มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 บทที่ 1-2

Page 1


คำนำเสนอ

มหายุทธ์ล้างปฐพี สมควรจัดเป็นเทพนิยายกำลังภายใน เป็น

ผลงานของฉู่กั๋ว ซึ่งเคยเขียนบทละครโทรทัศน์เรื่องเซียนกระบี่พิชิตมาร ฉู่กั๋วเขียนมหายุทธ์ล้างปฐพีเมื่ออายุสามสิบเศษ มีความเห็นว่า ยังไม่เป็นผู้ ใหญ่พอ สิบสองปี ให้หลังของวันนี้ จึงแก้ ไขปรับปรุงใหม่ ออกวางตลาดอีกครั้ง แม้แต่จิ่วถูเจ้าของผลงานไตรภาคสุยถังอันลือลั่น ยังให้คำนิยมว่า “หนังสือบางเล่มเหมือนกับเหล้าเก่า หลังผ่านการบ่ม ของกาลเวลา ยิ่งเก่าเก็บหอมจรุง เรื่องมหายุทธ์ล้างปฐพีเป็นหนึ่งใน จำนวนนั้นโดยมิต้องสงสัย” ฉากหลังของมหายุทธ์ล้างปฐพีก็เป็นประวัติศาสตร์ที่น้อยคนจะ เขียนถึงมาก่อน เพราะเป็นกลียุคของห้าชนเผ่าสิบแว่นแคว้น จนกลาย เป็นยุคราชวงศ์เหนือใต้ ในภายหลัง ทั้งยังเป็นนวนิยายกำลังภายใน แนวทางลัทธิเต๋าเรื่องแรก จึงเป็นพล็อตเรื่องที่น่าสนใจอย่างมาก ตอนนั้นราชวงศ์จิ้นวุ่นวาย บู๊ลิ้มวุ่นวาย วิถีแห่งฟ้ายิ่งวุ่นวาย เกิด ภัยสงคราม ภัยยุทธจักร กลายเป็นภัยทางโลก ไม่ว่านักอ่านที่ไม่เคย อ่านนวนิยายกำลังภายใน หรือหนอนหนังสือที่อ่านนวนิยายกำลังภาย ในมานับไม่ถ้วน อยากให้ทดลองอ่านมหายุทธ์ล้างปฐพีดู เนื่องเพราะมหายุทธ์ล้างปฐพีได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ชาวจีน ว่า นี่เป็นลอร์ดออฟเดอะริงส์ของโลกตะวันออกอย่างแท้จริง

น.นพรัตน์


12


บทนำ

หุบเขาลึก หมู่บ้านโบราณ

หิมะโปรยปรายกลางสายลม ชายผู้นั้นคุกเข่าอยู่ด้านข้างแผ่น ศิลาหน้าทางเข้าเป็นเวลาสองชั่วยามแล้ว ซุ้มประตูทางเข้าเต็มไปด้วยรอยกัดกร่อนของกาลเวลา เสาสูง ใหญ่ถูกหิมะปกคลุมแทบมองไม่เห็นตัวอักษรสีเข้มที่จารึกอยู่ ‘อาศรมบรรลุแจ้ง’ ถัดจากซุ้มประตู ลัดเลาะไปตามทางเดินขึ้นสู่ภูผา ท่ามกลาง ม่านหิมะ มองเห็นกระเบื้องสีดำและยอดมุมตึกรำไร นอกนั้นเห็นเพียง ขุนเขาและทิวสน เทือกเขาทอดยาว คนผู้หนึ่งจักครอบครองได้ ไยมิใช่เพียงเล็ก น้อยกระทั่งเป็นศูนร์ เขาคุกเข่าอยู่เช่นนั้น ไม่ขยับเคลื่อนไหว ใบหน้าเด็ดเดีย่ วแน่วแน่ คล้ายหลอมรวมจากน้ำค้างแข็งโปร่งแสง หิมะที่ขาวบริสุทธิ์และสายลมที่อ่อนโยน กอปรขึ้นเป็นความสง่างามที่ มนุษย์บนแดนดินมิอาจจินตนาการถึง ผูพ้ บเห็นต่างพากันอดสงสัยมิได้ว่า มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 13


เขาใช่ เ ป็ น เทพเทวา แปลงร่ า งเป็ น มนุ ษ ย์ จ ากหิ ม ะที่ พ ร่ า งพรมอยู่

หรือไม่ ผิดแล้ว เขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่ง ที่กำลังถูกธรรมชาติ หนาวเย็นอันโหดร้ายกลุ้มรุมกัดเซาะไม่หยุดยั้ง กระทั่งสุดท้ายมิอาจ ต้านทาน ทรุดลงสิ้นสติไป พายุหิมะโหยหวน ปลิวคลุ้งทั่วบริเวณ “ท่านตื่นแล้ว?” เสียงแหบพร่าถาม เขาอ่อนแรงกระทั่งไม่อาจเปล่งวาจา จึงปิดตาลงอีกครั้งอย่าง เงียบงัน นี่นับเป็นรอบครั้งที่สิบหก ที่เขาคุกเข่าจนสิ้นแรงล้มลงอยู่เบื้อง ล่างทางขึ้นอาศรมบรรลุแจ้ง เมื่อฟื้นขึ้น พบว่าตนเองถูกชายตัดฟืนผู้ หนึ่งพาลงจากเขาเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ เจ็ดแปดปีที่ผ่านมา เขายัง ไม่เคยพบเห็นบ่าวรับใช้ของอาศรมบรรลุแจ้งแม้สักคนเดียว เมือ่ ลืมตาตืน่ ในเวลาเกือบรุง่ เช้าของอีกวัน พบว่าคนในครอบครัว ได้ส่งรถม้ามาจอดรอรับอยู่ก่อนแล้ว เขามีชาติกำเนิดสูงส่ง อาศัยอยู่ห่างออกไปหลายร้อยลี้ เดินทาง ไปกลับอย่างน้อยต้องสิบกว่าวัน แต่ทว่าวันรุ่งขึ้นหลังจากที่เขาล้มลง รถม้าจะมาจอดรอรับอยู่เช่นนี้ทุกครั้งไป คนของอาศรมบรรลุแจ้งคล้าย ทำนายเวลาได้อย่างแม่นยำ ไม่เคยผิดพลาดสักครา ความสำนึกรู้เช่นนี้เอง ทำให้เขาไม่อาจละทิ้งความมุ่งมั่นที่จะเข้า เป็นศิษย์แห่งสำนักนี้ได้ เขาต้องการคำนับปรมาจารย์แห่งอาศรมบรรลุแจ้ง นามซือคงอู๋ เป็นอาจารย์ หากเวลาแปดปียังคงไม่อาจทำลายความเด็ดเดี่ยวของคนผู้หนึ่ง มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 14


ได้ เช่นนั้นแปดสิบปียิ่งไร้หนทางเปลี่ยนแปลงแก้ไข แต่หากปรับปรุงวิธี การ กลับพอมีหนทาง สามเดือนล่วงเลย หิมะพัดพลิ้วผลัดเปลี่ยนเป็นใบไม้ผลิงอกงาม สภาพอากาศเยียบเย็นถูกกลืนหายไปตามเทือกเขาเรียงรายสุดคณานับ เขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้ยังคงขี่อาชาชั้นดีด้วยท่วงท่าสง่างามเพียงลำพังเช่นเคย อาชาชั้นดีหรือชั้นเลว ขอเพียงถูกเขาควบขี่ ล้วนเปลี่ยนเป็น สู ง ค่ า ในทั น ใด แม้ ผื น หญ้ า ที่ เ ขาย่ ำ ผ่ า น ยั ง บั ง เกิ ด ความรู้ สึ ก ที่ ไ ม่ ธรรมดาขึ้นชนิดหนึ่ง ชายตัดฟืนชรา กำลังค้อมตัวโปรยข้าวเปลือกเลี้ยงไก่ ทันใดเสียง ฝีเท้าม้าอันคุ้นเคยทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นมอง ชายหนุ่มเอี้ยวตัวลงจากหลังม้า ก่อนส่งเชือกในมือ ทั้งยัดเงิน ก้อนหนึ่งตามไป กล่าวเสียงราบเรียบว่า “รักษาของเหล่านี้แทนเรา” บนหลังม้าวางอยู่ด้วยหีบใบหนึ่ง ใช้สายตาประเมินคร่าวๆ คล้าย ว่ามีน้ำหนักไม่น้อย ชายตัดฟืนชรารับเชือกไว้ งกๆ เงิ่นๆ ยัดเงินก้อนนั้นใส่หว่างเอว นำม้าไปผูกด้วยมือที่สั่นเทา พึมพำว่า “ไม่มีประโยชน์ คุณชาย ท่านยัง คงกลับไปเสพสุขเถิด หลายปีมานี้ไม่มีผู้ใดพบเห็นแม้เงาปีศาจสักตัว ออกจากอาศรมบรรลุแจ้ง ท่านเสียเวลาเปล่าแล้ว...” ชายหนุม่ ไม่แม้แต่ชายตามอง จัดเสือ้ ผ้าเข้าที่ มุง่ หน้าไปยังอาศรม บรรลุแจ้งอีกครั้ง ชายตัดฟืนชราทอดสายตามองตามหลังเหยียดตรงของชายหนุ่ม จนลับตา ถอนหายใจคราหนึง่ ก่อนฮัมเพลงโบราณ จากนัน้ ยกกล้องยาสูบ ขึ้นจุด มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 15


ครั้งนี้เขายืนหยัดอยู่ได้หกวัน หลังหกวันผ่านไป เขาก็ล้มลงเนื่องจากความหนาวเย็นรุนแรง ของต้นฤดูใบไม้ผลิ หนำซ้ำเกือบถูกสัตว์ป่าหิวโซที่เพิ่งออกจากฤดูจำศีล ฉีกร่างเป็นชิ้นๆ เขาพลันตื่นขึ้นจากฝันร้ายแสนทรมาน บาดแผลปวดแสบจาก ความเหน็บหนาวทั่วร่างกัดกร่อนจนแทบไม่อาจต้าน ไม่ว่าเขาเพียรวิงวอนหรือแสดงเจตนารมย์ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น เพียงใด ผลที่ได้รับทุกครั้งยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เริ่ ม จากเจ็ ด ปี ก่ อ น เพื่ อ ให้ ไ ด้ เ ข้ า พบซื อ คงอู๋ หลั ง จากส่ ง ของ กำนัลหลายคราไม่ประสบผล เขาผู้ ไม่เคยพบพานกับความล้มเหลว หลายครั้งหลายคราถึงกับใช้กำลังเข้าแลก กระทั่งสุมไฟวางเพลิงภูเขา ลูกนี้ แต่ก็ถูกพายุฝนกระหน่ำเทลงมาขัดขวาง ยิ่งกว่านั้นยังเคยอาศัยคนของทางการ นำทหารบุกเข้าอาศรม โดยอ้างว่าเป็นการตรวจตรา แต่ก็ต้องผิดหวัง เนื่องเพราะอาศรมบรรลุ แจ้งมาตรว่ามองเห็นด้วยตาจากที่ไกล แต่หามีผู้ใดเดินเข้าใกล้อาศรม แห่งนี้ได้ไม่ ประหนึ่งเป็นเพียงภาพลวงตาในม่านหมอก เขานับว่าเข้าใจถึงเจตนารู้ของซือคงอู๋แล้ว สุดท้ายจำต้องใช้แผน คุกเข่าให้อีกฝ่ายเห็นใจ ห้าปี...ห้าปีแล้วที่เขาทุ่มเทเวลาให้กับซือคงอู๋ ที่ผ่านมาคิดเรียก ลมได้ลมคิดเรียกฝนได้ฝน บัดนี้ความมั่นใจอีกทั้งศักดิ์ศรีถูกกระหน่ำ โจมตีจนสิ้น นิสัยสันดานกินอยู่สุขสบายจนเคยตัวถูกขัดเกลา การแสวงหามรรคา ไยลำเค็ญถึงเพียงนี้ หากแม้นต้องผ่านการ ทดสอบอันหนักหน่วง จึงมีคุณสมบัติพอที่จะคุกเข่าเรียกขานอาจารย์ได้ เช่นนั้น ไยมิชี้ทางสว่างแก่เขาว่าต้องประสบกับการฝึกปรืออันใด มิใช่ มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 16


กระทำเช่นที่ผ่านมา แม้โอกาสสักครั้งยังมิยินยอมมอบให้ ชายชราพยุงเขาลุกขึ้นดื่มยา ทอดถอนใจกล่าวว่า “เฮ้อ...ไยต้อง ทรมานตัวเองเช่นนี้ กลับไปเสียเถิด” ทุกครั้งเขาไม่เคยแม้แต่จะเหลือบแล แต่ครั้งนี้ท่าทีเขากลับไม่ เหมือนก่อน “เราจะไม่กลับไปอีกแล้ว” “เช่นนั้นหรือ? คุณชาย ครอบครัวท่านพรุ่งนี้ย่อมส่งรถม้ามารับ มาตรแม้นต้องแบกหาม ยังคงแบกหามกลับไปจนได้...” “ครอบครัวเราจะไม่มาอีกแล้ว” มือที่ถือกล้องยาสูบชะงักงัน ตามด้วยอาการทอดถอนใจ การทอดถอนใจของชายชราที่เปี่ยมด้วยความเห็นใจ บังเอิญ คลี่คลายความเคลือบแคลงสงสัยที่อยู่ในใจเขามานานปี ทั้งมั่นใจว่าชาย ชราผู้นี้รู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวเขา เขายืดตัวขึ้น เพื่อจับพิรุธบนสีหน้า “ท่านล้วนทราบทุกสิ่ง ใช่หรือไม่?” ขาดคำ ชายหนุ่มเลิกผ้าห่มพ้นตัว ก่อนค่อยๆ เบี่ยงตัวลงจาก เตียง จากนั้นเอื้อมมือคว้าเศษไม้ท่อนหนึ่งจากกองไม้ ใช้แทนไม้เท้า ความอ่อนแอบวกกับอาการบาดเจ็บบอบช้ำซ้ำเติมจนแทบยืนไม่อยู่ เสียงหอบหายใจดังขึ้นขณะเขากระเสือกกระสนพาร่างตัวเองตรงไปยัง หีบที่นำติดตัวมาเพื่อหยิบกระบี่ ชายชราเงยหน้ามองเขาด้วยความตื่นตระหนก เสียงชักกระบี่ดังเคร้ง มือของเขาสั่นระริก ลมหายใจหอบกระชั้น “หากว่า...เรา...แทงกระบี่ใส่ท่าน จะเป็นเช่นไร?” มือที่กุมกล้องยาสูบสั่นสะท้าน สายตาพร่ามัวจับจ้องที่ ใบหน้า

มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 17


คุณชาย เผยให้เห็นความรันทดอยู่ครามครัน เป็นความสังเวชเห็นใจอันลึกซึ้ง คุณชายฝืนยิ้มกล่าวว่า “อา...ท่านเก็บงำได้มิดชิดยิ่ง...หลายปีมา นี้ ใช่เป็นท่านที่แจ้งข่าวให้ครอบครัวเรา ใช่เป็นท่านที่พาเราจากอาศรม บรรลุแจ้งมายังที่นี้ ทั้งบีบคั้นให้เราจำต้องจากไปใช่หรือไม่” ชายชรานิ่งเฉยไม่แสดงท่าทีใด เพียงกระแอมไอคราหนึ่ง ก่อน เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “คุณชายเลอะเลือนแล้ว จากคฤหาสถ์ทา่ นมายังภูเขานีอ้ ย่างน้อย ต้องสิบวันเศษ เฒ่าโง่งมไหนเลยมีความสามารถนำความแจ้งต่อผู้อื่น ได้” “เช่นนั้น เป็นผู้ใดนำพาเรามายังบ้านท่าน” “โอ...หลายปีที่ผ่านมา ไม่ทราบบอกแก่ท่านกี่ครั้งแล้ว บ้างเป็น นักล่าสัตว์ บ้างเป็นคนเก็บสมุนไพร คนเหล่านี้ไยมิใช่ผ่านไปผ่านมาอยู่ บนเขา...” “ฮาฮาฮา...” เสียงหัวร่อของคุณชาย ยังรันทดกว่าเสียงร่ำไห้นัก กระบี่ในมือพลันฟาดออกวูบ ชายชราไม่ทันสังเกต ได้ยินเสียงดังขวับ หีบใบนั้นแยกเป็นสอง ส่วนด้วยความคมกริบของกระบี่ที่ยากหาใดเปรียบปาน เม็ดเกลือจำนวนมหาศาลสาดกระจายทัว่ พืน้ ก่อนศีรษะมนุษย์สอง ศีรษะกลิ้งหลุนๆตามออกมา ศีรษะหนึ่งเป็นสตรีงดงามไร้ที่ติ อีกหนึ่งเป็นสตรีกลางคนใบหน้า อวบอิ่ม “คนหนึ่ง...เป็นภรรยาที่รักใคร่กันมายี่สิบปี คนหนึ่งเป็นแม่นม

ผู้เลีย้ งดูตงั้ แต่ยงั เล็ก...พวกนางล้วนจบชีวติ แล้ว” ลมหายใจของเขาหอบถี่ มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 18


มือที่ถือกระบี่สั่นสะท้าน “ล้วนจบชีวิตภายใต้คมกระบี่ของเรา จากนี้ไป ย่อมไม่มีผู้ใดส่งรถม้ามาอีก...” กล้ามเนื้อใบหน้าชายชราพลันกระตุกวูบ “หากท่านไม่ใช่รีบรุดไปแจ้งข่าว ไหนเลยทราบว่า...บังเกิดเรื่อง โหดเหี้ยมเช่นนี้ขึ้น” เขาสืบเท้ามาเบื้องหน้าสองก้าว ปลายแหลมของ กระบี่ชี้ตรงไปที่ลำคอ “ท่าน ท่าน...ที่แท้เป็นใคร...ไฉนในชั่วเวลาสั้นๆ จึงสามารถเดินทางไปกลับหลายร้อยลี้ได้...” กระบี่ยังคงตั้งตรง ทว่าเส้นผมกระจายยุ่งเหยิง ท่าทางอิดโรย แววตาถลนจนเห็นเส้นเลือดราวกับบ้าคลั่ง “ตอบ!” ชายชราเหลือกตามองเขาวูบหนึ่ง ระบายลมออกทางจมูกอย่าง แผ่วเบา ปลายกระบี่ที่จ่อคอหอยตรงหน้า ไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกใดๆ ต่อ ชายชราแม้แต่น้อย ยังคงสูดดมควันจากกล้องยาสูบต่อไป หมอกควันสี ขาวพัวพันรายล้อมรอบกาย ทั้งแลคล้ายกระเรียนขาวโบยบิน ทั้งแล คล้ายม่านเมฆาที่ลอยล่อง ท่านั่งมั่นคงไม่สะทกสะท้าน ปานมังกรสงบ นิ่งท่ามกลางเกลียวคลื่นแห่งท้องทะเล “ท่านไร้ซึ่งจิตใจแห่งคุณธรรม” ชายชราในที่สุดยอมเปิดปากแล้ว สายตาเหลือบมองศีรษะทั้งสองด้วยความสะท้อนใจ “ความรักใคร่ยี่สิบปี การเลี้ยงดูชั่วชีวิต ท่านยังสามารถยกกระบี่ปลิดชีวิตได้ โดยไม่ลังเล บุคคลเช่นนี้ ยังค้นหามรรคาเพื่ออันใด” “นั่นเป็นท่านบีบคั้นเราลงมือ” เขาตะโกนน้ำเสียงกราดเกรี้ยว กระบี่โถมพุ่งออกหนักหน่วง ชาย ชรากลับนิ่งเฉยไม่เคลื่อนไหว เพียงเห็นกล้องยาสูบยกขึ้นต้านแล้วผลัก มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 19


กลับ อีกฝ่ายก็ซวนเซถอยหลังกรูด ตามด้วยเสียงภาชนะกระเบื้องแตก โครมคราม “ละทิ้งมนุษยธรรม ละเลยคุณธรรม ย่อมไม่อาจไปสู่มรรคแห่ง เซียน อย่างดีก็ฝึกปรือได้เพียงอวิชชา จากนั้นก็แปรสภาพเป็นมารที่ชั่ว ร้าย อาจารย์เราไหนเลยรับเศษสวะเป็นศิษย์ได้” “อาจารย์ ท่ า น? ท่ า นคื อ ...?” เขามองชายชราตรงหน้ า อย่ า ง ขมขื่น “ท่านเป็นลูกศิษย์ของท่านนักพรต? ไฉนท่านได้โอกาส เรากลับ ไม่ได้ ความมุ่งมาดของเราหรือยังน้อยกว่าผู้ใด” ชายชราเบือนหน้าเย็นชา สูดกล้องยาก่อนตอบว่า “โอกาสเป็น ตนเองมอบแก่ตนเอง เราดูแลเอาใจใส่ท่านไม่ขาดตกบกพร่อง ท่านไม่ แม้แต่นำบุญคุณจดจำ มิหนำซ้ำกลับดูถูกเหยียดหยาม เวลานี้ยังคิด ขอโอกาส?” เขาสะท้านใจเฮือก ที่แท้นี่เป็นบททดสอบ! ชายชรากล่าวต่อ “เราเคยบอกอาจารย์ ให้ฆ่าคนอุปนิสัยใจคอ แห้งแล้งเช่นท่านแต่นานแล้ว ทว่าอาจารย์กลับให้โอกาสครั้งแล้วครั้ง เล่ า ท่ า นไม่ เ พี ย งไม่ ก ลั บ ตั ว กลั บ ใจ ซ้ ำ ยิ่ ง ทวี ความอำมหิ ต คนใน ครอบครัวเป็นห่วงเป็นใย กลับลงมือเข่นฆ่า วันหน้าอาจารย์หรือศิษย์ ร่วมสำนักพัวพันต่อท่าน ไยมิใช่ถูกกำจัดสิ้น ผู้ใดพบเห็นต่างทราบดี ท่านหมดหนทางเยียวยาแล้ว” “ท่าน...ท่านมีคุณสมบัติใดกล่าววาจาเช่นนี้? เป็นสิ่งใดเล่าที่บีบ บังคับให้เราต้องลงมือกระทำ ความทุกข์ ในใจที่สั่งสม ผู้อื่นไหนเลย เข้าใจ” “ความทุกข์? เฮอะ คิดว่าอาจารย์เราไม่รู้เห็นเวรกรรมที่ท่านก่อ ขึ้น? ผู้ใดก่อกรรม ผู้นั้นรับผลกรรม นับเป็นความทุกข์อย่างไร?” มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 20


เขาถลึงตาจ้องหน้า ร่างสั่นระริก ใบหน้าที่ถูกทรมานด้วยความ กลัดกลุ้มกังวล ยังคงไว้ซึ่งสง่าราศี มีเพียงมารร้ายปีศาจชั่วจึงงดงามได้ ถึงระดับนี้ ชายชราย่นหว่างคิ้ว ลอบคิดในใจ ‘มาตรว่าเกิดเป็นมนุษย์ ทว่า ปรากฏพฤติการแห่งมาร หากให้โอกาสวาสนาแก่มัน ไยมิใช่สร้างภัย พิบัติใหญ่หลวงในภายหน้า’ จริงอยู่สวรรค์เปี่ยมด้วยเมตตา ทว่า... ชายชราถอนใจยาวนาน พลางยันร่างลุกขึ้นยืน แสงสว่างเจิดจ้าจากเตาไฟ สะท้อนให้เห็นเงาร่างใหญ่โตของชาย ชรา แผ่ปกคลุมร่างที่กำลังยันกำแพงลุกขึ้นอย่างทุลักทะเลจนมืดมิด เขาแหงนมองด้วยแววตาหวาดผวา ม่านควันจากกล้องยาสูบใน มือของชายชราค่อยๆ ม้วนตัวลอยเป็นวง ก่อนพุ่งตรงเข้ารัดลำคอชาย หนุ่มด้วยความรวดเร็วราวงูพิษตัวหนึ่ง ความปวดแปลบพลันจู่ โจม ทันใด ชายชรารั้งกล้องยาสูบขึ้นวูบ ร่างชายหนุ่มก็ลอยคว้างอยู่กลาง อากาศ ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส เท้าสองข้างเตะถีบสุด ชีวิต “อาศัยตอนเจ้ายังอ่อนด้อย ไม่กำจัดเสียตอนนี้จะรอถึงเมื่อใด” ร่างทั้งร่างห้อยแกว่งไกว สองมือดิ้นรนควานหาเชือกที่ลำคอ ทว่าคว้าได้เพียงความว่างเปล่า ควันที่พ่นออกจากกล้องยาสูบของชาย ชรายิ่งมายิ่งตรึงแน่น ลมหายใจเริ่มติดขัด ในศีรษะคล้ายมีเสียงอื้ออึง เบื้องหน้าสายตามืดดำ “หยุดมือ” พริบตานั้น ปรากฏลำแสงสีทองเปล่งประกายเจิดจ้าส่องสว่าง

มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 21


ทั่วห้อง ตามด้วยเสียงดังครืน เชือกควันที่ตรึงแน่นพลันหายวับ ร่างที่ แขวนกลางอากาศก็ตกสู่พื้นหมดสติไป ลำแสงสีทองคล้ายเมฆคล้ายน้ำ ลอยล่องคลอเคล้ากลิ่นหอมเย็น เข้าสู่ภายใน ชายชรารีบหมุนตัวคุกเข่า “คำนับท่านอาจารย์” “อา...เจ้าเกือบทำผิดใหญ่หลวงแล้ว” สุ้มเสียงอ่อนโยนสะท้อน ผ่านลำแสงสีทอง “อาจารย์ สันดานมารของคนผู้นี้หากไม่กำจัดสิ้น เกรงว่าภาย ภาคหน้าจะก่อเป็นภัยพิบัติ หากการเข่นฆ่าครั้งนี้เป็นความผิดต่อลิขิต สวรรค์ มาตรว่าบังเกิดเหตุอาเพศใด ล้วนให้ศิษย์เป็นผู้แบกรับเอง” ซือคงอู๋ถอนใจเนิ่นนานค่อยกล่าวว่า “ศิษย์โง่งม ธรรมชาติย่อม ดำเนินไปด้วยกฎเกณฑ์ที่ถูกกำหนด ไม่ว่าอย่างไรไม่อาจเปลี่ยนแปลง แก้ไข นี่เป็นชะตากรรมแห่งเรา เจ้าจงพามันไปที่อาศรมบรรลุแจ้งเถิด” “อาจารย์...” “เรายินดีน้อมรับชะตากรรมนี้ โดยการรับมันเป็นศิษย์” ชายชราสีหน้าแปรเปลี่ยน เมื่อผู้เป็นอาจารย์ตัดสินใจแน่วแน่ เขายังมีอันใดกล่าว ได้แต่ ใช้สายตาน้อมส่งลำแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ค่อยๆ เลือนหายไป การให้บุคคลผู้มากด้วยสันดานมารหยาบช้า ฝึกบำเพ็ญสุดยอด วิชาแห่งมรรคา โดยมีสติปัญญาที่เยี่ยมยอดและความดื้อรั้นอวดดีเป็น พื้นฐาน ภายภาคหน้าไม่ทราบบังเกิดเป็นภัยพิบัติรุนแรงปานใด ชายชรากัดฟันกรอด จะเป็นลิขิตสวรรค์อันใด ล้วนยินดีต้อนรับ ขับสูด้ ว้ ยตนเอง ต่อให้รา่ งแหลกเป็นผงธุลี หากสามารถหยุดยัง้ มหันตภัย ที่ยากคะเนนี้ได้ นับว่าคุ้มค่าแล้ว มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 22


คิดได้ดังนั้น พลันยกฝ่ามือขึ้น เพียงฝ่ามือเดียวฟาดใส่กระโหลก ทว่า...ใบหน้าที่สลบไสล บริสุทธิ์เฉกเช่นทารกแรกเกิด แต่ศีรษะของสตรีทั้งสองยังคงวางแน่นิ่งอยู่แทบเท้า ส่งกลิ่นคาว คลุ้งทิ่มแทงจมูกยิ่งนัก ภายใต้ใบหน้าประหนึ่งเทพเทวาผู้งดงาม แท้จริงแล้วกลับเป็น ปีศาจร้าย ทว่าปีศาจร้ายไยมิใช่สามารถกล่อมเกลาเป็นเทพผู้ศักดิ์สิทธิ์ได้ บางทีอาจารย์คงมีวิธีขัดเกลาสันดานมัน ฝ่ามือนี้ สมควรฟาดลงไปหรือไม่ ชายชราง้างฝ่ามือขึ้น จากนั้น ก็ยกลง กระทำอยู่เช่นนั้นหลายครา แสงจากกองไฟสาดส่องให้เห็นเม็ด เหงื่อผุดขึ้นกลางหน้าผาก สุดท้าย ฝ่ามือนั้นกลับวางลงแล้ว เปลี่ยนเป็นสองมือช้อนร่าง ที่นอนไม่ได้สติขึ้น ใต้ฝ่าเท้าบังเกิดสายลมแผ่วพลิ้ว นำพาร่างทั้งสอง ทะยานหายลับไปในรัตติกาล...

มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 23


บทที่ 1

บารมีพาเสิบสาน

เสียงเคร้งดังติดต่อกัน กระบี่สองเล่มประจันหน้าห้ำหั่น ก่อนแยก ออกอย่างรวดเร็ว ผู้กุมกระบี่ทั้งสอง ต่างฝ่ายถอยปราดไปด้านหลัง จากนั้นหันปลายกระบี่จู่โจมกันอีกครั้ง เสียงตวาดพอดัง กระบี่ของชายฉกรรจ์ผอมสูงรัวตวัดถี่ยิบ โหม กระหน่ำใส่นักพรตชุดเขียววัยกลางคนที่ตั้งรับจนแขนเสื้อสะบัดพลิ้ว เสียงกระทบดังระรัว แม้เป็นฝ่ายถอย ทว่าแต่ละกระบวนท่ากลับรับได้ โดยไม่เพลี่ยงพล้ำ ภายในห้องโถงใหญ่รโหฐาน สองด้านยกพื้นสูงเป็นที่นั่งหลายชั้น สร้างด้วยไม้เนื้อหนา ปูทับด้วยเบาะรองนั่งชั้นดี แต่ละขั้นนั่งเต็มด้วย อาคันตุกะมีเกียรติ ในจำนวนนั้น บ้างเป็นผู้มีอันจะกินแต่งกายหรูหรา คล้ายเป็นขุนนางตระกูลใหญ่ บ้างเป็นบัณฑิต บ้างแต่งเครื่องแบบทหาร ทั้งยังมี นักพรตสำนักเต๋า บรรพชิตสำนักพุทธเป็นต้น ภาพที่เห็นมิอาจ ตอบได้ว่านี่เป็นวาระการชุมนุมใดกันแน่ ชั้นบนสุดของอัฒจันทร์ปูทับด้วยเบาะรองนั่งทำจากหนังเสือดาว มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 25


เป็ น บุ รุ ษ หนุ่ ม แต่ ง กายด้ ว ยผ้ า แพรชั้ น ดี ในมื อ ถื อ พั ด แลดู โ ดดเด่ น

อายุเพียงสิบเจ็ดสิบแปดปี รูปโฉมหมดจดงดงาม หว่างคิ้วบ่งฉายแวว

หยิ่งยโส ด้านข้างแวดล้อมด้วยองครักษ์มือดีหลายคน บุรุษหนุ่มผู้นี้คือ แม่ทัพประจำอานซี บรรดาศักดิ์กุ้ยหยางกง* นามหลิวอี้เจิน แม้อายุยัง น้อยแต่กลับดำรงตำแหน่งสำคัญ มีอำนาจแต่งตั้งโยกย้ายทหารพื้นที่ใน ด่านทั้งหมด ทั้งเป็นบุคคลผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในบรรดาผู้ที่อยู่ในห้องโถง ใหญ่นี้ บุ รุ ษ วั ย กลางคนที่ นั่ ง ถั ด ลงมา หน้ า ตาเรี ย บร้ อ ยสะอาดสอ้ า น แต่งกายด้วยชุดยาวผ้าปักสีม่วงคราม สายตาจับจ้องแน่วนิ่งอยู่ที่การ ประลองกระบี่กลางห้องโถง มือข้างหนึ่งคอยยกขึ้นลูบเคราด้วยความ กระวนกระวายใจ กระบี่ของนักพรตเสือกออกแผ่วเบา แก้กระบวนท่าของฝ่าย ตรงข้ามที่พุ่งตรงเข้าใส่ ทั้งบีบคั้นอีกฝ่ายถอนกระบี่วกกลับป้องกันตัว จังหวะนั้นนักพรตพลันเปลี่ยนเป็นฝ่ายรุกไล่ กระบี่ตวัดไปมาไม่เร่งไม่รีบ เพียงสกัดการโจมตีอย่างรวดเร็วของ คู่ต่อสู้ ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นหนักหน่วงรุกโหม ชายฉกรรจ์ที่ตกเป็นฝ่าย รับ กระบี่ยิ่งต้านรับยิ่งร้อนรน ผู้ชมที่นั่งอยู่ต่างเบือนหน้าหนี ไม่คิดชม ดูต่อไป ยกจอกสุราบนถาดไม้จันทน์ขึ้นดื่มอย่างสบายอารมณ์ เนื่องเพราะประเมินออกว่าชายฉกรรจ์ผอมสูงพ่ายแพ้อย่างไม่ ต้องสงสัย มือกระบี่เมื่อสูญเสียซึ่งสภาวะและโอกาสการโจมตี ต่อให้ กระบวนท่าล้ำเลิศเพียงใดย่อมไม่อาจทำให้ผู้อื่นหวั่นเกรง หลิวอี้เจินเลิกคิ้วมอง เห็นเพียงชายฉกรรจ์ผอมสูงเป็นฝ่ายรุก ไล่ ฝ่ายนักพรตเอาแต่ล่าถอย อดแสดงสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องออกมา * บรรดาศักดิ์ชั้นสูงสุด จากห้าลำดับของจีน เทียบเท่าเจ้าพระยาของไทย มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 26


มิได้ ครานี้ยิ่งตั้งใจชมดูการประลองกลางห้องมากขึ้น พลันร้องตะโกน ด้วยสะกดใจไม่อยู่ “เจี้ยนเจียวกู่อันประเสริฐ” องครักษ์ติดตามของหลิวอี้เจินพากันส่งเสียงรับคำ เพื่อประจบ สอพลอผู้เป็นนาย สภาวะกระบี่ของชายฉกรรจ์รวดเร็วฉับไว ย่ามใจว่าตนยังไม่ถึง กับไร้หนทาง แต่ก็รู้สึกได้ถึงท่าทีเย็นชาเฉยเมยของผู้ชมภายในห้อง ทุกคนล้วนแต่รอชมดูมันพ่ายแพ้ เสียงตะโกนของหลิวอี้เจินเมื่อครู่ คล้ายเป็นกำลังใจคลายความอับอายที่ปรากฏบนใบหน้า มันกัดฟันเกร็ง พลั ง ที่ ข้ อ มื อ วาดกระบี่ ก ลางอากาศเสี ย งดั ง ควั บ เสื อ กแทงเข้ า ใส่ นักพรตอย่างดุดัน นักพรตสะอึกแขนออกรับ พลังกระบี่รุนแรงแทงสวนทะลุเนื้อผ้า จีวร นักพรตอาศัยจังหวะที่ตนเองก้าวขึ้นหน้า รีบเสือกกระบี่พุ่งตรงไปที่ จุดคอหอยของชายฉกรรจ์ “หยุด!” นักพรตตวาดเสียงดัง พลันถอนกระบี่กลับ หันปลาย กระบี่ลงด้านล่าง ประสานมือกุมด้ามกระบี่แสดงการคารวะ เวลานั้น ชายฉกรรจ์มือกุมกระบี่ เท้าทั้งสองตรึงอยู่กับที่ ตะลึง ลานทำอะไรไม่ถูก ด้านหลิวอี้เจินยิ่งตะลึงงัน สีหน้าปรากฏแววคาดไม่ถึง เจี้ยน เจียวกู่ถึงกับพ่ายแพ้ภายในไม่กี่กระบวนท่าเดียว สีหน้ามันขณะนั้น

แปรเปลี่ยนเป็นไม่น่าดูอย่างยิ่งด้วยความอับอายเสียหน้า ชายกลางคน สวมใส่ชุดยาวสีครามพบเห็นเช่นนั้น จึงแสร้งหัวร่อกลบเกลื่อนว่า “ยอด เยี่ยม ยอดเยี่ยมหากมิใช่จอมยุทธ์เจี้ยนยั้งมือถนอมไมตรี ป่านนี้แขน ของกุ้ยเสวียนจื่อคงหลุดลอยแล้วกระมัง” หลิวอี้เจินถามขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “เช่นนั้นเป็นผู้ใดชนะ?” มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 27


ชายกลางคนลูบเคราแย้มยิม้ กล่าวว่า “ดาบของจอมยุทธ์เจี้ยนเป็น ฝ่ายแทงทะลุแขนเสื้อของกุ้ยเสวียนจื่อก่อน ทุกท่านล้วนเห็นกับตา แน่นอนว่าจอมยุทธ์เจี้ยนฝีมือสูงกว่าขั้นหนึ่ง” ได้ยินดังนั้น หลิวอี้เจินพลันเปลี่ยนเป็นยินดีแล้ว “นักพรตกุ้ย เสวียนจื่อนับว่ามีฝีมืออยู่บ้าง กับเจี้ยนเจียวกู่ไม่ด้อยกว่ากัน เพียงแต่ ลงมือเชื่องช้าเล็กน้อย ต้องพ่ายแพ้ไปอย่างน่าเสียดาย” กุ้ยเสวียนจื่อที่เวลานี้ถอยกลับไปยังที่นั่งของตน สีหน้าปรากฏ รอยปรามาสวูบหนึ่ง หากทว่ามิได้แสดงท่าทีใดๆ ต่อการแพ้ชนะครั้งนี้ ผู้ชมในที่นั้นต่างรู้ดีว่า นี่เป็นแต่เพียงคำพูดคลี่คลายสถานการณ์ของ

ผู้จัดงานชุมนุม เพื่อไว้หน้าหลิวอี้เจิน จึงมิได้ใส่ใจเอาความ ชายกลางคนยิ้มพลางกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพกล่าวได้ถูกต้อง ครั้ง นี้เป็นข้าน้อยพ่ายแพ้แล้ว เด็กๆ” สิ้นเสียงเรียก บ่าวรับใช้สี่คนจากด้านนอกพากันยกตั่งเล็กเข้ามา รวมสองตัว ตั่งตัวหนึ่งมีผ้าแพรต่วนจำนวนหลายพับวางสุมอยู่ ตั่งอีก ตัวเป็นชามหยกคู่หนึ่งวางอยู่บนฐานรอง เนื้อหยกเบาบางเนียนเกลี้ยง บ่าวรับใช้นำตั่งทั้งสองจัดวางทางด้านซ้ายของอัฒจันทร์ ซึ่งเดิมมีโต๊ะที่ วางเรียงรายด้วยสิ่งของล้ำค่าอยู่ก่อนแล้ว “ข้ า น้ อ ยยอมแพ้ แ ต่ โ ดยดี ท่ า นแม่ ทั พ ชามหยกคู่ นี้ พอใช้ ไ ด้

หรือไม่” หลิวอี้เจินไม่แม้แต่เหลือบมอง ยิ้มลำพองก่อนกล่าวว่า “นครฉางอั น เป็ น ถึ ง อดี ต ราชธานี แ คว้ น จิ้ น สมควรมากด้ ว ย บุคคลผู้มีความสามารถ มิทราบยังมีผู้กล้าท่านใดคิดประลอง โปรด แสดงตัวเต็มที่ ให้พวกเราได้ชมดูเป็นขวัญตา” ชายกลางคนยิ้มตอบว่า “เกรงว่าครั้งนี้ ข้าน้อยคงต้องพ่ายแพ้ มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 28


หมดตัวแน่แล้ว เช่นนี้เถิด สิ่งของเหล่านี้ยังคงอย่านำกลับไป ข้าน้อย จัดทำกุญแจห้องเก็บของมีค่าขึ้นอีกชุดหนึ่ง ส่งมอบให้แก่ท่านดีหรือ ไม่” หลิวอี้เจินหัวร่อฮาๆ “มาตรว่ากลัวพ่ายแพ้จนหมดตัว ไยท่านไม่ เรียกผู้มีฝีมือสูงส่งออกมา อย่าได้เก็บงำของดีไว้” ชายกลางคนใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้มเกรงใจ แต่ผู้อื่นกลับ ชมดูออกว่าในใจมันไม่เบิกบานนัก มันหาใช่สำนึกเสียดายสิ่งของล้ำค่าเหล่านี้ อวิ๋นชุ่ยผู้ร่ำรวยมั่งคั่ง สืบต่อกันมาถึงห้ายุคสมัย ไม่ว่าฉางอันจะผลัดกันตกเป็นของชนเผ่า

ใด ไม่ ว่ า สงครามจะหนั ก หน่ ว งรุ น แรงเพี ย งไหน ยั ง คงพลิ ก แพลง สถานการณ์ให้ตนเองเป็นฝ่ายได้ประโยชน์เสมอมา ทว่า การแสวงประโยชน์มากมายหาจุดประสงค์เพียงหนึ่งเดียว อวิ๋นชุ่ยผู้มีแหล่งพักพิงในนครฉางอัน บ่อยครั้งได้นำข้าวปลาอาหาร แจกจ่ายแก่ราษฎรผู้ตกยาก ทั้งยังเชิญแพทย์มีชื่อเสียงสิบกว่าคนออก ตระเวณรักษาผู้ป่วยทั่วสารทิศ ติดต่อมีความสัมพันธ์อันดีกับข้าราช สำนักประจำนครฉางอัน เพื่อให้ควบคุมบรรดาทหาร งดเว้นการขูดรีด ชาวบ้านผู้ยากไร้ แม้สิ่งที่กระทำได้มีจำกัด แต่อวิ๋นชุ่ยกลับเป็นคหบดีผู้มั่งคั่งที่ชาว บ้านต่างพากันเคารพนับถือ และด้วยเหตุนี้ มันจึงชนะใจได้คบหากับ ชาวยุทธ์ผู้กล้าในยุทธภพจำนวนมากมาย ผู้ ม ากคุ ณ ธรรมมั ก ไม่ ร่ ำ รวย คำกล่ า วเช่ น นี้ ย่ อ มใช้ ไ ม่ ไ ด้ กั บ

อวิ๋นชุ่ยเด็ดขาด อวิน๋ ชุย่ หลังจากร่ำรวย สิง่ ทีต่ อ้ งการทีส่ ดุ กลับเป็น “คุณธรรม” การ แสวงหาทรัพย์สมบัติสุดชีวิต เพื่อนำมาแลกเปลี่ยนคุณธรรมที่มากขึ้น มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 29


ทั้งยังใช้ความมั่งมีกระทำในสิ่งที่ตนเองคิดอยากกระทำ นี่ต่างหากคือ เป้าหมายแท้จริง งานชุมนุมยิ่งใหญ่วันนี้ มันหว่านเงินจ่ายทองมหาศาล ทั้งไหว้ วานผู้คนมากหน้าหลายตา จึงสามารถจัดงานเลี้ยงงานหนึ่งขึ้นมาได้ เดิมทีคิดหมายซื้อคุณธรรมจากผู้มีอำนาจในราชสำนัก แต่สุดท้ายกลับ กลายสภาพเป็นดังนี้ มิให้รู้สึกเศร้าสลดใจได้อย่างไร นับแต่สมัยกษัตริย์จิ้นหวยตี้ ราชวงศ์จิ้นตะวันตก* เกือบร้อยปีที่ ผ่านมา นครฉางอันถูกโจมตีและยึดครองโดยชนเผ่าซยงหนู และเผ่า เซียนเปยผลัดเปลี่ยนกันหลายต่อหลายครา ประชาชนส่วนมากที่เป็น ชาวฮั่น จำต้องทนทุกข์จากการกดขี่ข่มเหงของชนเผ่าอื่นอย่างไม่อาจ หลีกเลี่ยง ดั่งเช่นมีชาวฮั่นจำนวนไม่น้อยถูกขับไล่จนต้องพลัดที่นาคาที่ อยู่ อพยพขึ้นภูเขากวนโหล่ง เกือบร้อยปีของการเฝ้ารอราชวงศ์จิ้นกลับมารุ่งเรืองเพื่อหวนคืน สู่นครฉางอัน แต่ยิ่งเฝ้ารอราชธานียิ่งย้ายไกลออกไป กระทั่งไปถึงนคร เจี้ยนคัง ราชสำนักนับวันยิ่งตกต่ำเสื่อมโทรม แม้แต่ราชธานียังแทบ รักษาไม่รอด ไม่ต้องพูดถึงการยึดคืนนครฉางอัน ราษฎรต่างพากัน ละทิ้งความหวังที่จะย้ายกลับถิ่นฐานเดิม มิคาด เวลาต่อมากลับปรากฏยอดขุนพลนามหลิวอวี้** เป็นผู้นำ ทัพบุกโจมตีตั้งแต่แคว้นเยียนใต้ ตามด้วยปราบปรามกบฏหลูสวิน ยึด คืนนครลั่วหยาง จากนั้นบุกทำลายอาณาจักรโฮ่วฉิน*** ที่ก่อตั้งโดย

* ยุคราชวงศ์จิ้นตะวันตก คศ.265 - 346 ซือหม่าเยียน (สุมาเอี๋ยนในสามก๊ก) ช่วงชิงบัลลังก์จาก แคว้นเว่ย จากนั้นตั้งตนเป็นกษัตริย์จิ้นอู่ตี้ ** ยอดขุนพลยุคราชวงศ์จิ้นตะวันออก ต่อมาภายหลังโค่นล้มราชวงศ์จิ้นตะวันออก สถาปนาเป็น ราชวงศ์ใต้ (ซ่ง) ปฐมกษัตริย์ซ่งอู่ตี้ *** หนึ่งในสิบหกอาณาจักรยุคราชวงศ์จิ้นตะวันออก เรืองอำนาจช่วงปีคศ.384 - 417 มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 30


ชนเผ่าเชียง ยึดคืนนครฉางอัน ราษฎรในด่านล้วนตื่นเต้นดีใจกันถ้วน หน้า ข่าวทัพจิ้นได้ชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่ ทำให้ชาวบ้านที่เคยอพยพขึ้น ไปอาศั ย บนเขา เสี่ ย งตายกลั บ มายั ง พื้ น ที่ ใ นด่ า นที่ อ ยู่ ภ ายใต้ ก าร ปกครองของราชวงศ์จิ้น หลิวอวี้เวลาต่อมาย้ายทัพกลับนครเจี้ยนคัง พร้อมกันนั้นได้โยกย้ายบุตรชายคนรองที่ตนโปรดปราน นามหลิวอี้เจิน ดำรงตำแหน่งแม่ทัพตรวจการประจำพื้นที่อานซี นำกองกำลังทหาร ปกป้องพื้นที่ดังกล่าวต่อไป หลิวอี้เจินมีสติปัญญาฉลาดเฉลียว ความสามารถทางอักษรโดด เด่น อีกทั้งยังคบหายอดฝีมือในยุทธภพและนักพรตต่างๆ มากมาย แม้ อายุไม่ถึงยี่สิบปี ก็ดำรงตำแหน่งสำคัญ รับผิดชอบป้องกันนครฉางอัน แต่ทว่ากลับเป็นคนไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ หยิ่งลำพองตน นับแต่นั่ง ตำแหน่งแม่ทัพตรวจการ ก็ตกรางวัลปูนบำเหน็จแก่คนรับใช้ใกล้ชิดของ ตนอย่างสุรุ่ยสุร่าย ทั้งปล่อยคนในปกครองปล้นสะดมชาวบ้านตาม อำเภอใจ ทำให้ราษฎรฉางอันผิดหวังยิ่งนัก อวิ๋นชุ่ยนับได้ว่าเป็นคหบดีอันดับหนึ่งของนครฉางอัน อีกทั้งเป็น ชาวจงหยวน (ที่ราบภาคกลาง) วัตถุประสงค์ที่จัดงานชุมนุมยิ่งใหญ่ครั้ง นี้คือ ให้หลิวอี้เจินได้พบปะคบหากับยอดฝีมือชาวฮั่น และจอมยุทธ์

ผู้กล้า เพื่อเป็นกำลังสำคัญของราชวงศ์จิ้นในการขับไล่เผ่าอื่น ให้นคร ฉางอันอยู่รอดปลอดภัยสืบไป ทว่าหลิวอี้เจินกับบรรดาลูกสมุนใกล้ชิด กลับแสดงท่าทีหยิ่งยโส ไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา มองอวิ๋นชุ่ยเป็นเช่น คหบดีทั่วไปที่ต้องหมอบศิโรราบให้ตน และมองการประลองของผู้ที่มา ร่วมงานเพราะเห็นแก่หน้าอวิ๋นชุ่ย เป็นแต่เพียงสุนัขกัดกันหรือแข่ง

ชนไก่ก็มิปาน ทำให้อวิ๋นชุ่ยรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเป็นที่สุด มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 31


นับเป็นโชคดีที่เหล่ายอดฝีมือใจคอกว้างขวาง พากันเก็บงำความ ไม่พอใจ ยินยอมประลองกับผู้ติดตามของหลิวอี้เจิน การประลองฝีมือ เช่นนี้ แน่นอนไม่อาจจริงจังเกินไป ฉะนั้นผู้กล้าทั้งหลายไม่แยแสใส่ใจ ต่อผลแพ้ชนะนัก ครั้นได้ฟังคำพูดยโสโอ้อวดของหลิวอี้เจิน ในใจลอบ ยิ้มเย้ยระคนผิดหวังอยู่ครามครัน หากมิใช่เห็นแก่ซ่งหวัง (ท่านอ๋องแซ่ ซ่ง) บิดาของหลิวอี้เจิน ผู้เป็นวีรบุรุษเมื่อครั้งยึดคืนนครฉางอัน เกรงว่า ไม่มีผู้ใดยินดีให้เด็กน้อยอวดดีเบื้องหน้า กล่าววาจาสามหาวเช่นนี้เป็น แน่ อวิ๋นชุ่ยแลเห็นใบหน้าเหล่ายอดฝีมือ ปรากฏแววเฉื่อยชา คล้าย ไม่มีผู้ใดเต็มใจคล้อยตามข้อเสนอเรื่องการประลองยุทธ์ของหลิวอี้เจิน จึงเอ่ยขึ้นว่า “จวนท่านแม่ทัพมากพร้อมด้วยยอดฝีมือ ผู้คนต่างได้เปิดหูเปิด ตา วันนี้ข้าน้อยได้ตระเตรียมสุราอาหารรสเลิศไว้คอยท่า เรียนเชิญท่าน แม่ทัพเคลื่อนย้ายไปยังโต๊ะอาหารเถิด” ผิดคาด หลิวอี้เจินอารมณ์คึกคะนองไม่จางหาย ยิ้มพลางโบกไม้ โบกมือ “ต้องรีบร้อนไป ฟังว่ายอดฝีมือแถบภูเขากวนโหล่ง วันนี้ล้วน มากันพร้อมหน้า มาตรว่ามิได้แสดงฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์ งานเลี้ยง

วันนี้เห็นทีคงไร้รสชาติยิ่ง นอกจากเจี้ยนเจียวกู่ เรายังมีผู้ติดตามใกล้ ชิดที่ฝีมือร้ายกาจอีกมากมิทันได้ลงสนาม ฉะนั้นทุกท่านยังคงออกมา แสดงฝีมือกันอีกสักคราเถิด” ได้ฟังว่า หลิวอี้เจินใช้บุคคลผู้มีจิตใจคิดตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน

เป็ น เครื่ อ งมื อ สร้ า งความบั น เทิ ง แก่ ต นเอง ใบหน้ า เหล่ า ผู้ ก ล้ า พลั น ปรากฏเค้าลางไม่พอใจ ส่วนอวิ๋นชุ่ยในใจกลับยิ่งทวีความกังวลเพิ่มขึ้น จึงสรรหาวิธีเบี่ยงเบนความคิดของหลิวอี้เจิน ขณะกำลังอ้าปากเอ่ยคำ มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 32


เสียงหลิวอี้เจินพลันดังแทรกขึ้น “เยอี้กูเล่อ!” ด้านซ้ายของอัฒจันทร์ ปรากฏผู้กล้าชาวเผ่าเจี๋ยผู้หนึ่งก้าวเดิน ออกมา อาวุธในมือเป็นตะขอยาวรูปร่างแปลกพิสดารคู่หนึ่ง ด้านปลาย โค้งงอแหลมคม ส่วนด้ามจับทำเป็นช่องพอดีสอดนิ้วมือทั้งสี่ เหนือ

ช่องฝังไว้ด้วยมีดวงพระจันทร์ มองเห็นสีฟ้าครามจากเนื้อเหล็กเปล่ง ประกายเจิดจ้า หลิวอี้เจินแย้มยิ้มกล่าวว่า “เยอี้กูเล่อ เป็นยอดฝีมือที่ร่วมรบกับ ท่านพ่อเราเมื่อครายกทัพปราบแคว้นเยี่ยน นับแต่เราชุบเลี้ยงไว้ ยัง ไม่ มี ผู้ ใ ดหาญกล้ า เป็ น คู่ ต่ อ สู้ ข องมั น สั กราย ในพวกท่ า น ผู้ ใ ดยิ น ดี ทดสอบ มาตรว่าเอาชนะได้ ย่อมมีรางวัลอย่างงาม” มุมด้านขวาของที่นั่งชั้นบน ความกระตือรือร้นของนักสู้ทุกคน ล้วนถดถอย บ้างสนใจกับการดื่มสุรา บ้างสนทนากันด้วยความเบื่อ หน่าย ไม่มีสักผู้หนึ่งให้ความร่วมมือ หลิวอี้เจินเห็นดังนั้นกลับกระหยิ่ม ยิ้มย่อง หัวร่อร่วนพลางกล่าวว่า “ไม่ มี ผู้ ก ล้ า ท่ า นใดคิ ด ทดสอบใช่ ห รื อ ไม่ ? เช่ น นั้ น ตกรางวั ล

ผู้ชนะ ผ้าแพรต่วนห้าสิบพับ! ผู้แพ้ตกรางวัลสามสิบพับ!” ค่าใช้จ่ายกินอยู่ของชาวบ้านทั่วไปเดือนหนึ่ง ไม่แน่ว่าสามารถ ซื้อผ้าแพรต่วนสักพับได้ แต่สามสิบห้าสิบพับสำหรับหลิวอี้เจินแล้ว คล้ายเป็นเพียงค่ากระดูกชิ้นหนึ่งเลี้ยงสุนัขเท่านั้น เหล่ายอดฝีมือแม้ไม่ มั่งมี แต่หาได้ใส่ใจอยากได้สิ่งของประดานี้ไม่ ยังคงสงบนิ่งไม่มีความ เคลื่อนไหวแต่อย่างใด หลิวอี้เจินกล่าวต่อว่า “ตะขอยาวนี้อานุภาพรุนแรง เราทราบดีว่า พวกท่านพบเห็นเข้า ให้บังเกิดสูญเสียความกล้า ครานั้นท่านพ่อเราก็ อาศัยยอดฝีมือเยอี้กูเล่อผู้นี้ กวาดล้างแคว้นโห้วฉินจนสิ้น พวกตัวโง่งม มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 33


ปกครองบ้านเมืองนับร้อยปี สุดท้ายจึงค่อยสำเหนียกว่า วิชาฝีมือที่แท้ จริงนั้นหน้าตาเป็นเช่นไร” สีหน้าเหล่ายอดฝีมือ ยิ่งมายิ่งไม่อาจรักษาความนิ่งเฉย ลอบ

คิดในใจว่า หลิวอี้เจินคล้ายเจตนาลบหลู่พวกตนเป็นตัวโง่งม พอดีกับมี คนผู้หนึ่งคิดกล่าวคำ แต่อวิ๋นชุ่ยชิงเอ่ยขึ้นก่อนว่า “ซ่งหวัง (ท่านอ๋องแซ่ซ่ง) ทักษะฝีมือและคุณธรรมยิ่งใหญ่เกรียง ไกร ข้อนี้นับเป็นบุญวาสนาของแผ่นดิน ทว่าวันนี้ทุกคนต่างสนุกเต็มที่ แล้ว วันหน้าค่อยจัดประลองอีกครา” “เอ๊ะ หรือท่านตัดใจจากของเดิมพันเหล่านี้ไม่ได้? ฮาฮา เราหา ใช่ต้องการของล้ำค่า ขอเพียงเบิกบานใจ ก็นับว่าพอแล้ว สั่งคนของ ท่านยกกลับไปเถิด ถือว่าทุกคนมาคบหาเป็นสหายกัน” อวิ๋นชุ่ยไม่คาดคิดว่า คุณชายหลิวจะเปล่งวาจายุ่งเหยิงวุ่นวายได้ ถึงเพียงนี้ ยิ่งปวดเศียรเวียนเกล้าหนักขึ้นกว่าเดิม ในใจลอบคิด หากไม่ นำของเหล่านี้ออกไป หลิวอี้เจินคงไม่ยินดีนัก หากตนสั่งให้ยกของออก ไป บรรดานักบู๊คนสนิทของหลิวอี้เจินกลับจะเป็นฝ่ายไม่พอใจ แต่หาก เวลานี้มอบให้กับนักบู๊เหล่านั้น หลิวอี้เจินอาจถูกผู้อื่นติฉินนินทาได้ว่า คิดใช้สิ่งของซื้อใจคนสนิทของมัน อวิ๋นชุ่ยยิ้มกว้างกล่าวว่า “ความปรารถนาดีของท่านแม่ทัพ ข้า น้อยไหนเลยรับสิ่งของกลับคืนได้ เวลานี้บ้านเมืองอยู่ในห้วงที่เสบียง ทหารขาดแคลน เช่นนั้นท่านแม่ทัพไยไม่นำสิ่งของเหล่านี้บริจาคเข้า กองคลัง เพื่อเป็นทุนรอนต่อไป” หลิวอี้เจินตอบรับเสียงราบเรียบ “ได้ ทำตามท่านว่าก็แล้วกัน” พลางโบกมือออกคำสั่งให้องครักษ์นำของล้ำค่ากองเท่าภูเขาออกไป อันว่าสิ่งของเมื่อออกจากที่นี้ สุดท้ายแล้วไปถึงคลังเสบียงหรือไม่ ย่อม มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 34


ไม่ มี ผู้ ใ ดสื บ สาวเอาความ เหล่ า นั ก สู้ ด้ า นข้ า งหลิ ว อี้ เ จิ น สี ห น้ า พลั น ปรากฏแววลิงโลดยินดี “ว่าอย่างไร? ผู้ใดจะออกมา? ไม่ว่าผลแพ้ชนะ เราต่างตกรางวัล หนึ่งร้อยพับทันที” มิ คาด มั น กลั บ ดั น ทุ รั ง ให้ ป ระลองต่ อ อวิ๋ น ชุ่ ย ในใจยิ่ ง ร้ อ นรุ่ ม สีหน้าแปรเปลี่ยน ทว่ายังคงฝืนยิ้มออกมา เดิมยอดฝีมือทั้งหลายด้วย เห็นแก่หน้าอวิ๋นชุ่ย จึงยอมเข้าร่วมประลอง แต่เวลานี้แม้หลิวอี้เจิน

กระทั่งหยามหมิ่นด้วยการใช้ของล้ำค่าเป็นเครื่องล่อใจ แต่กลับไม่มีผู้ใด ยินดีลงสนามสักผู้เดียว เห็นทุกคนเงียบเฉยไร้ปฏิกริ ยิ า หลิวอีเ้ จินต่อให้ไร้เดียงสาเพียงใด

ก็ต้องมองสถานการณ์ออก จึงตวาดด้วยเสียงอันดังว่า “ไฉนไม่มีผู้ใด ออกมา เมื่อครู่เพียงประลองได้สามครั้งเท่านั้น หรือว่าชาวจงหยวน (แผ่นดินภาคกลาง) ไร้ซึ่งยอดฝีมือเสียแล้ว” ไม่ทราบเป็นทิศทางใดปรากฏเสียงหัวร่อเย้ยหยันดังมา “ยอดฝี มื อ จงหยวนล้ ว นตกตายสิ้ น ยั ง มี ผู้ ใ ดออกมา ซ่ ง หวั ง (ท่านอ๋องแซ่ซ่ง) อาศัยสุนัขรับใช้ชาวเจี๋ยหรือว่าอาศัยชาวฉางอันที่

พลีชีพจนหมดสิ้นพิชิตเอาฉางอันคืนมา? ” หลิวอี้เจินได้ยินดังนั้น ฟาดโต๊ะดังฉาดก่อนเอามือกุมกระบี่ แผด เสียงดังลั่นด้วยความกราดเกรี้ยว “สามหาวนัก ออกมา!” หลิวอี้เจินยังมีโทสะถึงเพียงนี้ เหล่าผู้กล้าที่ได้ยินกลับเดือดดาล

ยิ่งกว่า แท้จริงแล้วที่ซ่งหวัง (ท่านอ๋องแซ่ซ่ง) สามารถทำลายกวาด

ล้ า งแคว้ น โห้ ว ฉิ น ได้ ความดี ค วามชอบสมควรตกเป็ น ของแม่ ทั พ

หลงเซียงมากที่สุด เดิมแม่ทัพหลงเซียงเป็นชาวนครฉางอัน มีวิชาฝีมือ

มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 35


ยอดเยี่ยมไร้ผู้เทียบเทียม อุปนิสัยห้าวหาญ ทว่าหลังจากบุกตีเอาคืน

ฉางอานกลับมาได้สำเร็จ กลับถูกหลิวอวี้ที่อิจฉาริษยาสำเร็จโทษด้วย การประหารอย่างไร้ความเป็นธรรม ชาวฉางอันคิดถึงเรื่องนี้คราใดให้

คับแค้นใจยิ่งนัก จังหวะนั้นเอง ปรากฏเงาร่างสีเทาจากบนอัฒจันทร์พลิ้วลงมาสู่ กลางห้องโถง ที่แท้เป็นชายชราเส้นผมสีดอกเลาผู้หนึ่ง ในมือถือไม้เท้า ใบหน้าแดงฝาด หลิวอี้เจินเห็นท่าร่างสง่างามของชายชรา ให้บังเกิด ความโปรดปรานขึ้นในจิตใจ กล่าวชื่นชมว่า “ท่าร่างที่ประเสริฐ! เจ้าจงประลองกับเยอี้กูเล่อ เอาชนะมันได้ เราไม่เพียงเว้นโทษให้ ทั้งยังมีรางวัลอย่างงาม” อวิ๋นชุ่ยจดจำชายชราผู้นี้ได้ มันคือ กูไกว่เวิง (ไม้เท้าเดียวดาย) ที่เร้นกายออกจากยุทธภพเมื่อนานมาแล้ว อุปนิสัยใจคอเย่อหยิ่ง วาจา เผ็ดร้อน แต่ไรมาเป็นผู้รักสันโดษ คราครั้งนี้ไม่ทราบด้วยเหตุใด ได้ฟัง ว่าอวิ๋นชุ่ยส่งเทียบเชิญชาวยุทธ์ กลับล่วงหน้ามาร่วมงานโดยที่มิได้รับ เทียบ อวิ๋นชุ่ยแน่นอนย่อมให้การต้อนรับเป็นอย่างดี แต่ไม่เคยคาดคิด ว่า กูไกว่เวิงจะกล่าววาจายั่วโทสะหลิวอี้เจินในเวลาเช่นนี้ อวิ๋นชุ่ยขณะ นั้นหัวใจเต้นระส่ำจนแทบหลุดขึ้นมาถึงลำคอ อันที่จริง สิ่งที่ทำให้อวิ๋นชุ่ยปวดเศียรเวียนเกล้าหาใช่การปรากฏ ตัวของบุคคลผู้นี้ แต่เป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านหลังอวิ๋นชุ่ย มี อาการลุกลี้ลุกลนเป็นระยะ หลายครั้งที่ฟังคำพูดของหลิวอี้เจินกระทั่ง เกิ ด อาการพลุ่ ง พล่ า นจนแทบกระโจนออกมาแสดงฝี มื อ สั่ ง สอนให้

รู้ ส ำนึ ก ทว่ า เมื่ อ ใดที่ ตั้ ง ท่ า ลุ ก ขึ้ น อวิ๋ น ชุ่ ย พลั น อ้ อ มมื อ มาทุ บ ตี

ทุ บ ตี กระทั่ ง ขาของมั น ไม่ อาจยื น ขึ้ น ได้ อากั ป กิ ริ ย าที่ เ กิ ด ขึ้ น เหล่ า นี้ นอกจากอวิ๋นชุ่ยและเด็กหนุ่มแล้ว ไม่มีผู้ใดล่วงรู้อีก มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 36


เด็ ก หนุ่ ม ผู้ นี้ ก ลั บ มิ ใ ช่ ใ ครที่ ไ หน แต่ เ ป็ น บุ ต รชายคนเดี ย ว

ของอวิ๋นชุ่ย นามอวิ๋นซื่อซง แม้บุคลิกไม่สูงสง่าเท่าบิดา แต่ด้วยความที่ เป็ น บุ ต รชายคนเดี ย วของคหบดี ผู้ มั่ ง คั่ ง อั น ดั บ หนึ่ ง ของนครฉางอั น เรียกหาสิ่งใดล้วนได้ตามประสงค์ กระทั่งบ่มเพาะเป็นคนดื้อรั้นหัวแข็ง ไม่ยินยอมค้อมหัวให้ผู้ใด แต่บ้านสกุลอวิ๋นอบรมสั่งสอนถูกทาง ทำให้ อีกด้านหนึง่ เป็นคนใจคอเปิดเผยกว้างขวาง นับได้วา่ ยังอยู่ในกฎระเบียบ อยู่บ้าง ได้ยินกูไกว่เวิงกล่าววาจาประชดประชันเช่นนั้น อวิ๋นซื่อซงในใจ เบิกบานยิ่ง ไม่ทันทราบว่าชายชรามีปูมหลังเป็นมาเช่นไร ก็เอนเอียง เข้ า ข้ า ง ทั้ ง ยั ง คาดหวั ง ว่ า จะได้ เ ห็ น กู ไ กว่ เ วิ ง แสดงฝี มื อ ให้ ป ระจั ก ษ์

สั่งสอนคนชั่วช้าสกปรกเหล่านั้นให้สาแก่ใจ อวิ๋นซื่อซงคิดเช่นนั้นโดย มิได้คำนึงว่าบิดาตนขณะนี้จิตใจรุ่มร้อนแทบตาย แต่ผิดคาด กู ไกว่เวิงมิได้แสดงฝีมือแต่อย่างใด เพียงเลิกคิ้วสูง ก่อนใช้สายตาเคร่งขรึมกวาดมองไปยังใบหน้าหลิวอี้เจิน ยิ้มมุมปาก กล่าวว่า “ซ่งหวัง (ท่านอ๋องแซ่ซ่ง) มอบหมายให้ทารกปีศาจที่ ไม่รู้จัก

ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเช่นเจ้ารักษาดูแลนครฉางอัน ดูท่าฉางอันคงยืนหยัดได้ ไม่นานเสียแล้ว ทารกปีศาจที่นิยมหาความสำราญเยี่ยงนี้ รอให้แคว้น เซี่ยบุกเข้ามาย่ำยีถึงฉางอัน จับตัวกลับไปสั่งสอนสักครา ถึงตอนนั้นเจ้า คงได้สุขเกษมสมใจกว่านี้เป็นแน่” “โอหังนัก! เฒ่าโสโครกบังอาจพูดจากำเริบเสิบสานชักศึกเข้า บ้าน จับตัวมันไว้!” อวิ๋นชุ่ยคิดห้ามปรามกลับสายเกินไป องครักษ์จาก ด้านนอกพลันกรูเกรียวเข้ามา พริบตานัน้ ได้ยนิ เสียงดังพลัก่ ตามมาด้วย เสียงครวญครางของเหล่าองครักษ์ที่ถูกแรงปะทะจนปลิวร่วงลงกับพื้น มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 37


ร่างของกู ไกว่เวิงลำตัวตั้งตรงไม่สั่นคลอนไหวเอนแม้แต่น้อย ขณะเดินออกสู่ด้านนอกของห้องโถง พริบตานั้น เสียงดัง ‘ฟึ่บ’ เฉียดผ่านข้างหู กูไกว่เวิงเอียงหลบวูบ ตามติดมาด้วยเสียง ‘หวืด’ ของอาวุธที่รุกไล่เข่นฆ่ารวดเร็วปานสายฟ้า ที่แท้เป็นตะขอคู่ของเยอี้กูเล่อที่กระหน่ำตามหลังมา กูไกว่เวิงผงะถอย ก้าวหนึ่ง หงายร่างไปด้านหลัง ยกไม้เท้าขึ้นต้านรับตะขอคู่ ได้อย่าง

ทันท่วงที พริบตานั้นไม้เท้าพลันเปลี่ยนจากตั้งรับเป็นฟาดรุกบนทีล่างที บั ง เอิ ญ สอดเข้ า ส่ ว นโค้ ง งอของตะขอคู่ เยอี้ กู เ ล่ อ ออกแรงดึ ง กลั บ

ไม้เท้าก็ดึงรั้ง ไม่ว่าอย่างไรก็ดึงตะขอให้หลุดจากไม้เท้าไม่ได้ สายเลือด เผ่าเจี๋ยในกายพลุ่งพล่าน ระเบิดเสียงร้องคลุ้มคลั่งดังสนั่นหวั่นไหว

ฝุ่นละอองบนขื่อคานร่วงหล่นเกรียวกราว ผู้คนที่นั่งชมต่างพากันตื่น ตระหนก อวิ๋นซื่อซงตกใจตะลึงจนตาค้าง รีบยกสองมือปิดใบหูทันใด ด้านกู ไกว่เวิง ได้ยินเสียงคำรามปานฟ้าผ่า ในใจสะท้านวูบ ไม้ เท้าเกือบหลุดจากมือ ลอบขบคิดว่า ‘เจ้าสุนัขเผ่าเจี๋ยตัวนี้ นับว่ามีฝีมือ อยู่บ้าง!’ เกร็งพลังข้อมือกระชับไม้เท้ามั่น ลากเอาเยอี้กูเล่อถลาตาม มาสองสามก้ า ว ก่ อ นเอ่ ย เสี ย งเย็ น ชาว่ า “สุ นั ข ปากเปราะมั ก ไม่ กั ด ทำร้ายผู้คน แต่วันนี้เราพานสั่งสอนเจ้าด้วยไม้เท้าตีสุนัขให้สำนึก” จบคำก็ โ ถมทุ่ ม พลั ง ออก กระแทกเอาร่ า งเยอี้ กู เ ล่ อ ปลิ ว คว้ า ง กลางอากาศ ก่อนร่วงลงพื้นอย่างหนักหน่วง แม้ถูกซัดจนตัวโยน ทว่า ตะขอคู่กลับกุมมั่นอยู่ในมือ ที่แท้เมื่อครู่มันใช้ออกด้วยพลังทั้งหมดเพื่อ ดึงตะขอให้หลุดจากไม้เท้า พริบตานั้นอีกฝ่ายพลันใช้ออกด้วยพลังอ่อน หยุ่นคลายการยึดเกี่ยวของอาวุธทั้งสอง จากนั้นขับกำลังภายในเล็ก น้อย กระแทกจนร่างเยอี้กูเล่อกระเด็นหวืด มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 38


ร่างพอกระทบพื้น ตามด้วยเสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บ ปวด มิคาดทันใดนั้นพลันดีดร่างขึ้นยืน กวัดแกว่งตะขอคู่ในมือจู่โจมเข้า ใส่อย่างไม่ลดละ กู ไกว่เวิงที่ยืนรอท่าอยู่ร้องดังเฮอะ ไม้เท้าสงบนิ่งไม่ เคลื่ อ นไหว เห็ น เพี ย งร่ า งของมั น คล้ า ยภู ต พรายลอยละล่ อ งไปมา ท่ามกลางห้องโถงใหญ่ เยอี้กูเล่อรุกไล่ตามกระหน่ำตะขอไปทั่วสารทิศ สุดท้ายไม่อาจถูก ตัวกู ไกว่เวิงได้สักครา ในใจยิ่งทวีความเดือดดาล ปากคำรามลั่นด้วย ความโกรธ สักพักได้ยินเสียงร้องดัง ‘อา’ ร่างสะดุ้งโหยงสุดตัว ที่แท้เป็น ก้นมันถูกไม้เท้าตีเข้าเต็มแรง “ขอตีกน้ สุนขั รับใช้สกั ครา จะได้รจู้ กั เก็บหางเสียบ้าง” เหยียดหยัน จบก็พาร่างลอยล่องห่างออกไป เยอี้กูเล่อโมโหเดือดดาลแทบบ้าคลั่ง ยิ่งโถมทุ่มกำลังไล่ฟาดฟัน

กูไกว่เวิง แล้วเสียงร้องเจ็บปวดจากการถูกตีก้นก็ดังขึ้นอีกครา ทว่าร่าง กูไกว่เวิงยังคงลอยล่องไปมาไม่หยุดหย่อน อวิ๋นซื่อซงชมดูด้วยความสนุกสนาน ตบมือพลางหัวร่อชอบอก ชอบใจอย่างกลั้นไม่อยู่ หลิวอี้เจินหันมาสบตาเขม็ง ลอบคิดในใจว่า แค้นครั้งนี้อย่างไรต้องชำระให้จงได้ อวิ๋นชุ่ยเห็นเช่นนั้น สำเหนียกว่า ครั้งนี้ต้องเกิดเรื่องใหญ่เป็นแน่แท้ อดมิได้ต้องสะทกสะท้านใจ จั ง หวะนั้ น เอง บั ง เกิ ด แสงสี ม่ ว งวู บ หนึ่ ง ไม่ ท ราบพุ่ ง มาจาก ทิศทางใดของอัฒจันทร์ ได้ยินกู ไกว่เวิงร้องคำหนึ่ง ความรู้สึกปวดแปลบราวถูกสายฟ้า แลบแปลบพลันรุกรานสู่น่อง เยอี้กูเล่อไม่รอช้า ยกตะขอกระหน่ำซ้ำ อย่ า งรวดเร็ ว ปลายแหลมทิ่ ม แทงเข้ า ใส่ ท รวงอกของกู ไ กว่ เ วิ ง พอ กระชาก โลหิตก็พุ่งกระฉูดตามคมเคียวออกมา กูไกว่เวิงรีบยกไม้เท้า มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 39


ขึ้นกระแทกจนเยอี้กูเล่อกระเด็นถอยหลังกรูด หลิวอี้เจินเห็นเยอี้กูเล่อแทงทำร้ายคู่ต่อสู้ ได้ ถึงกับตบโต๊ะร้อง ตะโกนด้วยความตื่นเต้นว่า “ดี ฆ่ามัน แล้วจะกำนัลเจ้าอย่างงาม” จบคำก็แผดเสียงหัวร่ออย่างสำราญใจ ตรงข้ามกับบรรดานักสู้

ผู้กล้าโดยรอบ ต่างดูออกว่า เป็นอาวุธลับจากหนึ่งในผู้ติดตามที่นั่งอยู่ ด้านหลังของหลิวอี้เจินซัดทำร้ายกู ไกว่เวิง ทุกคนล้วนโกรธแค้นกับ ความไม่เป็นธรรมตรงหน้า ส่งเสียงอื้ออึงอย่างเหลืออดเหลือทน “คนถ่อยใช้อาวุธลับ ต่ำช้าไร้อย่างอายยิ่งนัก!” “ประลองยุทธ์ไหนเลยมีพฤติกรรมลับๆ ล่อๆ ได้!” “ใช้อาวุธลับลอบทำร้าย ชนะได้ย่อมไม่สมศักดิ์ศรี!” กระทัง่ มีผกู้ ล้าบางคนถึงกับก่นด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย ลามปาม ไปถึงบิดามารดาและบรรพชนของหลิวอี้เจิน โชคดีที่หลิวอี้เจินกำลังตกอยู่ในห้วงกระหยิ่มยิ้มย่อง หาได้เก็บ เอาคำด่าทอเหล่านั้นใส่ใจไม่ บาดแผลถู ก ถากที่ ท รวงอก แม้ จ ะลึ ก แต่ ท ำร้ า ยเพี ย งผิ ว กาย เท่านั้น ที่สาหัสกลับเป็นน่องซ้ายที่ปรากฏอาการชาวูบ ทำให้เคลื่อน

ไหวไม่ถนัด กูไกว่เวิงจึงได้แต่ยกไม้เท้าต้านรับคู่ต่อสู้อยู่เช่นนั้น อาวุธลับเห็นได้ชัดว่าอาบยาพิษมาก่อน ความด้านชาเริ่มลุกลาม ไปทั่วสรรพางค์ หนำซ้ำเยอี้กูเล่อฉวยโอกาสพัวพันไม่เลิกรา ยามนี้ ร่างกายซีกซ้ายเริ่มไร้ความรู้สึก มือที่จับไม้เท้าอ่อนแรงไปกว่าครึ่ง พลันได้ยินเสียงดัง ‘ฉัวะ’ โค้งตะขอกระซวกร่างกู ไกว่เวิงอีกครา พอ กระชากออก ก็เห็นรอยแผลถากยาวโลหิตไหลเป็นทาง ผู้คนรอบข้างที่เห็นเหตุการณ์ต่างพากันส่งเสียงโวยวายด้วยความ โกรธแค้น อวิ๋นชุ่ยเห็นภาพตรงหน้าเปลี่ยนเป็นเลวร้ายเช่นนี้ กระวน

มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 40


กระวายใจจนเม็ดเหงื่อหยดลงพื้น แต่ก็ไม่อาจทำอย่างไรได้ ขณะที่เสียงตะโกนดังเซ็งแซ่ กู ไกว่เวิงกลับได้อีกแผลจากการ กระหน่ ำ ซ้ ำ ของตะขอ มั น ซวนเซถอยหลั ง โลหิ ต เม็ ด โตร่ ว งเผาะๆ ลงพื้น คิดเปิดปากผรุสวาท เบื้องหน้าพลันปรากฏเงาดำสายหนึ่งถลัน มาจี้สกัดจุดที่ทรวงอกมัน กู ไ กว่ เ วิ ง รู้ สึ ก ลมปราณจุ ก แน่ น ไม่ อาจพ่ น เสี ย งจากลำคอได้ เหลือบตาขึ้นดู ที่แท้เป็นอวิ๋นชุ่ย อวิ๋นชุ่ยผู้นี้เชี่ยวชาญที่สุดคือการจับสังเกตสีหน้าผู้คน ย่อมคาด คะเนได้ว่ากูไกว่เวิงคิดกล่าววาจาด่าทอหลิวอี้เจิน จึงอาศัยจังหวะที่มัน ยังไม่ทันอ้าปาก รีบพุ่งทะยานออกมาสกัดจุดเสียก่อน เพื่อหลีกเลี่ยง เหตุการณ์ไม่ให้บานปลายออกไป อวิ๋นชุ่ยลากกูไกว่เวิงมาทางหนึ่ง ก่อนเอาตัวเองขึ้นบัง เยอี้กูเล่อ ไม่อาจจู่โจมเข้าใส่ อาวุธจึงค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ อวิ๋นชุ่ยเดินมาเบื้องหน้าก้าวหนึ่งกล่าวว่า “ผู้ติดตามของท่าน แม่ทัพ ล้วนฝีมือสูงส่ง มิน่าเล่าซ่งหวัง (ท่านอ๋องแซ่ซ่ง) ไม่ว่าบุกถึง

ที่ใด ข้าศึกเป็นราพณาสูร ดังนั้นไม่จำเป็นต้องเปรียบประลอง ผลแพ้ ชนะก็เป็นที่ประจักษ์ชัด” หลิวอี้เจินยิ้มหยันกล่าวขึ้นว่า “เฒ่าโสโครกบังอาจพูดจาด้วย ถ้อยคำเนรคุณเข้าข้างฝ่ายกบฏเช่นนั้น ท่านอวิ๋น...นี่เป็นการกระทำผิด ต่อกฎหมายบ้านเมือง เราไหนเลยไม่ใส่ใจเอาความได้” อวิ๋ น ชุ่ ย มิ ไ ด้ โ ต้ แ ย้ ง แต่ ป ระการใด เนื่ อ งเพราะถ่ อ งแท้ ถึ ง นิ สั ย สันดานของบุรุษที่อยู่ในวัยหนุ่มเป็นอย่างดี จึงได้แต่คล้อยตามไม่ขัดใจ เมื่อเหตุการณ์ผ่านไปมันก็คงลืมสิ้น คิดได้ดังนั้นก็ยิ้มแย้มตอบไปว่า “ท่านแม่ทัพ เช่นนั้นโปรดอนุญาตให้นำตัวโจรทรยศนี้ไปกักขังไว้ก่อน มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 41


วันหน้าค่อยส่งตัวให้ทางการสอบสวนต่อไป” หลิวอี้เจินยิ้มได้ใจ ก่อนวาดมือออก ผู้ติดตามที่ยืนอยู่ด้านข้าง พลันนำถุงผ้าออกมายื่นส่งให้ หลิวอี้เจินรับมาเดาะในมือสองสามครา จากนั้นเหวี่ยงปาใส่พื้นห้อง ปากถุงพอเปิด เห็นเป็นเพชรนิลจินดา จำนวนมาก ส่องแสงแวววับจนผูค้ นทัง้ ห้องโถงถึงกับตาลาย “ฮาๆ เราบอกไว้ว่า ผู้ใดหาญกล้าท้าประลองกับเยอี้กูเล่อ ล้วน

มี ร างวั ล ให้ เราเป็ น ผู้ แ บ่ ง แยกบาปบุ ญ คุ ณ โทษชั ด เจน เฒ่ า โสโครก

นี่เป็นรางวัลของเจ้า” กูไกว่เวิงถ่มน้ำลายคำหนึง่ ก่อนสบถว่า “ลูกสุนขั ผู้ใดต้องการ...” ยังไม่ทันจบคำ ก็ถูกสายตาอวิ๋นชุ่ยที่มองมาสะกดให้หยุดกึก มันผู้ไม่ เคยไว้หน้าผู้ใด ครานี้เห็นอวิ๋นชุ่ยสีหน้าร้อนรนถึงเพียงนั้น จึงไม่อาจ ตัดใจเพิ่มภาระลำบากใจให้ อวิ๋นชุ่ยลากกูไกว่เวิงถอยหลังก้าวหนึ่ง ก่อนกวักมือเรียกบ่าวรับ ใช้ ส องคนมานำตั ว ไป โดยมี เ ด็ ก หนุ่ ม อี ก คนค่ อ ยๆ เก็ บ ของล้ ำ ค่ า ที่ กระจายบนพื้นบรรจุลงถุงผ้าอย่างระมัดระวัง จากนั้นส่งให้อวิ๋นชุ่ย หลิวอี้เจินยกจอกสุราขึ้นดื่มด้วยความอิ่มเอมใจยิ่ง “ยังมีผู้ ใด ต้องการท้าประลองอีก?” จบคำ ถุงผ้าอีกใบก็ถูกยกชูขึ้น คะเนว่าภายในคงเป็นอัญมณี ล้ำค่าจำนวนมาก เด็กชายที่ก้มเก็บของเมื่อครู่ สีหน้าทอแววละโมบ ตั้งท่าจะเอ่ย คำ แต่สุดท้ายก็กลืนลงคอไป ท่าทางกระอึกกระอัก หลิวอี้เจินเห็นเข้า ให้รู้สึกนึกสนุก “เด็กน้อยนี้ก็อยากลองทดสอบด้วย ฮาๆ...หากเอาชนะได้ ถุงผ้า นี้ก็ยกให้เจ้าแล้ว” มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 42


มิคาด เด็กหนุ่มถามกลับด้วยน้ำเสียงขลาดๆ ว่า “ใต้เท้า...ที่ท่าน พูดใช่เป็นความจริงหรือไม่?” ทุกคนในห้องตื่นตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน เด็กชายผู้นี้อายุน่าจะราวสิบ กว่าขวบ คิ้วเข้มตาโต ผิวสีดำคล้ำคล้ายมีสายเลือดชาวเซียนเปยผสม อยู่หลายส่วน หลิวอี้เจินสีหน้าแปรเปลี่ยนจากอาการนึกสนุกเป็นคาดไม่ถึง เลิกคิ้วสูงก่อนเอ่ยต่ออวิ๋นชุ่ยว่า “เถ้าแก่อวิ๋น...มาบ้านท่านทำให้เราได้ เปิดหูเปิดตาไม่น้อยจริงๆ” อวิ๋นชุ่ยจดจำได้ว่า นี่เป็นบ่าวรับใช้ที่คอยช่วยงานในสวน นิสัย ซื่อสัตย์มือไม้สะอาด พูดน้อย เนื่องเพราะวันนี้เป็นงานเลี้ยงใหญ่ โต

ดังนั้นจึงเรียกมาใช้งานในตึกชั่วคราว คิดไม่ถึงว่า แม้อายุยังน้อย ไม่ ประสีประสา แต่กลับเปล่งวาจาที่ไม่เหมาะสมกับฐานะของตนออกมาใน สถานที่เช่นนี้ อวิ๋นชุ่ยสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนกล่าวว่า “หลิ่วเหิง ถอยออกไป!” เด็กหนุ่มนามหลิ่วเหิง คล้ายไม่ยอมรับ อ้ำๆ อึ้งๆ กลับไปว่า “ข้าน้อย...เคยฝึกกระบี่...” พอได้ ยิ น หลิ ว อี้ เ จิ น และผู้ ติ ด ตามที่ ยื น อยู่ ด้ า นข้ า งต่ า งพากั น หัวร่อยกใหญ่ ทั้งยังชี้หน้าหลิ่วเหิง ยักคิ้วหลิ่วตาใส่ แสดงอาการยั่วเย้า

แดกดัน อวิ๋นชุ่ยได้ยินก็บังเกิดโทสะ ชี้มือไปทางประตู ตวาดเสียงดังลั่น “บ่าวชั่ว ไสหัวไป!” หลิ่วเหิงคล้ายใจหนึ่งอยากโต้แย้ง ใจหนึ่งไม่กล้า ลำบากใจยิ่งนัก สุดท้ายยังคงเก็บกดไว้ หันไปโค้งคารวะแขกเหรื่อ ก่อนเดินก้มหน้าถอย ออกจากห้องโถง มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 43


กู ไกว่เวิงที่ถูกกุมตัวอยู่ตรงระเบียง พลันตะโกนว่า “เฮอะ เด็ก โสโครกแซ่หลิว คำพูดของเจ้าล้วนแต่ผายลม ก่อนหน้านี้เรียกคนลอบ ซัดอาวุธลับ ทำให้เราพลาดท่าเสียที เวลานี้ยังเกรงกลัวอันใด หรือกลัว ว่าศิษย์เราจะทุบตีเท้าสุนัขรับใช้เผ่าเจี๋ยของเจ้าจนแตกหัก เช่นนั้นไยไม่ เรียกสมุนของเจ้าซัดอาวุธลับอีกคราเล่า จะได้ไม่ต้องอับอายต่อหน้า ผู้คน” หลิวอี้เจินพอฟังก็ตวาดเสียงดังลั่น “หยุดก่อน” หลิ่วเหิงเท้าชะงักกึกทันใด ท่าทางคล้ายต้องการแสดงฝีมืออย่าง ยิ่งยวด หากมิใช่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม เด็กหนุ่มอายุน้อยนิดคนหนึ่ง ไหนเลยหาญกล้ากระทำเช่นนี้ ได้ ผู้คนในที่นั้นต่างรู้สึกประหลาดใจ หลายคนลอบพิเคราะห์ลักษณะของมัน ต่างคิดในใจว่า หนุ่มน้อยผู้นี้

แม้กิริยาท่าทางว่องไวปราดเปรียว ทว่าพื้นฐานวิทยายุทธ์กลับไม่มี ดู อย่างไรก็ไม่คล้ายคนที่เคยฝึกวิชาฝีมือมาก่อน หลิวอี้เจินกล่าวว่า “หึ ดู ไม่ออกเลยว่าเด็กทารกเช่นเจ้าจะเป็น ศิษย์ของมัน ล้วนแต่คนเนรคุณสมควรตายทั้งสิ้น!” หลิ่วเหิงได้ฟังว่าจะจับกุมมัน ก็ตกใจหน้าซีด ปราดเข้าไปคุกเข่า ระล่ำระลักว่า “ข้าน้อยไม่ ใช่ศิษย์ของมัน ทั้งไม่เคยรู้จักมาก่อน ท่าน แม่ทัพโปรดพิจารณา!” จบคำก็โขกศีรษะอีกหลายคราด้วยความหวาด กลัว กูไกว่เวิงส่งเสียงด่าตามมาว่า “อย่าได้วิงวอนขอร้องมันให้เสื่อม เกียรติอาจารย์!” หลิ่วเหิงรีบโต้กลับไปว่า “ข้าน้อยไม่รู้จักท่านผู้เฒ่า ไยจึงพูดจาให้ ร้าย” ครานี้ ผู้ ก ล้ า ทั้ ง หลายยิ่ ง มั่ น ใจว่ า มั น ต้ อ งไม่ เ คยฝึ ก วิ ช าฝี มื อ มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 44


แน่นอน เพราะหากมันเคยคำนับอาจารย์มาก่อน สมควรต้องรู้ถึงกฎ ธรรมเนียมยุทธภพไม่มากก็น้อย เมื่อครู่กู ไกว่เวิงจงใจส่งเสียงเพื่อให้ โอกาสแก่มันเช่นนี้ หากมันยังมีสำนึกแม้เพียงเล็กน้อย ต่อให้ไม่สะดวก ใจยอมรับกูไกว่เวิงเป็นอาจารย์ อย่างน้อยก็ควรยืดอกร่วมรับความผิด พร้อมกับกู ไกว่เวิง แต่ทว่ามันกลับรีบร้อนพูดจาบ่ายเบี่ยง เช่นนี้นับ เป็นการกระทำของคนถ่อยทั้งสิ้น ท่าทางลนลานหวาดผวาที่ปรากฏออกมา บังเอิญป็นที่ชื่นชอบ ของหลิวอี้เจินพอดี ดังนั้นหลิวอี้เจินพลันยิ้มหยันก่อนถามไปว่า “เจ้าคิด ประลองยุทธ์?” หลิ่วเหิงที่ยังนั่งคุกเข่าอยู่ พยักหน้ารับด้วยความหวั่นหวาด อวิ๋นชุ่ยได้ฟัง ทอดถอนใจยาวเหยียด รู้สึกไม่เข้าใจอย่างยิ่ง เหตุ ใดบ่าวของตนจึงไม่รักดีเช่นนี้ สุดท้ายหลิวอี้เจินชูแขนข้างที่ถือถุงผ้าขึ้น กล่าวว่า “จะแพ้หรือ ชนะ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นของเจ้า แต่หากถูกทุบตีจนตาย ของเหล่านี้คง ไม่มีโอกาสได้ใช้แล้ว” หลิ่วเหิงโขกศีรษะรับคำ “ข้าน้อยทราบดี ท่านแม่ทัพโปรดเมตตา ให้ข้าน้อยได้ทดลองสักครา” “กระบี่ของเจ้าเล่า?” หลิวอี้เจินถาม “ข้าน้อย...ไม่ได้พกพากระบี่มา...” หลิวอี้เจินส่งสายตาไปทางองครักษ์ ก่อนออกคำสั่งว่า “ยืมกระบี่ ให้มันเล่มหนึ่ง” องครักษ์ผู้หนึ่งชักกระบี่ยื่นส่งให้ทันใด หลิ่วเหิงสองมือพอรับ ก็ เกือบทำกระบี่หลุดร่วงพื้น คล้ายคิดไม่ถึงว่ากระบี่จะหนักถึงปานนี้ ผู้คน เห็นเข้ายิ่งตกตะลึงกว่าเดิม กิริยาท่าทางของมันประหนึ่งไม่เคยสัมผัส มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 45


กระบี่มาก่อน หลิ่วเหิงใช้สองมือประคองกระบี่ สีหน้ากระอักกระอ่วน กล่าวว่า “เรียนท่านแม่ทัพ ข้าน้อยไม่ถนัดใช้กระบี่ลักษณะนี้...” หลิวอี้เจินถามเสียงเย็นชาว่า “เจ้าต้องการกระบี่ลักษณะใด? จง หยิบมา” “ขอรับ” หลิ่วเหิงโขกศีรษะครั้งหนึ่ง ก่อนวิ่งกระโจนออกไป ทุกคนคิดว่ามันหาเหตุหนีไป บางคนถึงกับหันมองตามหลัง เพื่อ ให้แน่ใจว่าหลิ่วเหิงหนีไปจริงหรือไม่ แต่สิ่งที่เห็นคือ หลิ่วเหิงพุ่งตรงไปที่สวน เด็ดกิ่งหลิวมากิ่งหนึ่ง ริดใบออกจนหมด จากนั้นรีบวิ่งกลับมายังห้องโถง ยกกิ่งหลิวขึ้น กล่าว ว่า “นี่เป็นกระบี่ของข้าน้อย” หลิวอี้เจินเห็นเข้าถึงกับเดือดดาล ตะคอกใส่ว่า “เจ้าเด็กโสโครก รนหาที่ตาย บังอาจล้อเล่นกับเรา?” หลิ่วเหิงได้ยินรีบคุกเข่าลง กล่าวว่า “ข้าน้อยมิบังอาจ ข้าน้อยมิ บังอาจ” แม้แต่กู ไกว่เวิงยังรู้สึกนึกสนุก กล่าวด้วยน้ำเสียงสะใจว่า “ฮา

ฮาฮา...อาจารย์ใช้ไม้เท้าใหญ่ตีสุนัข ศิษย์ใช้ไม้เท้าเล็กตีสุนัข เราสองใจ ตรงกันเช่นนี้ เจ้ายังไม่เรียกอาจารย์อีก” หลิ่ ว เหิ ง ร้ อ นใจทั น ใด “ท่ า นผู้ เ ฒ่ า ข้ า พเจ้ า ไม่ รู้ จั ก ท่ า นจริ ง ๆ โปรดอย่าทำให้เดือดร้อน” “เฮอะ เจ้าเด็กน้อย หากเจ้ารับว่าข้าเป็นอาจารย์กลับมีแต่ผลดี ยังขลาดกลัวอันใด?” “ข้ า พเจ้ า ...ข้ า พเจ้ า ยั ง ต้ อ งดู แ ลบุ พ การี ไหนเลยรั บ นั ก โทษผู้ กระทำผิดเป็นอาจารย์ได้” มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 46


กู ไ กว่ เ วิ ง ตวาดกลั บ ว่ า “นั ก โทษ! เฮอะ เราชมชอบการเป็ น นักโทษฆ่าสุนัขทางการที่สุด! เจ้าไม่อยากคำนับ เรากลับจะให้เจ้าคำนับ ให้ได้!” จบคำ กู ไกว่เวิงพลันสะบัดร่าง บ่าวรับใช้ ไม่กี่คนไหนเลยเป็น คู่มือของมัน เสียงผัวะสองครา แต่ละคนก็ปลิวกระจัดกระจาย เมื่อเป็น อิสระกูไกว่เวิงรีบถลันเข้าสู่ห้องโถง โลหิตสดๆ หยาดรดเป็นทาง สีหน้า แววตาดุร้าย หลิ่วเหิงตกใจจนล้มลุกคลุกคลาน ร้องเรียกบิดามารดา ถอยหลังเอาชีวิตรอด เห็นภาพวุ่นวายโกลาหลตรงหน้า หลิวอี้เจินและพวกพ้องต่างพา กันหัวร่อชอบอกชอบใจ ทางด้านอวิ๋นชุ่ยแม้จิตใจร้อนรุ่ม แต่หากความ ยุ่ ง เหยิ ง นี้ ส ามารถทำให้ ห ลิ ว อี้ เ จิ น ลื ม เรื่ อ งการประลอง ไม่ ท ำความ ลำบากใจให้กับเหล่าชาวยุทธ์อีก เช่นนั้นมันกลับต้องเป็นฝ่ายขอบคุณ เด็กหนุ่มผู้นี้แล้ว กูไกว่เวิงเพียงต้องการบีบบังคับให้เรียกตนว่าเป็นอาจารย์ต่อหน้า ทุกคน เพื่อระบายความโกรธแค้น ด้วยนิสัยสันโดษและดุร้ายของมัน ไม่มีวันยินดีหาเหาใส่หัวด้วยการรับผู้ใดเป็นศิษย์อย่างแน่นอน ยิ่งกว่า นั้นหลิ่วเหิงก็ไม่ทำให้มันรู้สึกปลาบปลื้มแม้แต่น้อย หลิ่วเหิงที่ยังเยาว์ เห็นกูไกว่เวิงโมโหจนควันออกหู ได้แต่คิดหนี เอาชีวิตด้วยความหวาดกลัว กู ไกว่เวิงเมื่อถึงตัวก็คว้าเข้าที่ข้อมือ กิ่ง หลิวในมือหลิ่วเหิงพลันสะบัดออก แทงเข้าที่ข้อมือของกูไกว่เวิง ก่อน ตวัดขึ้นจู่โจมเข้าใส่ดวงตา บีบให้กูไกว่เวิงผงะหงายถอยหลังปล่อยมัน เป็นอิสระ กูไกว่เวิงผงะวูบ ส่งเสียงอุทานออกมา ก่อนรุกขึ้นหน้าหมายคว้า จับอีกครั้ง หลิ่วเหิงพลันงอศอกขึ้น ข้อมือโค้งลงเล็กน้อย กิ่งหลิวในมือ มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 47


สะบัดพลิ้วราวต้องสายลมอ่อน ก่อนตรงดิ่งฟาดใส่ใบหน้าของกูไกว่เวิง เสียงดังเพียะอย่างเหนือความคาดหมาย ด้วยวิชาฝีมือระดับกูไกว่เวิง ถูกหนุ่มน้อยกึ่งเด็กกึ่งผู้ใหญ่คนหนึ่ง รุกเข้าใส่จุดสำคัญถึงสองคราติดต่อกัน หากในมือมิใช่กิ่งหลิว แต่เป็น กระบี่ เหตุการณ์จะเป็นเช่นไร ผู้ชมยิ่งมายิ่งปรากฏสีหน้าประหลาดใจ จากนั้นต่างพากันชมดูการประลองด้วยความตั้งใจยิ่ง หลิ่ ว เหิ ง ถอยไปด้ า นหลั ง หลายก้ า ว ก่ อ นร้ อ งว่ า “ท่ า นผู้ เ ฒ่ า ข้าพเจ้ามิได้มีเจตนาล่วงเกิน ท่านผู้เฒ่าจิตใจกว้างขวาง โปรดอย่า ถือสาหาความ” องครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านหลังผลักไสมันออกมา พลางกล่าว “ออกไป แสดงฝีมือให้เราชมดูอีก” หลิ่วเหิงโซเซถลามาเบื้องหน้าสองสามก้าว กูไกว่เวิงก็ยื่นมือคว้า ไว้ หลิ่วเหิงใช้กิ่งหลิวปัดป้องโยกซ้ายป่ายขวาราวหางมังกร จากนั้น หมุนตัวเบาๆ หมายฉกกัดเข้าที่คอหอย กู ไกว่เวิงยกมือไขว่คว้า กิ่ง หลิวก็ถอยกลับแล้ววกกลับมาตีเพียะเข้าที่หน้าของกูไกว่เวิงอีกครา กู ไกว่เวิงถูกตีถึงสามคราติดต่อกัน แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัว เอง ยามกะทันหันใช้ออกด้วยวิชาตัวเบา วนไปวนมารอบกายหลิ่วเหิง หมายหาช่องจับตัวมัน ทว่าทุกครั้งกิ่งหลิวก็จะพุ่งตรงออกมาสกัดกั้น แม้จะเคลื่อนตัวมาด้านหลัง กิ่งหลิวยังคงอ้อมหัวไหล่มาปัดป้องด้วย ท่วงท่านุ่มนวล ทว่าแฝงไว้ด้วยพลังที่แข็งแกร่ง บีบกูไกว่เวิงให้ต้องชัก มือกลับไป หลิ่วเหิงยิ่งมายิ่งคล่องมือ กิ่งหลิวยิ่งกวัดแกว่งยิ่งทวีความพลิ้ว ไหว เดี๋ยวหมุนเดี๋ยวแทง อ่อนนุ่มดั่งแส้ คมกริบดั่งกระบี่ เคลื่อนไหว อิสระดังใจ มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 48


ร่างของหลิ่วเหิงแทบจะไร้การเคลื่อนไหว จะขยับต่อเมื่อหลบ หลีก ทว่ากิ่งหลิวในมือคล้ายมีชีวิต เปลี่ยนแปรไปมาอย่างคล่องแคล่ว ว่องไว บางครั้งพัวพันจู่โจมคู่ต่อสู้ บางคราหมุนควงเป็นวงรอบคุ้มครอง กาย กิ่งหลิวที่สอดซ้ายทะลุขวา บังเกิดเป็นเสียงซวบซาบ ประหนึ่ง เสียงสุนัขจิ้งจอกที่กำลังวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนมุดทางนั้นออกทางนี้ สะกด จนผู้ชมดูไม่อาจละสายตา ทันใดนั้น มือกระบี่ชุดน้ำเงินผู้หนึ่ง ดวงตาฉายแววดุร้ายกระโดด ปราดเข้าสู่กลางห้อง กระแทกฝ่ามือใส่กูไกว่เวิง กู ไกว่เวิงพลิกฝ่ามือต้านขึ้นวูบ ร่างสะท้านเฮือก ต้องผงะถอย หลังไป มือกระบี่หมุนตัวคราหนึ่ง ร่างก็แทรกกึ่งกลางระหว่างคู่ต่อสู้ทั้ง สอง อาศัยจังหวะที่หลิ่วเหิงไม่ทันตั้งตัว จี้สกัดไปที่จุดถาน (กึ่งกลาง หน้าอก) ทันที หลิ่วเหิงชะงักกึก พริบตานั้นรู้สึกจุกแน่นที่หน้าอกจนเกือบหมด สติ จังหวะนั้น มือกระบี่ชุดน้ำเงินคว้าจับคอเสื้อด้านหลังของหลิ่วเหิง ยกขึ้นได้ก็ทะยานออกสู่ด้านนอก ทว่าไม้เท้าท่อนหนึ่งทะลึ่งพรวดขวาง หน้า สกัดจนมันต้องผงะถอยหลังกลับมา ที่แท้เป็นไม้เท้าของกู ไกว่เวิง “เจ้ามองออกถึงวิถีกระบี่ของมัน จึงคิดคาดคั้นว่าร่ำเรียนจากที่ใด ใช่หรือไม่” มือกระบี่ตวาดกลับ “มันร่ำเรียนจากที่ใด? ย่อมต้องไม่ใช่ร่ำเรียน จากเฒ่าโสโครกเจ้าเป็นแน่! เราเพียงไม่อาจทนดูเด็กน้อยคนหนึ่งถูก ข่มเหงเท่านั้น” กูไกว่เวิงหัวราฮาฮา “ฝนฟ้าคงตกเป็นสีแดงแล้ว จ้าวอีไป๋ผู้ตลอด มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 49


ชีวิตไม่เคยแยกแยะผิดชอบชั่วดี กลับกลายเป็นผู้ผดุงความยุติธรรมตั้ง แต่ เ มื่ อ ใด เด็ ก น้ อ ยมี เ พลงกระบี่ สู ง ส่ ง ล้ ำ เลิ ศ เจ้ า ใช่ ช มดู จ นตาร้ อ น หรือ?” มือกระบี่คล้ายถูกแทงใจดำ แต่อย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยมือจากคอ เสื้อของหลิ่วเหิง “เฮอะ! เรากลับประหลาดใจ แต่ไรมาเอาแต่หลบหน้า ผู้คนเช่นเจ้า ไฉนวันนี้จึงคลานออกมาจากดินโคลนได้ ที่แท้ในใจลอบมี แผนการ ก็คือเด็กหนุ่มคนนี้” กูไกว่เวิงกล่าวอย่างเดือดดาลว่า “เราไม่เคยล่วงรู้มาก่อนว่ามัน ฝึกปรือเพลงกระบี่” จ้าวอีไป๋ โต้ตอบด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า “เช่นนั้น? ไฉนพออ้า ปากก็ ห ลอกล่ อ ให้ รั บ ว่ า เจ้ า เป็ น อาจารย์ น่ า เสี ย ดายที่ มั น ไม่ ยิ น ดี รั บ น้ำใจ” อวิ๋นชุ่ยรีบรุดขึ้นหน้า กล่าวว่า “จอมยุทธ์จ้าว ผู้เฒ่าเวิง ทั้งสอง ท่านมีสิ่งใดค่อยพูดจา เด็กหนุ่มนี้เป็นบ่าวรับใช้ในบ้านเรา หากท่านทั้ง สองมีสิ่งใดถามไถ่ มิสู้พักค้างแรมที่นี่สักสองสามวัน จากนั้นค่อยๆ ซัก ถาม ไยต้องทำลายไมตรีซึ่งกัน” จ้าวอีไป๋ยึดคอเสื้อไว้มั่น “มิบังอาจรบกวน วันหน้าค่อยพบกัน ใหม่” จบคำก็ใช้วิชาตัวเบาพาหลิ่วเหิงทะยานจากไป ทันใดนั้นปรากฏประกายแสงวาบ พุ่งตรงเข้าตัดคอเสื้อจนขาด หลิ่วเหิงร่างหล่นลงพื้นดังตุ้บ จ้าวอีไป๋ที่ถลันออกไป ได้แต่กระโดดย้อน กลับเข้ามาส่งสายตาดุร้ายจ้องเขม็งไปยังที่มาของแสงนั้น เพียงเห็นบุรุษกลางคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ด้านหน้าของอัฒจันทร์ด้วย ท่าทางสบายอกสบายใจยิ่ง แต่งกายด้วยชุดยาว หว่างเอวเหน็บกระบี่ เล่มหนึ่ง บุคลิกสง่างามราวเทพมาจุติก็มิปาน ทว่าหว่างคิ้วกลับเจือ มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 50


กลิ่นอายความกังวลเบาบาง คล้ายจิตใจกำลังตกอยู่ในภวังค์ จ้าวอีไป๋เห็นเข้า จากที่อยู่ในภาวะเดือดดาลพลุ่งพล่าน พลันเก็บ กลืนสีหน้าทันใด เปลี่ยนเป็นมองคนผู้นั้นด้วยความรู้สึกอึดอัดใจ ผู้คนต่างจดจำได้ คนผู้นี้คือมือกระบี่ที่หลายปีก่อนละทิ้งวิถีเต๋า กลับคืนสู่ทางโลก นามเฟิงชิวฮว๋า เล่าลือกันว่า ฝึกบำเพ็ญฌานจน บรรลุถึงขั้นสามารถแหวกว่ายอากาศ เหินท่องเมฆา ทว่าเมื่อหลายปี ก่อน ไม่ทราบด้วยเหตุใดหวนคืนสู่ทางโลก ต่อมาข่าวคราวก็เงียบหาย ไป ยามนี้มาปรากฏตัวร่วมงานเลี้ยง นับได้ว่าอวิ๋นชุ่ยบารมีกว้างขวาง ไม่น้อย กระทั่งผู้วิเศษที่เคยละทิ้งทางโลก ยังสามารถเชื้อเชิญมาได้ เวลานี้เฟิงชิวฮว๋าออกหน้าบีบคั้นให้จ้าวอีไป๋ปล่อยตัวหลิ่วเหิง ด้วยจุดประสงค์ ใดไม่มีผู้ ใดล่วงรู้ ทุกคนในที่นั้นเพียงคิดชมดูฝีมืออัน

สูงส่งของเฟิงชิวฮว๋าสักครา จึงต่างพากันเงียบกริบจนแทบหยุดลม หายใจ จังหวะที่เฟิงชิวฮว๋าขยับตัวตั้งท่าจะเอ่ยวาจา หลิวอี้เจินพลันชิง ตะโกนด้วยเสียงอันดังก่อนว่า “ทุกคนหยุดมือให้หมด!” ทุกคนตะลึงงัน เฟิงชิวฮว๋าดูเหมือนตกใจอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ก็ กลับสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็ว วาจาที่คิดเอ่ยก็พลันกลืนหายไป ไม่ ใช่เรื่องง่ายดายที่จะได้เห็นสุดยอดฝีมือสูงส่งระดับตำนาน แสดงฝีมือให้ชมดูสักครา กลับต้องมาถูกหลิวอี้เจินขัดจังหวะ ดังนั้น สายตาทุกคู่ล้วนจ้องมองด้วยความโกรธแค้น หลิวอี้เจินเดิมทีอยู่ในห้วงแห่งความเบิกบานใจ แต่เนื่องเพราะ ต่อมาเป็นชาวยุทธ์อื่นเข้ามาต่อยตีกันเองแทนคนของตน โดยไม่เห็นแก่ หน้าแม่ทัพใหญ่ประจำอานซีแม้แต่น้อย จึงเกิดความรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา ครามครัน เวลานั้นเองคนสนิทที่อยู่ด้านหลังพลันสะอึกขึ้นหน้าตะคอก มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 51


เสียงดังว่า “พวกสวะชั้นต่ำ บังอาจเอะอะโวยวายต่อหน้ากุ้ยหยางกง เห็น

กฎหมายบ้านเมืองเป็นอันใด ถอยไปให้หมด” หลิวอี้เจินเอ่ยเสียงเย็นชาตามมาว่า “หากเราไม่อนุญาต อย่าได้ ลงมือเด็ดขาด เด็กน้อย เพลงกระบี่ของเจ้าร่ำเรียนมาจากที่ใด?” จ้าวอีไป๋ที่แต่แรกคิดว่าจะสะบัดแขนเสื้อจากไป ครั้นได้ยินหลิวอี้ เจิ น เอ่ ย ถามเช่ น นั้ น พลั น ล้ ม เลิ ก ความคิ ด เปลี่ ย นเป็ น ยื น นิ่ ง รอฟั ง กระทั่งถูกองครักษ์คนหนึ่งผลักให้ออกไปยืนอีกด้าน มันยังไม่คิดถือสา หาความแต่อย่างใด หลิ่วเหิงร่างสั่นสะท้าน ตอบกลับไปว่า “ข้าน้อย...ฝึกด้วยตนเอง” หลิวอี้เจินได้ยินก็ชมเชยว่า “อืมม์ เจ้าเฉลียวฉลาดยิ่งนัก เพลง กระบี่ก็ไม่เลว ยังคิดทดสอบกับเยอี้กูเล่อหรือไม่?” หลิ่วเหิงรีบพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนคุกเข่าลงกล่าวว่า “โปรดให้ ข้าน้อยได้มีโอกาสรับของรางวัลจากใต้เท้าด้วยเถิด” ผู้คนพอฟัง ต่างพากันผิดหวัง ไม่คาดคิดว่าเด็กน้อยที่มีวิถีกระบี่ ที่ดี กลับมีคุณธรรมต่ำทรามถึงเพียงนี้ เพียงเพื่อทรัพย์สินเงินทองถึง กับยอมค้อมหัวให้ผู้มีอำนาจ “ฮาฮา...เจ้าเอาไปเถิด” หลิวอี้เจินกล่าวพลางโยนถุงผ้าลงพื้น หลิ่วเหิงกระวีกระวาดคลานเข้าไปเก็บ ก่อนโขกศีรษะไม่หยุดยั้ง ปาก พึมพำว่า “ขอบคุณใต้เท้า ขอบคุณใต้เท้า” “เจ้าไม่ต้องประลองแล้ว ต่อไปจงติดตามเราแล้วเล่าเรื่องกระบี่ที่ เจ้าฝึกให้เราฟัง รับรองว่าชาตินี้ไม่ขาดแคลนความร่ำรวยแน่นอน” หลิ่วเหิงสีหน้าดี ใจจนเก็บงำไม่อยู่ กระหยิ่มยิ้มย่องด้วยความ

ตื่ น เต้ น ศี ร ษะยิ่ ง โขกยิ่ ง หนั ก หน่ ว ง “ขอบคุ ณ กุ้ ย หยางกง ขอบคุ ณ

มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 52


กุ้ยหยางกง” เห็นเด็กหนุ่มทำตัวราวจิ้งจกเปลี่ยนสีเช่นนี้ ผู้คนต่างพากันขมวด คิ้วนิ่วหน้า ไม่มีผู้ใดอยากเห็นภาพสกปรกนัยตานี้อีกต่อไป อวิ๋นชุ่ยฉวยโอกาสนั้น รีบเข้าไปโค้งตัวกล่าวว่า “ข้าน้อยได้จัด เตรียมงานเลี้ยงไว้พร้อมแล้ว ขอเชิญท่านแม่ทัพเข้าสู่ห้องจัดงาน” หลิวอี้เจินพอลุกจากที่นั่ง ผู้ติดตามพลันรีบนำเสื้อคลุมทำจาก หนังเสือดาวคลุมให้ทันที หลิวอี้เจินเชิดคางสูง ก่อนกล่าวว่า “เด็กน้อย เจ้าก็มาด้วยกัน” หลิ่วเหิงได้แต่เดินตามหลังไป สำหรับหลิวอี้เจินแล้ว หลิ่วเหิงไม่ ต่างจากของเล่นชิ้นใหม่ที่น่าตื่นตาตื่นใจ ด้วยเหตุนี้เหล่าคนสนิทย่อม เอาใจด้วยการถอยหลังเพื่อเว้นที่ให้หลิ่วเหิงได้ตามติดใกล้ชิด อวิ๋นชุ่ยยืนน้อมส่งหลิวอี้เจินกับบริวารทั้งหมด จากนั้นเดินคล้อย หลังตามเข้าไปในห้องโถงใหญ่อีกห้องที่เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยง ในนั้น สุราอาหารและการแสดงสวยงามต่างๆ ล้วนตระเตรียมไว้เพียบพร้อม ไม่มีขาดตกบกพร่อง เพื่อให้หลิวอี้เจินและคนสนิทได้อิ่มหนำสำราญใจ เต็มที่ หลิวอี้เจินเมื่อครู่ในสนามประลอง ได้โอ้อวดบารมีต่อหน้าทุกคน ทั้งยังได้ตัวหลิ่วเหิงที่มีความสามารถไว้คอยติดตามรับใช้ ภายในใจจึง เต็มไปด้วยความเบิกบาน สีหน้าปิติยินดีอย่างที่สุด อวิ๋นชุ่ยต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี ทว่าหว่างคิ้วยังคงปรากฏเค้า แห่งความวิตกกังวลไม่คลาย งานเลี้ยงดำเนินมาจนถึงเที่ยงคืนดึกดื่นยังไม่มีวี่แววเลิกรา หลิว อี้เจินที่ดื่มจนมึนเมา กวักมือเรียกหลิ่วเหิงเข้ามาใกล้ กระซิบถามว่า “เด็กน้อย ข้าถามเจ้า เด็กโสโครกที่นั่งอยู่ด้านหลังหลิวชุ่ยเมื่อสักครู่

มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 53


มันเรียกว่าอะไร?” หลิ่ ว เหิ ง ตอบไปว่ า “นั่ น เป็ น คุ ณ ชายของบ้ า นเราขอรั บ นาม

อวิ๋นซื่อซง” หลิวอี้เจินหัวร่อเฮอะฮะ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นว่า “อวิ๋น ซื่อซง เมื่อครู่บังอาจหัวเราะเย้ยหยัน ความแค้นนี้หากไม่ชำระ ชื่อเสียง เราไยมิใช่กลายเป็นของเด็กเล่นแล้ว” กล่าวจบ ใบหน้าหลิวอี้เจินพลันปรากฏรอยยิ้มชั่วร้าย ไม่ทราบ ในใจมีแผนการใด...

มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 54


บทที่ 2

ศาลรกร้างพาสะท้าน

อวิ๋นชุ่ยสาละวนกับการต้อนรับหลิวอี้เจินและพวก ส่วนอวิ๋นซื่อซง รับผิดชอบดูแลชาวยุทธ์ผู้กล้าที่จัดโต๊ะแยกออกมาตรงสวนด้านข้าง เพราะอุปนิสัยที่เปิดเผยตรงไปตรงมา จึงทำให้พูดคุยกันได้อย่างถูกคอ โต๊ะสุราอาหารในบริเวณสวน เนื่องจากไม่มีหลิวอี้เจินคอยโอ้อวด ความร่ำรวย ผู้คนจึงร่ำสุราเปิดอกพูดคุยกันได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะ เรื่องความอวดเบ่งวางอำนาจของหลิวอี้เจิน สามารถก่นด่าเสียงดังไม่ ต้องระแวดระวัง บรรยากาศจึงครื้นเครงยิ่งนัก กระทั่ ง ท้ อ งฟ้ า ใกล้ ส าง งานเลี้ ย งจึ ง เลิ กรา อวิ๋ น ซื่ อ ซงดื่ ม จน เมามาย หลังจากยืนโงนเงนส่งแขกเหรื่อที่หน้าประตูคฤหาสถ์เรียบร้อย ก็เดินเกาะกำแพงกลับห้องพัก พ่อบ้านประจำตระกูลจะเข้ามาพยุง กลับโบกไม้โบกมือพูดเสียงอ้อแอ้ว่า “เรา...ไม่เมา...เจ้าไปพักได้แล้ว เราเดินเองได้” พ่อบ้านยืนกรานจะประคอง อวิ๋นซื่อซงโมโหผลักให้ออกห่าง ก่อนตวาดว่า “ไม่ต้องยุ่ง ไปทำงานของเจ้า” มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 57


จบคำก็เดินเอียงซ้ายป่ายขวาอ้อมไปด้านหลังบ้าน พ่อบ้านรู้ว่า นายน้อยเป็นคนนิสัยดื้อรั้น จึงปล่อยให้ผู้เป็นนายเดินไปตามลำพัง อวิ๋นซื่อซงโซซัดโซเซผ่านสวนด้านหลัง แต่เพราะอาการเมามาย เดิ น ไปไม่ ไ กลก็ ท รุ ด ตั ว ลงนั่ ง พิ ง ต้ น ไม้ ปากพึ ม พำว่ า “หลิ ว อี้ เ จิ น ...

กุ้ยหยางกงอะไรกัน เฮอะ! วางท่าเขื่องโขน่ารังเกียจ ถ้าไม่ใช่ท่านพ่อ เกรงว่าจะมีเรื่อง ป่านนี้...คงตบมันสักฉาดสองฉาดไปแล้ว...เจ้าลูกเต่า สารเลว” เนื่องเพราะตกอยู่ในอาการสะลึมสะลือ จึงไม่ทราบว่า ขณะนั้น มีคนมากมายล้อมรอบตนอยู่ ที่แท้เป็นองครักษ์ของหลิวอี้เจิน พวกมันสบตากันวูบหนึ่ง ก่อน ผลัดกันเตะใส่ร่างที่นั่งพิงต้นไม้ด้วยความสะใจ อวิ๋นซื่อซงมือไม้ปัดป้อง สะเปะสะปะ ปากงึมงำว่า “เจ้าไพร่ชรา บอกว่าอย่ามายุ่ง หูหนวกหรือ” ทันใดนั้นได้ยินเสียงหัวร่อของหลิวอี้เจินดังมา “คุณชายอวิ๋น เจ้า ว่าผู้ใดเป็นไพร่” แหงนหน้ามอง ต้องตาค้าง นอกจากหลิวอี้เจิน ยังมีองครักษ์อีก หลายนายยืนรายล้อมอยู่รอบกาย บ้างถือดาบ บ้างถือกระบี่ แต่ละคน อาวุธครบมือ สีหน้าประดับรอยยิ้มประสงค์ร้ายเต็มเปี่ยม อวิ๋นซื่อซงสร่างจากอาการเมามายขึ้นมาเล็กน้อย ค่อยๆ พยุง ร่างลุกขึ้นยืน ส่งสายตาเย็นชาพลางกล่าวว่า “เราว่าผู้ใดเป็นไพร่ ผู้ใด ออกรับผู้นั้นย่อมเป็นไพร่” หลิวอี้เจินยิ้มหยันตอกกลับไปว่า “พวกเจ้าเป็นข้าทาสรับใช้ชน เผ่าอื่นมานานปี จนสันดานไพร่เข้ากระดูก ทั้งวันนี้ยังเข้าข้างตาเฒ่า โสโครกถือไม้เท้านั่นอีก สมคบชนต่างเผ่า ถือเป็นความผิดร้ายแรง ต้องถูกค้นบ้านถูกยึดทรัพย์สิน บิดาเราเป็นผู้พิชิตฉางอันคืนมา ย่อมไม่ ยินดีให้คนชั้นต่ำไร้ศักดิ์ศรีเช่นพวกเจ้าทำลายเกียรติของชาวฮั่นเป็นแน่” มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 58


อวิ๋ น ซื่ อ ซงพอฟั ง โมโหแทบกระอั ก จึ ง ถ่ ม น้ ำ ลายดู ถู ก “ผู้ ใ ด ทำลายเกียรติยศของชาวฮั่น? ยึดคืนฉางอันกลับมาได้ล้วนเป็นฝีมือชาว ฉางอัน เจ้ามาเก็บเกี่ยวเอาผลประโยชน์ภายหลัง ซ้ำยังวางอำนาจบาตร ใหญ่ ลอบแทงข้างหลังแม่ทัพหลงเซียง เหยียดนักสู้ทั้งหลายดั่งข้าทาส เจ้ามีสิทธิ์อันใด หรือสิทธิ์ที่เป็นบุตรชายซ่งหวัง” หลิวอี้เจินยิ้มเล็กน้อยก่อนตอบว่า “ถูกต้อง ด้วยบารมีของบิดา เรา อย่าว่าแต่ฉางอัน ทั่วทั้งราชอาณาจักรล้วนเป็นของตระกูลหลิวเรา ทั้งสิ้น ท่านพ่อสั่งให้ผู้ใดเป็นมือธนู ผู้นั้นย่อมเป็นมือธนู แต่งตั้งผู้ใด เป็นแม่ทัพ ผู้นั้นย่อมเป็นแม่ทัพ แม้แต่องค์จักรพรรดิยังไม่กล้าคัดค้าน สักคำ ประสาอะไรกับตระกูลเล็กๆ ของเจ้า เราไม่พอใจขึ้นมา คิดค้น บ้านเมื่อใดก็ย่อมได้ ถึงตอนนั้น เหล่าสตรีในบ้านเจ้าจะให้องครักษ์นำ ไปหาความสำราญให้หมด ทั้งเรียกเจ้าล้างเท้าให้หลิ่วเหิง เจ้าก็ยังต้อง ล้างแต่โดยดี” องครักษ์ทยี่ นื อยู่โดยรอบพากันหัวร่อเย้ยหยันจนตัวงอ อวิน๋ ซือ่ ซง ยิ่งทวีความโกรธเนื่องเพราะทุ่มเถียงสู้ไม่ได้ จึงกระโจนพรวดต่อยเข้าที่ ทรวงอกของหลิวอี้เจิน หลิวอี้เจินไม่ทันระวัง ถูกต่อยดังทึบล้มลงกับพื้น อวิ๋นซื่อซงไม่ รอช้า ตามไปยกเท้าเหยียบซ้ำที่ใบหน้าทันใด “ดูว่า ผู้ใดจะเป็นผู้ล้าง เท้ากันแน่” องครักษ์รอบกายพากันสะอึกเข้าหา ตวาดดังลั่นว่า “บังอาจนัก เจ้าคนสารเลว ใช่ไม่ต้องการชีวิตแล้วหรือไม่” จบคำ หกเจ็ดคนก็กรูกันลากอวิ๋นซื่อซงออกมา เห็นใบหน้าหลิว อี้เจินเต็มไปด้วยคราบรองเท้าเลอะโคลน เดือดดาลจนหน้าเขียวหน้า เหลือง ถลันลุกขึ้นคำรามลั่นว่า “ตัดขามันให้เราเดี๋ยวนี้” มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 59


อวิ๋นซื่อซงถูกจับกดตัวไว้ องครักษ์คนหนึ่งเงื้อดาบตั้งท่าจะฟัน เข้าที่เท้า อวิ๋นซื่อซงตกใจสุดขีด ใช้ออกด้วยพลังอ่อนหยุ่นสะบัดไหล่ สองข้างจนเป็นอิสระ จากนั้นลุกขึ้นวิ่งอย่างสุดชีวิต หลิวอี้เจินขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโมโห “ไม่ได้เรื่องสักคน ไป จับมันมาให้ได้ เราจะตัดขามันด้วยตัวเอง ให้มันรู้สำนึกเสียบ้าง” คนสนิทรับคำพร้อมเพรียง ก่อนทะยานไปตามทิศทางที่อวิ๋นซื่อ ซงวิ่งหนีไป อวิ๋นซื่อซงตกใจแตกตื่นหายเมาเป็นปลิดทิ้ง วิ่งพลางคิดในใจว่า ‘แย่แล้ว เราฝากรอยเท้าไว้บนหน้ากุ้ยหยางกง...หากมันลงโทษยึดบ้าน และทรัพย์สมบัติตระกูลเราจริงๆ จะทำเช่นไร?’ ได้ยินเสียงพวกนั้นตะโกนด่าทอตามหลังมา “เจ้าเด็กโสโครก แซ่อวิ๋น หากไม่หยุด บิดาเจ้าต้องเข้าห้องขังแทน อย่าหมายว่าจะรอด” อวิ๋นซื่อซงยิ่งมายิ่งหวาดผวา เท้าทั้งสองยิ่งวิ่งยิ่งไว อย่างไรมัน นับว่ายังเด็ก แต่ไรมาไม่เคยก่อเรื่องร้ายแรงถึงเพียงนี้ อดร่ำไห้น้ำตา นองหน้ามิได้ กระนั้นสองเท้ากลับวิ่งไม่หยุดยั้ง บริเวณบ้านตระกูลอวิ๋นใหญ่โตกว้างขวาง มีบางพื้นที่ของสวน แม้แต่อวิ๋นซื่อซงแทบไม่เคยเดินผ่าน เวลานั้นมันวิ่งหนีอย่างไม่รู้ทิศรู้ ทาง ผ่านน้ำตกสวนหิน สุดท้ายวิ่งทะลุถึงป่ารกร้างซึ่งเป็นที่ตั้งศาล บรรพบุรุษเก่าแก่ประจำตระกูล รอบด้านเต็มไปด้วยต้นไม้สูงเสียดฟ้า หญ้าขึ้นรกสูงท่วมเอว มืดมัวจนมองไม่เห็นแม้แต่นิ้วมือทั้งห้า จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า เมื่อครั้งยังเด็กเคยทำความผิดจน ต้องวิ่งมาหลบซ่อนตัวที่นี่ ไม่มีผู้ใดหาพบเด็ดขาด จึงอาศัยความทรงจำ คลำทางจนพบตึกร้างที่เคยเป็นศาลบรรพบุรุษ ศาลร้างซ่อนตัวอยู่ในป่าไม้รกครึ้ม แม้สภาพแลดูเก่าคร่ำ ทว่ายัง มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 60


คงไว้ซึ่งความน่าเกรงขาม ประหนึ่งสุสานของบรรพกษัตริย์ที่เงียบสงบก็ มิปาน ก้ อ นหิ น รอบบริ เ วณเต็ ม ไปด้ ว ยร่ อ งรอยของสั ตว์ เ ลื้ อ ยคลาน เถาวัลย์ป่าเลื้อยยาวปกคลุมไปกว่าครึ่งกำแพง แสงเงาที่ลอดผ่านใบไม้ ทำให้เห็นช่องหน้าต่างลางเลือน กลิ่นหอมอ่อนๆ ของมวลแมกไม้โชย พลิ้ว หินสลักรูปคนที่ตั้งอยู่สองฟากประตู ท่วงท่าเคร่งขรึมหนักแน่น คล้ายกำลังทำหน้าที่ปกป้องศาลร้างแห่งนี้ ประตูบานใหญ่หนักหน่วงหลอมขึ้นจากเหล็กกล้า มีฝุ่นเกาะเต็ม หนา ส่วนทีม่ อื ลูบผ่านพลันปรากฏประกายเงางามเจิดจ้าสะท้อนออกมา ได้ยินเสียงเหล่าองครักษ์ดังไล่หลังมา “เด็กปีศาจนั่นวิ่งไปทางนี้ แล้ว” อวิ๋นซื่อซงลนลานผลักประตูบานใหญ่เข้าไป แม้จะมืดมิดจนมอง ไม่เห็นนิ้วมือ แต่ความทรงจำเท่าที่นึกได้พามันเดินสะเปะสะปะกระทั่ง เข้าไปซ่อนตัวอยู่ใต้แท่นบูชา แท่นบูชาเทพเจ้าสูงตระหง่าน มีหีบเหล็กเก่าแก่ขนาดมหึมาวาง อยู่ ใบหนึ่ง บนหีบเต็มไปด้วยหยากไย่เกาะแน่นจนแลดูคล้ายถูกเมฆ หมอกปกคลุม หลิวอี้เจินตามด้วยหลิ่วเหิงและคนอื่นๆ ไล่กวดจนถึงป่าร้าง เห็น ต้นไม้สูงใหญ่ระฟ้า บรรยากาศรอบตัวมืดมิด ก็ฉุกคิดในใจว่า “หากตาม เข้าไป ไม่แน่ว่าจะหามันพบ” ได้แต่ตวาดเสียงดังกังวานอย่างเหลือกลั้น “เด็กโสโครกแซ่อวิ๋น คิดว่าซ่อนตัวอยู่ด้านในแล้วเราจะหาไม่พบ หรือ พวกเจ้าไปเอาไฟมาเผาสวนร้างนี้ให้ราบ” หลิ่วเหิงได้ฟัง รีบร้องปรามว่า “ใต้เท้า ไม่ได้เด็ดขาด” มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 61


“เหตุ ใ ดจึ ง ไม่ ไ ด้ นอกจากจะเผาให้ ว อดแล้ ว ยั ง จะค้ น บ้ า นยึ ด ทรั พ ย์ ต ระกู ล มั น อี ก ด้ ว ย คนในบ้ า นมั น ก็ จ ะกวาดต้ อ นไปไว้ ที่ น คร เจี้ยนคังให้เป็นข้าทาสจนชั่วลูกชั่วหลานทีเดียว” หลิวเหิงฟังจนหัวหด อ้ำๆ อึ้งๆ กล่าวต่อว่า “ใต้เท้า บิดาของข้า น้อยทำงานอยู่ในบ้านตระกูลอวิ๋นมาช้านาน เคยเล่าให้ฟังว่า บริเวณนี้ เรี ย กว่ า มั ง กรพยั ค ฆ์ ส ถิ ต มี ห น้ า ที่ ค อยควบคุ ม ดาวอาเพศเอาไว้ . ..

หากว่า...หากว่าลบหลู่ล่วงเกิน บ้านเมืองจะเกิดกลียุค ” หลิวอี้เจินกล่าวปนเสียงหัวร่อว่า “เทพเจ้าอันใดกัน” “ข้าน้อยเองก็ไม่ทราบแน่ชัด นายท่านห้ามผู้ใดเข้ามาเด็ดขาด บิดาของข้าน้อยบอกอีกว่า ที่ตระกูลอวิ๋นหลายชั่วคนปักหลักตั้งถิ่นฐาน อยู่ ในฉางอัน เนื่องเพราะต้องปกปักรักษาเทพเจ้าที่นี้ ดังนั้นไม่อาจ อพยพโยกย้ายไปที่อื่น...ข้าน้อยว่า...อย่าเข้าไปดีกว่า ขอให้นายท่าน

อวิ๋นเรียกนายน้อยออกมาก็ใช้ได้แล้ว” จบคำ ได้ยินเสียงดังผัวะ เป็นฝ่ามือหลิวอี้เจินตบใส่ใบหน้ามัน ด้วยความโมโห “ไพร่สารเลว กลับเป็นเจ้าชี้นิ้วสั่งสอนเราตั้งแต่เมื่อใด ตระกูลหลิวเรารับบัญชาจากสวรรค์ เทพยาดาฟ้าดินสมควรฟังคำสั่งเรา จึงถูกต้อง ไฉนเราต้องกลัวเกรงภูตผีปีศาจเหล่านี้” กล่าวจบพลันหันไปสั่งสมุนรับใช้ “จุดไฟ!” คบไฟถูกจุดขึ้น หลิวอี้เจินสั่งให้ โยนจนทั่วบริเวณ ต้นไม้แห้ง เถาวัลย์ป่าเดิมที่แห้งแล้งเต็มทน ทันทีที่เชื้อไฟเข้าไปถึงก็ลุกลามด้วย ความรวดเร็ว เวลานั้นมองเห็นเปลวไฟโชนแสง ทั่วพื้นที่สว่างไสว ภาย ใต้แสงไฟที่โลมเลียแดงฉาน ส่องให้เห็นตึกร้างเปล่งประกายสีทองงดงาม จับตา หลิวอี้เจินและพวกเห็นป่ารกร้างกลับมีศาลเก่าแก่ที่สูงสง่าเช่นนี้ มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 62


ตั้งอยู่ ถึงกับเหม่อมองจนตาค้าง... ขณะนั้นฟ้ายังไม่แจ้ง ภายในห้องหนังสือมีเพียงแสงจันทร์สลัว และเสียงพูดคุยแผ่วเบา บนตั่งยาว อวิ๋นชุ่ยกับบุรุษบุคลิกสง่างามผู้หนึ่งนั่งคนละฟาก สนทนากันกระทั่งไม่รู้ว่าเป็นเวลาใด ที่แท้ทั้งสองเป็นพี่น้องร่วมสาบาน ไม่ได้พบหน้ากันเป็นเวลาถึง

สี่ห้าปีแล้ว เฟิงชิวฮว๋ามิได้จงใจเร้นกายเก็บตัวแต่อย่างใด เป็นแต่อุปนิสัยถ่อม ตน ไม่นิยมแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีผู้ใดพบเห็นร่องรอย ในยุทธจักร พอได้ยินว่าอวิ๋นชุ่ยแจกเทียบเชิญเหล่ายอดฝีมือผู้กล้าแถบ ภูเขากวนโหล่ง จึงคิดมาเยี่ยมเยียนน้องร่วมสาบาน ไม่ง่ายกว่าที่ทั้งสองจะหาเวลาสนทนากันตามลำพังได้ ดังนั้นคำ พูดในค่ำคืนนี้จึงมากมายไม่รู้จบ กระทั่งเอ่ยถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนี้ เฟิงชิวฮว๋ากล่าวว่า “ใบไม้ ใบหนึ่งเห็นแจ้งทั้งฤดูชิว (ฤดู ใบไม้ร่วง) พิเคราะห์จากบุตรชายของ

ซ่ ง หวั ง (ท่ า นอ๋ อ งแซ่ ซ่ ง ) ก็ พ อทราบผลลั พ ธ์ ใ นภายหน้ า คิ ดว่ า ...

ราชวงศ์จิ้นเห็นทีคงไม่นานเสียแล้ว” “พี่ใหญ่หมายความว่า...” “ซ่งหวังหายินดีอยู่ ใต้ผู้อื่นไม่ ช้าเร็วต้องเจริญรอยตามเฉาเชา (โจโฉ) เป็นแน่แท้ หลายปีนี้สังเกตจากพฤติกรรมของมัน แม้อำนาจคับ ฟ้า แต่สันดานเยี่ยงไพร่ เจ้าเล่ห์เพทุบาย การศึกไม่โดดเด่น เทียบกับ เฉาเชายังนับว่าห่างไกลยิง่ บุคคลผู้ได้มาซึง่ อำนาจด้วยความบังเอิญเช่น นี้ เกรงว่าราษฎรคงหนีไม่พ้นความทุกข์เข็ญเป็นแน่” “โอ ทุกหย่อมหญ้าล้วนลุกเป็นไฟ เมื่อใดจึงจบสิ้น” มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 63


เฟิงชิวฮว๋าว่า “น้องอวิน๋ เจ้ามีจติ ใจเมตตาการุณย์ ทัง้ ยังสติปญั ญา หลักแหลม ทรัพย์สมบัติมากล้น ไฉนจึงไม่ปล่อยวาง น้อมใจเข้าสู่แนว

ทางพรตศึกษาบำเพ็ญฌาน เร้นกายจากทางโลกที่วุ่นวาย” อวิ๋ น ชุ่ ย ยิ้ ม ขมขื่ น คราหนึ่ ง ก่ อ นตอบว่ า “พี่ ใ หญ่ ตระกู ล อวิ๋ น

ข้ า พเจ้ า หลายชั่ ว คนปั ก หลั ก อยู่ ที่ ฉางอั น เนื่ อ งเพราะปฏิ บั ติ ตามคำ

สั่งเสียของบรรพบุรุษ จึงไม่อาจไปจากที่นี้..." เฟิงชิวฮว๋าโบกมือเป็นเชิงตัดใจ “เช่นนั้นก็แล้วไปเถิด ในเมื่อเป็น คำสั่งเสียของต้นตระกูล ถือเสียว่าพี่ใหญ่กล่าวผิดแล้ว ทว่ามีเรื่องหนึ่ง ไม่อาจไม่ระวัง...เด็กรับใช้หลิ่วเหิงมีภูมิหลังเป็นมาเช่นไร” อวิ๋นชุ่ยกล่าวว่า “ผู้น้องเองก็ไม่ทราบ บิดาของมันเป็นคนงานใน บ้านตั้งแต่สมัยท่านพ่อยังอยู่ ไม่เคยได้ยินว่าฝึกวิชาฝีมือมาก่อน ต่อมา ป่วยตายไป ข้าพเจ้าจึงดูแลลูกของมันสืบมา หลิ่วเหิงเด็กคนนี้เจียมเนื้อ เจียมตัวมาตลอด ไม่เคยแสดงออกว่ามีเพลงกระบี่สูงส่งแต่อย่างใด” เฟิงชิวฮว๋าเอ่ยเสียงต่ำว่า “เพลงกระบี่ของมัน ข้าชมดูแล้วคล้าย คนผู้หนึ่งอยู่หลายส่วน” “คล้ายผู้ใด?” “เซียนกระบี่...เหมยเจี้ยนฉื่อ” อวิ๋นชุ่ยเกือบตกจากตั่ง ร้องเสียงหลงว่า “เซียน...เซียนกระบี่ ...เหมยเจี้ยนฉื่อ? มันมิใช่...เป็นคู่อาฆาตของอาศรมบรรลุแจ้ง?...ไฉน จึง...ไฉนจึง...” เฟิงชิวฮว๋าสีหน้าสงบนิ่ง กล่าวว่า “อาจดูผิดก็เป็นได้ แต่ท่วง

ท่า ‘มีกระบี่ไร้คน’ ของมัน คล้ายเป็นแนวทางเดียวกับ ‘ในกระบี่ไร้รอย’ ของเหมยเจี้ยนฉื่อยิ่งนัก แต่เพราะหลิ่วเหิงไม่มีพื้นฐาน ดังนั้นกวัด แกว่งไปมา ยังคงไม่เกินสามกระบวนท่า...” มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 64


“มีเพียงสามกระบวนท่า?” “ถูกต้อง แต่เมื่อใช้ออกกลับแปรเปลี่ยนได้ดังใจปรารถนาไม่มีสุด สิ้น นี่คือคุณลักษณะโดดเด่นที่ทำให้เหมยเจี้ยนฉื่อโด่งดังขึ้นมาในตอน นั้น บางทีสามกระบวนท่านี้อาจเป็นผู้ใดลอกเลียนแบบมา หากสามารถ สร้างสรรค์ได้บรรเจิดถึงเพียงนี้ นับว่าล้ำเลิศยิ่งแล้ว” อวิ๋นชุ่ยพอฟังถึงกับอึ้งไปชั่วครู่ ค่อยพูดขึ้นว่า “เด็กคนนี้ ปกติ สงบเสงี่ยมเรียบร้อย ไม่คาดว่ากลับมีวิชาฝีมือติดตัว ทั้งยังเป็นเพลง กระบี่อันชั่วร้ายของสำนักกระบี่เซียนอีกด้วย...นี่...นี่นับว่าแปลกพิศดาร จริงๆ” “เพลงกระบี่นี้เป็นมาเช่นไร สมควรพิเคราะห์ให้แน่ชัด หากเป็น

ผู้สืบทอดจากเหมยเจี้ยนฉื่อจริง เหตุใดหลายสิบปีมานี้ จึงเงียบเชียบ

ไร้วี่แววอย่างสิ้นเชิง คิดว่าเรื่องนี้อย่างไรต้องมีเบื้องหลัง” “พี่ใหญ่กล่าวได้ถูกต้อง สมควรสืบให้แน่ชัด” เฟิงชิวฮว๋า ทอดสายตามองผืนฟ้าผ่านช่องหน้าต่าง เอ่ยเบาๆ ว่า “หลายปีมานี้ เราเบื่อหน่ายทางโลกเหลือเกิน หลังจากพบเจ้าครานี้ ก็ จะหาสถานที่เงียบสงบเร้นกายเก็บตัวบำเพ็ญเพียร ไม่ออกมาอีก” “พี่ใหญ่!” อวิ๋นชุ่ยอุทาน กำลังจะเอ่ยต่อ ผู้เป็นพี่พลันยกมือห้าม ก่อนแย้มยิ้มกล่าวว่า “เราเป็นศิษย์ที่ละทิ้งแนวทางพรต ชีวิตนี้ก่อกรรม ชั่วมากสร้างกรรมดีน้อย ถึงเวลาเร้นกาย ชำระจิตใจตัวเองแล้ว” อวิ๋นชุ่ยเข้าใจดีว่า ผู้พี่ระทมทุกข์ด้วยเรื่องเมื่อครั้งวัยหนุ่มมา ตลอด แต่เดิมเขาเป็นศิษย์เอกของนักพรตจี๋เฟิง (พายุคลั่ง) ซึ่งเป็น ศิษย์คนโตแห่งปรมาจารย์อาศรมบรรลุแจ้งซือคงอู๋ ทั้งยังเป็นผู้สืบทอด ตำแหน่ง เฟิงชิวฮว๋านับเป็นศิษย์รุ่นที่สาม ปรมาจารย์ซือคงอู๋มีศิษย์ทั้งสิ้นรวมเจ็ดคน อาศรมบรรลุแจ้งแต่ มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 65


ไรมาไม่ข้องเกี่ยวโลกภายนอก ด้วยเหตุนี้ในบรรดาศิษย์ทั้งเจ็ด ไม่มีสัก ผู้หนึ่งเป็นที่เลื่องลือ ทว่าเฟิงชิวฮว๋ากลับโดดเด่นเหนือศิษย์อื่น ทั้งยัง อาวุโสที่สุด ความสามารถยอดเยี่ยม มักได้รับมอบหมายให้ทำงาน สำคัญ คนภายนอกต่างพากันเข้าใจว่า อาศรมบรรลุแจ้งเจตนาส่งเสริม เฟิงชิวฮว๋า เพื่อให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักต่อไป นั ก พรตจี๋ เ ฟิ ง ทุ่ ม เทถ่ า ยทอดวิ ช าให้ ด้ ว ยความหวั ง เต็ ม เปี่ ย ม มิคาดเฟิงชิวฮว๋ากลับจมปลักในบ่วงรัก ซึ่งผิดกฎข้อห้ามร้ายแรง จึงถูก ขับออกจากสำนักตั้งแต่นั้นมา กฎบำเพ็ ญ ฌานที่ ส ำคั ญ ที่ สุ ด ของวี ถี เ ต๋ า “สยบมั ง กรกำราบ พยัคฆ์” ส่วนที่ว่า “มังกรพยัคฆ์” หมายถึง ‘กามารมณ์’ นั่นเอง ในเมื่อ เฟิ ง ชิ ว ฮว๋ า ก้ า วข้ า มด่ า นสำคั ญ นี้ ไ ม่ ไ ด้ แน่ น อนย่ อ มไม่ อาจสื บ ทอด เจตนารมณ์รับภาระอันหนักหน่วงดังที่อาจารย์ฝากความหวังไว้ เฟิงชิวฮว๋าด้วยความเจ็บปวดเสียใจ จึงตัดขาดความสัมพันธ์กับ สตรีผู้นั้น หลบเร้นกายบำเพ็ญฌานอยู่ในป่าลึกตามลำพัง ผ่านไปสองปี ยังคงไม่อาจกำราบมารร้ายในใจ สุดท้ายจึงตัดสินใจหวนคืนทางโลกใช้ ชีวิตดั่งคนธรรมดาสามัญ ทว่าเมื่อกลับออกมาตามหาหญิงคนรัก พบแต่เพียงหลุมศพถึง ได้รู้ว่านางตรอมใจจนตายขณะที่ยังอุ้มท้องอยู่ เฟิงชิวฮว๋าทั้งเสียใจทั้งรวดร้าวไม่น้อยไปกว่าเมื่อครั้งถูกขับออก จากสำนัก เกลียดชังตัวเองที่ถูกอารมณ์ครอบงำจนทำให้ความคาดหวัง ของอาจารย์ต้องพังทลาย ยิ่งรังเกียจตัวเองที่ทำให้บุคคลอันเป็นที่รัก ต้องจบชีวิต ความอัปยศนี้ ไม่ว่ากี่ปีผ่านไปยังคงไม่อาจปล่อยวาง บุรุษผู้หนึ่งซึ่งเกียรติภูมิสูงส่ง ต้องประสบกับเรื่องราวเช่นนี้ ค่อน ชีวิตที่เหลือได้แต่กลบฝังความสามารถที่มี เนรเทศตัวเองออกจากโลก มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 66


ภายนอก ความลับเหล่านี้ นอกจากนักพรตจำนวนไม่กี่คน ก็มีเพียงอวิ๋น ชุ่ยเท่านั้นที่รู้ พอคิดถึงว่าจะไม่ได้พบหน้าผู้เป็นพี่ร่วมสาบานอีก ในใจ พลันปวดแปลบขึ้นมา กระทั่งน้ำตายังหลั่งไหลด้วยไม่อาจห้ามใจ เฟิงชิวฮว๋ายิ้มชืดชา กล่าวว่า “ตัดขาดซึ่งลาภยศสรรเสริญบุญ คุณความแค้น นับเป็นความสงบขั้นต้น สละแล้วซึ่งรักโลภโกรธหลง นับเป็นความสงบขั้นสูง น้องพี่ เจ้าควรดีใจกับเราจึงถูกต้อง” อวิ๋นชุ่ยกลับไม่คิดว่าผู้พี่สามารถทำได้ดังที่กล่าว เพียงแต่หนี ปัญหาเท่านั้น แต่ความคิดเช่นนี้มันไหนเลยกล่าวออกมาได้ จึงได้เพียง พยักหน้าช้าๆ ก่อนทอดถอนใจยาวนาน ยามนั้นเฟิงชิวฮว๋าพลันสังเกตเห็นท้องฟ้าปรากฏเปลวไฟลุกโชน ส่องสว่างทั่วผืนฟ้า อดตะลึงงันมิได้ อวิ๋นชุ่ยเห็นเปลวเพลิงโหมไหม้รุนแรง ลนลานพรวดพราดลงจาก ตั่ ง ร้ อ งอย่ า งตกใจว่ า “นั่ น เป็ น สถานที่ ศั ก ดิ์ สิ ท ธิ์ เกิ ด เพลิ ง ไหม้ ไ ด้ อย่างไร” ก่อนกระโจนออกนอกห้องร้องเรียกบ่าวรับใช้ให้ช่วยกันดับไฟ ชุลมุน เฟิงชิวฮว๋าลุกจากตั่งตามไป สายตาจับจ้องยังเปลวเพลิง บังเกิด เป็นลางสังหรณ์แรงกล้า ยิ่งมองยิ่งรู้สึกไม่ชอบมาพากล มันบำเพ็ญ พรตมานานปี พอเข้าใจวิธีการสังเกตฟ้าทำนายดินอยู่บ้าง เบื้องหน้า คล้ายปกคลุมด้วยเค้าลางมืดมนบางเบา มองไม่ออกว่าดีว่าร้าย สีหน้า พลันแปรเปลี่ยนโดยไม่รู้ตัว อวิ๋นซื่อซงที่ซุกตัวแอบอยู่ใต้แท่นบูชา เห็นด้านนอกปรากฏเปลว ไฟพวยพุ่ง ตกตะลึงแทบสิ้นสติ รีบมุดออกจากแท่นพุ่งตรงไปที่หน้าต่าง เพลิงลุกท่วมฟ้าลุกลามจวนจะถึงศาลร้าง เหลียวซ้ายแลขวาทุกทิศล้วน มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 67


ปราศจากทางออก ในใจเต็มไปด้วยความหวาดผวา ลอบคิดว่า ‘หลิวอี้ เจินวางเพลิงฆ่าเรา แย่แล้ว...ทำเช่นไรดี’ เขาหมุนตัวไปมาด้วยความสับสนอับจนหนทาง รู้แต่เพียงความ ร้อนระอุจากเปลวไฟใกล้ตัวเข้ามาทุกที ควันไฟลอยลอดเข้ามาตามช่อง หน้าต่างทำให้สำลักจนไอไม่หยุด ร่างโซเซไร้ทิศทางกระทั่งชนเข้ากับ แท่นบูชา หีบเหล็กหนาหนักสั่นสะท้านโยกไหวไปมา ทั้งหยากไย่ทั้งฝุ่น ร่วงกราว อวิ๋นซื่อซงยกมือปัดป่ายขี้ฝุ่นที่ร่วงใส่ใบหน้า สายตาพร่าพราย ใต้ใยแมงมุม เห็นมียันต์สีเหลืองคาดทับหีบเหล็ก แม้อายุเก่าแก่ ทว่า สีสันแจ่มชัด แม้แต่ชาดแดงของตราประทับก็ยังดูสดใสปานโลหิต พายุเพลิงหอบเอาความร้อนลอยเข้าสู่ศาลร้าง รวมทั้งสะเก็ดไฟ เผาถูกยันต์สีเหลืองจนมอดไหม้ หลิวอี้เจินและพวกเฝ้ารออยู่นอกป่าร้าง เห็นเพลิงโหมกระหน่ำ รุนแรง พากันหัวร่อสะใจ มือชี้ไปที่เปลวไฟ พูดกลั้วเสียงหัวร่อว่า “เจ้า เด็กน้อยแซ่อวิ๋น หากไม่คลานออกมาให้เราแต่โดยดี ก็จงเป็นผีตายโหง อยู่ในนั้นเถอะ” เวลานั้น บ่าวตระกูลอวิ๋นจำนวนมากพากันถือภาชนะรูปทรง ต่ า งๆ เท่ า ที่ จ ะหาได้ ตั ก น้ ำ เตรี ย มมาดั บ ไฟ เมื่ อ เห็ น หลิ ว อี้ เ จิ น และ องครักษ์ยืนอยู่ ต่างพากันชะงักเท้าไม่กล้าเดินหน้า อวิ๋นชุ่ยพอมาถึง เห็นว่าเป็นหลิวอี้เจินวางเพลิง ต้องตื่นตะลึง

ละล่ำละลักถามไปว่า “ท่านแม่ทัพ...นี่...นี่เป็นเรื่องใดกัน...เหตุใด...? เหตุใดต้องจุดไฟเผาศาลบรรพบุรุษตระกูลอวิ๋น?” หลิวอี้เจินแค่นเสียงดังเฮอะ ตอบไปว่า “ตระกูลอวิ๋นของเจ้าใกล้ ถึงคราล่มสลายแล้ว ยังคิดบูชาบรรพบุรุษอันใด” มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 68


อวิ๋นชุ่ยได้ยินดังนั้นผวาตกใจแทบสิ้น รู้สึกจนปัญญายิ่ง ยามนั้น ช่องหน้าต่างศาลร้าง เห็นบุตรชายลอดศีรษะออกมา ร้องตะโกนดังลั่น ว่า “ท่านพ่อ...ท่านพ่อ.. ช่วยด้วย ท่านพ่อ...” อวิ๋นชุ่ยใจหายวาบ อุทานว่า “ซงเอ๋อ” อวิ๋นชุ่ยไม่คาดคิดเด็ดขาดว่าบุตรชายจะซ่อนตัวอยู่ภายในศาล ร้าง รีบหันไปสั่งบ่าวรับใช้ “เร็วเข้า รีบดับไฟ ช่วยนายน้อยออกมา” หลิ ว อี้ เ จิ น ตวาดดั ง ลั่ นว่ า “ผู้ ใ ดก็ ห้ า มช่ ว ย อวิ๋ น ซื่ อ ซงกำเริ บ

เสิบสาน เราจะเผามันทั้งเป็น” บุตรชายคนเดียวกำลังตกอยู่ในห้วงอันตราย อวิ๋นชุ่ยขณะนั้นไม่ สนใจว่าจะเป็นขุนนางใหญ่โตมาแต่ไหน กระโจนพรวดเข้าไปในป่าร้างที่ ไฟกำลังลุกโชนทันที “ซงเอ๋อ พ่อมาช่วยเจ้า” อวิ๋นชุ่ยหาได้ใส่ใจต่อความร้อนที่แผดเผารอบกายไม่ บุกทะลวง มุ่งหน้าสู่ศาลร้าง วิชาตัวเบาของมันนับว่าไม่ด้อย ไม่ช้าก็ฝ่ากองเพลิง เข้ามาถึงด้านในศาล บุตรชายเมื่อเห็นบิดาก็โถมตัวโอบกอดร่ำไห้น้ำตา นองหน้า ก่อนระล่ำระลักว่า “ท่านพ่อ ลูกทำให้กุ้ยหยางกงมีโทสะ มัน ว่าจะลงโทษยึดสมบัติบ้านเราจนสิ้น” สองพ่อลูกกอดคอกันแน่น “ร้อยปีมานี้ กี่เผ่าต่อกี่เผ่า ผลัดกัน

ยึดครองฉางอัน ตระกูลอวิ๋นแม้ต้องประสบความทุกข์ยากอยู่บ้าง แต่ก็ ยังรักษาตัวรอดมาได้ ไม่เคยคิดเลยว่า...วันนี้กลับต้องมาย่อยยับในมือ ของคนต่ ำ ช้ า ชนเผ่ า เดี ย วกั น ...ช่ า งเถิ ด ...นี่ ค งเป็ น ชะตากรรมของ ตระกูลอวิ๋นเรา” เพลิงพิโรธยิ่งหนักหน่วงรุนแรง สองพ่อลูกมือเท้าเริ่มอ่อนแรง ทันใดนั้นได้ยินเสียงกึกกักดังจากเหนือศีรษะ อวิ๋นชุ่ยรวบรวมกำลัง แหงนหน้าขึ้นมอง เห็นหีบเหล็กขนาดใหญ่หนาหนักใบหนึ่งกำลังขยับ มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 69


โยกเยกได้เอง สองคนมองดูจนตาค้าง สักพักหีบเหล็กก็เขยื้อนจนใกล้ จะตกลงมาจากแท่นบูชา อวิ๋นซื่อซงคล้ายได้ยินเสียงอ่อนเยาว์เสียงหนึ่ง แว่วมาจากด้านในหีบ พอตั้งสติได้ก็ถลาออกไป “ระวัง!” ร่างพอดีโถมเข้ารับหีบเหล็กทีต่ กลงมาได้ทนั น้ำหนักมหาศาลของ หีบเหล็กกดทับจนแขนทั้งสองปวดล้าแสนสาหัส พริบตานั้นภายในหีบ พลันปรากฏลำแสงสีม่วงสาดวาบออกมา อวิ๋นชุ่ยเห็นลำแสงพุ่งตรงขึ้นฟ้า เบื้องหน้าพร่าพรายเลือนลาง สิ่งที่ปรากฏคล้ายจริงคล้ายไม่จริง หลิวอี้เจินและคนอื่นที่รออยู่ภายนอกป่าร้าง ยามนั้นเห็นลำแสง

สีม่วงพุ่งวาบทะลุขึ้นท้องฟ้า ก่อนแปรเป็นกระแสไอเย็นขุมหนึ่งแผ่ กระจายปกคลุมเพลิงที่กำลังลุกโหมกระพือจนบางส่วนสงบลง แต่ละคน ชมดูจนปากอ้าตาค้าง “ดาวอาเพศปรากฏ ความชั่วร้ายจะบังเกิด!” หลิ่วเหิงอ้าปากร้อง ดังลั่น คนอื่นๆ ยังตะลึงงันไม่ทันเข้าใจว่าเป็นเรื่องราวใด รู้เพียงว่าใน กองเพลิง จู่ๆ มีเสียงหัวร่อคิกคักของเด็กหญิงดังออกมา ขณะนั้นเองร่างของเฟิงชิวฮว๋าก็ทะยานมาถึง ก่อนตวาดใส่ต้น เสียงหัวร่อนั้น “มีอันใดน่าขัน นางปีศาจร้าย กล้าดีอย่างไรออกมาก่อ ความวุ่นวายบนโลกมนุษย์” เสียงหัวร่อชะงักกึก เฟิงชิวฮว๋ารวบรวมพลังสู่จุดตันเถียน โคจร ลมปราณแปรเป็นพลังวูบหนึ่งกระแทกใส่กองเพลิง ซึ่งพลัง “กำราบ หยินพิทักษ์หยาง” มารปีศาจตนใดพบเข้าจำต้องหลบลี้ มิคาด พลังดึงดูดมหาศาลขุมหนึ่งผุดจากกองเพลิงดูดดึงพลัง ของเฟิ ง ชิ ว ฮว๋ า จนลมปราณปั่ น ป่ ว น เฟิ ง ชิ ว ฮว๋ า ตื่ น ตะลึ ง งั น นั บ แต่ มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 70


บำเพ็ญฌานมา ยังไม่เคยตกอยู่ในสภาวะเช่นนีม้ าก่อน ยามกะทันหันรีบ ถอนพลังออกมากักเก็บไว้ที่จุดตันเถียนดังเดิม ทว่ า พลั ง ดึ ง ดู ด ขุ ม นั้ น ไม่ มี วี่ แ ววผ่ อ นลงแต่ อ ย่ า งใด ก่ อ ให้ ล ม หายใจเฟิงชิวฮว๋าระส่ำระสาย ลมปราณติดขัด หน้าผากเหงื่อเม็ดโป้ง ผุดพราย เสียงพูดเจือหัวร่ออ่อนหวานของเด็กสาว ดังแว่วมา “เสี่ยวหลง (มังกรน้อย) อย่าไป อย่าไป!” ผู้คนที่ได้ยินต่างขนลุกเกรียวกราว พากันเลิ่กลั่กเหลียวซ้ายแล ขวา ปากก็ถามไถ่กันไม่หยุด “เสียงเด็กที่ไหน” “เสี่ยวหลงที่ไหนกัน...” “เรื่องอะไรกัน...” “ไฉนจึงหนาวเย็นขึ้นทุกที...” เฟิงชิวฮว๋ารีบผนึกพลังอีกครั้ง หลังตระหนักว่าพลังของปีศาจ ร้ายเข้มแข็งกว่าที่ตนคาดคิด หากเป็นเช่นนี้ต่อไปลมปราณภายในต้อง แตกซ่าน กลายเป็นคนเสียสติแล้ว คิดได้ดังนั้น เฟิงชิวฮว๋าจึงเร่งผ่อนแรง เดินลมปราณผ่านจุด

ชีพจรตูม่าย (จุดตามแนวกระดูกสันหลัง) โน้มเข้าจุดผีถู่ (ปลายนิ้วโป้ง มือ) จากนั้นค่อยสลายเป็นว่างเปล่า เมื่อว่างเปล่าไม่มีสิ่งใดให้ดูด พลัง ขุมนั้นย่อมสลายไปเองโดยธรรมชาติ เฟิงชิวฮว๋าผ่อนพลังไปสู่สภาวะว่างเปล่าอย่างช้าๆ มิ ค าด ในกองเพลิ ง บั ง เกิ ด เสี ย งร่ ำ ไห้ โ หยหวนดั ง ขึ้ น อี ก ครา “เสี่ยวหลง เสี่ยวหลงหายไปแล้ว ฮือฮือฮือ...” หลิวอี้เจินตวาดไปที่ต้นเสียงนั้นดังลั่น “เป็นผู้ใดเล่นตลกกับเรา มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 71


มือธนู รีบยิง!” คนสนิทที่ติดตามมาพอคว้าธนูได้ก็ง้างยิงสะเปะสะปะทั่วทิศทาง จากนั้นได้ยินเสียงอันเดือดดาลดังครืดคราดออกมาคราหนึ่ง กระแสไอเย็นยะเยียบเวลานี้เปลี่ยนเป็นรุนแรงขึ้นอย่างฉับพลัน เดิมทีท้องฟ้าควรเป็นสีคราม พลันแปรเปลี่ยนเป็นมืดดำ กระทั่งมองไม่ เห็นนิ้วมือทั้งห้า พื้นดินรอบบริเวณบังเกิดเป็นไอเย็นผุดขึ้นมาระลอก แล้วระลอกแล้ว พอก้มมอง ทุกคนต้องตกใจตะลึงงัน ผืนดินคล้ายถูกปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็ง ไอเย็นค่อยๆ ทะลุทะลวง ชอนไชเข้าใส่เท้าที่ยืนอยู่จนไม่อาจขยับกาย หลิวอี้เจินหวาดผวาตาค้าง เป็นหลิ่วเหิงตั้งสติได้ทัน อ้าปากร้องว่า “ใต้เท้ารีบหนี” หลิ่วเหิงดึงมือหลิวอี้เจินได้ ก็ออกวิ่งโดยพลัน กระแสไอเย็ น พวยพุ่ ง แผ่ ข ยายเป็ นวงกว้ า งอย่ า งรวดเร็ ว ราว วิญญาณร้ายก็มิปาน หลิวอี้เจินตกใจสติกระเจิดกระเจิง ได้แต่วิ่งไปตาม แรงดึงของหลิ่วเหิง กลิ่นคาวโลหิตชวนสะอิดสะเอียนลอยแตะจมูกวูบ เอี้ยวกลับไปมอง เห็นเหล่าองครักษ์บางคนยืนตัวแข็งทื่อกลายเป็น มนุษย์น้ำแข็ง จากนั้นทั้งร่างก็แตกโพละเป็นเสี่ยงๆ อวัยวะเลือดเนื้อ กระจัดกระจาย ตกลงสู่พื้นดินที่กลายเป็นน้ำแข็ง ก่อนสลายเป็นไอสีดำ ในทันที เฟิงชิวฮว๋าเร่งเร้าโยกย้ายพลังลมปราณจากกองเพลิงแผ่กระจาย เป็นวงกลมล้อมรอบบ่าวรับใช้ตระกูลอวิ๋น ไอเย็นพอคืบคลานเข้าใกล้ ลมปราณหยางบริสุทธิ์ของเฟิงชิวฮว๋า ก็ถอยร่นกลับไป ประหนึ่งความ หนาวเย็นปะทะกับแสงอาทิตย์อันร้อนแรง หลิวอี้เจินไม่เคยเห็นภาพแปลกประหลาดพิสดารเช่นนี้มาก่อน แตกตื่นตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่วิ่งตามแรงฉุดของหลิ่วเหิง โดยมี มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 72


องครักษ์มือดีที่หลุดรอดมาได้หลายคนวิ่งตามมา ไม่นานไอเย็นก็จางหายไป ขอบฟ้าเริ่มปรากฏแสงสว่างรำไร เพิ่มพูนพลังหยาง เฟิงชิวฮว๋าเห็นไอเย็นวูบนั้นจากไปอย่างรวดเร็ว

ไร้ร่องรอย เดิมทีเข้าใจว่าปีศาจร้ายในกองเพลิงพลังแข็งแกร่งรุนแรง

มิคาดกลับสลายไปง่ายดายเช่นนี้ อดรู้สึกพิศวงในใจมิได้ เปลวเพลิงเริ่มสร่างซาลง เหลือเพียงผืนดินที่ดำเป็นถ่าน บริเวณ โดยรอบศาลร้างที่ถูกไฟโลมเลีย เขม่าควันสีขาวจางๆ ลอยกรุ่น ราวกับ วิญญาณกำลังพลิ้วกายไปมา เฟิงชิวฮว๋าขยับชุดยาวคราหนึ่ง ก่อนถลันเข้าไปในศาลร้าง ปาก ก็ตะโกนว่า “น้องอวิ๋น น้องอวิ๋นเป็นอย่างไรแล้ว” เมื่อผลักประตูเข้าไป กวาดสายตามองโดยรอบ เห็นคนแซ่อวิ๋น สองพ่อลูกหมดสติกองอยู่กับพื้น ข้างกายมีหีบเหล็กเก่าแก่วางอยู่ เด็ก หญิงร่างแบบบางคนหนึ่งนอนเปลือยกายหลับสนิทอิงแอบอยู่ในอ้อมอก

อวิ๋นซื่อซงอย่างใกล้ชิด เฟิงชิวฮว๋าฉงนใจ ‘ไฟลุกไหม้รุนแรง ไฉนมีเด็กหญิงนอนอยู่ที่น’ี้ อาการสองพ่อลูกตระกูลอวิ๋นสำรวจดูพบว่าหายใจเป็นปกติคล้าย นอนหลับ ไม่มีร่องรอยบาดแผลทั้งภายนอกภายใน เฟิงชิวฮว๋ายิ่งมายิ่ง ประหลาดใจ จึงลองเขย่าตัวอวิ๋นชุ่ยเบาๆ “น้องอวิ๋น น้องอวิ๋น” อวิ๋นชุ่ยเมื่อตื่นขึ้นเห็นสีหน้าประหลาดใจของเฟิงชิวฮว๋า ก็รู้สึก งงงัน สักพักจึงนึกขึ้นได้ว่าเกิดเรื่องราวใดขึ้น ร้องเสียงหลงว่า “พี่ใหญ่ ซื่อซงเล่า?” ระหว่างนั้นก็หันซ้ายแลขวา เห็นบุตรชายกำลังนอนหลับอยู่อีก ด้านหนึ่ง ในอ้อมกอดมีเด็กหญิงอายุเจ็ดแปดขวบคนหนึ่ง ดวงหน้า งดงามหมดจดยากหาใดเปรียบ เส้นผมดำขลับยาวสลวย แผ่ปกคลุมทั่ว มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 73


เรือนร่าง ดุจดั่งเทพธิดามาจุติก็มิปาน อวิ๋ น ซื่ อ ซงครางแผ่ ว เบาก่ อ นลื ม ตาขึ้ น กำลั ง อ้ า ปากเอ่ ย คำ เหลื อ บไปเห็ น เด็ ก น้ อ ยคนหนึ่ ง ซบหน้ า อยู่ แ นบอก สะดุ้ ง ตกใจแทบ

สิ้นสติ อาการสะดุ้งเฮือกปลุกให้เด็กหญิงรู้สึกตัว เห็นนางหาวหวอดครา หนึ่ง บิดเอวด้วยความเกียจคร้าน ร่างแบบบางนุ่มนิ่ม ไม่ว่าแสดงกิริยา ท่าทางใด คล้ายมีแสงสีขาวเบาบางปกคลุมอยู่รอบกาย เมื่อนางลืมตา มอง ดวงตาวาวใสฉ่ำชื่นกลอกไปมาส่องประกายเจิดจ้า ทำเอาผู้อื่นไม่ กล้าสบสายตาโดยตรง อวิ๋นซื่อซงตะลึงจนพูดไม่ออก ตะกุกตะกักถามไปว่า “เจ้า...เจ้า เป็นใคร?” เด็กหญิงยิ้มให้พลางถามกลับว่า “ข้าพเจ้าชื่อรั่วจื่อ ท่านเป็น ใคร?” อวิ๋นซื่อซงตั้งคำถามต่อ “เจ้ามาจากที่ใด แล้วมาอยู่ที่นี่ได้อย่าง

ไร?” เด็กหญิงชี้ไปทางหีบเหล็ก ก่อนตอบว่า “ข้าพเจ้านอนหลับอยู่ใน นั้น เมื่อครู่ตกลงมา เป็นท่านรับไว้ได้อย่างไรเล่า” อวิน๋ ชุย่ ตกใจยิง่ มันเฟิงชิวฮว๋าต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันไปมา อวิ๋นซื่อซงยังคงถามต่อ “เจ้า...เจ้านอนหลับอยู่ในหีบนั่น? หีบสูง ใหญ่ถึงเพียงนั้น เจ้าขึ้นไปได้อย่างไร?” “ข้าพเจ้าไม่รู้ ตลอดมาก็นอนอยู่ในนั้น” เด็กหญิงตอบยิ้มๆ เฟิ ง ชิ ว ฮว๋ า สั ง เกตเด็ ก หญิ ง อย่ า งถี่ ถ้ ว น พลั น เข้ า ใจในบั ด ดล สีหน้าแปรเปลี่ยน จากนั้นชักกระบี่ชี้ ไปที่หน้าผาก เด็กหญิงตกใจจน กรีดร้องคราหนึ่ง ก่อนจะรีบซุกเข้ากับอกอวิ๋นซื่อซง มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 74


อวิ่นซื่อซงกางแขนปกป้องทันใด “ท่านลุงเฟิง ท่านจะทำอะไร?” เฟิ ง ชิ ว ฮว๋ า กล่ า วว่ า “เด็ ก หญิ ง นี้ เ ป็ น ปี ศ าจ แม้ พ ลั ง ปี ศ าจยั ง อ่อนแอ ทว่าเกือบทำลายลมปราณของผู้ลุงจนสิ้น ภายภาคหน้าเติบ ใหญ่กว่านี้ เกรงว่าแม้แต่คนของอาศรมบรรลุแจ้งก็มิแน่ว่าจะเป็นคู่มือ ของนางได้” สองพ่อลูกสีหน้าตื่นตระหนก ไม่คาดคิดว่าเฟิงชิงฮว๋าจะเอ่ยวาจา ร้ายแรงปานนี้ ปรมาจารย์อาศรมบรรลุแจ้งซือคงอู๋ บำเพ็ญเพียรบรรลุ ถึงขั้นเซียน นับเป็นบุคคลผู้มีวิชาสูงสุดแห่งสำนักเต๋า ที่แท้กลับไม่แน่ ว่าจะเอาชนะทารกตรงหน้า วาจาเช่นนี้ไหนเลยรับฟังโดยไม่สะท้านใจ ได้ เฟิงชิวฮว๋ากุมกระบี่มั่น กล่าวว่า “ฉวยโอกาสที่พลังยังไม่แก่กล้า ไม่กำจัดสิ้นตอนนี้ยังรอถึงเมื่อใด” อวิ๋นซื่อซงสะอึกขึ้นปกป้องทันใด “ท่านลุงเฟิง นางเป็นเพียงเด็ก หญิงตัวน้อย หาใช่ปีศาจไม่” เด็ ก หญิ ง กอดอวิ๋ น ซื่ อ ซงแนบแน่ น ตกใจจนน้ ำ ตาริ น อย่ า งน่ า เวทนา ดวงหน้าที่ใสซื่อไร้เดียงสา มองมุมใดก็เป็นเด็กหญิงที่เปี่ยมด้วย ความบริสุทธิ์สดใส เฟิงชิวฮว๋าอดรู้สึกลังเลมิได้ และเมื่อใดที่ลังเล ความเมตตาก็จะ ผุดขึ้นแทนที่ จากนั้นยิ่งไม่อาจตัดใจลงมือเข่นฆ่า อวิ๋นชุ่ยพอตั้งสติได้ ก็เอ่ยขึ้นด้วยความกังวลใจ “พี่ใหญ่...เด็กคน นี้ แ ปลกพิ ส ดารนั ก เป็ น เคราะห์ ห รื อ เป็ น โชคไม่ ท ราบชั ด แต่ ส วรรค์ เปี่ยมเมตตา...ผู้น้องว่า...เราดูให้แน่ใจก่อนค่อยว่ากัน อย่าได้ฆ่าสัตว์ตัด ชีวิตเลย” เฟิงชิวฮว๋าบังเกิดความลังเลสับสนอย่างเห็นได้ชัด พลันตัดสินใจ มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 75


เฉียบพลัน ยกฝ่ามือฟาดใส่หน้าผากเด็กหญิง อวิ๋นซื่อซงร้องลั่นด้วย ความตกใจ “ท่านลุงเฟิง อย่าฆ่านาง ขอร้องท่านโปรดอย่าฆ่านาง” มือที่ฟาดใส่หน้าผากกดแน่นไม่ยอมคลาย อวิ๋นซื่อซงร้อนใจจน ร้องไห้ออกมา เห็นเด็กหญิงที่เรียกตัวเองว่ารั่วจื่อ ทั้งร่างสะท้านเฮือก เหนือศีรษะปรากฏกลุ่มควันพวยพุ่งออกมาหอบหนึ่ง จากนั้นค่อยๆ ม้วนตัวกลับเข้าสู่ที่เดิม ใบหน้าจากสดใสร่าเริงกลับกลายเป็นเลื่อนลอย อวิ๋นชุ่ยตกใจจนตาค้าง เห็นพี่ร่วมสาบานกระทำเช่นนั้น ถึงกับ ทำอะไรไม่ถูก ส่วนอวิ๋นซื่อซงคิดว่านางถูกกระแทกจนสิ้นใจ กล่าวด้วย น้ำตานองหน้าว่า “นางเป็นแค่เด็กหญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ท่านลุง ไฉน ตัดใจลงมือเอาชีวิตนาง...ฮือๆ” ผู้ เ ป็ น ลุ ง ตอบกลั บ ว่ า “เรามิ ไ ด้ เ อาชี วิ ต นาง เป็ น เพี ย งผนึ ก สัมปชัญญะของนางชั่วคราวเท่านั้น” สองพ่อลูกงงงันไม่เข้าใจความหมาย พลันให้วิตกมากขึ้น เฟิงชิว

ฮว๋าจึงอธิบายว่า “ปีศาจน้อยตนนี้ยังเยาว์นัก บางทีอาจพอแก้ ไขได้ พวกเราออกไปก่อนเถอะ” เฟิงชิวฮว๋าเดินนำหน้าออกไป อวิ๋นซื่อซงถอดเสื้อตัวนอกออก ห่อตัวเด็กหญิง ก่อนอุม้ ไว้แนบอก จากนัน้ เดินตามหลังผูเ้ ป็นพ่อออกมา เมื่อทั้งหมดออกสู่ด้านนอกศาลร้าง ภาพตรงหน้าทำให้ถึงกับก้าว ขาไม่ออก บนพื้นดินแท้จริงสมควรเต็มไปด้วยเขม่าควันไฟที่ไหม้เกรียม แต่เพียงชัว่ เวลาสัน้ ๆ กลับมีตน้ หญ้าเขียวขจี ทัง้ ดอกไม้นานาพรรณงอก อยู่เต็ม ผีเสื้อแมลงบินว่อนร่ายรำไปมา ประหนึ่งที่แห่งนี้เป็นวิมานบน แดนมนุษย์ก็มิปาน ทั้ ง หมดชมดู จ นตะลึ ง งั น บ่ า วรั บ ใช้ ทั้ ง หลายยิ่ ง ปากอ้ า ตาค้ า ง มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 76


แต่ละคนคล้ายตกอยู่ในภวังค์ อวิ๋นชุ่ยพอตั้งสติได้ หันไปถามบ่าวว่า “เมื่อครู่บริเวณนี้มิใช่ไหม้ เกรียมจนทั่วแล้วหรือ ไฉนอยู่ดีๆ กลับกลายสภาพเป็นเช่นนี้ไปได้” บ่าวรับใช้ตอบเจ้านายเสียงสั่นสะท้าน “พวกเราก็ไม่ทราบขอรับ นายท่าน พอนายท่านเฟิงเข้าไป ก็ ได้กลิ่นหอมหวลของดอกไม้ โชย พลิ้ว...จากนั้น...จากนั้นดอกไม้ ใบหญ้าจู่ๆ ก็งอกงามขึ้น...นายท่าน

นี่เป็นเรื่องใดกันแน่? มังกรพยัคฆ์ในศาลร้างใช่ถูกปล่อยออกมาแล้ว หรือไม่? เฟิงชิวฮว๋าสีหน้าเคร่งขรึม ระบายลมหายใจยาวคราหนึ่ง หาก เป็นปีศาจทั่วไป มันคงกำจัดสิ้นในกระบี่เดียว เพื่อมิให้เป็นภัยในภาย หน้า ทว่าเห็นนางปรากฏตัวภายในศาลร้าง ทั้งตระกูลอวิ๋นหลายชั่วคน ได้รับสืบทอดคำสั่งให้ปกป้องสถานที่นี้ บางทีนางอาจเป็นกุญแจสำคัญ หากพลั้งมือฆ่าเสีย อาจทำให้ครอบครัวอวิ๋นชุ่ยประสบเคราะห์กรรมก็ เป็นได้ หลังจากขบคิดอยู่หลายตลบ เฟิงชิวฮว๋าพลันเอ่ยขึ้นว่า “เมื่อ สวรรค์ลิขิตดังนี้ เราก็ไร้คำพูดแล้วน้องอวิ๋น...จงตระเตรียมตะกั่วบริสุทธิ์ ก่ง (สารปรอท) บริสุทธิ์ และชาด อย่างละแปดตำลึง อีกทั้งกุหลาบ ดอกบัว ดอกเหมย อย่างละเก้าชั่ง จากนั้นนำทั้งหมดใส่ในน้ำ และต้ม ในติ่งหลู (กระถางธูปขนาดใหญ่ที่มีสามขา)” จบคำก็หันไปสั่งอวิ๋นซื่อซงว่า “อุ้มนางตามเรามา” อวิ๋นซื่อซงอุ้มเด็กหญิงตามไปด้วยความกระวนกระวาย ด้วยไม่ ทราบชะตากรรมของนางจะเป็นเช่นไร ด้านหลังศาลร้าง เฟิงชิวฮว๋านั่งรออย่างสงบ อวิ๋นชุ่ยจัดแจงสั่ง บ่าวรับใช้ให้จดั หาสิง่ ของ ตะกัว่ ก่งและชาด นับว่าหาไม่ยาก ส่วนดอกไม้ มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 77


หลายชนิดแม้ยังไม่ถึงฤดูกาล ทว่าที่บานสะพรั่งละลานตาตรงหน้าตั้งแต่ เหตุการณ์เมื่อครู่ อาศัยบ่าวหลายสิบคนช่วยกันตัดเก็บ ไม่ช้าดอกไม้ จำนวนหลายหมื่นดอกพลันรวบรวมจนครบ จากนั้นนำของที่เตรียมทุก อย่างต้มในน้ำเดือด เฟิงชิวฮว๋ากวาดมือเป็นเชิงให้ทุกคนถอยออกห่าง พลันชักกระบี่ ออกจากฝัก วางขวางที่พื้นเบื้องหน้า จากนั้นอุ้มร่างรั่วจื่อไว้ ก่อนนั่งลง บนตั่ง ตั้งสมาธิโคจรพลังลมปราณในกาย เพียงครู่เดียว เห็นจมูก หู และกระหม่อมบังเกิดเป็นควันสีขาวหนาแน่นพวยพุ่งออกมา รายล้อม รอบพัวพันร่างทั้งสองจนมิด อวิ๋นชุ่ยสองพ่อลูกยืนจ้องตาไม่กะพริบ ไม่กล้าแม้แต่ระบายลม หายใจ หมอกควันสีขาวค่อยๆ ลอยไปเข้าจมูกของเด็กหญิง ส่วนลม หายใจของนางเป็นเฟิงชิวฮว๋าถ่ายทอดลมปราณจากร่างตนเข้าสู่ทวาร ทั้ ง ห้ า ของนาง หั ว ใจและชี พ จรของทั้ ง สองเต้ น ประสานเป็ น จั ง หวะ สอดคล้องกัน กระทั่งจากสองกลับกลายเป็นสภาพกายเนื้อหนึ่งเดียว ทั น ใดนั้ น กระบี่ ต รงหน้ า พลั น สั่ น สะท้ า นขึ้ น ปรากฏประกาย ลำแสงวูบวาบ พลังเย็นเยียบขุมหนึ่งผุดขึ้นจากกระบี่ทะลุทะลวงเข้าสู่ ร่างของเด็กหญิงและเฟิงชิวฮว๋า อวิ๋นชุ่ยชมดูจนเกือบหลุดปากส่งเสียง อุทานออกมา ดีที่ควบคุมสติไว้ได้ ไม่เช่นนั้นพิธีกรรมคงปั่นป่วนแล้ว เฟิงชิวฮว๋าสองมือกอดอก ผสานร่างกลมกลืนกับพลังลมปราณ ประหนึ่งลูกโลกโคจรอยู่ในนภากาศ สรรพสิ่งในน้ำเดือดหมุนวนส่งเสียง ดังครืนครั่น ไม่ช้ากลิ่นหอมของพฤกษาหลากชนิดก็ผุดลอยขึ้นมาแผ่ กระจายครอบคลุมร่างทั้งสอง พลังลมปราณแปรกลิ่นหอมที่รายล้อมอยู่รอบกายเปลี่ยนเป็นวง มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 78


น้ำขนาดใหญ่ ควันไอน้ำเหนือหม้อน้ำเดือด ก็กลับกลายเป็นลำแสง

เจิดจรัสหมุนวนจากซ้ายมาขวา หมุนอยู่เช่นนั้นกระทั่งทิศทั้งสี่ปรากฏ เป็นจุดรวมแสงสว่างวาบ จากนั้นทั้งสี่จุดผนึกเข้าเป็นหนึ่งเดียว บังเกิด เป็นไข่มุกเม็ดหนึ่งร่วงหล่นลงมา ไข่ มุ ก พอดี ต กสู่ ฝ่ า มื อ เฟิ ง ชิ ว ฮว๋ า แสงวาบแสบนั ย น์ ตาพลั น เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนสะท้อนกลิ้งไปมาอยู่ในอุ้งมือ เฟิงชิวฮว๋านำเม็ดไข่มุกกดประทับลงบนหว่างคิ้วของเด็กหญิง แสงสุดท้ายบนเม็ดไข่มุกวูบขึ้นคราหนึ่งค่อยจางหาย หว่างคิ้วเรียวงาม ปรากฏเป็นแต้มสีแดงชาด ใบหน้าที่อ่อนหวานนุ่มนวล เวลานี้กลับถูก เติมแต่งให้งดงามสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เฟิงชิวฮว๋าพ่นลมหายใจออกคราหนึ่ง วางเด็กหญิงลง ก่อนผนึก สมาธิปรับลมปราณ ใบหน้าที่สง่างามปรากฏเค้ารอยอ่อนล้า เด็กหญิงพอรู้สึกตัว ก็ลุกขึ้นนั่งมองเฟิงชิวฮว๋า อวิ๋นซื่อซงเห็น นางปลอดภัย สีหน้าบ่งบอกความยินดีอย่างเห็นได้ชัด ตอนแรกคิดจะ เดินเข้าไปพูดคุยทักทาย ทว่าถูกผู้เป็นบิดาดึงรั้งไว้ เฟิงชิงฮว๋าลืมตาขึ้นมองอวิ๋นชุ่ย ก่อนกล่าวว่า “เราใช้ธาตุพลัง แปดส่วนปิดผนึกพลังปีศาจในตัวนางไว้ชั่วคราว หากมิ ใช่พบเจอกับ ปีศาจร้ายที่มีพลังเวทแก่กล้าแล้ว ลำพังพลังงานทั่วไปไม่มีทางเปิดผนึก นี้ได้อย่างเด็ดขาด” “แปด...แปดส่วน?...พี่ใหญ่...นี่มัน...” “คนกำลังจะหลีกเร้นจากทางโลก กำลังภายในหามีค่าอันใดไม่ มิ สู้สำแดงเป็นพลังยังประโยชน์แก่ผู้อื่น โชคดีที่พลังปีศาจในตัวนางยัง เยาว์ มิเช่นนั้นคงอับจนปัญญา” “พี่ ใหญ่...ท่านเสียสละเพื่อผู้น้องถึงเพียงนี้...น้อง...” อวิ๋นชุ่ย มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 79


กล่าวด้วยน้ำเสียงตื้นตัน “นี่เป็นวาสนาระหว่างเรา ไยต้องกล่าวให้มากความ” กล่าวจบ เฟิงชิวฮว๋าจึงลุกจากตั่ง นำกระบี่เก็บเข้าฝักดังเดิม ก่อนหันมาส่งต่อให้ กับอวิ๋นชุ่ย “กระบี่นี้มีนามว่า ‘กระบี่ตัดไมตรี’ ติดตามเรามาเนิ่นนาน เมื่อครู่ ใช้ มั น ตั ด กลิ่ น อายปี ศ าจให้ นาง ภายหน้ า มิ แ น่ ว่ า อาจมี ป ระโยชน์ ใ ช้ กำราบมารก็เป็นได้ เจ้าจงนำกระบี่นี้แขวนไว้ในห้องพักของนาง อย่าได้ นำออกเด็ดขาด” อวิ๋นชุ่ยสองมือรับกระบี่ รู้สึกลำคอตีบตัน น้ำตาพานจะหลั่งริน “พี่ใหญ่ ท่านเก็บตัวบำเพ็ญฌานครานี้ เมื่อใดจึงออกมา? แล้ว จะไปพำนักอยู่ที่ ใด? บอกต่อผู้น้องสักคำ วันหน้าเผื่อได้มีโอกาสพบ หน้ากันอีก” “พันภูผา หมื่นนที สถิตแห่งหนใดไม่อาจรู้ สุดแท้แต่ชะตาลิขิต เถิด” เฟิงชิวฮว๋าคล้ายนึกขึ้นได้ จึงเสริมว่า “ยังมี...เหมยเจี้ยนฉื่อใช่มี ผู้ สื บ ทอดหรื อ ไม่ ทางที่ ดี เ จ้ า สื บ ให้ แ น่ ชั ด เรื่ อ งนี้ ต้ อ งมี เ บื้ อ งหลั ง ไม่ ธรรมดาเป็นแน่ ต่อไปเรื่องราวทางโลกเราไม่ขอยุ่งเกี่ยว มาตรแม้นเจ้า คิดตอบแทน ขอจงกระทำความดีสร้างบุญกุศลให้มากก็เพียงพอแล้ว” หันไปมองรั่วจื่อคราหนึ่ง ก่อนกำชับอวิ๋นชุ่ยว่า “อย่าให้กิเลสมาร เข้าครอบงำ ทำให้ความสุขมลายสิ้น” “ผู้น้องยินดีน้อมฟังคำสั่งสอนของพี่ใหญ่” “ต้องไปแล้ว เจ้าถนอมตัวด้วย” เฟิงชิวฮว๋ากล่าวอำลาพร้อมกุม มือทั้งสองของอวิ๋นชุ่ย “นี่...นี่ท่านจะไปแล้ว?” อวิ๋นชุ่ยถามเสียงเครือ น้ำตาหยาดหยด มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 80


ลงพื้น เฟิงชิวฮว๋ายิ้มให้คราหนึ่ง เบื้องล่างเท้าพลันบังเกิดควันเบาบาง พาร่างสง่างามเหินทะยานสู่นภากาศ พริบตาเดียวก็ถึงประตูใหญ่ ก่อน หายลับขอบฟ้าไป อวิ๋นซื่อซงเห็นเฟิงชิวฮว๋า ยั้งมือไว้ชีวิต มันรู้สึกตื้นตันถึงขีดสุด สองมือโอบกอดเด็กหญิง พลางบอกกับผู้เป็นบิดาว่า “ท่านพ่อ รั่วจื่อใน ร่างกายมีธาตุพลังของท่านลุงเฟิงอยู่ถึงแปดส่วน ท่านลุงทำเช่นนี้ต้องมี จุดประสงค์ใดเป็นแน่ เช่นนั้นพวกเราควรอบรมเลี้ยงดูน้องรั่วจื่ออย่างดี ถูกหรือไม่” อวิ๋นชุ่ยทอดถอนใจ ก่อนพยักหน้า สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ขอบ ฟ้าไกล...เนิ่นนาน...คล้ายไม่อาจปล่อยวางความอาดูรในจิตใจ เด็กหญิงตรงหน้า จะนำเคราะห์หรือโชคมาให้ ฐานะที่เป็นมนุษย์ ปุถุชนธรรมดา กลับไม่กล้าสุ่มสี่สุ่มห้าสรุป ได้แต่ปล่อยให้เป็นไปตาม ฟ้าลิขิตแล้ว นับแต่หลิวอี้เจินเข้ามาก่อความวุ่นวายจนบังเกิดเป็นความแค้น ใหญ่หลวงกับอวิ๋นซื่อซง อวิ๋นชุ่ยมักรู้สึกจิตใจว้าวุ่นยากสงบ ด้วยเกรงว่า หลิวอี้เจินพอออกคำสั่งลงมา บ้านตระกูลอวิ๋นต้องมีอันล่มสลาย โชคดีที่หลิวอี้เจินพอกลับถึงจวนที่พัก ก็ได้รับแจ้งข่าวว่า ทหาร ในด่านจำนวนไม่น้อยพากันแปรพักตร์ไปเข้าพวกกับแคว้นเซี่ย แม่ทัพ ใหญ่แคว้นเซี่ยนามเฮ่อเหลียนกุ้ย นำกองกำลังบุกโจมตีฉางอันตลอด ค่ำคืน ทว่ายังคงพิชิตไม่สำเร็จ แต่กระนั้นก็ทำให้หลิวอี้เจินขวัญหนีดีฝ่อ รีบออกคำสั่งโยกย้าย ทหารมาปกป้องประตูเมืองในทันใด จึงไม่มีใจต่อกรกับตระกูลอวิ๋นอีก หลักแยกทางร่ำลากับพี่ร่วมสาบาน อวิ๋นชุ่ยหาเวลาว่างวันหนึ่ง มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 81


พาบุตรชายและบ่าวผู้ติดตามสามสี่คน ขี่ม้ามุ่งหน้าสู่ด้านเหนือของนคร ฉางอัน เพื่อออกตามหาครอบครัวหลิ่วเหิง ก่อนหน้านี้ เขาเคยส่งคนออกสืบข่าวมาบ้าง ได้ความว่า ในบ้าน หลิ่วเหิงเหลือแต่มารดาวัยชราตามลำพัง เช่นนั้นเป็นผู้ใดถ่ายทอดเพลง กระบี่ให้มัน อวิ๋นชุ่ยกลับคิดไม่ออกแล้ว อวิ๋นชุ่ยและคนอื่นๆ เดินทางผ่านเขตเมือง มุ่งหน้าสู่ทิศเหนือ แม้ยังอยู่ในเขตนครฉางอัน แต่ผู้คนอยู่อาศัยกลับบางตา พื้นที่รกร้าง มากมาย ระหว่ า งทางต้ น ไม้ ร กครึ้ ม บางจุ ด มี ค นลั บ ๆ ล่ อ ๆ ท่ า ทาง คล้ายรอดักปล้นชิงทรัพย์ผู้ที่เดินทางผ่านไปผ่านมา สุดที่ผู้ใดจะคาดคิด นครหลวงที่อายุยาวนานหลายร้อยปีนับแต่ ยุคสมัยฮั่นตอนปลายเป็นต้นมา กลับแตกหักผุพังได้ถึงเพียงนี้ มีเพียง บริเวณตัวเมืองที่ยังคงรักษาความเจริญรุ่งเรืองเอาไว้ ได้ ภาพอันน่า อเนจอนาถตรงหน้า อวิ๋นชุ่ยชมดูจนอดสะทกสะท้อนใจมิได้ บ่าวรับใช้ที่เดินนำ จู่ๆ พลันชะงักเท้า หันมากระซิบว่า “นาย

ท่าน รีบหาที่ซ่อนตัวก่อนเร็ว” ไม่ทันรอให้ผู้เป็นนายตอบคำ มือก็จูงม้าผลุบเข้าสู่ป่าไม้ข้างทาง อวิ๋นชุ่ยสองพ่อลูก ยามนั้นได้ยินเสียงหัวร่อดังสนั่นก้องสองหู ปะปนกับ เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น บ่าวรับใช้รีบยัดท่อนไม้ใส่ปากม้า ป้องกันไม่ให้ มันส่งเสียงร้อง เสียงหัวร่อค่อยๆ ผ่านไป มองผ่านแนวต้นไม้ เห็นเป็นกลุ่มคน แต่งชุดทหารเซี่ยกลุ่มหนึ่ง บนหลังม้าบางตัวมีหญิงสาวถูกมัดพาดอยู่ บางตัวบรรทุกข้าวสารอาหารแห้งและของมีค่า ด้านหลังยังมีชาวฮั่น ทั้งคนหนุ่มคนชราและเด็กถูกมัดมือต่อกันด้วยเชือกเดินตามมา แต่ละ คนเนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล บางคนถึงกับเดินก้มหน้าหมดอาลัยตาย มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 82


อยาก ทุ ก คนถู ก ลากจู ง ให้ เ ดิ น เรี ย งเป็ น แถวคล้ า ยจู ง สั ตว์ เ ดรั จ ฉาน

ก็มิปาน ปลายดาบและหอกของทหารไม่มีสักด้ามที่ ไร้ซึ่งคราบโลหิต เกรอะกรัง อวิ๋นซื่อซงเดือดดาลจนแทบกระโดดปราดออกไป แต่ถูกบิดารั้ง ตัวไว้ จึงได้แต่มองกลุ่มทหารเหล่านั้นผ่านไปตาปริบๆ กระทั่งเสียง หัวร่อเคล้าเสียงพูดคุยค่อยๆ ห่างไกลออกไป คนงานมุดลอดศีรษะจากดงไม้ สอดส่ายสายตาจนทั่ว ตามด้วย เอาหูแนบพื้นฟังอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยลุกขึ้นจูงม้าของเจ้านายทั้งสองออกมา หันไปกล่าวว่า “นายท่าน ทหารเซี่ยพวกนั้นไปไกลแล้ว” อวิ๋นซื่อซงถามขึ้นด้วยความสงสัย “ท่านพ่อ พวกนั้นจับคนแก่ กับเด็กไปทำอะไร” อวิ๋นชุ่ยไม่ ได้ตอบคำ แต่เป็นเด็กจูงม้าตอบกลับมาแทน “นาย น้ อ ย ท่ า นยั ง ไม่ ท ราบ ชาวเซี่ ย ฝึ ก ยิ ง ธนู โ ดยใช้ ค นเป็ น ๆ ทำเป้ า ยิ ง กษัตริย์ของพวกมันเฮ่อเหลียนป๋อป๋อ ชมชอบหาความสำราญด้วยการ ยิงมนุษย์ที่สุด ทั้งยังชมชอบควักลูกตาและหัวใจดองใส่ไว้ในไหสุรา ครา ใดนึกสนุกขึ้นมา อย่าว่าแต่ชาวฮั่น แม้แต่สนมของตัวเองก็ยังสังหารได้ จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต มีหลายคนถึงกับเห็นด้วยตามาแล้ว” อวิ๋นซื่อซงอึ้งไปครู่หนึ่ง ค่อยหันไปถามบิดาว่า “ท่านพ่อ เป็น ความจริง?” อวิ๋นชุ่ยขมวดคิ้วกล่าวว่า “ไฉนการเฝ้าระวังป้องกันฝ่ายเราจึง หละหลวมเช่นนี้ ถึงกับยอมให้ชาวเซี่ยก่อกรรมทำเข็ญกลางวันแสกๆ ดู ท่า...ตัวเมืองฉางอันคงรักษาได้ไม่นานแล้ว” “แคว้นเซี่ยจะโจมตีตัวเมือง?” อวิ๋นซื่อซงถามอย่างตกใจ “หากราชสำนักไม่เรียกตัวกุ้ยหยางกงกลับสู่ทางใต้ ก็น่าจะรักษา มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 83


ไว้ได้อีกสักพัก...คอยดูต่อไปก็แล้วกัน” “เฮอะ กุ้ยหยางกงยังคงไสหัวกลับนครเจี้ยนคังเป็นดี พื้นที่แถบ กวนโหล่งไม่จำต้องให้ราชสำนักมายุ่งเกี่ยว” สองพ่อลูกสนทนาเรื่องบ้านเมือง กระทั่งมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ทางเหนือของฉางอัน กระท่อมไม้ไผ่เก่าคร่ำไม่กี่หลังตั้งกระจัดกระจาย อวิ๋นชุ่ยและพวกไม่นานก็หาบ้านของหลิ่วเหิงพบ เป็นเพียงเรือนไม้ผุ เก่าทรุดโทรมที่ไม่อาจแม้แต่จะกันฝน ด้านนอกมีขยะที่แยกไม่ออกว่า เป็ น สิ่ ง ใดวางกองสุ ม กั น อยู่ ร ะเกะระกะ แม้ แ ต่ ห้ อ งเก็ บ ฟื น ของบ้ า น ตระกูลอวิ๋นยังดูดีกว่าที่นี่หลายเท่านัก เด็กจูงม้ากำลังจะเคาะประตู พลันพบว่าประตูเพียงปิดงับไว้ไม่ได้ ลงกลอน จึงผลักเข้าไป ทั่วทั้งห้องเห็นแต่ผนังกำแพงว่างเปล่า ทั้ง อบอวลไปด้วยกลิ่นประหลาดพิสดารชนิดหนึ่ง ไม่ทราบเป็นผู้ ใดกลับ สามารถใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่เช่นนี้ เด็กจูงม้าวิ่งกลับมาเรียนเจ้านายว่า “นายท่าน ในนั้นไม่มีคน อาศัยอยู่ มีแต่ฝุ่นเกาะเต็มไปหมด” อวิ๋นชุ่ยขมวดคิ้วสงสัย ก่อนสั่งว่า “ไปสอบถามทางอื่นดู ใช่มา ผิดที่หรือไม่” เด็กจูงม้ารับคำสั่งเสร็จก็เดินถามชาวบ้านในละแวกนั้น สักพักวิ่ง กลับมารายงานว่า “นายท่าน คนในหมู่บ้านว่า มารดาหลิ่วเหิงยังมีชีวิต อยู่ แต่ถูกรับตัวไปอยู่บ้านสกุลลู่ที่หมู่บ้านถัดไป” อวิ๋นชุ่ยพอฟังก็โบกมือเป็นสัญญาณให้เด็กจูงม้านำทางไปยังบ้าน สกุลลู่ เมื่อพ้นจากหมู่บ้านเล็กๆ ได้เจ็ดแปดลี้ เห็นด้านหน้ามีทหาร กลุ่มหนึ่งขี่ม้ามุ่งตรงมา แต่ละคนล้วนสวมเครื่องแต่งกายแบบโย่วเริ่น* * ชุดยาวไม่มีกระดุม สาปเสื้อพาดจากด้านซ้ายปิดทับด้านขวา คาดเอวด้วยผ้า เป็นเอกลักษณ์ที่

บ่งบอกว่าเป็นชาวฮั่น มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 84


อวิ๋นซื่อซงร้องบอกบิดาว่า “เป็นทหารจิ้น ท่านพ่อ” อวิ๋นชุ่ยได้ฟังก็ยินดี ที่แท้เป็นทหารจิ้นออกลาดตระเวณ ทันใด นั้น ชาวบ้านสองคนแบกกิ่งไม้ผ่านมา พอเห็นเข้า ถึงกับตกใจจนหน้า ถอดสี ทิ้งกิ่งไม้ที่ตัดมาได้ก็ออกวิ่งกลับหมู่บ้านด้วยความรวดเร็วจนฝุ่น คลุ้ง ฝุ่นสลายคนก็มิเห็นแม้แต่เงาแล้ว อวิ่นชุ่ยงงงันวูบ คนงานที่ติดตามมาหลายคนคล้ายคิดอะไรออก สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นหวาดกลัวเฉกเช่นสองคนที่วิ่งหนีไป ขณะที่ยัง

มิทันลากม้าหลบเข้าป่าข้างทาง ก็ถูกทหารจิ้นสิบกว่าคนพบเห็นเข้า ทั้งมองมาด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ ทหารจิ้นผิวปากให้ม้าหยุดลง แผดเสียงดังว่า “ล้อมพวกมันไว้!” อวิ๋นชุ่ยและพวกพลันตกอยู่ในวงล้อมของทหารสิบกว่าคน เห็น ดาบกระบี่กวัดแกว่งไปมา ท่าทางดั่งโจรร้ายกำลังลงมือปล้นสะดม อวิ๋นซื่อซงตวาดว่า “พวกเจ้าเป็นทหาร หรือโจรร้าย?” เหล่าทหารพากันหัวร่อยกใหญ่ ก่อนใช้ปลายดาบชี้หน้าอวิ๋นชุ่ย พ่อลูก บ่าวรับใช้บางคนถึงกับคุกเข่าลงร้องขอชีวิต “ท่านนายทหาร โปรดไว้ชีวิตด้วย...โปรดไว้ชีวิตด้วย” หนึ่งในทหารคนหนึ่งกระตุ้นม้าให้วิ่งขึ้นหน้ามา หัวร่อกล่าวว่า “เรามาเพื่อกำจัดโจรชั่ว พวกเจ้าสุมหัวกันหลายคนเช่นนี้ ต้องไม่มี เจตนาดี รีบส่งทรัพย์สินมีค่าออกมาให้แก่เรา แล้วจะไว้ชีวิตสุนัขต่ำต้อย ของพวกเจ้า” อวิ๋นซื่อซงตวาดด่า “พวกเราเป็นราษฎรชาวฮั่น เจ้าตาบอดหรือ ไร? เมื่อครู่ทหารเซี่ยต่างหากที่จับชาวบ้านไป ตามจับพวกมันนั่นจึง ถือว่าสมควรกระทำ” เหล่ า ทหารต่ า งพากั น เงี ย บงั น ก่ อ นกล่ า วว่ า “โจรชั่ ว ! หากยั ง มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 85


สามหาว จะเอาชีวิตเจ้า! แถบนี้ถูกทหารเซี่ยปล้นจนสิ้นแล้ว เรากำลัง คิดอยู่ว่าจะหาเงินได้จากที่ไหน” อวิ๋ น ชุ่ ย พลั น เข้ า ใจในบั ด ดล ทหารจิ้ น กั บ ทหารเซี่ ย สั น ดาน เดียวกัน ผิดแต่เพียงทหารเซี่ยโหดเหี้ยมดุร้าย ทหารจิ้นไหนเลยกล้า ตอแย เมื่อพบเห็นอวิ๋นชุ่ยและพวกที่แต่งตัวหรูหราทั้งขี่ม้าราคาแพง แน่นอนต้องยินดีเป็นพิเศษ และไม่มีทางปล่อยให้หลุดมืออย่างแน่นอน” อวิ๋ น ชุ่ ย ไม่ ทั น ได้ ป รามบุ ต รชาย อวิ๋ น ซื่ อ ซงก็ ตวาดออกด้ ว ย อารมณ์พลุ่งพล่าน “เจ้ารู้หรือไม่พวกเราคือตระกูลอวิ๋นแห่งนครฉางอัน ยังกล้าเหิมเกริม!” เหล่าทหารตะลึงวูบ ตระกูลอวิ๋นแห่งฉางอัน นับเป็นตระกูลที่ ร่ำรวยอันดับหนึ่ง มีไมตรีกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่ระดับต่างๆ ไม่ทราบมาก น้อยเท่าไร แตกต่างจากชาวบ้านทั่วไป มาตรว่าเรื่องนี้เข้าหูเบื้องบน พวกมันหลายคนไยมิใช่ศีรษะร่วงหลุด คิดได้ดังนั้น พลันตัดสินใจว่า ใน เมื่อล่วงเลยถึงขั้นนี้ ยังคงเดินหน้าต่อไปเถอะ ทหารคนหนึ่งตวาดขึ้น “ฆ่าปิดปากให้หมด!” จบคำก็กระตุ้นม้า ให้ตะบึงห้อเข้าใส่เหล่าบ่าวรับใช้ เสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บ ปวดดังระงม ทหารคนอื่นๆ ไม่รอช้า ชักดาบชักกระบี่ออกทิ่มแทงอย่าง ดุดัน ครู่เดียว โลหิตสดๆ ไหลนอง คนตกตายเกลื่อนกลาดทั่วพื้นดิน อวิ๋นชุ่ยตรงเข้าปกป้องบุตรชาย ชักกระบี่ออกเสือกขวาแทงซ้าย ฟั น เอาทหารที่ ถื อ กระบี่ ดาหน้ า เข้ า มาตายไปสองคน ปากก็ ร้ อ งว่ า “ซงเอ่อร์ รีบหนี!” อวิ๋นซื่อซงชักกระบี่ได้ก็สะอึกเข้าฟาดฟัน เห็นทหารคนหนึ่งโถม เข้ามา ก็เสือกกระบี่พุ่งใส่ทรวงอกมัน โลหิตกระอักออกจากปาก พลัด ตกหลังม้าทันที มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 86


เนื่องเพราะไม่เคยฆ่าคนมาก่อน วันนี้กลับทิ่มแทงคนจนตาย อวิ๋นซื่อซงวูบนั้นรู้สึกสมองว่างเปล่าสองเท้าชะงักค้าง หารู้ไม่ว่าทาง ด้านหลัง มีดด้ามหนึ่งกำลังพุ่งตรงเข้ามา ยามกะทันหันกลับเป็นอวิ๋น ชุ่ยวกกระบี่ปัดป้องไว้ได้ทันท่วงที พลางตวาดว่า “รีบหนีไป ซงเอ๋อ” อวิ๋นชุ่ยแทงกระบี่ใส่ลำตัวม้า เมื่อเจ็บปวดม้าก็ออกวิ่งอย่างบ้า คลั่ง อวิ๋นซื่อซงยามนั้นหวาดกลัวจนกอดม้าไว้แน่น เหลียวหน้าร้อง เรียก “ท่านพ่อ ท่านพ่อ” เมื่อเห็นม้าของบุตรชายวิ่งตะบึงไกลลิบ ไม่มีสิ่งใดให้กังวล อวิ๋น ชุ่ยก็เสือกแทงกระบี่ติดต่อกันหลายคราจนเหล่าทหารพากันถอยร่น ก่อนกระโจนขึ้นหลังม้าควบขี่ตามบุตรชายไป ทหารที่เหลือกระตุ้นม้าไล่กวดอย่างไม่ลดละ อย่างไรต้องไม่ให้ พวกมันรอดชีวิตไปได้ พักเดียวอวิ๋นชุ่ยก็ขี่ม้าตามมาจนทัน ม้าของอวิ๋นซื่อซงที่ถูกแทง เห็นเลือดไหลรินเป็นทาง ฟองสีขาวฟูมเต็มปาก อวิ๋นชุ่ยจึงรั้งตัวบุตร ชายให้ข้ามมานั่งบนม้าตัวเดียวกัน สองพ่อลูกตบเท้าเร่งเร้าให้ม้าห้อ ตะบึง หลบลี้เข้าสู่ป่าไม้รกครึ้มเบื้องหน้า ในป่าแน่นขนัดไปด้วยต้นไผ่สีเขียวสดใส สองพ่อลูกแน่นอนย่อม ไม่ยินดีเสียเวลาชื่นชมทัศนียภาพอันงดงามนั้น จิตใจมุ่งอยู่กับการหลบ หนี ไม่ช้าหมู่บ้านแห่งหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในสายตา ล้อมรั้วด้วยไม่ไผ่ เขียว ด้านข้างมีลำธารน้ำใสไหลเชี่ยว ในลำธารมีกังหันตั้งโดดเด่น ทำ หน้าที่วิดน้ำให้ไหลอ้อมไปสู่สวนผักผลไม้ที่อยู่หลังตัวเรือน สองพ่อลูกรีบมุ่งหน้าเข้าสู่ภายในสวน ม้าพ่วงพีพุ่งชนทะลุรั้ว ไม้ไผ่ ก่อนได้ยินเสียงกังวานใสตะโกนออกมาจากด้านในว่า “เป็นผู้ใด?” สิ้นเสียงตะโกนเห็นหนุ่มน้อยผู้หนึ่งถลันออกมา อายุรุ่นราวคราว มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 87


เดียวกับอวิ๋นซื่อซง บุคลิกท่วงท่าสง่างาม แต่งกายด้วยชุดสีเขียว เดิมที อยู่ ใ นอาการควั น ออกหู ครั้ น เห็ น อวิ๋ น ชุ่ ย สองพ่ อ ลู ก เข้ า สี ห น้ า พลั น เปลี่ยนเป็นแปลกใจ อวิ๋นชุ่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงปนหอบว่า “มีทหารไล่ตามฆ่าพวกเรา สหายน้อย...ขอให้พวกเราหลบซ่อนสักคราได้หรือไม่” สหายน้อยรีบพยักหน้าทันใด “ลงจากหลังม้าแล้วรีบเข้าไปหลบ ในเรือน” ขณะสองพ่อลูกลงจากหลังม้า หนุ่มน้อยก็เก็บท่อนไม้มาท่อน หนึ่ง ฟาดลงบนสะโพกม้าอย่างแรง ม้าเมื่อเจ็บปวดก็ตะบึงห้ออย่างบ้า คลั่ง อวิ๋นชุ่ยสองพ่อลูกต่างไม่เข้าใจว่าเหตุใดต้องทำเช่นนั้น ทว่าไหน เลยมีเวลาซักถาม ได้แต่ติดตามเข้าสู่ภายในห้องเก็บฟืน จากนั้นเห็น หนุ่มน้อยยกหินก้อนใหญ่ที่พื้นห้องย้ายออก เปิดแผ่นไม้ขึ้น พลันเห็น เป็นถ้ำใหญ่ถ้ำหนึ่ง มีบันไดหินหลายขั้นทอดตัวสู่เบื้องล่าง เด็กหนุ่ม กวักมือเรียก ส่งสัญญาณบอกให้เข้าไปซ่อนตัว เมื่อสองพ่อลูกลงไปเรียบร้อย เด็กหนุ่มก็ปิดแผ่นไม้และนำหินมา วางทับดังเดิม เบื้องหน้าอวิ๋นชุ่ยกับลูกมีแต่ความมืดดำ ไม่ทราบต้องประสบกับ สิ่งใด ในใจอดประหวั่นพรั่นพรึงมิได้ ได้ยินเสียงเป็ดไก่ร้องดังระงมมาจากด้านนอก ทั้งเสียงฝีเท้า หนักๆ หลายคู่ปะปนกัน พลันได้ยินคนผู้หนึ่งตะคอกถามว่า “เด็กน้อย เจ้าเอานักโทษสองคนนั้นไปซ่อนไว้ที่ใด?” จากนั้นเป็นเสียงข้าวของถูกรื้อค้นกระจุยกระจาย เสียงเด็กหนุ่ม คล้ายเต็มไปด้วยความหวาดกลัว กล่าวเสียงสั่นว่า “นายท่าน ข้าน้อย เห็นพวกมันพลัดตกน้ำไปแล้ว” มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 88


“อะไรนะ? พวกมันตกน้ำได้อย่างไร?” “ข้า...ข้าน้อยก็ไม่ทราบ เพียงเห็นพวกมันขี่ม้าเข้ามา จากนั้นม้า ก็ล้มคะมำ สองคนนั้นกระเด็นไปไกลลิบ จากนั้น...จากนั้นนักโทษที่ชรา กว่า ก็ฉุดลากเอานักโทษที่หนุ่มกว่าโดดลงน้ำไป...” “มารดาเจ้า! เด็กโสโครก ที่เจ้าพูดเป็นความจริง?” “จริงแน่นอน ข้าน้อยไหนเลยหาญกล้าโกหกท่านได้ ไม่เชื่อพวก ท่านลองไปตามหาดูก็จะรู้” “เฮอะ หากบังอาจพูดจาหลอกลวง ต้องถูกจับไปนอนห้องขังแน่” เสียงฝีเท้าห่างไกลออกไป เดิมคิดว่าเด็กหนุ่มจะย้ายก้อนหินเปิด ถ้ ำ ลั บ ให้ ทั้ ง สองออกมา มิ คาด ด้ า นบนกลั บ มี แ ต่ ความเงี ย บงั น ไม่ ปรากฏการเคลื่อนไหวใดแม้แต่น้อย อวิ๋นซื่อซงให้รู้สึกกระวนกระวายใจ ยิ่ง ขณะจะยกมือขึ้นกระแทกแผ่นไม้เหนือถ้ำ อวิ๋นชุ่ยคล้ายรู้ทันความ คิดของบุตรชาย จึงรีบห้ามปรามเสียก่อน ชั่วเวลาหนึ่งกาน้ำชาเดือด เสียงวิ่งวุ่นของฝีเท้าพลันดังขึ้นอีก ครา เด็กหนุ่มวิ่งตามมา สุ้มเสียงฉงนฉงายถามว่า “หรือนายท่านทำ สิ่งของใดตกหล่นไว้?” “เฮอะ ไม่มีจริงๆ” “หรือว่ามันดำน้ำหนีหายไป” “ดำลงไปค้นหามัน เด็กน้อย นับว่าเจ้ายังโชคดี” เสียงตึงตังด้านบนพลันลับหายไปอีกครา ไม่ทราบผ่านไปนาน เท่าไร ได้ยินเหนือศีรษะมีเสียงคล้ายเคลื่อนย้ายของหนัก จากนั้นแสง สว่างวูบหนึ่งพลันส่องเข้าสู่ภายในถ้ำ เด็กหนุ่มกล่าวว่า “ท่านทั้งสอง พวกทหารไปไกลแล้ว” อวิ๋ น ชุ่ ย ฉุ ด ดึ ง อวิ๋ น ซื่ อ ซงขึ้ น จากถ้ ำ เห็ น รอบห้ อ งข้ า วของถู ก

มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 89


รื้อค้นจนยุ่งเหยิง ไม่มีสักมุมที่จะสามารถหลบซ่อนตัวได้ อวิ๋นชุ่ยประสานมือขอบคุณด้วยความตื้นตันอย่างสุดซึ้ง “สหาย น้อย เจ้าเป็นผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่ต่อเราสองพ่อลูก เราต้องตอบแทน อย่างแน่นอน” เด็ ก หนุ่ ม กล่ า วด้ ว ยรอยยิ้ ม ว่ า “นายท่ า นอย่ า ได้ ก ล่ า วเช่ น นั้ น ทหารพวกนี้มักกระทำเรื่องหยาบช้าอยู่เป็นนิจ หากทุกคนไม่นำพาช่วย เหลือ หมู่บ้านสกุลลู่มีคนมากมายเท่าใดก็ ไม่เพียงพอให้พวกมันเข่น ฆ่า” “ที่นี้คือหมู่บ้านสกุลลู่” อวิ๋นชุ่ยเอ่ยถาม “ถูกต้อง ผู้คนแถบนี้โดยมากเป็นแซ่ลู่” “เอ่ อ ...” อวิ๋ น ชุ่ ย เริ่ ม ปวดเศี ย รเวี ย นเกล้ า “ที่ แ ท้ ที่ นี้ มี แ ซ่ ลู่ อ ยู่ จำนวนเท่าใด” เด็ ก หนุ่ ม ทำท่ า ขบคิ ด ครู่ ห นึ่ ง ก่ อ นตอบว่ า “อย่ า งไรต้ อ งมี สั ก หลายสิบหลังคาเรือน นายท่านต้องการค้นหาบ้านใด” “หมู่บ้านข้างๆ มีผู้หนึ่งเรียกว่าหลิ่วเหิง ไม่ทราบมีผู้ใดรู้จักคนผู้นี้ บ้าง” เด็กหนุ่มเบิกตากว้าง กล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “คนผู้นี้เป็น

พี่น้องร่วมสาบานของข้าพเจ้า นายท่านเสาะหามันด้วยเหตุใด ตอนนี้ มันอยู่ที่จวนท่านแม่ทัพหลิว” “เจ้าเป็นสหายของหลิ่วเหิง?” อวิ๋นชุ่ยประหลาดใจเล็กน้อย เด็กหนุ่มผงกศีรษะรับ เวลานั้นอวิ๋นชุ่ยสังเกตเห็นว่า เด็กหนุ่มผู้ นี้สีหน้าแจ่มใสปลอดโปร่ง ใบหน้าหล่อเหลาสง่างาม ผู้ใดพบเห็นเป็น ต้องชื่นชม ยิ่งกว่านั้นรูปร่างสะโอดสะอง สมควรเรียกได้ว่าเป็นชาวฮั่น เต็มตัว มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 90


เกือบร้อยปีของการผสมผสานระหว่างชนหลายเผ่า ไม่เพียง พื้นที่แถบฉางอัน แม้แต่ทั่วทั้งลั่วหยาง ล้วนเต็มไปด้วยอู่หู* ชนรุ่นหลัง ที่เป็นลูกครึ่งผสมจึงเดินกันขวักไขว่ทั้งตรอกเล็กตรอกน้อย จะหาชาว ฮั่นโดยแท้สักคนนับว่ามิใช่ง่าย ด้วยเหตุนี้ทำให้อวิ๋นชุ่ยยิ่งชื่นชอบเด็กหนุ่มตรงหน้า “ได้ยินว่า หลิ่วเหิงมีมารดาคนหนึ่ง ใช่อาศัยอยู่ที่นี่หรือไม่” เด็กหนุ่มมีทีท่าลังเลไม่ยอมตอบคำ อวิ๋นชุ่ยรีบกล่าวต่อว่า “เรา

อวิ๋นชุ่ย จากนครฉางอัน นี่เป็นบุตรชายเรา อวิ๋นซื่อซง” “ที่แท้เป็นนายท่านอวิ๋นและคุณชายอวิ๋นนั่นเอง” เด็กหนุ่มครานี้ ค่อยคลายใจแล้ว จึงกล่าวแนะนำตัวเอง “ผู้เยาว์ลู่จี้เฟิง นายท่านโปรด ตามมา” หนุ่มน้อยนามลู่จี้เฟิงเดินนำทั้งสองเข้าสู่ โถงด้านใน ทั้งชงชา ต้อนรับ กิริยาท่าทางคล่องแคล่วว่องไว ลูจ่ เี้ ฟิงกล่าวขึน้ ว่า “หลิว่ เหิงไหว้วานผูเ้ ยาว์ให้ชว่ ยดูแลมารดามันที่ เจ็บป่วยเรื้อรังแรมปี พ่อบ้านลู่สี่ของข้าพเจ้ากำลังต้มยาให้นางอยู่พอดี ดังนั้นไม่อาจออกมาต้อนรับทั้งสองท่านได้” “หามิได้...เจ้าใช่เป็นคนพื้นที่นี้แต่กำเนิด?” “มิได้ ผู้เยาว์เป็นชาวอู๋” อวิน่ ชุย่ ได้ฟงั ในใจคิดว่า ‘มินา่ เล่า ดูจากลักษณะท่าทางการพูดจา กลับคล้ายคนทางใต้ ตระกูลลู่แคว้นอู๋ ล้วนแต่เป็นขุนนางใหญ่ชื่อเสียง ระบือ!’ “บรรพชนเคยรับราชการเป็นแม่ทัพประจำราชสำนักแคว้นอู๋”

ลู่จี้เฟิงกล่าวเสริม * คำเรียกรวมของชนกลุ่มน้อยห้าเผ่า ซงหนู เซียนเปย เจี๋ย ตี เชียง มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 91


“ใช่ลูกหลานลู่ซวิ่นหรือไม่?” “เป็นบรรพบุรุษผู้เยาว์เอง” อวิ๋ น ชุ่ ย ลู บ เคราทอดถอนใจยาวเหยี ย ด ในใจมั น กระจ่ า งดี ว่ า

เหตุใดเด็กหนุ่มจึงเพียงเอ่ยบรรพบุรุษที่เป็นแม่ทัพแคว้นอู๋ หลีกเลี่ยง การพาดพิงถึงราชวงศ์ปัจจุบัน สกุลลู่ที่รับราชการในราชสำนักจิ้นนับว่า ชื่อเสียงโด่งดังความจริงมีไม่น้อย ดังเช่น ลู่จี ลู่อวิ๋น ทว่าด้วยเหตุผล ทางการเมืองภายหลังต้องโทษประหาร แต่นั้นมาราชสำนักจิ้นก็ ไม่ ปรากฏขุนนางสกุลลู่อีก คงเพราะสกุลลู่ต้องการอยู่ให้ห่างจากภัยพิบัติ นั่นเอง ผู้ภักดีกลับต้องระหกระเหิน ช่างน่ารันทดยิ่งนัก “แล้วบิดามารดาเจ้า” อวิ๋นชุ่ยถามต่อ “ล้วนถูกฆ่าตายแล้ว” ลู่จี้เฟิงตอบน้ำเสียงเฉื่อยชา “เช่นนั้นเจ้าใช้ชีวิตตัวคนเดียว?” ลูจ่ เี้ ฟิงอมยิม้ กล่าวว่า “เป็นเพราะหลิว่ เหิงช่วยผูเ้ ยาว์ไว้ จึงสาบาน เป็นพี่น้อง มันนับว่ากตัญญูยิ่ง ผู้เยาว์นับถือมันอย่างมาก” อวิ๋ น ชุ่ ย คิ ด ถึ ง ตอนที่ ห ลิ่ ว เหิ ง เพี ย งเพื่ อ เงิ น รางวั ล ถึ ง กั บ ยอม

ค้อมหัวโขกศีรษะ ในใจรู้สึกไม่เห็นด้วยนัก แต่คาดไม่ถึงว่าหลิ่วเหิงจะมี

คุณธรรมช่วยเหลือผู้อื่น ความรู้สึกต่อหลิ่วเหิงนับว่าเปลี่ยนเป็นดีขึ้นไม่ น้อย อวิ๋นซื่อซงอดรนทนไม่ไหวเอ่ยขึ้นว่า “มันมีวิชาฝีมือติดตัว แต่กลับก้มหัวติดตามหลิวอี้เจิน กระทั่ง เกือบเอาชีวิตเรา!” ลู่จี้เฟิงตะลึงแล้ว แต่อดแสดงความเห็นใจออกมามิได้ “มันเข้า ร่ ว มกั บ ผู้ สู ง ศั ก ดิ์ ดั ง นี้ คงเนื่ อ งเพราะมี ความทุ ก ข์ เ ข็ ญ อั น ใดเป็ น แน่ อาการป่วยของมารดามัน ทุกวันต้องได้รับยาบำรุงรักษาชั้นดี ต่อให้ ครอบครัวมั่งมีปานใดก็อาจรักษาจนล่มจม นับประสาอะไรกับมันที่ทั้ง มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 92


บ้านมีแต่ฝาผนังว่างเปล่า” อวิ๋นชุ่ยงงงันวูบ “มันเพื่อรักษามารดา?” ลู่ จี้ เ ฟิ ง พยั ก หน้ า ก่ อ นกล่ า วว่ า “คนผู้ นี้ อุ ป นิ สั ย หยิ่ ง ทะนง ไม่ ยินยอมติดค้างบุญคุณผู้ใด ครานั้นเมื่อได้รับความพอใจจากกุ้ยหยางกง วันถัดมาก็รีบนำมารดามาฝากไว้ ทั้งยังมอบทองคำให้อีกถุงหนึ่ง ก่อน บอกว่า ‘กุ้ยหยางกงกำนัลเงินทองแก่เรามากมาย เจ้าจงเก็บไว้เป็นค่า รักษา’ พูดจบก็ส่งป้ายคำสั่งของจวนผู้ตรวจการให้นำไปแขวนไว้ที่ประตู เช่นนี้พวกทหารก็ไม่กล้าเข้ามารีดไถ” อวิ๋นชุ่ยลูบเคราพลางระบายลมหายใจออกหลายครา เด็กนั่น ที่แท้มีความจำเป็นต้องใช้เงินทองมากมายเช่นนี้เอง เราถึงกับตำหนิมัน ผิดไปจริงๆ “เจ้าทราบหรือไม่ว่าเป็นผู้ใดฝึกปรือเพลงกระบี่ให้มัน” ลู่จี้เฟิงส่ายหน้าตอบว่า “ผู้เยาว์ไม่เห็นมันมีอาจารย์” อวิ๋นชุ่ยรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย อยากเข้าไปด้านหลังเพื่อถามไถ่ มารดาหลิ่วเหิง ทว่ากลับไม่สะดวกใจเอ่ย ได้แต่เก็บงำคำถามไว้ในใจ ขณะนั้นได้ยินลู่จี้เฟิงกล่าวต่อว่า “นั่นเป็นเพลงกระบี่กิ่งหลิวของ ตระกูลมันที่สืบทอดต่อกันมา เห็นว่าเป็นบิดาถ่ายทอดสู่บุตรชาย บุตร ชายถ่ายทอดสู่หลานชาย ไม่ถ่ายทอดแก่ภรรยาหรือธิดา ทั้งไม่มีการจด บันทึก ดีที่ก่อนตายบิดามันสอนไว้ ไม่เช่นนั้นเพลงกระบี่คงไร้ผู้สืบทอด แล้ว” ความหวังของอวิ๋นชุ่ยพลันมลายไปกว่าครึ่ง ดูท่าความเป็นมา ของเพลงกระบี่เป็นเช่นไร คงยากล่วงรู้แล้ว อวิ๋นซื่อซงอดสงสัยมิได้ โพล่งถามว่า “เจ้าสนิทสนมกับมันเพียง นี้ เคยร่วมฝึกปรือเพลงกระบี่กับมันบ้างหรือไม่?” มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 93


“นั่นเป็นวิชาฝีมือประจำตระกูลมัน คนนอกไหนเลยสะดวกฝึก ปรือ มาตรว่าเห็นมันร่ายรำอยู่หลายครา ก็กลับจดจำไม่ได้แล้ว” ลู่จี้เฟิง

กล่าวพลางยิ้มเล็กน้อย “น่าเสียดายนัก” อวิ๋นซื่อซงรำพึง อวิ๋นชุ่ยด่าทอบุตรชายว่า “มีอันใดน่าเสียดาย เจ้ามิสู้เอาอย่าง

ผู้อื่นในเรื่องมารยาทเถอะ” “ทราบแล้วท่านพ่อ” อวิ๋นซื่อซงแอบแลบลิ้นล้อเลียน ลู่จี้เฟิงเห็น เข้าหัวร่อชอบอกชอบใจ ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ทางเดินลงเขาไม่สู้สะดวกนัก ลู่จี้เฟิงจึงรั้ง ให้สองพ่อลูกค้างแรมคืนหนึ่ง วันพรุ่งค่อยคิดการต่อไป พ่อบ้านลู่สี่เข้า มาคารวะทั ก ทายพร้ อ มนำสำรั บ อาหารเย็ นมาส่ ง ลู่ จี้ เ ฟิ ง ถามไถ่ ถึ ง อาการของมารดาหลิ่วเหิงเล็กน้อย จากนั้นให้พ่อบ้านลู่สี่กลับไปดูแล นางต่อ ด้วยการนำทางของลู่จี้เฟิง อวิ๋นชุ่ยระหว่างเดิน ก็ลอบสังเกต บริเวณบ้าน เห็นภายในสวนร่มครึ้ม ระบบทางน้ำไหลจัดวางยอดเยี่ยม อดรูส้ กึ นิยมนับถือมิได้ “สหายน้อย ลานบ้านแม้ไม่ใหญ่โต ทว่าออกแบบ งดงาม ดูท่าบิดาเจ้าต้องเป็นผู้เปี่ยมด้วยความรู้ ทั้งเชี่ยวชาญศาสตร์ หยินหยางไม่น้อย” ลู่จี้เฟิงได้แต่ยิ้มไม่ตอบคำ ดูจากสีหน้า อวิ๋นชุ่ยพลันเข้าใจใน บัดดล “หรือนี่เป็นเจ้าจัดวางเอง” ลู่ จี้ เ ฟิ ง ตอบว่ า “ตำรั บ ตำราที่ ท่ า นพ่ อ ทิ้ ง ไว้ ใ ห้ มี ทั้ ง ศาสตร์ พยากรณ์ ศาสตร์หยินหยาง ศาสตร์การศึกสงคราม และศาสตร์การ เพาะปลูก ผู้เยาว์จึงได้ศึกษาบ้างเล็กน้อย จากนั้นนำมาทดลองปฎิบัติดู” “โอ...โอ...ยอดคน ยอดคน!” อวิ๋นชุ่ยชื่นชมไม่ขาดปาก ไม่คาด มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 94


คิดว่าพื้นที่ห่างไกลจะปรากฏหนุ่มน้อยผู้มีสติปัญญาฉลาดหลักแหลม เช่นนี้ ทั้งยังมีน้ำใจเป็นธุระเรื่องมารดาแทนสหาย บุคลิกอ่อนน้อมถ่อม ตน พูดจาเปิดเผย ให้รู้สึกยิ่งมายิ่งชื่นชอบ กระทั่งคิดอยากมีบุตรชาย เช่นนี้สักคน ติดที่เวลานั้นไม่สะดวกบอกเล่าออกมา จึงได้แต่รั้งรอให้ คบหาลึกซึ้งกว่านี้ ค่อยเอ่ยเรื่องรับเป็นบุตรบุญธรรมต่อไป...

มหายุทธ์ล้างปฐพี เล่ม 1 95



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.