1
ประวัติภาษาอังกฤษ บทความนี้ข้าพเจ้าได้แปลเรียบเรียงจากบทความต้นฉบับที่เป็นภาษาอังกฤษซึ่งเขียนลงในเว็บไซด์ ของ www. voaspecialenglish.com เขียนโดย คุณพอล ทอมสัน (Paul Thomson) มีการลงบทความนี้ 2 ครั้ง คือ วันที่ 21 ธันวาคม 2548 และ วันที่ 28 ธันวาคม 2548 เช่นกัน โดยเนื้อหาของบทความมี ความเกี่ยวเนื่องกัน โดยครั้งแรกตั้งเป็นหัวข้อคาถามว่าภาษาอังกฤษมาจากไหน ครั้งที่ 2 ภาษานี้มี การเจริญเติบโตอย่างไร 1. ภาษาอังกฤษมาจากไหน (Where did the English Language Come from ?) ในโลกนี้มีคนพยายามเรียนภาษาอังกฤษมากกว่าภาษาอื่น ๆ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ ใช้ในการทาข้อตกลงทางการเมือง การกระทาธุรกิจระหว่างประเทศใช้เป็นภาษาสากลในทาง วิทยาศาสตร์และยา มีข้อตกลงที่เป็นสากลกล่าวว่าผู้ที่เป็นนักบินต้องพูดภาษาอังกฤษในการสื่อสาร ภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศและเป็นภาษาหลักที่สอนอยู่ในอเมริกาใต้และ ยุโรป ในประเทศ ฟิลิปปินส์และประเทศญี่ปุ่น เด็กนักเรียนเริ่มเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่อายุยังน้อย ภาษาอังกฤษได้ถูก ใช้เป็นภาษาทางการมากกว่า 75 ประเทศ รวมทั้งประเทศอังกฤษ แคนดา สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และแอฟริกาใต้ ในประเทศต่าง ๆ ที่มีคนพูดหลาย ๆ ภาษาในประเทศเดียวกัน ภาษาอังกฤษได้ถูก ใช้เป็นภาษาทางการ เพื่อช่วยเหลือคนเหล่านั้นในการติดต่อสื่อสารซึ่งกันและกัน ประเทศอินเดีย เป็นตัวอย่างที่ดีสาหรับเรื่องนี้ ในประเทศอินเดียภาษาอังกฤษเป็นเรื่องธรรมดา เพราะว่าภาษาที่ใช้ พูดในประเทศนี้อย่างน้อยที่สุด 24 ภาษา ในประชากร ล้านกว่าคน ถ้าถามว่าภาษาอังกฤษมาจากไหน ทาไมถึงเป็นที่นิยมใช้ภาษานี้ก่อนที่จะตอบคาถามเหล่านี้ เราต้องเดินทางย้อนกลับไปในช่วงเวลา ประมาณ 5 พันปีมาแล้ว ที่ดินแดนทางเหนือของทะเลดา (Black Sea) ในยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าคนในบริเวณดินแดนแห่งนี้ได้พูดภาษาที่เรียกว่า โปรโต - อินโด – ยุโรเปียน (Proto – Indo – European) ภาษาที่ว่านี้ไม่ได้ใช้เป็นภาษาพูดอีกต่อไป นักวิจัยหลายคนไม่ทราบเป็นที่ แน่นอนว่าภาษาที่ว่านี้มีลักษณะเป็นเช่นไร อย่างไรก็ตามเชื่อกันว่าภาษา โปรโต – อินโด – ยุโรเปียน เป็นภาษาของบรรพบุรุษของภาษาของชาวยุโรปส่วนใหญ่ รวมทั้งภาษากรีกโบราณ ภาษาเยอรมัน โบราณ และภาษาละตินโบราณ ภาษาละตินนั้นไม่ปรากฏว่าเป็นภาษาพูดอีก อย่างไรก็ตามภาษา ละตินจะแฝงอยู่ข้างหลัง (ผสมผสาน) ใน 3 ภาษาที่สาคัญ ๆ คือ ภาษาสเปนยุคใหม่ ภาษาฝรั่งเศส และภาษาอิตาเลียน ภาษาเยอรมันโบราณก็ได้สืบทอดและกลายเป็นภาษาดัทช์ ภาษาแดนิช ภาษาเยอรมัน ภาษานอรเวเจียน ภาษาสวีดิช และอีกภาษาหนึ่งที่ได้พัฒนามาเป็นภาษาอังกฤษ ภาษาอังกฤษเป็นผลลัพธ์ของการเข้าไปรุกราน (แผ่ขยาย) ในเกาะบริเตน เป็นเวลาหลายร้อยปี มาแล้ว ผู้รุกรานเหล่านั้นอาศัยอยู่ทางตอนเหนือตามชายฝั่งทะเลของยุโรป การรุกรานครั้งแรกโดย กลุ่มคนที่เรียกว่า แองเกิล (Angles) เมื่อประมาณ 1,500 ปีมาแล้ว พวกแองเกิลเป็นคนเยอรมัน (German tribe) เป็นพวกที่เข้ามาทางช่องแคบอังกฤษ หลังจากนั้นมีอีก 2 กลุ่ม ที่เข้ามาสู่บริเตน คือพวกเซกซัน และจูทส์ (Saxons and Jutes) กลุ่มคนเหล่านี้ได้พบกับพวกเคลท์ซึ่งเป็นพวกที่อาศัยอยู่บนเกาะบริเตน นับเป็นเวลาหลายพันปีมาแล้ว พวกเคลท์ก็ได้ทาการสู้รบกับผู้ที่รุกรานเหล่านั้น
2
หลังจากนั้นไม่นานนัก พวกเคลท์ส่วนใหญ่ ถูกฆ่าตาย หรือไม่ก็ตกเป็นทาสของผู้ที่รุกราน บางกลุ่มก็ หนีไปอาศัยในดินแดนที่เรียกว่า เวลล์ (Wales) หลายปีผ่านไปพวกเซกซัน (Saxons) พวกแองเกิล (Angles) และพวกจูทส์ (Jutes) ได้มีการผสมผสานกันระหว่างภาษาที่แตกต่างของพวกเขา ผลลัพธ์ ก็ คือภาษานั้นถูกเรียกว่า ภาษาแองโกล – แซกซัน (Anglo – Saxon) หรือ ภาษาอังกฤษโบราณ (old English) งานเขียนต่าง ๆ หลายชิ้นยังได้ดารงไว้จากภาษาอังกฤษโบราณ (old English) บางที่ชิ้นงาน ที่สาคัญมาก ๆ ที่เรียกว่า บีโอวูล์ฟ (Beowulf) เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นบทประพันธ์ที่เก่าแก่ที่สุด ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า มันถูกเขียนขึ้นในเกาะบริเตนมานานกว่า 1,000 ปีมาแล้ว โดยไม่ปรากฏชื่อ ผู้เขียนว่าเป็นใคร บีโอวูล์ฟ (Beowulf) เป็นเรื่องของกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ ผู้ทาการสู้รบกับสัตว์ มหรรศจรรย์ พระองค์เป็นกษัตริย์ที่ดีที่มีพสกนิกรรักใคร่ หนังสือใหม่ที่เขียนโดย เชมัส ฮีนีย์ (Seamus Heaney) ได้บอกถึงเรื่องโบราณนี้เป็นภาษาอังกฤษยุคใหม่ (Modern English) การรุกรานครั้งใหญ่ของบริเตนมาจากทางเหนือสุดเริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 1100 ปีมาแล้ว พวกเฟิร์ซ (Fierce) หรือที่เรียกว่าไวกิ้งส์ (Vikings) ได้จู่โจมอย่างกะทันหันทางด้านบริเวณชายฝั่งของเกาะบริ เตน พวกไวกิ้งส์มาจากประเทศเดนมาร์ก นอรเวย์ และประเทศอื่น ๆ ทางตอนเหนือ พวกเขาเข้ายึด และครอบครองสินค้า พวกทาสและสิ่งของอันมีค่าต่าง ๆ ในบางพื้นที่พวกไวกิ้งส์เจริญอานาจ พวก เขาจะสร้างบ้านที่มันชั่วคราวบางครั้งฐานที่มันชั่วคราวกลายเป็นฐานที่มันถาวร ต่อมาพวกไวกิ้งส์ เหล่านี้เป็นจานวนมากได้อาศัยอยู่ในเกาะบริเตน มีภาษาอังกฤษหลายคาที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ที่มา จากภาษาไวกิ้งส์โบราณ เช่นคาว่า sky, leg, skull, egg, crawl, lift และ take มาจากภาษาของประเทศ ทางเหนือสุดเหล่าโน้น การรุกรานเกาะบริเตนในครั้งต่อมาเกิดขึ้นเมื่อ 900 กว่าปีมาแล้ว ในปี คศ. 1066 ผู้เชี่ยวชาญทางประวัติศาสตร์เรียกการรุกรานครึ้งนี้ว่า Norman Conquest นาโดยพระเจ้า วิลเลี่ยม (William the Conqueror) พวกนอร์แมน เป็นชนที่พูดภาษาฝรั่งเศสจากแคว้นนอร์มังดี (Normandy) ในตอนเหนือของประเทศฝรั่งเศสพวกเขากลายเป็นชนชั้นปกครองในเกาะบริเตน ชน ชั้นปกครองใหม่เหล่านี้จะพูดเฉพาะภาษาฝรั่งเศสอย่างเดียวเท่านั้น มันเป็นภาษาที่สาคัญมากในโลก ในสมัยนั้น เป็นภาษาของคนมีการศึกษา แต่ว่ายังเป็นเรื่องธรรมดาของประชากรบนเกาะบริเตนที่ พูดภาษาอังกฤษโบราณอยู่ ภาษาอังกฤษยุคโบราณ(Old English)ได้ยืมภาษาฝรั่งเศสของพวกนอร์ แมน หลายคา เช่น damage, prison และ marriage เป็นต้น คาในภาษาอังกฤษส่วนใหญ่ที่ใช้อธิบาย กฎหมาย และใช้ทางราชการมาจากภาษาฝรั่งเศส เช่นคาว่า jury, parliament, และ justice ภาษาฝรั่งเศสใช้โดยชนชั้นปกครองชาวนอร์แมนได้เปลี่ยนแปลงแนวทางการพูดภาษาอังกฤษอย่าง ยิ่งใหญ่เมื่อ 800 กว่าปีที่ผ่านมา ในช่วงเวลาที่ผ่านไปการปกครองของชาวนอร์แมนไม่ได้พูดภาษา ฝรั่งเศสเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป ภาษาของพวกเขาจะผสมผสานระหว่างภาษาฝรั่งเศสและ ภาษาอังกฤษยุคกลาง (Middle English) ภาษาอังกฤษยุคกลางก็เหมือนกับภาษาอังกฤษยุคใหม่ แต่ว่า เป็นการยากลาบากมากที่จะเข้าใจในปัจจุบันนี้ งานเขียนต่าง ๆ จานวนมากที่เขียนในยุคนี้ ยังคง ดารงอยู่ งานเขียนที่สาคัญที่สุดเขียนโดย เจฟฟรีย์ ชอเซอร์) Geoffrey Chaucer นักกวีผู้ซึ่งอาศัยอยู่ ในลอนดอนและ สิ้นชีวิต ณ ที่นั้นในศตวรรษที่ 14 งานชิ้นสาคัญของชอเซอร์ คือ “The Canterbury
3
Tales” ซึ่งงานชิ้นนี้ได้เขียนขึ้น 600 ปีมาแล้วงานเขียน “The Canterbury Tales” เป็นการรวบรวม ของบทกวี เกี่ยวกับการเดินทางของบุคคลที่แตกต่างกันไปยังเมือง Canterbury ผู้เชี่ยวชาญ ภาษาอังกฤษกล่าวว่า Geoffrey Chaucer เป็นนักเขียนที่สาคัญคนแรกที่ใช้ภาษาอังกฤษ พวกเขาเห็น ด้วยกับบทกวีภาษาอังกฤษยุคกลางที่ยิ่งใหญ่ของชอเซอร์ ทาให้มองเห็นภาพพจน์ของคนในสมัย ของเขาอย่างชัดเจน บุคคลบางคนที่อธิบายไว้ใน “The Canterbury Tales” เป็นบุคคลที่ฉลาด และ กล้าหาญ บางคนก็เป็นคนโง่ เซ่อ บางคนก็เชื่อว่าพวกเขาเป็นผู้สาคัญอย่างยิ่งยวด บางคนก็ดีแสนดี แต่พวกเขาทั้งหมดยังมองว่าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ 2. ภาษามีการวิวัฒนาการอย่างไร (How a Language Grew) การรุกรานมากกว่าสองครั้งได้เพิ่มคาศัพท์ต่าง ๆ ในภาษาอังกฤษยุคโบราณมากมาย พวกไวกิ้งจาก ประเทศเดนมาร์ค ประเทศนอรเวย์ และประเทศสวีเดน เข้ามาอาศัยอยู่ในเกาะบริเตนกว่า 1,000 ปี มาแล้ว การรุกรานครั้งต่อมาเกิดขึ้นเมื่อปี 1066 โดยชาวฝรั่งเศสที่มีพระเจ้าวิลเลียม (William the Conqueror) เป็นผู้นาในการรุกรานครั้งนี้ ชนชั้นปกครองชาวนอร์แมน (Norman) ได้เพิ่มคาต่าง ๆ ในภาษาอังกฤษอย่างมากมาย เช่น คาว่า parliament, jury, justic และคาอื่น ๆ อีกมากที่เกี่ยวข้องกับ กฎหมายที่มาจากชนชั้น ปกครองชาวนอร์แมน กาลเวลาได้ผ่านมาหลายยุคหลายสมัยภาษาต่าง ๆ เหล่านั้นได้รวมกันเข้า ผู้เชี่ยวชาญได้เรียกภาษาที่เกิดขึ้นเช่นนั้นว่า ภาษาอังกฤษยุคกลาง (Middle English) ขณะเดียวกันภาษาอังกฤษ ยุคกลางยังคงมีเสียงคล้ายกับภาษาเยอรมันเช่นกันการเริ่มต้น ออกเสียงเหมือนภาษาอังกฤษยุคใหม่ (Modern English) ชอเซอร์ (Chaucer) ได้เขียนบทกวีเรื่อง “The Canterbury Tales” ซึ่งเขียนเป็นภาษาอังกฤษยุคกลาง (Middle English) ได้เขียนขึ้นในปลายศตวรรษที่ 13 เป็นการเขียนงานที่ใช้ภาษาที่ไม่ใช่ ของชนชั้น ปกครองเพราะชนชั้นปกครองเกาะบริเตนในสมัยนั้นยังคงใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาพูดที่เป็นภาษา มากับพวกเขาในปี 1066 กษัตริย์ของบริเตนไม่ได้ใช้ภาษาที่ชนในเกาะบริเตนใช้อยู่ในสมัยนั้น จนกระทั่งตอนต้นของศตวรรษที่ 14 ภาษาฝรั่งเศสแบบนอร์แมนค่อย ๆ หายไปอย่างช้า ๆ และ จนกระทั่งไม่ปรากฏ ภาษาอังกฤษได้รับอิทธิพลอย่างมากจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมากกว่า 1400 ปีมาแล้ว พวกที่นับถือศาสนาโรมันคาธอลิค ได้เริ่มพยายามที่จะให้ศาสนาคริสต์เป็นศาสนา แห่งบริเตน ภาษาที่ชาวโรมันคาธอลิคเหล่านั้นใช้คือ ภาษาละติน (Latin) ภาษาละตินนั้นไม่ได้เป็น ภาษาที่ใช้พูดเหมือนภาษาที่ใช้กันอยู่ในประเทศต่าง ๆ ในสมัยนั้น แต่ก็ยังมีการใช้อยู่ในเฉพาะ บางคน ภาษาละตินเป็นภาษาที่ใช้กันอยู่ในหมู่สมาชิกที่อยู่ในโบสถ์ ( ในหมู่พระหรือบาทหลวง) จากกรุงโรมซึ่งใช้พูดกับพระหรือบาทหลวงในเกาะบริเตน ผู้มีการศึกษาชั้นสูงจากประเทศต่าง ๆ สามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยใช้ภาษาละติน ภาษาละตินมีอิทธิพลอันยิ่งใหญ่มาก ต่อ ภาษาอังกฤษ ต่อไปนี้เป็นเพียง 2- 3 ตัวอย่าง เช่นคาว่า discus ได้กลายเป็นคาทั่ว ๆ ไปใน ภาษาอังกฤษรวมทั้งคาว่า disk, desk, และภาษาละตินในคาว่า quietus กลายเป็นคาว่า quiet ใน ภาษาอังกฤษชื่อพืชพันธ์บางชนิดในภาษาอังกฤษ เช่น ginger, trees,cedar ที่มาจากภาษาละตินและ ยังมีคาที่ใช้ในวงการแพทย์บางคาเช่น cancer เป็นต้น ภาษาอังกฤษก็เสมือนกับสิ่งมีชีวิตที่ยังคง
4
เจริญเติบโตภาษาอังกฤษเริ่มเจริญเติบโตอย่าง รวดเร็วเมื่อ วิลเลี่ยม แค็กตัน (William Caxton) กลับมาสู่เกาะบริเตนในปี ค.ศ.1476 โดยเขาได้ใช้ชีวิตอยู่ในฮอลแลนด์ (Holland) และบริเวณอื่น ๆ ของยุโรป ซึ่งเป็นที่เขาได้เรียนรู้ในเรื่องของการพิมพ์ เขากลับมาสู่เกาะบริเตนพร้อมกับมีสิ่งพิมพ์ เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกสิ่งพิมพ์เหล่านั้นคนส่วนใหญ่สามารถซื้อหาได้ในรูปของหนังสือ ช่วยทาให้ การศึกษาและภาษาอังกฤษขยายอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว จากนั้นการขยายตัวเริ่มช้าลงในระหว่าง ศตวรรษที่ 15 ภาษาอังกฤษได้กลายเป็นภาษาที่ทันสมัยทีเราคงจาได้ ผู้ที่พูดภาษาอังกฤษในช่วง ศตวรรษที่ 16 ที่ผ่านมา มันเป็นช่วงเวลาที่นักเขียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดท่านหนึ่งได้ผลิตผลงานของเขา โดย ใช้ภาษาอังกฤษเขา คือ วิลเลี่ยม เชคเปียร์ (William shakespeare) บทละครของเขาได้รับการตีพิมพ์ อย่างต่อเนื่อง ได้นาแสดงในโรงภาพยนต์ ที่สามารถสะท้อนอารมณ์ในตัวละครได้เป็นส่วนใหญ่ 400 ปี หลังจากที่เขาเสียชีวิต ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่างานของเชคเปียร์ได้เขียนขึ้นเพื่อการแสดงบนเวที ไม่ใช่ เป็นเรื่องที่ใช้อ่าน เท่านั้นยังไม่พอ ทุก ๆ คาพูดในบทละครของเขาสามารถสะท้อนให้เห็นเป็นภาพ ได้ และสามารถทาให้เกิดความรู้สึกโกรธ กลัว และเสียงหัวเราะ บทละครที่สาคัญของเชคเปียร์ คือ โรมิโอ และจูเลียท (Romeo and Juliet) เป็นเรื่องที่เศร้ามาก ทาให้คนร้องไห้เมื่อพวกเขาได้ดูบท ละครที่สาคัญเรื่องนี้ เรื่องของพระเจ้าริชาร์ด ที่ 3 กษัตริย์ผู้กระหายอานาจ เรื่องนี้ก็เป็นบทละครที่ เป็นที่รู้จักกันดีอีกเรื่องหนึ่งของเชคสเปียร์ การพัฒนาของภาษาอังกฤษเกิดขึ้นไปอีกก้าวหนึ่งแล้วการ เสียชีวิตของเชคสเปียร์ เรือเล็ก ๆ 3 ลาจากบริติช ข้ามมหาสมุทร แอตแลนติก ในปี ค.ศ. 1607 พวกเขา ได้จอดเรือเทียบท่าที่บริเวณซึง่ ต่อมากลายเป็นรัฐ รัฐหนึ่งของอเมริกาตอนใต้ ชื่อเวอร์จิเนีย บริเวณนี้ เริ่มเป็นอาณานิคมของอังกฤษเป็นเมืองแรกในบรรดาเมืองต่าง ๆ อาณานิคมเล็ก ๆ เมืองแรกอีกเมือง หนึ่ง ชื่อ เจมส์ทาวน์ (Jamestown) ในขณะนั้น ประชาชนที่อาศัยอยู่ในอาณานิคมเหล่านั้นเริ่มต้นเรียก พื้นที่แผ่นดินใหม่นี้โดยใช้ชื่อจากเจ้าของภาษาเดิมที่พวกเขาได้อาศัยอยู่ในที่นั้น ๆ ชื่อแม่น้าสายสาคัญ ๆ ในอเมริกามาจากภาษาอเมริกันอินเดียน (อินเดียนแดง) เช่น the Mississippi, the Tennessee, the Missouri เป็นต้น ภาษาอเมริกันคาอื่น ๆ หลายคารวมคาว่า moccasin เป็นรองเท้าชนิดหนึ่งที่ทาจาก หนังสัตว์ที่ชาวอินเดียนแดงใส่ การยืมหรือการเพิ่มคาจากภาษาต่างประเทศในภาษาอังกฤษเป็นการ เพิ่มขยายทางภาษา ชื่อวัน 3 วันใน 1 สัปดาห์ เป็นตัวอย่างในเรื่องนี้ได้ดี ประชาชนตอนเหนือของยุโรป บูชาเทพเจ้า 3 องค์ โดยมีวันพิเศษในแต่ละสัปดาห์ เทพเจ้าเหล่านั้นคือ เทพเจ้า Odin เทพเจ้า Thor และ เทพเจ้า Freya ดังนั้นคาว่า Odin’s –day ได้กลายเป็น Wednesday คาว่า Thor’s – day ได้กลายเป็น Thursday และคาว่า Freya’s- day ได้กลายเป็น Friday ในภาษาอังกฤษ ประเทศอังกฤษ (Britain) ได้มี เมืองขึ้นอื่น ๆ อีกในแอฟริกา ในเอเชีย ในแถบทะเลแคริบเบียน และประเทศอินเดีย ภาษาอังกฤษ ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศที่เป็นอาณานิคมเหล่านี้ ในปัจจุบันนี้ประเทศอาณานิคมเหล่านี้ ได้รับอิสระแล้ว แต่ภาษาอังกฤษยังคงเป็นภาษาพูดอีกภาษาหนึ่ง และภาษาอังกฤษเหล่านั้นได้ เจริญเติบโตโดยมีภาษาเดิมของผู้พูดภาษาอังกฤษเข้ามาเพิ่มเติมอยู่ในภาษาอังกฤษของประเทศนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น คาว่า Shampoo หมายถึงน้ายาสระผมมาจากประเทศอินเดีย หรือคาว่า Banana ได้เชื่อ กันว่ามาจากประเทศแอฟริกา ผู้เชี่ยวชาญไม่สามารถอธิบายภาษาอังกฤษหลาย ๆ คาได้ เวลานับเป็น
5
หลายร้อยปีมาแล้ว คาว่า dog ถูกเรียกว่า hound ซึ่งคา คานี้ยังคงมีใช้อยู่แต่ไม่เป็นที่นิยมเท่ากับคา ว่า dog ผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่า คาว่า dog มาจากไหนหรือมีมาเมื่อไรที่ผู้พูด ภาษาอังกฤษได้เริ่มใช้คานี้ คาดั้งเดิมคาอื่น ๆ ที่ยังไม่ทราบที่ไปที่มาเช่นกัน เช่นคาว่า fun, bad และ คาว่า big เป็นต้น เช่นกันผู้พูดภาษาอังกฤษเองก็ได้คิดค้นคาใหม่ ๆ ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยวิธีการ เชื่อมคาเก่า ๆ เข้าด้วยกัน ตัวอย่างที่ดีของคาเหล่านี้ เช่นคาว่า motor และ hotel เมื่อหลายปีมาแล้ว บางคนได้เชื่อมคาทั้ง 2 นี้เข้าด้วยกันเป็นคาว่า motel คาว่า motel นั้นหมายถึงโรงแรมเล็ก ๆ อยู่ใกล้ ถนน ซึ่งคนเดินทางโดยรถยนต์สามารถพักค้างคืนได้ชั่วข้ามคืน คาอื่น ๆ มาจากอักษรตัวแรกของ ชื่อกลุ่มหรืออุปกรณ์ เครื่องมือ ต่าง ๆ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ ค้นหาวัตถุที่ไม่สามารถมองเห็นเรียกว่า Radio Detecting and Ranging ได้กลายมาเป็นคาว่า Radar องค์กรสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (The North Atlandtic Treaty Organization) ซึ่งปกติแล้วได้เรียกชื่อองค์กรนี้ว่า NATO ผู้เชี่ยวชาญ กล่าวว่าภาษาอังกฤษมีคามากที่จะอธิบายคาที่มีเป็นสิ่งเดียวกันซึ่งเหมือนกับภาษาอื่น ๆ เช่น คาว่า large , huge, vast,massive และคาว่า “enormous” ซึ่งคาทั้งหมดนั้นหมายถึงสิ่งที่จริงแล้วก็คือ ใหญ่ (big) นั้นเอง บ่อยครั้งที่มีคนมักจะถามว่าในภาษาอังกฤษมีคากี่คา จริง ๆ แล้วคงไม่มีใครทราบใน เรื่องนี้ ในพจนานุกรมของ The Oxford English Dictionary ได้ทารายการคาออกมาประมาณ 615,000 คา เท่านั้นยังไม่พอเพราะคาที่ใช้ในทางวิทยาศาสตร์ยังไม่มีในพจนานุกรมของ The Oxford English Dictionary นี้ ถ้าได้รวมคาที่ใช้ในทางวิทยาศาสตร์เข้าไปด้วย คงมีมากกว่า 1 ล้าน คา และผู้เชี่ยวชาญเองก็ไม่ค่อยมั่นใจนับคาที่มีอยู่ในภาษาอังกฤษได้ ตัวอย่างเช่น คาว่า mouse หมายถึง สัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่อยู่ในประเภทสัตว์ที่ใช้ฟันแทะ (rodent family) แต่คาว่า mouse ยังมีความหมายที่ แตกต่างออกไปอีกความหมายหนึ่ง เช่นกัน mouse หมายถึงอุปกรณ์ที่ต้องใช้มือช่วยในการใช้ควบคุม การใช้คอมพิวเตอร์ ถ้าหากว่าจะมีการนับคาว่า mouse ก็ต้องมีการนับถึง 2 ครั้งใช่ไหม ผู้ฟังกรายการของเสียงอเมริกา (Voice of America หรือVOA) จะได้ยินคนพูดถ่ายทอดออกไป มากกว่า 40 ภาษาที่แตกต่างกัน การกระจายเสียงส่วนใหญ่ของ VOA มาจากประเทศต่าง ๆ ที่ใช้ ภาษานั้น องค์กรระหว่างประเทศ เช่น VOA พบว่ามันน่าจะเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ใช้ภาษาที่ 2 (Second Language) ที่คนทั่วไปนิยมใช้ ฉะนั้น ทาให้ VOA ได้ทางานโดยใช้ภาษาอังกฤษในการ สื่อสาร ภาษาอังกฤษกลายเป็นภาษาที่ใช้กันเป็นปกติของประชากรในโลกกว้างจานวนหลายล้าน คน และภาษาอังกฤษได้ช่วยเหลือผู้ที่พูดภาษาแตกต่างกันมาใช้ภาษาอังกฤษในการติดต่อสื่อสารซึ่ง กันและกัน แปลและเรียบเรียง โดย อ. ณัฐวัชร์ ปรมาตร เอกสารอ้างอิง : The History of English : Written by Paul Thomsom : www. Voaspecialenglish. Com ( 21 and 28 December 2005)