แถลงการณ์ “สองปี ของการสลายการชุ มนุม ยังไม่ มคี วามยุติธรรมให้ กบั เหยือ่ ” โดย ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้ รับผลกระทบจากการสลายการชุ มนุม เม.ย.-พ.ค.53 (ศปช.) 19 พฤษภาคม 2555 ไม่มีความจริ งก็ไม่มีความยุติธรรม ปราศจากความยุติธรรม การปรองดอง-นิรโทษกรรม ก็เป็ นแค่การสมรู ้ร่วมคิดกันเหยียบยํา่ เหยือ่ เป็ นแค่การสมรู ้ร่วมคิดกันปกป้ องอาชญากรรมต่อประชาชนเท่านั้น การสลายการชุมนุมของประชาชน เม.ย.-พ.ค. 2553 ได้ผา่ นเข้าสู่ ปีที่สอง แต่การคืนความยุติธรรมให้กบั ผูไ้ ด้รับผลกระทบกลับเป็ นไปอย่างเชื่องช้า แม้วา่ ศปช.จะชื่นชมความกล้าหาญที่รัฐบาล น.ส.ยิง่ ลักษณ์ ชินวัตร ได้อนุมตั ิเงินเยียวยาแก่ผไู ้ ด้รับผลกระทบแล้วก็ตาม แต่นนั่ เป็ นเพียงเศษเสี้ ยวของความยุติธรรมที่เหยือ่ พึงได้รับ แต่ความยุติธรรมที่แท้จริ งยังไม่ได้เกิดขึ้น เพราะจนบัดนี้ ยังไม่มีการดําเนินคดีจากเจ้าหน้าที่รัฐแม้แต่รายเดียว ซํ้าร้ายยังมีแนวโน้มว่าจะมีการนิรโทษกรรมผูม้ ีอาํ นาจที่เกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุมอีกด้วย ความถดถอยที่ เกิดขึ้น ทําให้ ศปช.ขอเรี ยกร้องต่อรัฐบาล พรรคเพื่อไทย แนวร่ วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) คณะกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบและค้นหาความจริ งเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) และ คณะกรรมการสิ ทธิมนุษยชนแห่ งชาติ (กสม.) ดังนี้ 1. ต่ อรัฐบาลน.ส.ยิง่ ลักษณ์ พรรคเพือ่ ไทย และนปช. กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้กล่าวทํานองว่าประชาชนที่สูญเสี ยจากเหตุสลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 จําต้องเสี ยสละเพื่อให้เกิดการปรองดองและเพื่อให้สงั คมเดินหน้าต่อไปได้น้ นั ศปช.เห็นว่าเป็ นการกล่าวอย่างไร้ ความรับผิดชอบและไร้มนุษยธรรมอย่างสิ้ นเชิง หากรัฐบาล พรรคเพื่อไทย และนปช.เดินตามแนวทางดังกล่าว จริ ง ย่อมถือเป็ นการทรยศต่อประชาชน ที่ยอมสละชีวิตต่อสู เ้ พื่อประชาธิปไตยและช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ บัดนี้เมื่อพวกท่านได้มีเป็ นรัฐบาลแล้ว จงอย่าบังคับให้เหยือ่ ต้องเป็ นผูเ้ สี ยสละ ด้วยข้ออ้างกลวง ๆ ว่า เพื่อให้สงั คมเดินหน้าต่อไปได้ มีแต่คนที่พิกลพิการทางศีลธรรมเท่านั้นที่สามารถเดินไปข้างหน้าได้ดว้ ยการ เหยียบยํา่ ลงไปบนซากศพของคนที่สนับสนุนตนเอง โปรดเข้าใจด้วยว่าการปรองดองไม่สามารถเกิดขึ้นจากการ ยอมจํานนและความพ่ายแพ้ของเหยือ่ เราต้องหยุดวัฒนธรรมการเมืองที่ปล่อยให้ผกู ้ ระทําผิดที่มีอาํ นาจลอยนวล กันเสี ยที นอกจากนี้ การปล่อยให้มวลชนเสื้ อแดงกว่า 40 คนถูกคุมขังต่อไป คือสิ่ งที่ตอกยํ้าภาวะ “สอง มาตรฐาน” ที่ “สามัญชนเสื้ อแดง” มักถูกเลือกปฏิบตั ิจากกระบวนการยุติธรรมและการเมือง ราวกับว่าพวกเขา เป็ น “คนชั้นสอง” ที่ไม่ได้มีศกั ดิ์ศรี และสิ ทธิอนั เท่าเทียมกับบรรดาคนเสื้ อสี อื่น, กลุ่มพันธมิตร, พรรคการเมือง อนุรักษ์นิยม, และแกนนํา นปช.
การนิรโทษกรรมให้กบั ประชาชนและเจ้าหน้าที่ระดับล่างเป็ นสิ่ งที่ควรกระทํา แต่ตอ้ งไม่มีการนิรโทษ ให้กบั ผูน้ าํ ของทุกฝ่ ายโดยเด็ดขาด รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยต้องไม่นาํ เรื่ องนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ ไป ปะปนกับการนิรโทษกรรมผูท้ ี่อยูเ่ บื้องหลังการปราบปรามประชาชนโดยเด็ดขาด ศปช. ขอเตือนว่าหากมีการนิร โทษกรรมแบบเหมารวมเกิดขึ้น ในอนาคตประชาชนจะต่อสูเ้ พื่อทําให้กฎหมายนิรโทษกรรมดังกล่าวเป็ นโมฆะ ในที่สุด การนิรโทษกรรมจะเกิดไม่ได้ถา้ ไม่มีการเปิ ดเผยความจริ งและดําเนินคดีกบั ผูท้ ี่เกี่ยวข้องเสี ยก่อน นี่เป็ น เงื่อนไขตํ่าสุ ดของการนิรโทษกรรม เป็ นเงื่อนไขตํ่าสุ ดที่จะทําให้เกิดเยียวยาเหยือ่ และการปรองดองได้จริ ง 2. ต่ อคณะกรรมการตรวจสอบและค้ นหาความจริงเพือ่ ความปรองดองแห่ งชาติ ในเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้ เป็ นวาระครบรองสองปี ของการทํางานของ คอป. ศชป. เชื่อว่าประชาชน จํานวนมาก โดยเฉพาะผูท้ ี่ได้รับผลกระทบ กําลังเฝ้ ารอรายงานการตรวจสอบและค้นหาความจริ งเกี่ยวกับการ สลายการชุมนุม เม.ย.-พ.ค.53 พวกเขากําลังเฝ้ ารอว่า “ความจริ ง” ในทัศนะของ คอป.นั้นจะสามารถคืนความ ยุติธรรมให้กบั พวกเขาได้หรื อไม่ ทั้งนี้ คอป.น่าจะตระหนักได้วา่ สองปี ที่ผา่ นมา ความกํากวมสับสนของ คอป. ในเรื่ องการ “ค้นหาความจริ ง” กับจุดยืนของคอป.ที่ “จะไม่ช้ ีถูกชี้ผดิ ” นั้น ส่ งผลให้ประชาชนจํานวนมากวิตก กังวลและไม่เชื่อมัน่ ในการทํางานของ คอป. กระนั้น รายงานการตรวจสอบและค้นหาความจริ งที่ คอป.มีหน้าที่ นําเสนอต่อประชาชนในเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้ จะเป็ นสิ่ งพิสูจน์ตวั ตนของ คอป. ที่ชดั เจนที่สุด 3. ต่ อคณะกรรมการสิ ทธิมนุษยชนแห่ งชาติ คงไม่เกินเลยเกินไปที่จะกล่าวว่า ห้าปี ที่ผา่ นมา กสม. ชุดนี้ลม้ เหลวโดยสิ้ นเชิงในการส่ งเสริ มให้เกิดการ เคารพและปกป้ องสิ ทธิมนุษยชนของประชาชนไทย ในระหว่างการล้มตายบาดเจ็บของประชาชนในเมื่อวันที่ 10 เม.ย. และ 19 พ.ค. 2553 กสม.ไม่เคยมีความกล้าหาญที่จะออกมาประณามการใช้กาํ ลังเกินกว่าเหตุของรัฐบาล แม้แต่ครั้งเดียว ซํ้าร้าย เมื่อเดือนกรกฎาคม 2554 ร่ างรายงานของ กสม. ที่วา่ ด้วยการสลายการชุมนุมคนเสื้ อแดง ที่ “หลุด” ออกมาหนึ่งวันก่อน กสม.จะแถลงรายงานดังกล่าว ก็ช้ ีชดั ว่า กสม.เลือกที่จะปกป้ องอํานาจรัฐ มากกว่าปกป้ องประชาชนธรรมดา เมื่อมีผปู ้ ระท้วง กสม. ที่ละเลยการละเมิดสิ ทธิมนุษยชนของนายอําพล หรื ออากง และผูต้ อ้ งหาคดี มาตรา 112 ประธาน กสม. นางอมรา พงษ์ศาพิชญ์ได้อธิบายว่า เพราะมาตรา 112“ถูกนําไปโยงกับการเมือง” จากคําอธิบายข้างต้น ก็น่าจะอนุมานได้วา่ กสม.ใช้เหตุผลเดียวกัน เพื่อที่จะไม่ทาํ อะไรในกรณี การปราบปราม ประชาชน เหตุผลดังกล่าวเป็ นสิ่ งที่น่าเศร้าใจอย่างยิง่ เพราะมันแสดงให้เห็นว่า กสม.สอบตกวิชา “ความรู ้ เบื้องต้นว่าด้วยสิ ทธิมนุษยชน” กล่าวคือ สิ ทธิมนุษยชน ไม่วา่ จะเป็ นด้านสังคม-การเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม เพศสภาพ ฯลฯ ล้วนไม่สามารถแยกออกจากการต่อสูท้ างการเมืองได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิง่ สิ ทธิดา้ นสังคมการเมืองในประเทศที่ไม่เป็ นประชาธิปไตย ในประเทศที่อาํ นาจรัฐเคยชินกับการใช้อาํ นาจตามอําเภอใจ
เจ้าหน้าที่รัฐจึงเป็ นคู่กรณี หรื อตัวการสําคัญที่ละเมิดสิ ทธิของประชาชนอยูเ่ สมอ ฉะนั้น จุดมุ่งหมายสําคัญของ แนวคิดสิ ทธิมนุษยชนก็คือ ปกป้ องประชาชนธรรมดาจากการใช้อาํ นาจที่เกินขอบเขตของรัฐ นอกจากนี้ กสม.ดูจะสับสนในหน้าที่ของตนเองอย่างยิง่ กล่าวคือ แทนที่ กสม.จะมัวกังวลว่าจุดยืนของ ตนอาจทําให้กลุ่มการเมืองบางกลุ่มได้หรื อเสี ยประโยชน์ หน้าที่ของ กสม. ควรอยูท่ ี่การตรวจสอบว่าเหตุการณ์ นั้น ๆ ใครเป็ นผูล้ ะเมิดสิ ทธิของใคร และใครคือได้รับผลกระทบนั้น รัฐบาลที่พรั่งพร้อมไปด้วยอํานาจทาง กฎหมายและกําลังอาวุธได้กระทําการเกินกว่าเหตุจนถึงขั้นล่วงละเมิดสิ ทธิในชีวิตและร่ างกายของประชาชน อย่างไร กล่าวโดยสรุ ปคือ “สิ ทธิมนุษยชน” คือหลักการที่ กสม. ต้องยึดมัน่ ไว้อย่างเที่ยงตรง โดยไม่ปล่อยให้ อคติหรื อการเลือกข้างมาครอบงําการทํางานของตน ศปช.ใคร่ เรี ยนว่าในช่วงที่ทกั ษิณ ชินวัตร เป็ นนายกฯ เขามักถูกประณามว่าชอบแทรกแซงและทําให้ องค์กรอิสระอ่อนแอ ซึ่งศปช.ไม่ปฏิเสธว่ามีความจริ งในข้อกล่าวหานั้น แต่เหตุการณ์ทางการเมืองที่ในระยะ 5-6 ปี ที่ผา่ นมาชี้วา่ การแทรกแซงของนักการเมืองก็ยงั ไม่มีพลังที่จะทําลายความเข้มแข็งและน่าเชื่อถือขององค์กร อิสระทั้งหลาย ได้เท่ากับที่สมาชิกขององค์กรเหล่านั้นร่ วมกันละเลยหรื อกระทํายํา่ ยีต่อหลักการขององค์กรของ ตนเสี ยเอง ประการสําคัญ ความอ่อนแอเช่นนี้ได้ส่งผลต่อภาวะตีบตันในการแก้ไขปัญหาการเมืองโดยตรง เมื่อ องค์กรอิสระละทิ้งหลักการของตนเสี ยแล้ว ข้อเสนอทางการเมืองใด ๆ จากพวกเขา ก็เป็ นเพียงมลภาวะทาง การเมืองที่ประชาชนพากันดูถูกดูแคลนในที่สุด ท้ายนี้ ศปช. ขอเรี ยนว่าตลอดสองปี ที่ผา่ นมา ข้อเท็จจริ งเกี่ยวกับการปราบปรามประชาชน เม.ย.-พ.ค. 2553 ได้ถูกนําไปเปิ ดเผยในที่สาธารณะอย่างมากมายเสี ยจนสามัญชนที่มีวิจารณญาณย่อมเห็นได้อย่างชัดเจนว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ใช้กาํ ลังอํานาจจนเกินกว่าเหตุล่วงละเมิดต่อสิ ทธิในชีวิตของผูช้ ุมนุม จะมีกแ็ ต่ หน่วยงานของรัฐอย่าง กสม., คอป., ดีเอสไอ, ตํารวจ, ทหาร ที่ยงั ไม่กล้าเผชิญหน้ากับความจริ ง และพยายาม ช่วยกัน “ปิ ดฟ้ าด้วยฝ่ ามือ” ต่อไป จึงเรี ยนมาด้วยความสลดใจต่อความอยุติธรรมที่ปกคลุมสังคมไทย ศูนย์ขอ้ มูลประชาชนผูไ้ ด้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม เม.ย.-พ.ค.53 (ศปช.)