ข้อคิดยามเช้า ประจำเดือน กรกฎาคม 2015

Page 1


enen ข้อคิดยามเช้า วันพุธ ที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ.2015 พระเยซูเจ้าทรงเหน็ดเหนื่อย จากภารกิจแห่งการเทศน์สอน จึงหยุด พักสักระยะหนึ่งกับเพื่อนสนิทของ พระองค์ ณ ที่นั้น มาร์ธาได้บ่นให้ พระองค์ฟังว่า ขณะที่นางทางานทุก อย่างเพื่อต้อนรับพระองค์ มารีย์ น้องสาวไม่ทาอะไรเลย นอกจากนั่งฟัง และคุยกับพระองค์ เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึง ความจาเป็นที่เราทุกคนต้องสร้างความ สมดุลในชีวิตคริสตชนความจาเป็นของ งานเมตตากิจ และความสาคัญในการ รับฟังพระวาจาของพระเจ้า พระวาจา ของพระองค์เป็นอาหารหล่อเลี้ยงชีวิต ฝ่ายจิตของเรา เราจึงต้องฟังพระวาจา ของพระเจ้า และ นาพระวาจานั้นไป ปฏิบัติโดยการเจริญชีวิตให้สอดคล้อง กับพระวาจานั้น แต่ไม่ได้หมายความว่า งานเมตตากิจหรืองานที่ต้องช่วยเหลือ คนอื่นเป็นสิ่งไม่จาเป็น ตรงกันข้ามเราต้องทาทั้งสองอย่างควบคู่กันไป และเพื่อกิจการที่เราทานั้นจะมีประสิทธิผลตามพระประสงค์ ของพระเจ้าชีวิตของเราต้องชิดสนิทกับพระเจ้าเสียก่อน ด้วยการฟังพระวาจาของพระองค์และอธิษฐานภาวนา ผู้ที่ฟังพระวาจาของพระเจ้าอย่างดีและอย่างตั้งใจจะรู้ว่าตนเองควรจะดาเนินชีวิตอย่างไร เพื่อให้สอดคล้องกับ พระประสงค์ของพระองค์ ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน a พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย a ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี a


enen ข้อคิดยามเช้า วันพฤหัสบดี ที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ.2015

ในสังคมทุกยุคทุกสมัย การได้รับที่นั่งอันมีเกียรติในงานเลี้ยง เป็นเครื่องหมายของความยิ่งใหญ่ และ ความสาคัญของตัวบุคคลนั้น พระเยซูเจ้าไม่ได้เห็นด้วยหรือประณามมารยาททางสังคมเช่นนี้ แต่พระองค์ใช้เพื่อสอน บทเรียนที่สาคัญแก่เรา คือ ไม่มีที่สาหรับความหยิ่งจองหองในพระอาณาจักรสวรรค์ ความสุภาพถ่อมตนเป็นสิ่งจาเป็น ที่ขาดไม่ได้ ถ้าเราอยากจะเป็นที่สบพระทัยของพระเจ้า และได้รับการยอมรับเข้าไปในพระอาณาจักรของพระองค์ ผู้เขียนหนังสือบุตรสิรา เตือนเราผู้ซึ่งเป็นชนรุ่นหลังอย่างชัดเจนว่า “ลูกเอ๋ย ไม่ว่าท่านจะทาสิ่งใด จงทาด้วยความถ่อมตนเถิด แล้วท่านจะเป็นที่รักมากกว่าคนให้ของกานัล ท่านยิ่งเป็นใหญ่มากขึ้นเท่าใดก็ยิ่งต้องถ่อมตนลงมากเท่านั้น แล้วพระเจ้าจะโปรดปรานท่าน” (บสร 3:17-18)


สาหรับผู้มีอานาจยิ่งใหญ่ ยิ่งสุภาพถ่อมตนมากเท่าใดก็ยิ่งจะเป็นคนน่ารัก น่าเคารพนับถือมากยิ่งขึ้นเท่านั้น บรรดานักบุญล้วนเป็นคนธรรมดาเหมือนกันกับเรา แต่สิ่งไม่ธรรมดาที่เราพบในตัวพวกท่านเหล่านั้นคือ ความสุภาพ ถ่อมตน ดังเช่นท่านนักบุญเปาโลผู้เต็มไปด้วยความรักที่มีต่อพระคริสตเจ้าและเพื่อนมนุษย์ แม้ท่านจะเป็นผู้ที่เต็มไป ด้วยปรีชาญาณ และ ร้อนรนในงานแพร่ธรรม เป็นธรรมทูตผู้ยิ่งใหญ่หาคนเทียบยาก แต่กระนั้นท่านยังพูดถึงตัว ท่านเองในฐานะคนบาปที่ต่าต้อยคนหนึ่ง ท่านบอกว่า “พระคริสตเยซู เสด็จมาในโลกเพื่อช่วยคนบาปให้รอดพ้นข้าพเจ้าเป็นคนแรกในบรรดาคนบาปเหล่านี้” (1 ทธ 1:15) เพราะความสุภาพถ่อมตนของบรรดานักบุญทั้งหลาย พระเจ้าได้ทรงยกพวกท่านให้เข้าสู่อาณาจักรของ พระองค์ เราแต่ละคนจึงต้องเรียนรู้จักและดาเนินชีวิตในความสุภาพถ่อมตนเช่นเดียวกันท่าน

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน a พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย a ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี a


enen ข้อคิดยามเช้า วันศุกร์ ที่ 3 กรกฎาคม ค.ศ.2015 บรรดานักบุญเป็น คนธรรมดาเหมือนกันกับเรา แต่สิ่งที่ไม่ธรรมดา ในตัว พวกท่านเหล่านั้นคือ ความสุภาพถ่อมตน บางคนอาจสงสัยว่าบรรดา นักบุญเหล่านี้ผิดปรกติ หรือเปล่า ทาไมท่านจึงคิด ว่าตัวเองต่าต้อยถึงขนาดนั้น พวกท่านไม่ใช่คนที่มีปัญหาใน ด้านจิตหรอก แต่พวกท่านได้ สัมผัสกับความจริงที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือ พระเจ้าพระองค์เอง ท่านรู้สึกต่าต้อยก็เพราะว่า พวกท่านเปรียบเทียบตัวเองกับพระเจ้าไม่ใช่กับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เมื่อได้สัมผัส กับความดีบริบูรณ์ของพระเจ้าแล้ว พวกท่านตระหนักถึงบาป ความผิดบกพร่อง ความอ่อนแอตามประสามนุษย์ของ พวกท่าน พวกท่านจึงไม่สามารถรู้สึกอย่างอื่นได้ นอกจากตระหนักถึงความต่าต้อย ความไม่เหมาะสมของตนเองกับ ความรักของพระเจ้าที่มีต่อพวกท่าน ความหยิ่งจองหองมาจากการเปรียบเทียบที่ผิดพลาด หลายคนเกิดความภาคภูมิใจในตัวเองเมื่อเทียบกับอีกบุคคลอื่นที่มีความรู้ ความสามารถ หรือความประพฤติ ด้อยกว่าตนเอง บ่อยครั้งสิ่งนี้จะนาความพึงพอใจหรืออิ่มใจซึ่งเป็นจุดจบของการพัฒนาและเจริญเติบโตในด้านชีวิต ฝ่ายจิต ดังนั้น ความดีบริบูรณ์ของพระเจ้าควรจะเป็นอุดมคติที่พวกเราใฝ่ฝันและพยายามจะไปให้ถึง การมีอุดมคติ เช่นนี้เป็นไปได้ยากยิ่ง แต่จะช่วยให้เราไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาตัวของเราให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่มีวันสิ้นสุด ลาพังความสามารถส่วนตัว เราคงทาอะไรไม่ได้เราไม่อาจก้าวหน้าไปในความศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่ด้วยพระพรและ พระหรรษทานจากพระเจ้าทุกสิ่งเป็นไปได้เสมอ ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน a พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย a ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี a


enen ข้อคิดยามเช้า วันเสาร์ ที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ.2015 “ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้พระเจ้า ขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้า ตามวาจาของท่านเถิด” (ลก 1:38) ถ้อยคานี้ยิ่งใหญ่และสาคัญ เป็นอย่างยิ่งเพราะแสดงถึงความเชื่อ และ ความไว้วางใจของพระนางมารีย์ ที่ได้มอบตัวเองทั้งครบไว้ในอ้อม พระหัตถ์ของพระเจ้า เมื่อพระนาง ได้ตอบรับพระเจ้าเช่นนี้พระเยซูเจ้า จึงสามารถเสด็จมาในโลกนี้เพื่อ ปลดปล่อยเราให้พ้นจากอานาจของ บาปและความตาย แบบอย่างของพระแม่มารีย์ แสดงให้เราเห็นว่าการเป็นศิษย์ที่แท้จริง ของพระเยซูเจ้านั้นเป็นอย่างไร? การมอบตัวเองทั้งครบไว้ในอ้อมพระหัตถ์ของพระเจ้าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะหมายถึงการปล่อยให้ทุกสิ่ง ทุกอย่างดาเนินไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า และพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับอนาคตที่เราไม่รู้จัก ด้วยความไว้วางใจ ในความรักที่พระเจ้ามีต่อเรา ให้เราแต่ละคน..กล้าที่จะเผชิญกับความท้าทายนี้ด้วยความมั่นใจว่าจะสามารถทาสิ่งที่พระองค์ ทรงเรียกร้อง จากเราแต่ละคนได้ เพราะทุกครั้ง เมื่อเราเผชิญหน้ากับสิ่งที่ดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้ เราจะเชื่อมั่นและไว้วางใจ เหมือนพระแม่มารีย์ว่า เมื่อพระเจ้าทรงเรียกเราพระองค์จะประทานพระหรรษทานช่วยเหลือเราอย่างแน่นอน

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน a พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย a ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี a


enen ข้อคิดยามเช้า วันอาทิตย์ ที่ 5 กรกฎาคม ค.ศ.2015

เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จกลับไปยังเมืองนาซาเร็ธ “ถิ่นกาเนิดของพระองค์”(มก 6:1) ทาไมชาวเมืองนี้ซึ่งเป็น เพื่อนบ้านแท้ ๆ จึงปฎิเสธพระองค์ พวกเขาได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับการเทศน์สอนและอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงกระทา ที่กรุงเยรูซาเล็ม และ ตามหัวเมืองต่าง ๆ แม้แต่ในศาลาธรรมที่เมืองนาซาเร็ธเอง แม้พวกเขารู้สึกทึ่งในปรีชาญาณของ พระองค์ แต่พระองค์ทรงเป็นอะไรที่มากเกินกว่าจะยอมรับได้ เพราะในสายตาของพวกเขาพระองค์ทรงเป็นเพียง สามัญชนธรรมดาคนหนึ่ง เป็น “ช่างไม้ ลูกนางมารีย์” (มก 6:3) แล้วอย่างไม่คาดฝัน พวกเขาต้องมายอมรับว่า พระองค์ทรงเป็นประกาศกที่พระเจ้าได้ทรงส่งมาหาพวกเขาซึ่งเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ตรงกันข้ามกับความรู้สึกนึกคิด ของพวกเขา ชาวเมืองนาซาเร็ธไม่พอใจในพระเยซูเจ้าเพราะพระองค์เทศน์สอนในฐานะประกาศกซึ่งสามารถนาทั้ง พระพรและการลงโทษจากพระเจ้ามาสู่พวกเขาได้


เราต้องเข้าใจว่าประกาศกเป็นผู้แทนของพระเจ้า และพูดในนามของพระองค์ สิ่งที่ประกาศกพูดคือความจริง บ่อยครั้ง ความจริงสร้างความเจ็บปวดใจให้ผู้ฟังโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าความจริงนั้นเกี่ยวข้องกับความบกพร่องหรือ ความอ่อนแอของเขา เมื่อยอมรับความจริงไม่ได้วิธีง่ายที่สุดที่หลายคนใช้คือ ปฏิเสธความจริงนั้น ชาวเมืองนาซาเร็ธไม่ กล้ายอมรับความจริง กลัวพระเยซูเจ้า และปฏิเสธพระองค์ในที่สุด เป็นเรื่องน่าละอายที่พวกเขาเลือกปฏิเสธพระเยซู เจ้าผู้ทรงเป็นทั้งประกาศกผู้ยิ่งใหญ่และพระบุตรของพระเจ้า สาหรับเราคริสตชนในทุกวันนี้ก็เช่นเดียวกันพระเยซูเจ้ายังทรงตรัสกับเราผ่านทางคาสั่งสอนของ พระศาสนจักรเรารู้สึกกลัวที่ได้ยินสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ไหม? เรากลัวว่าเราจะต้องเปลี่ยนแปลงความคิด และวิถีทาง ในการดาเนินชีวิตหรือไม่? เราบอกปัดคาสั่งสอนที่สาคัญบางอย่างของพระศาสนจักรเพียงเพราะมีเนื้อหาที่ค่อนข้าง ละเอียดอ่อน และอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งได้ใช่ไหม? เราพบว่าเราชอบแนวคิดทางโลกมากกว่าคาสั่งสอนของ พระสันตะปาปาและบรรดาพระสังฆราชหรือเปล่า? ขอให้เราใช้เวลาไตร่ตรองและตอบคาถามนี้ด้วยตัวเราเอง

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน a พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย a ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี a


enen ข้อคิดยามเช้า วันจันทร์ ที่ 6 กรกฎาคม ค.ศ.2015

เวลานี้พระเยซูเจ้ายังคงประทับอยู่ท่ามกลางพวกเรา พระองค์ตรัสกับเราผ่านทางพระคัมภีร์ที่เราได้ฟังใน พิธีกรรมต่าง ๆ พระองค์ทรงสอนเราผ่านทางคาสั่งสอนของพระศาสนจักรและการเทศน์สอนของบรรดาผู้แทนของ พระองค์ เรารู้สึกกลัวที่ได้ยินสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ไหม? เรากลัวว่าเราจะต้องเปลี่ยนแปลงความคิด และวิถีทางในการ ดาเนินชีวิตหรือไม่? เราบอกปัดคาสั่งสอนที่สาคัญบางอย่างของพระศาสนจักรเพียงเพราะมีเนื้อหาที่ค่อนข้าง ละเอียดอ่อน และอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งได้ใช่ไหม? เราพบว่าเราชอบแนวคิดทางโลกมากกว่าคาสั่งสอนของ พระสันตะปาปา และ บรรดาพระสังฆราชหรือเปล่า? บางทีเราอาจจะคิดว่าอาศัยอยู่สองโลกในเวลาเดียวกันนั่นคือ โลกของศาสนาและโลกภายนอก แล้วสรุปว่าศาสนาไม่ควรรุกล้าเข้าไปในกิจการของโลกภายนอก แต่ความจริงคือ เราอาศัยอยู่ในโลกใบเดียวกัน นั่นคือ โลกของพระเจ้า เราจึงควรระลึกเสมอว่าพระเยซูเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่และประทับอยู่ท่ามกลางเรา เราต้องไม่กลัวที่จะ เผชิญหน้ากับความจริงเพราะความจริงเท่านั้นที่จะนาเราไปสู่ชีวิตนิรันดร และทาให้เราเป็นอิสระอย่างแท้จริง ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน a พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย a ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


enen ข้อคิดยามเช้า วันอังคาร ที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ.2015 สังคายนาวาติกัน ครั้งที่สองเตือนเราว่า การทาแท้งเป็นการฆาตกรรม อย่างหนึ่ง หลายคนใน ประเทศของเราบอกว่า สิทธิที่จะเลือกมีความสาคัญ มากกว่าสิทธิที่จะมีชีวิต มันเป็นสิทธิส่วนตัวของ ผู้หญิงที่จะทาอย่างนั้นได้ พระสันตะปาปาตักเตือน ถึงความไม่ถูกต้องเกี่ยวกับ วัฒนธรรมแห่งความตาย แต่หลายคนก็เห็นด้วยกับความคิดที่ว่ามนุษย์เป็นเจ้าของชีวิตของตน ดังนั้น เขามีสิทธิที่จะฆ่าตัวตายได้ พระสันตะปาปาสอนเราอีกว่าชีวิตมาจากพระเจ้า พระองค์แต่ผู้เดียวเท่านั้นที่เป็นเจ้าแห่งชีวิต ดังนั้น โทษประหาร ชีวิตเป็นสิ่งที่ต้องห้าม แต่นักการเมืองหลายคน หรือแม้พวกเราบางคนยังสนับสนุนให้มีโทษประหารชีวิต เมื่อมีปัญหา เศรษฐกิจหรือปัญหาในสังคมเกิดขึ้น หลายคนตาหนิคนอพยพย้ายถิ่นฐานจากที่อื่นทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย แต่พระศาสนจักรสอนว่าประชาชนเหล่านี้ต้องได้รับความเคารพในฐานะบุตรของพระเจ้าและพระเจ้าคนเดียวเท่านั้นที่ เป็นเจ้าของแผ่นดินนี้ บางคนหลงตนเองมากจนมองคนอื่นต่าไปหมด พวกเขาดูถูกผู้ป่วยโรคเอดส์ ประณามคนที่เป็น ทาสยาเสพติด เหยียดหยามชนกลุ่มน้อยและกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ บางคนต่อต้านผู้ที่มีความคิดเห็นทางการเมืองที่ แตกต่างจงเกลียดจงชังกระทั่งเหมือนไม่ใช่เพื่อนร่วมชาติร่วมประเทศ บางครั้งเราไม่ตระหนักว่าพระเยซูเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่และประทับอยู่ท่ามกลางเรา พระองค์ยังคงตรัสกับ เราผ่านทางคาสั่งสอนของพระศาสนจักร เราต้องไม่รู้สึกกลัวที่ได้ยินสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ กล้าที่จะบอกปัดแนวคิดทางโลก เพื่อรับฟังคาสั่งสอนของพระองค์ในพระคัมภีร์ และคาสั่งสอนของผู้ใหญ่ในพระศาสนจักร กล้าที่จะเปลี่ยนแปลง ความคิดและวิถีทางในการดาเนินชีวิต ไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับความจริง เพราะความจริงเท่านั้นที่จะนาเราไปสู่ชีวิต นิรันดรและ “พระหรรษทานของเราเพียงพอสาหรับท่าน เพราะพระอานุภาพแสดงออกเต็มที่เมื่อมนุษย์มีความ อ่อนแอ” (1 คร 12:9) ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน a พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย a ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี a


enen ข้อคิดยามเช้า วันพุธ ที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ.2015 ในอดีต เมื่อประกาศก พูดกับประชาชน อย่างเป็นทางการ ท่านมักจะใช้คาว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ตรัสดังนี้...” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าท่านไม่ได้ พูดด้วยอานาจของตนเอง แต่ด้วยอานาจของพระเจ้าและตามพระประสงค์ของพระองค์ ในพระวรสารกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า “คาสั่งสอนของพระองค์ทาให้ผู้ฟังรู้สึกประทับใจอย่างมาก เพราะทรงสอนเขาอย่างทรงอานาจไม่เหมือนกับบรรดาธรรมาจารย์” (มก 1:22) ความหมายของคาว่า “ทรงสอนเขาอย่างทรงอานาจ” คือ พระเยซูเจ้าทรงสอนจากหัวใจ ไม่ใช่จากสมอง เท่านั้น พระองค์ทรงสอนด้วยความมั่นใจในข่าวดีที่พระองค์ทรงประกาศ เพราะทรงรู้ดีว่าข่าวดีนั้นสอดคล้องกับ พระประสงค์ของพระเจ้า พระเยซูเจ้าทรงเน้นที่จิตตารมณ์ของบทบัญญัติ ไม่ใช่การถือปฏิบัติตามตัวอักษร เน้นคุณค่า ทางบวกซึ่งเป็นเครื่องหมายแห่งความรัก และความเอาใจใส่ของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ คาสั่งสอนของพระเยซูเจ้าจึงเป็น ข่าวดีแห่งการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ ไม่ใช่ทาให้เรารู้สึกว่าตนเองมีภาระที่แบกมากขึ้น คาสั่งสอนของพระเยซูเจ้าจึงมี พลัง และสามารถผลักดันให้ผู้ฟังเปลี่ยนแปลงหัวใจในทางที่ดีขึ้นได้ ท่าทีที่ถูกต้องของเราต่อพระวาจาของพระเจ้า คือ ความเชื่อ ทุกครั้งที่เราได้ยินพระวาจาของพระเจ้าให้เรา น้อมรับด้วยใจสุภาพ พยายามซึมซับ และปล่อยให้พระวาจาของพระองค์นาทางและเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราเพื่อเรา แต่ละคนจะสามารถเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ทั้งในด้านความคิดและกิจการนับวันยิ่งมากขึ้น ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน a พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย a ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


enen ข้อคิดยามเช้า วันพฤหัสบดี ที่ 9 กรกฎาคม ค.ศ.2015 ประกาศกฮาบากุกทูลพระเจ้าว่า “ไฉนพระองค์ทรงให้ ข้าพเจ้าเห็นการชั่ว และ มองเห็นความยากลาบาก ทั้งการทาลาย และ ความทารุณก็อยู่ ตรงหน้าข้าพเจ้า” (ฮบก1:3) แม้ว่าเวลาจะผ่านไปหลายพันปี คาพูดของท่านดูเหมือนว่า ยังคงเป็นจริงอยู่ในโลกปัจจุบันนี้ ความเสมอภาพ เอกภาพ และเสรีภาพของประชาชนยังไม่มีจริง ความรุนแรงและการทาลายล้างเกิดขึ้นอย่าง ต่อเนื่องไม่มีวันหยุด ความอดอยากหิวโหยอันเนื่องมาจากความเห็นแก่ตัวจากการคอร์รับชั่นของนักการเมือง และ ความวุ่นวายของสังคม บางคนถามว่า “พระเจ้าทรงอยู่ที่ไหนในสถานการณ์แบบนี?้ ” ทาไมพระองค์จึงปล่อยให้สิ่ง เหล่านี้เกิดขึ้นโดยไม่ปกป้องคุ้มครองลูก ๆ ของพระองค์โดยเฉพาะคนที่ไม่สามารถป้องกันตัวเองได้? หลายคนรู้สึก หดหู่ใจและสิ้นหวัง ไม่อยากทาอะไรทั้งสิ้น นอกจากหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทาได้ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าโลกนี้จะเป็นเช่นไรในสายตาของเรา ประกาศกฮาบากุก ยังกล่าวถึงสัจธรรมข้อหนึ่งไว้ว่า “ผู้ที่จิตใจไม่ชอบธรรมจะล้มแต่ว่าคนชอบธรรมจะดารงชีวิตอยู่ด้วยความซื่อสัตย์” (ฮบก2:4) ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบไหน คนที่ไม่มีความสนิทสัมพันธ์กับพระเจ้าจะพินาศ ในขณะที่คนที่ดาเนิน ชีวิตตามพระประสงค์ของพระองค์จะพบกับความรอดพ้น สิ่งนี้จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน a พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย a ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


enen ข้อคิดยามเช้า วันศุกร์ ที่ 10 กรกฎาคม ค.ศ.2015

กลุ่มคริสตชนสมัยเริ่มแรกหลายแห่งล้วนถูกเบียดเบียนข่มเหง สาหรับพวกเขาอนาคตดูเหมือนจะมืดมน ไปหมด สิ่งที่ช่วยให้พวกเขาสามารถยืนหยัดต่อไปได้คือความเชื่อที่เข้มแข็งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เป็นความเชื่อซึ่ง ไม่ใช่ความรู้เกี่ยวกับหลักคาสอนที่ลึกซึ้ง แต่เป็นความไว้วางใจและความมั่นใจที่ไม่สั่นคลอนว่าพระเจ้าทรงอยู่ใกล้พวก เขา พระองค์จะทรงคอยดูแลเอาใจใส่พวกเขาอย่างแน่นอน ความเชื่อเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าจะทาให้คริสตชน ปราศจากความทุกข์ยากลาบากในชีวิต ชีวิตคริสตชนที่ดาเนินตามจิตตารมณ์พระวรสารอย่างจริงจังเป็นชีวิตที่ไม่ง่าย เลย พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะดูแลเอาใจใส่พวกเรา แต่ไม่ได้ทรงสัญญาว่าชีวิตของเราจะปราศจากความเจ็บปวดหรือ ความทุกข์เดือดร้อน หรือแม้แต่ความตายที่รุนแรงและปัจจุบันทันด่วนพระเจ้าเองก็ไม่ได้ทรงหวงแหนพระบุตรของ พระองค์ไว้ แต่ทรงส่งพระองค์ลงมาเพื่อช่วยเราให้รอดพ้นโดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน สิ่งที่เรามั่นใจได้คือ พระเจ้าทรงสัญญาไว้ว่าด้วยความเชื่อและความไว้วางใจอันลึกซึ้งในพระองค์ เราจะ สามารถเผชิญหน้ากับความทุกข์ยากลาบากที่ประดังเข้ามาในชีวิตเราด้วยความมั่นใจ เราจะสามารถยอมรับมันด้วย จิตใจที่สงบเพื่อร่วมส่วนกับพระทรมานของพระเยซูเจ้า และ เพื่อเห็นแก่ความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน a พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย a ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


enen ข้อคิดยามเช้า วันเสาร์ ที่ 11 กรกฎาคม ค.ศ.2015

ในฐานะผู้รับใช้ที่ดีและซื่อสัตย์ของพระเจ้า ความรักและการรับใช้ของเราจะต้องเป็นแบบที่ไร้เงื่อนไข ไม่ใช่ ทาเพียงเพื่อหวังผลตอบแทนจากพระองค์ เราควรตระหนักอยู่เสมอว่า สิ่งที่พระเจ้าประทานให้กับเรานั้นมากมายและ มีค่าเกินกว่าที่เราจะสามารถตอบแทนพระองค์ได้ ชีวิตของเราที่พระองค์ประทานให้ด้วยความรักและชีวิตพระบุตร ของพระองค์ที่เสด็จลงมาเพื่อไถ่บาปเรานั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เรามนุษย์จะหาสิ่งใดมาตอบแทน “เมื่อท่านได้ทาตามคาสั่งทุกประการแล้ว จงพูดว่า ‘ฉันเป็นผู้รับใช้ที่ไร้ประโยชน์เพราะฉันทาตามหน้าที่ที่ต้องทาเท่านั้น’” (ลก 17:10) ท่ามกลางโลกที่ดูเหมือนว่าจะเต็มด้วยความทุกข์ยากลาบาก ความรุนแรงและการทาลายล้าง ให้เราก้าวเดิน ไปพร้อมกันด้วยความหวังและความไว้วางใจในการดูแลเอาใจใส่ของพระเจ้าซึ่ง “ประทานจิตที่บันดาลความเข้มแข็ง ความรักและการควบคุมตนเองแก่เรา” (2ทธ1:7) เราต้องไม่ “อายที่จะเป็นพยานถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” (2ทธ1:8) เราต้องกล้าเผชิญหน้าและประณามค่านิยมทางโลกที่ผิด ๆ เราต้องกล้าประกาศค่านิยมแห่งพระวรสาร และเป็นหนึ่งเดียวกับทุกคนที่ทาทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเห็นแก่ข่าวดีของพระเยซูเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน a พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย a ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


enen ข้อคิดยามเช้า วันอาทิตย์ ที่ 12 กรกฎาคม ค.ศ.2015 “งานธรรมทูตเป็นธรรมชาติ ของพระศาสนจักร และเป็นพันธกิจที่ได้รับ มอบหมายจากพระคริสตเจ้า เพื่อความรอดพ้น ของมนุษย์ทุกคน” ข้อความนี้ได้ระบุไว้ ในแผนอภิบาล คริสตศักราช 2010-2015 ของพระศาสนจักรคาทอลิก ในประเทศไทย เมื่อพระศาสนจักรมีธรรมชาติเป็นธรรมทูตซึ่งมีการประกาศข่าวดีเป็นงานเบื้องต้นและเป็นงานหลัก เราทุก คนจึงต้องตระหนักถึงการมีส่วนรับผิดชอบในพันธกิจอันสาคัญยิ่งนี้ (เทียบ Can. 781) โดยการเป็นประจักษ์พยาน ด้วยการดาเนินชีวิตตามจิตตารมณ์พระวรสาร และประกาศข่าวดีแก่ทุกคนที่ยังไม่มีความเชื่อในพระคริสตเจ้า ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของพระศาสนจักรเราไม่สามารถปฏิเสธธรรมชาติของเราเองได้งานธรรมทูต หรืองาน แพร่ธรรม หรืองานประกาศข่าวดีจึงไม่ใช่เป็นพันธกิจที่เราจะทาก็ได้หรือไม่ทาก็ได้ แต่เป็นพันธกิจที่เราทุกคนต้องทา ในพระวรสารวันนี้ งานที่พระเยซูเจ้าทรงมอบหมายให้บรรดาอัครสาวกกระทาล้วนเป็นกิจการแบบธรรมดา ไม่ได้เป็น สิ่งยิ่งใหญ่หรือน่าพิศวงใด ๆ ทั้งสิ้น นั่นคือการให้บริการเพื่อความผาสุกของผู้คนพวกเขาได้เทศน์สอน ขับไล่ปีศาจ เจิมน้ามัน และรักษาคนเจ็บป่วย (เทียบ มก 6:12-12) ให้กาลังใจคนที่ถูกกดขี่ขมเหงและท้อแท้สิ้นหวัง สิ่งที่พระเยซู เจ้าต้องการบอกกับเราในวันนี้คือให้เราออกไปทางานของพระองค์ด้วยความเรียบง่ายและกล้าหาญ มั่นใจและไว้ใจใน พระเยซูเจ้าผู้ทรงส่งเราออกไปมากกว่าในสิ่งของภายนอกของโลกนี้ หรือในตัวเราเอง ชีวิตการเป็นพยานของเรานี่ แหละคือเครื่องมือดีที่สุดในการประกาศข่าวดีของพระเจ้า

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน a พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย a ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


enen ข้อคิดยามเช้า วันจันทร์ ที่ 13 กรกฎาคม ค.ศ.2015

นักบุญมาระโกเล่าถึงการเริ่มต้นงานธรรมทูตของอัครสาวกสิบสองคนว่า พวกเขาได้เห็นพระเยซูเจ้าทางานนี้ พวกเขาได้ฟังพระองค์เทศน์สอน บัดนี้เป็นเวลาที่พวกเขาต้องออกไปพูดและลงมือทางานด้วยตัวเอง อันที่จริง ช่วงเวลาแห่งการอบรมของพวกเขาจะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อได้รับพระจิตเจ้าในวันเปนเตกอสเตแล้ว เท่านั้น แต่เวลานี้ก็ถือว่าเพียงพอที่พวกเขาจะมีประสบการณ์เกี่ยวกับชีวิตธรรมทูตได้แล้วเหมือนกัน หลังจากที่ได้ทรง เรียกพวกเขาเข้ามาพบ พระเยซูเจ้าทรงส่งพวกเขาออกไป “เป็นคู่ ๆ” (มก 6:7) เหตุผลเป็นเพราะบทบัญญัติของ โมเสสระบุไว้ว่า เพื่อสิ่งที่พูดออกไปจะเชื่อถือได้ต้องมีพยานอย่างน้อยสองคนขึ้นไป “พยานปากเดียวไม่เพียงพอเพื่อตัดสินลงโทษผู้กระทาผิดทางอาญาหรือกระทาผิดอื่น ๆ จะต้องมีพยานสองหรือสามปากเพื่อพิสูจน์ข้อกล่าวหาไม่ว่าในความผิดใด ๆ” (ฉธบ 19:15) พระเยซูเจ้าได้ทรงพูดถึงเรื่องนี้เช่นเดียวกันว่า “ในธรรมบัญญัติของท่านทั้งหลายมีเขียนไว้ว่าคายืนยันเป็นพยานของคนสองคนเป็นที่น่าเชื่อถือ” (ยน 8:17)


อย่างไรก็ตาม คาว่า “เป็นคู่ ๆ” หรือ “เลข 2” ในที่นี่ยังเป็นสัญลักษณ์หมายถึงหมู่คณะอีกด้วย นั่นคือ ธรรมทูตต้องไม่ทางานแบบตัวคนเดียว แต่ต้องทางานเป็นกลุ่มหรือหมู่คณะ สิ่งที่พระเยซูเจ้าได้ทรงกระทาบรรดา คริสตชนในสมัยเริ่มแรกก็ได้ทาสืบต่อกันมาในหนังสือกิจการอัครสาวกเราพบว่า บรรดาธรรมทูตได้เดินทางไปแพร่ ธรรมในที่ต่าง ๆ เป็นคู่ ๆ เช่น นักบุญเปโตรกับนักบุญยอห์น นักบุญเปาโลกับนักบุญบารนาบัส เป็นต้น พระเยซูเจ้าทรงส่งบรรดาอัครสาวกออกไปโดยได้ “ประทานอานาจเหนือปีศาจ” (มก 6:7) แก่พวกเขา อานาจนี้เป็นอานาจของพระองค์โดยเฉพาะดังนั้นนี่จึงเป็นหนึ่งในเครื่องหมายที่ชี้ให้เห็นว่าพระอาณาจักรของพระเจ้า ได้มาถึงแล้ว (เทียบ มธ 12:28)

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน a พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย a ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


enen ข้อคิดยามเช้า วันอังคาร ที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ.2015 นอกจากการทางาน ธรรมทูตแบบเป็นกลุ่ม หรือหมู่คณะแล้ว พระเยซูเจ้าได้สอนให้ บรรดาอัครสาวก ถือความยากจน พระองค์กาชับ ไม่ให้พวกเขา นาสิ่งใดไปด้วยนอกจาก “ไม้เท้าเท่านั้น” (มก 6:8) ออกไปโดย “ไม่ให้มีอาหาร ไม่ให้มีย่ามไม่ให้มีเศษเงินใส่ไถ้ ให้สวมรองเท้าได้แต่ไม่ให้เอาเสื้อสารองไปด้วย” (มก 6:8-9) ผู้ที่เป็นธรรมทูตจะต้องรู้จักตัดใจจากทุกสิ่ง เพราะนี่คือ “เงื่อนไขแห่งเสรีภาพ” สาหรับธรรมทูต การออกไป โดยปราศจากสัมภาระเป็นการตัดใจที่จะนาเอาโลกของตัวเองติดตัวไปด้วย เป็นการปฏิเสธที่จะแสดงความเก่งกล้า สามารถหรือความร่ารวยต่อหน้าคนอื่น เป็นการยืนยันว่าตัวเองเท่านั้นเป็นสื่อที่ดีที่สุดสาหรับการประกาศข่าวดี การเป็นพยานที่ดีเป็นการพูดโดยผ่านทางตัวเราไม่ใช่โดยผ่านทางสิ่งของของเรา การปล่อยวางและความ พร้อมที่จะต้อนรับมักจะไปด้วยกัน ถ้าเราไปที่บ้านใครสักคนหนึ่งแบบตัวเปล่าพร้อมกับการเป็นพยานด้วยชีวิต การต้อนรับจะเด่นชัดขึ้น ความสนใจของเจ้าบ้านจะอยู่ที่คาพูดที่เราจะบอก ไม่ใช่อยู่ที่สิ่งของที่เราใส่ไว้ในย่ามหรือ กระเป๋าเดินทาง

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน a พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย a ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


enen ข้อคิดยามเช้า วันพุธ ที่ 15 กรกฎาคม ค.ศ.2015 พระเยซูเจ้าทรงส่ง ศิษย์เจ็ดสิบสองคน “ไปทุกตาบล ทุกเมืองที่ พระองค์จะเสด็จ” (ลก 10:1) พระองค์ทรงส่งศิษย์ ออกไปล่วงหน้าเพื่อ เตรียมจิตใจประชาชน สาหรับเมล็ดพันธุ์แห่งข่าว ดีที่พระองค์จะนาไปหว่าน เวลานี้พระองค์ไม่ได้ ประทับอยู่กับเราใน รูปแบบที่มองเห็นได้ แต่พระองค์ยังทรงทาภารกิจแห่งการประกาศข่าวดีต่อไปผ่านทางเราผู้ซึ่งเป็นศิษย์ของพระองค์ เสียงของเรา คือเสียงของพระองค์ “ใครฟังท่าน ผู้นั้นฟังเรา” (ลก 10:16) ถ้าเราไม่พูดหรือประกาศข่าวดีของพระองค์ แล้วใครล่ะจะได้ยินข่าวดีน?ี้ หลังจากได้ทาพันธกิจที่ได้รับมอบหมายแล้ว “ศิษย์ทั้งเจ็ดสิบสองคนกลับมาด้วยความชื่นชมยินดี” (ลก 10:17) ที่เป็นเช่นนี้เพราะพวกเขาพบว่าตนเองสามารถทากิจการยิ่งใหญ่เหมือนที่พระเยซูเจ้าได้ทรงกระทา เราสามารถมีประสบการณ์แห่งความชื่นชมยินดีแบบเดียวกันนี้ถ้าเราพยายามทาหน้าที่ของคริสตชนที่ดีอย่างสุด ความสามารถ แต่หากเราไม่ทาเช่นนั้นเราก็ไม่คู่ควรกับศีลล้างบาปที่เราได้รับในพระนามของพระเยซูเจ้า

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน a พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย a ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


enen ข้อคิดยามเช้า วันพฤหัสบดี ที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ.2015

เมื่อคุณแม่เทเรซาแห่งกัลกัตตาเริ่มทางานด้านเมตตากิจ ท่านรู้ดีว่ามีคนยากจนคนอดอยากหิวโหย และคนกาลังใกล้จะตายที่ต้องการความช่วยเหลือมากมายหลายล้านคนในประเทศอินเดีย แต่ท่านเริ่มต้นด้วยการ ช่วยเหลือคนเพียงคนเดียวในเวลานั้น จากนั้นท่านจึงค่อยขยายงานออกไปเรื่อย ๆ “ถ้าเราต้องการย้ายภูเขาสักลูกหนึ่งเราต้องเริ่มด้วยการเอาก้อนหินออกทีละก้อน” คุณแม่เทเรซาแห่งกัลกัตตาได้ทาแบบนี้แหละ การเป็นคนงานในทุ่งนาของพระเจ้าเป็นการนา “สันติสุข” ไปให้กับคนอื่นเป็นการทาให้คนอื่นเป็นอิสระและมีความสุข เราเริ่มต้นได้ตลอดเวลากับคนรอบข้างเรา

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน a พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย a ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


enen ข้อคิดยามเช้า วันศุกร์ ที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ.2015 กลุ่มคริสตชนในสมัยเริ่มแรก ซึ่งมีจานวนน้อย และ ดาเนินชีวิตอยู่ท่ามกลาง พี่น้องต่างความเชื่อ จานวนมหาศาลพวกท่านเป็น เมล็ดมัสตาร์ดเล็ก ๆ หรือ เชื้อแป้งจานวนน้อยนิด ที่คลุกลงไปในแป้งถังใหญ่ เพื่อทาให้แป้งทั้งหมดฟูขึ้น แรงกายแรงใจที่พวกท่านได้ ทุ่มเทลงไปนั้นไม่ได้สูญเปล่า เมล็ดมัสตาร์ดเล็ก ๆ ได้เจริญเติบโตขึ้นเป็นต้นไม้ใหญ่ และกลายเป็นที่พักพิงสาหรับคนจานวนมากทาให้ใน ปัจจุบันมีคริสตชนทั่วโลกมากกว่าสองพันล้านคนสถานการณ์ของกลุ่มคริสตชนในประเทศไทยไม่ต่างจากกลุ่มคริสตชน ในสมัยเริ่มแรกเท่าใดนัก เรายังเป็นคนกลุ่มน้อยที่ดาเนินชีวิต ท่ามกลางพี่น้องต่างความเชื่อที่มีจานวนมากมาย เราแต่ละคนในฐานะคนงานในทุ่งนาของพระเจ้า ต้องร่วมมือกับพระองค์ และปล่อยให้พระองค์ทางานผ่าน ทางตัวเราด้วยการดาเนินชีวิตให้สมกับ “การเป็นสิ่งสร้างใหม่” (กท 6:15) ในพระคริสตเจ้า ดาเนินชีวิตให้สอดคล้อง กับพระประสงค์ของพระเจ้า ไม่ยึดติดอยู่กับสิ่งของภายนอก แต่ยึดมั่นในความรัก การดูแลเอาใจ และการปกป้อง คุ้มครองจากพระองค์แต่เพียงผู้เดียว ความสาเร็จของพันธกิจไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถ หรือสิ่งที่พวกเรามีเป็นหลัก แต่ขึ้นอยู่กับพระองค์ ดังนั้น ไม่ว่าราจะเจออุปสรรคและปัญหาเลวร้ายแค่ไหน บุคคลแรกที่เราจะต้องนึกถึงคือ พระเจ้าเท่านั้น

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน a พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย a ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


enen ข้อคิดยามเช้า วันเสาร์ ที่ 18 กรกฎาคม ค.ศ.2015 ความสมดุลของธรรมชาติ เป็นสิ่งจาเป็นสาหรับ ความอยู่รอดของมนุษย์ และทุกสิ่งสร้าง ที่มีชีวิตบนโลกนี้ พระเจ้าทรงสร้าง ธรรมชาติให้มีความสมดุล ถ้ามนุษย์ทาให้ธรรมชาติ ขาดความสมดุลไป ผลที่ตามอาจร้ายแรง เกินกว่าที่มนุษย์ จะคาดคิดได้ ไม่เพียงแค่ในธรรมชาติเท่านั้น ในชีวิตของเราด้วย ความสมดุลเป็นสิ่งจาเป็นและขาดไม่ได้ เราจึงต้อง รับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ เพื่อร่างกายจะแข็งแรงและสามารถต่อต้านโรคภัยไข้เจ็บได้ เช่นเดียวกับ ชีวิตฝ่ายจิตของเรา พระเยซูเจ้าได้ให้ตัวอย่างของความสมดุลที่เราจาเป็นต้องมีพระองค์มักจะไปที่ศาลาธรรมทุก วันสับบาโตเพื่อนมัสการพระเจ้าเป็นหมู่คณะและไปร่วมฉลองงานประจาปีในพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็มเป็นประจา มิได้ขาด หลายครั้งพระองค์ได้ทรงปลีกตัวออกไปตามลาพัง และใช้เวลาทั้งคืนเพื่ออธิษฐานภาวนาเป็นการส่วนตัว ในพระวรสารโดยนักบุญมาระโก เล่าให้เราฟังว่า บรรดาอัครสาวกกลับมาหาพระเยซูเจ้าหลังจากการเดินทาง ไปแพร่ธรรมในช่วงเวลาหนึ่ง เมื่อมาถึงพวกเขาได้ทูลรายงาน “ทุกสิ่งที่พวกเขาได้ทาและได้สอน” (มก 6:30) แก่พระองค์ จากนั้นพระเยซูเจ้าได้เชื้อเชิญพวกเขาให้ไปพักผ่อนกับพระองค์ “ตามลาพังในที่สงัดสักระยะหนึ่ง” (มก 6:31) พระเยซูเจ้าต้องการชี้ให้เราผู้ซึ่งเป็นศิษย์ของพระองค์ เข้าใจถึงความจาเป็นของความสมดุลในชีวิตฝ่ายจิต นั่นคือ ต้องมีเวลาสาหรับรับการอบรมและฝึกฝนตนเอง เวลาสาหรับทางาน เวลาสาหรับเทศน์สอน เวลาสาหรับ ช่วยเหลือประชาชน และเวลาสาหรับอยู่กับพระองค์ตามลาพังเพื่ออธิษฐานภาวนา ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน a พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย a ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


enen ข้อคิดยามเช้า วันอาทิตย์ ที่ 19 กรกฎาคม ค.ศ.2015

คติพจน์ของคณะเบเนดิกตินที่ว่า “Ora et Labora” ซึ่งแปลว่า“จงอธิษฐานภาวนาและจงทางาน” เป็นบทสรุปจิตตารมณ์ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสมดุลในชีวิตของสมาชิกที่อยู่ในอารามต่าง ๆ นี่เป็นเรื่องที่เหมาะสม สาหรับคริสตชนทุกคนด้วย การอธิษฐานภาวนาอย่างเดียวหรือการทางานอย่างเดียวไม่เพียงพอทั้งสองอย่างจะต้องควบคู่กันไปจึงจะเกิด ความสมดุลในชีวิต เพราะชีวิตของเราประกอบด้วยส่วนที่เป็นร่างกายและส่วนที่จิต เราต้องทางานเพื่อหาเลี้ยงชีพเพื่อ ชีวิตฝ่ายกายของเราจะเจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพ แต่ในเวลาเดียวกันเราต้องไม่ลืมว่า ชีวิตฝ่ายจิตของเราก็ต้องการ อาหารมาหล่อเลี้ยงด้วยเหมือนกัน เราต้องการพลังฝ่ายจิตจากพระเจ้าผ่านทางการอธิษฐานภาวนาหรือการสนทนากับ พระองค์ เราต้องการฟังพระวาจาของพระองค์ และ รับศีลมหาสนิท ศีลศักดิ์สิทธิ์แห่งความรักซึ่งเป็นอาหารฝ่ายจิต ของเรา ไม่เช่นนั้นเราจะเป็นคนที่โตแต่ตัว แต่จิตใจของเราไม่โตไปด้วย

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน a พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย a ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


enen ข้อคิดยามเช้า วันจันทร์ ที่ 20 กรกฎาคม ค.ศ.2015 พระเยซูเจ้าต้องการให้เรา ทุกคนรักษาความสมดุลในชีวิต การมีส่วนร่วมในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันอาทิตย์ ถือเป็นสิ่งจาเป็นที่ขาดไม่ได้สาหรับ ชีวิตฝ่ายจิตของเรา อย่างไรก็ตาม บางครั้งเราต้องไปในที่สงัดตามลาพัง เพื่ออธิษฐานภาวนา พร้อมกับ พระเยซูเจ้าด้วย การอธิษฐานภาวนาทั้งแบบ เป็นหมู่คณะและส่วนตัวเป็นส่วนหนึ่ง ของชีวิตคริสตชน เราไม่ควรละเลย อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ควรทาทั้งสอง อย่าง เราต้องมีเวลาส่วนตัวให้กับพระ เจ้าด้วย เราไม่สามารถทาแต่งานอย่างเดียวแล้วอ้างว่าการทางานเป็นการสวดภาวนาอย่างหนึ่ง ดังนั้น ให้เรารักษา สมดุลของชีวิตฝ่ายจิตตามแบบอย่างที่พระเยซูเจ้าทรงมอบไว้ คือ นอกจากการทางานแล้ว เราต้องมาวัดและอธิษฐาน ภาวนาเป็นกลุ่มรวมทั้งเอาใจใส่ในการอธิษฐานภาวนาส่วนตัว

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน a พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย a ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


Meenen ข้อคิดยามเช้า วันอังคาร ที่ 21 กรกฎาคม ค.ศ.2015 พระเยซูเจ้า “มิได้มาเพื่อให้ผู้อื่นรับใช้ แต่มาเพื่อรับใช้ผู้อื่น” (มก 10:45) คาว่า “ผู้รับใช้” หมายถึงบุคคล ที่อุทิศตนทางานเพื่อประโยชน์ของคนอื่น พระเยซูทรงรับใช้โดยการ “มอบชีวิตของตนเป็นสินไถ่ เพื่อมวลมนุษย์” (มก 10:45) พระองค์ทรงมอบทุกสิ่งที่พระองค์ ทรงมีและทรงเป็นแก่มวลมนุษย์ แม้แต่ชีวิต ของพระองค์เอง เราแต่ละคนถูกเรียกมาเพื่อเป็น ผู้รับใช้คนอื่นด้วยเหมือนกัน พระธรรมนูญว่าด้วย “พระศาสนจักรในโลกสมัยนี”้ ระบุว่า “ขณะที่ทางานหาเลี้ยงชีพของตนและครอบครัว ชายและหญิงกาลังทางานเพื่อรับใช้สังคมด้วย” (GP 34) ไม่ว่าเราจะเป็นใคร ทาอาชีพอะไรก็แล้วแต่ในชีวิตเราสามารถเป็น “ผู้รับใช้” ได้เสมอ อาชีพที่เราเป็น.. งานแต่ละอย่างที่เราทาให้เราทาอย่างเต็มกาลังความสามารถ ด้วยจิตตารมณ์แห่งการรับใช้ตามแบบอย่างของ พระเยซูเจ้า


ในฐานะคริสตชนเราต้อง “ปฏิบัติให้ตรงกับประโยชน์ที่แท้จริงของมนุษยชาติ ตามแผนการและพระประสงค์ของพระเจ้า และอานวยให้มนุษย์ในฐานะบุคคลหรือสมาชิกในสังคม ได้ปฏิบัติตามกระแสเรียกของตนอย่างครบถ้วน” (GP 35) ความรู้และความสามารถซึ่งเป็นอานาจอย่างหนึ่งของเราไม่ได้มีไว้เพื่อบังคับคนอื่นหรือแสวงหาผลประโยชน์ จากพวกเขา แต่มีไว้เพื่อรับใช้และนาประโยชน์มายังคนอื่นและสังคมโดยส่วนรวมความสุขที่แท้จริงไม่ได้มาจากการมี ทรัพย์สินเงินทองมากมายนับไม่ถ้วน แต่มาจากการให้หรือแบ่งปันสิ่งที่เรามีกับคนอื่น

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน a พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย a ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


Meenen ข้อคิดยามเช้า วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม ค.ศ.2015 พระเยซูเจ้าทรงตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “ยากจริงหนอที่คนมั่งมี จะเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้า” (มก 10:23) บรรดาศิษย์ประหลาดใจมากจึงพูดว่า “ดังนี้ ใครเล่าจะรอดพ้นได้” (มก 10:26) คาตอบของพระเยซูเจ้าในเรื่องนี้ชัดเจน “สาหรับมนุษย์เป็นไปไม่ได้ แต่สาหรับพระเจ้าเป็นเช่นนั้นได้ เพราะพระองค์ทรงทาได้ทุกสิ่ง” (มก 10:27) ชาวยิวเชื่อว่าทรัพย์สมบัติเป็นเครื่องหมายแห่งพระพรของพระเจ้า คนร่ารวยจึงถูกมองว่าเป็นคนที่พระเจ้า ทรงอวยพร แต่มนุษย์กลับยึดติดอยู่กับทรัพย์สมบัติมากเกินไป แสวงหาและหวงแหนเป็นของส่วนตัวของเราเท่านั้น ยึดติดยิ่งวันยิ่งมากขึ้น จนกระทั่งมองไม่เห็นความต้องการ และความเดือดร้อนของเพื่อนพี่น้องที่อยู่รอบข้าง ทีละเล็ก ทีละน้อยเราจะกลายเป็นพวกวัตถุนิยมไป โดยเชื่อว่าปราศจากทรัพย์สินเงินทองชีวิตจะไร้ความหมาย ให้เราวอนขอพระปรีชาญาณจากพระเจ้าเพื่อจะสามารถสลัดตนเองออกจากลัทธิวัตถุนิยมในทุกรูปแบบ เราต้องไม่ลืมว่าพระพรทุกอย่างมีไว้เพื่อแบ่งปัน ยิ่งเรามีมาก เราก็ควรช่วยคนอื่นมากขึ้น ทั้งนี้ก็เพราะว่า “มนุษย์จะได้ประโยชน์ใดในการที่ได้โลกทั้งโลกเป็นกาไร แต่ต้องเสียชีวิต” (มก 8:36)

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน a พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย a ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


Meenen ข้อคิดยามเช้า วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม ค.ศ.2015 “ฟ้าดินจะสูญสิ้นไป แต่วาจาของเรา จะไม่สูญสิ้นไปเลย” (มก 13:31) พระเยซูเจ้าทรงสัญญากับเราว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พระวาจาของพระองค์ จะคงอยู่กับเราตลอดไป ดังนั้น พระวรสารจึงเป็นหนังสือคู่มือ และแรงบันดาลใจในการดาเนิน ชีวิตสาหรับคริสตชนทุกคน เราควรอ่าน ราพึงภาวนา หรือฟังอย่างตั้งใจในพิธีบูชาขอบพระคุณ วาระสุดท้ายหรือวันสิ้นพิภพจะมาถึงสัก วันหนึ่ง แต่วันและเวลาที่แน่นอนไม่มีใครรู้ “นอกจากพระบิดาเพียงพระองค์เดียว” (มก 13:32) ท่าทีที่ถูกต้องของคริสตชน ไม่ใช่อยู่ด้วยความหวาดกลัว แต่วาระสุดท้ายที่จะมาถึงควรทาให้เรามีความหวัง เพราะพระเจ้าทรงสร้างเราแต่ละคนขึ้นมาเพื่อความรอดพ้น ไม่ใช่เพื่อการลงโทษ ความรักและพระเมตตาของพระองค์ เป็นแก่นแท้ของข่าวดีที่พระเยซูเจ้าทรงสอน เราควรดาเนินชีวิตประหนึ่งว่าวาระสุดท้ายกาลังจะมาถึง พระเยซูเจ้าทรง บอกเราด้วยว่าเราควรรอคอยช่วงเวลาดังกล่าวประหนึ่งนักโทษและทาสที่เฝ้าคอยวันแห่งอิสรภาพของพวกเขา

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน a พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย a ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


Meenen ข้อคิดยามเช้า วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม ค.ศ.2015 การเริ่มต้นและการสิ้นสุดของ ชีวิตมนุษย์เป็นสองด้านของ ความจริงอันเดียวกัน ที่ไม่อาจแยกจากกันได้ เราไม่ทราบว่า ต้องใช้เวลาเดินทาง นานเท่าใดบนเส้นทางสายนี้ เราจึงต้องพร้อมอยู่เสมอ ที่จะพบกับพระเยซูเจ้า เมื่อพระองค์เสด็จมาและเรียกเราไปอยู่ร่วมกับพระองค์ อย่ากลัวและกังวลใจจนเกินไป ความกลัวและกังวล ใจไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาใด ๆ ทั้งนั้น เพราะถึงอย่างไรเราทุกคนต้องไปพบกับพระองค์ในวันหนึ่งวันใดในอนาคต ไม่ว่าช้า หรือเร็ว ดังนั้น ในแต่ละวันของชีวิต เราจึงต้องพยายามสร้างความสัมพันธ์กับคนที่อยู่รอบข้างให้ดีขึ้นตลอดเวลา ชีวิตที่ดีไม่ได้ขึ้นอยู่กับงานที่เราทา หรือความสาเร็จที่เราได้รับเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ที่ดีของเรา กับคนที่อยู่รอบข้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับครอบครัว ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง และคนแปลกหน้าที่เราพบปะในแต่ละวัน เราควรใช้ทุกโอกาส ทุกเวลาที่มีอยู่ในชีวิตทาให้ตัวเราใกล้ชิดกับพระเจ้าและพระเยซูเจ้ามากยิ่งขึ้น พระองค์ทรงอยู่กับ เราเสมอไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน หรือไปที่ไหน ไม่ว่าเราจะทาอะไร เราสามารถฟังเสียงของพระองค์ พูดคุยและร่วมมือกับ พระองค์ ปล่อยให้พระองค์นาทางเราและช่วยเหลือเรา ผ่านทางทุกคนและทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา จุดหมายปลายทางชีวิตที่แท้จริงของเราแต่ละคน คือการเตรียมตัวเองให้พร้อมที่จะเข้าไปร่วมส่วนในพระสิริ รุ่งโรจน์ และชีวิตนิรันดรกับพระเจ้าในสวรรค์ ถ้าเราพลาดหรือไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางนี้ ชีวิตของเราบนโลกนี้ถือได้ ว่าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน a พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย a ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


Meenen ข้อคิดยามเช้า วันอาทิตย์ ที่ 26 กรกฎาคม ค.ศ.2015 หลังเลิกเรียนคาสอนในวันอาทิตย์ แม่มารับจอห์นนี่กลับบ้าน พอขึ้นนั่งบนรถจอห์นนี่ก็บอกกับแม่ว่า “วันนี้ครูเล่าเรื่องการข้ามทะเลแดง ของโมเสสและชาวอิสราเอล ได้อย่างน่าตื่นเต้นมาก” แม่ยิ้มด้วยความพอใจพร้อมกับถามลูก ชายสุดที่รักว่า “แม่ชักอยากจะฟังแล้วละ ไหนลองเล่าให้แม่ฟังสิ” จอห์นนี่เริ่มเล่าให้แม่ฟังว่า “เรื่องมันเป็นอย่างนี้ชาวอิสราเอลได้ออกจากประเทศอียิปต์ แต่ฟาโรห์และกองทัพของพระองค์ได้ไล่ติดตามพวกเขา ชาวอิสราเอลวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตเร็วที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทาได้ จนกระทั่งพวกเขามาถึงทะเลแดง ขณะที่กองทัพอียิปต์เคลื่อนพลเข้ามาใกล้ทุกทีโมเสสจึงหยิบมือถือขึ้นมา และโทรขอให้กองทัพอากาศอิสราเอลทิ้งระเบิดใส่กองทัพอิยิปต์ ในเวลาเดียวกันกองทัพเรืออิสราเอลก็รีบสร้างสะพานชั่วคราวเพื่อให้ประชาชนข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง และแล้วพวกเขาก็ทาสาเร็จ ชาวอิสราเอลทุกคนปลอดภัย” แม่รู้สึกตกใจ จึงถามจอห์นนี่ด้วยความสงสัยว่าว่า “ครูเล่าแบบนี้จริง ๆ หรือ?” จอห์นนี่ยอมรับและตอบแบบอ้อมแอ้มว่า “มันก็ไม่จริงทั้งหมดหรอกแต่ถ้าผมเล่าอย่างที่ครูเล่าให้ผมฟัง แม่อาจจะไม่เชื่อก็ได้”


คาพูดของจอห์นนี่สะท้อนความจริงบางอย่างที่เรากาลังเผชิญอยู่ในยุคปัจจุบันนี้ ยุคที่วิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยีเจริญก้าวหน้าอย่างไม่มีวันสิ้นสุดจนกระทั่งทาให้หลายคนไม่มีห้องว่างในความคิดสาหรับอัศจรรย์หรือ ความเป็นจริงฝ่ายจิต ความเชื่อซึ่งจากัดตัวเองอยู่กับสิ่งที่สัมผัสและพิสูจน์ได้เป็นอุปสรรคสาหรับมนุษย์ที่จะเข้าถึงและ มีประสบการณ์เกี่ยวกับฝีพระหัตถ์ที่เปี่ยมด้วยอานุภาพยิ่งใหญ่ของพระเจ้าซึ่งต้องอาศัยความเชื่อแบบเหนือธรรมชาติ จึงจะเข้าถึงได้ ในพระวรสารวันนี้ซึ่งเป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระเยซูเจ้าทรงทาอัศจรรย์ทวีขนมปังเลี้ยงคนห้าพันคน นักบุญยอห์นอ้างถึงศิษย์สองคนที่ชื่อ ฟิลิปและอันดรูว์ ศิษย์สองคนนี้เป็นตัวแทนของความเชื่อสองรูปแบบ ฟิลิปเป็น ตัวแทนความเชื่อแบบธรรมชาติที่ปิดประตูตายสาหรับอัศจรรย์ ส่วนอันดรูว์เป็นตัวแทนของความเชื่อแบบเหนือ ธรรมชาติ ซึ่งเปิดโอกาสเพื่อทาให้อัศจรรย์เป็นไปได้ อัศจรรย์ไม่ใช่เป็นกิจการของพระเจ้าเพื่อเรา แต่เป็นกิจการของ พระเจ้าพร้อมกับเรา โดยอาศัยความร่วมมือของเราผู้มีความเชื่อนั้น โดยทางความเชื่อของเขาสามารถทาให้อัศจรรย์ เกิดขึ้นในชีวิตได้ ส่วนคนที่ไม่มีความเชื่อนั้น เพราะความไม่เชื่อของเขาปิดโอกาสตนเองจากการสัมผัสอัศจรรย์และ ความรักของพระเจ้าเหมือนที่พระเยซูเจ้าเคยตรัสว่า “จงเป็นไปตามที่ท่านเชื่อเถิด” (มธ 9:29)

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน a พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย a ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


Meenen ข้อคิดยามเช้า วันจันทร์ ที่ 27 กรกฎาคม ค.ศ.2015 พระเยซูเจ้า และบรรดาศิษย์ เผชิญเรื่องปากเรื่องท้อง ของประชาชน ฝูงชนที่ติดตามพระองค์ กาลังหิวและต้องการ อาหารประทังชีวิต พระเยซูเจ้าหันไปหาฟิลิป และถามท่านว่า “พวกเราจะซื้อขนมปัง ที่ไหนให้คนเหล่านี้กิน?” (ยน 6:5) พระองค์ทรงรู้ว่าฟิลิป ผู้มีความเชื่อในระดับธรรมดา ไม่สามารถจินตนาการวิถีทางในการเลี้ยงประชาชน อย่างอื่นนอกจากการใช้เงิน นี่คือเหตุผลที่นักบุญยอห์นอธิบายต่อไปว่า “พระองค์ตรัสดังนี้เพื่อทดลองใจเขา แต่พระองค์ทรงทราบแล้วว่าจะทรงทาประการใด” (ยน 6:6) เราจึงเห็นเพียงความสามารถของท่านในการคานวณค่าใช้จ่ายจัดหาวัสดุสิ่งของเท่านั้นเอง “ขนมปังสองร้อยเหรียญแจกให้คนละนิดก็ไม่พอ” (ยน 6:7) พระองค์ทรงถามฟิลิปเพื่อกระตุ้นความคิดแบบวัตถุนิยมของท่าน และช่วยให้ท่านก้าวพ้นจากความคิดแบบนี้ อันดรูว์ ศิษย์อีกคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ใกล้ ๆ ความเชื่อของท่านดูเหมือนอยู่ในระดับที่สูงกว่าของฟิลิปบอกกับพระเยซูเจ้าว่า “เด็กคนหนึ่งที่นี่มีขนมปังบาร์เลย์ห้าก้อนกับปลาสองตัว ขนมปังและปลาเพียงเท่านี้จะพออะไรสาหรับคนจานวนมากเช่นนี”้ (ยน 6:9)


อันดรูว์เป็นคนที่ยึดติดกับความเป็นจริง จึงพอรู้ว่าขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวเป็นสิ่งเล็กน้อยมาก ๆ เมื่อเทียบกับจานวนฝูงชนซึ่งเฉพาะผู้ชายมีถึง 5000 คน ไม่รวมผู้หญิงและเด็กอีกซึ่งมีจานวนไม่น้อยเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ท่านก็มีความเชื่อพอที่มองเห็นว่าแม้ว่าขนมปังและปลามีจานวนน้อย แต่ก็เพียงพอสาหรับการเริ่มต้น บางทีเพราะท่านนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในงานสมรสที่หมู่บ้านคานาที่นั่นพระเยซูเจ้าได้ทรงเปลี่ยนน้าให้กลายเป็นเหล้าองุ่น ชั้นเลิศ พระเยซูเจ้าไม่ได้ทาอัศจรรย์ให้มีเหล้าองุ่นโดยไม่อาศัยอะไรเลยแต่อาศัยน้าที่บรรดาคนใช้ตักใส่โอ่งหิน ท่านคิดว่าเป็นหน้าที่ของศิษย์ที่จะจัดหาวัสดุพื้นฐานแบบนั้นเพื่อว่าพระองค์จะเปลี่ยนสภาพมัน เหมือนน้าให้ กลายเป็นเหล้าองุ่น หรือทวีจานวนขนมปังและปลาเพื่อเลี้ยงประชาชนที่หิวโหย ดังนั้น ความเชื่อที่แท้จริงไม่ทาให้เรา งอมืองอเท้าอยู่เฉย ๆ โดยไม่ทาอะไร หรือเฝ้ารอคอยและเงยหน้าขึ้นเบื้องบนสู่สวรรค์เท่านั้น แต่จะกระตุ้นเราให้แสดง และใช้ศักยภาพทั้งหมดที่เรามีอยู่ออกมาอย่างเต็มที่ ถ้าปราศจากขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัว อาจจะไม่มีอัศจรรย์ ในวันนั้นก็ได้ อัศจรรย์ไม่ใช่เป็นกิจการของพระเจ้าเพื่อเรา แต่เป็นกิจการของพระเจ้าพร้อมกับเราโดยอาศัยความร่วมมือของเราต่างหาก

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน a พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย a ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


Meenen ข้อคิดยามเช้า วันอังคาร ที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ.2015 เราไม่สอนวิชาการชั้นสูงแก่ เด็กอนุบาลหรือประถม แต่จะค่อย ๆ เตรียมความพร้อม และเพิ่มความรู้ให้แก่เด็ก ทีละเล็กทีละน้อย นี่ก็เป็นเช่นเดียวกัน กับธรรมชาติของมนุษย์ เราไม่สามารถรับรู้หรือ เข้าใจสิ่งที่เกินความสามารถได้ พระเจ้าจึงทยอยไขแสดง ความจริงตามความพร้อม ของมนุษย์ เป็นกระบวนการที่ค่อยเป็นค่อยไปและต้องใช้เวลาเป็นการไขแสดงที่ไม่มีวันสิ้นสุด พระจิตเจ้ายังทางานอยู่ ท่ามกลางเราในทุก ๆ วันเพื่อไขแสดงความจริงอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ขึ้นอยู่กับว่าเรามุ่งมั่นแสวงหาความจริงมาก น้อยเพียงใด ยิ่งเราเจริญชีวิตใกล้ชิดพระเยซูเจ้ามากเท่าใดเรายิ่งได้รับการไขแสดงมากขึ้นเท่านั้น เราจึงต้องพยายาม อย่างยิ่งที่จะเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูเจ้ามากขึ้นทุกวันเพื่อเราจะได้รับการไขแสดงความจริง ซึ่งจะทาให้เราเป็นอิสระ “ถ้าท่านทั้งหลายยึดมั่นในวาจาของเราท่านก็เป็นศิษย์ของเราอย่างแท้จริง ท่านจะรู้ความจริงและความจริงจะทาให้ท่านเป็นอิสระ” (ยน 8:31-32)

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน a พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย a ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


Meenen ข้อคิดยามเช้า วันพุธ ที่ 29 กรกฎาคม ค.ศ.2015 พระเยซูเจ้าทรงสอนเราใน เรื่องการภาวนาว่า “เมื่อท่านทั้งหลายอธิษฐาน ภาวนา จงพูดว่า” (ลก 11:2) จากนั้นจึงตามมาด้วยบท อธิษฐานภาวนาที่เราเรียกว่า “บทข้าแต่พระบิดา” (ลก 11:2) เราไม่ได้เรียกหาพระองค์ใน ฐานะองค์พระผู้เป็นเจ้า เจ้านาย ผู้พิพากษาตัดสิน บ่อเกิดแห่งชีวิต หรือพระผู้สร้าง แต่เราเรียกพระองค์ว่า “พระบิดา” นี่เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าเราทุกคนเป็นลูก ๆ ของพระองค์ เราจึงเป็นพี่น้องกันและกันเป็นสมาชิกในครอบครัว เดียวกัน ถ้าเราไม่ยอมรับความจริงอันนี้ คงจะไม่มีความหมายอะไรที่จะเรียกพระเจ้าว่า “พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย” พระเจ้าไม่ใช่บิดาของใครคนใดคนหนึ่ง แต่ของเราทุกคน “ของข้าพเจ้าทั้งหลาย” (ลก 11:2)

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน a พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย a ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


Meenen ข้อคิดยามเช้า วันพฤหัสบดี ที่ 30 กรกฎาคม ค.ศ.2015 พระเยซูเจ้าทรงใช้อุปมาสอนให้เรา มีความเพียรทนในการภาวนา “จงขอเถิด แล้วท่านจะได้รับ จงแสวงหาเถิด แล้วท่านจะพบ จงเคาะประตูเถิด แล้วเขาจะเปิดประตูรับท่าน เพราะคนที่ขอย่อมได้รับ คนที่แสวงหาย่อมพบ คนที่เคาะประตูย่อมมีผู้เปิดประตูให้” (ลก 11: 9-10) การอธิษฐานภาวนาเพื่อวอนขอพระเจ้านั้น เราต้องเข้าใจว่าบ่อยครั้ง พระเจ้าไม่ประทานสิ่งที่เราต้องการ เพราะสิ่งนั้นอาจไม่เหมาะสม ในสายพระเนตรของพระองค์ ไม่สอดคล้องกับแผนการและพระประสงค์ เพื่อมนุษยชาติทั้งครบของพระองค์ พระเจ้าทรงรู้ดีว่า อะไรคือสิ่งที่จาเป็นสาหรับเรา การอธิษฐานภาวนาควรมีเป้าหมายเพื่อ ความเป็นหนึ่งเดียวกันของเรากับพระเจ้า เราควรทาตัวเป็นเหมือนเด็กเล็ก ๆ ที่กาลังพูดกับพ่อผู้ซึ่งรักและรับฟังเราเสมอ ภาวนาด้วยคาพูดของเราเองบ่อย ๆ เหมือนพูดกับพ่อ นั่นแหละคือสิ่งที่พระเยซูเจ้าต้องการให้เราทา นอกจากภาวนาวอนขอสาหรับความต้องการของตนเองแล้ว ให้เราวอนขอเพื่อคนอื่น ๆ เพื่อมนุษยชาติด้วย ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน a พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย a ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


Meenen ข้อคิดยามเช้า วันศุกร์ ที่ 31 กรกฎาคม ค.ศ.2015 “พระพร” หรือ “ของประทาน” ที่พระเจ้าทรงกระทา และประทานแก่เรา ล้วนเป็นการให้เปล่า ไม่ใช่เพราะว่า เราเป็นคนดีเป็นคนเก่ง เป็นคนน่ารัก หรือเหมาะสมที่จะได้รับ แต่เพราะพระองค์ทรงรักเรา ของประทานยิ่งใหญ่ที่สุดที่ พระเจ้าทรงมอบให้แก่เรา คือ พระเยซูเจ้า เราไม่ได้ทาสิ่งใดที่สมควรให้พระเจ้าส่งพระบุตรสุดที่รักและหนึ่งเดียวองค์นี้ลงมาเพื่อไถ่บาปเรา พระเจ้าทรง เป็นผู้ริเริ่มเองทุกอย่าง แม้ว่าเราเป็นคนบาป พระองค์ก็ยังทรงรักเราและแสดงความรักนั้นในวิถีทางพิเศษและสามารถ สัมผัสได้ พระเยซูเจ้าทรงสานต่อภารกิจแห่งรักและแสดงให้เราเห็นความรักแบบให้เปล่านี้ต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงวินาที สุดท้ายแห่งชีวิตของพระองค์ พระองค์ยังทรงมอบของประทานฝ่ายจิตที่ล้าค่าที่สุดเท่าที่พระองค์ทรงสามารถให้เราได้ สิ่งนั้นก็คือ “ศีลมหาสนิท” ซึ่งเป็น “พระกายและพระโลหิต” ของพระองค์เองในรูปปังและเหล้าองุ่น นักบุญเปาโลกล่าวถึงของประทานยิ่งใหญ่นี้ว่า “ในคืนที่ทรงถูกทรยศนั้นเอง พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงหยิบปัง ขอบพระคุณ แล้วทรงบิออก ตรัสว่า ‘นี่คือกายของเราเพื่อท่านทั้งหลาย จงทาการนี้เพื่อระลึกถึงเราเถิด’ เช่นเดียวกันหลังอาหารค่าก็ทรงหยิบถ้วย ตรัสว่า ‘ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่ในโลหิตของเรา ทุกครั้งที่ท่านจะดื่ม จงทาการนี้เพื่อระลึกถึงเราเถิด’” (1 คร 11:23-25)

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน a พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย a ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.