ปกนอก
ปกใน ด้ านหน้ า เต็มหน้ า 30,000.- บาท
บทที่ 1 แสง เลนส์ ตย1
a
b
เมื่อเลื่อนวัตถุออกจากเลนส์เป็ นระยะ a อีก ภาพจะเลื่อนจากตําแหน่ งเดิมเท่าใด(ตอบในรูป a,b)
ให้ s’ แทนระยะภาพที่จะเกิดขึ้ น 1
1
𝑓𝑓
𝑓𝑓
1 + 𝑎𝑎 𝑏𝑏
=
1 + 2𝑎𝑎 𝑠𝑠′
=
แทน
1
1
1
𝑓𝑓
สมการ1ในสมการ2
จะได้ 𝑎𝑎1 + 𝑏𝑏1 - 2𝑎𝑎1 = 𝑠𝑠′1 ได้ s’= 2𝑎𝑎𝑎𝑎 𝑎𝑎+𝑏𝑏
2𝑎𝑎𝑎𝑎 ดังนั้นจะได้ระยะภาพใหม่คือ 𝑎𝑎+𝑏𝑏
สมการ 1
สมการ 2
ตย. 2
หากผูส้ งั เกตมองเห็นวัตถุใกล้ที่สุดคือ 60 เซนติเมตร จะต้องทําอย่างไร เพื่อให้สามารถ มองเห็นวัตถุได้ใกล้ที่สุดเป็ นระยะ 25 เซนติเมตร
จาก 𝑓𝑓1 1
𝑓𝑓
=
1
=
1
25
-
1
50
50
ได้ f=50
จะได้เลนส์นูน: D =
1
𝑓𝑓
=
ดังนั้นสายตายาว +200
1
0.05
=2
ตย.3
จงหาความยาวโฟกัสรวมของเลนส์ท้งั สอง
จากสูตร 1
𝑓𝑓รวม 1
𝑓𝑓รวม 1
𝑓𝑓รวม
= =
1
𝑓𝑓1 1
−5
= -
+
+ 1
10
จะได้ f=-10
1
𝑓𝑓2 1
10
ตย.4 เลนส์นูนมีความยาวโฟกัส 40 เซนติเมตร และมีเลนส์เว้าความยาวโฟกัส 40 เซนติเมตร วางอยูใ่ นแนวเส้นตรงเดียวกันและห่างกัน 60 เซนติเมตร ดังรูป วางวัตถุไว้หน้า เลนส์นูนเป็ นระยะ 80 เซนติเมตร จงหาระยะ๓พที่เกิดครั้งสุดท้าย ห่างจากเลนส์เว้า
1
1
= +
𝑓𝑓
𝑠𝑠
1
40 1
𝑠𝑠′
=
=
1
80 1
80
1
𝑠𝑠′
+
1
𝑠𝑠′
s’ = 80 เซนติเมตร หลังเลนส์นูน ซึ่งก็คือ หลังเลนส์เว้า 20 เซนติเมตร
ดังนั้น s ของเลนส์เว้าคือ -20 เซนติเมตร 1
1
𝑓𝑓รวม
= +
−40
−20
1
=
𝑠𝑠
1
1
𝑠𝑠′
+
1
𝑠𝑠′
จะได้ s’ คือ 40 เซนติเมตร ห่างจากเลนส์เว้า
กระจก ตย1ชายคนหนึ่ งสูง 180 เซนติเมตร ยืนอยูห่ น้ากระจกเงาราบซึ่งตั้งอยูใ่ นแนวดิ่ง ถ้าสายตา ของชายคนนี้ อยูส่ ูงจากพื้ น 165 เซนติเมตร จงหา ก. จงหาความยาวกระจกที่นอ้ ยที่สุดที่ยงั มองเหนตังเองได้ท้งั ตัว ข. ขอบบนและขอบล่างของกระจกเงาราบควรอยูส่ ูงจากพื้ นเท่าใด วิธีทาํ
ก จาก 𝑦𝑦𝑥𝑥 = 180 2𝑥𝑥
2xy = 180x 2y = 180 Y=90
ดังนั้นความยาวกระจกที่นอ้ ยที่สุดคือ 90 เซนติเมตร ข จาก 𝐻𝐻𝑥𝑥 = 165 2𝑥𝑥 2Hx = 165x ได้ H = 82.5
ดังนั้นขอบบนและขอบล่างของกระจกเงาราบควนอยูส่ ูงจากพื้ น 82.5 เซนติเมตร
ตย.2 ดินสอดํายาว 30 เซนติเมตร วางไว้ตามแนวแกนหน้ากระจกเว้าซึ่งมีรศั มีความโค้ง 60 เซนติเมตร โดยให้ปลายใกล้อยูท ่ ี่จุดศูนย์กลางความโค้งของกระจก ภาพที่เกิดขึ้ นจะมี ความยาวเท่าใด
เนื่ องจากดินสอมีความยาวดังนั้นเราจึงต้องคิดตําแหน่ งของหัวดินสอและท้ายดินสอ หัวดินสอ : จาก 𝑅𝑅2 = 1𝑠𝑠 + 𝑠𝑠′1 2
ได้
60 1
60
=
=
1
60
1
𝑠𝑠′
+
1
𝑠𝑠′
𝑠𝑠′ = 60
ท้ายดินสอ: จาก 𝑐𝑐 = 1𝑠𝑠 + 𝑠𝑠′1 ได้
2
60
= 2
90
1
90
=
+
1
1
𝑠𝑠′
𝑠𝑠′
S’ = 45
ดังนั้นความยาวดินสอจะยาว 60-45=15 เซนติเมตร
ตย3 จากรูปถ้าต้องการเห็นต้นไม้เต็มต้นต้องใช้กระจกยาวความยาวอย่างน้อยเท่าไร
จะได้ 𝑦𝑦 3
=
2 8
ได้ y = 0.75
ดังนั้นต้องใช้กระจกยาวความยาวอย่างน้อย 0.75 เมตร
บทที่ 2 ไฟฟ้ า
ตย.1 ถ้าหากเรานําหลอดไฟ a ขนาด 50w 20v ไปต่อกับแหล่งกําเนิ ด E=10v และ 40v ตามลําดับ หลอดจะเป็ นอย่างไร
แหล่งกําเนิ ด40v : เนื่ องจาก หลอดสามารถทนกระแสได้สูงสุดได้ แค่20v ดังนั้นเมื่อต่อกับ แหล่งกําเนิ ด 40 v หลอดจะขาด 2
แหล่งกําเนิ ด10v : จาก Rหลอด = 𝑣𝑣𝑝𝑝 จะได้
จาก จะได้
P =
=
202
𝑣𝑣 2
p =
𝑅𝑅
50
100 8
= 8Ω
= 12.5 วัตต์
50 ดังนั้นหลอดไฟจะสว่างน้อยลง 12.5 = 4เท่า
ตย.2 จงหา R ที่ทาํ ให้หลอดสว่างปกติ
จาก
P=
𝑣𝑣 2
50 =
จาก ได้
𝑅𝑅
202 𝑅𝑅
R=8Ω
E = I(R+r)
30 = 2.5(R+6) R = 4.2
P = IV
50 = I(20)
Iที่ทนได้ คือ 2.5 A
ตย.3จงหาอัตราความร้อนของหลอด a,b ที่ต่อขนานกันว่าป็ นอย่างไร
อัตราความร้อน
กําลังไฟฟ้ า
เนื่ องจากขดลวดต่อขนานกันดังนั้น P α 𝑅𝑅1 𝜌𝜌(𝑙𝑙) จะได้ Ra = 𝜌𝜌(2𝑙𝑙) = 2𝐴𝐴 𝐴𝐴
1 𝜌𝜌(𝑙𝑙) จะได้ Rb = 𝜌𝜌(𝑙𝑙) = ( ) 3𝐴𝐴 3 𝐴𝐴
ดังนั้น Pb จึงมากกว่า Pa
ตย.4 จงพิจารณาว่า หากเราปิ ดสวิตซ์ S ลง จะทําให้หลอด A B เป็ นอย่างไร
เปิ ดสวิตซ์ S ขึ้ น จะได้
ปิ ดสวิตซ์ S ลง จะได้
I2 =
𝑅𝑅
E = (I1) 2
I1 =
2𝐸𝐸 𝑅𝑅
𝑅𝑅
E = (I2) 3𝐸𝐸 𝑅𝑅
3
ตย.5 จงหากําลังไฟฟ้ าบน 4 Ω
จาก Rรวมได้ 6 Ω
E = I(R + r)
6 = I(2+0) I=3
ดังนั้นกระแสรวมทั้งวงจรคือ 3 A โดยกระแสจะแบ่งไหล โดยไหลไปทาง 3 Ω เป็ น2ส่วนและ ไหลไปทาง 2 Ω และ 4Ω เป็ น1ส่วน จะได้สมการ เป็ น
2x+x = 3
X=1
ดังนั้นกระแสที่ไหลผ่าน4Ωคือ 1A จาก
P = 𝐼𝐼 2 R
P = 4 วัตต์
ดังนั้นกําลังไฟฟ้ าบนตัวต้านทาน 4Ω คือ 4 วัตต์
ตย. 6 จงหาว่าโวลต์มิเตอร์อ่านค่าได้เท่าไร
จาก
E = I(R + r)
6 = I(4+6+1+1)
จาก
I = 0.5A
V = IR
= 0.5
ดังนั้นโวลต์มิเตอร์จึงอ่านค่าได้
0.5 V
ตย. 7 จงหาค่าประจุไฟฟ้ ารวม
จาก
Q = CV
= 2(12)
= 24 ไมโครคูลอมป์
ตย.8 จงหากระแสไฟฟ้ า I1 และ I2
จาก
𝐸𝐸1
จะได้
60
จาก
𝐸𝐸2
𝐸𝐸2
=
=
𝑁𝑁1 𝑁𝑁2 4 1
E2 = 15
E2 = I2 R
15 = I2(10)
จาก
I2 = 1.5A
Pปฐมภูมิ = Pทุติยภูมิ 60 (I1) = 15(1.5)
I1 = 0.375 A
บทที่ 3 สมบัติสสาร ความร้อน
ตย1 กาต้มนํ้าขนาด 500วัตต์ 220 โวลต์ ต้มนํ้าจํานวน 0.5 ลิตร ที่ อุณหภูมิ 25 c จงหาว่า นํ้าจะเดือดภายในกี่นาที 80
100
ของพลังงานไฟฟ้ า = พลังความร้อน
0.8(P)(t)
0.8(500)(t)
= mc t
= 500(4.2)(75)
จะได้ t ประมาณ 6.56 นาที
ตย2 นํ้าแข็ง 80 กรัม อัณหภูมิ 0 c ผสมกับนํ้าร้อน 200ทกรัม อุณหภูมิ 80 c จงหา อุณหภูมิผสม Qtสูงคาย = Qtตํา่ ได้รบ ั
ml+ mc t = mc t
80(80)+80(0.5)(x) = 200(1)(80-x) X = 34.29
ดังนั้นอุณหภูมิผสมคือ 34.29 c
แรงลอยตัว ตย.1
จากรูป A,B,C เป็ นกระดาษที่มีมวลเท่ากัน แต่ขนาดต่างกัน ถ้าเอาด้ายเจาะผูกตรงกลาง แผ่นกระดาษ ซึ่งวางแนบอยูก่ บั พื้ นโต๊ะ แล้วดึงด้ายเพื่อยกกระดาษขึ้ นจากพื้ นโต๊ะ จะอกแรง ดึงกระดาษแผ่นใดมากกว่า เพราะอะไร จาก P=
𝐹𝐹
𝐴𝐴
F= PA
จะได้ F แปรผันโดยตรงกับ A
ดังนั้นจะได้วา่ แผ่น C ออกแรงดึงมากกว่า เพราะแปรผันตรงกับพื้ นที่ ตย.2
ตาชัง่ สปริงชํารุดอันหนึ่ ง เอาตุม้ นํ้าหนักที่มี ถ.พ.8นํ้าหนัก8กิโลกรัม ไปชัง่ จะอ่านได้เพียง 6 กิโลกรัม ถามว่า ถ้าเอาลูกตุม้ ไปชัง่ ในนํ้า จะอ่านตาชัง่ ได้เท่าใด ในอากาศ ถ.พ.วัตถุจมนํ้า =นํนํ้ า้ าหนัหนักกวัวัตตถุถุทชี่หงั ่ ายไปในนํ ้า
=
8 8
=1
จะอ่านตาชัง่ ได้ 6-1=5 kg
ตย.3
มีน้ําในบีกเกอร์ระดับนํ้าบนสุดอยูท่ ี่ 30 ลุกบาศก์เซนติเมตร นําวัตถุกอ้ นหนึ่ งจุม่ ลงในนํ้ามิด จนทําให้ระดับนํ้าบนสุดอยูท่ ี่50ลูกบาศก์เซนติเมตรและชัง่ นํ้าหนักวัตถุในนํ้าได้หนัก40กรัม จงหาความหนาแน่ นของวัตถุกอ้ นนี้ จาก M=DV
โดย M คือ มวล
D คือความหนาแน่ น
และ V คือปริมาตร
แทนค่าในสูตร 40=(Dสาร-Dเหลว)20 40=(Dสาร-1)20
60=20Dสาร
Dสาร =3 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร
ตย.4
อ่างนํ้าเต็มขนาด 20x20x40 cm3 vลอย=1/5vวัตถุ แล้ว Dวัตถุ=? โดย D คือความหนาแน่ น และ V คือปริมาตร จากสูตร
แทนค่า
vจม
vวัตถุ 4 5
1
=
𝐷𝐷วัตภุ
× = 1
Dวัตถุ Dเหลว
1
D วัตถุ = 0.8 𝑔𝑔/𝑐𝑐𝑐𝑐3
บทที่ 4 กลศาสตร์ ∑F = 0
จากรูป เมื่อไม่คิดแรงเสียดทานระหว่างมวลกับพื้ น ข้อใดถูกต้อง
M1
M2
F = 10 N
1.แรงดึงในเส้นเชือกระหว่างมวล m1 และ m2มีค่าน้อยกว่า F
2.เมื่อมวล m1 มากกว่า m2 แรงดึงในเส้นเชือกระหว่างมวลมีค่ามากกว่าแรง F 3.เมื่อมวล m1 น้อยกว่า m2แรงดึงในเส้นเชือกระหว่างมวลมีค่ามากกว่าแรง F 4.แรงดึงในเส้นเชือกระหว่าง m1และ m2 มีคา่ มากกว่า F
ตอบ ข้อ 1 เพราะ วัตถุท้งั สองเคลื่อนที่ไปพร้อมกัน มี a ที่เท่ากัน แต่แรงดึงในเส้นเชือก ระหว่างมวล m1 และ m2 จะคิดแค่ มวลก้อนเดียว
∑F = ma
วัตถุ2ก้อนถูกแรงมีค่า100 กระทําต่อระบบ ดังรูป จงหาว่าแรงตึงเชือก ธ ระหว่างวัตถุเป็ น เท่าใด วิธีทาํ
จากสูตร
∑F = ma
100 = (2+8)a
จากสูตร
a = 10 m/𝑠𝑠 2 ∑F = ma
T = ma
T = (2)(10) = 20N
2kg
8 kg
F = 100 N
แรงเสียดทาน วัตถุกอ้ นหนึ่ งมวล 1 กิโลกรัม ถูกดันติดกับกําแพงซึ่งอยูใ่ นแนวดิ่ง ด้วยแรง F ดังรูปข้างล่าง นี้ ถ้าสัมประสิทธิ์ความเสียดทานระหว่างวัตถุกบั พื้ นกําแพงมีค่า 0.1 จงหาขนาดของ F ที่ทาํ ให้วตั ถุเคลื่อนที่ลงด้วยความเร่ง 1 เมตร/วินาที2 วิธีทาํ
จาก
∑F = ma
mg – F = ma
m
F
2(10) – f = 2(1) F = 18
คาน โลหะขนาดสมํา่ เสมอยาว 2 เมตร หนัก 500 N วางอยูบ่ นโต๊ะ มีปลายด้านหนึ่ งยืน่ พื้ นโต๊ะ ออกมา 25 เซนติเมตร จงหาแรงF มากที่สุดที่ทาํ ให้ท่อนโลหะยังไม่กระดกบนขอบโต๊ะกี่นิว ตัน วิธีทาํ
500(75) = 25(F) F = 1500 N
F
รอก วัตถุมีมวล 100 กิโลกรัม และคนที่เกาะเชือกอยูม่ ีมวล 80 กิโลกรัม ถ้าต้องการดึงมวลให้อยู่ นิ่ ง เขาจะต้องไต่ขึ้นหรือลงไปตามเชือกอย่างไร วิธีทาํ
จาก
∑F = ma
1000 – 800 = 80(a)
a = 2.5 m/𝑠𝑠 2
ต้องไต่ขึ้นด้วยตวามเร่ง 2.5 m/𝑠𝑠 2
100 kg
พื้ นเอียง เข็นถังหนัก 200 นิ วตัน ขึ้ นพื้ นเอียง ยาว 10 เมตร สูง 4 เมตร ต้องออกแรงทํางานอย่าง น้อยเท่าใด ถ้าพื้ นเอียงมีประสิทธิภาพ 80 % วิธีทาํ
ให้ X คือ แรงทํางานอย่างน้อย 10 m 80
100
(200)(4) = (X)(10)
X = 1000 จูล
4m
งานและพลังงาน ตย 1
เด็กชายอํานาจแบกกล่องหนังสือหนัก 100 นิ วตัน เดินขึ้ นบันไดจาก a ถึง b จํานวน 10 ขั้น สูงขั้นละ 25 เซนติเมตร แล้วเดินไปตามพื้ นห้องในแนวระดับจาก b ถึง c อีก 5 เมตร เขา ทํางานทั้งสิ้ นกี่จลู
หาระยะ ab = จํานวนบันได × ความสูงแต่ละข้น = 10×0.25 =2.5 m.
งานทั้งหมดที่เขาทํา = แรง×ระยะกระจัดตามแนวแรง = 100×2.5
= 250 J
หมายเหตุ ไม่คิดงานในการเดินไปตามพื้ นห้องในแนวระดับ เนื่ องจากแรงตั้งฉากกับการ กระจัดตามแนวแรง
ตย 2
ปั้ นจัน่ เครื่องหนึ่ งมีกาํ ลัง10กําลังม้า หากใช้ป้ั นจัน่ นี้ ยกถังรูปลูกบาศก์ที่มีความยาวด้านละ1 เมตรและมีมวล492กิโลกรัม ซึ่งภายในบรรจุน้ําเต็มถัง จงหาว่าต้องใช้เวลาเท่าใดในการยก ถังด้วยความเร็วคงที่ขึ้นไปที่ความสูง10เมตร
กําหนดให้ 1กําลังม้า เท่ากับ 746 วัตต์ ความหนาแน่ นของนํ้าเท่ากับ1กรัมต่อลูกบาศก์ เซนติเมตร จาก นํ้า 1 ลูกบาศก์เมตร มีมวล=1000 kg หนัก 10000N ปั้ นจัน่ หนัก 492×10 = 4920 N ปั้ นจัน่ +นํ้า = 14920 N จาก P=
FS T
14920×10
7460 =
T = 20
T
การเคลื่อนที่ ตย1 กราฟความสัมพันธ์ระหว่างอัตราเร่ง (v) กับเวลา (t) ในข้ อใดแทนการปล่อยวัตถุให้ ตกอย่างอิสระ ในสุญญากาศภายใต้ แรงโน้ มถ่วง 1. 3.
t
t
2.
v
4.
v
t
t
ตอบ ข้อ 1 เพราะ กราฟ v-t ของการตกอิสระ คือ ความเร่ง g และเป็ นกราฟเส้นตรง
ตย2. ถ้ าขว้ างวัตถุจากหน้ าผาออกไปในแนวระดับ ถามว่าประมาณใดของวัตถุมีคา่ คงที่ 1. อัตราเร็ ว 2. ความเร็ ว 3. ความเร็ วในแนวดิง่ 4. ความเร็ วในแนวระดับ ตอบ ข้ อ 4 เพราะ ในการเคลื่อนที่แบบโปรเจคไตล์ จะมีความเร็วในแนวระดับคงที่ แต่ความเร็ วในแนวดิง่ จะไม่คงที่ ตย.3 นายภูมิขบั รถยนต์ที่เริ่ มเคลื่อนที่จากหยุดนิ่ง โดยอัตราเร็วเพิ่มขึ ้น 3 เมตร/วินาที ทุก ๆ 1 วินาที ถาม ว่าเมื่อสิ ้นวินาทีที่ 7 รถจะมีอตั ราเร็ วเท่าใด 1. 7 𝑚𝑚⁄𝑠𝑠
ตอบข้ อ 3 จาก
a=
3=
𝑣𝑣−𝑢𝑢 𝑡𝑡
𝑣𝑣−0 7
V = 21 จะได้ อัตร เร็ วคือ 21𝑚𝑚⁄𝑠𝑠
2. 14 𝑚𝑚⁄𝑠𝑠
3. 21 𝑚𝑚⁄𝑠𝑠
4. 28 𝑚𝑚⁄𝑠𝑠
5. h
จากรูป ถ้ าไม่คิดแรงต้ านอากาศ และแรง เสียดทานบนพื ้นเอียง จงเปรี ยบเทียบ ความเร็ วขณะกระทบพื ้นของวัตถุทงสาม ั้
. A B C ตอบ เท่ากันทุกอัน เนื่องจาก กฎอนุรักษ์พลังงาน วัตถุทงั ้ 3 มีมวลเท่ากัน อยูท่ ี่ตําแหน่งเดียวกัน และอยูใ่ น สภาวะแรงโน้ มถ่วงที่เท่ากัน ( คิด B ตอนที่ B อยูท่ ี่ตําแหน่งสูงสุดแล้ วซึง่ มีความเร็ วเป็ น 0 เมตรต่อวินาที )
โจทย์เพิ่มเติม
1. กระจกในข้อใดที่ทาํ ให้เกิดภาพเสมือนมีขนาดใหญ่กว่าวัตถุ และกระจก ใดให้ภาพเสมือน หัวตั้ง ขนาดเท่าวัตถุ ตามลําดับ 1.กระจกเว้า กระจกเงาระนาบ 2.กระจกน่ า กระจกเงาระนาบ 3.กระจกเว้า กระจกนู น 4.1 และ 2 2.นําวัตถุวางห่างจากกระจกโค้งบานหนึ่ งปรากฏว่าได้ภาพขนาดขยาย 4 เท่า ถ้าเลื่อนวัตถุให้ออกห่างจากเดิม 10 cm จะได้ภาพขนาดขยาย 4 เท่า อีกครั้งหนึ่ ง จงหาความยาวโฟกัสของกระจกโค้งนี้ และระยะห่างระหว่าง ภาพที่เกิดทั้ง 2 ครั้ง 3.จงพิจารณาว่าข้อความใดไม่ถูกต้อง 1.คลื่นตามยาวเป็ นคลื่นที่อนุ ภาคของตัวกลางสัน่ ตามแนวทิศทางการ เคลื่อนที่ของคลื่น 2.คลื่นตามขวางเป็ นคลื่นที่อนุ ภาคของตัวกลางสัน่ ตามแนวติดตั้งได้ต้งั ฉาก กับการเคลื่อนที่ของคลื่น 3. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าไม่จาํ เป็ นต้องอาศัยตัวกลางในการเคลื่อนที่ แต่ก็ จัดเป็ นคลื่นตามขวาง 4. ในตัวกลางอันเดียวกัน อนุ ภาคของตัวกลางจะสัน่ ในทิศตั้งฉากหรือ ขนานกับการเคลื่อนที่ของคลื่น ได้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ งเท่านั้น
4.นาย เก่ง ซื้ อเลนส์นูน ซึ่งทางผูข้ ายไม่สามารถบอกค่าความยาวโฟกัสของ เลนส์นูนนั้นได้ จึงนํามาทดลองเพื่อคํานวณหาค่าความยาวโฟกัสของเลนส์ นู นนั้น เขาพบว่า ถ้าวางเลนส์นูน ให้จุดกึ่งกลางห่างจากจอภาพ40 cm ต้องเลื่อนวัตถุซึ่งอยูห่ น้าเลนส์ไปมา จนกระทัง่ วัตถุอยูห่ า่ งจากผิวบริเวณตรง บริเวณหนาสุดของเลนส์ 10 cm จึงจะได้ภาพบนจอชัดเจนที่สุด ถ้าบริเวณ หนาสุดของเลนส์หนา 1 cm เขาจะคํานวณได้วา่ เลนส์นูนมีความยาวโฟกัสกี่ เซนติเมตร 1.6.38 2.6.83 3.8.32 4.8.63 5. นเย พี วางวัตถุหา่ งจากฉาก 90 cm แล้วนําเลนส์นูนอันหนึ่ งเลื่อนไป เลื่อนมาระหว่างวัตถุกบั ฉาก พบว่าเมื่อวางเลนส์หา่ งจากวัตถุ 30 cm จะเกิด ภาพคมชัดบนฉาก ถ้าเขาวางวัตถุหา่ งฉาก 70 cm แล้วเลื่อนเลนส์ระหว่าง วัตถุกบั ฉาก จะให้ผลดังข้อใด ก.ได้ตาํ แหน่ งที่วางเลนส์นูนแล้วได้ภาพบนฉากเล็กกว่าวัตถุ ข.ได้ตาํ แหน่ งที่วางเลนส์นูนแล้วได้ภาพบนฉากโตกว่าวัตถุ ค. ไม่พบตําแหน่ งที่วางเลนส์นูนแล้วเกิดภาพบนฉาก 1.ข้อ ก 2.ข้อ ข 3.ข้อ ค 4.ข้อ ก และ ข 6.กล้องถ่ายรูปอันหนึ่ ง มีระยะเลื่อนของเลนส์เข้า-ออกได้ 1 cm ถ้า กล้องนี้ ใช้ถ่ายรูปได้ไกลสุดที่ระยะอนันต์และใกล้สุดที่ระยะ 30 cm จงหาค่าความ ยาวโฟกัสของเลนส์ที่ใช้ 1.5 cm 2.6 cm 3.10 cm 4.30 cm
7.จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้ ก.แว่นขยายต้องทําจากเลนส์นูน ถ้าระยะภาพอยูท่ ี่ระยะใกล้สุดที่ตาคนปกติ จะเห็นได้ เลนส์นูนที่มีความยาวโฟกัสยาวจะให้กาํ ลังขยายมากกว่าเลนส์ นู นที่มีความยาวโฟกัสสั้น ข. กล้องโทรทรรศน์ชนิ ดหักเหแสงอย่างง่าย เลนส์วตั ถุจะมีความยาวโฟกัส มากกว่าเลนส์ตา ค. กล้องจุลทรรศน์ เลนส์ตาจะมีความยาวโฟกัสมากกว่าเลนส์วตั ถุ และภาพ สุดท้ายจะเป็ นภาพเสมือน ขนาดขยายหัวตั้งเหมือนวัตถุเดิม ง. ระยะห่างระหว่างเลนส์นูนของกล้องถ่ายรูปกับฟิ ล์ม ประมาณความยาว โฟกัสของเลนส์นูนที่ใช้ จ. คนสายตาสั้นต้องสวมแว่นทําจากเลนส์เว้าที่มีความยาวโฟกัสเท่ากับ ระยะไกลสุดที่มองเห็นชัดก่อนสวมแว่น คําตอบที่ถูกต้อง มีกี่ขอ้ 1.2 ข้อ 2.3ข้อ 3.4ข้อ 4.5ข้อ 8. เด็กหญิงซินดี้ มีเลนส์อยูอ่ นั หนึ่ ง เมื่อวางเทียนไขหน้าเลนส์เป็ นระยะ 40 cm จะมองเห็นภาพอยูห่ น้าเลนส์เช่นเดียวกับเทียนไข แต่ภาพมีขนาดเพียง 3/4 เท่าของของจริง อยากทราบว่าเลนส์อนั นี้ เป็ นเลนส์ชนิ ดใดและมีความ ยาวโฟกัสเท่าไร 1.เลนส์นูน f = 130 cm 2.เลนส์เว้า f = 120 cm 3.เลนส์นูน f = 110 cm 4.เลนส์เว้า f = 110 cm
9. ลําแสงขนานมากระทบกับเลนส์นูน x ซึ่งมีความยาวโฟกัส 0.2 เมตร ถ้า ลําแสงออกจากเลนส์นูนแล้วมากระทบเลนส์เว้า y ทําให้เกิดเป็ นลําแสง ขนานที่ออกจากเลนส์เว้า y ซึ่งมีความยาวโฟกัส 0.15 เมตร เลนส์เว้า y จะต้องวางห่างจากเลนส์นูน x เท่าใด 1.0.050 m 2.0.200 m 3.0.175 m 4. 0.10 m 10.น้องกานนํานํ้าเดือดจํานวน 0.2 กิโลกรัม รินลงไปในท่อทองแดงมวล 2 กิโลกรัม และมีอุณหภูมิเริ่มต้นเป็ น 18 องศาเซลเซียส (◦C) หลังจากถ่ายเท ปริมาณความร้อนแล้วปรากฏว่าอุณหภูมิของนํ้าลดลงเป็ น 60 องศา เซลเซียส (◦C) จงหาความจุความร้อนของท่อทองแดง 1. 400 J/◦C 2. 600 J/◦C 3. 800 J/◦C 4. 1000 J/◦C 11. โลหะก้อนหนึ่ งมีมวล 0.5 กิโลกรัม มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้ นในอัตรา 1 องศา เซลเซียสต่อวินาที(◦C/S) โดยใช้เครื่องทําความร้อนขนาด 200 วัตต์ (W) สมมุติวา่ ความร้อนไม่มีการสูญเสียให้แก่สิ่งแวดล้อม จงหาความจุความร้อน ของโลหะก้อนนี้ 1. 200 J/kg•K 2. 300 J/kg•K 3. 400 J/kg•K 4. 500 J/kg•K
อุณหภูมิ (◦C) A 80
12.
20
ถ้าทําให้ของเหลวชนิ ดหนึ่ งเกิดการเปลี่ยนแปลง อุณหภูมิจาก A ไปยังอุณหภูมิ 20 ◦C ปรากฏว่าสาร เกิดการคายความร้อนเป็ น 24,000 จูล จงหา อุณหภูมิเริ่มต้นของสารที่จุด A กําหนดให้ค่าคงที่ความจุความร้อนต่างๆ เป็ นดังนี้ Cของเหลว = 2 J/g•K , lเยือกแข็ง = 100 J/g พลังงานความร้ อน (J)
มวลของสารที่ใช้ 100 กรัม
1. 100 ◦C 2. 200 ◦C 3. 150 ◦C 4. 180 ◦C
13. เมื่อต้มนํ้า 200 กรัม อุณหภูมิ 40 ◦C ให้เดือดกลายเป็ นไอ อยาก ทราบว่าจะต้องใช้พลังงาน ความร้อนทั้งหมดเท่าใด ถ้าปรากฏว่ายังมีน้ํา เหลืออยู่ 50 กรัมที่ 100 ◦C 1. 390,600 จูล 2.386,000 จูล
3.340,200 จูล 4.93,000 จูล 14.สาร ก คือนํ้าแข็งที่อุณหภูมิ 0 ◦C มวล 200 กรัม สาร ข คือ นํ้า อุณหภูมิ 10 ◦C มวล 400 กรัม สาร ค คือ นํ้าอุณหภูมิ 90 ◦C มวล 300 กรัม ผสม สาร ก ข ค เข้าด้วยกัน อุณหภูมิผสมมีค่ากี่องศาเซลเซียส 1. 8.4 2. 16.7 3. 23.5 4. 30.0 15.ทุ่นลอยนํ้ารูปสี่เหลี่ยมยาว 4 เมตร กว้าง 2 เมตร มีมวล 12 ตัน ลอย อยูใ่ นนํ้าทะเลที่สภาวะสมดุล ซึ่งนํ้าทะเลมีความถ่วงจําเพาะ 1.03 จง คํานวณหาส่วนที่จมนํ้า (d) ให้ความหนาแน่ นของนํ้าเท่ากับ 1,000 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และค่าความเร่งเนื่ องจากแรงโน้มถ่วงโลก (g) เท่ากับ 10 เมตรต่อวินาที2 2m ผิวของเหลว d
1. d = 1.15 เมตร 2. d = 1.25 เมตร 3. d = 1.45 เมตร 4. d = 1.55 เมตร
16.ทรงกระบอกโลหะมวล 80 กิโลกรัม ยาว 2 เมตร ปลายแต่ละข้างมี พื้ นที่หน้าตัดเป็ น 25 ตารางเซนติเมตร วางตั้งในแนวดิ่งบนปลายด้านหนึ่ ง จงคํานวณหาความดันที่ทรงกระบอกกระทําต่อพื้ นที่มีค่าเป็ นกี่กิโลนิ วตันต่อ ตารางเมตร (กําหนดให้ g = 9.8 เมตรต่อวินาที2) 1.31.4 2.314 3.140 4.130 17.ไม้กอ๊ กลอยนํ้าในการหาความหาความหนาแน่ นจึงวางแผนการทดลอง ดังรูป โดยตาชัง่ สปริงอ่านค่าได้0.75 นิ วตันและปริมาตรไม้กอ๊ ก 0.0001 ลูกบาศก์เมตร จงคํานวณหาความหนาแน่ นไม้ก๊อก 1.150 kg/m3 2.200 kg/m3 3.250 kg/m3 4.300 kg/m3 18. วัตถุหนึ่ งเมื่อชัง่ ในอากาศจะหนัก 80 g. แต่หากนําไปชัง่ ในนํ้าจะหนัก 50 g. ถ้านําวัตถุนี้ไปชัง่ ในของเหลวที่มีความถ่วงจําเพาะ 1.2 จะหนักกี่กรัม 1.38 g. 2.40 g. 3.44 g. 4.46 g.
19. กราฟแสดงความเร็วกับเวลาของการเคลื่อนที่ของวัตถุในแนวตรง
พิจารณาขอความต่อไปนี้ ก. เมื่อเวลาผ่านไป 8 วินาที วัตถุจะเคลื่อนที่เป็ นระยะทาง 16 เมตร ข. ความเร็วเฉลี่ยในช่วง 8 วินาที คือ 0.5 เมตรต่อวินาที ค. วัตถุเคลื่อนที่กลับทิศทางที่วินาทีที่ 2 ข้อใดถูกต้อง 1. ก และ ข ข้อ
2. ก และ ค
3. ข และ ค
4. ถูกทุก
20. ปื นใหญ่ กและ ขมีลกั ษณะเหมือนกันทุกประการวางอยูบ่ นพื้ นราบ โดย มุมที่ปากกระบอกปื นใหญ่ท้งั สองทํามุมกันอยูร่ ะหว่าง 0o – 90oถ้ามุมที่ ปากกระบอกปื นใหญ่ กทํากับแนวราบนั้นมากกว่าปื นใหญ่ ขและเริ่มยิงปื น ทั้งสองพร้อมๆ กัน ข้อใดสรุปไม่ถูกต้อง 1. กระสุนปื นใหญ่ กตกไกลจากตัวปื นในแนวราบมากกว่ากระสุนปื นใหญ่ ข 2. อัตราเร็วของกระสุนปื นใหญ่ท้งั สองขณะก่อนชนพื้ นดินมีค่าเท่ากัน 3. ในขณะที่กระสุนปื นใหญ่อยูส่ ูงสุดจากพื้ นดิน ความเร็วของกระสุนปื น ใหญ่ กจะน้อยกว่ากระสุนปื นใหญ่ ข 4. กระสุนปื นใหญ่ กจะตกถึงพื้ นช้ากว่ากระสุนปื นใหญ่ ข
21. วัตถุเคลื่อนที่เป็ นวงกลมในแนวระดับด้วยอัตราเร็วคงที่ จงพิจารณา ข้อความต่อไปนี้ ก. วัตถุจะมีความเร่งเข้าหาจุดศูนย์กลางตลอดเวลา ข. แรงลัพธ์จะต้องไม่เป็ นศูนย์ และมีทิศขนานกับความเร็ว v ค. ความเร่งกับความเร็วมีทิศทางเดียวกัน ง. วัตถุอยูใ่ นสภาพสมดุล ข้อใดถูกต้อง 1. ก และ ข
2. ค และ ง
3. ก เท่านั้น
4. ก,ข,ค
22. พิจารณาข้อความดังต่อไปนี้ ก. วัตถุเคลื่อนที่เป็ นวงกลมด้วยอัตราเร็วคงที่ จะพบว่า ทิศของความเร่งจะ ตั้งฉากกับทิศของความเร็ว และความเร่งนี้ จะตั้งฉากกับแรงลัพธ์บนวัตถุนี้ ข. วัตถุที่แกว่งเป็ นวงกลมระนาบดิ่งด้วยแรงเชือก งานของแรงตึงเชือกมีค่า เท่ากับศูนย์ ค. งานของนํ้าหนักของวัตถุที่กาํ ลังเคลื่อนที่ขึ้นในแนวดิ่ง จะมีค่าเป็ นลบ ง. รถยนต์เลี้ ยวโค้งด้วยอัตราเร็วคงที่ ความเร่งจะมีค่าเท่ากับศูนย์ ข้อใดถูกต้อง 1. ก, ข และ ค ถูกทุกข้อ
2. ข, ค และ ง
3. ข และ ค
4.
23.ในขณะหนึ่ งเครื่องบินลําหนึ่ งอยูต่ รงตําแหน่ งของระบบแกน x-y เป็ น (x,y)=(100,-400) โดยมีหน่ วยเป็ นกิโลเมตร เมื่อเวลาผ่านไป 1 ชัว่ โมง ตําแหน่ งของเครื่องบินลํานี้ จะอยูต่ รงตําแหน่ ง (500,100)ความเร็วเฉลี่ย ของเครื่องบินลํานี้ จะมีขนาดกี่กิโลเมตร/ชัว่ โมง 1.770 2.500 3.510 4.640
24.การเคลื่อนที่ของวัตถุในข้อใดไม่มีความเร่ง 1 ขับรถยนต์เลี้ ยวโค้งตามเส้นทางคดเคี้ ยวด้วยอัตราเร็วสมํา่ เสมอ 2 นักโดดร่มเคลื่อนที่ดว้ ยความเร็วคงที่ใกล้ ๆ กับผิวโลก 3 แกว่งวัตถุผูกเชือกกลับไปมาด้วยคาบคงที่ 4 รถไฟฟ้ ากําลังเคลื่อนที่ดว้ ยความเร็วลดลงอย่างสมํา่ เสมอ ข้อใดถูกต้อง 1.ข้อ 1, 2 2.ข้อ 2 เท่านั้น 3.ข้อ 3, 4 4.ข้อ 1, 3, 4 25.ปาวัตถุจากพื้ นดินขึ้ นไปในแนวดิ่ง ปรากฏว่าวัตถุผ่านหลังคาตึกเมื่อ เวลาผ่านไป 1 และ 2 วินาที ตามลําดับ จงหาว่าตึกนั้นสูงกี่เมตร กําหนดให้ g=10 m/s^2 1.5
2.10
3.15
4.20
26.นํ้าหยดลงมาจากก๊อกนํ้าซึ่งสูงจากพื้ น h อย่างสมํา่ เสมอ ถ้าในขณะที่น้ํา หยดที่ 5 กําลังเริ่มตกลง นํ้าหยดแรกก็ตกถึงพื้ นพอดี ขณะนั้นนํ้าหยดที่ 2 และ หยดที่ 3 อยูห่ า่ งกันเท่าไหร่ 1. h/16
2.3h/16
3.5h/16 4.7h/16
27.จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้ ว่ามีขอ้ ถูกกี่ขอ้ ก.ถ้ามีอนุ ภาค 2 อนุ ภาคกําลังเคลื่อนที่เข้าหากันด้วยอัตราเร็ว 3 m/s และ 4 m/s ตามลําดับ โดยมีแนวการเคลื่อนที่เป็ นเส้นตรงในทิศตรงข้ามกัน พบว่า 3 วินาที ก่อนที่วตั ถุจะชนกันวัตถุท้งั สองห่างกัน เท่ากับ 1 เมตร ข.นาย ก. และ นาย ข. ออกแรงดึงเชือกด้วยแรงที่เท่ากันในทิศทางตรงกัน ข้ามเท่ากับ F พบว่าแรงตึงเชือกที่เกิดขึ้ นจะมีค่า 2F ค.ชายคนหนึ่ งมีมวล 50 kg ยืนอยูบ่ นตาชัง่ ในลิฟต์ที่กาํ ลังเคลื่อนที่ลงด้วย ความเร็วคงที่ 2 m/s ตาชัง่ นํ้าหนักที่ชายคนนี้ ยืนอยูจ่ ะอ่านค่าได้ เท่ากับ 500 N 1. 0ข้อ 2. 1 ข้อ 3. 2 ข้อ 4. 3 ข้อ
28.ลูกเทนนิ สลูกหนึ่ งเคลื่อนที่ก่อนชนกําแพงด้วยอัตราเร็ว 10 m/s โดย ภายหลังการชน พบว่าลูกเทนนิ สได้สะท้อนกลับในทิศทางตรงกันข้ามด้วย อัตราเร็วเท่าเดิม ถ้าช่วงเวลาที่กระทบกําแพงเป็ น 0.1 วินาที จงหา ความเร่งเปลี่ยนขณะกระทบกําแพง 1.0 m/s^2 2.100 m/s^2 3.200 m/s^2
4.150 m/s^2
29.ลิงตัวหนึ่ งขึ้ นต้นไม้ ปรากฏว่าทุก ๆ 2 นาที ลิงขึ้ นไปได้สูง 8 เมตร แล้ว ลื่นไถลลงมา 2 เมตรเสมอ จงหาอัตราเร็วเฉลี่ยเมื่อสิ้ นสุดเวลา 2 นาที (ตอบในหน่ วยเมตร/วินาที) 1. 1/12 m/s 2. 1/30 m/s
3. 3 m/s
4. 5 m/s
30.มวล 5.0 kg เคลื่อนที่ดว้ ยความเร็ว 3.0 m/s ไปทางทิศตะวันออก หลังจากนั้นเป็ นเวลา 5.0 s พบว่ามวลก้อนนี้ เคลื่อนที่ดว้ ยอัตรา 4.0m/s ไปทางทิศใต้ จงหาค่าของความเร่งเฉลี่ยของมวลนี้ ช่วงเวลา 5.0 s 1. 0.2 m/s^2 2. 0.4 m/s^2 3. 0.6 m/s^2 4. 1.0 m/s^2
31.ถ้า x เป็ นระยะทางของวัตถุที่ตกลงมาอย่างอิสระ ภายใต้แรงโน้มถ่วง ของโลกในช่วงวินาทีที่ 2 และ y เป็ นระยะทางของวัตถุที่ตกลงมาอย่างอิสระ ภายใต้แรงโน้มถ่วงของโลกในช่วงวินาทีที่ 1 ดังนั้น 1. x = 1/2y 2. x=y 3. x=2y
4. x=3y
32.การขับรถด้วยอัตราเร็ว 42 กิโลเมตรต่อชัว่ โมง ประสานงากับรถอีกคัน หนึ่ งที่แล่นสวนมาด้วยอัตราเร็ว 30 กิโลเมตรต่อชัว่ โมง จะเกิดความรุนแรง ใกล้เคียงกับการตกตึกประมาณ กี่ช้นั กําหนดให้ ตึก 1 ชั้น สูง 4 เมตร 1.4 2.5 3.10 4.15 33. หลอดไฟมีความต้านทาน 3 โอห์ม ต่อกับแบตเตอรี่ 12 โวลต์ แล้วจึงต่อกับฟิ วส์ ดังรูป จงเรียงลําดับวงจรที่ใช้ฟิวส์จากมากไปน้อย
1.)A,B,C C,B,A
2.) B,C,A
3.) C,A,B
4.)
34. จากวงจรไฟฟ้ าตามที่กาํ หนดดังรูป ก,ข,ค,ง,จ และ ฉ เป็ น เครื่องใช้ไฟฟ้ า
ถ้าถอดเครื่องใช้ไฟฟ้ า จ ออกจะมีผลอย่างไร 1.เครื่องใช้ไฟฟ้ าอื่นๆทํางานได้ปกติ 2.เครื่องใช้ไฟฟ้ า ก เท่านั้นที่ทาํ งานได้ตามปกติ 3.เครื่องใช้ไฟฟ้ า ก,ข และฉ เท่านั้นที่ทาํ งานได้ 4.เครื่องใช้ไฟฟ้ าทุกชนิ ดสามารถทํางานได้ 35. จากรูป วงจรไฟฟ้ ามีขอ้ มูลดังนี้ ก. กระแสไฟฟ้ าในวงจรเป็ น 1 แอมแปร์ ข.ความต่างศักย์ระหว่าง Vbcและ Vcdต่างกัน 8 โวลต์ ค.ความต่างศักย์ที่ข้วั มีค่าเป็ น 18 โวลต์ ง.ความต่างศักย์ระหว่าง bcมีค่าเป็ น 12 โวลต์ จงพิจารณาข้อมูลข้อใดถูกต้อง 1.) ถูก 1 ข้อ 2.) ถูก 2 ข้อ 4.) ถูก 4 ข้อ
3.) ถูก 3 ข้อ
36. เตารีดของซินดี้ และแท็กซี่มีกาํ ลังไฟฟ้ า 750 วัตต์เท่ากัน ถ้าซินดี้ รีด ผ้าเฉพาะวันหยุดรวม 12 วัน วันละ 2.5 ชัว่ โมง ส่วนแท็กซี่รีดผ้าทุกวัน วันละ 50 นาที ถ้าจ่ายค่าไฟยูนิตละ 1 บาท ในเดือนมกราคม (งดรีด ผ้าในวันปี ใหม่ 1 วัน) ซินดี้ หรือแท็กซี่จะจ่ายค่าไฟฟ้ ามากกว่ากันและเป็ น จํานวนเท่าใด 1.) บ้านซินดี้ จ่ายค่าไฟมากกว่าแท็กซี่ 3.75 บาท 2.) บ้านซินดี้ จ่ายค่าไฟมากกว่าแท็กซี่ 11.25 บาท 3.) บ้านซินดี้ จ่ายค่าไฟมากกว่าแท็กซี่ 1.25 บาท 4.)บ้านซินดี้ จ่ายค่าไฟมากกว่าแท็กซี่ 6.25 บาท 37. จงหาว่า A1 และ A2 จะอ่านค่าได้เท่าใด ถ้าแอมมิเตอร์มีความ ต้านทานน้อยมาก
1.) 0.5 A, 0.5 A 3.) 1.0 A, 1.0 A
2.) 1.0 A, 0.5 A 4.) 1.5 A, 0.5 A
38. เส้นลวดตัวนําไฟฟ้ าโตสมํา่ เสมอมีความต้านทาน 2 โอห์ม เมื่อนํา ลวดไปรีดให้มีความยาวเป็ น 4 เท่าของความยาวเดิม จงหาความ ต้านทานลวดตัวนําภายหลังรีด 1.) 8 โอห์ม 2.) 16 โอห์ม 3.) 24 โอห์ม 4.) 32 โอห์ม
39. จงหาว่า Aอ่านค่าได้เท่าใด 1.) 2.5 A 2.) 5.0 A 3.) 7.5 A 4.) 1.0 A
40. จงหาจํานวนเซลล์ไฟฟ้ าที่นํามาใช้ในการต่อกับลงจร เพื่อให้หลอดไฟทํางานให้ได้ความสว่างมากที่สุด 1.) 12 เซลล์ 2.) 24 เซลล์ 3.) 36 เซลล์ 4.) 48 เซลล์
41. หม้อแปลงไฟฟ้ าอันหนึ่ งมีอตั ราส่วนของลวดปฐมภูมิ ต่อขดลวดทุติย ภูมิเป็ น 4 : 1 ถ้าหม้อแปลงนี้ ต่อกับแบตเตอรี่ขนาด 24 V ถามว่าใน 1 นาที จะเกิดพลังงานที่ตวั ต้านทาน 10 โอห์ม เป็ นเท่าใด
1.) 0จูล 2.) 350 จูล 3.) 216 จูล 4.) 320 จูล 42. พิจารณาว่าข้อใดไม่ถูกต้อง 1. เทอร์มิสเตอร์ เป็ นตัวต้านทานที่เปลี่ยนค่าได้ตามอุณหภูมิที่อยูร่ อบๆ 2. หลอด LDR เมื่อมีแสงสว่างมากระทบน้อย จะมีความต้านทานน้อย 3. ทรานซิสเตอร์ เป็ นอุปกรณ์ทาํ จากสารกึ่งตัวนําที่พฒ ั นามาจากไดโอด สามารถที่จะขยายสัญญาณไฟฟ้ าให้มีขนาดมากขึ้ นได้ 4. หลอด LED เป็ นไดโอด ที่ขาต่อมี 2 ขา โดยขาอาโนดจะยาวกว่าขา คาโทด
43. จากรูปเป็ นวงจรไฟฟ้ าอย่างง่าย โดยมี A1, A2 เป็ นแอมมิเตอร์ V1 ,V2 เป็ นโวลต์มิเตอร์ ทั้งหมดเป็ นเครื่องมือวัดอุดมคติถา้ ความต้านทาน R มากขึ้ นผลจะเป็ นอย่างไร ก. มีค่าเท่าเดิม ข. V1 จะมีค่าลดลง ง. A2 จะมีค่าเพิ่มขึ้ น ค. V2จะมีค่าเพิ่มขึ้ น
ข้อใดถูกต้อง 1. ก และ ข 2. ข และ ต 3. ก เละ ค 4. ค เเละ ง 44. แอมมิเตอร์ A1 , A2 และ A3ไม่มีความต้านทานภายใน ถ้าสวิตซ์ S ปิ ดลง ค่าแอมมิเตอร์ท้งั สาม อ่านค่าเท่าไร เมื่อเทียบกับก่อนสับสวิตซ์
1. A1 เพิ่มขึ้ น A3 เป็ นศูนย์ 3. A2 คงที่ A3 เป็ นศูนย์
2. A1คงที่ A2 เพิ่มขึ้ น 4. A1 ลดลง เพิ่มขึ้ น
45. หลอดไฟ 100 วัตต์ 50 โวลต์ และหลอดไฟ 50 วัตต์ 100 โวลต์ ต่ออนุ กรมกัน แล้วต่อเข้ากับฟิ วส์ ดังรูป จงหาขนาดฟิ วส์ที่นํามาต่อใน วงจรเพื่อไม่ให้หลอดขาดขณะทํางาน
1. 0.25 A 2. 0.50 A 3. 1.0 A 4. 2.0 A 46.ถ้ามุมระหว่างแรงสองแรง(ช่วง 0-180 องศา) ที่กระทําต่อกันมีขนาด เพิ่มขึ้ น ขนาดของแรงลัพธ์จะเป็ นอย่างไร 1.เพิ่มขึ้ น 3.เพิ่มขึ้ นแล้วลดลง
2.ลดลงแล้วเพิ่มขึ้ น 4.ลดลง
47.มีแรงขนาด X และขนาด Y กระทําต่อวัตถุในแนวระดับโดยแรงทั้ง 2 มี ทิศทางตั้งฉากกัน และวัตถุวางบนพื้ น(ที่มีแรงเสียดทานระหว่างพื้ นกับวัตถุ) เริ่มเคลื่อนที่ จงหาค่าแรงเสียดทานที่เกิดขึ้ นว่า มีค่าเท่าใด 1. X+Y 3.
X+Y 2
2.√X 2 + Y 2
4.
√𝑋𝑋 2 +𝑌𝑌 2 2
48.ข้อใดต่อไปนี้ เป็ นแรงคู่ปฏิกิริยา (Action-Reaction Forces) 1.แก้วนํ้าวางบนโต๊ะ :แรงที่โลกดึงดูดแก้วนํ้าบนโต๊ะกับแรงที่โต๊ะดัน แก้วนํ้า 2.เข็นวัตถุบนพื้ นราบฝื ด : แรงที่มือเข็นวัตถุกบั แรงเสียดทานด้าน การเคลื่อนที่จากพื้ น 3.เตะฟุตบอลกระทบกําแพง : แรงที่ฟุตบอลชนกําแพงกับแรงที่ กําแพงทําให้ฟุตบอลสะท้อนกลับ 4.ถูกทุกข้อ 49.กล่องมวล 2 กิโลกรัม ถูกดึงจากหยุดนิ่ งด้วยแรงคงที่ขนาด 22 นิ วตัน ในทิศทํามุม 60 องศากับแนวราบให้เคลื่อนที่ไปตามพื้ นราบโดยมีความเร่ง เท่ากับ 2.5 เมตร/วินาที2 ถ้าคิดว่าแรงเสียดทานคงที่ แรงเสียดทานจะมีค่า กี่นิวตัน
1. 4 นิ วตัน
2. 6 นิ วตัน
3. 11 นิ วตัน
4. 17 นิ วตัน
50.จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้ F 5kg
3kg
2kg
ก.ความเร่งของมวล 5 kg มีค่าน้อยกว่า 3 kg และ 2 kg ข.ความเร่งของวัตถุท้งั 3 เท่ากันหมด ค.แรงปฏิกิริยาระหว่างวัตถุ 5 kg กับ 3 kg มากกว่าแรงปฏิกิริยาระหว่าง วัตถุ 3 kg กับ 2 kg ง.แรงปฏิกิริยาระหว่างวัตถุเท่ากันหมด ข้อความข้างต้นใดถูกต้อง 1. ก และ ค ก และ ง
2. ข และ ค
3. ข และ ง
4.
51.วัตถุกอ้ นหนึ่ งมวล 2 กิโลกรัม ถูกดันติดกับกําแพงซึ่งอยูใ่ นแนวดิ่งด้วย แรง F ดังรูปข้างล่างนี้ ถ้าสัมประสิทธิ์ความเสียดทานระหว่างวัตถุกบั พื้ น กําแพงมีค่า 0.1 จงหาขนาดของ F ที่ทาํ ให้วตั ถุเคลื่อนที่ดว้ ยความเร่ง 1 เมตร/วินาที2
1.200 นิ วตัน
2.180 นิ วตัน
3.160 นิ วตัน
4.140 นิ วตัน
52.กล่องขนาดกว้าง 3 m สูง 6 m วางอยูบ่ นพื้ นเอียงที่มีแรงเสียดทานฝื ด มาก จงหามุมพื้ นเอียงที่นอ้ ยที่สุดที่ทาํ ให้กล่องล้มลงมา
1.30 องศา 4.60 องศา
2.37 องศา
3.45 องศา
53.วัตถุขนาด 20 cm x 20 cm ได้รบั แรงกระทํา 4 แรง ดังรูป จงหา โมเมนต์ลพั ธ์ของแรงทั้ง 4 รอบจุดศูนย์กลางมวลของวัตถุ
30 N
20 N
20N 30N
1.5 N.m
2.10 N.m
3.15 N.m
4.20 N.m
เฉลยโจทย์เพิ่มเติม 1. 1 2. 20 cm 160 cm 3. 4 4. 3 5. 3 6. 1 7. 2 8. 2 9. 1 10. 3 11. 3 12. 2 13. 1 14. 2 15. 3 16. 2 17. 2 18. 3 19. 1 20. 1 21. 3 22. 3 23. 4
24. 25. 26. 27. 28. 29. 30. 31. 32. 33. 34. 35. 36. 37. 38. 39. 40. 41. 42. 43. 44. 45. 46. 47. 48.
2 2 3 2 3 1 4 4 2 1 2 3 1 1 4 2 2 1 2 3 2 2 4 2 3
49. 50. 51. 52. 53.
2 2 2 1 2
บทที่ 1 สารและสสาร สสาร คือ สิ่งที่ มีมวล และ ตองการที่อยู เชน อากาศ, น้ํา, โตะ สาร คือ สสารที่ทราบสมบัติแนชัด เชน ธาตุ, สารประกอบ การแบงสารตามลักษณะตางๆ 3 สถานะ แก๊ ส ของเหลว ของแข็ง
ลักษณะเนื ้อสาร
ขนาดของอนุภาค
สารละลายสารบริ สทุ ธ์
สารละลาย
ธาตุสารประกอบ
คอลลอยด์
สารเนื ้อเดียว
สารแขวนลอย
สารเนื ้อผสม
1
1. แบงตามสถานะ 1.1 ของแข็ง - รูปราง และ ปริมาณคงที่, ยึดเหนี่ยวกันแข็งแรง 1.2 ของเหลว - รูปรางไมแนนอน, ปริมาณ คงที่, เคลื่อนที่ได 1.3 แก็ส - รูปราง และ ปริมาตร ไมแนนอน 2. แบงตามลักษณะเนื้อสาร 2.1 สารเนื้อผสม - เห็นความแตกตางของ องคประกอบ 2.2 สารเนื้อเดียว - ดูเปนเนื้อเดียวกัน 2.2.1 สารละลาย - สารผสมดูเปน เนื้อเดียวกัน 2.2.2 สารบริสุทธิ์ 2.2.2.1 ธาตุ - ธาตุชนิด เดียวกันอยูดวยกันอยางนอย 2 โมเลกุล เชนH2, O2, Na2
2
2.2.2.2 สารประกอบ - ธาตุ ชนิดตางกันรวมตัวกัน เชน Na2CO3, H2O 3. แบงตามขนาดอนุภาค 3.1 สารละลาย - ขนาดเล็กวา 10−7 𝑐𝑐𝑐𝑐3
อนุภาคผานเซโลเฟนและกระดษกรอง 3.2 คอลลอยด - ขนาด 10−7 𝑐𝑐𝑐𝑐3 ถึง10−4 𝑐𝑐𝑐𝑐3 ไมผานเซโลเฟน แตผานกระดาษกรอง 3.3 แขวนลอย - ขนาดใหญกวา 10−4 𝑐𝑐𝑐𝑐3 ไม ซึมผานเยื่อเซโลเฟน และ ไมผานกระดาษกรอง
สารละลาย สารละลาย = ตัวถูกละลาย + ตัวทําละลาย ความเขมขน - %โดยมวลตอมวล -%โดยมวลตอปริมาตร -%โดยปริมาตรตอปริมาตร 3
-ppm = หนวยตอลาน(106 )
-ppb = หนวยตอพันลาน(109 ) - %โดยมวลตอมวล = - %โดยมวลตอมวล =
มวลตัวถูกละลาย มวลสารละลาย มวลตัวถูกละลาย ปริมาณสารละลาย
- %โดยปริมาตรตอปริมาตร = ปริมาณตัวถูกละลาย ปริมาณสารละลาย
Note : มวลตัวถูกละลาย + มวลตัวทําละลาย = มวลสารละลาย (กฎทรงมวล) แต ใชกับปริมาตร ไมไดเนื่องจากไมมีกฎทรงปริมาตร
เพิ่มเติมกับสารละลาย สารละลายไมอิ่มตัว =สารละลายยัง สามารถละลายตัวถูกละลายไดอีกในสภาวะเดิม สารละลายอิ่มตัว = สารละลายไมสามารถ
4
ละลายตัวถูกละลายไดอีกในสภาวะเดิม สารละลายอิ่มตัวยิ่งยวด=สารละลายอิ่มตัว ที่มีตัวถูกละลายมากกวาปกติในสภาวะละลาย อิ่มตัว แต เมื่อไดรับการกระทบกระเทือน อาจตก ผลึกทันที
ปจจัยที่มีผลตอสภาพการละลาย 1.ธรรมชาติของตัวทําละลาย/ถูกละลาย = สารมีขั้ว ละลายน้ําดี,สารไมมีขั้ว ละลายน้ํา มันดี 2. อุณหภูมิ = สารบางชนิดจะละลายไดดี เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น บางชนิดก็ละลายไดดี เมื่ออุณหภูมิลดลง 3. ความดัน = ของแข็ง, ของเหลวสงผล เล็กนอย แตจะสงผลแตแก็สมาก
ปจจัยที่มีผลตอการละลาย(เร็ว/ชา) 1. การคน = ทําใหละลายเร็วขึ้น 2. อุณหภูมิ = อุณหภูมิสูงจะละลายเร็วขึ้น 3. พื้นที่ผิว = พื้นที่ผิวมากจะละลายเร็วขึ้น 5
การละลาย พลังงานกับการละลาย - พลังงานที่ดูดเขาไป เพื่อที่จะแยกอนุภาคของแข็งออกจากกัน (Lattice) - พลังงานที่คายออกมา เพื่อที่จะให อนุภาครวมตัวกับน้ํา (Hydration) การละลายมี 2 ประเภท ดูดความรอน - สังเกตไดวา อุณหภูมิ สิ่งแวดลอมจะต่ําลง - พลังงาน Lattice > Hydration - ละลายไดดีเมื่ออุณหภูมิ สิ่งแวดลอมสูงขึ้น คายความรอน - สังเกตไดวาอุณหภูมิ สิ่งแวดลอมจะสูงขึ้น temperature
6
- พลังงาน Hydration > Lattice - ละลายไดดีเมื่ออุณหภูมิต่ําลง
A
A :ละลายแบบดูดพลังงาน B :ละลายแบบคายพลังงาน
B สภาพการละลาย
7
บทที่ 2 ธาตุ และ ตารางธาตุ
8
http://www.tempstreet.com/periodic-table-3/
ธาตุ และ ตารางธาตุ การจําแนกโลหะ กึ่งโลหะ และ อโลหะ สามารถ พิจารณาไดจากตารางธาตุโดยขั้นบันไดหมู 3A ถึง 4A จะเปนกึ่งโลหะ ธาตุดายซายเปนโลหะ ดานขวาเปนอโลหะ 1.โลหะ (Metal) = หมู 1A ถึง 2A ธาตุทราน ซิชัน และ หมู 3A ถึง 4A สมบัติที่สําคัญ ไดดี
-นําความรอน และ ไฟฟา -ความหนาแนนสูง
-สามารถรีดเปนแผนได -มันวาว -สถานะเปน
ของแข็ง ยกเวน ปรอทเปน
ของเหลว -สวนใหญเสีย𝑒𝑒 − (
ไอออนบวก)
9
2. อโลหะ (Nonmetal) = หมู 4A ถึง 8A สมบัติที่สําคัญ
-นําความรอน และ ไฟฟา
ไดไมดียกเวน C และ P -มีทั้ง 3 สถานะ เชน S (solid), Br2 (liquid),O3 (gas) 1. กึ่งโลหะ (semi - metals) = ขั้นบันได สมบัติที่สําคัญ
-สารกึ่งตัวนํา
-สถานะเปน ของแข็ง
ออกซิเดชัน
* H มีเลขออกซิเดชัน 2 คา = +1 และ -1 ขึ้นอยู กับวาอยูกับโลหะ หรือ อโลหะ
10
สารประกอบ - คือสารบริสุทธิ์ ประกอบดวยธาตุ มากกวา 1 ชนิด - ถาอยูในรูปโมเลกุล เรียก โควาเลนต - ถาอยูในรูปติดประจุ เรียก ไอออน สารประกอบโควาเลนต คือสารประกอบของโมเลกุลที่แรงระหวาง อะตอมเปนพันธะโควาเลนต อิเล็กตรอน ทั้ง2 อะตอมใชรวมกัน สารประกอบไอออนิก - คือสารประกอบที่ประกอบดวย ไอออน บวก(โลหะ) และ ไอออนลบ(อโลหะ) - จุดเดือด และ จุดหลอมเหลว สูง แข็งแต เปราะ และ *นําไฟฟาไดเมื่อหลอมเหลว สารประกอบไอออนิกที่ละลายน้ําได -ไอออนบวก เปนโลหะหมู 1A 11
-ไอออนลบ เปน CH3COO−และ NO3− -ไอออนลบ เปนธาตุหมู 7A ยกเวน transition Ag+, Hg2+, Pb2+
บทที่ 3 การเปลีย ่ นแปลงของสาร การเปลี่ยนแปลงของสาร
ทางกายภาพ
ทางเคมี
ดสารใหม่
-ทําให้เกิดสารใหม่
ม เปลี่ยนแต่สมบัติ (ขนาด, ปริ 12 มาตร, การฉีกกระดาษ
-มักเกิดจากการทําปฏิกริ ยากันโดย ดูได้จาก สี ที่เปลี่ยน กลิ่นที่เกิด เกิด ฟองแก๊ส
EXTRA:การเปลี่ยนแปลงสถานะของสาร
บทที่ 4 ธาตุและสารประกอบ ประวัตน ิ ักเคมี 1.ดาลตัน(บิดาแหงอะตอม) 1.1อะตอมมีลักษณะเปนทรงกลมตัน 13
ภายในวางเปลาเปนกลาง ทางไฟฟา ทฤษฎีอะตอมของดาลตัน
1.2
-หนวยที่เล็กที่สุดของสารเรียกวา อะตอม แบงแยกไมไดแลว
-อะตอมของธาตุชนิด
เดียวกันมีคุณสมบัติเหมือนกัน -อะตอม ไมสามารถแบงแยกหรือทําใหสูญหายได -สารประกอบเกิดจากอะตอมของธาตุตั้งแต 2ชนิดขึ้นไปรวม ตัวกันในอัตราสวนเลขคง ตัวอยางต่ํา ★
ที่ดอลตันกลาวมาผิดหมดเลย เนื่องจาก -มีหนวยเล็กกวา
อะตอม คือ อิเล็กตรอน โปรตรอน นิวตรอน พวกสารไอโซโทปอะตอมของธาตุเหมือนกันแต สมบัติตาง เชน1H(protium)2H(deuterium)มี สมบัติของมวลตางกันแม เลขอะตอม เทากัน -อะตอม สามารถสรางขึ้นมาไดโดยวิธีการทางนิวเคลียร -สารประกอบไมจําเปนตองรวมกันใน อัตราสวนอยางต่ํา เชน 14
C6H12O6
สารประกอบไมจําเปนตองรวมกันในอัตราสวน อยางต่ํา เชน C6H12O6 Extra: การจะบอกวาเปนอะตอมของธาตุชิดเดีว กันหรือไมใหดูที่ เลขอะตอมเทานั้นถาเลข อะตอม เทากันยังถือวาเปนธาตุชนิดเดียวกัน อะตอมรวมกันเรียกโมเลกุล เชน O = อะตอม แต O2 = โมเลกุล =2อะตอม 2. เซอรโจเซฟ จอหน ทอมสัน -พบวาอะตอมประกอบดวยอนุภาคลบ(จาก การศึกษาของหลอดรัง สีแคโทด)และ เนื่องจากอะตอมเปนกลางทางไฟฟาจึงตองมีประจุ บวก อยูดวยจะไดหักลางกัน จึงเสนอ แบบจําลองอะตอมคลายกับ plum- pudding โดยเนื้อ พุดดิ้งทั้งหมด คือประจุบวก และประจุ ลบคือเม็ดบวย ที่ติดอยูในเนื้อพุดดิ้ง 3.รัทเทอรฟอรด
15
-อะตอมมีนิวเคลียสซึ่งประกอบดวยอนุภาค บวกและมีอิเล็กตรอน ลอมรอบ 4.เซอรเจมส แชดวิก -คนพบวาในนิวเคลียสมีอนุภาคที่ไมมี ประจุคือ นิวตรอน โดยจะมีมวลใกลเคียงกับ โปรตอน 5.นีลสโบร -อิเล็กตรอนจะเคลื่อนที่รอบนิวเคลียสเปน ชั้นๆ (ไดจากการศึกษาเรื่องสเปกตรัมของ อะตอม ที่มี1อิเล็กตรอนเทานั้น)
6.แบบจําลองอะตอมกลุมหมอก -ไดจากการคํานวณคณิตศาสตร ขั้นสูงพัฒนามาจากโบรคือโบรทํากับอะตอมที่มี 1 อิเล็กตรอน โดยหลักการของกลุมหมอกมีดังนี้ 16
1.อิเล็กตรอนเคลื่อนที่รอบนิวเคลียสเปนรูปทรง ตางๆดวยความเร็ว 2.เราไมสามารถบอกตําแหนงอิเล็กตรอนได เพราะมันเคลื่อนที่ดวยความ เร็วและมีขนาดเล็ก 3.อะตอมประกอบดวยกลุมหมอกอิเล็กตรอน ถา หมอกทึบแสดงวาบริเวณ นั้นมีอิเล็กตรอน หนาแนน
17
สรุปสิง่ ทีอ ่ ยูใ นอะตอม Extra:อะตอมที่เปนกลาง จํานวนโปรตอนเทากับ อิเล็กตรอน
ไอออนลบ มีจํานวนอิเล็กตรอน
มากกวาโปรตอน
ไอออนบวก มี
จํานวนโปรตอนมากกวาอิเล็กตรอน
บทที่ 5 กรด-เบส 1.นิยามของกรด-เบส มวล(g) โปรตอน อิเล็กตรอน นิวตรอน
(C)
ประจุ อางอิง +1
1.66x10-24
+1.76x10-19 -
9.11x10-28
-1
1.76x10-19 0
1.67x10-24 18
ประจุ
0
1.1นิยามของอารเรเนียส กรด=สารที่ละลายน้ําแลวใหโปรตอน H+ /มี H+อยูในสูตร เบส=สารที่ละลายน้ําแลวให OH/มีOHใน สูตร 1.2บรอนสเตด-เลารี กรด=สารที่ใหH+ เบส=สารที่รับ H+ Arrhenius อธิบายความเปนกรด-เบสของ สารบางชนิดไมได เชน NH มีฤทธิ์เปนเบสแต มีOHในสูตร กรด=แตกตัวให H แกสารอื่น NH4 + H2O NH4+ +OHOH-+H+
H 2O
19
และยังไมสามารถอธิบาย AlCl,BF ที่ให H ไมไดแตเปนกรด 1.3Lewis กรด=สารที่รับคู e เบส=สารที่ใหคู e เชน BF3รับคูe- = กรดNH3ใหคูe-= เบส
2.สมบัติกรด-เบส กรด -มีฤทธิ์กัดกรอน,นําไฟฟาได,pHนอยกวา 7 กรดแก 6 ชนิด = HCl,HBr ,HI,HNO,HSO,HClO กรดออน=กรดอื่นๆ เชน CHCOOH ,HF เปนตน เบส เบสแก=แตกตัวเปนไอออนทั้งหมด OH ของหมู 1 และ หมู 2 20
เบสออน = แตกตัวเปนไอออนไม 100 เปอรเซ็นต
3.อินดิเคเตอร คาpH=power of Hที่บอกปริมาณความเขมขน ของH2Oในสารละลาย H+มาก pH ต่ํา(กรด) H+ ต่ํา pH สูง อินดิเคเตอร สามารถประมาณคาpHของสาร ไดโดยสารจะเปลี่ยนสีในชวงคาpH ตางๆ บาง สารจะเปลี่ยนสีชวงกรด บางก็เปลี่ยนชวงเบส
4. Amphoteric และ Amphiprotic 21
Amphoteric= ทําปฎิกิริยาไดทั้งกรดและเบส(มี สมบัติเปนทั้งกรดและเบส) Amphiprotic= Amphoteric ที่รับและจาย eเชน HCO3-
# Amphiprotic ทุกชนิดเปนสาร Amphoteric แต Amphoteric ทุกขนิดไมใช Amphiprotic # Ex. Al2O3ทําปฎิกิริยาไดทั้งกรดและเบส แตรับ/ จาย p+เองไมไดเนื่อง จากไมละลายน้ํา
เกลือ สารประกอบไอออนิกที่ละลายน้ําไดปฎิกิริยา การสะเทินระหวางกรด-เบสโดยจะไดผลิตภัณฑ เปนเกลือและน้ํา เชน 22
HCl +NaOH
NaCl+H/O
การพิจารณาฤทธิ์ของเกลือถาเปน ไอออนลบที่ เกิดจากสารที่เปนกรด ไอออนนั้นจะมีฤทธิ์ปน เบส Ex. HF
H++F-(เบส)
F-+H2O
HF+OH-
ถาเปนไอออนบวกที่เกิดจากสารที่เปนเบส ไอออนนั้นจะมีฤทธิ์เสมือนกรด Ex. NH3 +H2O
NH4+(กรด) +OH-
23
บทที่ 5 ไฟฟาเคมี ปฏิกริยารีดอกซ -ปฏิกริยามีการถายโอน e- หรือมีการ เปลี่ยนแปลงเลขออกซิเดชั่น -แบงเปน2 ปฏิกริยา ปฏิกริ ยาออกซิ เดชัน่ = ให้e-หรื อเลขออกซเดชัน่ เพิ่มขึ้น ปฏิกริ ยารี ดกั ชัน่ = รับe-หรื อเลขออกซเดชัน่ ลดลง 24
-สารตั้งตนในปฏิกริยารีดอกซ ไดแก Oxidizer (สารที่รับe- หรือเลขออกซิเดชั่นลดลง) และ Reducer (สารที่ใหe-หรือเลข
ออกซิ
เดชั่นเพิ่มขึ้น) EXTRA: ความแรงของ
OxidizerแปรผันตามความสามารถในการรับeReducer แปรผันตามความสามารถในการให้ e-
ปฏิกริยานอนรีดอกซ -ปฏิกริยาไมมีการถายโอนe-หรือมี การเปลี่ยนเลขออกซเดชั่น เซลลไฟฟาเคมี2แบบ -กัลวานิก = เปลี่ยนพลังงานเคมีเปนไฟฟา -อิเล็กโตรไลต = เปลี่ยน พลังงานไฟฟาเปนเคมี
25
สวนประกอบของเซลไฟฟาเคมี 1.ขั้วไฟฟา ประกอบดวย แอโนด(เกิด ปฏิกริยาOxidation)
แคโทด(เกิดปฏิกริยา
Reduction) 2.สารอิเล็กโตรไลต = ของเหลวนําไฟฟา เพราะมีไอออนเคลื่อน
ไปมา ex.สารละลาย
กรด-เบส-เกลือ สรุปสาระสําคัญของเซลลไฟฟาเคมี 1.ปฏิกิริยาเปนแบบรีดอกซ กระแสไฟฟาเปน กระแสตรง (กระแสอิเล็กตรอน) 2.การนํามาใชประโยชนเชน ถานไฟฉาย เซลล สะสมไฟฟาแบบตะกั่ว การชุบโลหะดวยไฟฟา การทําโลหะใหบริสุทธิ์ เซลลกล ั ปวานิกหรือเซลลวอลตาอิก เปลี่ยน พลังงานเคมีเปนไฟฟา 26
ประกอบดวย ครึง่ เซลล ระบบของสารอยูรวมกับไอออนของสาร นั้นหรือระบบที่เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน สะพานเกลือ ตัวเชื่อมตอวงจรภายในของแตละ ครึ่งเซลลดวยกันใหครบวงจร สารที่ใชทําตอง เปนสารประกอบไอออนิก ละลายน้ําแตกตัวเปน ไอออนไดดี ไมทําปฏิกิริยากับสารใดสารในครึ่ง เซลล ใชในรูปสารละลายอิ่มตัว หนาที่ของสะพานเกลือ 1.ทําใหครบวงจร 2.ดุลประจุไมใหเกิดการสะสมประจุในครึ่งเซลล
สรุปสาระสําคัญของเซลลกล ั ปวานิก 1.ใหกระแสอิเล็กตรอนไหลในวงจร ขั้วที่ อิเล็กตรอนไหลออกเปนขั้วลบ และขั้วที่อิเล็กตรอนไหลเขาเปนขวบวก 27
2.เกิดปฏิกิริยารีดอกซ เพราะมีการถายโอนe3.อิเล็กตรอนจะไหลจากครึ่งเซลลที่มีศักยต่ําไป สูง 4.ถามีการใชขั้ววองไวจะเกิดการสึกกรอนของขั้ว ลบ 5.เมื่อกระแสไฟฟาไหลไปนานๆจะมีการสะสม ประจุที่ขั้วไดทําใหกระแสหยุดไหล ประเภทเซลลกล ั ปวานิก 1.เซลลปฐมภูมิ เซลลจายไฟหมด มสามารถ นํามาใชใหมได เชน เซลลแหงทถานไฟฉาย ถานแอลลคาไลน เซลลปรอท เซลลเงิน เซลล เชื้อเพลิง 2.เซลลทุติยภูมิ เซลลกอนใชตองนําไปอัดไฟกอน จึงนําไปใชจายไฟไดนานๆ สามารถอัดไฟใช ใหมได เชน เซลลสะสมไฟฟาแบบตะกั่ว เซลล นิกเกิล แคดเมียม 28
เซลลอเิ ล็กโทรไลต คือเซลลไฟฟาเคมีที่ใชพลังงานไฟฟาทําให เกิดปฏิกิริยาเคมี โดยเรียกกระบวนการวา อิเล็กโทรไลซิส ตารางเปรียบเทียบเซลลไฟฟา เซลลกัลวานิก
เซลลอิเล็กโตรไลต
1.เปนเซลลไฟฟาเคมีที่ 1.เปนเซลลไฟฟาเคมีที่ เปลี่ยนพลังงานเคมีให เปลี่ยนพลังงานไฟฟา เปนพลังงานไฟฟา
ใหเปนพลังงานเคมี
2.ขั้วแอโนด
2.ขั้วแอโนด
เกิดปฏิกิริยา
เกิดปฏิกิริยา
ออกซิเดชัน
ออกซิเดชัน
3.ขั้วลบเกิดปฏิกิริยา
3.ขั้วลบเกิดปฏิกิริยา
รีดักชัน
รีดักชัน
4.ขั้วลบเปนขั้วที่
4.ขั้วลบเปนขั้วที่ตอกับ
อิเล็กตรอนไหลออก
ขั้วลบของแหลงกําเนิด ไฟฟา 29
5.ขั้วบวกเปนขั้วที่
5.ขั้วบวกเปนขั้วที่ตอ
อิเล็กตรอนไหล
เขากับขั้วบวกของ
เขา
แหลงกําเนิดไฟฟา
6.ศักยไฟฟาของเซลล 6.ศักยไฟฟาของเซลล เปนบวก
เปนลบ
7.ปฏิกิริยาเคมีเกิดขึ้น
7.ปฏิกิริยาเคมีจะ
เอง
เกิดขึ้นไดตองอาศัย กระแสไฟฟา
การชุบโลหะดวยไฟฟา 1. จัดชิ้นงานที่ชุบเปนแคโทด 2.ตองการชุบโลหะโดยใชโลหะเปนขั้วแอโนด 3.สารละลายอิเล็กโทรไลตตองมีไอออนของโลหะ ที่เปนแอโนด 4.ใชกระแสตรงและใหศักยไฟฟาของเซลลที่ เหมาะสมสําหรับการชุบหนึ่งๆนั้น 30
โจทย์ เคมีสะสมประสบการณ์ 1. ข้อใดไม่ถูกต้อง ก.ถ้าต้องการสกัดไอโอดีนออกจากโพแทสเซี ยมไอโอไดด์นสารละลายควรใช้คาร์ บอนเตตระคลอไรด์ละลาย ไอโอดีนออกมา ข.การแยกเอทานอลออกจากนํ้าควรใช้วธิ ี กลัน่ ค.สารละลานโซเดียมไฮโดรเนคาร์ บอเนตและนํ้าขี้เถ้าเปลี่ยนสี กระดาษลิตมัสจากสี แดงเป็ นสี น้ าํ เงินเหมือนกัน ง.ทดลองเติมแอมโมเนียมไนเตรตลงในหลอดแก้วที่มีสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์จะได้ก๊าซกลิ่นฉุนและทํา ให้น้ าํ ปูนใสขุ่น
2. ความเป็ นกรด-เบสเป็ นสมบัติสาํ คัญของดินที่ใช้ในการเกษตรประการหนึ่ง เพราะค่าpHของดินมีผลต่อการ เจริ ญเติบโตของพืชแต่ละชนิ ด ถ้าไร่ แห่งหนึ่งต้องเพิ่มสมบัติของดินให้มีช่วงpH 5-6 ปั จจัยข้อดที่จะเพิ่มสมบัติ ดังกล่าว ก. การใส่ ปูนขาวลงไป ข. การเน่าเปื่ อยของสารอินทีรียห์ รื อปุ๋ ยหมัก ค. การปลูกพืชชนิดเดียวซํ้าในที่เดิม ง. การใส่ การส้มและคอปเปอร์ ซลั เฟตลงไป
3. ใครใช้วธิ ี การทดลองโดยการยิงอนุภาคแอลฟาผ่านแผ่นทองคํา ก.นีลส์โบรห์ ค.รัทเธอร์ ฟอร์ ด
ข.ทอมสัน ง.มิลิแกน
4. แบบจําลองอะตอมของทอมสันประกอบด้วยอะไรบ้าง ก. โปรตอน อิเล็กตรอน ข.โปรตอน นิวตรอน ค.ประจุลบ ง.โปรตรอน อิเล็กตรอน นิวตรอน
5. ข้อความใดถูกต้องเกี่ยวกับจุดเดือดและจุดเยือกแข็งของนํ้า เมื่อลดความดันบรรยากาศลง ก. จุดเดือดและจุดเยือกแข็งลดลง ข.จุดเดือดลดลงและจุดเยือกแข็งสู งขึ้น ค.จุดเดือดสู งขึ้นและจุดเยือกแข็งลดลง ง.จุดเดือดและจุดเยือกแข็งสู งขึ้น
6. ใครเป็ นผูค้ ิดแบบจําลองอะตอมเป็ นคนแรก ก.ดอลตัน ข.ทอมสัน ค.มิลลิแกน ง.ไม่มีขอ้ ใดถูก
7.นํ้าในหลอดใดให้ฟองน้อย หลอดที่ 1 นํ้า+แคลเซี ยมคาร์ บอเนต+สบู่ หลอดที่ 2 นํ้า+แคลเซี ยมซัลเฟต+โซดาแอช+สบู่ หลอดที่ 3 นํ้า+โซเดียมไนเตรท+แมกนีเซี ยมคลอไรด์+สบู่ หลอดที่ 4 นํ้า+แคลเซี ยมคลอไรด์+ต้ม+สบู่ หลอดที่ 5 นํ้า+โซเดียมไฮโดรเจนคาร์ บอเนต+แมกนีเซี ยมซัลเฟต+สบู่ ก. 2 3
ข. 3 4 5
ค. 1 5
ง. 1 2 4
8. 2A+(g) + B2-(g)
A2B(s)+ H1
2A+(g) + B2-(g)
2A+(aq) + B2(aq) + H2
ก.
H1 <0 , H2< 0 และ
H1 > H2
ข.
H1 <0 , H2< 0 และ
H1 < H2
ค.
H1 >0 , H2> 0 และ
H1 > H2
ง.
H1 >0 , H2> 0 และ
H1 < H2
9. พิจารณาข้อความต่อไปนี้ ข้อใดถูกต้อง
ก. โมเลกุลC2H2 มีความแข็งแรงของพันธะระหว่าง CกับC มากกว่าC2H4และมีความยาวพันธะระหว่างCกับC น้อยกว่าC2H6 ข.การละลายของNaCl พบว่าพลังงานแลคทิชมากกว่าพลังงานไฮเดรชัน ดังนั้น การละลายนี้เป็ นกระบวนการ คายความร้อน ค.สารประกอบไออนิกที่เป็ นของแข็งไม่นาํ ไฟฟ้า แต่เมื่อหลอมเหลวจะนําไฟฟ้าได้ 1. ก และ ข เท่านั้น
2. ข และ ค เท่านั้น
3. ก ข และ ค
4. ก และ ค เท่านั้น
10. ข้อใดไม่ถูกต้องเมื่อแยกนํ้าด้วยกระแสไฟฟ้า ก. ต้องใช้ไฟฟ้ากระแสตรง ข. เกิดแก๊สออกซิ เจนที่ข้ วั บวกปริ มาตรเป็ นครึ่ งหนึ่งของแก๊สไฮโดรเจนที่ข้ วั ลบ ค. ปริ มาณนํ้าจะลดลงเรื่ อยๆ ขณะผ่านกระแสไฟฟ้าเข้าไป ง. นํ้าที่แยกต้องเป็ นนํ้าบริ สุทธิ์ ไม่เติมสารใดๆ
11. เกลือชนิดใดไม่ละลายนํ้าที่อุณหภูมิห้อง ก. โพแทสเซี ยมคลอไรด์ ข. แคลเซี ยมซัลเฟต ค.โซเดียมไนเตรต ง. เลดไนเตรต
12. คําจํากัดความที่วา่ มีขนาดเล็กที่สุดไม่สามารถแบ่งแยกได้อีก ก.อะตอม ข.โมเลกุล ค.โปรตอน ง.ธาตุ
13.ข้อใดจัดเป็ นขั้นตอนในกระบวนการทํานํ้าประปาที่ถูกต้องที่สุด ก. ตกตะกอน กรอง ฟอกสี และกําจัดกลิ่น ฆ่าเชื้อโรค ข. กรอง ฟอกสี และกําจัดกลิ่น ฆ่าเชื้ อโรค ตกตะกอน ค.ตกตะกอน ฆ่าเชื้ อโรค กรอง ฟอกสี และกําจัดกลิ่น ง. กรอง ฆ่าเชื้อโรค ตกตะกอน ฟอกสี และกําจัดกลิ่น
14. เมื่อหยดกรดลงบนพื้นหิ นอ่อนจะมีฟองแก๊สเกิดขึ้นทันทีแต่เมื่อหยดกรดความเข้มข้นเท่าเดิมลงบนเหล็ก ต้อง ใช้เวลานานจึงจะเกิดฟองแก๊สจากปรากฏการณ์ดงั กล่าวแสดงว่าอัตราการเกิดปฏิกิริยาขึ้นอยูก่ บั ปั จจัยใด ก.อุณหภูมิ ข.ความเข้มข้นของสารตั้งต้น ค.พื้นที่ผวิ ของสารตั้งต้น ง.ธรรมชาติของสารตั้งต้น
15.ข้อใดไม่จดั เป็ นข้อดีของเทคนิคโครมาโตกราฟี ก.ใช้แยกสารที่มีปริ มาณน้อยได้ดี ข.สามารถตรวจสอบหาปริ มาณสารได้
ค.การตรวจสอบวิเคราะห์ทาํ ได้โดยคํานวณจากค่าระยะทางที่สารเคลื่อนที่ ง.ใช้วเิ คราะห์หาสารที่มีสีได้เท่านั้น
16. สมบัติใดของโลหะแทรนซิ ชนั ที่แตกต่างต่างจากสมบัติของโลหะหมู่ I และ II ก.ความหนาแน่น ข.มีความว่องไวในการเกิดปฏิกิริยาเคมี� ค.เกิดสารประกอบที่มีสีเฉพาะตัว ง.เมื่อกลายเป็ นไอออนจะมีประจุไฟฟ้าบวก
17. ข้อใดไม่เป็ นคุณสมบัติของเสื้ อนาโน ก. กันนํ้า ข. กันรังสี UV ค. กันไฟ ง. กันแบคทีเรี ย
18. ข้อใดเป็ นสมบัติของโลหะ ก. จุดเดือดสู ง ข. มีความมันวาว ค.นําไฟฟ้า
ง. ถูกทุกข้อ
19. เมื่อแสงที่มีความถี่เหมาะสมตกกระทบผิวหน้าโลหะ เกิดปรากฎการณ์โฟโต้อิเล็กตริ ก ข้อใดเป็ นสิ่ งที่เกิด จากปรากฏการณ์ โฟโต้อิเล็กตริ ก ก. นิวตรอน ข. นิวเคลียส ค. โปรตอน ง. อิเล็กตรอน
20.เพชรมีลกั ษณะพันธะชนิดใด ก. โลหะ ข. มีข้วั ค.ไม่มีข้วั ง.โครงผลึกร่ างตาข่าย
21.สู ตรทางเคมีของไข่มุกและเพชรคือข้อใด ก.CaCo3 , C ข. CaC2 , CS2
ค. Al2O3 , C ง. ZnO ,CS2
22. 1. ค่า Rfเป็ นค่าที่สามารถนําไปวิเคราะห์ชนิ ดสารได้ 2. ค่า Rfของสารใดๆ จะมีค่ามากกว่าหรื อน้อยกว่า 1.0 ก็ได้ 3. ค่า Rfของสารใดสารหนึ่ งจะมีค่าเท่ากันเสมอทุกระบบการทดลอง 4. ค่า Rfของสารใดๆจะหาได้จากการทดลองเท่านั้น ข้อใดถูกต้อง ก. 1 , 2 ค. 1 , 3
ข. 3 , 4 ง. 1 , 4
23. ปั จจัยใดที่มีผลต่อสภาพการละลาย 1. ธรรมชาติของตัวทําละลายและตัวละลาย 2. ความดัน 3. อุณหภูมิ 4. การคน ก. 1 , 2 ค. 3 , 4
ข. 1 , 2 , 3 ง. 1 , 2 , 3 , 4
24. ANaOH+ B Al ->C Na3 AlO3 + D H2 โซเดียมไฮดรอกไซด์ อะลูมิเนียม
โซเดียมอะลูมิเนต
ไฮโดรเจน
จากการดุลสมการเคมี จงหาค่า A , B , C , D ก. A= 2 , B = 1 C = 1 , D =2 ค. A= 6 , B = 2 C = 2, D = 1
25.การแยกสารวิธีใดต่อไปนี้เหมาะสมที่สุด ก. การแยกสารสี เหลืองจากขมิ้นด้วยวิธีการกลัน่ ข. การแยกนํ้ามันหอมระเหยจากนํ้าโดยวิธีสกัดด้วยนํ้า ค. การแยกผลิตภัณฑ์เชื้ อเพลิงโดยวิธีกลัน่ ลําดับส่ วน ง. ถูกทุกข้อ
ข. A = 3 , B = 4 C =5 , D =1 ง. A = 6 , B = 2 C =2 , D =3
เฉลย 1.ง ปูนใส่ ข่นุ คือ CO2
9.ง
17. ค
2.ข ป๋ ยหมักเป็ นกรด
10.
18. ง
3.ค
11.ข
19.ง
4.ก
12.ก
20.ง
5.ข
13.ก
21.ก
6. ก
14. ง
22.ง
7. ข
15.ข
23.ข
8.ง
16. ค
24.ง 25.ค เพราะก.ใช้น้ าํ สกัด ข. ใช้กรวย
สารอาหาร (Nutrients) คารโบไฮเ น้ําตาลโมเลกุลเดี่ยว 1. กลูโคส (Glucose) - มีจํานวนของธาตุคารบอน 6 อะตอม
- ใหพลังงานไดเร็ว และเปนแหลงพลังงานหลักของ รางกาย
- พบในองุน และเปนน้ําตาลที่พบไดมากที่สุดในธรรมชาติ 2. ฟรุกโตส (Fructose) - มีจํานวนของธาตุคารบอน 6 อะตอม - เปนแหลงพลังงานหลักของอสุจิ
- สามารถสรางไดจากการนํากลูโคสผานกระบวนการไกล โคไลซิส
3. กาแลคโตส (Galactose) - มีจํานวนของธาตุคารบอน 6 อะตอม
- พบในน้ํานม แตมักพบในรูปของแลคโตส
- เปนน้ําตาลที่พบนอยที่สุดในธรรมชาติ
1
ภาพแสดงโครงสรางโมเลกุลของน้ําตาลโมเลกุลเดี่ยว !!!Note : ลําดับความหวาน ฟรุกโตส กลูโคส กาแลค
โตส ☺
น้ําตาลโมเลกุลคู 1. มอลโตส (Maltose) = กลูโคส + กลูโคส 2. ซูโครส (Sucrose/น้ําตาลทราย) = กลูโคส + ฟรุก โตส 3. แลคโตส (Lactose) = กลูโคส + กาแลคโตส
ภาพแสดงการเกิดน้ําตาลโมเลกุลคู (เกิดปฏิกิริยา Dehydration) 2
น้ําตาล 1. แปง » เกิดจากกลูโคสรวมกัน เปนสายยาว » เปนอาหารสะสมในพืช » โมเลกุลแตกกิ่งกานเล็กนอย 2. ไกลโคเจน » อาหารสะสมในสัตว (ในตับและ กลามเนื้อ) » เกิดจากกลูโคสรวมกันเปนสายยาว » โมเลกุลแตกกิ่งกานมาก 3. เซลลูโลส » เกิดจากกลูโคสรวมกันเปนสายยาว » เปนผนังเซลลของพืชและสาหราย » โมเลกุลไมมีการแตกกิ่งกาน 4. อินล ู น ิ
» เกิดจากฟรุกโต
สรวมกันเปนสายยาว 5. ไคติน
» เปนโพลิเมอรของ
N-acetyl glucosamine
3
» เปนเปลือกของสัตวขาขอ และผนังเซลล ของเห็ด , รา , ยีสต
การทดสอบ 4
× ทดสอบดวยสารละลายไอโอดีน แปง สีน้ําเงินมวง
ไกลโคลเจน สีแดง
การทดสอบ × ทดสอบดวยสารละลายเบเนดิกต
น้ําตาลโมเลกุลเดี่ยวและน้ําตาลโมเลกุลคู (ยกเวน ซูโครส) สีเขียวจนถึงตะกอนสีแดงอิฐ
ทําไม? น้ําตาลซูโครสจึงไมทําปฏิกิริยากับสารละลายเบเนดิกต สารละลาย Benedict ไมทําปฏิกิริยากับน้ําตาล sucrose เนื่องจาก สารละลายนี้จะทําปฏิกิริยากับสารที่มี aldehyde group ที่สามารถทํา ปฏิกิริยาได ซึ่งจะพบในกลุมน้ําตาลโมเลกุลเล็กคือพวกที่มี carbon 6อะตอม เชน glucose เปนตน CuSO4 ในสารละลายนี้จะ 5 ํ ป ิ ิ ิ
โ
l
ป
d
i
t
C
2+
ไขมัน o ไตรกลีเซอไรด = กลีเซอรอล + 3 กรดไขมัน เชื่อมกัน
ดวยพันธะเอสเตอร (ester bond) o กรดไขมันอิ่มตัว( saturated fatty acid ) : พบมาก ในไขมันจากสัตว , น้ํามัน
มะพราว
และน้ํามันปาลม o กรดไขมันไมอิ่มตัว : พบ พืช
6
มากใน
สเตียรอยด o เปนอนุพันธของไขมัน o โครงสรางเปนวง carbon เชื่อมกัน 4 วง ขนาด 6 อะตอม 3 วง และขนาด 5 อะตอม 1 วง o ความแตกตางของชนิดจะขึ้นอยูกับ หมูฟงกชัน ไดแก คลอเลสเตอรอล , ฮอรโมนสเตียรอยด (ฮอรโมน เพศ+ฮอรโมนจากตอมหมวกไต) , วิตามิน D
7
โครงสร้ างของสเตียรอยด์ คือ A,B,C และ D ส่วนที่มาต่อเป็ นตัวกําหนดว่าเป็ นสเตียรอยด์ชนิดใด
การทดสอบ × นําสารที่ตองการตรวจสอบหยดลงบนกระดาษ ถา กระดาษโปรงแสง แสดงวามีไขมันอยู
โปร o มีโมโนเมอรคือ กรดอะมิโน (amino acid) o กรดอะมิโนมี 20 ชนิด แบงเปน 2 ประเภท ไดแก 1. กรดอะมิโนจําเปน : รางกายไมสามารถสรางเองได ตองรับประทานเขาไป 2. กรดอะมิโนไมจาํ เปน : รางกายสามารถสรางเองได ไมจําเปนตองรับประทานเขามา
8
ปลาย carboxyl ปลาย amino
ภาพแสดงโครงสรางของโปรตีนโดยโปรตีนจะเหลือปลาย อยู2ปลาย ปลายaminoเรียก N-terminal ปลาย carboxyl เรียก C-terminal
การทดสอบ × ทดสอบดวยสารละลายไบยูเร็ต (CuSo4 + NaOH) *ตองมีพันธะเปปไทดอยางนอย 2 พันธะ 9
ถามีโปรตีน สีมวง
!!Note : สารอาหารที่ถูกใชพลังงานกอนเปนอันดับแรกคือ คารโบไฮเดรต , ไขมัน และโปรตีน ตามลําดับ
วิตามินและเกลือแร Vitamin A (Retinol, Carotene)
10
แหลงที่พบ
ประโยชน
ความผิดปกติ เมือ ่ ขาด น้ํามันตับ สรางสาร ตาแหง แผน ปลา ตับ rhodopsin ตาขุน นม ไขแดง เกี่ยวกับ มองไมเห็นใน ผัก ผลไม การ ที่มืด เจริญเติบโ ตและการ มองเห็น
D (Calciferol)
น้ํามันตับ ปลา สังเคราะห จาก
ควบคุม สมดุล แคลเซียม และ cholester ฟอสฟอรัส
olใต ผิวหนัง E (Tocopherol) ผักกาด ขาวสาลี ไขมันพืช
โรคกระดูก พรุน กระดูก ออน
ปองกันการ แตกของ เม็ดเลือด แดง
ในเด็กRBC จะแตกงาย เปนโรคโลหิต จาง ในผูใหญจะ เปนหมัน เลือดไม K(Menaquinon กะหล่ําปลี เปน เห็ด สวนประกอ แข็งตัว e) ขาวโพด บในการ สังเคราะห สราง ไดจาก โปรตีน แบคทีเรีย prothrombi ในลําไส n ใหญ มีอาการชา B1 (Thiamine) ตับ นม ไข Glucose ขาวซอม บริเวณมือและ metabolis มือ ธัญพืช เทา m ยีสต 11
ปากนกกระจ B2 (Riboflavin) ตับ นม ไข เปน ธัญพืช ถั่ว องคประกอ อก ลิ้นอักเสบ B3 (Niacin)
บของFAD ตับ นม ไข เปน ประสาท ธัญพืช ถั่ว องคประกอ หลอน บของNAD ออนเพลีย
ผัก ผลไม ตางๆ acid) โดยเฉพาะ รางกายตองการ สม มากที่สด ุ C (Ascorbic
ชวยในการ เสนเลือด สราง เปราะ เลือดออกตาม collagen ชวยในการ ไรฟน ดูดซึม Fe2+
Mineral Nitrogen
Calcium
12
แหลงที่พบ พบใน โปรตีน
ประโยชน
ความผิดปกติ เมือ ่ ขาด ไมสามารถ ดํารงชีวิตได
ธาตุ องคประกอบ (หมูอะมิโน) หลักของสาร ชีวโมเลกุล เนื้อสัตว นม สรางกระดูก กระดูกออน ไข งาดํา และฟน ชวย กระดูกพรุน
Phosphorus เนื้อสัตว นม ไข ผักใบ เขียว
Sodium
เกลือแกง อาหารทะเล
Potassium
เนื้อสัตว นม ผลไม
Magnesium อาหารทะเล
ใหเลือด แข็งตัว สรางกระดูก และฟน เปน สวนประกอบ ของสาร พันธุกรรม ควบคุม ปริมาณน้ํา ในสัตว คุมความ เขมขนของ เลือด ควบคุม ปริมาณน้ํา ในใบพืช คุมการเปด ปดปากใบ คุมการ ทํางานของ หัวใจและ กลามเนื้อ คุมการสราง โปรตีน คุมการ ทํางานของ กลามเนื้อ
กลามเนื้อเกร็ง กระดูกออน ขาดพลังงาน
เปนตะคริว สมองทํางาน ผิดปกติ
หัวใจเตน ผิดปกติ
สมองทํางาน ผิดปกติ มีอาการชัก
13
เปน องคประกอบ ของ chlorophyll
14
กลองจุลทรรศนและเซลล กลอง กลองจุลทรรศน × ศึกษาไดทั้งสิ่งมีชีวิตและไมมีชีวิต × กําลังขยายกลอง = กําลังขยายเลนสใกลตา x กําลังขยายเลนสใกลวัตถุ × ยิ่งกําลังขยายของเลนสใกลวัตถุต่ํา สนามภาพ กวาง , ภาพสวาง × ยิ่งกําลังขยายของเลนสใกลวัตถุสูง สนามภาพ แคบ , ภาพมืด 1. กลองจุลทรรศนใชแสงแบบธรรมดา เกิดภาพเสมือนหัวกลับขนาดขยาย เมื่อเลื่อนแทนวางสไลดไปทางใด ภาพจะเคลื่อนไป ในทางตรงกันขามเสมอ
15
2. กลองจุลทรรศนแบบสเตอริโอ – จะเห็นภาพเปนภาพ 3 มิติ
กลองจุลทรรศนอเิ ล็กตรอน ใชลําแสงอิเล็กตรอน , เลนสแมเหล็กไฟฟา × ภายในลํากลองเปนสุญญากาศ
× ใชศึกษาแตสิ่งที่ไมมีชีวิตเทานั้น
16
1. กลองจุลทรรศนอิเล็กตรอนแบบสองผาน (transmission ศึกษาโครงสร างภายใน electronใช microscope : TEM) เซลล จะเห็นภาพเปนภาพ 2 มิติ
2. กลองจุลทรรศนอิเล็กตรอนแบบสองกราด (scanning electron microscope : SEM) ใชศึกษาโครงสราง ภายนอกของเซลล จะเห็นภาพเปนภาพ 3 มิติ
ภาพจาก TEM
ภาพจาก SEM
เซลลและออรแกน cell สวนที่
cell
glycocarlyx ในสัตว capsule ใน
17
18
Organelle 1. ไรโบโซม (ribosome) – สังเคราะหโปรตีน × Free ribosome – ลอยอิสระใน cytosol สราง โปรตีนไวใชในเซลล × อยูบน RER – สรางโปรตีนเพือ ่ สงออกนอกเซลล × อยูใน mitochondria และ chloroplast – สราง โปรตีนไวใชในนั้น 2. รางแหเอนโดพลาสมิก (ER) × แบบขรุขระ (RER) – มีไรโบโซมมาเกาะ ใชสราง โปรตีนสงออกนอกเซลล × แบบเรียบ (SER) – ไมมีไรโบโซมมาเกาะ สังเคราะห lipid ทั้ง triglycerideและ steroid และ ทําหนาที่กําจัดสารพิษ 3. กอลจิบอดี (golgi body) × ตรวจสอบโปรตีนที่สรางจาก RER แลวบรรจุ โปรตีนใน vesicle เตรียมสงออกนอกเซลล × สังเคราะหสารอื่น ๆ เชน enamel (สารเคลือบฟน) , root cap , nematocyst (เข็มพิษ) 4. ไรโซโซม (lysosome) เปน vesicle ชนิดหนึ่งที่ บรรจุน้ํายอย × ทําหนาที่ยอยภายในเซลลที่ food vacuole 19
× กําจัดเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม × การยอยสลายตัวเอง Autophagy = ยอย organelle autolysis = cell หรือ tissue ถูกทําลายจากการรั่ว ของ enzyme 5. แวคิวโอล (vacuole) ทําหนาที่เก็บสารตาง ๆ ที่ ไมใชโปรตีน แบงเปน 5.1 sap ทํvacuole – พบเฉพาะในพืช ซึ่งมีขนาด าหน้ าที่เก็บของเสียและรงควัตถุ anthocyanin ใหญขึ้นตามอายุ 5.2 contractile vacuole – พบเฉพาะในโปรโตซัว น้ําจืด ทําหนาที่ขับน้ําสวนเกิน 5.3 food vacuole – ทําหนาที่เก็บอาหาร เตรียม ยอยภายในเซลล 6. ไมโดคอนเดรีย (mitochondria) × ทําหนาที่สรางพลังงาน (ATP) ใหแกเซลล × มีโรโบโซม 70s , RNA และ DNA แบบวงแหวน อยูใน matrix 7. คลอโรพลาส (chloroplast) × เกี่ยวกับกระบวนการสังเคราะหดวยแสงในพืช × มีโรโบโซม 70s , RNA และ DNA แบบวงแหวน อยูใน stroma 20
ทฤษฏี endosymbiosis: เปนแนวคิดที่อธิบายการ วิวัฒนาการของออรแกนเนลลในยูคาริโอต คือ mitochondria และ chloroplast โดย mitochondria เดิม คือ แบคทีเรียที่ใชออกซิเจนที่มาอยูรวมกับอีกเซลลหนึ่งที่มี ขนาดใหญ ในขณะที่ chloroplast คือแบคทีเรียที่ สังเคราะหแสงได !!Note : mitochondria และ chloroplast สามารถถูกยับยั้ง ไดดวยยาปฏิชีวนะเพราะออรแกนเนลล 2 ชนิดนี้เปน แบคทีเรียจากทฤษฎี endosymbiosis
การแบง 1. การแบงเซลลแบบ mitosis » นิวเคลียสจะถูกแบงโดยจํานวนชุดโครโมโซม เทาเดิม (2n 2n) » มี genotype และ phenotype เหมือนเดิม » เมือ ่ แบงเซลลจะไดเซลลลูกจํานวน 2 เซลล » ใชแบงเซลลรางกายของสัตว และแบงเซลล สืบพันธุของพืช
21
•
ระยะอินเตอรเฟส ( interphase) มีการสรางสวนประกอบตาง ๆ ของเซลลเพื่อเตรียมพรอมสําหรับการแบงตัว ครอบคลุม ตั้งแตระยะ G 1, S และ G2
•
ระยะโพรเฟส (prophase) ระยะนี้ในนิวเคลียส สารพันธุกรรม จะพันกันแนนเขาจนเริ่มเห็นเปนรูปโครโมโซม เซนตริโอล เคลื่อนที่ไปยังแตละขัว ้ ของเซลล เมื่อถึงชวงสุดทายของระยะนี้ จะมีการสรางเสนใยสปนเดิล (spindle fiber) ไปจับยังบริเวณ ไคนีโตคอร (kinetochore) ของโครโมโซม เยื่อหุมนิวเคลียส สลายไป
•
•
ระยะเมตาเฟส (metaphase) เสนใยไมโตติก สปนเดิลสราง เสร็จสมบูรณ โครโมโซมเรียงตัวตรงกลางเซลล ระยะแอนาเฟส (anaphase) ซิสเตอร โครมาติด (sister chromatid) ของโครโมโซมแตละอันถูกดึงแยกจากกันไปยัง ขั้วของเซลล สิ้นสุดเมือ ่ โครโมโซมทั้งหมดไปถึงขั้วของเซลล
•
ระยะเทโลเฟส (telophase) และการแบงไซโตพลาสซึม (cytokinesis) เปนระยะที่ตรงขามกับโพรเฟส คือโครโมโซม คลายตัวเปนเสนใยโครมาตินเหมือนเดิม มีการสรางเยื่อหุม เซลลใหม จากนั้นจึงตามมาดวยการแบงไซโตพลาสซึม
22
ในสัตว : Cleavage furrow ในพืช : cell plate
2. การแบงเซลลแบบ meiosis » มีจํานวนชุดโครโมโซมลดลงครึ่งหนึ่ง (2n n) » เมื่อแบงเซลลจะไดเซลลลูกจํานวน 4 เซลล » ใชแบงเพื่อสรางเซลลสืบพันธุ ( sex chromosome ) เพื่อการสืบพันธุแบบอาศัยเพศ แบงออกเปน 2 ระยะคือ 1. meiosis 1 (Prophase 1 – Metaphase 1 – Anaphase 1 – Telophase 1) 2. meiosis 2 (Prophase 2 – Metaphase 2 – Anaphase 2 – Telophase 2) สิ่งที่ควรรู × Prophase 1 จะมีการแลกเปลี่ยนชิ้นสวนของ sister chromatid เรียกวา crossing over
23
× Anaphase 1 มีการดึง Homologous Chromosome – เกิดการลดจํานวนโครโมโซม × Telophase 1 แตละขั้วของเซลลมีโครโมโซมเปน แฮพลอยด (n) 2 ชุด (แตยังมี sister chromatid อยู) × Prophase 2 เปนระยะที่สรางเสนใยสปนเดิลเพื่อ ดึง sister chromatid ออกจากกัน × Anaphase 2 เปนระยะที่ดึงซิสเตอรโครมาติดออก จากกัน × Telophase 2 มีการสรางเยื่อหุมนิวเคลียสและแบง ไซโตพลาสซึมตามมา × ไดเซลลลูก 4 เซลล ซึ่งมีโครโมโซมเปนแฮพลอยด (n)
24
รูปภาพแสดงการแบงเซลลแบบ ไมโอซิส
รูปภาพแสดงการแบงเซลลแบบ ไมโทซิส
25
โครงสรางและหนาที่ของระบบตาง ๆ ในสัตว การยอย × การยอยอาหารแบงออกเปน 1) การยอยเชิงกล (Mechanical Digestion) คือ การทําให อาหารชิ้นใหญ ชิ้นเล็กลงโดยอาจเกิดจากการบดเคี้ยวของ ฟน การบีบตัวของหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร การ ทํางานของน้ําดี เปนตน 2) การยอยเชิงเคมี (Chemical Digestion) คือ การเปลี่ยน โครงสรางทางโมเลกุลของสารอาหาร เชน การยอยโดย เอนไซม เปนตน × ทางเดินอาหารในสัตว 1) ทางเดินอาหารไมสมบูรณ (Incomplete Digestive Tract) คือ ทางเดินอาหารที่มีทางเปดทางเดียว (ปากกับ ทวารหนักใชรวมกัน) พบในพวก ฟองน้ํา ไฮดรา แมงกะพรุน หนอนตัวแบน 2) ทางเดินอาหารสมบูรณ (Complete Digestive Tract) คือ ทางเดินอาหารที่ชองทางเขากับชองทางออกคนละทาง กัน พบตั้งแตหนอนตัวกลมจนถึงสัตวมีกระดูกสันหลัง 26
ทางเดินอาหารของไฮดรา
ทางเดิน
อาหารของนก
ระบบยอยอาหารในสัตวที่ ไสเดือนดิน ปาก (Mouth) - มีสวนชวยในการ เคลื่อนที่
- ไมมีฟนและตอมน้ําลาย
- กินดินชวยในการยอย คอหอย (Pharynx)
- มี nerve ring (สมอง) ลอมรอบ หลอดอาหาร (esophagus) - มี pseudoheart (หัวใจเทียม) - มีการยอยเชิงกล คือ peristalsis 27
กระเพาะพักอาหาร (Crop) กึ๋น (Gizzard) - เปนถุงใชบดอาหาร (เกิดการยอยเชิงกล) ลําไส (Intestine) - มี Typhlosole ชวยเพิ่มพื้นที่ผิวในการดูดซึม และมี การยอยเชิงเคมี ทวารหนัก (Anus) !!Note : ในไสเดือนดิน แมลงและนก จะใชกึ๋นในการบด อาหาร จัดเปนการยอยเชิงกล
สัตวเคี้ยวเอื้อง (วัว , ควาย , แพะ , แกะ , มา) มี 4 กระเพาะ แบงเปน 3 กระเพาะเทียม และ 1 กระเพาะจริง - Rumen กระเพาะผาขี้ริ้ว เปนกระเพาะหมัก มี ขนาดใหญมาก
28
- Reticulum กระเพาะรังผึ้ง ชวยขยอกหญาขึ้นมา ยอยในปากอีกครั้ง - Omasum กระเพาะสามสิบกลีบ มีการรีดน้ําออก และคลุกอาหารเพื่อเตรียมยอย - Abomasum กระเพาะแท มีการหลั่งเอนไซมตาง ๆ มีการยอยเชิงกล
29
ระบบยอยอาหารในมนุษย (Human Digestive Tract
o ปาก (Mouth) × มีการยอยเชิงกลโดยฟน และการยอยเชิงเคมีโดย เอนไซม Amylase จากตอมน้ําลาย ซึ่งมี 3 คูคือ ตอม น้ําลายใตลิ้น , ตอมน้ําลายใตขากรรไกร และตอม น้ําลายขางกกหู o หลอดอาหาร (Esophagus) × ทําหนาที่บีบตัวเพื่อใหอาหารเคลื่อนลงไป เรียกวา Peristalsis เปนการยอยเชิงกล
30
o กระเพาะอาหาร (Stomach) × มี 3 สวนไดแก 1. Cardiac 2. Fundus
3.
Pylorus × หนาที่ของกระเพาะอาหาร 1. สรางฮอรโมน Gastrin กระตุนการ สรางเอนไซม (Inactive Form) และ HCl กระตุนการทํางานของ เอนไซม 2. เอนไซม (Active Form) ยอย โปรตีน peptide สายยาว 3. มีเมือก (Mucus) เคลือบอยู ทําหนาที่ปองกันกรดไฮโดร คลอริกยอยกระเพาะ 4. มีการบีบตัวเพื่อคลุกเคลาอาหาร 5. HCl สามารถฆาเชื้อโรคที่ติดมากับอาหารได 31
6. เปนที่ดูดซึมยา , แอลกอฮอล ,วิตามินและเกลือแรบาง ชนิด × เอนไซมที่พบไดในกระเพาะอาหาร ไดแก Pepsin , Rennin และ Lipase (ไมทํางานเพราะคา pH ไม เหมาะสม) !!Note : เอนไซมในตอนแรกจะอยูในสภาพทํางานไมได หรือ Inactive Form ตองไดรับการกระกระตุนจากกรด เกลือหรือ HCl กอน จึงจะทํางานได ดังสมการ HC Pepsinogen
Pepsin
HCl Prorennin
Rennin
o ลําไสเล็ก (Small Intestine) × แบงออกเปน 3 สวน คือ 1. ดูโอดีนัม (Duodenum) ลําไสเล็กสวนตน เปน สวนที่การยอยเกิดขึ้นมากที่สุด โดยใชเอนไซม ที่สรางเองและจากตับออน นอกจากนี้ยังสราง ฮอรโมน Secretin กระตุนตับสรางน้ําดี
32
2. เจจูนัม (Jejunum) เปนสวนที่มีการดูดซึมมาก ที่สุด โดยที่ผนังลําไสเล็กสวนนี้จะมี Villi จํานวนมาก ชวยเพิ่มพื้นที่ผิวในการดูดซึม 3. ไอเลียม (Ileum) ดูดซึมสารอาหารเล็กนอย
o ลําไสใหญ (Large Intestine) × ไมมีการยอยอาหารเกิดขึ้น แตดูดซึมน้ําและแรธาตุ จากกากอาหารแทน
× มีแบคทีเรีย E.Coli ทําหนาที่ชวยสังเคราะหวิตามิน B12 และ วิตามิน K o ทวารหนัก (Anus)
Accessory digesti e
33
o ตับ (Liver) × ผลิตน้ําดี (สารตั้งตนในการสราง คือ คอเลสเตอรอล) ซึ่งเปน
Emulsifier ของน้ําและน้ํามัน ชวยทําใหไขมันแตก ตัวเปนหยดเล็ก ๆ ซึ่งน้ําดีจะถูกเก็บไวในถุงน้ําดี (Bile Bladder) โดยจะถูกหลั่งออกจากถุงน้ําดีไปยังลําไส เล็กสวนตน o ตับออน (Pancreas) × มีการผลิตเอนไซม เรียกวา Pancreatic Juice × ผลิต NaHCO3 ซึ่งเปนเบส เพื่อลดความเปนกรดของ อาหารที่มาจากกระเพาะอาหาร × บริเวณ Islet of Langerhans ผลิตฮอรโมน Insulin และ Glucagon ทําหนาที่ควบคุมระดับน้ําตาลใน กระแสเลือด
Glucose 34
Insulin Glucago
Glycogen
สรุ ตอมน้าํ ลาย – มี Amylase ยอยแปงใหเปน Dextrin และ Maltose
คารโบไฮเดรต
Amylas
Dextrin และ Maltose
กระเพาะอาหาร – มี Pepsin , Rennin , Lipase แตถูก ทําลายโดย HCl
โปรตีน
Peps
Peptide Renn โปรตีนในน้ํานม (Casein) Paracasein
o ตับออน – มี Amylase ยอยแปงใหเปน Maltose 35
คารโบไฮเดรต Enterokin - Trypsinogen
Amyla
Maltose
Trypsin ยอยโปรตีนเปน
- Chymotrypsin - Carboxypeptidase
Protein
Tryps Chymotry
Peptide
- Lipase ยอย Lipid เปนกรดไขมันและกลีเซอรอล Lipas น้ํา Fatty acid + Glycerol Lipid o ลําไสเล็ก – มี Aminopeptidase ยอย Peptide ได Aminopepti กรดอะมิโน Peptide
Amino acid
- DisaccharaseMaltase ยอย maltose glucose + glucose Sucrase ยอย sucrose glucose + fructose 36
Lactase ยอย lactose glucose + galactose
- Enterokinase ** - สรางจากเยื่อบุลําไสเล็กสวนตน ทํา หนาที่เปลี่ยน Trypsinogen เปน Trypsin !!Note : วิธีจําเอนไซมจากลําไสเล็กงายนิดเดียว เอนไซม ตัวไหนยอยแลวไดโมเลกุลเล็กสุด นั่นแหละ เอนไซมจาก ลําไสเล็กเพราะลําไสเล็กเปนอวัยวะสุดทายที่มีการยอยกอน ถูกขับออกจากรางกาย☺
37
ระบบหายใจ โครงสราง ่
× คุณสมบัติ 1.
ชุมชื้น
2.
บาง
3.
พื้นที่ผิวมาก
4.
มีเสนเลือดมาเลี้ยงมาก
อวัยวะใชในการ แลกเปลี่ยนแกส 38
ตัวอยางสัตวที่พบ
เยื่อหุมเซลล (Cell
สิ่งมีชีวิตเซลลเดียว เชน อะมีบา ,
membrane)
พารามีเซียม , ยูกลีนา
ผิวตัวดานนอก (Skin)
สัตวชั้นต่ํา เชน ฟองน้ํา , ไฮดรา , พลานาเรีย
ผิวหนังและระบบเลือด
ไสเดือนดิน , สัตวครึ่งบกครึ่งน้ํา (ผิวหนังชุมชื้นเสมอ)
เหงือก (Gill)
แมเพรียง , กุง , กั้ง , ปู , หอย , หมึก , ดาวทะเล , ปลา
ปอด (Lung)
หอยทาก , สัตวมีกระดูกสันหลัง
ระบบทอลม (Tracheal
แมลงสวนใหญ
System) ปอดแผง (Book Lung)
แมงมุม , แมงปอง
เหงือกแผง (Book Gill) แมงดาทะเล Respiratory tree
ปลิงทะเล
!!Note: แมลงไมใชเลือดในการลําเลียงแกสเพราะมีทอลม แลว ดังนั้นเลือดแมลงจึงไมมีสี เลือดจะใชลําเลียง สารอาหารและฮอรโมน
39
ถุงลมในนกไมไดใชแลกเปลี่ยนแกส แตใชสํารองอากาศ ในการบินนะ
ระบบหายใจ o Respiratory Tract อวัยวะที่เปนชองทางผานของอากาศ เรียงลําดับตามนี้ รูจมูก ชองจมูก (Nost (Phar (Nasal หลอดลม ถุงลม
คอหอย
กลองเสียง
(Lary แขนง
ขั้ว
o กลไกการหายใจเขาและออก การ หายใจ หายใจ
กลามเนื้อยึด ซี่โครงแถบ
กะบังลม
นอก
ความดัน
ปริมาตร
ภายในปอด
ปอด
หดตัว
หดตัว
ต่ํา
เพิ่มขึ้น
คลายตัว
คลายตัว
สูง
ลดลง
เขา หายใจ ออก
40
ระบบหมุนเวียนโลหิต ประเภทของระบบ 1. ไมมรี ะบบหมุนเวียนเลือด – ไดแก ฟองน้ํา , ไฮดรา , พลานาเรีย และหนอนตัวกลม 2. ระบบหมุนเวียนเลือดแบบเปด (Open circulation system) – เลือดไมไดอยูในหลอดเลือดตลอดเวลา และจะออกมารวมกับน้ําเหลืองซึ่งเรียกวา Hemolymph ไดแก Arthropod , Mollusk , Echinoderm 3. ระบบหมุนเวียนเลือดแบบปด (Closed circulation system) – ไดแก Annelid , Chordate , Mollusk (เฉพาะหมึกและหอยงวงชาง) 41
ระบบหมุนเวียนโลหิต 1. หองหัวใจ บนขวา : รับเลือดเสียจากสวนตาง ๆ ของ รางกาย ลางขวา : สูบเลือดจากหองบนขวาไปยังปอด บนซาย : รับเลือดดีจากปอด 2. ลิ้นหัวใจ
ลางซาย : สูบเลือดที่ดีจากหองบนซายไปยัง สวนตาง ๆ ของรางกาย
• Atrioventricular valve » Tricuspid: กั้นหองบนขวากับลางขวา » Bicuspid: กั้นหองบนซายกับลางซาย 42
• Semi lunar valve » Pulmonary: กั้นหองลางขวากับ Pulmonary artery » Aortic: กั้นหัวใจหองลางซายกับเสนเลือด Aorta 3. อัตราการเตนของหัวใจ (ชีพจร) - มีอัตราคงที่ที่ 72 ครั้ง/นาที วัดที่เสนเลือดอารเทอรี่ที่ ขอมือ
- อัตราการเตนของชีพจรจะเพิ่มขึ้นเมื่อ อุณหภูมิรางกาย สูงขึ้น , ความแข็งแรงของรางกายนอย , อายุนอย - ชีพจรในเพศหญิงจะมากกวาในเพศชาย 4. ความดันเลือด (Blood Pressure) นิยมวัดจากเสนเลือดอารเทอรี่บริเวณตนแขน โดยใชเครื่อง Sphygmomanometer โดยปกติจะมีคาความดันอยูที่ 120/80 mmHg – ตัวเลข 120 เปนคาความดันเลือดสูงสุด ขณะหัวใจบีบตัว (Systolic pressure) และตัวเลข 80 เปน คาความดันเลือดต่ําสุดขณะหัวใจคลายตัว (Diastolic pressure) และภาวะความดันโลหิตสูงจะมีความดันเลือดอยู ที่ 140/90 mmHg 43
5. การเดินทางของเลือดในรางกาย Body Vena cava Right Atrium Right Ventricle Pulmonary Artery Lungs Pulmonary vein Left Atrium Left Ventricle Aorta Body
!!Note : ระหวางที่หัวใจปมเลือดนั้น จะไมมีการสูญเสีย เลือดใหกลามเนื้อหัวใจ แตจะมีเสนเลือดแดงที่เลี้ยง กลามเนื้อหัวใจโดยเฉพาะคือ coronary artery นั่นเอง 6. เสนเลือด (Blood vessel) ชนิดเสน 44
Artery
Vein
Capillaries
เลือด ทิศทางการ
ไหลออก
ไหลเขา
ไหล
จากหัวใจ
หัวใจ
ผนังหนา
ผนังหนา
เลือด
ที่สุด
ปานกลาง
ลิ้น
ขนาดของ ผนังหลอด
รับเลือดจาก artery แลว สงให vein ผนังบางที่สุด
ภาพเปรียบเทียบเสนเลือด artery และเสนเลือด vein
45
ระบบขับถาย » คือ ระบบที่รางกายใชกําจัดของเสียที่ไดจาก กระบวนการ metabolism ของรางกาย
ประเภทของ 1. แอมโมเนีย » มีสถานะเปนแกส สามารถละลายในน้ํา ไดดี จึงตองอาศัยน้ําในการขับออกมาก มีความเปน พิษมากที่สุด พบใน โพรโทซัวน้ําจืด , ปลากระดูก แข็ง 2. ยูเรีย » มีสถานะเปนของเหลว ละลายน้ําไดปานกลาง มีพิษต่ํากวาแอมโมเนีย ถูกสรางขึ้นที่ตับ และถูกขับ ออกทางไตโดยการปสสาวะ พบใน ไสเดือนดิน , ปลา กระดูกออน (ฉลาม) , สัตวสะเทินน้ําสะเทินบก , สัตว เลี้ยงลูกดวยนม 3. ยูริก » มีสถานะเปนของแข็ง ไมละลายน้ํา มิพิษต่ําสุด ถูกขับออกทางอุจจาระ พบใน สัตวสงวนน้ํา เชน สัตวเลื้อยคลาน , สัตวปก และแมลง !!Note: ความสามารถในการละลายน้ําและความเปนพิษ Ammonia > Urea > Uric 46
พลังงานที่ใชในการกําจัดสารพิษ Uric > Urea > Ammonia
โครงสรางกําจัดสารพิษของ ่ อวัยวะ สิ่งมีชีวิต อวัยวะ Flame cell
พลานา เรีย
Nephridium* ไสเดือน ดิน Kidney
Green gland
สิ่งมีชีวิต กุง , กั้ง , ปู
Malpighian
แมลง
tubule**
Mammal Coxal gland
แมงมุม
*โครงสรางเหมือนหนวยไต (Nephron) ของคนมาก ที่สุด เพราะมีการดูดกลับสารมีประโยชน **เปนโครงสรางขับถายที่มีสวนเกี่ยวของกับระบบยอย อาหาร
ระบบประสาท
47
» ระบบประสามสวนกลาง (CNS) แบงเปน 1. สมอง และ 2. ไขสันหลัง
สมอ 1. สมองสวนหนา (Forebrain) เซรีบรัม (Cerebrum) : เปนศูนยกลางการ เรียนรู เชน ความจํา , การตัดสินใจ เปน ศูนยกลางการรับรูไดแก การมองเห็น , ไดยิน , การดมกลิ่น , การรับสัมผัส เปนศูนยควบคุม การทํางานของกลามเนื้อลาย ทาลามัส (Thalamus) : เปนทางผานเขา – ออกของสมองสวนหนา และเปนศูนยการรับรู ความเจ็บปวด ไฮโพทาลามัส (Hypothalamus) : เปน ศูนยกลางควบคุมระบบประสาทอัตโนวัติ เชน
48
การหายใจ , ควบคุมสมดุลน้ําและอุณหภูมิ , 2. สมองส วนกลาง (Midbrain) มการเคลื่อนไหว ควบคุ มอารมณ และความรูควบคุ สึกทางเพศ ของนัยนตาและการเปด-ปดมานตา Olfactory bulb : ทําหนาที่ควบคุมเกี่ยวกับ 3. สมองส วนทาย่น (Hindbrain) การดมกลิ เซรีเบลลัม (Cerebellum) : ควบคุมการทรงตัว ของรางกาย พอนส (Pons) : ควบคุมการเคี้ยว , การหลั่ง
!!Note: กานสมอง = สมองสวนกลาง + pons + medulla oblongata
กาน
ขนาดของสมองสวนหนา เรียงจากใหญ เล็ก : สัตวเลี้ยง ลูกดวยนม > นก > สัตวเลื้อยคลาน > สัตวครึ่งบกครึ่งน้ํา > ปลา 49
การรักษาดุลยภาพ สัตวเลือดอุน - รักษาอุณหภูมิรางกายให คงที่ โดยใชกระบวนการ
สัตวเลือดเย็น - ใชวิธีปรับอุณหภูมิรางกาย ตามสิ่งแวดลอม โดยถา
อุณหภูมิภายนอกสูง อุณหภูมิ
Metabolism เมื่ออุณหภูมิ สิ่งแวดลอมเพิ่ม ความรอน
รางกายก็จะสูงตาม อัตรา
จะเขารางกาย ก็จะลด
metabolism ก็จะเพิ่มดวย
อัตรา metabolism แตถา
ในทางกลับกัน ถาอุณหภูมิ
อุณหภูมิสิ่งแวดลอมลด
ภายนอกลด อุณหภูมิรางกาย
ความรอนจะออกรางกาย
และอัตรา metabolism ก็จะ
อัตรา metabolism จะ
ลดลงดวย
เพิ่มขึ้น
- พบในปลา , สัตวครึ่งบกครึ่ง
- พบใน สัตวปกและสัตว เลี้ยงลูกดวยนม
น้ํา ,สัตวเลื้อยคลาน
ระบบสืบพันธุ » มีการแลกเปลี่ยนสารพันธุกรรม เพื่อเพิ่ม
ความสามารถในการดํารงชีวิตในรุนลูกหลานตอไป
» แบงออกเปน 2 ประเภท คือ 50
1) การสืบพันธุแบบอาศัยเพศ (Sexual reproduction) • ลูกที่เกิดมามีความแปรผันทางพันธุกรรม การปฏิสนธิ (Fertilization) : มีการรวมกันของเซลล สืบพันธุ กลายเปนไซโกต - ภายนอก : ปลากระดูกแข็ง , สัตวครึ่ง บกครึ่งน้ํา - ภายใน : ปลากระดูกออน ,สัตวเลื้อยคลาน , สัตวปก , สัตวเลี้ยง ลูกดวยนม การถายโอน DNA (Conjugation): พบในแบคทีเรีย 2) การสืบพันธุแบบไมอาศัยเพศ (Asexual reproduction) • ลูกที่เกิดมาไมมีความแปรผันทางพันธุกรรม เหมือน พอแมทก ุ ประการ 2.1) Binary fission : แบงเซลลออกเปน 2 เซลล พบใน อะมีบา 2.2) Sporulation : การสรางสปอร 2.3) Parthenogenesis : การที่เซลลไขสามารถเจริญ เปนตัวออนได โดยไมตองอาศัยอสุจิ ลูกที่เกิดจะมี โครโมโซมเปน haploid (n) พบใน ผึ้ง , มด , ตอ , แตน
51
2.4) Regeneration : เกิดในสภาวะที่เหมาะสม (ตัวเต็ม วัย) พบใน พารามีเซียม , ดาวทะเล
ระบบสืบพันธุ o อวัยวะสืบพันธุเพศหญิง ประกอบดวย × รังไข (Ovary) : มี 2 ขาง ทําหนาที่ผลิตไขและ ฮอรโมนเพศ (estrogen + progesterone) × ทอนําไข (Oviduct) หรือปกมดลูก (Fallopian tube) : เปนทางเชื่อมระหวางรังไขทั้ง 2 ฝงกับมดลูก เปนทางผานของไข และจะเกิดเกิดการปฏิสนธิ บริเวณนี้ × มดลูก (Uterus) : เปนที่ฝงตัวของไขหลังการผสม แลว และเปนที่เจริญเติบโตของทารก × ชองคลอด (Vagina) :
52
ทางผานของอสุจิและทางออกของทารก มีสภาวะเปน กรด
o อวัยวะสืบพันธุเพศชาย ประกอบดวย × อัณฑะ (Testis) : ภายในมีหลอดสรางอสุจิ และสราง ฮอรโมนเพศชาย (Testosterone) จัดเปน ตอมเพศ ( Gonad ) จะถูกหุมดวย ถุงอัณฑะ ( Scrotum) × หลอดสรางอสุจิ (Seminiferous tubule) และ ทอนํา อสุจิ (Vasdeferens) ภายในหลอดสรางอสุจิบรรจุ 1. เซลลที่เกี่ยวของกับ การสรางอสุจิ 2. Sertoli cell เซลลที่นําสารที่จําเปนมาเลี้ยงอสุจิ 3. Leydig cell สราง Testosterone × หลอดเก็บอสุจิ ( Epididymis ) บริเวณที่พัก และกระตุนการทํางานของเซลลอสุจิ ตอมในระบบสืบพันธุเพศชาย × ตอมน้าํ เลี้ยงอสุจิ (Seminal vesicle) : สรางอาหาร (fructose , Vitamin C , protein globulin) 53
× ตอมลูกหมาก (Prostate gland) : หลั่งเบสออน × ตอมคาวเปอร (Cowper’s gland) : หลั่งของเหลวใส ๆ หลอลื่นทอปสสาวะ × องคชาติ (Penis) : ทอเปดของน้ําปสสาวะและน้ําอสุจิ
!!Note : สารจากระบบสืบพันธุเพศชาย (อสุจิ , อาหาร เลี้ยง , เบส , สารหลอลื่น) เรียกรวมวา Semen สามารถ ตรวจคนเปนหมันจากปริมาณอสุจิใน semen การที่ ปริมาณอสุจินอย เปนสาเหตุหนึ่งของการเปนหมัน
การตกไขและการเกิด
54
» การตกไข คือ การที่ไขสุกและออกจากรังไขสูทอนํา ไข
มีขั้นตอนดังนี้ 1. FSH จากตอมใตสมองสวนหนา กระตุนรังไข 2. รังไขสราง estrogen ไขสุก , ลักษณะทางเพศ หญิง 3. LH จากตอมใตสมองสวนหนากระตุนใหไขตก 4. รังไขหลั่ง progesterone ผนังมดลูกหนาตัว - มีอสุจิ ปฏิสนธิ ตัวออนฝงตัวที่ผนังมดลูก - ไมมีอสุจิ ไมปฏิสนธิ เกิดประจําเดือน
!!Note : รกของตัวออนสรางฮอรโมน HCG ซึ่งใชตรวจ การตั้งครรภได โดยออกมาปนกับปสสาวะแม
ช่วงของการมี ประจําเดือน
1
7
Follicular phase
14
21
Luteal phase
28
วันแรกของการมี ประจําเดือน 55
พันธุศาสตร (Genetics) o ลักษณะทางพันธุกรรม (Genetic character) » การ ถายทอดลักษณะของสิ่งมีชีวิตที่ควบคุมโดยยีนจากรุน หนึ่งสูรุนหนึ่งโดยในแตละสิ่งมีชีวิตอาจไมเหมือนกัน เกิดการแปรผันทางพันธุกรรม แบงเปน 1) ความแปรผันแบบตอเนื่อง ถูกควบคุมดวยยีนหลายคู แยกเปนรูปแบบยาก ( สีผิว สีตา ความสูง เปนตน ) 2) ความแปรผันแบบไมตอเนื่อง แยกออกเปนแตละ รูปแบบไดชัดเจน ( หมูเลือด การมีติ่งหู ลักยิ้ม เปนตน ) o หนวยพันธุกรรม (Gene) » หนวยกําหนดลักษณะตาง ๆ เชน สีผม , สีตา , โรคทางพันธุกรรมตาง ๆ ( ยีนเปนสวน หนึ่งของ DNA ) o ภายในนิวเคลียส จะมีโครโมโซมกระจายอยูเปนคู ๆ บน โครโมโซมแตละคูจะมียีนควบคุมลักษณะตาง ๆ มนุษยมี โครโมโซมทั้งหมด 46 แทง 23 คู แบงเปน 1. ออโตโซม (Autosome) หรือโครโมโซมรางกาย คู ที่ 1-22 เหมือนกันทั้งชายและหญิง
56
2. โครโมโซมเพศ (Sex chromosome) คูที่ 23 หญิง เปน xx / ชายเปน xy o สารพันธุกรรม (nucleic acid) เปน polymer ของ nucleotide o นิวคลีโอไทด (nucleotide) = นิวคลีโอไซด (nucleoside) + หมูฟอสเฟส o นิวคลีโอไซด = น้ําตาลเพนโทส (ribose , deoxyribose) + ไนโตรจีนัสเบส
o DNA – ในนิวเคลียสจะเปนแหลงเก็บสารพันธุกรรม (DNA) ที่ใชในการควบการสังเคราะหโปรตีน โดย DNA ของมนุษยที่อยูในนิวเคลียส จะพันรอบโปรตีนฮิส โทน (Histone protein) เรียกวา โครมาติน และใน สภาวะแบงเซลล เสนใยโครมาติน จะหดตัวเรียกวา โครโมโซม 57
DNA + Histone Chromatin
Chromatin Chromosome
รูปภาพแสดง ลักษณะของ chromosome
» เกรกเกอร เมนเดล “บิดาแหงวิชาพันธุศาสตร” กฎขอที่ 1 : กฎการแยกตัว (Laws of segregation) – ยีนอยูเปนคู เมื่อสรางเซลลสืบพันธุ จะแยกออกจากกัน อยางอิสระ กฎขอที่ 2 : กฎการรวมกลุมอิสระ (Laws of independent assortment) – ยีนในเซลลสืบพันธุจะมา รวมกันอยางอิสระ เมื่อมีการปฏิสนธิ 58
คําศัพทที่ควรรูเ กี่ยวกับ การถายทอดลักษณะทาง พันธุกรรม คําศัพท ยีนส gene
ความหมาย หนวยที่ทําหนาที่ในการ กําหนดลักษณะทาง พันธุกรรม ซึ่งเปนสวนหนึ่ง ของ DNA
อัลลีล alleles
รูปแบบในแตยีน โดยทั่วไป จะกําหนดโดยใชตัวอักษร ภาษาอังกฤษโดยยีนที่เปน คูอัลลีล (allele gene) จะมี ตําแหนง (locus) ตรงกันบน homologous chromosome
จีโนไทป genotype
ชุดของอัลลีลของสิ่งมีชีวิต มักอยูเปนคูๆ เชนยีนกําหนด ความสูงของตนถั่ว คือ Tt เปนตน
59
ฟโนไทป phenotype
ลักษณะที่แสดงออก
Homozygous allele
คูอัลลีลที่ประกอบดวย
เนื่องจากจีโนไทป รูปแบบอัลลีลเดียวกัน เชน TT เปนยีนที่มีลักษณะเดน ทั้งคู ( Homozygous dominant ) tt จะเปนยีนที่ลักษณะดอย ทั้งคู (Homozygous recessive)
Heterozygous allele
คูอัลลีลที่ประกอบดวย รูปแบบที่แตกตางกัน ลักษณะเดนจะขมลักษณะ ดอย เชน Tt
ลักษณะเดน dominant
ลักษณะที่แสดงออกมาเมื่อ เปน heterozygote
60
คําศัพท
ความหมาย
ลักษณะ recessive
ลักษณะที่ถูกขมไมใหแสดง ออกมาเมื่อเปน
heterozygote × Test cross
การนําสิ่งมีชีวิตที่สงสัยวา เปนลักษณะเดนหรือไมไป ผสมกับลักษณะดอยของ สิ่งมีชีวิตนั้น (tester) แลว สังเกตอัตราสวนของลูกที่ได
× Backcross :
เหมือนกับ Test Cross แต
เหมือนกับ Test
เปนการนํารุน F1 กลับไป
Cross แตเปนการนํา
ผสมกับพอหรือแม ดังนั้นจึง
รุน F1 กลับไปผสมกับ
นิยมใชในพืช
พอหรือแม ดังนัน ้ จึง นิยมใชในพืช NOTE!! : Backcross ไมใชการตรวจสอบ genotype แต การผสมลักษณะนี้เปนการปรับปรุงพันธุพืชหรือสัตว ตัวอยางการคํานวณพันธุศาสตร ( เปนไปตามกฎของเมน เดล ) -ชายหญิงคูหนึ่งเปนพาหะของโรคธาลัสซีเมียทั้งคู แตงงาน กันและมีบุตรดวยกันจงหาโอกาสที่จะไดลูกไมเปน โรคธาลัสซีเมีย รุนพอแม: Tt x Tt 61
รุนลูก: T
t
T
TT
Tt
t
Tt
tt
จากตาราง punnet square มีลูกที่ไมเปนโรคคิดเปน 75%
ลักษณะที่ไมเปนไปตามกฎของเมนเดล (Extension of Mendelian Genetics) 1. การขมแบบไมสมบูรณ (incomplete dominance) - เกิดจากลักษณะทางพันธุกรรมหนึ่งขมอีกลักษณะหนึ่งได ไมสมบูรณ - สิ่งมีชีวิตที่เปน heterozygous จะก้ํากึ่งระหวางสอง ลักษณะ - อัตราสวนไมเทากับ 3 : 1
62
เชน ดอกลิ้นมังกรสีชมพู ( CPCp ) เกิดจากการผสม ระหวาง ดอกลิ้นมังกรสีแดง (CPCP) กับ ดอกลิ้นมังกรสีขาว (CpCp) 2. การขมรวม (co-dominance) - สิ่งมีชีวิตที่เปน heterozygote แสดงออกทั้งสองลักษณะ ของอัลลีล ระบุไมไดวาอันไหนเดน อันไหนดอย 3. multiple allele - ควบคุมดวยยีนเดี่ยว แตมีรูปแบบอัลลีลมากกวา 2 แบบ - เชนระบบหมูเลือด ABO ถูกควบคุมโดยอัลลีล IA, IB , i 4. Polygene - ลักษณะที่ถูกควบคุมดวยยีนมากกวา 1 คู --- เปนความ แปรผันแบบตอเนื่อง 5. pleiotropy - ยีน 1 ยีนควบคุมไดมากกวา 1 ลักษณะ - เชน ยีนควบคุมสีดอกของถั่วลันเตา สามารถควบคุมสีของ เมล็ดถั่วไดดวย Sex-linked gene ยีนบนโครโมโซมเพศ 63
โดยทั่วไปหมายถึงยีนบนโครโมโซม X เพราะพบไดทั้งสอง เพศ แบงออกเปน 2 กลุม คือ 1. X-linked recessive แสดงออกเมื่อจีโนไทปเปน homozygous recessive (ตาบอดสี ฮีโมฟเลีย(เลือดไมแข็งตัว) G-6 PD deficiency เปนตน) 2. X-linked dominance แสดงออกเมื่อจีโนไทปเปน homozygous dominance หรือ heterozygous, พบได นอยในธรรมชาติ เชน congenital hypertrichosis
64
พืช (Plant) แบงเปน
1. พืชใบเลีย ้ งเดีย ่ ว - เสนใบเรียงกันแบบขนาน - มีระบบรากฝอย
- ลําตนเปนขอปลองชัดเจน - ไมมีเนื้อเยื่อเจริญ cambium ไมมีการเจริญ ดานขาง - กลับดอกมีจํานวนเปน 2 หรือ ทวีคูณของ 3 2. พืชใบเลีย ้ งคู - มีใบเลี้ยง 2 ใบ
- ลักษณะเสนใบเปนรางแห - มีระบบรากแกว
- ไมมีขอปลองชัดเจน - มีเนื้อเยื่อเจริญ cambium มีการเจริญออก ดานขาง - กลีบดอกมีจํานวนเปน 4-5 หรือ ทวีคูณของ 4-5
65
ภาพ โครงสรางภาคตัดขวางของลําตนพืชใบเลี้ยงเดีย ่ ว (ขวา) และใบเลีย ้ งคู (ซาย)
ลักษณะเส้ นใบ
พืชใบเลี ้ยงเดี่ยว
พืชใบเลี ้ยงคู่
เส้ นใบเรี ยงกันแบบขนาน
เส้ นใบเรี ยงกันเป็ นร่างแหและมี ใบเลี ้ยง 2 ใบ
ระบบราก ข้ อปล้ องที่ลําต้ น เนื ้อเยื่อcambium จํานวนกลีบดอก
ระบบรากฝอย
ระบบรากแก้ ว
ลําต้ นเห็นข้ อปล้ องชัดเจน
ลําต้ นไม่มีข้อปล้ องชัดเจน
ไม่มีเนื ้อเยื่อcambiumและไม่มี มีเนื ้อเยื่อ cambium และมีการ การเจริ ญด้ านข้ าง
เจริ ญออกด้ านข้ าง
กลีบดอกมีจํานวนเป็ น 2 หรื อ
กลีบดอกมีจํานวนเป็ น 4-5 หรื อ ทวีคณ ู ของ 4-5
ทวีคณ ู ของ 3
!!Note : พืชใบเลี้ยงเดี่ยวมีวิวัฒนาการสูงกวาพืชใบเลี้ยงคู (ทอลําเลียงกระจาย ตัดไมตาย)
66
การลําเลียงสารในพืช × การลําเลียงน้ํา (Water transport)
-
จากในดินเขาสูทอลําเลียงในราก ในสมัยกอน นักวิทยาศาสตรเชื่อวาน้ําแพรเขา สูรากพืชดวยการ diffusion ทั่วไป แตปจจุบัน พบวา บริเวณ cell membrane ของ root hair มีโปรตีน aquaporin อยูจํานวนมาก (นําน้ําเขา สูในรากพืชโดย facilitated diffusion) เสนทางในการไปตอ
67
1. transmembrane route (ผานเยื่อหุมเซลล ตางๆในราก) 2. Apoplast route (ผานผนังเซลลและสวนที่ อยูนอกเซลล) 3. Symplast route (ผานพลาสโมเดสมาตาบน Plasmodesmata คือ รูขนาดเล็กที่เชื่อมเซลลพืชสองเซลลเขา ผนั งเซลล) ดวยกัน ทําหนาที่สื่อสาร และสงสารตางๆระหวางเซลล
-
-
จากทดอ าเลียนงในรากไปยอด(ใบ) ภาพแสดงการดู ซึมลํ นํ ้าจากในดิ เข้ าสูร่ าก จากหนังสือ essential biology
ปจจัยหลัก คือแรงดึงจากการคายน้ํา (Transpiration pull) จากการคายน้ําของพืช
68
และ adhesion และ cohesion จึงเกิดการดูด น้ําเขาสูราก เพื่อทดแทนโมเลกุลน้ําที่เสียไป Note!! : การคายน้ําเปนปจจัยสําคัญของการลําเลียงน้ํา
คือการคายนํ ้าในรูปหยดนํ ้าทีเ่ กิดจากแรงดันราก แรงดันรากเกิดภายในพืชขนาดเล็กที่ อยูใ่ นสภาพอากาศเย็นและความชื ้นสูง จะมีการลําเลียงแร่ธาตุเกิดขึ ้นตลอดเวลาถึงแม้ จะไม่มีการ คายนํ ้า ทําให้ ความเข้ มข้ นภายในท่อลําเลียงสูง นํ ้าจึงแพร่เข้ ามาอย่างต่อเนื่องทําให้ เกิดเป็ นแรงดัน ขึ ้น นะจ๊ ะ Guttation
-
จากใบออกสูสิ่งแวดลอม --- การคายน้ํา transpiration เปนการสูญเสียน้ําในรูปของไอน้ํา เกิดได 2 บริเวณ คือ
ปากใบ และ lenticels (รอยแตกของเปลือกไม) 69
ภาพแสดงขั้นตอนการเปดปากใบเพื่อคายน้ํา จากหนังสือ essential biology
ปจจัยที่มีผลตอการคายน้ํา - อุณหภูมิ
- ความชื้นสัมพัทธ - ลม
- ปริมาณน้ําในดิน
- ความเขมแสง
- ปริมาณ CO2 ในใบ
× การลําเลียงอาหาร (Phloem translocation) 1. เซลลที่มีน้ําตาลจะสงน้ําตาลไปสู companion cell และ sieve tube ตามลําดับ 2. ความเขมขนภายในเซลลเพิ่มขึ้น น้ําจากไซเล มออสโมซิสเขาสู sieve tube 3. น้ําและน้ําตาลเกิดการแพรไปยังเซลลอื่น
70
รูปแสดงการลําเลียงน้ําตาลใน phloem
การสืบพันธุของพืชดอก 1. กลีบเลีย ้ ง (Sepal) เปนสวนของดอกที่อยูนอกสุด เจริญ เปลี่ยนแปลงมาจากใบ จึงมักมีสีเขียว ทําหนาที่หอหุม ปองกันอันตรายตางๆ ใหแกสวนในของดอก 2. กลีบดอก (Petal) เปนสวนของดอกที่อยูถัดจากกลีบ เลี้ยงเขาไปขางใน มักมีสีสันตางๆ สวยงาม เนื่องจากมี รงควัตถุชนิดตาง ๆ ละลายอยูในแวคิวโอล 3. เกสรตัวผู (Stamen) เปนสวนของดอกที่จําเปนในการ สืบพันธุ ทําหนาที่สรางเซลลสืบพันธุเพศผู 4. เกสรตัวเมีย (Pistil or carpel) เปนสวนของดอกที่อยูใน สุด และจําเปนในการสืบพันธุ ทําหนาที่สรางเซลล สืบพันธุเพศเมีย 71
1. ดอกสมบูรณ (complete flower) มีโครงสรางหลัก ครบ 4 ไดแก กลีบเลี้ยง , กลีบดอก , เกสรตัวผู และ เกสรตัวเมีย 72
2. ดอกไมสมบูรณ (incomplete flower) ขาดโครงสราง หลักอยางใดอยางหนึ่ง 3. ดอกสมบูรณเพศ (perfect flower) มีเกสรตัวผูและตัว เมียในดอกเดียวกัน 4. ดอกไมสมบูรณเพศ (imperfect flower) ดอกมีการ แยกเพศ !!Note : ดอกไมสมบูรณอาจเปนดอกสมบูรณเพศ แต ดอก ไมสมบูรณเพศเปนดอกไมสมบูรณ » การสรางเซลลสบ ื พันธุเ พศเมีย เกิดภายในรังไข (อาจ มี 1 หรือหลายออวุล) โดย megaspore mother cell (2n) แบงเซลลแบบ meiosis ได 4 เซลล หลังจากนั้น จะสลายไป 3 เซลล อีกเซลลที่เหลือเรียก megaspore ตอมา megaspore แบงแบบ mitosis 3 ครั้ง ได 8 นิวเคลียส และมี cytoplasm ลอมรอบไว เปน 7 เซลล ในระยะนี้ 1 megaspore จะพัฒนาเปน embryo sac หรือ female gametophyte
73
» การสรางเซลลสบ ื พันธุเ พศผู เกิดในอับเรณู (anther) โดยมี microspore mother cell (2n) แบงเซลลแบบ meiosis ได 4 microspore แตละเซลลจะมี โครโมโซม n จากนั้น microspore จะแบงเซลลแบบ mitosis ได 2 nucleus คือ generative n. และ tube n. เรียกวาละอองเรณู (pollen gain) หรือ male gametophyte
!!Note : ปรากฏการณที่ละอองเรณูตกลงสูยอดเกสรตัวเมีย เรียก การถายละอองเรณู (pollination)
» หลังการถายละอองเรณู tube nucleus งอกหลอดไป ตามกานเกสรตัวเมีย » generative nucleus 2 sperm » 1st sperm ปฏิสนธิกับเซลลไขได zygote (2n) » 2nd sperm ปฏิสนธิกับ polar nuclei ได endosperm (3n) 74
» หลังการปฏิสนธิ ออวุลเจริญเปนเมล็ด และรังไข เจริญเปนผล
» แตมีผลที่เกิดจากฐานรองดอก ไดแก ชมพู , แอปเปล , สาลี่ , ฝรั่ง “ผลเทียม”
1. ผลเดี่ยว (simple fruit) : เกิดจากดอกเดี่ยวหรือดอก ชอที่มี 1 รังไข 2. ผลกลุม (aggregate fruit) : เกิดจาก 1 ดอก หลายรัง ไข อยูแยกหรือติดกันก็ได บนฐานรองดอกเดียวกัน เชน นอยหนา , จําป , จําปา , กระดังงา , สตรอเบอรรี่ , การเวก , นมแมว 3. ผลรวม (multiple fruit) : เกิดจากรังไขของดอกแตละ ดอกของดอกชอเชื่อมรวมกันแนน รังไขเหลานี้จะ หลายเปนผลยอย ๆ เชื่อมรวมกันแนน คลายผลเดี่ยว เชน สัปปะรด , ขนุน , สาเก , ลูกยอ , หมอน , มะเดื่อ
75
76
อนุกรมวิธาน (Taxonomy) - Domain - Kingdom - Phylum - Class - Order - Family - Genus - Species o สิ่งมีชีวิตเปนพวกโปรคาริโอต o การสืบพันธุ - แบบไมอาศัยเพศ = binary fission - แบบอาศัยเพศ = conjugation o ไดแก แบคทีเรีย , สาหรายสีน้ําเงินแกมเขียว (cyanobacteria) : spirulira , nostoc , anabaena o สิ่งมีชีวิตเปนพวกยูคาริโอต o ไมมีเนื้อเยื่อและระยะเอ็มบริโอ o กลุมคลายสัตว : Protozoa 77
o กลุมคลายพืช : Algae
o กลุมคลายรา
o สิ่งมีชีวิตเปนพวกยูคาริโอต o ไมมีเนื้อเยื่อและระยะเอ็มบริโอ 78
o มีผนังเซลลเปนสารพวกไคติน o ไมมีคลอโรพลาสต o ดํารงชีวิตเปนผูยอยสลายหรือปรสิต o ไดแก เห็ด รา และยีสต
o สิ่งมีชีวิตเปนพวกยูคาริโอต o ผนังเซลลเปน cellulose o มีคลอโรพลาสตในบางเซลล ดํารงชีวิตเปนผูผลิต o เปน multicellular และทําหนาที่รวมกันเปนเนื้อเยื่อ จึงมี ระยะเอ็มบริโอ o ดํารงชีวิตเปนผูผลิต
79
o แบงเปน
80
การจัดหมวดหมูสิ่งมีชีวิต 1. การรวมกันเปนเนื้อเยื่อ
2. จํานวนชั้นของเนื้อเยื่อ (ในสัตวกลุมที่มีเนื้อเยื่อ แทจริง)
3. ชองวางในรางกาย (coelom) (ในสัตวที่มีเนื้อเยื่อ 3 ชั้น)
81
การจําแนกสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรสัตวแบงได 9 phylum หลัก ดังนี้ 1. P. Porifera
เชน ฟองน้ํา
2. P. Cnidaria
เชน ไฮดรา , ดอกไมทะเล ,
ปะการัง , กัลปงหา 3. P. Platyhelminthes เชน พลานาเรีย , หนอนตัว แบน , พยาธิใบไม , ตัวตืด 4. P. Nematoda
เชน หนอนตัวกลม
5. P. Mollusca
เชน หอย , หมึก , ลิ่นทะเล
6. P. Annelida
เชน ไสเดือนดิน , แมเพรียง ,
ทากดูดเลือด 7. P. Arthropoda
เชน แมงมุม , แมงดาทะเล ,
กุง , กั้ง , ปู 8. P. Echinodermata 9. P. Chordata
เชน เพรียงหัวหอม , amphioxus ,
สัตวมีกระดูกสันหลัง
82
เชน ดาวทะเล , ปลิงทะเล
ระบบนิเวศ (Ecosystem) × ระบบความสัมพันธของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยูในแหลงใด แหลงหนึ่ง แบงเปน 2 ลักษณะ
1.)
ความสัมพันธทางชีวภาพ » กลุมสิ่งมีชีวิตดวยกัน
2.)
ความสัมพันธทางกายภาพ » สภาพแวดลอมใน
บริเวณนั้น เชน แสง , อากาศ , น้ํา เปนตน
83
1. ระดับประชากร (population) : ระบบที่มีสิ่งมีชีวิตชนิด เดียวกัน ตั้งแต 2 ตัวขึ้นไป อยูในบริเวณและชวงเวลา เดียวกัน เชน นักเรียนหอง 943 ในคาบชีววิทยา , มด ในรัง , นก 2 ตัวบนตนไม เปนตน 2. ระดับชุมนุมสิง่ มีชว ี ต ิ (community) : ระบบที่สิ่งมีชีวิต ตั้งแต 2 ชนิดขึ้นไป อยูในบริเวณและชวงเวลาเดียวกัน เชน ปูและปลาในน้ํา , นกเอี้ยงเกาะบนหลังควาย เปน ตน 3. ระดับระบบนิเวศ (ecosystem) : ระบบที่มีความสัมพันธ ของชุมนุมสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอม มีการหมุนเวียนของ สสารและพลังงานเปนวัฏจักร 4. ระดับชีวภาค (biosphere) : ความสัมพันธของสิ่งมีชีวิต ทุกชนิดบนโลก
ลิต (producer) : เปลี่ยนสารอนินทรียเปน o ผูผ สารอินทรีย ไดแก พืชและสาหรายทุกชนิด , แบคทีเรียและโปรโตซัวบางชนิด
84
o ผูบ ริโภค (consumer) : สัตวทุกชนิด , โปรโตซัวบาง ชนิด ยสลาย (decomposer) : สิ่งมีชีวิตจําพวก fungi o ผูยอ !!Note : แรง , ไสเดือนดิน , กิ้งกือ เปนสัตวบริโภคซาก (Scavenger) เปนสวนหนึ่งของ consumer นะ
1. ภาวะลาเหยือ ่ (predation) (+,-) » เหยื่อตายในทันที เรียก pray » เชน เสือกับกวาง , สิงโตกับมาลาย 2. ภาวะปรสิต (parasite) (+.-) » เหยื่อไมตายทันที เรียก host » เชน พยาธิตาง ๆ , กาฝาก/ฝอยทองบนตนไม 3. ภาวะพึง่ พา (mutualism) (+,+) » แยกกันแลวตาย
85
» เชน ไลเคน (รา+สาหราย) , โปรโตซัวในลําไส ปลวก , E.coli ในลําไสคน , โปรโตซัวที่ราก ตระกูลสน , แบคทีเรียที่ปมรากพืชตระกูลถั่ว 4. ภาวะอิงอาศัย (commensalism) (+,o) » เชน กลวยไมบนตนไม , เหาฉลามกับฉลาม 5. ภาวะไดประโยชนรว มกัน (protocooperation) (+,+) » แยกกันแลวไมตาย » เชน แมลงกับดอกไม , ปูเสฉวนกับดอกไมทะเล , นกเอี้ยงกับควาย 6. ภาวะแขงขัน (competition) (-,-) » เชน เสือกับสิงโต , ตนถั่วในกระถางเดียวกัน 7. ภาวะเปนกลาง (neutralism) (o,o)
o เปนตามกฎ 10% (นําไปสรางเนื้อเยื่อ) พลังงานที่เสีย ออกไปเปนความรอนจากการหายใจมากที่สุด o Food chain หวงโซอาหาร o Food web สายใยอาหาร : หวงโซอาหารที่มีความ ซับซอนมาก ยิ่งซับซอน ระบบนิเวศยิ่งสมบูรณ 86
1. เปลือกของกุง มีสารใดเปนองคประกอบหลักมากที่สุด และจัดเปนสารชีวโมเลกุลประเภทใด 1) Cutin – Lipid
2) Chitin –
Carbohydrate 3) Cellulose – Carbohydrate
4) Suberin –
Protein 2. การเคลื่อนที่แบบ peristalsis ไมพบในอวัยวะใด ก. หลอดเลือด ข. ลําไสใหญ ง. หลอดลม 1) ก,ข
2) ก,ค
ค. หลอดอาหาร 3) ก,ง
4) ข,ค
3. สารคัดหลั่งจากอวัยวะใดในทางเดินอาหาร เมื่อผสมกับ น้ํามันพืชแลวเกิดกรดไขมันและกลีเซอรอล ก. ถุงน้ําดี ข. กระเพาะอาหาร ออน 1) ก,ค
2) ก,ง
ค. ดูโอดีนัม
ง. ตับ
3) ข,ง
4) ค,ง
4. การขับถายของเสียที่ไดจากโปรตีนของสัตวขอใด ถูกตอง 1 ) 2 )
ปลา ยูเรีย ยูเรีย
ไก วาฬ แอมโม ยูริก เนีย ยูริก แอมโมเ นีย 1
3 แอมโม ) เนีย 4 ยูริก )
ยูริก
ยูเรีย
ยูเรีย
แอมโมเ นีย
5. เมื่อนําแผนสไลดที่มีตัวอักษร T ไปสองดูดวยกลอง จุลทรรศนแบบใชแสง ภาพที่มองเห็นจะเปนอยางไร 1)
2)
3)
4)
6. ขอใดกลาวถูกตองเกี่ยวกับผนังเซลล 1. พบในโปรคาริโอต และยูคาริโอตบางชนิด 2. ยอมใหสารผานไดอิสระโดยไมตองอาศัยพลังงาน 3. มีสวนประกอบหลักเปนเซลลูโลสเทานั้น 1) 1,2
2) 2,3
3) 1,3
4)
1,2,3 7. Contractile vacuole ที่พบในสิ่งมีชีวิตเซลลเดียว ทํา หนาที่ใด 1) ยอยอาหาร 3) กําจัดน้ําสวนเกิน
2) กําจัดกากอาหาร 4) ขอ 2 และ 3
8. ออรแกนแนลลที่สราง ATP คือออแกนแนลลในขอใด 1) ไมโทคอนเดรีย คลอโรพลาสต 2
2) ไมโทคอนเดรียและ
3) ไรโบโซม
4) SER
9. การหลั่งเพปซิโนเจนออกจากเซลลผนังกระเพาะอาหาร อาศัยกระบวนการใด 1) การแพร
2) เอกโซไซโทซิส
3) ฟาซิลิเทต
4) แอกทีฟทรานสปอรต
10. เมื่อแชสาหรายในน้ําจืด สาหรายจะมีการปรับตัว อยางไร เพื่อใหความเขมขนกลับมาเปนปกติ 1) เพิ่มความเขมขนของน้ํา เซลล
2) นํา K+ออกจาก
3) เพิ่มการสังเคราะหแสงมากขึ้น น้ํา
4) เติม K+ลงไปใน
11. การยอยแปงและน้ําตาล ตองอาศัยน้ํายอยจากอวัยวะ ใดบาง 1) กระเพาะอาหาร , ตับ , ตับออน 2) ตอมน้ําลาย , ตับออน , ลําไสเล็ก 3) ตอมน้ําลาย ,ตับ , ตับออน 4) ตับ , ตับออน , ลําไสเล็ก 12. เมื่อหายใจเขา อวัยวะใดบางที่มีการหดตัว A. กลามเนื้อซี่โครงแถบใน นอก C. ทอง
B. กลามเนื้อซี่โครงแถบ
D. กะบังลม 3
1) B , D
2) A , C
3) B ,C ,D
4) A , B ,D 13. ขอใดถูกตองเกี่ยวกับอัตราการเตนของหัวใจ และ ความดันเลือดในคนปกติ อัตราการเตน ของหัวใจ 1) แปรตามอายุ 2) ผกผันกับอายุ 3) ผกผันกับอายุ 4) คงที่ตลอด
ความดัน เลือด ผกผันกับ อายุ แปรตามอายุ คงที่ตลอด แปรตามอายุ
14. สัตวมีกระดูกสันหลัง ขอใดที่มีสัดสวนของสมอง สวนกลางตอสมองทั้งหมดสูงสุด 1) ฉลาม
2) จระเข
3) งู
4) วาฬ
15. เมื่อรางกายเปนไข จะมีอุณหภูมิสูงผิดปกติ เนื่องมาจาก การทํางานของสมองสวนใด 1) ซีรีบรัม
2) ซีรีเบลลัม
3) ไฮโพทาลามัส
4) ทาลามัส
16. ผลิตภัณฑในขอใดถือเปนของเสียจากการขับถาย 1) น้ํามูก อาหาร 4
2) ขี้หู
3) เหงื่อ
4) กาก
17. จากกราฟแสดงความสัมพันธระหวางอุณหภูมิรางกาย และอุณหภูมิสิ่งแวดลอมของกและ ข
ก และ ขเปนสัตวชนิดใด ตามลําดับ 1) ฉลามและกบ
2) นกและกิ้งกา
3) หมูและเพนกวิน
4) เตาและโลมา
18. สิ่งมีชีวิในขอใดตอไปนี้ เรียงลําดับวิวัฒนาการได ถูกตอง 1) เห็ด แบคทีเรีย อะมีบา 2) สาหรายสีเขียว สาหรายสีเขียวแกมน้ําเงิน มอส 3) หนอนตัวแบน ฟองน้ํา ดาวทะเล 4) สาหรายสีน้ําตาล สนสองใบพืชใบเลี้ยงคู 19. สิ่งมีชีวิตในขอใดที่นักวิทยาศาสตรไมจัดเปนเซลล 1) ไวรัส
2) ฟงไจ
3) โปรติส 4) แบคทีเรีย
20. โปรตีน มีความแตกตางจากแปงอยางไร 1) มีแรธาตุที่มีความจําเปนตอรางกายมากกวา 2) ใหพลังงานมากกวา 3) มีวิตามินสะสมในโมเลกุลมากกวา 5
4) มีสวนประกอบหลักหลากหลายชนิดมากกวา 21. สัตวชนิดใดมีหัวใจ 2 หอง และ 4 หองสมบูรณ ตามลําดับ 1) กบ , คน
2) โลมา , จระเข
3) ปลาสวาย , มา
4) เขียด , ไก
22. หากทอน้ําของเรามีปญหา จะมีผลตอกระทบตอระบบ ยอยอาหารอยางไร 1) เอนไซมบางสวนจะไมถูกสงมาที่ลําไสเล็ก 2) การยอยไขมันที่ลําไสเล็กจะไมเกิดขึ้น 3) การยอยไขมันจะเกิดอยางชา ๆ 4) เอนไซมในลําไสเล็กจะเสียสภาพการทํางาน เนื่องจากมีคา pH ที่ไมเหมาะสม 23. ขอใดถูกตองเกี่ยวกับเซลลสัตว 1) เซลลสัตวบางเซลลไมจําเปนตองมีนิวเคลียส 2) เซลลสัตวที่มี secondary cell wall จะตองมี primary cell wall มากอน 3) มีชองระหวางเซลลที่เรียกวา plasmodesmata 4) นิวเคลียส ควบคุมการทํางานของออรแกนแนลลตาง ๆ ผานทางการสรางไขมัน 24. ในเซลลเม็ดเลือดขาวจะมีออรแกนแนลลชนิดใดอยู มาก 6
ก. RER ข. SER
ค. Mitochondria
ง. Golgi
body 1) ข
2) ก ,ข
3) ก , ง
4) ก , ค 25. กระบวนการทําลายออรแกนแนลลที่หมดสภาพแลว ของไลโซโซม เรียกกระบวกการนี้วาอะไร 1) autophagy
2) autolysis
3) autonomic
4) cell eating
26. ขอใดเปนสิ่งมีชีวิตประเภทโปรคาริโอต 1) อะมีบา
2) รา
3) สาหรายสีเขียว
4) สาหรายสีเขียวแกมน้ําเงิน
27.การแลกเปลี่ยนแกสของอวัยวะใดไมเกี่ยวของกับblood circulation 1) lung
2) gill
3) trachea
4) book lung 28.ขอใดกลาวผิดเกี่ยวกับxylem 1) การคายน้ําจะอาศัยแรงดึงของโมเลกุลน้ําและผนัง xylem 2) รากลําเลียงน้ําโดยอาศัย osmotic pressure 7
3) เกี่ยวกับแรงดึงจากการคายน้ํา 4) ลําเลียงน้ํารวมกับphloem 29.สมองสวนใดคือ สวนของการทําใหอวัยวะทํางาน ประสานงานกันได 1) cerebrum
2) cerebellum
3) hypothalamus
4) medulla
oblongata 30.ถาเปรียบเทียบสารอาหารที่อยูในเซลลเปนธนาคาร แลวสิ่งใดคือเงินสดหมุนเวียน 1) กลูโคส 3) กรดอะมิโน
2) ไขมัน 4) แปงหรือไกลโครเจน
31.เมื่อรับประทานขาวเหนียว รางกายจะยอยจนดูดซึมไป ใชไดโดยสงเอนไซมมาจากแหลงใดบาง 1) ตอมน้ําลาย , กระเพาะอาหาร 2) กระเพาะอาหาร , ลําไสเล็ก 3) ตอมน้ําลาย , ตับออน และลําไสเล็ก 4) ตอมน้ําลาย , ตับ , ตับออน และลําไสเล็ก 32. กําหนดให ก = พารามีเซียม ข = ยุง ค = กุง ง = งู ดิน เลือดของสิ่งมีชีวิตพวกใดไมมีสี 8
1) ก และ ข 4) ก และ ค
2) ข และ ค
3) ค และ ง
33.การปลูกกลวยไมตระกูลหวาย เมื่อปลูกไปนานๆ จะออก ดอกชิดกันมากจนดอกเบียดกัน ควรใชสารเคมีชนิดใดยืด ชอกลวยไม 1) ออกซิน 2) เอทีลีน 3) ไซโตไคนิน 4) จิบเบอเรลลิน 34.มดดําและเพลี้ยอาศัยอยูรวมกันบนตนมะมวง” ขอใด เกี่ยวของกับขอความนี้มากที่สุด 1) ประชากร 3) ระบบนิเวศ
2) แหลงที่อยู 4) กลุมสิ่งมีชีวิต
35.ความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิตคูใดที่เหมือนกัน ก. กบบนใบบัว ใหญ ค.เห็บบนตัวสุนัข 1) ก และ ข
ข. แบคทีเรียในลําไส ง.นกเขาบนตนมะมวง 2) ก และ ค
3)ก และ ง
4) ก, ข และ ค 36.ลักษณะของการออกดอกที่ยอดเปนลักษณะเดน ออก ดอกที่ลําตนเปนลักษณะดอย แลวสงสัยวาตนที่มีอยูเปน heterozygousหรือไม ตองทําอยางไร 1) นํามาผสมกับลักษณะดอกที่ยอด 2) นํามาผสมกับ ลักษณะออกดอกที่ลําตน 9
3)นํามาผสมกับตัวเอง
4) นํามาจัดเรียง
karyotype 37.ไคทิน คิวทิน เพกทิน จัดเปนสารประเภทใดตามลําดับ 1) คารโบไฮเดรต ,ลิพิด, โปรตีน
2) คารโบไฮเดรต
, โปรตีน , ลิพิด 3)ลิพิด, ลิพิด , โปรตีน
4) คารโบไฮเดรต , ลิพิด
, คารโบไฮเดรต 38.ในการถายทอดพลังงานในหวงโซอาหาร พลังงานจะ สูญเสียไปในกระบวนการใดมากที่สุด 1) การเจริญเติบโต 2) การเคลื่อนไหว หายใจ 4) การขับถาย
3)การ
39.ศึกษาแผนภาพตอไปนี้ Aและ B หมายถึงขอใด ตามลําดับ กระบวนการหายใจของพืช A + O2
CO2 + B
การสังเคราะหดวยแสง 1) น้ําและพลังงาน 10
2) กลูโคสและน้ํา
3) น้ําและออกซิเจน พลังงาน
4) กลูโคสและ
40.ขอใดถูกตอง 1) ภูมิคุมกันที่ทารกไดจากพอแมสามารถคุมกันโรคได ทุกชนิด 2) วัคซีนปองกันโรคไทฟอยดผลิตจากจุลินทรียที่มีชีวิต 3) มามเปนอวัยวะน้ําเหลืองที่ขนาดใหญที่สุดของคน 4) สวนประกอบหลักของเซรุมคือสารพิษของจุลินทรียที่ หมดสภาพความเปนพิษแลว 41.การที่คนเราสามารถกลั้นหายใจไดขณะดําน้ําเปนผลมา จากการทํางานของสมองสวนใด 1) พอนส เทกซ
2) ซีรีบรัลคอร
3) เมดัลลาออบลองกาตา
4) ถูกทุกขอ
42.บริเวณที่มีการแลกเปลี่ยนแกสคือขอใด ก. ถุงลมของแมลง
ข. ถุงลมของคน
ค.ทอลมฝอยของแมลง
ง.นกเขาบนตนมะมวง
1) ก
2) ก ,ข
3) ข, ค
4) ก , ข, ค 43. ขอใดถูกตองเกี่ยวกับตับ ก.ภูมิคุมกันที่ทารกไดจากพอแมสามารถคุมกันโรคได ทุกชนิด 11
ข.วัคซีนปองกันโรคไทฟอยดผลิตจากจุลินทรียที่มีชีวิต ค. มามเปนอวัยวะน้ําเหลืองที่ขนาดใหญที่สุดของคน 1) ก
2) ก ,ค
3) ก , ข
4) ข, ค 44.การแบงเซลลในระยะใดที่มีผลตอการเกิดการกลาย พันธุนอยที่สุด 1) prophase I
2) prophase II
3) metaphase I
4) metaphase II
45.ขอใดเปนบทบาทการทํางานของ intermediate filament 1) การงอกของpollen tube 2) การเกิดcyclosis 3) องคประกอบของไมโครวิลไลในduodenum 4) องคประกอบของเสนใยเคราตินในสัตว 46.โรคพันธุกรรมชนิดหนึ่งเกิดจากยีนดอยบนโครโมโซม รางกาย หากพอและแมเปนพาหะของโรคนี้ จงหาโอกาสที่ ลูกคนแรกจะเปนผูชายที่ไมเปนโรค
12
1) 1/8 4) 3/4
2) 3/8
3) 1/2
47.เซลลในขอใดมีลิกนินอยูเปนสวนประกอบของผนัง เซลล 1) collenchyma cell
2) parenchyma
cell 3)sieve tube cell
4) sclerenchyma
cell 48.ไฮดราสามารถสืบพันธุแบบใดไดบาง ก. binary fission
ข. budding
ค.
regeneration ค
1) ก
49.
2) ข จํานวน
3) ก ,ข
4) ข ,
A
B
เวล
13
จากกราฟ อธิบายตามหลักชีววิทยาตามขอใด 1) ภาวะแกงแยง
2) ภาวะ symbiosis
3) ภาวะปรสิต ของประชากร
4) อัตราการเกิดการตาย
50.ในแตละวันหลอดเลือดใดมีการเปลี่ยนแปลงของระดับ กลูโคสในเลือดมากที่สุด 1) จากหัวใจไปตับ ลําไสเล็ก 3) จากลําไสเล็กไปตับ เล็กไปหัวใจ
14
2) จากหัวใจไป 4) จากลําไส
ในสวนวิชาภาษาอังกฤษ พีๆ่ จะแบงใหนอ งดังนีน ้ ะ 1. เนือ ้ หา 1.1 Grammar 1.1.1 Agreement of subject and verb 1.1.2 Direct and Indirect speech 1.1.3 If-clauses 1.1.4 Non-finite verb 1.1.5 Tense 1.2 Vocabulary – สรุปแนวทางในการทํา ขอสอบ vocabulary part 1.2.1 Meaning in Context 1.2.2 Odd one out 1.2.3 Synonym - Antonym 2. EPITOME Test มีทงั้ หมด 5 ชุด ชุดละ 30 ขอ
♥ Agreement of Subject and Verb ♥ 1. One of the + N.พหูพจน + V.เอกพจน = หนึง่ ในจํานวนมากๆ เชน One of the boys is sick. 2. Both 1 and 2 + V.พหูพจน = ทั้ง 1 และ 2 เชน Both the captain and the crew are having dinner. 3. Neither 1 nor 2 + V.ตามประธานตัวที2 ่ = ไม ทัง้ คู เชน Neither Ann nor her friends have gone home. 4. Either 1 or 2 + V.ตามประธานตัวที2 ่ อันใดก็อน ั หนึง่
= ไม
เชน Either the waiter or the maids have to be responsible. 5. Not only 1 but also 2 + V.ตามประธานตัวที2 ่ = ไมเพียงแต 1 แตยงั 2 เชน Not only him but also his friends have to be punished. 6. 1
as well as
2 + V.ตามประธานตัว
ที่1 = เชนเดียวกันกับ accompanied by with together with เชน John, accompanied by his friends, has gone fishing. 7. The number of + N.พหูพจน + V.เอกพจน = จํานวน เชน The number of cars is increasing. 8. A number of + N.พหูพจน + V.พหูพจน จํานวน
=
เชน A number of students were late this morning. 9. Someone
Everyone Anyone No
one Somebody
Everybody
Nobody Something
Anybody
+ V.เอกพจน Everything
Anything
Nothing เชน Nobody is perfect. 10. The +
old , blind , dumb , rich
+ V.พหูพจน sick, deaf , handicapped , poor เชน The wounded were taken to the hospital. ♥ Direct and Indirect Speech ♥ สําหรับบทนี้นะคะ เปนเรื่องที่วาดวยการเอา
คําพูดที่พูดไปแลวมาคุยกันอีกครั้งอาจเปนกับคนอื่น ที่ไมไดอยูในเหตุการณดวย เชน เราบอกเพื่อนวา เมื่อคืนณเดชนชมเราวาสวยอยางนั้นอยางนี้ อิอ> ิ _< Direct Speech คือ การยกคําพูดจริงๆของผู พูดทั้งหมดมาเลาใหฟงโดยไมเปลี่ยนแปลง โดยใส คําพูดนั้นไวในเครื่องหมายคําพูด “…” โดยมี comma , คั่นกลางระหวางประโยคที่ยกมาพูดถึง และ ประโยคหลัก โดยประธานที่อยูในเครื่องหมาย คําพูดจะตองเปนตัวใหญเสมอ เชน He said, “I will clean the house.” “My name is Mike”, he said. Indirect Speech (Reported Speech) คือ การนําคําพูดมารายงานใหผูอื่นฟง หรือ การ ดัดแปลงคําพูดมาใหเปนคําพูดของผูเลานั่นเอง (การ เอาเฉพาะใจความมาบอกไมไดใสประโยคไวใน เครื่องหมายคําพูดเหมือนอันแรกอะคะ ^_____^) เชน He said he would clean the house. โดยการพูดแบบ Indirect speech นั้นอาจตองมีการ เปลี่ยนแปลงในหลายๆจุด ดังตอไปนี้ ตารางการเปลี่ยน Tense ใน Indirect Speech
Direct Speech
Indirect Speech
Present simple
Past simple
Tense
Tense
Present
Past continuous
continuous
Tense
Tense Past simple
Past perfect
Tense
Tense
Past
Past Perfect
Continuous
Continuous
Tense
Tense
Present
Past perfect
perfect Tense
Tense
Future simple
Future in past
Tense (will)
forms Tense (would)
Direct Speech
Indirect Speech
Can
Could
May
Might
Shall
Should
Must
Had to
คําระบุเวลาที่ตองเปลี่ยนรูปใน Indirect Speech Direct Speech
Indirect Speech
ago
before, earlier
a year/month ago
a year/month before, the previous year/month
last…
the…before, the
(night/week/moth/year)
previous…
next…
the following…,
(night/week/moth/year)
the…after
now
then, at that time
the day before
two days before
yesterday the day after tomorrow
Later in two days time, two days late
today
that day
tomorrow
the following day, the next day
tonight
that night
yesterday
the day before, the previous day
คําที่ตองเปลี่ยนจาก ใกล ใหเปน ไกล ใน Indirect Speech Direct Speech Indirect Speech here
there
these
those
this
that
หลักการเปลี่ยนจากประโยค Direct Speech เปน Indirect Speech
says
เปน
say to
เปน tell
said
says that เปน
said
that said to
เปน
told
ตัวอยางการเปลี่ยนประโยค Direct Speech เปน Indirect Speech Ask / asked Direct Speech: He asked, “Can (ถาม)
I borrow your pen?”
Indirect Speech: He asked if he could borrow my pen.
Inquire /
Direct Speech: She said to the
inquired
customer, “Can I have your
(สอบถาม)
name, please?”
Indirect Speech: She inquired the customer whether or not she could have his name. Want to
Direct Speech: He said to me,
know /
“Do you have children?”
Wanted to
Indirect Speech: He wanted to
know (อยาก know whether I had children or รู) not. Wonder /
Direct Speech: He said, “Is it
Wondered
delicious?”
(สงสัย)
Indirect Speech: He wondered if it was delicious.
ประโยคคําถาม ที่ขึ้นตนดวย
Question Words (Wh- Questions) มีหลักการ เปลี่ยนดังนี้ 1.) ใชกริยานําในประโยคหลัก เชนเดียวกับการ สราง Indirect Question สําหรับประโยคคําถามที่ ขึ้นตนดวยกริยาชวย (Yes/No Questions) 2.) ใช Question words ซึ่งไดแก Who, Whom, What, Which, When, Why, Where และ How เปนตัวเชื่อม 3.) ทําประโยคใหอยูในรูปของประโยคบอกเลา และ ตัดเครื่องหมาย “?” ออก ตัวอยาง - Direct Speech: He said to me, “Where are the apples?” Indirect Speech: He asked me where the apples were. - Direct Speech: He asked, “Where are you
going?” Indirect Speech: He asked where I was going. - Direct Speech: She said to him, “How did you make it?” Indirect Speech: She asked him how he had done it.
♥ If Clauses ♥ สําหรับเรื่องนี้ พี่จะเนนใหนองๆไดเห็นตัวอยาง ประโยคเยอะๆเพื่อชวยในการจําและเพิ่ม ประสบการณนะคะ ;3 1. If + Present Simple, Present Simple
วิธีใช ใชกับเหคุการณที่เปนความจริง
เชน If you get here before seven, we can catch the early train. (ถาคุณมาถึงที่นี่กอน 7 โมง เราก็สามารถขึ้น รถไฟไปไดเร็ว) I can’t drink alcohol if I have to drive. (ฉันไมสามารถดื่มแอลกอฮอลถาฉันตองขับรถ) 2. If + Present Simple, Will + V1
วิธีใช ใชกับเหคุการณที่เปนเหตุเปนผลซึ่งกันและ กัน เชน If I have enough money, I will go to Japan. (ถาฉันมีเงิน ฉันจะไปญี่ปุน)
If he is late, we will have to start the meeting without him. (ถาเขามาสาย เราจะตองเริ่มการประชุมโดยไม มีเขา) 3. If + Past Simple, would + V1 (would แปลวา นาจะ)
วิธีใช ใชกับเหคุการณที่ตรงขามความจริงใน ปจจุบัน หรือ อนาคต เชน If I knew her name, I would tell you.
(ถาฉันรูชื่อเธอ ฉันก็นาจะบอกคุณ) → จริงๆ แลวไมรูจักชื่อเธอ She would be safer if she had a car. (เธอนาจะปลอดภัยกวานี้ ถาเธอมีรถ) → จริงๆ แลวเธอไมมีรถ 4. If + Past perfect, would have + V3 (Past perfect -> Had + V3)
วิธีใช ใชกับเหคุการณที่ตรงขามความจริงในอดีต เชน If you had worked harder, you would have passed your exam.
(ถาคุณขยันใหมากกวานี้ คุณก็นาจะสอบผาน) → จริงๆ สอบตกไปแลว I would have been in big trouble if you had not helped me. (ฉันนาจะมีปญหาไปแลว ถาคุณไมไดชวยฉัน ไว) → จริงๆ คุณชวยฉันไว
♥ Non-Finite Verb ♥ Non-Finite Verb ( กริยาไมแท ) คือ คํากริยา ที่ไมไดนํามาใชเปนคํากริยาแท แตถูกนํามาใชเปน อยางอื่น เชน แทนนาม ,แทนคําวิเศษณ ฯลฯ โดย สวนใหญ กริยาแท จะอยูหนา กริยาไมแท NonFinite Verb แบงไดเปน 3 ประเภท ไดแก • Infinitive : กริยาที่มี to นําหนา อยูในรูป to + V.1 เชน Pam agreed to leave this park. ( agreed เปน V.แท อยูหนา to leave ที่ เปน Infinitive ) • Gerund : กริยาที่เติม –ing ตอทาย นิยมถูก ใชเปนคํานาม เชน Smoking is bad to your health. ( smoking เปน gerund ถูกใชแทน คํานามเปนประธานของประโยค ) *** preposition ทุกตัว ใชกิริยาเติม ing
(gerund) ตามหลัง*** • Participle : คํากริยาที่เติม ing และ กริยาชอง ที่3 จําแนกตามรูปแบบมี 2 ชนิด - Present Participle : กริยา+ing เชน walking ,jumping ,having
หลักการใช = ประธานเปนผูกระทําเอง ตัวอยางประโยค = The girl sleeping on the bed is my sister. (เด็กผูหญิงที่นอนอยูบน เตียงคือนองสาวของฉัน) - Past Participle : กริยาชอง3 เชน walked ,jumped ,had
หลักการใช = ประธานเปนผูถูกกระทํา ตัวอยางประโยค = The house built by Jim was collapse. (บานหลังที่ถูกสรางโดยจิม
พังแลว) Verb สวนใหญนั้นจะแบงเฉพาะเลยวา verb ตัวไหน เติม to เปน infinitive, ตัวไหน เติม ing เปน gerund, แตก็จะมีบางตัวที่ เติมไดทั้ง to และ ing, และก็ยังมีบางตัวที่เติม V. infinitive ไมเติม to หรือ ing พี่ไดทําการรวบรวมสรุป verb ในแตละสวนที่ สําคัญและพบบอยไวใหแลว นองๆเอาสามหนานี้ ถายเก็บไวในโทรศัพทมือถือ หรือ ถายเอกสารแปะ กําแพง ทองบอยๆไดจะดีมากเลยคะ ^3^ ̴ ปล. พี่รวม Gerund ไวให พี่แนะนําวาใหทอง เฉพาะgerundที่เหลือเปนinfinitiveเพื่อที่นองๆจะได มีพื้นที่วางในสมองสําหรับจําเรื่องอื่นๆนะคะ อิอิ จุบๆ ♥ Gerund ( Verb+ing ) ไดแก admit ซาบซึ้ง)
(ยอมรับ) avoid
appreciate(
(หลีกเลี่ยง)
compare(เปรียบเทียบ) confess consider
(พิจารณา)
delay
(ทําใหชา)
detest
(รังเกียจ)
(สารภาพ) deny (ปฏิเสธ)
dislike
(ไมชอบ)
escape
(หลบหนี)
excuse
(แกตัว)
(จินตนาการ)
finish (เสร็จ)
forgive
(ยกโทษ)
imagine
(จินตนาการ)
involve
(เกี่ยวของ)
mention (อางถึง)
enjoy
(สนุก)
fancy
mind
(รังเกียจ)
miss (พลาด) practice
(ฝกฝน)
recognize
(จําได)
resist
(ตานทาน)
suggest
(แนะนํา)
stop (หยุด)
give up
(=stop)
(=postpone)
can't help
to be worth
It's no use
on / go on put off
postpone (เลื่อน) risk
(เสี่ยง) carry
can't bear can't stand
keep or keep on (= do something continuously or repeatedly)
Verbกลุมนี้ ตามดวย-ing หรือตามดวย object to +… advise (แนะนํา)
permit
(แนะนํา) (อนุญาต)
encourage (สนับสนุน) forbid
recommend allow (อนุญาต)
(หาม)
Verbกลุมนี้ ตามไดทั้ง Infinitive และ gerund advise
(แนะนํา)
attempt
(พยายาม)
(เริ่มตน)
cease
(หยุด)
dislike
(ไมชอบ)
fear
(กลัว)
hate
(เกลียด)
intend
(ตั้งใจ)
learn
(เรียนรู)
(รัก)
omit
(ละเลย)
(ชอบ)
propose
bear
(ทน) begin
continue
(ทําตอ)
like (ชอบ) love plan (วางแผน) prefer start
(เริ่มตน)
(เสนอ)
Verbที่เมือ ่ เปน gerund หรือ infinitive มีความหมาย ตางกัน forget to write = ลืมที่จะเขียน forget writing = ลืมการเขียนนั้นไป
I forget to write to her. ฉันลืมเขียนไปหาเธอ (ยัง ไมไดเขียน) I forget writing the letter. ฉันลืมการเขียน จดหมายนั้น (เขียนแลวแตลืมไปวาไดเขียน)
remember to write = จําวาจะเขียน remember writing = ยังจําการเขียนนั้นได
He remembered to write her. เขายังจําไดวาจะ เขียนถึงเธอ (ยังไมไดเขียน) He remembered writing her. เขายังจําการเขียน จดหมายไปถึงเธอได (เขียนแลวจําได) regret to write = เสียใจที่จะเขียน regret writing = เสียใจที่เขียนไปแลว
I regret to write to her. ฉันเสียใจที่จะเขียน จดหมายไปถึงเธอ (แตฉน ั ก็จะเขียน) I regret writing to her. ฉันเสียใจที่ไดเขียน จดหมายไปถึงเธอ (เขียนไปแลวจึงเสียใจ) try to write = พยายามจะเขียน try writing = ลองเขียนดู
He tried to write to her. เขาพยายามจะเขียนจด หมายถึงเธอ (แตยังไมไดเขียน)
He tried writing to her. เขาลองเขียนจดหมายถึง เธอ(เขียนแลวเผื่อมีความหวัง)
♥ Tense ♥ สําหรับเรื่อง Tense นี้ จะมีอยูดวยกัน 12 tense อยางที่นองๆเคยเรียนกันไปนะคะ โดยแตละ tense เนี่ยก็จะมีโครงสรางแลวก็รูปแบบการใชใน โอกาสตางๆกันไปนะคะ โดยสวนใหญเนี่ยประโยค ในภาษาอังกฤษก็มักจะมีตัวระบุเวลาที่คอยบอกวา เราควรจะตองใช tense ไหน เชน yesterday, next week นั่นเอง ☺ 12 Tense ก็จะแบงเปนสามกาล หรือก็คือสาม กลุมใหญๆ ไดแก • Present Tense = ปจจุบัน • Past Tense = อดีต • Future Tense = อนาคต โดยที่สามกลุมนี้นะคะก็จะสามารถแยกออกได อีกกลุมละ 4 กลุมยอย รวมเปน 12กลุม 12tenseนั่นเอง - Simple : แสดงเวลาที่ไมไดกําหนดวา จะทําเสร็จตอนไหน
- Continuous : แสดงเวลาเมื่อกําลังทํา อยู ( continue = ทําตอไป ก็เหมือนกําลัง ทําอะ อิอิ :D ) - Perfect : แสดงเวลาเมื่อทําเสร็จไปแลว - Perfect Continuous : แสดงเวลาเมื่อ ไดเริ่มทําไปแลว และยังทําอยู ตอไปเราก็จะมาเจาะแตละ tense กันนะคะ ลุย โลดดดด!! 1. Present Simple Tense S + V1 (s/es) - ใชกับเหตุการณที่เปนจริงเสมอ เปนสัจธรรม เชน พี่ๆหอง943หนาตาดีที่สุดในสายวิทยคอม เอยๆผิดๆ555 ตองแบบพระอาทิตยขึ้น ทางทิศตะวันออก หรือ น้ําเดือดที่ 100 องศา
เซลเซียส เปนตนนะคะ อิอิ XD - ใชกับสิ่งที่ทําเปนประจําในปจจุบัน เชน ฉัน ไปโรงเรียนทุกวัน ( สวนใหญจะมีคําบอก เชน always , usually , often ) 2. Present Continuous Tense S + V. to be + V.ing - ใชกับเหตุการณที่กําลังดําเนินอยู ( แตนิยม ไมใชกับ verb of feeling เชน smell ) - ใชกับเหตุการณที่กําลังจะเกิดในอนาคตอัน ใกล เชน I’m going to theatre tonight. 3. Present Perfect Tense S + has/have + V3 - ใชกับเหตุการณในอดีตที่ทําตอเนื่องมาถึง ปจจุบันแบบพึ่งจะจบลงตะกี้แบบสดๆรอนๆ ( มักมีคําวา since ,for ,ever ,never ,already ,just ,yet ,lately ,recently ) 4. Present Perfect Continuous Tense
S + has/have + been + V.ing - ใชกับเหตุการณในอดีต ดําเนินมาถึงปจจุบัน และอาจดําเนินตอไปอีกในอนาคต
*** นองๆอาจจะสงสัยวา present perfect กับ present perfect continuos ตางกัน ตรงไหน ก็ทั้ง 2 อันเนี่ย จะคลายๆกันเลยคะ เพียงแตถาเปน present perfect continuos เนี่ยจะเนนความตอเนื่องมากกวา เชน เวลานองนัดกับแฟนแลวแฟน นองมาสาย นองก็บนกับแฟนวา “ เนี่ย! เรารอตะเองมาตั้งแตบายโมงแลวนะ “ ก็จะนิยม Present perfect continuous เพื่อแสดงใหเห็นวาแบบรอมาอยาง ยาวนานตอเนื่องแตบายโมงไมไดไปไหนเลยนะ **
5. Past Simple Tense S + V2 - ใชกับเหตุการณที่จบไปแลวในอดีต
- ใชกับเหตุการณที่เคยทําในอดีต “used to” เชน I used to sing that song when I was nine. ( มักมีคําบอกเวลา yesterday ,ago ,in 1998 ,the other day เปนตน ) ** แตถาเปน Verb to be + get used to + V.ing แปลวาเคยชิน **
6. Past Continuous Tense S + was/were + V.ing
- ใชกับเหตุการณที่กําลังดําเนินอยูในอดีต - ใชเปนคูหด ู โู อกบ ั Past Simple Tense เมื่อมี เหตุการณหนึ่งกําลังดําเนินอยูในอดีต (ใช past continuous tense) ก็มีอีกเหตุการณ หนึ่งเขามาแทรก (ใช past simple tense) >> past/con กําลังดําเนิน โอะ! past/sim ก็ เขามา
แทรก << ทองเปนจังหวะจะชวยใหจํางาย ขึ้นนะคะ ( past/con หมายถึง past continuous tense และ past/sim หมายถึง past simple tense นะคะ ) เชน While I was sleeping, my father left home. 7. Past Perfect Tense S + had + V3
- ใชเปนคูหูดูโอกับ Past simple Tense เมื่อมี เหตุการณ 2 เหตุการณที่เกิดขึ้นในอดีต เหตุการณที่เกิดกอนหรือเปนอดีตมากกวาจะ ใช past perfect tense สวนเหตุการณที่เกิด หลังหรือเปนอดีตนอยกวาจะใช past simple tense >> past/per เกิดกอน past/sim เกิดตามมา
<< จําไววารากศัพทคําวา per แปลวา กอน เพราะฉะนั้น past/per จึงเกิดกอน past/sim เดออออ XD ( past/per หมายถึง past perfect tense และ past/sim หมายถึง past simple tense นะคะ ) เชน He had finished his homework before his mom got home. 8. Past Perfect Continuous Tense S + had + been + V.ing
- ใชกับเหตุการณที่เกิดขึ้นในอดีตและดําเนิน มาเรื่อย และอาจดําเนินตอไปอีก คลาย past perfect tense แตเนนความตอเนื่องมากกวา
9. Future Simple Tense S + will/shall + V.infinitive
- ใชกับเหตุการณที่จะเกิดในอนาคต ( มักมีคําบอกเวลา tomorrow ,next week ,soon )
- เมื่อมี Main clause ใหใช future simple tense แตถามี subordinate clause ใหใช present perfect จะมีคําเชื่อม ไดแก if ,unless ,when ,until ,as soon as ,before ,after ,now that ,by the time that S + V. to be + going to + V. infinitive
- แสดงความตั้งใจ หรือคาดคะเนจากสัญญาณ ,หลักฐาน เชน The snow is going to ruin my plants. I have to recall what I am going to pack.
10. Future Continuous Tense S + will/shall + be + V.ing
- ใชเพื่อบอกวาจะเกิดเหตุการณ ณ จุดเวลา จุดหนึ่งในอนาคต เปนการเจาะจงเวลาใน อนาคตอยางชัดเจน เชน I will be flying to Singapore at this time tomorrow. 11. Future Perfect Tense S + will/shall + have + V3
- ใชกับเหตุการณท่จ ี ะเกิดในอนาคต และจะจบ ในชวงเวลาหนึ่งในอนาคตขางหนา ( มักมีคําบอกเวลา by next week , by next 3 years เปนตน ) เชน Bob will have finished his first novel by tomorrow night. 12. Future Perfect Continuous Tense S + will/shall + has/have + been + V.ing
- ใชกับเหตุการณที่ทํามายาวนานเวอๆๆๆๆแบบ ทําตลอดๆๆๆๆไมไดหยุดแลวก็จะดําเนินตอไป
อีกในอนาคต เชน By May of this year, I will have been
teaching for 10 years.
Others
Another + N.เอกพจน Other + N.พหูพจน The other + N.เอกพจน / พหูพจน เหลือสุดทาย Others ไมมีนามตามมา
อื่น,อีก อื่น ที่ พวกที่
เหลือ The others ไมมีนามตามมา เหลือ (เจาะจง)
คือ
พวกที่
☺ คะ วันนีพ ้ ๆี่ ก็มี Tips การจํามาใหนอ งๆนะคะ ถาเปน other ที่เติม s ทั้งหลาย ไมวาจะมี the
หรือไม -> ไมมีนามตามมา สวนพวกตัวที่ไมเติม s ตอทาย another ขึ้นตน ดวย a -> นามเอกพจน (เหมือนแบบนามเอกพจนมีอันเดียวก็ a cat ,a dog คือมี a อะคะ 5555) other ขึ้นตนดวย o ก็ “ โอ ! มีเยอะเหลือเกิน “ > นามพหูพจน -..-555 the other ปกติ article “the” จะเติมไดทั้งเอก+ พหู -> นามเอกพจน/พหูพจน การเรียงลําดับ : One…. ,another….. ,another….. ,the other. สํานวน เพิม ่ เติม เชน
every other day = วันเวนวัน ☺
♥ Wish Clauses ♥ สําหรับเรื่อง wish นี้ก็มักจะพบอยูในขอสอบอยู บอยๆนะคะนองๆ หลักการนั้นไมยากเลย เพียงแค นองทําความเขาใจกับรูปแบบและจําใหไดวาแบบ ไหนใชเมื่อใด เพียงเทานี้นองๆก็จะมองขอสอบเรื่อง นี้เปนของกลวยๆไปเลยแนนอนคา >____<! สรุปหลักการใชและโครงสรางของ Wish Wish หมายถึง การแสดงความปรารถนาซึ่งตรง ขามกับความเปนจริง 1. แสดงความปรารถนาในอดีต had + V3
คือ เกิดเหตุการณในอดีตซึ่งปรารถนาหรือหวัง ใหเปนอยางหนึ่ง แตความจริงไมเปนเชนนั้น
เชน Nadech wishes Yaya had paid attention to him last night. ( ณเดชนปรารถนาใหญาญาใหความสนใจ แกเขาเมื่อคืนนี้ ความจริง ญาญาไมใหความสนใจแกณ เดชนเมื่อคืนนี้ ) 2. แสดงความปรารถนาในปจจุบน ั V.2 หรือ was/were + V.ing
เชน I wish I kissed Lee min ho. They wish they were swimming now. 3. แสดงความปรารถนาในอนาคต would + V.1
เชน I wish this relationship would end tomorrow. ( ฉันปรารถนาใหความสัมพันธนี้จบลงพรุงนี้ อยากใหความสัมพันธจบแตใน ความเปน จริงคงไม ยขนาดนั้น= จึ Blow out =งาextinguish ดัง บตรงขามกับความ ไฟ จริง ) Bl
d in context ♥ ♥ Meaning บทนี้วัดความเขาใจของนองในเรื่องของบริบท ของคําศัพท ซึ่ง
ขึ้นอยูกับวานองรูจักคําศัพทมากแคไหน ทั้งนี้ก็ ขึ้นอยูกับประสบการณของนองเอง นองอาจเจอตาม สื่อ เชน หนังสือพิมพ นวนิยาย เรื่องสั้น เปนตน คําวาบริบท (Context) คืออะไร? บริบท คือคําหรือขอความแวดลอมที่ชวยให เขาใจความหมายของคําบางคํา อาจอยูในรูป ประโยค Sentence หรือ วลี phrase แนวทางในการทําขอสอบ Meaning in context
♥ Odd one out ♥
Odd one out สวนใหญแลวจะออกเกี่ยวกับ Meaning in context, prefix-suffix, part of speech etc. ♥ Synonym – Antonym ♥ นองอาจจะคุนเคยกันดีอยูแลวกับบทนี้ เพราะเปน บทที่นิยมในการออกขอสอบ Synonym – Antonym ที่เลือกใชก็ขึ้นอยูกับระดับที่เรียน ถาระดับสูง คําก็ยิ่ง ซับซอน (แตในชีวิตประจําวันเราก็มักใชคํางายๆ
กัน) เชน คําวาพยายาม (try) เวลาใชงา ยๆ ก็ใชเปน I’d tried to do something. ตัวอยาง Synonym ของ try คือ attempt หรือ effort (An attempt; an effort to accomplish something)
EPITOME I Directions: Complete the conversation by filling in the gaps with the MOST appropriate phrases.
At the Chemist's A: Can you 1 this prescription for me, please? B: Certainly, madam. Will you 2 or will you 3 later? A: How long will it take? I am not 4 . B: Only five minutes. Perhaps there's 5
you'd like while you're here. A: Yes, there is, 6 . I need a sponge, 7 toothpaste and some 8 . Oh, and can you recommend something for headaches? B: These tablets are very good. 9 doctors are prescribing them nowadays. A: All right. I'll take the 10 those. B: Will that be all, madam? A: Yes, 11 the medicine from the prescription. Will it be ready now? B: Not quite, but it won't be a minute. Why don't you 12 ? 1.
a. make up b. make out c. make
off
d. make for
2.
a. wait at it b. wait for itc. wait it
d. waiting for it 3.
a. call up
b. call on
c. call for
d. call back 4.
a. in hurry
b. in any a
hurry c. in any hurry 5.
d. hurry
a. anything else
something for
b.
c. something else
d. anything for 6.
a .as fact
b. as a
matter of fact c. therefore 7. piece of
d. however
a. a roll of b .a bottle of
c. a
d. a tube of
8.
a. toilet soap
b. soap
toilet
c. soap in toilet
d .soap of
toilet
9.
a. A great deal of
b. A
lot of c. A good deal of 10.
a.cup of
c. amount of 11.
a. except that
d. Plenty b. pair of d. bottle of b.
apart for c. except for 12.
a. take a seat
d .anyway b. make a
seat c. pick a seat
d. reserve
a seat Directions: Identify the four underlined parts of each sentence below that makes the sentence incorrect. 13.It a. is a different story in b. the northeast of
the country, where drought is destroying thousands of people's livelihoods and c. forces another wave of d. emigrants to abandon their homes to the countryside. 14.a. Served as b. either business tools or c. recreational devices, computers d. are increasingly popular. 15.During the a. 1980's, the b. incoming gap between the richest and the poorest Americans c. widened significantly, and it d. continued to expand in the 1990's. 16.a. Because of the workers approached their jobs with very little
b. interest
and almost c. no energy, their productivity was, not d. surprisingly, very low. 17.The practice of a. renaming a street Martin
Luther King Boulevard b. has been adopted c. through many cities to d. honor the civil rights leader. 18. Many changes a. occurred while she b. was president of the college; these changes increased c. both the educational quality and d. effectivity of the college. 19.a. Although the global food crisis b. is c. the most obvious in the tropics, the d. temperate zones may have a similar problem soon. 20.a. Even though the situation is changing so rapidly, b. any plans we make c. to deal with the emergency can be d. no more than tentative.
Directions: choose the right answer from the four alternatives given below. 21.She rang _____. I must have said something to upset her. a. up
b. round
c. back
d. off
22.Anything I can help you _____? a. in
b. on
c. for
d. with
23.Make sure you arrive in Bangkok _____ day. a. by
b. in
c. on
d. at
24.Last month we sold a lot of airconditioners. This was _____ a very hot summer. a. because c. the reason why
b. due to d. on condition that
25.The _____ of his father made him so miserable.
a. loss
b. lost
c. lose
d. loose
Direction : Choose the word which does not relate to other three words. 26.Meaning a. enormous b. gigantic c. abnormal d. huge 27.Meaning a. forecast b. imply c. anticipate d. predict
28. Which word has different vowel
pronouncing from the others? a. Sweet b. Squeeze c. Speed d. Suite 29. Which word has the different sound from the others? a. Score b. More c. Door d. Moor 30. Which word is the odd one? a. Luxurious b. Economical c. Convenient d. Happy
RESULT : ___ / 30 Answer Key (Exercise 1) 1.
b - เพราะเราใช write out สําหรับการเขียนใบสั่ง ยา
2.
b - verb ที่ตองใช เปนรูป infinitive
3.
d - !!!
4.
c - เพราะเราไมใช in hurry โดดๆ หรือวา hurry ธรรมดา (in any a hurry ก็ไมถูกหลัก Grammar )
5.
c - เปนการเลือกใชคําในบทสนทนา เราใช is there something else
6.
b- เปนตัวเลือกที่ดีที่สุด (ถึงแมวาในปกติเราอาจ ไมคุนเคย) เวลาเจอกับขอสอบแบบนี้ตองเลือก ตัวเลือกที่ดีที่สุด โดย therefore และ however
ไมเขากับบทสนทนาเลย และ as fact ฟงดูก็แปลก มากๆ และถาหากจะใช ก็ตองเปน as a fact เพราะ fact เปน countable noun 7.
d - เพราะยาสีฟนเปนหลอด
8.
a - เพราะ toilet ขยาย soap (เปน compound word) และ soap toilet จะแปลวาหองน้ําสบู และ ตัวเลือก c กับ d ก็ฟงแลวตลกมากๆ
9.
10.
b- a lot of เหมาะสมที่สุดใน 4 ตัวเลือกสําหรับ การนับคน d - ยานาจะเก็บในขวด (เพราะในตัวเลือกไมมี แผงใหเลือก 555)
11.
c - เพราะตรงกับบทสนทนามากที่สุด โดยสังเกต วาตัวเลือก b. apart for ตองเปน apart from นะ
12.
a- เปนการบอกใหนั่งลงกอน เราใช take a seat
13.
c - force -> forcing เพื่อคงรูป parallel structure ของประโยค คือ is v+ing and v+ing
14.
a - Served -> Serving เพราะวา computers ไมไดถูก serve แต computers serve
15.
b - incoming -> income เพราะจากประโยคเรา ตองใชคํานาม (income) ที่แปลวารายรับ โดย incoming เปน adjective ที่แปลวากําลังมา
16.
a- Because of -> Because เพราะวา because of + noun โดยที่ because + sentence
17.
c - through -> by เพราะเปน passive voice เรา ใช by กับผูกระทําเสมอ
18.
d - effectivity -> effectiveness เพราะ effectivity ไมมีความหมาย 555
19.
c - the most -> most
20.
a - Even though -> As เพราะวาประโยคให ใจความคลอยตามกัน (อาจเปน Since หรืออะไร ก็ได บลาๆ)
21.
d- rang off = ตัดสาย
22.
d- help someone with something
23.
a - !!!
24.
b - due to เพราะวาในประโยค ตองเปนการ สนับสนุนกัน โดย because + sentence
25.
a - loss เปน noun ซึ่งตองการในชองวาง
26.
c- abnormal แปลวาไมปกติ โดยทั้งสามตัวที่ เหลือแปลวา ใหญ(มาก)
27.
b- imply = indicate the truth or existence of (something) แปลก็ประมาณวาบงบอกอะไรสัก อยาง โดยทั้งสามตัวที่เหลือแปลวาคาดการณ ลวงหนา
28.
c เพราะ speed ออกเสียง 𝑒𝑒̅ (อี) แต ขออื่นออก
เสียงวา w𝑒𝑒̅ มีการออกเสียงตัว w เพิ่มมาดวย 29.
d เพราะ moor ออกเสียงวา ˈmo͝or (มัวร์) แต่ของอื่นออกเสียง เป็ น ôr (ออร)
30. b - economical แปลวา คุมคา ราคาถูก โดยทั้ง สามตัวที่เหลือแปลไดในเชิงวาสบายมี ความสุขสะดวก
EPITOME II Directions: Complete the conversation by filling in the gaps with the MOST appropriate phrases. Jane: Have you made the decision to which university you'll make a transition yet? Adam: No. It's my hardest decision ever. 1_ Jane: No, I haven't either. 2_ Adam: Who shall we talk to, then? Jane: I've no idea. Adam: 3_ Jane: Aw. Well! What about posting a topic on Pantip.com for some suggestions? Adam: 4_Two heads are better than one. Jane: Exactly. 5_ 1. a. By the way, have you?
b. Do you think I should go talk with someone? c. Well, well. d. Isn't it?
2. a. Let it go. b. Shouldn't we ask for some advices? c. I don't think it's of any importance since it's not important. d. Well, well. 3. a. Neither do I. b. That's too bad. c. I wish you had one. d. Better luck next time, then.
4. a. Really? I don't think it will work. b. Shouldn't you think about it again? c. Of course! d. I think we'd rather post on Yahoo.com. 5. a. Your words can't be more true. b. That's what I'm going to say. c. Of course. d. Without any doubts, with any? Directions: Identify the four underlined parts of each sentence below that makes the sentence incorrect. 6. High school graduates usually do not a. end up earning as much income as college graduates do; this b. fact explains why so c. many high school students go on to d. pursuing college degrees. 7. a. Despite only two b. inches long, c. the shrew is a mammal and d. therefore a
relative of elephants and giraffes. 8. Although courageous, he always a. finds b. himself frightened in c. environments d. lacking of light and noise. 9. No matter how nice Adam has always been, Sarah seems a. to not have b. any interests c. in him regardless of his sincere love d. for her. 10.According to the school's new policy, the gate a. connected to Pathum Wan School b. was shutdown c. so as to prevent the students d. not to leave the school without written permissions. 11. World's climate a. change has always been a serious problem and is b. getting c.
very severe that action should d. be taken immediately. 12. Triam Udom Suksa School, a school a. thousands of students dream of b.being a student c. of, was d. found in 1937. 13.Children today have a a. great chance of b. growing up in a family c. split by divorce than in any other d. period in American history. 14. Elasticity refers to an a. objectâ&#x20AC;&#x2122;s ability to return b. to its original shape after c. been deformed by d. external pressure. 15. Hollywood was only one of a. several players in the world film market b. until the First World War, c. which film production in Europe almost d. came to a stop. Directions: choose the right answer from the four alternatives given below.
16. Dan said his second-hand car was worth _____. He loved it so much. a. bought
b. to buy
c. to buying
d. buying 17. _____ the tiger, the lion is a member of the cat family. a. Like
b. Alike
c. Liking
d. Likely
18. _____ he is popular, I don't like him. a. Though
b. Whether c. Despite
d .As 19. In the winter, many animals hibernate, but others, _____ stay active. a. the elk such as the elk
b. are like the elk c. d. yet the elk
20. Salt _____ obtained in various ways. a. can be
b. when
c. when it
can be
d. that is
Directions: Choose the choice with the most meaningful for the sentences. 21. Telephone is one of the most important ……. used in homes and offices. a. stuff b. characteristics c. tools d. appliances 22. The score shown that the 1st prize belongs to Samuel, then Sally, Yuji and Ruby ……. . a. confidently b. respectively c. sensitively d. effectively 23. The speakers at the graduation ceremony are always among the most ……. people in the city.
a. disgusted b. disliked c. disappointed d. distinguished 24. The criminal was ……. because the judge found a ……. in evidences. a. set free, conflict b. be free, relation c. set free, contradiction d. be free, contradiction
25. After a little girl saw a horror movie, she was ……. with fear. a. shivering
b. complaining c. trembling d. convulsing 26. All the players accept the referee’s verdict except the manager who ……. rudely. a. shown up b. acted c. protested d. done Direction : Choose the correct synonyms for the following words. 27. Little a. A lack of b. Significant c. major d. enormous 28. conflict
a.
detect
b.
cooperative
c.illusion d.
clashing
Directions: Choose the correct antonym for the following words. Have something 29. Hostile done a. Helpful Get something b. Friendly done c.Cooperative d.
Ignorant
30. Savage a.
Cruel
b.
Barbaric
c.Primitive
d.
Civilized
RESULT : ___ / 30
ANSWER KEY EX.2 1. a - เปนการถามกลับวา แลวเธอละ 2. b - แปลวา ไมลองหาคําแนะนําดูเหรอ 3. a - แปลวา ฉันก็ไมรูเหมือนกัน 4. c - เพราะในบทสนทนาเปนการสนับสนุนกัน 5. a - เปนการเนนย้ํา Exactly โดย b และ d ตลก และ c จะซ้ํากับ Exactly 6. d - pursuing -> pursue เพราะ go on to do something!! เราจะไมใช to กับ Ving
7. a - Despite -> Although เพราะ “only two inches long” ตรงนี้เปน adjective โดย despite + noun และ although + sentence/adj. 8. d - lacking of -> lacking เพราะ lack (v) ไม ตองตามดวย of คือ lack sth. ไดเลย แตถา lack of sth. จะเปน noun 9. a - to not -> not to (อธิบายไมถูกชวยที!!!!) 10.
d - not to -> from เพราะ prevent
someone from doing sth.!! 11.
c - very -> so เพราะ so + adj. + that +
sentence!! 12.
d - found -> founded เพราะ found เปน
ชองสามของ find ที่แปลวาคนหา โดย founded เปนชองสาม found ที่แปลวากอตั้ง 13.
a - great chance -> greater change
(โหดจุง) เพราะมันเปน “than” การเปรียบเทียบ !!! 14.
c - been deformed -> having been
deformed เพราะ after + v.ing ! 15.
c - which -> in which / where
16.
d - worth doing sth.
17.
a - เพราะ like เปน preposition ใชตรงนี้
แลวใหความหมายโอเค โดยที่ alike เปน adjective นะ 18. a/d - ที่จริงจะใหถูกที่สุดตองเปน a ก็คือ ถึงแมวาเขาจะดัง ฉันก็ไมชอบเขา แตในกรณีที่ นองๆตอบ d ก็โอเคนะ ถานองๆหมายความวา ไมชอบเขาเพราะวาเขาดัง (ประมาณวาไมชอบ คนดัง) ฮาๆๆ 19.
c - เปนการยกตัวอยาง เชน the elk ไร
แบบนี้ 555 20. a - แปลวา เกลือสามารถหาไดจากหลายๆ ชองทาง
21.
d – โดยมาก stuff ใชเรียกสิ่งของอะไรก็
ได, characteristic แปลวาคุณลักษณะ tool ใชกับ อุปกรณงานชาง appliance แปลวา เครื่องใชไฟฟา 22.
b – respectively แปลวา ตามลําดับ
23.
d - distinguish แปลวา โดดเดน
24.
b - โดย set free แปลวาปลดปลอย โดย
to be set free (was set free) ก็จะแปลวา ไดรับการปลอย และ contradiction แปลวา หลักฐาน (หรือความคิด) ที่ขัดแยงตออีกสิ่งหนึ่ง ซึ่งใหความหมายไดดีที่สุด 25.
a - แปลวา สั่นเนื่องจากความกลัว
26.
c - (เชคประโยคคําถามหนอยเหมือนใช
tense ผิดหรือเปลา) 27. a - แปลวา ไมพอ (lack of sth. (นาม)) โดยที่เหลือแปลวาเยอะ มากเกินพอ ทั้งนั้น
28.
d - แปลวาความขัดแยง
29.
b - แปลวาเปนมิตร ตรงกันขามกับ hostile
ที่แปลวาไมคอยชอบ (ไมเปนมิตร) 30.
d - แปลวามีอารยธรรม (ไมรุนแรง)
ตรงกันขามกับ savage, cruel, และ barbaric ที่แปลวารุนแรง และ primitive ที่ใหความหมาย วาแรกเริ่ม 1. ?
EPITOME III Directions: Complete the conversation by filling in the gaps with the MOST appropriate phrases. Cherry: I'm so nervous about the upcoming summative exams. Adam: 1_ What should we do? Cherry: What about asking the kind John for some of his shortened
notes? Adam: 2_ He's in the class next to ours! Cherry: Let's go.
( Adam and Cherry walk to John. ) Cherry: Hi, John! 3_ John: I'm just fine these days. What about you guys? Don't you guys have something to talk to me? Adam: We're fine, and yes. 4_ Could you please share us some of your shortened notes? John: Sure! 5_
( The conversation goes on. ) 1. a. Meh. b. Sadly, so am I. c. Really? d. Me too! 2. a. Are you hungry?
b. Iâ&#x20AC;&#x2122;m fine. c. That's not a bad idea. d. Are you okay? 3. a. Could you please give us your shortened notes? b. We're buying your sheets. c. How are you lately? d. Send us your shortened notes. 4. a. We really have no idea how we'll deal with the upcoming exams. b. I'm sure there'll be some ways to get us prepared for the upcoming tests. c. Let's get to the point. d. I beg. 5. a. But that costs some money. Would you
care to pay some? b. Here you go. Take these! c. But first, lemme take a selfie. d. Anything more?
Directions: Identify the four underlined parts of each sentence below that makes the sentence incorrect. 6. Dreams can't be a. achieved in days or months, and b. in some c. circumstances, it could take one years to d. go over the goals. 7. a.Some of the crocodiles b. are c. found in the river of Sarawak d. are very large. 8. Although it is a. apparent that knowledge of Latin b. is helpful c. to build a good English vocabulary, d. individuals with English as their second language imply they don't have
enough time for it. 9. Scientific advances over the last fifty years have a. led to b. revolutionary changes in health, agriculture and communication, and generally c.enhancing socio-economic development and the quality of our d. lives. 10. a.Waiting for the results of the final examination, the student's nerves were b. on edge; she c. could not sleep properly or d. eat normally. 11.He is not sure a. if he should buy the new computer now or wait b. until he c. receives his d. next bonus. 12.I a. prefer Marlene to b. any hairdressers I c. have visited in the past because she has d. such a good understanding of her clients'
needs. 13.These days the social stigmas attached a. to being single are b. much weaker, and many women c. of their late 20s show d. no signs of wanting to settle down. 14. a.According to modern irrigation, crops now b. grow abundantly in areas c.where once nothing d. but cacti and sagebrush could live. 15.The a. primary aim of b. science horticultural is c. to develop plants of the highest quality that offer the d. promise of high yields.
Directions: choose the right answer from the four alternatives given below. 16. Iâ&#x20AC;&#x2122;ve just had the radio _____ . Itâ&#x20AC;&#x2122;s too loud.
a. to turn down
b. turn
down c. turning down
d. turned
down 17. Please _____ somebody to arrange these files. They are so messy. a. get
b. to get
c. have
d. to have
18. My aunt _____ her son drives her to the supermarket last Sunday. a. got
b. had got c. had
d. had had
19. I had everything _____ in this box. a. pack up
b. packed
up c. packing up
d. to pack
up 20. Why donâ&#x20AC;&#x2122;t we call the police and have them _____ this car ? a.tow away
b. towed
away c. to tow away
d. towing
away Directions: Read the passage below then answer the question by choosing the best alternative. Suez Canal fees to go up in 2007 By Rob Woollard AFP ISMAILIYA, Egypt The
Suez
Canal
Authority
said
Wednesday it will raise transit fees for ships using the waterway by an average 2.84 percent in 2007.
Its chairman Ali Fadel told the reporters that the increase, to take effect on April 1, would
range
from
1.14
percent
for
passenger ships to 3.73 percent for oil tankers. Egypt's revenues from transit fees on the canal, which links the Mediterranean with the Red Sea, soared to a record 3.82 billion dollars in 2006, up from around 3.4 billion dollars the previous year. Cargo loads for 2006 are expected to reach 680 million tons, up from 671 million tons in 2005. The rise was spurred mainly by higher fees and soaring global trade with India and China. Egypt is currently in talks with China to
ensure that close to 100 percent of Chinese exports to Europe pass through the Suez Canal -- up from the current 60 percent -- in exchange for lower transit fees. The Suez Canal, which opened in 1869, is Egypt's third largest source of revenue, after
tourism
and
remittances
from
expatriate workers. 21. From what country does the news report come? a. China b. Thailand c. Egypt d. India 22. What is the name of the news agency ? a. Thairath b. Reuters c. AP
d. AFP 23. From what city does the news report come ? a. New York b. Cairo c. Ismailiya d. Bangkok 24. What is the Headline of the news ? a. Suez Canal fees to go up in 2007 b. By Rob Woollard c. AFP d. ISMAILIYA,Egypt 25. Who is Ali Fadel ? a. chairman b. president
c. tourist d. journalist 26. The rise was spurred mainly by higher fees and soaring global trade with ... a. Malaysia b. India c. China d. both b. and c.
Direction : Choose the correct synonyms for the following words. 27. foreign a. internal b. outlandish c. native d. local
28. offer a. indicate b. propose c. commute d. consequence Directions : Choose the correct antonym for the following words. 29. Appendix a. Lump b. Projection c. External d. Outgrowth 30. Regret a. Poor b. Pitiful
c. Sorrow d. Reply RESULT : ____ / 30
สูๆ หนอยนะคะนองๆ !! คอยๆขยันอาน ขยัน ทําแบบฝกหัดไปเรื่อยๆ แลวนองจะบรรลุ เปาหมายไดในที่สุด No pain no gain ถา ไมขยันก็ไมประสบ
ANSWER KEY EX.3 1. b - แปลวา ฉันก็เหมือนกัน ซึ่งตรงกับ บรรยากาศการสนทนาที่สุด 2. c - แปลวา เปนความคิดที่โอเคเลย (ไมไดแย) และอีก 3 ตัวเลือกตลกมากๆ 3. c - เพราะคําตอบเปน I’m just fine these days. โดยขอ ab d ไมเขากับการสนทนา 4. a - เปนคําตอบที่ดีที่สุดใน 4 ตัวเลือกและเขากับ บทสนทนา b c d จะดูไม friendly 5. b - แปลวา เอาไปเลย โดย a และ d ไมเปนมิตร (บทสนทนาออกแนวเปนมิตร) c ไมเกี่ยว 6. d - go over ->achieve, reach, etc. เพราะ go over ไมเขากับความหมายที่ตองการ 7. b - ตัด are ทิ้ง เพราะประโยคคือ จระเข บางสวน “ที่ถูกพบ” ในแมน้ํา... ซึ่งเปนสวน
ขยาย และประโยคมี main verb หลายตัวไมได 8. c - to build -> in building (to be helpful in v+ing) 9. c - enhancing -> have enhanced เพื่อคงรูป paralel structure ของประโยค 10.
a - Waiting -> As she waited เพราะถา
เราใช Waiting ประโยคจะใหความหมายวา หลังจากรอแลวจะ... แตประโยคคือระหวางที่รอ ใช As she waited เพื่อแสดงการเกิดขึ้น พรอมๆกัน (simultaneous actions) จะดีกวา 11. a - if -> whether เพราะเปรียบเทียบ ระหวางสองสิ่ง 12.
b - any -> any other เพราะประโยค
ตองการเปรียบเทียบ Marlene กับ ชางทําผม คนอื่นๆ ซึ่งไมนับ Marlene จึงตองใช any other เพราะถาเปน any จะนับรวมชางทําผม ทุกๆคนรวมถึง Marlene ดวย (ยากหนอยนะ 555)
13.
c - of -> in เวลาเราใชในชวงอายุตางๆ
เราจะใช in his/her xx’s เชน in his 30’s ในชวงอายุ 30-39 14.
a - According to -> Thanks to เพราะ
เราไมไดอางอิงจาก modern irrigation แตเรา จะบอกวา เนื่องจาก 15.
b - science horticultural -> science
horticulture เพราะวาตองเปน noun (horticultural เปน adjective!) 16.
d เพราะ have something +v3 เชน
have your homework done 17.
a เพราะ get someone to do sth. โดย
b,d ไมมี Please to, c have someone do something ไมมี to 18.
c เพราะ have someone do
something!! (ระวัง had him “kill” her ไมตอง
เติม s หรือ ed นะ) 19.
d เพราะ have something done!!!
20.
a เพราะ have someone do
something!!!! 21.
c
22.
d
23.
c
24.
a
25.
a
26.
d
27.
b เพราะอีก 3 คําแปลวาภายในหมดเลย
28.
b เพราะแปลวาเสนอ (offer) โดย
indicate = ระบุ, commute = เดินทาง, consequence = ผลที่ตามมา 29.
-
30.
d เพราะแปลวาตอบกลับ โดย b และ c
แปลไดตรงๆเลยวาเศรา เสียใจ โดย a อาจจะ ตองตีความนิดหนอย
EPITOME IV
Directions: Identify the four underlined parts of each sentence below that makes the sentence incorrect. 1. We a. have no choice but b. to appoint Mary, the c. best of the two candidates, and there is no d. prospect of finding more applicants. 2. a. The reason I'm going to England this year b. is c. because I'm going to d. see Mary, my long-lost sister. 3. a. If you were to work at least four b. hours a day on the project, we c. would complete it in a shorter time, and with d. less problems. 4. The Applaresque's a. 1-inch-long iPhonealae, a b. newly released smart phone, is undoubtedly spectacular, and no one can disagree that its ability is c. far better than d. the old iPhoneae.
5. a. I and my friends are working on a very big, world-influential project and b. as soon as it c. finishes we will immediately register it as our d. intellectual property so that our big work won't be stolen. 6. a. Having played by the rules, the members of the teams b. were given a standing ovation although c. it didn't d. win. 7. None of us a. knows b. what the outcome of the negotiation between our company and d. Adam's. 8. An a. omnivorous animal has a b. greater chance c. of survival than d. ones that depends on a single food source. 9. The Swiss have been studying a tunnel
scheme which might a. success in protecting the fragile Alpine environment b. permanently from the c. dense road traffic that passes d. through it. 10. With television a. provides a b. heavy quotient of entertainment for the American home, many magazines discovered a c. strong demand for nonfiction articles, their almost d. exclusive content today. Directions: choose the right answer from the four alternatives given below. 11. May I have your brother _____ my car out of the corner? I couldnâ&#x20AC;&#x2122;t make it myself. a. move b. moved
c. to move d. moving
12. Shall we get someone _____ dinner for us? We are too tired to do any cooking after work. a. to preparing
b. to
prepare c. prepared
d. prepare
13. Ask her whether she had the plumber _____ the leaking pipe. a. mending
b. to mend
c. mended
d. mend
14. My dad asked mom to get his typewriter _____ before noon. a. clean b. cleaned c. cleaning d. to clean 15. We get our van _____ before going to Pattaya. a. check b. checking c. to check d. checked Directions: Read the passage below then answer the question by choosing the best alternative.
Miracle Mud Some years ago, when my father became partially paralyzed, I bought him a motorized wheelchair, In nice weather he enjoyed riding it around the Hague, where he lived, but in winter he stored it in my brother-in-lawâ&#x20AC;&#x2122;s garage several miles away. One spring day I decided to drive the wheelchair to my fatherâ&#x20AC;&#x2122;s house, so a friend took me to the garage on his motorcycle and waited to lead me home. I practiced with the wheelchair for a few minutes, and when I had the hang of it, we started down a road that had a canal on each side. Things went well for the first half mile, but when I came off a bridge, I encountered and oncoming car and panicked. I lost control of the wheelchair and plunged into a canal, where I ended up standing in
waist-deep water beside the wheelchair which was stuck in the mud. As I turned around, I saw my friend waving to me. About 20 cars had stopped and people were running my way. They started to pull the wheelchair free, and when I began to walk out of the water, I heard cries of, “Where’s the invalid?” and “It’s a miracle!” We told my father that his wheelchair had nearly been famous for finding mud that heals. 16. The word “paralyzed” in line 1 means ………………………… . a. getting older
b. being less
courage c. being alone and upset feeling in part of the body
d. having no
17. The narrator’s father would use a wheelchair depended on………………. a. where he lived
b. how the weather
was c. who he stayed with d. how healthy he was 18. The word “it” (line 2) refers to………….……. a. the car
b. the house
c. the weather
d. the wheelchair
19. The word “panicked” (line 10) can be replaced by…………………… a. hurt
b. fun
c. shocked
d. careful
20. The narrator ended up in the canal because he……………… a. bumped into a car b. was knocked out
c. became over excited d. crossed over the bridge 21. The passage was entitled “Miracle Mud” because……………….. . a. the mud was thought to cure paralysis b. the motorized wheelchair got stuck there c. people thought the narrator was an invalid d. the mud stirred up excitement in the onlookers 22. The tone of this story is……………… a. depressing c. serious
b. sarcastic d. humorous
23. After the accident, when the people saw
the narrator walk out of the water, theyâ&#x20AC;Ś.. a. were frightened of mud b. couldnâ&#x20AC;&#x2122;t believe their eyes c. thought he was playing a joke d. were sympathetic towards him 24. According to the story, which statement is true? a. The writer could not walk. b. The mud could cure paralysis c. The writer wanted to play a joke. d. The writer did not know how to control the wheelchair. 25. What could happen next if the narrator was really paralyzed? a. The people who came to help him would laugh at him. b. The narrator would be blamed for discovering this mud.
c. The other invalids would try to have an accident like this. d. The other invalids would come to cure themselves with this mud. Direction : Choose the correct synonyms for the following words. 26. provoke a. encourage b. authorize c. synthetic d. sustain 27. disaster a. impact b. distract c. tragedy
d. influence 28. abbreviate a. impression b. forsake c. ample d. shorten Directions : Choose the correct antonym for the following words. 29. Zenith a. High b. Sphere c. Pinnacle d. Nadir 30. Typical a. Abnormal b. Widespread c. Simple
Vouloir c'est pouvoir ความพยายามอยูท ี่ไหน ความสําเร็จอยที่นั่น
d. Average RESULT : _____ / 30
ANSWER KEY EX.4 1. c - best -> better เพราะ best เปน superlative ใช เปรียบเทียบตั้งแต 3 สิ่งขึ้นไป 2. c - because -> that เพราะ reason แปลวาเหตุผล แลว ไมตองใชคําวา because ให redundant 3. d - less -> fewer เพราะ problem นับได less ใช กับนามนับไมได (ระวัง ออกบอยมาก!) 4. d - the old iPhoneaea -> that of the old iPhoneaea เพราะวาเราตองการเปรียบเทียบ ability ของ iPhoneaea ไมไดเปรียบเทียบตัวเครื่อง โดยตรง!! ^_^ 5. a- I and my friends -> My friends and I เพราะ เวลาเราจะใชตัวเราและคนอื่นๆ จะตองเอา I ไวหลัง เสมอ 6. c - it -> they เพราะเรากําลังพูดถึงสมาชิกของทีม!! 7. b/d - ตัด what ออก หรือ Adam’s -> Adam’s will be โดยตองเปน know something เลย หรือวา know what something will be ก็ได 8. d - ones -> one เพราะวาหลังจากนั้นเปน that depends
เราเลยตองจําใจให ones เปนเอกพจน คือ one 9. a - success in -> succeed in เพราะวา success เปน adjective เราตองใช succeed ซึ่งเปนกริยา แทน 10.
a - provides -> providing เพราะวา with +
noun เราจึงตองให television provides เปน television providing เพื่อใหกลายเปนกอนเดียว ทํา หนาที่เปนนามได ใสไวในประโยคได เหมือนการใช คําวา การ ทํากริยาเปนนาม 11.
a - เพราะ have someone do something /
have something done !! 12.
b - เพราะ get someone to do something!!
13.
d - เพราะ have someone do something
(mend = repair) 14.
b - เพราะ get something done
15.
d - เพราะ get something done
16.
d
17.
b
18.
d
19.
c
20.
c
21.
a
22.
d
23.
b
24.
-
25.
-
26.
a - เพราะ encourage = กระตุน และ provoke
= กระตุน 27. c - เพราะ แปลไดวาเปนสิ่งที่กอใหเกิดความ เสียหายเหมือนกัน 28.
d - เพราะ abbreviate = shorten ตรงๆเลย
29. d - เพราะ Nadir เปนจุดต่ําสุด แต Zenith เปน จุดสูงสุด 30. a - เพราะ Typical = ทั่วๆไป แต Abnormal = แปลกๆ ไมปกติ
EPITOME V Directions: Identify the four underlined parts of each sentence below that makes the sentence incorrect. 1. Almost all of the people who a. visit Singapore are b. impressed by its cleanliness, which is mainly a c. result of rigorous implementation of d. their strict laws. 2. a.While he b. insists he won the competition because of his own ability, I believe he c. bribed the judge into d. making him the winner.
3. Since it seems that thousands of people are interested in joining the event, it is not wise for you to wait until the last date of registration period; reserve yourself a spot on the first day the registration system is open, instead. 4. President of a world-leading university told the Press Association that the university is about to discover an effective way to stop Ebola virus and that the university will hold a seminar regarding the topic shortly. 5. Bangkok Mass Transit System, rather known as BTS, is now having difficulty in maintaining its train flow and is currently being severely criticized by thousands of Thais on Social Media.
6. He and I are of the will to be students of Triam Udom Suksa School. 7. Despite having known how hard it is to surpass thousands of other students in the admissions of Triam Udom Suksa School, John has never lost his determination and has always been working hard; his hard work will pay off, for sure. 8. a. Since centuries, people b. have hoped to find the â&#x20AC;&#x153;fountain of youthâ&#x20AC;?, magical water c. that makes them d. stay healthy and young for a very long time. 9. DNA, the material a. of inheritance, b. is found in the cell nucleus in the form of very long and thin molecules c. consist of two d. spiral strands. Directions: choose the right answer from the
four alternatives given below. 10. Never have I heard such __ exaggerative speech. a. a
b. an
c. the
d. none is
needed 11. Russia has always been focusing on developing its weaponry technology so as to stand against __ United States. a. a
b. an
c. the
d. none is
needed 12. Deep in the forest ____________ many beautiful women. a. live
b. lives
13. A: I don't like it. B: _______ do I.
c. living
d. is living
a. Either b. Neither c. Not
d. So
14. There is a crowd of people in front of this place and I'm sure the killer is among _______. a. them
b. it
c. those
d. which
Directions: Read the passage below then answer the question by choosing the best alternative. When another old cave is discovered in the south of France, it is not usually news. Rather, it is an ordinary event. Such discoveries are so frequent these days that hardly anybody pays heed to them. However, when the Lascaux cave complex was discovered in 1940, the world was amazed. Painted directly
on its walls were hundreds of scenes showing how people lived thousands of years ago. The scenes show people hunting animals, such as bison or wild cats. Other images depict birds and, most noticeably, horses, which appear in more than 300 wall images, by far outnumbering all other animals. Early artists drawing these animals accomplished a monumental and difficult task. They did not limit themselves to the easily accessible walls but carried their painting materials to spaces that required climbing steep walls or crawling into narrow passages in the Lascaux complex. Unfortunately, the paintings have been
exposed to the destructive action of water and temperature changes, which easily wear the images away. Because the Lascaux caves have many entrances, air movement has also damaged the images inside. Although they are not out in the open air, where natural light would have destroyed them long ago, many of the images have deteriorated and are barely recognizable. To prevent further damage, the site was closed to tourists in 1963, 23 years after it was discovered. 15. Which title best summarizes the main idea of the passage? a. Wild Animals in Art b. Hidden Prehistoric Paintings c. Exploring Caves Respectfully d.
Determining the Age of French Caves
16. In line 3, the words pays heed to are closest in meaning to ______. a. discovers b. watches c. notices d. buys 17. Based on the passage, what is probably true about the south of France? a. It is home to rare animals. b. It has a large number of caves.
c. It is known for horse-racing events. d. It has attracted many famous artists. 18. According to the passage, which animals appear most often on the cave walls? a. Birds b. Bison c. Horses d. Wild cats 19. In line 7, the word depict is closest in meaning to _______. a. show b. hunt c. count d. draw
20. Why was painting inside the Lascaux complex a difficult task? a. It was completely dark inside. b. The caves were full of wild animals. c. Painting materials were hard to find. d. Many painting spaces were difficult to reach. 21. In line 11, the word They refers to _______. a. walls b. artists c. animals d. materials 22. According to the passage, all of the
following have caused damage to the paintings EXCEPT _______ . a. temperature changes b. air movement c. water d. light 23. What does the passage say happened at the Lascaux caves in 1963? a. Visitors were prohibited from entering. b. A new lighting system was installed. c. Another part was discovered. d. A new entrance was created Direction : Choose the correct synonyms for the following words. 24. Heavy
storm has broken up the birthday party, the light has gone, and everyone was scared to death. a. Interrupted b. Appreciate c. Realize d. Klonk (put, cop-out) 25. Specific epithet is the most important thing when you classify living things in taxonomy. a.
Satisfaction
b.
Expert
c.
only
d.
Exclusive
26. Sufficiency economy, his majesty King Rama IXâ&#x20AC;&#x2122;s royal observation given to all Thai people, is one of excellent life guidelines you
should take as an example. a. Mind b.
Preserve
c.
Notify
d.
Give
Directions : Choose the correct antonym for the following words. 27. Obvious a. Unlawful b. Hazardous c. Safe d. Dangerous 28. Deceive a. mislead b. fool c. receive d. trick
29. Envy a. jealousy b. greed c. crave d. unenviable
30. Reduce a. diminish b. reunion c. decrease d. abate
มากเสียจน So + adj./adv. + that So + many + N.พหูพจน + that So + much + N.นับไมได + that Such + a, an + adj. + N.
RESULT ____ / 30
ANSWER KEY EX.5
1. d - their -> its เพราะเรา refer ถึง Singapore (singular noun) 2. b - insists -> insists that เพราะวา insist เฉยๆจะ ไมใหความหมาย ตองมี preposition มารองรับ 3. b - date -> day เพราะเวลาพูดถึงเรื่องพวกนี้เรา ตองการสื่อถึง “วันสุดทาย” ไมใช “วันที่สุดทาย” 4. c - ตัด in ออก เพราะเปน regarding เปน verb ไม แท ไมตองมี in นําหนา (มีแต in regards นะ) 5. c - to maintain -> in maintaining เพราะวา difficulty in doing something 6. a - He and me -> He and I เพราะวา “ฉัน” ในการ เปนประธาน ตองอยูในรูป I เทานั้น (ระวัง ถาตองการ
พูดถึงคนอื่นกับเราเปนประธานรวมกัน ตองใหตัวเอง ตามหลังเสมอ (ในรูป I) เชน He and I, You and I เปนตน) 7. a - Although -> Despite เพราะวา although + sentence/adjective และ despite + noun โดยใน ที่นี้ v+ing ทําหนาที่เปน noun 8. a - Since -> For เพราะวา centuries บอกความ นานของเวลา (1 century = 100 years) ตองใช For 9. c - consist of -> consisting of / that consist of เพราะวาตองทําหนาที่ขยาย molecules 10.
b - เพราะวา exaggerative ตองใช an นําหนา
(ระวัง ในบางกรณี such ไมจําเปนตองมี a เมื่อตาม ดวยนามเอกพจน ลองศึกษาดูนะ) 11.
c - เพราะ การเรียกสหรัฐอเมริกาตองมี the
นําหนา the “United States” 12.
a - เพราะ เปน inversion ของประโยค Many
beautiful women live deep in the forest. 13.
b - เพราะเปนการใชคําปฏิเสธวาเชนกัน
14.
a - เพราะวา other + plural noun และ that
กับ this ไมเหมาะสมกับประโยค 15.
b
16.
c
17.
b
18.
c
19.
a
20.
d
21.
b
22.
d
23.
a
24.
a - เพราะแปลวากอกวนเหมือนกัน
25.
d - เพราะ specific = เฉพาะเจาะจง =
exclusive 26.
d
27. c - เพราะ obvious = ชัดเจน แต safe = ปลอดภัย ขอนี้อาจจะตองตีความหมายลึกหนอย ชัดเจนคือเขาถึงไดงาย ไมปลอดภัย 28.
b - เพราะ deceive = หลอกใหเชื่อในสิ่งที่ผิด
= fool 29.
a - เพราะ jealousy และ envy ใหความหมาย
วาอยากได“ของของคนอื่น” 30.
c - เพราะ reduce = decrease = ลด
รองปกหลัง
รองปกหลัง
¼
¼
5,000.- บาท
5,000.- บาท
รองปกหลัง
รองปกหลัง
¼
¼
5,000.- บาท
5,000.- บาท
รองปกหลัง ครึ่งหน้ า 10,000.- บาท
รองปกหลัง ครึ่งหน้ า 10,000.- บาท
รองปกหลัง ครึ่งหน้ า 10,000.- บาท
รองปกหลัง ครึ่งหน้ า 10,000.- บาท
รองปกหลัง เต็มหน้ า 20,000.- บาท
รองปกหลัง เต็มหน้ า 20,000.- บาท
ปกใน ด้ านหลัง ครึ่งหน้ า 15,000.- บาท
ปกใน ด้ านหลัง ครึ่งหน้ า 15,000.- บาท
ปกใน ด้ านหลัง เต็มหน้ า 30,000.- บาท