รายงานฉบับสมบูรณ
โครงการบูรณาการคุณคา ความหลากหลายทางชีวภาพ สูแนวทางการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ
ในประเทศไทย
ระบบนิเวศ ปาไม โดย มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ธันวาคม 2554
กิติกรรมประกาศ การศึกษานี้ ไดใชขอมูลจากการรวบรวมขอมูลสถิติของกรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช กรมปาไม และ เอกสารวิชาการเผยแพร ของสํานักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดลอม ศูนยฝกอบรมวนศาสตรชุมชนแหงภูมิภาคเอเชีย แปซิฟค เปนขอมูลหลัก ซึ่งตองขอแสดงความชื่นชมนักวิชาการ และคณะทํางานที่กรุณาศึกษาวิจัย และจัดทําขอมูลที่มี ความสําคัญยิ่งเหลานี้ บันทึกไวเปนประโยชนตอการศึกษา วิเคราะหสถานการณความหลากหลายทางชีวภาพในครั้งนี้ เปนอยางยิ่ง ใครขอขอบคุณเปนพิเศษตอ สํานักงาน IUCN ประเทศไทย มูลนิธิสืบนาคะเสถียร สถาบันธรรมรัฐเพื่อพัฒนา สังคมและสิ่งแวดลอม ศูนยฝกอบรมวนศาสตรชุมชนแหงภูมิภาคเอเชียและแปซิฟก ที่ไดรวมแบงปนขอมูลและ ประสบการณ ขอขอบคุณบริษัท มิตซุย จํากัด (มหาชน) ที่ใหการสนับสุนนงบประมาณดําเนินงาน ผูศึกษา : ศศิน เฉลิมลาภ วรรโณบล ควรอาจ
สารบัญ รายการ
หนา
คํานํา กิติกรรมประกาศ 1. บทนํา
1
2. แนวคิดและการดําเนินงานดานความหลากหลายทางชีวภาพและการจัดการ ระบบนิเวศปาไมของประเทศไทย
6
3. สถานการณความเปลี่ยนแปลงเนื้อทีป่ าไมในรอบ 50 ป
19
4. สถานการณความเปลี่ยนแปลงชนิดของปาไมประเทศไทย
54
5. สถานการณการประกาศพื้นที่อนุรักษปาไมประเทศไทย
61
6. สถานการณความหลากหลายทางชีวภาพของพรรณพืชประเทศไทย
76
7. สถานการณความหลากหลายทางชีวภาพของพันธุสัตวปาประเทศไทย
94
8. สรุปและเสนอแนะ เอกสารอางอิง ภาคผนวก
111
คํานํา
กวา 10 ปที่ผานมานี้ คําวา “ความหลากหลายทางชีวภาพ” (Biodiversity) ไดถูกกลาวถึงในแวดวงวิชาการกวางขวาง ขึ้น โดยสวนใหญใหความสําคัญไปที่ระบบนิเวศปาไม อันเปนที่ยอมรับวาเปนระบบนิเวศที่มีความหลากหลายทาง ชีวภาพมากที่สุด แตอยางไรก็ดี ในชวงที่ผานมายังไมมีการรวบรวมสถานการณในภาพรวมของระบบนิเวศปาไมให ชัดเจนวามีขอมูลการเปลี่ยนแปลงในชวง 50 ป ที่ผานมาจนถึงปจจุบันเปนอยางไร องคกรสมาชิก IUCN ประเทศไทย จึงรวมกันริเริ่มโครงการบูรณาการคุณคาความหลากหลายทางชีวภาพสูแนวทางการ จัดการทรัพยากรธรรมชาติในประเทศไทยนี้ โดยไดรับการสนับสนุนจากกองทุนสิ่งแวดลอม บริษัท มิตซุย จํากัด (มหาชน) โดยใหความสําคัญตอระบบนิเวศหลัก อันประกอบดวย ระบบนิเวศทางทะเลและชายฝง ระบบนิเวศน้ําจืด ระบบนิเวศปาไม ระบบนิเวศเกษตร และระบบนิเวศเมือง มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ไดมีสวนรวมกับองคกรสมาชิก IUCN ประเทศไทย รวมดําเนินโครงการบูรณาการคุณคาความ หลากหลายทางชีวภาพสูแนวทางการจัดการทรัพยากรธรรมชาติในประเทศไทย (Integrating Biodiversity Values into National Resource Management Practices in Thailand) และไดรับมอบหมายใหรวบรวมขอมูลรวมถึงประเมิน สถานการณในภาพรวมเพื่อเพื่อนําไปสูการวางแผนจัดการทรัพยากรธรรมชาติในระดับตางๆ ตอไป รายงานการศึกษาฉบับนี้ ไดรวบรวมผลการศึกษาออกเปน แนวคิดและการดําเนินงานดานความหลากหลายทาง ชีวภาพและการจัดการระบบนิเวศปาไมของประเทศไทย สถานการณความเปลี่ยนแปลงเนื้อที่ปาไมในรอบ 50 ป สถานการณ ค วามเปลี่ ย นแปลงชนิ ด ของป า ไม สถานการณ ก ารประกาศพื้ น ที่ อ นุ รั ก ษ ป า ไม สถานการณ ค วาม หลากหลายทางชีวภาพของพรรณพืชและพันธุสัตวปา การวิเคราะหและประเมินสถานการณความหลากหลายทาง ชีวภาพประเทศไทย คณะผูศึกษา หวังวารายงานผลการดําเนินงานฉบับนี้ จะเปนประโยชนทั้งในแงการบันทึกขอมูลใหมีความชัดแจง และ ขอเสนอที่จะเปนประโยชนตอการบริหารจัดการในระดับตางๆ รวมทั้งสามารถนําไปขยายผลและเรียนรูใหกวางขวาง มากขึ้น มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ธันวาคม 2555
คํานํา
1
1.บทนํา ความหลากหลายทางชีวภาพ หมายถึง การที่มีสิ่งมีชีวิตมากมายหลากหลายสายพันธุและชนิดในบริเวณหนึ่ง บริเวณใด นี้มีทั้งความผิดแผกแตกตางหลายหลากของพันธุกรรมในชนิดพันธุเดียวกัน และความหลากหลายในชนิด พันธุ รวมถึงความหลากหลายในระบบนิเวศ ประเทศไทยตั้งอยูในเขตรอนชื้น เปนแหลงพรรณไมจํานวนมากสรรพสัตวนานาชนิด และจุลินทรียมากมาย หากเทียบกับในระบบนิเวศเขตอบอุนและเขตหนาว ซึ่งสภาพแวดลอมในบริเวณนั้น มิไดเอื้ออํานวยใหสิ่งมีชีวิตหลาย ชนิดสามารถดํารงชีวิตอยูรอดจึงมีความหลากหลายทางชีวภาพนอยกวาระบบนิเวศเขตรอน ประเทศไทยมีพรรณพืชประมาณ 15,000 ชนิด คิดเปนรอยละ 8 ของพรรณพืชทั้งโลก ในขณะที่ประเทศ ใน ยุโรปเหนือ เชน นอรเวย และสวีเดน มีพรรณพืชประมาณ 1,800 ชนิดเทานั้น เชนเดียวกันประเทศไทยมีสัตวมี กระดูก สันหลังประเภทสัตวเลี้ยงลูกดวยนม นก สัตวเลื้อยคลาน และสัตวสะเทินนํ้าสะเทินบก รวมแลวประมาณ 1,721 ชนิด ในขณะที่ประเทศนอรเวยและสวีเดน มี 299 และ 328 ชนิด ตามลําดับ ในทองทะเลไทยพบวา มีปลาทะเลประมาณวา ไมตํ่ากวา 2,000 ชนิด ซึ่งคิดเปนรอยละ 10 ของทั่วโลก หอยประมาณ 2,000 ชนิด สัตวไมมีกระดูกสันหลังอื่นๆ รวมกันอีก 11,900 ชนิด ในอนุภูมิภาคอินโดมาลายันนี้เปนศูนยกลางของการกระจายตัวของสัตวทะเลในภูมิภาคแถบนี้ นานนํ้าไทยจึงมีความหลากชนิดของสัตวทะเล สูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับบริเวณอื่นๆ ในโลก (สํานักงานนโยบายและ แผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม, 2547) ประเทศไทยอยูในเขตชีวภูมิศาสตรอินโดมาลายัน ซึ่งทางตอนเหนือของประเทศอยูในเขตอนุภูมิภาคอินโดจีน สวนทางใตอยูในเขตอนุภูมิภาคซุนดา แตพืชและสัตวจะไดรับอิทธิพลบางสวนจากเขตอินเดีย (Indian region) และพาลี อารคทิค (Palearctic region) ดวย (Mackinnon และ Mackinnon, 1986) โดยแบงออกเปน 6 เขต ชีวภูมิศาสตรใหญๆ ซึ่งจํากัดขอบเขตของทองถิ่นและชนิดพันธุประจําถิ่น ดังนี้ • ที่สูงภาคเหนือ ลอมรอบดวยแนวเขา และหุบเขากวางๆ ลงมาทางตอนใต จากแนวชายแดนพมาและ ลาว ประมาณละติจูดที่18 องศาเหนือ สภาพโดยทั่วไปเปนภูเขาที่มีระดับความสูงมากกวา 1,000 เมตร ทําใหเหมาะสมแกการเจริญเติบโตของพรรณไมปาดิบเขาบริเวณที่มีความลาดชันนอย จะพบ ปา ผสมผลัดใบเขตมรสุม และพบปา เต็งรั งในบริ เวณที่ราบหุ บเขา ซึ่งถู ก เปลี่ย นแปลงไปเพื่อทํ า การเกษตรที่สูง • ที่ราบสูงโคราช ครอบคลุมทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ชวงระหวางเพชรบูรณทางตะวันตกและ เทือกเขาดงรักทางตอนใต ทอดตามแนวยาวชายแดนกัมพูชา ปจจุบันมีพื้นที่ปาถูกทําลายอยาง กวางขวาง แตยังคงมีปาดิบชื้น ปาดิบแลง เหลืออยูในบริเวณนี้บางสวน
2
• ที่ราบภาคกลางของแมนํ้าเจาพระยา ปจจุบันเปนพื้นที่ที่มีการทํานาขาวอยางกวางขวาง บึงนํ้าจืด ดั้งเดิมและปา มรสุมไดหมดไปแลว ที่สูงตะวันออกเฉียงใต คือสวนที่ตอเนื่องมาจากภูเขา ชายแดน แถบเทือกเขาพนมกระวานในกัมพูชาซึ่งมีสภาพภูมิ ประเทศเอื้ออํานวยตอสังคมปากึ่งดิบชื้นเขต รอน . • เทือกเขาตะนาวศรีทอดแนวไปทางใตตามแนวชายแดนประเทศพมามีความสูงชันจากระดับนํ้าทะเล ประมาณ 1,000 เมตร แตเทือกเขานี้จะอยูภายใตเขตเงาฝนของเทือกเขาเดียวกันในประเทศพมาที่ สูงกวา บนเทือกเขานี้ปากึ่งดิบชื้นเขต รอนเกิดขึ้นบนพื้นที่ที่มีระดับความสูง บริเวณที่ลาดชันปก คลุมดวยปาผลัดใบ ซึ่งปจจุบันไดถูกถางออกหรือทําลายจนเสื่อมโทรมและแทนที่ดวยไผและทุงหญา • คาบสมุทรตอนใต ครอบคลุมพื้นที่ทางตอนใตของประเทศไทย ตั้งแตคอคอดกระจนถึงชายแดน ไทย–มาเลเซียและที่คอคอดกระนี้แยกชนิดพันธุพืชและสัตวกลุมอินโดจีน ออกจากกลุมคาบสมุทร มาเลเซียอยางชัดเจนเดิมคาบสมุทรตอนใตเปนพื้นที่ที่มีฝนตกชุกและครอบคลุมดวยปาดิบชื้น แตปา ที่ราบตํ่าเกือบทั้งหมด ไดถูกใชเปนพื้นที่เพื่อทําการเกษตร ปาที่เหลือยังคงมีแนวเขตปาตามเนินเขา แตก็ถูกคุกคามโดยการบุกรุกทําไรและปลูกยางพารา ความแตกตางในระบบนิเวศดังกลาวไดทําใหชนิดพันธุพืชและสัตวมีความหลากหลายตางกัน ดังนั้นชนิดพันธุ นกและ สัตวเลี้ยงลูกดวยนมบนที่สูงภาคเหนือจะเกี่ยวของสัมพันธกับชนิดพันธุในเขตประเทศจีน และยังพบวามีสัตว จํานวนมากที่ไม พบในที่อื่นใดในประเทศไทยอีกนอกจากบริเวณนี้ สวนทางคาบสมุทรตอนใตจะเปนแหลงรวมจํานวน ชนิดพันธุ ซึ่งพบวา ลักษณะชนิดพันธุนกและสัตวเลี้ยงลูกดวยนมมีความสัมพันธกับชนิดพันธุในเขตซุนดา ความหลากหลายของพรรณพฤกษชาติ ตามภาคตา ง ๆ สวนใหญจะคลายคลึงกับพรรณพฤกษชาติของ ประเทศเพื่อนบาน ประเทศ ไทยจึงเปนแหลงรวมของกลุมพรรณพฤกษชาติ (Floristic elements) ประจําภูมิภาคใหญ ๆ ถึง 3 กลุมดวยกัน ไดแก กลุม พรรณพฤกษชาติภูมิภาคอินเดีย–พมา (India–Burmese elements) กลุมพรรณ พฤกษชาติภูมิภาคอินโดจีน (Indo–Chinese elements) และกลุมพรรณพฤกษชาติภูมิภาคมาเลเซีย (Malesian elements) ในทางวิชาการดานชีววิทยา มีการศึกษาวาโลกมีการสูญเสียสัตวและพืชในปาเขตรอน อยางนอย 27,000 ชนิดตอป จากหลักฐานพบวาในยุคกอนที่มนุษยจะถือกําเนิดมา อัตราสูญพันธอยูใน 1 ชนิด ใน 4 ป เทากับอัตราการ สูญพันธุสูงกวายุคกอนประวัติศาสตรถึง 120,000 เทา คาดวาในอนาคต โลกจะตองสูญเสียชนิดพันธุครึ่งหนึ่งของที่มี อยูภายในสิ้นศตวรรษหนา ประเทศไทยเปนพื้นที่สูญเสีย สมัน (Cervus schomburgki) เมื่อป 2475 ไปจากโลก และยืนยันไดวา มีสัตว ปาที่สูญพันธุไปจากประเทศไทย แลว คือ นกชอนหอยใหญ (Pseudibis giganlen) และนกพงหญา (Graminicola bengalensis) รวมถึงไมพบ แรดชวา (Rhinoceros sondaicus) กูปรี (Bos sauyeli) นกกระสาปากเหลือง (Mycteria cineria) นกชอนหอยดํา (Pseudibis papillosa) นกกระเรียน (Grus antigone) และจระเขปากกระทุงเหว (Tomistoma schlegelii) ในสภาพธรรมชาติอีกตอไป (สํานักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดลอม, 2547)
3
การคุกคามที่รุนแรงที่สุดตอการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพไดแก การรบกวนสภาพที่อยูอาศัยตาม ธรรมชาติและระบบนิเวศ การเปลี่ยนแปลงเนื้อที่ปาไมเปนพื้นที่เกษตรกรรม การสรางเขื่อนและอางเก็บน้ํา ความเปน เมืองการทองเที่ยว และภาวะมลพิษ ลวนแตกอใหเกิดการลดลงของจํานวนประชากรพืช และสัตวปา และเกิดการ คุกคามตอชีวิตในปา ในปจจุบันเปนที่ยอมรับในระดับของภาคีอนุสัญญาความหลากหลายทางชีวภาพ (Convention on Biological Diversity-CBD) ถึงหลักการที่วาความหลากหลายทางชีวภาพมีบทบาทสําคัญบางประการ ดังตอไปนี้ (วิเทศ ศรีเนตร, 2549) • ความหลากหลายทางชีวภาพเกื้อหนุนค้ําจุนหนาที่ของระบบนิเวศ • บริการจากระบบนิเวศที่สมบูรณเปนรากฐานใหเกิดการกินดีอยูดีของมนุษย • หากรบกวนหนาที่ของระบบนิเวศโดยทําใหสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ จะทําใหระบบนิเวศ ออนแอลง • ระบบนิเวศที่สมบูรณสําคัญตอความเปนอยูของผูคนตลอดเวลา (ภาพประกอบที่ 1) • มูลคาที่ไดจากระบบนิเวศที่ไดรับการจัดการดีอยางยั่งยืนมากกวาที่ไดจากระบบนิเวศที่เปลี่ยนไป เพื่อประโยชนทางธุรกิจ ซึ่งทําใหเกิดการจัดการอยางไมยั่งยืน (ภาพประกอบที่ 2) • ในระดั บ ภาคี ข องอนุ สั ญ ญาดั ง กล า วมี ค วามจํ า เป น ที่ ต อ งผสานเชื่ อ มต อ ส ว นที่ มี บ ทบาทสํ า คั ญ (actors) ในภาคสวนเศรษฐกิจ ซึ่งเปนตัวผลักดันสําคัญที่ทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อลดและ บรรเทาผลกระทบ (ภาพประกอบที่ 3) • การผสานความหลากหลายทางชีวภาพสูภาคสวนที่เกี่ยวของไดแก อาการและการเกษตร พลังงาน การคา การพัฒนาและลดความยากจน (ภาพประกอบที่ 4)
4
ภาพที่ 1 ความหลากหลายทางชีวภาพ บทบาทหนาที่ของระบบนิเวศ, การใหบริการของระบบนิเวศ และ แรงผลักดันใหเกิดการเปลี่ยนแปลง จากรายงานโลกทรรศความหลากหลายทางชีวภาพ (2549)
ภาพที่ 2 ผลประโยชนทางเศรษฐกิจภายใตวิถีการปฏิบัติตางๆ ที่แสดงใหเห็นวามูลคาที่ไดจากระบบนิเวศที่ ไดรับจากการจัดการที่ดีมากกวาระบบนิเวศที่ถูกเปลี่ยนแปลงเพื่อประโยชนทางธุรกิจ จากรายงานโลกทรรศ ความหลากหลายทางชีวภาพ (2549)
5
ภาพที่ 3 ปจจัยผลักดันโดยตรงตอการเปลี่ยนแปลงของความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศ จาก รายงานโลกทรรศความหลากหลายทางชีวภาพ (2549)
ภาพที่ 4 ความเชื่อมโยงระหวาง อาหาร พลังงาน และการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ จากรายงาน โลกทรรศความหลากหลายทางชีวภาพ (2549)
6
2. แนวคิดและการดําเนินงานดานความหลากหลายทาง ชีวภาพและการจัดการระบบนิเวศปาไมของประเทศไทย 2.1
ความหลากหลายทางชีวภาพและการอนุรักษ
ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity หรือ Biological diversity) ถูกนํามาใชในแวดวงวิชาการของ ประเทศไทย เมื่อปลายป 2532 มีความหมายกวางขวางและครอบคลุมถึงความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตทั้งพืช สัตว จุลิ นทรียในทุกระดับ ที่มีความเชื่อมโยงกันเปนสายใยในระบบนิเวศ โดยทั่วไปจําแนกออกเปน 3 ระดับ ไดแก (1) ความหลากหลายทางพันธุกรรม (Genetic diversity) หรือ ลักษณะทางพันธุกรรมที่สิ่งมีชีวิตแต ละชีวิตไดรับการถายทอดมาจากรุนพอแม และสงตอไปยังรุนถัดไป ความหลากหลายทางพันธุกรรมมีอยูทุกหนแหง ตั้งแตสีของใบไม สีของขนนก รสและกลิ่นของผลไมที่แตกตางกัน ในกรณีของมนุษยจะเห็นไดชัดเจนจาก สีและ ลักษณะของเสนผม สีของนัยนตา รวมถึงสีผิวที่แตกตางกัน ถึงแมจะเปนพี่นองสืบสายเลือดเดียวกันก็ตาม (2) ความหลากหลายทางชนิดพันธุ (Species diversity) หมายถึงจํานวนชนิด และจํานวนหนวย สิ่งมีชีวิตที่เปนสมาชิก ของแตละชนิดที่มีอยูในแหลงที่อยูอาศัยของประชากรนั้นๆ หรือหมายถึงความหลากหลายของ ชนิดสิ่งมีชีวิต (species) ที่มีอยูในพื้นที่หนึ่งนั่นเอง นักวิทยาศาสตรเชื่อกันวา สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่วิวัฒนาการอยูบนโลก นี้ในปจจุบันมีจํานวนชนิดอยูระหวาง 2-30 ลานชนิด โดยที่มีบันทึกอยางเปนทางการแลวประมาณ 1.4 ลานชนิด (3) ความหลากหลายของระบบนิเวศ (Ecological diversity) คือความซับซอนของลักษณะพื้นที่ที่ แตกตางกันในแตละภูมิภาคของโลก เมื่อประกอบกับสภาพภูมิอากาศ ลักษณะภูมิประเทศทําใหเกิดระบบนิเวศหรือถิ่น ที่อยูอาศัยของสิ่งมีชีวิตที่แตกตางกัน การที่สามารถพบสิ่งมีชีวิตอาศัยอยูในแตละพื้นที่ไดโดยผานการคัดเลือกตาม ธรรมชาติตามกระบวนการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต หลักการทั่วไปในการอนุรักษทรัพยากรทางชีวภาพ มีแนวคิดหลัก 2 ประการ คือ • anthropocentric มีเจตนาที่ใหผลประโยชนแกมนุษยทั้งสิ้น การอนุรักษสัตวปา และพืชปาก็เพื่อที่ มนุษยจะไดประโยชนตอไป • biocentric เห็นความสําคัญของพืชปาและสัตวปาโดยความสําคัญของตัวมันเอง เปนการอนุรักษ เพราะเห็นคุณคาของการอนุรักษ ในการกําหนดกฏเกณฑเพื่อการอนุรักษ แบงเปน 3 แนวทาง คือ • species approach คือการอนุรักษและคุมครองชนิดพันธุ ตัวอยางเชน อนุสัญญาไซเตส วิธีคุมครอง คือ การกําหนดบัญชีรายชื่อชนิดพันธุวาชนิดพันธุใดตองการจะคุมครอง โดยแยกออกเปน บัญชี หมายเลข 1, 2, และ 3 กฏหมายภายในเชน พระราชบัญญัติสงวนและคุมครองสัตวืปา ก็ใชวิธี เดียวกัน คือ การกําหนดบัญชีรายชื่อสัตวเปนสัตวปาสงวนและสัตวปาคุมครอง และใชมาตรการทาง กฏหมายเปนเครื่องมือในการคุมครอง • habitat approach การอนุรักษแหลงที่อยูอาศัย จะทําโดยกําหนดพื้ยที่ เชน อนุสัญญาแรมซาร ซึ่งมี วิวัฒนาการมาจากการอนุรักษนกน้ําในยุโรป ซึ่งอนุรักษแหลงน้ําที่เปนแหลงที่อยูและแหลงอาการ
7
ตลอดจนแหลงขยายพันธุ พระราชบัญญัติสงวนและคุมครองสัตวปา กําหนดพื้นที่คุมครองเปนสอง ประเภท คือ เขตรักษาพันธุสัตวปา และ เขตหามลาสัตวปา กฏหมายประมงกําหนดเปนเขตรักษา พืชพันธุ • activities/ process approach ในปจจุบันเริ่มเนนมากขึ้นโดยเฉพาะกฏหมายที่เกี่ยวของกับ สิ่งแวดลอมโดยตรง เชนอุตสาหกรรมควบคุมการผลิตในโรงงาน หรือตัวอยางการกําหนดใหประเทศ ที่จะสงกุงไปสหรัฐถาจับโดยวิธีลากอวนจะตองติดตั้งเครื่องมือแยกเตา ถาไมติดตั้งเครื่องมือก็จะไม สามารถสงกุงไปได อนุสัญญาและกฏหมายระหวางประเทศซึ่งคุมครองและอนุรักษความหลากหลายทางชีวภาพ สําหรับขอตกลง ทางสิ่งแวดลอม (Environmental agreement) ที่สําคัญเกี่ยวของกับระบบนิเวศปาไม มีดังนี้ ป พ.ศ. 2493 (ค.ศ. 1950) อนุสัญญาวาดวยการคุมครองนก (International Convention for the Protection of Bird, Paris) เพื่อคุมครองนกในธรรมชาติ ป พ.ศ. 2494 (ค.ศ. 1951) อนุสัญญาวาดวยการคุมครองพืช (International Plant Protection Convention, Rome) เพื่อรักษาระดับและเพิ่มความรวมมือนานาชาติในการควบคุมแมลง และเชื้อโรค ป พ.ศ. 2513 (ค.ศ.1970) อนุสัญญาวาดวยการคุมครองมรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติของโลก (Convention Concerning the Protection of the world Cultural and Natural Heritage) ไทยไดเขารวมเปนภาคี สมาชิกและไดกําหนดใหเขตรักษาพันธุสัตวปาทุงใหญ-หวยขาแขงเปนมรดกทางธรรมชาติ ป พ.ศ. 2514 (ค.ศ.1071) อนุสัญญาวาดวยการอนุรักษพื้นที่ชุมน้ํา (Convention on Wetland of International Importance especially as Waterfowl Habitat) หรือ Ramsar Convention ป พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) อนุสัญญาไซเตส (The Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora) ซึ่งมีเจาหนาที่จากกรมปาไม (ในขณะนั้น) รวมรางอนุสัญญา และลงนามรับรอง อนุสํญญาในป พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) และใหสัตยาบันในป 2526 (ค.ศ.1983) ถึงแมกรมปาไมจะมีพระราชบัญญัติ สงวนและคุมครองสัตวปา พ.ศ. 2503 แตก็มิไดมีบทบัญญัติที่รองรับอนุสัญญาไซเตสอยูเลย จนกระทั่งประเทศไทยถูก ประกาศหามทางการคา จึงเปนเหตุใหตองรางกฏหมายสงวนและคุมครองสัตวปาฉบับใหมขึ้นมาใน พ.ศ. 2535 และมี การประกาศรายชื่อสัตวปาคุมครองใหอยูในบัญชีไซเตส ตามบัญชีหมายเลข 1, 2 และ 3 โดยใชอํานาจตามมาตรา 23 เพราะมีบทบัญญัติลงโทษ (ชุมเจตน กาญจนเกษร, 2539) ป พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) อนุสัญญาวาดวยการอนุรักษชนิดพันธุที่มีการอพยพยายถิ่น (Bonn Convention of Migratory Species of Wild Animals) เพื่ออนุรักษชนิดพันธุที่มีการอพยพยายถิ่น ซึ่งไทยยังมิไดเขา เปนภาคีสมาชิก ป พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) การประชุมสุดยอดสิ่งแวดลอมโลกที่ริโอ เดอ จาเนโร จบสิ้นลงดวยการมีอนุสัญญา 2 ฉบับ คือ อนุสัญญาวาดวยความหลากหลายทางชีวภาพ (Convention on Biological Diversity-CBD) และ อนุสัญญาวาดวยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก (Framework Convention on Climate Change) ซึ่ง ประเทศไทยไดลงนามในอนุสัญญาทั้งสองฉบับในการประชุมดังกลาว ปจจุบัน ประเทศไทยไดเขาเปนภาคีอนุสัญญาวาดวยความหลากหลายทางชีวภาพ ลําดับที่ 118 และมีผล บังคับใชเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2547 ซึ่งประเทศไทยตองดําเนินงานตามมติและพันธกรณีตลอดจนโปรแกรมงานของ อนุสัญญา ในฐานะภาคีตามมาตรา 7(a) ตามอนุสัญญาที่กําหนดใหภาคีจําแนก วินิจฉัย องคประกอบของความ
8
หลากหลายทางชีวภาพที่สําคัญสําหรับการอนุรักษและการใชประโยชนอยางยั่งยืน โดยพิจารณารายการซึ่งระบุตาม ประเภทชนิดพันธุที่ใกลสูญพันธุ ชนิดพันธุหายาก และชนิดพันธุเฉพาะถิ่น หรือชนิดพันธุที่ถูกคุกคาม และมาตรา 8(k) กํา หนดใหภาคีจั ดทํา หรือธํารงครัก ษากฏขอบังคับที่ จําเปนและ/หรือขอกําหนดระเบียบบังคับตางๆ เพื่อเปน การ คุมครองชนิดพันธุและประชากรที่ถูกคุกคาม
2.2
เกณฑจําแนกชนิดพันธุที่ถูกคุกคาม
ประเทศไทยไดดําเนินการอนุรักษทรัพยากรชีวภาพมาเปนเวลานาน การศึกษาเกี่ยวกับอนุกรมวิธานของพืช และสัตวมีมาเกือบรอยป ปจจุบันมีการรวบรวมพรรณพฤกษชาติและพันธุสัตวไดเกินกวา 80 % ของประเทศ การจัด สถานภาพเฉพาะในประเทศไทยนั้น มีการประชุมทางวิชาการเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ และมีนักวิชาการซึ่ง เปนผูเชี่ยวชาญในการศึกษาในกลุมตางๆที่ไดรับการยอมรับในระดับประเทศดานชีววิทยาไดวิเคราะหประเมินไวใน เบื้องตน ในหนังสือ ความหลากหลายทางชีวภาพประเทศไทย (2532) ครอบคลุมสิ่งมีชีวิตในประเทศไทยเกือบทุกกลุม และสถาบันวิจัยวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีแหงประเทศไทยไดจัดทําไวใน พ.ศ. 2533 แตอยางไรก็ตามอาจกลาวไดวา สถานภาพดั ง กล า วยั ง มี ค วามเห็ น ที่ ไ ม ส อดคล อ งอยู บ า งจากนั ก วิ ช าการบางส ว น (สํ า นั ก งานนโยบายและแผน สิ่งแวดลอม, 2539) เกณฑจําแนกชนิดพันธุที่ถูกคุกคาม (Threatened species categories) ที่ใชใน Red Data book และ Red List ของ IUCN เปนเกณฑที่ไดรับการยอมรับอยางกวางขวางในระดับนานาชาติ ไดถูกนํามาใชอางอิงในเอกสารและ บัญชีรายชื่อในประเทศตางๆ เกณฑในการจําแนกชนิดพันธุที่ถูกคุกคามประกอบดวยวิธีการในการระบุชนิดพันธุที่มี ความเสี่ยงตอการสูญพันธุที่เขาใจงาย เพื่อชวยในการกําหนดมาตรการดานการอนุรักษและคุมครองชนิดพันธุดังกลาว ตั้งแต พ.ศ. 2539 เปนตนมา สํานักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดลอม (ในขณะนั้น) ไดจัดทํา “รายงาน สถานภาพความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย (Biodiversity Country Study) ขึ้น ในฐานะหนวยงาน ประสานงานกลางของอนุสัญญาวาดวยความหลากหลายทางชีวภาพ โดยมีวัตถุประสงคเพื่อรวบรวมขอมูล ตลอดจน สถานภาพความหลากหลายทางชีวภาพที่เปนปจจุบัน เพื่อใชเปนหลักฐานในการคนควาอางอิง ตลอดจนใชเปนขอมูล พื้นฐานในการพิจารณาดําเนินโครงการพัฒนาและใชประกอบการพิจารณาในการวิเคราะหผลกระทบสิ่งแวดลอมที่เกิด จากโครงการพัฒนาตางๆ ที่มักประสบปญหาเกี่ยวกับสถานภาพที่ไดรับการยอมรับวาชนิดพันธุใดอยูในภาวะหายาก ใกลสูญพันธุ หรืออยูในภาวะถูกคุกคาม ที่มีเอกสารอางอิงที่ตรวจสอบไดเพียง IUCN Red DATA Book เทานั้น ซึ่ง แสดงสถานภาพและแหลงที่พบของพืชและสัตวทั่วโลก ไมมีจําเพาะเจาะจงของประเทศไทย ปจจุบัน สํา นักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม ไดจัดประชุมเพื่อจัดสถานภาพ ทรัพยากรชีวภาพประเทศไทยขึ้น โดยไดพิจารณาสถานภาพของสัตวเลี้ยงลูกดวยนม นก สัตวเลื้อยคลาน สัตวสะเทิน น้ําสะเทินบก และปลา รวมถึงพืช โดยพิจารณาสถานภาพตามแนวทางเอกสาร IUCN Red List Categories รุน (version) 2.3: IUCN (1994) และ (version) 3.1: IUCN (2001) ซึ่งเปนเกณฑปจจุบัน สามารถจัดทําขอมูลสถานภาพ ถิ่นที่อยูอาศัย การแพรกระจาย และทะเบียนรายการชนิดพันธุที่ถูกคุกคามของประเทศไทย (Thailand Red Data) ในป 2548 (2005) สามารถใชเปนขอมูลพื้นฐานในการปรับปรุง กลไก มาตรการ ในการอนุรักษ คุมครอง และบริหารความ หลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทยตอไป
9
ในการประเมินสถานภาพของชนิดพันธุในป 2539 ใชเกณฑจําแนกรุน (version) 2.3: IUCN (1994) ซึ่ง ประกอบไปดวย • • • • • • • •
สถานภาพสูญพันธุ (Extinct-EX) สูญพันธุในธรรมชาติ (Extinct in Wild-EW) ใกลสูญพันธุอยางยิ่ง (Critically Endangered-CR) ใกลสูญพันธุ (Endangered-EN) มีแนวโนมใกลสูญพันธุ (Vulnerable-VU) มีความเสี่ยงนอย (Lower Risk-LK) ขอมูลไมเพียงพอ (Data Deficient-DD) ไมไดรับการประเมิน (Not Evaluated-NE)
สําหรับสถานภาพที่มีความเสี่ยงนอย (Lower Risk-LR) ยังแบงออกเปน 3 กลุมยอย คือ กลุมที่ขึ้นอยูกับการ อนุรักษ (Conservation Dependent-CD) กลุมที่ใกลถูกคุกคาม (Near Threatened-NT) และกลุมที่เปนกังวลนอยที่สุด (Least Concern-LC) สําหรับโครงสรางในการประเมินสถานภาพตาม IUCN ในป 2548 (2005) ไดยกระดับสถานภาพกลุมยอยของ สถานภาพที่มีความเสี่ยงนอย (Lower Risk-LR) กลุมที่ใกลถูกคุกคาม (Near Threatened-NT) กลุมที่เปนกังวลนอย ที่สุด (Least Concern-LC) ขึ้นเปนสถานภาพหลัก และตัดสถานภาพความเสี่ยงนอย ในกลุมยอยกลุมที่ขึ้นอยูกับการ อนุรักษ (Conservation Dependent-CD) ออก (รายละเอียดการใชเกณฑประเมินแสดงไวในภาคผนวก)
10
ภาพที่ 2-1 โครงสรางของเกณฑในการจําแนกรุน (version) 2.3: IUCN (1994) เพื่อใชในการจัดทําบัญชีรายชื่อระหวางป 2539-2544 (1996-2001)
ภาพที่ 2-1 โครงสรางของเกณฑในการจําแนกรุน (version) 3.1: IUCN (2001) เพื่อใชในการจัดทําบัญชีรายชื่อป 2546 (2003) เปนตนมา
11
2.3 สาเหตุของการลดลงของความหลากหลายทางชีวภาพ 1
ภัยคุกคามตอความหลากหลายทางชีวภาพ (Threats to Biodiversity) Edward O. Wilson ไดเสนอคํายอ ของภัยคุกคามตอความหลากหลายทางชีวภาพ โดยใชคํายอ H.I.P.P.O (ฮิปโป) โดยนําตัวอักษรนําหนาของภัยคุกคาม ตอความหลากหลายทางชีวภาพมาประกอบเปนคําเพื่อใหงายตอการจดจํา ประกอบดวย 1. H: Habitat Lost หรือการสูญเสียถิ่นที่อยูอาศัย นับวาเปนปญหาสําคัญที่สุด เนื่องจากประชากร มนุษยมีเพิ่มมากขึ้นทุกป และเริ่มขยายถิ่นฐานออกไปเรื่อยๆ ทําใหเกิดการทําลายพื้นที่ตามธรรมชาติ มากขึ้น ซึ่งหมายความวาสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่เคยอยูในพื้นที่นั้นก็จําตองสูญเสียถิ่นที่อยูไป 2. I: Invasive Species หรือการรุกรานของชนิดพันธุตางถิ่น คือสิ่งมีชีวิตที่มาจากถิ่นฐานอื่น ซึ่งไมได วิวัฒนาการในถิ่นฐานนั้นโดยธรรมชาติแตถูกโยกยายใหเขาไปอยูในถิ่นนั้น จึงไมมีผูลา(Predator) หรือ ผูบริโภคเปนอาหารตามธรรมชาติและบอยครั้งที่สิ่งมีชีวิตตางถิ่นจะหาทรัพยากรอาหาร ดํารงชีวิต หรือมี ความตานทานตอการเปลี่ยนแปลงดานสิ่งแวดลอมไดดีกวาสิ่งมีชีวิตเดิมที่อยูในถิ่นฐานนั้น จึงทําใหเกิด การแกงแยงเชิงนิเวศ และการผสมขามสายพันธุ ทําใหสายพันธุดั้งเดิมหายากมากขึ้น หรือหายไปจาก พื้นที่นั้น 3. P: Population หรือจํานวนประชากร ซึ่งหมายถึงปญหาประชากรมนุษย (Human Population) เมื่อ จํานวนประชากรมนุษยพุงสูงขึ้นก็จําเปนตองใชทรัพยากรมากขึ้นและตองมีพื้นที่เพื่อรองรับประชากรที่ เพิ่มจํานวนมากขึ้น 4. P: Pollution หรือมลพิษ มลพิษสงผลตอสุขภาพของสิ่งมีชีวิต ทําใหเกิดโรค เจ็บปวย ตาย และ สิ่งมีชีวิตมีจํานวนลดลง 5. O: Over Exploitation หรือการใชประโยชนมากเกิดความพอดี ซึ่งในที่นี้หมายถึงการที่มนุษยใช ประโยชน จ ากสิ่ ง แวดล อ มมากเกิ น ไป ทั้ ง การเก็ บ พื ช การตั ด ไม ทํ า ลายป า การล า สั ต ว และการนํ า ทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ มาใชในอัตราที่สูงจนเกินที่ธรรมชาติจะทดแทนไดทัน สําหรับสาเหตุของการลดลงของความหลากหลายทางชีวภาพในประเทศไทย ไดแก การนํามาใชประโยชน มากเกินไป การคาขายสัตวและพืชปาแบบผิดกฎหมาย การรบกวนแหลงที่อยูอาศัยตามธรรมชาติ และการสูญเสีย แหลงที่อยูอาศัย ตัวอยางเชนการลาสัตวในอดีตที่มาเกินไปสงผลใหสัตวเฉพาะถิ่นอยางสมัน ซึ่งอาศัยอยูในปาดงดิบที่ ลุมแมน้ําเจาพระยาตอนกลาง สูญพันธุไปจากประเทศไทย เมื่อสัตวเฉพาะถิ่นสูญพันธุนั่นคือการสูญพันธุไปจากโลก ดวย การคาสัตวและพืชปาอยางผิดกฎหมายเปนการคุกคามโดยตรงอีกประการหนึ่งตอความหลากหลายทาง ชีวภาพ ความตองการสัตวและพืชหากยาก ทําใหราคาของสิ่งมีชีวิตชนิดนั้นสูงมาก และทําใหสัตวและพืชที่กําลังจะสูญ พันธุตองเผชิญกับการลาและการขุดถอนอยางผิดกฎหมาย เพื่อการบริโภคในทองถิ่นและเพื่อสงออก การกระทําเชนนี้ เปนเหตุใหเกิดการลดลงของประชากรสัตวและพืชปาอยางรวดเร็ว จนบางชนิดไดสูญพันธุไปในที่สุด การคุกคามที่รุนแรงที่สุดตอการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพไดแก การรบกวนสภาพที่อยูอาศัยตาม ธรรมชาติและระบบนิเวศ การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ปาไมทั้งปาดิบชื้นและปาชายเลน การกอสรางอางเก็บน้ําและเขื่อนพลัง น้ํา ความเปนเมืองการทองเที่ยวและภาวะมลพิษ ลวนแตกอใหเกิดการลดลงของจํานวนประชากรสัตวและพืชปา และ เกิดการคุกคามตอชีวิตในปา 1
"Hippo dilemma".Windows on the Wild: Science and Sustainabiliy. New Africa Books. 2005.
12
การตัดไมจากปาธรรมชาติ เปนสาเหตุหนึ่งที่กอใหเกิดผลกระทบอยางลึกซึ้งตอความหลากหลายทางชีวภาพ โดยการลดจํานวนไมยืนตนลงเปนการทําใหโครงสรางของปาเปลี่ยนแปลงไป ไมใหญในปาใหอาหารและที่อยูอาศัยแก สัตวปา ควบคุมโครงสรางของปาและสภาพภูมิอากาศ ลดการทับถมยอยสลายของไมท่ีตายลง ทําใหเกิดการสะสมธาตุ อาหารในพื้นลางของปาลดลง อันจะสงผลกระทบถึงความหลากหลายของชนิดพันธุสัตวและจุลินทรีย รวมถึงไมพุมและ พืชระดับลาง นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่งมีสาเหตุมาจากการภาวะโลกรอน ก็เปนสาเหตุหนึ่งที่จะทําให เกิดการลดลงของชนิดพันธุพืช และสัตว ที่ไมสามารถปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงได
2.4 วิวัฒนาการของนโยบายและกฎหมายเพื่อการจัดการทรัพยากรปาไมของประเทศไทย (ปรับปรุงจาก ระวี ถาวร, ไมระบุป) ประเทศไทยในยุคแรกๆ ราษฏรไดใชประโยชนจากการลาสัตวปา และเก็บหาของปาตางๆ มีการสงหนังกวาง งาชาง นอแรด ไม และของปาตางๆ ไปขายยังตางประเทศเปนจํานวนมาก เพื่อการกําหนดชนิดไม และเก็บภาษีไม สงออก โดยเฉพาะไมสักซึ่งมีการคาขายมายาวนานตั้งแตกรุงรัตนโกสินทรตอนตนอยูในเฉพาะตลาดเอเชีย ตอมา ชาวตางชาตินําไมสักไปขายที่อังกฤษ จึงมีนายทุนชาวยุโรปมาลงทุนทําไมมากขึ้นในประเทศ โดยอํานาจอยูที่เจาครอง นครตางๆ มีการคาขายกับตางชาติยุโรปมากขึ้นโดยเฉพาะไมสัก และเครื่องเทศ ตั้งแต เกิดสนธิสัญญบาวริ่งตังแต ในป พ.ศ.2398 ที่เปดประตูการคาสูสากลทั้งทรัพยากรธรรมชาติ และผลผลิตทางการเกษตร พ.ศ. 2417 พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) เก็บภาษีการสงออกไมแปรรูป พ.ศ. 2439 จัดตั้งกรมปาไม ในราชสมัย ราชการที่ 5 ไดตั้งกรมปาไมเพื่อใหมีหนวยงานที่ทําหนาจัดระบบการ จัดการปาไม โดยเฉพาะการทําไมสัก ตามรายงานการศึกษาของ Mr. H.A. Slade นักวิชาการปาไมชาวอังกฤษ มี นักการปาไมเขามาวางแผนการจัดการปาไมของชาติ คือ Mr. H.A. Slade สงไมออกตางประเทศ อังกฤษ พ.ศ. 2441 พ.ร.บ. ควบคุมการตัดไมสัก กําหนดขนาดจํากัดของไมสักที่ตัดฟนไดที่ขนาดตั้งแต 6 ฟุต 4.5 นิ้ว ขึ้นไปจากกฎหมายดังกลาวนําไปสูการเกิดระบบการเลือกตัด (selection system) เนื่องจากมีการจําแนกชั้นไมที่ตัดได เหลือไมชั้นรองที่ไมไดขนาดจะถูกเก็บไวตัดในรอบตอไปเมื่อไดขนาด พ.ศ. 2443 พ.ร.บ. รักษาชางปา เนื่องจากการที่ราษฎรไดคลองชางปาเพื่อนํามาใชเปนจํานวนมากเกิน ความสามารถในการดูแล พ.ศ. 2481 พรบ.คุมครองสงวนปา กฎหมายฉบับแรกที่สนใจปาในฐานะ อาณาเขตพื้นที่ จากเดิมที่สนใจ เฉพาะ “ตนไม” โดยสิทธิหนือพื้นที่ปาทั้งหมดของประเทศเปนของรัฐ (รวมศูนยอํานาจ) โดยกําหนดพื้นที่ปาออกเปนปา คุมครอง และปาสงวนโดยมีแผนที่แนบทาย จับจอง กอสราง แผาถาง หรือเผาปา หากบุคคลอางวามีสิทธิที่ดินตาม กฎหมายที่ดินใหเพิกถอนสิทธิออกโดยใหจายคาชดเชย การจัดการปาที่ยึดตัวกฎหมายนี้ขัดกับจารีต และวิถีชีวิตคน ไทยที่ยังชีพอยูในปามากอน พ.ศ. 2484 พ.ร.บ. ปาไม และรัฐตั้งหนวยงานรัฐวืสาหกิจทําไมเองมีเจตนารมณเพื่อรวบรวมปรับปรุงกฏหมาย เกี่ยวกับการทําไม การใชประโยชนจากไมและของปา โดยมีสาระสําคัญคือนิยามปาหมายถึง “ที่ดินที่ยังไมมีบุคคลไดมา ตามตามกฎหมายที่ดิน” ซึ่งเปนการขยายขอบเขตของปาไปยังพื้นที่อื่นๆครอบคลุมที่ดินกวางขวางทั่วประเทศซึ่ง อาจจะมีสภาพเปนปาที่มีตนไมปกคลุม หรือไมก็ตาม แตหากไมมีหลักฐานโฉนดที่ดินก็ตีความวาเปน “ปา” ตกอยูใน สิ ท ธิ อํ า นาจของรั ฐ ตามกฎหมาย นอกจากนี้ ยั ง กํ า หนดชนิ ด ไม ของป า หวงห า ม และควบคุ ม กิ จ กรรมการทํ า ไม
13
โดยเฉพาะทําไมสัก ไมยางและเก็บหาของปาและกิจกรรมพัฒนาตางๆในเขตปา การเสียคาภาคหลวง และหามการตัด ไมที่ใกลสูญพันธุ/กรมปาไม พ.ศ. 2490 รัฐตั้งองคการอุตสาหกรรมปาไม (อ.อ.ป. Forestry Industry Organization: FIO) ซึ่งเปน หนวยงานหลักในการสัมปทานและจัดการผลประโยชนการทําไมแกรัฐ มีพื้นที่ปามากกวารอยละ 60 /พื้นที่ปา หรือที่ดิน ที่ยังไมไดมาซึ่งตามกม.ที่ดินนั้นรัฐเปนกรรมสิทธิ์หรือเจาตามกฎหมาย รวมทั้งตนไม ของปาที่สําคัญทางการคา การใช ประโยชนจากพื้นที่ปา และของปาที่ระบุตองขออนุญาตและเสียคาภาคหลวง พ.ศ. 2500 มีการรณรงคใหรัฐบาลสงวนพื้นที่เพื่อการอนุรักษความเปนปาจากรายงานการทําลายจาก FAO สงผลตอนโยบายของการจัดการปาไมไทยโดยหลังจากในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ปญหาการทําลายปามีความ ชัดเจนมากขึ้นในชวงภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ตอมา Dr Loetch ผูเชียวชาญที่องคการอาหารและเกษตรแหง สหประชาชาติไดสงตัวมาชวยสํารวจปาไมสักในประเทศไทย โดยระบุวาปาไมสักของประเทศไทยประสบการบุกรุกแผว ถาง การลักลอบตัดไม จนทําใหเหลือไมสักจริงเพียงสองในสามของปริมาณที่ควรมีอยูตามระบบเลือกตัดของ ดร.แบ รนดิส หากไมแกไขจะทําใหการจัดการปาไมสักไทยสิ้นสุด ซึ่งในชวงเวลาดังกลาว นายแพทยบุญสง เลขะกุล ซึ่งเห็น การทําลายปา และการลาสัตวอยางมาก จึงริเริ่มรณรงคและพยายามพูดคุยกับรัฐบาลใหมีการสงวนพื้นที่ปาเพื่อการ อนุรักษความเปนปา (wilderness area) จนทําใหรัฐบาลตองออกกฎหมายในการอนุรักษหลายๆฉบับในระยะตอมา จะเห็นวาปญหาการจัดการปาของประเทศไทยตั้งแต อดีตถึง พ.ศ. 2500 คือ ขาดแผนการจัดการปาไม (forest management plan) ของปาสัมปทานแตละปา พ.ศ.2503 พ.ร.บ.สงวนและคุมครองสัตวปา กําหนดบริเวณเขตรักษาพันธุสัตวปา หามมิใหผุใดเขาไป ครอบครองยึดถือที่ดิน ตัดโคน แผวถางในเขตที่สงวนไวใหความคุมครองสัตวปาตามบัญชีทานพระราชบัญญัติเปนสัตว ปาคุมครอง และสัตวปาสงวน หามลาสัตวปาสงวนและสัตวปาคุมครองเพื่อการคาและครอบครอง พ.ศ. 2504 พ.ร.บ. อุทยานแหงชาติ เพื่อคุมครองรักษาทรัพยากรธรรมชาติบริเวณพื้นที่ปาที่มีความสําคัญ โดดเดนทางธรรมชาติ พรอ มทั้งกิจ กรรมนันทการและการทองเที่ยว / จัดตั้งพื้น ที่ที่มีความโดดเดน สวยงามทาง ธรรมชาติ แบงโซนจัดการ กําหนดกฎระเบียบในการใชพื้นที่ และทรัพยากรปาไม สัตวปาในพื้นที่/กรมปาไม พ.ศ. 2501 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติ ฉบับที่ 1 แผนแมบทในการพัฒนาประเทศ และจัดจัดตั้ง สํานักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติ จัดโครงการกระทรวง กรมตางๆ การจัดการปาไมอยูในความรับผิดชอบ ของกรมปาไม ภายใตกระทรวงเกษตรและสหกรณ โดยมีเปาหมายในการรักษาปาใหไดรอยละ 50 หรือ 162 ลานไร โดยมุงหวังใหเปนพื้นที่ปาถาวรของประเทศ พ.ศ. 2507 พ.ร.บ. ปาสงวนแหงชาติ พัฒนามาจาก พ.ร.บ.สงวนและคุมครองปา พ.ศ. 2481 แตมีความ เขมขนกวาในแงรองรับการใชอํานาจของรัฐ เพื่อปกปองคุมครองพื้นที่ปาและลดการทําลายปาใหชาลงซึ่งในขณะนั้นปา ถูกทําลายอยางมากมาย โดยเฉพาะที่อยูนอกอุทยานแหงชาติโดยมีเปาหมายรักษาพื้นที่ปาไวที่รอยละ 50 ของพื้นที่ ประเทศ หรือ 156 ลานไร ตามเปาหมายในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 1 ซึ่งตอมาลดลงเหลือรอยละ 40 หรือ 128 ลานไร โดยมีเปาหมายใหเปนปาอนุรักษ 15 เปอรเซ็นต และปาเศรษฐกิจ 25 เปอรเซ็นต กฎหมายฉบับนี้เปนการ ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตรจากการควบคุมทรัพยากรมาสูการควบคุมอาณาเขตเปนหลัก โดยการเรงรีบปกปนเขตปาสงวน แหงชาติและพื้นที่คุมครองใหเร็วขึ้น การปกปนเขตพื้นที่ปาสงวนไดรวมหมูบานที่มีมานานแลว ชุมชนทองถิ่นพื้นเมือง ไวหลายแหงและในขณะเดียวกันไมสามารถปองกัน “การบุกรุก” จากที่เรรอนหาที่ตั้งถิ่นฐานได ,โดยใชทรัพยากรปาไม ตอบสนองทางดานเศรษฐกิจมากกวาที่จะเปนการจัดการทรัพยากรอยางยั่งยืน และในทางปฏิบัติการมักเกิดปญหา มากมาย ซึ่งเปนสวนหนึ่งที่มีผลตอความลมเหลวของการจัดการปาไมในระยะตอมา พ.ศ. 2510-2520 เร ง พั ฒ นาโครงสร า งพื้ น ฐานทุ ก ด า น ส ง เสริ ม ปลู ก พื ช เชิ ง เดี่ ย วเพื่ อ การส ง ออก พั ฒ นา โครงสรางพื้นฐานของประเทศ โดยการตัดถนน สรางเขื่อน จัดทํานิคมสรางตนเอง และในชวงดังกลาวนี้ เกิดสงครามใน แถบอินโดจีนรุนแรง จึงมีการตัดถนนเพื่อความมั่นคง มีนโยบายการสูรบปราบปรามระบบคอมมิวนิสต และยังคง
14
ดําเนินการใหเอกชนสัมปทานปาไมอยู ตอมาภายหลังสงครามอินโดจีนเรงสงเสริมการปลูกพืชไร “คลื่นพืชเศรษฐกิจ” ไดแก ออย ขาวโพด ปอ มันสําปะหลัง ถัวเหลือง พรอมทั้งการขยายพื้นที่ปลูกขาว ซึ่งเปนการเปลี่ยนแปลงจากระบบ เศรษฐกิจทองถิ่นสูระบบตลาดมากขึ้น แตผุที่ไดกําไรรายใหญจริงๆ กลับเปนพวกพอคาและเจาหนี้ซึ่งมักเปนผุจัดการ ใหมีการถางปาและปลูกพืชในพื้นที่ที่เคยเปนปา โดยมีความพยายามใหไดสิทธิที่ดินในอนาคต (เบรนเนอรและคณะ 2543) ซึ่งเรียกยุคนี้วา “ยุคปาแตก” ซึ่งปาไมถูกทําลายมากในชวงป พ.ศ. 2519-2521 อยางไรก็ตาม ในพ.ศ. 2511 รัฐบาลกําหนดให วันที่ 26 ธันวาคม ของทุกป เปนวันคุมครองสัตวปาแหงชาติ พ.ศ. 2520 -2530 สงเสริมรณรงคการปลูกสรางสวนปาภาคเอกชน และพัฒนาแหลงพลังงาน พรอมๆกับ กําหนดนโยบายปาไมแหงชาติ ในชวงนี้ อัตราการทําลายปาของประเทศไทยยังมีอัตราที่สูงอยางตอเนื่องจากการ ขยายตัวของพืชเศรษฐกิจ อัตราการลดลงของพื้นที่ปาของประทศไทยในชวงป พ.ศ. 2519-2525 มีอัตราที่รอยละ 3.85 เปนอัตราลดลงสูงสุดของประเทศเขตรอนทั่วโลก จึงมีนโยบายและเงื่อนไขใหผูรับสัมปทานปาปลูกปาทดแทน แตใน ขณะเดียวกันนั้นรัฐเริ่มมีการสงเสริมและใหสัมปทานพื้นที่เพื่อการปลูกภาคเอกชนโดยเพื่ออุตสาหกรรมโดยเฉพาะ อุตสาหกรรมเยื่อกระดาษ ชิ้นไมสับ โดยรัฐบาลพยายามที่จะลดพื้นที่สัมปทานปาธรรมชาติลงกวาครึ่งหนึ่ง เพื่อรักษา ปาธรรมชาติ แตยังคงมีการลักลอบทําไมอยางผิดกฎหมาย และขณะเดียวกันยังมีความพยามการสรางเขื่อนขนาดใหญ เพื่อใชผลิตไฟฟาเพื่อตอบสนองการใชพลังงานของภาคอุตหสกรรมตางๆที่กําลังเจริญเติบโตอยางรวดเร็ว จนเกิด กระแสการอนุรักษขึ้นอยางกวางขวางใน ประเทศไทย กรณีโครงการกอสรางเขื่อนน้ําโจนในเขตรักษาพันธุสัตวปาทุง ใหญนเรศวร ในป พ.ศ. 2529 พ.ศ. 2528 นโยบายปาไมแหงชาติ ในขณะนั้นประเทศไทยมีพื้นทีปาเหลือ 93 ลานไร หรือรอยละ 29 ของ พื้นที่ประเทศ ซึ่งในขณะนั้นรัฐบาลไทยระบุวาประสบปญหาหลักดานทรัพยากรปาไม 3 ประการ คือ อัตราการบุกรุก ทําลายปายังสูง ความขัดแยงในการใชที่ดิน และยังมีความตองการในการใชเนื้อไมที่เพิ่มขึ้น จึงตองการใหมีการพัฒนา นโยบายปาไมแหงชาติขึ้นโดยมีเปาหมายเพื่อใหมีแผนแมบทปาไม (Master plan) และมีกลไกการประสานแผนงาน ทรัพยากรปาไมและทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ ทั้งที่ดิน แหลง และแรธาตุ โดยนโยบายปาไมแหงชาติไดระบุขอนโยบาย ไว 20 ขอ โดยมีขอสําคัญหลักอยู 2 ประการ คือ ประการแรกกําหนดใหมีพื้นที่ปาไมทั่วประเทศอยางนอยรอยละ 40 ของพื้นที่ เปนปาอนุรักษ 15 %และปาเศรษฐกิจ 25 %ประเทศ ตามเจตนารมณของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 1 ดังนั้นใน สวนพื้นที่ปาเศรษฐกิจกรมปาไมจึงยังคงใหสัมปทานเนื้อที่ปาธรรมชาติ 13 % อีก 12 %เปนกิจกรรมปลูกสรางสวนปา เพื่อใหสอดคลองกับเปาหมายจึงมีนโยบายที่สําคัญประการที่สองคือเรงสงเสริมการปลูกปา ซึ่งเปนการมองคุณคาแต เพียงสถานเดียวคือ “เนื้อไมและปริมาณไม” และเปนนโยบายที่กําหนดวัตุประสงคไปตามกระแสการพัฒนาที่เปนอยู เฉพาะดานคือ เพื่อประโยชนในการอุตสาหกรรมและการสงออก เชน อุตสาหกรรมกระดาษโดยการสงเสริมการปลูกปา ประเภทไมโตเร็วเพื่อเนนตอบสนองอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังคงหลักการเหมือนกับการจัดการปาที่ผานมาคือ การใช ประโยชนจากปาดานเศรษฐกิจ เปนหลัก แตที่เพิ่มเติม โจทยเขามาคือ จะทําอยางไรที่จะใหธุรกิจเอกชนเขามาใช ประโยชนจากปาใหมีประสิทธิภาพสูงสุดดวย นอกเหนือจากที่รัฐเคยเปนพระเอกแตผูเดียว แตอยางไรก็ตามประเทศ ไทยก็ใชนโยบายปาไม พ.ศ. 2528 เปนกรอบในการดําเนินการจัดการปา สงผลใหเกิดความขัดแยงในประเด็น การใช ประโยชนที่ดินในเขตปาอยางมาก เชน โครงการปลูกสรางสวนปายูคาลิปตัสของเอกชนโดยรัฐใหเชาพื้นที่ปาสงวน แหงชาติที่ทับซอนซอนที่ทํากินของชาวบานและพื้นที่สาธารณะประโยชนของชุมชนอยูเดิม ซึ่งบังคับใชมาตรการบังคับ ทางกฎหมายภายใต พรบ.ปาสงวนแหงชาติ พ.ศ. 2507 มาตราที่ 16 และ 20 ทําใหเกิดขบวนการตอตานสวนปายูคาลิ ปตัสอยางหนักในภาคอีสาน ซึ่งตอมารัฐพยายามแกไขปญหาดังโดยใชนโยบายการจัดสรรที่ทํากินแกราษฎรภายใต โครงการจัดสรรที่ดินทํากินแกราษฎรผุยากไรในเขตปาสงวนแหงชาติเสื่อมโทรม (คจก.) แตกลับอันนําไปสูความขัดแยง ที่รุนแรงมากขึ้นในระยะตอมา พ.ศ. 2532 ยกเลิกการทําสัมปทานปาไม เกิดแผนแมบทปาไม และเกิดกระแสการพัฒนาปาชุมชน เนื่องจาก ยังมีการทําไมผิดกฎหมายมาอยางตอเนื่อง จนเกิดภัยพิบัติ วาตภัย และแผนดินถลมในภาคใตปลายป พ.ศ. 2531 เกิด
15
การสูญเสียชีวิต ทรัพยสินจํานวนมาก สื่อตางๆมีการประโคมขาวเกิดจากการทําไม จนเกิดกระแสการอนุรักษภาค ประชาชนที่ทําใหรัฐบาลตองยกเลิกการสัมปทานการทําไม ประเทศไทยตองพึ่งพาทรัพยากรปาไมจากประเทศเพื่อน บานอยางหนักโดยเฉพาะมาเลเซีย กัมพูชา ลาว และพมา ในขณะเดียวกันในไทยการทําลายปาก็ยังดําเนินตอไปดวย การขยายโครงสรางพื้นฐาน การเปลี่ยนแปลงปาธรรมชาติที่อางวาเปนปาเสื่อมโทรมเปนการปลูกสรางสวนปา และการ ลักลอบทําไมอยางผิดกฎหมาย พ.ศ. 2533 เกิดแผนแมบทปาไม ที่ไดรับการชวยเหลือและความรวมมือจากผูเชียวชาญประเทศฟนแลนดมา จัดทําแผนแมบท และมีแผนงานจัดสรรที่ทํากินใหกับชาวบานที่มีปญหาทับซอนกับพื้นที่ปาสงวนแหงชาติ ภายใต โครงการจัดที่ดินทํากินใหกับราษฎรผูยากไรในพื้นที่ปาสงวนเสื่อมโทรม หรือโครงการ คจก. โดยทําการสํารวจการถือ ครอง จําแนกพื้นที่การใชประโยชนที่ดินปาไมและอพยพชาวบานออกจากพื้นที่ทํากินและที่อยูอาศัยเดิมซึ่งบางแหงไป ทับซอนกับพื้นที่ชุมชนอื่นๆ โดยมีเปาหมายที่จะนําพื้นที่ที่อพยพชาวบานออกไปแลวใหเอกชนเชาพื้นที่ขนาดใหญเพื่อ ปลู ก สวนป า ประเภทไม โ ตเร็ ว เพื่ อ อุ ต สาหกรรมกระดาษในอั ต ราไร ล ะ 10 บาท ระยะเวลา 30 ป ซึ่ ง ทํ า ให เ กิ ด กระบวนการคัดคานตอตานจากชาวบานอยางกวางขวางโดยเฉพาะภาคอีสาน สงผลใหยกเลิกโครงการดังกลาวในป พ.ศ. 2535 ในขณะเดียวกันนั้นรัฐก็สงเสริมการลงสงเสริมชุมชนการปลูกปาไมโตเร็วในลักษณะสหกรณปลูกปา หรือ การเกษตรพันธะสัญญา (contract farming) และในขณะชวงเริ่มตนดําเนินการตามแผนแมบทในชวงป พ.ศ. 2533 ซึ่งที่ มีทั้งที่สงเสริมการปลูกสวนปาซึ่งกลายเปนประเด็นปญหาดังที่กลาวมาแลวขางตนนั้น ภาครัฐก็มีแผนการประกาศและ ขยายพื้นที่คุมครองครอบคลุมพื้นที่ปาควบคูกันไปดวยซึ่งในขณะนั้นมีชาวบานที่ติดอยูในเขตปาหลายลานคน และ กลายเปนประเด็นจุดชนวนความขัดแยงเรื่องที่ดินทํากินในเขตปาอยางรุนแรงและกวางขวางในทุกภูมิภาคในสังคมไทย โดยเฉพาะภาคเหนือซึ่งมีชุมชนชาติพันธุอาศัยในเขตปาจํานวนมาก ซึ่งตอมาเกิดความเคลื่อนไหวประเด็นเรื่องปา ชุมชนขึ้นในประเทศไทย ซึ่งชุมชนทองถิ่นมีความหวังวาปาชุมชนคือ ทางออกของสังคมไทย ในขณะนั้น พ.ศ. 2534 จึงเกิดโครงการวิจัยเชิงปฏิบัติการในทุกภูมิภาคเรื่อง “ปาชุมชนในประเทศไทย: แนวทางการ พัฒนา” โดยความรวมมือของมหาวิทยาลัยเชียงใหม มหาวิทยาลัยขอนแกน สถาบันชุมชนทองถิ่นพัฒนา (LDI) รวมกับ องคกรพัฒนาเอกชน พ.ศ. 2535 พ.ร.บ. สวนปา และ การจําแนกพื้นที่การใชประโยชนในพื้นที่ปาสงวนแหงชาติ จําแนกชั้น คุณภาพลุมน้ํา เพื่อเปนการสนับสนุนโยบายการพัฒนา “ปาเศรษฐกิจ” (พื้นที่ปาที่สามารถใชประโยชนทางเสรษฐกิจได หรือเปนปาที่มีการอนุญาตใหทําไมออกโดยการสัมปทานได หรืออนุญาตใหมีการนําทรัพยากรธรรมชาติอยางอื่น ออกมาใชประโยชนได) ใหไดตามเปาหมายที่วางไวที่รอยละ 25 นโยบายปาไมแหงชาติ พ.ศ. 2528 เพื่อสงเสริม กิจการปลูกสรางสวนปาเพื่อการคาในที่ดินของรัฐที่เปนปาเสื่อมโทรมและที่ดินของเอกชน และคุมครองสิทธิการทําไม หวงหามที่ไดจากการปลูกสรางสวนปา เปาหมายการทําสวนปาคือ มุงเนนเพิ่มพื้นที่ทําไมใหมีปริมาณมากขึ้นและเปน แหลงวัตถุดิบสําหรับอุตาหกรรมเยื่อกระดาษภายหลังจากยกเลิกการสัมปทานปาไม ทั้งนี้ยังมีมาตราการสงเสริมสําหรับ ผูทําสวนปาดวยการใหสิทธิพิเศษ ใหไดรับการยกเวนการชําระคาภาคหลวง และไมตองอยูภายใตบังคับตาม พ.ร.บ.ปา ไม 2484 แล พ.ร.บ.ปาสงวนแหงชาติ พ.ศ. 2507 พ.ศ. 2535 มีการประชุม Earth Summit ของสหประชาชาติวาดวยสิ่งแวดลอมและการพัฒนา หรือ แนวคิด การพัฒนาอยางยั่งยืน นครริโอ เดอจาเนโร ประเทศ บราซิล เกิดอนุสัญญาวาดวยความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่ง ประเทศไทยเขารวมเปนอนุภาคี และใหความสําคัญกับการอนุรักษความหลากหลายทางชีวภาพ จึงเปลี่ยนแปลง สั ด ส ว นเป า หมายที่ จ ะมี พื้ น ที่ ป า ระหว า งพื้ น ที่ ป า อนุ รั ก ษ และป า เศรษฐกิ จ จากเดิ ม มี เ ป า หมายป า เศรษฐกิ จ 25 เปอรเซ็นต และปาอนุรักษ 15 เปอรเซ็นต เปนลดพื้นที่ปาเศรษฐกิจเหลือ 15 เปอรเซ็นต และเพิ่มพื้นที่ปาอนุรักษเปน 25 เปอรเซ็นต ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 7 ซึ่งในขณะนั้นยังมีพื้นที่ปาอนุรักษตามกฎหมายทั้งอุทยาน แหงชาติ เขตรักษาพันธุสัตวปา เหลือจริงเพียง 12.5 เปอรเซ็นต ดังนั้นจึงมีนโยบายใหจําแนกเขตชั้นคุณภาพลุมน้ําเพื่อ เพิ่มพื้นที่อนุรักษหากเปนแหลงตนน้ํา หรือชั้นคุณภาพลุมน้ํา 1 เอ ตาม มติครม. จัดชั้นคุณภาพลุมน้ําในระยะตอมา
16
สงผลใหชาวบานติดอยูในพื้นที่อนุรักษเพิ่มขึ้นอีกจํานวนหนึ่ง พรอมทั้งจําแนกเขตการใชประโยชนทรัพยากรและที่ดิน ปาไมในพื้นที่ปาสงวนแหงชาติ ออกเปนปาอนุรักษ (โซนซี) ปาเศรษฐกิจ (โซน อี) และพื้นที่เหมาะสมตอการเกษตร (โซน เอ) ซึ่งทําใหกรมปาไมสงมอบพื้นที่ปาสงวนเสื่อมโทรมใหกับสํานักงานปฎิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม (สปก.) พ.ศ. 2536 นโยบายปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม พรอมกับสนับสนุนใหเกษตรกรปลูกตนไมในพื้นที่ตนเอง ซึ่งทําใหกรมปาไมสงมอบพื้นที่ปาสงวนเสื่อมโทรมโซนเอในป พ.ศ. 2536 จํานวน 7 ลานไร และปาสงวนเสื่อมโทรม โซนอี ในป พ.ศ. 2537 อีก จํานวน 37 ลานไร รวมพื้นที่ปาเสื่อมโทรมที่นําไปจัดสรรเปนเนื้อที่กวา 44 ลานไรใหกับ สํานักงานปฎิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม (สปก.) โดยมีเปาหมายเพื่อลดความขัดแยงกับคนในทองถิ่นในเรื่องสิทธิการ ใชที่ดิน ลดการแผวถาง และเพิ่มผลผลิตไมที่มีคาทางเศรษฐกิจ ใหการภาครัฐใหการสนับสนุนดานการเงินไรละ 3,000 บาทตอ 5 ป พ.ศ. 2537 พรบ.องคการบริหารสวนตําบล และเริ่มโครงการปลูกปาเฉลิมพระเกียรติ มีการจัดตั้งองคการ บริหารสวนตําบลเพื่อที่จะบริหารและพัฒนาทองถิ่น ซึ่งเปนแนวทางการกระจายแผนงานที่เดิมทําจากสวนกลางใหเป นภาระกิจของทองถิ่น และในป พ.ศ. 2537 เปนปที่พระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัวทรงครองราชครบ 50 ป จึงเกิด โครงการปลูกปาถาวรเฉลิมพระเกียรติฯ ทั่วทุกภูมิภาค โดยภาคธุรกิจเอกชนเขามีสวนรวมในการปลูกปาถาวรเฉลิม พระเกียรติฯ ซึ่งเกิดกระบวนการพัฒนา CSR ขึ้นในชวงเวลาดังกลาว โดยมีเปาหมาย 5 ลานไรทั่วประเทศ เพื่อฟนฟู ระบบนิเวศปาไม และแหลงตนน้ําลําธาร โดยกวารอยละ 65 ของพื้นที่เปาหมายเนนที่ภาคเหนือ พ.ศ. 2539 กระแสรณรงคปาชุมชนอยางกวางขวาง บวชปา 50 ลานตน และราง พรบ. ปาชุมชน เครือขายเกษตรกรภาคเหนือตอนบน ไดจัดทําแผนการฟนฟูปา และการคุมครองปาใหชื่อวา “การบวชปา 50 ลานตน โดยคัดเลือกปาชุมชน 100 แหง ครอบคลุมพื้นที่ 160,000 ไร เพื่อเปนกิจกรรมรณรงคเรื่อง ปาชุมชนในสังคมไทย พ.ศ. 2540 มีการประกาศใชรัฐธรรมนูญใหม -ใหสิทธิบุคคล และชุมชนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และ สิ่งแวดลอม มาตรา 78 , 282 -290 ใหกระจายอํานาจใหแกองคกรปกครองสวนทองถิ่นเพื่อเสริมสรางความหลากหลาย ทางสังคม วัฒนธรรม และความหลากหลายทางชีวภาพ และเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการและการใชทรัพยากร โดยใหมีการออกกฎหมายวาดวยการกระจายอํานาจตอไป จัดตั้งองคกรอิสระ เชน คณะกรรมการสิทธิม นุษยชน แห งชาติ (ป 44) สภาที่ป รึ ก ษาเศรษฐกิ จ และสั ง คมแห ง ชาติ พอช.(ป 43) โดยรวมทั้ ง 3 หนว ยงานซี ง มี บ ทบาท สนับสนุนชุมชนในการจัดการทรัพยากรปาไม และใหคําแนะนําปรึกษาแกภาครัฐ เกิดกระบวนการรณรงค พรบ.ปา ชุมชน พ.ศ. 2541 มีมติคณะรัฐมนตรี 30 มิถุนายน พ.ศ.2541 จากการที่รัฐสงเสริมพืชพลังงงานทดแทน ยางพารา และมีจากปญหาความขัดแยงที่ดินปาไม โดยเฉพาะชุมชนที่อยูในพื้นที่ปาที่ถูกเรงประกาศเปนพื้นอนุรักษทําใหเกิดการ ทับซอนของพื้นที่อนุรักษกับพื้นที่ทํากินชาวบาน รัฐจึงออก มติ ครม. 30 มิ.ย. 2541 เพื่อที่จะทําการสํารวจ พิสูจนสิทธิ์ หากอยูกอนประกาศเขตอนุรักษก็จะรวมกําหนดเขตผอนปรนพื้นที่ทํากินในพื้นที่อนุรักษ แตในทางปฎิบัติยังมีปญหา มากมายโดยเฉพาะหลักฐานทั้งแผนที่ภาพถายที่ใชในการพิสูจนวาจะใชชวงปไหนเพราะแตละพื้นที่อนุรักษมีการ ประกาศแตกตางกันไป ในขณะเดียวกันนั้นจากเหตุประเทศไทยประสบภาวะเศรษฐกิจอันเนื่องมากจากหลายสาเหตุ พรอมกับประสบภาวะวิกฤติพลังงาน น้ํามันจึงมีนโยบายสงเสริมการปลูกพืชพลังงานทดแทน พลังงานชีวมวล เชน ปาลมน้ํามัน มันสําปะหลัง ออย ไมโตเร็ว รวมทั้งยางพารา ทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลงการใชที่ดิน รวมทั้งการบุกรุก พื้นที่ปาสงวนแหงชาติ พ.ศ. 2542 พ.ร.บ. กําหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอํานาจ กําหนดการถายโอนภารกิจและงบประมาณ จากสวนกลางไปยังหนวยงานปกครองสวนทองถิ่นกวา 7,857 แหง โดยตองถายโอนภารกิจทั้งหมด จํานวน 245 ภารกิจ ภายในสิบป (พ.ศ. 2544-2553) รวมทั้งภาระกิจดานการจัดการทรัพยากรสิ่งแวดลอม 35 เรื่อง ที่สําคัญเกี่ยวกับ การจัดการทรัพยากรปาไม 2 ภาระกิจ คือ การดูแลรักษาปา และการจัดการไฟปา
17
พ.ศ. 2545 พ.ร.บ. ปฏิรูประบบราชการ และเนนนโยบายการฟนฟูระบบนิเวศปาไม 25 ลุมน้ํา มีการ ปรับเปลี่ยนระบบราชการกลาวคือ หนวยงานที่รับผิดชอบการจัดทรพยากรปาไม เดิมมี 1 กรมคือ กรมปาไม ภายใต สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ และมีการปฏิรูปตามกฎหมายฉบับนี้ใหมี 3 หนวยงาน คือ กรมปาไมรบั ผิดชอบ และ จัดตั้งกรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพัน ธูพืช รวมถึงกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝง สังกัดกระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม มีโครงการเกี่ยวกับการฟนฟูปาตอเนื่องมากจากป พ.ศ. 2537 ทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน ทงการปลูกปา จัดทําฝายชะลอน้ํา กรมปาไมมีโครงการสนับสนุนปาชุมชนซึ่งอยูในพื้นที่ปาสงวนแหงชาติ แหง พ.ศ. 2547 เกิดโครงการจัดการพื้นที่คุมครองอยางมีสวนรวม(Joint Management of Protected AreaJoMPA) ซึ่งเปนโครงการความรวมมือของรัฐบาลเดนมารกรวมกับประเทศไทยโดยมีพื้นที่โครงการในพื้นทีคุมครอง กระจายในประเทศไทย โดยการดําเนินโครงการภายใตความรวมมือขององคกรพัฒนาเอกชน กรมอุทยานแหงชาติ และ ชุมชนในเขตพื้นที่คุมครองนั้นๆ พ.ศ. 2550 รัฐธรรมนูญใหม มาตราที่ 66 ระบุใหสิทธิชุมชน ชุมชนทองถิ่นในการจัดการ การบํารุงรักษา และ การใชประโยชนจากทรัพายกรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมอยางสมดุลและยั่งยืน
2.3
กลไกการคุมครองระบบนิเวศปาไมตาม IUCN
การจัดการพื้นที่อนุรักษในปจจุบัน อาศัยรูปแบบจากอุทยานแหงชาติแหงแรกของโลก คือ เยลโลสโตนของ สหรัฐอเมริกา ซึ่งจัดตั้งเมื่อป พ.ศ.2415 กอนตั้งอุทยานแหงชาติเยลโลสโตนนี้ ความจริงมีชนเผาอินเดียนแดงอยูกันมา หลายพันป ไดแก เผาโชโชน, โคร และแบลกฟุต แตในสายตาของคนผิวขาวที่อพยพเขาไปในตะวันตกของอเมริกา ถือ วายังเปนปาบริสุทธิ์ดั้งเดิม จึงตั้งเปนอุทยานแหงาติขึ้น เพื่อรักษาความเปนปาดั้งเดิม (wilderness) ไว ชนเผา อินเดียนแดงดั้งเดิมถูกกํา ลังทหารขับไลออกไป อุทยานแหงชาติที่ตั้งขึ้นนี้ หามมิใหผูใดอาศัยอยู ยกเวนก็เฉพาะ เจาหนาที่อุทยานเทานั้น ประเทศตาง ๆ ตอมารับรูปแบบเยลโลสโตนนี้ไปจัดทําพื้นที่อนุรักษกันแพรหลาย ในรูปแบบ อุทยานแหงชาติ หรือเขตรักษาพันธุสัตวปา โดยเฉพาะอยางยิ่งทํากันมากหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 คือ หลัง พ.ศ.2500 และพื้ น ที่ อ นุ รั ก ษ เ พิ่ ม ปริ ม าณมากที่ สุ ด คื อ หลั ง ป พ.ศ.2515 หรื อ เพี ย งประมาณ 20 ป ม านี้ เ อง พื้ น ที่ อ นุ รั ก ษ มี ความหมายมากกวาอุทยานแหงชาติ หรือเขตรักษาพันธุสัตวปา หรือปาตนน้ําที่ทํากันอยูในขณะนี้ เมื่อพูดถึงวัตถุประสงคของการอนุรักษในพื้นที่อนุรักษ สวนใหญมักจะพูดถึงการรักษาระบบนิเวศธรรมชาติ ความหลากหลายทางนิเวศวิทยา ทรัพยากรพันธุกรรม อนุรักษดินและน้ํา เพื่อการศึกษาวิจัย และนันทนาการ ที่มักไม พูดถึงก็คือ การอนุรักษมรดกทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ มนุษยเผาพันธุดั้งเดิมตาง ๆ ที่มีภาษาและวัฒนธรรมของ ตนเอง ก็ถือเปนมรดกทางวัฒนธรรม ความจริงแลวคํานิยามก็คือ " พื้นที่อนุรักษ คือ พื้นที่ซึ่งกันไวเพื่อคุมครองความ หลากหลายทางชีวภาพและทรัพยากรทางธรรมชาติ และวัฒนธรรมที่มีอยูในพื้นที่นั้น ซึ่งมีการจัดการโดยวิธีทาง กฎหมายและวิธีอื่น ๆ " IUCN (The World Conservation Union) และคณะกรรมาธิการวาดวยอุทยานแหงชาติและพื้นที่อนุรักษ (Commission on National Parks and Protected Areas - CNPPA) ระบุวา การจัดการพื้นที่อนุรักษไมใชใชกฎหมาย แตเพียงอยางเดียว โดย พ.ศ.2521 แบงพื้นที่อนุรักษออกเปน 6 ประเภท อันเปนผลสืบเนื่องจากการประชุมสภาโลกวา ดวยอุทยานแหงชาติ และพื้นที่อนุรักษครั้งที่ 4 ณ กรุงคาราคัส ประเทศเวเนซุเอลา ซึ่งมีผูเขารวมประชุม 1,800 คน จาก 130 ประเทศ คือ พื้นที่อนุรักษประเภทตาง ๆ จากการประชุมสภาโลกวาดวยอุทยานแหงชาติและพื้นที่อนุรักษครั้ง ที่ 4
18
• พื้นที่อนุรักษประเภท I - ที่สงวนทางธรรมชาติอยางเขมงวด / พื้นที่ดั้งเดิมที่ รักษาความเปนปาไว (Strict Nature Reserve / Wilderness Area) • พื้นที่อนุรักษประเภท II - อุทยานแหงชาติ (National Park) • พื้นที่อนุรักษประเภท III - บริเวณที่มีลักษณะเดนเฉพาะในทางธรรมชาติ และ/หรือวัฒนธรรม (Natural Monument) • พื้นที่อนุรักษประเภท IV - พื้นที่ซึ่งจัดการถิ่นที่อยู และสิ่งมีชีวิต (Habitat / Species Management Area) • พื้นที่อนุรกั ษประเภท V - พื้นที่อนุรักษภูมิทัศน (Protected Landscape / Seascape) • พื้นที่อนุรักษประเภท VI - พื้นที่อนุรักษที่มีการจัดการทรัพยากรอยางยั่งยืน (Managed Resource Protected Area) พื้นที่อนุรักษที่จัดทํามากที่สุด คือ ประเภทที่ II และ IV อันไดแกอุทยานแหงชาติกับเขตรักษาพันธุสัตวปา พื้นที่อนุรักษประเภทที่ VI นี้ เปนระบบนิเวศธรรมชาติที่ไมถูกเปลี่ยนสภาพ มีการจัดการเพื่อปกปองและธํารงไวซึ่ง ความหลากหลายทางชีวภาพ ขณะเดียวกันเพื่อชุมชนไดใชประโยชนอยางยั่งยืน แตในอนาคตพื้นที่อนุรักษประเภทนี้ จะมีบทบาทสําคัญยิ่งที่จะเปนเครื่องมือ VI อาจเปนสวนหนึ่งของเขตกันชน (buffer Zone) หรือทําอยูในบริเวณที่เปน แกนกลาง (core zone) ใกลหมูบานที่ติดอยูในปาอนุรักษ โดยทําหนาที่เปนกันชน ปกปองแกนกลาง และชวยบรรเทา ความทุกขยากของชุมชนที่ยังตองพึ่งพิงทรัพยากรจากปา การใชประโยชนจากปาอนุรักษประเภทที่ VI นี้อยูบนพื้นฐาน ของความยั่ งยืน ชุมชนจึงต องมีสวนรวมอยางแทจ ริง ซึ่งรวมถึงการมีสวนรวมในการจัดการ และพิทักษรั กษาปา
19
3. สถานการณความเปลี่ยนแปลงเนื้อที่ ปาไมในรอบ 50 ป จากการสืบคนขอมูลพื้นที่ปาไมจากฐานขอมูลกรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช และกรมปาไม พบวาเนื้อที่ปาไมตามขอมูลนี้หมายถึง เนื้อที่ปาชนิดตางๆ ไดแก ปาดงดิบ ปาสน ปาชายเลน ปาชายเลน ปาเบญจ พรรณ ปาเต็งรัง ปาเต็งรังแคระแกร็น ปาพรุ ปาไผ และสวนปา ไมวาจะอยูในเขตปาสงวนแหงชาติอุทยานแหงชาติ เขต รักษาพันธุสัตวปา ปาโครงการ ปาสัมปทาน หรือเนื้อที่ปาแหงอื่นๆ ที่เดิมสามารถแปลตีความไดจากภาพดาวเทียม LANDSAT - TM แตไมรวมถึงเนื้อที่สวนยางพารา และสวนผลไม โดย มีหนวยเปนตารางกิโลเมตร และคํานวณ % ของพื้นที่เทียบกับพื้นที่ประเทศไทย ภาค และจังหวัดตางๆ โดย มีขอมูลเนื้อที่ปาดังกลาวนับถึงปจจุบัน 17 ป ไดแก เนื้อทีปาไม พ.ศ. 2504, 2516, 2519, 2521, 2525, 2528, 2531, 2532, 2534, 2536, 2538, 2541, 2543, 2547, 2548, 2549, และ 2552
% เนื้อที่ปาเทียบกับเนื้อที่ประเทศไทย 60 50 40 30
% เนื้อที่ปา
20 10
2552
2549
2548
2547
2543
2541
2538
2536
2534
2532
2531
2528
2525
2521
2519
2516
2504
0
แผนภูมิที่ 3- 1 เปรียบเทียบเนื้อที่ปาไมจากขอมูลที่มีการสํารวจในป 2504 - 2552
3.1 สถานการณเนื้อที่ปาไมในรอบ 50 ปที่ผานมาของประเทศไทย ขอมูลดังกลาวแจกแจงจํานวนพื้นที่ เปนจํานวนตารางกิโลเมตรเทียบเปน % ของพื้นที่ประเทศไทย และขอมูล พื้นที่เทียบเปน % ของแตละภาค แยกเปน ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคใต โดยเทียบพื้นที่ทั้งประเทศ พบวาปจจุบันเนื้อที่ปาไมประเทศไทยมีการสํารวจลาสุดถึงป 2552 มีเนื้อที่ 171,585.65
20
ตารางกิโลเมตร หรือ 33.44 % ลดลงจาก ขอมูลในป 2504 ซึ่งเปนขอมูลที่มีการสํารวจโดยวิธีการแปลภาพถาย ดาวเทียมในปแรกที่มีการจัดเก็บขอมูล ที่มีเนื้อที่ 273,629.00 ตารางกิโลเมตร หรือ 53.33 % ถึง 102,043.35 ตาราง กิโลเมตร หรือ 19.89 % หรือลดลงไปถึงรอยละ 37.3 ของพื้นที่ปาไมที่เคยมีในป 2504 ทั้งนี้ขอมูลเนื้อที่ปาไมในปจจุบัน ไดมีการปรับเปลี่ยนวิธีการแปลภาพถายดาวเทียม ใหสามารถตรวจสอบ พื้นที่ปาในพื้นที่เล็กๆ ไดมากขึ้นแลวนับจากป 2543 ทําใหขอมูลเนื้อที่ปาไม ในป 2543 มีเนื้อที่ถึง 33.15% (170,110.789 ตารางกิโลเมตร) มากกวาขอมูลในป 2541 ที่มีเนื้อที่ปาไม 25.62% (131,485.00 ตารางกิโลเมตร) ถึง 7.87% (40,388.78 ตารางกิโลเมตร) ดังนั้นหากประมาณการเปลี่ยนแปลงเนื้อที่ปาไม ตั้งแตป 2504 จนกระทั่งถึงป 2541 ซึ่งเปนขอมูลในการแปล ภาพถายในวิธีการที่เทียบเคียงกันไดจริงในชวง ราว 40 ป พบวาประเทศไทยควรมีเนื้อที่ปาไมลดลงถึง 143,907 ตารางกิโลเมตร หรือ 28.25 % ของพื้นที่ประเทศไทย หรือลดลงไปรอยละ 52.97 ของพื้นที่ปาไมที่เคยมีในป 2504 ในการศึกษาขอมูลเนื้อที่ปาพบวา เนื้อที่ปาไมเมื่อเทียบกับเนื้อที่ประเทศไทยลดลงไป 10.12 % ในชวงป 2504-2516 (12 ป) และ ลดลง 4.54 %, 4.52 %, และ 3.9 % จากการสํารวจเนื้อที่ปา ในป 2519, 2521, และ 2525 จะ เห็นวาอัตราเฉลี่ยของการลดลงของพื้นที่ปาไมมากที่สุดจะอยูในชวงป 2519-2521 ที่มีอัตราการลดลงเฉลี่ยปละ 2.26 % หรือ 11,596.4 ตารางกิโลเมตร หลังจากนั้นอัตราการลดลงของพื้นทีปาไมจะลดลง 0.85 %. 1.37 %, 0.08 %. 1.31 %, 0.61 %, 0.41 %, 0.34 % จากการสํารวจเนื้อที่ปาไม ในป 2528, 2531, 2532, 2534, 2536. 2538, และ 2541 โดย ชวงนี้อัตราเฉลี่ยของการลดลงของพื้นที่ปาไมมากที่สุดจะอยูในชวงป 2532-2534 ที่มีอัตราลดลงเฉลี่ยปละ 0.66 % หรือ 3,360.9 ตารางกิโลเมตร 10 5 0 2516 2519 2521 2525 2528 2531 2532 2534 2536 2538 2541 2543 2547 2548 2549 2552
พื ้นที่ลดลง
‐5 ‐10 ‐15
แผนภูมิที่ 3-2 เปรียบเทียบเนื้อที่ปาไมที่ลดลงเปน % เมื่อเทียบกับเนื้อที่ประเทศไทยจากขอมูลที่มีการสํารวจในป 2504-2552
หลังจากการปรับวิธีการสํารวจเนื้อที่ปาในป 2543 ที่ทําใหเนื้อที่ปาไมเพิ่มขึ้นจากขอมูลป 2541 ถึง 7.87 % แตหลังจากนั้นก็ยังมีอัตราการลดลงของพื้นที่ปาไมอยางตอเนื่อง 0.49 %, 1.28 %, 0.46 % จากขอมูลเนื้อที่ปาไมเทียบ กับเนื้อที่ประเทศไทยในป 2547, 2548, และ 2549 โดยในป 2548-2549 ยังมีอัตราลดลงของเนื้อที่ปาไมถึง 1.28 % หรือ 6,567.87 ตารางกิโลเมตร แตทั้งนี้นาจะเกิดจากวิธีการสํารวจเนื้อที่ที่สํารวจพบเนื้อที่ที่ลดลงไดมากขึ้น อยางไรก็
21
ตาม จากขอมูลในป 2552 พบวาเนื้อที่ปาไมประเทศไทย มีเนื้อที่เพิ่มขึ้น 2.52 % หรือ 128.809.85 ตารางกิโลเมตร จากป 2549 หรือเพิ่มขึ้นในอัตราเฉลี่ย 0.84 % ตอป ตารางที่ 3.1 แสดงขอมูลเนื้อที่ปาไมในประเทศไทยตั้งแต พ.ศ. 2504 ตามปที่มีขอมูล จนถึงป 2552 โดย แสดงเนื้อที่และ % พื้นที่ปาเทียบกับพื้นที่รายภาคไวดวย ตารางที่ 3-1 แสดงเนื้อที่ปาของประเทศไทย ป 2504-2552 ข อ มู ล ลดลง พื้นที่ปาแยกรายภาค (%) เทียบกับพื้นที่ภาคตางๆ พื้นที่ปา เหนือ ลดลง ตะวันออกเฉียงเหนือ ลดลง ตะวันออก ลดลง กลาง ประเทศ ไ ท ย (%) 2504 2516
53.33 43.21
10.12
68.54
41.99
66.96
1.58
57.98
30.01
11.98
2519
38.67
4.54
60.32
6.64
24.57
2521
34.15
4.52
55.96
4.36
2525
30.25
3.9
51.73
2528
29.40
0.85
2531
28.03
2532
ลดลง
ใต
ลดลง
41.89 26.07
15.82
52.91
41.19
16.79
35.56
17.35
5.44
34.60
6.59
32.38
3.18
28.48
+2.77
18.49
6.08
30.24
4.36
30.31
2.07
24.89
3.59
4.23
15.33
3.16
21.92
8.32
27.47
2.84
23.25
1.64
49.59
2.14
15.15
0.18
21.89
0.09
26.24
1.23
21.90
1.35
1.37
47.39
2.2
14.03
1.12
21.46
0.43
25.59
0.65
20.69
1.21
27.95
0.08
47.29
0.1
13.97
0.06
21.33
0.03
25.55
0.04
20.65
0.04
2534
26.64
1.31
45.47
1.82
12.91
1.06
21.06
0.27
24.65
0.9
19.02
1.63
2536
26.03
0.61
44.35
1.12
12.72
0.19
20.91
0.27
24.34
0.31
18.11
0.91
2538
25.62
0.41
43.55
0.8
12.59
0.13
20.79
0.12
24.17
0.17
17.61
0.5
2541
25.28
0.34
43.06
0.49
12.43
0.16
20.56
0.23
23.81
0.36
17.15
0.46
2543
33.15
+7.87
56.75
+13.69
15.71
+3.28
23.12
+2.33
31.84
+8.03
24.62
+7.47
2547
32.66
0.49
54.27
2.48
16.64
+0.93
22.57
0.55
31.52
0.32
25.37
+0.75
2548
31.38
1.28
52.69
1.78
15.00
1.64
21.74
0.83
30.68
0.84
24.99
0.38
2549
30.92
0.46
52.09
0.6
14.54
0.46
21.60
0.14
30.50
0.18
24.46
0.35
2552
33.44
+2.52
56.09
+4
16.32
+1.78
21.01
0.59
29.21
1.29
27.03
+2.57
หมาย เหตุ
(คํานวณจาก กรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช, 2553)
22
จากการศึกษาขอมูลดังกลาวสามารถวิเคราะหภาพรวมการเปลี่ยนแปลงในชวง 50 ป ออกเปนสองชวง ใหญๆ ไดแก ในชวง 2504-2525 และ 2528-2549 โดยในชวงขอมูลในชวง 25 ป แรกจะมีอัตราการลดลงของพื้นที่ปาไมเฉลี่ย โดยประมาณ ถึง 1- 2% ตอป เมื่อเทียบกับเนื้อที่ประเทศไทย และหลังจากนั้นในชวงขอมูลป 2525 – 2549 จะมีอัตรา ลดลง ไมถึงปละ 1 % ตอป เมื่อเทียบกับเนื้อที่ประเทศไทย โดยในปจจุบันเชื่อไดวาเนื้อที่ปาไมมีเนื้อที่เพิ่มขึ้นถึงเกือบป ละ 1 % สถานการณความเปลี่ยนแปลงเนื้อที่ปาไมในของประเทศไทย สามารถสรุปเปนตารางเปรียบเทียบขอมูลที่ สําคัญ ตามชวงเวลาได 4 ชวง ไดแก 2504-2516, 2516-2525, 2525-2541,2541-2549 และ 2549-2552 ไดในตารางที่ 1-2 สรุปเปรียบเทียบเปนรายภาคในตารางที่ 1-3 รูปที่ 3-1 – 3-7 แสดงแผนที่เนื้อที่ปาไมประเทศไทยเทาที่สามารถรวบรวมไดจากการศึกษาในปตางๆ ตารางที่ 3-2 สรุปสถานการณความเปลี่ยนแปลงเนื้อที่ปาไมในของประเทศไทย
2504-2516 (7 ป)
2516-2525 (9 ป)
2525-2541 (16 ป)
2541-2549 (9 ป)
2549-2552 (3 ป)
1) พื้นที่ปาไมป 04 1) พื้นที่ปาไมป 16 1) พื้นที่ปาไมป 25 1) พื้นที่ปาไมป 41 1) พื้นที่ปาไมป 49 53.33%
43.21%
30.52%
25.28%
30.92%
2) พื้นที่ปาไม 2) พื้นที่ปาไม 2) พื้นที่ปาไม 2) พื้นที่ปาไม 2) พื้นที่ปาไม ลดลง 10.12 ลดลง 12.96 ล ด ล ง 4.96 43-49 ลดลง เ พิ่ ม ขึ้ น เนื้อที่ประเทศไทย 513,115.02 ตร.กม.
% ในชวงนี้
2.23% ในชวงนี้ 2.5% ในชวงนี้ ( เ ฉ ลี่ ย เ พิ่ ม ป ล ะ 0.88%) 3) ชวงที่พื้นที่ปา 3) ชวงที่พื้นที่ปา 3) ชวงที่พื้นที่ปา 3) – ลดลงม ากที่ สุ ด ป ลดลงม ากที่ สุ ด ป ลดลงมากที่สุด ป 19-21 เฉลี่ยปละ 32-34 เฉลี่ยปละ 47-48 เฉลี่ยปละ 1.28% 2.26% 0.66% % ในชวงนี้
% ในชวงนี้
4) พื้นที่ปาป 52 ลดลงจากป 04 รอย 41ลดลงจาก ละ37.31
4)
พื้นที่ปาป
ป 04 รอยละ 52.97 5) พื้นที่ปาเพิ่มจาก วิ ธี สํ า รวจในป 43 7.87%
5) -
23
รูปที่ 3-1 แผนที่ปาไมของประเทศไทยป 2506 (กองคนควา กรมปาไม, 2506)
24
รูปที่ 3-2 แผนที่เนื้อที่ปาไมป 2516 (จากหนังสือ จากหวงอวกาศสูพื้นแผนดินไทย โดยสํานักงานพัฒนา เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องคกรมหาชน) 2546)
25
รูปที่ 3-3 แผนที่เนื้อที่ปาไมป 2534 (ไมทราบที่มา).
26
รูปที่ 3-4 แผนที่เนื้อที่ปาไมป 2538 (.จากหนังสือ จากหวงอวกาศสูพื้นแผนดินไทย โดย สํานักงานพัฒนา เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องคกรมหาชน) 2546
)
27
รูปที่ 3-5 แผนที่เนื้อที่ปาไมป 2516 (.จากหนังสือ จากหวงอวกาศสูพื้นแผนดินไทย โดย สํานักงานพัฒนา เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องคกรมหาชน) 2546)
28
รูปที่ 3-6 แผนที่เนื้อที่ปาไมป 2547 (กรมอุทยานแหงชาติ http:/dnp.go.th)
)
รูปที่ 3-7 แผนที่ เ นื้ อ ที่ ป า ไ ม ป
29
2551 (กรมอุทยานแหงชาติ)
)
30
3.2
สถานการณเนื้อที่ปาไมในแตละภาค
ขอมูลเนื้อที่ปาไมประเทศไทยจากฐานขอมูลของกรมปาไม และกรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช ได แบงพื้นที่ภาคตางๆของประเทศไทยไวเปน 5 ภาค มีเนื้อที่ตามขอบเขตเนื้อที่จังหวัดที่จัดแบงไวรวมในภาคตางๆ ไดแกภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคใต โดย เปนที่นาสังเกตวา ในภาคเหนือ จะครอบคลุมพื้นที่ลงมาถึงจังหวัดอุทัยธานีทางดานใต และครอบคลุมไปถึงจังหวัดเพชรบูรณ พิจิตร และนครสวรรค ทางดานตะวันออกเฉียงใต ซึ่งเปนพื้นที่กวางใหญมาก ถึง 169,644.29 ตารางกิโลเมตร หรือ 33.06 % ของพื้นที่ ประเทศไทยนับเปนภาคที่มีพื้นที่ใหญที่สุดมากกวา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีพื้นที่ 168,854.40 ตารางกิโลเมตร หรือ 32.91 % ของพื้นที่ประเทศไทย พื้นที่ภาคใตนับแตจังหวัดชุมพรลงไป มีเนื้อที่ 70,715.19 ตารางกิโลเมตร หรือ 13.78 % ของพื้นที่ประเทศไทย ภาคกลางจะรวมถึงจังหวัดในดานชายแดนตะวันตก ตั้งแตกาญจนบุรี จนถึง ประจวบคีรีขันธ อยูดวย มีเนื้อที่ 67,398.70 หรือ 13.14 % และ ภาคตะวันออก เปนภาคที่มีเนื้อที่นอยที่สุด 36,502.50 % หรือ 7.11 % ของพื้นที่ประเทศไทย (ประเทศไทย ตามฐานขอมูลนี้มีเนื้อที่ 513,115.02 ตารางกิโลเมตร) ดังนั้น ในการศึกษาและเปรียบเทียบเนื้อที่ปาไมเปน % ของเนื้อที่ประเทศ และเนื้อที่ภาคตางๆ จะใชตัวเลขที่ กลาวมาเปนฐานในการคํานวณ โดยขอมูลเนื้อที่ปาไมจะแบงจังหวัดตางๆในแตละภาคดังนี้ 1) ภาคเหนือ ประกอบไปดวยจังหวัดตางๆ ไดแก กําแพงเพชร เชียงใหม เชียงราย ตาก นครสวรรค นาน เพชรบูรณ แพร พะเยา พิจิตร พิษณุโลก แมฮองสอน ลําปาง ลําพูน สุโขทัย อุตรดิตถ และ อุทัยธานี รวม 17 จังหวัด 2) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบไปดวยจังหวัดตางๆ ไดแก กาฬสินธุ ขอนแกน ชัยภูมิ นครพนม นครราชสีมา บุรีรัมย มหาสารคาม มุกดาหาร ยโสธร รอยเอ็ด เลย ศรีสะเกษ สกลนคร สุรินทร หนองคาย หนองบัวลําภู อํานาจเจริญ อุดรธานี อุบลราชธานี รวม 19 จังหวัด 3) ภาคตะวันออก ประกอบไปดวยจังหวัดตางๆ ไดแก จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ตราด นครนายก ปราจีนบุรี ระยอง สระแกว รวม 8 จังหวัด 4) ภาคกลาง ประกอบไปด ว ยจั ง หวั ด ต า งๆ ได แ ก กรุ ง เทพมหานคร ชั ย นาท นครปฐม นนทบุ รี ปทุม ธานี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สระบุรี สิงหบุรี สุพรรณบุรี อางทอง กาญจนบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ ราชบุรี รวม 18 จังหวัด 5) ภาคใต ประกอบไปดวยจังหวัดตางๆ ไดแก กระบี่ ชุมพร ตรัง นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปตตานี พังงา พัทลุง ภูเก็ต ยะลา ระนอง สงขลา สตูล และสุราษฎรธานี รวม 14 จังหวัด
31
ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ภาคกลาง
ภาคตะวันออก
ภาคใต
รูปที่ 3-8 แสดงการแบงภาคประเทศไทยในการจัดเก็บขอมูลเนื้อที่ปาไมของกรมปาไมและกรมอุทยานแหงชาติ จากขอมูลเปรียบเทียบเนื้อที่ปาไมในตารางที่ 1 สามารถแจกแจงเนื้อที่ปาตั้งแตป 2504 – 2552 พบวาในป 2504 พื้นที่ภาคเหนือ มีเนื้อที่ปาปกคลุมถึง 68.54 % ของพื้นที่ภาค (116,275 ตารางกิโลเมตร) ภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ มีเนื้อที่ปาปกคลุมถึง 41.99 % ของพื้นที่ภาค (70,904 ตารางกิโลเมตร) ภาคตะวันออกมีเนื้อที่ปา ปกคลุมถึง 57.98 % ของพื้นที่ภาค (21,163 ตารางกิโลเมตร) ภาคกลางมีเนื้อที่ปาปกคลุมถึง 52.91 % ของพื้นที่ภาค (35,661 ตารางกิโลเมตร) ขณะที่ภาคใตมีเนื้อที่ปาปกคลุมถึง 41.33 ของพื้นที่ภาค (29,626 ตารางกิโลเมตร) อาจกลาว ไดวาในทุกภาคของประเทศไทยมีปาไมปกคลุมอยู ราว 40-70 % ของพื้นที่ โดยที่ภาคเหนือมีเนื้อที่ปาปกคลุมมากที่สุด รองลงมาไดแกภาคตะวันออก สวนภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต มีพื้นที่ปาปกคลุมเมื่อป 2504 นอยกวาภาคอื่น แตอยางไรก็ดีเปนที่นาสนใจวาในขณะนั้นภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังมีเนื้อที่ปาปกคลุมมากกวาภาคใตเสียอีก เมื่อเปรียบเทียบขอมูลในป 2552 พบวาพื้นทีปาภาคเหนือมีเนื้อที่ปาเหลืออยู 56.04 % (95,074.7 ตาราง กิโลเมตร) ลดลง 12.5 % ของพื้นที่ภาค พื้นที่ปาภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีเนื้อที่ปาเหลืออยู 16.32 % (27,555.5 ตารางกิโลเมตร) ลดลง 25.67 % ของพื้นที่ภาค ภาคตะวันออกมีเนื้อที่ปาเหลืออยู 21.01 % (8,033.4 ตารางกิโลเมตร) ลดลง 36.97 % ของพื้นที่ภาค ภาคกลางมีพื้นที่ปาเหลืออยู 29.81% (20,089.04 ตารางกิโลเมตร) ลดลง 23.1 % ของ พื้นที่ภาค และภาคใตมีเนื้อที่ปาเหลืออยู 27.03 % (20,832 ตารางกิโลเมตร) ลดลง 14.3 % โดยภาคเหนือเปนพื้นที่ที่ ยังคงมีปาไมปกคลุมมากที่สุดเกิน 50 %ของพื้นที่ ภาคกลาง ภาคใตและ ภาคตะวันออก ยังคงเหลือพื้นที่ปาไมปกคลุม มากกวา 20 % สวนภาคตะวันออกเฉียงเหนือเปนพื้นที่ท่มี ีปาปกคลุมนอยที่สุดไมถึง 20%
32
แผนภูมิที่ 3-3 แสดงกราฟเปรียบเทียบ %เนื้อที่ปาเมื่อเทียบกับพื้นที่รายภาคตามขอมูลตั้งแตป 2504-2552 80 70 60
เหนือ
50
ตะวัน ออกเฉียงเหนือ
40
ตะวัน ออก
30 20
กลางและตะวัน ตก
10
ใต 2552
2549
2548
2547
2543
2541
2538
2536
2534
2532
2531
2528
2525
2521
2519
2516
2504
0
สถานการณการลดลงของเนื้อที่ปาไมรุนแรงที่สุดที่ภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เปนภาคที่เนื้อ ที่ปาไมหายไปถึงรอยละ 63.76 และ 61.13 ของที่เคยมีเมื่อป 2504 สวนภาคกลางและภาคใตเนื้อที่ปาหายไปรอยละ 43.65 และ 34.59 ของที่เคยมีเมื่อป 2504 ขณะที่ภาคเหนือเนื้อที่ปาหายไปรอยละ 18.83 % ของที่เคยมีเมื่อป 2504
แผนภูมิที่ 3-4 แสดง % เนื้อที่ปาไมเทียบกับพื้นที่ประเทศไทย แยกเปนรายภาค 60 50 ประเทศไทย
40
เหนือ 30
ตะวัน ออกเฉียงเหนือ ตะวัน ออก
20
กลางและตะวัน ตก ใต
10
2552
2549
2548
2547
2543
2541
2538
2536
2534
2532
2531
2528
2525
2521
2519
2516
2504
0
33
ขอมูลป 52 เทียบเคียงกับ%เนื้อที่ปาเทียบกับพื้นที่ประเทศไทยที่มีอยู 33.44% พบวามีเนื้อที่ปาเหลืออยูใน ภาคตางๆเรียงลําดับไดในภาคเหนือมากที่สุดถึง 18.54 % ของเนื้อที่ประเทศไทย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5.37 % ของเนื้อที่ประเทศไทย ภาคกลาง 3.83 % ของเนื้อที่ประเทศไทย ภาคใต 3.73 % ของเนื้อที่ประเทศไทย และภาค ตะวันออก 1.50 % ของเนื้อที่ประเทศไทย นั่นคือเนื้อที่ปาไมกวาครึ่งหนึ่งเหลืออยูที่ภาคเหนือ แผนภูมิที่ 3-5 เปรียบเทียบ %ของเนื้อทีปาที่ลดลงเปนรายภาคในขอมูลป 2504-2552
3.2.1
สถานการณเนื้อที่ปาไมภาคเหนือ
พื้นที่ปาภาคเหนือมีการสํารวจลาสุดถึงป 2552 มีเนื้อที่ 95,074.7 ตารางกิโลเมตร หรือ 56.04 %ของพื้นที่ ภาค ลดลงจาก ขอมูลในป 2504 ซึ่งเปนขอมูลที่มีการสํารวจโดยวิธีการแปลภาพถายดาวเทียมในปแรกที่มีการจัดเก็บ ขอมูล ที่มีเนื้อที่ 116,275 ตารางกิโลเมตร หรือ 68.54 % ถึง 21,200.3 ตารางกิโลเมตร หรือ 12.5 % หรือลดลงไปรอย ละ 18.23 ของพื้นที่ปาไมที่เคยมีในป 2504 ทั้งนี้ขอมูลเนื้อที่ปาไมในปจจุบัน ไดมีการปรับเปลี่ยนวิธีการแปลภาพถายดาวเทียม ใหสามารถตรวจสอบ พื้นที่ปาในพื้นที่เล็กๆ ไดมากขึ้นแลวนับจากป 2543 ทําใหขอมูลเนื้อที่ปาไมภาคเหนือ ในป 2543 มีเนื้อที่ถึง หรือ
34
56.75 % 96,270.28 (ตารางกิโลเมตร ) มากกวาขอมูลในป 2541 ที่มีเนื้อที่ปาไม 43.06% (73,057 ตารางกิโลเมตร) ถึง 13.69% (23,213.28 ตารางกิโลเมตร) ดังนั้นหากประมาณการเปลี่ยนแปลงเนื้อที่ปาไม ตั้งแตป 2504 จนกระทั่งถึงป 2541 ซึ่งเปนขอมูลในการแปล ภาพถายในวิธีการที่เทียบเคียงกันไดจริงในชวง ราว 40 ป พบวาภาคเหนือควรมีเนื้อที่ปาไมลดลงถึง 43,218 ตาราง กิโลเมตร หรือ 25.48 % ของพื้นที่ภาคเหนือ หรือลดลงไปรอยละ 37.17 ของพื้นที่ปาไมที่เคยมีในป 2504 จากตารางที่ 1.1 แสดงขอมูลเนื้อที่ปาไมตั้งแต พ.ศ. 2504 ตามปที่มีขอมูล จนถึงป 2552 โดยแสดงเนื้อที่และ % พื้นที่ปาเทียบกับพื้นที่รายภาคไวดวยพบวาเนื้อที่ปาไมเมื่อเทียบกับเนื้อที่ภาคเหนือลดลงไป 1.58 % ในชวงป 2504-2516 (12 ป) และ ลดลง 6.64 %, 4.36 %, และ 4.23 % จากการสํารวจเนื้อที่ปา ในป 2519, 2521, และ 2525 จะเห็นวาอัตราเฉลี่ยของการลดลงของพื้นที่ปาไมมากที่สุดจะอยูในชวงป 2516-2519 ที่มีอัตราการลดลงเฉลี่ยปละ 2.21 % หรือ 3,749.14 ตารางกิโลเมตร หลังจากนั้นอัตราการลดลงของพื้นทีปาไมจะลดลง 2.14 %. 2.2 %, 0.1 %. 1.82 %, 1.12 %, 0.8 %, 0.49 % จากการสํารวจเนื้อที่ปาไม ในป 2528, 2531, 2532, 2534, 2536. 2538, และ 2541 โดยชวง นี้อัตราเฉลี่ยของการลดลงของพื้นที่ปาไมมากที่สุดจะอยูในชวงป 2532-2534 ที่มีอัตราลดลงเฉลี่ยปละ 0.91 % หรือ 1543.76 ตารางกิโลเมตร หลังจากการปรับวิธีการสํารวจเนื้อที่ปาในป 2543 ที่ทําใหเนื้อที่ปาไมเพิ่มขึ้นจากขอมูลป 2541 ถึง 13.69 % แตหลังจากนั้นก็ยังมีอัตราการลดลงของพื้นที่ปาไมอยางตอเนื่อง 2.48 %, 1.78 %, 0.6 % จากขอมูลเนื้อที่ปาไมเทียบ กับเนื้อที่ภาคในป 2547, 2548, และ 2549 โดยในป 2547-2548 ยังมีอัตราลดลงของเนื้อที่ปาไมถึง 1.78 % หรือ 3,019.66 ตารางกิโลเมตร แตทั้งนี้นาจะเกิดจากวิธีการสํารวจเนื้อที่ที่สํารวจพบเนื้อที่ที่ลดลงไดมากขึ้น อยางไรก็ตาม จากขอมูลในป 2552 พบวาเนื้อที่ปาไมภาคเหนือ มีเนื้อที่เพิ่มขึ้น 4 % หรือ 6,785.76 ตารางกิโลเมตร จากป 2549 หรือเพิ่มขึ้นในอัตราเฉลี่ย 1.33 % ตอป
35
แผนภูมิที่ 3-6 แสดงเปรียบเทียบขอมูลในป 2504 2516 2525 2536 2547 และ 2552 ของเนื้อที่ปาไมรายจังหวัดใน ภาคเหนือ เพื่อแสดงการเปลี่ยนแปลงสถานการณปาไมในแตละจังหวัดในภาคเหนือในชวงเวลาตางๆ 120 กํา แพงเพชร เชียงใหม 100
เชียงราย ตาก นครสวรรค
80
นา น เพชรบูรณ แพร
60
พะเยา พิจิตร พิษณุโลก
40
แมฮองสอน ลํา ปาง ลํา พูน
20
สุโขทัย อุตรดิตถ 0
อุท ัยธานี 2504
3.2.2
2516
2525
2536
2547
2552
สถานการณเนื้อที่ปาไมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
พื้นที่ปาภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีการสํารวจลาสุดถึงป 2552 มีเนื้อที่ 27,555.54 ตารางกิโลเมตร หรือ 16.32 % ของพื้นที่ภาค ลดลงจาก ขอมูลในป 2504 ซึ่งเปนขอมูลที่มีการสํารวจโดยวิธีการแปลภาพถายดาวเทียมในป แรกที่มีการจัดเก็บขอมูล ที่มีเนื้อที่ 70,904 ตารางกิโลเมตร หรือ 41.99 % ถึง 43,348.46 ตารางกิโลเมตร หรือ 25.67 % หรือลดลงไปรอยละ 61.13 ของพื้นที่ปาไมที่เคยมีในป 2504 ทั้งนี้ขอมูลเนื้อที่ปาไมในปจจุบันไดมีการปรับเปลี่ยนวิธีการแปลภาพถายดาวเทียมใหสามารถตรวจสอบพื้นที่ ปาในพื้นที่เล็กๆไดมากขึ้นนับจากป 2543 ทําใหขอมูลเนื้อที่ปาไมภาคตะวันออกเฉียงเหนือในป 2543 มีเนื้อที่ถึง 26,526.94 ตารางกิโลเมตร หรือ 15.71 % มากกวาขอมูลในป 2541 ที่มีเนื้อที่ปาไม 20,984 ตารางกิโลเมตร หรือ 12.43 % ถึง 5,542.94 ตารางกิโลเมตร หรือ 3.28 % ดังนั้นหากประมาณการเปลี่ยนแปลงเนื้อที่ปาไม ตั้งแตป 2504 จนกระทั่งถึงป 2541 ซึ่งเปนขอมูลในการแปล ภาพถายในวิธีการที่เทียบเคียงกันไดจริงในชวง ราว 40 ป พบวาภาคตะวันออกเฉียงเหนือควรมีเนื้อที่ปาไมลดลงถึง 49920 ตารางกิโลเมตร หรือ 29.56 % ของพื้นที่ภาค หรือลดลงไปรอยละ 70.4 ของพื้นที่ปาไมที่เคยมีในป 2504
36
จากตารางที่ 1.1 แสดงขอมูลเนื้อที่ปาไมตั้งแต พ.ศ. 2504 ตามปที่มีขอมูลจนถึงป 2552 โดยแสดงเนื้อที่และ % พื้นที่ปาเทียบกับพื้นที่รายภาคไวดวย พบวาเนื้อที่ปาไมเมื่อเทียบกับเนื้อที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือลดลงไป 11.98 % ในชวงป 2504-2516 (12 ป) และ ลดลง 5.44 %, 6.08 %, และ 3.16 % จากการสํารวจเนื้อที่ปา ในป 2519, 2521, และ 2525 จะเห็นวาอัตราเฉลี่ยของการลดลงของพื้นที่ปาไมมากที่สุดจะอยูในชวงป 2519-2521 ที่มีอัตราการลดลง เฉลี่ยปละ 3.34 % หรือ 5,639.74 ตารางกิโลเมตร หลังจากนั้นอัตราการลดลงของพื้นทีปาไมจะลดลง 0.18 %. 1.12 %, 0.06 %. 1.06 %, 0.19 %, 0.13 %, 0.16 % จากการสํารวจเนื้อที่ปาไม ในป 2528, 2531, 2532, 2534, 2536. 2538, และ 2541 โดยชวงนี้อัตราเฉลี่ยของการลดลงของพื้นที่ปาไมมากที่สุดจะอยูในชวงป 2532-2534 ที่มีอัตราลดลง เฉลี่ยปละ 0.53 % หรือ 894.92 ตารางกิโลเมตร หลังจากการปรับวิธีการสํารวจเนื้อที่ปาในป 2543 ที่ทําใหเนื้อที่ปาไมเพิ่มขึ้นจากขอมูลป 2541 ถึง 3.28 % หลังจากนั้นก็ยังมีอัตราการเพิ่มขึ้นของพื้นที่ปาไม 0.93 % .ในป 2547 และลดลง1.64 %, 0.46 % ในป 2548, และ 2549 โดยในป 2547-2548 ยังมีอัตราลดลงของเนื้อที่ปาไมถึง 1.64 % หรือ 2,769.2 ตารางกิโลเมตร แตทั้งนี้นาจะเกิด จากวิธีการสํารวจเนื้อที่ที่สํารวจพบเนื้อที่ที่ลดลงไดมากขึ้น อยางไรก็ตาม จากขอมูลในป 2552 พบวาเนื้อที่ปาไมภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ มีเนื้อที่เพิ่มขึ้น 1.78 % หรือ 3005.61 ตารางกิโลเมตร จากป 2549 หรือเพิ่มขึ้นในอัตราเฉลี่ย 0.59 % ตอป
37
แผนภูมิที่ 3-7 แสดงเปรียบเทียบขอมูลในป 2504 2516 2525 2536 2547 และ 2552 ของเนื้อที่ปาไมรายจังหวัดใน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อแสดงการเปลี่ยนแปลงสถานการณปาไมในแตละจังหวัดในชวงเวลาตางๆ
100 90 80 70 60 50 40 30 20 10 0
2504
2516
2525
2536
2547
กาฬสินธุ
ขอนแกน
ชัยภูมิ
นครพนม
นครราชสีมา
บุรีรัมย
มหาสารคาม
มุกดาหาร
ยโสธร
ร อยเอ็ด
เลย
ศรีสะเกษ
สกลนคร
สุรินทร
หนองคาย
หนองบัวลําภู
อํานาจเจริญ
อุดรธานี
อุบลราชธานี
2552
38
3.2.3
สถานการณเนื้อที่ปาไมภาคตะวันออก
พื้นที่ปาภาคตะวันออกมีการสํารวจลาสุดถึงป 2552 มีเนื้อที่ 8,033.40 ตารางกิโลเมตร หรือ 21.01 % ของ พื้นที่ภาค ลดลงจาก ขอมูลในป 2504 ซึ่งเปนขอมูลที่มีการสํารวจโดยวิธีการแปลภาพถายดาวเทียมในปแรกที่มีการ จัดเก็บขอมูล ที่มเี นื้อที่ 21,163 ตารางกิโลเมตร หรือ 57.98 % ถึง 13,129.6 ตารางกิโลเมตร หรือ 36.97 % หรือลดลง ไปรอยละ 63.76 ของพื้นที่ปาไมที่เคยมีในป 2504 ทั้งนี้ขอมูลเนื้อที่ปาไมในปจจุบัน ไดมีการปรับเปลี่ยนวิธีการแปลภาพถายดาวเทียมใหสามารถตรวจสอบพื้นที่ ปาในพื้นที่เล็กๆ ไดมากขึ้นแลวนับจากป 2543 แตขอมูลเนื้อที่ปาไมภาคตะวันออก ในป 2543 มีเนื้อที่ 8,438.28 ตารางกิโลเมตร หรือ 23.12 % ยังลดลงจากขอมูลในป 2541 ที่มีเนื้อที่ปาไม 7,507 ตารางกิโลเมตร หรือ 20.17 % ถึง 931.28 ตารางกิโลเมตร หรือ 2.55 % ดังนั้นหากประมาณการเปลี่ยนแปลงเนื้อที่ปาไม ตั้งแตป 2504 จนกระทั่งถึงป 2541 ซึ่งเปนขอมูลในการแปล ภาพถายในวิธีการที่เทียบเคียงกันไดจริงในชวง ราว 40 ป พบวาภาคเหนือควรมีเนื้อที่ปาไมลดลงถึง 13,656 ตาราง กิโลเมตร หรือ 37.81 % ของพื้นที่ภาคตะวันออก หรือลดลงไปรอยละ 65.21 ของพื้นที่ปาไมที่เคยมีในป 2504 จากตารางที่ 1.1 แสดงขอมูลเนื้อที่ปาไมตั้งแต พ.ศ. 2504 ตามปที่มีขอมูล จนถึงป 2552 โดยแสดงเนื้อที่และ % พื้นที่ปาเทียบกับพื้นที่รายภาคไวดวยพบวาเนื้อที่ปาไมเมื่อเทียบกับเนื้อที่ภาคตะวันออกลดลงไป 16.79 % ในชวงป 2504-2516 (12 ป) และ ลดลง 6.59 %, 4.36 %, และ 8.32 % จากการสํารวจเนื้อที่ปา ในป 2519, 2521, และ 2525 จะเห็นวาอัตราเฉลี่ยของการลดลงของพื้นที่ปาไมมากที่สุดจะอยูในชวงป 2516-2519 ที่มีอัตราการลดลงเฉลี่ยปละ 2.2 % หรือ 803.1 ตารางกิโลเมตร หลังจากนั้นอัตราการลดลงของพื้นทีปาไมจะลดลง 0.09 %. 0.43 %, 0.03 %. 0.27 %, 0.27 %, 0.12 %, 0.22 % จากการสํารวจเนื้อที่ปาไม ในป 2528, 2531, 2532, 2534, 2536. 2538, และ 2541 โดย ชวงนี้อัตราเฉลี่ยของการลดลงของพื้นที่ปาไมมากที่สุดจะอยูในชวงป 2528-2531 ที่มีอัตราลดลงเฉลี่ยปละ 0.14 % หรือ 51.10 ตารางกิโลเมตร หลังจากการปรับวิธีการสํารวจเนื้อที่ปาในป 2543 ที่ทําใหเนื้อที่ปาไมเพิ่มขึ้นจากขอมูลป 2541 ถึง 2.53 % แต หลังจากนั้นก็ยังมีอัตราการลดลงของพื้นที่ปาไมอยางตอเนื่อง 0.55 %, 0.83 %, 0.14 % จากขอมูลเนื้อที่ปาไมเทียบ กับเนื้อที่ภาคในป 2547, 2548, และ 2549 โดยในป 2547-2548 ยังมีอัตราลดลงของเนื้อที่ปาไมถึง 0.83 % หรือ 302.97 ตารางกิโลเมตร แตทั้งนี้นาจะเกิดจากวิธีการสํารวจเนื้อที่ที่สํารวจพบเนื้อที่ที่ลดลงไดมากขึ้น และจากขอมูลใน ป 2552 พบวาเนื้อที่ปาไมภาคตะวันออกยังมีเนื้อที่ลดลง 0.59 % หรือ 1310.43 ตารางกิโลเมตร จากป 2549 หรือ ลดลงในอัตราเฉลี่ย 0.19 % ตอป
39
แผนภูมิที่ 3-8 แสดงเปรียบเทียบขอมูลในป 2504 2516 2525 2536 2547 และ 2552 ของเนื้อที่ปาไมรายจังหวัดใน ภาคตะวันออก เพื่อแสดงการเปลี่ยนแปลงสถานการณปาไมในแตละจังหวัดในชวงเวลาตางๆ
3.2.4
สถานการณเนื้อที่ปาไมภาคกลาง
พื้นที่ปาภาคกลางมีการสํารวจลาสุดถึงป 2552 มีเนื้อที่ 20,089.04 ตารางกิโลเมตร หรือ 29.81 %ของพื้นที่ ภาค ลดลงจาก ขอมูลในป 2504 ซึ่งเปนขอมูลที่มีการสํารวจโดยวิธีการแปลภาพถายดาวเทียมในปแรกที่มีการจัดเก็บ ขอมูล ที่มีเนื้อที่ 35,611 ตารางกิโลเมตร หรือ 52.91 % ถึง 15,521.06 ตารางกิโลเมตร หรือ 23.1 % หรือลดลงไป รอยละ 43.66 ของพื้นที่ปาไมที่เคยมีในป 2504 ทั้งนี้ขอมูลเนื้อที่ปาไมในปจจุบัน ไดมีการปรับเปลี่ยนวิธีการแปลภาพถายดาวเทียม ใหสามารถตรวจสอบ พื้นที่ปาในพื้นที่เล็กๆ ไดมากขึ้นแลวนับจากป 2543 ทําใหขอมูลเนื้อที่ปาไมภาคกลาง ในป 2543 มีเนื้อที่ถึง 21,461.85 ตารางกิโลเมตร หรือ 31.84 % มากกวาขอมูลในป 2541 ที่มีเนื้อที่ปาไม 16,049 ตารางกิโลเมตร หรือ 23.81 % ถึง 5,412.86 ตารางกิโลเมตร หรือ 8.03 % ดังนั้นหากประมาณการเปลี่ยนแปลงเนื้อที่ปาไม ตั้งแตป 2504 จนกระทั่งถึงป 2541 ซึ่งเปนขอมูลในการแปล ภาพถายในวิธีการที่เทียบเคียงกันไดจริงในชวง ราว 40 ป พบวาภาคกลางควรมีเนื้อที่ปาไมลดลงถึง 19,562 ตาราง กิโลเมตร หรือ 29.1 % ของพื้นที่ภาคกลาง หรือลดลงไปรอยละ 55 % ของพื้นที่ปาไมที่เคยมีในป 2504 จากตารางที่ 1.1 แสดงขอมูลเนื้อที่ปาไมตั้งแต พ.ศ. 2504 ตามปที่มีขอมูล จนถึงป 2552 โดยแสดงเนื้อที่และ % พื้นที่ปาเทียบกับพื้นที่รายภาคไวดวยพบวาเนื้อที่ปาไมเมื่อเทียบกับเนื้อที่ภาคกลางลดลงไป 17.35 % ในชวงป 2504-2516 (12 ป) และ ลดลง 3.18 %, 2.07 %, และ 2.84 % จากการสํารวจเนื้อที่ปา ในป 2519, 2521, และ 2525 จะเห็นวาอัตราเฉลี่ยของการลดลงของพื้นที่ปาไมมากที่สุดจะอยูในชวงป 2516-2519 ที่มีอัตราการลดลงเฉลี่ยปละ 1.06 % หรือ 714.4 ตารางกิโลเมตร หลังจากนั้นอัตราการลดลงของพื้นทีปาไมจะลดลง 1.23 %. 0.65 %, 0.04 %. 0.9 %,
40
0.31 %, 0.17 %, 0.36 % จากการสํารวจเนื้อที่ปาไม ในป 2528, 2531, 2532, 2534, 2536. 2538, และ 2541 โดย ชวงนี้อัตราเฉลี่ยของการลดลงของพื้นที่ปาไมมากที่สุดจะอยูในชวงป 2525-2528 ที่มีอัตราลดลงเฉลี่ยปละ 0.41 % หรือ 276.33 ตารางกิโลเมตร หลังจากการปรับวิธีการสํารวจเนื้อที่ปาในป 2543 ที่ทําใหเนื้อที่ปาไมเพิ่มขึ้นจากขอมูลป 2541 ถึง 13.69 % แต หลังจากนั้นก็ยังมีอัตราการลดลงของพื้นที่ปาไมอยางตอเนื่อง 0.32 %, 0.84 %, 0.18 % จากขอมูลเนื้อที่ปาไมเทียบ กับเนื้อที่ภาคในป 2547, 2548, และ 2549 โดยในป 2547-2548 ยังมีอัตราลดลงของเนื้อที่ปาไมถึง 0.84 % หรือ 566.15 ตารางกิโลเมตร แตทั้งนี้นาจะเกิดจากวิธีการสํารวจเนื้อที่ที่สํารวจพบเนื้อที่ที่ลดลงไดมากขึ้น และจากขอมูลใน ป 2552 พบวาเนื้อที่ปาไมภาคกลางยังมีเนื้อที่ลดลง 1.29 % หรือ 869.44 ตารางกิโลเมตร จากป 2549 หรือลดลงใน อัตราเฉลี่ย 0.43 % ตอป
แผนภูมิที่ 3-9 แสดงเปรียบเทียบขอมูลในป 2504 2516 2525 2536 2547 และ 2552 ของเนื้อที่ปาไมรายจังหวัดใน ภาคกลางเพื่อแสดงการเปลี่ยนแปลงสถานการณปาไมในแตละจังหวัดในชวงเวลาตางๆ
100 90
กรุงเทพมหานคร
80
ชัยนาท
70
นครปฐม
60
นนทบุรี
50
ปทุมธานี
40
พระนครศรีอยุธ ยา
30
ลพบุรี
20
สมุทรปราการ
10
สมุทรสงคราม
0 2504
3.2.5
2516
2525
2536
2547
2552
สมุทรสาคร
สถานการณเนื้อที่ปาไมภาคใต
พื้นที่ปาภาคใตมีการสํารวจลาสุดถึงป 2552 มีเนื้อที่ 20,832.92 ตารางกิโลเมตร หรือ 27.03 % ของพื้นที่ภาค ลดลงจาก ขอมูลในป 2504 ซึ่งเปนขอมูลที่มีการสํารวจโดยวิธีการแปลภาพถายดาวเทียมในปแรกที่มีการจัดเก็บขอมูล ที่มีเนื้อที่ 29,626 ตารางกิโลเมตร หรือ 41.89 % ถึง 8,802.08 ตารางกิโลเมตร หรือ 14.86 % หรือลดลงไปรอยละ 35.47 ของพื้นที่ปาไมที่เคยมีในป 2504
41
ทั้งนี้ขอมูลเนื้อที่ปาไมในปจจุบัน ไดมีการปรับเปลี่ยนวิธีการแปลภาพถายดาวเทียม ใหสามารถตรวจสอบ พื้นที่ปาในพื้นที่เล็กๆ ไดมากขึ้นแลวนับจากป 2543 ทําใหขอมูลเนื้อที่ปาไมภาคใต ในป 2543 มีเนื้อที่ถึง 17,413.43 ตารางกิโลเมตร หรือ 24.62 % มากกวาขอมูลในป 2541 ที่มีเนื้อที่ปาไม 12,125 ตารางกิโลเมตร หรือ 17.15 % ถึง 3,087.57 ตารางกิโลเมตร หรือ 7.47 % ดังนั้นหากประมาณการเปลี่ยนแปลงเนื้อที่ปาไม ตั้งแตป 2504 จนกระทั่งถึงป 2541 ซึ่งเปนขอมูลในการแปล ภาพถายในวิธีการที่เทียบเคียงกันไดจริงในชวง ราว 40 ป พบวาภาคใตควรมีเนื้อที่ปาไมลดลงถึง 17,501 ตาราง กิโลเมตร หรือ 24.74 % ของพื้นที่ภาคใต หรือลดลงไปรอยละ 59.05 % ของพื้นที่ปาไมที่เคยมีในป 2504 จากตารางที่ 1.1 แสดงขอมูลเนื้อที่ปาไมตั้งแต พ.ศ. 2504 ตามปที่มีขอมูล จนถึงป 2552 โดยแสดงเนื้อที่และ % พื้นที่ปาเทียบกับพื้นที่รายภาคไวดวยพบวาเนื้อที่ปาไมเมื่อเทียบกับเนื้อที่ภาคใตลดลงไป 15.82 % ในชวงป 25042516 (12 ป) และ มีตัวเลขขอมูลที่เพิ่มขึ้นในป 2519 ถึง 2.77 % จากนั้นมีพื้นที่ปาลดลง 3.59 % และ 1.64 จากการ สํารวจเนื้อที่ปา ในป 2521 และ 2525 จะเห็นวาอัตราเฉลี่ยของการลดลงของพื้นที่ปาไมมากที่สุดจะอยูในชวงป 25192521 ที่มีอัตราการลดลงเฉลี่ยปละ 1.8 % หรือ 1,272.87 ตารางกิโลเมตร หลังจากนั้นอัตราการลดลงของพื้นทีปาไมจะ ลดลง 1.35 %. 1.21 %, 0.04 %. 1.63 %, 0.91 %, 0.5 %, 0.46 % จากการสํารวจเนื้อที่ปาไม ในป 2528, 2531, 2532, 2534, 2536. 2538, และ 2541 โดยชวงนี้อัตราเฉลี่ยของการลดลงของพื้นที่ปาไมมากที่สุดจะอยูในชวงป 25322534 ที่มีอัตราลดลงเฉลี่ยปละ 0.82 % หรือ 579.86 ตารางกิโลเมตร หลังจากการปรับวิธีการสํารวจเนื้อที่ปาในป 2543 ที่ทําใหเนื้อที่ปาไมเพิ่มขึ้นจากขอมูลป 2541 ถึง 7.47 % และมีอัตราเพิ่มขึ้น 0.75 % จากขอมูลในป 2547 แตหลังจากนั้นก็ยังมีอัตราการลดลงของพื้นที่ปาไมอยางตอเนื่อง 0.38 % และ 0.35 % จากขอมูลเนื้อที่ปาไมเทียบกับเนื้อที่ภาคในป 2548, และ 2549 โดยในป 2547-2548 ยังมีอัตราลดลง ของเนื้อที่ปาไมถึง 0.38 % หรือ 268.71 ตารางกิโลเมตร แตทั้งนี้นาจะเกิดจากวิธีการสํารวจเนื้อที่ที่สํารวจพบเนื้อที่ที่ ลดลงไดมากขึ้น อยางไรก็ตาม จากขอมูลในป 2552 พบวาเนื้อที่ปาไมภาคใต มีเนื้อที่เพิ่มขึ้น 2.57 % หรือ 1,817.38 ตารางกิโลเมตร จากป 2549 หรือเพิ่มขึ้นในอัตราเฉลี่ย 0.86 % ตอป
42
แผนภูมิที่ 3-10 แสดงเปรียบเทียบขอมูลในป 2504 2516 2525 2536 2547 และ 2552 ของเนื้อที่ปาไมรายจังหวัด ในภาคใตเพื่อแสดงการเปลี่ยนแปลงสถานการณปาไมในแตละจังหวัดในชวงเวลาตางๆ
100 90 กระบี่ 80
ชุมพร ตรัง
70
นครศรีธรรมราช นราธิวาส
60
ปั ตตานี 50
พังงา พัท ลุง
40
ภูเก็ต ยะลา
30
ระนอง สงขลา
20
สตูล 10
สุราษฎรธานี
0 2504
2516
2525
2536
2547
2552
จากขอมูลที่กลาวมาแลวในแตละภาค สามารถสรุปสถานการณเปรียบเทียบขอมูลแตละภาค ในชวงเวลา ตางๆ (04-16, 16-25, 25-41, 41-49 และ 49-52) ไดตาม ตารางที่ 1-3
43
ภาคตะวันออก 36,502.20 ตร.กม.
ภาคต.อ.เฉียงเหนือ 168,854.40 ตร.กม
ภาคเหนือ 169,644.29 ตร.กม.
ตารางที่1-3 เปรียบเทียบขอมูลที่สําคัญเนื้อที่ปาไมภาคตางๆ ในชวงขอมูล พ.ศ. ตางๆ 2504-2516 1) พื้นที่ปาไมป 04 68.54%ของภาค 2) พื้นที่ปาไมลดลง 1.56% ในชวงนี้
2516-2525 1) พื้นที่ปาไมป 16 66.96% 2) พื้นที่ปาไมลดลง 15.23 % ในชวงนี้
2525-2541 1) พื้นที่ปาไมป 28 49.59%ของภาค 2) พื้นที่ปาไมลดลง 8.67% ในชวงนี้
3) ชวงที่พื้นที่ปาลดลง 3) ชวงที่พื้นที่ปาลดลง มากที่สุดป16-19 เฉลี่ย มากที่สุด 32-34 เฉลี่ย ปละ 2.21% ปละ 0.91%
1) พื้นที่ปาไม ป 04 41.99%ของภาค 2) พื้นที่ปาไมลดลง 11.98%ในชวงนี้
1) พื้นที่ปาไมป 16 30.01% 2) พื้นที่ปาไมลดลง 14.64% ในชวงนี้
1) พื้นที่ปาไม ป 28 15.15%ของภาค 2) พื้นที่ปาไมลดลง 2.9%ในชวงนี้
3) ชวงที่พื้นที่ปาลดลง 3) ชวงที่พื้นที่ปาลดลง ม า ก ที่ สุ ด ป 19-21 ม า ก ที่ สุ ด ป 32-34 เฉลี่ยปละ 3.34% เฉลีย่ ปละ 0.53%
1) พื้นที่ปาไม ป 04 57.98%ของภาค 2) พื้นที่ปาไมลดลง 16.79%ในชวงนี้
1) พื้นที่ปาไมป 16 41.19%ของภาค 2) พื้นที่ปาไมลดลง 19.27 % ในชวงนี้ 3) ชวงที่พื้นที่ปาลดลง ม า ก ที่ สุ ด ป 16-19 เฉลี่ยปละ 2.2%
1) พื้นที่ปาไม ป 28 21.89%ของภาค 2) พื้นที่ปาไมลดลง 1.43%ในชวงนี้ 3) ชวงที่พื้นที่ปาลดลง ม า ก ที่ สุ ด ป 28-31 เฉลี่ยปละ 0.14%
2541-2549 1) พื้นที่ปาไมป 41 43.06%ของภาค 2) พื้นที่ปาไม43-49 ลดลง 4.86% ในชวงนี้
2549-2552 1) พื้นที่ปาไมป 52 56.09%ของภาค 2) พื้นที่ปาไมเพิ่มขึ้น 4% ในชวงนี้ (เฉลี่ยเพิ่มปละ1.33%) 3) ชวงที่พื้นที่ปาลดลง 3) – มากที่สุด ป 47-48 เฉลี่ยปละ 1.78% 4) พื้นที่ปาป 41ลดลง 4) พื้นที่ปาป 52 ลดลง จากป 04 รอยละ37.17 จากป 04 รอยละ18.23 5) พื้นที่ปาเพิ่มจากวิธี 5) สํารวจในป43 13.69% 1) พื้นที่ปาไม ป41 1) พื้นที่ปาไม ป 52 16.32%ของภาค 12.43%ของภาค 2) พื้นที่ปาไม43-49 2) พื้นที่ปาไมเพิ่มขึ้น ลดลง 1.17%ในชวงนี้ 1.78%ในชวงนี้ (เฉลี่ยเพิ่มปละ 0.59%) 3) ชวงที่พื้นที่ปาลดลง 3) – ม า ก ที่ สุ ด ป 47-48 เฉลี่ยปละ 1.64% 4) พื้นที่ปาป 41ลดลง 4)พื้นที่ปาป 52 ลดลง จากป 04 รอยละ70.4 จากป 04 รอยละ61.13 5) พื้นที่ปาเพิ่มจากวิธี 5) สํารวจในป 43 3.28% 1) พื้นที่ปาไม ป 41 1) พื้นที่ปาไม ป 52 20.50%ของภาค 21.01%ของภาค 2) พื้นที่ปาไม43-49 2) พื้นที่ปาไมลดลง ลดลง1.52%ในชวงนี้ 0.59%ในชวงนี้ 3) ชวงที่พื้นที่ปาลดลง 3) – ม า ก ที่ สุ ด ป 47-48 เฉลี่ยปละ 1.64% 4) พื้นที่ปาป 41ลดลง 4) พื้นที่ปาป 52 ลดลง จากป 04 รอยละ65.21 จากป 04 รอยละ61.13 5) พื้นที่ปาเพิ่มจากวิธี 5) สํารวจในป 43 2.55%
44
ภาคใต 70,715.19 ตร.กม.
ภาคกลาง 67,398.70 ตร.กม.
1) พื้นที่ปาไม ป 04 52.91%ของภาค 2) พื้นที่ปาไมลดลง 17.35%ในชวงนี้
1) พื้นที่ปาไมป 16 35.56%ของภาค 2) พื้นที่ปาไมลดลง 8.09 % ในชวงนี้ 3) ชวงที่พื้นที่ปาลดลง ม า ก ที่ สุ ด ป 16-19 เฉลี่ยปละ 1.06%
1) พื้นที่ปาไม ป 28 26.24%ของภาค 2) พื้นที่ปาไมลดลง 3.66%ในชวงนี้ 3) ชวงที่พื้นที่ปาลดลง ม า ก ที่ สุ ด ป 25-28 เฉลี่ยปละ 0.41%
1) พื้นที่ปาไม ป 41 23.81%ของภาค 2) พื้นที่ปาไม43-49 ลดลง 1.34%ในชวงนี้ 3) ชวงที่พื้นที่ปาลดลง ม า ก ที่ สุ ด ป 47-48 เฉลี่ยปละ 0.84% 4) พื้นที่ปาป 41ลดลง จากป 04 รอยละ55 5) พื้นที่ปาเพิ่มจากวิธี สํารวจในป 43 8.03% 1) พื้นที่ปาไม ป 04 1) พื้นที่ปาไมป 16 1) พื้นที่ปาไม ป28 1) พื้นที่ปาไม ป 41 41.89%ของภาค 26.07%ของภาค 21.90%ของภาค 17.15%ของภาค 2) พื้นที่ปาไมลดลง 2) พื้นที่ปาไมลดลง 2) พื้นที่ปาไมลดลง 2) พื้นที่ปาไม43-49 15.82ในชวงนี้ 2.46 % ในชวงนี้ 6.1%ในชวงนี้ เพิ่มขึ้น 0.02% ชวงนี้
1) พื้นที่ปาไม ป 52 29.21%ของภาค 2) พื้นที่ปาไมลดลง 1.29%ในชวงนี้ 3) –
4) พื้นที่ปาป52 ลดลง จากป04 รอยละ43.66 5) -
1) พื้นที่ปาไม ป 52 27.03%ของภาค 2) พื้นที่ปาไมเพิ่มชึ้น 2.57% ในชวงนี้ (เฉลี่ย เพิ่มปละ0.86%) 3) ชวงที่พื้นที่ปาลดลง 3) ชวงที่พื้นที่ปาลดลง 3) ชวงที่พื้นที่ปาลดลง 3) – ม า ก ที่ สุ ด ป 19-21 ม า ก ที่ สุ ด ป 32-34 ม า ก ที่ สุ ด ป 47-48 เฉลี่ยปละ1.8% เฉลี่ยปละ 0.82% เฉลี่ยปละ 0.38% 4) พื้นที่ปาป 41ลดลง 4) พื้นที่ปาป 52 ลดลง จากป 04รอยละ 59.05 จากป 04 รอยละ38.47 5) พื้นที่ปาเพิ่มจากวิธี 5) สํารวจในป 43 7.47%
3.3 สถานการณพื้นที่ปาไมเปนรายจังหวัด ขอมูลเนื้อทีปาไมรายจังหวัดไดสํารวจโดยภาพจากดาวเทียม ในป 2504 – 2552 ไดแสดงขอมูลไวเชนเดียวกับ เนื้อที่ปาไมรายภาค ในการศึกษาครั้งนี้ไมสามารถศึกษารายละเอียดความเปลี่ยนแปลงในแตละจังหวัดไดเนื่องจาก ขอจํา กัดในเรื่องระยะเวลาการศึกษา โดยทําไดเพียงจัดกลุม จังหวัดที่มีเนื้อที่ปาปกคลุมเปรียบเทียบใหเห็นความ เปลี่ยนแปลงในชวงระยะที่สําคัญ 3.3.1 เนื้อที่ปาไมปกคลุมจังหวัดตางๆในอดีต จากการเปรียบเทียบเนื้อที่ปาไมในแตละจังหวัด พบวาในราว 50 ปที่ผานมาสามารถแบงกลุมจังหวัดที่มีเนื้อที่ปา ไมปกคลุมพื้นที่จังหวัดออกไดเปน 5 กลุมใหญๆ ดังนี้ 1. จังหวัดที่เคยมีเนื้อที่ปาไมปกคลุมมากกวา 70 % ของพื้นที่ • ในภาคเหนือ ไดแก จังหวัดกําแพงเพชร เชียงใหม ตาก นาน เพชรบูรณ แมฮองสอน ลําปาง ลําพูน อุตรดิตถ อุทัยธานี • .ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไดแก จังหวัดสกลนคร • ในภาคกลางไดแก จังหวัดกาญจนบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ
45
• ในภาคใต ไดแกจังหวัด ชุมพร พังงา ระนอง และ สตูล 2. จังหวัดที่มีเคยมีเนื้อที่ปาไมปกคลุม 50-70 % ของพื้นที่ (รวมตรัง 49.80) •
ในภาคเหนือ ไดแก จังหวัดเชียงราย แพร พะเยา พิษณุโลก สุโขทัย
•
ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไดแกจังหวัด กาฬสินธุ ชัยภูมิ นครพนม นครราชสีมา เลย หนองคาย
•
ในภาคตะวันออก ไดแกจังหวัดจันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ตราด นครนายก ปราจีนบุรี ระยอง
•
ในภาคกลาง ไดแกจังหวัดราชบุรี
• ในภาคใต ไดแก จังหวัด กระบี่ ตรัง ภูเก็ต สุราษฎรธานี 3. จังหวัดที่เคยมีเนื้อที่ปาไมปกคลุม 25-50 % ของพื้นที่ • ในภาคเหนือไดแก จังหวัดนครสวรรค • ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือไดแก จังหวัดขอนแกน บุรีรัมย ศรีสะเกษ สุรินทร อํานาจเจริญ อุดรธานี อุบลราชธานี • ในภาคกลาง ไดแก จังหวัด ลพบุรี สุพรรณบุรี • ในภาคใต ไดแก จังหวัดนครศรีธรรมราช ยะลา 4. จังหวัดที่เคยมีเนื้อที่ปาปกคลุม 1-25% • ในภาคเหนือไดแกจังหวัดพิจิตร • ในภาคตะวั น ออกเฉี ย งเหนื อ ได แ ก จั ง หวั ด มหาสารคาม มุ ก ดาหาร ยโสธร ร อ ยเอ็ ด หนองบัวลําภู • ในภาคตะวันออก ไดแกจังหวัดสระแกว • ในภาคกลางไดแก จังหวัด ชัยนาท สระบุรี สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร • ในภาคใตไดแก จังหวัดปตตานี พัทลุง สงขลา นราธิวาส 5. จังหวัดที่ไมเคยมีเนื้อที่ปาหรือเคยมีเนื้อที่ปาปกคลุมไมถึง 1% ไดแก จังหวัด กรุงเทพมหานครนครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สิงหบุรี อางทอง 3.3.2 เนื้อที่ปาไมปกคลุมจังหวัดในปจจุบัน จากการเปรียบเทียบเนื้อที่ปาไมในแตละจังหวัด พบวาในป 2552, มีจังหวัดที่มีเนื้อที่ปาไมปกคลุมพื้นที่จังหวัด ออกไดเปน 5 กลุมใหญๆ ดังนี้ 1. จังหวัดที่มีเนื้อที่ปาไมปกคลุมมากกวา 70 % ของพื้นที่ • ในภาคเหนือ ไดแก จังหวัดเชียงใหม ตาก นาน แมฮองสอน ลําปาง • ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไมมี • ในภาคตะวันออก ไมมี
46
• ในภาคกลาง ไมมี • ในภาคใต ไมมี 2. จังหวัดที่มีเนื้อที่ปาไมปกคลุม 50-70 % ของพื้นที่ •
ในภาคเหนือ ไดแก จังหวัดแพร พะเยา ลําพูน อุตรดิตถ อุทัยธานี
•
ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไมมี
•
ในภาคตะวันออก ไมมี
•
ในภาคกลาง ไดแก กาญจนบุรี เพชรบุรี
• ในภาคใต ไดแก จังหวัดระนอง 3. จังหวัดที่มีเนื้อที่ปาไมปกคลุม 25-50 % ของพื้นที่ • ในภาคเหนือไดแก จังหวัดเชียงราย เพชรบูรณ พิษณุโลก สุโขทัย • ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือไดแก จังหวัดชัยภูมิ มุกดาหาร เลย • ในภาคตะวันออกไดแก จังหวัดจันทบุรี ตราด นครนายก ปราจีนบุรี • ในภาคกลาง ไดแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ ราชบุรี • ในภาคใต ไดแก จังหวัดนราธิวาส พังงา ภูเก็ต ยะลา สตูล สุราษฎรธานี 4. จังหวัดที่มีเนื้อที่ปาปกคลุม 1-25% • ในภาคเหนือไดแกจังหวัดกําแพงเพชร นครสวรรค • ในภาคตะวัน ออกเฉี ยงเหนื อไดแ ก จังหวั ด กาฬสิน ธ ขอนแก น นครพนม นครราชสี ม า บุ รี รั ม ย มหาสารคาม ยโสธร ร อ ยเอ็ ด ศรี ส ะเกษ สกลนคร สุ ริ น ทร หนองคาย หนองบัวลําภู อํานาจเจริญ อุดรธานี อุบลราชธานี • ในภาคตะวันออก ไดแกจังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง สระแกว • ในภาคกลางไดแก จังหวัดชัยนาท ลพบุรี สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สระบุรี สุพรรณบุรี • ในภาคใตไดแก จังหวัดกระบี่ ชุมพร ตรัง นครศรีธรรมราช ปตตานี พัทลุง สงขลา 5. จังหวัดที่ไมเคยมีเนื้อที่ปาหรือเคยมีเนื้อที่ปาปกคลุมไมถึง 1% จังหวัดที่ไมมีเนื้อที่ปา หรือมีเนื้อที่ปาปกคลุมไมถึง 1% คือ พิจิตร กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สิงหบุรี อางทอง 3.3.3
การสูญเสียเนื้อที่ปาไมในจังหวัดตางๆ จากการศึกษาขอมูลเนื้อที่ปาไมรายจังหวัด สามารถจัดกลุมจังหวัดที่มีการเปลี่ยนแปลงเนื้อที่ปาออกไดเปน 4 ระดับ ดังนี้ I. สูญเสียเนื้อที่ปาไมรุนแรงมาก คือจังหวัดที่เคยมีเนื้อที่ปาไมมากกวา 70 % ในอดีตแตในปจจุบัน ลดลงไมถึง 25 % ของพื้นที่จังหวัด ไดแก กําแพงเพชร สกลนคร และชุมพร
47
สูญเสียเนื้อที่ปาไมอยางรุนแรง คือจังหวัดที่เคยมีปาไมปกคลุมมากกวา 70% ในอดีตแตใน ปจจุบันลดลงไมถึง 50% ไดแก จังหวัด เพชรบูรณ ประจวบคีรีขันธ พังงา สตูล และจังหวัดที่เคยมี ปาไมปกคลุมกวา 50% แตในปจจุบันลดลงไมถึง 25 % ไดแก จังหวัดกาฬสินธุ นครพนม นครราชสีมา หนองคาย ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง กระบี่ ตรัง III. สูญเสียเนื้อที่ปาไมมาก คือจังหวัดที่เคยมีปาไมปกคลุมมากกวา 70% ในอดีตแตในปจจุบัน ลดลงอยุในชวง 50-70% ไดแก จังหวัดลําพูน อุตรดิตถ อุทัยธานี กาญจนบุรี เพชรบุรี ระนอง , จังหวัดที่เคยมีปาไมปกคลุมกวา 50% แตในปจจุบันลดลงอยูในชวง 25-50 % ไดแก จังหวัด เชี ย งราย พิ ษ ณุ โ ลก สุ โ ขทั ย ชั ย ภู มิ เลย จั น ทบุ รี ตราด นครนายก ปราจี น บุ รี ราชบุ รี ภู เ ก็ ต สุราษฏรธานี และ จังหวัดที่เคยมีปาไมปกคลุม 25-50 % แตในปจจุบันลดลงจนนอยกวา 25 % ไดแกจังหวัดนครสวรรค ขอนแกน บุรีรัมย ศรีสะเกษ สุรินทร อํานาจเจริญ อุดรานี อุบลราชธานี ลพบุรี สุพรรณบุรี นครศรีธรรมราช สงขลา รวมถึงพิจิตร ที่เคยมีปาไมอยูถึงเกือบ 20 % แตปจจุบัน แทบจะไมมปี าไมเหลืออยูเลย IV. จังหวัดที่สูญเสียปาไมปานกลาง คือจังหวัด จังหวัดที่เคยมีปาไมปกคลุมมากกวา 70% ในอดีต และในปจจุบันลดลงแตยังคงมีปาไมมากกวา 70% ไดแก จังหวัดเชียงใหม ตาก นาน แมฮองสอน และ ลําปาง, จังหวัดที่เคยมีปาไมปกคลุมกวา 50% ในปจจุบันลดลงแตยังคงมีปาไมมากกวา 50 % ไดแก จังหวัดแพร พะเยา และ จังหวัดที่เคยมีปาไมปกคลุม 25-50 % ในปจจุบันลดลงแตยังคงมีปา ไมมากกวา 25 % ไดแกจังหวัดยะลา รวมถึง จังหวัดมหาสารคาม รอยเอ็ด หนองบัวลําภู สระแกว ชัยนาท สระบุรี สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร ปตตานี และพัทลุง ที่เคยมีปาไมอยูบาง ซึ่งในกลุมนี้ อาจจะรวมถึง กรุงเทพมหานคร และ และในปจจุบันก็ยังมีเนื้อที่ปาไมเหลืออยู พระนครศรีอยุธยาไวดวยก็ได นอกจากนี้ยังพบวาขอมูลเนื้อที่ปาไมเพิ่มขึ้นในจังหวัด มุกดาหาร และนราธิวาส ไมเพียงพอในการวิเคราะห ดังกลาวเนื่องจากไมมีขอมูลในชวงกอนป 2525 อาจเนื่องมาจากภาพดาวเทียมมีเมฆปกคลุมมาก II.
การเปลี่ยนแปลงเนื้อที่ปาไมของจังหวัดตางๆในปจจุบัน แมวาในปจจุบันภาพรวมของเนื้อที่ประเทศไทยจะมีแนวโนมเพิ่มสูงขึ้น ตามขอมูลเปรียบเทียบ พ.ศ. 2547 และ 2552 ดังที่ไดกลาวแลว โดยแนวโนมที่เพิ่มขึ้นในภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต (ภาคกลางและภาค ตะวันออก ยังมีแนวโนมลดลง) เมื่อพิจารณาขอมูลรายจังหวัดสามารถจัดกลุมพื้นที่จังหวัดตามเนื้อที่ปาไมที่เพิ่มขึ้นหรือ ลดลงไดตอไปนี้ a) พื้นที่จังหวัดที่มีขอมูลเนื้อที่ปาไมเพิ่มขึ้น กลุมจังหวัดที่มีเนื้อที่ปาไมเพิ่มขึ้น 1-5% ของเนื้อที่ จังหวัด ไดแก จังหวัดเชียงใหม เพชรบูรณ พิษณุโลก อุตรดิตถ อุทัยธานี ขอนแกน มหาสารคาม สุรินทร หนองบัวลํา ภู อุบลราชธานี สระแกว สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สระบุ รี กาญจนบุรี เพชรบุรี ราชบุรี กระบี่ ชุมพร นครศรีธรรมราช ระนอง สงขลา และสุราษฏรธานี ใน จํานวนนี้ พบวาจังหวัดลําปาง ลพบุรี พังงา มีเนื้อที่ปาไมเพิ่มขึ้นสูงเกิน 5 % ของเนื้อที่จังหวัด และ พบวา ในชวงเวลาดังกลาว จังหวัดภูเก็ตมีพื้นที่ปาไมเพิ่มขึ้นถึง 10.14 % ของเนื้อที่จังหวัด 3.3.4
48
b) พื้นที่จังหวัดที่มีขอมูลเนื้อที่ปาไมคงที่ หรือเพิ่มขึ้นลดลงไมเกิน 0.5% ของเนื้อที่จังหวัด ไดแก นครสวรรค พิจิตร นครราชสีมา บุรีรัมย รอยเอ็ด ศรีสะเกษ อํานาจเจริญ จันทบุรี กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สิงหบุรี อางทอง นราธิวาส ยะลา c) พื้นที่จังหวัดที่มีขอมูลเนื้อที่ปาไมลดลง กลุมจังหวัดที่มีเนื้อทีปาไมลดลง 1-3% ของเนื้อที่จังหวัด ไดแ ก จั งหวัดกําแพงเพชร เชียงราย ตาก พะเยา แมฮองสอน ลําพูน สุโขทั ย กาฬสิน ธุ ชัยภูมิ มุกดาหาร ยโสธร สกลนคร อุดรราชธานี ระยอง ตรัง และมีขอมูลเนื้อที่ปาไมลดลงประมาณ 5-9 % ของเนื้อที่จังหวัด ไดแกจังหวัดตาก นาน แพร นครพนม ตราด ประจวบคีรีขันธ ในขณะที่จังหวัด สตูลมีเนื้อที่ปาไมลดลงถึง 11.18 % ของเนื้อที่จังหวัด จากการจัดกลุมจังหวัดตามขอมูลที่กลาวมาแลว แสดงเปนแผนที่ไดในรูป 3-8, 3-9, 3-10, และ 3-11
49
รูป 3-8 แสดงจังหวัดที่มีปาไมปกคลุมมาก-นอยในป 2504
50
รูป 3-9 แสดงจังหวัดที่มีปาไมปกคลุมมาก-นอยในป 2552
51
รูป 3-10 แสดงภาพเปรียบเทียบจังหวัดที่มีปาไมปกคลุมระหวางป พ.ศ. 2504 และ 2552
52
รูป 3-11 แสดงจังหวัดที่มีการสูญเสียปาไมมาก-นอยในรอบ 50 ป (2504 -2552)
53
รูป 3-12 แสดงจังหวัดที่มีปาไมปกคลุมมากขึ้น-ลดลงในปจจุบัน (2549=2552)
54
4. สถานการณ ค วามเปลี่ ย นแปลงชนิ ด ของปาไมประเทศไทย จากขอมูลของกรมปาไมและกรมอุทยานแหงชาติ พบวา สวนภูมิสารสนเทศ กรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช ไดสํารวจเนื้อที่ปาไมของประเทศไทยแยกตามชนิดปา ในป 2525 และ 2543 เทานั้น โดยในขอมูลป 2525 จําแนกชนิดปา ออก เปน ปาดงดิบ ปาผสมผลัดใบ ปาเต็งรัง ปาชายเลน ปาสน และปาละเมาะ แตขอมูลในป 2543 ไมมีการจําแนกชนิดปาเปน ปาละเมาะ แตเพิ่ม ประเภทการใชประโยชนที่ดินเปนชนิดปาพรุ ปาบุงปาทาม ปา ชายหาด ปาไผ รวมถึงเพิ่มเติมขอมูลพื้นที่สวนปาและพื้นที่ปาฟนฟูตามธรรมชาติ ขึ้นมาอีกดวย ขอมูลเนื้อที่ปาไมในป 2525 (มีเนื้อที่ปา 30.25 % ของพื้นทีประเทศไทย) จําแนกเปนปาดงดิบ 67,861 ตาราง กิโลเมตร หรือ รอยละ 43.33 ปาผสมผลัดใบ 33,929 ตารางกิโลเมตร หรือ รอยละ 21.67 ตารางกิโลเมตร ปาเต็งรัง 48,930 ตารางกิโลเมตร หรือรอยละ 31.25 ปาชายเลน 2,872 ตารางกิโลเมตร หรือรอยละ 1.83 ปาสน 2,162 ตาราง กิโลเมตร หรือรอยละ 1.38 และ ปาละเมาะ 846 ตารางกิโลเมตร หรือรอยละ 0.54 ในขณะที่ขอมูลเนื้อที่ปาไมในป 2543 (มีเนื้อที่ปาตามการสํารวจดวยภาพจากดาวเทียมความละเอียดสูงขึ้นทําใหมีเนื้อที่ปาทั้งประเทศถึง 33.1 % เนื้อ ที่มากกวาขอมูลป 2525 ) จําแนกเปนปาดงดิบ 52,679 ตารางกิโลเมตร พื้นที่ลดลงรอยละ 22.44 ปาผสมผลัดใบ (เปลี่ยนชื่อชนิดปาเปนปาเบญจพรรณ) 87,444.7 ตารางกิโลเมตร เพิ่มขึ้นรอยละ 161.69 ปาเต็งรัง 18,569.5 ตาราง กิโลเมตร ลดลงรอยละ 61.89 ปาชายเลน 2,093.1 ตารางกิโลเมตร หรือลดลงรอยละ 26.78 ปาสน 462.1 ตาราง กิโลเมตร ลดลงรอยละ 80.95 และเพิ่มขอมูลพื้นที่ปาพรุ 304 ตารางกิโลเมตร ปาบุงปาทาม 256.8 ตารางกิโลเมตร ปาชายหาด 125 ตารางกิโลเมตร ปาไผ 1503.5 ตารางกิโลเมตร รวมชนิดปายอยๆเหลานี้เพิ่มเปนรอยละ 141.18 รวมถึงมีขอมูลพื้นที่สวนปา 3,477 ตารางกิโลเมตร และพื้นทีปาฟนฟูตามธรรมชาติ 237.4 ตารางกิโลเมตร สําหรับเนื้อ ที่ปาไมเทียบกับเนื้อที่ประเทศไทยของชนิดปาตางๆ แสดงในตารางที่ 2.1 และ แสดงขอมูลแยกรายภาคของเนื้อทีปา ชนิดตางๆในตารางที่ 2.2 ตารางที่2.1 แสดงขอมูลเนื้อที่ปาเทียบกับเนื้อที่ประเทศไทยของชนิดปาตางๆจากขอมูลป 2525 และ 2543 พ.ศ.
ดงดิบ เบญจ พรรณ/ ปาผสม ผลัดใบ 13.19 6.5 2525 10.24 17.01 2543 เปลี่ยนแปลง 2.95 +10.51 (%) 22.44 +161.69 รอยละ
ปา เต็ง รัง 9.5 3.62 5.88 61.89
ปา พรุ
0.06
ปา บุง ทาม
ปา ปา ชายหาด ไผ
ปาละเมาะ = 0.17 0.05 0.02 +0.25 +141.18
0.29
ปา สน
ปา ชาย เลน
สวน ปา
ปาฟนฟู รวม ตาม ธรรมชาติ
0.42 0.08 0.34
0.56 0.48 0.15
0.68 +0.68
0.55 +0.55
30.34 33.1 +2.75
80.95
26.78
-
-
9.06
55
จากขอมูลเปรียบเทียบ % ที่เปลี่ยนแปลงพบวาในพื้นที่ปาธรรมชาติที่หลงเหลืออยู มีเพียงชนิดปาเบญจ พรรณเพียงชนิดเดียว ที่มีเนื้อที่เพิ่มขึ้นจากการสํารวจโดยใชภาพจากดาวเทียมรายละเอียดสูงและเปลี่ยนแปลงวิธี สํารวจโดยนับเนื้อที่ปาหยอมเล็กๆเขามารวมดวย โดยมีขอมูลเนื้อที่มากขึ้นถึง 10.51 % สวนปาดงดิบ ปาเบจพรรณ ปาเต็งรัง ปาสน และ ปาชายเลน ลวนมีขอมูลเนื้อที่ลดลง และสําหรับขอมูลเนื้อที่ปาที่เพิ่มขึ้นจากป 2525 ถึง 2.76 % สวนหนึ่งไดจากการนับเนื้อที่สวนปา และพื้นที่ฟนฟูตามธรรมชาติถึง 1.23 % หรือเกือบครึ่งหนึ่ง สวนเนื้อที่ปาชนิด ยอยๆ ไมสามารถเปรียบเทียบไดเนื่องจากมีการเก็บขอมูลเพียงปเดียว แตหากนับเปนพื้นที่ปาละเมาะก็จะพบวามี ขอมูลเนื้อที่ปาชนิดยอยๆมากกวาพื้นที่ปาละเมาะเมื่อป 2525 เล็กนอย แสดงขอมูลเปรียบเทียบเนื้อที่ชนิดปาในกราฟ รุปที่ 2.1 และ แสดงเปรียบเทียบรอยละของเนื้อที่ที่ลดลงของชนิดปารายภาค ในกราฟรูปที่ 2.2 รูปที่ 2.1 แสดงเนื้อที่เปน % ของปาชนิดตางๆเทียบกับเนื้อที่ประเทศไทยเปรียบเทียบจากขอมูล พ.ศ. 2525 และ 2543
18 16 14 12 10 8 6 4 2 0
2525
2543
จากการเปรียบเทียบขอมูลพบวาในระดับประเทศแลวเนื้อที่ปาที่หายไปมากที่สุดคือปาเต็งรัง (5.88%) ของ เนื้อที่ประเทศไทย หรือหายไปรอยละ 61.89 แตหากพิจารณาเปนสัดสวนรอยละของชนิดปา จะพบวาปาสนเปนชนิด ปาที่หมดไปมากที่สุดจากที่เคยมีในป 2525 หายไปถึงรอยละ 80.95
56
ตารางที่ 2.2 เปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงขอมูลเนื้อที่เปนรอยละของเนื้อที่ที่ลดลง หรือเพิ่มขึ้นของเนื้อที่ปาชนิดตางๆ แยกรายภาค 250
200
\ #""
150
\#
100
50
#
0
#
##
‐50
!
‐100
‐150
สําหรับขอมูลเปรียบเทียบรายภาคจะอธิบายในหัวขอยอยตามชนิดปาตอไป รูปที่ 4-1 แสดงเนื้อที่ปาไม แยกตามชนิดปา ในป 2543
57
รูป 4-1 การกระจายตัวของปาชนิดตางๆในประเทศไทย (กรมปาไม, 2543)
58
4.1
ปาดิบ
จากขอมูลเปรียบเทียบพบวาปาดิบเปนชนิดปาที่มีเนื้อที่มากที่สุดของชนิดปาที่มีอยูในประเทศไทยในป 2525 คือมีอยูถึง 13.19 % จากเนื้อที่ปาทั้งหมด 30.34 %ของเนื้อที่ประเทศไทย หรืออาจจะกลาวไดวาเกือบครึ่งหนึ่งของปา ประเทศไทยเป นปาดิบ โดยกระจายอยูในภาคเหนือเปนพื้นที่มากที่สุด รองลงมาคือ ภาคใต ภาคกลาง และภาค ตะวันออก แตหากพิจารณาสัดสวนของชนิดปาตอพื้นที่ปาในแตละภาคจะพบวาปาดิบกินเนื้อที่เกือบทั้งหมดในปา ภาคใตและภาคตะวันออก (87.11 และ 77.70 %) ในขณะที่ขอมูลป 2543 พบวาเนื้อที่ปาดิบลดลง 2.95 % โดยเปนการ ลดลงในภาคกลางถึง 12.41 %ของเนื้อที่ภาคกลาง ( 843.72 ตารางกิโลเมตร) และลดลงในภาคเหนือ 3.3 %ของเนื้อที่ ภาคเหนือ (5598.26 ตารางกิโลเมตร) สวนภาคอื่นๆมีเนื้อที่ปาดิบลดลงไมมากนักเนื่องจากเทคนิคการแปลภาพถายที่ นับรวมปาหยอมเล็กจากภาพรายละเอียดสูงเขามาดวย อาจกลาวไดวาสถานการณการลดลงของเนื้อทีปาดิบรุนแรง ที่สุดในพื้นที่ภาคกลางนั่นคือเนื้อทีปาดิบหายไปถึงรอยละ 65.98 ขอมูลรายจังหวัดป 2543 มีรายงานเนื้อที่ปาดิบมากถึง 4,908.6 ตารางกิโลเมตร ในจังหวัดเชียงใหม 3,893.8 ตารางกิโลเมตร ในจังหวัดตาก และ 3,628.9 ตารางกิโลเมตร ในจังหวัดสุราษฏรธานี นอกจากนี้ยังมีปาดิบมากกวา 2,000 ตารางกิโลเมตรในจังหวัด แมฮองสอน กาญจนบุรี และยังมีเนื้อที่ปาดิบมากกวา 1,000 ตารางกิโลเมตร ใน จังหวัด นาน เพชรบูรณ ชัยภูมิ นครราชสีมา อุบลราชานี จันทบุรี ปราจีนบุรี สระแกว ชุมพร นครศรีธรรมราช พังงา ยะลา และระนอง 4.2
ปาเบญจพรรณ หรือ ปาผสมผลัดใบ
จากขอมูลเปรียบเทียบพบวาปาผสมผลัดใบเปนชนิดปาที่มีเนื้อที่ไมมากนักของชนิดปาที่มีอยูในประเทศไทย ในป 2525 คือมีอยูเพียง 6.5 % จากเนื้อที่ปาทั้งหมด 30.34 %ของเนื้อที่ประเทศไทย โดยกระจายอยูในภาคเหนือเปน พื้นที่มากที่สุด รองลงมาคือภาคกลาง และภาคตะวันออก โดยไมพบปาชนิดนี้ในภาคใตเลย ในขณะที่ขอมูลป 2543 พบวาเนื้อที่ปาชนิดนี้เพิ่มขึ้นถึง 10.51 %ของเนื้อที่ประเทศไทย โดยเปนการเพิ่มขึ้นในภาคเหนือถึง 22.35 %ของเนื้อที่ ภาคเหนือ ( 37,915.5 ตารางกิโลเมตร) และในภาคกลาง 13.58 %ของเนื้อที่ภาคกลาง (9,152.74 ตารางกิโลเมตร) สวนภาคอื่นๆมีเนื้อที่ปาชนิดนี้เพิ่มไมมากนัก อาจกลาวไดวาขอมูลเนื้อที่ปาที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากเทคนิคการแปลภาพถาย ที่นับรวมปาหยอมเล็กจากภาพรายละเอียดสูงจะปรากฏเนื้อที่ปาชนิดนี้ในพื้นที่ภาคเหนือและภาคกลางทําใหขอมูลเนื้อ ที่ปาของประเทศไทยมีตัวเลขสูงขึ้นอยางมาก และจากขอมูลดังกลาว อาจกลาวไดวาเนื้อที่ปาเบญจพรรณ (17.01%) มี สัดสวนชนิดปามากที่สุดกวาครึ่งหนึ่งของเนื้อที่ปาประเทศไทยในป 2543 (33.09%) โดยเกือบทั้งหมดอยูในภาคเหนือ และภาคกลาง ขอมูลรายจังหวัดป 2543 มีรายงานเนื้อที่ปาเบญจพรรณมากถึง 8,355.3 ตารางกิโลเมตร ในจังหวัดเชียงใหม 8,308.1 ตารางกิโลเมตร ในจังหวัดแมฮองสอน และ 7,771.5 ตารางกิโลเมตร ในจังหวัดกาญจนบุรี นอกจากนี้ยังมีปา ดิบมากกวา 5,000 ตารางกิโลเมตรในจังหวัด ตาก นาน ลําปาง และยังมีเนื้อที่ปาดิบมากกวา 1,000 ตารางกิโลเมตร ในจังหวัด กําแพงเพชร เชียงราย พะเยา พิษณุโลก เพชรบูรณ แพร ลําพูน สุโขทัย อุตรดิษถ อุทัยธานีชัยภูมิ เลย ประจวบคีรีขันธ เพชรบุรี ราชบุรี
59
4.3
ปาเต็งรัง
จากขอมูลเปรียบเทียบพบวาปาเต็งรังเปนชนิดปาที่มีเนื้อที่มากของชนิดปาที่มีอยูในประเทศไทยในป 2525 คือมีอยูถึง 9.5 % จากเนื้อที่ปาทั้งหมด 30.34 %ของเนื้อที่ประเทศไทย หรืออาจจะกลาวไดวาเกือบหนึ่งในสามของปา ประเทศไทยเปนปาเต็งรัง โดยกระจายอยูในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเปนพื้นที่มากที่สุด รองลงมาคือ ภาคเหนือ แต หากพิ จ ารณาสั ด ส ว นของชนิ ด ป า ต อ พื้ น ที่ ป า ในแต ล ะภาคจะพบว า ป า เต็ ง รั ง กิ น เนื้ อ ที่ ถึ ง ครึ่ ง หนึ่ ง ในป า ภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ (53.38%) และกินเนื้อที่มากที่สุดในสัดสวนปาภาคเหนือ (39.11 %) สวนภาคตะวันออกและภาค กลางมีปาชนิดนี้อยูเล็กนอยและไมมีปาชนิดนี้ในภาคใต ในขณะที่ขอมูลป 2543 พบวาเนื้อที่ปาเต็งรังลดลง 5.88 % โดยเปนการลดลงในภาคเหนือถึง 14.31 %ของเนื้อที่ภาคเหนือ ( 24,276.19 ตารางกิโลเมตร) และลดลงในภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ 3.36 %ของเนื้อที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ( 5,673.50 ตารางกิโลเมตร) อาจกลาวไดวา สถานการณการลดลงของเนื้อทีปาเต็งรังรุนแรงที่สุดในพื้นที่ภาคเหนือนั่นคือเนื้อทีปาเต็งรังหายไปถึงรอยละ 71.84 สวนภาคตะวันออกเฉียงเหนือหายไปรอยละ 40.78 แตอยางไรก็ตามปาเต็งรังที่มีอยู 0.69% ของเนื้อที่ภาคตะวันออก ( 44.87 ตารางกิโลเมตร) ไดหายไปถึง 0.62% หรือปาเต็งรังรอยละ 89.8 ในภาคตะวันออกถูกทําลายไป ขอมูลรายจังหวัดป 2543 มีรายงานเนื้อที่ปาเต็งรังมากถึง 2812.7 ตารางกิโลเมตร ในจังหวัดเชียงใหม 2,120.7 ตารางกิโลเมตร ในจังหวัดตาก นอกจากนี้ยังมีปาดิบมากกวา 1,000 ตารางกิโลเมตรในจังหวัด สกลนคร และ อุบลราชธานี 3.4
ปาสน
จากขอมูลเปรียบเทียบพบวาปาสนเปนชนิดปาที่มีเนื้อที่ไมมากนักของชนิดปาที่มีอยูในประเทศไทยในป 2525 คือมีอยูเพียง 0.42 % จากเนื้อที่ปาทั้งหมด 30.34 %ของเนื้อที่ประเทศไทย โดยกระจายอยูในภาคเหนือเปนพื้นที่มาก ที่สุด และพบอีกที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (1.17 และ 0.09 %) ในขณะที่ขอมูลป 2543 พบวาเนื้อที่ปาสนลดลง 0.34 % โดยเปนการลดลงในภาคเหนือถึง 0.98 %ของเนื้อที่ภาคเหนือ ( 1,662.51 ตารางกิโลเมตร) และลดลงในภาค ตะวันออกเฉียงเหนือเพียง 0.08% ของเนื้อที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ( 135.08 ตารางกิโลเมตร) อาจกลาวไดวา สถานการณการลดลงของเนื้อทีปาสนรุนแรงที่สุดในพื้นที่ภาคเหนือนั่นคือเนื้อที่ปาสนหายไปถึงรอยละ 83.7 ขอมูลรายจังหวัดป 2543 มีรายงานเนื้อที่ปาสนมากถึง 179.5 ตารางกิโลเมตร ในจังหวัดเชียงใหม 79.7 ตารางกิโลเมตร ในจังหวัดเชียงราย และ 62.1 ตารางกิโลเมตร ในจังหวัดชัยภูมิ นอกจากนี้ยังมีปาสนเนื้อที่กวา 40 ตารางกิโลเมตรในจังหวัด เพชรบูรณ และ เลย 3.5
ปาชายเลน จากขอมูลเปรียบเทียบพบวาปาชายเลนมีเนื้อที่ป 2525 เปน 0.56% จากเนื้อที่ปาทั้งหมด 30.34 %ของเนื้อที่ ประเทศไทย โดยกระจายอยูในภาคใตเปนพื้นที่มากที่สุด รองลงมาคือ ภาคตะวันออกและ ภาคกลาง ในขณะที่ขอมูลป 2543 พบวาเนื้อที่ปาชายเลนลดลง 0.15 % โดยเปนการลดลงในภาคตะวันออกถึง 0.5 %ของเนื้อที่ภาคตะวันออก (
60
182.51 ตารางกิโลเมตร) และลดลงในภาคกลาง 0.31 %ของเนื้อที่ภาคกลาง (209.94 ตารางกิโลเมตร) สวนภาคใตมี เนื้อที่ปาชายเลนลดลงเพียง 0.04% ของเนื้อที่ภาคใต อาจกลาวไดวาสถานการณการลดลงของเนื้อทีปาดิบรุนแรงที่สุด ในพื้นที่ภาคกลางคือมีเนื้อที่ปาชายเลนหายไปถึงรอยละ 62 และที่ภาคตะวันออกหายไปรอยละ 43.85 ขอมูลรายจังหวัดป 2543 มีรายงานเนื้อที่ปาชายเลนมากถึง 453.7 ตารางกิโลเมตร ในจังหวัดพังงา 353.4 ตารางกิโลเมตร ในจังหวัดสตูล 349 ตารางกิโลเมตร ในจังหวัดกระบี่ และ 334.8 ตารางกิโลเมตร ที่จังหวัดตรัง นอกจากนี้ยังมีปาชายเลนมากกวา 40 ตารางกิโลเมตรในจังหวัด เพชรบุรี จันทบุรี ตราด ชุมพร นครศรีธรรมราช และ สงขลา ดกาสว รูป
61
5. สถานการณการประกาศพื้นที่ อนุรักษปาไมประเทศไทย 5.1 รูปแบบการประกาศเขตพื้นที่ปาอนุรักษในประเทศไทย สําหรับประเทศไทย มีการประกาศพื้นที่เพื่อการอนุรักษความหลากหลายทางชีวภาพของปาไมในพื้นที่อยาง เปนทางการ 5 รูปแบบ คือ อุทยานแหงชาติ เขตรักษาพันธุสัตวปา วนอุทยาน เขตหามลาสัตวปา สวนรุกขชาติ และ สวนพฤกษศาตร นอกจากนี้ยังมีพื้นที่อนุรักษ อื่นๆ ไดแก ปาเพื่อการอนุรักษตามมติคณะรัฐมนตรี เปนปาที่ คณะรัฐมนตรีกําหนดใหเปนพื้นที่ตนน้ําชั้น 1 ปาชายเลนเขตอนุรักษ และปาที่คณะรัฐมนตรีกําหนดใหเปนปาอนุรักษ เพิ่มเติม แตปจจุบันนับไดวามีเพียงมาตรการคุมครองตามมติคณะรัฐมนตรีเทานั้นแตมาตรการคุมครองความ หลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่เหลานี้ยังไมมีความชัดเจนเพียงพอที่จะรักษาสภาพความหลากหลายไดอยางจริงจัง พื้นที่อนุรักษที่กลาวมาทั้งหมดจะประกาศขอบเขตตามที่ไดประกาศเปนพื้นที่ปาสงวนไวเดิมทั้งสิ้น แตอยางไรก็ตาม พื้นที่ปาสงวนในปจจุบันที่ไมถูกประกาศเปนพื้นที่อนุรักษอยางเปนทางการก็ถือไดวาเปนเพียงการสงวนที่ดินมิใหถูก บุกรุกทําประโยชนแตไมมีมาตรการคุมครองความหลากหลายอยางแทจริงเชนกัน เนื้อที่ปาอนุรักษรุปแบบดังกลาว เทียบเปน % กับเนื้อที่ประเทศไทย และเนื้อที่ประกาศเขตปาสงวนแหงชาติ (ทับซอนกับพื้นที่อนุรักษ) แสดงในแผนภูมิ ที่ 5-1 และ ตารางที่ 5-1 แผนภูมิที่ 5-1 แสดงเนื้อที่การประกาศเนื้อที่ปาสงวน และปาอนุรักษตั้งแตป 2536-2553 เทียบเปน % กับเนื้อที่ ประเทศไทย 50 45 40
ปา สงวน
35
อุท ยาน
30
เขตรักษาพัน ธุฯ
25
เขตหา มลา
20
วนอุท ยาน
15
รุกขชาติ
10
พฤกษศาสตร รวมปา อนุรักษ
5
2553
2552
2551
2550
2549
2548
2547
2546
2545
2544
2543
2542
2541
2540
2539
2538
2537
2536
2535
0
62
ตารางที่ 5-1 แสดงขอมูลเนื้อที่ปาสงวน ปาอนุรักษ รวมถึงปาชุมชน ที่มีการประกาศจนถึงป 2553
การศึกษาครั้งนี้จึงรวบรวมขอมูลเฉพาะในพื้นที่อนุรักษอยางเปนทางการ โดยในขอมูลถึงป 2553 มีจํานวน พื้นที่อนุรักษทั้งสิ้น 411 แหง เนื้อที่ 103,809.92 ตารางกิโลเมตร หรือ 20.19% ของเนื้อที่ประเทศไทย มีพื้นที่กระจาย ตัวอยูในภาคเหนือ 25.54% ของพื้นที่ภาค (43,327 ตารางกิโลเมตร) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 10.16% ของพื้นที่ภาค (17,156 ตารางกิโลเมตร) ภาคกลาง 25.75 % ของพื้นที่ภาค (17,355 ตารางกิโลเมตร) ภาคตะวันออก 14.15% ของ พื้นที่ภาค (5,165 ตารางกิโลเมตร) และภาคใต 18.06% ของพื้นที่ภาค (12,711 ตารางกิโลเมตร) ซึ่งแตละรูปแบบ มี ความแตกตางกันดังตอไปนี้ • อุทยานแหงชาติ คือ พื้นที่ซึ่งรัฐบาลเห็นวามีสภาพธรรมชาติเปนที่นาสนใจสมควรสงวนเปนพิเศษ เพื่อรักษาสภาพธรรมชาติและสิ่งแวดลอมใหคงสภาพเดิมถาวรตลอดไป เพื่อประโยชนทางการศึกษาและนันทนาการ การจะเปนประกาศเปนอุทยานแหงชาติได ตองประกาศในพระราชกฤษฎีกา มีแผนที่แสดงแนวเขตแหงบริเวณที่ กําหนดนั้นแนบทายพระราชกฤฏีกา และที่ดินที่จะกําหนดใหเปนอุทยานแหงชาติตองเปนที่ดินที่มิไดอยูในกรรมสิทธิ์ หรือครอบครองโดยชอบดวยกฎหมายของบุคคลใดซึ่งมิใชทบวงการเมือง จนถึงป 2553 มีอุทยานแหงชาติรวม 123 แหง รวมพื้นที่ 60,320.11 ตารางกิโลเมตร คิดเปนเนื้อที่ 11.73% ของเนื้อที่ประเทศไทย กระจายตัวอยูในภาคเหนือ 43 แหง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 23 แหง ภาคกลาง 14 แหง ภาคตะวันออก 9 แหง และภาคใต 34 แหง
63
• เขตรักษาพันธุสัตวปา คือ พื้นที่กําหนดขึ้นเพื่อใหเปนที่อยูอาศัยของสัตวปาโดยปลอดภัย เพื่อวา สัตวในพื้นที่ดังกลาวจะไดมีโอกาสสืบพันธุ และขยายพันธุตามธรรมชาติไดมากขึ้นทําใหสัตวปาบางสวนไดมีโอกาส กระจายจํานวนออกไปในทองที่แหงอื่น ๆ ที่อยูใกลเคียงกับเขตรักษาพันธุสัตวปา จนถึงป 2553 มีเขตรักษาพันธุสัตว ปา 58 แหง รวมพื้นที่ 36,929.37 ตารางกิโลเมตร คิดเปนเนื้อที่ 7.18% ของเนื้อที่ประเทศไทย กระจายตัวอยูใน ภาคเหนือ 24 แหง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 12 แหง ภาคกลาง 5 แหง ภาคตะวันออก 4 แหง และภาคใต 13 แหง • วนอุทยาน คือ พื้นที่ขนาดเล็กจัดตั้งเพื่อการพักผอนหยอนใจ มีความสําคัญในระดับทองถิ่น จุดเดน อาจไดแกน้ําตก หุบเหว หนาผา ถ้ําหรือหาดทราย จนถึงป 2553 มีวนอุทยานรวม 113 แหง รวมพื้นที่ 1,239 ตาราง กิโลเมตร คิดเปนเนื้อที่ 0.24 % ของเนื้อที่ประเทศไทย กระจายตัวอยูในภาคเหนือ 63 แหง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 28 แหง ภาคกลาง 11 แหง ภาคตะวันออก 3 แหง และภาคใต 8 แหง • เขตหามลาสัตวปา คือ บริเวณสถานที่ที่ใชในราชการ หรือใชเพื่อสาธารณะประโยชน ปรือประชาชน ใชประโยชนรวมกันรัฐมนตรีวาการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม เปนผูกําหนด โดยความเห็นชอบของ คณะกรรมการสงวนและคุมครองสัตวปาแหงชาติ โดยกําหนดใหเปนเขตหามลาสัตวปาชนิดหรือประเภทใดก็ได โดย ประกาศในราชกิจจานุเบกษา จนถึงป 2553 มีเขตหามลาสัตวปารวม 60 แหง รวมพื้นที่ 5,233.04 ตารางกิโลเมตร คิด เปนเนื้อที่ 1.02 % ของเนื้อที่ประเทศไทย กระจายตัวอยูในภาคเหนือ 13 แหง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 10 แหง ภาค กลาง 15 แหง ภาคตะวันออก 3 แหง และภาคใต 19 แหง • สวนรุกขชาติ คือ แหลงรวมพันธุไมของทองถิ่นที่มีคา โดยจัดปลูกใหมีความสวยงาม เพื่อเปน สถานที่ศึกษาดานพันธุไมสําหรับประชาชน และเปนที่พักผอนหยอนใจ จนถึงป 2553 มีสวนรุกขชาติรวม 56 แหง รวม พื้นที่ 43.02 ตารางกิโลเมตร คิดเปนเนื้อที่ 0.008% ของเนื้อที่ประเทศไทย กระจายตัวอยูในภาคเหนือ 23 แหง ภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ 17 แหง ภาคกลาง 8 แหง ภาคตะวันออก 4 แหง และภาคใต 4 แหง • สวนพฤกษศาสตร คือ คือสวนที่รวบรวมพันธุไมทั้งสดและแหง และแสดงถิ่นที่กําเนิดของพรรณพืช เพื่อเปนแหลงศึกษาทางพฤษศาสตร ศึกษาความแตกตางของชนิดพันธุ สภาพทางสรีรวิทยา การเจริญเติบโต การ แพรกระจาย การอนุรักษ การใชประโยชน ฯลฯ โดยในสวนพฤษศาสตรจะจัดปลูกพันธุไมตาง ๆ โดยในสวนพฤษ ศาสตรจะจัดปลูกพันธุไมตาง ๆ ทั้งของไทยและของตางประเทศใหเปนหมวดหมูตามหลักสากล และตามหลักวิชาการ ทางพฤษศาสตรใหดูสวยงาม และเปนที่พักผอนหยอนใจ จนถึงป 2553 มีสวนพฤกษศาสตรรวม 16 แหง รวมพื้นที่ 46.28 ตารางกิโลเมตร คิดเปนเนื้อที่ 0.009 % ของเนื้อที่ประเทศไทย กระจายตัวอยูในภาคเหนือ 2 แหง ภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ 3 แหง ภาคกลาง 4 แหง ภาคตะวันออก 2 แหง และภาคใต 6 แหง
64
ตารางที่ 5-2 สรุปเนื้อที่ปาสงวน และปาอนุรักษรูปแบบตางๆแยกตามรายภาคเทียบเปน % กับพื้นที่ภาค
แผนภูมิที่ 5-2 แสดงจํานวนแหงของการประกาศพื้นที่อนุรักษรูปแบบตางๆ ตั้งแตป 2536-2552 140 120 100
อุท ยานแหงชาติ เขตรักษาพัน ธุสัตวปา
80
วนอุท ยาน 60
เขตหา มลา สวนพฤกษศา สตร
40
สวนรุกขชาติ 20
แผนภูมิที่ 5-3 แสดงจํานวนการประกาศพื้นที่อนุรักษรูปแบบตางๆ แยกตามรายภาค
2553
2552
2551
2550
2549
2548
2547
2546
2545
2544
2543
2542
2541
2540
2539
2538
2537
2536
2535
0
65
70 60 50
อุทยานแหงชาติ
40
เขตรักษาพัน ธุสัตวปา วนอุท ยาน
30
เขตหา มลา สวนพฤกษศา สตร
20
สวนรุกขชาติ 10 0 เหนือ
อิสาน
กลาง
ตะวันออก
ใต
พื้นที่ปาอนุรักษของไทยสวนใหญจะอยูในรุปแบบของอุทยานแหงชาติและเขตรักษาพันธุสัตวปา 93 % ที่เหลือจึงเปน เขตหามลาและวนอุทยาน สวนสวนรุกขชาติและสวนพฤษศาสตรมีพื้นที่นอยมากเมื่อเทียบกับพื้นที่ ประเทศไทย อุทยานแหงชาติและเขตรักษาพันธุสัตวปาของไทยมีพื้นที่สวนมากอยูระหวาง 100-1500 ตารางกิโลเมตร (เฉลี่ยประมาณ 500 ตารางกิโลเมตร) โดยมีอุทยานแหงชาติและเขตรักษาพันธุสัตวปาขนาดใหญ กวา 1500 ตาราง กิโลเมตร หรือเล็กกวา 100 ตารางกิโลเมตร อยูบาง ประมาณ 10 แหง
5.2 ไทย
สถานการณเนื้อที่การประกาศพื้นที่ปาอนุรักษ พื้นที่ปาสงวน เทียบกับพื้นที่ปาประเทศ
ตารางที่ 5-1 แจกแจงการเพิ่มขึ้นของเนื้อที่ปาอนุรักษตามการประกาศ ตั้งแต ป 2535-2553 เห็นไดวาใน เวลา 18 ป รัฐบาลสามารถเพิ่มพื้นที่อนุรักษได 6.18 % หรือเฉลี่ยปละ 0.34 % (1,744.59 ตารางกิโลเมตร) โดย แบงเปนอุทยานแหงชาติเพิ่มขึ้น 46 แหง เขตรักษาพันธุสัตวปา 23 แหง วนอุทยาน 69 แหง เขตหามลา 11 แหง สวน รุกขชาติ 12 แหง สวนพฤกษศาสตร 11 แหง เมื่อพิจารณาเฉพาะการประกาศอุทยานแหงชาติและเขตรักษาพันธุสัตวื ปาที่เปนพื้นที่อนุรักษที่มีพื้นที่มาก พบวาพื้นที่อนุรักษทั้งสองประเภท เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปละ 3.8 แหง เมื่อเทียบเคียงกับการลดลงของพื้นที่ปาในชวงป 36-41 ที่พื้นที่ปาลดลง 0.75% มีการลดลงพื้นที่ปาไมป เฉลี่ยปละ 0.15% ในชวงดังกลาวมีการประกาศพื้นที่ปาอนุรักษเพิ่มขึ้นถึง 1.85 % หรือเฉลี่ยปละ 0.37% โดยประกาศ อุทยานแหงชาติเพิ่มขึ้น 10 แหง และเขตรักษาพันธุสัตวปาเพิ่มขึ้นอีกถึง 10 แหง ในป 43-49 มีอัตราการลดลงของ พื้นที่ปาไมตามการสํารวจในระบบใหม 2.23% หรือเฉลี่ยปละ 0.37 มีการประกาศพื้นที่อนุรักษเพิ่มขึ้นเพียง 0.51% หรือเฉลี่ยปละ 0.09 % เทานั้น โดยประกาศอุทยานแหงชาติเพิ่มเพียง 1 แหงและเขตรักษาพันธุสัตวปาไดเพิ่มเพียง 2
66
แหง แมวาในชวงนี้จะมีการประกาศวนอุทยานเพิ่มขึ้นถึง 44 แหง แตเปนพื้นที่เล็กๆเทานั้น และในป 2549-2552 มี อัตราการเพิ่มของพื้นที่ปา 2.52% หรือเฉลี่ยปละ 0.84% มีการประกาศพื้นที่อนุรักษเพิ่มขึ้น 1.68% หรือเฉลี่ยปละ 0.56 % โดยประกาศอุทยานแหงชาติไดถึง 20 แหง เขตรักษาพันธุสัตวปา 3 แหง การประกาศพื้นที่อนุรักษแตละรูปแบบของประเทศไทยจะประกาศพื้นที่จากขอบเขตที่ไดประกาศเปนพื้นที่ปา สงวนไว เนื้อที่ปาสงวนไมมีการเปลี่ยนแปลงจากการประกาศเพิ่มเติมมากนักจนถึงปจจุบันมีการประกาศปาสงวน 1,221 ปา รวมเนื้อที่ 230,280.05 ตารงกิโลเมตร หรือประมาณ 44.80 % ของเนื้อที่ประเทศไทย แบงเปนภาคเหนือ 257 ปา เนื้อที่ 111,875.04 ตารางกิโลเมตร คิดเปน 65.99% ของพื้นที่ภาค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 353 ปา เนื้อที่ 55,333.40 ตารางกิโลเมตร คิดเปน 30.29%ของพื้นที่ภาค ภาคกลางและภาคตะวันออก 143 ปา เนื้อที่ 34,886.06 ตารางกิโลเมตร คิดเปน 39.86 % และ 39.66% ของพื้นที่ภาค และภาคใต 486 ปา เนื้อที่ 28,183.15 ตารางกิโลเมตร คิดเปน 39.86% ของพื้นที่ภาค ในปจจุบันพบวาเนื้อที่ปาสงวนจํานวนมากถูกเปลี่ยนสภาพเปนที่ทํากินและที่อยูอาศัย โดยเมื่อเปรียบเทียบกับเนื้อที่ปาในปจจุบัน 33.44 % ประมาณวาเนื้อที่ปาสงวนและพื้นที่ปาอนุรักษถูกเปลี่ยนสภาพไป 11.36% หรือ 58,290 ตารางกิโลเมตร แยกเปนในภาคเหนือ 9.9 % ของพื้นที่ภาค(16,795 ตารางกิโลเมตร) ภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ 13.88% ของพื้นที่ภาค (22,508 ตารางกิโลเมตร) ภาคกลาง 6.83% ของพื้นที่ภาค (4,603 ตาราง กิโลเมตร) ภาคตะวันออก 17.57% ของพื้นที่ภาค (6,414 ตารางกิโลเมตร) และ ภาคใต 12.8 % ของพื้นที่ภาค (9,051 ตารางกิโลเมตร) ตามขอมูลที่ปรากฏในปจจุบันยังไมมีขอมูลที่สํารวจพื้นที่ปาอนุรักษที่ถูกเปลี่ยนสภาพไปเปนที่ทํากินใน พื้นที่ได แตจากการติดตามปญหาในภาพรวมจะพบปญหาการบุกรุกพื้นทีปาในปาสงวนแหงชาติที่ยังไมถูกประกาศเปน พื้นที่อนุรักษเปนสวนใหญ ขอมูลจนถึงปจจุบันพบวายังมีพื้นที่ที่คงสภาพปานอกการประกาศเปนพื้นที่อนุรักษทั้งสิ้น 13.25 % ของพื้นที่ประเทศไทย ( 67,988 ตารางกิโลเมตร) หรือกลาวไดวา รอยละ 59.68 ของพื้นทีปาประเทศไทย เปนปาอนุรักษ สวนที่เหลือรอยละ 40.32 มีสถานภาพเปนปาสงวนแหงชาติ พื้นทีปานอกการประกาศพื้นที่อนุรักษ ดังกลาวกระจายตัวอยูในภาคเหนือ 30.55% ของพื้นที่ภาค (51,826 ตารางกิโลเมตร) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 6.25% ของพื้นที่ภาค (10,553 ตารางกิโลเมตร) ภาคกลาง 7.08 % ของพื้นที่ภาค (4,772 ตารางกิโลเมตร) ภาคตะวันออก 7.94 % ของพื้นที่ภาค (2,898 ตารางกิโลเมตร) และภาคใต 9% ของพื้นที่ภาค (6,364 ตารางกิโลเมตร) ขอมูลเปรียบเทียบเนื้อที่ปาอนุรักษรูปแบบตางๆ กับเนื้อที่ปาสงวน เมื่อเทียบกับเนื้อที่ประเทศไทย และ เนื้อที่รายภาคแสดงแผนภูมิเปรียบเทียบในแผนภูมิที่ 5-3 และ แผนภูมิที่ 5-4 รูปที่ 5-1 – 5-5 แสดง แผนที่การประกาศปาสงวนแหงชาติ การประกาศเขตปาอนุรักษ (อุทยานแหงชาติ และเขตรักษษพันธุสัตวปา ป 2544) และสถานภาพปาสงวนแหงชาติ สถานภาพปาอนุรักษ และแผนที่อุทยาน แหงชาติในปจุบัน ภาคผนวกที่ 5-1 แสดงรายละเอียดการประกาศพื้นที่อนุรักษในชวงปปจจุบัน
67
แผนภูมิที่ 5-4 เปรียบเทียบการประกาศพื้นที่ปาอนุรักษปจจุบันเทียบกับเนื้อที่ปาที่ยังไมประกาศเปนพื้นที่อนุรักษ และ เนื้อที่ปาสงวน 70 60 50 40
% พื้นที่ปา
30
ปา สงวนแหงชาติ ปา อนุรักษ
20 10 0 เหนือ
อิสาน
กลาง
ตะวัน ออก
ใต
แผนภูมิ 5-5 เปรียบเทียบการประกาศพื้นที่อนุรักษรูปแบบตางๆ ในแตละภาค เทียบกับเนื้อที่ปาที่ยังไมประกาศเปน อนุรักษ 35 30 อุทยานแหงชาติ
25
เขตรักษาพันธุสัตวปา 20
วนอุทยาน
15
เขตหา มลา สวนพฤกษศา สตร
10
สวนรุกขชาติ ปา นอกเขตอนุรักษ
5 0 เหนือ
อิสาน
กลาง
ตะวันออก
ใต
68
รูปที่ 5-1 แสดงพื้นที่เขตปาสงวนประเทศไทย (ฝายรังวัดแนวเขตที่ดินปาไม กรมอุทยานแหงชาติ 2544)
69
รูปที่ 5-2 แสดงพื้นที่เขตปาอนุรักษ (ฝายรังวัดแนวเขตที่ดินปาไม กรมอุทยานแหงชาติ 2544)
70
รูปที่ 5-3 แสดงสถานภาพพื้นที่ปาสงวน (ฝายรังวัดแนวเขตที่ดินปาไม กรมอุทยานแหงชาติ 2544)
71
รูปที่ 5-4 แสดงสถานภาพพื้นที่ปาอนุรักษ (ฝายรังวัดแนวเขตที่ดินปาไม กรมอุทยานแหงชาติ 2544)
72
รูปที่ 5-5 แสดงพื้นที่อุทยานแหงชาติในปจจุบัน (สํานักอุทยานแหงชาติ กรมอุทยานแหงชาติฯ, 2553)
73
ภาพที่ 5-6 แสดงภาพการใชประโยชนที่ดินในประเทศไทย รวมพื้นที่ปาและปาอนุรักษ (Thailand: National Report on Protected Areas and Development, 2003)
74
ภาพที่ 5‐7 แสดงพื้นที่อนุรักษ และจํานวนประชากรในพื้นที่ตางๆ ในประเทศไทย (Thailand: National Report on Protected Areas and Development, 2003)
75
ภาพที่ 5‐8 แสดงพื้นที่อนุรักษ และระดับความยากจนในพื้นที่ตางๆ ของประเทศไทย (Thailand: National Report on Protected Areas and Development, 2003)
76
6. สถานการณ ค วามหลากหลายทาง ชีวภาพของพรรณพืชประเทศไทย 6.1
ความหลากหลายของพรรณพืชประเทศไทย สํานักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดลอม (2547) ในฐานะหนวยงานประสานงานกลางของอนุสัญญาวา
ดวยความหลากหลายทางชีวภาพไดจัดพิมพเอกสารเผยแพรเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพครั้งลุดในป 2547 รายงานความหลากหลายของพรรณพฤกษชาติของไทยตามภาคตางๆ สวนใหญวาจะคลายคลึงกับ พรรณพฤกษชาติของประเทศเพื่อนบาน ประเทศไทยจึงเปนแหลงรวมของกลุมพรรณพฤกษชาติ (Floristic elements) ประจําภูมิภาคใหญ ๆ ถึง 3 กลุมดวยกัน ไดแก กลุมพรรณพฤกษชาติภูมิภาคอินเดีย–พมา (India– Burmese elements) กลุมพรรณพฤกษชาติภูมิภาคอินโดจีน (Indo–Chinese elements) และกลุมพรรณ พฤกษชาติภูมิภาคมาเลเซีย (Malaysian elements) พรรณพืชของประเทศไทยที่ไดรับการศึกษาทบทวน และ บันทึกไวในหนังสือพรรณพฤกษชาติของประเทศไทยแลว มีประมาณ 2,819 ชนิด หรือประมาณรอยละ 23 ของจํานวนพืชที่มีทอลําเลียงของไทย ประมาณวา ประเทศไทยมีชนิดพรรณพืชที่มีทอลําเลียงอยูประมาณ 12,000 ชนิด เปนเฟน 658 ชนิด และกลวยไมมาก กวา 1,000 ชนิด และประมาณวาในจํานวนพรรณพืชนี้มีพืช ที่เปนสมุนไพรที่ไดถูกใชสําหรับเปนยารักษาโรคในทองถิ่น ประมาณ 1.000 ชนิด ทั้งนี้ยังไมรวมเห็ดราที่มี ประมาณ 3,000 ชนิด ในรายงานระบุวา หอพรรณไม กรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช มีตัวอยางพรรณไมแหงที่เก็บสะสม ไวถึงประมาณ 200,000 ตัวอยาง เปนตัวอยางตนแบบ (type specimens) ประมาณ 255 ตัวอยาง ในจํานวนตัวอยาง พรรณไมแหงทั้งหมดนี้ครอบคลุมพรรณพฤกษชาติที่มีทอลําเลียงของประเทศไมตํ่ากวารอยละ 80 คาดวา ถาหากมีการ สํารวจและเก็บตัวอยางพรรณไมเฉพาะพื้นที่แบบตอเนื่องเพิ่มเติมจะตองพบชนิดพันธุใหมแนนอน เชน ที่พรุโตะแดง จังหวัดนราธิวาส ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 5,000 ไร พบพืชที่มีทอลําเลียง 101 วงศ 316 ชนิด ในจํานวนนี้ 48 ชนิด เปนพืช ที่พบครั้งแรกในประเทศไทย หรือที่อุทยานแหงชาติดอยสุเทพ–ปุย ไดมีการสํารวจพรรณพฤกษชาติที่มีทอลําเลียงพบ 679 ชนิด และจากการสํารวจตอเนื่องจนถึงปจจุบัน พบจํานวนเพิ่มอีกเปน 2,247 ชนิด พรรณไมของไทยที่ไดสํารวจและกําลังศึกษา (ไมรวม Thallophyte และ Bryophyte) มีประมาณ 303 วงศ 1,363 สกุล 10,234 ชนิด แยกเปน • พวกเฟน (Fern) จํานวน 658 ชนิด จากพรรณไม 34 วงศ และ 132 สกุล ซึ่งทําการทบทวนเสร็จสิ้น แลวทั้งหมด
77
• พวกไมเนื้อออน Gymnosperm) จํานวน 25 ชนิด จากพรรณไม 6 วงศ และ 7 สกุล ซึ่งทําการวิจัย ทบทวนเสร็จสิ้นแลวทั้งหมด • พวกแองจิโอสเปรม (Angiosperm) จํานวนประมาณ 9,551 ชนิด จากพรรณไม 263 วงศ และ 1,224 สกุล ในจํานวนนี้ทําการวิจัยทบทวนเสร็จสิ้น 2,136 ชนิด จากพรรณไม 109 วงศ และ 705 สกุล ดังที่ไดกลาวมาแลววาประเทศไทยไมมีกลุมพรรณพฤกษชาติที่เปนเอกลักษณของตัวเอง จึงทําใหพบพรรณ พืชประจําถิ่นไมมากนัก จากการศึกษาในโครงการพรรณพฤกษชาติของประเทศไทย พบวามีพรรณพืชประจําถิ่น 248 ชนิด จาก 43 วงศ 94 สกุล โดยแบงเปน เฟน 24 ชนิด 13 วงศ 22 สกุล (ภาคผนวกที่ 4-1/1) แองจิโอสเปรม 224 ชนิด 30 วงศ 72 สกุล โดยแบงเปน พืชใบ เลี้ยงเดี่ยว 25 ชนิด จาก 6 วงศ 8 สกุล (ภาคผนวกที่ 4-1/2) และพืชใบเลี้ยงคู 199 ชนิด จาก 24 วงศ 64 สกุล (ภาคผนวกที่ 4-1/3) (Smitinand และ Larsen, 1970–1993, Santisuk และ Larsen, 1996–2002) จากขอมูลดังกลาวประมาณไดวาประเทศไทยมีความหลากหลายของชนิดพรรณพืชเทาที่พบเปนรอยละ 4-5 ของจํานวนชนิดพรรณพืชที่พบทั่วโลก มีประเภทเฟน ประมาณรอยละ 6 ประเภทแองจิโอสเปรมประมาณรอยละ 5 ประเภทพืชใบเลี้ยงเดี่ยวประมาณรอยละ 3.5 และประเภทพืชใบเลี้ยงคูประมาณรอยละ 4.5 เนื่องจากสภาพทางนิเวศวิทยาของประเทศไทยที่มีความหลากหลายสูง ความหลากหลายของพืชจึงมีสูงดวย เชนกัน จึงมีพืชอีกเปนจํานวนมากที่ตองทําการสํารวจและจําแนก แตถึงแมวาประเทศไทยจะมีความหลากหลายทาง พรรณพืชสูงมาก แตก็ยังมีพืชหลายชนิดที่เปนพืชหายาก และใกลสูญพันธุ พืชหายาก (rare plants) คือ พืชชนิดที่มีประชากรขนาดเล็กซึ่งยังไมอยูในสถานภาพใกลจะสูญพันธุ (endangered) แตมีความเสี่ยงที่จะเปนพืชที่ใกลจะสูญพันธุได พืชหายากเปนพืชที่เราทราบจํานวนประชากรที่มีอยูตาม แหลงตางๆ และสวนใหญมีจํานวนนอยเมื่อเทียบกับพืชชนิดอื่นๆ พืชถิ่นเดียว ที่ปรากฏในหนังสือพรรณพฤกษชาติ สวนใหญจะเปนพืชหายาก ยกเวนพืชถิ่นเดียวเพียงไมกี่ชนิดที่มีจํานวนประชากรขึ้นแพรพันธุตามธรรมชาติอยูมากมาย เชน ถั่วแปบชาง ( Afgekia sericea ) กาญจณิการ ( Santisukia pagetii ) และ อรพิม (Bauhinia winitii ) เปนพืชถิ่น เดียวของประเทศไทย แตไมอยูในสถานภาพพืชหายาก เนื่องจากในถิ่นกําเนิดตามธรรมชาติอันจํากัดนั้น มีจํานวนตน หนาแนนทั่วพื้นที่ พืชถิ่นเดียวบางชนิดเคยอยูในสถานภาพพืชหายากมากอน แตตอมามีผูนําไปขยายพันธุปลูกเปน การคาทั่วไป จึงหมดสภาพพืชหายาก พืชที่สํารวจพบวาหายากปจจุบัน อาจมีแนวโนมที่จะกระจายพันธุอยาง กวางขวางขึ้นไดในอนาคต หรือพืชที่มีเขตกระจายพันธุกวางขวางในปจจุบัน อาจจะเปนพืชหายากตอไปในกาล ขางหนา พืชชนิดหนึ่งอาจเปนพืชหายากในทองถิ่นหนึ่ง แตอีกทองถิ่นหนึ่งกลับมีการกระจายพันธุอยางกวางขวางก็ เปนได ราชันย ภูมา (2548) ไดเสนอบทความเรื่อง พืชเฉพาะถิ่นและพืชหายากในกลุมปาตาง ๆ ในประเทศไทย ดังนี้ กลุมปา (Forest complex) เปนการเสนอการจัดการ โดยคํานึงถึงความใกลเคียงกันของระบบนิเวศนขนาดใหญ ที่นํามารวมกัน เพื่อความสะดวกในการบริหารจัดการ โดยไมคํานึงวาพื้นที่นั้นจะเปนอุทยานแหงชาติ เขตรักษาพันธุ สัตวปา หรือเขตหามลาสัตวปา ในขณะนี้มีอยูจํานวน 20 กลุมปา ไดแก
78
1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. 9. 10. 11. 12. 13. 14. 15. 16. 17. 18. 19.
กลุมปาปาย-สาละวิน กลุมปาศรีลานนา-ขุนตาล กลุมปาดอยภูคา-แมยม กลุมปาแมปง-อมกอย กลุมปาภูเมี่ยง-ภูทอง กลุมปาภูเขียว-น้ําหนาว กลุมปาภูพาน กลุมปาพนมดงรัก-ผาแตม กลุมปาดงพระยาเย็น-เขาใหญ กลุมปาตะวันออก กลุมปาตะวันตก กลุมปาแกงกระจาน กลุมปาชุมพร กลุมปาคลองแสง-เขาสก กลุมปาเขาหลวง กลุมปาเขาบรรทัด กลุมปาฮาลา-บาลา กลุมปาหมูเกาะทะเลอันดามัน กลุมปาหมูเกาะอางทอง-อาวไทย
20. กลุมปาหมูเกาะชาง
79
กลุมปาปาย-สาละวิน : ประกอบดวยผืนปาที่ตอเนื่องและไมตอเนื่องทางภาคเหนือตอนบน ติดกับชายแดน พมาทางภาคตะวันตก พื้นที่ที่สําคัญสําหรับพืชถิ่นเดียวและหายากที่เปนที่รูจักกันดี ไดแก ดอยอินทนนทจากสภาพปา ดิบเขาที่สูงซึ่งสูงที่สุดในประเทศ และดอยเชียงดาวที่เปนเขาหินปูนขนาดใหญที่สูงที่สุดในประเทศเชนกัน ทั้งสองแหงมี พันธุพืชเฉพาะถิ่นและพืชหายากอยูมาก
และหลายชนิดมีชื่อชนิดตามแหลงที่พบคือ
inthanonensis หรือ
chiangdaoensis แตอยางไรก็ตามในกลุมปานี้ยังมีพื้นที่ปาอีกจํานวนมากที่ยังไมเคยสํารวจ หรือสํารวจแตเพียงผิว เผินโดยเฉพาะแถบชายแดนไทย-พมา และดอยผาหมปกที่มีความสูงเปนอันดับสอง กลุมปาศรีลานนา-ขุนตาล : กลุมปาศรีลานนาและขุนตาล ปาที่สําคัญและเปนที่รูจักกันดีไดแก อุทยาน แหงชาติขุนแจ
ซึ่งตั้งอยูบริเวณรอยตอระหวางจังหวัดเชียงใหม
กับจังหวัดเชียงราย
มีตนกอสามเหลี่ยม
Trigonobalanus doichangensis ซึ่งสกุลนี้ในประเทศไทยมีเพียงชนิดเดียว และชื่อชนิดก็ตั้งตามชื่อดอยชางที่เปน สวนหนึ่งของอุทยานแหงชาติขุนแจ และอีกสถานีที่นาสนใจมากแตอยูนอกกลุมปาคือดอยตุง จ. เชียงราย สถานที่แหง นี้มีพันธุไมหายากหลายชนิดและบางชนิดเปนชนิดใหมของโลก กลุมปาดอยภูคา-แมยม : ปาที่สําคัญสําหรับพืชถิ่นเดียวและพืชหายากไดแก ดอยภูคาเปนแหลงที่พบตน ชมพูภูคา (Bretschneidera sinensis Hemsl.) เพียงแหงเดียวในประเทศ ซึ่งเปนตนไมหายากที่สวยงามที่ทําให ดอยภูคาเปนที่รูจักกันดี นอกจากนี้ยังมีเตารางยักษดอยภูคา หรือปาปาลมพันป ขึ้นเปนผืนปาขนาดใหญ และยังมีพืช ชนิดใหมของโลกเชน รางจืดภูคา (Thunburgia colpifera B.Hansen ) และ คัดเคาภูคา (Fosbergia
thailandica Tirveng.& Sastre )เปนตน กลุมปาแมปง-อมกอย : เปนผืนปาที่ไดรับการสํารวจนอย แตเปนที่นาสนใจมาก โดยเฉพาะสวนที่ติดกับ ผืนปาตะวันตก เชน น้ําตกพาเจริญ และสวนรอยตอกับกลุมปาสาละวิน มีพันธุไมชนิดใหมของโลกที่กําลังไดรับการ ตีพิมพไดแก ดอกจากา ในสกุล Globba วงศขิงขา (Zingiberaceae) ที่ชาวบานใชสําหรับบูชาพระมาชานาน แต เพิ่งจะมีการคนพบและกําลังไดรับการตั้งชื่อและตีพิมพ นอกจากนี้ยังมีพันธุไมเถาในวงศชบา (Malvaceae) ซึ่งปนส กุลใหมของโลกดวย กลุมปาภูเมี่ยง-ภูทอง : กลุมปาภูเมี่ยง ภูทอง นอกจากภูหินรองกลา และเขาคอซึ่งเปนที่รูจักกันดีแลว ภู เมี่ยง ภูทอง ก็เปนปาที่นาสนใจ เปนแหลงพืชถิ่นเดียวและพืชหายากในกลุมปานี้ เชน เสี้ยวสยาม (Bauhinia
siamensis K. Larsen & S.S.Larsen) ที่เพิ่งถูกคนพบผืนปาทางตอนบนมีการสํารวจนอยมาก กลุมปาภูเขียว-น้ําหนาว : กลุมปาภูเขียว-น้ําหนาว เปนแหลงที่มีกลุมเทือกเขาหินทรายขนาดใหญมากที่สุด มีความสําคัญในดานเขตภูมิศาสตรพืชพรรณ เนื่องดวยเปนเขตสิ้นสุดการกระจายพันธุของพืชพรรณอินโดจีน แหลงพืช ถิ่นเดียวและพืชหายากที่รูจักกันดีไดแก ภูเรือ ภูกระดึง ภูเขียว ภูหลวง และน้ําหนาว ซึ่งมีพืชถิ่นเดียวและพืชหายาก
80
กระจายอยูมาก นอกจากนี้ยังพบพืชโบราณจากเขตอบอุนที่กระจายพันธุมาสิ้นสุดที่นี่เชน สนแผง (Calocedrus
macrolepis Kurz) และสรอยสมเด็จ (Alnus nepalensis D.Don) กลุมปาภูพาน : กลุมปานี้คลายกับกลุมปาภูเขียว-น้ําหนาว คือเปนกลุมเทือกเขาหินทรายแตมีระดับความสูง ต่ํากวามาก แหลงพืชถิ่นเดียวและพืชหายากไดแก ภูพาน และมุกดาหาร นอกจากนี้บริเวณเขตรักษาพันธุสัตวปาภูวัว ซึ่งอยูนอกกลุมปา และเปนปาที่ไมคอยไดรับการสํารวจมากนักในอดีต เนื่องจากอยูทางตอนเหนือของกลุมปา ทําใหมี การคนพบพืชชนิดใหมเปนจํานวนมาก และสวนใหญเปนพืชหายากและใกลสูญพันธุ เชน กฤษณานอย (Gyrinops
vidalii Pham-hoang Ho) ที่มีคุณสมบัติเชนเดียวกับไมกฤษณาแตอยูคนละสกุล ซอหิน (Gmelina racemosa (Lour.) Merr.) ซึ่งเปนไมซอชนิดใหมของไทย เกล็ดเข (Parashorea densiflora V.Sloot. & Symington subsp. kerrii) เปนไมหายากในไมวงศยาง และกาฝากชนิดใหม Tolypanthus sp. ที่กําลังตีพิมพในหนังสือ Thai Forest Bulletin เลมที่33 ซึ่งกําลังจะออกเผยแพร กลุมปาพนมดงรัก-ผาแตม : กลุมปานี้ทอดยาวตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งเปนพื้นที่นาสนใจมาก เนื่องจากมีการคนพบกลุมปานี้มีพืชหายากและพืชชนิดใหม ๆ อยูเสมอ เมื่อเทียบกับขนาดพื้นที่ปาที่มีขนาดเล็กโดย เฉพาะที่อุทยานแหงชาติผาแตม และเขาพระวิหาร ไดแก บีโกเนียชนิดใหม (Begonia sp.) ที่ยังไมไดรับการตีพิมพ กาฝากชนิดใหมของไทย (Tolypanthus lageniiferus) ซึ่งกําลังตีพิมพเชนเดียวกับพืชวงศขิงขาชนิดใหมของโลก
(Zingiber pyroglossum) และวงศเข็ม (Hedyotis bahaiiJ.F.Maxwell)ที่ไดรับการตีพิมพแลว นอกจากนี้ ยังมี พืชหายากมาก 2 ชนิดในวงศไมยางคือ Hopeathorelii Pierre และ Vatica philastreana Pierre ที่ พบเฉพาะใน กลุมปานี้เทานั้น กลุมปาดงพระยาเย็น-เขาใหญ : กลุมปาที่เปนที่รูจัก และมีขอมูลพรรณพืชและสัตวปาเผยแพรกันมาก คือ อุทยานแหงชาติเขาใหญ ที่สําคัญคือกลุมปานี้ไดรับการขึ้นทะเบียนเปนมรดกโลก พืชพรรณธรรมชาติประกอบดวยปา ดิบเขาในระดับสูง และมีพืชโบราณพวกสนสามพันป (Dacrydium elatum Wall.) พญาไม(Podocarpus spp.) และพญามะขามปอม (Dacrycarpus imbricatus (Blume) de Laub.) ขึ้นหนาแนนเปนผืนปาขนาดใหญ กลุมปาตะวันออก : กลุมปานี้ครอบคลุมผืนปาตะวันออกรวมถึง อางฤาใน เขาสอยดาว และน้ําตกพริ้ว ใน แงเขตภูมิศาสตรพืชพรรณ กลุมปานี้เปนที่รวมของพรรณพฤกษชาติอินโดจีน โดยเฉพาะพืชพรรณในสภาพปาแบบ
Cardamom mountain rain forest ของกัมพูชา พืชถิ่นเดียวและพืชหายากที่พบ ไดแกHiptage monopteryx P.Sirirugsa (Malphigiaceae) และ Didymocarpus newmanii (Gesneriaceae) กลุมปาตะวันตก : กลุมปานี้เปนกลุมปาที่สําคัญและเปนผืนติดตอกันขนาดใหญที่สุด แหลงพืชถิ่นเดียวและ พืชหายากที่สําคัญไดแก หวยขาแขง-ทุงใหญนเรศวร และที่ดอยหัวหมด ของเขตรักษาพันธุสัตวปาอุมผาง เปนที่รวม พันธุไมที่กระจายพันธุลงมาจากดอยเชียงดาวมากที่สุด มีพืชถิ่นเดียวและพืชหายากหลายชนิด เชน ขาเจาคุณวินิจ
81
(Globba winittii C.H.Wright) และ Begonia soluta Craib และพืชชนิดใหมของโลกในสกุล Tuecrium (Labiatae) นอกจากนี้ในเขตทุงใหญนเรศวรไดพบปาลมนเรศวร (Wallichia disticha T. Anders) ซึ่งหายากมาก กระจายอยูเปนบริเวณกวาง กลุมปาแกงกระจาน : กลุมปานี้ถือวามีความสําคัญมากในแงของสัตวปา เพราะเปนแนวแบงเขตที่สําคัญ ระหวางสัตวกลุมอินโดจีน และสัตวกลุมมาเลเซีย สําหรับดานพืชก็ถือวาสําคัญเชนเดียวกันโดยเฉพาะพืชหายากที่มีอยู เปนจํานวนมาก ซึ่งสวนใหญเปนพืชที่กระจายลงมาสิ้นสุดที่บริเวณนี้ นอกจากนี้เพิ่งมีการคนพบพืชชนิดใหมคือ
Kamettia handii (Apocynaceae) ซึ่งเปนสกุลที่พบในประเทศไทยเปนครั้งแรกอีกดวย พืชชนิดใหมของโลกใน สกุล Sauropus ในวงศเปลา (Euphorbiaceae) ยังไมไดรับการตีพิมพ และพืชชนิดใหมของไทย Neothorelii laotica วงศ (Capparaceae) กลุมปาชุมพร : กลุมปานี้กระจายหาง ๆ ทางภาคใตตอนบน มีความสําคัญนอยในแงพืชถิ่นเดียวและหายาก อยางไรก็ตามมีแหลงที่นาสนใจ เชน ปาพรุและเขาหินปูนฝงทะเลดานตะวันออก พบพืชที่นาสนใจบางชนิดเชน เทียน ที่ยังไมทราบชื่อ พบบริเวณเขาหินปูน บานบางเบิด จ. ชุมพร และเอื้องโมก(Papilionanthe hookeriana) ซึ่งเปน กลวยไมพบในปาพรุ นอกจากนี้แถบบริเวณเขตรักษาพันธุสัตวปาทุงระยะ นาสัก จ. ระนอง ยังพบพรรณไมหายากที่ ยังไมไดวิเคราะหอีกหลายชนิด กลุมปาคลองแสง-เขาสก : กลุมปาที่มีจํานวนพืชเฉพาะถิ่นและพืชหายากสูงมาก โดยเฉพาะบริเวณเขา หินปูนบริเวณอุทยานแหงชาติเขาสก
ซึ่งเพิ่งมีการคนพบพืชสกุลใหมของโลกในวงศกก
(Cyperaceae) คือ
Khaosokia caricoides และชื่อสกุลก็ตั้งใหเปนเกียรติแกสถานที่พบ นอกจากนี้ยังพบเฟนเขากวางแบบตั้ง Platycerium ridleyi จํานวนมากโดยเฉพาะตอนสรางเขื่อน หลังจากนั้นจํานวนประชากรก็ลดลงอยางมาก นอกจากนี้ Temmochloa แถบบริเวณอุทยานแหงชาติคลองพนมยังพบพืชถิ่นเดียวและพืชหายากอีกหลายชนิดเชนไผ (Bambusaceae) เปนสกุลใหมของโลก พืชชนิดใหมในสกุลStichneuron (Stemonaceae) และ Aristolochia sp. ซึ่งกําลังไดรับการตีพิมพ กลุมปาเขาหลวง : กลุมปาที่เปนที่รูจักอีกกลุม และมีเทือกเขาที่สูงที่สุดในภาคใตคือเขาหลวง โดยเฉพาะใน ระดับความสูงตั้งแต 1,500 เมตร ถือวาเปนสภาพปาแบบ Peninsular Malaysia mountain rain forestถือวา เปนพื้นที่ที่สําคัญในการศึกษาพืชถิ่นเดียวและพืชหายากแหงหนึ่งในทางภาคใตของไทย เชน ที่เขาเหมน อุทยาน แหงชาติน้ําตกโยง เพิ่งมีการคนพบพืชวงศขิงขาชนิดใหมของโลกและไดตั้งชื่อเพื่อเปนเกียรติแกแหลงที่พบคือ
Globba khaomaensis กลุมปาเขาบรรทัด : กลุมปาที่มีขนาดยอม เปนเทือกเขาที่ทอดยาวแบงฝงตะวันออกและตะวันตกชวงกอน ถึงภาคใตตอนลาง มีปาดิบชื้นที่ยังมีความสมบูรณอยูมาก สภาพพื้นที่ในระดับความสูงตั้งแต 1,000 เมตร เปนสภาพ
82
ปาแบบeninsular Malaysia mountain rain forest พบพืชหายากหลายชนิด เชน เอื้องคางกบใต
(Paphiopedilum callosum var. sublaeve) นอกจากนี้ยังมีเขาหินปูนนอยใหญกระจัดกระจาย และเปนแหลงพบ พืชหายากจําพวก Begonia spp., Impatiens spp. และพืชในวงศ Gesneriaceae กลุมปาฮาลา-บาลา : กลุมปาที่มีความสําคัญมากในแงเขตภูมิศาสตรพืชพรรณ เปนที่พบพรรณไมแบบปา ดิบมาลายันแท ๆ กระจายพันธุลงมาสิ้นสุดที่ผืนปานี้ ทั้งปาดิบชื้นระดับต่ําและบนภูเขาสูงที่มีพืชพรรณแบบ Malay
Peninsula montane rain forest พบพืชพรรณมาเลเซียกระจายพันธุมาสิ้นสุดในบริเวณแถบนี้จํานวนมาก รวมทั้ง พืชวงศยางและกลวยไมตาง ๆ บางชนิดมีจํานวนประชากรหนาแนนมากในมาเลเซีย แตพบจํานวนนอยมากและจํากัด ในบริเวณกลุมปานี้ เชนเขาหันกูด เขา 1490 เขานาคราชและแถบ อ. เบตง พืชวงศยางที่เพิ่งพบใหมในประเทศไทย ไดแก Dipterocarpus acutangulus,Hopea sublanceolata, Shorea bracteolata, S. longisperma,
Vatica maingayi และ Vatica nitens กลวยไมที่พบใหมในไทยไดแก Coelogyne stenochila, Dendrobium hasseltii, Lecanorchis javanica, Pristiglottis macratha และ Spathoglottis aurea สวนพืชหายากชนิดอื่น ไดแก Nepenthes sanguinea (Nepenthaceae) และ Weinmannia blumei Cunoniaceae) เปนตน กลุมปาหมูเกาะทะเลอันดามัน : กลุมปานี้ประกอบดวยเกาะนอยใหญในทะเลอันดามัน ถือวาเปนแหลงพืช เฉพาะถิ่นและพืชหายากที่สําคัญอีกแหลงหนึ่ง โดยเฉพาะเกาะที่เปนเขาหินปูน แตการสํารวจยังไมทั่วถึง อยางไรก็ตาม สภาพปาดิบชื้นและเขาหินปูนตามชายฝงในเขตพื้นที่กลุมปานี้พบพืชถิ่นเดียวและพืชหายากอยูหนาแนน เชนที่เขต รักษาพันธุสัตวปาเขาพระแทว พบตนเจาเมืองถลาง (Kerriodoxa elegans) ที่เปนพืชถิ่นเดียวของไทย และที่เขา พนมเบญจา เขาประบางคราม และเขาหินปูนเล็ก ๆ ซึ่งเปนแหลงพืชถิ่นเดียวและพืชหายากที่สําคัญ เชนพืชชนิดใหม ของโลกที่กําลังไดรับการตีพิมพคือ Rothmania niyodhamii (Rubiaceae) และพืชชนิดใหมของไทยในวงศยาง
Vatica mangachapoi subpp. obtusifolia ซึ่งพบเพียงแหงเดียวในประเทศไทยที่ถ้ําเสือ จ. กระบี่ กลุมปาหมูเกาะอางทอง-อาวไทย : กลุมปานี้ครอบคลุมพื้นที่เกาะและชายฝงภาคทะเลดานอาวไทย คือหมู เกาะทะเลใต และหมูเกาะชุมพร มีความสําคัญนอยในแงพืชถิ่นเดียวและพืชหายากนอย เพราะเปนพื้นที่ขนาดเล็ก กลุมปาหมูเกาะชาง : กลุมปานี้ครอบคลุมหมูเกาะชางและหมูเกาะเสม็ด มีความสําคัญในดานการศึกษาและ สํารวจดานพฤกษศาตรมาก เนื่องดวยมีการสํารวจโดยนักพฤกษศาตรชาวตางประเทศเปนครั้งแรกในประเทศไทย และ ไดตีพิมพหนังสือพรรณไมเกาะชางเปนครั้งแรกเมื่อป พ.ศ. 2443 ซึ่งถือวาเปนหนังสือทางวิชาการดานพฤกษศาตร เลมแรกของประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีพืชถิ่นเดียวและพืชหายากหลายชนิดโดยเฉพาะพืชพรรณอินโดจีนตอนใต
83
6.2 สถานภาพชนิดพรรณพืชที่ถูกคุกคาม สาเหตุ-ปจจัยที่ทําใหเกิดการสูญพันธุของพืช จากรายชื่อพืชที่ไดมีการประเมินสถานภาพแลวตามขอมูล สถานภาพพืชจาก Thailand Red Data 2006 และ Criteria 1994-2001 พบวามีสาเหตุหลักๆ ที่มีผลตอการลดลงของ พืชดังนี้ กลุมที่ 1 ถิ่นที่อยูอาศัยถูกรุกราน เชน การบุกรุกพื้นที่เพื่อทําการเกษตร การพัฒนาของชุมชน การทําเหมือง การเปลี่ยนแปลงสภาพทางนิเวศ การเกิดไฟปา เปนตน กลุมที่ 2 การเก็บพืชเกินกําลัง และเพื่อการคา การเก็บเกินกําลังเพื่อใชประโยชนในดานตางๆ เชน นํามา จําหนายเพื่อเปนไมประดับ การใชเปนอาหารหรือพืชสมุนไรเปนตน กลุมที่ 3 ชนิดพันธุตางถิ่นคุกคาม ทําใหเกิดผลกระทบโดยตรงตอพื้นทองถิ่น คือ ทําใหเกิดการแกงแยงเชิง นิเวศหรือการเกิดผสมขามพันธุขึ้น ตัวอยางเชน จากรายงานการวิจัยสถานภาพและการกระจายของชนิดพืช ถิ่นเดียว หายากหรือใกลสูญพันธุในพื้นที่เขตรักษาพันธุสัตวปาดอยเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม (ตรีภพ ทิพย ศักดิ์, 2550) พบวาพืชถิ่นเดียว พืชหายาก พืชใกลสูญพันธุที่เคยมีรายงานพบบริเวณดอยเชียงดาวแตปจจุบัน ไมพบอีกเนื่องมาจากการลุกลามของวัชพืชพวกหญา และสาบหมา กลุมที่ 4 กิจกรรมการทองเที่ยว เปนกิจกรรมที่สงผลตอการลดลงของจํานวนประชากรของกลุมพืช โดยเฉพาะพืชลมลุก เชน การเหยียบย่ําของนักทองเที่ยวในพื้นที่ทุงแสลงหลวง โดยเฉพาะในชวงฤดู ทองเที่ยวที่มีนักทองเที่ยวเปนจํานวนมาก การเดินทองเที่ยวของนักทองเที่ยวสงผลกระทบตอสภาพปาไม รวมถึงพันธุไมดวย โดยเฉพาะที่พบในบริเวณ เสนทางเดินปา เนื่องจากนักทองเที่ยวมักจะเดินออกนอกเสนทางที่กําหนด ทําใหเหยียบยอบนกลาไมและ ตนไม โดยตั้งใจและไมตั้งใจ หรือความคึกคะนอง
โดยพบวาสาเหตุที่คุกคามตอความหลากหลายของพืชมีผลกระทบตอพืชสูญพันธุและพืชใกลสูญพันธุทั้ง 4 กลุม สามารถจําแนกไดตามสถานภาพของพืชไดดังตาราง 6-1
84
ตาราง 6-1 แสดงจํานวนกลุมพืชในแตละสถานภาพ จําแนกตามสาเหตุที่คุกคามตอสถานภาพของพืช จํานวนชนิดพืชจําแนกตามกลุมสาเหตุที่คุกคาม กลุมสถานภาพ
พื้นที่ถิ่นที่อยู
การเก็บพืช
ชนิดพันธุตางถิ่น
กิจกรรมการ
รวม
ถูกคุกคาม
เกินกําลัง
คุกคาม
ทองเที่ยว
พืชสูญพันธุในธรรมชาติ (EW)
-
2
-
-
2
พืชที่ใกลสูญพันธุอยางยิ่ง (CR)
17
3
-
-
20
พืชใกลสูญพันธุ (EN)
64
62
6
2
135
พืชมีแนวโนมใกลสูญพันธุ (VU)
120
460
18
-
598
พื้นที่ใกลถูกคุกคาม (NT)
23
3
-
-
26
พื้นถิ่นเดียวที่มีความกังวลนอยที่ ใกลจะสูญพันธุ (LC)
6
-
-
-
6
(สํานักงานหอพรรณไม, กรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม, 2554)
กองกานดา ชยามฤต และราชัน ภูมา สรุปการติดตามประเมินวา ใหสํานักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดลอม ในรายงานการประชุมความหลากหลายทางชีวภาพ (2549) พืชที่เปนพืชหายากและใกลสูญพันธ 1,410 ชนิด 137 วงศ แบงเปนเฟน 17 วงศ 42 ชนิด พืชเมล็ดเปลือย 5 วงศ 27 ชนิด พืชดอก แบงเปนพืชใบเลี้ยงเดี่ยว 19 วงศ 417 ชนิด และพืชใบเลี้ยงคู 96 วงศ 924 ชนิด เปนพืชเฉพาะถิ่น 15 ชนิด นอกนั้นเปนพืชทั่วไป เชน พืชที่ถูกนํามาใชประโยชน และพืชวงศกลวยไมอยูในทะเบียนนี้มากที่สุด 174 ชนิด มีการแจกแจงดังตารางที่ 6-1 และ แสดงเอกสารดังกลาวใน ภาคผนวกที่ 6-2) ตารางที่ 6-2 ทะเบียนรายการและสถานภาพพืชที่ถูกคุกคาม พืชหายากและพืชเฉพาะถิ่นของประเทศไทย
85
• • • • • •
พืชเฉพาะถิ่น (Endemic plant-E) พืชกึ่งเฉพาะถิ่น (Semi-endemic plant-Semi-E) พืชหายาก (R (RT)) มีแนวโนมใกลสูญพันธุ (Vulnerable-VU) ใกลสูญพันธุ (Endangered-EN) ใกลสูญพันธุ (Endangered-EN) (กองกานดา ชยามฤต และราชัน ภูมา (2549)
อนึ่ง ในการศึกษาครั้งนี้ผูศึกษาไมสามารถเปรียบเทียบสถานภาพพืชถูกคุกคามในอดีตและปจจุบันได เนื่องจากขาดขอมูลการอางอิงในอดีต
6.3 พื้นที่สําคัญเพื่อการอนุรักษพืชในประเทศไทย 1 พื้นที่สําคัญในการอนุรักษพืช (Important Plant Areas: IPAs) คือ พื้นที่ธรรมชาติหรือพื้นที่กึ่งธรรมชาติที่ ประกอบไปดวยความมากมายทางพฤกษศาสตร และ/หรือ มีพืชหายาก พืชถูกคุกคาม และ/หรือ พืชเฉพาะถิ่น และ/ หรือ สังคมพืชที่มีคุณคาทางพฤกษศาสตรสูงหรืออาจจะเปนการพิจารณาจากสังคมพืชที่มีคุณคาทางพฤกษศาสตร คือ มีความโดดเดนตอความหลากหลายของพืช ในเงื่อนไชที่นํามาหรือเลือกพื้นที่ จึงมีหลายเกณฑและเงื่อนไขที่นํามา คัดเลือกพื้นที่ พื้นที่สําคัญเพื่อการอนุรักษพืช (IPAs) เปนพื้นที่ที่ไมเปนทางการซึ่งแตกตางจากการกําหนดพื้นที่อนุรักษ เชน อุทยานแหงชาติ เขตรักษาพันธุสัตว และพื้นที่ปาสงวนแหงชาติ การกําหนด IPAs เปนการคัดเลือกโดยอาศัย ขอมูลทางวิทยาศาสตร ซึ่งเปนขอมูลที่มีการปรับปรุงเปนปจจุบันอยูตลอดเวลา โดยไดรับขอมูลสนับสนุนการตัดสินใจ จากผูเชี่ยวชาญดานพฤกษศาสตร ในหลายพื้นที่การกําหนดเงื่อนไขของการคัดเลือกพื้นที่ IPAs นั้นรวมถึงพืชทั้งหมด และอาณาจักรเห็ดรา (พืชมีทอลําเลียง ไบรโอไฟต ไลเคน และเห็ดรา) ที่มีการปรากฏพื้นที่ของพืชที่ถูกคุกคามและถิ่น ที่ อยู โดยเงื่อ นไขตอ งเป น ที่ ย อมรับ สว นดา นความมากมายของพื ช จะกํา หนดเป น พื้น ที่ม ากกวา เป น ภูมิ ภาค ซึ่ ง เหมาะสมตอการดูแลและการจัดการที่มีกําหนดคัดเลือก IPAs
1
(เรียบเรียงจาก “พื้นที่สําคัญเพื่อการอนุรักษพืชในประเทศไทย Thailand Important Plant Areas: IPAs) ภายใตกลยุทธทั่วโลกวา
ดวยการอนุรักษพืช Global Strategy of Plant Conservation (GSPC) สํานักงานหอพรรณไม กรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุ พืช, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม, 2554)
86
โดยทั่วไปพื้นที่ IPAs จะเปนพื้นที่ที่มีการปรากฏของพืชหายากหรืออาจเปนลักษณะของสังคมพืช ซึ่งจะทําให การจัดการพื้นที่นั้นมีความเหมาะสม หรือทําใหผูที่มีบทบาทหนาที่ในการดูแลพื้นที่นั้นมีความเขาใจและสามารถดูแล จัดการพื้นที่ไดเปนอยางดีมากกวาปกติ ดังนั้นพื้นที่ IPAs จึงแตกตางจากการกําหนดพื้นที่อนุรักษโดยทั่วไป
หลักเกณฑของการพิจารณาพื้นที่สําคัญเพื่อการอนุรักษพืช IPAs ในการพิจารณาพื้นที่ IPAs ไดดําเนินการโดยใชหลักเกณฑลักษณะเดียวกับพื้นที่ที่เรียกวา Important Bird Area (IBA) โดยหลักในการพิจารณาพื้นที่ IPAs ถูกปรับปรุงมาจากการใชตัวบงชี้ของพื้นที่ IBA ซึ่งการประเมินพื้นที่ สําคัญเพื่อการอนุรักษนก หลักเกณฑ IBA มีหนวยงานที่เรียกวา Audubon Society กับ Bird Life International เปน ผูดําเนินการ สําหรับหลักเกณฑการพิจารณากลุมหรือพื้นที่สําคัญเพื่อการอนุรักษพืช สามารถแบงออกเปน 3 ประเภท ดวยกันคือ -
เกณฑ A พืชถูกคุกคาม (Threatened Species) คือพื้นที่ที่แสดงถึงจํานวนประชากรของพืชที่ถูกประเมิน สถานภาพในระดับโลกหรือภูมิภาค ซึ่งอาจพบพืชหนึ่งชนิดหรือมากกวาหนึ่งชนิด สามารถแบงออกไดเปน 4 ระดับ o เกณฑยอย A1 เปนพื้นที่ที่ปรากฏชนิดพันธุพืชที่ถูกคุกคามระดับโลก ตามทะเบียนรายการพืชถูก คุกคามของ IUCN o เกณฑยอย A2 เปนพื้นที่ที่ปรากฏชนิดพันธุพืชที่ถูกคุกคามในระดับภูมิภาค ตามทะเบียนรายการ พืชถูกคุกคามของ IUCN o เกณฑยอย A3 เปนพื้นที่ที่ปรากฏชนิดพันธุพืชเฉพาะถิ่นที่ไมถูกประเมินในระดับโลก หรือระดับ ภูมิภาค แตเปนเปนระดับประเทศ o เกณฑยอย A4 เปนพื้นที่ที่ปรากฏชนิดพันธุพืชกึ่งเฉพาะถิ่นหรือมีเขตการกระจายจํากัด พืชกลุมนี้ เปนพืชที่มีลักษณะการกระจายหางออกจากจุดศูนยกลางของการกระจายพันธุ เชน กฤษนานอยพบ ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเปนจํานวนมากพอสมควร แตการกระจายหางออกมาใน พื้นที่ของประเทศไทย ซึ่งเปนแบบการกระจายพันธุทําใหพบจํานวนนอย เปนตน
-
เกณฑ B ความมากมาย (หรือความร่ํารวย) ทางพฤกษศาสตร (Botanical Richness) คือพื้นที่ที่มีความ มากมายทางพฤกษศาสตรในระดับภูมิภาคที่สําคัญตอเขตชีวภูมิศาสตร เปนพื้นที่ที่พิจารณาในเรื่องความ หลากหลายของชนิดพันธุพืชที่มีอยูในถิ่นกําเนิด ถิ่นที่อยู หรือสังคมพืช ในระดับที่มีความหลากหลายของ ชนิดสูง
87
-
เกณฑ C ถิ่นที่อยูถูกคุกคาม (Threatened Habitats) พื้นที่ที่เปนตัวแทนของถิ่นที่อยู หรือสังคมพืชที่ควร อนุรักษ และมีความสําคัญทางพฤกษศาสตรในระดับโลกหรือระดับภูมิภาค ในการประเมินพื้นที่สําคัญเพื่อการอนุรักษพืชนั้น พื้นที่หนึ่งๆ สามารถกําหนดไดมากกวาหนึ่งเกณฑ เชน พื้นที่สามารถถูกกําหนดใหเปนเกณฑ A, B หรือ C หรือรวมในหลายเกณฑ ซึ่งทั้ง 3 เกณฑนี้สามารถนําไป ปรับใชในแตละภูมิภาคของโลกได โดยการประเมินทั้งสามกลุมตองอาศัยทะเบียนรายการชื่อของ IUCN red list ประกอบดวยไมวาจะเปนระดับภูมิภาคหรือระดับโลก
การคัดเลือกพื้นที่สําคัญเพื่อการอนุรักษพืชในประเทศไทย ในการพิจารณาพื้นที่สําคัญเพื่อการอนุรักษพืชจํานวน 102 แหง ตามเกณฑจําแนกตางๆ พบกวา ประเภท ของพื้นที่ IPAs เกณฑ A1 มีจํานวน 13 แหง เกณฑ A2 จํานวน 0 แหง เกณฑ A3 จํานวน 91 แหง เกณฑ A4 จํานวน 2 แหง เกณฑ B จํานวน 3 แหง และเกณฑ C จํานวน 99 แหง ตาราง 6-3 แสดงบัญชีจํานวนพื้นที่สําคัญเพื่อการอนุรักษพืช (IPAs) ของประเทศไทย จําแนกตามเกณฑตาง พื้นที่ IPAs
A1
A2
A3
A4
B
C
จํานวนพื้นที่ IPAs
13
0
91
2
3
99
ในการพิจารณาพื้นที่สําคัญเพื่อการอนุรักษพืชตามภูมิภาคของประเทศ พบวาภาคใตมีจํานวนพื้นที่มากที่สุด จํานวน 35 แหง ภาคเหนือจํานวน 22 แหง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจํานวน 20 แหง ภาคตะวันตกจํานวน 10 แหง ภาคกลางจํานวน 8 แหง และภาคตะวันออกจํานวน 7 แหง โดยพื้นที่ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑวินิจฉัย A1 ในประเทศไทย 13 แหงไดแก อุทยานแหงชาติเขาใหญ ตาราง 6-4 แสดงจํานวนพื้นที่สําคัญเพื่อการอนุรักษพืช (IPAs) โดยจําแนกตามรายภาค พื้นที่ IPAs
เหนือ
กลาง
ใต
จํานวนพื้นที่ IPAs
22
8
35
ตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันออก 20
7
ตะวันตก 10
และเมื่อพิจารณาพื้นที่สําคัญเพื่อการอนุรักษพืชตามประเภทการคุมครองพื้นที่ พบวาพื้นที่ที่อยูในอุทยาน แหงชาติมีจํานวน 52 แหง ในเขตรักษาพันธุสัตวปาจํานวน 19 แหง ในเขตปาสงวนแหงชาติจํานวน 5 แหง ไมมีเขต คุมครองจํานวน 1 แหง ในเขตหามลาสัตวปาจํานวน 5 แหง ในเขตวนอุทยานจํานวน 4 แหง และในเขตที่มีองคกร
88
ทองถิ่นดูแลจํานวน 5 แหง เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบแลวพบวาพื้นที่สําคัญเพื่อการอนุรักษพืชจํานวน 102 แหงใน ประเทศไทย อยูในพื้นที่ปาอนุรักษตามกฎหมายประมาณ 83.34% ของทั้งหมด ซึ่งเกินจากเปาหมายที่กําหนดไววา รอยละ 50 ของพื้นที่สําคัญเพื่อการอนุรักษพืชไดรับหลักประกันในการคุมครอง
ตาราง 6-5 แสดงสถานภาพของพื้นที่สําคัญเพื่อการอนุรักษพืช (IPAs) จําแนกตามประเภทการคุมครองพื้นที่ ประเภทพื้นที่
อุทยาน
เขตรักษา
แหงชาติ
พันธุสัตว
วนอุทยาน
เขตหามลา
ปาสงวน
องคการ
ไมมีการ
สัตวปา
แหงชาติ
ทองถิ่น
คุมครอง
ปา จํานวนพื้นที่ IPAs (แหง)
52
ดูแล
19
4
5
5
5
1
อยางไรก็ตามแมพื้นที่สําคัญเพื่อการอนุรักษพืชในประเทศไทยทั้ง 102 จะมีการดูแลตามกฎหมายอยูถึง 87 แหง แตก็ยังอยูภายใตปจจัยคุกคามตางๆ โดยพบวาพื้นที่สําคัญเพื่อการอนุรักษพืชจํานวน 73 แหงถูกคุกคามดวยการ ลดลองของพื้นที่ปา จํานวน 59 แหงถูกคุกคามดวยกิจกรรมการทองเที่ยว จํานวน 51 แหงถูกคุกคามดวยการพัฒนา พื้นที่ดานตางๆ จํานวน 50 แหงถูกคุกคามดวยการเกษตร จํานวน 71 แหงถูกคุกคามดวยการเก็บพืชเกินขนาด และ จํานวน 4 แหงถูกคุกคามดวยพืชตางถิ่นรุกราน (ดังตาราง 6-6)
ตาราง 6-6 แสดงจํานวนพื้นที่สําคัญเพื่อการอนุรักษพืช (IPAs) จําแนกตามปจจัยคุกคาม (Threats) ประเภทปจจัยคุกคาม
การลดลง
กิจกรรม
การพัฒนา
พืชตางถิ่น
พื้นที่
ของพื้นที่ปา
การ
พื้นที่ดาน
รุกราน
ทองเที่ยว
ตางๆ
59
51
จํานวนพื้นที่ IPAs (แหง)
73
4
การเกษตร
การเก็บพืช เกินขนาด
50
71
89
ตาราง 6-7 แสดงพื้นที่สําคัญเพื่อการอนุรักษพืช และเกณฑวินิจฉัยของแตละพื้นที่ พื้นที่สําคัญเพื่อการอนุรักษพืช
คุณสมบัติตามเกณฑวินิจฉัย
เกณฑวินิจฉัย
A1, A3, C
A3, C
A3, C
A3, C
A1, A3, C
A3, C
C
C
A1, A3, C
A1, A3, C
ดอยตุง
A3, C
A3, C
ชองเย็น อุทยานแหงชาติแมวงก
A3, C
A3, C
ดอยปุยหลวง อุทยานแหงชาติแมสุริน
A3, C
A3, C
A3
A3
A3, C
A3, C
น้ําตกตาดหลวง อุทยานแหงชาติดอยภูคา
C
C
แปลงอนุรักษพันธุไมปาแมกา
C
C
A3, C
A3, C
บานรมเกลา อุทยานแหงชาติภูหินรองกลา
C
C
ภูหินรองกลา อุทยานแหงชาติภูหินรองกลา
A3, C
A3, C
เขาหลวง อุทยานแหงชาติรามคําแหง
A3, C
A3, C
น้ําตกทีลอซู เขตรักษาพันธุสัตวปาอุมผาง
A3, C
A3, C
น้ําตกทีลอเล เขตรักษาพันธุสัตวปาอุมผาง
A3, C
A3, C
เขาพระวอ อุทยานแหงชาติน้ําตกพาเจริญ
A3, C
A3, C
ดอยหัวหมด
A3, C
A3, C
ภูสอยดาว อุทยานแหงชาติภูสอนดาว
A3, C
A3, C
ภาคเหนือ 22 แหง กลุมเขาหินปูนดอยเชียงดาว เขตรักษาพันธุสัตวปาดอยเชียงดาว ดอยผาหมปก อุทยานแหงชาติดอยผาหมปก ดอยสุเทพ ดอยปุย อุทยานแหงชาติดอยสุเทพ-ปุย สวนพฤกษศาสตรสมเด็จพระนางเจาสิริกิตติ์ ดอยสุเทพ-ปุย ดอยอินทนนท อุทยานแหงชาติดอยอินทนนท
น้ําตกหมอแปง ดอยภูคา อุทยานแหงชาติดอยภูคา
ภูเมี่ยง ภูทอง เขตรักษาพันธุสัตวปาภูเมี่ยง-ภูทอง
90
ดอยผีปนน้ํา อุทยานแหงชาติขุนนาน
A3, C
A3, C
ซับจําปา
A3, C
A1, A3, C
เขตหามลาสัตวปาเขาสมโภชน
A3, C
A3, C
เขตรักษาพันธุสัตวปาซับลังกา
C
C
A1, A3, B, C
A1, A3, B, C
วัดพระพุทธบาท
A3, C
A3, C
อุทยานแหงชาติเขาสามหลั่น
A3, C
A3, C
A3
A3, C
A1, A3
A1, A3
C
C
เขตรักษาพันธุสัตวปาเขาสอยดาว (เขาสอยดาวใต)
A3, C
A1, A3, C
อุทยานแหงชาติเขาชะเมา
A1, A3
A1, A3
A1, A3, C
A1, A3, C
บึงจํารุง สวนรวมพรรณไมภาคตะวันออก องคการสวนพฤกษศาสตร
A3, C
C
เขตรักษาพันธุปาเขาเขียว (เขาเขียว-เขาชมพู)
A1, A3
A1, A3
C
C
A3, C
A3, C
A3
A3, C
A3, C
A3, C
-
A1, A3, C
ภาคกลาง 8 แหง
อุทยานแหงชาติเขาใหญ
วังตะไคร ศูนยวิจัยขาวปราจีนบุรี ภาคตะวันออก 7 แหง เกาะมันใน
อุทยานแหงชาติหมูเกาะชาง (เกาะชาง – เกาะกูด)
เกาะแสมสาร ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 20 แหง พนมดงรัก อุทยานแหงชาติพนมดงรัก พลาญปาชาด อุทยานแหงชาติภูจองนายอย ผาแตม อุทยานแหงชาติผาแตม ยอดโดม เขตรักษาพันธุสัตวปายอดโดม
91
สวนพฤกษศาสตรดงฟาหวน
A1, C
A1, C
C
C
น้ําตกผาหลวง วนอุทยานน้ําตกผาหลวง
A3, C
A3, C
ทับลาน อุทยานแหงชาติทับลาน
A3, C
A3, C
แกงตะนะ อุทยานแหงชาติแกงตะนะ
A3, C
A3, C
C
C
ภูเขียว เขตรักษาพันธุสัตวปาภูเขียว
A3, C
A3, C
ปาหินงาม อุทยานแหงชาติปาหินงาม
A3, C
C
ภูหลวง เขตรักษาพันธุสัตวปาภูหลวง
A1, A3, C
A3, C
สวนหินผางามปวนพุ กลุมเขาหินปูน อ.หนองหิน
A3, C
A3, C
อุทยานแหงชาติภูกระดึง
A3, C
A3, C
นาแหว อุทยานแหงชาตินาแหว
A3
A3
ภูผากูด
C
C
ภูลังกา อุทยานแหงชาติภูลังกา
A3, C
A3, C
ภูวัว เขตรักษาพันธุสัตวปาภูวัว
A1, A3, C
A3, C
เขตสงวนชีวมณฑลสะแกราช
A3, B, C
A3, B, C
A3, B, C
A3, B, C
บริเวณพุ อุทยานแหงชาติทองผาภูมิ
A4, C
A4, C
น้ําตกไทรโยค อุทยานแหงชาติไทรโยค
A3, C
A3, C
กลุมหินปูนกาญจนบุรี อุทยานแหงชาติไทรโยค
A3, C
A3, C
เขาหินปูน อุทยานแหงชาติกุยบุรี
A1, A3, C
A1, A3, C
เขาหลวง อุทยานแหงชาติหวยยาง
A3, C
A3, C
สามรอยยอด อุทยานแหงชาติสามรอยยอด
A3, C
A3, C
หนองหาน
ผาน้ํายอย วนอุทยานผาน้ํายอย
ภาคตะวันตก 11 แหง ทุงใหญ-หวยขาแขง เขตรักษาพันธุปาทุงใหญนเรศวร-หวยขาแขง
92
แกงกระจาน อุทยานแหงชาติแกงกระจาน
A3, A4, C
A3, A4, B, C
ปาเตาดํา
C
C
วัดภูเตย
A3
A3, C
วัดบางกะมา
A3
A3
สระมรกต เขตรักษาพันธุสัตวปาเขาประบางคราม
A1, A3, C
A1, A3, C
เขาถ้ําเสือ วัดถ้ําเสือ
A1, A3, C
A3, C
เขาพนมเบญจา อุทยานแหงชาติเขาพนมเบญจา
A1, A3
A3, C
เขาหัวชาง กลุมเขาหินปูนกระบี่-พังงา
A3, C
A3, C
A1, A3, C
A3, C
เขาเหมน อุทยานแหงชาติน้ําตกโยง
A3, C
A3, C
เขารามโรม อุทยานแหงชาติน้ําตกโยง
A1, A3, C
A3, C
เขาหลวง อุทยานแหงชาติเขาหลวง
A1, A3, C
A3, C
พรุโตะแดง เขตรักษาพันธุสัตวปาพรุโตะแดง
A1, A3, C
A3, C
น้ําตกซีโป อุทยานแหงชาติน้ําตกซีโป
A1, A3, C
A1, A3, C
เขตรักษาพันธุสัตวปาฮาลาบาลา (ปาฮาลา-บาลา)
A1, A3, C
A1, A3, C
เขาปู-เขายา อุทยานแหงชาติเขาปูเขายา
A1, A3, C
A3, C
เกาะสุรินทร อุทยานแหงชาติหมูเกาะสุรินทร
A1, A3, C
A3, C
A1, A3
C
หมูเกาะหินปู อุทยานแหงชาติอาวพังงา
A3
A3, C
เขาพระแทว อุทยานแหงชาติเขาพระแทว
A1, A3, C
A3, C
A3, C
A3, C
เขตสงวนชีวมณฑลระนอง
A1, A3, C
C
ทะเลบัน อุทยานแหงชาติทะเลบัน
A1, A3, C
A3, C
ภาคใต 34 แหง
เขานัน อุทยานแหงชาติเขานัน
หาดทายเหมือง อุทยานแหงชาติหาดทายเหมือง-ลําป
คลองนาคา เขตรักษาพันธุสัตวปาคลองนาคา
93
เกาะตะรุเตา อุทยานแหงชาติเกาะตะรุเตา
A3, C
A3, C
เกาะเภตรา อุทยานแหงชาติหมูเกาะเภตรา
A3, C
A3, C
A1, A3, C
A1, A3, C
C
C
A1, A3, C
B, C
เขาคลองพนม อุทยานแหงชาติคลองพนม
A3, C
A3, C
เกาะอางทอง อุทยานแหงชาติหมูเกาะอางทอง
A3, C
A3, C
A1, A3, C
B, C
C
C
A1, A3, C
A3, C
-
A1, C
หาดเจาไหม อุทยานแหงชาติหาดเจาไหม
A1, A3, C
A1, A3, C
บางลาง อุทยานแหงชาติบางลาง
A1, A3, C
A1, A3, C
บานจุฬาภรณ 10
A1, A3, C
B, C
A3
A3, C
เขาน้ําคาง อุทยานแหงชาติเขาน้ําคาง หนองทุงทอง อุทยานแหงชาติหนองทุงทอง เขาสก อุทยานแหงชาติเขาสก
เขาบรรทัด เขตรักษาพันธุสัตวปาเทือกเขาบรรทัด เกาะลิบง เตหามลาสัตวปาเกาะลิบง เขาน้ําพราย เขตหามลาสัตวปาเขาน้ําพราย ปาทุงคาย สวนพฤกษศาสตรสากลภาคใต(ทุงคาย)
ศรีพังงา อุทยานแหงชาติศรีพังงา
94
7. สถานการณความหลากหลายทาง ชีวภาพของพันธุสัตวปาประเทศไทย 7.1
ความหลากหลายของพันธุสัตวปาประเทศไทย
สํานักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดลอม (2547) ในฐานะหนวยงานประสานงานกลางของอนุสัญญาวาดวย ความหลากหลายทางชีวภาพไดจัดพิมพเอกสารเผยแพรเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพครั้งลุดในป 2547 รายงาน ความหลากหลายของพันธุสัตว ในประเทศไทยพบสัตวเลี้ยงลูกดวยนม 294 ชนิด (ประทีป, 2541) โดยรอยละ 42 มา จากทางตอนใตของภูมิภาค รอยละ 34 จากอินโดจีนหรืออนุภูมิภาคอินโดจีนและอินเดีย และรอยละ 24 แพรกระจาย ตลอดทั่วทวีปเอเซีย ในจํา นวนนี้ เปน ชนิด พัน ธุเฉพาะถิ่น 5 ชนิด (ภาคผนวกที่ 7) (สํา นั กงานนโยบายและแผน สิ่งแวดลอม, 2540) และสัตวเลี้ยงลูกดวยนมที่พบมากที่สุดคือ คางคาว ซึ่งมีถึง 108 ชนิด หรือรอยละ 38 โดยแบงเปน คางคาวกินผลไม หรือนํ้าหวาน 18 ชนิด คางคาวกินแมลง 89 ชนิด คางคาวกินสัตวอื่นเปนอาหาร 1 ชนิด สวนชนิดที่ พบรองลงมาไดแก อันดับฟนแทะ (Rodentia) ซึ่งมีประมาณรอยละ 25 ในสวนของสัตวปก มีการสํารวจพบนก 915 ชนิด เมื่อป 2533 และปจจุบันนี้มีการสํารวจพบนกเพิ่มขึ้นเปน 982 ชนิด ((จารุจินต นภีตะภัฏ วัชระ สงวนสมบัติ และธัญญา จั่นอาจ,2549) ในจํานวนนี้เปนชนิดพันธุเฉพาะถิ่น 2 ชนิด ไดแก นกเจาฟาหญิงสิรินธร และนกกินแมลงเด็กแนน (ภาคผนวกที่ 7-) โดยในปจจุบันพบวามีรายงานการพบนก ในประเทศไทยทั้งสิ้น 1,007 ชนิด (วัชระ สงวนสมบัติ, 2553) ซึ่งนับวามีความหลากหลายเปนอันดับที่ 2 ในเขตภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต (อันดับหนึ่งไดแกประเทศพมา) การศึกษาดานความหลากหลายของสัตวเลื้อยคลาน มีการยืนยันวา ในประเทศไทยสํารวจพบสัตวเลื้อยคลาน เปนจํานวน 350 ชนิด จํานวน ชนิดที่พบมากที่สุด ไดแก งู ซึ่งมีถึงรอยละ 54.15 รองลงมาไดแกกลุมตุกแก กิ้งกา จิ้งเหลน คือ รอยละ 36.6 จํานวนชนิดพันธุที่ สํารวจพบนอยที่สุด คือ จระเข พบเพียง 3 ชนิด นอกจากนี้ (กําธร, ไม ระบุปที่พิมพ) ยังพบเตา 27 ชนิด จากที่มีอยูในโลก 257 ชนิด เปนเตาบก 3 ชนิด เตาปูลู 1 ชนิด เตานํ้าจืด 13 ชนิด ตะพาบ 5 ชนิด เตาทะเล 4 ชนิด และเตามะเฟอง 1 ชนิด นอกจากนี้ เปนชนิดพันธุเตาที่นําเขาจากตางประเทศอีก 2 ชนิด ในจํานวนสัตวเลื้อยคลานทั้งหมดที่พบเปนชนิดพันธุเฉพาะถิ่น 29 ชนิด (สํานักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดลอม, 2540) (ภาคผนวกที่ 7) สัตวสะเทินนํ้าสะเทินบก ไดมีการสํารวจพบ 137 ชนิด โดยพบวาอยูในพวกกบ เขียด ถึงรอยละ 95 หรือ ชนิด ชนิดที่สํารวจพบนอยที่สุด คือ กะทาง หรือจักกิ้มนํ้า พบเพียงชนิดเดียว สัตวสะเทินนํ้าสะเทินบกที่เปนสัตว เฉพาะถิ่นของไทย มีทั้งหมด 7 ชนิด (สํานักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดลอม, 2540) (ภาคผนวกที่ 7) จากขอมูลในภาพรวมของประเทศ จํานวนชนิดพันธุของสัตวมีกระดูกสันหลังของประเทศไทย เทียบเปน จํานวนประมาณ 9-10 % ของจํานวนชนิดพันธุที่พบในโลก
95
สําหรับขอมูลสัตวไมมีกระดูกสันหลังจําพวกแมลง แมลงในประเทศไทยมีมากมาย โดยเฉพาะแมลงปกแข็ง และผีเสื้อกลางคืน สําหรับประเทศไทยยังรูจักแมลงนอยมาก เมื่อเทียบกับแมลงทั้งหมดในประเทศไทย เฉพาะขอมูล จากกรมวิชาการเกษตร มีแมลงที่ทราบชื่อแลวกวา 7,000 ชนิด ซึ่งเปนเพียงรอยละ 10 ของตัวอยางแมลงที่มีอยูในกรม วิชาการเกษตร ซึ่งนอยกวาที่มีอยูจริงในประเทศ และอีกรอยละ90 ที่เหลือยังไมไดมีการวินิจฉัย หรือวินิจฉัยไมได
7.2
สถานภาพชนิดพันธุสัตวปาที่ถูกคุกคาม
จารุจินต นภีตะภัฏ วัชระ สงวนสมบัติ และธัญญา จั่นอาจ สรุปการติดตามประเมินวา ใหสํานักงานนโยบาย และแผนสิ่งแวดลอมในรายงานการประชุมความหลากหลายทางชีวภาพ (2549) สรุปจํานวนชนิดพันธุสัตวมีกระดูกสัน หลังที่ถูกคุกคามของประเทศไทย 548 ชนิด เปนสัตวเลี้ยงลูกดวยนม 116 นก 180 ชนิด สัตวเลื้อยคลาน 32 ชนิด สัตวสะเทินน้ําสะเทินบก 5 ชนิด ปลา 215 ชนิด และมีชนิดพันธุเฉพาะถิ่น เปนสัตวเลี้ยงลูกดวยนม 5 ชนิด นก 2 ชนิด สัตวเลื้อยคลาน 47 ชนิด สัตวสะเทินน้ําสะเทินบก 7 ชนิด ปลา 72 ชนิด ดังรายละเอียดในตารางที่ 7-1 และ 7-2 และ แสดงเอกสารดังกลาวในภาคผนวกที่ 7-2 ตารางที่ 7-1 จํานวนชนิดพันธุสัตวมีกระดูกสันหลังในประเทศไทย ชนิดพันธุเฉพาะถิ่น (endemic) และ ชนิดพันธุที่ถูก คุกคาม (threatened)
(จารุจินต นภีตะภัฏ วัชระ สงวนสมบัติ และธัญญา จั่นอาจ,2549)
96
ตารางที่ 7-2 จํานวนชนิดพันธุสัตวมีกระดูกสันหลังที่ถูกคุกคามของประเทศไทย
(จารุจินต นภีตะภัฏ วัชระ สงวนสมบัติ และธัญญา จั่นอาจ,2549)
ผูศึกษาไดรวบรวมสถานภาพของสัตวปาทั้งไมมีกระดูกสันหลังและมีกระดูกสันหลังเพิ่มเติมไดในเบื้องตนดังนี้
7.2.1 สัตวไมมีกระดูกสันหลัง สัตวไมมีกระดูกสันหลังเปนสัตวที่มีจํานวนชนิด และความหลากหลายสูงมาก และมีจํานวนมากที่สุดในเชนกัน สัตวไมมีกระดูกสันหลังหลายชนิดที่ออนไหวตอการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดลอมสูงกวาสัตวในกลุมอื่นๆ ดังนั้นหากใน ระบบนิเวศมีการเปลี่ยนแปลงมักจะสงผลกระทบตอสัตวไมมีกระดูกสันหลังกอนสัตวในกลุมอื่น สัตวไมมีกระดูกสันหลังแบงออกเปนไฟลัม(Phylum) ตางๆทั้งหมดประมาณ 31-33 ไฟลัมซึ่งขึ้นอยูกับนักสัตว วิทยาแตละคนที่จะแบงใหละเอียดออกไปซึ่งรวม ทั้งการแบงชั้น (class) ของแตละไฟลัมเพิ่มจํานวนขึ้นดวยเนื่องจาก สัตวไมมีกระดูกสันหลัง เปนกลุมสัตวที่มีจํานวนมาก และบางกลุมสามารถพบไดทั่วไปทุกหนทุกแหงทั้งในน้ํา บนดิน ใตดิน และในอากาศ ปจจุบันในประเทศไทยยังมีนักวิทยาศาสตรและนักวิชาการที่ทําการศึกษาสัตวไมมีกระดูกสันหลังจํานวนนอย มาก และศึกษากันอยูในวงแคบๆ เพียงไมกี่กลุมของสัตวพวกนี้ ซึ่งสวนใหญจะทําการศึกษาเฉพาะกลุมที่มีคุณคาทาง
97
เศรษฐกิจเกี่ยวกับการประมงและตลอดจนนํามาใชเปนอาหารของประชาชนและที่เกี่ยวของทางการแพทยเทานั้น การศึกษาเพื่อเปนพื้นฐานทางดานการสอนและการวิจัยนั้นยังมีจํานวนนอย เพราะไมมีขอมูลและเอกสารในการศึกษา ไดเพียงพอ ประกอบกับยังไมมีการเก็บตัวอยางสัตวครอบคลุมทั่วประเทศ ทําใหในปจจุบัน ยังไมสามารถบอกไดวามี จํานวนชนิด(Species) ที่แนนอนของพวกสัตวไมมีกระดูกสันหลังเทาใดที่พบในประเทศไทย นอกจากนั้นยังไมสามารถ บอกไดว า ขณะนี้ พ บสัต ว ก ลุม นี้ แ ล วกี่ เ ปอร เ ซ็ น ตแ ละยัง ไม ไ ดพ บอี ก กี่ เ ปอรเ ซ็ น ต เ พราะการวิจั ย เกี่ ย วกั บ ทางด า น อนุกรมวิธานของสัตวไมมีกระดูกสันหลัง มีนักวิชาการตามกรม กองตางๆและอาจารยในมหาวิทยาลัยบางคนเทานั้นที่ ทํางานทางดานนี้ และก็มีปญหาตามมาดังที่กลาวมาแลวจึงทําใหงานทางดานนี้กาวหนาไปชามาก แมลงที่มีรายชื่อเปนสัตวปาคุมครองทั้งสิ้น 20 ชนิด สัตวไมมีกระดูกสันหลังประเภทอื่นที่อยูในบัญชีรายชื่อ สัตวปาคุมครองทั้งสิ้น 12 ชนิด การศึกษาเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงของจํานวนชนิดพันธุที่ถูกคุกคามของสัตวไมมีกระดูกสันหลัง ไม สามารถดําเนินการไดในการศึกษาครั้งนี้เนื่องจากมีขอมูลไมเพียงพอ
7.2.2 สัตวมีกระดูกสันหลัง (1) สัตวสะเทินน้ําสะเทินบก สัตวสะเทินน้ําสะเทินบกพบในประเทศไทยประมาณ 137 ชนิด (138 ชนิดยอย) และคาดวาจะมีรายงานการ พบเพิ่มมากขึ้นในอนาคต ในจํานวนนี้พบวาเปนสัตวที่อยูในสถานะมีแนวโนมใกลสูญพันธุ (Vulnerable) ทั้งสิ้น 5 ชนิด (Thailand Red Data: Mammals, Reptiles and Amphibian, 2005) ไดแก (i) กบอกหนามเหนือ (Bourret’s Spiny-brasted Frog: Paa bourreti) พบไดที่จังหวัดแมฮองสอน และดอยผา หมปก จังหวัดเชียงใหม (ii) กบหกหนามจันทบุรี (Chanthaburi Spiny-breasted Frog: Paa fasciculispina) ในประเทศไทยมีรายงาน พบเฉพาะที่จังหวัดจันทบุรี (iii) ปาดตะปุมใหญ (Large Warted Tree Frog: Theloderma gordoni) มีรายงานการพบที่บริเวณดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม และภูหลวง จังหวัดเลย (iv) ปาดตะปุมมลายู (Thorny Warted Tree Frog: Theloderma horridum) มีรายงานการพบที่บริเวณเขา หลวง จังหวัดนครศรีธรรมราช โคกโพธิ์ จังหวัดปตตานี และ จังหวัดนราธิวาส (v) ปาดตะปุมจันทบุรี (Taylor’s Warted Tree Frog: Theloderma stellatum) มีรายงานการพบที่ สะแกราช จังหวัดนครราชสีมา, เขาอางฤาไน จังหวัดฉะเชิงเทรา และจังหวัดจันทบุรี
98
สัตวสะเทินน้ําสะเทินบกทั้ง 5 ชนิด มีถิ่นอาศัยอยูบนเขาสูงที่มีลักษณะปาเปนปาดิบเขา ปาดิบแลง และปาดิบ ชื้น นอกจากนี้ยังพบวามีสัตวสะเทินน้ําสะเทินบกจํานวน 33 ชนิด มีสถานะใกลถูกคุกคาม (Near threatened) 64 ชนิด (65 ชนิดยอย) ที่อยูในกลุมที่ความกังวลนอยที่สุด และขอมูลไมเพียงพอจํานวน 35 ชนิด ในจํานวนสัตวสะเทินน้ําสะเทินบกทั้งหมดพบวามีถึง 7 ชนิดที่เปนสัตวเฉพาะถิ่น สัตวสะเทินน้ําสะเทินปกในประเทศไทยอยูในบัญชีรายชื่อสัตวปาคุมครองทั้งสิ้น 12 ชนิด จากหนังสือความหลากหลายทางชีวภาพในประเทศไทย, 2532 ในหัวขอสัตวสะเทินน้ําสะเทินบก จารุจินต นภีตะภัฏ ไดระบุวามีประเทศไทยมีสัตวในกลุมสัตวสะเทินน้ําสะเทินบกทั้งสิ้น 107 ชนิด ซึ่งไดระบุสัตวสะเทินน้ําสะเทิน บกที่หายากและใกลสูญพันธุทั้งสิ้น 8 ชนิด และเมื่อนําเปรียบเทียบกับการจัดสถานการณถูกคุกความของสัตวมีกระดูก สันหลังโดย IUCN (2005; พ.ศ. 2548) ซึ่งระบุจํานวนชนิดสัตวสะเทินน้ําสะทินบกไวที่ 138 ชนิด โดยแบงเปนแหลงที่อยู อาศัย มีขอสังเกตที่นาสนใจคือ จากการเปรียบเทียบพบความแตกตางของสัตวสะเทินน้ําสะเทินบกที่อาศัยในบริเวณปาดิบเขา และปาดิบแลง มีการจัดสถานภาพที่ถูกคุกคามสูงที่สุด คือ ปาดิบเขาจาก 1.87% (ตอจํานวนชนิดสัตวสะเทินน้ําสะเทินบกทั้งหมดใน เวลานั้น) เพิ่มขึ้นเปน 10.87% ในป 2548และในปาดิบแลงพบสัตวสะเทินน้ําสะเทินบกถูกจัดวาเปนสัตวหายากและใกล สูญพันธุคิดเปน 3.74% ในป 2532 ถูกจัดสถานภาพถูกคุกคามเพิ่มขึ้นเปน 10.14% หรือเพิ่มถึง 3.9 เทาตัว (ตารางที่ 7-3 และ 7-4) ตาราง 7-3 แสดงจํานวนชนิดของสัตวสะเทินน้ําสะเทินบก แบงตามสถานภาพ เมื่อเปรียบเทียบระหวางป 2532 และ 2548 จํานวนชนิด สถานภาพ Vu Nt
%
5
2532 (107) 0.93
2548 (138) 3.62
33
4.67
23.91
2532
2548
1 5
Lc
64
46.38
DD
35
23.91
รวม
6
137
5.61
99.28
99
ตาราง 7-4 เปรียบเทียบขอมูลสถานภาพสัตวปา จากหนังสือความหลากหลายทางชีวภาพในประเทศไทย, 2532 กับ ชนิดพันธุที่ถูกคุกคามของประเทศไทย, 2548 โดยเปรียบเทียบตามลักษณะที่อยูอาศัย (Habitat) สถานภาพ Vulnerable Near threatened
รวม % ตอจํานวนทั้งหมด(ณ เวลานั้น) จํานวนชนิดทั้งหมด
ปาดิบเขา 2532 2548 1 3 1 12 2 15 1.87 10.87
ปาดิบแลง 2532 2548 1 4 13 4 14 3.74 10.14
% รวม 2532 2548 2532 2548 1 4 5 25 6 29
107
138
(2) สัตวเลื้อยคลาน ประเทศไทยพบสัตวเลื้อยคลานไมต่ํากวา 350 ชนิด (366 ชนิดยอย) จาก 3 อันดับ 23 วงศ 139 สกุล ใน จํานวนนี้คาดวามี 1 ชนิดที่ไดสูญพันธุไปจากธรรมชาติแลวไดแก ตะโขง (False Gavial: Tomistoma schlegelii) นอกจากนี้พบวามีสัตวเลื้อยคลาน 11 ชนิด อยูในสถานะใกลสูญพันธุอยางยิ่ง (Critically endangered), 5 ชนิด (6 ชนิด ยอย) มีสถานะใกลสูญพันธุ (Endangered), 48 ชนิด (50 ชนิดยอย) มีสถานะมีแนวโนมใกลสูญพันธุ (Vulnerable) ในจํานวนสัตวเลื้อยคลานที่พบในประเทศไทยพบวามีสัตวเฉพาะถิ่นถึง 47 ชนิด (49 ชนิดยอย) สัตวเลื้อยคลายในประเทศไทยอยูในบัญชีรายชื่อสัตวปาคุมครองทั้งสิ้น 91 ชนิด จากหนังสือความหลากหลายทางชีวภาพในประเทศไทย, 2532 ในหัวขอสัตวเลื้อยคลาน จารุจินต นภีตภัฎ ไดระบวามีสัตวเลื้อยคลานในประเทศไทยทั้งสิ้น 298 ชนิด และไดระบุสัตวเลื้อยคลานที่หายากและใกลสูญพันธุทั้งสิ้น 29 ชนิด ซึ่งเมื่อนํามาเปรียบเทียบโดยแบงตามแหลงที่อยูอาศัย เปรียบเทียบกับการจัดสถานการณถูกคุกความของ สัตวมีกระดูกสันหลังโดย IUCN (2005; พ.ศ. 2548) ซึ่งระบุจํานวนชนิดของสัตวเลื้อยคลานไวที่ 366 ชนิด พบวามี ขอสังเกตที่นาสนใจคือ สัตวเลื้อยคลานที่อ าศัยอยูใ นปา ไมผ ลัดใบ (ปา ดิบเขา ปา ดิบแลง ปา ชื้นเขตรอน) ถูก จัด สถานภาพถูกคุกคามเพิ่มขึ้นอยางมีเห็นไดชัดคือ จาก 4.03% ตอจํานวนชนิดทั้งหมด ในปพ.ศ. 2532 เปน 15.7% ในป พ.ศ. 2548 (ตาราง 7-5) หรือเพิ่มขึ้น 3.9 เทาตัว
100
และเมื่อพิจารณาตามประเภทของสัตวเลื้อยคลาน พบวาสัตวในกลุมเตา (ไมรวมเตาทะเล) สัตวในกลุมกิ้งกา จิ้งเหลน จิ้งจก-ตุกแก และงู ถูกจัดสถานภาพถูกคุกคามเพิ่มขึ้น ดังตาราง 7-6
ตาราง 7-5 เปรียบเทียบขอมูลสถานภาพสัตวเลื้อยคลาน จากหนังสือความหลากหลายทางชีวภาพในประเทศไทย, 2532 กับ ชนิดพันธุที่ถูกคุกคามของประเทศไทย, 2548 โดยเปรียบเทียบตามลักษณะที่อยูอาศัย (Habitat) แมน้ํา ริมแมน้ํา
สถานภาพ
Extinct in the wild Critically Endangered Endangered Vulnerable Near threatened รวม % ตอจํานวนทั้งหมด จํานวนชนิดทั้งหมด
2532
2548
1 4
1 7
5 1.68
8 2.19
ปาดงดิบ 2532
2548
2 2 8 12 4.03
6 13 38 57 15.57
รวม
%
2532
2548
1 4 2 2 8 17 5.70 298
1 7 6 13 38 65 17.76 366
80
2532 (298) 0.34 1.34 0.67 0.67 2.68 5.70
2548 (366) 0.23 1.91 1.64 3.55 10.38 17.76
65
57 60 40 20
5
8
12
17
2532 2548
0 แมน้ํา ริมแมน้ํา
ปาดงดิบ
รวม
แผนภูมิที่ 7-1 เปรียบเทียบจํานวนชนิดสัตวเลื้อยคลานที่ถูกจัดวาเปนสัตวหายากและใกลสูญพันธุจากหนังสือความ หลากหลายทางชีวภาพในประเทศไทย พ.ศ. 2532 กับจํานวนสัตวเลื้อยคลานที่ถูกจัดสถานภาพถูกคุกความโดย IUCN พ.ศ. 2548 โดยแบงตามแหลงที่อยูอาศัย
101
20
17.76
18
15.57
16 14 12
2532
10 8
5.7
6 4
2548
4.03 1.68
2.19
2 0 แมน้ํา ริมแมน้ํา
ปาดงดิบ
รวม
แผนภูมิที่ 7-2 เปรียบเทียบเปอรเซ็นตตอจํานวนชนิดทั้งหมด ของสัตวเลื้อยคลานที่ถูกจัดวาเปนสัตวหายากและใกล สูญพันธุจากหนังสือความหลากหลายทางชีวภาพในประเทศไทย พ.ศ. 2532 กับจํานวนชนิดของสัตวเลื้อยคลานที่ถูก จัดสถานภาพถูกคุกความโดย IUCN พ.ศ. 2548 โดยแบงตามแหลงที่อยูอาศัย
102
ตารางที่ 7-6 แสดงจํานวนชนิดสัตวเลื้อยคลานที่ถูกจัดวาเปนสัตวหายากและใกลสูญพันธุจากหนังสือความหลากหลาย ทางชีวภาพในประเทศไทย พ.ศ. 2532 กับจํานวนชนิดสัตวเลื้อยคลานที่ถูกจัดสถานภาพถูกคุกความโดย IUCN พ.ศ. 2548 โดยแบงตามแหลงที่อยูอาศัย
แผนภูมิที่ 7-3 เปรียบเทียบเปอรเซ็นตตอจํานวนชนิดทั้งหมด ของสัตวเลื้อยคลานที่ถูกจัดวาเปนสัตวหายากและใกล สูญพันธุจากหนังสือความหลากหลายทางชีวภาพในประเทศไทย พ.ศ. 2532 กับจํานวนชนิดของสัตวเลื้อยคลานที่ถูก จัดสถานภาพถูกคุกความโดย IUCN พ.ศ. 2548 โดยแบงตามจําพวกของสัตวเลื้อยคลาน 100
86.34
90 80 70 60
53.83
50
2532
40
2548
30 20 10 0
1.01 0.82 จระเข ตะโขง
2.01 เตา ตะพาบ
14.21
9.56
6.56 1.34
กิ้งกา
1.34 จิ้งเหลน
12.84 0.67 จิ้งจกตุก แก
8.39 2.01 งู
0 0.82 ตะกวด
รวม
103
(3) นกและสัตวปก ปจจุบันคาดวาในประเทศไทยพบนกมากกวา 996 ชนิด (สมาคมอนุรักษนกแหงประเทศไทย, 2551) หรือ ประมาณรอยละ 10 ของจํานวนนกที่พบทั่วโลก ซึ่งนับวาประเทศไทยเปนแหลงอาศัยสําคัญของนก และเปนแหลงรวม ความหลากหลายของนกที่สําคัญแหงหนึ่งของโลก นกที่พบในประเทศไทยมีแนวโนมวาจะมีการสํารวจพบเพิ่มขึ้น เรื่อยๆ เนื่องจากการสํารวจนกโดยกลุมผูนิยมการดูนก และการศึกษาจากนักวิชาการ ที่มีการดําเนินการรวบรวมขอมูล อยางเปนระบบ จากขอมูลการสํารวจนกเมื่อ 10 ที่ผานมา มีการรายงานจํานวนชนิดของนกที่พบในเมืองไทย ดังนี้ - หนังสือ Thailand Red Data: Birds ฉบับ ค.ศ. 2005 (พ.ศ. 2548) รายงานวาพบนกในประเทศไทยทั้งสิ้น 982 ชนิด - หนังสือคูมือดูนกในประเทศไทย a guide to the birds of Thailand ฉบับภาษาไทย ตีพิมพเมื่อป พ.ศ. 2550 มีการระบุชนิดของนกเพิ่มเปนจํานวน 986 ชนิด จากเดิมที่ระบุวาพบนกทั้งสิ้น 915 ชนิดในหนังสือ
Birds Guide of Thailand ฉบับตีพิมพครั้งแรกเมื่อป พ.ศ. 2511 - ป พ.ศ. 2551 คณะกรรมคณะกรรมการพิจารณาขอมูลนก ของสมาคมอนุรักษนกและธรรมชาติ
แหงประเทศไทย BCST Bird Records Committee ไดระบุวาประเทศไทยพบนกทั้งสิ้น 996 ชนิด และคาดวาจะ มีการรายงานเพิ่มเติมอยูเปนระยะ ถึงแมจะมีการรายงานการพบนกชนิดตางๆ ในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น แตมีหลายชนิดที่ไดสูญพันธุจาก ประเทศไทยแลวจํานวน 2 ชนิด (Thailand Red Data: Birds ฉบับ ค.ศ. 2005) ไดแก นกชอนหอยใหญ (Giant Ibis: Pseudibis gigantean) และ นกพงหญา (Rufous-romped Grassbird: Graminicola bengalensis) สูญพันธุไปจาก ธรรมชาติจํานวน 2 ชนิด ไดแก นกกระเรียนไทย (Sarus Crane: Grus Antigone) และ นกชอนหอยดํา (Whiteshouldered Ibis: Pseudibis davisoni) นอกจากนี้ยังพบวามีนก จํานวน 43 ชนิดอยูในสถานะใกลสูญพันธอยางยิ่ง (Critically endangered), 71 ชนิด อยูในสถานะมีแนวโนมใกลสูญพันธุ (Vulnerable), 89 ชนิดอยูในสถานะใกลถูกคุกคาม (Near threatened), 9 ชนิด ขอมูลไมเพียงพอ ในจํานวนนกทั้งหมดพบวามี 2 ชนิดที่พบวาเปนสัตวเฉพาะถิ่น (พบไดเฉพาะในประเทศไทย) ไดแก นก เจาฟาหญิงสิรินธร (White-eyed River Martin: Pseudochelidon sirintarae) และนกกินแมลงเด็กแนน (Deignan’s Babber: Stachyris rodolphei) สัตวในกลุมนกและสัตวปกในประเทศไทย อยูในบัญชีรายชื่อสัตวปาสงวน 3 ชนิด ซึ่งไดแกนกกระเรียน นก เจาฟาหญิงสิรินธร และนกแตวแรวทองดํา และอยูในบัญชีรายชื่อสัตวปาคุมครองทั้งสิ้น 952 ชนิด
104
ตารางที่ 7-7 แสดงจํานวนชนิดสัตวปกที่ถูกจัดวาเปนสัตวหายากและใกลสูญพันธุจากหนังสือความหลากหลายทาง ชีวภาพในประเทศไทย พ.ศ. 2532 กับจํานวนชนิดสัตวปกที่ถูกจัดสถานภาพถูกคุกความโดย IUCN พ.ศ. 2548 โดยแบง ตามแหลงที่อยูอาศัย
แผนภูมิที่ 7-4 เปรียบเทียบจํานวนชนิดสัตวปกที่ถูกจัดวาเปนสัตวหายากและใกลสูญพันธุจากหนังสือความ หลากหลายทางชีวภาพในประเทศไทย พ.ศ. 2532 กับจํานวนสัตวปกที่ถูกจัดสถานภาพถูกคุกความโดย IUCN พ.ศ. 2548 โดยแบงตามแหลงที่อยูอาศัย
200
180
180 160
141
140 120
2532
100 80 60
45
40 20 0
16 3 ปาที่ลุมต่ํา ปาที่ราบ
2 ปาเต็งรัง
7
2548
53
16 3 ปาเบญจพรรณ
ปาดงดิบ
รวม
105
แผนภูมิ 7-5 เปรียบเทียบเปอรเซ็นตตอจํานวนชนิดทั้งหมด ของสัตวปกที่ถูกจัดวาเปนสัตวหายากและใกลสูญพันธุจาก หนังสือความหลากหลายทางชีวภาพในประเทศไทย พ.ศ. 2532 กับจํานวนชนิดของสัตวปกที่ถูกจัดสถานภาพถูกคุก ความโดย IUCN พ.ศ. 2548 โดยแบงตามแหลงที่อยูอาศัย
% 20
18.39 14.36
15
2532
10 4.91
5 0
0.33
1.63
ปาที่ลุม
0.23
0.71
ปาเต็งรัง
0.33
5.79
2548
1.63
ปาเบญจพรรณ
ปาดงดิบ
รวม
พื้นที่สําคัญเพื่อการอนุรักษนกในประเทศไทย1 พื้นที่สําคัญเพื่อการอนุรักษนก (Important Bird Area: IBA) คือ พื้นที่ที่ไดรับการกําหนดขึ้นภายใตมาตราฐาน และหลักเกณฑที่เปนสากลเพื่อการอนุรักษนกในระดับโลก ระดับภูมิภาค และระดับประเทศ ซึ่งมิไดหมายความวามี ความสําคัญเฉพาะกับนกเทานั้น แตยังเกื้อหนุนตอการดํารงอยูของสัตวปาและพันธุพืชชนิดอื่นๆ ยิ่งกวานั้นในหลาย พื้นที่ยังมีความสําคัญตอการดํารงชีวิตและความผาสุกของ มนุษย เปนแหลงทรัพยากรธรรมชาติที่มนุษยใชในการดํารง ชีพ โดย IBA เปนเครื่องมือที่ไดผลในการอนุรักษ แตก็มีบางกรณีที่ไมสามารถอนุรักษนกไดโดย IBA เพียงอยาง เดียว เชน นกเหยี่ยวที่พบมีจํานวนไมมาก แตแพรกระจายอยางกวางขวาง หรือนกบางชนิดที่มารวมกันอยางหนาแนน เพื่อสรางรังวางไข จากนั้นก็กระจัดกระจายไปที่อื่น นอกฤดูวางไข หรือ IBA อาจไมสําคัญตอชนิดพันธุอื่น เชนระบบ นิเวศทางทะเลที่มีความเฉพาะ ดังนั้นจึงเปนสวนหนึ่งของแนวทางการอนุรักษอื่นๆที่มีความเกี่ยวของกัน ทั้งการปกปอง ถิ่นอาศัย การอนุรักษภูมิทัศนและชนิดพันธุที่มีความสําคัญ 1
สํานักความหลากหลายทางชีวภาพ สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม
106
เกณฑในการจําแนกพื้นที่สําคัญเพื่อการอนุรักษนกในประเทศไทย สําหรับเกณฑที่ใชจําแนกพื้นที่สําคัญเพื่อการอนุรักษนกในประเทศไทยนั้นใชเกณฑการจําแนกเชนเดียว ประเทศอื่นๆ ดังนี้ A1: ชนิดพันธุนกที่อยูในสภาวะถูกคุกคามระดับโลก โดยพื้นที่นั้นจะตองมีชนิดนกอาศัยอยูอยางสม่ําเสมอใน จํานวนที่มากพอ ในประเทศไทยพบนกที่ใกลสูญพันธุอยางยิ่ง 7 ชนิด ใกลสูญพันธุ 8 ชนิด มีแนวโนมใกลสูญพันธุ 33 ชนิด และมีการเพิ่มรายชื่อนกอีก 2 ชนิดไดแก? นกแวนภูเขา และนกปรอดแมทะ A2: ชนิดพันธุที่มีขอบเขตการแพรกระจายจํากัด โดยเปนพื้นที่ที่รับรู หรือคาดวาเปนถิ่นที่อยูของชนิดนกใน จํานวนที่มากพอ ซึ่งไดแกพื้นที่สําหรับนกเฉพาะถิ่น (Endemic Bird Area: EBA) หรือพื้นที่ทุติยภูมิ (Secondary Area: SA) เกณฑประเภทนี้ หมายถึงนกชนิดที่มีขอบเขตการกระจายพันธุจํากัดทั่วโลกนอยกวา 50,000 ตารางกิโลเมตร ถา มีชนิดนกตั้งแต 2 ชนิดขึ้นไปไดรับการกําหนดใหเปนพื้นที่ สําหรับนกเฉพาะถิ่น (EBA) สวนพื้นที่ที่พบนกที่มีขอบเขต การแพรกระจายพันธุจํากัดนอยกวา 2 ชนิดไดรับการกําหนดเปน (SA) - EBA พบ 2 แหง คือเทือกเขาพรมแดนไทย-กัมพูชา และพื้นที่แบบสุมาตราและคาบสมุทรมลายู - SA พบ เทือกเขาพรมแดนไทย-พมา ปาที่ราบต่ําตอนใตของไทย ปาที่ราบต่ําคาบสมุทรมลายู บางสวนของ ฝงแมน้ําโขงตอนใต A3: เขตเฉพาะทางชีวมณฑล (Biome-restricted assembly) เปนพื้นที่ที่รับรู หรือคาดวามีองคประกอบของ กลุมนกที่แพรกระจายอยางกวางขวาง หรือครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ หรือเขตชีวมณฑลนั้นๆ A4: พื้นที่ที่มีนกมาชุมนุมกัน (Congregation of birds) พื้นที่ที่เขาเกณฑนี้ จะตองมีคุณสมบัติสอดคลองกับขอ ใดขอหนึ่ง ดังนี้ A4i พื้นที่เปนแหลงรองรับประชากรนกน้ําที่มาชุมนุมกันอยางสม่ําเสมอไมนอยกวารอยละ 1 ของนก น้ําในเขตชีวภูมิศาสตรนนั้น A4ii พื้นที่ที่รับรูวาเปนแหลงชุมนุมอยางสม่ําเสมอของนกทะเล หรือนกที่อาศัยอยูบนแผนดินจํานวน ไมนอยกวา รอยละ 1 ของประชากรนกเหลานั้นที่พบในโลก A4iii พื้นที่เปนที่ชุมนุมอยางสม่ําเสมอของนกน้ําไมนอยกวา20,000 ตัว หรือนกทะเลไมนอยกวา 10,000 คู ใน 1 ชนิด หรือมากกวานั้น A4iv พื้นที่เปนชองทางบินผานเขามาของนกอพยพจํานวนมากที่มีลักษณะคอขวด (ตอง ประกอบดวยจํานวนนกอพยพไมนอยกวา 20,000 ตัว สําหรับเหยี่ยวทุกชนิดหรือนกกระเรียนชนิดตางๆ ใน ฤดูอพยพหนึ่งๆ)
107
ภาพที่ 7-1 แสดงพื้นที่สําคัญเพื่อการอนุรักษนกในประเทศไทย
108
ในปจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่สําคัญเพื่อการอนุรักษนกจํานวนทั่งสิ้น 62 แหง ใน 52 จังหวัด คิดเปนพื้นที่ 44,425.52 ตารางกิโลเมตร
(4) สัตวเลีย้ งลูกดวยนม หนังสือ Thailand Red Data: Mammals, Reptiles and Amphibian 2005 (พ.ศ. 2548) ไดรายงานวา ประเทศไทยมีสัตวเลี้ยงลูกดวยนมทั้งสิ้น 13 อันดับ 42 วงศ 147 สกุล และ 302 ชนิด ชนิดที่สูญพันธุไปแลวอยาง สิ้นเชิงคือ สมันหรือเนื้อสมัน (Schomburgk’s Deer: Cervus schomburgki) ซึ่งสมันตัวสุดทายไดเสียชีวิตเมื่อป พ.ศ. 2481 ที่วัดในอําเภอมหาชัย จังหวัดสมุทรสาคร สัตวเลี้ยงลูกดวยนมจํานวน 3 ชนิดที่สูญพันธุไปจากธรรมชาติ (Extinct in The Wild) ไดแก (i) ละมั่ง (Eld’s deer: Cervus eldii) ปจจุบันไดมีการเพาะเลี้ยงในสถานีเพาะเลี้ยงสัตวปา และการทดลอง ปลอยในธรรมชาติ ณ เขตรักษาพันธุสัตวปาหวยขาแขง (ii) แรด (Javan Rhino: Rhinoceros sondaicus) สูญพันธุจากธรรมชาติประเทศไทย แตยังพบในเวียดนาม และอินโดนีเซีย (iii) กูปรี (Kouprey or Gray Ox: Bos sauveli) ปจจุบันคาดวายังคงมีอยูในปาประเทศกัมพูชา ลาว และ เวียดนาม และสัตวที่คาดวาสูญพันธุไปจากธรรมชาติในประเทศไทยไปแลว แตไดมีรายงานการพบรองรอยในเขตรักษา พันธุสัตวปาภูเขียวไดแก กระซู (Sumatran Rhino: Didermocerus sumatraensis) นอกจากนี้จากการจัดสถานะของสัตวเสี้ยงลูกดวยนมโดยหนังสือ Thailand Red Data: Mammals, Reptiles and Amphibian 2005 (พ.ศ. 2548) พบวามีสัตวปาจํานวน 9 ชนิดอยูในสถานะใกลสูญพันธุอยางยิ่ง (Critically endangered), 21 ชนิดอยูในสถานะใกลสูญพันธุ (Endangerd) ในจํานวนสัตวเลี้ยงลูกดวยนมทั้งหมดพบวามีจํานวน 13 ชนิดที่มีขอมูลไมเพียงพอ และพบวาสัตวเลี้ยงลูกดวยนมเฉพาะถิ่นในประเทศไทย (Endemic Species) จํานวน ทั้งสิ้น 5 ชนิด ไดแก (1) สมัน (Schomburgk’s Deer: Cervus schomburgki) ในอดีตพบไดเฉพาะในประเทศไทยบริเวณที่ราบลุม แมน้ําเจาพระยา และบริเวณใกลเคียง (2) หนูถ้ํา (Niell’s Rat: Leopoldamys neilli) พบไดเฉพาะในบริเวณเขาหินปูนในจังหวัดสระบุรี กาญจนบุรี และสุราษฎรธานี
109
(3) หนูขนเสี้ยนเขาหินปูน (Limestone Rat: Niviventer hinpoon) พบไดเฉพาะในถ้ําหินปูน จังหวัดสระบุรี เทานั้น (4) คางคาวหนายักษจมูกปุม (Thai Horseshoe Bat: Hipposideros halophyllus) พบที่จังหวัดสระแกว ลพบุรี และจังหวัดอุทัยธานี (5) คางคาวทองสีน้ําตาลสุราษร (Surat Serotine: Eptesicus demissus) พบจังหวัดสุราษฎรธานี และพังงา โดยสัตวเฉพาะถิ่นทั้งหมดนี้ (ไมรวมสมันซึ่งสูญพันธุไปแลว) มีความเสี่ยงตอการสูญพันธุอยางยิ่งถึงแมวาจะมี การบรรจุหนูถ้ํา หนูขนเสี้ยนเขาหินปูน และคางคาวหนายักษจมูกปุม เปนสัตวคุมครองแลวก็ตาม เพราะสัตวทั้ง 4 ชนิด สวนใหญพบเห็นในพื้นที่ไมใชพื้นที่อนุรักษ ทําใหไมมีมาตรการสําหรับการคุมครองตามกฎหมาย ในจํานวนสัตวเลี้ยงลูกดวยนมทั้งหมดในประเทศไทย พบวามีสัตวในกลุมคางคาวถึง 119 ชนิด (ประทีป ดวง แค, BATS OF THAILAND: For field identification 2011) ซึ่งนับวาเปนกลุมสัตวเลี้ยงลูกดวยนมที่มีความหลากหลาย มาก สัตวเลี้ยงลูกดวยนมในประเทศไทยอยูในบัญชีสัตวปาสงวนถึง 12 ชนิด และอยูในบัญชีสัตวปาคุมครองทั้งสิ้น 201 ชนิด ตารางที่ 7-8 แสดงสถานภาพสัตวเลี้ยงลูกดวยนมโดยแบงเปนตามอันดับ (Order) ของสัตวเลี้ยงลูกดวยนม
110
แผนภูมิที่ 7-6 เปรียบเทียบจํานวนชนิดสัตวเลี้ยงลูกนมที่ถูกจัดวาเปนสัตวหายากและใกลสูญพันธุจากหนังสือความ หลากหลายทางชีวภาพในประเทศไทย พ.ศ. 2532 กับจํานวนสัตวเลี้ยงลูกดวยนมที่ถูกจัดสถานภาพถูกคุกความโดย IUCN พ.ศ. 2548 โดยแบงตามแหลงที่อยูอาศัย 133
140 120
104
100 80
2532 2548
60 39
40
26
20 4
6
3
8 1
2
11
2
1
4
0
ปา เบญจพรรณ
ปา ดงดิบ
ปาที่ลุมต่ํา
ปาเต็งรัง
ปาชายเลน
ถ้ํา หินปูน
รวม
แผนภูมิที่ 7-7 เปรียบเทียบเปอรเซ็นตตอจํานวนชนิดทั้งหมด ของสัตวเลี้ยงลูกนมที่ถูกจัดวาเปนสัตวหายากและใกล สูญพันธุจากหนังสือความหลากหลายทางชีวภาพในประเทศไทย พ.ศ. 2532 กับจํานวนสัตวเลี้ยงลูกดวยนมที่ถูกจัด สถานภาพถูกคุกความโดย IUCN พ.ศ. 2548 โดยแบงตามแหลงที่อยูอาศัย 55 44.04
45 34.44
35 25
13.83
15
2.65
1.42
3.64
รวม
0.66 0.35
ถ้ําหินปูน
ปาที่ลุมต่ํา
และปาพรุน้ํา
0.66 0.35
ปาชายเลน
1.06 ปาดงดิบ
ปาเบญจพรรณ
-5
1.99 1.42
ปาเต็ง รัง
5
9.22
2532 2548
111
8. สรุปผลการศึกษา 1. ประเทศไทยตั้งอยูในเขตรอนชื้น มีพรรณพืช และพันธุสัตวปาอยูในราวรอยละ 8-10 ของชนิดพันธุในโลก ประมาณวานาจะมีความหลากหลายกวาประเทศในเขตอบอุนถึงสิบเทา ปจจุบัน นอกจาก สมัน ที่ยืนยันวาสูญพันธุไป จากประเทศไทยเมื่อเกือบรอยปที่แลว ยืนยันไดวามีสัตวปาที่สูญพันธุไปจากประเทศไทย แลว คือ นกชอนหอยใหญ (Pseudibis giganlen) และนกพงหญา (Graminicola bengalensis) รวมถึงไมพบ แรดชวา (Rhinoceros sondaicus) กูปรี (Bos sauyeli) นกกระสาปากเหลือง (Mycteria cineria) นกชอนหอยดํา (Pseudibis papillosa) นกกระเรียน (Grus antigone) และจระเขปากกระทุงเหว (Tomistoma schlegelii) ในสภาพธรรมชาติอีกตอไป 2. สาเหตุของการลดลงของความหลากหลายทางชีวภาพที่สําคัญไดแก การนํามาใชประโยชนมากเกินไป การคา ขายสัตวปาและพืชปาแบบผิดกฎหมาย การรบกวนแหลงที่อยูอาศัยตามธรรมชาติ และการสูญเสียแหลงที่อยูอาศัย โดย การคุกคามที่รุนแรงที่สุดตอการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ ไดแก การรบกวนสภาพที่อยูอาศัยตามธรรมชาติ และระบบนิเวศ การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ปาไมโดยเฉพาะปาดิบ และปาชายเลน การกอสรางอางเก็บน้ําและเขื่อนพลังน้ํา เปนตน 3. ปจจุบัน ประเทศไทยไดเขาเปนภาคีอนุสัญญาวาดวยความหลากหลายทางชีวภาพ ลําดับที่ 118 และมีผล บังคับใชเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2547 ซึ่งประเทศไทยตองดําเนินงานตามมติและพันธกรณีตลอดจนโปรแกรมงานของ อนุสัญญา 4. เนื้อที่ปาไมเมื่อเทียบกับเนื้อที่ประเทศไทยลดลงไป 10.12 % ในชวงป 2504-2516 (12 ป) และ ลดลง 4.54 %, 4.52 %, และ 3.9 % จากการสํารวจเนื้อที่ปา ในป 2519, 2521, และ 2525 จะเห็นวาอัตราเฉลี่ยของการลดลงของ พื้นที่ปาไมมากที่สุดจะอยูในชวงป 2519-2521 ที่มีอัตราการลดลงเฉลี่ยปละ 2.26 % หรือ 11,596.4 ตารางกิโลเมตร หลังจากนั้นอัตราการลดลงของพื้นทีปาไมจะลดลง 0.85 %. 1.37 %, 0.08 %. 1.31 %, 0.61 %, 0.41 %, 0.34 % จาก การสํารวจเนื้อที่ปาไม ในป 2528, 2531, 2532, 2534, 2536. 2538, และ 2541 หลังจากการปรับวิธีการสํารวจเนื้อที่ปา ในป 2543 ที่ทําใหเนื้อที่ปาไมเพิ่มขึ้นจากขอมูลป 2541 ถึง 7.87 % แตหลังจากนั้นก็ยังมีอัตราการลดลงของพื้นที่ปาไม อยางตอเนื่อง 0.49 %, 1.28 %, 0.46 % จากขอมูลเนื้อที่ปาไมเทียบกับเนื้อที่ประเทศไทยในป 2547, 2548, และ 2549 โดยในป 2548-2549 ยังมีอัตราลดลงของเนื้อที่ปาไมถึง 1.28 % หรือ 6,567.87 ตารางกิโลเมตร แตทั้งนี้นาจะเกิดจาก วิธีการสํารวจเนื้อที่ที่สํารวจพบเนื้อที่ที่ลดลงไดมากขึ้น อยางไรก็ตาม จากขอมูลในป 2552 พบวาเนื้อที่ปาไมประเทศ ไทย มีเนื้อที่เพิ่มขึ้น 2.52 % หรือ 128.809.85 ตารางกิโลเมตร จากป 2549 หรือเพิ่มขึ้นในอัตราเฉลี่ย 0.84 % ตอป ในชวง 2504-2525 และ 2528-2549 โดยในชวงขอมูลในชวง 25 ป แรกจะมีอัตราการลดลงของพื้นที่ปาไมเฉลี่ย โดยประมาณ ถึง 1- 2% ตอป เมื่อเทียบกับเนื้อที่ประเทศไทย และหลังจากนั้นในชวงขอมูลป 2525 – 2549 จะมีอัตรา ลดลง ไมถึงปละ 1 % ตอป เมื่อเทียบกับเนื้อที่ประเทศไทย โดยในปจจุบันเชื่อไดวาเนื้อที่ปาไมมีเนื้อที่เพิ่มขึ้นถึงเกือบป ละ 1 % (พื้นที่ 1 % ของประเทศไทย = 5131.15 ตารางกิโลเมตร หรือ ประมาณ 2 เทาของเขตรักษาพันธุสัตวปาหวยขา แขง)
112
5. ภาคเหนือเปนพื้นที่ที่ยังคงมีปาไมปกคลุมมากที่สุดเกิน 50 %ของพื้นที่ ภาคกลาง ภาคใตและ ภาคตะวันออก ยังคงเหลือพื้นที่ปาไมปกคลุมมากกวา 20 % สวนภาคตะวันออกเฉียงเหนือเปนพื้นที่ที่มีปาปกคลุมนอยที่สุดไมถึง 20 % สถานการณการลดลงของเนื้อที่ปาไมรุนแรงที่สุดที่ภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เปนภาคที่เนื้อที่ปา ไมหายไปถึงรอยละ 63.76 และ 61.13 ของที่เคยมีเมื่อป 2504 สวนภาคกลางและภาคใตเนื้อที่ปาหายไปรอยละ 43.65 และ 34.59 ของที่เคยมีเมื่อป 2504 ขณะที่ภาคเหนือเนื้อที่ปาหายไปรอยละ 18.83 % ของที่เคยมีเมื่อป 2504 6. กลุ ม จัง หวั ดที่มี การเปลี่ ยนแปลงเนื้อที่ปา สูญเสียเนื้อที่ปาไมรุนแรงมาก คือจังหวัดที่เคยมีเนื้อที่ป า ไม มากกวา 70 % ในอดีตแตในปจจุบันลดลงไมถึง 25 % ของพื้นที่จังหวัด ไดแก กําแพงเพชร สกลนคร และชุมพร และ สูญเสียเนื้อที่ปาไมอยางรุนแรง คือจังหวัดที่เคยมีปาไมปกคลุมมากกวา 70% ในอดีตแตในปจจุบันลดลงไมถึง 50% ไดแก จังหวัด เพชรบูรณ ประจวบคีรีขันธ พังงา สตูล และจังหวัดที่เคยมีปาไมปกคลุมกวา 50% แตในปจจุบันลดลงไม ถึง 25 % ไดแก จังหวัดกาฬสินธุ นครพนม นครราชสีมา หนองคาย ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง กระบี่ ตรัง 7. ปจจุบันกลุมพื้นที่จังหวัดตามเนื้อที่ปาไมที่เพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น 1-5% ของเนื้อที่จังหวัด ไดแก จังหวัดเชียงใหม เพชรบู ร ณ พิ ษ ณุ โ ลก อุ ต รดิ ต ถ อุ ทั ย ธานี ขอนแก น มหาสารคาม สุ ริ น ทร หนองบั ว ลํ า ภู อุ บ ลราชธานี สระแก ว สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สระบุรี กาญจนบุรี เพชรบุรี ราชบุรี กระบี่ ชุมพร นครศรีธรรมราช ระนอง สงขลา และสุราษฏรธานี ในจํานวนนี้ พบวาจังหวัดลําปาง ลพบุรี พังงา มีเนื้อที่ปาไมเพิ่มขึ้นสูงเกิน 5 % ของเนื้อที่ จังหวัด และพบวา ในชวงเวลาดังกลาว จังหวัดภูเก็ตมีพื้นที่ปาไมเพิ่มขึ้นถึง 10.14 % ของเนื้อที่จังหวัด สวนกลุม จังหวัดที่มีเนื้อทีปาไมลดลง 1-3% ของเนื้อที่จังหวัด ไดแก จังหวัดกําแพงเพชร เชียงราย ตาก พะเยา แมฮองสอน ลําพูน สุโขทัย กาฬสินธุ ชัยภูมิ มุกดาหาร ยโสธร สกลนคร อุดรราชธานี ระยอง ตรัง และมีขอมูลเนื้อที่ปาไมลดลง ประมาณ 5-9 %ของเนื้อที่จังหวัด ไดแกจังหวัดตาก นาน แพร นครพนม ตราด ประจวบคีรีขันธ ในขณะที่จังหวัดสตูลมี เนื้อที่ปาไมลดลงถึง 11.18 % ของเนื้อที่จังหวัด 8. ในระดับประเทศแลวเนื้อที่ปาที่หายไปมากที่สุดคือปาเต็งรัง (5.88%) ของเนื้อที่ประเทศไทย หรือหายไปรอย ละ 61.89 แตหากพิจารณาเปนสัดสวนรอยละของชนิดปา จะพบวาปาสนเปนชนิดปาที่หมดไปมากที่สุดจากที่เคยมีในป 2525 หายไปถึงรอยละ 80.95 9. ในขอมูลถึงป 2553 มีจํานวนพื้นที่อนุรักษทั้งสิ้น 411 แหง เนื้อที่ 103,809.92 ตารางกิโลเมตร หรือ 20.19% ของเนื้อที่ประเทศไทย มีพื้นที่กระจายตัวอยูในภาคเหนือ 25.54% ของพื้นที่ภาค (43,327 ตารางกิโลเมตร) ภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ 10.16% ของพื้นที่ภาค (17,156 ตารางกิโลเมตร) ภาคกลาง 25.75 % ของพื้นที่ภาค (17,355 ตารางกิโลเมตร) ภาคตะวันออก 14.15% ของพื้นที่ภาค (5,165 ตารางกิโลเมตร) และภาคใต 18.06% ของพื้นที่ภาค (12,711 ตารางกิโลเมตร) สวนใหญจะอยูในรุปแบบของอุทยานแหงชาติและเขตรักษาพันธุสัตวปา 93 % ที่เหลือจึง เปน เขตหามลาและวนอุทยาน สวนสวนรุกขชาติและสวนพฤษศาสตรมีพื้นที่นอยมาก ตั้งแต ป 2535-2553 เห็นไดวา ในเวลา 18 ป รัฐบาลสามารถเพิ่มพื้นที่อนุรักษได 6.18 % หรือเฉลี่ยปละ 0.34 % (1,744.59 ตารางกิโลเมตร) โดย แบงเปนอุทยานแหงชาติเพิ่มขึ้น 46 แหง เขตรักษาพันธุสัตวปา 23 แหง วนอุทยาน 69 แหง เขตหามลา 11 แหง สวน รุกขชาติ 12 แหง สวนพฤกษศาสตร 11 แหง เมื่อพิจารณาเฉพาะการประกาศอุทยานแหงชาติและเขตรักษาพันธุสัตวื ปาที่เปนพื้นที่อนุรักษที่มีพื้นที่มาก พบวาพื้นที่อนุรักษทั้งสองประเภท เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปละ 3.8 แหง ปจจุบันพบวายังมี พื้นที่ที่คงสภาพปานอกการประกาศเปนพื้นที่อนุรักษทั้งสิ้น 13.25 % ของพื้นที่ประเทศไทย
113
10. ปจจุบันมีพืชที่เปนพืชหายากและใกลสูญพันธ 1,410 ชนิด 137 วงศ แบงเปนเฟน 17 วงศ 42 ชนิด พืชเมล็ด เปลือย 5 วงศ 27 ชนิด พืชดอก แบงเปนพืชใบเลี้ยงเดี่ยว 19 วงศ 417 ชนิด และพืชใบเลี้ยงคู 96 วงศ 924 ชนิด เปน พืชเฉพาะถิ่น 15 ชนิด และคาดวาในประเทศไทยมีพืชประจําถิ่นพบเฉพาะประเทศไทยประมาณ 600 ชนิด โดยประมาณ 400 ชนิดเปนพืชที่มีภาวะใกลจะสูญพันธุ กลวยไมปาซึ่งเปนกลวยไมพื้นเมืองของไทยที่กําลังจะสูญพันธุ เชน รองเทานารีดอกขาว (Paphiopedilum niveum) รองเทานารีปกแมลงปอ (P. sukhakuluii) เอื้องเขาแกะ (Rhynchostylis coelestis) ชางกระ (R. gigentea) เอื้องฟามุย (Vanda coerulea) เอื้องสามปอยดง (V. denisoniana) เอื้องแซะหลวง (Dendrobium scabrilingue) เอื้องไมตึง (D. tortile) นอกจากนี้ยังมี จันทนกระพอ (Vatida diospyroides) ซึ่งเปนไมยืนตนขนาดใหญ ปจจุบันไดกลายเปนพันธุไมหายาก 11. ปจจุบันชนิดพันธุสัตวมีกระดูกสันหลังที่ถูกคุกคามของประเทศไทย 548 ชนิด เปนสัตวเลี้ยงลูกดวยนม 116 นก 180 ชนิด สัตวเลื้อยคลาน 32 ชนิด สัตวสะเทินน้ําสะเทินบก 5 ชนิด ปลา 215 ชนิด และมีชนิดพันธุเฉพาะถิ่น เปน สัตวเลี้ยงลูกดวยนม 5 ชนิด นก 2 ชนิด สัตวเลื้อยคลาน 47 ชนิด สัตวสะเทินน้ําสะเทินบก 7 ชนิด ปลา 72 ชนิด ใน การศึกษาเปรียบเทียบราว 20 ปที่ผานมา พบชนิดพันธุที่ถูกคุกคามในระบบนิเวศปาดิบมากที่สุด โดยมีชนิดพันธที่ถูก คุกคามเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เทาตัว 12. ประเทศไทยไดมีการกําหนดพื้นที่สําคัญเพื่อการอนุรักษ ไดแก พื้นที่สําคัญเพื่อการอนุรักษพืช (IPAs) มี จํานวนทั้งสิ้น 102 แหง และพื้นที่สําคัญเพื่อการอนุรักษนก (IBAs) จํานวนทั้งสิ้น 62 แหง
บรรณานุกรม
International Centre for Environmental Management. 2003. Thailand: National Report on Protected Areas and Development. กรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช. 2553 . ขอมูลสถิติ. http://dnp.gr.th. กองกานดา ชยามมฤติ และ ราชัน ภูมา. การจัดสถานภาพชนิดพันธุที่ถูกคุกคาม : พืช. ใน รายงานการประชุมวัน สากลแห ง ความหลากหลายทางชี ว ภาพ, 22-23 พฤษภาคม 2549. สํ า นั ก งานนโยบายและแผน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม. กรุงเทพฯ จารุจินต นภีตะภัฏ. 2532. ความหลากหลายของสัตวสะเทินน้ําสะเทินบกและสัตวเลื้อยคลานในประเทศไทย. ใน ความ หลากหลายทางชีวภาพประเทศไทย, สิริวัฒน วงษศิริ และ ศุภชัย หลอโลหะการ (บรรณาธิการ).การสัมมนา ชีววิทยาครั้งที่ 7 เรื่อง ความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย วันที่ 16-17 ตุลาคม 2532, มหาวิทยาลัยเชียงใหม. บริษัทประชาชน จํากัด. จารุจินต นภีตะภัฏ วัชระ สงวนสมบัติ และ ธัญญา จันอาจ. การจัดสถานภาพชนิดพันธุที่ถูกคุกคาม : สัตวมีกระดูกสัน หลัง. ใน รายงานการประชุมวันสากลแหงความหลากหลายทางชีวภาพ, 22-23 พฤษภาคม 2549. สํานักงาน นโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม. กรุงเทพฯ ชุมเจตน กาญจนเกษร. 2539. อนุสัญญาตางๆ ที่เกี่ยวของกับความหลากหลายทางชีวภาพ. ใน รายงานการประชุม เพื่อจัดสถานภาพทรัพยากรชีวภาพของประเทศไทย, 29-30 พฤษภาคม 2539. สํานักงานนโยบายและแผน สิ่งแวดลอม กระทรวงวิทยาศาสตร เทคโนโลยี และสิ่งแวดลอม. กรุงเทพ ระวี ถาวร (ไมระบุปที่พิมพ). การวิวัฒนาการของนโยบายในการจัดการปาไม. ศูนยืฝกอบรมวนศาสตรชุมชนแหงเอเซีย แปซิฟค. (เอกสารอัดสําเนา) ราชัน ภูมา. 2548. พืชเฉพาะถิ่นและพืชหายากของผืนปาขนาดใหญหรือกลุมปาในประเทศไทย. ใน รายงานการ ประชุม ความหลากหลายทางชีวภาพดานปาไมและสัตวปา, 21-24 สิงหาคม 2548. กรมอุทยานแหงชาติ สัตว ปา และ พันธุพืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดลอม. กรุงเทพฯ. วิเทศ ศรีเนตร. 2549. รายงานโลกทรรศนความหลากหลายทางชีวภาพ. ใน รายงานการประชุมวันสากลแหงความ หลากหลายทางชีวภาพ, 22-23 พฤษภาคม 2549. สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดลอม. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม. กรุงเทพฯ สํานักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดลอม. 2539. บทสรุป ชนิดพันธุที่ถูกคุกคามของประเทศไทย. กระทรวงวิทยาศาสตร เทคโนโลยี และสิ่งแวดลอม. กรุงเทพ สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม. 2547. ความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย. กระทรวงวิทยาศาสตร เทคโนโลยี และสิ่งแวดลอม. กรุงเทพ สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม. 2548. Thailand Red Data. ฝายความหลากหลายทาง ชีวภาพ, สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดลอม. กรุงเทพฯ
ภาคผนวก
ภาคผนวกบทที่ 2
ภาคผนวกบทที่ 3
ภาคผนวกบทที่ 4
ภาคผนวกบทที่ 5
ภาคผนวกบทที่ 6
ภาคผนวกบทที่ 7