Mission Photography Magazine

Page 1


JUST SAY HI ! ก่อนอื่นก็ต้องขอสวัสดีผู้ อ่านทุกคนที่กรุณาเลือกหยิบเลือก ซื้อนิตยสารของเรา ขอขอบคุณ อย่างมากๆสำ�หรับการสนับสนุน ค่ะ นิตยสารของเราเพิ่งก่อตุ้งขึ้นมา ใหม่ ถ้าจะเปรียบเทียบ ก็คงเปรียบ เหมือนเด็กตัวเล็กๆที่พึ่งลืมตาดู โลก พึ่งหัดคลาน หัดเดิน อาจ จะยังคลานไม่ค่อยเป็น ยังเดินไม่ ค่อยได้ แต่แน่นอนว่าทุกอย่างจะ ต้องมีพัฒนาการ เราจะพยายาม สร้างสรรค์ผลงานที่ดีขึ้นต่อๆไป เรื่อยๆค่ะ ติดตามการเจริญเติบโต พวกเรา และก็โตไปพร้อมๆกันนะค่ะ

U

ในเล่มนี้ทุกท่านจะได้พบกับ เรื่องราวดีๆ สาระดีๆมากมาย ไม่ว่า จะเป็น วิธีการดูแลรักษากล้องของ เราในฤดูฝน หรือ บทสัมภาษณ์ ของคุณอนุชัย รอดเจริญพู่ทอง ช่างภาพไทยที่ดังไกลระดับโลก แถม ยังได้เรียนรู้วิธีการถ่ายภาพสไตล์ ต่างๆอีกมากมาย ขอให้ทุกท่านสนุก กับนิตยสารของเราค่ะ ;)

2


mission

Photography SOCIETY

FAT AWARD 2010 18-09-2011 FAT Radio

LIFE ON SET 3-o9-54 BAAC Ananda Averlingham

3


KEEPING CAMERA IN RAINY ช่วงนี้ก็เป็นช่วงหน้าฝน ช่วงมรสุม ฝนตกเกือบทุกวัน สภาพอากาศชื้นๆแฉะๆ ซึ่งไม่ดีเอาเสียเลย เพราะ ว่า มันจะส่งผลเสียของกล้องสุดที่รักเราน่ะสิ วันนี้พี่จะมาบอกถึงวิธีเก็บรักษากล้องสุดที่รักของเราไม่ให้เกิดการ งอแง เสีย ราขึ้น ช๊อต!! กัน

เก็บกล้องไว้ที่ที่มีอากาศถ่ายเท ถ้าพูดถึงสิ่งที่กล้องกลัวมากที่สุด คือเจ้าเชื้อราครับ ที่สามารถเจริญงอกงาม ได้ดี ยิ่งอากาศที่นิ่งๆ ไม่ถ่ายเท ความชื้น สูง เช่นตู้เสื้อผ้า ในตู้ไม้ สิ่งเหล่านี้คือจุดที่ จะทำ�ให้เกิดเชื้อราได้ง่ายๆเลย ดังนั้นถ้าไม่ ต้องการให้เชื้อรามาเยือน ก็ควรหาที่เก็บ อุปกรณ์เหล่านี้ไว้ที่ที่มีอากาศถ่ายเทได้ สะดวก ไม่ใช่เก็บกล้องไว้ในกระเป๋า กล้องตลอดเวลา นำ�ออกมาวางรับ อากาศบ้าง

1

4


2

ใส่ซิลิกาเจลเพื่อช่วยดูดความชื้น

ซิลิกาเจลคือสารดูดความชื้น ประเภทหนึ่งที่นิยมใช้ในการรักษา สภาพของสิ่งต่างๆไม่ให้เกิดความชื้น โดยที่โดยทั่วไปจะใช้ประเภทที่มี สีน้ำ�เงิน ซึ่งเมื่อดูดซับความชื้นแล้วจะ เปลี่ยนสีเป้นสีชมพู และสามารถนำ�ไป ใช้ใหม่ได้โดยการนำ�ไปผ่านความร้อน เผื่อไล่ความชื้นออก

ทำ�ความสะอาดกล้อง

4

เก็บกล้องในกล่อง/ถุง/ตู้ดูดความชื้น

3

หลังจากนำ�กล้องไปใช้งาน แล้ว ควรที่จะทำ�ความสะอาดทุกครั้ง ก่อนที่จะเก็บในกระเป๋ากล้องหรือตู้ เก็บความชื้น เพราะการที่มีสิ่งสรปรก ค้างอยุ่อาจจะทำ�ให้กล้องนั้นเกิดรอย สนิมหรือตำ�หนิได้

กรณีงบน้อยสามารถหาซื้อกล่อง หรือถุงดูดความชื้นได้ตามห้างสรรพสินค้า โซนเครื่องใช้ในครัวก็ได้ครับ สามารถใช้ แทนตู้ดูความชื้นได้ วิธีใช้ก็เก็บกล้องใน กล่อง/ถุงดูดความชื้นพร้อมกับซิลิก้าเจล

ันฝน

หากระเป๋าที่ออกแบบมาให้มีตัวก

5

สำ�หรับกระเป๋ากล้อง มีอยู่หลาย ยี่ห้อครับที่ผลิตออกมามีคุณภาพดี และ สามารถกันน้ำ�ได้ครับ บางรุ่นจะใช้ตัวผ้าที่ สามารถกันน้ำ�ได้ระดับหนึ่งเลยครับ เช่นน้ำ� หกใส่ น้ำ�กระเด็น ในส่วนบางรุ่นจะออกแบบ มาเป็นผ้าร่มพับเก็บไว้ในตัว สามารถนำ� ออกมาห่มปิดตัวกระเป๋าได้ทั้งใบเลยครับ สำ�หรับเรื่องกระเป๋าอย่ามองข้ามเลยนะครับ

5

หวังว่าทุกคน จะนำ�วิธีการเก็บ รักษากล้องสุดที่รักให้รอดพ้นจากอาการ งอแงที่จะมากับฤดูฝนมาใช้กันนะครับ เพราะกล้องถือเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของ ร่างกายช่างภาพ หากขาดไปแล้วคงนอน ไม่หลับกันนะครับ แล้วพบกับเรื่องราวดีๆเกี่ยวกับ กล้องถ่ายรูปได้ใหม่ ในฉบับหน้าครับ.


พูดถึง “การถ่ายภาพ” คงเรียกได้ไม่ผิดว่าเป็นหนึ่งในการทำ�งานศิลปะที่ใกล้ตัวคนทั่วไปที่สุดแขนงหนึ่ง แต่ในบรรดาคนมากมายที่ถ่ายภาพเป็นงานอดิเรก กับอีกไม่น้อยที่ มองการถ่ายภาพเป็นเรื่องจริงจังอย่างนักศึกษาถ่ายภาพไปจนถึงช่างภาพอาชีพ กลับมีไม่กี่คนที่สามารถ “สร้างเนื้อสร้างตัว” และ “สร้างชื่อสร้างเสียง” จากอาชีพ “คนสร้างภาพ” การเดินทางในโลกหลังเลนส์ของ อนุชัย ศรีจรูญพู่ทอง เป็นกรณีที่น่าสนใจกับการพากเพียรจนประสบความสำ�เร็จในอาชีพนักถ่ายภาพแบบ All-in-One ไม่ว่าจะเป็นในฐานะนักถ่าย ภาพโฆษณาระดับโลก ไปจนถึงการยอมรับในฐานะ “ศิลปินร่วมสมัย” ที่ใช้ภาพถ่ายสื่อสะท้อนความคิดและมุมมองส่วนตัวได้อย่างมีเอกลักษณ์​์

เริ่มต้นถ่ายรูปได้อย่างไร ย้อนไปสัก 18 ปี ตอนนั้นเรียนศิลปะเอกภาพพิมพ์ ก็ต้องเรียนถ่ายรูป เป็นวิชาโท พอจบมาแรกๆ ก็ทำ�หลายอย่าง เป็นอาร์ต ไดเรคเตอร์รายการ วิก 07 ทำ�หนังไทยกับอาจารย์บรรจง โกศัลยวัฒน์ ขายของอยู่สวนจตุจักร แล้วก็อยู่เอ เจนซี่ช่วงหนึ่ง ส่งงานแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ เหมือนอาร์ตติสทั่วไป มีรับเขียน แอร์บรัชอยู่ที่บ้าน ตอนนั้นคือใครให้ทำ�อะไรที่เกี่ยวกับศิลปะทำ�หมด ทีนี้พี่ตู่-นฤมิตร สุวรรณบุตร ชวนมาทำ�กราฟฟิคที่บริษัทยูนิอิมเมจ ก็ ไปเป็นคนทำ�อาร์ต เวิร์ค เขียนเลย์เอาท์ ทำ�หัวจดหมาย โลโก้ ก็ทำ�ไป แล้วพอดีคุณ ลัดดา ศรีสมวงศ์ ลูกคุณสมภพ ศรีสมวงศ์ มีบริษัทขายตรง มาเจอกันก็เรียก เรามาทำ�งาน คุณลัดดาก็เลยซื้อกล้องมีเดียมฟอร์แมทให้เพื่อไว้ถ่ายสินค้าในบริษัท ตอนหลังออกจากที่นี่เจ้านายก็ยกกล้องให้ติดตัวไป พร้อมเครื่องวัดแสงอีกตัว มี แฟลชเล็กอีกตัว มาเปิดพีเอ็ม กราฟฟิค ทำ�กราฟฟิคดีไซน์ทั่วไป ก็เริ่มมีปัญหาว่า...อย่าง ออกแบบโบรชัวร์บ้านมันจะต้องมีแบบเปอร์สเปคตีฟ (Perspective) สมัยก่อนใช้ เขียนด้วยสีหมึก เสร็จแล้วต้องถ่ายก๊อปปี้ด้วยสไลด์เพื่อใช้ในการแยกสี ต้อง

ส่งไปก๊อปปี้ชิ้นหนึ่งประมาณ 300-500 บาท บางทีเรารับงานมาได้ไม่กี่ตังค์เจอ ค่าก๊อปปี้เป็นหมื่นก็ไม่ไหว ที่ออฟฟิศก็เลยซื้อกล้องตัวแรกคือฮอร์สแมน 4คูณ 5 มาถ่าย มีอแดปเตอร์สำ�หรับฟิล์ม 120 มม. ซื้อไฟยี่ห้อแฮนเซล มีหนังสือ The Studio เป็นไบเบิลในการเรียนกล้อง 4 คูณ 5 ก็เรียนรู้จากตรงนี้เป็นหลัก เรื่อง ไลท์ติ้งก็เริ่มเรียนรู้ไป ก็เริ่มมีโปรดักต์เข้ามาถ่าย เริ่มส่งให้เอเจนซี่ดู เริ่มถ่ายรูปแรกๆ เสียงตอบรับเป็นอย่างไร ปรากฎว่าการตอบรับ...เลวมาก ไม่มีใครเรียกใช้เราเลย เรื่องแปลกยุค นั้นคือเอเจนซี่จะทำ�งานกับสตูดิโอใหญ่ๆ ที่มีอยู่แค่ 5-6 เจ้า ตอนหลังแอดที่เรา ถ่ายลงไทยรัฐก็ตัดเก็บไว้ เอาไปโชว์เป็นงานจริง ก็เริ่มได้รับการยอมรับ มาเจอช่วงพฤษภาทมิฬ เจอปัญหาการเมืองกันช่วงนั้น ออฟฟิศก็มีปัญหางาน โดนแคนเซิลหมด พอเปิดมาอีกทีเลยคิดว่าไม่ทำ�กราฟฟิคแล้ว ยุคนั้น “รีทัช” (การ ตกแต่งภาพให้ได้องค์ประกอบตามต้องการ โดยเฉพาะภาพที่เป็นไปไม่ได้ในความ จริง เช่น ทำ�ให้ดูเหมือนคนกำ�ลังบิน ฯลฯ) กำ�ลังมา จำ�ได้ว่ามีบริษัทแลนด์แอนด์ เฮาส์ละมั๊ง ไปจ้างงานที่เมืองนอกบริษัทเซนโทร งานบ้านชิ้นหนึ่งตก 4-5 แสนบาท ตรงนี้มันก็เหมือนขนมหวานล่อเรา เลยคิดว่าจะทำ�รีทัชอย่างเดียว ส่วนงานถ่าย รูปตอนนั้นต้องเก็บกล้องเลยเพราะไม่มีลูกค้า เริ่มเข้าสู่การประกวด ตอนหลังมารู้ว่ามีรางวัล “B.A.D. Award” ก็ส่ง ก็ปรากฎว่าได้มา เป็นรางวัลแรก ผมเนี่ยเป็นคนบ้ารางวัลพอสมควร เพราะเชื่อว่ารางวัลสามารถ เปลี่ยนแปลงคนได้ เหมือนสมัยเรียนการได้ติดบอร์ด การได้ที่ 1 ของโรงเรียนมัน พิเศษนะ ทำ�ให้ชีวิตของเรามันเปลี่ยนไปในทางบวก มันไม่ได้ตอบโจทย์ทั้งหมดแต่ เป็นการเริ่มต้นที่ทำ�ให้บางอย่างเริ่มเปลี่ยนในชีวิตเรา ชีวิตมันเปลี่ยนแปลงได้โดยผล งาน พอได้ “B.A.D. Award” ชีวิตก็เปลี่ยน คนก็พุ่งเข้ามาหาเรา คนก็มองว่าไอ้นี่ มันเก่ง อยากให้มันทำ�

6


Photographer

talk

Anuchai Secharunputong

7

เริ่มจะ “โก อินเตอร์” แล้ว ก็มีส่งงานไปประกวดที่เมืองคานส์ ฝรั่งเศส (Cannes International Advertising Festival) ก็ด้วยความ อยากรู้อยากเห็นนะ ปีแรกก็ไปแบบอ่อนด้อยปัญญา ภาษา อังกฤษก็ไม่เก่ง ไปก็แพงค่าเครื่องบินก็ 3-4 หมื่น ค่าโรงแรม 2 หมื่น ค่าเข้างาน 8 หมื่นบาท มีบูธ มีสัมนา มีไดเรกเตอร์ ครีเอทีฟ ระดับโลกมา ไปก็ไปยืนดูรูปติดบอร์ด เมื่อก่อนยังไม่ เข้าใจเรื่องไอเดีย เห็นทุกอย่างสวยหมด โห...ทำ�ได้ไงวะ คนเหาะ ได้ ทำ�รถทะลุกำ�แพง โอ้โห ชอบ แต่ปรากฎว่างานพวกนี้ตกรอบ หมด ไปเจออยู่งานหนึ่งเป็นโปสเตอร์ ก็จะเขียนว่า ตูริน... เบอร์ลิน...ลอนดอน...จาการ์ตา...เป็นชื่อเมืองทั้งหมดเลยนะไล่มา ตามทวีป จนมาถึงสุดท้ายเป็นรูปรองเท้าไนกี้โทรมๆ แล้วเขียน ว่า “Nike Run” เราก็งง...มันได้เหรียญทองได้ไงวะ โฟโต้ก็ไม่ได้ สวย เลย์เอาท์ก็เรียบๆ ง่ายๆ ตอนหลังมีพี่คนหนึ่งมาอธิบาย ว่า เนี่ยมันเป็นงานไอเดีย มันจะบอกว่ารองเท้ามันเนี่ยวิ่งมาทั่ว โลกแล้ว แล้วมันก็ยังไม่ขาดนะ เราก็ถึงอ๋อ...งานครีเอทีฟมันเป็น อย่างนี้นี่เอง เมื่อก่อนเราไปติดกับรูปแบบว่า ต้องรูปสวย รูป ลึกล้ำ� รูปทำ�ยาก ทีนี้มีบางประเทศก็เริ่มฉลาด ทำ�เป็น Book อย่าง Brazil Book, Argentina Book รวบรวมเอเจนซี่ทั้งประเทศที่ เคยได้รางวัลในย่านลาติน เพื่อเป็นข้อมูลให้กรรมการดูว่า เออ เคยได้รางวัลโน้นนี้ มันก็ดูหล่อขึ้นมา เราก็คิดเล่นๆ ว่าน่าทำ� Thai Book นะ ก็เริ่มพิมพ์โบรชัวร์ว่าเราส่งงานไปกี่ชิ้นและน่า จะมีชิ้นไหนบ้างที่ติดรางวัล ก็ไปยืนแจกหน้าคานส์ ปรากฎว่าได้ ผล ไปเข้าตาหนังสือเมืองนอก ก็เริ่มมีคนมาสัมภาษณ์ จนเรา ได้รางวัล Shot List หลายๆ ที ก็เริ่มคิดว่าจะทำ�ยังไงให้คนรู้จัก ก็จะอยู่แถวบอร์ดงานเราเนี่ยละ ใครมาก็เข้าไปคุย แนะนำ�ตัวว่าเ

มันเหมือนต้นไม้...ต้องหาให้เจอว่าตัว เราคือต้นอะไร ถ้าเราเป็นต้นแอปเปิ้ล แต่มาอยู่กลางกรุงเทพฯ มันไม่ ออกดอกออกผล แต่ถ้ารู้ว่าเราคือต้น แอปเปิ้ล เราอยู่ตรงนี้ไม่ได้หรอกต้อง ไปหาอากาศเย็น ออกจากกรุงเทพฯ ไปอยู่เชียงใหม่ ไปถึงก็หาต่อไปอีกว่า เราจะไปอยู่ตีนดอยหรือยอดดอยถึง จะเหมาะกับพันธุ์ของเรา มันอาจจะออกผลมากบ้างน้อยบ้าง แต่ดีกว่าอยู่ที่เดิมแน่นอน ...

พอได้รางวัลในประเทศ เราก็ไม่เคยรู้เรื่องว่า อ๋อ มัน มีเทศกาลในต่างประเทศด้วยนะ มีงานโน้นงานนี้เยอะแยะไปหมด งานชิ้นที่เราได้รางวัลในเมืองไทยเนี่ย อาร์ต ไดเรคเตอร์ เขาก็ ส่งไปประกวดเมืองนอก...ก็ได้รางวัลอีก ได้รางวัลจากสนามหนึ่ง แล้วก็ไปวนไปได้รางวัลอื่นอีก


ในระบบที่เราอยู่อะไรที่มันคล้ายๆกัน มันจะไม่ประสบความสำ�เร็จ แต่ถ้ามันแปลก โดดเด่น ไม่เหมือนคนอื่นเนี่ยจะดี


ในที่สุดก็มาคว้าตำ�แหน่งช่างภาพอันดับหนึ่งของโลก พอได้รางวัลมากๆ ก็เริ่มมีการจัดอันดับ (Ranking) คือ Archive Magazine เขาจะจัดอันดับช่างภาพจากรางวัลที่ได้รับ ก็มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ได้เป็นที่ หนึ่งคู่กับนาดาฟ เคเดอร์ ซึ่งเป็น Top Photographer in the World ในแง่ ภาพถ่าย Advertising นะ ถ้าดูคะแนนตอนนี้ก็รู้สึกว่ายังเป็นที่หนึ่งของเมืองไทย อยู่นะ ขณะที่ทำ�งานทุกชิ้น เรามองว่าทุกงานเป็นโอกาส เราใส่เกินร้อยในชิ้น งานนั้น แล้วชีวิตมันก็สอนเราว่าถ้าเราทำ�ดีที่สุดในงานของเราแล้ว เดี๋ยวระบบของ สังคมมันจะจัดการให้เราเอง เดี๋ยวจะมีคนเชิญไปอยู่ตรงนั้นตรงนี้เอง จากภาพถ่ายโฆษณา หันมาสู่การถ่ายภาพเชิงศิลปะได้อย่างไร ขณะที่เราถ่ายรูปโฆษณาอยู่เนี่ย เราก็ยังถ่ายรูป Fine Art บ้าง ไป ถ่ายขาวดำ�กับคุณสุรัตน์ โอสถานุเคราะห์เมื่อสัก 14 ปีที่แล้ว แต่ก็ยังไม่คิดจัด นิทรรศการ คิดว่ายังไม่เก่งพอ มีคนชวนแสดงก็ส่งไปร่วม 1-2 รูป เรื่อง Fine Art ตอนนั้นคิดว่ายังไม่ถึงเวลา เราอยากเอางานอาชีพให้มัน Excellent ก่อน จนพร้อมก็เลยคิดว่าจะแบ่งเวลามาทำ� Fine Art ตอนแรกคนก็จะบอกว่าอนุชัยมันรีทัชได้อย่างเดียวถ่ายรูปไม่เป็นเพราะ เราไม่ได้ประกาศตัวเป็น Photographer ช่วงหลังๆ ก็ประกาศตัวเป็น Photographer คนก็เอาอีก...ไอ้นี่มัน Advertising Photographer ไม่ใช่ Fine Art Photographer เราก็...แหม กูจะ Advertising Photographer หรือ Fine Art Photographer มันก็คือ Photography นั่นแหละ มันก็คืองานศิลปะชนิดหนึ่ง เพียงแต่บั้นปลายมันไปรับใช้ใครเท่านั้นเอง เราเป็นศิลปิน ปีๆ หนึ่งเราก็อยากมีนิทรรศการเดี่ยว ซึ่งมันอาจจะ ออกมาใช้ได้ หรือดีไปเลย หรือไม่ฆ่าตัวตาย ในระบบที่เราอยู่อะไรที่มันคล้ายๆ กัน มันจะไม่ประสบความสำ�เร็จ แต่ถ้ามันแปลก โดดเด่น ไม่เหมือนคนอื่นเนี่ยจะดี ก็ มาคิดว่าถ้าทำ�แบบเจออะไรก็ถ่ายแล้วมาใส่ชื่อว่าความเหงา ความเดียวดาย การ พักผ่อน อะไรเรื่อยเปื่อยมันจะต่างอะไรกับหนังสือฝรั่งที่เราซื้อมาดู มาถึงงานที่คนทั้งประเทศรู้จักอนุชัยในฐานะ “ศิลปินภาพถ่าย” คือ นิทรรศการ “ภาพเล่าเรื่อง พระเจ้าอยู่หัวในดวงใจ” ปลายปี 2550 มันมีคำ�ถามในชีวิตผมว่า คนไทยรักพระเจ้าอยู่หัวเนี่ยเรารู้ แต่เราไม่ ค่อยได้ยินออกจากปาก พอเราทำ�ชุดนี้เราไปสัมภาษณ์ มีคำ�พูดของเจ้าของบ้าน มาใส่ มีวิดีโอเข้ามา มันได้ความในใจของผู้คน พอคนมาดูนิทรรศการกลับบ้าน ไปดูซิ บ้านเรามีรูปในหลวง รูปนี้มีที่มาอย่างไร ก็เกิดความสัมพันธ์ระหว่างคนใน ครอบครัว ระหว่างคนบ้านใกล้เรือนเคียง เกิดปฏิกริยาเป็นลูกโซ่ อยากให้คนลุก ขึ้นมาพูดว่ารักในหลวงอย่างไร หลังจากนั้นก็มีนิทรรศการต่อๆ มาอีกหลายงาน อย่างงานชุด “หน้ากาก” หรืองานชุด “ความสอดคล้องของความจริง” ที่ใช้สแกนเนอร์ถ่ายแทน กล้อง มันก็ไม่ใหม่หรอก ที่ไปแสดงต่างประเทศได้เป็นเรื่องวิธีคิดมากกว่า ฝรั่งให้ ความสนใจเรื่องไอเดียมาก ทุกอย่างมันเคยมีคนทำ�มาหมดแล้วละ เพราะฉะนั้นมัน ต้องการอะไรที่แปลกใหม่ ต้องการอะไรที่มันเป็น Inspiration ให้คนในโลก

9

จนวันหนึ่งเราเริ่มมาคิดว่าแล้วช่างภาพที่ได้ที่ 1 ของโลกมันจะลอกใครวะ ช่างภาพระดับโลกทั้งหลายมันมี ความเป็นตัวเองมากเลย ไม่ได้ลอกใคร แล้วทำ�ไมเรา ยังลอกมันอยู่ ก็เลยเป็นว่าอนุชัย ทำ�อะไรต้องไม่เหมือนชาวบ้าน

เป็นช่างภาพโฆษณานะ เนี่ย...ได้รางวัลเยอะแยะไปหมด พอไปต่อเนื่องหลายๆ ครั้ง ก็เริ่มมีเครือข่าย ไปเจอคนที่เคยรู้จักจาก ปีก่อนๆ ก็จะแนะนำ�ต่อๆ กันไปนะ บางคนบอกเพื่อน...นี่อนุชัย Top Photographer in Thailand นะ...ก็เริ่มคอนเนกต์ไปเป็นลูกโซ่ แล้วพอตอนที่ได้รางวัล เหรียญทองก็ดังมาก เริ่มมีชื่อเสียงในแวดวงถ่ายภาพ

ในแง่ของการขายผลงาน เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในช่างภาพไทยที่ขายผลงาน ภาพถ่ายได้ราคาค่อนข้างสูง การขายงานแรกๆ เลยก็จะมีงานที่ถ่ายภาพชาวมอแกนช่วงสึนามิ แล้ว ในชุดเดียวกันก็มีไปประมูลที่คริสตี้ฮ่องกง งานชุดหน้ากากก็มีคุณบุญชัย เบญจ รงคกุลซื้อไป มีคนอื่นซื้อไป ชิ้นละแสนกว่าบาท สองแสน งานประมูลภาพเอาเงิน เข้ามหาวิทยาลัยศิลปากร งานดอกไม้ที่ใช้สแกนเนอร์ถ่ายแทนกล้องก็ขายไป 5-6 ชิ้น ชิ้นละ 50,000 บาท แล้วก็มีขายชิ้นเล็กๆ น้อยๆ เรื่อยๆ งานพระเจ้าอยู่หัวในดวงใจก็ขายไป 30 กว่าชิ้น ชิ้นละแสน ตอนนี้ก็ยัง มีคนซื้ออยู่เรื่อยๆ ก็กำ�ลังรวบรวมเงินตรงนี้เพื่อทูลเกล้าฯ ถวาย ประสบความสำ�เร็จ เพราะ”คิดต่าง” เมื่อก่อนตอนถ่ายโฆษณาจะถ่ายตาม Reference ที่ลูกค้าถือมา หยิบ นิตยสารมาให้ดูบอกอยากได้แบบนี้ เราก็อ่อนด้อยทางปัญญาคิดว่าการทำ�ให้ เหมือนฝรั่งได้คือเจ๋ง จนวันหนึ่งเราเริ่มมาคิดว่าแล้วช่างภาพที่ได้ที่ 1 ของโลกมัน จะลอกใครวะ ช่างภาพระดับโลกทั้งหลายมันมีความเป็นตัวเองมากเลย ไม่ได้ลอก ใคร แล้วทำ�ไมเรายังลอกมันอยู่ ก็เลยเป็นว่าอนุชัยทำ�อะไรต้องไม่เหมือนชาวบ้าน มันเหมือนต้นไม้...ต้องหาให้เจอว่าตัวเราคือต้นอะไร ถ้าเราเป็นต้น แอปเปิ้ลแต่มาอยู่กลางกรุงเทพฯ มันไม่ออกดอกออกผล แต่ถ้ารู้ว่าเราคือต้น แอปเปิ้ล เราอยู่ตรงนี้ไม่ได้หรอกต้องไปหาอากาศเย็น ออกจากกรุงเทพฯ ไปอยู่ เชียงใหม่ ไปถึงก็หาต่อไปอีกว่าเราจะไปอยู่ตีนดอยหรือยอดดอยถึงจะเหมาะกับ พันธุ์ของเรา มันอาจจะออกผลมากบ้างน้อยบ้าง...แต่ดีกว่าอยู่ที่เดิมแน่นอน


mission Photography

techniques

FA S H I O N

IN STUDIO TECHNIQUES

การถ่ายภาพในสตูดิโอแฟชั่นแบบมืออาชีพเขามีกระบวนการการทำ�งานในการถ่ายทำ�แฟชั่นในสตูดิโอกันยังไงบ้าง เนื่องด้วยผมได้มีโอกาสได้ทำ�งานชุดหนึ่งให้ห้องเสื้อที่ New York แห่งหนึ่งซึ่งเป็นการถ่ายแฟชั่นในสตูดิโอเพื่อใช้ในการโฆษณา จึงมีโอกาสเห็บเทคนิคดีๆมาแบ่งปันกัน

10


การทำ�งานของชุดนี้เริ่มต้นด้วย pre production ซึ่งเป็นการวางแผนการทำ�งาน ก่อนเริ่มถ่ายโดยการกำ�หนด concept และ theme ของงานชุดนี้ก่อน ซึ่งส่วนนี้ถือเป็น ส่วนที่สำ�คัญมากส่วนหนึ่ง เพราะเป็นการ ควบคุมการทำ�งานทั้งหมด ทั้งเรื่องค่าใช้ จ่าย เวลาในการถ่ายทำ� และอื่นๆ ถ้าเกิด มีการวางแผนในการทำ�งานที่ดีก็จะส่งผล ทำ�ให้เราสามารถทำ�งานได้รวดเร็วและมี ประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย ผลลัพธ์ของงาน ถ่ายภาพก็จะออกมาดีเช่นกัน กระบวนการของ pre production เริ่มต้นจากการสรุป concept ที่จะนำ�เสนอ และถ่ายทอดออกมาบนภาพถ่าย โดยการ ดูจากเสื้อผ้าที่จะนำ�เสนอโดยชุดนี้ค่อนข้าง จะเป็นในรูปแบบของเสื้อผ้าที่ทันสมัยนำ� แฟชั่น ดังนั้นแล้ว concept ที่นำ�เสนอของ ชุดนี้จะเป็น Trendy style เพราะว่าเสื้อผ้า ที่นำ�เสนอเป็นเสื้อผ้าที่มีความแปลกใหม่บน ความเรียบง่ายของเสื้อผ้า ซึ่งเสื้อผ้าแต่ละ ชุดก็มีจุดเด่นในตัวมันเองอยู่แล้ว ดังนั้นจึง เป็นส่วนที่ทำ�ให้เราสามารถถ่ายภาพออกมา ได้ง่ายขึ้น ส่วนต่อมาคือเรื่องของนางแบบ ที่จะนำ�เสนอเสื้อผ้า งานชุดนี้นำ�เสนอเฉพาะ เสื้อผ้าของผู้หญิงดังนั้นแล้วจึงใช้นางแบบ เพียงอย่างเดียว โดยมีการเลือกนางแบบ ที่มีสัดส่วนที่ดีและมีความเป็นสากล เช่น นั้นแล้วทางทีมงานจึงเลือกนางแบบซึ่งเป็น ผู้หญิงจากประเทศรัสเซียเพราะว่ารูปชุด นี้ต้องการจะนำ�เสนอความเป็นสากล และ เป็นห้องเสื้อที่ New York ด้วย รวมถึง นางแบบต่างประเทศจะมีสัดส่วนที่สูงโปร่ง และเหมาะสมแก่การนำ�เสนอของเสื้อผ้าชุด นี้มาก ๆ

11

การเลือกนางแบบนั้นถือเป็นสิ่งที่สำ�คัญอีก สิ่งหนึ่งเลยทีเดียว เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ทำ�ให้ช่าง ภาพอย่างเราๆ สามารถทำ�งานได้ง่ายขึ้น เพราะ นางแบบที่เป็นมืออาชีพนั้นจะมีความสามารถใน การนำ�เสนอเรื่องของเสื้อผ้ากับอารมณ์ได้ดี อีก ทั้งสามารถโพสท่าได้อย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว ทำ�ให้เราไม่เหนื่อยมากกับการทำ�งาน พอทุกอย่างลงตัวแล้วเราก็มากำ�หนดวันถ่าย ทำ� เพื่อนัดกับทางทีมช่างแต่งหน้า-ทำ�ผม รวม ถึง stylist ซึ่งทีมงานเหล่านี้ถือว่าสำ�คัญมาก เพราะพวกเขาคือคนที่เติมเต็มให้ภาพที่เราถ่าย นั้นออกมาสมบูรณ์ การแต่งหน้าทำ�ผมนั้นต้อง คำ�นึงถึงหน้าตาของนางแบบและชุดที่จะนำ�เสนอ ด้วยเพราะไม่เช่นนั้นแล้วอาจจะส่งผลให้ภาพถ่ายที่ เราถ่ายทอดออกดูไม่สมบูรณ์และขัดตาเป็นอย่าง มาก นี่คือสาเหตุที่ทำ�ให้ stylist ช่างแต่งหน้าทำ� ผมมีความสำ�คัญไม่แพ้ช่างภาพเหมือนกัน ต่อ มาคือส่วนของ production ซึ่งถือเป็นช่วงที่นับ ได้ว่าสำ�คัญที่สุดเพราะเป็นช่วงของการถ่ายทำ� เพราะงานจะออกมาดีหรือไม่ดีอยู่ที่ส่วนนี้เลย ในช่วงนี้เราจะต้องคำ�นึงถึงการวางแผนซึ่งเรา ทำ�เอาไว้ในส่วนของ pre production ให้มาก ที่สุด และควรจะต้องทำ�ตามในสิ่งที่เราวางแผน เอาไว้ให้ได้มากที่สุด

การเลือกนางแบบนั้นถือเป็นสิ่งที่สำ�คัญ อีกสิ่งหนึ่งเลยทีเดียว เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ ทำ�ให้ช่างภาพอย่างเราๆ สามารถทำ�งานได้ ง่ายขึ้น เพราะนางแบบที่เป็นมืออาชีพนั้น จะมีความสามารถในการนำ�เสนอเรื่องของ เสื้อผ้ากับอารมณ์ได้ดี อีกทั้งสามารถโพส ท่าได้อย่างต่อเนื่องและรวดเร็วทำ�ให้เราไม่ เหนื่อยมากกับการทำ�งาน พอทุกอย่างลงตัวแล้วเราก็มากำ�หนด วันถ่ายทำ� เพื่อนัดกับทางทีมช่างแต่งหน้าทำ�ผม รวมถึง stylist ซึ่งทีมงานเหล่านี้ ถือว่าสำ�คัญมาก เพราะพวกเขาคือคนที่ เติมเต็มให้ภาพที่เราถ่ายนั้นออกมาสมบูรณ์ การแต่งหน้าทำ�ผมนั้นต้องคำ�นึงถึงหน้าตา ของนางแบบและชุดที่จะนำ�เสนอด้วยเพราะ ไม่เช่นนั้นแล้วอาจจะส่งผลให้ภาพถ่ายที่เรา ถ่ายทอดออกดูไม่สมบูรณ์และขัดตาเป็น อย่างมาก นี่คือสาเหตุที่ทำ�ให้ stylist ช่าง แต่งหน้าทำ�ผมมีความสำ�คัญไม่แพ้ช่างภาพ เหมือนกัน ต่อมาคือส่วนของ production ซึ่งถือเป็นช่วงที่นับได้ว่าสำ�คัญที่สุดเพราะ เป็นช่วงของการถ่ายทำ� เพราะงานจะออก มาดีหรือไม่ดีอยู่ที่ส่วนนี้เลย ในช่วงนี้เราจะต้องคำ�นึงถึงการวางแผน ซึ่งเราทำ�เอาไว้ในส่วนของ pre production ให้มากที่สุด และควรจะต้องทำ�ตามใน สิ่งที่เราวางแผนเอาไว้ให้ได้มากที่สุด เพราะ ถ้าเราไม่สามารถทำ�ได้ตามที่เราวางแผนเอา ไว้แน่นอนที่สุดสิ่งต่างๆ ที่จะตามมาเลยก็ คือเรื่องของการเสียเวลา เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม มากขึ้นอีกด้วย การทำ�งานชุดนี้ผมถ่ายใน สตูดิโอและทางลูกค้ามีการหาภาพตัวอย่าง แฟชั่นที่ต้องการจะนำ�เสนอ ซึ่งผมว่าเป็นสิ่ง ที่ดีมากในการทำ�งาน เพราะมันทำ�ให้ทั้งช่าง ภาพและทางลูกค้าทำ�งานกันได้ง่ายขึ้นและ เข้าใจได้ตรงกัน ชุดนี้ผมแบ่งการถ่ายออก เป็นสองช่วง โดยจัดไฟใหม่สองครั้งเพื่อให้ ภาพที่ออกมาแตกต่างในเรื่องอารมณ์ของ แสงโดยใช้ไฟทั้งหมด 5 ดวง


set1

ชุดแรกที่ผมถ่ายคือนำ�เสนอออกมาในรูปแบบที่เน้นเรื่องของ เสื้อผ้า โดยการจัดไฟออกมาให้ค่อนข้างเคลียร์ และให้นำ�เสนอ เสื้อผ้าออกมาได้อย่างชัดเจน ซึ่งผมเองจัดไฟยิงที่ฉากสองดวง เพื่อให้ฉากสว่างและส่งผลทำ�ให้ตัวแบบลอยออกมาจากฉากได้ อย่างชัดเจน ใช้อีกดวงหนึ่งเพื่อสร้าง hair light บริเวณเส้นผม และอีกสองดวงสุดท้าย ใช้กับ soft box และใช้ยิงด้านข้างทั้ง สองฝั่งของตัวแบบเพื่อทำ�ให้ภาพเคลียร์และเห็นรายละเอียดให้มาก ที่สุด ส่วนชุดที่สองที่ผมถ่ายนั้นผมใช้ไฟเพียงแค่สองดวง เล่น กับshade and shadow มากขึ้นทำ�ให้ภาพดูมีมิติมากขึ้น ถ้าเกิด สังเกตจากการจัดไฟทั้งสองชุดจะทราบได้เลยว่าการจัดไฟนั้นส่ง ผลต่ออารมณ์ของภาพมากๆ เพราะภาพที่ถ่ายมาชุดแรกกับชุดที่ สองนั้นมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ชุดที่สองที่ผมถ่ายใช้ไฟดวงหนึ่งเพื่อสร้าง hair light และอีกดวงหนึ่งใส่ soft box ใช้เป็นคีย์ light ยิงที่ตัวของนาง แบบ สิ่งต่อมาในช่วงของการ production ที่เราจะต้องระลึกไว้ เสมอคือการนำ�เสนอเรื่องของเสื้อผ้าออกมาให้ได้ดีที่สุด สิ่งหนึ่ง ที่ช่วยส่งเสริมจุดนี้คืออารมณ์ของหน้าแบบที่นำ�เสนอออกมาบน ใบหน้าเพราะว่าการถ่ายภาพที่มีคนเข้ามาร่วมด้วยนั้นสิ่งที่จะสื่อ ถึงคนดูได้ก่อนเลยก็คืออารมณ์ของนางแบบ เพราะคนที่มาดูภาพ หรืองานของเรานั้นสิ่งแรกที่สื่อสารระหว่างคนดูกับภาพก็คือตัว ของนางแบบก่อนที่จะมาเป็นเสื้อผ้าดังนั้นแล้วถ้าเกิดนางแบบของ เราสามารถที่จะถ่ายทอดอารมณ์ออกมาบนใบหน้าได้ จะทำ�ให้คน ที่ดูภาพเข้าใจและเข้าถึงอารมณ์และสิ่งที่เราอยากจะนำ�เสนอบน ภาพถ่ายได้ง่ายขึ้น ซึ่งจุดนี้ก็ขึ้นอยู่กับนางแบบและช่างภาพว่าจะ สามารถทำ�ให้นางแบบนั้นดึงอารมณ์ออกมาได้มากแค่ไหน

set2 ส่วนสุดท้ายก็คือ Post production เป็น ส่วนที่เติมเต็มรูปมากที่สุด เพราะการ Finishing file ทําให้ภาพเหล่านั้นออกมาสมบูรณ์ที่สุด เพราะบางภาพเราไม่สามารถจะถ่ายได้ใน shot เดียวจะต้องอาศัยการถ่ายภาพหลาย shot แล้ว มารีทัชกันทีหลัง ในกระบวนการ process file นั้นมีหลายส่วนไม่ว่าจะเป็นการปรับอุณหภูมิของ แสง ความสว่าง contrast saturation ของสี ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำ�ตามใจของคนปรับไม่ได้ต้องดู ถึงเรื่องของconcept ด้วยเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ออก มาตรงตามที่วางเอาไว้

12


ส่วนต่อมาคือเรื่องของการรีทัช งานแฟชั่นส่วนใหญ่ ความสำ�คัญในการรีทัชอยู่ที่การปรับ proportion ของ ร่างกายและการลบริ้วรอยต่างๆ บนผิวและใบหน้าเป็น ส่วนใหญ่ การปรับ proportion ของร่างกายไม่ว่าจะเป็นการ ปรับลดต้นแขนต้นขา ปรับช่วงขาให้ยาวขึ้นและส่วนอื่นๆ ซึ่งปัจจุบันนี้มันไม่ใช่เรื่องยากเลยสำ�หรับการใช้ photo shop ในการทำ�เรื่องเหล่านี้แต่สิ่งที่ยากก็คือการปรับออก มาให้ถูก scale และทำ�ให้ภาพนั้นไม่หลอกตา ส่วนนี้เป็น ส่วนที่สำ�คัญมากในการปรับเลยทีเดียวก็ว่าได้ ข้อแนะนำ�ในจุดนี้คือการดูหนังสือเรื่องของสัดส่วนของ คนเยอะๆ ดูภาพเยอะๆ และต้องอย่าลืมที่จะฝึกฝนบ่อยๆ ด้วยนะครับ เพราะต่อให้เราดูเยอะแค่ไหนแต่ถ้าหากขาด การฝึกฝนมันก็ศูนย์เปล่าได้เช่นกัน ต่อมาคือการรีทัชใน ส่วนของใบหน้าของแบบ สิ่งเหล่านี้คงจะเป็นสิ่งที่ทุกๆ คน ถนัดอยู่แล้วแต่บางครั้งแล้วการถ่ายภาพแนวนี้ก็ต้องระวัง เช่นกัน เพราะว่าการที่เรารีทัชจนเนียนใส ไร้ริ้วรอยบาง ครั้งมันไม่เป็นผลดีเท่าไหร่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ Concept ของ งานและสิ่งที่จะนำ�เสนอเพราะการที่เรารีทัชให้มันไม่เนียน มากนักมันทําให้งานของเราดูจริงไม่หลอกตาจนเกินไป

ผมหวังว่าเรื่องนี้คงเป็นประโยชน์และช่วยไขข้อสงสัยให้ใครหลายๆ คนที่ อยากจะเข้ามาทำ�งานสายนี้หรือเรียนรู้เกี่ยวกับงานสายอาชีพได้ไม่มากก็น้อยนะครับ งานสายนี้เป็นอะไรที่ค่อนข้างจะละเอียดอ่อน และใช้ประสบการณ์ค่อนข้างจะสูง สิ่ง หนึ่งที่สามารถจะทำ�ให้เราเรียนรู้ได้เร็วมากขึ้นก็คือการดูนิตยาสารที่เกี่ยวกับการ ถ่ายแฟชั่นเยอะๆ เพราะงานที่ช่างภาพแต่ละคนนำ�เสนอนั้นก็มีความหลากหลายและ แตกต่างกันออกไป ดังนั้นถ้าเราลองวิเคราะห์จากงานที่ช่างภาพมืออาชีพเหล่านั้นได้ ถ่ายทอดออกมาก่อนถือเป็นการเรียนรู้ที่ดีและเร็วด้วยนะครับ

13


mission Photography

style

การถ่ายภาพขาวดำ�ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่เรารู้จักวิธีการเริ่มต้นที่ดีก็จะสามารถทำ�ให้ภาพถ่ายที่เราจะนำ�ไปทำ�เป็นภาพขาวดำ�ให้ออกมา สวยงามได้ง่ายขึ้น การเตรียมภาพที่ดี รู้จักมุมมอง รู้จักโทนในการถ่ายภาพ รู้จักขั้นตอนต่างๆ เท่านี้คุณก็จะได้ภาพขาวดำ�ไปอวดใครต่อใคร แล้ว วิธีการมีดังนี้

ถ่ายภาพด้วย RAW ? ให้ถ่ายภาพด้วย RAW ? อธิบายง่ายๆ ก็คือ ให้กล้องมันเก็บรายละเอียดเอามาให้หมดแบบไม่บีบอัด ไม่ เหมือนไฟล์ JPEG ที่ลดรายละเอียดลงเยอะเลย สังเกตกันง่ายๆ โดยไฟล์ raw ไฟล์จะใหญ่กว่า ฉะนั้น ตั้งค่าในกล้องให้เป็น RAW เต็มความจุของกล้องไปเลย ง่ายๆ แค่นี้ล่ะ

หาฟิลเตอร์ ND และ C-PL มาใส่ซะ รีบไปซื้อมาใส่เลย โดยเจ้าตัว ND นี้ จะได้ใช้เวลาเราถ่ายท้องฟ้ากับพื้นดินที่ค่าแสงมันต่างกันมาก แบบว่าเราถ่ายฟ้า พอดี เอ๊ะ ทำ�ไมพื้นดินมืด ถ่ายพื้นพอดี ฟ้าขาวอีก นั้นล่ะเอาไปใส่ซะ เพื่อให้มันลดค่าแสงให้ออกมาพอดี ทั้งท้องฟ้า และพื้นดินเลยง่ายมาก ส่วนฟิลเตอร์โพลาไรซ์ (Polarizer filter) หรือเรียกง่ายๆ ว่า PL แล้วกัน ใส่แล้วทำ�ให้ ท้องฟ้าเข็มขึ้น เวลาเราเอามาทำ�ขาวดำ�มันจะได้ค่าเปรียบต่างกันสวยเชียวล่ะ หรือใช้ถ่ายน้ำ�ตกให้มันพลิ้วๆ ไหวๆ อีกอย่างมันลดแสงด้วยก็ดูดิมันมืดขนาดนั้น

ตั้งค่า ISO ให้ต่ำ�ถึงต่ำ�ที่สุด ทำ�ไมต้องต่ำ� ก็เพราะเราจะเอาไปแต่งในโปรมแกรมแต่งภาพต่อไปไง และต้องให้กล้องเรา ถ่ายมาดีที่สุดแบบไม่เอา noise เพราะ noise หรือเกรนในสมัยฟิล์ม ทำ�ใน PS สวยกว่า หลากหลายกว่าด้วย เพราะฉะนั้นอย่าลืมขาตั้งนะจะบอกให้เพื่อความคมชัด

ระวังเวลาถ่ายภาพที่สภาพแสงแตกต่างกันเยอะ เราก็ทราบกันดีแล้ว ว่ากล้องดิจิตอลพอขาวหน่อยจะขาวหมดราย ละเอียด แบบเนี่ยไม่ดี เราต้องระวัง ถ้าเราจะถ่ายลองหัดวัดแสง โดยใช้ ระบบวัดแสงแบบเฉพาะจุด หรือเฉพาะส่วนไปเลย ที่นี้เราก็เอาหลักวัด แสงโทนสว่างโทนมืดมาปรับ ง่ายๆ ถ้าถ่ายแล้วโทนสว่างก็ปรับชดเชยไป ทางบวกสัก ? หรือ 1 stop หรือกลับกันถ้ามันโทนมืด เราก็ชดเชยไป ทางลบสัก ครึ่ง ถึง 1 stop เช่นกัน แต่จะเท่าไรลองมองในจอ lcd ดู ฝึกหลายครั้ง ครั้งต่อไปนึกแล้วชดเชยตามได้เลยเชียว

ตั้งค่าไวท์บาลานซ์ให้ถูก ถ้าตอนแรกเราถ่ายเป็น RAW ไม่ต้องกลัว เรามาปรับภาพทีหลังในโปรแกรมได้ แต่ถ้า เราถ่ายแบบ JPEG ให้ตั้งให้ถูกตามคำ�แนะนำ�ในกล้องหรือจำ�ง่ายๆ ถ่ายกลางแจ้งตั้ง เป็นdaylight เลย อันนี้มันจะมีผลต่อโทนเราอีกด้วยน่ะเจ้าไวท์บาลานซ์เนี่ย

14


10 วิธี การถ่ายภาพขาวดำ� ด้วยกล้องดิจิตอลให้มีประสิทธิภาพ โดย ช.ช้าง อย่าถ่ายด้วยโหมดขาวดำ�ในกล้อง

ปรับค่าในกล้องให้เป็นโหมดกลางๆ

อันนี้ห้ามเลย ให้ถ่ายด้วยภาพสีธรรมดาเนี่ยล่ะ แล้วเราก็ไปปรับแต่งในโปรแกรม แต่งภาพต่อไป ที่สำ�คัญจำ�ไว้ว่า เวลาเราถ่ายเป็นขาวดำ�ภาพจะออกเทากลางๆ ลองสังเกตดูแบบนี้โทนขาวดำ�ก็ไม่ดีสิ อีกอย่างเวลาเราถ่ายสีเรายังนำ�ไปใช้ได้อีก

ดูฮิสโตแกรมในเครื่อง

ที่ให้ปรับกลางๆ สาเหตุเพราะเราต้องการถ่ายขาวดำ�ให้มีโทนตั้งแต่มืดไปสว่างให้มันมาก ที่สุด เก็บรายละเอียดมาดีที่สุด เข้าไปเมนูในกล้องแต่ละคนแล้วปรับดังนี้ ?เริ่มด้วยการ ปิดระบบ Sharpening และระบบลด Noise ในเครื่องเป็นอันดับแรกเลย แล้วเลือกใช้ Colour Space เป็น Adobe 1998 (ผลทางด้านรับช่วงสี) และปรับค่า Saturation เป็น ค่ากลาง แต่ต้องหลีกเลี่ยงการปรับตั้ง Contrast เพราะมันจะบีบโทนของภาพเราให้แคบ? แค่นี้ก็ได้โทนมาเยอะเลย

ลองใส่ฟิลเตอร์ในตัวกล้อง เวลาถ่ายเสร็จลองดูฮิสโตแกรมไม่ว่าจะถ่ายเป็น RAW ไฟล์หรือ JPEG มันจะบอกภาพเรา ว่าถ่ายมืดไปหรือสว่างเกินไปได้ ง่ายๆ ถ้ามันเทไปซ้ายก็อาจจะภาพมืด ถ้ามันเทไปขวาก็อาจ จะภาพสว่าง วิธีดีที่สุดดูให้มันอยู่กลางๆ และสม่ำ�เสมอนั้นล่ะดีที่สุดแล้ว ได้โทนมาครบด้วย จริงๆ มันต้องดูรวมทั้งภาพล่ะ

สำ�หรับกล้องคอมแพ็ค หรือกล้องที่ไม่สามารถปรับเป็นโหมด RAW ได้ เพื่อความแปลกตา เพื่อโทนที่ดีขึ้น และทำ�ให้ภาพขาว ดำ�เราสวยงามและเป็นเอกลักษณ์ และถ้าเราเข้าใจหลักพื้นฐาน เรื่องโทนก็จะไปไกลอีก ลองหัดใส่แล้วถ่ายดูหลายๆ แบบ

หัดมองเป็นขาวดำ�

ก็คือมองและนึกว่าโลกนี้มันขาวดำ�มองแบบโทนหรือจำ�ง่ายๆ ความเข้มที่ไล่จาก ดำ�ไปเทาไปขาวนั้นล่ะเรียกว่าโทนแล้ว ดูว่าสีแดงโทนแบบไหน สีเขียวโทนแบบ ไหน สีนั้นสีนี้โทนแบบไหน เพราะขาวดำ�น่ะบางที่จากภาพสีที่เราคิดว่าสีจ๊าบๆ เวลาแปลงเป็นขาวดำ�อาจจะโทนเท่ากันเลยก็ได้ อันนี้อยู่ที่การฝึกและเรียนรู้กัน ล่ะครับ

15

ทั้ง 10 ข้อ ถ้าเรานำ�ไปถ่ายภาพขาวดำ�น่ะเราก็จะได้ภาพที่ดีขึ้น ภาพที่สวยขึ้น และ ยิ่งเราเอามาแต่งด้วยโปรแกรมขาวดำ� รู้วิธีและหลักนิดหน่อย ภาพขาวดำ�คุณก็จะสวยขึ้นอีก มากเลย ลองทำ�ดูสิครับ


A photograph is not an accident – it is a concept. Ansel Adams


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.