ระบอบสังคมการเมืองที่ขัดฝืนการเปลี่ยนแปลง คืออันตรายที่แท้จริง
ธงชัย วินิจจะกูล
Department of History University of Wisconsin-Madison, USA & Asia Research Institute National University of Singapore ปาฐกถาในรายการสนทนาเพื่อหารายได้ สนับสนุนการแก้ไขมาตรา 112 ตามข้อเสนอของนิติราษฎร์ จัดโดยกลุ่มเพื่อนรัฐธรรมนูญ 11 กุมภาพันธ์ 2555
1
เคยคิดไหมว่า อีก 50 ปีข้างหน้าประวัติศาสตร์จะ บั น ทึ ก ความขั ด แย้ ง ทางการเมื อ งในปั จ จุ บั น อย่ า งไร จะบันทึกความขัดแย้งกรณีมาตรา 112 ว่าสะท้อน ภาพใหญ่ ข องการเปลี่ ย นแปลงสั ง คมไทยอย่ า งไร ประวั ติ ศ าสตร์ จ ะมองย้ อ นกลั บ มาแล้ ว ประเมิ น และ วิ เ คราะห์ ป ั จ จุ บั น จากความรู ้ แ ละทั ศ นะของอนาคต อย่างไร
ารปฏิวัติ 2475 และปรีดี พนมยงค์ถูกใส่ร้ายเข้าใจผิดอยู่เป็นเวลา 30 กว่าปีจาก 2490 จนถึงประมาณ 2520 กว่าๆ ทุกวันนี้สังคมเข้าใจการปฏิวัติ 2475 และท่านปรีดีต่างจาก ช่วง 30 ปีนั้นอย่างลิบลับ 6 ตุลา 2519 ใช้เวลา 20 ปีจึงพอจะโงหัวขึ้นมาพูดได้เต็มปากว่าอาชญากรรมของรัฐ ไทย ในวันนั้นน่าอัปยศและยังรอการสะสาง ผิดลิบลับกับช่วงหลังเหตุการณ์ใหม่ๆ ซึ่งฆาตกร กลายเป็นวีรชน ได้รับการยกย่องจากคนส�ำคัญของสังคมไทยว่าช่วยก�ำจัดศัตรูของชาติ แม้เราจะบอกไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพรุ่งนี้ มะรืนนี้ ปีนี้ ปีหน้า หรือประมาณ 5-10 ปี ข้างหน้า แต่แนวโน้มกระแสความเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ ของสังคมไทยและของโลกในแง่ระบอบ การเมือง กลับพอจะมองออกได้ จิตร ภูมิศกั ดิไ์ ม่ใช่คนแรกและคนเดียวที่เกิดก่อนกาล แต่ทกุ ยุคสมัยมีคนจ�ำนวนหนึง่ ที่ เกิดก่อนกาล พยายามผลักดันการเปลี่ยนแปลง แต่กลับถูกท�ำร้ายท�ำโทษแทบไม่ได้ผุดได้เกิด ทว่าอนาคตพิสูจน์ว่าประวัติศาสตร์ยืนอยู่ข้างเขา ผู้เขียนเชื่อมั่นว่า นิติราษฎร์และคณะกรรมการรณรงค์เพื่อแก้ไขมาตรา 112 คือผู้กล้า ประเภทนี้ อนาคตจะพิสูจน์ว่าประวัติศาสตร์ของสังคมไทยยืนอยู่ข้างพวกเขา ผูเ้ ขียนขอเสนอว่า อีก 50 ปีขา้ งหน้า ประวัตศิ าสตร์จะอธิบายบริบทหรือภาพใหญ่ของ การเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน จะบันทึกถึงความขัดแย้งกรณีมาตรา 112 และจะอธิบายการฉุด รั้งขัดฝืนความเปลี่ยนแปลง ดังอธิบายในข้อเขียนชิ้นนี้ หมายเหตุ เอกสารนีค้ อื ฉบับเต็มของค�ำบรรยายซึง่ ต้องตัดให้สนั้ ลงตามเวลาทีก่ ำ� หนด แต่เนือ่ งด้วยเวลาตระเตรียมเอกสารนีม้ จี ำ� กัด ผูเ้ ขียนสามารถประมวลความคิดทีต่ อ้ งการน�ำเสนอได้ แต่ไม่สามารถท�ำเชิงอรรถอ้างอิงของเนือ้ หาสาระหลายแห่งทีผ่ เู้ ขียนเรียนรูจ้ าก ผลงานของผู้อื่นให้ถูกต้องเรียบร้อยได้ จึงขออภัยมา ณ ที่นี้ และผู้เขียนจะปรับปรุงให้สมบูรณ์ในโอกาสต่อไป หากผู้ใดจะน�ำ เอกสารนี้ไปใช้ สรุปความ หรือรายงานทางสื่อใดๆ ขอความกรุณากระท�ำด้วยความรับผิดชอบ ไม่บิดเบือนสาระหรือสื่อความ ผิดไปจากที่น�ำเสนอในที่นี้ 2
ข้อสังเกตต่อการปรับตัวและฉุดรั้งการ เปลี่ยนแปลงที่ผ่านมา ่อ นอื่ น ผู ้ เขี ย นขอตั้ ง ข้ อ สั ง เกตบางประการต่ อ การ ปรับตัวและฉุดรัง้ การเปลีย่ นแปลงทีผ่ า่ นมาในสังคมไทย 1. ถ้าหากเราไปถามใครก็ตามว่า สังคมควรรู้จัก ปรับตัวให้ทันความเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ทุกคนจะตอบว่า ควร แต่หากถามเฉพาะเจาะจงลงไปว่าควรปรับอะไรอย่างไร จะพบความเห็นต่างขัดแย้งกันเต็มไปหมด จนเกิดการต่อสู้ ระหว่างความคิดที่ต่างกันเป็นปกติตามแต่อุดมการณ์ ความรู้ ทัศนะ ประสบการณ์ ผลประโยชน์ วัย และ generation ก็มผี ลต่อ ความคิดเกี่ยวกับการปรับตัวเปลี่ยนแปลงเช่นกัน 2. แต่สังคมต่างๆ มีความสามารถจัดการความ ขัดแย้งชนิดนีไ้ ม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน ปัจจัยส�ำคัญของความ สามารถมากน้อย ก็คือ 2.1 กระบวนการที่เอื้ออ�ำนวยต่อการจัดการความ ขัดแย้งและการปรับตัว 2.1.1. เสรีภาพที่จะแสดงความคิดต่อสาธารณะ เป็น เงื่อนไขจ�ำเป็นเพื่อเปิดโอกาสให้คนที่เห็นความเปลี่ยนแปลง ไม่เหมือนกันมาบอกอธิบายต่อสังคมแต่เนิ่นๆ จึงจะปรับตัว ได้ทัน 2.1.2. ถกเถียงกันอย่างอารยชน ไม่ใช่หมายถึงพูดจา ภาษาดอกไม้ ดัดจริตจีบปากจีบคอ แต่หมายถึงไม่มีการ ใช้กำ� ลัง ไม่ขม่ ขูค่ กุ คามหรือดูถกู เหยียดหยามคนอืน่ ไม่เจตนา บิดเบือนท�ำร้ายกันอย่างไม่เป็นธรรมเพียงเพราะความคิดแตก ต่างกัน 2.1.3. ประชาธิปไตย แท้ที่จริงแล้วประชาธิปไตยไม่ได้ก�ำหนดว่าสังคม อุดมคติเป็นอย่างไร แต่ประชาธิปไตยคือกระบวนการใน อุดมคติ เหตุ ผ ลที่ ท� ำ ให้ ป ระชาธิ ป ไตยเป็ น กระบวนการใน อุดมคติ ก็เพราะสังคมยิ่งเติบโตก็ยิ่งมีความแตกต่างหลาก หลายมากขึน้ ทัง้ ความคิดและผลประโยชน์ ปัญหาไม่ใช่เพราะ มีคนเลวจึงเกิดความขัดแย้งแตกต่าง ต่อให้ทงั้ สังคมไม่มคี นเลว เลยแม้แต่คนเดียว ก็ยังมีความขัดแย้งแตกต่างกันในทุกเรื่อง ต่อให้ทุกคนเห็นแก่ผลประโยชน์ของชาติด้วยกันทั้งนั้นก็ยังมี ความขัดแย้งแตกต่างกันอยู่ดี
ประชาธิ ป ไตยคื อ กระบวนการที่ อ นุ ญ าตให้ ค วาม ขัดแย้งแตกต่างปะทะกันอย่างสันติ มีกติกา แล้วน�ำไปสู่การ ตัดสินใจ อีกทัง้ ยังสามารถตัดสินใจใหม่ได้หากพบว่าการตัดสิน ใจคราวก่อนผิดพลาด ประชาธิ ป ไตยไม่ ใช่ ก ารเลื อ กตั้ ง แต่ ด ้ ว ยมู ล เหตุ ดังกล่าวมาจนบัดนี้มนุษย์ค้นพบว่าการเลือกตั้งคือรูปแบบ การจัดการความแตกต่างอย่างเป็นธรรมทีส่ ดุ แก่ทกุ ฝ่าย ไม่ใช่ ระบอบที่ฝากความหวังกับผู้อ้างว่ามีคุณธรรมหรือปัญญา เป็นเลิศกว่าใครอื่น ไม่ใช่ 70/30 ไม่ใช่ธรรมิกสังคมนิยม ไม่ใช่ เผด็จการไม่ว่าทหาร หรือชนชั้นกรรมาชีพ 2.2. นอกจากเรื่องกระบวนการและกติกาแล้ว อีก ปัจจัยที่ส�ำคัญคือ สติปัญญาของสังคมนั้นๆ มีมากน้อยเพียง ใด มีวุฒิภาวะเพียงใดที่จะใชัปัญญาหาทางออกแก้ไขความ ขัดแย้ง ไม่ใช้อารมณ์ความเชื่อไม่มีเหตุผล หรือใช้กรรมวิธี อวิชชาอื่นๆ 3. ประวัติศาสตร์ของการปรับตัวครั้งใหญ่ๆ ใน สังคมไทย มักมีผลตามมาในลักษณะต่อไปนี้ 3.1. ปรับไม่ได้ เกิดความขัดแย้งรุนแรง สังคมไทยจะ กลบเกลื่อน ปล่อยผ่านไปโดยไม่สร้างบรรทัดฐานว่าอะไรถูก ผิด และไม่เรียนรู้ความผิดพลาดในอดีต 3.2. ปรับได้ปรับทัน จึงยึดติดกับความส�ำเร็จนั้น จน ระบอบดังกล่าวกลายเป็นอุปสรรคขัดขวางการเปลี่ยนแปลง ระลอกต่อมา ตัวอย่างเช่น การปรั บ ตั ว เข้ า สู ่ ส มั ย ใหม่ จ นส� ำ เร็ จ ภายใต้ รั ฐ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ส่งผลให้เกิดรัฐสมัยใหม่ ข้าราชการ และชนชั้นใหม่ซึ่งเรียกร้องต้องการความเปลี่ยนแปลงใน เวลาต่อมา แต่รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ฉุดรั้งขัดฝืนความ เปลี่ยนแปลง เกิดการปฏิวัติ 2475 การปรับตัวของรัฐไทยภายใต้ยุคสงครามเย็นและ เศรษฐกิจโลกยุคใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่สองท�ำได้ส�ำเร็จ ภายใต้เผด็จการ สร้างชนชั้นกลางที่เติบโตมากับการพัฒนา เศรษฐกิจสังคมซึ่งเรียกร้องต้องการประชาธิปไตยในเวลา ต่ อ มา แต่ รั ฐ เผด็ จ การยุ ค สงครามเย็ น ฉุ ด รั้ ง ขั ด ฝื น ความ เปลี่ยนแปลง เกิดการปฏิวัติ 14 ตุลา 2516 จะเห็นได้ว่าระบอบการเมืองที่ประสบความส�ำเร็จได้ เถลิงอ�ำนาจนาน มักสร้างพลังทางการเมืองอย่างใหม่ทเี่ ติบโต ขึ้นมาท้าทายระบอบการเมืองนั้นในเวลาต่อมา แต่ระบอบ การเมืองดังกล่าวกลับไม่เข้าใจความเปลี่ยนแปลง จึงฉุดรั้ง ขัดฝืนไม่ยอมปรับตัว 3
ผูเ้ ขียนเห็นว่าระบอบการเมืองปัจจุบนั ยึดติดกับความ ส�ำเร็จของตนระหว่าง 20-30 ปีก่อน แต่ก�ำลังถูกท้าทายโดย ผลพวงของความส�ำเร็จนั้น ระบอบการเมืองปัจจุบันกลับขัด ฝืนความเปลี่ยนแปลงที่ตนมีส่วนสร้างขึ้นมา นี่คือภาพใหญ่ภาพหนึ่งของกระแสความขัดแย้งและ วิกฤติการเมืองไทยในปัจจุบัน
มูลเหตุ 3 ประการ ของวิกฤติการเมืองปัจจุบัน ิกฤติของการเมืองที่สืบเนื่องมาจากความขัดแย้งตั้งแต่ ก่อนรัฐประหาร 2549 ยังคงปกคลุมสังคมไทยอยู่จน ทุกวันนี้ แต่เรายังอยู่ท่ามกลางวิกฤติ ใกล้ตัวเกินไปทั้งกาละ และเทศะ จึงมักมองเห็นแต่ปรากฎการณ์รูปธรรมระยะสั้นๆ ไม่ตระหนักถึงภาพใหญ่ของกระแสความเปลี่ยนแปลงระยะ ยาวที่ผลิตปรากฎการณ์รูปธรรมเหล่านั้นออกมา
และซื้อประชาชนที่โง่เขลาขาดการศึกษา ตามทัศนะนี้ไม่มี การเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ส�ำคัญใดๆ วิกฤติเป็นเรื่องของ ทุนสามานย์ นักการเมืองเลวๆ กับประชาชนโง่ๆ แต่การศึกษาทั้งโดยนักวิชาการไทยและเทศ อย่าง สมชัย ภัทระธีรานนท์ (ม. มหาสารคาม) พฤกษ์ เถาถวิล (ม. อุบลฯ) อภิชาติ สถิตนิรามัย (ธรรมศาสตร์) อรรถจักร สัตยานุรักษ์ (ม. เชียงใหม่) การวิเคราะห์ของ นิธิ เอียวศรีวงค์ และการวิจยั ต่อเนือ่ งเป็นระบบใน 10 ปีทผี่ า่ นมาโดย Andrew Walker (ANU) ล้วนยืนยันตรงกันว่า สังคมชนบทและหัวเมือง ของไทยเปลี่ยนไปอย่างมากมาตลอด 2 ทศวรรษที่ผ่านมา เราท่านเห็นอยู่ต�ำตา แต่เรานึกไม่ถึงว่าจะมีผลกระทบกลาย เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งส�ำคัญต่อประชาธิปไตยไทย กล่าวคือการเติบโตทางเศรษฐกิจหลังสงครามเย็น ในประเทศยุติลง (คือหลังการต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์) เกิดขึ้นพร้อมกับการปรับยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจครั้งส�ำคัญ ตั้งแต่ครึ่งหลังของทศวรรษ 2520 คือหันมาเน้นการส่งออก ประสบความส�ำเร็จสูงต่อเนื่องมาถึงวิกฤติปี 2540 และแม้จะ เสียหายหลายปีแต่โดยภาพรวมสามารถกลับฟื้นมาได้ ความ เติบโตตลอดช่วงนี้พลิกโฉมชนบทและหัวเมืองทั่วประเทศ การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไม่กระจุกตัวอยู่แค่กรุงเทพฯ ปริ ม ณฑล หรื อ ศู น ย์ ก ลางของภู มิ ภ าคอย่ า งการพั ฒ นา เศรษฐกิจและสังคมในรอบก่อนหน้านั้น
หากเราถอยออกมาสั ก นิ ด มองกระแสความ เปลี่ยนแปลงในมุมกว้างขึ้นระยะยาวขึ้น ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าจะ เป็นมุมมองต่อปัจจุบนั ในอีก 50 ปีขา้ งหน้า เราจะเห็นว่าวิกฤติ ปัจจุบนั เป็น perfect storm ทีเ่ กิดจากมูลเหตุหลักๆ 3 ประการ I) สังคมไทยเปลี่ยนไปแล้ว เกิดพลังใหม่ทางการ เมืองที่หนุนประชาธิปไตย II) ระบบอบเมืองประชาธิปไตยใต้บงการอ�ำมาตย์ พยายามฉุดรั้งไม่ยอมปรับตัว III) ความไม่แน่นอนของสภาวะปลายรัชกาล
I) สังคมไทยเปลีย่ นไปแล้ว เกิดพลังใหม่ทางการเมือง
ไม่กี่ปีมานี้ มีการศึกษาจ�ำนวนไม่น้อยที่พยายาม อธิบายความส�ำเร็จของทักษิณ ความเข้าใจทัว่ ๆ ไปโดยเฉพาะ อย่างยิง่ ฝ่ายทีเ่ ห็นทักษิณเป็นปีศาจ จะอธิบายว่าความส�ำเร็จ มาจากเงิน เงิน เงิน ที่ซื้อได้ทั้งนักการเมืองเลวๆ มาเข้าค่าย 4
ผลที่ส�ำคัญคือวิถีชีวิตของผู้คนในชนบทและหัวเมือง เปลี่ยนไปมาก เข้าถึงการศึกษาระดับสูง เกิดการขยับชั้นทาง สังคม ความสัมพันธ์ระหว่างเมือง-ชนบทเปลี่ยนไป ผู้คนรู้จัก แสวงโอกาสทางเศรษฐกิจ สร้างตัวเอง มิใช่รอการสงเคราะห์ จากรัฐอีกต่อไป ทั้งรู้จักการต่อรองต่อสู้เพื่อทรัพยากรจาก ภาครัฐด้วย Walker เรียกปรากฎการณ์นี้ว่า ชนบทกลายเป็น ชนชั้นกลางไปหมด
ผลกระทบส�ำคัญทางการเมืองคือผู้คนที่แต่ก่อนเคย อยูน่ อกวงการเมือง ไม่ได้รบั ดอกผลของระบอบประชาธิปไตย แบบเลือกตัง้ เท่าทีค่ วร (เพราะการเมืองระดับชาติเป็นเรือ่ งของ คนกรุงและผู้มีอันจะกิน) กลับเปลี่ยนพฤติกรรมขนานใหญ่ เพราะเขาตระหนักว่าการเลือกตั้งคือช่องทางที่เขาสามารถ ดึงทรัพยากรจากนโยบายและโครงการของรัฐบาลที่เขาเลือก ให้กลับมาเป็นประโยชน์แก่ท้องถิ่นของเขาได้ การเลือกตั้ง คือช่องทางที่ชนชั้นกลางรากชนบทเหล่านี้ใช้เอาชนะระบบ ราชการและรัฐที่เอียงเข้าข้างคนกรุงมาตลอด ดั ง นั้ น ความส� ำ เร็ จ ของทั ก ษิ ณ ไม่ ใช่ เรื่ อ งของทุ น สามานย์ ห ลอกลวงประชาชนโง่ ๆ แต่ เ ป็ น เพราะความ เปลี่ยนแปลงของสังคมไทย สร้างพลังทางการเมืองอย่างใหม่ ขนาดใหญ่มหึมาขึ้นมา ซึ่งต้องการระบบประชาธิปไตยแบบ เลือกตั้ง พลังทางการเมืองอย่างใหม่นี้เปิดช่องแก่ใครก็ได้ที่ มองเห็นโอกาสนี้และมีความสามารถสร้างนโยบายที่เหมาะ สม ก็จะกลายเป็นผู้ชนะในระบอบรัฐสภา ภายใต้เงื่อนไขทาง เศรษฐกิจสังคมเช่นนี้ปรากฏการณ์ทักษิณจึงเกิดได้
กล่ า วอี ก อย่ า งก็ คื อ ทั ก ษิ ณ ไม่ ไ ด้ ซื้ อ อ� ำ นาจจาก ชาวบ้านโง่ๆ แต่พลังทางการเมืองอย่างใหม่ที่สนับสนุน ระบอบประชาธิปไตยต่างหากที่สร้างทักษิณขึ้นมา ความเปลี่ยนแปลงระดับพื้นฐานเช่นนี้ไม่ใช่ปรากฎ การณ์ชั่ววูบชั่วคราว ไม่ใช่ผลของยุทธวิธีทางการเมืองหรือ เงิน แต่เป็นความเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีทางย้อนกลับได้อีกแล้ว แต่ผู้ครอบง�ำได้เปรียบในระบอบการเมืองปัจจุปันไม่ เข้าใจความเปลี่ยนแปลงนี้ นักวิชาการและสื่อมวลชนจ�ำนวน มากไม่เข้าใจ พวกเขาคิดว่าก�ำจัดปีศาจทักษิณแล้วทุกอย่างก็ จะย้อนกลับไปเป็นอย่างเก่า พวกเขาไม่เห็นว่าประชาธิปไตย แบบอ�ำมาตย์ซึ่งครอบง�ำการเมืองไทยมา 40 ปี ก�ำลังขัดฝืน ความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยระดับพื้นฐาน
II) ประชาธิปไตยแบบอ�ำมาตย์ไม่ยอมปรับตัว
ผู ้ เขี ย นเคยเรี ย กระบอบประชาธิ ป ไตยที่ ค รอบง� ำ สังคมไทยอยูท่ กุ วันนีว้ า่ เป็น “ประชาธิปไตยแบบหลัง 14 ตุลา” สาระส�ำคัญที่สุดคือเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาที่ มีพวกกษัตริย์นิยมอยู่ “เหนือ” หรืออยู่ข้างบนของระบอบ การเมืองที่มาจากการเลือกตั้งอีกชั้นหนึ่ง แต่ไม่กี่ปีมานี้มีการใช้ค�ำว่า “อ�ำมาตย์-ไพร่” ซึ่งมิได้ หมายถึงการแบ่งชนชัน้ ตามกฎหมายในอดีต แต่เป็นการเทียบ เคียงการแบ่งชั้นชนตามสถานะและอ�ำนาจของยุคปัจจุบัน ผูเ้ ขียนเห็นว่าค�ำว่า “อ�ำมาตย์-ไพร่” เชิงเทียบเคียงมีประโยชน์ ต่อการเข้าใจระบอบการเมืองปัจจุบันอย่างมาก โดยมิได้ หลงคิดว่าเหมือนระบบศักดินาในอดีตแต่อย่างใด แต่กลับ ชี้ให้เห็นมรดกของการแบ่งชั้นชนที่ยังคงมีอยู่อยู่หนาแน่นใน สังคมไทยในปัจจุบนั เป็นอย่างดี ผูเ้ ขียนจึงขอเปลีย่ นค�ำรุม่ ร่าม “ประชาธิปไตยแบบหลัง 14 ตุลา” เป็นค�ำว่า “ประชาธิปไตย แบบอ�ำมาตย์” แทน ระบอบประชาธิปไตยแบบอ�ำมาตย์ มีรากเหง้ามาจาก ความปรารถนาของฝ่ายเจ้าที่พ่ายแพ้เมื่อ 2475 จึงเรียกได้ว่า เป็นมรดกหนึง่ ของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อุดมคติของ พวกเขาหรือความฝันของ «ชาวน�้ำเงินแท้» คือต้องการฟื้น พระราชอ�ำนาจของพระมหากษัตริย์อยู่เหนือประชาธิปไตย รัฐสภาที่ประชาชนเลือกตั้ง พวกเขาเข้าใจประวัติศาสตร์ตาม ลัทธิราชาชาตินิยมที่เชื่อว่าประชาธิปไตยที่พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ก�ำลังจะพระราชทานคือประชาธิปไตยทีเ่ หมาะสม กับสังคมไทย แต่ถูกคณะราษฎรชิงสุกก่อนห่ามไปเสียก่อน ความคิดของพวกเขาเผยตัวเป็นรูปธรรมครั้งแรกใน ช่วงสั้นๆ ที่ฝ่ายเจ้ามีโอกาสทางการเมืองหลังการรัฐประหาร 2490 ความคิดนี้เติบโตขึ้นมากช่วงต้นทศวรรษ 2510 โดย นั ก วิ ช าการเสรี นิ ย มของยุ ค นั้ น ที่ ไ ม่ พ อใจเผด็ จ การทหาร จึงพยายามแสวงหาทางเลือกอื่น ประสานกับ ปั ญญาชน อนุรักษ์นิยมซึ่งเผยแพร่ประชาธิปไตยในอุดมคติของฝ่ายเจ้า ในเวลานั้ น ฝ่ า ยกษั ต ริ ย ์ นิ ย มเติ บ โตขึ้ น อี ก ครั้ ง ด้ ว ยความ ร่วมมือและอุปถัมภ์ของระบอบสฤษดิ์ โดยรวมศูนย์อยู่ที่การ สร้างสถาบันกษัตริย์อย่างใหม่ที่สาธารณชนนิยมและเป็น ประชาธิปไตย (แบบอ�ำมาตย์) ประชาธิ ป ไตยแบบอ� ำ มาตย์ จึ ง แยกไม่ อ ออกจาก สถาบั น กษั ต ริ ย ์ ที่ มี คุ ณ สมบั ติ จ� ำ เป็ น ในแบบหนึ่ ง ซึ่ ง พวก กษัตริยน์ ยิ มเพียรสร้างขึน้ มาในรัชกาลปัจจุบนั และแยกไม่ออก จากการฟื้นฟูและส่งเสริมลัทธิกษัตริย์นิยมอย่างขนานใหญ่ ในสังคมไทย 5
จุดพลิกผันที่เปิดโอกาสให้พวกกษัตริย์นิยมสามารถ ปักหลักในระบบการเมืองไทยได้คอื การลุกขึน้ สูข้ องประชาชน ต่อต้านระบอบเผด็จการทหารเมื่อ 14 ตุลา 2516 ระบอบประชาธิ ป ไตยแบบอ� ำ มาตย์ เริ่ ม มาตั้ ง แต่ เหตุการณ์คราวนั้น แม้ว่าจะต้องฝ่าด่านอุปสรรคหลายอย่าง กว่าจะสถาปนาอ�ำนาจน�ำได้อย่างแท้จริง ด่านแรก คือการ ท้าทายของกระแสสังคมนิยม รวมทั้งความกลัวว่าการปฎิวัติ อินโดจีนจะแผ่ลามเข้ามาในประเทศไทย ฆาตกรรมเมื่อ 6 ตุลา 2519 เป็นการร่วมมือของทุกฝ่ายที่ต่อต้านคอมมิวนิสต์ คื อ ทั้ ง เผด็ จ การทหารและพวกกษั ต ริ ย ์ นิ ย มที่ พ ยายาม สถาปนาประชาธิปไตยอ�ำมาตย์ (เห็นได้จากแผนบันได 16 ปี สู่ประชาธิปไตยของธานินทร์ กรัยวิเชียร นายกรัฐมนตรี พระราชทานหลังฆาตกรรมที่ธรรมศาสตร์) ด่านที่สอง ซึ่งโหดเหี้ยมทารุณน้อยกว่าฆาตกรรม ประชาชนในที่แจ้ง แต่กินเวลายาวกว่าและหลายยก คือการ ต่อสูก้ บั อ�ำนาจทหาร กล่าวอย่างรวบรัดได้วา่ เริม่ จากการสยบ ทหารให้เป็นรองนับจาก 14 ตุลา แม้จะไม่ราบรืน่ เป็นบางช่วง ก็ตาม ยุคประชาธิปไตยครึ่งใบคือความร่วมมือระหว่างพวก กษัตริย์นิยมและภาคประชาชนเพื่อลดทอนบทบาทอ�ำนาจ ทหารลงเรื่อยๆ แม้จะไม่ราบรื่นแต่ลงท้ายการต่อสู้รอบนี้จบ 6
ลงในเหตุการณ์พฤษภา 2535 กองทัพถอยออกจากการเมือง หมายถึง กองทัพสยบยอมอยู่ภ ายใต้อ�ำนาจของระบอบ ประชาธิปไตยแบบอ�ำมาตย์ คือเป็นประชาธิปไตยรัฐสภา มี การเลือกตั้ง โดยมีพวกกษัตริย์นิยมอยู่ชั้นบนเหนือระบบ รัฐสภาอีกที นับจาก 2516 เป็นต้นมา ระบอบประชาธิปไตยจึง เป็นแบบไทยๆ มาตลอด ไม่ใช่เพิง่ จะเกิดขึน้ หลัง 2549 ผูแ้ ทน ประชาชนถูกจ�ำกัดบทบาท ต้องยอมรับอ�ำนาจกองทัพและ อ�ำมาตย์ทั้งโดยเปิดเผยและโดยนัย ระบอบรัฐสภาอ่อนแอ ตั้งแต่พรรคการเมืองจนถึงสถาบันรัฐสภา หากมองในแง่ฐานพลังทางการเมืองในสังคมไทย อาจกล่าวได้วา่ ยังไม่มพี ลังใดทีเ่ ข้มแข็งใหญ่โตพอทีจ่ ะหนุนให้ เกิดระบอบประชาธิปไตยนอกอุ้งเท้าอ�ำมาตย์ จนกระทั่งการ เปลีย่ นแปลงทางเศรษฐกิจสังคมที่กล่าวถึงเป็นมูลเหตุข้อแรก หลั ง รั ฐ ประหาร 2549 พวกกษั ต ริ ย ์ นิ ย มโฆษณา ประชาธิปไตยแบบไทยๆ มิใช่เพราะพวกเขาพยายามสร้าง สิง่ ใหม่ แต่เป็นการเรียกร้องให้ยดึ มัน่ อยูก่ บั ประชาธิปไตยแบบ อ�ำมาตย์ อย่าเฉไฉ ออกนอกลู่นอกทางอย่างยุคทักษิณ แต่ พวกเขาไม่เข้าใจว่า ทักษิณมิได้เป็นผู้สร้างความเปลี่ยนแปลง เขาเป็นแค่ผู้คว้าโอกาสจากความเปลี่ยนแปลงระดับพื้นฐาน
ของสังคมได้ก่อนใครอื่น ผู้เขียนเชื่อว่าทักษิณมิได้ตระหนัก ด้วยซ�้ำไปว่า ตนเป็นผลผลิตของความเปลี่ยนแปลงที่ตนก็ ควบคุมไม่ได้และไม่ได้สร้างขึ้นมา ไม่ได้คิดว่าปรากฎการณ์ รูปธรรมของความขัดแย้งกับอ�ำมาตย์ที่เขาประสบอยู่เป็นแค่ ยอดภูเขาน�้ำแข็งของความเปลี่ยนแปลงระดับรากฐานที่ใหญ่ กว่านั้น ผู้คนโดยทั่วไปจนบัดนี้ก็ยังไม่เห็นไม่เข้าใจ พวกกษั ต ริ ย ์ นิ ย มที่ ค รองอ� ำ นาจผ่ า นระบอบ ประชาธิ ป ไตยอ� ำ มาตย์ ม องไม่ เ ห็ น ว่ า ความเปลี่ ย นแปลง ระดับพืน้ ฐานของสังคมเกิดขึน้ ในช่วงเวลาทีป่ ระชาธิปไตยแบบ อ�ำมาตย์สถาปนาอ�ำนาจนั่นแหละ ระบอบการเมืองของพวก เขาสร้างพลังการเมืองอย่างใหม่ขึ้นมา และพลังใหม่นี้เองที่ ก�ำลังท้าทายระบอบการเมืองของพวกเขา ต้องการออกจาก ใต้อุ้งเท้าของพวกเขา แต่กลับเห็นว่าปัญหาทุกอย่างเป็นแค่ เรื่องของความฉ้อฉลของนักการเมืองทุนสามานย์ที่มักใหญ่ ใฝ่สูงกับประชาชนโง่ๆ ที่ตกเป็นเครื่องมือ พวกเขาไม่รู้ว่าระบอบประชาธิปไตยแบบอ�ำมาตย์ ก�ำลังฉุดรั้งขัดฝืนการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีทางย้อนกลับได้อีก แล้ว และการฝืนความเปลี่ยนแปลงของพวกเขาคืออันตราย ต่อสังคมไทย อันตรายเกิดขึ้นแล้วในการรัฐประหาร 2549 การ ปราบปรามประชาชนเมื่อเดือนเมษา-พฤษภา 2553 และอีก หลายเหตุการณ์รวมทั้งการคุกคามต่อต้านผู้ที่ต้องการแก้ไข มาตรา 112
III) สภาวะปลายรัชกาล
ระบอบประชาธิปไตยแบบอ�ำมาตย์นับจาก 2516 เติบโตขึ้นมาได้ด้วยปัจจัยจ�ำเป็น 2 อย่าง คือ หนึ่ง สถาบัน กษั ต ริ ย ์ แ บบที่ แ ยกไม่ อ อกจากพระมหากษั ต ริ ย ์ พ ระองค์ ปัจจุบัน และ สอง ลัทธิ Hyper-royalism ที่เติบโตขึ้นมาอย่าง มากใน 40 ปีที่ผ่านมา ทั้ง 2 ปัจจัยอิงแอบซึ่งกันและกัน ผู้เขียนจะกล่าวถึง Hyper-royalism 40 ปีที่ผ่านมาใน หัวข้อต่อไป ในที่นี้เรามาพิจารณากันก่อนว่าปัจจัยแรกเป็น 1 ใน 3 ของสาเหตุของ Perfect Storm อย่างไร 10 ปีทผี่ า่ นมา คนจ�ำนวนมากในสังคมไทยตระหนักดี ถึงการเปลี่ยนแปลงส�ำคัญต่อทั้งสังคมที่ก�ำลังจะเกิดขึ้น คือ การสืบราชสมบัติ สมมติ ว่ า ไม่ มีประชาธิปไตยแบบอ�ำมาตย์นับ จาก 2516 ไม่มีการอ้างสถาบันกษัตริย์เป็นแหล่งความชอบธรรม ของอ�ำนาจ ไม่มีอ�ำนาจของพวกกษัตริย์นิยมเหนือระบบ ประชาธิปไตยรัฐสภา การสืบราชสมบัติและคุณสมบัติของ พระมหากษัตริย์พระองค์ปัจจุบันหรือพระองค์ต่อไปย่อม
ไม่มผี ลใดๆ ต่ออ�ำนาจทางการเมืองและย่อมไม่เป็นส่วนหนึง่ ของวิกฤติทางการเมือง ไม่เป็นประเด็นที่ผู้คนต้องวิตกซุบซิบ นินทากันทั้งบ้านทั้งเมือง แต่ความจริงคือระบอบประชาธิปไตยแบบอ�ำมาตย์ อิงแอบอวดอ้างสถาบันกษัตริย์อย่างมาก จึงท�ำให้การสืบ ราชสมบัติกลายเป็นเรื่องส�ำคัญมาก เพราะย่อมมีผลต่อ การเมืองและสังคมทัง้ ระบบและโดยเฉพาะต่อพวกกษัตริยน์ ยิ ม เอง การซุบซิบนินทาจึงหนาหูอย่างยิ่งในหมู่อ�ำมาตย์นั่นเอง ประชาธิปไตยแบบอ�ำมาตย์ของพวกกษัตริย์นิยมคือ ตัวการใหญ่ที่สุดที่ดึงเอาสถาบันกษัตริย์มาผูกกับการเมือง และคือสาเหตุที่ท�ำให้การสืบราชสมบัติเป็นประเด็นขึ้นมา อย่างไม่ควรจะเป็น ถ้ามูลเหตุ I คือ เงื่อนไขพื้นฐานของสังคมที่เปลี่ยนไปแล้ว หยุดไม่ได้ ห้ามไม่ได้ ถ้ามูลเหตุ II คือ ระบอบการเมืองที่ฉุดรั้งขัดฝืนข้อ I มูลเหตุ III คือ ชนวนที่จุดประทุความขัดแย้งจนระเบิดขึ้นมา ในเวลาปัจจุบัน หมายความว่าถ้าไม่มี III ความขัดแย้งระหว่าง I กับ II อาจมีเวลายื้อยุดกันอีกนานพอควร ถ้าไม่มี III พวกกษัตริยน์ ยิ มคงไม่เห็นทักษิณเป็นปีศาจ หรือคงไม่กล่าวหาเหลวไหลว่า ทักษิณเหิมเกริมอยากเป็นใหญ่ แต่เพราะ III พวกกษัตริย์นิยมจึงวิตกว่าจะสูญเสียอ�ำนาจใน วันพรุ่ง วิตกว่าทักษิณจะเป็นตัวแปรที่มีอ�ำนาจมากไปในการ สืบราชสมบัติที่ก�ำลังจะเกิดขึ้น พวกเขามองทุกอย่างด้วย แว่นของ III ทั้งๆ ที่ความขัดแย้งรากฐานคือ I กับ II การมองเห็นและเข้าใจว่าสังคมเปลี่ยนไปแล้วไม่ใช่ เรือ่ งง่าย แต่พวกกษัตริยน์ ยิ มไม่ตระหนักแม้กระทัง่ ว่า ระบอบ ที่เขาปรารถนาให้คงอยู่ถาวรนั้นอิงอยู่กับพระองค์ปัจจุบัน เท่านั้น ไม่ก่อนและไม่หลังไปจากรัชกาลนี้ ไม่ว่าพระมหา กษัตริย์องค์ต่อไปจะเป็นใครก็ตาม ทัง้ มูลเหตุ I และ III จึงไม่อยูข่ า้ งระบอบประชาธิปไตย แบบอ�ำมาตย์เลย ถ้าไม่ปรับตัว สถาบันกษัตริยก์ บั ระบอบประชาธิปไตย จะไปด้วยกันไม่ได้ 7
ปรับตัวหมายความว่าอะไร
ารปรับตัวหมายถึงอย่างน้อยต้องท�ำให้สถาบันกษัตริยไ์ ม่ ขัดฝืนกับระบอบประชาธิปไตย ต้องท�ำให้สถาบันกษัตริย์ อยูใ่ ต้รฐั ธรรมนูญและอ�ำนาจของประชาชนอย่างแท้จริง ต้อง ไม่มกี ารอ้างอิงสถาบันกษัตริยเ์ ป็นแหล่งอ�ำนาจอีกต่อไป ต้อง ไม่มีพวกกษัตริย์นิยมอยู่ชั้นบนเหนือระบอบรัฐสภาที่มาจาก ประชาชน ไม่กปี่ ที ผี่ า่ นมา นักลัทธิกษัตริยน์ ยิ มเสนออย่างโจ่งแจ้ง ว่า ระบอบการเมืองที่พวกเขาต้องการคือลดประชาธิปไตย เพิ่มพระราชอ�ำนาจ ข้อเสนอเช่นนั้นจะยิ่งผลักให้สถาบัน กษัตริย์ขัดแย้งกับกระแสความเปลี่ยนแปลงหนักยิ่งขึ้นไปอีก และจะเป็นอันตรายของสถาบันกษัตริย์เอง ยังมีความเข้าใจผิดอยู่มากว่าระบอบประชาธิปไตย เป็นเรือ่ งของฝรัง่ ส่วนของไทยคือพระราชอ�ำนาจ การเลือกตัง้ เป็นวิธีฝรั่ง การสรรหาแล้วแต่งตั้งคนดีมีคุณธรรมเป็นวิธี ของไทย แท้ที่จริงแล้วกระแสประชาธิปไตยมีรากฐานอยู่ที่ วิวัฒนาการทางสังคมไม่ว่าชาติไหน ไม่ว่าจะเรียกชื่อว่าอะไร ก็ตามที สาระทีแ่ ท้จริงของประชาธิปไตยคือ เป็นกระบวนการ (วิธีการ) ที่เปิดโอกาสให้พลังทางการเมืองต่างๆ มาปะทะ ต่ อ รองอ� ำ นาจกั น ในกรอบกติ ก าอย่ า งสั น ติ ไม่ ว ่ า จะเป็ น พลังทางการเมืองเก่าหรือใหม่ ชนชั้นสูงหรือต�่ำ รวยหรือจน ไม่ว่าอ�ำมาตย์หรือไพร่ เสรีนิยมหรืออนุรักษ์นิยม รักเจ้ามาก น้อย หรือไม่รักเลย กระบวนการนี้จึงไม่มีจุดหมายตายตัว แต่ เปิดรับพลังต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมไปได้เรื่อยๆ ประชาธิปไตยตามอุดมคติจึงเป็นวิธีการ (means) ที่ เอื้ออ�ำนวยต่อการเปลี่ยนแปลงปรับตัวของสังคม ลดความ ขัดแย้งรุนแรงทีเ่ กิดจากกลุม่ อ�ำนาจเก่ายึดมัน่ เคยตัวคิดว่าตน ควรมีอำ� นาจอย่างถาวร ไม่วา่ จะเป็นเผด็จการทหาร กรรมาชีพ หรือพวกกษัตริย์นิยม รัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งล้วนเป็นรูปธรรมของ วิธีการในอุดมคตินี้ มนุษยชาติยังไม่ค้นพบวิธีการที่ดีกว่านี้ หรือสังคมยังเปลี่ยนไปไม่ถึงจุดที่สามารถมีวิธีการอื่นที่ดีกว่า นี้มาทดแทน ดังนั้นประชาธิปไตยจึงไม่ใช่เรื่องของฝรั่งหรือไทย แต่เป็นกระบวนการวิธีการที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นมาจัดการ กับอ�ำนาจในสังคมที่แตกต่างและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สังคมไทยก็แตกต่างและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเช่นกัน มิใช่ สังคมหรือชุมชนเล็กๆ ทีผ่ คู้ นมีผลประโยขน์เหมือนๆ กันและ คิดคล้ายๆ กันอีกต่อไป สังคมไทยเต็มไปด้วยความแตกต่าง ขัดแย้งซับซ้อน ต่อให้ทุกคนในสังคมไทยเป็นคนดีมีคุณธรรม 8
ไม่มคี นเลวเลยแม้แต่คนเดียว ก็ยงั มีความแตกต่างขัดแย้งอยูด่ ี จึงต้องอาศัยวิธกี ารประชาธิปไตยมาจัดการความขัดแย้งทีเ่ ป็น เรื่องปกติของสังคม ประชาธิปไตยแบบไทยๆ หรือความเชื่อในพระราช อ�ำนาจว่าจะจัดการความขัดแย้งแตกต่างได้ จึงเป็นความ เพ้ อ เจ้ อ ที่ จ ะยิ่ ง ดึ ง สถาบั น กษั ต ริ ย ์ เข้ า ไปยุ ่ ง เกี่ ย วกั บ ความ แตกต่างขัดแย้ง ยิ่งสังคมเติบโตแตกต่างมาก การหวังพึ่ง พระราชอ�ำนาจจะยิ่งท�ำให้สถาบันกษัตริย์ตกอยู่ในอันตราย มากขึ้น ผู้เขียนเคยตั้งค�ำถามตั้งแต่หลังรัฐประหาร 2549 ใหม่ๆ (ในบทความ “สัมฤทธิผลนิยม” พ.ย. 2549) ว่า “ฤๅ นี้ จะเป็นอภิชนาธิปไตยขบวนสุดท้าย” ก็เพราะประชาธิปไตย แบบไทยๆ ที่หลายท่านอวดอ้างจะผลักสถาบันกษัตริย์เข้า ชนกับประชาธิปไตย ในเมื่ อ เราห้ า มหรื อ หยุ ด การเปลี่ ย นแปลงไม่ ไ ด้ (พระพุทธองค์สอนไว้ 2600 ปีพอดีในปีนี้) ทางออกจึงมีทาง เดียวคือปรับตัว ขอยืมค�ำของเกษียร เตชะพีระ เมื่อไม่กี่ วันก่อนมากล่าวอีกทีว่า นี่ไม่ใช่เสนอให้ล้มเจ้า แต่ต้องการ ล้มการอ้างอิงสถาบันกษัตริย์เพื่อเถลิงอ�ำนาจ ฉุดรั้งท�ำร้าย ประชาธิปไตยและท�ำร้ายประชาชน นี่คือทางออกเดียวที่จะช่วยให้การสืบราชสมบัติไม่ เป็นปัญหา ไม่เป็นประเด็นที่ต้องวิตกกังวล ไม่เป็นเหตุให้ องคมนตรี ขุนทหาร อดีตนายกฯ หรือผู้มีอ�ำนาจคนใดต้อง ซุบซิบเรื่องนี้ให้ทูตอเมริกันรายงานจนรู้กันทั่วโลกอีก นี่เป็นทางออกเดียวที่สังคมไทยสามารถอยู่ร่วมกัน ได้ ระหว่างคนที่รักเจ้ามากด้วยศรัทธาโดยไม่ต้องมีเหตุผล เลยแม้แต่นิดเดียว กับคนที่รักด้วยเหตุผล กับคนที่ไม่ค่อย รักเท่าไหร่แต่เคารพคนที่ยังรักอยู่ และกับคนที่ไม่รักเลย ถ้า ความรักเจ้ามากน้อยกว่ากันไม่ใช่ปญ ั หาอีกต่อไป ก็ไม่ตอ้ งเสีย งบประมาณไปซื้อเครื่องล่าแม่มดตามปิดเวบไซต์ คนไทย สามารถอยู่ร่วมกันได้โดยไม่ต้องไล่ใครออกไปไหน ไม่ต้อง หยาบคายล่วงเกินพ่อแม่คนอื่น ไม่ต้องมีนักสื่อสารกษัตริย์ นิยมเที่ยวล่าแม่มด ไม่ต้องแขวนคอใคร ไม่ต้องเผาคนทั้งเป็น แถมนี่ยังเป็นหนทางที่จะรักษาสถาบันกษัตริย์ใน ระบอบประชาธิปไตยด้วย
Hyper-royalism 1
เพียงแค่นี้ก็น่าจะพอเห็นแล้วว่า การใช้มาตรา 112 เป็ น เครื่ อ งมื อ ค�้ ำ จุ น ระบอบที่ ขั ด ฝื น ต่ อ การเปลี่ ย นแปลง ยิ่งท�ำให้ทุกอย่างเลวร้ายลง ดังนั้นการเสนอแก้ไขมาตรา112 คือความพยายามหนึง่ ทีจ่ ะปลดล็อกการขัดฝืนระหว่างสถาบัน
กษัตริย์กับประชาธิปไตย แต่ผู้เขียนอยากจะน�ำเสนอประเด็นใหญ่อีกเรื่องเพื่อ ที่จะเข้าใจปัญหาของมาตรา 112 โดยเฉพาะยิ่งขึ้น ผู้เขียน เห็นว่าสภาวะที่ท�ำให้มาตรานี้กลายเป็นจุดของการปะทะ ขั ด ฝื น กั น ระหว่ า งสถาบั น กษั ต ริ ย ์ กั บ ประชาธิ ป ไตย คื อ สภาวะ Hyper-royalism Hyper-royalism มีลกั ษณะกว้างๆ 5 ประการ ดังต่อไปนี้ 1) สภาวะที่ลัทธิกษัตริย์นิยมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ ชีวติ ปกติทางสังคมและชีวติ ประจ�ำวันของปัจเจกชนอย่างมาก ยิง่ กว่ายุคใดๆ ในประวัตศิ าสตร์ คือ เข้มข้นกว่ายุคราชาธิปไตย หรือยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และเข้มข้นขึน้ เป็นล�ำดับตลอด 40 ปีที่ผ่านมา ดัชนีประการหนึ่งที่บ่งชี้สภาวะดังกล่าวคือ ปริมาณ พื้นที่และเวลาของชีวิตประจ�ำวันและประจ�ำปีที่ลัทธิกษัตริย์ นิยมเข้าครอบครอง หลั ก ฐานชั ด ๆ คื อ ปริ ม าณของกิ จ กรรมของทุ ก หน่วยงานทั้งเอกชนและราชการ รายการโทรทัศน์ วิทยุ สื่ อ มวลชนทั้ ง หลายที่ เ กี่ ย วข้ อ งกั บ สถาบั น กษั ต ริ ย ์ พิ ธี
เฉลิมฉลองครบรอบวาระส�ำคัญทัง้ หลายทีเ่ กีย่ วข้องกับสถาบัน กษัตริย์ทั้งชนิดประจ�ำปีและชนิดพิเศษเฉพาะปี ถูกผลิตขึ้น มากมายถี่ยิบในเกือบ 40 ปีที่ผ่านมา ส่วนมากเป็นประเพณี ประดิษฐ์ (invented traditions) คือ อ้างว่าเป็นของเก่าแต่ที่ จริงผลิตขึ้นใหม่ นี่คือการเข้าครอบครองกาละและเทศะของชีวิตปกติ อย่างเข้มข้นขึ้นทุกที จนพื้นที่และเวลาของปัจเจกชนและของ สังคมไทยที่ปลอดจากลัทธิกษัตริย์นิยมเหลือน้อยลงทุกที 2) การยกย่องพระมหากษัตริยแ์ ละพระราชวงศ์อย่าง เหลือเชื่อเหนือมนุษย์ เกินพอเหมาะพอควร เกินงามและ เกินจ�ำเป็น อาจมีผู้แย้งว่าเป็นการยกย่องตามธรรมเนียม แต่การเชิดชูบูชาพระมหากษัตริย์ในสมัยก่อนเป็นส่วนหนึ่ง ของพิธีกรรมตามธรรมเนียมโบราณ ส่วนการยกยอปอปั้น ในปัจจุบันเป็นการสร้างอภิมนุษย์ตามค่านิยมของกระฎุมพี สมัยใหม่ Hyper-royalism คือการประจบสอพลอของยุค 40 ปีมานี้เอง คงไม่จำ� เป็นต้องยกตัวอย่างความสอพลอทีม่ มี ากมาย จนเป็นปกติและการแข่งกันว่าใครจะสอพลอได้น่ามหัศจรรย์ กว่ากัน นักลักธิกษัตริย์นิยมไม่ตระหนักว่าความสอพลอ พรรค์นี้เป็นลบมากกว่าบวก อีก 50 ปีข้างหน้าการสอพลอ เหล่านี้จะเป็นเรื่องตลกที่น่าสมเพชในประวัติศาสตร์ 3) สถาบันกษัตริยก์ ลายเป็นสิง่ ศักดิส์ ทิ ธิข์ นึ้ ทุกที ความ สัมพันธ์กบั ประชาชนอาศัยศรัทธาและความเหลือเชือ่ มากขึน้ ทุกที การใช้เหตุผลความเข้าใจลดน้อยถอยลงทุกที ความ จงรักภักดีเป็นความสัมพันธ์ทางสังคมน้อยลง แต่กลับเป็น ความสัมพันธ์ที่มนุษย์มีต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นทุกที ลัทธิ กษัตริย์นิยมเปลี่ยนจากอุดมการณ์ทางการเมืองและสังคม กลายเป็นลัทธิความเชื่อ เป็นกึ่งศาสนา หรือเป็น religiosity ประเภทหนึง่ ไปแล้ว2 religiosity ชนิดนีไ้ ม่ใช่ศาสนา เพราะเป็น มากกว่าและน้อยกว่าศาสนา อาทิ เช่น กลายเป็นส่วนหนึ่ง ของความมั่นคงของชาติด้วย ลัทธินี้ไม่ยอมให้เสรีภาพในการ นับถือหรือไม่นับถืออย่างศาสนา ไม่ยอมให้มีการแสดงความ ศรัทธาต่างระดับกันได้อย่างศรัทธาต่อศาสนา3 หากน�ำข้อ 1 และ 2 มาพิจารณาประกอบกับข้อ 3 นี้ จะพบว่าการยกย่องเกินสมควรได้กลายเป็นธรรมเนียมการ แสดงความจงรักภักดีที่เข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ ในชีวิตปกติ มี ธรรมเนียมใหม่ๆ และข้อห้ามใหม่ๆ ที่ผลิตขึ้นมาเร็วๆ นี้มาก
1
ผู้เขียนยังหาค�ำแปลที่เหมาะสมไม่ได้ ค�ำว่าคลั่งเจ้าน่าจะใช้กับ Ultra-rayalismซึ่งน่าจะหมายถึงคนจ�ำนวนหนึ่งที่ขยันขันแข็งกับการโจมตีล่าท�ำร้า ยผู้ที่คิดต่าง แต่ Hyper-royalism เป็นภาวะที่เกิดขึ้นทั่วทั้งสังคมและผู้คนจ�ำนวนมหาศาลยอมรับเข้าร่วม ผู้เขียนเคยใช้ค�ำแปลว่า “กษัตริย์นิยมล้น เกิน” ซึ่งยังน่าจะใช้ได้อยู่ แต่ประดักประเดิดทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน
9
ขึ้นเรื่อยๆ มีเกณฑ์ที่บังคับให้ผู้คนต้องปฎิบัติตามเพิ่มขึ้นและ พิสดารขึน้ ทุกที ยิง่ ส่งผลให้ลทั ธิกษัตริยน์ ยิ มเข้าควบคุมกระทัง่ พฤติกรรมและร่างกายของเรา (เช่น จะใส่เสือ้ สีอะไรไปท�ำงาน) ทั้งในที่สาธารณะและในปริมณฑลส่วนตัว ทั้งบนแผ่นดินไทย และไม่ว่าที่ไหนในโลก มาตรการบังคับสามารถตามไปหลอก หลอนให้เราต้องระวังตัวทุกขณะ 4) มีกฎหมายและมาตรการทางสังคมบังคับให้ต้อง แสดงความนับถืออย่างไม่มีข้อยกเว้น และยิ่งนานวันก็ยิ่ง บังคับให้ต้องแสดงความนับถือแบบเดียวกันเหมือนๆ กัน ใน ขณะทีส่ งั คมยอมรับการนับถือศาสนาต่างกันและความเคร่งไม่ เท่ากันได้ แต่สงั คมไทยท�ำร้ายผูท้ ถี่ กู หาว่านับถือเจ้าไม่มากเท่า มาตรฐาน ฆ่าได้ ไล่ออกนอกประเทศได้ ไม่รบั เข้ามหาวิทยาลัย ได้ หรือท�ำร้ายในรูปอืน่ ๆ ซึง่ คนไทยไม่ทำ� ต่อผูท้ นี่ บั ถือศาสนา ต่างๆ กันมากน้อยไม่เท่ากัน มาตรา 112 คือ “เสา” หรือหลักค�้ำยันการบังคับทาง สังคมในข้อนี้ ซึ่งจะกล่าวในหัวข้อถัดไป 5) Hyper-royalism 40 ปีที่ผ่านมามิใช่แค่ผลงานของ รัฐเท่านั้น แต่เป็น religiosity ที่ภาคเอกชนและสาธารณชน ร่วมผลิต ร่วมผลิตซ�้ำ และร่วมควบคุมบงการกันเอง รัฐไม่ ต้องท�ำเองทั้งหมด กิจกรรมที่เข้าครอบครองเวลาและพื้นที่ ของชีวิตเราจ�ำนวนมากเป็นเรื่องของประชาสังคมท�ำกันเอง เอกชนร่วมผลิตและหมุนเวียนลัทธิกษัตริย์นิยมจนกลายเป็น สินค้าได้ (commodification of royalism) แต่สินค้าดังกล่าว อยู่ในสภาวะศักดิ์สิทธิ์ (ท�ำนองเดียวกับพระเครื่อง) ที่เราต่าง เข้าถึงได้ดว้ ยตัวเอง (open access and consumption) ไม่ตอ้ ง อาศัยพิธีกรรม และไม่ได้จ�ำกัดอยู่ในมือของพระราชวังอีกต่อ ไป magic ยิง่ หมุนเวียนหลายรอบและถีข่ นึ้ ก็ยงิ่ เพิม่ มูลค่าของ 2
magic ให้กระจายทั่วไปในวงกว้างกว่ายุคใดในอดีต ดังนั้นจึง ไม่แปลกที่ชุมชนนิยมเจ้าท�ำการควบคุมบงการประชาชนเอง เพื่อสนองความเชื่อและตัวตนของตนเอง สภาวะ Hyper-royalism ทั้ง 5 ประการไม่ได้จู่ๆ เกิด ขึน้ ชัว่ ข้ามคืน แต่มวี วิ ฒ ั นาการและการเปลีย่ นแปลงเช่นกัน เรา คงต้องศึกษามากกว่านีจ้ งึ จะอธิบายได้ชดั เจน แต่ในทีน่ ขี้ อลอง เสนอประวัติศาสตร์ของ Hyper-royalism อย่างคร่าวๆ ดังนี้ Royalism ได้รับการฟื้นฟูจริงจังในยุคสฤษดิ์ทั้งโดย ปัจจัยการเมืองในประเทศที่ระบอบเผด็จการสฤษดิ์ร่วมมือ กับฝ่ายเจ้าในการโค่นรัฐบาลก่อนหน้านั้นลงไป ทั้งสองฝ่าย ต่างอาศัยซึ่งกันและกัน อีกปัจจัยส�ำ คัญคือการสนับสนุน ของสหรัฐอเมริกาซึ่งอาศัยลัทธิกษัตริย์นิยมในการต่อสู้กับ คอมมิวนิสต์ แต่ Hyper-royalism หรือ กษัตริย์นิยมอย่างเข้มข้น ล้นเกินดังที่อธิบายมาดูเหมือนจะเริ่มจากความหวาดกลัว คอมมิวนิสต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฎิวัติอินโดจีน 2518 ซึ่งรวมถึงความเชื่อว่าฝ่ายซ้ายในประเทศเป็นตัวแทน (proxy) ของคอมมิวนิสต์ตา่ งประเทศเพือ่ เข้ายึดครองประเทศไทยและ จะท�ำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ Hyper-royalism ระลอกแรกจึงได้แก่ประมาณ 25182520 และจนถึงสิ้นสุดภัยคุกคามของคอมมิวนิสต์ในประเทศ ลัทธิกษัตริย์นิยมถูกโหมประโคมอย่างหนัก ขบวนการลูกเสือ ชาวบ้านและฝ่ายขวาอีกหลายกลุ่มอ้างความจงรักภักดีเป็น แหล่งอ�ำนาจและได้รับการสนับสนุนจากพวกกษัตริย์นิยมทั้ง โดยเปิดเผยและในทางลับ ลงท้ายด้วยการฆ่าคอมมิวนิสต์ที่ ธรรมศาสตร์อย่างโหดร้ายทารุณ แม้วา่ Hyper-royalism ระยะ
ผูเ้ ขียนยังหาค�ำแปลทีเ่ หมาะสมไม่ได้ ค�ำว่าคลัง่ เจ้าน่าจะใช้กบั Ultra-rayalism ซึง่ น่าจะหมายถึงคนจ�ำนวนหนึง่ ทีข่ ยันขันแข็งกับการโจมตีลา่ ท�ำร้าย ผู้ที่คิดต่าง แต่ Hyper-royalism เป็นภาวะที่เกิดขึ้นทั่วทั้งสังคมและผู้คนจ�ำนวนมหาศาลยอมรับเข้าร่วม ผู้เขียนเคยใช้ค�ำแปลว่า “กษัตริย์นิยมล้น เกิน” ซึ่งยังน่าจะใช้ได้อยู่ แต่ประดักประเดิดทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน 3 สถาบันกษัตริยส์ มัยใหม่ฟน้ื ความศักดิส์ ทิ ธิส์ งู มากขึน้ มาได้อย่างไรยังต้องการการศึกษาและค�ำอธิบายมากกว่านี้ ปริศนาส�ำคัญอีกข้อของ Hyper-royalism กล่าวคือ สังคมไทยเป็นสังคมเปิด ต่างจากประเทศปิดอย่างเกาหลีเหนือหรือพม่าตลอดหลายสิบปีทผี่ า่ นมา สังคมไทยมีเสรีภาพในการเข้าถึงข่าวสารภายนอก และในประเทศพอสมควร มิได้ถูกตรวจสอบปิดกั้นเข้มข้นอย่างประเทศเผด็จการเบ็ดเสร็จ มีเสรีภาพในการบริโภคเต็มที่ มีเสรีภาพทางธุรกิจ และสร้างโอ กาสใหม่ๆของปัจเจกชนมากพอสมควร แต่ท�ำไมสภาวะ Hyper-royalism จึงเกิดขึ้นควบคู่กันได้ ? ท�ำไมสังคมค่อนข้างเปิดจึงเกิดสภาวะท�ำนอง 1984 ได้ในมิติที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ? (หมายถึงหนังสือ Nineteen Eighteen Four ของ George Orwell) ค�ำตอบเบื้องต้นก็คือ Hyper-royalism กลายเป็นลัทธิความเชื่อ หรือ religiosity ที่เป็นระบบแข็งแกร่งในตัวเอง ในบางแง่กลับแข็งแกร่งกว่าศาสนา เสียอีก กลายเป็น cult/occult ประเภทหนึง่ การท�ำความเข้าใจให้ได้ดตี อ้ งไม่ใช้เพียงวิธวี เิ คราะห์ทางการเมืองเท่านัน้ แต่ตอ้ งดูระบบศรัทธาความเชือ่ ทีเ่ หนือ การพิสูจน์หรือเหตุผล ดูพิธีกรรมและระบบคิดของลัทธินี้ในตัวมันเองไม่ว่าจะไร้เหตุผลสักเพียงไหนก็ตาม รวมถึงบทลงโทษทั้งทางสังคมด้วย ภายใต้สังคมเปิด ลัทธิความเชื่อเช่นนี้กลายเป็นก�ำแพงที่สมาชิกในสังคมนั้นก่อขึ้น ล้อมรอบตัวเอง ท�ำนองเดียวกับที่คนเราไม่เปลี่ยนศาสนาความเชื่อ กันง่ายนัก แถมยังส่งต่อไปยังรุ่นลูกหลานได้ด้วย จนกว่าจะมีเหตุที่กระทบกับตัวตนเดิมอย่างแรง
10
นี้มีอาการบ้าคลั่ง (hysterical) แต่กลับเป็นระยะแรกที่ยังไม่ได้ ผลิตประเพณีใหม่ๆ ทีเ่ ข้ายึดครครองชีวติ ประจ�ำวันอย่างแนบ เนียนนุ่มนวลเท่ากับระยะต่อมา Hyper-royalism ระลอกถัดมาเกิดขึ้นควบคู่กับการ เพิ่ ม อ� ำ นาจมากขึ้ น ทุ ก ที ข องระบอบประชาธิ ป ไตยแบบ อ�ำมาตย์ คือประมาณ 2520 เรือ่ ยมา แม้จะลดลักษณะบ้าคลัง่ แต่นี่คือยุคทองของ Hyper-royalism เพราะเติบโตขึ้นเรื่อย อย่างไม่มกี ารทัดทาน มีพธิ กี รรมใหม่ๆ เรือ่ งราวมากมายผลิต ออกมาล้นหลาม รุกคืบกาละและเทศะของสังคมมากขึน้ ทุกที การยกย่องเหนือเหตุผล และการหมุนเวียนของลัทธิกษัตริย์ นิยมที่กลายเป็นสินค้าเกิดขึ้นหลายต่อหลายรอบจนความ เป็น religiosity เกิดขึ้น ตลอดระยะนี้จนถึงเมื่อไม่กี่ปีมานี้กลับ ไม่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่มีน�้ำหนัก ไม่มีใครทัดทาน ไม่มีปฎิ กิรยิ าย้อนกลับ ปฎิกริ ยิ ารุนแรงทีส่ ดุ แพร่หลายอยูใ่ ต้ปริมณฑล สาธารณะ คือในรูปของข่าวลือและการซุบซิบนินทา ในภาวะ เช่นนีจ้ งึ ไม่มคี วามจ�ำเป็นต้องใช้มาตรา 112 ในการไล่ลา่ ปราบ ปรามผู้ที่คิดเห็นต่าง4 จนกระทัง่ ไม่กปี่ มี านีเ้ องที่ Hyper-royalism ถูกท้าทาย ทัง้ อย่างเข้มข้นมากขึน้ ใต้ปริมณฑลสาธารณะ และเปิดเผยขึน้ ใน cyberspace ข้อสังเกตเบื้องต้นที่น่าคิดก็คือ ในภาวะเช่น นี้เองที่ มาตรา 112 ถูกใช้อย่างหนักหน่วงยิ่งกว่าครั้งใดๆ ใน ประวัตศิ าสตร์ และก่อให้เกิดปฎิกริ ยิ าย้อนกลับต่อลัทธิกษัตริย์ นิยมอย่างหนักหน่วงอย่างไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์
Hyper-royalism ส่งผลอะไรต่อสังคมไทย
สถาบันกษัตริย์มีความส�ำคัญต่อการเมืองและชีวิตของ สังคมยิ่งกว่ายุคใดๆ แต่สังคมกลับไม่สามารถอภิปราย ว่าควรและไม่ควรมีบทบาทอย่างไร มีการอิงสถาบันกษัตริย์ เพือ่ ใช้อำ� นาจ แต่ไม่สามารถวิจารณ์ ตรวจสอบอ�ำนาจดังกล่าว ได้ ประชาธิปไตยที่มีชั้นบนไม่โปร่งใสจึงเป็นระบอบอ�ำนาจ นิยมชนิดหนึ่ง
2) Hyper-royalism เป็นลัทธิความเชื่อชนิดหนึ่งซึ่งไม่ ได้อยู่บนความมีเหตุผล แต่กลับขึ้นอยู่กับศรัทธา ความเชื่อ และความกลัว ทัง้ กลัวจะละเมิดโดยไม่ตงั้ ใจและกลัวว่าคิดต่าง จากคนอื่นแล้วจะถูกรังเกียจ ถูกสังคมปฎิเสธ สั ง คมใต้ อิ ท ธิ พ ลของลั ท ธิ ช นิ ด นี้ ไ ม่ ส ามารถสร้ า ง ประชากรที่มีวิจารณญาณ เพราะวัฒนธรรมทางปัญญาและ วิชาการอยู่ภายใต้ความกลัว วัฒนธรรมเซ็นเซอร์ตัวเองแผ่ ซ่านจนเป็นเรือ่ งปกติ ไม่มอี สิ ระในการถกเถียงก็ไม่เกิดปัญญา ในขณะที่ลัทธิ Hyper-royalism เผยแพร่ได้โดยไม่ถูกทัดทาน การศึ ก ษาจึ ง กลายเป็ น การกล่ อ มประสาท ตี ก รอบความ คิด ท�ำให้คนไม่เป็นตัวของตัวเอง ความพยายามปฎิรูปการ ศึกษาให้นักศึกษาคิดเป็นย่อมเป็นเรื่องตลกในเมื่อทั้งรัฐและ สังคมเน้นความเชื่อเหนือเหตุผลและเน้นการเชื่อฟังตามๆ กัน การลงโทษความคิดต่างด้วยกฏหมายและรุมประณามต่อ สาธารณะก็เป็นการควบคุมปัญญา สังคมทีม่ คี วามกลัวแผ่ซา่ น ย่อมฝึกฝนให้ประชาชนเอาตัวรอด หลบเลี่ยงหลอกลวงเก่ง แต่ปัญญาถูกจ�ำกัด 3) Hyper-royalism ท�ำให้การสื่อสารอย่างโปร่งใสใน ทางสาธารณะมีขีดจ�ำกัดจนบางเรื่องเชื่อถือไม่ได้ เนื่องจาก ความกลัวจนกลายเป็นการควบคุมตัวเองแล้วกลายเป็นการ ร่วมแพร่ขา่ วเท็จประจบสอพลอเองด้วย ข่าวสารในทีส่ าธารณะ เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์จึงเหลือแค่ด้านเดียวหรือเป็นข่าว บิดเบือน ข่าวลือจึงหมุนเวียนเต็มไปหมดและบ่อยครั้งมี ความจริงมากว่าข่าวสารสาธารณะเสียอีก ข้อวิจารณ์ ความ เห็นใดๆ แม้แต่เรื่องที่ไม่ผิดกฎหมายจึงหลบเลี่ยงลงใต้ดิน เกิดวัฒนธรรมนินทาเจ้าแผ่ไปทั่วทั้งสังคม นี่คือวัฒนธรรม การวิจารณ์แบบไทยๆ ภายใต้ Hyper-royalism บ่อยครั้งไม่ สร้างสรรค์แต่กลับไม่มีทางเลือกอื่น เพราะการสื่อสารแสดง ความเห็นในที่สาธารณะมีแต่การประจบสอพลอ แข่งกัน แสดงความจงรักภักดี วัฒนธรรมอาเศียรวาทสดุดีในที่แจ้งแต่ นินทาว่าร้ายในทีส่ ว่ นตัวกลายเป็นเรือ่ งปกติของผูน้ ยิ มเจ้าและ
4
ปริศนาส�ำคัญอีกข้อของ Hyper-royalism กล่าวคือ สังคมไทยเป็นสังคมเปิด ต่างจากประเทศปิดอย่างเกาหลีเหนือหรือพม่าตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา สังคมไทยมีเสรีภาพในการเข้าถึงข่าวสารภายนอกและในประเทศพอสมควร มิได้ถูกตรวจสอบปิดกั้นเข้มข้นอย่างประเทศเผด็จการเบ็ดเสร็จ มีเสรีภาพใน การบริโภคเต็มที่ มีเสรีภาพทางธุรกิจ และสร้างโอกาสใหม่ๆของปัจเจกชนมากพอสมควร แต่ท�ำไมสภาวะ Hyper-royalism จึงเกิดขึ้นควบคู่กันได้ ? ท�ำไมสังคมค่อนข้างเปิดจึงเกิดสภาวะท�ำนอง 1984 ได้ในมิติที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ? (หมายถึงหนังสือ Nineteen Eighteen Four ของ George Orwell) ค�ำตอบเบื้องต้นก็คือ Hyper-royalism กลายเป็นลัทธิความเชื่อ หรือ religiosity ที่เป็นระบบแข็งแกร่งในตัวเอง ในบางแง่กลับแข็งแกร่งกว่าศาสนา เสียอีก กลายเป็น cult/occult ประเภทหนึง่ การท�ำความเข้าใจให้ได้ดตี อ้ งไม่ใช้เพียงวิธวี เิ คราะห์ทางการเมืองเท่านัน้ แต่ตอ้ งดูระบบศรัทธาความเชือ่ ทีเ่ หนือ การพิสูจน์หรือเหตุผล ดูพิธีกรรมและระบบคิดของลัทธินี้ในตัวมันเองไม่ว่าจะไร้เหตุผลสักเพียงไหนก็ตาม รวมถึงบทลงโทษทั้งทางสังคมด้วย ภายใต้สังคมเปิด ลัทธิความเชื่อเช่นนี้กลายเป็นก�ำแพงที่สมาชิกในสังคมนั้นก่อขึ้น ล้อมรอบตัวเอง ท�ำนองเดียวกับที่คนเราไม่เปลี่ยนศาสนาความเชื่อ กันง่ายนัก แถมยังส่งต่อไปยังรุ่นลูกหลานได้ด้วย จนกว่าจะมีเหตุที่กระทบกับตัวตนเดิมอย่างแรง
11
ประชาชนทั่วไป 4) สื่ อ มวลชนส่ ว นข้ า งมากคุ ณ ภาพตกต�่ ำ ไร้ ค วาม รั บ ผิ ด ชอบอย่ า งน่ า รั ง เกี ย จ น่ า ขยะแขยง ในชั้ น ต้ น อาจ เริ่มจากความกลัว แต่ต่อมากลายเป็นความเคยชิน การละทิ้ง จรรยาบรรณทางวิชาชีพเป็นภาวะปกติ แรกๆ ก็แก้ตัวว่าต้อง ท�ำเพือ่ ความอยูร่ อด นานวันเข้าพวกเขาต้องปกป้องตัวเองว่า ท�ำถูกต้องแล้ว ลงท้ายพวกเขาถูกกลืนเป็นส่วนหนึง่ ของสังคม โกหกตอแหล ไม่ใช่เพือ่ ความอยูร่ อดอีกต่อไป แต่เพือ่ ให้ความ ชอบธรรมแก่สิ่งที่ตนเป็นและกระท�ำ ในที่สุดพวกเขาจึงร่วม “ไล่ล่าแม่มด” อย่างสนิทใจ กลายเป็นกลไกโฆษณาชวนเชื่อ ของลัทธิกษัตริย์นิยมท�ำร้ายประชาชนอย่างสนิทใจ 5) ศรัทธาความเชื่อ ความกลัวและการนินทาว่าร้าย แผ่ซ่านทั้งสังคมไปพร้อมๆ กัน สองอย่างที่ขัดแย้งกลับอยู่
12
ด้วยกัน และกระท�ำโดยคนๆ เดียวกันเป็นชีวติ ประจ�ำวัน เป็น เรื่องปกติของสังคม นี่คือพฤติกรรมหน้าไหว้หลังหลอก ปาก ว่าตาขยิบ ฯลฯ หรือที่เรียกกันในระยะหลังว่า “ตอแหล” นี่ มิใช่แค่พฤติกรรมของบางคนบางเวลา แต่แพร่หลายทั้งสังคม โดยคนจ�ำนวนมากต่างร่วมมือกันท�ำหรือต้องท�ำอย่างไม่มี ทางเลือก นานวันจนกลายเป็นพฤติกรรมปกติก็ตอแหลได้ อย่างสนิทใจไม่ตอ้ งตะขิดตะขวงใจอีกต่อไป หมายความว่าทัง้ การสอพลอสดุดีเกินจริงและการนินทาแพร่กระจายข่าวลือ กลายเป็น “วัฒนธรรมตอแหล” ไปเรียบร้อยแล้ว วัฒนธรรมเช่น นีแ้ พร่หลายมากในหมูผ่ จู้ งรักภักดีอย่างถวายหัว พวกเขาล้วน แต่นินทาว่าร้ายเจ้าด้วยความจงรักภักดีอย่างเหลือล้น การ ตอแหลเพราะจงรักภักดีจึงเป็นลักษณะพิเศษของไทยภายใต้ Hyper-royalism 6) ในเมื่อความจริง ความวิตกกังวล การวิพากษ์ วิจารณ์กระท�ำไม่ได้ในทีส่ าธารณะ ทัง้ ๆ ทีค่ วามไม่ถกู ต้องของ พวกกษัตริยน์ ยิ มมีมากมายต�ำตา ตัง้ แต่เรือ่ งไม่คอขาดบาดตา ยอย่างผลกระทบต่อการจราจรหรือการใช้จา่ ยภาษีประชาชน เกินสมควร จนถึงเรื่องที่มีผลกระทบส�ำคัญต่อสาธารณะ เช่น การอิงเจ้าเพื่อแทรกแซงนโยบายและโครงการส�ำคัญ การ โยกย้ายแต่งตั้งผู้มีอ�ำนาจ และการเลือกข้างในความขัดแย้ง แต่สงั คมไทยกลับรับรูแ้ ต่อาเศียรวาทสดุดแี ละการถวายความ จงรักภักดีอย่างตอแหล ภาวะเช่นนีค้ อื สังคมไทยหลอกตัวเอง ช่วยกันท�ำเป็นมองไม่เห็น หลอกซึ่งกันและกัน ยิง่ ไปกว่านัน้ นักลัทธิกษัตริยน์ ยิ มกลับชักน�ำสังคมไทย ให้หลอกตัวเองหนักเข้าไปอีกคือความเชื่อว่าสถาบันกษัตริย์ ไทยวิเศษสุดไม่เหมือนที่ใดในโลก เป็นสิ่งวิเศษที่คนไทยควร ภูมิใจราวกับได้ขึ้นสวรรค์บนดิน ได้สัมผัสทิพยวิมานพิสดาร กว่าใครในโลก สื่อมวลชนช่วยกล่อมสังคมไทยให้เคลิบเคลิ้ม หลงใหลดุจตกอยู่ในภวังค์ของยากล่อมประสาท ความเชื่อว่า สังคมไทยวิเศษสุดกว่าใครคือที่สุดของการหลอกลวงตัวเอง ไม่ต่างเลยกับนิทานฝรั่งเรื่อง The Emperor Has No Clothes 7) แม้ว่าลัทธิกษัตริย์นิยมจะแผ่ซ่านมากมายขนาด ไหนก็ตาม แม้ว่าการบงการควบคุมจะมากขนาดไหนก็ตาม ย่อมมีคนที่คิดต่างอยู่ดี สังคมไทยไม่ใช่สังคมปิดตาย ความ คิดต่างมีทั้งผู้ที่รักเจ้าแต่พองาม รักด้วยเหตุผล มีทั้งผู้ที่ไม่ ยินดียินร้ายกับสถาบันกษัตริย์ และมีคนไม่รักเจ้าแต่ไม่เคย คิดล้มเจ้าเพราะเคารพผู้อื่น การที่คนเหล่านี้คิดแตกต่าง จากความเชื่อที่ครอบง�ำอยู่ได้ มักต้องอาศัยความใคร่ครวญ เหตุผล ข้อมูล และวิจารณญาณที่มากกว่าการเชื่อตามๆ กัน ท�ำตามๆ กัน คนที่ คิ ด ต่ า งจากลั ท ธิ ก ษั ต ริ ย ์ นิ ย มมี ม าทุ ก ยุ ค สมั ย
ตั้งแต่สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หลัง 2475 และภายใต้ Hyper-royalism แต่ ข ้ อ สั ง เกตส� ำ คั ญ มากก็ คื อ ก่ อ นการ รัฐประหาร 2549 คนที่คิดต่างมักเป็นผลของอุดมการณ์ทาง การเมืองบางอย่าง เช่น นิยมเก็กเหม็ง สังคมนิยม มาร์กซิสม์ หรือเป็นเสรีนยิ มทีย่ ดึ มัน่ ว่าคนเราควรเท่าเทียมกัน แต่คนทีค่ ดิ ต่างหลัง 2549 คือผลผลิตของ Hyper-royalism นั่นเอง กล่าว คือพวกเขาถูกท�ำร้าย ถูกละเมิดสิทธิเสียง และลงท้ายถึงขนาด ถูกฆาตกรรมกลางเมืองหลวงโดยพวกกษัตริย์นิยม จึงเกิด ปฎิกิริยาตอบโต้ลัทธิกษัตริย์นิยม ครั้นคนเหล่านี้ตื่นพ้นจาก ภวังค์กล่อมประสาทของ Hyper-royalism ไม่ยากเลยที่เขาจะ “ตาสว่าง” ตระหนักถึงการกระท�ำและผลของ Hyper-royalism ที่กล่าวมาข้างต้น Hyper-royalism เองนั่นแหละเป็นสาเหตุและผู้ สร้างปรากฏการณ์ “ตาสว่าง” ผู้ที่สมาทานลัทธิการเมืองใดๆ ที่เคยท้าทายลัทธิ กษัตริยน์ ยิ มไม่เคยสามารถท�ำได้ถงึ ขนาดนีม้ าก่อนเลย ทักษิณ ก็ท�ำไม่ได้และหากเขาบงการทุกอย่างจริงอย่างที่ศัตรูของเขา กล่าวหา คงไม่มีทางเกิดปรากฏการณ์ตาสว่างอย่างที่เป็นอยู่ เพราะคงจะมี แ ต่ ค นที่ ก ราบกรานขอให้ พ วกกษั ต ริ ย ์ นิ ย ม ยอมให้อภัย 8) เราอาจกล่าวได้วา่ มีวกิ ฤติอย่างหนึง่ ในสังคมไทยที่ ชัดแจ้งต�ำตาแต่คนไทยยังพยายามหลอกตัวเอง แถมพยายาม ปฎิเสธวิกฤตินี้ด้วยการไล่ล่าปราบปรามคนที่คิดต่างหรือ จงรักภักดีไม่เท่ามาตรฐานของ Hyper-royalism นั่นคือ วิกฤติ ของความจงรักภักดี Hyper-royalism ที่ครอบง�ำสังคมไทยมานานกว่า 40 ปีก�ำลังเผชิญวิกฤติอย่างหนัก ภายใต้สภาวะนี้เอง มาตรา 112 จึงถูกน�ำมาใช้อย่างเข้มข้นยิ่งกว่าครั้งใดในประวัติศาสตร์ ปัญหามีอยู่ว่า การไล่ล่าท�ำร้ายคนที่คิดต่างจะส�ำเร็จเมื่อไร หรือจะยิ่งผลิตปฎิกิริยาสวนกลับต่อ Hyper-royalism มาก ขึ้นไปอีก วิกฤติของความจงรักภักดี เป็นปรากฎการณ์อกี อย่าง ที่มีสาเหตุมาจากระบอบสังคมการเมืองที่ฉุดรั้งขัดฝืนความ เปลี่ยนแปลง
มาตรา 112 ภายใต้ Hyper-royalism
กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” มีมานานแล้ว รวมทั้งในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่กฎหมาย ประเภทนี้กลับมีบทบาทมากน้อยเปลี่ยนไปตามบริบททาง สังคมการเมือง
ภายใต้ ส มบู ร ณาญาสิ ท ธิ ร าชย์ กลั บ ไม่ มี ก ารใช้ กฎหมายนี้พร�่ำเพรื่อนัก และไม่ใช่เครื่องมือบังคับควบคุม ความคิดของคน ทัง้ นีม้ ใิ ช่เพราะพระมหากรุณาธิคณ ุ มากน้อย ของพระมหากษัตริยพ์ ระองค์ใด แต่เป็นเพราะระบอบการเมือง นั้ น มี ก ลไกรั ฐ และกฎหมายอื่ น ในการควบคุ ม ทางสั ง คม ตัวอย่างเช่น การละเมิดพระราชอ�ำนาจย่อมถือว่าเป็นกบฎ ก็ได้ ความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพจึงมีความหมาย เฉพาะจ�ำกัดอยู่ที่การหมิ่นประมาทองค์พระมหากษัตริย์ ไม่ มากและไม่นอ้ ยไปกว่านัน้ และไม่มนี ยั หรือผลกระทบทางการ เมืองเท่าไรนัก กฎหมายหมิ่ น ฯ เริ่ ม เป็ น อาวุ ธ ทรงพลั ง ก็ ต ่ อ เมื่ อ นักลัทธิกษัตริย์นิยมเอามาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อช่วยสถาปนา ประชาธิปไตยแบบอ�ำมาตย์ โดยถือว่าความผิดนี้เป็นเรื่อง ความมั่นคงของชาติ นัยส�ำคัญของประเด็นนี้มิได้อยู่ที่ว่าสถาบันกษัตริย์ ส�ำคัญต่อความมั่นคงของชาติหรือไม่อย่างที่บางคนโต้เถียง เพราะมีเรื่องส�ำคัญต่อความมั่นคงของชาติอีกมากมายที่มิได้ ถูกจัดอยู่ในหมวดความมั่นคงของชาติ แต่เป็นเรื่องของกลไก ทางกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม กล่าวคือ จากการ ศึกษาของ David Streckfuss พบว่าภายใต้ระบอบเผด็จการ อันยาวนานของไทย บรรดาความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง ถู ก ด� ำ เนิ น การโดยกระบวนการยุ ติ ธ รรมที่ วิ ป ลาศผิ ด หลั ก 13
การต่างจากกระบวนการยุติธรรมต่อความผิดอาญาอื่นๆ กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพซึ่งเป็นความผิดฐานหมิ่น ประมาทประเภทหนึ่งกลับอยู่ใต้กระบวนการยุติธรรมที่ผิด ปกติต่างจากความผิดหมิ่นประมาทอื่นๆ ความผิดปกติเกิด จากกระบวนการยุติธรรมที่สยบต่ออ�ำนาจและรับใช้อ�ำนาจ เป็นอาจินต์ แถมยึดเอาความเชื่อ ค่านิยม อุดมการณ์ และ เหตุผลของรัฐซึ่งเต็มไปด้วยอคติคับแคบ มาเป็นมาตรฐานใน การพิจารณาความถูกผิดคดีความมั่นคงเหล่านี้ กระบวนวิธีพิจารณาคดีความมั่นคงบิดเบี้ยวไปจาก มาตรฐานของกระบวนการยุติธรรมปกติ ที่ส�ำคัญได้แก่ มัก ถือว่าจ�ำเลยกระท�ำความผิดร้ายแรงจนกว่าจ�ำเลยจะพิสูจน์ ได้ว่าตนบริสุทธิ์ ดังนั้นจึงมักไม่ให้ประกันตัว และภาระการ พิสจู น์ตกอยูก่ บั จ�ำเลยแทนทีจ่ ะตกอยูก่ บั ฝ่ายโจทก์ นอกจากนี้ ปกติการพิสูจน์ความผิดอาญาต้องเคร่งครัดชัดเจน หากไม่ ชัดเจนต้องยกประโยชน์ให้จ�ำเลย แต่ในคดีความมั่นคงกลับ มักตีความกฎหมายอย่างกว้างให้ครอบคลุมการกระท�ำทีต่ อ้ ง สงสัยแม้จะไม่ชัดเจนก็ตาม กระบวนการยุตธิ รรมส�ำหรับความผิดตามมาตรา112 ก็ผิดปกติในท�ำนองเดียวกัน ตัวอย่างกรณี “อากง” คงช่วย อธิบายความผิดปกติได้ดี • เริ่มจากไม่ให้ประกันทั้งๆ ที่ยังไม่มีการพิสูจน์ 14
• ศาลยอมรับว่าฝ่ายโจทก์พสิ จู น์ไม่ได้วา่ อากงกระท�ำ ความผิดแต่ศาลเชื่อว่าผู้กระท�ำผิดย่อมพยายาม ปกปิดความผิดไว้จึงท�ำให้พิสูจน์ยาก • โจทก์ ไ ม่ ต ้ อ งพิ สู จ น์ ว ่ า อากงครอบครองเครื่ อ ง โทรศัพท์ในขณะเกิดการกระท�ำความผิด อากงเป็น ฝ่ายต้องพิสจู น์วา่ เอาเครือ่ งไปซ่อม เมือ่ พิสจู น์ไม่ได้ ศาลจึงถือว่าไม่ได้เอาไปซ่อม • ไม่มกี ารพิสจู น์วา่ จ�ำเลยกระท�ำการส่งข้อความหรือ ไม่ เพียงแค่พิสูจน์ว่าเป็นเจ้าของเครื่องและครอบ ครองเครื่องในขณะเกิดการกระท�ำความผิดก็พอ ผูพ้ พิ ากษายอมรับเองว่าเป็นหลักฐานแวดล้อมทัง้ สิน้ (เราอาจเปรียบกับการเป็นเจ้าของรถที่ถูกน�ำไป โจรกรรมหรือเป็นเจ้าของอาวุธที่ถูกเอาไปใช้ฆ่า คนตาย) ซึ่งในคดีอาญาปกติต้องมีการพิสูจน์ว่า เป็นผู้ลงมือกระท�ำความผิดด้วย แต่ในกรณีนี้กลับ ไม่จ�ำเป็น ความผิดปกติวิปลาศที่ส�ำคัญที่สุดคือ เนื่องจากเป็น ความผิ ด ต่ อ ความมั่ น คงจึ ง เปิ ด ให้ ใ ครก็ ต ามที่ พ บเห็ น การ กระท�ำทีส่ งสัยว่าเข้าข่ายความผิด สามารถแจ้งต่อเจ้าพนักงาน ได้ ต่างลิบลับจากคดีหมิน่ ประมาททัว่ ไปซึง่ ผูเ้ สียหายเท่านัน้ จึง จะมีสทิ ธิฟอ้ ง ด้วยเหตุนเี้ อง คอป.ของ ดร.คณิต ณ นคร ยังต้อง
พยายามหาทางออกเพื่อแก้ปมปัญหานี้ (แต่ คอป. มิได้เสนอ ให้แยกความผิดตามมาตรา 112 ออกมาตัง้ เป็นหมวดต่างหาก จากคดี ค วามมั่ น คง แต่ ใ ห้ ถื อ ว่ า ความผิ ด ต่ อ ความมั่ น คง ชนิดนี้ต้องให้อ�ำนาจแก่ผู้เสียหายหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบ แทนเท่านั้นเป็นผู้ฟ้อง) มาตรา 112 ได้สร้างสมปมปัญหาแก่กระบวนการ ยุตธิ รรมอีกมากมายหลายประการ เช่นปัญหาขอบเขตอ�ำนาจ บั ง คั บ ดั ง จะเห็ น ได้ จ ากการลงโทษการกระท� ำ ที่ เ กิ ด นอก ประเทศหรือไปสอบสวนในต่างประเทศ ปัญหาบทลงโทษที่ สูงเกินเหมาะสมและหนักหนาสาหัสกว่าที่ใดในโลก แต่ผสู้ มาทาน Hyper-royalism ถือว่ามาตรา 112 เป็น บทบัญญัติศักดิ์สิทธิ์ ห้ามแก้ไขหรือแตะต้อง แม้จะกระท�ำ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญก็ตาม (แต่ถ้าแก้โดยคณะ รัฐประหารที่เถลิงอ�ำนาจหลังอาชญากรรมที่โหดร้ายกลับ ยอมรับได้) การถกเถียงไม่ตอ้ งใช้เหตุผลหรือหลักวิชาใดๆ แต่ ใช้ความเชื่อ ศรัทธา และโฆษณาชวนเชื่อ แม้แต่นักกฎหมาย ของพวกกษัตริย์นิยมก็ไม่จ�ำเป็นต้องใช้หลักกฎหมาย และ ไม่ตอ้ งเรียนรูป้ ระวัตศิ าสตร์ของกฎหมายนีใ้ นสังคมไทย ท�ำไม เป็นเช่นนั้น? เพราะมาตรา 112 เป็นมากกว่ากฎหมายอาญามาตรา หนึง่ คือเป็นเครือ่ งมือบังคับควบคุมความคิดของลัทธิ Hyperroyalism สามารถใช้ได้หลายทาง ได้แก่ การลงโทษเพือ่ ขีดเส้น เป็นบรรทัดฐานว่าแค่ไหนเป็นความผิด การสร้างความกลัวทัง้ ในแง่กฏหมาย (เพราะโทษรุนแรงและกระบวนการผิดปกติ) และกลัวถูกสังคมลงโทษ ก่อให้เกิดการเซ็นเซอร์ตัวเอง ไป จนถึงใช้ปลุกความบ้าคลัง่ ไล่ลา่ ท�ำร้ายคนอืน่ ทัง้ อย่างตักเตือน และอย่างโหดร้ายทารุณ การใช้มาตรา 112 ยังเปลี่ยนไปตาม เวลาด้วย เช่น แต่กอ่ นชาวต่างชาติทที่ ำ� ผิดจะโดนเนรเทศทันที โดยไม่จ�ำคุก เพิ่งโดนจ�ำคุกในระยะหลัง การใช้มาตรา 112 ในแบบล่าสุดระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมาคือใช้ท�ำลายจิตวิญญาณ หมายถึงการใช้อย่างไร้ความปรานีจนกว่าจะยอมรับสารภาพ คือมักจับไว้ก่อน ไม่ให้ประกันตัว พิจารณาลับ ลงโทษรุนแรง แต่ให้ความหวังว่าจะพ้นคุกได้เร็วถ้ายอมรับสารภาพ จน หลายคนยอมแพ้ ใ นที่ สุ ด นี่ คื อ การท� ำ ร้ า ยถึ ง จิ ต วิ ญ ญาณ หากต้ อ งการอิ ส รภาพทางกายต้ อ งยอมแพ้ ร าบคาบทาง มโนส�ำนึก ชีวิตที่มีอิสระทางกายต้องขังจิตวิญญาณเสรีไว้ ข้างในตลอดไป 5 มาตรา 112 ถูกใช้ใน Hyper-royalism ช่วงแรก (25182520) ด้วยความกลัวคอมมิวนิสต์จะล้มล้างสถาบันกษัตริย์ แม้
ปริมาณคดีไม่เท่าระยะไม่กปี่ มี านีแ้ ต่กม็ ากกว่าก่อนหน้านัน้ ถูก ใช้เป็นเครื่องมือส�ำคัญในการปราบปรามนักศึกษาปัญญาชน ฝ่ายซ้ายในยุคนั้น ด้วยเหตุนี้คณะปฎิรูปขวาจัดหลัง 6 ตุลาจึง ถือเป็นภารกิจต้องเพิ่มโทษความผิดตามมาตรา 112 อันเป็น ปัญหาจนทุกวันนี้ เอาเข้าจริงมาตรา 112 ไม่ถกู น�ำมาใช้เท่าไรนักระหว่าง 2520 เศษถึง 2540 เศษซึ่งเป็นช่วงที่ Hyper-royalism เติบโต อย่ า งมาก คดี ที่ เ กิ ด ขึ้ น จ� ำ นวนไม่ ม ากนั ก มั ก ไม่ ผู ก โยงกั บ ความขัดแย้งทางการเมืองที่ส�ำคัญในขณะนั้นๆ ที่เป็นเช่น นี้น่าจะเป็นเพราะการสถาปนาอ�ำนาจน�ำของประชาธิปไตย แบบอ�ำมาตย์ในระยะนั้นเป็นการแข่งขันกับกองทัพซึ่งอ้างอิง สถาบันกษัตริย์เป็นแหล่งอ�ำนาจเช่นกัน ทั้งยังเป็นความขัด แย้งกันในหมู่ “ชั้นบน” เหนือระบอบประชาธิปไตยด้วยกัน ดังนั้น ประเด็นเรื่องความขัดแย้งระหว่างสถาบันกษัตริย์กับ ประชาธิปไตยจึงไม่เกิดขึ้น แม้แต่ในไม่กี่กรณีที่การแข่งขันกับ กองทัพถึงจุดที่น่าวิตก ก็ไม่เคยต้องยกประเด็นความขัดแย้ง ระหว่างสถาบันกษัตริย์กับประชาธิปไตยขึ้นมา ตลอดช่วงดัง กล่าว Hyper-royalism ขยายตัวเติบโตได้โดยแทบไม่ปรากฎ ผู้ทัดทานวิพากษ์วิจารณ์ มีแต่แข่งกันอวดความจงรักภักดี จึง ไม่ต้องใช้มาตรา 112 การใช้มาตรา 112 เป็นอาวุธบ่อยครัง้ จนเป็นประเด็น ในขณะนี้ เกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤติความจงรักภักดีดังได้กล่าว มาแล้ว เมื่อมีผู้คิดต่าง วิพากษ์วิจารณ์ หรือปฏิเสธ Hyperroyalism มากขึ้นฝ่ายกษัตริย์นิยมทั้งกลไกรัฐและในประชา สังคมจึงเอามาตรา 112 เป็นอาวุธปกป้องลัทธิความเชื่อของ ตนเองและปกป้องระบอบประชาธิปไตยแบบอ�ำมาตย์ จะแก้ ไม่แก้ แก้แค่ไหนอย่างไร หรือควรยกเลิกไป เสียเลย จึงมิใช่แค่ปัญหาเทคนิคทางกฎหมายเท่านั้น แต่เป็น ส่วนหนึง่ ของความขัดแย้งทีใ่ หญ่โตกว่านัน้ มาก และเป็นความ ขัดแย้งทีม่ ลี กั ษณะเฉพาะของปัจจุบนั แต่จะส่งผลมหาศาลต่อ อนาคตของสถาบันกษัตริยแ์ ละระบอบประชาธิปไตยของไทย ถ้าหากผู้สมาทาน Hyper-royalism ต้องการยืนยัน รักษามาตราศักดิส์ ทิ ธิ์ หวังรักษาระบอบประชาธิปไตยอ�ำมาตย์ ไว้ชั่วนิรันดร์ ก็จะยิ่งผลักให้สถาบันกษัตริย์กับประชาธิปไตย ขัดแย้งกันมากยิ่งขึ้น เพราะมาตรา 112 ได้กลายเป็นอาวุธใน การฉุดรั้งขัดฝืนความเปลี่ยนแปลง แต่หากไม่อยากให้อันตรายต่อสถาบันกษัตริย์และ สังคมไทยสะสมมากไปกว่านี้ ต้องหาทางแก้ความขัดแย้ง ระหว่างสถาบันกษัตริยก์ บั ระบอบประชาธิปไตย นิตริ าษฎร์ได้
นี่คือวิธิการเดียวกันกับที่ Big Brother ใช้ก�ำจัดขบถทางความคิดใน 1984
15
เสนอทางออกหนึ่งไว้ให้แล้วด้วยเจตนาดี ไม่อยากเห็นความ ขัดแย้งไปถึงจุดที่ทุกคนต้องสลดใจ นิตริ าษฎร์และคณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 สามารถ เอาตัวเองออกจากความเจ็บปวดในปัจจุบันได้อย่างสบายๆ แต่พวกเขายอมเจ็บตัวเพื่อช่วยหาทางออกแก่สังคมไทย แต่ พวกลัทธิกษัตริย์นิยมกลับไม่เห็นความน่าสมเพชและความ อับจนของตนเอง ในอนาคตประวัติศาสตร์จะบันทึกว่า เป็นความผิด พลาดมหันต์ครัง้ ประวัตศิ าสตร์ทไี่ ม่ฟงั นิตริ าษฎร์ และ ครก. 112 แถมยังผลักไสท�ำร้ายความปรารถนาดีของพวกเขา
ความวิปลาศของอนารยธรรม
นระยะที่ผ่านมามีค�ำกล่าวและปรากฏการณ์มากมายที่ สะท้อนความวิปลาศในสังคมไทย ทุกปรากฏการณ์ที่จะ ยกเป็นตัวอย่างต่อไปนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นในสังคมอารยะ แต่ สังคมไทยกลับไม่รู้สึก ไม่ได้เห็นเป็นความผิดปกติแต่อย่างใด เหตุที่ต้องคิดเทียบกับสังคมอารยะเพราะสังคมไทย เติบโตถึงทุกวันนี้ได้ด้วยการปรับตัวให้เข้ากับอารยธรรมของ โลก เราเข้าใจประวัติศาสตร์ครึ่งเดียวมาตลอดว่าสยามได้รับ การยอมรับจากประชาคมโลกเพราะเราเป็นไม่ตกเป็นเมืองขึน้ แท้ที่จริงสยามที่เป็นเอกราชยังไม่ได้รับการยอมรับจนกระทั่ง สยามได้พิสูจน์ว่าตนมีอารยธรรม ผู้ดีกรุงรัตนโกสินทร์ทั้ง หลายเข้าใจข้อนี้ดี ขอบอกว่ า โลกก� ำ ลั ง จั บ ตามองอารยธรรมของ สังคมไทยด้วยความเหนื่อยหน่าย ข้อท้วงติงจากนานาชาติ เกี่ยวกับมาตรา 112 ที่ผ่านมานับว่าเบากว่าความรู้สึกที่แท้ จริงที่สังคมอารยะมีต่อกรณีนี้อยู่มาก ตัวอย่างที่ 1 มหาวิทยาลัยที่รับก้านธูปถูกตั้งค�ำถาม ถูกต�ำหนิ แถมมีคนตามล้างตามเรียกร้องให้ธรรมศาสตร์ ไล่เด็กออกไป แต่มหาวิทยาลัยที่ปฎิเสธก้านธูปเพียงเพราะ ความคิดของเธอกลับไม่ถกู สอบสวน ไม่ถกู ลงโทษ ไม่โดนสังคม ประณามด้วยซ�้ำไป ในสังคมอารยะอื่นๆ การกระท�ำผิดๆ เช่นนี้เคยเกิดมาแล้ว เช่นในยุคแมคคาร์ธีหรือยุคล่าแม่มด สมัยใหม่ กลายเป็นรอยด่างทางประวัติศาสตร์ที่น่ารังเกียจ จึงไม่มีทางเกิดในยุคนี้อีก ในสังคมอารยะอื่นๆ อาจารย์ ที่ ฟ ้ อ งนั ก ศึ ก ษาเพี ย งเพราะความคิ ด ต่ า งควรถู ก ไล่ อ อก เพราะเป็นการกระท�ำที่น่ารังเกียจ ละเมิดจรรยาบรรณของ นักวิชาการอย่างไม่ควรให้อภัย แต่สังคมไทยเฉย แถมกลับ ลงโทษเหยื่อ ตัวอย่างที่ 2 การออกมาขับไล่คนที่ไม่สมาทานลัทธิ Hyper-royalism ให้ออกนอกประเทศ 16
พฤติกรรมแบบนีไ้ ม่มที างเกิดขึน้ ในอารยสังคม เพราะ เป็นการกระท�ำทีโ่ ง่เขลาน่าสมเพชสิน้ ดี เอาอะไรมาเป็นเหตุผล ขั บ ไล่ ค นที่ คิ ด ต่ า งจากลั ท ธิ ข องตั ว ออกนอกประเทศที่ เขา เป็นเจ้าของ ในอารยประเทศ คนที่ ขั บ ไล่ ผู ้ คิ ด ต่ า งออกนอก ประเทศจะถูกด่าประณามและถูกเรียกร้องให้ขอโทษ ยิ่งถ้า คนพูดเป็นผู้บัญชาการทหารยิ่งเป็นความผิด 2 ชั้นเพราะเขา ไม่มีสิทธิให้ความเห็นทางการเมืองตราบที่ยังอยู่ในอ�ำนาจ เขาไม่มีเสรีภาพให้ความเห็นทางการเมือง ถ้าอยากท�ำก็ ออกจากอ�ำนาจเสียก่อน ถ้าเกิดขึ้นในประเทศประชาธิปไตย เขาถูกปลดไปแล้วอย่างแน่นอน แต่สังคมไทยไม่ว่าอะไร แถมนักข่าวยังป้อนค�ำถาม การเมืองให้ขุนทหารตลอดเวลา
ตัวอย่างที่ 3 ค�ำกล่าวประเภท “พ่อแม่ไม่สั่งสอน” สะท้อนจิตใจและรสนิยมต�่ำของผู้พูด ยิ่งเป็นสื่อมวลชนที่มี ผู้ฟังมากมาย ในอารยสังคมเขาจะถูกประณาม ถูกเรียกร้อง ให้ขอโทษหรือถูกถอดรายการเพราะถือเป็นความไม่รับผิด ชอบต่อสังคม ค�ำกล่าวทีร่ นุ แรงน้อยกว่านีย้ งั โดนปลดออกจาก ผังรายการมาแล้วหลายราย แต่สังคมไทยเฉย ตัวอย่างที่ 4 เมื่อนิติราษฎร์ถูกขู่ ถูกท�ำร้ายหยาบ คายด้วยวาจา ถูกคุกคามโจ่งแจ้งเปิดเผย นิติราษฎร์จึงถูก ลงโทษจากสังคมและถูกจ�ำกัดพื้นที่ ถูกเรียกร้องให้สอบสวน ให้ลงโทษทางวินัย ในอารยสังคม เขาเรียกร้องอาการท�ำนองนี้ว่าการ ลงโทษเหยื่อที่ถูกข่มขืนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการข่มขืน ใน อารยสังคม ไม่ว่าหญิงคนนั้นจะแต่งกายอย่างไรย่อมไม่ใช่
เหตุของการข่มขืน ต้องลงโทษและก�ำราบผู้คุกคามท�ำร้ายคน อื่นเท่านั้น แต่มหาวิทยาลัยของไทยและสื่อมวลชนรุมกระหน�่ำ โจมตีเหยื่อผู้ถูกท�ำร้าย ยังดีที่อธิการบดีออกมายืนยันว่าไม่มี ความผิด ไม่มกี ารสอบสวน ไม่มกี ารลงโทษทางวินยั แต่ผเู้ ขียน สลดใจอยูด่ ที ไี่ ม่มใี ครออกมาเตือนสติสงั คมไทยว่า การเรียกร้อง ให้สอบสวนลงโทษทางวินัยเป็นเรื่องวิปลาศวิปริตสิ้นดี ถ้าวัฒนธรรมพิเศษอย่างไทยเป็นใหญ่ในโลก ป่านนี้ Salman Rushdie คงถูกลากคอออกมาตัดหัวไปแล้ว โปรดตระหนักว่า ความวิปริตเช่นนี้มีอยู่ในสังคมไทย มานานแล้ว เพราะนี่คือเชื้อมูลของการที่คนจ�ำนวนมากยืนดู การแขวนคอ เผาทั้งเป็น ตอกอกในที่สาธารณะได้โดยไม่เข้า ช่วยเหลือยับยั้ง ความวิปริตข้อนี้มีมูลเหตุเดียวกันกับความ 17
พึงพอใจขณะดูเก้าอี้ฟาดร่างไร้ชีวิตบนปลายบ่วงเชือก ตัวอย่างที่ 5 จนป่านนี้ยังมีปัญญาชนวิปริตเรียกร้อง ให้ทหารออกมาท�ำรัฐประหารอยู่อีก ยังมีการใช้พฤติกรรมค�ำกล่าววิปลาศอีกมากมายใน ช่วงไม่กเี่ ดือนทีผ่ า่ นมา บางข้อยากขึน้ นิดทีจ่ ะอธิบายว่าท�ำไม จึงวิปลาศ แต่หากคิดให้ดจี ะพบว่าตลกและไร้เดียงสา อาทิ เช่น ค�ำกล่าวที่ว่า “อย่าละเมิดเสรีภาพของในหลวง” หรือข้อเขียน 2 ครัง้ ของนักเขียนใหญ่รายหนึง่ ทีว่ า่ “ขอพืน้ ทีใ่ ห้คนทีศ่ รัทธา อย่างแท้จริงบ้าง” ทั้งๆ ที่ท่านมีพื้นที่ทั่วประเทศไทย ทั้งใน ธรรมศาสตร์ ราบ 11 และราชประสงค์ ในเขตราชการและ เขตพระราชวั ง แต่ ค นที่ ข อใช้ เ หตุ ผ ลอย่ า งบริ สุ ท ธิ์ ใจกลั บ ถูกคุกคามท�ำร้าย ถูกปิดกั้นพื้นที่ และถูกขอคืนพื้นที่ด้วย กระสุนจริง เวลาได้ยินได้พบเห็นความวิปลาศพรรค์นี้ ผู้เขียนมัก นึกถึงต�ำนานเกี่ยวกับการปฎิวัติฝรั่งเศสที่เล่าว่า พระนางมารี อังตัวเนต บอกแก่คนยากจนว่า “หากไม่มีขนมปัง แล้วท�ำไม ไม่กินเค็ก” เรื่องนี้ไม่ใช่ความจริงแต่ต�ำนานยืนยงตลอดมา เพื่อสะท้อนความวิปริตของสังคมฝรั่งเศสก่อนการปฎิวัติ ซึ่ง ราชส�ำนักและพวกกษัตริยน์ ยิ มขังตัวเองอยูใ่ นโลกของตนโดย ไม่เข้าใจความเปลี่ยนแปลงที่ก�ำลังเกิดขึ้น ต�ำนานค�ำพูดของ พระนางเป็นเรื่องตลกท�ำนองเดียวกับตลกวิปลาศที่ก�ำลังเกิด ขึ้นในสังคมไทยช่วงนี้ อีก 50 ปีข้างหน้าประวัติศาสตร์อาจจะบันทึกความ ผิดปกติของสังคมไทยปัจจุบันโดยจดจ�ำความวิปลาศที่ยก ตัวอย่างมาจนเป็นต�ำนาน เช่น ค�ำกล่าวที่ว่า “อย่าละเมิด เสรีภาพของในหลวง” ความวิปลาศผิดจากอารยสังคมเหล่านี้สะท้อนอะไร? ค�ำตอบที่ 1 สะท้อนว่าสังคมไทยมีลักษณะพิเศษ อย่างทีป่ ญ ั ญาชนลัทธิกษัตริยน์ ยิ มมักอ้างเสมอๆ พิเศษเสียจน การใช้เหตุผล จรรยาบรรณ มาตรฐานตามปกติของอารย สังคม เอามาใช้กบั สังคมไทยไม่ได้ พวกเขากล่าวเสมอว่าความ สัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับพสกนิกรไทยพิเศษไม่มี ทีใ่ ดเหมือนและอาจเข้าใจยากส�ำหรับชาวต่างชาติ หมายความ ว่าพิเศษจนต้องยุติการใช้เหตุผล ยุติอารยธรรมตามปกติ ยุติ มนุษยธรรมปกติ และต้องใช้ความเชื่อ ศรัทธาเหนือเหตุผล หรือเหตุผลวิปลาศ กลับหัวกลับหาง ปล่อยให้กระบวนการ ยุติธรรมผิดปกติด�ำเนินต่อไป เช่นนั้นหรือ ค�ำตอบที่ 2 สะท้อนว่าสังคมไทยป่วยหนัก ป่วยหนัก มากจนหลง จนหลอกตัวเองไม่รู้ว่าก�ำลังป่วย ป่วยจนยอม ถล�ำลึกลงไปในวิถีทางฝืนความเปลี่ยนแปลง แต่กลับละเมอ 18
ว่าทุกอย่างยังคงดีเหมือนเดิม ป่วยจนอธิบายหาเหตุผลไม่ได้ ก็อา้ งว่าเป็นลักษณะพิเศษ ส�ำนวนปัจจุบนั เรียกว่า “ไปไม่เป็น” แต่สังคมไทยกลับเชื่ออย่างภาคภูมิใจ อาการวิปลาศอย่างทีก่ ล่าวมายังสะท้อนด้วยว่าสังคม ไทยไม่มภี มู คิ มุ้ กันทีแ่ ข็งแกร่งพอ นัน่ คือ วัฒนธรรมทางปัญญา ตกต�่ำ เราเถียงกันด้วยเหตุผลไม่คอ่ ยได้ไกลเพราะเราอยูก่ นั ด้วยความเชื่อกับด้วยความสัมพันธ์ส่วนบุคคล เรากลัวคนคิด เป็น เราไม่ชอบปัจเจกชนที่กล้าคิด เป็นอิสระ เรากลัวคนที่ คิดนอกกรอบ ความอ่อนแอทางปัญญา สะท้อนออกมาในสอง วงการที่คุณภาพต�่ำอย่างน่าวิตก คือ ระบบการศึกษาและ สื่อมวลชน แต่ขออนุญาตไม่อภิปรายปัญหาในวงการทั้งสอง ในที่นี้เพราะเป็นปัญหาใหญ่เกินไป แต่ที่เน้น 2 วิชาชีพนี้เพราะมีบทบาทส�ำคัญต่อการ สร้างปัญญาที่จะช่วยให้สังคมรู้จักคิด ฝ่าการเปลี่ยนแปลง อย่างมีสติและความรู้ หรือสร้างปัญหา กล่อมประสาทตอแหล หลอกลวงตัวเองจนสายเกินการณ์ (อีกเหตุผลเพราะเป็น วิชาชีพที่ผู้เขียนพอรู้จักมากหน่อย อย่างน้อยผู้เขียนก็พอรู้ ว่ามหาวิทยาลัยและวงวิชาการทีด่ มี มี าตรฐานสูงเป็นอย่างไร) ความตกต�่ำของวิชาชีพทางปัญญาเป็นเหตุหนึ่งของความวิ ปลาศยามสังคมเผชิญความเปลีย่ นแปลงแล้วเอาแต่ขดั ฝืนฉุด รั้ง ในทางกลับกัน ครั้นความวิปริตวิปลาศเหล่านี้เกิดจนเป็น ปกติ ผูค้ นไม่รสู้ กึ อะไร ไม่ถกู ทัดทาน ไม่ตอ้ งขอโทษ ไม่ถกู ปลด ไม่ถูกสอบสวน มาตรฐานทางการเมืองก็ไม่ต้องรับผิด ความ ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีพรรค์นี้เองที่มีส่วนท�ำให้มาตรฐานและ จรรยาบรรณของวงวิชาการและสือ่ มวลชนตกต�ำ่ อย่างน่าวิตก บ่อยครั้งผู้เขียนรู้สึกเหมือนสังคมไทยอยู่ในยุคของ กาลิเลโอ ในยุคนั้นอ�ำนาจอยู่กับศาสนจักรที่ยึดมั่นในความรู้ ความคิดผิดๆ ห้ามกาลิเลโอเผยแพร่ความรูใ้ หม่ทถี่ กู ต้องซึง่ ต่อ มามีผลต่อการปฎิวตั วิ ทิ ยาศาสตร์ขนานใหญ่ในประวัตศิ าสตร์ โลก เพราะสิง่ ทีก่ าลิเลโอเสนอขัดแย้งกับความเชือ่ และศรัทธา ของผู้มีอ�ำนาจและสังคมในขณะนั้น กาลิเลโอไม่มีโอกาสอยู่ดูชัยชนะของเขา มนุษยชาติ ที่โหดร้ายเป็นหนี้บุญคุณเขาแต่ไม่เคยสามารถกล่าวขอโทษ เขาต่อหน้าได้ มนุษย์เราโหดร้ายและขลาดเขลาพอที่จะท�ำอย่างนี้ เป็นประจ�ำ เพราะมนุษย์ปกติมักสายตาสั้น มองโลกแคบ ยิ่ง สังคมทีข่ าดวุฒภิ าวะทางปัญญายิง่ ขลาดเขลาเกินกว่าจะมอง เห็นความเป็นอนิจจังของสังคม กลัวการเปลีย่ นแปลง หลงยึด มัน่ ถือมัน่ กับเทวรูปศักดิส์ ทิ ธิท์ เี่ ขาเชือ่ ว่าไม่มที างเปลีย่ นแปลง
จนไม่สามารถเข้าใจความเปลี่ยนแปลงที่ก�ำลังเกิดขึ้นต่อหน้า ต่อตาเขา อคติอวิชชาท�ำให้เขาคับแคบ ลุม่ หลงตัวเองว่าพิเศษ กว่าใครอื่นจนสามารถหยุดยั้งความเปลี่ยนแปลงไว้ได้ คนพวกนีจ้ ะถูกบันทึกในประวัตศิ าสตร์อย่างน่าสงสาร ว่าเป็นผูฉ้ ดุ รัง้ ขัดฝืนความเปลีย่ นแปลงจนก่อให้เกิดความเสีย หายอย่างทีไ่ ม่นา่ ต้องเกิดขึน้ ไม่วา่ ในเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516, 6 ตุลา 2519, พฤษภา 2535, เมษา–พฤษภา 2553 และอีก หลายเหตุการณ์ที่ก�ำลังจะเกิด
ในท้ายที่สุด
ปลายรัชกาลที่ 9 แห่งราชวงค์จักรี สังคมไทยก�ำลัง เผชิญปัญหาหนักหน่วงอย่างน้อย 4 ประการทีส่ ำ� คัญ ไม่แพ้กันทั้งนั้น คือ 1. รัฐธรรมนูญ คือ เรือ่ งของกรอบกติกาทางการเมือง ที่จะเอื้ออ�ำนวยหรือยิ่งขัดฝืนความเปลี่ยนแปลง 2. ความขั ด แย้ ง ชายแดนภาคใต้ แ ละปั ญ หาการ กระจายอ� ำ นาจทั่ ว ทั้ ง ประเทศ คื อ เรื่ อ งรู ป การของรั ฐ ที่ ปรับตัวน้อยเกินไปหรือแทบไม่ปรับโดยพื้นฐานมาตั้งแต่ 100 กว่าปีก่อน 3. โศกนาฎกรรมเมื่อเดือน เมษา-พฤษภา 2553 และอาชญากรรมของรั ฐ อี ก หลายครั้ ง ในอดี ต รวมถึ ง การ ปราบปรามในชายแดนภาคใต้ดว้ ย นีเ่ ป็นปัญหาความยุตธิ รรม ซึ่งเป็นกุญแจส�ำคัญที่สุดของความสัมพันธ์ราบรื่นในสังคม 4. มาตรา 112 เป็นกุญแจไขประตูไปสู่การเผชิญ ปัญหาที่ตกค้างมาตั้งแต่ยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ นั่นคือ ปั ญ หาบาทบาทสถานะของสถาบั น กษั ต ริ ย ์ ใ นระบอบ ประชาธิปไตยควรเป็นอย่างไร ปัญหาทั้งหมดนี้ต้องแก้ด้วยความหนักแน่น สติ และ ปัญญา ไม่ใช่ด้วยโฆษณาชวนเชื่อหรือใส่ร้ายป้ายสีอย่างขาด ความรับผิดชอบ ขอสื่อมวลชนแค่ท�ำตามจรรยาบรรณ อย่า สุมไฟ เราต้องการวุฒิภาวะทางปัญญาและการเมืองที่จะ คุยกันอย่างอารยชน มิใช่แข่งกันแสดงความจงรักภักดีอย่าง ขาดสติ กรุณาคิดถึงอนาคต มิใช่แค่การเมืองระยะสั้นๆ
ด้วยความรุนแรง ไม่ใช่สงั คมภายใต้ Hyper-royalism ทีเ่ ทีย่ วไล่ลา่ ปราบ ปรามคนที่คิดต่าง หลังรัฐประหาร 2549 ผู้เขียนเคยสงสัยว่า “ฤานี่จะ เป็นอภิชนาธิปไตยชบวนสุดท้าย” ในขณะนั้ น ผู ้ เขี ย นมิ ไ ด้ เข้ า ใจภาพใหญ่ ข องการ เปลี่ยนแปลงอย่างที่เสนอในวันนี้ ผู้เขียนเพียงแต่เห็นปราก ฎการณ์ที่พวกกษัตริย์นิยมทิ้งไพ่ส�ำคัญๆ ออกมาบนโต๊ะจน หมดหน้า ถึงวันนี้ผู้เขียนยังขอชวนคิดเช่นเดิมว่า “ฤานี่จะเป็น อภิชนาธิปไตยขบวนสุดท้าย” ผู้เขียนไม่ทราบว่าก�ำลังจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตอัน ใกล้ ผู้เขียนไม่ทราบจริงๆ ว่าจะเป็นขบวนสุดท้ายหรือไม่เป็น แต่ค่อนข้างมั่นใจว่า อีก 50 ปีข้างหน้า ประวัติศาสตร์จะย้อน มองมายังปัจจุบัน จะเห็นมูลเหตุของวิกฤติ 3 ประการใหญ่ ดังที่กล่าวมา จะเห็นว่าวิกฤติของระบอบประชาธิปไตยแบบ อ�ำมาตย์เกิดจากความส�ำเร็จย้อนกลับมาท้าทายระบอบดัง กล่าวเสียเอง จะเห็นความไม่สามารถปรับตัวอันเกิดจาก Hyper-royalism และจะบันทึกความพยายามของคนจ�ำนวน หนึ่งรวมทั้งนิติราษฎร์และครก.112 ที่จะหาทางออกแก่สังคม ไทยด้วยความปรารถนาดี แต่ผเู้ ขียนไม่ทราบว่า ลงท้ายระบอบการเมืองปัจจุบนั ปรับตัวส�ำเร็จหรือไม่ อันตรายทีแ่ ท้จริงอันเกิดจากการฉุดรัง้ ขัด ฝืนความเปลีย่ นแปลงจะถูกถอดชนวนทันกาลหรือจะดึงดันไป ถึงจุดสุดท้ายของอภิชนาธิปไตยขบวนนี้ สังคมไทยจะยอมปลดล็อค เปิดประตู แล้วเดินเข้าสู่ ประตูของการปรับตัวหรือไม่ นิติราษฎร์ และ ครก. 112 ช่วย เสนอทางปลดล็อคให้ทางหนึ่งแล้ว
เราท่านทุกคนมี ส่วนในการตัดสินใจ เพื่ออนาคตของสังคมไทย และลูกหลานของเรา
สังคมไทยที่พึงปรารถนาควรใจกว้าง อยู่ร่วมกันได้ ไม่ว่าคิดแตกต่างกันขนาดไหน ในที่นี้หมายถึงคนที่รักเจ้าไม่ เท่ากัน ในแบบต่างๆ กัน และคนที่ไม่ยินดียินร้าย หรือคน ที่ไม่รักเจ้าเลยก็ตาม ตราบเท่าที่เขาไม่ใช้ความรุนแรงบังคับ ข่มเหงใครหรือก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบอบการเมือง 19
“It is not the strongest of the species that survive, nor the most intelligent, but the one most responsive to change.� Charles Darwin
20