียวในโลกครับ เพราะคนเล่นเฟส บุ๊กก็มีอยู่ทั่วโลก ...ถ้างั้นก็คงเป็นโรคจิตกันทั้งโลกเลยสินะเนี่ย เบน กรอสเซอร์ ก็คงเป็นโรคจิตเดียวกับพวกเรานี่ แหละ เขาท�ำงานเป็นโปรแกรมเมอร์อยู่ที่อิลลินอยส์ และแถม ยังเป็นศิลปินอีกต่างหาก และเขาก็เป็นคนใช้เฟสบุ๊คเหมือน กับเราๆ ในการโพสสเตตัส ใช้ในการพบปะสนทนาอย่าง ปกติ แต่แทนที่เขาจะได้ใช้มันอย่างที่เขาอยากจะใช้ เขากลับ พบว่าตัวเขาเองแทนที่จะมุ่งไปในการพบปะผู้คนหรือสนใจ ในสิ่งใหม่ๆ เขากลับมองแต่ตัวเลข ตัวเลข และตัวเลข เขาจึง คิดค้นนวัตกรรมบางอย่างที่ช่วยให้ผู้คนที่ใช้เฟสบุ๊ค มุ่งเน้นไป ที่การสร้างมิตรภาพที่ยั่งยืนด้วยการสนใจ “ความหมาย” และ “ปฏิสัมพันธ์” ในสิ่งที่พวกเขาเขียน แชร์ หรือโพสมากกว่าจะ มานั่งหมกมุ่นสนใจอยู่กับตัวเลขที่ล่อหลอกเราให้กลายเป็น คนโรคจิตย�้ำคิดย�้ำท�ำ ว่าจะมีเพื่อนแอดมากี่คน มีคนกดไลค์กี่ คน แล้วท�ำไมมีคนกดไลค์โพสของเพื่อนเรามากกว่าเรา แล้ว เราก็จะกลายเป็นคนที่ถูกกระตุ้นต่อมทุนนิยม คอยแต่จะปั่น ไลค์ สร้างยอดกันจนมองไม่เห็นอะไรเลย (นี่เบนพูดนะ ไม่ เกี่ยวกับผู้เขียน) หรือจะพูดแบบง่ายๆ ก็คือเป็นการมุ่งเน้น คุณภาพมากกว่าปริมาณนั่นแหละ แล้วจะท�ำอย่างไร? เบน กรอสเซอร์ เลยออกเครื่องมือ อย่างหนึ่ง เรียกว่า “Facebook Demetricator” ซึ่งเป็น เครื่องมือ Add-on ส�ำหรับผู้ที่ใช้เบราเซอร์ Chrome, Firefox, Safari เมื่อติดตั้งแอด-ออนนี้แล้วเปิดเฟสบุ๊คตามปกติ สิ่ง ที่จะเกิดก็คือ ทุกอย่างในเฟสบุ๊คปกติหมดเลย ยกเว้นตัวเลขที่ มีอันเป็นไป ตัวเลขเหล่านี้ก็เช่น ตัวเลขจ�ำนวนไลค์ จ�ำนวนคน ที่เห็นโพส จ�ำนวนคนที่แชร์โพส เพื่อนของเราคนนี้มีเพื่อนกี่คน รวมถึงตัวเลข Notification ที่ปกติจะขึ้นเป็นป้ายแดงๆ ก็จะ หายไป จากปกติที่จะขึ้นว่า 150 คนถูกใจสิ่งนี้ ก็จะเหลือเพียง แต่ คนถูกใจสิ่งนี้ 30 แชร์ ก็จะเหลือแค่ค�ำว่า แชร์ เฉยๆ การ แจ้งเตื อ นก็ จ ะเหลื อแต่สีขาวๆ ขึ้นมาเพื่อให้รู้ว่า มี ค นแอด เฟรนด์มา มีข้อความ หรือการแจ้งเตือนให้เราคลิกไล่ดูเอาเอง ซะบ้าง ไม่ใช่สักแต่ว่าเห็นตัวแดงๆ แล้วก็ปล่อยๆ ไว้ก่อนโดยไม่ สนใจว่าอันไหนส�ำคัญหรือเร่งด่วนหรือเปล่า อ้อ ยกเว้นตัวเลข
ที่เกี่ยวกับวัน เวลา หรือตัวเลขที่ไม่เกี่ยวกับจ�ำนวนโรคจิตนะ ครับ ตัวเลขพวกนี้จะยังอยู่ครบปกติ ด้วยเครื่องมือนี้แหละที่จะท�ำให้เราสนใจเนื้อหาทุก อย่าง รูปทุกรูป ทุกการแจ้งเตือนอย่างมี “ความหมาย” และ “ปฏิสัมพันธ์” อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ส่วนถ้าลองใช้ แล้ว เราจะยังโพสค�ำคมแบบที่มีคนไลค์น้อยๆ อยู่หรือไม่? จะ มั่นใจในการอัพรูปเซลฟี่หน้าเงือกอยู่หรือไม่? หรือถ้าบังเอิญเรา โพสอะไรโดนๆ แล้วเกิดได้ไลค์ (ที่เราไม่เห็น) แบบมหาศาลขึ้น มาล่ะ เราจะรู้สึกว่ายอดไลค์ที่ได้มานั้นไร้ความหมายไหม? นี่ คือประเด็นที่เบนเองตั้งไว้ และเขาเองก็อยากรู้เหมือนกัน ซึ่ง เราๆ ก็มีหน้าที่ทดลองใช้แล้วก็ถามกับตัวเองเสียว่ามันเป็น อย่างนั้นมั้ย เครื่องมือกึ่งเนิร์ดกึ่งประชดแบบนี้ ถ้าไม่ใช่คนที่เป็น โปรแกรมเมอร์กับศิลปินพร้อมกันอย่างเบนคงคิดไม่ได้แน่ๆ! อย่ า งที่ ผ มได้ เ ล่ า ไปในย่ อ หน้ า แรก หากวิ เ คราะห์ จากอาการโรคจิตเหล่านี้ สาเหตุส่วนหนึ่งก็คือตัวเลขนี่แหละ เพราะนอกจากจะเป็นจ�ำนวนเอาไว้บอกความเคลื่อนไหวของ ทุกสิ่งแล้ว ยังเป็นเหมือนดัชนีชี้วัดอะไรบางอย่างก็ได้ เช่น โพส ไหนที่ถูกใจคนส่วนใหญ่ ยอดไลค์ก็เยอะตาม แต่ก็อีกนั่นแหละ ตัวเลขก็ไม่ใช่ตัวเลขที่จะชี้วัดได้ว่าสิ่งต่างๆ ที่เค้าโพสกันนั้นมัน มีประโยชน์หรือเปล่า หรือว่าสักแต่จะไลค์หรือแชร์เพราะหวัง จะเกาะๆ กันตามกระแสเพียงอย่างเดียวโดยไม่สนใจว่าสิ่ง นั้นจะถูกหรือจะผิด หรือตัวเลขก็ไม่ได้บอกว่าเซลฟี่หน้าเงือก ของเรานั้นสวย เพราะอีกแสนกว่าคนก็อาจจะไม่ชอบก็ได้ แต่ถ้าไม่มีตัวเลขใดๆ มาบงการจิตใจ อย่างน้อยๆ ก็ คงไม่หายเป็นโรคจิตหรอกครับ แต่เราจะได้ใช้ชีวิตอย่างที่ เราอยากจะใช้จริงๆ ไม่ใช่แค่เป็นซากชีวิตให้ตัวเลขที่ไม่สลัก ส�ำคัญอะไรกับการด�ำรงชีวิต (เลยซักนิด) มาคอยจ�้ำจี้จ�้ำไชให้ เรานั่งเปิดโทรศัพท์ถี่ๆ ทั้งวันเหมือนคนโรคจิตย�้ำคิดย�้ำท�ำเค้า ท�ำกันไงล่ะครับ!
MOVIE REVIEW ชื่อบทความ:
Kung Fury: ระดมทุนท�ำคัลท์ (2558)
สถานะ: ยังไม่ได้เผยแพร่
ในช่ ว งที่ ผ มเริ่ ม เขี ย นคอลั ม น์ นี้ มี ก ระแสเล็ ก ๆ (ที่ เล็กมากๆ) ที่เกี่ยวกับภาพยนตร์ที่น่าสนใจอยู่เนืองๆ นั่นก็ คือเรื่องราวของการระดมทุนเพื่อสร้างหนังจากผู้คนที่สนใจ และชอบไอเดียของหนัง หรือที่เรียกกันว่า Crowdfunding ใน เว็บระดมทุนเบอร์หนึ่งของโลกอย่าง Kickstarter ซึ่งปกติ แล้วหนังที่ระดมทุนพวกนี้มักไม่เป็นกระแสหลักแน่นอนอยู่ แล้ว เนื่องจากหลายสาเหตุ เช่น หนังจ�ำพวกนี้มีทุนสร้าง ที่ต�่ำและจ�ำกัด เนื่องจากว่าถ้าไม่ก�ำหนดทุนสร้าง ผู้ให้ทุน (ใน Kickstarter จะเรียกว่า Backers) ก็จะไม่ไว้ใจ หรือถ้า ก�ำหนดทุนสร้างสูงไป ก็ยากที่จะระดมทุนได้ตามเป้าหมาย และเมื่อทุนต�่ำ ก็ยากที่จะซื้อสื่ออื่นในการโปรโมท รวมไป ถึงว่า หนังที่สร้างเพื่อระดมทุนมักเป็นหนังที่แตกต่างจาก หนั ง กระแสหลั ก พู ด ง่ า ยๆ ก็ คื อ ท� ำ หนั ง ตามใจตั ว เองนั่ น แหละ แต่ ก ลายเป็ น ว่ า มี ห นั ง เรื่ อ งหนึ่ ง ที่ แ ชร์ กั น ในโลกโซ เชียล ชนิดที่ว่าผมเองก็ยากที่จะละความสนใจต่อหนังเรื่อง นี้ ไม่เฉพาะแค่สื่อที่เกี่ยวกับหนัง แต่หลายๆ สื่อก็เริ่มพูดถึง หนังคัลท์ทุนต�่ำเรื่องนี้ค่อนข้างมาก แม้ว่าจะไม่ได้ดังจนถึง ขั้นเป็นกระแสหลัก แต่การที่มีคนแชร์หนังเล็กๆ ต่อๆ กัน ไปก็ถือว่าเป็นกระแสที่ดีไม่น้อยเลยทีเดียว
Kung Fury เป็นหนังสั้นครึ่งชั่วโมงที่ปล่อยให้ผู้ชม ได้ชมฟรีๆ ใน YouTube ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม อันเกิด จากการระดมทุ น ในเว็บ Kickstarter นับตั้งแต่ธั นวาคม 2013 จนถึงมกราคม 2014 จนได้เงินทุน 630,019 เหรียญ สหรัฐ (ประมาณ 21 ล้านบาท) เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ 2 แสนเหรียญ (ประมาณ 7 ล้านบาท) ความน่ า สนใจของหนั ง เรื่ อ งนี้ ที่ น ่ า จะเป็ น ตั ว ที่ ท�ำให้ระดมทุนได้เกินเป้าหมายไปกว่าสามเท่าก็คือ เป็น หนั ง สั ญ ชาติ ส วี เ ดนที่ อ อกแบบงานสร้ า ง กราฟิ ก เพลง ประกอบ บท ทุ ก สิ่งอย่างให้ย้อนยุคเหมือนหนัง แอ็ คชั่ น ต�ำรวจยุคแปดศูนย์ (บวกหนังแรมโบ้ คนเหล็ก แมดแม็กซ์ บวกเกมสตรีทไฟท์เตอร์ด้วย) แบบทุกกระเบียด ชนิดที่ว่า ใครที่อยู่ในช่วงเจนเนอเรชั่นเอ็กซ์ ซึ่งมีช่วงวัยรุ่นในยุค 80 หรือคนที่ชอบสไตล์แปดศูนย์เหมือนผม คงปลื้มปริ่มอิ่มเอม ใจในความที่ ที มงานสามารถใช้ทุนต�่ำๆ สร้างรายละเอี ย ด ต่างๆ ได้อย่างกับคนยุค 80 มาเอง! ความน่ า สนใจอี ก อย่ า งคื อ พล็ อ ตเรื่ อ งที่ คั ล ท์ แ บบ ชนิดที่เรียกได้ว่าเกินจินตนาการไปเลย พูดง่ายๆ คือ มัน บ้ า กั น ได้ ข นาดนี้ เ ชี ย วหรื อ เนื้ อ เรื่ อ งเริ่ ม ขึ้ น ด้ ว ยความ อลหม่านวุ่นวายปั่นป่วนเมืองไมอามี่ ในช่วงปี 1985 “กัง ฟิวรี่” (เดวิด แซนด์เบอร์ก (ปล.พี่แกเป็นผู้ก�ำกับด้วย)) คือ ผู ้ ที่ ถู ก เลื อ กให้ ก ลายเป็ น ยอดกั ง ฟู จ อมพลั ง ในคราบต� ำ รวจ ในการออกปราบเหล่ า ร้ า ย จนได้ ท ราบว่ า เบื้ อ งหลั ง ของ ความวุ ่ น วายต่ า งๆ นั้ น มี เ บื้ อ งหลั ง แชมป์ ย อดกั ง ฟู ว าย ร้ายที่ชื่อว่าอดอล์ฟ ฮิตเลอร์! (มึงบ้าไปแล้ว....) กังฟิวรี่จึง ย้ อ นเวลากลั บ ไปยั ง อดี ต เพื่ อ จั ด การกั บ กั ง ฟู ว ายร้ า ยและ กองทัพกังฟูให้ได้ ด้ ว ยความช่ ว ยเหลื อ ของแฮ็ ค เกอร์ แ มน (Hackerman) ในการใช้แฮ็คเกอร์บอตพากังฟิวรี่ไปสู่อดีต (นี่มัน Tron ชัดๆ) คราวแรกพี่แกย้อนเวลาไปผิด เลยไป เจอกับนักรบไวกิ้งสาวสองคน เทพเจ้าทอร์ขนาดเท่าอุลตร้า แมน กับไดโนเสาร์ท่ีพูดได้ ขี่ได้ด้วย (อะไรของมันว้า...) จน ในที่สุด แฮ็คเกอร์แมนก็น�ำพากังฟิวรี่มายังฐานทัพของกังฟู รั่ว (พี่ฮิตเลอร์น่ะแหละ) รวมทั้งพรรคพวกเช่น นักรบไวกิ้ง สาว เทพเจ้าทอร์ยักษ์ ไดโนเสาร์พูดได้ แถมต�ำรวจคู่หูที่มี หั ว เป็ น ไดโนเสาร์ พั น ธุ ์ ไ ตรเซอราท็ อ ปส์ เ พื่ อ ร่ ว มกั น ก� ำ จั ด
กองทัพกังฟูร่ัวด้วย (อะไรของเมิงงงง......) อย่างที่กล่าวไปตอนต้นว่า นอกจากพล็อตเรื่องที่บู๊ ระห�่ำ รั่วได้โล่ เพี้ยนหน้าตายเป็นระยะ ดูได้เรื่อยๆ แบบไม่ ต้องคิดมาก อีกอย่างที่ควรพูดถึงคือ องค์ประกอบทุกอย่าง ในหนั ง มี ก ลิ่ นอายแบบยุ ค แปดศู นย์ เ ต็ ม ๆ และหยิ บ เอาจุ ด เล็ ก จุ ดน้ อ ยจากยุ ค นั้ นมาใส่ เ ป็ นสี สั น (และเป็ น โทนหลั ก ของหนั ง เรื่ อ งนี้ ) ในตั วหนั ง ก็ มี ก ารหยิ บเอาสไตล์ โ ฆษณา การ์ตูน โทนสี การพูด ลีลา ท่าทาง การจัดแสงแบบหนังยุค 80 มาใช้แบบเพียวๆ ไล่มาจนถึงเพลงประกอบ มิวสิควีดีโอ หนังตัวอย่าง โปสเตอร์ แผ่นเสียง (ไม่ท�ำม้วนวีดีโอ VHS ด้วยเลยล่ะ) ไม่น่าเชื่อ ว่าแค่กรีนสกรีน (Green screen) ง่อยๆ กับกล้อง DSLR นี่ท�ำได้ขนาดนี้เชียวหรือ! ด้วยความแปลกใหม่ของเนือ้ หา การหยิบเอายุค 80 มาล้อ เล่ นอย่ า งถึ ง แก่ น จึ ง ท� ำ ให้ ห นั ง คั ล ท์ เ รื่ อ งนี้ เ ป็ นภาพยนตร์ ไม่กี่เรื่องใน Kickstarter ที่ระดมทุนได้เกินเป้าหมาย เป็น ที่ พู ด ถึ ง ในโลกโซเชี ย ล และแถมยั ง ได้ ฉ ายในเทศกาลหนั ง เมืองคานส์อีกต่างหาก!
READ ME ชื่อบทความ:
Consumer Review: 5+1 นิตยสารฟรี ก๊อบปี้ที่ผมหยุดอ่านไม่ได้ (2558)
สถานะ: เผยแพร่ในบล็อก oknation
ในช่ ว ง 5-6 ปี ที่ ผ ่ า นมาผมถื อ ว่ า เป็ น ยุ ค ทองของ คนอ่ า นนิ ต ยสารอย่ า งผมเลยที เ ดี ย ว เพราะการมาของ นิตยสารแจกฟรี หรือที่เรียกกันว่า Free Copy หลายเจ้า ลงมาเล่ นตลาดนี้ กั นอย่ า งคึ ก คั ก ตลาดนิ ตยสารเดิ ม ก็ เริ่ ม ท� ำ นิ ต ยสารแจกฟรี กั น อย่ า งล้ น หลาม และหลากหลาย มากกว่านิตยสารขายปกติที่หวังผลกลุ่มลูกค้าชัดเจน แต่ใน ฟรีกอ๊ บปีจ้ ะเป็นอะไรทีเ่ ฉพาะทางมากขึน้ มีเนือ้ หาหลากหลาย ผมเลยพลอยกลายเป็ น นั ก เก็ บ ฟรี ก ๊ อ บปี ้ ไ ปโดย ปริยาย อาการหนักถึงขั้นว่าเห็นฟรีก๊อบปี้แวบๆ ไม่ได้ ต้อง เดินไปหยิบ แม้ว่าจะเดินเลยจุดแจกมาไกลแล้ว และผม เคยนั่ง BTS ไปไล่เก็บฟรีก๊อบปี้แถวสยามโดยเฉพาะแบบ ไม่ท�ำอย่างอื่นด้วยนะ แต่ผมคิดว่าผมว่ามีความสุขดีแม้จะ ไร้สาระไปหน่อยก็เถอะ อย่าเห็นวางไว้ก็แล้วกัน หยิบหมด! และก็ ส ่ ง ผลให้ ผ มกลายเป็ น นั ก อ่ า นฟรี ก ๊ อ บปี ้ ไ ป โดยปริ ย าย ซึ่ ง หมายรวมถึ ง ฉบั บออนไลน์ ทั้ ง มนเว็ บ และ ตามแอพลิเคชั่น เช่น Ookbee, Truebook ด้วยนะครับ ส่วนนิตยสารซื้อก็อ่านบ้างตามก�ำลังเงิน แต่น้อยลงอย่างมี นัยยะส�ำคัญ ถ้าเป็นคนที่ใช้ชีวิตในเมืองจะเข้าใจได้ว่าฟรี ก๊อบปี้เป็นส่วนหนึ่งของการอ่านในชีวิตไปแล้ว ตอนเช้าๆ คงเห็นใช่มั้ยครับว่าคนกวาดขยะ คนขับรถเมล์ แม่ค้า พ่อ ครัว มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ยังอ่านหนังสือพิมพ์ฟรีรายวันเลย ครับ เจ้าใหญ่สุดคือ M2F เจ้ารองก็คือ New108 ผมกล้า พูดเลยว่า กรุงเทพฯ นี่มันสวรรค์ของฟรีก็อบปี้ชัดๆ!
ผมเลยอยากจะเขียนรีวิวแบบ CR หรือ Consumer Review ให้ฟรีก๊อบปี้บ้างครับ โดยคัดเลือก 6 นิตยสารแจก ฟรีที่ผมอ่านเป็นประจ�ำทั้งรายสัปดาห์ รายเดือน รายสอง เดือน มารีวิว แต่อย่าหวังว่าผมจะมาช�ำแหละสเปก เหมือน รีวิวมือถือนะครับ เอาแค่จุดเด่นๆ ของนิตยสารนั้นๆ ก็พอ ส่วนท่านผู้อ่านจะชอบหรือไม่ก็ไปหาอ่านกันเอาเอง ก็แหง ละ มันฟรีนี่นา! 1. Advertising Newspaper สถานะในปัจจุบัน ยังมีอยู่ แต่ไม่เคยหยิบทัน อาศัย อ่านออนไลน์เอา ไม่เคยมีและเห็นฉบับกระดาษเลยด้วยซ�้ำ เกี่ยวกับ เรื่องราวเกี่ยวกับวงการโฆษณา สัมภาษณ์ คนวงใน และเบื้องหลังงานโฆษณาโดนๆ แบบเข้มข้นจาก คนวงการโฆษณา รายสองเดือน รูปแบบ ไม่ตายตัว ไม่เคยมีฉบับไหนที่เหมือนกัน เลย นอกจากจะท�ำตัวเป็นหนังสือพิมพ์ สไตล์กึ่งท�ำมือแบบ ไม่เรียบร้อย มีรอยปากกาขีดทับเป็นระยะ มีรอยเขียนรอย แก้อะไรไม่รู้เต็มไปหมด บางทีมีรอยไหม้ บางทีก็มีสติ๊กเก อร์ปลอมๆ มาแปะทับ บางทีก็มีรอยไหม้ รอยยับ นานๆ ที จะเห็นท�ำปกพิเศษแบบอลังการ ซึ่งก็นั่นแหละ-อย่าหวังว่า ผมจะหยิบทัน วางแจกที่ บริษัทโฆษณา สถานที่เท่ๆ หน่อย โป รดักชั่นเฮาส์ชื่อดัง โค-เวิร์คกิ้งสเปซ หรือสมัครสมาชิก 6 ฉบับ ปีละ 300 ให้มาประเคนถึงบ้านก็คุ้มอยู่นะ สามารถ หาอ่านออนไลน์ได้ที่เว็บ ISSUE แนะน� ำ คอลั ม น์ เ ด็ ด ไม่ มี ค อลั ม น์ แต่ มี บ ทความ ที่ เ ปิ ด เผยเบื้ อ งหลั ง งานโฆษณาโดนๆ เรี ย กว่ า เปิ ด เผย จากแก่ น ไอเดี ย จนไปถึ ง ขั้ น ตอนการผลิ ต เลยที เ ดี ย ว รวม ไปถึงบทสั มภาษณ์ ค นในวงการโฆษณาเจ๋งๆ ตบท้ า ยด้ วย บทความเกี่ ย วกั บ วงการโฆษณา การตลาด เทรนด์ การ ออกแบบ ชนิ ด ที่ อ ่ า นสองเดื อ นก็ ไ ม่ ห มด
2-3. a day BULLETIN และ a day BULLETIN LIFE สถานะในปั จ จุ บั น จั ด เป็ น ฟรี ก ๊ อ บปี ้ ย อดฮิ ต ที่ ห า หยิ บยากแม้ จุด แจกจะเยอะมากๆ เพราะหยิ บกั น เยอะจน บางครั้งถ้าเผลอๆ ก็หยิบไม่ทัน เกี่ยวกับ adB ออกทุกวันจันทร์ เสนอไลฟ์สไตล์ แบบคนเมือง ข่าว ข้อมูล เรื่องราวในกระแสปัจจุบัน พร้อม บทสัมภาษณ์แบบเข้มข้น adBLIFE ออกทุกวันศุกร์ เสนอ ไลฟ์สไตล์ รสนิยม การใช้ชีวิตแบบสบายๆ ผ่อนคลายกว่า เล่ ม แรก เน้ นรู ปสวยๆ สั ม ภาษณ์ บุคคลที่ มี ไ ลฟ์ ส ไตล์ และ รสนิยมแตกต่างหลากหลายกันไป รู ป แบบ adB เพิ่ ง เปลี่ ย นเลย์ เ อาท์ (รู ป แบบของ นิ ต ยสาร) เมื่อครบรอบเจ็ดปีไปไม่นานมานี้ ดูเป็นผู้ใหญ่ มากขึ้ น เรี ย บร้ อ ยมากขึ้ น แถมมี ค อลั ม น์ ใ หม่ 4 คอลั ม น์ หมุ นเวี ย นกั นไปในแต่ ล ะสั ปดาห์ เหมาะกั บการอ่ านในวั น ท� ำ งาน adBLIFE เลย์เอาท์เรียบง่าย สะอาดกว่าเล่มแรก เนื้อหาน้อยๆ เน้นรูปมากว่าค�ำ เหมาะกับการอ่านในวันหยุ ดมากๆ แต่ทั้งคู่มีจุดเด่นที่ไม่แพ้คอลัมน์คือบทบรรณาธิการ โดยวิ ไ ลรั ต น์ เอมเอี่ ย ม ที่ เ ขี ย นได้ ดี เ ยี่ ย ม อ่ า นสนุ ก ปลุ ก ความคิ ด และยั ง มี อี เ วนท์ ที่ จั ด ขึ้ น ทุ ก ปี ที่ เ รี ย กกั น ว่ า Interview day อี ก ต่ า งหาก วางแจกที่ BTS/MRT ร้านกาแฟ สตาร์บัคส์ ร้าน อาหาร สถานที่ส�ำคัญ ร้านหนังสือ และอีกมากมาย หรือ สมัครสมาชิกปีละ 800 บาท สมัครแบบคู่กัน 1,600 สมัคร ได้ง่ายๆ ที่ godaypoets.com แนะน�ำคอลัมน์เด็ด adB - Interview สัมภาษณ์บุคคลที่น่าสนใจแบบ เข้มข้น (เพราะหน้าเยอะมาก) อ่านสะใจไปเลย GOOD NEWS ข่าวที่น่าสนใจรอบโลกในรอบสัปดาห์ และที่ส�ำคัญคือ มีแต่ข่าวดีล้วนๆ อ่านแล้วเพลินใจดี adBLIFE – SUPERMARKET คอลัมน์รวมวัตถุดิบ ท�ำอาหาร เสนอด้วยภาพถ่ายสวยๆ เน้นๆ ทั้งใกล้และไกล ตั ว ในคอนเซปท์ เ ดี ย วกั น เรี ย บง่ า ยแต่ ดู แ พง อ่ า นแล้ ว ได้ ความรู้เรื่องอาหารขึ้นจม
>>>
>>> THE 5IVE 5 สิ่งทั้งหนัง เพลง หนังสือที่เป็น เกี่ยวกับ ธุรกิจ การตลาด ที่เน้นไปที่ SME และ ที่รักของบุ ค คลที่ มีชื่ อ เสียง บางทีก็นึก ครื้มใจเมื่อ ศิ ล ปิ นที่ กลุ่มธุรกิจ Startup ที่ก�ำลังบูมไปทั่วโลก เพราะฉะนั้น เราชอบชอบหนัง เพลง หนังสือเหมือนกัน เนื้อหาในเล่มจึงไม่ใช่เนื้อหาธุรกิจแบบชวนปวดหัว แต่เป็น นิตยสารธุรกิจที่น�ำเสนอเนื้อหาส�ำหรับผู้ที่ท�ำธุรกิจ และที่ 4. GMBiZ ก�ำลังอยากจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ทิปส์เล็กๆ น้อยๆ และ ที่ส�ำคัญมีสัมภาษณ์ใหญ่เจ้าของกิจการ SME หลายเจ้าที่ สถานะในปัจจุบัน เป็นฟรีก๊อบปี้ที่หาอ่านออนไลน์ มี ชื่ อ เสี ย งด้ วย ท� ำ เป็ นเล่ นไป ดารา นั ก ร้ อ ง นั กแสดง นั ก ค่อนข้างง่าย และมีแอพเป็นของตัวเองโดยเฉพาะ หรือจะ ธุรกิจหลายคนเคยขึ้นปกนี้มาแล้ว ล่าสุดก็อนันดา เอเวอริ่ง หาอ่านในแอพ GM ก็มีเหมือนกัน นี่คือนิตยสารธุรกิจ การ แฮมที่มีปกสองแบบไง ตลาด การเงิน ที่อ่านง่ายและดูดี ที่ส�ำคัญคือ นิตยสารฉบับ รูปแบบ รูปแบบเรียบง่าย แต่ไม่ซีเรียส เน้นไปที่บท นี้ เ คยมี อ.ธั น ยวั ช ร์ ไชยตระกู ล ชั ย กรรมการขาโหดแห่ ง สัมภาษณ์และบทความ มีอินโฟกราฟิกด้วย บวกไอที ไลฟ์ SME ตี แ ตกเป็ น อดี ต บรรณาธิ ก ารด้ ว ยนะ! สไตล์ ท่องเที่ยว สุขภาพ การเงิน การตลาด แรงบันดาลใจ เกี่ยวกับ ธุรกิจ การลงทุน การตลาด รวมไปถึงการ เพียบ ท�ำงาน เทรนด์ เทคโนโลยี น�ำเสนอด้วยวิธีแบบ GM เรียบ วางแจกที่ แอร์ พ อร์ ตลิ ง ค์ ห ลายสถานี หรื อ โหลด ง่ายแต่เท่ อ่ า นได้ ที่ www.smethailandclub.com/smestartup รูปแบบ หลังจากครบรอบ 5 ปี ก็เปลี่ยนเลย์เอาท์ หรื อ ไม่ ก็ ส มั ค รสมาชิ ก รายปี 350 บาท ไม่ แ พงแฮะ... ให้ดูมีร ะเบี ย บมากขึ้ น ดูจ ริงจังมากกว่าเดิม เนื้อ หาเยอะ แนะน� ำ คอลั ม น์ เ ด็ ด Self-Employed คอลั ม น์ กว่า เดิ ม สั ม ภาษณ์ เ จ้ า ของกิ จ การที่ หั น มาเป็ น เจ้ า นายตั ว เอง วางแจกที่ ร้านกาแฟ ร้านอาหาร สถานที่ ส� ำ คั ญ เน้ น ไปที่ ผ ลิ ต ภั ณ ฑ์ ที่ ใ ส่ ค วามคิ ด สร้ า งสรรค์ ล งไปด้ ว ย ร้า นหนั ง สื อ ฯลฯ หรือหาอ่านออนไลน์ไ ด้ที่แอพ Ookbee , เพี ย บอี ก แล้ ว ส่ ว นตั ว ผมอ่ า นเล่ ม ชนเล่ ม ทุ ก ที เ ลย เพราะ GM Group, GMBiz ว่ า มั น เพี ย บ.... แนะน�ำคอลัมน์เด็ด A to Z คอลัมน์ขนาดสองหน้า ว่า ด้ว ยเรื่ อ งเทรนด์ ใ นรอบเดือน เน้นเรื่องเทคโนโลยี เ ยอะ 6. ซูเปอร์จิ๋ว แมกกาซีน หน่อย น�ำเสนอด้วยการน�ำมาเรียงตามล�ำดับอักษร เนื้อหา สั้น อ่านง่าย ทันโลก ดูดีและดูแพง สถานะในปั จ จุ บั น ไม่ เ คยอ่ า นฉบั บ กระดาษเลย อ่ า นออนไลน์ อ ย่ า งเดี ย ว นิ ต ยสารจากรายการเด็ กที่ มี อ ายุ 5. SME STARTUP ยาวนานที่ สุ ด กลายมาเป็ นฟรี ก ๊ อ บปี ้ ในชื่ อ เดี ย วกั น ซึ่ ง เป็ น ผลจากการท�ำวิจัยมากว่าสองปี กลายเป็นนิตยสารส�ำหรับ สถานะในปั จ จุ บั น ใครใช้ บ ริ ก ารแอร์ พ อร์ ต ลิ ง ค์ เด็กและครอบครัวที่สมบูรณ์แบบที่สุดฉบับหนึ่งเลยก็ว่าได้ บ่ อ ยๆ คงได้ เ จอกั บ ฟรี ก ๊ อ บปี ้ เ ล่ ม นี้ ผมใช้ บ ่ อ ยก็ เ ลยได้ ท�ำเป็นเล่นไป ปีแรกๆ ดาราดังๆ ตบเท้ามาเป็นปกหลาย หยิ บ บ่ อ ย ก็ เ ลยได้ อ ่ า นบ่ อ ย พออ่ า นแล้ ว ยอมรั บ เลยว่ า คนเชียว ตั้งแต่ บอย ปกรณ์ เจมส์ จิรายุ ใหม่ ดาวิกา บี้ จากคนที่ ไ ม่ เ คยคิ ด จะท� ำ ธุ ร กิ จ เลยอย่ า งผม พอเจอเล่ ม เดอะสตาร์ ตุ๊กกี้ ชิงร้อย โหน่ง ชะชะช่า แม้แต่พี่ซุปเองก็ นี้ ไ ปเท่ า นั้ น แหละ คิ ด เลย ที่ ส� ำ คั ญ ได้ ยิ น แว่ ว ๆ ว่ า ตั้ ง แต่ เคยขึ้นปกมาแล้ว ปีหลังๆ เริ่มเปลี่ยนทาง เอาตัวการ์ตูน ตุ ล าคมนี้ จะปรั บ จากรายเดื อ นเป็ น รายปั ก ษ์ (ทุ ก 15 ขวัญใจเด็กๆ ดังๆ มาขึ้นปกมากมาย ตั้งแต่โดเรมอน บักส์ วั น ) ด้ ว ย! อ่ า นไม่ ทั น แล้ ว ววว..... บันนี่ โคนัน โคนี่ มาหมด!
เกี่ยวกับ เนื้อหาเกี่ยวกับทุกสิ่งที่เด็กและเยาวชนอยาก รู้ เรียกว่ามีครบเหมือนกันนะ ตั้งแต่ความรู้ในต�ำรา นอกต�ำรา รวมไปถึงพฤติกรรม สังคม สิ่งแวดล้อม มีเนื้อหาเกี่ยวกับพ่อ แม่เพื่อการเลี้ยงลูกที่ดีด้วย มีการ์ตูนและเกมแทรกเป็นระยะๆ เป็นฟรีก๊อบปี้ที่อ่านเหนื่อยมาก เพราะหน้าเยอะมากๆๆๆ รูปแบบ สังเกตว่ามีการใช้ภาพประกอบจากนักวาด ภาพประกอบฝีมือดี แนวน่ารักที่เหมาะกับเด็กๆ หลายคน แถมแทรกไว้ ต ามหน้ า ต่ า งๆ ด้ ว ย มี เ กมและการ์ ตู น ค่ อ น ข้ า งเยอะ วางแจกที่ สตาร์บัคส์ (อีก แล้ว) เซ็นทรัล โรงเรี ย น กวดวิช าหลายแหล่ ง ศูนย์ห นังสือจุฬาฯ สมัครสมาชิ ก ปี ละ 600 บาท หรื อ โหลดออนไลน์ไ ด้ที่เ ฟสบุ๊ค “ซู เ ปอร์ จิ๋ว แมกกาซี น ” และแอพ Ookbee แนะน�ำคอลัมน์เด็ด ถามปุ๊บ ซุปตอบ คอลัมน์ถามตอบ สไตล์ “คุยกับประภาส” ที่เด็กๆ จะเมลมาถามพี่ซุปเกี่ยวกับ เรื่องราวต่างๆ ประเภทว่า ท�ำไมหนูอ่านหนังสือแล้วไม่เข้าใจ ท�ำไมพ่อแม่ไม่ให้กินขนม ท�ำไมเพื่อนๆ ชอบล้อหนูที่โรงเรียน หรือประเภทว่าลูกขนไก่ท�ำมาจากอะไร พี่ซุปยินดีตอบด้วยตัว เองทุกฉบับ อ่านแล้วก็ได้แต่คิดว่า เออ ท�ำไมไม่มีอะไรแบบนี้ ตอนที่เราเด็กๆ บ้างว้า... จริงๆ ยังมีฟรีก๊อบปี้อีกหลายหัวที่ผมอ่านแต่ไม่ได้ พูดถึ งนะค รั บ เช ่ น คิ ด (Crea tiv e Tha il and ), 2 4 7 , Hattrick, Giraffe, Tamago, DON’T journal เป็นต้น ซึ่งถ้ารีวิวคงจะยาวเกินไป และรีวิวที่ท่านได้อ่าน ไปคงไม่ ใ ช่ ก ารเชิ ญ ชวนให้ไปอ่าน เพราะสุดท้ายแล้ วใคร ใคร่จ ะอ่ า นอะไรก็ อ ่ านเถอะครับ การอ่านมันดีส�ำ หรั บทุ ก คนนั้น แหละ แต่ ใ ครที่ยังไม่ก ล้าหยิบฟรีก ๊อบปี้ แนะน� ำ ให้ ลองหยิ บ ดู น ะครั บ แล้วคุณ จะกลายเป็นคนบ้าฟรี ก ๊ อ บปี ้ เหมือนผม
READ ME ชื่อบทความ:
10 เรื่องที่ (ไม่) ต้องรู้ก็ได้เกี่ยวกับปกนิตยสาร (2558)
สถานะ: เผยแพร่ในบล็อก oknation
แม้วา่ คุณค่าแท้ปกของนิตยสารคือการปกป้องกระดาษ เนื้อใน (ที่ใช้กระดาษที่บางกว่า) เพื่อรักษาทั้งตัวกระดาษ รูปภาพ และข้อความทัง้ หมดให้อยูใ่ นสภาพทีเ่ รียบร้อย แต่นนั่ มันเรือ่ งในอดีตครับ ปฎิเสธไม่ได้แล้วว่า ทุกวันนีน้ ติ ยสารหนึง่ เล่ม จุดชี้ขาดที่จะท�ำให้คนอ่านซื้อหรือไม่ซื้อก็อยู่ที่ปกซะเป็น ส่วนใหญ่ เพราะผูอ้ า่ นส่วนใหญ่มกั จะเลือกหยิบนิตยสารทีม่ ภี าพ สวย และถูกใจตนเองก่อน จากนั้นจึงจะกวาดสายตาไปที่พาด หัว ว่ามีเนือ้ หาทีอ่ ยูใ่ นความสนใจหรือไม่ 10 ข้อต่อไปนี้เป็นเรื่องที่จริงๆ แล้วคนอ่านแทบจะไม่ ต้องรู้เรื่องด้วยซ�้ำหากท่านไม่ใช่คนท�ำงานนิตยสาร แต่ส�ำหรับ ผมและผู้คนที่ท�ำนิตยสาร เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ควรสนใจใคร่ รู้ไว้ก็ไม่เสียหายนะครับ ผมเชื่อว่าจะท�ำให้หน้าปกนิตยสาร ที่ท่านท�ำอยู่ดูดีข้ึนไม่มากก็น้อย ส่วนท่านผู้อ่านก็น่าจะได้ ประโยชน์บา้ งในแง่ของการออกแบบ ซึง่ เอาไปปรับใช้กบั งานอย่าง อืน่ ได้สารพัดอย่าง 1. คนดังคนไม่ดังไม่ใช่ประเด็น ประเด็ น อยู ่ ที่ ว ่ า ส� ำ คั ญ มากพอที่ จ ะเอามาขึ้ น ปก หรื อ เปล่ า ซึ่ ง ความส� ำ คั ญ ในที่ นี้ ผ มหมายถึ ง ว่ า เรื่ อ งราว ของบุ ค คลนั้ น เป็ น บุ ค คลที่ ก องบรรณาธิ ก ารเลื อ กสรรมา แล้ ว ว่ า มี คุ ณ ค่ า เรื่ อ งราวนั้ น มี ป ระโยชน์ ต ่ อ คนอ่ า น บาง คนก็ เ ป็ น แรงบั น ดาลใจในการท� ำ สิ่ ง ที่ ดี ๆ
แม้ ว ่ า ความเป็ น คนไม่ ดั ง จะเสี ย เปรี ย บคนดั ง ตรงที่ ไม่ดึงดูดให้หยิบจับตั้งแต่แรกเห็น แต่ก็ต้องใส่ใจด้วยว่านี่คือ นิตยสารนะครับ ซึ่งไม่ใช่ภาพข่าว ไม่ได้ต้องการเล่าเรื่องที่ ชัดเจนและเล่าเรื่องสมบูรณ์จบในภาพๆ เดียวแบบภาพข่าว เพราะเดี๋ยวคนอ่านก็พลิกไปอ่านได้ถ้าสนใจจริงๆ ถึงแม้ไม่ใช่คนดังก็จริง แต่ถ้าเขาหรือเธอส�ำคัญต่อ การน�ำเสนอเนื้อหาบนหน้ากระดาษ ก็ต้องมีวิธีการในการน�ำ เสนอภาพคนๆ นั้นให้ส�ำคัญมากขึ้นด้วย ถ้าจะให้ผมแนะน�ำ คือ ให้ถ่ายภาพอย่างประณีต และลงรูป ใส่ Cover line อย่าง เหมาะสมที่จะอธิบายว่า คนคนนั้นเป็นใคร ท�ำอะไร โดยไม่ ต้องใส่กราฟิกรุงรัง 2. สร้ า งภาพจ� ำ ให้ ไ ด้ อยากจะแหกคอกค่ อ ย ว่ า กั น ที ห ลั ง การที่จะท�ำให้คนอ่านขาจร จากที่เคยยืนอ่านฟรีให้ซื้อ หรือหยิบในกรณีแจกฟรีได้ส�ำเร็จ ส่วนหนึ่งก็คือการมีภาพจ�ำ ครับ การออกแบบปกให้อยู่ในกลุ่มของรูปแบบ มันจะกลาย เป็นเอกลักษณ์ที่คนอ่านจะจ�ำได้ และไม่เผลอซื้อผิดกรณีที่ปก นิตยสารดันออกแบบมาคล้ายๆ กัน หรือเล่นเรื่องในฉบับนั้นๆ คล้ายกัน นิตยสารบางเล่ม (โดยเฉพาะทีเ่ พิง่ ออกมาไม่นาน) บางทีก็ เปลีย่ นรูปแบบของหน้าปกเป็นว่าเล่น เดีย๋ วเปลีย่ นหัวบ้าง เดี๋ยว เปลี่ยนฟอนต์บ้าง โน่นนิดนี่หน่อย ในที่สุดก็ไม่มีอะไรเป็น เอกลักษณ์ซักอย่าง ไม่ได้พิจารณาเลยว่าไอ้ปกที่ออกแบบมา ตั้งแต่ฉบับแรกน่ะ คนอ่านจ�ำได้หรือยัง ซึ่งก่อนที่นิตยสาร จะออกฉบับแรก มักมีการออกแบบปกไว้หลายๆ แบบจน อาร์ตไดฯ มือหงิก จนเมื่อแน่แก่ใจแล้วว่าจะเอารูปแบบนี้ แปลว่านิตยสารนั้นจะไม่ต้องเปลี่ยนรูปแบบอีกแล้ว ซึง่ ถ้าเล่มไหนทีไ่ ม่เปลีย่ นเลยตัง้ แต่อดีต หรือเปลีย่ นแค่ เล็กๆ น้อยๆ ไปเรือ่ ยๆ แสดงว่านิตยสารนัน้ ได้ผา่ นการคิดเรือ่ ง การออกแบบมาค่อนข้างดีแล้ว แต่ถา้ เกิดมีการเปลีย่ นหัวบ้าง วิธกี ารจัดวางบ้าง ฟอนต์ บ้างอยูต่ ลอด แสดงว่ารูปแบบทีอ่ อกแบบมานัน้ ยังไม่ลงตัว (เสียที) ท�ำให้คนอ่านหยิบผิด หรือบางทีกห็ าไม่เจอ ของแบบนีเ้ ป็นไปได้ นะครับ เพราะนิตยสารก็มเี ป็นร้อยๆ ทีค่ ล้ายๆ กันก็พอมีอยู่ และ จะดีทสี่ ดุ ถ้าคิดเผือ่ ว่า ด้วยปกแบบนีจ้ ะสามารถเล่นอะไรได้บา้ ง ในอนาคต เผือ่ บางเล่มทีอ่ ยากจะเปลีย่ นรูปแบบบ้างแก้เบือ่ อย่าง น้อยคนอ่านก็ยงั พอจับทางได้วา่ นิตยสารหัวนีเ้ ป็นหัวเดิมนะ แต่เพิม่ ลูกเล่นทีเ่ ป็นเอกลั ก ษณ์ เ ฉพาะของแต่ ล ะฉบั บ ๆ ไป
3. ภาพถ่ายดีกว่ากราฟิกเสมอ เว้นเสียแต่ว่ากราฟิก นั้นจะโคตรสวย และโคตรสื่อ ภาพถ่ายที่ถูกต้องตามหลักงานวารสารศาสตร์นั้นได้ เปรียบกว่างานกราฟิกครับ เพราะภาพมันสื่อความได้ชัดเจน เห็นแล้วรู้เลย ได้เห็นภาพที่จริงกว่ากราฟิก และงานกราฟิก ไม่สามารถวาดออกมาได้เหมือนจริงเป๊ะๆ 100% ถ้าวาดหน้า นางแบบท�ำได้ก็แค่คล้ายๆ ที่ผมเคยเห็นมาก็มักจะเป็นการน�ำ เอากราฟิกมาช่วยเหลือรูปถ่ายให้ดูดีขึ้นซะมากกว่า ในขณะที่ ภาพไหนสวยจัดๆ และสื่อแบบชัดๆ ภาพเดียวก็เอาอยู่ แต่กอ็ ย่าได้ประมาทกราฟิกนะครับ ในกรณีทภี่ าพถ่ายไม่ ท�ำงาน คือไม่สามารถดึงดูดหรือมีภาพจ�ำทีช่ ดั เจน บางปกเลยต้อง ใช้กราฟิกล้วนๆ ได้ในเงือ่ นไขทีว่ า่ 1. ต้องสวย สร้างสรรค์ แปลก ใหม่ และสามารถจัดวางองค์ประกอบได้ถกู ต้องเหมาะสม เพราะ นิตยสารมีขอ้ จ�ำกัดคือ ต้องมีหวั นิตยสาร มี Cover line มีสพี นื้ มี บาร์โค้ดราคา มีปา้ ยนูน่ นัน่ นีอ่ กี ถ้าจะใช้กราฟิก จะต้องค�ำนึงเรือ่ ง พวกนีไ้ ว้เสมอ และในแง่ของการตลาด ก็ตอ้ งมีบางสิง่ ทีเ่ ป็นจุดเด่น อาจจะเป็นสี เทคนิคการพิมพ์ หรือการจัดวางองค์ประกอบ เพราะ อย่าลืมว่านิตยสารของเราต้องเอาไปวางขายรวมๆ กับนิตยสารอีก ร้อยกว่าหัว 2. ต้องสื่อ คือ กราฟิกของเราต้องสื่อสารไปถึงคน อ่านให้ได้ด้วยว่าจะพูดเรื่องอะไร ท�ำไมจะต้องเป็นรูปนี้ ผม ยกตัวอย่างง่ายๆ ว่า ถ้าเราท�ำนิตยสารเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และไอที แต่เอารูปกราฟิกผู้หญิงที่วาดใน Adobe Illustrator มาลง ถ้าฉบับนั้นเป็นเรื่อง “การวาดภาพบุคคลด้วย โปรแกรมกราฟิก” ก็ยังโอเค แต่ถ้าเป็นเรื่อง การปลูกพืชเมือง หนาว เห็นแล้วก็ได้แต่ถามว่ามันเกี่ยวกันตรงไหนว้า... แล้ว ไม่เกี่ยวกับว่างานกราฟิกของเราจะนามธรรมขนาดไหนด้วย นะครับ ถ้ามันสวยและสื่อก็ถือว่าใช้ได้ เพราะถ้าเอาแต่สวย อย่างเดียว งานกราฟิกก็กลายเป็นภาพวาดอะไรซักอย่างที่ดู ไม่รู้เรื่อง มีแต่คนออกแบบนั่นแหละที่ดูรู้เรื่อง 4. รกก็ได้ โล่งก็ดี แต่อย่าลืมกริด โดยส่วนตัวผมจะชอบอะไรที่น้อยๆ เน้นๆ แต่ผม ก็ หลงใหลในความเฉพาะตัวของนิตยสารญี่ปุ่นที่มักจะดูรกหู รกตา ยุ่บยั่บเต็มไปด้วยตัวอักษรยึกยือที่อ่านไม่ออก ซึ่งเต็ม ไปด้วยเสน่ห์และเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่สังเกตดูดีๆ ครับ ว่า แต่ละปกนั้นไม่ได้ออกแบบมามั่วๆ ส่งเดชนะครับ
>>>
>>> ไม่เชื่อลองหานิตยสารญี่ปุ่นมาซักฉบับ แล้วลองลาก เส้นใต้ค�ำทุกค�ำที่ปรากฏในปกให้เป็นเส้นแนวนอน โดยให้ลาก จนสุดซ้ายและขวาทั้งสองด้าน แล้วเปลี่ยนมาลากเส้นแนวตัง้ จากตัวอักษรแรก และตัวอักษรสุดท้ายในประโยคให้สดุ แนวบน ล่างของปก เราจะได้ตารางขึ้นมาอันหนึ่ง เรียกว่า “กริด” (Grid) ที่เป็นหัวใจของงานออกแบบทุกชนิด กริ ด ท� ำ ให้ ง านออกแบบของเรามี ร ะบบระเบี ย บที่ ชัดเจน สามารถจัดการกับทุกสิ่งที่อยู่บนปกได้อย่างง่ายดาย และลงตัว และท�ำให้ดูเป็นระเบียบสบายตา ไม่เกะกะและไม่ ท�ำให้ตัวอักษรอ่านยากเพราะประโยคพันกันวุ่นวาย ซึ่งกริด นั้นก็ไม่ได้ตายตัวนะครับว่าทุกฉบับจะต้องเหมือนกัน หรือต้อง เท่ากันเป๊ะๆ อาจจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามแต่ที่อาร์ตไดเร็ก เตอร์จะคิดออกแบบ 5. หัวนิตยสาร ไม่ส�ำคัญเล็กใหญ่ อ่านง่ายไว้เป็นดี และจะต้องเด่นด้วย นิตยสารทีม่ ปี ญ ั หาเรือ่ งหัวนิตยสาร คืออ่านยาก ไม่เด่น บางฉบับทีต่ อ้ งไดคัตนายแบบหรือนางแบบ เพือ่ ให้ทบั อยูด่ า้ นหน้าของหัวนิตยสารก็จบเห่ อ่านไม่ออกไปเลย บางครัง้ ก็เห็นนิตยสารบางหัวลงทุนปัม๊ ฟลอยด์เงิน ฟลอยด์ทอง เพือ่ ให้เด่นชัดด้วยซ�ำ้ การออกแบบหัวนิตยสารจะต้องศึกษาราย ละเอียดดังนี้ - ชื่อนิตยสารถ้าสั้นๆ ตัวอักษรน้อยๆ มักใช้ตัวใหญ่ๆ เช่น GM,FHM,CLEO,อสท,สารคดี เป็นต้น - ถ้าจะใช้แบบเล็กๆ ก็ต้องมีแถบสีมารองรับ หรือ ท�ำให้เด่นขึ้น เช่น a day, - หรือไม่ก็แยกออกมาต่างหากจากภาพเลย เช่น a day BULLETIN, Kinfolk, Monocle - หรือถ้าเป็นตัวอักษรตัวเดียว วางพาดทั้งเล่มก็เท่ดี เช่น V magazine - ถ้าชื่อยาวๆ มักวางเป็นบรรทัดเดียวหรือสองบรรทัด เช่น National Geographic, Science Illustrated - ลายมือก็สวยได้ถ้าวางให้ดีๆ เช่น Interview - ซ้าย กลาง ขวา บน กลาง ล่าง ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือ ถ้าจะวางต�ำแหน่งเดิมทุกฉบับ ก็ตอ้ งถ่ายภาพหรือค�ำนวณสัดส่วน ของภาพให้ดี ต้องเผือ่ ทีว่ า่ งไว้วางหัวนิตยสารให้พอเหมาะ ส่วนเล่ม ไหนทีไ่ ม่ตายตัว วางตรงไหนก็ได้ ก็ตอ้ งมาวางแผนอีกทีวา่ ได้ภาพ สไตล์ไหนมา จึงจะวางแผนว่าจะออกแบบได้มากน้อยแค่ไหน จะ เล่นกับอะไรได้บ้าง
6. คุมโทนสีให้อยู่หมัด คุ ม โทนสี ข องปกนิ ต ยสารให้ อ ยู ่ ใ นโทนสี ที่ ถู ก ต้ อ ง ตามหลักทฤษฎีสี ซึ่งสามารถศึกษาได้ในอินเทอร์เน็ต หรือ ถ้ามันยากไป เอาเป็นว่า คุมโทนสีระหว่างฟอนต์ หัวนิตยสาร (กรณีที่เปลี่ยนสีทุกฉบับ) กับภาพถ่ายให้สมดุล แต่ก็ต้องตัด กันมากพอทีจ่ ะท�ำให้อา่ นสะดวก และไม่เกะกะกันเอง หรือหาก ภาพถ่ า ยมี สี พื้ น สี เ ดี ย ว (ถ้านึกไม่ออกให้นึกภาพนายแบบ กับปกนิตยสาร GM ประมาณนั้นเลยครับ) ก็ต้องเลือกสีตัว อักษรให้ตัดกันอย่างน้อยไม่เกิน 3 สี เพราะถ้าเกินสามสี ก็ กลายเป็นสายรุ้งน่ะสิครับ! 7. ปกนิตยสารก็คือปกนิตยสาร ยุคประมาณ 5-10 ปีที่แล้วที่เป็นช่วงกระเตื้องของ นิตยสารไทย ท�ำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบ ปกอย่ า งหลากหลายตามที่ เ ทคนิ ค การพิ ม พ์ จ ะเอื้ อ อ� ำ นวย ก็มีบ้างเหมือนกันที่ออกแบบมาแล้วดูเกินไปหน่อย บ้างก็ปั๊ม เงินเพื่อให้ดูเป็นกระจกเงา (ซึ่งส่องแล้วไม่เห็นอะไรเลย) แพ็ก เกจซีดี การแปะของแถมกับปกด้วยกาวสองหน้า (ท�ำให้ปก ฉีกขาดเวลาแกะออก) กระดานเกม โปสการ์ด การไดคัท (ตัดหรือเจาะงานพิมพ์ตามบล็อกที่ออกแบบไว้ให้เป็นช่องหรือ ลวดลาย) หรือแม้แต่การออกแบบให้คนอ่านพับปกนิตยสาร เพื่อประโยชน์ใดๆ หรือท�ำเป็นรอยปรุเพื่อฉีกก็มี นอกจากจะ ไร้สาระ ท�ำให้นิตยสารเสื่อมสภาพเร็ว แล้วแถมยังใช้งานไม่ได้ จริงๆ อีกต่างหาก! 8. ปกที่แข็งไม่ได้แปลว่าเป็นปกที่ดี! จริงๆ หลักการนี้ผมเอามาจากหนังสือครับ เพราะว่า บางครั้งก็พบว่า นิตยสารบางเล่มเลือกกระดาษปกและเนื้อ ในไม่ค่อยเหมาะสม นิตยสารเลยดูไม่สวยไปเลย ปกหนังสือ ที่ดีจะสัมพันธ์กับกระดาษเนื้อใน คือถ้ากระดาษที่ใช้พิมพ์ เนื้อในอ่อนแกรมมากๆ กระดาษบางเฉียบ ปกก็ควรจะบาง ไปด้วย แต่ก็ต้องหนากว่าเนื้อในอยู่ดี ถ้าเป็นกระดาษปอนด์ ที่แกรมหนาๆ หน่อยๆ ปกก็น่าจะเป็นกระดาษอาร์ตที่แข็ง กว่าเล็กน้อย เพราะนิตยสารที่ปกแข็งเกินไป เท่าที่ผมเคย เจอ มักจะเปิดอ่านยาก และต้นทุนจะสูงผิดปกติ (แกรมเกรดของกระดาษแต่ละชนิดโดยคิดตามน�้ำหนักของกระดาษ 1 ตารางเมตร)
9. ฟอนต์และตัวอักษร หลักการง่ายๆ ของการออกแบบ Cover Line และ พาดหัวรองที่เรียกว่า Second cover line นั้นควรจะ อ่านง่ายอย่างที่มนุษย์พึงจะอ่านกันปกติ อย่าทะลึ่งบีบ บิด งอ ม้วน ยืดตัวอักษรให้เพี้ยนมากเกินความจ�ำเป็น เพราะ นั่ น หมายความว่ า คนอ่ า นจะต้ อ งพยายามอ่ า นมากกว่ า ตั ว อักษรทีอ่ อกแบบปกติ ซึง่ ขึน้ อยูก่ บั เนือ้ หาทีจ่ ะน�ำเสนอด้วยว่า โทนประมาณไหน ถ้าเรื่องซีเรียสก็ไม่ควรใช้ฟอนต์ดิสเพลย์ (ฟอนต์สวยๆ ที่เหมาะไว้ท�ำพาดหัว) ที่ไม่มีหัว และหรือมีลูก เล่นมากเกินไป ในขณะเดียวกันก็ต้องพิจารณาด้วยว่า อ่าน ออกมั้ย ดูเรียบง่ายลงตัวหรือไม่ และเหมาะสมกับเนื้อหา ที่เราจะน�ำเสนอหรือไม่ โดยข้อความใดๆ บนปกที่ไม่ใช่หัว นิตยสาร ไม่ควรจะชิงเด่นชิงดังกับภาพประกอบที่อยู่ด้านหน้า ควรวางไว้อย่างเหมาะสมที่คนอ่านเห็นง่าย สะดุดตา แต่ไม่ รกรุงรัง 10. ลงตัว ค�ำว่าลงตัวเป็นค�ำที่ ไม่สามารถยกตัวอย่างภาพได้แบบ ชัดเจน ทัง้ นีก้ ต็ อ้ งขึน้ อยูก่ บั ว่าใครชอบใครชมด้วยแหละครับ เพราะปกนิตยสารนัน้ ไม่ได้ตายตัวว่าจะต้องเป็นอย่างไร หรือแบบ ไหนอย่างถาวร ขึน้ อยูก่ บั ยุคสมัย นโยบายของนิตยสารหัวนัน้ ๆ บุคลิกท่าทางที่นิตยสารเล่มนั้นๆ ต้องการจะสื่อ ค�ำว่าลงตัว ส�ำหรับปกนิตยสารอาจหมายถึงการจัดวางทีพ่ อดี ไม่มากไม่นอ้ ย จนเกินไป เป็นระเบียบและอ่านง่าย สือ่ สารให้เห็นถึงบุคลิกของ นิตยสารและเนือ้ หาทีน่ ติ ยสารนัน้ จะน�ำเสนอ ดูไม่เชยจนเกินไป แต่ก็ไม่ล�้ำซะคนอ่านตามไม่ทัน ของแบบนี้มันอธิบายยากครับ เหมือนกับเวลาที่ได้สบตาหญิงสาวที่รัก แม้เพียงห้าวินาทีแต่ก็ จดจ�ำไปจนตาย อะไรประมาณนัน้ แหละครับทีเ่ รียกว่าลงตัว
MUSIC REVIEW ชื่อบทความ:
Radiohead และ U2 : ผู้ท�ำให้วงการดนตรี หวือหวาด้วยการแจกฟรี (2559)
สถานะ: เผยแพร่ใน storylog.co/push
- ขอออกตัวก่อนว่า จริงๆ ทั้งสองเรื่องนี้เป็นเรื่องเก่า แล้วละครับ เรียกว่าไปหาอ่านที่ไหนก็ได้ แต่ที่อยากจะเขียน เรื่องนี้ และอยากบันทึกสองเรื่องนี้ขมวดไว้ด้วยกันก็เพราะช่วง นี้เป็นเวลาที่ประจวบเหมาะ ที่วงดนตรีสุดรักของผม Radiohead ออกชุดใหม่ A Moon Shaped Pool และวงดนตรีมาก ฝีมือในต�ำนานอย่าง U2 ก็ก�ำลังทัวร์คอนเสิร์ตอย่างบ้าคลั่ง และก�ำลังจะออก DVD และ Blu-Ray บันทึกการแสดงสดที่ ฝรั่งเศสพอดี เลยอยากจะเขียนบันทึกสองเรื่องนี้ขมวดปมไว้ หน่อย ประกอบกั บว่ า ผมไม่ ไ ด้ พ บเห็ นความหวื อ หวาใน วงการดนตรีทั้งไทยและเทศมานานแล้ว เลยอยากจะเล่าเรื่อง “ความหวือหวา” สองเรื่องนี้ เผื่อว่าในอนาคต วงการดนตรีจะ ได้มีอะไรหวือหวาให้คนฟังเพลงอย่างเราๆ ได้หัวใจเต้นแรงกัน อีกครั้ง หวังว่านะ Radiohead - IN RAINBOWS : เรี ย นเชิ ญ ผู ้ มี จิ ต ศรั ท ธา - วันที่ 10 ตุลาคม 2007 คือวันวางจ�ำหน่ายวันแรก ของสตูดิโออัลบั้มที่ 7 ของวง Radiohead ในชื่ออัลบั้ม IN RAINBOWS เป็นอัลบั้มแรกที่ออกหลังจากสัญญาระหว่างวง กับค่ายใหญ่อย่าง EMI สิ้นสุดลง กลายเป็นวงดนตรีอิสระที่ เลือกที่จะไม่เซ็นสัญญากับค่ายไหน
- และเมื่อไม่ต้องแคร์ว่าค่ายใหญ่จะคิดอย่างไร จะต้อง เอาไปขายช่องทางไหนบ้าง จะได้รายได้เท่าไหร่ ประกอบกับ ว่า การขายเพลงทางดิจิตอล (และการขโมยเพลงทางดิจิตอล) ก�ำลังจะเริ่มบูมแล้วในสมัยนั้น ก็เลยตัดสินใจว่า โอเค เรามาให้ คนฟังตั้งราคากันเองเถอะนะ - อธิบายง่ายๆ ก็คือ ทางวงจะวางขายอัลบั้ม IN RAINBOWS ซึ่งมีเพลง 10 เพลงแรกจากอัลบั้ม วางขายในรูปแบ บดิจิตอลฟอร์แมท MP3 ผ่านทางเว็บไซท์ ในราคาที่คนฟัง สามารถตั้งเองได้ นั่นหมายความว่า ถ้าคุณมีบัตรเครดิตไว้ใน มือ และอยากจะซื้อ ก็ใส่ตัวเลขจ�ำนวนเงินเข้าไป
- แม้จะแพง แต่ดิสก์บ็อกซ์ก็ขายไปได้กว่าหนึ่งแสน ชุด ส่วนซีดี ก็ขายไปได้กว่า 1,750,000 ก็อบปี้ หักปากกา เซียนทั้งหลายที่ต่างออกมาวิพากษ์ก่อนหน้าที่อัลบั้มจะออก ว่า ระบบนี้จะท�ำให้ตัววงและวงการดนตรีเสียหาย - ผู้จัดการวง U2 Paul McGuinness บอกว่า “6070 percent of the people who downloaded the record stole it anyway, even though it was available for free” “หกสิบถึงเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ของคนที่ดาวน์โหลดก็ ขโมยอยู่ดีอ่ะแหละ แม้ว่าจะบอกว่ามันดาวน์โหลดฟรีก็ตาม”
- แต่ ถ ้ า ไม่ อ ยากจะจ่ า ย อยากจะฟั ง ฟรี ๆ ก็ ใ ส่ - พ่อก็คือพ่อ แล้วไงใครแคร์ เลข 0 ปอนด์ ก็ เ ท่ า กั บ ว่ า เป็ น การดาวน์ โ หลดฟรี กั น ไป - ส่วนทางวงก็ได้ใจแฟนเพลงไปเต็มๆ ในแง่ที่ว่า ถ้า - pay-what-you-want คุณท�ำเพลงที่ดีให้แฟนเพลง แฟนเพลงก็จะศรัทธาคุณ และ พร้อมจะอุดหนุนคุณเสมอๆ ไม่ได้อุดหนุนเพราะสงสารหรือ - เป็นกลยุทธ์ที่ทางวงต้องการที่จะออกมาต่อสู้กับการ เห็นใจ แต่อุดหนุนเพราะ “ของมันดีจริงๆ “ ดาวน์โหลดแบบผิดกฏหมาย ที่เราก็รู้ๆ กันว่า มันแก้ไขอะไรไม่ ได้อีกแล้ว (ยกเว้นว่าจะล้มระบบอินเทอร์เน็ตอะนะ อันนั้นมัน - ถ้าว่ากันที่ตัวเพลง พัฒนาการอันไม่เคยคาดเดาได้ ก็เกินไป) ของ Radiohead นั้นท�ำให้แฟนๆ ตะลึงเสมอ โดยเฉพาะความ อาร์ต ที่เข้าถึงได้ยากสักหน่อยส�ำหรับคนที่ไม่เคยฟัง แต่อัลบั้ม - NME กล่าวว่า ในจ�ำนวนคนฟังที่ดาวน์โหลดทั้งหมด IN RAINBOWS นี้ ถือว่าเป็นอัลบั้มที่ป๊อบที่สุดของวงแล้ว ฟัง มีเพียง 38% เท่านั้นที่ยอมจ่ายเงิน ง่ายกว่าอัลบั้มก่อนๆ เนื้อหาป๊อบ จังหวะไม่ซับซ้อนมาก แต่ ก็เต็มไปด้วยฝีมือ ความเท่ ความหลอน ความมืด ความสว่าง - (แปลว่า 62% เลือกใส่เงิน 0 ปอนด์) ถัวเฉลี่ย คน และความสร้างสรรค์ล้นหลั่ง จนติดซาร์ท UK และ Billboard ยอมเสียเงิน 2.26 ปอนด์ ต่อหนึ่งดาวน์โหลด ซึ่งโคตรถูกเลย และได้รางวัลแกรมมี่อีกสองสาขา ให้ตายเถอะ - เพลงแรกในอัลบั้มที่ชื่อ 15 STEP เป็นเพลง End Ti - แต่ก็ไม่ต้องกลัวว่าทางวงจะไม่มีรายได้ เพราะว่า tle หนังแวมไพร์ขวัญใจผู้หญิง (แต่ผู้ชายอย่างผมไม่ค่อยชอบ) จริงๆ แล้ ว ทางวงก็ ท�ำอีก แพ็ก เกจเพื่อเอาใจคนที่ต ้ อ งการ อย่างเรื่อง Twilight ภาคแรกด้วยแหละ โคตรป๊อบเลย... จะเก็บแผ่นโดยเฉพาะ เลยผลิตซีดี และชุดบ็อกเซ็ตที่เรียก ว่า Disc box ประกอบไปด้วยแผ่นซีดีสองแผ่น (ซึ่งแผ่นที่สอง จะบรรจุอีก 8 เพลงที่ไม่มีให้ดาวน์โหลด) แผ่นเสียงสปีด 45 RPM สองแผ่น บุ๊คเลทเนื้อเพลง อาร์ตเวิร์ค รวมถึงสิทธิ์ในการ ดาวน์โหลดไฟล์เพลง 10 เพลงได้ตามปกติ
>>>
>>> U2 - Songs of innocent : โทษที ที่ มั น ฟรี ไ ป หน่ อ ย - 9 กันยายน 2014 คือวันแรกที่โลกได้ฟังเพลงอัลบั้มที่ 13 ของวงร็อคในต�ำนานจากยุค 80 อย่าง U2 ที่ชื่อว่า Songs of innocent - ก่อนหน้านั้น ที่คูเปอร์ติโน แคลิฟอร์เนีย ทิม คุก ซีอี โอของ Apple ท�ำการเปิดตัวโทรศัพท์รนุ่ ใหม่ทเี่ รียกว่า iPhone 6
- อัลบั้มใหม่ของยูทูที่ชื่อว่า Songs of innocent นั้น จะแจกฟรี ไม่คิดเงินให้กับผู้ใช้...ไม่ใช่แค่ผู้ใช้ไอโฟน แต่เป็นผู้ ใช้ iTunes ทุกคนในโลก
- โปรแกรม iTunes ใน Mac Os ก็มี ใน iOS ก็มี
- แม้แต่ Windows ก็มี
- โบโนกล่าวประโยคสั้นๆ ในงานว่า “a gift [from - นอกจากหน้าตาและขนาดจอที่เปลี่ยนใหม่หมดจด Apple]... to all their music customers” “ ของขวัญ (จาก แล้ว แอปเปิล) แด่ผู้ฟังทุกคน” - One more thing. - งานนี้แอปเปิลก็ลงทุนใช่น้อย เพราะต้องจ่ายเงิน ก้อนนึงให้กับ Universal Music Group เพื่อขออนุญาตใน - ยังมีอีกอย่างนึง หลังจากที่ทิม คุกท�ำการเปิดตัว การใช้ iTunes ในการปล่อยเพลงให้โหลดกันฟรีๆ โทรศัพท์รุ่นใหม่ (รวมถึง Apple Watch ด้วย) ใกล้ๆ จบงาน ทิม คุก เผยเซอร์ไพรส์ที่ทุกคนในงาน (และที่ชม Live stream) - รุ่งเช้าถัดมา ลูกค้า iTunes เมื่อเปิดแอปขึ้นมา จะ ไม่เคยมีมาก่อนในงานอีเวนท์ของแอปเปิล นั่นก็คือ การแสดง พบว่า มีอัลบั้มหนึ่งที่เราไม่เคยจ่ายเงินซื้อเลย แต่มันดันขึ้นว่า ดนตรีจากวงร็อคในต�ำนาน U2 “Purchased” (จ่ายเงินแล้ว) ที่เหลือก็แค่กดดาวน์โหลดมาไว้ ในเครื่อง มีเวลาให้โหลด 1 เดือนนับจากวันปล่อย - ที่เลือกยูทู แน่นอนว่าใครเป็นแฟนแอปเปิล หรือสตี ฟ จ็อปส์ ผู้ก่อตั้ง จะทราบว่า ยูทูเป็นเพื่อนกับแอปเปิล และสตี - อัลบั้มที่มีปกเป็นรูปซองแผ่นเสียง (ที่คนออกแบบ ฟ จ็อปส์มานานแล้ว เคยท�ำโปรเจ็กท์หลายอย่างร่วมกัน บอกว่ามันเป็น “ปกที่ไม่มีปก “) ประกอบด้วย 11 เพลงใหม่ เอี่ยม ซึ่งเต็มไปด้วยลายเซ็นของยูทูอย่างเต็มเหนี่ยว มีพลัง - เช่น ยูทูเคยเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณาไอพอด และทั้งคู่ หนักแน่น ปราดเปรียว เท่และเรียบง่าย ก็เคยร่วมกันท�ำไอพอดรุ่นพิเศษ iPod (U2 Special Edition) ที่ตัวเครื่องเป็นสีด�ำ แต่ click wheel เป็นสีแดง - แน่นอนว่า ยูทูไม่ได้จะปล่อยให้โหลดฟรีอย่างเดียว เพราะว่าเวอร์ชั่นขายจะมีการเปลี่ยนปก (เป็นปกที่พ่อกอดเอว - ในงานนั้น ยูทูเลือกเพลงจากอัลบั้มใหม่ที่ยังไม่เคยมี ลูกชาย อย่าไปคิดเป็นอื่นเชียว) และมีการเพิ่มเพลงอีก 5 เพลง ใครฟังมาก่อน นั่นคือเพลง The Miracle (Of Joey Ramone) ส่วนในแผ่นเสียงจะมีเพลงเพิ่มอีก - ต่อมา เพลงนี้ใช้ประกอบโฆษณา iPhone 6 ที่ยูทู - แต่มนั ก็ไม่ได้จบแค่วา่ แจกฟรีนะ่ สิ เพราะทันทีทปี่ ล่อยให้ เป็นพรีเซนเตอร์ด้วย แจกฟรี ด้วยความทีผ่ ใ้ ู ช้ไอโฟนนัน้ มีทวั่ โลก แล้วก็ไม่ได้จำ� กัดเฉพาะ รสนิยมกลุม่ ใดกลุม่ หนึง่ เสียด้วย แปลว่าอะไร แปลว่าไม่ใช่ทกุ คนจะ - หลั ง จากการแสดงจบ ทิ ม คุ ก กลั บ ขึ้ น มาบนเวที ชอบยูทู บางคนไม่ชอบแนวนี้ ไม่รจ้ ู กั ยูทู ไม่ชอบยูทู หรือมันเกะกะ อี ก ครั้ ง และประกาศร่ ว มกั บ โบโน่ (ฟรอนท์ แ มน) ว่ า -- ร�ำคาญ เพราะดูเผินๆ มันก็คล้ายๆ กับจะยัดเยียดเหมือนกัน
- แม้ว่ามันจะเป็นของฟรีที่มานอนตายให้หยิบไปฟรีๆ - ไม่ได้หมายความว่าจะให้ท�ำแค่แจกฟรีอย่างเดียวนะ ก็เถอะ แต่ด้วยความที่ว่ามันขึ้นมาเตือนให้ดาวน์โหลดอยู่นั่น แต่หมายความว่า แม้วงการดนตรีจะซบเซาแค่ไหน แต่บางที แหละ ท�ำเอาคนที่ต้องการจะลบต้องหาวิธีลบให้วุ่น การกระตุ้นคนฟังด้วยวิธีการใหม่ๆ ที่สร้างสรรค์ ทุ่มเท เปิด กว้าง และไร้ขีดจ�ำกัดบ้าง ก็น่าจะเป็นเครื่องมือท�ำมาหากิน - ส่วนผมที่ใช้ iTunes นั้นไม่มีปัญหาเลย ยิ้มรับด้วย อีกชิ้นที่จะท�ำให้วงการ ดนตรียังคงเลี้ยงดูตัวเองต่อไปได้ และ ซ�้ำ เพราะนอกจากว่าชอบ U2 อยู่แล้ว แล้วก็เป็นของฟรีอีก โธ่ ท�ำให้วงการดนตรีหวือหวา มีสีสัน น่าสนใจ น่าติดตาม น่า กดโหลดทันทีไม่มีคิด ส่วนตัวผมนั้นถือว่าเป็นอัลบั้มที่ดีเลย วัด กดไลค์ กดฟอลโลว์ กดแชร์ และ กดปุ่มซื้อในที่สุด จากการที่หลังจากโหลดมา ผมก็ได้ฟังมันบ่อยๆ - มากกว่าที่จะหวังรอปาฎิหาริย์ โปรโมทซิงเกิลๆๆๆ - อัลบั้มต่อไปของ U2 จะมีชื่อว่า Songs of Experi- ท�ำเอ็มวี แล้วก็ขายๆๆๆ เหมือนเดิมๆ รอให้คนทั้งโลกมาซื้อ ence เป็นอัลบั้มภาคต่อของ Songs of innocent เพลงของฉันกันนะ (ทั้งๆ ที่คนมันจะโหลด มันก็โหลด จะขโมย ก็ขโมย มีเงิน ก็ขโมย ไม่มีเงินก็ขโมย โหลดมาแล้วเพลงดีก็ฟัง - ประมาณว่าอัลบัม้ แรกยังเยาว์วยั อัลบัม้ ต่อไปแก่แต่เก๋า ไป เพลงกาก ก็ Delete ทิ้งไป)
- อันนี้เรื่องจริงไม่ได้อ�ำ ทางวงบอกไว้ตั้งนานแล้ว
- หรือจะรอรายได้จากการแสดงสดอย่างเดียว ในยุค นี้ก็ใช่ว่าจะหากินกันได้ง่ายๆ ไหนจะต่อรองราคา ระยะทาง - แต่อย่างไรก็ตาม แม้วา่ จะแจกฟรี ไม่วา่ จะวิธไี หน มัน สถานที่ ความยาก ความง่าย ความยาวเพลงที่เล่น เพลงที่ อาจจะดูยดั เยียดบ้าง หรืออะไรก็ตามแต่เถอะ สิง่ ทีส่ ำ� คัญกว่าที่ เล่นฮิตแค่ไหน ฯลฯ ไหนจะเจอนักร้องตัวปลอม พวกเงา ผมแคร์มากๆ ก็คอื ทัง้ สองอัลบัม้ เป็นอัลบัม้ ทีด่ มี ากๆ คงเพราะ เสียงมาดักหลัง ร้องเพลงที่ไม่ใช่ของตัวเองอีก เฮ้อ ด้วยความที่เป็นยอดฝืมือกันทั้งคู่ และระดับยอดฝีมือด้วยแล้ว คงไม่ทำ� เพลงกากๆ ออกมาแจกแบบส่งๆ แต่เลือกทีจ่ ะท�ำอัลบัม้ - ในยุคต่อไป ถ้าไม่ท�ำให้วงการดนตรีหวือหวามาก ด้วยมาตรฐานตามปกติของวง แล้วแจกฟรีให้ไปลองฟัง เพือ่ เป็น พอที่ จ ะท� ำ ให้ ค นฟั ง ทั้ ง ขาจรและขาประจ� ำ หั น มาสนใจวง การซิอ้ ใจแฟนเพลงใน ยุคที่ “โหลดบิท รอฟังฟรีในยูทบู ” ได้ ดนตรีหรือเพลงของตัวเองได้ บอกได้ค�ำเดียวว่าเจ๊งครับ ด้วยการแจกให้ไปฟังกันฟรีๆ แฟนๆ ขาจรก็ได้ลองหยิบฟังกันได้ อย่างสะดวกใจ (เพราะไม่ตอ้ งเสียเงิน) ส่วนแฟนเดนตายก็ยอม ควักเงินเพือ่ ซือ้ อัลบัม้ ทีพ่ เิ ศษกว่าแบบแจกฟรี - วิธนี มี้ นั อาจจะท�ำให้นกั ดนตรีเสีย่ งอดข้าวตายบ้าง แต่ เชือ่ เถอะว่า เป็นวิธกี ารทีซ่ อื้ ใจคนฟังได้อกี วิธี
- ถ้าท�ำส�ำเร็จ ผมว่ามันจะมีแต่ได้กับได้นะ
- แต่ถ้าเป็นไปได้ ก็ไม่ควรจะท�ำอย่างนี้บ่อยๆ กับวง ดนตรีวงหนึ่ง ยกเว้นว่าคุณเป็นนักดนตรีมีเงิน ท�ำไม่แคร์ยอด ขาย อันนั้นก็แล้วแต่ - ผมยอมรับนะว่า ผมเองก็รอวงต่อไปที่ออกมาท�ำ อะไรหวือหวาๆ แบบนี้อีก ถือว่าเป็นลาภลอยทางหูส�ำหรับ คนฟังเพลงอย่างเราๆ
THE ITEM COLLECTION ชื่อบทความ:
ของเล่น (2559)
สถานะ: เผยแพร่ในรูปแบบหนังสือท�ำมือ ITEM ในงาน Make-a-zine ครั้งที่ 2
บางทีผมก็คิดนะ ว่ารสนิยมบางอย่างนั้นมันก็อาจจะ เกิดจากการฟูมฟักห่วงหาอาดูรของพ่อกับแม่ ปกติ แ ล้ ว เรา จะเข้ า ใจกั นคร่ า วๆ ว่ า รสนิ ย มนั้ นเกิ ดจากการสั่ ง สมความ รู ้ ทดลองค้นหาสิ่งใหม่ๆ ด้วยสติปัญญาของตัวเราเอง แล้ว พอเจอสิ่งที่ชอบและใช่ เราก็จะยึดแนวทางนั้นเป็นแนวทาง หลั ก ของรสนิ ย มของเราใช่ มั้ ย ครั บ แต่ ผ มอยากลองเสนอ สมมติฐานใหม่ ท่านผู้อ่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ แล้วแต่ แต่ ผมก็อยากจะเล่าอะไรบางอย่างที่บังเอิญว่ามันเชื่อมโยงกัน ได้อย่างไรก็ไม่รู้แฮะ คืออย่างนี้ครับ ปกติคนเรามักจะมีแนวดนตรีที่ชอบ อย่างน้อยคนละหนึ่งแนวใช่มั้ยครับ คือใครจะชอบแนวอะไร นั้นก็แล้วแต่เลย รสนิยมเป็นเรื่องของใครของมันอยู่แล้ว เรียน รู้ข้ามกันไปมา Crossover ได้ แต่ไม่จ�ำเป็นก็ไม่ต้องดูถูกกัน ไม่ ชอบก็แค่เลี่ยงๆ จะได้ไม่เจ็บตัว หากท่านผูอ้ า่ นชอบฟังดนตรีรอ็ ค โดยเฉพาะร็อคยุค 90 ที่ มีบริทร็อคจากอังกฤษ รวมถึงอัลเทอร์เนทีฟ ร็อค ฝัง่ อเมริกาก็มซี ี แอทเทิลซาวนด์แบบ Nirvana หรือร็อคที่ฟังแปลกหูอย่าง Radiohead, Coldplay เราคือพวกเดียวกัน คือผมอาจจะไม่ได้ ชอบทุกวง บางวงก็ชอบเป็นบางเพลง แต่กน็ บั ว่าร็อคยุค 90 นัน้ ฟัง ถูกกับจริตหูของผมมากทีส่ ดุ ถ้าถามว่าผมชอบวงพวกหนักๆ แบบ เมทัล สปีดเมทัล แทรช โพรเกรสซีฟ บ้างมัย้ ก็ตอ้ งบอกว่าวงพวก นีฝ้ มี อื ดีครับ แต่ไม่ถกู จริตหูผม หูผมมันชอบฟังเพลงร็อคแบบ ยากๆ ประหลาดๆ หน่อย ร็อคแบบแรงๆ ผมก็ฟงั ได้ แต่ไม่ถนัด
และที่ ลื ม ไม่ ไ ด้ ต� ำ นานของวงการเพลงร็ อ คโลก อย่ า ง The Beatles นั้ น เป็ น วงอั น ดั บ หนึ่ ง ผมก็ รั ก มากๆ ชอบทุ ก เพลง และถื อ ว่ า เป็ น แม่ แ บบของแนวดนตรี ใ น ปั จ จุ บั น ด้ ว ย ตั้ ง แต่ ป ็ อ บ ป็ อ บร็ อ ค ร็ อ คแอนด์ โ รล จน ไปถึ ง แนวเมทั ล ! ตั้งแต่แรกๆ ที่ผมฟังเพลงสากล ผมไม่ได้ฟังเพลงร็อ คด้วยซ�้ำ ฟังพวกดิสโก้ ฟังกี้มากกว่า แต่ พ อผมหลงเสน่ ห ์ เพลงร็ อ ค และการค้นพบว่าตัวผมเองรัก The Beatles นั้น มันเป็นเรือ่ งทีเ่ ปลีย่ นชีวติ ผมไปเลย ไม่รนู้ ะ แต่เวลาผมฟังเพลงร็อค ผมจะได้ปลดปล่อย ก็เหมือนคุณๆ ที่ฟังเพลงแจ๊สเพื่อปลด ปล่อยน่ะแหละ อะไรท�ำนองนั้น เกริ่ น มายื ด ยาว อย่ า งที่ ผ มเขี ย นไว้ ต อนแรกว่ า ผมคิดว่าบางทีรสนิยมก็มาจากการเลี้ยงดู ส�ำหรับท่านผู้อ่าน หรือคนอื่นๆ ผมไม่รู้ว่าสมมติฐานของผมมันจะเป็นจริงได้แค่ ไหน บางคนอาจจะไม่จริงก็ได้ แต่ส�ำหรับผมแล้วผมว่ามัน จริงที่สุด เรื่ อ งต้ อ งย้ อ นไปตอนที่ ผ มเด็ ก มากๆ ประมาณห้ า ขวบ เป็นวัยที่ผมเริ่มจ�ำความได้ ผมพอจะจ�ำได้ว่า บ้านผม นั้น เป็ น บ้ า นที่ มีข องเล่นเยอะที่สุดในละแวกนั้น เพราะว่ า พ่อกับแม่เลี้ยงลูกแบบพรีเมี่ยม คือถ้าลูกอยากได้อะไร พ่อ แม่จ ะซื้ อของดี ๆ ให้ (ส่งผลให้ปัจ จุบันผมชอบใช้ ข องดี ๆ) แล้ ว ของเล่ น แต่ ล ะอย่ า งก็ ไ ม่ ใ ช่ ข องเล่ น แบบกระจอกๆ นะครั บ คื อมั น อาจจะไม่ได้แพงกว่าของเล่นบ้านคนรวย แต่ ไ อ้ บ ้ า นที่ ไ ม่ ไ ด้ ร วยแต่ ก็ ไ ม่ ไ ด้ อ ดอยากหลั ง นี้ แ หละที่ มี ของเล่ น สารพั ด อั น หนึ่งที่ผมจ�ำได้คือ หุ่นยนต์สีข าวฟ้ า ที่ สามารถแปลงร่างเป็นเครื่องบินได้ แต่คนเล่นแปลงไม่เป็น เลยรื้อทิ้งซะ 555 อี ก อั น ที่ ผ มจ� ำ ได้ (เพราะร้ อ งให้ พ ่ อ ซื้ อ บ่ อ ย) คื อ คีย์บอร์ดของเล่น ไม่ใช่อันเล็กๆ นะครับ แต่เป็นอันใหญ่ๆ เลย แต่ก็นั่นแหละ พ่อดันไม่พาไปเรียนที่สถาบันยามาฮ่า ก่อน ก็เลยเล่นกดได้แบบน้องแหน่งๆ สองสามทีแล้วก็เบื่อ ก็ เลยหยิบไขควงของพ่อมาถอดน็อต รื้อมันออกเป็นชิ้นๆ แกะ ล�ำโพง เอาแม่เหล็กไปอังกับทีวีให้เป็นสีม่วงๆ ขึ้นบนจอ พอ อังเสร็จพ่อเห็นก็มาตี เพราะไอ้ม่วงๆ นั่นยังติดทีวีอยู่เลย
ตอนเด็กๆ ผมนี่ก็เด็กเวรดีๆ นี่เอง ผมเดาว่ า พ่ อ กั บ แม่ ผ มคงอยากให้ ลู ก ชายเป็ น นั ก ดนตรี คี ย ์ บ อร์ ด นั่ น ก็ อั น หนึ่ ง แต่ ที่ ซื้ อ มาบ่ อ ยมากก็ คื อ กี ต าร์ โ ปร่ ง ของเล่ น จ�ำได้มั้ยครับ กีตาร์โปร่งอันเล็กๆ เท่าอูคูเลเล่สมัย นี้ แต่ท�ำจากพลาสติกหลากหลายสีสัน และสายก็ท�ำมาจาก เส้นเอ็น คือผมก็จ�ำไม่ได้จริงๆ ว่าตอนนั้นผมไปงอแงขอพ่อ ซื้อ หรือว่าพ่อซื้อมาให้โดยเต็มใจ แต่เมื่อมาอยู่ในมือผมแล้ว แน่นอน ผมก็เป็นเด็ก เล็กที่เล่นมันอย่างดีเสมอมา จนวันหนึ่ง ผมเกิดนิมิตอะไร ไม่รู้ ในขณะที่ผมเล่นดีดกีตาร์น้องแหน่งๆ แบบไม่มีความ รู้ด้านคอร์ดเลย เพราะไม่ได้เรียนที่ยามาฮ่า ผมเดินเล่น กี ต าร์ อ ย่ า งสุ ข สบายไปรอบๆ บ้ า นในวั นหยุ ดที่ อ ากาศเป็ น ไงไม่ รู ้ จ�ำ ไม่ ไ ด้ แต่ ผ มจ� ำ ได้ ว่ า พอผมหยุ ด เดิ นมาที่ มุ ม หนึ่ ง ของบ้ า น ผมก็จัดการฟาดกีตาร์เข้ากับมุมบ้าน รุนแรง หนักหน่วง เหมือนผีเคิร์ท โคเบน แห่ง Nirvana เข้าสิง ROCK YOU!!!!!!! ก็ไม่รู้ท�ำไม ท�ำไมผมต้องฟาดกีตาร์ด้วย แต่ผมเดา ว่า การฟาดกีตาร์ให้แตกพังคามือ น่าจะให้ความสุขกับผม ในยามที่เป็นเด็กน้อยบ้างแหละ ไม่งั้นก็คงไม่ฟาด แล้วที่ ส�ำคัญคือ พอฟาดจนแตกละเอียดหน�ำใจแล้วก็ไปงอแงกับ พ่ อ เพื่ อ ขอซื้ อ ตั ว ใหม่ ! แล้ ว ก็ เ ล่ น ๆ น้ อ งแหน่ ง ๆ หลั ง จาก นั้ นผมก็ เ อามั นมาฟาดกั บมุ ม บ้ า นอี ก แล้ วก็ วนลู ป ด้ ว ยการ ไปขอพ่ อ ซื้ อ ตั ว ใหม่ อี ก แล้ ว ก็ ฟ าดๆๆ อยู ่ อ ย่ า งนี้ จน กระทั่ ง พ่ อ ยื่ น ค� ำ ขาดว่ า จะไม่ ซื้ อ ให้ เ ล่ น แล้ ว ซึ่ ง ตอนนั้ น ผมก็ โ ตขึ้ น แล้ ว ผมก็ ไ ม่ ไ ด้ ฟ าดกี ต าร์ ข องเล่ น อี ก เลย อ้อ ลืมบอกไปว่า ผมท�ำสถิติฟาดกีตาร์ของเล่นไป ทั้งหมดแค่ 11 ตัวเอง สภาพเละเทะทุกตัว เพราะว่ า ฟาดกี ต าร์ ไ ปแล้ ว สิ บ เอ็ ด ตั ว นี่ แ หละที่ น ่ า จะท�ำให้ผมชอบดนตรีร็อค มั้ง
THE ITEM COLLECTION ชื่อบทความ:
ตั๋วรถเมล์ (2559)
สถานะ: เผยแพร่ในรูปแบบหนังสือท�ำมือ ITEM ในงาน Make-a-zine ครั้งที่ 2 และใน storylog.co/push
26 เมษายน 2554 เป็นวันที่ผมบันทึกในไดอารี่ไว้ ว่า เป็นวันแรกในชีวิตที่ผมขึ้นรถเมล์ในกรุงเทพฯ ชาวกรุ ง เทพฯ คงไม่ รู ้ ห รอกครั บ ว่ า การขึ้ น รถเมล์ นั้ น ยากชิ บ หายขนาดไหน ผมเป็ น คน ตจว. ที่ ก ลั ว การ ขึ้ นรถเมล์ แ บบไร้ ส ติ ทั้ ง ๆ ที่ ผ มเป็ นเด็ ก ต่ า งจั ง หวั ด ที่ ต ้ อ ง เข้ า มาใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ แม้ว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่มาเหยียบ ย่างเมืองหลวงแห่งนี้ แต่ด้วยความที่รถเมล์นั้นเป็นพาหนะ ที่ เ ข้ า ใจยากส� ำ หรั บ ผม รถเมล์ เ ป็ น พาหนะที่ แ มนนวล สุ ด ๆ ถึ ง จะไม่ ไ ด้ ขั บ เองเก็ เ ถอะ แต่ เ ราต้ อ งโบกเอง บอก ทิ ศ ทางเอง จ� ำ ต� ำ แหน่ ง ของสถานที่ ป้ า ย และเป้ า หมาย ด้ ว ยตั ว เอง ต้ อ งมองซ้ า ยขวาว่ า ใกล้ จ ะถึ ง ยั ง วะ ต้ อ งจ� ำ ว่ า ตรงนั้ น ซอยอะไร มี จุ ด สั ง เกตอะไร แล้ ว ก็ ต ้ อ งกดกริ่ ง ลงเองด้ ว ยอี ก ต่ า งหาก วั น ไหนมึ น ๆ ลงผิ ด ป้ า ย เผลอ หลั บ หรื อ นั่ ง เลยป้ า ยก็ ท� ำ อะไรไม่ ไ ด้ หรื อ คนขั บ ขั บ ซิ่ ง รถติ ด เพราะฝนตก ฯลฯ ได้ แ ต่ นั่ ง บ่ น ว่ า วั น นี้ โ คตรซวย ซึ่งต่างจากแท็กซี่ครับ โอเค แม้ว่าจะมีปัญหาเรื่อง ว่าไม่ไปบ้างละ ป้ายไฟขึ้นว่างแต่โบกแล้วไม่จอดบ้างละ ส่ง รถ เติมแก๊สบ้างละ แต่ถ้าโชเฟอร์บอกว่าไป ทุกอย่างแทบ จะเป็นระบบออโตเมติก คือถ้าไม่นับว่าแพงและเรื่องมาก (รวมทั้งบางคันก็ขับอ้อมและโกงมิเตอร์) ก็แทบจะไม่ต้อง ท�ำอะไรอีก ให้พ่ีโชเฟอร์น�ำทางไปยาวๆ ส่วนเราก็นั่งมอง วิวไป เพราะไม่รู้เส้นทางอะไรกับเขาอยู่แล้ว
ทุ ก ครั้ ง ที่ ผ มเข้ า มายั ง เมื อ งหลวงของไทย ผมเลย ใช้ บ ริ ก ารแท็ ก ซี่ ซ ะจนเคยตั ว ว่ า เงิ น ไม่ กี่ ร ้ อ ย จ่ า ยๆ ไป เหอะ เลี่ ย งบาลี เ พื่ อ ไม่ อ ยากจะเดิ น ทางมั่ ว ๆ ไปเองจน หลงทาง จนวั น ที่ ส� ำ นึ ก ได้ ว ่ า เงิ น มึ ง ไม่ ไ ด้ พ อส� ำ หรั บ นั่ ง แท็ ก ซี่ ทุ ก ครั้ ง นะโว้ ย นั่ น แหละผมถึ ง ต้ อ งเริ่ ม ศึ ก ษาการ นั่ ง รถเมล์ ผมมีธรุ ะจะต้องไปหาน้องชายทีร่ จู้ กั กันทีห่ น้าราม (ต้อง บอกมัย้ ว่าแถวๆ รามค�ำแหง) ผมโทรถามมัน มันก็ตอบอะไรไม่ ได้เ พราะมั น ไม่ เคยนั่งรถเมล์จากอนุสาวรีย์ชัยสมรภู มิ จุ ด ตั้งต้นของผมเพี่อจะไปรามฯ ซะด้วย ท�ำไงดีวะ รถไฟฟ้าก็ เคยใช้แหละ แต่ไม่รู้จะใช้มันเพื่อจะไปรามฯ ยังไง โทรศัพท์ ตอนนั้นก็กิ๊กก๊อกเกินกว่าจะใช้ Google Maps อยากจะ ถามคนแถวนั้ น ก็ ไ ม่ ก ล้ า ท� ำ ไมไม่ ก ล้ า ก็ ไ ม่ รู ้ (กลั ว เจอคน หยิ่ง กลัวโดนหลอก ฯลฯ) ได้แต่เดินดุ่มๆ วนรอบอนุสาวรีย์ ชัยฯ เหมือนเดินเวียนเทียน พอผมเริ่มเวียนหัวแทนก็เลยซื้อ น�้ำกิน แล้วนั่งพักที่ป้ายรถเมล์ จนกระทั่ง รถเมล์คนั หนึง่ ก็วงิ่ เข้ามาเทียบท่าจอดทีต่ รงหน้าผม ผมจึง สังเกตรอบๆ รถ ว่ารถเมล์คนั นีค้ อื รถเมล์สาย 92 วิง่ จากคลองตัน ไปอนุสาวรียช์ ยั ซึง่ บนรถระบุดว้ ยว่าผ่าน ม.รามค�ำแหง ก็แปลว่า ผ่านหน้ารามแน่ๆ (มัง้ ) จริงๆ แล้วจะถามกระเป๋ารถเมล์หรือคนขับ รถก็ได้ แต่ไม่กล้าถาม เลยได้แต่นงั่ มองแบบลังเลในใจว่าจะเอาไงดี วะ จะขึน้ หรือไม่ขนึ้ แต่ในขณะทีล่ งั เล ขาก็กา้ วขึน้ รถเมล์ไปแล้ว สิบห้านาทีต่อมา รถเมล์เคลื่อนตัวออกจากอนุสาวรีย์ ชัย ผมพยายามคิดว่า เออ ไม่เป็นไรวะ ถ้าจะหลง ก็ลงตรงที่ เป็นย่านเมืองหน่อยก็แล้วกัน จะได้นั่งแท็กซี่กลับบ้านกันอีก ซักรอบ จ่ายค่ารถเมล์ไปแล้วด้วย (ตอนนั้นยังแปดบาทอยู่ เลย) จะลงกันง่ายๆ ก็ใช่ที่ ก็นั่งให้มันรู้ไปสิวะว่ามันจะพาไป ถึงรามฯ มั้ย หรือมันจะพาไปไหนก็ไปกับมันด้วยเลยแล้วกัน รถเมล์วงิ่ เข้าถนนวิภาวดีรงั สิต มองเห็นส�ำนักงานทีเ่ รา รูจ้ กั มากมาย แต่ทที่ ำ� ให้กำ� ลังใจทีเ่ ต็มเปีย่ มเมือ่ กีน๊ ลี้ ดเหลือศูนย์ ก็คอื ถนนวิภาฯ ไม่มยี า่ นเมืองเลย! ชานเมืองแถวปิน่ เกล้ายังมี ตึกเยอะกว่าอีก ถ้าลงตรงนีจ้ ะมีแท็กซีจ่ ะมาจอดรับมัย้ วะ ก�ำลัง ใจเต็มเปีย่ มเริม่ เปลีย่ นเป็นภาวะ ปสด. คือเริม่ เครียดว่าจะไปถึง มัย้ วะ หรือว่าไอ้รถเมล์นจี่ ะพาเราออกนอกกรุงเทพฯ กันแน่ ปสด. มาได้ชั่วโมงกว่า เที่ยงแล้วด้วย หิวข้าว แถมรถ ยังติดเป็นพักๆ พักละนานๆ แต่ก็ยัง ปสด. กันต่อไป กรุงเทพฯ เริ่มมีวิวแปลกๆ มากขึ้นเรื่อยๆ (ก็แหง ไม่เ คยมานี่ ห ว่ า )
ซักพักจึงเริ่มรู้ว่าเริ่มเข้าย่านเมืองมากขึ้น มีร ถไฟฟ้ า ใต้ ดิ น ด้ ว ย จึ ง เริ่ ม รู ้ ว ่ า แถวนี้ คื อ ลาดพร้ า ว แต่ ก็ นั่นแหละ ไม่ไว้ใจอะไรทั้งสิ้น มองซ้ายมองขวาเหมือนคนหวาดระแวง จนกระทั่ง นั่น! ม.รามค�ำแหง เฮ้ย ความปสด. หายไปปลิด ทิ้ง เหลือไว้แต่ความตื่นเต้นสุดชีวิต ผมรีบลุกจากที่ นั่ง มาก ดกริ่ ง แล้ วลงรถเมล์ อ ย่ า งสง่ า ผ่ า เผย มองดู รอบกายแล้ว ตะโกนกับตัวเองว่า มาถึงแล้วโว้ย! ผมหยิบตั๋วรถเมล์ใบนั้น ขึ้นมา แล้วเก็บใส่กระเป๋าเป้ให้ดีๆ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าวัน นี้เป็นวันที่เอาชนะความกลัวการขึ้นรถเมล์ได้เป็นผลส�ำเร็จ ทุกวันนี้ตั๋วรถเมล์ใบนั้นก็ยังอยู่ ผมแปะมันไว้กับไดอารี่ แล้วทุกครั้งที่ผมขึ้นรถเมล์ ไม่ว่าจะสั้นหรือยาว ผมจะเก็บตั๋ว รถเมล์ใส่กระเป๋าไว้เสมอ เสมือนเป็นพิธีกรรมอะไรบางอย่าง พอกลับบ้านก็เอามาใส่ไว้ในกล่องเก็บสะสมตั๋วรถเมล์ ทุกวันนี้เวลาผมเปิดกล่องแล้วหยิบตั๋วรถเมล์หลาย ร้อยใบออกมาดู ผมไม่ได้คิดเพื่อจะสะสมเพื่อเพิ่มมูลค่า แต่ผม เก็บไว้เพื่อเตือนตัวเองว่า ผมเคยมีความกลัวการขึ้นรถเมล์มา ก่อน แต่ผมเอาชนะความกลัวนั้นมาได้แล้ว และตระหนักอีก อย่างว่า หายกลัวอย่างเดียวไม่ได้แปลว่าจะหายกลัวทุกอย่าง ทุกวันนี้ยังต้องลุ้นว่าจะได้นั่งที่นั่งหรือเปล่า ฝนตกรถติดมั้ย ขับรถซิ่งหรือไม่ รถเสียกลางทาง หรือเจอกระเป๋าปากหมา หรือไม่ บางทีก็มาช้า บางทีก็มาเร็ว บางทีก็แอร์ไม่เย็น หรือ จะขับไปชนท้ายรถใครมั้ย แม้ผมจะชินชากับการขึ้นรถเมล์มา มากแค่ไหน แต่สุดท้ายรถเมล์ก็น่ากลัวอยู่ดีแหละ ป.ล, วั น เดี ย วกั น นั้ น น้ อ งชายที่ รู ้ จั ก ต้ อ งลากผม ขึ้ น รถเมล์ ปอ. จากรามค�ำแหงไปหอพักน้องที่ลาดกระบัง ตอนมืดค�ำ่ ซึง่ นัน่ เป็นรถเมล์คนั ทีส่ องในชีวติ ทีผ่ มนัง่ นอกจาก จะจ�ำเลขสายไม่ได้ ที่นั่งหายากแล้ว พอวิ่งไปได้ซักพัก ไฟ เริ่มติดๆ ดับๆ ซักพักรถก็จอดนิ่ง กระเป๋าฯ เลยต้องไล่ลง ให้ไปต่อคันใหม่ เสียเงินสองรอบ มืดแล้วรถก็น้อย ต้อง รอนาน รถก็ติดเพราะคนรีบกลับบ้าน ตัดภาพมาในรถเมล์ คันใหม่ จะเห็นพี่กับน้องนั่งทอดอาลัย สรุปคือ ขึ้นรถเมล์ วันแรกก็ได้ความซวยมาเป็นประสบการณ์ ล�ำพังตัวน้องผม เฉยๆ คาดว่าชินแล้ว ส่วนตัวพี่ ...กูจะร้องไห้ ป.ล.สอง ทุกวันนี้ถ้าจะไปรามค�ำแหง ไปแอร์พอร์ต ลิงค์ ลงสถานีรามค�ำแหง แล้วนั่ง 92 เข้าไปง่ายกว่าเยอะ
THE ITEM COLLECTION ชื่อบทความ:
แผ่นเสียง (2559)
สถานะ: เผยแพร่ในรูปแบบหนังสือท�ำมือ ITEM ในงาน Make-a-zine ครั้งที่ 2 และใน storylog.co/push (Extended version)
เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อเดินเที่ยวตลาดนัดขายของเก่าใน วันหนึ่ง ท่ามกลางอากาศที่ร้อนจนต้องร้องขอชีวิต จริงๆ แล้ว ผมก็มาเดินตลาดแห่งนี้ค่อนข้างบ่อย และรู้สึกชอบที่ตลาดนัด ขายของเก่าแห่งนี้ มันเต็มไปด้วยความหลากหลายอย่างสูง ซึ่งเอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้ชอบซื้อของเก่าเท่าไหร่หรอกครับ (มา เหล่หญิงต่างหาก - เฮ้ย....) ชอบดู ชอบจับ แอบศึกษาเรียนรู้ ว่าของใช้เก่าๆ โดยเฉพาะของใช้ยุค 60-70-80-90 มันหน้าตา เป็นยังไงบ้าง ส่วนที่ไม่ค่อยซื้อ สาเหตุง่ายๆ คือ ผมไม่มีเงิน... ในบรรดาของเก่ า ที่ ผ มเห็ นนั้ น ส่ วนหนึ่ ง ที่ ผ มชอบ ไปแอบลอบมองก็คือ ไวนิลครับ ชาวบ้านเรียกว่าแผ่นเสียง แหละ ทั้งเครื่องเล่นเทิร์นเทเบิล (Turntable) เก่าๆ รวม ทั้งแผ่นไวนิลเก่าๆ ทั้งไทยและเทศ ซึ่งพอเห็นแล้วใจมันก็ สั่นเหมือนได้เจอกับคนที่แอบชอบแหละครับ เห็นแล้วมัน อยากได้ อยากจับ อยากได้เป็นเจ้าของ แม้จะโตมาในยุค เทป-ซีดี-ดิจิตอลฟอร์แมท แต่ผมกลับใฝ่ฝันที่จะมีแผ่นเสียง อันนี้ไม่ได้คุยนะครับ ผมฝันจะมีเครื่องเล่นแผ่นเสียงมาตั้ง แต่เด็กๆ แล้ว ก่อนที่กระแสแผ่นเสียงจะกลับมาในปัจจุบัน นี้ซะอีก ประมาณว่าเคยเห็นในทีวี รู้มาว่าคนรุ่นเก่าเค้าฟัง เพลงด้วยไอ้นี่แหละ มันใหญ่ดีจังเว้ย ใหญ่ทั้งแผ่นทั้งปก ดู น่าสนใจ ส่วนซีดีที่ทันสมัยในยุคนั้น ส�ำหรับผมมันดูกระจิ๋ว หลิว และก๊องแก๊งไปหน่อย แต่มันก็เป็นไปได้แค่ความฝัน ลมๆ แล้งๆ เพราะในขณะที่ผมเกิดความคิดบ้าๆ นี้
มันเป็นยุคที่แผ่นเสียงนั้นได้ถูกซีดีชิงตลาดไป แผ่น เสียงเลยกระเถิบกลายเป็น “ของเล่นคนรวย” ที่มีปัญญาและ เวลามากพอจะหาเทิร์นฯ เก่าๆ มาเล่น หาแผ่นเก่าๆ มาฟัง (ใครผลิตของใหม่มาขายนี่โง่มาก) ไอ้ความหายากนี่แหละที่ ท�ำให้มันแพง ในขณะที่ยุคนี้ ที่ไวนิลกลับมาอย่างเต็มตัว เราๆ สามารถหาซื้อเทิร์นฯ และไวนิลได้ในราคาที่เอื้อมถึง (คือถ้าไป สาย Audiophile ที่เล่นเทิร์นฯ ราคาเป็นล้านนั่นก็อีกเรื่อง) แต่เนื่องด้วยว่าผมก็ยังคงเรียนอยู่ ยังไม่ได้ท�ำงานอะไร รายได้ก็มาจากพ่อแม่ร้อยเปอร์เซนต์ ขนาดหนังสือยังซื้ออ่าน ล�ำบาก ไอ้นี่ไม่ต้องพูดถึง ได้แต่คิดว่า ถ้าเมื่อไหร่ที่ท�ำงานและ มีเงินเดือน เงินส่วนหนึ่งน่าจะหมดไปกับการซื้อเทิร์นฯ และ ซื้อไวนิล โดยไร้ซื่งการกลัวอดข้าวตาย ผมพยายามจินตนาการ ว่า บ้านอันคับแคบ ถ้าวันใดเกิดมีเทิร์นฯ มาตั้งตระหง่านแบบ ฟูลเซ็ต บ้านเราจะเป็นอย่างไร และแผ่นแรกที่ผมจะมีโอกาส ได้เล่น มันจะเป็นแผ่นอะไรนะ แต่ไม่ว่าจะอะไร มีเงื่อนไขหลักร่วมกันอย่างเดียวคือ ต้องท�ำงานและมีเงินเดือนก่อนจึงจะซื้อได้ เพราะแผ่นใหม่ๆ นั้นราคาหลักพันทั้งนั้นแหละครับ (ส่วนมือสองนั้นมีทั้งหลักสิบ จนถึงหลักแสน) ครั้นจะเก็บเงินซื้อก็ล�ำบากยากไร้ เพราะต้อง เน้นเรื่องเรียนเป็นหลัก แต่กเ็ หมือนกับพรหมลิขติ บ้าๆ บอๆ เหมือนกัน พ่อผม ชักชวนผมไปเดินตลาดนัดของเก่า ในขณะทีผ่ มอยากอยูบ่ า้ น นัง่ ทอดหุย่ มากกว่า จนกระทัง่ ลากสังขารมาถึงตลาดจนได้ ผม ก็ได้แต่เดินด้อมๆ มองๆ ของเก่าตามปกติสลับกับการเหล่หญิง (ดูของและเหล่หญิง เอาเหอะ...) ผมก็พลันได้พบแผ่นเสียงแผ่น หนึง่ ... ทันทีทผี่ มได้เห็นปก ผมรูเ้ ลยทันทีวา่ เคยได้ยนิ และเคยฟัง เพลงนีม้ าแล้ว ผมทีต่ อนแรกเดินตามหลังพ่อ แต่พอผมเห็นแผ่น นัน้ ปุบ๊ ผมเลยเดินแซงพ่อทันที นัง่ ยองกับพืน้ แล้วหยิบแผ่นขึน้ มาดู ปรากฏว่าไม่ผดิ แน่ๆ ผมเคยได้ยนิ เพลงนีม้ าก่อน และจ�ำได้ ซะจนได้ยนิ เพลงบรรเลงในสมอง มันเป็นเพลงซินธ์ปอ๊ บ ยุค 80 จังหวะคึกคักสนุกสนานดี แผ่นนีเ้ ป็นแผ่นซิงเกิล 12 นิว้ เพลง Wake me up before you go-go ของคณะ Wham! และ อีกด้านมีเพลง A ray of sunshine และ Wake me up before you go-go แบบบรรเลงดนตรี เป็นแผ่นซิงเกิลทีว่ างขาย ในญี่ปุ่น เพราะมีชื่อเพลงเป็นภาษาญี่ปุ่นด้วยแหละ
ทันใดที่ผมหยิบแผ่นขึ้นดู แม่ค้าที่เฝ้ามองผมก็พูดขึ้น ทันที “50 บาทจ้า!” ผมใช้เวลาใตร่ตรองอยู่นานมาก ก่อนจะ ตัดสินใจยื่นให้แม่ค้าใส่ถุง แล้วยื่นแบงค์ร้อยให้โดยไม่มีการต่อ รองใดๆ ทั้งสิ้น เพราะผมได้ใช้เวลาใตร่ตรองมาแล้วอย่างดีใช้ เวลาใตร่ตรองนานมากจริงๆ นะครับ...ตั้ง 2 วินาทีแน่ะ เรียก ได้ว่าตัดสินใจซื้อทันทีในขณะที่ยังไมไ่ด้หยิบแผ่นออกมาดูด้วย ซ�้ำ หลังจากทีร่ บั เงินทอนแล้ว พ่อทีเ่ ห็นผมซือ้ ไวนิลก็ตกใจ (แบบไม่ทนั ตัง้ ตัวภายในเวลา 2 วิฯ) จึงบ่นลูกชายแบบทันด่วน ว่า เฮ้ย! บ้านเอ็งมีเครือ่ งเล่นรึไงวะ ถึงซือ้ แผ่นเสียง, ไอ้ของพวก นีม้ นั ของเล่นคนรวย, เครือ่ งก็ไม่มเี ล่น จะซือ้ มาท�ำบ้าอะไร, ไร้ สาระสิน้ ดี, ห้าสิบบาทก็เงินนะเว้ย, ซือ้ มาเก็บ เอาไว้โชว์นะ่ สิ, คนเราน่ะฝันได้ แต่จะท�ำได้เปล่านัน่ อีกเรือ่ ง ฯลฯ ก่อนจะไปกันใหญ่ ผมก็ได้แต่โอ้โลมฯ ว่า นี่มันเป็น ความฝันเชียวนะ (อย่ามาห้ามความฝันเชียวนะ!) ผมอยากมี เครื่องเล่นแผ่นเสียงมานานแล้ว แล้วไม่ได้ซื้อมาเก็บ ซื้อมา ฟังแน่นอน เดี่ยวคอยดูเถอะ ลูกพ่อท�ำงานได้เมื่อไหร่ ผมจะ เปิดเพลงจากแผ่นเสียงให้ทุกคนที่มาเยี่ยมเยือน ทั้งพ่อแม่ เพื่อน หรือแม้แต่ที่รัก (ถ้ามี) ฟังให้จงได้ หลังจากซือ้ แล้ว ระหว่างทีย่ งั คงเดินดูของและเหล่สาว และระหว่างจะเดินทางกลับบ้าน ด้วยความทีแ่ ผ่นมันใหญ่ จึง เริม่ เข้าใจแล้วว่า คนสมัยก่อนฟังเพลงกันด้วยความยากล�ำบาก เพียงไหน แผ่นสิบสองนิว้ นีม่ นั ใหญ่เป็นบ้าเลย แต่ลกึ ๆ ผมก็ ภูมใิ จนะ ผมชอบความรูส้ กึ ทีต่ วั เราเองได้เข้าใกล้ความฝันขึน้ ที ละนิดๆ เพราะมันท�ำให้เรามีความสุข ตืน่ เต้น และมีความหวังได้ เสมอๆ ถึงแม้มนั จะเล็กน้อยก็เถอะ ต่อให้เป็นแผ่นเก่า แผ่นใหม่ แผ่นใหญ่แค่ไหนก็ไม่ใช่ปญ ั หา ...แต่ที่เป็นปัญหาคือ ซื้อมาก็ไม่ได้ฟังอยู่ดี เพราะ ยังไม่มีเทิร์นฯ ไว้เล่นแผ่น สุดท้ายก็ต้องไปหาฟังจากยูทูบ อีกที อันนั้นไม่เท่าไหร่ ปัญหาที่ใหญ่กว่าคือ ด้วยความที่ บ้านผมฝุ่นเยอะ เพื่อที่จะไม่ให้ฝุ่นมาเกาะที่แผ่น ผมจะเก็บไอ้แผ่นเสียงนี่ไว้ไหนดี...
THE ITEM COLLECTION ชื่อบทความ:
นิตยสารแจกฟรี (2559)
สถานะ: เผยแพร่ในรูปแบบหนังสือท�ำมือ ITEM ในงาน Make-a-zine ครั้งที่ 2
ฟรีก็อปปี้ถือว่าเป็นความหวังหนึ่งของวงการนิตยสาร ไทยยุคนี้เลยนะครับ ท่ามกลางวงการนิตยสารที่ผู้เล่นราย ใหญ่ๆ ล้มตายไปเป็นจ�ำนวนมาก ผู้ผลิตหลายเจ้าก็เลยลงไป เล่นกับนิตยสารแจกฟรี ซึ่งอาศัยต้นทุนจากโฆษณา 100% และแจกในพื้นที่จ�ำกัด ไม่ต้องลุ้นยอดขาย ไม่ต้องคืนสายส่ง เพราะแจกฟรี ฟรีก็อปปี้หลายเล่มเดี๋ยวนี้ก็ท�ำกันดีจนเทียบ เท่านิตยสารขาย บางเล่มนี่รูปเล่มสวยกว่าอีก และผมก็กล้าพูดเลยว่า กรุงเทพฯ คือดินแดนสวรรค์ แห่งคนรักฟรีกอ็ ปปีจ้ ริงๆ เฉพาะแค่บนสถานีรถไฟฟ้าก็มฟี รีก็อปปี้ แจกแทบทุกวัน ทั้งรายวัน รายสัปดาห์ รายปักษ์ ราย เดือน ส่วนแนวก็มีหลากหลาย ทั้งแนวสัมภาษณ์ ไลฟ์สไตล์ อาหาร เทคโนโลยี เพลง หนัง ฟุตบอล ผู้ชาย ผู้หญิง ซึ่ง วันไหน เวลาไหนที่แจกฟรีก็อปปี้แล้วมีผมไปอยู่ด้วย ผมจะ มีความสุขมาก เพราะผมรักนิตยสารอยู่แล้ว แล้วก็รักของ ฟรีด้วย พอทั้งสองอย่างรวมกัน ผลคือ ให้เป็นนิตยสารแจก ฟรี เล่มไหนเล่มนั้นเป็นหยิบหมด แม้แต่แนวที่ไม่เข้ากันกับ ผมเลยอย่างนิตยสารฟุตบอล (คือผมเป็นผู้ชายที่ไม่ดูบอล) หรือแม้แต่นิตยสารผู้หญิงที่มีแต่แฟชั่น แต่งหน้า แต่งตัว ก็หยิบหมด ไม่อายด้วย เหตุผลคงคล้ายๆ เวลาผมไปซื้อ นิตยสารผู้หญิงที่ร้านหนังสือ คือยังไม่เคยมีใครถามหรอก นะครับ แต่วันหนึ่ง ถ้ามีใครทักถามว่า เฮ้ย เป็นผู้ชายท�ำไม อ่านนิตยสารผู้หญิง ผมจะตอบด้วยค�ำตอบง่ายๆ ว่า ผม เป็นเด็กวารสาร
ผมเคยสงสัยนะว่า เจ้าของร้านหรือสถานทีท่ ม่ี ฟี รีกอ็ ปปี้ วางให้หยิบจะคิดยังไงถ้าเจอลูกค้ามาหยิบไปเป็นตัง้ ๆ คือผมก็ไม่ ได้วา่ จะหน้าหนาอะไรนะครับ บางทีกอ่ นจะหยิบก็ตอ้ งแอบสอด ส่องคนมองเหมือนกัน ผมอายคนมอง ยิง่ ร้านไหนมีวางเยอะๆ ก็มโี อกาสสูงว่าผมจะหยิบมันทุกฉบับ ทุกหัว ทุกปกเลย ทัง้ ๆ ที่ เป็นของฟรีแท้ๆ แต่ผมก็แอบกลัวว่าเค้าจะมาเขม่นหรือเปล่าวะ ประมาณว่า แบ่งให้ลกู ค้าคนอืน่ บ้างนะเฮ้ย... แล้วฟรีกอ็ ปปีเ้ ดีย๋ วนีก้ ช็ อบท�ำเล่มใหญ่ๆ กัน เวลาหยิบ เลยกระมิดกระเมีย้ น หลบมุมแอบซ่อนมากๆ ก็ไม่ได้ ต้องหยิบ แล้วใส่กระเป๋าทันที ดูเหมือนเด็กเนิรด์ ทีห่ ยิบหนังสือในห้องสมุด มาอ่านเป็นตัง้ ๆ เวลาถือไปไหนมาไหนก็เหมือนกับคนทีไ่ ม่ได้ ตัง้ ใจมาใช้บริการของร้าน แต่มาเพือ่ จะมาหยิบสิง่ เหล่านีท้ งั้ นัน้ (ก็แหงสิครับ เป้าหมายหลักคือของฟรี ส่วนทีซ่ อื้ กาแฟนัน่ เป็น ข้ออ้างในการเข้าร้านต่างหาก 555 - ล้อเล่นนะครับ) ผมยังสงสัยต่อไปอีกว่า ฟรีก็อปปี้นั้นมีอิทธิพลต่อการ ดึงดูดลูกค้าหรือเปล่า ไม่นับที่ว่าวางบนเชลฟ์ที่สถานีรถไฟฟ้า หรือแบบที่ลิโด้ชั้นล่างนะครับ คือแบบนั้น เราสามารถเข้าไป หยิบแล้วเดินออกมาหน้าตาเฉยได้เลย แต่อย่างเช่นร้านกาแฟ ร้านอาหาร หรือสถานทีอ่ นื่ ๆ ล่ะ ฟรีกอ็ ปปีม้ ผี ลต่อยอดขายมัย้ คือประมาณว่า ฟรีกอ็ ปปีห้ วั นีด้ งั มาก ต้องมาหยิบทีน่ เี่ พราะทีน่ ี่ มีเยอะ อะไรท�ำนองนี้ แล้วอีกอย่างทีผ่ มอยากจะรูค้ อื เจ้าของ ร้านเป็นห่วงเป็นใยกับฟรีกอ็ ปปีม้ ากแค่ไหน พูดง่ายๆ คือเค้าหวง หรือเปล่า เพราะปกติผมไปนัง่ ตามร้านกาแฟสวยๆ ลูกค้าก็จะ หยิบกันสวยๆ คนละเล่มสองเล่ม มีแต่ผมนีแ่ หละทีห่ ยิบๆ มาเต็ม ไม้เต็มมือ อ่านก็ไม่อา่ นด้วยนะ เก็บใส่กระเป๋ากลับไปอ่านทีบ่ า้ น แต่จะว่าก็วา่ เถอะนะครับ เห็นหยิบเหมาไปแบบนี้ ผม อ่านทุกเล่มนะครับ คือหยิบไปไม่เสียเปล่าแน่นอน แล้วทีส่ ำ� คัญ คือ ไม่เอาไปทิง้ ด้วย เพราะไอ้การเป็นเด็กวารสารนีแ่ หละทีท่ ำ� ให้ รูว้ า่ การท�ำนิตยสารแต่ละฉบับไม่ใช่งา่ ย เหนือ่ ยและต้นทุนสูง ไหนจะถ่ายรูป ไหนจะสัมภาษณ์ เขียนเนือ้ หา หาข้อมูล หาภาพ วาดการ์ตนู จัดวางเลย์เอาท์ ส่งเข้าโรงพิมพ์ พิมพ์มาแพงๆ บางที ก็เจ็บปวดทีเ่ ห็นฟรีกอ็ ปปีใ้ หม่ๆ ทีแ่ จกในวันนัน้ แต่ตอ้ งไปจบชีวติ ลงทีถ่ งั ขยะบนสถานีรถไฟฟ้า มันเป็นภาพชีวติ อันโหดร้ายสิน้ ดี! ก็ถา้ จะไม่อา่ นท�ำไมไม่วางเป็นที่ หรือไม่กเ็ อามาให้ผมวะ เสียดาย นะเว้ย...
อีกความสงสัยหนึง่ คือ ในกรณีทมี่ เี จ้าหน้าทีแ่ จกฟรีกอ็ ปปี้ ยืนแจกทีส่ ถานีตอนเย็นๆ เราสามารถขอได้มากกว่าหนึง่ เล่มได้ หรือเปล่า เพราะเวลาที่พวกเขาแจก พวกเขาจะแจกทีละเล่ม เสมอ (เข้าใจว่าเป็นค�ำสั่งจากเบื้องบน) ทีนี้เราสามารถบอกเขา ได้หรือไม่วา่ ผมขอมากกว่าหนึง่ ได้มยั้ คื อ ก็ ไ ม่ ไ ด้ ข อมากมายหรอกนะครั บ เต็ ม ที่ ที่ สุ ด ก็ สองเล่ม ไม่กล้าขอมากกว่านี้ ขอมากกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์ นอกจากจะท�ำให้บ้านรกเปล่าๆ ไม่รู้ว่าเบื้องบนจะสั่งรัดกุม เข้มงวดมากแค่ไหน จะเข้มงวดคล้ายๆ กับใบปลิวหรือเปล่า ทีห่ า้ มแจกเกินคนละใบ และห้ามแจกทีละเป็นปึกๆ ห้ามแอบ เอาไปทิ้งถังขยะ ต้องเอาจ�ำนวนเล่มที่เหลือมาหักยอดกับ จ�ำนวนเต็ม แล้วถึงจะได้ค่าจ้างอะไรท�ำนองนี้หรือเปล่า กับพวกฟรีกอ็ ปปีร้ ายสัปดาห์นนั้ คงไม่เท่าไหร่ ถ้าเอ่ย ปากขอดีๆ ผมว่าพวกเค้าก็นา่ จะให้นะ ไม่นา่ จะเสียหาย แต่พวก หนังสือพิมพ์ฟรีรายวันนีแ่ หละทีผ่ มมักจะเห็นอะไรแปลกๆ เช่น คนแจกชอบแจกมากกว่าหนึง่ ฉบับซะงัน้ คือล�ำพังจุดแจกในก ทม. ก็เยอะอยูแ่ ล้ว กว่าจะเดินทางถึงทีก่ ไ็ ด้ (มากเกิน) ไปหลาย เล่ม แล้วอีกปัญหาคือ บางคนขอไปทีละเป็นปึกๆ ปึกใหญ่ๆ คือ เขตทีบ่ า้ นพีอ่ ยูไ่ ม่มคี นแจกเลยเรอะ ถึงต้องขอไปเป็นปึกๆ น่ะ ผมเคยท�ำสถิตใิ นการหยิบฟรีกอ็ ปปีใ้ นหนึง่ วันคือ 50 กว่า ฉบับ เนือ่ งด้วยว่าวันนัน้ มีงานทีส่ ำ� นักพิมพ์รายใหญ่ 2 ส�ำนัก พิมพ์จดั งานลดราคาหนังสือพร้อมกัน แล้วก็มฟี รีกอ็ ปปีใ้ นเครือ ของตัวเองมาให้หยิบด้วย ผมเป็นคนทีข่ เี้ กียจนัง่ เสียดาย เลย หยิบมันทุกฉบับทีเ่ ขาวางไว้ให้เลย แล้วก็จบั รถแท็กซีไ่ ปอีกงาน หนึง่ ก็ไปหยิบเพิม่ มาอีก แล้วยิง่ มีพี่ Staff มาป่าวประกาศบอก ว่า “หยิบกีเ่ ล่มก็ได้นะครับ” เออ ถ้างัน้ ผมหยิบทุกฉบับเลยนะพี่ นะ จนในทีส่ ดุ กระเป๋าเป้กเ็ ต็มไปด้วยฟรีกอ็ ปปีจ้ ำ� นวนมหาศาล ...หนักบรรลัย ส�ำหรับเจ้าของห้างร้าน สถานที่ที่มีฟรีก็อปปี้วางไว้ให้ ลูกค้าหยิบ แล้วเห็นไอ้บา้ คนหนึง่ ก�ำลังกอบโกยฟรีกอ็ ปปีจ้ ำ� นวน มากผิดปกติ (ในระดับทีค่ นทัว่ ไปเค้าไม่หยิบกัน) ออกไปจากร้าน ของท่าน ก็อย่าได้ไปถือสาหาความกับมันเลยนะครับ มันชอบ ของมันน่ะ ปล่อยให้มนั หยิบไปเถอะ
THE ITEM COLLECTION ชื่อบทความ:
สมุดบันทึก (2559)
สถานะ: เผยแพร่ในรูปแบบหนังสือท�ำมือ ITEM ในงาน Make-a-zine ครั้งที่ 2
คุ ณ ผู ้ อ ่ า นเป็ น มนุ ษ ย์ ส มุ ด บั น ทึ ก หรื อ มนุ ษ ย์ เ ศษ กระดาษ? ส�ำหรับมนุษย์ทชี่ อบจดเป็นชีวติ จิตใจ คือมีชวี ติ ทีด่ ำ� รงด้วย การจด ไม่วา่ จะเพราะหน้าทีก่ ารงานหรือจินตนาการอันพลุง่ พล่าน แล้วตระหนักดีวา่ ความคิด ไอเดียสดใหม่ทคี่ ณ ุ คิดได้ (ทีม่ กั จะมาใน เวลาทีไ่ ม่นา่ จะคิดได้) นัน้ สลายหายได้รวดเร็วเหมือนขนมสายไหม โดนน�ำ้ พรม แล้วของพวกนีม้ นั ไม่กลับมาใหม่แล้วด้วยนะครับ เพราะ ฉะนัน้ นอกจากปากกาหรือดินสอทีเ่ ขียนถนัดๆ มือซักด้าม ไอ้สงิ่ ที่ จะมารองรับไอเดียก็สำ� คัญ จะด้วยอะไรไม่รแู้ หละ ตอนเด็กๆ ผมเป็นคนทีเ่ กลียดการ ใช้สมุดมาก คือถ้าไม่ใช่สมุดการบ้าน ทุกสิง่ ทุกอย่างทีใ่ ช้จดอย่าง อืน่ มักจะไม่ใช่สมุด เคยซือ้ สมุดสวยๆ มากีเ่ ล่มก็ไม่เคยได้ใช้ ไม่ใช่วา่ สมุดไม่ดนี ะครับ มันก็มขี อ้ ดีในแง่ทวี่ า่ มันสามารถรวบรวมสิง่ ทีเ่ รา จดไว้ได้เป็นเล่มๆ เปิดอ่านค้นหาได้สะดวก แต่ดว้ ยความรูส้ กึ ว่ามัน คับแคบน่ะครับ คือผมเป็นคนทีจ่ ดแบบไม่มขี อบเขต คือจดบ้าจด บอไปเรือ่ ยๆ จนกว่าจะเต็ม หรือหมดไอเดีย สมุดเลยมีข้อเสียอย่างหนึ่งคือ เนื้อที่มันมีจ�ำกัด แล้ว บางทีที่ผมจดจนเกินหนึ่งหน้ากระดาษ ก็ต้องพลิกไปต่อหน้า อื่น ซึ่งมันก็ไม่ต่อเนื่อง เขียนได้ไม่จบประโยค ไม่สะใจเวลา เขียนและอ่านไม่เข้าใจเวลาอ่าน
เพราะฉะนั้นแต่ไหนแต่ไรมาผมเลยเลือกใช้กระดาษ เปล่าๆ ในการจด คือมันก็ไม่เชิงเศษกระดาษหรอกครับ แต่ ซื้อกระดาษเอสี่มาหนึ่งรีมเพื่อไว้ใช้จดโดยเฉพาะ เวลาพกพา ก็หยิบใส่แฟ้มไปปึกนึง แล้วก็จดทุกอย่างใส่ในนั้น ต่อมาพอผมเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย ผมก็ยังติด อาการเกลียดสมุดอยู่ ผมเลยลงทุนซือ้ คลิปบอร์ด (กระดานรอง แผ่นกระดาษทีม่ คี ลิปหนีบด้านบน) ไซส์ A5 มาหนีบกระดาษ เพือ่ จดเล็กเชอร์ มันเป็นคลิปบอร์ดใส (ทีต่ อนนีไ้ ม่ใสแล้วละ) แต่ ผมก็ใช้งานในการจดทุกอย่างลงกระดาษ เป็นที่แปลกตาของ เพือ่ นฝูงในคลาสทีใ่ ช้แต่สมุดจดเป็นอันมาก แต่บางครัง้ พบว่า การจดไอเดียของผมลดน้อยลงไปมาก เพราะว่ากระดาษทีจ่ ดนัน้ มักจะมีปญั หาคือ มันจดอะไรได้ลำ� บาก จริงๆ คือถ้าจดไอเดียแบบจริงๆ จังๆ บางครัง้ ก็ตอ้ งไปจดทีห่ ลัง กระดาษแทน เพราะด้านหน้าจดเนือ้ หาเรียนไปแล้ว แล้วพอจด หลังกระดาษ พอถึงเวลาหยิบมาอ่านเล็กเชอร์กม็ กั จะลืมไปด้วยว่า มีไอเดียอยูห่ ลังแผ่น พอไม่ใช้แล้วก็เอาไปเก็บไว้ไม่เป็นทีเ่ ป็นทาง ใน ทีส่ ดุ ก็ตอ้ งล�ำบากล�ำบนรวบรวมไอ้ทเี่ ขียนนัน้ ทีหลัง ผมเลยรู้สึกต้องการสมุดอย่างจริงจัง เดินเข้าไปยัง ช็อปของมหาวิทยาลัย แล้วสอดส่องหาสมุดที่เหมาะมือและ เหมาะในการจด ในที่สุดผมก็เจอสมุดเล่มหนึ่ง ที่ผมหลงรัก ตั้งแต่แรกพบ เพราะว่ามันเป็นไซส์ A5 พอดีอย่างที่ต้องการ แล้วที่ส�ำคัญคือ ไม่มีเส้น ปกแข็ง และราคาไม่แพงด้วย ผม เลยซื้อกลับมาแล้วจัดการเพิ่มเติมอะไรอีกนิดหน่อย ด้วยการ ท�ำงานคอลลาจ (Collage) ใส่หน้าปกทั้งหน้าและหลังเลย สวยงามน่าใช้สุดๆ กลายเป็นว่า พอผมมีสมุด ผมก็กลายเป็นคนที่จงรัก ภักดีต่อสมุดเสียอย่างนั้น จดและวาดทุกอย่างลงในสมุดแสน รักอย่างเต็มที่ เรียกว่างานทั้งใหญ่และเล็กที่เคยท�ำในชีวิต ล้วนมีไอเดียมาจากสมุดเล่มนี้ทั้งสิ้น จากคนที่เกลียดสมุด เลยกลายเป็นคนที่ต้องพึ่งพา สมุดเสียอย่างนั้น เนื่องจากไอเดียหลักๆ ที่จดไว้อยู่ในสมุด หมดเลย ถ้าข้อดีของสมุดคือ สามารถรวบรวมสิ่งที่จดไว้ในเล่ม เดียวกัน ข้อเสียของมันก็คือ ถ้าวันไหนลืมหรือว่าท�ำหาย ก็จบ กันเลยทีนี้ ไอเดีย ความลับ ความในใจที่สู้อุตส่าห์แอบเขียน เอาไว้ แล้วเก็บเป็นความลับก็ชิบหายวายป่วงไปพร้อมๆ กัน ทั้งหมดทั้งสิ้น ลองนึกว่าถ้ามีคนมาเจอแล้วแอบอ่านสิ... เปล่า, สมุดไม่ได้หายไปไหนหรอกครับ สมุดยังอยู่ ทุกวันนี้ก็ยังอยู่ แต่สิ่งที่ผมค้นพบคือ ผมกลับใช้มันน้อยลง
ด้วยความที่พอเรียนในระดับสูงขึ้น วิชาพวกนั้นเลยไม่ ค่อยมีตำ� รา โดยเฉพาะวิชาใหม่ๆ มักจะมีชที ให้แทน ผมเลยนิสยั เสีย จดเนือ้ หาวิชาเรียน การบ้าน รายงาน แนวข้อสอบ ฯลฯ ทุก อย่างลงในชีทนัน่ แหละ คือโน้ตข้อความส�ำคัญๆ ลงในต�ำราเรียน เลย เพือ่ ความสะดวกในการท�ำความเข้าใจและอ่านต�ำราสอบ ส่วนคลิปบอร์ดก็เลือ่ นขึน้ ไปท�ำหน้าทีจ่ ดไอเดียแทน จดไอเดียไม่พอ หลายครัง้ ทีเ่ ข้าคลาส แทนทีจ่ ะตัง้ ใจจด สิง่ ทีอ่ าจารย์สอน ผมกลับวาดรูปเล่นซะงัน้ ก็ไม่รวู้ า่ ท�ำไม เครียด หรืออะไร คืออะไรทีส่ ำ� คัญมากๆ ก็จด แต่ถา้ อาจารย์สอนนอก เรือ่ งเมือ่ ไหร่ ผมก็จะวาดรูป วาดกราฟิก จดพล็อตหนังสัน้ เขียน กวี วาดรูปประกอบ เขียนความในใจ ฯลฯ หรือไม่กเ็ ขียนข้อ ความตลกๆ เช่น เขียน Copywriting โฆษณาบ้าๆ บอๆ ไร้สาระ แทน คือเป็นตัวอย่างทีไ่ ม่ดเี ลย หนูๆ อย่าลอกเลียนแบบ ซึง่ พอท�ำแบบนัน้ สมุดของผมก็ตกกระป๋องสิครับ ถาม ว่าเห็นใจมัย้ บอกได้เลยว่าผมเห็นใจมาก เหมือนซือ้ มันมาใช้แล้ว สุดท้ายก็เขียนไม่หมดเล่ม แล้วพอพกไปพกมาก็หว่ งสภาพมันจะ ทรุดโทรมเพราะว่าปกเริม่ ยับเยิน บวมและด�ำ เลยให้มนั อยูบ่ า้ น แทนทีจ่ ะใช้งานมันนอกสถานที่ แล้วพอปลดประจ�ำการเพือ่ อยูบ่ า้ น แทนทีจ่ ะได้ใช้งาน มัน ก็ไม่ได้ใช้งานมันอีก เพราะผมหันไปใช้กระดาษ A4 พับครึง่ เพือ่ จดไอเดียแทน แล้วใช้วธิ รี วบรวมสิง่ ทีเ่ คยจดไว้ในเศษกระดาษ ต่างๆ มาตัดแปะลงไปในสมุด จนทุกวันนีไ้ ม่ควรเรียกว่าสมุดจด แต่นา่ จะเรียกว่าสมุดคอลลาจ (Scrapbook) มากกว่า คือเป็น งานชิน้ เล็กๆ มาแปะรวมกันในสมุด หรือถ้าจดไอเดียดีๆ ไว้ ก็จะ จดจากกระดาษอืน่ แล้วเอามาแปะไว้ในสมุดแทน ส่วนอะไรทีไ่ ม่จำ� เป็นมาก เป็นเหตุการณ์ชวั่ คราว โพสต์อทิ เข้ามาท�ำหน้าทีน่ แี้ ทน เพราะว่ามันมีขนาดพอดีทจี่ ะจดแล้วก็แปะ ไว้กบั โต๊ะท�ำงาน พอไม่ใช้อนั ไหนแล้วก็ดงึ ออก ส่วนอันไหนทีจ่ ดอะไร ดีๆ ไว้ ก็นนั่ แหละ จับมันทากาว แปะสมุดเหมือนเดิม คื อ สุ ด ท้ า ยผมก็ ก ลายเป็ น มนุ ษ ย์ เ ศษกระดาษ เหมือนเดิม สุดท้ายก็พบว่า ผมเกลียดสมุดจริงๆ นั่นแหละ
THE ITEM COLLECTION ชื่อบทความ:
กาแฟ (2559)
สถานะ: เผยแพร่ในรูปแบบหนังสือท�ำมือ ITEM ในงาน Make-a-zine ครั้งที่ 2
“Even bad coffee is better than no coffee at all.” กาแฟห่วยๆ ก็ยงั ดีกว่าไม่มกี าแฟ David Lynch ผูก้ ำ� กับ หนังเค้าว่างัน้ ซึง่ ผมก็ได้แต่เอออห่อหมกไป คือพีแ่ กคงชอบกิน กาแฟอย่างหนักจริงๆ ถึงได้พดู โควทนีอ้ อกมา ไม่วา่ มันจะเป็น กาแฟดริปรสนุม่ หรือจะเป็นเอสเพรสโซ่หว่ ยๆ แก้วละยีส่ บิ ห้า บาท พีแ่ กก็กนิ ได้หมด ขอให้มนั เป็นกาแฟและไม่มหี างก็พอ แต่ พอมาคิดอีกที ผมก็เป็นเหมือนกัน เพราผมเป็นคนหนึ่งที่ติด กาแฟ แล้ววันไหนที่ไม่ได้กินกาแฟ วันนั้นจะเป็นวันที่ง่วงหนัก บรรลัย ทีส่ ำ� คัญเลยคือ มันต้องเป็นกาแฟเอสเพรสโซ่รอ้ นเท่านั้น นะครับ ขีดเส้นใต้ค�ำว่าเท่านั้นด้วย คือจริงๆ ก็ไม่ได้อยากจะ เป็นคนกระแดะดัดจริตอะไรหรอกครับ แค่มันติดก็แค่นั้น แล้ว ไอ้กาแฟพรรค์นี้ พอได้ลองบ่อยขึ้นๆ หลายๆ ช็อต ก็เริ่มจะค้น พบตัวตนไปเองโดยปริยาย ว่าผมไม่สามารถกลับไปกินกาแฟ เย็น หรือกาแฟที่ผสมอย่างอื่นได้อีกแล้ว ก็เคยลองกลับไปกิน ลาเต้ หรือกาแฟอย่างอื่นเหมือนกัน ลองตั้งแต่ลาเต้แบบหญิง สาว อเมริกาโน่แบบแมนๆ กาแฟเย็นที่กินไปก็เท่านั้น (ผม เรียกกาแฟเย็นว่า “กาแฟเด็กเล่น”) จนไปถึงกาแฟทรีอินวัน
โดยเฉพาะตอนนีท้ มี่ กี าแฟออกใหม่ ทีไ่ ม่ควรจะเรียกว่า กาแฟด้วยซ�ำ้ เพราะเป็นกาแฟทีโ่ ปรโมทว่าผสมนม อร่อยหอม มัน (ยีห่ อ้ เน.....XXX.... ไอ้หอ่ ฟ้าๆ นัน่ แหละครับ) ซึง่ ผมก็ลองมา แล้ว และด้วยความทีล่ นิ้ โดนเอสเพรสโซ่มาจ�ำนวนมากจนชาชิน พอโดนกาแฟนมเข้าไป ยังกะน�ำ้ เปล่า! สีย่ อ่ หน้าเข้าไปแล้ว ยังไม่ได้อธิบายเลยว่าเอสเพรสโซ่คอื อะไร หลักการง่ายๆ มินมิ อลของมันคือ มันเป็นกาแฟส�ำหรับการ ตัง้ ต้นเพือ่ เอาไปชงกลายเป็นกาแฟสูตรอืน่ ๆ กายภาพของมันไม่มี อะไรซับซ้อนไปกว่ากาแฟคัว่ บดทีช่ งด้วยแรงดันจากเครือ่ ง ใช้นำ�้ ร้อนทีม่ อี ณ ุ หภูมเิ หมาะสมจนได้นำ�้ กาแฟเข้มข้นมาหนึง่ ช็อตต่อ การชงหนึง่ ครัง้ ซึง่ นับจากตรงนี้ จะเอาไปผสมอะไรก็วา่ ไป เช่น ผสมกับนมและโกโก้ไซรัปก็จะได้มอคค่า ผสมฟองนมและนมจ�ำนวน มากก็จะได้ลาเต้ ผสมเฉพาะนมสองช็อตจะได้แฟลตไวท์ ถ้าโปะ ไอศกรีมรสอะไรก็ได้กก็ ลายเป็นอัฟโฟกาโต้ ผสมนมและใส่ฟองนม ละเอียดก็กลายเป็นคาปูชโิ น่ ถ้าผสมน�ำ้ ร้อนเข้าไปอีกสองส่วนโดย ไม่ผสมอะไรอีกจะกลายเป็นอเมริกาโน่ แต่ถา้ ไม่ผสมอะไรเลยนัน่ แหละครับ มันจะกลายเป็นเอส เพรสโซ่ รสชาติแก่จดั ขมเข้ม บางทีอาจมีตดิ รสเปรีย้ วมาบ้าง กลิน่ หอมกาแฟขัน้ รุนแรง และการเสิรฟ์ ทีถ่ กู หลักสากลนัน้ จะ ไม่เสิรฟ์ มาในแก้วกาแฟ (Mug) แต่จะเสิรฟ์ ด้วยจอกแก้วขนาด เล็ก ปริมาตรไม่เกิน 1 - 2 ออนซ์ เอสเพรสโซ่จงึ ไม่คอ่ ยเรียกกัน เป็นแก้ว แต่ควรจะเรียกว่าเป็นช็อตมากกว่า (สัง่ หนึง่ ช็อตเรียก ซิงเกิล สัง่ สองช็อตเรียกดับเบิลหรือดอพพิโอ) ได้อารมณ์เสมือน ก�ำลังกินเตกิลา่ และบางทีก่ ม็ กั จะเสิรฟ์ พร้อมกับสปาร์กลิงวอเตอร์ (Sparkling water - น�ำ้ เปล่าอัดลม) เย็นๆ สดชืน่ ไว้ลา้ งปากหลัง ดืม่ ด้วย สรุปคือ ลิน้ ผมมันด้านเกินกว่าจะกลับไปกินกาแฟอืน่ ๆ ได้แล้วละครับ แม้วา่ ชีวติ จริงก็ตอ้ งกลับไปกินกาแฟทรีอนิ วันบ้าง ในบางที แต่กลายเป็นว่า กาแฟซองยีห่ อ้ ต่างๆ นัน้ ไม่สามารถเอา ผมได้อยู่ ผลจากการทดลองส่วนตัวของผมคือ เมือ่ วันใดทีผ่ มกิน เอสเพรสโซ่ ผมจะสามารถท�ำงาน เรียน ใช้ชีวิตได้อย่างไม่ง่วง หงาวหาวนอนได้ประมาณ 4 ชั่วโมงโดยเฉลี่ย แต่พอเป็นกาแฟ ทรีอินวัน บางทีไม่ถึงชั่วโมงก็ไปซะแล้ว บางทีกย็ อมรับเหมือนกันว่าแอบนอกใจ ไม่กนิ กาแฟ แต่ ลองกินพวกเครือ่ งดืม่ ชูกำ� ลังแทน ซึง่ ค�ำว่าชูกำ� ลังนัน้ ส�ำหรับผม กลายเป็นโฆษณาเกินจริงไปซะอย่างนัน้
เพราะแทนที่จะกินแล้วชูก�ำลัง กินแล้วคึกคักหายง่วง แรกๆ ก็สดชื่นดี หายง่วง ถ้าเป็นกราฟ ตอนนี้เส้นกราฟก�ำลัง ไต่ขึ้นจุดสูงสุด แต่หลังจากผ่านไปไม่ถึงชั่วโมง กราฟก็ตกวูบ ดิ่งเหว รู้ตัวอีกที หมอบหลับหน้าคอมพิวเตอร์ซะแล้ว มันท�ำให้ผมมาถึงจุดนี้ได้ยังไงก็ไม่รู้ เพราะถ้ามีร้าน กาแฟแถวบ้านก็กนิ ไปแล้ว แต่กด็ นั ไม่มี หรือจะลงทุนซือ้ เครือ่ ง มาท�ำเองก็ลำ� บากไปหน่อย งานการก็ยงั ไม่ได้ทำ� ล�ำพังชีวติ ความ เป็นอยูก่ บ็ งั คับท�ำให้ออกไปซือ้ กาแฟได้ยาก บางทีกจ็ น บางทีมี เงินแต่กข็ เี้ กียจซะงัน้ แต่เมือ่ สมัครใจจะเป็นสาวกของกาแฟขมๆ ทีไ่ ม่มคี วามอร่อยเจือปนอยูเ่ ลย ก็เลยต้องพยายามอดกลัน้ แต่อย่าคิดว่าจะง่าย เพราะถ้าคุณกลายเป็นคนติดกาแฟ ไปซะแล้ว เพราะกาแฟก็คอื ยาเสพติดชนิดหนึง่ เหมือนกับที่ เราเคยงงกับป้ายนิเทศเกี่ยวกับการต่อต้านยาเสพติดที่ติดหน้า ห้องเรียนสมัยเด็กๆ นัน่ แหละ ทีเ่ ขียนใต้ภาพบอกว่าว่าชา กาแฟ นัน้ มีสารคาเฟอีน เป็นยาเสพติดชนิดหนึง่ แล้วเด็กๆ ก็จะงงว่า น�ำ้ ชากาแฟมันเป็นยาเสพติดตรงไหนวะ เห็นพ่อแม่กซ็ ดั น�ำ้ ชากาแฟ มาตัง้ แต่ไหนๆ ก็ไม่เคยเห็นว่าพ่อแม่จะคุม้ คลัง่ จับลูกตัวเอง แล้ว เอามีดปังตอมาจีค้ อเป็นตัวประกันเหมือนกับคนเมายาบ้าในทีวี ซะหน่อย แต่พอโตขึน้ เริม่ เป็นวัยรุน่ ก็อยากจะริลองอะไรต่างๆ ทีเ่ ขาว่ากันว่ามันไม่ดี พอเวลามายืนหน้าเครือ่ งท�ำน�ำ้ ร้อน พ่อก็ จะดุทกุ ทีวา่ “อย่าแอบชงกาแฟนะโว้ย” แต่พอพ่อแม่ไม่อยู่ จะ เหลือเหรอ วัยรุน่ ผูช้ ายบางคนอาจแอบดูหนังโป๊ ลูกชายบางคน อาจแอบเอาลิปสติกแม่มาทาเล่น แต่ผมก�ำลังแอบกินกาแฟ แต่สมัยนั้นกาแฟไม่มีทรีอินวัน มีแต่แบบชงเอง เพราะ ฉะนั้นเลยต้องแอบชง พอชงเสร็จก็มานั่งหน้าพัดลม รีบเป่ารีบ กินกลัวพ่อแม่มาเห็น กินเสร็จรีบล้างแก้ว เช็ดให้แห้งแล้วเก็บ เข้าที่ แต่สักพักหนึ่ง ผมก็เป็นลมล้มไป พอตื่นมาอีกที สมอง ผมก็มึนงงไปหมด เหตุเพราะผมทะลึ่งใส่ผงกาแฟไปสามสี่ช้อน สมน�ำ้ หน้า (ปกติใส่แค่ชอ้ นหรือสองช้อน) เป็นเพราะกาแฟหรือ เปล่าไม่รู้ รูแ้ ค่วา่ มันหอมมากๆ เลย แล้วก็รสู้ กึ โตเป็นผูใ้ หญ่ดว้ ย หลังจากนัน้ พอผมโตขึน้ ถึงผมจะกินกาแฟ พ่อแม่กไ็ ม่ ว่าอะไรแล้ว แต่กต็ กระก�ำล�ำบากอยูท่ กุ วันนีว้ า่ ผมเป็นคนติดกาแฟ แล้วดันเลิกไม่ได้ พอจะหากินก็ลำ� บาก ไม่กนิ ก็งว่ ง กาแฟใกล้ตว้ ก็มี แต่ทรีอนิ วัน กินๆ ไปเหอะ กาแฟห่วยๆ ก็ยงั ดีกว่าไม่มี ท�ำไงได้ ดัน เกิดมาเป็นคนติดกาแฟ
THE ITEM COLLECTION ชื่อบทความ:
ภาพยนตร์ (2559)
สถานะ: เผยแพร่ในรูปแบบหนังสือท�ำมือ ITEM ในงาน Make-a-zine ครั้งที่ 2
ผมเคยก�ำกับภาพยนตร์ด้วยครับ แต่อย่าคิดจะหามาดู เลยนะครับ เพราะว่าภาพยนตร์เรื่องนั้น นอกจากผมและคน ตัดต่อ ก็ไม่มีใครได้ดูมันอีกเลย แม้แต่ทีมงานหรือนักแสดงก็ ยังไม่ได้ดูด้วยซ�้ำ (วงเล็บ-ทีมงานทุกคนเป็นนักแสดงหมดเลย รวมถึงผมด้วย...) ต้องขอเล่าก่อนว่ามันเป็นภาพยนตร์รักครับ มันเป็น เรื่องของผู้ชายคนหนึ่งที่ผิดหวังจากความรักในอดีต จนไม่ สามารถรักใครได้อีก แต่สุดท้ายก็มีเหตุเมื่อได้เจอใครบาง คนเข้า และเขาก็รักผู้หญิงคนนั้นจนได้ ท�ำให้เขาได้พบกับ ความรักอีกครั้งหลังจากใจสลายมาหมาดๆ ถ้ า ไม่ เ ข้ า ข้ า งตั วเองนะครั บ ผมว่ า พล็ อ ตหนั ง เรื่ อ ง นี้ สนุกนะ ถ้าท�ำออกมาแล้วได้ฉาย ผมว่ามันจะกลายเป็นหนัง แมสที่ดี เพียงแต่ว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น เพียงเพราะว่าผมไม่ได้ ฉายให้ใครดู ไม่ได้อัพขึ้นยูทูบ ไม่ได้ปล่อยไฟล์ให้ใครโหลด ฟุต เทจยังอยู่ครบทุกเทค ทุกซีน มีเสียงพร้อมจะซิงก์ เพียงแต่ผม เลือกที่จะปล่อยมันไว้อย่างนั้นแหละ และน่าจะดีกว่าหากไม่ ให้ใครดู ส่วนสาเหตุที่ผมไม่ฉายภาพยนตร์เรื่องนั้น มันมีสอง สาเหตุ สาเหตุแรก – เป็นสาเหตุทอี่ อ่ นทีส่ ดุ เนือ่ งจากภาพยนตร์ เรือ่ งนีเ้ ป็นงานส�ำหรับส่งในวิชาการผลิตหนังสัน้ แน่นอนว่า ทุก คนต้องลงมือผลิตหนังสัน้ กันกลุม่ ละเรือ่ ง ผมและทีมงานทัง้ 5 คน ไม่เคยท�ำภาพยนตร์มาก่อนเลย
อย่างดีก็แค่เป็นนักแสดงประกอบ และมีความรู้เรื่อง กล้องบ้าง ประกอบกับเวลาที่มีอยู่อย่างจ�ำกัด ล�ำพังเวลาจะ เข้าคลาสยังไม่ค่อยจะมีเลย แพลนการสร้างหนังเลยลากไป ถึงช่วงก่อนสอบไม่นาน ดีที่ว่าอาจารย์นัดวันฉายหนังหลัง ช่วงสอบ ซึ่งพอจะนัดกันมาถ่ายหนังจริงๆ นัดกันเจ็ดโมงเช้า ตากล้องดันมาบ่ายสอง ผลคือ หนังทั้งเรื่องมี 15 ซีน ถ่ายได้ แค่สองซีน จากนั้นก็หยุดกองถ่ายเพื่อไปสอบ พอหลังสอบ ก็ กลับมาถ่ายใหม่อีกวัน คราวนี้บางคนติดงาน ติดธุระ เช้ายัน ดึกได้มาอีกสองซีนถ้วน เจริญ... วันที่สาม ผมจึงใช้ระบบเผด็จการ ด้วยการนัดกัน มาถ่าย 11 ซีนที่เหลือให้เสร็จภายในวันเดียว ซึ่งต้องเสร็จ ในวันเดียวจริงๆ เพราะอีกสามวันจะมีนัดฉายหนังกันแล้ว เช่นเคย นัดเช้า ถ่ายบ่ายอีกแล้ว ต้องถ่ายเอาท์ที่ลานจอดรถ จนจวนเจี ย นจะแสงหมด แล้วย้ายเข้าไปถ่ายอินในหอพั ก นักศึกษาแถวรามค�ำแหงอีกสองซีน จนทุ่มนึง ต้องนั่งแท็กซี่ ไปถ่ายฉากออฟฟิศแถวประตูน�้ำอีก ทีนี้ยาวเลยครับ จาก ทุ่มนึง ลากไปเรื่อย มีปัญหาตลอดเพราะไม่ได้ไม่ได้ดูโลเก ชั่นมาก่อนด้วย (เพราะไม่มีเวลา) แถมยังจะมีปัญหาเมมฯ เต็มอีก ต้องโยนไฟล์เข้าคอม โน๊ตบุ๊คของเพื่อนก็จอพัง ร้าน เน็ตแถวๆ นั้นก็ปิดเพราะดึกสงัด คอมฯ ในออฟฟิศก็ใช้ไม่ ได้ซักเครื่อง พอถ่ายได้ซักพักกล้องก็แบตฯ หมด พออีกซัก พักคนก็แบตฯ หมด จนถึงตีสี่ เหลืออีกสามซีน แฟนของนักแสดงที่ตาม มาเฝ้ า คุ ม เชิ ง ก็ ม าวิ จ ารณ์ ห าเรื่ อ ง ท� ำ ตั ว เป็ น กู รู เ รื่ อ งหนั ง ท�ำ ตัว เป็ น คนท� ำ หนั ง มืออาชีพ (ซึ่งใครจะแคร์มึงครั บว่ า มึ ง ท�ำงานอะไร) เข้ามาว่าเรื่องการท�ำงาน พาลมาวิจารณ์กูอีก ขู ่ ว ่ า ถ้ า ไม่ เ สร็ จ ตี ห ้ า จะพาแฟนกลั บ (จริ ง ๆ ก็ คื อ มึ ง จะพา แฟนกลับบ้านให้ได้นั่นแหละไอ้ห่า) แล้วก็ตามไปว่าทีมงาน ทุกคนข้างนอกออฟฟิศอีก ซึ่งถ้ามันพากลับจริงๆ ก็จบเลย นะครับ เพราะออฟฟิศยอมให้ถ่ายได้เฉพาะวันเสาร์กลาง คืนเท่านั้น แล้วก็เหลือวันนั้นแหละวันสุดท้าย แล้วเทศกาล ประกวดหนังสั้นของคณะจะจัดวันพฤหัสบดี ทุกซีนต้องจบ ภายในวันนั้นวันเดียว เหลือเวลาให้ตัดต่ออีกแค่สามวัน ผม เองก็ท�ำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งประสาทกินไปเรื่อยๆ มันจะ พูดอะไรก็ช่างแม่งเหอะ ร�ำคาญ ผมก็ ต ้ องเล็ มบท ตัดซีนที่ไม่จ�ำเป็นทิ้งไป ส่ วนตาก ล้องก็ต้องอาศัยลบเทคที่ไม่ได้ใช้ออกไปจากเมมฯ สรุปคือ นัดเสาร์เช้า ไปจบเอาวันอาทิตย์ตีห้า
บางคนที่ไม่เคยตัดหนังอาจคิดว่าสามวันก็เหลือเฟือ ผมก็คิดอย่างนั้นแหละครับ แต่เอาจริงๆ แล้ว สามวันนั้น คน ที่ตัดต่อหนังก็น่ังตัดหนังอย่างเดียวจนไม่เป็นอันเล่นเกมเลย นะครับ (ฮา) แต่สุดท้าย ตัดจนถึงวันงานก็ไม่ทันอยู่ดี แม้จะ ตัดเสร็จแล้ว แต่อย่าลืมว่าต้องเรนเดอร์หนังเป็นไฟล์ Full HD อีกสองชั่วโมง เรนเดอร์จนงานหนังจะเลิกก็ยังไม่เสร็จ เพราะ คอมฯ ค้างอยู่เป็นเนืองนิตย์ สุดท้ายหลังงานฉายหนังเลิก ผม และทีมต้องเข้าไปในงานเพื่อคุยกับอาจารย์ให้ส่งหนังให้ต่าง หากภายในวันรุ่งขึ้น ผมและเพื่อนๆ ทีมงานได้แต่ยนื มองทีมอืน่ ๆ ที่ได้รางวัลแล้วก็ได้แต่ท�ำหน้าชื่นอกตรม นัน่ คือสาเหตุแรกทีผ่ มไม่อยากเอาหนังออกฉายครับ จริง อยูว่ า่ การก�ำกับหนังนัน้ เป็นหนึง่ ในลิสต์ความฝันอันดับต้นๆ ของ ผมเลย แต่สดุ ท้ายแล้ว ผมก็ได้แต่ทำ� มัน จะเป็นหนังหรือไม่เป็นหนัง ก็ไม่ตา่ งกัน สุดท้ายก็นอนตายตาหลับเหมือนกันนัน่ แหละ ผมดีใจ ด้วยซ�ำ้ ทีผ่ มได้กำ� กับหนังอย่างทีต่ วั เองต้องการเรียบร้อยแล้ว และ ก็ดใี จอีกทีไ่ ม่ตอ้ งไปประกวดประชันอะไร เพราะผมไม่ชอบการ ประกวดอะไรทัง้ นัน้ (คือผมชอบการแข่งขัน แต่ไม่ชอบการประกวด) สาเหตุที่สอง – จริงอยู่ที่ภาพยนตร์นั้นเป็นสื่อชนิดหนึ่งที่ ท�ำให้คนหมู่มากได้ชมพร้อมๆ กัน แต่กระบวนการของการ ท�ำภาพยนตร์ให้ได้เรื่องหนึ่ง สิ่งส�ำคัญอย่างแรกเลยคือ สิ่ง กระทบใจ (Impression) ของคนเขียนบทเพียงหนึ่งคน-ที่มี ต่อคนอีกคนหนึ่งเท่านั้น กว่าจะได้บทหนัง มันต้องเริม่ จากมีเรือ่ งทีก่ ระทบใจก่อน แล้วจึงค่อยมี ธีม (Theme – ข้อคิด หรือแก่นของหนัง) มาส นับสนุน จากธีมจะขยายไปเป็นพล็อต (Plot-เรื่องย่อ) เอาไป ขยายต่อเป็นทรีทเมนต์ (Treatment-โครงเรื่องย่อๆ ของหนัง ทั้งเรื่อง) จนไปจบที่บท (Screenplay-บทส�ำหรับการถ่ายท�ำ) อย่างที่ผมบอกคือ แม้หนังจะท�ำมาเพื่อให้คนหมู่มากดู แต่ จริงๆ คนเขียนบทก�ำลังเขียนบทและท�ำหนังให้คนๆ เดียวดู นะครับ (ซึ่งอาจเป็นคนๆ เดียวจริงๆ หรือเป็นตัวแทนของคน กลุ่มหนึ่งๆ ก็ได้ เช่น นักการเมือง ชนเผ่าม้ง เป็นต้น) การเขียน บทคือการท�ำให้ใครซักคนได้รู้ในสิ่งที่เราอยากจะบอกด้วยวิธี การทางภาพยนตร์ ถ้าคนดูดูปุ๊บแล้วรู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร หนังก็ ประสบความส�ำเร็จ แต่ ส� ำ หรั บหนั ง รั ก ของผม ผมเลื อ กที่ จะไม่ ฉ ายมั น เพราะหนั ง รั ก ที่ ผ มท� ำ เพื่ อ ต้ อ งการจะบอกให้ ใ ครซั ก คนได้ ดู ต้ อ งการให้ เ ค้ า รู ้ ว่ า ผมคิ ด อะไร ตอนนี้ ผ มว่ า ... ช่ า งมั นเถอะครั บ
THE ITEM COLLECTION ชื่อบทความ: ไพ่ (2559)
สถานะ: เผยแพร่ในรูปแบบหนังสือท�ำมือ ITEM ในงาน Make-a-zine ครั้งที่ 2
หลายครัง้ ทีเ่ รามักจะลืมเหตุการณ์สำ� คัญๆ ในชีวติ แม้วา่ มันจะส�ำคัญ หรือว่ามันเป็นครัง้ แรกในชีวติ แต่บางที การมีชวี ติ มาจนแก่ปา่ นนีแ้ ล้วก็อาจจะท�ำให้หลงๆ ลืมๆ บ้าง เหตุการณ์ที่ ผมมักจะลืมเป็นประจ�ำคือรักแรกพบ ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องรักแรกพบ ที่เรียกว่า First impression แม้นักวิทยาศาสตร์จะรายงานว่าคนเราสามารถ เกิดความประทับใจ หรือแม้แต่ตกหลุมรักคนทีเ่ ราเพิง่ เจอกันแค่ครั้ง แรกภายในเวลาแค่ 7 วินาทีแรกที่เจอกัน แต่ก็นั่นแหละ มันไม่ เมกเซนส์ส�ำหรับผมเลย อาจจะเพราะผมเป็นคนที่ไม่ได้มีอะไร ดึงดูดตัง้ แต่แรกมัง้ เลยท�ำให้ผมไม่เคยพบเจอเรือ่ งราวประเภทว่า เจอกันคุยกันหน่อยเดียวก็ชอบเลย มีแต่แบบว่า ต้องเจอกัน ซักห้า หรือสิบรอบถึงจะรู้ว่านี่ไงเนื้อคู่ เพราะด้วยเหตุนี้ผมเลย รู้สึกว่ารักแรกพบเป็นเรื่องไกลตัว และไม่ได้หวังว่าซักวันมันจะ เกิดขึ้นกับตัวผมเอง จนกระทั่งระลึกขึ้นได้ว่า ตัวผมเองเล่นไพ่ไม่เป็นนี่ แหละ ถึงจะรู้ว่า เฮ้ย ตัวเราก็มีรักแรกพบเหมือนกันนี่หว่า แล้วมันเกี่ยวกันยังไง? เรื่องมันเริ่มขึ้นเมื่อแปดปีที่แล้ว เมื่อคราวที่อายุของผมยังไม่แตะเลขสอง ผมมีโอกาสจับพลัด จับผลูได้ไปเข้าค่ายนักเขียน ที่หนังสือพิมพ์เจ้าใหญ่จับมือ กับโรงงานผลิตกระดาษเจ้าใหญ่โคตรๆ เป็นเจ้าภาพจัดงาน นักเขียนเยาวชนนอกจากจะได้เงินไปใช้เกือบหมื่นแล้ว ยังได้ มีโอกาสมาเข้าค่ายอบรบการเขียนกับนักเขียนระดับบิ๊ก (และ บิ๊กเกอร์) ไกลถึงพัทยา
ผมที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอคน เลยได้มาเข้าค่ายแล้ว เจอคนรุ่นราวคราวเดียวกันมากหน้าหลายตา วันแรกที่อาคาร ส�ำนักงานหนังสือพิมพ์เจ้าใหญ่ ผมได้มโี อกาสนัง่ อยูใ่ นส�ำนักงาน นัน้ ความรูส้ กึ แรกเลยคือ ผมตืน่ คนครับ ผมเหมือนเป็นสัตว์ อะไรบางอย่างที่จ�ำศีลในถ�้ำแล้วเพิ่งออกมา มันเป็นความรู้สึก กลัวคนอย่างบอกไม่ถูก ผมนั่งที่เก้าอี้แถวเกือบหลังสุด มองดู เพือ่ นร่วมค่ายทีใ่ ส่เสือ้ สีเดียวกัน แต่ผมก็ยงั กลัวๆ ไม่กล้าทักทาย หรือคุยกับใคร ผ่ า นขั้ น ตอนการเปิดงาน การต้อนรับเป็นอย่ า งดี ด้วยความที่ต้องร่วมกิจกรรมที่จัดในส�ำนักงานหนังสือพิมพ์ ก่ อ นจะเดิ น ทางไปที่ พั ท ยา ผมเลยได้ มี โ อกาสได้ ทั ก ทาย เพื่ อ นร่ ว มค่ า ยบ้ า งแล้ ว แต่ เ มื่ อ กลั บ มานั่ ง ที่ เ ก้ า อี้ ตั ว เดิ ม สายตาผมก็ ส ะดุ ด กั บ บางสิ่ ง บางอย่ า ง บางสิ่งบางอย่างที่ น่ารัก … โชคร้ายนิดหน่อยที่กิจกรรมในค่ายนั้นมากมายเป็น ล้นพ้น จนได้ท�ำความรู้จักกับเพื่อนบางคนที่เป็นกลุ่มแคบๆ ไม่ได้มีโอกาสตีวงกว้างออกไปรู้จักเพื่อนร่วมค่ายทุกคนได้ อย่างถนัดถนี่ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ก็ยังถือว่าโชคดี ที่โต๊ะ ในห้องอบรมงานเขียนถูกจัดเป็นทรงกล่องสี่เหลี่ยม และก็ ให้บังเอิญว่า ผมได้นั่งฝั่งตรงข้ามกับผู้หญิงคนนั้น แม้จะไม่ ตรงกันข้ามเป๊ะๆ แต่ก็เยื้องกันเล็กน้อยพอให้แอบมองป้าย ชื่อได้บ้าง หลังจากกลับเข้าทีพ่ กั ผมจ�ำชือ่ เล่นสัน้ ๆ จากป้ายชือ่ ของ ผูห้ ญิงคนนัน้ แล้วค้นหาจากข้อมูลชือ่ ทีอ่ ยู่ อายุทที่ างค่ายแจกไว้ ให้ ผมเลยรูว้ า่ เธอมาจากจังหวัดหนึง่ ทางภาคเหนือ และทีส่ ำ� คัญ มากกว่าคือ เธออายุมากกว่าผมสีป่ ี อยูด่ ๆี เพลงของจรัล มโนเพ็ชร ก็ลอยมาในหัว พีส่ าวครับ... ถ้าผมเป็นคนกล้าคุย กล้าแสดงออก และกล้าจีบ ทุก อย่างก็น่าจะจบที่ตรงนี้ แต่ตรงกันข้ามเลย ผมเหมือนเกิดมา แล้วพ่อไม่ได้ฝังความสามารถนี้มาในสมอง
เลยท�ำให้ 5 วันที่ต้องอาศัยในค่าย หมดไปแล้ว 4 วัน กับการได้แต่แอบลอบมองเมื่อตอนที่พี่เขาเผลอ ช่วงกิจกรรม จับกลุ่มเล่นเกมตามฐานต่างๆ ก็ไม่ได้อยู่กลุ่มด้วยกัน ได้แต่ ท�ำใจว่า ถ้าไม่ได้เจอกันคราวนี้ ชาติหน้าก็อย่าหวัง แต่แล้ว ค�ำ่ คืนส่งท้ายค่ายนักเขียนนัน้ เอง ทีท่ างค่ายจัด เป็นปาร์ตแี้ ฟนซี ให้แต่งตัวอะไรก็ได้บา้ ๆ บอๆ มาสนุกสนานกัน รวมถึงมีการเลี้ยงอาหารอย่างอิ่มหมีพีมัน ซึ่งผมก็ได้สนุกและ ประทับใจกันไปถ้วนทัว่ หลายคนหลัง่ น�ำ้ ตาด้วยความประทับใจ (ผมนีแ่ หละคนนึง) แต่แล้วเหตุการณ์ทผี่ มจ�ำได้แม่นก็เกิดขึน้ เมือ่ อาฟเตอร์ปาร์ตี้ ด้วยความที่มีเพื่อนในค่ายคนหนึ่ง (เป็นรูมเมทกับ ผม) มันแอบเอาเงินที่ได้ไปซื้อไพ่มา ผลคือ ผมกับไอ้พวกนี้ เลยตระเวนเดินแวะไปตามห้องต่างๆ เพื่อเล่นไพ่กัน ซึ่งเกม ที่เล่นกันมากที่สุดคือ ไพ่สลาฟ (อย่าถามกติกา ผมจ�ำไม่ได้...) ด้วยความที่ผมอยากสนุก ก็เลยร่วมวงไปด้วย แม้ว่าจะแพ้ บ่อยๆ ก็ตาม แต่ในค�่ำคืนนั้น พี่สาวคนนั้นก็มานั่งข้างๆ โต๊ะ ผมในขณะที่ก�ำลังเล่นสลาฟ พี่สาวคงทนเห็นไอ้นี่มันเล่นแพ้ บ่อยๆ ไม่ไหว เลยอาสาสอนผมเล่นแบบใกล้ๆ ใกล้ที่สุดเท่า ที่ผมพอจะท�ำได้ ผมไม่เคยเอ็นจอยกับการเล่นไพ่ขนาดนี้มา ก่อน ผมได้มีโอกาสเห็นหน้าของพี่สาวแบบใกล้ๆ เหมือนจะไม่รตู้ วั แต่ผมก็รวู้ า่ ตัง้ แต่วนั แรกทีผ่ มสะดุด กับบางสิง่ บางอย่างทีน่ า่ รัก นัน่ แหละคือรักแรกพบ และแม้อาจ จะหลงๆ ลืมๆ ไปบ้าง แต่ทกุ ครัง้ ทีผ่ มตระหนักว่า ผมเล่นไพ่ไม่เป็น ผมก็จะระลึกขึ้นทุกครั้งว่า อยากให้พี่สาวช่วยสอนผมเล่นไพ่อีกซักที
THE ITEM COLLECTION ชื่อบทความ:
หนังสือ (2559)
สถานะ: เผยแพร่ในรูปแบบหนังสือท�ำมือ ITEM ในงาน Make-a-zine ครั้งที่ 2
ผมเป็นคนที่หวงข้าวของของตัวเองมาก แม้ว่าในช่วงชีวิตที่ผ่านมา ผมนั้นกลับเป็นคนที่ให้คน อื่น ทั้งเพื่อน ครู อาจารย์ ญาติ และคนอื่นๆ ยืมของมาตลอด อาจจะเพราะว่าผมเป็นคนที่มีข้าวของครบครันอย่างกับร้าน ค้า ผมเลยตกเป็นเป้าของการถูกยืมของบ่อยๆ และมันก็น่าแปลก ที่ข้าวของหลายชนิดที่ผมถูกยืม ผม สามารถแกล้งท�ำเป็นลืมได้โดยไม่มีอะไรตะขิดตะขวงใจ ทั้งๆ ที่ผมเป็นคนที่หวงของ และเสียดายเวลาที่ของหาย หรือไม่ ได้คืน แต่ไม่นานผมก็ลืมมัน หลายครั้งที่ใครๆ ยืมเงินผมแล้ว ไม่ใช้คืน ผมก็สามารถแกล้งลืมได้ (แต่ไม่ใช่กับทุกคน) ยิ่งเป็น ปากกาอันละห้าบาทยิ่งไม่ต้องพูดถึง ผมมักไม่เสียดายและขี้ เกียจทวงเวลาเพื่อนยืมปากกา ผมเป็นคนรักหนังสือมาก แน่นอน คนชอบอ่านหนังสือย่อมรักหนังสือ แต่ผม ไม่ได้รักหนังสือเพียงเพราะแค่ชอบอ่าน แต่ผมถือว่าหนังสือ นัน้ เป็นทรัพย์สนิ อย่างหนึง่ ในชีวติ ไม่ใช่เพราะมันขายต่อได้ แต่ เป็นเพราะหนังสือทุกเล่มเป็นหนังสือที่ Selected ด้วยตัวผม เอง และซือ้ เพราะความอยากมีอยากอ่าน ผมยอมรับว่าหนังสือ หลายเล่ม (โดยเฉพาะหนังสือสวยๆ ราคาแพงๆ) ผมอ่านแล้วก็ เก็บไว้ดเู ล่น อาจจะเก็บได้ไม่ดเี พราะด้วยข้อจ�ำกัดหลายๆ อย่าง แต่ผมก็เลือกทีจ่ ะเก็บเพราะเห็นว่ามันมีคา่
หนังสือทุกเล่มที่ผมอ่านมีความหมายต่อชีวิตไม่ว่าด้าน ใดด้านหนึ่ง หนังสือทุกเล่มล้วนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของผม และผมยังสนุกกับการซื้อหนังสือทั้งใหม่และเก่า ขนาดที่ผม เคยลั่นวาจากับพ่อและแม่ว่า ถ้าให้ผมเลิกซื้อหนังสือ ฆ่าทิ้งกัน เสียเลยยังดีกว่า ด้วยความที่ผมรักหนังสือ และหวงข้าวของ ผมเลย ปฏิญาณกับตัวเองเงียบๆ ว่า ผมจะไม่ให้ใครยืมหนังสือ ส่วนหนึง่ อาจจะเพราะมันถูกซือ้ มาด้วยเงินเก็บทีพ่ อจะ มีนดิ หน่อย และหลายๆ เล่มก็มมี ลู ค่าทางใจสูง แม้วา่ จะได้มา ฟรีๆ หรือในราคาทีถ่ กู มากๆ แต่ผมก็ไม่เคยให้ใครยืมหนังสือ ไม่ ว่าจะเก่าหรือใหม่ สาเหตุคงเป็นเพราะผมเคยให้เพือ่ นยืมหนังสือ ตอนมัธยม แล้วก็ไม่คนื ปรากฏว่าวันหนึง่ มันเอามาโรงเรียน ด้วย ผมเห็นและจ�ำได้ เลยเดินเข้าไปยึดตอนทีม่ นั ก�ำลังอ่านอยู่ เนือ่ งจากก่อนหน้านัน้ ผมทวงไปกีร่ อบๆ มันก็ไม่เอามาคืน แถม สภาพของหนังสือก็เสียหายย�ำ่ แย่อกี ต่างหาก แม้ตอนนั้นผมจะยังมีหนังสือแค่ไม่กี่เล่ม แต่ผมก็ไม่ให้ ใครยืมอ่านอีก สรุปก็คือ ต่อให้เป็นใครก็ตาม ถ้าไม่จ�ำเป็นขั้น เดือดร้อน หรือไม่ใช่เพราะผมต้องการให้เขาอ่านหนังสือเล่ม นั้นจริงๆ ผมจะไม่ให้เขายืมหนังสือของผม และถึงแม้ว่าจะให้ ยืม และผมไม่ได้ทวง ก็ไม่ได้แปลว่าผมจะลืม หรือท�ำเป็นแกล้ง ลืมเหมือนกับข้าวของชิ้นอื่นๆ ได้ จริงๆ ก็มบี า้ งในบางครัง้ ทีต่ อ้ งให้ยมื หนังสือกับคนทีร่ จู้ กั เพียงเพราะต้องการให้เขาอ่านเรื่องที่ผมต้องการให้เขาอ่าน ซึ่ง ผมเชื่อว่าตัวผมเองนั้นมีเซนส์ในการเลือกคนที่จะให้ยืมหนังสือ ก่อนจะตัดสินใจให้ยืมหนังสือกับใคร ผมจะไตร่ตรองว่าคนคน นัน้ สมควรจะให้ยมื หนังสือหรือไม่ แต่ก็เหมือนกับทุกๆ คน คือต้องมีซักบางช่วงในชีวิตที่ ต้องให้ของขวัญแก่คนที่เราอยากจะให้ ไม่ว่าจะเป็นปีใหม่ วัน เกิด หรืออะไรก็ตามแต่ ซึ่งแม้ว่าผมจะไม่ค่อยได้ให้ของขวัญ บ่อยๆ แต่ถ้าผมจะให้ของขวัญใคร ผมจะเลือกเฟ้นของขวัญ อย่างดี และมีคุณค่า และด้วยความที่ผมหวงหนังสือยิ่งชีพ ผม เลยคิดง่ายๆ ว่า ถ้าคิดว่าหนังสือมีค่า ของขวัญที่ผมควรจะให้ก็ ควรจะเป็นหนังสือนี่แหละ
อย่าเข้าใจผิดว่าผมจะเอาหนังสือของตัวเองไปเป็น ของขวัญเด็ดขาด ไม่มีทางท�ำอย่างนั้นแน่ๆ แต่สิ่งที่ผมจะท�ำคือ ผมจะซื้อหนังสือเล่มใหม่เอี่ยม โดยเลือกหนังสือที่เหมาะสมกับ บุคลิก ตัวตนของคนคนนั้น หรือถ้ายิ่งรู้ว่าคนคนนั้นอยากอ่าน หนังสือเล่มไหน ใครเขียน ผมก็จะซื้อได้ง่ายขึ้น หลังจากนั้นก็ เลือกหนังสือที่สภาพดีๆ ไม่มีร่องรอยการเปิดอ่าน หรือถูกรัด ด้วยสายรัดหนังสือ ไม่มีรอยยับใดๆ ทั้งสิ้น มาเก็บไว้ แต่ถงึ อย่างนัน้ ก็เถอะ แม้ผมจะซือ้ หนังสือเล่มนัน้ มาเพื่อ เป็นของขวัญ ก็ยอมรับสารภาพกันตรงๆ เลยว่า ผมก็อยากจะ เก็บไว้อ่านเอง เสียดายเงินนั่นไม่เท่าไหร่ แต่เสียดายว่าจะไม่ได้ เป็นเจ้าของหนังสือเล่มนัน้ มากกว่า บางครัง้ ผมเลยแอบอ่านบท แรกๆ อย่างเบามือ เพื่อไม่ให้หนังสือมีร่องรอย จนพอรู้ว่าเนื้อ เรื่องเป็นอย่างไร ผมก็เก็บมันไว้ในที่ที่ปลอดภัยแล้วสะกดจิต ว่า มันไม่ใช่หนังสือของผม (นะเว้ย) แต่หลังๆ ด้วยความที่พอจะมีเงินบ้าง ผมเลยใช้วิธีแบบ หักดิบ คือซื้อปกเดียวกันมาเลย 2 เล่ม แล้วแยกกัน เล่มแรก เป็นของผมคนเดียว ส่วนอีกเล่ม ผมจะเก็บไว้ในที่ที่ปลอดภัย เพือ่ กันฝุน่ และห้ามแตะต้องจนกว่าจะถึงเวลามอบให้คนพิเศษ คนนั้น ซึ่งวิธีนี้มีข้อเสียคือ เปลืองเงินสองเท่า เหตุนี้ ผมเลยไม่ได้ให้หนังสือกับใครบ่อยๆ ผมจึงเลือก คนที่จะให้หนังสือ (ที่คิดว่าเขาน่าจะอ่านหนังสือที่เราให้จริงๆ รวมถึงเก็บหนังสือที่ผมตั้งใจให้ไว้เป็นอย่างดี) และเลือกให้กับ คนที่เหมาะสมที่จะให้ ซึ่งก็ต้องเป็นคนที่พิเศษในระดับหนึ่ง ผมรักหนังสือ ในขณะเดียวกันก็หวงหนังสือด้วย เพราะ ผมถือว่าหนังสือนั้นเป็นสิ่งที่แสดงความรู้สึกของเราให้กับคนที่ พิเศษจริงๆ ถึงจะมีสทิ ธิไ์ ด้ ไม่ใช่นกึ จะให้ใครก็ได้พร�ำ่ เพรือ่ ผม ไม่ได้จนกรอบ แต่กไ็ ม่ได้รำ�่ รวยถึงขนาดซือ้ หนังสือเหมาแจกคน ทัว่ ไปทีละหลายสิบเล่ม หนังสือจึงเป็นทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดที่ผมเลือกจะมอบ ให้กับคนที่คนที่มีคุณค่าต่อชีวิตผมเท่านั้น เพราะฉะนั้น ถ้าใคร ได้รับหนังสือที่ผมตั้งใจให้เป็นของขวัญแล้วละก็ แสดงว่าผมรักคนคนนั้นมากๆ
THE ITEM COLLECTION ชื่อบทความ:
หนังสือท�ำมือ (2559)
สถานะ: เผยแพร่ในรูปแบบหนังสือท�ำมือ ITEM ในงาน Make-a-zine ครั้งที่ 2 (Hidden Item)
19 ธั นวาคม 2558 ผมยื นเง่ า ง่ อ ยอยู ่ ท ่ า มกลางฝู ง ชนที่ ข วั ก ไขว่ ในการแลกซี น ในงาน MAKE-A-ZINE ของ นิ ต ยสาร a day ผมนัง่ เง่าง่อยอยูท่ หี่ น้าร้านหนังสือก็องดิด ณ แจม แฟค ทอรี่ ณ คลองสาน พีๆ่ เจ้าหน้าทีจ่ าก a day ก�ำลังจัดแจงใส่ซนี ของคนทีท่ ำ� มาแลกลงในซองพลาสติก ใจจริงก็อยากจะรอ แต่ก็ ไม่รจู้ ะรออะไร อีกใจก็อยากกลับบ้าน แต่ใจก็ไม่อยากจะแบกซีน รวมงานคอลลาจที่อุตส่าห์ท�ำมาแลกทั้งหมดยี่สิบเอ็ดเล่มกลับ บ้านไปเปล่าๆ (คือท�ำมาแพงด้วยไง แล้วก็หนักด้วยไง) คือไม่รจู้ ะ ท�ำอย่างไร วันนัน้ ท่ามกลางบรรยากาศแมกไม้รม่ รืน่ อากาศเย็น บางๆ ของแจมแฟคฯ ผมรูส้ กึ เหมือนคนอกหัก ผมรูส้ กึ เง่าง่อยลงไปถนัดตา ผมดูเหมือนส่วนเกินในงาน เหลือเกิน เพียงเพราะว่าผมมาไม่ทนั เวลาลงทะเบียนแลกซีน จากย่านรามค�ำแหง จับรถแท็กซีม่ าคลองสาน ขึน้ ทางด่วนไม่รกู้ รี่ อบ แต่แล้วในทีส่ ดุ เวลาสีโ่ มงเย็นซึง่ เป็นเวลาเปิด ให้แลกซีนก็ดนั มาถึงก่อนทีผ่ มจะไปถึง ผมอัพเดทจากหน้าเพจ Events แล้วเห็นผูค้ นกรูเข้าไปแลกซีนกันอย่างสนุกสนาน ใน ขณะทีผ่ มยังอยูบ่ นรถแท็กซี่ จะให้ลงท่อวาร์ปจากแท็กซีไ่ ปโผล่ที่ คลองสานเหมือนมาริโอ้กท็ ำ� ไม่ได้ ท�ำได้อย่างเดียวคือท�ำใจ
ท�ำใจแล้วแต่ก็ท�ำอะไรไม่ได้ หลังจากที่ผู้คนมากมาย แลกซีน ทุกอย่างเหมือนสงครามที่สงบเงียบและวังเวง ผม ได้แต่เดินดุ่มๆ ไปดูตัวอย่างซีนที่เอามาแลก หลายๆ เล่มท�ำ ดีซะจนอยากจะแลก หรือไม่ก็อยากขโมย แต่ก็ท�ำอะไรไม่ได้ เหมือนที่ท�ำใจไม่ได้เหมือนกัน จะเอาซีนไปแลกก็ไม่ทันแล้ว เค้าก�ำลังทยอยประกาศให้คนที่แลกมารับซีนที่แลกไปแล้ว พูดแบบหยาบๆ คือ มึงไม่ทันแล้วน่ะเข้าใจมั้ย ในงานนัน้ ผมท�ำซีนรวบรวมงานศิลปะข้อความแนวคอลลาจ (หรือควรจะเรียกว่า Optophonetic poem) ทีแ่ สร้งท�ำเป็น รวมงานบทความแนวทดลองทีใ่ ช้ชอื่ ว่า ARRN-MAI-RUU-RUANG (อ่านไม่รเู้ รือ่ ง) เป็นผลงานทีเ่ รียกว่าหนังสือท�ำมือจริงจัง ครัง้ แรกในชีวติ หลังจากทีเ่ คยท�ำหนังสือท�ำมือมาบ้าง แต่ไม่ได้ เผยแพร่ทไี่ หน ท�ำเองอ่านเอง แต่ครัง้ นีถ้ อื เป็นครัง้ แรกทีเ่ อางาน คอลลาจทีถ่ นัด ทีเ่ คยรวบรวมไว้ในไดอารี่ แล้วเอามาจัดคอน เซปท์ เป็นคอลลาจทีเ่ อาค�ำจากแหล่งต่างๆ มาปะแปะไว้ใกล้ๆ กันให้คนอ่าน อ่านแล้วตีความเอาเองว่ามันจะสือ่ อะไร เป็นงาน ทีข่ า้ มเวลามาตัง้ แต่ปี 2010 และท�ำชิน้ งานเพิม่ ขึน้ ใหม่ในอีก 5 ปีตอ่ มา แต่กน็ นั่ แหละ พูดแบบหยาบๆ คือ ไม่ทนั ก็คอื ไม่ทนั จบ นะมึง กล้ า พู ด ได้ เลยว่า ถ้าผมไปงานทัน ซีนของผมน่ า จะเป็นที่ ส นใจในระดับนึงนะ แม้ว่ารูปเล่มจะดูห ยิ่ ง ๆ ไม่ ค่อ ยสื่ อสารให้ รู ้ เรื่ องอะไรก็ตามทีเ ถอะ ผมกล้วพู ด ได้ เ ลย ว่า มัน เป็ น งานท� ำ มื อ ที่สวยที่สุดในชีวิต เพราะปกติ ผ มเป็ น คนที่ท� ำ งาน Handcraft ได้ห ่วยแตกทุก สิ่งทุก อย่าง ผมไม่ได้อยากจะโทษใคร ตัวผมเองพยายามเต็มทีแ่ ล้ว ส่วนตัวผมเชือ่ ว่าทีมงานซีนก็ทำ� หน้าทีไ่ ด้ดพี อสมควร ก็ไม่ได้รสู้ กึ ว่า ใครผิด แต่รสู้ กึ ใจแป้วทีอ่ ตุ ส่าห์ตงั้ ใจท�ำซีนแบบอดหลับอดนอน ออกแบบรูปเล่มให้สวยทีส่ ดุ ออกแบบให้ปงั แล้วลงทุนกับการ ท�ำรูปเล่มสวยๆ ใช้กระดาษถนอมสายตาอีกต่างหาก ใช้กระดาษ น�ำ้ ตาลท�ำปกอีกต่างหาก พอผมได้ยนิ ราคาทีแรกแล้วก็อยากจะ อ้วกเป็นเลือด จนกระทั่ ง เย็ นย�่ำจนใกล้มืด ผมรู้สึก เสียดายซี นที่ สู ้ อุต ส่า ห์ ท� ำ ได้ แ ต่ เดิ นไปพูดคุยกับผู้คนที่ท�ำซีนมาแลกแล้ ว ไม่ทัน (ซึ่ ง มาหลั ง จากผม) และรวมไปถึงคนที่ท� ำ ซี นทั น แต่แลกแล้ ว เหลื อ หรือเผื่อเหลือมาจากบ้าน ก็ยังมี อ ยู ่ เ ล็ ก น้อ ย
คุยไปคุยมา ผมไม่รู้นึกอะไร ผมเลยเอาซีนที่ท�ำมาแจก เลยก็แล้วกัน หลายคนที่มีซีนเหลือในมือก็เอาซีนของตัวเองมา แลก แต่หลายคนออกปากว่าไม่มีเหลือแล้วนะ ...อ่ะงั้นผมแจก เฉยๆ ก็ได้ แจกสลับแลกไปเรื่อย จริงๆ มีเรื่องหนึ่งอยากจะอวด ไอ้ซีนอ่านไม่รู้เรื่องน่ะ มีคนหนึ่งที่ได้ไปด้วยนะครับ คนนั้น ไม่ใช่ใคร คือคุณดวงฤทัย เอสะนาชาตัง หรือพี่แป๊ด เจ้าของ ร้านหนังสือก็องดิดเชียวนะครับ...ผมยื่นซีนให้พี่แป๊ดกลางร้าน ก็องดิดที่แสนอบอุ่น พี่แป๊ดเลยไปควานหาหนังสือ Cat on a Cold Flesh Heart ของ อนุสรณ์ ติปยานนท์ มาเป็นของแลก เปลี่ยน ซึ่งผมตื่นเต้นมาก ผมพูดกับพี่แป๊ดทันทีที่ได้รับว่า “นี่ เป็นหนังสือที่ผมอยากอ่านพอดี” ผมรู้สึกว่า เออ ถึงจะมาแลก ไม่ทัน แต่อย่างน้อยก็คุ้มนะ ไม่ได้คุ้มในแง่มูลค่า แต่คุ้มในแง่ที่ ว่ามีคนสนใจงานเราเหมือนกันแฮะ ผมนึกว่าจะเป็นไอ้เง่าง่อย ที่ไม่มีใครสนใจงานเราซะอีก ท�ำไปท�ำมา จากยี่สิบเอ็ด เหลือ แค่ไม่ถึงสิบเล่มได้ไงไม่รู้ หลังจากนั้นผมก็ได้แลกและแจกซีนกับคนท�ำซีนหลาย คนในงาน ผมได้ซีนหลายเล่มที่เป็นเล่มสุดท้ายของพวกเขา บางท่านนั้นไม่มีฉบับส�ำเนาแล้ว เลยมอบต้นฉบับที่ท�ำพร้อม กับโปสการ์ด แถมคลิปหนีบให้อีกสองอันอีกต่างหาก เพราะ ว่ามันไม่ได้เย็บเล่ม บางท่านผมเห็นถือซีนเหลือๆ มาหลาย เล่ม ผมก็เดินถือซีนของผมไปแลกเลย งานนั้นแม้ผมจะไม่ได้ แลกซีนอย่างเป็นทางการ แต่หน่วยแลกซีนเถื่อนที่ประกอบ ไปด้ ว ยผมและพรรคพวกก็ ท� ำ หน้ า ที่ แ อบแลกซี น แบบใต้ ดินๆ พองานเลิกก็มืดพอดี ผมกลับบ้านด้วยความรู้สึกที่ไม่ น่าจะต่างจากการได้แลกซีน แต่เชื่อผมเถอะ ใครท�ำซีนดีๆ มา โปรดมากันให้ทันเถอะ อย่ามานั่งเง่าง่อยเหมือนพวกเรา เลย อย่างเล่มนี้ผมท�ำมาตั้งแต่มกราฯ โน่น ตั้งใจมากว่าจะ ท�ำให้ปังกว่าเดิม ดีกว่าเดิม และตั้งใจจะไปงานซีนแต่เนิ่นๆ ด้วย จะได้ไปแลกซีน กับเขาทัน ผมขี้เกียจไปนั่งเง่าง่อยรอบสอง!
MUSIC REVIEW ชื่อบทความ:
Album Review: Radiohead – A moon shaped pool (2559)
สถานะ: เผยแพร่ใน storylog.co/push
INTRODUCTION - ตัง้ แต่ The king of limbs ออกเมือ่ ปี 2011 ก็ไม่มที ี ท่าว่าเรดิโอเฮดจะออกชุดใหม่ แฟนๆ ก็ตงั้ หน้าตัง้ ตารอ ส่วนทาง วงนอกจากจะออกทัวร์คอนเสิรต์ สมาชิกวงแต่ละคนก็ออกไปมี ผลงานเดีย่ วของตัวเองบ้าง อย่างเช่น Thom Yorke หัวหน้าวง กับ Nigel Godrich โปรดิวเซอร์ประจ�ำวง ผละออกจากวงไปท�ำ วงดนตรีชวั่ คราว Atoms for peace มีเพือ่ นร่วมวงการมาร่วม แจม เช่น Flea มือเบสจาก Red Hot Chili Peppers ได้ผลงาน เพลงแนวทดลองจ๋ามาหนึง่ อัลบัม้ ทีช่ อื่ ว่า Amok - หลังจากนั้น ธอมก็ปล่อยงานเดี่ยวชุดที่สอง ในชื่อ อัลบั้ม Tomorrow’s Modern Boxes ท�ำแปลกด้วยการขาย MP3 และไฟล์มิวสิควีดีโอผ่าน Bittorrent - ช่วงเวลาเดียวกันนั้น Phillip Selway มือกลอง ของวงก็ไปมีอัลบั้มเดี่ยวชุดที่สองของตัวเอง ในชื่อ Weatherhouse ออกแนวลึกลับ ดาร์คโคตร - จนกระทั่งประมาณปีที่แล้ว ที่เริ่มมีข่าวหนาหูขึ้น เรื่ อ ยๆ เกี่ ย วกั บการที่ เ รดิ โ อเฮดก� ำ ลั ง จะมี อั ล บั้ ม ใหม่ สื่ อ หลายส�ำนักก็รายงานข่าว หลายส�ำนักก็เริ่มท�ำนายทายทัก ว่า เพลงในอัลบั้มชุดใหม่นั้นจะมีแนวทางแบบไหน
- (ซึ่งใครมันจะไปเดาถูก ท�ำเพลงแต่ละอัลบั้มแบบไม่ - ข่าวสุดท้าย ทางวงเปิดเผยชื่อสตูดิโออัลบั้มล�ำดับที่ ซ�้ำทางกันขนาดนี้ เลยได้ชื่อว่าเป็นวงดนตรีอัจฉริยะไง) 9 ชื่อว่า A moon shaped pool พร้อม Tracklist 11 เพลง ใหม่ พร้อมประกาศวันจ�ำหน่ายทั้งทาง ITunes ซีดี และแผ่น - ข่าวที่หนึ่ง คือข่าวที่ว่าทางวงจะออกทัวร์คอนเสิร์ต เสียง รวมถึงมีแบบ Special edition ประกอบไปด้วยแผ่น น้อยลง เพื่อปันเวลาเข้าสตูดิโอเพื่อท�ำและซ้อมเพลงใหม่ๆ เสียง 12 นิ้ว 2 แผ่น ซีดี 2 แผ่นพร้อม Bonus track อีก 2 เพลง พร้อมด้วยสมุดภาพ 32 หน้า และแถมชิ้นส่วนเนื้อเทป - ข่าวทีส่ อง เรดิโอเฮดเอาเพลงใหม่ทไี่ ม่เคยได้ยนิ ใน มาสเตอร์ (Master tape – เทปส�ำหรับบันทึกต้นฉบับเพลง) อัลบัม้ ไหนไปเล่นในคอนเสิรต์ ต่างๆ อาทิ Identikit, Present ความยาวครึ่งนิ้ว บรรจุในสมุดภาพไว้ให้เป็นที่ระลึก tense, Desert island disk เป็นต้น ซึง่ เป็นเวอร์ชนั่ ทีไ่ ม่เหมือน ในอัลบัม้ ใหม่ รวมถึงการน�ำเอาเพลง True love waits ทีม่ แี ต่ - ในวิกิพีเดีย ระบุว่าอัลบั้มนี้มีแนวเพลงคือ Art rock เวอร์ชนั่ แสดงสดมาท�ำใหม่ และ Electronic - ข่าวที่สาม หลังจากไม่มีผลงานใหม่ๆ ในนามของวง ออกมาเนิ่นนาน เรดิโอเอดก็ท�ำเซอร์ไพรซ์ในวันคริสต์มาสเมื่อ ปีที่แล้ว โดยเผยว่าเคยได้รับการทาบทามให้ท�ำเพลงประกอบ ภาพยนตร์สายลับเจมส์บอนด์ ภาค Spectre แต่เพลงชื่อ เดียวกันนั้นกลับไม่ได้ใช้ กลับไปใช้เพลง Writing in the wall ของเจ๊แซม สมิธ แทน ก็เพราะไม่ได้ใช้นี่แหละที่ทางวงเลยเอา มาปล่อยให้ดาวน์โหลดเป็นของขวัญคริสต์มาส - ข่าวทีส่ ี่ สมาชิกทัง้ ห้าร่วมกันก่อตัง้ DAWN CHORUS LLP (LLP – Limited Liability Partnership) บริษทั ห้างหุน้ ส่วน จ�ำกัดแบบจ�ำกัดความรับผิดชอบ ทีม่ สี มาชิกทัง้ ห้าเป็นหุน้ ส่วน ซึง่ มีความเป็นไปได้สงู ว่าบริษทั นีจ้ ดั ตัง้ มาเพือ่ “อัลบัม้ ใหม่” รวมถึง การไปอัดเสียงถึงสตูดโิ อไกลถึงฝรัง่ เศส - ข่าวทีห่ า้ สือ่ ออนไลน์ของเรดิโอเฮดทัง้ หมดปิดท�ำการ โดยเฉพาะเว็บไซต์และแฟนเพจบนเฟสบุค๊ ปิดไปได้ไม่นานมาก นัก ก็กลับมาเปิดตัวพร้อมวีดโี อทีเซอร์ทตี่ ดั มาจากเอ็มวีเพลง (ที่ คาดว่าน่าจะเป็น) ซิงเกิลแรกของอัลบัม้ ใหม่ สือ่ ออนไลน์ของวง กลับมาท�ำงานอีกครัง้ พร้อมทัง้ การมาของสือ่ ออนไลน์ตวั ใหม่ที่ ชือ่ Instragram (เรดิโอเฮดเล่นไอจี...)
- ส่วนตัวผมเองนั้นก็ซื้อในรูปแบบไฟล์ดิจิตอลผ่าน iTunes หลังจากได้ฟังจนครบแล้ว ความรู้สึกแรกเลยคือ “เย็นๆ ดีแฮะ” อาจจะเพราะว่าอัลบั้มนี้ไม่มีเพลงเร็ว มีแต่จัง หวะกลางๆ ลงไปถึงช้า ต่างจากอัลบั้มที่แล้ว The king of limbs ที่มีเพลงเร็วมากกว่าเพลงช้า รวมถึงการเพิ่มเติมของ ซาวนด์อิเล็กทรอนิกส์ ทั้งซินธิไซเซอร์ กลองไฟฟ้า เปียโน และดรัมแมชชีน ต่างจาก The king of limbs ที่เน้นเครื่อง ดนตรีจริงๆ แบบเพียวๆ มากกว่า ส่วนที่ Beyond ไปอีก คือความแกรนด์ของเครื่องดนตรีคลาสสิค และในบางเพลง ก็มี Choir (ประสานเสียง) จาก London Contemporary Orchestra and Choir ที่ผสมผสานอย่างที่ไม่เคยมีในอัลบั้ม ก่อนๆ มาเพิ่มความแกรนด์ขึ้นไปอีกขั้น ท�ำให้อัลบั้มนี้เป็น อัลบั้มที่ Beyond ไปไกลเกินกว่าที่จินตนาการของคนฟังจะ หยั่งถึง - Tracklist หรือการเรียงล�ำดับเพลงท�ำได้ค่อนข้างดี มีจังหวะเร็วสลับช้า ซึ่งท�ำได้ลื่นไหลดีทั้งอัลบั้ม ซึ่งน่าจะเป็น เรื่องบังเอิญ เพราะล�ำดับ Tracklist ของอัลบั้มนี้ ไม่ได้เรียง ตามใจ แต่เรียงตามล�ำดับตัวอักษร
>>>
>>> TRACK-BY-TRACK
- หนัง There will be blood ที่แอนเดอร์สันก�ำกับ มีเครดิตคนท�ำสกอร์ประกอบหนังเรื่องนี้คือ Jonny Greenwood มือกีตาร์เรดิโอเฮด
Burn the Witch - ซิงเกิลแรกของอัลบั้มที่เปิดตัวพร้อมทีเซอร์สั้นๆ ใน ไอจีที่น่ารักผิดความคาดหมาย แต่พอไปดูเอ็มวีที่เป็น Stop - เป็นบัลลาดแนว Ambient ล่องลอยบิดเบี้ยว มี motion แบบเต็มๆ ก�ำกับโดย Chris Hopewell ที่เคยก�ำ เลเยอร์หลายๆ เสียงล่องลอยมาจากทุกทิศทาง เป็นเพลงที่ กับเอ็มวี There There มาแล้วจะพบว่า นี่แหละเรดิโอเฮด! ยาวที่สุดและเย็นเยียบที่สุดในอัลบั้ม
- เพลงนี้มีประวัติสืบไปได้ถึงอัลบั้ม Kid A และลาก - ตอนท้ายเพลงมีเสียงของธอมที่ถูกรีเวอร์ส บิดและ ยาวมาถึง In rainbows แต่ก็ถูกปัดออกทุกครั้ง ยืดเสียงคล้ายจะเป็นเสียงค�ำราม (หรือเสียงกรน?) มีข้อความ ดังนี้ “Half of my life”, “I’ve found my love”, “Every - ทั้ ง เพลงประกอบไปด้ ว ยเสี ย งไวโอลิ น และกลอง minute, half of my love” ไฟฟ้ า ที่ น� ำ มาเป็ น พระเอก กระแทกกระทั้ น เป็ น จั ง หวะที่ ผสมผสานกลิ่ น อายกอธิ ค เล็ ก ๆ น้ อ ยๆ ผสานเสี ย งร้ อ ง Decks Dark ของธอมที่ โ หยหวนอย่ า งที่ แ ฟนๆ คุ ้ น หู - เปิดด้วยเสียงดรัมแมชชีน และเปียโน มีเสียงกรุ๊งก - ช่วงกลางเพลงเสียงกลองไฟฟ้ามีแอบลักจังหวะเป็น ริ๊งเป็นเบื้องหลัง จังหวะเร่งเร้าขี้นมาจาก Daydreaming โพรเกรสซีฟนิดๆ ท�ำให้เพลงนี้เต็มไปด้วยความหลอนๆ เซอร์ๆ และจบด้วยจังหวะที่กระแทกกระทั้น ดิบร้าวขึ้นจนจบเพลง - แล้วลากเข้าจังหวะสโลว์ร็อคพร้อมเสียง choir โหยหวน และตามด้วยเสียงกีตาร์สากๆ แต่เนิบช้า - Pitchfork เว็บไซต์ขา่ ววงการเพลงชือ่ ดัง เคยตีความ เนือ้ เพลงนีว้ า่ น่าจะสือ่ ถึงนัยยะการต่อต้าน Groupthink (พวก - ชอบเสียงเบสที่รับจังหวะและช่วยเสริมตัวเพลงให้ มากลากไป - กลุม่ คนส่วนใหญ่ทมี่ คี วามคิดสอดคล้องกัน ทีม่ ี มีความ groove ได้เป็นอย่างดี อิทธิพลกลบความคิดเห็นอืน่ ๆ ทีม่ สี มาชิกส่วนน้อยกว่า) และ Authoritarianism (ลัทธิอำ� นาจนิยม – ระเบียบทางสังคมทีค่ น Desert Island Disk กลุม่ เล็กๆ มีอ่ ำ� นาจเหนือคนส่วนใหญ่ - ก็อำ� นาจแบบเผด็จการ - เพลงนี้ ธอมเคยเล่นแสดงสดด้วยกีตาร์โปร่งมาแล้ว ทีเ่ ราคนไทยคุน้ เคยนัน่ แหละ...) ในคอนเสิร์ตที่ปารีส ปี 2015 ซึ่งมีเพลงที่อยู่ในฐานะ “เพลง ที่ไม่ได้อยู่ในอัลบั้มไหน” 3 เพลง ซึ่งถือว่าเป็นการเล่นเพลง - ขนาดนั้น... ใน “อัลบั้มใหม่” ครั้งแรกในโลก Daydreaming - ซิงเกิลที่สองของอัลบั้มนี้ นอกจากจะได้พี่ธอมมา เล่นเองแล้ว ยังได้ผู้ก�ำกับ Paul Thomas Anderson ที่เคย ก�ำกับหนังเรื่อง There will be blood มาก�ำกับเอ็มวีให้ และฉายฟิล์มต้นฉบับ 35 มม. ในโรงภาพยนตร์บางโรงด้วย
- ในอัลบั้มจังหวะเร็วกว่าเวอร์ชั่นแสดงสด และมีการ เคาะจังหวะท่ามกลางเสียงแอมเบียนท์ที่ล่องลอยไปมา - ช่วงกลางเพลงมีการเปลี่ยนจังหวะกลายเป็นแจ๊สที่มี เสียงกีตาร์โปร่งเป็นพระเอกน�ำ
Ful Stop - งานทดลองเต็มขัน้ ! ปกติงานเรดิโอเฮดจะไม่เชิงว่าเป็น เพลงแนวทดลอง (ยกเว้นงานเดีย่ วของพีธ่ อม และวง Atoms for peace) งานเรดิโอเฮดเป็นงานทีอ่ อกไปทางอาร์ตร็อค อัลเท อร์เนทีฟร็อคมากกว่า ถ้ามองในแง่ความทีเ่ ปลีย่ นสไตล์ไปทุกๆ อัลบัม้ ก็นบั ว่าทดลองได้ แต่ถา้ เทียบกับแนวเพลงทดลองจริงๆ ก็ ไม่ได้ขนาดนัน้ ...อันนีค้ อื คิดส่วนตัวนะ
- แถมเพลงนี้ยังสั้นที่สุดในอัลบั้มด้วย แค่ 2:52 นาที
- เหมือนเป็นการจูนอารมณ์ให้กลับมาสู่ Daydreaming อีกครั้ง แต่ดาร์คกว่า
Identikit - เพลงนี้เคยน�ำไปเล่นสดๆ ที่ Austin City Limits (รายการดนตรีแสดงสดในอเมริกา แนวประมาณรายการ “ดนตรี - เปิดหัวด้วยเสียงดรัมแมชชีนลูปวนจังหวะแปร่งปร่า กวีศลิ ป์” ในไทยพีบเี อส หรือ Big Boom Box ใน Voice TV) ในปี ตามด้วยเสียงกีตาร์สะบัดเสียงร้าว และเสียงซินธิไซเซอร์ที่ทับ 2012 โน่น ช่วงประมาณ The king of limbs ซ้อนไปมา มีความไซคีเดลลิคที่ออกไปทางไซไฟ - ส่วนตัวผมชอบเวอร์ชั่นสดมากกว่านะ เพราะว่ามัน - แอบมีกลิ่นอายงานเดี่ยวพี่ธอมเหมือนกันนะ เรียบง่าย ค่อนข้างสะอาดหู แน่นๆ ไม่ได้ล่องลอยอะไรมาก - ช่วงอินโทรยาวมากซะจนตอนแรกที่ฟังนึกว่าเพลง - ส่วนเวอร์ชนั่ ในอัลบัม้ ก็ไม่ใช่วา่ ไม่ดี แต่วา่ มีความทับ บรรเลง...ตกลงอัลบั้มนี้ไม่มีเพลงบรรเลงนะ ซ้อนของแต่ละแทร็ค มีอนิ โทรพร้อมเสียงร้อง แต่กป็ รากฏว่า มัน เป็นแอมเบียนท์ซะงัน้ จนกระทัง่ แทร็คเสียงร้องจริงๆ จะโผล่มา - และถือว่าเป็นเพลงเร็วที่สุดในอัลบั้มด้วย มันเป็นความรูส้ กึ เก้อหน่อยๆ ทุกครัง้ ทีไ่ ด้ฟงั - แต่ วิ ธี ร ้ อ งของธอมก็น่าสนใจมาก เพราะว่ า เป็ น - โดยรวมๆ ก็ถอื ว่าไม่ได้แย่กว่าเวอร์ชนั่ สด แต่มรี าย เทคนิค ใหม่ ที่ แ ปลกหู ไม่เ คยเจอในเพลงไหนมาก่อ น ละเอียดเยอะ มีประสานเสียงพร้อมเสียงซินธ์ทตี่ า่ งจากเวอร์ชนั่ สด ส่วนตัวผมชอบเสียงซินธ์ในอัลบัม้ เวอร์ชนั่ มากกว่า มันมีมติ ิ - ช่วงก่อนเข้ากลางเพลงเพิ่มเสียงกลองและกีตาร์ กว่า ล่องลอยกว่า เมาๆ มากกว่า บางๆ บรรยากาศเริ่มวุ่นวายและอึมครึม มีการ Overdub เสียงร้องของธอมไว้หลายๆ แทร็คให้ซับซ้อนและเวิ้งว้าง ก่อน - ในเวอร์ชั่นสด จอห์นนี่ไม่ได้โชว์กีตาร์มากนัก แต่ใน จะทิ้งช่วงท้ายด้วยเสียงกีตาร์ก่อนจะเฟดเอาท์ นับว่าเป็น อัลบั้มจะได้โซโล่ปิดท้ายอย่างบ้าคลั่งจนกระทั่งเพลงจบ เพลงที่ประหลาดที่สุดเพลงหนึ่งของเรดิโอเฮดก็ว่าได้ The Numbers Glass Eyes - เทคนิคท�ำเสียงบิดเบี้ยวกลับมาอีกครั้งในเพลงนี้ หลัง - เล่นครั้งแรกในโลกในคอนเสิร์ตที่ที่ปารีส ปี 2015 จากโผล่มาเล็กน้อยใน Daydreaming - เพลงนี้ เ ป็ นเพลงโปรดเพลงหนึ่ ง ของผมในอั ล บั้ ม - พร้อมด้วยเสียงไวโอลิน เชลโลที่บรรเลงอยู่เบื้องหลัง อาจจะเพราะเป็ น ตั ว แทนของความไซไฟที่ ค ่ อ นข้ า ง ชั ด เจนที่ สุ ด ในอั ล บั้ ม อธิ บายง่ า ยๆ คื อ เป็ นเพลงในอั ล บั้ ม - เพลงนี้ค่อนข้างเรียบง่ายที่สุดในอัลบั้มแล้ว (ถ้าไม่ ที่ มี ความอิ เ ล็ ก ทรอนิ ก ส์ ม ากที่ สุ ด นับ true love waits ที่เรียบง่ายกว่า) แต่แอบมีความเรดิโอ เฮดอยู่เล็กๆ น้อยๆ - และเพลงนี้มีลายเซ็นเรดิโอเฮดค่อนข้างชัดทีเดียว ประมาณว่าเอาไปอยู่ในอัลบั้ม OK Computer ยังได้เลย
>>>
>>> - การใส่เสียงแอมเบียนท์ ซินธิไซเซอร์กรุง๊ กริง๊ เสียงลูป วนไปมา หลังจากนัน้ เริม่ ต้นด้วยเสียงกีตาร์โปร่ง เสริมด้วยดนตรี คลาสสิคกระหึม่ และมีเสียงหัวเราะตอนท้าย ท�ำให้เพลงนีเ้ ต็มไป ด้วยความไซไฟทีล่ อ่ งลอย และมีความดิจติ อลพังค์ (ซะจนแอบ คิดถึงหนังเรือ่ ง The Matrix เลย 555)
Tinker Tailor Soldier Sailor Rich Man Poor Man Beggar Man Thief - ตอนเห็นชื่อเพลงนี้ใน Tracklist ในเว็บ amoonshapedpool.com ผมอุทานขึ้นในใจว่า “ท�ำไมชื่อเพลง มันยาวเป็นบ้าเป็นบอขนาดนี้วะ”
- เพลงนี้เป็นเพลงหนึ่งที่ปล่อยวีดีโอทีเซอร์ในไอจีแล้ว แต่ยังไม่ปล่อยเอ็มวีตัวเต็ม ก็ภาวนาว่าขอให้ปล่อยตัวเต็มออก - เป็นเพลงที่มีความประหลาดล�้ำอีกเพลงหนึ่ง และ มาซะที แค่เห็นทีเซอร์ก็อยากดูจะแย่แล้ว! เป็นเพลงที่ผมชอบด้วย คล้ายๆ ว่าจะหลุดมาจากยุค Kid A
- เพลงนี้เคยมีชื่อเดิมว่า “Silent Spring”
Present Tense
- ไซไฟเหมือนเดิม ที่เพิ่มเติมคือ มีความเรดิโอเฮด
- เสียงกลองไฟฟ้าถือเป็นพระเอกหลักทีน่ ำ� เด่นขึน้ มา และเสียงเปียโนทีด่ ดั แปลงเสียงแต่พองาม ท�ำให้เพลงนีเ้ ป็นเพลง - เคยเล่นแสดงสดด้วยกีตาร์โปร่งมาแล้วในคอนเสิร์ต จังหวะกลางๆ ค่อนไปทางช้า ก่อนเปลีย่ นพาร์ทด้วยเสียงเปียโน ที่ปารีส ปี 2015 อยู่ใน set list เดียวกับเพลง The num- ทุม้ ต�ำ่ และ cymbal (เสียงฉาบ) bers และ Desert Island Disk - เพลงนี้มีเสน่ห์ขึ้นด้วยเสียงไวโอลิน และเสียง Choir - เป็นอคูสติกง่ายๆ จังหวะกลางๆ ที่มีเสียงกลองที่ตี ที่โหยหวนหวีดหวิวจนกระทั่งจบเพลง ถือเป็น Climax ของ ด้วยไม้นวมอยู่เบื้องหลังพร้อมเพอร์คัสชั่น หายไปและกลับ เพลงนี้ (และน่าจะทั้งอัลบั้มนี้) เลยก็ว่าได้ มาช่วงท้ายเพลงจนจบ - ท้ายเพลงลากยาวด้วยเสียงเอฟเฟคเพือ่ เชือ่ มต่อไปถึง - และน�ำด้วยเสียงกีตาร์ ประกอบด้วยเสียงแอมเบียน เพลงสุดท้าย... ท์ที่เป็นเสียงธอมที่ใส่เอฟเฟคอยู่เบื้องหลัง overdub ไปมาจน กลายเป็นแอมเบียนท์ประหลาดๆ True Love Waits - ปรากฏตัวครัง้ แรกในอัลบัม้ บันทึกการแสดงสด I Might - ช่วงกลางเพลงมีการแอบเปลี่ยนจังหวะด้วยเสียง Be Wrong: Live Recordings ในปี 2001 โดยไมได้ปรากฏอยู่ กลอง ท�ำให้ตัวเพลงกลายเป็นอีกจังหวะหนึ่งไปเลย ในอัลบัม้ ไหนเลย จนมาถึงอัลบัม้ นีก้ ็ 15 ปี หรือถ้านับไปถึงต้น ก�ำเนิดจริงๆ ก็ตงั้ แต่ปี 1994 ประมาณ 22 ปีโน่น... - เป็นเพลงที่มีรายละเอียดเยอะมาก ซึ่งจะดีมากหาก ฟังเพลงนี้ด้วยเครื่องเสียงหรือหูฟังดีๆ - เวอร์ชนั่ แสดงสดนัน้ มีแต่เสียงกีตาร์โปร่งอย่างเดียว แต่ เวอร์ชนั่ อัลบัม้ นีเ้ ปลีย่ นเป็นเสียงเปียโน ซึง่ ไม่ใช่เปียโนเพียวๆ แต่ มี Overdub เสียงเปียโนอีกแทร็คเป็นเบือ้ งหลัง เสริมความเป็น ไซไฟและเวิง้ ว้าง
- ถือเป็นเพลงที่เรียบง่ายที่สุดในอัลบั้มนี้
- เสริมด้วยเสียงเบสทีก่ อ้ งกังวานในหู พร้อมกับเสียงเปีย โนทีก่ รุง๊ กริง๊ เปลีย่ นแปลงรูปร่างไปมาในหู ไม่มรี ปู ร่างทีช่ ดั เจน จนกระทั่งจบแบบเรียบง่าย ถือเป็นเพลงรักในแบบเรดิโอเฮด ทีฟ่ งั แล้วไม่เลีย่ น ไม่หวานจัด ไม่โรแมนติก ไม่อะไรทัง้ สิน้ แต่มี มนต์ขลังทีส่ ามารถท�ำให้อยากจะฟังซ�ำ้ ๆ อีกเรือ่ ยไป
SUMMARY
- รอคอยมานานถึง 5 ปี แน่นอนว่ามันเป็นเรือ่ งทีน่ า่ ชืน่ ใจ ทีไ่ ด้ยนิ ซาวนด์ใหม่ๆ จากวงอัจฉริยะทีไ่ ม่มใี ครคาดเดาพัฒนาการ ทางด้านดนตรีของพวกเขาได้ ทีน่ า่ ชืน่ ใจกว่าคือ พวกเขาสามารถ หาทางออกใหม่ๆ ให้ตวั เองได้ ท่ามกลางวงดนตรีและเพลงทีผ่ ดุ ขึน้ นับไม่ถว้ นในแต่ละวัน - ชุดนี้ผมอยากให้จ�ำกัดความว่าเป็น “อัลบั้มเพลง ไซไฟ” เพราะมีความทันสมัย มีความแปลก แม้จะค่อนข้าง ลดทอนเสียงกีตาร์ไฟฟ้า เสียงกลองชุดลงไป (คล้ายๆ กับ ตอน Kid A) แต่ชุดนี้ก็มีเสียงซินธิไซเซอร์ กลองไฟฟ้า ดรัม แมชชี น พร้ อ มด้ ว ยดนตรี ค ลาสสิ ค และการร้ อ งประสาน เสียงเข้ามาสร้างสีสันให้อัลบั้มนี้ยิ่งใหญ่และเยือกเย็น เสมือนว่าก�ำลังพาผู้ฟังด�ำดิ่งลงไปในสระว่ายน�้ำรูป ดวงจันทร์
WATCH TV ชื่อบทความ:
REVIEW: แนะน�ำรายการโปรดของผมในช่วง เวลา 6 โมงเย็น (2559)
สถานะ: เผยแพร่ใน storylog.co/push
- มีหลายคนแซวกันว่า ช่วงประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา ช่วงหกโมงเย็นนั้นเป็นช่วงที่น่าสนใจส�ำหรับคนไทย (เฉพาะ คนไทย only) เป็ นช่ วงเวลาที่ คนไทยอย่ า งเราๆ จะได้ มี เวลาไปจัดสรรท�ำกิจกรรมโน่นนั่นนี่ คือถือว่าเป็นเวลาทอง ที่ ส งบเงี ย บเหมาะกั บการท� ำ อะไรตามใจตั วเอง คื อ ถ้ าไม่ ติดงานหรืออยู่ระหว่างเดินทางกลับบ้าน ผมเชื่อเลยว่า คน ไทยมี กิ จกรรมอะไรให้ ท� ำ เยอะแยะ - ถ้าพูดกันตรงๆ ก็คือ ตอนนี้เวลาหกโมงเย็นของทุก วัน นั้นมักเป็นเวลาว่างส�ำหรับคนไทย (เฉพาะคนไทย only) หลังจากดูทีวีในช่วงก่อนหน้านี้อย่างหนักหน่วง พอถึงเวลาหก โมงเย็น ก็ได้เวลาเคารพธงชาติ และเมื่อเพลงชาติบรรเลงจบ ก็แล้วแต่ว่าใครจะไปท�ำอะไรนะครับ บางคนก็จับมือถือขึ้นมา เล่นโซเชียลมีเดีย จะ Live หรืออะไรก็แล้วแต่แก หรือบางคน ก็ไปหุงหาอาหาร (ส�ำหรับแม่บ้าน) บางคนที่ไม่ได้ท�ำอะไร ช่วง เวลาหกโมงเย็นนี่ก็บรรยากาศดีไม่หยอก มีลมพัดเย็นๆ ไปดู พระอาทิตย์ค่อยๆ ทยอยตกจากฟ้าก็รื่นรมย์ใจ ไปวิ่งหรือออก ก�ำลังกายก็ดีนะครับ ไปเหล่สาวไรงี้ หรือไม่ก็อ่านหนังสือ หรือ ไปอาบน�้ำก็เข้าท่าดีนะครับ
- หรื อ บางคนก็นอน บางคนในที่นี้ก็คือผมนี่ แ หละ แม้ว่าพ่อและแม่ และใครต่อใครจะบอกว่าการนอนตอนช่วง พระอาทิตย์ตกดินนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่ควรจะท�ำ บ้างก็เกี่ยว กับวิทยาศาสตร์บ้างละ บ้างก็อ้างไปถึงผีสางบ้างละ แต่ใคร (ผม) จะสนล่ะ บังเอิญว่าผมชอบง่วงตอนช่วงนี้ซะด้วย ผม ง่วงตอนนี้ผมก็นอน พอตื่นมาซักทุ่มนึงก็ไปอาบน�้ำ กินข้าว เท่าที่ผ่านมาไม่เคยเจอเลยว่ามีเหตุเภทภัยอะไรเกิดขึ้นกับตัว
- เรื่องนี้ยืนยันได้ว่า อาจารย์ในมหาวิทยาลัยที่เคยสอน ผม เล่าให้ฟังว่า พอถึงหกโมงเย็นทีไร แม่ของอาจารย์ท่านนั้นก็ จะเปิดช่องลาวดูทุกครั้งไป คาดว่าที่ดูช่องลาวเพราะภาษาลาว นั้นคล้ายภาษาไทยมาก แต่มีความเหน่อ มีส�ำเนียงเหนือปน อีสาน และใช้ภาษาตรงๆ ทื่อๆ ง่ายๆ กว่าบ้านเรา - แม้ว่าโปรดักชั่น ทั้งภาพ แสง สี เสียง เวที กราฟิก จะไม่ค่อยสู้ดี แต่ความที่ดูแล้วพอจะฟังรู้เรื่อง เราก็พอจะ เพลิดเพลินไปกับรายการต่างๆ ที่มีความบันเทิงน้อยหน่อย (อย่างที่ทราบก็คือประเทศลาวนั้นเคร่งครัดเรื่องวัฒนธรรม และมี ก ารควบคุ ม สื่ อ จากรั ฐ เลยท� ำ อะไรผาดโผน หยาบ คาย ขายของ เซ็กซี่ ฯลฯ เหมือนทีวีเมืองไทยไม่ได้) แต่ก็ พอจะดูอะไรที่พอจะมีให้ดูได้
- แต่ด้วยความที่หกโมงเย็นนั้นเป็นเวลานอนที่ผิด ธรรมชาติของมนุษย์ (รู้ตัวด้วยเหรอวะ) เพราะฉะนั้นไม่ใช่ บางวันที่จะนอนได้หลับ ที่นี้ผมไม่ใช่เป็นคนที่ชอบออกนอก บ้านซะด้วย คือถ้าไม่จ�ำเป็นจะต้องไปไหน ก็จะไม่ไปไหน นอนแซ่วติดบ้านไม่แคร์ผู้ใด เพราะฉะนั้น ถ้าหกโมงเย็น ผม ไม่ได้มีธุระอันใด ก็จะนอนเปิดทีวี แล้วนอนดูทีวีแก้อาการ นอนไม่หลับไปเรื่อยๆ - ถ้าไม่นบั เพลงปลุกใจรักชาติของพรรคสังคมนิยมทีเ่ ปิด วนอยูเ่ รือ่ ยๆ ก็มรี ายการเพลงบ้าง รายการสารคดีบา้ ง รวมถึงมี - ด้วยอานิสงค์ที่บ้านผมนั้นติดจานดาวเทียม ที่มีช่อง การประกาศข่าวจากภาครัฐอย่างเป็นกิจจะลักษณะด้วย หรือถ้า ทีวีมากมายหลายร้อยช่อง (ซึ่งเยอะมาก แต่โฆษณาเยอะกว่า) วันไหนมีผเู้ สียชีวติ ก็ใช้ทวี นี แี่ หละประกาศให้ญาติและคนรูจ้ กั เลยได้มีโอกาสได้ดูอะไรแปลกๆ และหลากหลาย ซึ่งนั่นหมาย ได้ทราบถึงข่าวมรณกรรม รวมถึงการซื้อเทปลิขสิทธิ์รายการ ถึงช่องทีวีจากต่างประเทศรอบๆ บ้านเรา เช่น พม่า ลาว ด้วย จากต่างประเทศมาพากษ์ภาษาลาวแล้วออนแอร์ด้วย ซึ่งก็ นะครับ แม้ว่าจะดูไม่รู้เรื่องก็เหอะ แต่ก็พอจะถูไถแล้วดูให้สนุก คล้ายๆ กับบ้านเรา ทีม่ ที งั้ การ์ตนู สารคดี และรายการเด็ก ไปกับมันได้ - ส่วนตัวผมเป็นคนชอบดูรายการเด็ก เพราะว่าอะไร - ท�ำเป็นเล่น ช่องพม่านี่น้องๆ ช่องเจ็ดของไทยเลย ก็ไม่รู้ อาจจะเพราะว่ารายการเด็กนั้นดูง่าย เข้าใจง่าย โดย นะครับ มีเกมโชว์ซื้อลิขสิทธิ์จากเมืองนอก ไทยมีก็อตทาเลน เฉพาะรายการเด็กจากต่างประเทศ หลายรายการนี่ไม่ได้ ท์ พม่าก็มีก็อตทาเลนท์ มีรายการเกี่ยวกับเกม รายการไอที ง่อยๆ นะครับ ผู้ใหญ่ก็ดูกัน แล้วบางครั้งก็กลายมาเป็น รายการแฟชั่น ซีรีส์เกาหลีซับฯ พม่าก็มี โฆษณาก็เป็นสินค้า Pop culture รายการเด็กที่ชอบก็เช่น Sesame street อินเตอร์ด้วย บางตัวก็เหมือนของไทยเด๊ะๆ แต่แค่พูดพม่า และ The muppets เป็นต้น (รายการแรกนี่มีคนท�ำสถิติ เท่านั้นเอง โปรดักชั่นอาจจะสู้ไทยไมได้ในบางรายการ แต่ ว่า 1 ในสามของพลเมืองอเมริกาเคยดูมาก่อน ส่วนรายการ ทีวีพี่ไทยมีอะไร ทีวีพี่พม่าก็มีเหมือนกัน หลังก็ป็อบมากถึงขนาดมีหนังใหญ่เป็นของตัวเอง ให้วง OK GO มาคัฟเวอร์เพลงธีมรายการอีกตะหาก) - เชื่อเลยว่าบ้านไหนที่มีดาวเทียม ทั้งจานตะแกรง (ใหญ่ๆ ด�ำๆ แบบบ้านผม) หรือจานสี (จานทึบใบเล็ก) ช่วง - ส่วนของไทยนัน้ ไม่ตอ้ งคิดนานครับ คลาสสิคทีส่ ดุ ต้อง หกโมงเย็นแบบนี้ คนไทย (เฉพาะคนไทย only) นั้นก็จะมี รายการ “เจ้าขุนทอง” แต่เสียดายทีไ่ ม่ทราบชะตากรรม ช่อง 7 กิจกรรมที่ท�ำไปพร้อมๆ กันคือ ดูช่องลาว ดูช่องพม่า เป็น ทีต่ อนนีเ้ ป็น HD ไปแล้ว ไม่รวู้ า่ เอาเจ้าขุนทองและผองเพือ่ นไป เวลากว่าสองปีแล้วที่ชาวดาวเทียม (พูดแล้วคิดถึงชาวดาว ไว้ไหน วันและเวลาใด หรือจะหายไปแล้วก็ไม่ทราบได้ ท่านใด นาเม็กในดราก้อนบอล) ได้อาศัยช่องทีวีเพื่อนบ้านในการ ทราบวานบอก ผมคิดถึง เสพความบันเทิงแบบไม่มีก�ำแพงทางภาษา คือกูดูไม่รู้เรื่อง อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเลยดูแต่ภาพแล้วเสพมันก็พอ
>>>
>>> - เพราะฉะนัน้ ช่วงหกโมงเย็น ถ้าไมได้นอน ผมก็จะได้ดู รายการเด็กผ่านทางช่องลาวเป็นประจ�ำ คือไม่ได้ถงึ ขนาดว่าไม่ดไู ม่ ได้ ห้ามพลาด แต่วา่ ถ้ามีโอกาสก็จะได้ดเู สมอๆ ยกเว้นว่ามีบางช่วง ทีน่ กึ จะออนแอร์กอ็ อนแอร์ วันไหนไม่ออนก็ไม่ออนซะดือ้ ๆ บาง วันก็มาเร็ว บางวันก็มาช้าซะงัน้ อ่ะ - รายการเด็ ก ที่ ว ่ า มี ชื่ อ ว่ า “พี ธ ากอรา สวิ ต ซ์ ” (Pythagora Switch) รายการเด็กรายการนีเ้ ป็นรายการสัน้ ๆ มีแค่ 15 นาที แพร่ภาพออกอากาศทางช่อง NHK ตัง้ แต่ปี 2002 แล้ว ผมคาดว่าน่าจะมีเวอร์ชนั่ ญีป่ นุ่ นัน่ แหละ แต่ทที่ วี ชี อ่ งลาว ซือ้ เทปมาพากษ์นนั้ เป็นเวอร์ชนั่ ทีแ่ ปลงเป็นภาษาอังกฤษแล้ว - เชื่อเลยว่าทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ร้อยทั้งร้อยที่ตกหลุม รักรายการนี้ (เหมือนผม) ก็คือไตเติ้ลรายการ ทั้งไตเติ้ล เปิด ไตเติ้ลคั่นแต่ละช่วง และไตเติ้ลปิด นั้นท�ำเอาผมหลง ไหลและหลงรักรายการนี้ แล้วที่ส�ำคัญคือ ไตเติ้ลนั้นมีการ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แล้วไตเติ้ลนี้มีดีอะไร? - ค�ำตอบคือ ไตเติล้ ของรายการนีไ้ ม่เหมือนรายการเด็ก อืน่ ๆ ครับ นึกถึงรายการเด็กอืน่ ๆ ไตเติล้ ก็จะต้องมีตวั การ์ตนู ออกมาลัล้ ลาเริงร่าร�ำระบ�ำ ร้องเพลงง้องแง้งไปเรือ่ ย แต่กบั ราย การพีธากอรา สวิตซ์นนั้ หาไม่ แต่เป็นไตเติล้ ทีใ่ ช้กลไกการส่งแรง ทางวิทยาศาสตร์ทเี่ ราคุน้ เคยกันดี แต่ไม่รวู้ า่ จะเรียกชือ่ อะไร นึก ออกมัย้ ครับ ทีม่ นั แบบว่าปล่อยลูกเหล็กออกไปตามราง แล้วไป กระทบกับกลไกต่างๆ ทีว่ างเอาไว้ จนกระทัง่ สุดท้ายก็ไปเปิด กลไกให้ทำ� อะไรซักอย่าง แบบนัน้ ละครับ
- ส่วนเนือ้ หารายการก็นา่ รักไม่แพ้กนั แน่นอนว่ารายการ เด็กนัน้ มีลกั ษณะคล้ายๆ กันอย่างหนึง่ คือมีความคลิเช่ (cliche) คือมันน่าเบือ่ นิดๆ อ่ะครับ กล่าวคือ พล็อตมันจะซ�ำ้ เดิมเสมอ แค่ เปลีย่ นไดอะล็อกเฉยๆ รายการนีก้ เ็ หมือนกัน แต่พล็อตจะเป็น อย่างไร ควรจะรูจ้ กั กับตัวละครกันก่อนนะครับ - พีธา และ กอรา นกเด็กสองตัว ตัวนึงสีเทา ใส่หมวก ไหมพรมสีเขียวลายด�ำ ส่วนอีกตัวสีน�้ำเงิน เอากระป๋องบุบๆ มาครอบหัว (เพื่อ) - เอ็นไซโคลพีเดีย (ลาวเรียกว่า “ท่านเอ็นไซโคลพี เดีย”) เป็นหนังสือปกแข็งชรา มีหน้ามีหนวด เล่มใหญ่สีแดง มีหน้าที่ให้ความรู้แก่นกเด็กสองตัว แต่ไม่เคยให้ความรู้อะไรได้ ซักกะครั้งนึง - ทีวี จอห์น (ลาวเรียกว่า “โทรภาพสัญจร”-เก๋) ง่ายๆ เลยคือ เป็นทีวีผสมกับหมา มีหน้าที่ให้ความรู้ด้านต่างๆ แก่ พีธาและกอรา - ซู หนูขับรถสีแดง ส่วนใหญ่จะขับรถเข็นรีโมททีวีมา ให้พีธากับกอรา เพื่อกดเปิดทีวีจอห์น แล้วก็ขับผ่านไป บางที ก็ขับรถเข็นของอย่างอื่น เช่น ไข่ไก่ เป็นต้น ไม่มีบทบาทอะไร มากกว่านี้ - ช่วงหลักของรายการทีผ่ มบอกว่ามันคลิเช เป็นละคร หุน่ สัน้ ๆ เริม่ เรือ่ งที่ พีธากับกอราจะท�ำอะไรไปเรือ่ ยเปือ่ ย แล้ว ก็จะเกิดความสงสัยว่าท�ำไมเรานับไข่ไก่เป็นฟองได้ แต่จะนับ น�ำ้ ตาลเป็นหน่วยได้ยงั ไง (คือจะให้นบั เป็นเกล็ดก็ไม่ได้เว้ย) หลัง จากนัน้ ท่านเอ็นไซโคลพีเดียจะมาถาม คุยกันซักพัก ท่านเอ็นฯ จะบอกว่า งัน้ ลองอ่านหน้าที่ 432 ดู (พลางกางตัวเองออกกว้าง) แต่เมือ่ พีธาและกอรามาอ่าน ปรากฏว่า “ข้อยยังเป็นเด็กน้อย ยังอ่านบ่ได้” (สรุปคือท่านเอ็นฯ ไม่มปี ระโยชน์เลยนีห่ ว่า 555) ท่านเอ็นฯ เลยเรียกทีวจี อห์นออกมาเปิดทีวฉี ายความรูใ้ ห้พธี า และกอราได้ดู แต่บางทีกล็ มื รีโมท หนูขบั รถสีแดงเลยขับรถเอา รีโมทมาให้ แล้วหลังจากนัน้ ก็จะตัดเข้าสารคดีสนั้ ๆ ทีเ่ กีย่ วกับ เรือ่ งราวทีส่ องนกเด็กสงสัย
- ถ้านึกไม่ออกให้เสิร์ชหาค�ำว่า Rube Goldberg machine อธิบายย่อๆ คือการวางกลไกของสิง่ ของต่างๆ (ทีม่ กั จะเป็นสิง่ ของบ้านๆ ทีห่ าได้งา่ ย) แล้วท�ำให้สงิ่ ของต่างๆ ทีว่ าง ต�ำแหน่งเอาไว้เกิดการขยับหรือเคลื่อนที่ เป็นการส่งแรงต่อ กันไปเป็นทอดๆ (Chain reaction) ท�ำให้เกิด Over engineer for a simple task. (เอาเรือ่ งง่ายๆ มาท�ำให้ยาก) คือแค่เปิดชือ่ - ทุกตอนก็พล็อตนี้แหละ แต่แค่เปลี่ยน topic กับ รายการภาษาญีป่ นุ่ หน่อยนึง แต่ใช้กลไกซับซ้อนร้อยแป ดประการ เพียงเพือ่ จะเปิดชือ่ รายการแกร๊กเดียว นีแ่ หละคือสิง่ ทีท่ ำ� ให้ผม สถานการณ์ไปเรื่อยๆ จากเท่าที่ดู พอจะจับสังเกตได้ว่ามัก เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคณิตศาสตร์อย่างง่ายๆ เช่น การนับ หลงรักรายการนีต้ งั้ แต่ได้ชมครัง้ แรก การวัด ระยะทาง ฯลฯ
- หลังจากช่วงนี้จะมีแอนิเมชั่น เรื่องสั้นๆ มาสลับ กันบ้างตามโอกาส ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการให้ความรู้ในสไตล์ แปลกๆ เช่น เอาน�้ำตาลก้อนมาท�ำสต็อปโมชั่น หรือท�ำท่า ทางเลียนแบบสิ่งของ เป็นต้น
- ส่วนอย่างอื่นๆ ก็ประกอบขึ้นจากสี่เหลี่ยมและเส้น ผนวกกับการใช้สีไม่กี่สี เป็นการ์ตูนหมาน้อยที่ผจญภัยไปเจอ เรือ่ งราวต่างๆ เล็กๆ น้อยๆ แอบสอนเด็กแบบเนียนๆ เช่นสมมติ ว่าเราจะเดินข้ามเนิน ถ้าเป็นเนินหรือสิง่ กีดขวางเล็กๆ ก็สามารถ เดินข้ามได้ แต่ถา้ มันใหญ่มากๆ ก็จะไม่ขา้ ม ใช้เดินอ้อมเอา อะไร ท�ำนองนี้ แม้วา่ จะไม่มรี ายละเอียดอะไรเลย แต่ผมชืน่ ชมว่า แค่ สีเ่ หลีย่ มประกอบกันแบบง่ายๆ แต่สามารถท�ำให้กลายเป็นหมา น้อยทีเ่ ต็มไปด้วยรายละเอียดท่าทางของหมาจริงๆ ได้อย่างครบ ถ้วน ใครดูแล้วบอกว่าไม่นา่ รักนี่ ใจโคตรด้านเลยพี่
- อีกช่วงทีเ่ ป็นไฮไลท์คอื ช่วง Algorithms March ลาวใช้คำ� ว่า “นีเ่ ป็นการออกก�ำลังกายเป็นจังหวะ!”) ก็ตามนัน้ แหละครับ กล่าวคือมีคหู่ ู แต่งชุดสูทสไตล์ซารารีมงั (มนุษย์เงิน เดือนเจแปน) มาเต้นตามจังหวะ ผสมผสานคล้ายๆ หุน่ ยนต์ แต่ เข้าจังหวะมากกว่า แน่นอนว่าท่าเต้นเหมือนเดิมทุกเทปครับ ท่าน เพลงก็เหมือนเดิม (มีเวอร์ชนั่ ญีป่ นุ่ ด้วย แต่ชอ่ งลาวนัน้ เป็น - ตอนเย็นๆ ถ้าผมไม่ได้ไปธุระทีไ่ หน หรือว่านอน ผมก็ เวอร์ชนั่ อังกฤษนะครับ) แต่อาศัยเปลีย่ นสถานทีเ่ อา บางครัง้ ก็มี มักจะหมุนมาทีช่ อ่ งลาวเพือ่ ดูรายการดีๆ แบบนี้ แม้วา่ จะเป็น เด็กอนุบาล หมอและพยาบาล นินจา หรือบางวันก็มาคนเดียว รายการเด็ก และไม่มปี ระโยชน์อะไรต่อวัยหนุม่ อย่างผม แต่ก็ อย่างว่าแหละ ในยามนีก้ ารหาอะไรดูเพลินๆ ก็ถอื ว่าเป็นการฆ่า - ก่อนเต้นทั้งคู่จะพูดว่า “นี่เป็นการออกก�ำลังกายเป็น เวลาได้ดี ในยามนี้ ผมและคนไทย (เฉพาะคนไทย only)ประสบ จังหวะ!” (Algorithms March!) แล้วก็เต้น พอจบก็จะพูดว่า ปัญหาว่าตอนหกโมงเย็นแล้ว ก็ไม่มอี ะไรในทีวจี ะดู ถ้าท่านเป็น “จบการออกก�ำลังกายเป็นจังหวะ!” (Algorithms March is ชาวดาวเทียม และชอบดูชอ่ งลาว ผมขอแนะน�ำรายการนีเ้ ลย over!) คู่หูสองคนนี้ชื่อ Hidenori Kikuchi และ Kazunari เพราะภาษาลาวก็คล้ายๆ ภาษาไทย ฟังง่าย น่ารัก เพลิดเพลิน Yamada ผมก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่ามันเป็นยังไง แต่ดูแล้ว เจริญใจในยามเย็น เพลินเว้ย มันเต็มไปด้วยความญี่ปุ้นญี่ปุ่น คือใครชอบความ เป็นญี่ปุ่นในมุมที่มีความน่ารักนิดๆ ติงต๊องหน่อยๆ น่าจะดู แล้วท่านผู้อ่านล่ะครับ ตอนหกโมงเย็นดูอะไรกัน แล้วเพลิน อย่าบอกนะว่า - อีกช่วงทีม่ าไม่บอ่ ยคือช่วงทีช่ อ่ งลาวแปลว่า “สวิตซ์ของ มือ้ นี”้ (สวิตซ์ของวันนี)้ เคยเกิดอาการอยากเห็นอะไรทีล่ กึ ลับมั้ ยล่ะครับ ผมเชือ่ ว่าวัยเด็กของเราคงเคยเกิดอาการอยากจะรูว้ า่ สวิตซ์ของสิง่ ต่างๆ นัน้ หน้าตาเป็นอย่างไร ไม่วา่ จะเป็นสวิตซ์ไฟ น�ำ้ พุ จอข้างสนามกีฬา ไรงี้ หรือแม้แต่ปมุ่ กดเครือ่ งเล่นสวนสนุก อย่าดูถกู ไปนะครับ เด็กๆ ชอบนะ ผมก็เป็นคนนึงทีเ่ คยอยากจะ ป.ล. ส่วนช่วงกลางคืนนัน่ น่ะ เนือ่ งจากว่าหลังจากสองทุม่ (ถ้าใช้ เห็นปุม่ กดของสิง่ ต่างๆ แล้วก็อยากจะกดบ้าง ช่วงนีง้ า่ ยๆ เลย ทีวี ทีวเี ป็นนาฬิกาก็ประมาณรายการ “ปริศนาฟ้าแลบ” จบ) หลัง จอห์นจะพาไปดูวา่ ปุม่ กดของสิง่ ต่างๆ หน้าตาเป็นอย่างไร ทัง้ น�ำ้ พุ จากนีผ้ มจะไม่ดทู วี คี รับ ผมจะใช้เวลาไปกับการท�ำงาน เขียน ปัม้ น�ำ้ จอข้างสนามกีฬา เป็นต้น มาไม่บอ่ ยแต่กระตุน้ ต่อมอยากรู้ เรือ่ งลงคอมเพือ่ เตรียมลง storylog หรือไม่กด็ ู YouTube หรือ ได้ดที เี ดียวเชียว ดูหนัง อ่านหนังสือ ท�ำเรือ่ งส่วนตัว จดโน่นนัน่ นี่ หรือไม่กน็ อน เพราะฉะนัน้ ผมก็ไม่คอ่ ยกังวลในช่วงเวลานัน้ ซักเท่าไหร่ โดย - อีกช่วงทีผ่ มชอบนัน้ เป็นแอนิเมชัน่ ทีม่ ชี อื่ ว่า Framy เฉพาะคืนวันศุ...........(ตืด๊ )......... เฟรมีเ่ ป็นหมาครับ จบ แล้วไงล่ะ มันไม่แค่นสี้ ิ เฟรมีเ่ ป็นหมามินิ มอล เพราะว่าประกอบขึน้ จากรูปสีเ่ หลีย่ มอย่างเดียวเท่านัน้ พืน้ หลังไม่มอี ะไรนอกจากสีขาวเทาๆ
SCREENPLAY บทภาพยนตร์สั้น ชายผู้อ่อนภาษาอังกฤษ และหนังสือปกอ่อนของพิม The story of Chai who foolish in English language And Pim’s English Paperback. (2558)
1. ที่นั่งในมหาวิทยาลัย/ภายนอก/กลางวัน ชายเดินเข้ามาเอกที่นั่งรออยู่ที่เก้าอี้หินอ่อนด้วยอาการรีบเร่ง ข้างๆ เอกชวนชายคุย
ชายเหนื่อยหอบซักครู่ก่อนจะนั่งที่เก้าอี้อีกตัวที่อยู่
เอก วันแรกก็มาสายเลยนะมึง ท�ำใจไม่ได้อะดิ ชาย เออ กูนอนไม่หลับ กูเครียดว่ะ ท�ำไมพ่อกูต้องส่งให้กูมาเรียน ในสิ่งที่ไม่จ�ำเป็นด้วยวะ เอก ภาษาอังกฤษมันไม่จ�ำเป็นตรงไหนวะ เดี๋ยวนี้อะไรๆ ก็ภาษาอังกฤษทั้งนั้น แล้วก็จะเปิดเออีซีแล้วเนี่ย ชาย เออีซีอีกแล้ว แม่ง อยากเปิดก็เปิดดิวะ ยังไงกูก็ท�ำงานในประเทศ คงไม่คิดจะหนีพ่อแม่กูไปไหนหรอก เอก พ่อแม่มึงนั่นแหละตัวหนี ตอนนี้กูเห็นพ่อแม่มึงบินไปคุยงานที่เมืองนอกบ่อยๆ มึงก็บอกเองไม่ใช่เหรอ ชาย ไม่เห็นจ�ำเป็นเลยว่ะ กินในประเทศให้หมดก่อนเหอะ กิจการซอสถั่วเหลืองบ้านกูมันจะไปไหนกันนักวะ เอก ไอ้เหี้ยนี่แม่ง ไม่คิดจะขยายกิจการพ่อมึงเลยเหรอ ขายเองแดกเองงี้เหรอ เค้าส่งออกกันตึงๆ รายได้เข้าประเทศรวยตายห่า มีแต่มึงแหละที่อยากจะจน
>>>
>>> ชาย มึงบ่นเหมือนพ่อกูเลยนะ พ่ออยากจะให้ชายขยายกิจการ ส่งออกซีอิ้วไปทั่วโลก แต่ดันเสือกลืมว่ากูนี่อังกฤษอ่อนเหี้ยๆ เอก ของมันฝึกกันได้โว้ย มึงคิดว่าคนที่พูดได้ เค้าไม่ได้หัดเหรอวะ
ชายมองนาฬิกา เป็นเวลา 9.30 ชายรีบบอกเอกให้รีบขึ้นห้องเรียน ทั้งคู่ลุกจากเก้าอี้รีบเข้าไปในอาคารเรียน ชาย ไป ขึ้นห้องเหอะเหี้ย บ่นเป็นพ่อกูเลย กูไม่เก่งอังกฤษก็บังคับให้กูเรียน สอบตกขึ้นมาก็มาบ่นกูอีก กูโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง ซวยชิบหาย ตัดไป
2. ห้องเรียนวิชาภาษาอังกฤษ/ภายใน/กลางวัน อาจารย์ชาวต่างชาติก�ำลังสอน นักเรียนต่างตั้งใจเรียนกัน ยกเว้นชายที่ก�ำลังหลับอยู่ จนเอกต้องปลุกบ่อยๆ แต่ปลุก แล้วก็หลับอีก บนกระดานด�ำ อาจารย์เขียนค�ำว่า Assignment เอกรีบหยิบสมุดมาจด เขียนค�ำแปลแล้วยื่นให้ชายที่ก�ำลัง หลับอยู่ จนเอกต้องใช้สมุดตีที่หัวเพื่อปลุกชายให้ตื่น เอก ไอ้ชาย ขี้เกียจชิบหายเลยไอ้เหี้ยนี่ เอาการบ้านไป ชาย ยังไม่ทันเรียนอะไรเลย มีการบ้านแล้วเหรอวะ เอก เขียนประวัติส่วนตัวเป็นภาษาอังกฤษโว้ย หาในเน็ตเอาเหอะ
ชายหาวหนึ่งทีก่อนรับสมุดมาอย่างงัวเงีย ซักพัก อาจารย์สั่งให้จับกลุ่มกันกลุ่มละสามคนเพื่อท�ำกิจกรรมในห้องเรียน พูดและพลางท�ำมือวนเป็นวงกลม นักศึกษาทั้งห้องลุกขึ้นและยกเก้าอี้มาตั้งล้อมกันเป็นกลุ่มๆ เอกยังไม่ได้ลุกขึ้นยกโต๊ะ รีบ เอาไม้บรรทัดตีชายเร็วๆ หลายครั้ง ชายสะดุ้งตื่นและโมโห เอก ตื่นโว้ยยยย! ตื่นๆๆๆ ยกโต๊ะจัดกลุ่มไอ้เหี้ย ชาย ไอ้สัตว์ เจ็บนะโว้ย เหี้ยแม่ง ตีอย่างกับตีหมา เอก แล้วอาจารย์เค้าให้จัดกลุ่มละสาม กลุ่มนี้มีแค่สอง เพราะมึงคนเดียวเลย กลุ่มอื่นครบหมดแล้วเนี่ย ชาย (ยกโต๊ะ พูดงัวเงีย) สองก็สองดิวะ จะเอาอะไรมาก ทันใดนั้น มีหญิงสาวคนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามาที่ห้องเรียน พิมยืนคุยกับอาจารย์สักพักก่อนที่อาจารย์จะชี้ไปที่กลุ่มชายและ เอก พิมรีบเดินเข้าห้อง ตรงไปที่เก้าอี้ พิมลากเก้าอี้มานั่งเป็นวงกลมหน้าชายกับเอก ชายเห็นแล้วรู้สึกตะลึงในความน่ารัก ของพิม ชายพูดทักทาย ถามชื่อเป็นภาษาไทย ชาย เธอ...เธอ... หวัดดี เธอชื่ออะไรอ่ะ พิมเห็นชายพูดได้แต่ยิ้ม แต่ไม่ตอบอะไร ชายหันไปกระซิบกับเอก ชาย อะไรวะ หน้าตาก็น่ารัก ท�ำไมหยิ่งยังงี้วะ เอก แต่กูไม่คิดยังงั้นว่ะ มึงเห็นหนังสือภาษาอังกฤษปกสีขาวนั่นมั้ย กูรู้แล้วแหละ
>>>
>>> เอกตัดสินใจหันไปคุยกับพิมด้วยภาษาอังกฤษ ชายมองเห็นหนังสือ แต่ก็ยังไม่เข้าใจที่เอกพูด เอก Hi! What’s your name? พิม My name is Patricia. Please call me PIM. เอก OH! You have a Thai nickname! พิมคุยกับเอกอย่างสนิทสนม จนชายต้องกระทุ้งแขนเอก พิมเห็นชายคุยกับเอกแล้วยิ้ม ชาย คุยรู้เรื่องละเอาใหญ่ นี่ของกูนะโว้ย เอก เออ! ไอ้เหี้ย กูจะบอกให้ เค้าชื่อแพทริเชีย ชื่อเล่นชื่อพิม พูดไทยไม่ได้ เพราะเป็นลูกครึ่งอังกฤษ-เวียดนามโว้ย ชาย โห คุณพิม...ถึงว่าสิ หน้าออกไทยๆ หมวยๆ แต่ดันพูดไทยไม่ได้ แล้วกูจะจีบยังไง เอก มึงก็หัดคุยภาษาอังกฤษสิวะ ไหนเมื่อเช้ามึงบอกว่าภาษาอังกฤษไม่จ�ำเป็น เอกหันมาจดสิ่งที่อาจารย์พูด ชายแอบมองพิมอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งเลิกคลาส พิมเดินออกไปนอกห้องก่อน ชายรีบดึง มือเอกออกมานอกห้อง เอก มึงจะรีบไปไหน กูยังเก็บของไม่เสร็จเลย ชาย ก็ตามคุณพิมไปดิวะไอ้โง่ ตัดไป
3. ห้องสมุด/ภายใน/กลางวัน พิมเดินเข้าห้องสมุด ชายและเอกรีบเดินตามอย่างรวดเร็ว ขณะที่ชายและเอกวิ่งมาถึงหน้าลิฟต์ พิมเดินขึ้นลิฟต์ และ ลิฟต์ก็ปิดพอดี เอกกับชายเลยตัดสินใจวิ่งขึ้นบันไดไป ชาย ชั้นไหนวะเนี่ย เอก ไม่รู้โว้ย ขึ้นไปก่อน
ในขณะที่ทั้งคู่วิ่งขึ้นบันได เอกนึกออกและรีบพูดกับชาย เอก กูรู้แล้ว น่าจะเป็นชั้นสาม โซนหนังสือภาษาอังกฤษ พิมอ่านภาษาไทยไม่ออกหรอก ชาย พากูไป กูไม่ค่อยได้มา
ทั้งคู่วิ่งขึ้นไปถึงชั้นสาม และเดินเข้าไปจนถึงชั้นหนังสือที่เขียนว่า โซนหนังสือต่างประเทศ ชายรู้สึกกลัวจนเดินถอย หลัง เอกรีบเดินหนี ชายจับมือไว้ ชาย จะไปไหนวะ เอก กูไม่รู้ มึงชอบเค้ามึงก็ตามหาเอง ชาย แล้วจะให้กูเข้าไปจีบหน้าด้านๆ เนี่ยนะ เอก มึงก็ท�ำทียืมหนังสือภาษาอังกฤษสิวะ เล่มไหนก็ได้ หยิบๆ มาเหอะ ชายฟังเอกพูดแล้วถอนหายใจ จนกระทั่งเห็นพิมเดินผ่านชั้นหนังสือแวบๆ ชายเลยรีบวิ่งเข้าไปหา เอกเดินออกมานั่งที่โต๊ะ
>>>
>>> อ่านหนังสือ ชายเห็นพิมแวบๆ อีกครั้ง จึงรีบวิ่งเข้าไปหา แต่พิมวิ่งเข้ามาอีกทางจึงชนกับชายจนล้มทั้งคู่ ชายเจ็บจน บ่นเสียงดัง ชาย เจ็บชิบหายเลยโว้ย พิม (ท�ำท่าจุ๊ปาก พูดเบาๆ) Be quiet! ชาย (ท�ำท่างง เลิ่กลั่ก) อะไรนะ พิมรีบลุกขึ้นยืน ชายลุกขึ้นยืนทีหลัง ชายท�ำท่าจะคุยกับพิม แต่พิมเดินถือหนังสือออกไปแล้ว ชายมองหาพิมแต่หาไม่ เจอ จึงรู้สึกเสียดายเลยเดินกลับไปหาเอก พิมเดินหันหลังให้ชายท�ำหน้ายิ้ม ตัดไป 4. หน้าห้องสมุด/ภายนอก/กลางวัน ชายและเอกเดินออกมาจากห้องสมุด ชายหยุดยืนแล้วพูดกับเอก ชาย เสียดายว่ะ คุณพิมพูดออกมาค�ำนึงแล้ว เอก นี่ถ้ามึงพูดเป็นคงคุยต่อสิ เสือกพุ่งตัวไปชนเค้า อดคุยเลย ชาย พุ่งพ่อมึงสิ กูเดินออกไป คุณพิมเดินมาชนเองโว้ย เอก จะบอกว่าเค้าอ่อยเหรอวะ ร้ายนะมึง
ชายยืนยิ้มซักพัก เอกเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง วิ่งมาอย่างรวดเร็วจนกระโปรงพลิ้ว เอกตกใจชี้ชวนให้ชายดู
เอก เฮ้ย ไอ้ชาย นั่นคุณพิมของมึงเปล่าวะ ชาย เออ ใช่ว่ะ แล้วจะวิ่งมาท�ำไมวะ หรือว่าลืมของไว้ในห้องสมุด พิมวิ่งมาหยุดตรงที่เอกกับชายยืนอยู่ พิมหอบเหนื่อยซักพักจึงหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋า เป็นหนังสือปกอ่อน ปกสีขาว พิมมองหน้าชายอย่างจริงจัง ชายรับหนังสือจากพิมแล้วหยิบมาดูหน้าปก ชายจะหันไปพูดกับพิม ชาย แต๊งกิ้วนะ แต๊งกิ้ว แต่พิมวิ่งหนีหายไปแล้ว ทั้งชายและเอกมองหาพิมแต่หาไม่เจอแล้ว ชายส่งหนังสือให้เอกดู เอกเปิดบางหน้าดู ปรากฏว่าเป็นหนังสือภาษาอังกฤษล้วนๆ ชายมองหาพิมแล้วร�ำพึง ชาย ไวจริงๆ เลยแม่คุณ เฮ้อ... ตัดไป 5. ม้านั่งในบริเวณมหาวิทยาลัย/ภายนอก/กลางวัน ชายและเอกหาที่นั่งบริเวณหน้าห้องสมุด เอกหยิบ Dictionary เล่มใหญ่และหนามากออกมาจากกระเป๋าและวาง บนโต๊ะ ชายพลิกหน้าหนังสือไปมาพลางพูด ชาย โหแม่ง ภาษาอังกฤษล้วนๆ ขนาดภาพประกอบยังไม่มีเลย เอกแย่งหนังสือมาจากชาย เอกอ่านหน้าปกแล้วค่อยๆ แปล เอก You lead me to your house. ยู ลี้ด มี ทู ยัวร์ เฮ้าส์ ชาย แปลว่าอะไรวะ
>>>
>>> เอก You คุณ lead น�ำ me ฉัน to ไป your คุณ house บ้าน คุณน�ำฉันไปที่บ้าน อะไรวะ แต่ที่น่าสนใจนะโว้ย นี่ คนเขียน (ชี้ไปที่ปกตรงชื่อผู้เขียน) By Patricia Nguyen Taylor บาย แพทริเชีย เหงียน เทย์เลอร์ ชาย แปลว่า คุณพิมเขียนเอง เอก Yes. ชาย แล้วอยู่ดีๆ คุณพิมเอาหนังสือที่เขียนเอง มาให้กูท�ำไมวะ อย่าบอกนะว่าหนังสือเขียนด่ากู เอก มึงคิดได้ไงวะ ด่าคนได้เป็นเล่มๆ ไอ้เหี้ย เค้าคงต้องการจะให้หนังสือเป็นสื่อบอกอะไรบางอย่างกับมึง แต่เค้าคงไม่กล้าพูดกับมึง หรือรู้ว่ามึงโง่ พูดภาษาเค้าไม่เป็นก็เลยใช้วิธีนี้บอกมึง แต่จะบอกอะไรกูไม่รู้นะ กูอ่านแค่ผ่านๆ ชาย เออ มึงก็เป็นคนแปลซับซีรี่ย์ฝรั่งไม่ใช่เหรอ แปลให้กูหน่อยดิ เอก ไม่เอา กูไม่ว่าง ติดงานแปลเอกสารให้ลูกค้าฝรั่งอยู่ มึงก็ลองแปลเองดิวะ เดี๋ยวกูให้ยืมดิกฯ ชาย ใจด�ำว่ะ แปลเองก็ได้วะ
ชายท�ำท่าเซ็ง และรับ Dictionary เล่มใหญ่มาจากเอก ชายหยิบหนังสือปกอ่อนมาดูแล้วร�ำพึงถึงพิม ชาย คุณพิม จะบอกอะไรท�ำไมไม่บอกตรงๆ อ่ะ... ตัดไป
6. ร้านถ่ายเอกสาร/ภายใน/กลางวัน ชายเดินมาเจอเอกที่ร้านถ่ายเอกสาร เอกก�ำลังถ่ายเอกสารอยู่ เอกเห็นชายเดินเซๆ ตาคล�้ำ และหาวบ่อยๆ เอก เป็นไรวะง่วงๆ ตาลอยๆ ชาย กูนั่งแปลหนังสืออ่ะดิ อดนอนมาสามสี่วัน เพิ่งแปลได้สองหน้า เอก นี่ไง มึงถามพี่เจ้าของร้านดู เห็นเค้ารับแปลเอกสารภาษาอังกฤษด้วย เจ้าของร้านถ่ายเอกสารกดปุ่มเสร็จ หันมาพูดกับทั้งคู่ เจ้าของร้านถ่ายเอกสาร ใช่เลยน้อง พี่รับแปลเอกสาร หนังสือ ต�ำรา ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส ราคานักศึกษา กันเองๆ ชาย (หยิบหนังสือออกมาจากกระเป๋า) งั้นพี่ช่วยแปลหนังสือเล่มนี้ให้หน่อย เจ้าของร้านถ่ายเอกสาร (พลิกหนังสือไปมา) ปกติพี่แปลเอกสารหน้าละ 150 นะ แต่ถ้าเป็นต�ำราหรือหนังสือก็เป็นราคาเหมา อย่างเล่มนี้พี่คิดสี่พันห้าพอ ปกติหกพันนะน้อง ชาย ซักพันห้าไม่ได้เหรอพี่ สี่พันห้าแพงไปอ่ะ
>>>
>>> เจ้าของร้านถ่ายเอกสาร ลดไม่ได้แล้วน้อง งานพี่ก็ไม่ได้มีบ่อย แล้วอีกอย่าง พี่แปลแล้วพิมพ์ลงกระดาษให้ด้วย ชาย (ก้มหน้าพูด) ถ้างั้นผมขอผ่านแล้วกันครับ เจ้าของร้านถ่ายเอกสาร ไม่เป็นไรน้อง กันเองๆ เออ แต่พี่เห็นชื่อหนังสืออ่ะ พี่คิดว่าคงเป็นหนังสือเกี่ยวกับมารยาทการรับแขกอะไรท�ำนองนี้ว่ะ แบบว่า การต้อนรับแขกมาเยี่ยมบ้านอะไรงี้ ชาย (ท�ำหน้าสงสัย) เหรอ...เหรอครับพี่ ชายรับหนังสือคืนจากเจ้าของร้านถ่ายเอกสาร และเดินออกมาพร้อมเอก ชายเดินไป มองหนังสือ หันมาถามเอก ชาย แล้วคุณพิมจะให้หนังสือเกี่ยวกับ มารยาทเจ้าของบ้านมาให้กูอ่านท�ำไมวะ หรือว่ากูดูเป็นคนไม่มีมารยาท เอกไม่ได้ตอบอะไร ชายหยิบหนังสือขึ้นมองและสงสัยอีกครั้ง ตัดไป
7. ห้องสมุด/ภายใน/กลางวัน ชายเดินถือหนังสือไปที่ห้องสมุด และเดินขึ้นไปที่ชั้นสาม เดินไปที่ชั้นหนังสือต่างประเทศ เพื่อดักรอพิม ชายยืนอยู่ที่ ชั้นหนังสือเดิมที่เคยเดินชนกับพิม สักพักพิมเดินมาข้างหลัง ชายหันมาเจอพิมพอดี ทั้งคู่ตกใจ ชายรีบยื่นหนังสือแล้วถามพิม ชาย วอท อิส ยัว บุ๊ค เอ่อ...อะเบ้าท์ วอท อิส ยัว กิ๊ฟ มี ทู รี้ด...อะไรวะ
พิมไม่เข้าใจที่ชายพูด พิมจึงถามชาย
พิม It is bad? ชาย โน! โน! โนแบ๊ด อิส เวรี่กู้ด แต่ โน รี๊ด เอ่อ...
พิมหัวเราะชาย พิมหยิบหนังสือจากชายมาดู แล้วเอาปากกาเขียนอะไรบางอย่าง แล้วส่งหนังสือคืนให้ชาย พิม This is a secret!
พิมพูดเสร็จแล้วเดินจากไป แต่ชายเผลอไปดึงแขนพิมไว้ พิมมองเขินๆ ชายรีบปล่อยมือ ชาย ซอรี่ ซอรี่นะ ไอ อะพ็อลโลไจส์...แล้วอะไรต่อวะ (เกาหัว)
พิมยิ้มเล็กน้อยก่อนเดินไปอีก ชายนึกขึ้นได้ ล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเรียกพิม ชาย ยู! ยู! เอ่อ...พะ พิม พิม เอ่อ... ยัวร์ เฟสบุ๊ค...เฟสบุ๊ค แอ็คเคาท์อ่ะ กี๊ฟ มี แอด ยัว เฟสนะ ไอ ไอวิวแอดยู เป็นเฟรนด์ วิธมี...
พิมหันมา พิมยื่นมือมารับโทรศัพท์ พิมพ์ที่แป้นคีย์บอร์ดอีกครั้ง แล้วส่งคืนให้ชาย ก่อนจะเดินไป ชายดีใจสุดขีดแต่ ส่งเสียงดังไม่ได้เพราะอยู่ในห้องสมุด ตัดไป 8. ม้านั่งในบริเวณมหาวิทยาลัย/ภายนอก/กลางวัน ชายนั่งแปลหนังสือและจดค�ำแปลไว้ในหนังสือด้วยดินสอจนหนังสือบวมขึ้น มีรอยยับ และมีรอยดินสอเต็มไปหมด เอกเดินเข้ามาเห็นชายตั้งใจแปลหนังสืออย่างจริงจัง เอกแซว เอก แหมๆๆ ก�ำลังแปลหนังสือให้แฟนด้วย
>>>
>>> ชาย (พูดเขินๆ) แฟนอะไรวะ... แปลก็ไม่ช่วยแปล กูอ่านไม่ออกเนี่ย แปลมาเป็นอาทิตย์แล้ว ยังไม่ได้ครึ่งเล่มเลย เอก กูมาหามึงก็เพราะกูจะมาช่วยมึงแปลนี่แหละ งานลูกค้าแม่งแคนเซิลไปแล้ว ก�ำลังว่างๆ ชาย งั้นมึงก็ช่วยแปลเลยแล้วกัน สองชั่วโมงผ่านไป เอกช่วยชายแปลได้จนเกือบหมดเล่ม ชายเอากระดาษที่จดค�ำแปลมานั่งอ่าน ชายอ่านไปได้ไม่กี่ หน้า เอกพูดขึ้นในขณะที่ก�ำลังแปล เอก หนังสือเล่มนี้เป็นนิยายนะโว้ย ชาย นิยายเหรอวะ แล้วหมายความว่ายังไง เอก You lead me to your house. มันเป็นการเปรียบเทียบว่ามีใครซักคนเข้าไปอยู่ในหัวใจ เหมือนมึงเชิญใครซักคนเข้าไปในบ้าน ชาย งั้นก็แปลว่า เอก มันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับหญิงสาวที่แอบชอบชายหนุ่ม แต่ไม่กล้าบอกไงวะ ชาย (ตื่นเต้น เขย่าตัวเอก) เฮ้ย จริงเหรอวะ
ชายลุกขึ้นดีใจ กระโดดโลดเต้น คนรอบๆ มองมาที่ชาย เอกรีบกวักมือให้ชายนั่งเพราะอาย ชายรีบวิ่งมานั่ง และ หยิบโทรศัพท์ แล้วเปิดเฟสบุ๊คให้เอกดู ชาย นี่โว้ย กูขอมาได้ เฟสบุ๊คคุณพิม น่ารักมั้ย เอก ขอมาได้ไง ของปลอมปล่าววะ ขอกูเช็คแป๊บ ชาย ของแท้โว้ย ขอมาเอง คุณพิมให้มาเอง เอก เออว่ะ ของจริง ภาษาอังกฤษมั่ง เวียดนามมั่ง แต่เฮ้ย มึงดูสเตตัสนี้ดิ
เอกชวนชายดูสเตตัสล่าสุดที่พิมโพสต์ไว้เมื่อวานนี้ GO 2 ENGLND 2MOROW!!!! I WNT 2 C MY PRENTS C U NXT 6 MNTS เอก ถ้ามึงรู้มึงน�้ำตาไหลแน่ๆ ชาย อะไรวะ ภาษาอังกฤษก็งงจะตายแล้ว นี่ภาษาต่างดาวนะเนี่ย เอก มันอ่านว่า Go to England tomorrow!!! I want to see my parents. See you next 6 months. ชาย แปลด้วยมึง
>>>
>>> เอก เค้าบอกว่าจะบินไปอังกฤษพรุ่งนี้ จะไปเจอพ่อแม่ เจอกันอีก 6 เดือน ชาย งั้นไปส่งที่สนามบิน เอก ไปส่งแม่มึงเหรอ เค้าโพสเมื่อวานบอกว่าจะบินวันนี้ วันนี้คงจะบินไปแล้วแหละ ชาย เฮ้ย อะไรวะ เพิ่งเจอกันไม่กี่ครั้ง หายหน้าไปอีกแล้ว แล้วตั้งหกเดือนอีก แล้วหนังสือก็แปลจะเสร็จแล้วเนี่ย รอหน่อยก็ไม่ได้ (เริ่มร้องไห้)
ชายก้มหน้า น�้ำตาซึม เอกเข้ามาปลอบใจ เอก เออ อย่างน้อยๆ มึงก็ฉลาดภาษาอังกฤษเยอะขึ้นแหละวะ ไม่เห็นจะเสียหาย แล้วอีกอย่าง ถ้ามึงรักคุณพิมจริงๆ อ่ะ หกเดือนแม่งกระจอกว่ะ ชาย กูกลัวเค้าจะทิ้งกูไปว่ะ คนโง่ๆ อย่างกูจะไปคู่ควรอะไร เอก กูว่านะ ถ้าเค้าไม่มีใจให้มึง เค้าคงไม่ให้หนังสือหรอกว่ะ ดูที่ค�ำน�ำดิ
เอกเปิดหนังสือไปที่หน้าค�ำน�ำ มีลายมือเขียนค�ำว่า “A gift from me to my crush” ชาย แปลด้วยมึง เอก Crush แปลว่า เค้าปิ๊งมึงโว้ย
ชายน�้ำตาไหลมากขึ้น เอกโอบไหล่ชายกระชับมากขึ้น ชายถามเอกทั้งน�้ำตา ชาย เค้าปิ๊งกูแล้วท�ำไมต้องหนีกูไปด้วยวะ ตัดไป
9. ริมสนามบอลในมหาวิทยาลัย/ภายนอก/กลางวัน ชายยืนริมสนามฟุตบอล เดินเล่น และอ่านหนังสือไปด้วย ชายเดินไปเดินมาอย่างลังเล เหมือนก�ำลังจะคิดอะไรบาง อย่าง จนกระทั่งชายได้ยินเสียงบางอย่างบนฟ้า ชายแหงนมองขึ้นไป เห็นเครื่องบินบินผ่านไป ชายตัดสินใจหนีบหนังสือไว้ที่ แขน และหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง พิมพ์ประโยคภาษาอังกฤษส่งผ่านทาง Facebook Massenger ไปหาพิม ชายพิมพ์ว่า I will learn English even more. I Promise. ไม่นานนัก มีเสียงเตือนแชทดังขึ้น
The End.
W