SOCIOLOGICAL AND ANTHROPOLOGICAL THOUGHTS
แนวคิดสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา รหัสวิชา 261124 ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2556 (สัปดาห์ที่ 14)
ทบทวน ความหมายมานุษยวิทยา จุรี จุลละเกศ (2516 : 1) ได้ให้ความหมายของมานุษยวิทยาว่า มุง่ ศึกษาเกี่ยวกับเรือ่ งราวของมนุษย์ ตลอดจนบรรดา ผลงานทัง้ หลาย ที่มนุษย์ได้สร้างสรรค์ข้ นึ เพื่อประโยชน์ในการเข้าใจ เรือ่ งราวของมนุษย์ได้กว้างขวางขึ้น และมีหลักเกณฑ์ยิง่ ขึ้น พจนานุกรมศัพท์สงั คมวิทยาอังกฤษ – ไทย (2524 : 21) ได้ ให้ความหมายของมานุษยวิทยาไว้วา่ มานุษยวิทยาเป็ นทัง้ วิทยาศาสตร์ ธรรมชาติและสังคมศาสตร์ แต่เดิมวิชานี้มกั จะศึกษาเฉพาะมนุษย์และ วัฒนธรรมยุคก่อนประวัตศิ าสตร์ ... แต่ในระยะหลังๆ นี้ ได้มแี นว โน้มทีจ่ ะขยายขอบเขตของมานุษยวิทยาไปรวมศึกษาเรือ่ งวัฒนธรรม ของทวีปอเมริกาและยุโรปปั จจุบนั มากยิง่ ขึ้น
• Technology & Innovation .. Media • Globalization • Westernization • Americanization • Similarity • Global Culture of Consumption
มานุษยวิทยาวัฒนธรรม นักมานุษยวิทยา ความแตกต่าง อดีต
• การล่าอาณานิคม • การสำารวจทางทะเล • ฯลฯ • ชนเผ่าพื้นเมืองมีความ หลากหลายทางวัฒนธรรม • เรี ยนรู้จกั กลุ่มพื้นเมือง
ความเหมือน ปั จจุบนั • วัฒนธรรม-เศรษฐกิจ-การเมือง
ลักษณะทางสังคมและวัฒนธรรม
• การเผยแพร่ เทคโนโลยี นวัตกรรม การสื่ อสาร • ฯลฯ • พลเมืองปราศจากหลากหลาย ทางวัฒนธรรม • รักษา+อนุรักษ์วฒั นธรรมของ กลุ่มพื้นเมืองไว้
การเปลีย่ นแปลงทางสังคม (1) (Change) คือ การทำาให้สงิ่ ต่างๆ เปลี่ยนไปจากทีเ่ ป็ นอยูเ่ ดิม การเปลีย ่ นแปลงทางสังคม (Social Change) หมายถึง การทีร่ ะบบสังคม กระบวนการแบบอย่างหรือรูปแบบทางสังคม เช่น ขนบธรรมเนียมประเพณี ระบบครอบครัว ระบบการปกครองได้เปลีย่ นแปลงไป ไม่วา่ จะเป็ นด้านใดก็ตาม การเปลีย่ นแปลงทางสังคมนี้อาจจะเป็ นไปในทางก้าวหน้าหรือถดถอย เป็ นไปได้ อย่างถาวรหรือชัว่ คราว โดยการวางแผนให้เป็ นไปหรือเป็ นไปเอง และทีเ่ ป็ น ประโยชน์หรือให้โทษก็ได้ทงั้ สิ้น (ราชบัณฑิตยสถาน, 2524) การเปลีย ่ นแปลงทางสังคมเกีย่ วข้องกับการพัฒนาชุมชน, แผนพัฒนา, ความทันสมัย, การพัฒนาสังคม, ผลกระทบต่อสังคม, การเปลีย่ นแปลง, การพัฒนา, สังคมเปลีย่ นแปลง, การพัฒนาสังคมของชุมชน การเปลีย ่ นแปลง
การเปลีย่ นแปลงทางสังคม (2) การเปลีย ่ นแปลงทางสังคมทำาให้เกิดการเปลีย่ นแปลงใน
1. ด้านเศรษฐกิจ 2. ด้านสังคม 3. ด้านวัฒนธรรม
ปั จจัยที่มีผลต่อการเปลีย ่ นแปลงทางสังคม
1. สภาพแวดล้อม ธรรมชาติ และประชากร 2. การพัฒนาเศรษฐกิจ 3. ทัศนคติ/ความเชือ่ ของคนในสังคม 4. การเคลือ่ นไหวทางสังคม 5. กระบวนการทางวัฒนธรรม*** 6. การประดิษฐ์ คิดค้นสิง่ ใหม่ๆ
3 ด้าน
การเปลีย่ นแปลงทางวัฒนธรรม (1) สุพศิ วง ธรรมพันธา (2538 : 68 อ้างอิงมาจาก Smelser, 1988 : 382) ได้ให้ความหมายไว้วา่ “การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม” เป็ นการ เปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับความรู ้ ความเชือ่ และลักษณะการแสดงออกของวิถี ชีวติ ทัว่ ไปในสังคม ผลของการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ทาำ ให้เกิดเทคโนโลยี ใหม่ทที่ าำ ให้เปลี่ยนแปลงวิถีใหม่มาให้ผคู ้ น เช่น ความก้าวหน้าของวิชาฟิ สกิ ส์ ทำาให้เกิดการผลิตระบบสือ่ สารทำาให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมกว้าง ขวางทัว่ โลก เป็ นต้น ณรงค์ เส็งประชา (2541 : 207) ให้ความหมายไว้วา่ “การ เปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม” เป็ นการเปลีย่ นแปลงสิง่ ที่มนุษย์กาำ หนดให้มี ขึ้นทัง้ สิง่ ที่เป็ นวัตถุและไม่ใช่วตั ถุทนี่ าำ เอามาใช้เป็ นองค์ประกอบในการดำาเนิน ชีวติ ร่วมกันในสังคม
การเปลีย่ นแปลงทางวัฒนธรรม (2)
พจนานุกรมศัพท์สงั คมวิทยา อังกฤษ – ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2532 : 99 – 100) ได้กาำ หนดความหมายไว้วา่ “การเปลี่ยนแปลงทาง วัฒนธรรม” หมายถึง การเปลีย่ นแปลงทีเ่ กิดขึ้นในวัฒนธรรมของประชาชาติ หนึ่งๆ ทัง้ วัฒนธรรมทางวัตถุและวัฒนธรรมทีไ่ ม่ใช่วตั ถุ แต่อตั ราการ เปลีย่ นแปลงของวัฒนธรรมสองประเภทนี้เป็ นไปไม่เท่ากัน โดยทัว่ ไปวัฒนธรรม ทีไ่ ม่ใช่วตั ถุเปลีย่ นแปลงช้ากว่า
เมื่อมีการเปลีย่ นแปลงทางวัฒนธรรม ก็จะมีการเปลีย่ นแปลงทางสังคมควบคูไ่ ปด้วย เช่น การประดิษฐ์ซงึ่ เป็ นผลทางวัฒนธรรมหลายอย่างด้วยกัน เช่น โทรศัพท์ รถยนต์ อินเตอร์เน็ต ฯลฯ ได้สร้างพื้นฐานการดำาเนินงานของคนในสังคม อันเป็ นอิทธิพลของ วัฒนธรรมทีม่ ีการเปลีย่ นแปลงทางสังคม ในทำานองเดียวกัน อิทธิพลของสังคมทีม่ ีตอ่ การเปลีย่ นแปลงทางวัฒนธรรม เช่น การทีส่ งั คมอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ถือว่า เศรษฐกิจสำาคัญกว่าเรือ่ งอืน่ ๆ ทำาให้ระบบค่านิยมในวัฒนธรรมเปลีย่ นแปลงไป
ลักษณะของการเปลีย่ นแปลงทางวัฒนธรรม 1.
การเปลี่ยนแปลงทีเ่ กิดขึ้นในสังคมหนึ่ง หรือในวัฒนธรรมหนึ่งเป็ นไปอย่างรวดเร็ว และสม่าำ เสมอ 2. การเปลี่ยนแปลงนัน ้ ไม่ได้เป็ นไปชัว่ ครัง้ ชัว่ คราว หรือเป็ นการเปลี่ยนแต่เฉพาะเรือ่ ง นัน้ ๆ โดยลำาพัง แต่การเปลีย่ นแปลงจะเกิดขึ้นในลักษณะของลูกโซ่ คือมีผลต่อเนื่องกัน เมื่อเป็ นเช่นนี้ผลของการเปลีย่ นแปลงก็มีแนวโน้มทีจ่ ะขยายออกไปในอาณาบริเวณกว้าง หรือแผ่ออกไปทัว่ โลก 3. การเปลี่ยนแปลงอาจเกิดได้ทก ุ สถานที่ และมีความสำาคัญต่อสังคมและวัฒนธรรม นัน้ ๆ การเปลีย่ นแปลงทีเ่ กิดขึ้นและผลของมันย่อมมีความสัมพันธ์กนั คือ ก่อให้เกิด การเปลีย่ นแปลงในด้านอืน่ ๆ ติดตามมาอีก 4. การเปลี่ยนแปลงมีผลกระทบกระเทือนถึงประสบการณ์ของปั จเจกบุคคล และการ หน้าทีท่ างสังคมอย่างกว้างขวาง คนทุกคนย่อมมีประสบการณ์เปลีย่ นแปลงอยูเ่ สมอ
กระบวนการเปลีย่ นแปลงทางวัฒนธรรม (1) การเปลีย ่ นแปลงทางวัฒนธรรม
จะขึ้นอยูก่ บั กระบวนการเปลีย่ นแปลงทาง ความคิดของมนุษย์ ซึง่ มีกระบวนการอีกหลายอย่างทีม่ ีอทิ ธิพลต่อ กระบวนการเปลีย่ นแปลงของความคิดของมนุษย์ คือ (ผจงจิตต์ อธิคมนันทะ, 2526 : 19) 1. การขอยืมวัฒนธรรมของสังคมอืน ่ (Cultural Borrowing) เป็ นการยืมหรือรับเอาแนวความคิด ค่านิยม เทคโนโลยี และวัตถุ ต่างๆ ของสังคมอืน่ เข้ามาใช้โดยพิจารณาว่าวัฒนธรรมเหล่านัน้ มีความ เหมาะสมกับสังคมของเราหรือไม่ เช่น การทีส่ งั คมไทยรับเอาเทคนิคการ ผลิตสินค้าโดยเครือ่ งจักร เข้ามาทำาให้เกิดการเปลีย่ นแปลงในวิธีการผลิต สินค้าในประเทศไทยอย่างมาก
กระบวนการเปลีย่ นแปลงทางวัฒนธรรม (2) การประดิษฐ์ (Invention) เป็ นการนำาเอาความรูท้ างเทคโนโลยี หรือ ความรูท้ างวิชาการทีม่ ีอยูแ่ ล้วมาผสมผสานกับความรูใ้ หม่ แล้วนำาเอาประดิษฐ์ เป็ นของใหม่ข้ นึ มา เช่น การนำาเอาเครือ่ งยนต์ทปี่ ระดิษฐ์ข้ นึ มาไปใส่ในเรือ ทำาให้ เกิดการประดิษฐ์เรือยนต์ข้ นึ มา เป็ นต้น นอกจากจะมีการประดิษฐ์ทางด้านวัตถุ แล้ว ก็ยงั มีการประดิษฐ์ทางด้านสังคม เช่น การจัดตัง้ รัฐบาล วัฒนธรรมและ การเมือง เป็ นต้น การประดิษฐ์เป็ นกระบวนการเปลีย่ นแปลงแบบค่อยเป็ นค่อย ไป และมีการผสมผสานปรับปรุงทีต่ อ่ เนื่องกัน เพื่อให้เหมาะสมกับความ ต้องการของสังคมมนุษย์มีความต้องการไม่ส้ นิ สุด
2.
3. นวกรรมหรือสิง่ ประดิษฐ์ใหม่ๆ (Innovation) หมายถึง พฤติกรรมหรือสิง่ ของซึง่ เป็ นทีส่ ร้างขึ้นหรือประดิษฐ์ข้ ึนมาใหม่ โดยไม่เคยมี มาก่อน มีรูปแบบ หรือปริมาณแตกต่างกันไปจากเดิม
กระบวนการเปลีย่ นแปลงทางวัฒนธรรม (3) การค้นพบ (discovery) หมายถึง การค้นพบข้อเท็จจริงทีไ่ ม่เคยรูจ้ กั มาก่อน หรือเป็ นการค้นพบสิง่ ทีม่ ีอยูแ่ ล้ว และสามารถนำาเอาสิง่ ทีค่ น้ พบนัน้ มาใช้ให้เกิด ประโยชน์แก่สงั คมได้ เช่น การค้นพบแก๊สในอ่าวไทย ซึง่ จะก่อให้เกิดประโยชน์ทางด้าน เศรษฐกิจแก่ประเทศไทยมาก การค้นพบเป็ นปั จจัยทีท่ าำ ให้เกิดการเปลีย่ นแปลงทางสังคม มาก เพราะผลของการค้นพบในด้านต่างๆ ได้ถูกนำามาใช้ในสังคม จึงทำาให้ความเป็ นอยูแ่ ละ ความสัมพันธ์ของคนในสังคมเปลีย่ นแปลงไปจากเดิมมาก 5. การกระจายทางวัฒนธรรม (Cultural diffusion) หมายถึง การทีว่ ฒ ั นธรรมจาก สังคมหนึ่งกระจายไปสูส่ งั คมอืน่ ส่วนใหญ่ของการกระจายการเปลีย่ นแปลงทางสังคม มักจะมี สาเหตุมาจากการกระจายของวัฒนธรรมของสังคมหนึ่ง ไปสูอ่ กี สังคมหนึ่ง หรือการกระจา ยกันภายในสังคมนัน้ ก็ได้ การกระจายทางวัฒนธรรมจะเกิดขึ้นเมื่อมีการปะทะสังสรรค์ ระหว่างวัฒนธรรมของแต่ละสังคม ตัวอย่างการกระจายทางวัฒนธรรมตะวันตกทีเ่ ข้ามาสู่ สังคมไทย เช่น การรับเอาเครือ่ งแต่งกายชุดสากลของผูช้ ายไทย หรือการนุ่งกระโปรงของ หญิงไทย
4.
แนวโน้มของกระบวนการเปลีย่ นแปลงทางสังคม (1) ในสังคมปั จจุบนั มีกระบวนการเปลีย่ นแปลงทางสังคมทีส่ าำ คัญเกิดขึ้นหลายลักษณะ ได้แก่ 1. การทำาให้เป็ นอุตสาหกรรม (Industrialization) หมายถึง กระบวนการ พัฒนาการเทคโนโลยี โดยการใช้วทิ ยาศาสตร์การประยุกต์ในการขยายผลิตกรรมขนาด ใหญ่ ด้านกำาลังเศรษฐกิจ เพื่อตลาดการค้าอันกว้างใหญ่โดยการใช้แรงงานทีช่ าำ นาญ เฉพาะอย่าง 2. การทำาให้เป็ นเมือง (Urbanization) หมายถึง กระบวนการทีช่ ม ุ ชนกลายเป็ น เมือง หรือการเคลือ่ นย้ายของผูค้ น หรือการดำาเนินกิจการงานเข้าสูบ่ ริเวณเมือง หรือ การขยายตัวของเมืองออกไปทางพื้นที่ การเพิ่มจำานวนประชากร หรือการดำาเนินกิจการ ต่างๆ มากขึ้น เช่น การขยายวิถีชวี ติ แบบชาวเมือง โดยการผ่านการแพร่ของไฟฟ้ า ถนนหนทาง และโทรทัศน์
แนวโน้มของกระบวนการเปลีย่ นแปลงทางสังคม (2) 3. การทำาให้ประชาธิปไตย (Democratization) ประชาธิปไตย หมายถึง ปรัชญาหรือระบบสังคมแบบหนึ่งทีเ่ น้นการทีป่ ระชากรมีสว่ นร่วม และควบคุมกิจการ ของชุมชนในฐานะเป็ นตัวเอง โดยไม่คาำ นึงถึงยศ สถานภาพ หรือทรัพย์สมบัติ 4. การแพร่ของการจัดองค์การสมัยใหม่ (Bureaucratization) หมายถึง การ แพร่ของระบบบริหารงาน โดยมีเจ้าหน้าทีต่ ามลำาดับขัน้ ซึง่ แต่ละคนต้องรับผิดชอบ ต่อผูบ้ งั คับบัญชาของตน โดยปกติมกั จะมีอยูใ่ นองค์การรัฐบาลในสาขาต่างๆ มีใน ธุรกิจ การอุตสาหกรรม การเกษตร สหภาพแรงงาน องค์การศาสนา และธนาคาร แต่การทีม่ ีกฎเฉพาะระเบียบตายตัวใช้ทวั่ ไป อาจทำาให้ลา่ ช้าไม่เต็มใจรับผิดชอบ
แนวโน้มของกระบวนการเปลีย่ นแปลงทางสังคม (3) 5.
กระบวนการสร้างคนชายขอบ (Marginalization) หมายถึง การ เปลีย่ นแปลงทางสังคมทีย่ งั ผลให้เกิดความเหลือ่ มล้าำ มากยิง่ ขึ้น โดยขณะทีเ่ กิดความ ทันสมัยในส่วนหนึ่งในสังคม แต่ก็ทาำ ให้คนอีกส่วนหนึ่งอยูห่ า่ งไกลจากการทีม่ ีสว่ นรับ ผลกระทบด้านลบของการเปลีย่ นแปลงไปทุกที ตัวอย่างเช่น การพัฒนาเมืองให้ เจริญในด้านต่างๆ ขณะเดียวกันก็สร้างแหล่งสลัมสำาหรับคนจำานวนมากด้วย การ พัฒนาชนบทให้ทนั สมัยด้วยไฟฟ้ า และถนน แต่ขณะเดียวกันก็เพิ่มคนทีย่ ากจนข้น แค้น จนต้องอพยพจากบ้านในชนบทไปรับจ้างในรูปแบบต่างๆ มากขึ้น 6. กระบวนการโลกาภิวตั น์ (Globalization) หมายถึง การทีส ่ งั คมโลกใน ปั จจุบนั มีระบบการติดต่อสือ่ สารกันอย่างมีประสิทธิภาพและทัว่ ถึง จนกระทัง่ กล่าว ได้วา่ เป็ นยุคของการทีโ่ ลกไร้พรมแดน การติดต่อระหว่างสังคมต่างๆ จึงกระทำาได้ ง่ายและรวดเร็ว ทำาให้การรับวัฒนธรรมระหว่างสังคมต่างๆ เกิดขึ้นได้ง่ายและ รวดเร็ว จึงทำาให้การเปลีย่ นแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมเกิดขึ้นได้
การผสมผสานทางวัฒนธรรม (1)
ACCULTURATION การผสมผสานทางวัฒนธรรม หมายถึง วิธีการทีจ่ ะรับเอาวัฒนธรรมของสังคมอืน ่ มา ประพฤติปฏิบตั ิ เช่น เมือ่ เราอยูส่ งั คมใด เราก็ตอ้ งเอา วัฒนธรรมนัน้ มาปฏิบตั ิ การผสมผสานก็จะเกิดขึ้น เช่น ถ้าจะรับเอาเด็กฝรัง่ มาอบรม เลี้ยงดูแบบไทย เด็กก็จะ มีลกั ษณะเหมือนคนไทย อันเนื่องมาจากผลของการเรียนรูท้ ีไ่ ด้รบั การอบรมสัง่ สอนมา ไม่วา่ จะโดยแบบรูต้ วั หรือไม่ก็ตาม นัน่ ย่อมแสดงว่า วัฒนธรรมมีอทิ ธิพลเหนือ ความคิดและพฤติกรรมของมนุษย์ในสังคมนัน้ ๆ การผสมผสานทางวัฒนธรรมจะมีมากเมือ ่ สังคมหนึ่งถูกรุกรานหรืออีกฝ่ ายหนึ่งชนะ พวกทีช่ นะจะพยายามบังคับพวกทีแ่ พ้ให้ปฏิบตั ติ ามแบบอย่างการดำารงชีวติ ของตน เช่น อังกฤษ ฝรัง่ เศส เมื่อยึดครองดินแดนตะวันออกและแอฟริกาใต้ได้ ก็ให้ชาวพื้นเมือง เรียนภาษาของตน อินเดีย พม่า มาเลเซีย จึงพูดภาษาอังกฤษได้ดี อย่างไรก็ตาม การถ่ายทอดทางวัฒนธรรมนี้ไม่จาำ เป็ นเสมอไปทีฝ่ ่ ายแพ้จะ รับเอาวัฒนธรรม ฝ่ ายชนะ ถ้าฝ่ ายชนะมีวฒ ั นธรรมด้อยกว่าอาจจะรับเอาวัฒนธรรม ฝ่ ายแพ้ก็ได้
การผสมผสานทางวัฒนธรรม (2) ACCULTURATION
การผสมผสานทางวัฒนธรรม
กระบวนการผสมผสานทางวัฒนธรรมไม่ใช่เรือ่ ง ง่ายดายเสมอไป บางคนอาจจะถ่ายทอดและรับง่ายกว่าบุคคลอืน่ หรือบางคน อาจจะต่อต้าน เช่น ชาวจีนในสหรัฐ มิได้ถูกกลืนหายไปในสังคมอเมริกนั เหมือน ชาติอนื่ ๆ การผสมผสานทางวัฒนธรรมมักจะเกิดขึ้นเมือ ่ สมาชิกของวัฒนธรรมหนึ่งเกิด ติดต่อเกี่ยวข้องกับสมาชิกของอีกวัฒนธรรมหนึ่งเป็ นเวลานาน ยกตัวอย่าง ชาวต่างขาติ ปฏิบตั ติ ามประเพณีไทย เช่น ขับรถทางซ้าย เข้าโบสถ์ถอดรองเท้า ซื้อของต้องใช้เงินไทย เป็ นต้น โดยทัว่ ไปการรับวัฒนธรรมของเราจากการ อบรมสัง่ สอน แต่เราจะรับเอาวัฒนธรรมคนอืน่ เกิดจากการติดต่อ จากการ เดินทาง จากการอยูต่ า่ งแดน จากหนังสือหรือข้อเขียน และจากวิธีการอืน่ ๆ
การผสมผสานทางวัฒนธรรม (3) (ACCULTURATION)
การผสมผสานทางวัฒนธรรม
หมายถึง การเชือ่ มต่อและก่อให้เกิดความเปลีย่ นแปลงใน วัฒนธรรมแต่ละฝ่ ายขึ้น กลายมาเป็ นวัฒนธรรมใหม่ทีย่ อมรับใช้รว่ มกัน การผสมผสานทาง วัฒนธรรม เป็ นรูปแบบหนึ่งของการติดต่อทางวัฒนธรรม เป็ นผลมาจากการทีป่ ั จเจกชน หรือกลุม่ คน ต่าง ๆ รับเอาวัฒนธรรมอืน่ ๆ มาเป็ นของตน เช่น กรณีการแต่งงานข้าม วัฒนธรรม กระบวนการบูรณาการของกลุม่ ชาติพนั ธุต์ า่ ง ๆ ปรากฏว่ามีอยู่ 2 รูปแบบ คือ 1. The Melting Pot หมายถึง กลุม ่ ชาติพนั ธุน์ นั้ ๆ จะสูญเสียอัตลักษณ์ทาง วัฒนธรรมของตนเองไปในทีส่ ุดเมื่อเวลาผ่านไปและจะผสมผสานเข้ากับวัฒนธรรมใหญ่ 2.
Culture Pluralism หมายถึง การยอมรับความแตกต่างทางวัฒนธรรมของกลุม่
ชาติพนั ธุต์ า่ ง ๆ ในสังคม การผสมผสานทางวัฒนธรรมอาจเกิดขึ้นในสภาพการณ์ทีถ่ ูก บังคับระหว่างการดำารงอยูข่ องกลุม่ ชาติพนั ธุน์ นั้ เช่น ความแตกต่างทางวัฒนธรรมและ ความขัดแย้งเชิงโครงสร้างของการเข้าถึงทรัพยากรในการผลิต อำานาจ ความรู ้ สิทธิ กฎหมาย และผูห้ ญิง เป็ นต้น
การต่อต้านและการยอมรับการเปลีย่ นแปลงทางวัฒนธรรม (1) ปรากฏการณ์ทางสังคมหรือวัฒนธรรมใหม่ๆ
ไม่ใช่วา่ จะได้รบั การยอมรับจากสังคม เสมอไป กระบวนการยอมรับสิง่ ใหม่ๆ บางครัง้ สิง่ นัน้ ได้รบั การยอมรับทัง้ หมด ยอมรับ บางส่วน หรือได้รบั การปฏิเสธไปเลย สังคมจะยอมรับสิง่ ใดเข้ามานัน้ ก็ตอ้ งผ่านการ เลือกสรรมาก่อนทัง้ สิ้น แต่อย่างไรก็ตาม อุปสรรคของการเปลีย่ นแปลงทางสังคมมีดงั นี้ คือ (สุพตั รา สุภาพ, 2522 : 154 – 156) 1. เจตคติและค่านิยมเฉพาะ (Specific Attitudes and Values) ในแต่ละสังคมจะมี ค่านิยมและเจตคติเฉพาะ ซึง่ มีสว่ นสัมพันธ์กบั กิจกรรมต่างๆ ในสังคม ความรูส้ กึ ชอบ หรือไม่ชอบของประชาชนเป็ นปั จจัยสำาคัญสำาหรับการเปลีย่ นแปลงทางสังคม เช่น ใน สมัยหนึ่งชาวชนชนบทไทยได้รบั แจกนมผงสำาเร็จรูป มาจากองค์การยูนิเซฟเพื่อนำามา เลี้ยงเด็กในชนบท ปรากฏว่าไม่ได้รบั การยอมรับจากชาวชนบท เพราะชาวชนบทในขณะนี้ ยังไม่รูจ้ กั ประโยชน์ของนมผงสำาเร็จรูป ซึง่ มีรสจืด แต่มีความคุน้ เคยกับนมข้นหวาน และ นิยมเอาเลี้ยงเด็กทัง้ ๆ ทีป่ ระโยชน์นอ้ ยกว่านมผงสำาเร็จรูปมาก ทัง้ นี้เนื่องจากเป็ นของ ใหม่ทยี่ งั ไม่เคยชิน จึงไม่ยอมรับเอาไปเลี้ยงดูบุตรหลานของตนแทนนมข้นหวาน
การต่อต้านและการยอมรับการเปลีย่ นแปลงทางวัฒนธรรม (2) 2.
การแสดงให้เห็นคุณประโยชน์ของสิง่ ใหม่ (Demonstrability or Innovations) การเปลีย่ นแปลงอะไรใหม่ๆ จะเป็ นทีย่ อมรับอย่างรวดเร็ว ก็ตอ่ เมื่อประชาชนเห็น ประโยชน์ของสิง่ นัน้ ได้งา่ ย เช่น การนำาเอาแทรคเตอร์เข้ามาใช้แทนแรงงานสัตว์ในการ ไถนาของชาวนาไทย ปรากฏว่าได้รบั การยอมรับอย่างกว้างขวาง เพราะแทรคเตอร์ ทำางานได้รวดเร็วมาก และชาวนาได้รบั ความสะดวกไม่ตอ้ งมีภาระในการเลี้ยงดูสตั ว์อกี ต่อไป 3. การสอดคล้องกับวัฒนธรรมที่มีอยู่เดิม (Compatibility with Existing Culture) สิง่ ใหม่หรือนวัตกรรมจะได้รบ ั การยอมรับได้ง่ายขึ้น ถ้าสิง่ นัน้ สอดคล้องกับ วัฒนธรรมเดิมของสังคมนัน้ เช่น ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม ได้รบั การยอมรับอย่าง รวดเร็วจากคนไทย เพราะว่าไปสอดคล้องกับปรัชญาการดำาเนินชีวติ ของชาวไทย ทีช่ อบ ความอิสระและเปิ ดโอกาสให้ทกุ คนได้แข่งขันกันอย่างเต็มที่ ดังคำากล่าวทีว่ า่ “ใครมือยาว สาวได้สาวเอา” อย่างไรก็ตามสิง่ ทีใ่ หม่ไม่ใช่วา่ จะดีทกุ อย่าง เพราะจะมีบางอย่างทีอ่ าจไม่ สอดคล้องเหมาะสมกับวัฒนธรรมเดิม
การต่อต้านและการยอมรับการเปลีย่ นแปลงทางวัฒนธรรม (3) 3.
การสอดคล้องกับวัฒนธรรมที่มีอยู่เดิม 3.1 สิง่ ที่เปลีย ่ นใหม่ อาจจะขัดแย้งกับแบบของความประพฤติแต่เดิม เช่น ในบางส่วนของ ทวีปเอเชีย และแอฟริกา ศาสนาอิสลาม ได้แพร่หลายเร็วกว่าศาสนาคริสต์ ทัง้ นี้ก็เพราะว่า หลักของคริสต์ศาสนา ขัดแย้งกับขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวพื้นเมืองทีอ่ นุญาตให้ผชู ้ าย มีภรรยาได้หลายคน แต่ศาสนาอิสลามสอดคล้องกับสิง่ ทีช่ าวพื้นเมืองยึดถืออยู่ 3.2 สิง่ ที่เปลีย ่ นใหม่ อาจจะสร้างแบบความประพฤติใหม่ ซึง่ ไม่เคยปรากฏในวัฒนธรรม เดิมทีย่ ดึ ถือปฏิบตั อิ ยู่ ปกติสงั คมจะยอมรับและใช้สิง่ ใหม่ตอ่ เมื่อเป็ นสิง่ ทีค่ ล้ายคลึงกับของเดิม แต่ถา้ ของเดิมใช้ไม่ได้ผลสังคมก็จะพยายามหาสิง่ ใหม่ทดี่ กี ว่ามาใช้แทน เช่น การสร้างบ้าน ด้วยคอนกรีตแทนไม้ ซึง่ เป็ นของทีห่ ายากราคาแพง คุณภาพก็สคู ้ อนกรีตเสริมเหล็กไม่ได้ เป็ นต้น 3.3 สิง่ ใหม่ที่เป็ นของทดแทน ไม่ใช่การเข้าไปผสมผสานจะได้รบ ั การยอมรับน้อย แต่ถา้ สิง่ ใหม่นนั้ เข้าไปผสมผสานกับวัฒนธรรมเดิมได้ง่าย สิง่ นัน้ จะได้รบั การยอมรับอย่างรวดเร็ว เช่น การแต่งกายตามแฟชัน่ จะเป็ นทีน่ ิยมอย่างแพร่หลายในหมูค่ นไทย ซึง่ มีคา่ นิยมยกย่องความ
การต่อต้านและการยอมรับการเปลีย่ นแปลงทางวัฒนธรรม (4) 4. ค่าในการเปลีย่ นแปลง (Costs of Change) การเปลีย่ นแปลงมักจะถูกตีคา่ ออกมา ทัง้ ทีเ่ ป็ นเงินตรา หรือค่าทางจิตใจ เพราะการเปลีย่ นแปลงบางอย่างเป็ นการทำาลายทัง้ ทาง ด้านวัฒนธรรมเดิม และความรูส้ กึ ของบุคคลด้วย เช่น การทีห่ ญิงไทยยอมไปเป็ นเมียเช่าของ ฝรัง่ นิโกรนัน้ จะเป็ นการเหมาะสมหรือคุม้ ค่ากันหรือไม่ ต่อศักดิศ์ รีของหญิงไทย ถ้าพิจารณา แล้วว่าคุม้ ค่า การยอมรับก็จะเกิดขึ้นได้ง่ายแต่ถา้ ไม่คมุ ้ ค่าการยอมรับอาชีพเมียเช่าของหญิง ไทยก็คงจะไม่เกิดขึ้น นอกจากนี้ยงั มีสิง่ อืน่ ๆ ทีเ่ ป็ นปั ญหาต่อการเปลีย่ นแปลงคือ 4.1 อุปสรรคทางเทคนิคในการเปลีย ่ นแปลง มีขอ้ น่าสังเกตว่ามีสงิ่ ใหม่ๆ ไม่มากนักที่ สามารถนำาไปผสมผสานกับวัฒนธรรมเดิม สิง่ ใหม่สว่ นมากทำาให้วฒั นธรรมเดิมเปลีย่ นไป การทีจ่ ะเอาสิง่ ใหม่ไปผสมผสานกับวัฒนธรรมนัน้ ต้องอาศัยเทคนิคและวิธกี ารอีกมาก ทำาให้ ไม่สะดวก จึงมักจะไม่ได้รบั การยอมรับ 4.2 กลุ่มผลประโยชน์จะขัดขวางการเปลีย ่ นแปลงทางสังคม เพราะถ้าสังคมเปลีย่ นแปลง หรือมีการยอมรับสิง่ ใหม่ข้ นึ มาใช้ กลุม่ บุคคลทีไ่ ด้รบั ผลประโยชน์อยูเ่ ดิมจะต่อต้าน เพราะเกิด สูญเสียผลประโยชน์ ตัวอย่างเช่น ในชนบททีม่ ีหมอแผนโบราณ เมื่อนำาเอาวิธกี ารรักษาโรค แบบสมัยใหม่เข้ามาเผยแพร่ ก็มกั จะได้รบั การขัดขวางจากกลุม่ ของหมอแผนโบราณ
ผลของการเปลีย่ นแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม (1) การเปลีย ่ นแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม
มีผลต่อมนุษย์และสังคมหลายประการ ดังนี้ 1. ทำาให้มนุษย์เกิดความสะดวกสบายในด้านต่างๆ เช่น การประดิษฐ์เครือ่ งมือเครือ่ งใช้ และสิง่ ต่างๆ ขึ้นเพื่อใช้งานแทนมนุษย์ เป็ นต้น 2. ทำาให้เกิดการขยายตัวทางด้านการผลิตสินค้าและสิง่ ต่างๆ มากขึ้น สินค้าอุปโภคและ บริโภคจึงมีเพียงพอแก่สมาชิกในสังคม 3. ทำาให้เกิดการวางแผนพัฒนาสังคม เพื่อความเป็ นอยูท ่ ีส่ ะดวกสบายขึ้นของมนุษย์ 4. ทำาให้มนุษย์ในแต่ละสังคมเกิดการเรียนรู ้ และแลกเปลีย ่ นวัฒนธรรมกันขึ้น และมีผล ทำาให้วถิ ีชวี ติ ของมนุษย์เปลีย่ นแปลงไปจากเดิม 5. ทำาให้เกิดความล้าหลังทางวัฒนธรรมขึ้นได้ หากอัตราการเปลีย ่ นแปลงระหว่าง วัฒนธรรมทางวัตถุกบั วัฒนธรรมทีไ่ ม่ใช่วตั ถุเกิดขึ้นไม่เท่ากัน เช่น มีถนน มีรถยนต์ทีท่ นั สมัย แต่คนในสังคมไม่ปฏิบตั ติ ามกฎหมายจราจร เป็ นต้น
การล้าหลังทางวัฒนธรรม (CULTURE LAG)
William F. Ogburn ให้ความหมายว่า
“การล้าหลังทางวัฒนธรรม หมายถึง สถานการณ์ซงึ่ ส่วนใดส่วนหนึ่งของการล้าหลังทางวัฒนธรรมอยูห่ ลังอีกอันหนึ่งและ ก่อให้เกิด การขาดดุลและความไม่กลมกลืนขึ้นในสังคม” สังคมทีเ่ ป็ นระเบียบเรียบร้อยดีนน ั้ ส่วนประกอบต่าง ๆ ของวัฒนธรรมจะต้องเจริญก้าวหน้า พร้อม ๆ กันไปหมดทุกด้านและส่วนต่าง ๆ เหล่านัน้ จะมีความสัมพันธ์ตอ่ กันเป็ นอย่างดี เพื่อ ธำารงไว้ซงึ่ ความเป็ นระเบียบของสังคม การเปลีย่ นแปลงของวัฒนธรรมทางวัตถุจะล้าำ หน้าการ เปลีย่ นแปลงของวัฒนธรรมทีไ่ ม่เกี่ยวกับวัตถุ จึงเกิด “การล้าหลังทาง วัฒนธรรม” เช่น ความเจริญของระบบอุตสาหกรรม ซึง่ เป็ นความเจริญก้าวหน้าของ วัฒนธรรมทางวัตถุ มีสว่ น ช่วยให้มนุษย์ได้รบั ความสะดวกสบาย แต่ขณะเดียวกัน วัฒนธรรมทีเ่ กี่ยวข้องกับการจัด ระเบียบโรงงานอุตสาหกรรมยังล้าหลังอยู่ ซึง่ ก่อให้เกิดปั ญหาการขัดแย้งระหว่างนายจ้างกับ ลูกจ้าง ปั ญหาการคุม้ ครองแรงงาน เป็ นต้น หรือในสังคมไทยมียวดยานพาหนะอันเป็ นความ เจริญทางวัตถุอย่างมากมาย แต่วฒ ั นธรรมทางจิตใจ คือ มรรยาทการขับรถแย่มาก
ผลของการเปลีย่ นแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม (2) การเปลีย ่ นแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม
มีผลต่อมนุษย์และสังคมหลายประการ ดังนี้ 6. ทำาให้เกิดความไม่เป็ นระเบียบทางสังคม เพราะเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และวัฒนธรรมขึ้นนัน้ คนในสังคมบางส่วนสามารถปรับตัวให้เข้ากับการ เปลีย่ นแปลงได้ แต่บางส่วนไม่สามารถปรับตัวได้ จึงนำาไปสูก่ ารต่อต้านการเปลีย่ นแปลง ก่อให้เกิด ความขัดแย้งกันขึ้น และนำาไปสูค่ วามไม่เป็ นระเบียบทางสังคมขึ้น 7. ทำาให้เกิดปั ญหาสังคมขึ้นได้ ถ้าหากว่าการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมนัน ้ ทำาให้คนในสังคมมีพฤติกรรมทีเ่ บี่ยงเบนไปจากปกติ เช่น มลพิษ อาชญากรรม ยาเสพติด เป็ นต้น 8. ทำาให้สงั คมทีม ่ ีวฒ ั นธรรมเหนือกว่าได้เปรียบสังคมที่มีวฒ ั นธรรมด้อยกว่า หรือเกิด การด้อยพัฒนาและการพึ่งพาขึ้น ซึง่ ทำาให้สงั คมในโลกขาดความเสมอภาคและ ความเป็ นธรรม
พหุวฒ ั นธรรมนิยม (1)
(MULTICULTURALISM) การดำารงอยูร่ ว่ มกันของวัฒนธรรมทีห ่ ลากหลายของกลุม่ คน
ชนชัน้ ชาติพนั ธุ ์ เพศ ท้องถิ่น ฯลฯ ในสังคมทีม่ ีความสลับซับซ้อน อันเนื่องมาจากการอพยพผูค้ นและแรงงาน การเคลือ่ น ย้ายทางสังคม การผสมกลมกลืน การปรับตัว ความขัดแย้ง และปั ญหาต่างๆ เช่น การมี ส่วนร่วมทางการเมือง สิทธิและความเสมอภาค สังคมพหุวฒ ั นธรรม (Multicultural Society) คือ สังคมทีม่ ีบุคคลหลากหลาย ครอบครัว หลายเชื้อชาติ หลายศาสนา หลายชนชัน้ มาอยูร่ ว่ มกันอย่างสันติสุข ไม่มีการแบ่ง แยก ชนชัน้ และสังคมพหุวฒ ั นธรรม ก่อให้เกิดปั ญหาความขัดแย้งได้ พหุสงั คม พหุวฒ ั นธรรมในสังคมไทย 1. พหุลกั ษณ์ (Plurality) ทางความคิด การยอมรับความต่าง การดำารงอยูข่ องส่วนที่ ต่าง กลับปรากฏในช่วงการปฏิรูปการเมืองในปี 2540 พหุลกั ษณ์ทางด้านสังคม ความต่างในกลุม ่ คนในท้องถิ่นต่าง ๆ อาชีพ ชนชัน้ เมืองต่าง ๆ
พหุวฒ ั นธรรมนิยม (2)
(MULTICULTURALISM) การรับรองพหุนิยมทางวัฒนธรรมก็คอื การรับรองหลักเกณฑ์วา่
ไม่มีตน้ แบบแบบ อเมริกนั (Americanization) เพียงแบบเดียว พหุนิยมทางวัฒนธรรมเป็ น มากกว่าการปรับตัวชัว่ คราว เพื่อทีจ่ ะทำาให้ชนกลุม่ น้อยทางชาติพนั ธุแ์ ละเชื้อชาติสงบลง มันเป็ นแนวคิดทีม่ ุง่ หมายจะไปสูค่ วามรูส้ กึ ตระหนักถึงการดำารงอยู่ และความเป็ นหนึ่ง เดียวกันของสังคมทัง้ หมด อันมีรากฐานอยูบ่ นความเข้มแข็งของทุก ๆ ส่วน จาก แนวคิดเช่นนี้ ได้ทาำ ให้เกิดการปรับนโยบายครัง้ ใหญ่จาก การผนวกรวม (assimilation) เป็ นการประสานรวม (integration) ซึง่ ถูกนำาไปใช้ทงั้ ในอเมริกา และอังกฤษในลักษณะการยอมรับความแตกต่างภายในเอกภาพเดียวกัน
การบูรณาการทางวัฒนธรรม
(CULTURE INTEGRATION) เมื่อผูห้ ยิบยืมวัฒนธรรมของผูอ้ น ื่ กลับเข้าสูก่ ลุม่ เดิมของตน
วัฒนธรรมเดิมนัน้ ก็จะคงรูป แบบเดิมได้ดี แต่เมื่อออกมาพบปะกับคนวัฒนธรรมอืน่ อีกเขาจะผสมผสานเข้ากับ วัฒนธรรมใหม่ทมี่ าสัมผัสกันอีก การปลูกฝังวัฒนธรรมของตนมาดีแล้วการรับวัฒนธรรมใหม่ก็เป็ นไปได้คอ่ นข้างยากใน ทางตรงกันข้ามถ้าบุคคลนัน้ ได้รบั การปลูกฝังวัฒนธรรมอย่างหละหลวมการรับ วัฒนธรรมใหม่ก็เป็ นไปได้โดยง่าย วัฒนธรรมสองกลุม ่ ทีแ่ ตกต่างกันมาปฏิสมั พันธ์กนั มีการปรับตนเองให้เข้ากับ วัฒนธรรมทีม่ ีพลังมากกว่า เพื่อคงเอกลักษณ์ทางชาติพนั ธุ ์ หรือผสมกลมกลืนทาง วัฒนธรรม เกิดเป็ นวัฒนธรรมใหม่ทีย่ อมรับใช้กนั กระบวนการหล่อหลอมทางวัฒนธรรมจากรัฐ ได้แก่ 1. การกำาหนดนโยบายของรัฐ เช่น การศึกษา 2. การดำาเนินการภายใต้นโยบาย เช่นการส่งเสริมกิจกรรมต่างๆ 3. การยอมรับภายใต้กฎหมายของรัฐ
อ้างอิง พงศาพิชญ์. วัฒนธรรม ศาสนาและชาติพนั ธุ์: วิเคราะห์สงั คมไทย ในแนวมานุษยวิทยา. พิมพ์ครัง้ ที่ 5. กรุงเทพฯ: สำานักพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2541. อมรา พงศาพิชญ์. ความหลากหลายทางวัฒนธรรม (วิธีวิทยาและบทบาทใน ประชาสังคม). พิมพ์ครัง้ ที่ 3. กรุงเทพฯ: สำานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย, 2545. อมรา