รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ โครงการ แตงตําราอุบัติเหตุจราจรในบริบทสังคมและ วัฒนธรรมไทย
โดย ปนัดดา ชํานาญสุข
พฤษภาคม 2553
คานา
ความสุขอาจเป็นสิ่งที่หาได้อย่างง่ายดายในคนบางกลุ่ม แต่กลับเกิดขึ้นได้อย่างยากยิ่ง ในกลุ่มคนบางกลุ่ม ความแตกต่างของกลุ่มคนที่เข้าถึงหรือเข้าไม่ถึงความสุขที่แตกต่างกันนั้นอาจ เนื่องมาจาก “การให้นิยามความหมายของความสุข ”ที่แตกต่างกัน วิธีคิดและความเข้าใจที่ มีต่อ ความสุขที่แตกต่างกันทาให้คนมีวิธีการและความยุ่งยากในการเข้าถึงความสุขแตกต่างกันไปด้วย ดิฉันเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่ใฝ่ฝันที่จะดาเนินชีวิตอย่างมีความสุข แม้ว่าจะต้องใช้ชีวิต ส่วนใหญ่อยู่ใ นเมืองระดั บมหานครที่แออัดไปด้วยผู้คน และการจราจรที่ติดขัด มีการแก่ งแย่ ง แข่งขั น ในการด าเนิน ชี วิต จนดู เ สมือนว่ า ผู้ค นในสั งคมไร้ซึ่งมิ ตรภาพ ไร้ความเข้า ใจ เห็น แก่ ประโยชน์ส่วนตนและไม่เอื้ออาทรต่อผู้อื่น วิถีการใช้รถใช้ถนนบนถนนสาธารณะเป็นภาพตัวแทนที่สะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนใน สภาพสังคมและวัฒนธรรมไทยยุคเทคโนโลยีและความทันสมัยได้เป็นอย่างดี ในขณะที่เรากาลังขับรถอยู่ในที่ในทางของเรา แต่กลับมี รถบรรทุกขับมาด้วยความเร็วสูง และส่งสัญญาณไฟในความหมาย “ไล่” ให้เราไปไกลๆ ให้พ้นๆ ทางของเขานั้น? การโต้ตอบที่อาจเกิดขึ้นในทันทีทันใดคือ การกล่าวคาผรุสวาท การแช่งชักหักกระดูก หรือ อาจจะแกล้งขับให้กีดขวางในลักษณะที่ “อยากไปเร็วนักก็ไม่ต้องไป” นั่นคือ การกระทาโต้ตอบ ระหว่างกันที่เกิดขึ้นบนพื้นฐานการทาความเข้าใจการกระทาของ“เขา”จากภาพปรากฏส่วนผิวที่ เขาแสดงในลักษณะที่ก้าวร้าวและริดรอนสิทธิของเรา ผลที่เกิดขึ้นคือ “เรา” อาจรู้สึกภาคภูมิใจที่ “สั่งสอน”เขาได้ ถึงแม้ว่าเราจะหมดความสุขไปชั่วขณะเพราะมัวแต่ไปทุกข์อยู่ท่ามกลางบริบทของ การเพ่งโทษ ตาหนิ “เขา” ตารา “ฅนขับรถบรรทุก”เล่มนี้ ผู้เขียนมุ่งสร้างความเข้าใจถึงที่มา ที่ไปของวิถีการขับขี่รถ ของกลุ่มคนที่มีอาชีพรับจ้างขับรถบรรทุก วิธีคิดที่อยูเ่ บื้องหลังวิธีการขับรถของพวกเขา ตลอดจน กลุ่มคนที่อยู่แวดล้อมฅนขับรถบรรทุกซึ่งล้วนแล้วแต่มีผลต่อวิธีคิดและวิธีการขับรถบรรทุกทั้งสิน้ กุศลทีเ่ กิดขึ้นจากความเข้าใจผู้อื่น หรือในที่นหี้ มายถึง ฅนขับรถบรรทุกอาจจะทาให้เรามี ความสุขบ้างไม่มากก็น้อยในการดาเนินชีวิตในวิถีของการใช้รถใช้ถนนร่วมกัน ตาราเล่มนี้จะมีคุณค่ายิ่งขึ้น หากเรื่องราวที่ผู้เขียนได้มาจากการเก็บข้อมูลภาคสนามจะ ทาให้ผู้อ่านเข้าใจและร่วมเรียกร้องการป้องกันและแก้ไขอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากการขับขีร่ ถบรรทุกใน ระดับ รากเหง้าที่แท้ จ ริงของปั ญ หาที่ดารงอยู่ ทั้งในเชิงโครงสร้า งของระบบต่า งๆ เช่น ระบบ ประกันภัยและปัญหาในเชิงวัฒนธรรมเช่น วัฒนธรรมอุปถัมภ์ วัฒนธรรมคอร์รัปชั่น และความไม่ ยุติธรรมในการบังคับใช้กฎหมาย “ความรู้อยู่ที่ชาวบ้าน” ด้วยวิธีคิดเช่นนี้ทาให้ตาราเล่มนี้มิได้เขียนขึ้นจากการรวบรวม เอกสารและนั่งเขียนให้เสร็จอย่างรวดเร็วในห้องสมุดหรือในห้องทางานที่มีแอร์คอนดิชั่นที่เย็นฉ่า
หากแต่วัตถุดิบที่มาของการเขียนตาราเล่มนี้เกิดขึ้นจากความพยายามอย่างมากของผู้หญิงสองคน ที่ไม่เ คยใช้ชีวิต ในส่วนหนึ่งส่วนใดเกี่ย วข้องกั บ ฅนขับ รถบรรทุกเลย นอกเหนือจากการเห็น รถบรรทุกวิ่งไปวิ่งมาอย่างผิวเผินเมื่อใช้ทางสาธารณะร่วมกัน ความต้องการทาความเข้าใจการบาดเจ็บและการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุด้วยมุมมองและ แนวคิดทฤษฏีทางสังคมศาสตร์ทาให้ผู้เขียนพยายามที่จะผลิตสร้างองค์ความรู้ชุดนี้ขึ้น เพื่ออธิบาย อุบัติเหตุจราจรในกลุ่มรถบรรทุกในวิถีที่แตกต่างจากคาอธิบายกระแสหลักในเชิงระบาดวิทยา ความกรุณาของเหล่าบรรดาฅนขับรถบรรทุกที่ “ให้เวลาและอดทน” ต่อการซักถามของ ผู้เขียน การเปิดพื้นที่ให้ผู้เขียนได้มีโอกาสเป็น เด็กติดรถ” ได้เห็นสภาพการทางานและบริบทการใช้ ชีวิตในสภาพธรรมชาติและใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด...ผู้เขียนขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ “เอกภพ และ อัค รพงศ์ สิท ธิวรรณธนะ”คือภาพตัวแทนของผู้ที่มีศรัท ธาต่อการท างาน วิชาการเพื่อสังคมโดยมิได้มุ่งหวังสิ่งตอบแทนมากไปกว่า ความสุขที่ได้รับจากการทาความเข้าใจ ผู้คนที่ถูกสังคมละเลย มองข้าม ไม่เข้าใจและเป็นพลังที่สาคัญของการสร้างสรรค์งานที่มีคุ ณภาพ ของผู้เขียนตลอดมา การทางานวิชาการที่เร่งรีบนอกจากจะทาให้คุณค่าทางวิชาการลดน้อยลงแล้ว ยังอาจ ส่งผลกระทบต่อความเข้าใจของสังคมที่บิดเบือนด้วย ขอขอบพระคุณ ศาสตราจารย์นายแพทย์ ไพบูลย์ สุริยะวงศ์ไพศาลที่เป็น แรงบั นดาลใจต่อผู้เขียนตั้งแต่ใ นช่วงเริ่มต้นและตลอดมาพร้อม คาสอนที่กระตุ้นเตือนสติเสมอว่า “ให้ทางานวิชาการด้วยความระมัดระวังและมุ่งมั่นต่อการ รักษาคุณภาพของงานวิชาการเหนือสิ่งอื่นใด” กลุ่มบุคคลผู้ทาหน้าที่เป็นกัลยณมิตรบนเส้นทางสายวิชาการด้านอุบัติเหตุจราจรและเป็น ผู้ให้ก าลังใจและเห็นคุ ณค่าของงานทางสั งคมศาสตร์ที่ใช้ในการอธิบ ายปรากฏการณ์อุบัติเหตุ จราจรคือ นายแพทย์ ธนพงษ์ จินวงษ์ นายแพทย์ วิท ยา ชาติบั ญ ชาชัย และนายแพทย์ อนุช า เศรษฐเสถียร ผู้เขียนรู้สึกซาบซึ้งในมิตรไมตรีที่ได้รับเสมอมาและขอขอบคุณ มา ณ โอกาสนี้ ด้วยความเคารพ บนเส้นทางสายรถบรรทุก ดร.ประคอง ชื่นวัฒนา-ดร.ปนัดดา ชานาญสุข
สารบัญ บทที่1 บทนา บทที่2 ปรากฏการณ์อุบัติเหตุรถบรรทุก บทที่ 3 ว่าด้วยฅนขับรถบรรทุก บทที่ 4 อุบัติเหตุรถบรรทุก....ภาพสะท้อนสังคมวัฒนธรรมไทย บทที่ 5 ส่งท้าย บรรณานุกรม
1 3 7 75 86 106
บทที่ 1 บทนำ “เพชฌฆาตทางหลวง” คือคาเรีย กขานที่คนในสังคมให้ความหมายถึงเหล่าบรรดา คนขับรถบรรทุก โดยมีทรรศนะว่า พฤติก รรมการขับรถของคนขับ รถบรรทุกนั้น ในลัก ษณะเป็ น “เจ้าถนน” โดยเป็นกลุ่มคนขับรถที่มีพฤติกรรมการขับรถที่เสี่ยงต่ออุบัติเหตุจราจรสูง ทั้งในรูปแบบ การขับรถเร็ว น่าหวาดเสียว ฝ่าฝืนกฎจราจรโดยการแซงในบริเวณห้ามแซง รวมทั้งมีการเสพย์ ยาบ้าหรือเหล้า เรื่องราวของ ฅนขับรถบรรทุกที่ถูกถ่ายทอดนาเสนอสู่สาธารณะมักเป็นภาพลักษณ์ใน เชิงลบเป็นส่วนใหญ่ การตกเป็นจาเลยของสังคมในฐานะ “ต้นเหตุ”ที่ทาให้เกิดโศกนาฏกรรมบน ท้องถนน ทาให้ผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่นได้รับบาดเจ็บ เสียชีวิตอย่างน่าสะเทือนขวัญในทุกๆครั้งจะถูก อธิบายว่ามีสาเหตุมาจาก “ฅนขับรถบรรทุก” และ “สภาพรถบรรทุก”เท่านั้น สิ่งที่ใครๆบอกว่า “เสี่ยง” นั้น ฅนขับรถบรรทุกมีวิธีคิดอย่างไร ฅนขับรถบรรทุกเป็นใคร พวกเขาก้าวเข้ามาเป็นผู้ที่ควบคุมรถขนาดใหญ่ ควบคุมสินค้าที่มีมูลค่ามากมาย และเดินเข้าสู่ เส้นทางสายอาชีพที่มีผลต่อความเป็น ความตายของผู้คนอื่นๆบนถนนได้อย่างไร รวมไปถึงบริบท ทางสังคมและวัฒนธรรมที่หล่อหลอมวิธีคิด วิถีการดาเนินชีวิต การขับขี่รถบรรทุก เป็นอย่างไรคือ โจทย์ สาคั ญ ในการเขี ย นต าราเล่ มนี้ โ ดยมีจุ ด มุ่ ง หมายในการอธิ บ าย และท าความเข้ า ใจ “โลกของฅนขับรถบรรทุกและอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ” โดยผู้เขียนทาการศึกษารวบรวมวัตถุดิบในการ เขียนจากการสัมภาษณ์เชิงลึกกลุ่มฅนขับรถบรรทุก การสังเกตุ การเข้าไปมีส่วนร่วมในฐานะของ เด็กติดรถ การสัมภาษณ์กลุ่มบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฅนขับรถบรรทุก ประกอบกับการศึกษา ค้นคว้าเอกสาร ตารา และงานวิจัยต่างๆ องค์ประกอบ 5 บทของตาราฅนขับรถบรรทุกเล่มนี้เริ่มต้นจาก บทแรกคือบทนา ทีเ่ ขียนขึน้ เพื่อนาเสนอให้เห็นโครงสร้างของตาราเพื่อนาให้ผู้อ่านเข้าใจ ภาพรวมของเนื้อหาในตาราฅนขับรถบรรทุกเล่มนี้ บทที่สอง ปรากฏการณ์อุบัติเหตุรถบรรทุก เป็นการนาเสนอภาพที่ปรากฏแก่สายตาผู้คน ในสัง คมทั่ วไป ที่รั บ รู้ ข้ อมู ล ข่า วสารการเกิ ด อุบั ติเ หตุ จ ากรถบรรทุก จนคุ้ น ชิ น และได้ข้ อสรุ ป แบบเดิ ม ๆที่ไ ม่ได้ แตกต่ างจากทศวรรษที่ผ่า นมา ภาพของฅนขับ รถบรรทุ ก ที่นิ ย มขั บ รถด้ว ย ความเร็วสูง บรรทุกน้าหนักเกิน มีพฤติกรรมการขับขี่ที่ก้าวร้าวทั้งในรูปแบบปาดซ้ายแซงขวา บีบ แตรไล่ กระพริบไฟใส่รถคันหน้าโดยไม่สนใจใยดี หรือเอื้ออาทรต่อผู้ร่วมทางอื่นๆ ในตอนท้ายของ บทผู้เขียนตั้งคาถามว่า ทาไมพฤติกรรมการขับขี่ที่เสี่ยงของฅนขับรถบรรทุกจึงยังคงดารงอยู่ได้?
ฅนขับรถบรรทุก
2
บทที่สาม ว่าด้วยฅนขับรถบรรทุก ผู้เขียนมุ่งหวังในการตีแผ่ชีวิตเบื้ องหลังพวงมาลัย ของฅนขับรถบรรทุกโดยหวังว่าข้อมูลของความเข้าใจเหตุซับซ้อนเชิงลึกที่หลากหลายเหล่านี้จะทา ให้ภาพของบทบาทการเป็นผู้ร้ายบนถนนของฅนขับรถบรรทุกถูกทาความเข้าใจได้อย่างชัดเจน ยิ่งขึ้น และอาจเป็นช่องทางหนึ่งในการป้องกันและแก้ปัญหาอุบัติเหตุจราจรที่เกิดขึ้นจากรถบรรทุก บทที่สี่ อุบัติเหตุรถบรรทุก ...ภาพสะท้อนสังคมวัฒนธรรมไทย ในบทนี้แสดงให้เห็นว่า ฅนขับรถบรรทุกไม่ได้มีวิถีการขับขี่รถที่เสี่ยงอยู่เพียงลาพัง พวกเขาเหล่านั้นถูกแวดล้อม ก่อร่าง สร้างวิธีคิดและวิธีการที่เสี่ยงมาจากระบบสังคมและระบบวัฒนธรรมที่ให้ความสาคัญต่อ “เงิน” มากกว่า “ความปลอดภัยทางถนน” ท้ายสุดคือบทที่ห้า เป็นบทส่งท้าย ที่นาเสนอภาพความเชื่อมโยงของเหตุปัจจัยซึ่งเป็น รากเหง้าที่มาของปัญหาการเกิดอุบัติเหตุในกลุ่มรถบรรทุก ผลึกความคิดเกี่ยวกับ ชุดวิธีคิดที่ว่า ด้วยอุบัติเหตุจราจรของฅนขับรถบรรทุก การอธิบายเหตุผลที่มาที่ไปว่าความเสี่ยงกลายเป็นสิ่งทีไ่ ม่ น่ากลัวถูกนาเสนอในบทนี้ รวมถึงการร่วมกันประกอบสร้างความรู้ความจริง ?เกี่ยวกับอุบัติเหตุ จราจรระหว่างนายทุน และฅนขับรถบรรทุก ตาราเรื่อง ฅนขับรถบรรทุก : อุบัติเหตุจราจรในบริบทสังคมและวัฒนธรรมไทย เล่มนี้นับ ได้ว่าเป็น ตาราเล่มแรกๆที่ปรากฏตัวในวงการวิช าการไทยที่น าเสนอเรื่องราวอุบั ติ เหตุจ ราจรที่ เกี่ยวข้องกับรถบรรทุกในมุมมอง แนวคิด ทฤษฏีทางสังคมศาสตร์
บทที่ 2 ปรากฏการณ์อุบัติเหตุรถบรรทุก “ผมอยากให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองช่วยกวดขันคนขับรถบรรทุกสิบล้อให้มากกว่านี้ สาหรับกรณีของลูกผมถือเป็นความประมาทของคนขับรถบรรทุก” 1
ถ้อยคาของบิดาของเด็กนักเรียนรายหนึ่งกล่าว ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ภายหลังจากทราบว่า บุตรชายเสียชีวิตจากอุบตั ิเหตุรถบรรทุกสิบล้อวิ่งมาด้วย ความเร็วและชนท้ายรถนักเรียน ทาให้เด็กนักเรียน เสียชีวติ 6 ราย บาดเจ็บอีก 18 คน หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 28 มกราคม 53 แม้ว่ารถบรรทุกจะมีจานวนการเกิดอุบัตเิ หตุไม่ มากเท่ากับรถจักรยานยนต์ รถปิคอัพ หรือ รถยนต์ส่วนตัว แต่ความรุนแรงที่ปรากฏต่อสังคมนัน้ พบว่า อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากรถบรรทุกในแต่ละครั้งนั้นมีความรุนแรงและสร้างความสูญเสียที่มีมูลค่าสูง ด้วย ภาวะที่ก่อให้เกิดความสูญเสียเช่นนีท้ าให้รถบรรทุกถูกมองในภาพพจน์ของ ‚ผู้ร้าย‛ เป็นฝ่ายที่กระทา ต่อผู้อื่นอย่างโหดร้าย และไร้ซึ่งเหตุผลที่สามารถรับฟังได้ ดังหัวข่าวที่ปรากฏตามหน้าหนังสือพิมพ์ รายวัน เช่น ชนสยอง 2 ศพ 10 ล้อบรรทุกแก๊ส หลับในขยี้ปิกอัพจอดเปลี่ยนยาง2, สิบล้อซิ่งฝ่าไฟ แดงชนรถนักเรียน ม. 4 ดับ 1 เจ็บอีก 13 ราย3, 18 ล้อเบรกแตกชนยับปิกอัพผ้าป่า 8 ศพ4 เป็นต้น สาเหตุ ส าคั ญ ของการเกิ ด อุ บั ติ เ หตุ รถบรรทุก แต่ละครั้ง จะถู กน าเสนอว่ามีสาเหตุมาจากประเด็นใหญ่ๆ 2 ประเด็น คือ สาเหตุมาจาก คนขับ บรรทุกเช่น คนขับรถบรรทุก หลับใน คนขับรถฝ่าสัญญาณไฟแดง หรือขับรถเร็ว หากไม่ถู ก นาเสนอสาเหตุว่ามาจากคนขับรถก็จะให้เหตุผลในประเด็นสาเหตุเกิดขึ้นจากสภาพรถ เช่น เบรกแตก หรือน้าหนักบรรทุกหนักมากจนเบรกไม่อยู่
1
คม ชัด ลึก ฉบับวันที่ 20 มิถุนายน 2549 เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 31 สิงหาคม 2551 3 เนชั่น ฉบับวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2552 4 ข่าวสด ฉบับวันที่ 6 เมษายน 2551 2
ฅนขับรถบรรทุก
4
นอกเหนือบทบาทของผู้ร้ายที่ขับรถในลักษณะที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุรุนแรงแล้ว รถบรรทุกยังถูก ตีตราให้นิยามความหมายว่าเป็น ‘ตัวราคาญ’ ของชาวบ้านในย่านที่รถบรรทุกใช้เป็นเส้นทางวิ่งรถผ่าน เนื่องจากเป็นสาเหตุทาให้ถนนพัง ต้องใช้งบประมาณ ในการซ่อมแซมปีหนึ่งๆ นับเป็น แสนล้านบาท เรื่อง สินค้าที่บรรทุกอย่างหิน ดิน ทราย ตกเรี่ยราดบนพื้น ถนนทาให้ผู้ใช้รถใช้ถนนสัญ จรไปมาไม่ได้รับความ สะดวก รวมทั้งต้องขับรถด้วยความระมัดระวังยิ่งขึ้น และบ่ อยครั้งที่ท าให้รถคั นอื่นๆได้ รับความเสียหาย จากเศษหิ น ที่ ก ระเด็ น มาใส่ แ ละไม่ ส ามารถหา น้าเมือกจากการบรรทุกกุ้ง ไหลลงพื้นตลอดการเดินทาง ผู้รับผิดชอบได้ ทั้งๆ ที่มีการตราพระราชบัญญัติจราจรทางบกการจราจรและประกาศใช้มาตั้งแต่ พ.ศ. 2477 แต่ยวดยานบนท้องถนนต่างๆ ก็ยังคงมีการฝ่าฝืนกฎหมาย โดยเฉพาะรถบรรทุก จนกลายเป็นช่องทาง ให้เจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายบางกลุ่มคอรัปชั่นหาผลประโยชน์จากการฝ่าฝืนกฎหมายจราจร นอกจาก ‘ส่วยทางหลวง’ หรือ ‘ส่วยรถบรรทุก’ จะเป็นปัญหาเรื้อรังที่เจ้าหน้าระดับสูงของรัฐ หลายยุ คหลายสมัยพยายามแก้ไขแล้ว ‘ส่วยรถบรรทุก ’ ยังเป็น ปรากฏการณ์ที่สะท้อนให้เ ห็น ถึ ง ความสัมพันธ์ระหว่าง ‘เถ้าแก่’ เจ้าของรถบรรทุกกับตารวจทางหลวง และตารวจประจาท้องที่ และ เจ้าหน้าที่รัฐ อื่น ๆ เช่น ขนส่ง ปศุ สัต ว์ อัน เป็ น ความสัมพัน ธ์ ที่ ท าให้บ นถนนยั งมีรถบรรทุก ที่วิ่งใน ช่องทางวิ่งรถด้านขวา บรรทุก สินค้ าจนแทบจะล้น ออกมานอกรถหรือขับขี่รถที่มีสภาพไม่พร้อม คนขับรถบรรทุกเล่าถึงการจ่ายค่าส่วยให้กับ ตารวจว่ามี 2 ลักษณะ คือ การจ่ายเป็นรายเดือน และ การจ่ า ยเป็ น รายเที่ ย ว โดยส่ ว นใหญ่ แ ล้ ว เถ้ า แก่ เจ้าของรถบรรทุกจะเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด ยางรถยนต์ที่ระเบิดถูกกองสุมไว้ในอู่รถบรรทุก
‚อย่างที่ผมวิ่งมาเส้นเนี่ย ผมโทรฯ ถามเถ้าแก่เลย เขาก็ว่า...เฮ้ย! เส้นนี้ไม่เป็นไร อ้ายตัวนั้น ตัวนี้อยู่ หมายเลขนั้นๆ ทะเบียนนี้อยู่ ผ่านตลอด เราก็ไปได้…น้าหนักบรรทุกมันเกินยี่สิบห้า ยี่สิบหกตัน เราต้องจอดอยู่แล้ว แต่นี่เราเคลียร์ทางหลวงไว้แล้ว สามสิบสี่สิบตันมันก็ให้ เรา วิ่งผ่านตลอดเลย ดูป้ายแล้วมันก็ให้ไป ถ้าไม่มีป้ายมันก็เรียกหน่อย มันก็ถาม ถาม…รถใคร วะ พอบอก... (ตารวจ) เออ... ถ้ามันรู้ มันก็ปล่อยไป...ประมาณพันนึง ตู้ละพัน‛
ฅนขับรถบรรทุก
5
‚ที่นี่ที่เดียวแหละ เคลียร์แล้ว ตารวจมันก็เก็บอีก เถ้าแก่เขาก็เลยไม่ได้เคลียร์ ปล่อย ให้มันเก็บวันละยี่สิบ ถ้ามันตั้งด่าน เราต้องเตรียมไว้ให้มันเลยล่ ะ ยี่สิบ... ยี่สิบ ถ้า เป็นพ่วงบางทีก็ขอสี่สิบด้วยนา บางทีมันตั้งด่านสองรอบน่ะ รอบหัวค่ารอบนึง ตอน ดึกอีกรอบนึงน่ะ...เถ้าแก่ก็ลงบัญชีไว้ สิ้นเดือนเขาคิดให้เรามา คิดย้อนมาให้เรา‛ คนขับรถบรรทุกทรายคนหนึ่งเล่าหลังจากที่เขาจอดรถและหยิบเงิน 20 บาทยื่นให้กับตารวจ ที่มาตั้งด่านตรวจตราความเรียบร้อยบนถนนสายหนึ่ง ในขณะที่ผู้เขียนนั่งรถไปส่งทรายกับเขาในค่า คืนหนึ่ง สาหรับคนที่มีอาชีพรับจ้างขับรถบรรทุกแล้ว ดูเหมือนว่า ‘เถ้าแก่’ จะเป็นศูน ย์กลางในการ แก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดจากการขับรถบรรทุกนาสินค้าไปส่งยังปลายทาง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเคลียร์ เส้นทางการเดินรถกับ ตารวจ หรือแม้กระทั่งการเกิ ด อุบัติเหตุรถชนกันซึ่งจะมีตัวแทนจากบริษัทประกันภัย เข้ามาทาหน้าที่เ คลีย ร์ ปั ญหาให้ แทน ซึ่ง คงจะไม่มี เหตุผลอื่นนอกเหนือไปจาก ‘กาไร’ ‚ปีก ลายเนี่ย เถ้ าแก่พาพวกผมไปเลี้ยง เขา บอกว่า...ปีนี้พวกมึงทากาไรให้กูสิบล้าน เขาบอก...ปี หน้าให้ทาให้กู ยี่สิบล้าน แต่ เขาไม่ได้ บอกว่า ปีนี้ ได้กี่ ล้าน แต่ปีกลายเขาบอกเขาได้สิบล้าน‛ คนขับรถบรรทุกต้องคอยย้ายยางที่เสื่อมสภาพไปไว้ตาแหน่งยาง ประคอง (ล้อกลาง) เนื่องจากเถ้าแก่ไม่ให้ซื้อยางเส้นใหม่ ส่วนยางอะไหล่ก็เป็นยางที่เสื่อมสภาพเช่นกัน
ในฐานะตัวทากาไร เถ้าแก่จะคอยควบคุมการทางานของคนขับรถอย่างใกล้ชิด กวดขันให้ คนขับรถบรรทุกขับรถส่งสินค้าให้ได้จานวนเที่ยวตามที่กาหนดด้วยวิธีการที่หลากหลาย เช่น การจ่าย ค่าจ้ างเป็ น จ านวนเที่ ย วที่ค นขั บ รถขับ ไปส่ง สิน ค้า การจ้า งคนตามรถ 5 เป็ น ต้ น ซึ่ง แม้ ว่า การขั บ
5
เป็ น คนที่ เ ถ้า แก่ จ้ างมาเพื่อ คอยควบคุ มคนขั บ รถบรรทุกให้ ขับ รถได้จ านวนเที่ ยวที่ต้อ งการ พร้อ มทั้ ง ให้ ความ ช่ว ยเหลื อ คนขับ รถบรรทุก ในระหว่ างการขั บ รถไปส่ งสิ นค้ า โดยคนตามรถจะขั บรถปิ กอัพ ที่บ รรทุ กยางรถอะไหล่ ตระเวนไปบนถนนสายที่คนขับรถบรรทุกใช้เป็นเส้นทางในการเดินทาง หากรถบรรทุกยางแตก คนตามรถก็จะนายาง อะไหล่มาให้เปลี่ยน หากเกิดอุบัติเหตุ คนตามรถก็จะไปยังที่เกิดเหตุและช่วยประสานกับตัวแทนบริษัทประกันภัย
ฅนขับรถบรรทุก
6
รถบรรทุกจะไม่ต้องใช้กาลังแรงกายมากนัก แต่การขับรถตั้งแต่เช้าจนเย็น หรือเย็นจนเช้า เกือบทุกวัน ก็มักจะทาให้คนขับรถบรรทุกรู้สึกเหนื่อย เพลีย และอยากพัก ‚ถ้างานเร่ง เราบอกไปไม่ไหว เถ้าแก่เขาจะด่าอยู่นั่นแหละ บอกมึงไปไม่ไหว อ้ายห่า!…ซัก เที่ยวก็ยังดี บ่น…อะไรวะได้เที่ยวเดียว ยังไงวะ เป็นอะไร…เขาก็ถาม ถ้าเราบอกว่ารถเสียเขา ก็ไม่ว่าอะไร ถ้าบอกว่าไปไม่ไหว…อะไรวะ ขับกลางคืน ไปไม่ไหว …อ้ายห่าเอ๊ย!…งานมันเร่ง มึงช่วยหน่อยโว๊ย ยังไงขับให้ได้สองเที่ยว เขาจะบอกทุกคันแหละ‛ ด้วยลักษณะงานที่ต้องใช้ความเร็ว สภาพรถไม่เต็มร้อย การบรรทุกสินค้าหนัก และทางานใน ขณะที่ร่างกายอ่อนเพลีย ในเชิงระบาดวิทยาแล้วนับว่าเป็นปัจจัย เสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ จราจรที่ สาคัญ ซึ่งเหล่าคนขับรถบรรทุกเองก็รับรูถ้ ึงความเสี่ยงนี้ดี เหมือนกับที่ชาญ คนขับรถบรรทุกดินวัย 38 ปีบอกว่า ‚คนขับรถบรรทุกมันต้องมีอุบัติเหตุมั่ง จะไม่ให้เกี่ยวให้ชนเลยน่ะเป็นไปไม่ได้หรอก…บางทีมนั ก็ไม่แน่ เรามันรถเก่าด้วย บางทีปั๊มเบรกปั๊มอะไรนี่เหยียบแล้วหายวึ๊บไปเลยเนี่ย‛ ‚คนเรามันก็ต้องมีพลาด มีเมื่อย มี เพลียใช่มั๊ย บางทีมันก็ต้องมีเผลอมั่ง เรื่องปกติ ...มัน ก็ ต้องมีมั่ง เฉี่ยว ชน บางทีเผลอไปแว๊บนึง ถึงเขาแล้วอย่างเนี่ย‛ ในปัจจุบัน ปรากฏการณ์อุบัติเหตุรถบรรทุกยังปรากฏให้เห็นอยู่เป็นระยะๆ สภาพการขับขี่ รถบรรทุกด้วยความเร็ว การบรรทุกของหนักเกินพิกัดที่ก ฎหมายกาหนด หรือการบรรทุกสิ่งของที่ยื่น ยาวออกมาจากตัวรถที่ล่อแหลมต่อการเกิดอุบัติเหตุ การวิ่งรถในเลนขวา ยังปรากฏให้เห็นอยู่ในวิถี ชีวิตประจาวัน ปรากฏการณ์เหล่านี้ถูกจัดวางไว้ให้เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบขององค์กรภาครัฐเพียง ไม่กี่หน่วยงานและดูเหมือนว่า ตารวจ จะถูกคาดหวังให้เป็นผู้รับผิดชอบต่อการแก้ปัญหานี้พอๆกับการ วิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นผู้ที่เอื้อต่อการดารงอยู่ของปรากฏการณ์การขับขี่รถบรรทุกที่เสี่ยงต่อการเกิ ด อุบัติเหตุ?ในบทต่อไปนี้ ผู้เขียนจะนาเสนอผลที่ได้จากการเก็บรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์และ การสังเกตวิถีของการขับรถบรรทุกเพื่ออธิบายถึงเหตุ ปัจจัยที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับวิถีการขับขี่ที่เสี่ยงต่อการ เกิดอุบัติเหตุในกลุ่มผู้ขับขี่รถบรรทุก ทั้งในมิติของวิธี คิด การก่อร่างความคิด และ การจัดการความเสี่ยงที่ ดารงอยู่บนวิถีการประกอบอาชีพ ฅนขับรถบรรทุก
บทที่ 3 ว่าด้วยฅนขับรถบรรทุก เหมือนเช่นทุกคื นที่ผ่านมา รัตน์และเพื่อนๆ ขับรถบรรทุกทรายเต็มคัน แล่น ไปข้างหน้าด้วย ความเร็ว เพื่อเอาทรายไปลงที่ โรงงานทําปู น คอนกรีต ผสมเสร็จ ย่ านถนนรามอิน ทราโดยคนขั บ รถบรรทุกใช้คําเรียกทับคําศัพท์ภาษาอังกฤษว่าแพล็นท์ (plant) ทันทีที่ก ลับ มาถึงบ้านในช่วงเช้ามืดเขาจะเข้านอน และตื่นอีกครั้งราวบ่ าย 3 โมง เพื่อขับ รถบรรทุกเข้าไปที่อู่ซึ่งเป็นสํานักงานและสถานที่ซ่อมรถบรรทุกของบริษัท ที่เขาขับรถบรรทุกรับจ้างอยู่ เพื่อเติมน้ํามัน และรับตั๋วซึ่งเปรียบเสมือนใบสั่งงานให้ไปลงทราย โดยส่วนใหญ่แล้วในแต่ละคืนรัตน์ และเพื่อนๆคนขับรถบรรทุกคนอื่นๆจะได้ตั๋วเท่าๆกันคือคนละ 2 ใบ ซึ่งหมายความว่า พวกเขาจะต้อง ขับรถกันตลอดทั้งคืน การทํา ความเข้าใจบริบ ททางสังคมวัฒนธรรม วิถี ก ารดํา เนิน ชีวิ ต ที่ มีความเกี่ ย วข้องกั บ พฤติกรรมการขับรถที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจราจรของคนขับรถบรรทุกอาจจะทําให้เราได้ข้อมูลเพื่อ นํามาใช้ในการรื้อและสร้างวิธีคิดและวิธีการใหม่ๆเพื่อปรับเปลี่ยนเหตุปัจจัยต่างๆในการป้องกันและ แก้ไขอุบั ติเหตุในกลุ่มรถบรรทุกต่อไป นอกเหนือจากการใช้ มาตรการให้ความรู้ (Education) และ มาตรการการบังคับใช้กฎหมาย (Law Enforcement) เท่าที่ทํากันอยู่ในปัจจุบัน การตั้งคําถามว่า ทําไมเขาถึงมาเป็นคนขับรถบรรทุก คนขับรถบรรทุกต้องการอะไรจากการขับ รถบรรทุก กระบวนการเข้าสู่ภาวะของการเป็นคนขับรถบรรทุกเป็นอย่างไร คนขับรถบรรทุกเกี่ยวข้อง สัมพันธ์กับใครบ้างในวิถีอาชีพคนขับรถบรรทุก ความสัมพันธ์ระหว่างคนขับรถบรรทุกกับผู้คนเหล่านั้น เป็นอย่างไร มีเป้าหมายอะไร เป็นตัวอย่างของความรู้ที่ควรทําความเข้าใจ ก่อนที่จะสรุปถึงประเด็น หรือมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุจราจรที่เกิดขึ้นในกลุ่มรถบรรทุก ความเสี่ยง และ การป้องกันอุบตั ิเหตุ : ความรู้จากประสบการณ์ในชีวิตประจาวันของคนขับ รถบรรทุก ด้วยความเชื่อว่า บริบททางสังคมวัฒนธรรมมีอิทธิพลต่อความคิด ความเชื่อ และพฤติกรรม ของผู้คน ในทํานองเดียวกัน พฤติกรรมการขับรถบรรทุกและวิธีคิดของคนขับรถบรรทุกย่อมเป็นผลมา จากการหล่อหลอมทางสังคมและวัฒนธรรม อุบัติเหตุบนท้องถนนเกิดขึ้นท่ามกลางบริบทอันสลับซับซ้อนของการดําเนินชีวิตทางสังคม ที่ ดํารงอยู่ท่ามกลาง ‚ความเสี่ยง‛ เรื่องราวจากการพูดคุยกับคนขับรถบรรทุก คนแวดล้อมรอบข้างกับ พวกเขาทั้งคนในครอบครัว เพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน ผู้ใช้รถใช้ถนนอื่นๆ สะท้อนให้เห็นบริบทชีวิตของ
ฅนขับรถบรรทุก
8
‘ฅน’ ขับรถบรรทุกว่า พวกเขาก็คือคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้มีความแตกต่างจากคนอื่นๆ พวกเขามีความรัก โลภ โกรธ หลง มีความดี และความไม่ดีที่ปะปนอยู่ในตัวคนคนเดียวกัน คนขับ รถบรรทุกเปรียบเสมือนเฟืองที่ช่วยขับเคลื่อนระบบธุรกิจ ขนส่งทางบกให้ดําเนิน ไป ในขณะที่ชีวิต ของพวกเขาเองนั้ น ก็ ถู ก กํ ากั บ ด้วยระบบการทําธุรกิ จ บริบ ทการทํางานที่มัก จะถู ก ประทับตราจากผู้คนในสังคมว่าเป็นกลุ่มคนที่ขับรถเสี่ยง ก้าวร้าว ไม่สนใจความเป็นความตายของผู้ใช้ รถใช้ถนนอื่นๆ จนกระทั่งถูกประทับด้วยฉายา “เพชฌฆาตบนท้องถนน” ด้วยบทบาทของ‚ผู้หาเลี้ยงครอบครัว‛ ทําให้ เงิน มีความหมายถึง สิ่งสําคัญที่จะทําให้คนขับ รถบรรทุกและครอบครัวสามารถดํารงชีวิตอยู่ได้ในแต่ละวัน วิธีการได้เงินมา แลกกับอาชีพที่ใครๆ อาจจะมองว่า เสี่ยงต่ออันตรายแต่ ด้วยประสบการณ์ที่ ส่วนใหญ่แล้วคนขับรถบรรทุกจะมีวิถีการทํางานโดยเริ่มต้นจากการเป็นเด็กรถมาก่อน จนกระทั่งไต่เต้า ขึ้นสู่การเป็นลูกพี่ เป็นคนขับรถบรรทุก ดังนั้นพวกเขาจึงได้เรียนรู้วิถีการเตรียมตัว และเตรียมรถตาม ทัศนะและมุมมองจากประสบการณ์การอยู่กับลูกพี่ในห้วงเวลาที่ผ่านมา คนขับรถบรรทุกให้ความหมายของความเสี่ยงและคุณค่าในการป้องกันอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจาก ประสบการณ์ในชีวิตประจําวันของพวกเขา 3 ประการคือ ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากความง่วง ความเมา และ ความไม่สมบูรณ์ของรถ นอน : กลยุทธ์ที่สาคัญในการป้องกันอุบัติเหตุ คนขับรถบรรทุกทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าวิธีการป้องกันอุบัติเหตุที่ดีที่สุด คือ การนอน ‚ต้องนอน นอนให้พอ ก็อย่างเนี่ย ะ...ไปลพบุรีคืนนี้ ประมาณซักสองสามทุ่มผมก็ นอนแล้ว ถ้าออกตีสองผมก็ตื่นนอนสามทุ่ม‛ ‚เราก็ ระวัง ก็ พยายามนอนเต็มที่แหละ แต่บางทีมันก็ง่วง มันหลับไป วูบไป อย่างตอนนั้น มาจากนครชัยศรีทางมันก็โค้งนะ มันหลับๆ ตื่นๆ เป็ นยั งไงไม่รู้ แบบไม่รู้สึ กตัวเลยน่ะ มาถึ งที่ว่า สะพานข้ามน่ะ หอนาฬิกามันก็สูง เฮ้ย…สะพาน นี้มันสะพานตรงไหนวะ เกือบตายไปแล้ว‛
ฅนขับรถบรรทุก
9
‚เห็นเขาชนกันแล้วก็เคยคิดเหมือนกันว่ามันอาจเกิดขึ้นกับตัวเรา แต่เราก็ระวังตัวของเราไว้ ก่อน... ก็น อนจนอิ่มแหละ บางที …มัน เป็ นช่วงที่เ ราง่วงนอนมั่ง หลับไป วูบ ไป พัก เดียวก็เ ป็น แล้ว รถน่ะ‛ ประสบการณ์จากการใช้ชีวิตการทํางานขับรถบรรทุกทําให้พวกเขารับรู้ว่า ภาวะอันตรายที่สุด ในการทํางานของพวกเขาคือ ‚การหลับใน‛ ดังนั้น การนอนจึงกลายเป็นวิถีของการเตรียมตัวก่อนการ เริ่มงานในแต่ละวัน เพื่อรับมือกับความง่วงซึ่ง อาจจะนําไปสู่การ ‚หลับใน‛ อย่ างในกรณีของปอน คนขับรถบรรทุกท่อคอนกรีตที่ต้องนํารถไปส่งสินค้าในเวลาที่ไม่แน่นอน เมื่อรู้ตัวว่าจะต้องออกรถไปส่ง ท่อคอนกรีตในตอนดึก เขาก็เตรียมตัวโดยการเข้านอนตั้งแต่ช่วงหัวค่ํา ‚อย่างผมนี่ จะง่วงประมาณช่วงตีหนึ่งไปถึงตีสอง ตีหนึ่งตีสองก็เริ่มง่วงแล้ว‛ อาชีพที่จะต้องขับรถบรรทุกตลอดทั้งคืนทําให้คนขับรถบรรทุก ไม่ให้ความสําคัญกับกิจกรรม ใดๆ เลยนอกเหนือจากการ ‚นอน‛ ดังนั้นการนอนจึงมิได้มีความหมายเพียงการพักผ่อนหรือความ เกียจคร้านธรรมดาๆ เฉกเช่นคนอื่นๆ ทั่วไป หากแต่การ ‚นอน‛ มีความหมายถึง วิธีการป้องกันการ เกิดอุบัติเหตุที่สําคัญบนวิถีการขับรถบรรทุก เหล้า และ เบียร์ : เวลาขับไม่ดื่ม คนขับรถบรรทุกส่วนใหญ่เล่าว่า พวกเขาดื่มเหล้าในชีวิตประจําวัน บางคนเปรียบเทียบว่า เหล้าคือ เพื่อนสนิท คือมิตรภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่พวกเขาไม่ได้ออกไปขับรถบรรทุก ช่วงที่ ไม่มีงาน พวกเขาต่างมีความรู้เป็นอย่างดีว่า ‚เหล้า‛ คือสิ่งต้องห้ามที่สําคัญของคนขับรถบรรทุกเป็นสิ่ง ที่คนขับ รถบรรทุก ทุก คนรู้ว่าไม่ค วรแตะต้องไม่ว่าจะก่ อนหรือในขณะขับ รถ เผือก หนึ่งในคนขับ รถบรรทุกผู้ชื่นชอบ ‚เหล้า‛ เล่าให้ฟังว่า ‚เวลาผมขับ ผมไม่กินเลย มัน มีโอกาสพลาดเยอะเลย กิน เหล้าแล้วไปขับรถเนี่ยมีโอกาส พลาดเยอะ มั น สมองเราเนี่ย มัน เหมือน…ถ้ ากิ น เหล้าไปปั๊ บ เนี่ย คือว่ามีโอกาสพลาดถึ งเจ็ดสิ บ เปอร์เซ็นต์…เอาอย่างนี้ดีกว่า ไม่ใช่ห้าสิบห้าสิบเลยแหละ กินเหล้าโอกาสพลาดก็เยอะ‛ ความเหนื่อยล้าจากการทํางานทําให้การสร้างความสุขอย่างง่ายๆ ที่วางอยู่บนความประมาท โดยใช้ แอลกอฮอล์เป็นเครื่องมือในการสร้างอารมณ์สนุกสนานเป็นสาเหตุหนึ่งของพฤติกรรมการขับขี่ ที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุของคนขับรถบรรทุก ดังเช่นเรื่องราวของเกียรติ
ฅนขับรถบรรทุก
10
‚ตรงนี้ หัวโค้งนี่…ผมอัดมาเร็ว ลองดู โค้ง …มาไม่แปดสิบ เก้าสิบหรือ ตบเสาลายไปต้นนึง แล้วก็ตอนท้ายหลุด...เมา ก็อย่างว่าแหละ เมา…ซ่า ก็กินมาตั้งสองลังสามลังหน่ะ กินตั้งกะ ไปเลยนะ ก็ลูกน้องพนันกันไงเล่า ทายปัญหากันว่าใครผิดก็เสียเบียร์ ก็จอดซื้อกินกันตลอด ทาง ขนาดคนนั่งหน้ารถหล่นยังไม่รู้น ะ ตลาดบางลี้หน่ะ ช่วงกลับมา…ช่วงโค้งนะ มันเป็น ตลาดก็ค่อยๆ มาเรื่อยๆ ค่อยๆ คลานไปเรื่อยๆ แล้วประตูมันต้องใช้ยางรัดเอา ก็ร้องเพลง ทายอะไรกัน เราก็เฮ้ย !...อ้ายหงัดไปไหนเนี๊ย ไม่รู้ อ้าว ไม่รู้ได้ไง นั่งด้วยกัน จอด… วิ่งดูซิ นู้น…หล่นอยู่ข้างล่าง ดี๊…รถไม่เหยียบ‛ หลังจากบทเรียนในครั้งนั้นแล้ว เกียรติจะดื่มเหล้าหรือเบียร์เฉพาะในวันที่เขาไม่ได้ทํางานหรือ หลังจากเลิกงานแล้วเท่านั้น ‚เวลาขับ...ไม่กิน ถ้าอยู่บ้าน...กิน เลิกงานแล้วมากินที่บ้าน‛ เรื่องเล่าของเกียรติสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนถึง ความประมาทที่เกิดขึ้นในขณะขับขี่ เพียง เพื่อบรรเทาความล้า ความน่าเบื่อหน่ายจากการขับรถ การที่คนขับรถบรรทุกและเด็กติดรถคิดเพียง แค่ ต้องการความสนุก ความสดชื่นในการทํางานโดยการใช้รถเป็นสิ่งที่กระตุ้นอารมณ์สนุกสนานใน ระหว่างที่ใช้ชีวิตอยู่หลังพวงมาลัยนั้นเกือบนําพาให้ชีวิตของพวกเขาและผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆพบกับ หายนะที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุ ตรวจสภาพรถ คนขับรถบรรทุกบอกว่าพาหนะที่พวกเขาใช้งานอยู่นั้นผ่านการใช้งานมาอย่างสมบุกสมบันจน มี สภาพไม่เ ต็ มร้อย ดั งนั้น ธรรมเนีย มประเพณี ที่พวกเขายึ ดถื อในการปฏิบั ติ ทุก ครั้ง ก่ อนที่จ ะขั บ รถบรรทุกออกไปทํางานคือการตรวจสภาพความเรียบร้อยของรถบรรทุก พวกเขาให้ความสําคัญเป็น อย่างมากกับระบบเบรก และระบบล้อ ‚ก่อนจะออกนีต่ ้องดูก่อนล่ะ ดูพวกน้ํา พวกระบบลม พวกเบรกเบิก พวกล้อเนี้ย มันจะรั่วหรือ มันจะอะไรตรงไหนหรือเปล่า เบรกมัน… ถ้าเราก้มดูแล้วมันซึมหรืออะไร มันจะมีเหมือนกับ เยิ้มเป็นน้ํามันออกมาให้เราเห็น คอยสังเกตดู อ้ายพวกน้าํ มันเบรกนี่เราเติมแค่นี้ ถ้าลอง หายไปนิดนึงล่ะผิดสังเกตแล้ว เราต้องดูก่อน‛ ‚ต้ องดู เ รื่องรถ เช็ค รถให้เ รีย บร้ อยเลย…นี่สํ าคัญ เพราะหน้าที่ค นขับ มัน จะมีอยู่ สี่อย่ า ง ข้อแรก...เคาะล้อ ดูว่าลมอ่อนไหม อะไรไหม ข้อสอง...ดูเบรก ดูว่ามันรั่วหรือเปล่า ข้อสาม... หม้อน้ํา ว่าหม้อน้ําขาดมั๊ย ข้อสี่ ...น้ํามันเครื่องขาดมั๊ย แต่ห้าหกนี่นานๆ ดูที น้ํามัน เกีย ร์
ฅนขับรถบรรทุก
11
น้ํามันเฟืองท้ายอะไรพวกเนี้ย น้ํามันไฮโดรริกเราก็อาทิตย์นึงดูหนนึง แต่ที่ประจํา ...อ้ายสาม สี่อย่างเนี้ยต้องดูทุกวัน พอวิ่งเข้ามาปุ๊บ เช้าเราจะไป...เราต้องเช็ค‛ สําหรับคนขับรถบรรทุกท่อคอนกรีต นอกจากการตรวจดูระบบของเครื่องยนต์แล้วสิ่งที่พวก เขาจะต้องสํารวจก่อนออกรถทุกครั้งก็คือความยื่นยาวของท่อคอนกรีตที่ยื่นยาวออกมานอกท้ายรถ ‚ก่อนจะขึ้นรถก็เดิน ก่อนจะไปนี่ผมเดิน ดูรอบรถก่อน…ปกติทุกวันเลย บางทีน้ํามันเครื่อง เติมน้ํา เราก็ดู…ความเรียบร้งเรียบร้อย ผ้าดงผ้าแดง ดูท่งดูท่อ หน้าอะไรอยู่ตรงไหนจะได้คํานวณ ถูก‛ นอกจากการตรวจสภาพรถก่ อนออกรถไปรั บ -ส่ งสิ น ค้ าแล้ว แม้เ มื่อ ยามที่ รถวิ่ง คนขั บ รถบรรทุกก็จะคอยสังเกตความผิดปกติของรถและหาทางแก้ไขอยู่เสมอ ‚โอ๊ย…อ้ายอย่างเนี่ย เราขับไป ทําไป เราไม่พอใจตรงไหนเราก็ทํา เราต้องดูด้วย ตรวจเช็ค ของเราด้วย เถ้าแก่เขาไม่รู้หรอกรถเสียอะไร อ้ายเราคนขับ เรารู้ เราต้องเช็ครถของเรา ต้อง เช็คเรื่อยแหละ อะไรดังตรงไหน ขับไปเนี่ยดังผิดหูก็ต้องเริ่มดูแล้ว มันเคยไปอย่างเนี่ย …มัน ไม่เคยดังอย่างนี้นี่ ดังตรงไหนก็เริ่มมาดู เจอ...เราก็ทําแหละ‛ เสียง คือสิ่งที่คนขับรถบรรทุกให้ความสําคัญและจะใช้ทักษะในการสังเกตความผิดปกติ ของ เสียง ดังนั้น คนขับรถที่ให้ความสําคัญ กับเรื่องความปลอดภัย หรือในกรณีที่คนขับรถรู้ดี ว่ารถที่เขา ควบคุมอยู่นั้นมีสภาพที่ไม่พร้อมจะใช้งานนั้น เขาจะไม่เปิดวิทยุในรถถึงแม้ว่าจะต้องการผ่อนคลาย ความเครียด ความเหงาจากการขับยานพาหนะ10ล้อก็ตาม ‚ผมขับรถน่ะ…ไม่ฟังหรอก วิทยุเนี๊ยะ… ขับรถแล้วมันไม่รู้เรื่องว่าอะไรเสียหรือยางเยิงรั่วอะไร …มันไม่มีสมาธิ‛ คนขับรถบรรทุกจะควบคุม ดูแลการซ่อมบํารุงรถด้วยตัวเอง เขาจะไม่ปล่อยการซ่อมรถให้เป็น หน้าที่ของช่างแต่เพียงผู้เดียว คนขับรถบรรทุก จะนั่งเฝ้า ตรวจตรา และกําชับให้ช่างทํารถจนกระทั่ง พวกเขารู้สึกมั่นใจในความ ‚เรียบร้อย‛ และ ‚ดี‛เท่าที่พวกเขาจะสามารถทําได้
ฅนขับรถบรรทุก
12
‚อ้ายที่เฝ้าน่ะไม่ได้อะไรหรอก ดูว่ามันทําดีมั๊ย เรียบร้อยหรือเปล่า แน่นหรือเปล่า คือเรา พอใจมั๊ย คือว่าปลอดภัยเราน่ะ เราต้องดูของเรา คือว่า…ต้องเรียบร้อยน่ะ ก็เพราะว่าเคย… มันไขให้เราไม่แน่น พอวิ่งไปมันก็หล่นน่ะซิ เพลากลาง มันไขน็อตไม่แน่น วิ่งไปแล้วมันสั่น... หลุดมาเลย เราไม่ได้ดูช่าง น็อตมันสี่ตัวไง ก็ไม่ได้ดู แบบเราก็ไม่สนใจน่ะ เข้าไปมันก็ … เสร็จแล้วลูกพี่ ไปได้ วิ่งไปไม่ถึงร้อยโล…เพล้ง...กลางถนน‛ นอกจากเรื่องความปลอดภัยแล้ว การเฝ้าดูช่างซ่อมรถยังเป็นวิธีป้องกันไม่ให้ช่างลักไก่ พวก เขาอีกด้วย ‚ช่างเขาก็มี แต่ว่าถ้ าเราไปทิ้งให้มันปุ๊ บ เราเข้ามา บ้าน พอเราไปเอารถอีกทีตอนเย็น เกิดไปเสียข้างทางอะไร ขึ้นมา…มันยุ่ง ยังไงเราก็ต้องดูแล แบบไปซ่อมแล้วปล่อยให้ เขาทําเองนา พอกลับมาบ้านปุ๊บนา เดี๋ยวกลับไปเอารถนา มันจะเสร็จหรือไม่เสร็จ มันจะทําหรือไม่ทํา…ก็บอกเสร็จแล้ว ก็ต้องเอาไป อย่างเนี้ยะ...ก็ไม่ค่อยรอดหรอก‛ การขันน็อตให้แน่นเป็นวิธีการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุที่สําคัญ
ภาระในฐานะหัวหน้าครอบครัว “บุญ” ชายวัยกลางคนใบหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงความรู้สึกหรือเอาใจใส่กับใครหรือรถคันอื่นๆ สายตาเขาเพ็งมองไปข้างหน้าแสดงถึงความตั้งใจในการขับรถเพื่อนําทรายไปส่งยังจุดหมายปลายทาง ตามคําสั่งที่ได้รับจากเถ้าแก่ บุญเป็นพ่อที่ใจดีของสุ เป็นผัวที่ดีของยิ้ม เพื่อนบ้านพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าบุญเป็นคนขยัน ทํามาหากิน บุญจะรับทํางานทุกอย่างที่สามารถเพิ่มรายได้หรือทุ่นค่าใช้จ่ายภายในบ้าน สําหรับบุญ แล้ว ค่าจ้างที่เขาได้รับจากการขับรถบรรทุกทรายในแต่ละคืน มีความสําคัญสําหรับครอบครัวของเขา ไม่น้อยเลย เพราะว่าเงินที่บุ ญได้รับในแต่ละคืนก่ อนกลับเข้าบ้านนั้นคือ รายได้หลักของครอบครัว รายได้จากการขับรถบรรทุกแลกเปลี่ยนกับค่ากับข้าว ค่าไฟฟ้า ค่าเล่าเรียนของลูกสาว ค่าผ่อนงวด รถจัก รยานยนต์ และค่าใช้จ่ายส่วนตัวจิป าถะ โดยเฉพาะอุป กรณ์เ สริม ช่วยในการขับ รถบรรทุก อย่างเช่น บุหรี่ กาแฟ หรือแม้กระทั่ง หมากฝรั่ง
ฅนขับรถบรรทุก
13
‚กาแฟ…คืนนึงก็ 2 กระป๋อง บุหรี่ซองนึง หมากฝรั่ง 2-3 บาท แก้ง่วงนอน เวลาง่วงก็เคี้ยวๆ ก็ หายไปพัก ช่วยได้ เ ยอะเหมือนกั น นะหมากฝรั่ง ถ้ ามัน เพลีย จัดๆ ก็ จ อดนอนสัก พัก นึ ง 10 นาที 15 นาที‛ ถึงแม้ว่าบุญจะมีชีวิตที่ไม่สุขสบายมากนัก แต่เขาก็บอกว่าตัวเขายังโชคดีที่มีบ้านเป็นของ ตัวเอง ไม่ต้องเสียค่าเช่า แม้ว่าบ้านจะเป็นเพียงฝาไม้ไผ่ขัดแตะและพื้นบ้านเป็นดินที่อัดแน่นซึ่งอาศัย ปลูกอยู่บนที่ดินของแม่ยาย แต่บ้านหลังน้อยหลังนี้ก็เป็นบ้านที่บุญอยู่กับเมียและลูกอย่างมีความสุข ใจ ด้วยวัย 45 ปี บุญยังคงเป็นกําลังสําคัญในการหาเลี้ยงครอบครัวแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าลูกคน โตของเขาอีก 2 คน จะโตและทํามาหากิ น ได้แล้ ว แต่พวกเขาก็ แต่งงานและแยกครอบครัวไปอยู่ ต่างจังหวัด ไม่ค่อยได้ติดต่อกลับมาหรือส่งเงินมาให้ทางบ้านใช้ หรือแม้ว่ายิ้ม เมียของบุญจะช่วยทํา มาหากินด้วยการออกไปรับจ้างถอนหญ้าในไร่ผักได้ค่าจ้างวันละร้อยกว่าบาท แต่งานที่ยิ้มออกไปทํา นั้นก็ไม่ได้มีให้ทําทุกวัน บางวันก็มีงานให้ทํา บางวันก็ไม่มีงานให้ทํา เพื่อดิ้นรนให้รายได้เพียงพอสําหรับสามชีวิต พ่อ แม่ ลูก บุญพยายามที่จะทํางานทุกอย่าง ทั้ง เผาถ่านเพื่อใช้เองบ้าง ขายบ้าง วางข่ายจับปลาเพื่อนํามาเป็นอาหาร เหล่านี้เป็นงานที่เขามักจะทํา เมื่อว่างจากการขับรถบรรทุก ‚ผมต้องทําอ้ายนู้นอ้ายนี่มันเรื่อยไป ถ้าทํางานหน้าเดียวมันก็ไม่พอ นี่ผมอยู่บ้านก็หาปลาบ้าง เผาถ่านบ้าง ต้องหาให้ได้มากที่สุดแหละ‛ ชีวิตในแต่ละวันของบุญมักจะวนเวียนอยู่กับการทํางาน ทั้งงานอาชีพหลักและงานเสริม โดย ที่เขาจะจัดแบ่งเวลาระหว่างงานขับรถบรรทุกกับงานเสริมและการพักผ่อนเอาไว้อย่างลงตัว ตามปกติ โดยเฉพาะในฤดูหนาวซึ่งเป็นช่วงที่ปลาในคลองท่าสารลําน้ําที่แยกมาจากแม่น้ําท่า จีนมีจํานวนมาก หลังจากขับรถกลับมาบ้านประมาณตีห้าหรือหกโมงเช้า บุญมักจะถีบจักรยานนําข่าย ดักปลาไปดักปลาในคลองซึ่งอยู่ห่างจากบ้านออกไปประมาณ 1 กิโลเมตรก่อน หลังจากนั้นเขาจึงกลับ เข้าบ้านเพื่อนอนพักและตื่นขึ้นมากู้ข่ายในตอนเที่ยงๆ หรือบ่ายๆ ทุกบ่ายหลังจากที่กู้ข่ายดักปลาเสร็จแล้วบุญจะต้องขับรถบรรทุกไปที่อู่เพื่อเติมน้ํามันและรับ ตั๋วลงทราย ในขณะที่บางครั้งเขาจะต้องนํารถไปรับการตรวจเช็คและซ่อมบํารุงอื่นๆ ด้วย ‚เขานับ เที่ ย วไง อย่ างกั บ สามสิบ เที่ย วแล้วนา สี่ สิบ เที่ย วแล้วนา สุด แท้แต่ว่าเราวิ่ งงาน หนัก มั๊ยหนัก บางคั นเขาวิ่งมั่งหยุ ดมั่งเขาก็ยั งไม่ถ่ายน้ํามัน เครื่องให้อย่างนี้ เขาก็ ดูช่วงว่า
ฅนขับรถบรรทุก
14
เออ…อ้ายเนี่ยมันงานหนัก เปลี่ยนถ่ายไปเลย อย่างเมื่อกี้ที่ออกไป เติมน้ํามันเสร็จก็ต้องไปอัด จาระบี น้ํามันเกียร์ น้ํามันเฟืองท้าย‛ แต่ไม่ว่าจะมีภารกิจอะไรก็ตาม หากภารกิจนั้นไม่ จําเป็นเร่งด่วนจริงๆ แล้ว เมื่อถึงเวลา 3 โมงเย็ น บุญก็มักจะละภารกิจต่างๆ เหล่านั้นชั่วคราวแล้ว ขับ รถจัก รยานยนต์ออกจากบ้านไปรับ ลูก สาวที่ โรงเรีย นซึ่งอยู่ ห่า งจากบ้ านออกไปประมาณ 1 กิโลเมตรกลับบ้านด้วยตัวเอง เวลาเย็น จะเป็ นเวลาที่ครอบครัวของบุญ อยู่ พร้อมหน้า พร้อมตากันสามคน พ่อ แม่ ลูก ได้คุยกัน ได้กินข้าวพร้อมกัน จนหกโมงกว่าๆ บุญจึงเตรียมตัวที่จะขับรถบรรทุกออกไป เอาทราย ‚ออกจากบ้านตอนเกือบๆ ทุ่ม ไปเอาทรายเสร็จก็ประมาณ 2 ทุ่มครึ่ง ไปถึงพุทธมณฑลก็สาม ทุ่มพอดี‛ ตารางกิจวัตรประจําวันในชีวิตของบุญจะเปลี่ยนไปหากรถบรรทุกคันที่เขาขับเสีย โดยเฉพาะ ถ้ารถเสียอยู่ก ลางทาง ไม่สามารถขับกลับ อู่ได้ เขาต้องนอนอยู่ที่รถเพื่อรอช่างจากอู่ ไปซ่อม รออยู่ จนกระทั่งช่างสามารถซ่อมให้รถสามารถแล่นกลับมาที่อู่ ได้ เขาจึงจะกลับบ้านมานอนพัก และไม่ว่า บุ ญ จะกลั บ เข้ า มานอนพั ก ได้ น านเพี ย งใดก็ ต าม เมื่ อ ถึ ง เวลาเที่ ย งๆ เขาก็ ต้ อ งรี บ ตื่ น แล้ ว ขั บ รถจัก รยานยนต์ซึ่งเป็น ยานพาหนะสําคัญของครอบครัวออกไปที่อู่เพื่อเฝ้าดูว่ารถเสียตรงส่วนไหน ได้รับการซ่อมแซมอย่างไร และสามารถนําไปขับเพื่อทํางานคืนนั้นได้หรือไม่ หากมีทีท่าว่ารถจะได้รับการซ่อมแซมเสร็จและสามารถนําไปขับในคืนนั้นได้ บุญจะคอยอยู่ที่อู่ ช่วยช่างไขน็อตบ้าง หรือหยิบส่งเครื่องมือให้บ้าง เพื่อให้รถซ่อมเสร็จเร็วขึ้น ‚เราก็ทําเองในส่วนที่ทําได้ แต่ส่วนใหญ่ๆ เราก็ต้องให้ ช่างเขาทํา เพราะว่ามันต้องรื้อออกมา แต่ว่าพวกน็อตพวกธรรมดาเนี่ยเราไขเองได้ มันจะได้เร็วขึ้นไง‛
ฅนขับรถบรรทุก
15
หากซ่อมรถเสร็จและยังไม่ถึงเวลาต้องไปเอาทราย บุญก็จะขับรถกลับมาบ้านเพื่อกินข้าวเย็น กับครอบครัวก่อนแล้วจึงขับรถบรรทุกออกไปเอาทราย แต่ถ้าไม่มเี วลาเหลือพอที่จะกลับเข้าบ้านเขาก็ จะขับรถไปเอาทรายที่บ่อทรายเลย ในกรณีที่รถเสียมากและซ่อมไม่เสร็จในวันนั้นๆ บุ ญก็มักจะอยู่ดู การซ่อมแซมรถที่อู่จนเย็นแล้วจึงกลับบ้าน ด้ วยความจํ าเป็ น ที่ เ กิ ด ขึ้ น จากการมีร ายจ่ ายของครอบครัว มากกว่ารายรับ ทําให้ ค นขั บ รถบรรทุกส่วนหนึ่งต้องหารายได้มาเสริมรายได้จากงานประจําอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ คนขับ รถบรรทุกเหล่านี้และครอบครัวจึงต้องช่วยกันหาช่องทางทํามาหากินเพื่อให้รายได้เพียงพอสําหรับการ ใช้จ่ายที่จําเป็นภายในครอบครัว คนขับรถบรรทุกต้องวางตารางเวลาในแต่ละวันสําหรับงานที่ต้อง ทํางานหลายหน้าอย่างคุ้มค่าทั้งงานหลักและงานเสริม โดยไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยไม่ก่อให้เกิด ประโยชน์ทางเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อมใดๆ โดยไม่จําเป็น และนั่นหมายถึง พวกเขาจะมีเวลา นอนก่อนการทํางานน้อยลง โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุของพวกเขาและผู้ขับขี่รถประเภทอื่นๆบน ท้องถนนก็จะเพิ่มมากขึ้น ชีวิตหลังพวงมาลัย ถึง แม้จะรู้ว่าเงื่อนไขของการทํางานวางอยู่บ นบริบ ท ของ ‚ความเสี่ยง‛ พวกเขาอาจต้องประสบกับอุบัติเหตุ แต่พวก เขาก็ยินยอมที่จะแบกรับความเสี่ยงนั้นเพื่อแลกกับเงิน คนขั บ รถบรรทุ ก มี ส ถานะที่ ไ ม่ แ ตกต่ า งจากผู้ ใ ช้ แรงงานคนอื่นๆที่ไม่ได้มีโอกาสทางการศึก ษาที่มากนัก พวก เขามีทางเลือกที่ไม่มากสําหรับการเลือกอาชีพเพื่อหาเลี้ยงตัว และครอบครัว สภาพการทํา งานส่ วนใหญ่ล้ วนเต็ มไปด้ ว ย เงื่อนไขที่นายจ้าง หรือ เถ้าแก่ คือผู้กําหนด “เวลา” คือเงื่อนไขที่สาคัญของชีวิต สําหรับคนขับรถบรรทุกแล้ว ‚เวลา‛ ก็คือทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุด คนขับรถบรรทุกจะต้องใช้ เวลาให้น้อยที่สุด หากเขาสามารถใช้เวลาในการขับรถแต่ละเที่ยวให้น้อยลงได้เพียงใดพวกเขาก็จะมี รายได้มากขึ้นมีเวลาพักผ่อนมากขึ้น บริบทด้านเวลา(time)จะมีคุณค่ามากขึ้นเมื่อเวลาที่ผ่านไปสามารถลดพื้นที่ (space)ของการ ส่งสินค้าได้ด้วยนั้นหมายถึง การพยายามลดระยะเวลาของคนขับรถบรรทุกมีความเกี่ยวข้องกับการ เพิ่มความเร็วในการขับขี่ด้วย นั่นหมายความว่าพวกเขาจะได้เงินมากขึ้นและมี โอกาสเสี่ยงต่อการเกิด อุบัติเหตุที่มากขึ้นด้วย
ฅนขับรถบรรทุก
16
ยิ่งเร็ว...ยิ่งได้เงินมาก ค่าจ้างที่ได้รับจากการขับรถบรรทุกจะ ขึ้นอยู่กับจํานวนเที่ยวที่คนขับรถบรรทุกสามารถ ขับ รถนําสิน ค้าไปส่ง ยังปลายทางได้สําเร็จ ซึ่ง หมายความว่าหากคนขับรถบรรทุกสามารถขับ รถได้จํานวนเที่ยวมากขึ้นเท่าใด รายได้ของพวก เขาก็จะมากขึ้นด้วย การที่เถ้าแก่วางเงื่อนไขของการจ่ายค่าตอบแทนด้วยวิธีการจูงใจเช่นนี้ เป็นการก่อร่างวิธีคิด ของคนขับรถบรรทุกว่า รายได้ของเขาผูกติดอยู่กับเวลา หากพวกเขาลดเวลาในการขนส่งสินค้าในแต่ ละเที่ยวได้มากเท่าไหร่พวกเขาก็จะได้รับค่าตอบแทนที่เพิ่มมากขึ้น วิธีคิ ด ดั งกล่าว นํา มาซึ่ ง วิธี ก ารในการขั บ รถ อาทิเ ช่ น การใช้ ความเร็ ว สูง การไม่ ช ะลอ ความเร็วในช่วงเวลาที่ควรจะชะลอความเร็ว หรือแม้ แต่การขับรถในช่องทางจราจรที่ กฎหมายไม่ อนุญาตให้รถบรรทุกวิ่ง เป็นต้น ‚เพราะว่ามันขับเป็นเที่ยว ขับกินเปอร์เซ็นต์ บางทีมันก็ต้องหน่อย เงินมันถึงจะได้เยอะ บาง คนก็อะไร ช้าอืดอาดๆ มันก็ได้ค่าแรงน้อยแค่นั้นซิ… ถ้าทําเที่ยวเหยียบหน่อยมันก็ได้เยอะใช่มั๊ยล่ะ‛ สภาพที่เ ที่ย วขาไปมีก ารบรรทุก สิน ค้า โดยเฉพาะอย่ างยิ่ งสิน ค้าที่แตกหัก ได้ง่ าย เช่น ท่อ คอนกรีตทําให้คนขับรถบรรทุกมีเพียงเวลาเที่ยวขากลับเท่านั้นที่พวกเขาจะสามารถเพิ่มเวลาในการทํา เที่ยวหรือทํารายได้ให้กับเขามากขึ้น ปรากฏการณ์การขับรถโดยใช้ความเร็วสูงอย่างหวาดเสียวจึงมัก เกิดขึ้นในบริบทการทํางานเช่นนี้ แม้จะเป็นรถบรรทุกท่อคอนกรีตซึ่งไม่สามารถวิ่งเร็วได้ในช่วงขาไปเนื่องจากรถบรรทุก สินค้า อาจทําให้ท่อคอนกรีตแตก แต่พวกเขาก็จะใช้โอกาสในช่วงขากลับโดยให้ เหตุผลในการวิ่งรถโดยใช้ ความเร็วสูงว่า ‚ขาไปไม่ ร้อ ย ขากลั บ เหยี ย บมาร้อ ยสิ บ ได้มั้ ง ขาไป ไปสี่ สิบ ห้า สิบ ได้ มั้ง …กลั บ บ้ านเร็ ว เพราะว่ากลัวว่าไม่มีรายการไง ใครถึงก่อนได้ก่อน ถ้ามีรายการสั่งมาอีกสองใบเนี่ย เขามาก่อนเขาก็ได้ เรามาทีหลังก็จอด...หมดรายการ‛
ฅนขับรถบรรทุก
17
‚รายการ‛ ในความหมายของปอนหมายถึ งใบสั่ งสิน ค้า จากลูก ค้ า ปอนขับ รถบรรทุก ท่ อ คอนกรีตของโรงงานทําท่อคอนกรีตซึ่งมีรถบรรทุก 3 คัน หากออกรถพร้อมกันแล้ววัน ต่อมามีใบสั่ ง สินค้าเข้ามาเพียง 2 ใบ รถคันที่กลับมาถึงโรงงานก่อน 2 คันแรกจะได้รับงานต่อหลังจากกลับจากส่ง สินค้าแล้ว หากรถบรรทุก ท่อคั นที่ป อนขับกลับมาถึงโรงงานช้า เป็ นคัน ที่ 3 เขาและลูก น้องขนท่อ จะต้องรอจนกว่าจะมีใบสั่งสินค้าเข้ามาเพิ่มเติม ซึ่งไม่แน่นอนว่าจะมีใบสั่งสินค้าเข้ามาอีกหรือไม่ เพื่อ ไม่ให้เป็นการเสียโอกาส คนขับรถบรรทุกท่ออย่างปอนจึงมักขับรถเที่ยวขากลับเร็วเพื่อแข่งขันกับเพื่อน คนขับรถบรรทุกคันอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาโทรศัพท์ติดต่อเข้าโรงงานแล้วรู้ว่ามีใบสั่งสินค้าเข้า มาใหม่เพียงใบเดียวหรือ 2 ใบ และตรวจสอบพบว่าเพื่อนอีกสองคันก็กําลังเดินทางกลับเข้าโรงงานใน ระยะเวลาที่ไล่เลี่ยกัน วิถีการเร่งความเร็วเพื่อให้ได้งานในภาวะถึงก่อนได้เงินก่อนจึงเกิดขึ้น บริบทของการขับรถให้เร็วเพื่อ ‚ทําเที่ยว ทําเวลา ทําเงิน‛ นั้น คนขับรถบรรทุกใช้ประสบการณ์ และความชํานาญในการขับรถที่ผ่านมาเพื่อสร้างความเร็วตามที่ต้องการแตกต่างจากการขับรถทั่วๆ ไป ทั้งนี้เพราะการขับรถหนักเพื่อ ‚ทําเวลา‛ ผู้ขับจะต้องขับรถในระดับที่พวกเขาเรียกกันว่า ‚ลอยตัว‛ (ประมาณ 70-100 กม/ชม.) พวกเขาเรียนรู้กันว่า เมื่อรถอยู่ในภาวะลอยตัวนี้จะประหยัดน้ํามัน และ สามารถเร่งความเร็วดังใจปรารถนา ‚ไล่เกียร์ เชนเกียร์‛ไปเรื่อยๆจนความเร็วเพิ่มขึ้น ถึงระดับที่รถ ‚ลอยตัว‛ จะต้องใช้เวลานาน พอสมควร การลดความเร็วของรถจะทําให้เขาเสียเวลาในการ‚ไล่เกียร์ เชนเกียร์‛ ใหม่ ดังนั้นเมื่อพวก เขาต้ องการทํา ความเร็ ว คนขั บ รถบรรทุก จึ ง ไม่นิ ย มแตะเบรก สถานการณ์ ที่ ค นขั บ รถบรรทุ ก มี ประสบการณ์คือ เมื่อขับรถผ่านสัญญาณไฟจราจรช่วงสัญญาณไฟเหลืองหรือเริ่มไฟแดงใหม่ๆ หรือ การแซงขวา แม้จะมีรถสวนทางมาข้างหน้า พวกเขามักเลือกที่จะใช้วิธีเปิดสัญญาณไฟหน้าและบีบแตรเพื่อขอทาง มากกว่าที่จะใช้วิธีการ แตะเบรกเพื่อลดความเร็ว ‚ระดับร้อยขึ้น...มันทําเที่ยว ทําเวลา เพราะรถมันต้องลอยตัวถึงขนาดนั้น ถ้าอย่างนั้นมันไม่ ทัน รถหนักมันต้องลอยตัว ถ้ามันชะงักมันก็ต้องมาไล่เกียร์เชนเกียร์ใหม่ รถมันก็กินน้ํามันเข้า ไปอีก...เราไม่ต้องใช้คันเร่งเท่าไหร่เลย รถจะมันลอยตัว วึ๊บ…วึ๊บ เราแตะนิดเดียว มันก็จู๊ด… จู๊ด วิ่ง ถ้าเราไปเบรกแล้ว เราต้องมาไล่ใหม่ เสียจังหวะ รถสิบล้อมันถึงว่ามันไม่ค่อยเบรกไง แซงก็แซงยาวเลย พอเบรกแล้วมันชะงัก มันต้องมาไล่เกียร์ใหม่ รถมันก็กินน้ํามัน‛ ภาวะการขับขี่ในลักษณะให้รถลอยตัวเพื่อทําความเร็วและประหยัดน้ํามันนี้เกิดขึ้นในบริบทที่ เถ้าแก่สร้างเงื่อนไขในการทํางานเรื่องการจ่ายค่าตอบแทนแก่คนขับรถบรรทุกที่ผูกโยงอยู่กับค่าน้ํามัน
ฅนขับรถบรรทุก
18
ที่ใช้ไปในแต่ละเที่ยวด้วยหมายความว่า ถ้าคนขับรถบรรทุกประหยัดน้ํามันได้เท่าไหร่รายได้ของคนขับ รถบรรทุกก็จะเพิ่มขึ้นด้วย ดูเหมือนว่าการสร้างเงื่อนไขในการทํางานเช่นนี้จะทําให้เถ้าแก่ได้ผลผลิตมากขึ้นได้กําไรมาก ขึ้นและทําให้คนขับรถบรรทุกได้ ‚เงิน‛ค่าตอบแทนในการทํางานมากขึ้น บริบทของความเป็นผู้ได้ทั้งคู่ (WIN-WIN) คื อมายาคติ ที่ทํา ให้ทั้ งเถ้ าแก่ แ ละคนขับ รถบรรทุก ละเลยเรื่องที่สําคั ญ ที่สุ ดคือ การ บาดเจ็บและการเสียชีวิตจากการเกิดอุบัติเหตุ ‚ภาวะเร่งรีบ‛ ทําให้คนขับรถบรรทุกใช้ช่องทางด้านขวาเพื่อแซงรถคันหน้า ถึงแม้ว่าจะเสี่ยงต่อ การถูกเจ้าหน้าที่ตํารวจจับกุมแต่ก็ทําให้เขาไปถึงที่หมายได้เร็วขึ้น ยิ่งเมื่อประเมินแล้วว่า โอกาสที่พวก เขาจะถู กตํารวจจับมีน้อยหรือหากถูก จับและต้องเสีย เงิน ให้แก่เจ้าหน้ าที่บ้างในบางครั้งพวกเขาก็ ยินยอมเนื่องจากเมื่อคํานวณค่าใช้จ่าย รายได้รายจ่ายแล้วนั้น‚คุ้มค่ากว่า‛ ‚อันนี้ผิด แซงขวา เราผิด เรารู้ตัวว่าผิด เราก็ยอมเสียโดยความพอใจของเราแล้ว ถือว่าเรา ต้องการทํางานให้ได้เงินเพิ่มขึ้น บางทีรถมันช้าอะไรอย่างเนี่ย บางทีไปเจอรถบรรทุกมันหนัก อ้ายรถ เราเบา จะไปกวดตามเขา โอ้โห…กว่าจะถึง‛ งานเร่ง นอกจากการทํางานตามเงื่อนไขการว่าจ้างตามปกติแล้วดูเหมือนว่า ‚งานเร่ง‛ ยังเป็นวิถีของ อาชีพอีกอย่างหนึ่งของคนขับรถบรรทุกซึ่งมีผลทั้งในแง่ของพฤติกรรมการขับขี่และสภาพร่างกายของ คนขับรถบรรทุก ความเร่งด่วนของงานทําให้คนขับรถบรรทุกถูกเร่งจากเถ้าแก่เจ้าของกิจการ ทําให้ คนขับรถบรรทุกซึ่งอยู่ในฐานะลูกจ้างต้อง ‚เร่งตัวเอง‛ ให้ทันกับความรีบด่วนของงานซึ่งมีวิธีการที่ หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มเวลาการทํางานให้นานขึ้นและพักผ่อนให้น้อยลงโดยใช้วิธีการ ‚ไม่ เสร็จ ไม่จอด‛ การลดเวลาในการขับรถแต่ละเที่ยวโดยการเร่งขับรถให้เร็วขึ้น หรือการ ‚ฝืน‛ ขับรถทั้ง ที่สภาพร่างกายไม่สมบูรณ์ ‚พูดถึงว่าถ้าทรายเต็มแพล็นท์ อยู่ เราจะจอดนอนบ้างเขาก็ไม่ว่าอะไรเรา เพราะทรายมันก็ไม่ เร่ ง แต่ ถ้ าทรายมัน แห้ งแล้ ว เราบอกไปไม่ไ หว เขาก็ ด่ า อยู่ นั่น แหละ บอกมึ ง ไปไม่ ไ หว อ้ายห่า…ซักเที่ยวก็ยังดี บ่น…อะไรวะได้เที่ยวเดียว ยังไงวะ เป็นอะไร… อะไรวะ ขับกลางคืน ไปไม่ไหว …อ้ายห่าเอ๊ย!…งานมันเร่ง มึงช่วยหน่อยโว๊ย ยังไงขับให้ได้สองเที่ยว เขาจะบอก รถทุกคันแหละ...‛
ฅนขับรถบรรทุก
19
สํานึกของการต้องทําให้ผลงานบรรลุเป้าหมายทําให้ภาวะเร่งรีบโดยใช้ความเร็วและละเลยไม่ ใส่ใจต่อความปลอดภัยทางถนน เมื่อเสร็จธุระจากอู่ รัตน์ คนขับรถบรรทุกจะกลับมานอนต่อที่บ้าน หลับบ้าง ตื่นบ้าง จนได้เวลาเกือบ 6 โมงเย็น จึงลุกขึ้นอาบน้ํา แต่งตัว แล้วจึงกินข้าวที่จันทร์เมียของ เขาหาเตรียมไว้ให้ แบบแผนการดําเนินชีวิตของรัตน์คนขับรถบรรทุกเป็นเช่นนี้ทุกเมื่อเชื่อวัน จนกระทั่ง เวลาประมาณ 6 โมงเย็นกว่าๆ เขาจะขับรถบรรทุก เปล่าออกไปจากบ้าน มุ่งหน้าไปเอาทรายที่บ่ อ ทรายซึ่งอยู่ ห่างจากบ้ านเช่าของเขาออกไปประมาณ 30 กิ โลเมตร รถบรรทุก ทรายมุ่งหน้าเข้า กรุงเทพมหานครโดยคนขับ รถบรรทุก ต้องขับ รถไปจอดรอจนกว่าจะถึ งเวลาสามทุ่มพวกเขาจึงจะ สามารถเคลื่อนรถเข้าในเขตกรุงเทพฯได้ ‚รถเข้าไปเอาทรายเยอะ เดี๋ยวไปติดกัน ต้องรีบไปเอาทรายก่อน‛ ‚เพราะเราต้องรีบกลับมา เพราะรถมันแข่งกันมาเอาทรายน่ะ เวลากลับมันก็ต้องเหยียบกัน หมดน่ะ แล้วบางทีเวลามันก่ํากึ่ง ไม่แน่ว่าจะทันหรือไม่ทัน อย่างนี้ มันก็ต้องเหยียบกันแล้ว‛ ภาวะ เร่งรีบ การทําเวลา ผูกโยงกับการใช้ความเร็วในการขับรถและการลดความใส่ใจในขณะ ขับรถนั้น ส่วนหนึ่งมีที่มาจากบริบทของการที่คนขับรถบรรทุกมีความกังวลและใจจดใจจ่ออยู่กับการ แย่ ง กั น รั บ ทรายให้ ไ ด้ ก่ อ นผู้ ขั บ ขี่ รถบรรทุกคันอื่นและการขับไปให้ถึงที่ หมายอย่างรวดเร็ว นั่นหมายถึงการได้ ค่ า ตอบ แท นแ ล ะก าร ได้ ก ลั บ ม า พัก ผ่อนที่บ้านเร็วขึ้น ไม่ต้องติดเวลา การติดเวลาทําให้พวกเขาจะต้องอยู่ หลังพวงมาลัย รถบรรทุก อยู่บ นถนน ตลอดทั้งคืนโดยที่พวกเขาจะได้รายได้ ที่เท่ากัน ในช่วงที่วิ่งรถเปล่าไปรับ ทราย รถบรรทุกขับคร่อมเลนส์และบรรทุกเศษสิ่งของที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ นั้นนอกจากการใช้ความเร็วแล้ว ยังทํา ให้เขาขับรถในลักษณะก้าวร้าว(Aggressive driving)ปาดซ้ายปาดขวาอีกด้วย ภาพการขับขี่เช่นนี้ทํา ให้คนขับรถบรรทุกในสายตาของผู้ใช้รถใช้ถนนเปรียบเสมือน ผู้ร้าย บนท้องถนนมากกว่ามิตรผู้ร่วมใช้ ทางสาธารณะ
ฅนขับรถบรรทุก
20
ความเร็ว คื อ มูล เหตุ สํ าคั ญ ของความเสี่ ย งที่สํ าคัญ ต่อ การเกิ ด อุ บั ติ เ หตุจ ราจรซึ่ งคนขั บ รถบรรทุกอย่างตัวชาญและเพื่อนๆต่างมีความเข้าใจเป็นอย่างดี เนื่องจากเคยประสบอุบัติเหตุจากการ ขับ รถเร็วมาบ้ างแล้ว แต่ พวกเขาก็ ยั งคงมี พฤติก รรมในการขับ รถโดยใช้ค วามเร็วสูง อยู่ อย่ างไม่ เปลี่ยนแปลง ปรากฏการณ์เช่นนี้สะท้อนว่า ความรู้มิได้เป็นเพียงปัจจัยลําพังที่จะลดหรือปรับเปลี่ยน พฤติกรรมการขับรถเร็วของคนขับรถบรรทุก หากพวกเขาเหล่านั้นยังคงทํางานอยู่บนบริบทของการ จ่ายค่าตอบแทนในการทํางานที่ขึ้นอยู่กับการใช้ความเร็วเช่นนี้ ภาวะที่ต้องการเงินย่อมนํามาซึ่งการ เลือกที่จะเสี่ยงโดยการขับรถเร็ว ไม่จบ ไม่จอด วิธีการขับรถของคนขับรถบรรทุกบางคนซึ่งเห็นว่า ‚งาน‛ เป็นภารกิจสําคัญที่ต้องทําให้สําเร็จ แม้จะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยหรือเพลียเพราะขับรถติดต่อกันมานานหลายชั่วโมงแต่พวกเขาก็ยังไม่หยุดพัก หรือหากจะหยุดรถบ้างในช่วงสั้นๆ ก็เฉพาะที่จําเป็น เช่น กินข้าว ซื้อเครื่องดื่ม หรือปัสสาวะ เป็นต้น การส่งสินค้าให้เสร็จสิ้นคือภารกิจสําคัญที่คนขับรถบรรทุกจะต้องทําให้สําเร็จลุล่วง บอย คนขับรถบรรทุกทรายเล่าว่า ‚บางวันก็วิ่งจากตี 2 ถึงนู้นเลย ถึงบ้าน 4 โมงเย็นเลย ออก จากบ้านตี 2 น่ะ ไม่ได้หยุดเลย...เรื่องง่วงมันก็เรื่องปกติอยู่แล้ว ส่วนใหญ่... ถ้าวิ่งงานไม่จบก็ ไม่จอด แล้วแต่ว่างานเร่งไม่เร่ง…เราจะพักได้มั๊ย บางครั้งเราพักไม่ได้ เราต้องเข้าให้ทันอย่าง เนี่ย เราก็ต้องไป บางทีคนรับไม่รอ ไปถึงลงไม่ได้ เราก็ต้องเร่ง ต้องเร่งตัวเอง‛ ‚ก็กลางวันเนี่ยผมจะวิ่ง สองเที่ยวของผมนา มันจะประมาณบ่ายโมง สองโมงนะ แล้วเที่ยว เย็ น เนี่ย …มัน ติ ด นครชัย ศรี มัน จะติดตอนห้าโมง ห้าโมงครึ่ง แต่ผมจะไปจอดอยู่ แถวๆ นครชัยศรีน่ะ พอหลุดเวลาปั๊บ…ผมก็ไปเลย เที่ยวที่สามผมก็ประมาณทุ่มนึง สองทุ่ ม แล้ว เที่ยวต่อไป ถ้าเอาอีกเที่ยวก็เที่ยงคืน งานมัน…แบบเขาเร่งอย่างเนี่ย เขาจะเอาให้จบอย่างเนี่ย ใช่หรือเปล่า เขารีบๆ จะเอาให้จบใช่หรือเปล่า ฝนตกอะไรเนี่ย ก็วิ่งช่วยเขา‛ ความคิดเห็นของ เผือก คนขับรถบรรทุกดินไม่แตกต่างจากบอย เช่นเดีย วกั บเทือง คนขับรถบรรทุก ดิน ย้ําเรื่องราวของการให้ความสําคัญต่อการส่งสิน ค้า มากกว่าสุขภาพและความปลอดภัยที่คนขับรถบรรทุกต้องเผชิญว่า
ฅนขับรถบรรทุก
21
‚ผมน่ะเคย ลงรถน่ะลงไม่ได้…งานเขาเร่ง สามวันสามคืนน่ะไม่ได้นอน ก็ขับวิ่งดิน วิ่งไปโน้น ไปนี่ยังเนี่ย ที่ไปมันไกลน่ะ โอ้โห…นานๆ ได้ลงรถทีนึง บางทีมันเหมือนเหน็บจะกิน เปิดประตู นี่ยังลงไม่ได้ ต้องค่อยๆ เราค่อยย่อง…ค่อยๆ ย่อง‛ ฝืน ดูเ หมือนว่า ‚กํ าไร‛หรือการรัก ษาผลประโยชน์ท างธุรกิ จ เป็ นภาวะที่เ ถ้าแก่ ซึ่งเป็น เจ้าของ กิจการรถบรรทุกให้ความสําคัญมากกว่าสิ่งอื่นใด หากพิจารณาพฤติกรรมการกํากับ ติดตามให้คนขับ รถบรรทุกนําสินค้าไปส่งให้ลูกค้าได้ตรงตามกําหนดนัดหมาย แม้ ว่าในบางครั้งที่คนขับรถบรรทุก จะ เจ็บป่วย ต้องการหยุดพักผ่อน หากแต่พวกเขาจะถูกขอร้อง(แกมบังคับ)จากเถ้าแก่ให้ขับรถบรรทุกเพื่อ นําสินค้าไปส่งให้กับลูกค้าแทนการพักผ่อนอยู่บ้าน ความมั่นคงของงานทําให้ พล คนขับ รถบรรทุกท่อคอนกรีต ฝืน ขับรถออกไปส่งสิน ค้า‚เขา (เถ้าแก่) พูดมาว่างานเร่ง เขาเร่งมาอย่างนู้นอย่างนี้ใช่เหรอเปล่า เขาจะใช้ของ เราก็ต้องไป… พอไป ไหวเราก็ต้องไป‛ นอกเหนือจากการฝืนขับรถทั้งที่ร่างกายไม่พร้อมของคนขับรถบรรทุกจะเกิดขึ้นจากการขอร้อง ของเถ้าแก่แล้วนั้น ในบางกรณี คนขับรถบรรทุกกลับเป็นฝ่ายสมัครใจที่จะขับรถเองทั้ง ๆที่รู้อยู่กับใจ ตนเองว่าเขาไม่ควรขับรถ เพียงเพราะต้องการแสดง ความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์สายตาของเถ้าแก่ และเพื่อนร่วมอาชีพคนอื่นๆ การพิสูจน์ว่าตนเองมี ความสามารถไม่ด้อยไปกว่าคนขับ รถบรรทุก อื่น ๆ นํามาซึ่งภาวะฝืนขับรถทั้งที่รู้สึกว่าร่างกายไม่พร้อม
เพ็ญ คนขับรถบรรทุกทรายเล่าว่า ‚คือว่าที่ผมไปเฉียดสายไฟฟ้าแรงสูงเนี่ย ก็เนี่ย …หลับ ตอนนั้นผมขับรถร่วมกับเขา อ้ายเราก็รู้ว่าร่างกายเราน่ะไม่ค่อยไหวหรอก แต่ทีนี้ว่า …เขาทํา ได้ เราก็ต้องทําได้ใช่มั๊ย คือว่าเรามันขืนไง เรามันขืน คล้ายๆ ว่าคนเรามันขับทุกวันเนี่ยมันก็ รู้อยู่...มันเพลียมันอะไรใช่มั๊ย แต่ทีนี้ว่าเขาไปได้ใช่มั๊ย แต่เราไปไม่ได้...มันก็ไม่ใช่‛ เช่นเดียวกับบอยคนขับรถบรรทุกทราย/ดิน ‚มันแล้วแต่คน บางคนเขาปกติ บางคน เขาอึดน่ะ คนเก่าๆ เขาอึดน่ะ ยังไงเขาก็ได้ ไปตลอด ไปไม่หยุดเขาก็ไปได้ โอ้โฮ…บางคนไป ยังกับหุ่นยนต์เลย ไม่มีง่วงไม่มีเมื่อยเลย คนเก่าๆ …เก่ง เรายังค่อนข้างใหม่ ไม่แข็งพอ…แต่ ว่ากําลังพยายามทําให้เหมือนเขา คนอื่นทํายังไงเราก็ทําอย่างนั้น เราก็ต้องทําได้‛
ฅนขับรถบรรทุก
22
เร่งให้เร็ว นอกจากการขับรถให้เร็วเพราะต้องการทํางาน ทําเงินได้มากขึ้นหรือกลับมาพักผ่อนให้เร็วขึ้น แล้ว ในบางครั้งเมื่อมีงานเร่ง เหล่าคนขับรถบรรทุกก็มักจะเพิ่มความเร็วของรถให้มากขึ้นกว่าปกติขึ้น ไปอีกเพื่อลดเวลาที่ใช้ในการขับรถแต่ละเที่ยวซึ่งจะทําให้พวกเขาสามารถทํางานในแต่ละวันได้เพิ่ ม มากขึ้น หนุ่มและศรี คนขับรถบรรทุกทราย/ดินเล่าว่า ‚บางทีเถ้าแก่เขาก็บังคับให้วิ่ง ถ้าเราวิ่งไม่ได้ เรา ก็โดนด่า เพราะงานเขาเร่ง...ต้องวิ่งให้เร็ว ต้องทําเวลาเร่ง‛ ‚เร่งให้หน่อยวะ งานเขารีบอย่างนั้นอย่างนี้มันก็ต้องมีมั่ง …เป็นธรรมดา งานเขาจําเป็น เขา รีบอย่างงั้นอย่างงี้ เขารับปากมาแล้วเนี่ย รับงานมาแล้วเนี่ย ของลงห้าพันคิวอย่างเนี่ย เร่งให้หน่อย เราก็ต้องเร่งให้เร็วหน่อย มี…มันต้องมี‛ เครือข่ายความสัมพันธ์บนท้องถนน วิถีการขับรถบรรทุกเป็นวิถีที่คาบเกี่ยวกับการทําผิดกฎหมายจราจร ทั้งเรื่องของสภาพรถที่ ไม่ได้มาตรฐาน และลักษณะการบรรทุกสินค้าที่ผิดกฎหมายจราจร รวมถึงข้อจํากัดทางกฎหมายใน เรื่องเวลาการวิ่งรถและช่องทางเดินรถ กว่าจะนํามาซึ่งความสําเร็จในการนํา สินค้าไปส่งยังเป้าหมายปลายทางได้อย่ างสําเร็จนั้น คนขับรถบรรทุกจะต้องเผชิญกับการอุปสรรคต่างๆนานัปการ การก้าวพ้นอุปสรรคเกิดขึ้นจากการได้รับ ความช่วยเหลือจากกลุ่มบุคคลต่างๆ ทั้งที่อยู่บนถนนและอยู่นอกถนน ชีวิตหลังพวงมาลัยในวงจรแห่งความสัมพันธ์นี้เป็นทั้งความสัมพันธ์ในรูปแบบของการตกเป็น เบี้ย ล่างของเจ้าหน้าที่ของรัฐและการได้รับความช่วยเหลือเกื้ อกู ลจากเครือข่ายของเถ้ าแก่ เจ้ าของ กิจการและเพื่อนร่วมอาชีพผู้มีหัวอกเดียวกัน แต่ ใ นที่สุด แล้วทั้งเถ้ าแก่ คนขับ รถบรรทุก และเจ้าหน้าที่รัฐ ต่างก็มีเ ป้ าหมายเดีย วกั น บน ความสัมพัน ธ์ของพวกเขาเหล่านั้น นั่ น คือ ‚เงิน‛ สิ่งที่พวกเขาเหล่านี้ต่างมองข้าม ละเลย เพิก เฉย ไม่ให้ความสนใจคือ ความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน เงิน :สื่อกลางความสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่รัฐ สําหรับผู้ขับขี่รถประเภทอื่นนั้น การระมัดระวังในเรื่องความปลอดภัยในการขับรถอาจเป็นสิง่ ที่ มีความสําคัญที่สุดแต่สําหรับคนขับรถบรรทุกที่มี วิถีการทํางานวางอยู่บนการกระทําที่ผิดกฎหมาย จราจร ทําให้เหล่าบรรดาคนขับรถบรรทุกต้องเพิ่มความระมัดระวังในการถูกเรียกตรวจและการจับกุม ของเจ้าหน้าที่รัฐด้วย
ฅนขับรถบรรทุก
23
ถึงแม้ว่าเถ้าแก่จะพยายามผูกไมตรีกับเจ้าหน้าที่รัฐด้วยวิธีการจ่าย‛ค่าตอบแทนพิเศษ‛ แล้วก็ ตามแต่ก็ดูเหมือนว่าวิธแี ห่งการผูกไมตรีนี้จะมีเงื่อนไขจํากัดอยู่เฉพาะเรื่อง เฉพาะกลุ่มเจ้าหน้าทีเ่ ท่านัน้ มิได้ครอบคลุมทั้งหมดจนทําให้คนขับรถบรรทุกเกิดความไว้ใจและวางใจได้ ตํารวจจราจรประจําท้องที่ ตํารวจทาง หลวง เจ้าหน้าที่จากกรมขนส่งทางบก หรือแม้แต่ เจ้าหน้าที่เ ทศกิ จ คือกลุ่มคนที่คนขั บ รถบรรทุ ก เหล่านี้ต้องคอยระวังมิให้เ จ้าหน้าที่จับความผิด ได้โดยเฉพาะความผิดบางอย่างซึ่งมีโทษรุนแรง ซึ่ ง หากเถ้ า แก่ ไ ม่ ส ามารถประนี ป ระนอมกั บ เจ้าหน้าที่ได้ เช่น การถูกจับในข้อหาบรรทุกเกิน 25 ตันซึ่งเจ้าของรถจะถูกปรับเป็นเงินจํานวนเรือนหมื่นและคนขับรถบรรทุกถูกกุมขัง ในกรณีร้ายแรง เช่นนี้เมื่อใดก็ตามที่คนขับรถบรรทุกรู้ว่ามีเจ้าหน้าที่จากกรมขนส่งทางบกออกมาตั้งด่านตรวจพวกเขา ต้องจอดรถทิ้งไว้ข้างทางแล้วหนีเอาตัวรอด ‚ก็ขนส่งมันออกจับไง เราก็ว่า เออ…ฝนมันตก ฟ้ารั่วอย่างเนี่ยมันคงไม่ออกจับหรอก เราก็ไปเลยน่ะซิ โอ้โฮ…ไปเจอมัน อยู่ไหวเหรอ …จอดรถ ล็อครถแล้วก็วิ่งลุยน้ํากัน เลย เปียกกันหมดเลย ต่างคนต่างเอารถไปรับน่ะ วิ่งลุยหญ้า หญ้าแค่เอว วิ่งเป็น ช่องไปเลยน่ะ เราก็นึกว่าฝนตก ตํารวจทางหลวง คงไม่ออกจับหรอก โอ้โฮ…ฝนตก ฟ้าร้อง…เปรี้ยง…เปรี้ยง พวกเราก็วิ่งหนีกัน รถจอดเป็นแถว มันก็ไม่ได้เอาไป ก็รถ เป็นร้อยๆ คัน คนขับไม่มี ใครจะขับไปล่ะ พอมันไปเราก็มาต่อ ยังไงก็เอาตัวรอด ก่อน ถ้ามีแต่รถมันก็ไม่กล้าเอาไปอยู่แล้ว รถจอดอยู่ ไม่กล้าขับไปหรอกรถใหญ่น่ะ เดี๋ยวได้เรื่อง มันไม่มีประสบการณ์‛ คนขับรถบรรทุก จะระมัดระวังตัวในเกือบทุกเรื่องเพื่อไม่ให้ เจ้าหน้าที่จับความผิด ได้ เรือง คนขับรถบรรทุกทรายเล่าว่า ‚ตํารวจบางคนเขาใช้จ้างคนน่ะ ส่องกล้องข้างทาง ทะเบียนนี้นะ แซงขึ้นมาแล้ว ดักได้เลย อย่างเนี่ย บางทีก็แอบซุ่มอยู่ข้างทาง แซงขึ้นมา ทะเบียนนี้ จับได้เลยแซงไม่เข้าเลนตัวเอง เรา ก็ต้องหูตาไวนะ ต้องคอยดูว่า มีคนอยู่ข้างทางมั๊ย มีรถอยู่ข้างทางมั๊ย จะได้อยู่ในเลนไม่ต้อง ออก ไม่งั้นเขาจับเอา ไม่ได้เลย‛
ฅนขับรถบรรทุก
24
รัตน์ คนขับรถบรรทุกทรายพูดถึงเจ้าหน้าที่ขนส่งทางบก ‚เนี่ย…ขนส่งเนี๊ย มันจะไปยืนดูว่ารถคันไหนไม่คลุมผ้าใบ ถ้ามันยืนอยู่บนถนนมันจะไม่เห็น เพราะรถเรามันจะสูงกว่า ไม่รู้ว่ารถคันไหนคลุม ไม่คลุม ถ้ามั นไปยื นอยู่ บนสะพานลอย เพราะเราวิ่งใต้สะพานอยู่แล้ว มันจะเห็นว่าอ้ายคันนี้ไม่คลุมนา มันจะวอบอก รถคันนั้น ทะเบียนนั้น รถสีนั้นสีนี้อะไร บอกลักษณะรถไป...คันเดียวก็เป็นหมื่นแล้ว ถ้ามันไม่ยอมน่ะนะ ถ้าพูดแล้วไม่ยอม มันเอาแน่ๆ ไม่เอาหรอกพันสองพัน มันเอาที …สองพันห้า สามพัน เราก็ ออกกันเองเราก็ต้องคุยกับมันดีๆ‛ แต่เมื่อใดที่คนขับรถบรรทุกไม่สามารถป้องกันตัวเองจากข้อกล่าวหาได้พวกเขาก็ต้องเสียเงิน ซึ่งก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องปกติสําหรับพวกเขา เวช คนขับรถบรรทุก ท่อคอนกรีต เล่าประสบการณ์ว่า ‚วัน นั้น ไปโดนที่ศรีป ระจัน ต์ ไป… ออกไปแล้วเจอตํารวจ ปุ๊บ โยกกลับเลย ฮือ…ลูกพี่มึงจะรีบไปไหนวะ ให้อยู่เลนซ้าย ควัก ตังค์ให้ลูกน้องมันเดินไปให้ เสียหกสิบบาท‛ ส่วนเกียรติ คนขับรถบรรทุกท่อคอนกรีตโดนข้อหาไม่มีไฟถอย ‚ก็เคยโดนนู้น...ขนส่งที่อยุธยา ตรวจอะไรครบหมดแหละ เฮ้ย …ไฟถอยไม่มี อู๊ย…ขับมาแต่ ไหนแล้วยังไม่เคยเจอขนส่งเล่นไฟถอย เออ…แต่ก่อนยังมีเล่นยาง อะไหล่มั่ง ตอนนี้ไม่มีแล้ว เพราะร้านยางมันเยอะ นี่เล่นไฟถอย เล่นห่าอะไรไม่ได้ ปรับตรงนั้น เล่นตรงนั้นด้วยนา หรือว่า จะเอาใบสั่ง โห…‛ แม้ไม่ได้ทําความผิดในเรื่องที่ถูกตั้งข้อหา แต่เทืองคนขับรถบรรทุกดินก็มักจะไม่กล้าปฏิเสธ ด้วยเกรงว่ามันจะนําไปสู่ความไม่พอใจซึ่งเป็นชนวนนําไปสู่ความผิดอื่นๆ ที่อาจเสียหายมากกว่าการ เสียเงินให้กับเจ้าหน้าที่ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เพียงไม่กี่สิบบาท ‚อ้ายคําว่าสิบล้อมันหาเรื่องผิดได้ทุกเรื่อง ทุกเวลาแหละ อย่างมันขับตามตูดเรา มันจะจับ เราน่ะ มันจะคิดไว้ก่อน ไฟส่องท้ายมีมั๊ย มันเปิดไฟเลี้ยวติดเหรอเปล่า ถ้าไม่มีอย่างนั้นมันก็ เรียกไป มันเอาจนได้แหละถ้ามันจะเอา เถียงมากไม่ได้อีกนา…อ้ายพวกเนี่ย ถ้ามันมีม้า เดี๋ยวมันยัดอีก คนเดียวเสียเปรียบมัน ก็มันมาทีนึงสองคน…ตํารวจ อ้ายเราขับสิบล้อมีคน เดียวน่ะ พูดมาก…ยัดแม่งมันเลย คราวนี้เสียเป็นหมื่น ติดคุกอีก‛
ฅนขับรถบรรทุก
25
ด้วยตระหนักดีถึงความเสียเปรียบหากจะต่อสู้แบบเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอํานาจ ตามกฎหมาย คนขับรถบรรทุกจึงมักยอมเป็นเบี้ยล่างของเจ้าหน้าที่รัฐเมื่อพวกเขานั่งอยู่หลังพวงมาลัย เกียรติ คนขับรถบรรทุกท่อคอนกรีตเล่าประสบการณ์การถูกขอว่า ‚บางทีไม่ได้แซงก็ขอเลย สิบล้อจอดทุกคัน เป็นแถวเลย อะไรพี่ ... รถเปล่ายังเอาเลย ไม่ได้ แซงนะ อ้าว…ขอก็บ อกขอซิ เออ…ขอมึงก็ ได้ แต่ก็ ไม่ใ ห้ห รอกโว้ย ขอกั นได้ไง ไม่ใ ช่ญ าติ พี่น้องกันเมื่อไหร่ มาขอกัน ลูกเต้าก็ว่าไปอย่าง มึงอย่ามากวนกูนา กูจะเอาข้อหาอะไรมึงก็ได้ เนี่ย รถเปล่า อ้าว…มันก็ว่าไปนู้นแหละ เอา…เอา เลยให้มันไปเลย อ้างว่าจะเอาข้อหาอะไร ก็ได้รถเปล่าอย่างเนี่ย เป็นซะอย่างนั้นอีก‛ แมว คนขับรถบรรทุกดินเล่าว่า ‚คนขับน่ะไม่กลัวไปชนไปอะไรหรอก มันกลัวโดนตํารวจจับ กลัวตํารวจอย่างเดียว...อ้าย พวกทางหลวงเนี่ย เห็นมันนิดเดียวก็กลัว มันมีอํานาจอยู่ที่เครื่องแบบจริงๆ นะ ตํารวจน่ะ … ไม่กล้า อ้ายคําว่าสิบล้อมันหาเรื่องผิดได้ทุกเรื่อง ทุกเวลาแหละ สิบล้อเนี่ยมันเต็มๆ เลย อาหารของตํารวจมันน่ะ วิ่งไปเนี่ย มันตั้งข้อหาได้ กูจะเอาข้อหามันอะไรดีว้า ข้อหามันตั้งได้ ทุกรูปแบบแหละ กฎหมายมันพูดมา เราพูดไม่ได้‛ บนความสัมพัน ธ์ที่ เ ปรีย บเสมือนคู่ต รงข้ามกั น ระหว่า งคนขับ รถบรรทุก และเจ้าหน้าที่ รั ฐ หากแต่ ก ลับ มี ค วามสั ม พัน ธ์ ค ล้ า ยมิ ต รภาพแทรกอยู่ อย่ า งเช่ น ในขณะที่ เ จ้ าหน้ าที่ รั ฐ สามารถ ดําเนินการทางกฎหมายกับคนขับรถบรรทุกได้เ ต็มที่แต่เจ้าหน้าที่บางกลุ่มบางคนกลับลักลอบเปิ ด โอกาสคนขับรถบรรทุกผู้มีวิถีอาชีพเป็นสีเทาได้มีหนทางรอดตัวจากความผิดทางกฎหมาย ไม่ถูกปรับ หรือถูกลงโทษตามข้อกําหนดในกฎหมาย ในขณะที่คนขับรถบรรทุกเองก็รับรู้และตอบแทนไมตรี นั้น ด้วยการยินยอมปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของเจ้าหน้าที่ของรัฐเท่าที่คนอย่างพวกเขาจะไม่เดือดร้อนโดย สื่อกลางของการแลกเปลี่ยนบนความสัมพันธ์นี้คือ ‚เงิน‛ พวก(เดียวกัน) ? ดูเหมือนกับว่าบนเส้นทางของการนําสินค้าไปสู่จุดหมายนั้น คนขับรถบรรทุกไม่ได้เดินอยูเ่ พียง ลําพัง หากแต่ เถ้ าแก่ ได้ สร้างระบบความสัมพัน ธ์ระหว่างผู้คนที่ ต่างก็มีส่วนสําคัญ ที่ช่วยให้คนขั บ รถบรรทุกรอดพ้นจากอุปสรรคนานาชนิดที่มีอยู่บนท้องถนนที่จะทําให้เขาไม่สามารถนําสิน ค้าของ เถ้าแก่ไปส่งให้ลูกค้าได้ เถ้าแก่ได้พัฒนาระบบความสัมพันธ์ของกลุ่มคนต่างๆไม่ว่าจะเป็นคนตามรถ
ฅนขับรถบรรทุก
26
บริ ษั ท ประกั น ภั ย ตลอดรวมไปถึ ง คนขั บ รถบรรทุ ก คนอื่ น ๆเพื่ อ นผู้ ร่ ว มชะตากรรมเดี ย วกั น ภาพความสัมพันธ์ดูเสมือนว่าเป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลระหว่างกัน หากแต่เมื่อพิจารณาให้ถ่องแท้แล้ว นั้นจะเห็นว่าความสัมพันธ์ดังกล่าววางอยู่บนระบบผลประโยชน์ ทางธุรกิจ หรือการได้มาซึ่งกําไรเป็น สําคัญ และละเลยเพิกเฉยต่อความปลอดภัยในการขับขี่หรืออุบัติเหตุทางถนนที่อาจเกิดขึ้น 1)เถ้าแก่กับบทบาทผู้เชื่อมและผู้เคลียร์ แม้เถ้าแก่ เจ้าของรถจะมิใช่ผู้ที่ร่วมตระเวนไปบนท้องถนนกั บคนขับรถบรรทุก แต่เขาก็เป็ น บุคคลสําคัญที่สุดของเครื อข่ายแห่งความสัมพันธ์คล้ายมิตรนี้ เถ้าแก่จ ะทําหน้าที่ถัก ทอสายใยแห่ง ความเกื้อกูลระหว่างคนขับรถบรรทุกกับผู้คนต่างๆ จากคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนอย่างเช่นตัวแทน จากบริษัทประกันให้มาให้ความช่วยเหลือกับคนขับรถบรรทุกยามเมื่อมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ชักใยให้คน ตามรถขับรถตระเวนตามขบวนรถบรรทุกไปเพื่อคอยช่วยเหลือคนขับรถบรรทุกเมื่อมีเหตุการณ์ที่ไม่พึง ประสงค์เกิดขึ้น แม้กระทั่งกับคู่ปรับที่สําคัญอย่างเจ้าหน้าที่ของรัฐเถ้าแก่เจ้าของรถก็ยังสานสายใยแห่ง ความสัมพันธ์ฉันท์มิตรเตรียมไว้ให้กับคนขับรถบรรทุกถึงแม้ว่าจะไม่ได้ผลสมบูรณ์เต็ มร้อยแต่สําหรับ เจ้าหน้าที่ในท้องที่นั้นอาจกล่าวได้ว่ามีปัญหาน้อยมาก คนขับรถบรรทุกจะต้องระมัดระวังเจ้าหน้าที่ จากหน่วยงานนอกเส้นทางเช่น ตํารวจทางหลวง ซึ่งก็ไม่ได้เป็นปัญหามากนัก บทบาทของเถ้าแก่จึงทํา หน้าที่ในบทบาทของผู้เชื่อมความสัมพันธ์และผู้เคลียร์ปัญหาอุปสรรคให้ลุล่วงไปได้ รัตน์ คนขับรถบรรทุกทรายเล่าถึงการช่วยเหลือของเถ้าแก่ที่มีต่อการต่อต้านต่อรองอํานาจของ เจ้าหน้าที่ผ่านระบบการเคลียร์ว่า ‚ตาชั่งลอยไง มันวิ่งจับน่ะ พอจับเราก็เอาไปชั่งที่พวกโรงสีมั่ง พวกแพล๊นท์มั่ง ที่ที่มีตาชั่งน่ะ ที่มีกิโลชั่งน่ะ ถ้าเราเกิน…มันก็นั่งรถเราเลยล่ะ มันก็คุมตัวเราไว้...โดนจับแน่ๆ ถ้าเราเคลียร์ มันเห็นป้าย…มันก็ ปล่อย เราก็ไม่กลัว ก็รู้ว่า เออ…เส้นนี้เ คลียร์แล้ว ไม่ต้องกลัวมัน หรอก บางทีมันเรียกหน่อยเดี๋ยวเดียวมันก็ปล่อย เพราะเถ้าแก่เคลียร์แล้วมันก็ไม่ยุ่ง ถ้าขาดเคลียร์ แล้ว เออ…ถ้าเราขาดเคลีย ร์มันก็ จะจับ เราหน่อยนึง จับเป็น พิธีอย่ างเนี่ย เฮ้ย …มึงโทรฯ เรียกเถ้าแก่ซิ จะคุยหน่อย‛ ไม่มีคนขับรถบรรทุกคนใดตั้งคําถามต่อการทําหน้าที่เชื่อมความสัมพัน ธ์และการทําหน้าที่ เคลียร์กับเจ้าหน้าที่รัฐของเถ้าแก่ว่า เป็นไปเพื่อคนขับรถบรรทุก หรือว่าการกระทําดังกล่าวของเถ้าแก่ นั้นเป็นไปเพื่อการได้มาซึ่งผลกําไรสูงสุดของเถ้าแก่?และผลของการกระทํานั้นได้ส่งผลกระทบในด้าน ใดบ้าง?
ฅนขับรถบรรทุก
27
2)คนตามรถ:ภาพตัวแทนของเถ้าแก่บนถนน ในฐานะตัวแทนของเถ้าแก่เจ้าของรถ คนตามรถมีหน้าที่อํานวยความสะดวกในการทํางาน ให้กับคนขับรถบรรทุกในทุกๆ เรื่อง ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างเรื่องของความสมบูรณ์ของสภาพ รถบรรทุกไปจนถึงปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างทางเกี่ยวกับการจับกุมของเจ้าหน้าที่รัฐ คนตามรถจะขับรถตระเวนไปบนถนนสายที่คนขับรถบรรทุกใช้เป็นเส้นทางในการเดินทางเพื่อ ตามไปอํานวยความสะดวกและแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้กับบรรดาคนขับรถบรรทุกในความดูแล ‚เถ้าแก่เขามีคนตามรถให้ไง มีตําร่งตํารวจ เคลียร์ตํารวจ เขาจะเดินเรื่องให้เราตลอด เถ้าแก่ เขาจะมีปิกอัพให้คันนึง ก็เหมือนเป็นรถเราเลยล่ะ จอดบ้าน ใช้งานบ้านก็ได้ตลอด เราเกิดอะไร เขา ต้องรับผิดชอบเรา รถเสีย เขาต้องซ่อมให้เราได้ ยางระบ่งระเบิด ต้องจัดการให้‛ ‚กลางคืนนี่ คนตามรถเขาก็ขับรถดูเรา โทรฯ จะเช็คว่าถึงไหนแล้ว เออ! ไปเอาทรายที่บ่อนั่น บ่อนี้นะ รถไม่มีเนี๊ย เขาต้องวิ่งตลอด แล้วก็เปลี่ยนยาง เคลียร์ตํารวจ อย่างกับสิ้นเดือนเขา ต้องเอาซองไปให้ตํารวจ…บางทีถ้ารถเสียกลางวันก็ต้องไป ต้องรับผิดชอบทั้งหมด รถเสียต้อง เอารถกลับอู่หมด รับช่างไป ต้องรับช่างไปด้วย ต้องเอาช่างไปทํา‛ แม้ในยามวิกฤตยามเมื่อคนขับรถบรรทุกขับรถไปชนกันจนมีคนตายที่คนขับรถบรรทุกต้องทํา ตัวให้สาบสูญไปนั้นคนตามรถก็จะเป็นผู้เข้าไปดูลาดเลาในที่เกิดเหตุและประสานให้ตัวแทนจากบริษทั ประกันภัยเข้าไปช่วยดําเนินการทางด้านคดีความ ‚เราก็โทรฯ บอกเถ้าแก่ก่อน รถอุบัติเหตุชนกันนะ ตายหรือเปล่าเราไม่รู้ แล้วผมหนีมาแล้ว เรา ต้องบอกคนตามรถ ทีนี้คนตามรถที่เราโทรฯบอกเขาก็ต้องโทรฯแจ้งประกัน แล้วเขาก็ต้องไป ดูที่เกิดเหตุว่ามันเป็นยังไงๆ กัน ดูลักษณะว่าใครผิดใครถูก‛ ‚คนขับก็ต้องรู้แล้วว่าต้องตายแน่ๆ เพราะมันมุดใต้ท้องเข้าไปเลยน่ะ เล่นชนกลางคันเลยน่ะ แล้วรถมันก็คงจะเหยียบซ้ําด้วย เพราะมันบอกว่ามันเบรกไม่ทัน มันอัดพรวดเข้ามาเลยน่ะ มันก็เลยจอดรถ มันก็เลยโดดขึ้นรถคันอื่นไป แล้วก็โทรฯ บอกคนตามรถให้ไปดูว่าตายหรือไม่ ตาย มันน่าจะตายนะ พอไปดูมันก็ตาย เขาไปอยู่ใต้ท้อง ทีนี้ก็โทรฯ ไปเรียกประกัน‛
ฅนขับรถบรรทุก
28
นอกจากมีหน้าที่ในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ให้กับคนขับรถบรรทุกแล้ว คนตามรถยัง มีหน้าที่สําคั ญที่ได้รับมอบหมายจากเถ้าแก่ ในการควบคุมบรรดาคนขับรถบรรทุกในความดูแลให้ ทํางานได้ตามคําสั่งซึ่งเขาก็จะทําหน้าที่อย่างเคร่งครัด ตรวจสอบและเร่งงานจากคนขับรถบรรทุกแทบ ทุกฝีก้าว ‚ตามธรรมดานี่ซัก ห้าโมง ห้าโมงกว่าๆ คนตามรถเขาจะไล่รถออกกันหมดแล้ว โทรฯ เช็ค บ้านลูกน้องหมดทุกบ้าน ออกไปหรือยัง ถ้าไม่ออกไปเดี๋ยวก็โดนด่า‛ ‚ถ้างานเร่งไม่ได้เลยนะ คนตามรถเขากวดติดเลยน่ะ ถ้างานเร่งๆ เขาจะโทรฯ จี้ มึงถึงไหนๆ แล้ว ‛ 3)บริษัทประกันภัยผู้ก่อร่างและตอกย้าความเต็มใจที่จะเสี่ยง ตามพันธะสัญญาที่กระทํากับเถ้าแก่เจ้าของรถ ตัวแทนจากบริษัทประกันภัยเป็นบุคคลสําคัญ อีกคนหนึ่งที่จะถูกดึงเข้ามาเป็นตัวช่วยให้กับคนขับรถบรรทุก ยามเมื่อคนขับรถบรรทุกมีปัญหาอันเกิด จากอุบัติเหตุโดยที่ตัวแทนจากบริษัทประกันภัยจะรับเป็นธุระจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดแทน เถ้าแก่เจ้าของรถและคนขับรถบรรทุก ‚ก็เรียกประกันมา เพราะประกันเรามีอยู่แล้ว ...ประเภทหนึ่ง พวกอะไรที่ว่าพังเนี่ย เขาก็จะ ซ่อมให้หมด ทั้งคู่กรณีแล้วก็ของเรา…บางทีก็ไปชนกระถางต้นไม้ ไปชนรั้วเขาอย่างเนี่ย เรา ไม่มีตังค์ไป เจ้าของบ้านเขามาด่า เราต้องเรียกประกันไป ให้ประกันมาคุย ประกันเขาเดี๋ยวก็ มาคุยกันเอง มันใช้ได้ตั้งแต่ชนของ ชนอะไร มันใช้ได้หมด ชนรั้วบ้าน ชนอะไรเนี่ย ให้ประกัน จ่ายอย่างเดียว‛ ส่วนเกษม คนขับรถบรรทุกทรายคนใหม่ของบริษัทแห่งหนึ่ง เล่าให้ฟังถึงอุบัติเหตุที่เพิ่งเกิดขึ้น ว่า ‚ตอนนั้นก็ลงไปดูคนเจ็บก่อน ไปดูก่อนว่ามีคนเจ็บมั๊ย ถ้าไม่มีใครเจ็บเราก็อยู่นั่นแหละ ก็ไม่ได้ หนีไปไหน แล้วก็บ อกคนตามรถ รู้ว่ารถบริษัทเนี่ยเขามีป ระกัน อยู่แล้วผมก็เลยว่าไม่ค่อย ตกใจเท่าไหร่ เพราะมันมีประกัน เขาบอกว่าเดี๋ยวโทรฯ เรียกประกันมา ไม่ต้องตกใจ...ทางนี้ เขาบอก คนตามรถเขาบอกว่าไม่ต้องตกใจ อยู่เฉยๆ อยู่นั่นแหละ เดี๋ยวไปรับอย่างเนี่ย เราก็ ไม่ได้ตกใจมากมายเพราะไม่มีคนเจ็บ เขาบอกว่าเดี๋ยวประกันไปเคลียร์ให้ แค่นั้นเอง เรารู้ว่า
ฅนขับรถบรรทุก
29
มีประกัน เพราะเคยเห็นว่าเดี๋ยวประกันเขามาเคลียร์...เราก็จบ เขาก็ไม่ได้คุยอะไร คนที่เราชน เขาก็ไปคุยกับประกันหมด ใช่มั๊ย เราก็ไม่ได้อะไร…คนตามรถเขาก็มาดูรถให้ เอาช่างมาดูรถ ให้ ผมก็เ อารถขับกลับ ออกจากโรงพัก มา ก็ไม่ได้ไปทําอะไร นอกจากเอาช่างไปดูรถให้ เท่านั้น อย่างอื่นประกันเขาก็เคลียร์ให้หมด‛ บทบาทและการทําหน้าที่ที่เข้มแข็งของระบบประกันจะมีความสําคัญอย่างมากที่ทําให้เถ้าแก่ และคนขับ รถบรรทุก วางใจ ไว้ใ จและยิ น ยอมพร้อมใจที่เ ดิน เข้า สู่เ ส้น ทางความเสี่ย งต่อการเกิ ด อุบัติเหตุทางถนนเพื่อแลกกับจํานวนเที่ยวหรือกําไรจากการส่งสินค้า 4)เพื่อนร่วมอาชีพ บนท้องถนนที่ดูเหมือนไม่มีใครสนใจกับเรื่องราวของคนอื่น ต่างคนต่างมุ่งไปสู่จุดหมายของ ตนเอง คนขับรถบรรทุกและเพื่อนๆ ร่วมอาชีพจะเอาใจใส่และคอยช่วยเหลื อซึ่งกันและกัน สําหรับ คนขับ รถบรรทุก แล้วไม่ว่าเขาจะเป็ น คนขับ รถบรรทุก สิน ค้าอะไรหรือบริษั ท ไหนพวกเขาเป็ น พวก เดียวกัน มีความคิดว่าเจ้าหน้ารัฐคือกลุ่มอริคู่ตรงข้ามเหมือนกัน ดังนั้นในทุกครั้งที่คนขับรถบรรทุกเห็น ว่าเพื่อนร่วมอาชีพจะได้รับความเดือดร้อนจากเจ้าหน้าที่ของรัฐพวกเขาจะส่งสัญญาณต่อกัน
เมื่อรถบรรทุกคันหน้าเสีย เพื่อนคนขับรถบรรทุกที่ตามหลังมาจะจอดรถและลงมาช่วย เป็นวัฒนธรรมการช่วยเหลือเกื้อกูลบนถนน
แมว คน ขับรถบรรทุกดินเล่าว่า ‚มันจะมี 2 อย่าง กระพริบไฟกับเปิดไฟเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา ถ้ามันเปิดขวา มันบอกว่าไม่ให้เรา แซง ถ้าแซงไปมีตํารวจ ถ้าเปิดขวาแล้วเปิดซ้าย…ไปเถอะ ไม่มีหรอก ถ้าซ้าย…ไปเหอะ วิ่ง เหอะ...ไม่เจอ มันจะจับได้คันนึงสองคันแค่นั้น …ตํารวจน่ะ...จับอ้ายคนที่ซวยที่สุดน่ ะ แล้ว อย่างวิ่งๆ ไปแล้ว มีเจ้าหน้าที่จอดจับอย่างเนี่ย แล้วอ้ายคันที่สวนมาน่ะ มันสวนทางเรามา
ฅนขับรถบรรทุก
30
คนละฝั่ง…มันจะต๊อกไฟบอก ทีนี้รถสิบล้อก็จ ะชัก แถว...มันหัวใจอันเดีย วกัน มัน ทํา …วิ่ง เที่ยวเหมือนกันทั้งนั้น เสียตํารวจเหมือนกัน‛ ก่อนจะมาเป็น...ฅนขับรถบรรทุก ความหลากหลายที่มาที่แตกต่างกันก่อนที่จะมาเป็นคนขับรถบรรทุก หรือ ‚ลูกพี่ของเด็กรถ‛ นั้น คนขับรถบรรทุกบางคนไม่เคยประกอบอาชีพอย่างอื่นเลย เขาเริ่มต้นการทํามาหาเลี้ยงชีพด้วยการ รับจ้างขับรถบรรทุก มาโดยตลอด บางคนที่เคยประกอบอาชีพอื่นมาก่อนที่จะตัดสินใจเลือกการขับ รถบรรทุกเป็นอาชีพตราบจนปัจจุบัน ในขณะที่บางคนเคยประกอบอาชีพต่างๆ มาก่อนที่จะเปลี่ยนมา รับจ้างขับรถบรรทุกและเลิกราเพื่อไปประกอบอาชีพอื่น หากแต่ในที่สุดแล้วพวกเขาก็หวนกลับมายึด การขับรถบรรทุกเป็นอาชีพสําหรับหาเลี้ยงตัวเองและครอบครัวอีกครั้งด้วยไม่ประสบความสําเร็จใน การประกอบอาชีพอื่นๆ เหล่านั้น หากมองย้ อนกลับไปในอดีตของคนขับรถบรรทุกเหล่านี้ จะพบว่า เส้น ทางสู่การเป็น คนขับ รถบรรทุกของพวกเขามีเงื่อนไขของบริบทชีวิตที่คล้ายคลึงกัน ที่สะท้อนให้เห็นถึงความยากจน ความ ทะเยอทะยาน ความต่อสู้ให้รอดพ้นต่อความแร้นแค้น เป็นต้น 1)ชีวิตในรูปแบบ ปากกัด ตีนถีบ เงื่อนไขทางเศรษฐกิ จของครอบครัวซึ่งทํา ให้คนขับรถบรรทุกส่วนใหญ่ต้องออกจากโรงเรียน เมื่อจบการศึกษาภาคบังคับระหว่างอายุ 12 -14 ปี คนขับ รถบรรทุก น้อยคนที่ จ บการศึ ก ษาในระดั บ มัธยมศึกษาตอนต้น เมื่อไม่ได้เรียนหนังสือบทบาทชีวิตของพวก เขาก็ เ ปลี่ย นไป พวกเขาต้ องเริ่มต้ นต่ อสู้ชีวิตด้วย ตัวเอง หาเลี้ยงตัวเองและครอบครัวโดยมีช่องทางการต่อสู้ชีวิตที่แตกต่างกันไป มิน คนขับรถบรรทุกทรายวัย 41 ปี เล่าให้ฟังว่า เมื่อเขาออกจากโรงเรียนเมื่ออายุประมาณ 12 ปี พ่อของเขาก็พาเขามาฝากทํางานกับญาติซึ่งเป็นเจ้าของไร่อ้อยและมีกิจการรับซื้ออ้อยเข้าโรงงาน โดยในตอนนั้นเขาต้องทํางานทุกอย่าง สุดแล้วแต่ว่าเขาจะสั่งให้ทํา ‚พ่อพามาฝากเอาไว้กับเขาไง ก็ทําไร่บ้างอะไรบ้าง ทําสารพัด แล้วแต่ว่าเขาให้ทําอะไร จะใช้ ขับรถ จะทําอะไร รถไถ รถอะไรขับเป็นหมด…ตอนแรกๆ มันก็ยังทําไม่ได้หรอก หัดเอา”
ฅนขับรถบรรทุก
31
เช่นเดียวกับเผือก คนขับรถบรรทุกดินวัย 44 ปี เป็นคนขับรถบรรทุกอีกคนหนึ่งที่ต้องจบชีวิต การเป็นเด็กที่พ่อ แม่คอยโอบอุ้ม แล้วหารายได้ด้วยการเป็นเด็กรถบรรทุก ด้วยวัยเพียง 14 ปีเขาต้อง ดูแลตนเองและตระเวนไปกับรถบรรทุก สุดแล้วแต่ว่ารถบรรทุกจะไปรับจ้างบรรทุกสินค้าอะไร ที่ไหน ‚ถ้ า มัน วิ่ง อยู่ แถวบ้ านก็ ไ ปเช้า เย็ น กลับ แต่ทีนี้ว่าหมดหน้าอ้อย…ก็ ต้องไปกั บ รถ บางทีก็เดือนกว่า…ก็ไป ยาก็ไม่สูบ เหล้า ก็ ไม่กิ น กลับ มา…ให้เ งิน เดื อนแม่ส องร้อ ย แม่ก็ดีใจตายแล้ว‛ เพ็ญ เป็นอีกคนหนึ่งที่ต้องรับผิดชอบ ชีวิตของตัวเองด้วยวัยเพียง 14 ปี เมื่อออกจากโรงเรียนแล้ว เขาก็ต้องจากครอบครัวไปรับจ้างเป็นเด็ก ในอู่ซ่อมรถที่จังหวัดราชบุรีด้วยค่าจ้างในระยะแรกๆ เพียงเดือนละ 50 บาท ‚กินอยู่กับเขา ค่าแรงไม่ให้ ให้แต่ค่าแฟ๊บ ค่าแฟ๊บคือ…เป็นค่าที่ว่าเราทํางาน อยู่อู่นี่นา กินอยู่ กับเขาก็จริงนา แต่ค่าแฟ๊บค่าสบู่เนี่ยเราต้องซื้อเอง แปรงสีฟัน ยาสีฟัน อะไรเนี่ยเราต้องซื้อเอง เขาจะ ให้เดือนละห้าสิบบาทแค่นั้นเอง‛ เพ็ญทํางานอยู่ที่อู่ซ่อมรถแห่งนี้นานประมาณ 3 ปี จนมีความรู้ ความชํานาญเกี่ยวกับการซ่อม เครื่องรถยนต์พอสมควร เขาจึงย้ายไปเป็นช่างซ่อมรถที่อู่แห่งอื่นซึ่งได้เงินเดือนมากกว่าและเปลี่ยน อาชีพมาเป็นคนขับรถบรรทุกในที่สุด 2)เส้นทางที่คุ้นเคย น่าสังเกตว่าคนขับรถบรรทุกส่วนใหญ่มักมีญาติหรือคนรู้จักละแวกบ้านประกอบอาชีพด้วย การรับ จ้า งขับ รถบรรทุก ซึ่ง ทํา ให้พ วกเขาได้ มีโ อกาสรั บ รู้ เ กี่ ย วกั บ อาชี พและรายได้ข องการขั บ รถบรรทุก รวมทั้งมีโอกาสในการก้าวเข้าสู่อาชีพนี้ได้ง่ายกว่าอาชีพอื่นๆ โดยได้เรียนรู้ถึงวิธีการขับรถ และธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ เกี่ยวกับอาชีพจากการเป็น ‚เด็กรถ‛ และได้รับความช่วยเหลือในการเข้า ทํางานจากบุคคลใกล้ชิดเหล่านั้น ดังเช่นเทืองกั บพี่ชาย บุ ญกับพี่ เมีย บอยกับ พ่อตา แมวกับเพื่อน เกษมและเกียรติกับญาติ หรือเผือก กุ่ย และหนุ่มกับคนรู้จักแถวละแวกบ้าน หรือหากว่าไม่มีคนใกล้ชิด หรือคนรู้จักเป็นคนขับรถบรรทุก งานที่พวกเขาทําก็มักมีความเกี่ยวข้องกับรถบรรทุก ซึ่งพวกเขาก็จะได้ เรียนรู้เกี่ยวกับวิถีอาชีพการขับรถบรรทุก
ฅนขับรถบรรทุก
32
เทือง คนขับรถบรรทุกดินวัย 36 ปี ย้อนความหลังให้ฟังถึงเรื่องราวภายหลังจากที่เขาออกจาก โรงเรียนเมื่ออายุ 14 ปีว่า เมื่อเขาไม่ต้องไปเรียนหนังสือแล้วเขาก็หารายได้ช่วยเหลือครอบครัวโดยการ ตระเวนรับจ้างรายวันไปกับแม่ ไม่ว่าจะเป็นการถางหญ้า เกี่ยวข้าว หรือการตัดอ้อย ‚ก็รับจ้างอะไรแถวนี้แหละ…รายวัน ตอนเล็กๆ ก็ยังต๊อกเตะๆ ตามแม่เกี่ยวข้าวเกี่ยวอะไรเนี่ย‛ เมื่อเขาโตขึ้นมาพอทํางานหนักได้ เทืองก็ไปรับจ้างในโรงงานทํายางรถยนต์และทํางานอยู่ที่ โรงงานแห่งนี้จนกระทั่งมีปัญหาครอบครัวบางอย่าง เขาจึงเริ่มมองหาช่องทางการทํามาหากินใหม่ซึ่ง เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะทํางานอะไรนอกจากการรับจ้างขับรถบรรทุก เพราะคนใกล้ตัวอย่างพี่ชายของเขา รับจ้างขับรถบรรทุกอยู่แล้ว เทืองจึงต้องฝึกเป็น ‚เด็กรถ‛ ติดรถบรรทุกไปกับพี่ชาย ‚ตอนนั้นพี่ชายมันขับรถบรรทุกอ้อย พี่ชายมันเอาไปหัด…ติดรถพี่ชาย ไปฝึก ไม่ได้ไปรับจ้าง ใครหรอก ไปฝึก กับ พี่ช ายเอง รถเนี่ย เขาไม่ฝึกกั นง่ายๆ หรอก เขาไม่ก ล้าปล่อยกัน ง่ายๆ ไม่ใ ช่พี่น้องเขาไม่กล้าปล่อยหรอก…ก็ฝึก ทุกอย่างน่ะ เขาคลุมผ้าใบยังไง เขาไปเขาก็ บอก ว่า…อย่างนี้ แซงรถ…อย่างนี้ แซงขึน้ …อย่างนี้ ต้องขึ้นให้พ้น ถ้าขึ้นแล้วห้าสิบห้าสิบก็อย่า ไปขึ้น ก็สอนเรา แบบ…ใหม่ๆ ก็สอนแบบครูสอนนักเรียนนั่นแหละ นี่…แซงอย่างนี้อย่างนี้นา บอกเรา ก็เราขับเขาก็นั่งบอก เอ้า….อย่างเนี่ย แซงอย่างเนี่ย เขาก็ดู เขาก็บอก…ถ้ารถอ้อย เนี่ย อยู่ในไร่นี่มันปล่อยเราขับเลยไง เก็บอะไรจนเต็มน่ะ เราออกไปถึงบ้านก็…มันขับไป เราก็ ติดรถไปอย่างเนี่ย ออกจากโรงงาน…เราก็ ขับรถเปล่ากลับ มันก็ นั่งมากับ เรา จนเราขับรถ แข็งน่ะ ถึงทําใบขับขี่ได้‛ ส่วนบอย คนขับรถบรรทุกสิบแปดล้อบรรทุกทรายและดินวัย 20 ปี เล่าให้ฟังว่าชีวิตของเขา เริ่มเข้ามาเกี่ยวข้องกับรถบรรทุกเมื่ออายุ 18 ปี ตอนที่เขาเป็นแฟนกับกิ๊งซึ่งพ่อของเธอมีอาชีพรับจ้าง ขับรถบรรทุกสิบแปดล้อ เมื่อบอยย้ายมาอยู่ที่บ้านกิ๊งและไม่มีงานทําเป็นหลักแหล่งเขาจึงมักจะติดรถ ไปกับพ่อของกิ๊งเพื่อช่วยงาน ซึ่งในระยะแรกๆ บอยก็จะเป็นการช่วยทํางานง่ายๆ อย่างคลุมผ้าใบ และ ถอดและใส่สลักรถพ่วง หากแต่ในขณะที่บอยนั่งรถไปกับพ่อของกิ๊งเขาก็ได้เรียนรู้วิธีการขับรถพ่วงจาก พ่อของกิ๊งและได้ฝึกขับไปในตัวด้วย ซึ่งในที่สุดบอยก็สามารถช่วยพ่อของกิ๊งขับรถบรรทุกพ่วงได้ตั้งแต่ อายุยังไม่เต็ม 19 ปี ‚บางครั้งพ่อก็นอน ผมก็ขับ เวลาพ่อนอนผมก็ต้องขับเองดูเองจัดการเองอะไรทั้งหมด พอพ่อ นอนผมก็ไม่อยากปลุกไม่อยากให้พ่อตื่น บางทีถึงหน้างานเราก็ลงเองอะไรเองไง‛
ฅนขับรถบรรทุก
33
เช่นเดียวกับคนขับรถบรรทุกอีกหลายๆ คนซึ่งมีวิถีชีวิตเกี่ยวข้องกับรถบรรทุก ดังกรณีของเพ็ญ ซึ่งแม้ว่าเขาจะเริ่มต้นชีวิตด้วยการเป็นเด็กในอู่ซ่อมรถบรรทุก หากแต่ด้วยหน้าที่ที่ต้องนํารถที่ซ่อมแล้ว ไปทดลองวิ่งเพื่อตรวจสอบสภาพรถทําให้เพ็ญเชี่ยวชาญการขับรถบรรทุกไปด้วย ‚ลอง…อย่างเราซ่อมปั๊บ คือว่าเราจะต้องเอาไปลองไง อย่างว่า (รถ) พ่วง เทรลเลอร์ ปิกอัพ อะไรเนี่ย เราลองหมดแหละ‛ ในขณะที่พลและศรีที่แม้จะเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่ทําไร่อ้อย แต่ทุกฤดูเกี่ยวเก็บพวกเขาซึ่ง คุ้นเคยกับคนขับรถบรรทุกก็จะมีโอกาสฝึกขับรถบรรทุกเก็บอ้อยในไร่ หรือเวชที่พอว่างจากการรับจ้าง ทําท่อคอนกรีตก็ มักช่วยคนขับรถบรรทุกท่อคอนกรีตขยับรถไปให้คนงานขึ้นท่อตามจุดต่างๆ ใน โรงงาน ศรี คนขับรถบรรทุกดินเล่าว่า ‚เราก็…หัดลักจําเอา พอลูกพี่ขับเราก็หัดลักจําเอา แต่ก่อนเขาไม่ค่อยมีการปล่อยวิชากัน เรา ก็หัดลักจําเอา ขยับยังไง อะไรยังไง‛ เช่นเดียวกันกับเวช คนขับรถบรรทุกท่อคอนกรีตบอกว่า ‚ดูเขา ก็หัด ก็ฝึกด้วยตัวเองไง คนอื่น ไม่ได้บอก…จําเอา มันเป็นปิกอัพมาก่อนด้วย‛ 3)เส้นทางที่ดีกว่าเดิม สําหรับคนขับ รถบรรทุกบางคน พวกเขาเคยผ่านการประกอบอาชีพต่างๆ มาก่อนที่จะมา รับ จ้า งขับ รถบรรทุ ก หากแต่ พ วกเขาประสบปั ญ หาในเรื่อ งรายได้ที่ ไม่เ พีย งพอกั บ ค่า ใช้จ่ ายใน ครอบครัว การรับจ้างขับรถบรรทุกคือช่องทางการทํามาหากินใหม่ที่พวกเขาคิดว่าจะสามารถช่วยให้ หลุดพ้นจากภาวะเดือดร้อนทางด้านการเงิน เป็นการลงทุนด้วยแรงกายซึ่งไม่ต้องเสี่ยงต่อการขาดทุน เหมือนเช่นการค้าขายหรือการเพาะปลูก ซึ่งแม้ว่าจะเสี่ยงต่ออันตรายมากกว่าอาชีพอื่นๆ แต่ค่าจ้างที่ ได้รับจากการขับรถบรรทุกก็มากกว่าค่าจ้างจากการประกอบอาชีพอื่นๆ เช่นกัน ก่ อ นที่ พ ลจะมารั บ จ้า งขับ รถบรรทุ ก ท่อ คอนกรีต ในปั จ จุบั น เขาเคยทํา งานเป็ น ช่ างกลึ ง ทองเหลืองซึ่งมีรายได้ วัน ละร้อยกว่าบาทมาก่ อน เขาให้เ หตุผลในการเปลี่ย นอาชีพมารับ จ้างขับ รถบรรทุกว่า
ฅนขับรถบรรทุก
34
‚มันก็ เบื่อไง มันก็ เบื่อ รายได้ มันไม่ พอ วัน นึงร้อยกว่าบาท ก็เ ลยไปนี่ …ก็ เลยไปหัดขับ รถดู ตอนนั้นมีรถทรายเยอะ แล้วค่าเที่ยวมันพออยู่ได้‛ ส่วนแมวซึ่งเคยขับรถกระบะส่งวุ้นตามร้านสะดวกซื้อและรถหกล้อบรรทุกกล่องกระดาษส่ง ตามโรงงานมาก่ อ น แต่ เ ขาก็ ก ลั บ บ้ า นไปทํ า ไร่ ป ลู ก ดอกดาวเรื อ ง ข้ า วโพดหวาน ข้ า วโพดแอ้ ชั่วระยะเวลาหนึ่งเนื่องจากแม่ของเขาไม่อยากให้เขารับจ้างขับรถเพราะเห็นว่าการขับรถเป็นอาชีพที่ อันตราย เสี่ยงต่ออุบัติเหตุจราจร ถึงตอนนี้แมวตัดสินใจให้คนอื่นเช่าที่ดินทําไร่แล้วตัวเขาก็กลับมา ขับรถบรรทุกเป็นอาชีพใหม่อีกครั้งด้วยเหตุผลเกี่ยวกับรายได้และช่องทางการทํามาหากินว่า ‚กลับไปทําไร่เป็นหนี้เขาสามหมื่นบาท ก่อน…ผมขับรถไม่เคยเป็นหนี้เลย มีแต่เขามาขอยืม เงิน เพราะเราไม่ต้องลงทุนอะไร ใช้แต่สายตากับกําลัง …ก็ไม่รู้จะไปทําอะไร เรียนมาก็ไม่สูง เรียนแค่ ป.สี‛่ กรณีของเทืองซึ่งเคยทํางานในโรงงานยางรถยนต์ แล้วเปลี่ยนอาชีพมารับจ้างขับรถบรรทุก ทรายหากแต่เขาก็เลิกขับรถบรรทุกแล้วไปทํางานในโรงงานทําข้าวโพดกระป๋องเพราะไม่พอใจเถ้าแก่ เจ้าของรถที่ไม่ออกเงินค่าปรับ ‚วิ่งขวา‛ ให้ แต่ในที่สุดเขาก็หวนกลับมาขับรถบรรทุกอีกครั้งหนึ่งด้วย เหตุผลที่ว่ารายได้จากการทํางานในโรงงานไม่เพียงพอกับรายจ่ายในครอบครัว ‚หยุด…ไปทําโรงงานนั้นแหละ ลูกเรียนด้วยอะไรด้วย เช้า…ลูกก็ต้องไปโรงเรียน…มันไม่ค่อย พอ เราอยู่ไม่ได้หรอก ถ้าอยู่ก็อดตาย รอบุญวาสนาไม่ได้‛ แม้แต่ในกรณีของเพ็ญซึ่งแม้จะไม่ตั้งใจว่าจะยึดการขับรถบรรทุกเป็นอาชีพไว้แต่แรก แต่เมื่อ เขาไม่สามารถเปิดอู่ซ่อมรถซึ่งเป็นอาชีพที่ใฝ่ฝันได้ดั่งใจปรารถนา ประกอบกับการเป็นลูกจ้างในอู่ซ่อม รถได้รับ ค่าจ้างน้อยซึ่งไม่เ พีย งพอกั บค่าใช้จ่ายในครอบครัว เขาจึงเปลี่ยนใจมายึ ดการรับ จ้างขับ รถบรรทุกเป็นอาชีพด้วยหวังว่าเขาจะมีรายได้มากขึ้น ‚เงินเดือนหกพันกว่าบาทเกือบเจ็ดพันนา เงินก็ไม่ค่อยพอ…ตัดสินใจปั๊บ เลิกเป็นช่างดีกว่า ขับรถดีกว่า…เดือนนึงหมื่นกว่าเกือบสองหมื่นนา‛
ฅนขับรถบรรทุก
35
เมื่อตัดสินใจเลือกการขับรถบรรทุกแล้ว กว่าจะมาถึงวันนี้ วันที่เป็นคนขับรถบรรทุกเต็มตัว พวกเขาต้ องผ่านเรื่ องราวต่ า งๆ มามากมาย ดั งตัวอย่ างเรื่องราวของ ปอน คนขับ รถบรรทุก ท่ อ คอนกรีต และแมว คนขับรถบรรทุกดิน
ปอน : คนความรู้น้อย ป อ น มี อ า ชี พ เ ป็ น ค น ขั บ รถบรรทุกท่อคอนกรีต ให้กั บโรงงานทํา ท่อคอนกรีต แห่งหนึ่งในตํ าบลบ้ านน้ํ า น้อย ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาผ่านการทํางาน มาแล้วหลายอาชีพตั้งแต่เขาออกจากโรงเรียนเมื่อเรียนจบชั้ นประถมศึกษาปีที่ 6 เนื่องจากฐานะทาง บ้านยากจน ไม่มีเงินส่งเสียให้เรียนต่อ หลั งจากที่ป อนออกจากโรงเรี ย นเมื่ อ อายุ 14 ปี เขาก็ เ ริ่ มหารายได้ เ พื่ อ เลี้ ย งตัว เองและ ครอบครัวด้วยการรับจ้างไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการรับจ้างเลี้ยงหมู เฝ้าบ่อปลา หรือเป็นเด็กปั๊มน้ํามัน สุดแล้วแต่ว่า เด็กอย่างเขาจะสามารถทํางานอะไรได้ โดยที่ปอนตัดสินใจเอาไว้ตั้งแต่วัยรุ่นว่าต้องเป็น คนขับรถบรรทุก ให้ได้ ด้วยในความคิ ดของเขานั้นการขับรถบรรทุก เป็นอาชีพที่เหมาะสมกับคนที่มี ความรู้น้อยๆ อย่างเขาและเป็นอาชีพที่มีรายได้ดีเมื่อเทียบกับอาชีพที่เขาจะสามารถทําได้อื่นๆ ‚เขาบอกว่าขับรถแล้วเงินมันดีน่ะ ความรู้ก็น้อยแล้ว… ไปขับรถก็เออ… ถ้าทําโรงงานวันนึงก็ ร้อยกว่าบาท ขับรถเนี่ยวันนึงอาจจะได้วันนึงสองร้อย สามร้อย คือว่ามันจะดีกว่าทํางานโรงงาน‛ ปอนเข้าสู่วงการอาชีพขับรถบรรทุกด้วยการขอเป็นเด็กรถบรรทุกไปกับรถบรรทุกทราย บรรทุก หินที่ญาติของเพื่อนขับอยู่โดยตั้งความหวังว่าจะได้เรียนรู้วิธีการขับรถบรรทุก ในขณะที่ปอนเป็นเด็ก รถบรรทุกทราย บรรทุกหินนั้น เขามีหน้าที่ประจําในการดูแลความสะอาดรถ ล้างรถ คลุมผ้าใบ ส่วนสิ่ง ที่เขาต้องการเรีย นรู้นั้น เขาหามาได้ ด้วยการถามคนขับรถบรรทุก ที่เขาเรีย กว่า ‚ลูก พี่‛ บ้าง สังเกต วิธีการขับรถของ ‚ลูกพี่‛ บ้าง หัดขยับรถบ้าง และหัดขับเองเมื่อมีโอกาส นอกจากเทคนิคการขับรถและการดูแลรถแล้ว สิ่งที่ปอนได้รับการถ่ายทอดมาจาก ‚ลูกพี่‛ อีก อย่างหนึ่ง ก็คือ ความเชื่อและธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ ของคนขับรถบรรทุก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการให้ สัญญาณไฟหน้ารถระหว่างรถบรรทุกที่แล่นสวนกันเมื่อมีตํารวจมาตั้งด่านอยู่ข้างหน้า การเสียส่วยให้ ตํารวจที่ตั้งด่าน การหนีเมื่อเกิดอุบัติเหตุแล้วมีคนตาย การบีบแตรเมื่อผ่านศาลข้างทาง รวมถึงการซื้อ พวงมาลัยให้แม่ย่านางประจํารถ
ฅนขับรถบรรทุก
36
‚เขาทํากันมาเราก็ ทําไป ตามเขาอย่างเนี่ย …เราก็เชื่อไว้มั่ง มันก็ทําให้เราดีขึ้นไง ทางจิตใจ อะไรอย่างเนี๊ย ก็เหมือนแขวนพระอะไรอย่างเนี๊ย‛ แม้ว่าปอนต้องการที่จะยึดการขับรถบรรทุกเป็นอาชีพทันทีหลังจากสอบใบอนุญาตขับขี่ได้เมือ่ อายุ 22 ปี แต่เขาก็ยังไม่สามารถรับจ้างขับรถบรรทุกได้ทันทีเพราะเจ้าของกิจการรถบรรทุกส่วนใหญ่ ต้องการคนขับรถบรรทุกที่มีประสบการณ์การขับรถบรรทุกมาก่อนบ้างแล้ว ด้วยเหตุนี้ปอนจึงต้องรอให้ ใบอนุญ าตขับ ขี่ ‚เก่ า‛ ดูเสมือนว่ามีประสบการณ์การขับรถบรรทุก มาสัก ระยะหนึ่งเสียก่ อน ซึ่งใน ระหว่างนี้เขาก็หาเลี้ยงชีพด้วยการรับจ้างแบกอาหารสัตว์บ้าง รับจ้างแบกท่อคอนกรีตบ้าง ‚ทํางานไปเรื่อยๆ อะไรทําได้ก็ทํา…ร้อยกว่าบาท เราก็เอา‛ หลังจากทําทีว่ามีประสบการณ์การขับรถบรรทุกมานานประมาณ 1 ปี ปอนได้เริ่มต้นอาชีพ คนขับรถบรรทุกด้วยการไปสมัครเป็นคนขับรถบรรทุกทรายกับบริษัทแห่งหนึ่งในจังหวั ดนครปฐม ใน ครั้งนั้นเขาได้รับ ค่าจ้างเป็น รายเที่ยวโดยขึ้นอยู่กั บระยะทางการขับรถว่าใกล้หรือไกล แต่ปอนก็ขับ รถบรรทุกทรายกับบริษัทแห่งนี้ได้เพียงเจ็ดเดือนเท่านั้นเขาก็ลาออกโดยให้เหตุผลว่า ‚ไม่ค่อยมีงาน‛ ด้วยในช่วงนั้น เป็น ช่วงภาวะเศรษฐกิ จของประเทศไม่ค่อยดี หลังจากนั้น ปอนก็ ตระเวนรับ จ้างขับ รถบรรทุกตามบริษัทต่างๆ ขึ้นอยู่กับว่ามีบริษัทแห่งไหนจะมีงานให้ทํา จุดเปลี่ยนที่ทําให้ปอนเลิกขับรถบรรทุกทรายแล้วมาขับรถบรรทุกท่อคอนกรีตเกิดขึ้นจากการที่ คนขับรถบรรทุกของโรงงานทําท่อคอนกรีตซึ่งอยู่ใกล้บ้านของปอนลาออก เมื่อเจ้าของโรงงานทําท่อ คอนกรีตมาชวนเขาให้มาขับรถบรรทุกท่อแทนคนขับรถบรรทุกเก่าที่ลาออกไป เขาจึงตัดสินใจเลิกขับ รถบรรทุกทรายแล้วมาขับรถบรรทุกท่อคอนกรีตแทนเพราะเห็นว่ามีงานขับรถประจําและอยู่ใกล้บ้าน เส้ น ทางการขั บ รถบรรทุ ก เพื่ อ นํ า ท่ อ คอนกรี ต ไปส่ ง ยั ง ร้ า นวั ส ดุ ก่ อ สร้ า งนั้ น ไม่ แ น่ น อน สุดแล้วแต่ว่าร้านวัสดุก่อสร้างที่สั่งท่อคอนกรีตมานั้นอยู่ที่ไหน บางครั้งก็เป็นร้านในกรุงเทพฯ บางครั้ง เป็นร้านในต่างจังหวัด ไกลบ้าง ใกล้บ้าง โดยที่ปอนจะได้รับค่าจ้างเป็นรายเที่ยวซึ่งขึ้นอยู่กับระยะทาง ซึ่งถ้าเป็นการขับรถระยะทางที่ไปกลับได้ในวันเดียวเขาก็จะได้รับค่าจ้างเที่ยวละสามร้อยบาท แต่ถ้า เป็นการขับรถระยะทางไกลมากๆ ซึ่งปอนไม่สามารถขับรถบรรทุกท่อไปกลับได้ในวันเดียว อย่างการ ขับรถบรรทุกนําท่อคอนกรีตไปส่งร้านค้าที่อยู่ตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไปนั้นเขาจะได้รับค่าจ้างเพิม่ ขึน้ เป็น เที่ยวละแปดร้อยบาท เย็นก่อนออกเดินทางไปส่งท่อ โดยปกติแล้วปอนจะต้องมาดู ‚ลูกน้อง‛ คนงานขนท่อประจํา รถคันที่เขาขับลําเลียงท่อคอนกรีตขึ้นจัดเรียงบรรทุกบนรถ ดูว่าท่อที่บรรทุกไปเที่ยวนั้นยื่นยาวออกมา
ฅนขับรถบรรทุก
37
นอกกระบะท้ายหรือบรรทุกสูงมากน้อยเพียงใด เพื่อที่เขาจะได้ประมาณระยะการขับรถและถอยรถได้ ถูกต้อง หลังจากที่คนงานขึ้นท่อเสร็จแล้ว ปอนกับคนงานขนท่อประจํารถคันที่เขาขับซึ่งมีอยู่ 4 คนก็ มักจะตั้งวงกินเหล้ากันโดยเฉลี่ยกันออกเงินค่าเหล้าและกับแกล้ม กินกันไป คุยกันไปจนทุ่มกว่าๆ พวก เขาจึงจะแยกย้ายกันกลับที่พักเพื่อพักผ่อนก่อนออกเดินทาง เวลาที่ปอนออกรถเพื่อไปส่งท่อมักจะเป็น เวลากลางคืน หัวค่ําบ้าง ดึกบ้าง หรือเช้ามืดบ้าง สุดแล้วแต่ปลายทางที่จะไปลงท่อ โดยประมาณเวลา ให้ไปถึงร้านที่จะลงท่อในช่วงเช้า เช่น ไปสมุทรปราการ ปอนจะออกรถประมาณตีสองครึ่ง ไปลพบุรี ออกรถประมาณตีสอง หรือไปชุมพรก็จะออกรถประมาณ 2 ทุ่ม เป็นต้น แม้ว่าการขับรถตอนกลางคืนจะมีข้อเสีย คือ ง่วงนอน ต้องใช้กาแฟหรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสม ของคาเฟอีนอย่างเอ็ม 100 กระตุ้นให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า หายง่วง หรือแม้กระทั่งต้องจอดรถข้างทาง แล้วนอนหลับสักพักหนึ่งแล้วจึง ‚ไปต่อ‛ แต่การขับรถกลางคืนก็มีข้อดีคือ ถนนว่าง รถบรรทุกสามารถ วิ่งเลนขวาได้ และตํารวจผู้ควบคุมกฏเกณฑ์การใช้รถใช้ถนนมีจํานวนน้อยกว่าเวลากลางวัน ‚กลางคืนตํารวจไม่มี หลุดจากป้อมทางนี้ไปแล้วไม่มี ไปยันนพวงศ์นั่นแหละ รถเล็กๆ มาเร็ว เขาแซงซ้ายกันทั้งนั้น สิบล้อวิ่งขวากันหมดแหละ ถ้าเราวิ่งซ้ายท่อเราก็หักใช่หรือเปล่า เถ้าแก่ ก็ต้องว่าเรา แต่ว่าในเขตนครปฐมเนี่ยเขาจะรู้ เพราะว่าแถวนี้โรงท่อมันจะเยอะ เขาจะรู้เลยว่า รถท่อ เราจะต้องวิ่งขวา เขาก็จะหลบให้ เขาจะวิ่งซ้ายให้เพราะว่าเขาจะรู้ ….หลบหลุมอย่าง เนี่ย‛ การขับรถในเลนขวานอกจากเป็นไปเพื่อหลบ ‚หลุม‛ จากสภาพถนนเลนซ้ายชํารุดแล้ว เที่ยว ไปซึ่งมีท่อคอนกรีตบรรทุกอยู่เต็มคันรถปอนยังต้องขับรถด้วยความเร็วต่ํา เพื่อการป้องกันสินค้าแตก หัก ปอนด์เล่าว่าจะขึ้นสะพานหรือลงสะพานแต่ละสะพานต้องค่อยๆ ‚หยอด‛ แตกต่างจากเที่ยวกลับ ซึ่งเป็นรถเปล่าที่ปอนมักจะขับรถด้วยความเร็วสูงโดยมีเหตุผลว่าเพื่อให้กลับมาถึงโรงท่อก่อนรถบรรทุก ท่อคันอื่นๆ ถ้ามี ‚รายการ‛ สั่งสินค้าอีกเขาก็จะสามารถวิ่งรถได้อีกหนึ่งเที่ยว ซึ่งหมายความว่าเขาและ ลูกน้องจะมีรายได้ในวันนั้นเพิ่มขึ้นอีก ‚เพราะว่ากลัวว่าไม่มีรายการไง ใครถึงก่อนได้ก่อน ถ้ามีรายการสั่งมาอีกสองใบเนี่ย เขามา ก่อนเขาก็ได้ เรามาทีหลังก็จอด หมดรายการ‛ การขับรถบรรทุกไปส่งสินค้าแต่ละเที่ยวนอกจากจะได้ค่าจ้างแล้ว เถ้าแก่ยังให้เงินเพิ่มอีกเที่ยว ละห้าร้อยบาทเพื่อเป็นค่าอาหารสําหรับตัวเขากับลูกน้อง และ‛เงินพิเศษ‛ สําหรับให้ตํารวจ ซึ่งเป็นที่
ฅนขับรถบรรทุก
38
รับรู้กันในหมู่คนขับรถบรรทุกอย่างปอนว่าถ้าพวกเขาขับรถผ่านด่านที่ตํารวจมาตั้งแล้วจะต้องเสียเงิน ให้ตํารวจอย่างน้อยๆ ด่านละยี่สิบบาท โดยปกติแล้วเงินที่เถ้าแก่ให้มาเพื่อใช้จ่ายในแต่ละเที่ยวจะพอสําหรับใช้จ่ายและมีเหลือบ้าง เล็กน้อย แต่ถ้าเที่ยวไหนปอนโดนตํารวจเรียกจับในข้อหาการขับรถผิดกฎจราจรอย่างการแซงขวา หรือฝ่าสัญญาณไฟแดง ปอนก็จะต้องเสียเงินให้กับตํารวจเพิ่มขึ้นอีกห้าสิบบาทหรือหนึ่งร้อยบาทโดย ขึ้นอยู่กับราคาที่เขาสามารถต่อรองกับตํารวจได้ ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่ปอนไม่สามารถต่อรองได้ ตํารวจ ‚ไม่เอา‛ เขาก็จะต้องเสียค่าปรับตามกฎหมายซึ่งก็ขึ้นอยู่กับประเภทการกระทําผิด ในกรณีเช่นนี้เงินที่ เถ้าแก่ให้มาจะไม่พอ ซึ่งเขาต้องสํารองจ่ายเงินค่าปรับในส่วนนี้ไปก่อน และกลับมาเบิกคืนจากเถ้าแก่ เมื่อกลับมาถึงโรงท่อ ปอนเล่าว่าการขับรถบรรทุกท่อดีกว่าการขับรถบรรทุกประเภทอื่นๆ เพราะท่อคอนกรีตกลวง แม้จ ะบรรทุกท่อคอนกรี ต มากเพียงใดแต่น้ําหนัก ที่บรรทุกไปในแต่ละเที่ย วก็ ไม่เกิน 25 ตัน ซึ่งเป็ น น้ําหนักของรถบรรทุกตอนเดียวที่กฎหมายกําหนดให้บรรทุกได้ หากมีเจ้าหน้าที่ของรัฐมาตั้งด่านชั่ง น้ําหนักเขาจึงไม่ต้องจอดรถแล้ววิ่งหนีเพราะกลัวว่าจะถูกจับ ‚ติดคุก‛ เหมือนรถบรรทุกดินหรือทราย อย่างไรก็ตาม การขับรถบรรทุกท่อคอนกรีตจะมีปัญหากับตํารวจบ้างก็ในเรื่องของการต่อท้าย รถบรรทุกยื่นยาวเพราะท่อคอนกรีตยาวเกินความยาวของรถบรรทุกซึ่งปอนเห็นว่าเรื่องดังกล่าวก็ไม่ใช่ เรื่องที่ร้ายแรงด้วยเขามักสามารถเจรจาต่อรองไม่ให้ตํารวจเอาผิดกับเขาในข้อหานี้ได้ หรือ หากเขาไม่ สามารถพูดคุยกับตํารวจได้สําเร็จเหตุการณ์ที่หนักหนาที่สุดจากปัญหานี้ก็เป็นเพียงการถูกออกใบสั่ง ซึ่งเถ้าแก่ก็จะเป็นคนออกเงินค่าใบสั่งให้เช่นเคย กว่าจะมาถึงวันนี้ ปอนผ่านประสบการณ์การเกิดอุบัติเหตุมาแล้วหลายครั้ง มีทั้งกรณีที่เป็น ฝ่ายเฉี่ยวชนรถคันอื่น ถูกรถคันอื่นเฉี่ยวชน รวมถึงรถพลิกคว่ําเองเพราะขับรถเร็ว แต่ปอนก็ไม่เคยได้รับ บาดเจ็บสาหัสอะไร ร้ายแรงที่สุดก็ ‚แค่หัวโน‛ สําหรับ ปอนแล้วเขาคิ ด ว่าอุบั ติเ หตุจ ราจรที่ ผ่านๆ มาเป็ น เพีย งบทเรีย นบทหนึ่งของชีวิ ต การขับรถ โดยที่ประสบการณ์เหล่านั้นจะสอนให้เขาขับรถเก่งขึ้น ‚กว่ า จะเป็ น มั น ก็ ต้ อ งชนบ่ อ ยๆมาก่ อ น...ยิ่ ง ฝนตกๆ นี่ ต้ อ งขั บ ช้ า ๆ เพราะว่ า เคยมี ประสบการณ์มา ถ้าฝนตกจะขับเร็วไม่ได้…มันเบรกไม่อยู่ เพราะถ้าเราเบรกแล้วมันจะปัดเลย ...คว่ํา มันจะสอนเราเอง ขับรถน่ะ บางทีไม่มีใครบอกเรา มันก็จะสอนเรา ก็ยังไม่ชํานาญ เท่าไหร่ เราก็ต้องศึกษาไปเรื่อยๆ ครับ‛ ปอนมีความกังวลเกี่ยวกับความเสียหายต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการเกิดอุบัติเหตุในแต่ละครั้งน้อย มากเพราะหากเกิดอุบัติเหตุเขาจะโทรศัพท์เรียกบริษัทฯประกันมา ‚เคลียร์‛ ค่าเสียหายเหล่านั้น สิ่งที่
ฅนขับรถบรรทุก
39
ปอนจะกังวลบ้างก็เห็นจะเป็นเรื่องของการเสียเวลาทํามาหากินเพราะต้องรอตัวแทนบริษัทประกันภัย มาเคลียร์ หรือต้องหยุดงานถ้ารถซึ่งเป็นเครื่องมือทํามาหากินต้องเข้าอู่ซ่อม แมว: มันไม่ไหวแล้ว ก่อนที่แมวจะมาขับรถบรรทุกดินในปัจจุบัน เขาผ่านการประกอบอาชีพมาหลายอาชีพแล้ว ไม่ ว่าจะเป็ น ช่างเจีย ระไนพลอย คนขับ รถกระบะส่งวุ้น ตามร้านสะดวกซื้อ เกษตรกร หรือแม้ก ระทั่ง กรรมกร แต่ในที่สุดแล้วแมวก็หันกลับมาเลือกการขับรถบรรทุกเป็นอาชีพอีกครั้งเมื่ออายุ 36 ปี ทั้งๆ ที่ แม่ของเขาไม่อยากให้ทําเพราะเห็นว่าเป็นอาชีพที่อันตราย เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจราจร แต่แมวก็ ต้องละทิ้งครอบครัวอันเป็นที่รัก จากบ้านที่อําเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี มารับจ้างขับรถบรรทุก ที่บ้านน้ําน้อย ‚มันไม่ไหวแล้วไง แฟนคนเดียวมันไม่ไหว มันเหนื่อย ไหนลูก จะเรียนอีก …ช่วงนั้น ชอบรถ อะไรมันจะดี กว่ารถ รถนี่แหละที่ทําเงินได้ดีกว่าเพื่อนแหละ ก็ทํามาหมดทุกอย่าง เมื่อก่อนนี้ก่อซ้ง ก่อสร้างเอาทั้งนั้น ก่อนนั้นก็ทํางานไปเรื่อย‛ ค่าจ้างที่แมวได้รับจากการขับรถบรรทุกดินในปัจจุบันไม่ใช่เป็นเงินเดือน แต่ได้เป็นเปอร์เซ็นต์ สิบสองเปอร์เซ็นต์จากราคาสินค้าในแต่ละเที่ยว รายได้ที่แมวได้รับในแต่ละวันแต่ละเดือนจึงไม่แน่นอน โดยขึ้นอยู่กับราคาการซื้อขายดินแต่ละเที่ยวและจํานวนเที่ยวที่วิ่งรถได้ แต่โดยปกติแล้วรายได้จากการ รับจ้างขับรถบรรทุกดินก็เพียงพอสําหรับการใช้จ่ายในครอบครัวโดยไม่ลําบาก ยกเว้นในช่วงหน้าฝนที่ รายได้ของคนขับรถบรรทุกดินอย่างแมวจะลดลงจนบางครั้งรายรับไม่พอกับรายจ่าย ต้องเป็นหนี้เ ป็น สิน ทั้งนี้เพราะในช่วงนี้คนมักจะไม่ค่อยว่าจ้างถมดิน หรือหากมีคนว่าจ้างแต่รถบรรทุกเข้า -ออกบ่อดิน ลําบาก เพราะถนนที่ใช้สําหรับเข้า-ออกบ่อดินเป็นถนนชั่วคราวที่เป็นดิน พอฝนตกถนนดินจะลื่นมาก และยุบตัวเป็นหลุม เป็นบ่อ และรถบรรทุกมักจะ ‚ติดหล่ม‛ ‚แบ็คโฮว์มันทําได้ แต่เรามันเข็นกันไม่ได้ วิ่งไม่ได้…ติด ดินโอ้โฮ…มันเหนียว มันติดกระบะ ...ไม่ออก แล้วลอง ถนนดินยุบลงไปล่ะ ไม่ต้องพูดถึง ไม่รู้จะเอารถอะไรมาดึงรถบรรทุกที่ตกหล่มขึ้น‛ อย่างไรก็ตาม แมวก็ไม่ได้รู้สึกกังวลใจอะไรมากมายกับการไม่ค่อยมีงานวิ่งรถเข้ามาในช่ วง หน้าฝนนี้ เขากลับถือว่าหน้าฝนคือช่วงเวลาของการพักผ่อน ได้กลับบ้านไปอยู่กับครอบครัว โดยที่เขา รู้ดีว่าเมื่อผ่านพ้นหน้าฝนไปแล้วเขาจะมีงาน มีเ งินจํานวนมากพอสําหรับ การกิน การใช้ของตัวเอง ครอบครัว และปลดหนี้สินที่เกิดจากการไม่ค่อยได้ทํางานในช่วงหน้าฝน
ฅนขับรถบรรทุก
40
‚มาเข้าหน้ าฝนก็ ขับ มั่งไม่ขับ มั่ง เอาเงิน เถ้ าแก่ ส่งให้แฟนมั่ ง กิ น มั่ง เป็ น หนี้เ ขาหมื่น กว่ า ฝนหยุด…วิ่งสายหนึ่งได้สองหมื่นกว่ามันก็หลุดกันไป นี่เป็นหนี้ใหม่อีกแล้ว อีกไม่นานเท่าไหร่ หรอก... สี่ห้าพัน น่ะวิ่งยี่ สิบวัน ก็หมดแล้ว ผมไม่เครีย ดหรอก เป็ นหนี้ครึ่งหมื่น ถ้ ามีงานให้ วิ่งน่ะนะ ก็ต้องวิ่งเต็มที่แหละ …ช่วงนี้เราไม่มี เราก็ต้องทน พอหมดจากหน้าฝนไปปั๊บ เอา ล่ะ…เราก็สบายแล้ว‛ สําหรับแมวแล้ว เมื่อใดก็ตามที่มีโอกาสทํางาน เขาจะพยายามทํางาน ทําเงินให้ได้มากที่สุด แม้รู้ว่าการขับรถแซงขวาเป็นพฤติกรรมการขับรถที่ผิดกฎจราจร อาจถูกปรับ แต่เขาก็เลือกที่จะลอง เสี่ยงทําเพียงเพื่อให้รถวิ่งได้เร็วขึ้น ได้จํานวนเที่ยวและจํานวนเงิน ‚เพิ่มมาอีกหน่อย‛ ‚บทคนมันซวย...มันซวยจริง บางทีไปเจอรถหนักขับช้า ไม่ไปเราก็ต้องไป เราต้องทําเที่ยว พอออกปุ๊บ เจอ (ตํารวจ) มันแล้วเนี่ย... โดนแล้ว เตรียมตังค์เล้ย บางทีใครนั่งด้วย เฮ้ย!... มึง ดึงตะปิ้งที ยี่สิบสามสิบอะไรเนี่ย…ต้องให้ พี่เคยเห็นมั๊ยรถที่คลุมผ้าใบอะไรเป็นแถ๊ว... มันช้า กันเนี่ย แล้วเราต้องไปเอาอีกเที่ยวอะไรอย่างเนี่ย แล้วมารอกัน แล้วเราเมื่อไหร่จะถึง‛ ดูเหมือนเป็นข้อตกลงกันระหว่างคนขับรถบรรทุกโดยทั่วไปว่าค่าปรับที่เกี่ยวกับเรื่องของตัวรถ เถ้าแก่เจ้าของรถจะต้องเป็นผู้รับภาระ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องควันดํา ป้ายทะเบียน หรือน้ําหนักบรรทุกเกิน กําหนด แต่ถ้าเป็นค่าปรับที่เกิดจากการกระทําของคนขับรถ เช่น การขับรถแซงขวา หรือการขับรถ ฝ่าฝืนสัญญาณไฟ เหล่านี้คนขับรถบรรทุกจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบเสียค่าปรับ หรือ ‚ยัด‛ ให้ตํารวจเอง และแม้ว่าเจ้าหน้าผู้รักษากฎจราจรบางคนจะเอื้อประโยชน์ให้กับแมว แต่แมวก็ไม่ได้มีความรู้สึกที่ดีกับ คนเหล่านี้ กลับมีความรู้สึกว่ากลุ่มคนเหล่านี้ทํามาหากินอยู่บนหยาดเหงื่อแรงงานของเขา ความรู้สึก เกลียดปนกลัว เกลียดที่กลุ่มคนเหล่านี้เอารัดเอาเปรียบเขา และกลัวในฐานะที่เป็นผู้มีกฎหมายอยู่ใน มือ แม้จะเกลียดอย่างไรก็ตามแต่แมวก็ไม่สามารถแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมาเพราะเขากลัวว่า คนเหล่านี้จะใช้อํานาจจากหน้าที่กลั่นแกล้งเขา ต่อหน้าคนกลุ่มนี้แล้วแมวจะแสดงท่าทีสงบเสงี่ย ม ยอมจํานน ไม่เถียง และไม่ทําให้พวกเขาไม่พอใจ แต่ความรู้สึกเกลียดของแมวจะแสดงออกมาทันที เขาเมื่ อ มีโ อกาสพู ด ถึ ง คนเหล่ า นี้ลั บ หลัง สรรพนามที่ เ คยเรี ย กเจ้า หน้า ที่ ข องรั ฐ ต่ อ หน้ า ว่า ‚พี่ ‛ เปลี่ยนเป็น ‚มัน‛ บ้าง ‚อ้ายหลาม‛ บ้าง หรือ ‚หมา‛ บ้าง และแสดงความรู้สึกสะใจเมื่อสามารถทําให้ คนเหล่านี้ดูเหมือน ‚โง่‛ ถูกเขาหลอก ‚สู้มันไม่ได้หรอกตํารวจ ครับ…ครับ จะเอาก็เอา บางทีบอกว่าเอาเท่าไหร่ แบบผมให้ไปสี่สิบ อย่างเนี่ย จะเอาร้อยด้วย เราก็บอก…พี่ ผมไม่มีกินข้าว ผมเหลือแค่เนี่ย เห็นใจผมเถอะ ไหน
ฅนขับรถบรรทุก
41
จะเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียอีก หลอกมันสารพัดเลย... ไม่เคยเถียงมันหรอก เถียงมัน …เดี๋ยวมันเอา ใบขับขี่ก็จบแล้ว ใบขับขี่ไปแล้วมันเสียเยอะ…คราวนี้ เถ้าแก่ไม่รับผิดชอบให้เราด้วยนะถ้าเรา ผิด…เสียหวยยังไม่เสียดาย แต่เสียให้ตํารวจเนี่ยเสียดาย มันไม่ได้อะไรเลย หวยมันยังได้เสี่ยง มั่ง อ้ายนี่ให้มันกินฟรีๆ เลยนี่หว่า‛ แมวก็เหมือนกับคนส่วนใหญ่ที่รู้สึกว่า การขับรถบรรทุกเป็นอาชีพที่อันตราย เสี่ยงต่อการเกิด อุบัติเหตุได้ตลอดเวลาอย่าง ‚เราไม่ชนเขา เขาก็อาจมาชนเรา‛ แต่เมื่อเลือกที่จะดําเนินชีวิตในเส้นทาง นี้แล้ว แมวก็มีวิธีการสร้างความรู้สึกมั่นใจในความปลอดภัยให้กับตนเอง สิ่งแรกที่แมวทําเมื่อเขาต้อง กลับมายึดอาชีพขับรถบรรทุกใหม่อีกครั้งนั้น ก็คือ การซื้อพวงมาลัยมาไหว้และบอกกล่าว ‚แม่ย่านาง‛ ประจํารถให้คอยปกปักรักษาตัวเขาและรถ แม้จะรู้ว่าแท้จริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นนั้นเกิดขึ้น จากการกระทําของตัวเขาเอง แต่สิ่งที่ไม่มีตัวตนอย่างแม่ย่านางก็คือที่พึ่งทางใจ ในยามที่รู้สึกว่าชะตา ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเมื่อขับรถออกไปแล้วจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง ‚มันก็เหมือนอย่างเราแขวนพระเนี่ย ให้คุ้มครองเราแหละ ก็เหมือนไปป่าช้า มีพระก็ดีกว่าไม่มี ถ้าไปป่าช้า… เออ กูมีพระ ใจชื้น...ขึ้นขับทีแรก ครั้งแรก จะบอกเล่า แล้วก็จะซื้อพวงมาลัยให้ สามวัน พวงมาลัยสดสามวัน ทุกวันไม่ไหว ออกทุนเองอีก พวงละยี่สิบ บอกว่า…ขับรถที่นี่ก็ให้ ปกปักรักษา ลูกมาอาศัยด้วยความจน ไม่มีจะกิน อะไรบอกเล้ย ให้ปกปักรักษาอย่าให้รถ เป็นอะไรอย่างเนี่ย ถ้ามันจะแหกโค้ง ให้ดึงไว้มั่ง‛ การทําประกันภัยรถเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทําให้แมวรู้สึกมั่นใจในการขับรถมากขึ้น เป็นความมั่นใจ ว่าอย่างน้อยๆ เมื่อมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นเขาก็ไม่ต้องเป็นผู้แบกรับภาระความเสียหายอันเนื่องมาจากการ เกิดอุบัติเหตุนั้น ไม่ว่าจะเป็นค่าซ่อมแซมรถของเถ้าแก่หรือคู่กรณี หรือค่ารักษาพยาบาลถ้าหากฝ่าย หนึ่งฝ่ายใดบาดเจ็บ บริษัทประกันภัยจะเป็นผู้รับ ผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดแทนไม่ว่าเขาผิดหรือถู ก เว้นเสียแต่ว่าคู่กรณี ‚ตาย‛ ที่ไม่ว่าเขาจะ เป็น ฝ่ายผิด หรือถูก แมวบอกว่าเขาก็จ ะ หนี ไว้ ก่ อน ด้ ว ย เห ตุ ผล สํ า คั ญส อง ประการคื อ เกรงว่ า ญาติ พี่ น้ อ ง ‚คน ตาย‛ จะรุ มทํ าร้ ายประการหนึ่ง และ ‚กลั ว ติ ด คุ ก ‛ อีก ประการหนึ่ ง เพราะ จากประสบการณ์ ที่ เ คยได้ ยิ น ได้ ฟั ง มาแล้ว ‚ยังไง ยังไง รถใหญ่ก็ผิด‛
ฅนขับรถบรรทุก
42
เรื่องเล่าของคนขับรถบรรทุก ดังที่ปนัดดา ชํานาญสุข ได้แสดงความเห็น ว่าบริบ ทของความสัมพันธ์กับ คนในครอบครัว เพื่อนบ้าน และกลุ่มเพื่อนในชุมชนของเด็กวัยรุ่นเป็นปฐมบริบททางสังคมวัฒนธรรมที่ก่อร่างแฮบบิทัส (habitus) ของพวกเขา และเป็นเบื้องหลังสําคัญในการก้าวเข้าสู่โลกของผู้ขับขี่รถมอเตอร์ไซด์รุ่นเยาว์มี ลีลาการขับขี่รถที่เรียกกันว่า ‘พลิ้ว’ ในทัศนะของพวกเขา แต่ ‘เสี่ยง’ ในทัศนะของผู้คนที่เฝ้ามอง1 ทํานองเดียวกัน พฤติกรรมการขับรถที่ใครเรียกขานว่า ‘ประมาท’ ของคนขับรถบรรทุกนั้นก็ถูก หล่อหลอมและหล่อเลี้ยงมาจากบริบททางด้านอาชีพ เรื่องเล่าต่อไปนี้ สะท้อนให้เห็นถึงบริบททางอาชีพของคนขับรถบรรทุกในแง่มุมต่างๆ ซึ่งจะทํา ให้ผู้อ่านเห็นถึงเบ้าหลอมวิธคี ิดและพฤติกรรมการขับรถบรรทุกของคนขับรถบรรทุก และเข้าใจถึงวิธี คิดและพฤติกรรมการขับรถบรรทุกของคนขับรถบรรทุกมากยิ่งขึ้น วิธีการทาให้รถมีสภาพ(ไม่)เต็มร้อย สําหรับคนขับรถบรรทุกซึ่งอยู่ในฐานะของลูกจ้าง แม้ว่ารถบรรทุกซึ่งเป็นเครื่องมือในการทํามา หากินจะมีความบกพร่องหรือมีสภาพที่ไม่สมควรนําออกไปใช้งาน หากมีการนําไปขับขี่ แล้วอาจทําให้ เกิดอุบัติเหตุ แต่พวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์ในการตัดสินใจใดๆ เกี่ยวกับเครื่องมือในการทํางาน ตั้งแต่การเลือก รถคันที่จะต้องขับไปจนกระทั่งการซ่อมแซม ไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือกว่าจะขับรถคันใด หรือจะซ่อมแซมอะไร เมื่อใด สําหรับคนรับจ้างขับรถบรรทุกอย่างพวกเขาแล้วหน้าที่ของพวกเขามีเพียงการขับรถตามเงือ่ นไข การว่าจ้าง แม้ในบางครั้งพวกเขาจะสังหรณ์ใจว่าการเดินทางเที่ยวนั้นอาจมีความผิดพลาดเกิดขึ้น แต่ คนขับรถบรรทุกก็จําเป็นต้องทําหน้าที่โดยขับรถที่มีสภาพไม่ควรนําไปขับขี่นั้นออกไปส่งสินค้า ในฐานะ ลูกจ้างที่ต้องทํางานเพื่อแลกกับเงินแล้ว สิ่งที่พวกเขาสามารถทําได้เป็นเพียงการระมัดระวังตัวเองโดย การขับรถอย่างระมัดระวังเท่านั้น รัตน์ คนขับรถบรรทุกทรายเล่าว่า ‚เบรกของผมอันนี้มันสึกเยอะ ทีนี้ต้องขับเรื่อยๆ จะไปใจ ร้อนไม่ได้…ต้องระวัง รถเก่ าน่ะ รถเราไม่ค่อยเต็มร้อยอย่างรถใหม่เขา เนี่ย…ก็ถามเถ้าแก่ วันนี้ไปเติมน้ํามัน ไปเจอเขา เขาให้เปลี่ยนลมเบรกใหม่ แต่บังเอิญเราผ้าเบรกมันหมดด้วย เขาก็เลยให้รอเอาไว้ทําทีเดียวเลย…ไกลๆ เอาอยู่ แต่ถ้าใครขวางก็เรียบร้อย‛ ส่วนเพ็ญ คนขับรถบรรทุกดินให้ความสําคัญกับตัวเราที่ต้องระมัดระวัง ‚รถมันก็ไม่ถึงขนาด ที่ว่าแย่เ ลย แต่ ว่ามันก็ ขับ ยากเหมือนกัน อย่ างรถลูกหมากหลวมอะไรหลวมเนี่ย …มันก็ แว๊บ อะไร หน่อย แต่ทีนี้ว่าเราคนขับรถน่ะ…มันต้องรู้ คือว่าเราต้องระวังหน่อยเท่านั้นเอง‛ 1
ปนัดดา ชํานาญสุข, เร่ง รัก รุนแรง: โลกชายขอบของนักบิด (กรุงเทพฯ: เปนไท พับลิชชิ่ง, 2551) หน้า 65
ฅนขับรถบรรทุก
43
เมื่อสภาพรถไม่สมบูรณ์แต่จําเป็นต้องขับออกไปส่งสินค้า คนขับรถบรรทุกจึงต้องแก้ไขปัญหา เฉพาะหน้าด้วยตนเองด้วยวิธีต่างๆ สําหรับปอนซึ่งต้องขับรถที่มีสภาพเบรกไม่ดี เบรกอยู่บ้าง ไม่อ ยู่ บ้าง เขาใช้วิธีการดับเครื่องยนต์และใส่เกียร์เมื่อเบรกไม่ทํางาน ปอน คนขับรถบรรทุกท่อคอนกรีตเล่าว่า ‚ก็ต้องขับให้ได้ เราก็ต้องค่อยๆ ไป เบรกเรามันไม่ดี ถ้ารู้ว่าไม่ไหวก็ เออ…ดับเครื่องแล้วใส่เกียร์เอา เราก็ต้องทนใช้ไป…ก็ทําไงได้ เราก็ต้องทํา‛ ส่วนเกียรติ คนขับรถบรรทุกท่อคอนกรีตแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการเอาดินน้ํามันอุดรอย เบรกรั่ว ‚เบรกแตกเนี่ย บางทีจอดอยู่เนี่ย น้ํามันเบรกมันไหล ทําไงวะ ต้องไปสมุทรปราการ… ลงมา ข้างล่างเอาดินน้ํามัน อุดเลย อุดแล้ววิ่งห้าขา แล้วผมก็ไปได้ บางทีวิ่งเป็นเดือนนะ มันไม่มี เวลาทําน่ะ เวลากลับมาแต่วันก็เข้าอู่เลย ทําเลย... ถ้างานมันเยอะ มันยังเข้าไม่ได้ มันก็ต้อง วิ่งไปเรื่อยๆ ก่อน‛ ในขณะที่กุ่ยคนขับรถบรรทุกดินที่ต้องขับรถที่มีสภาพเบรกไม่ดี เบรกไม่ค่อยอยู่ เขาใช้วิธีการ เบรกรถก่อนถึงจุดมุ่งหมายตั้งแต่เนิ่นๆ ‚เถ้าแก่ เขาว่ามันยังพอไปได้อยู่ อ้าว…ไป เขาว่าพอไปได้ เขาก็ให้วิ่งก่อน…อย่างนั้นแหละ อย่ างเบรกเนี่ย ผมบอกให้เ ขาเปลี่ยนเป็น เบรกทิฟฟี่น่ะ ตั้งแต่ผมขับ ทีแรกแน่ะ แต่เขาก็ ไม่ เปลี่ยนซักที มันก็ขับพอได้ แต่ว่าเบรกมัน ไม่ดี ก็กว่าจะเอาอยู่เราก็ต้องเบรกแต่เนิ่นๆ รถมัน หนักน่ะ‛ ในบางกรณี ถึงแม้เจ้าของกิจการรถบรรทุกจะอนุญาตให้นํารถเข้าซ่อมแซมแล้ว แต่คนขับรถ บรรทุกเองก็ไม่อยากหยุดรถเพื่อซ่อมแซม เพราะเวลาที่สูญเสีย ไปกับการซ่อมรถก็คือเวลาที่คนขับ รถบรรทุกไม่ได้ทํางาน ทําให้คนขับรถบรรทุก ซึ่ง ได้ รับ ค่ า จ้ างตามปริ ม าณงานที่ทํ า ขาด รายได้ ในกรณีเช่น นี้ คนขับรถบรรทุกเป็ น ฝ่ายที่ไม่ต้องการเอารถไปซ่อมโดยเลือกที่จะ ทนขับ รถที่ มีสภาพไม่ ดีแต่มีเ งิน สําหรับ กิ น สําหรับใช้จ่ายในครอบครัวต่อไป
ฅนขับรถบรรทุก
44
‚…มันเป็นคันที่วิ่งงาน คนเราต้องกินต้องใช้อยู่ทุกวัน วิ่งได้เราก็ไป ทําเอง...เกียร์มันก็ไม่ค่อยดี มันไปทําแล้วมันไม่ได้ดั่งใจ พอทํามาแล้ว...มันก็เป็นอย่างเดิมอีก ทางเถ้าแก่ก็บอกว่า ...ก็ไป ทํา เราจะไปทําแต่รถมันก็ไม่ไหว เอาอะไรกิน...พอไปได้ เราก็ไป‛ เพื่อความอยู่รอดคนขับ รถบรรทุก ยิน ยอมที่จะขับ รถคัน ที่ ‘ไม่ได้ดั่งใจ’ ออกไปทํางาน แม้ อนาคตจะไม่แน่นอน จะเกิดอุบัติเหตุหรือเปล่าไม่มีใครรู้ แต่ที่แน่นอน คือ เขาและครอบครัวจะมีกิน มี ใช้ เหนื่อย เพลีย ง่วง และหลับใน: เพื่อนของคนขับรถบรรทุก ทั้งที่ขับรถในเวลากลางคืนเป็นประจําอย่างคนขับรถบรรทุกทรายเพื่อนําทรายไปลงโรงงาน คอนกรีตผสมเสร็จในกรุงเทพฯ ขับรถในเวลากลางคืนเป็นบางครั้งอย่างคนขับรถบรรทุกท่อคอนกรีต ที่ ต้องออกรถกลางดึกเพื่อไปส่งสินค้าต่างจังหวัด หรือมักขับรถในเวลากลางวันอย่างคนขับรถบรรทุกดิน ซึ่งแม้ว่าพวกเขาจะพยายามนอนหลับพัก ผ่อนให้มากที่สุด แต่ก็ ดูเ สมือนว่าอาการง่วงนอนและ อ่อนเพลียจะเป็นอาการปกติของคนขับรถบรรทุกซึ่งต้องขับรถนานคืนละไม่น้อยกว่า 10 ชั่วโมงโดยไม่ มีวัน หยุ ด โดยเฉพาะคนขับ รถบรรทุก ทรายไปลงโรงงานคอนกรี ตผสมเสร็จ ซึ่งต้องขับ รถในเวลา กลางคืน เพื่อให้สามารถทํางานได้ตามเงื่อนไขการจ้างงาน คนขับรถบรรทุกมีนานาวิธีในการกระตุ้น ร่างกายที่เหนื่อยล้า ให้สามารถทํางานอยู่ได้ ทั้งด้วยการเปลี่ยนอิริยาบถจากการนั่งขับรถเป็นการจอด รถลงไปเดินรอบๆ รถ เช็ดกระจก หรือเคาะยาง การลูบหน้าลูบตาด้วยน้ํา การดื่มเครื่องดื่มที่มีสาร คาเฟอีนผสม หรือแม้กระทั่งการใช้สารกระตุ้นที่ผิดกฎหมายอย่าง ‚ยาบ้า‛ ในกรณีของเกียรติ คนขับรถบรรทุกท่อคอนกรีตที่ต้องขับรถตระเวนไปส่งสินค้าตามร้านวั สดุ ก่อสร้างตามจังหวัดต่างๆ ทั่วทิศทั่วทางทั้งไกลและใกล้ เกียรติเล่าให้ฟังว่าเขามักจะออกเดินทางใน เวลากลางคืน อาจเป็นตอนหัวค่ํา กลางดึก หรือเช้ามืด แล้วแต่ปลายทางอยู่ใกล้ไกลเพียงใด เพราะ การเดินทางในเวลากลางวันจะต้องใช้เวลาในการเดินทางมากกว่ากลางคืน ‚ไปเช้าแล้วมันไกลน่ะ‛ ใน เวลากลางคืนนั้นเกียรติสามารถขับรถใน ‚เลนขวา‛ ซึ่งเป็นช่องทางเดินรถที่ห้ามรถบรรทุกวิ่งได้ ทําให้ สามารถใช้ความเร็วได้มากกว่าการขับรถเวลากลางวันด้วยไม่ค่อยมีตํารวจมาคอยดักจับ และเพื่อที่ เขาและ ‚ลูกน้อง‛ คนขึ้นท่อจะได้กลับมาถึงโรงงานไม่มืดนัก ‚เพราะงานมัน มีแต่ ไกลๆ งานใกล้ๆ ไม่มี …ก็ ต้องไป หรือว่าจะไปเช้าก็ ไปได้ แต่เ ราไม่ไป เพราะไปเช้ามันไกลน่ะ กว่าจะกลับมาก็มืดอีก ก็เลยออกกลางคืน กลางคืนส่วนมากก็ออกตีสอง‛
ฅนขับรถบรรทุก
45
โดยปกติ เถ้าแก่เจ้าของโรงท่อจะสั่งงานให้คนขับรถบรรทุกบรรทุกท่อไปส่งให้ลูกค้าไกลบ้าง ใกล้บ้างสลับกันไปในระหว่างคนขับรถบรรทุกท่อคอนกรีตด้วยกัน เพื่อให้คนขับรถเหล่านี้ได้พักผ่อน บ้าง แต่เพราะลูกค้ าของโรงท่อมีอยู่ทั่วไป ดังนั้น ในช่วงไหนที่มีเฉพาะงาน ‚ไกล‛ เกี ย รติก็ ต้องขับ รถบรรทุกพาคนขึ้นท่อตระเวนไปตามจังหวัดต่างๆ ครั้งละเป็น ร้อยๆ กิโลเมตรซึ่งกว่าจะกลับ มาถึ ง โรงท่อเพื่อให้คนขึ้นท่อขึ้นท่อเตรียมไว้สําหรับงานในเที่ยวต่อไปก็มักเป็นเวลาบ่ายๆ ค่อนไปทางเย็นซึ่ง เขาก็มักจะยังไม่กลับไปพักผ่อนที่บ้าน แต่เขาจะอยู่ที่โรงท่อต่อไปเพื่อดูการบรรทุกท่อในเที่ยวนั้นๆ ว่า บรรทุกท่อสูงหรือยื่นยาวออกมานอกท้ายรถมากน้ อยเพียงใด กว่าที่เขาจะได้กลับบ้านไปพักผ่อนอีก ครั้งก็มักเป็นเวลาโพล้เพล้ ดังนั้นในช่วงไหนที่เกียรติต้องออกรถในเวลากลางคืนติดต่อกันหลายๆ คืน เขาก็มักรู้สึกเหนื่อย เพลีย และง่วง ซึ่งเขาก็ต้องหาวิธีบรรเทาอาการต่างๆ เหล่านั้นเพื่อให้สามารถขับ รถบรรทุกไปให้ถึงปลายทางให้ได้ ‚บางทีก็ฝืน ลูกน้องจะรู้เลยจะหลับน่ะ หลับ ถ้าจะหลับจะฝึบ ฝึบ มือนี่ไม่อยู่สุขเลยน่ะ บางที ก็โผล่หัวออกไป ไปรับลมไง ฟังเสียง อื้อ..อื้อ ไม่หลับ คราวนี้ไม่หลับ แอร์ปิด เปิดหน้าต่างเอา เอามือ ไปนอกประตู ใ ห้ลมโดน ให้ มัน เย็ น ๆ บางที มัน ก็ ไ ม่ไ หวเหมือนกั น อย่ างวัน นั้น ที่ บางขมิ้นน่ะ เซเว่นน่ะ…ผมก็จอดเลย ยังไงก็ ไปไม่ถึงแน่ จอดเลย ลงไปกินกาแฟ พักเดี๋ย ว แหละ เอ็มอะไรก็ไม่ได้กินเลย ไปถึงเลย กินกาแฟแล้วมันอ้วก…อ้วกแล้วน้ําหูน้ําตาไหล แต่ไม่ ง่วงนอนหรอก มันพะอืดพะอมยังไงไม่รู้ ถึงไม่อยากกินไง แต่คืนนั้นต้ องกิน ไม่ไหว…เพราะ หลับแล้ว…ไม่ไหว ถ้าขับแล้วหลับ…ตายเลย‛ กรณีของรัตน์ คนขับรถบรรทุกทรายไปลงที่โรงงานคอนกรีตผสมเสร็จในกรุงเทพฯ ซึ่งต้องขับ รถวิ่งไปมาระหว่างบ่อทรายกั บโรงงานคอนกรีตผสมเสร็จ ตั้งแต่หกโมงเย็นจนถึงประมาณตีห้าเป็ น ประจําทุกคืน แม้เขาจะกลับเข้าบ้านมานอนตั้งแต่หกโมงเช้าจนกระทั่งตื่นเองเพราะเขารู้สึกว่า ‚อิ่ม‛ อย่างไรก็ ตาม รัตน์ก็บอกว่าเขามักจะรู้สึกง่วงนอนเสมอๆ และบางครั้งก็มีอาการที่เรียกว่า ‚หลับใน‛ ซึ่งเขาก็มีวิธีการอันหลากหลายเพื่อบรรเทาอาการดังกล่าว ‚บางทีก็ลงเช็ดกระจกบ้าง อะไรบ้าง เรื่อยเปื่อยไป พอตาสว่างค่อยไปต่อ บางที …นอกจาก ง่วงจริงๆ ก็จอดนอนบ้าง สักชั่วโมงครึ่งชั่วโมง แล้วก็ไปต่อ แต่ต้องดูเวลาด้วยนะเดี๋ยวไปไม่ทัน‛ เรืองเป็นคนขับรถบรรทุกอีกคนหนึ่งที่เคยมีประสบการณ์เฉียดตายอันเนื่องมาจากการหลับใน มาแล้ว ในครั้งนั้นเขารับจ้างขับรถบรรทุกอาหารสัตว์ให้กับบริษัทแห่งหนึ่งในจังหวัดลําปาง ซึ่งต้องขับ รถบรรทุกสินค้าจากลําปางไปส่งตามจังหวัดต่างๆ ให้ทันเวลานัดหมาย ถ้าปลายทางเป็นจังหวัดใกล้ๆ
ฅนขับรถบรรทุก
46
อย่างเชียงใหม่ก็ไม่ค่อยหนักหนาสําหรับเรืองเท่าใด ยังพอมีเวลาพักบ้าง แต่ถ้าจุดหมายเป็นจังหวัด ไกลๆ อย่างราชบุรี หรือชลบุรีซึ่งเรืองต้องขับรถข้ามวัน ข้ามคืนจึงจะถึงที่หมาย แม้สามารถจอดพักได้ บ้างเป็นระยะๆ แต่เวลาที่ใช้ก็ต้องไม่นานนักด้วยต้องไปลงสินค้าให้ทันเวลานัดหมาย เหตุการณ์ครั้งที่ เป็นความหลังที่เรืองจําได้ไม่เคยลืม ระทึกใจทุกครั้งที่รําลึกถึงก็คือ หลังจากที่ขับรถบรรทุกอาหารสัตว์ มาทั้งคืนจากลําปางมาจังหวัดราชบุรีแล้ว เรืองรู้สึกเพลียและง่วงอย่างมากมาย แต่เขาก็ไม่สามารถ จอดรถลงไปยึดเส้นยึดสายเพื่อขับไล่ความง่วงที่เกาะกุมเขาได้เหมือนเช่นปกติเพราะบริเวณที่รถกําลัง แล่นอยู่ตอนนั้นเปลี่ยว แม้เขาจะพยายามขับไล่ความง่วงด้วยการตะโกนเหมือนคนขาดสติแล้วแต่เรือง ก็ไม่สามารถทนต่อความง่วงที่ถาโถมเข้ามาได้ ในที่สุดเขาก็วูบหลับไป ‚หลับไง ตอนนั้นรถมันใหม่ ออกมายังไม่ถึงอาทิตย์เลย ที่เปลี่ยวๆ มันอันตรายไง ก็…ตะโกน เรียกว่าเหมือนคนบ้าน่ะ โว๊ย…อีกหน่อยเดียวโว๊ย... กิโลเดียวโว๊ย ตะโกนสุดเสียงเลย ตะโกนเอาน่ะ ทีนี้มันวูบไปตรงไหนไม่รู้ เช้ามาดูรอยนา คนเขาบอก... มันไม่น่ารอด มันน่าตาย‛ เช่นเดียวกับแมว คนขับรถบรรทุกดินเขาได้เผยให้เห็นถึงวงจรของวิถีอาชีพที่รายได้ขึ้นอยู่กับ ชิ้นงานเช่นการขับรถบรรทุกที่ยิ่งทํางานเพื่อให้ได้เงินมากขึ้นเท่าใด ชี วิตก็ยิ่งเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ มากขึ้นเท่านั้น ชั่วโมงการทํางานที่ผ่านไปยิ่งนานมากขึ้นเท่าใด เขาก็อ่อนล้ามากยิ่งขึ้นเท่านั้น จนเมื่อ ถึงจุดๆ หนึ่งเมื่อแมวรู้สึกว่าเขาจะไม่สามารถฝืนความอ่อนล้าของร่างกายได้เขาก็กระตุ้นพละกําลังที่ หลงเหลืออยู่ภายในตัวขึ้นมาอีกเพื่อให้ตัวเขาสามารถทํางานต่อไปได้ด้วยการดื่มเครื่องดื่มที่มีสว่ นผสม ของสารคาเฟอีน ‚วันนึงวิ่งสามรอบ วิ่งจากนครปฐมไปสายหนึ่ง หมู่บ้านภานุฯ น่ะวันนึงสามเที่ยว บางทีผม ต้องตื่นตีสามตีสี่นา ผมถึงได้สามเที่ยว ถ้าตื่นเช้าก็ได้สองเที่ยว กลับมืด เราต้องทําเวลา ไม่ ใช่ ว่าไปแต่เช้า บางทีตีสามครึ่งต้องไปเอาดินอะไรอย่างนี้...ก็เอาแค่สามเที่ยว ถ้ามันน้อยกว่านั้น มันก็จะไม่พอจะกิน ไหนดูดยาด้วย เอ็มมั่ง กาแฟมั่ง ง่วงก็ต้องกิน ไม่กินไปไม่ไหวอีก นั่นมัน ทางยาว…ขับรถตรงนี้ ถ้าเราไม่ทํา เราก็ไม่พอจะกิ นอีก ใช้จ่ายเยอะนะวันๆ นึง บางทีไป กลับน่ะ…เอ็ม ไปขวด กลับขวดนึง บางทีมันง่วง…ไม่ไหว กินเอ็ม ไม่เอา อ้ายม้าเม้อไม่เอา แต่ มันไม่กินเราก็ไม่ไหว มันแข็งกว่าอีกเยอะ แช่เย็นน่ะกินแล้วตามันโล่งไปได้อีกพักนึง‛ แม้ว่าการขับรถบรรทุกจะเป็นอาชีพที่ไม่ได้ใช้กําลังในการทํางานมากเหมือนเช่นกรรมกรหรือ ผู้ใ ช้แรงงานอื่นๆ แต่ การขับ รถบรรทุกก็ เป็ น อาชีพที่ต้องใช้ความอดทนและแข็งแกร่งของร่างกาย
ฅนขับรถบรรทุก
47
การนั่งขับรถเป็นเวลานานหลายชั่วโมงติดต่อกันโดยไม่ได้พักเพื่อนําสินค้าไปยังปลายทางให้ทันเวลา ทําให้คนขับรถบรรทุกกลับมาถึงที่พักในสภาพที่แทบจะหมดแรง บอย เล่าให้ฟังในเย็นวันหนึ่งซึ่งเป็นวันที่เขา ‘เก'ว่า ‚ดิน 3 เที่ยว เวลานอน 3 ชั่วโมงเอง ยี่สิบสี่ชั่วโมงเนี่ย นอน 3 ชั่วโมง ถ้าประมาณ…ซัก ประมาณอาทิตย์นึงเนี่ย ต้องหยุดพักซักประมาณวันนึงเพราะมันค่อนข้างโหด ทุกวันมันก็คง ไม่ไหวน่ะ อาทิตย์นึงก็เกซักวันนึง‛ กุ่ย ผู้ชายวัย 35 ปี และขับรถบรรทุกมานาน 10 ปีเล่าว่า ‚มันต้องออกจากที่นี่ใช่มั๊ย มัน ต้องประมาณโมงนึงแหละ แล้วไปตักดินที่นู้น ดอนตูมน่ะ เพราะว่ามันเวลา 2 โมงครึ่งหรือ สามโมงเนี่ย เออ! สามโมง รถ…สามโมงเนี่ยค่อยไป ตักดินแล้วสามโมงค่อยไป เราก็ ออกแต่ วัน ติดเวลาอีกทีบ่ายสามโมงครึ่ง สามโมงครึ่งเราก็ได้สองเที่ยวแล้ว แล้วรออีกทีห้าโมงครึ่ง ถึ งไปได้ ตั ก ดิ น แล้ วห้าโมงครึ่งไปได้ กลั บ มาถึ งบ้ า นก็ สามทุ่ม สี่ทุ่ม เหนื่อย บางทีมั น เหนื่อย…มันอยากจะเดินลงจากรถ บางทีนะ…มันไม่อยากไปต่อ‛ การจัดการกับความผิด: ส่วย และค่าปรับ เป็นที่รับรู้กันในหมู่ของคนขับรถบรรทุกถึงเรื่องการจ่ายเงินของเถ้าแก่เจ้าของรถเพื่อให้รถวิง่ ได้ โดยสะดวก ไม่ถู ก ตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมกฎเกณฑ์บ นท้องถนน ไม่ว่าจะเป็ นเรื่องของ น้ําหนักสินค้าที่บรรทุกเกินพิกัด สภาพรถไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ หรือวัตถุตกหล่ นจากรถไม่ว่าจะ เป็นดิน ทราย หรือน้ําหยด ‚เงินพิเศษ‛ ที่เถ้าแก่จ่ายให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐช่วยให้เหล่าคนขับรถบรรทุกได้รับการยกเว้น ความผิดบางอย่าง แม้ว่ารัต น์จ ะรู้ว่ารถและทรายที่บรรทุกในแต่ละคืนจะมีน้ําหนักบรรทุก เกิ นจากที่ก ฎหมาย กํ า หนดซึ่ ง กํ า หนดให้ ร ถบรรทุ ก สิ บ ล้ อ สามารถบรรทุกสินค้าได้จนมีน้ําหนัก 21 ตัน แต่ ก็ มี ก ารผ่อ นผัน น้ํา หนัก เป็ น 25 ตั น แต่ รัตน์ก็รับ จ้างขับรถบรรทุก ทรายอย่ างสบาย ใจ สิท ธิพิเศษที่รัตน์ได้รับจากการจ่าย ‚เงิน พิเ ศษ‛ ของเถ้ าแก่ ทําให้เ ขาขับ รถบรรทุ ก ทรายโดยไม่ห วั่น ว่าจะถู ก เจ้าหน้าที่ของรัฐ จับกุมในโทษฐานละเมิดกฎเกณฑ์
ฅนขับรถบรรทุก
48
‚…มัน เกิ นยี่ สิบห้า ยี่สิบ หกตัน ที่จ ริง เราต้องจอดอยู่ แล้ว แต่นี่เราเคลีย ร์ท างหลวงไว้แล้ว สามสิบสี่สิบตัน...เราเคลียร์ไว้แล้ว มันก็ให้ เราวิ่งผ่านตลอดเลย ดูป้ายแล้วมันก็ให้ไป ถ้าไม่มี ป้ายมันก็เรียกหน่อย มันก็ถาม ถาม…รถใครวะ พอบอก... (ตํารวจ) เออ... ถ้ามันรู้ มันก็ ปล่อยไป...ประมาณพันนึง ตู้ละพัน เป็นเขตน่ะ อย่างกับเขตบางขมิ้นเนี่ย เราก็ให้เลย สาย ตรวจเดือนละพัน จราจรเดือนละพัน อย่างกับทางหลวงเนี่ยเคลียร์ง่าย เดือนละสองพันห้า หรือสามพัน ตั้งแต่ออกจากนี่ไปยันนู้นแหละ…มันจับให้ไปเคลียร์ไง้ พอเคลียร์แล้วก็วิ่งสบาย มันไม่กวนหรอก มันเห็นป้ายก็ปล่อย‛ ในบางสถานการณ์ที่ ‚เงินพิเศษรายเดือน‛ ไม่สามารถเปิดทางสะดวกให้กับรถและคนขับ รถบรรทุกได้อย่างเด็ดขาด เถ้าแก่ก็จะให้คนขับรถบรรทุกอย่างรัตน์และเพื่อนๆ คนขับรถบรรทุกใน บริษัทเป็นตัวกลางประสานผลประโยชน์นอกระบบระหว่างเขากับเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยให้รัตน์และ เพื่อนๆ จ่ายเงินค่าผ่านด่านให้กับเจ้าหน้าที่ที่ตั้งด่านขึ้นมาเพื่อเก็บส่วยรถบรรทุกไปก่อนที่จะกลับมา เบิกกับเขาในภายหลัง ‚บางที่เคลียร์แล้ว ตํารวจมันก็เก็บอีก ก็เลยไม่ได้เคลียร์ ปล่อยให้มันเก็บวันละยี่สิบ ถ้ามันตั้ง ด่าน ต้องเตรียมไว้ให้มันเลยล่ะ ยี่สิบ ... ยี่สิบ ถ้าเป็น พ่วงบางทีก็ขอสี่สิบ ด้วยนา ... ทุกคัน บางทีมันตั้งด่านสองรอบน่ะ รอบหัวค่ํารอบนึง ตอนดึกอีกรอบนึงน่ะ...เถ้าแก่ก็ลงบัญชีไว้ สิ้น เดือนเขาคิดให้เรามา คิดย้อนมาให้เรา‛ นอกจากรัตน์และเพื่อนๆ คนขับรถบรรทุกจะอยู่เหนือกฎเกณฑ์ในบางกรณีแล้ว ‚เงินพิเศษ‛ ยังสามารถช่วยให้เถ้าแก่และเหล่าคนขับรถบรรทุกในเครือของเถ้าแก่ได้รับข่าวสารความเคลื่อนไหว การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐบางหน่วย ทําให้พวกเขาปกปิดความผิดที่กระทําอยู่เป็นประจําได้ สําเร็จ ดั งในกรณีที่รัต น์ เ ล่าให้ ฟังถึ งการที่ตํารวจจราจรประจํ าท้องที่บ อกข่าวการออกพื้น ที่ของ เจ้าหน้าที่รัฐบางหมู่คณะว่า ‚อย่างกับกรมทางหลวงเนี่ย มันมาตั้งด่านนา…เอาผู้ใหญ่มา อ้ายตํารวจมันก็โทรฯ บอกว่า อย่าเพิ่งออกนา ตัวใหญ่มาอย่างเนี่ย เราก็ไม่กล้าออกแล้ว เพราะว่าเหมือนกับเราซื้อข่า วมัน ด้วยน่ะ ตัวใหญ่มาอย่างเนี่ย …เราก็ ไม่ก ล้าออก อย่าเพิ่งออกกัน มานา…มัน ก็โทรฯ บอก ตลอดน่ะ ก็เหมือนกับซื้อข่าวมันไว้ แต่ถ้ามันมาเองเราก็วิ่งผ่านมันตลอด อย่างกับ ขนส่งมา อย่างเนี่ย มันก็โทรฯ บอก…วันนี้ขนส่งออกนา ออกที่นั่นที่นั่น ให้ระวังหน่อย ‛
ฅนขับรถบรรทุก
49
นอกจากการจ่าย ‚เงินพิเศษ‛ แล้ว การเสีย ‚ค่าปรับ‛ แทนคนขับรถบรรทุกเป็นวิธีการบริหาร กิจการของเถ้าแก่อีกวิธีการหนึ่งที่มุ่งหวังให้ธุรกิจดําเนินไปโดยเกิดความสูญเสียน้อยที่สุด โดยเฉพาะ ในกรณีของรถบรรทุกท่อคอนกรีตซึ่งเป็นสินค้าที่เปราะและแตกง่าย เถ้าแก่เจ้าของรถบรรทุกซึ่งเป็ น บุคคลคนเดียวกับเจ้าของกิจการโรงท่อคอนกรีตมักรู้เห็นเป็นใจกับการขับรถในช่องทางเดินรถด้านขวา ทั้งที่เป็นช่องทางที่รัฐไม่อนุญาตให้รถบรรทุกแล่นยกเว้นในกรณีการแซง เพราะการขับรถในช่องทาง ด้านซ้ายซึ่งมักจะชํารุด พื้นผิวขรุขระและเป็นหลุมเป็นบ่อ มักทําให้ท่อคอนกรีตที่ บรรทุกมาสะเทือน และแตกหัก แม้ว่าคนขับรถบรรทุกท่อคอนกรีตจะขับรถด้วยความระมัดระวังโดยการชะลอความเร็วทุก ครั้งที่เ จอพื้น ถนนไม่เรีย บเพื่อลดแรงสะเทือนของรถ แต่การแล่น รถในเลนซ้ายก็ มัก มีผลทําให้ท่อ คอนกรีต แตกอยู่ เ สมอ ตรงข้ามกั บการวิ่งรถทางด้านขวาซึ่งมีพื้น ผิวถนนที่เ รีย บกว่าและทําให้ท่อ คอนกรีตแตกน้อยลง ‚วิ่งขวา…ถ้ามันภูธรนี่เราเสียได้ ถ้าไม่เจอจังๆ ไม่มีจับหรอก เพราะเขารู้รถท่อมันวิ่งซ้ายไม่ได้ มันแตกหมด แต่ว่าถ้าโดนจับเราก็เสียเงินไป...หมดเรื่อง แต่ว่าเถ้าแก่เสียให้นะ‛ โดยอาศัยเงื่อนไขการเสียค่าปรับแทนคนขับรถบรรทุก แม้เป็นการขับรถบรรทุกเที่ยวกลับซึ่งไม่ ต้องระวังความเสียหายของสินค้าแล้ว คนขับรถบรรทุกท่อคอนกรีตบางคนยังคงวิ่งรถเปล่าในช่องทาง ด้านขวาโดยไม่พะวงกับบทลงโทษสําหรับผู้ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ ไม่แยแสกับค่าปรับที่พวกเขาไม่ได้เป็นคน จ่าย เกียรติ คนขับรถบรรทุกท่อคอนกรีตเล่าว่า ‚ก็โดนที่หน้าโรงเรียนเนี่ย... นครปฐม อ้ายหลาม... ควักให้ร้อยนึง เฮ้ย..ไม่เอา มึงจะรีบไปไหนวะ โห..ผมจะรีบกลับบ้าน แล้วผมรับผิดชอบเอง เฮ้ย … เอาใบสั่งด้วยนะ คุยกันแล้วไม่ยอม ให้ไปเอาที่อู่ทองโน้น ก็เลยฝากให้อ้ายแขกไปเอาให้ …เจ๊ ออกให้ ทั้งหมด ธรรมดาแซงขวาเนี่ย ต้องออกเอง ไม่มีใครเขาออกให้หรอก แต่ที่นี่เถ้าแก่ออกให้‛ ประกันภัยคือเครื่องมือที่จาเป็น เกี ย รติ คนขับ รถสิบ ล้อ วัย 38 บอกถึ ง ความสําคัญ ของการทําประกัน ภัยรถบรรทุก กั บ การรับ จ้า งขับ รถบรรทุก ท่อคอนกรีต ของเขาว่ า ‚ลําบากเลย ทําอะไรต้ อ งระวั ง คิ ด ว่าจะไม่ขั บ ด้วยถ้าไม่มีประกันน่ะ‛ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 2 กันยายน 53
ฅนขับรถบรรทุก
50
ทุกครั้งที่เ กิดอุบัติเ หตุเฉี่ยว ชน กับ รถคันอื่น คนขับรถบรรทุกจะโทรศัพท์ไปยังตัวแทนของ บริษัทประกันภัยในเขตพื้นที่นั้นๆ ‚เราก็โทรฯ เลย โทรฯ หาประกัน สมุดหน้ารถมี อยู่จังหวัดไหน โทรฯ เบอร์ไหน โทรฯ เสร็จก็รอ แล้วเราก็โทรฯ หาเถ้าแก่อีกที บอกให้เขารู้‛ นอกจากการประกั น ภัย จะมีประโยชน์ใ นแง่ที่เ ป็ น เสมือนหลัก ประกั น ความรับ ผิดชอบว่า อย่างไรๆ ฝ่ายรถบรรทุกก็สามารถรับผิดชอบค่าเสียหายที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งทําให้คนขับรถบรรทุกไม่ต้อง กังวลใจแล้ว ลักษณะการทํางานของตัวแทนจากบริษัทประกันภัยยังมีผลทําให้ คนขับรถบรรทุกได้รับ ความสะดวกจากอุบัติเหตุด้วย เมื่อตัวแทนของบริษัท ประกั นภัยมาถึ งที่เกิ ดเหตุ เขาเริ่มต้น การทํางานด้วยการตรวจสอบ สถานที่และซักถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด เมื่อตัวแทนของบริษัทประกันภัยประเมินสถานการณ์ ที่เกิ ดขึ้นว่าใครเป็นฝ่ายถูก ใครเป็นฝ่ ายผิดแล้ว ตัวแทนของบริษั ทประกั นภัยจึงทําความตกลงกั บ คนขับรถบรรทุกและสอนให้คนขับรถบรรทุกพูดตามคําบอก เพื่อผลประโยชน์ของฝ่ายเรา ‚มาถึง…เขาก็ต้องมาถามเราก่อนว่า มายังไงกัน เราก็บอกว่ามายังงี้ๆ เขาว่า เฮ้ย !…เราไม่ผิด ไม่ต้องกลัว เขาก็บอกว่าเราแบบนี้ แบบนี้ เราได้เปรียบ เขาบอกเราได้เปรียบ ให้เราพูดแบบนี้ แบบนี้นะ ประกันเขาสอนให้เราพูดน่ะ เราก็พูดไปตามนั้น‛ เมื่ อ คนขั บ รถบรรทุ ก ให้ ข้ อ มู ล ตามคํ า ชี้ แ นะของตั ว แทนของบริ ษั ท ประกั น ภั ย หมดแล้ ว ต่อจากนั้นตั วแทนจากบริษั ทประกั น ภัย ก็ จะทําหน้าที่ใ นการพูดจาตกลงกับ ตํารวจและคู่ก รณีเ อง ทั้งหมด ซึ่งคนขับรถบรรทุกมีหน้าที่เพียงนั่งรอจนกว่าการเจรจานั้นสามารถตกลงกันได้ ‚เราไม่ต้องไปชนกับตํารวจ…กับเจ้าของรถเอง เขาจะออกหน้าให้เราทั้งหมดเลย เราอยู่เฉยๆ เขาจะคุยให้ทั้งหมด เราก็นั่งรอ แล้วก็เซ็นต์ชื่ออย่างเดียว‛ ด้วยความเชี่ยวชาญในการเจรจาและต่อรองกับคู่กรณีของตัวแทนของบริษัทประกันภัย คนขับ รถบรรทุกรู้สึกมั่นใจว่าพวกเขาจะไม่ได้รับความเดือดร้อนจากอุบัติเหตุ โดยเฉพาะเมื่อเป็นฝ่ายผิด
ฅนขับรถบรรทุก
51
‚ถ้าไม่มปี ระกัน นี่ไม่ได้เลย ไม่มีนี่เขาล็อคเราก่อนเลย ถ้าไม่มีนี่เขาจะยึดใบขับขี่เราก่อนเลย อย่างน้อยก็…เขาฟันเราก่อนเลยล่ะ เราว่าเราไม่ผิด เราผิดน่ะ เขาเล่นเราผิดได้น่ะ อ้ายพวก ประกันเนี่ยมันเคี่ยว ช่องตรงไหนตรงไหนว่าง พวกนี่มันรู้อยู่ บางทีไปขู่เขาด้วยน่ะ เฮ้ย …มึงมี ประกันหรือเปล่าเนี่ย‛ ในวิถีที่มักเกิดอุบัติเหตุจราจร คนขับรถบรรทุกอย่างเกียรติมองเห็นการประกันภัยว่ าเป็นเรื่อง จําเป็น เพราะนอกจากการประกันภัย จะเป็ น หลั ก ประกั น ในเรื่ อ งความ เสี ย หายที่ เ กิ ด ขึ้ น แล้ ว ตั ว แทนของ บ ริ ษั ท ป ร ะ กั น ภั ย ยั ง ช่ ว ย ค น ขั บ รถบรรทุ ก ให้ พ้ น จากความยุ่ ง ยาก ต่า งๆ โดยเป็ น ตั ว แทนในการเจรจา ต่อรองกั บ คู่ ก รณี และเขาเองก็ รู้สึ ก มั่นใจว่าเขาจะได้รับการคุ้มครองจาก ความผิดต่างๆ ด้วย
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 12 พฤษภาคม 53
แว๊ป…แว๊ป อุปสรรคที่สําคัญ 2 ประการที่คนขับรถบรรทุกต้องก้าวให้พ้นเพื่อ นําสินค้าไปส่งยังปลายทาง คือ การตั้งด่านตรวจจับรถที่ทําผิดกฎจราจร และอุบัติเหตุเฉี่ยวชนกับรถคันอื่น การกระพริบ ‘ไฟหน้า ’ คือวิธีก ารง่ายๆ ที่คนขับรถบรรทุก ใช้ใ นการหลบและหลีก อุปสรรค สําคัญทั้ง 2 อย่างและทําให้พวกเขา ‚รอด‛ 1) หมายความว่า...มันอยู่ข้างหน้า ในวิถีที่คาบเกี่ยวกับ การทําผิดกฎจราจร เช่น การบรรทุกสินค้าจนน้ําหนักบรรทุกเกินพิกั ด การวิ่งรถในเลนขวา หรือรถควันดํา สิ่งที่คนขับรถบรรทุกยามเมื่อนั่งอยู่หลังพวงมาลัยไม่อยากพบก็ คือ เจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีอํานาจหน้าที่ในการควบคุมกฎระเบียบบนท้องถนน ซึ่งพบเห็นกันเมื่อใด คนขับ รถบรรทุกมักจะมีเรื่องเสียค่าปรับเสมอ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่จากกรมขนส่งทางบก และกรมทางหลวง ด้วยด่านของเจ้าหน้าที่จากกรมขนส่งทางบก และกรมทางหลวง ไม่ได้เป็ นด่านที่ตั้ งอยู่ใ น สถานหรือช่วงเวลาที่เป็นประจํา คนขับรถบรรทุกจึงคาดเดาไม่ได้ว่าพวกเขาจะเจอด่านเหล่านี้ตอน ไหน
ฅนขับรถบรรทุก
52
ด้วยความเห็นอกเห็นใจในวิถีที่ต้องเผชิญเหมือนกัน ทุกครั้งที่คนขับรถบรรทุกขับรถผ่านมา เห็นว่ามีการตั้ งด่านในช่องทางเดินรถฝั่งตรงข้าม และเห็นว่าเพื่อนร่วมอาชีพกํา ลังแล่นรถเข้าไปหา พวกเขาจะกระพริบไฟหน้ารถเป็นสัญญาณบอกให้รถบรรทุกคันที่วิ่งสวนมาได้รู้ว่ามีด่านตั้งอยู่ข้างหน้า เพื่อนร่วมอาชีพของเขาจะได้ระวังตัวไม่ให้โดนปรับ ‚อย่างเราไปฝั่งเราเนี่ย ข้างหน้าเรามีตํารวจ ทางหลวงอยู่ แต่อ้ายฝั่งนูน้ ซิ มันต๊อกไฟบอก เราแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอ้ายหลามหรือว่าขนส่ง ต๊อกไฟกันทั้งนั้น พวกสิบล้อบรรทุกนี่พวกกัน ทั้งนั้นเลย เราอาชีพเดียวกันอย่างเนีย่ มีอะไร ช่วยกัน ช่วยกันอยู่แล้วพวกเนี่ย‛ หากพวกเขากําลังทําผิดโดยขับรถอยู่ในเลนขวา เขาก็จะเปลี่ยนมาขับรถอยู่ในเลนซ้ายให้ถูก กฎระเบียบ ‚อย่างกับเราเห็นทางหลวงจอดอยู่เนี่ย เรากระพริบไฟเลย รถบรรทุกสวนมามันจะได้รู้ พวก สิบล้อน่ะ พวกรถสิบล้อมันก็จะรู้เลยน่ะ เออ…ทางหลวงมันอยู่ข้างหน้าแน่ๆ เลย ก็ชิดซ้ายมา ตลอดเลยน่ะ ถ้าเรากระพริบ ไฟบอก.. จะรู้เ ลย ถ้ าสิบ ล้อสวนมาแล้วกระพริบไฟแว๊บ … แว๊บ…แว๊บ‛ หากเป็นรถที่บรรทุกสินค้ามาจนน้ําหนักบรรทุกเกินพิกัด คนขับรถบรรทุกจะได้จอดรถข้างทาง ไม่แล่นผ่านด่าน หากด่านนั้นเป็นการตั้งด่านของเจ้าหน้าที่จากกรมขนส่งทางบก ซึ่งมีหน้าที่ในการ ตรวจจับรถบรรทุกที่บรรทุกสินค้าน้ําหนักเกินพิกัด ‚ก็จอดรถกันยาว ก็เหมือนขนส่งที่อยู่ข้างหน้าเนี่ย ถ้าเขาอยู่ข้างหน้าปุ๊บ เรามา…เรามองเห็น ก็จอด แล้วเราก็ลงจากรถไป ไม่รู้ไม่ชี้อย่างเดียว‛ 2)หมายความว่า...หลับอยู่หรือเปล่า ? นอกจากส่งสัญ ญาณไฟกระพริบเพื่อบอกคนขับรถบรรทุกด้วยกันว่ามีด่านอยู่ข้างหน้าแล้ว คนขับรถบรรทุกยังใช้การกระพริบไฟหน้าเป็นวิธีในการป้องกันตัวเองจากอุบัติเหตุอีกด้วย โดยทดสอบ ว่าคนขับรถบรรทุกที่สวนมาหลับในหรือเปล่า
ฅนขับรถบรรทุก
53
‚ขับ รถเนี่ยเราก็ ต้ องดู ว่าอ้ายคัน หน้ามัน มายั งไงด้วยนะ เราบางที …เราสวนมา เราต้อง คํานวณว่าอ้ายรถคันนี้มันหลับหรือเปล่า บางทีเราต้องกระพริบไฟดูก่อนนะ ถ้าเรากระพริบ ไฟแว๊บ ไฟสูงขึ้นใช่มั๊ย ถ้ามันตอบเรา ก็เออ…อ้ายนี่มันไม่หลับแน่‛ ถ้าคนขับรถบรรทุกคันที่สวนมาไม่กระพริบไฟหน้าตอบ ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันแล้ว แสดง ว่าเขา ’หลับใน’ คนขับรถบรรทุกก็จะใช้การเปิดไฟหน้าให้สูงส่องปลุก ‘เขา’ ให้ตื่น รัตน์ คนขับรถบรรทุกทรายเล่าประสบการณ์ว่า ‚ถ้าเรากระพริบไฟให้แว๊บๆ แล้วมันยังขับทื่อเข้ามา มันหลับมาแน่แล้ว เราต้องเปิดไฟสูงส่อง มัน ไว้ต ลอดเลยน่ะ ให้มัน เข้าตา ให้มัน สะดุ้งตื่น ไว้ บางทีมัน หลับ เราไม่รู้ใ ช่มั๊ย เราต้อง คํานวณเอง ระวังไว้ตลอดเลยนะ ถ้าเราตามหลังมาเราไม่ค่อยกลัว ถ้ารถสวนมาเรากลัวมัน หลับใน เราก็ต้องรู้ตัวเรา‛ หาก ‘เขา’ ไม่ตื่น คนขับรถบรรทุกก็จะหาทางหนีทีไล่อย่างอื่นต่อไป อาจเป็นการบีบแตรเพื่อ ปลุก ‘เขา’ พร้อมกับการหักรถหลบเหมือนดังที่เรืองทําเมื่อครั้งที่คนขับรถหกล้อบรรทุกสับปะรดหลับ ในและวิ่งข้ามเลนมาชนรถของเขา ‚ปกติถ้าเราขับรถกลางคืน ถ้าเรากระพริบไฟให้เขานี่ เขาจะต้องกระพริบตอบกลับ ถ้าเขาไม่ กระพริบไฟตอบนี้เราต้องหาทาง เรียกว่าหลบๆ …ห่างๆ ไว้น่ะ พวกนี้จะหลับ เหมือนว่าเพลิน อะไรมายังงี้…ผมกระพริบไฟ กระพริบไฟ เอ๊ะ!…ทําไมมันไม่กระพริบตอบวะ แต่รถมาเรื่อย ...มาเรื่อย เราก็หักหลบซ้ายไปเรื่อย จนมาอย่างนี้แล้ว เสาไฟน่ะ เอ๊ะ! …มันไม่ได้เรื่องแล้ว มัน ข้ามเส้นมาแล้ว ก็บีบแตรลม แตรลมเสียงมันดังน่ะ หมดเสียงเลยน่ะ เรียกว่าไม่รู้สึกตัวเลยน่ะ ...เต็มที่‛ ในครั้งนั้นเรืองปลอดภัย แต่คนขับรถบรรทุกสับปะรดเสียชีวิต คนขับรถหายไปไหน ? ใน ยามคั บขั นและต้องการความช่ วยเหลืออย่ างรี บด่ วนเมื่ อเกิด อุบั ติ เหตุร้ ายแรง ซึ่ง คนขั บ รถบรรทุกไม่แน่ใจหรือค่อนข้างแน่ใจว่าตนเองจะต้องได้รับโทษทัณฑ์ตามกฎหมาย ดูเหมือนว่าเถ้าแก่ เจ้าของกิจการรถบรรทุกเป็นบุคคลสําคัญที่พวกเขาเชื่อว่าจะสามารถพึ่งพิงได้ จากประสบการณ์ที่เคย พบ เคยได้ยินเกี่ยวกับความช่วยเหลือที่เถ้าแก่มีให้กับเพื่อนคนขับรถบรรทุกยามเมื่อเกิดเหตุวิกฤติใน
ฅนขับรถบรรทุก
54
อดีตทําให้คนขับรถบรรทุกต่างเชื่อว่าหากวันใดที่พวกเขาต้องการความช่วยเหลือเช่นนั้นบ้างเถ้าแก่ เจ้าของกิจการรถบรรทุกก็คือบุคคลที่จะสามารถช่วยเหลือให้พวกเขารอดพ้นจากเงื้ อมือของกฎหมาย เช่นเดียวกัน โดยการประสานงานกั นอย่างเป็นระบบของบุคคลหลายๆ ฝ่ายภายใต้การจัดการของ เถ้าแก่สามารถทําให้คนขับรถบรรทุกที่ตกเป็นผู้ต้องหาขับรถโดยประมาททําให้ผู้อื่นเสียชีวิตสามารถ หนีหายไปได้โดยไร้ร่องรอย แม้จะมิใช่ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัว ของรัตน์เองโดยตรง แต่เขาก็รู้เห็น ถึงวิธีที่ต้องปฏิบัติ ยามเมื่อมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นซึ่งได้รับการบอกเล่าต่อๆ กันมาในระหว่างคนขับรถบรรทุก ‚เราก็ต้องดูก่อนว่าตายหรือเปล่า ถ้าไม่ตายก็ไม่หนี ถ้าตายก็หนี ไม่แน่ใจก็ต้องหนี หนีไว้ก่อน อยู่แล้วเดือดร้อน‛ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายผิดหรือถูก สําหรับคนขับรถบรรทุกแล้วดูเหมือนว่าการหนีจะเป็นช่องทางที่ ปลอดภัยและนํามาซึ่งความยุ่งยากน้อยที่สุด ทั้งตัวเองไม่ต้องลําบากเข้าไปอยู่ในคุกและเถ้าแก่เจ้าของ รถก็ไม่ต้องยุ่งยากหาหลักทรัพย์มาประกันตัว ‚...เราก็ไปก่อนอยู่แล้ว เราต้องหนีไปก่อนเพราะมันเสียทั้งสองอย่าง เพราะไหนจะประกันรถ ไหนจะต้องประกันคนขับอีก‛ ทัน ทีที่รถชนและประเมิน ว่ามีคนตาย คนขับ รถบรรทุก จะรีบ หนีโดยไม่ลืมเก็ บ สิ่งที่จะเป็ น หลักฐานระบุถึงตัวผู้ขับขี่อย่างใบขับขี่ลงจากรถไปด้วย หากวางไว้ที่คอนโซลหรือช่องเก็บของหน้ารถ ท่ามกลางความชุลมุนของผู้ประสบเหตุที่กําลังตื่นเต้นตกใจและมุ่งความสนใจไปที่ผู้ประสบเคราะห์ กรรม โดยไม่มีใครทันสังเกตคนขับรถบรรทุกจะแกล้งทําเป็นคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ค่อยๆ เดินหลบออกไปให้ห่างจากบริเวณเกิดเหตุแล้วโทรศัพท์บอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดกับเถ้า แก่ ซึ่งเถ้าแก่ก็จะช่วยติดต่อหารถมารับคนขับรถบรรทุกกลับไปเก็บตัวเงียบๆ อยู่ที่บ้าน รัตน์ คนขับรถบรรทุกทรายเล่าว่า ‚อย่างกับหนีนี่... หนีก็ไม่ไกลหรอก เราก็ขึ้นรถสิบล้อที่วิ่ง งานด้วยกันน่ะนะ เถ้าแก่เขาก็โทรฯ ไปบอกว่าเอ็งไปรับอ้ายคนนั่นที่ตรงนั้นตรงนี้ด้วยนะ เอากลับบ้าน ก่อน‛
ฅนขับรถบรรทุก
55
เมื่อคนขับรถบรรทุกหนีไป การสืบหาคนขับรถบรรทุกของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองก็มัก จะเริ่มที่ เจ้าของรถบรรทุก ซึ่งเถ้ าแก่ ของรัต น์ก็ มักจะให้ข้อมูลเกี่ ย วกั บ คนขับ รถโดยคํานึงถึ งความยุ่ งยาก ทางด้านคดีความที่จะตามมาภายหลัง หากคู่กรณีไม่ตาย เถ้าแก่จะให้ข้อมูลที่เป็นความจริง ‚ถ้าไม่ตายเนี่ย (เถ้าแก่) เขาก็บอกว่า คนขับเดี๋ยวมา แล้วเขาก็โทรฯ มาบอกเราเอง บอกให้เรา ไปนั่น ไปนี่เอง‛ แต่ถ้าคู่กรณีตาย เถ้าแก่จะทําทีเป็นไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับคนขับรถที่ตนเองเป็นผู้ว่าจ้าง ‚เถ้าแก่ เขาไม่บอกข้อมูลเกี่ยวกับคนขับรถบรรทุกหรอก ถ้าตายนี่…เขาจะบอกว่าอ้ายคนขับ บ้านอยู่ที่ไหนไม่รู้ เพิ่งมาสมัครขับ ผมก็ยังไม่ได้ดูใบขับขี่มันเลย มันว่ามันขับเป็นผมก็ให้มัน ขับ เพิ่งมาขับวันแรกเลยนี่นะ‛ กับตัวแทนของบริษัทประกันภัย เถ้าแก่ของรัตน์ซึ่งอยู่ในฐานะลูกค้ารายใหญ่ก็จะขอให้ตวั แทน ของบริษัทประกันภัยช่วยปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับคนขับรถบรรทุกทั้งหมดไว้ ซึ่งความต้องการของเถ้าแก่ เป็น เหมือนคําประกาศิต สําหรับตัวแทนของบริษั ทประกันภัย ลูก ค้าร้องขออย่างใด นักธุรกิ จอย่าง ตัวแทนของบริษัทประกันภัยก็จะปฏิบัติเช่นนั้น ‚…เถ้ าแก่ เ ขาบอกประกั น เลย ยั งไง ยั ง ไง อย่ า ให้ถึ งคนขับ อย่ าให้ เ ดือ ดร้อ นถึ ง คนขั บ ประกันมันก็ทําให้ไม่เดือดร้อนถึงคนขับ มีแต่บอกว่าคนขับเพิ่งมาขับ แล้วก็ทิ้งรถไว้เนี่ย...เท่านั้น‛ ในเมื่อเถ้าแก่เจ้าของรัตน์มีท่าทีช่วยปกป้องคนขับรถบรรทุก เครือข่ายของเถ้าแก่อย่างคนขับ รถบรรทุก คนอื่นๆ ในบริษั ท ก็จะช่วยกันเก็บความลับเกี่ ยวกั บเรื่องราวของคนขับ รถบรรทุกไว้อย่าง มิดชิดด้วยเช่นกัน ‚ชื่ออะไรก็ไม่รู้ คนขับบ้านอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ มาสมัครใหม่ อย่างมาถามผม...อ้ายคนนี้รู้จักบ้าน มั๊ย ไม่รู้จักหรอก ผมก็เพิ่งมาขับเหมือนกัน บ้านอยู่ไหนไม่รู้ เราก็ต้องแก้หน้าไป‛ ทางด้านคดีความ เถ้าแก่ของรัตน์ก็จะพยายามทําให้คนขับรถมีความผิดน้อยที่สุด โดยใน ส่วนของผู้ตายนั้นเถ้าแก่จะพยายามชดเชยความเสียหายให้กับญาติผู้ตายจนเป็นที่พอใจและไม่ติดใจ
ฅนขับรถบรรทุก
56
เอาความกับคนขับรถบรรทุก ส่วนรูปคดีนั้นเถ้าแก่จะติดต่อขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้า ที่ตํารวจ ผู้ทําคดีให้ช่วยทําสํานวนคดีให้อ่อนลง ‚...อย่างเขาตายเนี่ย ประกันเราเนี่ยก็เสียให้เขาไปศพละกี่หมื่น กี่แสน แต่เรายังผิดอยู่ ทีเนี่ย ก็เคลียร์กับเขาอีกทีนึงได้ เคลียร์กับคนตาย คนอยู่ ญาติเขาน่ะ เพราะยังไงเถ้าแก่ก็ต้องไป โปะให้อีก อยู่ แล้ว...ตํารวจก็ ยัดเหมือนกัน ต้องยัดอยู่ แล้ว ...ที่นี่เ ป็น อย่ างนี้เ หมือนกัน หมด แหละ…‛ พวงมาลัย เกือบทุกครั้งที่เหล่าคนขับรถบรรทุกออกไปทํากินพวกเขามักจะสร้างความรู้สึกเชื่อมั่นให้กับ ตนเองด้วยการบอกกล่าวและขอ ‚ความปลอดภัย‛ จากสิ่งเหนือธรรมชาติอย่างแม่ย่านางประจํารถ และศาลข้างทาง ท่ามกลางชีวิตที่ดํารงอยู่กับความไม่แน่ใจ ‚แม่ย่านาง‛ เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่คนขับรถบรรทุกใช้ เป็นเครื่องมือในการจัดการกับความไม่แน่ใจนั้น แม้ว่าเหล่าคนขับรถบรรทุกจะเตรียมตัวรับมือกับเหตุ สุดวิสัยที่อาจเกิดขึ้นอย่างที่พวกเขาคิดว่าเต็มที่แล้วก็ตามแต่เมื่อถึงเวลาที่พวกเขาต้องก้าวเดินเข้าสู่ สังเวียนแห่งเหตุ สุด วิสัยจริงๆ พวกเขาก็ ยังคงไม่มั่น ใจในการเผชิญ กั บ เหตุก ารณ์ที่รออยู่ ข้างหน้า สําหรับคนขับรถบรรทุกแล้วแม้ ‚แม่ย่านาง‛ จะไม่มีผลในเชิงรูปธรรมแต่ ‚แม่ย่านาง‛ ก็มีผลต่อจิตใจ ของพวกเขาผู้ฝากชีวิตไว้กับความไม่แน่นอนบนท้องถนนโดยที่ ‚แม่ย่านาง‛ มีสรรพคุณในทางปัดเป่า ความกังวลในส่วนลึกของจิตใจให้กับเทืองและเหล่าคนขับรถบรรทุกอีกหลายๆ คน เทือง คนขับรถบรรทุก ดินเล่าว่า ‚…ซื้อพวงมาลัยให้น่ะ เราก็…ก่อนจะออกเราก็เบิกทาง…บีบแตร แบบ…ขอทางน่ะ ขึ้นรถ ก่อนที่เราจะออกรถเนี่ย จะเคลื่อนตัวรถไปทํากิน เราก็บอก เอ้า…แม่พาลูกไปทํากิน ทํามา หากินอย่างเนี่ย ก็บอกว่าอย่าให้เกิดอุบัติเหตุอะไร เชื่อไปแบบเนี่ย แต่เราน่ะเป็นฝ่ายบังคับ .. แม่ย่านางเนี่ย...มันก็คือว่าเพื่อสบายใจน่ะ เพื่อสบายใจ‛ เผือก คนขับรถบรรทุกทรายพูดถึงความสบายใจที่ได้จากพวงมาลัยว่า ‚คือสบายใจ คือซื้อ พวงมาลัย บอกแม่ย่านาง…โชคดีต ลอดปลอดภัย นะ คือวันนั้น ก็สบายใจไปวันนึง ซื้อพวงมาลัย บอก…เราก็สบายใจ‛ ‚ศาลข้างทาง‛ เป็นอีกที่พึ่งหนึ่งที่เหล่าคนขับรถบรรทุกพากันยึดในยามที่พวกเขาเผชิญกับ ความรู้สึกไม่มั่นใจโดยหวังว่าพวกเขาจะได้รับในสิ่งที่เฝ้าวอนขอ
ฅนขับรถบรรทุก
57
แมว คนขับรถบรรทุกทรายเล่าว่า ‚คือว่า เคารพเค้าไง ไม่ใช่เจอศาลก็กระชากโครม ผมประจํา ติดเป็ นนิสัยไม่ว่าเจอศาลที่ไหน จะบีบแตรทัก แล้วก็นึกในใจว่าให้ปกปักรักษา ขับรถอย่าให้เป็นอะไร ถ้าทําแล้วเหมือนมัน อุ่นใจ รถไม่เป็นอะไรยังเนี่ย ถ้าขับเลยไป อ้ายห่า!…กูจะเป็นอะไรหรือเปล่าวะ เหมือนกับว่า ให้จิตใจเรา…ให้สบายใจ‛ เช่นเดียวกับเรือง คนขับรถบรรทุก ทราย/ดิน ‚บางทีกลางทางถ้ าไปเจอศาล เสิ้ น นี่ ถ้ า ไม่ ไ ด้ บี บ แตรล่ ะ ผม…กลุ้ ม ใจ ส่วนมากผมจะพูดในใจ...ขอให้โชคดี ขอให้ คลาดแคล้วยังงี้‛ อาจดูเหมือนว่าเหล่าบรรดาคนขับ รถบรรทุกมี ท่าทีที่ดูเ สมือนกั บไม่ยี่ห ระกั บเรื่องรถชนกั น ภายในห้วงความคิดของคนขับรถบรรทุกกลับถูกความวิตกกังวลในเรื่องราวดังกล่าวเกาะกุ มอย่าง เหนียวแน่น ด้วยความจําเป็นแห่งวิถีที่ต้องก้าวเดินไปข้างหน้าท่ามกลางความหวาดหวั่นที่เกาะกุมอยู่ ในห้วงลึกของจิตใจพวกเขาได้สร้างวิธีการจัดการกับความทุกข์นั้นด้วยการนับถือสิ่งที่ไม่ตัวตนอย่าง ‚แม่ย่านาง‛ และ ‚ศาลข้างทาง‛ หากแต่เมื่อพิจารณาวิธีปฏิบัติการของพวกเขาแล้วกลับพบว่า การ แสดงปฏิบัติการในการเคารพและฝากเนื้อฝากตัวต่อแม่ย่านางและศาลข้างทางเป็นวิธีการสําคัญใน การจัดการกับความวิตกกังวลเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ วิธีมองโลกที่เปลี่ยนไป ผลผลิตจากการได้ประสบพบเห็นอุบัติเหตุจราจรด้วยตนเองนับตั้งแต่เวชเริ่มขับรถบรรทุกเป็น อาชีพเมื่อ 5 ปีก่อน ปัจจุบัน เวชไม่กลัวอุบัติเหตุ ภาพของอุบัติเหตุแม้ว่าจะร้ายแรงเพียงใดแต่ก็ไม่อาจ ทําให้จิตใจของเขาหวั่นไหว อุบัติเหตุจราจรเป็นเสมือนเหตุการณ์ปกติทั่วๆ ไปในชีวิตประจําวัน ‚มันชินแล้ว มันเห็นบ่อย เคยเห็นซะชินแล้ว ตอนใหม่ๆ น่ะ แค่ขับรถไปชนตูดเขานิดเดียวก็สั่น แล้ว มันปีกกล้าขาแข็งแล้ว...ตีนขาดกระเด็นออกมาก็ยังเคยเห็นเลย ไม่กลัวหรอก มันไปกับ รถอยู่เรื่อย มันก็ชินไปเองแหละ มันจะเห็น มันจะธรรมดาไปเลย ‛
ฅนขับรถบรรทุก
58
ในขณะที่เรือง ซึ่งมีประสบการณ์การขับรถบรรทุกมานานถึง 29 ปี ผ่านประสบการณ์การขับ รถบรรทุก และอุบั ติเ หตุมาอย่างโชกโชนซึ่งมีตั้งแต่การเฉี่ยวชนเล็กๆ น้อยๆ เฉีย ดตายไปจนถึ งขั้น รุนแรงมีคนตาย ในปัจจุบัน เรืองมีความคิดที่เกี่ยวกับอุบัติเหตุในระดับที่ไม่หวั่นหวาดกับภาพความน่า กลัวของอุบัติเหตุจราจร ‚แต่ก่อนเห็นคนตาย...กลัว เดี๋ยวนี้ไม่กลัวล่ะ บางทีก็คอขาด สมองกระจายหมดเลย ก็ยืนดู ก็ ธรรมดา‛ สําหรับคนขับรถบรรทุกแล้ว ถนนมิใช่เป็นเพียงพื้น ที่ทางกายภาพที่ใช้ในการเดินทางเท่านั้น แต่ถนนยังเป็นพื้นที่ของประสบการณ์ เรื่องราวต่างๆ ที่ได้พบเห็นในระหว่างการเดินทางจะถูกซึมซับ เข้ามาเป็นประสบการณ์ แม้จะไม่ใช่ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเองโดยตรง แต่อุบัติเหตุสองข้างทางที่ คนขับรถบรรทุกพบเห็น บ่อยๆ ก็เริ่มเป็นภาพที่คุ้น ชิน ยิ่งนานวัน ภาพอันน่าหวาดหวั่นของอุบัติเหตุ จราจรก็ยิ่งลดความน่ากลัวเกรงลงทุกทีๆ อุบัติเหตุในฐานะความธรรมดาของชีวิต บนเส้นทางสายอาชีพที่มีเงื่อนไขเฉพาะและเกาะเกี่ยวอยู่กับเรื่องราวของการเกิดอุบัติเหตุบน ท้องถนน วิธีคิดของคนขับรถบรรทุกเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่ถูกหลอมในบริบทของการรับจ้างขับรถบรรทุกนี้ อาจเป็นวิธีคิดที่อาจแตกต่างไปจากคนขับรถอื่นๆ ทั่วไปซึ่งไม่ได้ใช้เวลาในแต่ละวันอยู่บนถนนนาน เท่ากับคนขับรถบรรทุก ไม่ได้มีประสบการณ์การเกิดอุบัติเหตุจนรู้สึกเฉยๆ เหมือนคนขับรถบรรทุก และไม่ได้มีป ระสบการณ์ต่างๆ ในชีวิตอีกหลายอย่างเหมือนกับคนขับ รถบรรทุก สําหรับ คนขับรถ บรรทุกผู้มากมายด้วยประสบการณ์บนท้องถนนแล้ว อุบัติเหตุจราจรมีความหมายใน 3 ลักษณะคือ รถบรรทุกกับการชนเป็น ของคู่กัน ความเสียหายที่ไม่เกี่ยวกับเรา และเป็นความเสี่ยงที่เลือก โดยมี รายละเอียดดังต่อไปนี้ 1. รถบรรทุกกับการชนเป็นของคู่กัน ท่ามกลางการมีชี วิต ที่ ต้ องเสี่ย งและผ่ านประสบการณ์ เ กี่ ย วกั บ อุบั ติเ หตุทั้งทางตรงและ ทางอ้อมมาแล้วอย่างโชกโชนของคนขับรถบรรทุก ปัจจุบัน มโนภาพเกี่ยวกับอุบัติเหตุจราจรของพวก เขาได้ถูกหล่อหลอมขึ้นมาอีกชุดหนึ่ง เป็นชุดที่ อาจจะแตกต่างไปจากคนอื่นๆ ที่ไม่ได้มีวิถีแห่งชีวิตที่ คลุก คลีอยู่ กั บ สภาพที่ ต้ องเสี่ย งและผ่านประสบการณ์ก ารเกิ ดอุบั ติเ หตุ มาอย่ างช่ําชอง สํ าหรั บ คนขับรถบรรทุกแล้วพวกเขาเชื่อว่าการเกิดอุบัติเหตุเป็นของคู่กับรถบรรทุก คนขับรถอย่างพวกเขาหรือ
ฅนขับรถบรรทุก
59
ใครๆ ก็ ไม่สามารถป้องกั นอุบั ติเหตุจราจรได้ สิ่งที่เป็นไปได้ก็เป็นเพียงการบรรเทาความรุน แรงของ ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นเท่านั้น ภายใต้วิถีการทํางานที่ต้องขับรถซึ่งอยู่ในสภาพที่แทบจะเรียกได้ว่าต้องซ่อมแทบไม่เว้นแต่วัน นอนกลางวันและขับรถในเวลากลางคืน ตลอดคืน โดยมีเงื่อนไขกํากับลงไปอีกว่าจะต้อ งขับรถให้ได้ จํานวนเที่ยวตามที่เถ้าแก่กําหนด ส่วนใหญ่จะเป็นคืนละ 2 เที่ยว ศรีคนขับรถบรรทุกสิบแปดล้อบรรทุก ทราย/ดินซึ่งเคยมีประสบการณ์การเกิดอุบัติเหตุมาแล้วหลายครั้ง ทั้งทําให้คนอื่นบาดเจ็บและตนเอง บาดเจ็บ เขาไม่รู้สึกว่าการที่รถบรรทุกคันที่เขาขับอยู่จะไปเฉี่ยวหรือชนกับรถคันอื่นๆ บนท้องถนนนั้น เป็นเรื่องผิดปกติแต่อย่างใด จากประสบการณ์การเกิดอุบัติเหตุครั้งแล้วครั้งเล่าที่เกิดขึ้นจากรถเบรกแตกบ้าง เบรกไม่อยู่ บ้าง เพราะน้ําหนักรถหนักเกือบห้าสิบตันเมื่อบรรทุกทรายหรือดิน หลับในบ้าง หรือแม้กระทั่งการที่รถ คันอื่นขับมาชนรถคันที่เขากําลังขับอยู่ ศรีสังเคราะห์วิธีคิดเกี่ยวกับเรื่องราวการเกิดอุบัติเหตุว่าเป็น เหตุการณ์ที่คู่กับรถบรรทุก ศรี คนขับรถบรรทุกทราย/ดินเล่าว่า ‚รถบรรทุก นี่มัน ต้องมีเกิด ขึ้นทุกคนแหละ อย่ างปีที่แล้วผมเนี่ยก็สามสี่หน แต่ก็ …มันนิดๆ หน่อยๆ เกี่ยวแท็ก ซี่มั่ง อะไรมั่ง คนขับรถบรรทุก มันต้องมีอุบัติเหตุมั่ง จะไม่ให้เ กี่ยวให้ช น เลยน่ะเป็นไปไม่ได้หรอก…บางทีมันก็ไม่แน่ เรามัน รถเก่าด้วย บางทีปั๊มเบรกปั๊มอะไรเนี่ย เหยียบแล้วหายวึ๊บไปเลยเนี่ย‛ เมื่อประกอบกับเงื่อนไขของการรับจ้างขับรถบรรทุกที่สําคัญอย่างการแข่งกับเวลา ไม่ว่าจะ เป็นการวิ่งรถทําเที่ยวเพื่อให้ได้เงินค่าจ้างมากขึ้นหรืองานเร่ง จํานวนเที่ยวตามที่เถ้าแก่เจ้าของกิจการ กําหนด หรือการติดเวลา ด้วยเงื่อนไขของอาชีพที่เป็นเช่นนี้ นอกจากการขับรถจะต้องขับให้เร็วมากขึ้น แล้วในบางครั้งคนขับรถบรรทุกเหล่านี้ยังต้องหาวิธีลดเวลาที่ใช้ในการวิ่งรถแต่ละเที่ยวให้น้อยลงไปอีก เช่น การวิ่งรถในเลนขวา การฝ่าฝืนกฎจราจรอย่างการแซงรถในที่คับขัน และการฝ่าฝืนสัญญาณไฟ จราจร เป็น ต้น ซึ่งแม้ค นขับรถบรรทุกต่างก็รู้ดีว่าพฤติกรรมดังกล่าวอาจเป็ นสาเหตุให้พวกเขาต้อง ประสบกับเหตุการณ์ที่ไม่ต้องการอย่างอุบัติเหตุ...แต่สําหรับคนที่ก้าวเข้ามายึดอาชีพการขับรถบรรทุก เป็นอาชีพอย่างกุ่ยแล้วสิ่งเหล่านี้ก็คือวิถีที่เขาคิดว่าเขาจะต้องพบเจอ ‚…ประจํานั่นแหละ ผ่าไฟแดงมั่ง อะไรมั่ง ผิดเลนมั่ง มันมีประจําแหละ เข้ากรุงเทพฯไง ... บางทีมันฉุกเฉินก็ต้องผ่าแหละ บางทีน่ะ มองซ้ายมองขวาก็ต้องผ่าแหละ มันรีบน่ะ…มันเสี่ยง แต่มันก็ต้องทํา เพราะว่าอาชีพเราขับรถ เราก็ต้องทํา‛
ฅนขับรถบรรทุก
60
ด้วยรู้ซึ้งถึงเงื่อนไขแห่งอาชีพที่เอื้อต่อการเกิดอุบัติเหตุจราจรเป็นอย่างดีโดยเฉพาะในเรื่องของ ความเหนื่อย ความเพลียจากการขับรถบรรทุกนานติดต่อกันครั้งละไม่น้อยกว่า 10 ชั่วโมง ซึ่งบอย บอกว่ า ‚ซั ก ประมาณอาทิ ต ย์ นึงเนี่ย ต้องหยุดพักซักประมาณ วันนึงเพราะมันค่อนข้างโหด ทุก วันมันก็คงไม่ไหวน่ะ อาทิตย์นึงก็ เกซักวันนึง‛ เด็กหนุ่มผู้ผ่านการ เป็น เด็กรถให้กั บพ่อตามากว่าปี และเพิ่งจะก้าวเข้ามาเป็นคนขับ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 8 มกราคม 53
บรรทุก ทราย/ดิน เต็มตัวได้เ พีย ง
ไม่กี่วันมีความคิด เห็นเกี่ย วกั บอาชีพโดยการสังเคราะห์ความคิดขึ้น จากประสบการณ์ความเหน็ด เหนื่อยจากการขับรถที่ประสบด้วยตนเองว่าการขับรถบรรทุกย่อมจะต้องมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น รถเฉี่ยวกัน ชนกัน ถือว่าเป็นเรื่องปกติสําหรับการขับรถบรรทุก ‚คนเรามันก็ต้องมีพลาด มีเมื่ อย มีเพลียใช่มั๊ย บางทีมันก็ต้องมีเผลอมั่ง เรื่องปกติ ...มัน ก็ ต้องมีมั่ง เฉี่ยว ชน บางทีเผลอไปแว๊บนึง ถึงเขาแล้วอย่างเนี่ย หักออกมาก็ไปเจออีกคันนึง ประมาณเนี่ย…แน่นอนต้องมี ไม่อยากให้มี แต่มันก็ …ไม่มีก็ดี มีก็ช่วยไม่ได้ถ้ามันจะมี มัน อยู่ที่ตัวเรา บางครั้งอาจจะเจองานหนักเข้ามันก็ไม่ไหว มันอาจจะเมื่อย มันอาจจะเพลีย‛ ภายใต้วิถีที่วนเวียนอยู่กับการเกิดอุบัติเหตุจราจรและเงื่อนไขทางอาชีพที่พรั่งพร้อมไปด้วย ปัจจัยแห่งความผิดพลาดนานาประการดังเช่นที่กล่าวข้างต้น ทันทีที่คนขับรถบรรทุกเหล่านี้นึกถึงการ ขับรถเมื่อใด ภาพของการเฉี่ยวการชนก็มักจะหวนกลับเข้ามาในห้วงความคิดด้วยเช่นกัน ซึ่งหากกล่าว อย่างถึงที่สุดแล้วก็คือ สําหรับคนซึ่งรับจ้างขับรถบรรทุกอย่างเพ็ญ มิน หรือคนรับจ้างขับรถบรรทุกอีก หลายๆ คนแล้ว พวกเขามีความคิดว่าการเกิดอุบัติเหตุจราจรเป็นเหตุการณ์ที่อยู่คู่กับการขับรถบรรทุก ไม่ว่าจะเป็นเราชนเขาหรือว่าเขามาชนเราก็ตาม
ฅนขับรถบรรทุก
61
เพ็ญ คนขับรถบรรทุกดินเล่าว่า ‚ใกล้มากเลยน่ะ เป็นเรื่องที่ใกล้มาก ไม่ต้องอะไรหรอก อย่างไปวิ่งเนี่ย ก้าวขึ้นรถ สตาร์ท เครื่องรถออกเนี่ย ขาเราเนี่ย มันก็คล้ายๆ ว่าเอาโซ่ล่ามไว้ขานึงแล้วล่ะ เอากุญแจมือใส่ไว้ ข้างนึงแล้วล่ะ แต่ทีนี้ว่ามันอยู่ที่ว่า มันจะเกิดกับตัวเราเมื่อไหร่แค่นั้นเอง‛ มิน คนขับรถบรรทุกทรายแสดงความเห็นว่า ‚ไม่มีคนเก่งหรอก...สิบล้อ มันต้องมีพลาดเข้า สักวัน เดี๋ยวเฉี่ยว เดี๋ยวชนอะไรเนี่ย… มีเรื่อย…ถึงเราระวังก็มี‛ หลังจากผ่านประสบการณ์การขับรถบรรทุกมานานและการเกิดอุบัติเหตุที่ประสบกับตนเอง และพวกพ้องมานับครั้งไม่ถ้วน วิธีคิดเกี่ยวกับอุบัติเหตุจราจรของคนขับรถบรรทุกอีกชุดหนึ่งที่ก่อตัวขึ้น เป็นรูปร่างในปัจจุบันก็คือการมองเห็นเรื่องราวการเกิดอุบัติเหตุว่าเป็นเหตุการณ์ที่อยู่เหนื อจากการ ควบคุม จากอดีตที่แม้พวกเขาจะพยายามมิให้รถบรรทุกคันที่พวกเขาควบคุมอยู่เกิดการเฉี่ยวหรือการ ชนกั บ รถคั น อื่น ๆ เพีย งใดก็ ต ามแต่ คนขับ รถบรรทุก ก็ มัก จะพบว่ ามัน เป็ น เพี ย งความพยายามที่ ปราศจากผล ด้วยเหตุนี้ อุบัติเหตุจราจรจึงเป็นเหตุการณ์ที่พวกเขาคิดว่าไม่สามารถป้องกันได้ โดยสิ่ง ที่พวกเขาสามารถทําได้ดีที่สุดยามเมื่อนั่งอยู่หลังพวงมาลัยเห็นจะเป็นเพียงเรื่องของการบรรเทาความ รุนแรงของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเท่านั้น 1.1 มายาคติที่ว่า อุบัติเหตุป้องกันไม่ได้ ด้วยสภาพของรถบรรทุกซึ่งมีน้ําหนักมากกว่ารถประเภทอื่นๆ อย่างมากโดยเฉพาะเมื่อบรรทุก สินค้าหนักอย่างดินหรือทราย ไม่ว่าจะเป็นรถสิบล้อเปล่าที่หนักประมาณ 11 ตัน และหนักกว่า 25 ตัน เมื่อบรรทุกดินหรือทราย หรือรถพ่วงสิบแปดล้อเปล่าที่หนักประมาณ 18 ตัน และหนักกว่า 47 ตัน เมื่อ บรรทุกสินค้า เหล่าคนขับรถบรรทุกที่มักเรียกขานตัวเองว่า ‚เรา...รถหนัก‛ บ้าง หรือ ‚เรา...รถใหญ่‛ บ้าง ตระหนักดีว่าการควบคุมรถบรรทุกไม่สามารถควบคุมได้ง่ายๆ เหมือนดังรถประเภทอื่นๆ น้ําหนัก อันมหาศาลของรถกลายเป็นอุปสรรคในการควบคุมบังคับรถ โดยเฉพาะการทํางานของระบบเบรก เนื่องเพราะไม่ว่าระบบเบรกของรถบรรทุกจะดีมีประสิทธิ ภาพเพียงใดแต่มันก็ไม่อาจต้านทานแรงอัน เกิดจากความเร็วบวกกับน้ําหนักของรถยามเมื่อต้องการหยุดรถโดยกะทันหันได้ บอย คนขับรถบรรทุกทราย/ดินแสดงความเชื่อของเขาว่า ‚รถสิบล้อเนี่ยปัญหาคือว่ามัน…มันเบรกไม่ได้เหมือนรถเล็ก เบรกไม่ได้ดังใจ ก็ …มันก็อีกนั่น แหละ ทั้งรถทั้งของตั้งสี่สิบ กว่าตันใช่มั๊ย เบรกดียังไง ถึงเบรกอยู่หมด มันก็ไถอยู่ดีแหละ
ฅนขับรถบรรทุก
62
เพราะน้ําหนักรถมันเยอะ อย่างรถกระบะเนี่ยน้ําหนักมันเท่าไหร่...สองตันกว่า ล้อไถล้อตาย เดี๋ยวมันก็หยุด แต่รถพ่วงเนี่ยยังไงมันก็เอาไม่อยู่อยู่แล้ว‛ เพ็ญ คนขับรถบรรทุกดินตอกย้ําความเชื่อและวิธีการปลงต่อการเกิดอุบัติเหตุว่า ‚บางครั้งรถหนักไปเนี่ย จะเบรกแค่เนี่ย…แค่เนี่ย มันเบรกไม่อยู่หรอก อย่างสมมติว่าเจอไฟ เขียวใช่มั๊ย ปั๊บ…เชนเกียร์ปั๊บ กะว่าจะให้หลุด รู้มั๊ยมันไม่หลุด จะเบรกก็เบรกไม่อยู่แล้ว มัน ก็ผ่าไป...มันเอาไม่อยู่หรอก ถ้าคนไม่ขับคือว่าจะไม่รู้หรอก…มันระวังจริงนา แต่มันเป็นไป ไม่ได้หรอก ถึงเราจะระวังจริง แต่ถ้ามันมีเหตุขัดข้องเนี่ยเราก็เอาไม่อยู่เหมือนกัน มันก็ต้อง ปลง เอาอยู่ก็อยู่ เอาไม่อยู่ก็แล้วแต่เวรแต่กรรมมัน‛ แม้ในยามที่รถเสียหลักและต้องการบังคับรถให้แล่นไปในทิศทางที่ต้องการ คนขับรถบรรทุก ดินอย่างเผือกก็เชื่อว่าน้ําหนักของรถบรรทุกจะทําให้เขาไม่สามารถควบคุมรถได้ดังใจปรารถนา ‚ส่วนมากมันจะเสียหลักมาชนกันนะ…สิบล้อ ถ้าลองเสียหลักปั๊บเนี่ยมันจะไปทั้งคันเลยนะ เอาไม่อ ยู่ เ ลย...จะแถ ถ้ าลองว่ าแถได้ก็ แ ถไปเลย ถ้ าลองว่า แฉลบแล้ ว นะ ไม่เ หมื อ น มอเตอร์ไซด์ มอเตอร์ไซด์แฉลบแล้วยังเอาขายันได้ ยันซ้ายยันขวายังอยู่ สิบล้อเนี่ยลองว่า แฉลบแล้วก็ไปเลย...เอาไม่อยู่หรอก รถมันหนักไง รถมันเซแล้วมันไปทั้งคันเลย‛ ยิ่งเมื่อคนขับรถบรรทุกต้องขับรถซึ่งอยู่ในสภาพที่ไม่พร้อมสําหรับการขับขี่อย่ างที่รัตน์เล่าให้ ฟังถึงวิธีการขับรถของเขาว่า ‚เราเห็นรถ เกะกะเราก็ชะลอแล้ว...ไม่กล้าไปไว ไม่กล้าจี้ตูดเพราะเบรก เราไม่ดี‛ หรือบุญซึ่งเล่าให้ฟังถึงสภาพรถบรรทุกที่ตนเองขับอยู่ทุกวันนี้ว่า ‚โห... คันนี้ไม่ตกยี่สิบปีแล้ว เหรอ จะเปลี่ยนรถ เถ้าแก่เขาก็ไม่ให้เปลี่ย น ไม่มีคนขับคันเนี่ย‛ รวมไปถึ งสภาพรถที่เกษมบอกว่า ‚สภาพนี้มันต้องซ่อมแล้ว...ถ้าพูดตามหลัก แต่เขาให้เราขับไปก่อนก็โอเค‛ สิ่งนี้ก็ดูเหมือนจะยิ่งตอก ย้ําถึงวิธีคิดที่ว่าอุบัติเหตุเป็นเรื่องที่ป้องกันไม่ได้ของเหล่าคนขับรถบรรทุกให้มีน้ําหนักมากยิ่งขึ้น บุญ คนขับรถบรรทุกทรายแสดงความเห็นว่า ‚เรื่องมั่นใจน่ะไม่เคยมี เพราะคนเราน่ะเดินก็ยังลื่นได้ ลื่นล้มได้ รถน่ะเอาแน่เอานอนกับมัน ไม่ได้ แล้วรถมันเก่าด้วย...กลัวเอาไม่อยู่ เกิดพลาดขึ้นมามันมีปัญหา มันไม่เหมือนรถดีๆ ... อย่างเมื่อสองคืนนี้…ที่สุขสวัสดิ์ โอ้โฮ…ล่อเอาห้าคัน ซีนมันรั่ว ลมมันไม่ตัด สายลมมันแตก ก็เท่ากับรถไม่มีเบรก เจ้าประคุณเอ๊ย ทํายังไงดีหน้อ…ก็เบียดฟุตบาทไปก่อน เบียดแล้วยัง
ฅนขับรถบรรทุก
63
ไม่อยู่ก็ขึ้นเกราะเลย ขึ้นเกราะเบียดเสาไฟเลย ถ้าหักข้ามเกราะ…คว่ําทับรถอื่นล่ะตายห่า เลย‛ เกษม คนขับรถบรรทุกทรายเล่าว่า ‚ขับรถเนี่ยทุกวินาทีเลยก็ว่าได้นะ... ชั่วแว๊บเดียว เพราะเราก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นยังไง มันวิ่งอยู่ กับ ความเร็ว แล้วเราก็ขับอยู่ อย่ างเนี่ย อย่ างเบรกไม่อยู่ นี่ เราก็ ไม่รู้ว่ามัน จะไม่อยู่ ใช่มั๊ย สุดวิสัย ก็รู้แล้วว่าต้องชน แต่ว่าจะชนกี่คันไม่รู้หรอก‛ นอกเหนือจากน้ําหนักรถและสภาพรถจะเป็นเงื่อนไขสําคัญที่ทําให้คนขับรถบรรทุกมองเห็นว่า อุบัติเหตุจราจรเป็นเรื่องที่อยู่เหนือการควบคุมของพวกเขาแล้ว เหตุการณ์การเกิดอุบัติเหตุที่มักเกิดขึ้น จาก ‚เขา‛ คนขับรถอื่นๆ บนท้องถนนก็มีส่วนสําคัญในการหล่อและหลอมชุดวิธีคิดที่ว่า ด้วยอุบัติเหตุ ดังกล่าวด้วยเช่นกัน ด้วยความจริงที่ว่าอุบัติเหตุมิได้เกิดขึ้นจาก ‚เรา‛ แต่ฝ่ายเดียว หากแต่ ‚เขา‛ ก็ อาจเป็นฝ่ายทําให้อุบัติเหตุเกิดขึ้น ซึ่งแม้ว่าคนขับรถบรรทุกอย่างปอน เผือก และบรรดาเพื่อนๆ คนขับ รถบรรทุก จะพยายามควบคุ มรถและตัวเองอย่างดีที่สุดแล้ วก็ตาม แต่ปอนหรือใครๆ ก็มิอาจเข้าไป ควบคุมความผิดพลาดของรถและคนขับรถคนอื่นได้ ‚คือเราป้องกันไม่ได้ครับ โอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุน่ะ…มีมาก ถึงเราไม่ชนเขา เขาก็อาจจะมา ชนเราก็ได้...มันมีทุกโอกาส ถึงเราขับรถดี แต่ว่าบางวันเขาอาจพุ่งมาชนเราก็ได้ มันก็มีอุบัติเหตุ‛ เผือก คนขับรถบรรทุกทราย/ดินเล่าว่า ‚ต้องเกิ ดแน่น อน มัน เกิ ด ขึ้น ได้ คนเราไม่แน่หรอก ใช่ห รือเปล่า เราก็คิดว่าเราขับ ไปทุก วันเนี่ยขับด้วยความระมัดระวังที่สุดแล้วน่ะ แต่มันไม่แน่หรอกของอย่างเนี่ย เราไม่ชนเขา เขามาชนเราก็ได้ เขาหลับมาอย่างเนี่ย เราไม่หลับ เขาหลับมา มันก็ไม่แน่หรอก ก็คือว่า… คนขับสิบล้อถ้าตั้งใจขับด้วยกันแล้วเนี่ย มันก็ไม่เป็นไร แต่ทีนี้ว่า เราตั้งใจขับ แต่เขาหลับมา อย่างเนี่ย มันก็อันตราย…ไม่ใช่เราฝ่ายเดียว‛ แม้วิธีคิดเกี่ยวกับอุบัติเหตุจราจรของคนขับรถบรรทุกที่ก่อตัวขึ้นท่ามกลางวิถีการเป็นเพียง คนรับจ้างขับรถบรรทุกจะอบอวลไปด้วยความไม่เชื่อมั่นในการควบคุมสิ่งต่างๆ รอบตัว โดยเฉพาะ เครื่องยนต์ ก ลไก และคนขับ รถคนอื่น ๆ บนท้องถนน แต่สิ่งหนึ่งที่น่าจะมีผลทําให้คนรับ จ้างขับ รถบรรทุกยังคงทํางานอยู่ท่ามกลางความไม่วางใจกับเหตุการณ์รอบๆ ตัวต่อไปได้ก็คือ ความเชื่อมั่น ในความสามารถของตนเองว่าจะสามารถบรรเทาผลลัพธ์ที่เกิดจากอุบัติเหตุจราจรได้
ฅนขับรถบรรทุก
64
1.2 วิธีการผ่อนหนักเป็นเบา แม้คนขับรถบรรทุกจะให้ความหมายกับอุบัติเหตุในเชิงยอมจํานนว่าเป็นเหตุการณ์ที่ ป้องกัน ไม่ได้ แต่อุบัติเหตุก็เป็นเหตุการณ์ที่เหล่าคนขับรถบรรทุกผู้มีชีวิตคลุกคลีอยู่กับเรื่องราวเหล่านี้เชื่อว่า พวกเขาจะสามารถลดความรุนแรงของเหตุการณ์ลงได้ โดยเฉพาะในส่วนของอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับ คนขับรถอย่างพวกเขา จากประสบการณ์ที่คร่ําหวอดกับอุบัติเหตุจราจรมาจนเกิดความรู้สึกว่าเป็นเหตุการณ์ปกติ ของการขับรถบรรทุก คนขับรถบรรทุกซึ่งมีวิถีในแต่ละวันอยู่กับการควบคุมระบบการทํางานของรถได้ เรีย นรู้ว่าแม้พวกเขาจะไม่สามารถวางใจกั บ กลไกที่สําคัญ บางส่วนของเครื่องยนต์ได้โดยสนิท ใจ โดยเฉพาะระบบการหยุดรถอย่างเบรก หากแต่ในยามเกิดเหตุฉุกเฉินคนขับรถบรรทุกก็เชื่อมั่นว่ายังมี กลไกบางส่วนของรถอย่างเกียร์หรือพวงมาลัยที่ยังพอจะใช้ในการควบคุมรถได้บ้างซึ่งแม้ว่าอาจจะมี ความบกพร่องบ้างและแม้ว่าการใช้อุปกรณ์เหล่านี้จะไม่สามารถหยุดยั้งการเฉี่ยว การชนได้ดังที่วาด หวัง แต่การบังคับรถด้วยเกียร์และพวงมาลัยในบางลักษณะก็สามารถทําให้อุบัติเหตุที่กําลังจะเกิ ดขึ้น คลายความวิกฤติลงได้ ดังเช่นกรณีของเกียรติที่หักพวงมาลัยรถบรรทุกหลบรถกระบะที่แล่นออกมา จากซอยข้างถนนจนรถคันที่เขาเป็นผู้ขับตกลงไปข้างถนนซึ่งทําให้ไม่มีใครเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บ สาหัสจากอุบัติเหตุครั้งนั้นเลย เกียรติ คนขับรถบรรทุกท่อคอนกรีตเล่าว่า ‚เราต้องโยกออก ถ้าไม่โยกก็กลางคัน...เละ โยกเลย พอดีมันจังหวะว่างด้วย เพราะเลยไป หน่อยมีรถพ่วงมันจอดอยู่ทางซ้าย ผมโยกขวา จังหวะพอดีเลยทางขวามันว่างผมก็ลงข้าง ทาง เพราะขวาข้างทางมันเป็น (ตลาด) นัดพอดี...ตรงนั้นน่ะ …แต่ว่าไม่มีขายไง ผมมองแว๊บ เดียวเลย ตาผมปึบ ก็โยกเลย วิ่งเต็มที่ ผมโยก...นอนตะแคงเลยรถน่ะ รถกระบะมันยังขึ้นมา อีก บอก…อื้อฮือ! มันน่าจะชนให้ตาย ไม่น่าหักหลบหรอก‛ หรือในกรณีของเทืองซึ่งไม่สามารถหยุดรถที่กําลังแล่นมาด้วยความเร็วในขณะที่รถคันอื่นๆ กําลังจอดติดสัญญาณไฟแดงกันอยู่ ในครั้งนั้นเทืองได้พยายามที่จะลดความรุนแรงของอุบัติเหตุที่ กําลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าด้วยวิธีการต่างๆ ซึ่งในที่สุดแล้ว ผลลัพธ์จากอุบัติเหตุครั้งนี้ก็ มิได้มีความรุนแรงมากเท่ากับที่เขาคาดไว้เมื่อแรกรู้ตัวว่าเบรกหลุด เทือง คนขับรถบรรทุกดินเล่าว่า ‚พอดีมีไฟแดง รถมันติดไฟแดง ตายล่ะ ทํายังไง พอดีฝนมันตก…มันลื่นๆ กะว่าโดน ก็กะ ว่าต้องโดนเขาแน่แหละ ทีนี้ก็ว่าจะให้มันโดนจากหนักเป็นเบาน่ะ มันไม่มีเบรกน่ะ ... มันไม่มี
ฅนขับรถบรรทุก
65
เบรก รถมันกําลังเร็วด้วย ประมาณเจ็ดแปดสิบอย่างเนี่ย เราชะลอความเร็วลงแล้ว ทีนี้รถ ติดไฟแดงกันอยู่…เราก็ลองเบรกดูใช่หรือเปล่า มันหลุดไง ก็อ้ายขาเบรกที่เราเหยียบเนี่ย … มันหลุดจากสปริง สปริงเกี่ยวน่ะ สปริงหัก…ขาด เหยียบติดพื้นดังโพ๊ละ ว่างไปเลย ก็ใจเสีย เหมือนกัน เราจะเอายังไงให้มันอยู่…ก็ดึงเกียร์ให้ช้าลง ไล่เกียร์ด้วย เอาเกียร์ช่วยด้วย ดึง เกียร์ให้ช้าลง ใช้เกียร์ต่ําไง แล้วก็กะเอาล้อขวางฟุตบาท หักรถเข้าขวางฟุตบาท…ให้มันขัด ล้อหน้าให้มัน ขัดฟุต บาท หัก …เด้งออก หักเข้าอีก …เด้งออก แต่ก็ล่อตูดเขาไปคัน นึง ... กระบะ แต่ก็ไม่มากเท่าไหร่‛ โดยเฉพาะวิธีการเอาตัวเองออกให้ห่างจากอันตรายด้วยการบังคับรถในยามจวนตัวโดยการ เบี่ ยงเอาด้ านซ้ายของรถเข้าปะทะกั บรถคันอื่น อาจกล่าวได้ว่าเป็น วิธีการที่เหล่าคนขับรถบรรทุก เชื่อมั่นว่าจะสามารถช่วยให้พวกเขาสามารถรอดพ้นจากอันตรายร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นกับพวกเขาได้ เช่นเดียวกับเทือง คนขับรถบรรทุกดินเล่าว่า ‚ขับรถเนี่ยเรารู้ว่าชน เรารู้ว่าชนแน่ๆ เนี่ย เราก็ต้องเอาทางที่ว่าตัวเรารอดแหละ เอาซ้ายใส่ เต็มที่แหละ ใครเขาจะเอาขวา.. เอาตัวเองไปชน ข้างซ้ายแหละใส่ไปเลย นั่นแหละ…ชนไป เลย ซ้ายเนี่ยมันก็หนักเป็นเบาน่ะ ไม่รู้แหละหักซ้ายใส่ก่อนแหละ สิบล้อทุกคนแหละ ชนเนี่ย มีแต่ซ้ายทั้งนั้น…เราก็เอาซ้ายเข้า เราไม่เอาขวาเข้า เอาแถบซ้ายใส่ เราก็นั่งของเราสบาย สิบล้อมันเอาซ้ายเข้าทั้งนั้นแหละ มันไม่เอาทางคนขับเข้าหรอก‛ วิธีคิดของคนขับ รถบรรทุกที่มีต่อการขับรถบรรทุกและอุบัติเ หตุอาจกล่าวได้ว่าเหล่าคนขับ รถบรรทุกเองก็มีความคิดเห็นเกี่ยวกับ ‚ปัจจัยเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ‛ เช่นเดียวกับคนอื่นทั่วๆ ไป ไม่ว่าจะ เป็นรัฐ ผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้ที่ขับรถยนต์ส่วนตัว คนขับรถบรรทุกตระหนักดีว่าการขับรถเร็ว การขับรถฝ่า ฝืนสัญญาณไฟจราจร หรือแม้แต่การขับรถในขณะที่รู้สึกเพลียหรือง่วงเป็นพฤติกรรมที่อาจทําให้เกิด อุบัติเหตุจราจร แต่ด้วยเงื่อนไขบริบทของชีวิตทําให้คนรับจ้างขับรถบรรทุกไม่อาจหนีออกไปจากวิถี แห่งความเสี่ยงเหล่านั้นได้ บนเงื่อนไขของชีวิตที่ต้องทํางานรับจ้างเพื่อหาเลี้ยงตนเองและครอบครัว รวมทั้งเงื่อนไขทาง อาชีพที่ต้องขับรถทั้งที่รถมีสภาพไม่ดีเต็มร้อย น้ําหนักบรรทุกที่มากเกินพิกัด เงื่อนเวลาในการทํางานที่ มีจํากัดและต้องเร่งทําเวลา รวมทั้งสภาพร่างกายที่อ่อนล้าจากการที่ต้องขับรถเป็ นเวลาติดต่อกั น นานๆ หรือความง่วงจากการที่ต้องขับรถในเวลากลางคืนตลอดทั้งคืน คนขับรถบรรทุกที่ตกอยู่ใ น สภาพเช่นนี้ล้วนเคยประสบกับปัญหาในการควบคุมรถด้วยตนเองมาแล้วทั้งสิ้น รวมไปถึงทั้งเคยชน และถูกชนเพราะมีปัญหาในการควบคุมรถอันเนื่องมาจากเงื่อนไขทางอาชีพดังกล่าวข้างต้นมาแล้ว
ฅนขับรถบรรทุก
66
ทุกคน แม้ว่าสภาพเช่นนี้อาจจะไม่เกี่ยวข้องกับการเกิดอุบัติเหตุจราจรทุกครั้งเสมอไป แต่สําหรับผู้ขับ ขี่ช าวบ้ านอย่ างคนขับ รถบรรทุก แล้ว นี่ คือเงื่อนไขสําคัญ ที่ส่งผลต่อวิธีคิดที่ว่าด้วยความเสี่ย งต่อ อุบัติเหตุจราจรของพวกเขาที่สะท้อนผ่านการให้ความหมายดังกล่าวข้างต้น 2. วิธีคิดที่เอื้อต่อการสร้างความเสี่ยงทางถนน ภายใต้วิถีที่เป็นเสมือนเฟืองตัวสําคัญของระบบธุรกิจขนส่งทางบก แม้คนขับรถบรรทุกจะมี ความเห็นว่าการขับรถบรรทุกเป็นอาชีพที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจราจรสูง แต่อุบัติเหตุบนท้องถนน ของพวกเขาก็ออกจะมีความหมายไปในทํานองเดียวกันว่าเป็นเรื่องที่มิได้มีความน่ากลัวเกรงนัก ไม่ว่า จะเป็นผลลัพธ์ทางด้านอันตราย ความเสียหาย หรือแม้แต่ความผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย 2.1 ใหญ่กว่าได้เปรียบ ด้วยรับรู้ถึงความสูง ใหญ่ และแข็งแรงของยานพาหนะที่ ตนเองขับขี่และมีประสบการณ์การ เกิดอุบัติเหตุทั้งที่เคยเกิดขึ้นกับตนเองและเพื่อนๆ ร่วมอาชีพในช่วงเวลาที่ผ่านมานับครั้งไม่ถ้วน เหล่า คนขับรถบรรทุกรู้สึกเชื่อมั่นในความได้เปรีย บทางด้านกายภาพของรถบรรทุกที่ตนเองเป็นผู้ควบคุม เหนือรถประเภทอื่นๆ บนท้องถนน โดยที่หากรถบรรทุกซึ่งพวกเขาควบคุมอยู่นั้นเกิดไปชนกับรถอื่นๆ บนท้องถนนโดยเฉพาะรถที่มีขนาดเล็กกว่าแล้วคนขับรถบรรทุกมีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่า ‚รถ เล็ก‛ จะไม่เป็นสาเหตุทําให้พวกเขาได้รับอันตรายร้ายแรงแต่อย่างใด ดังในกรณีของบอย เด็กหนุ่มขับรถพ่วงที่พูดถึงความได้เปรียบของรถพ่วงที่ตนเองรับจ้างขับอยู่ ด้วยน้ําเสียงที่หนักแน่นว่า ‚กับรถเล็กเนี่ยเราปลอดภัยแน่นอน ถ้าไม่หักหลบข้างทาง ถ้าตัดสินใจชนเนี่ยเราไม่เป็นไร แน่นอน…กับรถเล็กน่ะ เพราะเราสูงกว่าตั้งเยอะ รถเล็กไม่มีอะไรเลย นุ่นเลย เป็นปุยนุ่นไปเลย‛ เช่นเดียวกับเกษม หนุ่ม และคนขับรถบรรทุกอื่นๆ ซึ่งต่างก็รู้สึกว่า‚รถเล็ก‛ มักจะไม่แข็งแรง และสูงพอจนเข้าถึงตัวคนขับ ‚รถใหญ่‛ อย่างพวกเขาได้ ‚ถ้าเกิดมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นส่วนมากก็จะไม่ค่อยเป็นอะไร นอกจากว่าสิบล้อกับสิบล้อด้วยกัน … ถ้ าสิบ ล้อกั บ รถเล็ก เนี่ย ส่วนมากรถเล็ก พังทุก ทีแหละ สิบ ล้อก็ ไม่เ ป็ น ไรหรอก…ส่วนมาก เหล็ก…มันคนละอย่าง ไม่อย่างนั้นเขาไม่เรียกหรอกว่ารถบรรทุก อ้ายรถกระบะนั่นมันเป็น อ้ายนั่นธรรมดา‛
ฅนขับรถบรรทุก
67
หนุ่ม คนขับรถบรรทุกทรายก็มีความคิดที่ไม่แตกต่างกัน ‚รถกระบะเนี่ยมันชนได้แค่ยางรถสิบล้อน่ะ อย่างอื่นไม่ชน เพราะสิบล้อมันสูงกว่าใช่มั๊ย สิบ ล้อมันจะเส้นใหญ่กว่าใช่มั๊ย …ยางน่ะ เออ…เต็มที่ก็ ชนได้แค่ยางเนี่ย มันไปชนที่อื่นไม่ได้ มันไม่สูงเหมือนกัน เนี่ย นอกจากสิบล้อกั บสิบล้อใช่มั๊ย ชนมาเนี่ ย…เป็น เยอะ เพราะมัน เท่ากัน‛ สําหรับคนขับรถบรรทุกแล้ว ดูเหมือนว่าอุบัติเหตุจราจรจะมีความหมายในเชิงเป็นอันตรายต่อ พวกเขาก็เพียงเฉพาะการขับรถชนกับรถบรรทุกด้วยกัน ด้วยรูปร่างทางกายภาพของรถคู่กรณีที่มขี นาด ใหญ่โตพอๆ กับรถที่พวกเขาขับอยู่ คนขับรถบรรทุกอย่างพลและเพื่อนๆ รู้สึกสูญเสียความเชื่อมั่นใน ตัวรถซึ่งเป็นเสมือนเกราะป้องกันตัวพวกเขาไปทันที พล คนขับรถบรรทุกท่อคอนกรีตเล่าว่า ‚...กับรถเล็กมันอยู่แค่ข้างล่าง...แค่ตีนน่ะ เพราะรถเรามันสูงกว่า ถ้ารถใหญ่เนี่ยเคยเห็น ... มี ตาย แต่ถ้ารถใหญ่กับใหญ่นี่มันก็ห้าสิบกับห้าสิบเหมือนกัน ใช่เหรอเปล่า เพราะว่ามันเสมอๆ กันน่ะ ใช่เหรอเปล่า มันรอดยาก บางทีตายก็นะ‛ กุ่ย คนขับรถบรรทุกดินเล่าว่า ‚...ถ้าไปชนกับรถเล็ก รถเก๋งนั่น ไม่ค่อยตายหรอก เพราะว่าเขามันเล็กว่าไง แรงปะทะมันน้อย แล้วคนขับสิบล้อนี่มันสูงใช่มั๊ยล่ะ พวกรถเตี้ยเนี่ยก็เข้าใต้ท้อง เข้าไปข้างล่าง‛ นอกจากความเชื่อในเรื่องอันตรายจากอุบัติเหตุของคนขับรถบรรทุกจะจํากัดอยู่เฉพาะการขับ รถไปชนกับรถบรรทุกด้วยกัน แล้ว ความคิดความเชื่อเกี่ยวกับ ‚อันตราย‛ จากอุบัติเหตุของคนขับ รถบรรทุกดังกล่าวยังมีเงื่อนไขจํากัดอยู่กับรูปแบบการชนอีกด้วย โดยที่อุบัติเหตุจะมีความหมายในเชิง เป็นอันตรายกับคนขับรถบรรทุกอย่างเทือง กุ่ย และเพื่อนๆ ก็ต่อเมื่อการชนกันครั้งนั้นอยู่ในเงื่อนไขว่า ต้องเป็นการชนแบบ ‚ประสานงา‛ เท่านั้น เทือง คนขับรถบรรทุกดินเล่าว่า ‚...สัญชาตญาณคนขับน่ะ เอาซ้ายเข้าหมด อย่างกั บลูกเมียผมเนี่ย…ผมไม่เอานั่งหน้ารถ ถ้าไปเที่ยวเป็นบางครั้งน่ะ…ให้ไป แต่ติดรถทุกวันน่ะ…ผมไม่ให้ติดหรอก ขับรถเนี่ยถ้าเรารู้ว่า ชน เรารู้ว่าชนแน่ๆ เนี่ย เราก็ต้องเอาทางที่ว่าตัวเรารอดแหละ เอาซ้ายใส่เต็มที่แหละ ใครเขา จะเอาขวา เอาตัวเองไปชน ข้างซ้ายแหละใส่ไปเลย นั่นแหละชนไปเลย ซ้ายเนี่ยมันก็หนักเป็น
ฅนขับรถบรรทุก
68
เบาน่ะ ไม่รู้แหละหักซ้ายใส่ก่อนแหละ สิบล้อทุกคนแหละ ชนเนี่ยมีแต่ซ้ายทั้งนั้น ขออย่าง เดียว อย่าไปอัดหน้าหรือตูดเขาเท่านั้นแหละ...สิบล้อเนี่ย อย่าเป็นหน้าหรือตูดสิบล้อแค่นั้น เพราะมันเหล็กทั้งคัน‛ ‚ถ้าสิบล้อชนรถสิบล้อน่ะ มันไม่เหลือทั้งคู่ ถ้ามันชนกันตรงๆ มันไม่ค่อยเหลือหรอก ถ้าใหญ่ ต่อใหญ่เจอกันมันไม่ค่อยเหลือ นอกเสียจากจะเอาข้างซ้ายชนกัน ข้างซ้ายชนกันล่ะก็รอด สิบ ล้อก็มีตายเยอะแยะ ถ้าหากชนกันกับสิบล้อเอง..ก็มีตาย‛ ด้ ว ยความแข็ ง แรงและ รู ป ร่ า งของรถบรรทุ ก ซึ่ ง คนขั บ รถบรรทุ ก รู้ สึ ก ว่ า เป็ น เสมื อ น เกราะป้องกันมิให้ ‚รถเล็ก‛ อื่นๆ บนท้ อ งถนนเข้ า ถึ ง ตั ว พวกเขา อัน ตรายจากอุบั ติ เ หตุ จ ราจรใน ความคิดของคนขับรถบรรทุกจึงมิ ค่ อ ยมี เ รื่ อ งราวของอั น ตรายที่ เกี่ยวกับตัวพวกเขาเข้าไปเกี่ยวข้องอยู่ด้วย และแม้ว่าความคิดเช่นนี้จะถู กบั่นทอนลงไปบ้างเมื่อรถ คู่กรณีมีขนาดใหญ่อย่างรถบรรทุกด้วยกันก็ตาม แต่จากการที่คนขับรถบรรทุกมีวิธีการเอาตัวรอดจาก อุบัติเหตุด้วยการเบี่ ยงเอารถด้านซ้ายเข้ารับ การปะทะกับ รถคู่กรณีซึ่งแม้ว่ามัน จะไม่ใช้วิธีก ารที่จ ะ สามารถคุ้มครองคนขับรถบรรทุกได้แน่นอนก็ตาม แต่วิธีการขับรถดังกล่าวก็เป็นเสมือนสิ่งที่ช่วยหล่อ เลี้ย งให้เรื่องราวในประเด็น ที่เ กี่ยวกับความเสีย หายและอันตรายจากอุบั ติเหตุจราจรในวิธีคิดของ คนขับรถบรรทุกที่จะเกิดขึ้นกลายเป็นเรื่องราวของคนอื่น 2.2 ระบบประกัน คือเครื่องมือเพิ่มความกล้าที่จะเสี่ยง สําหรับคนซึ่งไม่อยู่ในเงื่อนไขที่จะต้องรับภาระกับความผิดพลาดที่ตนเป็นผู้ก่อใดๆ อย่างคน รับจ้างขับรถบรรทุกแล้วดูเหมือนว่าความคิดของพวกเขาผู้ซึ่งเป็นเพียงคนนําสินค้าไปส่งยังสถานที่ ต่างๆ นั้นได้ถูกหลอมให้มองเห็นความเสียหายที่เกิดจากอุบัติเหตุจราจรเป็นเพียงความเสียหายที่ไม่ เกี่ย วข้องกั บพวกเขา ผลลัพธ์จากวิธีดําเนิน การทางธุรกิจของบริษั ทประกัน ภัย และเถ้าแก่ เจ้าของ รถบรรทุก ยามเมื่อมี อุบั ติ เ หตุ เ กิ ด ขึ้น กั บ รถบรรทุก ที่อยู่ ใ นความดูแลของพวกเขาถึ งตอนนี้คนขั บ รถบรรทุกต่างมองเห็นความเสียหายจากอุบัติเหตุว่ามันคือความรับผิดชอบของบริษัทประกันภัยหรือ เถ้าแก่จะต้องเข้ามาจัดการ มิใช่ภาระหน้าที่ของคนรับจ้างขับรถบรรทุกอย่างพวกเขา
ฅนขับรถบรรทุก
69
การให้ความหมายและคุณค่าแก่อุบัติเหตุบนท้องถนนว่าเป็นเสมือนเหตุการณ์ปกติธรรมดา อย่างหนึ่งของการขับรถบรรทุกซึ่งมิได้นําความเดือดร้อนใดๆ มาสู่ตัวของพวกเขาเกิดขึ้นจากบริบทการ ทํางานที่มีการถ่ายโอนภาระความรับผิดชอบที่เกี่ยวกับความเสียหายอันเกิดจากอุบัติเหตุทั้งหมดจาก ตัวคนขับรถบรรทุกไปสู่ตัวแทนจากบริษัทประกันภัยและเถ้าแก่เจ้าของกิจการรถบรรทุก โดยการแจ้ง ให้ตัวแทนจากบริษัทประกันภัยซึ่งมีสติกเกอร์บอกเบอร์โทรศัพท์ติดไว้ที่กระจกหน้ารถมา ‚เคลียร์‛ เมื่อ มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายถูกหรือฝ่ายผิด โดยเจรจาต่อรองค่าเสียหายกับคู่กรณี รับผิดชอบ ค่าเสีย หายให้กั บ คู่ ก รณีใ นกรณีที่ค นขับ รถบรรทุก เป็ น ฝ่ายกระทําผิด และค่าใช้จ่ายในการซ่อ ม รถบรรทุกในกรณีเป็นการทําประกันภัยประเภทที่ 1ในขณะที่คนขับรถบรรทุกมีหน้าที่เพี ยงการนั่งรอ เซ็นชื่อลงในเอกสารของทางบริษัทและขับรถทํางานต่อเมื่อกระบวนการ ‚เคลียร์‛ ของตัวแทนจาก บริษัทประกันภัยจบสิ้นลง แมว คนขับรถบรรทุกดินพูดถึงระบบประกันว่า ‚สบายใจ... แบบว่ามีประกันนี่ก็คือว่า เราไปทิ่มเขาบุบเบิ้บอะไรอย่างเนี่ย ประกันก็เคลียร์ได้ ถ้าไม่มีประกัน เถ้าแก่ก็ต้องมาเคลียร์ เสียเงินเยอะ เขาเรียกหมื่นสองหมื่นก็ต้องให้เขา ถ้ า ประกันกับประกัน มันก็คุยกันเอง มันทะเลาะกันเอง เราก็ไม่ต้องไปยุ่ง...เราก็ให้ใบขับขี่กับ ประกัน เคลียร์จบ เราก็วิ่งได้‛ การ ‚เคลียร์‛ ของตัวแทนจากบริษัทประกันภัยมีผลทําให้ ความเสียหายอันเป็นผลลัพธ์อย่าง หนึ่งของอุบัติเหตุจราจร จากผลลัพธ์จากอุบัติเหตุ 3 ประการ อันได้แก่ อันตราย ความเสียหาย และ ความผิดตามกฎหมาย มิอาจเข้าถึงตัวคนขับรถบรรทุก และพร่าเลือนไปจากความคิดของพวกเขา ไม่ ว่าจะเป็นวลีว่า ‚สบายใจ‛ ‚ไม่ต้องเดือดร้อนเรา‛ ‚เราไม่เกี่ยว‛ หรือ ‚เราจะกลัวทําไม...มันไม่ เกี่ยวกับคนขับรถเลย‛ ย่อมเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงอุบัติเหตุจราจรในความหมายที่ไม่ใช่ความเสียหายของ คนรับจ้างขับรถบรรทุกอันเกิดจากประสบการณ์อุบัติเหตุซึ่งมีบริษัทประกันภัยเข้ามาเกี่ยวข้องของพวก เขา เทือง คนขับรถบรรทุกดินเล่าว่า ‚เราไม่เกี่ยว... เราคนขับ ประกันมันก็ดี ได้เปรียบคือว่า…ชนกันตูมเนี่ย คนขับเราก็คุยกันได้ เพราะเรามีประกัน โทรฯ เรียกประกันกัน มันมาตกลง…เคลียร์กันเอง ก็แค่นั้น‛
ฅนขับรถบรรทุก
70
ไม่ต่างจากเพ็ญ คนขับรถบรรทุกดินที่พูดถึงระบบประกันว่า ‚ก็มันมี…คือว่าประกัน เราจะกลัวทําไม รถสิบล้อแต่ละคันเนีย่ จะต้องมีประกัน ประกันที่หนึ่ง ที่สอง ที่สามเนี่ย... เขาจะต้องมี มันไม่เกี่ยวซิ คือว่ามันไม่เกี่ยวกับคนขับเลย…จะผิดจะถูก เนี่ย ประกันจะต้องจ่ายอยู่แล้ว‛ นอกเหนือจากความเสียหายที่เ กิดจากอุบัติเหตุจราจรจะถูก หล่อหลอมให้เ ป็ น เพีย งความ เสียหายที่ไม่เกี่ยวข้องกับคนขับรถบรรทุกแล้ว วิธีดําเนินการทางธุรกิจของบริษัทประกันภัยและเถ้าแก่ เจ้าของรถบรรทุกที่พยายามปกป้องคนขับรถบรรทุกยังได้ก่อรูปให้ ‚ความผิด‛ ในมโนสํานึกของคนขับ รถบรรทุกเหล่านั้นมีลักษณะเป็นความผิดที่สามารถลบล้างได้ ไม่ว่าจะเป็นความผิดที่อยู่ในใจของ คนขับรถบรรทุกหรือความผิดตามตัวบทกฎหมายก็ตาม การจ่าย ‚เงิน‛ ที่บริษัทประกันภัยและเถ้าแก่ ช่วยกันจ่ายเป็น ‚ค่าคนตาย‛ ให้กั บญาติของผู้เ สียชีวิตที่เกิดขึ้นดูเหมือนว่าจะมีผลข้างเคียงทําให้ คนขับรถบรรทุกรู้สึกว่าพวกเขา ได้ ช ดใช้ ต่ อ ความผิ ด พลาดที่ พวกเขาเป็นผู้กระทําแล้ว โดยดู เสมือนว่าจํานวนเงินยิ่งมากขึ้น เท่าใดความรู้สึก ผิดของคนขับ รถบรรทุ ก ก็ จ ะยิ่ ง ลดระดั บ ลง เท่านั้น ดังในกรณีของเผือกที่ เล่ า เรื่ อ งราวที่ เ พื่ อ นคนขั บ รถบรรทุก ของเขาขั บ รถไปชน คนตายว่า หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 12 กรกฎาคม 53
‚ประกันชั้นหนึ่งเขารับผิดชอบหมด อ้ายคนตายได้ทั้ง พ.ร.บ. ได้ทั้งประกัน ได้เยอะได้เยอะ เหมือนกัน ประกันก็ให้เป็นแสน พ.ร.บ. ก็ให้อีกเจ็ดแปดหมื่นเหมือนกัน แล้วงวดนี้เถ้าแก่เขา ก็ช่วยด้วย... เขาให้ค่าคนตายด้วย‛ ภายใต้วิถีที่สามารถ ‚เคลียร์‛ ได้นับตั้งแต่การเคลียร์เส้นทางของเถ้าแก่เจ้าของกิจการ การ เคลียร์กับคนขับรถคู่กรณีของตัวแทนจากบริษัทประกันภัย รวมไปถึงการที่คนขับรถบรรทุกเคลียร์กับ เจ้าหน้าที่ของรัฐ ด้วยตัวเองแล้ว นอกจากรัตน์และคนขับรถบรรทุกอีกหลายๆ คนจะมีบทสรุป ทาง
ฅนขับรถบรรทุก
71
ความคิดเกี่ยวกับความผิดจากอุบัติเหตุจราจรในมิติทางด้านตัวบทกฎหมายว่าสามารถลบล้างได้แล้ว ดูเสมือนว่าความรู้สึกผิดของพวกเขาก็ถูกทําให้พร่าเลือนลงไปด้วยเช่นกัน ‚คดีความก็…เขาก็ต้องมาเคลียร์กับเถ้าแก่ เพราะว่ามีประกัน เขาก็ต้องรับใช้อยู่แล้ว‛ เกียรติ คน ขับรถบรรทุกท่อคอนกรีตเล่าว่า ‚ต้องเข้าไปนอนคุกก่อน ก็หลายคืนแหละ กว่าจะเคลียร์กันได้ สู้มามอบตัวตอนท้ายดีกว่า มา เคลียร์แล้วค่อยเข้าไป ใช้ตรงนั้นหน่อยเดียวก็ออกแล้ว‛ กุ่ย คนขับรถบรรทุกดินพูดถึงอุบัติเหตุว่า ‚ส่วนมากคนขับสิบล้อเหยียบคนตายเนี่ยบ่ค่อยติดคุกหรอก เจ้าหน้าที่ว่าอุบัติเหตุ …..แล้วก็ ประกันออกมา ขึ้นศาล รอลงอาญา แล้วก็เสียศาลไป…เท่าที่ผมขับรถมาเนี่ย เถ้าแก่เฮานั่น แหละ เถ้าแก่เฮาวิ่งเต้น เขาประกัน.. เอาหลักทรัพย์ไปค้ําประกันออกมาแล้วก็วิ่งเต้น แต่ผมไม่ รู้นะ ผมไม่รู้ว่าเขาเอาเงินไปยัดใคร ใคร...ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่มันก็ต้องมีแน่แหละ…ของอย่าง เนี่ย‛ อาจดูเหมือนไม่เป็นธรรมนักหากจะกล่าวว่าคนขับรถบรรทุกมิได้วิตกทุกข์ใจมากนักกับความ เสียหายที่เ กิด ขึ้น จากอุบัติ เหตุ หรือคิ ดว่าสิ่งที่เกิ ดขึ้นจากการเกิดอุบั ติเ หตุมีผลกระทบต่อพวกเขา มากมายสักเท่าใด แต่ก็ไม่เป็นความจริงอีกเช่นกันถ้าจะกล่าวว่าคนขับรถบรรทุกวิตกทุกข์ร้อนหรือรู้สึก เสีย ใจอย่างมากมายกั บ ความเสี ย หายหรือความตายที่เกิ ดขึ้น จากอุบั ติเ หตุ จากความคิดเห็น ต่อ ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุของคนขับรถบรรทุกข้างต้นชี้ให้เห็นว่าด้วยเงื่อนไขของการทํางานซึ่งมี กลไกในการให้ความช่วยเหลือแก่พวกเขายามเมื่อเกิดอุบัติเหตุทําให้ ‚อุบัติเหตุจราจร‛ ในวิธีคิดของ คนขับรถบรรทุกมิได้มีความร้ายแรงดังเช่นวิธีคิดของรัฐและผู้เชี่ยวชาญ ในชีวิตจริง ในฐานะของคนรับจ้างขับรถบรรทุกซึ่งเป็นเสมือนฟันเฟืองสําคัญของระบบธุรกิจ ของเถ้าแก่ คนขับรถบรรทุกได้รับการปกป้องจากความเดือดร้อนจากการทํางาน ไม่ว่าจะเป็นไปโดย ความจงใจหรือไม่จ งใจจากวิธีก ารจัด การทางธุรกิ จ ก็ ตาม แต่วิธีคิด เกี่ ย วกั บ อุบั ติเ หตุ ของคนขั บ รถบรรทุกก็ถูกบรรจุเต็มไปด้วยเรื่องราวของการเคลียร์ และการชดใช้ค่าเสียหายที่บริษัทประกันภัยและ เถ้าแก่เจ้าของกิจการรถบรรทุกเป็นผู้รับผิดชอบ ผลจากการทําประกันภัยรถบรรทุกและความเป็นเพียง ลูกจ้างขับรถบรรทุกทําให้ห้วงคิดเกี่ยวกับผลร้ายของอุบัติเหตุจราจรแทบจะไม่มีเรื่องราวของพวกเขา เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเลย
ฅนขับรถบรรทุก
72
เลือกที่จะ “เสี่ยง” บนเส้นทางสายอาชีพที่ถูกจํากัดทางเลือกด้วยการศึกษาและทุนทรัพย์ แม้คนขับรถบรรทุกจะ รับรู้ว่าการรับจ้างขับรถบรรทุกเป็นอาชีพที่เสี่ยงต่ออุบัติเหตุจราจรก็ตามแต่คนเหล่านั้นก็สมัครใจที่จะ เสี่ยง เนื่องจากรายได้ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่แน่นอนจากการที่คนขับรถบรรทุกยอมเสี่ยงขับรถบรรทุกนั้นมี คุณค่ามากกว่าผลลัพธ์ที่ไม่แน่นอนและไม่ค่อยมีผลกระทบในทางร้ายต่อพวกเขา โดยที่ความเสี่ยงนี้ สามารถทําให้ตัวเขาและครอบครัวสามารถดํารงชีวิตอยู่ได้ และไม่ลําบาก สิ่งที่คนทั่วๆ ไปในสังคม มองเห็นว่าเป็นความเสี่ยงนั้นสําหรับคนขับรถบรรทุกแล้วมันคือแหล่งของรายได้ที่พวกเขาสามารถ นําไปเลี้ยงดูครอบครัวให้พออยู่ พอกินโดยไม่เดือดร้อนนัก ในทางตรงข้าม หากคนขับรถบรรทุกไม่เอา ยอมตัวเข้าแลกกับความเสี่ยงนี้ ผลที่พวกเขาและครอบครัวจะได้รับอย่างแน่นอนก็คือคนในความดูแล ของพวกเขาจะต้องมีชีวิตอยู่อย่างยากลําบาก แม้จะรู้สึกว่าการรับจ้างขับรถบรรทุก เป็น อาชีพที่มีโอกาสเกิ ดความพลาดพลั้งได้มากกว่า อาชีพอื่น แต่เ พราะเกรงว่าลูกเมียจะลําบากรัตน์จึงไม่คิดที่จะเปลี่ยนไปทํางานอย่ างอื่นซึ่งเสี่ยงต่อ อันตรายน้อยกว่าแต่ได้ รับเงินค่าจ้างน้อยลง สําหรับ รัตน์แล้วเขาเลือกที่จะเสี่ยงกับอุบัติเหตุจราจร มากกว่าปล่อยให้ลูกเมียไม่มีเงินกิน ไม่มีเงินใช้เหมือนกับคนอื่นๆ คําบอกเล่าของรัตน์ คนขับรถบรรทุกเป็นตัวอย่างหนึ่ง ‚อันตราย...คนขับรถทุกคนแหละเขาพูดว่าขาเข้าไปในตะรางข้างหนึ่งอยู่ข้างนอกข้างหนึ่ง … ทุกคนแหละ เขาจะคิดยังงี้ เขาจะพูดว่า เฮ้ย ! ขาเข้าไปในคุกอยู่ข้างหนึ่งแล้วนะเราเนี๊ย ยัง บอกน้องเขยเลย เออ!…อย่าพลาดอย่างเดียวนะโว๊ย ถ้าพลาดก็สองข้างแหละ สําหรับผม... ก็กลัวลูกเมียไม่มีกินอย่างเดียว บางทีมาถึง…เพราะเราหลับอยู่ มาถึงมันเรียกขอตังค์แล้ว ไป โรงเรียนน่ะ เรานึกอยู่อย่างเดียวว่าถ้าเราไม่ทําเดี๋ยวลูกไม่มีกิน จะอายเขาอีก ...นึกอย่างเนี๊ยะ ขับรถก็นึกอยู่อย่างนี้ เดี๋ยวลูกจะไม่มีตังค์กินหนม...จะอายเขา เพราะใช้ทุกวัน อย่างกับผม หยุดไปเนี๊ยนะ เที่ยวนี้ที่ให้เขาไปแทนเนี๊ยะ อ้ายห่าเอ๊ย !… พรุ่งนี้ลูกขอตังค์ ไม่มีใช้อีกแล้ว เราใช้ทุกวัน‛ แม้จะรู้สึกอยู่เกือบตลอดเวลาว่าตนเองกําลังเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ หรือตายก็ตามแต่คนขับ รถบรรทุกอย่างพลและปอนก็ยอมรับการเดินเข้าไปหาความเสี่ยงนั้น ขอเพียงเพื่อวันนี้ยังมี งาน มีเงิน การยอมเสี่ยงนั้นก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลสําหรับคนที่ยึดการขับรถบรรทุกเป็นอาชีพอย่างพวกเขาแล้ว
ฅนขับรถบรรทุก
73
ดังคําพูดของพล คนขับรถบรรทุกท่อคอนกรีต ‚… คิดว่าทํากินที่ไหนถ้าคนมันถึงคราวอยู่ที่ไหนมันก็ตาย อย่าไปกลัวมันใช่เหรอเปล่า เราก็ ระวังของเราแค่นั้นแหละ มันเสี่ยงหน่อย...ธรรมดา มันก็มีเสี่ยงอุบัติเหตุบ้าง อะไรบ้าง คือ เราไม่ชนเขา เขาก็ชนเรา มันก็มีมั่ง ...นะ มันเสี่ยงอยู่แล้วขับรถเนี่ย มันอยู่ที่คราวด้วย คน มันถึงคราวอยู่ที่ไหนมันก็ตาย...ไม่จําเป็น ใช่เหรอเปล่า ก็เลยว่าเออ..ขับรถก็ยังดี เพราะเราไม่ มีความรู้นะ ไม่มีความรู้ เราคิดว่าเราทํากิน อยู่ไหนไม่จําเป็น‛ ปอน คนขับรถบรรทุกท่อคอนกรีตเสริมว่า ‚ชนก็คือชน มันจะทํายังไงล่ะ เพราะว่าเรามาอาชีพนี้แล้ว ไม่รู้จะไปทําอาชีพอะไร...มันก็ต้อง เสี่ยง‛ สําหรับชีวิตที่ต้องเผชิญหน้ากับการรับรู้ว่าตนเองเสี่ยงต่ออันตรายตลอดเวลา แม้โอกาสที่จะ ได้รับบาดเจ็บรุนแรงหรือตายมีอยู่น้อยนิดเพียงใดก็ตาม แต่ความหวั่นเกรงต่ออันตรายเหล่านี้ก็ยังคง เหลือซากตกค้างอยู่ในระบบคิดของพวกเขา ภายใต้เงื่อนไขการทํามาหากินที่เสี่ยงต่ออันตรายร้ายแรง ตลอดเวลาคนขับ รถบรรทุก มัก จะแสวงหาทางออกจากความวิตกกั งวลนี้ด้วยการโยนให้เป็ น เหตุ สุดวิสัย เป็นเหตุการณ์ที่พวกเขาทําใจยอมรับแม้จะเป็นผลร้ายที่สุดก็ตามแต่ บอย คนขับรถบรรทุกทราย/ดินแสดงความเห็นว่า ‚หมดปัญญา... มันเป็นยังไงก็ให้มันเป็น ในทางเลนสวนน่ะ…บางทีกระโดดข้ามเกราะมา อย่างเนี่ย ทํายังไงล่ะ หลบไม่ได้ หลบไม่ทัน ขับเพลินๆ อยู่ดีๆ ก็มา ไปเอาอะไรทัน ไม่ทัน หรอก เป็นอะไรก็เป็น อย่างมากก็หลบนิดหน่อย‛ เพ็ญ คนขับรถบรรทุกดินกลับบอกให้ปลง ‚ปลงไง...ปลง เราขับรถทุกวันเนี่ย เราเห็นเขาชนเขาอะไร…คือว่าเราปลงไง ในเมื่อเราก้าวมา ขับรถแล้วเนี่ย ถ้า…อ้ายเขาชนเนี่ยเขาก็ไม่อยากจะเป็นหรอก แต่บางทีมันเกิดอุบัติเหตุ สิบล้อ แต่ละคันมันไม่ดีนา บางคันเนี่ยช่างซ่อมไม่ถึง ไม่ดีหรอก แต่บางคนไม่รู้ เชื่อช่างว่า ดี ดี ดี ไป ปั๊บ เกิดอุบัติเหตุ…ตายคาพวงมาลัยเนี่ย คนเราไม่อยากตายหรอก บางทีพอเราเห็นปั๊บ ผม ก็ปลงเหมือนกันนะ เออ…วันนี้เขาเป็นนะ ไม่แน่ วันข้างหน้าอาจถึงคิวเรา‛ ภายใต้เงื่อนไขการทํางานที่ทําให้คนขับรถบรรทุกรู้สึกว่าตนเองกําลังเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นการขับ รถที่มีสภาพไม่เต็มร้อย...เบรกไม่ดี การที่ต้องขับรถเป็นเวลาติดต่อกันนานๆ โดยไม่ได้พักซึ่งทําให้พวก
ฅนขับรถบรรทุก
74
เขารู้สึกเหนื่อยล้าและง่วง รวมไปถึงการต้องรีบทําเที่ยวเพื่อให้ได้ค่าจ้างเพิ่ม หรือเพื่อไม่ให้รถติดเวลา คนขับรถบรรทุกรู้สึกเหมือนกับว่าอุบัติเหตุจราจรไม่ได้อยู่ไกลไปจากตัวพวกเขานัก หากแต่มันเฝ้ารอ จังหวะที่จะเผยตัวและแสดงพลังอํานาจในการทําลายออกมา ท่ามกลางเงื่อนไขที่ทําให้คนขับรถบรรทุกรับรู้ ว่าตนเองไม่สามารถป้องกันอุบัติเหตุได้แม้จะ พยายามอย่างเต็มความสามารถแล้วก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมรถให้พร้อมก่อนนําออกมาใช้ทํามา หากินเท่าที่ลูกจ้างอย่างพวกเขาจะสามารถทําได้อย่างการขับรถอย่างระมัดระวัง การระวังรถคันอื่น การพยายามทําให้ตัวเองไม่เหนื่อยอ่อนหรือ ง่วงหลับ ด้ วยวิธีต่ างๆ หรือแม้แต่ ก ารบอก กล่าวแม่ย่ านางหรือศาลข้างทาง ภายใต้ ท่ า ที ที่ ดู เ สมื อ นว่ า ยอมรั บ ต่ อ อั น ตรายที่ เลวร้ายที่สุดจากอุบัติเหตุจราจรที่อาจเกิ ด ขึ้นกับพวกเขา คนขับรถบรรทุกกลบเกลื่อน ความรู้สึกหวั่นไหวที่คงเหลืออยู่ในจิตใจนั้น ด้ว ยข้ อดี จ ากการเสี่ ย งและเรื่ อ งของโชค เคราะห์
บทที่ 4 อุบัติเหตุรถบรรทุก....ภาพสะท้อนสังคมวัฒนธรรมไทย หลากเหตุ...หลายปัจจัย แม้จะมีเจตนาเพื่อบรรเทาความสูญเสียอัน เนื่องมาจากอุบัติเหตุและเพื่อให้ได้รับความสะดวกใน การทําธุรกิจ แต่คนขับรถบรรทุกซึ่งเป็นเสมือนเฟืองตัว หนึ่งของกลไกธุรกิจรถบรรทุกก็พลอยได้รับผลพวงจาก ความพยายามปกป้ อ งธุ ร กิ จ ของเจ้ า ของกิ จ การ รถบรรทุ ก ไปด้ ว ย ทั้ ง จากระบบการประกั น ภั ย รถบรรทุก ระบบการบริห ารจัด การของเถ้ าแก่ เ จ้าของ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 5 พฤศจิกายน 52 กิจการรถบรรทุก หรือแม้กระทั่งตัวรถบรรทุกซึ่งมีความได้เปรียบทางกายภาพเหนือรถประเภทอื่นๆ บน ท้องถนนเปรียบเสมือนเกราะป้องกันผลกระทบจากอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นกับคนขับรถบรรทุก ไม่ว่าจะ เป็นความรับผิดชอบในเรื่องค่าเสียหายที่เกิดขึ้นกับคู่กรณีหรือของฝ่ายตนเอง ความยุ่งยากในเรื่องคดี ความ แม้แ ต่ อัน ตรายที่ตั วคนขับ รถบรรทุก อาจจะได้รับ เหล่า นี้ล้ วนไม่ส ามารถเข้ าถึ งตั วคนขั บ รถบรรทุกได้โดยง่าย ดูเหมือนว่าวิธีการปกป้องผลประโยชน์ทางธุรกิจและรูปร่างของรถบรรทุกได้ปกป้องคนขับ รถบรรทุกจากผลกระทบจากอุบัติเหตุต่างๆ จนทําให้คนขับรถบรรทุกส่วนหนึ่งมิได้รู้สึกกังวลเกี่ยวกับ เรื่องราวของอุบัติเหตุจราจรมากเท่ากับการขับรถให้ได้จํานวนเที่ยวตามความต้องการของเจ้าของรถ หรือเพื่อให้พวกเขาได้เงินค่าเที่ยวมากที่สุดเท่าที่จะทําได้ ปัญหาที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุถูกทําให้กลายเป็นเรื่องที่ไม่ส่งผลกระทบต่อคนขับรถบรรทุกถึง แม้ว่าจะเป็นฝ่ายผิดโดยขับรถไปเฉี่ยวหรือชนรถคันอื่น หากรถบรรทุกคันนั้นทําประกันภัยแล้วบริษัท ประกั น ภั ย จะเป็ น ผู้ เ ข้ า มา รั บ ภ า ร ะ เ กี่ ย ว กั บ ค ว า ม เสีย หายที่เ กิ ดขึ้น โดยขึ้น อยู่ กั บ เงื่อ นไขการประกั น ถ้ า เ ป็ น ก า ร ทํ า ป ร ะ กั น ภั ย ประเภทที่1 บริษัทประกันภัย จ ะ รั บ ผิ ด ช อบ ค่ า ใ ช้ จ่ า ย ทั้งหมดทั้งฝ่ายรถบรรทุกเอง และรถคู่กรณี แต่ถ้าเป็นการ
ฅนขับรถบรรทุก
76
ทําประกันภัยประเภทที่ 3 บริษัทประกันภัยจะรับภาระค่าใช้จ่ ายการซ่อมแซมรถเฉพาะรถของคู่กรณี โดยที่ตัวแทนจากบริษัทประกันภัยจะเป็นตัวแทนของคนขับรถบรรทุกและเถ้าแก่เจ้าของรถบรรทุกใน การดําเนินการเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุทั้งหมด 1) บริษัทประกันภัยรถยนต์: ระบบที่เพิ่มความกล้าที่จะเสี่ยง เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายหลังจากการเกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาต่อรองกับตํารวจ และคู่กรณี การชดใช้ค่าเสียหายแก่คู่กรณีหากเป็นฝ่ายกระทําผิด รวมถึงภาระการซ่อมแซมรถซึ่งเป็น ทรัพย์สินของเถ้าแก่เจ้าของรถทั้งหมดนั้น ตกเป็นภาระของบริษัทประกันภัย สําหรับคนขับรถบรรทุก แล้ว พวกเขารู้สึกว่า “มีประกันเราจะกลัวทําไม” ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ หรือรุนแรงเพียงใด คนขับรถบรรทุกมักจะรับรู้ว่าพวกเขาไม่มีหน้าที่ที่จะต้องรับผิดชอบกับภาระและความสูญเสียที่เกิดขึ้น เว้นไว้แต่กรณีการเกิดอุบัติเหตุที่มีคนตายซึ่งคนขับรถบรรทุกต้อง “...ต้องหนีก่อน อยู่...ตํารวจมันจับเอา” มิน คนขับรถบรรทุกทรายพูดถึงความกล้าเสี่ยงเนื่องจากการมีประกันว่า “บางทีน่ะ เราไปตรงๆ อย่างเนี๊ย แท็กซี่เบียดแปล๊บเข้ามาหาเราอย่างนี่ ปาดหน้าเลย เราก็ เบรกทัน มั่ง ไม่ทันมั่งก็ ….เรามีป ระกั นอยู่ แล้วไง เราไม่กลัว ประกัน จัดการไป โทรไปเรีย ก ประกัน...เรียบร้อย เราคนขับไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว” เพ็ญ คนขับรถบรรทุกดินเล่าว่า “ก็มันมี…คือว่าประกัน เราจะกลัวทําไม…หนึ่ง…รถมีประกัน สอง …ถ้าเขาไม่ตายเราจะไปหนีทําไม อย่างชนปั๊บเนี่ย บาดเจ็บ เขาก็ส่งเข้าโรงพยาบาลใช่มั๊ย เรามี ประกัน” มิใช่มีบ ทบาทเพีย งการดําเนิน เรื่องเพื่อจ่ายสินไหมทดแทนตามเงื่อนไขสัญ ญาเท่านั้น แต่ ตัว แทนจากบริ ษั ท ประกั น ภั ย ยั ง มี บ ทบาทในการช่ ว ยกี ด กั น คนขั บ รถบรรทุ ก ให้ พ้ น ออกไปจาก สถานการณ์ที่ยุ่งยากที่เกิดขึ้นอีกด้วย โดยพวกเขาจะทําหน้าที่แทนคนขับรถบรรทุกในการเจรจาและ ต่อรองกับคู่กรณีซึ่งเป็นที่รู้กันในหมู่คนขับรถบรรทุกว่าหากมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นแล้วพวกเขามีหน้าที่เพียง ติดต่อกับตัวแทนบริษัทประกันภัย “ให้เขามาจัดการเอง...ประกันเขามีวิธี”
ฅนขับรถบรรทุก
77
โดยที่ ค นขับ รถบรรทุก มีห น้า ที่เ พีย งการเล่า ข้อเท็ จ จริ งที่เ กิ ดขึ้น ให้กั บ ตัวแทนจากบริษั ท ประกันภัยและปฏิบัติตามคําแนะนําของคนเหล่านี้เท่านั้น “เดี๋ยวเขาก็บอกเลยว่าต้องพูดแบบนี้ แบบนี้...ประกันเขาสอน” แม้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะมีความชัดเจนว่าคนขับรถบรรทุกเป็นฝ่ายผิดแต่พวกเขาก็รับรู้ว่า พวกเขายังไม่ควรยอมรับความผิดนั้นจนกว่าตัวแทนจากบริษัทประกันจะมาช่วยจัดการ ปอน คนขับรถบรรทุกท่อคอนกรีตเล่าวิธีคิดของเขาว่า “เราอย่าเพิ่งไปยอมรับผิดว่าเราผิด ให้เ ขามาจัดการเอง...เขาก็มาถามเราว่าขับ มายั งไง ยังไง เพราะประกันเขามีวิธี เขาจะเสียมากเสียน้อย เขาทําได้ เขาจะดูเหตุการณ์เอง ถึงเราผิดก็จริง แต่ ว่าเขาสามารถจะทําให้เสียน้อยได้” เกียรติ คนขับรถบรรทุกท่อคอนกรีตพูดถึงระบบประกันว่า “อ้ายพวกประกันเนี่ยมันรู้...ช่องตรงไหนตรงไหนว่าง พวกนี้มันรู้อยู่ บางทีไปขู่เขาด้วยน่ะ เฮ้ย…มึงมีประกันหรือเปล่าเนี่ย ถ้ามีประกันชนิดที่สามก็…เสร็จ ลําบาก ทําอะไรต้องระวัง คิดว่าจะไม่ขับด้วย...ถ้าไม่มีประกัน ชนตูมเนี่ย โห…เสร็จเลย หลายเรื่องเลย ไม่ว่าใครผิด ใครถูกก็จริง ถ้าไม่มีประกัน เราก็ต้องไปรับหน้าก่อน... ทีแรกนะ แล้วกว่าเขาจะมา แล้วเขาจะ รู้เหรอว่าเป็นอย่างไรมาอย่างไรกัน ใช่เหรอเปล่า ประกันเนี่ยมันอ่านหมากรู้เลยว่ารถยังไงๆ มา ใครชนตูม เก็บของก็จริง แต่รอยมันก็ต้องมี ดูรู้เลย มีประกัน เฮ้ย…เราถูก เดี๋ยวประกัน เขาต้ องแนะนํา บอกเลย ทางฝ่ายเรา เดี๋ ย วบอกเลยว่าต้ องพูดแบบนี้ แบบนี้ แบบนี้น ะ ประกั น เขาสอนให้ เ รา พูดน่ะ” ใ น ยุ ค ส มั ย ที่ ธุ ร กิ จ ประกัน ภัยเฟื่องฟู ดู เหมือนคําพูด เก่าๆ ที่เหล่าคนขับรถบรรทุกพูดถึง อาชีพ ของตนเองซึ่ง เสี่ ย งต่ อการ เกิดอุบัติเหตุว่า “เหมือนเอาขาข้าง หนึ่งเข้าไปอยู่ใ นตะราง” ที่เ คยได้ ยิ น มาบ่ อ ยๆ ในอดี ต นั้น ได้ ค่ อยๆ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 1 ตุลาคม 52
ฅนขับรถบรรทุก
78
ลบเลือนไปจากความคิดของพวกเขา หรือหากมีหลงเหลืออยู่บ้างก็อาจเป็นในความหมายที่ออกจะไม่ จริงจังนัก ความผิดพลาดที่คนขับรถบรรทุ กเคยต้องรับภาระด้วยตนเองทั้งหมดในอดีตกลายมาเป็น ภาระหน้าที่ของตัวแทนจากบริษัทประกันภัย 2) เจ้าของกิจการรถบรรทุก:กาไรสาคัญกว่าความปลอดภัย? นอกจากการประกั นภัยรถแล้ว เถ้าแก่เจ้าของรถบรรทุกยั งเป็น บุคคลสําคัญ ที่มีอิท ธิพลต่อ ความคิดและพฤติกรรมการขับรถของคนขับรถบรรทุกในอาณัติทั้งทางตรงและทางอ้อม การกระทํา เพื่อปกป้องและเอื้อผลประโยชน์ทางธุรกิจของเถ้าแก่บางอย่างมีผลทําให้เหล่าคนขับรถบรรทุกพลอย ได้รับการคุ้มครองไปด้วย สําหรับคนขับรถบรรทุกบางคนแล้ว พวกเขาไม่เคยเกรงที่จะฝ่าฝืนกฎจราจร บางอย่าง หรือแม้แต่ผลลัพธ์ร้ายแรงที่จะเกิดขึ้นจากอุบัติเหตุจราจรเมื่อมีเถ้าแก่อยู่เบื้องหลัง 2.1) ส่วย ค่าปรับ กับผลประโยชน์ทางธุรกิจ เป็นที่รับรู้กันในหมู่ของคนขับรถบรรทุกถึงเรื่องการจ่ายเงินของเถ้าแก่เจ้าของรถเพื่อให้รถวิง่ ได้ โดยสะดวก ไม่ถู ก ตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมกฎเกณฑ์บ นท้องถนน ไม่ว่ าจะเป็ นเรื่องของ น้ําหนักสินค้าที่บรรทุกเกินพิกัด สภาพรถไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ หรือวัตถุตกหล่นจากรถดิน ทราย หรือน้ําหยด “ส่วย” ที่เถ้าแก่จ่ายให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐช่วยให้เหล่าคนขับรถบรรทุกได้รับการยกเว้น ความผิดบางอย่าง แม้ว่ารัต น์จ ะรู้ว่ารถและทรายที่บรรทุกในแต่ละคืนจะมีน้ําหนักบรรทุก เกิ นจากที่ก ฎหมาย กําหนดซึ่งกําหนดให้รถบรรทุกสิบล้อสามารถบรรทุกสินค้าได้จนมีน้ําหนัก 21 ตัน แต่ก็มีการผ่อนผัน น้ําหนักเป็น 25 ตัน แต่รัตน์ก็รับจ้างขับรถบรรทุกทรายอย่างสบายใจ สิทธิพิเศษที่รัตน์ได้รับจากการ จ่าย “ส่วย” ของเถ้าแก่ทําให้เขาขับรถบรรทุกทรายโดยไม่หวั่นว่าจะถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐจับกุมในโทษ ฐานละเมิดกฎเกณฑ์ “อย่างที่ผมวิ่งมาเส้น...เนี่ย ผมโทรฯถาม...เถ้าแก่ เฮ้ย! เส้นนี้ไม่เป็นไร อ้ายตัวนั้นตัวนี้อยู่ หมายเลขนั้นๆ ทะเบียนนี้อยู่ ผ่านตลอด เราก็ไปได้ …มันเกินยี่สิบห้า ยี่ สิบหกตัน เราต้อง จอดอยู่แล้ว แต่ นี่เ ราเคลีย ร์ท างหลวงไว้แล้ว สามสิบสี่สิบ ตัน ...เราเคลีย ร์ไว้แล้ว มันก็ ใ ห้ เราวิ่งผ่านตลอดเลย ดูป้ายแล้วมันก็ให้ไป ถ้าไม่มีป้ายมันก็เรียกหน่อย มันก็ถาม ถาม…รถ ใครวะ พอบอก... ตํารวจ เออ... ถ้ามันรู้ มันก็ปล่อยไป...ประมาณพันนึง ตู้ ละพัน เป็ น เขตน่ะ อย่างกับเขตบางขมิ้นเนี่ย เราก็ให้เลย สายตรวจเดือนละพัน จราจรเดือนละพัน อย่าง กั บ ทางหลวงเนี่ย เคลี ย ร์ ง่าย เดื อนละสองพั น ห้า หรือ สามพัน ตั้ง แต่อ อกจากนี่ ไปยั น นู้ น แหละ…มันจับให้ไปเคลียร์ไง้ พอเคลียร์แล้วก็วิ่งสบาย มันไม่กวนหรอก มันเห็นป้ายก็ปล่อย”
ฅนขับรถบรรทุก
79
ในบางสถานการณ์ที่ “ส่วยรายเดือน” ไม่สามารถเปิดทางสะดวกให้กับรถและคนขับรถบรรทุก ได้อย่างเด็ดขาด เถ้าแก่ก็จะให้คนขับรถบรรทุกอย่างรัตน์และเพื่อนๆ คนขับรถบรรทุกในบริษัทเป็น ตัวกลางประสานผลประโยชน์น อกระบบระหว่างเขากั บเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยให้รัตน์และเพื่ อนๆ จ่ายเงินค่าผ่านด่านให้กับเจ้าหน้าที่ที่ตั้งด่านขึ้นมาเพื่อเก็บส่วยรถบรรทุกไปก่อนที่จะกลับมาเบิกกับ เขาในภายหลัง “ที่บางขมิ้นนี่ที่เดียวแหละ เคลียร์แล้ว (ตํารวจ) มันก็เก็บอีก ก็เลยไม่ได้เคลียร์ ปล่อยให้มัน เก็บวันละยี่สิบ ถ้ามันตั้งด่าน ต้องเตรียมไว้ให้มันเลยล่ะ ยี่สิบ... ยี่สิบ ถ้าเป็นพ่วงบางทีก็ขอสี่ สิบด้วยนา ... ทุกคัน สิบล้อเดี๋ยวนี้บ่นที่ตรงบางขมิ้นกันเยอะเลย อ้ายเรื่องนี้แหละ อ้ายเรื่อง ตั้งด่านขอตังค์นี่แหละ บางทีมันตั้งด่านสองรอบน่ะ รอบหัวค่ํารอบนึง ตอนดึกอีกรอบนึงน่ะ ...เถ้าแก่ก็ลงบัญชีไว้ สิ้นเดือนเขาคิดให้เรามา คิดย้อนมาให้เรา” นอกจากรัตน์และเพื่อนๆ คนขับรถบรรทุก จะอยู่เหนือกฎเกณฑ์ในบางกรณีแล้ว “ส่วย” ยั ง สามารถช่วยให้เถ้าแก่และเหล่าคนขับรถบรรทุกในเครือของเถ้าแก่ได้รับข่าวสารความเคลื่อนไหวการ ปฏิบั ติงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐบางหน่วย ทําให้ พวกเขาปกปิดความผิดที่กระทําอยู่เ ป็นประจําได้ สําเร็จ ดั งในกรณีที่รัต น์เ ล่าให้ ฟังถึ งการที่ตํารวจจราจรประจํ าท้องที่บ อกข่าวการออกพื้น ที่ของ เจ้าหน้าที่รัฐบางหมู่คณะว่า “อย่างกับกรมทางหลวงเนี่ย มันมาตั้งด่านนา…เอาผู้ใหญ่มา อ้ายตํารวจมันก็โทรฯ บอกว่า อย่าเพิ่งออกนา ตัวใหญ่มาอย่างเนี่ย เราก็ไม่กล้าออกแล้ว เพราะว่าเหมือนกับเราซื้อข่าวมัน ด้วยน่ะ ตัวใหญ่มาอย่างเนี่ย …เราก็ ไม่กล้าออก อย่าเพิ่งออกกันมานา…มันก็โทรฯ บอก ตลอดน่ะ ก็เหมือนกับซื้อข่าวมันไว้ แต่ถ้ามันมาเองเราก็วิ่งผ่านมันตลอด อย่างกับเทศกิจ มาอย่างเนี่ย มันก็โทรฯ บอก…วันนี้เทศกิจออกนา ออกที่นั่นที่นั่น ให้ระวังหน่อย ” นอกจากการจ่าย “ส่วย” แล้วการเสีย “ค่าปรับ” แทนคนขับรถบรรทุกเป็นวิธีการบริหารกิจการ ของเถ้าแก่อีกวิธีการหนึ่งที่มุ่งหวังให้ธุรกิจดําเนินไปโดยเกิดความสูญเสียน้อยที่สุด โดยเฉพาะในกรณี ของรถบรรทุกท่อคอนกรีตซึ่งเป็นสินค้าที่เปราะและแตกง่าย เถ้าแก่เจ้าของรถบรรทุกซึ่งเป็นบุคคลคน เดียวกับเจ้าของกิจการโรงท่อคอนกรีตมักรู้เห็นเป็นใจกับการขับรถในช่องทางเดินรถด้านขวาทั้งที่เป็น ช่องทางที่รัฐไม่อนุญาตให้รถบรรทุกแล่นยกเว้นในกรณีการแซง เพราะการขับรถในช่องทางด้านซ้ ายซึง่ มักจะชํารุด พื้นผิวขรุขระและเป็นหลุมเป็นบ่อ มักทําให้ท่อคอนกรีตที่บรรทุกมาสะเทือนและแตกหัก
ฅนขับรถบรรทุก
80
แม้ว่าคนขับรถบรรทุกท่อคอนกรีตจะขับรถด้วยความระมัดระวังโดยการชะลอความเร็วทุกครั้งที่เจอพืน้ ถนนไม่เรียบเพื่อลดแรงสะเทือนของรถ แต่การแล่นรถในเลนซ้ายก็มักมีผลทําให้ท่ อคอนกรีตแตกอยู่ เสมอ ตรงข้ามกับการวิ่งรถทางด้านขวาซึ่งมีพื้นผิวถนนที่เรียบกว่าและทําให้ท่อคอนกรีตแตกน้อยลง พล คนขับรถบรรทุกท่อคอนกรีต เล่าว่า “ขวา ถ้ามันภูธรนี่เราเสียได้ ถ้าไม่เจอจังๆ ไม่มีจับ หรอก เพราะเขารู้รถท่อมันวิ่งซ้ายไม่ได้ มันแตกหมด แต่ว่าถ้าโดนจับเราก็เสียเงิน ไป...หมดเรื่อง แต่ ว่าเถ้าแก่เสียให้นะ” โดยอาศัยเงื่อนไขการเสียค่าปรับแทนคนขับรถบรรทุก แม้เป็นการขับรถบรรทุกเที่ยวกลับซึ่งไม่ ต้องระวังความเสียหายของสินค้าแล้ว คนขับรถบรรทุกท่อคอนกรีตบางคนยังคงวิ่งรถเปล่าในช่องทาง ด้านขวาโดยไม่พะวงกับบทลงโทษสําหรับผู้ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ ไม่แยแสกับค่าปรับที่พวกเขาไม่ได้เป็นคน จ่าย “ก็โดนที่หน้าโรงเรียนเนี่ย ... นครปฐม อ้ายหลาม...ควักให้ร้อยนึง เฮ้ย ..ไม่เอา มึงจะรีบไป ไหนวะ โห..ผมจะรีบกลับบ้าน แล้วผมรับผิดชอบเอง เฮ้ย … เอาใบสั่งด้วยนะ คุยกันแล้วไม่ ยอม ให้ไปเอาที่อู่ทองโน้น ก็เลยฝากให้อ้ายแขกไปเอาให้ …เจ๊ออกให้ทั้งหมด ธรรมดาแซง ขวาเนี่ย ต้องออกเอง ไม่มีใครเขาออกให้หรอก ต้องออกเอง แต่ที่นี่เถ้าแก่ออกให้” 2.2) หายตัวในยามคับขัน ในยามคับขันและต้องการความช่วยเหลืออย่ างรีบด่วนเมื่อเกิ ดอุบั ติเ หตุร้า ยแรง ซึ่งคนขับ รถบรรทุกไม่แน่ใจหรือค่อนข้างแน่ใจว่าตนเองจะต้องได้รับโทษทัณฑ์ตามกฎหมาย ดูเหมือนว่าเถ้าแก่ เจ้าของกิจการรถบรรทุกเป็นบุคคลสําคัญที่พวกเขาเชื่อว่าจะสามารถพึ่งพิงได้ จากประสบการณ์ที่เคย พบ เคยได้ยินเกี่ยวกับความช่วยเหลือที่เถ้าแก่มีให้กับเพื่อนคนขับ รถบรรทุกยามเมื่อเกิดเหตุวิกฤติใน อดีตทําให้คนขับรถบรรทุกต่างเชื่อว่าหากวันใดที่พวกเขาต้องการความช่วยเหลือเช่นนั้นบ้างเถ้าแก่ เจ้าของกิจการรถบรรทุกก็คือบุคคลที่จะสามารถช่วยเหลือให้พวกเขารอดพ้นจากเงื้อมมือของกฎหมาย เช่นเดียวกัน โดยการประสานงานกันอย่างเป็นระบบของบุคคลหลายๆ ฝ่ายภายใต้การจัดการของเถ้า แก่สามารถทําให้คนขับรถบรรทุกที่ตกเป็นผู้ต้องหาขับรถโดยประมาททําให้ผู้อื่นเสียชีวิตสามารถหนี หายไปได้โดยไร้ร่องรอย แม้จ ะมิใ ช่ประสบการณ์ที่เ กิดขึ้นกับ ตัวของรัตน์เ องโดยตรง แต่เ ขาก็ เคยรู้เห็นเกี่ ยวกั บช่อง ทางการเอาตัวรอดของเพื่อนคนขับรถบรรทุกเมื่อรถชนกันแล้วมีคนตาย สําหรับคนขับรถบรรทุกอย่าง
ฅนขับรถบรรทุก
81
รัตน์และเพื่อนๆ แล้วดูเหมือนว่าการหนีจะเป็นช่องทางที่ปลอดภัยและนํามาซึ่งความยุ่งยากน้อยที่สุด ทั้งตัวเองไม่ต้องเข้าไปอยู่ในคุกและเถ้าแก่เจ้าของรถก็ไม่ต้องยุ่งยากหาหลักทรัพย์มาประกัน “...เราก็ไปก่อนอยู่แล้ว เราต้องหนีไปก่อนเพราะมันเสียทั้งสองอย่าง เพราะไหนจะประกันรถ ไหนจะต้องประกันคนขับอีก” ทัน ทีที่รถชนและประเมิน ว่ามีคนตาย คนขับ รถบรรทุก จะรีบ หนีโดยไม่ลืมเก็ บ สิ่งที่จะเป็ น หลักฐานระบุถึงตัวผู้ขับขี่อย่างใบขับขี่ลงจากรถไปด้วย หากวางไว้ที่คอนโซลหรือช่องเก็บของหน้ารถ ท่ามกลางความชุลมุนของผู้ประสบเหตุที่กําลังตื่นเต้นตกใจและมุ่งความสนใจไปที่ผู้ประสบเคราะห์ กรรม โดยไม่มีใครทันสังเกตคนขับรถบรรทุกจะแกล้งทําเป็นคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ค่อยๆ เดินหลบออกไปให้ห่างจากบริเวณเกิดเหตุแล้วโทรศัพท์บอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดกับเถ้าแก่ ซึ่งเถ้าแก่ก็จะช่วยติดต่อหารถมารับคนขับรถบรรทุกกลับไปเก็บตัวเงียบๆ อยู่ที่บ้าน “อย่างกับหนีนี่... หนีก็ไม่ไกลหรอก เราก็ขึ้นรถสิบล้อที่วิ่งงานด้วยกันน่ะนะ เถ้าแก่เขาก็ โทรฯ ไปบอกว่าเอ็งไปรับอ้ายคนนั่นที่ตรงนั้นตรงนี้ด้วยนะ เอากลับบ้านก่อน” เมื่อคนขับรถบรรทุก ห นี ไป ก า ร สื บ ห า ค น ขั บ รถ บร รทุ กข อง เจ้ าห น้ า ที่ บ้ า น เ มื อ ง ก็ มั ก จ ะ เ ริ่ ม ที่ เจ้าของรถบรรทุก ซึ่งเถ้ าแก่ ของรั ต น์ ก็ มั ก จะให้ ข้ อ มู ล เ กี่ ย ว กั บ ค น ขั บ ร ถ โ ด ย คํ า นึ ง ถึ ง ค ว า ม ยุ่ ง ย า ก ทางด้านคดีความที่จะตามมา ภายหลัง หากคู่ ก รณีไม่ต าย หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 10 ตุลาคม 52 เถ้าแก่จะให้ข้อมูลที่เป็น ความ จริง แต่ถ้าคู่กรณีตาย เถ้าแก่จะทําทีเป็นไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับคนขับรถที่ตนเองเป็นผู้ว่าจ้าง “เถ้าแก่เขาไม่บอกข้อมูลเกี่ยวกับคนขับรถบรรทุกหรอก ถ้าตายนี่…เขาจะบอกว่าอ้ายคนขับ บ้านอยู่ที่ไหนไม่รู้ เพิ่งมาสมัครขับ ผมก็ยังไม่ได้ดูใบขับขี่มันเลย มันว่ามันขับเป็นผมก็ให้มัน
ฅนขับรถบรรทุก
82
ขับ เพิ่งมาขับวันแรกเลยนี่นะ ถ้าไม่ตายก็บอกว่า คนขับเดี๋ยวมา ตํารวจเขา ถามว่ามีใบขับขี่ ไหม ก็บอกว่า...มี ก็ให้ดู” เถ้าแก่อยู่ในฐานะลูกค้ารายใหญ่จะให้ตัวแทนของบริษัทประกันภัยช่วยปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับ คนขับรถบรรทุกทั้ งหมดไว้ ซึ่งความต้องการของเถ้าแก่เป็ นเหมือนคําประกาศิตสําหรับตัวแทนของ บริษัทประกันภัย ลูกค้าร้องขออย่างใด พ่อค้าอย่างตัวแทนของบริษัทประกันภัยก็จะปฏิบัติเช่นนั้น “…เถ้ าแก่ เ ขาบอกประกั น เลย ยั ง ไง ยั งไง อย่ าให้ถึ งคนขับ อย่ าให้เ ดือดร้ อนถึ งคนขั บ ประกันมันก็ทําให้ไม่เดือดร้อนถึงคนขับ มีแต่บอกว่าคนขับเพิ่งมาขับ แล้วก็ทิ้งรถไว้เนี่ย...เท่านั้น” ในเมื่อเถ้าแก่เจ้าของรัตน์มีท่าทีช่วยปกป้องคนขับรถบรรทุก เครือข่ายของเถ้าแก่อย่างคนขับ รถบรรทุก คนอื่นๆ ในบริษัท ก็จะช่วยกันเก็บความลับเกี่ ยวกั บเรื่องราวของคนขับ รถบรรทุกไว้ อย่าง มิดชิดด้วยเช่นกัน “ชื่ออะไรก็ไม่รู้ คนขับบ้านอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ มาสมัครใหม่ อย่างมาถามผม...อ้ายคนนี้รู้จักบ้าน มั๊ย ไม่รู้จักหรอก ผมก็เพิ่งมาขับเหมือนกัน บ้านอยู่ไหนไม่รู้ เราก็ต้องแก้หน้าไป” ทางด้านคดีความ เถ้าแก่ก็จะพยายามทําให้คนขับรถมีความผิดน้อยที่สุด โดยในส่วนของ ผู้ตายนั้นเถ้าแก่จะพยายามชดเชยความเสียหายให้กับญาติผู้ตายจนเป็นที่พอใจและไม่ติดใจเอาความ กับคนขับรถบรรทุก ส่วนรูปคดีนั้นเถ้าแก่จะติดต่อขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตํารวจผู้ทําคดีให้ ช่วยทําสํานวนคดีให้อ่อนลง “...อย่างเขาตายเนี่ย ประกันเราเนี่ยก็เสียให้เขาไปศพละกี่หมื่น กี่แสน แต่เรายังผิดอยู่ ทีเนี่ย ก็เคลียร์กับเขาอีกทีนึงได้ เคลียร์กับคนตาย คนอยู่ ญาติเขาน่ะ เพราะยังไงเถ้าแก่ก็ต้องไป โปะให้อีก อยู่ แล้ว...ตํารวจก็ ยัดเหมือนกัน ต้องยัดอยู่ แล้ว ...ที่นี่เ ป็น อย่ างนี้เ หมือนกัน หมด แหละ…เหมือนกันหมดแหละ” 2.3 ความเหนือกว่าทางภายภาพของยานพาหนะ โครงสร้างที่สูงกว่า และใหญ่กว่าของรถบรรทุกเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ดูเ หมือนจะช่วยปกป้อง คนขับรถบรรทุกรวมทั้งวัสดุที่แข็งแรงกว่ารถประเภทอื่นๆ ที่เหล่าคนขับรถบรรทุกเรียกจนติดปากว่า “รถเล็ก” ช่วยให้คนขับรถบรรทุกไม่ได้รับอันตรายจากการที่รถชนกันโดยเฉพาะกับ “รถเล็ก”
ฅนขับรถบรรทุก
83
จากประสบการณ์เกี่ยวกับอุบัติเหตุจราจรที่ผ่านมานับครั้งไม่ถ้วน ทั้งที่เป็นประสบการณ์ที่เกิด ขึ้นกับตัวเองโดยตรงและที่เกิดขึ้นกับผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ เหล่าคนขับรถบรรทุกล้วนมีความมั่นใจใน ข้อได้เปรียบทางกายภาพของรถที่ตนเองเป็นผู้ควบคุมว่าจะช่วยให้เขามีความปลอดภัย แม้จะเป็นการ ชนแบบประสานงานกับรถเล็กก็ตาม “เพราะรถเราใหญ่กว่า…ได้เปรียบ...ได้เปรียบ…ความสูง พวกรถเล็กเนี่ยจะชนไม่ถึง ความ สูงแล้วก็ความใหญ่หน่อย ยิ่งบรรทุกของหนักๆ เนี่ย เวลาชน…แรงอัดมันจะเยอะกว่า ตัวเนี่ย ก็จะไม่ค่อยเป็นอะไร แต่คนที่โดนชนก็จะกระเด็นไปด้วยน้ําหนักบรรทุก” “พูดถึงเราขับรถสิบล้อนา เราได้เปรียบช่วงนึง เพราะเรามันสูงกว่า มันจะไม่ค่อยถึงเรา...ถ้า เป็นรถเล็กน่ะนะ เราไม่ค่อยกลัวหรอกรถเล็ก นอกจากเรากลัวสิบล้อกับสิบล้อด้วยกันเพราะ มันเท่ากันใช่มั๊ย มันถึงเรา แต่รถเล็กเนี่ย…มาสิบคันก็ไม่กลัวหรอก เพราะมันไม่ถึงเราหรอก เพราะเต็มที่ก็แค่กัน ชนใช่มั๊ย ถ้ ารถเล็กๆ อย่างเนี่ย …ไม่ค่อยกลัวหรอก อย่างรถเล็กอย่าง เนี่ย…เข้าใต้ท้องเราไปเลย” ด้ ว ย รู ป ร่ า ง ข อ ง ร ถ ที่ ได้ เ ปรี ย บยามเมื่ อ รถปะทะกั น ค น ขั บ ร ถ บ ร ร ทุ ก ซึ่ ง ผ่ า น ประสบการณ์การขับรถบรรทุกมา น า น ก ว่ า สิ บ ปี อ ย่ า ง เ พ็ ญ มี ความเห็นว่ารถคันที่มีอภิสิทธิ์ใ น การใช้ ถ นนคื อ รถบรรทุ ก แม้ รถบรรทุกจะวิ่งกินช่องทางเข้าไป ในช่องทางที่รถเล็กวิ่งอยู่แต่เพ็ญ ก็ คิ ด ว่ า รถเล็ ก ควรจะต้ อ งหลบ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 53 ทางให้กับรถใหญ่อย่างรถของเขา สําหรับเพ็ญคนขับรถบรรทุกดินแล้วเขากล้าที่จะประสานงากับรถเล็กอย่างมั่นใจในความปลอดภัยของ ตัวเองหากว่ารถเล็กคันนั้นไม่หลีกให้ทางกับเขา
ฅนขับรถบรรทุก
84
“อ้ายคันหน้าที่มันวิ่งมาเนี่ยนา ถ้าเราต๊อกไฟเนี่ย อ้ายคันหน้ามันก็ต้องรู้แล้ว มันก็ต้องชะลอ แล้ว ทําไมมันจะไม่พ้นล่ะ เอ้า…อย่างพี่เนี่ย ขับรถปิกอัพใช่มั๊ย สิบล้อแซงมา คู่ๆ กันเนี่ย ต๊อกไฟยิกๆ นี่ ก็ต้องเบรกแล้ว เบรกชะลอแล้ว หลบซ้ายแล้ว มึงจะสวนวิ่งมา ก็เอาซิ” เช่นเดียวกับแมว แม้จะรู้ว่าต้องเกิดอุบัติเหตุอย่างแน่นอนแต่เพราะความที่รถบรรทุกมีขนาด ใหญ่กว่าคู่กรณี เมื่อประเมินว่าอุบัติเหตุที่กําลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าไม่กระทบกระเทือน ถึงตัวคนขับรถบรรทุกอย่างเขา ไม่ทําให้รถที่ขับอยู่เสียหายมากนัก รวมถึงมั่นใจว่าเป็นฝ่ายถูก แมวก็ ไม่ได้พยายามหลีกหรือเลี่ยงอุบัติเหตุที่กําลังจะเกิดนั้น “เพราะรถหนักมันอยู่ข้างหน้าเนี๊ยะ กะว่ารถเก๋งผ่า นเรา เราก็ออกแหละ เราเปิดไฟรอไว้แล้ว รถเก๋งขึ้นหน้าปึบ...เราก็ออก อ้ายนั่นก็พยายามกวด เหมือนตามรถเก๋งมาอะไรอย่างเนี้ย ผม ตั้งใจจะออก ต้ องออกเลย มันชนก็ช น...เออ มัน ก็ ชน..ดูก ระจกแลเห็น แล้วน่ะ รถมัน ทิ่ม เหมือนสะกิดนะ รถเรามันใหญ่ … มันดังตึ้กนะ ไม่เป็นไร มันก็รู้มันผิด เราเปิดไฟก่อนมันยัง พยายามจะแซง” อ ย่ า ง ไ ร ก็ ต า ม ความมั่ น ใจในเรื่ อ งความ ป ล อ ด ภั ย ข อ ง ค น ขั บ รถบรรทุ ก อย่ า งรั ต น์ และ เพื่อนๆ จะสลายกลายเป็น ความไม่มั่นใจในทันทีหาก รถที่จ ะปะทะด้ วยนั้ น เป็ น รถบรรทุ ก ที่ มี ข นาดใหญ่ เท่ากันหรือใหญ่กว่า
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 6 มกราคม 53
“รถสิบล้อนี่แหละ มันใหญ่ มันสูง มันมีโอกาสเยอะ เล็กๆ มันก็มุดล้อทั้งนั้นแหละ อย่างผมอยู่ สูง สิบล้อกับสิบล้อเท่านั้นแหละถึงจะอันตราย…มันเหล็กทั้งคันน่ะ” “ถ้าไปชนกับรถกระบะ มันไม่ตายหรอก คนขับสิบล้อน่ะ แต่สิบล้อชนกับสิบล้อน่ะ มันไม่เหลือ ทั้งคู่ ถ้ามันชนกันตรงๆ มันไม่ค่อยเหลือหรอก ถ้าใหญ่ต่อใหญ่เจอกันมันไม่ค่อยเหลือ นอก เสียจากจะเอาข้างซ้ายชนกัน ข้างซ้ายชนกันล่ะก็ ...รอด สิบล้อก็มีตายเยอะแยะ ถ้าหากชน
ฅนขับรถบรรทุก
85
กันกับสิบล้อเอง ก็มีตาย ถ้าไปชนกับรถเล็ก รถเก๋งนั่น ไม่ค่อยตายหรอก เพราะว่าเขามันเล็ก ว่าไง แรงปะทะมันน้อย แล้วคนขับสิบล้อนี่มันสูงใช่มั๊ยล่ะ พวกรถเตี้ยเนี่ยก็เข้าใต้ท้อง เข้าไป ข้างล่าง” นอกจากรถบรรทุกจะเป็นเครื่องมือในการทํามาหากินที่สําคัญแล้ว คนขับรถบรรทุกยังมองว่า รถบรรทุกเป็นทั้งสิ่งที่อาจนํามาซึ่งอันตรายและความปลอดภัยในขณะเดียวกัน แม้สภาพรถมีความ บกพร่องอาจทําให้เกิดอุบัติเหตุจราจร แต่เหล่าคนขับรถบรรทุกก็เชื่อว่าความสูง ความใหญ่ และความ แข็งแรงของรถบรรทุกจะสามารถป้องกันอันตรายให้พวกเขาได้ โดยเฉพาะการชนกับรถที่มีขนาดเล็ก กว่าอย่างรถจักรยานยนต์ รถยนต์ส่วนตัว หรือรถปิกอัพ ไม่นับรวม “ข้อยกเว้นมากมาย”ที่ทําให้โลกของอุบัติเหตุสําหรับรถบรรทุกอยู่ไกลเกินจริง และมี สถานะเป็นเพียงมายาคติเท่านั้น ระบบธุรกิจที่เพ่งมองแต่ผลกําไร ระบบประกันภัยที่ให้ความสําคัญ กับเบี้ยประกั นและมีสํานึก เพีย งการให้ความสําคัญ กับลูกค้า ความอ่อนแอของระบบการบังคับใช้ กฎหมายที่ไม่เสมอภาค ไม่เป็นธรรม และที่มาที่ไปของคนขับรถบรรทุกล้ วนแล้วแต่เป็นการดํารงอยู่ ของเหตุปัจจัย ที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันและส่งผลต่อ อุบั ติการณ์สะเทือนขวัญ ที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุ รถบรรทุกที่ปรากฏแก่สายตาของเราตามหน้าหนังสือพิมพ์
บทที่ 5 ส่งท้าย ในบทส่งท้ายนี้ ผู้เขียนต้องการนําเสนอให้เห็นถึงเบื้องหลังพฤติกรรมการขับขี่ของคนขับ รถบรรทุก ซึ่งได้รับการขนานนามจากสังคมว่ามีพฤติกรรมการขับขี่เป็นเสมือน ‚เพชฌฆาตทาง หลวง‛ รวมทั้งบริบททางสังคมและสิ่งแฝงเร้นที่มีผลทําให้ ‚อุบัติเหตุจราจร‛ ของคนขับรถบรรทุก เป็นเพียงความเสี่ยงที่ดูเหมือนเป็นเรื่องปกติ ธรรมดาๆ อย่างหนึ่งในวิถีของการขับขี่รถบนถนน สาธารณะ ที่มาของชุดวิธีคิดที่ว่าด้วยอุบัติเหตุบนท้องถนนของคนขับรถบรรทุก กลุ่มคนทางสังคม กลุ่มหนึ่งในสังคมไทยที่มีวิธีก ารประกอบสร้างเกี่ ยวกั บ ‚ความจริง ‛ ที่ว่าด้วยอุบั ติเ หตุจ ราจร แตกต่างไปจากวิธีการของรัฐและผู้เชี่ยวชาญแต่ชุดวิธีคิดดังกล่าวก็เป็นสิ่งที่ถูกประกอบสร้างขึ้น จากข้อมูลที่เป็นจริงจากประสบการณ์ตรงของพวกเขา โดยเฉพาะภายใต้บริบทของความสัมพันธ์ เชิงระบบในระบบนายทุน ชุดวิธีคิดที่ว่าด้วยอุบัติเหตุจราจรของคนขับรถบรรทุก แม้รัฐและผู้เชี่ยวชาญจะพยายามทําให้ประชาชนโดยทั่วไปคิดและเชื่อในทํานองว่า อุบัติเหตุจราจรเป็นมหันตภัยที่ก่อให้เกิดความสูญเสียแก่ผู้ใช้รถใช้ถนน และสามารถป้องกันได้โดย การปฏิบั ติ ต ามกฎจราจร ไม่ป ระมาท ฯลฯ แต่ชุด วิธีคิดดัง กล่าวก็ มิได้เ ป็ น ชุดวิธีคิด ที่ว่ าด้ว ย อุบัติเหตุจราจรในสังคมไทยเพียงชุดเดียว ท่ามกลางกลุ่มคนที่มีบริบ ทแวดล้อมอันหลากหลาย ผู้ขับขี่ชาวบ้านอย่างคนขับรถบรรทุกซึ่ง เป็นกลุ่มคนทางสังคมที่มีชีวิตอยู่ภายใต้ร่มเงาของระบบ ธุรกิจแบบทุนนิยมและมีวิธีการสะสมผลกําไรโดยการสร้างมูลค่าส่วนเกินจากแรงงานนั้นพวกเขา ได้ถูกประกอบสร้างวิธีคิดที่ว่าด้วยอุบัติเหตุจราจรและและความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุจราจรขึ้นมาอีก ชุดหนึ่ง โดยชุดความคิดที่ว่าด้วยอุบัติเหตุจราจรดังกล่าวมีลักษณะดังต่อไปนี้ คือ 1) เหนือการควบคุม ท่ามกลางวิถีที่ต้องก้าวเดินไปบนเงื่อนไขที่ไม่สมประกอบในการประกอบอาชีพ ไม่ว่าจะ เป็นสภาพรถ สภาพการบรรทุก สภาพร่างกาย เงื่อนไขการจ้างงานที่ผูกไว้กับเวลาและความเร็ว รวมไปถึงประสบการณ์ที่เคยถูกรถคันอื่นวิ่งมาเฉี่ยวชน องค์ความรู้เกี่ยวกับอุบัติเหตุจราจรของ คนขับรถบรรทุกได้ก่อตัวขึ้นจากประสบการณ์ส่วนตัว จากบทเรียนที่เกิดขึ้นกับตัวพวกเขาในอดีต ที่ผ่านมา ปัจจุบัน พวกเขาไม่เชื่อว่าอุบัติเหตุจราจรเป็นเหตุการณ์ที่สามารถป้องกันได้แม้ว่ารัฐ และผู้เชี่ยวชาญจะเชื่อและพยายามทําให้ผู้คนเชื่อเช่น นั้น โลกแห่งความจริงที่คนขับรถบรรทุก
ฅนขับรถบรรทุก
87
เผชิญอยู่ ทุกเมื่อเชื่อวัน ซึ่งไม่สามารถปฏิบัติตามคําแนะนําของผู้เชี่ยวชาญได้และด้วยการสรุป รวบยอดทางความคิดเกี่ยวกับสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุแบบง่ายๆ เป็น ‚เราไม่ชนเขา เขาก็ชนเรา‛ องค์ความรู้เกี่ยวกับการขับรถและอุบัติเหตุจราจรของผู้ขับขี่ชาวบ้านอย่างคนขับรถบรรทุกที่ก่อตัว ขึ้นจึงมีความแตกต่างออกไปจากผู้เชี่ยวชาญอย่างสิ้นเชิงโดยที่แม้ว่าผู้ขับขี่ชาวบ้านอย่างคนขับ รถบรรทุกจะยอมรับว่าการขับรถเร็ว การฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร การขับรถทั้งๆ ที่เพลี ยหรือง่วง นอน หรือการบรรทุกสินค้าหนักเกินพิกัดเป็นพฤติกรรมที่มีศักยภาพที่จะก่อให้เกิดอุบัติเหตุดังเช่น ที่รัฐและผู้เชี่ยวชาญระบุ แต่ท่ามกลางการยอมรับดังกล่าวคนขับรถบรรทุกก็มีการจําแนกแยก ย่อยและจัดหมวดหมู่สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุจราจรขึ้นมาใหม่ในแบบฉบับที่เป็ นของพวกเขาเอง จากเหตุการณ์ที่พวกเขาได้พบ เห็น และเผชิญอยู่บ่อยๆ คนขับรถบรรทุกนิยาม (defined) สาเหตุ การเกิดอุบัติเหตุจราจรด้วยหลักตรรกะง่ายๆ เป็น ‚เขา - เรา‛ ซึ่งเมื่อพิจารณาจากคําพูดยอดนิยมของคนขับรถบรรทุกว่า ‚เราไม่ชนเขา เขาก็ชนเรา‛ และทํานองเช่นนี้ยามเมื่อพวกเขากล่าวสรุปถึงเรื่องราวเกี่ยวกับอุบัติเหตุแล้วจะเห็นได้ว่านัยยะของ ‚เขา-เรา‛ ในบริบทเช่นนี้ได้สื่อให้เห็นว่าคนขับรถบรรทุกมีความคิดและความเชื่อเกี่ยวกับสาเหตุ และวิ ธี ก ารจั ด การกั บ อุ บั ติ เ หตุ ใ น 2 ลั ก ษณะที่ ผ สานกั น กล่ า วคื อ ส่ ว นหนึ่ ง นั้ น มี ลั ก ษณะ เช่นเดียวกับความคิด ความเชื่อในเรื่องความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในยุคแรกๆ ที่เชื่อว่าภัยพิบัติเกิดขึ้นจาก สิ่งเหนือธรรมชาติอย่างภูตผีปีศาจ วิญญาณชั่วร้าย หรือพระเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุม ของมนุษย์ (Lupton, 1999: 5) เป็นเหตุการณ์ที่มีสาเหตุมาจากภายนอกที่ ‚เรา‛ คนขับรถบรรทุก ไม่สามารถที่จะป้องกันอุบัติเหตุไม่ให้เกิดขึ้นได้ โดยที่แม้ว่า ‚เรา‛ จะขับรถด้วยความระมัดระวัง เพียงใด หรือถูกกฎจราจรเพียงใดก็ตาม แต่ ‚เรา‛ ก็ไม่สามารถป้องกัน ‚เขา‛ มิให้วิ่งมาชนเราได้ แม้ว่าวิธีคิ ด ส่วนหนึ่งของคนขับ รถบรรทุก จะถู ก บรรจุไว้ด้วยวิธี คิดเกี่ ย วกั บ ‚ผู้ขับ ขี่‛ เช่ น เดี ย วกั บ วิ ธีคิ ด ของรั ฐ และผู้เ ชี่ย วชาญก็ ต าม หากแต่ ‚เรา‛ ผู้ ขั บ ขี่ ใ นมุม มองของคนขั บ รถบรรทุกกลับเป็นผู้ขับขี่ที่มีคุณสมบัติแตกต่างไปจากผู้ขับขี่ของผู้เชี่ยวชาญอย่างมากมาย ด้วยผู้ ขับขี่ในมุมมองของคนขับรถบรรทุกนั้นเป็นบุคคลที่มิได้ มีอิสระที่จะขับรถโดยไม่ต้องเร่งรีบ ไม่ฝ่า ฝืนสัญญาณไฟจราจรในบางครั้ง หรือหยุดขับรถแล้วพักผ่อนหากรู้สึกเหนื่อยล้าหรือง่วงได้ดั่งใจ ปรารถนาเหมือนเช่นคนอื่น ท่ามกลางวิถีที่ต้องทํางานตามเงื่อนไขการว่าจ้าง คนขับรถบรรทุกต้อง มีพฤติกรรมขับขี่บางอย่างทั้งที่พวกเขารับรู้ว่าเสี่ยงต่ออุบัติเหตุอยู่เกือบตลอดเวลา เช่นนี้คนขับรถ บรรทุกจึงไม่วางใจแม้แต่กับตนเองว่าจะเป็นฝ่ายขับรถไปชน ‚เขา‛ หรือไม่ ด้วยพื้นฐานเชิงประสบการณ์ (Experiential based) ภายใต้วิถีของการเป็นลูกจ้างขับ รถบรรทุกดังกล่าว ‚อุบัติเ หตุจราจร‛ ในความคิดของคนขับรถบรรทุกจึงมีลักษณะเป็น เสมือน เหตุการณ์ทางธรรมชาติ (natural event) ที่มีสาเหตุมาจากปัจจัยภายนอกซึ่งพวกเขาไม่สามารถ เข้าไปควบคุมหรือป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นได้ แตกต่างจากวิธีคิดของรัฐและผู้เชี่ยวชาญซึ่งดําเนินการ
ฅนขับรถบรรทุก
88
แก้ ไ ขปั ญ หาอุ บั ติ เ หตุ จ ราจรในส่ ว นของ ‚คน‛ ด้ ว ยมาตรการทางด้ า นกฎหมาย (Law enforcement) และการให้ความรู้แก่ประชาชน (Education) อันมีนัยยะถึงการมองเห็นว่าผู้ขับขี่ เป็นผู้กระทําการซึ่งมีอิสระ (free actor) ที่สามารถเลือกกระทําการต่างๆ ได้ด้วยตนเอง พฤติกรรม การขับขี่ที่ไม่ถูก ต้ องตามกฎกติ ก าของทางการต่างๆ เป็ นเพีย งความบกพร่องของตัวผู้ขับขี่อัน เนื่องมาจากการขาดทักษะหรือความรู้เกี่ยวกับการขับขี่และกฎจราจรที่ถูกต้อง การขาดจิตสํานึก ด้านความปลอดภัย หรือการไม่มีความรับผิดชอบของผู้ขับขี่ หากรัฐสามารถขจัดความบกพร่อง ของคนขับรถบรรทุกดังกล่าวได้ก็จะทําให้สถานการณ์อุบัติเหตุจราจรในส่ วนที่เกี่ยวข้องกับผู้ขับขี่ คลี่คลายลงไปได้ 2) อันตรายและความเดือดร้อนเป็นของคนอื่น? ภายใต้ บ ริ บ ทที่ ค นขั บ รถบรรทุ ก เป็ น ตั ว ขั บ เคลื่ อ นสํ า คั ญ ของระบบธุ ร กิ จ คนขั บ รถบรรทุกจะได้รับการสนับสนุนในเกือบทุกๆ ด้านเพื่อให้พวกเขาสามารถทํางานได้โดยสะดวกและ ธุรกิจสามารถดําเนินได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นจัดเตรียมรถบรรทุก การเคลียร์เส้นทางเดินรถ การช่วยจัดการด้านความเสียหายและคดีความให้กับคนขับรถบรรทุกเมื่อมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น โดยที่ สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้ค นขับรถบรรทุกไม่ต้องรับภาระอันเกิดจากอุบัติเ หตุจราจรใดๆ ไม่ว่าจะเป็ น ความเสียหายของรถบรรทุกที่ตนเป็นผู้ขับขี่ การชดเชยความเสียหายให้กับคู่กรณี หรือแม้แต่การ ได้รับโทษทางกฎหมาย ในบริบทเช่นนี้ผลลัพธ์จากอุบัติเหตุของคนขับรถบรรทุก จึงมิได้มีความ รุนแรงหรือมีคุณค่าเมื่อเทียบกับ ‚อุบัติเหตุจราจร‛ ในอุดมคติของผู้เชี่ยวชาญ แม้ว่าคนขับรถบรรทุกจะรับรู้ถึงความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุจราจร หากแต่ความคิดความเชื่อเกี่ยวกับ ความเสี่ยงต่ออุบัติ เหตุของพวกเขาก็ ไม่เหมือนกับ ความคิดความเชื่อของรัฐและผู้เชี่ยวชาญที่ พยายามเผยแพร่ประชาสัมพันธ์แก่ผู้คนในสังคม ภายใต้บริบทการทํางานที่คนขับรถบรรทุกแทบ ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากอุบัติเหตุจราจร พวกเขาเกิดการรับรู้ว่าความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุจราจร และอุบัติเหตุจราจรมิได้เป็นเรื่องเดียวกับอันตรายหรือเหตุร้ายดังที่ผู้เชี่ยวชาญพยายามทําให้ผู้คน ในสังคมคิดและเชื่อ สําหรับผู้ขับขี่ชาวบ้านอย่างคนขับรถบรรทุกแล้วแม้ความเสี่ยงจะยังคงเป็ น เรื่องเดียวกับโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุ แต่ผลร้ายที่แท้จริงจากอุบัติเหตุจราจรก็ได้ถูกลดระดับความ ร้ายแรงลงจนแทบไม่ส่งผลร้ายใดๆ กั บชีวิตของพวกเขา ด้วยขนาดที่ใหญ่โตของรถบรรทุก การ ประกันภัยรถบรรทุก การเป็นเพียงลูกจ้างซึ่งได้รับการว่าจ้างให้มาขับรถบรรทุก รวมไปถึงความ ช่วยเหลือที่เจ้าของกิจการรถบรรทุกหยิบยื่นยามเมื่อความเดือดร้อนเฉียดใกล้ตัวพวกเขา เหล่านี้มี ผลทําให้คนขับรถบรรทุกรู้สึกว่าอุบัติเหตุจราจรแทบจะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบที่ร้ายแรงใดๆ กับ พวกเขาเลย
ฅนขับรถบรรทุก
89
ท่ามกลางบริบ ทการทํางานที่เ สมือนมีเ กราะ (shield) ป้องกั น คนขับ รถบรรทุก จาก ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุจราจร ทั้งลักษณะทางกายภาพของรถบรรทุกที่ได้เปรียบเหนือรถ ประเภทอื่น ๆ บนท้ องถนน และการมี บ ริษั ท ประกั น ภั ย รถและเถ้ า แก่ เ จ้า ของกิ จ การเข้ า มา รับผิดชอบความเสียหายและให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ ยามเมื่อมีอุบัติเหตุจราจรเกิดขึ้น โดย ที่เมื่อคนขับรถบรรทุกเหล่านี้ขับรถไปประสบอุบัติเหตุแล้วพวกเขาแทบจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ไม่ว่าเป็ นทางด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคม นอกจากเสียเวลาในการทํางานไปบ้าง ดังนั้น อุบัติเหตุจราจรในความคิดของคนขับรถบรรทุกจึงมีความร้ายแรงอยู่ในระดับใกล้เคียงกับความ เสี่ยงในชีวิตประจําวันอื่นๆ ซึ่งมีความหมายในเชิงไม่พึงประสงค์ที่ไม่รุนแรง ดังเช่น การเป็นหวัด หรือการหกล้ม ซึ่งมิได้มีความน่าหวาดหวั่นมากดังที่รัฐและผู้มีหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุ จราจรคิดและต้องการให้ผู้คนในสังคมคิดและเชื่อตาม 3) อุบัติเหตุจราจร: ความเสี่ยงที่เลือก สําหรับคนขับรถบรรทุกที่ถูกจํากัดทางเลือกด้วยข้อจํากัดในชีวิตต่างๆ แล้ว แม้พวกเขา จะรับรู้ว่าการขับรถบรรทุกเป็นอาชีพที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจราจรก็ตามแต่พวกเขาเหล่านั้นก็ สมัครใจ (prefer) ที่จะเสี่ยง เนื่องจากรายได้ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่แน่นอนจากการที่คนขับรถบรรทุก ยอมเสี่ย งขับ รถบรรทุก นั้น มีคุ ณค่าสําหรับ พวกเขามากกว่าผลลัพธ์ที่ไม่แน่น อนและไม่ค่อยมี ผลกระทบในทางร้ายต่อพวกเขา สําหรับคนที่มีวิถีที่ต้องดิ้นรนหาเลี้ยงตนเองและครอบครัวเช่น คนขับรถบรรทุกแล้ว แม้พวกเขาจะรู้ว่าต้องเสี่ยงต่ออุบัติเหตุจราจร แต่ พวกเขาก็รู้สึกว่าการเสี่ยง นั้นให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า การเสี่ยงได้กลายเป็นแหล่งของรายได้ที่คนขับรถบรรทุกนําไปจุนเจือ ครอบครัวให้รอดพ้นจากความทุกข์ยาก พออยู่ พอกินโดยไม่เดือดร้อนนัก ในทางตรงข้าม ผลลัพธ์ ที่คนรับจ้างกลุ่มนี้จะได้ รับอย่างแน่นอนจากการไม่ย อมเสี่ย งก็ คือ รายรับ ไม่พอกั บรายจ่ายใน ครอบครัว สมาชิกในครอบครัวได้รับความเดือดร้อน ดังที่ Douglas (1992) เสนอไว้ว่า การตัดสินใจเกี่ยวกับความเสี่ยงในชีวิตของคนเรานั้น เกิดขึ้นโดยการเปรียบเทียบระหว่างผลดี ผลเสียจากความเสี่ยงหลายๆ ความเสี่ยง วิธีการตัดสินใจ เกี่ยวกับ ความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ จราจรของคนขับรถบรรทุกในงานวิจัย นี้ก็เป็นเช่นนั้น กล่าวคือ คนขับรถบรรทุกเปรียบเทียบผลดี ผลเสียจากการเสี่ยงขับรถบรรทุกและอาจเกิดอุบัติเหตุ หากแต่ ได้เ งินมาเลี้ย งชีพตนเองและครอบครัว กั บ การไปรับจ้างทํางานอื่น ๆ หากแต่ได้รับ ค้างจ้างไม่ เพียงพอสําหรับการเลี้ยงดูครอบครัวให้สุขสบาย ซึ่งในที่สุดแล้วคนขับรถบรรทุกก็เลือกที่จะเสี่ยง กับการเกิดอุบัติเหตุจราจรแทนการไปทํางานอื่นที่เสี่ยงต่ออันตรายน้อยกว่า แต่ก็ได้รับค่าจ้างที่ น้อยกว่าการรับจ้างขับรถบรรทุกซึ่งทําให้คนในครอบครัวต้องมีชีวิตอยู่อย่างลําบาก
ฅนขับรถบรรทุก
90
ด้วยเงื่อนไขที่ต้องทํามาหากินเพื่อเลี้ยงตนเองและครอบครัว แม้ว่าการเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ จราจรจะเป็นสิ่งที่คนขับรถบรรทุกพยายามจะหลีกเลี่ยง แต่การเสี่ยงต่ออุบัติเหตุจราจรโดยการ รับจ้างทํางานในเงื่อนไขที่เอื้อต่อการเกิดอุบัติเหตุนั้นก็มีคุณค่าเพียงพอสําหรับการเสี่ยงโดยเป็นวิธี ยังชีพของเขาและครอบครัว สําหรับผู้ขับขี่ชาวบ้านอย่างคนขับรถบรรทุกแล้ว วิธีคิดเกี่ยวกับความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ จราจรที่ก่อตัวขึ้นมาท่ามกลางวิถีของการเป็นลูกจ้างภายใต้ระบบนายทุนและต้องดิ้นรนเพื่อความ อยู่รอดของตนเองและครอบครัวของพวกเขามิได้มีความน่ ากลัวหรือร้ายแรงดังเช่นวิธีคิดของรัฐ และผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งแม้ว่าวิธีคิดดังกล่าวจะไม่มีหลักเกณฑ์ในการประกอบสร้างที่น่าเชื่อถือเหมือน เช่นผู้เชี่ยวชาญที่ใช้ศาสตร์ทางด้านสถิติเป็นเครื่องมือ แต่ความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุจราจรของคนขับ รถบรรทุกก็เป็น ‚ความเสี่ยง‛ ที่เกิดจากประสบการณ์จริงในชีวิต (lived experience) อันเป็นแหล่ง ที่ก่อให้เกิดองค์ความรู้ต่างๆ เกี่ยวกับสรรพสิ่ง (competing knowledges about the world) ในแต่ ละกลุ่มสังคม แม้เรื่องราวเกี่ยวกับอุบัติเหตุจราจรในมุมมองของคนขับรถบรรทุกจะไม่เหมือนกับ ‚อุบั ติเ หตุจ ราจร‛ ในมุมมองของรัฐและผู้เ ชี่ย วชาญทั้งหลายแต่วิธีคิดที่แตกต่างนี้ก็ เป็ น สิ่งที่มี ตรรกะและมีเหตุมีผล (logic and rationale) ในตัวของมันเองรวมทั้งเป็น สิ่งที่มีเ หตุผล (make sense) สําหรับคนที่รับเอาวิธีคิดเช่นนี้เข้ามาเป็นวิธีในการมองชีวิตอย่างพวกเขา (Lupton, 1999: 106) ด้วยเหตุนี้ พฤติกรรมการขับรถของคนขับรถบรรทุกที่ใครๆ อาจมองว่าเสี่ยงต่อการเกิด อุบัติเหตุจึงไม่ได้เกิดขึ้นจากความไม่รู้ถึงโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุ การขาดทักษะการขับขี่ หรือการ ขาดจิตสํานึกด้านความปลอดภัยเท่านั้น แต่พฤติกรรมการขับขี่ของกลุ่มคนเหล่านี้ยังได้รับอิทธิพล จากการให้ความหมายกับความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุของพวกเขาว่าอุบัติเหตุจราจรมีสาเหตุมาจาก อะไร ป้องกันได้หรือไม่ มีความร้ายแรงหรือส่งผลกระทบต่อพวกเขามากน้อยเพียงใด รวมไปถึง การประเมินเปรียบเทียบระหว่างผลดี ผลเสียจากการเสี่ยงหรือไม่เสี่ยง โดยที่วิธีคิดดังกล่าวเกิดขึ้น จากการปะทะประสานกันระหว่างกลไกในระบบธุรกิจที่มุ่งหวังเพียงผลกําไรกับวิถี ชีวิตของคน รับจ้างขับรถบรรทุก ทาไม “อุบัติเหตุจราจร” จึงเป็นความเสี่ยงที่ขาดความน่ากลัว? แม้คนขับรถบรรทุกจะมีวิธีคิดกว้างๆ ว่าอุบัติเหตุจราจรมิได้เป็นเหตุการณ์ที่ นํามาซึ่ง ผลกระทบที่ร้ายแรงใดๆ กับ พวกเขาไม่ว่าจะเป็ นอันตราย ความเสีย หาย หรือความผิดในเชิง กฎหมายในทํ านองหากสามารถหลี ก เลี่ ย งไม่ใ ห้ เ กิ ด อุบั ติ เ หตุ จ ราจรได้ก็ ดี แต่ ถ้ าไม่สามารถ
ฅนขับรถบรรทุก
91
หลีก เลี่ยงได้ ก็ ไม่เ ป็ น ไรนั้น ในวิธีคิดของคนขับ รถบรรทุก ดังกล่าวยั งมีรายละเอีย ดในประเด็น ผลกระทบจากอุบัติเหตุจราจรที่แยกย่อยลงไปอีก 2 ลักษณะ คือ 1) อุบั ติ เหตุ จราจรเป็น ความเสีย หายของคนอื่น โดยที่แม้คนขับ รถบรรทุกจะรับ รู้ว่า อุบั ติ เหตุ จราจรเป็ นเหตุ การณ์ที่แทบจะไม่ก่ อให้เ กิดผลกระทบที่ร้ายแรงใดๆ กับ พวกเขา แต่ คนขับรถบรรทุกก็รับรู้ว่าอุบัติเหตุจราจรอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงแก่ผู้ขับขีค่ กู่ รณีทขี่ บั ขี่ยวดยานประเภทอื่นเพราะรถของคนเหล่านั้นไม่สามารถป้องกันอันตรายใดๆ ให้กับพวกเขาได้ เหมือนกับที่รถบรรทุกสามารถป้องกันให้กับคนขับรถบรรทุกได้ รวมทั้งบุคคลเหล่านั้นยังต้องเผชิญ และแก้ไขความยุ่งยากต่างๆ ด้วยตนเอง แม้จะมีบริษัทประกันภัยเข้ามาช่วยเหลือบุคคลเหล่านั้น เช่นเดียวกับคนขับรถบรรทุกแต่ก็ไม่เหมือนกับคนรับจ้างขับรถบรรทุกอย่างพวกเขาที่มีทั้งบริษัท ประกันภัยและเถ้าแก่เจ้าของกิจการร่วมกันปกป้องและรับผิดชอบเรื่องราวภายหลังอุบัติเหตุจราจร ต่างๆ แทนเกื อบทั้งหมด โดยที่พวกเขาแทบจะไม่ต้องเข้าไปมีส่วนเกี่ ย วข้องกั บ ความยุ่ งยาก ภายหลังเกิดอุบัติเหตุจราจรใดๆ ด้วยตนเองเลย 2)อุบัติเหตุจราจรเป็นสิ่งที่สามารถทดแทนได้ ภายใต้วิถีที่เรื่องราวภายหลังอุบัติเหตุ จราจรสงบลง เสมือนว่าไม่มีใครได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุจราจรที่เกิดขึ้นหรือไม่เคยมีอุบัติเหตุ จราจรนั้นเกิดขึ้น ภายหลังมีการชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุอย่างเป็นทางการโดย บริษัทประกันภัยรถและไม่เป็นทางการจากเถ้าแก่เจ้าของกิจการรถบรรทุก ด้วยบริบทแวดล้อม ดังกล่าว คนขับรถบรรทุกเกิดการรับรู้ว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจากอุบั ติเหตุจราจรไม่ว่าจะเป็น ความเสียหายในรูปแบบใดล้วนแต่สามารถทดแทนได้ด้วย ‚เงิน‛ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นความเสียหาย ของสินค้า รถ และแม้กระทั่งความพิการและความตาย ทั้งวิธีการเคลียร์อย่างเป็นทางการของบริษัทประกันภัยและการ ‚เคลียร์‛ นอกระบบที่ ผลักคนขับรถบรรทุกออกจากภาระที่ต้องรับผิดชอบจากเหตุการณ์อุบัติเหตุซึ่งมีผลทําให้คนขับ รถบรรทุกไม่เ สีย เวลาการทํางาน และธุรกิ จสามารถดําเนินไปได้ตามกํ าหนด มโนสํานึก ความ รับ ผิด ชอบต่ อผลลัพธ์ที่เ กิ ด ขึ้น จากอุบั ติเ หตุจ ราจรของคนขับ รถบรรทุก จึงถู กกร่อนทําลายลง โดยเฉพาะเมื่อมีการชดเชยความเสียหายต่างๆ ด้วยเงินซึ่งเป็นเสมือนการถ่ายโทษความผิดที่พวก เขามีส่ว นในการก่ อให้ เ กิ ด ขึ้น ยิ่ งเมื่อการเสี่ย งขั บ รถในลัก ษณะที่ เ อื้ อต่อ อุบั ติเ หตุจ ราจรได้ กลายเป็นช่องทางในการดํารงอยู่ของตนเองและคนที่เป็นที่รักอย่างคนขับรถบรรทุกด้วยแล้ว ความ เดือดร้อนของผู้อื่นก็ดูเหมือนว่าจะมีความรุนแรงน้อยลง ดังที่ Douglas (ibd.: 31) เสนอ แม้ว่าสิ่งที่เป็นความเสี่ยงหรืออันตรายจะมีอยู่จริง แต่ คนในสังคมจะเห็นว่าเป็นอันตรายหรือความเสี่ยงหรือไม่นั้นมีเรื่องของศีลธรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง ใน กรณีของคนขับรถบรรทุกที่ต้องอาศัยความเสี่ยงเป็นช่องทางในการดํารงอยู่โดยที่ไม่ต้องรับผิดชอบ ใดๆ กับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนี้ก็เช่นกัน ทั้งวิธีการเคลียร์โดยระบบประกันภัยและเถ้าแก่ที่นํา ‚เงิน‛ มา
ฅนขับรถบรรทุก
92
เป็นเครื่องมือในการทดแทนความผิดต่างๆ รวมถึงความจําเป็นในการดํารงอยู่ เหล่านี้ได้กร่อน ทําลายความรู้สึก ผิด ชอบของเหล่าคนขับรถบรรทุก แม้คนขับรถบรรทุกจะยั งคงมีความคิดว่า อุบัติเหตุจราจรเป็นสิ่งที่อาจทําให้ผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่นได้รับอันตรายและความเดือดร้อน แต่ก็ดู เสมือนว่าความจําเป็นทางเศรษฐกิจและเรื่องราว ‚การเคลียร์‛ ที่ผ่านมาในอดีตได้ทําให้สํานึกของ คนขับรถบรรทุกอีกส่วนหนึ่งไม่ได้ให้ความสําคัญกับอันตรายหรือความเสียหายจากอุบัติเหตุอย่าง จริงจังนัก ภาพในความคิดว่าอุบัติเหตุจราจรเป็นสิ่งที่ ‚ต้อง‛ หลีกเลี่ยงเริ่มเปลี่ยนแปลงเป็น ‚ควร‛ หรือ ‚น่าจะ‛ หลีกเลี่ยง ทาไมความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุจราจรจึงถูกทาให้น่ากลัวน้อยลง? ในปั จ จุบั น มีแนวโน้มว่าระบบนายทุน สามารถควบคุมครอบงําแรงงานได้สมบู รณ์ นายทุนอย่างเถ้าแก่เจ้าของกิจการสามารถครอบงําทางความคิดเพื่อให้คนขับรถบรรทุกยอมรับ เงื่อนไขการทํางานที่เอื้อต่อการเกิดอุบัติเหตุจราจรและอุบัติเหตุจราจรที่เกิดขึ้นจากการทํางานได้ โดยการใช้เ ทคนิค วิธีชัก จูงให้พวกเขาเหล่านั้ น เห็น พ้ องไปกั บ วิถี ดังกล่าว โดยที่แม้ว่าคนขั บ รถบรรทุกจะรู้ว่ากําลังถูกนายทุนเอารัดเอาเปรียบแต่พวกเขาก็ยอมรับ เพราะว่าเงื่อนไขในการเอา รัดเอาเปรียบนั้นไม่ได้ทําให้พวกเขาและครอบครัวได้รับ ผลกระทบที่รุน แรงจากอุบัติเ หตุจ ราจร ในขณะที่พวกเขาและครอบครัวกลับมีความเป็นอยู่ที่สุขสบายมากกว่าการรับจ้างทํางานประเภท อื่นๆ แม้ว่าเถ้าแก่เจ้าของกิจการรถบรรทุกจะขูดรีดคนขับรถบรรทุกแต่การขูดรีดนั้นก็ถูกบด บัง ซ่อนเร้นโดยการทําให้คนขับรถบรรทุกมองเห็นว่าการเสี่ยงต่ออุบัติเหตุของพวกเขาได้รับการ ตอบแทนที่คุ้มค่าและยินยอมที่จะนําตนเองเข้าไปเสี่ยง โดยเทคนิคการจ่ายค่าจ้างตามชิ้นงานที่ทํา ให้ดูเหมือนกับว่าคนขับรถบรรทุกได้รับค่าตอบแทนมากกว่าแรงงานอื่นๆ ทั้งที่หากคิดค่าจ้างเป็น รายชั่วโมงที่พวกเขาต้องทํางานอย่างต่อเนื่องวันละอย่างน้อย 10 ชั่วโมงแล้วพวกเขาได้รับค่าจ้าง ในอัตราที่มากกว่าแรงงานประเภทอื่นๆ เพียงเล็กน้อยเท่านั้น นอกจากนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้คนขับรถบรรทุกต่อต้านขัดขืนกับเงื่อนไขการทํางานที่เอา รัดเอาเปรียบที่อาจทําให้พวกเขาและคนใช้รถใช้ถนนอื่นๆ ได้รับความเดือดร้อน นอกจากเถ้าแก่ เจ้าของกิจการรถบรรทุกใช้วิธีการดึงเอาคนขับรถบรรทุกออกจากความเดือ ดร้อนอันเนื่องมาจาก ภาระที่ต้องรับผิดชอบต่างๆ โดยการประกันภัยรถบรรทุก และผลักภาระเหล่านั้นให้กับตัวแทน จากบริษัทประกันภัยและบริษัทประกันภัยเป็นผู้รับแทนซึ่งทําให้คนขับรถบรรทุกห่างไกลจากความ เดือดร้อนที่เป็นรูปธรรมแล้ว กลวิธีการทดแทนความเสียหายของบริษัทประกั นภัยรถบรรทุกยังมี ผลทําให้ระดับความรู้สึกร่วมรับผิดชอบของคนขับรถบรรทุกลดลงอีกด้วย
ฅนขับรถบรรทุก
93
ชีวิต ภายใต้ ระบบนายทุน แม้ดูว่าแรงงานมีอิสรภาพ แต่ความจริงแล้วพวกเขาได้ถู ก ควบคุม ครอบงําแล้วด้ วยวิธีก ารควบคุม ครอบงําที่มีป ระสิท ธิภาพมากที่สุด คือ การครอบงํา ความคิด ดังในกรณีของคนขับรถบรรทุกที่ยอมรับ ‚อุบัติเหตุจราจร‛ ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการเอารัด เอาเปรี ย บของเถ้ าแก่ มาเป็ น ส่วนหนึ่งของวิถี ใ นการดําเนิ น ชีวิต และมองเห็น ผลกระทบจาก อุบัติเหตุจราจรด้านต่างๆ ว่าเป็นสิ่งที่สามารถทดแทนได้ด้วย ‚เงิน‛ การนิยามความจริงที่ว่าด้วยอุบัติเหตุจราจรของคนขับรถบรรทุก จากความพยายามในการอธิบายว่าทําไมอันตรายบางอย่างจึงถูกระบุว่าเป็ น ‘ความ เสี่ยง’ ในขณะที่อันตรายอย่างอื่นไม่ถือว่าเป็นความเสี่ยง ทําไมบุคคลจึงมีพฤติกรรมบางอย่างทั้งที่ พวกเขาตระหนักดีว่ามันเป็นอันตราย และอะไรคือบริบทและเงื่อนไขที่ทําให้ปัจเจกเกิด การรับรู้ ความเสี่ยง (Lupton, 1999) Douglas นักมานุษยวิทยาเชิงวัฒนธรรมได้พัฒนาทฤษฎีความเสี่ยง ขึ้นมาเพื่อหาคําอธิบายที่พ้นไปจากการลดทอนให้ปัจเจกเป็นผู้กระทําการที่ลอยอยู่ในสุญญากาศ และประกอบสร้างให้ปัจเจกเป็นผู้กระทําการที่มีอิสระเลือกกระทําการใดๆ ได้ด้วยตนเอง โดยใช้มโนทัศ น์ที่ว่าด้ วยความเสี่ย งตามแนวคิด ของดัก กลาสมาเป็ น เครื่องมือทาง ความคิดในการทําความเข้าใจปรากฏการณ์เกี่ยวกับอุบัติเหตุจราจร เราจะมองเห็นว่าความเสี่ยง ต่ออุบัติเหตุจราจรมิได้มีธรรมชาติเป็นความจริง (reality) ที่เป็นสากล และเป็นอิสระจากเงื่อนไข ทางบริบทสังคมและวัฒนธรรม รวมทั้งมิใช่เป็นเรื่องของความรู้หรือไม่รู้เกี่ยวกับโอกาสที่จะเกิ ด เหตุก ารณ์ที่ไม่พึงประสงค์ (probability of bad outcome) หรือความไม่รับผิดชอบของผู้ขับ ขี่ หากแต่ความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุจราจรเป็นความจริงที่มีธรรมชาติเป็นสิ่งประกอบสร้างทางสั งคม (socially constructed) ซึ่งมักจะโน้มเอียงตามกลุ่มสังคมและเกิดจากการสนับสนุนจากสถาบัน ทางสั ง คม โดยที่ แ ม้ ว่ า ชาวบ้ า นจะตอบสนองต่ อ ความเสี่ ย งไม่ เ หมื อ นกั บ การประเมิ น ของ ผู้เชี่ยวชาญ แต่ การตอบสนองของชาวบ้ านก็เ ป็น สิ่งที่มีประโยชน์และคุณค่าภายใต้บริบททาง สังคมวัฒนธรรมบางอย่างซึ่งควรจะต้องได้รับการยอมรับ การตอบสนองต่อความเสี่ยงที่ดูราวกับ ไม่มีเหตุผลของชาวบ้านตามทัศนะของผู้เชี่ยวชาญเป็นการยืนยันว่าสิ่งที่อาจดูเหมือน ‚ไร้เหตุผล‛ ในความจริงแล้วมันตั้งอยู่บนพื้นฐานของการตัดสินใจอย่างมีเหตุผล (Lupton, 1999) แน่นอนว่าเรามิอาจปฏิเสธได้ถึงคุณูปการขององค์ความรู้แบบวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ที่มี ต่อชีวิตมนุษย์ ที่เด่นชัดคือความเป็นอยู่ที่ได้รับความสะดวกสบายมากขึ้นและการเยียวยาความ ป่วยไข้ที่ไม่อาจรักษาได้ในอดีต ในขณะเดียวกันภาพปรากฏแห่งคุณประโยชน์ของวิทยาศาสตร์ สมัยใหม่นี้ก็กลายมาเป็นมายาคติที่ซ่อนเร้นความรุนแรงที่กระทําต่อผู้คนและสังคมไว้ มิใช่ความ รุน แรงทางกายภาพที่ปรากฏให้เ ห็นอย่ างชัดเจน หากแต่เ ป็ นความรุนแรงที่มีผลลึกซึ้งต่อองค์
ฅนขับรถบรรทุก
94
ความรู้ชนิดอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นชีววิทยา แพทยศาสตร์ จิตวิทยา หรือเศรษฐศาสตร์ ด้วยเหตุที่องค์ ความรู้แบบวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ซึ่งแยกตนเองออกเป็นเอกเทศจากมโนธรรม สํานึก ศีลธรรม และ เรื่องราวทางสังคมและวัฒนธรรมนี้ได้สถาปนาตนเองเข้าครอบงําและกําหนดมุมมองที่ผู้คนพึงมี ต่อชีวิต และปั ญ หาต่ างๆ ให้เ ป็ นไปในทิศทางหนึ่งทิศทางเดีย ว และถู ก ทําให้เข้าใจไปว่าด้วย มุมมองชนิดนี้ชนิดเดียวเท่านั้นที่เป็นความจริงหนึ่งเดียวที่ผู้คนจะใช้ในการมองและทําความเข้าใจ กับชีวิตและปัญหาต่างๆ (พระประชา ปสนนธมโม และคณะ, 2544; อติศักดิ์ จึงพัฒนาวดี , 2548: 133-136) เช่นเดียวกั บการนิยามความจริงที่ว่าด้วยอุบั ติเหตุของรัฐและผู้เชี่ย วชาญผ่านการใช้ ตรรกะแบบปฏิฐ านนิย ม (Positivism) ให้เ ป็ นปั ญ หาทางด้านถนน (Road environment) รถ (Vehicles) และผู้ขับขี่ (Road user) โดยที่ตัวผู้ขับขี่ได้ถูกแยกออกจากความสัมพันธ์ทางสังคมอัน ซับซ้อนที่ส่งผลต่อการรับรู้ความเสี่ยงและลดทอนประสบการณ์เกี่ยวกับอุบัติเหตุของผู้คนให้เหลือ เพียงสิ่งที่เรีย กว่า ‚พฤติกรรมเสี่ยง‛ อัน เป็นผลมาจากความไม่รู้ ความไม่มีจิตสํานึกด้านความ ปลอดภัย หรือความไม่รับผิดชอบ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่รัฐและผู้เชี่ยวชาญเรียกว่าความ ไม่รู้ ความไม่มีจิตสํานึกด้านความปลอดภัย หรือความไม่รับผิดชอบนั้นเป็นสิ่งที่สะท้อนถึ งความ สลับ ซับซ้อนของชีวิตมนุษย์ ซึ่งได้ถูก ศาสตร์ทางสถิ ติซึ่งเป็ นเครื่องมือในการค้น หา ‚ความจริง ‛ แบบวิทยาศาสตร์ลดและทอนทิ้งไป โดยเหลือเก็บไว้เพียง ‚ตัวแปร‛ ที่สามารถวัดและหาในเชิง ปริมาณได้อย่างพฤติกรรมบางพฤติกรรมซึ่งมีคุณสมบัติถูกต้องตามแบบแผนที่แน่นอนและตายตัว ของศาสตร์ทางสถิติอย่างการดื่มสุรา การไม่สวมหมวกนิรภัย การดัดแปลงสภาพรถมอเตอร์ไซด์ ผิดไปจากมาตรฐาน การไม่มีใ บขับ ขี่ การไม่ค าดเข็มขัดนิรภัย และการขับ รถเร็วเกิ น กํ าหนด ในขณะที่ความจริงที่ว่าด้วยอุบัติเหตุจราจรและผลกระทบของคนขับรถบรรทุกเป็นสิ่งที่เกิดผ่าน ประสบการณ์ของชีวิตท่ามกลางบริบททางสังคมวัฒนธรรมที่แวดล้อมชีวิตของพวกเขา ในโลกแห่งความจริงที่ผู้คนยังมีครอบครัว เพื่อน สังคม และความซับซ้อนของชีวิตอื่นๆ การดื่มสุราแล้วขับรถ การไม่สวมหมวกนิรภัย การดัดแปลงสภาพรถมอเตอร์ไซด์ การไม่มีใบขับขี่ การไม่คาดเข็มขัดนิรภัย และการขับรถเร็วเกิ นกําหนดมิได้มีความหมายเพียงว่าผู้ขับขี่ชาวบ้าน เหล่านั้น ไม่รู้ถึงอัน ตรายที่อาจเกิ ดจากพฤติก รรมดังกล่าว หากแต่สิ่งเหล่านี้ ยั งแฝงเร้นไว้ด้วย เรื่องราวของบริบททางสังคมและวัฒนธรรม ดังที่งานวิจัยของลือชัย ศรีเงินยวง และคณะ (2546) ซึ่งศึกษาพฤติกรรมการใช้หมวกนิรภัยในกลุ่มคนต่างๆ แล้วพบว่า พฤติกรรมการใช้หมวกนิรภัย เป็นสิ่งที่สัมพันธ์กับเงื่อนไขทางสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และเพศวัยของคนแต่ละกลุ่ม ซึ่งมีวิถี การดําเนินชีวิต รูปแบบและวัตถุประสงค์ของการมีและการใช้รถที่แตกต่างกัน ในขณะที่งานวิจัย ของจุรีรัตน์ กิจสมพร (2545) ได้ชี้ให้เห็นว่าสําหรับกลุ่มวัยรุ่นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการดัดแปลงสภาพ รถผิดไปจากมาตรฐาน การไม่สวมหมวกนิรภัย หรือแม้แต่การขับรถแข่งขันกัน เหล่านี้ล้วนแต่เป็น
ฅนขับรถบรรทุก
95
วิธีในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน เป็นการระบายความเครียดหรือโมโห รวมทั้งการแสดง ความสามารถ และความกล้าหาญของพวกเขาให้เป็นที่ประจักษ์แก่เพื่อนและสาวที่หมายปอง ท่ามกลางความสัมพันธ์ระหว่างสภาพเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงเกาะ เกี่ยวกันอยู่อย่างแนบแน่นกับวิถีชีวิตของผู้คน พฤติกรรมการขับรถของผู้ขับขี่ชาวบ้านมิอาจแยก ขาดออกจากเรื่องราวในชีวิตอื่นๆ ได้ การดื่มสุราก่อนขับรถไม่อาจแยกขาดออกจากธรรมเนีย ม ปฏิบัติในงานเลี้ยง การพบปะสังสรรค์ระหว่างเพื่อน หรือเครื่องมือในการระบายความเครียดใน ชีวิต การไม่สวมหมวกนิรภัยซึ่งไม่อาจแยกขาดออกจากปัญหาอันเนื่องมาจากสวมใส่ รวมถึงการ ขับรถเร็วซึ่งมิอาจแยกขาดออกจากความสลับซ้อนซ้อนของชีวิตที่มีทั้งเงื่อนไขการว่าจ้าง ความขัด สนในชีวิต หรือวิธีการสร้างความสัมพันธ์ในหมู่เพื่อน เหล่าคนขับรถบรรทุกมิใ ช่จะไม่รู้ถึงความเสี่ยงจากการขับรถเร็ว การฝ่าสัญญาณไฟ จราจร หรือการขับรถที่ผิดกฎจราจรต่างๆ หากแต่การขับรถเร็วหรือฝ่าฝืนกฎจารจรต่างๆ เหล่านั้น ของพวกเขาเป็นพฤติกรรมที่ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขแวดล้อมอื่นๆ เช่น การ ‚ติดเวลา‛ ‚งานเร่ง‛ และ ความต้องการ ‚เงินค่าเที่ยว‛ สําหรับผู้ขับขี่ชาวบ้านซึ่งมีวิถีของชีวิตอย่างคนขับรถบรรทุกแล้ว เรื่องราวเกี่ยวกับอุบัติเหตุจราจรของคนขับรถบรรทุกดูเหมือนจะแตกต่างไปจากการนิยามความ จริงที่ว่าด้วยอุบัติเหตุจราจรของผู้เชี่ยวชาญซึ่งลดทอนความสลับซับซ้อนในชีวิตของผู้คนลงเหลือ เพียงพฤติกรรมเสี่ยง เพราะ ‚อุบัติเหตุจราจร‛ ของคนขับรถบรรทุกนั้นเป็นเรื่องราวที่แนบแน่นอยู่ กับเรื่องราวของ ‚(เถ้าแก่) เขาว่ามันยังพอไปได้อยู่ เอ้า...ไป‛ ‚คนเราต้องกินต้องใช้อยู่ทุกวัน วิ่ง ได้เราก็ไป‛ ‚เรื่องง่วงมันก็เรื่องปกติอยู่แล้ว‛ ‚มันทําเที่ยว ทําเวลา เพราะรถมันก็ต้องลอยตัวถึง ขนาดนั้น ถ้าอย่างนั้นมันไม่ทัน‛ ‚บางทีมันไม่ได้...เวลามันก่ํากึ่งอย่างนี้ มันก็ต้องไปกันแล้ว‛ และ ‚เราไม่เกี่ยว เราคนขับ...โทรฯ เรียกประกันมันมาตกลง เคลียร์กันเองก็แค่นั้น‛ และอื่นๆ นั้นเต็มไป ด้วยเรื่องราวของชีวิตอันสลับซับซ้อน ซึ่งแม้ว่าเรื่องราวเหล่านี้จะไม่ปรากฏอยู่ในเรื่องราวที่ว่าด้วย ‚อุบัติเหตุจราจร‛ ของรัฐและผู้เชี่ยวชาญก็ตาม แต่ในโลกแห่งความจริงของผู้ขับขี่ชาวบ้านแล้ว เรื่อ งราวในทํา นองนี้ก็ ทํา ให้ค วามจริ งที่ ว่าด้ วยอุบั ติ เ หตุจ ราจรแบบวิ ท ยาศาสตร์ ของรัฐ และ ผู้เชี่ยวชาญถูกเพิกเฉยจากผู้ขับขี่ชาวบ้านเช่นกัน ชุดวิธีคิดที่ว่าด้วยอุบัติเหตุจราจรกับนายทุน ‚เมื่อก่อน...ปีกลายเนี่ย (เถ้าแก่) เขาพาพวกผมไปเลี้ยง (ที่ร้านอาหาร) ในบ้านน้ําน้อย เขาบอกว่า...ปีนี้พวกมึงทํากําไรให้กูสิบล้าน (เขา)บอก...ปีหน้าให้ทําให้กูยี่สิบล้าน...ที่อยู่ เนี่ยนะ...ที่ขึ้นปีใหม่มาเนี่ย แต่เขาไม่ได้บอกว่าได้กี่ล้าน เขาไม่ได้พูดปีเนี่ย แต่ปีก ลายเขา บอกเขาได้สิบล้าน‛ (รัตน์ คนขับรถบรรทุกทราย)
ฅนขับรถบรรทุก
96
ถือว่าเป็นเรื่องปกติสําหรับระบอบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมซึ่งมีเป้าหมายสําคัญอยู่ที่การ ได้ผลกําไรสูงสุด เพียงแต่ด้วยวิธีการเช่น ใดเท่านั้น ที่จะช่วยให้เหล่านายทุนหรือเถ้าแก่เจ้าของ กิจการรถบรรทุกทรายอย่างนายจ้างของรัตน์บรรลุถึงเป้าหมายในการเพิ่มผลกําไรจากสิบล้านบาท ในปีที่ผ่านมาเป็นยี่สิบล้านบาทในปีนี้ อาจเป็นการเพิ่มจํานวนการผลิต หรือการลดต้นทุนการ ผลิต หรือการประสานทั้ง 2 วิธีเข้าด้วยกัน ภายใต้ ค วามสัมพัน ธ์ เ ชิงแลกเปลี่ย นที่ดูเ สมือนว่ามี ความเสมอภาคระหว่างคนขั บ รถบรรทุก ผู้ขายแรงงานกับ เถ้ าแก่ ผู้ซื้อ โดยต่างฝ่ายต่างมีอํานาจต่อรองและปราศจากการใช้ อํานาจเข้าบั งคับ ซึ่งกั น และกั น นั้น เป็ น ที่น่าสงสัย ว่าวิธีก ารได้มาซึ่งผลกํ าไรที่ดูเ สมือนว่าเป็ น ‚ความชอบธรรม‛ ของนายทุนอย่างเถ้าแก่ของรัตน์นั้นเป็นอย่างไร เพราะในขณะที่นายทุนอย่าง เถ้าแก่ของรัตน์ได้ผลกําไรจากธุรกิจในแต่ละปีนับเป็นสิบล้านและมีทีท่าว่าจะมากยิ่งขึ้นๆ นั้นรัตน์ และเพื่อนๆ ซึ่งเป็นเสมือนจักรกลในการผลิต ‚กําไร‛ กลับยังคงต้องทํางานอยู่อย่างหนักท่ามกลาง เงื่อนไขที่เต็มไปด้วยการเสี่ยงต่ออุบัติเหตุโดยได้รับค่าตอบแทนซึ่งแม้ว่ามีจํานวนมากกว่ าค่าจ้าง ขั้นต่ําแต่มันก็มีค่าเพียงพอการประทังชีพของตนเองและครอบครัวโดยไม่ยากแค้นเท่านั้น สําหรับ Karl Mark ซึ่งพยายามที่จะอธิบายการทํางานของระบบทุนนิยมและค้นหาถึง สาเหตุที่ทําให้ทุนนิยมมีอํานาจเหนือผู้คนที่ทํางานและมีชีวิตอยู่ภายใต้ระบบดังกล่าวแล้ว โดย ผ่านกรรมสิทธิ์ในปัจ จัยการผลิตและการซื้อพลังแรงงาน (labor power) นายทุน แสวงหากําไร สูงสุดเพื่อสะสมความมั่งคั่งด้วยการสร้างมูลค่าส่วนเกิน (surplus value) จากการขูดรีดเอารัดเอา เปรียบแรงงานในรูปแบบต่างๆ รวมไปถึงเพื่อมิให้แรงงานเหล่านั้นรู้เท่าทันถึงการขูดรีดและเกิดการ ต่อต้าน นายทุนจึงพยายามปลูกฝังให้แรงงานมีความคิด ความเชื่อคล้อยตามบางอย่าง ดังเช่นชุด วิธีคิดเกี่ยวกับอุบัติเหตุจราจรของคนขับรถบรรทุก 1) ชุดวิธีคิดที่ว่าด้วยอุบัติเหตุจราจร: วิธีการล่อลวง เพียงการทําให้คนขับรถบรรทุกมองเห็นว่าอุบัติเหตุจราจรเป็นเพียงเหตุการณ์ ปกติอย่าง หนึ่งของการขับรถบรรทุกซึ่งไม่ว่าใครๆ ก็ไม่สามารถหลีกหนีได้พ้นดังเช่น ‚เราไม่ชนเขา เขาก็ชน เรา‛ ตลอดรวมไปถึงไม่มีผลกระทบที่ร้ายแรงใดๆ กับพวกเขาซึ่งเป็นคนทํามาหาเลี้ยงตนเองและ ครอบครัวด้วยการรับจ้างขับ รถบรรทุกอันเนื่องมาจากความได้เปรียบทางด้านกายภาพของรถ การประกันภัยรถบรรทุก และการช่วยเหลือทางด้านคดีความจากนายจ้างแล้ว นายทุนอย่างชาญ เถ้าแก่เจ้าของกิจการรถบรรทุกทรายนายจ้างของรัตน์ซึ่งมีรถบรรทุกอยู่ในกรรมสิทธิ์ไม่ถึง 20 คันก็ สามารถสะสมมูลค่าส่วนเกิน (surplus value) จากกิจการในแต่ละปีได้เป็นเงินนับสิบล้าน
ฅนขับรถบรรทุก
97
1.1) การอาพรางการขูดรีดมูลค่าส่วนเกิน ภายใต้ หน้ากากแห่งความเอื้ออาทรที่คนขับรถบรรทุก มองเห็น การให้ความ ช่วยเหลือแก่คนขับรถบรรทุกด้วยวิธีต่างๆ ของนายจ้างมิได้มีเป้าหมายอยู่ที่การช่วยเหลือแรงงาน โดยไม่มีสิ่งแฝงเร้น แท้จริงแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงวิธี การที่เคลือบคลุมการกดขี่ขูดรีดที่นายทุน กระทําต่อคนขับรถบรรทุกเพื่อให้ได้มูลค่าส่วนเกินการผลิตจากแรงงานมากที่สุด ดังการที่นายทุน จ่ายส่วยให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นไม่ได้มีเป้าหมายเพียงเพื่อให้คนขับรถบรรทุกสามารถนํารถที่มี สภาพรถและสภาพการบรรทุกสินค้าที่ผิดกฎหมายไปสู่ปลายทางได้โดยสะดวกตามเวลาธรรมดาๆ หากแต่การจ่ายส่วยนี้ยังเป็นวิธีการที่นายทุนสามารถทําให้คนขับรถบรรทุกทํางานอย่างต่อเนื่อง โดยไม่เ สีย เวลาไปกั บ เรื่องราวที่เ ป็ นอุป สรรคในการผลิตซึ่งอาจมีผลทําให้ก ารส่งสิน ค้าล่าช้า หรือไม่ครบจํานวนตามที่กําหนด ในขณะที่ก ารจ้างคนตามรถซึ่งเหล่าคนขับ รถบรรทุก เข้าใจว่านายทุน จ้างคน เหล่านี้เข้ามาเพื่อคอยให้ความช่วยเหลือแก่พวกเขาอย่าง ‚เราเกิดอะไร เขาต้องรับผิดชอบเรา รถ เสีย เขาต้องซ่อมให้เราได้ ยางระบ่งระเบิด ต้องจัดการให้ ‛ ธรรมดาๆ เท่านั้น คนตามรถซึ่งได้รับ การว่าจ้างจากนายทุนให้เ ฝ้าติ ดตามช่วยเหลือเหล่าคนขับรถบรรทุกไปทุกหนทุกแห่งเหล่านี้ยั ง ได้รับมอบหมายจากนายทุนให้ทําหน้าที่ติดตาม ควบคุม และเร่งรัดจังหวะการทํางานของคนขับ รถบรรทุกให้ได้ผลผลิต จํานวนเที่ยว ตามจํานวนที่กําหนดซึ่งทําให้คนขับรถบรรทุกต้องทํางาน ต่อเนื่องติดต่อกันนานหลายชั่วโมงโดยไม่ได้พักผ่อนจนเกิดความเมื่อยล้า อ่อนเพลีย หรือหลับใน โดยที่พวกเขาไม่ตระหนักเลยว่าสิ่งเหล่านี้อาจนําไปสู่หายนะสําหรับเขาและผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ดังที่รัตน์พูดถึงวิธีในการเร่งรัดงานของคนตามรถให้ฟังว่า ‚ คนตามรถ เขาต้องคอยเรียกเราตลอด เผื่อบางทีเราหลับ เขาจะโทรฯ หาตอน…ก็ ตอนซักเที่ยงคืนไปแล้ว โทรฯ เช็คเราว่าขับถึงไหนๆ แล้วเนี่ย ...แต่ ถ้างานเร่ง เขากวดติด เลยน่ะ ถ้างานเร่งๆ เขาจะโทรฯ จี้ มึงถึงไหนๆ แล้ว โกหกเขาไม่ได้หรอก บางทีเขาขับรถ ตามหลังเรามาเนี่ย เขาโทรฯ เช็คเรา เราไปโกหกเขาไม่ได้ เดี๋ยวเขาไม่เชื่อถื อคําพูดเรา เราไปโกหกเขาไม่ได้เลย…บางทีผมจอดที่บางน้ําพุเขายังโทรฯ ไปเรียกเลย…รัตน์อยู่ไหน แล้ว อยู่บางน้ําพุ มึงทําอะไรอยู่ล่ะ นอน ...ไปไม่ไหว เฮ้ย!…กินกาแฟ ลูบหน้า ซักเที่ยว ไม่ได้เหรอ‛ โดยเฉพาะการทําประกั นภัย รถและการช่วยเหลือคนขับ รถบรรทุก ให้พ้น จาก ความผิดทางด้านกฎหมายซึ่งมีเจตนาแท้จริงมิใช่เป็นเรื่องของความมีน้ําใจที่ต้องการช่วยเหลือ ลูกจ้างหรือการประกันความเสียหายตรงไปตรงมาดังที่ รัตน์และเพื่อนๆ คนขับรถบรรทุกคิดและ
ฅนขับรถบรรทุก
98
เข้าใจ หากแต่แก่นแท้ (essence) ของวิธีการเหล่านี้คือการพิทักษ์ปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง ของนายทุน กล่าวคือเพื่อป้องกันมิให้คนขับรถบรรทุกสูญเสียเวลาในการทํางานไปกับเรื่องราว การเกิดอุบัติเหตุซึ่งมีผลพลอยทําให้สายพานการผลิตหยุดชะงักนานเกินไปซึ่งจะก่อให้เกิดความ เสีย หายทางธุรกิ จ มากกว่ าค่ าใช้ จ่ายในการทํ าประกั น ภัย และการวิ่งเต้ น ช่วยเหลือให้คนขั บ รถบรรทุกพ้นจากความยุ่งยากกลับมาขับรถบรรทุกส่งสินค้าได้ดังเดิมโดยเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการถูก ปรับเพราะส่งสินค้าไม่ทันตามสัญญา และสูญเสียความน่าเชื่อถือทางธุรกิจ นอกจากนี้ การให้การปกป้องและปัดเป่าความเดือดร้อนให้กับคนขับรถบรรทุก ของนายทุนซึ่งหวังเพียงผลกําไรสูงสุดนี้ยังแฝงเร้นไว้ด้วยเจตนาที่จะล่อลวงแรงงานให้ตกอยู่ในกับ ดักทางความคิดที่เป็นประโยชน์กับการเอารัดเอาเปรียบ โดยอาศัยจุดอ่อนในวิถีชีวิต (ไม่มีปัจจัย การผลิตในครอบครองและด้อยการศึกษา) ที่มีข้อจํากัดในการเลือกประกอบอาชีพจนต้องมาขาย แรงงานเพื่อการยั งชีพเป็นช่องทางในการรีดเค้น พลังแรงงาน นายทุนใช้วิธีก ารจ่ายค่าจ้างตาม จํานวนผลผลิตประสานกับวิธีการ ‚เคลียร์‛ โดยระบบประกันภัยและนายทุนร่วมกันชักนําให้คนขับ รถบรรทุกมองเห็นเพียงผลดีจากการทํางานแบบทําเที่ยวที่ ‚ยิ่งทํา (งาน) มาก ยิ่งได้ (เงิน) มาก‛ โดยไม่รู้สึกห่วงกังวลแม้กับผลลัพธ์ในทางร้ายที่อาจเกิดขึ้นกับตนเองหรือผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่น 1.2) การครอบงาคนขับรถบรรทุกด้วยชุดวิธีคิดที่ว่าด้วยอุบัติเหตุจราจร นับจากตัดสินใจก้าวเข้ามาเป็นคนขับรถบรรทุกเพราะความจําเป็นในการยังชีพ แล้ว จากที่เคยรู้สึกกลัวจน ‚สั่น‛ ยามเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ถึงปัจจุบัน ความคิด ความรู้สึกเกี่ยวกั บ อุบัติเหตุจราจรของคนขับรถบรรทุกเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมไปในทางตรงข้าม นอกจากความพยายามในการสะสมมูลค่าส่วนเกิน ให้ได้มากที่สุดด้วยการให้ แรงงานขับ รถบรรทุกตลอดคื นหรือติดต่อกันเป็นระยะเวลานานโดยไม่มีคนเปลี่ยน การบรรทุก สินค้าจนน้ําหนักรถบรรทุกเกินพิกัด การขอร้องแกมบังคับให้ขับรถทั้งที่ง่วงนอนหรือป่วย การให้ ค่าจ้างเป็นรายเที่ยว หรือแม้แต่การให้ขับรถบรรทุกซึ่งอยู่ในสภาพที่ไม่ควรนํามาใช้ในการใช้งาน อย่าง ‚มันก็พอขับได้ แต่ว่าเบรกมันบ่ดี‛ ‚สภาพนี้มันต้องซ่อมแล้ว‛ หรือ ‚เราก็ต้องทนใช้ไป‛ ซึ่ง ล้วนแล้วแต่มีผลทําให้เกิดอุบัติเหตุแล้ว เรื่องราวของอุบัติเหตุเหล่านั้นในแง่มุมต่างๆ ยังถูกนายทุน ทําให้บิดเบี้ยวและนํากลับมาใช้เป็นเครื่องมือในการขูดรีดแรงงานอย่างคนขับรถบรรทุกต่อไปอีก โดยใช้วิธีการต่ างๆ นายทุน อย่างเถ้ าแก่เ จ้าของกิจ การรถบรรทุกสามารถทําให้คนรับ จ้าง ขับ รถบรรทุกมองเห็นอุบัติเหตุในมิติที่เป็นประโยชน์ต่อการเอารัดเอาเปรียบโดยที่แรงงานเหล่านั้นไม่ รู้สึกตัว โดยวิธีคิดเกี่ยวกับการเกิดอุบัติเหตุในลักษณะยอมจํานน (passive) อย่างเช่น ‚เราไม่ชน เขา เขาก็ชนเรา‛ ‚ชนก็คือชน มันจะทํายังไงล่ะ เพราะว่าเรามาอาชีพนี้แล้ ว ไม่รู้จะไปทําอาชีพ อะไร...มันก็ต้องเสี่ย ง‛ หรือ ‚เรื่องมั่นใจน่ะไม่เคยมี เพราะคนเราน่ะเดินก็ยังลื่นได้ ลื่น ล้มได้
ฅนขับรถบรรทุก
99
รถน่ะเอาแน่เอานอนกั บ มันไม่ได้ แล้วรถมัน เก่ าด้วย...‛ และมองไม่เ ห็น ถึ งความสําคัญ ของ ผลกระทบที่เกี่ย วข้องมากไปกว่าการทํามาหากิ นของตนเอง ทําให้ นายทุนอย่างเถ้าแก่สามารถ ควบคุมคนขับรถบรรทุกได้อย่างถึงแก่นแห่งการควบคุม กล่าวคือ สามารถควบคุมคนขับรถบรรทุก ให้ทํางานอย่างเต็มประสิทธิภาพได้แม้จ ะไม่มีเถ้ าแก่และคนตามรถคอยควบคุม และสามารถ ควบคุมแม้ในสิ่งที่เถ้าแก่และคนตามรถไม่สามารถควบคุมได้ถึงอย่างความรู้สึกคลางแคลงใจใน เงื่อนไขการทํางานที่เอารัดเอาเปรียบของเถ้าแก่ ความวิตกกังวล หรือความไม่พึงพอใจในงาน ผ่านวิธีคิดในลักษณะที่ว่าการเกิดอุบัติเหตุจราจรเป็นเหตุการณ์ปกติธรรมดาของ การขับรถบรรทุก เป็น เหตุก ารณ์ซึ่งอยู่เ หนือการควบคุม รวมทั้งไม่มีผลเสีย ร้ายแรงใดๆ กับ ตัว คนขับรถบรรทุกซึ่งเป็นเพียงลูกจ้าง นายทุนอย่างเถ้าแก่เจ้าของกิจการรถบรรทุกสามารถทําให้ คนขับรถบรรทุกมองข้ามความเสี่ยงอันเนื่องมาจากเงื่อนไขการทํางานที่มีความเสี่ยงและทํางานอยู่ ในบริบทของการขับรถที่เสี่ยงนี้ต่อไปด้วยความสมัครใจ ‚คิดว่าจะไม่ขับด้วย...ถ้าไม่มีประกันน่ะ ชนตูมเนี๊ยะ โห...เสร็จเลย หลายเรื่องเลย ไม่ว่าใครผิดใครถูกก็จริง‛ และสามารถรีดเค้นแรงงาน ให้ทํางานมากขึ้นโดยที่พวกเขาเองก็ไม่ใส่ใจกับความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการทํางานเกิน กําลังอย่าง ‚เรามีประกันอยู่แล้วไง...เราไม่กลัว ประกันจัดการไป โทรฯ ไปเรียกประกัน...เรียบร้อย เราคนขับไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว‛ นอกจากอํานาจจากการเป็ น ผู้ครอบครองปั จ จัย การผลิตจะสามารถควบคุม แรงงานให้ทํางานตามเงื่อนไขรูปแบบต่างๆ ซึ่งสามารถสร้างผลกําไรจากการเพิ่มมูลค่าส่วนเกิน จากแรงงานได้แล้ว ในธุรกิจ ที่มีเรื่องราวการเกิ ดอุบัติเหตุจราจรบ่อ ยๆ ดังเช่นธุรกิ จขนส่งด้วย รถบรรทุกแล้วการครอบงําวิธีคิดที่ว่าด้วยอุบัติเหตุจราจรของคนขับรถบรรทุกยังสามารถช่วยให้ นายทุนสามารถควบคุมแรงงานอย่างคนขับรถบรรทุกในกระบวนการผลิตมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น กลวิธีในการประกอบสร้างชุดความคิดที่ว่าด้วยอุบัติเหตุจราจร นับจากคนขับรถบรรทุกซึ่งถูกบีบเค้นด้วยภาวะทางเศรษฐกิจตัดสินใจก้าวเข้าสู่อาชีพ ขับรถบรรทุก คนขับรถบรรทุกจะได้รับการปลูกฝังวิธีคิดที่เกี่ยวกับทํางานด้วยวิธีการต่างๆ ขึ้นใหม่ เพื่ อ ให้ ส ามารถตอบสนองต่ อ การแสวงหาผลกํ า ไรจากการเพิ่ ม มู ล ค่ า ส่ ว นเกิ น ของนายทุ น โดยเฉพาะวิธีคิดเกี่ยวกับอุบัติเหตุจราจรซึ่งมีอยู่ในตัวคนขับรถบรรทุกตั้งแต่ก่อนเข้ามารับจ้างขับ รถบรรทุกและอาจเป็นอุปสรรคสําคัญต่อการเพิ่มมูลค่าส่วนเกินของนายทุน 1) การถ่ายทอดความคิดที่ว่าด้วยอุบัติเหตุจราจรชุดใหม่ ในฐานะนายจ้าง วิธีการหนึ่งที่นายทุนใช้ในการหลอมวิธีคิดเกี่ยวกับอุบัติเหตุของคนขับ รถบรรทุกให้คลายความสําคัญลงก็คือ การโน้มน้าวให้คนขับรถบรรทุกมองเห็นถึงข้อดีของอาชีพ
ฅนขับรถบรรทุก
100
ขับรถบรรทุกในด้านรายได้ โดยอาศัยความด้อยโอกาสทางด้านอาชีพและความจําเป็นทางด้าน เศรษฐกิจของคนขับรถบรรทุก นายทุนมักนําจํานวนเงินซึ่งจะได้รับมากกว่าจากการทํางานอื่ นๆ มา บดบังข้อเสียในด้านความไม่ปลอดภัยจากการรับจ้างขับรถบรรทุก ซึ่งก็มักจะได้ผล ‚คือว่าเราไม่มีความรู้ใช่หรือเปล่า ไปทํางานอะไรก็ไม่ดีเท่าขับรถ ชีวิตอย่างผมเนี่ยนะ ขับรถมันก็เสี่ยง แต่ทํางานอย่างอื่นมันก็รับจ้างรายวัน อย่างมากก็วันละร้อยกว่าบาท สองร้อยก็เต็มที่แล้ว เช้ายันเย็น ไปปลูกอ้อยถางหญ้าอย่างเนี่ย…มันไม่ไหว ครอบครัวก็ ไม่พอกินพออยู่ ลูกเต้าก็ลําบาก‛ (เผือก คนขับรถบรรทุกดิน/ทราย) ภายใต้กระบวนการผลิต คนขับรถบรรทุกจะค่อยๆ ถูกปรับและเปลี่ยนภาพความคิดใน ส่วนที่เกี่ยวกับอุบัติเหตุจราจรซึ่งเป็นข้อเสียสําคัญในอาชีพเสียใหม่ โดยวิธีการชี้ชวนและสนับสนุน ให้คนขับรถบรรทุกมองเห็น อุบัติ เหตุในแง่มุมอื่นๆ ซึ่งมิได้เ กิดขึ้นจากความไม่สมประกอบของ เงื่อนไขการทํางาน หรือความผิดพลาดของคนขับรถบรรทุกซึ่งทุ่มเททํางานให้กับนายจ้างจนเกิน กําลัง ดังที่หนุ่มได้ซึมซับรับเอาคําพูดของนายจ้างเมื่อครั้งที่รถบรรทุกคันที่เขาขับอยู่เกิดเบรกแตก และไปชนรถที่ติ ด สัญ ญาณไฟแดงคัน อื่น ๆ ถึ ง 5 คัน เข้าสู่ความคิดในลัก ษณะที่อุบั ติเ หตุเ ป็ น เหตุการณ์ธรรมดาอย่างหนึ่งบนท้องถนนโดยมีนัยยะว่าไม่สามารถป้องกันได้ ‚ไม่เห็นเขาว่ายังไง เกิดอุบัติเหตุอะไรเขาก็ ไม่ว่าอะไร เขาบอกว่ามันเป็นธรรมชาติ … ธรรมดา ก็เกิดมั่ง เราไม่ชนเขา เขาก็อาจชนเรา‛ (หนุ่ม คนขับรถบรรทุกทราย) รวมถึงความคิดในประเด็นเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดจากอุบัติเหตุซึ่งเถ้าแก่เจ้าของกิจการ ไม่ต้องการให้คนขับรถบรรทุกมัวพะวงกับเรื่องราวดังกล่าวจนไม่กล้ าเสี่ยงขับรถบรรทุกที่มีสภาพ เบรกไม่ดี หรือไม่กล้าขับเร็ว คําพูดของเถ้าแก่ที่พูดกับคนขับรถบรรทุกก็มีส่วนทําให้พวกเขาเข้าใจ เรื่องราวการเกิดอุบัติเหตุจราจรในลักษณะที่ไม่ใช่ความผิดหรือสิ่งที่พวกเขาจะต้องรับผิดชอบ ‚ส่วนมากเถ้าแก่เขาก็บอกว่า…ชนก็ชนไป แจ้งประกัน‛ (รัตน์ คนขับรถบรรทุกทราย) นอกจากการถ่ า ยทอดความคิด ออกมาเป็ น คํ าพู ด โดยตรงแล้ ว ท่ าที ข องเถ้ า แก่ ที่ ไ ม่ แสดงออกให้คนขับรถบรรทุกเห็นถึงความเดือดร้อนใจ การไม่ว่ากล่าวตักเตือนหรือลงโทษคนขั บ รถบรรทุกยามเมื่อพวกเขาผิดพลาดซึ่งนายทุนตระหนักดีว่าเกิดจากการเอารัดเอาเปรีย บเหล่านี้ก็ ล้วนเป็นวิธีการสื่อสารที่ทําให้คนขับรถบรรทุกผู้เป็นลูกจ้างรับรู้ถึงเรื่องราวการเกิดอุบัติเหตุไปใน
ฅนขับรถบรรทุก
101
ลักษณะเป็นความผิดพลาดธรรมดาๆ อย่างหนึ่งของการขับรถบรรทุก ซึ่งลูกจ้างผู้กระทําผิดพลาด ไม่จําเป็นต้องได้รับการลงโทษ ‚…ขนาดผมนา...หลับใน คว้ําไปในปั๊มเขาเที่ยวหนึ่ง เขาก็ไม่ว่าอะไร ลูกเมียอยู่ในรถ หมด เสาไฟฟ้า หัก ครึ่ ง เถ้ าแก่ ก็ ไม่ว่ าอะไร…ตะก่ อน ขนาดคนขับ มัน หลั บ แล้ว ขับ ชนประตู พวงมาลัย น็อคประตูเ ลยน่ะ สลบไปสามวันสามคื น เถ้าแก่ ยังไม่ว่าอะไรเลย หัว รถ เละหมด เลยน่ะ แต่ อ้ายคนขับ ไม่ต าย แค่สลบไปสามวัน เขาก็ มาขั บ ต่อ รถซ่อมเสร็จ อะไรเสร็จ เขา (เถ้าแก่) ก็ไปตามมาขับ‛ (รัตน์ คนขับรถบรรทุกทราย) การหลอมและหล่ อเลี้ ย งชุด วิ ธีคิ ดที่ ว่ าด้ วยอุ บั ติ เ หตุ จ ราจรให้ มีค วามมั่น คง นอกจากวิธีการให้ข้อมูลเพื่อให้คนขับรถบรรทุกมองเห็นเรื่องราวเกี่ยวกับอุบัติเหตุในแง่มุมที่พ้นไป จากการตั้งคําถามกับสภาพการทํางานที่เอารัดเอาเปรียบตามที่เจ้าของกิจการรถบรรทุกต้องการ แล้ว เจ้าของกิจการรถบรรทุกยังพยายามทําให้ข้อมูลเหล่านั้นมีน้ําหนักและหยั่งรากลึกเข้าไปใน ความคิด ความรู้สึกของคนขับรถบรรทุกด้วยวิธีการต่างๆ 2) “ระบบปกป้อง” ที่มีประสิทธิภาพ ภายใต้วิถี ของการปกป้องผลประโยชน์ทางธุรกิจอย่างเข้มข้น นอกจากวิธีการ ‚เคลียร์‛ โดยบริษัทประกันภัยรถและเถ้าแก่เจ้าของกิจการ และการซ่อนคนขับรถบรรทุกจากเงื้อ มือทางกฎหมายจะเป็นช่องทางที่ทําให้คนขับรถบรรทุกสูญเสียเวลาในการทํางานให้กับนายทุน น้อยที่สุดแล้ว วิธีการปกป้องผลประโยชน์ทางธุรกิจที่เข้มข้นเหล่านี้ยังได้สร้างประสบการณ์และวิธี คิดเกี่ยวกับอุบัติเหตุจราจรอย่างใหม่ให้แก่คนขับรถบรรทุก จากประสบการณ์ที่ผู้ขับขี่ชาวบ้านอย่างคนขับรถบรรทุกเคยต้องรับผิดชอบกับ ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นด้วยตนเองยามเมื่อรถที่ขับขี่นั้นเป็นสมบัติส่วนตัว แม้ว่าเค้าร่าง (contour) ความรับผิดชอบนั้นจะพร่าเลือนลงไปบ้างเพราะมีบริษัทประกันภัยเข้ามาช่วยจัดการในด้านความ เสียหายให้ก็ตาม (Lowi, 1990) แต่อย่างน้อยที่สุดแล้วคนขับรถบรรทุกก็มีส่วนรับผิดชอบทางอ้อม กับความเสียหายที่เกิดขึ้นในขณะนั้นด้วยจํานวนเงินเบี้ยประกัน ซึ่งแตกต่างจากการขับรถให้กับ เถ้าแก่ที่คนขับรถบรรทุกไม่ต้องรับผิดชอบกับผลจากความผิดพลาดบนท้องถนนใดๆ ทั้งสิ้น ระบบ การปกป้องผลประโยชน์ท างธุรกิ จ ซึ่งในขณะเดีย วกั นก็ เ ป็ น เสมือนระบบที่คอยปกป้องคนขับ รถบรรทุกด้วยนั้นได้สร้างประสบการณ์การไม่ต้องรับผิ ดชอบกับผลแห่งการกระทําผิดพลาดของ คนขับ รถบรรทุกเหล่านี้อย่ างเกือบสมบู รณ์ ไม่ว่าจะเป็ น ในด้านพฤติก รรมหรือความรู้สึก ซึ่ง
ฅนขับรถบรรทุก
102
นอกจากความเสียหายที่เกิดขึ้นจะไม่ใช่ทรัพย์สินส่วนตัวของพวกเขาแล้ว คนขับรถบรรทุกยังไม่ ต้องแบกรับภาระกับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคู่กรณีใดๆ ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม ‚เราไม่ต้องไปยุ่งยากอะไร ชนปุ๊บก็เคลียร์ให้พร้อม ถูกก็เคลียร์ให้ ผิดก็เคลียร์ให้ ถึงเรา จะผิดเขาก็มา ไม่ต้องเดือดร้อนเรา ถ้าไม่มีประกันเนี่ยคงยากแล้วล่ะ ต้องไปเคลียร์เองอย่างเนี่ย ไม่ไหว‛ (เกษม คนขับรถบรรทุกทราย) และการได้รับโทษตามกฎหมาย ‚เพราะมันมีประกัน เราก็ต้องเรียกประกัน…ถ้าไม่มีคนตายเราก็ต้องเรียกประกัน ถ้ามี คนตายเราก็ต้องหนีก่อน คือยังไง อยู่ …ตํารวจมันจับเอา เพราะประกันมีแล้ว เรารับใช้เขาอยู่ แล้ว‛ (บุญ คนขับรถบรรทุกทราย) จากเค้าร่างความรับผิดชอบที่ยังพอหลงเหลืออยู่บ้างยามเมื่อขับรถซึ่งเป็นสมบัติ ของตนเอง เมื่อคนขับรถบรรทุกเข้ามาอยู่ภายใต้ระบบปกป้องผลประโยชน์ทางธุรกิจอย่างเข้มข้น ซึ่งผลักพวกเขาออกไปจากภาระที่ต้องรับจากผลแห่งการกระทําของตนเอง เค้าร่างความผิดชอบ ผลแห่งการกระทําของคนขับรถบรรทุกนี้ยิ่งถูกทําให้พร่าเลือนลงไปอีกจนแทบไม่หลงเหลือร่องรอย ไม่เพียงเรื่องของความเสีย หายในเชิงวัตถุเ ท่านั้น แม้กระทั่งชีวิตของผู้ใ ช้รถใช้ถ นนคนอื่น ๆ ก็ ดู เหมือนว่าจะถูกทําให้เป็นสิ่งที่สามารถชดใช้ได้ด้วยเงิน 5.5.3 การตอกยาทางความคิดที่ว่าด้วยอุบัติเหตุจราจรชุดใหม่ เพื่อให้ชุดความคิดที่ว่าอุบัติเหตุเป็นเหตุการณ์ธรรมดาของการขับรถบรรทุก ไม่สามารถ ป้องกันได้ และไม่มีผลกระทบที่ร้ายแรงถึงตัวคนขับนี้แนบแน่นอยู่ในความคิด ความเชื่อของคนขับ รถบรรทุก นายทุนมักจะตอกย้ําชุดความคิดดังกล่าวผ่านวิธีการต่างๆ ซึ่งจากการวิเคราะห์ข้อมูล พบว่า นายทุนมีวิธีการตอกย้ําชุดความคิดที่ว่าด้วยอุบัติเหตุดังกล่าวให้กับคนขับรถบรรทุกโดยการ ทําให้ ค นขับ รถบรรทุก รู้สึก ว่ านายจ้างให้คุณ ค่ากั บ พวกเขามากกว่าการเป็ น เพีย งลูก จ้ างขั บ รถบรรทุก การสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตนเอง และโดยผ่านระบบที่ใช้ในการปกป้องผลประโยชน์ ทางธุรกิจ ซึ่งหากการตอกย้ําชุดความคิดนี้ประสบความสําเร็จ สามารถทําให้คนขับรถบรรทุกเชื่อ โดยสนิทใจได้ ว่าอุบัติเหตุจ ราจรเป็นเหตุการณ์ปกติของการขับรถบรรทุก ไม่สามารถป้องกันได้ และไม่มีผลกระทบที่รุนแรงกับพวกเขาได้แล้ว นายทุนเจ้าของกิจการรถบรรทุกก็จะสามารถเพิ่ม มูลค่าส่วนเกินได้มากขึ้นได้ในภายหลัง
ฅนขับรถบรรทุก
103
1) มากกว่าความเป็นนายจ้าง-ลูกจ้าง สําหรับงานขับรถบรรทุกซึ่งมีพื้นที่งานเป็นพื้นที่เปิดอย่างถนนสาธารณะและทํา ให้ระบบการควบคุมการผลิตอย่างเป็นทางการไม่สามารถทํางานได้เต็มประสิทธิภาพดังเช่นใน โรงงานโดยทั่วๆ ไป ซึ่งส่งผลให้คนขับรถบรรทุกมีอิสระในการควบคุมการผลิตด้วยตนเองมากขึ้น เถ้าแก่เจ้าของกิจการรถบรรทุกพยายามดึงพลังการผลิตของคนขับรถบรรทุกออกมาให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้โดยวิธีการทําให้คนขับรถบรรทุกรู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับพวกเขา มีคุณค่ามากกว่าการเป็ นนายจ้างกั บลูกจ้างอัน เป็นความสัมพันธ์เชิงแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิ จ ธรรมดา โดยการเปลี่ยนสรรพนามเรียกเหล่าคนขับรถบรรทุกว่า ‚ลูกน้อง‛ การขอร้องให้ ‚ช่วย‛ ทํางานแทนการบังคับหรือข่มขู่ซึ่งเถ้าแก่เจ้าของกิจการก็ตระหนักดีในบริบทการทํางานที่ไม่ สามารถควบคุมแรงงานได้เข้มงวดเช่นนี้วิธีการบังคับอาจไม่ได้ผลดีเท่ากับการหว่านล้อมให้ทาํ งาน ‚เขาจะไม่ด่าเราก่อน เราบอกว่ารถเป็นนั่นเป็นนี่เขาก็เงียบไป ถามว่าเอารถไปทําหรือ ยัง ถ้ายัง เขาก็ให้รีบเอาเข้า (อู่) ไปทํา บางทีเขาก็ …อ้ายห่าเอ๊ย…งานมันเร่ง มึงช่วย หน่อยโว้ย ยังไงขับให้ได้สองเที่ยว เพราะเราก็รู้อยู่งานมันเร่ง เพราะเราไปลงทรายเราก็ ต้องเห็นว่าทรายมันขาดมั๊ยขาด... เรารู้อยู่ แต่ถ้าเราบอกไม่ไหว เขาก็ไม่ขืน เขาเคย บอกว่าถ้าไม่ไหวอย่าไปขืน เพราะเขาบอกว่าหัวรถน่ะเปลี่ยนได้ แต่พวกมึงน่ะเปลี่ยน ไม่ได้ ‛ รวมถึ ง การให้ ค วามช่ว ยเหลื อ เท่ า ที่ ส ามารถทํ า ได้ และการแสดงออกถึ ง ความรู้ สึ ก เดือดร้อนร่วมกับคนขับรถบรรทุกยามเมื่อพวกเขาประสบกับปัญหาต่างๆ แม้ในบางครั้งเรื่องราว เหล่านั้นจะไม่เกี่ยวข้องกับการทํางานโดยตรงก็ตาม แต่ก ารแสดงออกของนายจ้างในลักษณะ เช่นนี้ก็เป็นพื้นฐานที่ดีในการหล่อเลี้ยงวิธีคิดที่ว่าด้วยอุบัติเหตุที่คนขับรถบรรทุกได้รับการถ่ายทอด มาจากนายทุน ‚เขาใจกว้าง...ไม่ต้ องกลัวเลย บอกว่าโอ้โฮ…ลูกน้องไม่มีการผิดน่ะ ถูกอย่างเดีย ว แหละ...ขนาดอ้ายรินไปต่อยตํารวจน่ะ เสียเงินค่าปรับไปสี่ร้อย ติดคุกคืนนึงเขายังไปว่า ตํารวจเลยน่ะ ...ก็มันไปชกตํารวจน่ะ มันรําคาญ จับ …ค้นรถมันทุกวันๆ น่ะ ทีนี้มันก็… รําคาญอย่างเนี่ย ทีนี้มันไปกินเหล้าเมา…เมาแล้วขับรถวนมาอีกที มาถึงก็ต่อยเลยน่ะ ตํารวจก็จับ เข้าคุ ก เสียค่าปรับไปสี่ร้อย ติดคุกคืน นึง เถ้าแก่ รู้นะ บอกว่า …มึงทําไมไม่
ฅนขับรถบรรทุก
104
บอกกู ว่าอ้ายริน ติ ดคุ ก วะ พอวันหลังเขาก็ ขับ รถไปโรงพัก แล้วก็ ถ าม...อ้ายคนไหนจับ ลูกน้องกูติดคุกวะ กูมึงเลยน่ะ แต่อ้ายคนที่จับน่ะไม่ยอมรับ บอกว่าออกเวรไปแล้ว‛ ไม่ว่าจะเป็นไปด้วยความจริงใจหรือมีเจตนาอื่นๆ แอบแฝง ในที่สุดแล้ว วิธีปฏิบัติดังกล่าว ของเถ้าแก่เจ้าของกิจการรถบรรทุกไม่เพียงมีผลทําให้คนขับรถบรรทุกรู้สึกถึงความเป็นพรรคพวก (clique) ระหว่ างพวกเขากั บ นายทุน และยิ น ยอมที่จ ะทุ่ม เททํางานให้กั บ นายทุ น อย่ างเต็ ม ความสามารถเท่านั้น แต่สายความสัมพันธ์อันแนบแน่นที่เจือไว้ด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจที่คนขับ รถบรรทุกมีต่อนายจ้างนี้ยังทําให้พวกเขาเชื่อและรับเอาวิธีคิดที่ว่าด้วยอุบัติเหตุในแบบของนายทุน เข้าไปอยู่ในความคิดของพวกเขาอีกด้วย ดังเห็นได้ชัดเจนในกรณีของรัตน์ คนขับรถบรรทุกทราย ซึ่งความคิดที่ว่าด้วยอุบัติเหตุบางส่วนของเขาได้รับการอิทธิพลมาจากเถ้าแก่เจ้าของกิจการ ‚เรา ไม่ได้ทําผิดอะไร เกิดอุบัติเหตุมันเป็นธรรมชาติอยู่แล้วน่ะ เขาไม่ชนเรา เราก็ต้องชนเขา เถ้าแก่เขา พูดอย่างนี้‛ 2) ความน่าเชื่อถือของนายทุน การปฏิบัติของนายทุนที่ทําให้คนขับ รถบรรทุกรู้สึกว่าพวกเขามีคุณค่ามากกว่าการเป็ น เพียงลูกจ้าง แม้จะเป็นเจตนาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางธุรกิจของตนเองเป็นหลัก แต่ผลพวง จากการที่น ายทุน สามารถทําได้ จ ริงตามคําพูดที่ บ อกเล่าไว้กับ คนขับ รถบรรทุก ก็ ทําให้คนขับ รถบรรทุกเชื่อถือในตัวและคําพูดของนายจ้าง โดยเฉพาะการที่เถ้าแก่เจ้าของกิจการสามารถทํา ให้กับเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่ควบคุมกฎเกณฑ์การใช้รถใช้ถนนละเลยต่อกฎเกณฑ์และสามารถช่วยให้ คนขับรถบรรทุกรอดพ้นจากเงื้อมือของกฎหมาย ‚อย่างที่ผมวิ่งมาเส้น...เนี่ย ผมโทรฯถาม...(เถ้าแก่) เฮ้ย! เส้นนี้ไม่เป็นไร อ้ายตัวนั้นตัว นี้อยู่ หมายเลขนั้นๆ ทะเบียนนี้อยู่ ผ่านตลอด เราก็ไปได้ …มันเกินยี่สิบห้า ยี่สิบหกตัน เราต้องจอดอยู่แล้ว แต่นี่เราเคลียร์ทางหลวงไว้แล้ว สามสิบสี่สิบตัน ...เราเคลียร์ไว้แล้ว มันก็ให้เราวิ่งผ่านตลอดเลย ดูป้ายแล้วมันก็ให้ไป ถ้าไม่มีป้ายมันก็เรียกหน่อย มันก็ถาม ถาม…รถใครวะ พอบอก... เออ!... ถ้ามันรู้ มันก็ปล่อยไป...‛ ‚…เถ้าแก่เขาบอกประกันเลย ยังไง ยังไง อย่าให้ถึงคนขับ อย่าให้เดือดร้อนถึงคนขับ ประกันมันก็ทําให้ไม่เดือดร้อนถึงคนขับ มีแต่บอกว่าคนขับเพิ่งมาขับ แล้วก็ทิ้งรถไว้เนี่ย...เท่านั้น‛
ฅนขับรถบรรทุก
105
ความเชื่อถือทางด้านความสามารถในการจัดการปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ของนายจ้าง ได้แผ่ขยายครอบคลุมไปสู่การเชื่อถือในเรื่องราวอื่นๆ (generalize) ที่นายจ้างถ่ายทอดสู่คนขับ รถบรรทุก ไม่เว้นแม้เรื่องราวที่เกี่ยวกับการขับรถบรรทุกและอุบัติเหตุจราจรซึ่งคนขับรถบรรทุกเองก็ มีประสบเหตุการณ์ที่สอดคล้องกับข้อมูลของนายจ้าง ซึ่งในที่สุดแล้วคนขับรถบรรทุกเหล่านี้ก็เชื่อ โดยสนิทใจว่าการเกิดอุบัติเหตุจราจรจะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบที่ร้ายแรงใดๆ กับพวกเขา ดังเช่นที่ รัตน์คนขับรถบรรทุกทรายเชื่อ ‚สบาย… ลูกน้องไม่ต้องกลัวเลย เถ้าแก่เขาสั่งเลย กูไม่ให้มึงติดคุก ติดจริง แต่เขาไม่ ปล่อยเละละอย่างเนี้ยะ เดี๋ยวเขาก็มาประกัน เดี๋ยวเขาก็วิ่งเต้นเอาออกมาจนได้‛ คนขับ รถบรรทุกมี วิธีคิดเชิงจริย ธรรมที่ไม่เ อื้อต่อการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย (Moral hazard)ซึ่ง เกิ ด ขึ้น จากการที่พวกเขาไม่ค่อยได้รับ ผลกระทบจากการเกิ ดอุบั ติเ หตุอัน เนื่องมาจากการที่นายทุนและบริษัทประกันภัยเข้าไปกีดกั้น (barriers) นั้น รัฐ เจ้าหน้าที่ตํารวจ เจ้าหน้าที่จากกรมการประกันภัย และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องฝ่ายต่างๆ ควรต้องทบทวนและกําหนด วิธีการดําเนินงานและเงื่อนไขของการประกันภัยซึ่งจะต้องกําหนดให้คนขับรถบรรทุกเข้ามามีส่วน ร่วมรับ ผิด ชอบกั บ ความเสีย หายจากอุบั ติเ หตุจราจรที่เ กิ ดขึ้น โดยเฉพาะกั บ เหตุก ารณ์ความ ผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากพฤติกรรมการขับขี่ที่ส่อเจตนาการฝ่าฝืนกฎจราจรอย่างชัดเจน แต่อย่างไรก็ ตาม มาตรการที่จะกําหนดขึ้นมานี้ก็ควรเป็นมาตรการที่คํานึงถึงผลประโยชน์รอบๆ ด้านของคนขับ รถบรรทุกซึ่งเป็นบุคคลด้อยทรัพยากรและโอกาสในสังคมอย่างรอบด้าน นอกเหนือจากการกํ าหนดมาตรการให้คนขับ รถบรรทุก เข้ามามีส่วนร่วมรับ ผิดชอบ ดังกล่าวนั้นแล้ว รัฐควรต้องมีมาตรการในการจัดการกับระบบทุนที่อยู่เบื้องหลังซึ่งเป็นตัวกําหนด เงื่อนไขสําคัญที่ทําให้เกิดความสูญเสียทั้งต่อคนขับรถบรรทุกและผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ รวมถึง เป็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังที่ส่งเสริมพฤติกรรมการขับขี่ที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุด้วย
ฅนขับรถบรรทุก บรรณานุกรม Beck, U. (1992). Risk Society: Towards a New Modernity. London: Sage. Bellaby, P. (1990). To risk o not to risk? Use and Limitations of Mary Douglas on Risk-Acceptability for Understanding Health and Safety at Work and road Accidents. The Sociology Review, 38(3), 465-83. Braverman, H. (1974). Labor and Monopoly Capital: The Degradation of Work in the Twentieth Century. New York: Monthyl Review Press. Dake, K. (1992). Myths of Nature: Culture and the Social Construction of Risk. Journal of Social Issues, 48(4), 21-37. Dean, M. (1999). Risk, calculable and incalculable. In Lupton, D. (ed.), Risk and Sociocultural Theory. Cambridge: Cambridge University Press. Douglas, M. (1984). Purity and Danger: An Analysis of Concepts of Pollution and Taboo. London and Henley: Routledge and Kengan Paul. . (1990). Risk as a Forensic Resource. Deadalus, 119, 1-16. .(1992). Risk and Blame: Essay in Cultural Theory. London: Routledge. Douglas, M. and Wildavsky, A. (1982). Risk and Culture: An Essay on the Selection of Technological and Environmental Dangers. Berkeley: University of California Press. Fox, Nick J. (1999). Postmodern reflections on ‘risk’, ‘hazards’ and life choices. In Lupton, D. (ed.), Risk and Sociocultural Theory: New Directions and Perspectives. Cambridge: Cambridge University Press. Gastaldo, D. (1997). Is health education good for you? Re-thinking health education through the concept of bio-power. In Petersen, A. and Bunton, R. (eds.),. Foucault, Health and Medicine. London: Routledge. Giddens, A. (1984). The Construction of Society. Oxford: Polity. Kijsomporn, J. (2003). Cultural Construction of Risk Perception: A Case Study of Motorbike Riders in Nakornpathom. Unpublished doctoral dissertation, Mahidol University, Nakornpathom. Thailand. Lowi, T.J. (1990). Risks and Rights in the History of American Governments, Deadlus,119(4), 17-40. Lupton, D. (1999). Risk. London: Routledge. Marcuse, H. (1991). One-Dimensional Man. 2 nd ed. Boston:Beacon Press.
ฅนขับรถบรรทุก
107
Marx, K. (1973). Capital, Vol 1., Translated by Fowkes, B.. New York: International Publishers. Navarro, V. (1982). The Labor Process and Health: A Historical Materialist Interpretation. International Journal of Health Service, 12(1), 5-29. Rayner, S. (1992). Cultural Theory and Risk Analysis. In Krimsky, S. and Golding, D. (eds.), Social Theories of Risk. Westport, Connecticut:: Praeger. Salaman, G. (1984). Work Organization and Structure. New York: M.E.Sharoe, Inc. Wetteland, T. and Lundebye, S. (1997). Financing of Road Safety Actions. Third African Road Safety Congress: Petroria, South Africa, April 14-17, 1997. [Online]. Available: http://www.worldbank.org/transport/roads/saf.docs/ finance.pdf [2004, March 30] World Health Organization. (2004). World Report 0n Road Traffic Injury Prevention: Summary. [Online]. Available: http://www.who.int. [2004, March 19] Wynne, B. (1982). Institutional Mythologies and Dual Societies in the Management of Risk. Ref. in Krimsky, S. (1992), The Role of The Theory in Risk Studies. In Krimsky, S. and Golding, D. (eds.), Social Theories of Risk. Connecticut: Praeger. . (1989). Frameworks of rationality in risk management: towards he testing of naïve sociology. In Brown, J. (ed.), Environmental Threats: Perception, Analysis and Management. London: Belhaven Press. pp. 33-47. Ref in D, Lupton. (1999). Risk. London: Routledge. . (1996). May the sheep safety graze? A reflexive view of the expert-lay knowledge divide. In Lash, S., Szerszinski, B. and Wynne, B. (eds.). Risk, Environment and Modernity: Toward a New Ecology. London: Sage.
ฉัตรทิพย์ นาถสุภา. (2549). ลัทธิเศรษฐกิจการเมือง. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์. แนวคิด “วัวหายแต่ยังไม่ล้อมคอก” ในสังคมไทย: ความหมายของ ภัยอันตรายกับการป้องกันสาธารณภัย. เอกสารประกอบการประชุมวิชาการประเพณี ครั้งที่ 6 ธรรมศาสตร์-มหิดล-กองทัพเรือ.วันที่ 30 มกราคม 2541. กรุงเทพมหานคร. ชวลิต สุขะสุวรรณ และสุรพงษ์ สุธรรมเกษม. (2527). การศึกษาวิจัยรายละเอียดของอุบัติเหตุที่ เกี่ยวข้องกับรถบรรทุกหนักและรถโดยสารขนาดใหญ่บนทางหลวง. กองวิเคราะห์และ วิจัย. กรุงเทพฯ: กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม.
ฅนขับรถบรรทุก
108
บุญจา ถิติปัญญา. (2538). ความรู้และพฤติกรรมในการขับรถของคนขับรถยนต์บรรทุก: ศึกษา กรณีคนขับรถยนต์บรรทุกที่ขับรถผ่านหรือมีจุดต้นทางจังหวัดสุราษฎร์ธานี. ภาคนิพนธ์ พัฒนบริหารศาสตรมหาบัณฑิต (พัฒนาสังคม), สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์. พรทิวา เฉลิมวิภาส และวรรณภา สุมิรัตนะ. (2541). การศึกษาการเกิดอุบัติเหตุซ้าซากใน กรุงเทพมหานคร. สถาบันการแพทย์ด้านอุบัติเหตุและสาธารณภัย กรมการแพทย์. พระประชา ปสนนธมโม, พระไพศาล วิสาโล, สันติสุข โสภณสิริ และรสนา โตสิตระกูล. (2544). จุดเปลี่ยนแห่งศตวรรษ. (แปลจาก The Turning Point. Fritjof Cabra.) กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง. พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์. (2546). ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเมือง. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พัชรินทร์ ชมเดช, นงนุช ตันติธรรม และแท้จริง ศิริพานิช. (2545). รายงานวิจัยเรื่องการสารวจ อัตราการสวมหมวกนิรภัยของผู้ใช้รถจักรยานยนต์ พ.ศ.2545. สถาบันการแพทย์ด้าน อุบัติเหตุ และสาธารณภัย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. ไพบูลย์ สุริยะวงศ์ไพศาล. (2543). สังเคราะห์ภาพรวมของปัญหาและทางเลือกในการแก้ไข อุบัติเหตุจราจร. สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข. . (2546). สถานการณ์. ใน ไพบูลย์ สุริยะวงศ์ไพศาล (บรรณาธิการ). ตาราระบาดวิทยา อุบัติเหตุจราจร. กรุงเทพฯ: โฮลิสติก พับลิชชิ่ง. ไพบูลย์ สุริยะวงศ์ไพศาล, อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ และมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ. (2546). รายงานผลการวิจัยฉบับสมบูรณ์: โครงการจากเมาไม่ขับสู่การป้องกันอุบัติเหตุจราจรที่ ยั่งยืน. สานักกองทุนสนับสนุนการวิจัย. โยธิน แสวงดี และพิมล อิศรภักดี. (2534). พฤติกรรมเสี่ยงของพนักงานขับรถสิบล้อต่อการรับและ แพร่เชื้อโรคเอดส์. สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล. ลือชัย ศรีเงินยวง และคณะ. (2546). มิติทางสังคม วัฒนธรรม ของพฤติกรรมการใช้หมวกนิรภัย: กรณีศึกษาผู้ใช้รถจักรยานยนต์ในจังหวัดนครปฐม. กองสุขศึกษา กระทรวงสาธารณสุข, กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์การศาสนา. วราพรรณ ด่านอุตรา และคณะ. (2541). การศึกษาปัจจัยทางสังคมแลพฤติกรรมของผู้ประสบ อุบัติเหตุจากจราจรทางบกในเขตกรุงเทพมหานคร. ใน สถาบันการแพทย์ด้านอุบัติเหตุและ สาธารณภัย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (บรรณาธิการ). (2543). รวมบทคัดย่อผลงานวิจัยด้านอุบัติเหตุและสาธารณภัย เล่มที่ 1. กรุงเทพฯ: สามเจริญ พาณิชย์. วิจิตร บุณยะโหตระ. (2527). อุบัติภัย. คณะกรรมการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ, สานักนายกรัฐมนตรี.
ฅนขับรถบรรทุก
109
วิจิตร บุณยะโหตระ และอานวย นาคแก้ว. (2534). การศึกษาพฤติกรรมของผู้ขับขี่รถยนต์ก่อนการ เกิดอุบัติเหตุ. คณะกรรมการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ, สานักนายกรัฐมนตรี. วิบูลย์ สุพุทธิธาดา, ถนอมขวัญ ดาปาน, ธนาพร พรหมเวช. (2536). การศึกษาความรู้และเจตคติ ต่อหมวกนิรภัยในผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ จังหวัดระยอง ปี 2536. ใน สถาบันการแพทย์ด้าน อุบัติเหตุและ สาธารณภัย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (บรรณาธิการ). (2543). รวมบทคัดย่อผลงานวิจัยด้านอุบัติเหตุและสาธารณภัย เล่มที่ 1. กรุงเทพฯ: สามเจริญ พาณิชย์. วิลาวัลย์ ศรีพรหม. (2541). ทัศนคติต่อการสวมหมวกนิรภัยของกลุ่มวัยรุ่นที่ขับรถจักรยานยนต์: ศึกษากรณีนักเรียนมัธยมศึกษา ในจังหวัดอานาจเจริญ. ใน สถาบันการแพทย์ด้านอุบัติเหตุ และสาธารณภัย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (บรรณาธิการ). (2543). รวม บทคัดย่อผลงานวิจัยด้านอุบัติเหตุและสาธารณภัย เล่มที่ 1. กรุงเทพฯ:สามเจริญพาณิชย์. ศูนย์อานวยการความปลอดภัยทางถนน. (2547). การแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนในประเทศไทย. ใน อภิชาต เมฆมาสิน (บรรณาธิการ). วันอนามัยโลก : สานึกดี ขับขี่ปลอดภัย ร่วมใจลด อุบัติเหตุ. กระทรวงสาธารณสุข. สมบัติ เมี้ยนละม้าย. (2540). ความตระหนักในการป้องกันอุบัติเหตุบนทางหลวงของผู้ขับขี่ รถบรรทุก: ศึกษาเฉพาะกรณีทางหลวงแผ่นดิน หมายเลย 3 ช่วงอาเภอแกลง-จังหวัด จันทบุรี. ภาคนิพนธ์พัฒนบริหารศาสตรมหาบัณฑิต (พัฒนาสังคม), สถาบันบัณฑิต พัฒนบริหารศาสตร์. สรรเสริญ กรีอารี. (2541). ความคิดเห็นของผู้ขับรถยนต์บรรทุกตั้งแต่สิบล้อขึ้นไปที่มีต่อการเกิด อุบัติเหตุจราจร. วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม). บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. สุดคนึง พรรณพัฒน์. (2535). สิบล้อกับยาม้า: ศึกษาเฉพาะกรณีพนักงานขับรถบรรทุกในจังหวัด นครปฐม ที่บรรทุกวัสดุก่อสร้าง เช่น ดิน หิน ทราย. สารนิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตร์ บัณฑิต. คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร. อติศักดิ์ จึงพัฒนาวดี. (2548). ความเจ็บป่วย อานาจ และปฏิบัติการของการแพทย์ชีวภาพ: เรื่องเล่า จากโรงพยาบาลชุมชน. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาวิชาการพัฒนาสังคม บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.