Acc 52056

Page 1

รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ โครงการ พัฒนาระบบขอมูลอุบัติเหตุจราจร จังหวัดนาน

โดย ธวัช เพชรวีระ

สิงหาคม 2553


รายงานฉบับสมบูรณ์ สัญญาเลขที่ ACC2 52056 โครงการ พัฒนาระบบข้อมูลอุบัติเหตุจราจรจังหวัดน่าน

สานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดน่าน โทร.054-716172 /โทรสาร.054-741061 30 สิงหาคม 2553


คานา จังหวัดน่านได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการพัฒนาระบบข้อมูลอุบัติเหตุจราจร จาก ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน(ศวปถ.) มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) ให้ดาเนินโครงการระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2552 ถึง เดือนกรกฎาคม 2553 โดยศูนย์อานวยการ ความปลอดภัยทางถนนจังหวัดน่าน ได้แต่งตั้งคณะทางานโครงการ “พัฒนาระบบข้อมูลอุบัติเหตุ จราจรจังหวัดน่าน” โดยแต่งตั้งจากเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ของหน่วยงานเครือข่ายในการบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ในระดับจังหวัด เพื่อทา หน้าที่ในการบูรณาการจัดเก็บข้อมูลการเสียชีวิตจากการเกิดอุบัติเหตุทางถนน ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2552 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2553 จานวน 9 เดือน ๆ ละ 3 ราย หรือรายที่น่าสนใจ รวม 27 ราย โดย จัดเก็บข้อมูล ศึกษาปัญหา สาเหตุและปัจจัยของการเสียชีวิตจากการเกิดอุบัติเหตุ จราจรในเชิงลึกครอบคลุมทั้งพื้นที่ในจังหวัดน่าน และนาข้อมูลที่ได้จากการจัดเก็บมาศึกษา วิเคราะห์สรุป และนาเสนอสภาพปัญหาและข้อเสนอแนะให้ผู้บริหารศูนย์อานวยการความ ปลอดภัยทางถนนจังหวัดน่านทราบ เพื่อพิจารณานาข้อมูล ไปใช้ในการกาหนดมาตรการแนวทาง ในการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุจราจรของจังหวัดน่านอย่างเป็นระบบต่อไป ขอขอบคุณ สานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และมูลนิธิ สาธารณสุขแห่งชาติ ที่ให้การสนับสนุนงบประมาณ และขอขอบคุณองค์กรภาคีเครือข่ายและผู้ที่มี ส่วนเกี่ยวข้องทุกท่าน ที่ทาให้การดาเนินการ จัดเก็บข้อมูลการเสียชีวิตจากการเกิดอุบัติเหตุ ทางถนน การศึกษาปัญหาสาเหตุและปัจจัยของการเสียชีวิตจากการเกิดอุบัติเหตุจราจรในเชิงลึก ตามโครงการดังกล่าวในครั้งนี้สาเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์ด้วยความเรียบร้อย

คณะทางาน โครงการพัฒนาระบบข้อมูลอุบัติเหตุจราจรจังหวัดน่าน สิงหาคม 2553


สารบัญ หน้า บทที่ 1 โครงการ “พัฒนาระบบข้อมูลอุบัติเหตุจราจรจังหวัดน่าน”

1

บทที่ 2 รายงานการดาเนินงานโครงการ

6

บทที่ 3 รายละเอียดกรณีการจัดเก็บข้อมูลผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ทางถนน

12

บทที่ 4 สังเคราะห์บทเรียนที่เกิดจากการดาเนินงาน

111

บทที่ 5 ข้อเสนอแนะ

121


บทที่ 1 โครงการพัฒนาระบบข้อมูลอุบัติเหตุจราจรจังหวัดน่าน 1. หลักการและเหตุผล ปัญหาอุบัติเหตุจราจรเป็นปัญหาสาคัญทางการสาธารณสุขทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศไทยการ บาดเจ็บและเสียชีวิตจากการเกิดอุบัติเหตุจราจร นับเป็นปัญหาที่สาคัญเป็นลาดับ 3 ของประเทศและมี แนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยมีคนไทยเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุจราจรประมาณปีละ 12,000 คน หรือ เฉลี่ยวันละ 33 คน หรือคิดเป็นผู้เสียชีวิต 19.82 คน ต่อประชากร 100 ,000 คน จังหวัดน่านก็เป็นอีกจังหวัด หนึ่งที่มีอัตราการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากการเกิดอุบัติเหตุจราจรค่อนข้างสูง เมื่อเปรียบเทียบกับจานวน ประชากรแล้ว จากสถิติการเกิดอุบัติเหตุจราจร ปี 2549-2551 ของตารวจภูธรจังหวัดน่านพบว่า ในปี 2549 มีอุบัติเหตุ 247 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 81 คน ปี 2550 มีอุบัติเหตุ 327 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 103 คน ปี 2551 มีอุบัติเหตุ 301 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 87 คน เฉลี่ยคิดเป็นผู้เสียชีวิต 18.8253 คน ต่อประชากร 100,000 คน จังหวัดน่าน โดยศูนย์อานวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดน่าน ได้ร่วมบูรณาการการ ทางานป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุจราจรของจังหวัด ที่เน้นยุทธศาสตร์ 6 ด้าน ทั้งด้านบังคับใช้ กฎหมาย ด้านวิศวกรรมจราจร ด้านการให้ความรู้การประชาสัมพันธ์ ด้านการมีส่วนร่วม ด้านการแพทย์ ฉุกเฉินและยุทธศาสตร์ด้านการประเมินผล โดยพบว่าหน่วยงานส่วนใหญ่ที่ดาเนินการป้องกันและแก้ไข ปัญหาอุบัติเหตุจราจรของจังหวัดน่าน มีการเก็บข้อมูลสถิติการเกิดอุบัติเหตุจราจร จานวนผู้บาดเจ็บ ผู้เสียชีวิต หรือข้อมูล จุดเสี่ยงที่เกิดอุบัติเหตุ แต่ยังไม่มีการรวบรวมข้อมูล เชื่อมต่อวิเคราะห์ข้อมูล ในภาพรวมของจังหวัด เพื่อการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ ดังนั้น จังหวัดน่านโดยสานักงานป้องกันและ บรรเทาสาธารณภัยจังหวัดน่านจึงมีแนวทางในการพัฒนาระบบข้อมูล โดยการนาข้อมูลของแต่ละหน่วยงาน มารวบรวมวิเคราะห์ หาสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุจราจร เพื่อนาผลการวิเคราะห์ไปใช้ประโยชน์ต่อการ แก้ไขปัญหาอุบัติเหตุจราจรของจังหวัดน่านต่อไป 2. วัตถุประสงค์ 1. เพื่อให้มีการบูรณาการด้านการจัดการข้อมูลอุบัติเหตุจราจรในภาพรวมของจังหวัด 2. เพื่อศึกษาปัญหา สาเหตุและปัจจัยของการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรในเชิงลึก 3. เพื่อนาข้อมูลที่ได้จากการศึกษาวิเคราะห์ไปนาเสนอ และนาไปใช้ในการแก้ปัญหาอุบัติเหตุ จราจรของจังหวัดน่านอย่างเป็นระบบ


3. เป้าหมาย มีระบบฐานข้อมูลการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรในเชิงลึก และสาเหตุ ปัจจัยเสี่ยงของการเกิ ด อุบัติเหตุ ที่มีคุณภาพและสามารถนามาใช้ในการแก้ปัญหาอุบัติเหตุจราจรของจังหวัดน่านได้ 4. กลุ่มเป้าหมาย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจร เช่น ตารวจ สาธารณสุข แขวงการ ทาง ทางหลวงชนบท สานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อาสาสมัครกู้ชีพกู้ภัย ประชาชนที่เกี่ยวข้อง 5. วิธีการดาเนินการ วัตถุ กิจกรรม งบ ผลที่คาดว่าจะได้รับ ประสงค์ ประมาณ ข้อ 1 จัดประชุมคณะทางานเพื่อชี้แจงโครงการและร่วมกัน - มีการบูรณาการการ 8,600 พิจารณาข้อมูลของแต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ ทางานร่วมกันในจังหวัด อุบัติเหตุจราจร ค่าอาหารและค่าตอบแทน การประสานงานในแนว (130+300) x 20 คน ระนาบ 77,500 - ทราบถึงสาเหตุของการ ข้อ 2 ลงพื้นที่เกิดเหตุเพื่อเก็บรายละเอียดการเสียชีวิต 3 ราย/เดือน อาเภอละ 1 ราย หรือกรณีน่าสนใจ เสียชีวิต ปัจจัยที่ทาให้ - ค่าตอบแทนการเก็บข้อมูล รายละ 2,000บาท x เกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิต 3 ราย x 9 เดือน = 54,000 บาท ทั้งด้านบุคคลและ - ค่าวิเคราะห์ผล รายละ 500 บาท x 3 ราย x 9เดือน สิ่งแวดล้อม = 13,500 บาท (หน่วยงาน ตารวจ แขวง - ค่าถอดเทปการสัมภาษณ์/สรุปรายงาน = 10,000 การทาง สาธารณสุข) บาท ข้อ 3 - จัดประชุมแบบมีส่วนร่วม(Death case - เกิดการบูรณาการร่วมกัน conference) ระหว่างตารวจ สาธารณสุข แขวง ทุกหน่วยรับทราบปัญหา การทาง ปภ. ท้องถิ่นเจ้าของพื้นที่ เพื่อวิเคราะห์หา 116,100 ช่วยกันคิดวิเคราะห์และ สาเหตุ ปัจจัยเสี่ยงและวิธีป้องกัน จานวน 9 ครั้งๆละ หาแนวทางแก้ไข และ 30 คน ค่าอาหารและค่าตอบแทน (130+300) x 30 ป้องกัน คนx 9 เดือน


วัตถุ กิจกรรม ประสงค์ ข้อ 4 - จัดประชุมนาเสนอผลเชิงนโยบายแก่คณะกรรมการ อานวยการความปลอดภัยทางถนน ทุก 3 เดือน จานวน 3 ครั้งๆละ 50 คน ค่าอาหาร (130 บ x 50 คน x 3 ครั้ง) ข้อ 5

งบ ประมาณ 19,500

- ประเมินทบทวนนาเสนอผลงานในเวทีประชุม 16,000 ระดับภาคร่วมกับสอจร.ภาคเหนือ และจัดทา เอกสารสรุปผลงาน 100 เล่ม - ค่าบริหารจัดการ เป็นค่าจัดการธุรการ,ค่าตรวจสอบ 12,300 บัญชี,วัสดุสานักงาน,ค่าน้ามันเชื้อเพลิง ,ประสานงาน รวมทั้งสิ้น 250,000

ผลที่คาดว่าจะได้รับ - ผู้บริหารของจังหวัดและ คณะกรรมการฯได้ รับทราบปัญหา และได้ ติดตามการดาเนินงาน แก้ไขปัญหา - เผยแพร่และแลกเปลี่ยน ข้อมูล ผลการดาเนินงาน กับจังหวัดต่างๆ - หมายเหตุ ทุกรายการ สามารถถัวเฉลี่ยกันได้

6. งบประมาณ งบประมาณจากศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน(ศวปถ.) ภายใต้การดาเนินงานมูลนิธิ สาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) จานวน 250,000 บาท (สองแสนห้าหมื่นบาทถ้วน) รายละเอียดตาม วัตถุประสงค์ข้างต้น 7. ระยะเวลาดาเนินการ 1 พฤศจิกายน 2552- 31 กรกฏาคม 2553 ลาดับ กิจกรรม ระยะเวลาดาเนินการ พ.ย. ธ.ค. ม.ค. ก.พ. มี.ค. เม.ย. พ.ค. มิ.ย. ก.ค. ส.ค. 1. จัดประชุมคณะทางานเพื่อ ชี้แจงโครงการ 2. เก็บข้อมูลเชิงลึกจากการ เสียชีวิตหรือกรณีน่าสนใจ 3. ประชุมวิเคราะห์ข้อมูล แบบมีส่วนร่วม (Death case conference)


4. ประชุมนาเสนอผลเชิง นโยบายต่อคณะกรรมการ ความปลอดภัยทางถนน 5. นาเสนอเชิงนโยบายใน เวทีการประชุมภาคเหนือ 6. สรุปผลการดาเนิน โครงการ 8. การประเมินโครงการ 1. มีการประสาน ติดตามงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และการจัดประชุมเพื่อหาแนวทางใน การดาเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุจราจรอย่างต่อเนื่อง 2. จากผลสรุปการวิเคราะห์อุบัติเหตุจราจรในแต่ละเดือน 9. ผลที่คาดว่าจะได้รับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดาเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุจราจรของจังหวัดน่าน มีการประสานงานกันอย่างเป็นระบบ เกิดเครือข่ายการทางาน ข้อมูลอุบัติเหตุจราจรได้รับการวิเคราะห์ และนาผลไปปรับใช้ในการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุจราจร 10. ผลงานนาส่งและวิธีการจ่ายเงิน งวดที่ รายละเอียด 1 จ่ายภายใน 15 วัน หลังจากลงนามในสัญญาฉบับสมบูรณ์ พฤศจิกายน 52 2 ภายใน 15 วัน หลังจากผู้ให้สัญญาได้รับ และเห็นชอบกับ มีนาคม 53 ผลงานนาส่ง พร้อมสาเนาอิเลคทรอนิกส์ไฟล์ จานวน 1 ชุด ดังนี้ 1. รายงานข้อมูลเชิงลึกจากการเสียชีวิต 2. รายงานผลการวิเคราะห์ข้อมูลแบบมีส่วนร่วม 3. รายงานการเงินงวดที่ 1 3 กรกฏาคม 53

จ่ายภายใน 15 วัน หลังจากผู้ให้สัญญาได้รับและเห็นชอบกับ ผลงานนาส่งฉบับสมบูรณ์ พร้อมสาเนาอิเลคทรอนิกส์ไฟล์ จานวน 1 ชุด

จานวนเงิน 175,900 บาท 53,800 บาท

20,300 บาท


1. รายงานสรุปวิเคราะห์สาเหตุการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ จราจร ปัจจัยที่เกิดอุบัติเหตุและการแก้ไขปัญหา 2. รายงานการเงินปิดโครงการ รวมทั้งสิ้น

250,000 บาท

11. ผลงานนาส่งมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) เมื่อเสร็จสิ้นโครงการ รายงานสรุปวิเคราะห์สาเหตุการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจร ปัจจัยที่เกิดอุบัติเหตุและการแก้ไข ปัญหา จานวน 1 เล่ม พร้อมไฟล์ 12. หน่วยงานที่ร่วมโครงการ สานักงานสาธารณสุขจังหวัดน่าน - สานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดน่าน - แขวงการทางน่านที่ 1 และที่ 2 - ทางหลวงชนบทจังหวัดน่าน - องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกิดเหตุ - อาสาสมัครกู้ชีพ กู้ภัย - ประชาชนที่เกี่ยวข้อง 13. ผู้รับผิดชอบโครงการ สานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดน่าน


บทที่ 2 รายงานการดาเนินโครงการ สถานการณ์อุบัติเหตุทางถนนของจังหวัดน่าน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น 327 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 85 ราย บาดเจ็บรวม 7,070 ราย (บาดเจ็บสาหัส 2,049 ราย บาดเจ็บเล็กน้อย 5,021 ราย) มูลค่าทรัพย์สินเสียหายที่สารวจได้ 3,751,700 บาท ไม่รวมความ เสียหายอื่นๆ ทางเศรษฐกิจและสังคม ปีงบประมาณ พ .ศ. 2551 มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น 301 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 70 ราย บาดเจ็บรวม 7,075 ราย (แยกเป็นบาดเจ็บ สาหัส 1,868 ราย บาดเจ็บเล็กน้อย 5,207 ราย) มูลค่าทรัพย์สินเสียหายที่สารวจได้ 1,897,970 บาท ไม่รวม ความเสียหายอื่นๆ ทางเศรษฐกิจและสังคม ปีงบประมาณ พ .ศ. 2552 มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น 237 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 114 ราย บาดเจ็บรวม 7,944 ราย (บาดเจ็บสาหัส 1,857 ราย บาดเจ็บเล็กน้อย 6,087 ราย) มูลค่าทรัพย์สินเสียหายที่สารวจได้ 4,011,150 บาท ไม่รวมความ เสียหายอื่นๆ ทางเศรษฐกิจและสังคม จากสถานการณ์อุบัติเหตุทางถนนตั้งแต่ปี พ.ศ.2550-2552 พบว่า จานวนครั้งในการเกิดอุบัติเหตุ ลดลงอย่างต่อเนื่อง (ข้อมูลจากตารวจภูธรจังหวัดน่าน) ดังนี้ - ปีงบประมาณ พ.ศ.2551 ลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ.2550 จานวน 26 ครั้ง ลดลงร้อยละ 7.951 - ปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 ลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ.2551 จานวน 64 ครั้ง ลดลงร้อยละ 21.26 จานวนผู้ได้รับบาดเจ็บรวม 3 ปี ระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ.2550 - 2552 เท่ากับ 22,089 คน เฉลี่ย 7,363 คน/ปี (ข้อมูลสานักงานสาธารณสุขจังหวัดน่าน) ดังนี้ - ปีงบประมาณ พ.ศ.2550 จานวนผู้บาดเจ็บรวม 7,070 ราย - ปีงบประมาณ พ.ศ.2551 จานวนผู้บาดเจ็บรวม 7,075 ราย เพิ่มขึ้น 5 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.07 คน - ปีงบประมาณ พ.ศ.2552 จานวนผู้บาดเจ็บรวม 7,944 ราย เพิ่มขึ้น 869 รายคิดเป็นร้อยละ 12.28 คน


จานวนผู้เสียชีวิตเฉลี่ย 3 ปี รวม 269 ราย เฉลี่ย 89.67 คน ต่อปี ดังนี้ - ปีงบประมาณ พ.ศ.2550 เสียชีวิตจานวน 85 ราย - ปีงบประมาณ พ.ศ.2551 เสียชีวิตจานวน 70 ราย ลดลง 15 ราย คิดเป็นอัตราร้อยละ 17.65 คน - ปีงบประมาณ พ.ศ.2552 เสียชีวิตจานวน 114 คน สูงขึ้น 44 ราย คิดเป็นอัตราร้อยละ 62.86 คน หากพิจารณาจากจานวนครั้งของการเกิดอุบัติเหตุที่มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ จานวนผู้เสียชีวิตรวม 3 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 - 2552) ยังคงระดับเฉลี่ยที่ 89.67 * คนต่อปี และสามารถ ตั้งสมมุติฐานอัตราผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุในพื้นที่จังหวัดน่านในห้วงเวลา 3 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ.25502552) ในสัดส่วน 4.07 วันต่อผู้เสียชีวิต 1 ราย ** *(85+70+114) = 89.67 ** (365วันx3ปี) = 4.07 3 (85+70+114) ประชากร ของจังหวัดน่านมีจานวน 473,294 คน (ไม่รวมประชากรแฝง) ซึ่งเป้าหมายในการ ดาเนินงานปีงบประมาณ 2553 จะต้องลดจานวนอุบัติเหตุและผู้เสียชีวิตลงจากข้อมูลเฉลี่ยที่ปรากฏ จังหวัดน่าน จึงขอรับการสนับสนุนงบประมาณในการพัฒนาระบบข้อมูลอุบัติเหตุจราจรจาก ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน(ศวปถ.) มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) เพื่อ ดาเนินโครงการ ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2552 ถึง เดือนกรกฎาคม 2553 โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณ จานวน 250,000 บาท ดังนั้น ศูนย์อานวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดน่าน จึงได้แต่งตั้งคณะทางานโครงการ “พัฒนาระบบข้อมูลอุบัติเหตุจราจรจังหวัดน่าน ” โดยแต่งตั้งจากเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ด้านการป้องกันและ ลดอุบัติเหตุทางถนนของหน่วยงานหลักในการบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุ ทางถนน ในระดับจังหวัด เพื่อทาหน้าที่ในการบูรณาการจัดเก็บข้อมูลการเสียชีวิตจาก การเกิดอุบัติเหตุทางถนน ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2552 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2553จานวน 9 เดือนๆ ละ 3 ราย หรือรายที่น่าสนใจ รวม 27 ราย โดย จัดเก็บข้อมูล ศึกษาปัญหา สาเหตุและปัจจัยของการเสียชีวิตจากการเกิดอุบัติเหตุจราจรในเชิงลึกครอบคลุมทั้งพื้นที่ใน จังหวัดน่าน และนาข้อมูลที่ได้จากการจัดเก็บมาศึกษาวิเคราะห์สรุป โดยนาเสนอสภาพปัญหาและ ข้อเสนอแนะให้ผู้บริหารศูนย์อานวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดน่านทราบ เพื่อพิจารณา นาข้อมูลไป ใช้ในการกาหนดมาตรการแนวทางในการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุจราจรของจังหวัดน่านอย่างเป็นระบบต่อไป การดาเนินงาน 1. กลุ่มเป้าหมายในการศึกษา ญาติและผู้เกี่ยวข้องกับผู้ใช้รถใช้ถนนที่เกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิต จากการจราจรในพื้นที่จังหวัด และมีความน่าสนใจ และส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ประกอบการ เจ้าหน้าที่ตารวจ สื่อมวลชน และอาสาสมัคร


2. วิธีดาเนินงาน 1. ประชุมภาคีเครือข่ายชี้แจงโครงการ และแต่งตั้งคณะทางานพัฒนาระบบข้อมูลอุบัติเหตุ จราจรจังหวัด 2. กาหนดแผนการจัดเก็บข้อมูล โดยกาหนดให้ทุกวันอังคารเป็นวันจัดเก็บข้อมูล และประชุม คณะทางาน 3. ติดตามสถานการณ์และรวบรวมข้อมูลอุบัติเหตุจากตารวจ โรงพยาบาล 4. คัดเลือกคดีที่มีความน่าสนใจน่าศึกษาข้อมูลและดาเนินการจัดเก็บรวบรวมข้อมูล 5. นาเสนอที่ประชุมคณะทางาน/กรรมการ เพื่อหาแนวทางกาหนดมาตรการที่เกี่ยวข้อง 6. เสนอที่ประชุมคณะกรรมการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดเพื่อขับเคลื่อนข้อสั่งการระดับ จังหวัด 7. เตรียมข้อมูลเสนอที่ประชุมระดับภาค และระดับประเทศเพื่อเป็นโอกาสในการผลักดันให้ เป็นนโยบายที่เกี่ยวข้องต่อไป 3. การดาเนินการช่วงต้น 1.ประชุมชี้แจงรายละเอียดโครงการพัฒนาระบบข้อมูลอุบัติเหตุจราจรจังหวัดน่าน ให้หน่วยงานเครือข่ายที่เกี่ยวข้องทราบ 2. แต่งตั้งคณะทางานโครงการพัฒนาระบบข้อมูลอุบัติเหตุจราจรจังหวัดน่าน 3. คณะทางานฯ ติดตามศึกษารายละเอียดและวิเคราะห์สถานการณ์การเกิดอุบัติเหตุในพื้นที่ จังหวัดน่านและรวบรวมข้อมูล 4. กาหนดรู้แบบการจัดเก็บข้อมูล และกาหนดให้มีการออกจัดเก็บข้อมูลทุกวันอังคารโดย ฝ่ายเลขานุการทาหน้าที่ในการประสานคณะทางานก่อนวันออกจัดเก็บข้อมูล และประสานความพร้อม ในพื้นที่ก่อนออกปฏิบัติการ 4. การดาเนินการช่วงจัดเก็บข้อมูล 1. ประสานโรงพยาบาล สถานีตารวจภูธรในพื้นที่ที่เกิดอุบัติเหตุ โดยการออกสัมภาษณ์ญาติ ผู้เสียชีวิต คู่กรณี โรงพยาบาล และตารวจเจ้าของคดี เพื่อ ศึกษาและจัดเก็บข้อมูลเชิงลึก 2. ออกจัดเก็บขอมูลสถานที่เกิดเหตุ ลักษณะการเกิดอุบัติเหตุ ตลอดจนพาหนะที่เกิด อุบัติเหตุ 3. กาหนดผู้จัดเก็บ รวบรวมข้อมูลจากคณะทางาน เพื่อนามาประกอบในการพิจารณา ร่วมกัน 4. นาข้อมูลที่ได้รับมาศึกษา วิเคราะห์ หาสาเหตุที่แท้จริง รวมทั้งหาแนวทางการแก้ไข ปัญหาร่วมกับผู้นาท้องถิ่น ทีมกู้ชีพกู้ภัย โรงพยาบาล และตารวจภูธร ร่วมกับคณะทางานฯ


5. นาเสนอข้อมูลต่อคณะกรรมการอานวยการศูนย์ความปลอดภัยทางถนน เพื่อหาแนวทาง การแก้ไขตามสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุ 6. นาเสนอข้อมูลแก่ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อมุ่งหวังให้เกิดการดาเนินการ แก้ไขปัญหาจุดเสี่ยง จุดอันตรายในพื้นที่ กระตุ้นให้มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการขับขี่ 7. สร้างกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่ 8. สรุปบทเรียนเพื่อนาไปสู่การสร้างพื้นที่ต้นแบบ ในการจัดเก็บข้อมูล การจัดการความ เสี่ยงอุบัติเหตุจราจรในพื้นที่ชุมชน 9. คาดว่าจะสามารถสร้างแกนนาในการแก้ไขปัญหา อุบัติเหตุในระดับอาเภอ และท้องถิ่น โดยการกระตุ้นให้มีการกาหนดพื้นที่ต้นแบบ 10. เกิดกระบวนการบูรณาการทางานร่วมกันระหว่างชุมชนและองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นในการเข้ามามีส่วนร่วมแก้ไขปัญหา ด้วยนวัตกรรมและการเรียนรู้ของคนในชุมชน 5. ผลการดาเนินงาน 1. จัดเก็บข้อมูลผู้เสียชีวิตรายที่น่าสนใจได้ครบตามเป้าหมาย 2. สนับสนุนให้ คณะทางาน และเจ้าหน้าที่ตารวจดาเนินการปฏิบัติงานได้อย่างเต็มรูปแบบ 3. สามารถดูรายละเอียดข้อมูลผู้กระทาผิดและศึกษาข้อมูลบุคคล เพื่อศึกษาพฤติกรรม อันอาจ นาไปสู่การมีส่วนร่วมของชุมชน/หน่วยงานในอนาคต 4. สร้างประเด็นความรับผิดชอบลงสู่หน่วยงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2 แห่ง 5. ส่งเสริมให้เกิดวัฒนธรรมความปลอดภัย 1 แห่ง 6. สรุปข้อมูลจุดเกิดอุบัติเหตุ รายงานเป็นจุดเสี่ยงให้ผู้ บริหารทราบและสั่งการให้หน่วยงาน ฝ่ายปฏิบัติการดาเนินการแก้ไข 6. ปัจจัยแห่งความสาเร็จ 1. ผู้บริหารจังหวัดมีความเข้าใจและรับทราบมาตรการโดยอาศัยที่ประชุมระดับจังหวัด 2. เกิดความตระหนักของประชาชน และผู้ใช้รถใช้ถนนในพื้นที่ดาเนินการศึกษา 3. ตารวจผู้ปฏิบัติงานได้รับแรงสนับสนุนจากทีมพัฒนาระบบข้อมูลอุบัติเหตุจราจรจังหวัด 4. เกิดแรงสนับสนุนจากสื่อโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางถนน 5. เกิดการบอกต่อถึงกระบวนการทางานของทีมไปในหมู่อาสาสมัครกู้ชีพกู้ภัย 6. เกิดมาตรการจากการเสนอของทีมพัฒนาระบบข้อมูลในช่วงรณรงค์เทศกาลปีใหม่และ สงกรานต์


7. ผู้ว่าราชการจังหวัด สั่งการให้ที่ทาการปกครองจังหวัดมีส่วนร่วมในการดาเนินงานด้าน อุบัติเหตุทางถนน และให้รวบรวมข้อมูลรายงาน 8. มีการขยายผลการดาเนินงานลงสู่พื้นที่ เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนมี จิตสานึกถึงความปลอดภัย 7. ปัญหาและอุปสรรค 7.1 คณะทางานปฏิบัติหน้าที่หลากหลายทาให้ไม่มีความต่อเนื่อง จาเป็นต้องปรับเวลาใน การปฏิบัติงานสืบสวนข้อมูลบ่อย 7.2 หน่วยราชการ และผู้เกี่ยวข้องบางหน่วยไม่เปิดเผยข้อมูลที่แท้จริง เนื่องจากเกรงว่าจะเป็น ผลเสียต่อรูปคดี เนื่องคดีความยังไม่ถึงที่สุด จาเป็นต้องให้หน่วยงานเครือข่ายเจ้าของข้อมูล ประสานทาความ เข้าใจ 8. ประเมินสถานการณ์ การดาเนินงานเป็นไปตามแผนงานที่กาหนดไว้ โดยการจัดเก็บข้อมูลบางส่วนสามารถ ดาเนินการล่วงหน้าตามรายละเอียดที่กาหนดในแผนงานโครงการที่เสนอต่อผู้ให้ทุน และเมื่อโครงการได้ ผ่านการอนุมัติแล้วพบว่ารายละเอียดในสัญญาการดาเนินงานไม่ได้ถูกปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงไป ส่งผล ให้สามารถเบิกจ่ายค่าดาเนินงาน/ค่าตอบแทนได้ตรงตามที่ปฏิบัติงานมา โดยคิดร้อยละของปริมาณงานจาก จานวนกิจกรรมเท่ากับร้อยละ 100 ของปริมาณงานทั้งหมดเมื่อนับถึงเดือนกรกฎาคม 2553 จุดเด่น / ความสาเร็จ 1. คาดว่าจะสามารถสร้างพื้นที่ต้นแบบของจังหวัด น่าน ด้านการจัดเก็บข้อมูลวิเคราะห์และ แก้ไขปัญหาอุบัติเหตุในพื้นที่ โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน 2. มีการบริหารข้อมูลจนคาดว่าจะเกิดนวัตกรรมการแก้ไขปัญหา อุบัติเหตุโดย อาศัยความรู้ ท้องถิ่นควบคู่กับความรู้เชิงวิชาการ 3. คาดว่าสถานการณ์อุบัติเหตุในชุมชนจะมีแนวโน้มลดลงอย่างชัดเจน 4. คาดว่าจะเกิดแผนงานระดับชุมชนในการเฝ้าระวังความปลอดภัยทางถนน 5. คาดว่าจะเกิดแกนนาระดับชุมชนที่มีทักษะและองค์ความรู้ในการวิเคราะห์ และแก้ไขปัญหา อุบัติเหตุในชุมชนของตนเอง 6. คาดว่าจะเกิดแนวทางความร่วมมือการจัดการอุบัติเหตุทางถนนจากองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น


บทเรียน (ปัญหาอุปสรรค/แนวทางแก้ไข) 1. การดาเนินมาตรการเข้มข้นยังจากัดอยู่ในเขตพื้นที่เมืองและคณะทางานระดับจังหวัด ยังขาด การรณรงค์ให้ความรู้อย่างเข้มข้นและต่อเนื่องในระดับพื้นที่อาเภอและตาบล กระบวนการมีส่วนร่วมในพื้นที่ ยังไม่เกิดความหลากหลายยังไม่สามารถสร้างจิตสานึกให้แก่นักเรียน/นักศึกษา เยาวชน และประชาชนกลุ่ม เสี่ยง ในบางพื้นที่ได้ และยังไม่เกิดวัฒนธรรมความปลอดภัยอย่างยั่งยืน 2. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขาดงบประมาณเชื่อมต่อการดาเนินการ ผู้บริหารองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นยังขาดความรู้ความเข้าใจในบทบาทหน้าที่และภารกิจ การขยายผล คาดว่าการดาเนินโครงการฯ จะสามารถเห็นผลในเชิงรูปธรรมได้แก่ การปรับ เปลี่ยนพฤติกรรม ในการขับขี่ที่ เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติ ในชุมชน ด้วยการอาศัยทุนทางสังคมทาให้ ชุมชนสนใจและพยายามจะ แก้ไขความเสี่ยงด้วยทุนความรู้ของชุมชนตนเอง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ก็เล็งเห็นความสาคัญของ ปัญหาอุบัติเหตุในชุมชน และพยายามเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไข ปัญหาอย่างจริงจัง สังเกตได้จากหลาย พื้นที่ได้มีแผนงานในการจัดหารถกู้ชีพกู้ภัยประจาพื้นที่ เพื่อช่วยเหลือชีวิตผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุได้ทันท่วงที ทาให้ลดการพิการและเสียชีวิตจาการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุอย่างถูกวิธี เป็นการสนับสนุน ภารกิจงานความปลอดภัยทางถนนซึ่งเป็นนโยบายสาธารณะ และเป็นวาระแห่งชาติ ตามมติคณะรัฐมนตรี


บทที่ 3 รายละเอียดกรณีการจัดเก็บข้อมูลผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน คณะทางานโครงการพัฒนาระบบข้อมูลอุบัติเหตุจราจรจังหวัดน่าน ได้ดาเนินการสอบสวนและ จัดเก็บข้อมูลอุบัติเหตุ/ข้อมูลผูเ้ สียชีวิต/ข้อมูลการสวบสวนเชิงลึกในระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2552 ถึงเดือน กรกฎาคม 2553 รวมทั้งสิ้น 27 ราย ดังนี้ เดือน /พ.ศ. พฤศจิกายน 52 ธันวาคม 52 มกราคม 53 กุมภาพันธ์ 53 มีนาคม 53 เมษายน 53 พฤษภาคม 53 มิถุนายน 53 กรกฎาคม 53

รวม

จานวนครั้งที่เกิด อุบัติเหตุ 19 22 37 22 19 22 16 17 19

จานวน ผู้เสียชีวิต 12 6 14 10 10 12 9 6 14

จานวนคดีที่สอบสวนเชิง ลึก 2 3 1 1 6 4 5 5

193

93

27

หมายเหตุ

จากการจักเก็บข้อมูลผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2552 ถึงเดือนกรกฎาคม 2553 รวม 9 เดือน ๆ ละ 3 ราย หรือรายที่น่าสนใจจานวน 27 ราย คณะทางานโครงการพัฒนาระบบข้อมูล อุบัติเหตุจราจรจังหวัดน่าน โดยมีหน่วยงานที่เข้าร่วมเป็นคณะทางานประกอบด้วย สานักงานสาธารณสุข จังหวัดน่าน โรงพยาบาลน่าน ตารวจภูธรจังหวัดน่าน สานักงานขนส่งจังหวัดน่าน สานักงานท้องถิ่นจังหวัด น่าน แขวงการทางน่านที่ 1 แขวงการทางน่านที่ 2 สานักงานทางหลวงชนบทจังหวัดน่าน เครือข่ายภาค ประชาสังคมจังหวัดน่าน และสานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดน่าน ได้ดาเนินการสอบสวน และจัดเก็บข้อมูลผู้ เสียชีวิต จากอุบัติเหตุทางถนน โดยการ สวบสวน ข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ญาติผู้เสียชีวิต คู่กรณี และบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์ โดยได้รับความร่วมมือจากผู้เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี


กรณีศึกษาการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรทางถนนจังหวัดน่าน

1

กรณี : นายวิวัฒน์ สงคราม (โก้) อายุ 25 ปี บ้านเลขที่ 62 หมู่ที่ 6 บ.จัดสรร ต.เมืองจัง อ.ภูเพียง จ.น่าน อุบัติเหตุวันที่ 9 พฤศจิกายน 2553 เวลา 15.00 น. บนถนนสายน่าน - สันติสุข กม.ที่ 2-3 บ.บุษผาราม หมู่ 9 ต.ฝายแก้ว อ.ภูเพียง จ.น่าน **********************

ผลการสอบสวน เหตุการณ์ครั้งนี้มีผู้ประสบเหตุและเสียชีวิต 1 ราย จากรถจักรยานยนต์เสียหลักพุ่งชนรถบรรทุก 6 ล้อ ที่บริเวณถนนสายน่าน – สันติสุข ช่วงกิโลเมตรที่ 3 – 4 บ้านบุษผาราม หมู่ที่ 9 ตาบลฝายแก้ว อาเภอ ภูเพียง จังหวัดน่าน นายวิวัฒน์ สงคราม (โก้) อายุ 25 ปี อยู่บ้านเลขที่ 62 หมู่ที่ 6 บ้านจัดสรร ตาบลเมืองจัง อาเภอ ภูเพียง จังหวัดน่าน เป็นบุตรคนที่ 3 ของครอบครัวนายทวี สงคราม อายุ 57 ปี และนางหลวย สงคราม อายุ 55 ปี ซึ่งมีอาชีพทาการเกษตร โก้จบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาสัตวศาสตร์ จาก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา วิทยาเขตน่าน เป็นคนอุปนิสัยเป็นคนเรียนร้อย ชอบเล่นกีฬา มัก เป็นโรคภูมิแพ้ยังไม่มีแฟน มีเพื่อนมากชอบช่วยเหลือผู้อื่นไม่ชอบอยู่เฉย ๆ เป็นคนขยันทางาน ช่วยพ่อแม่ รับจ้างหาเงิน ชอบทางานด้านช่าง เป็นหมอรักษาสัตว์ประจาหมู่บ้าน เป็นที่รักของพ่อ แม่ ญาติพี่น้อง และ เพื่อฝูงเป็นอย่างมาก ขับขี่รถจักรยานยนต์มาตั้งแต่อายุ 15 ปี มีใบขับขี่รถจักรยานยนต์ หมดอายุวันที่ 7 สิงหาคม 2555 เหตุเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2553 เวลา 15.00 น. นายวิวัฒน์ สงคราม ได้ขับขี่ รถจักรยานยนต์ไปตามถนนสายน่าน – สันติสุข ซึ่งเป็นถนนลาดยางของกรมทางหลวง โก้ได้ขี่ รถจักรยานยนต์คู่ใจยี่ห้อยามาฮ่าเฟส ไม่สวมหมวกกันน๊อค ไม่ดื่มสุรา ออกจากบ้านเวลาประมาณ 10.00 น. เพื่อเดินทางไปยืมชุดคลุยจากเพื่อนที่บ้านทุ่งขาม ตาบลไชยสถาน อาเภอเมืองน่าน เพื่อเตรียมรับปริญญา ใน เดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ จากนั้นได้เดินทางกลับจากบ้านทุ่งขามมุ่งหน้าไปตาบลเมืองจังด้วยความเร็วสูง เมื่อ มาถึงสถานที่เกิดเหตุ เวลาประมาณ 15.00 น. บริเวณทางโค้ง ช่วงกิโลเมตร ที่ 3 – 4 บ้านบุษผาราม หมู่ที่ 9 ตาบลฝายแก้ว อาเภอภูเพียง เลยสะพานข้ามลาน้าส้าน ประมาณ 60 เมตร ซึ่งเป็นทางโค้ง รถจักรยานยนต์ ของโก้ได้เสียหลักพุ่งชนกับรถบรรทุก 6 ล้อ ที่วิ่งสวนทางมาจากตาบลเมืองจัง เป็นเหตุให้โก้ได้รับบาดเจ็บ สาหัส พลเมืองดีผู้เห็นเหตุการณ์ได้โทรแจ้งศูนย์สั่งการ 1669 โดยทีม EMS น่าน ได้ออกรับผู้บาดเจ็บ ณ จุด


เกิดเหตุ ผู้บาดเจ็บไม่รู้สึกตัว ไม่หายใจ คลาชีพจรไม่ได้ มีแผลบริเวณศรีษะ เลือดออกหูซ้าย ทีม EMS นาส่ง โรงพยาบาลน่าน แพทย์ให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่ โก้ทนการบาดเจ็บไม่ไหวและเสียชีวิตในเวลาต่อมา ก่อนเกิดเหตุ 1 วัน เป็นวันเลือกตั้งสมาชิกองค์การบริหารส่วนตาบล ซึ่งโก้ได้เป็นคณะกรรมการ การเลือกตั้ง และหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจก็ได้มีงานเลี้ยงตอนกลางคืนมีการดื่มเบียร์ และเข้านอนเวลา ประมาณ 02.00 น. และตื่นเช้าในเวลา 07.00 น. ลักษณะการบาดเจ็บ ไม่รู้สึกตัว ไม่หายใจ คลาชีพจรไม่ได้ มีแผลบริเวณศรีษะ แผลเปิดขนาด 1 เซนติเมตร และ 3 เซนติเมตร มีเลือดออกหูซ้าย มีแผลเปิดบริเวณข้อมือซ้าย 2 แผล ขนาด 1 x 0.2 เซนติเมตร และ 6 x 1 เซนติเมตร มีแผลเปิดบริเวณขาขวา 2 แผล ขนาด 1 x 1 เซนติเมตร และ 8 x 2 เซนติเมตร ได้ทาการปั๊มหัวใจ และนาส่งโรงพยาบาลน่าน เมื่อมาถึงโรงพยาบาลน่าน ได้ทาการปั๊มหัวใจ แพทย์เวรได้ใส่ท่อช่วยหายใจ ให้สารน้า และยา ทางหลอดเลือดดา ตามแผนการรักษา ทา CPR ให้การรักษาตามกระบวนการครบ 30 นาที แพทย์แนะนา กระบวนการรักษาแก่ญาติ และญาติไม่ให้ปั๊มหัวใจต่อและเสียชีวิต ผลการสอบสวนยานยนต์ที่เกิดเหตุ คันที่ 1 รถจักรยานยนต์ยี่ห้อยามาฮ่า รุ่นเฟส คันที่ 2 รถบรรทุก 6 ล้อ ผลการสอบสวนถนนและสิ่งแวดล้อมที่เกิดเหตุ เป็นถนนลาดยางของกรมทางหลวง มี 2 ช่องทาง จราจร ผิวเรียบไม่มีเกาะกลางถนน ทางโค้ง เป็นเนิน ถนนทรุดตัว มีเส้นทึบ เกิดอุบัติเหตุบ่อยสังเกตจากมีรั้วคอนกรีตมีรอยถูกรถชน และได้สอบถาม เจ้าของบ้าน กลางวันท้องฟ้าสดใส มีโพรงหญ้าบดบังทัศนวิสัยการจราจร สรุปปัจจัยที่นาไปสู่การเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้คือ ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ ร่างกายไม่พร้อม พักผ่อนไม่เพียงพอ ขี่รถเร็ว ประมาท ไม่สวมหมวก นิรภัย **********************************


กรณีศึกษาการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรทางถนนจังหวัดน่าน

2

กรณี : นายประจักร ไวลิม อายุ 24 ปี

อยู่บ้านเลขที่ 140 หมู่ที่ 7 บ้านปัวชัย ต.ฝายแก้ว อ.ภูเพียง จ.น่าน เกิดเหตุเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2552 เวลา 12.50 น. ถนนสายบ้านบุบผาราม – หนองบัว หมู่ที่ 9 บ.บุบผาราม ต.ฝายแก้ว อ.ภูเพียง จ.น่าน

************************* ผลการสอบสวน เหตุการณ์ครั้งนี้มีผู้ประสบอุบัติเหตุและเสียชีวิตจานวน 1 ราย สาเหตุมาจากรถจักรยานยนต์ถูก รถยนต์บรรทุกขนาด 4 ล้อ เฉี่ยวชนขณะที่ขับขี่รถสวนทางกัน ที่บริเวณถนนสายบ้านบุบผาราม – หนองบัว หมู่ที่ 9 บ้านบุบผาราม ต.ฝายแก้ว อ.ภูเพียง จ.น่าน เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 255 2 เวลา 12.50 น. เป็นเหตุทา ให้ นายประจักร ไวริม อายุ 24 ปี อยู่บ้านเลขที่ 140 หมู่ที่ 7 บ้านปัวชัย ต.ฝายแก้ว อ.ภูเพียง จ.น่าน ซึ่งเป็นผู้ ขับขี่รถจักรยานยนต์ เสียชีวิต นายประจักร ไวริม เป็นบุตรคนที่ 2 ของครอบครัว พ่อชื่อนายบุญมี ไวริมอายุ 53 ปี อาชีพ อาสาสมัครทหารพราน แม่ชื่อนางบัวมัน ไวริม อายุ 52 ปี อาชีพรับจ้างทั่วไป นายประจักร จบการศึกษาชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 อาชีพเป็นอาสาสมัครทหารพราน กองบังคับการทหารพรานที่ 32 กองร้อยอาสาสมัคร ทหารพราน อ.ภูเพียง จ.น่าน อุปนิสัยเป็นคนเรียบร้อยให้ความช่วยเหลือแก่ครอบครัว ในการปลูกสร้างบ้าน และได้รับการพิจารณาคัดเลือกเป็น อาสาสมัครทหารพราน ปฏิบัติหน้าที่ได้ 3 เดือน ลักษณะการเกิดอุบัติเหตุ เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 255 2 อส.ทพ.ประจักร ไวริม ได้กลับมาจากที่ ทางาน ฐานกองร้อย อาสมัครทหารพราน อ.ภูเพียง จ.น่าน เพื่อมารับประทานอาหารกลางวันพร้อมกับ ครอบครัว ที่บ้านปัวชัย ต.ฝายแก้ว อ.ภูเพียง หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้ ออกเดินทางไปทางานโดยรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า เวฟ หมายเลขทะเบียน กธจ.707 น่าน ซึ่งเป็นพาหนะ ที่ใช้อยู่เป็นประจา สาหรับการเดินทางไปทางาน ซึ่งห่างจากบ้านพัก ประมาณ 6 กม. เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุ เวลา ประมาณ 12.50 น. มีรถยนต์บรรทุกขนาด 4 ล้อ ยี่ห้อโตโยต้าไดน่า หมายเลขทะเบียน 80 – 7126 น่าน โดย มีนายหลั่น ไชยประพันธ์ เป็นผู้ขับขี่เดินทางมาจากบ้านบุบผาราม มุ่งหน้าไปยังบ้านหนองบัว วิ่ง สวนทางมาด้วยความเร็วสูง ขับคร่อมเส้น ทาให้เกิดเฉี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์ของนายประจักร เป็นเหตุให้ นายประจักร ได้รับบาดเจ็บสาหัส พลเมืองดีผู้เห็นเหตุการณ์โทรแจ้งศูนย์สั่งการ 1669 โดยทีม EMS รพ.น่าน ได้ออกรับผู้บาดเจ็บ ณ จุดเกิดเหตุ ผู้บาดเจ็บไม่รู้สึกตัว ไม่หายใจ คลาชีพจรไม่ได้ มีแผล บริเวณหน้าผากถึง ศีรษะ มีรอยแยกเห็นกระโหลก แขนซ้ายบวมผิดรูป มีสมองไหล แพทย์แผนกอุบัติเหตุฉุกเฉินโรงพยา บาล


น่านให้ความช่วยเหลือ อย่างเต็มที่ นายปะจัก ร ทนการบาดเจ็บไม่ไหว และได้เสียชีวิตในเวลา 17.55 น. ของ วันที่ 14 พ.ย. 2552 ก่อนเกิดเหตุ นายประจักร ไวริม ผู้เสียชีวิต ไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์ มีการพักผ่อนอย่างเพียงพอ ร่างกายปกติไม่มีโรคประจาตัว ได้เคยขับขี่รถจักรยานยนต์มาแล้วเป็นเวลานานกว่า 10 ปี ช่วงเวลาที่ผ่านมา ไม่เคยประสบอุบัติเหตุ อารมณ์ปกติ ขับขี่รถไม่เร็ว เส้นทางที่เกิดอุบัติเหตุ เป็นเส้นทางที่ใช้ ขับขี่รถอยู่เป็น ประจา ลักษณะการบาดเจ็บ ไม่รู้สึกตัว คางผิดรูป มีบาดแผลบริเวณหน้าผากถึงศีรษะ มีรอยแยกเห็นกระโหลก แขนซ้ายบวม ผิดรูป มีสมองไหล เมื่อมาถึงโรงพยาบาลน่านแพทย์ได้ให้ความช่วยเหลือ ใส่ท่อช่วยหายใจ ทาการปั้มหัวใจ ให้สายน้าทางหลอดเ ลือดดา อันตราซาวน์ ให้การรักษาตามแผนการรักษาของแพทย์ศัลยกรรม และรับไว้ รักษาที่แผนกผู้ป่วยหนักศัลยกรรม วันที่ 14 พ .ย. 2552 เวลาต่อมานายประจัก ร ทนการบาดเจ็บจากบาดแผล ไม่ไหว ได้เสียชีวิต เวลาประมาณ 17.55 น. ยานพาหนะที่เกิดเหตุ คันที่ 1 รถยนต์บรรทุก ขนาด 4 ล้อ หมายเลขทะเบียน 80 – 7126 น่าน คันที่ 2 รถจักรยายนต์ ยี่ห้อ ฮอนด้า รุ่น เวฟ หมายเลขทะเบียน กธจ.707 น่าน ผลการสอบสวนถนนและสิ่งแวดล้อม ถนน เป็นถนนทางหลวงชนบท ถนนลาดยาง มี 2 ช่องทาง ผิวเรียบ แห้ง ไม่มีเกาะกลางถนน ลักษณะเป็นทางโค้ง ลงเขารูปตัว เอส. มีเส้นทึบ มีป้ายเตือนให้ลดความเร็วทางโค้งอันตราย สิ่งแวดล้อม ปกติ ไม่มีสิ่งกีดขวาง ท้องฟ้าแจ่มใส ผลกระทบต่อครอบครัวผู้สียชีวิต นายประจักร ไวลิม อาชีพเป็นอาสาสมัครทหารพราน เงินเดือน 7,000 บาท ซึ่งเป็นรายได้หลัก ของครอบครัว ทาให้มีผลกระทบต่อการใช้หนี้สินจากการกู้ยืมเงินจากธนาคารมาสร้างบ้าน และมีผลกระทบ ต่อรายได้ของครอบครัวเป็นอย่างมาก สรุปปัจจัยที่ทาให้เกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิต 1) ผู้ขับขี่รถยนต์บรรทุก ประมาท ขับขี่รถด้วยความเร็วสูง เมื่อเข้าทางโค้งไม่เบรค และชะลอ ความเร็ว เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุทาให้บังคับรถยนต์ไม่อยู่ ล้าเส้นไปในช่องทางรถที่สวนทางมาทาให้เกิด อุบัติเหตุเฉี่ยวชน 2) ถนน เป็นทางโค้ง และทางลงจากเนินเขา เป็นรูปลักษณะตัว เอส. และมีสะพาน ผู้ขับขี่ จะต้องใช้ความระวังเป็นพิเศษ


กรณีศึกษาการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรทางถนนจังหวัดน่าน

3

กรณี: นายสมาน เมืองคา อายุ 43 ปี

อยู่บ้านเลขที่ 37 หมู่ 3 บ.ห้วยเดื่อ ต.ศรีภูมิ อ.ท่าวังผา จ.น่าน สถานที่เกิดเหตุ: ทางหลวงแผ่นดิน ถนน น่าน-ทุ่งช้าง หลัก กม.ที่ 37-38 ใกล้ อบต.ป่าคา อ.ท่าวังผา จ.น่าน วันที่เกิดเหตุ: วันเสาร์ที่ 9 ธันวาคม 2552 เวลา 22.12 น. **************** อุ๊ยติ๊บ... อุ๊ยติ๊บ... อุ๊ยติ๊บ ๆ ๆ ๆ ... เสียงตะโกน ดังเอะอะมาแต่ไกลในค่าคืนอันหนาวเหน็บ ขณะที่แม่อุ๊ยติ๊บ หญิงแก่วัย 68 ปี กาลังครึ่งหลับครึ่งตื่น ... ด้วยความตกใจจึงตะโกนถามกลับ... อะไร ...ใคร ...ใคร ?? ผมเอง ... ผู้ใหญ่ชวน ... ไปดูไอ้หมานหน่อย มันถูกรถชน เป็น-ตายเท่ากัน ... อุ๊ยติ๊บตกใจสุดขีด... สมานลูกคนกลางที่คอยดูแลปรนนิบัติเลี้ยงดูแม่ติ๊บมาตลอด แม้จะเป็นคน พิการเป็นอัมพฤก แขนและขาซีกขวาไม่มีแรง ... สมานถูกรถชน เป็นรถปิคอัพ 4 ประตูยี่ห้อเชฟโรเรต ซึ่งขับ โดยนักศึกษาจาก ม.ขอนแก่น ... ขับรถผ่านโค้งมาด้วยความเร็วร่วมกับเพื่อนที่นั่งมาด้วยกันอีก 3 คน...รถเสีย หลักพุ่งลงข้างทาง แต่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ... ... แม่ติ๊บไปถึงที่เกิดเหตุแต่ไม่พบศพของสมาน ... เห็นแต่ร่องรอยของอุบัติเหตุ ... รถ มอเตอร์ไซค์เก่า ๆ ของสมานพังยับเยินเหมือนเศษเหล็กอกองอยู่กลางถนน ... รถปิคอัพคู่กรณีพุ่งลงพงหญ้า ข้างทางในทิศทางที่สวนกัน... ในที่เกิดเหตุตอนนั้น มีคนมุงดูอยู่ 5-6 คน เพื่อนบ้านคนหนึ่งรีบพาแม่ติ๊บไปที่ รพ.ท่าวังผา ... ตามไปดูอาการของลูกชาย แต่พยาบาลบอก ว่าสมานอาการหนักมาก ทีมแพทย์ยังไม่อนุญาตให้เยี่ยมจนเวลาล่วงเลยไปเกือบ 3 ชั่วโมง พยาบาลออกมา บอกว่า สมานเสียชีวิตแล้ว... สมาน... เสียชีวิต ณ จุดเกิดเหตุ ... ไม่มีใครทราบเลยว่า วันนั้น สมานหายไปไหน ... ไปดื่มกับใคร ... แล้วทาไมเกิดอุบัติเหตุจน ถึงกับเสียชีวิต... ซึ่งสถานที่เกิดเหตุก็ไม่ไกลจากบ้านที่เขาอยู่ ... ห่างออกไปเพียงประมาณ 2 กม.เท่านั้น ... เขา กาลังกลับบ้าน กลับมานอนกับแม่ติ๊บเหมือนทุก ๆ วัน... และกาลังจะถึงบ้านอยู่แล้ว... แม่ติ๊บเล่าให้ฟังว่า ... สมานเป็นอัมพฤกจากการถูกยิง เมื่อครั้งไปทางานที่กรุงเทพ ฯ เมื่อ 10 กว่า ปีก่อน ... เนื่องจากหลังดื่มเหล้าที่ห้องพักคนงานได้มีปากเสียงกันอย่างรุนแรงกับเพื่อนข้างห้อง... สมานถูก ส่งไปรักษาตัวที่ รพ.ศิริราช... พักรักษาตัวเป็นแรมเดือน ภรรยาสุดที่รักจึงพาเขากลับมาพักฟื้นที่บ้านห้วยเดื่อ จ.น่าน ท้ายที่สุด ... ภรรยาสาวก็ขอแยกทาง...


สมานใช้ชีวิตอยู่กับแม่ติ๊บ 2 คนแม่ลูก ... ต่างช่วยเหลือ ดูแลซึ่งกันและกัน... แม่ติ๊บบอกว่า ... สมานมีพี่ชาย 1 คน มีครอบครัวแล้ว... ไปทางานที่กรุงเทพ ฯ ส่วนน้องสาวอีก 1 คน ก็ไปทางานกับสามี ที่ภูเก็ต ... นาน ๆ พี่และน้องจะมาเยี่ยมบ้านที... หลังจากเรียนจบประถม 6 สมานซึ่งเป็นคนนิสัยดี น่ารัก ชอบช่วยเหลือผู้อื่น และหน้าตาดี มีเสน่ห์ จึงเป็นที่หมายปองของสาว ๆ และเฒ่าแก่ที่แมวมองหาลูกเขยคนดีมาช่วยครอบครัว ... สมานแต่งงานกับสาวงามคนบ้านเดียวกันเมื่ออายุ 17 ปี ... หลังจากเลิกรากันไป... สมานเหมือน คนไร้สติ ... เครียด... เงียบขรึม เก็บตัว ... มีอาการชักเกร็งจนต้องพึ่งยากันชักจากโรงพยาบาลอยู่ 5-6 ปี (เริ่ม รับยาเมื่อปี 2541 และแพทย์ให้หยุดยาเมื่อปี 2548) ... สมานเริ่มติดเหล้า ... ดื่มแทบทุกวัน ... แต่ก็ไม่เคยเอะอะ และทาให้ใครเดือดร้อน... ... สมานเคยประสบอุบัติเหตุรถแฉลบล้มเองหลายครั้งหลายครา... บางครั้งต้องนอนโรงพยาบาล ... อย่างเช่น เมื่อสงกรานต์ 2548 สมานต้องนอน รพ.น่าน 9 คืน หลังจากดื่มฉลองกับเพื่อนแล้วขับ มอเตอร์ไซค์แฉลบล้มเอง จนขาซ้ายหัก... แม่ติ๊บและญาติ ๆ ช่วยกันจัดงานศพให้สมาน 4 วัน 3 คืน ท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บของ เดือนธันวาคม หมดเงินไปประมาณแสนกว่าบาท... คู่กรณีร่วมทาบุญด้วย 2 หมื่นบาท ... ได้ค่าฌาปณกิจ ในหมู่บ้านและเงินร่วมทาบุญผู้มาร่วมงานหมื่นกว่าบาท ธกส. 6 หมื่นบาท และได้ค่าประกันชีวิตอีก 1 แสน บาท เงินที่เหลือทั้งหมดคือค่าใช้จ่ายของแม่ติ๊บ ซึ่งต่อไปจะต้องอยู่อย่างลาพัง แต่ก็ยังดีที่ลูกชายคนโตที่ไป ทางานกรุงเทพ ฯ ให้ลูกชาย ซึ่งกาลังเรียนอยู่ชั้น ม. 3 โรงเรียนขยายโอกาสในตาบล มานอนเป็นเพื่อนยามค่า คืนทุกวัน สรุปปัจจัยที่ทาให้เกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิต 1. ปัจจัยที่นาไปสู่การบาดเจ็บและเสียชีวิตครั้งนี้ คือ คนขับรถเป็นคนพิการ แขนขวาใช้การไม่เต็มที่ เคยเป็นโรคลมชัก มีภาวะความเครียด เงียบขรึม เก็บตัว มีอาการมึนเมา ไม่สวมหมวกนิรภัยทาให้มีการบาดเจ็บที่ศีรษะอย่างรุนแรง อาจขับรถเร็วและ ประมาท ถนนมืดไม่มีแสงสว่าง ประกอบกับรถสวนมาผ่านทางโค้ง และอาจขับรถเร็วเนื่องจากเป็นช่วงเวลา ค่อนดึก (คนในรถยนต์ทุกคนคาดเข็มขัดนิรภัย) 2. การช่วยเหลือ ณ จุดเกิดเหตุ มีการแจ้งเหตุโดยพลเมืองดีผ่าน 1669 และออกให้บริการ ณ จุดเกิดเหตุโดยทีม EMS โรงพยาบาลท่าวังผา (จุดเกิดเหตุอยู่ห่างจาก รพ. ประมาณ 5 กม.) ซึ่งมีการออกให้บริการตามเกณฑ์มาตรฐาน


กรณีศึกษาการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรทางถนนจังหวัดน่าน

4

กรณี : นายถวิล แสนสาร อายุ 60 ปี

อยู่บ้านเลขที่ 159 หมู่ที่ 4 บ้านน้าครกใหม่ ตาบลกองควาย อาเภอเมืองน่าน วันที่เกิดเหตุ 22 ธันวาคม 2552 เวลา 14.50 น. สถานที่เกิดเหตุถนนสายยันตรกิจโกศล กม.ที่ 10 –15 บ.น้าครกใหม่ ต.กองควาย อ.เมืองน่าน

****************************** เวลา14.50 น. วันที่ 22 ธันวาคม 2552 ได้ถูกบันทึกเป็น 1 ใน สถิติของจานวนครั้งที่เกิดอุบัติ ทางถนนของจังหวัดน่านและของประเทศไทย บริเวณที่เกิดเหตุบนถนนยันตรกิจโกศล หลัก กม .ที่ 10 –15 หมู่บ้านน้าครกใหม่ ตาบลกองควาย อาเภอเมือง จังหวัดน่าน อยู่ห่างจากเขตอาเภอเมืองประมาณ 10 กิโลเมตร ชายไทยผู้ประสพอุบัติเหตุทราบชื่อภายหลังว่านายถวิล แสนสาร อายุ 60 ปี มีอาชีพเป็นเกษตรกร มีครอบครัวบุตร –ภรรยา มีวิถีชีวิตแบบพอเพียง มีรถจักรยานยนต์ยี่ห้อซูซูกิ หมายเลขทะเบียน กตล 11 น่าน อายุการใช้งาน 12 ปี จดทะเบียน 1 เมษายน 2540 เพื่อไปซื้อของในบริเวณท้ายหมู่บ้าน จึงรีบกลับบ้านโดยขับ รถจักรยานยนต์มาตามถนนตามปกติ โดยมีรถยนต์วิ่งตามหลังมาด้วยความเร็ว แต่ด้วยความเคยชินกับ เส้นทางบนถนนสายนี้มานาน และไม่ได้ระมัดระวังขณะที่เลี้ยวรถเข้าปากซอยเข้าหมู่บ้าน จนทาให้รถยนต์ เฉี่ยวชนอย่างแรง จากคาบอกเล่าของ ธีรพล แสนสาร อายุ 40 ปีบุตรชายของลุงถวิล ซึ่งได้แยกไปมีครอบครัวแล้ว แต่ก็อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันอยู่ห่างจากบ้านเกิดของตนเอง ไม่ก็หลังคาเรือน ได้ยอมเปิดใจเล่าถึงเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นว่า ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ก็ยกหูรับสายตามปกติ ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นเพื่อนพ้องน้องพี่ เพื่อนสนิท หรือคนในครอบครัว แต่คู่สายที่สนทนาในวันนั้น เป็นการแจ้งข่าวให้ทราบว่า คุณพ่อบังเกิดเกล้า ของเขาถูกปิ๊กอัพเฉี่ยวชน ได้รับบาดเจ็บ ขอให้รีบไปยัง ณ จุดเกิดเหตุ ซึ่งอยู่บริเวณทางเข้าหมู่บ้านนั่นเอง และพบเห็นสภาพรถถูกชนเสียหายยับเยิน บริเวณที่เกิดเหตุเต็มไปด้วยผู้คนที่ยืนมุงดูเหตุการณ์ วินาทีแรกที่ พบเห็น พ่อถวิล นอนสลบแน่นิ่งบนพื้นถนน ในใจได้แต่ภาวนาอย่าให้พ่อได้รับบาดเจ็บ หรือเป็นอะไรไปมาก จึงเข้าไปช่วยเหลือและเรียกชื่อพ่อแต่ก็ยังไม่รู้สึกตัวสภาพร่างกายมีบาดแผลถลอกตามแขน ขา เพียงเล็กน้อย จนกระทั่งเวลาต่อมาแม่ของธีรพล คือนางลาพึง แสนสาร ซึ่งเป็นภรรยาคู่ชีวิตซึ่งมีสภาพร่างกายผ่ายผอมมาก ซึ่งมีคน ในหมู่บ้านช่วยพามาส่ง ณ ที่เกิดเหตุและเข้าไปสวมกอดพ่อถวิลและได้พยายามเรียกชื่อพ่อถวิลอยู่ ตลอดเวลา และแม่ลาพึงก็ได้เห็นพ่อถวิลลืมตาดูหน้าของภรรยา สุดที่รักของเขา อาจเรียกได้ว่า เป็นวินาที สุดท้ายแห่งชีวิตคู่ก็ไม่ผิด หลังจากนั้นมีหน่วยกู้ชีพ กู้ภัย ของ อบต. ที่อยู่ใกล้เคียงได้นาส่งโรงพยาบาลจังหวัด น่าน ซึ่งทางโรงพยาบาลพยายามช่วยเหลือชีวิตของพ่อถวิลถึงที่สุดแล้ว เนื่องจากถูกเฉี่ยวชนอย่างแรง ถูกแรง กระแทกกับพื้นถนน จนทาให้ได้รับบาดเจ็บกระดูกซี่โครงหัก และเสียชีวิตในเวลาต่อมา


จากข้อมูลเบื้องต้นการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุของ สภอ.เมืองน่าน สภาพถนนเป็นถนน 2 ช่องจราจร เป็นทางตรง โดยมีนายคุณากร วงเวียน ผู้ขับขี่รถยนต์โตโยต้า 4 ประตู มีผู้โดยสารรวม 3 คน ออก จากตัวอาเภอเมือง จังหวัดน่าน มุ่งหน้าไปอาเภอเวียงสา และมีผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ คือนายถวิล แสนสาร ขับรถอยู่ด้านหน้า เมื่อถึงที่เกิดเหตุ นายถวิล แสนสาร ได้หักเลี้ยวรถตัดหน้าอย่างกระชั้นชิด ผู้ขับขี่รถยนต์ ไม่สามารถเบร คเพื่อหยุดรถได้อย่างกระทันหัน เป็นเหตุให้เกิดเฉี่ยวชนอย่างแรง จนนายถวิลได้รับบาดเจ็บ สาหัสและเสียชีวิตในที่สุด จึงเป็นอุทาหรณ์ที่ผู้ใช้รถใช้ถนนทุกคน จะต้องตระหนักให้มากแม้ช่วงเวลาที่เกิด อุบัติเหตุเป็นเวลากลางวันแสก ๆ สภาพอากาศแจ่มใส ถนนเป็นทางตรง และไม่มีรถบนถนนมากนัก อาจทา ให้เกิดอุบัติเหตุขั้นรุนแรงถึงเสียชีวิตและทรัพย์สินได้ ดังนั้น ควรจะเคารพกฎจราจรและปฏิบัติตามกฎหมาย อย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนร่วมกัน จะต้องเพิ่มความระมัดระวัง ทั้งผู้ขับขี่รถยนต์ หรือรถจักรยานยนต์ คนเดินถนน หรือแม้แต่สัตว์เลี้ยงซึ่งไม่มีผู้ควบคุมสัตว์อยู่อาจได้รับความสูญเสียอย่าง กรณีดังกล่าว สรุปปัจจัยที่ทาให้เกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิต 1. ผู้เสียชีวิต ขี่รถจักรยานยนต์ ตัดหน้ารถยนต์ที่วิ่งตามมาข้างหลังมาอย่างกระชั้นชิด ผู้ขับขี่ รถยนต์ไม่สามารถเบรกเพื่อหยุดรถได้ทัน เป็นเหตุให้เกิดการเฉี่ยวชนอย่างแรง 2. เป็นถนนสายหลักสู่จังหวัดข้างคียง 2 ช่องทางจราจร ทางตรง และเป็นเขตชุมชน 3. ผู้เสียชีวิตขี่รถจักรยานยนต์ไม่สวมหมวกนิรภัย สวมหมวกผ้าคลุมศีรษะ จึงทาให้ได้รับ บาดเจ็บบริเวณศีรษะและเสียชีวิต *********************


กรณีศึกษาการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรทางถนนจังหวัดน่าน

5

กรณี : นายสุเทพ ทองศิริ อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 82 หมู่ที่ 7 ตาบลสวด อาเภอบ้านหลวง จังหวัดน่าน เกิดเหตุ วันที่ 31 ธันวาคม 2553 เวลา 15.20 น. ณ ถนนในหมู่บ้าน หมู่ 3 ต.บ้านฟ้า อ.บ้านหลวง จ.น่าน ***************************

ผลการสอบสวน เหตุการณ์ครั้งนี้มีผู้ประสบเหตุและเสียชีวิต 1 ราย คือนายสุเทพ ทองศิริ อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 82 หมู่ที่ 7 ตาบลสวด อาเภอบ้านหลวง จังหวัดน่าน โสด อาชีพรับจ้างทั่วไป ขี่ รถจักรยานยนต์เสียหลักพุ่ง ชนรถบรรทุก 6 ล้อ ที่บริเวณบ้านหมู่ที่ 3 ตาบลบ้านฟ้า อาเภอบ้านหลวง จังหวัดน่าน ในวันที่ 31 ธันวาคม 2553 เวลา 15.20 น. นายสุเทพทางานรับจ้างนอนเฝ้าวัสดุก่อสร้างที่สะพานบ้านทุ่งข่า หมู่ที่ 4 ตาบลบ้านฟ้าเป็นเวลา หลายเดือนแล้ว ในวันเกิดเหตุวันที่ 31 ธันวาคม 2553 ซึ่งเป็นวันหยุด นายสุเทพได้ดื่มเหล้ากับเพื่อนตั้งแต่เช้า หลังจากนั้นได้ขี่รถจักรยานยนต์เดินทางออกมาจากหมู่บ้านทุ่งข่า หมู่ 4 ตาบลบ้านฟ้า อาเภอบ้านหลวง ซึ่ง เป็นถนนในหมู่บ้าน เพื่อจะกลับบ้านสวนเสด็ จ หมู่ 7 ตาบลสวด ด้วยอาการมึนเมา ขณะขี่รถจักรยานยนต์ มาถึงทางแยกบริเวณป้ายชื่อหมู่บ้าน บ้านฟ้า หมู่ที่ 3 ตาบลบ้านฟ้า ซึ่งเป็นทางแยกเชื่อมต่อกับถนนสายบ้าน สวนเสด็จ – บ้านทุ่งข่า ซึ่งเป็นถนนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เวลา 15.20 น. ได้มีรถบรรทุก 6 ล้อ ยี่ห้อ โตโยต้าไดน่า สีน้าเงิน ทะเบียน 80-4942 น่าน บรรทุกเสาปูนเต็มคันรถ วิ่งมุ่งหน้ามาจากบ้านสวนเสด็จมุ่ง หน้าไปยังบ้านนาข่า ซึ่งวิ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม นายสุเทพซึ่งขี่รถจักรยานยนต์ด้วยความเร็ว ประกอบกับมีอาการมึน เมา จึงไม่สามารถความคุมรถได้ รถของนายสุเทพเสียหลักพุ่งชนรถบรรทุก 6 ล้อ ตรงบริเวณล้อหน้าขวา เป็นเหตุให้นายสุเทพได้รับบาดเจ็บสาหัส มีแผลฉกรรจ์ที่ใบหน้ายาว 15 เซนติเมตร ลึกถึงกะโหลกศีรษะและ สมอง หน่วยกู้ชีพ กู้ภัย อบต. บ้านฟ้า ผ่านมาพบเห็นเหตุการณ์จึงนาตัวส่งโรงพยาบาลบ้านหลวง และ เสียชีวิตในเวลา ลักษณะการบาดเจ็บ ลักษณะการบาดเจ็บรุนแรง มีแผลฉกรรจ์ที่ใบหน้ายาว 15 เซนติเมตร ลึกถึงกระโหลกศีรษะและ สมอง มีแผลตามร่างกายถลอกตามบริเวณหน้าอก และท้อง


ผลการสอบสวนยานยนต์ที่เกิดเหตุ คันที่ 1 รถจักรยานยนต์ยี่ห้อยามาฮ่า สีแดง ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน คันที่ 2 รถบรรทุก 6 ล้อ ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นไดน่าน สีน้าเงิน หมายเลขทะเบียน 80-4942 ขับเคลื่อนล้อหลัง 4 สูบ พวงมาลัยธรรมดา ไม่มีถุงลมนิรภัย ไม่มีเครื่องปรับอากาศ ไม่ได้ติดตั้งอุปกรณ์ LPG (แก๊ส) เป็นรถของร้านรับเหมาก่อสร้าง ขณะชนได้บรรทุกเสาคอนกรีตท้ายกระบะ ข้อมูลผู้เสียชีวิต นายสุเทพ ทองศิริ เกิดวันที่ 7 มีนาคม 2520 อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 82 หมู่ที่ 7 ตาบลสวด อาเภอบ้านหลวง จังหวัดน่าน สถานภาพโสด เรียนจบชั้น ม. 6 อาชีพผู้ใช้แรงงาน ไม่เป็นโรคที่ทาให้เกิด อุบัติเหตุ เป็นคนเงียบไม่ค่อยพูด นิสัยดี ชอบไก่ชนแต่ไม่เล่นการพนัน ขับรถมานาน 4 ปี มีใบขับขี่ รถจักรยานยนต์ ความถี่ของการขับรถ 3 ครั้ง/สัปดาห์ ไม่เคยประสบอุบัติเหตุ ขณะขับรถมีอาการ มึน เมาสุรา มีความคุ้ยเคยกับเส้นทางเป็นอย่างดี เป็นรถของบิดา ขณะขับขี่สวมเสื้อยืดมี เสื้อกันหนาวคลุม กางเกงยีน รองเท้าแตะ ไม่สวมหมวกนิรภัย ผลการสอบสวนถนนและสิ่งแวดล้อมที่เกิดเหตุ เป็นถนนลาดยางขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตัดกับทางเข้าหมู่บ้านซึ่งเป็นถนนคอนกรีต เสริมเหล็ก บริเวณป้ายหมู่บ้าน บ้านหมู่ที่ 3 ตาบลบ้านฟ้า อาเภอบ้านหลวง เป็นทางแยกรูปตัว y กลางวัน ท้องฟ้าสดใส อากาศร้อน ถนนผิวเรียบ 2 ช่องทาง ไม่มีเกาะกลางถนน มีเส้นเหลืองทึบ ทางตรง ทางแยกไม่มี การควบคุม มีต้นไม้และแผ่นป้ายบดบังการจราจรมุมทางแยก สรุปปัจจัยที่นาไปสู่การเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้คือ ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ เมาสุราขณะขับขี่ ไม่สวมหมวกนิรภัย ขับรถด้วยความเร็วสูงพุ่งชนรถบรรทุก 6 ล้อ ที่วิ่งอยู่บนถนนสายหลักฝั่งตรงข้าม

*************************


กรณีศึกษาการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรทางถนนจังหวัดน่าน

6

กรณี: ดญ.นภสร สมไร่ขิง อายุ 6 เดือน บ้านเลขที่ 60 หมู่ที่ 7 บ้านสมุน ตาบลดู่ใต้ อาเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน เกิดเหตุวันที่ 1 มกราคม 2553 เวลา ประมาณ 09.00 น. ถนนเจ้าฟ้าสายเวียงสา-นาน้อย บ.กิตตินันท์ หมู่ 14 ต.ศรีษะเกษ อ.นาน้อย

**************************** ผลการสอบสวน เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2553 โรงพยาบาลน่าน ได้รับตัวผู้ป่วยจากโรงพยาบาลนาน้อย เป็นผู้ป่วย เด็กหญิงอายุ 6 เดือน ได้รับการใส่ท่อช่วยหายใจ ให้สารน้าทางหลอดเลือดดา มีบาดแผลบริเวณศีรษะ เป็น แผลถลอกขนาด 3 ซม. และแผลฟกช้าขนาด 5 ซม. เมื่อรับไว้ที่แผนกฉุกเฉิน ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว คลาชีพจร ไม่ได้ ทาการช่วยฟื้นคืนชีพ 2 นาที จึงสามารถคลาชีพจรได้ แพทย์ส่งเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง พบมี เลือดออก ในสมอง ได้รับไว้ในแผนกผู้ป่วยหนักกุมารเวชกรรม ต่อมาผู้ป่วยได้เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2553 เวลา 10.20 น. จากการสอบหาสาเหตุการเสียชีวิต พบว่าในเช้าของวันที่ 1 มกราคม 2553 พ่อและแม่ของ เด็กหญิงนภสร จะไปทาธุระที่อาเภอนาน้อย จึงได้พาเด็กหญิงนภสรไปด้วย โดยแม่ได้อุ้มลูกซ้อน รถจักรยานยนต์ที่มีพ่อเป็นผู้ขับขี่ ขณะขี่รถจักรยานยนต์ถึงบ้านกิตตินันท์ ตาบลศรีษะเกษ อาเภอนาน้อย ชาย ผ้าอ้อมที่ใช้พันตัวลูกน้อยเพื่อไม่ให้ได้รับลมแรงขณะซ้อนรถ ได้ปลิวเข้าซี่ล้อ หลังรถจักรยานยนต์ และล้อรถ ได้หมุนชายผ้าเข้าวงล้อโดยเร็ว แรงกระชากมหาศาลจากล้อรถเป็นเหตุให้เด็กหญิงนภสรพลัดหลุดจากมือ ของแม่ที่อุ้มอยู่ตกลงจากรถ ศีรษะกระแทกลงบนพื้นถนนอย่างแรง หมดสติไปนานประมาณ 15 นาที พ่อ และแม่ได้รีบนาตัวลูกส่งโรงพยาบาลนาน้อย และต่อมาโรงพยาบาลนาน้อยได้ส่งต่อมายังโรงพยาบาลน่าน เด็กหญิงนภสร ได้เสียชีวิตลงในที่สุด สรุปปัจจัยที่ทาให้เกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิต เกิดจากความประมาทของผู้ปกครองที่ไม่เก็บชายผ้าอ้อมให้เรียบร้อยก่อนออกเดินทาง เหตุให้ชายผ้าอ้อมพันล้อรถมอเตอร์ไซค์ และเด็กหลุดจากผ้าอ้อมตกลงกระแทกพื้นถนน ************************

จึงเป็น


กรณีศึกษาการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรทางถนนจังหวัดน่าน

7

กรณี: นายเกียรติคุณ อะทะยศ อายุ 20 ปี อยู่บ้านเลขที่ 125 หมู่ 5 บ้านผาเวียง ตาบลส้าน อาเภอเวียงสา จังหวัดน่าน เกิดเหตุวันที่ 10 มีนาคม 2553 เวลา 17.00 น. ถนนสายท่าวัง - ศิลาเพชร หมู่ที่ 3 บ้านใหม่ ต.จอมพระ อ.ท่าวังผา จ.น่าน ***************************

ผลการสอบสวน เหตุการณ์ครั้งนี้มีผู้ประสบเหตุ 6 ราย จากรถยนต์เสียหลักพุ่งชนหลัก กันโค้ง ที่บริเวณถนนสาย ท่าวังผา- ศิลาเพชร ช่วงระหว่างหลักกิโลเมตรที่ 7-8 บ้านใหม่พัฒนา ม.3 ต.จอมพระ อ.ท่าวังผา มีผู้เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 5 ราย ก่อนเกิดเหตุ รถคันดังกล่าว ได้ขับรถนาคณะของเจ้าคณะจังหวัดน่าน เจ้าคณะอาเภอ และภิกษุ สามเณร ทั้งหมด เดินทางไปร่วมงานทาบุญวัดป่าเหมือด ต.ศิลาแลง อาเภอปัว จั งหวัด น่าน โดยขากลับ ต่างแยกย้ายกันกลับ ไปก่อนหน้านี้แล้ว บางส่วนที่เหลือได้ขับรถติดตามกันมา ขณะเดินทางกลับ เมื่อถึงจุด เกิดเหตุยางรถยนต์ด้านหน้าข้างซ้ายได้ระเบิด จนทาให้รถเสียหลักพุ่งเข้าชนหลัก กันโค้ง ข้างถนน และหมุน เข้าพุ่งชนกับกาแพงรั้วบ้านของชาวบ้านในบริเวณดังกล่าวได้รับความเสียหาย เมื่อหน่วยกู้ชีพถึงที่เกิดเหตุ พบรถยนต์กระบะอีซูซุสีขาว ด้านหลังมีหลังคา ด้านข้างประตูเขียนว่ามูลนิธิชยานันทมุนี ซึ่งเป็นรถของวัด พระธาตุช้างค้าวรวิหาร สภาพด้านซ้ายพังยับเข้าไปกว่าครึ่ง มีผู้ได้รับบาดเจ็บรวมจานวน 6 คน เป็นสามเณร 3 รูป พระภิกษุสงฆ์ 1 รูป และฆราวาส 2 คน เจ้าหน้าที่กู้ภัยจึงได้เร่งช่วยเหลือผู้บาดเจ็บนาส่ง โรงพยาบาล ท่าวังผา แต่พระสงฆ์อีก 1 รูป ติดอยู่ในรถ คือ พระธรรมนันทโสภณ เจ้าคณะจังหวัดน่าน เจ้าอาวาส วัดพระธาตุช้างค้าวรวิหาร อายุ 78 ปี แรกรับรู้สึกตัวดี มีแผลฉีกขาดที่หน้าผากซ้ายและเท้าซ้าย เท้าบวม ผิด รูป ขาข้างขวาติดอยู่กับคอนโซลหน้าที่ถูกแรงกระแเทก เจ้าหน้าที่ต้องขอรถตัดถ่างและเครื่องช่วยตัดเหล็ก จากเทศบาลท่าวังผาและจาก กัชีพ กู้ภัยจังหวัดน่าน มาช่วย ตัดประตูและงัดเหล็กออก เป็นเวลานานกว่า 1 ชั่วโมง จึงสามารถนาร่างเจ้าคณะจังหวัดน่าน นาส่ง รพ.ท่าวังผาได้ โดยสรุปอุบัติครั้งนี้มีผู้ได้รับ บาดเจ็บรวมทั้งหมด 5 ราย เสียชีวิต 1 ราย ซึ่งนั่งอยู่ด้านหลัง กระเด็นตกรถ จนศีรษะไปกระแทกกับของแข็ง ผลการสอบสวนลักษณะการบาดเจ็บ รายที่ 1 สามเณร รู้สึกตัวดี ขาผิดรูป 2 ข้าง เอกซเรย์พบกระดูกขาหักจึงส่งต่อ ร.พ.น่าน รายที่ 2 สามเณร รู้สึกตัวดี มีและฉีกขาดที่ใบหน้าเล็กน้อย เย็บ 1 เข็ม จาหน่ายกลับบ้าน รายที่ 3 สามเณร รู้สึกตัวดี มีแผลถลอกตามตัว ทาแผล ให้ยา จาหน่ายกลับบ้าน


รายที่ 4 เจ้าคณะจังหวัดน่าน รู้สึกตัวดี ขาข้างขวาบวมผิดรูป มีแผลฉีกขาดที่หน้าผากซ้าย รายที่ 5 ฆราวาส ไม่รู้สึกตัว มีแผลเปิดที่ศีรษะด้านขวา กระดูกกะโหลกศีรษะแตกลึกถึงสมอง แพทย์โรงพยาบาลท่าวังผาจึงใส่ท่อช่วยหายใจและส่งต่อโรงพยาบาลน่าน และเสียชีวิต เนื่องจากศีรษะได้รับ การกระแทกอย่างรุนแรง ผลการสอบสวนยานยนต์ที่เกิดเหตุ เป็นรถยนต์กระบะอีซูซุสีขาว ด้านหลังมีหลังคา ด้านข้างประตูเขียนว่ามูลนิธิชยานันทมุนี ซึ่ง เป็นรถของวัดพระธาตุช้างค้าวรวิหาร สภาพด้านซ้ายพังยับเข้าไปกว่าครึ่ง ผลการสอบสวนถนนและสิ่งแวดล้อมที่เกิดเหตุ ถนนกรมทางหลวง ทางราดยางผิวเรียบ ทางตรง ไหล่ทางด้านที่เกิดอุบัติเหตุมีหลักกันโค้ง อยู่ เป็นระยะ บริเวณเกิดเหตุเป็นร้านค้า หน้าร้านค้าเป็นรั้วคอนกรีตห่างจากไหล่ถนน 1 เมตร สรุปข้อจากัดต่างๆ 1. อุปกรณ์การตัดถ่างมีขนาดเล็ก ไม่สามารถช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ติดอยู่ในรถได้ ทาให้ใช้ เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง จึงสามารถนาผู้ประสบภัยออกมาได้ (ซึ่งได้ดาเนินการขอสนับสนุนรถตัดถ่างจาก อบจ.น่าน) 2. การสื่อสาร ณ จุดเกิดเหตุครั้งแรกไม่ชัดเจนเรื่องจานวนผู้ประสบภัยและอาการเบื้องต้น 3. การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยอุบัติเหตุควรใช้ long spinal board แทนเปลตัก เพราะสามารถ support หลังได้ดีกว่า 4. ณ จุดเกิดเหตุมีไทยมุงมาก ไม่สามารถกันคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกจากที่เกิดเหตุได้ แนว ทางแก้ไขคือแต่ละทีมควรมีบทบาทชัดเจน ได้แก่ 4.1 ทีมตารวจทาหน้าที่ให้ความสะดวกในการจราจรและกั้นพื้นที่สาหรับการช่วยเหลือ ผู้บาดเจ็บ 4.2 ทีมกู้ภัย ทาหน้าที่ ทาให้พื้นที่เกิดเหตุมีความปลอดภัยและช่วยตัดถ่างกรณีมีผู้ติดอยู่ในรถ 4.3 ทีมแพทย์ พยาบาล และกู้ชีพ อบต. ทาหน้าที่ประเมินสถานการณ์ ประเมินอาการ ผู้บาดเจ็บ คัดแยกผู้ป่วย รักษาเบื้องต้นและนาผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล สรุปปัจจัยที่ทาให้เกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิต 1. ยางรถยนต์ด้านหน้าข้างซ้ายระเบิด จนทาให้รถเสียหลักพุ่งเข้าชนหลัก กันโค้ง ข้างถนน และ พุ่งชนกาแพงรั้วบ้าน 2. ผู้ขับขี่พักผ่อนไม่เพียงพอ ขับรถไม่ชานาญ ประมาท ขับรถเร็ว


กรณีศึกษาการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรทางถนนจังหวัดน่าน

8

กรณี : นายส่อง ใจบาล อายุ 64 ปี

อยู่บ้านเลขที่ 115 หมู่ 11 บ้านปางค่าใหม่ไชยเจริญ ต.ไชยสถาน อ.เมือง จ.น่าน เกิดเหตุเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 เวลา 16.00 น. บนทางหลวงแผ่นดินสายน่าน-บ้านหลวง (ใกล้ปั๊มน้ามันบางจาก) บ้านปางค่า หมู่ 4 ตาบลไชยสถาน อาเภอเมืองน่าน ********************

ป้าศรีวรรณ ใจบาล

อายุ 59 ปี ซึ่งเป็นภรรยาของนายส่อง ใจบาล ผู้ตาย ได้เล่ารายละเอียด เกี่ยวกับ นายส่อง ใจบาล ว่านายส่อง ใจบาล มีอาชีพทานามีลูกด้วยกัน 2 คน คนแรกชื่อ นางปทุม บุญตัน ทางานอยู่โรงพยาบาลน่าน อายุ 32 ปี คนที่สองชื่อ นางศรีทร ณธรรม ขณะนี้อยู่กับป้า นายส่อง ใจบาล ปกติไม่ดื่มเหล้า แต่ถ้าดื่มแล้วจะดื่มมาก นางศรีวรรณเล่าว่านายส่อง ใจบาล ไม่มีโรคประจาตัวใดๆ สายตา ยาว เคยมีประวัติถูกวัวชนบริเวณหน้าอกด้านซ้ายกระดูกซี่โครงหัก เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2550 ในวันที่เกิดเหตุ นายส่อง ใจบาลได้ขับขี่รถจักรยานยนต์เก่าๆ ซึ่งมีอยู่คันเดียว ออกจากบ้านไป เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 เวลาประมาณ 14.00 น. ทราบว่าจะออกไปหาคนที่รู้จักที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน เดียวกัน นางศรีวรรณได้เล่าเหตุการณ์ต่อว่า เวลาประมาณ 16.00 น. ก็ได้มีคนมาเรียกที่บ้านบอกว่า นายส่อง ได้เกิดอุบัติเหตุบนทางหลวงสายน่าน-บ้านหลวง ใกล้ปั๊มน้ามันบางจาก ตนได้รีบเดินทางไปที่เกิดเหตุพบว่า นายส่องได้ขี่รถแฉลบลงข้างทางชนกับเสาหลักกันโค้ง ที่อยู่บริเวณริมเขตทางหลวงด้านซ้าย สายน่าน- บ้าน หลวง นอนสลบแน่นิ่งกับพื้น ไม่รู้สึกตัว การให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้น พนักงานเติมน้ามันบางจากซึ่งอยู่ใกล้บริเวณที่เกิดเหตุ ได้โทรศัพท์แจ้งเหตุไปยังตารวจ หมายเลข 191 และศูนย์แจ้งเหตุ 1669 เวลาต่อมาหน่วยกู้ชีพกู้ภัย อบจ.น่าน และรถ EMSโรงพยาบาลน่าน ก็ ได้เดินทางมาถึงที่เกิดเหตุ และได้เข้าไปช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้น แล้วจึงนาผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลน่าน และผู้บาดเจ็บก็ได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา คณะทางานได้เดินทางไปที่ อนามัยบ้านปางค่า ตาบลไชยสถาน อาเภอเมืองน่าน เพื่อตรวจสอบ ข้อมูลประวัติการรักษาตัวของนายส่อง ใจบาล ในการรักษาตัวที่อนามัยบ้านปางค่า ซึ่งเจ้าหน้าที่อนามัย บ้านปางค่า ก็ให้ความร่วมมือค้นหาข้อมูลเป็นอย่างดี โดยให้รายละเอียดเพิ่มเติม คือ นายส่อง ใจบาล มีประวัติเคยมาทาการรักษาตัวที่อนามัย ดังนี้ - เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2552 ข้อมือซ้ายบวม เคยผ่าตัดดามเหล็กจากรพ.น่านมาเมื่อ 8 ปีก่อน


- วันที่ 17 มีนาคม 2553 เคยไปทาการรักษาอาการมึนศรีษะ เนื่องจาก มีความดันต่า และมีอาการ เจ็บบริเวณชายโครงด้านซ้าย และเคยผ่าตัดไส้เลื่อนมาก่อนเมื่อปี 2544 วันที่เกิดเหตุ ผู้ตายดื่มสุราและมีอาการมึนเมา ขณะที่ขี่รถจักรยานยนต์ ได้ขี่รถด้วยมือข้างเดียว เพราะมือด้านซ้ายได้อุ้มไก่ไว้ หลังจากกลับจากบ่อนไก่ขณะที่ขี่รถมาตามทางหลวงแผ่นดินสายน่าน-บ้าน หลวง บริเวณใกล้ปั๊มน้ามันบางจาก บ้านปางค่า หมู่ 4 ตาบลไชยสถาน อาเภอเมืองน่าน มีรถบรรทุกวิ่งอยู่ ด้านหน้า นายส่องได้ขับจักรยานยนต์แซงรถบรรทุก 6 ล้อ มาถึงจุดเกิดเหตุรถได้เสียหลักแฉลบลงข้างทางชน กับหลักกันโค้งริมถนน และรถได้ไถลลื่นมาหยุดตรงบริเวณเกือบถึงทางเข้าปั๊มน้ามันบางจาก เป็นระยะทาง ประมาณ 10 เมตร การจัดการเกี่ยวกับงานศพ (ภรรยาเล่าให้ฟัง) ภรรยาและลูกได้ตั้งศพสวดพระอภิธรรมไว้ 7 วัน (ตั้งแต่วันที่ 10-17 เมษายน 2553) มีค่าใช้จ่าย ในการทาบุญประมาณ 100,000 บาท ได้รับเงินจากสมาคม, ธกส. ประมาณ 200,000 บาท เงินสหกรณ์ ประมาณ 102,000 บาท เงินสมาคมของหมู่บ้าน ประมาณ 40,000 บาท เงินร่วมทาบุญ ประมาณ 40,000 บาท รวม ประมาณ 382,000 บาท สรุปปัจจัยที่ทาให้เกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิต 1. ผู้ตายดื่มสุรา และขับรถเร็วจนรถเสียหลักชนหลักกันโค้ง และลื่นไหลไปจอดไกลเกือบ 10 เมตร 2. ผู้ตายประมาท ขับรถรถด้วยมือขวามือเดียว มือซ้ายอุ้มไก่ และไม่สวมหมวกนิรภัย 3. ผู้ตายมีโรคประจาตัว(ความดันต่า) สายตายาว และเคยผ่าตัดดามเหล็กมาก่อน *********************************


กรณีศึกษาการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรทางถนนจังหวัดน่าน

9

กรณี : นายวุฒิชัย ต๊อดแก้ว อายุ 17 ปี

อยู่บ้านเลขที่ 23 หมู่ที่ 1 บ.บ่อหลวง ต.บ่อเกลือใต้ อ.บ่อเกลือ จ.น่าน เกิดเหตุเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2553 เวลา 22.00 น. ถนนสายบ่อเกลือ-ปัว กม.ที่ 47–48 บ.บ่อหลวง หมู่ที่ 1 ต.บ่อเกลือใต้ อ.บ่อเกลือ จ.น่าน **************************** จากการสอบ ข้อมูลจาบิดา และมารดา ของนายวุฒิชัย ต๊อดแก้ว ได้เล่ารายละเอียดให้ทราบว่า นายวุฒิชัย ต๊อดแก้ว ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ออกจากบ้าน พร้อมกับเพื่อนอีก 2 คน โดยนายวุฒิชัยได้นาเอา กระเป๋าผ้าและกระเป๋าโน๊ตบุ๊ค ไปด้วย โดยได้เอาวาง กระเป๋าผ้าและโน๊ตบุ๊ค ไว้ระหว่างขาหนีบตรง กลาง ระหว่างตัวรถและแฮนรถจักรยานยนต์ และได้ขี่รถจะผ่านขึ้นสะพานที่ อาเภอบ่อเกลือ แต่เนื่องจากมีกระเป๋า วางอยู่ตรงกลางรถ ทาให้เวลาจะเลี้ยวรถจึงไม่สามารถเลี้ยวได้เพราะมีกระเป๋าขวางอยู่ ตรงกลาง ประกอบกับ ขับรถด้วยมือเดียว โดยมืออีกข้างหนึ่ง ถือสัมภาระ ไปด้วย ทาให้บังคับรถให้เลี้ยวไม่ได้ รถ จึงพุ่งตรงไปข้าง สะพาน และตกลงไปในลาห้วยใต้สะพานซึ่งมีกองหินอยู่เป็นจานวนมาก ประกอบกับเป็นช่วงฤดูแล้ง ลาห้วย น้าแห้งขอด จึงเป็นสาเหตุให้ นายวุฒิชัย ต๊อดแก้ว คอหักและเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ นายวุฒิชัย ต๊อดแก้ว ได้เรียนอยู่ที่กรุงเทพ และได้กลับมาเที่ยวบ้านบิดา มารดาที่อาเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน ในช่วงเทศกาล สงกรานต์ และกาลังจะเดินทางกลับกรุงเทพอยู่แล้ว ก็มาเกิดเหตุการณ์เสียก่อน เหตุเกิดเมื่อวันที่ 12 เม.ย. 2553 เวลา 22.00 น. บนถนนทางหลวงแผ่นดิน สายบ่อเกลือ - ปัว ช่วง กม.ที่ 47–48 หมู่ที่ 1 บ้านบ่อหลวง ต.บ่อเกลือใต้ อ.บ่อเกลือ ยานพาหนะที่ใช้เป็นรถจักรยานยนต์ฮอนด้า เวฟ หมายเลขทะเบียน กมธ. 244 น่าน และมีผู้ประสบอุบัติเหตุ จานวน 3 คน คือ 1) นายภัทราวุธ มาสบดี อายุ 21 ปี บ้านเลขที่ 100/1 หมู่ที่ 2 ตา บลบางเต้า อาเภอกันตรัง จังหวัดตรัง ได้รับบาดเจ็บ 2) นายสุทธิชัย ไชยวงศ์ อายุ 21 ปี บ้านเลขที่ 84 หมู่ที่ 12 ตา บลหนองแวง อาเภอเกษตร วิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด ได้รับบาดเจ็บ 3 ) นายวุฒิชัย ต๊อดแก้ว อายุ 17 ปี อยู่บ้านเลขที่ 23 หมู่ที่ 1 บ้านบ่อหลวง ตาบลบ่อเกลือใต้ อาเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน เสียชีวิต ลักษณะของการเกิดอุบัติเหตุ เมื่อวันที่ 12 เม.ย. 2553 ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2553 มีวันหยุดติดต่อกันหลายวัน นายวุฒิชัย ต๊อดแก้ว ได้เดินทางมากจาก กรุงเทพฯ พร้อมกับเพื่อนร่วมงานอีก 2 คน หลังจากที่ได้พักหยุด งานในช่วงเทศกาลหลายวัน เพื่อกลับภูมิลาเนามาร่วมงานประเพณีรดน้าดาหัวพ่อ –แม่ และ ญาติ ผู้ ใหญ่ ที่เคารพนับถือ ซึ่งเป็นประเพณีทางภาคเหนือ วันที่เกิดเหตุ วันที่ 12 เม.ย. 2553 ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์


ฮอนด้า เวฟ หมายเลขทะเบียน กมธ. 244 น่าน โดยมีนายภัทราวุธ มาสบดี และนายสุทธิชัย ไชยวงศ์ ซึ่งเป็น เพื่อนรวมงาน เป็นผู้ซ้อนท้าย ไปเที่ยวบ้านญาติในหมู่บ้านเดียวกัน โดยได้มีการ ดื่มสุรากับญาติและเพื่อน ตั้งแต่เวลา 18.00 - 21.30 น. จากนั้นได้ขับขี่รถจักรยานยนต์กลับบ้าน มาตามถนนสายบ่อเกลือ - ปัว เมื่อมาถึง ทางแยกที่จะเข้า หมู่บ้าน กม.ที่ 47 –48 หมู่ที่ 1 บ้านบ่อหลวง ตา บลบ่อเกลือใต้ อาเภอบ่อเกลือ เป็นช่วงเวลา ประมาณ 22.00 น. นายวุฒิชัยได้ขับรถ เลยทางแยกที่จะเข้าไปใน หมู่ บ้าน จึง ได้เบรคเพื่อจะเลี้ยวรถกลับ บริเวณหัวสะพาน รถได้เสียหลักพุ่งลงไปข้างทางตกลงไปในลาห้วย ซึ่งมีความลึกประมาณ 10 เมตร ทั้งรถ ผู้ ขับขี่และผู้โดยสารทั้ง 3 คน ตกลงไปในลาห้วยกระแทกกับของก้อนหินอย่างแรง ทาให้นายวุฒิชัย ต๊อด แก้ว ซึ่งเป็นผู้ขับขี่ ได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่รู้สึกตัว เนื่องจากถูกแรงกระแทกที่บริเวณใบหน้า ศรีษะ นายภัท ราวุธ มาสบดี (นั่งกลาง) และ นายสุทธิชัย ไชยวงศ์ (นั่งท้าย) ก็ ได้รับบาดเจ็บสาหัส มีพลเมืองดี ผู้เห็นเหตุการณ์ได้แจ้งหน่วยกู้ ชีพกู้ ภัยในพื้นที่ และหน่วย กู้ชีพ โรงพยาบาล บ่อเกลือ เข้าช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ทาการปฐมพยาบาล และนาส่งโรงพยาบาลยุพราชปัว อาเภอปัว นายวุฒิชัย ต๊อดแก้ว ทนพิษบาดแผลไม่ไหว ได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา สรุปปัจจัยที่ทาให้เกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิต 1. ผู้ขับขี่ดื่มสุราก่อนที่จะขับขี่รถกลับบ้าน ทาให้การขับขี่ไม่ปลอดภัย ขับรถด้วยความเร็วทาให้ เลยทางแยกที่จะเข้าหมู่บ้าน 2. การบังคับรถไม่คล่องตัวเนื่องจากมีผู้ซ้อนท้าย 2 คน และมีกระเป๋าวางตรงกลางระหว่าง คนขับกับคันบังคับรถทาให้ไม่สามารถเลี้ยวรถได้ ประกอบกับ ในขณะที่จะเลี้ยวกลับ รถจะมีการเร่ง ความเร็ว จึงทาให้รถเสียหลักพุ่งลงข้างทางตกลงไปในลาห้วย 3. ลักษณะถนนเป็นถนนสายหลัก ทางหลวงแผ่นดินสายบ่อเกลือ - ปัว กม.ที่ 47 –48 ทางตรง ถนนลาดยางแอลฟัล ผิวถนนเรียบ แห้ง ทิศทางการเดินรถแบ่ง เป็น 2 ช่องทาง จราจร มีเส้นแบ่ง ช่องทาง จราจรชัดเจน ไม่มีเกาะกลางถนน 4. ยานพาหนะเป็นรถจักรยานยนต์ฮอนด้า เวฟ หมายเลขทะเบียน กมธ. 244 น่าน ไม่มีสภาพการ ดัดแปลง ระบบเบรกและระบบไฟใช้การได้ปกติ 5. ลักษณะสิ่งแวดล้อม ไม่มีแสงสว่างไฟฟ้าในเส้นทาง ไม่มีสิ่งกีดขวาง ท้องฟ้าแจ่มใส

***************************


กรณีศึกษาการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรทางถนนจังหวัดน่าน

10

ด.ช.ธวัชชัย พนมพิสิฐ อายุ10 ปี

อยู่บ้านเลขที่ 53 หมู่ที่ 3 บ.น้างาว ต.บ่อ อ.เมืองน่าน จ.น่าน เหตุเกิดวันที่ 13 เมษายน 2553 เวลา 16.00 น. บริเวณทางขึ้นลงหาดหินขาว บ.ท่าช้าง ต.ในเวียง อ.เมืองน่าน จ.น่าน

************************* เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2553 เวลาประมาณ 16.00 น. เศษ ศูนย์รับแจ้งเหตุโรงพยาบาลน่าน ได้รับ แจ้งจากพลเมืองดีว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถปิกอัพพลิกคว่าบริเวณหาดหินขาว มีผู้ได้รับบาดเจ็บ จานวน 4 คน เป็นเด็ก 3 คน เป็นผู้ใหญ่ 1 คน ศูนย์รับแจ้งเหตุโรงพยาบาลน่านจึงได้สั่งการหน่วยกู้ชีพกู้ภัย นาผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล จากการสอบสวน เช้าวันที่ 13 เมษายน 2553 เวลาประมาณ 07.00 น. อาของ ด.ช.ธวัชชัย พนมพิสิฐ ได้ชวน หลาน ๆ ออกไปเที่ยว สาดน้าสงกรานต์ โดยใช้รถกระบะโตโยต้า ไทเกอร์ 4 Wheel เป็นพาหนะ มีผู้เดินทาง ไปเที่ยวทั้งหมดจานวน 13 คน เป็นเด็ก 8 คน และเป็นผู้ใหญ่ 5 คน โดยได้นาถัง บรรจุ น้าบรรทุก ท้ายรถ จานวน 2 ถัง ออกจากบ้านเวลา 09.00 น. โดยอาเป็นคนขับ ตอนเช้าได้ขับรถตระเวนเล่นน้าสงกรานต์บริเวณ รอบ ๆ เมืองน่าน จนถึงเวลาประมาณเที่ยง จึงได้พากันไปเล่นน้าที่บริเวณหาดหินขาวซึ่งไม่เคยมีใครได้ไป เที่ยวมาก่อน เด็ก ๆ พากันเล่นน้าอย่างสนุกสนาน ส่วนผู้ใหญ่ก็นั่งทานข้าวอยู่บริเวณริมหาด โดยได้มีการดื่ม เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ด้วย พอได้เวลาประมาณ 4 โมงเย็น ทั้งหมดก็พากันขึ้นรถเพื่อจะเดินทางกลับบ้าน อาของ ด.ช. ธวัชชัยได้ขับรถออกจากหาดหินขาวมาตามทางติดกับ ร้านสุริยาการ์เด้น ซึ่งเป็นทางลูกรัง และมี ความลาดชัน โดยรถได้บรรทุกน้าอยู่ในถังท้ายกระบะอยู่ประมาณครึ่งถัง เมื่อรถขึ้นมาถึงเกือบสุดทางลาดชัน ได้มีรถยนต์ อีกคันหนึ่งขับสวนทางมาเพื่อจะลงไปเล่นน้า อาของ ด.ช.ธวัชชัยได้ชะลอรถทาให้เครื่องยนต์ดับ และรถได้ลื่นไถลลงข้างทาง อาของ ด.ช.ธวัชชัยพยายามเหยียบเบรกแต่ก็ไม่เป็นผล รถได้พลิกคว่าลงข้างทาง 2 ตลบ ทาให้ ผู้ที่นั่งกระบะท้ายรถได้รับบาดเจ็บทันที จานวน 4 คน เป็นเด็ก 3 คน เป็นผู้ใหญ่ 1 คน รถกู้ชีพ โรงพยาบาลน่าน ออกเหตุรับผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล ทั้ง 4 คน โดย ด.ช.ธวัชชัย ไม่รู้สึกตัว เมื่อไปถึง โรงพยาบาลน่าน แพทย์ได้ ทาการปั๊มหัวใจและนาเข้าห้องผ่าตัด พบว่าตับแตก grade 4 หลังออกจากห้อง ผ่าตัด แพทย์ได้ส่งเข้ารักษาตัว ที่ห้อง ICU และเด็กชายธวัชชัยได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา


เด็กชายธวัชชัย พนมพิสิฐ เป็นเด็กชาวเขา เกิดวันที่ 9 เมษายน 2543 อายุ10 ปี 4 วัน อยู่บ้านเลขที่ 53 หมู่ที่ 3 บ้านน้างาว ตาบลบ่อ อาเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน เรียนอยู่ชั้นป ระถมปีที่ 4 อาศัยอยู่กับบิดา มารดา และญาติพี่น้องรวม 12 คน เป็นเด็ก 5 คน เป็นผู้ใหญ่ 7 คน การพัฒนาการของเด็กทางด้านการ เคลื่อนไหว การพูด พฤติกรรมทั่วไป และระดับสติปัญญา เป็นปกติดีเหมือนเด็กอื่น ๆ ไม่ดื่มสุรา ไม่สูบ บุหรี่ ไม่ติดยาเสพติด ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุรุนแรงจนต้องมาพบแพทย์หรือนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล ขณะ เกิดเหตุ บิดา มารดามีอาชีพรับจ้างและค้าขาย บิดามีอายุ 33 ปี เรียนจบระดับประถมศึกหรือต่ากว่า ชอบดื่ม สุรา มารดามีอายุ 28 ปี เรียนจบระดับประถมศึกหรือต่ากว่า ไม่ดื่มสุรา สถานที่เกิดเหตุ บริเวณ หาดหินขาว เป็นหาดริมแม่น้าน่าน ซึ่งเป็นแหล่งน้าธรรมชาติ ที่ชุมชนได้จัดให้เป็น สถานที่ท่องเที่ยวเฉพาะช่วงเทศกาลสงกรานต์ นักท่องเที่ยวชอบลงไปเล่นน้าเนื่องจากเป็นช่วงที่อากาศร้อน ประกอบกับเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ของจังหวัด เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ไม่ได้มาตรฐานและไม่มีมาตรการ ในการป้องกันคุ้มครองความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยว ทางขึ้น ลง หาดหินขาว เป็นทางลูกรัง และลาดชัน สภาพเปียกเนื่องจากมีการสาดน้า และน้าหกขณะรถวิ่งขึ้นเนิน สภาพรถยนต์ที่เกิดเหตุ เป็นรถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้า ไทเกอร์

4 Wheel

สรุปปัจจัยที่ทาให้เกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิต 1. ผู้ขับขี่รถ ยนต์ ไม่มีความชานาญ เส้นทาง ดื่มสุรา รถบรรทุกหนัก ประกอบกับมีการนั่งท้าย กระบะรถและมีถังบรรจุน้าอยู่ท้ายกระบะ เมื่อเกิดอุบัติเหตุจึงทาให้เกิดการบาดเจ็บและเสียชีวิต 2. ทางขึ้นลงหาดหินขาว เป็นทางลาลอง เป็นทางลูกรังไม่ได้มาตรฐาน 3. แหล่งท่องเที่ยว ชุมชนได้จัดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเฉพาะช่วงเทศกาลสงกรานต์ ไม่ได้ มาตรฐานและไม่มีมาตรการในการป้องกันคุ้มครองความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยว

**************************


กรณีศึกษาการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรทางถนนจังหวัดน่าน

11

กรณี: นายอดิเรก ปาละ อายุ 21 ปี

อยู่บ้านเลขที่ 336 ม.12 บ้านน้าครกใหม่ ต.กองควาย อ.เมือง จ.น่าน สถานที่เกิดเหตุ: ถนนสายหลักเวียงสา-น่าน บริเวณบ้านน้าครกใหม่ ต.กองควาย อ.เมือง จ.น่าน วันที่เกิดเหตุ: วันอังคาร ที่ 13 เมษายน 2553 เวลาประมาณ 24.00 น. ************************

อดิเรก ปาละ หรือ แบท

ลูกชายคนเล็กของแม่ได (หย่าขาดกับคุณพ่อเมื่อแบทอายุได้ 5 ขวบ) แบทเกิดเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2532 มีพี่สาว 1 คนชื่อพี่บี อายุมากกว่าแบท 7 ปี ปัจจุบันมีครอบครัวแล้ว และทางานที่ชลบุรี หลังจากแบทเรียนจบชั้น ม. 3 ที่โรงเรียนนันทบุรีวิทยา ก็ตั้งใจจะเรียนต่อสายอาชีพที่ วิทยาลัยเทคนิคน่าน แต่หลังจากที่แบทเข้าเรียนได้ 2 เทอม ก็พบรักกับเพื่อนสาวที่เรียนด้วยกันและทั้งสอง ตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน จึงได้ลาออกจากโรงเรียนแล้วออกมารับจ้างเป็นพนักงานที่ห้างโลตัสน่าน และมีลูก น้อยด้วยกัน 1 คน ชื่อน้องฟอร์ส หรือเด็กชายอดิศร ปาละ อายุ 1 ปี 7 เดือน ชื่อนี้แบทเป็นคนตั้งให้ลูกเอง ปกติ... แบทไม่มีปัญหาสุขภาพ สายตาและอารมณ์ปกติ ช่วยแม่ทางานบ้าน ทานา ทาสวน เป็น คนเอื้อเฟื้อ ห่วงใยคนอื่น รักแม่ได รักคุณตา รักภรรยา รักลูกมาก เป็นที่รักของญาติพี่น้องและเพื่อน ๆ ไม่ว่า จะเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน เพื่อนรุ่นพี่ หรือเพื่อน ๆ รุ่นน้อง ... แม่ไดบอกว่า... หลังเลิกงานทุกวัน แบท จะเป็น คนดูแลคุณตา อาบน้าแต่งตัวให้คุณตาซึ่งพิการแขนขาขยับได้เพียงเล็กน้อย... ทุกคนต่างเห็นว่าแบทเป็นคน เสียสละ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ชอบเสนอหน้า ชอบเล่นกีฬา แต่... ก็เป็นคนใจร้อน ผลีผลาม และบางครั้งก็ โมโหง่าย ... แม่ไดเล่าให้ฟังว่า ... วันที่ 12 เมษายน 2553 ซึ่งเป็นวันเตรียมตัวเข้าสู่เทศกาลสงกรานต์หรือ ปี๋ใหม่เมือง ... ขณะที่แม่ไดไปเฝ้าคุณตาซึ่งไม่สบายนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลน่าน ... น้าไก่(น้าสาวของ แบทที่ไปเปิดกิจการร้านซ่อมรถอยู่ที่ลพบุรี และแบทเคยไปช่วยทางานด้วยระยะหนึ่ง ซึ่งน้าไก่รักและเอ็นดู แบทมาก) ได้กลับมาเยี่ยมบ้านพร้อมครอบครัว และตั้งใจจะมาสังสรรค์เฉลิมฉลองปี๋ใหม่เมืองกับหลานแบท วันนั้น... เวลาประมาณบ่าย 3 กว่า ๆ น้าไก่ได้โทรศัพท์มาหาแบทหลายครั้ง แต่แบทไม่สะดวก ที่จะไปหา... จนเย็น ... น้าไก่ให้หลานอีกคนขี่จักรยานมาตามหาแบทและให้แบทไปหาจนได้เพราะน้าไก่ เตรียมเหล้า เบียร์ และอาหารกับแกล้ม(เตรียมอย่างดีมาจากลพบุรี) ... แบทไปหาน้าไก่พร้อมภรรยาและลูกน้อย... ทุกคนกิน ดื่ม และพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เว้นแต่ ภรรยาของแบทที่ไม่ดื่ม... จนเวลาประมาณ 4 ทุ่ม... แบทได้พาภรรยาและลูกน้อยกลับบ้าน... แบทขอกลับไป ดื่มและพูดคุยกับน้าไก่ต่อ...ภรรยาก็ไม่ได้ขัดขืน... จนเวลาประมาณเที่ยงคืน... แม่ได... ภรรยา... และทุกคน


ตกใจ แทบช๊อค ... มีคนบอกว่า... แบทขี่มอเตอร์ไซค์ประสบอุบัติเหตุ ... ไม่ทราบว่าเกิดเหตุที่ไหน และเป็น อย่างไร ?.... ทุกคนออกตามหาแบท... เจอแบทกาลังได้รับความช่วยเหลือจากทีมกู้ชีพ-กู้ภัย อบต.กองควาย อบต.ดู่ใต้ และทีมโรงพยาบาลน่าน แต่ก็ดูเหมือนหมดหวังเพราะทีมงานกู้ชีพบอกว่า... แบทไม่รู้สึกตัว ไม่มี สัญญานชีพ คลาชีพจรไม่ได้ ไม่หายใจ... ทีมงานจึงช่วยฟื้นคืนชีพ ณ จุดเกิดเหตุ และรีบนาส่ง รพ.น่าน แพทย์ระบุว่า... แบทเสียชีวิตก่อนถึงโรงพยาบาล หรือเสียชีวิต ณ จุดเกิดเหตุ เนื่องจากสมอง ถูกกระทบกระเทือนอย่างแรง ทราบทีหลังว่า... ก่อนเกิดเหตุ... เจมและม๊อต เพื่อรุ่นน้องของแบทซึ่งนั่งดื่มด้วยกันบอกว่า... จะไปซื้อน้ามันรถ(ปั๊มหยอดเหรียญ) โดยขอยืมรถของเปา ซึ่งนั่งดื่มอยู่ด้วยกัน... แบทอาสาจะไปส่งเจม กับม๊อต โดยไม่มีใครขัดข้อง... แบทเป็นคนขับเจมและม๊อทซ้อนท้าย ทุกคนไม่มีใครสวมหมวกกันน๊อค และคาดว่าทุกคนอยู่ในอาการมึนเมา... ทีมงานสอบสวนได้สอบถามพี่สังวร พี่จรูญ และพี่สมพงษ์ ทีมกู้ชีพ-กู้ภัย อบต.กองควาย ได้ความว่า... หลังได้รับแจ้งเหตุทีมงานได้รีบออกตรวจสอบเหตุตามที่ได้รับแจ้งทันที... แต่ข้อมูลที่ได้รับแจ้ง ไม่ทราบสถานที่เกิดเหตุที่ชัดเจน... แต่ก็พบเจมและม๊อตรออยู่ที่ศาลาข้างถนน ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 500 เมตร... ทั้งสองมีบาดแผลถลอกเล็กน้อยตามแขนขา อาการสลึมสลือ ถามตอบไม่ค่อยรู้เรื่อง... จึงบอกให้ ตั้งสติและพาไปที่เกิดเหตุ... จึงพบศพของแบทนอนคว่าหน้า ไม่รู้สึกตัว ปลุกไม่ตื่น และมีมดตอมตามตัวเต็ม ไปหมด ใกล้กับต้นสักไหล่ทาง สภาพรถพักยับเยิน ใช้การไม่ได้ ทีมงานสอบสวนได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ... แบทเริ่มขับขี่รถมอเตอร์ไซค์เมื่อสมัยเรียนอยู่ชั้น ม. 1 ชอบขับรถเร็ว และเคยประสบอุบัติเหตุขับรถขณะมึนเมาแฉลบล้มร่วมกับเพื่อนซึ่งซ้อนท้ายไปด้วยกันเมื่อ 3 ปีที่แล้ว(อายุ 18 ปี) ตอนนั้นต้องนอกพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลน่าน 3 วัน... เคยไปสอบใบขับขี่ 1 ครั้ง สอบไม่ผ่านและก็ไม่เคยไปสอบอีก... ไม่มีใบขับขี่ แม่ไดและทุกคนที่รู้จักแบทต่างเสียใจ เศร้าใจ ... ช่วยกันจัดงานศพอย่างประหยัด 5 วัน 4 คืน หมดเงินไปประมาณ 8 หมื่นบาท ของกินของใช้ส่วนใหญ่เพื่อนบ้านนามาสมทบ แล้วช่วยกันทา งานศพ... ได้รับเงินจาก พรบ. 3 หมื่น 5 พันบาท และกลุ่มต่าง ๆ ในหมู่บ้านร่วมสมทบอีก ประมาณแสนกว่าบาท ... ซึ่งเงินที่เหลือจากการจัดงานศพ ... ภรรยาของแบทจะเก็บไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการ ดูแลลูก ... และหลังจากทาบุญ 100 วันแล้ว ภรรยาแบทบอกว่า... จะพาลูกไปหาแม่ (หย่ากับพ่อแล้วไป แต่งงานใหม่) ที่กรุงเทพ ฯ แม่ไดบอกว่า... ต้องซื้อรถใหม่ให้เปา 1 คัน (ราคา 3 หมื่น 5 พันบาท) และซากรถของเปาขาย เป็นเศษเหล็กได้ 8 พันบาท ส่วนเจมและม๊อตช่วยคนละ 3 พันบาท


สรุปปัจจัยที่ทาให้เกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิต 1. คนขับรถมีอาการมึนเมา คึกคะนอง ไม่สวมหมวกนิรภัย อาจขับรถเร็วและประมาท ประกอบ กับถนนมืด ทาให้รถเสียหลักแฉลบออกนอกเลนไปชนกับต้นไม้บริเวณไหล่ทาง (ทางตรง) 2. การแจ้งเหตุล่าช้า ไม่ชัดเจนว่าเหตุเกิด ณ ที่ใด ผู้บาดเจ็บมีอาการเป็นอย่างไร และไม่มีการ ช่วยเหลือเบื้องต้นก่อนทีมกู้ชีพ-กู้ภัยจะไปถึง *************************


กรณีศึกษาการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรทางถนนจังหวัดน่าน

12 กรณี: นายชาคริต ศรีรัมย์ อายุ 17 ปี ที่อยู่บ้านเลขที่ 72 หมู่ 5 ต.สวด อ.บ้านหลวง จ.น่าน เกิดเหตุถนนในหมู่บ้าน บ้านดอนหล่ายทุ่ง หมู่ที่ 2 ตาบลสวด อาเภอบ้านหลวง จังหวัดน่าน วันที่ 15 เมษายน 2553 เวลา 20.00 น. ****************** นายชาคริต ศรีรัมย์ หรือ เท เป็นลูกชายคนโต ของแม่ลัดดาวัลย์ ชูส่งแสง ปัจจุบันอายุ 45 ปี พ่อของเท เป็นคนจังหวัดบุรีรัมย์ เทอายุได้ 3-4 ขวบ พ่อแม่ก็เลิกกัน พ่อกับเทได้ติดต่อกันตลอด ต่อมาพ่อ ของเทได้ไปทางานที่ประเทศ ใต้หวัน ตอนนั้นเทเรียนอยู่ชั้นประถม ปีที่ 3 เลยขาดการติดต่อกันจนกระทั้ง ขณะนี้พ่อของเทก็ยังไม่ทราบว่าเทได้เสียชีวิตแล้ว หลังจากพ่อกับแม่ได้แยกทางกันประมาณ 10 ปี นางลัดดาวัลย์ก็แต่งงานใหม่ กับนายเกียรติศักดิ์ ชูส่งแสง ซึ่งเป็นคนอาเภอทุ่งสง โดยนางลัดดาวัลย์ได้ไปอยู่กับนายเกียรติศักดิ์ ชูส่งแสง ที่อาเภอทุ่งสงด้วยมี บุตรด้วยกัน 2 คน เทจึงต้องอยู่กับน้าสาว ซึ่งเป็นน้องของนางลัดดาวัลย์ ชื่อน้าบัวขาว สุดสม ปัจจุบันอายุ 40 ปี ซึ่งแต่งงานแล้ว แต่ไม่มีบุตร จึงอุปการะเลี้ยงดูเทเหมือนลูกของตนเอง ดูแลความเป็นอยู่ทุกอย่าง และ เท ก็ รักและเคารพนับถือน้าสาวเสมือนแม่ของตนเอง นางลัดดาวัลย์ และนายสม เกียรติก็ได้แยกทางกันเมื่อปี 2551 นางลัดดาวัลย์ ก็ได้ พาลูก ทั้งสอง กลับมาอยู่ที่บ้านดอนหล่ายทุ่ง ตาบลสวด อ.บ้านหลวง จ.น่าน และเทก็ได้ย้ายมาอยู่บ้านหลังเดียว กับแม่และ น้องอีก 2 คน โดยนางลัดดาวัลย์ผู้เป็นแม่ก็ได้ทางานเป็นแม่ครัวอยู่ที่โรงเรียนบ้านดอนหล่ายทุ่ง เท เรียนอยู่ชั้นมัธยม โรงเรียนบ้านหลวง และเดินทางไปโรงเรียนด้วยรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อ ยามาฮ่าเมททุกวัน รถจักรยานยนต์คันนี้ซื้อมาเมื่อปี 2540 โดยเทได้ขับรถมอเตอร์ไซต์เป็นมาเป็นเวลา 6 ปี แล้ว และได้ใช้รถคันนี้มา โดยตลอด แต่ยังไม่ มีทาใบขับขี่ ไม่ชอบสวมหมวกกันน๊อค ไม่เคยมีประวัติ การ เกิดอุบัติเหตุ และไม่เคยโดนจับเรื่องหมวกกันน๊อค เทกลับมาบ้านก็จะช่วยแม่ลัดดาวัลย์ทางานบ้านและเลี้ยงน้องทั้ง 2 คน และมักจะไปช่วยแม่ ลัดดาวัลย์ ขายไก่ย่างที่บริเวณริมถนนใกล้ ๆ กับที่เกิดเหตุด้วย เทเป็นคนมีสุขภาพแข็งแรงดี สายตาปกติ ไม่สวมแว่นตา เป็นคนอารมณ์ดี เทชอบกิน ต้มมาม่า มาก จะมีหงุดหงิดบ้างเวลาน้อง ๆ แย่งกินต้มมาม่า ปกติเทเป็นคนไม่ชอบดื่มเหล้า จะมีบ้างก็บางครั้ง ก่อนเกิดเหตุ เทได้ไปยกมือไหว้พ่อ แม่ และเพื่อน ๆ ขออภัยที่ได้ล่วงเกินอะไรไป เหมือนกับ จะมีลางสังหรณ์ ได้ล่าลาก่อนจะเสียชีวิต เพราะโดยปกติจะไม่ได้ทาแบบนี้ และได้ขออนุญาตแม่ไปกินเลี้ยง ที่บ้านเพื่อน และได้ขอเงินแม่ไปซื้อน้าแข็ง โดยแม่ก็ได้ให้เงินไป 100 บาท เทได้ขี่รถจักรยานยนต์ ออกจาก บ้านไปเมื่อเวลา 14.00 น.


เมื่อเวลาประมาณ 20.00 น. ได้มีคนมา บอกว่าเทเกิดอุบัติเหตุขับ รถชนต้นไม้และหลักกันโค้ง ขณะที่กาลังจะขับรถกลับบ้าน บริเวณปากซอยที่ 2-3 (บ้านของเทอยู่ซอยที่ 11) ขณะนี้ยังไม่รู้สึกตัว เพื่อนๆ ที่ขี่จักรยายยนต์ตามมาห่างๆ เห็นเหตุการณ์ ก็ได้เข้าไปช่วยเหลือ ด้วยการช่วยพยุงซ้อนมอเตอร์ไซต์ เพื่อที่จะ นาไปส่งที่โรงพยาบาลบ้านหลวง ขี่ไปได้ประมาณ 100 เมตร ก็มีเพื่อนบ้านใกล้ๆ บริเวณนั้นชื่อ นายสมาน ซึ่งมีรถยนต์ กระบะได้ช่วยเหลือนาส่งที่โรงพยาลบ้านหลวง โดยมี น้าบัวขาว สุดสม นั่งท้าย รถกระบะไป ด้วยโดยเอาหัวเทหนุนตักไปตลอดทางจนถึงโรงพยาบาลบ้านหลวง จากสถานที่เกิดเหตุไปถึงโรงพยาลบ้านหลวง ระยะทางประมาณ 4 ก.ม. ถึง โรงพยาบาลเวลา ประมาณ 20.29 น. แพทย์ได้ทาการรักษา อาการบาดเจ็บ พบว่าผู้ป่วยเมาสุรา และบาดเจ็บที่ศีรษะเนื่องจาก กระแทกของแข็ง หลังจากนั้นได้นาผู้ป่วยส่งต่อไปยังโรงพยาบาลน่าน เมื่อเวลา 21.00 น. โรงพยาบาล น่านได้รับตัวไว้รักษาต่อที่ตึกราษฎร์ประชา แต่ก็ไม่สามารถช่วยชีวิตของน้องเท ได้จากไปเมื่อเวลา 03.00 น. ของวันที่ 16 เมษายน 2553 ญาติได้นาศพของน้องเท มาบาเพ็ญกุศลที่บ้านดอนหล่ายทุ่ง ต.สวด อ.บ้านหลวง จ.น่าน ระหว่างวันที่ 16-19 เมษายน 2553 รวม 4 วัน 3 คืน หมดค่าใช้จ่ายในการจัดงานศพประมาณ 80,000 บาท โดยได้ รับเงิน ฌาปนกิจ สงเคราะห์ ของหมู่บ้าน จานวน 20,000 บาท เงิน ประกันชีวิตของสินมั่นคง ประกันภัย 100,000 บาท และเงินร่วมทาบุญจากชาวบ้านอีกประมาณ 10,000 บาท สรุปปัจจัยที่ทาให้เกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิต 1. ดื่มสุรา ขับรถเร็ว ไม่สวมหมวกนิรภัย 2. เกิดเหตุเวลากลางคืน ไม่มีไฟฟ้าแสงสว่าง 3. ถนนเป็นทางโค้งเล็กน้อย และเป็นเนิน 4. ผู้เห็นเหตุการณ์และญาติ ได้เข้าทาการช่วยเหลือต้วยตนเอง โดยไม่ได้แจ้งขอความช่วยเหลือจาก ศูนย์แจ้งเหตุ ประกอบกับถนนบางช่วงเป็นลูกรังค่อนข้างขรุขระทาให้ใช้เวลาในการเดินทางนาน ***************************


กรณีศึกษาการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรทางถนนจังหวัดน่าน

13 กรณี : น.ส.มนัสนันท์ จันต๊ะวงค์ อายุ 25 ปี

อยู่บ้านเลขที่ 19 หมู่ 7 บ้านวังผา ต.และ อ.ทุ่งช้าง จ.น่าน เกิดเหตุเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2553 เวลา 16.15 น. สถานที่เกิดเหตุบนทางหลวงหมายเลข 1080 สายน่าน-ทุ่งช้าง กม.21+100 *************************

ในบรรยากาศช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2553 ซึ่งเป็นช่วงแห่งความสุขสนุกสนานของทุกคนและ เป็นวันครอบครัวของชาวไทยเราด้วย เหตุการณ์ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นกับครอบครัวหนึ่ง ก็ได้เกิดขึ้นโดยไม่ ทันตั้งตัว ในเสี้ยวพริบตาเดียว นามาซึ่งความสูญเสียอันใหญ่หลวง เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2553 น.ส.มนัสนันท์ จันต๊ะวงค์ ชื่อเล่นว่า แอ๋ว อายุ 25 ปี ได้เดินทางมา กับสามี ชื่อ “ วิทย์ ” ซึ่งทาหน้าที่เป็นผู้ขับขี่ยานพาหนะซึ่งเป็นรถเก๋ง ยี่ห้อ มาสด้า 323 จากจังหวัดเชียงใหม่ มาที่จังหวัดน่าน เพื่อมารดน้าดาหัว ผู้เฒ่าผู้แก่ ในครอบครัวและพบลูกชาย อายุ 8 ขวบ ชื่อ “น้องแมททริว ” ที่อยู่กับแม่ ชื่อ “ละเอียด “ และ ตา ชื่อ” เลิศ” ที่อยู่บ้านเลขที่ 19 หมู่ 7 บ้านวังผา ต.และ อ.ทุ่งช้าง จ.น่าน ระหว่างที่อยู่ที่บ้านตาที่น่าน น้องแอ๋วกับสามี ได้ออกไปขายของที่ตลาดของหมู่บ้านทุกวัน ของที่ขายก็เป็น ประเภทน้าหอมและเครื่องประดับของแต่งตัวผู้หญิง เช่น สร้อยแขน ลูกปัดต่าง ๆ กว่าจะกลับบ้านได้ ก็เป็น เวลา ประมาณ สามถึงสี่ทุ่มทุกวันและกว่าจะทาธุระส่วนตัวของตัวเองเสร็จกว่าจะเข้านอนได้ก็น่าจะเกือบ เที่ยงคืน ชีวิตจะเป็นแบบนี้ทุกวัน จนถึงวันที่ต้องเดินทางกลับเชียงใหม่ วันที่ 16 เมษายน 2553 “แอ๋ว”กับ สามีชื่อ “ วิทย์ ” ก็ต้องเดินทางกลับจังหวัดเชียงใหม่ โดย “วิทย์ ” ก็เป็นผู้ขับขี่ รถเก๋งมาสด้า 323 คันเดิมกลับเชียงใหม่ พร้อมกับ “แอ๋ว” โดยได้ออกเดินทางเมื่อ เวลาประมาณ 15.00 น. และเมื่อเดินทางมาได้สักพักมีฝนตกลงมาพรา ๆถึงบริเวณ กม. 21+100 บนทางหลวง หมายเลข 1080 ตอนน่าน-ท่าวังผา (บริเวณบ้านหาดปลาแห้ง) รถที่วิทย์ ขับมานั้นก็ลื่นไถลแฉลบไปด้านขวา ฝั่งตรงกันข้าม ชนเข้ากับต้นไม้ข้างทางอย่างจัง ทาให้ “แอ๋ว”(ภรรยา) ไม่รู้สึกตัวและมีเลือดออกเป็นจานวน มาก ส่วน “วิทย์” ที่เป็นผู้ขับขี่ ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น การให้ความช่วยเหลือ : ขณะนั้นมีรถขบวนของผู้ว่าราชการจังหวัดน่านนายวีรวิทย์ วิวัฒนวานิช นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดน่านนายนรินทร์ เหล่าอารยะ นายธวัช เพชรวีระ หัวหน้าป้องกันและ บรรเทาสาธารณภัยจังหวัดน่าน และหัวหน้าส่วนราชการต่างๆ ซึ่งเดินไปราชการกาลังเดินทางกลับจาก อ.ท่า วังผา มาจะเข้าตัวเมืองจังหวัดน่าน ได้ผ่านมาถึงบริเวณนั้น พอดี จึงได้แจ้งให้หน่วยกู้ชีพ 1669 มาทาการให้ ความช่วยเหลือนาส่งผู้บาดเจ็บไปส่งโรงพยาบาลน่าน และหน่วยงาน แขวงการทางน่านที่ 2 ก็ได้เข้าไปให้


ความช่วยเหลือยกรถยนต์ที่เกิดเหตุใส่รถเครนบรรทุกไปส่งที่ในเมือง ซึ่งต่อมาผู้บาดเจ็บก็ได้เสียชีวิตเพราะ ทนพิษบาดแผลไม่ไหว ป้าคาดี สอนเตโช อายุ 54 ปี ป้าของผู้ตาย ซึ่งได้รับจากการบอกเล่าของ “วิทย์” (ซึ่งขณะนั้นวิทย์ ได้ไปทางานอยู่ที่เชียงใหม่แล้ว) ว่าขณะที่วิทย์ขับรถไปนั้น “แอ๋ว” ผู้ตายได้หลับไปตลอดทาง และไม่ได้คาด เข็มขัดนิรภัย ส่วนวิทย์ได้คาดเข็มขัดนิรภัย วิทย์ฯได้หันหน้าไปปลุกเรียก “แอ๋ว” ให้ตื่นเพื่อที่จะให้ช่วยดู เส้นทาง เพราะวิทย์ไม่คุ้นเคยเส้นทาง เกรงว่าจะหลงทาง ขณะที่หันหน้ามาปลุกนั้นแอ๋วก็กาลังขยี้ตาตื่น ก็มี รถยนต์อีกคันหนึ่งวิ่งแซงมาจากด้านหลังปาดหน้ารถของวิทย์ฯ ทาให้วิทย์สดุ้งตกใจแตะเบรกกะทันหัน รถยนต์ที่ขับอยู่จึงเสียหลักลื่นไถลไปชนกับต้นไม้ฝั่งตรงข้ามอย่างจัง แอ๋วสลบแน่นิ่งไม่รู้สึกตัว วิทย์ฯ ก็ ร้องไห้กอดแอ๋ว พยายามเขย่าปลุกให้รู้สึกตัวและเรียกชื่อตลอดเวลา แต่แอ๋วก็ไม่รู้สึกตัว วิทย์ฯ จึงได้โบก เรียกรถที่วิ่งผ่านไปมาบริเวณนั้นให้ช่วยเหลือภรรยาของตนเองด้วย แต่ก็ไม่มีรถคันไหนจอดเลย วิทย์ฯ โดย ญาติๆ ก็คิดกันว่าคงเห็นเป็นรถที่เป็นป้ายทะเบียนรถของเชียงใหม่ จึงไม่มีใครช่วยเหลือ โดยเกรงว่าจะได้รับ ความเดือดร้อนหรือไม่ก็เกรงว่าไม่ใช่คนน่านเลยไม่คิดที่จะช่วยก็เป็นไปได้ ป้าคาดีเล่าว่า แอ๋ว ผู้ตาย เป็นลูกคนที่ 2 ของน้องสาวชื่อ “เอียด” อายุ 50 ปี ซึ่งมีลูก 2 คนด้วยกัน พี่สาวจบปริญญาตรี ปัจจุบันทางานบริษัทฯ อยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ยังโสด ปัจจุบันแม่เอียดอาศัยอยู่กับพ่อเลิศ จันทร์ตาวงค์ ซึ่งเป็นตาของผู้ตาย ปัจจุบันอายุ 80 ปี ซึ่งภรรยาตาเลิศได้เสียชีวิตแล้วประมาณ 2 ปี ตาเลิศมีลูก 7 คน ตายไปแล้ว 2 คน ปัจจุบันเหลืออยู่ 5 คน แม่เอียดฯ เป็นลูกคนที่ 3 ของตาเลิศ แม่เอียดฯ เลิกกับสามีซึ่ง เป็นพ่อของแอ๋ว ตอนแอ๋วกาลังเรียนอยู่ชั้น ป.3 และพี่สาวเรียนอยู่ชั้น ม.ศ.3 ปัจจุบัน แอ๋วอายุ 25 ปี เรียนจบ ม. 6 โรงเรียนทุ่งช้าง จังหวัดน่าน ออกมาก็ไม่เรียนต่อแล้ว ได้ทางานธุรกิจส่วนตัวด้วยการขายของกิ๊ฟช็อบต่างๆเป็นของประดับแต่งตัวของผู้หญิง ประเภทสร้อยแขน กาไร ตุ้มหู ตามตลาดนัดต่างๆ เดินทางไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งไปเจอ วิทย์ ที่เชียงใหม่ แต่วิทย์ ทางานอยู่ที่ อุตสาหกรรมจังหวัดลาปาง แอ๋ว ก็จะอยู่ที่เชียงใหม่กับวิทย์ จะกลับมาบ้านที่วังผา ตาบลและ อ.ทุ่งช้าง จ.น่าน ปีละ 2- 3 ครั้ง และมาครั้งหลังนี้ก็เป็นครั้งที่ 3 ของปีนี้ แอ๋วเคยมีสามีมาก่อนเป็นฝรั่ง มีลูกด้วยกัน 1 คน ชื่อ น้องแมททริว และได้แยกทางกันเมื่อน้องแมททริว อายุได้ 2 ขวบครึ่ง ปัจจุบันน้องแมททริว อายุได้ 8 ขวบ เรียนอยู่ชั้น ป.2 ที่โรงเรียนบ้านเวียงสอง อ.ทุ่งช้าง จ.น่านและน้องแมททริว ก็อาศัยอยู่กับยายชื่อเอียด ซึ่งเป็นแม่ของแอ๋ว และพ่ออุ๊ยเลิศ(ตาทวด) เป็นผู้เลี้ยงดูและคอยรับ-ส่งไปโรงเรียนทุกวัน ปัจจุบันสามีที่ เป็นฝรั่งอยู่ที่กรุงเทพฯ แอ๋ว คบกับ วิทย์ฯ ได้ประมาณ 2-3 เดือนก็ตกลงอยู่ด้วยกัน และได้จดทะเบียนสมรส กันเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2553 นี้เอง และไม่มีลูกด้วยกัน ทั้ง 2 คน ได้ออกไปขายของตามตลาดนัดและถนน คนเดินทุกวัน วิทย์ จะขายของเป็นประเภทพวกน้าหอมและแอ๋วขายของประเภทเครื่องประดับของสตรี ออกไปขายของและนอนดึกกันทุกวัน แอ๋วขับรถยนต์ไม่เป็น วิทย์จึงเป็นคนขับรถยนต์เองทุกครั้ง หลังจาก แอ๋วได้เสียชีวิตไปแล้วปัจจุบัน วิทย์ฯ พักอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่


รถยนต์ คันที่เกิดเหตุชนต้นไม้นั้น เป็นรถญาติของวิทย์ฯ ซึ่งยืมขับมาจังหวัดน่าน (วิทย์กับแอ๋ว กาลังเก็บเงินไว้เพื่อที่จะซื้อรถยนต์เป็นของตนเองแต่ก็มาเกิดอุบัติเหตุเสียก่อน) สภาพรถเป็นรถเก่าหลายปี ค่าใช้จ่ายในการจัดงานศพ งานศพของแอ๋ว ได้ทาพิธีอยู่ที่บ้านของปู่จังหวัดน่าน โดยตั้งศพไว้ รวมประมาณ 80,000 บาท

3 วัน 2 คืน มีค่าใช้จ่าย

รายรับที่ได้รับ มีเงินฌาปนกิจของหมู่บ้าน จานวน 14,000 บาท ได้เงินประกันภัยรถยนต์ จานวน 200,000 บาท (เงินนี้ได้ใช้จ่ายให้เจ้าของรถยนต์ที่ชนต้นไม้ที่เป็นญาติของวิทย์ ไปจานวน 30,000 บาท และให้แม่เอียดไว้ จานวน 40,000 บาท ส่วนที่เหลืออยู่อีก 30,000 บาท ฝากเข้าบัญชีธนาคารไว้ให้น้อง แมททริว ลูกชายของแอ๋วไว้ เพื่อเป็นทุนการศึกษาต่อในอนาคต) สรุปปัจจัยที่ทาให้เกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิต 1.ผู้ขับขี่ประมาทเนื่องจากละสายตาจากถนนเพื่อมาปลุกแอ๋วที่นั่งหลับอยู่ข้างๆ ให้ตื่นมาช่วย ดูเส้นทาง จึงทาให้ขาดสมาธิในการขับขี่รถยนต์ 2.สภาพถนนเปียกเพราะเป็นช่วงเวลาที่ฝนเริ่มตก จึงทาให้ถนนลื่น 3.มีรถยนต์ขับแซงปาดหน้า ทาให้วิทย์ตกใจและเหยียบเบรกกะทันหันไม่สามารถควบคุมได้ รถยนต์เสียหลักลื่นไถลไปชนต้นไม้ฝั่งตรงข้ามอย่างแรง 4. แอ๋ว ซึ่งนั่งด้านหน้าคู่คนขับทางด้านซ้าย ไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย เมื่อเกิดอุบัติเหตุจึงได้รับ บาดเจ็บ จนถึงกับเสียชีวิตในที่สุด ส่วนวิทย์ ผู้ขับขี่รถยนต์ ไม่ได้รับอันตรายมากนัก เพียงแค่บาดเจ็บ เล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากได้คาดเข็มขัดนิรภัย 5.ผู้ขับขี่ขับรถยนต์น่าจะขับขี่ด้วยความเร็วเกินกว่าที่กฏหมายกาหนดไว้ (เกินกว่า 40 กม.) มีความประมาท เพราะเส้นทางเป็นทางโค้งและขึ้นเนิน 6.ผู้ขับขี่ไม่ชานาญเส้นทาง 7. ลักษณะการชน เกิดบริเวณที่นั่งข้างหน้าด้านซ้ายของรถยนต์ ตรงบริเวณที่แอ๋วนั่งพอดี ****************************************************


กรณีศึกษาการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรทางถนนจังหวัดน่าน

14 กรณี: ดช.อภิสิทธิ์ พิมพาลัย(ปีเตอร์) อายุ 10 ปี อยู่บ้านเลขที่ 73 ม.5 บ้านห้วยแก้ว ต.น้าปั้ว อ.เวียงสา จ. น่าน สถานที่เกิดเหตุ: ถนนหน้าโรงเรียนตาลชุมพิทยาคม ต.ตาลชุม อ.เวียงสา จ.น่าน วันทีเ่ กิดเหตุ: ศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม 2553 เวลาประมาณ 10.00 น. ********************** เช้าวันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม 2553 เวลาประมาณ 07.00 น. อภิสิทธิ์ พิมพาลัย หรือ ปีเตอร์ เด็กนักเรียนชั้น ป. 4 อายุ 10 ขวบ พร้อมเพื่อนรุ่นพี่(ไตเติ้ล) นักเรียนชั้น ม. 2 ออกจากบ้านโดยบอกว่าจะไป ช่วยพัฒนาวัด …ทราบภายหลังว่าทั้งสองได้พากันไปดูการชนไก่ที่บ้านนากอก ซึ่งอยู่ไกลออกไปประมาณ 10 กิโลเมตร ญาติ ๆ เล่าให้ฟังว่า... ทั้งสองคนเพิ่งหัดขับรถได้ประมาณ 10 กว่าวัน และเพื่อนบ้านบอกว่า ปีเตอร์ ชอบขับรถเร็ว และไม่เคยใส่หมวกนิรภัย ไตเติ้ลเล่าให้ฟังหลังจากรักษาตัวที่โรงพยาบาลน่าน 8 วัน ... วันนั้น ปีเตอร์และไตเติ้ลชวนกัน ไปดูการชนไก่ที่บ้านนากอก ซึ่งเป็นสิ่งที่ทั้งสองชื่นชอบมากพอ ๆ กับกีฬาฟุตบอลที่ทั้งสองจะพากันไปเล่นที่ สนามโรงเรียนทุกเย็นหลังเลิกเรียน ... วันนั้น ปีเตอร์เป็นคนขับทั้งขาไปและขากลับ(รถของลุงไตเติ้ลซึ่งใช้ มาแล้ว 17 ปี)... ทั้งสองไม่สวมหมวกนิรภัย ขากลับ... เมื่อมาถึงบริเวณบ้านใหม่หน้าโรงเรียนตาลชุมพิทยา คม จะมีทางโค้งยาวเล็กน้อยก่อนถึงทางตรงที่เป็นจุดอุบัติเหตุ ไตเติ้ล บอกว่า... ปีเตอร์ขี่รถเร็วมาก ขณะที่ขับ รถลงเนินมา รถกินเลนไปทางขวา... แล้วบังเอิญรถ 10 ล้อพ่วงคันใหญ่สวนทางมาพอดี ปีเตอร์จึงหักหลบ กะทันหัน... รถเสียหลักเฉี่ยวกับเสาไฟฟ้า... ปีเตอร์หน้ากระแทกเสาไฟฟ้าข้างทาง ทั้งสองกระเด็นออก จากรถ .. ไตเติ้ลพอมีสติก็พยายามกระเสือกกระสนไปพิงร่างบริเวณต้นกล้วยใกล้ ๆ ที่เกิดเหตุ เห็นปีเตอร์ นอนคว่าหน้า พยายามจะเรียกแต่ไม่มีแรงหลังจากนั้นก็ไม่รู้สึกตัว... ปีแตอร์... เป็นลูกชายคนเล็กในจานวนลูกชาย 3 คน (ปวช., ม.5, และปีเตอร์ ป.4) คุณพ่อเป็นคน นครพนม... พ่อและแม่ ไปทางานบริษัทที่สมุทรปราการ นาน ๆ จะกลับบ้านที... ปกติ ปีเตอร์จะมีน้าสาวชื่อ ครูนงค์บาลเป็นคนดูแล... พี่ชายคนโตเล่าให้ฟังว่า ... ปีเตอร์เป็นคนอ้วน ตัวใหญ่ อารมณ์ดี ไม่ดื้อ ชอบเตะฟุตบอล และ ชอบดูการชนไก่ ... วันเกิดเหตุ : 7 พฤษภาคม 2553 เวลาประมาณบ่ายโมง เจ้าหน้าที่สถานีอนามัยตาลชุมเล่าให้ฟัง ว่า... มีโทรศัพท์จาก อสม.โทรเข้ามือถือเจ้าหน้าที่ สอ. แจ้งขอความช่วยเหลือ... พยาบาล 2 คนพร้อมลูกจ้าง


สอ. อีก 1 คน รีบไปที่เกิดเหตุ ... มีชาวบ้านมุงดู 3-4 คน ... พบปีเตอร์นอนคว่าหน้า มีบาดแผลที่บริเวณ ใบหน้าและศีรษะ ไม่รู้สึกตัว ไม่มีสัญญาณชีพ ... ห่างออกไปประมาณ 30 เมตร พบไตเติ้ลนั่งพิงต้นกล้วยอยู่ ... มีเลือดบริเวณใบหน้า อาการสลึมสลือ ถามตอบไม่รู้เรื่อง จึงโทรแจ้งตารวจ 191 และกู้ชีพ อบต.นาเหลือง ออกช่วยเหลือและนาส่งโรงพยาบาลเวียงสา … แพทย์วินิจฉัยว่าปีเตอร์เสียชีวิต ณ จุดเกิดเหตุ ส่วนไตเติ้ล... แพทย์ได้ให้การรักษาเบื้องต้นและนาส่งโรงพยาบาลน่าน ... นอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลน่าน 8 วัน แพทย์ บอกว่า ... ไตเติ้ลต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากทีมสุขภาพของโรงพยาบาลน่าน เวียงสา และ สอ. ต่ออีก ประมาณ 6 เดือนจึงจะปกติ ส่วนงานศพของปีเตอร์ซึ่งจัด 3 วัน 2 คืน ไตเติ้ลก็ไม่ได้มาร่วมแต่อย่างใด สรุปปัจจัยที่ทาให้เกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิต 1. ปัจจัยที่นาไปสู่การบาดเจ็บและเสียชีวิตครั้งนี้ คือ คนขับรถไม่มีความชานาญในการขับขี่(นักขับมือใหม่) เยาวัย คึกคะนอง ไม่สวมหมวกนิรภัย ไม่ มีใบขับขี่ ขับรถเร็วและประมาท ประกอบกับถนนลงเนิน เป็นทางโค้ง และมีรถบรรทุกพ่วงคันใหญ่วิ่งสวน ทางมาแล้วหักหลบ ทาให้เสียหลักแฉลบออกนอกเลน ไปชนกับเสาไปฟ้าบริเวณไหล่ทาง 2. การช่วยเหลือ ณ จุดเกิดเหตุ การพบเหตุและแจ้งเหตุล่าช้า และไม่มีการช่วยเหลือเบื้องต้นก่อนทีมกู้ชีพ-กู้ภัยจะไปถึง *************************


กรณีศึกษาการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรทางถนนจังหวัดน่าน

15

กรณี : นางจิริยาพร บุญอินทร์ อายุ 33 ปี นายประทุม บุญอินทร์ อายุ 49 ปี

ที่อยู่ บ้านเลขที่ 197 หมู่ 5 บ.ผาสุก ต.ภูฟ้า อ.บ่อเกลือ จ.น่าน เกิดเหตุเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2553 เวลา 20.00 น. ณ ทางหลวงหมายเลข 1333 กม.30+300 (ตอนบ้านสบมาง-บ้านผักเฮือก) ************************* ทีมคณะทางานสอบสวนได้เดินทางไป อ.บ่อเกลือ เพื่อเก็บข้อมูลและหาสาเหตุการเสียชีวิตของ ผู้ตายทั้ง 2 ราย เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2553 โดยการนาทีมโดย นพ.พงษ์เทพ พงศ์วัชรไพบูลย์ (หมอบอย) ที่ปรึกษา และคณะทางานอีกหลายๆท่านโดยได้รับเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลบ่อเกลือ และเจ้าหน้าที่ของ หมวดการทางบ่อเกลือ สังกัด แขวงการทางน่านที่ 2 กรมทางหลวง ได้ร่วมเดินทางไปชี้จุดที่เกิดเหตุ ด้วย พร้อมนาข้อมูลไปที่จุดเกิดเหตุเพื่อเก็บข้อมูล และได้ไปสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ที่อนามัยบ้านสบมาง โดยได้ ข้อมูลเพิ่มเติมดังนี้คือ วันที่เกิดเหตุ เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2553 เวลาประมาณ 20.00 น.นายจรัญ ไชยหาญ อายุ 54 ปี (เกิดวันที่ 1 ตุลาคม 2499) ซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกฮีโน่ หมายเลขทะเบียน 80-6110 น่าน ซึ่งมีที่อยู่ บ้านเลขที่ 197 หมู่ 5 ต.ภูฟ้า อ.บ่อเกลือ จ.น่าน พร้อมมีผู้โดยสารมาด้วยในรถ จานวน 3 คนด้วยกัน ประกอบด้วย 1.นายประทุม บุญอินทร์ อายุ 49 ปี (เกิดวันที่ 25 มกราคม 2504)ที่อยู่บ้านเลขที่ (ไม่ทราบที่อยู่) ซึ่งได้ เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 2.นางจิริยา บุญอินทร์ อายุ 33 ปี (เกิดวันที่ 13 ธันวาคม 2520) เป็นภรรยาของนายจรัล ไชยหาญ ทางานเป็น อสม.หมู่บ้าน ได้เสียชีวิติในที่เกิดเหตุ 3.นายแล บุญอินทร์ อายุ 41 ปี (เกิดวันที่ 20 มกราคม 2512) ได้รับบาดเจ็บ นายจรัล ไชยหาญ ได้ขับรถบรรทุกคันดังกล่าวไปซื้อวัสดุก่อสร้างที่ อ.เชียงกลางและใส่ของ บรรทุกใส่รถมาเต็มลารถ และกาลังจะเดินทางเอาของไปบ้านห้วยสงฆ์ ต.ภูฟ้า อ.บ่อเกลือ จ.น่าน เมื่อมาถึงที่ เกิดเหตุ ซึ่งเป็นทางลงเขา รถเบรกแตก และพุ่งลงเขาตกเหวลงไปด้านขวาทางที่กม. 30+300 บนทางหลวง หมายเลข 1333 บ้านผักเฮือก-บ้านสบมาง ทาให้มีผู้เสียชีวิตรวม 2 ราย แ ละมีผู้บาดเจ็บ รวม 2 ราย รถได้รับ ความเสียหายทั้งคัน เจ้าหน้าที่ตารวจและชาวบ้านในพื้นที่ เจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลบ่อเกลือ ได้เข้าไปให้ การช่วยเหลือในเบื้องต้น


นายแล บุญอินทร์ ได้เล่ารายละเอียดให้คณะทางานฯ ฟังว่า ตนเองเป็นสมาชิกของ อบต.สบมาง เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2553ได้นั่งรถนายจรัล ไชยหาญออกเดินทาง เมื่อเวลา 09.00 น.ไป อ.เชียงกลางเพื่อ ไปซื้อปูนซีเมนต์ จานวน 50 ถุง เพื่อที่จะนามาก่อสร้างที่อบต. ซื้อของเสร็จเมื่อเวลาประมาณ 15.00 น. ได้ แวะทานข้าวกลางวันที่ศาลาเชียงกลางมีข้าวลาบหมู ส่วนข้าวเย็นยังไม่ได้กิน โดยได้ซื้อเนื้อหมูมา 100 บาท กะว่าจะนาไปทาลาบกินมื้อเย็น ก็มาเกิดเหตุการ์ณเสียก่อน เลยไม่ได้ทาอะไรเลย นายแล ฯ เล่าว่า ก่อนรถจะ ตกเขานั้น ได้ยินนายจรัลฯ มีอาการตกใจและเรียกชื่อนางจิริยาฯ ซึ่งมีชื่อเล่นว่า “คิง” สักพักรถก็ตกเขาแล้ว ตอนรถ ตกเขานั้น นายแล ยังมีสติอยู่ ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น มันมืดมาก มองไม่เห็นอะไรเลย ได้เอามือถือของ ตัวเอง กดเปิดเพื่อให้มีแสงสว่างสามารถที่จะมองอะไรให้เห็นได้บ้าง ได้เรียกชื่อของแต่ละคนที่ได้นั่งรถไป ด้วยกัน ปรากฏว่า 2 คน เงียบไม่มีเสียงตอบกลับมา มีแต่นายจรัลฯ คนเดียวที่ตอบกลับมา ซึ่งปรากฏว่า 2 คน คือ นายประทุม บุญอินทร์ และ นายจิริยา บุญอินทร์ ได้เสียชีวิตไปแล้ว การให้ความช่วยเหลือ นายแล และนายจรัล ไชยหาญ ได้รับการช่วยเหลือออกมาโดยมีชาวบ้านในพื้นที่แถวนั้น เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลบ่อเกลือ และเจ้าหน้าที่ของอบต. ใช้เวลาประมาณ 10 นาที ก็ออกจากที่เกิดเหตุมา ขณะนี้ นายจรัล ไชยหาญ บาดเจ็บสาหัส และขณะนี้ได้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลอยู่ นายแลฯ เล่าว่า วันที่ เกิดเหตุวันนั้น ไม่มีใครดื่มสุราเลย ปกติทุกอย่าง วันนั้นบรรทุกของมาเต็มลารถ และฝนเริ่มจะตก เวลา ประมาณ 20.00 น.แล้ว. นายจรัลฯ ก็เกรงว่าของท้ายรถจะเปียก ก็เร่งความเร็วขึ้น เพื่อจะให้ถึงที่หมายเร็วๆ สักพักตอนขึ้นเขา กาลังจะลงเขาช่วงบริเวณดังกล่าว ไม่สามารถควบคุมรถได้ คาดว่ารถคงจะเบรกแตก รถได้ ลื่นไหลลงเขา แทนที่จะไปตามถนน กับพุ่งตกเขาลงเหวไปเลย ตกลงร่องรางระบายน้าก่อนพุ่งลงเหว นายจรัล ไชยหาญ เป็นคนบ้านทุ่งฮ้าง ตาบลอวน อ.ปัว จ.น่าน ส่วนนางจิริยา เป็นญาติกับ นายแล ทางพ่อ ซึ่งเป็นญาติลูกพี่ลูกน้องของพ่อ นางธิดารัตน์ มหายศนันท์ ซึ่งเป็นน้องสาวของภรรยาของนายจรัลนางจิริยาฯ ผู้ตายได้ให้ ข้อมูลกับคุณหมอบอยที่ทาหน้าที่ซักถามว่า นายจรัล อยู่กินกับพี่สาวของตนเอง และมีลูกด้วยกัน 2 คน ญาติ ภรรยา ได้เป็นผู้เลี้ยงดูลูกนายจรัลฯ ในขณะนี้ ลูกคนโตเป็นผู้ชาย อายุ 11 ปี ส่วนลูกสาว อายุ 3 ขวบ พี่สาว ซึ่งเป็นภรรยาของนายจรัล มีอาชีพทาไร่ทานาทาสวน นายจรัล เป็นคนไม่ใจร้อน เป็นคนที่ขับรถไม่เร็ว จะคอยระมัดระวังมาก และเวลาขับรถจะคอย เหยียบเบรกบ่อย ๆ วันนั้นฝนกาลังจะตก และรถได้คลุมผ้ามาแล้ว รู้จากนายจรัล ฯ เล่าว่า รถเบรกไม่อยู่ รถจึง ตกเขา รถยังผ่อนส่งบริษัทอยู่ เหลืออีก 2-3 งวดก็จะหมดแล้ว นายจรัลไม่เคยมีประวัติเกิดอุบัติเหตุมาก่อน และปกติจะไม่ค่อยดื่มสุรา จะมีงานก็นานๆสักครั้งจะดื่มบ้าง เป็นคนขยัน เช้าจะทางานเย็นก็กลับบ้าน เป็น แบบนี้ทุกวัน


การจัดการงานศพ 80,000 บาท

ค่าใช้จ่ายงานศพ หมดไปประมาณ ได้รับเงินจาก อสม.และจากจังหวัด ได้รับเงินจากบริษัท ไทยประกันชีวิต จานวน

ประมาณ 150,000 บาท 150,000 บาท

สรุปปัจจัยที่ทาให้เกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิต 1. รถที่ตกเขาเป็นเพราะเบรคแตก จนควบคุมรถไม่ได้ 2. เป็นทางโค้งและมีความลาดชัน 3. เวลาที่เกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน เวลา 20.00 น. ไม่มีไฟฟ้าแสงสว่าง 4. ฝนตกถนนลื่น

******************************


กรณีศึกษาการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรทางถนนจังหวัดน่าน

16

กรณี: นางสมเพียร ไชยเดช อายุ 48 ปี อยู่บ้านเลขที่ 94 ม.4 บ.สถาน ต.สถาน อ.ปัว จ.น่าน เกิดเหตุวันที่ 16 มีนาคม 2553 เวลาประมาณ 03.00 น. ณ ถนนยันตรกิจโกศล ช่วงระหว่าง กม.ที่ 8-9 **************************************************

เหตุการณ์ครั้งนี้มีผู้ประสบเหตุ 5 ราย จากรถยนต์ปิคอัพพุ่งชนรถเก๋ง ที่บริเวณถนนสายน่านเวียงสา ช่วงระหว่างหลักกิโลเมตรที่ 8-9 บ้านคอวัง ต.ดู่ใต้ อ.เมือง มีผู้เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 2 ราย ก่อนเกิดเหตุ รถยนต์ปิคอัพ ยี่ห้อโตโยต้าสีน้าเงิน ทะเบียน บน 703 ลาพูน คันก่อเหตุโดยมีสามี เป็นคนขับรถและภรรยานั่งข้างคนขับ ได้ขับรถออกจากจังหวัดนครราชสีมาเวลาประมาณ 14.00 น. หลังจาก นาลิ้นจี่ไปขาย เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุคนขับรถมีอาการวูบ หลับใน รถจึงเฉออกนอกเลนไปชนกับ รถเก๋งยี่ห้อ โตโยต้า โคโลร่า สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน กจ 4622 นครสวรรค์ ที่วิ่งสวนทางมาเพื่อจะไปจังหวัดเชียงใหม่ ทาให้รถเก๋งเสียหลักตกลงข้างทาง พลเมืองดีผู้เห็นเหตุการณ์จึงโทรแจ้งศูนย์สั่งการ 1669 จากนั้น ศูนย์สั่งการ ได้แจ้งให้รถกู้ชีพ อบต.กองควาย รถกู้ชีพ อบต.นาเหลือง และรถกู้ชีพนครน่านออกปฏิบัติงาน ณ จุดเกิด เหตุ ในที่เกิดเหตุพบ มีคนติดอยู่ในรถเก๋ง 3 คน คนขับรถติดอยู่ด้านในรถคาดเข็มขัดนิรภัย คนนั่งข้างคนขับ เสียชีวิตคาเบาะรถด้านหน้าไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย ส่วนคนนั่งข้างหลังได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย สามารถเปิด ประตูออกมาได้ เจ้าหน้าที่กู้ภัยได้ช่วยกันใช้เครื่องตัดถ่างช่วยงัด ร่างของผู้ได้รับบาดเจ็บ เป็นชายที่ติดอยู่ด้าน คนขับ ต้องใช้เวลาเกือบ 20 นาที จึงนาร่างออกมาได้ ผู้ได้รับบาดเจ็บมีอาการขาหัก มีบาดแผลบริเวณใบหน้า จึงนาส่งโรงพยาบาลน่าน ผลการสอบสวนลักษณะการบาดเจ็บ รายที่ 1 ชายคนขับรถเก๋ง มีอาการขาหัก มีบาดแผลบริเวณใบหน้า ส่งตัวไปรักษา ที่โรงพยาบาลน่าน รายที่ 2 หญิงนั่งข้างคนขับรถเก๋ง สภาพคอหัก มีเลือดไหลออกมาจากปากและจมูก เสียชีวิต ใน ที่เกิดเหตุ รายที่ 3 หญิงนั่งเบาะหลัง รู้สึกตัวดี มีแผลบริเวณใบหน้า ทาแผล ให้ยา จาหน่ายกลับบ้าน ผลการสอบสวนยานยนต์ที่เกิดเหตุ รถยนต์ปิคอัพ ยี่ห้อนิสสันสีน้าเงิน ทะเบียน บน 703 ลาพูน มีรอยถูกชนหน้ารถด้านคนขับ ยุบเข้าไปประมาณ 50 ซม. ล้อหน้าด้านขวายุบกระจกแตกร้าว รถเก๋งยี่ห้อโตโยต้า โคโลร่า สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน กจ 4622 นครสวรรค์ ถูกชนหน้ารถทางขวา ด้านคนขับ ยุบเข้าไปประมาณ 70 ซม. พวงมาลัยหักงอลงด้านล่าง หน้าปัดแตก กระจกแตก


ผลการสอบสวนถนนและสิ่งแวดล้อมที่เกิดเหตุ เป็นถนน 2 เลน กว้าง 10 เมตร ไหล่ทางกว้างด้านละ 1 เมตร ทางตรงประมาณ 1 กิโลเมตร ไม่มี สิ่งกีดขวาง ไม่มีไฟฟ้าส่องสว่าง ไหล่ทางลึกประมาณ 1.5 เมตร มีคราบน้ามันบนถนนทางทิศตะวันออกห่าง จากขอบถนน 3 เมตร การสัมภาษณ์นางสร้อย บริคุต นางสร้อย บริคุตซึ่งโดยสารรถเก๋งอีกคันหนึ่ง เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุ ครอบครัวของตนก็จะเดินทาง ไป จ.เชียงใหม่ เพื่อส่งลูกสาวไปเรียนเหมือนกัน เมื่อเดินทางมาถึง ณ.จุดเกิดเหตุ ตนและสามีซึ่งเป็นคนขับ เห็นว่า มีรถปิคอัพวิ่งสวนทางมาและจะพุ่งมาที่รถของตนสามีจึงหักพวงมาลัยรถหลบ และในเสี้ยววินาที ต่อมาก็ได้ยินเสียงรถชนดังมาก ตนจึงมองทางกระจกหลัง เห็นไฟสว่างวาบ ทันที จากนั้นสามีก็จอดรถ พบว่า รถของ นายทัศน์ ถูกชน ตนเรียก 2 สามี ภรรยา ไม่รู้สึกตัวทั้งคู่ จึงไปเรียกน้อง ที่เบาะนั่งด้านหลังและพา ออกมาจากรถ และขอความช่วยเหลือ จากคนที่ผ่านมา การสัมภาษณ์นายโชติ มังคละ (คนขับรถปิคอัพ) เป็นคนบ้านสบหนอง ต.ตาลชุม อ.ท่าวังผา มีภรรยา และลูก 2 คน ประกอบอาชีพขายส่งผลไม้ มีโรคประจาตัวคือโรคความดันโลหิตสูง รักษาที่โรงพยาบาลท่าวังผา ดื่มเหล้าบ้างเวลาเข้าสังคม ไม่ได้ดื่ม เป็นประจา วันที่14 พฤษภาคม 2553 เวลาประมาณ 4 โมง ได้ขับรถปิคอัพไปกับภรรยา 2 คน เพื่อบรรทุกลิ้นจี่ จาก อ.ท่าวังผาไปขายที่จังหวัดนครราชสีมา ไปถึงนครราชสีมาเวลาประมาณตี 3 ขายลิ้นจี่เสร็จก็พักนอนใน ตลาดโดยการผูกเปลนอนข้างรถ และออกจากนครราชสีมาเวลาบ่าย 2 โมง ขับรถมาตลอดเมื่อถึงตลาดไท จ.พิษณุโลก จอดพักนอน 2 ชั่วโมง จากนั้นขับต่อมาพักนอนในรถที่หน้าโรงเรียนสูงเม่น จ.แพร่ (เวลา ประมาณตี 1) และขับมาพักนอนที่ป้อมตารวจไผ่โทน แล้วขับยาวมาเรื่อยๆ ก่อนถึงที่เกิดเหตุ (ประมาณบ้าน นาผา) นายโชติเล่าว่ามีอาการวูบ 1 ครั้ง แต่รู้สึกตัวและหักพวงมาลัยกลับมาได้ และคิดว่าจะไปจอดรถพัก หลับที่ถนนหน้าค่ายลูกเสือ เพราะถนนกว้างมีไฟฟ้าและอยู่อีกไม่ไกล แต่เมื่อถึงที่เกิดเหตุบริเวณถนนสาย น่าน-เวียงสา ช่วงระหว่างหลักกิโลเมตรที่ 8-9 บ้านคอวัง ต.ดู่ใต้ อ.เมือง มีอาการวูบอีกครั้ง หลับในไม่ รู้สึกตัวเลย จนกระทั่งรถได้ชนเข้ากับรถเก๋งเสียงดังสนั่น จึงรู้ตัว ความเร็วรถในขณะนั้นประมาณ 80 กม./ชม. ขณะขับรถกลับจากนครราชสีมา คาดเข็มขัดนิรภัย ดื่ม M100 2 ขวด อมเมี่ยงมาตลอดทาง ไม่ดื่ม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในรถปิดหน้าต่างเปิดแอร์ตลอดทาง ไม่เปิดวิทยุ ขณะเกิดเหตุภรรยาคาดเข็มขัดนิรภัย นั่งหลับ ไม่ทราบเหตุการณ์ เมื่อ 20 ปีที่แล้วเคยขับรถยนต์เฉี่ยวชนคนตายมาแล้ว ด้วยสาเหตุเมาแล้วขับ เหตุการณ์ครั้งนี้ นายโชติ กล่าวว่า ” ตนเองรู้สึกเสียใจมาก เรื่องนี้ใครก็ไม่อยากให้เกิด ไม่อยากไปชนใคร เกิดเรื่องแล้วมีแต่ เสียหาย ตอนนี้รถก็ไม่มีใช้ เสียความรู้สึก เสียของ ผักผลไม้ที่ซื้อมา จะนาไปขายก็ต้องทิ้งไว้ เงินที่เก็บมีอยู่


30,000 บาท ก็ให้ญาติผู้เสียหายไปจัดงานศพก่อน เสร็จงานแล้ว จะคุยกับญาติอีกที ว่าต้องชดใช้เขาเท่าไหร่ ยังไงก็ต้องยอมถึงแม้ว่าปีนี้ จะต้องทางานหนักทั้งปีเพื่อหาเงินชดใช้เขา ” ผลกระทบของการเสียชีวิตกับครอบครัว ผู้เสียชีวิตมีอาชีพเป็นช่างเสริมสวย ถือเป็นอาชีพที่มีรายได้หาเลี้ยงครอบครัวร่วมกับสามี ซึ่งมีอาชีพรับราชการ ต้องส่งบุตร ธิดา เรียนหนังสือ 2 คน ไว้จุนเจือ บิดามารดาที่มีอายุมาก เมื่อเสียชีวิตลง ย่อมส่งผลให้รายรับของครอบครัวลดลง มิหนาซ้าหัวหน้าครอบครัว คือ นายทัศน์ ก็ยังคงบาดเจ็บจาก อุบัติเหตุครั้งนี้ยังคงต้องพักรักษาตัวต่อไปเป็นภาระให้ครอบครัวดูแล บุตรสาวซึ่งกาลังจะเดินทางไปเรียน หนังสือ ก็ต้องเลื่อนการรายงานตัว อีกทั้งยังเสียขวัญ และเสียกาลังใจจากการจากไปของมารดา และ ห่วงใยบิดา ที่บาดเจ็บ ด้านบิดา มารดา ของผู้เสียชีวิต ก็ยังคงโศกเศร้า ไม่ หาย บิดาของผู้เสียชีวิตมักจะ มีน้าตาเอ่อท้นทุกครั้ง ที่พูดถึงลูกสาว บ่นหมดกาลังใจ รู้สึกอนาถใจที่เป็นผู้จัดงานศพลูก แทนที่ลูกจะจัดงาน ศพพ่อ ส่วนมารดาของผู้เสียชีวิตพูดได้แต่เพียงว่า “ มันเหมือนมีใครมาเด็ดขั้วหัวใจแม่ออกไปจากตัว ” สุดท้าย สิ่งที่น้องทิพย์ ผู้สูญเสียมารดากล่าวว่า “ อยากบอกกล่าวผู้ใช้รถใช้ถนนทุกคน หากไม่พร้อมที่เดินทาง โปรดอย่าฝืนเดินทาง เพราะมันอาจสร้างความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ให้กับผู้อื่นที่เขา ระมัดระวังตัวแล้ว เขาเตรียมตัวพร้อมแล้ว ” สรุปปัจจัยที่ทาให้เกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิต 1. คู่กรณีขับรถปิคอัพหลับใน เพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ ประกอบกับการเดินทางระยะไกลทา ให้เกิดความเมื่อยล้า 2. ผู้เสียชีวิตไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ****************************


กรณีศึกษาการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรทางถนนจังหวัดน่าน

17

กรณี: นายทรงวิทย์ อายุยืน อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 26 ม.4 ต.ป่าคาหลวง อ.บ้านหลวง จ.น่าน เกิดเหตุวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เวลาประมาณ 23.30 น. ณ ถนนสายน่าน-พะเยา ระหว่าง กม.ที่ 39-40 **************************************************

นางพร อายุยืน อายุ 28 ปี ภรรยาของทรงวิทย์ อายุยืน มีบุตรชายคนโต อายุ 6 ขวบชื่อน้องน้าพุ และกาลังตั้งครรภ์บุตรคนที่ 2 ได้ 8 เดือน ... ปัจจุบัน พรและทรงวิทย์ อาศัยอยู่กับพ่อตา ทรงวิทย์มี อาชีพ ทา นาเป็นหลัก และช่วงว่างจากการทานาก็จะติดต่อค้า ขายโค-กระบือ ... ทามาประมาณ 10 ปี โดยมีรถ 6 ล้อ คู่ชีพ ที่ขับมานานกว่า10 ปี(ตั้งแต่ยังไม่แต่งงาน) ขับเองมาโดยตลอด... รถมีประกัน มีใบขับขี่ถูกต้อง พรและพ่อเล่าให้ฟังว่า ... ปกติทรงวิทย์ เป็นคนพูดน้อย แต่สนุกสนาน ชอบดื่มเหล้าเป็นประจา จนพ่อและแม่ เอือมละอาและพูดว่า ... ถ้าแต่งงานมีลูกมีเมียก็คงจะดีขึ้น แต่แล้วทรงวิทย์แต่งงานอยู่กินกับพร มานานกว่า 6 ปี พฤติกรรมการดื่มเหล้าก็ยังไม่เปลี่ยน มีแต่จะบ่อยขึ้น พรบอกว่า... การค้าขายทาให้ ทรงวิทย์ มีเพื่อนมาก หน้าหลายตา... ต้องดื่มแทบ ทุกวัน ส่วนมาก เป็น สุราพื้นบ้าน (เหล้าเถื่อนมักซื้อมา ตุนไว้เยอะ... ซื้อมาจาก อ.เชียงม่วน... ราคาถูกกว่าบ้านเรา) พรเล่าให้ฟังอีกว่า ... พ่อของทรงวิทย์ ก็ดื่มเหล้า เป็นประจาแทบทุกวัน ... หยุดดื่ม เมื่อ 2-3 ปี ที่ ผ่านมา เพราะผ่าตัดนิ่ว ทรงวิทย์มีประวัติการประสบอุบัติเหตุจากการใช้รถใช้ถนนประมาณ 3-4 ครั้ง .. ครั้งที่ 1 ขับรถ 6 ล้อ ชนเสาไฟฟ้า(หน้าตลาดอภัย อ.เมือง ) หมดเงินไป 2 แสนกว่าบาท และ รักษาตัวที่ รพ.น่าน สาเหตุจากการดื่มสุรา เมาแล้วหลับใน … ครั้งที่ 2 เหตุเกิดที่ อ.เชียงม่วน จ.พะเยา ขับรถ 6 ล้อ คันเดิม ครั้งนี้ไม่ได้ดื่มสุรา แต่รถ 6 ล้อ ที่ขับอยู่เกิดแฉลบไปชนต้นไม้ข้างทาง ซ่อมรถหมดเงินไป 2 หมื่นเศษ ครั้งที่ 3 เหตุเกิดที่ จ.แพร่... ไม่เมา แต่รถจักรยานยนต์ขับมาชนรถ 6 ล้อ (คันเดิม)ที่ขับอยู่ ผู้ขับขี่ รถจักรยานยนต์ขาหัก(เมาเหล้า) หมดค่าซ่อมรถให้เขา 3 หมื่นกว่าบาท ครั้งที่ 4 ครั้งนี้ 19 พฤษภาคม 2553 และเสียชีวิต 20 พฤษภาคม 2553 …เหตุการณ์ครั้งนี้ เกิดบน ถนนสาย น่าน-พะเยา ระหว่าง กม.ที่ 39-40 เป็นทางลงเขาลาดชัน ห่างจากบ้านที่อยู่อาศัย ประมาณ 6 กม.... ขณะที่ทรงวิทย์ขับรถอยู่บนยอดดอยสูง ใกล้ที่เกิดเหตุ( จุดนี้จะมีคลื่น สัญญาณโทรศัพท์) ... พรได้รับโทรศัพท์ จากทรงวิทย์ ว่าใกล้ถึงบ้านแล้ว ... ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 4 ทุ่มเศษ... พรและลูกกาลังดูโทรทัศน์และ รอทรงวิทย์กลับบ้านเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ...


พรเล่าต่อว่า ...ก่อนที่ทรงวิทย์จะ ออกบ้าน ไปค้าขายใน เช้าวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 (ไปคน เดียว) พรยังได้บอกสามีว่าอย่ากลับบ้านดึกนัก เสร็จภารกิจแล้ว ให้รีบกลับบ้าน อย่าแวะไปดื่มกินที่ไหน ทาง มันไกล โค้งก็มาก ขึ้นเขาลงเขาอันตราย เพราะว่ารถหนัก ...โค-กระบือ มันดิ้นไม่เหมือน บรรทุก ข้าวข้าวโพด รถจะ นิ่งกว่า... แต่สิ่งที่พรได้รับคือ ความเงียบนิ่ง ทรงวิทย์ ไม่ตอบโต้ใด ๆ พรพูดต่อว่า ยังไงก็ ให้นึกถึงพ่อ-แม่-ลูกและเมียที่ใกล้คลอด จะคลอดเวลาไหนไม่รู้ วันนั้น... วันที่เกิดเหตุ ... ช่วงกลางวันทรงวิทย์ก็โทรมาหาพรเป็นช่วง ๆ จนตอนเย็นบอกว่าอยู่ที่ อ.นาน้อยได้วัว-ควายแล้ว 7 ตัว... แต่เพื่อนชวนดื่มเหล้า จะดื่มนิดเดียวแล้วจะ รีบกลับ ... พรยังย้ากับสามีว่า ลูกเมียรออยู่บ้านเน้อ... พรและลูก รอทรงวิทย์จนเวลาประมาณ 6 ทุ่ม... กานันและเพื่อนบ้านตะโกนเรียกและบอกว่า ... รถ 6 ล้อของทรงวิทย์ พลิกคว่า ตกข้างทางบริเวณดอยปา งไฮ ... พ่อ ตาและเพื่อนบ้านรีบ ไปที่เกิดเหตุ ... เห็นสภาพรถ 6 ล้อของทรงวิทย์ตกลง ข้างทาง... ขณะนั้นไม่มีแสงไฟ... มืด... มองอะไรไม่ค่อยชัด ... เห็นแต่ สภาพรถตะแคงลงข้างทางด้านซ้าย (มาจาก อ.เมืองน่าน) ... ร่างของทรงวิทย์ติดอยู่บริเวณด้านคนขับ ร่างถูก ทับ ไม่สามารถนาตัวออกมาได้ในขณะนั้น (ก่อนหน้านั้นมีผู้มาพบเหตุยังได้ยินเสียงของทรงวิทย์ ตะโกน ขอความช่วยเหลือ... ช่วยด้วย ๆ ๆ จะทาอะไรก็ทาเถอะ จะตายแล้ว ... ) แต่ทีมงานผู้พบเห็นเหตุการณ์ซึ่งมี นายอาเภอ บ้านหลวงอยู่ในเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย ก็ ไม่สามรถช่วย เหลือทรงวิทย์ได้ เพราะไม่มีเครื่องมือ ตัด ถ่างขนาดใหญ่ และไม่มีอุปกรณ์ยกรถ ... คงมีแต่ทีมแพทย์ พยาบาลจากโรงพยาบาลบ้านหลวงที่ให้การปฐม พยาบาลเบื้องต้น ให้สารน้าทางเส้นเลือด และให้กาลังใจ... สุดท้าย ... มีผู้ตัดสินใจให้ใช้ รถแทรคเตอร์มาลา กรถออกจากร่าง ของทรงวิทย์... แล้ว นาตัวทรงวิทย์ไปตรวจรักษาที่ รพ.บ้านหลวง พ่อตาเล่าว่า... ตนเป็นผู้อุ้มทรงวิทย์ออกจากรถ สังเกตว่ายังหายใจเบา ๆ แขนข้างขวาหัก 2 ท่อน มีเลือดออกจากปากและจมูก และมีบาดแผลที่แขนและลาตัว... หลัง รพ.บ้านหลวง รับตัว ทรงวิทย์ต่อจากทีมกู้ชีพในเช้ามืดของ วันที่ 20 พฤษภาคม 2553 ทรง วิทย์มีความดันโลหิต 70/40 มิลเมตรปรอท ชีพจร 7 ครั้งต่อนาที ไม่รู้สึกตัว มีแผลฉีกขาดที่แขน ประมาณ 3 ซม.เลือดไหลไม่หยุด … และทรงวิทย์ได้เสียชีวิตในเวลา 02.52 น. สรุปปัจจัยที่ทาให้เกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิต 1. ดื่มสุราแล้วขับขี่พาหนะ และไม่เข็มขัดนิรภัย 2. บรรทุกหนักขับรถด้วยความเร็ว 3. สถานที่เกิดเหตุเป็นถนนโค้งลงเขาลาดชัน และไม่มีไฟฟ้าแสงสว่าง 4. บรรทุกโค-กระบือ ฝนตกถนนลื่น 5. ไม่มีหน่วยกู้ชีพระดับตาบล( FR) ทาให้ไม่มีการตรวจสอบเหตุ ประเมินสถานการณ์และให้ การช่วยเหลือ ณ จุดเกิดเหตุได้ทันที 6. ไม่มีเครื่องมือตัดถ่าง รถยก หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่ช่วยกู้ภัยได้ในระดับอาเภอ/ตาบล


กรณีศึกษาการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรทางถนนจังหวัดน่าน

18

กรณี: นายสวาท กะมะโน อายุ 53 ปี อยู่บ้านเลขที่ 47 หมู่ 4 ต.พญาแก้ว อ.เชียงกลาง จ.น่าน เกิดเหตุวันที่ 3 มิถุนายน 2553 เวลา 17.30 น. บริเวณถนนในหมู่บ้าน หมู่ 7 ต.พญาแก้ว อ.เชียงกลาง จ.น่าน *************************

การสัมภาษณ์ นางพร กะมะโน ซึ่งเป็น หลานสาวของผู้ตาย ได้เล่ารายละเอียดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ คณะทางานฟังว่า วันที่เกิดเหตุนั้นนายสวาท กะมะโน ผู้ตาย ได้ไปงานขึ้นบ้านใหม่เมื่อเวลา 11.00 น. และ ได้ดื่มสุราด้วย กลับเข้าบ้านแล้วและได้ออกจากบ้านไปอีกครั้ง เวลาประมาณ 17.00 น. คาดว่าจะออกไปหา ใคร สักคน โดย ไม่มีใครรู้ว่าจะไปหาใคร โดยได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ออกไป ไม่ได้สวมหมวกกันน๊อค ระหว่างเดินทางกลับ เข้าบ้าน ได้ขี่รถผ่านมาทางถนนในหมู่บ้านม่วง หมู่ที่ 7 ต.พญาแก้ว อ.เชียงกลาง กาลัง จะเข้าเขตบ้านพญาแก้ว หมู่ 4 ต.พญาแก้ว อ.เชียงกลาง ซึ่งอยู่ใกล้ๆ บ้าน ได้มีลุงคาขี่รถจักรยาน อยู่ด้านหน้า นายสวาทได้ ขับรถ หลบ ลุงคา ไปชนกับรั้วกาแพงบ้านซึ่งอยู่ด้านขวา ทาให้รถ ล้ม และนายสวาทได้รับ บาดเจ็บบริเวณศีรษะ สันนิษฐานว่าศีรษะกระแทกกับรั้วกาแพงบ้าน และพื้นถนน โดยนายสวาทไม่ได้สวม หมวกกันน๊อคระหว่างขับขี่ ทาให้ศีรษะได้รับบาดเจ็บ มีแผลที่ศีรษะหลังด้านขวา มีอาการบวม มีเลือดคลั่งใน สมอง มีแผลฉีกขาดที่นิ้วก้อยซ้าย ผู้เห็นเหตุการณ์ได้มาเรียกนางพร กะมะโน ซึ่งเป็นหลานสาว ที่อาศัย อยู่ บ้านของนายสวาท ให้รีบไปดูนายสวาทบริเวณที่เกิดเหตุ นางพร ไปที่เกิดเหตุ เห็นนายคากาลังอุ้มนายสวาท เขย่า แต่นายสวาทไม่รู้สึกตัว จึงได้ขอรถของผู้ช่วยสาคร นานายสวาทส่งโรงพยาบาลเชียงกลาง แพทย์ โรงพยาบาลเชียงกลางได้รับตัวนายสวาทไว้ทาการรักษา เมื่อเวลา 17.30 น. โดยได้ รับ ข้อมูลจากญาติว่านายสวาทไม่รู้สึกตัวมาประมาณ 20 นาทีแล้ว ทางโรงพยาบาลเชียงกลางได้ให้ยารักษา แพทย์ตรวจอาการให้ สารน้าทางหลอดเลือดดา มีแผลฉีกขาดที่หลังนิ้วก้อยซ้าย 1*0.3 ซม. มีแผลฉีกขาดที่ ศีรษะด้านหลัง 2*0.5 ซม. และมีอาการบวมบริเวณรอบแผลประมาณ 4 ซม. แพทย์ได้ทาการเย็บแผล และส่ง ต่อไปยังโรงพยาบาลน่านทาการรักษา 3 คืน นายสวาทก็เสียชีวิต ญาติได้ตั้งศพนายสวาท กะมะโนไว้ที่บ้านของนายสวาท บ้านเลขที่ 47 หมู่ 4 ตาบลพญาแก้ว อาเภอเชียงกลาง จังหวัดน่าน โดยตั้งศพบาเพ็ญกุศลไว้ระหว่างวันที่ 6-8 มิถุนายน 2553 คณะทางานเครือข่าย ลดอุบัติเหตุได้ไปเคารพศพและร่วมทาบุญในงานศพ พร้อมทั้งได้ขอสัมภาษณ์ญาติๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นด้วย


นายสวาท กะมะโน อายุ 53 ปี เกิด เมื่อ ปี พ.ศ. 2499 เป็นประธาน อปพร.อาเภอเชียงกลา ง เป็นหัวหน้าทีมกู้ชีพกู้ภัย อบต.เชียงกลาง และมีตาแหน่งเป็นรองนายก อบต.เชียงกลาง ภรรยาชื่อนางคาดี กะมะโน อายุ 52 ปี อาชีพทาเกษตร ทาไร่ทาสวนของตนเองในหมู่บ้านพญาแก้ว มีลูกสาว 2 คน คนโตชื่อนาง ชนากานต์ อายุ 32 ปี แต่งงานแล้ว มีลูก 2 คน อาศัยอยู่บ้านเดียวกับนายสวาท ส่วนลูกคนที่ 2 ชื่อนางสาวมยุรี อายุ 25 ปี อาชีพค้าขายอยู่ที่อาเภอทุ่งช้าง นายสวาท เคยขับรถ 6 ล้อมาก่อน มีใบขับขี่ เป็นนักเรียน กศน. เป็นคนอารมณ์เยือกเย็น ร่าเริง ไม่มีโรคประจาตัว สายตาสั้น ก่อนเกิดเหตุการณ์ได้บ่นให้ได้ยินบ่อยๆว่าปวดฟัน โดยนายสวาทใส่ฟันปลอม วันที่เกิดเหตุได้แต่ง กายชุด อปพร. มีรถยนต์ปิคอัพยี่ห้อมิตซูบิชิ 1 คัน ชอบเล่นไก่ชน จะดื่มเหล้าเบียร์บ้าง กรณีไปงานสังคมต่างๆ แต่ปกติจะไม่ดื่ม นางคาดี กะมะโน ภรรยา ให้ข้อมูล เพิ่มเติมว่า นายสวาทเคยมีประวัติการเกิดอุบัติเหตุมาก่อน เมื่อ 2 ปีก่อน ได้เดินทางด้วยรถยนต์ไปจังหวัดพิษณุโลก ระหว่างทางจังหวัดอุตรดิ ตถ์กับจังหวัดแพร่ มีฝนตก หนักถนนลื่น ทาให้ รถเสียหลักหมุนกลับหน้ากลับหลัง แต่ ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ และบอกว่าสามีเป็นคน เงียบ ใจเย็น สุขุม ชอบเลี้ยงไก่ เมื่อไม่มีนายสวาทแล้ว ตน คงใช้ชีวิตอยู่กับบ้านอยู่กับ ลูก หลาน และทา การเกษตร ทาไร่ทาสวนไปด้วย มีอะไรก็จะไปปรึกษานายก อบต.ซึ่งก็เป็นญาติกัน นายสมรรถพล ขอ ดเตชะ ผู้ใหญ่บ้าน ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ชาวบ้านมีนิสัยไม่ค่อยนิยม สวมหมวกกันน๊อค คงคิดว่าการขับรถในหมู่บ้านไม่จาเป็นต้องสวมหมวกกันน๊อค เลยไม่มีการป้องกันตัว เวลาเกิด อุบัติเหตุ ก็มักจะได้รับบาด เจ็บมาก เพราะไม่มีหมวกกันน๊อคช่วย แต่ประเพณีคนในหมู่บ้านนี้ได้ ยึดถือกันเกี่ยวกับงานเลี้ยงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานแต่งงาน งานศพ จะไม่มี การเลี้ยงเหล้ากัน จะ เลี้ยงแขกด้วย น้าสมุนไพร ถ้าบ้านหลังไหนหรืองานศพใครมีการเลี้ยงเหล้า จะมีการปรับเงินเจ้าภาพ จานวน 500 บาท การจัดการเกี่ยวกับงานศพ ภรรยา ลูก และญาติ ได้ตั้งศพไว้ที่บ้าน เป็นเวลา 4 คืน 5 วัน เงินที่ใช้จ่ายในการจัดการศพ เป็น เงินของผู้ตาย และลูก สาว อาหารเลี้ยงแขก ชาวบ้านจะช่วยกันทา ซึ่ง ยังไม่ทราบว่าจะใช้เงินเท่าไหร่ ยังไม่ สามารถคาดการได้ ส่วน เงินที่จะได้รับ จะได้รับ เงินฌาปนกิจศพหมู่บ้าน เงินฌาปนกิจ ศพตาบล เงินประกัน ชีวิตของบริษัทประกัน เงินสหกรณ์ออมทรัพย์ เงินสมาคมฯ ธกส. และเงินทาบุญจากชาวบ้าน สรุปปัจจัยที่ทาให้เกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิต ผู้ตายดื่มสุรา ขับขี่รถด้วยความประมาท และไม่สวมหมวกกันน๊อค ****************


กรณีศึกษาการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรทางถนนจังหวัดน่าน

19

กรณี: นายอนุศักดิ์ ฐานานันทชัย อายุ 55 ปี

ที่อยู่บ้านเลขที่ 22 หมู่ 5 บ้านน้างาว ต.บ่อ อ.เมือง จ.น่าน เกิดเหตุถนนสายน่าน –ทุ่งช้าง หลัก กม.ที่ 7 บริเวณบ้านผาตูบ ต.ผาสิงห์ อ.เมือง จ. น่าน วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน 2553 เวลา 10.40 น. *************************** นายอนุศักดิ์ ฐานานันทชัย อายุ 55 ปี มีภรรยาชื่อ นางกอย ฐานานันทชัย อายุ 52 ปี มีบุตร 1 คน ชื่อ นายเอกรินทร์ ฐานานันทชัย อายุ 26 ปี มีบ้านอยู่เลขที่ 22 หมู่ 5 ต.บ่อ อ.เมือง จ.น่าน วันที่เกิดเหตุการณ์ นายอนุศักดิ์ ฐานานันทชัย พร้อมด้วยนางกอย ฐานานันทชัย ภรรยา และ หลานชาย อายุ 4 ขวบ ซึ่งเป็นหลานที่ เกิดจากลูกบุญธรรม (ลูกบุญธรรมเป็นผู้หญิง แต่งงานแล้ว มีลูก 3 คน เป็นชาย 2 คน หญิง 1 คน) อาศัยอยู่ด้วยกันที่บ้านนายอนุศักดิ์ ฯ ที่บ้านน้างาว จานวน 8 คนด้วยกัน ประกอบด้วย นายอนุศักดิ์ฯ, นางกอยฯ ,นายเอกรินทร์ฯ ซึ่งจะเรียนและทางานอยู่ที่กรุงเทพเป็นส่วนใหญ่ และเพิ่งกลับมาบ้านที่บ้านน้างาว เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2553 นี้เอง ส่วนลูกบุญธรรมกับสามีและหลาน ซึ่ง เป็นลูกของลูกบุญธรรม อีก 3 คนอาศัยอยู่กับ นายอนุศักดิ์ ฯ โดยในวันดังกล่าวนายอนุศักดิ์ เป็นผู้ขับขี่ รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า หมายเลขทะเบียน กมน. 529 น่าน มีนางกอยฯ และหลานอีก 3 คน รวม 5 คน นั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซ ค์ไปซื้อเสื้อผ้านักเรียนในตัวเมืองน่าน เมื่อเสร็จภารกิจแล้ว ได้แวะส่งหลานลง ที่ บ้านญาติ จานวน 2 คน ก่อนที่จะมาถึงที่เกิดเหตุ ได้ขี่มอเตอร์ไซค์มาจานวน 3 คน คือ นายอนุศักดิ์ฯ นาง กอยฯ และหลาน ด.ช.อภิรักษ์ ทวีชัย อายุ 4 ขวบ ซึ่งนั่งซ้อนตรงกลางมา ถึงบริเวณเกิดเหตุ ช่วงกม.7+000 บนทางหลวงหมายเลข 1080 ตอนน่าน-ทุ่งช้าง ซึ่ง อยู่ใกล้ ทางแยกถนนพลังแผ่นดิน บริเวณหน้าสุสานบ้าน ผาตูบ เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นกับครอบครัวนายอนุศักดิ์ฯ นายปัญญา ไสลรัตน์ อายุ 27 ปี มีภูมิลาเนาอยู่บ้านเลขที่ 7 ซ.นวมินทร์ 74 แยก 3-8-5 แขวงรามอินทรา เขต คันนายาว กรุงเทพฯ ได้ขับรถยนต์กระบะยี่ห้อ โตโยต้า หมายเลขทะเบียน กจ. 7506 กรุงเทพฯ คณะทางานได้สอบถามว่าเกิดเหตุได้อย่างไร ซึ่งนายปัญญาเล่าให้ฟังว่า ตัวเองได้เดินทางมาจาก อาเภอปัวมากาลังจะมุ่งหน้าสู่อาเภอเมืองน่าน ขณะที่ขับ รถมาถึงบริเวณดังกล่าว ได้มีรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อ ฮอนด้าเวฟ สีเขียว ขี่เลี้ยวขวาเข้าถนนพลังแผ่นดินอย่างกระชั้นชิด จึงตัดสินใจหักรถเลี้ยวหลบ แต่ข้ามไปใน ช่องทางรถที่วิ่งสวนทางมาขณะนั้นได้ไปชนรถจักรยานยนต์ของนายอนุศักดิ์ ฐานานันทชัย เป็นผู้ขับมา และมีนางกอย ฐานานันทชัยและด.ช.อภิรักษ์ ทวีชัยนั่งซ้อนท้ายรถมา เป็นเหตุให้นายอนุศักดิ์ เสียชีวิต และนางกอย และ ด.ช.อภิรักษ์ ได้รับบาดเจ็บ


นายปัญญา ไสลรัตน์ เล่าเรื่องตนเองให้ฟังว่าเรียนจบปวช.อิเล็คทรอนิค เมื่อปีพ.ศ. 2544-2545 และตนเองขับรถยนต์เป็นตั้งแต่ ปี 2548 วันที่เกิดเหตุ ไม่ได้ดื่มเหล้าหรือแอลกอฮอลล์ใดๆ มาเลย และไม่ ง่วงนอนด้วยเพราะนอนหลับมาเต็มอิ่มแล้วทั้งคืน มีใบขับขี่ แต่ได้ทาหายไปพร้อมกับกระเป๋าเงินและกล้อง ถ่ายรูปที่กรุงเทพฯ เมื่อไม่นานนี้ มีแต่ใบแทน เคยมีประวัติการเกิดอุบัติมาก่อน เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2552 เป็น วันคริสมาส เวลาประมาณ ตี 3 ตนได้ขี่รถจักรยานยนต์ ไปตามถนน ก็มีรถเก๋งมาตัดหน้าเฉี่ยวรถล้ม ลง จนได้รับบาดเจ็บหัวคิ้วแตก วันที่เกิดเหตุ เขานั่งรถมากับน้องชาย 2 คน โดยคาดเข็มขัดนิรภัยด้วยกัน ทั้ง 2 คน ตนเอง มีอาชีพรับจ้างติดกล้องวงจรปิด ที่ร้านค้าเซเว่นอีเรเว้น ที่อาเภอปัว เมื่อก่อนเป็นลูกน้องเขา อยู่ 3 ปี พึ่งจะมาทาเป็นของตัวเองเมื่อ ประมาณ 4 เดือนมานี้เอง ตนกาลังจะเดินทางไปจังหวัดเชียงรายต่อ เพื่อไปติดกล้องวงจรปิดที่นั่น ยังไม่ทันได้ไปก็มาเกิดเหตุการณ์เสียก่อน รถตนเองมีประกันพรบ.รถยนต์ จะ ได้รับเงินประกันประมาณ 300,000 บาท และทราบว่าทางคู่กรณีซึ่งเป็นรถจักรยานยนต์ก็มีประกันเช่นกัน จะได้เงินประมาณ 400,000 บาท รถยนต์กระบะที่ขับมานั้น ไม่ใช่รถของตนเอง แต่เป็นรถของพ่อของแฟน สาวอยู่ที่กรุงเทพฯ ซึ่งตนเองได้ยืมขับมาทางานที่ต่างจังหวัด ขณะที่สัมภาษณ์นั้น นายปัญญาฯ อยู่ที่สถานี ตารวจ อาเภอเมืองน่าน การให้ความช่วยเหลือ ชาวบ้านแถวนั้นที่เห็นเหตุการณ์ ได้โทรศัพท์แจ้ง ศูนย์รับแจ้ง เหตุ 1669 สักพักรถโรงพยาบาล น่านและรถของหน่วยกู้ภัย อบจ.น่านก็มาถึงและนาผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลน่าน และรถหน่วยกู้ชีพท่าวังผา ก็มาถึงอีกคัน ภายในเวลาเพียง 15 นาที ได้นาเด็กชายอภิรักษ์ ทวีชัย ไปส่งที่โรงพยาบาลน่านด้วย หลังจากได้เข้าไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลน่านนายอนุศักดิ์ฯ ก็ได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา และ นางกอยมีอาการสาหัส รักษาตัวอยู่ในห้องไอซียูยังไม่รู้สึกตัว ส่วนด.ช.อภิรักษ์ฯ บาดเจ็บที่ตาและขา เท่านั้น ไม่เป็นอะไรมากนัก คณะทางานฯ ได้เดินทางไปที่บ้านของผู้ตาย ที่บ้านน้างาว หมู่ที่ 5 ต.บ่อ อ.เมือง จ.น่าน ได้เข้า ไปพบนายเอกรินทร์ ฐานานันทชัย ลูกชาย โดยได้ร่วมทาบุญงานศพของนายอนุศักดิ์ฯ ด้วย และได้ขอ รายละเอียดสัมภาษณ์เกี่ยวกับคดีและถามถึงความรู้สึกในการสูญเสียชีวิตของคุณพ่ออนุศักดิ์ ซึ่งขณะนั้นที่ บ้านนาย เอกรินทร์ กาลังทาพิธีโดยหมอผีประจาหมู่บ้าน โดยนายเอกรินทร์ได้ เล่ารายละเอียดให้ฟังว่า ครอบครัว ของตนเองเป็นชาวเขาเผ่าเย้า นับถือศาสนาคริสต์ ตนเองยังไม่ได้แต่งงาน แต่มีแฟนแล้ว มี ผู้ที่ อาศัยอยู่ในบ้านด้วยกันรวม 8 คน บิดาได้เสียชีวิตเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2553 และได้ทาการเผาเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2553


การจัดการงานศพ มีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับค่าทาพิธีของหมอผีหมู่บ้าน ค่าอาหาร และค่าใช้จ่ายอื่นๆในงานศพ ประมาณ 100,000 บาท มีรายรับจากการมีคนมาร่วมทาบุญในงานศพ ประมาณ 5,000 บาท จะได้รับเงินประกัน พรบ.รถ (2 คนๆ ละ 200,000 บาท) รวม 400,000 บาท ได้รับเงินช่วยเหลือค่าทาศพจากคู่กรณี ให้ไว้ใช้ก่อน รวม 20,000 บาท (ซึ่งทราบว่าถ้าหากมีค่าใช้จ่ายในการจัดงานศพเท่าไหร่ทางคู่กรณีจะเป็นผู้จ่ายให้ทั้งหมด ในภายหลัง) สรุปปัจจัยที่ทาให้เกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิต 1. ผู้ขับขี่รถยนต์กระบะขับรถด้วยความเร็ว และประมาท 2. มีรถจักรยานยนต์ฮอนด้าเวฟ ตัดหน้ากระชั้นชิด ทาให้รถกระบะข้ามช่องไปด้านขวา ชนกับ รถนายอนุศักดิ์ จนถึงกับเสียชีวิต และภรรยา ก็อาการสาหัสอยู่ห้องไอซียู 3. สภาพถนนเป็นทางโค้งมุ่งสู่ทางตรงก่อนถึงทางแยกสายพลังแผ่นดิน พื้นถนนแห้ง เวลากลางวัน มูลค่าความเสียหาย (ตารวจสรุป) มูลค่าทางทรัพย์สิน ประมาณ 130,000 บาท มูลค่าความเสียหายต่อชีวิต/ร่างกาย ประมาณ 4,118,000 บาท

****************************


กรณีศึกษาการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรทางถนนจังหวัดน่าน

20

จ.ส.อ.นิคม พ่วงเจริญ อายุ 60 ปี บ้านเลขที่ 170 หมู่ 5 บ.ทุ่งเศรษฐี ต.ผาสิงห์ อ.เมืองน่าน จ.น่าน เกิดเหตุบนทางบายพาส หน้าสนามบิน – ปางค่า ช่วง กม.ที่ 3+850 วันที่ 10 มิถุนายน 2553 เวลา 17.45 น. ***********************

จ.ส.อ.นิคม พ่วงเจริญ อายุ 60 ปี อยู่บ้านเลขที่ 170 หมู่ที่ 5 บ้านทุ่งเศรษฐี ตาบลผาสิงห์ อาเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน เป็นข้าราชการบานาญอดีตเคยรับการทหาร ภรรยาชื่อนางแต๋วแยกกันอยู่นาน กว่า 10 ปี มักทะเลาะกับภรรยาเป็นประจา แต่จะโทรหากันตลอด มีลูกด้วยกัน 3 คน มีลูกบุญธรรม 2 คน มีรถยนต์ 5 คัน เป็นคนชอบ ดื่มสุราเป็นประจาทุกวันส่วนใหญ่จะดื่มตอนเย็นถ้าดื่มเวลากลางวันมักจะ ออกไปเที่ยวเวลาเดินทางไปต่างจังหวัดถ้าดื่มสุราจะไม่ขับรถเอง เป็นคนอารมณ์ดี ขับรถมานานกว่า 30 ปี เคยขับรถทหาร พระอาจารย์เคยทักว่าจะเสียชีวิตตอนอายุ 60 ปี เคยบอกให้ไปทาบุญสะเดาะเคราะห์ก็ไม่ เชื่อ ไม่มีโรคประจาตัว ไม่เป็นความดันสายตาดีไม่ใส่แว่น ไม่มีหนี้สิน ภูมิลาเนาเดิมอยู่จังหวัดอ่างทอง มีพี่ น้อง 8 คน จ.ส.อ.นิคมเป็นคนสุดท้อง พี่ชายประกอบอาชีพขายสุรามีโรงต้มสุราเป็นของตนเองแต่ไม่ดื่มสุรา พ่อแม่นับถือศาสนาอิสลาม ปัจจุบันอยู่บ้านกับหลาน 2 คน อยู่ห่างจากบ้านภรรยาประมาณ 80 เมตร ไม่เคย เกิดอุบัติเหตุ ชีวิตประจาวันจะไม่ทาอะไร แต่จะไปเยี่ยมเยือนลูกเมียเป็นประจา ในวันที่ 10 มิถุนายน 2553 จ.ส.อ.นิคม ได้ไปเลี้ยงวัวที่สวน ขณะเดินทางกลับบ้านโดย ขี่รถจักรยานยนต์มาตามถนนบายพาส ของ อบจ. สายหน้าสนามบิน - ปางค่า มุ่งหน้ามาจากทิศทางบ้านปาง ค่า มาถึงจุดเกิดเหตุช่วงระหว่าง กม. ที่ 3+900 ซึ่งเป็นจุดห้ามกลับรถ เดิมทีมีหลักกันโค้งกั้นไว้ตลอดแนว แต่ปัจจุบันมีผู้ไปรื้อถอนออกบางส่วนเพื่อทาเป็นที่กลับรถ โดยจะขี่รถตัดไปยังฝั่งตรงข้าม ขณะนั้น นายประทวน ปางพรม อายุ 27 ปี ได้ขี่รถจักรยานยนต์โดยมีนายสมเกียรติ อุ่นตุ้ย นั่งซ้อนท้ายมุ่งหน้ามาจาก ทางหน้าสนามบินซึ่งเป็นฝั่งตรงข้ามกับ จ.ส.อ.นิคม และจะมากลับรถบริเวณดังกล่าวเพื่อไปเลี้ยงวัวบริเวณ ฝั่งตรงข้ามเช่นกัน รถได้เกิดเฉี่ยวชนกับรถของ จ.ส.อ.นิคม ทาให้รถทั้งสองคันล้มลงไปกับพื้น โดยทั้ง 3 คน ไม่ได้สวมหมวกกันน๊อค ทาให้ จ.ส.อ.นิคม ได้รับบาดเจ็บสาหัส มีเลือดไหลนองพื้น ผู้พบเห็นเหตุการณ์ ได้แจ้งศูนย์รับแจ้งเหตุของโรงพยาบาลน่าน โดยรถกู้ชีพของโรงพยาบาลน่านได้ออกมารับ จ.ส.อ.นิคม ซึ่งบาดเจ็บสาหัส โดยหน่วยกู้ชีพได้ทาการปฐมพยาบาลในเบื้องต้นและนาส่งโรงพยาบาลน่าน แพทย์ได้ ทาการช่วยชีวิต จ.ส.อ.นิคมอย่างสุดความสามารถ จ.ส.อ.นิคมบาดเจ็บสาหัสและเสียเลือดมาก และ เสียชีวิตในเวลา 21.50 น. ณ โรงพยาบาลน่าน


ต่อมาได้สอบสวนข้อมูลนายประทวน ปางพรม อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 27/1 หมู่ที่13 บ้านช้างเผือก ตาบลในเวียง อาเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน ซึ่งเป็นคู่กรณี นายประทวนให้การว่าตนได้ไป ช่วยญาติชาแหละสุกรที่ตายในขณะขนย้าย และได้ดื่มสุรากับเพื่อ 4 คน ดื่มสุราหมดไป 1 แบน หลังจากนั้น ตน ได้ขี่รถจักรยานยนต์ มาพร้อมกับนายสมเกียรติ อุ่นตุ้ย อายุ 27 ปี มุ่งไปทิศทางบ้านปางค่า เพื่อจะไป เอาหญ้าให้วัวซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของถนนที่ตนขี่มา พอมาถึงจุดเกิดเหตุตนจะกลับรถไปอีกฝั่งหนึ่ง ขณะนั้นได้ มี จ.ส.อ.นิคม ที่ขี่รถจักรยานยนต์จากฝั่งตรงข้ามเพื่อจะตัดมายังฝั่งที่ตนขี่รถมาเพื่อจะกลับบ้าน ซึ่งตนเอง มองไม่เห็นรถที่สวนมา จึงเกิดเฉี่ยวชนกันอย่างแรงทาให้รถล้มลงกับพื้น ตนและนายสมเกียรติได้รับ บาดเจ็บ รถกู้ชีพของ อบจ.น่าน ได้นาตนส่งโรงพยาบาลพร้อมกับเพื่อน และนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล น่าน 1 คืน นายประทวนกล่าวว่า ตนได้ขับรถจักรยานยนต์มานานกว่า 10 ปี เคยเกิดอุบัติเหตุบ่อย ๆ เป็นการ ล้มเองและไม่เคยนอนโรงพยาบาล เหตุการณ์ครั้งนี้ นางแต๋วซึ่งเป็นภรรยาของ จ.ส.อ.นิคม ที่เสียชีวิต ไม่ได้เรียกร้องค่าเสียหายจาก นายประทวนแต่อย่างใด เนื่องจากเห็นว่าครอบครัวนายประทวนมีฐานะยากจน และเห็นว่า เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น เป็นเหตุสุดวิสัย ไม่ได้มีเจตนาที่จะทาให้เกิดขึ้นและมีความผิดร่วมกันทั้ง 2 ฝ่าย โดยชนกันบริเวณ จุดห้ามกลับรถและไม่มีผู้เห็นเหตุการณ์ ครอบครัว จ.ส.อ.นิคม ก็ได้เงินค่าประกันและหลังจากหักค่าใช้จ่าย แล้วยังมีเงินเหลืออยู่ล้านกว่าบาท ส่วนนายประทวน หลังจากเหตุการณ์ยุติแล้วก็จะลาอุปสมบท เพื่ออุทิศ ส่วนกุศลให้ต่อไป สรุปปัจจัยที่ทาให้เกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิต ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ทั้งสองคัน เมาสุรา ขับรถประมาท ไม่สวมหมวกนิรภัย มอเตอร์ไซค์ ไม่ปลอดภัย ไม่มีไฟเลี้ยว ไม่เปิดไฟหน้ารถ และขับรถฝ่าฝืนเครื่องหมายจราจร

*************************


กรณีศึกษาการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรทางถนนจังหวัดน่าน

21

กรณี: นายทศพล เย็นใจ อายุ 15 ปี อยู่บ้านเลขที่ 130 ม.2 บ้านตึ๊ด ต.ตาลชุม อ.เวียงสา จ.น่าน เกิดเหตุวันที่ 22 มิถุนายน 2553 เวลาประมาณ 14.30 น. ณ ถนนสายน่าน-เวียงสา (ระหว่างบ้านห้วยแก้ว-บ้านน้าปั้ว)

********************* ข้อมูลทั่วไปของผู้เสียชีวิต ผู้เสียชีวิตชื่อ นายทศพล นามสกุลเย็นใจ ชื่อเล่นบิ๊ก เกิดวันที่ 27 มีนาคม 2538 อายุ 15 ปี ที่อยู่ บ้านเลขที่ 130 ม.2 บ้านตึ๊ด ตาบลตาลชุม อาเภอเวียงสา จ.น่าน เรียนอยู่ชั้น ม .2 โรงเรียนตาลชุมพิทยาคม อาเภอเวียงสา บิดาชื่อ นายอุดม นามสกุล เย็นใจ อายุ 47 ปี อาชีพช่างเชื่อมของบริษัทเอกชน รายได้ประมาณ 10,000 บาทต่อเดือนมารดาชื่อ นางอรัญญา นามสกุล เย็นใจ อายุ 38 ปี ว่างงาน ไม่มีรายได้ ผู้เสียชีวิตไม่มี ใบขับขี่ สายตาปกติ บทคัดย่อ เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2553 เวลาประมาณ 14.30 น. เกิดอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ยี่ห้อซูซูกิ (คริสตัล) สีแดง หมายเลขทะเบียน กขฉ -234 น่าน ชนกับรถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ สีบรอนด์ หมายเลข ทะเบียน บช-2106 พิจิตร บนถนนสาย เวียงสา -น่าน (ระหว่างบ้านห้วยแก้ว -บ้านน้าปั้ว) ม.5 บ้านห้วยแก้ว ต.น้าปั้ว อ.เวียงสา จ.น่าน มีผู้บาดเจ็บสาหัสจานวน 1 ราย ผู้เสียชีวิตจานวน 1 ราย ข้อมูลรายละเอียด เบื้องต้นจากการสอบสวนของ สภ.เวียงสา หลังจากได้รับแจ้งเหตุเวลาประมาณ 15.00 น. ของวันดังกล่าว ร.ต.ท.กัมปนาท สิทธิแก้ว ร้อยเวร พร้อมพวกได้ออกไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพบรถยนต์ กระบะอีซูซุ หมายเลขทะเบียน บช-2106 พิจิตร จอดที่เกิดเหตุ กระบะด้านท้ายขวายุบและไฟท้ายแตก โดยมี นายวิเชียร โตนุ้ย อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 91 ม.2 ต.วังสาโรง อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร เป็นผู้ขับขี่ และพบ รถจักรยานยนต์ยี่ห้อซูซูกิ (คริสตัล) สีแดง หมายเลขทะเบียน กขฉ -234 น่าน จอดอยู่ผู้ได้รับบาดเจ็บได้ ถูก นาส่งโรงพยาบาลเวียงสา ต่อมาได้เสียชีวิตทราบชื่อคือ นายทศพล เย็นใจ อายุ 15 ปี อยู่บ้านเลขที่ 130 ม.2 ต. ตาลชุม อ.เวียงสา จ.น่าน เป็นผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์คันดังกล่าวและมีนางอรัญญา เย็นใจ อายุ 38 ปี มารดา (นั่งซ้อนท้าย) ได้รับบาดเจ็บสาหัส สาเหตุเนื่องจากนายทศพล ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์แซงรถยนต์วิ่งไปตาม ถนน (แซงซ้าย) พบรถยนต์กระบะอีกคันหนึ่งวิ่งอยู่ด้านหน้าเป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์ชนท้ายรถยนต์


กระบะถึงแก่ความตาย ข้อสรุปของพนักงานสอบสวนเบื้องต้น คือ รถจักรยายนต์ยี่ห้อซูซูกิ สีแดง หมายเลข ทะเบียน กขฉ-234 น่าน เป็นผู้ผิด ข้อมูลจากโรงพยาบาลเวียงสาได้ให้รายละเอียดว่า เวลา 15.15 น. ของวันเดียวกัน รถ EMS อบต.ตาลชุม อ.เวียงสา ได้เป็นผู้นาส่ง ซึ่งผู้บาดเจ็บ (นายทศพลฯ) มีสภาพนอนแน่นิ่ง มีเลือดออกปาก จมูก รู หูทั้ง 2 ข้าง เลือดไหลตลอดเวลา มีบาดแผลฉีกขาดประมาณ 3 cm. ที่เข่าขวา ไม่หายใจ ไม่มีชีพจร หัวใจหยุด เต้น แพทย์ได้ทาการช่วยเหลือปั๊มหัวใจประมาณ 50 นาที หัวใจไม่เต้น ม่านตาไม่ตอบสนองต่อแสง แพทย์ลงความเห็นว่าเสียชีวิต โดยสาเหตุการเสียชีวิตแพทย์ระบุว่า เกิดจากศีรษะกระแทกอย่างแรงกับ ของแข็งทาให้ฐานกะโหลกศีรษะแตก สมองได้รับการกระทบกระเทือน ข้อมูลจากการสัมภาษณ์นางอรัญญา เย็นใจ มารดาของผู้เสียชีวิต ในวันดังกล่าวนางอรัญญาฯ ได้ไปรับนายทศพลฯ ลูกชาย ที่โรงเรียนตาลชุมพิทยาคม เวลาประมาณเที่ยงครึ่ง โดยได้ขออนุญาตอาจารย์ที่โรงเรียนเพื่อนาลูกชายไปตรวจหูที่โรงพยาบาลเวียงสา ซึ่งแพทย์ได้นัดให้ไปรับการตรวจในเวลา 13.30 น. เนื่องจากมีแมลงเข้าไปในหูข้างซ้ายของนายทศพลฯ ตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2553 ทาให้เกิดอาการหูอื้อ โดยในระยะแรกนางอรัญญาฯ เป็นผู้ขับขี่จักรยายนต์ คัน ที่ เกิดเหตุ นายทศพลฯ เป็นผู้ซ้อนท้าย แต่นายทศพลฯ ขอเปลี่ยนเป็นผู้ขับแทนและบอกว่านางอรัญญาฯ ขับช้า ทาให้เสียเวลา เมื่อได้รับการตรวจรักษาจากโรงพยาบาลเวียงสาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขากลับเนื่องจากฝน ใกล้ตกทาให้นายทศพลฯ ขับขี่ด้วยความเร่งรีบ (ประมาณ 80 ก.ม. /ชม.) ประกอบกับนายทศพลฯ บ่นบอกว่า ไม่ค่อยสบาย มีอาการเมื่อยหล้า อยากกลับไปนอนเร็ว ๆ เพราะเหนื่อยจากการแข่งขันกีฬาที่โรงเรียนเมื่อวาน นี้ ซึ่งตลอดทางที่เดินทางมานางอรัญญาฯ ก็ได้เตือนนายทศพลฯ ตลอดเวลาไม่ให้ขับรถเร็ว และเมื่อขับมาถึง ที่ เกิดเหตุดังกล่าวนายทศพลฯ ได้พยายามเร่งแซงรถยนต์คันข้างหน้า โดยพยายามแซงทางด้านซ้ายแต่ ปรากฏว่ามีรถยนต์กระบะอีกคันหนึ่งจอดชิดข้างทางอยู่ซึ่งนายทศพลฯ ได้ตะโกนขึ้นอย่างกะทันหันว่ามีรถ ขวางหน้า ซึ่งนายทศพลฯ ได้พุ่งเข้าชนท้ายรถคันดังกล่าวอย่างจัง เป็นเหตุให้นายทศพลฯ เสียชีวิตทันที และ นางอรัญญาฯ ได้รับบาดเจ็บสาหัส หมดสติ และมีอาการที่สังเกตได้ตามมา คือ ศีรษะได้รับการ กระทบกระเทือน ดวงตา เกิดการพล่ามัวมองเห็นเป็นภาพซ้อน ซี่โครงหัก 4 ซี่ และกระดูกเชิงกรานแตก นางอรัญญาฯ สันนิษฐานว่า สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุดังกล่าวอาจเกิดจากการที่ลูกชาย ใส่หมวกแก๊ปปิดหน้า และขับขี่รถด้วยความเร็ว ทาให้ต้องดึงหมวกลงต่าเพื่อป้องกันหมวกปลิว จึงทาให้ มองเห็นรถคันที่จอดขวางทางอยู่ในระยะกระชั้นชิด ไม่สามารถเบรกหรือหลบได้ทัน แม้จะเป็นทางตรงไม่มี สิ่งกีดขวางหรือบดบังทัศนวิสัยก็ตาม ประกอบกับนายทศพลฯ เองไม่ได้สวมหมวกนิรภัยทาให้เมื่อเกิดการ ชนกันแล้วไม่มีวัตถุป้องกันศีรษะ ทาให้นายทศพลฯ เสียชีวิต ส่วนการที่ตนได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่ไม่ถึงกับ เสียชีวิต ก็คงเป็นเพราะตนได้สวมหมวกนิรภัยจึงช่วยป้องกันได้มากนั่นเอง


ผลกระทบหลังจากเกิดอุบัติเหตุ นางอรัญญาฯ ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ตนเองยังไม่สามารถลุกเดินไปไหนมาไหนได้ เนื่องจากต้องพักฟื้นร่างกาย ทาให้มีความลาบากมากต้องให้ญาติพี่น้องมาช่วยดูแล และต้องจ้างพี่เลี้ยงจาก ศูนย์น่านเนิสซิ่งแคร์มาดูแล เสียค่าจ้างเดือนละ 7,000 บาท โดยได้จ้างมาถึงตอนนี้แล้วเป็นเวลา 2 เดือน รวม เป็นค่าจ้าง 14,000 บาท ซึ่งคาดว่าคงต้องจ้างต่อไปอีกจนกว่าจะหายเป็นปกติจนสามารถช่วยเหลือตนเองได้ ส่วนค่าใช้จ่ายระหว่างจัดงานศพลูกชายประมาณ 1 แสนกว่าบาทนั้น ตนได้รับเงินช่วยเหลือจาก พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ เป็นค่ารักษาพยาบาลจานวน 35,000 บาท ค่าฌาปนกิจสงเคราะห์ในหมู่บ้าน จานวนประมาณ 10,000 บาท และค่าช่วยเหลือจากคู่กรณีอีกจานวน 20,000 บาท ที่เหลือนอกจากนั้นต้อง หยิบยืมจากญาติพี่น้อง ซึ่งก็ยังไม่พอต่อค่าใช้จ่าย ส่วนรถจักรยานยนต์คันที่เกิดเหตุก็มีสภาพพังจนไม่ สามารถใช้การได้อีก รายได้ของครอบครัวตอนนี้จึงมาจากนายอุดมฯ สามีเพียงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งมีรายได้เดือน ละหมื่นกว่าบาท จากการเป็นช่างเชื่อมทางานอยู่ที่ กทม. ส่วนตนได้ลาออกจากงานมาตั้งแต่ต้นปี 2553 แล้ว ทาให้ว่างงาน และไม่มีรายได้ โดยมีความตั้งใจที่จะออกมาดูแลลูกทั้ง 2 คน โดยเฉพาะคนโตคือนายทศพลฯ ซึ่งค่อนข้างมีนิสัยดื้อ ชอบดื่มเหล้า สูบบุหรี่ และติดเพื่อน แต่ก็มาเสียลูกชายไปก่อน ทาให้เสียใจมากและยัง ทาใจรับกับเหตุการณ์ไม่ค่อยได้ โดยเฉพาะย่าซึ่งได้เลี้ยงดูนายทศพลฯ มาตั้งแต่เล็ก สรุปปัจจัยที่ทาให้เกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิต วิเคราะห์ว่า อุบัติเหตุดังกล่าวความเสี่ยงเกิดจากความประมาทของผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์เอง คือ นายทศพล เย็นใจ โดยมีประเด็นที่เกี่ยวข้อง คือ 1. ขับขี่รถจักรยานยนต์โดยไม่สวมหมวกนิรภัย แต่ใส่หมวกแก๊ปแทนทาให้บดบังทัศนวิสัย ในการมองเห็น 2. ขับขี่รถจักรยานยนต์ด้วยความรวดเร็ว ทาให้ไม่สามารถหยุดรถได้ทันในระยะกระชั้นชิด 3. ผู้ขับขี่ ขับรถมานานประมาณ 3 ปี ประกอบกับอายุยังน้อยทาให้ขาดความยับยั้งชั่งใจ ในการใช้สติไตร่ตรอง จึงแซงรถอย่างผิดกฎหมาย

******************************


กรณีศึกษาการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรทางถนนจังหวัดน่าน

กรณี: น.ส.ศิริวรรณ เตชะนันท์ (น้องปราง) อายุ 17 ปี 22 อยู่บ้านเลขที่ 32 หมู่ 4 ตาบลเจดีย์ชัย อาเภอปัว จังหวัดน่าน

เกิดเหตุวันที่ 29 มิถุนายน 2553 เวลา ประมาณ 23.55 น. บนทางหลวงหมายเลข 1080 ถนนน่าน-ทุ่งช้าง บ.ปงสนุก หมู่ 9 ต.เจดีย์ชัย อ.ปัว จ.น่าน ******************* นายแก้ว เตชะนันท์ หรือ “เด่น ” อายุ 44 ปี และนางคาปวน เตชะนันท์ อายุ 41 ปี พ่อและแม่ ของน้องปรางและน้องเปิ้ล อยู่บ้านเลขที่ 32 หมู่ 4 ต.เจดีย์ชัย อ.ปัว จ.น่าน เปิดร้านตัดผมชาย “เด่นบาร์เบอร์ ” ที่ตลาดอาเภอท่าวังผา เล่าให้ฟังว่า ... น้องปราง พี่สาวของน้องเปิ้ล เรียนอยู่ชั้น ม.5 โรงเรียนท่าวังผาวิทยาคม เป็นเด็กเรียนดี เรียบร้อย ไม่ค่อยพูด สุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ไม่มีโรคประจาตัว สายตาปกติ และไม่ เคยมีประวัติการเกิดอุบัติเหตุมาก่อน วันเกิดเหตุ... พ่อเด่นเล่าให้ฟังว่า ... น้องปรางไปเที่ยวบ้านงานแต่งงานที่บ้านอาฮาม อ.ท่าวังผา ไม่ไกลจากร้านตัดผมของคุณพ่อ หลังจากนั้น ปรางกับเพื่อนไปเที่ยวต่อที่บ้านเก็ต อาเภอปัว ปราง ขับ รถ มอเตอร์ไซค์มากับเพื่อนชาย และมีเพื่อน ๆ ขี่รถมอเตอร์ไซค์ตามมาด้วยกันหลายคัน ทุกคนไม่ได้สวมหมวก นิรภัย... พอถึงที่เกิดเหตุ ... ฝนตกหนักมาก สภาพถนน ณ ที่นั้น เป็นถนนกาลังปรับปรุง ยังไม่แล้วเสร็จ ไม่มี แสงไฟ(ถนนมืด) ไม่มีเส้นแบ่งช่องจราจร... มีรถมอเตอร์ไซค์อีกคันที่วิ่งสวนทางมาด้วยความเร็ว ไฟหน้า ก็ไม่เปิด ... ทราบภายหลังว่าคนขับชื่อนายแป๊ะ อายุ 30 ปี ... ขับขี่รถดังกล่าวมาด้วยอาการมึนเมา ขับรถข้าม เลนแล้วพุ่งชนรถของน้องปรางอย่างจัง ... น้องปรางและเพื่อนชายล้มลงฟุบกับพื้นทันที เจ้าของร้านสุทัศน์เฟอร์นิเจอร์ ซึ่งอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ ได้ ยินเสียงรถชนกัน จึงออกมาดู ... พบร่าง น้องปราง นอนหมดสติ ไม่รู้สึกตัว มีบาดแผล ตามตัวเล็กน้อย มีเลือดออกที่ปาก และจมูก กะโหลก ร้าว ยุบ ส่วนเพื่อนชาย แขน ขวาหัก ... จึงโทรศัพท์แจ้งเหตุไปที่ 1669 ศูนย์สั่งการ ฯ EMS ได้ประสานไปที่หน่วยหน่วยกู้ชีพ อบต.เจดีย์ชัย ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากที่เกิดเหตุ ออกตรวจสอบเหตุ ประเมินสถานการณ์และให้การช่วยเหลือเบื้องต้นโดยด่วน ...แต่ไม่มีการตอบรับ เนื่องจากไม่ได้เปิดบริการ ช่วงกลางคืน ... ศูนย์ ฯ จึงสั่งการให้ sหน่วยบริการ EMS ของโรงพยาบาลสมเด็จ พระยุพราชปัวออกปฏิบัติการทันที ... น้องปรางได้รับการช่วยเหลือเบื้องต้นจากทีมแพทย์และพยาบาลของ รพร.ปัว และ ถูกส่งตัวเพื่อรับการรักษาต่อที่โรงพยาบาลน่านทันที หลังจากที่อาการไม่ดีขึ้น... น้องปราง นอนพักรักษาตัว อยู่ที่โรงพยาบาลน่าน 2 วัน ... แล้วก็เสียชีวิต เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2553 พ่อและแม่ รวมถึงญาติพี่น้องของน้องปรางต่างเศร้าโศกเสียใจมาก... ได้ ทาพิธี ศพตามหลัก ศาสนาพุทธและประเพณีความเชื่อจานวน 6 วัน มีค่าใช้จ่ายประมาณ 80,000 บาท..ได้รับเงิน จากผู้ มาร่วมงาน ประมาณ 10,000 บาท และได้รับเงินฌาปนกิจศพของหมู่บ้าน ประมาณ 18,000 บาท


จากการสอบถามเพิ่มเติม... พบว่า รถมอเตอร์ไซค์ที่น้องปรางขับขี่ เป็นของเพื่อนชายที่ซ้อนท้าย มาด้วยกัน ซึ่งซื้อมาได้ 2 ปี 3 เดือน แต่ไม่มี พรบ. และขาดการต่อประกัน ฯ ... สรุปปัจจัยที่ทาให้เกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิต 7. ไม่สวมหมวกนิรภัย ทั้งผู้ตาย และคู่กรณี 8. คู่กรณีขับรถด้วยความเร็วสูง มีอาการมึนเมา ไม่เปิดไฟหน้ารถ 9. ขณะเกิดเหตุเป็นช่วงเวลาดึก มี ฝนตกหนัก ถนนอยู่ระหว่างการปรับปรุงก่อสร้างยังไม่แล้ว เสร็จ ไม่มีเส้นแบ่งจราจร และไม่มีไฟฟ้าแสงสว่าง 10. หน่วยกู้ชีพระดับตาบลไม่มีความพร้อมให้การช่วยเหลือ ณ จุดเกิดเหตุได้ทันที ต้องอาศัย หน่วยกู้ชีพอื่นซึ่งอยู่ไกล ทาให้การช่วยเหลือล่าช้า ******************************


กรณีศึกษาการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรทางถนนจังหวัดน่าน

23

กรณี: นางจรรยา เวียงสกุล อายุ 55 ปี อยู่บ้านเลขที่ 41/1 หมู่ 10 ตาบลกลางเวียง อาเภอเวียงสา จังหวัดน่าน เกิดเหตุเมื่อวันที่ 7 กรกฏาคม 2553 เวลา 15.40 น. บริเวณถนนหน้าโรงพยาบาลเวียงสา ทางหลวงแผ่นดิน สายเวียงสา-น่าน *********************

จรรยา เวียงสกุล

ขับรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้าสีแดง ทะเบียน ก- 1457 ออกจากบ้านเมื่อ วันที่ 7 กรกฎาคม 2553 เวลาประมาณ 15.30 น. เพื่อจะไปรับน้อ งนนทพัทธ์ (หลานชาย) ที่โรงเรียนอนุบาล พันธุ์ทิพย์วิทยา ซึ่งอยู่บริเวณใกล้ ๆ ทางแยกโรงพยาบาลเวียงสา ขณะที่ขั บรถไปถึงบริเวณริมถนนด้านซ้ายหน้าโรงพยาบาลเวียงสา จรรยาได้ชะลอรถเพื่อที่จะ ข้ามไปรับหลานชายที่ยืนรออยู่ฝั่งตรงข้าม ... จรรยาตัดสินใจเลี้ยวรถข้ามไปฝั่งตรงข้ามทันที ... ทันใดนั้นเอง... รถยนต์เก๋งยี่ห้อโตโยต้าสีเทา ทะเบียน กง 444 แพร่ ซึ่งวิ่งมาจากตัวเมืองน่าน ด้วยความเร็วสูง กาลังจะเดินทางไปจังหวัดแพร่ ... ได้ชนกับรถของจรรยาอย่างจัง ทาให้จรรยา เสียชีวิต ณ จุดเกิดเหตุทันที ... ณรงค์ ผู้เห็นเหตุการณ์ เล่าให้ทีมงานฟัง โรงพยาบาลเวียงสา ให้ข้อมูลเพิ่มเติมแก่ทีมงาน ... วันที่ 7 กรกฎาคม 2553 เวลา 16.00 น. ทีมกู้ ชีพโรงพยาบาลเวียงสาออกตรวจสอบเหตุและให้การช่วยเหลือ ณ จุดเกิดเหตุ แล้วรีบนาส่งโรงพยาบาลทันที พบว่า ... แรกรับนางจรรยา เวียงสกุล มีอาการไม่รู้สึกตัว ไม่มีชีพจร ไม่หายใจ ขาข้างขวาขาด มีแผลฉีกขาด ที่ใบหน้า มีแผลถลอกตามลาตัว แขนและขา ... แพทย์ลงความเห็นว่า... เสียชีวิต ณ จุดเกิดเหตุ... ณรงค์เล่าต่อว่า ... นางจรรยา เวียงสกุล มีอาชีพเป็นแม่บ้านทาความสะอาดให้กับบ้านของผู้ใหญ่ อิ่น อินต๊ะ มีรายได้ประมาณเดือนละ 3,000 บาท สามีชื่อสาเนียง อายุ 60 ปี มีอาชีพเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง บ้านและอื่น ๆ ทั่วไป มีลูกชาย 2 คน คนโตอายุประมาณ 35 ปี ค้าขายโทรศัพท์มือถือในห้าง ฯ อยู่ที่ กทม. มี ลูก 2 คน คนโตเป็นผู้ชาย อายุ 5 ปี ฝากให้ปู่กับย่าเลี้ยงดูแล ส่วนคนเล็กเป็นผู้หญิง พ่อกับแม่เป็นผู้เลี้ยงดูเองอยู่ที่กรุงเทพ ฯ คนที่สองเป็นผู้หญิง อายุประมาณ 32 ปี ทางานบริษัทประกอบชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์อยู่ที่ จังหวัดปราจีนบุรี ยังไม่ได้แต่งงาน ... นาน ๆ ที หรือประมาณปีละครั้ง ลูกทั้ง 2 ของจรรยา จะเดินทางมาเยี่ยม พ่อกับแม่ที่บ้านจังหวัดน่าน... ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการจัดการศพ ณรงค์ เล่าว่า ... ศพของจรรยา ตั้งไว้ที่บ้าน เพื่อทาบุญ 4 วัน ตั้งแต่วันที่ 7-11 กรกฎาคม 2553 ไม่ทราบรายละเอียดค่าใช้จ่าย แต่ทราบว่า กานันหนั่น หรือนายเมธา นิธิกร ผู้รับเหมาที่คุ้นเคยกับสามีของ


จรรยา เป็นผูจ้ ัดการและเป็นธุระเรื่องงานศพให้หมดทุกอย่าง โดยจัด ดนตรี ปราสาทศพ ดอกไม้ และอุปกรณ์ เกี่ยวกับงานศพทั้งหมด และทราบว่า ... นายกิจชัย คู่กรณี ได้ให้เงินชดเชยค่าทาศพประมาณ 130,000 บาท และผู้ตายเป็นสมาชิกของ ธกส. และได้รับเงินประมาณ 100,000 บาท มีเงินสมทบจากกองทุนของหมู่บ้าน ประมาณ 30,000 บาท ได้รับเงินประกัน พรบ. รถ อีกประมาณ 30,000 บาท และรายได้จากการ ขายซากรถอีก 1,200 บาท สรุปปัจจัยที่ทาให้เกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิต 1. ผู้ตายขับรถประมาท ตัดหน้ากระชั้นชิด 2. ไม่สวมหมวกนิรภัย 3. บริเวณที่เกิดเหตุเป็นเขตพลุกพล่าน มีผู้สัญจรมาก 4. บริเวณที่เกิดเหตุเป็นถนนทางตรง 4 เลน ผูใ้ ช้รถใช้ถนนส่วนใหญ่ขับรถเร็ว ..................................................................................


กรณีศึกษาการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรทางถนนจังหวัดน่าน

24

นายธีรศักดิ์ ปุกคาดี อายุ 34 ปี ที่อยู่บ้านเลขที่ 71 หมู่ 7 บ.ตาลชุม ต.ตาลชุม อ.เวียงสา จ.น่าน เกิดเหตุวันที่ 11 กรกฎาคม 2553 เวลา 01.00 น. บนถนนสายน่าน – ทุ่งช้าง ช่วง กม.ที่ 70 – 71 *********************

นายธรศักดิ์ ปุกคาดี (จ๊อก) อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 71 หมู่ที่ 7 บ้านตาลชุม ตาบลตาลชุม อาเภอเวียงสา จังหวัดน่าน จบการศึกษาระดับปริญญาตรีคณะศึกษาศาสตร์ เอกภาษาไทย ปริญญาโท สื่อสารมวลชน จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อาชีพรับราชการครู สอนที่โรงเรียนปัวพิทยาคม บิดาชื่อนาย ต่อม ปุกคาดี อายุ 70 ปี มารดาชื่อนางราแพน มะศักดิ์ อายุ 60 ปี บิดาและมารดาแยกกันอยู่ตั้งแต่ครู จ๊อกอายุ 4 เดือน ครูจ๊อกอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของคุณครูเพลินพิศ คามานะ และนายสมศักดิ์ คา มานะ ซึ่งเป็นน้าสาวและน้าเขย ไม่มีโรคประจาตัว ไม่มีเคยประสบอุบัติเหตุ อุปนิสัย เป็นคนสุภาพเรียบร้อย เป็นมิตรกับผู้อื่นรักลูกศิษย์ ชอบเล่นกีฬา ชอบอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ เงินเดือนพอใช้ ไม่มีปัญหา ค่าใช้จ่ายไม่มีภาระต้องรับผิดชอบ ต่อครอบครัว แต่จะแบ่งเงินเดือนให้พ่อกับแม่บ้างบางเดือน ถ้าเงินไม่พอ น้าก็จะจัดหาให้ รถยนต์ที่ใช้เป็นรถของน้ายี่ห้อโตโยต้า ไมตี้เอ็กซ์ สีเทา หมายเลขทะเบียน บค- 3818 น่าน ได้ตรวจเช็คสภาพเปลี่ยนยาง เปลี่ยนแบตเตอรี่ก่อนที่จะโอนให้ ปกติครูจ๊อกจะกลับบ้านประมาณเดือนละครั้ง แต่จะโทรศัพท์พูดคุยกับแม่และน้าเป็นประจา ก่อนหน้านี้ครูจ๊อกโทรบอกว่าอาทิตย์นี้ไม่ได้กลับบ้านเพราะจะย้ายจากบ้านพักเดิมไปอยู่บ้านพักหลังใหม่ วันเกิดเหตุตอนกลางวันครูจ๊อกพาลูกศิษย์เก่า 3 คน ไปช่วยย้ายของเข้าบ้านพักหลังใหม่ หลังจากนั้น ได้ไปงานเลี้ยงที่อาเภอเชียงกลาง ก่อนเกิดเหตุครูจ๊อกได้ขับรถยนต์คันดังกล่าวมาตามถนนสาย น่าน – ทุ่งช้าง จากอาเภอเชียงกลางมุ่งหน้าไปทางอาเภอปัว พร้อมด้วยลูกศิษย์เก่า จานวน 3 คน คือนาย ประชา จิตอารี อายุ 23 ปี อยู่บ้านเลขที่ 127 หมู่ 5 ตาบลสถาน อาเภอปัว จังหวัดน่าน ,นายมนัสพงษ์ โพธิรินทร์ อายุ 23 ปี อยู่บ้านเลขที่ 178 หมู่ 4 ตาบลปัว อาเภอปัว จังหวัดน่าน และนายสามารถ อินทา อายุ 22 ปี อยู่บ้านเลขที่ 2 หมู่ 3 ตาบลเชียงกลาง อาเภอเชียงกลาง จังหวัดน่าน ครูจ๊อกขับรถด้วยความเร็ว เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุ ช่วง กม. 70-71 บ้านคันนา หมู่ 2 ตาบลพญาแก้ว อาเภอเชียงกลาง จังหวัดน่าน เวลา ประมาณ 01.00 น. รถได้เสียหลักพุ่งลงข้างทางชนกับต้นไม้ เป็นเหตุให้ ครูจ๊อก นายประชา และนายมนัส พงษ์ เสียชีวิตในที่ เกิดเหตุ ส่วนนายสามารถ ได้รับบาดเจ็บสาหัส พลเมืองดีนาส่งโรงพยาบาลเชียงกลาง Refer โรงพยาบาลน่าน และเสียชีวิตในเวลาต่อมา


สภาพถนน เป็นทางหลวงแผ่นดินสายน่าน – ทุ่งช้าง กม. 70 + 150 มี 2 ช่องทางจราจร ทาง โค้ง ถนนแห้ง กลางคืนไม่มีแสงไฟส่องสว่าง อากาศแจ่มใส สภาพการบาดเจ็บและเสียชีวิต 1. นายสามารถ อินทา อายุ 22 ปี 9 เดือน 11 วัน นั่งกระบะแค๊บด้านหล้ง ติดอยู่ในรถ ไม่รู้สึกตัว มีแผลที่ศีรษะบริเวณกลางหน้าผากพาดมาถึงศีรษะข้างซ้ายยาว 7 ซม. ลึก 3 ซม. แขนขวาบวมผิดรูป หน้าแข้ง ขวาบวมมีแผลฉีกขาด 5 ซม. แข้งซ้ายบวมผิดรูป ถามตอบพอรู้เรื่องต่อมาเริ่มสับสนพูดไม่รู้เรื่องหายใจช้าลง ยกมือปัดบริเวณที่เจ็บปวดได้ รถ EMS โรงพยาบาลออกรับเหตุ เวลา 02.40 น. ใช้เวลาช่วยเหลือประมาณ 2 ซม. Refer โรงพยาบาลน่าน 2. นายประชา จิตอารี อายุ 22 ปี 9 เดือน 9 วัน นั่งโดยสารคู่กับคนขับ ติดอยู่ระหว่างรถกับ ต้นไม้ ใบหน้าข้างซ้ายยุบลง แผลหนังเปิดถึงกะโหลกประมาณ 20 ซม. หน้าอกข้างขวายุบ มีแผลถลอกแดง หลายแผลที่หน้าอกซ้าย กระดูกต้นแขนขวาและกระดูกปลายแขนขวาบวมผิดรูป ต้นขาซ้ายบวมผิดรูป เสียชีวิต ณ จุด เกิดเหตุ 3. นายมนัสพงษ์ โพธิรินทร์ อายุ 22 ปี 10 เดือน 21 วัน นั่งโดยสารกระบะแค๊บด้านหล้ง ติดอยู่ ในรถ ไม่รู้สึกตัว คลาชีพจรไม่ได้ มีแผลฉีกขาดลึกที่หน้าผากยาว 6 ซม. แผลลึกถึงกระดูก มีกระดูกแตกต้น ขาด้านซ้ายบวมผิดรูป เสียชีวิต ณ จุดเกิดเหตุ 4. นายธีรศักดิ์ ปุกคาดี อายุ 34 ปี 6 เดือน 1 วัน เป็นผู้ขับรถ ไม่หายใจ หน้าอกข้างซ้ายยุบ มีแผลเป็นรอยแดงถลอกขนาด 10 x 8 ซม. ไหปลาร้าข้างซ้ายหัก มีแผลฉีกขาดบริเวณใบหน้าเหนือคิ้วขวา ขนาด 3 ซม. ลึก 0.5 ซม. แผลฉีกขาดเหนือคิ้วซ้ายขนาดยาว 5 ซม. ลึก 0.3 ซม. แผลฉีกขาดที่แก้มซ้ายขนาด ยาว 4 ซม. ลึก 1 ซม. ต้นแขนซ้ายบวมผิดรูป เสียชีวิต ณ จุดเกิดเหตุ สรุปปัจจัยที่ทาให้เกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิต ดื่มสุรา ขับรถประมาท ขับรถเร็วเกินอัตรา รถยนต์เสียหลักพุ่งชนต้นไม้ข้างถนน

****************************


กรณีศึกษาการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรทางถนนจังหวัดน่าน

25

กรณี: นายเมธามินค์ ธนูเพชร อายุ 16 ปี

อยู่บ้านเลขที่ 26 ม.12 ต.สถาน อ. นาน้อย จ. น่าน สถานที่เกิดเหตุ: ถนนสายนาน้อย-นาหมื่น หมู่ที่ 11 บ้านใหม่จัดสรร ต.สถาน อ.นาน้อย จ.น่าน วันที่เกิดเหตุ: วันที่ 15 กรกฎาคม 2553 เวลาประมาณ 17.40 น. ********************** เหตุการณ์อุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ชนรถจักรยานยนต์ มีผู้บาดเจ็บ 3 ราย รายที่1 นายเมธามินค์ ธนูเพชร อายุ 16 ปี อยู่บ้านเลขที่ 26 ม.12 ต.สถาน อ. นาน้อย เป็นผู้ขับขี่ มีอาการไม่รู้สึกตัว มีแผลเปิดที่ศีรษะ มีเลือดออกหูขวา ถูกนาตัวส่งโรงพยาบาลนาน้อยโดยรถ ของสมาชิก อบต. โรงพยาบาลนาน้อยให้การรักษาพยาบาลเบื้องต้น ส่งต่อไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลน่าน และเสียชีวิต ในเวลาต่อมาเนื่องจากมาภาวะสมองได้รับบาดเจ็บรุนแรงและมีเลือดคั่งในสมอง รายที่ 2 สามเณรสุธินทร์ โพธิขาว อายุ16ปี อยู่บ้านเลขที่ 89 หมู่ที่ 9 ต.นาทะนุง อ. นาน้อย เป็น ผู้ซ้อนท้าย มีอาการเจ็บอก เจ็บขาขวา พลเมืองผู้พบเห็นนาส่งโรงพยาบาลนาน้อย ตรวจรักษา รับยากลับบ้าน รายที่ 3 นายลักษ์ ปวนยา อายุ 49 ปี อยู่บ้านเลขที่ 76 ม.11 ต.สถาน อ. นาน้อย เป็นผู้ขับขี่ มี อาการเจ็บอกเล็กน้อยไม่ได้ตรวจรักษา ผลการสอบสวนถนนและสิ่งแวดล้อมที่เกิดเหตุ เป็นช่วงเวลาเย็น ยังมีแสงสว่างเพียงพอ ไม่มีฝุ่นควันหรือฝนตก สภาพถนน 2 ช่องทางจราจร กว้างประมาณ 8 เมตร เป็นแนวทางโค้งเชื่อมต่อกับสะพานโดยช่วงรอยต่อสะพานมีทางเท้าเข้ามาในขอบ ถนน ทาให้พื้นที่การเดินรถแคบลง ซึ่งชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นบอกว่าโค้งนี้เป็นจุดที่เกิดอุบัติเหตุบ่อย มากเพราะ เมื่อขับขี่รถมาถึงจุดทางโค้งก่อนถึงสะพานต้องขับรถออกจากขอบถนนด้านซ้ายเพื่อไม่ให้ชน กับขอบสะพานและถ้าขับรถมาเร็วก็มักจะหลุดโค้งพุ่งขอบสะพานอีกด้านหนึ่งและถ้ามีรถสวนมาก็มักจะ หลบไม่ทันเกิดเหตุเฉี่ยวชนกันบ่อยครั้ง ผลการสอบสวนลักษณะการเกิดเหตุ นายสมัคร- นางบัวคา ธนูเพชร ผู้เป็นบิดา มารดาของผู้เสียชีวิตเล่าว่า บุตรชายเป็นเด็กดี ตั้งใจ เรียน มีน้าใจ ช่วยเหลืองานบ้านทุกอย่าง ไม่มีพฤติกรรมขับขี่รถเร็ว ไม่เคยประสบอุบัติเหตุใดๆมาก่อน รถคัน ที่ ขับขี่ไปเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้เป็นรถใหม่ซื้อมาได้ 1 ปี ขี่รถทุกครั้งแม่จะเตือนให้สวมหมวกกันน๊อค และอย่าขี่ รถเร็ว ซึ่งส่วนใหญ่ถ้าขี่รถไปไกลหรือเข้าไปในตัวเมืองก็ใส่หมวกกันน็อค แต่ถ้าขี่ในหมู่บ้านก็มักจะไม่ใส่ วันเกิดเหตุ ลูกชายขี่รถจักรยานยนต์ ไม่ได้สวมหมวกกันน็อค จะไปส่ง สามเณรสุธินทร์ โพธ์ขาว ซึ่งเป็นเพื่อนกันไปวัดร้อง บ.ค้างอ้อย อ.นาหมื่น ห่างจากบ้านประมาณ 10 กิโลเมตร ขณะขี่จักยานยนต์มาถึง


จุดเกิดเหตุ มีรถจักยานยนต์ของนายลักษ์ ปวนยา ขี่สวนทางมาและชะลอรถอยู่กลางถนนจะเลี้ยวขวาเพื่อ ข้ามถนน และเกิดเหตุชนกันกลางถนน ลูกชายกระเด็นจากรถศีรษะกระแทกกับหลักกัน โค้ง ไม่รู้สึกตัว ผู้พบเห็นเหตุการณ์พยายามโทรศัพท์แจ้งขอความช่วยเหลือไปที่หน่วย กู้ชีพกู้ภัยอบต.สถานซึ่งอยู่ห่างจากจุด เกิดเหตุ 2 กม. แต่กดหมายเลขโทรศัพท์ผิดทาให้ไม่สามารถติดต่อหน่วย กู้ชีพ กู้ภัยได้ ในขณะเดียวกันมีรถ ของ สมาชิกสภา อบต. วิ่งผ่านมาจึงช่วยเหลือนาส่งโรงพยาบาลนาน้อย นายเมฆ ปวนยา บุตรชายนายลักษ์ ปวนยา เล่าว่า ตนและมารดาไปขายของอยูต่างจังหวัด กลับบ้านประมาณเดือนละครั้ง บิดาอยู่บ้านคนเดียว มีอาชีพทาการเกษตร มักจะดื่มสุราตอนเย็นหลังเลิกงาน ทุกวันแต่ไม่ถึงกับเมามายไม่ได้สติ วันเกิดเหตุเป็นช่วงเวลาเย็น ไม่ได้ดื่มสุราไปซื้อของกลับมาถึงจุดเกิดเหตุ จึงชะลอรถอยู่ชิดเส้นเหลืองกลางถนนเพื่อจะข้ามถนน มองไปข้าหน้าไม่มีรถสวนมา เนื่องจากรถไม่มีกระจก มองหลังจึงหันไปมองข้างหลังเพื่อดูรถที่ตามมาเมื่อไปมีรถจึงเตรียมตัวจะข้ามจังหวะนั้นเองก็ไม่รู้ว่ารถ คู่กรณีพุ่งมาตอนไหนชนมาที่ล้อหน้าและเสียหลักล้มทั้งคู่ หลังการเกิดเหตุ ผู้เสียชีวิตได้รับการช่วยเหลือและนาส่งโรงพยาบาลนาน้อยโดยเจ้าหน้าที่ สอ.บต.ซึ่งไม่ได้ให้ การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเนื่องจากเป็นรถที่ธุรการทั่วไปไม่ใช่รถกู้ชีพกู้ภัยระยะทางจากจุดเกิดเหตุ 12 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ15นาที อาการแรกรับที่โรงพยาบาลนาน้อยผู้บาดเจ็บไม่รู้สึกตัว หายใจช้า มีชีพจร มีแผลเปิดกว้างมี่ ศีรษะ มีเลือดไหลมาก มีเลือดออกหูขวา ทีมรักษาโรงพยาบาลนาน้อยให้การรักษาโดยการใส่ท่อช่วยหายใจ ให้สารน้าทางหลอดเลือดดา เย็บแผลที่ศีรษะเพื่อห้ามเลือด ส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลน่าน ขณะเดินทาง ประมาณ 15 นาทีก่อนถึงโรงพยาบาลน่านผู้บาดเจ็บมีภาวะหัวใจหยุดเต้น แพทย์ พยาบาลที่นาส่งได้ทาการ ช่วยฟื้นคืนชีพ ในรถพยาบาล จนถึงโรงพยาบาลน่านผู้บาดเจ็บยังมีภาวะหัวใจหยุดเต้นและรูมานตาขยายไม่มี ปฏิกิริยาต่อแสงบ่งบอกถึงภาวะสมองตาย ทีมรักษาโรงพยาบาลน่านทาการช่วยฟื้นคืนชีพต่อ และเสียชีวิต เนื่องจากสมองได้รับการกระทบกระเทือนรุนแรง ผลกระทบของการเสียชีวิตกับครอบครัว การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักอย่างกะทันหันโดยมิได้คาดคิด ไม่ทันได้เตรียมใจย่อมนามาซึ่ง ความเศร้าโศกเสียใจของผู้สูญเสีย การสูญเสียบุตรชายคนเดียวของครอบครัวธนูเพชรก็เช่นกัน ผลกระทบ ที่รุนแรงที่สุดคือผลกระทบต่อจิตใจ ความเสียใจทาให้นายสมัคร- นางบัวคา รู้สึกท้อแท้ กินได้น้อย นอนไม่ หลับ โดยเฉพาะนายสมัครซึ่งเป็นสมาชิก OTOS เป็นหนึ่งในทีมกู้ชีพกู้ภัย อบต.สถาน กล่าวว่า..ผมเป็น OTOS ช่วยคนเจ็บคนป่วยมาก็เยอะ แต่ไม่เคยคิดว่าจะมาเกิดกับลูกชายผม ผมคงพักการ ทางานอยู่เวร ประจาหน่วย กู้ชีพกู้ภัย ที่ อบต. สักระยะ เนื่องจากยังทาใจไม่ได้ จะ ให้ทางานตอนนี้คงไม่ไหว ช่วยใคร ไม่ได้แล้ว รอให้ทาใจได้กว่านี้อีกหน่อยจึงจะกลับไปทางานเหมือนเดิม...


ผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจมีบ้างพอสมควรเพราะต้องจัดงานศพ แต่ครอบครัวไม่มีเงินเก็บ สารอง ค่าใช้จ่ายประมาณ 150,000 บาท ต้องยืมจากญาติ จากเพื่อนบ้านไปก่อน หลังจากนั้นถ้าได้เงินจากการ ประกันชีวิตก็จะนาไปใช้หนี้ ผลกระทบต่อครอบครัวนายลักษ์ ปวนยา คู่กรณี ผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ จากอาชีพทาการเกตษร รายได้ประมาณ 30,000 บาทต่อปี และไม่มี เงินเก็บสารอง เมื่อเกิดเหตุไม่คาดคิด ต้องจ่ายเงินค่าเสียหายให้คู่กรณี 50,000 บาท แต่ไม่มีเงินจ่าย ต้องยืมจาก ญาติเพื่อให้ทางผู้เสียหายนาเงินไปใช้จ่ายงานศพ ส่วนตัวนายลักษ์ก็เครียดมาก ทางานไม่ได้ นอนไม่หลับ ส่งผลบุตรชายและภรรยา ซึ่งมีอาชีพค้าขายอยู่ต่างจังหวัด มีรายได้ประมาณ 6,000 บาท/เดือน/คน ต้องหยุด ขายของชั่วคราวเพื่อกลับมาอยู่บ้านดูแลนายลักษ์ ซึ่งบุตรชายก็ยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่บิดาจะผ่อนคลายจาก ความเครียด? ไม่รู้จะได้กลับไปขายของเมื่อไหร่? และไม่รู้จะใช้หนี้ลุงหมดเมื่อไหร่ ? สรุปปัจจัยที่ทาให้เกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิต คน ขี่รถด้วยความเร็ว ประมาท ไม่สวมหมวกนิรภัย รถ สภาพรถคู้กรณีไม่มีกระจกมองหลัง ทาให้ต้องหันไปมองด้านหลังก่อนเลี้ยว ทาให้ไม่ได้มอง รถที่ขี่สวนทางมา ถนน เป็นทางโค้ง มีสะพานในโค้ง และมีทางแยกในโค้ง มักเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง ************************


กรณีศึกษาการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรทางถนนจังหวัดน่าน

26

กรณี: นายผ่อง มีบุญ อายุ 70 ปี

อยู่บ้านเลขที่ 27 หมู่ 08 บ.นาวงค์ ต.เจดีย์ชัย อ.ปัว จ.น่าน สถานที่เกิดเหตุ: ทางหลวงแผ่นดิน ถนน น่าน-ทุ่งช้าง ทางแยกไปบ้านดอนแก้ว หัวมุมโรงเรียนบ้านนาวงค์ ใกล้ รพสต.(สอ.)เจดีย์ชัย อ.ปัว จ.น่าน วันที่เกิดเหตุ: วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม 2553 เวลา 23.45 น. *********************** “ ชายไทยสูงอายุ อายุประมาณ 60-70 ปี ประสบอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซค์ชนกับมอเตอร์ไซค์ บริเวณถนนสาย น่าน-ทุ่งช้าง ทางแยกไปบ้านดอนแก้ว หัวมุมโรงเรียนบ้านนาวงค์ใกล้ รพสต.(สอ.)เจดีย์ชัย อ.ปัว จ.น่าน มีผู้บาดเจ็บสาหัสไม่รู้สึกตัว 1 ราย บาดเจ็บเล็กน้อย 1 ราย อีก 2 รายปลอดภัย... ” คาตอบจาก พลเมืองดีที่พบเหตุแล้วแจ้งขอความช่วยเหลือจากศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการในระบบบริการการแพทย์ ฉุกเฉิน(EMS) นครน่าน เมื่อกลางดึกเกือบเที่ยงคืนของวันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม 2553 … ทีมงานกู้ชีพ-กู้ภัย อบต.เจดีย์ชัยรีบออกตรวจสอบเหตุหลังได้รับคาสั่งจากศูนย์ ฯ ... หลังจาก พบว่ามีผู้บาดเจ็บสาหัส ไม่รู้สึกตัว จึงขอความช่วยเหลือจากหน่วยกู้ชีพขั้นสูงจาก รพร.ปัว ทันที ... ทีมกู้ชีพ รพร.ปัว ได้ประเมินอาการและให้การช่วยเหลือเบื้องต้นที่ รพร.ปัวชั่วขณะ แล้วนาส่ง ตัวผู้บาดเจ็บไปรักษาต่อที่ รพ.น่านทันทีหลังจากพบว่ามีการบาดเจ็บที่สมองอย่างรุนแรง ... หลังจากที่ทีมแพทย์และพยาบาลได้พยายามช่วยชีวิตอย่างเต็มความสามารถด้วยการผ่าตัดสมอง และอื่น ๆ ... แต่ก็ไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้ ... อุ๊ยผ่องเสียชีวิตอย่างสงบในเวลาเช้ามืดของวันที่ 17 ถัดมา... “ เมื่อไหร่จะเลิกดื่ม “ คาถามที่แม่อุ๊ยห่วงภรรยาสุดที่รักของอุ๊ยผ่องถามทุกวันด้วยความเป็นห่วง ... คาตอบที่ได้คือ ... “ ตายเมื่อไหร่ค่อยเลิก “ ... ณ ตอนนี้ อุ๊ยผ่องก็คงได้เลิกดื่มเหล้าจริง ๆ ซะที ... อุ๊ยผ่องและอุ๊ยห่วง มีลูก 3 คน ทุกคนมีอาชีพรับราชการ และแยกไปมีครอบครัวกันหมด อุ๊ยทั้งสองจึงอยู่ดูแลซึ่งกันและกันมาโดยตลอด นาน ๆ ลูก ๆ หลาน ๆ ก็จะมาเยี่ยม...ในวันเกิดเหตุ ... อุ๊ยผ่อง อยู่บ้านคนเดียว ... อุ๊ยห่วงไปเยี่ยมลูกสาวคนกลางซึ่งแต่งงานและมีครอบครัวอยู่ที่เชียงใหม่... และเป็นวันที่ อุ๊ยผ่องไปร่วมประชุมชมรมผู้สูงอายุที่บ้านดอนแก้ว ซึ่งห่างจากบ้านนาวงค์ไปประมาณ 2 กม. ตาบลนี้จะมี การ นัดประชุมชมรมผู้สูงอายุทุกเดือน ๆ ละ 1 ครั้ง ๆ ละ 1 วัน และอุ๊ยผ่องก็เป็นแกนนาผู้สูงอายุของ หมู่บ้านและเป็นคณะกรรมการชมรม ฯ ระดับตาบลด้วย ... ด้วยความที่เป็นคนขยัน เสียสละ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ชอบสนุกสนาน... อุ๊ยผ่องจึงเป็นที่ชอบ พอของเพื่อน ๆ ในชมรม ฯ ... และมีหลายครั้งที่หลังเลิกประชุมทีมงานจะชวนกันดื่มเหล้า ... อุ๊ยผ่องไม่เคย ปฏิเสธ ... เนื่องจากชอบดื่มเหล้าเป็นชีวิตจิตใจ... ดื่มแล้วจะอารมณ์ดี พูดคุยเก่ง ในวันเกิดเหตุก็เช่นกัน อุ๊ย ผ่องดื่มเหล้าอย่างหนักหลังเลิกประชุม ฯ ... เวลาเกือบเที่ยงคืนจึงขอตัวกลับ ... อุ๊ยผ่องขับรถมอเตอร์ไซค์คัน


โปรด(ไม่เก่า)โดยไม่ได้สวมหมวกกันน๊อค เสื้อก็ไม่ใส่(บาดบ่า) ฝนตกปรอย ๆ ถนนกาลังก่อสร้าง ไม่มีแสง ไฟบนท้องถนน และวัยรุ่นที่ล้อมวงสนทนากันอยู่ที่ศาลาข้างทางใกล้ที่เกิดเหตุบอกว่า อุ๊ยผ่องขับรถเร็วมาก ขับพุ่งขึ้นถนนสายหลัก ... ตัดหน้ารถมอเตอร์ไซค์อีกคันหนึ่งที่กาลังขับมาตามปกติ (เป็นศิลปินช่างซอคนดัง ในตาบล ซึ่งกลับจากการไปซอในงานบวชหรืองานปอย โดยซ้อนกันมา 3 คนกับช่างซอเหมือนกัน รถไม่ล้ม คนซ้อน 2 คนไม่ได้รับบาดเจ็บ ... แต่ตนเองถูกกระจกหมวกกันน๊อคแตกบาดใบหน้า ... เย็บ 7 เข็ม)…อุ๊ย ห่วงเล่าให้ฟังว่า โดยปกติแล้วเวลาอุ๊ยผ่องเมาเพื่อน ๆ ที่ดื่มด้วยกันจะบอกให้คนขับรถมาส่งอุ๊ยผ่อง เพราะรู้ดี ว่าอุ๊ยผ่องจะขับรถกลับไม่ไหว... เพื่อน ๆ ทุกคนจะรู้ดี... อุ๊ยผ่อง มีโรคประจาตัวคือ โรคความดันโลหิตสูง ... แต่ก็ดูแลตัวเอง ทานยาตามหมอสั่งและไป พบแพทย์ตามนัดตลอด ... ครั้งนี้ แพทย์ลงนัดไว้วันที่ 24 กรกฎาคม 2553 … ลูก ๆ หลาน ๆ และญาติ ๆ ได้จัดงานศพให้อุ๊ยผ่อง 6 วัน 5 คืน ... หมดค่าใช้จ่ายไปประมาณ แสนกว่าบาท ... สรุปปัจจัยที่ทาให้เกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิต 1. ปัจจัยที่นาไปสู่การบาดเจ็บและเสียชีวิตครั้งนี้ คือ คนขับรถ ไม่มีใบขับขี่ อายุมาก มีโรคประจาตัว สมรรถภาพในการขับขี่ไม่ดี มีอาการมึนเมา ไม่สวมหมวกนิรภัยทาให้มีการบาดเจ็บที่ศีรษะอย่างรุนแรง ขับรถเร็วและประมาท ถนนมืดไม่มีแสงสว่าง ถนนลื่นเพราะฝนตก 2. การช่วยเหลือ ณ จุดเกิดเหตุ มีการแจ้งเหตุโดยพลเมืองดีผ่าน 1669 และออกให้บริการ ณ จุดเกิดเหตุโดยทีม EMS ของ อบต. เจดีย์ชัยและทีม EMS ของโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชปัว (จุดเกิดเหตุอยู่ห่างจาก อบต.ประมาณ 500 เมตร ห่างจาก รพ. ประมาณ 15 กม.) ซึ่งมีการออกให้บริการตามเกณฑ์มาตรฐาน อบต. เจดีย์ ชัย

ไป อ.ปัว รพสต. (สอ.) รถอุ๊ยผ่อง

ไปบ้านดอน แก้ว

รถช่างซอ ศาลา ริมทาง

ไป อ.ท่าวังผา


กรณีศึกษาการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรทางถนนจังหวัดน่าน

27

กรณี: นายเหลา ปาคา อายุ 74 ปี

ที่อยู่บ้านเลขที่ 171 หมู่ 2 บ.ปง ต.เจดีย์ชัย อ.ปัว จ.น่าน เกิดเหตุทางหลวงแผ่นดิน ถนน น่าน-ทุ่งช้าง ทางแยกหน้าตลาดสดบ้านปง ต.เจดีย์ชัย อ.ปัว จ.น่าน วันที่เกิดเหตุ: วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม 2553 เวลา 05.40 น. *********************** ทุกเช้าตอนตี 4 ... ตาเหลาจะตื่นโดยอัตโนมัติเพื่อทากิจวัตรประจาวันส่วนตัว เดินออกกาลังกาย บ้างเล็กน้อย แล้วขี่มอเตอร์ไซค์คู่ชีพกลางเก่ากลางใหม่ที่คุณครู(ลูกสาวคนเล็ก)ซื้อให้...ไปซื้อของที่ตลาดสด ห่างจากบ้านที่พักอาศัยประมาณ 1 กม. เพื่อทาอาหารสาหรับ 3 คนในครอบครัว(ตาเหลา, ยายผัน และ แปง ลูกสาวคนที่ 2 ที่ดูแลเลี้ยงดูตายายมาโดยตลอด) ... วันนี้ก็เหมือนเช่นวันก่อน ๆ ... แต่แปงทานยาคลายเครียดก่อนนอนที่รับจาก รพ. เป็นประจา (หลายปี) เลยหลับสนิทลืมตื่น ... รู้สึกตัวอีกทีเมื่อได้ยินเสียงตะโกนเรียกโหวกเหวกจากนายสมเพียรน้องเขย ให้รีบไปดูตาเหลา ... “ แปง... ตื่น... เร็ว... พ่อถูกรถชนที่ตลาด...” แปงสะดุ้งสุดขีด รีบลุกจากที่นอน ... วิ่งไป ที่รถตู้คู่ชีพที่ใช้อยู่ประจา... ขับไปหาพ่อตามที่น้องเขยบอก... ภาพที่เห็น ณ จุดเกิดเหตุ คือ ตาเหลานอนหมดสติ มีแผลและเลือดที่ใบหน้า ข้อเท้าขวาหักผิดรูป และมีบาดแผลตามแขนขา ... ทีมกู้ชีพ-กู้ภัย อบต.เจดีย์ชัยกาลังช่วยฟื้นคืนชีพ ปิดบาดแผล ดามข้อเท้า และ เตรียมขนย้ายลาเลียงไปส่งโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชปัว... ไทยมุงจานวนมากวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ นานา ... แล้วทุกคนก็กันไม่ให้แปงเข้าใกล้ศพของตาเหลา... “ตาเหลาเสียชีวิต ณ จุดเกิดเหตุ” สมเพียร ได้ข้อมูลจากเบิ้มและพิมพ์ ซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุเล่าให้ฟังว่า ... ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วง ใกล้สว่าง ... ตาเหลาขับขี่มอเตอร์ไซค์ถึงทางแยกจะเลี้ยวขวาเข้าตลาดสด ช่วงที่กาลังชะลอรถอยู่กลางถนน (ถนนกาลังปรับปรุง ยังไม่ได้ตีเส้น) ก็มีรถปิ๊คอัพอีซูซุสีบรอนเงินซึ่งขับตามหลังมาในระยะใกล้...เฉี่ยวชนรถ ตาเหลาอย่างจัง... แล้วลากไถลไปขอบถนนอีกฝั่งหนึ่งห่างจากจุดชะลอประมาณ 20 เมตร ... ทราบภายหลังว่าคู่กรณีชื่อ จสอ.สมชาย อายุ 49 ปี อยู่บ้านเลขที่ 170 หมู่ที่ 10 ต.กลางเวียง อ.เวียงสา จ.น่าน ขับรถมาคนเดียวด้วยความรีบเร่ง เพื่อนาเครื่องซักผ้าไปส่งให้ลูกที่ อ.เวียงสา ... ถึงที่เกิดเหตุ มีรถขับตัดหน้ากระชั้นชิด ... จึงเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ตนเองคาดเข็มขัดนิรภัย ไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด สถานที่เกิดเหตุ ... เป็นเขตชุมชน คนพุกพล่าน เป็นทางสามแยกจากถนนสายหลักสู่ตลาดสด ... ถนนกาลังปรับปรุง ไม่มีเส้นแบ่ง ไม่มีสัญญาณใด ๆ ไม่มีแสงสว่าง ... ตาเหลาเอง ... ไม่ได้สวมหมวกกันน๊อค แม้จะมีใบขับขี่ที่ต่ออายุทุกปี ไม่ได้ดื่มเหล้าในช่วงเวลา ดังกล่าว เป็นคนอารมณ์ดี ไม่เคยทะเลาะกับใคร และเป็นคนขยันหมั่นเพียร ไม่ชอบอยู่นิ่ง ๆ เฉย ๆ จะหา


กิจกรรมหรืองานทาอยู่ตลอด... แต่แปงบอกว่า ตาเหลามีโรคประจาตัวคือปอดอุดกั้นเรื้อรัง รักษากับ รพร.ปัว อย่างต่อเนื่อง ... แปงเล่าให้ฟังอีกว่า ... ตาเหลาดื่มเหล้าขาวแทบทุกวัน แต่ก็ดื่มไม่มาก ... และเคยเกิดอุบัติเหตุ รถแฉลบล้มเอง 3-4 ครั้ง ทุกครั้งจะบาดเจ็บเล็กน้อย ไม่ถึงกับไปโรงพยาบาล ส่วนใหญ่เกิดจากประมาท ขับ รถไม่ชานาญ โดยเฉพาะรถรุ่นใหม่(เกียร์ออโต้)ที่ลูกสาวคนเล็กเคยซื้อให้ และสมรรถนะในการขับขี่ไม่ค่อยดี การเกิดเหตุครั้งนี้ ... มีพลเมืองดีโทรแจ้งขอความช่วยเหลือจากทีมกู้ชีพ-กู้ภัย อบต.เจดีย์ชัย และ มีคนโทรแจ้ง 1669 ... ทีมกู้ชีพ-กู้ภัย อบต.เจดีย์ชัย เป็นทีมกู้ชีพ-กู้ภัย ที่ออกให้ความช่วยเหลือ ณ จุดเกิดเหตุ โดยการประสานงานกับศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการ ฯ นครน่าน และ รพร.ปัว แปงและญาติ ๆ ตกลงจะจัดงานศพให้ตาเหลา 4 คืน เตรียมค่าใช้จ่ายไว้ประมาณแสนกว่าบาท สรุปปัจจัยที่ทาให้เกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิต 1. ปัจจัยที่นาไปสู่การบาดเจ็บและเสียชีวิตครั้งนี้ คือ ผู้ตายเป็นคนแก่อายุมาก มีโรคประจาตัว (ปอดอุดกั้นเรื้อรัง) สมรรถนะในการขับขี่ไม่ดี ไม่สวม หมวกนิรภัยทาให้มีการบาดเจ็บที่ศีรษะอย่างรุนแรง อาจขับรถประมาท(ตัดหน้ากระชั้นชิด) ถนนเป็นเขต ชุมชน คนพุกพล่าน เป็นทางสามแยกจากถนนสายหลักสู่ตลาดสด ... ถนนกาลังปรับปรุง ไม่มีเส้นแบ่ง ไม่มี สัญญาณใด ๆ และมืด ไม่มีแสงสว่าง ... 2. การช่วยเหลือ ณ จุดเกิดเหตุ มีการแจ้งเหตุโดยพลเมืองดีผ่านทีมกู้ชีพ-กู้ภัย อบต.เจดีย์ชัยโดยตรง และมีการแจ้งผ่าน 1669 และออกให้บริการ ณ จุดเกิดเหตุโดยทีม EMS ของ อบต.เจดีย์ชัย (จุดเกิดเหตุอยู่ห่างจาก อบต.ประมาณ 2 กม.) ซึ่งมีการออกให้บริการตามเกณฑ์มาตรฐาน ไป อ.ปัว ตลาดสด เจดีย์ชัย จุดเกิดเหตุ

โรงเรียน บ้านปงสนุก ต.เจดีย์ชัย อ.ปัว

รถคู่กรณี รถตาเหลา ไป อ.ท่าวังผา


บทที่ 4 สังเคราะห์บทเรียนที่เกิดจากการดาเนินงาน 1. ทีมงานคณะทางาน ศูนย์อานวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดน่าน บูรณาการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุ จราจรของจังหวัด เน้นยุทธศาสตร์ 6 ด้าน ได้แก่ ด้านบังคับใช้กฎหมาย ด้านวิศวกรรมจราจร ด้านการ ให้ความรู้การประชาสัมพันธ์ ด้านการมีส่วนร่วม ด้านการแพทย์ฉุกเฉิน และยุทธศาสตร์ด้านการจัดเก็บ ข้อมูลและการประเมินผล จากการดาเนินงานที่ผ่านมาพบว่า แต่ละหน่วยงานได้มีการจัดเก็บข้อมูลสถิติการ เกิดอุบัติเหตุจราจร จานวนผู้บาดเจ็บ ผู้เสียชีวิต หรือข้อมูลจุดเสี่ยงที่เกิดอุบัติเหตุทางถนน โดยไม่มีการบูรณา การและรวบรวมข้อมูลที่สามารถเชื่อมต่อเพื่อใช้วิเคราะห์ข้อมูลในภาพรวมของจังหวัด ในการแก้ไขปัญหา อย่างเป็นระบบได้ ดังนั้น จังหวัดน่านจึงได้มีการประชุมภาคีเครือข่าย เพื่อหาแนวทางร่วมกันในการป้องกันและลด อุบัติเหตุทางถนน และกาหนดให้สานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดน่านเป็นฝ่ายเลขานุการ ในการดาเนินงาน โดยได้มีการแต่งตั้งคณะทางานเพื่อขับเคลื่อนให้การดาเนินโครงการป้องกันและ ลดอุบัติเหตุทางถนนสัมฤทธิ์ผลตามเป้าหมาย มีการจัดทาแผนการป้องกันและแก้อุบัติเหตุทางถนนระดับ จังหวัด และมี แนวทาง ที่จะพัฒนาระบบข้อมูล อุบัติเหตุของจังหวัดให้สามารถวิเคราะห์หาสาเหตุ และ หาแนวทางในการแก้ไขปัญหาร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการ พัฒนาระบบข้อมูลอุบัติเหตุจราจรจากศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน(ศวปถ.) มูลนิธิสาธารณสุข แห่งชาติ (มสช.) ให้ดาเนินโครงการระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2552 ถึง เดือนกรกฎาคม 2553 ศูนย์อานวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดน่าน จึงได้แต่งตั้งคณะทางานโครงการ “พัฒนา ระบบข้อมูลอุบัติเหตุจราจรจังหวัดน่าน ” โดยแต่งตั้งจากเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ด้านการป้องกันและลด อุบัติเหตุทางถนนของหน่วยงานหลักในการบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุ ทางถนน ในระดับจังหวัด เพื่อทาหน้าที่ในการบูรณาการจัดเก็บข้อมูลการเสียชีวิตจาก การเกิดอุบัติเหตุทางถนน ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2552 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2553จานวน 9 เดือนๆ ละ 3 ราย หรือรายที่น่าสนใจ รวม 27 ราย โดย จัดเก็บข้อมูล ศึกษาปัญหา สาเหตุและปัจจัยของการเสียชีวิตจากการเกิดอุบัติเหตุจราจรในเชิงลึกครอบคลุมทั้งพื้นที่ ในจังหวัดน่าน และนาข้อมูลที่ได้จากการจัดเก็บมาศึกษาวิเคราะห์สรุป โดยนาเสนอสภาพปัญหาและ ข้อเสนอแนะให้ผู้บริหารศูนย์อานวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดน่านทราบ เพื่อพิจารณา นาข้อมูล ไปใช้ในการกาหนดมาตรการแนวทางในการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุจราจรของจังหวัดน่านอย่างเป็นระบบ ต่อไป


1.1 การพัฒนาศักยภาพทีมงาน จากการปฏิบัติงานร่วมกันของหน่วยงานเครือข่ายป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ทาให้มีการ พัฒนาศักยภาพในการทางาน ดังนี้ 1. มีการทางานเป็นทีม เกิดความสามัคคีในทีมงานมีการประสานงานกันได้ง่าย 2. มีการปฏิบัติงานหลากหลายในคราวเดียวกัน เป็นการประหยัดเวลา และงบประมาณ 3. มีความรู้รอบด้าน มีการแบ่งปันข้อมูลซึ่งกันและกัน เนื่องจากแต่ละหน่วยงานจะมีข้อมูล หลากหลายและมีความแตกต่าง 4. สามารถจักเก็บข้อมูลได้ในคราวเดียว โดยไม่ทาให้เสียเวลาในการทางาน 5. มีเครือข่ายในการปฏิบัติงานเพิ่มขึ้น ทาให้มีการแก้ไขปัญหาตรงจุด เป็นผลดีต่อขบวน แก้ไขปัญหาในระยาว 1.2 การเซี่ยมภาคีเครือข่าย /การพัฒนาทีม และการสร้างความสัมพันกับทีมงาน ในการทางานเป็นทีมโดยการสร้างเครือข่ายการทางานร่วมกันระหว่างหน่วยงาน จะต้องสร้าง ความสัมพันธ์ที่ดีต่อเพื่อนร่วมงาน และมีการพัฒนาทีมงานให้มีความพร้อมที่จะทางานร่วมกัน ดังนี้ 1. ประสานความร่วมมือ โดยการติดต่อพูดคุยผู้ปฏิบัติงานด้านการป้องกันและลดอุบัติเหตุ ทางถนนจากหน่วยงานเครือข่าย 2. ศึกษาการปฏิบัติงานของผู้ร่วมงาน สอบถามงานในหน้าที่เพื่อสร้างความคุ้ยเคย 3. จัดประชุมชี้แจงโครงการให้ทีมงานได้รับทราบถึงวัตถุประสงค์ของการทางาน และ รับทราบงบประมาณที่จะใช้ในการดาเนินงาน 4. สร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้ร่วมงาน โดยการเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานตัดสินใจในการ คัดเลือกผู้นาในทีมงาน รวมทั้งการคัดเลือกผู้ทาหน้าที่ฝ่ายการเงินของทีมงาน 5. ปฏิบัติงานอย่างตรงไปตรงมา สร้างความน่าเชื่อถือให้แก่เพื่อนร่วมงาน 6. มีความจริงใจในการปฏิบัติงาน ทุ่มเทเวลาเพื่อให้งานสาเร็จตามเป้าหมาย 2. การสังเคราะห์กรณีการเกิดอุบัติเหตุ 2.1 จานวนผู้เสียชีวิตที่จัดเก็บข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลการเสียชีวิตจาก การเกิดอุบัติเหตุทางถนน ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2552 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2553จานวน 9 เดือน ๆ ละ 3 ราย หรือรายที่น่าสนใจ รวม 27 ราย โดย จัดเก็บข้อมูล ศึกษาปัญหา สาเหตุและปัจจัยของการเสียชีวิตจากการเกิดอุบัติเหตุจราจรในเชิงลึกครอบคลุมทั้งพื้นที่ในจังหวัดน่าน และ นาข้อมูลที่ได้จากการจัดเก็บมาศึกษาวิเคราะห์สรุป โดยนาเสนอสภาพปัญหาและข้อเสนอแนะให้ผู้บริหาร ศูนย์อานวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดน่านทราบ เพื่อพิจารณา นาข้อมูล ไปใช้ในการกาหนด


มาตรการแนวทางในการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุจราจรของจังหวัดน่านอย่างเป็นระบบ โดยได้มีการเลือกรายที่ น่าสนใจ จานวน 27 ราย จากการเกิดอุบัติเหตุในหลายพื้นที่ ดังนี้ 1. อาเภอเมืองน่าน 8 ราย 2. อาเภอเวียงสา 3 ราย 3. อาเภอนาน้อย 2 ราย 4. อาเภอบ้านหลวง 3 ราย 5. อาเภอท่าวังผา 2 ราย 6. อาเภอปัว 3 ราย 7. อาเภอเชียงกลาง 2 ราย 8. อาเภอบ่อเกลือ 2 ราย 9. อาเภอภูเพียง 2 ราย 2.2 การวิเคราะห์ข้อมูลผู้เสียชีวิตจากการเกิดอุบัติเหตุ สาเหตุด้านโครงสร้าง ( Safety System) 1. ถนนสายหลัก เป็นทางเชื่อมระหว่างอาเภอ เมืองน่าน-ทุ่งช้าง หรือเมืองน่าน-เวียงสา –นา น้อย –นาหมื่น หรือสานน่าน-บ้านหลวง เป็นถนน 2 ช่องจราจร คดเคี้ยวเกิดอุบัติเหตุบ่อย ผู้ขับขี่ขับรถเร็วเกิน อัตรา เนื่องจากต้องเดินทางระยะไกล มีความรีบเร่งขณะขับขี่ 2. ถนนสายน่าน-ทุ่งช้าง ช่วงระหว่างอาเภอท่าวังผา-อาเภอทุ่งช้าง (หน้าองค์การบริหาร ส่วนตาบลเจดีย์ชัย) เป็นช่วงที่มักเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง เป็นทางโค้ง 2 ช่องทางจราจร และมีทางแยกหลาย เส้นทาง มีมีไฟฟ้าส่องสว่าง แขวงการทางน่านที่ 2 ได้ดาเนินปรับปรุงผิวจราจร เส้นแบ่งช่องทางจราจร ป้าย เตือนต่าง ๆ ตลอดจนไฟฟ้าส่องสว่างในเขตพื้นที่ชุมชนตลอดแนว สาเหตุด้านวัฒนธรรมความปลอดภัย ( Safety Culture) 1. ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ไม่นิยมสวมหมวกนิรภัยเมื่อเกิดอุบัติเหตุ มักจะมีอาการบาดเจ็บ รุนแรงหรือเสียชีวิตเนื่องจากศีรษะกระแทกของแข็ง 2. ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ และรถยนต์ ดื่มสุราก่อนขับรถ ทาให้ขาดสติในการควบคุมรถ ขับรถเร็ว ประมาท ไม่สวมหมวกนิรภัยและไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ขาดความยั้งคิด 3. ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์บางคนไม่มีความรู้เรื่องกฎจราจร ไม่มีความรู้เรื่องเครื่องหมาย จราจร ไม่คานึงถึงความปลอดภัยขณะขับขี่รถ ขับรถประมาท เข้าออกทางร่วมทางแยกมักไม่มองรถที่ขับ ตามมาด้านหลัง ทาให้มีการตัดหน้าอย่างกระชั้นชิดและเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง 4. ผู้ขับขี่บางรายมีอายุน้อย ยังไม่มีใบขับขี่ เรียนรู้ในการขับขี่รถเอง ไม่มีความรู้เรื่องกฎ จราจร ไม่มีความรู้เครื่องหมายจราจร ขับขี่รถด้วยความคึกคะนอง ขาดการตักเตือนจากผู้ปกครอง


3. การดาเนินการหลังจากเก็บข้อมูลผู้เสียชีวิตกรณีอุบัติเหตุทางถนน CASE 1

รายละเอียด/สาเหตุ

แนวทางการแก้ไข

ผลของการแก้ไข

รถจักรยานยนต์ชนรถบรรทุก 6 ล้อ พักผ่อนไม่เพียงพอ ประมาท ทางโค้ง เป็นเนินถนนทรุดตัว เกิดอุบัติเหตุ บ่อยครั้ง มีพงหญ้าข้างทางบดบัง ทัศนวิสัย ไม่สวมหมวกนิรภัย

1. สร้างกระบวนการเรียนรู้ ร่วมกันเพื่อปรับเปลี่ยน พฤติกรรมการขับขี่ 2.ปรับปรุงถนน และแก้ไข สิ่งแวดล้อม

3

รถจักรยานยนต์ชนรถปิคอัพ คนพิการ ภาวะเครียด ดื่มสุรา ขับรถ เร็ว ไม่มีใบขับขี่ ไม่สวมหมวกนิรภัย ทางตรงมุ่งสู่ทางโค้ง กลางคืน ไม่มีไฟฟ้าส่องสว่าง

1. สร้างกระบวนการเรียนรู้ - ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน ร่วมกันเพื่อปรับเปลี่ยน มีส่วนร่วม มีความรู้ ความ พฤติกรรมการขับขี่ เข้าใจมากขึ้น มีการปรับ เปลี่ยนพฤติกรรมในการ ขับขี่

4

รถยนต์ชนรถจักรยานยนต์ ตัดหน้ากระชั้นชิด ประมาท ไม่สวม หมวกนิรภัย ไม่มีสัญญาณเตือน ถนนสายหลักมีทางแยกหลาย เส้นทาง เขตชุมชนผู้คนพลุกพล่า

1. สร้างกระบวนการเรียนรู้ ร่วมกันเพื่อปรับเปลี่ยน พฤติกรรมการขับขี่ 2.จัดทาป้ายเตือนให้ชัดเจน

2

1. ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน มีความรู้ ความเข้าใจมากขึ้น 2.มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ในการขับขี่ 2. มีการแผ้วถางหญ้าริม ถนนที่บดบังทัศนวิสัย รถบรรทุก 4 ล้อชนรถจักรยานยนต์ 1. สร้างกระบวนการเรียนรู้ - ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน คู่กรณีขับรถเร็ว ประมาท2.ทางโค้งลงเขา ร่วมกันเพื่อปรับเปลี่ยน มีความรู้ ความเข้าใจมากขึ้น และคดเคี้ยว พฤติกรรมการขับขี่ มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม 2.จัดทาป้ายเตือนให้ชัดเจน ในการขับขี่

1. ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน มีส่วนร่วม มีความรู้ ความ เข้าใจมากขึ้น มีการปรับ เปลี่ยนพฤติกรรมในการ ขับขี่ 2. มีป้ายเตือนเขตชุมชนลด ความเร็ว


5

รถจักรยานยนต์ชนรถบรรทุก 6 ล้อ ดื่มสุรา ขับรถเร็ว ไม่สวมหมวกนิรภัย รถ จยย.สภาพเก่าไม่สมบูรณ์ มีป้าย และต้นไม้บดบังทัศนวิสัย

1. สร้างกระบวนการเรียนรู้ ร่วมกันเพื่อปรับเปลี่ยน พฤติกรรมการขับขี่ 2. ตัดแต่งต้นไม้ และปลด ป้ายออก

6

เด็กหลุดจากผ้าอ้อมตกลงจากรถจักร ยานยนต์ผู้ปกครองประมาท

สร้างกระบวนการเรียนรู้ ร่วมกันเพื่อปรับเปลี่ยน พฤติกรรมการขับขี่

7

รถยนต์ชนกาแพงรั้วบ้านขับรถเร็ว ประมาท ขับรถไม่ชานาญ พักผ่อนไม่เพียงพอ รถยนต์สภาพเก่า

สร้างกระบวนการเรียนรู้ ร่วมกันเพื่อปรับเปลี่ยน พฤติกรรมการขับขี่

8

รถจักรยานยนต์แฉลบล้มเอง ดื่มสุรา ขับรถเร็ว ไม่สวมหมวกนิรภัย ประมาทขับรถมือเดียวทางโค้ง

9

รถจักรยานยนต์ตกลาห้วยบริเวณคอ สะพานดื่มสุราขับรถเร็วประมาท ไม่ สวมหมวกนิรภัย กลางคืน ไม่มีไฟฟ้า ส่องสว่าง

1. ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน มีความรู้ ความเข้าใจมากขึ้น มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ในการขับขี่ 2. ปลดป้ายที่บดบังทัศน วิสัยในการขับขี่ - ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน มีส่วนร่วม มีความรู้ ความ เข้าใจมากขึ้น มีการปรับ เปลี่ยนพฤติกรรมในการ ขับขี่

- ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน มีส่วนร่วม มีความรู้ ความ เข้าใจมากขึ้น มีการปรับ เปลี่ยนพฤติกรรมในการ ขับขี่ สร้างกระบวนการเรียนรู้ - ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน ร่วมกันเพื่อปรับเปลี่ยน มีส่วนร่วม มีความรู้ ความ พฤติกรรมการขับขี่ เข้าใจมากขึ้น มีการปรับ เปลี่ยนพฤติกรรมในการ ขับขี่ 1. สร้างกระบวนการเรียนรู้ - ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน ร่วมกันเพื่อปรับเปลี่ยน มีส่วนร่วม มีความรู้ ความ พฤติกรรมการขับขี่ เข้าใจมากขึ้น มีการปรับ 2. ทาราวกันอันตรายบริเวณ เปลี่ยนพฤติกรรมในการ คอสะพาน และติดตั้งไฟฟ้า ขับขี่ ส่องสว่าง


10

11

12

13

14

15

รถปิคอัพพลิกคว่า ผู้ขับขี่ไม่มีประสบ การณ์ และไม่ชานาญเส้นทางคนขับ ดื่มสุรา ทางลูกรัง ทางขึ้นเนิน เปียกน้า เป็นทางลาลอง รถปิคอัพบรรทุก ผู้โดยสารท้ายกระบะ รถจักรยานยนต์เสียหลักชนต้นไม้ข้างทาง ซ้อนสาม เมาสุรา ขับรถเร็ว ไม่มีใบขับขี่ ไม่สวมหมวกนิรภัย ทางตรง สายหลัก มืดไม่มีไฟฟ้าส่องสว่าง

- สร้างกระบวนการเรียนรู้ - ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน ร่วมกันเพื่อปรับเปลี่ยน มีส่วนร่วม มีความรู้ ความ พฤติกรรมการขับขี่ เข้าใจมากขึ้น มีการปรับ เปลี่ยนพฤติกรรมในการ ขับขี่ - สร้างกระบวนการเรียนรู้ - ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน ร่วมกันเพื่อปรับเปลี่ยน มีส่วนร่วม มีความรู้ ความ พฤติกรรมการขับขี่ เข้าใจมากขึ้น มีการปรับ เปลี่ยนพฤติกรรมในการ ขับขี่ รถจักรยานยนต์ชนหลักกันโค้ง - สร้างกระบวนการเรียนรู้ - ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน ดื่มสุรา ขับรถเร็ว ไม่สวมหมวกนิรภัย ร่วมกันเพื่อปรับเปลี่ยน มีส่วนร่วม มีความรู้ ความ ถนนในหมู่บ้าน ทางโค้งเล็กน้อย พฤติกรรมการขับขี่ เข้าใจมากขึ้น มีการปรับ แสงสว่างไม่เพียงพอ เปลี่ยนพฤติกรรมในการ ขับขี่ รถเก๋งชนต้นไม้ข้างทาง 1. สร้างกระบวนการเรียนรู้ - ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน ขับรถเร็ว ไม่ชานาญเส้นทาง ประมาท ร่วมกันเพื่อปรับเปลี่ยน มีส่วนร่วม มีความรู้ ความ ผู้ตายไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ทางโค้ง สภาพ พฤติกรรมการขับขี่ เข้าใจมากขึ้น มีการปรับ รถเก่า ฝนตกถนนลื่น 2. ตรวจและปรับปรุงสภาพ เปลี่ยนพฤติกรรมในการ รถ ขับขี่ รถจักรยานยนต์แฉลบล้มเอง - สร้างกระบวนการเรียนรู้ - ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน ขับรถไม่ชานาญ(หัดขับ)ขับรถเร็ว ไม่มี ร่วมกันเพื่อปรับเปลี่ยน มีส่วนร่วม มีความรู้ ความ ใบขับขี่ ไม่สวมหมวกนิรภัย ประมาท พฤติกรรมการขับขี่ เข้าใจมากขึ้น มีการปรับ พักผ่อนไม่เพียงพอ ทางโค้งมุ่งสู่ทางตรง เปลี่ยนพฤติกรรมในการ ถนนในหมู่บ้าน ขับขี่ รถบรรทุก 6 ล้อบรรทุกอุปกรณ์ก่อสร้าง 1. สร้างกระบวนการเรียนรู้ - ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน ตกเขา บรรทุกหนัก ขับรถเร็ว ไม่คาด ร่วมกันเพื่อปรับเปลี่ยน มีส่วนร่วม มีความรู้ ความ เข็มขัดนิรภัย ถนนแคบ ทางโค้งลงเขา พฤติกรรมการขับขี่ เข้าใจมากขึ้น มีการปรับ สภาพเบรคไม่สมบูรณ์ กลางคืน 2. ตรวจและปรับปรุง เปลี่ยนพฤติกรรมในการ ฝนตกถนนลื่น สภาพรถ ขับขี่


16

17

18

19

20

รถปิคอัพชนรถเก๋ง คู่กรณีประมาท ง่วงแล้วขับ (หลับใน) พักผ่อนไม่เพียงพอ ผู้เสียชีวิตไม่คาด เข็มขัดนิรภัย

- สร้างกระบวนการเรียนรู้ - ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน ร่วมกันเพื่อปรับเปลี่ยน มีส่วนร่วม มีความรู้ ความ พฤติกรรมการขับขี่ เข้าใจมากขึ้น มีการปรับ เปลี่ยนพฤติกรรมในการ ขับขี่ รถบรรทุก 6 ล้อ บรรทุกวัวเสียหลักพลิก 1. สร้างกระบวนการเรียนรู้ 1. ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน คว่าลงข้างทางชนกับไหล่เขา ร่วมกันเพื่อปรับเปลี่ยน มีความรู้ ความเข้าใจมากขึ้น ดื่มสุรา ใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ ประมาท พฤติกรรมการขับขี่ มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ขับรถเร็ว ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ทางโค้งลง 2. พัฒนาระบบกู้ชีพกู้ภัย ในการขับขี่ เขาลาดชัน บรรทุกหนัก กลางคืน ฝนตก 2. มีการฝึกอบรมทีมกู้ชีพ ถนนลื่น กู้ภัยทุกตาบล รถจักรยานยนต์แฉลบล้มเอง 1. สร้างกระบวนการเรียนรู้ 1. ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน ดื่มสุรา ไม่สวมหมวกนิรภัย ทางตรง ร่วมกันเพื่อปรับเปลี่ยน มีความรู้ ความเข้าใจมากขึ้น ถนนในหมู่บ้าน พฤติกรรมการขับขี่ มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม 2. พัฒนาระบบกู้ชีพกู้ภัย ในการขับขี่ 2. มีการฝึกอบรมทีมกู้ชีพ กู้ภัยทุกตาบล รถยนต์ชนรถจักรยานยนต์ - สร้างกระบวนการเรียนรู้ - ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน คู่กรณีขับรถเร็ว ไม่ชานาญเส้นทาง ขับรถ ร่วมกันเพื่อปรับเปลี่ยน มีส่วนร่วม มีความรู้ ความ ประมาททั้ง 2 ฝ่าย ผู้เสียชีวิตไม่สวมหมวก พฤติกรรมการขับขี่ เข้าใจมากขึ้น มีการปรับ นิรภัย ทางโค้งมุ่งสู่ทางตรง ถนนทาง เปลี่ยนพฤติกรรมในการ หลวงแผ่นดิน ขับขี่ รถจักรยานยนต์ชนรถจักรยานยนต์ 1. สร้างกระบวนการเรียนรู้ - ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน ฝ่าฝืนเครื่องหมายจราจร ดื่มสุรา ประมาท ไม่ร่วมกันเพื่อปรับเปลี่ยน มีส่วนร่วม มีความรู้ ความ สวมหมวกนิรภัย สภาพรถไม่ปลอดภัย พฤติกรรมการขับขี่ เข้าใจมากขึ้น มีการปรับ 2. ตรวจและปรับปรุงสภาพ เปลี่ยนพฤติกรรมในการ รถ ขับขี่


21

รถจักรยานยนต์ชนท้ายรถปิคอัพขณะ จอดอยู่ข้างถนน ขับรถเร็ว ประมาท ไม่สวมหมวกนิรภัย สวมหมวกแก๊ปบดบังทัศนวิสัย ร่างกาย ไม่พร้อม(เหนื่อยเพลีย)

- สร้างกระบวนการเรียนรู้ - ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน ร่วมกันเพื่อปรับเปลี่ยน มีส่วนร่วม มีความรู้ ความ พฤติกรรมการขับขี่ เข้าใจมากขึ้น มีการปรับ เปลี่ยนพฤติกรรมในการ ขับขี่

22

รถจักรยานยนต์ชนรถจักรยานยนต์ คู่กรณีดื่มสุราขี่รถ จยย.ข้ามเลนมาชน ผู้ตาย ทุกคนไม่สวมหมวกนิรภัย ถนนอยู่ ระหว่างก่อสร้างไม่มีเส้นแบ่งช่องทาง และไม่มีสัญญาณจราจร รถคู่กรณีสภาพ ไม่ปลอดภัย และไม่เปิดไฟหน้า กลางคืน ไม่มีไฟฟ้าส่องสว่าง รถเก๋งชนรถจักรยานยนต์ ขับรถตัดหน้ากระชั้นชิด ประมาท ไม่สวมหมวกนิรภัย

1. สร้างกระบวนการเรียนรู้ ร่วมกันเพื่อปรับเปลี่ยน พฤติกรรมการขับขี่ 2. ตรวจและปรับปรุงสภาพ รถ 3. พัฒนาระบบกู้ชีพกู้ภัย

23

24

รถยนต์ชนต้นไม้ ดื่มสุรา ขับรถเร็ว ประมาท พักผ่อน ไม่เพียงพอ ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย

1. ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน มีความรู้ ความเข้าใจมากขึ้น มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ในการขับขี่ 2. มีการฝึกอบรมทีมกู้ชีพ กู้ภัยทุกตาบล

- สร้างกระบวนการเรียนรู้ - ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน ร่วมกันเพื่อปรับเปลี่ยน มีความรู้ความเข้าใจ ในการ พฤติกรรมการขับขี่ ขับรถข้ามถนนโดยไม่ได้ มองรถที่วิ่งตามมาด้านหลัง ทาให้เกิดอุบัติเหตุและ เสียชีวิต - สร้างกระบวนการเรียนรู้ - ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน มีความรู้ความเข้าใจ และ ร่วมกันเพื่อปรับเปลี่ยน ทราบปัญหาการดื่มสุราแล้ว พฤติกรรมการขับขี่ ขับรถแล้วทาให้เกิดอุบัติเหตุ มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ในการขับขี่


25

รถจักรยานยนต์ชนรถจักรยานยนต์ ทั้ง 2 ฝ่ายขับประมาท ไม่สวมหมวกนิรภัย ผู้ตายขับรถเร็ว ทางโค้ง สะพานไม่รับ โค้ง(อยู่ในโค้ง) สภาพรถคู่กรณีไม่ ปลอดภัยไม่มีกระจกส่องหลัง

1. สร้างกระบวนการเรียนรู้ ร่วมกันเพื่อปรับเปลี่ยน พฤติกรรมการขับขี่ 2. ตรวจและปรับปรุงสภาพ รถ 3. พัฒนาระบบกู้ชีพกู้ภัย

1. ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน มีความรู้ ความเข้าใจในการ ใช้รถใช้ถนนมากขึ้น มีการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ในการขับขี่ 2. อบต.จัดให้ทีมกู้ชีพกู้ภัย อยู่เวรยามตลอด 24 ซม.

26

รถจักรยานยนต์ชนรถจักรยานยนต์ ผู้ตายดื่มสุรา ขับรถเร็ว ไม่มีใบขับขี่ ไม่สวมหมวกนิรภัย อายุมาก มีโรค ประจาตัว ไม่สวมเสื้อ

1. สร้างกระบวนการเรียนรู้ 1. ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน มีความรู้ ความเข้าใจในการ ร่วมกันเพื่อปรับเปลี่ยน ใช้รถใช้ถนนมากขึ้น มีการ พฤติกรรมการขับขี่ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม 2. พัฒนาระบบกู้ชีพกู้ภัย ในการขับขี่ 2. อบต.จัดให้ทีมกู้ชีพกู้ภัย อยู่เวรยามตลอด 24 ซม.

27

รถยนต์ชนรถจักรยานยนต์ ผู้ตายขับรถไม่ชานาญ อายุมาก มีโรค ประจาตัวไม่สวมหมวกนิรภัย ตัดหน้า กระชั้นชิด คู่กรณีขับรถเร็ว ประมาท ถนนอยู่ระหว่างก่อสร้าง ไม่มีเส้นแบ่ง ช่องทาง และ ไม่มีสัญญาณจราจร เขต ชุมชนกลางคืนไม่มีไฟฟ้าส่องสว่าง

1. สร้างกระบวนการเรียนรู้ - ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน มีส่วนร่วม มีความรู้ ความ ร่วมกันเพื่อปรับเปลี่ยน เข้าใจมากขึ้น มีการปรับ พฤติกรรมการขับขี่ เปลี่ยนพฤติกรรมในการ 2. พัฒนาระบบกู้ชีพกู้ภัย ขับขี่

4. ผลที่เกิดจากการนาเสนอกรณีอุบัติเหตุ 4.1 กลไกการแก้ไข 1. หน่วยงานเจ้าของพื้นที่ ได้ดาเนินการปรับปรุงแก้ไขปัญหาจุดเสี่ยง โดยในระยะแรกได้ นาป้ายเตือนไปติดตามจุดเสี่ยงต่าง ๆ 2. จุดที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง หน่วยงานเจ้าของโครงการได้มีการปรับปรุงถนน ตีเส้นแบ่ง ช่องจราจร ติดตั้งสัญญาณไฟกระพิบ ติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่าง


3. ผู้ว่าราชการจังหวัด ได้ให้ความสาคัญในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ได้ติดตามการ ปฏิบัติงานของคณะทางานอย่างต่อเนื่อง 4. ได้นาเสนอข้อมูลผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน ในการประชุมคณะกรรมการศูนย์ อานวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัด เพื่อให้รับทราบปัญหาที่เกิดขึ้นทุกเดือน 5. จากการนาเสนอข้อมูลผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนอย่างต่อเนื่อง ทาให้เกิดการสั่งการ ให้มีการปรับจุดเสี่ยงตามพื้นที่ต่าง ๆ ตลอดจนการเข้มงวดการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด อย่างเช่น เน้นการสวมหมวกนิรภัยในการขับขี่รถจักรยานยนต์เป็นต้น 6. มีการฝึกอบรมให้ความรู้เรื่องกฎหมายจราจร การขับรถยนต์และรถจักรยานยนต์อย่าง ปลอดภัย และมีการมอบรางวัลหมวกนิรภัยให้แก่ผู้เข้ารับการฝึกอบรมที่สามารถตอบคาถามได้อย่างถูกต้อง เพื่อเป็นการปลูกฝังความรู้ความเข้าใจในด้านความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน เป็นการ สร้างกระบวนการ เรียนรู้ร่วมกันเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่อย่างปลอดภัย 4.2 โครงสร้างการทางาน ในการทางานด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนน มีหลายหน่วยงานที่มี แผนงาน/โครงการในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน แต่เป็นแผนงาน/โครงการที่จะต้องปฏิบัติตาม ภารกิจหน้าที่ แต่ละหน่วยงานต่างก็ดาเนินงานตามแผนของตนเอง โดยขาดการเชื่อมโยงเครือข่ายกับ หน่วยงานอื่นที่มีแผนงานลักษณะเดียวกัน ทาให้เสียเวลา และงบประมาณในการดาเนินการเป็นจานวนมาก เกิดความซ้าซ้อนในการดาเนินงาน ปัจจุบันได้มีการทางานร่วมกันมากขึ้น ทาให้เกิดความคล่องตัวในการทางาน โดยการแต่งตั้ง เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ด้านการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนของ แต่ละหน่วยงาน เข้ามามีส่วนร่วมและ มีการบูรณาการ ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในระดับจังหวัด ร่วมกัน มีการประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และความคิดเห็นร่วมกันอย่างต่อเนื่อง เป็นการผลักดันให้การดาเนินงานด้านการป้องกันและลดอุบัติเหตุ ทางถนนดาเนินไปด้วยความเรียบร้อย ทาให้ทราบปัญหา สาเหตุและปัจจัยของการ เกิดอุบัติเหตุอย่างแท้จริง สามารถ นาข้อมูลที่ได้จากการจัดเก็บ ร่วมกัน มาศึกษาวิเคราะห์สรุปโดยนาเสนอสภาพปัญหาและ ข้อเสนอแนะให้ผู้บริหารศูนย์อานวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดทราบ เพื่อพิจารณานาข้อมูลไปใช้ ในการกาหนดมาตรการแนวทางในการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุจราจรของจังหวัดอย่างเป็นระบบ และมี ประสิทธิภาพอย่างยั่งยืนตลอดไป


บทที่ 5 ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะต่อส่วนกลาง 1. ควรจัดให้มีการรณรงค์ให้ความรู้อย่างเข้มข้นและต่อเนื่องในระดับพื้นที่อาเภอและตาบล 2. มีการสร้ างกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการขับขี่ยวดยาน พาหนะที่ปลอดภัย 3. ดาเนินงานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดวัฒนธรรมความปลอดภัยอย่างยั่งยืน 4. ให้มีการจัดทาแผนป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนระดับจังหวัด อาเภอ และ ตาบลให้ตรงตามสภาพปัญหาในพื้นที่ 5. ตั้งทีมพัฒนาระบบข้อมูลอุบัติเหตุจรจรทางถนนระดับอาเภอ และระดับตาบล เพื่อขับเคลื่อนไปพร้อมกับทีมงานระดับจังหวัด 6. กระจายการดาเนินงานตามมาตรการเข้มข้นโดยสรรหาคณะทางานระดับอาเภอ/ตาบล 7. ทาข้อตกลงและกาหนดนโยบายเชิงปฏิบัติระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง 8. สนับสนุนวิชาการ และงบประมาณดาเนินงานให้ทีมงานในพื้นที่(จังหวัด) 9. จัดเวทีนาเสนอผลงานระดับภาค / ระดับชาติ 2. ข้อเสนอแนะต่อท้องถิ่น 1. ผลักดันให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสนับสนุนงบประมาณดาเนินการอย่างต่อเนื่อง 2. สัมมนาให้ความรู้แก่ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในบทบาทหน้าที่และภารกิจ ด้านการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน 3. บูรณาการกาลังเจ้าหน้าที่อาสาสมัครจากหน่วยงานในพื้นที่โดยมีองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นเป็นเจ้าภาพ 4. ให้ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องมีการผลักดัน เพื่อมุ่งหวังให้เกิดการ ดาเนินการแก้ไขปัญหาจุดเสี่ยง จุดอันตรายในพื้นที่ กระตุ้นให้มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการขับขี่ 5. สร้างกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่ในชุมชน 6. กาหนดพื้นที่นาร่องในการดาเนินการขับขี่ปลอดภัยสร้างวินัยจราจร เพื่อนาไปสู่การ สร้างพื้นที่ต้นแบบ ในการจัดเก็บข้อมูล อุบัติเหตุ สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุ การจัดการความเสี่ยงอุบัติเหตุ จราจรในพื้นที่ชุมชน 7. สร้างแกนนาในการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุในระดับอาเภอ และท้องถิ่นโดยการกระตุ้นให้ มีการกาหนดพื้นที่ต้นแบบ


9. เกิดกระบวนการบูรณาการทางานร่วมกันระหว่างชุมชนและองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นในการเข้ามามีส่วนร่วมแก้ไขปัญหา ด้วยนวัตกรรมและการเรียนรู้ของคนในชุมชน 10. จัดทาวาระตาบลให้ชัดเจนและสอดคล้องกับอาเภอ/จังหวัด 11. แต่งตั้งคณะทางานระดับตาบล(ทีมบูรณาการ) 12. ทาข้อตกลงและกาหนดนโยบายเชิงปฏิบัติระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ในระดับตาบลที่ เกี่ยวข้อง 13. กาหนดแผนปฏิบัติการตามวาระจังหวัด /อาเภอ/ตาบล 14. จัดระบบสนับสนุน(คน เงิน วัสดุ) ให้หน่วยงาน องค์กร หรือบุคคล ให้มีกิจกรรมตาม ยุทธศาสตร์ 5-6 E อย่างต่อเนื่อง และครอบคลุมทุกพื้นที่และกลุ่มเป้าหมาย 15. สารวจ วิเคราะห์ และจัดเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุ (6 E) พร้อมทั้งนาข้อมูลไปใช้ ประโยชน์ตามส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น จุดเสี่ยง กลุ่มเสี่ยง หรือพฤติกรรมเสี่ยง เป็นต้น 16. จัดระบบติดตาม และประเมินผลอย่างเป็นรูปธรรม ให้รางวัลกับความสาเร็จที่เกิดขึ้น 3. ข้อเสนอแนะต่อคณะทางาน 1. เจ้าหน้าที่ของแต่ละหน่วยงานที่เข้าร่วมเป็นคณะทางาน มีงานที่ต้องปฏิบัติหลากหลาย ทาให้การทางานไม่ต่อเนื่อง 2. ผู้ประสานงานระหว่างหน่วยงานจะต้องใช้ความอดทนสูง สุขุมเยือกเย็น พูดจาอ่อนน้อม และเป็นผู้ที่มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี 3. การทางานเป็นทีมที่เป็นอิสระต่อกัน จะต้องเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นในการทางาน รู้จัก แบ่งเวลาในการทางาน 4. การทางานด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนน จะต้องใช้เวลาในการ ปฏิบัติงาน และจะต้องออกปฏิบัติงานในพื้นที่ 5. การจัดเก็บข้อมูลจะต้องใช้ความอดทน มีเทคนิคในการพูด ตรงประเด็น และใช้เวลา อย่างประหยัด 6. ควรมีการประชุมบ่อยครั้ง เพื่อให้การดาเนินงานอย่างต่อเนื่องและสาฤทธิ์ผล


4. ข้อเสนอแนะต่อศูนย์อานวยการความปลอดภัยทางถนน 1. เพื่อให้การดาเนินงานด้านความปลอดภัยทางถนน เป็นไปอย่างต่อเนื่อง และสร้าง วัฒนธรรมความปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้รถใช้ถนน ศูนย์อานวยการความปลอดภัยทางถนนจะต้องให้การ สนับสนุนงบประมาณในการดาเนินงานอย่างต่อเนื่อง และให้การสนับสนุนด้านวัสดุอุปกรณ์ ตลอดจน เอกสารด้านวิชาการ และเอกสารเพื่อแจกจ่ายประชาสัมพันธ์ 2. ควรมีการบรรจุเป็นหลักสูตรการเรียนการสอนในสถานศึกษาทุกระดับอย่างต่อเนื่อง 5. สิ่งที่จะทาต่อไป 1. ผู้บริหาร ระดับ จังหวัด จะต้องให้ความสาคัญ มีความเข้าใจและ รับทราบมาตรการโดย อาศัยที่ประชุมระดับจังหวัดในการขับเคลื่อน 2. ผลักดันให้เกิดเป็นวาระจังหวัด สู่ระดับอาเภอและระดับตาบล 3. ให้ความรู้สร้างความ ตระหนัก สร้างกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันเพื่อปรับเปลี่ยน พฤติกรรมในการขับขี่ 4. ให้เจ้าหน้าที่ตารวจปฏิบัติหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่องและเคร่งครัด 5. ให้ความรู้แก่นักเรียน นักศึกษาในสถานศึกษาทุกระดับอย่างต่อเนื่อง 6. ผลักดันให้มีทีมอาสาสมัครกู้ชีพกู้ภัยทุกตาบล เพื่อเป็นการลดความสูญเสียด้านชีวิตและ ร่างกายจากการเกิดอุบัติเหตุ 7. ให้ทีมงานโครงการพัฒนาระบบข้อมูลอุบัติเหตุจราจรจังหวัด ทางานอย่างต่อเนื่อง เพื่อ เป็นการนาข้อมูลที่ได้มาใช้ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น จะทาให้ปัญหาอุบัติเหตุของจังหวัดน่าน ลดลงอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน 8. ให้หน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน สถานศึกษาต่างๆ กาหนดมาตรการด้านความ ปลอดภัยทางถนนสาหรับผู้ติดต่อประสานงาน และ ผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงาน เช่น กาหนดให้มีการสวม หมวกนิรภัยเข้าในหน่วยงาน หรือสถานศึกษาเป็นต้น 9. มีการขยายผลการดาเนินงานลงสู่พื้นที่ เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนมี จิตสานึกถึงความปลอดภัย ***********************


คณะทางาน 1. นายแพทย์พงษ์เทพ พงศ์วัชรไพบูลย์ รองผู้อานวยการโรงพยาบาลน่าน

ที่ปรึกษา

2. นายแพทย์วรพงษ์ สุจริตพงษ์พันธ์ นายแพทย์ชานาญการพิเศษ โรงพยาบาลน่าน 3. นายกันจน เตชนันท์ นักวิชาการสาธารณสุขชานาญการ สสจ.น่าน

ที่ปรึกษา

หัวหน้าคณะทางาน

4. นายศราวุธ ปวนธิ นักวิชาการขนส่งชานาญการ สานักงานขนส่งจังหวัดน่าน คณะทางาน 5. นายจีรพงษ์ เผือกโสภา เจ้าหน้าที่ขนส่งชานาญงาน สานักงานขนส่งจังหวัดน่าน คณะทางาน 6. นายกิตติ ศิริสาร รองผู้อานวยการแขวงการทางน่านที่ 1

คณะทางาน

7. นางกาญจนา โรจนศุภมิตร พยาบาลวิชาชีพชานาญการ โรงพยาบาลน่าน

คณะทางาน

8. นางนัชชา จงศิริฉัยกุล พยาบาลวิชาชีพชานาญการ โรงพยาบาลน่าน คณะทางาน 9. นายอุดม สุภาวงค์ นักส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นปฏิบัติการ ท้องถิ่น จ.น่าน คณะทางาน 10. นางชารี ชัยชนะ เจ้าพนักงานสาธารณสุขชานาญงาน สสจ.น่าน คณะ

ทางาน

11. นายนพดล คาครุฑ เจ้าพนักงานสถิติชานาญงาน แขวงการทางน่านที่ 1

คณะทางาน

12. นายอเนก สิทธิ ประธานเครือข่ายลดอุบัติเหตุจังหวัดน่าน

คณะ

ทางาน

13. นางสาวรัชนี แซ่ด่าน เจ้าพนักงานธุรการชานาญงาน แขวงการทางน่านที่ 2 คณะ 14. ด.ต.ผิน จักรสาน ผู้บังคับหมู่ ตารวจภูธรจังหวัดน่าน

ทางาน

คณะทางาน

15. จ.ส.ต.วรวุฒิ ทองประไพ ผู้บังคับหมู่ ตารวจภูธรจังหวัดน่าน คณะทางาน 16. นายวรพันธุ์ ชูมี นายช่างโยธาชานาญงาน สานักงานทางหลวงชนบทจังหวัดน่าน คณะทางาน 17. นายสนั่น ธรรมจักร นายช่างโยธาอาวุโส สานักงานทางหลวงชนบทจังหวัดน่าน คณะทางาน 18. นางปวีณา ยะใหม่วงศ์ พยาบาลวิชาชีพชานาญการ โรงพยาบาลน่าน

เลขานุการ

19. นายถนอม เขียวษา นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชานาญการ สนง.ปภ.น่าน ผู้ช่วยเลขานุการ


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.