Donate1e29 11 14 1

Page 1

ปกนอก


ปกใน ด้ านหน้ า เต็มหน้ า 30,000.- บาท




















บทที่ 1 แสง เลนส์ ตย1

a

b

เมื่อเลื่อนวัตถุออกจากเลนส์เป็ นระยะ a อีก ภาพจะเลื่อนจากตําแหน่ งเดิมเท่าใด(ตอบในรูป a,b)

ให้ s’ แทนระยะภาพที่จะเกิดขึ้ น 1

1

𝑓𝑓

𝑓𝑓

1 + 𝑎𝑎 𝑏𝑏

=

1 + 2𝑎𝑎 𝑠𝑠′

=

แทน

1

1

1

𝑓𝑓

สมการ1ในสมการ2

จะได้ 𝑎𝑎1 + 𝑏𝑏1 - 2𝑎𝑎1 = 𝑠𝑠′1 ได้ s’= 2𝑎𝑎𝑎𝑎 𝑎𝑎+𝑏𝑏

2𝑎𝑎𝑎𝑎 ดังนั้นจะได้ระยะภาพใหม่คือ 𝑎𝑎+𝑏𝑏

สมการ 1

สมการ 2


ตย. 2

หากผูส้ งั เกตมองเห็นวัตถุใกล้ที่สุดคือ 60 เซนติเมตร จะต้องทําอย่างไร เพื่อให้สามารถ มองเห็นวัตถุได้ใกล้ที่สุดเป็ นระยะ 25 เซนติเมตร

จาก 𝑓𝑓1 1

𝑓𝑓

=

1

=

1

25

-

1

50

50

ได้ f=50

จะได้เลนส์นูน: D =

1

𝑓𝑓

=

ดังนั้นสายตายาว +200

1

0.05

=2


ตย.3

จงหาความยาวโฟกัสรวมของเลนส์ท้งั สอง

จากสูตร 1

𝑓𝑓รวม 1

𝑓𝑓รวม 1

𝑓𝑓รวม

= =

1

𝑓𝑓1 1

−5

= -

+

+ 1

10

จะได้ f=-10

1

𝑓𝑓2 1

10


ตย.4 เลนส์นูนมีความยาวโฟกัส 40 เซนติเมตร และมีเลนส์เว้าความยาวโฟกัส 40 เซนติเมตร วางอยูใ่ นแนวเส้นตรงเดียวกันและห่างกัน 60 เซนติเมตร ดังรูป วางวัตถุไว้หน้า เลนส์นูนเป็ นระยะ 80 เซนติเมตร จงหาระยะ๓พที่เกิดครั้งสุดท้าย ห่างจากเลนส์เว้า

1

1

= +

𝑓𝑓

𝑠𝑠

1

40 1

𝑠𝑠′

=

=

1

80 1

80

1

𝑠𝑠′

+

1

𝑠𝑠′

s’ = 80 เซนติเมตร หลังเลนส์นูน ซึ่งก็คือ หลังเลนส์เว้า 20 เซนติเมตร

ดังนั้น s ของเลนส์เว้าคือ -20 เซนติเมตร 1

1

𝑓𝑓รวม

= +

−40

−20

1

=

𝑠𝑠

1

1

𝑠𝑠′

+

1

𝑠𝑠′

จะได้ s’ คือ 40 เซนติเมตร ห่างจากเลนส์เว้า


กระจก ตย1ชายคนหนึ่ งสูง 180 เซนติเมตร ยืนอยูห่ น้ากระจกเงาราบซึ่งตั้งอยูใ่ นแนวดิ่ง ถ้าสายตา ของชายคนนี้ อยูส่ ูงจากพื้ น 165 เซนติเมตร จงหา ก. จงหาความยาวกระจกที่นอ้ ยที่สุดที่ยงั มองเหนตังเองได้ท้งั ตัว ข. ขอบบนและขอบล่างของกระจกเงาราบควรอยูส่ ูงจากพื้ นเท่าใด วิธีทาํ

ก จาก 𝑦𝑦𝑥𝑥 = 180 2𝑥𝑥

2xy = 180x 2y = 180 Y=90

ดังนั้นความยาวกระจกที่นอ้ ยที่สุดคือ 90 เซนติเมตร ข จาก 𝐻𝐻𝑥𝑥 = 165 2𝑥𝑥 2Hx = 165x ได้ H = 82.5

ดังนั้นขอบบนและขอบล่างของกระจกเงาราบควนอยูส่ ูงจากพื้ น 82.5 เซนติเมตร


ตย.2 ดินสอดํายาว 30 เซนติเมตร วางไว้ตามแนวแกนหน้ากระจกเว้าซึ่งมีรศั มีความโค้ง 60 เซนติเมตร โดยให้ปลายใกล้อยูท ่ ี่จุดศูนย์กลางความโค้งของกระจก ภาพที่เกิดขึ้ นจะมี ความยาวเท่าใด

เนื่ องจากดินสอมีความยาวดังนั้นเราจึงต้องคิดตําแหน่ งของหัวดินสอและท้ายดินสอ หัวดินสอ : จาก 𝑅𝑅2 = 1𝑠𝑠 + 𝑠𝑠′1 2

ได้

60 1

60

=

=

1

60

1

𝑠𝑠′

+

1

𝑠𝑠′

𝑠𝑠′ = 60

ท้ายดินสอ: จาก 𝑐𝑐 = 1𝑠𝑠 + 𝑠𝑠′1 ได้

2

60

= 2

90

1

90

=

+

1

1

𝑠𝑠′

𝑠𝑠′

S’ = 45

ดังนั้นความยาวดินสอจะยาว 60-45=15 เซนติเมตร


ตย3 จากรูปถ้าต้องการเห็นต้นไม้เต็มต้นต้องใช้กระจกยาวความยาวอย่างน้อยเท่าไร

จะได้ 𝑦𝑦 3

=

2 8

ได้ y = 0.75

ดังนั้นต้องใช้กระจกยาวความยาวอย่างน้อย 0.75 เมตร


บทที่ 2 ไฟฟ้ า

ตย.1 ถ้าหากเรานําหลอดไฟ a ขนาด 50w 20v ไปต่อกับแหล่งกําเนิ ด E=10v และ 40v ตามลําดับ หลอดจะเป็ นอย่างไร

แหล่งกําเนิ ด40v : เนื่ องจาก หลอดสามารถทนกระแสได้สูงสุดได้ แค่20v ดังนั้นเมื่อต่อกับ แหล่งกําเนิ ด 40 v หลอดจะขาด 2

แหล่งกําเนิ ด10v : จาก Rหลอด = 𝑣𝑣𝑝𝑝 จะได้

จาก จะได้

P =

=

202

𝑣𝑣 2

p =

𝑅𝑅

50

100 8

= 8Ω

= 12.5 วัตต์

50 ดังนั้นหลอดไฟจะสว่างน้อยลง 12.5 = 4เท่า


ตย.2 จงหา R ที่ทาํ ให้หลอดสว่างปกติ

จาก

P=

𝑣𝑣 2

50 =

จาก ได้

𝑅𝑅

202 𝑅𝑅

R=8Ω

E = I(R+r)

30 = 2.5(R+6) R = 4.2

P = IV

50 = I(20)

Iที่ทนได้ คือ 2.5 A


ตย.3จงหาอัตราความร้อนของหลอด a,b ที่ต่อขนานกันว่าป็ นอย่างไร

อัตราความร้อน

กําลังไฟฟ้ า

เนื่ องจากขดลวดต่อขนานกันดังนั้น P α 𝑅𝑅1 𝜌𝜌(𝑙𝑙) จะได้ Ra = 𝜌𝜌(2𝑙𝑙) = 2𝐴𝐴 𝐴𝐴

1 𝜌𝜌(𝑙𝑙) จะได้ Rb = 𝜌𝜌(𝑙𝑙) = ( ) 3𝐴𝐴 3 𝐴𝐴

ดังนั้น Pb จึงมากกว่า Pa


ตย.4 จงพิจารณาว่า หากเราปิ ดสวิตซ์ S ลง จะทําให้หลอด A B เป็ นอย่างไร

เปิ ดสวิตซ์ S ขึ้ น จะได้

ปิ ดสวิตซ์ S ลง จะได้

I2 =

𝑅𝑅

E = (I1) 2

I1 =

2𝐸𝐸 𝑅𝑅

𝑅𝑅

E = (I2) 3𝐸𝐸 𝑅𝑅

3


ตย.5 จงหากําลังไฟฟ้ าบน 4 Ω

จาก Rรวมได้ 6 Ω

E = I(R + r)

6 = I(2+0) I=3

ดังนั้นกระแสรวมทั้งวงจรคือ 3 A โดยกระแสจะแบ่งไหล โดยไหลไปทาง 3 Ω เป็ น2ส่วนและ ไหลไปทาง 2 Ω และ 4Ω เป็ น1ส่วน จะได้สมการ เป็ น

2x+x = 3

X=1

ดังนั้นกระแสที่ไหลผ่าน4Ωคือ 1A จาก

P = 𝐼𝐼 2 R

P = 4 วัตต์

ดังนั้นกําลังไฟฟ้ าบนตัวต้านทาน 4Ω คือ 4 วัตต์


ตย. 6 จงหาว่าโวลต์มิเตอร์อ่านค่าได้เท่าไร

จาก

E = I(R + r)

6 = I(4+6+1+1)

จาก

I = 0.5A

V = IR

= 0.5

ดังนั้นโวลต์มิเตอร์จึงอ่านค่าได้

0.5 V


ตย. 7 จงหาค่าประจุไฟฟ้ ารวม

จาก

Q = CV

= 2(12)

= 24 ไมโครคูลอมป์


ตย.8 จงหากระแสไฟฟ้ า I1 และ I2

จาก

𝐸𝐸1

จะได้

60

จาก

𝐸𝐸2

𝐸𝐸2

=

=

𝑁𝑁1 𝑁𝑁2 4 1

E2 = 15

E2 = I2 R

15 = I2(10)

จาก

I2 = 1.5A

Pปฐมภูมิ = Pทุติยภูมิ 60 (I1) = 15(1.5)

I1 = 0.375 A


บทที่ 3 สมบัติสสาร ความร้อน

ตย1 กาต้มนํ้าขนาด 500วัตต์ 220 โวลต์ ต้มนํ้าจํานวน 0.5 ลิตร ที่ อุณหภูมิ 25 c จงหาว่า นํ้าจะเดือดภายในกี่นาที 80

100

ของพลังงานไฟฟ้ า = พลังความร้อน

0.8(P)(t)

0.8(500)(t)

= mc t

= 500(4.2)(75)

จะได้ t ประมาณ 6.56 นาที

ตย2 นํ้าแข็ง 80 กรัม อัณหภูมิ 0 c ผสมกับนํ้าร้อน 200ทกรัม อุณหภูมิ 80 c จงหา อุณหภูมิผสม Qtสูงคาย = Qtตํา่ ได้รบ ั

ml+ mc t = mc t

80(80)+80(0.5)(x) = 200(1)(80-x) X = 34.29

ดังนั้นอุณหภูมิผสมคือ 34.29 c


แรงลอยตัว ตย.1

จากรูป A,B,C เป็ นกระดาษที่มีมวลเท่ากัน แต่ขนาดต่างกัน ถ้าเอาด้ายเจาะผูกตรงกลาง แผ่นกระดาษ ซึ่งวางแนบอยูก่ บั พื้ นโต๊ะ แล้วดึงด้ายเพื่อยกกระดาษขึ้ นจากพื้ นโต๊ะ จะอกแรง ดึงกระดาษแผ่นใดมากกว่า เพราะอะไร จาก P=

𝐹𝐹

𝐴𝐴

F= PA

จะได้ F แปรผันโดยตรงกับ A

ดังนั้นจะได้วา่ แผ่น C ออกแรงดึงมากกว่า เพราะแปรผันตรงกับพื้ นที่ ตย.2

ตาชัง่ สปริงชํารุดอันหนึ่ ง เอาตุม้ นํ้าหนักที่มี ถ.พ.8นํ้าหนัก8กิโลกรัม ไปชัง่ จะอ่านได้เพียง 6 กิโลกรัม ถามว่า ถ้าเอาลูกตุม้ ไปชัง่ ในนํ้า จะอ่านตาชัง่ ได้เท่าใด ในอากาศ ถ.พ.วัตถุจมนํ้า =นํนํ้ า้ าหนัหนักกวัวัตตถุถุทชี่หงั ่ ายไปในนํ ้า

=

8 8

=1

จะอ่านตาชัง่ ได้ 6-1=5 kg


ตย.3

มีน้ําในบีกเกอร์ระดับนํ้าบนสุดอยูท่ ี่ 30 ลุกบาศก์เซนติเมตร นําวัตถุกอ้ นหนึ่ งจุม่ ลงในนํ้ามิด จนทําให้ระดับนํ้าบนสุดอยูท่ ี่50ลูกบาศก์เซนติเมตรและชัง่ นํ้าหนักวัตถุในนํ้าได้หนัก40กรัม จงหาความหนาแน่ นของวัตถุกอ้ นนี้ จาก M=DV

โดย M คือ มวล

D คือความหนาแน่ น

และ V คือปริมาตร

แทนค่าในสูตร 40=(Dสาร-Dเหลว)20 40=(Dสาร-1)20

60=20Dสาร

Dสาร =3 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร


ตย.4

อ่างนํ้าเต็มขนาด 20x20x40 cm3 vลอย=1/5vวัตถุ แล้ว Dวัตถุ=? โดย D คือความหนาแน่ น และ V คือปริมาตร จากสูตร

แทนค่า

vจม

vวัตถุ 4 5

1

=

𝐷𝐷วัตภุ

× = 1

Dวัตถุ Dเหลว

1

D วัตถุ = 0.8 𝑔𝑔/𝑐𝑐𝑐𝑐3


บทที่ 4 กลศาสตร์ ∑F = 0

จากรูป เมื่อไม่คิดแรงเสียดทานระหว่างมวลกับพื้ น ข้อใดถูกต้อง

M1

M2

F = 10 N

1.แรงดึงในเส้นเชือกระหว่างมวล m1 และ m2มีค่าน้อยกว่า F

2.เมื่อมวล m1 มากกว่า m2 แรงดึงในเส้นเชือกระหว่างมวลมีค่ามากกว่าแรง F 3.เมื่อมวล m1 น้อยกว่า m2แรงดึงในเส้นเชือกระหว่างมวลมีค่ามากกว่าแรง F 4.แรงดึงในเส้นเชือกระหว่าง m1และ m2 มีคา่ มากกว่า F

ตอบ ข้อ 1 เพราะ วัตถุท้งั สองเคลื่อนที่ไปพร้อมกัน มี a ที่เท่ากัน แต่แรงดึงในเส้นเชือก ระหว่างมวล m1 และ m2 จะคิดแค่ มวลก้อนเดียว


∑F = ma

วัตถุ2ก้อนถูกแรงมีค่า100 กระทําต่อระบบ ดังรูป จงหาว่าแรงตึงเชือก ธ ระหว่างวัตถุเป็ น เท่าใด วิธีทาํ

จากสูตร

∑F = ma

100 = (2+8)a

จากสูตร

a = 10 m/𝑠𝑠 2 ∑F = ma

T = ma

T = (2)(10) = 20N

2kg

8 kg

F = 100 N


แรงเสียดทาน วัตถุกอ้ นหนึ่ งมวล 1 กิโลกรัม ถูกดันติดกับกําแพงซึ่งอยูใ่ นแนวดิ่ง ด้วยแรง F ดังรูปข้างล่าง นี้ ถ้าสัมประสิทธิ์ความเสียดทานระหว่างวัตถุกบั พื้ นกําแพงมีค่า 0.1 จงหาขนาดของ F ที่ทาํ ให้วตั ถุเคลื่อนที่ลงด้วยความเร่ง 1 เมตร/วินาที2 วิธีทาํ

จาก

∑F = ma

mg – F = ma

m

F

2(10) – f = 2(1) F = 18

คาน โลหะขนาดสมํา่ เสมอยาว 2 เมตร หนัก 500 N วางอยูบ่ นโต๊ะ มีปลายด้านหนึ่ งยืน่ พื้ นโต๊ะ ออกมา 25 เซนติเมตร จงหาแรงF มากที่สุดที่ทาํ ให้ท่อนโลหะยังไม่กระดกบนขอบโต๊ะกี่นิว ตัน วิธีทาํ

500(75) = 25(F) F = 1500 N

F


รอก วัตถุมีมวล 100 กิโลกรัม และคนที่เกาะเชือกอยูม่ ีมวล 80 กิโลกรัม ถ้าต้องการดึงมวลให้อยู่ นิ่ ง เขาจะต้องไต่ขึ้นหรือลงไปตามเชือกอย่างไร วิธีทาํ

จาก

∑F = ma

1000 – 800 = 80(a)

a = 2.5 m/𝑠𝑠 2

ต้องไต่ขึ้นด้วยตวามเร่ง 2.5 m/𝑠𝑠 2

100 kg

พื้ นเอียง เข็นถังหนัก 200 นิ วตัน ขึ้ นพื้ นเอียง ยาว 10 เมตร สูง 4 เมตร ต้องออกแรงทํางานอย่าง น้อยเท่าใด ถ้าพื้ นเอียงมีประสิทธิภาพ 80 % วิธีทาํ

ให้ X คือ แรงทํางานอย่างน้อย 10 m 80

100

(200)(4) = (X)(10)

X = 1000 จูล

4m


งานและพลังงาน ตย 1

เด็กชายอํานาจแบกกล่องหนังสือหนัก 100 นิ วตัน เดินขึ้ นบันไดจาก a ถึง b จํานวน 10 ขั้น สูงขั้นละ 25 เซนติเมตร แล้วเดินไปตามพื้ นห้องในแนวระดับจาก b ถึง c อีก 5 เมตร เขา ทํางานทั้งสิ้ นกี่จลู

หาระยะ ab = จํานวนบันได × ความสูงแต่ละข้น = 10×0.25 =2.5 m.

งานทั้งหมดที่เขาทํา = แรง×ระยะกระจัดตามแนวแรง = 100×2.5

= 250 J

หมายเหตุ ไม่คิดงานในการเดินไปตามพื้ นห้องในแนวระดับ เนื่ องจากแรงตั้งฉากกับการ กระจัดตามแนวแรง


ตย 2

ปั้ นจัน่ เครื่องหนึ่ งมีกาํ ลัง10กําลังม้า หากใช้ป้ั นจัน่ นี้ ยกถังรูปลูกบาศก์ที่มีความยาวด้านละ1 เมตรและมีมวล492กิโลกรัม ซึ่งภายในบรรจุน้ําเต็มถัง จงหาว่าต้องใช้เวลาเท่าใดในการยก ถังด้วยความเร็วคงที่ขึ้นไปที่ความสูง10เมตร

กําหนดให้ 1กําลังม้า เท่ากับ 746 วัตต์ ความหนาแน่ นของนํ้าเท่ากับ1กรัมต่อลูกบาศก์ เซนติเมตร จาก นํ้า 1 ลูกบาศก์เมตร มีมวล=1000 kg หนัก 10000N ปั้ นจัน่ หนัก 492×10 = 4920 N ปั้ นจัน่ +นํ้า = 14920 N จาก P=

FS T

14920×10

7460 =

T = 20

T


การเคลื่อนที่ ตย1 กราฟความสัมพันธ์ระหว่างอัตราเร่ง (v) กับเวลา (t) ในข้ อใดแทนการปล่อยวัตถุให้ ตกอย่างอิสระ ในสุญญากาศภายใต้ แรงโน้ มถ่วง 1. 3.

t

t

2.

v

4.

v

t

t

ตอบ ข้อ 1 เพราะ กราฟ v-t ของการตกอิสระ คือ ความเร่ง g และเป็ นกราฟเส้นตรง

ตย2. ถ้ าขว้ างวัตถุจากหน้ าผาออกไปในแนวระดับ ถามว่าประมาณใดของวัตถุมีคา่ คงที่ 1. อัตราเร็ ว 2. ความเร็ ว 3. ความเร็ วในแนวดิง่ 4. ความเร็ วในแนวระดับ ตอบ ข้ อ 4 เพราะ ในการเคลื่อนที่แบบโปรเจคไตล์ จะมีความเร็วในแนวระดับคงที่ แต่ความเร็ วในแนวดิง่ จะไม่คงที่ ตย.3 นายภูมิขบั รถยนต์ที่เริ่ มเคลื่อนที่จากหยุดนิ่ง โดยอัตราเร็วเพิ่มขึ ้น 3 เมตร/วินาที ทุก ๆ 1 วินาที ถาม ว่าเมื่อสิ ้นวินาทีที่ 7 รถจะมีอตั ราเร็ วเท่าใด 1. 7 𝑚𝑚⁄𝑠𝑠

ตอบข้ อ 3 จาก

a=

3=

𝑣𝑣−𝑢𝑢 𝑡𝑡

𝑣𝑣−0 7

V = 21 จะได้ อัตร เร็ วคือ 21𝑚𝑚⁄𝑠𝑠

2. 14 𝑚𝑚⁄𝑠𝑠

3. 21 𝑚𝑚⁄𝑠𝑠

4. 28 𝑚𝑚⁄𝑠𝑠


5. h

จากรูป ถ้ าไม่คิดแรงต้ านอากาศ และแรง เสียดทานบนพื ้นเอียง จงเปรี ยบเทียบ ความเร็ วขณะกระทบพื ้นของวัตถุทงสาม ั้

. A B C ตอบ เท่ากันทุกอัน เนื่องจาก กฎอนุรักษ์พลังงาน วัตถุทงั ้ 3 มีมวลเท่ากัน อยูท่ ี่ตําแหน่งเดียวกัน และอยูใ่ น สภาวะแรงโน้ มถ่วงที่เท่ากัน ( คิด B ตอนที่ B อยูท่ ี่ตําแหน่งสูงสุดแล้ วซึง่ มีความเร็ วเป็ น 0 เมตรต่อวินาที )


โจทย์เพิ่มเติม

1. กระจกในข้อใดที่ทาํ ให้เกิดภาพเสมือนมีขนาดใหญ่กว่าวัตถุ และกระจก ใดให้ภาพเสมือน หัวตั้ง ขนาดเท่าวัตถุ ตามลําดับ 1.กระจกเว้า กระจกเงาระนาบ 2.กระจกน่ า กระจกเงาระนาบ 3.กระจกเว้า กระจกนู น 4.1 และ 2 2.นําวัตถุวางห่างจากกระจกโค้งบานหนึ่ งปรากฏว่าได้ภาพขนาดขยาย 4 เท่า ถ้าเลื่อนวัตถุให้ออกห่างจากเดิม 10 cm จะได้ภาพขนาดขยาย 4 เท่า อีกครั้งหนึ่ ง จงหาความยาวโฟกัสของกระจกโค้งนี้ และระยะห่างระหว่าง ภาพที่เกิดทั้ง 2 ครั้ง 3.จงพิจารณาว่าข้อความใดไม่ถูกต้อง 1.คลื่นตามยาวเป็ นคลื่นที่อนุ ภาคของตัวกลางสัน่ ตามแนวทิศทางการ เคลื่อนที่ของคลื่น 2.คลื่นตามขวางเป็ นคลื่นที่อนุ ภาคของตัวกลางสัน่ ตามแนวติดตั้งได้ต้งั ฉาก กับการเคลื่อนที่ของคลื่น 3. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าไม่จาํ เป็ นต้องอาศัยตัวกลางในการเคลื่อนที่ แต่ก็ จัดเป็ นคลื่นตามขวาง 4. ในตัวกลางอันเดียวกัน อนุ ภาคของตัวกลางจะสัน่ ในทิศตั้งฉากหรือ ขนานกับการเคลื่อนที่ของคลื่น ได้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ งเท่านั้น


4.นาย เก่ง ซื้ อเลนส์นูน ซึ่งทางผูข้ ายไม่สามารถบอกค่าความยาวโฟกัสของ เลนส์นูนนั้นได้ จึงนํามาทดลองเพื่อคํานวณหาค่าความยาวโฟกัสของเลนส์ นู นนั้น เขาพบว่า ถ้าวางเลนส์นูน ให้จุดกึ่งกลางห่างจากจอภาพ40 cm ต้องเลื่อนวัตถุซึ่งอยูห่ น้าเลนส์ไปมา จนกระทัง่ วัตถุอยูห่ า่ งจากผิวบริเวณตรง บริเวณหนาสุดของเลนส์ 10 cm จึงจะได้ภาพบนจอชัดเจนที่สุด ถ้าบริเวณ หนาสุดของเลนส์หนา 1 cm เขาจะคํานวณได้วา่ เลนส์นูนมีความยาวโฟกัสกี่ เซนติเมตร 1.6.38 2.6.83 3.8.32 4.8.63 5. นเย พี วางวัตถุหา่ งจากฉาก 90 cm แล้วนําเลนส์นูนอันหนึ่ งเลื่อนไป เลื่อนมาระหว่างวัตถุกบั ฉาก พบว่าเมื่อวางเลนส์หา่ งจากวัตถุ 30 cm จะเกิด ภาพคมชัดบนฉาก ถ้าเขาวางวัตถุหา่ งฉาก 70 cm แล้วเลื่อนเลนส์ระหว่าง วัตถุกบั ฉาก จะให้ผลดังข้อใด ก.ได้ตาํ แหน่ งที่วางเลนส์นูนแล้วได้ภาพบนฉากเล็กกว่าวัตถุ ข.ได้ตาํ แหน่ งที่วางเลนส์นูนแล้วได้ภาพบนฉากโตกว่าวัตถุ ค. ไม่พบตําแหน่ งที่วางเลนส์นูนแล้วเกิดภาพบนฉาก 1.ข้อ ก 2.ข้อ ข 3.ข้อ ค 4.ข้อ ก และ ข 6.กล้องถ่ายรูปอันหนึ่ ง มีระยะเลื่อนของเลนส์เข้า-ออกได้ 1 cm ถ้า กล้องนี้ ใช้ถ่ายรูปได้ไกลสุดที่ระยะอนันต์และใกล้สุดที่ระยะ 30 cm จงหาค่าความ ยาวโฟกัสของเลนส์ที่ใช้ 1.5 cm 2.6 cm 3.10 cm 4.30 cm


7.จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้ ก.แว่นขยายต้องทําจากเลนส์นูน ถ้าระยะภาพอยูท่ ี่ระยะใกล้สุดที่ตาคนปกติ จะเห็นได้ เลนส์นูนที่มีความยาวโฟกัสยาวจะให้กาํ ลังขยายมากกว่าเลนส์ นู นที่มีความยาวโฟกัสสั้น ข. กล้องโทรทรรศน์ชนิ ดหักเหแสงอย่างง่าย เลนส์วตั ถุจะมีความยาวโฟกัส มากกว่าเลนส์ตา ค. กล้องจุลทรรศน์ เลนส์ตาจะมีความยาวโฟกัสมากกว่าเลนส์วตั ถุ และภาพ สุดท้ายจะเป็ นภาพเสมือน ขนาดขยายหัวตั้งเหมือนวัตถุเดิม ง. ระยะห่างระหว่างเลนส์นูนของกล้องถ่ายรูปกับฟิ ล์ม ประมาณความยาว โฟกัสของเลนส์นูนที่ใช้ จ. คนสายตาสั้นต้องสวมแว่นทําจากเลนส์เว้าที่มีความยาวโฟกัสเท่ากับ ระยะไกลสุดที่มองเห็นชัดก่อนสวมแว่น คําตอบที่ถูกต้อง มีกี่ขอ้ 1.2 ข้อ 2.3ข้อ 3.4ข้อ 4.5ข้อ 8. เด็กหญิงซินดี้ มีเลนส์อยูอ่ นั หนึ่ ง เมื่อวางเทียนไขหน้าเลนส์เป็ นระยะ 40 cm จะมองเห็นภาพอยูห่ น้าเลนส์เช่นเดียวกับเทียนไข แต่ภาพมีขนาดเพียง 3/4 เท่าของของจริง อยากทราบว่าเลนส์อนั นี้ เป็ นเลนส์ชนิ ดใดและมีความ ยาวโฟกัสเท่าไร 1.เลนส์นูน f = 130 cm 2.เลนส์เว้า f = 120 cm 3.เลนส์นูน f = 110 cm 4.เลนส์เว้า f = 110 cm


9. ลําแสงขนานมากระทบกับเลนส์นูน x ซึ่งมีความยาวโฟกัส 0.2 เมตร ถ้า ลําแสงออกจากเลนส์นูนแล้วมากระทบเลนส์เว้า y ทําให้เกิดเป็ นลําแสง ขนานที่ออกจากเลนส์เว้า y ซึ่งมีความยาวโฟกัส 0.15 เมตร เลนส์เว้า y จะต้องวางห่างจากเลนส์นูน x เท่าใด 1.0.050 m 2.0.200 m 3.0.175 m 4. 0.10 m 10.น้องกานนํานํ้าเดือดจํานวน 0.2 กิโลกรัม รินลงไปในท่อทองแดงมวล 2 กิโลกรัม และมีอุณหภูมิเริ่มต้นเป็ น 18 องศาเซลเซียส (◦C) หลังจากถ่ายเท ปริมาณความร้อนแล้วปรากฏว่าอุณหภูมิของนํ้าลดลงเป็ น 60 องศา เซลเซียส (◦C) จงหาความจุความร้อนของท่อทองแดง 1. 400 J/◦C 2. 600 J/◦C 3. 800 J/◦C 4. 1000 J/◦C 11. โลหะก้อนหนึ่ งมีมวล 0.5 กิโลกรัม มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้ นในอัตรา 1 องศา เซลเซียสต่อวินาที(◦C/S) โดยใช้เครื่องทําความร้อนขนาด 200 วัตต์ (W) สมมุติวา่ ความร้อนไม่มีการสูญเสียให้แก่สิ่งแวดล้อม จงหาความจุความร้อน ของโลหะก้อนนี้ 1. 200 J/kg•K 2. 300 J/kg•K 3. 400 J/kg•K 4. 500 J/kg•K


อุณหภูมิ (◦C) A 80

12.

20

ถ้าทําให้ของเหลวชนิ ดหนึ่ งเกิดการเปลี่ยนแปลง อุณหภูมิจาก A ไปยังอุณหภูมิ 20 ◦C ปรากฏว่าสาร เกิดการคายความร้อนเป็ น 24,000 จูล จงหา อุณหภูมิเริ่มต้นของสารที่จุด A กําหนดให้ค่าคงที่ความจุความร้อนต่างๆ เป็ นดังนี้ Cของเหลว = 2 J/g•K , lเยือกแข็ง = 100 J/g พลังงานความร้ อน (J)

มวลของสารที่ใช้ 100 กรัม

1. 100 ◦C 2. 200 ◦C 3. 150 ◦C 4. 180 ◦C

13. เมื่อต้มนํ้า 200 กรัม อุณหภูมิ 40 ◦C ให้เดือดกลายเป็ นไอ อยาก ทราบว่าจะต้องใช้พลังงาน ความร้อนทั้งหมดเท่าใด ถ้าปรากฏว่ายังมีน้ํา เหลืออยู่ 50 กรัมที่ 100 ◦C 1. 390,600 จูล 2.386,000 จูล


3.340,200 จูล 4.93,000 จูล 14.สาร ก คือนํ้าแข็งที่อุณหภูมิ 0 ◦C มวล 200 กรัม สาร ข คือ นํ้า อุณหภูมิ 10 ◦C มวล 400 กรัม สาร ค คือ นํ้าอุณหภูมิ 90 ◦C มวล 300 กรัม ผสม สาร ก ข ค เข้าด้วยกัน อุณหภูมิผสมมีค่ากี่องศาเซลเซียส 1. 8.4 2. 16.7 3. 23.5 4. 30.0 15.ทุ่นลอยนํ้ารูปสี่เหลี่ยมยาว 4 เมตร กว้าง 2 เมตร มีมวล 12 ตัน ลอย อยูใ่ นนํ้าทะเลที่สภาวะสมดุล ซึ่งนํ้าทะเลมีความถ่วงจําเพาะ 1.03 จง คํานวณหาส่วนที่จมนํ้า (d) ให้ความหนาแน่ นของนํ้าเท่ากับ 1,000 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และค่าความเร่งเนื่ องจากแรงโน้มถ่วงโลก (g) เท่ากับ 10 เมตรต่อวินาที2 2m ผิวของเหลว d

1. d = 1.15 เมตร 2. d = 1.25 เมตร 3. d = 1.45 เมตร 4. d = 1.55 เมตร


16.ทรงกระบอกโลหะมวล 80 กิโลกรัม ยาว 2 เมตร ปลายแต่ละข้างมี พื้ นที่หน้าตัดเป็ น 25 ตารางเซนติเมตร วางตั้งในแนวดิ่งบนปลายด้านหนึ่ ง จงคํานวณหาความดันที่ทรงกระบอกกระทําต่อพื้ นที่มีค่าเป็ นกี่กิโลนิ วตันต่อ ตารางเมตร (กําหนดให้ g = 9.8 เมตรต่อวินาที2) 1.31.4 2.314 3.140 4.130 17.ไม้กอ๊ กลอยนํ้าในการหาความหาความหนาแน่ นจึงวางแผนการทดลอง ดังรูป โดยตาชัง่ สปริงอ่านค่าได้0.75 นิ วตันและปริมาตรไม้กอ๊ ก 0.0001 ลูกบาศก์เมตร จงคํานวณหาความหนาแน่ นไม้ก๊อก 1.150 kg/m3 2.200 kg/m3 3.250 kg/m3 4.300 kg/m3 18. วัตถุหนึ่ งเมื่อชัง่ ในอากาศจะหนัก 80 g. แต่หากนําไปชัง่ ในนํ้าจะหนัก 50 g. ถ้านําวัตถุนี้ไปชัง่ ในของเหลวที่มีความถ่วงจําเพาะ 1.2 จะหนักกี่กรัม 1.38 g. 2.40 g. 3.44 g. 4.46 g.


19. กราฟแสดงความเร็วกับเวลาของการเคลื่อนที่ของวัตถุในแนวตรง

พิจารณาขอความต่อไปนี้ ก. เมื่อเวลาผ่านไป 8 วินาที วัตถุจะเคลื่อนที่เป็ นระยะทาง 16 เมตร ข. ความเร็วเฉลี่ยในช่วง 8 วินาที คือ 0.5 เมตรต่อวินาที ค. วัตถุเคลื่อนที่กลับทิศทางที่วินาทีที่ 2 ข้อใดถูกต้อง 1. ก และ ข ข้อ

2. ก และ ค

3. ข และ ค

4. ถูกทุก


20. ปื นใหญ่ กและ ขมีลกั ษณะเหมือนกันทุกประการวางอยูบ่ นพื้ นราบ โดย มุมที่ปากกระบอกปื นใหญ่ท้งั สองทํามุมกันอยูร่ ะหว่าง 0o – 90oถ้ามุมที่ ปากกระบอกปื นใหญ่ กทํากับแนวราบนั้นมากกว่าปื นใหญ่ ขและเริ่มยิงปื น ทั้งสองพร้อมๆ กัน ข้อใดสรุปไม่ถูกต้อง 1. กระสุนปื นใหญ่ กตกไกลจากตัวปื นในแนวราบมากกว่ากระสุนปื นใหญ่ ข 2. อัตราเร็วของกระสุนปื นใหญ่ท้งั สองขณะก่อนชนพื้ นดินมีค่าเท่ากัน 3. ในขณะที่กระสุนปื นใหญ่อยูส่ ูงสุดจากพื้ นดิน ความเร็วของกระสุนปื น ใหญ่ กจะน้อยกว่ากระสุนปื นใหญ่ ข 4. กระสุนปื นใหญ่ กจะตกถึงพื้ นช้ากว่ากระสุนปื นใหญ่ ข

21. วัตถุเคลื่อนที่เป็ นวงกลมในแนวระดับด้วยอัตราเร็วคงที่ จงพิจารณา ข้อความต่อไปนี้ ก. วัตถุจะมีความเร่งเข้าหาจุดศูนย์กลางตลอดเวลา ข. แรงลัพธ์จะต้องไม่เป็ นศูนย์ และมีทิศขนานกับความเร็ว v ค. ความเร่งกับความเร็วมีทิศทางเดียวกัน ง. วัตถุอยูใ่ นสภาพสมดุล ข้อใดถูกต้อง 1. ก และ ข

2. ค และ ง

3. ก เท่านั้น

4. ก,ข,ค


22. พิจารณาข้อความดังต่อไปนี้ ก. วัตถุเคลื่อนที่เป็ นวงกลมด้วยอัตราเร็วคงที่ จะพบว่า ทิศของความเร่งจะ ตั้งฉากกับทิศของความเร็ว และความเร่งนี้ จะตั้งฉากกับแรงลัพธ์บนวัตถุนี้ ข. วัตถุที่แกว่งเป็ นวงกลมระนาบดิ่งด้วยแรงเชือก งานของแรงตึงเชือกมีค่า เท่ากับศูนย์ ค. งานของนํ้าหนักของวัตถุที่กาํ ลังเคลื่อนที่ขึ้นในแนวดิ่ง จะมีค่าเป็ นลบ ง. รถยนต์เลี้ ยวโค้งด้วยอัตราเร็วคงที่ ความเร่งจะมีค่าเท่ากับศูนย์ ข้อใดถูกต้อง 1. ก, ข และ ค ถูกทุกข้อ

2. ข, ค และ ง

3. ข และ ค

4.

23.ในขณะหนึ่ งเครื่องบินลําหนึ่ งอยูต่ รงตําแหน่ งของระบบแกน x-y เป็ น (x,y)=(100,-400) โดยมีหน่ วยเป็ นกิโลเมตร เมื่อเวลาผ่านไป 1 ชัว่ โมง ตําแหน่ งของเครื่องบินลํานี้ จะอยูต่ รงตําแหน่ ง (500,100)ความเร็วเฉลี่ย ของเครื่องบินลํานี้ จะมีขนาดกี่กิโลเมตร/ชัว่ โมง 1.770 2.500 3.510 4.640


24.การเคลื่อนที่ของวัตถุในข้อใดไม่มีความเร่ง 1 ขับรถยนต์เลี้ ยวโค้งตามเส้นทางคดเคี้ ยวด้วยอัตราเร็วสมํา่ เสมอ 2 นักโดดร่มเคลื่อนที่ดว้ ยความเร็วคงที่ใกล้ ๆ กับผิวโลก 3 แกว่งวัตถุผูกเชือกกลับไปมาด้วยคาบคงที่ 4 รถไฟฟ้ ากําลังเคลื่อนที่ดว้ ยความเร็วลดลงอย่างสมํา่ เสมอ ข้อใดถูกต้อง 1.ข้อ 1, 2 2.ข้อ 2 เท่านั้น 3.ข้อ 3, 4 4.ข้อ 1, 3, 4 25.ปาวัตถุจากพื้ นดินขึ้ นไปในแนวดิ่ง ปรากฏว่าวัตถุผ่านหลังคาตึกเมื่อ เวลาผ่านไป 1 และ 2 วินาที ตามลําดับ จงหาว่าตึกนั้นสูงกี่เมตร กําหนดให้ g=10 m/s^2 1.5

2.10

3.15

4.20

26.นํ้าหยดลงมาจากก๊อกนํ้าซึ่งสูงจากพื้ น h อย่างสมํา่ เสมอ ถ้าในขณะที่น้ํา หยดที่ 5 กําลังเริ่มตกลง นํ้าหยดแรกก็ตกถึงพื้ นพอดี ขณะนั้นนํ้าหยดที่ 2 และ หยดที่ 3 อยูห่ า่ งกันเท่าไหร่ 1. h/16

2.3h/16

3.5h/16 4.7h/16


27.จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้ ว่ามีขอ้ ถูกกี่ขอ้ ก.ถ้ามีอนุ ภาค 2 อนุ ภาคกําลังเคลื่อนที่เข้าหากันด้วยอัตราเร็ว 3 m/s และ 4 m/s ตามลําดับ โดยมีแนวการเคลื่อนที่เป็ นเส้นตรงในทิศตรงข้ามกัน พบว่า 3 วินาที ก่อนที่วตั ถุจะชนกันวัตถุท้งั สองห่างกัน เท่ากับ 1 เมตร ข.นาย ก. และ นาย ข. ออกแรงดึงเชือกด้วยแรงที่เท่ากันในทิศทางตรงกัน ข้ามเท่ากับ F พบว่าแรงตึงเชือกที่เกิดขึ้ นจะมีค่า 2F ค.ชายคนหนึ่ งมีมวล 50 kg ยืนอยูบ่ นตาชัง่ ในลิฟต์ที่กาํ ลังเคลื่อนที่ลงด้วย ความเร็วคงที่ 2 m/s ตาชัง่ นํ้าหนักที่ชายคนนี้ ยืนอยูจ่ ะอ่านค่าได้ เท่ากับ 500 N 1. 0ข้อ 2. 1 ข้อ 3. 2 ข้อ 4. 3 ข้อ

28.ลูกเทนนิ สลูกหนึ่ งเคลื่อนที่ก่อนชนกําแพงด้วยอัตราเร็ว 10 m/s โดย ภายหลังการชน พบว่าลูกเทนนิ สได้สะท้อนกลับในทิศทางตรงกันข้ามด้วย อัตราเร็วเท่าเดิม ถ้าช่วงเวลาที่กระทบกําแพงเป็ น 0.1 วินาที จงหา ความเร่งเปลี่ยนขณะกระทบกําแพง 1.0 m/s^2 2.100 m/s^2 3.200 m/s^2

4.150 m/s^2


29.ลิงตัวหนึ่ งขึ้ นต้นไม้ ปรากฏว่าทุก ๆ 2 นาที ลิงขึ้ นไปได้สูง 8 เมตร แล้ว ลื่นไถลลงมา 2 เมตรเสมอ จงหาอัตราเร็วเฉลี่ยเมื่อสิ้ นสุดเวลา 2 นาที (ตอบในหน่ วยเมตร/วินาที) 1. 1/12 m/s 2. 1/30 m/s

3. 3 m/s

4. 5 m/s

30.มวล 5.0 kg เคลื่อนที่ดว้ ยความเร็ว 3.0 m/s ไปทางทิศตะวันออก หลังจากนั้นเป็ นเวลา 5.0 s พบว่ามวลก้อนนี้ เคลื่อนที่ดว้ ยอัตรา 4.0m/s ไปทางทิศใต้ จงหาค่าของความเร่งเฉลี่ยของมวลนี้ ช่วงเวลา 5.0 s 1. 0.2 m/s^2 2. 0.4 m/s^2 3. 0.6 m/s^2 4. 1.0 m/s^2

31.ถ้า x เป็ นระยะทางของวัตถุที่ตกลงมาอย่างอิสระ ภายใต้แรงโน้มถ่วง ของโลกในช่วงวินาทีที่ 2 และ y เป็ นระยะทางของวัตถุที่ตกลงมาอย่างอิสระ ภายใต้แรงโน้มถ่วงของโลกในช่วงวินาทีที่ 1 ดังนั้น 1. x = 1/2y 2. x=y 3. x=2y

4. x=3y


32.การขับรถด้วยอัตราเร็ว 42 กิโลเมตรต่อชัว่ โมง ประสานงากับรถอีกคัน หนึ่ งที่แล่นสวนมาด้วยอัตราเร็ว 30 กิโลเมตรต่อชัว่ โมง จะเกิดความรุนแรง ใกล้เคียงกับการตกตึกประมาณ กี่ช้นั กําหนดให้ ตึก 1 ชั้น สูง 4 เมตร 1.4 2.5 3.10 4.15 33. หลอดไฟมีความต้านทาน 3 โอห์ม ต่อกับแบตเตอรี่ 12 โวลต์ แล้วจึงต่อกับฟิ วส์ ดังรูป จงเรียงลําดับวงจรที่ใช้ฟิวส์จากมากไปน้อย

1.)A,B,C C,B,A

2.) B,C,A

3.) C,A,B

4.)


34. จากวงจรไฟฟ้ าตามที่กาํ หนดดังรูป ก,ข,ค,ง,จ และ ฉ เป็ น เครื่องใช้ไฟฟ้ า

ถ้าถอดเครื่องใช้ไฟฟ้ า จ ออกจะมีผลอย่างไร 1.เครื่องใช้ไฟฟ้ าอื่นๆทํางานได้ปกติ 2.เครื่องใช้ไฟฟ้ า ก เท่านั้นที่ทาํ งานได้ตามปกติ 3.เครื่องใช้ไฟฟ้ า ก,ข และฉ เท่านั้นที่ทาํ งานได้ 4.เครื่องใช้ไฟฟ้ าทุกชนิ ดสามารถทํางานได้ 35. จากรูป วงจรไฟฟ้ ามีขอ้ มูลดังนี้ ก. กระแสไฟฟ้ าในวงจรเป็ น 1 แอมแปร์ ข.ความต่างศักย์ระหว่าง Vbcและ Vcdต่างกัน 8 โวลต์ ค.ความต่างศักย์ที่ข้วั มีค่าเป็ น 18 โวลต์ ง.ความต่างศักย์ระหว่าง bcมีค่าเป็ น 12 โวลต์ จงพิจารณาข้อมูลข้อใดถูกต้อง 1.) ถูก 1 ข้อ 2.) ถูก 2 ข้อ 4.) ถูก 4 ข้อ

3.) ถูก 3 ข้อ


36. เตารีดของซินดี้ และแท็กซี่มีกาํ ลังไฟฟ้ า 750 วัตต์เท่ากัน ถ้าซินดี้ รีด ผ้าเฉพาะวันหยุดรวม 12 วัน วันละ 2.5 ชัว่ โมง ส่วนแท็กซี่รีดผ้าทุกวัน วันละ 50 นาที ถ้าจ่ายค่าไฟยูนิตละ 1 บาท ในเดือนมกราคม (งดรีด ผ้าในวันปี ใหม่ 1 วัน) ซินดี้ หรือแท็กซี่จะจ่ายค่าไฟฟ้ ามากกว่ากันและเป็ น จํานวนเท่าใด 1.) บ้านซินดี้ จ่ายค่าไฟมากกว่าแท็กซี่ 3.75 บาท 2.) บ้านซินดี้ จ่ายค่าไฟมากกว่าแท็กซี่ 11.25 บาท 3.) บ้านซินดี้ จ่ายค่าไฟมากกว่าแท็กซี่ 1.25 บาท 4.)บ้านซินดี้ จ่ายค่าไฟมากกว่าแท็กซี่ 6.25 บาท 37. จงหาว่า A1 และ A2 จะอ่านค่าได้เท่าใด ถ้าแอมมิเตอร์มีความ ต้านทานน้อยมาก

1.) 0.5 A, 0.5 A 3.) 1.0 A, 1.0 A

2.) 1.0 A, 0.5 A 4.) 1.5 A, 0.5 A


38. เส้นลวดตัวนําไฟฟ้ าโตสมํา่ เสมอมีความต้านทาน 2 โอห์ม เมื่อนํา ลวดไปรีดให้มีความยาวเป็ น 4 เท่าของความยาวเดิม จงหาความ ต้านทานลวดตัวนําภายหลังรีด 1.) 8 โอห์ม 2.) 16 โอห์ม 3.) 24 โอห์ม 4.) 32 โอห์ม

39. จงหาว่า Aอ่านค่าได้เท่าใด 1.) 2.5 A 2.) 5.0 A 3.) 7.5 A 4.) 1.0 A

40. จงหาจํานวนเซลล์ไฟฟ้ าที่นํามาใช้ในการต่อกับลงจร เพื่อให้หลอดไฟทํางานให้ได้ความสว่างมากที่สุด 1.) 12 เซลล์ 2.) 24 เซลล์ 3.) 36 เซลล์ 4.) 48 เซลล์


41. หม้อแปลงไฟฟ้ าอันหนึ่ งมีอตั ราส่วนของลวดปฐมภูมิ ต่อขดลวดทุติย ภูมิเป็ น 4 : 1 ถ้าหม้อแปลงนี้ ต่อกับแบตเตอรี่ขนาด 24 V ถามว่าใน 1 นาที จะเกิดพลังงานที่ตวั ต้านทาน 10 โอห์ม เป็ นเท่าใด

1.) 0จูล 2.) 350 จูล 3.) 216 จูล 4.) 320 จูล 42. พิจารณาว่าข้อใดไม่ถูกต้อง 1. เทอร์มิสเตอร์ เป็ นตัวต้านทานที่เปลี่ยนค่าได้ตามอุณหภูมิที่อยูร่ อบๆ 2. หลอด LDR เมื่อมีแสงสว่างมากระทบน้อย จะมีความต้านทานน้อย 3. ทรานซิสเตอร์ เป็ นอุปกรณ์ทาํ จากสารกึ่งตัวนําที่พฒ ั นามาจากไดโอด สามารถที่จะขยายสัญญาณไฟฟ้ าให้มีขนาดมากขึ้ นได้ 4. หลอด LED เป็ นไดโอด ที่ขาต่อมี 2 ขา โดยขาอาโนดจะยาวกว่าขา คาโทด


43. จากรูปเป็ นวงจรไฟฟ้ าอย่างง่าย โดยมี A1, A2 เป็ นแอมมิเตอร์ V1 ,V2 เป็ นโวลต์มิเตอร์ ทั้งหมดเป็ นเครื่องมือวัดอุดมคติถา้ ความต้านทาน R มากขึ้ นผลจะเป็ นอย่างไร ก. มีค่าเท่าเดิม ข. V1 จะมีค่าลดลง ง. A2 จะมีค่าเพิ่มขึ้ น ค. V2จะมีค่าเพิ่มขึ้ น

ข้อใดถูกต้อง 1. ก และ ข 2. ข และ ต 3. ก เละ ค 4. ค เเละ ง 44. แอมมิเตอร์ A1 , A2 และ A3ไม่มีความต้านทานภายใน ถ้าสวิตซ์ S ปิ ดลง ค่าแอมมิเตอร์ท้งั สาม อ่านค่าเท่าไร เมื่อเทียบกับก่อนสับสวิตซ์


1. A1 เพิ่มขึ้ น A3 เป็ นศูนย์ 3. A2 คงที่ A3 เป็ นศูนย์

2. A1คงที่ A2 เพิ่มขึ้ น 4. A1 ลดลง เพิ่มขึ้ น

45. หลอดไฟ 100 วัตต์ 50 โวลต์ และหลอดไฟ 50 วัตต์ 100 โวลต์ ต่ออนุ กรมกัน แล้วต่อเข้ากับฟิ วส์ ดังรูป จงหาขนาดฟิ วส์ที่นํามาต่อใน วงจรเพื่อไม่ให้หลอดขาดขณะทํางาน

1. 0.25 A 2. 0.50 A 3. 1.0 A 4. 2.0 A 46.ถ้ามุมระหว่างแรงสองแรง(ช่วง 0-180 องศา) ที่กระทําต่อกันมีขนาด เพิ่มขึ้ น ขนาดของแรงลัพธ์จะเป็ นอย่างไร 1.เพิ่มขึ้ น 3.เพิ่มขึ้ นแล้วลดลง

2.ลดลงแล้วเพิ่มขึ้ น 4.ลดลง


47.มีแรงขนาด X และขนาด Y กระทําต่อวัตถุในแนวระดับโดยแรงทั้ง 2 มี ทิศทางตั้งฉากกัน และวัตถุวางบนพื้ น(ที่มีแรงเสียดทานระหว่างพื้ นกับวัตถุ) เริ่มเคลื่อนที่ จงหาค่าแรงเสียดทานที่เกิดขึ้ นว่า มีค่าเท่าใด 1. X+Y 3.

X+Y 2

2.√X 2 + Y 2

4.

√𝑋𝑋 2 +𝑌𝑌 2 2

48.ข้อใดต่อไปนี้ เป็ นแรงคู่ปฏิกิริยา (Action-Reaction Forces) 1.แก้วนํ้าวางบนโต๊ะ :แรงที่โลกดึงดูดแก้วนํ้าบนโต๊ะกับแรงที่โต๊ะดัน แก้วนํ้า 2.เข็นวัตถุบนพื้ นราบฝื ด : แรงที่มือเข็นวัตถุกบั แรงเสียดทานด้าน การเคลื่อนที่จากพื้ น 3.เตะฟุตบอลกระทบกําแพง : แรงที่ฟุตบอลชนกําแพงกับแรงที่ กําแพงทําให้ฟุตบอลสะท้อนกลับ 4.ถูกทุกข้อ 49.กล่องมวล 2 กิโลกรัม ถูกดึงจากหยุดนิ่ งด้วยแรงคงที่ขนาด 22 นิ วตัน ในทิศทํามุม 60 องศากับแนวราบให้เคลื่อนที่ไปตามพื้ นราบโดยมีความเร่ง เท่ากับ 2.5 เมตร/วินาที2 ถ้าคิดว่าแรงเสียดทานคงที่ แรงเสียดทานจะมีค่า กี่นิวตัน


1. 4 นิ วตัน

2. 6 นิ วตัน

3. 11 นิ วตัน

4. 17 นิ วตัน

50.จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้ F 5kg

3kg

2kg

ก.ความเร่งของมวล 5 kg มีค่าน้อยกว่า 3 kg และ 2 kg ข.ความเร่งของวัตถุท้งั 3 เท่ากันหมด ค.แรงปฏิกิริยาระหว่างวัตถุ 5 kg กับ 3 kg มากกว่าแรงปฏิกิริยาระหว่าง วัตถุ 3 kg กับ 2 kg ง.แรงปฏิกิริยาระหว่างวัตถุเท่ากันหมด ข้อความข้างต้นใดถูกต้อง 1. ก และ ค ก และ ง

2. ข และ ค

3. ข และ ง

4.


51.วัตถุกอ้ นหนึ่ งมวล 2 กิโลกรัม ถูกดันติดกับกําแพงซึ่งอยูใ่ นแนวดิ่งด้วย แรง F ดังรูปข้างล่างนี้ ถ้าสัมประสิทธิ์ความเสียดทานระหว่างวัตถุกบั พื้ น กําแพงมีค่า 0.1 จงหาขนาดของ F ที่ทาํ ให้วตั ถุเคลื่อนที่ดว้ ยความเร่ง 1 เมตร/วินาที2

1.200 นิ วตัน

2.180 นิ วตัน

3.160 นิ วตัน

4.140 นิ วตัน

52.กล่องขนาดกว้าง 3 m สูง 6 m วางอยูบ่ นพื้ นเอียงที่มีแรงเสียดทานฝื ด มาก จงหามุมพื้ นเอียงที่นอ้ ยที่สุดที่ทาํ ให้กล่องล้มลงมา

1.30 องศา 4.60 องศา

2.37 องศา

3.45 องศา


53.วัตถุขนาด 20 cm x 20 cm ได้รบั แรงกระทํา 4 แรง ดังรูป จงหา โมเมนต์ลพั ธ์ของแรงทั้ง 4 รอบจุดศูนย์กลางมวลของวัตถุ

30 N

20 N

20N 30N

1.5 N.m

2.10 N.m

3.15 N.m

4.20 N.m


เฉลยโจทย์เพิ่มเติม 1. 1 2. 20 cm 160 cm 3. 4 4. 3 5. 3 6. 1 7. 2 8. 2 9. 1 10. 3 11. 3 12. 2 13. 1 14. 2 15. 3 16. 2 17. 2 18. 3 19. 1 20. 1 21. 3 22. 3 23. 4

24. 25. 26. 27. 28. 29. 30. 31. 32. 33. 34. 35. 36. 37. 38. 39. 40. 41. 42. 43. 44. 45. 46. 47. 48.

2 2 3 2 3 1 4 4 2 1 2 3 1 1 4 2 2 1 2 3 2 2 4 2 3

49. 50. 51. 52. 53.

2 2 2 1 2


บทที่ 1 สารและสสาร สสาร คือ สิ่งที่ มีมวล และ ตองการที่อยู เชน อากาศ, น้ํา, โตะ สาร คือ สสารที่ทราบสมบัติแนชัด เชน ธาตุ, สารประกอบ การแบงสารตามลักษณะตางๆ 3 สถานะ แก๊ ส ของเหลว ของแข็ง

ลักษณะเนื ้อสาร

ขนาดของอนุภาค

สารละลายสารบริ สทุ ธ์

สารละลาย

ธาตุสารประกอบ

คอลลอยด์

สารเนื ้อเดียว

สารแขวนลอย

สารเนื ้อผสม

1


1. แบงตามสถานะ 1.1 ของแข็ง - รูปราง และ ปริมาณคงที่, ยึดเหนี่ยวกันแข็งแรง 1.2 ของเหลว - รูปรางไมแนนอน, ปริมาณ คงที่, เคลื่อนที่ได 1.3 แก็ส - รูปราง และ ปริมาตร ไมแนนอน 2. แบงตามลักษณะเนื้อสาร 2.1 สารเนื้อผสม - เห็นความแตกตางของ องคประกอบ 2.2 สารเนื้อเดียว - ดูเปนเนื้อเดียวกัน 2.2.1 สารละลาย - สารผสมดูเปน เนื้อเดียวกัน 2.2.2 สารบริสุทธิ์ 2.2.2.1 ธาตุ - ธาตุชนิด เดียวกันอยูดวยกันอยางนอย 2 โมเลกุล เชนH2, O2, Na2

2


2.2.2.2 สารประกอบ - ธาตุ ชนิดตางกันรวมตัวกัน เชน Na2CO3, H2O 3. แบงตามขนาดอนุภาค 3.1 สารละลาย - ขนาดเล็กวา 10−7 𝑐𝑐𝑐𝑐3

อนุภาคผานเซโลเฟนและกระดษกรอง 3.2 คอลลอยด - ขนาด 10−7 𝑐𝑐𝑐𝑐3 ถึง10−4 𝑐𝑐𝑐𝑐3 ไมผานเซโลเฟน แตผานกระดาษกรอง 3.3 แขวนลอย - ขนาดใหญกวา 10−4 𝑐𝑐𝑐𝑐3 ไม ซึมผานเยื่อเซโลเฟน และ ไมผานกระดาษกรอง

สารละลาย สารละลาย = ตัวถูกละลาย + ตัวทําละลาย ความเขมขน - %โดยมวลตอมวล -%โดยมวลตอปริมาตร -%โดยปริมาตรตอปริมาตร 3


-ppm = หนวยตอลาน(106 )

-ppb = หนวยตอพันลาน(109 ) - %โดยมวลตอมวล = - %โดยมวลตอมวล =

มวลตัวถูกละลาย มวลสารละลาย มวลตัวถูกละลาย ปริมาณสารละลาย

- %โดยปริมาตรตอปริมาตร = ปริมาณตัวถูกละลาย ปริมาณสารละลาย

Note : มวลตัวถูกละลาย + มวลตัวทําละลาย = มวลสารละลาย (กฎทรงมวล) แต ใชกับปริมาตร ไมไดเนื่องจากไมมีกฎทรงปริมาตร

เพิ่มเติมกับสารละลาย สารละลายไมอิ่มตัว =สารละลายยัง สามารถละลายตัวถูกละลายไดอีกในสภาวะเดิม สารละลายอิ่มตัว = สารละลายไมสามารถ

4


ละลายตัวถูกละลายไดอีกในสภาวะเดิม สารละลายอิ่มตัวยิ่งยวด=สารละลายอิ่มตัว ที่มีตัวถูกละลายมากกวาปกติในสภาวะละลาย อิ่มตัว แต เมื่อไดรับการกระทบกระเทือน อาจตก ผลึกทันที

ปจจัยที่มีผลตอสภาพการละลาย 1.ธรรมชาติของตัวทําละลาย/ถูกละลาย = สารมีขั้ว ละลายน้ําดี,สารไมมีขั้ว ละลายน้ํา มันดี 2. อุณหภูมิ = สารบางชนิดจะละลายไดดี เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น บางชนิดก็ละลายไดดี เมื่ออุณหภูมิลดลง 3. ความดัน = ของแข็ง, ของเหลวสงผล เล็กนอย แตจะสงผลแตแก็สมาก

ปจจัยที่มีผลตอการละลาย(เร็ว/ชา) 1. การคน = ทําใหละลายเร็วขึ้น 2. อุณหภูมิ = อุณหภูมิสูงจะละลายเร็วขึ้น 3. พื้นที่ผิว = พื้นที่ผิวมากจะละลายเร็วขึ้น 5


การละลาย พลังงานกับการละลาย - พลังงานที่ดูดเขาไป เพื่อที่จะแยกอนุภาคของแข็งออกจากกัน (Lattice) - พลังงานที่คายออกมา เพื่อที่จะให อนุภาครวมตัวกับน้ํา (Hydration) การละลายมี 2 ประเภท ดูดความรอน - สังเกตไดวา อุณหภูมิ สิ่งแวดลอมจะต่ําลง - พลังงาน Lattice > Hydration - ละลายไดดีเมื่ออุณหภูมิ สิ่งแวดลอมสูงขึ้น คายความรอน - สังเกตไดวาอุณหภูมิ สิ่งแวดลอมจะสูงขึ้น temperature

6

- พลังงาน Hydration > Lattice - ละลายไดดีเมื่ออุณหภูมิต่ําลง

A


A :ละลายแบบดูดพลังงาน B :ละลายแบบคายพลังงาน

B สภาพการละลาย

7


บทที่ 2 ธาตุ และ ตารางธาตุ

8


http://www.tempstreet.com/periodic-table-3/

ธาตุ และ ตารางธาตุ การจําแนกโลหะ กึ่งโลหะ และ อโลหะ สามารถ พิจารณาไดจากตารางธาตุโดยขั้นบันไดหมู 3A ถึง 4A จะเปนกึ่งโลหะ ธาตุดายซายเปนโลหะ ดานขวาเปนอโลหะ 1.โลหะ (Metal) = หมู 1A ถึง 2A ธาตุทราน ซิชัน และ หมู 3A ถึง 4A สมบัติที่สําคัญ ไดดี

-นําความรอน และ ไฟฟา -ความหนาแนนสูง

-สามารถรีดเปนแผนได -มันวาว -สถานะเปน

ของแข็ง ยกเวน ปรอทเปน

ของเหลว -สวนใหญเสีย𝑒𝑒 − (

ไอออนบวก)

9


2. อโลหะ (Nonmetal) = หมู 4A ถึง 8A สมบัติที่สําคัญ

-นําความรอน และ ไฟฟา

ไดไมดียกเวน C และ P -มีทั้ง 3 สถานะ เชน S (solid), Br2 (liquid),O3 (gas) 1. กึ่งโลหะ (semi - metals) = ขั้นบันได สมบัติที่สําคัญ

-สารกึ่งตัวนํา

-สถานะเปน ของแข็ง

ออกซิเดชัน

* H มีเลขออกซิเดชัน 2 คา = +1 และ -1 ขึ้นอยู กับวาอยูกับโลหะ หรือ อโลหะ

10


สารประกอบ - คือสารบริสุทธิ์ ประกอบดวยธาตุ มากกวา 1 ชนิด - ถาอยูในรูปโมเลกุล เรียก โควาเลนต - ถาอยูในรูปติดประจุ เรียก ไอออน สารประกอบโควาเลนต คือสารประกอบของโมเลกุลที่แรงระหวาง อะตอมเปนพันธะโควาเลนต อิเล็กตรอน ทั้ง2 อะตอมใชรวมกัน สารประกอบไอออนิก - คือสารประกอบที่ประกอบดวย ไอออน บวก(โลหะ) และ ไอออนลบ(อโลหะ) - จุดเดือด และ จุดหลอมเหลว สูง แข็งแต เปราะ และ *นําไฟฟาไดเมื่อหลอมเหลว สารประกอบไอออนิกที่ละลายน้ําได -ไอออนบวก เปนโลหะหมู 1A 11


-ไอออนลบ เปน CH3COO−และ NO3− -ไอออนลบ เปนธาตุหมู 7A ยกเวน transition Ag+, Hg2+, Pb2+

บทที่ 3 การเปลีย ่ นแปลงของสาร การเปลี่ยนแปลงของสาร

ทางกายภาพ

ทางเคมี

ดสารใหม่

-ทําให้เกิดสารใหม่

ม เปลี่ยนแต่สมบัติ (ขนาด, ปริ 12 มาตร, การฉีกกระดาษ

-มักเกิดจากการทําปฏิกริ ยากันโดย ดูได้จาก สี ที่เปลี่ยน กลิ่นที่เกิด เกิด ฟองแก๊ส


EXTRA:การเปลี่ยนแปลงสถานะของสาร

บทที่ 4 ธาตุและสารประกอบ ประวัตน ิ ักเคมี 1.ดาลตัน(บิดาแหงอะตอม) 1.1อะตอมมีลักษณะเปนทรงกลมตัน 13


ภายในวางเปลาเปนกลาง ทางไฟฟา ทฤษฎีอะตอมของดาลตัน

1.2

-หนวยที่เล็กที่สุดของสารเรียกวา อะตอม แบงแยกไมไดแลว

-อะตอมของธาตุชนิด

เดียวกันมีคุณสมบัติเหมือนกัน -อะตอม ไมสามารถแบงแยกหรือทําใหสูญหายได -สารประกอบเกิดจากอะตอมของธาตุตั้งแต 2ชนิดขึ้นไปรวม ตัวกันในอัตราสวนเลขคง ตัวอยางต่ํา ★

ที่ดอลตันกลาวมาผิดหมดเลย เนื่องจาก -มีหนวยเล็กกวา

อะตอม คือ อิเล็กตรอน โปรตรอน นิวตรอน พวกสารไอโซโทปอะตอมของธาตุเหมือนกันแต สมบัติตาง เชน1H(protium)2H(deuterium)มี สมบัติของมวลตางกันแม เลขอะตอม เทากัน -อะตอม สามารถสรางขึ้นมาไดโดยวิธีการทางนิวเคลียร -สารประกอบไมจําเปนตองรวมกันใน อัตราสวนอยางต่ํา เชน 14

C6H12O6


สารประกอบไมจําเปนตองรวมกันในอัตราสวน อยางต่ํา เชน C6H12O6 Extra: การจะบอกวาเปนอะตอมของธาตุชิดเดีว กันหรือไมใหดูที่ เลขอะตอมเทานั้นถาเลข อะตอม เทากันยังถือวาเปนธาตุชนิดเดียวกัน อะตอมรวมกันเรียกโมเลกุล เชน O = อะตอม แต O2 = โมเลกุล =2อะตอม 2. เซอรโจเซฟ จอหน ทอมสัน -พบวาอะตอมประกอบดวยอนุภาคลบ(จาก การศึกษาของหลอดรัง สีแคโทด)และ เนื่องจากอะตอมเปนกลางทางไฟฟาจึงตองมีประจุ บวก อยูดวยจะไดหักลางกัน จึงเสนอ แบบจําลองอะตอมคลายกับ plum- pudding โดยเนื้อ พุดดิ้งทั้งหมด คือประจุบวก และประจุ ลบคือเม็ดบวย ที่ติดอยูในเนื้อพุดดิ้ง 3.รัทเทอรฟอรด

15


-อะตอมมีนิวเคลียสซึ่งประกอบดวยอนุภาค บวกและมีอิเล็กตรอน ลอมรอบ 4.เซอรเจมส แชดวิก -คนพบวาในนิวเคลียสมีอนุภาคที่ไมมี ประจุคือ นิวตรอน โดยจะมีมวลใกลเคียงกับ โปรตอน 5.นีลสโบร -อิเล็กตรอนจะเคลื่อนที่รอบนิวเคลียสเปน ชั้นๆ (ไดจากการศึกษาเรื่องสเปกตรัมของ อะตอม ที่มี1อิเล็กตรอนเทานั้น)

6.แบบจําลองอะตอมกลุมหมอก -ไดจากการคํานวณคณิตศาสตร ขั้นสูงพัฒนามาจากโบรคือโบรทํากับอะตอมที่มี 1 อิเล็กตรอน โดยหลักการของกลุมหมอกมีดังนี้ 16


1.อิเล็กตรอนเคลื่อนที่รอบนิวเคลียสเปนรูปทรง ตางๆดวยความเร็ว 2.เราไมสามารถบอกตําแหนงอิเล็กตรอนได เพราะมันเคลื่อนที่ดวยความ เร็วและมีขนาดเล็ก 3.อะตอมประกอบดวยกลุมหมอกอิเล็กตรอน ถา หมอกทึบแสดงวาบริเวณ นั้นมีอิเล็กตรอน หนาแนน

17


สรุปสิง่ ทีอ ่ ยูใ  นอะตอม Extra:อะตอมที่เปนกลาง จํานวนโปรตอนเทากับ อิเล็กตรอน

ไอออนลบ มีจํานวนอิเล็กตรอน

มากกวาโปรตอน

ไอออนบวก มี

จํานวนโปรตอนมากกวาอิเล็กตรอน

บทที่ 5 กรด-เบส 1.นิยามของกรด-เบส มวล(g) โปรตอน อิเล็กตรอน นิวตรอน

(C)

ประจุ อางอิง +1

1.66x10-24

+1.76x10-19 -

9.11x10-28

-1

1.76x10-19 0

1.67x10-24 18

ประจุ

0


1.1นิยามของอารเรเนียส กรด=สารที่ละลายน้ําแลวใหโปรตอน H+ /มี H+อยูในสูตร เบส=สารที่ละลายน้ําแลวให OH/มีOHใน สูตร 1.2บรอนสเตด-เลารี กรด=สารที่ใหH+ เบส=สารที่รับ H+ Arrhenius อธิบายความเปนกรด-เบสของ สารบางชนิดไมได เชน NH มีฤทธิ์เปนเบสแต มีOHในสูตร กรด=แตกตัวให H แกสารอื่น NH4 + H2O NH4+ +OHOH-+H+

H 2O

19


และยังไมสามารถอธิบาย AlCl,BF ที่ให H ไมไดแตเปนกรด 1.3Lewis กรด=สารที่รับคู e เบส=สารที่ใหคู e เชน BF3รับคูe- = กรดNH3ใหคูe-= เบส

2.สมบัติกรด-เบส กรด -มีฤทธิ์กัดกรอน,นําไฟฟาได,pHนอยกวา 7 กรดแก 6 ชนิด = HCl,HBr ,HI,HNO,HSO,HClO กรดออน=กรดอื่นๆ เชน CHCOOH ,HF เปนตน เบส เบสแก=แตกตัวเปนไอออนทั้งหมด OH ของหมู 1 และ หมู 2 20


เบสออน = แตกตัวเปนไอออนไม 100 เปอรเซ็นต

3.อินดิเคเตอร คาpH=power of Hที่บอกปริมาณความเขมขน ของH2Oในสารละลาย H+มาก pH ต่ํา(กรด) H+ ต่ํา pH สูง อินดิเคเตอร สามารถประมาณคาpHของสาร ไดโดยสารจะเปลี่ยนสีในชวงคาpH ตางๆ บาง สารจะเปลี่ยนสีชวงกรด บางก็เปลี่ยนชวงเบส

4. Amphoteric และ Amphiprotic 21


Amphoteric= ทําปฎิกิริยาไดทั้งกรดและเบส(มี สมบัติเปนทั้งกรดและเบส) Amphiprotic= Amphoteric ที่รับและจาย eเชน HCO3-

# Amphiprotic ทุกชนิดเปนสาร Amphoteric แต Amphoteric ทุกขนิดไมใช Amphiprotic # Ex. Al2O3ทําปฎิกิริยาไดทั้งกรดและเบส แตรับ/ จาย p+เองไมไดเนื่อง จากไมละลายน้ํา

เกลือ สารประกอบไอออนิกที่ละลายน้ําไดปฎิกิริยา การสะเทินระหวางกรด-เบสโดยจะไดผลิตภัณฑ เปนเกลือและน้ํา เชน 22


HCl +NaOH

NaCl+H/O

การพิจารณาฤทธิ์ของเกลือถาเปน ไอออนลบที่ เกิดจากสารที่เปนกรด ไอออนนั้นจะมีฤทธิ์ปน เบส Ex. HF

H++F-(เบส)

F-+H2O

HF+OH-

ถาเปนไอออนบวกที่เกิดจากสารที่เปนเบส ไอออนนั้นจะมีฤทธิ์เสมือนกรด Ex. NH3 +H2O

NH4+(กรด) +OH-

23


บทที่ 5 ไฟฟาเคมี ปฏิกริยารีดอกซ -ปฏิกริยามีการถายโอน e- หรือมีการ เปลี่ยนแปลงเลขออกซิเดชั่น -แบงเปน2 ปฏิกริยา ปฏิกริ ยาออกซิ เดชัน่ = ให้e-หรื อเลขออกซเดชัน่ เพิ่มขึ้น ปฏิกริ ยารี ดกั ชัน่ = รับe-หรื อเลขออกซเดชัน่ ลดลง 24


-สารตั้งตนในปฏิกริยารีดอกซ ไดแก Oxidizer (สารที่รับe- หรือเลขออกซิเดชั่นลดลง) และ Reducer (สารที่ใหe-หรือเลข

ออกซิ

เดชั่นเพิ่มขึ้น) EXTRA: ความแรงของ

OxidizerแปรผันตามความสามารถในการรับeReducer แปรผันตามความสามารถในการให้ e-

ปฏิกริยานอนรีดอกซ -ปฏิกริยาไมมีการถายโอนe-หรือมี การเปลี่ยนเลขออกซเดชั่น เซลลไฟฟาเคมี2แบบ -กัลวานิก = เปลี่ยนพลังงานเคมีเปนไฟฟา -อิเล็กโตรไลต = เปลี่ยน พลังงานไฟฟาเปนเคมี

25


สวนประกอบของเซลไฟฟาเคมี 1.ขั้วไฟฟา ประกอบดวย แอโนด(เกิด ปฏิกริยาOxidation)

แคโทด(เกิดปฏิกริยา

Reduction) 2.สารอิเล็กโตรไลต = ของเหลวนําไฟฟา เพราะมีไอออนเคลื่อน

ไปมา ex.สารละลาย

กรด-เบส-เกลือ สรุปสาระสําคัญของเซลลไฟฟาเคมี 1.ปฏิกิริยาเปนแบบรีดอกซ กระแสไฟฟาเปน กระแสตรง (กระแสอิเล็กตรอน) 2.การนํามาใชประโยชนเชน ถานไฟฉาย เซลล สะสมไฟฟาแบบตะกั่ว การชุบโลหะดวยไฟฟา การทําโลหะใหบริสุทธิ์ เซลลกล ั ปวานิกหรือเซลลวอลตาอิก เปลี่ยน พลังงานเคมีเปนไฟฟา 26


ประกอบดวย ครึง่ เซลล ระบบของสารอยูรวมกับไอออนของสาร นั้นหรือระบบที่เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน สะพานเกลือ ตัวเชื่อมตอวงจรภายในของแตละ ครึ่งเซลลดวยกันใหครบวงจร สารที่ใชทําตอง เปนสารประกอบไอออนิก ละลายน้ําแตกตัวเปน ไอออนไดดี ไมทําปฏิกิริยากับสารใดสารในครึ่ง เซลล ใชในรูปสารละลายอิ่มตัว หนาที่ของสะพานเกลือ 1.ทําใหครบวงจร 2.ดุลประจุไมใหเกิดการสะสมประจุในครึ่งเซลล

สรุปสาระสําคัญของเซลลกล ั ปวานิก 1.ใหกระแสอิเล็กตรอนไหลในวงจร ขั้วที่ อิเล็กตรอนไหลออกเปนขั้วลบ และขั้วที่อิเล็กตรอนไหลเขาเปนขวบวก 27


2.เกิดปฏิกิริยารีดอกซ เพราะมีการถายโอนe3.อิเล็กตรอนจะไหลจากครึ่งเซลลที่มีศักยต่ําไป สูง 4.ถามีการใชขั้ววองไวจะเกิดการสึกกรอนของขั้ว ลบ 5.เมื่อกระแสไฟฟาไหลไปนานๆจะมีการสะสม ประจุที่ขั้วไดทําใหกระแสหยุดไหล ประเภทเซลลกล ั ปวานิก 1.เซลลปฐมภูมิ เซลลจายไฟหมด มสามารถ นํามาใชใหมได เชน เซลลแหงทถานไฟฉาย ถานแอลลคาไลน เซลลปรอท เซลลเงิน เซลล เชื้อเพลิง 2.เซลลทุติยภูมิ เซลลกอนใชตองนําไปอัดไฟกอน จึงนําไปใชจายไฟไดนานๆ สามารถอัดไฟใช ใหมได เชน เซลลสะสมไฟฟาแบบตะกั่ว เซลล นิกเกิล แคดเมียม 28


เซลลอเิ ล็กโทรไลต คือเซลลไฟฟาเคมีที่ใชพลังงานไฟฟาทําให เกิดปฏิกิริยาเคมี โดยเรียกกระบวนการวา อิเล็กโทรไลซิส ตารางเปรียบเทียบเซลลไฟฟา เซลลกัลวานิก

เซลลอิเล็กโตรไลต

1.เปนเซลลไฟฟาเคมีที่ 1.เปนเซลลไฟฟาเคมีที่ เปลี่ยนพลังงานเคมีให เปลี่ยนพลังงานไฟฟา เปนพลังงานไฟฟา

ใหเปนพลังงานเคมี

2.ขั้วแอโนด

2.ขั้วแอโนด

เกิดปฏิกิริยา

เกิดปฏิกิริยา

ออกซิเดชัน

ออกซิเดชัน

3.ขั้วลบเกิดปฏิกิริยา

3.ขั้วลบเกิดปฏิกิริยา

รีดักชัน

รีดักชัน

4.ขั้วลบเปนขั้วที่

4.ขั้วลบเปนขั้วที่ตอกับ

อิเล็กตรอนไหลออก

ขั้วลบของแหลงกําเนิด ไฟฟา 29


5.ขั้วบวกเปนขั้วที่

5.ขั้วบวกเปนขั้วที่ตอ

อิเล็กตรอนไหล

เขากับขั้วบวกของ

เขา

แหลงกําเนิดไฟฟา

6.ศักยไฟฟาของเซลล 6.ศักยไฟฟาของเซลล เปนบวก

เปนลบ

7.ปฏิกิริยาเคมีเกิดขึ้น

7.ปฏิกิริยาเคมีจะ

เอง

เกิดขึ้นไดตองอาศัย กระแสไฟฟา

การชุบโลหะดวยไฟฟา 1. จัดชิ้นงานที่ชุบเปนแคโทด 2.ตองการชุบโลหะโดยใชโลหะเปนขั้วแอโนด 3.สารละลายอิเล็กโทรไลตตองมีไอออนของโลหะ ที่เปนแอโนด 4.ใชกระแสตรงและใหศักยไฟฟาของเซลลที่ เหมาะสมสําหรับการชุบหนึ่งๆนั้น 30


โจทย์ เคมีสะสมประสบการณ์ 1. ข้อใดไม่ถูกต้อง ก.ถ้าต้องการสกัดไอโอดีนออกจากโพแทสเซี ยมไอโอไดด์นสารละลายควรใช้คาร์ บอนเตตระคลอไรด์ละลาย ไอโอดีนออกมา ข.การแยกเอทานอลออกจากนํ้าควรใช้วธิ ี กลัน่ ค.สารละลานโซเดียมไฮโดรเนคาร์ บอเนตและนํ้าขี้เถ้าเปลี่ยนสี กระดาษลิตมัสจากสี แดงเป็ นสี น้ าํ เงินเหมือนกัน ง.ทดลองเติมแอมโมเนียมไนเตรตลงในหลอดแก้วที่มีสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์จะได้ก๊าซกลิ่นฉุนและทํา ให้น้ าํ ปูนใสขุ่น

2. ความเป็ นกรด-เบสเป็ นสมบัติสาํ คัญของดินที่ใช้ในการเกษตรประการหนึ่ง เพราะค่าpHของดินมีผลต่อการ เจริ ญเติบโตของพืชแต่ละชนิ ด ถ้าไร่ แห่งหนึ่งต้องเพิ่มสมบัติของดินให้มีช่วงpH 5-6 ปั จจัยข้อดที่จะเพิ่มสมบัติ ดังกล่าว ก. การใส่ ปูนขาวลงไป ข. การเน่าเปื่ อยของสารอินทีรียห์ รื อปุ๋ ยหมัก ค. การปลูกพืชชนิดเดียวซํ้าในที่เดิม ง. การใส่ การส้มและคอปเปอร์ ซลั เฟตลงไป

3. ใครใช้วธิ ี การทดลองโดยการยิงอนุภาคแอลฟาผ่านแผ่นทองคํา ก.นีลส์โบรห์ ค.รัทเธอร์ ฟอร์ ด

ข.ทอมสัน ง.มิลิแกน


4. แบบจําลองอะตอมของทอมสันประกอบด้วยอะไรบ้าง ก. โปรตอน อิเล็กตรอน ข.โปรตอน นิวตรอน ค.ประจุลบ ง.โปรตรอน อิเล็กตรอน นิวตรอน

5. ข้อความใดถูกต้องเกี่ยวกับจุดเดือดและจุดเยือกแข็งของนํ้า เมื่อลดความดันบรรยากาศลง ก. จุดเดือดและจุดเยือกแข็งลดลง ข.จุดเดือดลดลงและจุดเยือกแข็งสู งขึ้น ค.จุดเดือดสู งขึ้นและจุดเยือกแข็งลดลง ง.จุดเดือดและจุดเยือกแข็งสู งขึ้น

6. ใครเป็ นผูค้ ิดแบบจําลองอะตอมเป็ นคนแรก ก.ดอลตัน ข.ทอมสัน ค.มิลลิแกน ง.ไม่มีขอ้ ใดถูก


7.นํ้าในหลอดใดให้ฟองน้อย หลอดที่ 1 นํ้า+แคลเซี ยมคาร์ บอเนต+สบู่ หลอดที่ 2 นํ้า+แคลเซี ยมซัลเฟต+โซดาแอช+สบู่ หลอดที่ 3 นํ้า+โซเดียมไนเตรท+แมกนีเซี ยมคลอไรด์+สบู่ หลอดที่ 4 นํ้า+แคลเซี ยมคลอไรด์+ต้ม+สบู่ หลอดที่ 5 นํ้า+โซเดียมไฮโดรเจนคาร์ บอเนต+แมกนีเซี ยมซัลเฟต+สบู่ ก. 2 3

ข. 3 4 5

ค. 1 5

ง. 1 2 4

8. 2A+(g) + B2-(g)

A2B(s)+ H1

2A+(g) + B2-(g)

2A+(aq) + B2(aq) + H2

ก.

H1 <0 , H2< 0 และ

H1 > H2

ข.

H1 <0 , H2< 0 และ

H1 < H2

ค.

H1 >0 , H2> 0 และ

H1 > H2

ง.

H1 >0 , H2> 0 และ

H1 < H2

9. พิจารณาข้อความต่อไปนี้ ข้อใดถูกต้อง


ก. โมเลกุลC2H2 มีความแข็งแรงของพันธะระหว่าง CกับC มากกว่าC2H4และมีความยาวพันธะระหว่างCกับC น้อยกว่าC2H6 ข.การละลายของNaCl พบว่าพลังงานแลคทิชมากกว่าพลังงานไฮเดรชัน ดังนั้น การละลายนี้เป็ นกระบวนการ คายความร้อน ค.สารประกอบไออนิกที่เป็ นของแข็งไม่นาํ ไฟฟ้า แต่เมื่อหลอมเหลวจะนําไฟฟ้าได้ 1. ก และ ข เท่านั้น

2. ข และ ค เท่านั้น

3. ก ข และ ค

4. ก และ ค เท่านั้น

10. ข้อใดไม่ถูกต้องเมื่อแยกนํ้าด้วยกระแสไฟฟ้า ก. ต้องใช้ไฟฟ้ากระแสตรง ข. เกิดแก๊สออกซิ เจนที่ข้ วั บวกปริ มาตรเป็ นครึ่ งหนึ่งของแก๊สไฮโดรเจนที่ข้ วั ลบ ค. ปริ มาณนํ้าจะลดลงเรื่ อยๆ ขณะผ่านกระแสไฟฟ้าเข้าไป ง. นํ้าที่แยกต้องเป็ นนํ้าบริ สุทธิ์ ไม่เติมสารใดๆ

11. เกลือชนิดใดไม่ละลายนํ้าที่อุณหภูมิห้อง ก. โพแทสเซี ยมคลอไรด์ ข. แคลเซี ยมซัลเฟต ค.โซเดียมไนเตรต ง. เลดไนเตรต


12. คําจํากัดความที่วา่ มีขนาดเล็กที่สุดไม่สามารถแบ่งแยกได้อีก ก.อะตอม ข.โมเลกุล ค.โปรตอน ง.ธาตุ

13.ข้อใดจัดเป็ นขั้นตอนในกระบวนการทํานํ้าประปาที่ถูกต้องที่สุด ก. ตกตะกอน กรอง ฟอกสี และกําจัดกลิ่น ฆ่าเชื้อโรค ข. กรอง ฟอกสี และกําจัดกลิ่น ฆ่าเชื้ อโรค ตกตะกอน ค.ตกตะกอน ฆ่าเชื้ อโรค กรอง ฟอกสี และกําจัดกลิ่น ง. กรอง ฆ่าเชื้อโรค ตกตะกอน ฟอกสี และกําจัดกลิ่น

14. เมื่อหยดกรดลงบนพื้นหิ นอ่อนจะมีฟองแก๊สเกิดขึ้นทันทีแต่เมื่อหยดกรดความเข้มข้นเท่าเดิมลงบนเหล็ก ต้อง ใช้เวลานานจึงจะเกิดฟองแก๊สจากปรากฏการณ์ดงั กล่าวแสดงว่าอัตราการเกิดปฏิกิริยาขึ้นอยูก่ บั ปั จจัยใด ก.อุณหภูมิ ข.ความเข้มข้นของสารตั้งต้น ค.พื้นที่ผวิ ของสารตั้งต้น ง.ธรรมชาติของสารตั้งต้น

15.ข้อใดไม่จดั เป็ นข้อดีของเทคนิคโครมาโตกราฟี ก.ใช้แยกสารที่มีปริ มาณน้อยได้ดี ข.สามารถตรวจสอบหาปริ มาณสารได้


ค.การตรวจสอบวิเคราะห์ทาํ ได้โดยคํานวณจากค่าระยะทางที่สารเคลื่อนที่ ง.ใช้วเิ คราะห์หาสารที่มีสีได้เท่านั้น

16. สมบัติใดของโลหะแทรนซิ ชนั ที่แตกต่างต่างจากสมบัติของโลหะหมู่ I และ II 
 ก.ความหนาแน่น ข.มีความว่องไวในการเกิดปฏิกิริยาเคมี� ค.เกิดสารประกอบที่มีสีเฉพาะตัว ง.เมื่อกลายเป็ นไอออนจะมีประจุไฟฟ้าบวก

17. ข้อใดไม่เป็ นคุณสมบัติของเสื้ อนาโน ก. กันนํ้า ข. กันรังสี UV ค. กันไฟ ง. กันแบคทีเรี ย

18. ข้อใดเป็ นสมบัติของโลหะ ก. จุดเดือดสู ง ข. มีความมันวาว ค.นําไฟฟ้า


ง. ถูกทุกข้อ

19. เมื่อแสงที่มีความถี่เหมาะสมตกกระทบผิวหน้าโลหะ เกิดปรากฎการณ์โฟโต้อิเล็กตริ ก ข้อใดเป็ นสิ่ งที่เกิด จากปรากฏการณ์ โฟโต้อิเล็กตริ ก ก. นิวตรอน ข. นิวเคลียส ค. โปรตอน ง. อิเล็กตรอน

20.เพชรมีลกั ษณะพันธะชนิดใด ก. โลหะ ข. มีข้วั ค.ไม่มีข้วั ง.โครงผลึกร่ างตาข่าย

21.สู ตรทางเคมีของไข่มุกและเพชรคือข้อใด ก.CaCo3 , C ข. CaC2 , CS2


ค. Al2O3 , C ง. ZnO ,CS2

22. 1. ค่า Rfเป็ นค่าที่สามารถนําไปวิเคราะห์ชนิ ดสารได้ 2. ค่า Rfของสารใดๆ จะมีค่ามากกว่าหรื อน้อยกว่า 1.0 ก็ได้ 3. ค่า Rfของสารใดสารหนึ่ งจะมีค่าเท่ากันเสมอทุกระบบการทดลอง 4. ค่า Rfของสารใดๆจะหาได้จากการทดลองเท่านั้น ข้อใดถูกต้อง ก. 1 , 2 ค. 1 , 3

ข. 3 , 4 ง. 1 , 4

23. ปั จจัยใดที่มีผลต่อสภาพการละลาย 1. ธรรมชาติของตัวทําละลายและตัวละลาย 2. ความดัน 3. อุณหภูมิ 4. การคน ก. 1 , 2 ค. 3 , 4

ข. 1 , 2 , 3 ง. 1 , 2 , 3 , 4


24. ANaOH+ B Al ->C Na3 AlO3 + D H2 โซเดียมไฮดรอกไซด์ อะลูมิเนียม

โซเดียมอะลูมิเนต

ไฮโดรเจน

จากการดุลสมการเคมี จงหาค่า A , B , C , D ก. A= 2 , B = 1 C = 1 , D =2 ค. A= 6 , B = 2 C = 2, D = 1

25.การแยกสารวิธีใดต่อไปนี้เหมาะสมที่สุด ก. การแยกสารสี เหลืองจากขมิ้นด้วยวิธีการกลัน่ ข. การแยกนํ้ามันหอมระเหยจากนํ้าโดยวิธีสกัดด้วยนํ้า ค. การแยกผลิตภัณฑ์เชื้ อเพลิงโดยวิธีกลัน่ ลําดับส่ วน ง. ถูกทุกข้อ

ข. A = 3 , B = 4 C =5 , D =1 ง. A = 6 , B = 2 C =2 , D =3


เฉลย 1.ง ปูนใส่ ข่นุ คือ CO2

9.ง

17. ค

2.ข ป๋ ยหมักเป็ นกรด

10.

18. ง

3.ค

11.ข

19.ง

4.ก

12.ก

20.ง

5.ข

13.ก

21.ก

6. ก

14. ง

22.ง

7. ข

15.ข

23.ข

8.ง

16. ค

24.ง 25.ค เพราะก.ใช้น้ าํ สกัด ข. ใช้กรวย


สารอาหาร (Nutrients) คารโบไฮเ น้ําตาลโมเลกุลเดี่ยว 1. กลูโคส (Glucose) - มีจํานวนของธาตุคารบอน 6 อะตอม

- ใหพลังงานไดเร็ว และเปนแหลงพลังงานหลักของ รางกาย

- พบในองุน และเปนน้ําตาลที่พบไดมากที่สุดในธรรมชาติ 2. ฟรุกโตส (Fructose) - มีจํานวนของธาตุคารบอน 6 อะตอม - เปนแหลงพลังงานหลักของอสุจิ

- สามารถสรางไดจากการนํากลูโคสผานกระบวนการไกล โคไลซิส

3. กาแลคโตส (Galactose) - มีจํานวนของธาตุคารบอน 6 อะตอม

- พบในน้ํานม แตมักพบในรูปของแลคโตส

- เปนน้ําตาลที่พบนอยที่สุดในธรรมชาติ

1


ภาพแสดงโครงสรางโมเลกุลของน้ําตาลโมเลกุลเดี่ยว !!!Note : ลําดับความหวาน ฟรุกโตส  กลูโคส  กาแลค

โตส ☺

น้ําตาลโมเลกุลคู 1. มอลโตส (Maltose) = กลูโคส + กลูโคส 2. ซูโครส (Sucrose/น้ําตาลทราย) = กลูโคส + ฟรุก โตส 3. แลคโตส (Lactose) = กลูโคส + กาแลคโตส

ภาพแสดงการเกิดน้ําตาลโมเลกุลคู (เกิดปฏิกิริยา Dehydration) 2


น้ําตาล 1. แปง » เกิดจากกลูโคสรวมกัน เปนสายยาว » เปนอาหารสะสมในพืช » โมเลกุลแตกกิ่งกานเล็กนอย 2. ไกลโคเจน » อาหารสะสมในสัตว (ในตับและ กลามเนื้อ) » เกิดจากกลูโคสรวมกันเปนสายยาว » โมเลกุลแตกกิ่งกานมาก 3. เซลลูโลส » เกิดจากกลูโคสรวมกันเปนสายยาว » เปนผนังเซลลของพืชและสาหราย » โมเลกุลไมมีการแตกกิ่งกาน 4. อินล ู น ิ

» เกิดจากฟรุกโต

สรวมกันเปนสายยาว 5. ไคติน

» เปนโพลิเมอรของ

N-acetyl glucosamine

3


» เปนเปลือกของสัตวขาขอ และผนังเซลล ของเห็ด , รา , ยีสต

การทดสอบ 4


× ทดสอบดวยสารละลายไอโอดีน แปง  สีน้ําเงินมวง

ไกลโคลเจน  สีแดง

การทดสอบ × ทดสอบดวยสารละลายเบเนดิกต

น้ําตาลโมเลกุลเดี่ยวและน้ําตาลโมเลกุลคู (ยกเวน ซูโครส)  สีเขียวจนถึงตะกอนสีแดงอิฐ

ทําไม? น้ําตาลซูโครสจึงไมทําปฏิกิริยากับสารละลายเบเนดิกต สารละลาย Benedict ไมทําปฏิกิริยากับน้ําตาล sucrose เนื่องจาก สารละลายนี้จะทําปฏิกิริยากับสารที่มี aldehyde group ที่สามารถทํา ปฏิกิริยาได ซึ่งจะพบในกลุมน้ําตาลโมเลกุลเล็กคือพวกที่มี carbon 6อะตอม เชน glucose เปนตน CuSO4 ในสารละลายนี้จะ 5 ํ ป ิ ิ ิ

l

ป

d

i

t

C

2+


ไขมัน o ไตรกลีเซอไรด = กลีเซอรอล + 3 กรดไขมัน เชื่อมกัน

ดวยพันธะเอสเตอร (ester bond) o กรดไขมันอิ่มตัว( saturated fatty acid ) : พบมาก ในไขมันจากสัตว , น้ํามัน

มะพราว

และน้ํามันปาลม o กรดไขมันไมอิ่มตัว : พบ พืช

6

มากใน


สเตียรอยด o เปนอนุพันธของไขมัน o โครงสรางเปนวง carbon เชื่อมกัน 4 วง ขนาด 6 อะตอม 3 วง และขนาด 5 อะตอม 1 วง o ความแตกตางของชนิดจะขึ้นอยูกับ หมูฟงกชัน ไดแก คลอเลสเตอรอล , ฮอรโมนสเตียรอยด (ฮอรโมน เพศ+ฮอรโมนจากตอมหมวกไต) , วิตามิน D

7


โครงสร้ างของสเตียรอยด์ คือ A,B,C และ D ส่วนที่มาต่อเป็ นตัวกําหนดว่าเป็ นสเตียรอยด์ชนิดใด

การทดสอบ × นําสารที่ตองการตรวจสอบหยดลงบนกระดาษ ถา กระดาษโปรงแสง แสดงวามีไขมันอยู

โปร o มีโมโนเมอรคือ กรดอะมิโน (amino acid) o กรดอะมิโนมี 20 ชนิด แบงเปน 2 ประเภท ไดแก 1. กรดอะมิโนจําเปน : รางกายไมสามารถสรางเองได ตองรับประทานเขาไป 2. กรดอะมิโนไมจาํ เปน : รางกายสามารถสรางเองได ไมจําเปนตองรับประทานเขามา

8


ปลาย carboxyl ปลาย amino

ภาพแสดงโครงสรางของโปรตีนโดยโปรตีนจะเหลือปลาย อยู2ปลาย ปลายaminoเรียก N-terminal ปลาย carboxyl เรียก C-terminal

การทดสอบ × ทดสอบดวยสารละลายไบยูเร็ต (CuSo4 + NaOH) *ตองมีพันธะเปปไทดอยางนอย 2 พันธะ 9


ถามีโปรตีน  สีมวง

!!Note : สารอาหารที่ถูกใชพลังงานกอนเปนอันดับแรกคือ คารโบไฮเดรต , ไขมัน และโปรตีน ตามลําดับ

วิตามินและเกลือแร Vitamin A (Retinol, Carotene)

10

แหลงที่พบ

ประโยชน

ความผิดปกติ เมือ ่ ขาด น้ํามันตับ สรางสาร ตาแหง แผน ปลา ตับ rhodopsin ตาขุน นม ไขแดง เกี่ยวกับ มองไมเห็นใน ผัก ผลไม การ ที่มืด เจริญเติบโ ตและการ มองเห็น


D (Calciferol)

น้ํามันตับ ปลา สังเคราะห จาก

ควบคุม สมดุล แคลเซียม และ cholester ฟอสฟอรัส

olใต ผิวหนัง E (Tocopherol) ผักกาด ขาวสาลี ไขมันพืช

โรคกระดูก พรุน กระดูก ออน

ปองกันการ แตกของ เม็ดเลือด แดง

ในเด็กRBC จะแตกงาย เปนโรคโลหิต จาง ในผูใหญจะ เปนหมัน เลือดไม K(Menaquinon กะหล่ําปลี เปน เห็ด สวนประกอ แข็งตัว e) ขาวโพด บในการ สังเคราะห สราง ไดจาก โปรตีน แบคทีเรีย prothrombi ในลําไส n ใหญ มีอาการชา B1 (Thiamine) ตับ นม ไข Glucose ขาวซอม บริเวณมือและ metabolis มือ ธัญพืช เทา m ยีสต 11


ปากนกกระจ B2 (Riboflavin) ตับ นม ไข เปน ธัญพืช ถั่ว องคประกอ อก ลิ้นอักเสบ B3 (Niacin)

บของFAD ตับ นม ไข เปน ประสาท ธัญพืช ถั่ว องคประกอ หลอน บของNAD ออนเพลีย

ผัก ผลไม ตางๆ acid) โดยเฉพาะ รางกายตองการ สม มากที่สด ุ C (Ascorbic

ชวยในการ เสนเลือด สราง เปราะ เลือดออกตาม collagen ชวยในการ ไรฟน ดูดซึม Fe2+

Mineral Nitrogen

Calcium

12

แหลงที่พบ พบใน โปรตีน

ประโยชน

ความผิดปกติ เมือ ่ ขาด ไมสามารถ ดํารงชีวิตได

ธาตุ องคประกอบ (หมูอะมิโน) หลักของสาร ชีวโมเลกุล เนื้อสัตว นม สรางกระดูก กระดูกออน ไข งาดํา และฟน ชวย กระดูกพรุน


Phosphorus เนื้อสัตว นม ไข ผักใบ เขียว

Sodium

เกลือแกง อาหารทะเล

Potassium

เนื้อสัตว นม ผลไม

Magnesium อาหารทะเล

ใหเลือด แข็งตัว สรางกระดูก และฟน เปน สวนประกอบ ของสาร พันธุกรรม ควบคุม ปริมาณน้ํา ในสัตว คุมความ เขมขนของ เลือด ควบคุม ปริมาณน้ํา ในใบพืช คุมการเปด ปดปากใบ คุมการ ทํางานของ หัวใจและ กลามเนื้อ คุมการสราง โปรตีน คุมการ ทํางานของ กลามเนื้อ

กลามเนื้อเกร็ง กระดูกออน ขาดพลังงาน

เปนตะคริว สมองทํางาน ผิดปกติ

หัวใจเตน ผิดปกติ

สมองทํางาน ผิดปกติ มีอาการชัก

13


เปน องคประกอบ ของ chlorophyll

14


กลองจุลทรรศนและเซลล กลอง กลองจุลทรรศน × ศึกษาไดทั้งสิ่งมีชีวิตและไมมีชีวิต × กําลังขยายกลอง = กําลังขยายเลนสใกลตา x กําลังขยายเลนสใกลวัตถุ × ยิ่งกําลังขยายของเลนสใกลวัตถุต่ํา  สนามภาพ กวาง , ภาพสวาง × ยิ่งกําลังขยายของเลนสใกลวัตถุสูง  สนามภาพ แคบ , ภาพมืด 1. กลองจุลทรรศนใชแสงแบบธรรมดา เกิดภาพเสมือนหัวกลับขนาดขยาย เมื่อเลื่อนแทนวางสไลดไปทางใด ภาพจะเคลื่อนไป ในทางตรงกันขามเสมอ

15


2. กลองจุลทรรศนแบบสเตอริโอ – จะเห็นภาพเปนภาพ 3 มิติ

กลองจุลทรรศนอเิ ล็กตรอน ใชลําแสงอิเล็กตรอน , เลนสแมเหล็กไฟฟา × ภายในลํากลองเปนสุญญากาศ

× ใชศึกษาแตสิ่งที่ไมมีชีวิตเทานั้น

16


1. กลองจุลทรรศนอิเล็กตรอนแบบสองผาน (transmission ศึกษาโครงสร างภายใน electronใช microscope : TEM) เซลล จะเห็นภาพเปนภาพ 2 มิติ

2. กลองจุลทรรศนอิเล็กตรอนแบบสองกราด (scanning electron microscope : SEM) ใชศึกษาโครงสราง ภายนอกของเซลล จะเห็นภาพเปนภาพ 3 มิติ

ภาพจาก TEM

ภาพจาก SEM

เซลลและออรแกน cell สวนที่

cell

glycocarlyx ในสัตว capsule ใน

17


18


Organelle 1. ไรโบโซม (ribosome) – สังเคราะหโปรตีน × Free ribosome – ลอยอิสระใน cytosol สราง โปรตีนไวใชในเซลล × อยูบน RER – สรางโปรตีนเพือ ่ สงออกนอกเซลล × อยูใน mitochondria และ chloroplast – สราง โปรตีนไวใชในนั้น 2. รางแหเอนโดพลาสมิก (ER) × แบบขรุขระ (RER) – มีไรโบโซมมาเกาะ ใชสราง โปรตีนสงออกนอกเซลล × แบบเรียบ (SER) – ไมมีไรโบโซมมาเกาะ สังเคราะห lipid ทั้ง triglycerideและ steroid และ ทําหนาที่กําจัดสารพิษ 3. กอลจิบอดี (golgi body) × ตรวจสอบโปรตีนที่สรางจาก RER แลวบรรจุ โปรตีนใน vesicle เตรียมสงออกนอกเซลล × สังเคราะหสารอื่น ๆ เชน enamel (สารเคลือบฟน) , root cap , nematocyst (เข็มพิษ) 4. ไรโซโซม (lysosome) เปน vesicle ชนิดหนึ่งที่ บรรจุน้ํายอย × ทําหนาที่ยอยภายในเซลลที่ food vacuole 19


× กําจัดเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม × การยอยสลายตัวเอง Autophagy = ยอย organelle autolysis = cell หรือ tissue ถูกทําลายจากการรั่ว ของ enzyme 5. แวคิวโอล (vacuole) ทําหนาที่เก็บสารตาง ๆ ที่ ไมใชโปรตีน แบงเปน 5.1 sap ทํvacuole – พบเฉพาะในพืช ซึ่งมีขนาด าหน้ าที่เก็บของเสียและรงควัตถุ anthocyanin ใหญขึ้นตามอายุ 5.2 contractile vacuole – พบเฉพาะในโปรโตซัว น้ําจืด ทําหนาที่ขับน้ําสวนเกิน 5.3 food vacuole – ทําหนาที่เก็บอาหาร เตรียม ยอยภายในเซลล 6. ไมโดคอนเดรีย (mitochondria) × ทําหนาที่สรางพลังงาน (ATP) ใหแกเซลล × มีโรโบโซม 70s , RNA และ DNA แบบวงแหวน อยูใน matrix 7. คลอโรพลาส (chloroplast) × เกี่ยวกับกระบวนการสังเคราะหดวยแสงในพืช × มีโรโบโซม 70s , RNA และ DNA แบบวงแหวน อยูใน stroma 20


ทฤษฏี endosymbiosis: เปนแนวคิดที่อธิบายการ วิวัฒนาการของออรแกนเนลลในยูคาริโอต คือ mitochondria และ chloroplast โดย mitochondria เดิม คือ แบคทีเรียที่ใชออกซิเจนที่มาอยูรวมกับอีกเซลลหนึ่งที่มี ขนาดใหญ ในขณะที่ chloroplast คือแบคทีเรียที่ สังเคราะหแสงได !!Note : mitochondria และ chloroplast สามารถถูกยับยั้ง ไดดวยยาปฏิชีวนะเพราะออรแกนเนลล 2 ชนิดนี้เปน แบคทีเรียจากทฤษฎี endosymbiosis

การแบง 1. การแบงเซลลแบบ mitosis » นิวเคลียสจะถูกแบงโดยจํานวนชุดโครโมโซม เทาเดิม (2n  2n) » มี genotype และ phenotype เหมือนเดิม » เมือ ่ แบงเซลลจะไดเซลลลูกจํานวน 2 เซลล » ใชแบงเซลลรางกายของสัตว และแบงเซลล สืบพันธุของพืช

21


ระยะอินเตอรเฟส ( interphase) มีการสรางสวนประกอบตาง ๆ ของเซลลเพื่อเตรียมพรอมสําหรับการแบงตัว ครอบคลุม ตั้งแตระยะ G 1, S และ G2

ระยะโพรเฟส (prophase) ระยะนี้ในนิวเคลียส สารพันธุกรรม จะพันกันแนนเขาจนเริ่มเห็นเปนรูปโครโมโซม เซนตริโอล เคลื่อนที่ไปยังแตละขัว ้ ของเซลล เมื่อถึงชวงสุดทายของระยะนี้ จะมีการสรางเสนใยสปนเดิล (spindle fiber) ไปจับยังบริเวณ ไคนีโตคอร (kinetochore) ของโครโมโซม เยื่อหุมนิวเคลียส สลายไป

ระยะเมตาเฟส (metaphase) เสนใยไมโตติก สปนเดิลสราง เสร็จสมบูรณ โครโมโซมเรียงตัวตรงกลางเซลล ระยะแอนาเฟส (anaphase) ซิสเตอร โครมาติด (sister chromatid) ของโครโมโซมแตละอันถูกดึงแยกจากกันไปยัง ขั้วของเซลล สิ้นสุดเมือ ่ โครโมโซมทั้งหมดไปถึงขั้วของเซลล

ระยะเทโลเฟส (telophase) และการแบงไซโตพลาสซึม (cytokinesis) เปนระยะที่ตรงขามกับโพรเฟส คือโครโมโซม คลายตัวเปนเสนใยโครมาตินเหมือนเดิม มีการสรางเยื่อหุม เซลลใหม จากนั้นจึงตามมาดวยการแบงไซโตพลาสซึม

22


ในสัตว : Cleavage furrow ในพืช : cell plate

2. การแบงเซลลแบบ meiosis » มีจํานวนชุดโครโมโซมลดลงครึ่งหนึ่ง (2n  n) » เมื่อแบงเซลลจะไดเซลลลูกจํานวน 4 เซลล » ใชแบงเพื่อสรางเซลลสืบพันธุ ( sex chromosome ) เพื่อการสืบพันธุแบบอาศัยเพศ แบงออกเปน 2 ระยะคือ 1. meiosis 1 (Prophase 1 – Metaphase 1 – Anaphase 1 – Telophase 1) 2. meiosis 2 (Prophase 2 – Metaphase 2 – Anaphase 2 – Telophase 2) สิ่งที่ควรรู × Prophase 1 จะมีการแลกเปลี่ยนชิ้นสวนของ sister chromatid เรียกวา crossing over

23


× Anaphase 1 มีการดึง Homologous Chromosome – เกิดการลดจํานวนโครโมโซม × Telophase 1 แตละขั้วของเซลลมีโครโมโซมเปน แฮพลอยด (n) 2 ชุด (แตยังมี sister chromatid อยู) × Prophase 2 เปนระยะที่สรางเสนใยสปนเดิลเพื่อ ดึง sister chromatid ออกจากกัน × Anaphase 2 เปนระยะที่ดึงซิสเตอรโครมาติดออก จากกัน × Telophase 2 มีการสรางเยื่อหุมนิวเคลียสและแบง ไซโตพลาสซึมตามมา × ไดเซลลลูก 4 เซลล ซึ่งมีโครโมโซมเปนแฮพลอยด (n)

24


รูปภาพแสดงการแบงเซลลแบบ ไมโอซิส

รูปภาพแสดงการแบงเซลลแบบ ไมโทซิส

25


โครงสรางและหนาที่ของระบบตาง ๆ ในสัตว การยอย × การยอยอาหารแบงออกเปน 1) การยอยเชิงกล (Mechanical Digestion) คือ การทําให อาหารชิ้นใหญ ชิ้นเล็กลงโดยอาจเกิดจากการบดเคี้ยวของ ฟน การบีบตัวของหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร การ ทํางานของน้ําดี เปนตน 2) การยอยเชิงเคมี (Chemical Digestion) คือ การเปลี่ยน โครงสรางทางโมเลกุลของสารอาหาร เชน การยอยโดย เอนไซม เปนตน × ทางเดินอาหารในสัตว 1) ทางเดินอาหารไมสมบูรณ (Incomplete Digestive Tract) คือ ทางเดินอาหารที่มีทางเปดทางเดียว (ปากกับ ทวารหนักใชรวมกัน) พบในพวก ฟองน้ํา ไฮดรา แมงกะพรุน หนอนตัวแบน 2) ทางเดินอาหารสมบูรณ (Complete Digestive Tract) คือ ทางเดินอาหารที่ชองทางเขากับชองทางออกคนละทาง กัน พบตั้งแตหนอนตัวกลมจนถึงสัตวมีกระดูกสันหลัง 26


ทางเดินอาหารของไฮดรา

ทางเดิน

อาหารของนก

ระบบยอยอาหารในสัตวที่ ไสเดือนดิน  ปาก (Mouth) - มีสวนชวยในการ เคลื่อนที่

- ไมมีฟนและตอมน้ําลาย

- กินดินชวยในการยอย  คอหอย (Pharynx)

- มี nerve ring (สมอง) ลอมรอบ  หลอดอาหาร (esophagus) - มี pseudoheart (หัวใจเทียม) - มีการยอยเชิงกล คือ peristalsis 27


 กระเพาะพักอาหาร (Crop)  กึ๋น (Gizzard) - เปนถุงใชบดอาหาร (เกิดการยอยเชิงกล)  ลําไส (Intestine) - มี Typhlosole ชวยเพิ่มพื้นที่ผิวในการดูดซึม และมี การยอยเชิงเคมี  ทวารหนัก (Anus) !!Note : ในไสเดือนดิน แมลงและนก จะใชกึ๋นในการบด อาหาร จัดเปนการยอยเชิงกล

สัตวเคี้ยวเอื้อง (วัว , ควาย , แพะ , แกะ , มา) มี 4 กระเพาะ แบงเปน 3 กระเพาะเทียม และ 1 กระเพาะจริง - Rumen กระเพาะผาขี้ริ้ว เปนกระเพาะหมัก มี ขนาดใหญมาก

28


- Reticulum กระเพาะรังผึ้ง ชวยขยอกหญาขึ้นมา ยอยในปากอีกครั้ง - Omasum กระเพาะสามสิบกลีบ มีการรีดน้ําออก และคลุกอาหารเพื่อเตรียมยอย - Abomasum กระเพาะแท มีการหลั่งเอนไซมตาง ๆ มีการยอยเชิงกล

29


ระบบยอยอาหารในมนุษย (Human Digestive Tract

o ปาก (Mouth) × มีการยอยเชิงกลโดยฟน และการยอยเชิงเคมีโดย เอนไซม Amylase จากตอมน้ําลาย ซึ่งมี 3 คูคือ ตอม น้ําลายใตลิ้น , ตอมน้ําลายใตขากรรไกร และตอม น้ําลายขางกกหู o หลอดอาหาร (Esophagus) × ทําหนาที่บีบตัวเพื่อใหอาหารเคลื่อนลงไป เรียกวา Peristalsis เปนการยอยเชิงกล

30


o กระเพาะอาหาร (Stomach) × มี 3 สวนไดแก 1. Cardiac 2. Fundus

3.

Pylorus × หนาที่ของกระเพาะอาหาร 1. สรางฮอรโมน Gastrin กระตุนการ สรางเอนไซม (Inactive Form) และ HCl กระตุนการทํางานของ เอนไซม 2. เอนไซม (Active Form) ยอย โปรตีน  peptide สายยาว 3. มีเมือก (Mucus) เคลือบอยู ทําหนาที่ปองกันกรดไฮโดร คลอริกยอยกระเพาะ 4. มีการบีบตัวเพื่อคลุกเคลาอาหาร 5. HCl สามารถฆาเชื้อโรคที่ติดมากับอาหารได 31


6. เปนที่ดูดซึมยา , แอลกอฮอล ,วิตามินและเกลือแรบาง ชนิด × เอนไซมที่พบไดในกระเพาะอาหาร ไดแก Pepsin , Rennin และ Lipase (ไมทํางานเพราะคา pH ไม เหมาะสม) !!Note : เอนไซมในตอนแรกจะอยูในสภาพทํางานไมได หรือ Inactive Form ตองไดรับการกระกระตุนจากกรด เกลือหรือ HCl กอน จึงจะทํางานได ดังสมการ HC Pepsinogen

Pepsin

HCl Prorennin

Rennin

o ลําไสเล็ก (Small Intestine) × แบงออกเปน 3 สวน คือ 1. ดูโอดีนัม (Duodenum) ลําไสเล็กสวนตน เปน สวนที่การยอยเกิดขึ้นมากที่สุด โดยใชเอนไซม ที่สรางเองและจากตับออน นอกจากนี้ยังสราง ฮอรโมน Secretin กระตุนตับสรางน้ําดี

32


2. เจจูนัม (Jejunum) เปนสวนที่มีการดูดซึมมาก ที่สุด โดยที่ผนังลําไสเล็กสวนนี้จะมี Villi จํานวนมาก ชวยเพิ่มพื้นที่ผิวในการดูดซึม 3. ไอเลียม (Ileum) ดูดซึมสารอาหารเล็กนอย

o ลําไสใหญ (Large Intestine) × ไมมีการยอยอาหารเกิดขึ้น แตดูดซึมน้ําและแรธาตุ จากกากอาหารแทน

× มีแบคทีเรีย E.Coli ทําหนาที่ชวยสังเคราะหวิตามิน B12 และ วิตามิน K o ทวารหนัก (Anus)

Accessory digesti e

33


o ตับ (Liver) × ผลิตน้ําดี (สารตั้งตนในการสราง คือ คอเลสเตอรอล) ซึ่งเปน

Emulsifier ของน้ําและน้ํามัน ชวยทําใหไขมันแตก ตัวเปนหยดเล็ก ๆ ซึ่งน้ําดีจะถูกเก็บไวในถุงน้ําดี (Bile Bladder) โดยจะถูกหลั่งออกจากถุงน้ําดีไปยังลําไส เล็กสวนตน o ตับออน (Pancreas) × มีการผลิตเอนไซม เรียกวา Pancreatic Juice × ผลิต NaHCO3 ซึ่งเปนเบส เพื่อลดความเปนกรดของ อาหารที่มาจากกระเพาะอาหาร × บริเวณ Islet of Langerhans ผลิตฮอรโมน Insulin และ Glucagon ทําหนาที่ควบคุมระดับน้ําตาลใน กระแสเลือด

Glucose 34

Insulin Glucago

Glycogen


สรุ ตอมน้าํ ลาย – มี Amylase ยอยแปงใหเปน Dextrin และ Maltose

คารโบไฮเดรต

Amylas

Dextrin และ Maltose

กระเพาะอาหาร – มี Pepsin , Rennin , Lipase แตถูก ทําลายโดย HCl

โปรตีน

Peps

Peptide Renn โปรตีนในน้ํานม (Casein) Paracasein

o ตับออน – มี Amylase ยอยแปงใหเปน Maltose 35


คารโบไฮเดรต Enterokin - Trypsinogen

Amyla

Maltose

Trypsin ยอยโปรตีนเปน

- Chymotrypsin - Carboxypeptidase

Protein

Tryps Chymotry

Peptide

- Lipase ยอย Lipid เปนกรดไขมันและกลีเซอรอล Lipas น้ํา Fatty acid + Glycerol Lipid o ลําไสเล็ก – มี Aminopeptidase ยอย Peptide ได Aminopepti กรดอะมิโน Peptide

Amino acid

- DisaccharaseMaltase ยอย maltose  glucose + glucose Sucrase ยอย sucrose  glucose + fructose 36

Lactase ยอย lactose  glucose + galactose


- Enterokinase ** - สรางจากเยื่อบุลําไสเล็กสวนตน ทํา หนาที่เปลี่ยน Trypsinogen เปน Trypsin !!Note : วิธีจําเอนไซมจากลําไสเล็กงายนิดเดียว เอนไซม ตัวไหนยอยแลวไดโมเลกุลเล็กสุด นั่นแหละ เอนไซมจาก ลําไสเล็กเพราะลําไสเล็กเปนอวัยวะสุดทายที่มีการยอยกอน ถูกขับออกจากรางกาย☺

37


ระบบหายใจ โครงสราง ่

× คุณสมบัติ 1.

ชุมชื้น

2.

บาง

3.

พื้นที่ผิวมาก

4.

มีเสนเลือดมาเลี้ยงมาก

อวัยวะใชในการ แลกเปลี่ยนแกส 38

ตัวอยางสัตวที่พบ


เยื่อหุมเซลล (Cell

สิ่งมีชีวิตเซลลเดียว เชน อะมีบา ,

membrane)

พารามีเซียม , ยูกลีนา

ผิวตัวดานนอก (Skin)

สัตวชั้นต่ํา เชน ฟองน้ํา , ไฮดรา , พลานาเรีย

ผิวหนังและระบบเลือด

ไสเดือนดิน , สัตวครึ่งบกครึ่งน้ํา (ผิวหนังชุมชื้นเสมอ)

เหงือก (Gill)

แมเพรียง , กุง , กั้ง , ปู , หอย , หมึก , ดาวทะเล , ปลา

ปอด (Lung)

หอยทาก , สัตวมีกระดูกสันหลัง

ระบบทอลม (Tracheal

แมลงสวนใหญ

System) ปอดแผง (Book Lung)

แมงมุม , แมงปอง

เหงือกแผง (Book Gill) แมงดาทะเล Respiratory tree

ปลิงทะเล

!!Note: แมลงไมใชเลือดในการลําเลียงแกสเพราะมีทอลม แลว ดังนั้นเลือดแมลงจึงไมมีสี เลือดจะใชลําเลียง สารอาหารและฮอรโมน

39


ถุงลมในนกไมไดใชแลกเปลี่ยนแกส แตใชสํารองอากาศ ในการบินนะ 

ระบบหายใจ o Respiratory Tract อวัยวะที่เปนชองทางผานของอากาศ เรียงลําดับตามนี้ รูจมูก ชองจมูก (Nost (Phar (Nasal หลอดลม ถุงลม

คอหอย

กลองเสียง

(Lary แขนง

ขั้ว

o กลไกการหายใจเขาและออก การ หายใจ หายใจ

กลามเนื้อยึด ซี่โครงแถบ

กะบังลม

นอก

ความดัน

ปริมาตร

ภายในปอด

ปอด

หดตัว

หดตัว

ต่ํา

เพิ่มขึ้น

คลายตัว

คลายตัว

สูง

ลดลง

เขา หายใจ ออก

40


ระบบหมุนเวียนโลหิต ประเภทของระบบ 1. ไมมรี ะบบหมุนเวียนเลือด – ไดแก ฟองน้ํา , ไฮดรา , พลานาเรีย และหนอนตัวกลม 2. ระบบหมุนเวียนเลือดแบบเปด (Open circulation system) – เลือดไมไดอยูในหลอดเลือดตลอดเวลา และจะออกมารวมกับน้ําเหลืองซึ่งเรียกวา Hemolymph ไดแก Arthropod , Mollusk , Echinoderm 3. ระบบหมุนเวียนเลือดแบบปด (Closed circulation system) – ไดแก Annelid , Chordate , Mollusk (เฉพาะหมึกและหอยงวงชาง) 41


ระบบหมุนเวียนโลหิต 1. หองหัวใจ บนขวา : รับเลือดเสียจากสวนตาง ๆ ของ รางกาย ลางขวา : สูบเลือดจากหองบนขวาไปยังปอด บนซาย : รับเลือดดีจากปอด 2. ลิ้นหัวใจ

ลางซาย : สูบเลือดที่ดีจากหองบนซายไปยัง สวนตาง ๆ ของรางกาย

• Atrioventricular valve » Tricuspid: กั้นหองบนขวากับลางขวา » Bicuspid: กั้นหองบนซายกับลางซาย 42


• Semi lunar valve » Pulmonary: กั้นหองลางขวากับ Pulmonary artery » Aortic: กั้นหัวใจหองลางซายกับเสนเลือด Aorta 3. อัตราการเตนของหัวใจ (ชีพจร) - มีอัตราคงที่ที่ 72 ครั้ง/นาที วัดที่เสนเลือดอารเทอรี่ที่ ขอมือ

- อัตราการเตนของชีพจรจะเพิ่มขึ้นเมื่อ อุณหภูมิรางกาย สูงขึ้น , ความแข็งแรงของรางกายนอย , อายุนอย - ชีพจรในเพศหญิงจะมากกวาในเพศชาย 4. ความดันเลือด (Blood Pressure) นิยมวัดจากเสนเลือดอารเทอรี่บริเวณตนแขน โดยใชเครื่อง Sphygmomanometer โดยปกติจะมีคาความดันอยูที่ 120/80 mmHg – ตัวเลข 120 เปนคาความดันเลือดสูงสุด ขณะหัวใจบีบตัว (Systolic pressure) และตัวเลข 80 เปน คาความดันเลือดต่ําสุดขณะหัวใจคลายตัว (Diastolic pressure) และภาวะความดันโลหิตสูงจะมีความดันเลือดอยู ที่ 140/90 mmHg 43


5. การเดินทางของเลือดในรางกาย Body  Vena cava  Right Atrium  Right Ventricle  Pulmonary Artery  Lungs  Pulmonary vein  Left Atrium  Left Ventricle  Aorta  Body

!!Note : ระหวางที่หัวใจปมเลือดนั้น จะไมมีการสูญเสีย เลือดใหกลามเนื้อหัวใจ แตจะมีเสนเลือดแดงที่เลี้ยง กลามเนื้อหัวใจโดยเฉพาะคือ coronary artery นั่นเอง  6. เสนเลือด (Blood vessel) ชนิดเสน 44

Artery

Vein

Capillaries


เลือด ทิศทางการ

ไหลออก

ไหลเขา

ไหล

จากหัวใจ

หัวใจ

ผนังหนา

ผนังหนา

เลือด

ที่สุด

ปานกลาง

ลิ้น

ขนาดของ ผนังหลอด

รับเลือดจาก artery แลว สงให vein ผนังบางที่สุด 

ภาพเปรียบเทียบเสนเลือด artery และเสนเลือด vein

45


ระบบขับถาย » คือ ระบบที่รางกายใชกําจัดของเสียที่ไดจาก กระบวนการ metabolism ของรางกาย

ประเภทของ 1. แอมโมเนีย » มีสถานะเปนแกส สามารถละลายในน้ํา ไดดี จึงตองอาศัยน้ําในการขับออกมาก มีความเปน พิษมากที่สุด พบใน โพรโทซัวน้ําจืด , ปลากระดูก แข็ง 2. ยูเรีย » มีสถานะเปนของเหลว ละลายน้ําไดปานกลาง มีพิษต่ํากวาแอมโมเนีย ถูกสรางขึ้นที่ตับ และถูกขับ ออกทางไตโดยการปสสาวะ พบใน ไสเดือนดิน , ปลา กระดูกออน (ฉลาม) , สัตวสะเทินน้ําสะเทินบก , สัตว เลี้ยงลูกดวยนม 3. ยูริก » มีสถานะเปนของแข็ง ไมละลายน้ํา มิพิษต่ําสุด ถูกขับออกทางอุจจาระ พบใน สัตวสงวนน้ํา เชน สัตวเลื้อยคลาน , สัตวปก และแมลง !!Note: ความสามารถในการละลายน้ําและความเปนพิษ Ammonia > Urea > Uric 46


พลังงานที่ใชในการกําจัดสารพิษ Uric > Urea > Ammonia

โครงสรางกําจัดสารพิษของ ่ อวัยวะ สิ่งมีชีวิต อวัยวะ Flame cell

พลานา เรีย

Nephridium* ไสเดือน ดิน Kidney

Green gland

สิ่งมีชีวิต กุง , กั้ง , ปู

Malpighian

แมลง

tubule**

Mammal Coxal gland

แมงมุม

*โครงสรางเหมือนหนวยไต (Nephron) ของคนมาก ที่สุด เพราะมีการดูดกลับสารมีประโยชน **เปนโครงสรางขับถายที่มีสวนเกี่ยวของกับระบบยอย อาหาร

ระบบประสาท

47


» ระบบประสามสวนกลาง (CNS) แบงเปน 1. สมอง และ 2. ไขสันหลัง

สมอ 1. สมองสวนหนา (Forebrain) เซรีบรัม (Cerebrum) : เปนศูนยกลางการ เรียนรู เชน ความจํา , การตัดสินใจ เปน ศูนยกลางการรับรูไดแก การมองเห็น , ไดยิน , การดมกลิ่น , การรับสัมผัส เปนศูนยควบคุม การทํางานของกลามเนื้อลาย ทาลามัส (Thalamus) : เปนทางผานเขา – ออกของสมองสวนหนา และเปนศูนยการรับรู ความเจ็บปวด ไฮโพทาลามัส (Hypothalamus) : เปน ศูนยกลางควบคุมระบบประสาทอัตโนวัติ เชน

48

การหายใจ , ควบคุมสมดุลน้ําและอุณหภูมิ , 2. สมองส วนกลาง (Midbrain) มการเคลื่อนไหว ควบคุ มอารมณ และความรูควบคุ สึกทางเพศ ของนัยนตาและการเปด-ปดมานตา Olfactory bulb : ทําหนาที่ควบคุมเกี่ยวกับ 3. สมองส วนทาย่น (Hindbrain) การดมกลิ เซรีเบลลัม (Cerebellum) : ควบคุมการทรงตัว ของรางกาย พอนส (Pons) : ควบคุมการเคี้ยว , การหลั่ง


!!Note: กานสมอง = สมองสวนกลาง + pons + medulla oblongata

กาน

ขนาดของสมองสวนหนา เรียงจากใหญ  เล็ก : สัตวเลี้ยง ลูกดวยนม > นก > สัตวเลื้อยคลาน > สัตวครึ่งบกครึ่งน้ํา > ปลา 49


การรักษาดุลยภาพ สัตวเลือดอุน - รักษาอุณหภูมิรางกายให คงที่ โดยใชกระบวนการ

สัตวเลือดเย็น - ใชวิธีปรับอุณหภูมิรางกาย ตามสิ่งแวดลอม โดยถา

อุณหภูมิภายนอกสูง อุณหภูมิ

Metabolism เมื่ออุณหภูมิ สิ่งแวดลอมเพิ่ม ความรอน

รางกายก็จะสูงตาม อัตรา

จะเขารางกาย ก็จะลด

metabolism ก็จะเพิ่มดวย

อัตรา metabolism แตถา

ในทางกลับกัน ถาอุณหภูมิ

อุณหภูมิสิ่งแวดลอมลด

ภายนอกลด อุณหภูมิรางกาย

ความรอนจะออกรางกาย

และอัตรา metabolism ก็จะ

อัตรา metabolism จะ

ลดลงดวย

เพิ่มขึ้น

- พบในปลา , สัตวครึ่งบกครึ่ง

- พบใน สัตวปกและสัตว เลี้ยงลูกดวยนม

น้ํา ,สัตวเลื้อยคลาน

ระบบสืบพันธุ » มีการแลกเปลี่ยนสารพันธุกรรม เพื่อเพิ่ม

ความสามารถในการดํารงชีวิตในรุนลูกหลานตอไป

» แบงออกเปน 2 ประเภท คือ 50


1) การสืบพันธุแบบอาศัยเพศ (Sexual reproduction) • ลูกที่เกิดมามีความแปรผันทางพันธุกรรม การปฏิสนธิ (Fertilization) : มีการรวมกันของเซลล สืบพันธุ กลายเปนไซโกต - ภายนอก : ปลากระดูกแข็ง , สัตวครึ่ง บกครึ่งน้ํา - ภายใน : ปลากระดูกออน ,สัตวเลื้อยคลาน , สัตวปก , สัตวเลี้ยง ลูกดวยนม การถายโอน DNA (Conjugation): พบในแบคทีเรีย 2) การสืบพันธุแบบไมอาศัยเพศ (Asexual reproduction) • ลูกที่เกิดมาไมมีความแปรผันทางพันธุกรรม เหมือน พอแมทก ุ ประการ 2.1) Binary fission : แบงเซลลออกเปน 2 เซลล พบใน อะมีบา 2.2) Sporulation : การสรางสปอร 2.3) Parthenogenesis : การที่เซลลไขสามารถเจริญ เปนตัวออนได โดยไมตองอาศัยอสุจิ ลูกที่เกิดจะมี โครโมโซมเปน haploid (n) พบใน ผึ้ง , มด , ตอ , แตน

51


2.4) Regeneration : เกิดในสภาวะที่เหมาะสม (ตัวเต็ม วัย) พบใน พารามีเซียม , ดาวทะเล

ระบบสืบพันธุ o อวัยวะสืบพันธุเพศหญิง ประกอบดวย × รังไข (Ovary) : มี 2 ขาง ทําหนาที่ผลิตไขและ ฮอรโมนเพศ (estrogen + progesterone) × ทอนําไข (Oviduct) หรือปกมดลูก (Fallopian tube) : เปนทางเชื่อมระหวางรังไขทั้ง 2 ฝงกับมดลูก เปนทางผานของไข และจะเกิดเกิดการปฏิสนธิ บริเวณนี้ × มดลูก (Uterus) : เปนที่ฝงตัวของไขหลังการผสม แลว และเปนที่เจริญเติบโตของทารก × ชองคลอด (Vagina) :

52


ทางผานของอสุจิและทางออกของทารก มีสภาวะเปน กรด

o อวัยวะสืบพันธุเพศชาย ประกอบดวย × อัณฑะ (Testis) : ภายในมีหลอดสรางอสุจิ และสราง ฮอรโมนเพศชาย (Testosterone) จัดเปน ตอมเพศ ( Gonad ) จะถูกหุมดวย ถุงอัณฑะ ( Scrotum) × หลอดสรางอสุจิ (Seminiferous tubule) และ ทอนํา อสุจิ (Vasdeferens) ภายในหลอดสรางอสุจิบรรจุ 1. เซลลที่เกี่ยวของกับ การสรางอสุจิ 2. Sertoli cell เซลลที่นําสารที่จําเปนมาเลี้ยงอสุจิ 3. Leydig cell สราง Testosterone × หลอดเก็บอสุจิ ( Epididymis ) บริเวณที่พัก และกระตุนการทํางานของเซลลอสุจิ ตอมในระบบสืบพันธุเพศชาย × ตอมน้าํ เลี้ยงอสุจิ (Seminal vesicle) : สรางอาหาร (fructose , Vitamin C , protein globulin) 53


× ตอมลูกหมาก (Prostate gland) : หลั่งเบสออน × ตอมคาวเปอร (Cowper’s gland) : หลั่งของเหลวใส ๆ หลอลื่นทอปสสาวะ × องคชาติ (Penis) : ทอเปดของน้ําปสสาวะและน้ําอสุจิ

!!Note : สารจากระบบสืบพันธุเพศชาย (อสุจิ , อาหาร เลี้ยง , เบส , สารหลอลื่น) เรียกรวมวา Semen สามารถ ตรวจคนเปนหมันจากปริมาณอสุจิใน semen การที่ ปริมาณอสุจินอย เปนสาเหตุหนึ่งของการเปนหมัน

การตกไขและการเกิด

54


» การตกไข คือ การที่ไขสุกและออกจากรังไขสูทอนํา ไข

มีขั้นตอนดังนี้ 1. FSH จากตอมใตสมองสวนหนา กระตุนรังไข 2. รังไขสราง estrogen  ไขสุก , ลักษณะทางเพศ หญิง 3. LH จากตอมใตสมองสวนหนากระตุนใหไขตก 4. รังไขหลั่ง progesterone  ผนังมดลูกหนาตัว - มีอสุจิ  ปฏิสนธิ  ตัวออนฝงตัวที่ผนังมดลูก - ไมมีอสุจิ  ไมปฏิสนธิ  เกิดประจําเดือน

!!Note : รกของตัวออนสรางฮอรโมน HCG ซึ่งใชตรวจ การตั้งครรภได โดยออกมาปนกับปสสาวะแม

ช่วงของการมี ประจําเดือน

1

7

Follicular phase

14

21

Luteal phase

28

วันแรกของการมี ประจําเดือน 55


พันธุศาสตร (Genetics) o ลักษณะทางพันธุกรรม (Genetic character) » การ ถายทอดลักษณะของสิ่งมีชีวิตที่ควบคุมโดยยีนจากรุน หนึ่งสูรุนหนึ่งโดยในแตละสิ่งมีชีวิตอาจไมเหมือนกัน เกิดการแปรผันทางพันธุกรรม แบงเปน 1) ความแปรผันแบบตอเนื่อง ถูกควบคุมดวยยีนหลายคู แยกเปนรูปแบบยาก ( สีผิว สีตา ความสูง เปนตน ) 2) ความแปรผันแบบไมตอเนื่อง แยกออกเปนแตละ รูปแบบไดชัดเจน ( หมูเลือด การมีติ่งหู ลักยิ้ม เปนตน ) o หนวยพันธุกรรม (Gene) » หนวยกําหนดลักษณะตาง ๆ เชน สีผม , สีตา , โรคทางพันธุกรรมตาง ๆ ( ยีนเปนสวน หนึ่งของ DNA ) o ภายในนิวเคลียส จะมีโครโมโซมกระจายอยูเปนคู ๆ บน โครโมโซมแตละคูจะมียีนควบคุมลักษณะตาง ๆ มนุษยมี โครโมโซมทั้งหมด 46 แทง 23 คู แบงเปน 1. ออโตโซม (Autosome) หรือโครโมโซมรางกาย คู ที่ 1-22 เหมือนกันทั้งชายและหญิง

56


2. โครโมโซมเพศ (Sex chromosome) คูที่ 23 หญิง เปน xx / ชายเปน xy o สารพันธุกรรม (nucleic acid) เปน polymer ของ nucleotide o นิวคลีโอไทด (nucleotide) = นิวคลีโอไซด (nucleoside) + หมูฟอสเฟส o นิวคลีโอไซด = น้ําตาลเพนโทส (ribose , deoxyribose) + ไนโตรจีนัสเบส

o DNA – ในนิวเคลียสจะเปนแหลงเก็บสารพันธุกรรม (DNA) ที่ใชในการควบการสังเคราะหโปรตีน โดย DNA ของมนุษยที่อยูในนิวเคลียส จะพันรอบโปรตีนฮิส โทน (Histone protein) เรียกวา โครมาติน และใน สภาวะแบงเซลล เสนใยโครมาติน จะหดตัวเรียกวา โครโมโซม 57


DNA + Histone Chromatin

Chromatin Chromosome

รูปภาพแสดง ลักษณะของ chromosome

» เกรกเกอร เมนเดล “บิดาแหงวิชาพันธุศาสตร” กฎขอที่ 1 : กฎการแยกตัว (Laws of segregation) – ยีนอยูเปนคู เมื่อสรางเซลลสืบพันธุ จะแยกออกจากกัน อยางอิสระ กฎขอที่ 2 : กฎการรวมกลุมอิสระ (Laws of independent assortment) – ยีนในเซลลสืบพันธุจะมา รวมกันอยางอิสระ เมื่อมีการปฏิสนธิ 58


คําศัพทที่ควรรูเ กี่ยวกับ การถายทอดลักษณะทาง พันธุกรรม คําศัพท ยีนส gene

ความหมาย หนวยที่ทําหนาที่ในการ กําหนดลักษณะทาง พันธุกรรม ซึ่งเปนสวนหนึ่ง ของ DNA

อัลลีล alleles

รูปแบบในแตยีน โดยทั่วไป จะกําหนดโดยใชตัวอักษร ภาษาอังกฤษโดยยีนที่เปน คูอัลลีล (allele gene) จะมี ตําแหนง (locus) ตรงกันบน homologous chromosome

จีโนไทป genotype

ชุดของอัลลีลของสิ่งมีชีวิต มักอยูเปนคูๆ เชนยีนกําหนด ความสูงของตนถั่ว คือ Tt เปนตน

59


ฟโนไทป phenotype

ลักษณะที่แสดงออก

Homozygous allele

คูอัลลีลที่ประกอบดวย

เนื่องจากจีโนไทป รูปแบบอัลลีลเดียวกัน เชน TT เปนยีนที่มีลักษณะเดน ทั้งคู ( Homozygous dominant ) tt จะเปนยีนที่ลักษณะดอย ทั้งคู (Homozygous recessive)

Heterozygous allele

คูอัลลีลที่ประกอบดวย รูปแบบที่แตกตางกัน ลักษณะเดนจะขมลักษณะ ดอย เชน Tt

ลักษณะเดน dominant

ลักษณะที่แสดงออกมาเมื่อ เปน heterozygote

60

คําศัพท

ความหมาย

ลักษณะ recessive

ลักษณะที่ถูกขมไมใหแสดง ออกมาเมื่อเปน


heterozygote × Test cross

การนําสิ่งมีชีวิตที่สงสัยวา เปนลักษณะเดนหรือไมไป ผสมกับลักษณะดอยของ สิ่งมีชีวิตนั้น (tester) แลว สังเกตอัตราสวนของลูกที่ได

× Backcross :

เหมือนกับ Test Cross แต

เหมือนกับ Test

เปนการนํารุน F1 กลับไป

Cross แตเปนการนํา

ผสมกับพอหรือแม ดังนั้นจึง

รุน  F1 กลับไปผสมกับ

นิยมใชในพืช

พอหรือแม ดังนัน ้ จึง นิยมใชในพืช NOTE!! : Backcross ไมใชการตรวจสอบ genotype แต การผสมลักษณะนี้เปนการปรับปรุงพันธุพืชหรือสัตว ตัวอยางการคํานวณพันธุศาสตร ( เปนไปตามกฎของเมน เดล ) -ชายหญิงคูหนึ่งเปนพาหะของโรคธาลัสซีเมียทั้งคู แตงงาน กันและมีบุตรดวยกันจงหาโอกาสที่จะไดลูกไมเปน โรคธาลัสซีเมีย รุนพอแม: Tt x Tt 61


รุนลูก: T

t

T

TT

Tt

t

Tt

tt

จากตาราง punnet square มีลูกที่ไมเปนโรคคิดเปน 75%

ลักษณะที่ไมเปนไปตามกฎของเมนเดล (Extension of Mendelian Genetics) 1. การขมแบบไมสมบูรณ (incomplete dominance) - เกิดจากลักษณะทางพันธุกรรมหนึ่งขมอีกลักษณะหนึ่งได ไมสมบูรณ - สิ่งมีชีวิตที่เปน heterozygous จะก้ํากึ่งระหวางสอง ลักษณะ - อัตราสวนไมเทากับ 3 : 1

62


เชน ดอกลิ้นมังกรสีชมพู ( CPCp ) เกิดจากการผสม ระหวาง ดอกลิ้นมังกรสีแดง (CPCP) กับ ดอกลิ้นมังกรสีขาว (CpCp) 2. การขมรวม (co-dominance) - สิ่งมีชีวิตที่เปน heterozygote แสดงออกทั้งสองลักษณะ ของอัลลีล ระบุไมไดวาอันไหนเดน อันไหนดอย 3. multiple allele - ควบคุมดวยยีนเดี่ยว แตมีรูปแบบอัลลีลมากกวา 2 แบบ - เชนระบบหมูเลือด ABO ถูกควบคุมโดยอัลลีล IA, IB , i 4. Polygene - ลักษณะที่ถูกควบคุมดวยยีนมากกวา 1 คู --- เปนความ แปรผันแบบตอเนื่อง 5. pleiotropy - ยีน 1 ยีนควบคุมไดมากกวา 1 ลักษณะ - เชน ยีนควบคุมสีดอกของถั่วลันเตา สามารถควบคุมสีของ เมล็ดถั่วไดดวย Sex-linked gene ยีนบนโครโมโซมเพศ 63


โดยทั่วไปหมายถึงยีนบนโครโมโซม X เพราะพบไดทั้งสอง เพศ แบงออกเปน 2 กลุม คือ 1. X-linked recessive แสดงออกเมื่อจีโนไทปเปน homozygous recessive (ตาบอดสี ฮีโมฟเลีย(เลือดไมแข็งตัว) G-6 PD deficiency เปนตน) 2. X-linked dominance แสดงออกเมื่อจีโนไทปเปน homozygous dominance หรือ heterozygous, พบได นอยในธรรมชาติ เชน congenital hypertrichosis

64


พืช (Plant) แบงเปน

1. พืชใบเลีย ้ งเดีย ่ ว - เสนใบเรียงกันแบบขนาน - มีระบบรากฝอย

- ลําตนเปนขอปลองชัดเจน - ไมมีเนื้อเยื่อเจริญ cambium  ไมมีการเจริญ ดานขาง - กลับดอกมีจํานวนเปน 2 หรือ ทวีคูณของ 3 2. พืชใบเลีย ้ งคู - มีใบเลี้ยง 2 ใบ

- ลักษณะเสนใบเปนรางแห - มีระบบรากแกว

- ไมมีขอปลองชัดเจน - มีเนื้อเยื่อเจริญ cambium  มีการเจริญออก ดานขาง - กลีบดอกมีจํานวนเปน 4-5 หรือ ทวีคูณของ 4-5

65


ภาพ โครงสรางภาคตัดขวางของลําตนพืชใบเลี้ยงเดีย ่ ว (ขวา) และใบเลีย ้ งคู (ซาย)

ลักษณะเส้ นใบ

พืชใบเลี ้ยงเดี่ยว

พืชใบเลี ้ยงคู่

เส้ นใบเรี ยงกันแบบขนาน

เส้ นใบเรี ยงกันเป็ นร่างแหและมี ใบเลี ้ยง 2 ใบ

ระบบราก ข้ อปล้ องที่ลําต้ น เนื ้อเยื่อcambium จํานวนกลีบดอก

ระบบรากฝอย

ระบบรากแก้ ว

ลําต้ นเห็นข้ อปล้ องชัดเจน

ลําต้ นไม่มีข้อปล้ องชัดเจน

ไม่มีเนื ้อเยื่อcambiumและไม่มี มีเนื ้อเยื่อ cambium และมีการ การเจริ ญด้ านข้ าง

เจริ ญออกด้ านข้ าง

กลีบดอกมีจํานวนเป็ น 2 หรื อ

กลีบดอกมีจํานวนเป็ น 4-5 หรื อ ทวีคณ ู ของ 4-5

ทวีคณ ู ของ 3

!!Note : พืชใบเลี้ยงเดี่ยวมีวิวัฒนาการสูงกวาพืชใบเลี้ยงคู (ทอลําเลียงกระจาย ตัดไมตาย)

66


การลําเลียงสารในพืช × การลําเลียงน้ํา (Water transport)

-

จากในดินเขาสูทอลําเลียงในราก ในสมัยกอน นักวิทยาศาสตรเชื่อวาน้ําแพรเขา สูรากพืชดวยการ diffusion ทั่วไป แตปจจุบัน พบวา บริเวณ cell membrane ของ root hair มีโปรตีน aquaporin อยูจํานวนมาก (นําน้ําเขา สูในรากพืชโดย facilitated diffusion) เสนทางในการไปตอ

67


1. transmembrane route (ผานเยื่อหุมเซลล ตางๆในราก) 2. Apoplast route (ผานผนังเซลลและสวนที่ อยูนอกเซลล) 3. Symplast route (ผานพลาสโมเดสมาตาบน Plasmodesmata คือ รูขนาดเล็กที่เชื่อมเซลลพืชสองเซลลเขา ผนั งเซลล) ดวยกัน ทําหนาที่สื่อสาร และสงสารตางๆระหวางเซลล

-

-

จากทดอ าเลียนงในรากไปยอด(ใบ) ภาพแสดงการดู ซึมลํ นํ ้าจากในดิ เข้ าสูร่ าก จากหนังสือ essential biology

ปจจัยหลัก คือแรงดึงจากการคายน้ํา (Transpiration pull) จากการคายน้ําของพืช

68


และ adhesion และ cohesion จึงเกิดการดูด น้ําเขาสูราก เพื่อทดแทนโมเลกุลน้ําที่เสียไป Note!! : การคายน้ําเปนปจจัยสําคัญของการลําเลียงน้ํา

คือการคายนํ ้าในรูปหยดนํ ้าทีเ่ กิดจากแรงดันราก แรงดันรากเกิดภายในพืชขนาดเล็กที่ อยูใ่ นสภาพอากาศเย็นและความชื ้นสูง จะมีการลําเลียงแร่ธาตุเกิดขึ ้นตลอดเวลาถึงแม้ จะไม่มีการ คายนํ ้า ทําให้ ความเข้ มข้ นภายในท่อลําเลียงสูง นํ ้าจึงแพร่เข้ ามาอย่างต่อเนื่องทําให้ เกิดเป็ นแรงดัน ขึ ้น นะจ๊ ะ Guttation

-

จากใบออกสูสิ่งแวดลอม --- การคายน้ํา transpiration เปนการสูญเสียน้ําในรูปของไอน้ํา เกิดได 2 บริเวณ คือ

ปากใบ และ lenticels (รอยแตกของเปลือกไม) 69


ภาพแสดงขั้นตอนการเปดปากใบเพื่อคายน้ํา จากหนังสือ essential biology

ปจจัยที่มีผลตอการคายน้ํา - อุณหภูมิ

- ความชื้นสัมพัทธ - ลม

- ปริมาณน้ําในดิน

- ความเขมแสง

- ปริมาณ CO2 ในใบ

× การลําเลียงอาหาร (Phloem translocation) 1. เซลลที่มีน้ําตาลจะสงน้ําตาลไปสู companion cell และ sieve tube ตามลําดับ 2. ความเขมขนภายในเซลลเพิ่มขึ้น น้ําจากไซเล มออสโมซิสเขาสู sieve tube 3. น้ําและน้ําตาลเกิดการแพรไปยังเซลลอื่น

70


รูปแสดงการลําเลียงน้ําตาลใน phloem

การสืบพันธุของพืชดอก 1. กลีบเลีย ้ ง (Sepal) เปนสวนของดอกที่อยูนอกสุด เจริญ เปลี่ยนแปลงมาจากใบ จึงมักมีสีเขียว ทําหนาที่หอหุม ปองกันอันตรายตางๆ ใหแกสวนในของดอก 2. กลีบดอก (Petal) เปนสวนของดอกที่อยูถัดจากกลีบ เลี้ยงเขาไปขางใน มักมีสีสันตางๆ สวยงาม เนื่องจากมี รงควัตถุชนิดตาง ๆ ละลายอยูในแวคิวโอล 3. เกสรตัวผู (Stamen) เปนสวนของดอกที่จําเปนในการ สืบพันธุ ทําหนาที่สรางเซลลสืบพันธุเพศผู 4. เกสรตัวเมีย (Pistil or carpel) เปนสวนของดอกที่อยูใน สุด และจําเปนในการสืบพันธุ ทําหนาที่สรางเซลล สืบพันธุเพศเมีย 71


1. ดอกสมบูรณ (complete flower) มีโครงสรางหลัก ครบ 4 ไดแก กลีบเลี้ยง , กลีบดอก , เกสรตัวผู และ เกสรตัวเมีย 72


2. ดอกไมสมบูรณ (incomplete flower) ขาดโครงสราง หลักอยางใดอยางหนึ่ง 3. ดอกสมบูรณเพศ (perfect flower) มีเกสรตัวผูและตัว เมียในดอกเดียวกัน 4. ดอกไมสมบูรณเพศ (imperfect flower) ดอกมีการ แยกเพศ !!Note : ดอกไมสมบูรณอาจเปนดอกสมบูรณเพศ แต ดอก ไมสมบูรณเพศเปนดอกไมสมบูรณ » การสรางเซลลสบ ื พันธุเ พศเมีย เกิดภายในรังไข (อาจ มี 1 หรือหลายออวุล) โดย megaspore mother cell (2n) แบงเซลลแบบ meiosis ได 4 เซลล หลังจากนั้น จะสลายไป 3 เซลล อีกเซลลที่เหลือเรียก megaspore ตอมา megaspore แบงแบบ mitosis 3 ครั้ง ได 8 นิวเคลียส และมี cytoplasm ลอมรอบไว เปน 7 เซลล ในระยะนี้ 1 megaspore จะพัฒนาเปน embryo sac หรือ female gametophyte

73


» การสรางเซลลสบ ื พันธุเ พศผู เกิดในอับเรณู (anther) โดยมี microspore mother cell (2n) แบงเซลลแบบ meiosis ได 4 microspore แตละเซลลจะมี โครโมโซม n จากนั้น microspore จะแบงเซลลแบบ mitosis ได 2 nucleus คือ generative n. และ tube n. เรียกวาละอองเรณู (pollen gain) หรือ male gametophyte

!!Note : ปรากฏการณที่ละอองเรณูตกลงสูยอดเกสรตัวเมีย เรียก การถายละอองเรณู (pollination)

» หลังการถายละอองเรณู tube nucleus งอกหลอดไป ตามกานเกสรตัวเมีย » generative nucleus 2 sperm » 1st sperm ปฏิสนธิกับเซลลไขได zygote (2n) » 2nd sperm ปฏิสนธิกับ polar nuclei ได endosperm (3n) 74


» หลังการปฏิสนธิ ออวุลเจริญเปนเมล็ด และรังไข เจริญเปนผล

» แตมีผลที่เกิดจากฐานรองดอก ไดแก ชมพู , แอปเปล , สาลี่ , ฝรั่ง  “ผลเทียม”

1. ผลเดี่ยว (simple fruit) : เกิดจากดอกเดี่ยวหรือดอก ชอที่มี 1 รังไข 2. ผลกลุม (aggregate fruit) : เกิดจาก 1 ดอก หลายรัง ไข อยูแยกหรือติดกันก็ได บนฐานรองดอกเดียวกัน เชน นอยหนา , จําป , จําปา , กระดังงา , สตรอเบอรรี่ , การเวก , นมแมว 3. ผลรวม (multiple fruit) : เกิดจากรังไขของดอกแตละ ดอกของดอกชอเชื่อมรวมกันแนน รังไขเหลานี้จะ หลายเปนผลยอย ๆ เชื่อมรวมกันแนน คลายผลเดี่ยว เชน สัปปะรด , ขนุน , สาเก , ลูกยอ , หมอน , มะเดื่อ

75


76


อนุกรมวิธาน (Taxonomy) - Domain - Kingdom - Phylum - Class - Order - Family - Genus - Species o สิ่งมีชีวิตเปนพวกโปรคาริโอต o การสืบพันธุ - แบบไมอาศัยเพศ = binary fission - แบบอาศัยเพศ = conjugation o ไดแก แบคทีเรีย , สาหรายสีน้ําเงินแกมเขียว (cyanobacteria) : spirulira , nostoc , anabaena o สิ่งมีชีวิตเปนพวกยูคาริโอต o ไมมีเนื้อเยื่อและระยะเอ็มบริโอ o กลุมคลายสัตว : Protozoa 77


o กลุมคลายพืช : Algae

o กลุมคลายรา

o สิ่งมีชีวิตเปนพวกยูคาริโอต o ไมมีเนื้อเยื่อและระยะเอ็มบริโอ 78


o มีผนังเซลลเปนสารพวกไคติน o ไมมีคลอโรพลาสต o ดํารงชีวิตเปนผูยอยสลายหรือปรสิต o ไดแก เห็ด รา และยีสต

o สิ่งมีชีวิตเปนพวกยูคาริโอต o ผนังเซลลเปน cellulose o มีคลอโรพลาสตในบางเซลล ดํารงชีวิตเปนผูผลิต o เปน multicellular และทําหนาที่รวมกันเปนเนื้อเยื่อ จึงมี ระยะเอ็มบริโอ o ดํารงชีวิตเปนผูผลิต

79


o แบงเปน

80


การจัดหมวดหมูสิ่งมีชีวิต 1. การรวมกันเปนเนื้อเยื่อ

2. จํานวนชั้นของเนื้อเยื่อ (ในสัตวกลุมที่มีเนื้อเยื่อ แทจริง)

3. ชองวางในรางกาย (coelom) (ในสัตวที่มีเนื้อเยื่อ 3 ชั้น)

81


การจําแนกสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรสัตวแบงได 9 phylum หลัก ดังนี้ 1. P. Porifera

เชน ฟองน้ํา

2. P. Cnidaria

เชน ไฮดรา , ดอกไมทะเล ,

ปะการัง , กัลปงหา 3. P. Platyhelminthes เชน พลานาเรีย , หนอนตัว แบน , พยาธิใบไม , ตัวตืด 4. P. Nematoda

เชน หนอนตัวกลม

5. P. Mollusca

เชน หอย , หมึก , ลิ่นทะเล

6. P. Annelida

เชน ไสเดือนดิน , แมเพรียง ,

ทากดูดเลือด 7. P. Arthropoda

เชน แมงมุม , แมงดาทะเล ,

กุง , กั้ง , ปู 8. P. Echinodermata 9. P. Chordata

เชน เพรียงหัวหอม , amphioxus ,

สัตวมีกระดูกสันหลัง

82

เชน ดาวทะเล , ปลิงทะเล


ระบบนิเวศ (Ecosystem) × ระบบความสัมพันธของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยูในแหลงใด แหลงหนึ่ง แบงเปน 2 ลักษณะ

1.)

ความสัมพันธทางชีวภาพ » กลุมสิ่งมีชีวิตดวยกัน

2.)

ความสัมพันธทางกายภาพ » สภาพแวดลอมใน

บริเวณนั้น เชน แสง , อากาศ , น้ํา เปนตน

83


1. ระดับประชากร (population) : ระบบที่มีสิ่งมีชีวิตชนิด เดียวกัน ตั้งแต 2 ตัวขึ้นไป อยูในบริเวณและชวงเวลา เดียวกัน เชน นักเรียนหอง 943 ในคาบชีววิทยา , มด ในรัง , นก 2 ตัวบนตนไม เปนตน 2. ระดับชุมนุมสิง่ มีชว ี ต ิ (community) : ระบบที่สิ่งมีชีวิต ตั้งแต 2 ชนิดขึ้นไป อยูในบริเวณและชวงเวลาเดียวกัน เชน ปูและปลาในน้ํา , นกเอี้ยงเกาะบนหลังควาย เปน ตน 3. ระดับระบบนิเวศ (ecosystem) : ระบบที่มีความสัมพันธ ของชุมนุมสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอม มีการหมุนเวียนของ สสารและพลังงานเปนวัฏจักร 4. ระดับชีวภาค (biosphere) : ความสัมพันธของสิ่งมีชีวิต ทุกชนิดบนโลก

 ลิต (producer) : เปลี่ยนสารอนินทรียเปน o ผูผ สารอินทรีย ไดแก พืชและสาหรายทุกชนิด , แบคทีเรียและโปรโตซัวบางชนิด

84


o ผูบ  ริโภค (consumer) : สัตวทุกชนิด , โปรโตซัวบาง ชนิด  ยสลาย (decomposer) : สิ่งมีชีวิตจําพวก fungi o ผูยอ !!Note : แรง , ไสเดือนดิน , กิ้งกือ เปนสัตวบริโภคซาก (Scavenger) เปนสวนหนึ่งของ consumer นะ

1. ภาวะลาเหยือ ่ (predation) (+,-) » เหยื่อตายในทันที เรียก pray » เชน เสือกับกวาง , สิงโตกับมาลาย 2. ภาวะปรสิต (parasite) (+.-) » เหยื่อไมตายทันที เรียก host » เชน พยาธิตาง ๆ , กาฝาก/ฝอยทองบนตนไม 3. ภาวะพึง่ พา (mutualism) (+,+) » แยกกันแลวตาย

85


» เชน ไลเคน (รา+สาหราย) , โปรโตซัวในลําไส ปลวก , E.coli ในลําไสคน , โปรโตซัวที่ราก ตระกูลสน , แบคทีเรียที่ปมรากพืชตระกูลถั่ว 4. ภาวะอิงอาศัย (commensalism) (+,o) » เชน กลวยไมบนตนไม , เหาฉลามกับฉลาม 5. ภาวะไดประโยชนรว  มกัน (protocooperation) (+,+) » แยกกันแลวไมตาย » เชน แมลงกับดอกไม , ปูเสฉวนกับดอกไมทะเล , นกเอี้ยงกับควาย 6. ภาวะแขงขัน (competition) (-,-) » เชน เสือกับสิงโต , ตนถั่วในกระถางเดียวกัน 7. ภาวะเปนกลาง (neutralism) (o,o)

o เปนตามกฎ 10% (นําไปสรางเนื้อเยื่อ) พลังงานที่เสีย ออกไปเปนความรอนจากการหายใจมากที่สุด o Food chain หวงโซอาหาร o Food web สายใยอาหาร : หวงโซอาหารที่มีความ ซับซอนมาก ยิ่งซับซอน ระบบนิเวศยิ่งสมบูรณ 86


1. เปลือกของกุง มีสารใดเปนองคประกอบหลักมากที่สุด และจัดเปนสารชีวโมเลกุลประเภทใด 1) Cutin – Lipid

2) Chitin –

Carbohydrate 3) Cellulose – Carbohydrate

4) Suberin –

Protein 2. การเคลื่อนที่แบบ peristalsis ไมพบในอวัยวะใด ก. หลอดเลือด ข. ลําไสใหญ ง. หลอดลม 1) ก,ข

2) ก,ค

ค. หลอดอาหาร 3) ก,ง

4) ข,ค

3. สารคัดหลั่งจากอวัยวะใดในทางเดินอาหาร เมื่อผสมกับ น้ํามันพืชแลวเกิดกรดไขมันและกลีเซอรอล ก. ถุงน้ําดี ข. กระเพาะอาหาร ออน 1) ก,ค

2) ก,ง

ค. ดูโอดีนัม

ง. ตับ

3) ข,ง

4) ค,ง

4. การขับถายของเสียที่ไดจากโปรตีนของสัตวขอใด ถูกตอง 1 ) 2 )

ปลา ยูเรีย ยูเรีย

ไก วาฬ แอมโม ยูริก เนีย ยูริก แอมโมเ นีย 1


3 แอมโม ) เนีย 4 ยูริก )

ยูริก

ยูเรีย

ยูเรีย

แอมโมเ นีย

5. เมื่อนําแผนสไลดที่มีตัวอักษร T ไปสองดูดวยกลอง จุลทรรศนแบบใชแสง ภาพที่มองเห็นจะเปนอยางไร 1)

2)

3)

4)

6. ขอใดกลาวถูกตองเกี่ยวกับผนังเซลล 1. พบในโปรคาริโอต และยูคาริโอตบางชนิด 2. ยอมใหสารผานไดอิสระโดยไมตองอาศัยพลังงาน 3. มีสวนประกอบหลักเปนเซลลูโลสเทานั้น 1) 1,2

2) 2,3

3) 1,3

4)

1,2,3 7. Contractile vacuole ที่พบในสิ่งมีชีวิตเซลลเดียว ทํา หนาที่ใด 1) ยอยอาหาร 3) กําจัดน้ําสวนเกิน

2) กําจัดกากอาหาร 4) ขอ 2 และ 3

8. ออรแกนแนลลที่สราง ATP คือออแกนแนลลในขอใด 1) ไมโทคอนเดรีย คลอโรพลาสต 2

2) ไมโทคอนเดรียและ


3) ไรโบโซม

4) SER

9. การหลั่งเพปซิโนเจนออกจากเซลลผนังกระเพาะอาหาร อาศัยกระบวนการใด 1) การแพร

2) เอกโซไซโทซิส

3) ฟาซิลิเทต

4) แอกทีฟทรานสปอรต

10. เมื่อแชสาหรายในน้ําจืด สาหรายจะมีการปรับตัว อยางไร เพื่อใหความเขมขนกลับมาเปนปกติ 1) เพิ่มความเขมขนของน้ํา เซลล

2) นํา K+ออกจาก

3) เพิ่มการสังเคราะหแสงมากขึ้น น้ํา

4) เติม K+ลงไปใน

11. การยอยแปงและน้ําตาล ตองอาศัยน้ํายอยจากอวัยวะ ใดบาง 1) กระเพาะอาหาร , ตับ , ตับออน 2) ตอมน้ําลาย , ตับออน , ลําไสเล็ก 3) ตอมน้ําลาย ,ตับ , ตับออน 4) ตับ , ตับออน , ลําไสเล็ก 12. เมื่อหายใจเขา อวัยวะใดบางที่มีการหดตัว A. กลามเนื้อซี่โครงแถบใน นอก C. ทอง

B. กลามเนื้อซี่โครงแถบ

D. กะบังลม 3


1) B , D

2) A , C

3) B ,C ,D

4) A , B ,D 13. ขอใดถูกตองเกี่ยวกับอัตราการเตนของหัวใจ และ ความดันเลือดในคนปกติ อัตราการเตน ของหัวใจ 1) แปรตามอายุ 2) ผกผันกับอายุ 3) ผกผันกับอายุ 4) คงที่ตลอด

ความดัน เลือด ผกผันกับ อายุ แปรตามอายุ คงที่ตลอด แปรตามอายุ

14. สัตวมีกระดูกสันหลัง ขอใดที่มีสัดสวนของสมอง สวนกลางตอสมองทั้งหมดสูงสุด 1) ฉลาม

2) จระเข

3) งู

4) วาฬ

15. เมื่อรางกายเปนไข จะมีอุณหภูมิสูงผิดปกติ เนื่องมาจาก การทํางานของสมองสวนใด 1) ซีรีบรัม

2) ซีรีเบลลัม

3) ไฮโพทาลามัส

4) ทาลามัส

16. ผลิตภัณฑในขอใดถือเปนของเสียจากการขับถาย 1) น้ํามูก อาหาร 4

2) ขี้หู

3) เหงื่อ

4) กาก


17. จากกราฟแสดงความสัมพันธระหวางอุณหภูมิรางกาย และอุณหภูมิสิ่งแวดลอมของกและ ข

ก และ ขเปนสัตวชนิดใด ตามลําดับ 1) ฉลามและกบ

2) นกและกิ้งกา

3) หมูและเพนกวิน

4) เตาและโลมา

18. สิ่งมีชีวิในขอใดตอไปนี้ เรียงลําดับวิวัฒนาการได ถูกตอง 1) เห็ด แบคทีเรีย อะมีบา 2) สาหรายสีเขียว สาหรายสีเขียวแกมน้ําเงิน มอส 3) หนอนตัวแบน ฟองน้ํา ดาวทะเล 4) สาหรายสีน้ําตาล สนสองใบพืชใบเลี้ยงคู 19. สิ่งมีชีวิตในขอใดที่นักวิทยาศาสตรไมจัดเปนเซลล 1) ไวรัส

2) ฟงไจ

3) โปรติส 4) แบคทีเรีย

20. โปรตีน มีความแตกตางจากแปงอยางไร 1) มีแรธาตุที่มีความจําเปนตอรางกายมากกวา 2) ใหพลังงานมากกวา 3) มีวิตามินสะสมในโมเลกุลมากกวา 5


4) มีสวนประกอบหลักหลากหลายชนิดมากกวา 21. สัตวชนิดใดมีหัวใจ 2 หอง และ 4 หองสมบูรณ ตามลําดับ 1) กบ , คน

2) โลมา , จระเข

3) ปลาสวาย , มา

4) เขียด , ไก

22. หากทอน้ําของเรามีปญหา จะมีผลตอกระทบตอระบบ ยอยอาหารอยางไร 1) เอนไซมบางสวนจะไมถูกสงมาที่ลําไสเล็ก 2) การยอยไขมันที่ลําไสเล็กจะไมเกิดขึ้น 3) การยอยไขมันจะเกิดอยางชา ๆ 4) เอนไซมในลําไสเล็กจะเสียสภาพการทํางาน เนื่องจากมีคา pH ที่ไมเหมาะสม 23. ขอใดถูกตองเกี่ยวกับเซลลสัตว 1) เซลลสัตวบางเซลลไมจําเปนตองมีนิวเคลียส 2) เซลลสัตวที่มี secondary cell wall จะตองมี primary cell wall มากอน 3) มีชองระหวางเซลลที่เรียกวา plasmodesmata 4) นิวเคลียส ควบคุมการทํางานของออรแกนแนลลตาง ๆ ผานทางการสรางไขมัน 24. ในเซลลเม็ดเลือดขาวจะมีออรแกนแนลลชนิดใดอยู มาก 6


ก. RER ข. SER

ค. Mitochondria

ง. Golgi

body 1) ข

2) ก ,ข

3) ก , ง

4) ก , ค 25. กระบวนการทําลายออรแกนแนลลที่หมดสภาพแลว ของไลโซโซม เรียกกระบวกการนี้วาอะไร 1) autophagy

2) autolysis

3) autonomic

4) cell eating

26. ขอใดเปนสิ่งมีชีวิตประเภทโปรคาริโอต 1) อะมีบา

2) รา

3) สาหรายสีเขียว

4) สาหรายสีเขียวแกมน้ําเงิน

27.การแลกเปลี่ยนแกสของอวัยวะใดไมเกี่ยวของกับblood circulation 1) lung

2) gill

3) trachea

4) book lung 28.ขอใดกลาวผิดเกี่ยวกับxylem 1) การคายน้ําจะอาศัยแรงดึงของโมเลกุลน้ําและผนัง xylem 2) รากลําเลียงน้ําโดยอาศัย osmotic pressure 7


3) เกี่ยวกับแรงดึงจากการคายน้ํา 4) ลําเลียงน้ํารวมกับphloem 29.สมองสวนใดคือ สวนของการทําใหอวัยวะทํางาน ประสานงานกันได 1) cerebrum

2) cerebellum

3) hypothalamus

4) medulla

oblongata 30.ถาเปรียบเทียบสารอาหารที่อยูในเซลลเปนธนาคาร แลวสิ่งใดคือเงินสดหมุนเวียน 1) กลูโคส 3) กรดอะมิโน

2) ไขมัน 4) แปงหรือไกลโครเจน

31.เมื่อรับประทานขาวเหนียว รางกายจะยอยจนดูดซึมไป ใชไดโดยสงเอนไซมมาจากแหลงใดบาง 1) ตอมน้ําลาย , กระเพาะอาหาร 2) กระเพาะอาหาร , ลําไสเล็ก 3) ตอมน้ําลาย , ตับออน และลําไสเล็ก 4) ตอมน้ําลาย , ตับ , ตับออน และลําไสเล็ก 32. กําหนดให ก = พารามีเซียม ข = ยุง ค = กุง ง = งู ดิน เลือดของสิ่งมีชีวิตพวกใดไมมีสี 8


1) ก และ ข 4) ก และ ค

2) ข และ ค

3) ค และ ง

33.การปลูกกลวยไมตระกูลหวาย เมื่อปลูกไปนานๆ จะออก ดอกชิดกันมากจนดอกเบียดกัน ควรใชสารเคมีชนิดใดยืด ชอกลวยไม 1) ออกซิน 2) เอทีลีน 3) ไซโตไคนิน 4) จิบเบอเรลลิน 34.มดดําและเพลี้ยอาศัยอยูรวมกันบนตนมะมวง” ขอใด เกี่ยวของกับขอความนี้มากที่สุด 1) ประชากร 3) ระบบนิเวศ

2) แหลงที่อยู 4) กลุมสิ่งมีชีวิต

35.ความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิตคูใดที่เหมือนกัน ก. กบบนใบบัว ใหญ ค.เห็บบนตัวสุนัข 1) ก และ ข

ข. แบคทีเรียในลําไส ง.นกเขาบนตนมะมวง 2) ก และ ค

3)ก และ ง

4) ก, ข และ ค 36.ลักษณะของการออกดอกที่ยอดเปนลักษณะเดน ออก ดอกที่ลําตนเปนลักษณะดอย แลวสงสัยวาตนที่มีอยูเปน heterozygousหรือไม ตองทําอยางไร 1) นํามาผสมกับลักษณะดอกที่ยอด 2) นํามาผสมกับ ลักษณะออกดอกที่ลําตน 9


3)นํามาผสมกับตัวเอง

4) นํามาจัดเรียง

karyotype 37.ไคทิน คิวทิน เพกทิน จัดเปนสารประเภทใดตามลําดับ 1) คารโบไฮเดรต ,ลิพิด, โปรตีน

2) คารโบไฮเดรต

, โปรตีน , ลิพิด 3)ลิพิด, ลิพิด , โปรตีน

4) คารโบไฮเดรต , ลิพิด

, คารโบไฮเดรต 38.ในการถายทอดพลังงานในหวงโซอาหาร พลังงานจะ สูญเสียไปในกระบวนการใดมากที่สุด 1) การเจริญเติบโต 2) การเคลื่อนไหว หายใจ 4) การขับถาย

3)การ

39.ศึกษาแผนภาพตอไปนี้ Aและ B หมายถึงขอใด ตามลําดับ กระบวนการหายใจของพืช A + O2

CO2 + B

การสังเคราะหดวยแสง 1) น้ําและพลังงาน 10

2) กลูโคสและน้ํา


3) น้ําและออกซิเจน พลังงาน

4) กลูโคสและ

40.ขอใดถูกตอง 1) ภูมิคุมกันที่ทารกไดจากพอแมสามารถคุมกันโรคได ทุกชนิด 2) วัคซีนปองกันโรคไทฟอยดผลิตจากจุลินทรียที่มีชีวิต 3) มามเปนอวัยวะน้ําเหลืองที่ขนาดใหญที่สุดของคน 4) สวนประกอบหลักของเซรุมคือสารพิษของจุลินทรียที่ หมดสภาพความเปนพิษแลว 41.การที่คนเราสามารถกลั้นหายใจไดขณะดําน้ําเปนผลมา จากการทํางานของสมองสวนใด 1) พอนส เทกซ

2) ซีรีบรัลคอร

3) เมดัลลาออบลองกาตา

4) ถูกทุกขอ

42.บริเวณที่มีการแลกเปลี่ยนแกสคือขอใด ก. ถุงลมของแมลง

ข. ถุงลมของคน

ค.ทอลมฝอยของแมลง

ง.นกเขาบนตนมะมวง

1) ก

2) ก ,ข

3) ข, ค

4) ก , ข, ค 43. ขอใดถูกตองเกี่ยวกับตับ ก.ภูมิคุมกันที่ทารกไดจากพอแมสามารถคุมกันโรคได ทุกชนิด 11


ข.วัคซีนปองกันโรคไทฟอยดผลิตจากจุลินทรียที่มีชีวิต ค. มามเปนอวัยวะน้ําเหลืองที่ขนาดใหญที่สุดของคน 1) ก

2) ก ,ค

3) ก , ข

4) ข, ค 44.การแบงเซลลในระยะใดที่มีผลตอการเกิดการกลาย พันธุนอยที่สุด 1) prophase I

2) prophase II

3) metaphase I

4) metaphase II

45.ขอใดเปนบทบาทการทํางานของ intermediate filament 1) การงอกของpollen tube 2) การเกิดcyclosis 3) องคประกอบของไมโครวิลไลในduodenum 4) องคประกอบของเสนใยเคราตินในสัตว 46.โรคพันธุกรรมชนิดหนึ่งเกิดจากยีนดอยบนโครโมโซม รางกาย หากพอและแมเปนพาหะของโรคนี้ จงหาโอกาสที่ ลูกคนแรกจะเปนผูชายที่ไมเปนโรค

12


1) 1/8 4) 3/4

2) 3/8

3) 1/2

47.เซลลในขอใดมีลิกนินอยูเปนสวนประกอบของผนัง เซลล 1) collenchyma cell

2) parenchyma

cell 3)sieve tube cell

4) sclerenchyma

cell 48.ไฮดราสามารถสืบพันธุแบบใดไดบาง ก. binary fission

ข. budding

ค.

regeneration ค

1) ก

49.

2) ข จํานวน

3) ก ,ข

4) ข ,

A

B

เวล

13


จากกราฟ อธิบายตามหลักชีววิทยาตามขอใด 1) ภาวะแกงแยง

2) ภาวะ symbiosis

3) ภาวะปรสิต ของประชากร

4) อัตราการเกิดการตาย

50.ในแตละวันหลอดเลือดใดมีการเปลี่ยนแปลงของระดับ กลูโคสในเลือดมากที่สุด 1) จากหัวใจไปตับ ลําไสเล็ก 3) จากลําไสเล็กไปตับ เล็กไปหัวใจ

14

2) จากหัวใจไป 4) จากลําไส


ในสวนวิชาภาษาอังกฤษ พีๆ่ จะแบงใหนอ  งดังนีน ้ ะ 1. เนือ ้ หา 1.1 Grammar 1.1.1 Agreement of subject and verb 1.1.2 Direct and Indirect speech 1.1.3 If-clauses 1.1.4 Non-finite verb 1.1.5 Tense 1.2 Vocabulary – สรุปแนวทางในการทํา ขอสอบ vocabulary part 1.2.1 Meaning in Context 1.2.2 Odd one out 1.2.3 Synonym - Antonym 2. EPITOME Test มีทงั้ หมด 5 ชุด ชุดละ 30 ขอ


♥ Agreement of Subject and Verb ♥ 1. One of the + N.พหูพจน + V.เอกพจน = หนึง่ ในจํานวนมากๆ เชน One of the boys is sick. 2. Both 1 and 2 + V.พหูพจน = ทั้ง 1 และ 2 เชน Both the captain and the crew are having dinner. 3. Neither 1 nor 2 + V.ตามประธานตัวที2 ่ = ไม ทัง้ คู เชน Neither Ann nor her friends have gone home. 4. Either 1 or 2 + V.ตามประธานตัวที2 ่ อันใดก็อน ั หนึง่

= ไม


เชน Either the waiter or the maids have to be responsible. 5. Not only 1 but also 2 + V.ตามประธานตัวที2 ่ = ไมเพียงแต 1 แตยงั 2 เชน Not only him but also his friends have to be punished. 6. 1

as well as

2 + V.ตามประธานตัว

ที่1 = เชนเดียวกันกับ accompanied by with together with เชน John, accompanied by his friends, has gone fishing. 7. The number of + N.พหูพจน + V.เอกพจน = จํานวน เชน The number of cars is increasing. 8. A number of + N.พหูพจน + V.พหูพจน จํานวน

=


เชน A number of students were late this morning. 9. Someone

Everyone Anyone No

one Somebody

Everybody

Nobody Something

Anybody

+ V.เอกพจน Everything

Anything

Nothing เชน Nobody is perfect. 10. The +

old , blind , dumb , rich

+ V.พหูพจน sick, deaf , handicapped , poor เชน The wounded were taken to the hospital. ♥ Direct and Indirect Speech ♥ สําหรับบทนี้นะคะ เปนเรื่องที่วาดวยการเอา


คําพูดที่พูดไปแลวมาคุยกันอีกครั้งอาจเปนกับคนอื่น ที่ไมไดอยูในเหตุการณดวย เชน เราบอกเพื่อนวา เมื่อคืนณเดชนชมเราวาสวยอยางนั้นอยางนี้ อิอ> ิ _< Direct Speech คือ การยกคําพูดจริงๆของผู พูดทั้งหมดมาเลาใหฟงโดยไมเปลี่ยนแปลง โดยใส คําพูดนั้นไวในเครื่องหมายคําพูด “…” โดยมี comma , คั่นกลางระหวางประโยคที่ยกมาพูดถึง และ ประโยคหลัก โดยประธานที่อยูในเครื่องหมาย คําพูดจะตองเปนตัวใหญเสมอ เชน He said, “I will clean the house.” “My name is Mike”, he said. Indirect Speech (Reported Speech) คือ การนําคําพูดมารายงานใหผูอื่นฟง หรือ การ ดัดแปลงคําพูดมาใหเปนคําพูดของผูเลานั่นเอง (การ เอาเฉพาะใจความมาบอกไมไดใสประโยคไวใน เครื่องหมายคําพูดเหมือนอันแรกอะคะ ^_____^) เชน He said he would clean the house. โดยการพูดแบบ Indirect speech นั้นอาจตองมีการ เปลี่ยนแปลงในหลายๆจุด ดังตอไปนี้ ตารางการเปลี่ยน Tense ใน Indirect Speech


Direct Speech

Indirect Speech

Present simple

Past simple

Tense

Tense

Present

Past continuous

continuous

Tense

Tense Past simple

Past perfect

Tense

Tense

Past

Past Perfect

Continuous

Continuous

Tense

Tense

Present

Past perfect

perfect Tense

Tense


Future simple

Future in past

Tense (will)

forms Tense (would)

Direct Speech

Indirect Speech

Can

Could

May

Might

Shall

Should

Must

Had to

คําระบุเวลาที่ตองเปลี่ยนรูปใน Indirect Speech Direct Speech

Indirect Speech

ago

before, earlier


a year/month ago

a year/month before, the previous year/month

last…

the…before, the

(night/week/moth/year)

previous…

next…

the following…,

(night/week/moth/year)

the…after

now

then, at that time

the day before

two days before

yesterday the day after tomorrow

Later in two days time, two days late

today

that day


tomorrow

the following day, the next day

tonight

that night

yesterday

the day before, the previous day

คําที่ตองเปลี่ยนจาก ใกล ใหเปน ไกล ใน Indirect Speech Direct Speech Indirect Speech here

there

these

those

this

that

หลักการเปลี่ยนจากประโยค Direct Speech เปน Indirect Speech


says

เปน

say to

เปน tell

said

says that เปน

said

that said to

เปน

told

ตัวอยางการเปลี่ยนประโยค Direct Speech เปน Indirect Speech Ask / asked Direct Speech: He asked, “Can (ถาม)

I borrow your pen?”

Indirect Speech: He asked if he could borrow my pen.


Inquire /

Direct Speech: She said to the

inquired

customer, “Can I have your

(สอบถาม)

name, please?”

Indirect Speech: She inquired the customer whether or not she could have his name. Want to

Direct Speech: He said to me,

know /

“Do you have children?”

Wanted to

Indirect Speech: He wanted to

know (อยาก know whether I had children or รู) not. Wonder /

Direct Speech: He said, “Is it

Wondered

delicious?”

(สงสัย)

Indirect Speech: He wondered if it was delicious.

ประโยคคําถาม ที่ขึ้นตนดวย


Question Words (Wh- Questions) มีหลักการ เปลี่ยนดังนี้ 1.) ใชกริยานําในประโยคหลัก เชนเดียวกับการ สราง Indirect Question สําหรับประโยคคําถามที่ ขึ้นตนดวยกริยาชวย (Yes/No Questions) 2.) ใช Question words ซึ่งไดแก Who, Whom, What, Which, When, Why, Where และ How เปนตัวเชื่อม 3.) ทําประโยคใหอยูในรูปของประโยคบอกเลา และ ตัดเครื่องหมาย “?” ออก ตัวอยาง - Direct Speech: He said to me, “Where are the apples?” Indirect Speech: He asked me where the apples were. - Direct Speech: He asked, “Where are you


going?” Indirect Speech: He asked where I was going. - Direct Speech: She said to him, “How did you make it?” Indirect Speech: She asked him how he had done it.


♥ If Clauses ♥ สําหรับเรื่องนี้ พี่จะเนนใหนองๆไดเห็นตัวอยาง ประโยคเยอะๆเพื่อชวยในการจําและเพิ่ม ประสบการณนะคะ ;3 1. If + Present Simple, Present Simple

วิธีใช ใชกับเหคุการณที่เปนความจริง

เชน If you get here before seven, we can catch the early train. (ถาคุณมาถึงที่นี่กอน 7 โมง เราก็สามารถขึ้น รถไฟไปไดเร็ว) I can’t drink alcohol if I have to drive. (ฉันไมสามารถดื่มแอลกอฮอลถาฉันตองขับรถ) 2. If + Present Simple, Will + V1

วิธีใช ใชกับเหคุการณที่เปนเหตุเปนผลซึ่งกันและ กัน เชน If I have enough money, I will go to Japan. (ถาฉันมีเงิน ฉันจะไปญี่ปุน)


If he is late, we will have to start the meeting without him. (ถาเขามาสาย เราจะตองเริ่มการประชุมโดยไม มีเขา) 3. If + Past Simple, would + V1 (would แปลวา นาจะ)

วิธีใช ใชกับเหคุการณที่ตรงขามความจริงใน ปจจุบัน หรือ อนาคต เชน If I knew her name, I would tell you.

(ถาฉันรูชื่อเธอ ฉันก็นาจะบอกคุณ) → จริงๆ แลวไมรูจักชื่อเธอ She would be safer if she had a car. (เธอนาจะปลอดภัยกวานี้ ถาเธอมีรถ) → จริงๆ แลวเธอไมมีรถ 4. If + Past perfect, would have + V3 (Past perfect -> Had + V3)

วิธีใช ใชกับเหคุการณที่ตรงขามความจริงในอดีต เชน If you had worked harder, you would have passed your exam.


(ถาคุณขยันใหมากกวานี้ คุณก็นาจะสอบผาน) → จริงๆ สอบตกไปแลว I would have been in big trouble if you had not helped me. (ฉันนาจะมีปญหาไปแลว ถาคุณไมไดชวยฉัน ไว) → จริงๆ คุณชวยฉันไว


♥ Non-Finite Verb ♥ Non-Finite Verb ( กริยาไมแท ) คือ คํากริยา ที่ไมไดนํามาใชเปนคํากริยาแท แตถูกนํามาใชเปน อยางอื่น เชน แทนนาม ,แทนคําวิเศษณ ฯลฯ โดย สวนใหญ กริยาแท จะอยูหนา กริยาไมแท NonFinite Verb แบงไดเปน 3 ประเภท ไดแก • Infinitive : กริยาที่มี to นําหนา อยูในรูป to + V.1 เชน Pam agreed to leave this park. ( agreed เปน V.แท อยูหนา to leave ที่ เปน Infinitive ) • Gerund : กริยาที่เติม –ing ตอทาย นิยมถูก ใชเปนคํานาม เชน Smoking is bad to your health. ( smoking เปน gerund ถูกใชแทน คํานามเปนประธานของประโยค ) *** preposition ทุกตัว ใชกิริยาเติม ing


(gerund) ตามหลัง*** • Participle : คํากริยาที่เติม ing และ กริยาชอง ที่3 จําแนกตามรูปแบบมี 2 ชนิด - Present Participle : กริยา+ing เชน walking ,jumping ,having

หลักการใช = ประธานเปนผูกระทําเอง ตัวอยางประโยค = The girl sleeping on the bed is my sister. (เด็กผูหญิงที่นอนอยูบน เตียงคือนองสาวของฉัน) - Past Participle : กริยาชอง3 เชน walked ,jumped ,had

หลักการใช = ประธานเปนผูถูกกระทํา ตัวอยางประโยค = The house built by Jim was collapse. (บานหลังที่ถูกสรางโดยจิม


พังแลว) Verb สวนใหญนั้นจะแบงเฉพาะเลยวา verb ตัวไหน เติม to เปน infinitive, ตัวไหน เติม ing เปน gerund, แตก็จะมีบางตัวที่ เติมไดทั้ง to และ ing, และก็ยังมีบางตัวที่เติม V. infinitive ไมเติม to หรือ ing พี่ไดทําการรวบรวมสรุป verb ในแตละสวนที่ สําคัญและพบบอยไวใหแลว นองๆเอาสามหนานี้ ถายเก็บไวในโทรศัพทมือถือ หรือ ถายเอกสารแปะ กําแพง ทองบอยๆไดจะดีมากเลยคะ ^3^ ̴ ปล. พี่รวม Gerund ไวให พี่แนะนําวาใหทอง เฉพาะgerundที่เหลือเปนinfinitiveเพื่อที่นองๆจะได มีพื้นที่วางในสมองสําหรับจําเรื่องอื่นๆนะคะ อิอิ จุบๆ ♥ Gerund ( Verb+ing ) ไดแก admit ซาบซึ้ง)

(ยอมรับ) avoid

appreciate(

(หลีกเลี่ยง)

compare(เปรียบเทียบ) confess consider

(พิจารณา)

delay

(ทําใหชา)

detest

(รังเกียจ)

(สารภาพ) deny (ปฏิเสธ)


dislike

(ไมชอบ)

escape

(หลบหนี)

excuse

(แกตัว)

(จินตนาการ)

finish (เสร็จ)

forgive

(ยกโทษ)

imagine

(จินตนาการ)

involve

(เกี่ยวของ)

mention (อางถึง)

enjoy

(สนุก)

fancy

mind

(รังเกียจ)

miss (พลาด) practice

(ฝกฝน)

recognize

(จําได)

resist

(ตานทาน)

suggest

(แนะนํา)

stop (หยุด)

give up

(=stop)

(=postpone)

can't help

to be worth

It's no use

on / go on put off

postpone (เลื่อน) risk

(เสี่ยง) carry

can't bear can't stand

keep or keep on (= do something continuously or repeatedly)


Verbกลุมนี้ ตามดวย-ing หรือตามดวย object to +… advise (แนะนํา)

permit

(แนะนํา) (อนุญาต)

encourage (สนับสนุน) forbid

recommend allow (อนุญาต)

(หาม)

Verbกลุมนี้ ตามไดทั้ง Infinitive และ gerund advise

(แนะนํา)

attempt

(พยายาม)

(เริ่มตน)

cease

(หยุด)

dislike

(ไมชอบ)

fear

(กลัว)

hate

(เกลียด)

intend

(ตั้งใจ)

learn

(เรียนรู)

(รัก)

omit

(ละเลย)

(ชอบ)

propose

bear

(ทน) begin

continue

(ทําตอ)

like (ชอบ) love plan (วางแผน) prefer start

(เริ่มตน)

(เสนอ)


Verbที่เมือ ่ เปน gerund หรือ infinitive มีความหมาย ตางกัน forget to write = ลืมที่จะเขียน forget writing = ลืมการเขียนนั้นไป

I forget to write to her. ฉันลืมเขียนไปหาเธอ (ยัง ไมไดเขียน) I forget writing the letter. ฉันลืมการเขียน จดหมายนั้น (เขียนแลวแตลืมไปวาไดเขียน)


remember to write = จําวาจะเขียน remember writing = ยังจําการเขียนนั้นได

He remembered to write her. เขายังจําไดวาจะ เขียนถึงเธอ (ยังไมไดเขียน) He remembered writing her. เขายังจําการเขียน จดหมายไปถึงเธอได (เขียนแลวจําได) regret to write = เสียใจที่จะเขียน regret writing = เสียใจที่เขียนไปแลว

I regret to write to her. ฉันเสียใจที่จะเขียน จดหมายไปถึงเธอ (แตฉน ั ก็จะเขียน) I regret writing to her. ฉันเสียใจที่ไดเขียน จดหมายไปถึงเธอ (เขียนไปแลวจึงเสียใจ) try to write = พยายามจะเขียน try writing = ลองเขียนดู

He tried to write to her. เขาพยายามจะเขียนจด หมายถึงเธอ (แตยังไมไดเขียน)


He tried writing to her. เขาลองเขียนจดหมายถึง เธอ(เขียนแลวเผื่อมีความหวัง)


♥ Tense ♥ สําหรับเรื่อง Tense นี้ จะมีอยูดวยกัน 12 tense อยางที่นองๆเคยเรียนกันไปนะคะ โดยแตละ tense เนี่ยก็จะมีโครงสรางแลวก็รูปแบบการใชใน โอกาสตางๆกันไปนะคะ โดยสวนใหญเนี่ยประโยค ในภาษาอังกฤษก็มักจะมีตัวระบุเวลาที่คอยบอกวา เราควรจะตองใช tense ไหน เชน yesterday, next week นั่นเอง ☺ 12 Tense ก็จะแบงเปนสามกาล หรือก็คือสาม กลุมใหญๆ ไดแก • Present Tense = ปจจุบัน • Past Tense = อดีต • Future Tense = อนาคต โดยที่สามกลุมนี้นะคะก็จะสามารถแยกออกได อีกกลุมละ 4 กลุมยอย รวมเปน 12กลุม 12tenseนั่นเอง - Simple : แสดงเวลาที่ไมไดกําหนดวา จะทําเสร็จตอนไหน


- Continuous : แสดงเวลาเมื่อกําลังทํา อยู ( continue = ทําตอไป ก็เหมือนกําลัง ทําอะ อิอิ :D ) - Perfect : แสดงเวลาเมื่อทําเสร็จไปแลว - Perfect Continuous : แสดงเวลาเมื่อ ไดเริ่มทําไปแลว และยังทําอยู ตอไปเราก็จะมาเจาะแตละ tense กันนะคะ ลุย โลดดดด!! 1. Present Simple Tense S + V1 (s/es) - ใชกับเหตุการณที่เปนจริงเสมอ เปนสัจธรรม เชน พี่ๆหอง943หนาตาดีที่สุดในสายวิทยคอม เอยๆผิดๆ555 ตองแบบพระอาทิตยขึ้น ทางทิศตะวันออก หรือ น้ําเดือดที่ 100 องศา


เซลเซียส เปนตนนะคะ อิอิ XD - ใชกับสิ่งที่ทําเปนประจําในปจจุบัน เชน ฉัน ไปโรงเรียนทุกวัน ( สวนใหญจะมีคําบอก เชน always , usually , often ) 2. Present Continuous Tense S + V. to be + V.ing - ใชกับเหตุการณที่กําลังดําเนินอยู ( แตนิยม ไมใชกับ verb of feeling เชน smell ) - ใชกับเหตุการณที่กําลังจะเกิดในอนาคตอัน ใกล เชน I’m going to theatre tonight. 3. Present Perfect Tense S + has/have + V3 - ใชกับเหตุการณในอดีตที่ทําตอเนื่องมาถึง ปจจุบันแบบพึ่งจะจบลงตะกี้แบบสดๆรอนๆ ( มักมีคําวา since ,for ,ever ,never ,already ,just ,yet ,lately ,recently ) 4. Present Perfect Continuous Tense


S + has/have + been + V.ing - ใชกับเหตุการณในอดีต ดําเนินมาถึงปจจุบัน และอาจดําเนินตอไปอีกในอนาคต

*** นองๆอาจจะสงสัยวา present perfect กับ present perfect continuos ตางกัน ตรงไหน ก็ทั้ง 2 อันเนี่ย จะคลายๆกันเลยคะ เพียงแตถาเปน present perfect continuos เนี่ยจะเนนความตอเนื่องมากกวา เชน เวลานองนัดกับแฟนแลวแฟน นองมาสาย นองก็บนกับแฟนวา “ เนี่ย! เรารอตะเองมาตั้งแตบายโมงแลวนะ “ ก็จะนิยม Present perfect continuous เพื่อแสดงใหเห็นวาแบบรอมาอยาง ยาวนานตอเนื่องแตบายโมงไมไดไปไหนเลยนะ **

5. Past Simple Tense S + V2 - ใชกับเหตุการณที่จบไปแลวในอดีต


- ใชกับเหตุการณที่เคยทําในอดีต “used to” เชน I used to sing that song when I was nine. ( มักมีคําบอกเวลา yesterday ,ago ,in 1998 ,the other day เปนตน ) ** แตถาเปน Verb to be + get used to + V.ing แปลวาเคยชิน **

6. Past Continuous Tense S + was/were + V.ing

- ใชกับเหตุการณที่กําลังดําเนินอยูในอดีต - ใชเปนคูหด ู โู อกบ ั Past Simple Tense เมื่อมี เหตุการณหนึ่งกําลังดําเนินอยูในอดีต (ใช past continuous tense) ก็มีอีกเหตุการณ หนึ่งเขามาแทรก (ใช past simple tense) >> past/con กําลังดําเนิน โอะ! past/sim ก็ เขามา


แทรก << ทองเปนจังหวะจะชวยใหจํางาย ขึ้นนะคะ ( past/con หมายถึง past continuous tense และ past/sim หมายถึง past simple tense นะคะ ) เชน While I was sleeping, my father left home. 7. Past Perfect Tense S + had + V3

- ใชเปนคูหูดูโอกับ Past simple Tense เมื่อมี เหตุการณ 2 เหตุการณที่เกิดขึ้นในอดีต เหตุการณที่เกิดกอนหรือเปนอดีตมากกวาจะ ใช past perfect tense สวนเหตุการณที่เกิด หลังหรือเปนอดีตนอยกวาจะใช past simple tense >> past/per เกิดกอน past/sim เกิดตามมา


<< จําไววารากศัพทคําวา per แปลวา กอน เพราะฉะนั้น past/per จึงเกิดกอน past/sim เดออออ XD ( past/per หมายถึง past perfect tense และ past/sim หมายถึง past simple tense นะคะ ) เชน He had finished his homework before his mom got home. 8. Past Perfect Continuous Tense S + had + been + V.ing

- ใชกับเหตุการณที่เกิดขึ้นในอดีตและดําเนิน มาเรื่อย และอาจดําเนินตอไปอีก คลาย past perfect tense แตเนนความตอเนื่องมากกวา

9. Future Simple Tense S + will/shall + V.infinitive

- ใชกับเหตุการณที่จะเกิดในอนาคต ( มักมีคําบอกเวลา tomorrow ,next week ,soon )


- เมื่อมี Main clause ใหใช future simple tense แตถามี subordinate clause ใหใช present perfect จะมีคําเชื่อม ไดแก if ,unless ,when ,until ,as soon as ,before ,after ,now that ,by the time that S + V. to be + going to + V. infinitive

- แสดงความตั้งใจ หรือคาดคะเนจากสัญญาณ ,หลักฐาน เชน The snow is going to ruin my plants. I have to recall what I am going to pack.


10. Future Continuous Tense S + will/shall + be + V.ing

- ใชเพื่อบอกวาจะเกิดเหตุการณ ณ จุดเวลา จุดหนึ่งในอนาคต เปนการเจาะจงเวลาใน อนาคตอยางชัดเจน เชน I will be flying to Singapore at this time tomorrow. 11. Future Perfect Tense S + will/shall + have + V3

- ใชกับเหตุการณท่จ ี ะเกิดในอนาคต และจะจบ ในชวงเวลาหนึ่งในอนาคตขางหนา ( มักมีคําบอกเวลา by next week , by next 3 years เปนตน ) เชน Bob will have finished his first novel by tomorrow night. 12. Future Perfect Continuous Tense S + will/shall + has/have + been + V.ing

- ใชกับเหตุการณที่ทํามายาวนานเวอๆๆๆๆแบบ ทําตลอดๆๆๆๆไมไดหยุดแลวก็จะดําเนินตอไป


อีกในอนาคต เชน By May of this year, I will have been

teaching for 10 years.

Others

Another + N.เอกพจน Other + N.พหูพจน The other + N.เอกพจน / พหูพจน เหลือสุดทาย Others ไมมีนามตามมา

อื่น,อีก อื่น ที่ พวกที่


เหลือ The others ไมมีนามตามมา เหลือ (เจาะจง)

คือ

พวกที่

☺ คะ วันนีพ ้ ๆี่ ก็มี Tips การจํามาใหนอ  งๆนะคะ ถาเปน other ที่เติม s ทั้งหลาย ไมวาจะมี the

หรือไม -> ไมมีนามตามมา สวนพวกตัวที่ไมเติม s ตอทาย another ขึ้นตน ดวย a -> นามเอกพจน (เหมือนแบบนามเอกพจนมีอันเดียวก็ a cat ,a dog คือมี a อะคะ 5555) other ขึ้นตนดวย o ก็ “ โอ ! มีเยอะเหลือเกิน “ > นามพหูพจน -..-555 the other ปกติ article “the” จะเติมไดทั้งเอก+ พหู -> นามเอกพจน/พหูพจน การเรียงลําดับ : One…. ,another….. ,another….. ,the other. สํานวน เพิม ่ เติม เชน


every other day = วันเวนวัน ☺

♥ Wish Clauses ♥ สําหรับเรื่อง wish นี้ก็มักจะพบอยูในขอสอบอยู บอยๆนะคะนองๆ หลักการนั้นไมยากเลย เพียงแค นองทําความเขาใจกับรูปแบบและจําใหไดวาแบบ ไหนใชเมื่อใด เพียงเทานี้นองๆก็จะมองขอสอบเรื่อง นี้เปนของกลวยๆไปเลยแนนอนคา >____<! สรุปหลักการใชและโครงสรางของ Wish Wish หมายถึง การแสดงความปรารถนาซึ่งตรง ขามกับความเปนจริง 1. แสดงความปรารถนาในอดีต had + V3

คือ เกิดเหตุการณในอดีตซึ่งปรารถนาหรือหวัง ใหเปนอยางหนึ่ง แตความจริงไมเปนเชนนั้น


เชน Nadech wishes Yaya had paid attention to him last night. ( ณเดชนปรารถนาใหญาญาใหความสนใจ แกเขาเมื่อคืนนี้ ความจริง ญาญาไมใหความสนใจแกณ เดชนเมื่อคืนนี้ ) 2. แสดงความปรารถนาในปจจุบน ั V.2 หรือ was/were + V.ing

เชน I wish I kissed Lee min ho. They wish they were swimming now. 3. แสดงความปรารถนาในอนาคต would + V.1

เชน I wish this relationship would end tomorrow. ( ฉันปรารถนาใหความสัมพันธนี้จบลงพรุงนี้ อยากใหความสัมพันธจบแตใน ความเปน จริงคงไม ยขนาดนั้น= จึ Blow out =งาextinguish ดัง บตรงขามกับความ ไฟ จริง ) Bl

d in context ♥ ♥ Meaning บทนี้วัดความเขาใจของนองในเรื่องของบริบท ของคําศัพท ซึ่ง


ขึ้นอยูกับวานองรูจักคําศัพทมากแคไหน ทั้งนี้ก็ ขึ้นอยูกับประสบการณของนองเอง นองอาจเจอตาม สื่อ เชน หนังสือพิมพ นวนิยาย เรื่องสั้น เปนตน คําวาบริบท (Context) คืออะไร? บริบท คือคําหรือขอความแวดลอมที่ชวยให เขาใจความหมายของคําบางคํา อาจอยูในรูป ประโยค Sentence หรือ วลี phrase แนวทางในการทําขอสอบ Meaning in context



♥ Odd one out ♥

Odd one out สวนใหญแลวจะออกเกี่ยวกับ Meaning in context, prefix-suffix, part of speech etc. ♥ Synonym – Antonym ♥ นองอาจจะคุนเคยกันดีอยูแลวกับบทนี้ เพราะเปน บทที่นิยมในการออกขอสอบ Synonym – Antonym ที่เลือกใชก็ขึ้นอยูกับระดับที่เรียน ถาระดับสูง คําก็ยิ่ง ซับซอน (แตในชีวิตประจําวันเราก็มักใชคํางายๆ


กัน) เชน คําวาพยายาม (try) เวลาใชงา ยๆ ก็ใชเปน I’d tried to do something. ตัวอยาง Synonym ของ try คือ attempt หรือ effort (An attempt; an effort to accomplish something)

EPITOME I Directions: Complete the conversation by filling in the gaps with the MOST appropriate phrases.

At the Chemist's A: Can you 1 this prescription for me, please? B: Certainly, madam. Will you 2 or will you 3 later? A: How long will it take? I am not 4 . B: Only five minutes. Perhaps there's 5


you'd like while you're here. A: Yes, there is, 6 . I need a sponge, 7 toothpaste and some 8 . Oh, and can you recommend something for headaches? B: These tablets are very good. 9 doctors are prescribing them nowadays. A: All right. I'll take the 10 those. B: Will that be all, madam? A: Yes, 11 the medicine from the prescription. Will it be ready now? B: Not quite, but it won't be a minute. Why don't you 12 ? 1.

a. make up b. make out c. make

off

d. make for

2.

a. wait at it b. wait for itc. wait it


d. waiting for it 3.

a. call up

b. call on

c. call for

d. call back 4.

a. in hurry

b. in any a

hurry c. in any hurry 5.

d. hurry

a. anything else

something for

b.

c. something else

d. anything for 6.

a .as fact

b. as a

matter of fact c. therefore 7. piece of

d. however

a. a roll of b .a bottle of

c. a

d. a tube of

8.

a. toilet soap

b. soap

toilet

c. soap in toilet

d .soap of

toilet


9.

a. A great deal of

b. A

lot of c. A good deal of 10.

a.cup of

c. amount of 11.

a. except that

d. Plenty b. pair of d. bottle of b.

apart for c. except for 12.

a. take a seat

d .anyway b. make a

seat c. pick a seat

d. reserve

a seat Directions: Identify the four underlined parts of each sentence below that makes the sentence incorrect. 13.It a. is a different story in b. the northeast of


the country, where drought is destroying thousands of people's livelihoods and c. forces another wave of d. emigrants to abandon their homes to the countryside. 14.a. Served as b. either business tools or c. recreational devices, computers d. are increasingly popular. 15.During the a. 1980's, the b. incoming gap between the richest and the poorest Americans c. widened significantly, and it d. continued to expand in the 1990's. 16.a. Because of the workers approached their jobs with very little

b. interest

and almost c. no energy, their productivity was, not d. surprisingly, very low. 17.The practice of a. renaming a street Martin


Luther King Boulevard b. has been adopted c. through many cities to d. honor the civil rights leader. 18. Many changes a. occurred while she b. was president of the college; these changes increased c. both the educational quality and d. effectivity of the college. 19.a. Although the global food crisis b. is c. the most obvious in the tropics, the d. temperate zones may have a similar problem soon. 20.a. Even though the situation is changing so rapidly, b. any plans we make c. to deal with the emergency can be d. no more than tentative.


Directions: choose the right answer from the four alternatives given below. 21.She rang _____. I must have said something to upset her. a. up

b. round

c. back

d. off

22.Anything I can help you _____? a. in

b. on

c. for

d. with

23.Make sure you arrive in Bangkok _____ day. a. by

b. in

c. on

d. at

24.Last month we sold a lot of airconditioners. This was _____ a very hot summer. a. because c. the reason why

b. due to d. on condition that

25.The _____ of his father made him so miserable.


a. loss

b. lost

c. lose

d. loose

Direction : Choose the word which does not relate to other three words. 26.Meaning a. enormous b. gigantic c. abnormal d. huge 27.Meaning a. forecast b. imply c. anticipate d. predict


28. Which word has different vowel

pronouncing from the others? a. Sweet b. Squeeze c. Speed d. Suite 29. Which word has the different sound from the others? a. Score b. More c. Door d. Moor 30. Which word is the odd one? a. Luxurious b. Economical c. Convenient d. Happy


RESULT : ___ / 30 Answer Key (Exercise 1) 1.

b - เพราะเราใช write out สําหรับการเขียนใบสั่ง ยา

2.

b - verb ที่ตองใช เปนรูป infinitive

3.

d - !!!

4.

c - เพราะเราไมใช in hurry โดดๆ หรือวา hurry ธรรมดา (in any a hurry ก็ไมถูกหลัก Grammar )

5.

c - เปนการเลือกใชคําในบทสนทนา เราใช is there something else

6.

b- เปนตัวเลือกที่ดีที่สุด (ถึงแมวาในปกติเราอาจ ไมคุนเคย) เวลาเจอกับขอสอบแบบนี้ตองเลือก ตัวเลือกที่ดีที่สุด โดย therefore และ however


ไมเขากับบทสนทนาเลย และ as fact ฟงดูก็แปลก มากๆ และถาหากจะใช ก็ตองเปน as a fact เพราะ fact เปน countable noun 7.

d - เพราะยาสีฟนเปนหลอด

8.

a - เพราะ toilet ขยาย soap (เปน compound word) และ soap toilet จะแปลวาหองน้ําสบู และ ตัวเลือก c กับ d ก็ฟงแลวตลกมากๆ

9.

10.

b- a lot of เหมาะสมที่สุดใน 4 ตัวเลือกสําหรับ การนับคน d - ยานาจะเก็บในขวด (เพราะในตัวเลือกไมมี แผงใหเลือก 555)

11.

c - เพราะตรงกับบทสนทนามากที่สุด โดยสังเกต วาตัวเลือก b. apart for ตองเปน apart from นะ

12.

a- เปนการบอกใหนั่งลงกอน เราใช take a seat

13.

c - force -> forcing เพื่อคงรูป parallel structure ของประโยค คือ is v+ing and v+ing

14.

a - Served -> Serving เพราะวา computers ไมไดถูก serve แต computers serve


15.

b - incoming -> income เพราะจากประโยคเรา ตองใชคํานาม (income) ที่แปลวารายรับ โดย incoming เปน adjective ที่แปลวากําลังมา

16.

a- Because of -> Because เพราะวา because of + noun โดยที่ because + sentence

17.

c - through -> by เพราะเปน passive voice เรา ใช by กับผูกระทําเสมอ

18.

d - effectivity -> effectiveness เพราะ effectivity ไมมีความหมาย 555

19.

c - the most -> most

20.

a - Even though -> As เพราะวาประโยคให ใจความคลอยตามกัน (อาจเปน Since หรืออะไร ก็ได บลาๆ)

21.

d- rang off = ตัดสาย

22.

d- help someone with something

23.

a - !!!


24.

b - due to เพราะวาในประโยค ตองเปนการ สนับสนุนกัน โดย because + sentence

25.

a - loss เปน noun ซึ่งตองการในชองวาง

26.

c- abnormal แปลวาไมปกติ โดยทั้งสามตัวที่ เหลือแปลวา ใหญ(มาก)

27.

b- imply = indicate the truth or existence of (something) แปลก็ประมาณวาบงบอกอะไรสัก อยาง โดยทั้งสามตัวที่เหลือแปลวาคาดการณ ลวงหนา

28.

c เพราะ speed ออกเสียง 𝑒𝑒̅ (อี) แต ขออื่นออก

เสียงวา w𝑒𝑒̅ มีการออกเสียงตัว w เพิ่มมาดวย 29.

d เพราะ moor ออกเสียงวา ˈmo͝or (มัวร์) แต่ของอื่นออกเสียง เป็ น ôr (ออร)

30. b - economical แปลวา คุมคา ราคาถูก โดยทั้ง สามตัวที่เหลือแปลไดในเชิงวาสบายมี ความสุขสะดวก



EPITOME II Directions: Complete the conversation by filling in the gaps with the MOST appropriate phrases. Jane: Have you made the decision to which university you'll make a transition yet? Adam: No. It's my hardest decision ever. 1_ Jane: No, I haven't either. 2_ Adam: Who shall we talk to, then? Jane: I've no idea. Adam: 3_ Jane: Aw. Well! What about posting a topic on Pantip.com for some suggestions? Adam: 4_Two heads are better than one. Jane: Exactly. 5_ 1. a. By the way, have you?


b. Do you think I should go talk with someone? c. Well, well. d. Isn't it?

2. a. Let it go. b. Shouldn't we ask for some advices? c. I don't think it's of any importance since it's not important. d. Well, well. 3. a. Neither do I. b. That's too bad. c. I wish you had one. d. Better luck next time, then.


4. a. Really? I don't think it will work. b. Shouldn't you think about it again? c. Of course! d. I think we'd rather post on Yahoo.com. 5. a. Your words can't be more true. b. That's what I'm going to say. c. Of course. d. Without any doubts, with any? Directions: Identify the four underlined parts of each sentence below that makes the sentence incorrect. 6. High school graduates usually do not a. end up earning as much income as college graduates do; this b. fact explains why so c. many high school students go on to d. pursuing college degrees. 7. a. Despite only two b. inches long, c. the shrew is a mammal and d. therefore a


relative of elephants and giraffes. 8. Although courageous, he always a. finds b. himself frightened in c. environments d. lacking of light and noise. 9. No matter how nice Adam has always been, Sarah seems a. to not have b. any interests c. in him regardless of his sincere love d. for her. 10.According to the school's new policy, the gate a. connected to Pathum Wan School b. was shutdown c. so as to prevent the students d. not to leave the school without written permissions. 11. World's climate a. change has always been a serious problem and is b. getting c.


very severe that action should d. be taken immediately. 12. Triam Udom Suksa School, a school a. thousands of students dream of b.being a student c. of, was d. found in 1937. 13.Children today have a a. great chance of b. growing up in a family c. split by divorce than in any other d. period in American history. 14. Elasticity refers to an a. object’s ability to return b. to its original shape after c. been deformed by d. external pressure. 15. Hollywood was only one of a. several players in the world film market b. until the First World War, c. which film production in Europe almost d. came to a stop. Directions: choose the right answer from the four alternatives given below.


16. Dan said his second-hand car was worth _____. He loved it so much. a. bought

b. to buy

c. to buying

d. buying 17. _____ the tiger, the lion is a member of the cat family. a. Like

b. Alike

c. Liking

d. Likely

18. _____ he is popular, I don't like him. a. Though

b. Whether c. Despite

d .As 19. In the winter, many animals hibernate, but others, _____ stay active. a. the elk such as the elk

b. are like the elk c. d. yet the elk

20. Salt _____ obtained in various ways. a. can be

b. when

c. when it


can be

d. that is

Directions: Choose the choice with the most meaningful for the sentences. 21. Telephone is one of the most important ……. used in homes and offices. a. stuff b. characteristics c. tools d. appliances 22. The score shown that the 1st prize belongs to Samuel, then Sally, Yuji and Ruby ……. . a. confidently b. respectively c. sensitively d. effectively 23. The speakers at the graduation ceremony are always among the most ……. people in the city.


a. disgusted b. disliked c. disappointed d. distinguished 24. The criminal was ……. because the judge found a ……. in evidences. a. set free, conflict b. be free, relation c. set free, contradiction d. be free, contradiction

25. After a little girl saw a horror movie, she was ……. with fear. a. shivering


b. complaining c. trembling d. convulsing 26. All the players accept the referee’s verdict except the manager who ……. rudely. a. shown up b. acted c. protested d. done Direction : Choose the correct synonyms for the following words. 27. Little a. A lack of b. Significant c. major d. enormous 28. conflict


a.

detect

b.

cooperative

c.illusion d.

clashing

Directions: Choose the correct antonym for the following words. Have something 29. Hostile done a. Helpful Get something b. Friendly done c.Cooperative d.

Ignorant

30. Savage a.

Cruel

b.

Barbaric

c.Primitive


d.

Civilized

RESULT : ___ / 30

ANSWER KEY EX.2 1. a - เปนการถามกลับวา แลวเธอละ 2. b - แปลวา ไมลองหาคําแนะนําดูเหรอ 3. a - แปลวา ฉันก็ไมรูเหมือนกัน 4. c - เพราะในบทสนทนาเปนการสนับสนุนกัน 5. a - เปนการเนนย้ํา Exactly โดย b และ d ตลก และ c จะซ้ํากับ Exactly 6. d - pursuing -> pursue เพราะ go on to do something!! เราจะไมใช to กับ Ving


7. a - Despite -> Although เพราะ “only two inches long” ตรงนี้เปน adjective โดย despite + noun และ although + sentence/adj. 8. d - lacking of -> lacking เพราะ lack (v) ไม ตองตามดวย of คือ lack sth. ไดเลย แตถา lack of sth. จะเปน noun 9. a - to not -> not to (อธิบายไมถูกชวยที!!!!) 10.

d - not to -> from เพราะ prevent

someone from doing sth.!! 11.

c - very -> so เพราะ so + adj. + that +

sentence!! 12.

d - found -> founded เพราะ found เปน

ชองสามของ find ที่แปลวาคนหา โดย founded เปนชองสาม found ที่แปลวากอตั้ง 13.

a - great chance -> greater change


(โหดจุง) เพราะมันเปน “than” การเปรียบเทียบ !!! 14.

c - been deformed -> having been

deformed เพราะ after + v.ing ! 15.

c - which -> in which / where

16.

d - worth doing sth.

17.

a - เพราะ like เปน preposition ใชตรงนี้

แลวใหความหมายโอเค โดยที่ alike เปน adjective นะ 18. a/d - ที่จริงจะใหถูกที่สุดตองเปน a ก็คือ ถึงแมวาเขาจะดัง ฉันก็ไมชอบเขา แตในกรณีที่ นองๆตอบ d ก็โอเคนะ ถานองๆหมายความวา ไมชอบเขาเพราะวาเขาดัง (ประมาณวาไมชอบ คนดัง) ฮาๆๆ 19.

c - เปนการยกตัวอยาง เชน the elk ไร

แบบนี้ 555 20. a - แปลวา เกลือสามารถหาไดจากหลายๆ ชองทาง


21.

d – โดยมาก stuff ใชเรียกสิ่งของอะไรก็

ได, characteristic แปลวาคุณลักษณะ tool ใชกับ อุปกรณงานชาง appliance แปลวา เครื่องใชไฟฟา 22.

b – respectively แปลวา ตามลําดับ

23.

d - distinguish แปลวา โดดเดน

24.

b - โดย set free แปลวาปลดปลอย โดย

to be set free (was set free) ก็จะแปลวา ไดรับการปลอย และ contradiction แปลวา หลักฐาน (หรือความคิด) ที่ขัดแยงตออีกสิ่งหนึ่ง ซึ่งใหความหมายไดดีที่สุด 25.

a - แปลวา สั่นเนื่องจากความกลัว

26.

c - (เชคประโยคคําถามหนอยเหมือนใช

tense ผิดหรือเปลา) 27. a - แปลวา ไมพอ (lack of sth. (นาม)) โดยที่เหลือแปลวาเยอะ มากเกินพอ ทั้งนั้น


28.

d - แปลวาความขัดแยง

29.

b - แปลวาเปนมิตร ตรงกันขามกับ hostile

ที่แปลวาไมคอยชอบ (ไมเปนมิตร) 30.

d - แปลวามีอารยธรรม (ไมรุนแรง)

ตรงกันขามกับ savage, cruel, และ barbaric ที่แปลวารุนแรง และ primitive ที่ใหความหมาย วาแรกเริ่ม 1. ?


EPITOME III Directions: Complete the conversation by filling in the gaps with the MOST appropriate phrases. Cherry: I'm so nervous about the upcoming summative exams. Adam: 1_ What should we do? Cherry: What about asking the kind John for some of his shortened


notes? Adam: 2_ He's in the class next to ours! Cherry: Let's go.

( Adam and Cherry walk to John. ) Cherry: Hi, John! 3_ John: I'm just fine these days. What about you guys? Don't you guys have something to talk to me? Adam: We're fine, and yes. 4_ Could you please share us some of your shortened notes? John: Sure! 5_

( The conversation goes on. ) 1. a. Meh. b. Sadly, so am I. c. Really? d. Me too! 2. a. Are you hungry?


b. I’m fine. c. That's not a bad idea. d. Are you okay? 3. a. Could you please give us your shortened notes? b. We're buying your sheets. c. How are you lately? d. Send us your shortened notes. 4. a. We really have no idea how we'll deal with the upcoming exams. b. I'm sure there'll be some ways to get us prepared for the upcoming tests. c. Let's get to the point. d. I beg. 5. a. But that costs some money. Would you


care to pay some? b. Here you go. Take these! c. But first, lemme take a selfie. d. Anything more?

Directions: Identify the four underlined parts of each sentence below that makes the sentence incorrect. 6. Dreams can't be a. achieved in days or months, and b. in some c. circumstances, it could take one years to d. go over the goals. 7. a.Some of the crocodiles b. are c. found in the river of Sarawak d. are very large. 8. Although it is a. apparent that knowledge of Latin b. is helpful c. to build a good English vocabulary, d. individuals with English as their second language imply they don't have


enough time for it. 9. Scientific advances over the last fifty years have a. led to b. revolutionary changes in health, agriculture and communication, and generally c.enhancing socio-economic development and the quality of our d. lives. 10. a.Waiting for the results of the final examination, the student's nerves were b. on edge; she c. could not sleep properly or d. eat normally. 11.He is not sure a. if he should buy the new computer now or wait b. until he c. receives his d. next bonus. 12.I a. prefer Marlene to b. any hairdressers I c. have visited in the past because she has d. such a good understanding of her clients'


needs. 13.These days the social stigmas attached a. to being single are b. much weaker, and many women c. of their late 20s show d. no signs of wanting to settle down. 14. a.According to modern irrigation, crops now b. grow abundantly in areas c.where once nothing d. but cacti and sagebrush could live. 15.The a. primary aim of b. science horticultural is c. to develop plants of the highest quality that offer the d. promise of high yields.

Directions: choose the right answer from the four alternatives given below. 16. I’ve just had the radio _____ . It’s too loud.


a. to turn down

b. turn

down c. turning down

d. turned

down 17. Please _____ somebody to arrange these files. They are so messy. a. get

b. to get

c. have

d. to have

18. My aunt _____ her son drives her to the supermarket last Sunday. a. got

b. had got c. had

d. had had

19. I had everything _____ in this box. a. pack up

b. packed

up c. packing up

d. to pack


up 20. Why don’t we call the police and have them _____ this car ? a.tow away

b. towed

away c. to tow away

d. towing

away Directions: Read the passage below then answer the question by choosing the best alternative. Suez Canal fees to go up in 2007 By Rob Woollard AFP ISMAILIYA, Egypt The

Suez

Canal

Authority

said

Wednesday it will raise transit fees for ships using the waterway by an average 2.84 percent in 2007.


Its chairman Ali Fadel told the reporters that the increase, to take effect on April 1, would

range

from

1.14

percent

for

passenger ships to 3.73 percent for oil tankers. Egypt's revenues from transit fees on the canal, which links the Mediterranean with the Red Sea, soared to a record 3.82 billion dollars in 2006, up from around 3.4 billion dollars the previous year. Cargo loads for 2006 are expected to reach 680 million tons, up from 671 million tons in 2005. The rise was spurred mainly by higher fees and soaring global trade with India and China. Egypt is currently in talks with China to


ensure that close to 100 percent of Chinese exports to Europe pass through the Suez Canal -- up from the current 60 percent -- in exchange for lower transit fees. The Suez Canal, which opened in 1869, is Egypt's third largest source of revenue, after

tourism

and

remittances

from

expatriate workers. 21. From what country does the news report come? a. China b. Thailand c. Egypt d. India 22. What is the name of the news agency ? a. Thairath b. Reuters c. AP


d. AFP 23. From what city does the news report come ? a. New York b. Cairo c. Ismailiya d. Bangkok 24. What is the Headline of the news ? a. Suez Canal fees to go up in 2007 b. By Rob Woollard c. AFP d. ISMAILIYA,Egypt 25. Who is Ali Fadel ? a. chairman b. president


c. tourist d. journalist 26. The rise was spurred mainly by higher fees and soaring global trade with ... a. Malaysia b. India c. China d. both b. and c.

Direction : Choose the correct synonyms for the following words. 27. foreign a. internal b. outlandish c. native d. local


28. offer a. indicate b. propose c. commute d. consequence Directions : Choose the correct antonym for the following words. 29. Appendix a. Lump b. Projection c. External d. Outgrowth 30. Regret a. Poor b. Pitiful


c. Sorrow d. Reply RESULT : ____ / 30

สูๆ หนอยนะคะนองๆ !! คอยๆขยันอาน ขยัน ทําแบบฝกหัดไปเรื่อยๆ แลวนองจะบรรลุ เปาหมายไดในที่สุด No pain no gain ถา ไมขยันก็ไมประสบ


ANSWER KEY EX.3 1. b - แปลวา ฉันก็เหมือนกัน ซึ่งตรงกับ บรรยากาศการสนทนาที่สุด 2. c - แปลวา เปนความคิดที่โอเคเลย (ไมไดแย) และอีก 3 ตัวเลือกตลกมากๆ 3. c - เพราะคําตอบเปน I’m just fine these days. โดยขอ ab d ไมเขากับการสนทนา 4. a - เปนคําตอบที่ดีที่สุดใน 4 ตัวเลือกและเขากับ บทสนทนา b c d จะดูไม friendly 5. b - แปลวา เอาไปเลย โดย a และ d ไมเปนมิตร (บทสนทนาออกแนวเปนมิตร) c ไมเกี่ยว 6. d - go over ->achieve, reach, etc. เพราะ go over ไมเขากับความหมายที่ตองการ 7. b - ตัด are ทิ้ง เพราะประโยคคือ จระเข บางสวน “ที่ถูกพบ” ในแมน้ํา... ซึ่งเปนสวน


ขยาย และประโยคมี main verb หลายตัวไมได 8. c - to build -> in building (to be helpful in v+ing) 9. c - enhancing -> have enhanced เพื่อคงรูป paralel structure ของประโยค 10.

a - Waiting -> As she waited เพราะถา

เราใช Waiting ประโยคจะใหความหมายวา หลังจากรอแลวจะ... แตประโยคคือระหวางที่รอ ใช As she waited เพื่อแสดงการเกิดขึ้น พรอมๆกัน (simultaneous actions) จะดีกวา 11. a - if -> whether เพราะเปรียบเทียบ ระหวางสองสิ่ง 12.

b - any -> any other เพราะประโยค

ตองการเปรียบเทียบ Marlene กับ ชางทําผม คนอื่นๆ ซึ่งไมนับ Marlene จึงตองใช any other เพราะถาเปน any จะนับรวมชางทําผม ทุกๆคนรวมถึง Marlene ดวย (ยากหนอยนะ 555)


13.

c - of -> in เวลาเราใชในชวงอายุตางๆ

เราจะใช in his/her xx’s เชน in his 30’s ในชวงอายุ 30-39 14.

a - According to -> Thanks to เพราะ

เราไมไดอางอิงจาก modern irrigation แตเรา จะบอกวา เนื่องจาก 15.

b - science horticultural -> science

horticulture เพราะวาตองเปน noun (horticultural เปน adjective!) 16.

d เพราะ have something +v3 เชน

have your homework done 17.

a เพราะ get someone to do sth. โดย

b,d ไมมี Please to, c have someone do something ไมมี to 18.

c เพราะ have someone do

something!! (ระวัง had him “kill” her ไมตอง


เติม s หรือ ed นะ) 19.

d เพราะ have something done!!!

20.

a เพราะ have someone do

something!!!! 21.

c

22.

d

23.

c

24.

a

25.

a

26.

d

27.

b เพราะอีก 3 คําแปลวาภายในหมดเลย

28.

b เพราะแปลวาเสนอ (offer) โดย

indicate = ระบุ, commute = เดินทาง, consequence = ผลที่ตามมา 29.

-

30.

d เพราะแปลวาตอบกลับ โดย b และ c

แปลไดตรงๆเลยวาเศรา เสียใจ โดย a อาจจะ ตองตีความนิดหนอย


EPITOME IV


Directions: Identify the four underlined parts of each sentence below that makes the sentence incorrect. 1. We a. have no choice but b. to appoint Mary, the c. best of the two candidates, and there is no d. prospect of finding more applicants. 2. a. The reason I'm going to England this year b. is c. because I'm going to d. see Mary, my long-lost sister. 3. a. If you were to work at least four b. hours a day on the project, we c. would complete it in a shorter time, and with d. less problems. 4. The Applaresque's a. 1-inch-long iPhonealae, a b. newly released smart phone, is undoubtedly spectacular, and no one can disagree that its ability is c. far better than d. the old iPhoneae.


5. a. I and my friends are working on a very big, world-influential project and b. as soon as it c. finishes we will immediately register it as our d. intellectual property so that our big work won't be stolen. 6. a. Having played by the rules, the members of the teams b. were given a standing ovation although c. it didn't d. win. 7. None of us a. knows b. what the outcome of the negotiation between our company and d. Adam's. 8. An a. omnivorous animal has a b. greater chance c. of survival than d. ones that depends on a single food source. 9. The Swiss have been studying a tunnel


scheme which might a. success in protecting the fragile Alpine environment b. permanently from the c. dense road traffic that passes d. through it. 10. With television a. provides a b. heavy quotient of entertainment for the American home, many magazines discovered a c. strong demand for nonfiction articles, their almost d. exclusive content today. Directions: choose the right answer from the four alternatives given below. 11. May I have your brother _____ my car out of the corner? I couldn’t make it myself. a. move b. moved

c. to move d. moving

12. Shall we get someone _____ dinner for us? We are too tired to do any cooking after work. a. to preparing

b. to


prepare c. prepared

d. prepare

13. Ask her whether she had the plumber _____ the leaking pipe. a. mending

b. to mend

c. mended

d. mend

14. My dad asked mom to get his typewriter _____ before noon. a. clean b. cleaned c. cleaning d. to clean 15. We get our van _____ before going to Pattaya. a. check b. checking c. to check d. checked Directions: Read the passage below then answer the question by choosing the best alternative.


Miracle Mud Some years ago, when my father became partially paralyzed, I bought him a motorized wheelchair, In nice weather he enjoyed riding it around the Hague, where he lived, but in winter he stored it in my brother-in-law’s garage several miles away. One spring day I decided to drive the wheelchair to my father’s house, so a friend took me to the garage on his motorcycle and waited to lead me home. I practiced with the wheelchair for a few minutes, and when I had the hang of it, we started down a road that had a canal on each side. Things went well for the first half mile, but when I came off a bridge, I encountered and oncoming car and panicked. I lost control of the wheelchair and plunged into a canal, where I ended up standing in


waist-deep water beside the wheelchair which was stuck in the mud. As I turned around, I saw my friend waving to me. About 20 cars had stopped and people were running my way. They started to pull the wheelchair free, and when I began to walk out of the water, I heard cries of, “Where’s the invalid?” and “It’s a miracle!” We told my father that his wheelchair had nearly been famous for finding mud that heals. 16. The word “paralyzed” in line 1 means ………………………… . a. getting older

b. being less

courage c. being alone and upset feeling in part of the body

d. having no


17. The narrator’s father would use a wheelchair depended on………………. a. where he lived

b. how the weather

was c. who he stayed with d. how healthy he was 18. The word “it” (line 2) refers to………….……. a. the car

b. the house

c. the weather

d. the wheelchair

19. The word “panicked” (line 10) can be replaced by…………………… a. hurt

b. fun

c. shocked

d. careful

20. The narrator ended up in the canal because he……………… a. bumped into a car b. was knocked out


c. became over excited d. crossed over the bridge 21. The passage was entitled “Miracle Mud” because……………….. . a. the mud was thought to cure paralysis b. the motorized wheelchair got stuck there c. people thought the narrator was an invalid d. the mud stirred up excitement in the onlookers 22. The tone of this story is……………… a. depressing c. serious

b. sarcastic d. humorous

23. After the accident, when the people saw


the narrator walk out of the water, they‌.. a. were frightened of mud b. couldn’t believe their eyes c. thought he was playing a joke d. were sympathetic towards him 24. According to the story, which statement is true? a. The writer could not walk. b. The mud could cure paralysis c. The writer wanted to play a joke. d. The writer did not know how to control the wheelchair. 25. What could happen next if the narrator was really paralyzed? a. The people who came to help him would laugh at him. b. The narrator would be blamed for discovering this mud.


c. The other invalids would try to have an accident like this. d. The other invalids would come to cure themselves with this mud. Direction : Choose the correct synonyms for the following words. 26. provoke a. encourage b. authorize c. synthetic d. sustain 27. disaster a. impact b. distract c. tragedy


d. influence 28. abbreviate a. impression b. forsake c. ample d. shorten Directions : Choose the correct antonym for the following words. 29. Zenith a. High b. Sphere c. Pinnacle d. Nadir 30. Typical a. Abnormal b. Widespread c. Simple

Vouloir c'est pouvoir ความพยายามอยูท  ี่ไหน ความสําเร็จอยที่นั่น


d. Average RESULT : _____ / 30


ANSWER KEY EX.4 1. c - best -> better เพราะ best เปน superlative ใช เปรียบเทียบตั้งแต 3 สิ่งขึ้นไป 2. c - because -> that เพราะ reason แปลวาเหตุผล แลว ไมตองใชคําวา because ให redundant 3. d - less -> fewer เพราะ problem นับได less ใช กับนามนับไมได (ระวัง ออกบอยมาก!) 4. d - the old iPhoneaea -> that of the old iPhoneaea เพราะวาเราตองการเปรียบเทียบ ability ของ iPhoneaea ไมไดเปรียบเทียบตัวเครื่อง โดยตรง!! ^_^ 5. a- I and my friends -> My friends and I เพราะ เวลาเราจะใชตัวเราและคนอื่นๆ จะตองเอา I ไวหลัง เสมอ 6. c - it -> they เพราะเรากําลังพูดถึงสมาชิกของทีม!! 7. b/d - ตัด what ออก หรือ Adam’s -> Adam’s will be โดยตองเปน know something เลย หรือวา know what something will be ก็ได 8. d - ones -> one เพราะวาหลังจากนั้นเปน that depends


เราเลยตองจําใจให ones เปนเอกพจน คือ one 9. a - success in -> succeed in เพราะวา success เปน adjective เราตองใช succeed ซึ่งเปนกริยา แทน 10.

a - provides -> providing เพราะวา with +

noun เราจึงตองให television provides เปน television providing เพื่อใหกลายเปนกอนเดียว ทํา หนาที่เปนนามได ใสไวในประโยคได เหมือนการใช คําวา การ ทํากริยาเปนนาม 11.

a - เพราะ have someone do something /

have something done !! 12.

b - เพราะ get someone to do something!!

13.

d - เพราะ have someone do something

(mend = repair) 14.

b - เพราะ get something done

15.

d - เพราะ get something done

16.

d

17.

b

18.

d


19.

c

20.

c

21.

a

22.

d

23.

b

24.

-

25.

-

26.

a - เพราะ encourage = กระตุน และ provoke

= กระตุน 27. c - เพราะ แปลไดวาเปนสิ่งที่กอใหเกิดความ เสียหายเหมือนกัน 28.

d - เพราะ abbreviate = shorten ตรงๆเลย

29. d - เพราะ Nadir เปนจุดต่ําสุด แต Zenith เปน จุดสูงสุด 30. a - เพราะ Typical = ทั่วๆไป แต Abnormal = แปลกๆ ไมปกติ



EPITOME V Directions: Identify the four underlined parts of each sentence below that makes the sentence incorrect. 1. Almost all of the people who a. visit Singapore are b. impressed by its cleanliness, which is mainly a c. result of rigorous implementation of d. their strict laws. 2. a.While he b. insists he won the competition because of his own ability, I believe he c. bribed the judge into d. making him the winner.


3. Since it seems that thousands of people are interested in joining the event, it is not wise for you to wait until the last date of registration period; reserve yourself a spot on the first day the registration system is open, instead. 4. President of a world-leading university told the Press Association that the university is about to discover an effective way to stop Ebola virus and that the university will hold a seminar regarding the topic shortly. 5. Bangkok Mass Transit System, rather known as BTS, is now having difficulty in maintaining its train flow and is currently being severely criticized by thousands of Thais on Social Media.


6. He and I are of the will to be students of Triam Udom Suksa School. 7. Despite having known how hard it is to surpass thousands of other students in the admissions of Triam Udom Suksa School, John has never lost his determination and has always been working hard; his hard work will pay off, for sure. 8. a. Since centuries, people b. have hoped to find the “fountain of youth�, magical water c. that makes them d. stay healthy and young for a very long time. 9. DNA, the material a. of inheritance, b. is found in the cell nucleus in the form of very long and thin molecules c. consist of two d. spiral strands. Directions: choose the right answer from the


four alternatives given below. 10. Never have I heard such __ exaggerative speech. a. a

b. an

c. the

d. none is

needed 11. Russia has always been focusing on developing its weaponry technology so as to stand against __ United States. a. a

b. an

c. the

d. none is

needed 12. Deep in the forest ____________ many beautiful women. a. live

b. lives

13. A: I don't like it. B: _______ do I.

c. living

d. is living


a. Either b. Neither c. Not

d. So

14. There is a crowd of people in front of this place and I'm sure the killer is among _______. a. them

b. it

c. those

d. which

Directions: Read the passage below then answer the question by choosing the best alternative. When another old cave is discovered in the south of France, it is not usually news. Rather, it is an ordinary event. Such discoveries are so frequent these days that hardly anybody pays heed to them. However, when the Lascaux cave complex was discovered in 1940, the world was amazed. Painted directly


on its walls were hundreds of scenes showing how people lived thousands of years ago. The scenes show people hunting animals, such as bison or wild cats. Other images depict birds and, most noticeably, horses, which appear in more than 300 wall images, by far outnumbering all other animals. Early artists drawing these animals accomplished a monumental and difficult task. They did not limit themselves to the easily accessible walls but carried their painting materials to spaces that required climbing steep walls or crawling into narrow passages in the Lascaux complex. Unfortunately, the paintings have been


exposed to the destructive action of water and temperature changes, which easily wear the images away. Because the Lascaux caves have many entrances, air movement has also damaged the images inside. Although they are not out in the open air, where natural light would have destroyed them long ago, many of the images have deteriorated and are barely recognizable. To prevent further damage, the site was closed to tourists in 1963, 23 years after it was discovered. 15. Which title best summarizes the main idea of the passage? a. Wild Animals in Art b. Hidden Prehistoric Paintings c. Exploring Caves Respectfully d.


Determining the Age of French Caves

16. In line 3, the words pays heed to are closest in meaning to ______. a. discovers b. watches c. notices d. buys 17. Based on the passage, what is probably true about the south of France? a. It is home to rare animals. b. It has a large number of caves.


c. It is known for horse-racing events. d. It has attracted many famous artists. 18. According to the passage, which animals appear most often on the cave walls? a. Birds b. Bison c. Horses d. Wild cats 19. In line 7, the word depict is closest in meaning to _______. a. show b. hunt c. count d. draw


20. Why was painting inside the Lascaux complex a difficult task? a. It was completely dark inside. b. The caves were full of wild animals. c. Painting materials were hard to find. d. Many painting spaces were difficult to reach. 21. In line 11, the word They refers to _______. a. walls b. artists c. animals d. materials 22. According to the passage, all of the


following have caused damage to the paintings EXCEPT _______ . a. temperature changes b. air movement c. water d. light 23. What does the passage say happened at the Lascaux caves in 1963? a. Visitors were prohibited from entering. b. A new lighting system was installed. c. Another part was discovered. d. A new entrance was created Direction : Choose the correct synonyms for the following words. 24. Heavy


storm has broken up the birthday party, the light has gone, and everyone was scared to death. a. Interrupted b. Appreciate c. Realize d. Klonk (put, cop-out) 25. Specific epithet is the most important thing when you classify living things in taxonomy. a.

Satisfaction

b.

Expert

c.

only

d.

Exclusive

26. Sufficiency economy, his majesty King Rama IX’s royal observation given to all Thai people, is one of excellent life guidelines you


should take as an example. a. Mind b.

Preserve

c.

Notify

d.

Give

Directions : Choose the correct antonym for the following words. 27. Obvious a. Unlawful b. Hazardous c. Safe d. Dangerous 28. Deceive a. mislead b. fool c. receive d. trick


29. Envy a. jealousy b. greed c. crave d. unenviable

30. Reduce a. diminish b. reunion c. decrease d. abate

มากเสียจน So + adj./adv. + that So + many + N.พหูพจน + that So + much + N.นับไมได + that Such + a, an + adj. + N.


RESULT ____ / 30


ANSWER KEY EX.5

1. d - their -> its เพราะเรา refer ถึง Singapore (singular noun) 2. b - insists -> insists that เพราะวา insist เฉยๆจะ ไมใหความหมาย ตองมี preposition มารองรับ 3. b - date -> day เพราะเวลาพูดถึงเรื่องพวกนี้เรา ตองการสื่อถึง “วันสุดทาย” ไมใช “วันที่สุดทาย” 4. c - ตัด in ออก เพราะเปน regarding เปน verb ไม แท ไมตองมี in นําหนา (มีแต in regards นะ) 5. c - to maintain -> in maintaining เพราะวา difficulty in doing something 6. a - He and me -> He and I เพราะวา “ฉัน” ในการ เปนประธาน ตองอยูในรูป I เทานั้น (ระวัง ถาตองการ


พูดถึงคนอื่นกับเราเปนประธานรวมกัน ตองใหตัวเอง ตามหลังเสมอ (ในรูป I) เชน He and I, You and I เปนตน) 7. a - Although -> Despite เพราะวา although + sentence/adjective และ despite + noun โดยใน ที่นี้ v+ing ทําหนาที่เปน noun 8. a - Since -> For เพราะวา centuries บอกความ นานของเวลา (1 century = 100 years) ตองใช For 9. c - consist of -> consisting of / that consist of เพราะวาตองทําหนาที่ขยาย molecules 10.

b - เพราะวา exaggerative ตองใช an นําหนา

(ระวัง ในบางกรณี such ไมจําเปนตองมี a เมื่อตาม ดวยนามเอกพจน ลองศึกษาดูนะ) 11.

c - เพราะ การเรียกสหรัฐอเมริกาตองมี the

นําหนา the “United States” 12.

a - เพราะ เปน inversion ของประโยค Many

beautiful women live deep in the forest. 13.

b - เพราะเปนการใชคําปฏิเสธวาเชนกัน

14.

a - เพราะวา other + plural noun และ that

กับ this ไมเหมาะสมกับประโยค 15.

b


16.

c

17.

b

18.

c

19.

a

20.

d

21.

b

22.

d

23.

a

24.

a - เพราะแปลวากอกวนเหมือนกัน

25.

d - เพราะ specific = เฉพาะเจาะจง =

exclusive 26.

d

27. c - เพราะ obvious = ชัดเจน แต safe = ปลอดภัย ขอนี้อาจจะตองตีความหมายลึกหนอย ชัดเจนคือเขาถึงไดงาย ไมปลอดภัย 28.

b - เพราะ deceive = หลอกใหเชื่อในสิ่งที่ผิด

= fool 29.

a - เพราะ jealousy และ envy ใหความหมาย


วาอยากได“ของของคนอื่น” 30.

c - เพราะ reduce = decrease = ลด


รองปกหลัง

รองปกหลัง

¼

¼

5,000.- บาท

5,000.- บาท

รองปกหลัง

รองปกหลัง

¼

¼

5,000.- บาท

5,000.- บาท


รองปกหลัง ครึ่งหน้ า 10,000.- บาท

รองปกหลัง ครึ่งหน้ า 10,000.- บาท


รองปกหลัง ครึ่งหน้ า 10,000.- บาท

รองปกหลัง ครึ่งหน้ า 10,000.- บาท


รองปกหลัง เต็มหน้ า 20,000.- บาท


รองปกหลัง เต็มหน้ า 20,000.- บาท


ปกใน ด้ านหลัง ครึ่งหน้ า 15,000.- บาท

ปกใน ด้ านหลัง ครึ่งหน้ า 15,000.- บาท


ปกใน ด้ านหลัง เต็มหน้ า 30,000.- บาท



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.