ปัญจมหาโจร เล่ม 1

Page 1


1



â¨Ã¹ŒÍÂáË‹§àÁ×ͧ࿠›§à·Õ¹

ผมถือถ้วยชา นั่งอยู่บนเก้าอี้หวาย รับฟังอย่างตั้งใจ เบื้องหน้ามี ชายชราวัยไม้ใกล้ฝั่งนั่งเอนหลังกึ่งนอนบนเก้าอี้ บนมือยังเสียบสายน้ำ เกลือ ถึงแม้เปนเช่นนี้ ชายชราผู้นี้ยามกล่าววาจายังคงหนักแน่นเสียง ดังฟังชัด ฟังจากสำเนียงของเขาก็ทราบได้ว่าเขาเปนคนทางเหนือ ภายในห้องที่ผมนั่งอยู่ ไม่ว่าเครื่องใช้ เฟอร์นิเจอร์ ฝาผนังหรือ พื้นกระเบื้อง ล้วนเก่าแก่แต่สะอาดสะอ้าน ทั้งยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของ หญ้าหอม ชายชรานั่งหันหน้าไปทางหน้าต่าง บนขอบหน้าต่างจัดวาง ดอกไม้หลายกระถางกำลังออกดอกเบ่งบาน ดอกไม้ชนิดนี้ผมไม่เคยเห็น มาก่อน แต่รู้สึกว่ามันแฝงด้วยกลิ่นอายยั่วยวน จึงอดที่จะมองดูอีก หลายครั้งไม่ได้ ชายชรายื่นมือไปหยิบถ้วยชาบนโต๊ะเตี้ยข้างเก้าอี้ จิบน้ำชาช้าๆ คำ หนึ่ง ผมสะกดอารมณ์ไว้ไม่อยู่ ถามอย่างระมัดระวังว่า “เหล่าแหยจื่อ กระถางเทพราชันปัญจธาตุคืออะไร? ทำไมถึงมีคนบอกว่าผู้ที่ได้ครอบ ครองเสมือนได้ใต้หล้า ผู้สูญเสียเสมือนสูญเสียใต้หล้า? หรือว่าภายใน กระถางมีของวิเศษที่สามารถครอบครองทั้งใต้หล้า?” ในห้วงสมองของ ผมจินตนาการว่ามันเป็นเหมือนตะเกียงวิเศษของอาละดิน


ชายชราหัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “ของวิเศษอะไรกัน! มันก็แค่สิ่งของ ยืนยันที่สืบทอดมารุ่นสู่รุ่นเท่านั้น” ผมกล่าวว่า “สิ่งของยืนยัน? ผมยังไม่เข้าใจ…มันไม่มีประโยชน์ ใช้สอยหรือ?” ชายชรากล่าวว่า “คุณเป็นคนสมัยใหม่ ไม่ค่อยเข้าใจประเทศจีน ในมุมมองของฮ่องเต้ ผู้ที่ขึ้นครองบัลลังก์เชื่อในเรื่องลิขิตสวรรค์ การ เปลี ่ ย นยุ ค สมั ย ต้ อ งมี ล างบอกเหตุ กระถางเทพราชั น ปั ญ จธาตุ ก ็ ค ื อ ตั ว แทนของลิ ข ิ ต สวรรค์ หลั ง จากจิ ๋ นซี ฮ ่ อ งเต้ ข ึ ้ นครองบั ล ลั ง ก์ เป็ น จักรพรรดิองค์แรก กระถางใบนี้ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น ตามตำนานเล่าขาน ตอนที่จิ๋นซีฮ่องเต้ทำพิธีสถาปนาบนยอดเขาไท่ซาน มีหินประหลาดก้อน หนึ่งตกลงมาจากฟ้า เป็นหินผลึกห้าสี จึงได้มีการสร้างกระถางใบนี้ขึ้นมา การเปลี่ยนแปลงราชวงศ์ในยุคต่อมา ผู้คนต่างแย่งชิงกระถางใบนี้ ไม่ว่า จะเป็นราชวงศ์ถัง ราชวงศ์ซ่ง ราชวงศ์หยวน ราชวงศ์หมิง และราชวงศ์ ชิง ล้วนช่วงชิงกระถางใบนี้มาจากราชวงศ์ก่อน จึงได้มาซึ่งแผ่นดินอัน มั่นคง “กระถางใบนี้เดิมทีไม่มีความวิเศษ แต่ฮ่องเต้ทุกยุคสมัยไหนเลย กล้าสูญเสียมันไป? ราชวงศ์หยวนแข็งแกร่งเพียงใด แต่เนื่องจากตามหา กระถางใบนี้ไม่พบ จึงรุ่งโรจน์อยู่เพียงไม่กี่สิบปีก็สูญเสียแผ่นดิน ยังมี ตำนานเล่าว่า ปลายราชวงศ์หมิง หลี่จื้อเฉิงบุกเมืองปักกิ่ง เดิมทีได้ครอบ ครองกระถางนี้ แต่ถูกโจรขโมยไป สุดท้ายตกอยู่ในมือของชาวแมนจู ชาวแมนจูเดิมทีไม่มีโอกาสช่วงชิงใต้หล้า แต่หลังจากได้ครอบครอง กระถางใบนี้ ก็ราวกับฟ้าดินเป็นใจ บังเกิดเรื่องราวความรักของอู๋ซาน กุ้ยกับเฉินหยวนหยวน อู๋ซานกุ้ยเปิดประตูเมืองให้ทหารแมนจูเข้าด่าน จากนั้นแผ่นดินก็ตกเป็นของราชวงศ์ชิงนานสามร้อยปี” ผมรู้สึกกระจ่างขึ้นมาเล็กน้อย แต่ยังคงมีข้อสงสัยนับไม่ถ้วน จึง


เลือกถามคำถามหนึ่ง “เหล่าแหยจื่อ ตระกูลปัญจธาตุคืออะไร?” ชายชราหัวเราะออกมา กล่าวว่า “ตระกูลปัญจธาตุล้วนเป็นโจร” “โจร?” ชายชรากล่าวว่า “ตำนานของตระกูลปัญจธาตุเริ่มต้นขึ้นในสมัย ราชวงศ์ฮั่น ตามตำนานเล่าว่าฮ่องเต้ราชวงศ์ฮั่นหวาดเกรงผู้อื่นขโมย กระถางไป จึงตามหายอดฝีมือที่ชำนาญด้านการขโมยและป้องกันการ ขโมยทั่วแผ่นดิน แล้วก็พบว่าวิชาลักขโมยแบ่งออกเป็นปัญจธาตุ ได้แก่ ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน ทั้งหมดนี้สามารถหนุนส่งและสะกดซึ่งกันและกัน หากยอดฝีมือด้านการลักขโมยของปัญจธาตุร่วมกันคิดค้นวิธีป้องกันการ ขโมย กระถางใบนั้นก็คงไม่มีผู้ใดสามารถขโมยไปได้อีก “ดังนั้นฮ่องเต้ราชวงศ์ฮั่นจึงทำข้อตกลงกับยอดฝีมือสูงสุดของ ปัญจธาตุ แต่งตั้งพวกเขาเป็นตระกูลปัญจธาตุ ปกป้องรักษากระถางให้ กับราชวงศ์โดยเฉพาะ ลูกหลานทุกรุ่นไม่ต้องกังวลเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ ชื่อเสียงของตระกูลปัญจธาตุแพร่กระจายไปในหมู่ชาวบ้าน ยังมีอีกชื่อ หนึ่งขานเรียกพวกเขาเป็น ‘ปัญจมหาโจร’ ” “มหาโจร?” ผมตกตะลึง ชายชราผงกศีรษะ กล่าวต่อไปว่า “การเป็นมหาโจรไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้ที่เป็นโจร ตั้งแต่สมัยโบราณหากมิใช่ถูกสถานการณ์บีบบังคับ ก็เป็น เพราะความโลภจึงเข้าสู่ทางสายโจร รอคอยโอกาส ย่องเบาในยามราตรี ชำนาญการวางแผน ล้วนเป็นฝีมือเฉพาะของผู้ที่เป็นโจร แน่นอนว่าจิตใจ ต้องคับแคบ ไม่อาจสู้เหล่าผู้ห้าวหาญทรงคุณธรรม ดังนั้นตระกูลปัญจ ธาตุนี้มิเพียงแก่งแย่งชิงดีซึ่งกันและกัน ยังต้องระวังป้องกันยอดฝีมือลัก ขโมยคนอื่นที่ต้องการช่วงชิงตำแหน่งมหาโจร โบราณกล่าวไว้ว่า ยิ่งเป็น ยุควุ่นวายโกลาหล ยิ่งมีโจรชุกชุม ยิ่งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะจะแสดงฝีมือ ใต้หล้ากำเนิดโจรชั่วร้ายมากมาย ไหนเลยมียุคบ้านเมืองสงบสุขที่ยืนยง


มิเสื่อมคลาย? “แม้แต่คนของตระกูลปัญจธาตุยังรู้สึกว่าการปกป้องรักษากระถาง

ใบนี้เป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่าย เรื่องบังเอิญก็คือ ตอนที่จิ๋นซีฮ่องเต้ทรงสร้าง กระถางใบนี้ขึ้น ได้แยกหินเป็นห้าสี ใส่ไว้ในปากมังกรเป็นตัวแทนของ แสงธาตุตัวละหนึ่งลูก เมื่อหยิบลูกแก้วออกมา ต่อให้อยู่ห่างกันสุดหล้า ฟ้าเขียวก็ไม่มีผล ตระกูลปัญจธาตุได้ทำข้อตกลงกับเหล่าราชนิกุลว่า หากแสงธาตุที่เป็นตัวแทนของธาตุตัวเองดับลง ก็ไม่จำเป็นต้องปกป้อง รักษากระถางอีกต่อไป สามารถหยิบลูกแก้วออกจากปากมังกรแล้วจาก ไปได้ เหล่าราชนิกุลไม่สามารถขัดขวาง หากแสงธาตุที่ปากมังกรสว่างขึ้น มาอีกครา ลูกแก้วที่พวกเขาหยิบไปนั้นก็จะสว่างขึ้นมาด้วย พวกเขาจะ ต้องย้อนกลับมา แต่กระถางในยามนี้ตกอยู่ในมือของผู้ใด พวกเขาก็ไม่ สนใจแล้ว” ผมถามต่อว่า “อย่างนั้นถ้าลูกแก้วสูญหายไปล่ะ?” ชายชราหัวเราะฮ่าๆ กล่าวว่า “สูญหาย? หากผู้ใดสามารถขโมย หรือช่วงชิงลูกแก้วไปจากเงื้อมมือมหาโจร คนคนนั้นก็คือมหาโจรคนใหม่ แล้ว! ตระกูลปัญจธาตุมิใช่มีเพียงสายเลือดเดียวกัน แต่ละตระกูลเป็น เสมือนสำนักหนึ่ง มีการสืบทอดตามลำดับขั้น” ผมอุ ท านออกมา ไม่ รู ้ ว ่ า ตั ว เองคิ ด อะไร กลั บ ถามขึ ้ น อย่ า ง กะทันหันว่า “เหล่าแหยจื่อ คุณบอกว่าคนเป็นโจรล้วนเลวร้าย แต่ผม เห็นว่าในหมู่โจรนั้นยังมีจอมโจรใฝ่คุณธรรม เช่น จอมโจรชอลิ้วเฮียงก็ เป็นคนดีที่ปล้นคนรวยช่วยคนจนไม่ใช่หรือ?” ชายชราจ้องมองผม จากนั้นก็หัวเราะออกมา กล่าวว่า “พูดได้ดี! พูดได้ดี! จอมโจรคุณธรรม! เจ้าเด็กน้อย! เจ้านี่น่าสนใจจริงๆ!” ผมเกาศีรษะ ไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายจึงหัวเราะเช่นนี้


เดือนมกราคม ปี ค.ศ. 1926 เนื่องจากทหารญี่ปุ่นบุกแมนจูทาง ตะวันออกเฉียงเหนือ กัวซงหลิงถูกประหาร ภายในเมืองเฟิ่งเทียน* เต็มไปด้วยกองทัพญี่ปุ่น ทุกหนแห่งปักเต็มไปด้วยธงชาติญี่ปุ่น บนท้อง ถนนในเมืองเฟิ่งเทียนมีรถทหารญี่ปุ่นแล่นไปมาอย่างคับคั่ง ผู้คนต่าง หลบหลีกกันจ้าละหวั่น เมื่อรถทหารของกองทัพญี่ปุ่นแล่นผ่าน ผู้คนก็ จัดเก็บสัมภาระ หนีตายกันสุดชีวิต ในมุมอับแห่งหนึ่ง เด็กชายสามคนอายุประมาณสิบสามสิบสี่ปี สวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งนั่งเบียดอยู่ด้วยกัน ช่วงเวลานี้อากาศในเมืองเฟิ่ง เทียนหนาวเย็นมาก เด็กชายทั้งสามสวมใส่เสื้อผ้าบางๆ แม้จะกอดกัน เป็นก้อนกลม ก็ยังคงหนาวจนปากสั่นขนลุกชัน เด็กชายรูปร่างอ้วนสวมหมวกหนังสุนัขกล่าวว่า “โธ่เอ๊ย พี่ใหญ่ ทำไมยังไม่กลับมาอีก?” เด็กชายร่างผอมที่อยู่ด้านข้างตอบพลางเป่าไอร้อนใส่มือ “พี่ใหญ่ คงไม่เกิดเรื่องอะไรหรอกนะ? ข้างนอกวุ่นวายขนาดนี้” เด็กอีกคนที่ดูมีอายุน้อยที่สุดกล่าวอย่างมั่นใจว่า “พี่ใหญ่ไม่มีทาง เป็นอะไรหรอก” เด็กอ้วนตะคอกใส่เด็กชายร่างผอมว่า “เหล่ากวน ปากเสีย พูดจา ให้มันเป็นมงคลหน่อย!” กล่าวจบก็ยกมือตบศีรษะของเด็กชายร่างผอม เด็กชายร่างผอมผู้นี้มีฉายาว่าเหล่ากวนเชียง (เจ้าปืนกล) เด็กอ้วน ที่อยู่ตรงกลางมีฉายาว่าลั่งเต๋อเปิน (พลิ้วไหว) เด็กชายที่อายุน้อยที่สุดมี ฉายาว่าเปียโหว (ลิงขโมย) ทั้งสามเป็นเด็กจรจัดที่อาศัยอยู่ในเมืองเฟิ่ง เทียน เหล่ากวนเชียงถูกลั่งเต๋อเปินตบจนร้องโอดโอย ลูบท้ายทอยพลาง กล่าวอย่างโมโหว่า “ลั่งเต๋อเปิน อย่าลงไม้ลงมือสิ ฉันเจ็บนะ!” * ปัจจุบันคือเมืองเสิ่นหยางในมณฑลเหลียวหนิง


ลั่งเต๋อเปินด่าว่า “แกมันปากเสีย สมควรเจ็บตัวแล้ว!” เหล่ากวนเชียงรู้สึกโกรธเคือง แต่ไม่กล้าต่อปากต่อคำ ทั้งสามคน กอดกันกลมต่อไป ผ่านไปครู่หนึ่ง ลั่งเต๋อเปินเริ่มมีอาการร้อนรน พึมพำว่า “พี่ใหญ่ ออกไปตั้งนานแล้ว หรือว่าพวกเราควรออกไปตามหา?” เปียโหวกล่าวว่า “ไม่ได้นะ! พี่ใหญ่สั่งให้พวกเรารออยู่ที่นี่ห้ามออก ไป” เหล่ากวนเชียงเห็นด้วยกับลั่งเต๋อเปิน กล่าวว่า “เปียโหว ถ้าพี่ใหญ่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นจริง พวกเราหลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่ไม่ดูไร้น้ำใจหรือ! เหล่า ลั่ง พวกเราไปกันเถอะ” ลั่งเต๋อเปินขยับหมวก สูดน้ำมูกอย่างแรง กล่าวว่า “ไป!” พลาง ลุกขึ้นยืน เหล่ากวนเชียงก็ยืนขึ้นตาม เปียโหวยังคงไม่ลุกขึ้น จึงถูกเหล่า กวนเชียงกระชากตัวขึ้นมา ด่าว่า “แกมันเต่าหดหัว! ขี้ขลาดที่สุด” ทั้งสามคนรวบรวมความกล้า มุดออกจากซอกตามกันออกไปสู่ ถนนใหญ่ เพิ่งเดินไปไม่กี่ก้าว บริเวณตรอกด้านหนึ่งมีทหารญี่ปุ่นขบวน หนึ่งวิ่งออกมา เคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน เด็กทั้งสามรีบ หลบไปอยู่ด้านข้าง มองดูทหารญี่ปุ่นขบวนนั้นวิ่งผ่านไป ลั่งเต๋อเปิน ด่าทอตามหลังทหารญี่ปุ่นว่า “เจ้าญี่ปุ่นแคระ! รีบไปกินนมแม่เอ็งเรอะ!” เปียโหวฉุดดึงชายเสื้อของลั่งเต๋อเปิน กล่าวว่า “เหล่าลั่ง รีบไปกัน เถอะ เร็ว!” ทั้งสามเดินไปข้างหน้าอย่างเร่งรีบ เลี้ยวเข้าตรอกแห่งหนึ่ง ย่อกาย หลบข้างกำแพง ทุกคนต่างมีสีหน้าตื่นตระหนก ตั้งใจสำรวจรอบๆ ลั่ง เต๋อเปินเงยหน้ามองไป พบว่าพวกเขาหลบอยู่ข้างกำแพงสูง ลั่งเต๋อเปิน จึงกล่าวว่า “เปียโหว มาเหยียบไหล่ฉันขึ้นไปดู”


เปียโหวขณะนี้บังเกิดความกล้า พอได้ยินคำพูดของลั่งเต๋อเปิน ก็ ยันกายขึ้นเหยียบไหล่ของลั่งเต๋อเปินปีนป่ายขึ้นไป เปียโหวเพิ่งทรงตัวนิ่ง พลันได้ยินที่หลังกำแพงบังเกิดความชุลมุนวุ่นวาย ผู้คนส่งเสียงร้อง ตะโกนว่า “จับโจร! จับโจร! อยู่ทางโน้น! อยู่ทางโน้น จับตัวมัน! ตีมัน ให้ตาย!” เปียโหวตกตะลึงจนร่างกายสั่นระริก ทำให้เท้าเหยียบพลาด ร่วง หล่นลงมาจากหัวไหล่ของลั่งเต๋อเปิน เหล่ากวนเชียงเข้ามาช่วยพยุงยังถูก เปียโหวหล่นทับ เด็กทั้งสามพากันล้มลงไม่เป็นท่า เด็กทั้งสามล้มอยู่บนพื้น เห็นบนกำแพงมีเงาคนแวบผ่าน คนผู้ หนึ่งกระโดดลงมา เขามีอายุราวสิบห้าสิบหกปี สวมหมวกหนังสุนัขขาด รุ่งริ่งเช่นเดียวกับเด็กทั้งสาม ดวงตาไม่โตเท่าใดแต่ทอแววมุ่งมั่น ใบหน้า เปรอะเปื้อนฝุ่น มีรอยเลือดหนึ่งแผล เด็กหนุ่มผู้นั้นกระโดดลงมาอยู่ข้าง พวกเขา พอกวาดตามองดูก็ด่าทอว่า “พวกแกมาทำไม?” เด็กทั้งสามตะโกนออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย “พี่ใหญ่!” เด็กหนุ่มด่าว่า “พวกแกทำไมไม่เชื่อฟังฉัน! รีบหนีไป!” เพิ่งสิ้นเสียงก็เห็นที่ปากตรอกมีคนบุกเข้ามา เป็นชายแต่งกายด้วย ชุดบ่าวไพร่ ทุกคนล้วนถือกระบองไม้ ชี้ไปยังเด็กทั้งสี่พลางตะโกนว่า “โจรอยู่นี่! อยู่นี่!” แล้วพากันวิ่งเข้ามา เด็กหนุ่มพยุงเปียโหวขึ้น เด็กทั้งสี่พยายามวิ่งหนีอย่างสุดชีวิต โดยมีกลุ่มคนที่ด้านหลังไล่ตามมาไม่ห่าง เด็กหนุ่มวิ่งอยู่หน้าสุด เหล่ากวนเชียงตามติดอยู่ด้านหลัง ลั่ง เต๋อเปินแม้ร่างอ้วนท้วนยังกัดฟันไล่ตามมา เปียโหววิ่งรั้งท้าย เด็กหนุ่มที่ อยู่หน้าสุดตะโกนว่า “แยกกันหนี! เร็วเข้า! เจอกันที่เก่า!” ถนนข้างหน้าเป็นทางแยก ขณะนี้เปียโหวพลันร้องออกมา ก้าวเท้า ผิดท่าล้มลงกับพื้น เด็กหนุ่ม เหล่ากวนเชียง และลั่งเต๋อเปินต่างหยุด


ชะงัก เดิมทีวิ่งนำอยู่เจ็ดแปดก้าว พอหันมาเห็นเปียโหวล้มลงก็วิ่งกลับไป โดยปราศจากความลังเล พยุงเปียโหวลุกขึ้น ลั่งเต๋อเปินกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “เปียโหว! แกมันไม่เอาไหน! พวกเราต้องตายเพราะแกแล้ว!” ทั้งสามคนเพิ่งพยุงเปียโหวขึ้นมา ขาของเปียโหวกลับเจ็บจนวิ่งต่อ ไปไม่ไหว เด็กหนุ่มเห็นผิดท่าจึงทอดถอนใจออกมา ด่าทอว่า “ฉันบอก พวกแกแล้วว่าอย่าออกมา!” เด็กหนุ่มพอด่าจบ พวกบ่าวไพร่ที่ด้านหลังก็ไล่ตามมาทัน ทุบตี ทั้งหมดด้วยไม้กระบองอย่างสะใจ เด็กทั้งสี่เกาะกลุ่มกัน ใช้มือป้องกัน ศีรษะ ส่งเสียงตะโกนว่า “ตีคนตายแล้ว! ตีคนตายแล้ว!” บ่าวไพร่พวกนั้นทุบตีครู่หนึ่งค่อยหยุดมือ จากนั้นใช้เท้าไล่ถีบ พวกมันไปที่มุมกำแพง เด็กหนุ่มตะโกนว่า “ฉันไม่ได้ขโมยของมีค่าอะไรของพวกแก ฉัน คืนให้ก็ได้! อย่าได้ทุบตีพวกเราถึงตาย ไม่อย่างนั้นต่อให้เป็นผีก็จะกลับ มารังควานพวกแก!” บ่าวไพร่คนหนึ่งกล่าวว่า “เจ้าเด็กน้อยยังกล้าเถียง! กล้ามาขโมย ของถึงในบ้านของจางซื่อแหย (นายท่านจางซื่อ)! ตีพวกแกจนตายก็ สมควรแล้ว!” เด็กหนุ่มตะโกนว่า “อย่าตีๆ คืนให้แล้วก็แล้วกันไปเถอะ” กล่าว พลางหยิบถุงผ้าใบหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ โยนไปที่เท้าของบ่าวไพร่เหล่า นั้น ที่ด้านหลังของบ่าวไพร่มีชายวัยกลางคนลักษณะคล้ายพ่อบ้านวิ่ง มาด้วยความเร่งรีบ ใช้มือจับหมวกบนศีรษะ บ่าวไพร่รายงานต่อคนผู้นั้น ว่า “พ่อบ้านหลิว! เป็นโจรพวกนี้! จับตัวได้แล้ว! หนีไม่รอดแม้แต่คน เดียว!”


พ่อบ้านหลิวสูดลมหายใจ ยืดตัวขึ้น ชี้ไปยังเด็กทั้งสี่พลางด่าทอว่า “เจ้าเด็กบัดซบ! เล่นเอาฉันเหนื่อย! พวกแกคนไหนเป็นหัวหน้า?” เด็กหนุ่มค่อยๆ คลานขึ้นมา ขานรับว่า “ฉันเอง!” พ่อบ้านหลิวมองดูเด็กหนุ่มผู้นี้ ด่าว่า “บังอาจ! ใครสั่งให้พวกแก เข้ามาขโมยของในบ้านจางซื่อแหย?” เด็กหนุ่มกล่าวว่า “นี่เป็นความคิดของฉันเอง! พ่อบ้าน แค่ขโมย ขนมเล็กน้อยเท่านั้น เหตุใดต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่โต?” พ่อบ้านหลิวด่าทอว่า “ทำให้เป็นเรื่องใหญ่? บ้านของจางซื่อแหย ปล่อยให้พวกแกเข้าออกตามอำเภอใจหรือ? ขนมเล็กน้อยหรือ? ต่อให้ พวกแกขโมยเข็มออกมาแค่เล่มเดียว ก็ต้องตีขาพวกแกให้หัก! พวกเราตี มันให้หนัก! เอาให้ขาของพวกมันหัก! ให้พวกมันหลาบจำ อย่าได้มา ขโมยสิ่งของในบ้านจางซื่อแหยอีก!” บ่าวไพร่ต่างขานรับ หยิบจับกระบองเดินเข้ามา เด็กหนุ่มตะโกนว่า “ช้าก่อน! ช้าก่อน! หรือว่าพวกแกไม่รู้จักฉัน? ฉันฉายาหนาพั่วเทียน (ทลายฟ้า)! ถ้าพวกแกทำฉันโกรธ! รับรองว่าพวกแกต้องมีอันเป็นไป! ของก็คืนให้พวกแกแล้ว ขืนทุบตีอีก ก็อย่าคิดจะอยู่ในเมืองเฟิ่งเทียนได้ อีกต่อไป!” เด็กหนุ่มผู้นี้กล่าวออกมาอย่างห้าวหาญ สีหน้าไร้ความหวาดกลัว บ่าวไพร่ทั้งหลายที่เงื้อกระบองขึ้นเหนือศีรษะ พอได้ยินเขากล่าวออกมา เช่นนี้ กลับบังเกิดความลังเล หันไปมองหน้าพ่อบ้านหลิว พ่อบ้านหลิวบังเกิดเพลิงโทสะ “หนาพั่วเทียนอะไรกัน! ทลายฟ้า ของแม่มัน! ตีให้ตาย!” บ่าวไพร่เห็นว่ามีพ่อบ้านหลิวหนุนหลัง จึงเงื้อไม้กระบองขึ้นอีก ครั้ง เด็กหนุม่ คิดในใจว่า ‘หมดกัน หลอกพวกมันไม่สำเร็จ วันนีพ้ วกเรา


คงต้องไปพบยมบาลแล้ว!’ เด็กหนุ่มหลับตา ยกมือป้องกันศีรษะรอรับชะตากรรม แต่ผ่านไป ครู่หนึ่งยังไม่เห็นมีไม้กระบองฟาดลงมา จึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมอง เห็น บ่าวไพร่ต่างลดไม้ลง สาวใช้คนหนึ่งเดินเข้าไปกระซิบบอกอะไรบางอย่าง กับพ่อบ้านหลิว พ่อบ้านหลิวผงกศีรษะติดๆ กัน ชี้ไปยังเด็กหนุ่มพลางกล่าวว่า “นับว่าพวกแกดวงดี! วันนี้เป็นวันมงคลของจางซื่อแหย ท่านไม่ต้องการ ให้มีกลิ่นคาวเลือด! พวกแกรีบไสหัวไป ถ้าฉันเจอพวกแกอีก เจอหนึ่ง ครั้งตีหนึ่งครั้ง! ถุย!” พ่อบ้านหลิวถ่มน้ำลาย โบกไม้โบกมือแล้วนำบ่าวไพร่เดินตามสาว ใช้คนนั้นกลับไป เด็กหนุ่มด่าทอตามหลังว่า “พวกตัวบัดซบ ถ้าฉันรวยเมื่อไหร่ ผู้ หญิงจะจับขายซ่อง ผู้ชายจะจับไปเป็นเป้ามนุษย์!” กล่าวจบก็ถ่มน้ำลาย ใส่พื้น เด็กหนุ่มหันศีรษะกลับมาก็เห็นถุงผ้าที่เมื่อสักครู่โยนออกไปยังตก อยู่บนพื้น อดลิงโลดยินดีมิได้ รีบสาวเท้าเข้าไปเก็บขึ้นมา ลั่งเต๋อเปินตะโกนว่า “พี่ใหญ่ โชคดีเหลือเกิน! ยังคิดว่าต้องตาย วันนี้แล้ว!” เหล่ากวนเชียงก็ยันกายยืนขึ้น ขยับหัวไหล่ลูบคลำใบหน้า กล่าว ว่า “แน่จริงก็ตัวต่อตัวสิ! คนกลุ่มใหญ่ถือไม้กระบองรุมทุบตี นับว่ามี ฝีมืออะไร!” เปียโหวก็ยืนขึ้นด้วยอาการตื่นกลัวเล็กน้อย กล่าวว่า “พี่ใหญ่ เหล่าลั่ง เหล่ากวน เป็นเพราะฉันหกล้ม เป็นความผิดของฉันเอง!” เด็ ก หนุ ่ ม สื บ เท้ า ขึ ้ น หน้ า หนึ ่ ง ก้ า ว ยกมื อ ตบไหล่ ข องเปี ย โหว หัวเราะพลางกล่าวว่า “พูดอะไรอย่างนั้น! มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน!” ลั่งเต๋อเปินก็ขยับเข้ามา กล่าวกับเปียโหวด้วยสีหน้าทะเล้นว่า


“ฮ่าๆ แรงของพวกมันเหมือนนวดผ่อนคลายให้กับพวกเราเท่านั้น!” เด็กหนุ่มยกมือตบศีรษะของลั่งเต๋อเปิน ด่าทอว่า “ลั่งเต๋อเปิน แก บอกให้ทุกคนมาตามหาฉันใช่ไหม? บอกแล้วไม่ใช่เรอะว่าห้ามออกมา

ตามหาฉัน!” ลั ่ ง เต๋ อ เปิ น ลู บ ศี ร ษะตั ว เอง กล่ า วว่ า “ฝ่ า มื อ ของพี ่ ใหญ่ ช ่ า ง ร้ายกาจ! เจ็บเหลือเกิน...ก็ฉันเป็นห่วง กลัวว่าพี่ใหญ่จะเกิดเรื่อง” เหล่ากวนเชียงก็ขยับเข้ามากล่าวกับเด็กหนุ่มว่า “พี่ใหญ่ พี่ก็ให้ อภัยพวกเราเถอะนะ” เด็กหนุ่มกลับหัวเราะออกมา ชูถุงผ้าขึ้นเหนือศีรษะ กล่าวว่า “วัน นี้ถึงพวกเราต้องเจ็บตัว แต่พี่ใหญ่รับปากพวกแกว่าจะขโมยของกินมาให้ ก็ต้องทำให้สำเร็จ!” ลั่งเต๋อเปิน เหล่ากวนเชียง และเปียโหวจ้องมองถุงผ้าในมือของ เด็กหนุ่มต่างกลืนน้ำลายดังเอื๊อก กล่าวอย่างลิงโลดว่า “พี่ใหญ่สุดยอด! พี่ใหญ่สุดยอด!” เด็กหนุ่มผู้นี้ก็คือหัวหน้าของเด็กจรจัดทั้งสี่ เขาไร้ชื่อไร้แซ่ ลักเล็ก ขโมยน้อยอยู่ในเมืองเฟิ่งเทียนมานาน มีฉายาติดตัว เดิมทีเป็นชื่อเรียกที่ ไม่เป็นมงคลว่า ‘ฮั่วเสี่ยวเสีย (เจ้าตัวซวย)’ เด็กหนุ่มผู้นี้จึงเปลี่ยนฉายา ของตนเองเสียใหม่เป็น ‘หัวเสี่ยวเสีย (มารอัคคีน้อย)’ เด็กจรจัดทั้งสี่มักจะถูกผู้คนรังแกอยู่เป็นประจำ ทุกสองสามวัน ต้องถูกทุบตีจนกลายเป็นเรื่องชินชา ทนไม้ทนมือเป็นอย่างดี รู้จักป้องกัน จุดสำคัญบนร่างกายของตนเอง ดังนั้นถึงแม้พวกมันถูกทุบตีจนเจ็บปวด ไปทั้งร่าง แต่ก็เป็นเพียงแผลภายนอก ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง พอพวกมัน ทั้งสี่คนผลัดกันนวดคลึงก็ทุเลาลง ต่างคนต่างพยุงกันและกันเดินไปจาก สถานที่แห่งนี้ ทั้งสี่คนตรวจสอบเส้นทาง เลือกเดินไปบนถนนเล็กเลียบริมคลอง


จนกระทั่งวิกาลคล้อยดึก ค่อยมาถึงกระท่อมร้างที่อยู่ทางทิศเหนือของ เมือง สำรวจรอบๆ พอพบว่าปลอดคนค่อยมุดเข้าไป ขณะนี้พวกมัน หิวโหยอย่างมาก เสียงท้องร้องดุจเสียงกลอง ลั่งเต๋อเปิน เหล่ากวนเชียง และเปียโหว ต่างจับจ้องมองถุงผ้าในมือของหัวเสี่ยวเสียพลางกลืน น้ำลาย แต่พวกมันก็รู้กฎดี หากพี่ใหญ่หัวเสี่ยวเสียยังไม่อนุญาต ไม่ว่า ใครก็แตะต้องไม่ได้ โจรขโมยในแถบตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองเฟิ่งเทียนมีกฎข้อนี้ เป็นกฎพื้นฐาน หากขโมยสิ่งของจากที่อื่นมา ห้ามแบ่งและห้ามเปิดเผยอ อกมาระหว่างทาง ต้องรีบเดินทางกลับรังของตนเอง ค่อยสามารถแบ่ง ปันสิ่งของได้ กฎของขโมยกล่าวไว้ว่า สิ่งของที่เพิ่งขโมยมาได้ จะมีความ คิดถึงเจ้าของเดิม ถ้าไม่หาสถานที่ที่ปลอดภัยเก็บเอาไว้ อาจนำมาซึ่งภัย อันตราย ต่อให้เป็นจอมโจรแถบตงเป่ย* เมื่อขโมยสิ่งของมาได้ก็ต้องห่อ อย่างมิดชิด วิ่งหนีสุดกำลัง ไม่กล้าหยิบออกมาเล่นกลางทาง หัวเสี่ยวเสียกับพวกใช้ชีวิตลักขโมยประทังชีวิตมาตั้งแต่เด็ก กฎ เกณฑ์เหล่านี้ย่อมเข้าใจเป็นอย่างดี พวกมันเพิ่งถูกทุบตีมาหนึ่งรอบ ตลอดทางยิ่งไม่กล้ากระทำซ้ำรอยเดิม ต่อให้หิวโหยจนกลืนน้ำลายลงไป เต็มท้อง ก็ต้องกลับไปถึงที่พักก่อน ค่อยคิดว่าจะแบ่งปันกันอย่างไร หัวเสี่ยวเสียมองเห็นสีหน้าของลั่งเต๋อเปิน เหล่ากวนเชียง และเปีย โหว จึงบอกให้พวกเขาไปนั่งรอบนกองหญ้าฟาง ตนเองไปจุดตะเกียง ค่อยหันหลังกลับมานั่งรวมกลุ่มกับพวกเขา หัวเสี่ยวเสียวางถุงผ้าที่ห่อ ขนมไว้กลางวง ก้มศีรษะกล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าฉันขโมยแกมา แต่เป็นเพราะ เรามีวาสนาต่อกัน ในเมื่อแกมาแล้วก็จงวางใจ ฉันจะดูแลแกเป็นอย่างดี” หัวเสี่ยวเสียกล่าวเช่นนี้ก็เป็นกฎข้อหนึ่งของโจรที่ว่า สิ่งของที่ ขโมยมาได้ ย ่ อ มมี ค วามโกรธเคื อ ง จำต้ อ งมี ค นปลอบโยนครู ่ ห นึ ่ ง จึ ง * ดินแดนทางตะวันออกเฉียงเหนือ


สามารถเสพสุข ไม่อย่างนั้นหากสิ่งของเหล่านี้โกรธแค้นไม่หาย อาจนำมา ซึ่งภัยอันตราย เมื่อขโมยเงินทองมาได้ ปกติจะต้อง ‘ตีเงิน’ มีคนกล่าวไว้ ว่าเงินทองเป็นสิ่งที่แข็งแกร่งที่สุด คำพูดอ่อนโยนใช้ไม่ได้ผล ดังนั้นจึง ต้องทุบต้องตี ใช้ฟันกัด ตบด้วยรองเท้า ตากแดด เผาไฟ แช่น้ำ เลือก กระทำให้เหมาะสมตามสถานการณ์ หากขโมยของกินของใช้มาได้ต้องใช้ คำพูดปลอบโยน เช่นนี้จึงสามารถรับประทานได้ไม่ป่วยกาย สวมใส่ไม่ ถูกจับ ดังนั้นพวกมันจึงกล่าวกับถุงผ้าห่อนั้นเหมือนสุนัขเห่าหอนอยู่ครู่ หนึ่ง หัวเสี่ยวเสียค่อยตวาดว่า “พอแล้ว! พวกเรากินกันเถอะ!” หัวเสี่ยว เสียเปิดปากถุงออก หยิบส่งให้คนละหนึ่งชิ้น จางซื่อแหยเป็นคนในตระกูลใหญ่ลำดับต้นๆ ของเมืองเฟิ่งเทียน ได้ยินว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจางจั้วหลินผู้บัญชาการกองทัพตงเป่ย นับว่าเป็นบุคคลที่สามารถเรียกลมเรียกฝนได้ในเมืองเฟิ่งเทียน แน่นอน ว่าขนมในบ้านของเขาล้วนเป็นของชั้นเลิศ ต่อให้ขนมเหล่านั้นห่อหุ้มด้วย ถุงผ้า ถูกโยนไปมาจนแตกหัก ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการกินของเด็กทั้งสี่ ลั่งเต๋อเปินรีบร้อนกิน ขนมติดคอจนตาเหลือก แต่ปากยังคงกล่าวว่า “รสชาติเยี่ยม! รสชาติเยี่ยมจริงๆ” เหล่ากวนเชียงกัดกินไปพลางร่ำไห้ออกมา หัวเสี่ยวเสียยกมือตบ ศีรษะเขา ด่าว่า “กินก็กิน ร้องทำอะไร?” เหล่ากวนเชียงปาดน้ำตา กล่าวว่า “พี่ใหญ่ ฉันได้กินขนมรสชาติ ยอดเยี่ยมอย่างนี้ ก็อดคิดถึงพ่อแม่ไม่ได้ พวกท่านทั้งชีวิตคงไม่เคยได้ กินขนมอร่อยอย่างนี้มาก่อน” เปียโหวอายุน้อยที่สุด พอได้ยินเหล่ากวนเชียงพูดเช่นนั้น น้ำตาก็ ไหลริน คราบน้ำตาสองสายไหลผ่านริมฝีปาก แต่ก็ยังไม่หยุดกินขนม กลืนลงไปทั้งน้ำตาโดยไม่พูดอะไร


ลั่งเต๋อเปินกลืนขนมลงท้อง ด่าทอว่า “เหล่ากวน! เปียโหว! พวก แกมันไม่เอาไหน! ได้กินของดีหน่อยก็เป็นไปได้ขนาดนี้! ไม่เอาไหน จริงๆ!” พลางหันไปมองหัวเสี่ยวเสีย กล่าวว่า “พี่ใหญ่ พี่เห็นด้วย…” ลั่งเต๋อเปินเห็นหัวเสี่ยวเสียก็มีสีหน้าเศร้าสร้อย จึงไม่กล้าพูดอะไร อีก ลั่งเต๋อเปินเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่เล็ก ไม่เคยเห็นแม้แต่หน้าตาของพ่อ แม่ตัวเอง ย่อมมิอาจเข้าใจถึงความรู้สึกของเหล่ากวนเชียง เปียโหว และ หัวเสี่ยวเสีย เด็กทั้งสี่พากันเงียบไปชั่วครู่ หัวเสี่ยวเสียค่อยเก็บอาการโศกเศร้า ปรับสีหน้าเป็นเข้มแข็งมุ่งมั่น หัวเราะพลางกล่าวว่า “วันหลังฉันต้องทำให้ พวกแกได้ใช้ชีวิตที่สุขสบาย! ทุกวันมีสุราอาหารชั้นดี ออกจากบ้านมีรถ นั่ง! ทุกคนว่าอย่างไร?” เหล่ากวนเชียง เปียโหว และลั่งเต๋อเปินส่งเสียงโห่ร้องออกมา “ดีๆ! เชื่อฟังพี่ใหญ่! เชื่อฟังพี่ใหญ่!” กล่าวถึงตรงนี้ พวกมันค่อยกระปรี้ กระเปร่าขึ้นมา ทุกคนนั่งกินขนม ฝันหวานที่จะร่ำรวยและได้ลืมตาอ้า ปาก เหล่ากวนเชียงกล่าวว่า “รอให้ฉันรวยก่อนเถอะ ฉันจะกินเนื้อสาม ชั้นทุกวัน เนื้อที่ตุ๋นจนละลายในปาก!” ลั่งเต๋อเปินด่าว่า “แกก็คิดได้แค่นี้ ถ้าเป็นฉัน ฉันจะจ้างให้เสี่ยว เต๋อเฉียงที่โด่งดังที่สุดในเมืองเฟิ่งเทียนมาร้องเอ้อเหรินช่าง* ให้พวกเขา ขับร้องทุกวันไม่ซ้ำเรื่อง! เปียโหว แกล่ะ?” เปียโหวครุ่นคิดครู่หนึ่ง ค่อยกล่าวว่า “ถ้าฉันร่ำรวย ฉันจะสร้าง บ้านหลังใหญ่ ให้คนที่มีชีวิตแบบพวกเราได้พักอาศัย ไม่ต้องทนหิวทน หนาว และไม่ต้องขโมยของจนถูกทุบตีอีก” ลั่งเต๋อเปินผลักเปียโหว “แกนี่ช่างมีคุณธรรมจริงๆ!” * การขับร้องชนิดหนึ่งของจีน โดยคนสองคนร้องรับส่งกัน


เหล่ากวนเชียงก็เข้าไปหยอกล้อเปียโหว กล่าวว่า “แกมีจิต ใจ เมตตาเหลือเกิน! ขอดูหน่อยซิว่าหน้าแกคล้ายพระพุทธองค์หรือเปล่า!” ทั้งสามส่งเสียงหยอกล้อ ลั่งเต๋อเปินหัวเราะฮ่าๆ พลางปลีกตัว ออกมา มองเห็นหัวเสี่ยวเสียราวกับตกอยู่ในห้วงความคิด จึงอดไม่ได้ที่ จะถามว่า “พี่ใหญ่ พี่กำลังคิดอะไรอยู่?” หัวเสี่ยวเสียกล่าวว่า “ไม่มีอะไร” เหล่ากวนเชียงกับเปียโหวหยุดหยอกล้อกัน มองไปยังหัวเสี่ยวเสีย เหล่ากวนเชียงกล่าวว่า “พี่ใหญ่ บอกมาเถอะ ถ้าพี่ร่ำรวยแล้ว พี่อยากทำ อะไรมากที่สุด?” หัวเสี่ยวเสียกล่าวว่า “ยังไม่รู้จะทำอะไร” เปียโหวขยับเข้าใกล้ กล่าวว่า “พี่ใหญ่ พี่เล่ามาเถอะ พี่ต้องคิดไว้ แต่แรกแล้ว” “ใช่ๆ!” ลั่งเต๋อเปินตะโกนออกมา หัวเสี่ยวเสียมองดูทุกคน ยกมือเกาศีรษะ หัวเราะออกมา กล่าว ว่า “อันที่จริง...ถ้าฉันบอกพวกแกแล้ว พวกแกอย่าหัวเราะเยาะฉันล่ะ” “เล่าเถอะๆ รับรองว่าไม่หัวเราะเยาะ!” ทุกคนตะโกนออกมา หัวเสี่ยวเสียกล่าวช้าๆ ว่า “ถ้าฉันรวยแล้ว ฉัน...ฉันอยากไปตาม หา…” เพิ่งกล่าวถึงตรงนี้ ประตูผุพังของกระท่อมก็ถูกถีบเปิดออก ชาย ฉกรรจ์ปากแหลมไว้หนวดเครา สวมเสื้อคลุมหนังสุนัขผู้หนึ่งก้าวเท้าเข้า มา ด้านหลังของเขายังมีผู้ชายอีกสองคนที่ดูอย่างไรก็ไม่ใช่คนดี ชายฉกรรจ์นั้นพอถีบประตูเข้ามา หัวเสี่ยวเสียและพวกก็ตกตะลึง ไป สีหน้าของเด็กทั้งสี่ล้วนมีอาการหวาดกลัว ชายฉกรรจ์นั้นด่าทอว่า “บัดซบ! พวกแกซ่อนตัวอยู่ในนี้ คิดว่าฉันหาไม่เจอเรอะ?” หัวเสี่ยวเสียรีบตอบว่า “ฉีเหล่าต้า (ลูกพี่ใหญ่แซ่ฉี) พวกผมกำลัง


จะกลับไป!” ชายฉกรรจ์ผู้นี้ก็คือลูกพี่ใหญ่ที่แท้จริงของเด็กทั้งสี่ มีนามว่า ฉีเจี้ยนเอ้อร์ หลายปีก่อนหัวเสี่ยวเสียกับพวกถูกฉีเจี้ยนเอ้อร์รับเข้ากลุ่ม แล้วเสี้ยมสอนให้พวกเขาไปลักขโมยสิ่งของ ฉีเจี้ยนเอ้อร์ชอบเล่นการ พนัน แต่ดวงด้านการพนันตกอับมาก หมู่นี้ยิ่งแพ้พนันจนหมดตัว จึงเร่ง ให้ลูกน้องออกไปขโมยเงินทองมาปรนเปรอตนเอง และช่วงนี้เมืองเฟิ่ง เทียนเนื่องจากกัวซงหลิงยกทัพไปต่อสู้กับจางจั้วหลิน กองทัพญี่ปุ่น จำนวนมากบุกเมืองเฟิ่งเทียน สถานการณ์คับขัน ร้านรวงภายในเมืองเฟิ่ง เทียนแทบจะปิดกิจการทุกครัวเรือน คนทำการค้าที่สัญจรไปมาล้วนหลีก เลี่ยงไฟสงคราม ไม่กล้าเข้าเมือง ดังนั้นพวกหัวเสี่ยวเสียจึงขาดรายได้มา หลายวันแล้ว หัวเสี่ยวเสียกับพวกทั้งสี่นับว่าเป็นศิษย์รักที่ฉีเจี้ยนเอ้อร์ภาคภูมิใจ ที่สุด โดยเฉพาะหัวเสี่ยวเสียผู้เป็นหัวหน้า เสมือนกับได้รับเคล็ดลับวิชา จากฉีเจี้ยนเอ้อร์ มีนิสัยใจกล้าแต่ละเอียดอ่อน ฝีมือคล่องแคล่วว่องไว หากว่ากันด้วยเรื่องความสามารถในการลักล้วงถุงเงินผู้อื่น เกรงว่าทั่วทั้ง เมืองเฟิ่งเทียน หัวเสี่ยวเสียนับเป็นยอดฝีมืออันดับต้นๆ ในบรรดาเด็ก จรจัด ที ่ จ ริ ง แล้ ว พวกของหั ว เสี ่ ย วเสี ย ต้ อ งกลั บ ไปรายงานตั ว ที ่ ‘เฮ่าจื่อโหลว’ (หอมุสิก) ของฉีเจี้ยนเอ้อร์ทุกวัน แต่ช่วงนี้ไม่มีเงินทอง ติดมือ จึงถูกฉีเจี้ยนเอ้อร์ตบสั่งสอนไปไม่น้อย หัวเสี่ยวเสียรู้สึกโกรธ แค้ น แต่ ก ็ ไม่ ก ล้ า ต่ อ ต้ า นอย่ า งเปิ ด เผย เหล่ า โจรในเมื อ งเฟิ ่ ง เที ย น

ล้วนรู้จักกันเป็นอย่างดี และจัดลำดับตามคุณสมบัติ ฉีเจี้ยนเอ้อร์ที่มีเด็ก ลักขโมยในสังกัดจำนวนหนึ่งนั้นเรียกว่า ‘ซ่างอู่หลิง’ (ห้าลำดับบน) พวก ของหัวเสี่ยวเสียถูกเรียกเป็น ‘เซี่ยอู่หลิง’ (ห้าลำดับล่าง) เซี่ยอู่หลิง

หากปราศจากลูกพี่ใหญ่คุ้มกะลาหัว อย่าว่าแต่ลักขโมยในเมืองเฟิ่งเทียน


ต่อให้กลับตัวกลับใจมาทำอาชีพสุจริต ก็ต้องถูกพวกขโมยกลั่นแกล้ง ดัง คำโบราณที่กล่าวไว้ว่า เป็นโจรนั้นง่าย เลิกเป็นโจรนั้นยาก ในยุคสาธารณรัฐจีนอันวุ่นวาย ทุกพื้นที่เกิดไฟสงคราม เหล่า ขุนศึกแบ่งแยกดินแดน แต่ทุกกิจการทุกอาชีพล้วนยึดหลักความสามัคคี แม้แต่ขโมยก็ไม่ยกเว้น ยิ่งเป็นอาชีพที่ต่ำทรามเช่นการเป็นขโมย ขอทาน แก๊งมาเฟีย โจรภูเขา เหล่านี้ยิ่งให้ความสำคัญกับความสามัคคี ขอเพียง มีลมหายใจ ต้องร่วมเป็นร่วมตาย ไม่มีวันทอดทิ้งกัน นอกเสียจาก สามารถไต่เต้าขึ้นไปถึงระดับหัวหน้าใหญ่ หัวหน้าแก๊งที่มีศักดิ์สามารถ จุดธูปไหว้รูปปั้นประจำสำนัก ค่อยสามารถถอยออกจากอาชีพนี้อย่างสม เกียรติ ซึ่งเรียกกันว่า ‘ล้างมือในอ่างทองคำ’ หั ว เสี ่ ย วเสี ย เคยคิ ด พาพวกพ้ อ งหนี ไปให้ พ ้ นจากเงื ้ อ มมื อ ของ ฉีเจี้ยนเอ้อร์ แต่ในยุคที่บ้านเมืองวุ่นวาย เมืองเฟิ่งเทียนยังเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ ที ่ ส ามารถใช้ ป ระทั ง ชี ว ิ ต หากคิ ด หนี จ ะหนี ไปที ่ ใด? สถานที ่ อ ื ่ น อาจ อันตรายยิ่งกว่าที่นี่ สำหรับพวกขโมย สิ่งที่หวาดกลัวที่สุดก็คือการรับคน แปลกหน้าเข้ากลุ่ม กลัวว่าหากถูกจับไปได้หนึ่งคน จะสารภาพออกมาจน ถูกจับได้ทั้งกลุ่ม ต่อให้หนีไปที่อื่น ถ้ายังประกอบอาชีพลักขโมยแต่ ต้องการให้รากฐานมั่นคง นอกจากมีความสามารถล้นฟ้า ไม่อย่างนั้น จำเป็นต้องพึ่งพาพรรคพวก ต้องทนรับการลงทัณฑ์แทงสามแผล คือการ แทงมีดสามเล่มลงบนขาสองเล่ม บนหัวไหล่หนึ่งเล่ม ทั้งยังต้องแทง อย่างแม่นยำและรุนแรง มีดห้ามหลุดออกจากบาดแผล เมื่อกระทำเช่นนี้ แล้วค่อยสามารถทำให้ผู้อื่นเชื่อถือได้ กฎเกณฑ์ของโจรมีมากมาย แต่ตอนนี้ขอเล่าไว้เพียงเท่านี้ก่อน ฉีเจี้ยนเอ้อร์เห็นหัวเสี่ยวเสียยังไม่กลับมารายงานตัวที่เฮ่าจื่อโหลว ในใจบังเกิดโทสะ พาสมุนอีกสองคนออกมาตามล่า สถานที่ในเมืองเฟิ่ง เทียนที่สามารถใช้หลบซ่อนตัวนั้น ฉีเจี้ยนเอ้อร์ทราบดีกว่าหัวเสี่ยวเสีย


พอมองเห็นแสงไฟรำไรในกระท่อมร้างแห่งนี้แต่ไกลจึงรีบรุดมา ได้ยิน พวกมันสนทนาอยู่ในกระท่อม ก็ยกเท้าถีบประตูเข้ามาจับคน ฉีเจี้ยนเอ้อร์เห็นหัวเสี่ยวเสียยังกล้าต่อปากต่อคำ จึงเดินเข้าไปตบ หน้าหัวเสี่ยวเสีย ด่าทอว่า “ไม่เจียมกะลาหัว! ยังกล้าเถียงอีก!” หัวเสี่ยวเสียถูกตบจนมองเห็นดาวระยิบ ล้มลงกับพื้น ลั่งเต๋อเปิน และพวกรีบเข้ามาพยุง ทุกคนล้วนมีสีหน้าแตกตื่น แต่ไม่กล้าขัดขืน ต่าง จ้องมองไปที่ฉีเจี้ยนเอ้อร์ หัวเสี่ยวเสียถูกตบไปหนึ่งที ในใจบังเกิดความคับแค้น แต่ไม่กล้า แสดงออกทางสีหน้า เพียงด่าทอในใจว่า ‘ฉีเฮ่าจื่อ (เจ้าหนูฉี)! แกกล้า ตบฉัน สักวันฉันต้องสนองให้เป็นทวีคูณ! เฮ้อ! ทำไมฉีเฮ่าจื่อถึงพบ

พวกเราเร็วขนาดนี้!’ ฉีเจี้ยนเอ้อร์ถูฝ่ามือ ทำท่าสูดจมูกฟุดฟิด กวาดสายตาไปรอบๆ กล่าวว่า “ทำไมมีกลิ่นขนม?” ฉีเจี้ยนเอ้อร์สูดดมหาที่มาของกลิ่น ประเดี๋ยวก็มองไปที่ปากของ พวกเขา หัวเสี่ยวเสียกับพวกกินขนมอย่างมูมมาม บริเวณมุมปากจึง เปรอะเปื้อนเศษขนม ฉีเจี้ยนเอ้อร์พลันคำรามออกมา “พวกเศษสวะ! ไม่ ยอมกลับมารายงานตัว! หลบมาแอบกินอยู่ที่นี่นี่เอง!” ลำดับซ่างอู่หลิงของฉีเจี้ยนเอ้อร์มิใช่ได้มาลอยๆ เขาเป็นขโมยที่มี สายตาเฉียบแหลม กล่าวถึงตรงนี้ฉีเจี้ยนเอ้อร์ก็ก้าวเข้าไปคว้าถุงขนม ออกมาจากข้างเท้าพวกเขา จ้องมองเด็กทั้งสี่แวบหนึ่ง เปิดปากถุงออก ยื่นมือเข้าไปหยิบขนมขึ้นมาหนึ่งชิ้นพลางสูดดม พึมพำกับตัวเองว่า “ขนมนี้มีกลิ่นหอมชวนกิน! ต้องไม่ใช่ขนมของชาวบ้านทั่วไปแน่!” กล่าว จบส่งขนมเข้าปาก เคี้ยวอย่างมูมมามแล้วกลืนลงคอ ฉีเจี้ยนเอ้อร์สีหน้าเคร่งขรึม ทิ้งขนมลงในถุงผ้า กำปากถุงเอาไว้ ชี้ นิ้วไปยังพวกหัวเสี่ยวเสียพลางกล่าวว่า “บอกมา! พวกแกไปขโมยขนม


มาจากบ้านใคร? ถ้าโกหกแม้แต่คำเดียว ฉันจะหักขาพวกแกทั้งสี่คน!” ลั่งเต๋อเปิน เหล่ากวนเชียง และเปียโหวล้วนจ้องมองไปที่หัวเสี่ยว เสีย หัวเสี่ยวเสียทราบดีว่าไม่ควรปิดบัง ดังนั้นกลืนน้ำลายลงคอ กล่าว ว่า “เป็นขนมจากบ้านจางซื่อแหย” “จางซื่อแหย? พวกแกขโมยขนมจากบ้านจางซื่อแหยมาได้? พวก แกกล้าไปขโมยของถึงบ้านจางซื่อแหย?” ฉีเจี้ยนเอ้อร์มีสีหน้าไม่เชื่อถือ “ใช่ ขโมยมาจากบ้านจางซื่อแหย” หัวเสี่ยวเสียตอบอย่างเสียมิได้ “บั ด ซบ! พวกแกยั ง รอดกลั บ มาได้ อ ี ก ? ขโมยมาได้ อ ย่ า งไร?” ฉีเจี้ยนเอ้อร์ดูจะให้ความสนใจกับการที่มันขโมยของจากบ้านจางซื่อแหย มาได้ “ข้างกำแพงบ้านของจางซือ่ แหยมีตน้ ไม้ตน้ หนึง่ ผมโหนตัวจากกิง่ ไม้ ไปยังใต้ชายคา พื้นที่ใต้ชายคาคลานเข้าไปได้แค่คนเดียว คลานไปสักพัก ก็ จ ะผ่ า นเวรยามที ่ เ ฝ้ า อยู ่ บ นระเบี ย ง ตรงนั ้ น มี ไม้ แ ผ่ น หนึ ่ ง ขยั บ ได้ สามารถมุดเข้าไปในคานบ้าน จากนั้นก็คลานตามกลิ่นขนมไปจนถึงด้าน บนของห้องพระ ข้างในมีคนมากมาย เดินเข้าเดินออกอย่างเร่งรีบ รออยู่ หนึ่งชั่วโมงก็ปลอดคน ผมค่อยใช้เชือกทำเป็นบ่วงหย่อนลงไปดึงขนม

ขึ้นมา” หัวเสี่ยวเสียเล่าคร่าวๆ ฟังดูราวกับง่ายดาย แต่ความจริงสำหรับ กับหัวเสี่ยวเสีย การขโมยครั้งนี้นับว่าเสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง ลำพังโหน ตัวจากต้นไม้ไปยังใต้ชายคา หากไม่เพราะเขายอมเสี่ยงชีวิตก็ยากจะ กระทำสำเร็จ รายละเอียดของการขโมยครั้งนี้ ย่อมมิใช่คำพูดเพียงสอง สามประโยคก็อธิบายได้หมดสิ้น ฉีเจี้ยนเอ้อร์ก็รับฟังหัวเสี่ยวเสียเล่าอย่างตั้งใจ หัวเสี่ยวเสียกล่าวว่า “เรื่องก็เป็นอย่างนี้ ตอนที่หนีออกมา ผม กลับชะล่าใจ ตอนมุดออกจากใต้ชายคาปีนขึ้นต้นไม้จึงถูกพวกมันเห็น


เข้า ไล่ตามมาถึงนอกบ้าน ใช้กระบองทุบตีพวกเรา โชคดีที่มีสาวใช้เดิน ตามมาบอกว่าวันนี้เป็นวันมงคลของจางซื่อแหย พวกมันค่อยละเว้นชีวิต พวกเรา และไม่ได้ยึดขนมกลับไปด้วย” หัวเสี่ยวเสียเงยหน้าขึ้นมองฉีเจี้ยนเอ้อร์ ฉีเจี้ยนเอ้อร์ราวกับกำลัง ใช้ความคิด หัวเสี่ยวเสียจึงขานเรียก “ฉีเหล่าต้า ผมเล่าจบแล้ว” ฉี เจี ้ ย นเอ้ อ ร์ ค ่ อ ยได้ ส ติ ก ลั บ คื น มา สี ห น้ า แปรเปลี ่ ย นเป็ น ประหลาดใจ กล่าวว่า “ฮั่วเสี่ยวเสีย (เจ้าตัวซวย) ที่แกเล่ามาเป็นความ จริงหรือ?” หัวเสี่ยวเสียกล่าวว่า “ฉีเหล่าต้า ถ้าผมโกหกแม้แต่คำเดียว ขอให้ ถูกสับเป็นหมื่นชิ้น” ลั่งเต๋อเปิน เหล่ากวนเชียง และเปียโหวต่างพยักหน้าติดต่อกัน ลั่ง เต๋อเปินกล่าวว่า “ฉีเหล่าต้า พวกมันลงมือหนักมาก ทุบตีพวกเราจน เกือบตาย” เหล่ากวนเชียงก็กล่าวว่า “ใช่ๆ ฉีเหล่าต้าดูหน้าของผม ซีกนี้ยัง บวมอยู่เลย” ฉีเจี้ยนเอ้อร์ถอนหายใจออกมา กล่าวว่า “วันนี้ฉันจะไว้ชีวิตพวก แก! รีบลุกขึ้นมาแล้วไปกับฉัน!” หัวเสี่ยวเสียกับพวกนึกไม่ถึงว่าฉีเจี้ยนเอ้อร์จะละเว้นชีวิตพวกเขา ง่ายดายเช่นนี้จึงบังเกิดความดีใจ ไหนเลยยังสนใจว่าฉีเจี้ยนเอ้อร์มี แผนการอะไร รีบลุกขึ้นเดินตามฉีเจี้ยนเอ้อร์ออกไปทันที ฉีเจี้ยนเอ้อร์เดินอย่างเร่งรีบ พวกหัวเสี่ยวเสียต่างได้รับบาดเจ็บจึง เดินตามมาอย่างทุลักทุเล หัวเสี่ยวเสียมองไปตามทาง พบว่าไม่ใช่เส้น ทางไปเฮ่าจื่อโหลวของฉีเจี้ยนเอ้อร์ จึงอดไม่ได้ที่จะเร่งความเร็วเดินขึ้น หน้ามาถามว่า “ฉีเหล่าต้า ไม่กลับเฮ่าจื่อโหลวหรือ?” ฉีเจี้ยนเอ้อร์ตวาดว่า “อย่าพูดมาก! เดินตามมาก็พอ!”


หัวเสี่ยวเสียก็ไม่กล้าถามมากความ เห็นท่าทางลับๆ ล่อๆ ของ ฉีเจี้ยนเอ้อร์ ก็คาดว่าคงไม่ใช่เรื่องดี ตนเองนับตั้งแต่ติดตามฉีเจี้ยนเอ้อร์ เคยเจอะเจอเรื่องราวดีๆ อะไรบ้างเล่า? ดังนั้นจึงไม่ไปคิดอีกว่าฉีเจี้ยน เอ้อร์กำลังจะพาพวกเขาไปที่ไหน พวกเขาเดินทางอย่างเร่งรีบอยู่หนึ่งชั่วโมง ค่อยมาถึงบ้านหลังหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ใกล้กับประตูทิศตะวันออกของเมืองเฟิ่งเทียน ฉีเจี้ยนเอ้อร์สั่งให้ ชายสองคนที่ติดตามมาแยกกันไปดูต้นทาง แล้วพาพวกหัวเสี่ยวเสียเดิน ไปถึงหน้าประตูบ้าน หัวเสี่ยวเสียพอมองดูก็นึกขึ้นได้ว่าตนเองเคยมายังสถานที่แห่งนี้ นี่เป็นบ้านพักของหลิวเฝิงเป่าหัวหน้าใหญ่ของขโมยในเมืองเฟิ่งเทียน หลิวเฝิงเป่ามีฉายาว่า ‘ซานจื่อหลิว’ (หลิวสามนิ้ว) ไม่ทราบเขาประสบ โรคร้ายอะไรในวัยเด็ก มือทั้งสองข้างจึงเหลือเพียงนิ้วโป้ง นิ้วชี้ และนิ้ว กลาง แต่กลับฝึกฝนยอดวิชาลักขโมยสำเร็จ สามารถหดฝ่ามือที่มีเพียง สามนิ้วให้กลายเป็นรูปกรวย ปลายนิ้วทั้งเรียวและยาวดุจกรงเล็บสามนิ้ว คอยหยิบฉวยลักขโมยของมีค่าขนาดเล็กบนร่างกายคน ควรทราบว่าโจรที่คอยลักล้วงเงินทองของผู้สัญจรไปมานั้น หาก เป็นสิ่งของที่มีขนาดทั่วไปไม่ใช่เรื่องยาก สิ่งที่ยากที่สุดคือขโมยสิ่งของที่มี ขนาดเล็ก หลักการของโจรบอกไว้ว่า ‘เล็กหนึ่งส่วน เสี่ยงห้าส่วน ขโมย เข็มนับเป็นเทพ!’ ซึ่งก็หมายความว่า สิ่งที่ต้องการขโมยยิ่งมีขนาดเล็ก ยิ่งมีความเสี่ยงสูงกว่าการขโมยสิ่งของขนาดใหญ่ถึงห้าส่วน หากสามารถ ขโมยสิ่งของขนาดเท่าเข็มจากบนร่างกายของคน คนผู้นั้นนับว่าเป็นหัตถ์ เทวะ! ลองคิดดู สิ่งของที่มีขนาดเท่าเข็ม ต่อให้วางอยู่บนโต๊ะ จะหนีบขึ้น มายังต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ต้องรวบรวมสมาธิจึงสามารถทำได้สำเร็จ ไม่ต้องพูดถึงว่าของนั้นอยู่บนร่างกายหรืออยู่ในเสื้อผ้า ซานจื่อหลิวต่อให้ยังไม่บรรลุถึงขั้นขโมยเข็ม แต่จากคำบอกเล่า


เขาสามารถขโมยตุ้มหยกที่ห้อยอยู่กับต่างหูของผู้หญิงมาได้โดยที่เหยื่อ ไม่รู้ตัว เพียงเท่านี้ก็ทำให้หัวเสี่ยวเสียตกตะลึงแล้ว! หัวเสี่ยวเสียเป็น ‘พิ่นเอ้อร์’ ของเซี่ยอู่หลิง คือมีตำแหน่งเป็น ลำดับที่สองในเซี่ยอู่หลิง และเป็นหลิวเฝิงเป่าผู้นี้เองที่มอบตำแหน่งให้กับ เขา หัวเสี่ยวเสียไหนเลยกล้าลืมเลือนสถานที่แห่งนี้ ฉีเจี้ยนเอ้อร์เดินไปที่หน้าประตู มองซ้ายมองขวา พบว่าปลอดคน ค่อยเดินเข้าไปเคาะห่วงประตู หันหน้ากลับมาถลึงตาใส่พวกเขา กล่าว เสียงเบาว่า “พวกแกห้ามพูดจาส่งเดช!” หั ว เสี ่ ย วเสี ย กั บ พวกรี บ พยั ก หน้ า รั บ ทุ ก คนล้ ว นทราบว่ า ฉีเจี้ยนเอ้อร์มาพบกับบุคคลที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ฉีเจี้ยนเอ้อร์กล่าวจบก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นภายในบ้าน เดินมา ถึงหน้าประตูแต่ไม่ยอมเปิดประตู มีเสียงหญิงชราดังขึ้นว่า “ดึกดื่นมืดค่ำ ไร้แสงไฟ มีธุระอะไรมาหาฉันตอนนี้? หลับแล้วๆ!” ฉีเจี้ยนเอ้อร์รีบประสานมือ กล่าวอย่างเคารพนบนอบว่า “สายลม แผ่วเบาจันทราเต็มดวง ฉีเอ้อร์กุ่นจื่อ (ชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งของฉีเจี้ยน เอ้อร์) จากเขตเมืองเหนือมาขอจุดเทียนไขให้แก่เหล่าแหยจื่อ” หญิงชราอุทานออกมา ถามว่า “มิได้นำผลไม้สุกมาหรือ?” ฉีเจี้ยนเอ้อร์กล่าวว่า “ยังไม่ได้ปลูก! เพราะขาดแคลนแรงงาน” บทสนทนาของทั้งสองฟังดูประหลาดพิกล ความจริงนี่เป็นวิธีการสื่อสาร ในหมู่โจรแห่งเมืองเฟิ่งเทียน หากแปลเป็นภาษาปกติจะมีใจความว่า ฉีเจี้ยนเอ้อร์ : “ผมคือฉีเอ้อร์กุ่นจื่อจากเขตเมืองเหนือ มีเรื่องราว ที่เหล่าแหยจื่อต้องการทราบ มิกล้าชักช้า จึงรีบเดินทางมารายงานต่อ

เหล่าแหยจื่อ” หญิงชรา : “หากเป็นธุระส่วนตัวก็อย่าได้เข้ามา” ฉี เจี ้ ย นเอ้ อ ร์ : “ไม่ ใช่ อ ย่ า งแน่ น อน! ผมขอสาบานด้ ว ยศี ร ษะ


ตนเอง!” เมื่อเป็นเช่นนี้ หญิงชราค่อยเปิดประตู ทั้งหมดก้มศีรษะเดินเข้าไป อย่างรวดเร็ว หญิงชราปิดประตู พินิจพิจารณาหัวเสี่ยวเสียกับพวกอยู่ครู่หนึ่ง สายตาแหลมคมจ้องมองจนหัวเสี่ยวเสียขนลุกซู่ หัวเสี่ยวเสียกับพวก เข้าใจถึงตำแหน่งฐานะของตัวเอง ต่างรีบก้มศีรษะคำนับ มือทั้งสองแนบ ชิดติดกาย ก้าวเท้าเดินอย่างเชื่องช้า ท่าทางเช่นนี้ก็เป็นกฎข้อหนึ่งของโจร ก่อนลงมือต้องสำรวจรอบด้าน ยืดตัวเงยหน้า ยื่นมือออกไปในระยะที่ ห่างกันน้อยที่สุด เพื่อความรวดเร็วและแม่นยำ ดังนั้นหัวเสี่ยวเสียและ พวกแสดงท่าทางเช่นนี้ก็เพื่อบ่งบอกว่าตนเองมีตำแหน่งฐานะต่ำต้อย ย่อมมิกล้าเสียมารยาท หญิงชราเดินนำพวกเขาเข้าไป ทะลุผ่านห้องโถงที่มืดสลัว เข้าไป ยังห้องห้องหนึ่งในสวนหลังบ้าน ห้องนี้ไม่กว้างนัก ภายในจุดธูปเทียนที่ มีกลิ่นหอมแบบโบราณ หญิงชรากล่าวว่า “ฉีเอ้อร์กุ่นจื่อโปรดรอที่นี่” ฉีเจี้ยนเอ้อร์รีบขานรับ แต่ไม่กล้านั่งลง ฉุดดึงหัวเสี่ยวเสียและ พวกให้มายืนอยู่ด้านหลังตนเอง ส่วนตนเองยืนอยู่กลางห้องโถง ไม่กล้า หันศีรษะไปมาแม้แต่น้อย มีเพียงดวงตาที่คอยแอบมองไปรอบด้าน ผ่านไปครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงไอแค่กๆ ดังมาจากด้านใน ชายชรา อายุห้าสิบกว่าปีเดินออกมาอย่างเชื่องช้า มือถือไม้เท้าที่ทำจากไม้แดง มือ ที่กุมไม้เท้ามีเพียงสามนิ้ว ลักษณะคล้ายทรงกรวย บอกว่าเป็นมือ มิสู้ บอกว่าเป็นกรงเล็บ คนผู้นี้ก็คือหลิวเฝิงเป่านั่นเอง ฉีเจี้ยนเอ้อร์พอพบเห็นหลิวเฝิงเป่า ก็รีบยื่นมือทั้งสองข้างออกไป ให้ซานจื่อหลิวมองเห็นฝ่ามือของตนเอง จากนั้นใช้นิ้วโป้งสองข้างเกี่ยว กัน กุมเป็นกำปั้น โน้มกายคำนับ กล่าวว่า “หลิวต้าแหย (นายท่านใหญ่ แซ่หลิว)”


ซานจื ่ อ หลิ ว กลั บ ไม่ ค ล้ า ยคนอำมหิ ต สี ห น้ า ยิ ้ ม แย้ ม เป็ น ปกติ กล่ า วด้ ว ยเสี ย งแหบแห้ ง ว่ า “อ้ อ ! เป็ นฉี เ อ้ อ ร์ กุ ่ นจื ่ อ เองหรื อ นี ่ ! นั ่ ง เถอะๆ!” ฉีเจี้ยนเอ้อร์กล่าวว่า “มิกล้าๆ ผมยืนจะดีกว่าครับ” ซานจื่อหลิวก็ไม่กล่าวอะไรอีก เดินไปนั่งที่เก้าอี้ประจำตำแหน่ง กล่าวว่า “ฉีเอ้อร์กุ่นจื่อ แกไม่ได้มาเยี่ยมฉันนานมากแล้ว วันนี้มีข่าวดี อะไรมาบอกฉันหรือ?” พอกล่าวจบ สายตาก็จับจ้องไปที่หัวเสี่ยวเสียกับ พวก กล่าวต่อว่า “เด็กพวกนี้รู้อะไรมาสินะ?” ฉีเจี้ยนเอ้อร์กล่าวว่า “หลิวต้าแหย เด็กพวกนี้รู้เกี่ยวกับเรื่องที่ท่าน มอบหมายให้พวกเราไปสืบหา” ซานจื่อหลิวกล่าวว่า “อ้อ? ฉีเอ้อร์กุ่นจื่อ แกสั่งให้เด็กที่มีตำแหน่ง เซี่ยอู่หลิงไปสืบหาหรือ? ไม่เหมาะกระมัง!” ฉีเจี้ยนเอ้อร์รีบกล่าวว่า “หลิวต้าแหย ผมมิกล้า เด็กพวกนี้เข้าไป ในห้องพระของบ้านจางซื่อแหยโดยบังเอิญ!” ซานจื่อหลิวกำไม้เท้าแน่น นัยน์ตาทอแววระยิบระยับ เสียงก็ไม่ แหบแห้งอีก ตวาดว่า “ฉีเอ้อร์กุ่นจื่อ! เป็นความจริงหรือ?” ฉีเจี้ยนเอ้อร์ตกตะลึง “ย่อมเป็นความจริง พวกมันไหนเลยกล้า หลอกผม ผมพาตัวพวกมันมาด้วย ก็เพื่อให้พวกมันบอกต่อท่านด้วยตัว เอง!” ซานจื่อหลิวกระทุ้งไม้เท้าจนพื้นสะเทือน ตวาดว่า “เล่ามา!” ฉีเจี้ยนเอ้อร์ดึงตัวหัวเสี่ยวเสียมาที่ข้างกาย กล่าวอย่างจริงจังว่า “ฮั่วเสี่ยวเสีย! จงเล่าเรื่องที่เข้าไปในห้องพระบ้านจางซื่อแหยต่อหลิวต้า แหยอย่างละเอียด!” หัวเสี่ยวเสียทราบกฎดีจึงเริ่มเล่าอย่างระมัดระวัง “หลิวต้าแหย ผมมีนามว่าหัวเสี่ยวเสีย…”


หัวเสี่ยวเสียก้มหน้า ค่อยๆ เล่าเรื่องราวที่ลอบเข้าไปขโมยขนมใน ห้ อ งพระบ้ า นจางซื ่ อ แหยอย่ า งช้ า ๆ เหมื อ นกั บ ที ่ เ ขาบอกเล่ า ต่ อ ฉีเจี้ยนเอ้อร์ ซานจื่อหลิวรับฟังอย่างตั้งใจ นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง พลัน กระทุ้งไม้เท้าในมือ ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “นึกไม่ถึงว่าเด็กอย่างแกจะ มีความสามารถขนาดนี้!” หัวเสี่ยวเสียได้ยินซานจื่อหลิวกล่าวชม ไม่ทราบควรทำตัวอย่างไร จึงหันไปสบตากับฉีเจี้ยนเอ้อร์ ฉีเจี้ยนเอ้อร์ใบหน้ามีรอยยิ้ม คอยสังเกต สีหน้าของซานจื่อหลิวพลางคิดในใจว่า ‘คราวนี้ซานจื่อหลิวต้องตกรางวัล อย่างงามแน่นอน! ผ่านมาหลายวันแล้ว ยังไม่มีใครรู้ว่าในห้องพระของ บ้านจางซื่อแหยจัดวางสิ่งของใด กลับเป็นลูกน้องของฉันที่เป็นแค่เซี่ยอู่

หลิงค้นพบ! ฮ่าๆ!’ ซานจื่อหลิวหลับตาครุ่นคิด ได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่นมาจากห้อง โถงด้านใน จากนั้นมีคนผู้หนึ่งเดินออกมาอย่างรวดเร็ว ฉีเจี้ยนเอ้อร์เงยหน้าขึ้นมอง พลันตกตะลึงจนเข่าอ่อน แทบทรุด ลงกับพื้น ผู้มาเป็นชายฉกรรจ์หน้าดำ ความสูงตามมาตรฐานทั่วไป ร่างกาย ซูบผอม ไว้เคราแพะ ที่ปลายคิ้วซ้ายมีรอยแผลเป็นตรงยาวไปถึงข้างหู สวมใส่เสื้อผ้าสีน้ำตาลอมเหลือง เปิดเสื้อเผยเห็นหน้าอก รอบเอวรัด เข็มขัดหนังวัวสีดำ บนเข็มขัดแขวนแส้หนังงูสีเขียวเข้ม ชายฉกรรจ์ผู้นี้ เดินพลางหัวเราะพลาง สายตาจ้องมองไปยังพวกของหัวเสี่ยวเสีย คนผู้นี้เป็นหนึ่งในสี่จอมโจรที่มีชื่อเสียงในแถบตงเป่ยยุคนั้น คนในวงการขนานนามเขาว่าเฮยซานเปียน (ดำสามแส้) หน้าดำ แผล เป็นหนึ่งรอย แส้หนังงูหนึ่งเส้น เป็นบุคคลที่ทุกคนในดินแดนแถบตง เป่ยต่างรู้จัก เฮยซานเปียนถือกำเนิดจากนักบู๊ ไม่ทราบเข้าสู่เส้นทางสาย โจรด้วยเหตุผลอะไร เคยขโมยสิ่งของจากเก้าครอบครัวใหญ่ของเมือง


เฟิ่งเทียนภายในคืนเดียว ในทุกบ้านล้วนทิ้งภาพวาดงูดำเอาไว้ จากนั้น หนีออกจากเมืองเฟิ่งเทียน กลายเป็นตำนานเล่าขาน ตามคำบอกเล่า เฮยซานเปียนไม่เพียงลักขโมย แต่ยังสังหารผู้คน ดุจผักปลา หากมีคนขัดขวางการลักขโมยของ เมื่อมันโกรธเกรี้ยวขึ้นมา ทั้งครอบครัวไม่ว่าหญิงชายแก่เด็กล้วนถูกสังหาร มีเรื่องเล่าว่าเขาเคยก่อ คดีฆ่าล้างตระกูลกง เพียงคืนเดียวสังหารคนในบ้านของกงเสี่ยวชวนไป ถึงสิบหกชีวิต สร้างความสะท้านสะเทือนไปทั่วทั้งตงเป่ย ดังนั้นเฮยซานเปียนผู้นี้พอปรากฏตัวในบ้านของซานจื่อหลิว ทั้ง ยังหัวเราะดังลั่นพลางเดินเข้ามาหาพวกเขา ย่อมทำให้ฉีเจี้ยนเอ้อร์ตก ตะลึงจนแขนขาอ่อน ฉีเจี้ยนเอ้อร์นึกในใจว่า ‘เหตุใดเฮยซานเปียนจึง กลับมา? หรือว่าที่ซานจื่อหลิวให้พวกเราไปสืบดูสถานการณ์ของบ้านจาง ซื่อแหยจะเกี่ยวข้องกับเฮยซานเปียน?’ หัวเสี่ยวเสียพอพบเห็นเฮยซานเปียน ก็นึกถึงลักษณะหน้าดำ แผลเป็ น แส้ ห นั ง งู ท ี ่ เ ล่ า ขานกั น จากนั ้ น เห็ น ร่ า งกายที ่ ส ั ่ น เทาของ ฉีเจี้ยนเอ้อร์ ก็คาดเดาได้ว่าผู้มาคือใคร หัวเสี่ยวเสียในใจกระสับกระส่าย ครุ่นคิดว่า ‘หรือว่าเฮยซาน เปียนไม่เชื่อในสิ่งที่เราพูด? ถ้าเขาถามถึงเรื่องราวในห้องพระของบ้านจาง ซื่อแหย เราควรบอกออกไปหรือไม่ บอกไปแล้วเขาจะเชื่อหรือ?’ ที่แท้ขณะที่หัวเสี่ยวเสียซ่อนอยู่บนคานของห้องพระบ้านจางซื่อ แหย ได้พบเห็นเรื่องราวประหลาดที่ไม่เคยพบมาก่อน แต่เนื่องจากมัน ประหลาดเกินไป หัวเสี่ยวเสียจึงคิดว่าพูดออกมาก็คงไม่มีใครเชื่อ จึง จงใจตัดเรื่องราวเหล่านั้นทิ้งไป เฮยซานเปียนเดินไปถึงเบื้องหน้าของซานจื่อหลิว หยุดหัวเราะแล้ว ประสานมือให้ซานจื่อหลิว กล่าวว่า “หลิวต้าเกอ (พี่ใหญ่หลิว) โปรดอย่า ถือสา ฉันอยู่ข้างในฟังแล้วเกิดความสนใจ จึงอดเดินออกมาดูไม่ได้”


ซานจื่อหลิวก็เกรงอกเกรงใจ พยักหน้าพลางกล่าวว่า “เฮยซงตี้ (พี่น้องเฮย) เกรงใจไปแล้ว ฉันก็กำลังคิดจะเรียกคุณออกมาอยู่พอดี” เฮยซานเปียนกล่าวว่า “ฉันขอถามอะไรเจ้าเด็กคนนี้หน่อยได้หรือ ไม่?” ซานจื่อหลิวกล่าวว่า “เชิญตามสบาย เด็กพวกนี้เป็นแค่เซี่ยอู่หลิง ไม่ต้องเกรงใจ” เฮยซานเปียนหันกายมา ดวงตาเรียวยาวทั้งคู่จับจ้องไปที่หัวเสี่ยว เสีย เอามือไพล่หลังพลางเดินขึ้นหน้าสองก้าว ถามว่า “ไอ้หนู ในห้อง พระของบ้านจางซื่อแหยกราบไหว้พระพุทธรูปอะไร จุดธูปอะไร?” หัวเสี่ยวเสียคิดในใจว่า ‘เป็นอย่างที่เราคิดไม่มีผิด’ หัวเสี่ยวเสียก็ไม่กล้าชักช้า รีบตอบว่า “เรียนนายท่าน พระพุทธ รูปที่กราบไหว้คือตี้จ้างผูซ่า* จุดธูปยาวสามเชียะเก้าดอก” เฮยซานเปียนหัวเราะออกมา กล่าวว่า “ด้านหน้าองค์พระจัดวาง สิ่งของใด?” หัวเสี่ยวเสียลอบด่าทอในใจ ‘ร้ายกาจจริงๆ! เขารู้ได้อย่างไร?’ ที่แท้สิ่งของที่จัดวางอยู่หน้าพระพุทธรูปในห้องพระก็คือเรื่องราว ประหลาดที่หัวเสี่ยวเสียได้พบเห็นมา หัวเสี่ยวเสียมีอาการลังเล อ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยเงยหน้ามองดูเฮย ซานเปียน เฮยซานเปียนตวาดว่า “แกไปมาแล้ว ยังมองไม่เห็นของนั่น หรือ?” หัวเสี่ยวเสียรีบก้มศีรษะลงมา กล่าวว่า “เรียนนายท่าน ผมกลัวว่า พูดไปแล้วท่านจะไม่เชื่อ” เฮยซานเปียนกล่าวว่า “พูดออกมาเถอะ! ฉันเฮยแหยขึ้นเหนือลง ใต้ พบเจอเรื่องราวมามากมาย” * พระโพธิสัตว์กษิติครรภ


หัวเสี่ยวเสียกล่าวว่า “ที่หน้าพระพุทธรูป จัดวางหญิงสาวเปลือย กายครึ่งท่อนคนหนึ่ง…” ผู้คนที่ได้ยินวาจานี้ แม้แต่ซานจื่อหลิวที่นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ยังตก ตะลึงไปด้วย ดวงตาคู่เล็กนั้นเบิกกว้าง ฉีเจี้ยนเอ้อร์ด่าทอว่า “ฮั่วเสี่ยวเสีย! พูดเหลวไหลอะไร! หุบปาก!” เฮยซานเปียนหน้าดำหน้าแดง กล่าวเสียงเคร่งขรึมว่า “ให้เขาเล่า

ต่อไป!” ฉีเจี้ยนเอ้อร์รีบหุบปาก ไม่กล้าแม้แต่จะผายลม หัวเสี่ยวเสียกลับไม่มีความแตกตื่น ภาพเบื้องหน้าราวกับย้อน กลับไปยังเหตุการณ์ในห้องพระ กล่าวช้าๆ ว่า “ทีแรกผมก็ตกใจ คิดว่า เป็นคน จริงๆ แต่เมื่อมองดูอย่างละเอียด กลับพบว่าไม่มีกลิ่นอายของ คนแม้แต่น้อย หญิงสาวคนนั้นนุ่งน้อยห่มน้อย แต่ดูจากการตกแต่งบน ศีรษะก็รู้ว่าไม่ใช่คนของราชวงศ์ชิง น่าจะเป็นคนของราชวงศ์ก่อน” เฮยซานเปียนถามว่า “หญิงสาวคนนั้นมีท่วงท่าอย่างไร?” หัวเสี่ยวเสียตอบว่า “นอนหงายราบ มือทั้งสองประสานอยู่ที่ท้อง น้อย ใช่แล้วๆ บนหน้าผากคล้ายกับมียันต์ที่เขียนด้วยหมึกแดง” เฮยซานเปียนแค่นเสียง ล้วงกระดาษใบหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ กางออกต่อหน้าหัวเสี่ยวเสีย กล่าวว่า “ใช่ยันต์ใบนี้หรือเปล่า?” หัวเสี่ยวเสียมองดู บนกระดาษเป็นภาพวาดวงกลมต่อเนื่องกัน สามวง ลักษณะคล้ายคลึงกับยันต์ที่ติดอยู่บนหน้าผากหญิงสาวในห้อง พระนั้น หัวเสี่ยวเสียพยักหน้าติดต่อกัน กล่าวว่า “ใช่แล้ว เป็นยันต์ใบนี้!” เฮยซานเปียนดึงมือกลับ เก็บกระดาษเข้าไปในอกเสื้อ กล่าวว่า “เจ้าเด็กน้อย นับว่าแกโชคดี ถึงกับมีโอกาสได้พบเห็นของวิเศษเช่นนี้!” ซานจื่อหลิวยันกายขึ้น เดินเข้าไปหาเฮยซานเปียน กล่าวว่า “เฮย


ซงตี้ สิ่งที่คุณพูดถึงหมายถึงหุ่นสตรีหยกงั้นหรือ?” เฮยซานเปียนหัวเราะพลางกล่าวว่า “ใช่แล้ว! ฉันเดินทางมาเฟิ่ง เทียนคราวนี้ก็เพราะต้องการขโมยหุ่นสตรีหยกนี้! ฮ่าๆ มันอยู่ในบ้าน ของจางซื่อแหยจริงๆ! มา! เจ้าเด็กน้อย ครั้งนี้แกมีความดีความชอบ ใหญ่หลวง นี่เป็นรางวัลที่ฉันจะให้แก!” เฮยซานเปียนกล่าวจบก็ล้วง ใบไม้ทองคำหลายแผ่นออกมาจากอกเสื้อ โยนไปที่ด้านหน้าของหัวเสี่ยว เสีย หัวเสี่ยวเสียชั่วชีวิตนี้ไม่เคยพบเห็นเงินทองมากมายขนาดนี้วางอยู่ ตรงหน้า จึงไม่ทันนึกคิด ก้มลงไปเก็บทันที ฉีเจี้ยนเอ้อร์พอเห็นใบไม้ ทองคำ ก็ ล ื ม เลื อ นความหวาดกลั ว ที ่ ม ี ต ่ อ เฮยซานเปี ย นไปหมดสิ ้ น ดวงตาลุกวาว ท่วงท่าว่องไวราวกับเสือตะปบเหยื่อ ก้มตัวลงไป ชนหัว เสี่ยวเสียจนเสียหลักล้มลง พริบตาเดียวก็เก็บใบไม้ทองคำขึ้นมาทั้งหมด รีบกล่าวว่า “ขอบคุณเฮยแหย! ขอบคุณเฮยแหย!” กล่าวจบยังไม่ลืมถลึงตาใส่หัวเสี่ยวเสีย ด่าพึมพำว่า “กลับไปค่อย เอาเรื่องกับแก!” ซานจื่อหลิวกล่าวว่า “พวกแกกลับไปเถอะ! แล้วปิดปากให้สนิท! ถ้ามีใครรู้เรื่อง พวกแกคงรู้จุดจบดี!” ฉีเจี้ยนเอ้อร์ขานรับว่า “หลิวต้าแหย ท่านวางใจ! โปรดวางใจ!” ฉีเจี้ยนเอ้อร์ฉุดดึงหัวเสี่ยวเสียเตรียมจากไป ทั้งหมดเพิ่งเดินไปได้ ไม่ไกล กลับได้ยินเฮยซานเปียนตะโกนตามหลังว่า “ช้าก่อน!”



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.