บทที่ 1 เอกสารผิดพลาด สถานที่ : ไต้หวัน เวลา : บ่ายสองโมง ไถจง เสียงจักจั่นดังขึ้นที่นอกหน้าต่าง “นักเรียนทุกคน เอกสารที่ครูแจกในวันนี้ พวกเธอต้องนำกลับบ้าน ไปให้ผู้ปกครองอ่านอย่างละเอียด ปรึกษากับผู้ปกครองให้ดีแล้วตัดสินใจ ให้เรียบร้อย วันศุกร์เอามาส่งที่โรงเรียน...” เสียงรองเท้าส้นสูงของอาจารย์ที่ยืนอยู่หน้าชั้นเรียนดังก๊อกก๊อก นี่เป็นฤดูร้อนสุดท้ายของมัธยมฯ ต้นแล้ว เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ปิดเทอมภาคฤดูร้อนกำลังจะมาถึง และ ผมก็กำลังจะเรียนจบ นักเรียนม.สามอย่างผมกำลังเผชิญหน้ากับช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเพื่อ ก้าวเข้าสู่มัธยมฯ ปลาย ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องเผชิญ ผมนั่งมองผลการเรียนของตัวเองแล้วได้แต่ถอนหายใจ ไม่ว่าจะ มองคะแนนบนกระดาษจากแนวตั้งหรือแนวนอน ก็รู้สึกเหมือนว่ามัน กำลังหัวเราะเยาะผมอยู่ดี
หู้เสวียน : เขียน / น้องสาม : แปล มั น ทำให้ ผ มนึ ก ถึ ง ข่ า วที่ เ พิ่ ง มี นั ก เรี ย นดี เ ด่ น ของโรงเรี ย นใกล้ ๆ กระโดดตึกตายเมื่อไม่นานมานี้ เนื้อหาในจดหมายลาตายเขียนว่าเขาทน แรงกดดันไม่ไหวที่ตนเองสอบได้คะแนนไม่ดี สุดท้ายจึงเลือกเดินทางไป สวรรค์เพื่อค้นหาโลกที่แสนสุขสมอะไรประมาณนั้น โชคดีที่ผมไม่ใช่เด็ก เรี ย นเก่ ง แบบนั้ น ไม่ อ ย่ า งนั้ น คะแนนบนกระดาษคงจะทำให้ ผ มไป กระโดดตึกตายสิบครั้งก็ยังไม่หายเศร้าแน่นอน...ไม่แน่ว่าอาจจะต้อง กระโดดสักยี่สิบครั้งถึงจะสาสม แน่นอนว่าถ้าถูกพ่อแม่จับโยนลงจากตึกสูงมันก็เป็นอีกเรื่อง ใบ คะแนนที่น่าสังเวชตรงหน้าทำให้ผมต้องเริ่มคิดว่าวันนี้จะกลับไปอธิบาย กับพ่อแม่อย่างไรดี แต่ก็ยังดีที่ไม่มีคะแนนเป็นตัวเลขหลักเดียว ถือว่าเป็นความโชคดี ในโชคร้ายก็ว่าได้ “หมิงหยาง นายจะเข้าที่ไหน?” เพื่อนโต๊ะข้างหน้าหันกลับมาจ้อง มองใบคะแนนที่น่าสังเวชของผม วินาทีนั้น ผมอยากจะถามเขากลับว่าแล้วนายคิดว่าคะแนนห่วยๆ อย่างฉันจะเข้าที่ไหนได้ล่ะ?...แต่สุดท้ายผมก็ห้ามปากตัวเองเอาไว้ เพราะ เพื่อนคนนี้ไม่เหมือนกับคนอื่น เขาถามอย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้มีเจตนาจะ ทำร้ายจิตใจผม ผมจึงไม่ควรถือสาเขา ผมชื่อฉู่หมิงหยาง ผมไม่มีความสามารถพิเศษหรือจุดเด่นอะไรทั้งนั้น แต่ถ้าจะบังคับ ให้ผมพูด ความสามารถพิเศษหรือจุดเด่นของผมก็คงจะเป็น “ความซวย” ผมไม่ได้พูดส่งเดชนะ ตั้งแต่วินาทีที่ผมเกิดมา ความซวยก็ไม่เคย อยู่ห่างจากผมเลยแม้แต่ก้าวเดียว มีทารกที่ไหนที่พอเกิดมา สายสะดือก็ พันคอเป็นเกลียวอย่างสวยงามและแน่นหนาจนสามารถบันทึกเป็นสิ่ง มหั ศ จรรย์ ข องโลกได้ อ ย่ า งผมบ้ า ง? ได้ ข่ า วว่ า ตอนนั้ น คุ ณ หมอและ พยาบาลที่ ท ำคลอดผมถึ ง กั บ ตาค้ า ง สุ ด ท้ า ยก็ ตั ด สิ น ใจล้ ม เลิ ก ความ
11
พยายามที่จะช่วยชีวิตผม และตอนที่พวกเขาเอาผ้าห่อทารกอย่างผม เตรียมจะนำไปคืนให้ กับครอบครัวผมนั้น พยาบาลซุ่มซ่ามคนหนึ่งก็ทำศพทารกอย่างผมหล่น กลิ้งไปบนพื้น ไม่รู้ว่าไปกระแทกโดนส่วนไหน จู่ๆ ผมก็ฟื้นคืนชีพขึ้นมา เฉยเลย แต่ตอนนี้พอมาคิดดู ถ้าผมรู้ว่าเกิดมาแล้วจะโชคร้ายขนาดนี้ ตอนนั้นก็ควรจะบอกให้คุณพี่พยาบาลโยนผมให้แรงกว่านี้หน่อย ถึงท้อง จะแตกไส้จะทะลักผมก็จะไม่โทษเธอเลย...ไม่แน่นะ ผมอาจจะกลายเป็น วิญญาณทารกไปเยี่ยมเธอทุกวันก็ได้ พอเริ่มโตขึ้น บาดแผลและรอยฟกช้ำดำเขียวที่ไม่ซ้ำกันในแต่ละ วันบนร่างกายของผมก็กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน นอกจากรอย ถลอกปอกเปิกพวกนั้นแล้ว ยังมีเหตุการณ์ซวยซ้ำซวยซ้อนที่เกิดขึ้นอีก มากมาย ยกตัวอย่างเช่น ตอนเรียนบาสเกตบอลในวิชาพละ จูๆ่ แป้นบาสฯ ก็ตกลงมา ซึ่งผมไม่ได้เป็นคนชู้ต ผมแค่ยืนดูอยู่ข้างๆ เท่านั้น แต่กลับโดน แป้นบาสฯ ทับเข้าเต็มๆ เพื่อนๆ คนอื่นกลับหนีรอดปลอดภัยกันทุกคน มีอยู่ครั้งหนึ่ง เด็กห้องอื่นที่กำลังเรียนวิชาพละบังเอิญเตะลูกบอล มาใส่กระจกห้องเรียนของพวกเราจนแตก แล้วก็บังเอิญที่ผมนั่งอยู่ริม หน้าต่างพอดี ที่แปลกก็คือห้องเรียนของพวกเราอยู่ตั้งชั้นห้า ความซวยยั ง ไม่ ห มด วั น ที่ ผ มมาโรงเรี ย นเช้ า คนสวนกำลั ง ตั ด ต้นไม้อยู่พอดี แล้วกิ่งไม้ทั้งกิ่งที่ถูกตัดขาดก็หล่นลงมาทิ่มตัวผม... ชีวิตสิบกว่าปีที่ผ่านมาผมเจอเหตุการณ์ซวยๆ ประเภทนี้จนชินแล้ว ผมชินชาเสียจนตอนนี้เวลาเจอเรื่องซวยๆ ก็กลายเป็นความรู้สึก “ฮ่าฮ่าฮ่า เจ็บตัวอีกแล้ว” อะไรทำนองนั้น ฉายา “จอมซวย” เป็นเหมือนกับหมากฝรั่งที่ติดตัวผมมาตั้งแต่เกิด อยากจะสลัดอย่างไรก็ไม่ออก ชื่อเสียงของผมโด่งดังถึงขนาดเด็กโรงเรียน ข้ า งๆ ยั ง รู้ จั ก แม้ แ ต่ ต อนที่ ถู ก ส่ ง ไปโรงพยาบาล คุ ณ พยาบาลสาวทั้ ง หลายก็ยังพูดว่า “ทำไมเป็นเธออีกแล้วล่ะ?”
12
หู้เสวียน : เขียน / น้องสาม : แปล พูดตามตรงนะ ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมต้องเป็นผมทุกที! “เฮ้ เลิกเหม่อได้แล้ว” ไอ้คนดวงดีที่ไม่เคยรู้ว่าความซวยมันเป็น
ยังไงที่นั่งอยู่ข้างหน้าเอาม้วนกระดาษมาเคาะหัวผม แล้วภาพเหตุการณ์ สิบกว่าปีที่ผ่านมาก็สลายหายไปจากสมองผมอย่างรวดเร็ว เหมือนกับ ประทัดในวันตรุษจีนไม่มีผิด ผมกลับมาเป็นนักเรียนที่กำลังปวดหัวเพราะ ไม่รู้ว่าจะเขียนชื่อโรงเรียนไหนดีคนเดิม ความจริงไม่ใช่เพราะคะแนนของผมไม่ดีหรอก ที่ผมต้องหยุดเรียน ไปรักษาบาดแผลบ่อยๆ ทำให้ผมมีเวลาอ่านหนังสือมากกว่าคนอื่น แล้ว อีกอย่าง ความจำของผมก็ถือว่าใช้ได้ทีเดียว ถ้าเทียบกับเพื่อนๆ ในห้อง คะแนนสอบย่อยของผมอยู่ประมาณอันดับสิบเกือบทุกครั้ง แต่พอถึงการ สอบครั้งใหญ่ที่จะตัดสินอนาคตของผม...ผมดันอาหารเป็นพิษขึ้นมาเฉยๆ ซวยเป็นบ้าเลย เวอร์เกินไปจริงๆ ทั้งๆ ที่ห้องเราสั่งข้าวกล่องมากินด้วยกัน ข้าวสามสิบเก้ากล่องดูสดใหม่น่ากิน แต่กลับมีของผมกล่องเดียวที่บูด มัน บังเอิญวางอยู่บนสุดเลยโดนความร้อนจากแสงอาทิตย์ส่องจนบูดหรือไง? ผมเชื่อว่าโชคชะตาจงใจกลั่นแกล้งผม ไม่ต้องสงสัยเลย มันใช่แน่นอน! “ฮ่าฮ่า...โรงเรียนไหนก็ได้ที่รับฉันเข้าเรียน” ผมหยิบเอกสารของ โรงเรียนชื่อดังออกไป ความจริงแม่ผมเลิกหวังว่าผมจะได้เรียนต่อแล้ว ถ้า ตอนนี้มีโรงเรียนไหนรับผมเข้าเรียน แม่คงคิดว่าพระโพธิสัตว์คุ้มครอง หรือไม่ก็เป็นผลบุญของบรรพบุรุษแน่นอน “อย่างงั้นเหรอ ฉันเคยได้ยินว่าที่ภาคกลางมีโรงเรียนวิทยาศาสตร์ เจ๋งมากเลยล่ะ” นักเรียนดวงดีหันเก้าอี้กลับหลังมาหาผม โดยไม่สนใจ อาจารย์หน้าห้องที่กำลังเหลือบตามองเขา แล้วเขาก็ใช้ปากกาลูกลื่นวาด วงกลมลงบนกระดาษว่างเปล่าของผม “ถ้านายเข้าโรงเรียนนี้ได้สำเร็จ เรา ก็จะได้เป็นเพื่อนร่วมชั้นกันอีกสามปี” แล้ววงกลมบนกระดาษก็เริ่มมีจมูก กับตาเพิ่มขึ้นมา สุดท้ายกระดาษของผมก็มีแต่รูปอะไรไม่รู้เต็มไปหมด
13
“ไว้ค่อยคิดละกัน” พอผมตอบนักเรียนดวงดีคนนั้นเสร็จ ก็เริ่มพลิก เอกสารหนาปึ้กดู ที่มุมด้านล่างของกระดาษท้ายเล่ม มีตัวหนังสือเล็กๆ หนึ่งบรรทัด ตัวหนังสือนั้นเล็กมากจนแทบจะมองไม่เห็น มันเป็นชื่อของโรงเรียนแห่งหนึ่ง แล้วผมก็เขียนชื่อโรงเรียนนั้นลงไป ผมเขียนชื่อประหลาดๆ ของโรงเรียนนั้นไว้เป็นอันดับหนึ่ง แล้วผม ก็ได้เข้าใจประโยคที่ว่า “เรื่องประหลาดมีทุกปี และต้องเกิดกับฉันทุกที” วันประกาศผล พ่อแม่พี่น้องญาติสนิทมิตรสหายของนักเรียนทุก คนขะมักเขม้นเปิดหนังสือพิมพ์ ติดต่อสถาบันสอนพิเศษ รวมถึงเข้าไปหา ชื่อตัวเองในอินเทอร์เน็ต แน่นอนว่าผมก็ไม่ได้แตกต่างกับคนอื่น และแล้ว เรือ่ งประหลาดก็เกิดขึน้ อีกครัง้ วันนัน้ ผมพลิกหนังสือพิมพ์ ทุกฉบับ เข้าไปหาในอินเทอร์เน็ต ทางโรงเรียนก็ช่วยผมตรวจสอบอีกด้วย แต่ผลการค้นหากลับเป็นไปในทางเดียวกัน...“ไม่พบข้อมูลโรงเรียนดัง กล่าว” ......... อยากจะแกล้งกันก็แกล้งให้มันมีชั้นเชิงหน่อยไม่ได้หรือไง! ผม เขียนชื่อโรงเรียนที่ไม่มีอยู่จริงงั้นหรือ? แล้วชื่อโรงเรียนบ้านั่นมาปรากฏอยู่ ในเอกสารได้ยังไง? เอกสารข้อมูลโรงเรียนถูกผมเขวี้ยงลงบนโต๊ะของหน่วยสอบอย่าง แรงเสียงดังสนั่นหวั่นไหว...เอ่อ ไม่ใช่สิ คนที่เขวี้ยงไม่ใช่ผม เป็นพี่สาวผม ต่างหาก “พวกคุณทำบ้าอะไร! พิมพ์ชื่อโรงเรียนที่ไม่มีอยู่จริงให้นักเรียน เลือก ตอนนี้ก็ไม่มีข้อมูลโรงเรียน นี่มันแกล้งกันชัดๆ!” ผมต้องยอมรับว่าพี่สาวผมบ้าพลังจริงๆ เธอแก่กว่าผมสามปี ปีนี้ พี่สาวผมได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยชื่อดัง ทั้งๆ ที่เธอกับผมก็เกิดมาจาก
14
หู้เสวียน : เขียน / น้องสาม : แปล ท้องแม่เดียวกัน ความจริงผมก็เคยคิดนะว่าความโชคดีของผมไปรวมอยู่ ในตัวพี่สาวจนหมด เธอก็เลยโชคดีจนน่าตกใจ ไม่กี่ปีก่อนที่เกิดแผ่นดิน ไหว เธอถูกป้ายร้านค้าหล่นลงมาทับ แต่กลับไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย แค่ตกใจเท่านั้น ประเด็นคือคนที่บาดเจ็บสาหัสก็คือผมที่ยืนอยู่ข้างๆ พี่สาวไง คุณพนักงานเคาน์เตอร์ส่งเอกสารต่อกันไปเรื่อยๆ พอทุกคนได้เห็น ตัวหนังสือเล็กๆ บรรทัดนั้น พวกเธอก็ทำหน้าตื่นตระหนกเหมือนเจอผี
ฉู่หมิงเยว่พี่สาวผมกระชากเอกสารตัวปัญหาออกจากมือพวกเธออย่างไม่ เกรงใจ แล้วก็เขวี้ยงมันลงบนโต๊ะอีกครั้ง “ไปเรียกหัวหน้ามาเดี๋ยวนี้!” ฝ่ามืออำมหิตของเธอตบลงบนโต๊ะ รังสีอาฆาตแผ่กระจายไปทั่วห้อง พู ด ตามตรงนะ ผมว่ า พี่ ส าวของผมหน้ า ตาสะสวย เป็ น ผู้ ห ญิ ง ประเภทสวยดุ เทียบกับพวกดารานักร้องได้เลย รังสีอำมหิตที่แผ่ออกมา จากตัวเธอจึงมีพลังมากขึ้นเป็นสองเท่า ถ้าจะพูดให้ชัดเจนหน่อย ก็คงจะ เหมือนความรู้สึกเวลาที่ถูกปีศาจร้ายผู้เลอโฉมสังหารละมั้ง อืม ก็เหมือน ในหนังในละครที่เขาชอบแสดงกันนั่นแหละ ถ้าใครมีเวลาว่างก็ลองไปหา ดูได้ ผ่ า นไปพั ก หนึ่ ง เอกสารเล่ ม นั้ น ก็ ถู ก ส่ ง กลั บ มาอยู่ ใ นมื อ ของผม เหมือนเดิม แค่เห็นก็รู้ว่าผู้ชายที่ผูกเนกไทใส่สูทคนนี้ต้องมีตำแหน่งสูง อย่างแน่นอน เขาพยายามอธิบายกับพี่สาวผม มือก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออก มาซับเหงื่อบนหน้าผาก เขาบอกว่าโรงพิมพ์อาจจะเอากระดาษสำหรับ พิ ม พ์ กั บ เอกสารอื่ น มาวางรวมกั น ตั ว หนั ง สื อ ก็ เ ลยบั ง เอิ ญ พิ ม พ์ ติ ด ไป ระหว่างที่หัวหน้ากำลังอธิบาย ลูกน้องก็หยิบเอกสารแบบเดียวกันออกมา พลิกดู ในเอกสารไม่มีชื่อโรงเรียนที่ว่าจริงๆ ด้วย แล้วพี่สาวผมก็เหลืออด บอกว่าบังเอิญพิมพ์ติดลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจ มันก็อาจจะเป็นไปได้
15
แต่นี่ทั้งชื่อโรงเรียน รหัสโรงเรียนก็พิมพ์ลงในตารางพอดีเป๊ะไม่หลุดกรอบ ออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว ผมว่ามันดูเป็นไปได้ยากกว่าการถูกรางวัลที่ หนึ่งอีกนะ หรือว่าวันนี้ผมควรจะลองไปซื้อดูสักใบ ผมอาจจะถูกรางวัล ใหญ่ก็ได้ พวกเราอยู่ที่นี่เป็นเวลาสามชั่วโมงแล้ว พี่สาวของผมเอ็ดตะโรจน ทุกคนในที่นี้ไม่กล้าแม้แต่จะผายลม ทุกคนถูกด่าจนยืนคอตกสำนึกผิด ส่วนผมกลายเป็นเหมือนไทยมุงมากกว่าเป็นผู้เสียหาย ผมไม่กล้าปริปาก พูดแม้แต่ประโยคเดียว แล้วหนึ่งวันก็ผ่านไปด้วยเสียงคำรามของพี่สาว ผม น่าเบื่อจริงๆ...ผมหาวอย่างเบื่อหน่าย พอเงยหน้าขึ้น ผมก็เห็นเงา ของใครบางคนลอยผ่านประตูด้านนอกไป ความจริงแล้วข้างนอกเป็นทาง เดิน อย่าว่าแต่เงาของคนคนเดียวเลย ถึงจะมีเงาคนสักร้อยคนแวบไป แวบมาก็ไม่มีอะไรน่าแปลก เพราะหน่วยสอบนับเป็นที่ที่คนเยอะที่สุดแห่ง หนึ่งก็ว่าได้ แต่ สิ่ ง ที่ แ ปลกก็ คื อ คนคนนั้ น เดิ น ทะลุ ป ระตู อั ต โนมั ติ ไ ปอย่ า ง รวดเร็ว ทั้งๆ ที่ประตูยังไม่ได้เปิด จากการสังเกตการณ์ประตูอัตโนมัติมากว่าสามชั่วโมงของผม เซ็น เซอร์ ข องประตู บ านนี้ ไ วมาก แค่ ห มาเดิ น ผ่ า นประตู ยั ง เปิ ด แม้ แ ต่ หนังสือพิมพ์หรือเศษขยะที่ถูกลมพัด มันยังเปิดให้เข้ามาข้างในได้ แต่นี่ คนตัวเบ้อเริ่ม ทำไมประตูถึงไม่เปิดล่ะ? แล้วจู่ๆ คนคนนั้นก็มาปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูอีกครั้ง ราวกับจะ พิสูจน์ข้อสันนิษฐานของผม ครั้งนี้ผมมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าประตูไม่ได้ เปิดจริงๆ ...เป็นไปได้ไงเนี่ย? ได้เห็นผีกลางวันแสกๆ ถือว่าเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของความ ซวยของผมหรือเปล่านะ?
16
หู้เสวียน : เขียน / น้องสาม : แปล อาจเป็นเพราะเมื่อก่อนผมเคยเจอผีตอนกลางวันแสกๆ มาแล้ว หลายครั้งหลายหน ก็เลยไม่ได้ร้องตกใจเหมือนกับคนทั่วไป จะว่าไป ผมก็ แอบชื่นชมตัวเองอยู่เหมือนกัน เสียง “ผัวะ” ดังสนั่นหวั่นไหว พี่สาวจอมโหดไร้หัวใจของผมเอาเอกสารฟาดหัวผมอย่างไม่ยั้งมือ มันแรงเสียจนน้ำในสมองของผมแทบจะทะลักออกมาจากเบ้าตา รูจมูก และปาก “หูหนวกหรือไง พี่บอกให้ไปกรอกแบบฟอร์มใหม่ บอกตั้งหลาย รอบแล้ว!” ใบหน้าโหดเหี้ยมเหมือนปีศาจร้ายปรากฏขึ้นต่อหน้าผม มันน่า กลัวจนผมขนลุกซู่ไปทั้งตัว “ฮะ?” ผมอ้าปากค้าง งงเป็นไก่ตาแตก “ฮะเฮอะอะไรอีกล่ะยะ! รีบไปเขียนเดี๋ยวนี้ ไป๊!” ปีศาจสาวจอม โหดแผดเสียงคำรามลั่น ผมรีบวิ่งไปกรอกเอกสารด้วยความหวาดผวา ทันที เหตุการณ์ในวันนั้นถูกสรุปว่าเป็นความผิดพลาดของหน่วยสอบ พวกเขาก็เลยแทรกชื่อของผมใส่กลับลงไป ดูว่ายังมีโรงเรียนไหนบ้างที่ สามารถรับผมเข้าเรียน พูดแบบบ้านๆ ก็คือ คอยดูว่ายังมีโรงเรียนไหนจะ ยอมเก็บของเหลือใช้บ้าง ไหนๆ คะแนนของผมมันก็น้อยอยู่แล้ว น้อยเสีย จนพ่อแม่ของผมทำใจไว้แล้วว่าผมต้องไปอยู่โรงเรียนประเภทที่แค่มีเงินก็ เข้าเรียนได้ หลังจากวันนั้น ผมก็ไม่ได้เจอผีเดินทะลุประตูอีก หลังจากที่ได้ยินข่าวของผม เพื่อนคนหนึ่งในห้องก็เดินมาบอกผม ว่าดวงซวยๆ ของผมกำลังแทรกซึมเข้าไปกัดกินร่างกายของผม แล้วก็ ค่ อ ยๆ กั ด กิ น ดวงชะตา ผมไม่เคยได้ยินว่าความโชคร้ายจะกัดกินดวง ชะตาได้ แต่ก็เพราะเรื่องนี้เองทำให้ผมได้รู้ว่าพ่อของเพื่อนคนนี้เป็นหมอดู ในวั น ที่ ทุ ก คนได้ รั บ จดหมายตอบกลั บ จากโรงเรี ย น ผมก็ ไ ด้ รั บ
17
เหมือนกัน เป็นจดหมายจากโรงเรียนที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ชื่อเสียงของ โรงเรียนนี้ก็คือนักเรียนที่นี่มีแต่เงินไม่มีสมอง เป็นไปตามที่พ่อแม่ของผม คาดคิดไม่มีผิด นับตั้งแต่นี้ไป ดวงชะตาจะนำพาให้ผมกับนักเรียนดวงดีคนนั้น แยกจากกัน แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่มีผลต่ออนาคตข้างหน้าของผมเลยแม้แต่ นิดเดียว ก็แค่เล่าให้ฟังเท่านั้น ส่วนนักเรียนดวงดีคนนั้นก็ได้เข้าโรงเรียน วิทยาศาสตร์ตามที่หวังไว้ ผมก็ขอแสดงความยินดีด้วย แต่ว่าความซวยของผมยังไม่สิ้นสุดลงเท่านี้ “หยางหยาง จดหมายตอบรับของเธอส่งมาถึงแล้วนะ” พอกลับถึงบ้าน พี่สาวจอมโหดของผมก็กำลังนั่งดูรายการโปรด ของเธออยู่ มือหนึ่งยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลมาให้ผม ฮะ? ผมเพิ่งไปเอาจดหมายตอบรับที่โรงเรียนมานี่นา? ผมรับซองน้ำตาลมาด้วยความงุนงง พอเห็นชื่อโรงเรียนบนซอง สิ่ง แรกที่อยากทำก็คือเขวี้ยงมันลงพื้น แต่สุดท้ายผมก็ไม่ได้เขวี้ยง เพราะบน ซองเอกสารมีตัวหนังสือสีแดงขนาดใหญ่เขียนเอาไว้ พู ด ตามตรงนะ ผมไม่ เ คยเห็ น โรงเรี ย นที่ ไ หนเขี ย นอะไรแบบนี้ เลย...“ใครเขวี้ยงตาย!” สั้ น กระชับได้ใจความจริงๆ มันสั้นเสียจนผมเกือบคิดว่านี่ไม่ใช่ จดหมายตอบรับของโรงเรียน แต่เป็นจดหมายข่มขู่ที่ส่งมาผิดบ้าน แต่ตัว หนังสือบนนั้นก็เขียนได้สวยจริงๆ ชื่ อ ของโรงเรี ย นที่ ว่ า ก็ คื อ ชื่ อ โรงเรี ย นที่ ไ ม่ มี ข้ อ มู ล โรงเรี ย นนั้ น นั่นแหละ ตอนที่ ร อผล ผมพยายามหาข้ อ มู ล โรงเรี ย นนี้ ทุ ก หนทุ ก แห่ ง ใน อินเทอร์เน็ตก็หาซ้ำแล้วซ้ำอีก และยังขอให้เพื่อนไปช่วยสอบถามด้วยอีก แรง จนมั่นใจแล้วว่าโรงเรียนนี้ไม่มีอยู่จริง ผมถึงยอมรับชะตากรรม แล้ว
18
หู้เสวียน : เขียน / น้องสาม : แปล ทำไมจู่ๆ โรงเรียนนั้นถึงได้ส่งจดหมายมาให้ผมล่ะ? ผมเปิดซองน้ำตาลอย่างระมัดระวัง และพยายามไม่มองตัวหนังสือ สีแดงน่ากลัวนั่น ข้างในซองเป็นเอกสารเข้าศึกษาต่อตามคาด เอกสาร หนาเชียวล่ะ ไม่เหมือนกับจดหมายที่ได้รับวันนี้เลย เอกสารที่ ห นาที่ สุ ด ถู ก ใส่ ไ ว้ ใ นแฟ้ ม อย่ า งดี บนหน้ า ปกเขี ย นว่ า “คู่มือสำหรับนักเรียนใหม่และวิธีป้องกันตัว” ก็คงจะเป็นเรื่องกฎจราจร หรือไม่ก็เตือนให้ระวังคนเลวอะไรพวกนั้น อะไรกัน ไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ ทำไมจะต้องบอกซ้ำทุกครั้งที่เปิดเทอม โรงเรียนนี้ยิ่งแล้วใหญ่ พิมพ์ออก มาหนาเป็นปึก! น่าเบื่อชะมัด! ผมยัดเอกสารกลับเข้าไปในซองเหมือนเดิม แล้วก็ หยิบเอกสารชี้แจงเรื่องค่าเล่าเรียนออกมาอ่าน อ่านไปอ่านมา ค่าเทอมถูก กว่ า โรงเรี ย นแสน “แพง” ที่ ผ มเพิ่ ง ได้ รั บ จดหมายวั น นี้ ตั้ ง เยอะ น่ า จะ ประมาณครึ่งหนึ่งเลยล่ะ...โรงเรียนคนรวยนี่ใช้เงินเก่งจริงๆ ซองน้ำตาลหนักผิดปกติ ดูเหมือนว่าข้างในจะมีของบางอย่าง ผม ล้วงมือเข้าไปอีกครั้ง แล้วก็คว้าสิ่งที่ไม่น่าจะปรากฏอยู่ในนี้ออกมาได้ โทรศัพท์มือถือ ผมขยี้ตาสิบกว่าครั้ง โทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นไม่ได้กลายเป็นก้อน หินหรือว่าใบไม้ ยังคงเป็นโทรศัพท์มือถือในมือของผมเหมือนเดิม แล้วก็ ไม่ได้กลายเป็นยุงมากัดมือผมด้วย มันคือโทรศัพท์มือถือ โทรศัพท์มือถือ ของจริง คงไม่ใช่ว่าพนักงานแพ็คของจอมเปิ่นคนไหนทำหล่นไว้หรอกมั้ง? ผมไม่ ไ ด้ เ ดาสุ่ ม สี่ สุ่ ม ห้ า นะ เมื่ อ ก่ อ นเรื่ อ งแบบนี้ เ คยเกิ ด ขึ้ น แล้ ว จริงๆ ตอนนั้นผมส่งผ้าขี้ริ้วติดไปกับของขวัญวันเกิดให้กับเพื่อนเก่า...ไม่กี่ วันต่อมา เขาก็ส่งผ้าขี้ริ้วกลับมาให้ผม “นั่งเหม่ออะไรอยู่?” รายการเล่นไปได้ครึ่งหนึ่งก็พักเข้าช่วงโฆษณา ผมรีบยัดโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นกลับเข้าไปในซองน้ำตาลทันที ถ้าพี่สาว ผมเห็น เธอจะต้องถามโน่นถามนี่ถามนั่นไม่วันจบแน่
19
“เปล่าฮะ แค่กำลังคิดว่าทำไมซองถึงใหญ่นัก” ผมว่ามันดูเหมือน พั ส ดุ ม ากกว่ า ซองจดหมาย ถ้ า นั ก เรี ย นทุ ก คนได้ รั บ ซองใหญ่ ๆ แบบนี้ เหมือนผม คนส่งของไม่ต้องยกกันตายเหรอ “อืม บริษัทส่งของมาส่งน่ะ” พี่สาวผมไม่ได้สงสัยอะไร เธอหันกลับ ไปหารายการโทรทัศน์ของเธอเหมือนเดิม แล้วก็กินขนมบนโต๊ะจนหมด เกลี้ยง บริษัทส่งของงั้นเหรอ? มั น ทำให้ผมยิ่งรู้สึกแปลกเข้าไปใหญ่ มีโรงเรียนที่ไหนรวยจนมี บริการเดลิเวอรี่แบบนี้? แล้วทำไมโรงเรียนนี้ถึงไม่มีข้อมูลเลยล่ะ? คืนนั้น แม่ผมซื้อเป็ดปักกิ่งตัวใหญ่กลับมาจากไถจงให้ผม แล้วยัง ทำอาหารมื้อใหญ่เป็นพิเศษเพื่อเลี้ยงฉลองที่มีโรงเรียนยอมรับผมเข้าเรียน ต่อ (อะไรกัน?) กินกันอิ่มหนำสำราญเลยทีเดียว แล้วผมก็แนะนำโรงเรียน ทั้งสองแห่งคร่าวๆ ให้ทุกคนฟัง แห่งหนึ่งเป็นโรงเรียนไฮโซชื่อดัง อีกแห่ง หนึ่งเป็นโรงเรียนที่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนและไม่มีข้อมูลในระบบ แต่จุด เด่นก็คือค่าเทอมถูกกว่าโรงเรียนไฮโซครึ่งหนึ่ง แล้วคืนนั้น แม่ผมก็ใช้เงินมาตัดสินชีวิตแสนซวยของผม จดหมาย ตอบรั บ จากโรงเรี ย นไฮโซถู ก ทิ้ ง ลงถั ง ขยะ ส่ ว นโรงเรี ย นเล็ ก ๆ ที่ ไ ม่ มี ชื่อเสียงก็ชนะไปด้วยคะแนนเสียงจากทุกคนในบ้าน แม้แต่จะค้านเบาๆ ผมยังไม่มีแรง พระเจ้าช่วย ตกลงโรงเรียนบ้า นั่นเป็นโรงเรียนบ้านนอกที่ไหนกันเนี่ย ในใบชี้แจงยังเขียนอีกว่าแนะนำให้ นั ก เรี ย นอยู่ ห อพั ก ! ถ้ า เป็ น แบบนั้ น ผมยอมเรี ย นที่ โ รงเรี ย นไฮโซยั ง ดี เสียกว่า ผมเคยได้ยินมาว่าเรียนจบง่ายด้วย... ส่วนโทรศัพท์เครื่องนั้นก็ยังคงเงียบกริบ ไม่มีเจ้าของโทรมาตามหา โทรศัพท์เลย มันเงียบมากจริงๆ เสียงประหลาดๆ อะไรก็ไม่มี ผมลองดู ประวัติการโทรและรายชื่อผู้ติดต่อก็กลับว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย เจ้าของ โทรศัพท์เครื่องนี้ต้องเป็นคนที่ไม่มีเพื่อนแน่ๆ
20
หู้เสวียน : เขียน / น้องสาม : แปล “หยางหยาง เธออยากอยู่หอหรือเปล่า?” พี่สาวผมถามขึ้นในขณะ ที่ปากยังเคี้ยวเป็ดปักกิ่งอยู่ แล้วเธอก็กรีดนิ้วเช็ดน้ำจิ้มที่เลอะปากอย่าง สง่างาม “ในจดหมายตอบรับเขาแนะนำให้นักเรียนอยู่หอไม่ใช่หรือ?” บ้าไปแล้ว! รู้ได้ไงเนี่ย! พี่สาวผมเป็นบุคคลที่น่ากลัวที่สุดในโลก จดหมายฉบับนั้นยังไม่ได้ผ่านตาเธอสักหน่อย แต่เธอกลับถามผมแบบนี้ เหมือนกับรู้อยู่แล้วว่าเนื้อหาในจดหมายเขียนว่าอะไร “ผมว่าจะไปดูตอนไปอบรมนักเรียนใหม่ ถ้าไม่ไกลมากก็ไม่ต้องอยู่ หอ” ล้อเล่นหรือเปล่า ยังไม่เคยเห็นโรงเรียนเล็กๆ นั่นเลยก็จะให้ผมอยู่หอ เสียแล้ว ถึงตอนนั้นผมตายยังไงก็คงไม่มีใครรู้ พี่ ส าวผมพยั ก หน้ า เบาๆ ไม่ ไ ด้ ถ ามอะไรต่ อ บางครั้ ง แววตามี เลศนัยของเธอยังน่ากลัวกว่าตอนที่เธอไม่พูดไม่จาเสียอีก ยกตัวอย่าง ง่ายๆ เคยเห็นแม่มดหรือเปล่า? อย่างน้อยก็คงเคยเห็นในหนังหรือไม่ก็ใน การ์ตูนแน่นอน ผู้หญิงที่ใช้มนตร์ดำหรือไม่ก็ต้มยาพิษร้ายเพื่อฆ่าคนอย่าง โหดเหี้ยมแบบนั้นนั่นแหละ เหมือนกับพี่สาวของผมไม่มีผิด “หยางหยาง นายต้องไปอบรมที่โรงเรียนนั้นเมื่อไหร่?” เธอเงยหน้า ขึ้น ดวงตาที่ทุกคนต่างหลงใหลแต่เธอกลับใช้มันมาฆ่าผมคู่นั้นจ้องมอง ผมไม่กะพริบ พูดตามตรงนะ ความรู้สึกเหมือนตอนที่ถูกงูจ้องหน้าเลยล่ะ ครั้งสุดท้ายที่ผมเห็นสายตาแบบนี้ของเธอก็คือเมื่อไม่กี่วันก่อน นี่เอง ตอนที่เธอกำลังคิดว่าจะเล่นงานหน่วยสอบอย่างไรดี อย่าเลยนะ ผมขอร้อง ผมเป็นน้องชายของพี่นะ... “อีกสองอาทิตย์ข้างหน้าฮะ” ผมรีบตอบอย่างเชื่อฟัง เพื่อป้องกันไม่ ให้หัวใจในร่างของผมถูกพี่สาวจ้องจนระเบิดตัวเอง ไม่ใช่ว่าผมขี้ขลาด แต่ เชื่อผมสิ ถ้าคุณมีพี่สาวแบบนี้ ก็จะเข้าใจความรู้สึกของผม บางครั้งการที่ จิตใจถูกทรมานมันโหดร้ายยิ่งกว่าถูกทำร้ายร่างกายเสียอีก แล้วพี่สาว ของผมก็เก่งเรื่องการทรมานจิตใจคนเสียด้วย พี่สาวของผมวางมือซ้ายลงเบาๆ มือขวาล้วงกระเป๋า แล้วก็หยิบ
21
สิ่งของบางอย่างออกมา ด้านบนมีตัวหนังสือ “ยันต์คุ้มภัยศักดิ์สิทธิ์ที่สุด จากตำหนักXX” ด้านในเป็นยันต์คุ้มภัยจริงหรือไม่ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน “เก็บเอาไว้ เปิดเทอมวันแรกจะได้ไม่ถูกนาฬิกาตกมาทับอีก” ผมสาบานได้ว่าผมเห็นเธอยิ้มแบบปีศาจให้ผม ผู้หญิงอะไรน่ากลัวชะมัด! พอผมติดรูปบนใบลงทะเบียนเสร็จ ก็ล้มตัวลงบนเตียงทันที อีกไม่กี่วันผมก็ต้องไปที่โรงเรียนนั่นแล้ว ผมพลิ ก ตั ว มามองโทรศั พ ท์ มื อ ถื อ ที่ ผ มแอบซ่ อ นไว้ ใ นตู้ ห นั ง สื อ แปลกจริงๆ ปกติถ้าไม่ได้ชาร์จแบตฯ แค่สองสามวันก็ดับแล้ว แต่เครื่องนี้ ทิ้ ง ไว้ อ าทิ ต ย์ ก ว่ า แล้ ว ยั ง ไม่ ดั บ อี ก น่ า กลั ว ชะมั ด ผมจ้ อ งมองหน้ า จอ โทรศัพท์ แบตเตอรี่ลดไปแค่ขีดเดียวเอง เทคโนโลยีพัฒนาไปถึงขั้นนี้ตั้ง แต่เมื่อไหร่กัน? มือถือรุ่นใหม่แบตเตอรี่ทนทานจริงๆ ก่อนเปิดเทอมผม ต้องขอให้แม่ซื้อให้ผมสักเครื่อง ผมพลิกตัวนอนหงาย จ้องมองเพดานด้านบน จบม.ต้นแล้วเหรอเนี่ย ผมเรียนจบได้จริงๆ ทีแรกยังคิดว่าความ ซวยจะทำให้ผมต้องเรียนซ้ำชั้นอีกสักสองสามปีเสียอีก...เพราะเวลาเรียน ไม่พอ จึงสมควรถูกจับเรียนซ้ำชั้น ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงรู้สึกแบบนี้ พอเรียน จบเข้าจริงๆ กลับรู้สึกเคว้งคว้างอย่างบอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะต้องไปพบ คนใหม่ ๆ และสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย แล้วความซวยของผมก็เริ่มต้นขึ้นที่ โรงเรียนใหม่อีกครั้ง ต่อมาคือทุกคนรู้จักผม ผ่านไปสองปี ผมก็จะกลาย เป็ น นั ก เรี ย นจอมซวยผู้ โ ด่ ง ดั ง มั น เป็ น วงจรแบบนี้ ตั้ ง แต่ ผ มเรี ย นชั้ น ประถมฯ จนถึงม.ต้น ถึงตอนนี้ผมก็ชินแล้วล่ะ ผมกำลังคิดว่าถ้าโชคชะตาเกลียดผมขนาดนั้น ทำไมจะต้องให้ผม ซวยตลอดเวลา ให้ผมตายไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ? แต่น่าเสียดายที่ทำยังไง ผมก็ไม่ตายสักที ไม่ว่าจะโดนมีดบาด รถชน ผิวถลอก ไฟไหม้หรืออื่นๆ อีก
22
หู้เสวียน : เขียน / น้องสาม : แปล ร้อยแปดพันเก้าก็ไม่อาจทำให้ผมตายได้สักที เฮ้อ มันคงจะเป็นความซวยอย่างหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่นั้น เสียงก๊อกก๊อกก็ดังมาจากประตู ผมรีบลุกขึ้นไปเปิดประตูทันที พี่สาวของผมยืนอยู่หน้าประตูตามคาด ท่าทางเหมือนจิ๊กโก๋ข้างถนนไม่มีผิด แม่ผมพูดอยู่บ่อยๆ ว่าผมกับพี่สาวเกิดมาสลับเพศกัน ผมก็รู้สึก แบบนั้นเหมือนกัน ผู้หญิงที่นิสัยเหมือนผู้ชายคนนั้นเป่าหมากฝรั่งรสองุ่น อยู่หน้าประตู แล้วเธอก็ยกมือขวาขึ้นมาช้าๆ “เค้ก” เธอพูดกับผมเบาๆ มือของเธอหิ้วกล่องเค้กสีฟ้าเล็กๆ มีกลิ่น หอมหวานโชยออกมา เหตุการณ์แบบนี้เกิดบ่อยจนพวกเราชินเสียแล้ว พี่สาวของผมมีคน มารุมจีบมากมายตั้งแต่สมัยเรียนประถมฯ มีคนจีบก็ต้องมีของขวัญ เป็น แบบนี้ติดต่อกันมาหลายปี เริ่มตั้งแต่ผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กของเด็กๆ ตุ๊กตา กระดาษ จนตอนนี้มีกระทั่งคนแปลกหน้าที่เดินมาเสนอเงินเลี้ยงดูเธอ อ้อ ยังมีอีกอย่าง ผมลืมบอกไปเลย พี่สาวของผมเป็นสาวเทควันโด สายดำ ปี นี้ เ ธอเพิ่ ง ได้ แ ชมป์ เ ทควั น โดหญิ ง จากการแข่ ง ขั น ระหว่ า ง โรงเรียนด้วยนะ แม่มักจะพูดอยู่บ่อยๆ ว่า ไม่รู้ว่าสมองของพี่สาวผมเต็มไปด้วย อะไร ผมก็สงสัยเหมือนกัน “จะกินไม่กิน?” ลูกโป่งหมากฝรั่งแตกโป๊ะ แม่มดสายดำถามขึ้น อย่างหมดความอดทน ในสถานการณ์แบบนี้ผมควรจะรีบตอบเธอทันที ไม่อย่างนั้นสิ่งที่จะแตกต่อจากหมากฝรั่งก็ต้องเป็นหัวผมอย่างแน่นอน “กินฮะกิน ขอบคุณฮะพี่” กล่องเค้กที่ผมรับมาไม่หนักเท่าไหร่ ข้าง ในน่าจะเป็นเค้กขนาดหกปอนด์ ไม่รู้ว่าเจ้าทึ่มที่ไหนซื้อมาให้เธอ เธอตอบรับเบาๆ แล้วก็เดินลงบันไดไปอย่างไร้เสียงเหมือนตอนขามา ผมหันหลังกลับเข้าห้อง เท้าถีบประตูปิด มือทั้งสองจัดการแกะ
23
กล่องเค้ก ไม่น่าเชื่อ ข้างในเป็นเค้กวานิลลาหอมหวนที่ตกแต่งอย่างพิถีพิ ถัน ข้างบนมีชื่อร้านเค้กเล็กๆ ที่ใช้ช็อคโกแลตสีดำเขียนตัวหนังสือ ช่างดู เรียบหรูสะอาดตาจริงๆ กลับมาเรื่องเดิม ความจริงแล้วสิ่งที่พี่สาวผมเกลียดที่สุดก็คือเค้กนี่ แหละ มันตรงข้ามกับผมพอดี แต่ถึงพี่จะเกลียดแค่ไหน เวลามีคนให้เธอ เธอก็รับเอาไว้หมด แม่เคยเตือนเธอหลายครั้งแล้ว แต่เธอก็ยังทำหูทวน ลม เค้กกับคุ้กกี้จึงกลายเป็นของหวานประจำบ้านเราไปโดยปริยาย บอกตรงๆ นะ ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจพี่สาวผมสักเท่าไหร่
24