จิตสดใส๐๓
ศูนย์ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา ราชนครินทร์
นิตยสารออนไลน์ ราย ๒ เดือน
ศูนย์ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา ราชนครินทร์ ศูนย์ปฏิบัติธรรมประจำ�ภาคตะวันออก
เมื่อปี ๒๕๓๗ ท่านพระอาจารย์มานพ อุปสโม ได้รับฉันทานุมัติจาก ท่านพระครูสธุ รรมกิจจาทร เจ้าอาวาสวัดนายายอาม เจ้าคณะต�ำบล นายายอาม ซึ่งเป็นผู้รับดูแลส�ำนักสงฆ์เล็กๆ แห่งนี้ เพื่อพัฒนาให้เป็น ศูนย์ปฏิบตั ธิ รรม ต่อมาได้มผี มู้ จี ติ ศรัทธา ประสงค์ประโยชน์ตอ่ ศาสนกิจ ได้รว่ มกันบริจาคทีด่ นิ เพิม่ เติมอีกจ�ำนวนกว่า ๕๐ ไร่ ท่านจึงได้ขยายเนือ้ ที่ จนส�ำนักสงฆ์เล็กๆ แห่งนี้ให้กลายเป็นศูนย์ปฏิบัติธรรมประจ�ำภาค ตะวันออก ศูนย์ปฏิบัติธรรมแห่งนี้ ได้เปิดการอบรมเผยแผ่ธรรมทั้งส่วน ปริยัติและปฏิบัติแก่สาธุชนผู้สนใจอย่างต่อเนื่อง โดยมีพระภิกษุสงฆ์ จากทัว่ ทุกภูมภิ าค และฆราวาสจากหน่วยงานต่างๆ มาขอเข้ารับอบรม การปฏิบตั ธิ รรมอย่างต่อเนือ่ งตลอดปีต่อมาผูม้ จี ติ ศรัทธาทัว่ ไปได้รว่ มกัน
บริจาคทรัพย์ในการสร้างธรรมศาลาขึ้นจนส�ำเร็จลุล่วงดังที่เป็นอยู่ใน ปัจจุบัน และขณะที่ทำ� การก่อสร้างอยู่น้นั ทางคณะผู้ด�ำเนินการ น�ำโดย คุณดนัย จันทร์เจ้าฉาย, คุณเมตตา อุทกะพันธุ์ และ คุณนรรัตน์ นิม่ นรรัตน์ ได้น�ำธรรมศาลา หลังนี้ขึ้นน้อมเกล้าถวายแด่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เนื่องในวโรกาส ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๘๔ พรรษา โดยได้รับพระราชทานนามว่า “ธรรมศาลา ๘๔ พรรษา ราชนครินทร์” และชื่อศูนย์ปฏิบัติธรรม ซึ่ง จากเดิมชื่อว่า “ศูนย์ปฏิบัติธรรมเขาดินหนองแสง” ให้เปลี่ยนมาเป็น “ศูนย์ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา ราชนครินทร์”
ห้องครูใหญ่
ค�ำอวยพร วันขึน้ ปีใหม่ 2557 วันนี้จะพูดถึงพรปีใหม่ ก็อยากจะให้พรปีใหม่แก่ท่านผู้อ่าน กับเขาบ้าง ส�ำหรับพรปีใหม่ที่จะให้นั้น อาจจะไม่เหมือนของคนอื่นๆ ที่เขาให้กันทั่วๆ ไป ที่ทุกคนเขาให้กันนั้น เขาจะให้ในเชิงที่มีความสุข มีความร�่ำรวย มียศฐาบรรดาศักดิ์ แต่พรที่จะให้ในคราวครั้งนี้ จะให้ แก่ท่านผู้อ่านทุกท่าน ไม่มีความสุข และไม่มีความทุกข์ พอกันทีเรื่อง ความสุข และความทุกข์ ไม่เอาอีกแล้ว ถ้ายังมีความสุข ก็ยังจะต้องมีความทุกข์ เพราะทุกข์นั้นเกิด มาจากสุข ความสุขคือความสบายใจ ความทุกข์คือความไม่สบายใจ สุข-ทุกข์ ที่ทุกคนเข้าใจ คราวนี้จะชี้ให้เห็นว่า สุขท�ำให้เกิดความทุกข์ ได้อย่างไร เพราะความสุขเป็นสิ่งที่ทุกคนพึงปรารถนา เมื่อปรารถนา แล้วก็มีความอยากได้ เมื่อมีความต้องการ แล้วก็มีความพึงพอใจ มี การยึดถือ จนไม่สามารถปราศจากความสุขได้ สุขเป็นสาเหตุให้เกิด การยึดถือ เมื่อเข้าไปยึดถือ เข้าไปผูกพัน ก็ไม่สามารถสลัดสุขนั้นไป จากจิตได้ ถ้าเวลาใดสุขหมดไป จิตก็ใฝ่หา จิตทีใ่ ฝ่หาความสุขนัน้ นัน่ แหละ คือ จิตทีข่ าดจากความสุขไม่ได้ ในเรือ่ งของความสุขนัน้ สุขเป็น ความรูส้ กึ ชนิดหนึง่ ทีเ่ กิดขึน้ แก่ใจเรา สุขเป็นเพียงความรูส้ กึ รูส้ กึ หนึง่ เท่านั้น ในบรรดาความรู้สึกทั้งหลาย เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ดับไป เมื่อ ความสุขดับไปแล้วถ้าใจของเรายึดถือ เราก็ต้องเสาะแสวงหาความ สุขขึ้นมาใหม่ สุขเกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไปอีก เมื่อดับแล้ว เราขาดสุขไม่ ได้ เราก็ตอ้ งแสวงหาความสุขมาอีก และต้องแสวงหาอยูต่ ลอดไป ไม่มี ทีส่ นิ้ สุด เราต้องเหน็ดเหนือ่ ยในการเสาะแสวงหาความสุข เมือ่ ได้ความ สุขมาแล้ว สุขก็หมดไปอีก ก็ต้องหามาใหม่อีกเช่นเดิม ความสุขนั้นเกิดมาจากอะไร ถ้าเกิดมาจากการได้ไปดู ก็จะ ต้องดูอยู่เรื่อยๆ ถ้าเกิดมาจากการฟัง ก็จะต้องฟังอยู่เรื่อยๆ ถ้าเกิดมา จากการดมกลิน่ ก็จะต้องดมกลิน่ อยูต่ ลอดไป ถ้าเกิดมาจากการลิม้ รส ก็จะต้องหารสเหล่านัน้ ลิม้ อยูต่ ลอดไป ถ้าเกิดมาจากการถูกต้องสัมผัส ก็จะต้องแสวงหาเครื่องสัมผัสอยู่ตลอดไป ถ้าเกิดขึ้นมาจากความ นึกคิด ก็จะต้องนึกคิดอยู่ตลอดไป เพราะว่าเมื่อได้เห็นแล้วก็มีความ สุข เมื่อได้ฟังแล้วก็มีความสุข เมื่อได้ดมกลิ่นแล้วก็มีความสุข เมื่อได้ ลิ้มรสแล้วก็มีความสุข เมื่อได้ถูกต้องสัมผัสแล้วก็มีความสุข เมื่อได้ นึกคิดแล้วก็มีความสุข ความสุขเหล่านั้นเกิดขึ้นมาเพียงหนึ่งขณะจิต
แล้วตั้งอยู่ จากนั้นก็ดับไป พอดับไปแล้ว สุขก็ไม่มี เมื่อสุขหมดไป เรา ติดใจในความสุข เราพอใจในความสุข ก็ต้องไปแสวงหาความสุขมา ทดแทนขึ้นมาใหม่ ได้ความสุขมาใหม่แล้ว ความสุขนั้นก็ดับไปอีก ก็ ต้องแสวงหาอีก เลยต้องแสวงหากันตลอดชีวิตไม่มีที่สิ้นสุด บางครั้ง เราต้องเหน็ดเหนื่อย ต้องล�ำบาก ต้องทุกข์ยาก ในการแสวงหาความ สุขต่างๆ ความล�ำบากต่างๆ ความไม่สบายใจต่างๆ นัน้ เกิดขึน้ มาจาก เราต้องการความสุข ความสบายใจนั้น นั่นเอง คราวนีถ้ า้ เรามีความเข้าใจว่า สุขนัน้ ยึดถือไม่ได้ เพราะมันเกิด ขึ้นแล้วดับไป ใจของเราก็จะเกิดการวางเฉย ถ้าเราเฉยต่อความสุขได้ สุขเกิดแล้วดับไป เราก็ไม่ตอ้ งแสวงหาความสุขใหม่มาแทนที่ และเรือ่ ง ของความทุกข์กเ็ หมือนกัน ทุกข์เกิดแล้วทุกข์ก็ดับ ความทุกข์นั้นก็เป็น เพียงความรู้สึก รู้สึกหนึ่ง ถ้าเราเห็นความเป็นจริง ว่าทุกข์เกิดขึ้นแล้ว ดับไป ใจของเราก็จะรู้สึกเฉยๆ เมื่อใจของเรามีความรู้สึกเฉยๆ ก็ไม่ ต้องสุข ไม่ตอ้ งทุกข์ เวลาใดถ้ามีความสุขเกิดขึน้ ความชอบใจในความ สุข (กามตัณหา) ก็เกิดขึ้น เมื่อมีตัณหาก็จะมีอุปาทานเข้าไปยึดถือ เมื่อทุกข์เกิดขึ้น ความทะยานอยากให้ทุกข์นั้นหมดไป ก็เกิด ขึน้ ตามมา ความทะยานอยากให้ทกุ ข์หมดไป เขาเรียกว่า “วิภวตัณหา” เมื่อมีตัณหา ก็จะมีอุปาทาน เมื่อมีอุปาทาน ก็จะมีภพ มีชาติ มีชรา มรณะ มีโสกะ มีปริเทวะ มีทุกขะ โทมนัสสะ เกิดขึ้นตามมา สุข-ทุกข์ คือ ความสบายใจ และไม่สบายใจ เป็นสาเหตุท�ำให้เกิดตัณหา และ ไปจบลงตรงความทุกข์ ถ้าจิตเป็นอุเบกขา ก็จะไม่มสี ขุ ไม่มที กุ ข์ เมือ่ ไม่มสี ขุ ไม่มที กุ ข์ ก็จะไม่มีตัณหา ไม่มีอุปาทาน ไม่มีภพ ไม่มีชาติ ไม่มีชรามรณะ ไม่มี โสกะปริเทวะ และทุกขะ โทมนัสสะ อีกต่อไป ในทางธรรม สุข-ทุกข์ เป็นตัวปัญหา พรปีใหม่ ไม่ต้องการให้ท่านผู้อ่านนั้น มีปัญหา เลยให้ พรว่า “ขอให้ไม่มีสุข และไม่มีทุกข์” ขอเพิ่มพรอีกนิดหนึ่ง ให้ทุกท่าน นั้นมีจิตปล่อยวาง ว่าง วางเฉย เป็นอุเบกขา ด้วยกันทุกคน แต่ต้องเป็นอุเบกขาที่เกิดขึ้นจากการรอบรู้ รู้เท่าทันในความ รู้สึก ทุกๆ ความรู้สึก ความรู้เท่าทันตรงนี้แหละ เขาเรียกว่า “วิปัสสนา ปัญญา” ความรู้เท่าทันตรงนี้นี่แหละ ท�ำให้จิตของเราปล่อยวาง และ ไม่เป็นทุกข์ ก็ขอให้ทุกๆ ท่าน เข้าถึงการปล่อยวาง และไม่เป็นทุกข์ ตลอดไป จบการอวยพรปีใหม่ไว้เพียงเท่านี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดขึน้ แก่ทา่ นผูอ้ า่ นทุกๆ ท่านด้วยเทอญ พระอาจารย์มานพ อุปสโม
ทีมงาน คณะพระอาจารย์และครู ค่ายจิตสดใส วัยบริสุทธิ์ ด้วยพุทธปัญญา ติดต่อขอรับข่าวสาร ค่ายจิตสดใสครั้งต่อๆ ไปได้ที่ ศูนย์ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา ราชนครินทร์ อ.แก่งหางแมว goodkidshappy@yahoo.com ระบุในอีเมล์ว่า “ขอรับข่าวสาร” จ.จันทบุรี ศิลปกรรม The Fairy Caravan Company Limited 08 4165 1616 www.jitsodsai.com
ทำ�ดี 3
กระดานดำ�ธรรมะ
มีความคงที่แห่งจิตใจมากขึ้นๆ นั่นแหละคือของขวัญปีใหม่ พุทธทาสภิกขุ
“จงรู้จัก ตัวเอง” ค�ำนี้หมาย มีดีร้าย อยู่เท่าไร เร่งไขขาน ข้างฝ่ายดี มีไว้ ในดวงมาน ข้างฝ่ายชั่ว รีบประหาร ให้หมดไป จงรู้จัก ตัวเอง ค�ำนี้หมาย ว่าในกาย มีกิเลส เป็นเหตุใหญ่ จึงสาระแน แต่จะท�ำ บาปกรรมไกล ต้องควบคุม มันไว้ ให้รักบุญ จงรู้จัก ตัวเอง ค�ำนี้หมาย สังขารไร้ ตนตัว มัวแต่หมุน ไปตามเหตุ ปัจจัย ที่ไส-รุน พ้นบาปบุญ ชั่วดี มีนิพพานฯ พุทธทาสภิกขุ
ปีใหม่ล่วงเข้ามาเป็นวันแรก ก็ควรจะเป็นวันเวลาที่สอบสวนดูว่า จิตของเราจะว่าง ตามแบบของพระพุทธเจ้า มากขึ้นหรือน้อยลง พุทธทาสภิกขุ
4 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๓
ต่อเมื่อมีความก้าวหน้า เท่านั้นจึงจะเรียกว่าปีใหม่ ถ้าไม่มีความก้าวหน้าแล้ว มันยังเป็นปีเก่าอยู่นั่นเอง มันถอยหลังเข้าคลอง พุทธทาสภิกขุ
ปีใหม่นี้ ตักสิ่งที่ไม่ควรจะมีอยู่ในจิตใจ ทิ้งออกไปเสียจากจิตใจ ท�ำได้เท่าไหร่ ปีใหม่ก็จะดีกว่าปีเก่าเท่านั้น พุทธทาสภิกขุ
ส.ค.ศ. = สร่างความโศก ธรรมะคือหน้าที่ ปีใหม่แท้ พุทธทาสภิกขุ
การที่มนุษย์คนหนึ่ง ๆ มีสติสัมปชัญญะนั่นแหละ จะเป็นความรอดของโลก ถ้ามนุษย์แต่ละคนยังโง่เง่าด้วยอวิชชา ไม่เห็นตามที่เป็นจริงตามธรรมชาติ มันก็เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวกูของกู มันก็ ไม่มีทางที่จะมีสันติภาพได้ ถ้ามีสติสัมปชัญญะเพียงพอ เห็นความเป็นจริงว่าจะต้องรักทุกชีวิต เป็นชีวิตเดียวกัน เป็นเพื่อน เกิด แก่เจ็บตายด้วยกัน ก็จะหยุดความเห็นแก่ตัว ก็จะร่วมมือกันได้ สร้างโลกนี้ให้มีสินติภาพได้โดยแท้จริง อาตมาจึงถือว่า แม้เพียงธรรมะข้อเดียว คือ สัมมาสติของพระพุทธเจ้า มีขึ้นมาแล้วสามารถสร้างโลกให้มีสันติภาพได้จริง พุทธทาสภิกขุ
ทำ�ดี 5
เรื่องดีๆ รอบโลก เรื่อง โลกออนไลน์
จักรยานกู้ชีพ คันที่
8
วันเด็กปีนี้ขอน�ำเรื่องราวที่น่าประทับใจของเด็กไทยที่แสนจะ น่ารักมาฝากกันค่ะ น้องอิ่มปี้ - ณัฐวรรธน์ สุนทรวัฒน์ หนุ่มน้อยวัย 4 ขวบ หัวใจบริสุทธิ์ที่มีความใฝ่ฝันอยากเป็นหมอจิตอาสาช่วยเหลือผู้อื่น แม้ตัวเองจะมีโรคประจ�ำตัวมาตั้งแต่ก�ำเนิด จนได้เป็นจักรยานกู้ ชีพคันที่ 8 ของสถาบันแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ บรรทัดต่อไปนีค้ อื เรือ่ งราวของน้องอิมปี้ จากถ้อยค�ำของคุณแม่ ของน้องอิ่มปี้ ซึ่งน่าจะเป็นผู้เดียวที่จะสามารถถ่ายทอดเรื่องราว น่าประทับใจนี้ได้ดีที่สุด “ด้วยเป็นหอบหืดมาตั้งแต่เกิด ท�ำให้เกือบครึ่งชีวิตในวัยนั้น ต้องผูกติดไว้กับโรงพยาบาล ไม่สามารถออกแรงวิ่งไกลๆ ได้เหมือน เพื่อนๆ ทุกครั้งที่ออกแรงวิ่ง อาการหอบจะก�ำเริบ ชีวิตจึงต้องผูก ติดกับจักรยานคู่ใจ คุณหมอบอกว่าถ้ายังหอบอยู่แบบนี้เกินสี่ขวบ ไป อาจต้องหอบทั้งชีวิต วิถีชีวิตจึงต้องเปลี่ยนไป เติบโตบนหลัง จักรยานในสวนสาธารณะ ออกรับอากาศบริสุทธิ์ สูดโอโซน ด้วยมีความผูกพันกับกลุ่มเพื่อนจักรยาน เห็นเพื่อนๆ บาดเจ็บ จากการล้มบ่อยๆ จึงขอแคะกระปุกออมสิน น�ำเงินไปซื้อชุดท�ำแผล และพลาสเตอร์ยาติดกระเป๋าไปด้วยทุกครั้ง ชี วิ ต เปลี่ ย นแปลงอี ก ครั้ ง เมื่ อ ได้ เ จอคลิ ป วิ ดี โ อของชายผู ้ นี้ จักรยานคู่ชีพคันที่ 1 คุณปาว ภานุพงศ์ ลาภเสถียร แสงและเสียง จากไซเรนพี่ปาวบีบหัวใจ จนผลักให้เด็ก 4 ขวบตัดสินใจทุบกระปุก ออมสิน ท�ำในสิ่งที่เห็น ออกเดินตามหาความฝัน พลังศรัทธาและความสนุก ท�ำให้ลืมอาการหอบไปเสียสนิท เมื่ออาการหอบไม่มาขัดขวางการเดินทาง หัวใจที่เข้มแข็งจึงน�ำพา เขาไปได้ทุกๆ ที่ เหมือนพระเจ้าท่านเฝ้ามองอยู่ตลอด ผลักให้ได้มาพบเทวดา กลุ่มนี้ ฝึกให้ได้เรียนรู้วิชาอาสาฯ ทุกแขนง จนเมื่อพร้อม จึงน�ำพา ไปหา มหาบุรุษ ผู้อยู่กลางใจ พี่ปาว ภานุพงศ์ ลาภเสถียร นักจัดการ งานในพระองค์ วังสระปทุม รางวัลอันสูงค่า เข็มกลัดพระเทพฯ ที่ ติดบนอก ท�ำให้ตัวเองเข้าใจว่าตัวเองเป็นคุณหมอของพระเทพฯ เหมือนพี่ปาว ยิ่งท�ำให้เด็กน้อยมั่นใจและภูมิใจในสิ่งที่ท�ำ ความดี
ไปส่งการบ้านที่วังสระปทุม
เกิดขึ้นทุกๆ ที่ ทุกๆ วัน ไม่รู้จักเหน็ด ไม่รู้จักเหนื่อย สิง่ เดียวทีอ่ มิ่ ปีข้ อจากพ่อแม่ในวันเด็ก คืออยากเอารูปท�ำความดี ไปให้พระเทพฯ ดู “ถ้าพ่อแม่ไม่พาไป อิม่ จะขีจ่ กั รยานไปเอง อิม่ กลัวพระเทพฯ ไม่เชื่อ พระเทพฯ ให้เข็มกลัดอิ่มมา อิ่มกลัวพระเทพฯ ว่าอิ่ม อยู่บ้านเฉยๆ” นอกจากทีเ่ ราจะชืน่ ชมกับความน่ารัก ชืน่ ชมกับน�ำ้ ใจและจิตใจ ที่ใสบริสุทธิ์ของน้องอิ่มปี้แล้ว ต้องขอชื่นชมคุณพ่อคุณแม่ของน้อง อิ่มปี้ด้วยที่ดูแล ปลูกฝัง เลือกสรรสิ่งดีๆ ให้กับผู้เป็นที่รักของตนเอง ได้อย่างดีเยี่ยมทีเดียวค่ะ” น้องอิ่มปี้อาจจะโชคร้ายที่เกิดมาพร้อมกับโรคหอบหืด ที่แสนจะทรมาน แต่น้องอิ่มปี้โชคดีที่เกิดมาเป็นลูกของคุณ พ่อคุณแม่ที่เข้าใจ ทุ่มเท และแสนดีค่ะ ด.ช. ณัฐวรรธน์ สุนทรวัฒน์ ปฏิบัติหน้าที่ต�ำแหน่งอาสาสมัครช่วยเหลือสังคม ภายใต้การควบคุมของ นายชัยญากรณ์ สุนทรวัฒน์ พว 4611095174
ขอบคุณข้อมูลจาก: https://www.facebook.com/natthawat.soonthornwat www.facebook.com/photo.php?v=10201696040338598
6 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๓
กล่องหุ้มถุงน�้ำเกลือใน รพ.เด็ก ในต่างประเทศ เพื่อให้เด็กรู้สึกอยาก แข็งแรงเหมือนซูเปอร์ ฮีโร่ของเค้า
เด็กหญิงกตัญญู พาแม่ปัญญาอ่อน ไปโรงเรียนด้วย
แกงค์ลูกเป็ดนี้ เดินข้ามถนน กับคุณแม่แต่โชคร้ายที่ตกลงใน ไปรูท่อระบายน�้ำซะเกือบหมด โชคดีอยู่บ้างที่ต�ำรวจสาวคอย มองตามอยู่พอดี คุณต�ำรวจจึง ลงทุนช่วยเปิดฝาท่อ มุดช่วย ลูกๆ ทุกตัวของแม่เป็ดไว้ได้
เมื่อเดือน พ.ค. 2555 สื่อต่างประเทศได้รายงานข่าวเรื่อง ด.ญ.เจียงหงลี่ นักเรียนหญิงวัย 13 ปี ต้องพาแม่ที่พิการทาง สมอง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ไปเรียนที่โรงเรียนกับเธอด้วย เหตุ เพราะไม่มีใครดูแลแม่อยู่ที่บ้านได้ ครอบครัวของเจียหงลี่อยู่ในมณฑลเสฉวน พ่อของเธอก็มี ความผิดปกติทางสมองเช่นกัน แต่มีอาการเพียงเล็กน้อย ขณะ ที่แม่ของเธอนั้นมีอาการค่อนข้างอย่างรุนแรง ไม่สามารถช่วย เหลือตัวเองได้ หลังจากปู่กับย่าของเธอเสียชีวิต พ่อของเธอจึง ต้องออกไปท�ำงานหารายได้มาจุนเจือครอบครัว เจียหงลี่จึงต้องเป็นคนดูแลแม่ ตั้งแต่ตัวเธออายุแค่ 6 ขวบ ไม่วา่ จะเป็นอาบน�ำ้ สระผม ป้อนข้าว รวมไปถึงงานบ้านทุกอย่าง ตั้งแต่เก็บกวาดท�ำความสะอาดไปจนถึงท�ำกับข้าว
ห้องสมุดต้นไม้ริมทางในเยอรมันนี
เจียงหงลี่ ก�ำลังศึกษาชั้นมัธยมศึกษาต้น แต่เนื่องจาก ไม่มีใครดูแลแม่ที่อยู่เพียงล�ำพังได้ เธอจ�ำเป็นต้องพาแม่ของ เธอไปที่โรงเรียนด้วย เธอเป็นเด็กดีเป็นที่รักของเพื่อนๆ และครู อาจารย์ ที่ส�ำคัญเธอไม่อายใครที่ต้องพาแม่ที่พิการทางสมองมา โรงเรียนด้วย ความใฝ่ฝันของเธอคือได้มีการศึกษาสูงๆ และ อยากให้แม่ของเธอได้รับการรักษา
ทำ�ดี 7
ที่ทำ�งานของฉันอยู่บนเขา
หนุ่มน้อยกับพัดด้ามโต เรื่อง พระจันทร์
8 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๓
ฟ้าแจ้ง แดดแจ่ม ยามเช้ากรายมา...
หนุ่มน้อยก�ำพร้าคนหนึ่งผู้ปรารถนาออกบวช เขาเดินทางไปวัดแต่ เช้าตรู่ ก้มกราบพระประธานแล้วบอกความต้องการในใจตน ทันทีนั้นเอง เขาก็ได้พบกับภิกษุรูปหนึ่ง “หลวงพ่อ” ท่านมีท่าทางน่าเคารพเกรงขาม ดูออกว่าเป็นพระเถระผู้ใหญ่ ทั้งในมือยังถือพัดด้ามโตด้ามหนึ่งโบกสะบัด พัดไปมา ขณะที่หนุ่มน้อยเหม่อมองหลวงพ่อด้วยความเคารพเลื่อมใส หลวงพ่อก็กล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังกังวานว่า “เจ้าเดินทางมาที่นี่ท�ำไม” เขารีบตอบด้วยอาการตกใจ “ผมปรารถนาบวชเรียนศึกษาธรรมครับ” “ใครแนะน�ำให้เจ้ามา” ท่านถามเป็นค�ำรบสองด้วยน�้ำเสียงเดิม “ไม่มีครับ ผมตั้งใจจะบวชด้วยตนเอง” เขาตอบอย่างมั่นใจพร้อม ประนมมือน้อมศีรษะไหว้ท�ำความเคารพ แต่ไม่ทันที่จะเงยหน้าพัดในมือ ของหลวงพ่อก็ฟาดลงที่ศีรษะของเขา เปรี้ยงใหญ่ พร้อมกับเสียงที่ดุดัง “ยังหนุ่มยังแน่นท�ำไมไม่คิดให้รอบคอบ ใครแนะน�ำให้เจ้ามา” เขากุมศีรษะด้วยความเจ็บปวดและตกใจ มันน่าจะเป็นค�ำตอบที่ดี ที่สุดแล้ว ท�ำไมยังพลาดได้ หรือว่าเราตอบผิดจริงๆ “ใครแนะน�ำให้เจ้ามา” เขาใคร่ครวญค�ำถามอีกรอบ ขณะนั้นเอง ภาพของครูท่านหนึ่งที่เขาไปไหว้ลาเมื่อวันก่อนจะเดินทางก็ปรากฏ ใช่... ตอนที่เราไปลาครูท่านอนุโมทนาและยังบอกว่าด้วยว่า “การบวชท�ำให้ชีวิตมีคุณค่า ครูดีใจที่เธอตัดสินใจบวช” หลังจาก ใคร่ครวญดีแล้วเขาก็ตอบค�ำถามหลวงพ่ออีกรอบด้วยน�้ำเสียงที่สั่นกลัว “ครูครับหลวงพ่อ ครูแนะน�ำให้ผมมาบวช” ไม่มีเสียงอะไรดังขึ้นอีก นอกจากเสียงพัดด้ามโต เปรี้ยงใหญ่ที่ฟาดลงบนศีรษะของเขาเป็นรอบที่ สอง ครั้งนี้แรงกว่าครั้งแรก เขาเจ็บปวดและตกใจยิ่งกว่าเดิม “เราตอบผิดอีกหรือ” จากความรู้สึกที่เจ็บปวดและตกใจก็กลับกลายเป็นความโกรธและ ขัดเคือง เขายื่นศีรษะพร้อมตะโกนเข้าใส่หลวงพ่อ “เชิญตีเลย จะกี่ครั้งก็ได้ ถึงอย่างไรผมก็จะบวช”
หลวงพ่อวางพัดลง แล้วพูดกับเขาด้วยน�้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “เธอบวชได้” ฉันคิดว่าเส้นทางชีวิตก็คล้ายๆ กับนิทานเรื่องนี้ ขณะเป็นหนุ่มใหญ่ ทุกคนมีความฝัน มีความหวัง มีพลังใจ เราเดินหน้าทุ่มเทท�ำตามใจที่ฝัน ท�ำตามความหวังที่มี และแล้วเราก็ถูกฟาดที่ศีรษะเปรี้ยงใหญ่จากปัญหา อุปสรรค ความผิดพลาดและล้มเหลว โลกแห่งความฝันที่งดงามค่อยๆ แปรเปลี่ยนไป ครูคือเพื่อนๆ ที่รายรอบให้ก�ำลังใจ ให้ค�ำแนะน�ำ เพื่อให้ เราหยัดยืนสู้ต่อ ความหวังหวนกลับมาอีกครั้งเราลุกขึ้นสู้ แต่ไม่ทันที่จะก้าวเดินไปอย่างมั่นคง เราก็ล้มไม่เป็นท่าเพราะถูก ฟาดเปรี้ยงอีกครั้งจากพัดด้ามเดิม เมื่อถึงคราวนี้จะได้วัดใจกันล่ะ หลายคนเลือกจะไม่ลุกขึ้นและทิ้งความฝันอันงดงามไปอย่างน่า เสียดาย เขาเหล่านั้นอาจเข้าใจว่า เครื่องก�ำหนดหมายวัดคุณค่าความส�ำเร็จ อยูท่ ี่ ต้องถึงจุดหมายปลายทางอย่างรวดเร็ว ยิง่ ถึงก่อนใครๆ ได้เป็นการดี.... แต่ส�ำหรับคนที่ประสบความส�ำเร็จทุกคนมักพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “พัดด้ามใหญ่ที่ฟาดลงที่ศีรษะของเราครั้งแล้วครั้งเล่า ต่างหากที่ เป็นเครื่องวัดคุณค่าแห่งความส�ำเร็จ” เพราะนั่นคือประสบการณ์ชีวิตที่งดงาม เป็นเสบียงความรู้ส�ำหรับ เรา ที่สามารถน�ำไปใช้ประโยชน์และแบ่งปันให้กับผู้อื่นได้
ดังนั้น
จงลุกขึ้นให้ ไว ยื่นศีรษะ ก้าวเดินไปข้างหน้า ท้าทายกับปัญหา อุปสรรคความผิดพลาดและล้มเหลว ด้วยความรู้เนื้อรู้ตัว
เมื่อใดที่เรายังไม่ละทิ้งความฝันที่งดงาม จิตใจเราก็ยังเบิกบาน และสดชื่น ความส�ำเร็จมีอยู่ในทุกๆ ก้าวที่ก้าวเดิน
ทำ�ดี 9
10 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๓
ห้องสอบอารมณ์
ทำ�ดี...ทำ�ได้ เรื่อง พระอาจารย์แจ็ค
เด็กวันนี้ คือผู้ใหญ่ ในวันหน้า ท�ำทีท่า แม้นละม้าย คล้ายแม่พ่อ ผู้ใหญ่งาม เด็กก็งาม ตามเหล่ากอ ผู้ใหญ่บ้า เด็กก็บอ พอพอกัน เวลาอาตมาสอนเด็กๆ จะพยายามย�ำ้ ให้เด็กรูจ้ กั แบ่งเบาหน้าที่ ภาระพ่อแม่ ท่านจะได้ไม่เหนื่อยมาก มีอะไรช่วยได้ ไม่ต้องอาย ช่วยเลย โบราณสอนไว้ ความทุกข์ของผู้ที่เป็นพ่อแม่มี 3 อย่าง 1. ทุกข์เพราะไม่มีลูก ส�ำหรับคนอยากมีลูก การไม่มีลูกท�ำให้ ให้กล้าหาญในการท�ำความดี “อยู่บ้านช่วยงานพ่อแม่ ลูกที่ดีแท้ พ่อ รู้สึกเหมือนความสุขในครอบครัวยังขาดพร่อง ยังไม่เต็ม หลายคนไป แม่ก็ชื่นนนน...ใจ” เป็นค�ำพูดที่อาตมาหรือพระอาจารย์หลายท่านสอน บนบานศาลกล่าวขอลูกกับเทพาอารักษ์ รุกขเทวดา ก็เลยได้ลูกเทวดา ให้เด็กท่องขึ้นใจและน�ำไปปฏิบัติ ลูกค�้ำ ลูกคุณ เดิมมีกันอยู่สองคนสามีภรรยาก็น่าจะมีความสุขดี ไม่ต้อง เหนื่อยมาก ท�ำมาหากินหล่อเลี้ยงชีวิตกันแค่สองคน แต่กลับอยากมีลูก การทำ�ความดีนั้น เพราะอะไร...? ความรักมิใช่หรือ... สำ�คัญต้องอยู่ที่ตัวเอง ทุกคนทำ�ได้ 2. ทุกข์เพราะลูกตาย ความพลัดพรากจากคนรัก ของรักเป็น ถ้าช่วยกันทำ�ความดี ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่หรือเด็ก ความทุกข์อยู่แล้ว 3. ทุกข์เพราะลูกชั่วลูกเลว ลูกล้างผลาญ เป็นความทุกข์ที่ยิ่ง ด้วยเหตุนี้เราต่างคนต่างพัฒนาตนเอง ใหญ่ที่สุดของพ่อแม่ ทุกข์สองอย่างแรกเมื่อเวลาผ่านไปยังพอบรรเทา เบาบางลงได้บ้าง แต่ทุกข์ข้อที่สาม นี่สิ!!! เป็นความทุกข์ที่ต้องทนแบก รับจนตายจากกันไปข้างหนึ่ง “ดีชั่วก็ลูก ถ้าลูกผิดก็เลือดเนื้อ” จะให้ไม่ ในส่วนกายนั้นต้องบริหารร่างกายให้สมบูรณ์ รักษาสุขภาพ ทุกข์ได้ยงั ไง การเลีย้ งเด็กให้เป็นคนดี คนเป็นพ่อแม่ตอ้ งใจเย็น ต้องอดทน อนามัยให้แข็งแรงปราศจากโรคภัยไข้ใจ เปรียบเหมือนการปลูกต้นไม้ต้องเอาใจใส่รดน�้ำ ใส่ปุ๋ย พรวนดิน ต้นไม้ ส่วนวาจานั้นก็พูดวาจาให้สุภาพไพเราะ คิดก่อนพูดจะได้เป็น ถึงจะงดงาม เด็กน้อยก็เหมือนกัน ต้องเอาใจใส่ดแู ลทัง้ ร่างกายและจิตใจ คนที่ถูกต้องเสมอ พูดเรื่องที่มีสาระน่าสนใจ รู้จักขอบคุณและขอโทษจะ ขัดเกลากล่อมเกลี้ยให้เป็นคนดี ด้วยความรัก เมตตาต่อลูก เห็นความ ได้เกิดไมตรีจิตต่อกัน ส�ำคัญ สิ่งไหนไม่ดีต้องต้องตักเตือน สิ่งไหนดีต้องชม วันไหนท�ำดีต้อง ส�ำหรับจิตใจนั้นหมั่นฝึกฝนปฏิบัติตามค�ำสั่งสอนของศาสนา มี ไม่ลืมที่จะชม เพราะวันที่เขาท�ำผิดเราต้องกล่าวตักเตือน เราอยาก ใจกตัญญูกตเวที ซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น รู้จักอดทนอดกลั้น เสียสละ ให้เด็กเป็นอย่างไร ก็ทำ� ตัวเป็นแบบอย่างให้เห็น ให้เลีย้ งลูกด้วยความรัก จิตใจให้มั่นคง และความดี มีเหตุผลที่จะอธิบาย เด็กเขาก็มีมุมฉลาดของเขานะ สอน เราช่วยกันพัฒนาตนเองและช่วยสัง่ สอนอบรมเด็กเยาวชน อะไรไปจะเป็นอย่างนั้น ต้องไม่ลืมว่าเด็กเหมือนผ้าขาว เติมสีอะไรลงไป ให้เจริญเติบโตและเป็นบุคคลทีม่ คี ณ ุ ภาพของสังคมต่อไป ด้วยการ เขาก็เป็นตามนั้น ท�ำให้ดู อยู่ให้เห็น เป็นตัวอย่างที่ดี และจะมีแต่สิ่งดีๆ ในสังคม
ห่วงคล้องใจของพ่อแม่คอื “ลูกน้อย” เป็นแก้วตาดวงใจเหมือนของ ขวัญจากฟ้าประทานให้ เป็นโซ่คล้องใจให้อยู่ด้วยกัน ต้องอดทน มากขึ้น ใจเย็นมากขึ้น เพราะลูกน้อยเป็นโซ่คล้องใจสายใยแห่ง ครองครอบครัว
ทำ�ดี 11
ครอบครัวจิตสดใส
ครูพี่เลี้ยงมือใหม่ กับคุณแม่ใจใหญ่แห่งค่ายจิตสดใสฯ สัมภาษณ์และเรียบเรียง ฐิติขวัญ เหลี่ยมศิริวัฒนา
ฉบับนี้เรามาทำ�ความรู้จักกับคู่หูแม่ลูกขาประจำ�ค่ายจิตสดใสฯ ที่หลังจากมาเข้า ค่ายแค่ครั้งแรกก็ปวารณาตัวทันทีว่าจะมาช่วยงานค่ายจิตสดใสฯ ทุกครั้งไป ไม่ว่า จะในฐานะอะไรก็ตาม
12 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๓
sช่วยแนะน�ำตัวกับชาวจิตสดใสฯ หน่อยค่ะ =ลูกโยคี : สวัสดีครับ ผมชื่อ ฟลุ๊ค - ธัญศิษฐ์ นิรมิตวรนันท์ เรียนอยู่ ม.4 โรงเรียน บางกะปิ เป็นลูกคนเดียวครับ =คุณแม่ : สวัสดีค่ะแม่ชื่อแมว - ชนันท์ภัทร์ นิรมิตวรนันท์ ท�ำงานต�ำแหน่งธุรการ ที่บริษัทพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์เล็กๆ แห่งหนึ่งค่ะ sก่อนที่จะมาเข้าค่ายจิตสดใสฯ ที่บ้านมีการท�ำกิจกรรมเกี่ยวกับธรรมะกันบ้าง ไหมคะ =คุณแม่ : ตลอดเวลาที่ผ่านมาแม่ไม่เคยสนใจในเรื่องของธรรมะสักเท่าไร จะมีก็ แค่ไปท�ำบุญที่วัดด้วยการใส่บาตรและถวายเพลทุกวันพระใหญ่ ส่วนลูกชายก็เคยบวช สามเณรภาคฤดูรอ้ นหนึง่ ครัง้ จนกระทัง่ มีเพือ่ นสนิทของแม่ทรี่ จู้ กั กันมาตัง้ แต่สมัยเด็กชวน ให้ไปปฏิบัติธรรมที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษาราชนคริทร์ เขาดินหนอง แสง จังหวัดจันทบุรี เพราะอยากได้เราได้เรียนรู้ธรรมะ แม่ก็เลยได้เริ่มต้นรู้จักธรรมะด้วย การเข้าคอร์สเข้มในปีพ.ศ. 2555 และท�ำให้ได้รู้จักค่ายจิตสดใสฯ จากตรงนั้น sท�ำไมถึงสนใจอยากให้ลูกมาเข้าค่ายจิตสดใสฯ คะ =คุณแม่ : เมือ่ ตัวเองได้เข้าคอร์สเข้มแล้วก็อยากให้ลกู ได้เดินในเส้นทางนีเ้ ช่นกัน จึงเห็นว่าค่ายนี้น่าจะเป็นการเริ่มต้นที่ดีส�ำหรับเด็ก เพราะน่าจะท�ำให้เด็กได้สัมผัสกับ ธรรมะในแบบที่ถูกต้องและไม่ท�ำให้เขาปฎิเสธธรรมะ =ลูกโยคี : ผมก็อยากมาทดลองเข้าค่ายธรรมะดูครับ sเคยมาค่ายกี่ครั้งแล้วคะ =ลูกโยคี : 2 ครั้งครับ เป็นลูกโยคี 1 ครั้ง และเป็นครูพี่เลี้ยง 1 ครั้งครับ =คุณแม่ : 2 ครั้งเหมือนกันค่ะ มาพร้อมลูกชาย ครั้งแรกในฐานะผู้ปกครองของ ลูกโยคีที่มาช่วยงานเป็นครูพี่เลี้ยง ส่วนครั้งที่สองก็สมัครมาเป็นครูพี่เลี้ยงพร้อมลูกชายค่ะ sท�ำไมถึงคิดอยากจะมาเป็นครูพี่เลี้ยงคะ =ลูกโยคี : เพราะเมื่อได้มาเข้าค่ายแล้วผมก็อยากจะช่วยเหลือค่ายต่อไปครับ ตอนเป็นลูกโยคีผมได้รับการดูแลอย่างดีและได้รับความเป็นกันเองจากครูพี่เลี้ยงทุกท่าน เมื่อมีโอกาสจึงอยากจะลองเป็นครูพี่เลี้ยงดูบ้าง และเมื่อได้มาเป็นครูพี่เลี้ยงจริงๆ ก็เข้าใจ ได้เลยถึงความรับผิดชอบที่มี ผมรู้สึกว่าการเป็นครูพี่เลี้ยงเป็นการฝึกตนเองให้มีความ รับผิดชอบต่อภาระหน้าที่ที่ได้รับมาครับ =คุณแม่ : ที่คุณแม่มาช่วยเป็นครูพี่เลี้ยงก็เพราะอยากให้มีค่ายต่อไป และคิดว่า ตัวเองคงช่วยงานอะไรได้บ้างไม่ว่าจะเป็นงานด้านใดก็ตาม หากท�ำได้ ก็อยากจะท�ำ เพราะสิ่งที่ได้รับจากค่ายนั้นยิ่งใหญ่มากค่ะ sก่อนมารู้สึกอย่างไรกับค่ายจิตสดใสฯ และคาดหวังหรืออยากได้อะไรกลับไป บ้างคะ =ลูกโยคี : รู้สึกว่าอยากลองดู เผื่อจะได้ความรู้ใหม่ๆกลับไปบ้างครับ =คุณแม่ : ก่อนมาเข้าค่ายก็คิดว่าค่ายธรรมะคงท�ำให้ลูกได้สวดมนต์ไหว้พระบ้าง ส่วนแม่ที่อาสามาช่วยงานก็คงได้ช่วยหยิบจับ ช่วยเก็บกวาด ล้างถ้วยชามอะไรบ้าง แต่ หลักๆ คืออยากให้ลูกยอมรับและมีความสุขกับการเข้าค่ายธรรมะค่ะ
ทำ�ดี 13
sเมื่อมาแล้วรู้สึกอย่างไรคะ =ลูกโยคี : มีความสุขครับ =คุณแม่ : รู้สึกว่าตัวเองถูกหวย ถูกลอตเตอรี่รางวัลใหญ่ ที่ได้พบกับค่ายนี้ เพราะทีมงานทุกท่านท�ำงานกันด้วยใจจริงๆ ทั้ง เอาใจใส่ เ ด็ ก ๆ และเอาใจใส่ กั บ ทุ ก กิ จ กรรมที่ เ กิ ด ขึ้ น ในค่ า ย พระอาจารย์ก็มีเมตตามาก จนท�ำให้เรารู้สึกว่า “โอ้โห! เขาท�ำกันได้ อย่างไร นัน่ ไม่ใช่ลกู เขานะ แต่นนั่ ลูกเรา และไม่ใช่แค่ลกู เราคนเดียว แต่ยังมีลูกของคนอื่นอีกมากมายด้วย” ภาพการให้ที่ยิ่งใหญ่ การ เสียสละทั้งแรงกายและแรงใจเพื่อผู้อื่นที่ได้เห็นในค่ายเป็นภาพที่ งดงามและน่าประทับใจมาก sชอบอะไรที่สุดเกี่ยวกับค่ายนี้คะ =ลูกโยคี : ชอบความเป็นกันเองที่ทุกคนมีให้กันครับ =คุณแม่ : ชอบสายตาของลูกที่เปลี่ยนไปหลังจากเข้าค่าย กลับไป เพราะลูกมีสายตาที่อ่อนโยนขึ้น มีสายตาที่พร้อมจะไปช่วย ค่ายจิตสดใสฯ ครั้งต่อไปกับแม่ ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่การเริ่มต้น แต่ก็หวังว่าต่อไปสายตาแบบนี้จะไม่หมดไปจากหัวใจของลูก sไม่ชอบอะไรที่สุดเกี่ยวกับค่ายนี้คะ =ลูกโยคี : ความร้อนครับ 555 =คุณแม่ : ไม่มีเลยค่ะ sในอนาคตอยากมาค่ายจิตสดใสฯอีกไหม และจะมาใน ฐานะอะไรคะ =ลูกโยคี : อยากมาในฐานะครูพี่เลี้ยงครับ =คุณแม่ : บอกกับลูกไว้ว่า ต่อไปแม่จะไปช่วยงานค่าย จิตสดใสฯ ทุกครั้งนะถ้าท�ำได้ ไม่ว่าในฐานะอะไรก็ตาม sเมือ่ ได้มาเข้าค่ายจิตสดใสฯแล้วรูส้ กึ อย่างไรกับธรรมะ และ รู้สึกว่าตัวเองได้เรียนรู้อะไรไปจากค่ายบ้างคะ =ลูกโยคี : รู้สึกว่าธรรมะเป็นเรื่องง่ายๆ และได้เรียนรู้เรื่อง การมีสติครับ =คุณแม่ : ได้รู้ว่าธรรมะนั้นไม่ใช่เรื่องยาก และไม่ใช่เรื่องที่ ลึกซึ้งเกินไปจนยากที่จะเข้าใจ ท�ำให้อยากศึกษาธรรมะต่อไป และ อยากให้คนรอบข้างได้เข้ามาเรียนรู้หนทางแห่งธรรมะ รวมทั้งยัง ท�ำให้มั่นใจว่าจะมีชีวิตที่ตั้งมั่นกับการเดินในสายทางนี้ตลอดไปค่ะ
14 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๓
sการมาเข้าค่ายจิตสดใส ฯมีผลต่อชีวติ อย่างไรบ้าง หลังจาก กลับไปมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างไหมคะ =ลูกโยคี : การได้เรียนรูเ้ รือ่ งสติ ท�ำให้ผมรูส้ กึ ตัวมากขึน้ ครับ =คุณแม่ : รู้สึกว่าชีวิตเย็นลง แม้อากาศจะร้อน แต่ก็รู้ว่าถึง จะร้อนก็ดับได้ เพราะเรารู้แล้วว่าจะท�ำให้หายร้อนได้ที่ไหน sคุณแม่และคุณลูกรู้สึกอย่างไรกับเด็กสมัยนี้คะ =ลูกโยคี : รู้สึกว่าเด็กสมัยนี้ใจร้อนครับ =คุณแม่ : รู้สึกว่าเด็กๆ ควรได้รับสิ่งที่งดงามตั้งแต่เกิด เพราะเด็กคือเมล็ดพันธุเ์ ล็กๆ ทีพ่ ร้อมจะเติบโตไปตามสิง่ ทีเ่ ขาได้รบั sแล้วรู้สึกอย่างไรกับผู้ใหญ่สมัยนี้คะ =ลูกโยคี : รู้สึกว่าผู้ใหญ่สมัยนี้ไม่ค่อยมีเหตุผลครับ =คุณแม่ : รูส้ กึ ว่าผูใ้ หญ่บางคนให้เวลาและให้ความส�ำคัญ กับการดูแลเมล็ดพันธุ์น้อยเกินไป อีกทั้งในบางครั้งก็ยังเป็นแบบ อย่างที่ไม่ถูกต้องแก่เด็กๆ ค่ะ sถ้าสามารถเปลี่ยนอะไรก็ได้สักอย่างหนึ่งในโลกนี้ ทั้งคุณ แม่และคุณลูกอยากเปลี่ยนอะไรคะ =ลูกโยคี : เปลี่ยนให้โลกนี้มีแต่คนดีครับ =คุณแม่ : เปลีย่ นให้ตวั เองได้พบกับทางเดินในเส้นทางแห่ง ธรรมะได้เร็วกว่านี้ค่ะ sสุดท้ายนีอ้ ยากเสนอแนะอะไรให้คา่ ยจิตสดใสฯ ในอนาคต บ้างคะ =ลูกโยคี : ไม่มีครับ เพราะเป็นแบบเดิมก็ดีที่สุดแล้วครับ =คุณแม่ : คงไม่เสนอแนะอะไร แต่จะขอเปลี่ยนเป็นการ ขอแทนนะคะ คืออยากจะขอเป็นคนช่วยแบ่งเบาเพือ่ ให้คณะท�ำงาน เหนื่อยน้อยลง จะได้มีแรงท�ำค่ายต่อไปตราบนานเท่านานค่ะ
ผู้ใหญ่ใจดี พี่ๆ ใจบุญ ที่น่ารักทั้งหลาย โปรดทราบ... ค่าย “จิตสดใส วัยบริสุทธิ์ ด้วยพุทธปัญญา” กลับมาแล้วค่ะ โดยจะจัดขึ้นช่วงปิดภาคเรียน ปี 2557 นี้ คือ วันที่ 30 มีนาคม -3 เมษายน 2557 เป็นค่ายสำ�หรับเด็กอายุ 13-15 ปี และ วันที่ 4-7 เมษายน 2557 เป็นค่ายสำ�หรับเด็กอายุ 9-12 ปี ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา ราชนครินทร์ จ.จันทบุรี หากท่านใดมีจิตศรัทธาสนับสนุนค่ายธรรมะเยาวชน สามารถสนับสนุนได้หลายรูปแบบ ดังต่อไปนี้
1
บริจาคแรงกายแรงใจ โดยการมาเป็นอาสาสมัคร
ครูพี่เลี้ยง ธรรมะบริการ ช่วยงานในโรงครัว ช่วยงานทำ�ความสะอาด
4
2 รับบริจาคเป็นสิ่งของแจกโยคี เด็กประมาณ 80 คน เป็น สิ่งของจำ�พวก ดินสอ ยางลบ ปากกา สี หนังสือธรรมะเด็ก ถุงผ้า ของเล่นเด็ก ฯลฯ
b
3
อาหารและเครื่องดื่ม • สำ�หรับเด็กได้แก่ เครื่องดื่มบรรจุ กล่องทั้งหลาย • สำ�หรับทีมงาน ได้แก่ เครื่องชง ทุกชนิด เช่น ไมโล โอวัลติน กาแฟ น้ำ�มะตูมผง ฯลฯ
บริจาคเป็นปัจจัย โดยบริจาคด้วยตัวเอง ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา ราชนครินทร์ จ.จันทบุรี หรือเข้าบัญชี ธ.ไทยพาณิชย์ สาขาย่อยท่าพระจันทร์ ชื่อบัญชี “พระมานพ อุปสโม” บัญชีเลขที่ 114-2-10518-6 สำ�หรับท่านที่โอนปัจจัยทำ�บุญเข้าบัญชีนี้ ขอความกรุณามีต้อยติ่ง 3 บาทด้วยนะคะ เช่น ท่านมีศรัทธาทำ�บุญ 500 บาท ขอความกรุณาโอนเข้ามาเป็นเงิน 503 บาท เพื่อเราจะได้ทราบว่า ยอดนี้สมทบทุนทำ�ค่ายสำ�หรับเยาวชนค่ะ สำ�หรับสิ่งของบริจาค รบกวนเขียนข้างกล่อง/ถุง/หรือซองว่า “ค่ายจิตสดใส” ด้วยนะคะ แต่หากท่านไม่ได้อยู่ใกล้ศูนย์ปฏิบัติ ธรรม สามารถติดต่อทีมงาน เพื่อส่งมอบของกันได้ โดยติดต่อ ครูบิ๊ก 081-741-8141 ครูโชค 081-805-5889 ค่ะ
ทำ�ดี 15
หน้านี้... ลูกโยคีจอง
ตอนแรกไม่คิดจะไป แต่พอไป...ติดใจเลย เรื่อง มิวนิก
16 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๓
สวัสดีชาวจิตสดใสทุกท่านค่ะ หนูชื่อ น.ส.ธิปธีมา ทวิชศรี ชื่อ ช่วงนัน้ เป็นช่วงใกล้ปดิ เทอมตอนเดือนตุลาคม มิวเองก็อยากจะไปเข้า เล่น มิวนิก ที่เรียกติดปากหลายๆ คน คือ มิว, มิวกี้, กี้ ท่านใด ค่ายที่ไหนก็ได้ จึงคุยเล่นๆ กับเพื่อนในห้องเดียวกัน ในตอนนั้นเพื่อน สนใจชื่อไหนเรียกได้ตามใจชอบเลยนะคะ ในกลุม่ เดียวกันกับมิวชื่อ ริว เขาชวนไปค่ายที่เขาเคยไปมาก่อน นั่นก็ คือ ค่ายจิตสดใส ในตอนแรกมิวยอมรับเลยค่ะว่า ไม่รจู้ กั ไม่เคยได้ยนิ ปัจจุบันเรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่ ๔ โรงเรียน ศรีอยุธยา ใน เลยและเป็นค่ายปฎิบตั ธิ รรม มิวคิดเลยว่า มันคงจะน่าเบือ่ แน่เลย แต่ พระอุปถัมภ์ฯ ขอเรียกแทนตัวเองว่า มิว นะคะ ก่อนอื่นเลยต้องขอ ลองดูเราก็ไม่เสียหาย ไปกับเพื่อนสนุกดี (หัวเราะ) บวกกับทางบ้าน ขอบคุณ ครูป๊อป ครูบิ๊ก ที่ให้โอกาสมิวมาเขียนเล่าประสบการณ์ของ อยากให้มิวลองไปปฎิบัติธรรมดูสักครั้ง มิวจึงตอบตกลงไป และมี ค่ายจิตสดใสในฉบับวันเด็ก มิวรู้สึกตื่นเต้นมากเลยค่ะ ยังไงก็ขอ เพื่อนในกลุ่มอีกคนคือ ฟร้องซ์ ที่รวมแพ็คทีมไปด้วยกัน ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ เมื่อถึงวันค่าย เราสามเกลอไปถึงค่ายในเวลาไล่เลี่ยกันจึงมี บ้านของมิวมีความเลื่อมใสในศาสนาพุทธมาก โดยเฉพาะ โอกาสได้พูดคุยและเล่นกันตามประสาเพื่อนในกลุ่ม พอถึงช่วงเข้า คุณแม่ คุณแม่สวดมนต์ให้มวิ ฟังตัง้ แต่อยูใ่ นท้องเลยค่ะ จนกระทัง่ มิว ค่ายกันอย่างอัดเต็มมิวมีความรู้สึกว่า ถึงวัยทีเ่ ริม่ รับรูก้ ารฟัง ฝึกพูด คุณแม่กเ็ ริม่ สอนสวดมนต์ อบรมสัง่ สอน “เฮ้ยยย มันไม่ได้นา่ เบือ่ สักหน่อย แต่เราต่างหากทีเ่ มือ่ ได้ยนิ โดยใช้พุทธศาสนาปลูกฝังลงไปด้วย บวกกับโรงเรียนเก่าของมิว (ขอ สิ่งที่เรายังไม่เคยเจอก็มโนภาพซะแล้ว ในความคิดกับความจริงมัน อนุญาตเอ่ยชื่อนะคะ) ที่โรงเรียน อมาตยกุล มีแนวคิดสอนเด็กคือ ต่างกันเลย!!!!” มิวเองเริ่มรู้สึกสนุกในกิจกรรมต่างๆ ที่ทางค่าย อมาตยกุลชาว NEO ใช้ชวี ติ แบบนีโอ ฮิวแมนนิส คือ พูดบวก คิดบวก สร้างสรรค์เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น ท�ำบวก เทียบได้ว่า พูดดี คิดดี ท�ำดี ที่โรงเรียนอมาตฯ ทุกๆ เช้าจะให้ มิวชอบเกม ถังน�ำ้ ทีม่ นี ำ�้ หลายๆ สีแทน “อารมณ์” ต่างๆ ของ เด็กๆ นั่งสมาธิ หลังจากเคารพธงชาติ และสวดมนต์ การท�ำสมาธิ เรา และให้น�้ำเปล่าใสๆ แทน “ใจ” ของเรา มิวว่าเกมนี้ท�ำให้เข้าใจได้ โดยเป็นการท�ำสมาธิทใี่ ห้จดจ่ออยูก่ บั จังหวะเพลง คือ เพลง บาบานัม ง่ายมาก ประกอบกับเรื่องเล่าจากพระอาจารย์ พอรวมกันแล้วสนุก เควาลัม เป็นเพลงประจ�ำโรงเรียนเลยก็วา่ ได้คะ่ หลังจากนัง่ สมาธิกจ็ ะ มากค่ะ มีการท�ำโยคะเพื่อยึดร่างกาย และโยคะนี่เอง ก็เป็นวิชาบังคับภายใน ค่ายจิตสดใสท�ำให้มิวมองว่าพระสงฆ์นั้น จริงๆ แล้วเวลา โรงเรียนด้วยค่ะ มิวว่าแปลกดีนะคะเหมือนเป็นโรงเรียนเดียวที่มีวิชา ท่านสอนไม่ได้นา่ เบือ่ เลย มีความตลก ความร่าเริงในความส�ำรวมกาย โยคะ (หัวเราะ) วาจา ใจ ตลอดเวลา มิวไม่แน่ใจว่ามิวสังเกตพระอาจารย์แต่ละท่าน โรงเรียนอมาตยกุล แห่งนี้เองก็เป็นสถานที่ที่ท�ำให้มิวพบกับ เยอะ หรือเป็นเพราะมิวตัวเล็ก(หรือไม่สูงคู่ ^_^) จึงได้นั่งหน้าสุด เพื่อนที่ท�ำให้มิวรู้จักกับค่ายจิตสดใส ในตอนนั้นมิวเรียนอยู่ชั้น ม.๒ ท�ำให้ได้โอกาสในการสังเกตกันแน่ (หัวเราะ)
ทำ�ดี 17
ค่ายจิตสดใสท�ำให้มิวเรียนรู้หลายๆ สิ่งเลยค่ะ มิวได้รู้ว่ามิว เป็นเด็กสมาธิสั้น และไฮเปอร์ โดยปกติมิวก็เงียบๆ ในบางเวลา แต่ เมื่อใดมิวมีเพื่อนเล่น มิวจะดิ้นๆๆ ไม่หยุดเลยค่ะ (ไม่ได้ชักนะคะ) (หัวเราะ) แต่พอได้นงั่ สมาธินานๆ ได้เดินจงกรม มิวก็ได้รวู้ า่ มิวอยาก วิ่งออกไปกลิ้งตามแนวภูเขามากเลยค่ะ(หัวเราะ) หลายๆ ท่านที่เคย ไปศูนย์ปฎิบตั ธิ รรม ทีแ่ ก่งหางแมว คงจะนึกออกใช่ไหมค่ะ ว่าสถานที่ นีอ้ ยูบ่ นเขา วิวสวย ลมเย็น น่ากลิง้ น่าวิง่ เล่น ร้องเพลงใน The Sound of Music ประกอบไปด้วย จะเป็นอะไรที่เยี่ยมมากค่ะ(หัวเราะ) และ มิวก็ได้รู้อีกอย่างว่า ไม่มีใครรู้ว่ามิวไม่อาบน�้ำ (หัวเราะ) แต่มิว อาบวันที่ ๒-๓ ของค่ายและก็ตอนเย็นของวันไปเดินธุดงค์ เห็นไหม ค่ะมิวอาบตั้ง๓วัน (อายจังเลยยยย) มิวชอบอาบน�้ำเย็นมากค่ะ ยิ่งที่ ค่ายจิตสดใส บางห้องเป็นถังน�้ำและมีขัน แบบนั้นสะใจมากค่ะ ทุกท่านที่ไม่เคยต้องลองค่ะ ท่านจะลืมฝักบัวอันสวยงามของท่านไป ได้เลยค่ะ (หัวเราะ) อีกช่วงที่มิวชอบคือการเดินธุดงค์ค่ะ ผจญภัยดี แต่ว่าแดด แรงมากเลยค่ะ ถ้าถามว่าไม่ร้อน หรือไม่กลัวด�ำเหรอ มิวตอบได้ว่า ร้อนค่ะ ส่วนเรื่องความด�ำ มิวว่ายน�้ำมิวไม่ต้องห่วงแล้วค่ะ มิวด�ำมา ก่อนแล้ว(หัวเราะ) แต่พอเทียบกับการได้เดินร่วมทางกับเพื่อนๆ ใน ค่ายมิวสนุกมากกว่าค่ะ หลังจากได้มาเข้าค่ายในฐานะลูกโยคีแล้ว มิวก็ได้มาท�ำงาน อาสาในหน้าทีค่ รูพเี่ ลีย้ งด้วยค่ะ ตอนนัน้ มิวเรียนอยูช่ นั้ ม.๓ ได้มาเป็น ครูพี่เลี้ยงกับ ริว ส่วนฟร้องซ์นั้น ฟร้องซ์บอกว่า ฟร้องซ์กลัวความมืด ฟร้องซ์นอนไม่หลับเลย (หัวเราะ) ก็เลยอดแพ็คทีมสามเกลอ ถ้าเกิด ว่าฟร้องซ์มาด้วยนะคะ สามเกลอคงจะซนมากกว่าลูกโยคีซะอีก (หัวเราะ) มิวได้เป็นครูพี่เลี้ยงกลุ่มเดียวกับ ครูกาญ่า และครูพิศ ครู ทั้งสองใจดีมากเลยค่ะแต่จะว่าไปครูที่จิตสดใสใจดีทุกคนและสดใส สมกับชื่อค่ายเลยค่ะ ตอนเป็นครูพ่ีเลี้ยงท�ำให้มิวได้รู้เบื้องหลังของ ค่าย ว่าทุกๆ คืน เมื่อเด็กๆนอนหลับกันหมดแล้ว ครูต้องมาประชุม สรุปในแต่ละวัน และเราจะเปลี่ยนแปลงอะไรเพื่อให้เด็กๆ ไม่รู้สึก
18 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๓
อึดอัด และครูทกุ ท่านต้องสละเวลาส่วนตัว และรับผิดชอบในหน้าที่ อย่างเต็มที่มากค่ะ เพื่อให้งานนั้นออกมาดี มิวรู้สึกว่า คุณครูและ พระอาจารย์ทกุ ท่านท�ำงานนีด้ ว้ ยแรงกายแรงใจอย่างเต็มทีม่ าก เพือ่ ให้เด็กๆ รูส้ กึ ว่าพุทธศาสนาเป็นเรือ่ งทีไ่ ม่นา่ เบือ่ และน่าค้นหายิง่ กว่า โคนันสืบหาคนร้ายซะอีก (หัวเราะ) มิวอยากจะเล่าประสบการณ์ให้ทุกท่านได้เต็มอิ่ม แต่มิว อยากให้ทุกท่านได้ส่งเด็กๆ หรือตัวท่านเองมาสัมผัสด้วยตัวเอง ที่ บอกได้ว่ามาแล้วต้องมาอีกและต้องบอกต่อ เราจะได้ทั้งความสุข ที่มาจากรอยยิ้มของเด็กตัวน้อยๆ ความสุขที่เราได้จากมิตรภาพที่ ทุกคนภายในค่ายมอบให้แก่กัน โดยที่เราไม่รู้ตัวเลยว่าเรารู้สึกดี ทุกครั้งที่นึกถึงภาพแห่งความทรงจ�ำเหล่านี้ เมื่อไหร่ที่คุณนึกถึง หัวใจของคุณจะพองโตโดยที่คุณไม่รู้ตัวว่าใบหน้าของคุณนั้น ก�ำลังอมยิ้มอยู่ :)
ประกาศ... ประกาศ... เปิดรับสมัคร แล้วจ้า... ค่าย “จิตสดใส วัยบริสุทธิ์ ด้วยพุทธปัญญา” ช่วงปิดภาคเรียน ปี 2557 นี้ โดยจัดเป็น 2 ค่าย คือ วันที่ 30 มีนาคม-3 เมษายน 2557 เป็นค่ายสำ�หรับเด็กอายุ 13-15 ปี มาเข้าค่าย 4 คืน 5 วัน
วันที่ 4-7 เมษายน2557
เป็นค่ายสำ�หรับเด็กอายุ 9-12 ปี มาเข้าค่าย 3 คืน 4 วัน ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา ราชนครินทร์ จ.จันทบุรี ผู้ปกครองท่านใดที่สนใจ สามารถขอรับระเบียบการและใบสมัครได้ตาม 4 ช่องทางต่อไปนี้ 1. ส�ำหรับผู้ที่อยู่ใกล้บริเวณศูนย์ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา ราชนครินทร์ ให้มารับใบสมัครและส่งใบสมัครได้ด้วย ตนเอง ที่ห้องประชาสัมพันธ์ของศูนย์ (ในกรณีที่ตั้งใจจะมารับใบสมัครและสมัครเลยให้เตรียมหลักฐานคือ 1) รูปถ่ายเด็กที่สมัคร ขนาด 1 นิ้ว 1 ใบ 2) ส�ำเนาบัตรประชาชนหรือส�ำเนาสูติบัตร 3) ซองเปล่าติดแสตมป์ 3 บาท จ่าหน้าซองถึงตัวท่านเอง มาด้วย) 2. หรือขอใบสมัครเข้ามาได้ที่อีเมล์ goodkidshappy@yahoo.com 3. ดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ www.jitsodsai.com หรือ www.pra-manop.org หรือ ค้นหาใน google ด้วยค�ำว่า “ค่ายจิตสดใส” ก็ได้ค่ะ 4. ท่านสามารถส่งใบสมัครได้ด้วยตนเองที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ของศูนย์ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา ราชนครินทร์ หรือกรอกใบสมัครให้ชัดเจนส่งใบสมัครพร้อมหลักฐานมาทางไปรษณีย์ ตามที่อยู่ที่ระบุในระเบียบการ
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ครูบิ๊ก 081-741-8141 ครูโชค 081-805-5889 ครูเล็ก 089-754-9020
เปิดรับสมัครวันนี้ 15 มกราคม – 15 กุมภาพันธ์ นี้
ค่ายเด็ก 9-12 ปี รับ 70 คน และค่ายเด็ก 13-15 ปี รับ 60 คน เท่านั้นนะคะ ทำ�ดี 19
คน ค้น ค่าย
ปีแห่งขันติและวิริยะ เรื่อง ครูบิ๊ก
สวัสดีปีใหม่ชาวจิตสดใสทุกท่านค่ะ ปี 2557 ย่างกรายเข้ามาอย่างรวดเร็วแทบนึกไม่ถึง หนึ่งปีได้ผ่านไปแล้วอย่าง รวดเร็ว พร้อมกับหลายสิง่ ทีย่ งั ไม่ได้ท�ำ หลายอย่างทีย่ งั ทำ�ไม่เสร็จ และคงมีงานอีกมากมายที่ ทุกท่านตัง้ ใจจะทำ�ให้บรรลุในศักราชใหม่นี้ ดังนัน้ ในคอลัมน์ คน ค้น ค่าย ครูบกิ๊ จึงขออนุญาต ใช้พื้นที่นี้ อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย คุณครูบาอาจารย์ที่พวกเราเคารพยิ่ง และคุณความดีที่ ทุกท่านได้บ�ำ เพ็ญก่อกอบมา จงคุม้ ครองให้ทกุ ท่านแคล้วคลาดจากภัยอันตรายทัง้ ปวง และ ดลบันดาลให้ท่านประสบแต่ความสำ�เร็จในทุกอย่างที่ปรารถนานะคะ 20 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๓
ส่วนค่ายจิตสดใส วัยบริสุทธิ์ ด้วยพุทธปัญญาของเรานั้น ไม่ว่า จะผ่านไปกี่ปี ก็ยังคง “สดใส” เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน ทั้งยังมั่นคง ขึ้น ศรัทธาอันมั่นคงของคุณครูจิตอาสา ผู้ปกครองและลูกโยคี อันมี พระอาจารย์ทกุ รูปเป็นแกนกลางแห่งความเหนียวแน่น โดยเฉพาะขณะนี้ บรรยากาศก็เริ่มคึกคักขึ้นอีกครั้ง เมื่อมีนิตยสาร “จิตสดใส” นี้เป็น พื้นที่แห่งการแบ่งปันแห่งใหม่ หลายท่านได้อ่านนิตยสารก็เริ่มสอบถาม เข้ามาเกี่ยวกับการเปิดรับสมัครค่ายครั้งต่อไป ท�ำให้ครูบิ๊กรู้สึกคันไม้ คันมือ อยากจะได้พบกับทุกท่านในเร็ววันแล้วสิคะเนี่ย แหม...แต่จะพบกันได้ก็ต้องมีค่ายกันก่อนสิเนอะ เชื่อว่าพวกเรา ทุกฝ่ายต่างก็คิดถึงกันและกัน เพราะจากค่ายครั้งล่าสุด ถึงค่ายครั้ง ต่อไป นับนิ้วดูแล้วก็สิริรวมเวลาได้ 1 ปีพอดิบพอดี ปกติค่ายจิตสดใส ไม่เคยทิ้งช่วงห่างขนาดนี้เลย แต่เราก็ไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่เมื่อ เดือนตุลาคม 2556 เราเปลี่ยนจากค่ายในประเทศ เป็นการไปท่อง พุทธภูมิที่อินเดียเท่านั้นเอง ช่วงฤดูร้อนปี 2557 นี้คงได้ฤกษ์ที่เราจะ ได้พบกันเหมือนเดิมแล้วล่ะค่ะ
เปิดรับสมัครกันในระหว่างวันที่ 15 มกราคม - 15 กุมภาพันธ์ 2557 นี้ รีบๆ กันหน่อยนะคะ และถ้าจะให้ดีได้ใจ ขอให้ทุกท่านช่วย เป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์ภาคประชาชน ช่วยกันแชร์ข่าวการรับสมัคร ค่ายนี้ต่อไปในเฟสบุ๊คและไลน์ส่วนตัวด้วยก็จะดีไม่น้อยเชียวค่ะ ส�ำหรับค่ายครั้งนี้ก็คงเป็นค่ายในปีที่ 6 ของจิตสดใสแล้วล่ะ เวลา ฟังดูช่างยาวนานแต่มันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเชื่อ หากคิดค�ำนวณ จ�ำนวนลูกโยคีที่ผ่านค่ายของเราไปก็กว่า 3,000 คนเลยทีเดียว ไม่ ธรรมดานะเนี่ย
ต้นปีใหม่อย่างนี้ บุคคลส�ำคัญอันจะไม่พูดถึงคงไม่ได้คือ “เด็ก” และค�ำขวัญวันเด็กปีนี้ที่ว่า “กตัญญู รู้หน้าที่ เป็นเด็กดี มีวินัย สร้าง ไทยให้มั่นคง” ฟังค�ำขวัญแล้วก็ดีใจที่ค่ายจิตสดใสฯ ของเราได้มีส่วน ปลูกฝังคุณสมบัตทิ กุ อย่างในค�ำขวัญลงไปในตัวเยาวชน ซึง่ ลูกโยคีหลายคน เกริ่นมาซะนานเนี่ย ก็ขอย�้ำนะคะ ว่าค่ายครั้งต่อไปของเรา จะมี ก็ได้รดน�้ำพรวนดินให้เมล็ดพันธุ์ดีๆ เหล่านั้น เจริญเติบโตงอกงาม ขึ้นตามรายละเอียดนี้ค่ะ ในตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี มองเห็นได้ ให้คุณครู 1. ค่ายส�ำหรับเยาวชนอายุ 13-15 ปี (หรือศึกษาอยู่ชั้น ม.1-ม.3) ชื่นใจอยู่หลายคนทีเดียว แต่ส�ำหรับใครที่คิดว่า ต้นกล้าแห่งความดี จากการเข้าค่ายครั้งก่อนยังไม่ค่อยเจริญเติบโตเท่าที่ควร ก็สามารถ จัดวันที่ 30 มี.ค.-3 เม.ย. 2557 มาพบกันได้ใหม่ในค่ายครั้งต่อไปนะคะ การเรียนธรรมะไม่เหมือน 2. ค่ายส�ำหรับเยาวชนอายุ 9-12 ปี (หรือศึกษาอยู่ชั้น ป.3-ป.6) การขี่จักรยานหรือว่ายน�้ำ เป็นแล้วเป็นเลย แต่มันคือการลับมีดแห่ง จัดวันที่ 4-7 เม.ย. 2557 ปัญญา ยิ่งลับก็ยิ่งคม ยิ่งปฏิบัติก็ยิ่งแจ่มชัด ดังนั้นก็มากันเยอะๆ นะคะ
ทำ�ดี 21
โดยปกติแล้ว ในค่ายจิตสดใสฯ หลักใหญ่คือพระอาจารย์จะสอนเยาวชนในการเจริญสติ และท�ำสมาธิภาวนา เสริมด้วยคุณธรรมทางโลกส�ำคัญๆ เช่น ความกตัญญู การให้ เป็นต้น (ใครมีกิจกรรมอะไรดีๆ ก็เสนอเข้ามาได้นะคะ) แต่ส�ำหรับครูบิ๊กแล้ว อยากฝากอะไรเล็กๆ ให้ ลูกโยคีน�ำไปใช้เล่นๆ (แต่อาจจะได้ผลจริงๆ) นั่นคือ...การคิด “คอนเซ็ปต์” ประจ�ำปีค่ะ ปี 2557 นี้ จะคิดคอนเซ็ปต์ประจ�ำปีเองก็ได้ หรือถ้าจะไม่คิด ก็มีคนเขาคิดไว้ให้แล้ว ว่า เป็น “ปีแห่งขันติและวิริยะ” ค่ะ ซึ่งชาวค่ายจิตสดใสได้ยินแล้วคงไม่ต้องแปลกันอีก เพราะ ในค่ายเราสวดบทบารมี 30 ทัศ ก็จะทราบทันทีว่า ทั้งสองคุณสมบัตินี้ คือบารมีที่พระผู้มี พระภาคเจ้าบ�ำเพ็ญมาเพื่อบรรลุมรรคผล ทีนี้เราลองมาดูกันหน่อยนะคะ ว่าขันติและวิริยะจะ มีรายละเอียดอย่างไร ขันติคือความอดทน ส�ำหรับคนทั่วไปอาจจะมองแค่นั้น แต่ส�ำหรับผู้มีปัญญา นั่นคือการ ฝึกท�ำความเข้าใจสัจธรรมของชีวิต ยกตัวอย่างง่ายๆ ในชีวิตประจ�ำวัน เช่น เมื่อเจอรถติดเรา ต้องอดทน เพราะเราเปลี่ยนอะไรไม่ได้ แต่ถ้าเจอบ่อยๆ มันอาจปะทุออกมาเป็นความโกรธ ความแค้นความเครียด แต่ส�ำหรับผู้มีปัญญาไม่ต้องอดทน เราเข้าใจมัน เราท�ำความเข้าใจ ว่า อ๋อ...มันเป็นเหตุอย่างนี้ ที่รถติดมากเพราะวันนี้เป็นวันศุกร์คนจะออกต่างจังหวัด นี่คือ การท�ำความเข้าใจเหตุปัจจัย เมื่อเราเข้าใจเหตุปัจจัยต่างๆ แล้วเราจะมีแต่ความสุข พอเรามี ความเข้าใจแล้ว เรายิ้มให้กับทุกสิ่งทุกอย่างได้ หนักมาแค่ไหนเราก็ยิ้มได้ ทุกข์แค่ไหนเราก็ ยอมได้ ท�ำให้นึกถึงค�ำค�ำหนึ่งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ตถตา มันเป็นของมันอย่างนั้นเอง ถ้าเรามีปัญญาเราจะไม่ต้องอดทนกับอะไรเลย เราแค่เข้าใจมัน เช่น แก้วน�้ำ เราหยิบ ขึ้นมา แล้วมันตกจากมือแตก ถ้าไม่มีธรรมะเราก็โกรธ โกรธใครไม่ได้ก็โกรธตัวเอง แต่ถ้าเรา มีธรรมะเราก็บอกตัวเองได้ว่า ของมันแตกได้ ไม่แตกวันนี้ก็แตกวันหน้าไม่แตกเพราะเรา ก็ แตกเพราะคนอื่นเมื่อเรามีความเข้าใจ ใครมาด่าเรา เราก็ไม่โกรธ ของมันแตกกันได้ ต่อไป ก็ระมัดระวังมากขึ้น เราจะตีโพยตีพายน้อยลง เราจะด่าคนน้อยลง มีอะไรเกิดขึ้นเราจะมีแต่ ความเข้าใจ ทุกครั้งที่เราไปวัด เราจะเห็นพระพุทธรูปทรงแย้มพระสรวลน้อยๆ อยู่ที่ริมฝีปากรอยแย้ม พระสรวลน้อยๆ เป็นปริศนาธรรมว่า คนที่เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ไม่มีอะไรที่ท�ำให้ท่านต้อง วิตก เกิดอะไรขึ้นมาท่านก็ยิ้ม มันเป็นอย่างนั้น ทุกข์หนักหนาพระองค์ท่านก็ยิ้ม ยิ้มรับกับทุก สถานการณ์เพราะเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง ว่ามันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ถ้าเราเข้าใจความเป็นเหตุเป็นปัจจัยของสรรพสิ่ง เท่ากับเราเข้าใจแก่นของพุทธศาสนา เมื่อมีความเข้าใจก็ไม่ต้องอดทนต่อสิ่งใดๆ เราท�ำความเข้าใจแล้ว เราก็เข้าไปจัดสรรเหตุ ปัจจัย อยากให้สิ่งดีๆ เกิดขึ้นก็ไปสร้างเหตุปัจจัยดีๆ ค่อยๆ แก้กันไปตามล�ำดับขั้นตอน เหมือน ที่พระพุทธองค์ตรัสว่าเวลาที่เราปฏิบัติธรรม ให้ปฏิบัติเหมือนแม่ไก่กกไข่ เวลาแม่ไก่กกไข่ แม่ไก่จะนั่งทับไข่ กกอย่างนั้น ท�ำตามเหตุตามปัจจัย แม่ไก่ไม่ต้อง อธิษฐานว่า สาธุ...พรุ่งนี้ขอให้ลูกไก่ออกมาจากฟองไข่เสียที แม่ไก่ก็แค่ท�ำหน้าที่กกไข่ให้ ดีที่สุดคือสร้างความอบอุ่นให้ไข่ สร้างเหตุปัจจัย ท�ำเหตุให้มากแล้ว ปล่อยวางในผล ถ้า อุณหภูมิพอเหมาะ ลูกเจี๊ยบก็จะออกมาเอง นี่เรียกว่าเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย
22 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๓
เหมือนเรารดน�้ำต้นไม้ เราสร้างเหตุ เราปลูก เราพรวนดิน เราใส่ปุ๋ย เรารดน�้ำ ไม่ต้อง อธิษฐาน เหตุปัจจัยพร้อมมันก็ผลิดอกออกมาเอง ชีวิตของคนที่เข้าใจสิ่งต่างๆ ว่ามันเป็น ไปตามเหตุตามปัจจัยเป็นชีวิตที่พร้อมจะรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างสงบได้อย่างมี ความสุข และเป็นต่อ แต่ถ้าเราไม่เข้าใจ สิ่งต่างๆ ตามเหตุตามปัจจัย เราจะเป็นคนที่โกรธง่าย หงุดหงิดง่าย ฉุนเฉียวง่ายอารมณ์เสียง่าย แล้วก็ไม่พอใจกับทุกสิ่งทุกอย่างไปเสียทั้งหมด ถ้า เราเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เราจะยอมรับสิ่งต่างๆ ได้อย่างสบายใจ ในชีวิตจริงนี่แหละเป็นเวทีของการปฏิบัติธรรม เกิดปัญหาขึ้นมานั่นแหละเป็นโอกาสทอง ของการปฏิบัติธรรม ถ้าปัญหาไม่เกิดขึ้นเราจะไม่รู้หรอกว่าธรรมะที่เราเรียนมานั้นใช้ได้ผล หรือไม่ได้ผล เวลาที่เกิดปัญหานั่นแหละเป็นเวลาที่พิสูจน์คุณค่าของธรรมะได้ดีที่สุด ฉะนั้นอย่าไปกลัวทุกข์ อย่าไปกลัวปัญหา ทุกครั้งที่ทุกข์เกิดขึ้นหรือมีปัญหา ให้ถือว่าเป็น วันเวลาพิสูจน์ผลของการปฏิบัติธรรม ขอให้มองสิ่งต่างๆ พินิจพิจารณาสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามา ในชีวิตของเราให้เป็นอุปกรณ์สอนธรรม ใครมีวิธีคิดแบบนี้ มองทุกอย่างเป็นครู มองทุกอย่าง เป็นอุปกรณ์สอนธรรม เขาจะมีชีวิตที่ไม่ขาดทุน ได้ก�ำไรจากทุกๆ เรื่อง ได้ก�ำไรจากทุกๆ คน ได้ก�ำไรจากทุกๆ ประสบการณ์ ทีนี้ วิริยะล่ะ วิริยะคือความเพียร ความพยายามอย่างไม่ย่อท้อในหน้าที่ของเรา ทุกคนมีหน้าที่ค่ะ หากท่านผู้อ่านเป็นคนที่ท�ำงานแล้ว วิริยะของเราก็คือขยันมาท�ำงานทุกวัน แต่หากเป็น ลูกโยคี วิริยะคือความเพียรพยายาม มุ่งมั่นประกอบในการเรียนศึกษา ฟังค�ำสอนของคุณครู บ่อยๆ และเมื่อรับฟังแล้วก็ต้องมีสติจดจ�ำและระลึกถึงค�ำสอนนั้นไว้ แต่หากพูดในภาพรวม แล้ว ไม่ว่าเราจะเป็นใคร ก็ล้วนต้องมีความเพียรท�ำหน้าที่ของตนเองเพื่อชาติ ถามว่าจะมีใคร เป็นแบบอย่างล่ะในเรื่องของความเพียร พระมหาชนกนั่นไงคะ เป็นตัวอย่างที่ดีมาก ท่านทรง ว่ายน�้ำเจ็ดวันเจ็ดคืนแม้ไม่เห็นฝั่งแต่ก็ยังไม่ย่อท้อ เป็นการบอกเราว่า คนที่จะท�ำอะไร ก็ต้อง เอาจริงเอาจัง ซึ่งเรื่องนี้อยากฝากให้ท่านผู้ปกครองปลูกฝังและฝึกเยาวชนตั้งแต่เด็ก ว่าการ จะได้อะไรสักอย่างหนึ่งมา ต้องประกอบด้วยความเพียร เด็กควรล�ำบากบ้าง ใช้แรงกายบ้าง แรงใจบ้าง เพื่อแลกเอาสิ่งนั้นมา ผู้ปกครองท่านหนึ่งใช้อุปกรณ์ใกล้ตัวในการฝึกหลาน คือฝึก ให้หลาน “แก้ปมเชือก” นั่นเองค่ะ เคยกันไหมคะที่พัสดุไปรษณีย์มาส่ง หรือหนังยางที่รัดปาก ถุงกับข้าวมาเสียจนแน่น ถ้าเราจะเอาง่ายท�ำอย่างไรคะ...หยิบกรรไกรหรือมีดมา ฉึ่บ!!! ตัด ซะ ก็จบแล้ว สามารถเปิดกล่องพัสดุ หรือได้รับประทานกับข้าวในเวลาอันรวดเร็ว แต่เด็กจะ ไม่ได้เรียนรู้เรื่องวิริยะเลย คุณป้าท่านนี้จึงให้หลาน “แกะ” ปมเชือกและปมหนังยางรัดปาก ถุงด้วยมือเปล่าทุกครั้ง อาจมีอุปกรณ์ช่วยบ้าง เช่น เข็มหรือปลายส้อม แน่นอนคุณหลาน อาจจะสงสัยหรือร�ำคาญบ้างในตอนแรก แต่เมื่อผ่านการท�ำอย่างสม�่ำเสมอ หนูน้อยกลับได้ นิสัยความวิริยะโดยไม่รู้ตัว แถมยังสอนคุณป้าได้อีกด้วยนะคะ เพราะมีอยู่ครั้งหนึ่งที่คุณป้า อารมณ์เสียมาจากไหนไม่รู้ ได้รับกล่องพัสดุก็มัวแต่หัวเสีย ท�ำให้แก้ปมเชือกไม่ได้ ก�ำลังจะไป หยิบกรรไกรมาเงื้อจะตัดเชือก คุณหลานสาวก็เข้ามาพูดด้วยเสียงเยียบเย็นว่า “มาค่ะป้า หนู แกะเชือกให้” เล่นเอาคุณป้าหงายเงิบไปเลยค่ะ
ทำ�ดี 23
คราวนี้มาดูกันสิคะว่า วิริยะหรือความเพียรนั้น พระพุทธเจ้าสอนว่าอย่างไร ท่านใช้ค�ำว่า “อินทรีย์ คือ วิริยะ ความเพียร ย่อมหมดจดด้วยอาการ 3 อย่าง” แปลไทยเป็นไทยได้ว่า คนเรา จะมีความเพียรได้อย่างดีเลิศประเสริฐศรีได้ ก็ด้วยเหตุ 3 ประการ คือ • ไม่คบคนขี้ท้อ ไม่ว่าจะท้อแท้ระดับเด็กๆ หรือท้อแท้ยอมแพ้ง่ายๆ แบบเข้าเส้น อยู่ให้ ห่างไกลคนพวกนี้เข้าไว้เป็นดีค่ะ • เสพ คบ เข้าไปนั่งใกล้คนที่มีความพยายาม ไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ เชื่อเถอะว่านิสัยดี ๆ แบบนี้มันออสโมซิสกันได้ • คิดเสมอๆ ว่าความพยายามมีข้อดีมากมาย ความพากเพียรคือหนทางแห่งความส�ำเร็จ ตรงนี้อาจมองดูไอดอลสักคนหนึ่ง บรรดานักวิทยาศาสตร์และนักประดิษฐ์ทั้งหลายในกาล ก่อนเป็นตัวอย่างของการใช้ความพากเพียรได้ดียิ่ง เช่น โทมัส เอลวา เอดิสัน กว่าจะประดิษฐ์ หลอดไฟส�ำเร็จต้องใช้วิริยะอย่างยิ่งยวด มีคนไปสัมภาษณ์เขาว่า ที่ล้มเหลวมากมายหลาย ครั้งอย่างนั้น เขารู้สึกอะไรบ้างไหม เอดิสันตอบว่า...เราไม่ได้ล้มเหลว 999 ครั้งหรอกเพื่อน แต่ เราค้นพบ 999 วิธีที่มันใช้ไม่ได้ผลต่างหาก และครูบิ๊กอยากจะบอกเพิ่มอีกว่า “ความขยันหมั่นเพียร” นั้น ยังรวมถึงการมีความ ตั้งใจและพากเพียรปฏิบัติหน้าที่อย่างต่อเนื่อง ไม่ขาดตอน ไม่รอโอกาส แต่สร้างโอกาสด้วย ตัวเองจนประสบความส�ำเร็จ ไม่ย่อท้อต่อปัญหาอุปสรรค มีความพยายาม อดทน ขอให้ระลึก ไว้เสมอนะคะ ว่ายิ่งมีความขยันมากเท่าไรผลตอบแทนที่จะได้รับมันก็มีมากเท่านั้น โอกาส แห่งความส�ำเร็จก็จะเพิ่มมากขึ้น วิริยะไม่ใช่การท�ำงานแบบเอาเป็นเอาตาย แต่เป็นการหมั่น ฝึกฝนตนเองด้วยความมุ่งมั่นพยายาม ท�ำงานให้บรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งขันติและวิริยะคือคอนเซ็ปต์ของปี 2557 ที่มีคนเขาตั้งไว้ให้ แต่ครูบิ๊กอยากจะขอเพิ่ม ให้อีกสักข้อหนึ่งนะคะ นั่นคือ “ปีแห่งความพอใจในอัตลักษณ์ของตน” ค่ะ ที่ผ่านมาครูบิ๊กได้ สัมผัสกับลูกโยคีและครอบครัวหลากหลายมากค่ะ โดยเฉพาะลูกโยคีที่บอกไว้ตั้งแต่ต้นว่ากว่า 3,000 คนนั้น ครูบิ๊กพบสิ่งที่เหมือนกันอย่างหนึ่งคือ ลูกๆ แบกความทุกข์ที่จะต้อง “เหมือน เพื่อน” และ “ตามโลก” ค่ะ ลูกโยคีค่ายเด็กระดับมัธยมจะเห็นชัดที่สุด ในค่ายเราจะมีกิจกรรม หนึ่งคือ เกมส์ “หนักใจ” (ใครอยากรู้ว่าเล่นอย่างไรต้องลองมาค่ายดูค่ะ) ลูกโยคีที่ผ่านเกมส์นี้ มาแล้วจะรู้เลยว่า การต้องแบกอะไรไว้มันก็หนักทั้งนั้น แม้แต่ความอยากเป็นคนดีก็ยังหนัก สิ่งที่เราพบจากเกมส์นี้ก็คือ ลูกๆ จะอยากมี “ลุ้ค” ที่เป็นพิมพ์นิยม เช่น ลูกสาวอยากได้น่อง ที่เรียว ผิวขาว ลูกชายอยากมีกล้ามแขน ซิกแพ็ค ต้องสูง ต้องผอม และอื่นๆ อีกประดามี นอกจาก ลุ้ค แล้ว ลูกๆ ก็ยัง “อยากมี” ในสิ่งที่เพื่อนมี ยอดนิยมคงหนีไม่พ้น ไอโฟน ไอแพด ถามว่าอยากมีเอาไว้ท�ำไม ค�ำตอบง่ายๆ ตื้นๆ คือ มีไว้แช็ทและเล่นไลน์กับเพื่อน บางคนอยาก มีแฟน เพียงเพราะ “เพื่อนในกลุ่มเค้ามีแฟนกันทุกคน” บางคนอยากผอม เพราะอยากเหมือน นักร้องเกาหลี ครูบิ๊กเข้าใจนะคะ เพราะตัวเองก็เคยเป็นมาก่อน แต่ผ่านมาถึงตอนนี้ก็เลย
24 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๓
อยากจะแบ่งปันประสบการณ์กับลูกๆ โยคีว่า หากการวิ่งตามโลกมันหนักนัก ท�ำไมเราไม่หัน มาสร้างโลกของเราเองล่ะคะ โลกของเราก็คือพื้นที่เพียงกว้างศอก ยาววา หนาคืบ ที่เรียกว่าร่างกายของเรานั่นเอง นี่แหล่ะ..คือโลกใบน้อยๆ ของเรา อันประกอบด้วยทั้งร่างกายและจิตใจ ลองใช้ปี 2557 “ส�ำรวจโลก” ของเรากันดีกว่า ครูบิ๊กเชื่อเกินร้อยว่า ทุกๆ คนมีดีอยู่ในตัว หาสิ่งนั้นให้พบ แล้ว ท�ำให้มันโดดเด่น ท�ำให้มันเป็น “อัตลักษณ์” ของเราที่ไม่จ�ำเป็นต้องเหมือนใครและไม่มีใคร เหมือน แต่ที่ส�ำคัญที่สุด ขอให้เรา “ภูมิใจ” กับอัตลักษณ์นั้นด้วย ความภู มิ ใจที่ ครู บิ๊ ก ว่ า นี้ มั นต้ อ งเกิ ดจากข้ า งในค่ ะ ใครยั ง นึ ก ไม่ อ อกขอให้ ดูพี่โ อปอล์ ปาณิศรา พิมปรุ เป็นตัวอย่าง พี่โอปอล์เคยพูดไว้ว่า “ปอล์ไม่ได้มีแขนที่เรียวเล็ก ไม่ได้มีผิว ขาวใส ไม่ได้มีรูปร่างที่ผอมสูง ถ้าปอล์จะรอให้แขนเรียว ขาว ผอม สูงก่อน จึงจะมีความสุข ปอล์คงตายก่อนล่ะค่ะ” แล้วเห็นมั๊ยคะ... ว่าตอนนี้พี่ปอล์ก็สามารถใช้แขนล�่ำๆ ผิวคล�้ำๆ รูปร่าง ที่ไม่ได้ผอมสูง สร้างจุดยืนและความโดดเด่นให้ตนเองได้ อีกท่านที่ก�ำลังดังคือ เก่ง ธชย ประทุมวรรณ ผู้เข้ารอบสุดท้าย The Voice ซีซั่น 1 เขาใช้ความเป็นเด็กบ้านนอกที่เขาภูมิใจ การขับเสภา (ที่หาเด็กไทยท�ำได้ยากเต็มที) และทรงผมขัดใจแม่สร้างชื่อให้ตนเองได้ แถม ได้สตางค์เยอะเสียด้วย คิดดูนะคะ...ถ้าคุณโอปอล์ขาว ผอม สูง และคุณเก่งร้องเพลงสตริงค์ ป่านนี้คงไม่เกิดหรอกค่ะ ความแตกต่างอันเป็นอัตลักษณ์ของทั้งคู่ต่างหากที่ท�ำให้แสงแห่งความ เป็นดาวของทั้งคู่เจิดจรัส ดังนั้น อย่าปล่อยให้ปี 2557 ผ่านไปอย่างไร้ค่านะคะ ค้นหาคุณค่า และความโดดเด่นของตัวคุณเอง แล้วยืนอยู่เหนือโลก อย่าแบกโลกหรือวิ่งตามโลกอีกเลยค่ะ มันเหนื่อยออก!!! ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วรู้สึกว่า เริ่มมีก�ำลังใจที่จะท�ำปีใหม่นี้ให้เป็นปีของเรา แต่ยังไม่รู้ จะเริ่มอย่างไร แนะน�ำให้เปิดศักราชกับค่ายจิตสดใส วัยบริสุทธิ์ ด้วยพุทธปัญญานะคะ 15 มกราคม 2557 นี้ เราก็จะเปิดรับสมัครกันแล้ว ใครมีลูกมีหลานก็ส่งมาเข้าค่ายกับเรา เขาจะได้ เริ่มฝึกขันติบารมี วิริยะบารมี และมีความสุขอยู่กับตัวเองได้ ส่วนผู้ใหญ่ทั้งหลายก็มาท�ำงานจิต อาสาเป็นครูพี่เลี้ยงดูแลเด็กกับเราสิคะ รับรองได้ฝึกขันติและวิริยะเต็มที่อีกเช่นเดียวกัน แถม ยังจะได้เห็นภาพสะท้อนของตัวเอง ผ่านทางกระจกบานวิเศษที่เรียกว่า “ลูกโยคี” อีกด้วยค่ะ สนใจสมัครได้ที่เว็บไซต์ของเรา www.jitsodsai.com หรือติดต่อเราได้ที่อีเมล์ goodkidshappy @yahoo.com ค่ะ ปีใหม่และวันเด็กทั้งที เริ่มต้นอย่างมีความสุขกันดีกว่านะคะ อ้างอิง : ว.วชิรเมธี, บันไดแห่งความสุข โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556
ทำ�ดี 25
จิตสดใส เมื่อหัวใจพอเพียง
ทุกข์นี้...มีคำ�ตอบ เรื่อง ครูเล็ก
มนุษย์ทุกคน ต่างเวียนวนอยูก่ บั ทะเลทุกข์ทงั้ สิน้ กว่าจะรู้ ความจริงว่าชีวิตคืออย่างไร ก็ต้องผ่าน ช่วงแห่งกาลเวลา มายาวนาน ที่มีทั้งรอยยิ้มเสียงหัวเราะและคราบน�้ำตา เรื่องราว ประสบการณ์มากมายทีเ่ ราเคยจมอยูก่ บั ความหลงคิด หลงรัก หลงโลภ หลงโกรธ หงุดหงิด ร�ำคาญ จู้จี้ ขี้บ่น หน้าบึ้งหน้างอทั้งหลาย ที่ถูกอ�ำนาจแห่งความหลงครอบง�ำไปกับอารมณ์ที่ เกิดแก่ใจ เพราะความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์ ใจจึงออก จากทุกข์ไม่ได้ เหมือน “ใจ” นั้นวกวนเคว้งคว้างอยู่กลาง ทะเล ดังเพลงทะเลใจของพี่แอ๊ด คาราบาว ซึ่ง เป็นกรงขังทุกข์ไม่จบสิ้น วันแล้ววันเล่า เรื่อง แล้วเรือ่ งเล่า หากวันใดทีเ่ รียนรูแ้ ละเข้าใจเรือ่ ง ความทุกข์ ได้แท้จริง ทุกข์ทั้งหลายที่เคยมีเคย เป็นก็จะเบาบางจางลงและหลุดพ้นไปจากใจ ได้จริงๆ ทุกกระบวนการของชีวิต มีความทุกข์เป็น ตัวด�ำเนินเรื่องแทรกอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะ วัยไหน เพศใด สถานะภาพอย่างไร จะรู้มาก รู้น้อย ฐานะจะรวยหรือจน คนดีหรือคนชั่ว ทุกชีวิตถ้ายังไม่เข้าใจ ยังไม่รู้จักอริยสัจ คงจะ หาทางออกจากกรงขังแห่งความทุกข์ใจไม่ได้แน่ ลองทบทวนดูนะว่า แต่ละวัย แต่ละสถานภาพ นั้น ตั้งเกณฑ์ทุกข์ให้ตนเองไว้อย่างไรบ้าง ทุกข์…เพราะเป็นเด็กน้อย กว่าจะเกิด กว่าจะโต ไม่มีสิทธิ์ก�ำหนดชีวิตตนเองเลยก็ว่า ได้ หิวก็รอ้ ง ไม่ได้ดงั ใจก็รอ้ ง เจ็บป่วยก็บอกไม่ได้ พ่อแม่บางคน ก�ำชับ ก�ำกับลูกทุกกระเบียดนิ้ว จนกระทั่ ง โตใหญ่ คิ ด หรื อ ว่ า ลู ก จะไม่ ทุ ก ข์
26 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๓
เพราะความรักที่พ่อแม่ตีกรอบให้เดิน วางผัง ให้อยู่ จะให้เหตุให้ผลอะไรบ้าง ก็ถูกมองว่าดื้อ เถียงเก่ง ที่ส�ำคัญไม่ว่าพ่อแม่จะเป็นเช่นไรก็ ต้องเป็น “ลูกกตัญญู” ให้ได้ทุกวัยที่เติบโตมา ทุกข์…เพราะเป็นน้อง ต้องยอมพี่ ดื้อ ก็ถูกตี เอาแต่ใจก็ถูกว่า ต้องเชื่อฟังค�ำสั่งของ ทุกคนในบ้าน ทุกข์…เพราะเป็นพี่ ต้องเสียสละ ต้อง รับผิดชอบ ต้องอดทน ต้องท�ำตัวดี เป็นแบบ อย่างแก่น้อง ทุกข์…เพราะเป็นเพื่อน ต้องใจดีมีน�้ำใจ ต้องอดทน ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุข ยอมเจ็บยอม ตายแทนก็มี ทุกข์…เพราะเรียนหนังสือ ต้องแข่งขัน เก่ ง ขยั น อดทน เชื่ อ ฟั ง ตั้ ง ใจ ไม่ น อกกฎ ไม่แหกคอก ทุกข์…เพราะเป็นลูกน้อง ต้องอ่อนน้อม เอาใจ ไม่เถียง ไม่ดื้อ ยอมเหนื่อย ไม่ล�้ำเส้น ทุกข์…เพราะเป็นหัวหน้า ต้องแข่งขัน ต้ อ งท� ำ ใจ เสี ย สละ ยอมเป็ น ผู ้ ใ ห้ เมตตา ยุติธรรม ทุกข์...เพราะชีวติ คู่ ต้องรักและซือ่ สัตย์กนั จนตาย ต้องเอาใจ ต้องจ�ำ ต้องรูก้ นั ทุกเรือ่ ง แล้ว มันจริงไหม ทุ ก ข์ … เพราะเป็ น ภรรยา ต้องท�ำงาน อดทน สู้ ยอม ต้องเป็นทาสทางอารมณ์หาก สามีไม่ซื่อสัตย์ ทุกข์…เพราะเป็นพ่อแม่ เลี้ยงลูกไม่ได้ ดั่งใจ ดื้อ สอนยาก อยากให้ลูกเป็นอย่างที่ ตนเองต้องการ
ทุ ก ข์ … เพราะเป็ น ผู ้ ห ญิ ง อยากสวย อยากมีต�ำแหน่ง เด่น ดัง มีสตางค์เยอะๆ ทุกข์…เพราะเป็นผู้ชาย อยากเป็นผู้น�ำ เท่ห์ (แต่กินไม่ได้) รวย เก่ง (บางคนโกง) เป็น ที่ยอมรับ ทุกข์…เพราะเป็นตุด๊ เป็นแต๋ว ไม่ได้เพศ อย่างทีใ่ จปรารถนา อาย แอบ สู้ อดทน ต้องเด่นดัง ทุ ก ข์ … เพราะเจ็ บ ป่ ว ย ทรมานกาย ทรมานใจ มักเอาแต่ใจ ไม่มีคนเข้าใจ แม้แต่ หมอที่รักษา ทุกข์…เพราะสังขารล่วงโรย ลุกโอย นั่ง โอย เหี่ยวเฉา แก่เฒ่า อยู่เฉยๆ ก็แสนทรมาน ทุกข์…เพราะพลัดพราก กี่ชีวิตแล้วกับ การจากไปของคนที่เราคุ้นเคย ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ และคนชรา ทุกข์…เพราะอยากพ้นทุกข์ ใครๆ ก็ช่วย เราไม่ได้ ถ้าไม่รจู้ กั ฝึกจิตท�ำใจ มาคนเดียวตาย คนเดียว สุ ด ท้ า ยอย่ า อิ จ ฉาหรื อ โกรธ เกลี ย ดคน ที่ท�ำให้เราทุกข์เลย เพราะในความเป็นจริง ปัญหาอุปสรรค และความทุกข์ทั้งหลาย คือ โจทย์ชีวติ จริงทีเ่ ราต้องหาค�ำตอบให้กบั ตนเอง ปัญหาคือปัญหา ไม่ใช่ความทุกข์ เรื่องของ ปัญหา คือการแก้ไข ปรับเปลี่ยน อะไรผิด ก็ ท�ำให้ถูก ไม่รู้อะไรก็ต้องศึกษาเรียนรู้ เพราะ ปัญหา ไม่ใช่ ความทุกข์ ความทุกข์เป็นเรือ่ งของ ใจ เป็นเรื่องของความคิด ที่มันขัดแย้งอยู่ในใจ มันจะต้องเป็นอย่างทีเ่ ราคิด ถึงจะถูกต้อง ถึงจะ ดีกว่า หากคิดดี คิดเป็น ใจก็ไม่เป็นทุกข์ เรือ่ งบางเรือ่ ง ยากเกินกว่าทีจ่ ะ แก้ไข ถ้าใจ ยอมรับได้ ปัญหาก็เบาบางลงโดยไม่ตอ้ งแก้ไข
รู้...อย่างที่มันเป็น เห็น...อย่างที่มันมี แล้วก็ ทำ�...ตามเหตุที่ควรจะทำ� เท่านั้นคือ “พอ” ถ้าหยุดสงสัยเสียได้ ก็ไม่ต้องหาค�ำตอบ เราไม่ตอ้ งรูท้ กุ เรือ่ ง ไม่ตอ้ งเก่งทุกอย่างก็ได้ “แค่ร”ู้ วิธอี ยูอ่ ย่างไรใจไม่ให้ทกุ ข์ เท่านีก้ พ็ อแล้ว เพราะ ทุกเรือ่ ง เป็นกฎอนิจจัง มันไม่คงที่ ไม่ตอ้ ง ท�ำอะไร แต่อะไรๆ มันก็จะเปลี่ยนไป แก้ไขตาม เหตุที่ควรจะแก้ไขด้วยกาลเวลา อย่าเพิ่งสั่นหัว อย่าคิดว่าท�ำไม่ได้ ลองปฏิบัติตามค�ำสอนของ องค์พระศาสดาดูบ้าง แล้วตรวจวัด “ใจ” คือ ความรู้สึกตนเองซิว่า ความทุกข์ที่เคยมี ความ โกรธที่เคยเป็น มันลดลงบ้างไหม เมื่อท�ำตาม จริง ก็จะมีคำ� ตอบให้กบั ตนเองแน่นอน อย่าเพิง่ ปฏิเสธก่อนลงมือปฏิบตั ิ เชือ่ เรือ่ งอืน่ มามากมาย ลองเชือ่ ค�ำสอนของพระพุทธเจ้าดูบา้ งจะเป็นไร ไป ชีวิตมีแต่ได้ดี ไม่มีเสียหาย ที่ส�ำคัญ อย่าคิดว่าท�ำไมคนท�ำชั่วมักจะได้ ดี ท�ำไมคนดีไม่มผี ลดีเป็นรางวัลบ้าง แค่คดิ ก็ผดิ แล้ว เพราะท�ำดีกไ็ ด้ความดี ท�ำชัว่ ก็ตอ้ งได้ความ ชั่ว ตรงไปตรงมา อย่ามองข้ามหลักความจริง ที่ว่า สิ่งใดที่ชีวิตได้มาด้วยความไม่ชอบธรรม คิดหรือว่าคนที่ถือครองสิ่งที่ได้มาอย่างไม่ชอบ นั้น ใจจะไม่ทุกข์ จะมีสุข ตลอดไป ก็ต้องให้ กาลเวลาเป็นบทพิสูจน์ จะต้องไปสาปแช่งคน ชั่วกันท�ำไม ในเมื่อกฎแห่งกรรม เขาท�ำหน้าที่ อยู่แล้ว การตัดสินของมนุษย์ย่อมผิดพลาดได้ เพราะยังมีอคติในใจ แต่กฎแห่งกรรมยุติธรรม เสมอ ตัดสินไม่มพี ลาด ถ้าชีวติ อยูก่ บั ความรูส้ กึ
กับปัจจุบนั ได้จริง เพียงรูก้ าย และสังเกตใจ ทุกขณะทีร่ สู้ กึ ให้ได้ ความทุกข์ทงั้ หลาย จะ มีช่องว่างในขณะใดที่จะมาสอดแทรกเข้า ถึงใจได้ ทุกวัย ทุกวัน “ธรรมะ” ส�ำคัญกับชีวิต ไม่แตกต่าง พระพุทธเจ้ายืน่ กุญแจให้กบั ทุก ชีวิตอย่างเท่าเทียม เพื่อไขประตูออกจาก กรงขังทุกข์ คงไม่มีใครช่วยให้เราหลุดพ้น ออกมาจากวังวนแห่งความทุกข์ได้ นอกจาก การฝึก “สติ” ให้ “ใจ” รู้ ตื่น เบิกบาน อย่าง อิสระ ไม่ก้าวก่าย ไม่สอดแทรกความรู้สึก ใดๆ ใน “รู้” นั้น (รู้ คือ อยู่อย่างยอมรับตาม ความเป็นจริงได้โดยไม่ทุกข์) “รู”้ ...อย่างทีม่ นั เป็น “เห็น”...อย่างทีม่ นั มี แล้วก็ ท�ำ...ตามเหตุที่ควรจะท�ำ เท่านั้น คือ “พอ” อย่ามัวรอเวลาอยู่เลย ว่าต้องโต เป็นผูใ้ หญ่กอ่ น เกษียณงานก่อน มีทกุ อย่าง สมบูรณ์กอ่ น ให้หลานโตก่อน แล้วค่อยมารู้ ว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไร ความตายไม่เคย รอใคร ไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า ไม่มี การต่อรอง ไม่มีบัตรคิวให้ต่อแถว ชีวิตนี้น้อยนัก...ต้นทุนชีวิตแท้จริง คือ ไม่ท�ำชั่ว ท�ำดี ท�ำจิตให้ผ่องใส “ใจ” อิสระ จากทุกข์ “ทุกขณะ... อยูอ่ ย่างไม่ทกุ ข์ได้ ถ้าใจ พอเพียง”
ทำ�ดี 27
นิทานชาดกพุทธประวัติ
เตมียชาดก ผู้ที่ไม่ใจเร็วด่วนได้ ผู้ที่มีความอดทน ย่อมได้รับผลสำ�เร็จด้วยดี
พระราชาพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระเจ้ากาสิกราช ครอง เมืองชื่อว่า พาราณสี มีพระมเหสี พระนามว่า จันทรเทวี พระราชาไม่มี พระราชโอรสที่จะครองเมืองต่อจากพระองค์ จึงโปรดให้ พระนางจันทร เทวีท�ำพิธีขอพระโอรสจากเทพเจ้า พระนางจันทรเทวีจึงทรงอธิษฐานว่า “ข้าพเจ้าได้รกั ษาศีล บริสทุ ธิต์ ลอดมา ขอให้บญ ุ กุศลนีบ้ นั ดาลให้ขา้ พเจ้า มีโอรสเถิด” ด้วยอานุภาพแห่งศีลบริสุทธิ์ พระนางจันทรเทวีทรงครรภ์ และประสูติพระโอรสสมดังความปรารถนา พระโอรส มีรูปโฉม งดงาม ยิ่งนัก ทั้งพระราชาพระมเหสี และประชาชนทั้งหลาย มีความยินดีเป็น ที่สุด พระราชาจึงตั้งพระนามโอรสว่า เตมีย์ แปลว่า เป็นที่ยินดีของ คนทั้งหลาย บรรดาพราหมณ์ผู้รู้วิชาท�ำนายลักษณะบุคคล ได้กราบทูล พระราชาว่า พระโอรสองค์นี้มีลักษณะประเสริฐ เมื่อเติบโตขึ้น จะได้ เป็นพระราชาธิราชของมหาทวีปทั้งสี่ พระราชาทรงยินดี เป็นอย่างยิ่ง และทรงเลือกแม่นมที่มีลักษณะดีเลิศตามต�ำรา จ�ำนวน 64 คน เป็นผู้ ปรนนิบัติเลี้ยงดูพระเตมียกุมาร วันหนึ่ง พระราชาทรงอุ้มพระเตมีย์ไว้บนตัก ขณะที่ก�ำลัง พิพากษา โทษผู้ร้าย 4 คน พระราชาตรัสสั่งให้เอาหวาย ที่มีหนามแหลมคมมา เฆี่ยนผู้ร้ายคนหนึ่ง แล้วส่งไปขังคุก ให้เอาฉมวกแทงศีรษะผู้ร้ายคนที่ สาม และให้ใช้หลาว เสียบผู้ร้ายคนสุดท้าย พระเตมีย์ซึ่งอยู่บนตักพระ บิดาได้ยินค�ำพิพากษาดังนั้น ก็มีความตกใจหวาดกลัว ทรงคิดว่า “ถ้า เราโต ขึ้นได้เป็นพระราชา เราก็คงต้องตัดสินโทษผู้ร้ายบ้างและคงต้อง ท�ำบาป เช่นเดียวกันนี้ เมื่อเราตายไป ก็จะต้องตกนรกอย่างแน่นอน” เนื่องจากพระเตมีย์เป็นผู้มีบุญ จึงร�ำลึกชาติได้และทรงทราบว่า ใน ชาติก่อนได้เคยเป็นพระราชาครองเมือง และได้ตัดสินโทษผู้ร้ายอย่าง
28 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๓
เดียวกันนี้ เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์จึงต้องตกนรกอยู่ถึง 7,000 ปี ได้รับ ความทุกข์ทรมานเป็นอันมาก พระเตมีย์ทรงมีความหวาดกลัวอย่างยิ่ง ทรงร�ำพึงว่า “ท�ำอย่างไรหนอ เราจึงจะไม่ต้องท�ำบาป และไม่ต้องตก นรกอีก” ขณะนั้น เทพธิดาที่รักษาเศวตฉัตร ได้ยินค�ำร�ำพึงของพระเตมีย์ จึง ปรากฏกายให้พระองค์เห็น และแนะน�ำพระเตมีย์ว่า “หากพระองค์ทรง หวั่นที่จะกระท�ำบาป ทรงหวั่นเกรงว่าจะตกนรก ก็จงท�ำเป็นหูหนวก เป็น ใบ้ และเป็นง่อยเปลี้ย อย่าให้ชนทั้งหลายรู้ว่าพระองค์เป็นคนฉลาด เป็น คนมีบุญ พระองค์จะต้องมีความอดทน ไม่ว่าจะได้รับความเดือดร้อน อย่างใดก็ต้องแข็งพระทัย ต้องทรงต่อสู้ กับพระทัยตนเองให้จงได้ อย่า ยอมให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดมาชักจูงใจ พระองค์ไปจากหนทางที่พระองค์ตั้ง พระทัยไว้” พระเตมียกุมารได้ยินเทพธิดาว่าดังนั้น ก็ดีพระทัยเป็น อย่างยิ่ง จึงทรงตั้งจิตอธิษฐานว่า “ต่อไปนี้ เราจะท�ำตนเป็นคนใบ้ หูหนวก และง่อยเปลี้ย ไม่ว่าจะมีเรื่องอันใดเกิดขึ้น เราก็จะไม่ละความ ตั้งใจเป็นอันขาด” นับแต่นั้นมา พระเตมีย์ก็ท�ำพระองค์เป็นคนหูหนวก เป็นใบ้ และ เป็นง่อย ไม่ร้อง ไม่พูด ไม่หัวเราะ และไม่เคลื่อนไหวร่างกายเลย พระราชา และพระมเหสีทรงมีความวิตกกังวล ในอาการของพระโอรส ตรัสสั่งให้ พี่เลี้ยงและแม่นมทดลองด้วยอุบายต่างๆ เช่น ให้อดนม พระเตมีย์ก็ ทรงอดทน ไม่ร้องไห้ ไม่แสดงความหิวโหย ครั้นพระราชาให้พี่เลี้ยง เอาขนมล่อ พระเตมีย์ก็ไม่สนพระทัย นิ่งเฉยตลอดเวลา พระราชาทรง มีความหวังว่า พระโอรสคงไม่ได้หูหนวก เป็นใบ้ และง่อยเปลี้ยจริง จึง โปรดให้ทดลองด้วยวิธีต่างๆ เป็นล�ำดับ เมื่ออายุ 2 ขวบ เอาผลไม้มาล่อ
พระกุมารก็ไม่สนพระทัย อายุ 4 ขวบ เอาของเสวยรสอร่อยมาล่อ พระ กุมารก็ไม่สนพระทัย อายุ 5 ขวบ พระราชาให้เอาไฟมาขู่ พระเตมีย์ ก็ไม่แสดงความตกใจกลัว อายุ 6 ขวบ เอาช้างมาขู่ อายุ 7 ขวบ เอางู มาขู่ พระเตมีย์ก็ไม่หวาดกลัว ไม่ถอยหนีเหมือนเด็กอื่นๆ พระราชาทรง ทดลองด้วยวิธีการต่างๆ เรื่อยมา จนพระเตมีย์อายุได้ 16 พรรษา ก็ไม่ ได้ผล พระเตมีย์ยังทรงท�ำเป็นหูหนวก ท�ำเป็นใบ้ และไม่เคลื่อนไหว เลย ตลอดเวลา 16 ปี ในที่สุด พระราชาก็ให้หาบรรดาพราหมณ์และที่ ปรึกษาทั้งหลายมา และตรัสถามว่า “พวกเจ้าเคยท�ำนายว่า ลูกเราจะ เป็นผูม้ บี ญ ุ เป็นพระราชาผูย้ งิ่ ใหญ่ เมือ่ ลูกเรามีอาการเหมือนคนหูหนวก เป็นใบ้ และเป็นง่อยเช่นนี้ เราจะท�ำอย่างไรดี” พราหมณ์และที่ปรึกษา พากันกราบทูลว่า “เมื่อตอนที่ประสูตินั้นพระโอรส มีลักษณะเป็นผู้มี บุญ แต่บัดนี้ เมื่อได้กลับกลายเป็นคนหูหนวก เป็นใบ้ เป็นง่อย ก็กลาย เป็นกาลกิณี จะท�ำให้บ้านเมืองและประชาชนเดือดร้อน ขอให้พระองค์ สัง่ ให้นำ� พระโอรสไปฝังทีป่ า่ ช้าเถิดพะย่ะค่ะ จะได้สนิ้ อันตราย” พระราชา ได้ยินดังนั้นก็ทรงเศร้าพระทัยด้วยความรักพระโอรส แต่ก็ไม่อาจแก้ไข อย่างไรได้ เพราะเป็นห่วงบ้านเมืองและประชาชน จึงต้องทรงท�ำตาม ค�ำกราบทูลของพราหมณ์และที่ปรึกษาทั้งหลาย พระนางจันทรเทวีทรง ทราบว่า พระราชาให้น�ำพระโอรสไปฝังที่ป่าช้า ก็ทรงร้องไห้คร�่ำครวญ ว่า “พ่อเตมีย์ลูกรักของแม่ แม่รู้ว่าลูกไม่ใช่คนง่อยเปลี้ย ไม่ใช่คนหูหนวก ไม่ใช่คนใบ้ ลูกอย่าท�ำอย่างนี้เลย แม่เศร้าโศกมาตลอดเวลา 16 ปีแล้ว ถ้าลูกถูกน�ำไปฝัง แม่คงเศร้าโศกจนถึงตายได้นะลูกรัก” พระเตมีย์ได้ยิน ดังนั้น ก็ทรงสงสารพระมารดาเป็นอันมาก ทรงส�ำนึกในพระคุณของ พระมารดา แต่ในขณะเดียวกัน ก็ทรงร�ำลึกว่า พระองค์ตั้งพระทัยไว้
ว่า จะไม่ท�ำการใดที่จะท�ำให้ต้องไปสู่นรกอีก จะไม่ทรงยอมละความ ตั้งใจที่จะท�ำเป็นใบ้ หูหนวก และเป็นง่อย จะไม่ยอมให้สิ่งใดมาชักจูงใจ พระองค์ ไปจากหนทางที่ทรงวางไว้แล้วนั้นเป็นอันขาด พระราชาจึงตรัสสั่งให้นายสารถีชื่อ สุนันทะ น�ำพระเตมีย์ขึ้นรถ เทียมม้า พาไปที่ป่าช้าผีดิบ ให้ขุดหลุม แล้วเอาพระเตมีย์ โยนลงไป ในหลุม เอาดินกลบเสียให้ตาย นายสุนันทะ จึงทรงอุ้มพระเตมีย์ขึ้นรถ เทียมม้า พาไปที่ป่าช้าผีดิบ เมื่อไปถึงป่าช้า นายสุนันทะก็เตรียมขุดหลุม จะฝังพระเตมีย์ พระเตมียกุมารประทับอยู่บนราชรถ ทรงร�ำพึงว่า “บัดนี้ เราพ้นจากความทุกข์ ว่าจะต้องเป็นพระราชา พ้นความทุกข์ว่า จะต้อง ท�ำบาป เราได้อดทนมาตลอดเวลา 16 ปี ไม่เคยเคลื่อนไหวร่างกายเลย เราจะลองดูว่า เรายังคงเคลื่อนไหวได้หรือไม่ มีก�ำลังร่างกายสมบูรณ์ หรือไม่” ร�ำพึงแล้ว พระเตมีย์ก็เสด็จลงจากราชรถ ทรงเคลื่อนไหว ร่างกาย ทดลองเดินไปมา ก็ทราบว่า ยังคงมีก�ำลังร่างกาย สมบูรณ์ เหมือนคนปกติ จึงทดลองยกราชรถ ก็ปรากฏว่าทรงมีก�ำลังยกราชรถขึ้น กวัดแกว่งได้อย่างง่ายดาย จึงทรงเดินไปหานายสุนันทะที่ก�ำลังก้มหน้า ก้มตาขุดหลุมอยู่ พระเตมีย์ตรัสถามนายสุนันทะว่า “ท่านเร่งรีบขุดหลุม ไปท�ำไม” นายสุนันทะตอบค�ำถามโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นดูว่า “เราขุดหลุม จะฝังพระโอรสของพระราชา เพราะพระโอรสเป็นง่อย เป็นใบ้ และหูหนวก พระราชาตรัสสั่งให้ฝังเสีย จะได้ไม่เป็นอันตรายแก่บ้านเมือง” พระเตมีย์จึงตรัสว่า “เราไม่ได้เป็นใบ้ ไม่ได้หูหนวก และไม่ง่อย เปลี้ย จงเงยขึ้นดูเราเถิด ถ้าท่านฝังเราเสีย ท่านก็จะประพฤติสิ่งที่ไม่ เป็นธรรม” นายสารถีเงยขึ้นดู เห็นพระเตมีย์ก็จ�ำไม่ได้ จึงถามว่า “ท่าน เป็นใคร ท่านมีรูปร่างงามราวกับเทวดา ท่านเป็นเทวดาหรือ หรือว่าเป็น
ทำ�ดี 29
มนุษย์ ท่านเป็นลูกใคร ท�ำอย่างไร เราจึงจะรู้จักท่าน” พระเตมีย์ตอบว่า “เราคือเตมียกุมาร โอรสพระราชา ผู้เป็นนายของท่าน ถ้าท่านฝังเราเสีย ท่านก็จะได้ชื่อว่า ท�ำสิ่งที่ไม่เป็นธรรม พระราชาเปรียบเหมือนต้นไม้ ตัว เราเปรียบเหมือนกิ่งไม้ ท่านได้อาศัยร่มเงาไม้ ถ้าท่านฝังเราเสีย ท่าน ก็ได้ชื่อว่า ท�ำสิ่งที่ไม่เป็นธรรม” นายสารถียังไม่เชื่อว่าเป็นพระกุมารที่ตนพามา พระเตมีย์ทรง ประสงค์จะให้นายสารถีเชื่อ จึงตรัสอธิบายให้เห็นว่าหากนายสารถีจะ ฝังพระองค์ก็ได้ชื่อว่าท�ำร้ายมิตร ทรงอธิบายว่า “ผู้ไม่ท�ำร้ายมิตร จะไป ที่ใด ก็มีคนคบหามาก จะไม่อดอยาก ไปที่ใดก็มีผู้สรรเสริญบูชา โจร จะไม่ข่มเหง พระราชาไม่ดูหมิ่น จะเอาชนะศัตรูทั้งปวงได้ ผู้ไม่ท�ำร้าย มิตร เมื่อมาถึงบ้านเรือนของตน หมู่ญาติและประชาชนจะพากันชื่นชม ยกย่อง ผู้ไม่ท�ำร้ายมิตร ย่อมได้รับการสักการะ เพราะเมื่อสักการะท่าน แล้ว ย่อมได้รับการสักการะตอบ เมื่อเคารพบูชาท่านแล้ว ย่อมได้รับ การเคารพตอบ ผู้ไม่ท�ำร้ายมิตร ย่อมรุ่งเรืองเหมือนกองไฟรุ่งโรจน์ ดัง เทวดา เป็นผู้มีมิ่งขวัญสิริมงคลประจ�ำตนอยู่เสมอ ผู้ไม่ท�ำร้ายมิตรจะ ท�ำการใดก็ส�ำเร็จผล โคจะมีลูกมาก หว่านพืชลงในนา ก็จะงอกงาม แม้จะพลัดตกเหว ตกจากภูเขา ตกจากต้นไม้ ก็จะไม่เป็นอันตราย ผู้ไม่ ท�ำร้ายมิตร ศัตรูไม่อาจข่มเหงได้ เพราะเป็นผู้มีมิตรมาก เปรียบเหมือน
30 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๓
ต้นไทรใหญ่ที่มีรากติดต่อพัวพัน ลมแรงก็ไม่อาจท�ำร้ายได้” นายสารถีได้ยินพระเตมีย์ตรัส ยิ่งเกิดความสงสัย จึงเดินมาดูที่ ราชรถ ก็ไม่เห็นพระกุมารที่ตนพามา ครั้นเดินกลับมาพินิจพิจารณา พระเตมีย์อีกครั้งก็จ�ำได้ จึงทูลว่า “ข้าพเจ้าจะพาพระองค์กลับวัง ขอ เชิญเสด็จกลับไปครองพระนครเถิด” พระเตมีย์ตรัสตอบว่า “เราไม่กลับ ไปวังอีกแล้ว เราได้ตัดขาดจากความยินดีในสมบัติทั้งหลาย เราได้ตั้ง ความอดทนมาเป็นเวลาถึง 16 ปี อันราชสมบัติ ทั้งพระนครและความ สุข ความรื่นเริงต่างๆ เป็นของน่าเพลิดเพลิน แต่เราไม่ปรารถนาจะ หลงอยู่ในความเพลิดเพลินนั้น ไม่ปรารถนาจะกระท�ำบาปอีก เราจะไม่ ก่อเวรให้เกิดขึ้นอีกแล้ว บัดนี้เราพ้นจากภาระนั้นแล้ว เพราะพระบิดา พระมารดา ปล่อยเราให้พ้นจากราชสมบัติมาแล้ว เราพ้นจากความ หลงใหลในกิเลสทั้งหลาย เราจะขอบวชอยู่ในป่านี้แต่ล�ำพัง เราต่อสู้ได้ ชัยชนะในจิตใจของเราแล้ว” เมื่อตรัสดังนั้น พระเตมียกุมารมีความชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง ร�ำพึง กับพระองค์เองว่า “ผู้ที่ไม่ใจเร็วด่วนได้ ผู้ที่มีความอดทน ย่อมได้รับผล ส�ำเร็จด้วยดี” นายสุนันทะสารถีได้ฟังก็เกิดความยินดี ทูลพระเตมีย์ว่า จะขอบวชอยู่กับพระเตมีย์ในป่า แต่พระองค์เห็นว่า หากนายสารถีไม่ กลับไปเมือง จะเกิดความสงสัยว่าพระองค์หายไปไหน ทั้งนายสารถี
ราชรถ เครื่องประดับทั้งปวงก็สูญหายไป ควรที่นายสารถีจะน�ำสิ่งของ ทั้งหลายกับไปพระราชวัง ทูลเรื่องราวให้พระราชาทรงทราบเสียก่อน แล้วจึงค่อยกลับมาบวชเมื่อหมดภาระ นายสุนันทะจึงกลับไปกราบทูล พระราชาว่า พระเตมียกุมาร มิได้พิกลพิการ แต่ทรงมีรูปโฉมงดงามและ ตรัสได้ไพเราะ เหตุที่แสร้งท�ำเป็นคนพิการก็เพราะไม่ปรารถนาจะครอง ราชสมบัติ ไม่ปรารถนาจะก่อเวรท�ำบาปอีกต่อไป เมื่อพระราชาและ พระมเหสีได้ทรงทราบ ก็ทรงปลื้มปิติยินดี โปรดให้จัดกระบวนไปรับ พระเตมีย์กลับจากป่า ขณะนั้นพระเตมีย์ทรงผนวชแล้ว ประทับอยู่ใน บรรณศาลาซึ่งเทวดาเนรมิตไว้ให้ เมื่อพระบิดาพระมารดาเสด็จไปถึง พระเตมียจ์ งึ เสด็จมาต้อนรับทักทายปราศรัยกันด้วยความยินดี พระราชา เห็นพระโอรสผนวชเป็นฤาษี เสวยใบไม้ลวกเป็นอาหาร และประทับ อยู่ล�ำพังในป่า จึงตรัสถามว่าเหตุใด จึงยังมีผิวพรรณผ่องใส ร่างกาย แข็งแรง พระเตมีย์ตรัสตอบพระบิดาว่า “อาตมามีร่างกายแข็งแรง ผิวพรรณผ่องใส เพราะไม่ต้องเศร้าโศกถึงอดีต ไม่ต้องรอคอยอนาคต อาตมาใช้ชีวิตให้เป็นไปตามที่สมควรในปัจจุบัน คนพาลนั้นย่อมซูบซีด เพราะมัวโศกเศร้าถึงอดีต เพราะมัวรอคอยอนาคต” พระราชาตรัสตอบว่า “ลูกยังหนุ่มยังแน่นแข็งแรง จะมามัวอยู่ ท�ำอะไรในป่า กลับไปบ้านเมืองเถิดกลับ ไปครองราชสมบัติ มีโอรส
ธิดา เมื่อชราแล้วจึงค่อยมาบวช” พระเตมีย์ตรัสตอบว่า “การบวชของ คนหนุ่มย่อมเป็นที่สรรเสริญ ใครเล่าจะนอนใจได้ว่ายังเป็นหนุ่ม ยังอยู่ ไกลจากความตาย อายุคนนั้นสั้นนัก เหมือนอายุของปลาในเวลาที่น�้ำ น้อย” พระราชาตรัสขอให้พระเตมีย์กลับไปครองราชสมบัติ ทรงกล่าว ชักชวนให้นึกถึงความสุขสบายต่างๆ พระเตมีย์จึงตรัสตอบว่า “วันคืนมี แต่จะล่วงเลยไป ผู้คนมีแต่จะแก่ เจ็บและตาย จะเอาสมบัติไปท�ำอะไร ทรัพย์สมบัติและความสุขทั้งหลายเอาชนะความตายไม่ได้ อาตมาพ้น จากความผูกพันทั้งหลายแล้ว ไม่ต้องการทรัพย์สมบัติอีกแล้ว” เมื่อ พระราชาได้ยินดังนั้น จึงเห็นประโยชน์อันใหญ่ยิ่ง ในการออกบวช ทรง ประสงค์ทจี่ ะละทิง้ ราชสมบัตอิ อกบวช พระมเหสี และเสนาข้าราชบริพาร ทั้งปวง รวมทั้งบรรดา ประชาชนทั้งหลายในเมืองพาราณสี ก็พร้อมใจ กันออกบวช บ�ำเพ็ญเพียรโดยทัว่ หน้ากัน เมือ่ ตายไปก็ได้ไปเกิดในสวรรค์ พ้นจากความผูกพันในโลกมนุษย์ ทั้งนี้เป็นด้วยพระเตมียกุมาร ทรงมี ความอดทนมีความตั้งใจอันมั่นคงแน่วแน่ในการที่ไม่ก่อเวร ท�ำบาป ทรงมุ่งมั่นอดทน จนประสบผลส�ำเร็จดังที่หวัง เหมือนดังที่ทรงร�ำพึงว่า “ผู้ที่ไม่ใจเร็วด่วนได้ ผู้ที่มีความอดทน ย่อมได้รับผลส�ำเร็จด้วยดี”
ภาพจากหนังสือ “ทศชาติ มหัศจรรย์” โดย สายฝน ศิลปพรหม
ทำ�ดี 31
ห้องแนะแนว
10 เรือ่ งควรคิดิ
ก่อนเปลีย่ นชีวติ เป็น
TEEN MOM คิดก่อน เพราะเราย้อนเวลากลับไปไม่ได้
1 STEP สามัญ ที่เด็กสาวผู้ก้าวพลาดจะได้รับจากคนรัก ศูนย์สร้างเสริมสุขภาพวัยรุ่น ของโรงพยาบาลรามาธิบดี ประมาณการว่าจะมีวัยรุ่นทำ�แท้ง ถึงปีละ 3 แสนคน หรือวันละราว 1,000 คน ถือเป็นสถิติการทำ�แท้งในวัยรุ่น ที่สูงที่สุดในโลก
32 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๓
2 ติแม้ดจะมีโรค การป้องกัน
แต่ก็ยังไม่สามารถปลอดจาก โรคติดต่อทางเพศต่างๆ ได้ กลุ่มวัยรุ่น 15-29 ปี เป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อกามโรค สูงที่สุด
3 เรีงานวิยจัยนต� ่ำ-งานตก ส่วนใหญ่พบว่า ผลของการหมกมุ่นชิงสุกก่อนห่าม ท�ำให้ผลการเรียนตกต�่ำลงมาก
4
8
ชืในวั่อนทีทราม-ภาพเสี ย ่ความลับถูกเปิดเผย
ดูถูกตัวเอง วังเวงไร้ค่า
ผู้หญิงจะถูกพูดถึงว่า เสียตัวแล้ว ผู้ชายจะกลายเป็น เสือผู้หญิง
5
เซ็กส์เป็นหลัก รักฉาบฉวย
การมีประสบการณ์รัก ตามความต้องการหรือความใคร่ มากกว่าความรู้สึกรัก คือ ความไม่แน่นอนและไม่ยั่งยืน อะไรที่ได้มาง่าย ย่อมไม่มีค่า ไม่ถูกดูแลรักษา และทะนุถนอม
6
9
ซึมเศร้า-เหงาง่าย
ผู้หญิงที่ยอมง่าย ย่อมถูกทิ้งและอยู่ในภาวะซึมเศร้า มากกว่าคนที่ไม่ยอมหลายเท่า และมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงกว่าเยอะมาก
7 หมิ่นชาย-หยามหญิง
ประสบการณ์รักฉาบฉวย จะเพาะบ่มทัศนคติทางลบต่อเพศตรงข้าม โดยฝ่ายชายก็มองหญิงเป็นเพียงเครื่องสนองความใคร่ เท่าๆ กับที่ฝ่ายหญิงก็ฝังใจว่าผู้ชายเลวเหมือนกันหมด จนเกิดปัญหาในความรักครั้งใหม่ต่อไปเรื่อยๆ
ประสบการณ์รักที่มากขึ้น ท�ำให้การมองเห็นคุณค่าตนเองเปลี่ยนไป มองกิจกรรมทางเพศเป็นเพียง “การแลกเปลี่ยน” ยิ่งเมื่อมีบ่อยครั้งขึ้น การเคารพและเห็นคุณค่าตนเองก็จะยิ่งน้อยลง
เจอคนจริงก็แห้ว เรื่องที่แล้ว ตามหลอกหลอน
เมื่อมีโอกาสพบคนที่ดีจริงๆ ใช่จริงๆ ก็เกิดความรู้สึกดูถูกตัวเอง หรือต้องพยายามปิดบังอดีต โดยเฉพาะฝ่ายหญิง จะมีความรู้สึกว่าตนเองมีประสบการณ์ไม่ดี หรือไม่มีค่าเพียงพอ
10
ชีวิตคู่อาจเฉา ระยะยาว ครอบครัวอาจพัง
อันเนื่องมาจากความทรงจ�ำที่เลวร้ายในวัยรุ่น ของกันและกัน ท�ำให้เกิดความไม่ไว้วางใจ ไม่เคารพกัน ซึ่งอาจท�ำลายชีวิตคู่ในวันข้างหน้า ซึ่งเป็นคู่ชีวิตจริงๆ ของเรา
ทำ�ดี 33
ธรรมะออนไลน์ เรื่องและภาพประกอบ
34 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๓
faithbook
ค่ายจิตสดใส วัยบริสุทธิ์ ด้วยพุทธปัญญา
ค่ายจิตสดใส วัยบริสุทธิ์ ด้วยพุทธปัญญา ถือกำ�เนิดโดยความเมตตาของ ท่านพระอาจารย์มานพ อุปสโม เมื่อปี พ.ศ. 2551 ด้วยความคิดที่จะปลูกฝังศีลธรรมให้ กับเยาวชนไทย ได้เดินตามรอยบาทพระศาสดา เป็นค่ายศีลธรรมที่เน้นการภาวนาแนว สติปฏั ฐาน 4 เสริมด้วยกิจกรรมบูรณาการเสริมทักษะการดำ�เนินชีวติ ต่างๆ อาทิ มารยาท ชาวพุทธ ความกตัญญู ความมีน้ำ�ใจ อายตนะ-ขันธ์ 5 การฝึกหายใจกับโยคะอย่างง่าย เยาวชนจะได้ฟังธรรมะในรูปแบบธรรมะหรรษา เช่นหัวข้อ ภพภูมิ เบญจศีล เบญจธรรม พุทธประวัติ ความสุขจากการให้ เป็นต้น เมื่อผ่านการอบรมแล้ว เยาวชนจะสามารถเป็น ผู้เชื่อมโยงระหว่าง บ้าน วัด และโรงเรียน ให้กลายเป็นภาคีธรรมะ สร้างสรรค์สู่การเป็น สังคมแห่งสันติและความเมตตาต่อไป ทำ�ดี 35
สารความสุข เดือนมกราหนึ่งปีมีหนึ่งครั้ง ปีใหม่พลันวันเด็กตามล้วนรำ�พึง เพราะถือว่าวันนี้มีความสุข แล้วผันผ่านเป็นนิจอนิจจา จงเร่งสร้าง ทุกวัน สำ�คัญเถิด ได้เริ่มต้นได้สนุกทุกนาที ทำ�ทุกวันให้ดีดังปีใหม่ วางทุกข์โศกวางใจไกลกังวล มาทำ�ให้ทุกวันเป็นวันเด็ก ไม่ปล่อยให้อวิชชามาแอบอิง จึงขอฝาก เรื่องไว้ ให้ขบคิด เพื่อครองชีพสงบสุขทุกเวลา
หลายคนตั้งตารอขอให้ถึง คอยคะนึงนับกันวันเวลา ได้สนุกเริ่มต้นชนหรรษา ต้องคอยท่าหาสุขใหม่ไปทุกปี ย่อมบังเกิดผลให้ใจสุขี ขอเพียงมีปัญญานำ�พาตน จิตสดใสทุกเวลาคร่าหมองหม่น ทุกแห่งหนร่มเย็นเห็นได้จริง ตัวตนเล็กไม่ยึดมั่นสรรค์สุขยิ่ง เห็นทุกสิ่งแจ่มชัดถนัดตา นิ่งพินิจน้อมธรรมนำ�ศึกษา เริ่มปีม้าส่งสุขสันต์ทุกท่านเทอญ
# ครูเชน #