คำนำสำนักพิมพ์ “เรไร” คือชื่อของผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องผ่านชีวิตทั้งชีวิตมา อย่างโชกโชน ชะตากรรมของเธอราวกับละครชีวิตหรือนิยายน้ำ เน่าเรื่องหนึ่ง ที่คนทั่วๆ ไปอาจจะคิดไม่ถึงว่าจะมีบุคคลในโลกที่มี ชีวิตเช่นนี้ หากแต่เรื่องราวในชีวิตของเรไรทุกอย่างล้วนเป็นความ จริง เรไรเป็นเด็กร่าเริง ไม่ว่าใครได้พบเห็นหรือพูดคุยกับเธอก็ ล้วนหลงรักและเอ็นดูเธอ แต่ชีวิตของเรไรไม่ใช่ชีวิตที่ราบรื่น เรไร ไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะ แม่ของเธอไม่ได้ให้ความสนใจ เธอเท่าไรนัก จึงนำเธอไปฝากเลี้ยงไว้กับคนอื่นอยู่ตลอดเวลา แล้ว ให้สัญญาว่าวันหนึ่งจะมารับเธอกลับไปอยู่ด้วยกัน การที ่ ต ้ อ งไปอาศั ย อยู ่ ก ั บ คนอื ่ น มากหน้ า หลายตาเช่ นนี ้ ทำให้เรไรได้พบเห็นสิ่งต่างๆ มากมาย มีทั้งเรื่องดีและไม่ดี เรื่อง ราวเหล่านั้นได้บ่มเพาะให้เรไรกลายเป็นคนที่ชอบพูดโกหก เพราะ เธอเหงาและอยากมีเพื่อนคุย เรไรทราบว่าเมื่อพูดในสิ่งที่คนฟัง อยากได้ยิน คนฟังก็จะอยากคุยกับเธอต่อไปเรื่อยๆ เรไรจึงพูด โกหกจนเป็นนิสัย
เมื่อเรไรเติบโตขึ้น ชีวิตของเธอก็ต้องระเหเร่ร่อนยิ่งกว่าเดิม ปัญหาชีวิตมากมายรุมเร้า อีกทั้งอาการชอบพูดโกหกของเธอก็ยิ่ง รุนแรงขึ้น จนสร้างความเดือดร้อนแก่คนรอบข้าง มรสุมชีวิตโหม กระหน่ำเข้าหาเธอไม่ขาดสาย สุดท้ายแล้วเรไรจะผ่านมันไปได้หรือ ไม่... ทางเราหวังว่าผู้อ่านจะได้ซาบซึ้งไปกับเรื่องราวชีวิตของเรไร และจดจำเรื่องราวเหล่านี้ไว้เป็นอุทาหรณ์สอนใจตนเอง ทั้งยังหวัง ว่าผู้อ่านจะได้ข้อคิดดีๆ จากเรื่องนี้ไปไม่มากก็น้อย บรรณาธิการ
คำนำผู้เขียน ชีวิตจริงเรื่องนี้ มีเนื้อหาที่ผู้เขียนไม่เคยคิดที่จะเขียน เพราะ เป็นเรื่องของคนใกล้ตัว และเมื่อคิดว่าชีวิตของเรไรน่าจะได้นำมา เขียนให้ทุกคนได้เรียนรู้ ก็ได้เริ่มเขียนแต่ไม่เคยจบมาครั้งแล้วครั้ง เล่า ด้วยว่าบางตอนในชีวิตเรไรนั้นกระทบกระเทือนจิตใจของ
ผู้เขียนยิ่งนัก และบางครั้งในระหว่างที่เขียน ผู้เขียนยังต้องหยุด เขียน เพราะความสะเทือนใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น วันนี้ผู้เขียนได้รวบรวมความเข้มแข็ง แล้วนำชีวิตของเรไร มาเล่าเป็นอุทาหรณ์ สำหรับเราผู้เป็นมนุษย์ที่ต้องมีชีวิตอยู่ร่วมโลก กับมนุษย์คนอื่นๆ ให้เราได้สำเหนียกว่า มนุษย์นั้นเมื่อเกิดมา ทุก คนย่อมต้องการความรักและความยอมรับจากทุกคนรอบด้าน และมนุษย์จะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งนั้น ผู้เขียนหวังว่า เมื่อท่านได้อ่านเรื่องเรไรจบลง ท่านคงจะต้อง มองไปรอบตัวของท่าน แล้วมองหาเรไรในชีวิตของท่าน ซึ่งอาจจะ เป็นคนที่ใกล้ชิดท่านที่สุดก็ได้ ศรีสมร มณีรัตน์
1
เรไรเป็นเด็กหญิงที่สวยและน่ารัก ถึงแม้ว่าผิวของเรไรจะ คล้ำไป แต่รอยยิ้มที่กว้างขวางที่เรไรจะยิ้มจนเห็นฟันหลอในปาก ทุกครั้งที่เห็นคนเดินผ่านไปมา เสียงใสๆ ที่เรไรมักจะร้องเรียกคน ที่ผ่านเข้ามาว่า “เจ้าคุณป้าเจ้าคะ” หรือ “เสด็จป้าสวยจังเลยค่ะ” ทำให้คนที่ถูกเรียกมักจะหันมายิ้มให้กับเรไร หรือไม่ก็มาหยิก หยอกที่แก้มยุ้ยๆ ของเธอ ทุกคนชอบและเอ็นดูเรไรในความช่าง พูดและช่างฉอเลาะ เรไรจำเอาคำเหล่านั้นมาจากการนั่งดูลิเกบ้าง หรือไม่ก็ได้จากการดูหนังจักร์ๆ วงศ์ๆ กับชาวบ้านที่ร้านกาแฟของ ตาลาภ ข้างโรงหนังในหมู่บ้าน หลายคนเคยถามว่าเรไรเป็นลูกของใคร ทำไมถึงน่ารักและ ช่างพูดอย่างนี้ ป้าวันแม่ค้าเจ้าของแผงขายปลาที่เรไรมักจะมานั่ง เล่นอยู่ข้างๆ ก็ตอบว่า “อีนี่มันเป็นลูกนังไฝจ้า แต่เวลาแม่มันไม่ อยู่ มันก็จะเดินมาเที่ยวนั่งคุยกับคนเขาในตลาดอย่างนี้แหละค่ะ”
ทุกคนในหมู่บ้านรู้จักเรไรเป็นอย่างดี บางคนก็ซื้อขนมให้ เรไรกิ น บางคนก็ เข้ า มานั ่ ง คุ ย ด้ ว ย เพราะเรไรมั ก จะพู ด ให้ ค น หัวเราะด้วยคำพูดที่ไร้เดียงสา อย่างเช่น “เรไรเป็นเจ้าหญิงนะคะ” หรือไม่ก็มักจะเล่าให้คนแปลกหน้าฟังว่า “เด็จแม่ของเรไรไม่อยู่ เจ้าค่ะ” หลายต่อหลายครั้งที่แม่ของเรไรไม่ได้กลับบ้าน เรไรเด็ก หญิงอายุสามขวบ ก็จะเดินออกมานั่งอยู่ข้างๆ พี่พรแม่ค้าขาย
ไข่หวานหน้าโรงหนัง แล้วก็นั่งอยู่จนพี่พรเก็บโต๊ะจะกลับบ้าน พี่ พรเคยถามเรไรว่า “ดึกแล้วนะ พี่พรจะกลับบ้านแล้ว ทำไมเรไรยัง ไม่กลับบ้านอีก ไปนอนซะ” เรไรก็จะนั่งจ้องหน้าพี่พรแล้วยิ้มหวาน อย่างที่เคย สุดท้ายพี่พรก็ต้องหันไปพูดกับสามี “สงสัยพี่ไฝคงไป เล่นไพ่ที่อื่นมั้ง เลยไม่ได้กลับบ้าน เราต้องเอาเรไรไปนอนที่บ้านอีก แล้ว” แม่ของเรไรเป็นผู้หญิงที่สวยมากชื่อว่าไฝ ทำงานในบาร์ตอน กลางคืน พอเช้าก็ต้องกลับมานอนกลางวันเอาแรง แม่ไฝเอาเรไร ไปจ้างให้คนข้างบ้านเลี้ยงไว้ตอนกลางวัน แต่หลายวันเข้า ค่าจ้าง เลี้ยงก็ไม่เคยได้รับ คนรับจ้างก็จะเอาเรไรมาส่งไว้ที่หน้าบ้าน เรไร ก็จะนั่งอยู่หน้าบ้านคนเดียว จนกว่าแม่จะตื่นแล้วเปิดประตูออกมา เห็นเรไรนั่งอยู่ แม่ไฝเป็นคนปากหวานกับเรไร แม่ไฝจะเรียกลูกว่า “ลูกคะ ลูกขา” อยู่เสมอ เรไรอยากอยู่ใกล้แม่ตลอดเวลา แต่แม่ไฝไม่มี เวลาให้กับเรไร เพราะบางทีแม่ไฝก็จะพาเพื่อนผู้ชายมานอนที่บ้าน ถ้าแม่ไฝมีเพื่อนผู้ชายมา แม่ไฝก็จะเอาเงินให้เรไร แล้วบอกให้เรไร ออกไปนั่งกินขนมที่ตลาดเสีย เรไรจึงเตร็ดเตร่อยู่ในตลาดจนรู้จัก คนเขาไปทั่ว
12 เรไร
ไม่มีใครรู้ว่าพ่อของเรไรเป็นใคร ไม่มีใครกล้าไปถามกับแม่ ไฝ เพราะกลัวแม่ไฝจะตะเพิดออกมา แต่เวลาที่แม่ไฝเมาได้ที่ในวง เหล้า แม่ไฝก็จะพูดออกมาเองถึงเรื่องพ่อของเรไร “นังเรไรมันเป็นลูกผู้ดีมีเชื้อมีแถวนะโว้ย พ่อมันเป็นถึงนาย อำเภอ เป็นเจ้าเป็นนาย” ก็เพียงแค่นั้น ซ้ำไปซ้ำมาทุกครั้งที่เมา
ศรีสมร มณีรัตน์ 13
2
พอเรไรอายุได้ห้าขวบ แม่ไฝเอาเรไรมาฝากให้พี่สาวเลี้ยง เรไรเลยกลายเป็นเด็กที่อายุน้อยที่สุด ในบรรดาลูกๆ ทั้งแปดคน ของป้าม้วน ตอนกลางวันพี่ๆ ทุกคนไปโรงเรียน เรไรก็ได้ออกไป เดินข้างๆ ป้าตอนป้าหาบข้าวแกงไปขาย เรไรได้ถือถังน้ำล้างจาน ให้ป้า แล้วให้ป้าจูงมือเรไรอีกข้างหนึ่งไปด้วยกัน ความสุขและ ความมั่นคงในชีวิตของเรไรตอนนี้นั้นถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของ เรไรที่เคยมีมา ทุกวันเรไรตื่นมาได้เห็นคนหน้าคุ้นๆ ทุกวันเรไรได้ นั่งกินข้าวล้อมวงบนพื้นไม้กระดานกับพี่ๆ และทุกวันเรไรก็ได้เดิน จูงมือป้าไปขายข้าวแกง พอขายข้าวแกงเสร็จ ป้าก็จะตักข้าวแล้ว ราดน้ำแกงที่เหลือติดก้นหม้อให้เรไรกิน ในระหว่างที่ป้าล้างหม้อ ล้างจาน เรไรเคยถามป้าในระหว่างนั่งกินข้าวว่า “ป้าจ๋า ทำไมพี่เขา เรียกเรไรว่าเร่ร่อนล่ะคะ ทำไมไม่เรียกว่าเรไรเหมือนอย่างที่ป้าเรียก
แล้วเร่ร่อนแปลว่าอะไรคะ” ป้าม้วนไม่ได้ตอบคำถามของเรไร ได้แต่มองหน้าเรไรด้วย รอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา แล้วเอามือเสยผมม้าของเรไร ขึ้นพร้อมกับขยี้หัว จนหัวของเรไรสั่นไปมาแบบที่เคยทำทุกครั้งที่ ป้าม้วนมีเวลาว่างจากการทำกับข้าวขาย เรไรชอบให้ป้าจับหัวของ เรไรอย่างนี้บ่อยๆ เพราะทุกครั้งที่ป้าจับหัวของเรไร เรไรได้รับรู้ถึง ความรักความเอ็นดูที่ป้ามีให้กับเรไร และทำให้เรไรมีความรู้สึก อบอุ่นมั่นคง ตอนกลางคืนเวลานอน เรไรต้องนอนเรียงเป็นตับไปกับ พวกพี่ๆ ลูกของป้าในห้องกลางที่เปิดโล่งต่อไปถึงครัว มีหลายครั้ง ที่เรไรฝันร้ายสะดุ้งตื่นมากลางดึก แล้วลุกขึ้นมานั่งร้องไห้อยู่คน เดียว พอป้าได้ยินเสียงเรไรร้องไห้ ป้าก็จะเดินมาอุ้มเรไรเข้าไป นอนข้างๆ ป้า เรไรซุกตัวเข้าไปใต้รักแร้ของป้า แล้วนอนสูดกลิ่น เนื้อของป้าจนหลับไป ป้าเคยถามเรไรเรื่องการฝันร้ายว่า “เรไร เอ็งฝันอะไรนักหนา ลองเล่าให้ฟังหน่อยสิ” แต่เรไรก็ตอบให้ป้าฟังไม่ได้ เพราะเรไรก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ฝันอะไร รู้แต่ว่าเรไรเกิดความกลัว เหมือนกับเรไรอยู่คนเดียวใน ห้องมืดๆ เรไรจึงร้องไห้ พอคืนต่อมา เรไรก็จะหาเรื่องเข้าไปหาป้า ในห้องแล้วก็ทำเป็นหลับอยู่ข้างๆ ป้า เป็นอยู่อย่างนี้จนป้าอนุญาต ให้เรไรมานอนกับป้าได้ทุกคืน ไม่ต้องนอนกับพวกพี่ๆ อีกแล้ว ป้าเคยตวาดใส่พวกพี่ๆ เวลาที่พี่ๆ หาว่าป้าตามใจเรไรมาก เกินไป “ให้มันมานอนกับกูนี่แหละ นังเรไรมันจะได้ไม่ฝันร้าย พวกเอ็งโตเป็นควายแล้ว ยังจะมาหาเรื่องน้องตัวเล็กๆ อีก” เช้าวันหนึ่งตอนเรไรเดินถือถังน้ำล้างจานตามป้าไปขายข้าว แกง ป้าหันหน้ามายิ้มให้กับเรไรแล้วพูดถึงเรื่องไปเรียนหนังสือ
16 เรไร
“พอเดือนพฤษภานี่ ป้าจะเอาเอ็งไปฝากเรียนแล้วนะ เอ็งจะ ได้ไม่ต้องมาถือถังน้ำเดินตามป้า เอ็งจะได้ไปหัดเรียนหัดอ่าน แล้ว จะได้ไปเรียนหนังสือสูงๆ ไม่ต้องมาทำงานหาเงินแบบที่ป้าทำอยู่” เรไรไม่รู้ว่าเดือนพฤษภาที่ป้าพูดถึงนั้นจะนานเท่าไร แต่เรไร ก็ตื่นเต้นที่จะได้แต่งตัวแบบพี่ๆ แล้วได้ไปโรงเรียนเหมือนอย่างที่ พี่ๆ เขาไปกันทุกวัน ตอนค่ำๆ เวลาพี่ๆ นั่งทำการบ้านอยู่บนพื้น บ้าน เรไรก็จะได้มีการบ้านนั่งทำบ้าง ไม่ต้องนั่งเหงาอยู่คนเดียว แต่ป้าก็ไม่ได้มีโอกาสพาเรไรไปฝากเรียน เพราะป้าปวดท้อง มากจนต้องเข้าโรงพยาบาล ป้าเข้าไปนอนที่โรงพยาบาลแล้วก็ไม่ เคยกลับมาบ้านอีกเลย พี่ๆ ร้องไห้กันใหญ่แล้วบอกเรไรว่าป้าตาย แล้ว เรไรไม่เคยเข้าใจความหมายของคำว่าตาย เรไรจึงได้แต่ยิ้ม แล้วถามพี่ๆ อีก “ป้าตายแล้ว แล้วป้าจะกลับมาบ้านอีกเมื่อไรคะ” ในงานศพของป้าที่วัดปากซอย แม่ไฝก็มางานศพด้วย แม่ ไฝยังสวยเหมือนเดิม และยังพูดกับเรไรเพราะๆ เหมือนอย่างที่ เคยพูด เรไรเคยบอกกับคนอื่นว่า “ที่เรไรพูดเพราะ ก็เพราะแม่ไฝ ของเรไรสอนให้พูดค่ะ” เรไรนึกว่าแม่ไฝจะอยู่กับเรไรไปนานๆ แต่ แม่ไฝก็บอกว่า “แม่ต้องรีบกลับนะลูก แม่มีธุระ พอธุระเสร็จ แม่จะกลับมา รับเรไรไปอยู่ด้วย” เรไรจึงได้แต่นั่งรอและคอยเฝ้ามองไปที่ถนนไปปากซอยทุก วัน รอว่าเมื่อไรเรไรจะได้เห็นแม่ไฝของเรไรแต่งตัวสวยๆ เดินเข้า มาในซอย เพื่อมารับเรไรกลับไปอยู่ด้วย พอป้าม้วนตาย เรไรก็เลยไม่ได้ไปเข้าโรงเรียน ได้แต่นั่งเหงา อยู่บ้านคนเดียว มีลุงสุกผัวของป้าม้วนที่มักใช้เวลาอยู่ใต้ถุนเรือน ตอกไม้เสียงดังโปกๆ ทุกวัน ลุงสุกไม่ค่อยพูดค่อยคุยกับเรไร ศรีสมร มณีรัตน์ 17
เหมือนอย่างที่ป้าม้วนเคยทำ เวลาที่เรไรหิวข้าว เรไรก็จะเดินเข้าไป ในครัวแล้วก็เข็นเก้าอี้มาปีน เพื่อจะได้สูงพอที่จะเปิดตู้กับข้าวเอา ข้าวกับปลาทูทอดออกมานั่งกิน พอลุงสุกมาเห็นเรไรนั่งกินข้าว ลุง สุกก็จะยิ้มแล้วพูดแค่ “อ้าว ได้กินข้าวแล้วนะ” แล้วลุงสุกก็จะเดิน ลงไปใต้ถุนเรือน ตอกโน่นตอกนี่ต่อไปอีก
18 เรไร
3
แม่ไฝไม่ได้มารับเรไร แต่มีผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่สวยเหมือน แม่ไฝมาที่บ้าน พี่ๆ ทุกคนบอกให้เรไรไหว้ป้าบัว ป้าบัวบอกว่าจะ มารับเรไรไปอยู่ด้วย จะเอาเรไรไปเข้าโรงเรียนเรียนหนังสือ วันนั้น เรไรจึงได้ขึ้นรถเก๋งคันสวยของป้าบัวมาที่บ้านหลังใหญ่ของป้าบัว ที่บ้านนั้นเรไรก็ได้เห็นฝรั่งตัวโตๆ หน้าตาใจดีคนหนึ่งนั่งคอยป้าบัว อยู่ในบ้าน ป้าบัวบอกให้เรไรยกมือไหว้ฝรั่งแก่หน้าตาใจดีคนนั้น และให้เรียกว่าแดดดี้ พอเรไรยกมือไหว้ แดดดี้ก็ยิ้มให้กับเรไรแล้ว เข้ามายกตัวเรไรขึ้นไปอุ้ม เรไรยังไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร แต่ ความรู้สึกบางอย่างได้บอกกับเรไรว่า เรไรจะมีความปลอดภัยใน อ้อมกอดของฝรั่งตัวใหญ่ใจดีคนนี้ เรไรจึงซบหน้าลงกับไหล่หนาๆ ของแดดดี้แล้วหลับตาลง ทุกวันที่อยู่ในบ้าน แดดดี้จะพูดคุยกับเรไรเป็นภาษาที่เรไร ไม่ เข้ า ใจ แต่ เรไรก็ ร ั บ รู ้ แ ละพอจะเดาได้ จ ากท่ า ทางที ่ แดดดี ้ ท ำ
อย่างเช่นเวลาแดดดี้จะถามว่าเรไรอยากกินข้าวไหม แดดดี้ก็จะทำ มือเหมือนท่าจับช้อนแล้วเอาไปจ่อที่ปาก พยักหน้ายิ้มๆ มองหน้า เรไร ถ้าเรไรพยักหน้า แดดดี้ก็จะบอกให้เรไรพูดตามว่า “Yes sir” แดดดี้จะเรียกให้ป้าน้อยที่เป็นแม่บ้านเอาอาหารมาตั้งโต๊ะให้ เรไรกิน แล้วก็บอกให้เรไรพูดตามอีกว่า “Thank you sir” ป้าบัวบอกว่า ป้าบัวเป็นพี่สาวคนโตของแม่ไฝของเรไร และ แดดดี้เป็นลุงของเรไรเหมือนอย่างลุงสุก แดดดี้เป็นนายทหาร อากาศของประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นคนเจ้าระเบียบ เวลาที่แดดดี้ สอนให้เรไรพูดหรือทำอะไร ก็ให้ทำตาม อย่าทำตัวเป็นเด็กดื้อ เรไรก็ตั้งใจเอาไว้ว่าจะทำตัวให้ดี จะไม่ทำแก้วแตก เพราะเรไร อยากอยู่ที่บ้านหลังนี้ไปนานๆ เรไรมีความสะดวกสบายทุกอย่าง มีห้องนอนส่วนตัว ในบ้านก็เย็นสบายไม่ร้อนอบอ้าวเหมือนอยู่ที่ บ้านของป้าม้วน เสียแต่ว่าทุกวันเรไรก็ต้องอยู่บ้านคนเดียวอีก
ป้าบัวออกไปนอกบ้านแต่เช้า นั่งรถไปพร้อมกับแดดดี้ที่ต้องไป ทำงาน กว่าป้าบัวและแดดดี้จะกลับมาก็เกือบค่ำทุกวัน เวลากลางวันที่เรไรอยู่บ้าน เรไรก็จะเดินไปหลังบ้านไปดูป้า น้อยซักผ้า และเดินตามป้าน้อยไปตามห้องต่างๆ ที่ป้าน้อยต้อง ทำความสะอาด แต่พอเรไรได้ยินเสียงรถยนต์แล่นผ่านหน้าบ้าน เรไรก็จะรีบวิ่งไปที่ประตูรั้ว เพื่อจะดูให้แน่ใจว่ารถคันนั้นจะเป็นรถ ที่พาแม่ไฝของเรไรมารับเรไรกลับไปบ้านหรือเปล่า บ่อยครั้งที่ป้า น้อยไม่ว่างคุยกับเรไร เรไรก็จะไปนั่งอยู่ที่ประตูรั้ว คอยดูคนเดิน ผ่านถนนหน้าบ้าน คอยดูว่าแม่ไฝอาจจะเดินเข้ามารับเรไรก็ได้ แต่ ความหวังที่เฝ้าคอยแม่ไฝก็เลือนรางลงไปเรื่อยๆ ป้าน้อยมักจะพูดกับเรไรแบบไม่มองหน้าว่า “เรไรเอ๊ย จะไป เล่นอะไรก็ไปเล่นเถอะ อย่ามามัวเฝ้าประตูหน้าบ้านรอแม่อยู่เลย
22 เรไร
เขาไม่มาหรอก” เรไรยังไม่ทันได้เข้าโรงเรียน ป้าบัวก็บอกว่า ป้าบัวกับแดดดี้ ต้องกลับไปเมืองนอกแล้วนะ เรไรต้องไปอยู่กับแม่ของเรไรต่อไป แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า ไม่มีใครรู้ว่าจะไปตามแม่ไฝของเรไรได้ที่ไหน สุด ท้ายป้าบัวก็ให้เรไรไปอยู่กับป้าน้อยที่อำเภอสักราช
ศรีสมร มณีรัตน์ 23
4
บ้านที่สักราชของป้าน้อยกับลุงเที่ยงเป็นบ้านไม้หลังเล็กๆ ในบ้านมีคนอยู่แค่ป้าน้อย ลุงเที่ยงและเรไร และก็เหมือนกับทุก บ้านที่เรไรได้ไปอยู่มา คือเรไรต้องนั่งอยู่คนเดียวในบ้าน รอให้ทุก คนกลับมาบ้านตอนเย็น เรไรเริ่มรู้จักความเหงา พอป้าน้อยกลับ มาบ้าน เรไรจะรีบวิ่งเข้าไปเล่าเรื่องของเรไรให้ป้าน้อยฟัง เพราะ อยากให้ป้าน้อยมานั่งคุย เล่าไปประเดี๋ยวเดียวเรื่องก็หมด เรไรจึง ต้องคิดเรื่องใหม่ๆ ขึ้นมาเล่า จริงบ้างเท็จบ้าง ป้าน้อยฟังเรื่องที่ เรไรเล่าแล้วหัวเราะไปกับความช่างพูดของเรไร ตรงนี้เองที่เรไรเริ่ม เรียนรู้ว่าคนชอบฟังเรื่องที่เรไรเล่า ไม่ต้องเป็นเรื่องจริงก็ได้ ขอแค่ ให้ได้พูดออกมา ป้ า น้ อ ยเอาเรไรไปเข้ า โรงเรี ย น เรไรเริ ่ ม เรี ย นหนั ง สื อ ที ่ โรงเรียนเพื่อนมักจะถามว่า แม่น้อยเป็นแม่ของเรไรหรือ เรไรก็จะ ตอบว่าใช่ เพราะเรไรอยากมีแม่ที่อยู่กับเรไร ถ้าเรไรตอบว่าแม่ไฝ
เป็นแม่ เรไรก็ไม่รู้จะเอาแม่ไฝจากไหนมาให้เพื่อนเห็น เรไรเลย เปลี่ยนจากการเรียกป้าน้อยมาเป็นแม่น้อย แต่ก็ยังเรียกลุงเที่ยงว่า ลุงอยู่เหมือนเดิม ชี ว ิ ต ของเรไรในช่ ว งนี ้ ถื อ ว่ า เป็ นชี ว ิ ต ที ่ ม ี ค วามนิ ่ ง และ แน่นอน เป็นช่วงระยะเวลาที่นานที่สุดเท่าที่เรไรเคยจำได้ เรไรได้ แต่งชุดนักเรียนเหมือนคนอื่น ได้เดินไปโรงเรียนร่วมกับเพื่อน ได้ มีเพื่อนไว้พูดคุย แต่ที่เรไรทำไม่ได้ก็คือการพูดด้วยสำเนียงของคน สักราช เพื่อนๆ จึงเห็นเรไรเป็นเด็กกรุงเทพอยู่คนเดียว หลังเลิก เรียน เรไรก็จะเถลไถลไปแวะตามบ้านของคนโน้นคนนี้ที่รู้จักกับป้า น้อยและลุงเที่ยง เรไรแวะนั่งคุยกับทุกคนที่เขาจะคุยกับเรไร เรไร ไม่อยากกลับบ้านไปนั่งอยู่ที่บ้านคนเดียวเหมือนอย่างแต่ก่อน เพราะกว่าป้าน้อยและลุงเที่ยงจะกลับมาจากไร่แตงโมก็เกือบค่ำ ทุกคนฟังเรไรคุยก็จะหัวเราะแบบเอ็นดู เพราะสารพัดเรื่องที่เรไรหา มาคุยนั้นก็เป็นเรื่องที่เรไรคิดเอาเอง พูดไปเรื่อยเปื่อยเพียงเพื่อ
จะให้มีคนฟัง และให้คนฟังเกิดความพอใจอยากอยู่นั่งคุยกับเรไร ต่อไป หลายครั้งที่ป้าน้อยเริ่มเห็นความเสียหายจากการพูดของ เรไร ในเรื่องบางเรื่องที่เรไรพูดโกหกแล้วทำให้คนอื่นเข้าใจผิด อย่างเช่นเรื่องที่ไปบอกกับทุกคนว่า “เรไรเป็นลูกของแม่น้อย แต่ ลุงเที่ยงไม่ใช่พ่อของเรไร” ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่เป็นบ้านเกิดของป้า น้อยจึงเกิดความคลางแคลงใจในเรื่องที่ป้าน้อยบอกกับทุกคนว่า เรไรเป็นหลานของเจ้านายเก่า เขาเอามาฝากเลี้ยงเอาไว้ก่อน เสียง นินทาเรื่องการนอกใจของป้าน้อยและการมีลูกที่ไม่ใช่ลูกของสามี ตัวเองก็กระจายไปทั่ว เพราะหลายคนเชื่อว่าเด็กอายุห้าหกขวบคง ไม่มีทางพูดโกหกในเรื่องเหล่านี้ได้ และนั่นถือเป็นเหตุการณ์แรกที่
26 เรไร
ทุกคนที่รู้จักเรไรเริ่มรู้ว่า สิ่งที่เรไรพูดออกมานั้นมักจะเป็นเรื่องที่ เรไรกุขึ้นมาจากจินตนาการของตัวเอง ป้าน้อยจึงได้เรียกเรไรมาสั่ง สอนในเรื่องของการพูดว่า ต้องไม่พูดโกหก เรื่องที่ไม่จริงเราต้อง ไม่พูด แต่สิ่งที่ป้าน้อยสอนในวันนั้นไม่เคยเข้ามาอยู่ในหัวของเรไร เลย เพราะเรไรรู้ว่า ทุกครั้งที่เรไรพูดอะไรก็ได้ เรไรก็จะมีเพื่อนมา นั่งคุยมานั่งซักนั่งถาม ไม่เคยมีใครสักคนที่จะมาถามว่าเรไรโกหก หรือเปล่า เพียงแค่นี้เรไรก็หายเหงาแล้ว และเรไรก็ไม่ต้องนั่งอยู่ คนเดียวอีกต่อไป เรไรยังไม่ทันได้สอบเลื่อนขึ้นไปอยู่ชั้นประถมปีที่สอง ป้าบัว ก็เขียนจดหมายมาบอกว่า ได้เจอแม่ไฝของเรไรแล้ว และให้ป้า น้อยเอาเรไรไปส่งให้แม่ไฝเสีย ป้าน้อยและลุงเที่ยงพาเรไรนั่งรถ เมล์มากรุงเทพ แล้วนั่งรถแท็กซี่จากคิวรถ บขส. ต่อไปยังบ้านของ แม่ไฝตามที่ป้าบัวได้บอกไว้
ศรีสมร มณีรัตน์ 27
5
บ้านของแม่ไฝนั้นไม่ได้เป็นบ้านเหมือนอย่างที่เรไรคิด แต่ เป็นแค่ประตูที่เปิดเข้าไปเจอห้องแคบๆ เท่านั้น แม่ไฝเป็นคนเดิน มาเปิดประตู เรไรมองดูแม่ไฝด้วยหัวใจที่พองโต และคิดว่าแม่ไฝ คงจะเดินเข้ามากอดแล้วบอกว่าคิดถึงเรไร แต่แม่ไฝทำได้แต่ทัก เรไรสั้นๆ ว่า “เออ เรไร ลูกสูงขึ้นเยอะนะ” เท่านั้น แล้วแม่ไฝก็ลง ไปนั่งเล่นไพ่ในวงไพ่กลางห้องนั้นต่อ แม่น้อยกับลุงเที่ยงช่วยกัน
ลำเลียงถุงเสื้อผ้าสองสามถุงของเรไรเข้ามาในห้อง แล้วก็บอกลา เรไร บอกให้เรไรขยันเรียนหนังสือ และให้เป็นคนดี วันนั้นเรไรได้ทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อแม่ไฝและเพื่อนของ แม่ไฝ ด้วยการช่วยหยิบที่เขี่ยบุหรี่ที่เต็มไปด้วยเถ้าบุหรี่ไปทิ้ง เอา เงินจากแม่ที่สั่งให้เรไรเดินไปร้านขายของหน้าห้องแถว เพื่อไปซื้อ เหล้าแม่โขงมาให้เพื่อนของแม่หนึ่งกั๊ก จากวันนั้นมาเรไรก็เลย กลายเป็นเด็กที่คอยวิ่งซื้อข้าวของให้กับแม่หรือเพื่อนของแม่ที่นั่ง
เล่นไพ่กันอยู่ทั้งวันทั้งคืน ที่ห้องพักของแม่ไฝ มีห้องนอนเพียงห้องเดียว มีเตียงนอน เพียงเตียงเดียว แม่ไฝให้เรไรนอนบนเตียงกับแม่ไฝ แต่บางคืน ดึกๆ เรไรก็ตื่นขึ้นมาเห็นผู้ชายตัวใหญ่ๆ นอนอยู่บนเตียงข้างแม่ ไฝด้วย บางครั้งเสียงดังจากการพลิกตัวของแม่ไฝและผู้ชายคน นั้นที่อยู่ข้างตัวของเรไร ก็ทำให้เรไรอดไม่ได้ที่จะลืมตามาดูด้วยใจ ที่เต้นระทึก ภาพต่างๆ ในความมืดทุกคืนได้ฝังอยู่ในใจของเรไร มาโดยที่เรไรไม่เคยรู้ตัว จนคืนหนึ่งเรไรก็รู้สึกเหมือนใครมาจับถู ตัวเธอ เรไรไม่กล้าลืมตาขึ้นมาดูว่าเป็นใคร แต่ก็สามารถรู้สึกได้ว่า มือใหญ่ๆ นั้นคงไม่ใช่มือของแม่ไฝอย่างแน่นอน เรไรนอนตัวแข็ง นิ่ง ไม่กล้าร้องเรียกแม่ไฝ เพราะกลัวว่าจะทำให้แม่ไฝไม่พอใจ แล้วเรไรก็คงจะต้องถูกแม่ไฝส่งตัวไปอยู่กับคนอื่นอีก เรไรปล่อย ให้มือคู่นั้นลูบคลำไปตามร่างกายของเธอ อย่างที่ไม่เข้าใจว่าเกิด อะไรขึ้นกับตัวของเรไร หลายวันต่อมาแม่ไฝก็บอกเรไรว่า เรไรนั้นตัวโตเกินไปที่จะ มานอนเตียงเดียวกับแม่ไฝเสียแล้ว แม่ไฝบอกให้เรไรหอบหมอน และผ้าห่มออกไปนอนนอกห้องนอน เรไรก็ออกไปนอนตามที่แม่ ไฝบอก และในคืนนั้นเองที่เรไรต้องตกใจตื่น เมื่อรู้สึกเหมือนมีคน มานอนทับบนตัวของเรไร ผู้ชายคนนั้นเองที่เคยมาลูบคลำเรไรเมื่อ ครั้งที่เรไรนอนอยู่บนเตียงของแม่ไฝ เขาเอามือปิดปากเรไรไว้ไม่ให้ ร้อง แล้วก็ทำการถูไถไปเรื่อยตามร่างกายของเรไร จนเรไรรู้สึกถึง ความเจ็บปวดเข้าไปถึงในช่องท้อง เช้าวันนั้นเมื่อแม่ไฝตื่นมา เรไรจึงได้เข้าไปบอกแม่ไฝว่า “น้า คนนั้นเขาขึ้นมานอนทับเรไร แล้วทำให้เรไรเจ็บไปในท้อง” แม่ไฝได้ยินก็ถลึงตาใส่เรไร แล้วตวาดใส่ “เรไร พูดอะไร
30 เรไร
เหลวไหลใหญ่แล้ว ชอบพูดเพ้อเจ้อโกหกอยู่เรื่อย” แม่ไฝไม่ยอมมองหน้าเรไรอีกเลย เรไรรู้ว่าแม่ไฝคงโกรธ แต่เรไรก็ไม่รู้ว่าแม่ไฝโกรธเรไรเรื่องอะไร แล้วทำไมแม่ไฝจึงคิดว่า เรไรโกหก วันนั้นทั้งวัน แม่ไฝไม่ยอมพูดกับเรไร ไม่ยอมใช้ให้เรไรไป ซื้อบุหรี่หรือเหล้าเหมือนอย่างเคย เรไรจึงคิดว่า คงเป็นเพราะเรื่อง ที่เรไรบอกแม่ไฝเมื่อเช้านี้เองที่ทำให้แม่ไฝโกรธ เรไรจึงเดินไปบอก กับแม่ไฝว่า “แม่จ๋า เรไรขอโทษที่เรไรโกหกเรื่องของน้าคนนั้น เขา ไม่ได้มาทำอะไรเรไรหรอก เรไรพูดไปเอง” และนั่นเองที่ทำให้แม่ไฝหันมายิ้มให้กับเรไร พร้อมกับสอน ต่อไป “ทีหน้าทีหลังก็อย่าพูดอะไรเพ้อเจ้อไป มันทำให้คนอื่นเขา เสียหายรู้ไหม” จากคืนนั้นมา และก็อีกเกือบทุกคืนต่อมา เรไรก็ต้องถูกน้า ผู้ชายคนนั้นมานอนทับบนตัวของเรไร และทำให้เรไรปวดเข้าไปใน ท้อง แต่เรไรก็ไม่เคยพูดเรื่องนี้ให้แม่ไฝฟังอีกเลย เพราะเรไรกลัว ว่าแม่ไฝจะโกรธอีก ที่บ้านของแม่ไฝ ยามที่ไม่มีใครใช้เรไรให้วิ่งไปซื้อของ เรไรก็ จะนั่งเหม่ออยู่คนเดียว แล้วคิดไปถึงบ้านของป้าม้วน คิดไปถึงข้าว ราดน้ำแกงที่ป้าม้วนเคยตักให้กิน คิดถึงรสชาติความอร่อยของ ข้าวแกงจานนั้น เรไรคิดถึงพวกพี่ๆ ลูกของป้าม้วน ที่ถึงแม้ว่าเขา จะแกล้งมาดึงผมของเรไรบ้าง หรือแกล้งทำให้เรไรร้องไห้บ้าง แต่ มันคือความสุขที่เรไรรับรู้ได้ถึงความรักของพี่ที่มีต่อเรไร ความคิด คำนึงของเด็กหญิงอายุแค่เแปดเก้าขวบคนหนึ่งที่คิดไปเรื่อยๆ ไป จนถึงบ้านที่แสนสบายของป้าบัว คิดถึงความใจดีของแดดดี้ที่คอย ดูแลให้เรไรได้กินข้าวกินน้ำ ให้เรไรหัดพูดภาษาอังกฤษ แล้วความ ศรีสมร มณีรัตน์ 31
คิดนั้นก็ต่อไปถึงบ้านไม้หลังเล็กๆ ของป้าน้อยและลุงเที่ยง เรไร อยากกลับไปอยู่ที่บ้านป้าน้อยอีก เรไรอยากไปโรงเรียน เรไรอยาก มีเพื่อน ถ้าเรไรได้กลับไปอีก เรไรจะไม่โกหกให้ป้าน้อยเสียใจอีก เรไรจะตั้งใจเรียนหนังสือ และจะไม่เถลไถลไปเที่ยวนั่งคุยตามบ้าน ของคนอื่นอีก เรไรรักแม่ไฝ และเคยอยากให้แม่ไฝรับเรไรกลับมา อยู่ที่บ้าน แต่เมื่อเรไรกลับมาอยู่กับแม่ไฝ แม่ไฝก็ไม่เคยพูดคุยกับ เรไรเลย เรไรก็ยังนั่งเหงาอยู่คนเดียวเหมือนเดิม
32 เรไร