หลักภาษาสำหรับครู

Page 1

มาตรฐานที่ 1 ภาษาและเทคโนโลยี ชุ ดบทเรียนที่ 1. หลักภาษาไทยสำ าหรับครู -----------------------------------------------------------------------------------------------------สื่ อสารผ่ านภาษา หลักภาษาทีค่ วรรู้ เพือ่ ใช้ ในการสื่ อสาร ฟัง พูด อ่ าน เขียน เสี ยงของพยัญชนะ เสี ยงของพยัญชนะ มีคุณสมบัติอยู่ 4 อย่าง โดยจับคู่กนั ได้สองคู่ คือ โฆษะ - อโฆษะ ธนิต - สิ ถิล 1) เสี ยงโฆษะ หรือเสี ยงก้ อง เป็ นเสี ยงที่เกิดจากการสัน่ สะบัดของเส้นเสี ยง เสี ยงโฆะของไทย ได้แก่ /บ/ /ด/ /ม/ /น/ /ง/ /ร/ /ล/ /ว/ /ย/ 2) เสี ยงอโฆษะ หรือเสี ยงไม่ ก้อง เป็ นเสี ยงที่พงุ่ จากหลอดลมไม่กระทบริ มสองข้างของเส้นเสี ยง เส้นเสี ยงจึงไม่ สะบัด ได้แก่ /ป/ /พ/ /ต/ /จ/ /ช/ /ก / /ค/ /ท/ /ฟ/ /ซ/ /ฮ/ 3) เสี ยงธนิต ได้แก่ เสี ยงอโฆษะชนิดหนึ่งซึ่งขณะออกเสี ยง จะมีกระแสลมพุง่ ออกมา ได้ แก่ /พ/ /ท/ /ช/ /ค/ 4) เสี ยงสิ ถิล คือ เสี ยงอโฆษะชนิดหนึ่งโดยขณะออกเสี ยง จะไม่มีลมพุง่ ออกมาด้วย ได้แก่ /ป/ /ต/ /จ/ /ก/ สระจม - สระลอย ในภาษาบาลี - สันสกฤตหรื อภาษาเขมรนั้น จะมีรูปสระที่ใช้กนั 2 แบบคือ สระจม และ สระลอย สระจม หมายถึง สระที่ใช้ประสมกับพยัญชนะ สระลอย ไม่ตอ้ งประสมกับพยัญชนะ สระของไทยนั้น ส่ วนใหญ่จะเป็ นสระจม เพราะต้องประสมพยัญชนะ จะมีสระลอยเฉพาะที่ยมื มา จากภาษาบาลี - สันสกฤต สระลอยของไทยมีอยู่ 2 พวก คือ - สระทีม่ รี ู ปเฉพาะตัว ได้แก่ ฤ ฤา ฦ ฦา - สระทีม่ ตี วั อ เป็ นทุ่นเกาะยึด ได้แก่ อา อี เอ โอ ไอ คำามูล คำาประสม คำาซ้ำ า คำาซ้ อน คำาแผลง คำาสมาส คำาสนธิ คำามูล คือ คำาที่เราตั้งขึ้นเฉพาะคำาเดียวโดดๆ เช่น ไฟ ขัน คำาประสม คือ การนำาคำามูล ตั้งแต่สองคำาขึ้นไปมาประสมกัน เช่น ขายหน้า ชาวนา คำาซ้ำ า คือ คำาที่สร้างขึ้นใหม่โดยใช้คาำ เดิม แต่มีความหมายต่างไปจากเดิม เช่น ของดี ๆ เด็ก ๆ กิน ๆนอน ๆ คำาซ้ อน คือ การนำาคำาที่มีความหมายคล้ายกัน หรื อ มีทาำ นองเดียวกันมารวมกัน มี 2 ลักษณะ คือ 1) คำาซ้ อนเพือ่ เสี ยง เช่น กรี ดกราด ฟื ดฟาด 2) คำาซ้ อนเพือ่ ความหมาย เช่น นิ่มนวล ลับลมคมใน 1


คำาแผลง คือ การเปลี่ยนเสี ยงและรู ป พยัญชนะ สระ หรื อวรรณยุกต์ ให้แตกต่างไปจากเดิม โดยจะใช้คาำ ในภาษา ใด ๆ ก็ได้ เช่น บวช ---> ผนวช คำาสมาส และ ลักษณะของคำาสมาสทีป่ รากฏในภาษาไทย คำาสมาส คือ การนำาคำาภาษาบาลีและสันสกฤตตั้งแต่ 2 คำาขึ้นไป มารวมกัน เป็ นการย่นนามศัพท์สองคำาขึ้นไป ให้เป็ นคำาเดียว ลักษณะของคำาสมาสที่ปรากฏในภาษาไทยมี ดังนี้ 1) คำาที่เกิดจากคำาบาลีหรื อคำาสันสกฤตล้วน ๆ มาต่อกัน เช่น เทวบัญชา ราชบุตร ผลิตผล 2) คำาที่เกิดจากนามศัพท์ หรื อ อัพยศัพท์ต่อกับนามศัพท์ เช่น สมณพราหมณ์ อัศวมุข ทุศีล อธิการ 3) พยางค์สุดท้ายของคำาหน้า ในคำาสมาสไม่ประวิชสรรชนีย ์ หรื อไม่เป็ นตัวการันต์ เช่น กิจการ วิวาหมงคล 4) คำาสมาสจะเรี ยงต้นศัพท์ไว้หลัง ศัพท์ประกอบไว้หน้า เมื่อแปลความหมายจะต้องแปลจากหลังไป หน้า เช่น สภานายก(นายกแห่งสภา) ภูมิภาค (ส่ วนของแผ่นดิน ) 5) คำาสมาสบางคำา เรี ยงลำาดับคำาอย่างไทย คือเรี ยงต้นศัพท์ไว้หน้าศัพท์ ประกอบไว้หลังการเขียนคำา สมาสเหล่านี้ไม่ประวิสรรชนียร์ ะหว่างคำาแต่เมื่ออ่านจะออกเสี ยงสระต่อเนื่องกัน เช่น บุตรภรรยา(บุด-ตระ-พันระ-ยา)บุตรและภรรยา 6) คำาสมาสส่ วนมากออกเสี ยงสระตรงพยางค์ทา้ ยของคำาหน้า เช่น กาลสมัย (กาน- ละ - สะ -ไหม) 7) คำาบาลีสนั สกฤต ที่มีคาำ ว่า" พระ " ที่แผลงมาจาก" วร " ประกอบข้างหน้า จัดเป็ น คำาสมาสด้วย เช่น พระโอรส พระอรหันต์ 8) คำาสมาสบางพวกจะมีลกั ษณะรู ปคำารู ปหนึ่งคล้ายกัน เช่น - คำาที่ลงท้ายด้วยศาสตร์ เช่น นิติศาสตร์ อักษรศาสตร์ ประวัติศาสตร์ - คำาที่ลงท้ายด้วยภัย เช่น อุทกภัย วาตภัย อัคคีภยั - คำาที่ลงท้ายด้วยกรรม เช่น นิติกรรม นวัตกรรม กสิ กรรม คำาสนธิ คือ การนำาคำาหลายคำาในบาลีสนั สกฤตมาต่อกันให้เป็ นคำาเดียว แบ่งเป็ น ๓ ประเภท คือ 1) สระสนธิ คือ การรวมคำาบาลีหรื อคำาสันสกฤตที่พยางค์ทา้ ยของคำาหน้าสุ ดคำาด้วยสระ และพยางค์ตน้ ของคำาหลังก็ข้ ึนต้นด้วยสระเช่นกัน เช่น ราช + อธิราช = ราชาธิราช มหา + อานิสงห์ = มหานิสงฆ์ นร + อินทร์ = นริ นทร์ 2) พยัญชนะสนธิ คือ การนำาคำาบาลีสนั สกฤตมารวมกัน โดยพยางค์ทา้ ยของคำาหน้าสุ ดคำาด้วย พยัญชนะ และ พยางค์หน้าของคำาหลังขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ แล้วเชื่อมคำาทั้งสองเข้าด้วยกัน เช่น 2


รหสฺ สนธิกบั ฐาน เป็ น รโหฐาน พรหฺ มน สนธิกบั ชาติ เป็ น ธรรมชาติ นมสฺ สนธิกบั การ เป็ นนมัสการ 3) นฤคหิตสนธิ คือ การนำาคำาบาลีหรื อสันสกฤตสองคำามารวมกัน โดยพยางค์ทา้ ยของคำาหน้าสุ ดด้วย นฤคหิ ต เช่น สำ สนธิกบั อาคม เป็ น สมาคม สำ สนธิกบั คม เป็ น สังคม สำ สนะกับ ฐาน เป็ ร สัณฐาน หลักการสั งเกตคำาภาษาบาลีและสั นสกฤต ภาษาบาลีและสันสกฤตนั้น มีลกั ษณะคล้ายคลึงกันมาก แต่มีความแตกต่างกัน ดังนี้ 1) แตกต่ างกันด้ วยเสี ยงสระ ภาษาสันสกฤตนิยมใช้สระ ไอ เอา ฤ มาก แต่ภาษาบาลีไม่ใช้ 2) แตกต่ างกันด้ วยเสี ยงพยัญชนะ พยัญชนะสันสกฤต มี ศ ษ ซึ่งบาลีไม่มี 3) แตกต่ างกันด้ วยเสี ยงควบกล้ำ า ภาษาสันสกฤตไม่นิยมใช้ ฬ แต่มีใช้ในภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต ไม่มี คำาที่ใช้การันต์ เช่นเดียวกับภาษาบาลี ำ แต่มีคาำ ควบกล้าใน ำ 4) แตกต่ างกันด้ วยตัวสะกดตัวตาม ภาษาสันสกฤตมีเสี ยงควบกล้ามาก ภาษาบาลีนอ้ ยคำา บางครั้งจะแทรกเสี ยงสระให้เกิดพยางค์ใหม่ในภาษาบาลี คำาที่เป็ นเสี ยงธนิต นิยมเป็ นเสี ยงสะกด แต่ภาษาสันสกฤตจะใช้พยัญชนะธนิต เป็ นตัวสะกด สรุปเพิม่ เติม ได้ ว่า - คำาที่ใช้ ไอ เอา ฤ ฤา ฦ ไม่ใช่ภาษาบาลี - คำาที่ประสมด้วย ศ ษ จะไม่ใช่ภาษาบาลี - คำาที่มี ฬ จะเป็ นคำาภาษาบาลี ำ กเป็ นภาษาสันสกฤตเพราะภาษาบาลีไม่นิยม - คำาที่มีคาำ ควบกล้ามั - ในภาษาบาลีตวั สะกด จะต้องมีตวั ตาม และตัวสะกดตัวตามจะต้องเป็ น พยัญชนะวรรคเดียวกัน (มีฐานเสี ยงที่เกิดร่ วมกัน) การสั งเกตคำาไทย ทีม่ าจากภาษาสั นสกฤต - คำาไทยที่มาจากภาษาสันสกฤตจะไม่มีหลักการสะกดที่แน่นอนเช่น อัคนี มัตสยา อาชญา - คำาไทยที่มาจากภาษาสันสกฤตนิยมใช้ ฑ ฒ เมื่อคำาที่มาจากภาษาบาลีใช้ ฬ เช่น ครุ ฑ วิฑาร - คำาที่มาจากภาษาสันสกฤตใช้ ศ ษ เมื่อคำาภาษาบาลีใช้ ส เช่น ศาลา ฤษี ยกเว้นคำาไทยแท้ ที่ใช้ ศ ษ ศอก ศึก เศิก ศก กระดาษ ดาษ ฝี ดาษ ฝรั่งเศส 3


- คำาไทยที่มาจากภาษาสันสกฤตมักใช้ ฤ ฤา ฦ ฦา ไอ เอา - คำาไทยที่มาจากภาษาวันสกฤต มักแผลง ร เป็ น รร เช่น ธรฺ ม เป็ น ธรรม ยกเว้นคำาไทยแผลง ได้แก่ กระ เป็ น กรร ประ เป็ น บรร คระ เป็ น ครร - คำาไทยที่มาจากภาษาสันสกฤตมักมีคาำ ควบกล้าำ - คำาไทยที่มาจากสันสกฤต หากใช้ ส จะใช้กบั พยัญชนะวรรค ตะ เช่น พัสดุ ภัสดา - คำาไทยที่มาจากภาษาสันสกฤต มักใช้ ณ ตามหลัง ร เช่น นารายณ์ พราหมณ์ ประณม - คำาไทยที่มาจากภาษาสันสกฤต มักจะแผลง ไอ เป็ น แอ เช่น ไวทฺย - แพทย์ ไสนฺ - แสนยา ไวศฺย แพศยา - คำาไทยที่มาจากสันสกฤต มักแผลง เครฺ ห เป็ น เคราะห์ เช่น สงเคราะห์ อนุเคราะห์ หลักการสั งเกตคำาไทยแท้ มีดงั นี้ การพิจารณาว่ าคำาใดเป็ นคำาไทยแท้ ปัจจุบนั มีคาำ ศัพท์ใหม่เกิดขึ้นมากมาย จึงเป็ นที่กงั ขากันว่า เราจะ ทราบได้อย่างไรว่าคำาไหน คือ คำาไทยแท้ หลักการสังเกตคำาไทยแท้ มีดงั นี้ ภาษาไทยเป็ นคำาโดด ซึ่งหมายถึง คำาที่ใช้ได้โดยอิสระ คือแต่ละคำาใช้ได้โดยไม่ตอ้ งเปลี่ยนรู ปคำา คำา ภาษาไทยโดยมากเป็ นคำาพยางค์เดียว ส่ วนเหตุที่มีคาำ ไทยหลายคำา ที่มีหลายพยางค์ เพราะ คำาเหล่านั้นเกิดขึ้นในชั้นที่สองไม่ใช่คาำ ไทยเดิม คำาไทยแท้เริ่ มจากคำามูล (คำาที่มีความหมายในตัว สมบูรณ์และไม่อาจแยกพยางค์ออกไป โดยให้มีความหมายได้อีก ) ซึ่งมักมีพยางค์เดียว คือ เปล่ง เสี ยงออกมาครั้งเดียว ได้แก่ คำาทีใ่ ช้ เรียกเครือญาติมาแต่ เดิม เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง พี่ ป้ า น้า อา คำาทีเ่ ป็ นสรรพนาม เช่น มึง กู สู เรา เขา แก เอ็ง อี คำาทีบ่ อกกิริยาอาการโดยทัว่ ไปซึ่งใช้ มาก่ อน เช่น นัง่ นอน คลาน ย่าง ย่าำ ก้ม เงย เกิด ตาย คำาทีบ่ อกจำานวน เช่น อ้าย ยี่ ร้อย เอ็ด ล้าน จ้าน จัง คำาทีใ่ ช้ เรียกเครื่องมือเครื่องใช้ หรือ สั ตว์ สิ่งของ ที่ใช้ประกอบอาชีพมาแต่โบราณ เช่น บ้าน เรื อน ครัว วัว ควาย หม้อ เสา คำาเรียกชื่อธรรมชาติ ซึ่งมีมานาน เช่น คลอง ห้วย หนอง ไฟ ดิน หิ น ฝน คำาทีใ่ ช้ เรียกสี ที่รู้จกั กันโดยทัว่ ไป เช่น ดำา ด่าง ม่วง เขียว มอ ฟ้ า คำาทีเ่ ป็ นคุณศัพท์ เก่ าแก่ เช่น ใหญ่ หนัก แบน กลม เกลียด ลืม หลง อ้วน ซูบ คำาทีใ่ ช้ เรียกอวัยวะ เช่น หู ตา มือ ตีน ขน ผม คำาทีใ่ ช้ เป็ นลักษณะนาม เช่น กลอ ลำา ก้อน หลุม คน ข้าง เพิม่ เติม คำาไทยแท้หลายพยางค์ เกิดจากวิธีการทางภาษา ดังนี้ การกร่ อนเสี ยง เช่น มะม่วง มาจาก หมากม่วง 4


การแทรกเสี ยง เช่น ผักกะเฉด มาจาก ผักเฉด การเติมพยางค์ หน้ าคำามูล เช่น ประท้วง มาจาก ท้วง คำาไทยแท้ มตี วั สะกดตรงตามมาตรา เช่น ขัด กับ ตัก คำาไทยแท้ ไม่ นิยมควบกล้ำ า คำาไทยแท้ ไม่ มกี ารันต์ คำาไทยแท้ คาำ เดียว อาจมีความหมายหลายอย่ าง เช่น ไก่ขนั ขบขัน ขันน้าำ คำาไทยแท้ มรี ู ปวรรณยุกต์ เป็ นเครื่องหมายกำากับเสี ยง เช่น คา ค่า ค้า คำาไทยแท้ ไม่ พบพยัญชนะต่ อไปนี้ ฆ ณ ญฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ธ ศ ษ ฬ ยกเว้ น ฆ่า เฆี่ยน ระฆัง ศอก ศึก ธ เธอ ณ ฯลฯ ใหญ่ หญ้า คำาไทยแท้ หากออกเสี ยง ไอ จะใช้ ใอ เช่น ใหม่ สะใภ้ ใช้ ใฝ่ คำาไวพจน์ คำาไวพจน์ คือ คำาที่มีความหมายเหมือนกัน แต่ใช้ในบริ บทต่าง ๆ กัน ได้แก่ คำา-ความหมาย คำาไวพจน์ ขัตติยะ บดี บดินทร์ บพิตร ภูวไนย ภูมินทร์ ราชา นฤบาล นฤเบศร์ กษัตริย์ นฤบดี นฤบดินทร์ มหิ ดล บพิตร พระเจ้าอยูห่ วั ภูบดี ไท้ ไท นริ นทร์ นเรนทร์ นโรดม ธเรศ จักรพรรดิ์ ราชา ราชาธิราช ราช อดิศร ภูวนาถ ภูมิบาล นริ ศ ธรณิ นทร์ อธิราช จักรี สตรี กัลยา เยาวมาลย์ ยุพิน นงคราญ อิตถี นารี กามินี กัญญา กันยา ผู้หญิง กัลยาณี กานดา นงเยาว์ นงพะงา อิตถิ อิสตรี อรไท อนงค์ บังอร นรี นารี ยุพเยาว์ ยุพเรศ วนิดา วธู สุ ดา อมริ นทร์ สหัสนัยน์ เพชรปาณี มัฆวาน โกสี ย ์ สักกะ สุ ชมั บดี พระอินทร์ พระพุทธเจ้ า พระตรี โลกนาถ พระพุทธองค์ พระทศพล พระภควันต์ ตถาคต พระชิน สี รัชนี รัชนีกร แข บุหลัน นิศากร ศศิธร วราลี ตมิสา ตาร เกศ บุหลัน พระจันทร์ พระอาทิตย์ ทินกร ทิวากร ประภากร ตะวัน สุ ริยา สุ ริยนั พันแสง สุ รีย ์ รวิ ระวี ไถง เสี ย สิ้ นชีพ อาสัญ มรณะ มรณา วายปราณ ถึงแก่กรรม วายชนม์ สิ้ นชีพ ตาย ตักษัย สวรรคต บรรลัย อรัญ อารัญ ชัฎ ไพร ไพรวัน พงพี พนา ไพรสัณฑ์ พนาสณฑ์ พนาวัน ป่ า พนัส พนาดร เถื่อน พง ดง รับประทาน เขมือบ หม่าำ ฉัน เสวย แดก กิน 5


พูด เพชร สวย ศัตรู พ่ อ แม่ เด็ก คน ควาย ช้ าง

กล่าว จำานรรจา วจี วาจา สนทนา มณิ มณี พัชร พชระ วิเชียร วชิร วชิระ วัชระ งาม ประไพ อำาไพ วิลาวัณย์ โสภา โสภณ วิไล ไฉไล ลาวัณย์ ข้าศึก ดัสกร ริ ปู ปัจจามิตร ไพรี ปัจนึก อริ ปรปักษ์ บร บิดา ชนก บิตุรงค์ บิดร ปิ ตุ มารดา ชนนี ชเนตตี นนทลี มาตุ กุมาร กุมารี ผูเ้ ยาว์ ดรุ ณ ดรุ ณี พาล ทารก ศิศุ ชน นิกร นร กาสร กระบือ มหิ งสา กรี กุญชร คช คชา พลาย สาร หัตถี ไอยรา ดำารี

คำาไวพจน์ (ต่ อ) คำา-ความหมาย ม้ า ปลา ลิง นก งู ดอกบัว ดอกไม้ น้ำ า แผ่นดิน ท้ องฟ้ า ภูเขา ไฟ ลม ต้ นไม้ ทองคำา เมือง นักบวช ยักษ์ เทวดา

คำาไวพจน์ อาชา อาชาไนย สิ นธพ พาชี ดุรงค์ หัย อัศวะม้า หัยราช มัจฉา มัสยา กระบี่ วานร สกุณา ปักษา สุ โนก วิหค ชากร ปักษี สกุณี บุหรง ทวิช อุรค ภุชงค์ ผณี ทีฆชาติ นาคา โกมุท โกมล ปทุม อุบล โกสุ ม บุปผา บุษบา มาลี ผกา มาลัย กระแสสิ นธุ์ คงคา ธารา ชลสิ นธุ์ อุทก วาริ น อาโป วารี ชล ชลธี ชลธาร ไผท พสุ ธา หล้า พิภพ ธรณี ภูมิ ธรณี ปฐพี ธาตรี ธรา นภา เวหา อัมพร คัคนานต์ ทิฆมั พร วรัมพร โพยม คัคนางค์ คีรี ไศล บรรพต ภูผา สิ งขร ศิขริ นทร์ อัคคี เตโช เพลิง อัคนี บาพก พระพาย วาโย วายุ พฤกษ์ รุ กข์ ตรุ เฌอ ทุม สุ วรรณ เหม กนก มาศ อุไร บุรี ธานี นคร ปุระ กรุ ง มุนี ฤษี ดาบส นักพรต นักสิ ทธิ์ อสูร รากษส แทตย์ ทานพ มาร อมร เทพ สุ ร เทพยดา นิรชร เทวา 6


นางฟ้ า ใจ

อัจฉรา อัปสร รัมภา เทพธิดา เทวี กมล หทัย ฤดี ฤทัย แด

ลักษณะนามทีค่ วรรู้ คำา - ลักษณะนาม กฎหมาย//ฉบับ กระดาน//แผ่น กล่องไม้ขีดไฟ//กล่อง กลัก กาพย์//บท เกวียน// เล่ม ขนมจีน //จับ ของ้าว// เล่ม ข้าวโพด// ฝัก เขียงหมู//เขียง คทา//เล่ม อัน คัมภีร์ใบลาน // ผูก จิต//ดวง ชอล์ก//แท่ง ช้างทรง//ช้าง สามเณร//รู ป ตะกร้อ //ใบ เทวรู ป//องค์ ธรรมจักร//วง บัตรประชาชน //ฉบับ ปิ่ นโต //เถา ผี// ตน พิมเสน//เกร็ ด เมฆ //ก้อน ระนาด// ผืน ลิปสติก// แท่ง หวี //เล่ม

คำา - ลักษณะนาม

คำา – ลักษณะนาม

กรรไกร //เล่ม กระป๋ อง//ใบ กากะเยีย//ชุด กำาไล //วง เกาทัณฑ์//คัน ขลุ่ย// เลา ข่า//แง่ง ขิม//ตัว ไข่//ฟอง คลื่น// ลูก โคลง//บท เจดีย ์//องค์ ช้างบ้าน//เชือก ซึง ซอ//คัน ตะกร้อ//ลูก ไต้ฝนุ่ //ลูก ธนบัตร//ฉบับ ธูป//ดอก บาตร//ใบ ลูก ปี่ // เลา เผือก//หัว ฟัน//ซี่ ร่ ม// คัน เรื อ// ลำา เสลี่ยง//คัน ว่าว //ตัว

กระด้ง // ใบ ลูก กรับ// คู่ สำารับ กางเกง//ตัว กีตาร์ //ตัว ขน//เส้น ขมิน้ // แง่ง ข้าวตอก//ดอก ขีปนาวุธ// ลูก ไข่มุก//เม็ด แคน //เต้า งาช้าง //กิ่ง ฉันท์//บท ช้างป่ า// ตัว ดินสอ //แท่ง พัด ตาลปัตร//เล่ม ำ ถ้ายาดม //ถ้าำ ธนู//คัน นาฬิกา//เรื อน บุหรี่ //มวน ปื น//กระบอก ฝี //หัว ภูเขา//ลูก ลูกระนาด // ลูก เลื่อม//เกล็ด เลื่อย//ปื้ น อวน //ปาก

7


คำาทีม่ กั เขียนผิด คำาทีถ่ ูก กงสุ ล กฎ กบฎ กรรเชียง กรรมพันธุ์ กระจิริด กระตือรื อร้น กระทะ กระเบียดกระเสี ยร กระปรี้ กระเปร่ า กระเพาะ กระหนก ( ลายไทย ) กริ ยา ( คำาแสดงอาการ ) ก๋ วยเตี๋ยวราดหน้า กเฬวราก กอปร ก้อร่ อก้อติก ก๊อก กะทัดรัด กะทิ กะโปโล กะพง กะเพรา กะลา กะโหลก กักขฬะ

มักเขียนผิดเป็ น กงศุล กฏ กบฏ กันเชียง กรรมพันธ์ กระจิ๊ดริ ด กระตือรื อล้น กะทะ กระเบียดกระเสี ยน กะปรี้ กะเปร่ า กะเพาะ กนก (ทอง ) กิริยา ( มารยาท ) ก๋ วยเตี๋ยวลาดหน้า กเลวราก กอป ก้อล่อก้อติก ก็อก กระทัดรัด กระทิ กระโปโล กระพง กระเพรา กระลา กระโหลก กักขละ

8


คำาทีม่ กั เขียนผิด คำาทีถ่ ูก กังวาน กัป กัลป์ กากบาท กามารมณ์ การบูร กาลเทศะ กำาเนิด เกร็ ดความรู้ เกล็ดปลา เกษียณอายุ เกษียนหนังสื อ เกษียรสมุทร เกสร เกินดุล โกฏิ โกศ (ที่ใส่ ศพ) ข้นแค้น ขบถ ขมีขมัน ขัณฑสกร ขึ้นฉ่าย ไข่มุก คณนา คนโท

มักเขียนผิดเป็ น กังวาล กัปป์ กัล กากบาด กามารมย์ การะบูร กาละเทศะ กำาเหนิด เกล็ดความรู้ เกร็ ดปลา เกษียนอายุ เกษียรอายุ เกษียณหนังสื อ เกษียนสมุทร เกษร เกินดุลย์ โกฎ โกฐ ( เครื่ องยาสมุนไพร) ค่นแค้น ขบฏ ขะมีขะมัน ขันทสกร คึ่นช่าย ไข่มุข คณณา คณโฑ

9


คำาทีม่ กั เขียนผิด คำาทีถ่ ูก ครองแครง ครองราชย์ คลินิค คะนึง โจษจัน จระเข้ จักจัน่ จัดสรร จัตุรัส ชอุ่ม เชิ้ต ซวดเซ ซักไซ้ ซาบซึ้ง เซ็นชื่อ เซนติเมตร ฌาณ ดอกจัน ดอกไม้จนั ทน์ ตานขโมย เต็นท์ ถนนลาดยาง ถนัดถนี่ ถ่วงดุล ถัว่ พู ถึงแก่พิราลัย

มักเขียนผิดเป็ น คลองแคลง ครองราช คลีนิค คนึง โจทจัน จรเข้ จัก๊ จัน่ จัดสรรค์ จตุรัส ชะอุ่ม เชิ๊ต ทรวดเซ ซักไซร้ ทราบซึ้ ง เซ็นต์ชื่อ เซ็นติเมตร ฌาน ดอกจันทร์ ดอกไม้จนั ทร์ ตาลขโมย เต๊นท์ ถนนราดยาง ถนัดถะหนี่ ถ่วงดุลย์ ถัว่ พลู ถึงแก่พิลาลัย 10


คำาทีม่ กั เขียนผิด คำาทีถ่ ูก แถลงการณ์ ทโมน ทแยง ทรราช ทรวดทรง ทระนง ทลาย(พัง) ทะลึ่ง ทะเลสาบ ทัศนศิลป์ ทีฆายุโก ทูต ทูนหัว เท้าความ เทิด แท็กซี่ ธัญพืช ธุดงค์ นัยน์ตา นานัปการ ำ นก๊าด น้ามั นิมิต โน้ต ไนต์คลับ บล็อก บ่วงบาศ

มักเขียนผิดเป็ น แถลงการ ทะโมน ทะแยง ทรราชย์ ซวดทรง ทรนง ทะลาย ( ช่อมะพร้าว) ทลึ่ง ทะเลสาป ทัศนะศิลป์ ฑีฆายุโก ฑูต ทูลหัว ท้าวความ เทอด แท๊กซี่ ธัญญพืช ธุดง นัยตา นานับประการ ำ นก๊าด น้ามั นิมิตร โน๊ต ไนท์คลับ บล๊อก บ่วงบาศก์ 11


คำาทีม่ กั เขียนผิด คำาทีถ่ ูก บอระเพ็ด บังกะโล บาทบงสุ์ บาทหลวง บำาเหน็จ บิณฑบาต บุคลิก เบญจเพส ปฏิสนั ถาร ประกายพรึ ก ประณต ประณาม ประณิ ธาน ปรัศนี ปราดเปรื่ อง ปะการัง ปิ กนิก เปอร์เซ็นต์ ผอบ ผาสุ ก เผอเรอ แผนการ ไผท พยักเพยิด พลอดรัก

มักเขียนผิดเป็ น บรเพ็ด บังกาโล บาทบงส์ บาดหลวง บำาเน็จ บิณฑบาตร บุคคลิก เบญจเพศ ปฏิสนั ถาน ประกายพฤกษ์ ประนต ประนาม ประนิธาน ปรัศนีย ์ ปราชญ์เปรื่ อง ประการัง ปิ คนิค เปอร์เซนต์ ผะอบ ผาสุ ข เผลอเรอ แผนการณ์ ผไท พะยักพะเยิด พรอดรัก 12


คำาทีม่ กั เขียนผิด คำาทีถ่ ูก พัศดี พาณิ ช พิศวาส พิสมัย พูร่ ะหง เพชฌฆาต โพธิญาณ โพนทะนา ภูตผี มโนสาเร่ มรณภาพ มรรคนายก มหาละลวย มหาหิ งคุ์ ม่อฮ่อม มัคคุเทศก์ มัสมัน่ ม่าย แมงกะพรุ น ไมยราบ (หญ้า ) เยาว์วยั ยุงก้นปล่อง รกชัฏ รสชาติ ราคาเยา ราญรอน

มักเขียนผิดเป็ น พัสดี พานิช พิสวาท พิศมัย ภู่ระหง เพชรฆาต โพธิญาน โพนทนา ภูติผี มะโนสาแร่ มรณะภาพ มรรคทายก มหาระรวย มหาหิ งค์ หม้อฮ่อม มักคุเทศน์ มัสหมัน่ หม้าย แมงกระพรุ น ไมยราพ (ตัวละคร ) เยาวัย ยุงก้นป่ อง รกชัฎ รสชาด ราคาเยาว์ รานรอน 13


คำาทีม่ กั เขียนผิด คำาทีถ่ ูก รุ บรู่ รู ปการ ลดราวาศอก ลมปราณ ลมหวน ลออ ลายเซ็น ำ ล่าลา ลำาไส้ เล่นพิเรนทร์ เลิกรา เลือนราง โล่ วิ่งเปี้ ยว วิปลาส วิไล เวนคืน ศัพท์ สไบ สับปะรด สัปหงก สากกะเบือ สาบสูญ สาปแช่ง สิ นเธาว์ สุ กใส

มักเขียนผิดเป็ น รุ บหรู่ รู ปการณ์ ลดลาวาศอก ลมปราน ลมหวล ละออ ลายเซ็นต์ ำ ร่ าลา ลำาใส้ เล่นพิเรน เลิกลา เลือนลาง โล่ห์ วิง่ เปรี้ ยว วิปลาศ วิลยั เวรคืน ศัพย์ สะไบ สัปรด สัปงก สากกระเบือ สาปสูญ สาบแช่ง สิ นเทาว์ สุ ขใส

14


คำาทีม่ กั เขียนผิด คำาทีถ่ ูก เสลด แสตมป์ หงส์ หมาใน หยักศก หยากไย่ หลงใหล เหม็นสาบ ใหลตาย อเนก อเนจอนาถ อโนดาต อัตคัด อาเจียน อำานาจบาตรใหญ่ อินทรี (ปลา นก ) อิริยาบถ อิสรเสรี เอเชีย โอกาส ไอศกรี ม

มักเขียนผิดเป็ น สะเหลด สแตมป์ หงษ์ หมาไน หยักโศก หยักไย่ หลงไหล เหม็นสาป ไหลตาย เอกนก อเน็จอนาถ อโนดาษ อัตคัต อาเจียร อำานาจบาทใหญ่ อินทรี ย ์ ( ร่ างกาย จิตใจ) อิริยาบท อิสระเสรี เอเซีย โอกาศ ไอศครี ม

15


คำาราชาศัพท์ หมวดร่ างกาย ราชาศัพท์ พระเจ้า พระเศียร พระสิ รัฐิ (สิ - รัด - ถิ) พระสี สกฏาหะ เส้นพระเจ้า พระเกศา พระเกศ พระศก ไรพระเกศ ไรพระเกศา ไรพระศก ขมวดพระศก ขมวดพระเกศา พระโมลี พระเมาลี พระจุไร พระจุฑามาศ พระเวณิ พระนลาฏ พระขนง พระภมู พระอุนาโลม พระเนตร พระนัยนะ พระจักษุ พระเนตรดำา ดวงพระเนตรดำา ดวงเนตรขาว ดวงพระเนตรขาว พระกนีนิกา พระเนตรดารา หนังพระเนตร หลังพระเนตร พระโลมจักษะ ขนพระเนตร ม่านพระเนตร ต่อมพระเนตร พระอัสสุ ธารา พระอัสสุ ชล น้าำ พระเนตร พระนาสิ ก พระนาสา สันพระนาสิ ก สันพระนาสา

ความหมาย หัว ศีรษะ ( พระมหากษัตริ ย ์ ) หัว ศีรษะ กะโหลกศีรษะ เส้นผมของพระมหากษัตริ ย ์ เส้นผม ไรผม ขมวดผมที่เป็ นก้นหอย จุก หรื อ มวยผม ไรจุก ไรผม มวยผม ท้ายทอย เปี ยผม ช้องผม หน้าผาก คิว้ ขนหว่างคิ้ว ดวงตา ตาดำา ตาขาว แก้วตา หนังตา หลังตา ขนตา ม่านตา ำ ต่อมน้าตา ำ น้าตา จมูก สันจมูก

16


คำาราชาศัพท์ หมวดร่ างกาย ราชาศัพท์ ช่องพระนาสิ ก พระโลมนาสิ ก ขนพระนาสิ ก พระปราง พระกำาโบล กระพุง้ พระปราง พระมัสสุ พระทาฐิกะ พระทาฒิกะ พระโอษฐ์ พระตาลุ เพดานพระโอษฐ์ พระทนต์ พระทันตมังสะ พระทันตมังสา ไรพระทนต์ พระทาฐะ พระทาฒะ พระกราม พระชิวหา ต้นพระชิวหา มูลพระชิวหา พระหนุ (หะนุ) ต้นพระหนุ พระกรรณ ช่องพระโสต ช่องพระกรรณ พระพักตร์ พระศอ พระกัณฐมณี ลำาพระศอ พระชัตตุ พระรากขวัญ

ความหมาย ช่องจมูก ขนจมูก แก้ม กระพุง้ แก้ม หนวด เครา ปาก ริ มฝี ปาก เพดานปาก ฟัน เหงือก ไรฟัน เขี้ยว ฟันกราม ลิ้น โคนลิ้น ลิ้นไก่ คาง ขากรรไกร หู ใบหู ช่องหู ดวงหน้า คอ ลูกกระเดือก ลำาคอ คอต่อ ไหปลาร้า

17


คำาราชาศัพท์ หมวดร่ างกาย ราชาศัพท์ พระอังสา พระพาหา พระพาหุ พระอังสกุฏ พระกร พระกัประ พระกะโประ พระกัจฉะ พระกัจฉโลมะ พระหัตถ์ ข้อพระกร ข้อพระหัตถ์ ฝ่ าพระหัตถ์ หลังพระหัตถ์ พระองคุลี นิ้วพระหัตถ์ พระอังคุฐ พระดัชนี พระมัชฌิมา พระอนามิกา พระกนิษฐา ข้อนิ้วพระหัตถ์ พระองคุลีบพั พระมุฐิ กำาพระหัตถ์ พระนขา พระกรชะ พระอุระ พระทรวง พระหทัย พระกมล พระถัน พระเต้า พระปโยธร ยอดพระถัน พระจูจุกะ พระครรโภทร พระคัพโภทร พระอุทร พระนาภี

ความหมาย บ่า จะงอยบ่า ศอกถึงข้อมือ ข้อศอก รักแร้ ขนรักแร้ มือ ข้อมือ ฝ่ ามือ หลังมือ นิ้วมือ นิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อย ข้อนิ้วมือ กำาปั้น กำามือ เล็บ อก หัวใจ เต้านม หัวนม มีครรภ์ มีทอ้ ง ท้อง สะดือ ท้อง

18


คำาราชาศัพท์ หมวดร่ างกาย ราชาศัพท์ ความหมาย พระสกุล พระครรภมล รก สิ่ งที่ติดมากับสายสะดือเด็กในครรภ์ สายพระสกุล สายรก กล่องพระสกุล มดลูก พระกฤษฎี บั้นพระองค์ พระกฏิ สะเอว เอว พระปรัศว์ สี ขา้ ง พระผาสุ กะ ซี่โครง พระปฤษฏางค์ พระขนอง หลัง พระโสณี ตะโพก พระที่นงั่ ก้น พระวัตถิ กระเพาะปัสสาวะ พระคุยหฐาน พระคุยหประเทศ องค์ที่ลบั ชาย พระโยนี องค์ที่ลบั หญิง พระอัณฑะ ลูกอัณฑะ พระอูรุ ต้นขา พระเพลา ขาตัก พระชานุ เข่า พระชงฆ์ แข้ง หลังพระชงฆ์ น่อง พระโคปผกะ ตาตุ่ม นิ้วพระบาท นิ้วเท้า พระบาท เท้า ข้อพระบาท ข้อเท้า หลังพระบาท หลังเท้า ฝ่ าพระบาท ฝ่ าเท้า พระปัณหิ พระปราษณี ส้นพระบาท ส้นเท้า

19


คำาราชาศัพท์ หมวดร่ างกาย ราชาศัพท์ พระฉวี พระฉายา พระโลมา ผิวพระพักตร์ พระราศี พระมังสา กล้ามพระมังสา พระอสา พระปี ฬกะ พระปัปผาสะ พระยกนะ (ยะ - กะ- นะ) พระปิ หกะ พระอันตะ พระอันตคุณ พระกุญชะ พระนหารู เส้นพระโลหิ ต หลอดพระโลหิ ต หลอดพระวาโย พระกิโลมกะ พระองคาพยพ พระมัตถลุงค์ พระธมนี พระปิ ตตะ พระเขฬะ พระเสมหะ มูลพระนาสิ ก มูลพระนขา

ความหมาย ผิวหนัง เงา ขน ผิวหน้า เนื้อ กล้ามเนื้ อ สิ ว ไฝ ขี้แมลงวัน ปอด ไต ม้าม ไส้ใหญ่ ไส้นอ้ ย ไส้ทบ ไส้พุง เส้น เอ็น เส้นเลือด หลอดเลือด หลอดลม พังผืด ส่ วนต่างๆของร่ างกาย มันในสมอง เส้นประสาท ดี ำ น้าในไขข้ ำ น้าลาย อ เสลด ำ ก น้ามู ขี้เล็บ

20


คำาราชาศัพท์ หมวดร่ างกาย ราชาศัพท์ พระเสโท พระเมโท พระบุพโพ พระอุหลบ พระบุษปะ พระอัฐิ พระอังคาร พระสรรางคาร พระอังสัฐิ พระหนุฐิ พระคีวฐั ิ พระพาหัฐิ พระอุรัฐิ พระผาสุ กฐั ิ พระปิ ฐิกณั ฐกัฐิ พระกฏิฐิ พระอูรัฐิ พระชังฆัฐิ พระปาทัฐิ พระหัตถัฐิ พระยอด พระบังคนหนัก พระบังคนเบา พระปัสสาสะ พระอัสสาสะ พระชีพจร อุณหภูมิพระวรกาย พระวาโย

ความหมาย เหงื่อ ไคล ำ ำ อง น้าหนอง น้าเหลื เลือดประจำาเดือน กระดูก เถ้ากระดูก กระดูกไหล่ กระดูกคาง กระดูกคอ กระดูกแขน กระดูกหน้าอก กระดูกซี่โครง กระดูกสันหลัง กระดูกสะเอว กระดูกขา กระดูกแข้ง กระดูกเท้า กระดูกมือ ฝี หัวฝี อุจจาระ ปัสสาวะ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ชีพจร อุณหภูมิร่างกาย ลม

21


หลักการอ่าน ฤ

เสี ยง ฤ ในภาษาไทย อ่านได้เป็ น ๓ เสี ยง คือ ริ รึ เรอ โดยมีหลักการสังเกต ดังนี้ คำาทีม่ ี ฤ นำาหน้ ามักออกเสี ยงเป็ น รึ ฤชุ อ่านว่า รึ - ชุ ฤทัย อ่านว่า รึ - ทัย ฤคเวท อ่านว่า รึ - คะ - เวด ฤกษณะ อ่านว่า รึ ก - สะ - นะ ( การเห็น ) ฤดี อ่านว่า รึ - ดี ฤษภ อ่านว่า รึ - สบ ฤชา อ่านว่า รึ - ชา ฤษี อ่านว่า รึ - สี ยกเว้ นบางคำา ที่ ฤ นำาหน้ าแต่ อ่านเป็ น ริ เช่ น ฤทธิ์ อ่านว่า ริ ด ฤษยา อ่านว่า ริ ด - สะ - หยา ฤณ อ่านว่า ริ น คำาทีอ่ อกเสี ยงเป็ น เรอ มีเพียงคำาเดียว คือ ฤกษ์ อ่านว่า เริ ก คำาทีม่ ี ฤ ตามหลัง ค น พ ม ห แล้ วอ่ านเป็ น รึ เช่ น คฤโฑษ อ่านว่า ครึ - โทด คฤหัสถ์ อ่านว่า ครึ – หัด คำาทีม่ ี ฤ ตามหลัง ค น พ ม ห แล้ วอ่ านเป็ น รึ เช่ น คฤหาสน์ อ่านว่า คะ - รึ -หาด นฤบดี อ่านว่า นะ - รึ - บอ -ดี นฤนาท อ่านว่า นะ - รึ - นาด นฤคหิ ต อ่านว่า นะ - รึ -คะ -หิ ด พฤฒาจารย์ อ่านว่า พรึ ด - ทา - จาน พฤฒิ อ่านว่า พรึ ด - ทิ หฤโหด อ่านว่า หะ - รึ -โหด หฤหรรษ์ อ่านว่า หะ - รึ - หัน

22


ยกเว้ นคำาเหล่ านีอ้ ่ านเป็ น ริ มฤจฉา อ่านว่า มะ - ริ ด - ฉา นฤตยศาลา อ่านว่า นรึ ด - ตะ - ยะ - ศา - ลา คำาทีม่ ี ฤ ตามหลัง ก ต ท ป ศ ส แล้ ว อ่ านเป็ น ริ กฤติกา อ่านว่า กริ ด - ติ -กา ตฤน อ่านว่า ตริ น ตฤษณา อ่านว่า ตริ - สะ - นา ทฤษฎี อ่านว่า ทริ ด - สะ -ดี กฤตยา อ่านว่า กริ ด - ติ - ยา ปฤษฎางค์ อ่านว่า ปริ ด - สะ - ดาง ยกเว้ นคำาต่ อไปนีอ้ ่ าน รึ ทฤฆายุ อ่านว่า ทรึ - คา - ยุ ทฤฆชนม์ อ่านว่า ทรึ - คะ – ชน

หลักการอ่าน ฑ การอ่านภาษาไทยนั้นในบางกรณี จะมีลกั ษณะเฉพาะตัว เช่นเดียวกับ คำาที่มี ฑ ในภาษาบาลี สันสกฤตจะออกเสี ยงเป็ น /ด/ อย่างเดียว ภาษาไทยออกเสี ยง /ด/ เช่นเดียวกัน ส่ วนคำาที่ออก เสี ยงเป็ น /ท/ นั้นน่าจะเป็ นคำาที่ได้มาจากภาษาเขียน แล้วออกเสี ยงตาม ๆ กันมา จนถึงปัจจุบนั คำาทีอ่ อกเสี ยง /ด/ บัณฑิต อ่านว่า บัน - ดิด คำาทีอ่ อกเสี ยง /ด/ บัณเฑาว์ อ่านว่า บัน - เดาะ ฑังสะ อ่านว่า ดัง - สะ ครุ ฑ อ่านว่า ครุ ด บัณฑุกมั พล อ่านว่า บัน - ดุ - กำา - พน บุณฑริ ก อ่านว่า บุน - ดะ - ริ ก คำาทีอ่ อกเสี ยงเป็ น /ท/ ทัณฑฆาต อ่านว่า ทัน - ทะ - คาด มณฑก อ่านว่า มน - ทก มณฑล อ่านว่า มน - ทน

23


คำาทีอ่ อกเสี ยงเป็ น /ท/ ขัณฑสกร ขัณฑสี มา กรี ฑา

อ่านว่า อ่านว่า อ่านว่า

ขัน - ทะ - สะ - กอน ขัน - ทะ - สี - มา กรี – ทา

คำาทีม่ กั อ่ านผิด คำา กกุธภัณฑ์ กรกฎ กรกฎาคม กรณียกิจ กรมขุน กรมคลัง กรมท่า กรมวัง กรมเวียง กรรมวาจาจารย์ กรรมมาชีพ กริ ยา กลวิธี กษีณาศรพ กักขฬะ กัลปพฤกษ์ กามตัณหา กามวิตถาร กาลกิณี กาสาวพัสตร์ กำาเนิด กำาสรด

อ่ านว่ า กะ -กุด- ทะ -พัน กอ -ระ -กด กะ -ระ -กะ -ดา –คม/กะ - รัก -กะ -ดา –คม กะ - ระ - นี - ยะ –กิด/กอ- ระ -นี -ยะ –กิด กรม -มะ –ขุน กรม - มะ – คลัง กรม - มะ –ท่า กรม - มะ – วัง กรม - มะ – เวียง กำา -มะ - วา -จา – จาน กำา - มา -ชีพ กริ - ยา / กะ -ริ –ยา กน -ละ -วิ – ที กะ - สี - นา –สบ กัก -ขะ –หละ กัน -ละ -ปะ –พรึ ก กาม -มะ -ตัน -หา กาม- วิด –ถาน กา-ละ- กิ –นี/กาน - ละ -กิ –นี กา - สา -วะ –พัด กำา –เหนิด กำา -สด

24


คำาทีม่ กั อ่ านผิด คำา กุณฑี กุนที เกษตรกรรม ขสี ณาศรพ ขัดสมาธิ เข้าสมาธิ คณนา คนธรรม์ คริ สต์ศตวรรษ ครุ ฑพ่าห์ คุณค่า จรด จัตุสดมภ์ จุติ ฉกษัตริ ย ์ จุนสี ฉศก ชนมพรรษา ชนมายุ ชักเย่อ ชาติพลี ชาติภมู ิ ชุกชี ญาติวงศ์ ด้วยประการฉะนี้ ดาษดา

อ่ านว่ า กุน -ที กุน -นะ - ที กะ-เสด -ตระ –กำา ขะ - สี - นา -สบ ขัด -สะ –หมาด เข้า -สะ -มา – ทิ คะ - นะ –นา/คน -นะ -นา /คัน - นะ –นา คน ทัน คริ ด -สะ -ตะ –วัด ครุ ด -พ่า คุน -ค่า /คุน -นะ -ค่า จะหรด จัด-ตุ -สะ -ดม จุด- ติ ฉ้อ - กะ –สัด/ ฉอ - กะ สัด จุน -นะ –สี ฉอ สก ชน -มะ -พัน -สา ชน -นะ - มา - ยุ ชัก -กะ –เย่อ ชาด -พะ - ลี ชาด - ติ -ภูมิ ชุก-กะ -ชี ญาด- ติ –วง ด้วย -ประ -กาน -ฉะ -นี้ ด้วย -ประ -กาน -ระ -ฉะ – นี้ ดาด -สะ -ดา

25


คำาทีม่ กั อ่ านผิด คำา ดาษดื่น ดูกร เดียรดาษ ตนุ ( เต่า ) ถาวรวัตถุ แถง ทัณฑกรรม ทานบดี ทิฐิ ทูลเกล้าฯ โทมนัส โทรมมนัส ธรรมาสน์ ธารกำานัล นพศูล นิคหิ ต บทมาลย์ บรรพมูล บรรษัท บราลี บัณเฑาะว์ บัตรพลี ปกติ ปฐมวัย ปรกติ ปรมินทร์

อ่ านว่ า ดาด- ดื่น ดู -กะ -ระ / ดู -กอน เดีย -ระ -ดาด ตะ –หนุ ถา -วอน -วัด -ถุ / ถา -วอน -ระ - วัด -ถุ ถะ -แหง ทัน -ดะ –กำา ทาน - นะ -บอ -ดี ทิด - ถิ ทูน -เกล้า - ทูน -กระ -หม่อม โทม -มะ –นัด โซม - มะ -นัด ทำา –มาด ทา -ระ -กำา -นัน นบ -พะ -สูน นิก- คะ –หิ ด บท - มะ -มาน บับ -พะ –มูน บัน -สัด บะ -รา - ลี บัน –เดาะ บัด- พะ –ลี ปะ - กะ –ติ/ ปก -กะ -ติ ปะ - ถม -มะ - ไว ปรก -กะ – ติ ปะ - ระ - มิน /ปอ -ระ -มิน

26


คำาทีม่ กั อ่ านผิด คำา ปรัก ( เงิน ) ปรัก ( หัก ) ปุณฑริ ก ผรุ สวาท ผลกรรม พยาธิ ( ความป่ วยไข้ ) พยาธิ ( สัตว์ ) พระบรมราชินี พลขับ พลร่ ม พลีชีพ พลียา พิษฐาน พีชคณิ ต พุมเรี ยง ( พืช ) พุมเรี ยง ( ผ้า ) ภรรยา มณฑป มาติกา มิคสัญญี เมรุ เมรุ มาศ ยุติ รอมร่ อ รังสฤษฏ์ รัสสระ

อ่ านว่ า ปรัก ปะ -หรัก ปุน -ดะ -ริ ก / ปุน - ทะ –ริ ก ผะ -รุ -สะ -วาด /ผะ -รุ ด -สะ - วาด ผน –กำา พะ - ยา - ทิ พะ -ยาด พระ - บอ - รม -มะ -รา - ชิ –นี พน -ละ -ขับ พน - ร่ ม พลี ชีบ พลี – ยา พิด - สะ -ถาน พี -ชะ - คะ- นิด พุม -มะ –เรี ยง พุม -เรี ยง พัน - ยา /พัน -ระ -ยา มน -ดบ มาด -ติ –กา มิก -คะ - สัน -ยี เมน เม - รุ -มาด ยุด ติ รอม -มะ ร่ อ รัง -สะ -หริ ด รัด -สะ -สะ -หระ

27


คำาทีม่ กั อ่ านผิด คำา ลลนา วัยวุฒิ วิตถาร วินาศกรรม วุฒิ ศตวรรษ เศรณี เศวต สมมุติฐาน สมศักย์ สมุฏฐาน สรั่ง สลา สวรรคต สัตบุรุษ สัปปุรุษ สารท สุ จริ ต เสวก หิ ตประโยชน์ อนุสติ อรรถคดี อรรถรส อสนีบาต อหิ วาตกโรค โอสถกรรม

อ่ านว่ า ลน -ละ -นา ไว -ยะ - วุด - ทิ / ไว -ยะ -วุด วิด-ถาน วิ -นาด -สะ –กำา วุด -ทิ สะ - ตะ -วัด เส –นี สะ -เหวด สม -มุด - ติ -ถาน สะ -มะ -สัก สะ -หมุด -ถาน สะ -หรั่ง สะ –หลา สะ -หวัน -คด สัด -บุ -หรุ ด สับ - ปุ -หรุ ด สาด สุ ด -จะ -หริ ด เส -วก หิ -ตะ -ประ –โหยด อะ -นุด -สะ –ติ อัด -ถะ -คะ -ดี อัด -ถะ -รด อะ -สะ -นี -บาด อะ -หิ -วา -ตะ -กะ – โรก โอ -สด -ถะ –กำา

28


คำาทีม่ กั อ่ านผิด คำา อัครชายา อัปราชัย อิสตรี อุณหภูมิ อุตริ

อ่ านว่ า อัก - คระ -ชา - ยา อับ -ปะ -รา –ไช อิด -สัด -ตรี อุน -หะ –พูม อุด -ตะ -หริ

การเขียนคำาทีอ่ อกเสี ยง อะ 1) คำาทีป่ ระวิสรรชนีย์ - เกิดจากการกร่ อนเสี ยง เช่น ฉันนั้น - ฉะนั้น หมากพร้าว - มะพร้าว - คำาที่ออกเสี ยง อะ เพื่อสะดวกในกสรออกเสี ยงให้ประวิสรรชนีย ์ เช่น สาระแน สาละวน - คำาที่มาจากภาษาบาลี - สันสกฤต ที่ภาษาบาลีใช้ ป ภาษาสันสกฤตใช้ ปร เมื่อใช้คาำ ไทย มักประวิสรรชนีย ์ - คำาที่มาจากภาษาบาลี - สันสกฤต ถ้าพยางค์ทา้ ยออกเสี ยง อะ เมื่อใช้คาำ ไทยให้ประวิสรรชนีย ์ เช่น คณะ จีระ เถระ ทักษะ พละ ธุระ รัตนะ ศิลปะ 2) คำาทีไ่ ม่ ประวิสรรชนีย์ - คำาที่เกิดจากการสมาสคำา แม้ออกเสี ยงอะจะไม่ประวิสรรชนีย ์ เช่น กิจกรรม จักรยาน ธุรกิจ - คำาที่มาจากภาษาเขมร หากพยัญชนะต้นออกเสี ยง อะ แต่ไม่เต็มเสี ยง ไม่ประวิสรรชนีย ์ เช่น ขจร ขจัด ฉกาจ ถนน ผกา - คำาไทยพยางค์เดียวใช้พยัญชนะตัวเดียว แม้ออกเสี ยง อะ ก็ไม่ประวิสรรชนีย ์ เช่น ธ ณ

วลีและประโยค วลี คือ กลุ่มคำาที่กล่าวออกมาได้ใจความ แต่ไม่ครบทั้งสองภาค คือ ถ้ามีภาคประธานก็ขาดภาคแสดง ถ้ามีภาค แสดงก็จะขาดภาคประธาน วลี มี 7 ชนิด เหมือนชนิดของคำา สังเกตว่าเป็ นวลีชนิดใด ได้จากคำาขึ้นต้นของกลุ่มคำา นั้นๆ 1. นามวลี ขึ้นต้นด้วยคำานาม เช่น โรงเรี ยนของเรา 2. สรรพนามวลี ขึ้นต้นด้วยสรรพนาม เช่น เขาทั้งหลาย 3. กริยาวลี ขึ้นต้นด้วยคำากริ ยา เช่น ดีดสี ตีเป่ า 4. วิเศษณ์ วลี ขึ้นต้นด้วยคำาวิเศษณ์ เช่น งามเหลือหลาย 5. บุพบทวลี ขึ้นต้นด้วยคำาบุพบท เช่น สู่จุดหมายปลายทาง 29


6. สั นธานวลี ขึ้นต้นด้วยคำาสันธาน เช่น แต่อย่างไรก็ดี 7. อุทานวลี สังเกตได้จากจะมีคาำ อุทานต่างๆอยู่ เช่น โอ้ตวั เราเอ๋ ย ประโยค คือ ถ้อยคำาที่เรี ยงกันเป็ นระเบียบสมบูรณ์ ประกอบด้วยภาคประธานและภาคแสดง แต่ละภาคจะมี ส่ วนขยายหรื อไม่กไ็ ด้ ประโยคแบ่งเป็ นรู ปประโยคและชนิดประโยค รู ปประโยค มี 5 รู ป คือ 1. ประโยคกรรตุ (อ่านว่า กัด - ตุ ) 2. ประโยคกรรม 3. ประโยคกริ ยา 4. ประโยคการิ ต 5. ประโยคกริ ยาสภาวมาลา

ประโยคความเดียว ประโยคความรวม ประโยคความซ้ อน

ประโยคความเดียว คือ ประโยคที่มีกริ ยาสำาคัญเพียงตัวเดียว ใจความสำาคัญเพียงหนึ่ง เช่น ฉันรักแม่ ประโยคความรวม คือ การนำาประโยคตั้งแต่ 2 ประโยคขึ้นไปมารวมกันโดยมีคาำ สันธานเชื่อมแบ่งออกเป็ น 4 ชนิด คือ 1. ความคล้ อยตามกัน เช่น พ่อและแม่ไปดูหนัง เกิดจาก พ่อไปดูหนัง แม่ไปดูหนัง โดยมีคาำ สันธาน และ เป็ นตัวเชื่อม 2. ความขัดแย้ งกัน เช่น ฉันจะดูหนังแต่เธอจะฟังเพลง เกิดจาก ฉันจะดูหนัง เธอจะฟังเพลง โดยมี สันธาน แต่ เป็ นตัวเชื่อม 3. ความเลือกเอาอย่ างใดอย่ างหนึ่ง เช่น เธอจะฟังเพลงหรื อจะอ่านหนังสื อ เกิดจาก เธอจะฟังเพลง เธอ จะอ่านหนังสื อ โดยมีสนั ธาน หรื อ เป็ นตัวเชื่อม 4. ความเป็ นเหตุเป็ นผลกัน เช่น เพราะเขาตั้งใจเรี ยนจึงสอบผ่าน เกิดจาก เขาตั้งใจเรี ยน เขาสอบผ่าน โดยใช้คาำ สันธาน เพราะ..จึง เป็ นตัวเชื่อม ประโยคความซ้ อน คือ มุขยประโยค (เอกรรถประโยค + อนุประโยค) เช่น ตำารวจจับคนไม่ขา้ มทางม้าลาย

30


เครื่องหมายวรรคตอน

เครื่ องหมายวรรคตอนเป็ นสัญลักษณ์ที่จะช่วยให้สื่อความหมายได้ชดั เจนยิง่ ขึ้น เครื่ องหมายที่สาำ คัญๆ คือ 1) มหัพภาค . เป็ นเครื่ องหมายรู ปจุด มีวิธีใช้ดงั นี้ - ใช้เขียนหลังตัวอักษรเพื่อแสดงว่าเป็ นคำาย่อ เช่น พุทธศักราช = พ.ศ. - ใช้เขียนตำาแหน่งแสดงจุดทศนิยม เช่น ๐๙.๓๐ น. - ใช้เขียนหลังตัวเลจกำากับข้อย่อย เช่น 1. 2. 3. 2) จุลภาค , มีวิธีใช้ ดังนี้ - ใช้เขียนคัน่ คำาเพื่อแยกข้อความออกจากกัน เช่น ผลไม้หลากชนิด เช่น มะม่วง มังคุด ละมุด ลำาไย - ใช้คนั่ ตัวเลข เช่น ๑,๒๐๐ บาท 3) ปรัศนี ? คือ เครื่ องหมายคำาถาม ใช้เขียนหลังประโยคคำาถาม เช่น เธอจะไปไหน ? 4) นขลิขิต ( ) คือ เครื่ องหมายวงเล็บ ใช้เขียนคร่ อมข้อความเพื่ออธิบายคำาที่อยูข่ า้ งหน้า เช่น พระเนตร (ตา ) 5) อัศเจรีย์ ! คือ เครื่ องหมายตกใจ มีวิธิใช้ดงั นี้ - ใช้หลังคำาอุทาน เช่น โอ๊ย ! - ใช้เขียนหลังคำาเลียนเสี ยงธรรมชาติ เช่น ปัง! 6) อัญประกาศ " " เครื่ องหมายคำาพูด วิธีการใช้ คือ - ใช้คร่ อมข้อความที่ตอ้ งการเน้น เช่น แม่บอกว่า " ลูกต้องเป็ นเด็กดี " - เพื่อเน้นข้อความให้เด่นชัดขึ้น 7) บุพสั ญญา " เป็ นเครื่ องหมาย ละ มีวิธีการใช้ดงั นี้ ำ ก เช่น - ใช้แทนคำาหรื อข้อความบรรทัดบน เพื่อไม่ตอ้ งเขียนซ้าอี มะม่วง กิโลกรัมละ 20 บาท มังคุด " 25 บาท ทุเรี ยน " 60 บาท 8) สั ญประกาศ ___ เครื่ องหมายขีดเส้นใต้ ใช้ขีดใต้ขอ้ ความ เพื่อให้สงั เกตได้ชดั เจน เช่น ฉันไม่ตอ้ งการอะไรมากไปกว่า ปัจจัยสี่ 9) ไปยาลใหญ่ ฯลฯ เป็ นเครื่ องหมาย ละ ข้อความ ใช้เขียนหลังข้อความที่ยงั ไม่จบ แสดงว่า ยังมีขอ้ ความ ประเภทเดียวกันอีกมาก เช่น บ้านฉันปลูกดอกไม้หลายชนิด เช่น มะลิ กุหลาบ ชบาฯลฯ 10) ไปยาลน้ อย ฯ เป็ นเครื่ องหมายละข้อความนั้นๆให้ส้ นั ลง เช่น กรุ งเทพฯ 11) ยัตภิ ังค์ - เป็ นเครื่ องหมายแยกพยางค์ เช่น สวรรคต อ่านว่า สะ - หวัน - คด 12) ไม้ ยมก ๆ ใช้เขียนหลังคำาเพื่อออกเสี ยงอ่านซ้าำ เช่น ขาวๆ ดำาๆ 31


13) เครื่องหมายตก + เป็ นเครื่ องหมายตีนกาเล็กๆ เขียนระหว่างคำาที่เขียนตกลงไป ำ ปลาหลายชนิด เช่น ปลาหมอ ปลาช่อน 14) เว้ นวรรค เป็ นเครื่ องหมายช่องว่างเมื่อจบประโยค เช่น ในน้ามี 15) ย่ อหน้ า เรี ยกว่า มหรรถสัญญา ใช้เขียนเมื่อเริ่ มต้นย่อหน้าใหม่ โดยย่อจากริ มกระดาษ 7 - 1 ตัวอักษร

การสื่ อสาร (Communication)

การสื่ อสาร หมายถึง การติดต่อระหว่างมนุษย์ดว้ ยวิธีต่าง ๆ ซึ่งทำาให้ฝ่ายหนึ่งรับรู้ความหมายจากอีกฝ่ ายหนึ่ง และเกิดการตอบสนอง ปัจจุบนั การสื่ อสารมีมากมายหลายวิธี อาจเป็ น วิทยุ โทรทัศน์ หนังสื อพิมพ์ โทรศัพท์ มือถือ ดาวเทียม ระบบโทรคมนาคม หรื อการสื่ อสารระบบเครื อข่ายที่อาศัย ดาวเทียมและสายเคเบิลใยแก้ว เรี ยกอีกอย่างหนึ่งว่า อินเทอร์เน็ต หรื อ อินเตอร์เน็ต ก็ได้ การฟัง การฟัง คือ การรับรู้ความหมายจากเสี ยงที่ได้ยนิ เป็ นการรับรู้สารทางหูในชีวิตประจำาวันของเรา เราใช้เวลาในการฟัง ทั้งที่ฟังจากบุคคลโดยตรง และฟังจากจากสื่ ออิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เพราะข่าวสาร ความรู้ และศิลปะวิทยาการต่องๆ ที่มนุษย์ถ่ายทอดกันตั้งแต่สมัยโบราณจนถึง ปัจจุบนั ยังใช้วิธีการพูดอธิบายให้ฟังแม้ จะมีหนังสื อบันทึกไว้เป็ นลายลักษณ์อกั ษรแล้วก็ตาม หลักการฟังทีด่ ี 1) ฟังให้ ตรงตามความมุ่งหมาย โดยทัว่ ไปแล้วการฟังมีความมุ่งหมายหลัก 3 ประการ คือ 1. ฟังเพื่อความเพลิดเพลิน ได้แก่ การฟังเรื่ องราวที่สนุกสนาน 2. ฟังเพื่อความรู้ ได้แก่การฟังเรื่ องราวทางวิชาการข่าวสาร ข้อเสนอแนะต่างๆ 3. ฟังเพื่อให้ได้คติชีวิตหรื อความจรรโลงใจ ได้แก่ การฟังที่ก่อให้เกิดสติปัญญา ความสุขมุ และ วิจารณญาณเพื่อเชิดชูจิตใจให้สูงขึ้นประณี ตขึ้น 2) ฟังโดยมีความพร้ อม ความพร้อมในที่น้ ี หมายถึง ความพร้อมทั้งร่ างกายและจิตใจและความพร้อมทางสติปัญญา ความพร้อมทาง ร่ างกาย หมายถึง การมีสุขภาพทางร่ างกายเป็ นปกติ ไม่เหนื่อย ไม่อิดโรยความพร้อมทางจิตใจ หมายถึง การมี พื้นฐานความรู้ความเข้าใจอย่างเพียงพอ 3) ฟังโดยมีสมาธิ หมายถึง ฟังด้วยความตั้งใจมัน่ จดจ่ออยูก่ บั เรื่ องที่ฟัง ไม่ปล่อยจิตใจให้เลื่อนลอยไปที่อื่น 4) ฟังด้ วยความกระตือรือร้ น ผูท้ ี่ฟังด้วยความกระตือรื อร้น มักจะเป็ นผูฟ้ ังที่มองเห็นประโยชน์ หรื อเห็นคุณค่า ในเรื่ องที่จะฟัง 5) ฟังโดยไม่ อคติ ผูฟ้ ังโดยไม่อคติตอ้ งพิจารณาให้ละเอียดถี่ถว้ น ไม่เป็ นโทษแก่ผอู ้ ื่น

32


การพูด การพูด มีความสำาคัญต่อชีวิตมนุษย์เป็ นอันมาก เพราะเราต้องสื่ อสารด้วยการพูดอยูเ่ สมอ ไม่วา่ จะอยู่ ณ ที่ใด ประกอบกิจการงานใด หรื อ คบหาสมาคมกับผูใ้ ด จึงมักพบว่าผูท้ ี่ประสบความ สำาเร็ จในธุรกิจการงาน การคบหาสมาคมกับผูอ้ ื่น ตลอดจนการทำาประโยชน์ แก่สงั คมส่ วนรวม ล้วนแต่เป็ นคนที่มีประสิ ทธิภาพใน การพูดทั้งสิ้ น การพูดส่ วนหนึ่งสามารถสอนและฝึ กได้เพราะเป็ น " ศาสตร์ " มีหลักการและกฎเกณฑ์สาำ หรับ ฝึ กทักษะ จนถึงขั้นเป็ นที่พอใจ แต่อีกส่ วนหนึ่งเป็ นความสามารถพิเศษ หรื อ ศิลปะเฉพาะตัวของผูพ้ ดู แต่ละ บุคคล บางคนมีความสามารถที่จะตรึ งผูฟ้ ังให้นิ่งและมีจิตใจจดจ่ออยูก่ บั การฟังเรื่ องที่พดู ผูพ้ ดู บางคนสามารถ พูดให้คนฟังหัวเราะได้ตลอดเวลาเป็ นต้น ศิลปะเฉพาะตัวนี้ เป็ นสิ่ งที่ลอกเลียนกันได้ยาก แต่อาจพัฒนาขึ้นได้ใน แต่ละบุคคล ซึ่งการพูดที่มีประสิ ทธิภาพเกิดจากการสังเกตวิธีการที่ดี และ การมีโอกาสฝึ กฝน ประเภทของการพูด แบ่งได้ 2 ประเภท คือ 1. การพูดระหว่ างบุคคล ได้แก่ การทักทายปราศัย ลักษณะการทักทายปราศัยที่ดี คือ หน้าตายิม้ แย้มแจ่มใส แสดงอาการยินดีที่ได้พบผูท้ ี่เราทักทาย กล่าวคำาปฏิสนั ถารที่เป็ นที่ยอมรับกันในสังคม เช่น สวัสดีครับ สวัสดีค่ะ แสดงกิริยาอาการประกอบคำาปฏิสนั ถาร ข้อความที่ใช้ประกอบ การทักทาย ควรเป็ นเรื่ องที่ก่อให้เกิดความ สบายใจ - การแนะนำาตนเอง การแนะนำาตนเองเป็ นสิ่ งจำาเป็ นในการดำาเนินชีวิตประจำาวัน บุคคลอาจแนะนำาตนเอง ในหลายโอกาสด้วยกัน การแนะนำาตนเองมีหลักปฏิบตั ิดงั นี้ คือต้องบอก ชื่อ นามสกุล บอกรายละเอียดเกี่ยวกับ ตนเอง และ บอกวัตถุประสงค์ในการแนะนำาตัว - การสนทนา หมายถึง การพูดคุยกัน พูดจาเพื่อสื่ อสารแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิด ความรู้สึกและ ประสบการณ์ การสื่ อสารที่ง่ายที่สุด คือ การสนทนา คุณสมบัติของการสนทนาที่ดี คือ หน้าตายิม้ แย้มแจ่มใส ำ ยงน่าฟัง เป็ นกันเองกับคู่สนทนา ใช้ถอ้ ยคำาสำานวนภาษาที่ง่าย ๆ สุ ภาพ คำาพูดและน้าเสี 2. การพูดในกลุ่ม เป็ นกิจกรรมทีส่ ำ าคัญในยุคปัจจุบันทั้งในชีวติ ประจำาวัน และในการศึกษาเล่าเรี ยน เป็ นการ เปิ ดโอกาสให้สมาชิกในกลุ่ม ได้ซกั ถาม แสดงความคิดเห็น หรื อเล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วให้ฟัง มีวิธี การหลัก ๆ คือ - เล่าถึงเนื้ อหาและประเด็นประเด็นสำาคัญ ๆ ว่ามีอะไรบ้าง - ใช้ภาษาง่าย ๆ ำ ยงชัดเจนน่าฟัง มีการเน้นเสี ยงในตอนที่สาำ คัญ - น้าเสี - ใช้กิริยาท่าทางประกอบการเล่าเรื่ อง ตามความเหมาะสม - ผูเ้ ล่าควรจดจำาเรื่ องได้ เป็ นอย่างดี - มีการสรุ ปข้อคิดในตอนท้าย

33


การอ่ าน การอ่านโดยทัว่ ไป มีวตั ถุประสงค์ 3 ประการใหญ่ คือ 1. การอ่ านเพือ่ เก็บความรู้ และ การอ่ านเอาเรื่อง 2. การอ่ านเพือ่ วิเคราะห์ คือ การอ่านโดยพิจารณาส่ วนต่างๆ ของบทเพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างละเอียด ำ ถี่ถว้ น ต้องอ่านซ้าหลายๆ ครั้ง มักใช้ในการอ่านหนังสื อเชิงวิชาการ 3. การอ่ านเพือ่ ตีความ เมื่ออ่านรู้เรื่ องแล้วต้องตีความ การตีความนั้น มักเป็ นไปตาประสบการณ์ และ ความรู้สึกของแต่ละการประเมินค่าสิ่ งที่ได้อ่าน การประเมินค่ า คือ การชี้แจงบอกกล่าวว่าสิ่ งไหนมีความดีดา้ นใด บกพร่ องด้านใด ในการประเมินค่าต้อง พิจารณารู ปแบบสิ่ งของนั้นเสี ยก่อนแล้วพิจารณาว่าจุดประสงค์ในการสร้าง สรรค์สิ่งนั้นคืออะไร เมื่อจะประ เมิณค่าสิ่ งที่ได้อ่านต้องพิจารณารู ปแบบ และจุดประสงค์ในการผลิต การประเมินค่าไม่ตอ้ งคำานึงความถูกต้อง ตรงตามความคิดเห็นของใคร และควรต้องพิจารณาส่ วนต่างๆ ของหนังสื ออย่างละเอียด ถี่ถว้ น การเขียน การเขียน คือ การแสดงความรู้ ความคิด ความรู้สึกและความต้องการของผูส้ ่ งสารเป็ นลายลักษณ์อกั ษร เพื่อให้ผรู ้ ับสารสามารถอ่านเข้าใจ ได้รับทราบความรู้ ความคิด ความรู้สึกและความต้องการ เหล่านั้น การถ่ายทอดโดยวิธีบอกเล่าปากต่อปากที่เรี ยกว่า " มุขปาฐะ" อาจทำาให้สารตกหล่น หรื อคลาดเคลื่อนได้ง่าย ลายลักษณ์อกั ษร หรื อที่ตวั หนังสื อที่แท้จริ ง คือเครื่ องหมายที่ใช้แทนคำา พูดนัน่ เอง การเขียนภาษาไทยมี แบบแผนที่ตอ้ งการ การรักษาไว้ มีถอ้ ยคำาสำานวนที่ตอ้ งใช้เฉพาะ และต้องเขียนให้แจ่มแจ้งเพราะเมื่ออ่านไม่ เข้าใจ ผูอ้ ่านไม่สามารถไต่ถามผูเ้ ขียนได้ ผูท้ ี่จะเขียนได้ดี ต้องรู้จกั การใช้ถอ้ ยคำาให้เหมาะสมกับผูร้ ับสาร โดย พิจารณาว่า ผูร้ ับสารสามารถรับสารที่ส่งมา ได้มากน้อยเพียงใด หลักการเขียน การเขียนที่ดี คือ ต้องเขียนสื่ อสารได้ตรงตามหลักจุดประสงค์ สามารถถ่ายทอดความรู้ ความ คิดและอารมณ์ใส่ ลงไปในงานเขียนได้อย่างครบถ้วน หลักการเขียนทัว่ ไปมีดงั นี้ 1. เขียนรูปคำาให้ ถูกต้ อง ไม่ให้มีคาำ ที่เขียนผิด เพื่อให้ผอู ้ ่านเข้าใจความหมายได้ตรงตามที่ผเู ้ ขียน ต้องการ 2. ใช้ คาำ ให้ ตรงความหมาย คำาในภาษาไทยบางคำามีหลายความหมาย ทั้งความหมายตรงและความหมาย แอบแฝง ผูเ้ ขียนจะต้องศึกษาเรื่ องการใช้คาำ ให้ดีก่อนจะลงมือเขียน 3. การใช้ คาำ ตามระดับบุคคล คำาในภาษาไทยมีหลายระดับการใช้ จึงควรใช้คาำ ให้ถูกต้อง ตามระดับของ ำ า บุคคลที่เสมอกัน และบุคคลที่อาวุโสกว่า บุคคล ได้แก่ บุคคลที่ต่ากว่ 34


4. เรียบเรียงคำาเข้ าประโยคถูกต้ อง สละสลวย โดยผูเ้ ขียนต้องมีความรู้ความเข้าใจในโครงสร้างประโยค ซึ่งมีหลักเกณฑ์ ดังนี้ - เขียนให้ถูกต้องตามรู ปประโยค - ไม่ใช้รูปประโยคภาษาต่างประเทศ - ไม่ใช้คาำ ฟุ่ มเฟื อย 5. ศึกษาการเขียนประเภทต่ างๆ แล้วเขียนให้ถูกต้องตามรู ปแบบ รวมทั้งจะต้องศึกษาข้อมูลการเขียนให้ ถูกต้อง ชัดเจน 6. การตรวจทาน เมื่อเขียนเสร็ จแล้ว ผูเ้ ขียนควรอ่านทบทวน ตรวจสอบความสละสลวยของคำา เพื่อ ปรับปรุ งแก้ไขให้เกิดงานเขียนที่ดี (ภาษาสยาม , 2008) รู ปแบบการเขียน งานเขียน แบ่งออกเป็ น 2 จำาพวก ได้แก่ งานเขียนร้อยกรอง และงานเขียนร้อยแก้ว งานเขียนที่ตอ้ งใช้ มากในชีวิตและสังคม เช่น การเขียนจดหมาย การเขียนรายงาน การเขียนย่อความ และ การเขียนบันทึก เป็ นต้น การเขียนจดหมาย หรือ การสื่ อสารผ่ านจดหมาย เป็ นวิธีการที่นิยมใช้เพื่อสื่ อสารแทนการพูด เมื่อผูร้ ับสาร และ ผูส้ ่ งสาร อยูห่ ่างไกลกัน หรื อ มีความจำาเป็ นบางประการ ที่ทาำ ให้ไม่สามารถพูดจากันได้ นอกจากนี้ จดหมายยังใช้เป็ นสื่ อสัมพันธ์ ระหว่างบุคคลที่ไม่รู้จกั กันและยังสามารถใช้เป็ นเอกสารสำาคัญ สำาหรับอ้างเป็ นหลักฐานได้อีกด้วย จดหมายที่เขียนส่ งไปมาระหว่างกันนี้ มีหลายประเภท ได้แก่ 1. จดหมายส่ วนตัว เป็ นการเขียนจดหมายให้แก่ญาติมิตรหรื อครู อาจารย์เพื่อไต่ถามทุกข์ สุ ข ของกันและกันหรื อเล่าเรื่ องราวเหตุการณ์ที่น่ารู้น่าสนใจให้ฟัง ตลอดจนขอความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ควร ำ งญาติมิตร เขียนตัวอักษรให้เรี ยบร้อย อ่านง่าย และสิ่ งที่ไม่ควรลืม คือการแสดงน้าใจถึ 2. จดหมายธุรกิจ เป็ นการเขียนจดหมายเพื่อให้บรรลุวตั ถุประสงค์ที่เป็ นการงาน เป็ นจดหมายที่ เขียนติดต่อกันในเรื่ องเกี่ยวกับพาณิ ชยกิจและการเงินบุคคล เขียนติดต่อกับบุคคลอื่น หรื อบริ ษทั ห้างร้าน องค์กรเพื่อแจ้งกิจธุระ เช่น นัดหมาย ขอความช่วยเหลือ ขอสมัครงาน ขอคำาแนะนำา เพื่อประโยชน์ต่าง ๆ ใน ด้านการงาน ผูเ้ ขียนจะต้องเขียนให้ชดั เจนและละเอียด 3. จดหมายราชการ ทางราชการเรี ยกว่า หนังสื อราชการ เป็ นจดหมายที่ติดต่อกัน เป็ นทางการ จากส่ วนราชการหนึ่ง ถึงอีกส่ วนราชการหนึ่ง ข้อความในหนังสื อ ถือว่าเป็ นหลัก ฐานทางราชการ และ มีสภาพผูกมัดถาวรในราชการ

35


การเขียนรายงาน การเขียนรายงาน คือ การแถลงพฤติกรรมที่ได้เกิดขึ้น แก่ผใู ้ ดผูห้ นึ่ง หรื อ บุคคลคณะใดคณะหนึ่ง รายงานเขียนได้หลายแบบ เช่น เขียนเป็ นรายงานโดยตรง แบ่งออกเป็ นตอนเล็กตอนใหญ่ เพื่อให้ผรู ้ ับสารรับได้ สะดวกหรื ออาจเขียนเป็ นรู ปบันทึกหรื อจดหมายก็ได้แล้วแต่ความประสงค์ที่จะใช้ นิยมเขียนรายงานด้วย สำานวนที่มีความหมายตรง ๆ หรื อ อาจเขียนเป็ นสำานวนการประพันธ์ การเขียนบันทึกที่มีประสิ ทธิภาพย่อมขึ้น อยูก่ บั ผูเ้ ขียนในฐานะที่เป็ นผูส้ ่ งสารสำาคัญ ผูเ้ ขียนจำาเป็ นต้องมีความสามารถหลายอย่าง ประกอบกัน ดังนี้ 1. มีความรู้ดีพอในเรื่ องที่ตนเขียนและมีวตั ถุประสงค์แจ่มแจ้ง ว่าตนส่ งสารเพื่อเหตุใดและใคร ให้ผรู ้ ับสาร รับได้วา่ สารของตนคืออะไร 2. เลือกรู ปแบบที่เหมาะกับเนื้ อหาเช่นการเขียนอวยพรปี ใหม่อาจเขียน เป็ นโคลงฉันท์กาพย์ กลอน 3. ใช้ถอ้ ยคำาสำานวนที่เหมาะสมกับเนื้ อหา 4. ใช้ถอ้ ยคำาสำานวนที่มีความหมายชัดเจน 5. ใช้ถอ้ ยคำาสำานวนที่ยอมรับกันว่าสุ ภาพ การฝึ กทักษะการเขียน ประกอบด้วย 1. กระบวนการเขียนภาษาไทยที่ดี 2. กระบวนการคิดเพื่อสื่ อสารให้เกิดประสิ ทธิผล การเขียนบันทึก การเขียนบันทึก เป็ นรู ปแบบงานเขียนสำาหรับสื่ อสาร ภายในวงงานหนึ่ง ๆ ใช้เขียนเรื่ องราว ที่เป็ น ธุรกิจภายในวงการ บันทึกเป็ นเอกสารที่เปิ ดเผย ส่ งจากผูเ้ ริ่ มส่ งสารผ่านสายงานไปตาม ลำาดับ จนถึงผูท้ ี่อยูใ่ น ฐานะจะรับสาร และลงมือกระทำาสิ่ งที่เป็ นจุดหมายของผูส้ ่ งสาร การย่ อความ คือการเก็บเนื้ อความที่สาำ คัญของเรื่ องมาเรี ยบเรี ยงใหม่ โดยตัดพลความที่ไม่สาำ คัญออกไป หลักเกณฑ์ การย่ อความ - อ่านข้อความที่จะย่อให้ละเอียด - แยกข้อความเป็ นตอนๆพยายามอ่านให้เข้าใจ แล้วจับใจความสำาคัญแต่ละตอน - นำาใจความสำาคัญแต่ละตอนมาเรี ยบเรี ยงใหม่ให้เป็ นสำานวนของผูย้ อ่ เอง - เปลี่ยนสรรพนามบุรุษที่ ๑ และ ๒ ให้เป็ น ๓ ถ้าเป็ นคำาราชาศัพท์ให้คงราชาศัพท์น้ ันไว้ - ถ้าเป็ นร้อยกรองให้ถอดความเป็ นร้อยแก้ว ใจความที่ยอ่ แล้วควรเขียนติดต่อกันไป ไม่ตอ้ งย่อหน้าตาม เดิม และลำาดับเรื่ องสามารถเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม

36


แบบขึน้ ต้ นย่ อความ ๑. ย่ อความเรียงร้ อยแก้ วธรรมดา ย่อเรื่ อง.................................................ของ........................................ จากหนังสื อ.............................................หน้า....................ความว่า........................ ๒. ย่อจดหมาย จดหมายของ............................................ถึง............................................ ลงวันที่................เดือน...............................พ.ศ...............ความว่า........................... ๓. ย่ อคำาประกาศ แถลงการณื คำาสั่ ง ระเบียบ คำาประกาศของ...........................................เรื่ อง.......................................... ลงวันที่...............................................................ความว่า........................................ ๔. ย่อคำาปราศรัย สุ นทรพจน์ พระราชดำารัส ย่อคำาปราศรัยของ.....................................แก่.............................................. เนื่องใน..................................................ทาง ( สถานที่ สื่ อ ).................................... ณ วันที่............................................... ความว่า....................................................... ๕. ย่ อปาฐกถา คำาบรรยาย คำาสอน คำาบรรยายของ........................................เรื่ อง.......................................... แก่.....................................ที่.......................ณ วันที่......................................... เวลา..................................ความว่า..................................................................... ๖. ย่อคำาประพันธ์ คำาประพันธ์ประเภท....................................เรื่ อง......................................... ของ..........................................ตอน..............................ความว่า.........................

การเขียนเรียงความ 37


เรียงความ คือการใช้ศิลปะทางการเขียนร้อยแก้วแสดงความรู้สึกนึกคิด จินตนาการ และความเข้าใจของ ผูเ้ ขียนอย่างสละสลวย เรี ยงความจะต้องประกอบด้วยส่ วนที่เป็ นคำานำา เนื้อเรื่ องและสรุ ปเรี ยงความที่ดีควรมี ลักษณะดังต่อไปนี้ - มีเอกภาพ คือ ความเป็ นอันหนึ่งอันเดียวกัน หมายความว่าไม่ให้เขียนนอกเรื่ อง - มีสัมพันธภาพ คือ ความสัมพันธ์กนั หมายถึง ข้อความแต่ละข้อความหรื อแต่ละย่อหน้าจะต้อง มีสมั พันธ์เกี่ยวเนื่องกัน - มีสารัตถภาพ คือ การเน้นสาระสำาคัญของย่อหน้าแต่ละย่อหน้า และของเรื่ องทั้งหมด โดยใช้ ประโยคสั้น ๆ สรุ ปกินความทั้งหมด ก่อนเขียนเรี ยงความนั้นจะต้องตีโจทย์ให้แตกว่า ชื่อเรื่ องที่เขาให้มานั้น หมายถึงอะไร เกี่ยวโยงกับอะไร ข้อมูลที่จะเขียนลงไปนั้นต้องถูกต้องชัดเจน ดังนั้นผูเ้ ขียนจะต้องรู้ชดั รู้จริ ง ำ าอย่าลึก ใช้คาำ โอบความหมายกว้างๆ เช่น เรี ยงความเรื่ องแม่ของฉัน การเขียนคำานำา เป็ นการเกริ่ นเรื่ อง ขอย้าว่ ควรกล่าวถึงแม่โดยทัว่ ไปก่อน เขียนให้กินใจ น่าอ่าน น่าติดตาม แต่ยงั ไม่ควรเล่าว่า " แม่ของฉัน "เป็ นอย่างไร เนือ้ เรื่อง เนื้อเรื่ องเป็ นส่ วนที่มีใจความสำาคัญ ประเด็นสำาคัญตามห้วข้อ ดังนั้นจะต้องเขียนให้ละเอียด ครอบคลุม ชัดเจน เช่น เรื่ องแม่ของฉัน ในย่อหน้าเนื้ อเรื่ องให้พรรณนาถึงพระคุณแม่ (เขียนในด้านบวก) การเขียนสรุป ให้กลับไปอ่านคำานำาและเนื้ อเรื่ องและสรุ ปจบให้ไปในทิศทางเดียวกัน ขอแนะนำาว่า ควรให้ขอ้ แนะนำา หรื อแนวคิดดีๆ แล้วลงท้ายด้วยประโยคที่น่าสนใจ การเขียนเรียงความนั้นอาจจะขึ้นต้นย่อหน้าคำานำา หรื อปิ ดท้ายในหัวข้อสรุ ป ด้วย กลอน คติพจน์ วาทะ หรื อ คำาขวัญเพื่อเพิ่มความน่าสนใจให้น่าติดตาม (ถ้ายืมคำาใครเขามาอย่าลืมอ้างอิง) ภายในเรี ยงความควรประกอบ ด้วยโวหารหลายๆชนิด เพื่อให้ได้อรรถรสในการอ่าน ขั้นตอนในการเตรี ยมตัวเขียน นอกจากจะต้องเตรี ยม ข้อมูลจัดทำาโครงเรื่ องแล้ว ควรเลือกใช้สาำ นวนโวหารให้เหมาะกับเนื้ อความที่จะเขียน การเขียนเรี ยงความที่ดี นั้นควรตีกรอบความคิดของผูเ้ ขียนเอาไว้อย่างชัดเจน เพราะจะทำาให้งานเขียนไม่วกวน จนผูอ้ ่านเกิดความ สับสนทางความคิด และที่สาำ คัญเรี ยงความจะต้องใช้ภาษาอย่างเป็ นทางการ อย่าใช้ภาษาพูดเป็ นอันขาดเพราะ จะทำาให้งานเขียนขาดความน่าเชื่อถือ สำ านวนโวหารในภาษาไทย แบ่งออกเป็ น 5 ประเภท คือ 1) บรรยายโวหาร 2) พรรณนาโวหาร 3) เทศนาโวหาร 4) สาธก โวหาร และ 5) อุปมาโวหาร 1. บรรยายโวหาร คือ โวหารที่ใช้เล่าเรื่ องหรื ออธิบายเรื่ องราวต่างๆ ตามลำาดับเหตุการณ์ การเขียน บรรยายโวหารจะมุ่งความชัดเจน เขียน ตรงไปตรงมา รวบรัด กล่าวถึง แต่สาระสำาคัญไม่จาำ เป็ นต้องมีพลความ หรื อความปลีกย่อยเสริ ม ในการเขียนทัว่ ๆ ไปมักใช้บรรยายโวหาร เพราะเหมาะในการติดต่อสื่ อสาร เนื่องจาก สำานวนประเภทนี้ มุ่งสาระเขียนอย่างสั้น ๆ ได้ความชัดเจน 38


2. พรรณนาโวหาร มีจุดมุ่งหมายในการเขียนต่างจากบรรยายโวหาร คือ มุ่งให้ความแจ่มแจ้งละเอียดลออ เพื่อให้ผอู ้ ่านเกิดอารมณ์ซาบซึ้ งเพลิดเพลินไปกับข้อความนั้นการเขียนพรรณาโวหารจึงยาวกว่าบรรยายโวหาร มาก แต่มิใช่การเขียนอย่างเยิน่ เย้อ เพราะพรรณนา-โวหารต้องมุ่งให้ภาพ และ อารมณ์ ดังนั้น จึงมักใช้การ เล่นคำา เล่นเสี ยง ใช้ภาพพจน์แม้เนื้ อความที่เขียนจะน้อยแต่เต็มไปสำานวนโวหารที่ไพเราะ อ่านได้รสชาติ 3. เทศนาโวหาร หมายถึง โวหารที่มีจุดหมายแสดงความแจ่มแจ้งเพื่อให้ผอู ้ ่านคล้อยตามหรื ออาจกล่าว ได้วา่ มุ่งชักจูงให้ผอู ้ ่านคิดเห็นหรื อคล้อยตามความคิดเห็นของผูเ้ ขียนเทศนาโวหาร จึงยากกว่าโวหารที่กล่าว 4. สาธกโวหาร คือ โวหารที่มุ่งให้ความชัดเจน โดยการยกตัวอย่างเพื่ออธิบายให้แจ่มแจ้ง หรื อสนับสนุน ความคิดเห็นที่เสนอให้หนักแน่น น่าเชื่อถือ สาธกโวหารเป็ นโวหารเสริ ม บรรยายโวหาร พรรณนาโวหาร 5. อุปมาโวหาร หมายถึง โวหารเปรี ยบเทียบ โดยกตัวอย่าง สิ่ งที่คล้ายคลึงกันมาเปรี ยบเพื่อให้เกิดความ ชัดเจนด้านความหมาย ด้านภาพ และเกิดอารมณ์ ความรู้สึกมากยิง่ ขึ้น กล่าวได้วา่ อุปมาโวหาร คือ ภาพพจน์ ประเภทอุปมานัน่ เอง อุปมาโวหารใช้เป็ นโวหารเสริ ม บรรยายโวหาร พรรณนาโวหาร และเทศนาโวหาร เพื่อ ให้ชดั เจนน่าอ่าน โดยอาจเปรี ยบเทียบอย่างสั้น ๆ หรื อเปรี ยบเทียบอย่างละเอียดก็ได้ ทั้งนี้ข้ ึนอยูก่ บั อุปมา โวหารนั้นจะนำาไปเสริ มโวหารประเภทใด การเขียนเรื่องสั้ น 1. ความหมายของเรื่องสั้ น เรื่องสั้ น คือ การเขียนเรื่ องราวแบบร้อยแก้ว ซึ่งเป็ นวรรณกรรมตามแบบตะวันตก มีขนาดความ ยาวของเรื่ องที่ไม่กาำ นดตายตัว แต่ตอ้ งใช้คาำ ไม่มากนัก โครงเรื่ องไม่มีความซับซ้อนจนเกินไป สามารถอ้นจบได้ ในเวลาอันสั้น มีโครงเรื่ องเดียว แนวคิดของเรื่ องมีเพียงแนวคิดเดียว อาจจะเป็ นการถึงพฤติกรรมหรื อการกระ ทำาของตัวละครอนใดตอนหนึ่ง คำาพูดหรื อพฤติกรรมของตัวละครควรเป็ นการคลี่คลายเนื้ อเรื่ อง และจบลง โดยบรรลุผลอย่างใดอย่างหนึ่ง 2. ลักษณะของเรื่องสั้ น เรื่ องสั้นเป็ นงานเขียนประเภทบันเทิงคดีที่เกิดขึ้นในเมืองไทยประมาณรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั (รัชกาลที่ 4) โดยได้แบบอย่างมาจากตะวันตก เรื่ องสั้นต้องมีความยาวพอประมาณ ตาม ขาดมาตรฐานของเรื่ องสั้นรุ่ นเก่าควรมีจาำ นวนคำา 4,000 - 5,000 คำา แต่ถา้ เป็ นเรื่ องสั้นสมัยใหม่ จัดเป็ นเรื่ องสั้น ขนาดยาวกำาหนดให้ความยาวประมาณ 1,000 - 10,000 คำาโดยประมาณ

โครงเรื่อง (Plot) เรื่ องสั้นควรมีโครงเรื่ องเดียว ไม่ซบั ซ้อนเป็ นข้อขัดแย้งกันระว่างตัวละครและต้องจบลงด้วย ผลอย่างใดให้ความรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่งเมื่ออ่านจบ อย่างหนึ่งแก่นของเรื่ องหรื อแนวคิด เรื่ องสั้นควรมุ่งสอน แนวคิดหรื อแก่นของเรื่ องเพียงอย่างเดียว แสดงทรรศนะแง่มุมใดแง่มุมหนึ่ง เรื่ องสั้นควรมีตวั ละครน้อย 39


และมุ่งกล่าวถึงตัวละครที่เป็ นตัวดำาเนินเรื่ องจริ งๆ เรื่ องสั้นมีฉากที่เกิดจากพฤติกรรมของตัวละคร คือเหมาะกับ ตัวละคร และสภาพแวดล้อม โดยจะต้องคำานึงถึงความสมจริ ง ทำาให้ผอู ้ ่านเข้าใจเรื่ องได้ชดั เจนตอนจบของ เรื่ องสั้นมักให้ความรู้แก่ผอู ้ ่านถึงความสมบูรณ์ของเนื้ อหา มี 2 แบบ คือ จบอย่างธรรมดา และจบแบบหลีก ความคาดหมาย หรื อจบแบบห้กมุม เรื่องสั้ น แบ่ งออกเป็ น 4 ชนิด คือ 1. เรื่องสั้ นประเภทแสดงแนวคิด (Theme Story) คือ ผูเ้ ขียนมีอุดมคติหรื อต้องการชี้ ให้ผอู ้ ่านเห็นความ จริ งอย่างใดอย่างหนึ่งของชีวิต 2. เรื่องสั้ นประเภทผูกเรื่อง (Plot Story) เรื่ องสั้นประเภทนี้มีโครงเรื่ องซับซ้อนน่าฉงน และจบชนิดที่ผู ้ อ่านคาดคิดไม่ถึงหรื อนึกไม่ถึงว่าจะจบแบบนั้น 3. เรื่องสั้ นประเภททีเ่ พ่ งเล็ง จะแสดงลักษณะของตัวละคร (Character Story) เป็ นเรื่ องสั้นประเภทที่ผู ้ เขียนถือตัวละครเป็ นใหญ่ และต้องการจะเสนอลักษณะอย่างหนึ่งชองคนเป็ นสำาคัญ 4. เรื่องสั้ นประเภททีถ่ ือฉากเป็ นสำ าคัญ (Atmosphere Story) เป็ นการเขียนบรรยายสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งมี ลักษณะที่ทาำ ให้เกิดความรู้สึกนึกคิดไปตามพฤติกรรมและตัวละครมีอุดมคติหรื อต้องการชี้ ให้เห็นความคิดแบบ ใดแบบหนึ่งความสมบูรณ์ของเรื่ องสั้น เรื่ องสั้นจะต้องมีความสมบูรณ์ในทุกๆองค์ประกอบ มีความกระชับ และชัดเจน ดำาเนินเรื่ องอย่างรวดเร็ ว ไม่เยิน่ เย้อ ตัวละครแสดงพฤติกรรมชัดเจน บทสนทนาสอดคล้องกับ เนื้อเรื่ อง และสภาพแวดล้อมของตัวละคร โดยคำานึงถึงยุคสมัย พื้นเพระดับการศึกษา สังคมของตัวละคร ฉากของเรื่ องนั้นใช้เฉพาะฉากที่จาำ เป็ นและสอดคล้องกับเนื้ อเรื่ อง มีวิธีการเปิ ด - ปิ ดเรื่ อง การดำาเนินเรื่ องมี ความเกี่ยวเนื่องและสัมพันธ์กนั ใช้สาำ นวนโวหารที่กระชับและรัดกุม การเขียนนวนิยาย ความหมายของนวนิยาย นวนิยาย คือ บทประพันธ์ร้อยแก้วขนาดยาวที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง โดยสมมุติตวั ละคร เหตุการณ์ โครงเรื่ อง และสถานที่เพื่อให้เกิดความสมจริ ง เริ่มต้ นการเขียน ผูเ้ ขียนควรมีความรู้เกี่ยวกับหลักการเขียน เพราะงานเขียนที่ขาดความสละสลวยจะทำาให้ผอู ้ ่าน เกิดความรู้สึก เบื่อหน่าย และอาจตีความไปคนละทางกับเจตนาของผูเ้ ขียนได้ การวางแผน 1. วางโครงเรื่ องคร่ าวๆ ว่าต้องการเขียนเรื่ องแนวไหน มีเนื้อหาอย่างไร อาจมีการเขียนทรี ทเมนท์แต่ละ ตอน เพื่อป้ องกันการเขียนออกทะเล ( สำาหรับมือใหม่หดั เขียน ) 2. วางลักษณะนิสยั ตัวละครแต่ละตัวให้ชดั เจน 3. วางฉากว่าเป็ นที่ไหน สมัยใด โดยเฉพาะนวนิยายย้อนยุค ควรศึกษาให้แน่ชดั ว่าเขียนถึงสมัยไหน คนในยุคนั้นมีความเป็ นอยู่ มีความเชื่อ และวัฒนธรรมประเพณี อย่างไร 4. คิดวิธีการเล่าเรื่ องว่าจะเล่าเรื่ องอย่างไร อาจจะเป็ นเล่าโดยผูเ้ ขียน หรื อตัวละครตัวใดตัวหนึ่งฯลฯ 40


เริ่มต้ นเขียน 1. การเปิ ดเรื่ อง เป็ นบันไดขั้นแรกของการเขียน ดังนั้นจึงควรเปิ ดเรื่ องให้น่าสนใจ อาจจะมีบทนำาเพื่อ อธิบายลักษณะเด่นของตัวละครเอกก่อนก็ได้ 2. การผูกปม นวนิยายที่น่าอ่านนั้นจะต้องไม่เรี ยบเรื่ อยเกินไปนัก ผูเ้ ขียนจึงควรขมวดปมปัญหา สร้าง ความขัดแย้งขึ้น เพื่อความน่าติดตาม 3. การดำาเนินเรื่ อง ผูเ้ ขียนควรมีการวางแผนว่าจะดำาเนินเรื่ องอย่างไร เช่น การเล่าจากอดีต – ปัจจุบนั เล่าย้อนหลังปัจจุบนั – อดีต หรื อเล่าโดยการเขียนจดหมาย เป็ นต้น 4. การคลี่คลายเรื่ อง เมื่อมีการขมวดปมปัญหาเอาไว้ต้ งั แต่ตน้ ก็ควรมีการคลี่คลายปัญหา และแสดง ความสัมพันธ์ของตัวละครแต่ละตัวไปด้วย 5. จุดไคล์แม็กซ์ หรื อ จุดสุ ดยอด คือ จุดที่จะกระตุน้ ความรู้สึกของผูอ้ ่านเพื่อนำาไปสู่การคลี่คลายเรื่ อง ในที่สุด ( มักจะมีข้ ึนตอนใกล้อวสาน ) 6. การปิ ดเรื่ อง คือ การกำาหนดตอนอวสานของเรื่ องว่าจะให้จบลงอย่างไร อาทิ จบแบบ สมหวัง ผิดหวัง หักมุม ฯลฯ คำาเตือน การเขียนเป็ นสื่ อกลางระหว่างผูเ้ ขียนและผูอ้ ่าน ดังนั้นจิตสำานึกในการเขียนจึงเป็ นสิ่ งสำาคัญที่ควรระลึก ถึงอยูเ่ สมอ ดังนั้นจึงไม่ควรเขียนนวนิยายในเชิงชี้ นาำ ให้เกิดความแตกร้าวแก่ผคู ้ นในสังคม สื่ อให้เกิดความ รุ นแรง ผิดศีลธรรมจรรยา หรื อลามกอนาจาร เพราะเมื่อท่านเป็ นผูส้ ่ งสารก็ควรคำานึงว่าผูร้ ับสารจะได้รับผลกระ ทบอย่างไรบ้างด้วยเช่นเดียวกัน การเขียนสารคดี พจนานุกรม ฉบับเฉลิมพระเกียรติ 2530 ได้ให้ความหมายของ สารคดี เอาไว้วา่ เป็ นเรื่ องที่เขียนขึ้น จากความเป็ นจริ ง มิใช่จากจินตนาการ ส่ วนความหมายในเชิงปฏิบตั ิของนักเขียนสารคดี หมายถึง ประเภท งานเขียนที่แต่งขึ้น เพื่อให้ผอู ้ ่านได้รับความรู้เป็ นสำาคัญ แต่จะต้องใช้ภาษาสำานวนที่คมคายชวนให้ติดตามอ่าน วิลาศ มณี วตั นักเขียนสารคดีผมู ้ ีชื่อเสี ยงของเมืองไทยได้กล่าวถึงบทบาทของสารคดีวา่ 1. ต้องเสนอเรื่ องราว ( to inform ) 2. ต้องชักนำาความคิดของผูอ้ ่านไปในทิศทางที่ผเู ้ ขียนต้องการ 3. ต้องให้ความบันเทิง ชวนอ่านในทางวิชาการ นักวิชาการได้พยายามจำาแนกประเภทของสารคดีไว้ แตกต่างกัน ซึ่งพอจะประมวลไว้เพื่อเป็ นความรู้ได้ดงั นี้ 1). สารคดีบุคคล 2). สารคดีโอกาสพิเศษ 3). สารคดีประวัติศาสตร์ 41


4). สารคดีท่องเที่ยว 5). สารคดีแนะนำาวิธีทาำ 6). สารคดีเด็ก 7). สารคดีสตรี 8). สารคดีเกี่ยวกับสัตว์ 9). สารคดีความทรงจำา 10). สารคดีจดหมายเหตุ โครงสร้ างของสารคดี การเขียนสารคดีให้น่าสนใจติดตามอ่านนั้น จะต้องมีโครงสร้างที่สาำ คัญดังนี้ นำาเรื่อง การเขียนนำาเรื่ องเหมือนกับการดูไตเติ้ลของภาพยนตร์นนั่ เอง ภาพยนตร์เรื่ องนั้นจะน่าสนใจหรื อไม่ก็ ขึ้นอยูก่ บั การนำาเรื่ อง การนำาเรื่ องของสารคดีมีหลายรู ปแบบ ได้แก่ - แบบสรุ ปเนื้ อหา - แบบเปิ ดเรื่ องด้วยเหตุการณ์สาำ คัญ - แบบเปิ ดเรื่ องโดยยกสุ ภาษิต คำาพังเพย กวีนิพนธ์ หรื อ คำาคม มากล่าว - แบบเปิ ดเรื่ องโดยใช้ประโยคสำาคัญ - แบบเปิ ดเรื่ องโดยการยกเหตุการณ์เปรี ยบเทียบ - แบบเปิ ดเรื่ องด้วยการพรรณนา - แบบเปิ ดเรื่ องด้วยการย้อนอดีต เนือ้ เรื่อง นับเป็ นส่ วนสำาคัญของการเขียนสารคดีท้ งั นี้เพราะสารคดีจะน่าสนใจแค่ไหนขึ้นอยูก่ บั เนื้ อเรื่ อง ดังนั้น เรื่ องที่จะนำามาเขียนเป็ นสารคดีน้ นั ต้องกลัน่ กรองอย่างรอบคอบว่า อ่านแล้วได้สาระอย่างไร มีประโยชน์ และ น่าสนใจเพียงใด สรุปเรื่อง การเขียนสารคดีน้ นั เมื่อนำาเรื่ องแล้วต้องมีการดำาเนินเรื่ อง หลังจากดำาเนินเรื่ องจนครบถ้วนแล้วก็จะถึง ส่ วนสรุ ปเรื่ อง เพื่อให้ปมของเรื่ องนั้นยุติตรงตามเป้ าหมายที่กาำ หนดไว้ - สรุ ปให้เห็นความสำาคัญของเรื่ องที่นาำ เสนอ - สรุ ปความคิดเห็นที่เป็ นประโยชน์ ต่อชีวิตและสังคม - สรุ ปเนื้ อหาเพื่อโน้มน้าวให้เกิดการร่ วมมือต่างๆ - สรุ ปเนื้ อหาเพื่อให้เกิดความตระหนัก 42


การใช้ ภาษาในการโต้ แย้ ง การโต้ แย้ ง เป็ นการแสดงทรรศนะที่แตกต่างกันระหว่างบุคคล 2 ฝ่ าย ผูแ้ สดงทรรศนะต้องพยายาม หาเหตุผล สถิติ หลักการ อ้างข้อมูลและหลักฐานต่างๆ มาสนับสนุนทรรศนะของตนให้น่าเชื่อถือ และคัดค้าน ทรรศนะของอีกฝ่ ายหนึ่ง เรื่ องที่ควรทราบเกี่ยวกับการโต้แย้ง มีดงั นี้ 1. โครงสร้างของการโต้แย้ง 2. หัวข้อและเนื้ อหาของการโต้แย้ง 3. กระบวนการโต้แย้ง 4. การวินิจฉัยเพื่อตัดสิ นข้อโต้แย้ง 5. ข้อควรระวังในการโต้แย้ง โครงสร้ างของการโต้ แย้ ง โครงสร้างของการโต้แย้ง คือ โครงสร้างของการแสดงเหตุผล เพราะกระบวนการโต้แย้งต้องอาศัย เหตุผลเป็ นสำาคัญ ซึ่งการโต้แย้งจะต้องประกอบด้วย “ข้อสรุ ป” และ “เหตุผล” ดังตัวอย่าง ทรรศนะที่ 1 นักเรี ยนระดับมัธยมตอนปลายของโรงเรี ยนนี้ ส่วนใหญ่ตอ้ งการออกไปประกอบ อาชีพ เมื่อสำาเร็ จการศึกษาแล้ว (เหตุผล) ดังนั้นโรงเรี ยนของเราจึงควรเปิ ดรายวิชาเลือก วิชาพื้นฐานอาชีพที่มีอยู่ ในหลักสูตรให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ (ข้อสรุ ปหรื อข้อเสนอทรรศนะ) ทรรศนะที่ 2 เรายังไม่ได้สาำ รวจอย่างเป็ นกิจจะลักษณะเลยแม้แต่ครั้ งเดียวว่า เมื่อสำาเร็ จการศึกษา แล้วนักเรี ยนของเราในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายมุ่งหมายที่จะไปทำาอะไรต่อไป จะมีกเ็ พียงแต่การคาดคะเน เอาเองตามความรู้สึกส่ วนตัวเท่านั้น (เหตุผล) ฉะนั้นเราอาจประสบความล้มเหลวก็ได้ ถ้าเรามุ่งที่จะเปิ ดวิชาพื้น ฐานอาชีพให้มากยิง่ ขึ้นกว่าที่ได้เคยเปิ ดมาแล้ว (ข้อสรุ ปหรื อข้อโต้แย้งทรรศนะที่ 1) ทรรศนะที่ 3 การสอบเข้ามหาวิทยาลัย น่าจะสอบครั้งเดียวก็พอ จะได้ลดภาวะความเครี ยดของ เด็ก สอบครั้งเดียวก็น่าจะตัดสิ นได้ เพราะเด็กที่เก่ง จะสอบกี่ครั้งก็ได้คะแนนดีทุกครั้ง ทรรศนะที่ 4 เด็กที่จะเรี ยนในมหาวิทยาลัยนั้น ควรต้องผ่านการทดสอบหลายๆ ด้าน การวัด เฉพาะความรู้เพียงอย่างเดียวคงไม่พอ ต้องมีการวัดด้านความถนัดด้วย เพราะการเรี ยนในระดับสูงเด็กต้อง วิเคราะห์เป็ น สังเคราะห์ได้ รู้จกั เชื่อมโยง และการสอบหลายครั้งทำาให้เด็กได้มีโอกาสเลือกโครงสร้างของการ โต้แย้งอาจขยายกว้างออกไปเป็ นเหตุผลหลายข้อประกอบกัน และมีขอ้ สรุ ปหลายข้อด้วยก็ได้ ข้อสนับสนุนและ ข้อสรุ ปจะสั้นยาวเพียงใด อยูท่ ี่ดุลพินิจของผูโ้ ต้แย้ง

หัวข้ อและเนือ้ หาของการโต้ แย้ ง ตามปกติหวั ข้อและเนื้ อหาของการโต้แย้งกว้างขวางมากไม่มีขอบเขตจำากัดแต่ในการโต้แย้งจริ งๆ ต้อง กำาหนดประเด็นการโต้แย้งเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนโต้แย้งกันให้ตรงประเด็นไม่ออกนอกเรื่ อง ผูท้ ี่เริ่ มการโต้ 43


แย้งควรเสนอสิ่ งที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ฝ่ ายตรงข้ามอาจคัดค้านการเปลี่ยน แปลงนั้น โดยอ้างเหตุผล มาหักล้าง เพื่อชี้ให้เห็นว่าข้อเสนอนั้นไม่เหมาะสมหรื อไม่มีประโยชน์ กระบวนการโต้ แย้ ง กระบวนการโต้แย้งมี 4 ขั้นตอน ดังนี้ 1. การตั้งประเด็นในการโต้แย้ง 2. การนิยามคำาสำาคัญในประเด็นในการโต้แย้ง 3. การค้นหาและเรี ยบเรี ยงข้อสนับสนุนทรรศนะของตน 4. การชี้ให้เห็นจุดอ่อนของทรรศนะฝ่ ายตรงข้าม การตั้งประเด็นในการโต้ แย้ ง การตั้งประเด็นในการโต้แย้ง หมายถึง คำาถามที่ก่อให้เกิดการโต้แย้งกัน ซึ่งผูโ้ ต้แย้งต้องรู้จกั วิธีการตั้ง ประเด็นโดยไม่ให้ออกนอกประเด็น การโต้แย้งจะต้องรู้วา่ กำาลังโต้แย้งเกี่ยวกับทรรศนะประเด็นใด เพื่อจะได้ ไม่ได้แย้งออกนอกประเด็น แบ่งได้เป็ น 3 ประเภท ดังนี้ 1. การโต้ แย้ งเกีย่ วกับนโยบายเพือ่ ให้ เปลีย่ นแปลงสภาพเดิม การโต้แย้งประเภทนี้ เริ่ มจากมีผเู ้ สนอ ทรรศนะของตน เพื่อให้บุคคลอื่นพิจารณายอมรับ ผูเ้ สนอทรรศนะก็จะหาเหตุผลมาสนับสนุนข้อเสนอของตน ชี้ให้เห็นว่าหลักการเดิมนั้นมีจุดอ่อนจำาเป็ นต้องเปลี่ยนแปลง แล้วเสนอหลักการใหม่ที่จะแก้ไขจุดอ่อนนั้นได้ และชี้ให้ เห็นผลดีที่ได้รับจากหลักการใหม่น้ นั การโต้แย้งประเภทนี้ มีขอ้ ที่ควรคำานึงของทั้งฝ่ ายเสนอและฝ่ าย โต้แย้งดังนี้ ฝ่ ายเสนอ ประเด็นที่ 1 ชี้ให้เห็นข้อเสี ยหายของสภาพเดิม ประเด็นที่ 2 เสนอว่าการเปลี่ยนแปลงสามารถแก้ไขข้อเสี ยหายได้ ประเด็นที่ 3 ชี้ให้เห็นผลดีของข้อเสนอ ฝ่ ายโต้ แย้ ง ประเด็นที่ 1 ชี้แจงว่าไม่มีขอ้ เสี ยหาย หรื อมีกไ็ ม่มากนัก ประเด็นที่ 2 แย้งว่าข้อเสนอนั้นปฏิบตั ิได้ยาก ประเด็นที่ 3 แย้งให้เห็นว่าเป็ นตรงกันข้าม 2. การโต้ แย้ งเกีย่ วกับข้ อเท็จจริง ฝ่ ายเสนอและฝ่ ายโต้แย้ง ควรคำานึงในเรื่ องต่อไปนี้ ฝ่ ายเสนอ ประเด็นที่ 1 เรื่ องนำามาอ้างมีอยูจ่ ริ ง อยูท่ ี่ไหน ประเด็นที่ 2 การตรวจสอบว่าเรื่ องนั้นมีจริ งๆ สามารถตรวจสอบได้ ฝ่ ายโต้ แย้ ง ประเด็นที่ 1 แย้งว่าเรื่ องนั้นไม่มีอยูจ่ ริ ง ประเด็นที่ 2 แย้งว่าได้ตรวจสอบแล้ว แต่ไม่ปรากฏว่ามี 44


3. การโต้ แย้ งเกีย่ วกับคุณค่ า การโต้แย้งประเภทนี้ จะมีความรู้สึกส่ วนตัวแทรกอยูด่ ว้ ย การนิยามคำาสำ าคัญในประเด็นในการโต้ แย้ ง การนิยาม คือ การกำาหนดความหมายของคำาว่า คำา ที่ตอ้ งการจะโต้แย้งนั้นมีขอบเขตความหมายอย่างไร เพียงใด เพื่อการโต้แย้งจะได้เข้าใจตรงกัน ไม่ให้สบั สน วิธีการนิยามอาจทำาได้โดยใช้พจนานุกรม สารานุกรม หรื อนิยามด้วยการเปรี ยบเทียบ หรื อยกตัวอย่างก็ได้ การค้ นหาและเรียบเรียงข้ อสนับสนุนทรรศนะของตน ทรรศนะจะน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใดขึ้นอยูก่ บั ข้อสนับสนุนผูโ้ ต้แย้งต้องพยายามแสดงทรรศนะที่มีขอ้ สนับสนุนที่หนักแน่น หลักฐานและเหตุผลต่างๆ เกี่ยว โยงสัมพันธ์กนั อย่างน่าเชื่อถือ วิธีการเรี ยบเรี ยงข้อสนับสนุนเป็ นเรื่ องสำาคัญ เริ่ มตั้งแต่ส่วนอารัมภบทต้องดึงดูด ความสนใจของผูฟ้ ัง ชวนให้ติดตามการแสดงทรรศนะนั้น สาระสำาคัญที่เป็ นประเด็นการโต้แย้งต้องแสดงข้อ สนับสนุนอย่างชัดเจน แจ่มแจ้ง และตรงตามความเป็ นจริ ง 4. การชี้ให้ เห็นจุดอ่ อนของทรรศนะฝ่ ายตรงข้ าม จุดอ่อนของทรรศนะของบุคคล จะอยูท่ ี่การ นิยามคำาสำาคัญ ปริ มาณและความถูกต้องของข้อมูล และสมมติฐานและวิธีการอนุมาน ผูโ้ ต้แย้ง จะต้องชี้ให้เห็นจุดอ่อนของการนิยามของฝ่ ายตรงข้ามว่ามีจุดอ่อนอย่างไร จุดอ่อนในด้านการ นิยามคำาสำาคัญ นิยามที่ดีจะต้องชัดเจน รัดกุม นิยามที่ไม่ดี มีลกั ษณะดังนี้ 1) นำาเอาคำาที่นิยามไปบรรจุ ไว้ในข้อความที่นิยาม 2) ข้อความที่ใช้นิยามมีถอ้ ยคำาที่เข้าใจยากจนสื่ อความหมายไม่ได้ 3) ผูน้ ิยามมีเจตนาไม่สุจริ ต สร้างข้อโต้แย้งให้เป็ นประโยชน์แก่ฝ่ายตนจุดอ่อนในด้านปริ มาณ และความถูกต้องของข้อมูล หมายถึง ข้อมูลที่นาำ มาแสดงทรรศนะผิดพลาดหรื อน้อยเกินไป ทำาให้ไม่น่าเชื่อถือ จุดอ่อนในด้านสมมติฐานและวิธีการอนุมาน สมมติฐานหรื อการอนุมานจะด้วยวิธีใดก็ตามต้องเป็ นที่ยอมรับ เสี ยก่อน กล่าวคือ ต้องเป็ นสมมติฐานที่ไม่เลื่อนลอย เป็ นวิธีการอนุมานที่ไม่มีความผิดพลาด ถ้าชี้ให้เห็นว่า สมมติฐานมีจุดอ่อน ไม่ควรค่าแก่การยอมรับวิธีการอนุมานผิดพลาด ก็จะทำาให้ทรรศนะนั้นมีนาหนั ้ ำ กน้อย ไม่ น่าเชื่อถือ การวินิจฉัยเพือ่ ตัดสิ นข้ อโต้ แย้ ง การที่จะตัดสิ นว่าทรรศนะของฝ่ ายใดควรแก่การยอมรับ หรื อไม่ยอมรับนั้น มี 2 วิธี คือ 1. พิจารณาเฉพาะเนื้ อหาสาระที่นาำ มาโต้แย้งกันเท่านั้น 2. พิจารณาโดยใช้ดุลพินิจในคำาโต้แย้งของทั้งสองฝ่ ายโดยละเอียด

ข้ อควรสั งเกตในการโต้ แย้ ง มีดงั นี้ 1. การโต้แย้งทำาให้มีความคิดที่กว้างไกลขึ้ น มองเห็นผลดีและผลเสี ยชัดเจนขึ้น 2. การโต้แย้งไม่กาำ หนดระยะเวลา วิธีการ จำานวนบุคคล และสถานะของผูโ้ ต้แย้ง 45


3. การโต้แย้งแตกต่างจากการโต้เถียง เพราะเป็ นการใช้ความคิดและวิจารณญาณที่อาศัยเหตุผลและหลัก ฐานเป็ นสำาคัญ ข้ อควรระวังในการโต้ แย้ ง 1. หลีกเลี่ยงการใช้อารมณ์ พยายามทำาใจให้เป็ นกลาง เคารพในเหตุผลของกันและกัน โต้แย้งให้เป็ นไป ในทางสร้างสรรค์ 2. มีมารยาทในการโต้แย้ง ควรใช้ภาษาที่สุภาพ เหมาะสมกับบุคคล สถานที่ และเนื้อหา แสดงความ อ่อนน้อมและมีสมั มาคารวะ 3. เลือกประเด็นในการโต้แย้งเพื่อให้เกิดประโยชน์ในทางสร้างสรรค์ หลีกเลี่ยงประเด็นที่ไม่มีใครรู้ขอ้ เท็จจริ งที่แน่นอน หรื อประเด็นที่โต้กนั แล้วจะทำาให้เกิดการแตกแยกเข้าใจผิด ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ การใช้ ภาษาเพือ่ โน้ มน้ าวใจ เรื่ องที่ควรทราบเกี่ยวกับการโน้มน้าวใจ คือ 1. ความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์กบั การโน้มน้าวใจ ๒. กลวิธีการโน้มน้าวใจ 3. ภาษาที่โน้มน้าวใจ 4. การพิจารณาสารโน้มน้าวใจในลักษณะต่างๆ การโน้ มน้ าวใจ คือ การพยายามทำาให้บุคคลอื่นเปลี่ยนการกระทำาหรื อทัศนคติ ความเชื่อ ค่านิยม ต่างๆ โดยใช้กลวิธีที่เหมาะสมให้เกิดการยอมรับและเปลี่ยนพฤติกรรมซึ่งรวมถึงทัศนคติ ค่านิยม ความเชื่อ และ การกระทำา การเขียนโน้มน้าวใจอาจปรากฏในรู ปแบบต่างๆ เช่น ในรู ปแบบของการโฆษณา การหาเสี ยงเลือก ตั้ง และการเชิญชวน เป็ นต้น ความต้ องการขั้นพืน้ ฐานของมนุษย์กบั การโน้ มน้ าวใจ ความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ เช่น ความต้องการอาหาร ความต้องการขั้นพื้นฐานมีส่วนสำาคัญต่อ พฤติกรรมของมนุษย์ตลอดจนความเชื่อ ค่านิยม ทัศนคติในเรื่ องต่างๆ หลักสำาคัญที่สุดในการโน้มน้าวใจ คือ ทำาให้มนุษย์ประจักษ์ถึงคุณค่า และผลที่จะได้รับซึ่งตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานของตนเอง การที่บุคคล เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปตามเป้ าหมายของผูโ้ น้มน้าวใจ อาจไม่ได้เปลี่ยนเพราะประจักษ์ชดั แก่ใจตนเอง แต่ทาำ เพราะตัดความรำาคาญ ลักษณะเช่นนี้ ถือว่าการโน้มน้าวใจยังไม่สมั ฤทธิ์ผล

กลวิธีการโน้ มน้ าวใจ การโน้มน้าวใจทำาได้หลายวิธี ที่สาำ คัญ ได้แก่ 1. แสดงให้ ประจักษ์ ถึงความน่ าเชื่อถือของบุคคลผู้โน้ มน้ าวใจ 46


บุคคลที่จะได้รับความเชื่อถือจากบุคคลอื่นจะต้องมีความรู้จริ ง มีคุณธรรม และมีความปรารถนา ดีต่อผูอ้ ื่น การโน้มน้าวใจจึงต้องทำาให้ผรู ้ ับสารเห็นคุณลักษณะที่ดีเหล่านี้ ของผูโ้ น้มน้าวใจ เพื่อจะได้เกิดความ เชื่อถือ และยินดีปฏิบตั ิตามด้วยตนเอง แนวทางการปฏิบตั ิให้มีลกั ษณะดังกล่าว อาจทำาได้โดย ขั้นที่ 1 ทำาตนให้มีคุณสมบัติดงั กล่าวจริ ง ขั้นที่ 2 หาวิธีที่จะทำาให้บุคคลที่ตอ้ งการโน้มน้าวใจประจักษ์ในคุณลักษณะดังกล่าว คือ - การแสดงว่ามีความรู้จริ ง อาจทำาได้โดยอธิบายเรื่ องราวได้ละเอียดลออ ถูกต้องแม่นยำา แสดงความรู้ได้ลุ่มลึกชัดเจน - การแสดงว่ามีคุณธรรม อาจทำาได้โดยการเล่าประสบการณ์จริ งที่แสดงให้เห็นถึงความมี คุณธรรมต่างๆ - การแสดงความปรารถนาดีต่อผูอ้ ื่น อาจทำาได้โดยการให้คาำ มัน่ สัญญาที่อยูใ่ นวิสยั ที่ปฏิบตั ิได้ ซึ่งแสดงความปรารถนาดีของตนหรื อชี้ ให้เห็นความห่วงใย ชี้ให้เห็นแนวทางปฏิบตั ิที่เป็ นประโยชน์ต่อผูป้ ฏิบตั ิ 2. แสดงให้ เห็นความหนักแน่ นของเหตุผล ถ้าเรื่ องที่โน้มน้าวใจนั้นมีเหตุผลหนักแน่น ก็จะทำาให้เป็ นที่ยอมรับ 3. แสดงให้ ประจักษ์ ถึงความรู้ สึกหรืออารมณ์ ร่วมกัน บุคคลที่มีความรู้สึกร่ วมกันจะคล้อยตามกันได้ง่าย การจะโน้มน้าวใจได้สมั ฤทธิ์ผล จึงจะต้อง วิเคราะห์ผฟู ้ ังอย่างละเอียด ค้นหาอารมณ์ร่วมกัน และแสดงออกในสาร ก็จะช่วยโน้มน้าวใจได้สาำ เร็ จ 4. แสดงให้ เห็นทางเลือกทั้งด้ านดีและด้ านเสี ย การโน้มน้าวใจที่ช้ี ให้เห็นทั้งด้านดีและด้านเสี ย จะทำาให้ผรู ้ ับสารมีทางเลือกหลายทางและจะใช้ วิจารณญาณของตนเอง เป็ นการทำาให้ประจักษ์ดว้ ยตนเอง การโน้มน้าวใจก็จะสัมฤทธิ์ผล 5. สร้ างความหรรษาแก่ผู้รับสาร การโน้มน้าวใจต้องรู้จกั สร้างบรรยากาศความหรรษา อันจะทำาให้ผรู ้ ับสารเปลี่ยนอารมณ์พร้อม ที่จะคล้อยตาม วิธีการสร้างความหรรษาต้องเลือกให้เหมาะสมกับกาลเทศะด้วย อาจใช้วิธีเล่าเรื่ องราวที่ขบขัน เป็ นต้น 6. เร้ าให้ เกิดอารมณ์ อย่ างแรงกล้ า การมีอารมณ์อย่างแรงกล้าจะทำาให้มนุษย์ขาดเหตุผล ขาดการพิจารณาที่ถูกต้อง และจะคล้อย ตามการชักนำาได้ง่าย การเร้าให้เกิดอารมณ์อย่างแรงกล้า จะเป็ นอารมณ์ใดนั้นก็ข้ ึนอยูก่ บั เรื่ องที่ตอ้ งการโน้มน้าว ใจ เช่น การเร้าให้เกิดอารมณ์เวทนาสงสาร เร้าให้เกิดความหวาดกลัว การโน้มน้าวใจจะไม่ใช้วิธีการขู่เข็ญหรื อ หลอกลวง การโน้มน้าวใจนั้นอาจเป็ นสิ่ งดีหรื อไม่ดีข้ ึนอยูก่ บั เจตนาของผูโ้ น้มน้าวใจ ดังนั้น ผูท้ ี่โน้มน้าวใจต้อง เป็ นผูม้ ีจริ ยธรรมด้วย ภาษาทีโ่ น้ มน้ าวใจ 47


ภาษาที่โน้มน้าวใจต้องไม่เป็ นการบังคับ ควรเป็ นไปในเชิงเสนอแนะ ขอร้อง เร้าใจ รู้จกั ใช้คาำ สื่ อความ หมายได้ตรงตามที่ตอ้ งการ ควรมีจงั หวะและความนุ่มนวล อาจใช้ถอ้ ยคำาสั้นๆ กระชับ ชัดเจน อาจมีคาำ คล้องจองกัน เช่น คำาขวัญ การใช้ คาำ ขวัญ ช่วยโน้มน้าวใจนับเป็ นวิธีที่ได้ผลดีวิธีหนึ่ง เพราะผูกแต่งขึ้นอย่างกระชับ ชัดเจนช่วยเร้าใจให้ทาำ ตาม คำาขวัญจะไม่ยาวจนเกินไป ฟังรื่ นหู สละสลวย มีจงั หวะเท่าๆ กัน มีนาเสี ้ ำ ยงชักชวนให้ทาำ ตาม จำาง่ายเพราะ มีเสี ยงของคำาคล้องจองกัน การแสดงความคิดก็ชดั เจนไม่วกวน ตัวอย่าง บริ จาคดวงตา ได้มหากุศล งดบุหรี่ เสี ย วันนี้ มีแต่ผลดีในวันหน้า การพิจารณาสารโน้ มน้ าวใจลักษณะต่ างๆ การพิจารณาโน้มน้าวใจควรพิจารณาจุดมุ่งหมายของผูส้ ่ งสารว่าก่อให้เกิดประโยชน์แก่ใครสารโน้มน้าว ใจที่พบเห็นกันมากได้แก่ คำาเชิญชวน โฆษณาสิ นค้าหรื อโฆษณาบริ การและโฆษณาชวนเชื่อ คำาเชิญชวน คำาเชิญชวน มักเป็ นการแนะนำาให้ทาำ อย่างใดอย่างหนึ่ง ส่ วนใหญ่จะเป็ นเรื่ องเกี่ยวกับการทำาประโยชน์ เพื่อส่ วนรวม อาจเชิญชวนในรู ปของใบประกาศ แผ่นปลิว ประกาศเชิญชวนมักจะบอกจุดมุ่งหมายไว้ชดั เจน ชี้ ให้เห็นประโยชน์ และบอกวิธีปฏิบตั ิ กลวิธีที่นิยมใช้คือ การชี้ให้ผถู ้ ูกโน้มน้าวใจเกิดความภูมิใจว่าถ้าปฏิบตั ิตาม นั้นแล้วจะเป็ นที่ยอมรับในสังคม คำาเชิญชวน เช่น เชิญชวนให้บริ จาคโลหิ ต เชิญชวนให้บริ จาคดวงตา การใช้ ภาษาแสดงทรรศนะ เรื่ องที่ควรทราบเกี่ยวกับการแสดงทรรศนะ คือ 1. โครงสร้างของการแสดงทรรศนะ 2. ความแตกต่างระหว่างทรรศนะของบุคคล 3. ประเภทของทรรศนะ 4. ลักษณะของภาษาที่ใช้ในการเสดงทรรศนะ 5. ปัจจัยที่ส่งเสริ มการแสดงทรรศนะ 6. การประเมินค่าทรรศนะ คำาว่ า ทรรศนะ (ทัศนะ) หมายถึง ความคิดเห็นที่ใช้เหตุผลประกอบ มีประโยชน์ในการช่วยตัดสิ นใจเรื่ องต่างๆ ตลอดจนเป็ นแนวทางในการแก้ปัญหา

โครงสร้ างของการแสดงทรรศนะ การแสดงทรรศนะมีส่วนประกอบสำาคัญ 3 ส่ วน ดังนี้ 1. ที่มา คือ ส่ วนที่เป็ นเรื่ องราวหรื อความจำาเป็ นที่ทาำ ให้ตอ้ งแสดงทรรศนะ ทำาให้ผรู ้ ับสารเข้าใจ 48


และพร้อมที่จะ ฟังทรรศนะนั้น 2. ข้อสนับสนุน คือ ข้อเท็จจริ ง หลักการ ของผูท้ ี่แสดงทรรศนะและมติของผูอ้ ื่นที่นาำ มาใช้ ประกอบกันเป็ นเหตุผลสนับสนุนข้อสรุ ป 3. ข้อสรุ ป (เป็ นส่ วนที่สาำ คัญที่สุดของทรรศนะ) คือสารที่เสนอเพื่อให้ผอู ้ ื่นพิจารณาหรื อยอมรับ หรื อนำาไปปฏิบตั ิ อาจเป็ นการประเมินค่า ข้อสันนิษฐาน ข้อเสนอแนะต่างๆ ความแตกต่ างระหว่ างทรรศนะของบุคคล ทรรศนะของแต่ละบุคคลแตกต่างกันได้ดว้ ยสาเหตุ 2 ประการ คือ 1. คุณสมบัติตามธรรมชาติของมนุษย์ เป็ นคุณสมบัติที่ติดตัวมาแต่กาำ เนิด ได้แก่ สติปัญญา ไหว พริ บ ความถนัด 2. สิ่ งแวดล้อม ได้แก่ ทุกสิ่ งทุกอย่างที่อยูร่ อบๆตัวมนุษย์ อาจเป็ นธรรมชาติหรื อสิ่ งที่มนุษย์ สร้างขึ้น ซึ่งจะมีอิทธิพลทำาให้มนุษย์มีความรู้และประสบการณ์ ความเชื่อและค่านิยมที่แตกต่างกัน จะส่ งผลให้ บุคคลมีทรรศนะที่แตกต่างกันไปด้วย ประเภทของทรรศนะ ทรรศนะแบ่งออกเป็ น ๓ ประเภท ได้แก่ 1. ทรรศนะเชิงข้ อเท็จจริง ทรรศนะประเภทนี้ เป็ นการสันนิษฐาน หรื อให้ความคิดเห็นในเรื่ อง ที่เกิดขึ้นแล้วแต่ยงั ถกเถียงกันอยูไ่ ม่แน่นอนว่าที่ถูกต้องเป็ นอย่างไร แล้วแต่เหตุผลที่นาำ มาสนับสนุน ตัวอย่าง เช่น “เด็กวัยรุ่ นในปัจจุบนั นี้ มกั จะมีพฤติกรรมเลียนแบบ มักจะทำาอะไรตามๆ กันไปจนกลายเป็ นค่านิยมที่จะ ต้องปฏิบตั ิกนั ทุกคน โดยไม่ได้คาำ นึงว่าการกระทำานั้นๆ เหมาะสมกับตนหรื อไม่ คงจะเป็ นเพราะว่าเด็กวัยนี้ ต้องการเป็ นที่ยอมรับในหมู่เพื่อนๆ การทำาอะไรที่เหมือนเพื่อน ก็จะเกิดความสบายใจ ไม่มีความรู้สึกผิดแปลก แม้วา่ สิ่ งนั้นๆ จะไม่ถูกต้องไม่เหมาะสมก็ตาม เช่น การใช้ของ ถ้าหากเพื่อนๆ ใช้ของต่างประเทศ ก็ตอ้ ง ขวนขวายหาซื้ อของต่างประเทศมาใช้ดว้ ย แม้วา่ จะไม่มีเงินพอก็ตาม” 2. ทรรศนะเชิงคุณค่ า เป็ นทรรศนะที่ประเมินว่า สิ่ งใดดี สิ่ งใดด้อย สิ่ งใดมีประโยชน์หรื อมี โทษ เหมาะสมหรื อไม่เหมาะสม การแสดงทรรศนะประเภทนี้ อาจมีเกณฑ์การประเมินสิ่ งนั้น หรื อใช้วิธีเปรี ยบ เทียบกับประเภทเดียว ตัวอย่างเช่น “การที่คนไทยเรานิยมใช้ของต่างประเทศ ผูใ้ ช้อาจเกิดความภูมิใจในตัวเอง ว่ามี “ปัญญา” ที่จะใช้ “ของนอก” เหมือนคนอื่น แต่ความจริ งหารู้ไม่วา่ นัน่ เป็ นวิธีที่เป็ นการนำาเงินไทยไปสู่ต่าง ประเทศอย่างไม่มีวนั ที่จะได้กลับคืน และทำาให้สินค้าไทยที่ผลิตโดยคนไทย วัสดุจากประเทศไทยนั้นขายไม่ดี เท่าที่ควร เงินตราที่ควรจะไหลเวียนอยูใ่ นประเทศก็ลดน้อยลง นี่เป็ นสาเหตุสาำ คัญที่ทาำ ให้เศรษฐกิจตกต่าำ คน ไทยทุกคนจึงควรตระหนักในเรื่ องนี้ และหันมาใช้สินค้าที่ผลิตในเมืองไทย ช่วยกันอุดหนุนสิ นค้าไทย จะ เป็ นการช่วยให้คนไทยได้มีงานทำามากขึ้ น และเพิม่ รายได้แก่ผผู ้ ลิต เงินตราก็ไม่รั่วไหลออกไปต่างประเทศ คงจะช่วยให้เศรษฐกิจอยูใ่ นภาวะที่ดีข้ึนได้มากทีเดียว” 3. ทรรศนะเชิงนโยบาย ทรรศนะประเภทนี้ เป็ นทรรศนะที่บอกว่าควรทำาอะไร อย่างไรต่อไป 49


ในอนาคต ปรับปรุ งไปในทางใด อาจเป็ นนโยบายระดับบุคคล องค์กร สถาบัน การเสนอแนะอาจเป็ นทรรศนะ ที่ตอ้ งชัดเจนว่านโยบายนั้นมีข้ นั ตอน มีเป้ าหมาย และมีประโยชน์อย่างไร ตลอดจนการแก้ไขหรื อวิธีที่ควร ำ นนี้ ทุกฝ่ ายคงจะต้องช่วยกันรณรงค์ให้มีความประหยัดกัน ปฏิบตั ิ ตัวอย่างเช่น “ในภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่าเช่ อย่างเต็มที่ ข้าพเจ้าเห็นว่าต้องเริ่ มตั้งแต่สถาบันครบครัว พ่อแม่ควรสอนหรื อแนะนำาให้ลูกใช้จ่ายแต่สิ่งที่จาำ เป็ น สถาบันการศึกษา ครู อาจารย์ ต้องแนะนำาสัง่ สอนให้นกั เรี ยนรู้จกั ใช้จ่าย ปลูกฝังค่านิยมในการใช้ของไทย และ ข้าพเจ้าขอเสนอว่า ควรจะสอดแทรกเรื่ องนี้ ไปในบทเรี ยนซึ่งสามารถจะทำาให้ทุกวิชา ครู อาจารย์ทุกคนต้องคิด ว่า เป็ นหน้าที่โดยตรงที่ตอ้ งปลูกฝังเรื่ องนี้ แก่นกั เรี ยน” ลักษณะของภาษาทีใ่ ช้ ในการเสดงทรรศนะ ในการเสดงทรรศนะนั้น จะต้องยึดหลักที่ดีในการใช้ภาษาโดยทัว่ ไปและใช้ภาษาที่แสดงเหตุผล นอกจากนี้ ยงั มีภาษาที่มีคุณลักษณะเฉพาะอยูบ่ างประการที่น่าสังเกต คือ การใช้คาำ หรื อกลุ่มคำาที่แสดงว่าเป็ น เจ้าของทรรศนะ อาจเป็ น คำานาม คำาสรรพนาม หรื อคำากริ ยาก็ได้ เช่น คำาว่า - เห็นว่า... - ที่ประชุมมีมติวา่ ... - มีความเห็นว่า... - ควรต้อง... - ผมเข้าใจว่า... - คงจะ... - ขอสรุ ปว่า... - น่าจะ... - ขอเสนอแนะว่า... – เห็นร่ วมกันว่า… หรื ออาจใช้คาำ หรื อกลุ่มคำาที่สื่อความหมายไปในทางแสดงทรรศนะ อาจเป็ นการประเมินค่าการแสดงความเชื่อ มัน่ หรื อการคาดคะเนก็ได้ เช่น - นักเรี ยนห้องนี้ ตอ้ งสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ท้ งั หมดอย่างแน่นอน - เป็ นไปไม่ได้แน่ๆ ที่คนทำาชัว่ แล้วจะได้ผลดีตอบแทน ปัจจัยทีส่ ่ งเสริมการแสดงทรรศนะ สิ่ งที่ช่วยในการแสดงทรรศนะให้ได้ดีมี 2 ชนิด ทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน 1. ปัจจัยภายนอก ได้แก่ บรรยากาศ เวลา สถานที่ บุคคล((รับสาร) สื่ อ เป็ นต้น 2. ส่ วนปัจจัยภายใน ได้แก่ สติปัญญา ความเชื่อมัน่ ทัศนคติ ประสบการณ์ ความสามารถใน การใช้ภาษา เป็ นต้น การประเมินค่ าทรรศนะ แนวทางในการประเมินค่าทรรศนะไม่ควรยึดบุคคลเป็ นสำาคัญ แต่ควรพิจารณาถึงเรื่ องต่างๆ ต่อไปนี้ 1. มีประโยชน์ และคุณค่ าในทางสร้ างสรรค์ ทรรศนะที่ดีตอ้ งมีคุณค่าเป็ นประโยชน์สาำ หรับคนส่ วนใหญ่ หรื อสังคมส่ วนรวม อาจเป็ นทรรศนะในทาง สร้างสรรค์ คือ เสนอแนะให้เกิดสิ่ งใหม่ๆที่เป็ นประโยชน์และช่วยธำารงสังคมที่ดีงามไว้ 2. ความน่ าเชื่อถือและความสมเหตุสมผล พิจารณาเหตุผลที่นาำ มาสนับสนุนในการแสดงทรรศนะที่เชื่อถือได้ กรณี ตวั อย่างที่ยกมาน่าเชื่อถือพอเพียงหรื อ ไม่ ความสัมพันธ์ระหว่างสาเหตุและผลลัพธ์เป็ นไปได้เพียงใด ควรแก่การยอมรับหรื อไม่ 50


3. ความเหมาะสมกับผู้รับสารและกาลเทศะ พิจารณาว่าทรรศนะที่นาำ มาเสนอนั้นถูกกาลเทศะ หรื อเหมาะสมกับผูร้ ับสารหรื อไม่ 4. การใช้ ภาษา ในการนำาเสนอทรรศนะต้องพิจารณาว่าใช้ภาษาได้แจ่มแจ้งชัดเจน สื่ อความหมายถูกต้องเหมาะ ปัญหาการใช้ ภาษาไทยของครู และนักเรียน ในวิถีแห่งเทคโนโลยีและการสื่ อสารไร้พรมแดน ท่ามกลางสังคมที่มีค่านิยมยอมรับนับถือวัตถุมาก กว่าคุณค่าของจิตใจนั้น หลายๆสิ่ งกำาลังเจริ ญก้าวหน้าไปอย่างไม่มีขีดจำากัด ในขณะที่ยงั มีอีกสิ่ งหนึ่งที่กาำ ลังดำา ดิ่งลงสู่หว้ งเหวแห่งหายนะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งก็คือความเป็ นไทย และภาษา ไทย ภาษาชาติของเรานัน่ เอง ที่กาำ ลังถูกค่านิยมของคนรุ่ นใหม่รุกรานจนแทบไม่เหลือ เค้าเดิมอยูเ่ ลย ปัญหาการใช้ภาษาไทยนั้นเกิดขึ้นจากจุด เล็กๆจนในขณะนี้ ลุกลามไปทุกหย่อมหญ้า แม้แต่ในสถานศึกษาอันเป็ นแหล่งหล่อหลอมความรู้กม็ ิได้ละเว้น ภาษาไทยกลายเป็ นวิชาที่น่าเบื่อของผูเ้ รี ยน และสุ ดท้ายผูเ้ รี ยนจึงได้รับความรู้แบบงูๆปลาๆที่จะนำาไปใช้ต่อไป อย่างผิดๆ หากเราจะแยกปมปัญหาการใช้ภาษาไทยในโรงเรี ยนนั้น สามารถแยกเป็ นประเด็นใหญ่ๆ ได้ 2 ประเด็น คือ 1.ปัญหาการใช้ ภาษาไทยทีเ่ กิดจากครู เนื่องจากครู คือ ผูป้ ระสาทวิชา เป็ นผูใ้ ห้ความรู้แก่ศิษย์ ดังนั้นความรู้ในด้านต่างๆ เด็กๆจึงมักจะ ได้รับมาจากครู เป็ นส่ วนใหญ่ ในขณะที่ครู บางคนนั้นมีความรู้แต่ไม่แตกฉาน โดยเฉพาะวิชาภาษาไทย เป็ นวิชา ที่มีความละเอียดอ่อนและมีส่วนประกอบแยกย่อยอย่างละเอียดลออ เมื่อครู ไม่เข้าใจภาษาไทยอย่างกระจ่าง จึง ทำาให้นกั เรี ยนไม่เข้าใจตามไปด้วย จนพานเกลียดภาษาไทยไปในที่สุดซึ่งเป็ นปัญหาที่ปรากฏให้เห็นอยูม่ ากมาย ในปัจจุบนั ในความเป็ นครู น้ นั การสอนย่อมสำาคัญที่สุด ครู บางคนมีความรู้อยูใ่ นหัวเต็มไปหมด แต่กลับสอน ไม่เป็ น ซึ่งครู ส่วนใหญ่ไม่ได้ยอมรับปัญหานี้ บางคนสักแต่วา่ สอน แต่ไม่เข้าใจเด็ก ว่าทำาอย่างไรอธิบาย อย่างไร เด็กซึ่งเปรี ยบเสมือนผ้าขาวนั้น จะซึมซับเอาความรู้จากท่านไปได้มากที่สุด การทำาความเข้าใจเด็ก จึง เป็ นส่ วนประกอบหลัก ที่สาำ คัญไม่แพ้ภมู ิความรู้ที่มีอยูใ่ นตัวครู ครู จึงควรหันกลับมายอมรับความจริ ง และ พยายาม ปรับ ปรุ งแก้ไขตนเองให้เหมาะสมกับที่เป็ นผูร้ ู้ที่คนทัว่ ไปยอมรับนับถือ 2. ปัญหาการใช้ ภาษาไทยทีเ่ กิดจากนักเรียน ในสังคมยุคไซเบอร์ ซึ่งสามารถเข้าไปใช้บริ การแลกเปลี่ยนเรี ยนรู้ได้ทุกภาคส่ วน“เด็ก” ซึ่งเป็ นวัยที่ อยากรู้อยากลอง จึงมิได้ให้ความสนใจเพียงแค่การศึกษาค้นคว้าข้อมูลการศึกษาเท่านั้น หากแต่สนใจกับภาค บันเทิงควบคู่ไปด้วย และโดยแท้จริ งแล้ว มักจะให้ความสำาคัญ กับประเด็นหลังมากกว่าการค้นคว้าความรู้เสี ย ด้วยซ้าำ ดังนั้นจึงสามารถกล่าวได้วา่ การใช้อินเทอร์เน็ตของเด็กนั้นเป็ นปมปัญหาสำาคัญยิง่ ที่ไม่ควรมองข้าม ปัญหาการใช้ภาษาไทยที่เกิดจากอินเทอร์เน็ตนั้นเริ่ มลุกลามมาจากโปรแกรมแช็ทรู ม และ เกมออนไลน์ ซึ่งดู คล้ายเป็ นการสนทนากันธรรมดา แต่เมื่อได้เข้าไปสัมผัสแล้ว มิใช่เลย การสนทนาอันไม่มีขีดจำากัดของภาษา ทำาให้เกิดปัญหาขึ้นมากมาย ดังเช่นที่พบตามหน้าหนังสื อพิมพ์ในปัจจุบนั และในขณะเดียวกันก็สร้างปัญหา ให้ 51


แก่วงการภาษาไทยด้วย นัน่ คือการกร่ อนคำาและ การสร้างคำาใหม่ให้มีความหมายแปลกไปจากเดิม หรื ออย่างที่ เรี ยกว่าภาษาเด็กแนวนัน่ เอง ดังจะขอยกตัวอย่าง ดังนี้ สวัสดี เป็ น ดีครับ ดีค่ะ ใช่ไหม เป็ น ชิมิ โทรศัพท์ เป็ น ทอสับ กิน เป็ น กิง จะเห็นได้วา่ คำาเหล่านี้ ถูกคิดขึ้นและใช้กนั อย่างแพร่ หลาย โดยเหตุผล ๒ ประการ คือ เพื่อให้ดูเป็ นคำาที่น่ารัก และพิมพ์ง่ายขึ้น โดยที่ผใู ้ ช้ไม่คาำ นึงถึงว่า นัน่ คือการทำาลายภาษาไทยโดยทางอ้อม เพราะหลายๆคนนำาคำาเหล่า นี้มาใช้ในชีวิตประจำาวันเสี ยด้วยซ้าำ ดังจะเห็นได้วา่ เด็กบางคนนำาภาษาเหล่านี้ มาใช้ในโรงเรี ยนจนแพร่ หลาย นัน่ คือความมักง่ายที่นาำ พาความหายนะมาสู่วงการภาษาไทยที่ไม่ควรมองข้าม ปัญหาการใช้ภาษาไทยเป็ น ปัญหาที่ลุกลามใหญ่โตกลายเป็ นไฟลามทุ่งอยูท่ ุกวันนี้ หากไม่ได้รับการแก้ไขโดยเร็ ว ภาษาไทยอันถือเป็ น ำ ยจนเกินเยียวยา การปลูกฝังจิตสำานึกและความตระหนักแก่ เอกลักษณ์ของความเป็ นชาติไทยนี้ อาจจะบอบช้าเสี ทุกคนในชาติจึงเป็ นสิ่ งที่สาำ คัญที่สุด เพราะทุกสิ่ งที่มนุษย์ยดึ ถือปฏิบตั ิลว้ นมาจากจิตสำานึกทั้งสิ้ น เมื่อกระทำาได้ ดังนี้แล้ว ไม่วา่ วิถีชีวิตแบบไหน หรื อค่านิยมสมัยใหม่ประเภทใดก็ไม่สามารถทำาลายภาษาไทยของเราได้อย่าง แน่นอน

บรรณนานุกรม และ เอกสารอ้ างอิง ถวัลย์ มาศจรัส (2008 ) สารคดีและการเขียนสารคดี ภาษาสยาม Available: http://www.pasasiam.com/home/ น้ำ าฝน ทะกลกิจ ( 2009 ) ปัญหาการใช้ภาษาไทยของครู และนักเรี ยน ภาษาสยาม Available: http://www.pasasiam.com/home/ มารีนา ซันสรวล บางตะบูนวิทยา(2545) ภาษาไทยกับการสื่ อสาร. ThaiGoodview.Com Available: http://www.thaigoodview.com/ วิชญารัตน์ ธรรมาวิวฒ ั น์ กลุ (2010) ภาษาไทยครู วิชญารัตน์. Available: http://wichayaratkw2.blogspot.com/2011_01_01_archive.html วารสารวิชาการ สำานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. ปี ที่ 9 ฉบับที่ 2 เมษายน - มิถุนายน 2549. Available: http://www.myfirstbrain.com/teacher_view.aspx http://www.check.moe.go.th/nana2.htm ภาทิพ ศรีสุทธิ์ Enfa SmartClub. Available: http://www.enfababy.com/knowledge.php

52


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.