1
ธรรมศักติกถา ธ ร ร ม ก ถ า เ รื่ อ ง . . . ดั บ ไ ม เ ห ลื อ ปาฐกถาธรรมโดย...พระธรรมโกศาจารย (พุทธทาสภิกขุ) สวนโมกขพลาราม
กองทุนศาสตราจารยสญ ั ญา ธรรมศักดิ์ ธรรมสภาและสถาบันบันลือธรรม จัดพิมพเผยแพรในโครงการศาสตราจารยสญ ั ญาฯ สัมพันธ
2
อนุโมทนาจากทานพุทธทาสภิกขุ ในวาระครบ ๘๔ ป ทานศาสตราจารยสญ ั ญา ธรรมศักดิ์
3
ธรรมศักติกถา ทานพุทธทาส พูดถึง ทานสัญญา ธรรมศักดิ์ ถาจะพูดถึงอาจารยสัญญา ก็ตองเอาชื่อของทาน เอานามสกุล ของทานออกมาพิจารณา คือ สัญญา และ ธรรมศักดิ์ ทานมีธรรมะเปน ศักติ หรือเปนศักติของธรรมะ ไดทงั้ สองอยาง และทานมีธรรมะเปนปรัชญา มีสญ ั ญาอยใู นธรรม มีคำวาสัญญาสำคัญมัน่ หมายเปนหลักยึด ก็คอื ธรรมะ สัญญา ธรรมศักดิ์ คือ ธรรมสัญญา ธรรมศักติ อาจารยสญ ั ญาทานสนใจธรรมะอยแู ลว มีความขวนขวายพยายามทีจ่ ะรธู รรมะ จะปฏิบตั ธิ รรมะ และจะเผยแผธรรมะในทางดีเปนทุนเดิมอยกู อ นแลว เมื่อทานไดยินวาสวนโมกขตั้งขึ้นมาเพื่อจะเผยแผธรรมะ ฟนฟู ธรรมะจากการฟงธรรมะ ทานก็ชอบใจ ทานก็พอใจ ทานก็เพียรมาติดตอ มาเยี่ยมเยียนกัน มีความสัมพันธกันอยูตลอดเวลา แลวทานก็ไดติดตอ เรือ่ ยมาตลอด มาดวยอำนาจของสิง่ ๆ เดียว ก็คอื สิง่ ทีเ่ รียกวา ธรรมะ อะไรจะสำเร็จก็อยทู คี่ ำวา ธรรม เพียงคำเดียว เหตุทจี่ ะเกิดความผูกพันและเกิดการดำเนินงานเพือ่ ความเจริญ เพือ่ ความสันติสขุ ของโลก ของเพือ่ นมนุษยโดยลำดับ 3
4
พูดถึงคำวา ศักติ มีความหมายกวาง ศักติ หมายถึง กำลัง พลัง กำลังทีใ่ หเกิดความสำเร็จ สิง่ ทีจ่ ะเปน กำลังทีจ่ ะใหเกิดความสำเร็จนัน้ ในทีน่ กี้ ค็ อื ตัวธรรมะ ธรรมะเปนศักติทที่ ำ ใหเกิดความสำเร็จ ซึง่ อาจารยสญ ั ญาไดใชมนั ใชเปนชีวติ จิตใจ ใชธรรมะ เปนพละ เปนกำลัง ใหเกิดความสำเร็จ พรอมกันนัน้ ก็เปนศักติของธรรมะ เปนศักติของธรรมะเสียเอง ธรรมะผานทางอาจารยสัญญาใหเกิดความ สำเร็จประโยชนของมนุษยเปนอันมาก อาจารยสัญญามีธรรมะเปนศักติ เพื่อใหเกิดความสำเร็จประโยชนเกื้อกูลแกโลก และทานเองก็กลายเปนศักติของธรรมะ เพือ่ ใหธรรมะมีอทิ ธิพล มีอะไรทัว่ โลก ฟงดูใหดๆี มีธรรมะเปนศักติ และก็กลายเปนศักติของธรรมะใน ทีส่ ดุ ไดอาศัยบุคคลชนิดนี้ ประเภทนี้ ธรรมะจึงไดเปนประโยชนแกคนหรือ สัตวทมี่ ชี วี ติ ทัง้ โลก มันเปนคำทีม่ เี กียรติ ศักติเปนคำทีม่ เี กียรติ เปนคุณธรรม ชัน้ สูงสุด เปนคำวาศักติ เปนศักติของธรรมะ แตอาตมาสมัครเอาคำต่ำตอย ซึง่ ไมมเี กียรติ ใชคำวาทาส เปนทาสของพระพุทธเจา เปนทาสของพระธรรม แต เ ราก็ มุ ง หมายประโยชนอั น เดีย วกัน จะเปน ทาสหรื อ เปน ศัก ติ ก็ คื อ มุงหมายจะใหเกิดประโยชนดวยความสำเร็จ เปนสันติสุขและเปนศักติแก มนุษยทงั้ ปวง ผูใดใหความเคารพนับถือในอาจารยสัญญา ก็ขอใหทำตาม อาจารยสัญญา ในฐานะทีว่ ามีธรรมะเปนศักติ และก็สำเร็จประโยชนเปน ศักติของธรรมะ รับใชธรรมะตอไปๆ การงานมันมีมากมายมหาศาลทีจ่ ะทำ
5
ใหเกิดสันติสขุ สันติภาพแกโลก แตเราก็ตอ งพยายามทำไปตามทีก่ ระทำได มีธรรมะเปนศักติสำเร็จประโยชน แลวก็กลายเปนศักติของธรรมะ รวมความสัน้ ๆ ก็วา ... ขอใหทา นทัง้ หลาย ยึดธรรมะเปนหลักปฏิบตั ิ และก็รบั ใชธรรมะ เผยแผธรรมะ ใหธรรมะเปนประโยชนแกคนและสัตวทมี่ ชี วี ติ ทัว่ ไปทัง้ โลก นีค่ อื ใจความสำคัญทีเ่ ราควรจะปรารภอาจารยสญ ั ญา แลวก็ทำ ใหสำเร็จประโยชนในโอกาสพิเศษทีต่ ั้งใจจะกระทำกัน.
เรียบเรียงจากแถบบันทึกเสียง (คัดตอนมาบางสวน) ซึ่งศาสตราจารย ดร.วิษณุ เครืองาม สัมภาษณทานอาจารยพุทธทาสภิกขุ เนื่องในโอกาสที่ศาสตราจารยสัญญา ธรรมศักดิ์ มีอายุครบ ๗ รอบ ณ สวนโมกขพลาราม อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎรธานี เมือ่ วันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๓๔
ผจู ดั พิมพขอกราบขอบพระคุณทานศาสตราจารย ดร.วิษณุ เครืองาม เปนอยางยิง่
6
ผูดับไมเหลือ อยาเขาใจ ตองปฏิบตั ิ ถารจู ริง รดู บั
ไปวา ลำบาก สิง่ เดียว ใหไมมเี หลือ
ตองเรียนมาก จึงพนได ก็งา ยดาย เชือ่ ก็ลอง
เมือ่ เจ็บไข อยาพรัน่ พรึง ระวังให คอยจดจอง
ความตาย หวาดไหว ดีดี ใหตรงจุด
จะมาถึง ใหหมนหมอง “นาทีทอง” หลุดใหทนั
ถึงนาที ตัง้ สติ ดวยจิตวาง สารพัน
สุดทาย ไมประมาท ปลอยวาง ไมยดึ ครอง
อยาใหพลาด เพือ่ ดับขันธ ทุกสิง่ อัน เปนของเรา
ตกกระได จะถึงที่ สมัครใจ ก็ดบ ั “เรา”
พลอยกระโจน ใหดดี ี มงุ หมาย ไดงา ยเขา ดับไมเหลือ เมือ่ ไมเอา ดับตน ดลนิพพาน
7
ดับไมเหลือ ธรรมกถา ของ ทานพุทธทาสภิกขุ ธรรมเทศนาทีย่ งั เปนเพียงคำสอนอยนู นั้ ...ยังชวยใครไมได ถาเมือ่ ใดคำสัง่ สอนนัน้ ๆ มีผเู ห็นดวย แลวพากันทำตาม เมือ่ นัน้ คำสัง่ สอนเหลานัน้ ก็จะกลายรูปเปนองคพระธรรม ซึง่ สามารถคมุ ครองผเู ห็นจริง แลวปฏิบตั ติ ามได เหมือนเครือ่ งกัน้ ฝนใหญๆ ชวยคมุ ฝนใหในฤดูฝน เรือ่ งความดับไมเหลือนัน้ มีวธิ ปี ฏิบตั เิ ปน ๒ ชนิด คือ ตามปกติ ขอใหมคี วามดับไมเหลือแหงความรสู กึ ยึดถือ “ตัวกู” หรือ “ของกู” อยเู ปนประจำนีอ้ ยางหนึง่ อีกอยางหนึง่ หมายถึง เมือ่ รางกายจะตองแตกดับไปจริงๆ ขอให ปลอยทัง้ หมด รวมทัง้ รางกายชีวติ จิตใจใหดบั เปนครัง้ สุดทาย ไมมเี ชือ้ อะไร เหลืออยู หวังอยู สำหรับการเกิดมีตวั เราขึน้ มาอีก ฉะนัน้ ตามปกติประจำวันก็ใชอยางแรก เมือ่ ถึงคราวจะแตกดับ ทางรางกายก็ใชอยางหลัง ในกรณีที่ประสบอุบัติเหตุไมตายทันที มีความ รูสึกเหลืออยูบางชั่วขณะ...ก็ใชอยางหลัง ถาสิ้นชีวิตไปอยางกะทันหัน ก็ หมายความวา ดับไปในความรสู กึ ตามวิธอี ยางแรกอยใู นตัว และเปนอันวา มีผลคลายกัน คือไมมคี วามอยากเกิดอีกนัน่ เอง
8
วิธปี ฏิบตั อิ ยางที่ ๑ ทีใ่ หทำเปนประจำวันนัน้ หมายความวา มี เวลาวางสำหรับทำจิตใจเมือ่ ไร กอนนอนก็ดี ตืน่ นอนใหมกด็ ี ใหสำรวมจิต เปนสมาธิดว ยการกำหนดลมหายใจ (หรืออะไรก็แลวแตถนัด) พอสมควรกอน แลวจึงพิจารณาใหเห็นความทีส่ งิ่ ทัง้ หลายทัง้ ปวง ทุกสิง่ ไมควรยึดมัน่ ถือมัน่ วาเปนเราหรือเปนของเรา แมแตสกั อยางเดียว เปนเรือ่ งอาศัยกันไปในการ เวียนวายตายเกิดเทานัน้ เอง ยึดมัน่ ในสิง่ ใดเขาก็เปนตองทุกขทนั ที และ ทุกสิง่ การเวียนวายตายเกิดนั้นเลาก็คือ การทนทุกขทรมานโดยตรง เกิดทุกทีเปนทุกขทกุ ที เกิดทุกชนิดเปนทุกขทกุ ชนิด ไมวา จะเกิดเปนอะไรก็ เปนทุกขไปตามแบบของการเกิดเปนอยางนั้น เกิดเปนแมก็ทุกขอยางแม เกิดเปนลูกก็ทกุ ขอยางลูก เกิดเปนคนรวยก็ทกุ ขอยางคนรวย เกิดเปนคนจน ก็ทกุ ขอยางคนจน เกิดเปนคนดีกท็ กุ ขอยางคนดี เกิดเปนคนชัว่ ก็ทกุ ขอยาง คนชั่ว เกิดเปนคนมีบุญก็ทุกขไปตามประสาคนมีบุญ เกิดเปนคนมีบาปก็ ทุกขไปตามประสาคนมีบาป ฉะนัน้ สไู มเกิดเปนอะไรเลย คือ “ดับไมเหลือ” ไมได แตทนี ี้สำหรับการเกิด หรือคำวา “เกิด” นัน้ อยาหมายเพียงการ เกิดจากทองแม ทีแ่ ทมนั หมายถึงการเกิดของจิต คือของความรสู กึ ทีร่ สู กึ ขึน้ มาคราวหนึ่งๆ วากูเปนอะไร เชน เปนลูก เปนคนจน เปนคนมี คนสวย คนไมสวย คนมีบญ ุ คนมีบาป เปนตน ซึง่ นีแ่ หละเรียกวา ความยึดถือหรือ อุปาทานวา “ตัวกู” เปนอยางไร “ของกู” เปนอยางไร ตัวกูหรือของกูทกี่ ลาว นีเ้ รียกวา “อุปาทาน” มันเกิดจากทองแมของมันคืออวิชชา มันเกิดวันหนึง่ ไมรกู สี่ บิ ครัง้ กีร่ อ ยครัง้ หรือไมรกู ชี่ าตินนั้ เอง เกิดทุกคราวเปนทุกขทกุ คราว อยางไมมีทางที่จะหลีกเลี่ยง ทุกคราวทีต่ าเห็นรูป หรือหูไดยนิ เสียง หรือจมูกไดกลิน่ หรือลิน้ ไดรส
9
หรือกายไดสัมผัสผิวหนัง หรือจิตมันปรุงเรื่องเกาๆ เปนความคิดเปนเรื่อง เปนราวขึน้ มาเองก็ตาม ถาควบคุมไวไมดแี ลว “ตัวกู” เปนไดโผลหรือเกิดขึน้ มาทันที และตองเปนทุกขทนั ทีทตี่ วั กูโผลขนึ้ มา ฉะนั้น จงระวังอยาเผลอให “ตัวกู” โผลหัวออกมาจากทองแม ของมันเปนอันขาด เพียงแตตาเห็นรูปหรือหูไดยนิ เสียง เปนตน แลวเกิดสติ ปญญารวู า ควรจัดการอยางไรก็จัดไป หรือนิง่ เสียก็ได อยางนีไ้ มเปนไร ขอ อยางเดียวอยาให “ตัวกู” ถูกปรุงขึน้ มาจากตัณหาหรือเวทนา อันเกีย่ วเนือ่ ง กับสิง่ ทีไ่ ดเห็น หรือวาไดยนิ เปนตนนัน้ อยางนีเ้ รียกวา “ตัวกู” ไมเกิด คือไมมี ชาตินนั่ เอง เมือ่ ไมเกิดก็ไมตาย หรือไมทกุ ขอยางใดทัง้ สิน้ นีแ่ หละคือขอทีบ่ อกใหทราบวา การเกิดนัน้ ไมใชหมายถึงการเกิด จากทองแม ทางเนือ้ หนังโดยตาง แตมันหมายถึงการเกิดทางจิตใจ ตัวกูที่ เกิดจากแมของมันคืออวิชชา การ “ดับไมเหลือ” ในทีน่ ี้ ก็คอื อยาใหตวั กูดงั กลาวนัน้ เกิดขึน้ มาไดนนั่ เอง เมือ่ แมของมันคืออวิชชา ก็ใหฆา แมของมันเสียดวยวิชชา หรือปญญาทีร่ วู า ไมมอี ะไรควรยึดมัน่ ถือมัน่ นัน่ เอง หรืออีกอยางหนึง่ ก็วา ... มันเกิดไดเพราะเราเผลอสติ ฉะนั้นเราอยาเผลอสติเปนอันขาด ถาเปนคนขีม้ กั เผลอสติ ... ก็จงแกดว ยความเปนผรู จู กั อาย รจู กั กลัวเสียบาง โดยอายวาการที่ปลอยใหเปนอยางนั้นๆ มันเปนคนสารเลว ยิ่ง
10
กวาไพรหรือขีข้ า สถุลเสียอีก ไมสมควรแกเราเลย ทีว่ า รจู กั กลัวเสียบางนัน้ หมายความวา มันไมมอี ะไรทีน่ า กลัวไป กวาความเกิดชนิดนีแ้ ลว มันยิง่ กวาตกนรกหรืออะไรทัง้ หมด เกิดขึน้ มาทีไร เปนสูญคน เสียคน...ไมมอี ะไรเหลือ เมือ่ มีความอายและความกลัวอยางนีบ้ อ ยๆ แลว สติมนั ก็ จะไมกลาเผลอของมันเอง การปฏิบตั กิ จ็ ะดีขนึ้ ตามลำดับ จะเปนผู ทีม่ กี าร “ดับไมเหลือ” อยเู ปนประจำ ทุกค่ำเชาเขานอน ... ตองมีการคิดบัญชีเรือ่ งการดับไมเหลือนี้ ใหรรู ายรับ รายจาย เอาไวเสมอไป ขอนี้มีอานิสงสสูงไปกวา การไหวพระ สวดมนต หรือทำสมาธิเฉยๆ เรือ่ งเกีย่ วกับดับไมเหลือทำนองนี้ ไมเกีย่ วกับการเพงหรือหลับตา เห็นสี เห็นดวง หรืออะไรที่แปลกๆ เปนทำนองปาฏิหาริยหรือศักดิ์สิทธิ์ แตเกีย่ วกับสติปญ ญา หรือสติสมั ปชัญญะโดยตรงเทานัน้ อยางมากทีส่ ดุ ที่มันมาเปนความเบากายเบาใจ สบายกายสบายใจอยางที่บอกไมถูก เทานัน้ เอง ก็อยานึกถึงเรือ่ งนีจ้ ะดีกวา เพราะจะกลายเปนทีต่ งั้ ของอุปาทาน อันใหมขนึ้ มา แลวมันก็จะดับไมลง และมันจะ “เหลือ” อยเู รือ่ ย คือเกิดเรือ่ ย ทีเดียว เดีย๋ วจะไดกลมุ กันใหญและยิง่ ไปกวาเดิม พวกที่ทำวิปสสนาไมสำเร็จ ก็เพราะวาคอยจับจองเอาความสุข อยูเรื่อยไป มุงนิพพานตามความยึดถือของตนร่ำไป มันก็ดับไมลง หรือ นิพพานจริงๆ ไมได มีตวั กูเกิดในนิพพานแหงความยึดมัน่ ถือมัน่ ของตนเอง เสียเรือ่ ย
11
ฉะนั้น ถาจะภาวนาบางก็ตองภาวนาวา ไมมีอะไรที่ควรยึดมั่น ถือมัน่ แมแตสงิ่ ทีเ่ รียกวานิพพานนัน่ เอง สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินเิ วสาย สิง่ ทัง้ หลายทัง้ ปวงไมควรยึดมัน่ ถือมัน่ สรุปความวา ทุกค่ำเชาเขานอนตองทำความแจมแจงในเรื่อง ความไมยดึ มัน่ ถือมัน่ ใหแจมแจงอยเู สมอจนเคยชินเปนนิสยั จนหากบังเอิญ ตายไปในเวลาหลับ ก็ยงั มีหวังทีจ่ ะไมเกิดอีกตอไป มีสติปญญาอยูเรื่อย อยาใหอุปาทานวา “ตัวกู” หรือ “ของกู” เกิด ขึน้ มาไดเลยในทุกๆ กรณี ทัง้ กลางวันกลางคืน ทัง้ ตืน่ และหลับ นีเ้ รียกวา เปนอยูดวยความดับไมเหลือ หรือความไมมีตัวตน มีแตธรรมะอยูในจิตที่ วางจากตัวตนอยเู สมอไป เรียกวาตัวตนไมไดเกิดและมีแตการดับไมเหลือ อยเู พียงนัน้ ถาเผลอไปก็ตงั้ ใจทำใหมเรือ่ ย ไมมกี ารทอถอยหรือเบือ่ หนาย ในการบริหารใจเชนนี้ ก็เชนเดียวกับเราบริหารกายอยตู ลอดเวลา นัน้ เหมือนกัน ใหทงั้ กายและใจไดรบั การบริหารทีถ่ กู ตองควบคกู นั ไป ดังนี้ ในทุกกรณีที่ทำอยูทุกลมหายใจเขาออก เปนอยูดวยปญญา ไมมีความ ผิดพลาดเลย ทีนกี้ ม็ าถึงวิธปี ฏิบตั ทิ ี่ ๒ คือ ในเวลาจวนเจียนจะดับจิตนัน้ อยาก จะกลาววามันงายเหมือนตกกระไดแลวพลอยกระโจน มันยากอยูตรงที่ ไมกลาพลอยกระโจน ในเมือ่ พลัดตกกระไดมันจึงเจ็บมาก เพราะตกลงมา อยางไมเปนทาเปนทาง ไหนๆ ก็เมือ่ รางกายนีม้ นั อยตู อ ไปอีกไมไดแลว จิตหรือเจาของบานก็พลอยกระโจนตามมันไปเสียดวยก็แลวกัน ให ปญญามันกระจางแจงขึน้ มาในขณะนัน้ วา ไมมอี ะไรทีน่ า จะกลับมาเกิดใหม
12
เพื่ อ เอา เพื่ อ เป น เพื่ อ หวั ง อะไรอย า งใดต อ ไปอี ก หยุ ด สิ้ น สุ ด ปดฉากสุดทายกันเสียที เพราะไปแตะเขาทีไ่ หนมีแตทกุ ขทงั้ นัน้ ไมวา จะไป เกิดอะไรเขาทีไ่ หน หรือไดอะไรทีไ่ หนมา จิตหมดทีห่ วังหรือความหวังละลาย ไมมีที่จอด มันจึงดับไปพรอมกับกายอยางไมมีเชื้อเหลือมาเกิดอีก สิ่งที่ เรียกวาเชื้อก็คือความหวัง หรือความอยาก หรือความยึดมั่นถือมั่นอยูใน สิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นเอง หรือสมมติวา ถูกควายขวิดจากขางหลัง หรือรถยนตทบั หรือตึก พังทับ ถูกลอบยิง หรือถูกระเบิดชนิดไหนก็ตาม ถามีความรสู กึ เหลืออยแู ม สักครึ่งวินาทีก็ตาม จงนอมจิตไปสูความดับไมเหลือ หรือทำความดับ ไมเหลือเชนวานีใ้ หแจมแจงขึน้ ในใจ (เหมือนทีเ่ คยฝกอยทู กุ ค่ำเชาเขานอน) ขึน้ มาในขณะนัน้ แลวใหจติ ดับไปก็เปนเพียงพอแลวสำหรับการ “ตกกระได พลอยโจน” ไปสคู วามดับไมมเี ชือ้ เหลือ ถาหากจิตดับไปเสีย โดยไมมเี วลาเหลืออยสู ำหรับใหรสู กึ ได ดังวา ก็แปลวา ถือเอาความดับไมเหลือทีเ่ ราพิจารณาและมงุ หมาย อยูเปนประจำใจทุกค่ำเชาเขานอนนั่นเอง เปนพื้นฐานสำหรับการ ดับไป มันจะเปนการดับไมเหลืออยดู ี ไมเสียทาทีแตประการใด อยา ไดเปนหวงเลย ถาปวยดวยโรคทีเ่ จ็บปวดหรือทรมานมาก ก็ตอ งทำจิตแบงรับวา ที่ยิ่งเจ็บมาก ปวดมาก นี่แหละมันจะไดดับไมเหลือเร็วเขาอีก เราขอบใจ ความเจ็บปวดเสียอีก เมื่อเปนดังนี้ ปติในธรรมก็จะขมความรูสึกปวดนั้น ไมใหปรากฏ หรือปรากฏแตนอยที่สุด จนเรามีสติสมบูรณอยูดังเดิม และ เยาะเยยความเจ็บปวดได
13
ถาปวยดวยโรคเชนอัมพาต และตองดับดวยโรคนั้น ก็ใหถือวา ตัวเราสิน้ สุดไปตัง้ แตขณะทีโ่ รคนัน้ ทำใหหมดความรสู กึ นัน้ แลว ทีเ่ หลือนอน ตาปริบๆ อยนู ี้ ไมมคี วามหมายอะไร ทัง้ นีเ้ พราะวาจิตของเราไดสมัครนอม ไปเพื่อความดับไมเหลือ เสร็จสิ้นแลวตั้งแตกอนลมเจ็บเปนอัมพาต หรือ ตัง้ แตความรสู กึ ยังดีๆ อยใู นการเปนอัมพาตตลอดเวลาทีม่ คี วามรสู กึ ครั้นหมดความรูสึกแลว มันก็หามีตวั ตนอะไรทีเ่ ปนตัวกู หรือ ของกู ทีไ่ หนไม อยาไดคิดเผื่อใหมากไปดวยความเขลาของตัวเองเลย ยังดีๆ อยนู แี่ หละ รีบทำความดับไมเหลือเสียใหสมบูรณ ดวยสติ ปญญาเถิด มันจะรับประกันไดไปถึงเมือ่ เจ็บ แมในกรณีทเี่ ปนโรคอัมพาต ดังกลาวแลว ไมมที างทีจ่ ะพายแพหรือเสียทาเสียทีแกความเจ็บแตประการ ใด เพราะเราทำลาย “ตัวกู” ใหหมดความเกิดเสียแลวตั้งแตเมื่อรางกาย ยังสบายๆ อยนู นั่ เอง นีเ้ รียกวา ดับหมดแลวกอนตาย สรุปความในทีส่ ดุ วิธปี ฏิบตั ทิ งั้ ๒ ชนิด ก็คอื จงมีจติ ทีม่ ปี ญ ญาแทจริง มองเห็นอยวู า ไมมอี ะไรทีค่ วรยึดมัน่ ถือมัน่ แมแตสกั สิง่ เดียว ในจิตทีว่ า งจากความยึดมัน่ ถือมัน่ โดยสิน้ เชิง อยางนีแ้ หละ ไมมี “ตัวกู” หรือ “ของกู” มีแตธรรมะทีเ่ ปนความหลุดพนอยางสมบูรณ ซึง่ เราจะ สมมติ เรียกวาพระรัตนตรัย หรือมรรค ผล นิพพาน หรืออะไรที่เปนยอด ปรารถนาของคนยึดมั่นถือมั่นนั้นไดทุกอยาง แตเราไมยึดมั่นถือมั่นดวย อุปาทานในสิง่ เหลานัน้ เลย จึงดับไมเหลือหรือนิพพานไดสมชือ่
14
“นิ” แปลวา ไมเหลือ “พาน” แปลวา ไป หรือดับ นิ พ พาน จึ ง แปลว า ดั บ ไม เ หลื อ เป น สิ่ ง ที่ มี ลั ก ษณะ ความหมาย การปฏิบตั แิ ละอานิสงสอยางทีก่ ลาวมานีแ้ ล ขอความทัง้ หมดยังยออยมู าก แตถา ขยันอานและพินจิ พิจารณา อยางละเอียดไปทุกตัวอักษร ทุกประโยคแลว ก็คงจะพิสดารไดในตัวของ มันเอง และเพียงพอแกการเขาใจและปฏิบตั ิ ฉะนัน้ หวังวา ... คงจะอานจะฟงกันอยูเปนประจำ โดยไมตอ งคำนึงถึงวากีเ่ ทีย่ ว กีจ่ บ จนกวาจะเปนที่เขาใจแจมแจงดวยปญญา และมั่นคงดวยสมาธิ นำมาใชไดทันทวงทีดวยสติ สมตามความประสงคทกุ ประการ ...
15
สถาบันบันลือธรรม เปนองคกรเอกชนที่กอตั้งขึ้น เพื่อสืบทอดและเผยแพรพระพุทธศาสนาใหดำรงมั่นคง อั น เป น การสานต อ เจตนารมณ ข อง หลวงพ อ พุ ท ธทาสภิ ก ขุ สวนโมกขพลาราม สุ ร าษฎร ธ านี พระพรหมมังคลาจารย y หลวงพอปญญานันทภิกขุ องคประธานสถาบันบันลือธรรม และทานเจาคุณ พระสุธรรมเมธี ป.ธ. ๘ (นายบันลือ สุขธรรม) อดีตเจาคณะจังหวัดอุตรดิตถ ผูใหกำเนิดธรรมสภา สถาบันบันลือธรรม และศูนยหนังสือพระพุทธศาสนา y
กิจกรรมของสถาบันบันลือธรรม ๑. โครงการ พบพระ พบธรรม พระเถระแสดงธรรม ณ ศูนยหนังสือพระพุทธศาสนา ทุกวันเสาร เวลา ๑๕.๐๐-๑๗.๐๐ น. สอบถามองคบรรยายธรรมที่ ๐๘๖-๐๐๓๕๔๗๘ ๒. โครงการ อยู กั น ด ว ยความรั ก จัดกิจกรรมเพื่อสาธารณกุศล ชวยเหลือผูประสบภัยพิบัติ และ ชวยเหลือชุมชนในถิ่นทุรกันดาร จัดกิจกรรมวันเด็กแหงชาติทุกป เด็กที่มางานวันเด็กแหงชาติ จักไดรับรางวัลทุกคน พรอมอาหารเครื่องดื่ม โดยไมเสียคาใชจายใดๆ ทั้งสิ้น ๓. ธรรมสถาน “สวนมุทิตาธรรมาราม” อบรมการเรียนรูชีวิตตามธรรมใน ๑ วัน ทุกวันพุธตนเดือน เวลา ๐๘.๐๐-๑๖.๐๐ น. เปดใหใชสถานที่ฟรี เพื่อการอบรม-สัมมนา พัฒนากาย พัฒนาศีล พัฒนาจิต พัฒนาปญญา ติดตอเขารวมกิจกรรม โทร.๐๘๖-๐๐๓๕๔๗๘ ๔. กองทุน “คลังธรรมทาน” บริจาคหนังสือเปนสาธารณกุศล เพื่อประโยชนแกสาธารณชน โดยแจง ความจำนงเปนจดหมายขอรับบริจาคไดที่ธรรมสภาและสถาบันบันลือธรรม ๕. หอสมุดธรรมสมาธิ หองสมุดธรรมะและนั่งสมาธิภาวนา พรอมกับฟงธรรมะในสวนใตรมเงาไม ตามธรรมชาติ สถานที่รื่นรมย ในสวนมุทิตาธรรมารามติดกับพุทธมณฑล เปดบริการทุกวัน ตั้งแตเวลา ๐๙.๐๐-๑๕.๐๐ น. สอบถามขอมูล โทร. ๐๒-๔๘๒-๑๑๙๖ สอบถามขอมูลเพื่อขอใช สถานที่เพื่ออบรมฟรี โทร. ๐๒-๔๘๒๑๑๙๖, ๐๘๖-๐๐๓๕๔๗๘ ๖. เรือนทาน วันพระ ขอเชิญรับประทานอาหารฟรี ตั้งแตเวลา ๐๗.๐๐-๑๓.๐๐ น. ทุกวันพระ ณ ศูนยหนังสือพระพุทธศาสนา ถ.บรมราชชนนี ๑๑๙ กทม. ๑๐๑๗๐ โทร. ๐๘๑-๗๓๕-๑๗๖๖ ๗. โครงการสรางศูนยเผยแพรหนังสือและสื่อธรรมะทางพระพุทธศาสนาเพื่อถวายวัด สถาบันบันลือธรรม มีปณิธานที่จักจัดสรางศูนยหนังสือพระพุทธศาสนาทั่วประเทศ เพื่อการ เผยแพร ธ รรมแก ป ระชาชนอย า งแพร ห ลาย และเพื่ อ ความมั่ น คงยั่ ง ยื น ของพระพุ ท ธศาสนา ท า นที่ มี ข อ เสนอและแนะนำ โปรดใหขอมูลเพื่อการเผยแพรธรรม โทร. ๐๘๖-๐๐๓๕๔๗๘
การพิมพหนังสือธรรมเปนอนุสรณ นอกจากเปนการจัดทำสิง่ ซึง่ มีประโยชนทคี่ งอยยู ืนนานแลว ยังเปนการบำเพ็ญธรรมทาน ที่พระพุทธเจาตรัสวาเปนทานอันยอดเยี่ยมอีกดวย ผูปฏิบัติเชนนี้ชื่อวาได มีสวนรวมในการเผยแพรธรรมอันจะอำนวยประโยชนที่แทจริงแกประชาชน ทานที่ประสงคจัดพิมพหนังสือธรรมะที่ดีมีคุณภาพ เพื่อมอบเปนที่ระลึกในทุกโอกาสของงาน ประเพณี อันเปนการใชจายเงินอยางมีคุณคาและเกิดประโยชนสูงสุด โปรดติดตอที่... ธรรมสภา เลขที่ ๑/๔-๕ ถ.บรมราชชนนี ๑๑๙ แขวงศาลาธรรมสพน เขตทวี วั ฒ นา กทม. ๑๐๑๗๐ โทรศัพท ๐๒ ๘๘๘๗๙๔๐, ๔๔๑๑๕๓๕ โทรสาร. ๐๒ ๔๔๑๑๔๖๔ และ www.thammasapa.com
16
โครงการศาสตราจารยสญ ั ญาฯ สัมพันธ ตามที่ ก องทุ น ศาสตราจารย สั ญ ญา ธรรมศั ก ดิ์ ในมู ล นิ ธิ นิ ติ ศ าสตร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร ไดจัดใหมีการประชุมปรึกษาเกี่ยวกับโครงการ ศาสตราจารย สั ญ ญาฯ สั ม พั น ธ เพื่ อ เสริ ม สร า งความสั ม พั น ธ อ งค ก รและ หนวยงานตางๆ ที่เกี่ยวของกับศาสตราจารยสัญญา ธรรมศักดิ์ รวมทั้งหมด ๑๖ องคกร เมือ่ วันที่ ๓๐ มิถนุ ายน ๒๕๕๔ ธรรมสภาและสถาบันบันลือธรรม ไดรับเกียรติโดยการแนะนำของทาน นายแพทยจักรธรรม ธรรมศักดิ์ ตอกองทุนศาสตราจารยสัญญา ธรรมศักดิ์ ให ธ รรมสภาและสถาบั น บั น ลื อ ธรรม ร ว มประชุ ม โครงการศาสตราจารย สัญญาฯ สัมพันธ และไดรับอนุญาตใหจัดทำหนังสือ สื่อธรรมะ เผยแพรเปน ธรรมบรรณาการหนวยงานที่ประกาศเกียรติคุณ เพื่อเปนอนุสรณแหงความดี ของศาสตราจารยสญ ั ญา ธรรมศักดิ์ ไดแก.... ๑. หนังสือ ทศพิธราชธรรม โดย ศาสตราจารยสญ ั ญา ธรรมศักดิ์ จำนวน ๑๐,๐๐๐ เลม ๒. หนังสือ ธรรมศักติกถา : ธรรมกถาเรือ่ ง ดับไมเหลือ โดย พระธรรมโกศาจารย (พุทธทาสภิกขุ) จำนวน ๑๐,๐๐๐ เลม ๓. หนังสือ ศาสตราจารยสญ ั ญา ธรรมศักดิ์ ผเู ปนสหายธรรม ของ ทานพุทธทาส - ทานปญญานันทะ โดย พระพรหมมังคลาจารย (ปญญานันทภิกขุ) จำนวน ๑๐,๐๐๐ เลม ๔. หนังสือ คมความคิด โดย ศาสตราจารยสญ ั ญา ธรรมศักดิ์ จำนวน ๑๐,๐๐๐ เลม ธรรมสภาและสถาบันบันลือธรรม ขอกราบขอบพระคุณทานนายแพทย จักรธรรม ธรรมศักดิ์ ที่อนุญาตใหธรรมสภาและสถาบันบันลือธรรมจัดพิมพ หนังสือชุดนีเ้ ผยแพร และขอขอบพระคุณกองทุนศาสตราจารยสญ ั ญา ธรรมศักดิ์ ที่ ส นั บ สนุ น ในการจั ด ทำหนั ง สื อ เพื่ อ เผยแพร เ กี ย รติ คุ ณ ท า นศาสตราจารย สัญญา ธรรมศักดิ์ มา ณ โอกาสนี้