www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
คําปรารภ ธรรมโฆษณ เล มนี้ เป นคํ าบรรยายชุ ด ที่ ลานหิ นโค ง สวนโมกขพลาราม ประจํ าวั นเสาร ภาคมาฆบู ชา ระหว างวั นที่ ๕ มกราคม ถึ ง ๓๐ มี นาคม พ.ศ.๒๕๑๗ รวม ๑๓ ครั้ ง กั บ คํ า บรรยายพิ เ ศษต น ป ๒๕๑๗ หนึ่ ง ครั้ ง , ในป พ.ศ.๒๕๒๒ อี ก สองครั้ง รวมตีพ ิม พไ วเปน ภาคผนวก เพราะเปน คํ า บรรยายแนวเดีย วกัน , รวม เปน เลม ๑๖ ครั ้ง เปน ธรรมโฆษณห มวดสอง ชุด ปกรณพ ิเ ศษ อัน ดับ ๑๔ ค. บนพื้ น แถบสี แ ดง จั ด พิ ม พ ขึ้ น ได โดยใช เงิ น บริ จ าคของคุ ณ ภุ ช งค บุ ญ สู ง ผู เป น ทานบดี ตั้ ง ทุ น ไว ที่ ส วนอุ ศ มมู ล นิ ธิ เพื่ อ จั ด พิ ม พ ห นั ง สื อ ธรรมโฆษณ เล ม ใดเล ม หนึ่ ง ของ ท า นอาจารย พุ ท ธทาสภิ ก ขุ ทางสวนอุ ศ มมู ล นิ ธิ ได เสนอท า นทานบดี ให จั ด พิ ม พ คํ า บรรยายที่ รวบรวมไว เป น หนั ง สื อ ชุ ด ธรรมโฆษณ ฉบั บ ชื่ อ ว า ก ข ก กา ของ การศึก ษาพุท ธศาสนา เพื ่อ ถวายทา นอาจารยส ว นหนึ ่ง แจกเปน ธรรม บรรณาการตามสมควร และอี กส วนหนึ่ งสํ าหรั บสมนาคุ ณ แก ผู ช วยเหลื อในการพิ มพ หนังสือชุดธรรมโฆษณตอไป ชื่ อของคํ าบรรยายเล มนี้ ท านอาจารย ตั้ งชื่ อเป นอุ ปมาให คิ ดประหนึ่ งว า เป น เรื่ อ งเรี ย น ก ข ก กา ง า ย ๆ ; แต แ ท จ ริ ง มิ ได ง า ยเลยสํ า หรั บ การเริ่ ม เรี ย นขั้ น ต น นั้ น ฉั น ใด, ก ข ก กา ของการศึ ก ษาพุ ท ธศาสนาก็ ฉั น นั้ น ; เพราะเป น การ ศึ กษาเบื้ องต นของวิ ทยาศาสตร ทางรู ปธรรม – นามธรรม อั นเป นจั กรกลของกายกั บ จิ ต ชั้ น ปรมั ต ถ ถ า ผู ใ ดศึ ก ษาให รู แ จ ง เห็ น จริ ง ของจั ก รกลอั น นี้ จะสามารถเข า ใจ ธรรมชาติ ของทุ กสิ่ ง, สามารถหยั่ งรู แจ งในไตรลั กษณ , อิ ทั ปป จจยตา, ปฏิ จจสมุ ปบาท และตถตาไดโดยงาย.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
คํา บรรยายของท า นอาจารย พุ ท ธทาส ที่ ส มควรจะรวบรวมเป น หนั ง สื อ ธรรมโฆษณไ ด ยัง มีอ ีก มาก ; หากทา นผู ใ ดประสงคจ ะสรา งหนัง สือ นี ้ไ วใ น พระพุ ท ธศาสนาต อ ไปอี ก โปรดติ ด ต อ ที่ สวนโมกขพลาราม, ธรรมทานมู ล นิ ธิ อําเภอไชยา หรือที่สวนอุศมมูลนิธิ คณะผูจัดทํา สวนอุศมมูลนิธิ ๗๗ หมู ๖ แขวงหนองบอน เขตพระโขนง ถนนสุขุมวิท ซอย ๑๐๓ กทม. ๑๐๒๖๐
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธ ศาสนา www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธ ศาสนา คําบรรยายประจําวันเสาร ภาคมาฆบูชา ณ ลานหินโคง เชิงเขาพุทธทอง สวนโมกพลาราม อ. ไชยา ระหวางวันที่ ๕ มกราคม ถึง ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๗ และอบรมพิเศษ ๒๕๑๗, ๒๕๒๒ (รวม ๓ เรื่อง) ของ
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org พุทธทาสภิกขุ
ธรรมทานมูลนิธิ จัดพิมพดวยทุน ของผูบริจาคที่ตั้งไวทาง “สวนอุศมมูลนิธิ” เปนอันดับที่ สิบสอง แหงทุนนี้ เปนการพิมพครั้งแรกของหนังสือเลมนี้ในชุดธรรมโฆษณหมวดสอง อันดับที่ ๑๔ ค บนพื้นแถบสีแดง ชุดปกรณพิเศษ
พิมพจํานวน ๑,๕๐๐ เลม, พฤษภาคม ๒๕๑๘ (ลิขสิทธิ์ไมสงวนสําหรับการพิมพแจกเปนธรรมทาน , สงวนเฉพาะการพิมพจําหนาย)
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
สารบาญละเอียด ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
๑. อารัมภกถา เกี่ยวกับ ก ข ก กา ในพุทธศาสนา ทานองคบรรยายเพิ่งหายปวยพอทําไดจึงยังมีการบรรยายตามปกติ …. …. ใหถือหลักวา กิจกรรมของหมูคณะตองปฏิบัติอยางเครงครัด …. …. ปจจุบันไมคอยสนใจปฏิบัติกิจวัตรประจําวงศสกุล …. …. …. …. การแสดงธรรมที่เคยจัดประจําวันในวัด ไมควรเลิกละ …. …. …. …. การบรรยายครั้งนี้จะรื้อฟนธรรมะชนิดที่เรียกวาเปน ก ข ก กา …. …. …. ผูศึกษาพุทธศาสนาไมตั้งตนเรียนเรื่องที่กําลังเกิดที่กายวาจาใจ …. …. …. เขาไมรูเรื่องที่ควรรู, จึงรูเทาที่มีอยูเปนตัวหนังสือ …. …. …. การถึงพระรัตนตรัย ตองเรียน ก ข ก กา ของพระธรรมที่แทจริง…. …. …. ธรรมะที่เปรียบเหมือน ก ข ก กา ก็คือเกี่ยวกับขันธทั้งหา …. …. …. ตองศึกษาทบทวนเริ่มตั้งแตเรื่องธาตุหก กระทั่งธาตุปรุงกัน …. …. …. ธาตุขางในยังมีคูกับธาตุขางนอก, ปรุงเปนอายตนะตามโอกาส …. …. …. ธาตุทั้งหลาย ปรุงกันเปนอายตนะเปนขันธ, เปนอุปาทานขันธ …. …. …. ตอจากนี้ใหภิกษุขึ้นธรรมาสนพูดสั้น ๆ เรื่อง ก ข ก กา ทีละองค …. …. ภิกษุพูดจบแลว, สรุปใหมองดูภายในตน เพื่อรูเรื่องทุกข …. …. …. ใหรูเรื่องขั้นตน ๆ ของความดับทุกขคือ อยายึดมั่นถือมั่น …. …. …. ใหรูไปถึงวา ถามีสติ, มีความรู, จะปรุงเปนทุกขไมได …. …. …. ใหรูจักขันธหา ถึงขนาดเห็นธรรมชาติอยาใหปรุงเปนทุกข …. …. …. จิตเปนประภัสสร, ตองเขาใจธาตุอายตนะขันธแลวดับทุกขได …. …. …
๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ ๑๑ ๑๒ ๑๓ ๑๔ ๑๕ ๑๖ ๑๗ ๑๘
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
[๒]
๒. คําอภิปรายของภิกษุอื่น ซึ่งบรรยายครั้งที่ ๒ ของชุด ไมไดรวมไวในชุดนี้
๓. เรื่องเกี่ยวกับธาตุ การพูด ก ข ก กา แหงพุทธศาสนา จะเรียกวาของปรมัตถก็ได …. …. ควรถือเสียวา พุทธศาสนาตองเปนปรมัตถ เพราะเปนเรื่องดับทุกข …. …. ตัวพุทธศาสนาตองการใหเห็น อนัตตา ซึ่งดับกิเลสได …. …. …. ทุกสิ่งเปนธาตุ แตสรุปแลวมี ๒ : สังขตะกับ อสังขตะ …. …. …. …. ขอใหตั้งตนศึกษาเรื่องธาตุโดยละเอียด, จะเขาใจพุทธศาสนา …. …. …. ถาไมรูจักธาตุ ไมเห็นธาตุ ก็จะมองไมเห็นอนัตตา …. …. …. พอรูจักธาตุสังขตะ และอสังขตะก็จะรูวาไมมีอัตตา …. …. …. ตองศึกษาใหรูจักคุณสมบัติอันเปนสวนประกอบของธาตุ …. …. …. …. พิจารณาดูเริ่มแต ธาตุดิน, ธาตุน้ํา วามีคุณสมบัติอยางไร …. …. …. ธาตุไฟ ลม อากาศ มีลักษณะเฉพาะ, สวนวิญญาณธาตุเปนนามธรรม …. จากธาตุ ๖ ยังประกอบเปนธาตุอื่น ๆ ไดอีก …. …. …. …. …. ธาตุภายในมีประสาท เมื่อจับคูกับธาตุภายนอกก็ปรุงเปนธาตุใหม …. …. อายตนะขางในกระทบกับอายตนะภายนอก วิญญาณธาตุก็เขาผสม …. …. การเกิดขึ้นแหงธาตุแลวปรุงจนเปนอุปาทานขันธ ก็เปนทุกข …. …. …. ตองมองใหเห็นวาความทุกขมันตั้งรากฐานอยูบนพื้นฐานแหงธาตุ …. …. อายตนะ และขันธแตละชื่อที่มีขึ้นก็เพราะมีธาตุอยางนั้น ๆ อยูกอน …. …. ธาตุเดิมที่ปรุงเปนสังขารขันธยังมีธาตุอีกหมวดละ ๓ มาปรุงรวมคือ : ธาตุ …. กุศล อกุศล อัพพยากต, และธาตุกาม รูป อรูป …. …. …. …. ยังมีอสังขตธาตุ เรียกนิพพานหรือนิโรธธาตุ, เปนที่ดับทุกข …. …. เมื่อรูวาสิ้นทุกข จะปรากฎเปนธาตุวางหรือสุญญตธาตุ …. …. …. …. มนุษยตองเปนทุกข เพราะไมรูจักสิ่งที่เรียกวาธาตุ …. …. …. ….
๑๙ ๒๐ ๒๑ ๒๒ ๒๓ ๒๔ ๒๕ ๒๖ ๒๗ ๒๘ ๒๙ ๓๐ ๓๑ ๓๒ ๓๓ ๓๔
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๓๕ ๓๖ ๓๗ ๓๘
[๓] คําบรรยายของภิกษุรูปหนึ่ง
สุขทุกข นี้เปนเพียงสักวาธาตุ ไมมีตัวตนแนนอนอะไร …. …. …. พระผูมีพระภาคทรงสอนใหมีปญญาเห็นเพียงสักวาธาตุ …. …. …. ทองคําวา "สักวาธาตุ" ไวเรื่อย ทุกขจะคอย ๆ นอยลง …. …. …. ดับทุกข คือดับที่จิตใจ, ที่ความรูสึกใหรูวา "สักวาธาตุ" เทานั้น …. …. รู "สักวาธาตุ" นี้สอนใหคนฉลาด, รูความจริงแลวไมทุกข …. …. …. ถารูตามความเปนจริงแลว เรียกวาเราไดครูที่ประเสริฐที่สุด …. …. …. พระพุทธเจาตรัสวา ไมยึดมั่นถือมั่น, รูจริงเรื่องธาตุ, ก็หมดปญหา …. …. ภิกษุอีกรูปหนึ่งบรรยาย :เรื่องธาตุนี้ตองเรียนใหรูทั้งภายในภายนอกแลวไมยึดมั่นฯ …. …. …. ตองมีปญญารูจักธาตุ, รูวิธีทําใหทุกขดับคืออริยมรรคมีองค ๘ …. …. ภิกษุอีกรูปหนึ่งบรรยาย :คําวาธาตุ กับ ธรรม นี่มคี วามหมายอยางเดียวกัน …. …. …. พระพุทธเจาเคยตรัสวา คนดีอยูกับคนดีได เพราะธาตุเหมือนกัน …. …. นันทิเกิด ความทุกขก็เกิด, นันทิดับ ความทุกขก็ดับ, ไมเที่ยงได …. …. ตองรูจักวาอายตนะใน - นอก - ผัสสะ - ตัณหา ไมใชตัวตนของเรา …. …. การประพฤติพรหมจรรยก็เพื่อรูเรื่องทุกขและดับทุกข …. …. …. เมื่อมีผัสสะ_เวทนา_ตัณหาแลว ตองดับตรงที่ตัณหานั้น …. …. …. รางกายนี้บางทีเรียกวาโลก ถาธาตุไมทําหนาที่ โลกก็สลาย …. …. อยาใหเกิดตัณหา โดยมีวิชชาธาตุมาทัน ก็จะมีความโลงใจ …. …. …. เมื่ออาการขันธเกิด พึงรูวา สักวาธาตุ เทานี้ก็ถึงที่สุดทุกขได …. …. …. พระพุทธเจาตรัสรู ก็เพราะรูปริวัฎฎ ๔ ของเบญจขันธ …. …. …. ถาไมไปสําคัญ, ละความพอใจความกําหนัด, ก็เปนนิโรธ …. …. ….
๓๙ ๔๐ ๔๑ ๔๒ ๔๓ ๔๔ ๔๕
๔๖ ๔๗ ๔๘ ๔๙ ๕๐ ๕๑ ๕๒ ๕๓ ๕๔ ๕๕ ๕๖ ๕๗ ๕๘
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
[๔]
ควรสนใจธาตุที่ทําใหเปนทุกข เพราะยึดถือเขาจึงเปนทุกข …. …. …. ธาตุที่ทําใหเปนทุกข มันก็ทุกขอยูตามธรรมชาติเชนนั้นเอง …. …. …. ตองศึกษาใหมากที่สุด ตรงเวทนาตอกับตัณหาตองมีสติปญญา …. …. ….
๕๙ ๖๐ ๖๑
๔. ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุ เปนตนเหตุแหงมิจฉาทิฎฐิอันรายแรง การศึกษาในเรื่อง ก ข ก กา นี้ยังโลเล เอาแนไมได …. …. …. ทบทวนใหรูวา เรื่องธาตุตองศึกษาใหเขาใจทุกแงทุกมุม …. …. …. ถาธาตุบางธาตุไมปรุงแตงกัน ธาตุอื่น ๆ ก็มิอาจปรากฎออกมาได…. …. …. ธาตุตาง ๆ ปรุงตอเนื่องกันเปนลําดับ ๆ ไป …. …. …. พอธาตุขางในถึงกันกับธาตุขางนอกก็เปนโอกาสใหธาตุอื่น ๆ เกิดอีก …. …. ธาตุที่ปรุงออกมาเปนธาตุกาม, รูป, อรูป และถึงดับเปนนิโรธธาตุ… …. …. รูจักคุณลักษณะของธาตุ ๖ ใหถูกเสียกอน จะเขาใจธาตุตอไป …. …. …. แลวตองรูจักคุณสมบัติ หรือสมรรถภาพของแตละธาตุ …. …. …. ธาตุอากาศ คือ ธาตุวาง, วางทางจิตนั้นไมไดคิดนึกอะไร …. …. …. วิญญาณธาตุ คือ บรรดาความรูสึกทางจิตทั้งนามธรรมและอรูปธรรม …. …. ธาตุ ๖ เปนธาตุพื้นฐาน แตคนไมรูสึกวาเปนสักวาธาตุปรุงกันอยู…. …. …. ความเขาใจผิดเรื่องธาตุ เปนตนเหตุแหงมิจฉาทิฎฐิ …. …. …. มิจฉาทิฎฐินี้เปนอันตรายตอการบรรลุมรรค ผล นิพพาน …. …. …. มิจฉาทิฎฐิเกิดขึ้นเพราะไมเขาใจธาตุผิดเปนตัวกู - ของกูเสมอ …. …. …. เขาใจเรื่องธาตุโดยชื่อ หรือแกลงเขาใจผิดเพราะคดโกงก็ได …. …. …. พระพุทธเจาทรงเตือนใหฉลาดรูเรื่องธาตุตามที่เปนจริง …. …. …. ฉลาดเรื่องธาตุ คืออยาเห็นธาตุเปนตัวเราหรือของเรา …. …. …. ไมรูจักธาตุวาเปนสักวาธรรมชาติเปนเหตุใหมีความทุกข …. …. ….
๖๒ ๖๓ ๖๔ ๖๕ ๖๖ ๖๗ ๖๘ ๖๙ ๗๐ ๗๑ ๗๒ ๗๓ ๗๔ ๗๕ ๗๖ ๗๗ ๗๘ ๗๙
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
[๕]
ทุกขทั้งหลายมาจากไมรูความจริงที่สักวาธาตุตามธรรมชาติ …. พระพุทธเจาตรัสรูสิ่งที่ไมมีใครเคยสอนมากอน คือ สุญญตา, อนัตตา หัวใจของพุทธศาสนาอยูที่อนัตตาหรือสุญญตา …. ถายังหลงรสอรอยของโลก ก็ไมอาจมองเห็นความเปนธาตุ …. คนโงไปยึดถือธาตุเปนตัวตน จึงเปนทุกขขึ้นมา …. ตัวทุกขอยูที่ความยึดมั่นถือมั่นในธาตุนั้น …. …. …. …. ผูไมรูเรื่องธาตุ จะยินดียินรายไปตามความหลอกของธาตุ …. …. เห็นความเปนธาตุจะไมเห็นเปนตัวตนสัตวบุคคลอะไร …. ตองมีสติสัมปชัญญะ มองเห็นสิ่งทั้งปวงเปนสักวาธาตุ ….
…. …. …. …. …. …. …. …. ….
…. …. …. …. …. …. …. …. ….
๘๐ ๘๑ ๘๒ ๘๓ ๘๔ ๘๕ ๘๖ ๘๗ ๘๘
๕. การเกิดขึ้นของทุกสิ่งตั้งตนที่ผัสสะเพียงสิ่งเดียว การบรรยายครั้งนี้ใหถือเหมือนเรียน ก ข ก กา มาสัก ๕ …. …. …. ๘๙ การเกิดขึ้นของทุกสิ่งตั้งตนที่ผัสสะ จึงตองรูจักผัสสะใหดี …. …. …. ๙๐ ทุกสิ่งในโลกนี้มีการเกิด - ดับ ๆ อยูตลอดเวลา …. …. …. ๙๑ เมื่อรูวาโลกนี้มีการเกิดดับจะตองใหไมยึดมั่นถือมั่นอยูโลก …. …. …. ๙๒ การเรียนรูเรื่องโลกในแงความทุกข จะรูตอไปวามาจากผัสสะ …. …. …. ๙๓ ผัสสะมันตั้งตนมาจากอายตนะซึ่งมาจากธาตุทั้งปวง …. …. …. ๙๔ ตองรูจักธาตุตั้งตนจนถึงธาตุสุดทาย ไมมีปจจัยปรุงแตง …. …. …. ๙๕ มนุษยมีขึ้น เพราะมีความรูสึกที่เรียกวาผัสสะ …. …. …. ๙๖ ความมี - ไมมี ขึ้นอยูกับความรูสึกที่มีผลออกมา …. …. …. ๙๗ ความทุกขมีความหมาย เฉพาะแกสิ่งที่มีความรูสึก …. …. …. ๙๘ ความสําคัญของมนุษย อยูตรงที่เปนเวไนยสัตว …. …. …. ๙๙ มนุษยควรรูจักตัวเองวา ตั้งตนอยางไร, ไปทางไหน, จบที่ไหน …. …. …. ๑๐๐ การศึกษาพุทธศาสนามีหลายแงทั้งปริยัติปฏิบัติ …. …. …. ๑๐๑
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
[๖]
เราตองศึกษา ในแงปฏิบัติ เพราะเรามีความทุกขเปนปญหา …. …. …. มีผัสสะโงเมื่อไร ปญหาจะตั้งตนเมื่อนั้น …. …. …. เพราะสัมผัสดวยอวิชชา จึงเกิดความยึดมั่นถือมั่น …. …. …. การคิดเห็นทุกขเองมันชา จึงควรศึกษาตามพระพุทธเจา …. …. …. ไมใชรูตามพระองค แตตอ งรูประจักษดวยใจเองและดับทุกขได …. …. …. ดูความรูสึกที่จิต จะรูไดวา ทุกอยางตั้งตนที่ผัสสะ …. …. …. โลกนี้ไมมีสวนใดควรยึดถือ, ไปยึดเขาก็เกิดทุกข …. …. …. ความทุกขสวนใหญมาในรูป รัก โกรธ เกลียด กลัว …. …. …. ถาเปนผัสสะดวยอวิชชาแลว จะตองเกิดความทุกขทั้งนั้น …. …. …. การสัมผัสเกิดไดดวยสิ่งที่มีอยูโดยธรรมชาติ ๖ คู …. …. …. ความเปนของคู ถาพบกันจะเกิดปฏิกิริยา เปนดี – ชั่ว …. …. …. การพบกันของอายตนะ ๖ คู เกิดมีเรื่องนี้เรียกผัสสะ …. …. …. พอสิ่งที่เปนคูกระทบกัน ก็เกิดสิ่งที่ ๓ เรียกวาวิญญาณ …. …. …. ผัสสะจะสมบูรณ เมื่อวิญญาณเกิดขึ้นมาแลวดวย …. …. …. พอผัสสะเกิดแลว ก็มีสิ่งอืน่ ๆ เชน เวทนา สัญญา …. …. …. เมื่อมีสัญญา แลวก็เกิดความคิดตาง ๆ เปนตัวกู - ของกู ฯลฯ …. …. …. เรื่อง ตา - ใจ คูกับรูป - ธัมมารมณสัมผัสกัน นี้คือเรื่อง ก ข ก กา …. …. พยายามศึกษา ก ข ก กา ใหรูเรื่องผัสสะ, มีสติขณะผัสสะ …. …. …. ผูประพฤติพรหมจรรยในศาสนาตองรูชัดเจนเรื่องผัสสายตนะ …. …. …. ตองรูจักผัสสะในลักษณะ ๕ คือ เกิด – เสนห – โทษ – วิธีชนะ …. …. …. ตองพยายามศึกษารูจักควบคุมเอาชนะผัสสะใหจงได …. …. …. พระพุทธองคทรงยืนยันวาถาไมรูเรื่องอายตนะทั้งคูจะยังไมตรัสรู …. …. …. จึงใหรูจักผัสสะ แลวจิตจะเจริญ รูจักโลกอยางดี …. …. ….
๑๐๒ ๑๐๓ ๑๐๔ ๑๐๕ ๑๐๖ ๑๐๗ ๑๐๘ ๑๐๙ ๑๑๐ ๑๑๑ ๑๑๒ ๑๑๓ ๑๑๔ ๑๑๕ ๑๑๖ ๑๑๗ ๑๑๘ ๑๑๙ ๑๒๐ ๑๒๑ ๑๒๒ ๑๒๓ ๑๒๔
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
[๗]
แลวจะเห็นไดเองวา โลกตั้งตนที่ผัสสะตั้งอยูดับไปพรอมผัสสะ …. ตองรอบรูในเรื่องผัสสายตนะอันเปนจริงของพุทธศาสนา ….
…. ….
…. ….
๑๒๕ ๑๒๖
ขอที่วาตั้งตนดวยกามธาตุ เปน ก ข ก กา ของปญหาชีวิต …. …. …. สิ่งที่มีชีวิต จะตองตายและสูญพันธุเพราะไมไดสิ่งที่จําเปน …. …. …. วิถีชีวิตของสัตวของพืช ตั้งตนปญหาดวยกามธาตุ …. …. …. ธาตุที่เปนพื้นฐานใหโอกาสแกกามธาตุเปนเรื่องแรก …. …. …. ธาตุพื้นฐานลวน ๆ เริ่มดวยสวนประกอบที่เปนคนแลวขยายตอไป …. …. เดิมมีธาตุ ๓ หมวด คือ กาม – รูป - อรูป แลวขยายหมวดละ ๖ …. …. กามธาตุปรากฎกอน เมื่อมีธาตุภายนอกมาใหรูจักความอรอย…. …. …. เริ่มแตทารกรูจักอรอย นั่นคือกามธาตุปรากฎแลวขยายไปทุกที …. …. เมื่อรางกายเติบโต กามธาตุก็ขยายตัวเรื่อย ปญหาทางเพศก็มากขึ้น …. กามธาตุตั้งตนแลวเนือยไปก็เกิดมีรูปธาตุ, อรูปธาตุ …. …. …. ในระยะหนึ่งอาจมีสวนเปน กามธาตุ, รูปหรืออรูปฯ ก็ได …. …. …. เมื่อใดธาตุปรุงแตงกันจนเปนธาตุทั้ง ๓ ปญหาก็เกิดเปนทุกขทั้งนั้น …. กามธาตุทําใหมีปญหามากมนุษยจึงมีระเบียบควบคุมเรื่องนี้ …. …. …. ธาตุทั้ง ๓ มนุษยเคยยกเปนนิพพาน แตคนพบวาไมจริง …. …. …. นิพพานในพระพุทธศาสนาตองมีนิโรธธาตุ ดับกิเลสสิ้นเชิง …. …. …. โลกปจจุบันหลงใหลในเรื่องกามธาตุยิ่งไปกวาครั้งพุทธกาล …. …. …. บรรดาธาตุทั้งหลายยังมีธาตุอะไรซอนอยูในนั้นอีกมาก …. …. …. จะพิสูจนไดดังที่สัตวเกิดในครรภเริ่มแตเปนจุดเล็ก ๆ กระทั่งโต …. …. …. ธาตุที่ปรุงกัน ๓ หมวดแรกเปนตัวตัณหายังแบงเปนฝายนามธรรมไดอีก ๓ ….
๑๒๗ ๑๒๘ ๑๒๙ ๑๓๐ ๑๓๑ ๑๓๒ ๑๓๓ ๑๓๔ ๑๓๕ ๑๓๖ ๑๓๗ ๑๓๘ ๑๓๙ ๑๔๐ ๑๔๑ ๑๔๒ ๑๔๓ ๑๔๔ ๑๔๕
๖. ปญหาในวิถีของชีวิตตั้งตนดวยกามธาตุ
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
[๘]
มีคุณสมบัติตาง ๆ ไดแก ธาตุสังขตะ, อสังขตะ, นิโรธธาตุ …. …. นิโรธธาตุเปนเครื่องแกปญหาของธาตุทั้ง ๓ ขางตน …. …. …. ชีวิตทั้งหลายในขั้นกามารมณ หรือถึงรูป - อรูปธาตุ ก็ยังตองการนิโรธ นิโรธธาตุเปนความดับ หยุดพัก, หยุดจริงก็เปนนิพพานธาตุ …. …. เมื่อไร นิโรธธาตุทําหนาที่สมบูรณ ก็เปนนิพพานธาตุ …. …. นิโรธธาตุเปนที่แสดงออกของนิพพาน ชวยใหไมเปนทาสกามารมณ …. นิโรธธาตุมาชวยคุมครองใหมีชีวิตรอดอยูไดในปจจุบัน …. …. ธาตุพื้นฐานวิวัฒนาการจนเปนโอกาสใหธาตุลึกลับซอนมา …. …. ธาตุทั้ง ๓ คือ กาม – รูป - อรูป มาทําชีวิตหลงใหลมาเรื่อย ๆ …. …. ถาไดศึกษาพระศาสนามีขอปฏิบัติ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาก็ไมทุกขมาก กามธาตุสรางปญหามากจึงตองรูจักมีนิโรธธาตุมาชวย …. …. เพิ่มพูนนิโรธธาตุใหเกิดมรรคผลนิพพานก็จะหมดปญหา …. ….
…. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. ….
๑๔๖ ๒๔๗ ๑๔๘ ๑๔๙ ๑๕๐ ๑๕๑ ๑๕๒ ๑๕๓ ๑๕๔ ๑๕๕ ๑๕๖ ๑๕๗
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๗. อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก
ทบทวนใหเขาใจหลักพุทธศาสนาใหถูกตอง …. …. เรื่อง ธาตุ ขันธ อายตนะ ยังเขาใจไมถูกตอง, ควรสนใจ …. …. เขาใจเรื่องธาตุใหถูกตอง แลวจึงจะเขาใจกระทั่งปญจุปาทานขันธ …. ธรรมะขอตาง ๆ แยกดู จะพบความเปนธาตุใดธาตุหนึ่ง …. …. ตองสนใจธาตุพื้นฐาน ๓ หมวดเริ่มแตหมวดที่จะประกอบเปนกาย …. แลวปรุงกันออกไปเปนหมวดละ ๖ จนเปนธาตุ ๑๘ อยาง …. …. ถาไมสนใจเรื่องธาตุ จะไมเขาใจพุทธศาสนา, ตองศึกษาอยางวิทยาศาสตร ศึกษาใหรูจักคํา "อารมณ" มิใชตามตัวหนังสือในภาษาไทย …. …. อารมณในบาลีหมายถึง สิ่งที่เขามากระทบ ตา – ใจ …. ….
…. …. …. …. …. …. …. …. ….
๑๕๘ ๑๕๙ ๑๖๐ ๑๖๑ ๑๖๒ ๑๖๓ ๑๖๔ ๑๖๕ ๑๖๖
[๙]
อารมณเปนสิ่งที่อาศัยกับอายตนะ เกิดความรูสึกเปนจิต …. …. …. ๑๖๗ พิจารณาดู อารมณโดยหลักธรรมชาติที่ปรุงแตงกันอยูในใจ …. …. …. ๑๖๘ จะรูจักอารมณ เมื่ออารมณมากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ…. …. …. ๑๖๙ อารมณก็คือโลกทั้งหมดที่มาปรากฎแกอายตนะ ๖ …. …. …. ๑๗๐ ถารูจักอารมณ ๖ จะรูจกั โลก แลวไมหลงโลกในแงใด ๆ …. …. …. ๑๗๑ อารมณในโลกที่เปนปญหาในปจจุบันรวมอยูที่วัตถุนิยม …. …. …. ๑๗๒ อารมณเปนปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก …. …. …. ๑๗๓ อารมณเปนตนเหตุของสิ่งทั้งปวง …. …. …. …. …. …. ๑๗๔ ถาไมมีอารมณ จิตก็จะไมรูสึกเปนจิตขึ้นมาได …. …. …. ๑๗๕ จิตแทจริง มิไดเปนตัวตน สวนที่สอนกันเปนตนนั้นเปนฮินดู …. …. …. ๑๗๖ ที่สอนกันมาแตกอน ก็มีประโยชนเหมือนกันแตรูเพิ่มขึ้นก็ยิ่งดี …. …. …. ๑๗๗ พระพุทธเจาไมทรงทําลายของเกา แตทรงเสริมใหสูงขึ้น …. …. …. ๑๗๘ จิตเปนสิ่งที่เพิ่งปรากฎเมื่อไดอารมณขางนอกมากระทบอวัยวะ …. …. …. ๑๗๙ จะศึกษาพุทธศาสนาตองตั้งตนที่อารมณคืออายตนะทั้งคู …. …. …. ๑๘๐ อารมณเปนสิ่งมาสูจิตกอนอื่น จะตองตัง้ เปาหมายใหถูก …. …. …. ๑๘๑ จะแกปญหาตาง ๆ ในชีวิตประจําวันตองเอาอารมณเรื่องนั้นมาแก…. …. …. ๑๘๒ อารมณมีอยูคูกับมนุษย สําหรับเปนนายหรือรับใชก็ได …. …. …. ๑๘๓ การคิดวาชนะอารมณ ตองพิจารณาใหดี อาจแพก็ได …. …. …. ๑๘๔ ถาเปนคนมีอารมณ ก็หมายความวา เปนทาสของอารมณ …. …. …. ๑๘๕ ถาจิตบรรลุนิพพานจะไมมีอารมณ, อารมณเขาไมถึง …. …. …. ๑๘๖ ปุถุชนรับอารมณเขาไปกอกวนขางใน เปนตัวกู – ของกู …. …. …. ๑๘๗ อารมณมีมาสําหรับใหเราเขาใจ แลวตอสูตานทานได …. …. …. ๑๘๘ ศึกษา ก ข ก กา ใหดี จะรูจักอารมณ, เอาชนะได …. …. …. ๑๘๙ เมื่อเปนทาสของอารมณแตละครั้ง ตองรูทรมานจิตใจเพียงไร …. …. …. ๑๙๐
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
[๑๐]
ถาไมไดศึกษาธรรมะจากของจริง ไมมที างชนะอารมณได …. …. …. ๑๙๑ การตั้งตนเอาชนะอารมณ คือ ก ข ก กา ของการปฏิบัติธรรม …. …. …. ๑๙๒ ตั้งตนดวยการบังคับตัวเอง เปนหลักธรรมกวางขวาง …. …. …. ๑๙๓ การบังคับตัวเองก็คือบังคับกิเลส, และรูจักอารมณที่มาลอลวง …. …. …. ๑๙๔ เมื่ออารมณถูกควบคุมไวไดก็เปนปจจัยหลอเลี้ยงชีวิต …. …. …. ๑๙๕ เราตองบังคับควบคุมอารมณ เพื่อแกปญหาทุกอยางประจําวัน …. …. …. ๑๙๖ การบําเพ็ญทาน รักษาศีล ทําสมาธิ ตองทําเพื่อชนะอารมณ …. …. …. ๑๙๗ ตองรูจักใชธรรมะใหถูกตอง เชนสัมมาทิฎฐิ, สติสัมปชัญญะฯ …. …. …. ๑๙๘ ตองคํานึงคํานวณดูจิตตนเองวามีอารมณในอดีตมาอยางไร …. …. …. ๑๙๙
๘. ความแตกตางระหวางศีลธรรมกับปรมัตถธรรม. ก ข ก กา มี ๒ ระดับ คือ ศีลธรรมกับปรมัตถธรรม …. …. …. ๒๐๐ คําบรรยายตั้งแตตนจนถึงครั้ง ๗ เปนฝายปรมัตถธรรม …. …. …. ๒๐๑ ทบทวนเรื่องขันธ ๕ จะมีทีละขันธ, เมื่ออุปาทานเกิดก็เปนทุกข …. …. …. ๒๐๒ การบรรยายครั้งนี้จะพูด ก ข ก กา ฝายศีลธรรม …. …. …. ๒๐๓ ก ข ก กา นี้เขาใจยาก เหมือนผูเริ่มเรียนจะไมรูสึกวางาย …. …. …. ๒๐๔ พุทธบริษัทจะตั้งตน ก ข ก กา ในทางศีลธรรมก็เริ่มตนดวยทําไมจึงเขาวัด …. ๒๐๕ ทายกทายิการูสึกเพียงวาเขาวัดเพื่อฟงธรรมทําบุญใหทาน …. …. …. ๒๐๖ หลังจากศรัทธาแลว ก็บําเพ็ญ ทาน ศีล ภาวนา …. …. …. ๒๐๗ การรักษาศีล, ภาวนาที่ยังไมประกอบดวยปญญายังไมใชปรมัตถ …. …. …. ๒๐๘ พุทธบริษัทสวนใหญยังเริ่มดับทุกขโดยอาศัยศรัทธายังไมมีปญญา …. …. …. ๒๐๙ บางคนตั้งตนไวดีในสวนศีลธรรมจะตองทําใหสูงขึ้นไป …. …. …. ๒๑๐ จะตองเจริญทางปญญารูจักทุกข และดับทุกขไดจึงจะเขาสูปรมัตถ…. …. …. ๒๑๑ ก ข ก กา ฝายปรมัตถมุงจะไปถึงนิพพาน …. …. …. … …. …. ๒๑๒
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
[๑๑]
เรื่องปรมัตถสูงไกลไปกวาเพียงปองกันไมใหตกนรก …. …. …. ความทุกขทั้งหมดไปสรุปอยูตรงที่วา ไมอยากจะตาย …. …. …. ปรมัตถจะแกปญหาใหเห็นความจริงตามกฎอิทัปปจจยตา …. …. …. ควรมีศรัทธาประกอบดวยปญญาจะเปนกําลังใจในการปฏิบัติ …. …. …. ศรัทธาหรือทาน ตองเปนสัมมาทิฎฐิ, หมดความยึดมั่นฯ …. …. …. การรักษาศีลมิใชเพื่ออวดคน แตทําเพื่อทําลายกิเลส …. …. …. การทํากัมมัฎฐาน, วิปสสนาควรจะเปนไปเพื่อพนวัฎฎสงสาร …. …. …. ปฏิบัติศีลธรรมมีผลเปนความอุนใจบางเทานั้น …. …. …. การปฏิบัติทางปรมัตถมุงไปทางสิ้นอาสวะ, ถึงนิพพาน …. …. …. พุทธบริษัทแทจริงจะตองการทุกขไปนิพพานไมวนในวัฎฎสงสาร …. …. …. จิตใจยังไมรูธรรมะยังมีตัวกู ตองใชตัวกูชวยลางตัวกูเสีย …. …. …. ตั้งตนสูศาสนาทางศีลธรรมกอนจะยากกวาเริ่มทางปรมัตถ …. …. …. เราตองการจิตที่ไมมีความทุกข ไปเรียนทางปรมัตถเลยดีกวา …. …. …. ควรทําพระนิพพานใหแจงเสียโดยเร็วที่นี่และเดี๋ยวนี้ …. …. …. ไปสูทางนิพพาน ตองเริ่มตนเรื่อง ขันธ อายตนะ …. …. …. เขาใจเรื่องธาตุแลวการปรุงของธาตุเปนอายตนะ, ขันธ …. …. …. ปฏิบัติฝายปรมัตถไมเอาทุกข จะเอาแตไมทุกขทาเดียว …. …. …. ถายังอาศัยความเชื่อก็ตองแกดวยปญญา …. …. …. การปฏิบัติฝายศีลธรรมก็มิไดผิด แตอีกฝายหนึ่งไปเร็วกวา …. …. ….
๒๑๓ ๒๑๔ ๒๑๕ ๒๑๖ ๒๑๗ ๒๑๘ ๒๑๙ ๒๒๐ ๒๒๑ ๒๒๒ ๒๒๓ ๒๒๔ ๒๒๕ ๒๒๖ ๒๒๗ ๒๒๘ ๒๒๙ ๒๓๐ ๒๓๑
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๙. ก ข ก กา ของนิพพาน. ทบทวน ก ข ก กา ของศีลธรรม เปรียบเทียบฝายปรมัตถ พิจารณาใหเห็นความตางของโลกิยะกับโลกุตตระ โลกุตตระ จะเปนชองทางลึกและเหนือสําหรับหลีกจากทุกข
…. …. …. …. …. …. …. …. ….
๒๓๒ ๒๓๓ ๒๓๔
[๑๒]
จิตที่อบรมตั้งไวดี ยอมอยูเหนือโลกเปนโลกุตตระภาวะ …. …. …. ในโลก, นอกโลก, พนจากโลก ลวนแตอยูที่จิต …. …. …. วิธีคิดพิจารณาเพื่อความหลุดพน เรียกวาปรมัตถธรรม …. …. …. ตามกฎธรรมชาติ ถาเกิดมานานตองรูอะไรมาก ตองฉลาดขึ้น …. …. …. ถาไมมองเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ไมเลื่อนสูป รมัตถ …. …. …. ศีลธรรมต่ําลง คนไมรูจัก อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จึงกอความยุงยาก …. เมื่อไมเรียน ก ข ก กา ทางศีลธรรม ก็ไมมีหวังทางปรมัตถ …. …. …. บางคนไมรูวาจะเดินไปทางไหน เพราะมัวหลงสิ่งยั่วยวน …. …. …. มนุษยจะตองเปนคนดีมีศีลธรรมทั้งสวนตัวและสังคม …. …. …. เมื่อผานศีลธรรมมาดีจนระอา จะเลือ่ นชั้นขึ้นไปเหนือโลก …. …. …. จะเลื่อนออกไปนอกโลก ก็ตองตั้งตนเรียนใหม …. …. …. จะรู ก ข ก กา ของนิพพานตองเริ่มเห็นความจริงดานใน …. …. …. "ของจริง" มีอยูเทาที่คน ๆ นั้น จะมองเห็นวาจริงดานลึก …. …. …. ความจริงดานในเปนธรรมะลึกซึ้ง เรียกวาปรมัตถธรรม …. …. …. ตองเริ่มเรียน ก ข ก กา ฝายโลกุตตระกระทั่งเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา …. อยาประมาทในเรื่องเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ซึ่งเปน ก ข ก กา ของนิพพาน ตองเห็นทุกอยางเปนไปตามกฎอิทัปปจจยตาเปนจุดตั้งตน …. …. …. เห็นพระไตรลักษณแลว จะเห็นภาวะที่ไมควรไมยึดมั่นถือมั่น …. …. …. ถาเริ่มเห็นธรรมอันไมควรยึดมั่นถือมั่นก็นับวาเปนก ข ก กา ของนิพพาน พระโสดาบันเปนผูเริ่มเห็นความจริงดานใน …. …. …. พระโสดาบัน เริ่มละอวิชชา ๓ : สักกายทิฎฐิ, วิจิกิจฉา, สีลัพพัตต …. …. ละสักกายทิฎฐิ คือความรูสึกเปนตัวกู - ของกู ที่กลาแข็งนั้นเสีย …. …. ละวิจิกิจฉา คือละความลังเลในพระพุทธพระธรรมพระสงฆ …. …. ….
๒๓๕ ๒๓๖ ๒๓๗ ๒๓๘ ๒๓๙ ๒๔๐ ๒๔๑ ๒๔๒ ๒๔๓ ๒๔๔ ๒๔๕ ๒๔๖ ๒๔๗ ๒๔๘ ๒๔๙ ๒๕๐ ๒๕๑ ๒๕๒ ๒๕๓ ๒๕๔ ๒๕๕ ๒๕๖ ๒๕๗
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
[๑๓]
ละสีลพัตตปรามาส คือตองไมปฏิบัติโงงมงายเปนไสยศาสตร …. …. …. ๓ ประการเปนอวิชชาพื้นฐาน ถาละไดแสดงวา รู ก ข ก ขา ของนิพพาน เมื่อเห็นไตรรัตนแลว ก็จะมีดวงตาเห็นธรรม เรียกวาเห็นอริจสัจจ . …. …. แลวเห็นขันธทั้ง ๕ เปนตัวทุกข, ดูใหเห็นความไมนายึดถือ …. …. …. เห็นทุกขจะเห็นเหตุใหเกิดทุกข, ความไมมีทุกข, และทางพนทุกข…. …. …. พระโสดาบัน, มีคําวา เปนผูไมยืนอยูแลวที่ประตูแหงอมตะ …. …. …. อุปมาดุจ คนวายน้ําเขาฝง ถึงเขตน้ําตื้น จะขึ้นบกไดแนนอน …. …. …. เมื่อมองเห็นความเปนมายา แลวมาตั้งตน ก ข ก กา ไปนิพพานได …. ควรพยายามทําตามพระโอวาท ที่วาปฏิบัติถูกตอง จะไมวางจากอรหันต …. พิจารณาวา "เกิดมาทําไม" บอย ๆ จะละความเปนปุถุชนไดโดยลําดับ …. …. ตอบคําถาม "เกิดมาทําไม" คิดใหดีเชนอยูเพื่อประโยชนผูอื่น ก็ยังดี …. …. ตอบใหดียิ่งขึ้นก็ไดวา อยูเพื่อไมมีความทุกข, ไดดีที่สุดที่ควรได …. …. พยายามเรียน ก ข ก กา ดวยบทเรียนวา อยูไปทําไม? ตอบใหได …. …. เรียน ก ข ก กา ของนิพพาน ตองเรียนจากธรรมชาติขางในคือขันธ …. …. พิจารณาดูโอชาของชีวิตวาไดเปลี่ยนแปลงจากต่ํา ๆ มาเปนธรรมะอยางไร …. ถาปฏิบัติถึงพระโสดาบันแลว พระพุทธเจาตรัสวาถึงนิพพานแนนอน …. …. เรียน ก ข ก กา แหงนิพพาน จะทําใหไมเสียทีเกิด ตองไดสิ่งที่ดที ี่สุด …. ….
๒๕๘ ๒๕๙ ๒๖๐ ๒๖๑ ๒๖๒ ๒๖๓ ๒๖๔ ๒๖๕ ๒๖๖ ๒๖๗ ๒๖๘ ๒๖๙ ๒๗๐ ๒๗๑ ๒๗๒ ๒๗๓ ๒๗๔
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๑๐. ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน
บททวนความหมายที่พูดเรื่อง ก ข ก กา …. …. …. …. ขั้นศีลธรรม ใหรูจักทานศีลภาวนา, ขั้นปรมัตถตองรูความจริงของทุกสิ่ง …. พึงเขาใจเรื่องธาตุปรุงกัน กระทั่งเปนอุปาทานขันธ …. …. …. การรูจักธาตุตองรูถึงการดับ, อัสสาทะ, อาทีนวะ, และนิสสรณะ …. …. ครั้งนี้จะไดกลาวถึงลักษณะของผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน …. …. ….
๒๗๕ ๒๗๖ ๒๗๗ ๒๗๘ ๒๗๙
[๑๔]
ผูรูทุกขั้น รูเหมือนกันหมด ตางแตมากนอยกวากัน …. …. …. …. พระโสดาบันเปนผูเริ่มมองเห็นสิ่งทั้งปวง เปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา …. …. พระโสดาบันรูเพียง ก ข ก กา ของพระนิพพาน สวนพระอรหันตรูสมบูรณ ตองทําความเขาใจคําวา รู : เริ่มรู, รูอยู, รูถึงขนาด, รูเสร็จแลว …. …. เปนพระโสดาบันจริง จะละสัญโญชน ๓ ไดถึงขนาดเปลี่ยนนิสัย …. …. องคแหงการบรรลุโสดาบันมี ๔ : มีศรัทธาไมหวั่นไหวใน …. …. …. พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ . …. …. …. …. …. และมีศีลขนาดอริยกันตศีล, เปนศีลมาจากปญญารูอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มีศีลเปนอัตโนมัติ เพราะจิตไมเปนทาสของกิเลส …. …. …. พระโสดาบันมีศีล ๕ บริสุทธิ์เด็ดขาดถึงขนาดระงับภัยเวรได …. …. …. แมไมเจตนาถือศีล ๕ ก็ไมผิดอีก เพราะถอนรกรากไปหมดแลว …. …. พระโสดาบันปฏิบัติอยูในอริยมรรคมีองค ๘ ถูกตองครบถวน …. …. …. ทานละกังขา ๑๐ ประการได, กังขาคือความสงสัย …. …. …. กังขา ๑๐ ไดแก ๑ ละกังขาเกี่ยวกับขันธ ๕ เพราะรูจักอนัตตา …. …. จะละกังขาในขันธ ๕ ได ตองศึกษาเรื่องนี้ใหรูแจง …. …. …. ความรูสึกประจําวันจะเห็นความไมนายึดถือในสิ่งตาง ๆ …. …. …. ความรูสึกมี ๗ อยาง, ขอสุดทาย อนุวิจริตมนสา ตองมีสติรูทัน . …. …. ทานละกังขาในอริยสัจจทั้ง ๔ ประการไดดวยสัมมาทิฎฐิ …. …. …. พระโสดาบันรูโดยไมสงสัยวาความทุกขมาจากตัณหา - อุปาทานฯ …. …. พระโสดาบันละกังขา ๑๐ คือ :- ละกังขาในขันธ ๕ …. …. …. ละกังขาในสิ่งแวดลอมจิตใจ (ที่มี ๗ ลักษณะ) คือ ๑ …. …. …. ละกังขาในอริจสัจจทั้ง ๔, รวมแลวเปน ๑๐ …. …. …. พระโสดาบันรูแจงแทงตลอดในญายธรรม – ธรรมที่ควรรู …. …. ….
๒๘๐ ๒๘๑ ๒๘๒ ๒๘๓ ๒๘๔ ๒๘๕ ๒๘๖ ๒๘๗ ๒๘๘ ๒๘๙ ๒๙๐ ๒๙๑ ๒๙๒ ๒๙๓ ๒๙๔ ๒๙๕ ๒๙๖ ๒๙๗
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๒๙๘ ๒๙๙
[๑๕]
เปนผูเห็นอยางดีแลวในปฏิจจสมุปบาทซึ่งเปนญายธรรม …. …. …. ทุกคนควรคิด : เรารูแจงในเรื่องนั้น ๆ ไมเปนปญหาหรือไม? …. …. …. ญายธรรม คือเมื่อมีอะไรมากระทบ อยาใหเกิดความทุกขได …. …. …. ถารูปฏิจจสมุปบาท ก็คือรู ก ข ก กา ของพรหมจรรย …. …. …. ควรรูวาปฏิจจสมุปบาทเปนเรื่องอยูกับตัว ตองศึกษาใหเขาใจ …. …. …. อานิสงสของการรู ก ข ก กา ของนิพพานจะหยั่งเห็นนิพพานได …. …. การหยั่งเห็นพระนิพพาน คือ ถึงกระแส ยังไมถึงขั้นสมบูรณ …. …. …. ขั้นนี้ทุกขหมดไปมาก และจะสมบูรณแนนอนตอไป …. …. …. รู ก ข ก กา จริง นับวารูเขาไปตั้งครึ่งแลว ทุกขเหลือนอยแลว …. …. พระพุทธเจาตรัสวา พระโสดาบันเปนผูสมบูรณดวยทิฎฐิและทัศนะ, …. …. และยอมเห็นสัทธรรมแจงชัด, …. …. …. …. …. …. และประกอบดวยญาณ, กับวิชชาอันเปนเสขะ, …. …. …. ญาณ เปนความรูทั่วไปมากนอยก็ได, วิชชาเปนความรู ที่จําเปนแกการปฏิบัติ …. …. …. …. …. …. กระแสแหงพระนิพพาน คือมีการปฏิบัติระยะหนึ่ง, ไมถอยกลับ, …. …. เปนผูยืนอยูจดประตู อมตะ, พนวิสัยนรก, เดรัจฉาน, เปรต …. …. …. เปนผูไมมีทุคติ, ไมตกต่ํา, จะมีความรูถึงขนาดพระอรหันต …. …. …. พระโสดาบันยังไมถึงนิพพานจริง แตแนนอนที่จะถึงตอไป …. …. …. พระโสดาบันกาวขามเขตบุถุชนไดแลว ที่เรียกวาละโคตรภู …. …. …. ควรชําระปญหาทั้ง ก ข ก กา ของศีลธรรม และปรมัตถธรรม …. ….
๓๐๐ ๓๐๑ ๓๐๒ ๓๐๓ ๓๐๔ ๓๐๕ ๓๐๖ ๓๐๗ ๓๐๘ ๓๐๙ ๓๑๐ ๓๑๑
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๓๑๒ ๓๑๓ ๓๑๔ ๓๑๕ ๓๑๖ ๓๑๗ ๓๑๘
๑๑. การเรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพาน. ทบทวนคําที่กลาวเรื่อง ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา …. …. การศึกษาสวนปรมัตถธรรมสูงกวาศีลธรรม เริ่มตนจากธาตุ …. …. ….
๓๑๙ ๓๒๐
[๑๖]
ผูจะเริ่มตน ก ข ก กา ของพระนิพพานนั้นเปนบุถุชนชั้นดีพอสมควร …. การเรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพาน นี้เปนอุปมาอยางยิ่ง …. …. …. การเรียนเพื่อนิพพานจะแยกเปนหัวขออุปมาเหมือนเด็ก ๆ เรียน…. …. …. สถานที่เรียน ก ข ก กา เพื่อไปนิพพาน ไดแกรางกายคนเปน ๆ นี้ …. รางกายก็คือนามรูป จึงเอานามรูปนี้มาเปนโรงเรียน …. …. …. สุญญาคารทั้งหลายเปนเพียงอุปกรณเพื่อใหความสะดวก …. …. …. หรือพูดวาเรียนจากชีวิต, เรียนอยางที่อยูในสุญญาคาร …. …. …. เวลาสําหรับเรียน ตองเรียนเมื่อมีเรื่อง คือตอหนาอารมณ …. …. ตองเรียนใหไดทั้งขณะเผชิญหนาและลับหลังอารมณ …. …. …. ขณะกําลังเสวยอารมณทุกข – สุข – สัญญาในอดีตก็ตองเรียน …. …. …. วิธีการเรียน : เรียนอยางปริยัติ, กับอยางปฏิบัติ …. …. …. เรียนอยางปริยัติเพื่อรูหลักวิชา, แลวปฏิบัติเพื่อรูแจง …. …. …. ตองเรียนใหถูกตองตรงกับเวลา, มีสติสัมปชัญญะใหมากพอ …. …. …. เมื่อบําเพ็ญวิปสสนาถูกตองแลว จะเกิดนิพเพธิกปญญาคมเฉียบ …. …. การกระทําสติสัมปชัญญะที่ดีคุมครองไดแมเวลาหลับ …. …. ….
๓๒๑ ๓๒๒ ๓๒๔ ๓๒๕ ๓๒๖ ๓๒๗ ๓๒๘ ๓๒๙ ๓๓๐ ๓๓๑ ๓๓๒ ๓๓๓ ๓๓๔ ๓๓๕
ตองพิจารณาวาอะไรสอนกันแน …. …. …. การกระทํานั้นเองเปนผูสอน, ธรรมชาติสอนดีกวาคนสอน …. …. …. ความรูสึกในจิตใจสอน ดีกวาฟงคําพูดขางนอกสอน …. …. …. ความเจนจัดฝายสติปญญานี้เปนทั้งบทเรียนและผูสอน …. …. …. ความทุกข, ความผิด, จะสอนดีสอนจริงกวาความสุข, ความถูก …. ….
๓๓๖ ๓๓๗ ๓๓๘ ๓๓๙ ๓๔๐
ผูเรียน เปนบุคคลหลายลักษณะ ๑. อุคฆติตัญูดีมาก
๓๔๑ ๓๔๒ ๓๔๓
๓๒๓
www.buddhadasa.in.th ผูสอน www.buddhadasa.org …. …. …. พวก ๒ - ๓ - ๔ : วิปจิตัญู, เนยยะ, ปทปรมะ ต่ําลงตามลําดับ …. คนที่รูจักโลกมามากเปนพวกฉลาดระดับ ๑ – ๒ …. …. …. ….
[๑๗]
คนรูจักโลกมามาก เราเรงไดดวยการศึกษาอบรมใหถูกวิธี …. …. …. แมไมตองผานมาทุกสิ่ง ก็อาจรูสึกไดโดยวิธีลัด, ไมตองลองทุกสิ่ง …. …. เมื่อรูจักโลกเพียงเวทนาแลวไมตองลองเรื่องกาม กิน เกียรติก็รูได …. …. วาสนาทําใหมีสติปญญาตางกัน, ใครมีธาตุแทอะไรก็มีจิตหนักไปทางนั้น …. ถามีธาตุหนักไปทางนิโรธธาตุ ก็อาจบรรลุอรหันตไดแตเด็ก ๆ …. …. …. การบรรลุมรรคผล ก็คือ การกวาดลางสันดานใหหมดจากกิเลส …. …. ถาผูใดสะสมบารมีไวมาก จะแกนิสัยสันดานที่เลวได …. …. …. การสรางบารมี ขอแรกตองคบสัตบุรุษเพื่อฟงธรรมของทาน …. …. …. การไดฟงธรรมของสัตบุรุษเปนปจจัยชําระลางนิสัยสันดาน …. …. …. เคล็ดในการเรียน ตองศึกษาจากความรูสึกขางใน, จนเปนยถาภูต สัมมัปปญญา …. …. ….
๓๔๔ ๓๔๕ ๓๔๖ ๓๔๗ ๓๔๘ ๓๔๙ ๓๕๐ ๓๕๑ ๓๕๒ ๓๕๓
๑๒. ก ข ก กา เกี่ยวกับการถึงพระรัตนตรัย. การบรรยายครั้งนี้ เกี่ยวกับการถึงพระรัตนตรัย …. ทบทวนหัวขอที่บรรยายมาแลว …. การบรรยายที่กลาวนี้ทําเปนขั้น ๆ จนกวาจะจบเปนพระอรหันต การถึงพระรัตนตรัยมีไดหลายชั้น และยังมีปญหาซับซอน …. การถึงพระรัตนตรัย มีทั้งขั้นสามัญและขั้นปรมัตถ …. ตัวอยาง "การเห็นพระพุทธเจา" ยังมี ๒ ความหมาย …. การเห็นพระธรรม พระสงฆ ก็มีหลายระดับ …. เห็นพระรัตนตรัยสูงขึ้นไป ตองเห็นอนัตตา, สุญญตา …. ขั้นศีลธรรมขึ้นอยูกับศรัทธา, ขั้นปรมัตถขึ้นอยูกับปญญา …. อาการที่เขาถึงมี ๓ ระดับคือถือ, ถึงจริง ๆ, เปนเสียเอง …. ถือดวยสมาทาน, ถึงดวยสติปญญา, ถึงดวยเปนเสียเอง ….
…. …. …. …. …. …. …. …. …. …. ….
…. …. …. …. …. …. …. …. …. …. ….
๒๕๔ ๓๕๕ ๓๕๖ ๓๕๗ ๓๕๘ ๓๕๙ ๓๖๐ ๓๖๑ ๓๖๒ ๓๖๓ ๓๖๔
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
[๑๘]
ลักษณะบุคคลที่เกี่ยวของพระรัตนตรัยก็มีอยูหลายชั้น …. …. พวกที่ไมถืออะไรมากอน, และมีสติปญญานี้เปนชั้นดี …. …. พวกที่สนใจอยางงมงายหรือเอาอยาง นีย้ ังตองแกไข …. … . ผูถึงพระรัตนตรัยโดยแทจริง จะนับตั้งแตพระโสดาบัน …. …. ปุถุชนชั้นดีจะเริ่มเห็นความประเสริฐของพระรัตนตรัย …. …. พระอริยสาวกมีทั้งพระเสขะและพระอเสขะ …. …. พวกกัลยาณปุถุชนเปนผูพยายามจะเห็นธรรม …. …. ตองเรียน ก ข ก กา ไปตามลําดับจากพระเสขะจนถึงขั้นอเสขะ เราตองเรียนโดยลําดับจากปุถุชนเปนกัลยาณชนและสูงขึ้นไป …. …. จะเอาตัวรอดไดตองไมประมาท, มีสติตื่นอยู …. …. การถึงพระรัตนตรัยใหไดจริงถึงที่สุดก็จบพุทธศาสนา …. …. ถึงดวยกาย วาจา ใจ คือมีความสะอาด สวาง สงบ …. …. ควรเขาใจความหมายของคํา สะอาด สวาง สงบของจิต …. …. เมื่อสะอาด สวาง สงบแลว ก็เรียกวามีพระพุทธ, พระธรรม, พระสงฆ
…. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. ….
๓๖๕ ๓๖๖ ๓๖๗ ๓๖๘ ๓๖๙ ๓๗๐ ๓๗๑ ๓๗๒ ๓๗๓ ๓๗๔ ๓๗๕ ๓๗๖ ๓๗๗ ๓๗๘
การบรรยายครั้งนี้สรุปเรื่องที่บรรยายแลวมาทําความเขาใจอีกที …. …. ทบทวนการเรียนพุทธศาสนาเปรียบเทียบกับการเรียน ก ข ก กา …. …. ตองเรียนแบบนี้ เพื่อเปนเครื่องกระตุนจิตใจใหเรียนใหมอยางดี …. …. พระพุทธองคตรัสไวเองวาธรรมะชื่อเดียวกันมีทั้งศีลธรม ปรมัตถ …. …. พุทธศาสนาสอนแปลกออกไป คือสอนเรื่องไมมีตัวตน …. …. …. จะเรียนพุทธศาสนาโดยตรง ตองเรียนเรื่องขันธ ๕ กอน …. …. …. ในฝายศีลธรรม จะตองรูจ ริงในเรื่องสรณาคมน ทาน ศีล …. …. ….
๓๗๙ ๓๘๐ ๓๘๑ ๓๘๒ ๓๘๓ ๓๘๔ ๓๘๕
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๑๓. ประมวลเรื่องอันเกี่ยวกับ ก ข ก กา ทั้งปวง.
[๑๙]
ควรชําระสะสางปญหาตาง ๆ เริ่มแตฟงการบรรยายมาขางตน ๆ จะซอมความเขาใจเกี่ยวกับเรื่องขันธ ๕ เริ่มแตเรื่องธาตุ …. ในพุทธศาสนาไมมีเรื่องทางวัตถุ มีแตเรื่องธาตุ …. ธาตุ, ก็มิไดเล็งถึงวัตถุ แตเล็งถึงคุณสมบัติของสิ่งนั้น ๆ …. พิจารณาดูที่วัตถุตาง ๆ จะมีคุณสมบัติครบทุกธาตุ …. ธาตุตาง ๆ ปรุงกันเปนธาตุอื่น ๆ ปรากฎมาตามโอกาส …. ธาตุปรุงอายตนะแลวอายตนะทําหนาที่ปรุงตอไป …. อายตนะปรุงใหเกิดขันธ ๕, เปนอยางปฏิจจสมุปบาทก็มี …. ครั้นปรุงในฝายทุกขสมบูรณ ก็ทําหนาที่ดับทุกขตอไป …. ควรตั้งตนเรียนเรื่องธาตุจนรูจักแลวจะไมมีปญหา …. ถารูวาทุกอยางเปนสักวาธาตุก็จะไมถูกธาตุหลอก, ไมหลงใหล …. ฝายทางศีลธรรมตองมีเรื่องสรณาคมน ทาน ศีลใหถูก …. การใหทานรักษาศีลตองรูวา จะใหสละความเห็นแกตัว …. เมื่อสรณาคมณ ทาน ศีล ดี จะคอยหลีกออกจากวัฎฎะได …. ตองฝกใหรูวา "เกิดมาทําไม" จะคอย ๆ มองเห็นวา "เพื่อขจัดทุกข" รูวาเกิดมาทําไมถูกตองแลว จะตั้งตนไดดีและรูเร็ว …. การปฏิบัติธรรมที่เริ่มดวยตัวกู, ก.คือ สติ ซึ่งเปนทุกอยางจนถึง ฮ มีสติแลว เปนเหตุใหคิด - ทํา - พูด ไดถูกตอง …. ทุกอยางขึ้นอยูกับสติหรือไมประมาทจะถึงมรรคผลนิพพานได …. ปฏิบัติธรรมใหถูกตอง, จะไมเปนทุกขเลย, เอาตัวรอดได …. ถาตอบปญหาวาอะไร จะไปกันทางไหน? ขอใหเรียนกันใหม ….
…. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. ….
๓๘๖ ๓๘๗ ๓๘๘ ๓๘๙ ๓๙๐ ๓๙๑ ๓๙๒ ๓๙๓ ๓๙๔ ๓๙๕ ๓๙๖ ๓๙๗ ๓๙๘ ๓๙๙ ๔๐๐ ๔๐๑ ๔๐๒ ๔๐๓ ๔๐๔ ๔๐๕ ๔๐๖
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
[๒๐]
ภาคผนวก.
….
….
….
….
….
….
เรื่องที่ ๑. เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม.
….
…. ….
….
….
๔๐๗
….
๔๐๙
บรรยายพิเศษดวยวิธีถาม - ตอบ - และซักถาม …. …. …. ๔๐๙ ซอมความเขาใจในขอที่ขอใหปรับปรุงวิชาความรูใหม …. …. …. ๔๑๐ เชิญใหสตรีผูหนึ่งเปนผูซักถาม …. …. …. ๔๑๑ ทําความเขาใจเรื่องความทุกขแลวซักถามผูที่เชิญมา …. …. …. ๔๑๓-๔๒๖ ซอมความเขาใจใหศึกษาคําวา "ทุกข" ใหถูก …. …. …. ๔๒๗-๔๒๘ ชี้แจงขันธประกอบดวยอุปาทานขันธ …. …. …. …. …. …. ๔๒๙ ขันธ ๕ มิไดเกิดตลอดเวลาและเกิดคราวละอยาง …. …. …. ๔๓๐-๔๓๒ ทบทวนอุปาทานขันธ ๕ และขันธลวน ๆ …. …. …. …. ๔๓๓-๔๓๕ ลักษณะของอุปาทานขันธ …. …. …. …. ๔๓๖-๔๔๐ อุปาทานขันธหรือขันธ ๕ เปนเรื่องชีวิตประจําวัน … …. …. …. ๔๔๑ ขันธเกิดไดตองอาศัยอายตนะและธาตุ …. …. …. ….๔๔๒-๔๔๔ ศึกษาใหรูจักคุณลักษณะหนาที่ของธาตุ …. …. …. ….๔๔๕-๔๔๖ การปรุงตั้งแตอวิชชาผัสจนเปนทุกขเรียกวาปฎิจจสมุปบาท …. …. ….๔๔๗-๔๔๘ ลักษณะของกิเลสและสั่งสมเปนอนุสัย …. …. …. ….๔๔๙-๔๕๑ อวิชชาสั่งสมมาจากอนุสัยและอาสวะ …. …. …. ….๔๕๒ ทุกสิ่งเพิ่งเกิดเมื่อผัสสะ ถามีสติทันจิตก็เปนประภัสสร …. …. …. ….๔๕๓ จิตประภัสสรกับเศราหมองไดเพราะกิเลส …. …. …. ….๔๕๔ ปองกันไมใหอวิชชาเกิด อนุสัย, อาสวะจะออนกําลัง …. …. …. ….๔๕๕ ผูซักถามชี้แจงและโตตอบตอไป …. …. …. …. …. ….๔๕๖-๔๕๘
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
[๒๑]
๔๕๙ เรียน ก ข ก กา ของพุทธศาสนาตองเรียนที่ ตา – หู – จมูก – ลิ้น – กาย - ใจ ๔๖๐ - ๔๖๑ เรียนโลกในแงของจิตใจ ที่สัมผัสดวยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ …. …. ๔๖๒ ถาเราไมมีตา หู จมูก ลิ้น กายใจ โลกนี้ก็เทากับไมมี …. …. …. ๔๖๓ แม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็มิไดมอี ยูตลอดเวลา …. …. …. ๔๖๔ อายตนะ ๖ คูกระทบกันทําใหเกิดวิญญาณ และผัสสะ …. …. ๔๖๕-๔๖๗ สัมผัสขาดสติปญญา ก็เกิดเวทนา, ตัณหา, เปนเหตุใหทุกข …. …. …. ๔๖๘ ตัณหาเกิดแลว อุปาทาน ภพ ก็เกิด …. …. …. ๔๖๙ ตอจากภพเกิดชาติ มีตัวตน และเปนทุกข …. …. …. ๔๗๐ ทุกคราวที่รูสึกเปนตัวตน จะตองเปนทุกข เพราะเกิดภาระขึ้น …. …. …. ๔๗๑ สิ่งที่เปนคู ๆ : สุข - ทุกข ฯลฯ เปนภาระหนักแกจิตใจทั้งนั้น …. …. …. ๔๗๒ เมื่อสัมผัสใด ๆ ตองมีธรรมะ มีสติสัมปชัญญะ มีปญญา …. …. …. ๔๗๓ พอมีสัมผัส เกิดเวทนาขึ้น ก็รูสึกใหทันทวงทีวามันสักวา …. …. …. ๔๗๔ เวทนาก็คือสักวาความรูสึกที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเทานั้น …. …. …. ๔๗๕ ความรูสึกทุกแบบ ก็เปนสักวา ความรูสึกเทานั้น …. …. …. ๔๗๖ เมื่อเกิดความคิด, มีตัวกูจะทําอะไร ก็ใหรูสกึ วา สักวา … เทานั้น …. …. …. ๔๗๗ ศึกษาธรรมะสูงสุด ก็เพียงทําจิตใหเปนอิสสระจากโลก …. …. …. ๔๗๘ นักศึกษารูดังกลาวมา จะไมตองรอนใจดวย โลภ โกรธ หลง …. …. …. ๔๗๙ การมาศึกษาธรรมะ ก็เพื่อใหมีวิชชา ทําใหเปนผูตื่นอยู …. …. …. ๔๘๐ ทบทวนการปรุงของอายตนะ …. …. …. ๔๘๑-๔๘๓ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ เปน ก ข ก กา ของพุทธศาสนา …. …. ๔๘๔-๔๘๕ ปฏิจจสมุปบาทเปนอาทิพรหมจรรย …. …. …. …. …. ๔๘๖ เรียนพุทธศาสนาตองเรียนอยางวิทยาศาสตร …. …. …. …. ๔๘๗-๔๘๙ ตอบปญหาของนักศึกษาผูสงสัย …. …. …. …. …. …. ๔๙๐-๕๐๘
เรื่องที่ ๒. ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา. ….
….
….
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
[๒๒]
…. การบรรยายครั้งนี้จะพูดถึงเรื่องเคาโครงของพุทธศาสนา …. เงื่อนตนของความทุกขตองเริ่มที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ …. อายตนะ ๖ ภายใน เรียกวาอินทรีย ๖ เพราะเปนเรื่องสําคัญ …. อายตนะ ๖ ภายนอก เรียกวา อารมณคือเปนที่หนวงเอา …. อายตนะใน - นอกกระทบกัน เกิดวิญญาณ ๖ …. อายตนะภายในภายนอกวิญญาณทํางานรวมกันเรียก ผัสสะ …. จากผัสสะโงทําใหเกิดสิ่งอื่นตอไป คือ เวทนา - ตัณหา …. พอเกิดความอยากเกิดกูผูอยาก เปนอุปาทานขึ้นมา …. มีอุปาทานผูอยากแลว เกิดความมีตัวกูเปนภพ - ชาติ …. ความดับทุกขมีไดโดยทางตรงขามกับขางตน …. …. …. เมื่อจิตคิดไดอยางฉลาด ก็เปนวิชชาไปตั้งแตผัสสะ เวทนา …. เมื่อมีสติสัมผัสใด ๆ เปนสิ่งที่เรียนรู ก็ไมเกิดเวทนา ตัณหา …. ผัสสะเปนเรื่องสําคัญในทุกเรื่อง ตองรูท ัน, ควบคุมใหได …. ทบทวนย้ําขางตน เพื่อใหรูจักดับทุกข …. …. …. …. เรื่องที่จําเปนตองรูคือปฏิจจสมุปบาททั้งฝายทุกขและดับทุกข …. ปฏิจจสมุปบาทเปนเรื่องอาศัยกันแลวเกิดขึ้น …. …. …. การเห็นปฏิจจสมุปบาท คือเห็นดวยปญญาภายใน …. ถาเรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆจริง จะหยุดกระแสปฏิจจะฯได พระพุทธเจาตรัสรูเพราะเห็นปฏิจจสมุปบาท …. …. …. ปฏิจจสมุปบาทก็คือเรื่องอริยสัจจ ซึ่งกลาวอยางละเอียด …. ตองศึกษาโดยฝกมีสติตรงผัสสะ และเดินใหถูกทาง …. ดํารงชีวิตอยูในมรรคมีองค ๘ ก็ดับทุกขได …. …. …. …. เรื่องที่ ๓. เคาโครงของพุทธศาสนา.
…. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. ….
…. ๕๐๙ …. ๕๐๙ …. ๕๑๐ …. ๕๑๑ …. ๕๑๒ …. ๕๑๓ …. ๕๑๔ …. ๕๑๕ …. ๕๑๖ …. ๕๑๗ …. ๕๑๘ …. ๕๑๙ …. ๕๒๐ …. ๕๒๑ …. ๕๒๒ …. ๕๒๓ …. ๕๒๔ …. ๕๒๕ …. ๕๒๖ …. ๕๒๗ …. ๕๒๘ …. ๕๒๙ ๕๒๙ -๕๓๒
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
[๒๓]
ปญหาของมนุษย มีเรื่องความทุกข เราจึงตองดับทุกขใหได การฝกมีสติใหทันทวงทีขณะผัสสะ จะไมมีทุกขเลย จะตองฝกบังคับจิตโดยวิปสสนา จะควบคุมสติได ทุกเรื่องขึ้นอยูกับการมีสติในขณะแหงผัสสะ …. …. มีสติในขณะแหงผัสสะใหทันเวลา จะคุมครองไดมาก ขอใหระลึกถึงพระพุทธเจาที่เสด็จอยูสวนมากบนพื้นดิน ตอบคําถามของนักศึกษา …. …. …. ….
…. …. …. …. …. …. ….
…. …. …. …. …. …. ….
…. ๕๓๓ …. ๕๓๔ …. ๕๓๕ …. ๕๓๖ …. ๕๓๗ …. ๕๓๘ ๕๓๙ -๕๔๒
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
สารบาญ ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา ๑. อารัมภกถา เกี่ยวกับ ก ข ก กา ในพุทธศาสนา …. …. …. …. …. ๑ ๒. คําอภิปรายของภิกษุอื่น (ไมรวมในชุดนี้) …. …. …. …. …. …. ๓. เรื่องเกี่ยวกับธาตุ …. …. …. …. …. …. …. …. …. ๑๙ ๔. ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุ …. …. …. …. …. …. …. …. ๖๒ เปนตนเหตุแหงมิจฉาทิฎฐิอันรายแรง ๕. การเกิดขึ้นของทุกสิ่ง ตั้งตนที่ผัสสะเพียงสิ่งเดียว …. …. …. …. …. ๘๙ ๖. ปญหาในวิถีของชีวิต ตั้งตนดวยกามธาตุ …. …. …. …. …. …. ๑๒๗ ๗. อารมณ คือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก …. …. …. …. ๑๕๘ ๘. ความแตกตางระหวางศีลธรรมกับปรมัตถธรรม …. …. …. …. …. ๒๐๐ ๙. ก ข ก กา ของนิพพาน …. …. …. …. …. …. …. …. ๒๓๒ ๑๐. ผูรู ก ข ก กา ของนิพพา …. …. …. …. …. …. …. …. ๒๗๕ ๑๑. การเรียน ก ข ก กา เพือ่ นิพพาน …. …. …. …. …. …. …. ๓๑๙ ๑๒. ก ข ก กา เกี่ยวกับการถึงพระรัตนตรัย …. …. …. …. …. …. ๓๕๔ ๑๓. ประมวลเรื่อง อันเกี่ยวกับ ก ข ก กา ทั้งปวง …. …. …. …. …. ๓๗๙ ภาคผนวก เรื่องที่ ๑. เรื่อง ก ข ก กา ในวันปใหม …. …. …. …. …. …. ๔๐๗ " ๒. ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา …. …. …. …. …. …. ๔๕๙ " ๓. เคาโครงของพุทธศาสนา …. …. …. …. …. …. ๕๐๙ โปรดดูสารบาญละเอียดในหนาตอไป
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
- ๑๕ มกราคม ๒๕๒๗
อารัมภกถาเกี่ยวกับ ก ข ก กา ในพุทธศาสนา.
ทานสาธุชน ผูมีความสนใจในธรรม ทั้งหลาย, วัน นี ้เ ปน วัน เสารแ รกของการบรรยายตลอดฤดูแ ลง สามเดือ นในป หนึ่ ง ๆ ของสํ า นั ก นี้ . ดั ง ที่ ท า นทั้ ง หลายก็ ท ราบกั น อยู เป น อย า งดี ในข อ ที่ ว า เรา จะพยายามให มี ธ รรมบรรยาย ในลั ก ษณะใดลั ก ษณะหนึ่ ง ทุ ก วั น เสาร เว น แต ฤ ดู ฝนสามเดื อ นเท า นั้ น .
www.buddhadasa.in.th กิจวัตรใดปฏิบัติประจํา พึงรักษากิจนั้นไว. www.buddhadasa.org สํ าหรั บ วั น เสาร แ รกนี้ ก็ มี คนคิ ดว า อาตมาไม สบาย ต องไปรั ก ษ าเยี ยวยา กลั บมาใหม ๆ ยั งไม สบาย คงจะทํ าไม ได บางคนก็ เลยคิ ดเอาว า ไม มี การบรรยาย ; นี ้เ ปน ลัก ษณะของคนที ่อ อ นแอ, จึง อยากจะขอพูด ถึง เรื ่อ งนี ้เ ปน พิเ ศษ แทรกไว
๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
สัก นิด หนึ ่ง ตลอดเวลาตอ ไปขา งหนา ดว ย. วา วงศต ระกูล ตระกูล หนึ ่ง ซึ ่ง ได บั ญ ญั ติ กิ จ วั ต ร อย างใดอย างหนึ่ งประจํ า ตระกู ล ไว แ ล ว เขาก็ จ ะทํ าติ ด กั น ไป อย า ง ไม ข าดตอน หลาย ๆ ชั่ ว อายุ ค น จนกว า จะถึ ง ชั่ ว ที่ ลู ก หลานเป น คนเหลวไหล มั น ก็ จ ะเลิ ก กิ จ กรรมอั น นั้ น เสี ย . เราก็ เคยเห็ น ๆ กั น อยู แม แ ต ตั ว อย า งเล็ ก ๆ น อ ย ๆ ที่ สุ ด ; เช น เรื่ อ งตั ก บาตรพระตอนเช า อย า งนี้ เคยทํ า กั น มาเป น ชั่ ว คน ๆ ของ สกุลบางสกุล อยางนี้ก็มี ครั้นมาถึงชั่วที่โลเลก็เลิกไป. ควรจะถือ เปน หลัก สํ า หรับ ปฏิบ ัต ิว า อยา งไร ๆ ก็จ ะตอ งไมใ หผ ิด กิจ กรรมประจํ า หมู ประจํ า คณะ ประจํ า สมาคม ที ่ไ ดตั ้ง ขึ ้น ไวนั ้น ลม เลิก ไป. ถ า คนหนึ ่ ง ทํ า ไม ไ ด คนหนึ ่ ง ต อ งทํ า แทน มั น ก็ ไ ม ต อ งเลิ ก ; แต ถ า เห็ น ว า คนที่เคยทํา ทําไมได ก็ชวนกันเฉยเสีย มันก็เลิก. เรื่องอยางนี้ พระพุทธเจาก็เคยตรัสสรรเสริญพระเถระองคหนึ่ง ซึ่งยืนยัน ดวยการที่วา จะดูแลคณะสงฆแทนองคพระผูมีพระภาคเจา ในเมื่อพระองคหลีก อยู ใ นที่ ส งั ด หรื อ ด ว ยเหตุ ใ ดเหตุ ห นึ่ ง ซึ่ ง ไม ส ามารถจะบริ ห ารคณะสงฆ ได แต ก็ มี พ ระสาวกบางองค ที่ ว า เมื่ อ เห็ น พระผู มี พ ระภาคหลี ก ไปสู ที่ ส งั ด ตั ว ก็ จ ะหลี ก ไปสู ที ่ส งัด ดว ยอยา งนี ้ มัน ก็ด ีห รือ ถูก เหมือ นกัน ; แตม ัน ไมถ ูก ในบางอยา ง ที ่เ กี ่ย ว แกจะบริหารหมูคณะ
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ า เรามานึ ก ถึ ง เรื่ อ งนี้ แ ล ว ก็ ข อให จํ า ไว เ ป น หลั ก ว า กิ จ กรรมของ หมู ข องคณะ ของสมาคม ของสกุ ล อะไรก็ ต าม จะต อ งช ว ยกั น พยายามรั ก ษา ไว อ ย า งเคร ง ครั ด คื อ เป น หลั ก สํ า หรั บ ต อ งปฏิ บั ติ อ ย า งเคร ง ครั ด , แล ว คณะนั้ น สกุ ล นั้ น ก็ จ ะไม ล ม ละลาย จะอยู ติ ด ต อ กั น ไปได ห ลาย ๆ ชั่ ว หลายสิ บ ชั่ ว อายุ ค น ;
อารัมภกถาเกี่ยวกับ ก ข ก กา ในพุทธศาสนา
๓
แม ว ามั นจะเป นความไม เที่ ยง จะต องสู ญ หายไป มั น ก็ ช ามาก คื อมั นจะอยู นานมาก. นี่ ช ว ยกั น สอนลู ก สอนหลานของตน ๆ แต ล ะคน ให นึ ก ถึ งวั ต รปฏิ บั ติ ซึ่ ง ปู ย า ตา ยาย ไดเคยตั้งไวประจําสกุลอยางไร. เดี๋ ยวนี้ เราไม ค อยจะได เห็ น คนที่ ทํ าอะไรหลาย ๆ อย าง ที่ ปู ย า ตา ยาย เคยทํา; แมที่ สุดแตเอาหม อน้ํ าใส น้ํ ากินมาตั้ งไวที่ ประตู บ าน ก็ไม ค อยเห็ นใครทํ า ซึ่ ง เมื่ อ ก อ นมี ค นทํ า ; เพราะเขาไปคิ ด เสี ย ว า มั น ไม มี ป ระโยชน อ ะไร. ที่ จ ริ ง มี ประโยชน ม ากและหลายอย า งด ว ย, จะใช ร ดต น ไม ก็ ยั ง ได เพราะมั น อยู ใ กล ๆ. ต น ไม ข า งประตู บ า น ต น มะลิ ต น อะไร มั น ก็ ค งจะไม ต าย, หรื อ ว า ถ า ใครมาขอน้ํ า กิ น มั น ก็ ไ ม ต อ งวิ่ ง ขึ้ น ไปบนเรื อ น, ถ า เป น โจรผู ร า ยด ว ยแล ว มั น ก็ จ ะไม เ สี ย เปรี ย บ เพราะมัน มีน้ํ า กิน ที ่ป ระตูบ า น อยา งนี ้เ ปน ตน ; เราไมต อ งใหโ จรผู ร า ยขึ ้น ไปกิน น้ําถึงบนเรือน. อานิ ส งส คงจะมี ม ากกว า นี้ ปู ย า ตา ยาย จึ ง ได ทํ า กั น มา ; แต ว า อยางนอยที่สุดก็คือ เมตตา กรุณา นึกถึงผูอื่น โดยคิดวาสัตวทั้งหลายเปนเพื่อน เกิ ด แก เจ็ บ ตาย ด วยกั นทั้ งหมดทั้ งสิ้ น . เราจะเหนื่ อยบ าง จะลํ าบากบ างก็ ยิ นดี แล ว เขาจะกิ น หรื อ ไม กิ น ก็ ต ามใจ, จะตั ก น้ํ า มาใส ไ ว ใ นไหที่ ป ระตู บ า น เป น กิ จ วั ต ร ปฏิ บั ติ ; ฝ ก หั ด นิ สั ย ให ข ยั น ขั น แข็ ง ให ส ม่ํ า เสมอ ไม ลุ ม ๆ ดอน ๆ ก็ ดี ; ถ า เด็ ก ๆ ลู ก หลานในบ า นนั้ น ได รั บ การฝ ก หั ด มาอย า งนั้ น โตขึ้ น มั น ก็ จ ะต อ งเป น เด็ ก ดี . นี่ เป น ตั ว อย า งเพี ย งเล็ ก น อ ย ที่ จ ะแสดงว า วั ต รปฏิ บั ติ ป ระจํ า วงศ ส กุ ล ที่ เคยทํ า สื บ ๆ กันมานั้น ไมใชของเล็กนอยเลย.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ที นี้ ก็ ม าถึ ง เรื่ อ งอย า งที่ เราคิ ด ว า จะทํ า การบรรยายธรรม ในลั ก ษณะใด ลั ก ษณะหนึ่ ง ประจํ า วั น เสาร ซึ่ ง เป น สิ่ ง ที่ พ อจะทํ า ได สามารถจะทํ าได โดยแน น อน ก็ค วรจะมีขึ ้น แลว ควรรัก ษาไว เปน เรื ่อ งของสํ า นัก ; ไมใ ชชั ่ว อายุค นนี ้ พวกนี้ มัน ควรจะเปน เรื่อ งสํา นัก ที่ส ามารถจะทํา ไดต ลอดกาลไปทีเ ดีย ว ; ถา ตั้ง ป ณ ิธ าน ไวอ ยา งนี ้ มัน ไมค อ ยจะเหลว. ถา ไมตั ้ง ป ณ ิธ านไวเ สีย เลย มีก าร กระทบกระทั ้ง แทรกแซงนิด เดีย ว มัน ก็เ หลวได เลิก ไปเสีย ได. ฉะนั ้น วัด วา อารามต า ง ๆ จึ ง ได เลิ ก อะไรไปมากอย า ง หลายต อ หลายอย า ง เพราะไม อ ดทน, เพราะไม รั ก ที่ จะทํ าให เป น ของจริ งจั ง. เมื่ อ หลายสิ บ ป ม านี้ ก็ จ ะเห็ น ได ว า วั ด ต าง ๆ ก็ มี ก ารทํ า อะไรเป น ประจํ า อย า งในพรรษาก็ ต อ งมี ก ารแสดงธรรมทุ ก วั น กั น ทุ ก วั ด จนกว า จะออกพรรษา. เมื่ อ ออกพรรษาแล ว ก็ ยั งมี ทุ ก วั น พระสิ บ ห า ค่ํ า และแปดค่ํ า เจ็ ด วั น ครั้ ง หนึ่ ง ; เหมื อ นอย า งวั น เสาร ข องเรานี้ ก็ ทํ า กั น ได . เมื่ อ เด็ ก ๆ เคยเห็ น ทํากันไดทุกวัด ; แตเดี๋ยวนี้มันไมไดทํา เพราะวาชวนกันโลเลทอถอย ไมตอสู. ที นี้ ก็ พิ จ ารณาดู ต อ ไปว า มั น เกี่ ย วเนื่ อ งกั บ ความเสื่ อ มหรื อ ความเจริ ญ ของพระศาสนาอยา งไรบา ง ? ความไมเอาจริง เอาจัง ไมต อ สู ไมข ยัน ขัน แข็ง นี่ มั น เกี่ ยวกั บ ความเสื่ อ มหรื อ ความเจริ ญ ของคณะสงฆ ของพุ ท ธบริ ษั ท อย างไรบ าง ? คิ ด ดู ใ ห ดี ก็ จ ะพอเห็ น ได ว า มั น ได เสี ย หายไปหลายอย า ง สํ า หรั บ สิ่ ง ที่ ไม ค วร, ไม ควรจะเสี ย ไปนี้ มั น ก็ ไ ด เสี ย ไปหลายอย า ง, มั น ก็ ร อ ยหรอลงไป ไม มี ค วามรู ค วาม เขาใจในธรรมะเปนปกแผน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เอ าล ะ , จึ งเป น อั น ว า อ ย าก จ ะ ข อ ร อ งไว ว า ทั้ งผู แ ส ด งแ ล ะ ผู ฟ ง ค ว ร จะถือ วา กิจ กรรมบรรยายธรรม ประจํ า วัน ธรรมสวนะ ๗ วัน ครั ้ง นี ้ ขอใหช ว ย
อารัมภกถาเกี่ยวกับ ก ข ก กา ในพุทธศาสนา
๕
กัน ฟ น ฟูก ัน ขึ ้น มาใหมท ุก วัด วาอาราม, และที ่ทํ า ไดแ ลว ก็ข อใหทํ า ใหมั ่น คง หรือยิ่ง ๆ ขึ้นไป. นี้เปนเรื่องแทรกพิเศษ ที่นึกไดในวันนี้.
ฟนความรู ก ข ก กา ของพระธรรมกันกอน. ที นี้ ก็ จ ะได พู ด ถึ ง เรื่ อ งที่ เกี่ ย วกั บ วั น เสาร วั น นี้ เป น วั น เสาร แ รก แล ว ก็ ไม อาจจะบรรยายได ด วยตนเองมากนั ก ก็จํ าเป นบ าง ที่ จะต องเปลี่ ยนวิธีการบางสิ่ ง บางอย า ง ให มั น พอทํ า ไปได , ไม ต อ งล ม ละลายเสี ย ; จึ งคิ ด ว าจะพู ด เรื่อ งที่ เห็ น ว า เป น หั ว ข อ สํ า คั ญ ที่ สุ ด รื้ อ ฟ น ขึ้ น มาพู ด กั น ใหม , แล ว ให ภิ ก ษุ บ างองค วิ พ ากษ วิจารณ หรือสรุปความ หรือวาทบทวนขอความ สรุปใจความใหชัดเจนยิ่งขึ้น. แต ที่ ประสงค อย างยิ่ งนั้ น คื อจะขอถื อว า เป นการสอบไล ดู ว าคนเหล านี้ ไดเขา ใจธรรมะแลว อยา งไร; โดยเฉพาะอยา งยิ ่ง ธรรมะชนิด ที ่เรีย กไดวา เปน ก ข ก กา ของธรรมะที เดี ย ว ซึ่ ง ก็ ไ ด พู ด กั น เมื่ อ วั น ก อ น วั น ป ใ หม ค ราวหนึ่ ง แล ว เรี ย กว า ก ข ก กา ของปรมั ต ถธรรม. ที่ ต อ งรื้ อ ฟ น ขึ้ น มาเรีย นกั น ใหม ด ว ยความ จํ าเป น อย างยิ่ ง แล วก็ ส มกั บ วาเป น วั นป ใหม ต อ งมี อะไรที่ ใหม ที่ อาจจะทํ าให ใหม ขึ ้น มาไดอ ีก . นี ้ก ็เ ห็น วา เรื ่อ ง ก ข ก กา ของธรรมะนี ้ เกา เต็ม ทีแ ลว คร่ํ า , หรือบางคนก็ถึงกับไมรูวา มันมีอยูอยางไรดวยซ้ําไป; ไมเชื่อก็ลองถามกันถูกเถอะ
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อ ะไรเป น ก ข ก ก า ข อ งพ ระธ รรม ; นี่ ค น ก็ จะนึ กกั น ไป ห ล าย ๆ แง แลว สว นมากที ่ส ุด ก็จ ะนึก ไปในแงข องปริย ัต ิธ รรม. เมื ่อ นึก ถึง ปริย ัต ิธ รรม ก็
๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ต อ งนึ ก ถึ ง พระไตรป ฎ ก พระวิ นั ย พระสู ต ร พระปรมั ต ถ อ ะไรเรื่ อ ยไป, หรื อ บาง คนก็จ ะนึก ไปถึง พระพุท ธเจา พระธรรมเจา พระสงฆเจา , แลว ก็พ ูด ไปในเรื ่อ ง นั ้น ในฐานะเปน เรื ่อ ง ก ข ก กา ของพระธรรม ก็ม ัว เปน กัน เสีย อยา งนี ้. ขอ ยื น ยั น ว า เพราะมั ว เป น กั น เสี ย อย า งนี้ จึ ง ไม รูพ ระธรรม ไม รู พุ ท ธศาสนาที่ จ ะเป น ที่พึ่งแกตนได. ขอนี้มันเชนเดียวกับชาวตางประเทศ ที่เมื่อเขามา เรียนพุ ทธศาสนาแลว ไปเรีย นสว นเปลือ ก หรือ สว นที ่ย ัง ไมจํ า เปน ทั ้ง นั ้น มัน เรีย นมากเกิน ไป ; เชน ถ าฝรั่งจะเรียนพุ ทธศาสนา เขาก็ จะตั้ งป ญ หาว าใครสอน ? เมื่ อรูว าพระพุ ทธเจ าสอน ก็ ตั้ งป ญ หาว าพระพุ ท ธเจ าเกิ ด ที่ ไหน ? เมื่ อ รูว าเกิ ด ที่ ป ระเทศอิ น เดี ย เขาจะศึ ก ษา ประเทศอิ น เดี ย เสี ย ก อ นอย า งแตกฉาน กระทั่ ง รู ว า ประเทศอิ น เดี ย ในสมั ย ที่ พ ระ พุท ธเจา เกิด นั ้น มัน เปน อยา งไร ? นี ้ม ัน ก็เ ปน เรื ่อ งใหญ กิน เวลา กิน เรี ่ย วแรง กินมันสมอง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ ค รั้ น รู แ ล ว ก็ จ ะ เริ่ ม เรี ย น ห ลั ก พ ระ ศ าส น า ก็ ไป เรี ย น เรื่ อ งที่ มั น แ ป ล ก ดี เช น เรื่ อ งกรรม เรื่ อ งอนั ต ตา เรื่ อ งนิ พ พาน เรื่ อ งอะไรนี้ ; แม จ ะเรี ย นเรื่ อ ง สั ง ขาร มั น ก็ เรี ย นอย า งเรื่ อ งปริ ยั ติ ปรั ช ญา ท า ได เลยว า พวกชาวต า งประเทศ เหล า นั้ น ไม ม าตั้ งต น ศึ ก ษาที่ ก ข ก กา ของปรมั ต ถธรรม คื อ ไม ได ม าเรี ย น เรื่องที่มันกําลังเกิดอยูที่กาย ที่วาจา ที่ใจจริง ๆ ของคนคนนั้น; จะดวยเหตุ ใดก็ ย ากที่ จ ะกล า ว. แต ว า เขาไม ไ ด เรี ย น แล ว จึ ง เลยไม รู เรื่ อ งที่ มั น เกิ ด อยู จ ริ ง ๆ ; แตไปรูเรื่องอื่นมากเกินไป.
อารัมภกถาเกี่ยวกับ ก ข ก กา ในพุทธศาสนา
๗
เขาไมรูเรื่อ งที ่ค วรจะรู, โดยเฉพาะก็เรื่อ งที่เราเรีย กกัน วา ขัน ธทั ้ง หา นี ้, ไมไ ดเ รีย นใหถ ูก ขัน ธทั ้ง หา ; ไปเรีย นแตเ รื ่อ งชื ่อ ของมัน , เรื ่อ งอะไร ของมั น มากมายก า ยกอง ไม รู ว า เกิ ด ที่ ไ หน เมื่ อ ไร. แม เ ป น พระเป น เณ รก็ เหมื อ นกั น ไม ดี ก ว าชาวบ า น; เช น พระเณรบางคนก็ มี ค วามรู ว า ขั น ธ ทั้ งห า นี้ เรามี อยู ต ลอดเวลา เรามี อ ยู พ ร อ มกั น อย า งนี้ เป น ต น , แล ว ก็ พู ด สะเพร า ลวก ๆ ว า ขันธหาเปนทุกขอยางนี้ ไมไดพูดวาขันธหาที่มีอุปาทานยึดครองเปนตัวทุกข มันก็ เปนเรื่องที่เฉไฉเถลไถลได ไมตรงความจริง. ฉะนั้นจึงใหเรียน ก ข ก กา กันเสียใหมดีกวา ใหมันเปนการตั้งตน ที่ ถู ก ต อ งเรี ย บร อ ย; ไม ใ ช ว า พอเราจะเรี ย นพุ ท ธศาสนาแล ว ก็ จะต อ งเรี ย นเรื่ อ ง พระพุท ธ พระธรรม พระสงฆ เหมือ นกับ ที ่เ ขาเขา ใจกัน อยู . ถา อยา งนี ้ม ัน ยัง ไกลออกไป แล ว จะไม รู จั ก พระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ ตั ว จริ ง เสี ย ด ว ยซ้ํ า ไป ; จะรู จ ัก แตพ ระพุท ธ พระธรรม พระสงฆ เทา ที ่เ รีย น, เทา ที ่อ ยู ใ นตัว หนัง สือ หรือความจําได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ข อ นี้ เราจ ะ เห็ น ได จ า ก ก ารที่ ว า ใน ส มั ย พุ ท ธ ก าล แ ท ๆ เมื่ อ มี ค น ไป เฝ า พระพุ ท ธเจ า บางที เป น คนไม นั บ ถื อ มาก อ นเลย เป น ศั ต รูก็ มี , ไปเฝ า พระพุ ท ธเจ า ไปสนทนาไปไต ถ าม ในที่ สุ ด เขาเข า ใจ, เขาชอบใจ เขาถึ ง ค อ ยประกาศตนเป น อุบ าสก นั บ ถื อ พระรัต นตรัย ตอ พระพั กตรพ ระพุ ทธเจาเป นต นไปจนตลอดชีวิต ; พระรัต นตรัย นั ้น มา ตอ เมื ่อ เขา ใจธรรมะแลว นี ้ม ัน จริง แท; แตพ ระรัต นตรัย ที่มากอน มาโดยคําพูด มาโดยการสวดทองนี้ยังไมจริง.
๘
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ถ า ว า จะให ถึ ง พระรั ต นตรั ย จริ ง ไปตั้ ง แต ต น ก็ จ ะต อ งเรี ย น ก ข ก กา ของพระธรรมที ่แ ทจ ริง ตั ้ง ตน ดว ยเรื ่อ งขัน ธห า เปน ตน จนเขา ใจธรรมะนั ้น เห็น ธรรมะนั ้น ; เห็น ธรรมะนั ้น จึง จะชื ่อ วา เห็น พระพุท ธเจา . ขอ นี ้ก ็เ คย บอกกันหลายหนแลว มีพุทธภาษิตชัดเจนอยูแลววา พระองคไดตรัสวา ผูใดเห็น ธรรมผูนั้นเห็นเรา ผูใดเห็นเราผูนั้นเห็นธรรม; ผูใดเห็นปฏิจสมุปบาท ผูนั้น ชื่อวาเห็นธรรม, ผูใดเห็นธรรม ผูนั้นตองเห็นปฏิจสมุปบาท. มันมีอยูอยางนี้. นี ้เ ห็น ปฏิจ สมุป บาท ไมใ ชม ัน อา นไดจ ากหนัง สือ มัน ตอ งเห็น อาการของปฏิจ จสมุป บาท ที่มัน เกิด ขึ้น ดับ ไป, เกิด ขึ้น ดับ ไป ยุบ ๆ ยับ ๆ ที ่เ นื ้อ ที ่ต ัว ที ่ก าย ที ่ว าจา ที ่ใ จ ของบุค คลนั ้น เอง. พอเห็น อัน นี ้ก ็เ รีย กวา เห็น ปฏิจจสมุปบาท, เห็นปฏิจจสมุปบาทก็คือเห็นธรรม, เห็นธรรมก็คือเห็นพระตถาคต ; พระพุทธเจาทานตรัสไว อยางนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เพราะฉะนั้ นอาตมาจึ ง คิ ดว า ไหน ๆ ก็ ป ใหม ก็ ควรจะมี อะไรให ม บ าง ; อย างน อยก็ วิ ธี เรี ย น หรื อวิ ธี ศึ กษาที่ ใหม กั น บ าง ให เข าถึ ง ก ข ก กา ที่ มี รากฐาน, คื อจะต องเรี ยน ก ข ก กา แล วก็ แจกเป น กะ กา กิ กี ขะ ขา ขิ ขี เรื่ อยไป แล วก็ มี กา ก า ก า, ขา ข า ข า ไปตามรากฐานที่ มั นมั่ นคง มั นจะไม มี ทางผิ ดได เพราะมั น เห็ นชั ดอยู แก ลู กตา. ผิ ดกั บ เรียนหนั งสื ออี กแบบหนึ่ ง ซึ่ งอาตมาเด็ ก ๆ ก็ เคยเห็ นว า คนรุนพี่สาว ลูกปา อะไร เขาเรียนหนังสือวันแรก ก็คือเขาอานหนังสือลักษณวงศเลย. ลุ งเข า ส อ น ให เอ า ห นั งสื อ ใบ แ รก ม า ส อ น ให ๒ - ๓ บ รรทั ด ใน ห นั งสื อ ลั กษณวงศ ก็ ชั กอ านกั นไปวั นละ ๔ - ๕ บรรทั ด เขาจํ าแม นยํ า ก็ มากขึ้ นจนเป นใบ ๆ. นั่ นแหละเขาก็ อ านได เอง มี ส วนผิ ดน อย ก็ ค อย ๆ ถู กไปตามลํ าดั บ, แล วลองเปรียบ ดูเ ถอะวา คนเริ ่ม เรีย นหนัง สือ ดว ยวิธ ีนี ้ กับ เรีย น ก ข ก กา นั ่น อัน ไหนมัน จะ มั่นคงกวา ?
อารัมภกถาเกี่ยวกับ ก ข ก กา ในพุทธศาสนา
๙
ถ า จะเรี ย นพุ ท ธศาสนาก็ เหมื อ นกั น จะเรี ย นอย า งเหมา ๆ เอาไปก อ น ก็ไ ดเ หมือ นกัน มัน ก็อ าจจะรู ธ รรมะได; แตค งจะไมช ัด เจนแจม แจง หรือ มัน ไมห ยั ่ง รากลึก . ฉะนั ้น ตอ งเรีย นที ่ต ัว ธรรมะจริง ซึ ่ง เปรีย บเหมือ นกับ ก ข ก กา สิ ่ง นั ้น ก็ค ือ ขัน ธทั ้ง หา ซึ ่ง เกิด ขึ ้น อยู แ กต ัว เราเปน ประจํ า วัน . สว นมาก เกิ ดเป นเพี ยงขั นธ ทั้ งห า เหมาะ ๆ จึ งจะเกิ ดเป นป ญ จุ ปาทานขั นธ ทั้ งห า คื อเป นทุ กข กันสักทีหนึ่ง; ฉะนั้นตองดูวา ขันธหาคืออะไร ? คือ รูป เวทนา สัญ ญา สังขาร วิ ญ ญ า ณ . เมื ่ อ รู ว า แ ต ล ะ อ ย า ง เป น อ ย า ง ไร แ ล ว มั น เกิ ด จ ริ ง ๆ เมื ่ อ ไร, เกิ ด อย า งไร; เกิ ด จริ ง ๆ เมื่ อ ไร ต อ งให เห็ น เหมื อ นอย า งที่ เราเห็ น ดิ น ทราย กรวด ใบ ไม ที ่อ ยู ต รงห นา เรานี ้; ตอ งใหเ ห็น ชัด อยา งนี ้; แมว า จะเปน น าม ธรรม ก็เ ห็น ไดด ว ยปญ ญา; เชน วา ตามัน เห็น รูป ขา งนอกเกิด ความเห็น ทางตา นี ่เ รา ก็ตองเขาใจได ไมใชมันลึกลับอะไร. ตาเห็ น รู ป ก็ เ กิ ด การเห็ น ทางตา ทั้ ง หมดนี้ เรี ย กว า ผั ส สะ, คื อ การ กระทบของพวกนามธรรม เกิ ด เวทนา คื อ ความรู สึ ก อย า งนั้ น อย า งนี้ ขึ้ น , เกิ ด สั ญ ญา คื อ หมายมั่ น ในความรู สึ ก อย า งนั้ น อย า งนี้ ขึ้ น มา; เกิ ด สั ง ขาร คิ ด ไปตาม สมควรแกส ัญ ญานั ้น ๆ, แลว วิญ ญาณนี ้ม ัน ก็เ กิด ซับ ซอ นที ่จ ะเกิด ทุก ข ก็เ ปน มโนวิ ญ ญาณไปยึ ดเอาเวทนาอย างใดอย างหนึ่ งเข า เป นตั วตนหรื อเป นของตน เพราะ มั น ไปรู สึ ก ว า เป น อย า งไร เกิ ด ความโง ขึ้ น มา เป น สั ง ขารอั น ที่ ส อง ที่ ส าม คื อ เป น ตัว เปน ตน เปน กูเ ปน ของกู. นี ่ม โนวิญ ญาณนี ้ทํ า เหตุร า ยกาจอยา งนี ้ คนเราจึง ไดเปนทุกข; นี่คือ ก ข ก กา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ก็ ต อ งไปดู ให ดี ว า ขั น ธ ทั้ ง ๕ คื อ อะไร ? ขั น ธ ที่ มี อุ ป าทานทั้ งห านั้ น เป น อย างไร ? อายตนะหกคื ออย างไร ? ธาตุ ทั้ งหลายที่ จะช วยกั นปรุ งขึ้ นเป นอายตนะหก
๑๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
เป น อย า งไร ? ธาตุ อ ะไรเป น พื้ น ฐานทั่ ว ไป สํ า หรั บ สั ง ขารทั้ ง ปวง ? มี ธ าตุ ที่ ต รง กั น ข า มโดยประการทั้ ง ปวง, นั้ น คื อ ธาตุ อ ะไร ? ถ า เรีย นอย า งนี้ มั น จะเรีย นเหมื อ น อย างที่ เรี ยกว า เรี ยน ก ข ก กา อย างแจกรู ป แจกอะไร อย างไม ยกเว นแม สั กนิ ดเดี ยว มันก็รูดี.
ตองศึกษาทบทวนเริ่มแตเรื่องธาตุ. ถ า จะไล ขึ้ น ไปตั้ งต น ก็ เรื่ อ งธาตุ มี ธ าตุ ฝ า ยสั ง ขตะหรื อ ฝ า ยสั ง ขารอยู คื อ ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ล ม ธาตุ อ ากาศ ธาตุ วิ ญ ญาณ นี้ ธ าตุ พื้ น ฐาน. ถ าใครไม รูจั ก ก็ เรีย กว า ยั งไม ได เรี ย น ก ข ค ง เลย จะน า สงสารกี่ ม ากน อ ย ; ถ า ไม รูว าธาตุ ดิ นอยู ที่ ตรงไหน ธาตุ น้ํ า ธาตุ ลม ธาตุ ไฟ ธาตุ อากาศ ธาตุ วิญญาณ อยู ที่ ตรงไหน, ในเนื้ อ ในตั ว ของเรา หรื อ นอกเนื้ อ นอกตั ว ของเรา หรื อ ในโลกทั้ ง สิ้ น นี้ มันอยูที่ตรงไหน อยาเพอไปสนใจอยางอื่นซิ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org รู จั ก ธ า ตุ ดิ น คื อ ส ว น ที่ เป น ข อ งแ ข็ ง, รู จั ก ธ า ตุ น้ํ า คื อ ส ว น ที่ เป น ข อ ง เหลว, รูจักธาตุ ลม คือสวนที่มันระเหยลอยได. รูจักธาตุไฟ คือ สวนที่มีอุณ หภู มิ มี การเผาไหม , รูจั กอากาศธาตุ คื อที่ วางที่ เป นเหตุ ให สิ่งต าง ๆ มั นตั้ งอยู ได . ที นี้ ก็ วิญ ญาณธาตุที ่ล ึก ลับ แตเรารู ส ึก ได เพราะเรามีจ ิต ใจที ่ค ิด นึก อะไรได. ฉะนั ้น ถ า เราไม รู จั ก มั น เราก็ นึ ก ว า อะไรที่ คิ ด ได นั้ น คื อ วิ ญ ญาณธาตุ , เป น แต สั ก ว า ธาตุ เทา นี ้. หกธาตุนี ้ก ็เ กี ่ย วขอ งกัน อยู ต ลอดเวลาในวัน หนึ ่ง ๆ สํ า หรับ ที ่จ ะปรุง ขึ้น มาเปน นั ่น เปน นี ่ม ากมาย แตที ่สํ า คัญ ก็ค ือ ปรุง เปน อายตนะ. ฉะนั้น จึง ตอ ง มีธ าตุอ ยา งอื ่น ที ่ค วรจะรู ไ วอ ีก คือ เชน วา ธาตุต า สํ า หรับ จะใหรู แ จง ทางตา.
อารัมภกถาเกี่ยวกับ ก ข ก กา ในพุทธศาสนา
๑๑
ธาตุ หู สํ า หรั บ จะให หู ไ ด ยิ น อะไรได . ธาตุ จ มู ก สํ า หรั บ ให จ มู ก รู ก ลิ่ น ได . ธาตุ ลิ้ น สํ า หรับ ใหลิ ้น รู ร สได. ธาตุผ ิว กาย สํ า หรับ ใหผ ิว กายรู ส ัม ผัส ได. แลว ก็ธ าตุใ จ ใหใจรูสึกได. ที นี้ ข างนอกมั นยั งมี ธาตุ รู ป อี กธาตุ หนึ่ ง, ธาตุ รู ป ธาตุ ที่ ทํ าให สิ่ งต าง ๆ มีร ูป ขึ ้น มา, แลว ก็ธ าตุเ สีย งที ่ทํ า ใหเ กิด สิ ่ง ที ่เ รีย กวา เสีย ง. ธาตุก ลิ ่น ที ่ทํ า ให เกิ ด มี สิ่ ง ที่ เรี ย กว า กลิ่ น ขึ้ น มา. ธาตุ ร สคื อ ให รู ร ส ให เกิ ด รสที่ รู สึ ก ได ขึ้ น มา และก็ ธาตุ โผฏฐั พ พะคื อ สั ม ผั ส ผิ ว หนั ง คื อ เราจะรู สึ ก สั ม ผั ส ทางผิ ว หนั งได ขึ้ น มา. แล ว ก็ ธาตุธัมมารมณ คือสิ่งที่ใจจะรูสึกได. นี่ ก ระทั่ ง ธาตุ ต า หู จมู ก ลิ้ น กาย หรื อ ธาตุ รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส มั น ก็ ต องอาศั ย ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ลม ธาตุ ไฟ ธาตุ อากาศ ธาตุ วิ ญ ญาณ เหมื อนกั น, มัน ก็เ ขา จับ กลุ ม กัน เปน หมู นั ้น หมู นี ้ แลว ก็ป รุง ขึ ้น มาตามสมควรแกโ อกาส ; เช น ปรุ งเป น อายตนะทางตา อายตนะทางตานี้ มั นต องเอาธาตุ ต ามา, แล วก็ เอา ธาตุ ดิ น น้ํ า ลม ไฟ อากาศ วิ ญ ญาณอะไรด วยนี้ ม า ตั้ งหกธาตุ แล ว แล วมี ธาตุ ต า เข ามารวมด วย, แล วก็ ธาตุ รูปข างนอกเข ามาเกี่ ยวข องด วย จึ งจะเกิ ดสิ่ งใหม ที่ เรียกว า อายตนะทางตา หรือ จักขุอายตนะ; ถาไมอยางนั้นมันเกิดไมได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ า ไม มี ดิ น น้ํ า ล ม ไฟ อ า ก า ศ วิ ญ ญ า ณ อ ยู ก อ น ลู ก ต า นี่ มั น มี ไม ได , ประสาทลู ก ตามั น มี ไ ม ได , ความรู สึ ก ทางตามั น มี ไ ม ได ถ า ไม มี รู ป ข า งนอก ความ รูสึกทางตาก็มีไมได. เพราะฉะนั้นพระพุ ท ธเจาทานจึงตรัสวา ตากับ รูปอาศัยกัน จึ งจะเกิ ดจั กษุ วิ ญ ญาณ. คํ าว าตากั บรูปในที่ นี้ หมายถึ งอายตนะทั้ งนั้ นนะ จั กษุ ธาตุ หรื อ ธาตุ ต า ที่ ไ ด ธ าตุ ต า ง ๆ มาประชุ ม กั น แล ว เกิ ด เป น อายตนะทางตาขึ้ น มาชั่ ว
๑๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ขณะหนึ่ ง แล ว ก็ จ ะดั บ ไปเมื่ อ ทํ า หน า ที่ ข องมั น เสร็ จ . รู ป ข า งนอกก็ เข า มาผสมโรง ชั่วขณะ แลวมันก็จะดับไปเมื่อทําหนาที่เรื่องนี้เสร็จ; นี่มันเปนอยางนี้. ถ าพยายามทํ าความเข าใจจะเห็ นสิ่ งเหล านี้ ชั ดแจ ง เหมื อนเรานั่ งอยู ตรงนี้ เห็น เม็ด กรวด เม็ด ทราย มด แมลง ใบไม ใบหญา นี ้ เห็น ชัด อยา งนี ้จ ึง จะได, คือ เห็น ธาตุทั ้ง หลาย ที ่ไ ดโ อกาสแลว จะปรุง กัน ขึ ้น เปน อายตนะ. อายตนะคู นั ้น ๆ ไดโ อกาสแลว ก็จ ะปรุง ขึ ้น เปน ขัน ธ : ถา ในขณะนั ้น มัน โงไ ป มัน ก็ ปรุง เปน อุป าทานขัน ธ แลว มัน ก็ไ ดเ ปน ทุก ข นั ่ง รอ งไหอ ยู บ า ง, หรือ อะไรบา ง. นี่ คื อ ก ข ก กา หรื อจะเรี ยกว าสู ตรคู ณ สํ าหรั บ เด็ กเล็ ก ๆ เขาจะต องเรี ยนก็ ได , ต อ ง แมนยํา, ตองชัดเจนถูกตอง, จึงจะเรียนหนังสือ หรือเรียนเลขเปนลําดับตอไปได. เดี๋ ยวนี้ เราไม ได เรี ยนจากของจริ งลงไปตรง ๆ อย างกะเขาเรี ยนวิ ทยาศาสตร อย างนี้ : เรามั กจะไปเรียนท องจํ า ไปเรี ยนอะไรต าง ๆ ซึ่ งเราก็ ยั งไม รูว าอะไรไปเสี ย เรื ่อ ย ๆ. ฉ ะนั ้น เปน พ ระเปน เณ รตั ้ง สิบ พ รรษ าแลว ก็ไ มรู ก ข ก กา ขอ ง พระธรรม. ฟง ดูค ลา ยกับ เปน เรื ่อ งพูด เลน แตว า มัน เปน เรื ่อ งจริง ยิ ่ง กวา จริง ; เป น เณรแล ว เป น พระแล ว ก็ ห ลายพรรษาแล ว ก็ ยั ง ไม รู ก ข ก กา ของพระธรรม แลวจะเสียหายสักเทาไร คือมันจะตายดาน เปนไปไมได สักกี่มากนอย.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั ้น วัน นี ้ก ็เ รีย กวา เปน วัน เริ ่ม ตน ดว ย แลว ยัง เนื ่อ งในปใ หมด ว ย เราก็ ป รั บ ปรุ ง ระบบการเรี ย นใหม คื อ ย อ นกลั บ มาเรี ย น ก ข ก กา กั น โดย ระบบใหม วิธีใหม, ที่จะใหรู ก ข ก กา ในพระพุทธศาสนา อยางถูกตอง.
ที นี้ เมื่ อ อ าต ม าไม ค อ ย จ ะ มี แ รง ห รื อ ว ายั งไม ส บ าย อ ยู จ ะ พู ด ม าก ก ว านี้ ก็ ค งจะทํ าไม ได จึ งถื อ โอกาสเป น การสอบไล ดู ก อ น ว าพระองค ไหน ท า นมี ค วามรู
อารัมภกถาเกี่ยวกับ ก ข ก กา ในพุทธศาสนา
๑๓
ความเข า ใจในเรื่ อ งนี้ แ ล ว อย า งไร, ก็ ข อให ขึ้ น มาพู ด ที ล ะองค ละองค ; โดยสรุ ป ใจความให สั้ น ให ก ะทั ด รัด ชั ด เจน แล วก็ จะได เป น ที่ พ อใจว า เพี ย งพอแล วสํ าหรั บ การเรี ย น ก ข ก กา, แล วก็ จ ะได แ จกลู ก ต อ ๆ ไป จนถึ งกั บ เขาเรี ย กว า เรีย น กก เรี ย น กง เรี ย น กม เรี ย น เกย เรี ย นอะไรไปให มั น ถึ ง ที่ สุ ด โน น . นี่ ที่ คิ ด ไว สํ า หรั บ วั น เสาร แ รกวั น นี้ ก็ จ ะพู ด เรื่ อ ง ก ข ก กา ของปรมั ต ถธรรมในพระพุ ท ธ ศาสนากั น หรืออาจจะเป นว า วันเสารภาคมาฆบู ชานี้ จะพู ดกั นแต เรื่อง ก ข ก กา ในพระพุทธศาสนา กันเสียทั้งภาคเลย ก็ยังได. ที นี้ ก็ ถึ งคราวที่ จะทดสอบกั นแล ว พระองค ไหนหรื อแม แต เณรองค ไหน อย าละอาย อย ากระดาก, ไม ต องละอาย ไม ต อ งกระดาก; เหมื อ นกั บ มาท อ งสู ต ร คู ณ ให ฟ ง หรื อ ว า มาแจกลู ก ก ข ก กา ให ฟ ง แล ว ก็ แ จกจากความรู สึ ก ที่ ม อง เห็น อยู ใ นใจ นั ่ง ที ่ธ รรมมาสนอ ัน นี ้ก ็ไ ด, ธรรมมาสนเ ล็ก นะ ขึ ้น นั ่ง บนนั ้น วา ไป ใหเ วลาตามสมควร; แตต อ งใหไ ดเ รื ่อ งครบถว น ของสิ ่ง ที ่เ ปน รากฐานของ ปรมั ต ถธรรม ที่ เมื่ อ ผู ใ ดเห็ น แล ว ชื่ อ ว า เห็ น ปฏิ จ จสมุ ป บาท ผู เห็ น ปฏิ จ สมุ ป บาท ชื่อวาเห็นธรรม ผูที่เห็นธรรมชื่อวาเห็นตถาคต แลวเราก็จะไดพระพุทธเจาที่แทจริง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ
[ตอไปนี้ ภิกษุอื่นบรรยายตอไป ]
.... .... .... .... ....
เรื่องเบื้องตนที่ควรรูอีก เกี่ยวกับความทุกข. เอาละ, เท าที่ กล าวมาทั้ งหมดนี้ ก็ เป นการขยายใจความส วนใดส วนหนึ่ ง. ที นี้ อ าตมาก็ อ ยากจะพู ด สรุ ป เป น ครั้ ง สุ ด ท า ยอี ก ครั้ ง หนึ่ ง เพื่ อ จะได เลิ ก ประชุ ม ;
๑๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
แตว า เมื ่อ สวดธรรมบทปด ประชุม แลว ยัง จะตอ งขอรอ งใหอ ุบ าสกคนสองคน มากล า วใจความสํ า คั ญ เท า ที่ ตั ว เก็ บ ไปได เล็ ก น อ ย เพื่ อ สอบดู ว า อุ บ าสกได อ ะไร ไปบาง. คํ า ว า ก ข ก กา นี้ ไม ต อ งพู ด แล ว ว า เป น เรื่ อ งแรกเรี ย น อย า งเดี ย ว กั บ A B C D, ก ข ก กา ก็ เป น เรื่ อ งแรกที่ สุ ด ที่ คนจะต องเข าไปเกี่ ยวข องด วย. ในการเรี ย น, เรื่ อ งมั น มี ป ญ หาขึ้ น มาว า เพราะว า เรามี ค วามทุ ก ข ลํ า บาก เราจึ ง ตอ งเรีย น เพื ่อ แกค วามทุก ขลํ า บาก; เรีย นทางโลกใหรู ห นัง สือ รู เ ลข ก็เ พื ่อ แกความทุกขลําบากทางโลก, เรียน ทางธรรมนี้ เพื่ อแก ป ญ หาความทุ กข ลําบาก ในทางจิ ต ใจ. ก ข ก กา ในเรื่ อ งทางจิ ต ใจ นั้ น ก็ คื อ เรื่ อ งพระธรรมส ว นที่ ว า จะ เปนเบื้องตนที่สุด ที่ทุกคนควรจะทราบ. เรื่ อ งเบื้ อ งต น ที่ สุ ด ก็ คื อ ความทุ ก ข แล ว ก็ มี อ ยู ใ นตั ว คนนั้ น เอง คื อ พระพุทธเจาทานไดตรัสวา โลกหรือความทุกข ก็ดี เหตุใหเกิดโลก หรือ เหตุใหเกิด ความทุกข ก็ดี ความดับของโลก หรือความดับของทุกข ก็ดี ทางใหถึงความดับของ โลก, หรื อ ทางให ถึ ง ความดั บ ทุ ก ข ก็ ดี อยู ใ นร า งกายนี้ ยาววาหนึ่ ง ที่ ยั ง เป น ๆ คื อ มีส ัญ ญ าและใจ. จึง ไดค วามวา เรื ่อ งความทุก ขนั ้น ดว ย ความดับ ทุก ขด ว ย มีอ ยู ใ นคน นี ้เ ปน เรื ่อ งแรกที ่ส ุด . ที ่ค นจะตอ งมองดูต ัว ตนของตนเขา ไปขา งใน เพื่อใหเห็นเรื่องทุกขและเรื่องดับทุกข.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ จ ะ เห็ น อ ย า ง ไร เห็ น ห ลั ก ให ญ ๆ คื อ ว า ถ า เป น ทุ ก ข ก็ เพ รา ะ ยึ ด มั่ น ว า ตัว เราวา ของเรา; ถา ไมย ึด มั ่น ก็ไ มม ีอ ะไรเปน ทุก ข. เดี ๋ย วนี ้เ รายึด มั ่น ไปเสีย แทบจะทุ ก อย า ง ฉะนั้ น จึ ง ได มี ค วามทุ ก ข ม ากในทางจิ ต ใจ; นี่ ห ลั ก ส ว นใหญ มั น มี
อารัมภกถาเกี่ยวกับ ก ข ก กา ในพุทธศาสนา
๑๕
อยู . อยา ลืม วา เพราะไปยึด มั ่น มัน จึง เปน ทุก ข. เหมือ นวา กอ นหิน กอ น ใหญนี้มันหนัก แตถาไมเอามาแบกไว มันก็ไมทําอะไรเรา; เราจึงตองรูจักไมแบก. สํ า หรั บ วั ต ถุ ข า งนอกนี้ มั น ง า ยที่ เราจะไม แ บก; แต วั ต ถุ ข า งใน มั น เกิ ด ขึ้ น ในใจมั น ทั บ ถมจิ ต ใจ มั น ก็ เป น เรื่ อ งที่ ย ากกว า เรื่ อ งข า งนอก; จะป อ งกั น อย าให มั นเกิ ดยึ ดมั่ น ถื อมั่ นขึ้ นก็ ได หรือวามั นเกิ ดยึ ดมั่ นถื อ มั่ นขึ้ น เสี ยแล ว จะสลั ด มัน เสีย อยา งไร อยา งนี ้ก ็ไ ด. แตว า ทางที ่ด ีที ่ส ุด นั ้น จะตอ งมีค วามรู ช นิด ที่ อยา ใหม ัน เกิด ขึ ้น จะดีก วา . ถา เรารู เ รื่อ งนี ้ใ นขั ้น ตน ๆ ก็เรีย กวา ก ข ก กา ของเรื่องความดับทุกข คือ อยาไปยึดมั่นถือมั่น. ข อนี้ อยากจะเตื อนแล วเตื อนอี กอยู เสมอว า เมื่ อจะเข ามาบวชในพุ ทธ ศาสนา ธรรมเนี ย มไทยแท แ ต โบราณ ท านให เรี ย น ยถาปจฺ จ ยํ ปวตฺ ต มานํ ธาตุ ม ตฺ ต เมวตํ ยทิ ทํ จี ว รํ ฯ เรื่อ ยไปนี่ คื อ ให เรีย นว า มั น เป น สั ก ว า ธาตุ ต าม ธรรมชาติ เป นไปตามเหตุตามปจจัย นิสฺสตฺโต นิชฺชีโว สฺุโ - ไมใชสัตว บุคคล ตัวตน เราเขา. คําวา สัตว บุคคล ตัวตน เราเขานั้น คือความยึดมั่น เท า นั้ น , ไม มี ตั ว จริ ง อะไร; แต เรามั่ น หมายว า มี อ ย า งนั้ น อย า งนี้ เป น สั ต ว บุ ค คล ตั ว ตนเราเขา. อย า ให เ กิ ด ความรู สึ ก อั น นี ้ ไ ด ก็ เ รี ย กว า ไม ม ี ค วามยึ ด มั ่ น ถือมั่น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทํ าอ ย างไรอ ย าให ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ? ก็ ให รู โ ด ย ค ว าม เป น ธ าตุ ฉ ะนั้ น เราจึ งต อ งพู ด กั น เรื่ อ งธาตุ : ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ล ม ธาตุ ไฟ ธาตุ อ ากาศ ธาตุ วิ ญ ญาณ นี่ ธาตุ พื้ นฐาน แล วธาตุ ที่ ว า จะมาผสมโรง คื อ ธาตุ ตา ธาตุ หู ธาตุ จมู ก ธาตุลิ ้น ธาตุก าย ธาตุใ จ. ธาตุที ่จ ะเปน อุป กรณอ ัน นั ้น อีก ทีห นึ ่ง ก็ค ือ ธาตุร ูป
๑๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ธาตุ เ สี ย ง ธาตุ ก ลิ่ น ธาตุ ร ส ธาตุ โ ผฏฐั พ พะ ธาตุ ธั ม มารมณ . แล ว ยั ง มี อ ยู เ ป น ระดั บ ๆ ที่ ป รุ งกั น ขึ้ น ไป ก็ เป น กามธาตุ ที่ ทํ า ให เกิ ด ความรูสึ ก ยึ ด มั่ น ในทางกาม. รูปธาตุใหเกิดความรูสึกยึดมั่นที่เปนรูป คือไมใชกาม. อรูปธาตุ มันก็คือจะให เกิดความรูสึกยึดมั่นประเภท อรูปธาตุ. ยึด มั ่น กาม ยึด มั ่น รูป ยึด มั ่น อรูป เปน ทุก ขเ หมือ นกัน หมด ; แต ว า โชคดี ที่ มี ธ าตุ สุ ด ท า ยคื อ นิ โรธธาตุ ที่ จั ด ไว ฝ า ยอสั ง ขตธาตุ โน น ที่ ม าช ว ย แกสิ ่ง เหลา นี ้ไ ด นั ้น เราคอ ยรูท ีห ลัง . เพราะวา เดี ๋ย วนี ้เ ราจะรู เ รื ่อ งที ่ทํ า ใหเ กิด ความทุ กข ขึ้ น มา คื อ ธาตุ ดิ น น้ํ า ลม ไฟ เป นรากฐานของ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ, รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ จะต อ งรู มั น อย า งไร. อย า ให ป รุ ง มาเป น เรื่ อ งกาม เรื่ อ งรู ป เรื่ อ งอรู ป ขึ้ น มา. รู ไ ปถึ ง ว า ถ า เรามี ส ติ หรื อ มี ค วามรู มันก็ปรุงไมได; ถาเราไมรูหรือเผลอไป มันก็ตองปรุงและเปนทุกขแน. เรื่องนี้จะใหใครสอน ? ก็พระพุทธเจาตรัสไววา ความดับไมเหลือแหง โลก แหง ทุก ขนี้ ก็อ ยูใ นรา งกายนี้; เพราะฉะนั้น ธรรมชาตินั่น แหละสอน, ตั ว เองนั่ น แหละสอน คื อ ความเจ็ บ ปวดนั่ น แหละมั น สอน, ความทุ ก ข นั่ น แหละมั น สอน, ลองเป น ทุ ก ข ใ ห ม าก ๆ เข า มั น ก็ จ ะบอกความตรงข า มได เอง. นี่ ธ รรมชาติ ไปทํ า อะไรให เข า เป น ทุ ก ข แล ว มั น ก็ เข็ ด หลาบ มั น ก็ ไ ม ทํ า อี ก ; เมื่ อ เราทํ า อย า งนี้ เจ็บปวด เราก็ไมทําอีก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แ ม แ ต ส ุน ัข แ ล ะ แ ม ว ม ัน ก ็รู จ ัก ว า ถ า ทํ า อ ย า ง นี ้แ ล ว ม ัน เด ือ ด ร อ น , แล ว มั น ก็ ไ ม ทํ า อี ก , มั น ก็ ห ลี ก เลี่ ย งเสี ย . ความรู ช นิ ด นี้ มั น สะสมกั น มากขึ้ น ๆ เรีย กวา สติป ญ ญา, ก็ใ ชส ติป ญ ญานี ้ป อ งกัน ไมใ หม ัน ปรุง แตง กัน ขึ ้น มา ใน
อารัมภกถาเกี่ยวกับ ก ข ก กา ในพุทธศาสนา
๑๗
ลัก ษณะที ่เปน ทุก ข. ดัง นั ้น เขาจึง สอนเรื่อ งใหเห็น ความจริง ของธาตุด ิน ธาตุน้ํ า ธาตุไฟ ธาตุลม, เห็ นความไม ใช ตั วตน ของ ตา หู จมู ก ลิ้น กาย ใจ รูป เสี ยง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ มั น ก็ ไ ม มี ท างที่ จ ะปรุ ง ให เกิ ด ความรู สึ ก ที่ เป น กิเลส เปนอุปาทาน. ถ าจะแยกให ล ะเอี ย ดออกไปว า ธาตุ ทั้ ง หลายมั น จะปรุ งเป น อายตนะ, อายตนะมั น จะปรุ ง เป น ขั น ธ , แล ว ขั น ธ นี้ ถ า เผลอเมื่ อ ไร มั น จะเป น ที่ ตั้ ง แห ง อุป าทาน, กลายเปน ทานขัน ธขึ ้น มา. เรื ่อ งขัน ธห า นี ้ ตอ งถือ เปน เรื ่อ ง สํ าคั ญ ที่ สุ ด เพราะวาพระพุ ทธเจ าท านสอนมากที่ สุ ด. เมื่ อเราสํ ารวจดู ในพระบาลิ ทั้ ง หมดแล ว พบว า สอนเรื่ อ งขั น ธ ห า มากที่ สุ ด , หรื อ อย า งน อ ยก็ เนื่ อ งกั น อยู กั บ ขัน ธห า , แลว ก็เ รื ่อ งขัน ธห า นี ่เ อง ที ่ทํ า ใหบ ุค คลชุด แรกเปน พระอรหัน ต คือ พระบาลีอนัตตลักขณสูตร. แตมันไมสําคัญเทากับขอที่วา เรื่องขันธหานั้นมันคือ เรื ่อ งที ่ม ีอ ยู ใ นเนื ้อ ในตัว , ในกาย ในวาจา ในใจ อะไร ในตัว คนนั ่น เอง คือ ขันธห า. ฉะนั้ นเรื่องจึ งไม มี เรื่องอะไรสํ าคั ญมากเท าขั นธห า, แล วเรื่องต าง ๆ ทั้ งหลาย มั น ก็ ป ระกอบอยู ที่ ขั น ธ ห า . เรื่ อ งสุ ข เรื่ อ งทุ ก ข เรื่ อ งดี เรื่ อ งชั่ ว เรื่ อ งบุ ญ เรื่ อ ง บาป เรื่ อ งปฏิ จ จสมุ ป บาท เรื่ อ งอริ ย สั จ จ เรื่ อ งกรรม เรื่ อ งอะไรก็ ต าม มั น เนื่ อ ง อยูกับเรื่องขันธหา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉ ะนั้ น รู จั ก ขั น ธ ห าอ ย าให เกิ ด เป น ทุ ก ข , รู จั ก เรื่ อ งขอ งขั น ธ ห าถึ งขน าด ที่ อยา ใหเ กิด เปน ทุก ขขึ ้น มา. ใหเ ปน ขัน ธห า แตอ ยา เปน อุป าทานขัน ธห า คือ ใหเปน เพีย งขัน ธห า ตามธรรมชาติ, และมีส ติป ญ ญารูเทา ทัน เสีย . อยา เผลอ ให เป น ขั น ธ ห า ถู ก ยึ ด ถื อ เป น ป ญ จุ ป าทานขั น ธ แ ล ว เป น ทุ ก ข นี้ คื อ เรื่ อ ง ก ข ก กา เพราะวา ถา เราทํา ไดน ะ ไมเ กิด อุป าทานขัน ธหา แลว จิต ใจก็จ ะไมมีทุก ข ก็
๑๘
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
เรี ย กว า เป น ประภั ส สร, คื อ สุ ก ใสกาววาวอยู เรื่ อ ย เพราะไม มี อุ ป กิ เลสอั น ใดเกิ ด ขึ้น; นั่นคือพื้นฐานเดิมแทของสิ่งที่เรียกวาคนหรือจิต. คนมี จิ ต เป น ประภั ส สรอยู เป น พื้ น ฐาน แต เขาไม มี ค วามรู เพี ย งพอ, ยั ง ไม มี ค วามรู เพี ย งพอ หรื อ ว า รู แ ล ว เผลอไปบ า งก็ มี , จิ ต ก็ สู ญ ความเป น ประภั ส สรอยู บอ ย ๆ ; สูญ ทีไ รก็เ ปน ทุก ขท ุก ที. นี ้ค วามเข็ด หลาบสอนใหร ะมัด ระวัง ดีขึ ้น ๆ ก็ รั ก ษาไว ไ ด : ฉะนั้ น ความรู ค วามฉลาดที่ เ พิ่ ม ขึ้ น ก็ คื อ ความรู ใ น เรื่ อ งธาตุ เรื่องอายตนะ เรื่องขั นธ เรื่องป ญ จุปาทานขันธ นั่นเอง อาการทั้ งหลายที่ เรียกวา อาการปฏิจจสมุปบาท ก็คืออาการของขันธที่ประกอบอยูดวยอุปาทาน. ฉะนั้ น ให ทุ ก คนถื อ ว า นี้ เ ป น เรื่ อ งเบื้ อ งต น ; เหมื อ นกั บ ว า เราจะเรี ย น หนั ง สื อ เราควรจะเรี ย น ก ข ก กา ก อ นดี ก ว า ที่ จ ะไปเรี ย นคลุ ม ๆ เอา, อย า ง คนโบราณเขาสอนให อ า นหนั ง สื อ ลั ก ษณวงศ เลยที เดี ย ว อ า นเลย มั น ไม มี ร ากฐาน, มัน จะสํ า เร็จ ประโยชนบ า งในวงแคบ. พออา นหนัง สือ รู เ รื ่อ งบา ง แตว า เขีย นก็ ไม ค อยจะได , อ านก็ ผิ ด ๆ ถู ก ๆ สะกดการั นต , จะอ านได แต ที่ เคยอ านมาแล วเท านั้ น. ฉะนั ้น ขอใหเ ขา ใจเรื ่อ ง ๓ เรื ่อ ง คือ เรื ่อ งธาตุ เรื ่อ งอายตนะ แลว ก็เ รื ่อ งขัน ธ และอุป าท าน ขัน ธด ว ย. นี ่ค ือ เรื ่อ งความทุก ข และเรื ่อ งความดับ ทุก ข เรีย ก งาย ๆ กันเสียใหมวา เรื่อง ก ข ก กา ของพระธรรม.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ขอใหทุกคนประสบความสําเร็จในวันปใหม โดยใหมออกไปจากปที่แลวมา วาเราเรียน ก ข ก กา กันเสียใหม. [การบรรยายครั้งที่ ๒ เปนเรื่องอภิปรายของภิกษุอื่น. ไมไดรวมไวในชุดนี้] ผู ร วบรวม.
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา - ๓๑๙ มกราคม ๒๕๑๗
เรื่องเกี่ยวกับธาตุ.
ทานสาธุชน ผูมีความสนใจในธรรม ทั้งหลาย, [ปรารภและทบทวน]
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อาตมามี ความตั้ งใจไว ว า การบรรยายวั นเสาร ตลอดภาคแรก ๓ เดื อนนี้ จั ก ได ก ล าวกั น โดยหั วข อ ว า ก ข ก กา แห งพระพุ ท ธศาสนาเรื่ อ ย ๆ ไปทุ ก คราว ; แม ว าในบางคราวจะบรรยายเองไม ได ก็ จ ะขอให ภิ ก ษุ บ างองค ที่ บ รรยายได โดย ปริย ายโดยปริ ย ายหนึ่ ง ส วนใดส วนหนึ่ ง เป น ผู บ รรยายกั น เรื่ อ ย ๆ ไป, ไม ให ขาด. แต ก็ ให ยั งคงอยู ในข อ ว า ก ข ก กา ของพุ ท ธศาสนาอยู นั่ น เอง, หรื อ จะเรี ย กให ดี กวานั้น ก็จะเรียกวา ก ข ก กา ของปรมัตถธรรมในพุทธศาสนา อยางนี้ก็ได เหมื อ นกั น . อย างแรก พู ด ถึ งพุ ท ธศาสนา, อย างหลั งเรีย กวา ปรมั ต ถธรรมใน พุ ท ธศาสนา ฟ ง ดู ค ล า ยกั บ ว า มั น คนละเรื่ อ งกั น เป น พุ ท ธศาสนาธรรมดา กั บ พุ ท ธศาสนาอย า งลึ ก ซึ้ ง ขนาดเป น ปรมั ต ถ เป น ๒ อย า งกั น อยู อ ย า งนี้ ก็ เพราะ ๑๙
๒๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
วาคนเขาชอบพู ดกั นอย างนี้ แล วมั นก็เป นเรื่องวาเอาเองเสียมากกวา. พุ ทธศาสนา มีเรื่องเดียว เรื่องดับทุกขที่เกิดมาจากอุปาทาน, ที่เกิดมาจากตัณหา, ที่เกิดมา จากอวิ ช ชา, เป น ลํ า ดั บ ๆ ๆ กั น ไป มั น มี เท า นี้ . มั น ไม มี ตื้ น ลึ ก อะไรมากไปกว า นี้ เรียกวาเปนเรื่องเดียวกันได. เดี๋ ยวนี้ คนมั กจะถื อเอาศี ลธรรมขั้ นต่ํ า ๆ ซึ่ งมั นเหมื อนกั นทุ กศาสนา และ มี อยู ก อนพุ ทธศาสนาเกิ ดด วยซ้ํ าไป ว านี่ ก็ เป นพุ ทธศาสนา ก็ เลยเกิ ดมี พุ ทธศาสนา อย างธรรมดา ๆ แล วก็ เกิ ดพุ ทธศาสนาอย างที่ เรียกว าชั้ นลึ กซึ้ ง หรือปรมั ตถ . คํ าว า ปรมั ต ถ นี้ พระพุ ท ธเจ า จะไม เคยใช ไม เ คยทรงใช ด ว ยซ้ํ า ไป แต ค นชั้ น หลั ง นี้ ก็ หลงใหลกั น สํ า หรั บ จะโอ อ วด ว า เรามี ค วามรู ในชั้ น ปรมั ต ถ อย า งนี้ เป น ต น . ควร จะถือเสียวา ถาพุท ธศาสนาแลวก็ตองเปน ปรมัต ถ คือ เปนเรื่องลึกในการที่จะ ดับ ทุก ข; ฉะนั ้น จึง ไมต อ งพุด ใหเ ปน สองอยา งสามอยา งก็ไ ด. นี ้ค วรจะเขา ใจ กัน ไวเสีย ตอนหนึ ่ง ดว ย วา ถา เปน พุท ธศาสนาจริง ก็ไ มม ีเ รื ่อ งอื ่น นอกจาก เรื ่อ งดับ ทุก ข โดยดับ ที ่ก ิเ ลสอัน เปน เหตุใ หเ กิด ทุก ขนั ้น เทา นั ้น , นอกนั ้น ก็เ ปน ของที่ เหมื อ นกั น ในทุ ก ศาสนา, หรือ ว า เขาสอนกั น อยู ก อ นพุ ท ธศาสนา. เรื่ อ งการ เวียนวายไปตามกรรมอยางนี้เขาสอนกันอยูกอนพุทธศาสนา ; แตถาพุทธศาสนา เกิ ด ขึ้ น ก็ ต อ งสอนเรื่ อ งการหยุ ด เวี ย นว า ยไปตามกรรม คื อ เอาชนะกรรมหรือ วิบ ากของกรรมนั ้น ใหไ ด ; นั ่น แหละคือ พุท ธศาสนา ; เพราะฉะนั ้น พุท ธศาสนา จึงเล็งถึงเรื่องดับทุกข ดวยสามารถดับกิเลสดับตัณหานั้นโดยตรง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ า จ ะ พ ูด ใ น ร ูป ข อ ง คํ า ส อ น ก ็เ ป น คํ า ส อ น เรื ่อ ง ใ ห ด ับ ท ุก ข โด ย การมองใหเห็น สิ่ง หนึ ่ง ซึ่ง สํา คัญ ที่ส ุด เพีย งสิ ่ง เดีย ว คือ สิ่ง ที่เรีย กวา อนัต ตา. ถ า ใครเห็ น ความจริ งทุ ก ๆ ประการ เกี่ ย วกั บ สิ่ งที่ เรี ย กว าอนั ต ตา ก็ ห มายความว า
เรื่องเกี่ยวกับธาตุ
๒๑
เห็ น พุ ท ธศาสนา, เห็ น ธรรมะ, เห็ น การปฏิ บั ติ , และผลของการปฏิ บั ติ ธ รรมะใน พุ ท ธศาสนา. เราจึ ง เพ ง เล็ ง ไปยั ง สิ่ ง ที่ เรี ย กว า อนั ต ตา ซึ่ ง มั น มี อ ยู แ ต ใ นพุ ท ธ ศาสนา ในศาสนาอื่นเขาไมใชคํานี้, หรือถาในศาสนาอื่นบางศาสนาแลว จะหา ว าอนั ต ตานี้ เป น เรื่อ งผิ ด ไปเสี ย ก็ ได ; เพราะว าเขาจะสอนเรื่ อ งอั ต ตา คื อ ให มี อั ต ตา ที ่แ ทจ ริง . สว นพุท ธศาสนานั ้น ตอ งการจะใหเ ห็น จริง ที ่จ ริง กวา จริง ที ่ส ุด คื อ ว า เห็ น อนั ต ตา คื อ ความที่ มั น ไม ใช อั ต ตา หรือ มั น ไม มี สิ่ งที่ ค วรจะเรีย ก ว า อัตตาโดยแทจริง นี้ก็เรียกวาอนัตตา. ใหถ ือ วา ตัว พุท ธศาสนาทั ้ง เนื ้อ ทั ้ง ตัว ก็ค ือ เรื ่อ งอนัต ตา; ถา เห็น แล วจะดั บกิ เลสทั นที , กิ เลสดั บแล วก็ ดั บทุ กขได ; นั่ นแหละตั วแท ของพุ ทธศาสนา , จะเรีย กว าปรมั ต ถธรรม หรือ จะไม เรีย กว าปรมั ต ถธรรม มั น ก็ ต อ งเรื่อ งนี้ , มั น ไม มี เรื ่อ งอื ่น นอกไปจากเรื ่อ งนี ้ไ ด. ฉะนั ้น ขอใหส นใจเรื่อ งสิ ่ง ที ่เ รีย กวา อนัต ตา คือตัวพุทธศาสนา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทุกสิ่งเปนธาตุ : สังขตะเปนอสังขตะ.
เมื่ อ มาถึ งตรงนี้ อยากจะพู ด เสี ย เลยว า พุ ท ธศาสนาสอนให เห็ น ทุ ก อย า งโดยความเป น ธาตุ , เป น สั ก ว า ธาตุ , ไม มี ส ว นใดที่ จ ะถื อ ว า เป น สั ต ว เป น บุค คล ตัว ตน เราเขา. พุท ธศาสนามุ ง จะใหเห็น อนัต ตา คือ เห็น วา มัน ไมม ีต ัว ไมมีตน สัตว บุคคล อะไร, มีแตสิ่งที่เรียกวาธาตุ.
๒๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ที นี้ ใ นบรรดาธาตุ ทั้ ง หลายนั้ น จะมี กี่ สิ บ อย า ง กี่ ร อ ยอย า ง ก็ สุ ด แท ; แตสรุปแลวมันก็มีเพียง ๒ อยางคือ สังขตธาตุ กับ อสังขตธาตุ. โดยสรุปยอ สังขตธาตุ ก็คือสิ่งที่มัน มีเหตุปจจัยปรุงแตง ทําใหหมุน เวียนเปลี่ยนแปลงอยูเสมอ ไมมีที่สิ้นสุด มันมีตัวมันเองเปนความหมุนเวียนเปลี่ยน แปลง, อะไรประกอบกัน เขา เปน สิ ่ง เหลา นี ้ ไมว า สว นไหนก็ต าม ก็เ รีย กวา ธาตุ ทั้ งนั้ น . ฉะนั้ น สั งเขตธาตุ จึ งมี ม ากมายหลายสิ บ หลายรอ ยอย าง เรียกว าสั งขตธาตุ เพราะมีเหตุปจจัยปรุงแตง นี้ก็เรียกวาธาตุเทานั้น ไมใชสัตว บุคคลตัวตน เราเขา. ที นี้ อ ย างที่ ส องเรีย ก อสั งขตธาตุ นั้ น คื อ ตรงกั น ข าม สิ่ งนี้ ไม มี ป จ จั ย ปรุง แตง , แลว ก็ไ มป รุง แตง สิ ่ง ใด มัน ตรงกัน ขา มกับ สัง ขตธาตุ โดยประการ ทั้ง ปวง. บางทีก็เ รีย กวา นิโ รธธาตุ ธาตุเ ปน ที่ดับ แหง ธาตุทั้ง หลาย, บางที ก็เ รีย กวา นิพ พานธาตุ ธาตุเ ปน ที ่ด ับ เย็น สนิท อยา งนี้ก็ม ี ; เรีย กกัน อยา ง รัด กุม ก็ค วรจะเรีย กวา อสัง ขตธาตุ คือ ธาตุที ่ไ มม ีเหตุป จ จัย ปรุง แตง , ทรง ตั วอยู ได โดยไม ต องมี เหตุ ป จจัยปรุงแต ง มั นจึงไม เปลี่ ยนแปลง มั นจึ งไม ดู น าเกลี ยด แตถึงอยางนั้นก็เปนสักแตวาธาตุ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สัง ขตธาตุ ก็เปน แตส ัก วา ธาตุ, อสัง ขตธาตุ ก็เ ปน แตส ัก วา ธาตุ ; เพราะฉะนั้นมันจึงมีแตอนัตตา. สังขารทั้งปวงไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตา นั ้น ถูก ; แตธ รรมทั ้ง ปวงเปน อนัต ตานั ้น ถูก กวา คือ วา สัง ขารก็ต ามวิส ัง ขาร ก็ ต ามหมายความว า ที่ เป น สั ง ขารก็ ต าม ที่ เป น วิ สั ง ขารก็ ต าม เป น อนั ต ตาด ว ย ; สว นที ่ไ มเ ที ่ย งที ่เ ปน ทุก ขนั ้น มัน เปน แตพ วกที ่เ ปน สัง ขาร หรือ เปน สัง ขตธาตุ.
เรื่องเกี่ยวกับธาตุ
๒๓
ฉะนั้ น เราจึ ง กล าวได โดยสรุป ท า ยในที่ สุ ด ว า จะเป น ธาตุ ช นิ ด ไหนมั น ก็ ล ว นแต สั ก วาธาตุ, ไมใชสัตว บุคคล ตัวตน เราเขา อะไรนี้. ฉะนั้ น จึ งไม ถื อ ว า นิ พ พานนั้ น เป น อั ต ตา แม ว า จะมี ค นบางคน ครู บ า อาจารย บางท านสอนวา นิ พพานเป นอั ตตาอะไรก็ ตามใจเขา, ไม จํ าเป นจะต องไป เถียงกัน, และนี้ตองการจะชี้ใหเห็นวา พระพุทธเจาทานทรงแสดงไวชัดวา ที่เปน สังขตะก็เปนเพียงสักวาธาตุ, ที่เปนอสังขตะก็เปนเพียงสักวาธาตุ. ฉะนั้นเมื่อเปน เพีย ง สัก วา ธาตุแ ลว ก็เ ปน ตัว ตนไปไมไ ด ; ดัง นั้น จึง เปน อนัต ตา. ความรู นี ้ไ มเ ปน ที ่ตั ้ง แหง กิเ ลส แตเ ปน ที ่ด ับ แหง กิเ ลส ; ไมเ ปน ที ่ตั ้ง แหง กิเ ลสก็ไ มอ าจ จะทํ า กรรม ดัง นั ้น ก็ไ มม ีก รรม ไมม ีผ ลกรรม ดว ยอํ า นาจของความรู ข อ นี ้. นี้ คือตัวพุทธศาสนา. ที นี้ เมื่ อกล าวอย างนี้ ท านทั้ งหลายทุ ก คนก็ ลองคิ ดดู เอาเองก็ แล วกั น ว า อะไรจะเป นสิ่ งที่ ควรเรี ยกว า ก ข ก กา ในพระพุ ทธศาสนา. อาตมาก็ เห็ นว า เรื่ อ ง ธาตุ นั้ น เอง เป น เรื่อ ง ก ข ก กา ในพุ ท ธศาสนา; เพราะฉะนั้ น ขอให ตั้ งต น ศึกษาเรื่องธาตุ ใหเขาใจละเอียด ชัดเจนแจมแจง แตกฉานโดยประการทั้งปวง , ก็ จ ะเรี ย กเข า ใจเรื่ อ ง ก ข ก กา ในพุ ท ธศาสนา. แต ที นี้ มั น มี บ างคนโง ไปว า เรื่ อ ง ก ข ก กา นี้ เป น เรื่ อ งง าย มั น มี เรื่ อ งยากอยู อี ก เรื่ องหนึ่ งต างหาก. อาตมาไม คิ ด ว า อยา งนั ้น คิด วา ก ข ก กา นี ้ไ มใ ชเ รื ่อ งงา ย ; แตวา เปน เรื ่อ งรากฐาน เปน เรื่ อ งพื้ น ฐาน เป น เรื่ อ งสมุ ฏ ฐาน ของทุ ก เรื่ อ ง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เรื ่อ งรากฐานของทุก เรื่อ ง ไมไ ดห มายความวา งา ย ; เมื ่อ ไปเขา ใจ ว า เรื่อ งธาตุ ทั้ ง หลายเป น เรื่ อ งง า ยเสี ย แล ว ก็ ไม ค อ ยจะสนใจ. นี่ ค นโดยมากที่ เป น
๒๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
นัก ศึก ษา นัก ธรรม นัก อะไร ก็ส ุด แท มัก จะดูห มิ ่น เรื ่อ งธาตุ วา เปน เรื ่อ งงา ย, แลว ก็ไ มส นใจใหส ุด ความสามารถของตน, เลยไมม ีค วามรู เรื ่อ งธาตุ. เขาก็เลย ไม รู เรื่ อ ง ก ข ก กา พอที่ จ ะเป น รากฐานอั น แท จริ งของการศึ ก ษาเรื่ อ งพุ ท ธศาสนา นั้นได. อยา ลืม วา เรื่อ งพุท ธศาสนานั้น คือ เรื่อ งอนัต ตา; ถา ไมเ ห็น ธาตุ ก็ไ มเ ห็น อนัต ตา; ถา เห็น อนัต ตาก็ห มายความวา เห็น ธาตุ เห็น โดยความเปน ธาตุ จึ งถื อว าเรื่ องธาตุ นี้ เป นเรื่องรากฐาน ; อย างกั บว า ก ข ก กา เป นรากฐานของ การเรียนหนังสือหนังหาที่เราเรียนกันอยู. ที นี้ ถ าบางคนจะคิ ดว า อ าว, ก็ เรื่อง ก ข ก กา มั นเป นเรื่ องง ายนี่ เบื้ อง ตนงาย ๆ นั้นคือคนโงที่สุด; เพราะวาอาตมาเคยถูกตีมาหลายครั้งหลายหน เมื่อ เรี ยน ก ข ก กา มั นไม งาย มั นจํ าก็ ยาก มั นจํ าได ยาก จํ าได ไม หมด วั นหนึ่ งไม กี่ ตั ว, เคยถูก ตีเพราะเรีย น ก ข ก กา นี ้ม าก ตามวิธ ีก ารเรีย นสมัย กอ น ; จํ า ไมไ ดก ็ตี ขี ้เกีย จก็ต ี เผลอไปก็ต ี อะไรก็ต ี, ไมเ หมือ นเดี ๋ย วนี ้ ซึ ่ง เขาใหร อ งเพลงไปพลาง เรียน ก ข ก กา แตก็ไมเชื่อวามันจะรูดีกวา จะตั้งใจเรียนจริง ๆ .
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เมื่ อเรี ยน ก ข ก กา นี้ ถู กตี มากกว า เมื่ อเรี ยนขึ้ นมาถึ ง กะ กา กิ กี กระทั่ ง อ านได , เรี ย นหนั งสื อ เป น เล ม ๆ ได นี้ ไม ค อ ยถู ก ตี แ ล ว ก็ ต อ งถื อ ว า เมื่ อ เรี ย น ก ข ก กา คื อ เรื่ อ งหนั ก อกหนั ก ใจที่ สุ ด , เป น เรื่ อ งแรกเรี ย น แรกลงมื อ เรี ย น ; ฉะนั้ น อย าได ถื อว าเรื่ อง ก ข ก กา นี้ เป นเรื่องงาย. ขอให นึ กถึ งตั วเองเมื่ อแรกเรียนหนั งสื อ คงจะไม มี อะไรหนั กอกหนั กใจมาก เท าที่ จะต องจํ า ก ข ก กา นี้ เพราะมั นไม สนุ กเลย อะไรก็ไมรู มันจะสนุกบางก็ตอเมื่ออานออกเปนเรื่องเปนราวบางแลว.
เรื่องเกี่ยวกับธาตุ
๒๕
ที่ พู ด นี้ ก็ ห ม าย ค วาม ว า อ ย าให เห็ น ว าเรื่ อ ง ก ข ก ก า เป น เรื่ อ งง า ย ; แต ใ ห เ ห็ น ว า เป น รากฐานเบื้ อ งต น เป น พื้ น ฐานทั่ ว ไป ที่ เ ราจะต อ งทํ า ให ดี ให รู จริ ง . เดี๋ ย วนี้ จ ะลองทดสอบกั น ดู ก็ ได จั บ คนโต ๆ นี้ ม าให เขี ย น ก ข ก กา ในเวลา อั น สั้ น ให เ รี ย บร อ ย ; บางที จ ะเขี ย นผิ ด ก็ ไ ด , ยิ่ ง ต อ งการให เ ขี ย นเป น วรรค เป น หมวด เปน หมู ใหถ ูก ตามวิธ ีข องการจัด อัก ขรวิธ ี บางทีเ ขีย นผิด ก็ไ ด. บางคน ไม รู ว า ก ข ค ฆ ง, จ ฉ ช ซ ฌ ญ นี้ มั นไม รู ไม รู ว าเป น วรรคอย างไร ? เพราะเหตุ ใด จึ ง ต อ งเป น วรรคอย า งนั้ น ? ไม ไ ด เ รี ย นเรื่ อ งอวั ย วะที่ เ กิ ด แห ง ตั ว พยั ญ ชนะหรื อ สระ เหลานี้มันก็เขียนไมถูก. นี่ไมควรจะถือวาเรื่อง ก ข ก กา นี้เปนเรื่องงายเกินไป. เอาละ, เป น ที่ ยุ ติ กั น เสี ย ที ว าเมื่ อ พู ด ว า ก ข ก กา, A B C D นี้ มั น ไม ใช เรื่ อ งง า ย ; แต มั น เป น เรื่ อ งรากฐาน แล ว กว า งขวางไม มี ที่ สิ้ น สุ ด . จะเรี ย นให จ บ มหาวิ ท ยาลั ย ชั้ น ไหนสั ก กี่ ชั้ น มั น ก็ ไ ม พ น ตั ว ก ตั ว ข ตั ว ค ตั ว ง อยู นั่ น แหละ ; ต อ งมี พ ยั ญ ชนะ มี ส ระอะไรเหล า นี้ เป น รากฐานของการใช ห นั ง สื อ เรี ย นหนั ง สื อ . ข อ นี้ เป น อย างไร การศึ ก ษาพุ ท ธศาสนาก็ ต อ งใช ก ข ก กา คื อ เรื่ อ งธาตุ ทั้ งปวง เป น เสมื อ นกั บ ว า ก ข ก กา อย า งนั้ น . พอรู ธ าตุ ทั้ ง สองฝ า ย คื อ ฝ า ยสั ง ขตะและฝ า ย อสัง ขตะ ก็เ ปน อัน วา รู ห มด คือ รู ว า ไมม ีอ ัต ตา แตเ ปน อนัต ตา, เปน เหตุใ ห จิตหลุดพน ไมยึดถือสิ่งใด วาเปนตัวตนหรือของตน มันก็ดับทุกขได ก็นิพพาน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ขอวิ ง วอนให ท า นทั้ ง หลายทุ ก คน สนใจเรื่ อ งธาตุ ในฐานะที่ เป น ก ข ก กา ของพระพุท ธศาสนา หรือ จะเรีย กวา ของปรมัต ถธรรม ในพุท ธศาสนา ก็ส ุด แท, แลว แตจ ะชอบ. บางคนก็ช อบชื ่อ เสีย งที ่โ ก ๆ เก ๆ ก็ว า กัน ไป ; แต ว า กั น โดยตรง ๆ แล ว ก็ ไ ม ต อ งก็ ไ ด . เมื่ อ มั น เป น ตั ว พุ ท ธศาสนาแล ว ก็ ไ ม มี เล็ ก ไม มี
๒๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ตื้น ไมงา ย, แลว ตอ งเรีย นใหรูวา สิ่ง ทั้ง ปวงเปน สัก วา ธาตุต ามธรรมชาติ ; ไมใชสัตว บุคคล ตัวตน เราเขา อยางนี้. นี่ วัน นี้ ก็ พู ด ให เห็ น กัน เสี ยที วา ก ข ก กา นี้ หมายความวาอย างไร. ทีนี้ก็พูดใหเห็นพอเปนเคา ๆ ตอไปอีกสักหนอยวา ธาตุทั้งหลายนี่มันตั้งอยูในฐานะ เปน ก ข ก กา อยางไร.
ศึกษาคุณสมบัติของธาตุ. ขอให ทุ กคนสนใจคํ า ๆ เดี ยวนี้ กั นเสี ยก อนว า มั นหมายความว าอะไร ? คื อคํ าวา ธาตุ เขี ยนเป นภาษาบาลี อ านเป น ๒ พยางค วา ธา - ตุ ธ ธง สระ อา ต เต า สระ อุ อ านว า ธา – ตุ ๒ พยางค ; แต พ อมาเป นภาษาไทยเขาไปรวมกั น เสี ย เป น ตั ว สะกด อ า นว า ธาตุ เฉย ๆ. เราใช ภ าษาไทย เราก็ ใ ช คํ า ว า ธาตุ จึ ง ถามวา คําวา ธาตุนี้หมายถึงอะไร ?
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ าจะเอากั นตามตั วภาษาแล วมั นยุ งยากมาก, ทางพยั ญชนะก็ ยุ งยากมาก, แปลวา สิ ่ง ที ่ท รงตัว เองอยู ไ ด โดยเหตุป จ จัย หรือ ดว ยตัว มัน เองโดยไมต อ งมีเหตุ ป จจั ย มั น ยุ งยากมาก. ฉะนั้ น ถื อ เอาตามความหมายทั่ ว ๆ ไปในภาษาอื่ น ๆ ด วย ก็ ได ว า , คํ า ว า ธาตุ หมายความว า ส ว นประกอบ; ส ว น ที่ เราไม จํ า เป น จะต อ ง แบ งแยกออกไปอี ก แล ว. คื อ ส วนประกอบหลาย ๆ ส วนที่ ป ระกอบกั น ขึ้ น เป น สิ่ งใด สิ่ งหนึ่ ง. ส วนประกอบส วนที่ เราไม ค วรจะแบ งแยกออกไปอี ก แล ว, ยุ ติ กั น เท านั้ น ที่
เรื่องเกี่ยวกับธาตุ
๒๗
ที่ นั่ น เรี ย กว า ธาตุ . แม คํ า ว า element ในภาษาอั ง กฤษ เขาก็ ใ ห คํ า แปลอย า งนี้ เหมือ นกัน ; สว นประกอบสว นสุด ทา ย ซึ ่ง จะไมแ บง แยกกัน อีก , ยุต ิอ ยา งนี้ แหละดี, มัน งา ยดี. ขึ ้น ชื ่อ วา ธาตุแ ลว ก็แ ปลวา สว นประกอบสว นหนึ ่ง ๆ ซึ่ งจะประกอบกั น เข าหลาย ๆ ส วนเป น สิ่ งใดสิ่ งหนึ่ ง นั้ น คื อ สิ่ งที่ เรีย กว าธาตุ ; เมื่ อ เรียกวาธาตุแลว ก็จะไมพยายามแบงออกไปอีกแลว. ที นี้ ก็ ดู ว ามั นมี อะไรบ าง ? เหมื อนอย างเมื่ อตะกี้ นี้ พระผู สวนสาธยายนี้ ก็ไดสวดวา บุรุษนี้ประกอบไปดวยธาตุหก. พระพุทธเจาตรัสวา คนเรานี้ประกอบ ไปดว ยธาตุ ๖ คือ ธาตุด ิน ธาตุน้ํ า ธาตุไ ฟ ธาตุอ ากาศ ธาตุว ิญ ญ าณ . ธาตุทั ้ง ๖ นี ้ ไมจํ า เปน จะตอ งแบง แยกอีก ก็ได หรือ มัน ไมค วรจะแบง แยกได ดวย เชนวา :ธาตุดิน หมายถึง คุณสมบัติที่มีลักษณะ เปนของแข็ง กินเนื้อที่ ; จะแยกเป น ผม ขน หนั ง นั้ น มั น ไม เป น ประมาณ มั น มากมาย มั น ไม สิ้ น สุ ด ได . แต ทุ กอย างมั นเหมื อนกั นตรงที่ ว า ในสิ่ งเหล านั้ นมั นมี ของแข็ ง มี ความเป นของแข็ ง ที่กินเนื้อที่.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ธาตุน้ํ า สําหรับธาตุน้ํานี่ ก็คือธาตุที่วามันเกาะกุมกันเขา ดวยความ เหลวของมัน เปลี ่ย นรูป เปลี ่ย นรา งไปได ; แตก็ไมล ะจากกัน คุณ สมบัต ิแ หง การคุ ม ตั ว เกาะตั ว กั น อยู นี้ เรีย กว า ธาตุ น้ํ า ; จะดู ที่ น้ํ า เลื อ ด น้ํ า หนอง น้ํ า อะไรใน ตัวคนนี้ก็ได.
๒๘
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ที นี้ ธาตุ ไฟ นั้ น คื อ ความรอ นและอุ ณ หภู มิ คุ ณ สมบั ติ ที่ เป น ความ รอน และเผาไหมสิ่งอื่นได นี้ก็เรียกวาธาตุไฟ. ทีนี้ ธาตุลม นั้น คุณสมบัติที่ ระเหยได นี้สิ่งที่ทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลง. ฉะนั้ น ดิ น น้ํ า ลม ไฟ ๔ ธาตุ นี้ เป น เรื่ อ งวั ต ถุ มี อ ยู ในวั ต ถุ ทั้ งหลาย : ในเนื้ อ ก็ มี ดิ น น้ํ า ลม ไฟ, ในเลื อ ดก็ มี ดิ น น้ํ า ลม ไฟ, มั น จะพู ด ชี้ ระบุ ไปที่ สิ่ ง ใดสิ ่ง หนึ ่ง โดยเฉพาะไมไ ด; จึง ตอ งพูด วา หมายถึง คุณ สมบัต ิที ่เ ปน ของแข็ง กิ นเนื้ อที่ คุ ณ สมบั ติ อั นนี้ เรียกวาธาตุ ดิ น, คุ ณ สมบั ติ ที่ อ อนเหลวแต เกาะตั วอยู เสมอ คุ ณ สมบั ติ นี้ เรีย กว าธาตุ น้ํ า คุ ณ สมบั ติ ที่ ทํ าให มี ความรอ น และเผาผลาญสิ่ งอื่ น ได คุณสมบัตินี้ก็เรียกวาธาตุไฟ, สวนที่ระเหยขยายตัวลอยไปได นี้ก็เรียกวาธาตุลม. ที นี้ ธ าตุ ถั ด ไปเรีย กว า อากาศธาตุ คื อ ความว า งหรือ ที่ ว า ง หรือ ส ว น ที ่เ ปน ที ่ว า ง หรือ คุณ สมบัต ิแ หง ความวา ง ซึ ่ง เปน เหตุใ หสิ ่ง อื ่น เขา ไปตั ้ง อยู ไ ด . ถา ไมม ีธ าตุนี ้ ธาตุทั ้ง หลายก็ไ มม ีที ่ตั ้ง เหมือ นกัน ; ธาตุทั ้ง หลายอื ่น นั ้น มัน ตั ้ง อยูบนธาตุวาง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ ธ าตุ สุ ด ท าย คื อ วิ ญ ญ าณ ธ าตุ นี้ แ ย ก อ อ ก ไป ต างห าก เป น น าม ธ รรม เปน นามธาตุ คือ ธาตุที ่เปน ความรูส ึก ที ่ทํ า ความรูส ึก ใหเกิด ขึ้น ได. วิญ ญาณ ธาตุก ็ต อ งอาศัย อยู ที ่ ธาตุด ิน ธาตุไ ฟ ธาตุล ม อากาศธาตุ; หมายความวา ธาตุ ดิ น น้ํ า ลม ไฟ นี้ มั นจะต องปรุงกั นขึ้ นเป นตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ เป นต น , แลวก็เปนที่อาศัยของการเกิดความรูสึกที่เปนวิญญาณธาตุ.
เรื่องเกี่ยวกับธาตุ
๒๙
พระพุทธเจาทานตรัสไวอันแรกที่สุดวา บุรุษนี้ คนเรานี้ประกอบดวย ธาตุ ๖ คือ ดิน น้ํา ลม ไฟ อากาศ วิญญาณ. วิญญาณนั้นเปนฝายนาม ; ดิน น้ํา ลม ไฟ เปน ฝา ยรูป . อากาศธาตุนี ้ไ มค วรจะเรีย กวา รูป หรือ นาม ; แตเขามัก จะ รวมกันไวเปนฝายนาม เพราะหมายถึงเอาความวางไมมีอะไร. ธาตุด ิน ธาตุน้ํ า ธาตุไ ฟ ธาตุล ม ; ที ่เ ปน วัต ถุนี ้ม ัน ประกอบกัน ขึ ้น เป นเนื้ อเป นหนั ง เป นตา เป นผม ขน ฟ น หนั ง, ที่ นิ ยมเรียกว าอาการ ๓๒ อย างนี้ กระทั่ งเป นเลื อด เป นหนอง เป นน้ํ ามู ก น้ํ าลายอะไร ที่ ประกอบกั นเป นร างกายเรา. แล วเตโชธาตุ คื อ ธาตุ ไฟ ก็ป ระกอบเขาเป นอุณ หภู มิ ในรางกาย ซึ่งจะต อ งมี อ ยู เท านั้ น เท านี้ รางกายนี้ จึ งจะดํ ารงอยู ได ไม เน าไปเป น ต น . ธาตุ ล ม ก็ คื อ อาการที่ ขยายตัว จนระเหย ถา ยเทได มัน จึง ทํ า ใหช ีว ิต อยู ไ ด. เปน ธาตุแ หง ความเปลี ่ย น แปลง ; ฉะนั้ น เราจึ ง มี ผม ขน เล็ บ ฟ น หนั ง เลื อ ด เนื้ อ กระดู ก อะไรต า ง ๆ ครบที่ประกอบกันอยูเปนรางกายนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org จากธาตุ ๖ ยังประกอบเปนธาตุอื่นไดอีก.
ทีนี ้ย ัง มีธ าตุที ่จ ะอาศัย รา งกายนี ้, ธาตุสํ า หรับ การเห็น ก็เ รีย กวา จัก ขุธ าตุ ; ถา ไมม ีจ ัก ขุธ าตุ ลูก ตาไมอ าจจะเห็น ได หรือ ถา ไมม ีจ ัก ขุธ าตุ ลูก ตา มัน ก็ไ มต อ งมี. ดิน น้ํ า ไฟ ลม มัน สรา งกอ นลูก ตาขึ ้น มาได กระทั ่ง สรา ง เส น ประสาทตาขึ้ น มาได ; แต ว ามั น สํ าเร็ จ ด วยธาตุ อี ก ธาตุ ห นึ่ ง ที่ เรี ย กว าจั ก ขุ ธ าตุ ที่ จะอาศั ยเสนประสาทที่ ตา, แลวทํ าหน าที่ ของมั น คุ ณ สมบั ติ นี้ เรียกวา จั กขุ ธาตุ . แล วมี คุ ณ สมบั ติ ที่ จะทํ าหน าที่ ได ยิ น เสี ย งได ที่ จ ะอยู ที่ ป ระสาทหู ซึ่งดิ น น้ํ า ลม
๓๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ไฟ ประกอบกัน ขึ ้น เปน กอ นหู เปน อวัย วะหู แลว ก็ม ีป ระสาทสํ า หรับ หู, แลว เรา ก็ม ีโ สตธาตุ ธาตุท างหู ; ยัง มีฆ านธาตุ ธาตุจ มูก ธาตุทํ า หนา ที ่ท างจมูก , ชิ ว หาธาตุ ธาตุ ทํ า หน า ที่ ที่ ลิ้ น , มี ก ายธาตุ ที่ ทํ า หน า ที่ ต ามผิ ว กายทั่ ว ไป แล ว ก็ มี มโนธาตุ ที ่จ ะทํ า ความรู ส ึก ที ่ใ จ. มัน เลยเกิด ธาตุอ ีก ๖ ธาตุขึ ้น มา เรีย กวา ธาตุตา ธาตุหู ธาตุจมูก ธาตุลิ้น ธาตุกาย ธาตุใจ ซึ่งถาเรียกเปนบาลี ก็วา จักขุธาตุ โสตธาตุ ฆานธาตุ กายธาตุ มโนธาตุ ; นี ้ ก ็ เ ป น สั ก ว า ธาตุ อ ยู ก อ น แล ว ก็ อ าศั ย อยู ที่ อวั ย วะตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ของคนที่ ยั งเป น ๆ นี้ มั น ยั งเป น ธาตุ อยูกอน. ทีนี้ธาตุ ตา หู จมู ก ลิ้น กาย ใจ เป นสั กวาธาตุ อยางนี้ ยังไม มี เรื่อง ตอ งไดธ าตุข า งนอกที ่คู ก ัน คือ วา รูป ธาตุ สัท ทธาตุ คัน ธธาตุ รสธาตุ โผฏ ฐั พ พธาตุ ธั ม มธาตุ ; ข า งนอก คื อ รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ .ข างนอกอี ก ๖ ธาตุ มั น จั บ คู กั น เมื่ อ ไร, มาได คู กั น เมื่ อ ไร มั น ก็ จ ะเกิ ด เป น ของอั น ใหมขึ ้น มา คือ ไมเ ปน สัก วา ธาตุต าเฉย ๆ แลว . มัน เปน อวัย วะสํ า หรับ เห็น แลว ก็เรียกวาอายตนะ .
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที่ เคยเรี ย กว า จั ก ขุ ธ าตุ มั น ก็ เ ปลี่ ย นเป น จั ก ขุ อ ายตนะ, ที่ เคยเป น เพี ย งโสตธาตุ ก็ ก ลายเป น โสตายตนะ , ที่ เคยเรีย กว าฆานธาตุ ก็ เป น ฆานายตนะ , ที ่เ รีย กวา ชิว หาธาตุ ก็ก ลายเปน ชิว หายตนะ ; หมายถึง เมื ่อ มัน ทํ า หน าที่ เห็ น ได ยิ น ได กลิ่ น ได ลิ้ มรส ได สั มผั สทางผิ วหนั งได คิ ดทางใจ. หมายความ วา เมื ่อ ธาตุทั ้ง ขา งนอกขา งในจับ คู กัน เราก็ไ ดสิ ่ง ที ่เรีย กวา อายตนะขา งใน และอายตนะขา งนอกขึ้น มา. อายตนะขางใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ , อายตนะข างนอก คื อ รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ . แต เปลี่ ย นชื่ อ
เรื่องเกี่ยวกับธาตุ
๓๑
วาอายตนะ เมื่ อตะกี้เรียกวาธาตุ เทานั้ น ; ฉะนั้น ธาตุ ๖ มันก็ กลายเป นอายตนะ ๖ ในเมื่อไดโอกาสอันสมควร คือ ไดทําหนาที่. นี ่ล องคิด วา เปน รากฐานอยา งไร, มัน เปน ก ข ก กา อยา งไร. ดิน น้ํ า ลม ไฟ ทํ าให เกิ ด ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ขึ้นมาอย างนี้ , แล วทํ าให รูป เสี ยง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ข างนอกมี ค วามหมายขึ้ น มา. เมื่ อ อายตนะข างนอก กั บ อายตนะ ขา งใน กระทบกัน แลว วิญ ญาณธาตุก ็ไ ดโ อกาส ; เชน วา ตากระทบรูป ก็เ กิด จัก ขุว ิญ ญาณ, หูก ระทบเสีย งก็เกิด โสตวิญ ญาณ, กลิ ่น กระทบจมูก ก็เรีย กวา ฆานวิ ญ ญาณ, ลิ้ นกระทบรสก็ เรียกว า ชิ วหาวิ ญ ญาณ, ผิ วหนั งสั มผั สโผฏฐั พ พะ ขางนอกก็เรียกวา กายวิญญาณ, ใจไดสัมผัสความรูสึกทางใจก็เรียกวา มโนวิญญาณ . นี่ วิญญาณธาตุ ซึ่งนอกอยู เฉย ๆ ก็กลายเป นวิ ญญาณขึ้นมา ซึ่งจะเรียกวาอย างอื่ น ไปแล ว ; จะไม เรี ยกว าวิ ญ ญาณธาตุ เฉย ๆ แล ว, จะเรียกว าวิ ญ ญาณบ าง, จะเรียก วิญญาณขันธบาง หรืออะไรตอไป เปลี่ยนรูปไปเปนอยางอื่นแลว.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ธาตุปรากฏและปรุงเรื่อย ทําใหเกิดทุกข.
ที แ ร ก พ ร ะ พุ ท ธ เจ า ท า น ต รั ส ว า บุ รุ ษ นี้ ป ร ะ ก อ บ ด ว ย ธ า ตุ ๖ น ะ ; เดี๋ ยวนี้ มั นไม ใช ลํ าพั ง ๖ มั นมี อะไรอี กมากเข ามารวมกั นเข า ยั กย ายถ ายเทไป. เช น ธาตุ ต า ธาตุ หู เป น ต น , ธาตุ รู ป ธาตุ เ สี ย ง ธาตุ ก ลิ่ น เป น ต น , แล ว มั น ยั ง มี อี ก หลาย ๆ อย างหลาย ๆ หมวด ซึ่ งเราจะพู ดกั นในวั นแรกหมดนี้ ไม ได เวลามั นไม พ อ แล ว คนฟ ง ก็ เฝ อ หมด จึ ง พู ด แต ให เพี ย งมองเห็ น เป น แนวเป น เค าไปว า ธาตุ นี้ มั น
๓๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
คือ สิ ่ง สุด ทา ย ที ่เราจะไมแ บง แยกอีก แลว แลว มัน จะประกอบกัน เขา เปน นั ่น เปนนี่ เปนโนน เรื่อยขึ้นมา. ยกตั ว อย า งธาตุ คู แ รก ธาตุ ต ากั บ ธาตุ รู ป ได อ าศั ย กั น เมื่ อ ไร ก็ เกิ ด เป น อายตนะทางตากั บ อายตนะทางรู ป ขึ้ น มา คื อ ตาอาศั ย รู ป ก็ เกิ ด จั ก ขุ วิ ญ ญาณ. วิ ญ ญาณธาตุ เกิ ด ขึ้ น ทํ า หน า ที่ มั น จะมี เรื่อ ง, แปลว า ธาตุ ทั้ ง หลายไม ได อ ยู อ ย า ง เดิ ม แล ว ลุ กขึ้ นมาทํ าหน าที่ แล ว ; อย างเดี ยวกั บ ข อ ความที่ พ ระสงฆ ส วดเมื่ อตะกี้ นี้ ในบทสวดนั ้น วา การเกิด ขึ ้น แหง ธาตุ การปรากฏขึ ้น แหง ธาตุ การอะไรขึ ้น แหง ธาตุ นั ้น แหละ คือ การเกิด ขึ้น แหง ความทุก ข. ที ่นี้ก ารดับ ไปแหง ธาตุ การไม ตั้ งอยู แ ห ง ธาตุ นั้ น แหละ คื อ การดั บ ไปแห ง ทุ ก ข . ฉะนั้ น เมื่ อ ใดธาตุ ลุ ก ขึ้ น มาปรุงเปนอายตนะ เปนขันธ เปนอุปาทานขันธเปนทุกข, ก็เปนทุกขเทานั้น. ที นี้ ธ าตุ ไม ป รากฏด ว ยเหตุ ใดก็ ต าม, เพราะมั น ยั ง ไม ป รากฏ. เพราะ ไม มี เหตุ ป จ จั ย ก็ ต าม หรื อ ว า เพราะผู นั้ น มี ป ญ ญา มี วิ ช ชา มี ญ าณอั น สู ง สุ ด , ไม ปลอ ยใหธ าตุนี ้ห ลอก ใหเ ปน ตัว เปน ตน, เห็น เปน สัก วา ธาตุเ ทา นั ้น ไมใ ห มัน ลุก ขึ ้น มาเปน ตัว เปน ตนได; อยา งนี ้ก ็เ รีย กวา ความดับ ไปแหง ธาตุ เหมื อ นกั น , ความไม ป รากฏขึ้ น แห ง ธาตุ เหมื อ นกั น เพราะว า เขามี ป ญ ญาที่ จ ะ ควบคุ ม ธาตุ นั้ น ไว ให เป น แต สั ก ว า ธาตุ อย า มาหลอกมาหลอนให เป น ตั ว ตนขึ้ น มา. ความดั บไปแห งธาตุ ก็ คื อความดั บไปแห งทุ กข , ความไม ปรากฏแห งธาตุ ก็ คื อความ ไมปรากฏแหงทุกข. นี้ความปรากฏแหงธาตุก็คือความปรากฏแหงทุกข.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
เรื่องเกี่ยวกับธาตุ
๓๓
ความปรุงแหงธาตุเปนการปรุงใหเกิดทุกข. ความเกิด ขึ้น ปรุง แตง ขึ้น มาแหง ธาตุ ก็คือ ความปรุง แตง ขึ้น แหง ทุก ข. นี ้ม ัน เปน รากฐาน, มัน เปน พื ้น ฐานชั ้น ก ข ก กา ที ่เ ราจะตอ งมองให เห็ น , ไม อ ย างนั้ น เราจะมองไม เห็ น ว า ความทุ ก ข นี้ มั น เกิ ด ขึ้ น มาจากอะไร. เราจะ มองไม เห็ น ว า ความทุ กข นี้ มั น ตั้ งรากฐานอยู บ นอะไร ; ก็ แปลว าเราไม รู ก ข ก กา แม ว า เราจะอ า นหนั ง สื อ ได ตามวิ ธี อี ก วิ ธี ห นึ่ ง , คื อ ว า อ า นหนั ง สื อ กั น เลย ไม ต อ ง เรี ย น ก ข ก กา อย างนี้ มั น ก็ เรี ย กว าไม รู ดี ไม รู จ ริ ง มั น รู อ ย างขอไปที มั น สู รู กั น จริง ๆ ไมได. อาตมาก็ ไม ได ยื นยั นว า เราต องเรียน ก ข ก กา ก อน จึ งจะเรียนหนั งสื อ ได น ะ ; เพราะว า คนเขาไม เรี ย น ก ข ก กา เขาอ า นหนั ง สื อ ได ก็ มี แต มั น สู ค นที่ เรี ย น ก ข ก กา ไม ไ ด . นี้ ถ า เราเรี ย นรู เรื่ อ งธาตุ ที่ จ ะปรุ ง กั น เป น อายตนะ แล ว จะปรุง เปน ขัน ธ เปน อุป าทานขัน ธ แลว เปน ทุก ข แลว จะดับ ทุก ขนี ้อ ยา งไร มัน รู ช ัด เจนวา ก็เ รีย กวา มัน รู อ ยา งเปน หลัก วิช า เปน เทคนิค เปน อะไรกวา , มัน ทําใหสําเร็จประโยชนไดงายกวา. ฉะนั้น ขอใหสนใจเรื่องธาตุ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ธาตุ ต ากั บ ธาตุ รู ป อาศั ย กั น ก็ เกิ ด วิ ญ ญาณธาตุ ที่ ลุ ก ขึ้ น มาทํ า หน า ที่ การเห็ น ทางตา เรี ย กจั ก ขุ วิ ญ ญาณ ที นี้ มั น ก็ เกิ ด เวทนาธาตุ สั ญ ญาธาตุ สั งขาร ธาตุ วิญญาณธาตุอะไรเต็มที่ขึ้นมา ที่เรียกวาขันธ.
ที่จริงมันก็มีอยูแลว เพราะวา พระพุทธเจาก็ไดตรัสวา ธาตุหา อีกอยาง หนึ่ ง ก็ คื อ รู ป ธาตุ เวทนาธาตุ สั ญ ญาธาตุ สั ง ขารธาตุ วิ ญ ญาณธาตุ ; นี้ ก็
๓๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
แปลว า ธาตุ ส ว นหนึ่ ง ซึ่ ง มั น จะปรุ ง แต ง ขึ้ น มาเป น รู ป ขั น ธ เวทนาขั น ธ สั ญ ญา ขัน ธ สัง ขารขัน ธ วิญ ญาณขัน ธ นั ่น เอง. เชน เดีย วกับ วา จัก ขุอ ายตนะ นี ้ม ัน ปรุ ง ขึ้ น มาจากจั ก ขุ ธ าตุ ; ฉะนั้ น ขั น ธ ทั้ ง หลายมั น ก็ ป รุ ง มาจากธาตุ ที่ มี ชื่ อ ตามชื่ อ นั้ น ๆ, รูป ขั น ธ ก็ ม าจากรูป ธาตุ , เวทนาขั น ธ ก็ ม าจากเวทนาธาตุ สั ญ ญาขั น ธ ก็ ม า จากสั ญญาธาตุ , สังขารขันธก็มาจากสั งขารธาตุ, วิญญาณขันธก็มาจากวิญญาณธาตุ อยางนี้. แต วาที่ พู ด กั น อยู ต ามธรรมดา ไม เรียกให เต็ ม ที่ อ ย างนี้ ไปเรียกสั้ น ๆ ลุ น ๆ ว า เวทนา สั ญ ญา สั ง ขาร วิ ญ ญาณ เสี ย เลยไม แ สดงถึ ง ข อ ที่ ว า มั น เป น ทั้ ง ธาตุ , และกลายมาเป น ขั น ธ อ ย า งไร; เพราะถ า มั น ไม มี ธ าตุ แ ห ง ความเป น อยา งนี ้อ ยู ก อ นแลว มัน จะเกิด ขึ ้น ไมไ ด, เชน จะมีร ูป ขัน ธขึ ้น ไมไ ดถ า ไมม ีร ูป ธาตุ , อย า งนี้ เ ป น ต น , หรื อ จะเกิ ด การเห็ น ทางตาไม ไ ด ถ า ไม มี ธ าตุ ต า ธาตุ สํ า หรับ ดวงตา. มัน มีธ าตุสํ า หรับ ตา มัน จึง เกิด การเห็น ทางตา; ทํ า ตาให เปนอายตนะขึ้นมา, มีการเห็นทางตา เกิดวิญญาณทางตา เกิดผัสสะ ทางตา เกิด เวทนาทางตา เกิด สัญ ญาโดยอาศัย การเห็น ทางตา และเกิด สัง ขารคิด นึก ไปตามนั้น ก็เรียกวาสังขารขันธ.
www.buddhadasa.in.th ธาตุเดิมปรุงเปนธาตุใหมกระทั่งดับ. www.buddhadasa.org ทีนี ้พ อมาถึง ตอนนี ้ ก็ย ัง ตอ งนึก ตอ ไปถึง วา ยัง มีธ าตุที ่แ สดงไวโ ดย หมวดอื ่น วา สุข ธาตุ - ธาตุที ่ทํ า ความรูส ึก เปน สุข , ทุก ขธาตุ – ธาตุที ่ทํ า ความ
เรื่องเกี่ยวกับธาตุ
๓๕
รูสึกเปนทุกข, โสมนัสสธาตุ - ธาตุที่ทําความรูสึกเปนโสมนัส, โทมนัสสธาตุ - ธาตุ ที ่ทํ า ความรู ส ึก เปน โทมนัส , แลว ก็อ ุเ บกขาธาตุ - ธาตุที ่ไ มรู ส ึก สุข หรือ ทุก ข, โทมนั ส หรื อ โสมนั ส . ฉะนั ้ น ในกรณี ที ่ เ กิ ด เวทนาขึ ้ น มา เพราะเวทนาธาตุ ไดเปลี่ยนเปนเวทนาขันธแลว, มันก็ยังวามีเวทนานั้นจะไดอาศัยสุขธาตุ ประกอบ หรือ ทุก ขธาตุป ระกอบ หรือ โสมนัส โทมนัส หรือ อุเ บกขาประกอบ; ดัง นั ้น เวทนาจึ งมี สุ ขเวทนา ทุ กขเวทนา โสมนั ส เวทนา โทมนั ส สเวทนา อุ เบกขาเวทนา อะไรก็ตาม แลวแตจะเรียก. ทีนี้ถา มัน ปรุง เปน ความคิด นึก ขึ้น มา เปน สัง ขารขัน ธขึ้น มา มัน ก็ยังมีธาตุห มวดอื่น ที่เรีย ก กุศ ลธาตุ อกุศ ลธาตุ อัพ พยากตธาตุ ความคิด นั้ น จึ งมี รู ป ร างเป น กุ ศ ลบ าง เป น อกุ ศ ลบ าง เป น อั พ พยากฤตบ าง หรื อ ถ าต่ํ าลงไป กวานั้น มันก็ยังมี ธาตุห มวดอื่น เชน กามธาตุ - ธาตุที่ใหเกิดความรูสึกเปนกาม, รูปธาตุ - ธาตุที่ทําใหเกิดความรูสึกเปนรูปบริสุทธิ์ ไมเกี่ยวกับกาม, อรูปธาตุ – ธาตุ ที่ใหเกิดความรูสึกไมเกี่ยวกับรูป คือไมมีรูป ไมสนใจกับรูป.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้ น เวทนา ก็ ดี สั ญ ญา ก็ ดี กระทั่ ง สั ง ขารก็ ดี ในบางกรณี มั น น อ มไปในทางกามารมณ คื อ เรื่อ งเพศ; ในบางกรณี มั น ไม น อ มไปเพื่ อ กามารมณ มัน เปน รูป บริส ุท ธิ ์ หรือ วา สูง ไปกวา นั ้น ก็เปน อรูป . นี ้เพราะวา มัน มีธ าตุเ หลา นี้ อยู ; ถ า ได อ าศั ย กามธาตุ ความรู ส ึ ก นึ ก คิ ด ก็ เ ป น เรื่ อ งกามารมณ ไ ป, ถ า ได อ าศั ย รู ป ธาตุ มั น ก็ ไ ม เกี่ ย วกั บ กาม ไปเป น เรื่ อ งของรู ป ธรรมล ว น ๆ เป น เรื่องของผูที่ มี จิตใจสูงไปขณะหนึ่ งอยางน อย ไมเกี่ยวกับกาม ไปสนใจอยู กับเรื่อง ที่เปนรูปที่บริสุทธิ์ กระทั่งเปนนามธรรมบริสุทธิ์.
๓๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
นี่ จะเห็ น ได ว า มั น ยั งมี ธ าตุ อี ก มาก ที่ เราไม เคยสนใจ เพราะว าเราไม สนใจ ก ข ก กา แล วเราก็ ไม แ จกเป น กะ กา กิ กี กึ กื อ กุ กู , ขะ ขา ขิ ขี ขึ ขื อ ขุ ขู กระทั่ งไม ใส วรรณยุ ก ต เอก โท ตรี มั น ก็ เลยไม ได แ จกอะไรออกไป. แต ถ าเราไม รู ครบถ ว น เราก็ ส ามารถจะแจกออกไปจนครบได ในบรรดารูป ธรรมและนามธรรม ก็เ กิด ขึ ้น - ตั ้ง อยู - ดับ ไป. ในวัน หนึ ่ง ๆ ในความเปน สัต ว เปน คนเป นอะไรที่ เรา สมมติ เรี ย กกั น ในวั น หนึ่ ง ๆ นี้ มั น มากมายเหลื อ เกิ น , ยั ก ย ายถ า ยเท ปรุ ง ขึ้ น มา ด ว ยธาตุ อั น นั้ น แล ว ก็ เปลี่ ย นแปลงไปด ว ยอํ า นาจของธาตุ อั น อื่ น , แล ว ก็ เป นธาตุ อั น อื่ น , แล วก็ เป น อายตนะขึ้ น มา, แล วก็ เป น ขั น ธ ขึ้ น มา แล วก็ มี กิ เลสยึ ด ถื อ ,เปน อุป าทานขึ ้น มา จนกระทั ่ง เปน ทุก ข, จนกระทั ่ง เอือ ม ไมอ ยากจะเปน ทุก ขจ ึง ปฏิบ ัต ิธ รรมะเพื ่อ บรรลุม รรค ผล นิพ พาน. ธาตุส ุด ทา ยคือ นิพ พานธาตุเปน ที ่ด ับ ของความทุก ข ซึ ่ง บางทีก ็เ รีย กวา นิโ รธธาตุ, ถา เรีย กกวา งกวา นั ้น ก็ เรีย ก วา อสัง ขตธาตุ เหมือ นที ่ก ลา วมาแลว ; มัน ดับ เหตุด ับ ปจ จัย ดับ อํ า นาจของเหตุ ปจจัยไมใหปรุงแตง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ ตั้ งแ ต ต น จ น ป ล าย ไม มี อ ะ ไรน อ ก จ าก ธ าตุ บ รรด าธ าตุ ทั้ งห ล าย ที่ มั น ปรุง แตง เปลี ่ย นแปลง วุ น วาย เปน ทุก ขนี ้ มัน ก็ไ ปจบลงดว ยนิโ รธธาตุ ธาตุ เปน ที ่ด ับ ; เปน ที ่ด ับ แหง กาม, เปน ที ่ด ับ แหง รูป , เปน ที ่ด ับ แหง อรูป , ก็เ ลย เรีย กชื ่อ ใหมวา นิพ พานธาตุ - ธาตุเปน ที ่ด ับ เย็น สนิท . ถา ดับ ไมม ีไ ออุ น เหลือ เลยก็เ รีย กวา อนุป าทิเ สสนิพ พานธาตุ, ถา มีไ ออุ น เหลือ อยู บ า งก็เ รีย กวา สอุป าทิเ สสนิพ พานธาตุ. แตโ ดยเหตุที ่ธ าตุนี ้ไ มม ีเ หตุป จ จัย ปรุง แตง จึง เรียกวา อสังขตธาตุ. ฉะนั้น อสังขตธาตุนี้ก็ดี และสังขตธาตุ ทั้งหลายที่แสน จะมากมายก็ดี เปนสักวาธาตุ ตามธรรมชาติ ไมมีอะไรเปนตัวตน.
เรื่องเกี่ยวกับธาตุ
๓๗
นี่ เรารู ห นั งสื อ เดี๋ ย วนี้ เราเรี ย นหนั งสื อ รู รู แ ล ว ว า ไม มี ตั ว ตน; รู ห นั งสื อ ของพระพุ ท ธเจ า ก็ คื อ รู ว าไม มี ตั วตน, กิ เลสเกิ ด ไม ได ความทุ ก ข เกิ ด ไม ได , กรรม เกิ ด ไม ไ ด กรรมเก า ก็ สิ้ น ไป กรรมใหม ก็ เกิ ด ไม ไ ด ; เรื่ อ งมั น ก็ จ บ ปรากฏอยู เป น สุญ ญตธาตุ หรือ สุญญธาตุ คือ ธาตุวาง ซึ่งเปนวางในทางสูงสุด. โดยเคาโครง มันก็มีเทานี้สําหรับ ก ข ก กา เรื่องธาตุ ก็อุตสาหเรียนกันไป. นี่ อ าตมาอยากจะขอให ทุ ก คนสนใจเรื่ อ งธาตุ ; ไม ใ ช ใ นฐานะที่ เป น เรื ่อ งงา ย; แตใ นฐานะที ่เ ปน เรื ่อ งรากฐานพื ้น ฐานสํ า หรับ ทุก เรื ่อ ง ของทั ้ง หมด ทุก เรื ่อ งในพระพุท ธศาสนา. ไมม ีอ ะไรที ่ไ มใ ชธ าตุ นับ ตั ้ง แตขี ้ฝุ น ที ่ไ มม ีร าคา สั ก อณู ห นึ่ ง แทบจะมองด ว ยตาไม เห็ น ขึ้ น มาเป น ดิ น เป น ต น ไม เป น ภู เขา เป น สั ต ว เป น สากลจั ก รวาลอะไรก็ ต าม มั น ก็ สั ก แต ว า ธาตุ . นี้ ใ นทางนามธรรม วิญ ญ าณ ก็ด ี ผัส สะก็ด ี เวทนาก็ด ี สุข ทุก ขก ็ด ี ชีว ิต ก็ด ี อะไรก็ด ี มัน ก็เ ปน สั กวาธาตุ . ความเกิ ดขึ้ นก็ สักวาธาตุ , ความตั้ งอยู ก็ สั กวาธาตุ , ความดั บไปก็ สักวา ธาตุ , มั น แปลกจากที่ ม นุ ษ ย พ วกอื่ น เขาเรียกกั น มนุ ษ ย พ วกอื่ น เขาเรียกกั นแต พ วก วัตถุธาตุเทานั้น; เขาไมรูจักสิ่งอันมองไมเห็นตัวเหลานี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้ นอย าเอาไปปนกั บคํ าว าธาตุ ที่ ลู กเด็ ก ๆ เรียนวิ ทยาศาสตรในโรง เรี ย น. ธาตุ อ ย า งนั้ น มั น เป น วั ต ถุ ธ าตุ แล ว มุ ง หมายไปอี ก ทางหนึ่ ง ค น คว า ไปอี ก ทางหนึ ่ง เพื ่อ ผลอัน ตา งกัน ไมเ หมือ นกัน ; แตถ ึง อยา งนั ้น มัน ก็ร วมอยู ใ นคํ า วา รูป ธาตุ. ที ่พ วกฝรั ่ง เขาจะคน เกง เทา ไร พบกัน กี ่ส ิบ ธาตุ กี ่ร อ ยธาตุ มัน ก็ร วม อยู ใ นคํ า ว า รู ป ธาตุ ทั้ ง นั้ น ; ไม มี คํ า ว า อรู ป ธาตุ ไม มี คํ า แปลกออกไปว า เป น กาม ธาตุ นิโ รธธาตุ สัง ขตธาตุ อสัง ขตธาตุ เพราะเขาตอ งการแตรู เ รื ่อ งทางวัต ถุ ผลิ วั ต ถุ ม าให ค นมั น โง ม ากขึ้ น , ให มั น หลงในสิ่ งที่ เรี ย กว า ธาตุ นี้ ม ากขึ้ น จนไม รูจั ก
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
๓๘
สร า งซา จนได ร บราฆ า ฟ น แย ง ชิ ง กั น ไม มี ที่ สิ้ น สุ ด ; เพราะไม รู จั ก สิ่ ง ที่ เรี ย กว า ธาตุ นั ่น เอง, เพราะไมรูจ ัก สิ ่ง ที ่เ รีย กวา ธาตุเ พีย งสิ ่ง เดีย วเทา นั ้น มนุษ ยจ ึง ตอ ง เปน ทุก ข, จึง ตอ งเวีย นวา ยอยู ใ นกองทุก ข. ฉะนั ้น ขอใหรู จ ัก สิ ่ง แรกที ่ส ุด ของสิ ่ง ทั้งปวง คือสิ่งที่เรียกวาธาตุ ในฐานะเปน ก ข ก กา ในพุทธศาสนา. นี่ อ าตมาเหนื่ อ ย ไม มี แ รงจะพู ด แล ว ต อ งยุ ติ สํ า หรั บ วั น นี้ ขอร อ งให พระสงฆ ใ นท า นนั่ ง อยู นี้ ท า นบรรยายเพิ่ ม เติ ม ความรู ใ ห มั น ชั ด เจนยิ่ ง ขึ้ น หรื อ แปลกออกไปตามที่ ท า นจะทํ าได . ขอให ตั้ งใจฟ ง ต อ ไปอี ก ครั้งหนึ่ ง เพื่ อ ไม ให บ อ น มั น ล ม วั น เสาร นี่ ไ ม ใ ห มั น ล ม ก็ เลยต อ งพู ด กั น ไปตามมี ต ามได คนละนิ ด คนละ หน อ ย แล ว แต ใ ครจะช ว ยกั น . เอาละ, ก็ ข อร อ งให ทุ ก องค นี้ พู ด เรื่ อ ง ก ข ก กา แห ง พระพุ ท ธศาสนา เท า ที่ ข า พเจ า รู จั ก ต อ ไป. เอ า , ใครก อ นก็ ไ ด ต ามถนั ด พู ด แต ก ข ก กา ในระดั บ ก ข ก กา แห งพระพุ ทธศาสนาดู สั ก ๓ เดื อน ไม ใช ทุ ก ๗ วันครั้งหนึ่ง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ....
....
....
....
(ภิกษุรูปหนึ่งบรรยาย)
ทานพุทธบริษัททั้งหลาย,
แรกได ฟ ง ท า นอาจารย ได ชี้ แ นะซึ่ ง หลั ก เกณฑ เป น ลํ า ดั บ ๆ มาแล ว ที นี้ ก็ จะให พระภิ กษุ ทั้ งหลาย แสดงความคิ ดเห็ น หรื อ ความรู ในเรื่ องธาตุ ก ข ก กา กั น ต อ ไป. อาตมาจะได ม าอธิ บ าย หรือ ว า เอาความรู ที่ ได เคยศึ ก ษาในพระพุ ท ธ ศาสนา เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง ก ข ก กา คื อ เรื่ อ งนี้ มาบรรยายหรื อ แสดงความ ข อ คิ ด เห็นตามสติปญญา.
เรื่องเกี่ยวกับธาตุ
๓๙
ที นี้ เรื่ องธาตุ ก็ ได กล าวมาแล ว เรื่ อ งธาตุ ๖ อย าง คื อ ดิ น น้ํ า ลม ไฟ ธาตุ ตะกี้ ท านอาจารย ก็ ได ว าแล วอี กอย างหนึ่ ง ในอี กหมวดหนึ่ งก็ มี ๖ อี ก ก็ เรียกว า ธาตุสุข ธาตุทุกข หรือ โสมนัส โทมนัส แลวก็อุเบกขา อวิชชา. ที นี้ โดยเฉพาะอย างยิ่ ง เรื่ อ งป ญ ญาที่ ว าเรื่ อ งสุ ข เรื่ อ งทุ ก ข สํ าหรั บ ผู ที่ ยั ง มี กิ เลสอยู ซึ่ ง โดยเฉพาะอย า งยิ่ ง ทํ า ไมเราจึ ง มี ค วามสุ ข ความทุ ก ข อ ยู ? ก็ ปญ หาที่วาไมรูจัก วา สุข วา ทุก ขนี ้ม ัน เปน เพีย งวาธาตุเทานั ้น จึงเขา ไปยึด ถือ โดยความเป น ตั ว เป น ตน. เพราะทุ ก สิ่ ง ทุ ก อย า งขึ้ น ชื่ อ ว า ธาตุ แ ล ว มั น ก็ ไ ม มี อ ะไร ที่ เป น ตั ว เป น ตนแน น อนได ที่ แ น น อนก็ คื อ อสั ง ขตธาตุ เท า นั้ น , ส ว นอื่ น ก็ สั ง ขต – ธาตุไมแนนอน. ที นี้ เรื่ อ งความสุ ข ความทุ ก ข อุ เบกขา อวิ ช ชา อย า งนี้ มั น อาศั ย สิ่ ง ปรุง แตง กัน ขึ ้น เกิด ขึ ้น ชั ่ว ขณะ ชั ่ว เวลาเทา นั ้น ; แตด ว ยอํ า นาจที ่ว า เราไมมี สติปญญาพอ หรือฝกมาไมถึงที่สุด ก็เลยเขาไปยึดถือเอา โดยสําคัญมั่นหมายวา เปน ตัว เปน ตน ซึ ่ง ลืม นึก ไปวา ที ่จ ริง สิ ่ง เหลา นั ้น คือ สุข . ที ่แ ปลวา ทนงา ยคือ มัน ตอ งทนเหมือ นกัน ไมว า สุข ขั ้น ไหน. สุข พวกกามารมณก ็ด ี, สุข เรื่อ งของ ไดฌ าน ไดส มาบัต ิอ ะไรก็ต ามใจ; นั ่น ก็อ าศัย เหตุป จ จัย เกิด ขึ ้น ซึ ่ง ชั ่ว ขณ ะ ชั่ วเวลา มั นก็ ไม เที่ ยงแท แน นอนอะไร แต ว าคนไปสํ าคั ญ มั่ นหมายเข า นึ กว ามั นเป น ของดิ บ ของดี ของอร อ ยเลยก็ เข า ไปติ ด ไปยึ ด เอาว า เป น เรา เป น ของเราเข า โดยปราศจากสติ ป ญ ญา จึ ง ไม เห็ น ถู ก ต อ งตามความเป น จริง ; ซึ่ ง ที่ จ ริ ง เป น ลม ๆ แล ง ๆ เท า นั้ น มั น ไม ได ตั้ ง อยู น าน หรื อ เดี๋ ย วเดี ย วก็ ห ายไป, เดี๋ ย วเดี ย วก็ ห ายไป. แต ทํ าไมจึ งมาฝ งแน นอยู ก็ อาศั ยอํ านาจความเคยชิ นที่ เราไม เคยทํ าในใจวา เป นเพี ยง
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๔๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
สั ก ว าธาตุ เท านั้ น , จึ งยิ น ดี ปรี ด า อิ่ ม เอิ บ พร่ํ าสรรเสริ ญ เพลิ ด เพลิ น มั วหมกกั น ไปในสุ ข ธาตุ นั้ น . ผลสุ ด ท า ย ตั ว เองก็ มี ค วามเสี ย คื อ เสี ย ทางสติ ป ญ ญา, ส ว นที่ ได ม า ได ม าจริง ; ส ว นจิ ต ใจมั น เสี ย เพราะไปยิ น ดี ยิ น ร า ย เกิ ด ไปหวั่ น ไหวขึ้ น มา, ทํ า ให เพิ่ ม กิ เลสในตั ว ทํ า ให ร าคะ หรื อ รั ก ในความสุ ข นั้ น ยิ่ ง ขึ้ น , เพิ่ ม ขึ้ น มาเรื่ อ ย. ได รับอะไรมาก็ ดี ใจทุ กที ดี ใจทุ กที ไม เคยพิ จารณา, อ อนี่ สั กวาธาตุ เท านั้ น เลยเพิ่ ม เขามาเรื่อย ตั้งแตเด็กเล็กจนมาถึงปจจุบัน จนถึงใหญ ถึงแก ถึงตาย ไปเลยก็มี. แต พระผู มี พระภาค ทรงสอนให เรามี ป ญ ญา พิ จารณาเห็ นเพี ยงสั กว า ธาตุ เ ท า นั้ น มั น ก็ ไ ม มี ป ญ หา ในการที่ จ ะไปรั ก ส ว นที่ สุ ข ธาตุ นั้ น หรื อ ธาตุ แ ห ง ความสุ ข นั้ น ; เพราะมั น เป น เพี ย งอาศั ย ป จ จั ย เกิ ด ขึ้ น ชั่ ว ขณะ ๆ เท า นั้ น เอง ซึ่ ง เปน เรื ่อ งที ่ต อ งทน, ขึ ้น ชื ่อ วา ตอ งทนแลว มัน ก็ท ุก ขทั ้ง นั ้น มัน ตั ้ง อยู ไ มไ ด ดัง พุท ธศาสนาบอกแลว พูด ถึง ความดับ ทุก ข ทั ้ง สุข ทั ้ง ทุก ข โสมนัส โทมนัส อุเ บกขา หรือ อวิช ชา ก็ร วมอยู ที ่ท ุก ขนั ้น เอง; เพราะมัน ทนอยู ไ มไ ด เพราะ มันอาศัยเหตุปจจัยปรุงแตง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ ว าถึ งตั วความทุ กข อี ก สิ่ งที่ ไปชอบอกชอบใจก็ ด วยการเข าไปยึ ดถื อ ไปแบกเขา ไว. ความทุก ขนี ้ก ็เ ปน เพีย งสัก วา ธาตุเ ทา นั ้น อีก . แตทํ า ไมทํ า ใหค น เราจึ งรองห มรองไห ตี อก นอนไม หลั บ กระวนกระวาย ? ก็ เพราะเหตุ วา ไปยึ ดถื อ เข า อี ก นั่ น แหละเป น เรื่ อ งสํ า คั ญ ถื อ ว า มั น เป น ตั ว เป น ตนเข า อี ก ถื อ ว า ความรู ความระลึ กได ชั่ วขณะจิ ตเท านั้ น ก็ เรียกขณิ กวาท ทางพุ ทธศาสนาถื อวาเป นขณิ กวาท ชั ่ว ขณะจิต . แตเ ราไปเพลิด เพลิน พร่ํ า สรรเสริญ มัว หมกมัน อีก ในสุข นั ้น ก็ไ ม
เรื่องเกี่ยวกับธาตุ
๔๑
พิ จารณาเห็ นสั กที ว า มั นเป นสั กแต ว าธาตุ , ก็ เลยทํ าให มี ความกระวนกระวายใจ หรื อ เดือดรอนใจแบบในฝายลบ. ที นี้ ในฝ ายลบนั้ นทํ าให จิ ตใจทนยาก ทุ กข นั้ น มั น ทนยาก, หรือมองเห็ น แลว นา เอือ มระอา. ในสว นที ่น า เอือ มระอานี ้ เปน เรื ่อ งของสรรพสัง ขารทั ้ง ปวง คือ มัน ตอ งเปลี ่ย นแปลงไป; แตท ุก ขอ ีก ทีสํ า หรับ คนเรานี ้ค ือ เขา ไปสํ า คัญ มั ่น หมาย ยึ ด เข า มาเป น เรื่ อ งทรมานร า งกาย ทรมานจิ ต ใจ ร า งกาย ทางจิ ต ทางใจ อีก ทีห นึ ่ง ในทุก ขนั ้น . ที ่จ ริง ทุก ขเ ปน เพีย งสัก วา ธาตุอ ีก เหมือ นกัน ไมว า จะทุก ข แบบไหน ก็ ธ าตุ ทั้ ง นั้ น แต เราไม เคยทํ า ในใจ, ไม เคยทํ า ในใจไว เลย มั น เผลอสติ อยู เรื่ อ ย, ไม ไ ด ต ามคิ ด ว า มั น สั ก ว า ธาตุ สั ก ว า ธาตุ ไม ไ ด ท อ งคํ า นี้ , และก็ บ างที เรื ่อ งมัน หายไปตั ้ง หลายวัน แลว เปน เดือ น เปน ป ก็ย ัง เก็บ มาทุก ข มารอ งหม ร อ งไห ก็ เ พราะนึ ก ว า มั น เป น ตั ว เป น ตน. ที ่จ ริง มัน เปน เพีย งสัก วา ธาตุ เกิด ขึ ้น - ตั ้ง อยู - ดับ ไป หายไปตั ้ง นานแล ว ไม น า จะเอามาเป น อารมณ อี ก เลยก็ ทํ า ให เกิ ด ความยึ ด ถื อ ในตั ว ธาตุ นั้ น เป น ตั ว เป น ตนขึ้ น มา, เลยลุ ก ขึ้ น มาทํ า หน า ที่ เป น ตั ว ทุ ก ข เ ข า อี ก ซึ่ ง ไม น า จะเป น อย า งนั้ น ; เพราะว า ไม มี ส ติ ป ญ ญาที่ ลึ ก ซึ้ ง ถู ก ต อ ง ตามคํ า สอนขององค ส มเด็ จ พระสั ม มาสั ม พุ ท ธเจ า ที่ ว า ให รู สิ่ ง ใด รู ต ามความเป น จริ ง ; ไม ใ ช รู แ ต เปลื อ กหรื อ ตื ้น ๆ, ถา หากวา รู ถ ึง ความจริง อัน นี ้แ ลว ถึง วา ดับ ไปหมดทัน ที มัน ก็เ รีย กวา มั น ก็ ค อ ยน อ ยลง ๆ น อ ยลง, นานเข ามั น ก็ ห มดไปเอง ถ าหากว าท อ งเป น สั ก ว าธาตุ เป น สั ก ว า ธาตุ ไว เ รื่ อ ย มั น มี เ หตุ ป จ จั ย ปรุ ง แต ง เกิ ด ขึ้ น - ตั้ ง อยู - ดั บ ไป อย า ง นั ้น เอง; มัน ไมม ีอ ะไรเปน ตัว เปน ตน เขา ไปจับ ไปฉวย หรือ มัด มัน ไวใ หอ ยู ใ น
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๔๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
อํ า นาจตั ว ตนของเราได ; แม แ ต ตั ว เรา ก็ ทํ า อะไรไม ไ ด ก็ ห มุ น เวี ย นเปลี่ ย นแปลง ไปตามเหตุตามปจจัยอยูเนืองนิจ. ถ า หากว า รู จ ริ งอย า งนี้ ส ว นฝ า ยทุ ก ข ที่ จ ะทรมานจิ ต ใจของเรา มั น ก็ จะไมเ กิด ขึ ้น ; เพราะเราเห็น เปน เพีย งสัก วา ธาตุเ ทา นั ้น . คนที ่ม าทํ า ใหเ รา ทุ ก ข ให เราทุ ก ข นี่ ไม ใ ช ว า คนมาทํ า ให เรา ไม ใ ช ค นอื่ น มาทํ า ให เรา เราเองต า ง หาก; คนสว นมากมัน ไปโทษคนนั ้น โทษคนนี ้ โทษคนโนน มัน วา เขามาทํ า ใหเ ราเปน ทุก ข เปน รอ น อยา งนั ้น อยา งนี ้ขึ ้น มา. แตที ่จ ริง เปน ทุก ขที ่เ ราเอง ตา งหาก เราไปรับ เราไปยึด เราไปมัด เราไปแบกเขา เอง; และก็โ ดยสว นมาก ก็ ไ ม ไ ด พิ จ ารณาเห็ น ตรงนี้ , ก็ เลยไปโทษคนนั้ น คนนี้ หาว า เขามาทํ า ให เราเป น ทุกข ก็เลยดับทุกขกันไมพบ ไมรูวาดับที่ไหนกันแน. ดับทุ กข ก็คือดับที่จิตที่ใจ, ดั บที่ ความรูสึก ของเราเอง ให รูวาเป น เพีย งสัก วา ธาตุเ ทา นั ้น มัน ก็ห มดความหมาย; นี ้ใ นสว นของความทุก ข ที่ เกิด ขึ ้น มาจากเวทนาที ่ว า แลว . เรื ่อ งโสมนัส โทมนัส ความสบายใจ ความ ทุ ก ข ใ จ ความทรมานใจ นี่ ก็ เพี ย งชั่ ว ขณะ ๆ อี ก เกิ ด ขึ้ น - ตั้ ง อยู – ดั บ ไป, เกิ ด ขึ ้น - ตั ้ง อยู – ดับ ไป ; มัน ก็ไ มม ีอ ะไรที ่เ ปน ตัว เปน ตน, หรือ บัง คับ บัญ ชาให เป น อย างนี้ ๆ แม สั ก วิ น าที เดี ย วก็ บั งคั บ บั ญ ชาไม ได มั น ก็ เกิ ด ขึ้ น -- ตั้ งอยู – ดั บ ไป เรื่องของมันเองอยางนั้น. เพราะมันเปนเพียงสักวาธาตุ ดังที่วาแลว.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สว นอุเ บกขาเฉย ๆ ก็ธ าตุอ ีก เหมือ นกัน ก็เ ปน ธาตุอ ยา งห นึ ่ง เหมื อ นกั น , ก็ ไ ม ค วรที่ จ ะเข า ไปยึ ด ถื อ เหมื อ นกั น . อวิ ช ชาธาตุ ตั ว นี้ ก็ เป น สั ก ว า ธาตุเ หมือ นกัน ; เชน วา เรามีค วามทุก ขเ พราะอวิช ชา ตาเห็น รูป หูฟ ง เสีย ง
เรื่องเกี่ยวกับธาตุ
๔๓
ธาตุ นี้ ทํ า หน า ที่ ขึ้ น มา เราไม รู ต ามความเป น จริ ง เลยเกิ ด ทุ ก ข ; ที่ รู อั น นั้ น ก็ เ ป น อวิชชา หรือวาเปนสักวาธาตุเทานั้นเอง. ที นี้ เ มื่ อ เราเผลอสติ ไ ปชั่ ว ขณะนั้ น ก็ ไ ม ต อ งมานั่ ง เป น ทุ ก ข ยึ ด ถื อ จน ร อ นอกร อ นใจขึ้ น มา, ถื อ ว า เป น บทเรี ย นเสี ย ว า เรานี้ ยั ง ป ญ ญาน อ ย ที ห ลั ง จะไม ให เกิ ด อย า งนั้ น อี ก , คื อ มาคิ ด ในทางที่ ทํ า ให เกิ ด ป ญ ญา. อย า ไปคิ ด ในทางร อ งไห ห รือ วา นั ่ง ต รอ ม อ ก ต ร อ ม ใจ เป น ท ุก ข ต ีอ ก รอ ง ไห พ ิไ ร รํ า พ ัน เส ีย ; เพราะถื อ ว า มั น เป น ไปแล ว มั น ผ า นไปแล ว จะเก็ บ เอามาเป น อารมณ ในทางที่ จะยึ ด ถื อ ไม ไ ด , เพราะเรื่ อ งที่ ทํ า ไปแล ว จะทํ า คื น ไม ไ ด นอกจากว า เราจะเปลี่ ย น การปฏิ บั ติ ที่ ถู ก ต อ งใหม เท า นั้ น เอง. เช น พู ด ไปแล ว คํ า หนึ่ ง นี่ จะเอาเรี ย กคื น มา พู ด ใหม คํ านั้ น น ะ เอามาพู ด ใหม ไม ได มั น ผ า นไปแล ว , นอกจากว าเราทํ า เอาใหม เทานั้นเอง. ที นี้ ความที่ เราไม รู ต ามความเป น จริ ง ก็ ถื อ ว า เป น เพี ย งสั ก ว า ธาตุ เหมื อ นกั น ไปผิ ด พลาดอะไรเข า ; ถ า หากว า ตอนนั้ น เรายั ง ไม รู ต ามความเป น จริ ง ก็ อ ย า มาเป น ทุ ก ข ไปเก็ บ เรื่ อ งนั้ น เป น ทุ ก ข . แต ข อให รู ว า เป น สั ก ว า ธาตุ อ ย า งหนึ่ ง แลว ก็ม าแกไ ขกัน ใหม, ทีห ลัง จะไมใ หเ กิด อยา งนั ้น อีก ไมไ ปยึด ถือ ไวม ัน ก็ไ ม ทุก ข. คนโบราณจึง วา ผิด ก็เ ปน ครู ถูก ก็เ ปน ครู มัน ก็ม าสอนใหทั ้ง นั ้น เพราะ ว า ธ า ตุ นี ่ ส อ น ให ค น ฉ ล าด ; ถ า ห า ก ว า ค น ไม รู ค รู ก ็ ค ื อ ธ าตุ บ อ ก แ ล ว ทั้งดีทั้งชั่ว.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สรุป เรื่ อ งดี เรื่ อ งชั่ ว นั่ น แหละ ที่ ค นเรายึ ด ถื อ ก็ เรีย ก สั ก ว า ธาตุ เพราะ ฉะนั้ น ธาตุ นี่ แ หละที่ ว า เป น ครู , อวิ ช ชาธาตุ ก็ เป น ครู ข องเรา มาสอนเรา ถ า หากว า
๔๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
คนไม มี อ วิ ช ชาธาตุ แ ล ว ทุ ก ข มั น ไม มี แ ล ว พระพุ ท ธเจ า ก็ เกิ ด ขึ้ น ไม ได , แล ว ว า ถ า ไมม ีช าติ ชรา มรณ ะ หรือ ทุก ข พระพุท ธเจา ก็ไ มเ กิด ขึ ้น ; เพราะฉะนั ้น ครู ที่ ดี ที่ สุ ด คื อ อวิ ช ชานี้ , อวิ ชชาธาตุ หรื อ พวกอวิ ช ชาทั้ งหลาย กี่ ร อ ยอย างก็ ต ามใจ ; ถ ารู ต ามความเป น จริ งแล ว ก็ เรีย กวา เราได ค รู ที่ ดี ที่ สุ ด ที่ ป ระเสริฐ ที่ สุ ด แล ว สอนเราทุกวัน ตลอดเวลา เรียกวายังมีความรูสึกอยู. หรื อ ว าได รั บ ผั ส สะ กระทบกั น ระหว างภายนอก ภายใน คื อ ตาภายใน ภายนอกคื อ รู ป เป น ต น มาสอนทุ ก ๆ เวลา, แล ว รั ก เราเสี ย ด วย ไม ใช เกลี ย ด. ถ า หากวา เกลีย ดจริง เขาไมม าใหเ รารู เราก็ไ มรู เ รื ่อ ง ถึง รู ก ็ไ มไ ดอ ะไร; เพราะ ฉะนั ้น เราตอ งรูเ รื่อ งนี ้ เรื่อ งอวิช ชาธาตุก ็เ ปน เรื่อ งธาตุอ ยา งหนึ ่ง ซึ ่ง เมื ่อ เกิด ขึ้ น แก เราในฐานะที่ เราไปโง กั บ สิ่ ง ใดสิ่ ง หนึ่ ง เข า ก็ ถื อ ว า อ อ , นี่ เป น เพี ย งสั ก ว า ธาตุ อย าไปเสี ยอกเสี ยใจแล วเก็ บเอาความโงอั นนั้ นมาศึ กษา ที หลั งอย าเป นอย าง นั้นอีก ; ผลสุดทายมันก็ไดประโยชน
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แตถ า หากวา เปน ทุก ข ไปรอ งหม รอ งไห ไปยึด ถือ เขา นอนตีอ ก พิไ ร รํ า พัน ; ผลสุด ทา ยนั ่น แยที ่ส ุด ไมไ ดเ รื ่อ งอะไร มัน ก็ไ มไ ดป ญ ญ า มัน ยิ ่ง เพิ่ ม ความทุ ก ข ไป, เพิ่ ม เข าไป ๆ มากขึ้ น . เพราะฉะนั้ น ให ถื อ ว า หมวดนี้ ก็ เรี ย กว า เรื่ อ งของธาตุ อี ก เหมื อ นกั น . เรื่ อ ง ๖ อย า งคื อ สุ ข ก็ เ ป น ธาตุ ทุ ก ข ก็ เ ป น ธาตุ โสมนั ส ความสบายใจก็ เป น ธาตุ โทมนั ส ความทุ ก ข ใจก็ เป น ธาตุ อุ เบกขาคื อ ความ วางเฉย ปกติ ธรรมดา ๆ อยู ก็ เป นธาตุ , หรือ อวิ ชชาก็ เป น สั กว าธาตุ อี กเหมื อ นกั น . เพราะฉะนั้ นเวลาผิ ดพลาดขึ้ นมาอย างไรก็ ถื อวาเป นธาตุ นั้ นแหล ะ, แล วก็ เอาความรู รื ่อ งธาตุนั ้น มาแกไ ขเปน บทเรีย นตอ ไป แลว จะไดรู ถ ึง ความจริง แลว จะไมไ ป ยึดถือมันในสวนที่ ๖ นี้.
เรื่องเกี่ยวกับธาตุ
๔๕
เพราะคนเราไปยึ ด ถื อ ในส ว นทั้ ง ๖ นี้ จึ ง ไม พ น จากความทุ ก ข ถ า ไม ไปยึ ด ถื อ ถึ ง แม ว า ทุ ก ข ขึ้ น มาแล ว ถ า ไม ยึ ด ถื อ ความทุ ก ข นั้ น ก็ สิ้ น ไป ; เพราะ ฉะนั้น พระพุทธเจาจึงวา ไมยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ลวงมาแลว ในอนาคต และทั้ง ป จ จุ บั น มั น ก็ ห มดป ญ หา. เพราะฉะนั้ น เวลาทํ า อะไรลงไปแล ว ถึ ง แม ว า เรา ปราศจากสติ ป ญ ญาไปบ า ง แต ว า ขอให เก็ บ เอาสิ่ งที่ ผิ ด พลาดนั้ น น ะ มาศึ ก ษา แล ว อยา เปน ทุก ข, จะเปน ครูที ่ด ีต อ ไป, แลว อยา ทํ า ผิด อีก . ผลสุด ทา ยมัน ก็จ ะไดค รู ที่ ดี คื อ สิ่ ง ที่ เ รี ย กว า ธาตุ นี้ ช ว ยสอน เราให รู ค วาม จริ ง ทั้ ง ดี ทั้ ง ชั่ ว ได เ ป น ประโยชน คื อ ไม มี ค วามทุ ก ข ต อ ไป. เพราะฉะนั้ น วั น นี้ ก็ ไ ด ม าชี้ แ จง หรื อ ว า นํ า ความรูเทาที่มีสติปญญา ก็ไดพูดมาก็เห็นวาพอสมควร จึงขอยุติลงไวเพียงแคนี้. ....
....
....
....
(พระภิกษุอีกรูปหนึ่งบรรยาย)
ญาติโยม และ ทานพุทธบริษัท ผูสนใจในธรรมทั้งหลาย,
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ป นี้ ก็ นึ ก ว า น า เป น ป ที่ พ วกเราน า จะคิ ด ฉงนกั น ; เพราะว า ท า นอาจารย ทานก็เคยปรารภมาวา กอนที่ทานจะสิ้นชีวิตทานบอกวาทานจะพูดเรื่อง ปฏิจจสมุป บาท. ที นี้ ท า นก็ ได พู ด มาหลายเรื่ อ งแล ว จนเรื่ อ งสุ ด ท า ยก็ คื อ เรื่ อ ง ปฏิ จ จสมุ ป บาท. แตวาทําไมทานจึงใหเราเรียน ก ข ก กา กันใหม มันนาสงสัย ? ที นี้ เรื่ อ งที่ อาตมาคิ ด เอาเองก็ ได หรื อ ว าอาจจะตรงกั บ ท านบางท านก็ ได ; เพราะวา พวกเรานี ้ฟ ง กัน มาแลว แตว า พวกเรานี ้ไ มส นใจ พวกเราอาจจะเปน นั ก เรี ย นที่ ดื้ อ ดึ งก็ ได ; เหมื อ นกั บ ว าครู ส อนให เราเขี ย น ก ข ก กา แต ว าเราก็ ไม เขี ย น
๔๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ตามครู , ครู บ อกให เ ขี ย นตั ว ก ให เขี ย นหั ว ก อ น เราก็ ไ ปเขี ย นมาจากหาง, ให เรีย นตัว นี ้ ใหอ า นดัง นี ้ แตว า เราก็อ า นไมเ หมือ นทา น; พอบอกวา ลองอา นดูซิ ก็อ า นผิด ทุก ที นี ่เ ปน อยา งนี ้ เพราะฉะนั ้น ปนี ้ท า นก็ตั ้ง ตน ใหพ วกเราใหม. นี้ เป น เรื่องที่ น าคิ ด เพราะพวกเราไม ส นใจนั่ น เอง รวมทั้ งตั วอาตมาด วย จึ งเป น อั น ว า ทานก็ใหเรียน ก ข ก กา กันใหม. ที นี้ ใ นเรื่ อ ง ก ข ก กา ในป นี้ ท า นให เ รี ย นเรื่ อ งธาตุ , หรื อ ว า เรื่ อ ง อายตนะ เรื่อ งขั น ธ ทั้ งหมดนี้ ก็ อ ยู ในฐานะของธาตุ คื อ ท านให เรารูจัก เรื่อ งธาตุ วา ทั้ งหมดในโลกนี้ ไม วาอยู ขางนอกเรา หรือ วาอยูในตั วเรา อยู ที่ จิ ต ใจของเรา มัน ก็เ ปน ธาตุทั ้ง นั ้น มัน ไมม ีอ ะไรเปน อยา งอื ่น ไปได. ถา หากวา เปน ธรรม มัน ก็เ ปน ธรรมทั ้ง นั ้น สุด แลว แตที ่เ ราจะเพง เล็ง ลงไปในเรื ่อ งนี ้. ทีนี ้เ รื ่อ งธาตุนี้ เราเรีย นเรื่อ งธาตุ ข า งนอก; เช น อย า งในทางโลกเขาเรีย นกั น เขาศึ ก ษากั น จนถึ ง โลกพระจัน ทร โลกพระอั งคาร ก็ เรื่อ งธาตุ ทั้ งนั้ น . แต เราเรีย นเรื่ อ งธาตุ นี้ คื อ เรา เรีย นเรื ่อ งธาตุภ ายนอก, แลว ก็เ รีย นเรื่อ งธาตุภ ายใน ที ่เ ปน รูป ธาตุ ที ่เ ปน อรูปธาตุ แล วก็ เป นธาตุ สํ าหรับดั บ คื ออย าให ไปยึ ดมั่ นถื อมั่ นในเรื่องธาตุ ทั้ งสองนั้ น เรียกวานิโรธธาตุ หรือนิพพานธาตุ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทีนี ้เ ราตอ งรู จ ัก ธาตุ นี ่ค ือ เรื ่อ งแรก; ถา หากวา เราไมรู จ ัก ธาตุ เรา ก็ไ มรูจ ัก หนา ที ่ ไมรูจ ัก อายตนะ ก็ไ มรูจ ัก ขัน ธ. เวลาธาตุไ ปทํ า หนา ที ่ ก็ เรีย ก ว าอายตนะ; พออายตนะทํ าหน า ที่ คื อ ต อ อายตนะภายนอก อายตนะภายใน เสร็จ เรีย บรอ ยแลว ก็เ ปน ขัน ธขึ ้น มา เราก็ไ มรูอ ีก วา ขัน ธนั ้น พอเราไปยึด ถือ เขา มัน ก็เปน ทุก ข เพราะฉะนั ้น ในเมื ่อ เราไมรูจ ัก ธาตุ เราก็ไ ปยึด ถือ ธาตุ เราไม
เรื่องเกี่ยวกับธาตุ
๔๗
รู จั ก อายตนะ เราก็ ไ ปยึ ด ถื อ อายตนะ ไม รู จั ก ขั น ธ ก็ ไ ปยึ ด ถื อ ขั น ธ นี้ เรื่ อ งมั น เป น อยางนี้ จึงตองเรียน ก ข ก กา กันใหม. เราต อ งรู จั ก ธาตุ ว า ตั ว เรานี้ มั น ประกอบด ว ยธาตุ กี่ อ ย า ง แล ว เวลา ธาตุม ัน ทํ า หนา ที ่ คือ มีต ัว เราขึ ้น มาแลว ; พอมีต ัว เราขึ ้น มาแลว มัน ก็ม ีต า มีห ู มีจ มูก มีลิ ้น มีก าย มีใ จ; พอมีสิ ่ง เหลา นี ้แ ลว สิ ่ง เหลา นี ้ก ็ทํ า หนา ที่ นี้ ธาตุ มั น กลายแล ว คื อ ธาตุ ต ามั น ก็ ไ ปเห็ น รู ป . ที นี้ พ อเห็ น รู ป ก็ เ กิ ด จั ก ษุ วิ ญ ญาณ จั ก ษุ สั ม ผั ส , เกิ ด เวทนาที่ เป น สุ ข บ า ง ที่ เป น ทุ ก ข บ า ง ที่ เป น อทุ ก ขมสุ ข เวทนาบา ง. ทีนี ้เ ราไมรู พอเราไมรู ม ัน ก็เ กิด ขัน ธขึ ้น มาอีก ; พอเกิด ขัน ธ ขึ้นมาก็เขาไปยึดถืออีก นี้เรื่องมันก็ก็เปนทุกข นี้เรื่องมันก็เปนอยางนี้. ถ าเรารู จั กว าตั วเราก็ ประกอบด วยธาตุ จิ ตใจของเราก็ ประกอบด วยธาตุ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ก็ คื อธาตุ , สิ่ งที่ เราเห็ นคื อ รู ป เสี ยง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธัมมารมณ ก็คือธาตุ; มั นเป นสักแตวาธาตุเทานั้ น, ไมมี อะไรที่เป นอยางอื่น มั นเป น เพีย งสัก แตว า ธาตุ, พ อมัน เปน ธาตุแ ลว ก็เ ปน ขัน ธเ ปน ขัน ธนั ้น ก็ค ือ ธาตุ ชนิดหนึ่งเหมือนกัน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ เราต อ งมี ป ญ ญา : มี ป ญ ญารูจั ก ธาตุ มี ป ญ ญารูจั ก อายตนะ มี ปญ ญารูจักขันธ ถาเรารูจัก ๒ อยางนี้แลว เราก็ตองรูจักวามันเกิด ขึ้น ได อ ยางไร มัน ดับ ไดอ ยา งไร และวิธ ีไ หนที ่จ ะทํ า ใหม ัน ดับ และไมม ีค วามทุก ข ? ก็ เรื ่อ งอริย มรรคมีอ งคแ ปดนั ่น เอง. เพราะฉะนั ้น เราจึง ตอ งมาเรีย นกัน ใหม มา ศึกษากันใหม มาซ้ําชั้นกันใหมในปนี้. ....
....
....
....
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
๔๘
(ภิกษุอีกองคหนึ่งบรรยาย)
ทานสาธุชนผูสนใจในธรรมทั้งหลาย, การพู ด หรื อ การบรรยายในวั น นี้ ก็ ยั งเป น เรื่ อ ง ก ข ก กา ตามเดิ ม วั น ก อ น ๆ ก็ ได พู ด กั น ไปบ า งแล ว แต ก็ ยั ง ไม ล ะเอี ย ด. สํ า หรั บ วั น นี้ ก็ จ ะได ก ล า วเรื่ อ ง ก ข ก กา นี่ ให มั นปลี กย อยออกไป; โดยเฉพาะอย างยิ่ งวั นนี้ ก็ เป น เรื่องที่ ไปค นคว า มา ไปจดมาแลวก็เอามาอานใหฟง เพื่อใหไดเขาใจยิ่งขึ้น. เรื ่อ งธาตุ เรื ่อ งอายตนะ เรื ่อ งขัน ธนี ่ที ่เ รีย กวา เปน เรื ่อ ง ก ข ก กา เพราะวา เปน เรื ่อ งพื ้น ฐานในการศึก ษาธรรมะ; ถา ไมรู เ รื ่อ งพื ้น บาน ไปเริ ่ม ศึ กษาเรื่องที่ เป นปลายเหตุ ปลายเรื่องนี่ ก็ ทํ าให ศึ กษายาก เข าใจลํ าบาก. เรื่องธาตุ เป น เรื่ อ งแรก หรื อ เป น พื้ น ฐานของสิ่ ง ทั้ ง ปวง เพราะว า ทุ ก อย า งเป น แต เพี ย งธาตุ ทุกอยางเปนธรรม คําวา ธรรม กับคําวา ธาตุนี่ มีความหมายอยางเดียวกัน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org คํ า วา ธาตุ แปลวา สิ ่ง ทุก สิ ่ง , สิ ่ง ทั ้ง ปวง ทรงสภาพไว. อยา งที่ เปน สัง ขตธาตุก็คือ ทรงสภาพไวใ นฐานะที่เ ปน เรื่อ งปรุง แตง อสัง ขตธาตุ ก็ เป น ธาตุ ที่ ไ ม มี ก ารปรุ ง แต ง . นี้ เป น เรื่ อ งธาตุ เหมื อ นที่ พ ระเดชพระคุ ณ ท า นได แสดงใหฟ ง แลว . ทีนี ้ใ นพระสูต ร พระพุท ธเจา ทา นตรัส ใน พหุธ าตุส ูต ร วา ภิกษุพึงเปนผูฉลาดในธาตุ, ธาตุ ๑๘ คือ ธาตุที่เรียกวา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ, ลวก็ธาตุที่เรียกวา รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ, และธาตุที่เปน จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณนี้อีกพวกหนึ่งจนถึง มโนวิญญาณ, อีกพวกหนึ่ง ก็เปน ธาตุที่อาศัยอยูในธาตุ ๖ คือ ดิน น้ํา ไฟ ลม อากาศธาตุ และวิญญาณธาตุ และ เปนผูฉลาดในธาตุคือ ธาตุสุข ธาตุทุกข ธาตุโสมนัส ธาตุโทมนัส ธาตุอุเบกขา
เรื่องเกี่ยวกับธาตุ
๔๙
ธาตุอ วิช ชา นี ้ด ัง ที ่ไ ดแ สดงแลว . และธาตุอื ่น ยัง มีอ ีก กามธาตุ เนกขัม มธาตุ พยาปาทธาตุ อพยาปาทธาตุ หิ ง สาธาตุ วิ หิ ง สาธาตุ , ธาตุ อื่ น ยั งมี อี ก คื อ กามธาตุ รู ป ธาตุ อรู ป ธาตุ , ธาตุ อื่ น ยั ง มี อี ก คื อ สั ง ขตธาตุ อสั ง ขตธาตุ ทั้ ง หมดก็ เ ป น เพียงวาธาตุ. และอี ก ธาตุ ห นึ่ ง ที่ เ ราไม ค อ ยได ยิ น แต ว า คนเราคบกั น นี้ เ พราะธาตุ , คนนั ้น ธาตุม ัน ตรงกัน มัน ก็เ ลยคบกัน ได. นี ้ก ็เ ปน ธาตุเ หมือ นกัน มีอ ยู ใ นพระ สูตรก็วา พระพุทธเจาตรัสชี้ใหภักษุดูวา สัทธิวิหาริกของพระสารีบุตรนั้นนะ มีธาตุ เหมือนพระสารีบุตร คือเปนผูที่มีปญญา, สัทธิวิหาริกของพระกัสสปนี้ คือเปนผู ครงในธุดงค, สัทธิวิหาริกของพระโมคคัลลานะนี้เปนผูมีฤทธิ์, สัทธิวิหาริกของ พระเทวทั ตคื อเป นผู ปรารถนาลามก. เพราะมั นอยู กั นได คนดี อยู กั บคนดี เพราะมั น มีธ าตุต รงกัน , คนชั ่ว มัน อยู ก ับ คนชั ่ว เพ ราะมัน มีธ าตุต รงกัน . ฉะนั ้น ธาตุนั ้น แปลว า อย า งไร ก็ แ ปลว า มั น เหมื อ นกั น ไปกั น ได , คนขี้ โ ม ขี้ คุ ย มั น ก็ ไ ปกั น ได คน เฉยมั น ก็ อ ยู กั น ได , นี่ เรี ย กว า มั น อยู กั น ด ว ยธาตุ ; ลึ ก ไปกว า ที่ ได ยิ น ได ฟ ง มา แต ว า อยางนี้ยังไมสําคัญ ยังไมเปนเหตุใหเกิดทุกข.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ตอ เมื ่อ ธาตุม ัน ลุก ขึ ้น มาทํ า หนา ที ่ เมื ่อ นั ้น จึง เปน ทุก ข, เรีย กวา ธาตุม ัน มาเกิด ขึ ้น . การเกิด ขึ ้น ของธาตุเ ปน เหตุใ หเ กิด ทุก ข ความดับ ไปของ ธาตุค ือ ความดับ ไปของทุก ข; เพราะฉะนั ้น ตอ งสนใจการเกิด ขึ ้น ของธาตุ. ทีนี ้ธ าตุม ัน เกิด ขึ ้น มัน ก็ต อ งเปน เรื ่อ งเกี ่ย วกับ มนุษ ย ก็ค ือ อ าย ต น ะเกิด ขึ ้น ; พออายตนะเกิด ขึ ้น ก็ม ีก ารกระทบเรีย กวา ผัส สะเกิด ขึ ้น ; ฉะนั ้น เรื ่อ งที ่จ ะพูด ตอไปนี้ก็เปนเรื่องเกี่ยวกับผัสสะ.
๕๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
พระพุ ทธเจ าตรั ส ว ารูปที่ เห็ นด วยจั กษุ หมายความว าเมื่ อตากระทบรู ป, รูป ที ่เ ห็น ดว ยจัก ษุ นา ปรารถนา นา ใคร นา พอใจ เปน ที ่ร ัก ประกอบดว ยกาม เปน ที ่ตั ้ง แหง ความกํ า หนัด . ถา ภิก ษุไ ปเพลิด เพลิน , ไปพร่ํ า สรรเสริญ ไปเมา หมก เปน เหตุใ หเ กิด ทุก ข. ฉะนั ้น เมื ่อ ตาเห็น รูป ไปเพลิด เพลิน ไปสรรเสริญ ห รื อ ไป เม าห ม ก ก็ เรี ย ก ว า นั น ทิ เกิ ด , ค วาม ทุ ก ข ก็ เกิ ด . ถ า ต าเห็ น รู ป ไป เพลิ ด เพลิ น ไปพร่ํ า สรรเสริ ญ ก็ เ รี ย กว า ไปเมาหมก เพราะว า นั น ทิ เ กิ ด นั น ทิ เ กิ ด ความทุก ขก ็เ กิด , นัน ทิด ับ ความทุก ขก ็ด ับ . นี ้ว า ในเรื ่อ งรูป , เสีย ง กลิ ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ ก็เหมือนกัน. ที นี้ ต อไป สู ตรที่ พ ระนั น ทกะ ไปสอนนางภิ กษุ ณี ก็ มี ว า เมื่ อตาเห็ นรูป ตาก็ไ มเ ที ่ย ง รูป ก็ไ มเ ที ่ย ง จัก ษุว ิญ ญ าณ ก็ไ มเ ที ่ย ง, หูไ ดย ิน เสีย ง หูก ็ไ มเ ที ่ย ง เสี ย งก็ ไม เที่ ย ง โสตวิ ญ ญาณก็ ไม เที่ ย ง, วิ ญ ญาณไม เที่ ย ง ผั ส สะก็ ไม เที่ ย ง ; ฉะนั้ น เวทนาก็ ไม เที่ ย ง, ฉะนั้ น สุ ข เวทนาก็ ต าม ทุ ก ขเวทนาก็ ต าม ไม เที่ ย ง. เพราะเหตุ ว า ตาไม เที่ ย งเสี ย แล ว . หู ไ ม เที่ ย งเสี ย แล ว , ตาไม เที่ ย งเสี ย แล ว , รู ป ไม เที่ ย งเสี ย แล ว , จั ก ขุ วิ ญ ญาณไม เที่ ยงเสี ยแล ว, เวทนานี้ จะเที่ ยงมาจากไหน ? เพราะโดยมากเราก็ ไป หลงเวทนา วา เวทนานี ้ม ัน เที ่ย ง, นี ้ก ็เ นื ่อ งมาจากการกระทํ า ของธาตุ ที ่ล ุก ขึ้นมาเปนอายตนะ เมื่อกระทบกันแลวก็เกิดผัสสะ และเวทนาขึ้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ต อ ไปพระพุ ท ธเจ า ตรั ส ว า ภิ ก ษุ ทั้ ง หลายพึ ง รู ธ รรม ๖ หมวด คื อ อายตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖ วิ ญ ญาณ ๖ ผั สสะ ๖ เวทนา ๖ และ ตัณหา ๖ ผูใดกลาววารูป จักษุ จักษุวิญญาณจักษุสัมผัส จักษุสัมผัสสชาเวทนา หรือตัณหาที่มาจากรูปนั้น เปนอัตตาแลว ผูนั้นยอมเปนทุกข; เพราะสิ่งนั้นปรากฏ
เรื่องเกี่ยวกับธาตุ
๕๑
เกิ ด ขึ้ น และเสื่ อ มไป สิ่ งนั้ น จึ งไม ใช ต น. ฉะนั้ น ถ าผู ใดไปยึ ด ถื อ รูป ตา หรื อ เห็นรูป จักขุวิญญาณ วาเปนตัวตนแลวความทุกขก็เกิดขึ้น หูไดยินเสียง เกิดโสต วิญญาณ เกิดโสตสัมผัส เกิดโสตสัมผัสสชาเวทนา และเกิดตัณหาที่มาจากเสียง ก็เหมือ นกัน . นี ้เรีย กวา ไปยึด ถือ กระทบ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ, แลว ก็เกิด เวทนาไปตามลํ า ดับ นี ้ว า เปน ตัว ตน ความทุก ขก ็เกิด ขึ ้น ; เพราะฉะนั ้น เมื่อเวลามีการกระทบ ตองมีสติสัมปชัญญะอยูวาไมใชตน ก็สักวาธาตุไปตามเดิม. วิ ธี ป ฎิ บั ติ เพื่ อละตั ว ตน ห รื อ ดั บ สั ก กายะ ก็ พึ ง เห็ น ว า ธรรม ๖ หมวดนี้ ก็คื อธรรม ๖ หมวดที่ พระพุ ทธเจ าท านตรัสวา อายตนะภายใน อายตนะ ภายนอก วิญ ญาณ ผั ส สะ เวทนา และตั ณ หานี่ ไม ใช เรา, เนตํ มม เนโส หมสฺมิ น เมโส อตฺ ต า - ไม ใชเรา ไม ใชข องเรา ไม ใช ตัว ตนของเรา; เพราะวา อาศั ย จักษุ กับ รูป เกิด จักขุวิญ ญาณ; การรวมกัน ของธรรม ๓ ประการ ชื่ อ วาผัสสะ, ผัสสะเปนปจจัยเกิดสุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา. สุ ข เวทนาอั น บุ ค คลถู ก ต อ งแล ว ไม มี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะ เข า ไปพร่ํ า สรรเสริ ญ เพลิ ด เพลิ น เมาหมก จึ ง เกิ ด ราคานุ สั ย ; หมายความว า เมื่ อ ตาเห็ น รู ป เกิ ด จั ก ขุ วิ ญ ญ าณ การรวมกั น ของธรรม ๓ ประการ ชื่ อ ว า ผั ส สะ ผั ส สะนี้ เ ป น ปจ จัย ใหเ กิด สุข เวทนา ทุก ขเวทนา อทุก ขมสุข เวทนา. สุข เวทนาอัน บุค คล เขา ไปถูก ตอ งแลว เพลิด เพลิน สรรเสริญ เมาหมก ราคานุส ัย ก็เ กิด ขึ ้น . ทุก ขเวทนาอัน บุค คลร่ําสรรเสริญ เมาหมก ปฏิฆ านุสัย ก็เกิด ขึ้น .. อทุก ขม สุ ข เวทนา อั น บุ ค คลไม รู ไม รู ท าง ไม รู โทษ ไม รู สิ่ ง อั น ที่ เป น ที่ ส ลั ด ออกแห ง เวทนานั ้ น อวิ ช ชานุ ส ั ย ก็ เ กิ ด ขึ ้ น .. นี ้ ว ิ ธ ี ล ะ ราคานุ ส ั ย ปฏิ ฆ านุ ส ั ย และ
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๕๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
อวิ ช ชานุ สั ย ละในทางที่ ต รงกั น ข า ม คื อ เมื่ อ มี ก ารกระทบ อาศั ย จั ก ษุ รู ป บวก จั ก ขุ วิ ญ ญาณ รวมกั น เป น ผั ส สะนี่ เกิ ด สุ ข เวทนา ทุ ก ขเวทนาก็ ต าม ก็ อ ย า ไป เพลิดเพลิน สรรเสริญ และเมาหมก. และจุ ด นี้ แ หละเป น จุ ด สํ า คั ญ ว า เมื่ อ มี ก ารกระทบ ทางตากระทบรู ป หู ก ระทบเสี ย งนี้ จะเรี ย กว า มารก็ เ รี ย กตรงนี้ . พระพุ ท ธเจ า ท า นเรี ย กว า มี ก าร บั ญ ญั ติ ว า มี ม ารนั้ น ก็ ต รงนี้ จั ก ษุ รู ป จั ก ษุ วิ ญ ญาณ มี อ ยู ณ ที่ ใ ด, จั ก ขุ คื อ ตา เห็น รูป เกิด จัก ขุว ิญ ญาณ มีอ ยู ที ่ใ ด ที ่นั ้น ทา นจะเรีย กวา มาร, หรือ วา เกิด เป น มารขึ้ น มาก็ ต รงนั้ น ฉะนั้ นระวั งให ดี ว า เมื่ อ ตาเห็ น รู ป เป น ต น เกิ ด จั กขุ วิ ญ ญาณ นี่ ต รงนี้ จ ะเป น มารหรื อ ไม เป น มาร. พระพุ ท ธเจ า ท า นบั ญ ญั ติ ม าร ท า นบั ญ ญั ติ ตรงนี้บัญญัติเปนมาร บัญญัติเปนกิเลสก็ตรงนี้. ที นี้ มี ค นไปถามว า เราประพฤติ พ รหมจรรย เพื่ อ รู อ ะไร ? พระพุ ท ธเจ า ก็บ อกวา ประพฤติพ รหมจรรยเ พื ่อ รู ท ุก ข. ก็ท ุก ขม ัน เปน ไฉน ? อาศัย ตากับ รูป เกิด จัก ขุว ิญ ญ าณ การรวมกัน ของธรรมทั ้ง ๓ ประการ ทํ า ใหเ กิด ผัส สะ ผั ส สะทํ า ให เกิ ด เวทนา เวทนาทํ า ให เกิ ด ตั ณ หาอุ ป ทาน; นี่ คื อ ทุ ก ข . ฉะนั้ น เรามา ประพฤติพรหมจรรยนี่เพื่อรูทุกข แลวก็เพื่อดับทุกขตรงนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org วิธีดับทุกข มีอยูสูตรหนึ่ง ในทุกขสูตร พระพุทธเจาทานตรัสวา ทุกข, การเกิ ด ขึ้ น ของทุ ก ข เพราะว า เมื่ อ ตาเห็ น รู ป เกิ ด จั ก ขุ วิ ญ ญาณ การรวมกั น ของ ธรรม ๓ ประการ ชื่อวาผัสสะ ผัสสะเปนปจจัยใหเกิดเวทนา เวทนาเปนปจจัย ใหเกิดตัณหา ตัณหาเปนปจจัยใหเกิดอุปาทาน อุปาทานเปนปจจัยใหเกิดภพ ภพ เปนปจจัยใหเกิดชาติ ชาติเปนปจจัยใหเกิดทุกข. นี้เรียกวาทุกขเกิดแลว.
เรื่องเกี่ยวกับธาตุ
๕๓
อันนี้การดับทุกข พระพุทธเจาทานตรัสวา เมื่อตาเห็นรูปเกิดจักขุ วิญญาณ การรวมกันของธรรม ๓ ประการชื่อวาผัสสะ ผัสสะเปนปจจัยใหเกิด เวทนา, เวทนาเปนปจจัยใหเกิดตัณ หา. เพราะการดับ สํารอก ไมเหลือของ ตัณหา อุปาทานก็ดับ, อุปาทานดับภพดับ ชาติดับ ทุกขก็ดับ แสดงวาถาเรามี ทุก ขขึ ้น มา เพราะมัน มีต ัณ หา การรวมกัน ของธรรม ๓ ประการ ชื ่อ วา ผัส สะ. ผั ส สะทํ า ให เกิ ด เวทนา เวทนาทํ า ให เกิ ด ตั ณ หา นี้ มั น ทุ ก ข แ ล ว เพราะตั ณ หาเป น เหตุใ หเ กิด ทุก ข; ถา มีต ัณ หาจึง ตอ งมีท ุก ข. ฉะนั ้น ขณะที ่เ รามีท ุก ขอ ยู เพราะ ว า มี ตั ณ หา; ฉะนั้ น การดั บ ก็ ต อ งดั บ ที่ ตั ว ตั ณ หา นั่ น . มั น ก็ เป น ความแปลก ประหลาดอยู อ ย า งหนึ่ ง ว า ถ า เราจะไปดั บ ทุ ก ข นี่ ดั บ ไม ได แต ถ า เราไปดั บ ตั ณ หา คือมีความรูจริงมาดับ ทุกขมันคอย ๆ ดับไปเอง. ยกตั ว อย า งว า ไปเห็ น อะไรเข า เกิ ด ความชอบ เกิ ด ความอยากจะได ขึ้ น มา นี้ ก็ เรี ย กว า เกิ ด ตั ณ หา; อยากจะได ขึ้ น มา ทุ ก ข ก็ เกิ ด ขึ้ น มี ค วามอยากจะ ได สิ่ ง ที่ เรี ย กว า เป น ความทุ ก ข นี่ มี ค วามตื่ น เต น มี ค วามอยากจะได มี ค วามตื่ น เต น จิ ต ใจก็ ห วั่ น ไหว. ที นี้ เราจะไปดั บ ความหวั่ น ไหวนี่ ดั บ อย า งไร, ก็ ต อ งรู ว า ความหวั่ น ไหวมั น เกิ ด ขึ้ น เพราะว าเรามี ตั ณ หา. ตั ณ หามาจากความที่ เราไม รู ต าม ที ่เ ปน จริง มีส ติส ัม ปชัญ ญะมาดับ วา อา ว, ที ่แ ทจ ริง มัน เปน สัก วา ธาตุ; พอ ดับ ที ่ต ัณ หา จิต มัน ก็ค อ ยเย็น ลง ๆ ๆ ทุก ขม ัน ก็ดับ ไป. เพราะฉะนั้น พระ พุทธเจาทานตรัสวา เมื่อเวทนาเปนปจจัยใหเกิดตัณหา การดับสํารอกไมเหลือของ ตัณหา อุปาทานก็ดับภพดับ ภพดับก็ชาติดับ ชาติดับก็ทุกขดับ นี้ในทุกขสูตร.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org บางที ก็ เรี ย กว า โลกก็ เหมื อ นกั น ตาเห็ น รู ป เกิ ด จั ก ขุ วิ ญ ญาณ การรวม กัน ของธรรม ๓ ประการ ไปเกิด ผัส สะ. ผัส สะเปน ปจ จัย ใหเกิด เวทนา, เวทนา
๕๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
เป น ป จ จั ย ให เกิ ด ตั ณ หา, ตั ณ หาเป น ป จ จั ย ให เกิ ด อุ ป าทาน, อุ ป าทานเป น ป จ จั ย ให เกิดภพ ภพใหเกิดชาติ ชาติทําใหเกิดโลก. นี่เรียกวาโลก เหมือนกัน. ทีนี้ตอไปอีก ในสูตรหนึ่ง พระพุทธเจาทานตรัสวา บางทีเรียกวาโลก. โลกนี่ แ ปลว า สิ่ ง ที่ ต อ งแตก สิ่ ง ที่ ต อ งแตกสลายนั้ น คื อ อะไร ? ก็ คื อ จั ก ขุ ส ลาย รู ป สลาย จักขุวิญ ญาณสลาย จักขุสัมผัสสลาย เวทนาอันเกิดแตผัสสะนั่นสลาย ก็ เรี ย กว า โลกสลาย. ฉะนั้ น คํ า ว า ในรา งกายเรานี้ ในตั ว เรานี้ บางที ก็ เรี ย กว า โลก ฉะนั้ น ใครต อ งการให โลกแตก หรื อ โลกสลาย ก็ คื อ ทุ ก ข ดั บ ก็ คื อ ให จั ก ขุ มั น สลาย ไป รูป สลายไป. คํ า วา สลายในที ่นี ้ก ็ค ือ วา ธาตุไ มล ุก ขึ ้น มาทํ า หนา ที ่ ให มั น สลายเป น ธาตุ อ ยู ต ามเดิ ม อย าให ลุ ก ขึ้ น มาทํ าหน าที่ ; อย างนี้ เรี ย กว าจั ก ขุ ส ลาย รู ปสลาย จั กขุ วิ ญ ญาณสลาย จั กขุ สั มผั สสลาย จั กขุ สั มผั สสชาเวทนาสลาย เป นต น. นี่ก็มีตา มีหู มีจมูก ลิ้น กาย ใจ วาไปจนครบ. อีกสูตรหนึ่ง มีภิกษุไปถามพระสารีบุตร ถึงซึ่งความโลงใจนั้น, เพราะวา คนเรานี ่ม ีค วามอึด อัด ไมส บายใจ เปน ประจํ า วัน ดูที ่ต ัว เราเองก็รู . วัน หนึ ่ง ๆ ก็เ คยมีค วามคับ ใจ ไมเ คยมีคํ า อุท านออกมาวา เขาสลายโลง มีแ ตเจอหนา ใคร ที่ ไ หน ก็ บ อกว า ทุ ก ข ทั้ ง นั้ น แย ทั้ ง นั้ น เป น ไงป นี้ แย มี แ ต คํ า ว า แย , ไม มี ใ คร บอกวา โลง ใจ เบาสบาย. ตอนนี ้พ ระองคนี ้ก ็ไ ปถามพระสารีบ ุต ร ที ่เ รีย กวา ความโลงใจ ๆ นั้นเพราะเหตุอะไร จึงเรียกวาความโลงใจ ?
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org พระสารีบุ ต รก็ ต อบว า ดู ก อ นผู มี อ ายุ , เมื่ อ ใดภิ ก ษุ รู ค วามเกิ ด ความ ดับ คุณ โทษ และอุบาย เครื่องสลัดออก แหงผัสสายตนะทั้ง ๖ คือตาเห็นรูป. หู ไ ด ยิ น เสี ย งนี้ เกิ ด จั ก ษุ วิ ญ ญาณ ผั ส สะนี้ เรี ย กว า รู เท า นี้ แ ล ว เกิ ด การสลั ด ออก
เรื่องเกี่ยวกับธาตุ
๕๕
รูท างสลัด ออกตามความเปน จริง ดวยเหตุเพียงเทานี้ ชื่อ วาถึงซึ่งความโลงใจ. ฉะนั้ น ใครอยากจะโล ง ใจ ก็ ต อ งรู ค วามเกิ ด ดั บ คุ ณ โทษ และอุ บ ายเป น เครื่ อ ง สลัดออก ของผัสสะทั้ง ๖ นี่. ทีนี ้ภ ิก ษุนั ้น ก็ถ ามตอ ไปอีก วา ที ่ม ัน โลง ใจยิ ่ง ขึ ้น มัน โลง ใจอยา งยิ ่ง , โลงใจถึงที่สุดนั่น ดวยเหตุอะไร ? พระสารีบุตรก็ตอบวา เมื่อรูเทานี้แลว ก็ไม ถื อ มั่ น ด ว ยอุ ป าท าน สิ , รู เ หตุ เ กิ ด รู คุ ณ รู โ ทษ รู อุ บ ายแล ว ก็ ไ ม ถื อ มั่ น ด ว ย อุ ป าทาน. เพราะฉะนั้ น เมื่ อ ตาเห็ น รู ป เป น ต น เกิ ด จั ก ขุ วิ ญ ญาณ การรวมกั น ของ ธรรม ๓ ประการ ชื่ อว าผั สสะ ผั สสะเป นเวทนา ก็ อย ามี ตั ณ หา, อย าให เกิ ดตั ณ หา ใหม ีว ิช ชาธาตุม าทัน คือ ไมถ ือ มั ่น ในอุป าทาน, เมื ่อ นั ้น จะถึง ซึ ่ง ความโลง ใจ อยางยิ่ง. นี่ คื อ เรื่ อ งที่ เกี่ ย วกั บ อายตนะ หรื อ การกล า วถึ ง เรื่ อ งธาตุ มั น ลุ ก ขึ้ น ทํ า หนา ที ่ ซึ ่ง มัน จะเปน เหตุใ หเ กิด ทุก ข. อาตมาก็ไ ดเ อามา คัด มา กลา วใหฟ ง พระพุ ท ธเจ า ท า นตรั ส ไว เ ป น ส ว นน อ ย และมี อี ก เยอะแยะที่ ว า จุ ด นี้ ว า เป น จุ ด สําคัญ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทีนี ้ต อ ไปเปน เรื ่อ งขัน ธ เพราะวา ตามัน ไปกระทบรูป หรือ เมื ่อ มัน ลุก ขึ ้น มาทํ า หนา ที ่แ ลว มัน ทํ า ใหเ กิด ขัน ธขึ ้น มา. นี ้ก ็ใ หพ ิจ ารณาวา ขัน ธที ่เ กิด ขึ้นมานี่ วารูปไมเที่ยง เวทนาไมเที่ยง สัญญาไมเที่ยง สังขารไมเที่ยง วิญญาณ ไมเ ที ่ย ง; สิ ่ง ใดไมเ ที ่ย ง เปน ทุก ข เปน อนัต ตา ก็ไ มค วรจะตามเห็น วา เปน ของเรา; ฉะนั ้น รูป เวทนา สัญ ญา สัง ขารนั ้น ไมใ ชเ รา. ถา จิต ของภิก ษุค ลาย
๕๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
จากรูป ธาตุ เวทนาธาตุ สัญ ญาธาตุ สัง ขารธาตุ วิญ ญาณธาตุ หลุด พน แลว เพราะไมถือมั่น เรียกวาพรหมจรรยอยูจบ. นี่พระพุทธเจาทานตรัสวา รูปก็เปนธาตุ เวทนาก็เปนธาตุ สัญญาก็ เปนธาตุ สังขารก็เปนธาตุ วิญญาณก็เปนธาตุ; ฉะนั้น เมื่อมีการกระทบ อายตนะ ทํ า หน า ที่ ม ากระทบคื อ ตาเห็ น รู ป เป น ต น เกิ ด เป น ขั น ธ ขึ้ น มานี่ พึ ง มี ค วามรู ว า ขั น ธ นั้ น เป น เพี ย งธาตุ เกิ ด ขึ้ น ตามธรรมชาติ ; เมื่ อ ธาตุ นั้ น มากระทบกั น ก็เ กิด เปน ธาตุขึ ้น มาอีก ธาตุห นึ ่ง เรีย กวา ธาตุร ูป ธาตุเ วทนา ธาตุส ัญ ญา ธาตุ สั งขาร ธาตุ วิ ญ ญาณ. พึ งเห็ น ว า รู ป เวทนา สั ญ ญา สั งขาร วิ ญ ญาณ นั้ น ไมใ ชต น ไมเ ที ่ย ง เปน ทุก ข เปน อนัต ตา ปฏิบ ัต ิเ ทา นี ้ชื ่อ วา เสร็จ กิจ พรหมจรรย ถึงที่สุดแหงทุกข. ทีนี้ตอไปอีกวา อุป าทานในเบ็ ญ จขันธนั่นคืออะไร ? ขันธหานี่รูแลว แต ว า อุ ป าทานนั้ น น ะ เป น อย า งไร ? รู ป อย า งใดอย า งหนึ่ ง ในอดี ต ก็ ดี ป จ จุ บั น ก็ ดี อนาคตก็ ดี เป น ไปในภายในหรื อ ภายนอก หยาบหรื อ ละเอี ย ด เลวหรื อ ประณี ต ไกลหรื อ ใกล ก็ ต าม; ถ า เป น ไปโดยอาสวะ เป น ป จ จั ย แห ง อุ ป าทาน เรี ย กว า อุป าทานในรูป ขัน ธ. เวทนาก็เหมือ นกัน อยา งใดอยา งหนึ ่ง ในอดีต ในปจ จุบ ัน ในอนาคต ถ า หากว า มั น มี อุ ป าทานเข า ไปในเวทนานั้ น ก็ เ รี ย กว า อุ ป าทานใน เวทนาขันธ, สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เหมือนกัน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อีกอยางหนึ่ งที่ เราคิ ดวา เราเลวกวาเขา เราดี เสมอเขา เราดี กวา เขา นี่ เพราะเราไม รูเท าทั น ของ รูป เวทนา สั ญ ญา สั งขาร วิญ ญาณ. บางที เราก็ เก ง กว า เขาด ว ยรู ป ดี ก ว า เขาด ว ยรู ป , บางที ก็ ดี ว า เขาด ว ยเวทนา, บางที ก็ ดี
เรื่องเกี่ยวกับธาตุ
๕๗
กว าเขาด วยสั ญ ญา, บางที ก็ ดี กว าเขาด วยสั งขาร, บางที ก็ ดี กว าเขาด วยวิ ญ ญาณ, บางที ก็ เสมอกั บ เขาด ว ยรูป , บางที ก็ เสมอกั บ เขาด ว ยเวทนา, บางที ก็ เสมอกั บ เขา ด วย สั ญญา สั งขาร วิญญาณ, บางที ก็ เลวกวาเขาด วย รูป เวทนา ตั ณหา สั ญญา สั งขาร วิ ญ ญาณ. เมื่ อรูป เวทนา สั ญญา สั งขาร วิ ญ ญาณ ไม เที่ ยง เป นทุ กข เป นอนั ตตา ฉะนั้ น เราจะเลวกว าเขา ดี กว าเขา เสมอเขาได อย างไร ? ฉะนั้ นคนที่ ถื อว า มี ม านะ วา เลวกวาเขา ดีกวาเขา เสมอเขานี่ เพราะไมรูตามความเปนจริงของขันธหา ที่ ว า รู ป เวทนา สั ญ ญา สั ง ขาร วิ ญ ญาณ นี้ ไม ใ ช ต น แล ว จะไปเลวกว า ดี ก ว า เสมอกันไดอยางไร. ที่พระพุทธเจาทานตรัสรูอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ พระองคตรัสวา เพราะพระองครูปริวัฎฎ ๔ ของเบญจขันธนี่ คือรูเรื่อง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิ ญ ญาณ, รูเรื่อ งความเกิ ด แห งรูป เวทนา สั ญ ญา สั งขาร วิ ญ ญาณ, รูค วามดั บ แห งรูป เวทนา สั ญ ญา สั งขาร วิ ญ ญาณ, รูทางดั บแห งรูป เวทนา สั ญ ญา สั งขาร วิ ญ ญาณ, หรือกล าวอี กอย างหนึ่ งก็ ว า รูเรื่องรูป ความเกิ ดแห งรูป ความดั บแห งรูป ปฏิ ปทาให ถึ งความดั บแห งรูป เวทนา สั ญญา สั งขาร วิ ญญาณ ก็ รูอย างเดี ยวกั นกั บ ในกรณีรูรูปนั้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทีนี้ตอไปพระพุทธเจาทานตรัสวา ตถาคตพูดไมตางจากชาวโลก แตวา ชาวโลกนั้นพู ดตางจากพระองค. พระพุทธเจาทานก็ยังพูดตรงกับชาวโลก; เพราะ ชาวโลกเขาพู ดคําวามี กั บไม มี , ชาวโลกเรานี้ พู ดคํ าวามี กั บไม มี สองอย างนี่ เรียกวา สุ ด ไปทางใดทางหนึ่ ง นี่ . พระพุ ท ธเจ า ท า นก็ ต รั ส มี กั บ ไม มี เหมื อ นกั น คื อ ว า ถ า ถื อ กั น ว าโลก สมมติ ว าไม มี , พระพุ ทธเจ าท านก็ ว าไม มี , โลกสมมติ วามี พระพุ ทธเจ า ท านก็ ตรัสว ามี , คื อโลกสมมติ ว า รูปที่ เที่ ยง ยั่ งยื น ไม แปรปรวน ไม มี พระพุ ทธเจ า ท านก็ ตรัสวาไม มี เหมื อนกั น, คื อแสดงวา รูป เวทนา สั ญญา สั งขาร วิญญาณ นั้ น
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
๕๘
ที่ เ ขาบอกว า ที่ ยั่ ง ยื น แปรปรวน ไม มี พระพุ ท ธเจ า ก็ บ อกว า เออ, ไม มี . แต ถ า โลกเขาบอกว า รู ป เวทนา สั ญ ญ า สั ง ขาร วิ ญ ญ าณ ที่ ไ ม เ ที่ ย ง ไม ยั่ ง ยื น นี่ มี พระพุ ท ธเจ า ท า นก็ ต รั ส ว า มี นี่ แ สดงว า พระพุ ท ธเจ า ท า นก็ พู ด เหมื อ นกั บ ที่ ช าวโลก เขาพูด; แตวาชาวโลกพูดไมเหมือนกับพระพุทธเจาทานพูด ทานตรัส. นี ้ต อ ไปพระพุท ธเจา ทา นตรัส วา ความเปน นิโรธ ธรรมที ่เปน นิโรธ นั้นมีอยูในรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ นั่น ; ถาใครละความพอใจ ความกําหนัด ความดีใจในรูป ก็เรียกวามีนิโรธธรรมอยูในรูปนั้น, ละความพอใจใน เวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ ก็มีนิโรธธรรมอยูในเวทนา ในสัญญา ใน สั ง ขาร ในวิ ญ ญาณ. ก็ แ สดงว า ทุ ก อย า งมั น ไม เป น อะไร เราไปสํ า คั ญ มั น เสี ย เอง ; ถ า ไม ไปสํ า คั ญ ละความพอใจ ละความกํ า หนั ด แล ว สิ่ ง นั้ น ก็ เป น นิ โรธอยู ต ามเดิ ม สําหรับเรา. นี้ เรี ย กว าได รวบรวมเอามา อ า นให ฟ ง พอสมควรแก เวลา เรื่ อ งอายตนะ เรื่องขันธ ยังมีอีก หากมีโอกาสจะไดรวบรวมมาอีก ขอยุติไวเพียงแคนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ....
....
....
....
(ภิกษุอีกรูปหนึ่งบรรยาย.)
สํ า หรั บ ธรรมะ ก ข ก กา ในวั น นี้ ก็ พู ด ซ้ํ า เหมื อ นอย า งคราวก อ นอี ก . แต ก ารพู ด หรื อ การฟ ง พระเดชพระคุ ณ ท า นอาจารย ท า นก็ ห วั ง ว า ทั้ ง การฟ ง และ การพู ด นี้ จะให ไ ด ป ระโยชน ทั้ ง สองฝ า ย; คื อ ผู ฟ ง ก็ ฟ ง ไป พิ จ ารณ าไป, ผู พู ด ก็ พยายาม ที่ จ ะค น หาทั้ ง ภายในและภายนอก. ภายในคื อ ร า งกายนี้ , ส ว นภายนอก
เรื่องเกี่ยวกับธาตุ
๕๙
นั้ น ก็ คื อ ค น หา จากพระสู ต รที่ พ ระพุ ท ธองค ได ต รัส ไวใ นที่ ต า ง ๆ ที่ ม าเหมื อ นอย า ง ทา นวรศัก ดิ ์ คือ รูป ที ่ท า นพูด ไวแ ลว เมื ่อ กี ้นี ้. ทา นไดค น ควา มา คือ ทา นได คนความาละเอียดละออ ในทางนี้. นี้ สํ า หรั บ อาตมาก็ ไ ม ไ ด ค น คว า ก็ เป น แต เ พี ย งเก็ บ สาระ จากที่ โ น น บ า งที่ นี่ บ า ง เอามาพู ด , นี้ สํ า หรั บ ก ข ก กา ในธรรมะนั้ น ก็ มี ๓ อย า ง ที่ ก ล า ว มาแล ว ตั้ ง แต วั น เสาร แ รก คื อ วั น ที่ ๕ โน น คื อ กล า วถึ ง ธาตุ ถึ ง อายตนะ แล ว ก็ถึง ขัน ธ. กอ นอื่น ที่จ ะรูธ รรมะทั่ว ๆ ไปนั้น ทา นใหรูจัก ธาตุเ สีย กอ น คือ ในสู ต ร สู ต รหนึ่ ง พระพุ ท ธองค ได ต รัส ไว คื อ ให รู จั ก ว า ทุ ก สิ่ ง ทุ ก อย า งนี้ เป น ธาตุ ทั้ งหมด ไม เลื อ กว า อะไร ในโลกนี้ โลกอื่ น หรือ ในสากลจั ก รวาล หรือ ในตั ว เรานี้ เองก็เปนธาตุทั้งนั้น. ทีนี้ธาตุที่ควรจะสนใจใหมากที่สุด คือ ธาตุที่ทําใหค นเราเกิด ทุกข ; ธาตุที ่ทํ า ใหเ ราเกิด ทุก ข คือ ธาตุที ่เ กิด อยู ใ นตัว เรานี ้ ตั ้ง ตน ตั ้ง แต ธาตุด ิน ธาตุน้ํ า ธาตุไ ฟ ธาตุที ่เ ปน อากาศ และก็ม ีว ิญ ญ าณ ธาตุ. ธาตุทั ้ง หมดนี้ ถ า หากว า เราไม ไ ด ศึ ก ษา ไม รู ต ามความเป น จริ ง แล ว ก็ จ ะทํ า ให ไปถื อ ไปยึ ด ถื อ ทํ า ให เป น ทุ ก ข เพราะว า ธาตุ ทั้ ง หมดนี้ ที่ จ ะทํ า ให เป น ทุ ก ข ก็ คื อ ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุไฟ ธาตุลม แลวก็วิญญาณธาตุ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ตามในสูตร ๆ หนึ่ง พระพุทธองคไดตรัสไววา ธาตุเหลานี้ถาเราไป ยึดถือแลวมันเปนทุกข; เพราะวาจะทําใหชาติ ชรา มรณะ; นี้คือความทุกขเกิด ขึ ้น . สว นอากาศธาตุนั ้น เปน ธาตุน อกเหนือ ออกไปจากธาตุทั ้ง ๕ ธาตุด ิน ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ลม และวิ ญ ญาณ อากาศธาตุ นี้ ก็ เป นธาตุ รวมอยู กั บธาตุ ทั้ ง ๕
๖๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ดั ง กล า วแล ว นั้ น . แต ที นี้ ไ ม ไ ด ศึ ก ษา ไม พิ จ ารณาคื อ พิ จ ารณาภายในร า งกาย ของเรา ซึ่ ง รวมอยู ทั้ ง หมด ๖ ธาตุ นี้ ; เพราะว า ธาตุ ที่ ทํ า ให เ ป น ทุ ก ข นั้ น มั น ก็ ทุกขอยูตามธรรมชาติของมันแลว. พระพุ ทธองคไดตรัสวา ฐิตา ว สา ธาตุ คือวา ธาตุนั ้น ก็ตั ้ง อยู อ ยา งนั ้น เอง, ฐิต า ว สา ธาตุ คือ ตัว ธาตุนั ้น ก็ตั ้ง อยู อ ยา ง นั้นเอง ฐิตา ว สา ธาตุ คือธาตุนั้นตั้งอยูอยางนั้นเอง ธัมมั ฏฐิตตา คือความเป น อยางนั้นเอง. ที นี้ แ ล ว ก็ ถ า หากว า เป น อสั ง ขตธาตุ คื อ ธาตุ ที่ ไ ม เปลี่ ย นแปลง ส ว น สั ง ขตธาตุ คื อ ธาตุ ที่ เปลี่ ย นแปลง เป น อนิ จ จั ง ทุ ก ขั ง แต อั น สุ ด ท า ยก็ เป น อนั ต ตา. ธาตุ เ หล า นี้ ย อ มตั้ ง อยู ไ ม ไ ด ย อ มเปลี่ ย นแปลง ย อ มเป น ทุ ก ข เป น อนั ต ตา เรี ย กว า เกิ ด ขึ้ น - ตั้ ง อยู - ดั บ ไป. ฉะนั้ น ในการที่ เกิ ด ขึ้ น - ตั้ ง อยู - ดั บ ไป ของธาตุเ หลา นี ้ เราจะไปยึด ถือ ไมไ ด; นี ้เ ริ ่ม ตน ตั ้ง แตม ีอ ายตนะตอ จากธาตุ แล วก็ มี อายตนะอายตนะนี้ ก็ มี ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ และในนี้ ที่ เรียกวาอายตนะ ภายใน ทุก ๆ ทานที่นั่งฟงอยูที่นี่ก็มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ นี้เปนธาตุ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ สิ่ ง ที่ ม ากระทบทางภายนอกก็ คื อ รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ คื อ ว าวั ต ถุ ภ ายนอก แล วก็ ธั ม มารมณ อารมณ คื อ อารมณ ที่ จ ะมาเกิ ด ขึ้ น ในใจ รู ป มากระทบกั บ ตา เสี ยงมากระทบกั บ หู กลิ่ น มากระทบกั บ จมู ก รสมากระทบกั บ ลิ้ น โผฏฐั พ พะมากระทบกั บ กาย อารมณ ม ากระทั บ กั บ ใจ, อั น นี้ เกิ ด เป น ความคิ ด ขึ้ น . เมื่อเกิดอายตนะกระทบกัน แลว นี้ก็เกิดวิญ ญาณ ตากระทบรูปนี้ก็เกิดวิญ ญาณ ขึ ้น เกิด ความรู ส ึก ขึ ้น , เมื ่อ กระทบครั้ง แรกนั ้น ครั้ง แรกนั ้น ยัง ไมเกิด ความรูส ึก พอรู ส ึก ขึ ้น ก็เ กิด วิญ ญาณ. เมื ่อ เกิด วิญ ญาณแลว ก็เ กิด ความรู ส ึก จะพอใจ หรือ ไมพ อใจ ; นี ้เ รีย กวา เวทนา, ตอ จากเวทนาแลว ก็ม ีส ัญ ญาจํ า ไดห มายรู.
เรื่องเกี่ยวกับธาตุ
๖๑
ตอ จากจํ า ไดห มายรู แ ลว ก็เกิด สัง ขารปรุง แตง . นี ้ใ นขัน ธทั ้ง ๕ นี ้ ถา หากวา เกิด ขึ้น ตามธรรมดา ก็เ ปน ธาตุต ามธรรมดา. แตถา เกิด ไปยึด ถือ ขึ้น ก็ทํ า ใหเกิดเปนทุกขขึ้นมา. ทีนี ้ก อ นที ่จ ะยึด ถือ นั ้น มัน ก็เ กิด ตรงเวทนานี ่เ อง; ฉะนั ้น ใหศ ึก ษา ที่ เวทนา พระพุ ท ธองค ก็ ให ศึ ก ษาที่ เวทนานี้ , เวทนา นี้ ถ า หากว า ใครไม ได ศึ ก ษา หรื อ ไม มี ส ติ ค วบคุ ม แล ว ความพอใจก็ ดี ความไม พ อใจก็ ดี หรือ ความอยากนิ่ ง ๆ คือ วา ไมส ุข ไมท ุก ข นี ้ก ็ด ี, มีเ วทนาแลว ก็ทํ า ใหเ พลิด เพลิน , หลงเพลิด เพลิน มี ค วามเพลิ ด เพลิ น . เมื่ อ เพลิ ด เพลิ น แล ว ตอนนี้ ก็ จ ะมี ก ารกระซิ บ ขึ้ น มาเรี ย กว า ตั ณ หา; การเพลิ ด เพลิ น นี้ มี ร ะยะอั น ใกล ชิ ด มากกั บ ตั ณ หา คื อ ตั ณ หา เรี ย กว า กระซิ บ ว า จะยึ ด หรื อ ไม ยึ ด เพลิ น แล ว , แล ว จะเอาหรื อ ไม เอาอะไรเหล า นี้ เกิ ด อุปทาน ขึ้นแลว. ฉะนั้ น สิ่ ง ที่ จ ะต อ งศึ ก ษา ก็ ศึ ก ษาตรงเวทนาต อ ตั ณ หานี้ เวทนากั บ ตัณ หาที่ตอ กัน นี้ ทําใหเกิด ความทุก ขขึ้น ฉะนั้น สิ่งที่จะตองศึกษาใหมากที่สุด ก็ คื อ เวทนา คื อ ต อ งมี ส ติ . พระพุ ท ธองค ใ ห มี ส ติ เมื่ อ มี ส ติ ระมั ด ระวั ง ศึ ก ษา พิ จ ารณาอยู เ สมอว า สิ่ ง เหล า นี้ ก็ สั ก ว า ธาตุ สิ่ ง เหล า นี้ เป น สั ก ว า อายตนะ, สิ่ ง เหลา นี ้ส ัก วา เปน ขัน ธ. ทั ้ง หมดนั ้น ก็ตั ้ง อยู ไ มไ ด ตั ้ง อยู ไ มไ ดแ ลว ก็เ ปลี ่ย นแปลง ไป แลว ก็ไ มใ ชต ัว ไมใ ชต น. เมื ่อ พิจ ารณ าอยู อ ยา งนี ้ ปญ หาก็เ กิด ขึ ้น , เมื่ อ ป ญ ญาเกิ ด ขึ้ น จะเห็ น ว า สิ่ ง เหล า นั้ น มี โ ทษ ไปยึ ด ถื อ ไม ไ ด , เมื่ อ ยึ ด ถื อ ไม ไ ด พิ จ ารณาอยูอ ย างนี้ เรื่อ ยไปนิ โรธก็ เกิ ด , หรือ อากาศธาตุ หรือ ความวาง คื อ ความ ดั บ ไปแห ง ขั น ธ อายตนะ และธาตุ ก็ เป น อยู ต ามธรรมชาติ เท า นั้ น , เมื่ อ ไม ยึ ด ถื อ ก็มีแต ถึงที่สุดแหงความทุกข. เรื่องทั้งหลายก็มีอยูเทานี้ ตอนนี้ก็พูดไดเทานี้
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
พระสงฆสวดคณสาธยาย.
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
- ๔ ๒๖ มกราคม ๒๕๑๗
ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุ เปนตนเหตุแหงมิจฉาทิฏฐิอันรายแรง.
ทานสาธุชน ผูมีความสนใจในธรรมทั้งหลาย,
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org การบรรยายประจํ าวั นเสาร ในภาคมาฆบู ชานี้ เป นการบรรยายครั้ งที่ ๔ แลว, แลวก็จะยังคงบรรยายโดยหัวขอใหญวา ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา อยู นั่ น เอง, เป น ก ข ก กา สํ าหรั บ พุ ท ธบริ ษั ท ในพุ ท ธศาสนา; จะต อ งศึ กษากั น ให ชั ด เจนแจ ม แจ ง ครบถ ว นบริ บู ร ณ ; ถ า ยั ง ไม ชั ด เจนแจ ม แจ ง เป น ต น แล ว ก็ ยั ง จะ ตอ งศึกษากัน ตอ ไป. โดยที่ไดสังเกตเห็น วา ที่แ ลว ๆ มา การศึก ษาในเรื่อ งนี้ ยัง โลเลยัง หละหลวม ยัง เอาแนไ มไ ด, จึง ทํ า ใหเ รื ่อ งอื ่น ๆ ที ่เ นื ่อ งกัน อยู นั ้น พลอยมืดมัวไป.
๖๒
ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ
๖๓
สํ าหรับ ในวัน นี้ จ ะได ก ล า วโดยหั ว ข อ ย อ ยวา ความเข าใจผิ ด เกี่ ย วกั บ ธาตุ เปน ตน เหตุแ หงมิจ ฉาทิฏ ฐิอ ัน รา ยแรง, หรือ จะพูด กลับ กัน อีก ทีห นึ่ง ก็วา ต น เหตุ แ ห ง มิ จ ฉาทิ ฏ ฐิ อั น ร า ยแรง ก็ คื อ ความเข า ใจผิ ด เรื่ อ ง ธาตุ นั่ น เอง. สิ่ ง ที่ เรีย กวา ธาตุ เป น เบื้ อ งต น เป น รากฐานของสิ่ งทั้ งปวง จึ งได เรีย กวาเรื่อ ง ก ข ก กา. เรื่ อ งทุ ก เรื่ อ งเกี่ ย วกั บ ธาตุ ทุ ก แง ทุ ก มุ ม นี้ ต อ งถื อ ว า เป น เรื่ อ ง ก ข ก กา ในพุทธศาสนา สําหรับพุทธบริษัทจะตองศึกษา. [ทบทวน]
อย างไรก็ ดี จะต องทบทวนข อความที่ แล ว ๆ มาในบางส วน เพื่ อให ง าย แก ก ารที่ จ ะฟ งเรื่อ งต อ ไป, หรือ ว า เพื่ อ ประโยชน แ ก บุ ค คล ผู จ ะเพิ่ งฟ งเป น ครั้งแรก ในวั น นี้ . ถึ ง แม ค นที่ เคยฟ ง มาแล ว หลาย ๆ ครั้ ง ก็ ยั ง จะต อ งทํ า อย า งนี้ อ ยู เรื่ อ ยไป คื อ ว าต อ งทบทวน; เช น เดี ย วกั บ เมื่ อ เด็ ก ๆ ก็ เรี ย น ก ข ค ฆ ง วั น หนึ่ งได ๔ - ๕ ตั ว วั น หลั ง จะเรี ย นต อ ไปอี ก ก็ ต อ งทบทวนที่ เรี ย นไปแล ว , ไม อ ย า งนั้ น มั น ลื ม เสี ย มั นต อกั นไม ได . ฉะนั้ นการทบทวนสิ่ งที่ ได เรียนหนั งสื อหรือได ทํ าไปแล วในวันก อนนั้ น เป น สิ่ ง ที่ จํ า เป น อย า งยิ่ ง ; แม ที่ สุ ด แต ก ารทํ า กั ม มั ฏ ฐาน ทํ า วิ ป ส สนา การทํ า ใน วันหลั งก็ ต องทบทวนส วนที่ ทํ าในวันก อนเสี ยก อน จนกวาจะมาถึ งส วนที่ กํ าลั งทํ าอยู ในวัน นี ้ จึง ทํ า ตอ ไป. นี ้ข อใหจํ า ไวด ว ย วา เปน วิธ ีก ารที ่จํ า เปน สํ า หรับ ผู ปฏิบ ัต ิธ รรมะในพระพุท ธศาสนา ทั ้ง ในสว นการศึก ษาเลา เรีย น และการ ประพฤติกระทําทางกายวาจาใจเปนตน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ศึกษาเรื่องความปรุงของธาตุใหเขาใจ. อยากจะขอรองอยูเสมอวา สิ่งที่เรียกวา ธาตุ - ธาตุ นั้นคือสิ่งที่เปน สว นยอ ย ที ่ส ุด , หรือ เปน สว นรากฐานที ่ส ุด ; เปน สว นยอ ยที ่ป ระกอบกัน ขึ ้น
๖๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
เปน สว นใหญ, เปน สว นยอ ยที ่เราไมค วรจะแบง ออกไปอีก แลว เพราะแบง ไมไ ด หรื อ ไม ค วรจะแบ ง ก็ ต ามที . สิ่ ง ที่ มี ลั ก ษณะอย า งนี้ เราเรี ย กกั น ว า ธาตุ จึ ง พอจะ จั บ เค าได ว า ธาตุ ต องมี หลายธาตุ , ล วนแต เป น ส วนย อย ที่ ไม แบ งกั นอี กต อ ไปแล ว ดว ยกัน ทั้ง นั้น ; แลว หลาย ๆ ธาตุนี ้ป รุง รวมกัน เขา ก็เกิด สิ่ง ใหมบ า ง, หรือ เป นโอกาสที่ จะแสดงออกมาซึ่ งธาตุ อื่ น ๆ อี กบ าง. หมายความว า ถ าธาตุ บ างธาตุ ไม ได ป รุง แต ง กั น แล ว ธาตุ บ างธาตุ ที่ ยั ง เหลื อ อยู นั้ น ไม มี โอกาสจะแสดงให เห็ น ก็ มี เชน ถา ดิน น้ํ า ไฟ ลม ๔ ธาตุนี ้ไ มป ระกอบปรุง แตง กัน แลว สิ ่ง ที ่เรีย กวา รู ป ธาตุ ก็ มิ อ าจจะเกิ ด ขึ้ น หรื อ ปรากฏออกมาได . เมื่ อ เป น ดั ง นั้ น แล ว ธาตุ ที่ ละเอี ยดลงไปก็ ยิ่ งไม ปรากฏ; เช น เวทนาธาตุ สั ญ ญาธาตุ สั งขารธาตุ วิญ ญาณ ธาตุ เปนตน. ฉะนั ้น ตอ งจํ า ไดเ ปน หลัก ทั ่ว ไปวา ถา ไมม ีก ารปรุง แตง ของธาตุ แลว ก็จ ะมีก ารหยุด นิ ่ง อยู ไมม ีอ ะไรเกิด ขึ ้น , ไมม ีอ ะไรที ่จ ะมีโ อกาสแสดงตัว ออกมาใหเห็น . นี ้ค ือ ความเปน ก ข ก กา ในแงห นึ ่ง ในปริย ายหนึ ่ง คือ ขอ ที ่ว า มันตองมีสิ่งนี้ หรือมีการกระทําอยางนี้ของสิ่งนี้กอน สิ่งอื่น ๆ จึงจะออกมาหรือ ปรากฏขึ้ น ; เมื่ อ เป น ดั งนี้ ก็ ต อ งถื อ ว า มั น ก็ เป น ก ข ก กา เพราะมั น เป น ตั วแรก เปนอันแรก นี่คือคําวา ธาตุ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ สํ า หรั บ ชื่ อ ของธาตุ นั้ น มี ม าก, มี ม ากมาย จนพู ด ได ว า หลายสิ บ อย า ง, หรื อ ถ า จะแจงกั น จริง ๆ จะให ห ลายร อ ยอย า งก็ ได ; แต ที่ จํ า เป น ที่ สุ ด ที่ ทานทั้งหลายจะตองจําได หรือรูจักอยางแมนยํานั้น ก็มีอยูไม กี่ธาตุ นักในเบื้องตน. แต แม ว าจะมี อยู ไม กี่ ธาตุ มั นก็ มี ความจํ าเป นมาก คื อความจํ าเป นทั้ งหมดมารวมอยู ที่จะตองรูจักธาตุเหลานี้กอน.
ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ
๖๕
ตามที่ คนธรรมดาสามั ญ ทั่ วไปคุ นเคยกั นอยู ก็ มี อยู ๖ ธาตุ : คื อ ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไ ฟ ธาตุ ล ม ธาตุ อ ากาศ ธาตุ วิ ญ ญาณ ; เหมื อ นพระพุ ท ธ ภาษิตที่พระสงฆ ไดสวดไปแลวเมื่อกี้นี้วา ฉธาตุโร อยํ ภิกฺขุ ปุริโส, ดูกอนภิกษุ บุ รุษ นี้ ประกอบด วยธาตุ ๖; ดังนั้ นขอให จําไวให แม น เหมื อนกั บวา ตั ว ก ตัว ข ตัว ค ตัว ง คือ ตัว แรก ปฐวีธ าตุ - ธาตุด ิน , อาโปธาตุ - ธาตุน้ํ า , เตโชธาตุ – ธาตุ ไฟ, วาโยธาตุ - ธาตุ ลม, อากาสธาตุ - ธาตุ อากาศ คื อธาตุ ว าง, วิ ญ ญาณ ธาตุ - ธาตุ วิ ญ ญาณ คื อ ธาตุ จิ ต ใจ ธาตุ ที่ รู สึ ก อะไรได , เรี ย กเป น ไทยก็ ว า ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ลม ธาตุ อากาศ ธาตุ วิ ญ ญาณ; ควรจะเป นสิ่ งที่ คล องปากก อน เหมือนกับวาเราเรียน ตัว ก ตัว ข ตัว ค ตัว ฆ ตัว ง กอน อยางนั้นเหมือนกัน.
ธาตุปรุงแตงเนื่องกันเปนลําดับ. ที นี้ ดู ต อ ไป ก็ จ ะพบว ามั น มี เนื่ อ งกั น ไปที เดี ย ว จะต อ งมี ธาตุ หมวด ๖ อี ก หมวดหนึ่ ง , เป น หมวดอื่ น ๆ ต า งออกไป, ธาตุ ๖ คื อ ธาตุ ต า ธาตุ หู ธาตุ จมู ก ธาตุ ลิ้ น ธาตุ ก าย ธาตุ ใจ ที่ เรี ย กว า จั ก ขุ ธ าตุ โสตธาตุ ฆานธาตุ ชิ ว หา ธาตุ กายธาตุ มโนธาตุ อยางนี้เป นตน, แล วมี ธาตุ ๖ อี ก หมวดหนึ่ งซึ่ งมั น อยู ขางนอก คื อ ธาตุ รูป ธาตุ เสียง ธาตุ กลิ่น ธาตุรส ธาตุโผฏฐัพพะ ธาตุธัมมารมณ . ๖ อย างแรก คื อ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ นั้ น อยู ข างใน, ๖ อย างหลั ง คื อ รูป เสีย ง กลิ ่น รส โผฏฐัพ พะธัม มารมณ นั ้น มัน อยู ข า งนอก. เราก็ต อ งรู จ ัก อีก ๒ หมวด หมวดละ ๖.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๖๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ถ า รู จั ก ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ, รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธัม มารมณ กัน จริง ๆ แลว ยอ มเขา ใจไดเ อง อธิบ ายไดเ องวา ; เพราะอาศัย ธาตุ ๒ กลุ ม นี ้ มัน เกิด ธาตุอ ีก กลุ ม หนึ ่ง คือ ธาตุวิญ ญาณ วิญ ญาณธาตุ ปรากฏออกมา เป นวิ ญญาณทางตา, วิญญาณทางหู , วิ ญญาณทางจมู ก, วิ ญญาณ ทางลิ้ น, วิ ญ ญาณทางกาย, วิ ญ ญาณทางใจ ; ถ าพู ดให ชั ด ก็ คื อ ว าการเห็ น ทางตา การได ยิ น ทางหู การได ก ลิ่ น ทางจมู ก การได รสทางลิ้ น การรูสึ ก สั ม ผั ส ผิ ว หนั ง ทาง ผิ ว หนั ง และการรู สึ ก ความคิ ด นึ ก ได ใ นทางจิ ต ใจ. นี้ ก็ เลยได อี ก หมวดหนึ่ ง มี จํานวน ๖ อีกเหมือนกัน. ๖ แรก คื อ ธาตุ ดิ น , ธาตุ น้ํ า , ธาตุ ไฟ, ธาตุ ล ม, ธาตุ อ ากาศ, ธาตุ วิญ ญาณ นี ้ม ัน เปน พื ้น ฐาน. ๖ อัน นี ้อ าศัย กัน มากหรือ นอ ยหรือ เมื ่อ ไรเวลา ไหนก็ต าม ยอ มเปน โอกาสใหธ าตุอื ่น แสดงตัว ออกมา เปน ธาตุเ ห็น ทางตา ธาตุ ได ยิ นทางหู ธาตุ ได กลิ่ นทางจมู ก รูรสทางลิ้ น รูสั มผั สทางกาย และรูสึ กขางในใจ, ก็เลยไดเปน ๒๔ ธาตุ แลว ๔ หมวด ๆ ละ ๖.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เมื่ อ ธาตุ ข า งใน มี ตา เป น ต น ถึ ง กั น เข า กั บ ธาตุ ข า งนอก มี รู ป เปน ตน วิญ ญาณธาตุ ทางตาก็ป รากฏออกมา นี ้ก ็เ ปน โอกาสของธาตุอื ่น ๆ ตอ ไปอีก ที ่จ ะเกิด เปน ความรู ส ึก ขึ ้น ; เพราะการปรุง แตง กัน ระหวา งธาตุเหลา นั้ น เป น ธาตุ ค วามสุ ข ธาตุ ค วามทุ ก ข ธาตุ โ สมนั ส ธาตุ โ ทมนั ส ธาตุ อุ เ บกขา เปน ตน ; แมเ ปน สุข เปน ทุก ข โสมนัส โทมนัส เปน ตน แลว , มัน ยัง แตกตา ง กัน ออกไปอีก, คือมันอาศัย กาม เพราะ กามธาตุ เขามาปรุงแตงก็มี มันอาศัย รูป ธรรมล วน ๆ ไม เกี่ ยวกั บ กาม เพราะ รู ป ธาตุ เข าปรุงแต งก็ มี , แล วเป น อรูป – ธรรมอาศัย อรูป ธาตุ ไมเกี ่ย วกับ กาม ไมเ กี ่ย วกับ รูป อยา งนี ้ก ็ม ี. แลว ก็ม ีธ าตุ
ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ
๖๗
ที่สําคัญ เปน พิเศษอีกธาตุห นึ่งเรีย กวา นิโรธธาตุ - ธาตุแ หงความดับ มีอํา นาจ ให สิ่ งต าง ๆ ดั บ, หรือมี หน าที่ ดั บสิ่ งต าง ๆ นี้ เรียกวา นิ โรธธาตุ จะดั บเล็ ก ๆ น อย ๆ, หรือจะดั บใหญ ๆ ดั บมาก ๆ จะดั บชั่ วคราว หรื อจะดั บเด็ ดขาดตลอดกาลก็ ต าม ก็ เรียกวา นิโรธธาตุไดทั้งนั้น. นี ่ ก ข ก กา ตั ้ง ตน ขึ ้น มาอยา งนี ้ รู เ รื ่อ ง ดิน น้ํ า ไฟ ลม อากาศ วิญญาณ ๖ ธาตุนี้กอน, แลวรูจักธาตุ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ, แลวรูจักธาตุ รูป รส กลิ่ น เสี ย ง โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ , รู จั ก วิ ญ ญาณ ที่ จ ะเกิ ด ขึ้ น เพราะสิ่ ง ทั ้ง ๖ นั ้น , แลว ก็รู จ ัก ผลที ่จ ะปรากฏออกมาเปน สุข ทุก ข โสมนัส โทมนัส อุเบกขา. ที นี ้ รู จ ั ก ว า แจกเป น ก าม ก็ ม ี เป น รู ป ก็ ม ี เป น อ รู ป ก็ ม ี ; แต ว า แตล ะธาตุ ๆ เมื ่อ ทํ า หนา ที ่ข องตัว เสร็จ แลว ก็ใ หโ อกาสแกธ าตุพ ิเ ศษอัน หนึ ่ง คือ นิโ รธธาตุ ที ่จ ะใหด ับ ไปคราวหนึ ่ง กอ น, แลว มีอ ัน ใหมเ กิด ขึ ้น มา แลว ก็ ดั บ ไปคราวหนึ่ ง ก อ น, อั น ใหม เกิ ด ขึ้ น มา แล ว ดั บ ไปคราวหนึ่ ง ก อ น, อย า งนี้ เรื่ อ ย ไป จนถึ งกั บวาสามารถทํ าให มั นมี ความดั บอย างลึ กซึ้ งลงไป ถึ งการดั บกิ เลส ดั บต น เหตุแ หง ความทุก ขจ ริง ๆ เปน ธาตุอ ัน ดับ สุด ทา ยที ่เรีย กวา นิพ พานธาตุ, ซึ่ง ที่ แทก็คือนิโรธธาตุนั่นเอง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org คํ า ว า นิ โรธธาตุ นี้ เราใช ค วามหมายมั น กว า ง เป น ดั บ เล็ ก ๆ น อ ย ๆ อะไรทั ่ว ไปก็ไ ด; แตน ิพ พานธาตุ นั ้น จะหมายถึง การดับ กิเ ลส, มีอ ะไรเหลือ อยูบางก็เรียกวา สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ, ไมมีไออุนไอรอนอะไรเหลืออยูเลย ก็เรียกวา อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ เปนตน.
๖๘
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
บางคนฟ ง ไม ดี ก็ จ ะรู สึ ก ว า เพี ย งเท า นี้ ก็ เฝ อ เสี ย แล ว ฟ น เฝ อ แล ว ยุ ง ยากแล ว ลํ าบากแล ว, นี่ เหมื อ นกั บ เด็ ก ๆ บางคน กว า จะจํ า ก ข ก กา ได กว า จะจํ าตั ว ก ข ทั้ งหมดได ทั้ ง ๔๐ กว าตั วนั้ น ถู กตี ถู กลงโทษอย างใดอย างหนึ่ งมาก มายทีเ ดีย ว; เพราะวา เขาไมรู จ ัก สัง เกต, เพราะวา เขาเปน เด็ก โงเ กิน ไป. ทีนี้ บางคนไม โง เกิ น ไป มั น ก็ ไม น านนั ก บางคนมั น ฉลาดหน อ ย บอกที เดี ย ววั น เดี ย ว มั น ก็ จํ า ได ตั้ ง แต ๔ - ๕ ตั ว , ไม กี่ วั น มั น จํ า ได ห มด ทั้ ง หมด. แต เด็ ก บางคนนั้ น ๔ - ๕ ตั ว แรก ตั้ ง หลาย ๆ วั น ก็ ยั งจํ าไม ได , ยั งถู ก ตี ไม ตี มื อ จนกระทั้ งเบื่ อ ระอากั น ไป หนีไมมาเรียนอีกตอไปก็มี. ฉะนั้ นเราจงทํ าจิ ตใจให ดี ๆ แม แต จะเรี ยน ก ข ก กา ก็ ต องอาศั ยความ รู สึ ก ของจิ ต ใจที่ ป รกติ สั ง เกตให ดี ๆ, จํ า ไว ใ ห แ ม น ยํ า ให มั น สุ ขุ ม รอบคอบ ซึ่ ง อาตมาก็ ได พยายามอย างยิ่ งแล ว อย างสุ ดความสามารถแล ว ที่ จะเลื อกสรรเอามาให เรีย นกัน กอ น; เหมือ นกับ เลือ กตัว ก ข ค ฆ ง ๕ ตัว นี ้ม าทีแ รก, มาใหรู จ ัก ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ลม ธาตุ อากาศ ธาตุ วิ ญ ญาณ กั นให ถู กต องเสี ยก อน ว ามั น หมายถึ งอะไร ? อย าไปดิ น ที่ ก อ นดิ น , อย าไปน้ํ าที่ น้ํ าในโอ ง, หรื อ อย าไปไฟ ที่เตาไฟหุงขาว, อยางนั้นมันไมถูก.
www.buddhadasa.in.th ตองรูจักธาตุที่คุณสมบัติหรือสมรรถภาพของธาตุ. www.buddhadasa.org ธาตุ ดิ น มั นอยู ที่ คุ ณ สมบั ติ หรือสมรรถภาพส วนที่ มั นทํ าให เกิ ดการกิ น เนื ้อ ที ่ มัน จึง ปรากฏมีอ าการเหมือ นกับ วา มัน แข็ง มัน รุก เนื ้อ ที ่. ธาตุน้ํ า คือ ความที่ มั น เหลวแต มั น เกาะกุ ม ตั ว กั น อยู ไม ย อมแยกจากกั น เว น แต มั น มี เหตุ สุ ด
ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ
๖๙
วิ สั ย . นี่ คุ ณ สมบั ติ ข องธาตุ น้ํ า คื อ มั น เกาะตั ว กั น แล ว เปลี่ ย นรู ป ได มั น จึ ง ไหลได ธาตุ ไ ฟ ก็ คื อ อุ ณ หภู มิ ที่ มั น ร อ น และมั น เผาไหม ไ ด . ธาตุ ล ม ก็ คื อ ที่ ร ะเหยได เคลื่ อ นที่ ไ ด . มี คุ ณ สมบั ติ ห รื อ สมรรถภาพอย า งใดอย า งหนึ่ ง นี้ ก็ เ รี ย กว า ธาตุ อยางหนึ่ง ๆ ใน ๔ อยางนี้. เราม ัก จ ะ ม อ งกัน ผ าด ๆ เผ ิน ๆ วา ธ าต ุด ิน - ก็ที ่ด ิน ที ่นั ่ง อ ยู นี ่, ธาตุน้ํ า - ก็น้ํ า ในโอง ในบอ . เดี ๋ย วนี ้ก ็ไ มม ีธ าตุน้ํ า หรือ แมจ ะเรีย นมาวา ในตัว เรามี ธาตุ ดิ น : ผม ขน เล็ บ ฟ น หนั ง, ธาตุ น้ํ า คื อ เลื อ ด หนอง น้ํ ามู ก น้ํ าลาย ก็ต าม. แตม ัน ระบุช ัด เกิน ไป จนไมต รงตามความเปน จริง ; เชน จะแนะให สังเกตวา ในผม ขน เล็บ ฟน หนัง นี้ มันก็มี น้ํา อยูในนั้น, ใน ผม ขน เล็บ ฟน หนัง ก็ม ี น้ํ า , แลว ก็ม ีธ าตุไ ฟ คือ อุณ หภูม ิห รือ ความรอ น ความเผาไหม ; ถ า ไมอ ยา งนั ้น แลว ผม ขน เล็บ ฟน หนัง มัน จะสึก กรอ น, มัน จะชรา มัน จะ เปลี ่ย นแปลงไปไมไ ด. ธาตุล ม ก็ม ีอ ยู ใ น ผม ขน เล็บ ฟน หนัง นั ่น แหละ มันจึงเปลี่ยนได ระเหยได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ ในของเหลว เช น เลื อ ด เช น หนอง เช น น้ํ า มู ก น้ํ า ลาย น้ํ า ตา น้ํ า ปส สาวะ อะไรก็ต ามนั ้น ; มัน ไมใ ชม ีแ ตธ าตุน้ํ า มัน มี ธาตุด ิน อยู ใ นนั ้น ดว ย, มัน มีธ าตุไ ฟคือ อุณ หภูม ิร วมเปน ความรอ นอยู แมใ นน้ํ า มูก น้ํ า ตานั ้น ดว ย และมีธาตุลมคือมันระเหยอยูตลอดเวลาดวย. เราต อ งเข า ใจว า ตั ว ธาตุ จ ริ ง ๆ นั้ น หมายถึ ง คุ ณ สมบั ติ อั น หนึ่ ง ซึ่ ง มี สมรรถภาพ ที่ จะทํ าอยางใดอยางหนึ่งไปตามหน าที่ของมั น จึงถูกจัดวา เป น ธาตุ คือ สว นประกอบที่เ ปน สว นยอ ยที่สุด ที่ลึก ที่สุด ที่เ ราไมค วรจะแบง แยกอีก
๗๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ตอ ไปแลว . นี ่รู จ ัก วา ตัว เรานี ้ป ระกอบดว ย ธาตุด ิน ธาตุน้ํ า ธาตุไ ฟ ธาตุล ม ธาตุอากาศ ธาตุวิญญาณ ใหถูกตองกันอยางไรเสียกอน. สํ าหรั บ ธาตุ อ ากาศ นั้ น แปลว า ธาตุ ว าง คื อ ธาตุ ที่ ไม มี อ ะไรอยู ใน เวลานั้ น เป น การให อ ากาศ หรื อ ให โอกาสแก สิ่ งอื่ น ๆ ที่ จ ะเกิ ด ขึ้ น - ตั้ งอยู – ดั บ ไป ซึ่ ง เรี ย กว า ธาตุ ว า ง. แต คํ า ว า ว า ง นี้ มี ค วามหมายหลายชั้ น ทั้ ง ตื้ น และทั้ งลึ ก ๆ ; วางอยางทางวัตถุ ก็คือ ไมมีอะไร, ถาวางทางจิต ก็คือวา จิตไมไดคิดนึกอะไร, วางทางความคิดเห็นสติปญญา ก็คือ วางจาก ความรูสึกวาตัวกูวาของกู. คํ า ว า ว า ง คํ า เดี ย วนี้ มั น มี ห ลายความหมายอย า งนี้ ; ถ า ไม เข า ใจดี แล ว มั น ก็ ป นกั น ยุ ง , แล ว ก็ ท ะเลาะกั น แล ว ก็ เ ถี ย งกั น ; เพราะต า งคนต า งถื อ เอา ความหมายอย า งใดอย า งหนึ่ ง . ดั งนั้ น แม แ ต จ ะรู จั ก สิ่ งที่ เรี ย กว า อากาศธาตุ ที่ มั น อยู ใ นร า งกายเรา ของคนหนึ่ ง ๆ นี้ เป น เรื่ อ ง ก ข ก กา แท ๆ แต ก็ ไ ม ไ ด เ รี ย น ไมไดเหลือบตา ไมรูอากาศธาตุ ที่มีอยูในรางกายของตนเอง อยางถูกตองแทจริง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สํ า หรับ วิญ ญาณธาตุนั ้น มัน เปน เรื ่อ งละเอีย ด เพราะมัน เปน นาม ธาตุ, เปน ธาตุที ่ป ระหลาดที ่ไ มม ีเ นื ้อ ไมม ีต ัว ; ตอ งอาศัย สิ ่ง อื ่น ซึ ่ง เปน วัต ถุ ธาตุ แลว มัน จึง จะแสดงอาการของมัน ได. เชน วา อาศัย ตากับ รูป ยอ มเกิด จักขุวิญญาณ จกฺขฺุจ ปฏิจฺจ รูเป จ อุปฺปชฺฌติ จกฺขุวิฺาณํ, ตองอาศัยตาดวย รู ป ด ว ย จั ก ษุ วิ ญ ญาณ จึ ง จะบั ง เกิ ด มั น บั ง เกิ ด ตามลํ า พั ง ไม ไ ด ; เพราะมั น เป น นามธรรม เป น นามธาตุ ต อ งอาศั ย ตากั บ รู ป มาเนื่ อ งกั น เข า , แล ว มั น จึ ง จะแสดง ตัว ออกมาเปน วิญ ญาณธาตุ อยา งนี ้เ ปน ตน . นี ้เ ปน เพีย งตัว อยา งอยา งหนึ ่ง ใน หลาย ๆ อยาง.
ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ
๗๑
วิญญาณธาตุ ยังมีมากกวานี้ ยังเปลี่ยนไปอยูในรูปของสิ่งที่เรียกวา เวทนาธาตุ สัญ ญาธาตุ สัง ขารธาตุ อะไรไดอีก . ในที่นี ้ส รุป เอาบรรดาความ รู สึ ก ทั้ ง หลาย ที่ เกี่ ย วกั บ จิ ต ใจ แล ว มาเรี ย กว า วิ ญ ญาณธาตุ กั น หมด ; ฉะนั้ น อย าได เข าใจว า วิ ญ ญาณธาตุ ในที่ นี้ หมายถึ ง วิ ญ ญาณทาง ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย เปน ตน แตอ ยา งเดีย ว, มัน ยัง หมายไปถึง ความรูส ึก อัน อื ่น ที ่ส ืบ เนื ่อ งกัน ไป ใน ฐานะที่เปนนามธรรม. เปนอรูปธรรม ก็เรียกวา วิญญาณธาตุได. นี่ ก ข ก กา ของเรา ตั้ งต น ขึ้ น มาด วยคํ าว า ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ลม ธาตุ อ ากาศ ธาตุ วิ ญ ญาณ อย าได ท องเพ อ ๆ ไปอย างนกแก วนกขุ นทอง ; ต องเข าใจและมองเห็ นว า มั นอยู อย างไร ? ที่ ตรงไหน ? เมื่ อไร ? จริง ๆ ในฐานะที่ สัก วา เปน ธาตุอ ยู ต ามธรรมชาติ. ในเมื ่อ อะไรมัน ปรุง กัน เขา เปน อายตนะ, เปน อายตนะ คื ออายตนะทางตา อายตนะทางหู , หรืออายตนะข างนอก เป นอายตนะ คือ รูป เสีย ง แลว เมื ่อ ไรมัน จะปรุง กัน ขึ ้น มาเปน วิญ ญาณ, หรือ เมื ่อ ไรมัน จะ ปรุง กัน เขา เปน ขัน ธ เปน รูป ขัน ธ เวทนาขัน ธ สัญ ญาขัน ธ นั ่น แหละ ดูม ัน จะ ยั ง มื ด มนท ทั้ ง นั้ น . แต ทุ ก คนก็ ท อ งได ว า รู ป เวทนา สั ญ ญา สั ง ขาร วิ ญ ญาณ เพราะมันทองเทานั้นเอง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ รายละเอี ยดก็ พู ด กั นมาหลายครั้ งหลายหนแล ว ว า ธาตุ จะปรุ งขึ้ น มา เป น อายตนะ อย า งไร ? ปรุ ง กั น เป น ขั น ธ อย า งไร ? แล ว เกิ ด อุ ป าทานขั น ธ อย า งไร ? แล ว เป น ความทุ ก ข ใ นอุ ป าทานขั น ธ นั้ น อย า งไร ? แล ว จะดั บ ทุ ก ข เป น มรรค ผล นิ พ พาน ได ในลั ก ษณะใด ? ทั้ ง หมดนี้ เรีย กว าเรื่ อ งธาตุ เรื่ อ งอาการ ของธาตุ แตมันไปตอนปลาย ตอนเบื้องปลาย ตอนชั้นที่สุดที่ลึกขึ้นไป.
๗๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ที นี้ มาตั้ งต น ก ข ก กา กั น ให รู ว า ดิ น น้ํ า ไฟ ลม อากาศ วิ ญ ญาณ ๖ ธาตุ นี ้แ หละเปน ธาตุพื ้น ฐาน, เปน รากฐานที ่จ ะเปน เครื่อ งปรุง แตง หรือ เป น ที่ ตั้ ง ที่ อ าศั ย ให ธ าตุ อื่ น ๆ แสดงออกมา ปรุง กั น ต อ ไปไม รูจั ก จบสิ้ น . เรี ย กว า คน ๆ หนึ่ งนี้ ประกอบอยู ด วยธาตุ พื้ นฐาน ๖ ประการ, แล วก็ จะให โอกาสแก ธาตุ อี ก มากมาย ปรากฏออกมาหรื อ เกิ ด ขึ้ น , แล ว ปรากฏออกมาในลั ก ษณะที่ ค น ๆ นั้ น ผู ที ่ส มมติว า เปน เจา ของคนนั ้น แหละ มัน โงม ัน ไมรู ; เมื ่อ ไมรู ก ็เ ขา ใจผิด ได ตางๆ. และความเขา ใจผิด อยางรายกาจที่สุด ก็คือ ไมรูสึก วาเปน สัก วา ธาตุ ปรุง แตง กัน ตามธรรมชาติ; ไปรู ส ึก วา สวย วา อรอ ย วา กูอ รอ ย แลว กูก ็ต อ ง การ, มัน มีต ัว กูที ่ต อ งการ, มีต ัว กูที ่ไ ดที ่เสีย . นี ่ม ัน เกิด ความรู ส ึก วา เปน ตัว กู ขึ้นมา. ทุ กคนต องสั งเกตดู เอง จะคอยฟ งอาตมาอย างเดี ยวก็ ไม ได , จะอ านแต หนัง สือ อยา งเดีย วก็ไ มไ ด; ตอ งสัง เกตเอาเอง จากสิ ่ง ที ่ม ัน เกิด ขึ ้น มาในจิต ใจ. ยกตั วอย างงาย ๆ ว าเมื่ อกิ นอะไรอรอยขึ้ นมา หรือมั นมี ความรูสึ กอย างไร; มั นรูสึ ก วา นี ้เ ปน สัก วา ธาตุต ามธรรมชาติเ ทา นั ้น หรือ มัน รูส ึก วา แกงหมู แกงไก แกงเลีย ง แกงเผ็ด น้ํา พริก แลว ก็อ รอ ย แลว ก็ถูก ใจ แลว ก็อ ยากจะเอาอีก , มั น คิ ด ไปเตลิ ด เป ด เป งไปทางโน น ไม ย อ นมาในทางที่ ว า นี้ สั ก ว า ธาตุ เป น ไป ตามธรรมชาติ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แมวาจะสวดบทปจจเวทกขณ ยถาปจจยัง อยู ก็สวดกันแตปาก ; แม วาจะอธิ บายข อความนี้ ได มั นก็ อธิ บายด วยโวหารปฏิ ภาณ, อธิบายด วยสติ ป ญ ญา สําหรับ อธิบ าย, แตไมม ีส ติปญ ญาอัน แทจ ริง ที่จ ะรูกัน จริง ๆ วานี้เปน สัก วา ธาตุตามธรรมชาติ, เปนไปตามเหตุตามปจจัยอยูเนืองนิจ, วางเปลาจากตัวตน ไ ม
ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ
๗๓
ใช สั ต ว ไม ใ ช บุ ค คล, ว า บุ ค คลหรื อ เกี่ ย วกั บ บุ ค คล. เช น ของอร อ ยนี้ มั น ก็ รูสึ ก วา ของอรอ ย อาหารอรอ ย แลว ตัว กูผู ก ิน นี ้ม ัน ก็เ ปน ตัว เราผู ก ิน ; ไมใ ชส ัก วา ธาตุดวยกัน ทั้ง ๒ ฝาย. ของกิน ก็สัก วาธาตุ, ตัวผูกิน ก็สัก วาธาตุ, ไมใชสัต ว ไมใชบุคคล. ฉะนั้ นอย าเอาเปรียบกั น นั ก อย าเข าข างตั วเอง แล วก็ เถี ยงอย างหน า ด าน ว าทุ กคราว ที่ กิ น อาหารอรอ ย ๆ นั้ น มั น มี ความรูสึ กอย างนี้ ห รือ เปล า ? รูสึ ก ว า ของกิ น นั้ น ก็ สั ก ว า ธาตุ , ผู กิ น นั้ น ก็ สั ก ว า ธาตุ มั น รู สึ ก อย า งนี้ ห รื อ เปล า ? เวลา ก็ ล วงมาหลายสิ บ ป แล ว อายุ ก็ ล วงมาถึ งขนาดนี้ แล ว มั น มี ความรูสึ กแจ ม แจ ง เมื่ อ กินอาหารเปนตนนั้นนะ วาสักวาธาตุตามธรรมชาติ อยางนี้หรือเปลา ? นี่ คื อการที่ มองข าม ก ข ก กา ไปหมด มั นก็ เลยไม มี ก ข ก กา สํ าหรับ ที่ จ ะเป น รากฐาน สํ า หรั บ ศึ ก ษาต อ ไปข า งหน า , หรื อ รากฐานมั น ล ม ละลาย เหมื อ นกั บ ป ก หลั ก ลงในน้ํ า หรื อ ในโคลนที่ เหลวนี้ มั น อยู ไม ได , จึ ง ขอร อ งให ส นใจ กันหนอย ในฐานะที่วามันเปน ก ข ก กา เปนรากฐานของการศึกษา
www.buddhadasa.in.th ความเขาใจผิดเรื่องธาตุ, รูสึกเปนตัวกู - ของกู. www.buddhadasa.org ที นี้ เราก็ จํ า กั น ได ม าก พู ด กั น ได ม ากแล ว เหลื อ อยู ก็ แ ต ว า มั น รู จ ริ ง หรื อ เปล า ? เข า ใจจริ ง หรื อ เปล า ? นี่ ม าลงมื อ เรีย นกั น เสี ย ใหม นี้ ก็ จ ะชี้ ให เห็ น ใน ขอที่วา ความเขาใจผิด ในเรื่องธาตุ เปน ตน เหตุแหงมิจฉาทิฏ ฐิ อันรายกาจ อยา งไร. ก็จ ะมีอ ะไรละ คือ มัน ทํ า ใหห ลงไปวา อรอ ยบา ง วา สวยบา ง วา
๗๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
หอมบ า ง ว า อย า งนั้ น อย า งนี้ , ไปตามความรู สึ ก ของ กามธาตุ ก็ เ ป น เรื่ อ งของ กามารมณไ ป; แมจ ะไปหลงอยา งพวกฤาษีม ุน ี หลงในรูป ฌานอรูป ฌาน มัน ก็เพราะหลง ไมรูจ ัก ธาตุเหมือ นกัน เพราะไมรูจ ัก สิ ่ง ที ่เรีย กวา สัก วา ธาตุต าม ธรรมชาติ จิต มัน ก็ไ ปหลง. อารมณนั ้น ก็เ ปน สัก วา ธาตุ ตามธรรมชาติ, จิต นี้ ก็ เป น สั ก ว า ธาตุ ตามธรรมชาติ คื อ เป น ธาตุ จิ ต ธาตุ วิ ญ ญาณ; แต แ ล ว มั น ไม เคยรู ส ึก วา มัน เปน ธาตุ มัน ไปรู ส ึก วา เปน ตัว กู - ของกูเ สีย หมด. ผู รู ส ึก เรีย กวา ตัว กู, สิ ่ง ที ่ถ ูก รู ส ึก เรีย กวา ของกู มัน ก็ม ีแ ตอ ยางนี ้. นี ้เ รีย กวา มิจ ฉาทิฏ ฐิ อยางรายแรงเกิดขึ้นแลว. ที ่ม ัน ยากเย็น เหลือ ประมาณ ก็ค ือ เรื ่อ งความสุข ; ความสุข เกิด ขึ ้น ไมม ีใ ครรูส ึก วา นี ้เ ปน สัก วา ธาตุต ามธรรมชาติ; แตก ็ไ ปหลงใหลในความสุข นั้ น ในฐานะที่ เ ป น ความสุ ข เป น ตั ว ตนของความสุ ข จะเอามาเป น ตั ว ตนของกู มาคู ก ัน อยู ก ับ ตัว กูนี ้ เรีย กวา มิจ ฉาทิฏ ฐิม ัน เกิด ขึ ้น อยา งนี ้ ไมเ ห็น โดยความ เปนธาตุ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org มิ จ ฉาทิ ฏ ฐิ นี้ คื อ มิ จ ฉาทิ ฏ ฐิ ที่ เป น อั น ตรายที่ สุ ด , คื อ มั น เป น อั น ตราย ตอ การบรรลุม รรคถ ผล นิพ พาน, เรานี้ล ะความรัก ก็ไมได, และละความโกรธ ก็ ไม ได , ละความเกลี ย ดก็ ไม ได , ละความกลั วก็ ไม ได , ละความอิ จฉาริ ษ ยาก็ ไม ได , ละอะไรไมไดอีกมากมายหลายอยาง กระทั่ งละความอุ ต ริไปเอาเรื่อ งที่ ไม จํ าเป น จะตอ งคิด มาคิด นี ้ก ็ล ะไมไ ด. สว นเรื ่อ งที ่จํ า เปน จะตอ งคิด นั ้น กลับ ไมค ิด ; เรื ่อ งควรคิด อยา งนี ้ ก็ไ ปคิด เสีย อยา งอื ่น , เรื ่อ งที ่ค วรจะรู ส ึก เพีย งเล็ก นอ ย ก็ไ ป รู สึ ก เสี ย มากมาย, เรื่ อ งเล็ ก น อ ยไปรู สึ ก เป น เรื่ อ งมากมายใหญ โต, นั้ น แหละมั น เป น
ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ
๗๕
เรื่อ งขาดทุน เปน เรื่อ งของมิจ ฉาทิฏ ฐิ. ถา มีค วามเขา ใจถูก ตอ ง เห็น แตส ัก วา เปน ธาตุแ ลว มัน จะไมม ีค วามทุก ข; แตเ ดี ๋ย วนี ้ไ มเ ห็น อยา งนั ้น ก็เ กิด เปน มิจฉาทิฏฐิ นี้เปนมิจฉาทิฏฐิสวนที่ไมเห็นโดยความเปนธาตุ.
เพราะเขาใจธาตุผิด ก็เกิดมิจฉาทิฏฐิรายยิ่งขึ้นอีก. ที นี้ ยั งมี มิ จฉาทิ ฏ ฐิ ที่ ร า ยกาจต อ ยอดขึ้ น ไปอี ก ก็ คื อ ว า เมื่ อ ได รั บ คํ าสั่ ง สอนวา มัน เปน แตส ัก วา ธาตุ ดัง นี ้แ ลว ; คนทุจ ริต ไมซื ่อ ตรงเหลา นั ้น มัน ก็ เลยผสมโรง, พูด เอาเองเลยวา ถา เปน สัก วา ธาตุแ ลว ก็ไ มต อ งถือ กัน สิ. ดั งนั้ น การที่ ใครจะไปขโมยใคร, ไปประพฤติ ล วงในกามต อ ใคร, มั น เป น สั ก วา ธาตุ เทา นั ้น ; ไมม ีบ าปไมม ีก รรม, ก็ไ มต อ งถือ กัน ไมต อ งถือ วา เปน บาปเปน กรรม. นี้ มั น ก็ เ ป น มิ จ ฉาทิ ฏ ฐิ ที่ ร า ยยิ่ ง ขึ้ น ไปกว า นั้ น อี ก , จนกระทั่ ง มี ค นมิ จ ฉาทิ ฏ ฐิ ประเภทนี ้แ หละ เที ่ย วสอนกัน อยู ว า พระอรหัน ตก ็บ ริโ ภคกามระหวา งเพศ ; เพราะว าพระอรหั น ต นี้ ก็ ม องเห็ น สิ่ งทั้ งปวงโดยความเป น ธาตุ แล ว, ก็ เลยไม มี ความ รู สึ ก ว า เป น เรื่ อ งเพศเรื่ อ งอะไร; พระอรหั น ต ก็ มี ก ารบริ โภคกามหรื อ สื บ พั น ธุ หรื อ อะไรได โดยไมมีความหมาย, อยางนี้ก็มีอยูจริงในเวลานี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ในประเทศไทยเรา หรือ วาในประเทศอื่ น ก็ ได . มิ จ ฉาทิ ฏ ฐิ อั น เลวร าย ที่ สุ ด เกิ ด ขึ้ น เพราะไม เข า ใจในความหมายของคํ า ว า ธาตุ โดยถู ก ต อ ง ตาม ธรรมดาก็ เ ห็ น เป น ไม ใ ช ธ าตุ เป น ตั ว กู เป น ของกู เ สมอ มั น ก็ มี ค วามทุ ก ข ไ ปตาม แบบนั ้น , เปน ความทุก ขไ ปตามแบบของคนซื ่อ คนโง คนตรง, ทีนี ้ม ัน มีค วาม
๗๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ทุก ขอ ีก แบบหนึ ่ง ของคนคด คนทุจ ริต มัน อา งเอาธาตุขึ ้น มาบัง หนา เพื ่อ จะ ทํา อะไรตามกิเ ลสตัณ หา แลว ก็วา ไมบ าป. เชน ฆา สัต วก็ไ มบ าป ; เพราะ วามีดดาบนั้นมันเปนธาตุอันหนึ่ง, แลวมันก็แหวกไปในระหวางธาตุดิน ทั้งหลาย ที่ มั น ผ า แล ง ไปได อี ก แล ว จนผ า นทะลุ ไ ปข า งหนึ่ ง , คอของคนหนึ่ ง ถู ก ตั ด ขาดไป แลว ก็ไ มม ีบ าปแกใ คร เพราะวา มัน เปน เพีย งสัก วา ธาตุผ า นไปในระหวา ง ธาตุ ตามธรรมชาติเทานั้น.. ลั ท ธิ ดั ง กล า วอย า งนี้ มี ส อนอยู ใ นครั้ ง พุ ท ธกาล เป น คู แ ข ง ขั น กั น กั บ พระพุท ธเจา ดว ย; ที ่เ ขาเรีย กกัน วา ลัท ธิค รูทั ้ง ๖ มีอ ยู ค นหนึ ่ง ที ่ส อนอยา งนี้ แลว ก็ม ีค นรับ เอาเหมือ นกัน , แลว มัน ก็ย ัง อยู ก ระทั ่ง บัด นี ้. พวกจิต วา งอัน ธพาล ทั้ง หลาย มัน ก็ถือ เอาขอ นี ้เ ปน ขอ แกตัว วา ทํา ใหจิต วา ง ไมม ีตัว กู - ของกู แลว ก็ไ ปทํ า อะไรตามกิเ ลสตัณ หาของตน แลว ก็ไ มร ับ ผิด ชอบ, แลว ก็ไ มมี บาป.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ แหละ โทษอั น รายแรง ของการเข าใจผิ ด ในเรื่อ งธาตุ มั น มี อ ย างนี้ ใหเ กิด ความทุก ขแ กค นซื ่อ คนตรง ไปยึด ถือ วา ตัว ตนเขา , ใหเ กิด ทุก ขเ กิด โทษแก ค นคดโกง สํ าหรับ จะเอาเปรีย บคนอื่ น ด วยการอ างเอาธาตุ ขึ้ น มาบั ง หน า . จะเห็ น คนบางคนยกเรื่ อ งนี้ ขึ้ น มาพู ด จาล อ เลี ย นกั น อยู ก็ มี , เอามาเป น เรื่ อ งล อ เลี ย น เสี ย ด ว ยซ้ํ า ไปว า ว า มั น เป น สั ก ว า ธาตุ เท า นั้ น จะถื อ หาอะไรกั น แล ว ตั ว ก็ ไ ปล ว ง ละเมิดเขา. การที ่ค นเราในปจ จุบ ัน นี ้ เขา ใจผิด ในเรื ่อ งธาตุ โดยพาซื ่อ ก็ไ ด, แกลง เขา ใจผิด เพราะคดโกงก็ไ ด มัน มีอ ยู ทั ่ว ไป. อาตมาจึง ถือ วา นี ่แ หละคือ
ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ
๗๗
ความเป น ก ข ก กา ในเรื่ อ งของธาตุ มั น เป น รากฐานที่ มี อ ยู ที่ ตั้ งอยู สํ าหรั บ จะ ทํ า ความยุ ง ยากลํ า บากให แ ก ม นุ ษ ย เพื่ อ มี ค วามทุ ก ข ; เว น เสี ย แต ว า เมื่ อ ไรจะมี ความเข า ใจเรื่ อ งธาตุ กั น ให ถู ก ต อ งเท า นั้ น แหละ มั น จึ ง จะหายไป, คื อ ความทุ ก ข ทั้ งหลายจะหายไป. พอเข าใจถู กในเรื่องธาตุ เท านั้ น ความทุ กข ทั้ งหลายจะหายไป, ความทุ ก ข อ ย า งเลว คื อ เอาเปรี ย บคนอื่ น ยกเรื่ อ งธาตุ ม าเป น เครื่ อ งบั ง หน า แก ตั ว นี้ มี ไ ม ไ ด ; เพราะเขามั น รู จ ริ ง แล ว ก็ ซื่ อ ตรงกั น จริ ง ๆ ไม เป น อั น ธพาลถื อ โอกาส เอาเปรียบคนอื่น.
พึงฉลาดในเรื่องธาตุ, ไมใหหลอกเราได. ที นี้ ค นที่ ป ฏิ บั ติ ธ รรมนี่ ก็ ม องเห็ น ธาตุ เข า ถึ ง ซึ่ ง ความจริ ง โดยความ เปนธาตุ จนถึงกับวา สิ่งที่เรียกวา ธาตุ นั้น จะมาหลอกลวงเราไมไดอีกตอไป ; นี่เปนสิ่งที่สําคัญที่สุด. พระพุทธเจาทานจะทรงตักเตือนที่สําคัญที่สุดเกี่ยวกับเรื่อง ธาตุนี้ มีวา เธอทั้งหลายจงเปนผูฉลาดในธาตุทั้งหลายเถิด, พวกเธอจงเปนผูฉลาด ในธาตุทั ้ง หลายเถิด ; นี ้ก ็แ สดงชัด อยู แ ลว วา คนสว นมากนี ้โ งใ นเรื ่อ งของ ธาตุ, ไมไดรูตามที่เปนจริงในเรื่องของธาตุ, นี่เรียกวา ไมฉลาดในเรื่องของธาตุ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถาพูดวาฉลาดในเรื่องของธาตุ ก็หมายความวา ฉลาดจนมันหลอก เอาไม ได คื อ ธาตุ ต า ธาตุ หู ธาตุ จ มู ก ธาตุ ลิ้ น ธาตุ ก าย ธาตุ ใจ ธาตุ รู ป ธาตุ เสีย ง ธาตุก ลิ ่น ธาตุร ส ธาตุโ ผฏฐัพ พะ ธาตุธ ัม มารมณ นี ้ม ัน หลอกเอาไมไ ด. ถา ธาตุต า ธาตุห ูเ ปน ตน มัน ยัง หลอกใหเ ห็น สวย เห็น งาม เห็น เอร็ด อรอ ยได ก็เ รีย กวา ยัง ไมฉ ลาดในธาตุ; แมจ ะเปน นัก แสดงปาฐกถา พูด เรื ่อ งนี ้ไ ดเ ปน
๗๘
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ชั่ ว โมง ๆ มั น ก็ ยั ง โง อ ยู นั่ น เอง, ยั ง ไม ฉ ลาดในเรื่ อ งธาตุ อ ยู นั่ น เอง ; เพราะว า ที่ แสดงพูดไดมาก ๆ นั้น เพื่อวาจะหาความเอร็ดอรอยจากการแสดง, หรือจาก ลากสั ก การะ ที่ จ ะเกิ ด ขึ้ น เพราะการแสดง ก็ พู ด มากด ว ยสติ ป ญ ญา สํ า หรั บ ที่ จ ะ แสวงหารสอรอ ย ที่ จ ะได ม าจากธาตุ , ไม ได แ สดงด ว ยความรูสึ ก ตามที่ เป น จริง ว า สิ่งที่เรียกวาธาตุนี้คืออะไร. ฉะนั้นเมื่อไดฟงพระพุทธภาษิตที่วา พึงเปนผูฉลาดในธาตุทั้งหลายเถิด ดังนี้แลว ก็ขอใหมีหลักเกณฑที่ตายตัวลงไปสั้น ๆ วา ฉลาดในลักษณะที่อยา ใหม ัน หลอกเราได. อยา ใหธ าตุทั ้ง หลายกี ่ธ าตุ กี ่ส ิบ ธาตุ กี ่ร อ ยธาตุก ็ต าม หลอกเราได, และโดยเฉพาะอยางยิ่ง ๖ ธาตุเทานั้นแหละ คือธาตุ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้ อยาใหมันหลอกเราได. ใหมีสติปญญา มีอะไร ทันทวงทีไปหมด อยาใหมันหลอกเราได. เราไมเ ห็น เปน ธาตุ แตเ ห็น เปน ตัว เรา เห็น เปน ของเรา. เชน ว า มี ใ ครมาขโมยของ ๆ เรา; เราก็ ไ ม เ คยคิ ด ว า มั น มาทํ า ให เ ราได บุ ญ เราก็ โกรธมั น หรื อจะเอาตํ ารวจไปจั บ เพราะมั นมาขโมยของ ๆ เรา. ไม เคยรูสึ กว า มั น มาทํ าให เราได บุ ญ . ไม รูจั กตามที่ สิ่ งทั้ งหลายทั้ งปวง ต องเป นไปตามเหตุ ตามป จจั ย ตามธรรมดาของธาตุ , หรื อ ว า เมื่ อ มี ใ ครมาฆ า เรานี้ เราก็ ก ลั ว และเราก็ ไ ม คิ ด ว า นี ่ม ัน จะทํ า ใหเ ราดับ ไมเ หลือ เร็ว เขา โดยไมต อ งลงทุน อะไร. ไมต อ งรออะไรอีก ถ า จะมี ใ ครมาฆ า เรานี้ ทํ า ไมเราจึ ง กลั ว ? เพราะเราไม รู ว า นี้ มั น จะมาทํ า ให ดั บ ไมเ หลือ เร็ว เขา ไมต อ งรอนาน ; ก็เ พราะไมรู จ ัก ความที ่ว า มัน เปน ธาตุ เปนไปตามเหตุตามปจจัยโดยถูกตอง มันก็กลัว. ผลสุดทายมันก็มีแตเสีย ไมมีได
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ
๗๙
มีแตความทุกข ไมมีความสงบเลย. แตถ า เรารู ต ามที ่เ ปน จริง แลว ไมม ีอ ะไรที ่จ ะเปน เรื ่อ งเสีย หรือ ตอ งเปน ทุก ข; เปน เรื ่อ งนา หัว เราะทั ้ง นั ้น : เรื ่อ งไดเ รื ่อ งเสีย . เรื ่อ งเปน เรื่อ งตาย, เรื่อ งอยู เรื่อ งไป, เรื่อ งอะไรก็ ต ามเถอะ, มั น เป น สั ก ว าธาตุ ที่ เป น ไป ตามธรรมชาติ, แลวเราก็หัวเราะได. นี้เรียกวาเปนผูฉลาด ในเรื่องธาตุทั้งปวง แต วา ที่ พู ด นี้ มั น เป น เรื่อ งใหญ เกิ น ไป เอาแต เรื่ อ งเล็ ก ๆ น อ ย ๆ มา พูด กัน กอ น ก็ด ูเ หมือ นจะยัง มีป ญ หามาก. เรื ่อ งที ่ข ัด อกขัด ใจเล็ก ๆ นอ ย ๆ ประจํ า วั น กะคนนั้ น กะคนนี้ , มี อ ะไรบ า งในวั น หนึ่ ง ๆ ของใครก็ ไปสํ า รวจดู ตั ว เอง ก็แ ลว กัน วา วัน หนึ ่ง มัน โกรธกี ่ค รั ้ง กี ่ห น มัน อึด อัด ขัด ใจอะไรบา ง, กะใครบา ง, หรื อ มั น กลั ว อะไรบ า ง, หรื อ มั น อิ จ ฉาริ ษ ยาบ า ง, มั น มากมาย. ในบรรดาชื่ อ ของ กิเ ลสและอุป กิเ ลสทั้ง หลายนั้น ลว นแตแ สดงใหเ ห็น วา มัน มาจากการที่ คน ๆ นั ้น ยัง เปน คนมากเกิน ไป, ยัง ไมรู จ ัก ธาตุต ามที ่เปน จริง ; มัน มีต ัว กู ของกู แลว ปรุง เปน ความรู ส ึก ชนิด ที ่เ รีย กวา กิเ ลส เปน เหตุใ หม ีค วามทุก ข แล วก็ มี แต คิ ดเตลิ ดเป ดเป งออกไป, ไกลออกไปเป นความทุ กข ใหม ๆ แปลก ๆ ออก ไป ; ไม ย อ นต น มาหาความดั บ หรื อ ความหยุ ด เลย. มั น ก็ เป น โอกาสให ถู ก หลอก เรื่ อ ยไป, ให ธ าตุ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ นี้ แ หละมั น หลอกเรื่ อ ยไป, แล ว มั น หลอกหนั ก ขึ้ น ๆ ๆ. เด็ ก ตั ว เล็ ก ๆ นี้ ยั ง ถู ก หลอกน อ ยกว า คนแก ๆ กระทั่ ง แก ม าก แลว.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เกือบจะไมตองอธิบายก็ไดกระมังวา คนแก ๆ นี้มันถูกหลอกหนักยิ่ง ขึ้ น ไปอี กอย างไร, ในเมื่ อมาเที ยบดู กั บลู กเด็ ก ๆ เล็ ก ๆ มั นถู กหลอกน อยกวามาก. จะเห็นไดชัดทีเดียววา ลูกเด็ก ๆ นั้นมันเกือบจะไมมีความทุกขเลย, มีความทุกข
๘๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ก็น อ ย แลว เปน เรื ่อ งเล็ก ๆ เบ็ด เตล็ด ทั ้ง นั ้น . คนผู ใ หญนี ่ค ิด มาก คิด ลึก แลว คิ ด กว างขวาง, แล ว ก็ คิ ด ไกลในอนาคตที่ แ สนจะไกล กระทั่ งชาติ ข างหน า อี ก ไม รู จั กกี่ รอยกี่ ชาติ พั นชาติ หมื่ นชาติ ก็ เอามาคิ ดเป น, มั นก็ ต องมี ความทุ กข มากกว าลู ก เด็ก ๆ. ความทุก ขอ ัน มากมายนี ้ ก็ม าจากการที ่ไ มรูจ ัก ตามที ่เปน จริง วา สิ ่ง เหลานั้นเปนสักวาธาตุตามธรรมชาติ ไมใชตัวเรา ไมใชของเรา ความไมเขาใจเกี่ยวกับธาตุ เปนตนเหตุแหงความเห็นผิด หรือ มิจฉา อทิฏ ฐิทุก ชนิด : ใหเ กิด ตัว ตน ใหเ กิด ของตน ใหเ กิด ยึด มั่น ถือ มั่น ไปเสีย ทุก ครั ้ง ทุก คราวที ่ต าเห็น รูป , หูฟ ง เสีย ง, จมูก ไดก ลิ ่น เปน ตน . นี ้ค ือ คนที ่โ งต อ สิ ่ง ที ่เรีย กวา ธาตุ ไมฉ ลาดตอ สิ ่ง ทีเรีย กวา ธาตุ; เพราะฉะนั ้น เปน อยู ส ัก รอ ยป พัน ป หมื ่น ป มัน ก็ไ มรู ก ข ก กา ของพุท ธศาสนา ไมม ีว ัน ที ่จ ะเขา ถึง หัว ใจ ของพุทธศาสนา.
หัวใจของพุทธศาสนาคือสุญญตา เพราะมีสักแตวาธาตุ,
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org หั วใจของพุ ทธศาสนานั้ น ก็คือความจริงที่วา ไมมี ตั วตน - ไม มี ของ ตน เปนสักวาธาตุตามธรรมชาติ, วางจากสิ่งที่เรียกวา ตัวตน, หัวใจของพุทธ ศาสนาคือ "สุญญตา" คือ ความวางจากตัวตน หรือ บางทีก็เรียกวา อนัตตา ไม ใช ตั ว ตน, มั น เป น สั ก วา ธาตุ ต ามธรรมชาติ . แม มั น จะมี อ ยู ม ากมาย มั น ก็ ไม มี อั น ไหนที่ เป น ตั ว ตนได , มั น เป น สั ก ว า ธาตุ ต ามธรรมชาติ เพราะฉะนั้ น จึ ง เรี ย กว า วา งจากตัว ตน พูด วา อนัต ตา ไมใ ชต ัว ตนนี ้ ก็ถ ูก ดีเหมือ นกัน ตรงดีเหมือ น กัน ; แตไมลึก ไมแ ยบคาย เทา กับ ที ่จ ะพูด วา สุญ ญตา คือ ความวาง วา ง จากตัวตน วางจากความเปนตัวตน วางจากความเปนของ ๆ ตน.
ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ
๘๑
แต ค นมั น ก็ รู สึ ก ไม ไ ด แม กิ น น้ํ า พริ ก ไม ถู ก ปากสั ก หน อ ย มั น ก็ มี ตั ว กู ของกู ขึ้ น มา ; โกรธคนนั้ น ขั ด ใจคนนี้ เสี ย แล ว มั น ก็ สุ ญ ญตาไม ไ ด , อนั ต ตาไม ได, ไมรู จ ัก ธาตุทั ้ง หลายตามที ่เ ปน จริง . เปน พระก็ด ี เปน เณรก็ด ี เปน อุบ าสก อุ บ าสิ ก าก็ ดี ยั ง มี ป ญ หาอย า งนี้ กั น อยู ทั้ ง นั้ น สมน้ํ า หน า มั น ที่ ไ ม รู จั ก ก ข ก กา ; ฉะนั ้น จึง ตอ งพูด กัน แตเ รื ่อ งนี ้ ; จะโกรธ หรือ วา จะไมโ กรธ ก็ต ามใจ มัน ก็ต อ ง พู ด กั น แต เรื่อ งที่ ยั งไม รู คื อ เรื่อ ง ก ข ก กา, ไม รู หั ว ใจของพุ ท ธศาสนา ก็ เพราะ ไมรูเรื่องธาตุ. พุท ธศาสนานั ้น คือ เรื ่อ ง สุญ ญตา เรื ่อ ง อนัต ตา. ขอใหเ ขา ใจไว ด วย. เรื่ องนอกนั้ น มั นมี ในศาสนาอื่ น ศาสนาอื่ น ทั่ ว ๆ ไป ในอดี ต อนาคต ป จจุ บั น เขาก็สอนกันทั้งนั้น ศาสนาอื่นสอนเรื่องทาน เรื่องศีล เรื่องสมาธิ แมกระทั่งเรื่อง ปญญาในบางระดับ สอนเรื่องกรรม สอนเรื่องไดรับผลกรรมเวียนวายไปตามกรรม ; อยางนี้สอนอยูกอนพระพุทธเจา. แตไมเคยสอน เรื่อง สุญญตา เรื่อง อนัตตา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org พระพุท ธเจา เกิด ขึ้น ทา นตรัส รู สิ ่ง ที ่ไ มเ คยฟง มาแตก อ น; นั ้น ก็ค ือ เรื่อ งสุญ ญตา เรื่อ งอนัต ตา คือ การที ่ท า นรู จ ัก สิ ่ง ที ่เรีย กวา ธาตุทั ้ง หลาย ถูก ตอ งตามที ่เ ปน จริง วา มัน มีแ ตส ุญ ญตา อนัต ตา, ธาตุด ิน ธาตุน้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ล ม ธาตุ อ ากาศ ธาตุ วิ ญ ญาณ; นั้ น แหละเป น เนื้ อ แท ข องสุ ญ ญตาของ อนั ต ตา. ดู ใ ห ดี ๆ แล ว มั น จะปรุ ง กั น ขึ้ น มาเป น ธาตุ อื่ น อี ก กี่ ช นิ ด มั น ก็ เป น อนั ต ตา เปน สุญ ญตา แมแ ตจ ะเปน ธาตุแ หง ความดับ เปน นิโ รธธาตุ เปน นิพ พานธาตุ มัน ก็ย ัง คงเปน สุญ ญตาเปน อนัต ตา. ฉะนั ้น ธาตุทั ้ง หลายนั ้น มัน เปน อนัต ตา มันเปนสุญญตา.
๘๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
เมื่ อ เราไม รู จั ก ธาตุ ต ามที่ เป น จริ ง ก็ เรี ย กว า ไม รู จั ก พุ ท ธศาสนา ไม มี ความรู เรื่ อ งพุ ท ธศาสนา, เป น พุ ท ธบริษั ท เพ อ ๆ ไป ตามธรรมเนี ย มตามประเพณี . เอาเรื่อ งสุญ ญตาหรือ เรื่อ งอนัต ตาก็ต ามนี ้ ออกเสีย แลว มัน ก็ไ มม ีพ ุท ธศาสนา ; ถา มีพ ุท ธศาสนา ก็ตอ งมีสุญ ญตามีอ นัต ตา ที ่เห็น แจม แจงชัด เจนอยู. ฉะนั ้น ถ าใครไม รูจั ก หรือ ไม ม องเห็ น ไม ส นใจสุ ญ ญตาอนั ต ตา ก็ ไม มี ความเป น พุ ท ธบริษั ท เลย. หั ว ใจของพุ ท ธศาสนาก็ อ ยู ที่ ต รงนี้ . เนื้ อ ตั ว ทั้ ง หมดทั้ ง สิ้ น ของพุ ท ธ – ศาสนาก็อ ยู ที ่ต รงนี ้, คือ วา ความเปน อนัต ตาหรือ สุญ ญตา ไมใ ชส ัต ว บุค คล ตัว ตน หรือ เปน สัก วา ธาตุต ามธรรมชาติ. นี ้ค ือ หัว ใจของพุท ธศาสนาก็ไ ด, หรือ เปน เนื ้อ ตัว ทั ้ง หมดของพุท ธศาสนาก็ไ ด. พุท ธศาสนาไมม ีเ รื ่อ งอื ่น นอก จากเรื่องสุญญตากับอนัตตา. ฉะนั ้น เราจะตอ งเขา ใจเรื ่อ งธาตุทั ้ง หลายทั ้ง ปวง ใหรูต ามที ่เ ปน จริ ง ว า มั น เป น ธาตุ ต ามธรรมชาติ ; ไม ใ ช ส ั ต ว บุ ค คล ตั ว ตน เรา เขา. นี่ เรีย กว า เราเข า ถึ ง รากเหง า ของพุ ท ธศาสนา หรื อ ว า เราคว า เอาพุ ท ธศาสนามาได อย า งน อ ยก็ เอามากุ ม ไว ก อ น ; แม ว า จะไม ไปได ม ากกว า นั้ น ให เห็ น คื อ ให เข า ใจ ให รูจั ก ให ฉ ลาด ในสิ่ งที่ เรีย กวา ธาตุ อย างถู ก ต อ ง. อย าให เป น เข าใจอย าง อันธพาลเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ปญหาศึกษาเรื่องธาตุไมได เพราะยังหลงรสอรอยของโลก. มั น เป น ป ญ หาที่ สํ า คั ญ อยู ในจิ ต ใจของคนทุ ก คน. พู ด กั น ตรง ๆ ดี ก ว า มั น ไม เสี ย เวลามาก คื อ ว า คนที่ ศึ ก ษาพุ ท ธศาสนา กํ า ลั ง คิ ด ว า รูพุ ท ธศาสนามาก
ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ
๘๓
มายนี้ ก็ ยั ง ไม รู จั ก พุ ท ธศาสนา. ใจหนึ่ ง มั น ก็ อ ยากจะฟ ง แหละ อยากจะเห็ น โดย ความเป น ธาตุ ; เหมื อ นท า นทั้ ง หลายทุ ก คนที่ นั่ ง อยู ที่ นี่ อาตมาก็ ย อมเชื่ อ ยอม เชื่ อ สั ก ที หรื อ กี่ ที ก็ ไ ด ว า ท า นทั้ ง หลายนี้ ก็ ยิ น ดี ที่ อ ยากจะฟ ง อยากจะเห็ น อยาก จะเข าใจ โดยความเป น ธาตุ , แต ว าใจหนึ่ งมั นอยากจะกิ นอะไรอร อ ย ๆ อยู ใช ไหม ? หรื อว าอยากจะให เขาสรรเสริ ญ ให เขายกย อ ง อยากมี ห น ามี ต า มี เกี ย รติ มี เด น มี ดี ใช ไ หม ? ใจหนึ่ ง มั น ก็ อ ยากจะเห็ น โดยความเป น ธาตุ ศึ ก ษาเรื่ อ งธาตุ ; แต ใ จ หนึ่ ง มั น ก็ อ ยากจะกิ น อะไรอร อ ย ๆ อยู , ยั ง อยากจะได ส วรรค อยากจะได วิ ม าน เหมื อ นใจจะขาดอยู ใช ไหม ? แต ใจหนึ่ งมั น ก็ อยากจะศึ ก ษาเรื่ องธาตุ โดยความเป น ธาตุ ไมใ ชส ัต ว บุค คล ตัว ตน เรา เขา ; แตแ ลว ขา งไหนมัน มีน้ํ า หนัก มาก กวากัน. นี่ ถ า ยั งละโมบโลภลาภ ต อ สวรรค ต อ วิ ม าน นางฟ า เทพบุ ต ร อะไร นี ้แ ลว มัน ก็เ ปน คนที ่ไ มม องเห็น โดยความเปน ธาตุเ ลย แมแ ตน ิด เดีย ว, ไม เห็ นธาตุ ดิ น น้ํ า ไฟ ลม อากาศ วิ ญ ญาณ ว าเป นธาตุ เลย มั นจึ งไปตะกละตะกลาม ตอ สวรรค วิม าน ซึ ่ง เปน เรื ่อ งเพศ เรื ่อ งกามารมณ เรื ่อ งเอร็ด อรอ ยทางตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ด ว ยกั น ทั้ ง นั้ น . อย า งนี้ แ หละคื อ คนที่ ลั ง เลอย า งต่ํ า ที่ สุ ด ลั ง เล อย า งรา ยที่ สุ ด , เป น วิ จิ กิ จ ฉาอย า งเลวที่ สุ ด ก็ ยั ง ละไม ได คื อ อยากจะศึ ก ษาเรื่ อ ง ธาตุ แตแลวก็ยังอยากจะไดของอรอยอยู มันก็ไมมีทางที่จะลงกันได, คือปรับให ลงกันไมได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org มั นต องสมั ครที่ จะศึ กษาความเป นธาตุ ให รู จริ ง เพื่ อต อสู กั นกั บสิ่ งอร อย ๆ ที่ มั น จะเข ามาครอบงํา จิ ต ใจ. พอเรามี ค วามรูสึ ก อยากอร อ ยต อ สิ่ งใด หรือ กํ าลั ง อรอ ยตอ สิ ่ง ใด ก็ต อ งใชอ าวุธ คือ ความรู เ รื ่อ งธาตุนี ้แ หละ ฟาดฟน ความรูอ ัน
๘๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
นั้ น ให แตกกระจายไป. อย าไปเสี ยดายมั นเลย, อย าไปเสี ยดายว ามั นจะหมดอรอ ย มันจะจืดไปเสีย หรือจะไมมีของอรอยมาบํารุงบําเรอ. นี้ มี ค วามไม จ ริ ง ใจ ไม แ น ใ จ คิ ด ได ก็ ลั ง เล ; ใจหนึ่ ง อยากจะศึ ก ษา เรื่ องธาตุ เพราะว าเป นเรื่ องสํ าคั ญ ในพระพุ ทธศาสนา, แต ใจหนึ่ งก็ ยั งอยากจะเอร็ ด อรอ ยในสวรรคว ิม าน ในอะไรตา ง ๆ ; ไมอ ยากจะถือ เรื ่อ งธาตุแ ลว . ไมอ ยาก จะถื อ โดยความเป น ธาตุ แล ว ถ าถื อ โดยความเป นธาตุ มั น ก็ ไม มี เรื่อ งอรอ ย นี้ เรีย ก วา ความหลอกลวงของสิ่งที่เรียกวาธาตุนั้น มันยังชนะเราอยูเสมอไป, ธาตุ มัน ยัง หลอกเราไดอ ยู เ สมอไป. เรายัง พา ยแพแ กธ าตุเ สมอไป; ธาตุเ กิด ขึ ้น มา ทําใหมีความทุกข; เหมือนกับบทสวดที่วา การปรากฏขึ้นแหงธาตุทั้งหลายนั้น คือการปรากฏขึ้นแหงความทุกข. นี่ จะไม เรี ยกว า ก ข ก กา แล วจะเรี ยกว าอะไร ? เพราะว าป ญ หาของ คนเรา มั น ไม มี ป ญ หาอะไรที่ จ ะทั่ ว ไป เท า กั บ ป ญ หาเรื่ อ ง ความทุ ก ข หรื อ เรื่ อ ง ความดั บ ทุ ก ข , เพราะมี ทุ ก ข เราจึ ง ต อ งการดั บ ทุ ก ข . ความดั บ ทุ ก ข เป น ป ญ หา ; เพราะมันมีความทุกข ; ฉะนั้น ปญหาอันแรกก็คือความทุกข.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ปญหาของผูไมเขาใจเรื่องธาตุยังมีอีกมาก. ที นี้ คนก็ จะมี ป ญ หาต อไปว า เอ า ! ถ าเป นธาตุ แล วทํ าไมต องเป นทุ กข ? นี ้จ ะไปโทษธาตุแ ลว . คนโงก ็แ กต ัว แบบนั ้น เอง; เพราะคนโงไ ปยึด ถือ ธาตุ โดยความเปน ตัว ตน ธาตุจ ึง เปน ความทุก ขขึ ้น มา ไมใ ชธ าตุ ตัว ธาตุเ อง ธาตุ แ ท ๆ มั น เป น ความทุ ก ข , มั น ไม เป น อะไร มั น ไม เป น ทุ ก ข มั น ไม เป น สุ ข มั น
ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ
๘๕
เปน สัก วา ธาตุต ามธรรมชาติ. แตพ อคนโงไ ปยึด ถือ ธาตุ โดยความเปน ตัว ตน หรือ เปน ของตน ความทุก ขม ัน ก็เกิด ขึ ้น ; อยา งนี ้เรีย กวา ธาตุม ัน ตั ้ง ขึ ้น มา มัน ถู ก ปรุ ง แต ง ขึ้ น มา มั น ปรากฏขึ้ น มาในจิ ต ใจของบุ ค คลนั้ น . ฉะนั้ น การปรากฏ แหง ธาตุ ก็ค ือ การปรากฏแหง ทุก ข ; แตด ูใ หด ีว า ตัว ธาตุนั ้น ไมใ ชเ ปน ตัว ทุก ข ตัว ทุก ขม ัน อยูที ่ค วามยึด มั่น ถือ มั่น ในธาตุนั ้น วา เปน ตัว ตนหรือ ของ ตน. คนอาจจะสงสั ยว า เอ า, ถ ามั นสั กว าธาตุ ตามธรรมชาติ แล ว จะทํ าบุ ญ – ได บุ ญ จะทํ าบาป - ได บ าป อย างไรกั น ? เดี๋ ยวนี้ คนมั นยั งไม รู มั นยั งอยากเอร็ด – อรอ ยที ่เ รีย กวา บุญ , มัน เกลีย ดเจ็บ ปวดที ่เ รีย กวา บาป, ก็อ ยากจะไดบ ุญ เรื่อ งบาปเรื่อ งบุญ นี้ จะทํา เปน ทํา ไดแ ตค นที่ไ มรูจัก เรื่อ งธาตุ; ถา มัน เกิด ไปรูจั ก เรื่อ งธาตุ โดยแท จ ริงเสี ย แล ว มั น ไม อ ยากทั้ ง บาป, ไม อ ยากทั้ ง บุ ญ , มั น ทํ า บาปไม ไ ด , แล ว ก็ ทํ า บุ ญ ไม ไ ด ; เพราะไม ยึ ด ถื อ อะไรโดยความเป น ตั ว ตน หรื อ เปนของ ๆ ตนได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ธาตุทั้ งปวงเป นอนัตตา, มันเปนอนัตตา หมายความวา เป นอยูตาม ธรรมชาติ ; แตเ ราไมย อมรับ เราไมรู ส ึก , เราไมม องเห็น โดยความเปน อนัต ตา. ถา มัน อรอ ยที ่ลิ ้น มัน ก็เ ปน ความอรอ ยของกู. ธาตุลิ ้น มัน ก็เ กิด หลอกลวงใหรู ส ึก อรอ ย เปน ลิ ้น ของกู. หรือ จะเอาลิ ้น เปน ตัว กูก ็ไ ด, แลว มัน ก็ รสอรอยของกู ปญหามันเลยปนกันยุงไปหมด.
ถ าเราไม รู เรื่ อ ง ก ข ก กา ป ญ หาจะปนกั น ยุ งไปหมด ; เหมื อ นคนไม รู ก ข ก กา นั ่น แหละ มัน ทํ า อะไรไมไ ด มัน อา นหนัง สือ ไมไ ด. ถา ไมรู เ รื ่อ งธาตุ
๘๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ตามที ่เ ปน จริง ก็ม ีป ญ หามากขึ ้น เพิ ่ม ขึ ้น กวา เดิม มากมาย ; จะสงสัย เรื ่อ ง ดี เรื่องชั่ ว, เรื่องบุ ญเรื่องบาป, เรื่องทํ ากรรมเรื่องได ผลกรรม อะไรไปเสี ยตะพึ ด, ไม มี อะไรที ่ไ มเ ปน ปญ หา ; แลว ก็แ บง ออกเปน ๒ ฝา ย อยา งหนึ ่ง สํ า หรับ เกลีย ด สํ า หรับ กลัว คือ ไมป รารถนา ก็เปน ทุก ขเ หมือ นกัน , อีก ฝา ยหนึ ่ง ก็สํ า หรับ อยาก สํ า หรับ ทะเยอทะยาน สํ า หรั บ กระหาย นี้ ก็ เป น ทุ ก ข เหมื อ นกั น . มั น ก็ เลยได ทุ ก ข ทั้ง ขึ้น ทั ้ง ลอ ง สํา หรับ บุค คลที่ไ มรูเรื่อ งธาตุ ก็จ ะเกิด ความยิน ดียิน รา ย, ยิน ดี ในสิ ่ง ที ่เ ปน ที ่ตั ้ง แหง ความยิน ดี, แลว ยิน รา ยในสิ ่ง ที ่เ ปน ที ่ตั ้ง แหง ความยิน รา ย. นี่คือคนที่ไมรูเรื่องธาตุ, ไมฉลาดในเรื่องธาตุ ธาตุมันจึงหลอกเอา. เมื่ อ อาการอย า งนี้ มั น กํ า ลั ง เป น อยู แ ก ค นทุ ก คนในโลกนี้ ทั้ ง เด็ ก ทั้ ง ใหญ แล ว จะไม เรี ย กว า เรื่ อ งเบื้ อ งต น เรื่ อ งทั่ ว ไป เรื่ อ งรากฐานอย า งไรกั น ? มั น ก็ค วรจะถือ วา เปน เรื ่อ งต่ํ า ที ่ส ุด รากฐานที ่ส ุด เบื ้อ งตน ที ่ส ุด . ดัง นั ้น อาตมา จึ งเรีย กวา เป น เรื่อ ง ก ข ก กา ซึ่ ง คนบางคนไม ย อมเห็ น ด ว ย ว าการพู ด เรื่ อ ง ธาตุนี ้เ ปน เรื ่อ ง ก ข ก กา เขาเห็น เปน ปรมัต ถธรรม เปน อภิธ รรม เปน อะไร มากไป จนไม ย อมให เป น เรื่ อ ง ก ข ก กา ; เพราะว าไม รู จั ก พระพุ ท ธศาสนา ที่ จ ะ สอนแตเ รื ่อ งความดับ ทุก ขเทา นั ้น , มีค วามดับ ทุก ขที ่ไ หน ก็ม ีพ ุท ธศาสนาที ่นั ่น , ไม มี ค วามดั บ ทุ ก ข ที่ ไหน ก็ ไม มี พุ ท ธศาสนาที่ นั่ น . แม ว า จะไปพู ด กั น อย า งเป น คุ ง เปน แคว เปน ปรมัต ถ เปน อภิธ รรมอะไรใหม ากมาย มัน ก็ไ มเ ปน พุท ธศาสนา ไปได . แล ว มั น ก็ พิ สู จ น อ ยู ใ นตั ว แล ว ว า คนที่ พู ด มาก ๆ อย า งนั้ น แหละยิ่ ง ไม รู จั ก ธาตุ มันไมรูจักธาตุ, กําลงมีตัวกู - ของกู เต็มที่.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ป ญ หาของมนุ ษ ย เป น อย า งนี้ เรี ย กว า ไม รู จั ก ธาตุ ต ามที่ เป น จริ ง ก็ เกิด มิจ ฉาทิฏ ฐิรา ยแรงอยา งนั้น อยา งนี้ขึ้น มา ; อยา งต่ํา ที ่สุด ก็ม ี วิจิกิจ ฉา มี
ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ
๘๗
ความสงสั ย ว า จะศึ ก ษาเรื่ อ งธาตุ ดี หรื อ ว า จะหาของเอร็ ด อร อ ยมากิ น ดี มั น ก็ มี ความลังเลอยูแตอยางนี้.
ศึกษาเรื่องธาตุจะเขาใจพุทธศาสนาถูกตอง. ขอให ส นใจ ก ข ก กา ในพระพุ ท ธศาสนากั น เสี ย ใหม ให ถู ก ต อ ง กล าว คือ การศึก ษาเรื ่อ งธาตุ นั ้น เอง. ลูก คลํ า ดูที ่เนื ้อ ที ่ต ัว ธาตุด ิน ธาตุน้ํ า ธาตุไ ฟ ธาตุ ล ม ธาตุ อ ากาศ ธาตุ วิ ญ ญาณ มั น อยู ที่ ต รงไหน ? จงพยายามลู บ เนื้ อ ลู บ ตั ว ลูบ หัว ลูบ เทา ลูบ คลํ า อยู ด ูเ รื ่อ ย ๆ ในภายในนี ้ ใหม ัน รู จ ัก สิ ่ง ที ่เ รีย กวา ธาตุ, จึ งจะเรี ย กได ว า เป น ผู ส นใจ เริ่ ม ต น ศึ ก ษา ก ข ก กา แห งพระพุ ท ธศาสนาอย างถู ก ต อ งกั น เสี ย ใหม . ไม จํ า เป น จะเอาเรื่ อ งนั้ น เรื่ อ งนี้ เรื่ อ งโน น มาพู ด ให ย าวความ ; พู ด กัน แตเ รื ่อ งที ่ใ หเ ห็น วา อะไรมัน เปน รากฐาน คือ เปน ธาตุ เปน รากฐาน, เปน สว นยอ ยที ่ส ุด ที ่จ ะประกอบกัน ขึ ้น เปน สว นใหญต อ ๆ ไป มัน คือ อะไร ? แลว ก็ ดูที ่สิ ่ง นั ้น ใหด ี อยา ใหเ ห็น เปน ตัว เปน ตน เปน สัต ว เปน บุค คล เปน อะไร ทํ า นองที่ จ ะทํ า ให เกิ ด ความโลภ ความโกรธ ความหลง ขึ้ น มาได . เห็ น โดยความ เปนธาตุอยูโดยแทจริงตามที่เปนจริง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ต อ งไม ให โอกาสแก จิ ต อั น ธพาลที่ มั น จะถื อ เอาโอกาสนี้ แ หละ โอกาสที่ สั ก ว า เป น ธาตุ นี้ แ หละไปเที่ ย วประทุ ษ ร า ยลู ก เมี ย เขา หรื อ ว า ไปขโมยเขา หรื อ ไป ฆ า เขา ไปกิ น เหล า เมามาย, แล ว ก็ บ อกว า มั น ก็ สั ก ว า ธาตุ : เหล า ก็ สั ก ว า ธาตุ เนื้ อ หนั ง ก็ สั ก ว า ธาตุ อะไรก็ สั ก ว า ธาตุ ไปนอนคลุ ก ฝุ น หรื อ นอนอยู ต ามในคู มั น ก็ สัก วา ธาตุ. นี ่ม ัน เปน จิต อัน ธพาล ; มัน เอาคํ า วา ธาตุขึ ้น มาสํ า หรับ เปน โล
๘๘
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
บัง หนา , แกต ัว สํ า หรับ จะทํ า ความชั ่ว . อยา งนี ้ไ มต อ งพูด ก็ไ ด มัน ไมใ ชเ รื ่อ ง ของเรา มันคงไมมีแกเรา ไมเกี่ยวกับเรา. มัน ยัง เหลือ อยู แ ตว า มีส ติส ัม ปชัญ ญะทุก เมื ่อ มองเห็น สิ ่ง ทั ้ง ปวง โดยความเป น ของวางจากตั ว ตน คือ มั นเป น แต สั ก วาธาตุ ที่ กํ าลั งเป น ไปตาม ธรรมชาติ ตามเหตุตามปจจัยอยูเนืองนิจ, ใหมันเจริญกาวหนาไปดวยสติปญญา อย า งนี้ เรื่ อ ย ๆ ไป ; นั่ น แหละคื อ คนที่ เรี ย นรู ก ข ก กา กา กิ กี แจกลู ก ไปตาม ลํ า ดั บ ๆ ในเวลาไม น านนั ก ก็ จ ะอ า นหนั ง สื อ ได ดี รู ห นั ง สื อ ได ดี , คื อ รู พ ระธรรม ที่ เป น ตั ว พุ ท ธศาสนาของพระพุ ท ธเจ าได ดี เรี ย กว า เป น คนรู ห นั ง สื อ กั น เสี ย ที ป ญ หา มันก็จะหมดเอง. นี่ขอใหสนใจ ก ข ก กา กันอยางนี้. อาตมาก็มีเรี่ยวแรงสําหรับจะพูดในวันนี้เพียงเทานี้ นี่เวลาก็ยังเหลืออยู บาง ขอโอกาสใหพระสงฆบางองคทานบรรยายขยายความหรือวาชวยกันทําความเขา ใจเกี่ยวกับ ก ข ก กา นี้ตอไป กวาจะยุติลงดวยเวลา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เอา, นิมนตองคที่คางอยู ที่ไมไดพูดคราวกอน. [คําบรรยายของภิกษุรูปอื่น ไมไดบันทึกไว] _____________
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
- ๕๒ กุมภาพันธ ๒๕๑๗
การเกิดขึ้นของทุกสิ่งตั้งตนที่ผัสสะเพียงสิ่งเดียว.
ทานสาธุชน ผูมีความสนใจในธรรม ทั้งหลาย,
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ในการบรรยายครั้งที่ ๕ แห งภาคมาฆบู ชานี้ อาตมาจะได กล าวโดยหั วข อ ว า ก ข ก กา ของการศึ กษาพระพุ ทธศาสนา ต อไปตามเดิ ม หรื อกล าวอี กอย างหนึ่ ง ก็วา เราจะพูดถึงเรื่อง ก ข ก กา นี้อีกเปนครั้งที่ ๕.
คนที่ ฟ งไม ถู กคงจะรํ าคาญเหลื อที่ จะรํ าคาญแล ว เหมื อนลู กเด็ ก ๆ เรียน ก ข ก กา ไม น า สนุ ก ก็ รํ า คาญ ; แต แ ล ว ก็ ต อ งทนเรี ย นแล ว เรี ย นเล า เรี ย นซ้ํ า ๆ ซาก ๆ จนรู ก ข ก กา, เดี๋ ย วนี้ ก็ จ ะพู ด เรื่ อ ง ก ข ก กา แห งพระพุ ท ธศาสนา เป น ครั้ ง ที่ ๕ เท า นั้ น เอง ; เหมื อ นกั บ ว า ได เรี ย น ก ข ก กา มาได สั ก ๕ วั น เท า นั้ น , คงจะยั งไม ม ากมายอะไรนั ก . เรื่ อ ง ก ข ก กา แห งพระพุ ท ธศาสนาในวั น นี้ จะได
๘๙
๙๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
กลา วโดยหัว ขอ ยอ ที ่ชัด เจนลงไปวา การเกิด ขึ้น ของทุก สิ ่ง ตั ้ง ตน ที ่ผ ัส สะเพีย ง สิ่งเดียว. การเกิดขึ้นของทุกสิ่งตั้งตนที่ผัสสะเพียงสิ่งเดียว. เมื่ อ กล า วเช น นี้ บางคนคงจะฟ ง ถู ก หรื อ นึ ก ออก หรื อ เห็ น เค า เงื่ อ น แล ว เพราะว า เรื่ อ งที่ ค ล า ยกั น นี้ เคยกล า วมาแล ว หลายครั้ ง หลายหน. แต วั น นี้ เอามากล าวอี ก ในรูปรางของ ก ข ก กา คื อเบื้ องต นที่ สุ ด เพราะวาเป น เรื่ องที่ ไม ค อ ยสั ง เกตกั น จนไม เห็ น ความสํ า คั ญ คื อ ไม เห็ น ความที่ มั น เป น สิ่ ง เดี ย วเรื่ อ ง เดียว ที่เปนการตั้งตนของทุกสิ่ง ไดแกสิ่งที่เรียกวา ผัสสะ.
ศึกษาคําวา " การเกิดขึ้น " ใหเขาใจกอน. เมื่ อ พู ด ถึ ง คํ า ว า ผั ส สะ บางคนก็ ว า เข า ใจแล ว เข า ใจแล ว ; นี้ มั น แน นอน ก็ มี ค นเข า ใจเรื่ อ งผั ส สะ แต ก็ เข า ใจต า ง ๆ กั น ไป, เข า ใจมากบ า งน อ ยบ า ง. บางคนเข า ใจไปในทางเถลไถลไปในทางอื่ น ก็ มี แล ว แต ว า คน ๆ นั้ น เขาเคยได ยิ น ได ฟ งคํ า ๆ นี้ มาในลั กษณะอย างไร. นี่ แหละคื อความจําเป นที่ ต องเอามาพู ดกั นใหม ให รู จั ก สิ่ ง ที่ เรี ย กว า ผั ส สะ ให ดี ยิ่ ง ขึ้ น ไป, จนมองเห็ น ชั ด ลงไปที เดี ย วว า มั น เป น เพียงสิ่งเดียว ซึ่งเปนที่ตั้งตนของการเกิดของสิ่งทุกสิ่ง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เมื่ อ พู ด ถึ งคํ า ว า เกิ ด ขึ้ น นี้ ก็ อ ย างเดี ย วกั น อี ก ; บางคนก็ คิ ด ว า เข าใจ แตแลวมันก็ ยังเขาใจนอยเกินไป คือ คนสวนมากไมเขาใจวา ทุ กสิ่งที่ มี การเกิด ดับ อยูตลอดเวลา ; แมแตสิ่งที่เรียกกันวาโลกนี้.
ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ
๙๑
เมื่ อ พู ด คํ าว า โลกนี้ เกิ ด และดั บ อยู ต ลอดเวลา ; บางคนไม เข าใจเอา เสี ยเลยที เดี ยว แล วยั งจะหาว าเป นคํ าพู ดที่ บ า ๆ บอ ๆ. หรื อเป นคํ าพู ดที่ แกล งพู ดล อ กั น เล น , หรื อ ว า เป น การใช สํ า นวนโวหารมากเกิ น ไป. นี่ ถ า ผู ใ ดไม ม องเห็ น โดย ประจักษ ชั ดวา แมแตสิ่งที่เรียกวา โลก โลกนี้ มี การเกิด - ดั บ ๆ อยูตลอดเวลา แลว, คนนั้นยังไมรูธรรมะที่เปนชั้น ก ข ก กา ในพุทธศาสนา. พุทธศาสนาสอนใหเห็นวา ทุกอยางมีการเกิด และ ดับอยู เสมอ ; จะช า เร็ ว เท า ไรนั้ น ขึ้ น อยู กั บ จิ ต ที่ มี ค วามรู สึ ก ต อ สิ่ ง นั้ น ๆ. นี้ ค นที่ เ ขาไม เ คยเล า เรีย น แล ะเปน คนที ่ม อ งกัน แตใ น แงว ัต ถุ ก็จ ะไมเ ชื ่อ ; เพ ราะเขาม องเห็น แผ น ดิ น โลกนี้ มี อ ยู ต ลอดเวลา แล ว ก็ เรี ย นกั น มาว า ไม รู กี่ แ สน กี่ ล า น กี่ ล า นล า น ป ม าแล ว มั น ก็ มี แ ล ว อย า งนี้ จะเรี ย กว า เกิ ด - ดั บ อย า งไร ? นี่ ท างพุ ท ธศาสนา พูดวามัน เกิด - ดับ อยูตลอดเวลา ไปตามขณะจิต ที่รูสึกตอสิ่งนี้. นี่ ข อให พิ จ ารณาดู ว ามั น เป น คนละเรื่ อ งกั น ถึ ง ขนาดนี้ เป น คนละอย า ง คนละแนว คนละความหมาย. เดี ๋ย วนี ้เ ราจะเรีย นเรื ่อ งพุท ธศาสนา เราจึง ต อ งเรี ย นตามหลั ก ของพุ ท ธศาสนา ไม ใ ช เรี ย นวิ ท ยาศาสตร เรื่ อ งแผ น ดิ น ที่ จ ะ เรียนวา แผนดินนี้มันมีอยูอยางนี้เรื่อย ๆ มา เปนเวลานานเปนลาน ๆ ปมาแลว.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทํ า ไมต อ งแยกกั น เรี ย นอย า งนี้ ? เพราะว า เรี ย นอย า งโน น มั น ดั บ ความ ทุก ขไ มไ ด. ถา เรีย นอยา งนี ้ อยา งพระพุท ธเจา ทา นสอนวา โลกมัน เกิด ดับ อยู ต ลอดเวลา นี้ มั น ดั บ ความทุ ก ข ได . เมื่ อ เราอยากจะเรีย นอย างที่ พ ระพุ ท ธเจ า ทานสอน ก็เพื่อจะใหดับทุกขไดนั่นเอง.
๙๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
คนที่ เรี ยนเรื่ องโลกมาอย างไร ย อ มมี ผ ลเกิ ด ขึ้ น ตามสมควรแก ก ารที่ ต น เลา เรีย นมาอยา งนั ้น : เชน เรีย นมาในรูป ที ่ว า โลกนี ้ม ัน เที ่ย ง หรือ เปน รูป ธรรมที่เที่ยงแท ก็มีผ ลใหค น ๆ นั้น ยึด มั่น ถือ มั่น ในสิ่งทีเรีย กวาโลกนั้น ๆ, หรือพู ดอี กอย างหนึ่ งก็ ว า เป นคนติ ดอยู กั บโลก ติ ดแน นอยู กั บโลก หมุ นไปตามโลก ออกมาไมได มันก็ตองลมลุกคลุกคลานไปตามโลก. ที นี้ ค นหนึ่ ง เขาเรี ย นมาในลั ก ษณะที่ ต รงกั น ข า ม ให รู ต ามที่ เป น จริ ง ว า โลกนี้ เป น อย างไร ? มี ก าร เกิ ด - ดั บ อยู ต ลอดเวลาอย างไร ? ความรู ช นิ ด นี้ ไมทําใหยึดมั่นถือมั่นอยูในโลก คือไมตองติดไปตามโลก มีจิตใจที่แยกออกมาได จากโลก ก็ไ มต อ งลม ลุก คลุก คลานไปตามโลก. นี ่ม ัน ตา งกัน อยา งทีเรีย กวา ตรงกันขาม หรือยิ่งกวาตรงกันขาม. ถาเราไมรูเรื่องสิ่งนั้น ๆ พอ ก็จะยึดมั่นถือมั่น ในสิ่งนั้น ๆ แลวก็ จะต อ งทุ ลั ก ทุ เลไปตามสิ่ งนั้ น ๆ ; แม แ ต สั ง ขารรา งกายนี้ เราไปเห็ น โดยความเป น ของเที่ ยงเป นของตน มั น ก็ ยึ ดมั่ นถื อ มั่ น แล วมั น ก็ จะตองหนั กอกหนั กใจ ต องขึ้ น ๆ ลง ๆ , หรื อ ว า ส ว นใหญ มั น จะต อ งมี ค วามทุ ก ข เพราะสั ง ขารนี้ มั น จะต อ งเปลี่ ย น แปลงไป ตามเรื่องของมัน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เรื่อ งข างนอกก็ เหมื อ นกั น เรื่อ งทรัพ ยส มบั ติ เรื่องเกีย รติยศชื่อ เสี ยง, เรื่องอะไรต าง ๆ เหล านี้ แม แต ชี วิต ความตายอย างไร ก็ ล ว นแต ต อ งเป น ไปตาม กฎเกณฑ ของมั น, ตามเหตุตามป จจัยของมัน. ถาไปยึดมั่นมันเขาใหเปนของเที่ยง หรือ เปน ของของตน มัน ก็เ ปน ไปไมไ ด มัน ก็ต อ งรอ งไห มัน ก็ต อ งหวาดเสีย ว ตองสะดุง ตองเปนไปตาง ๆ นานา .
ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ
๙๓
นี้เปนการชี้ใหเห็นวา มีความรู รูอยางไร มันก็จะตองมีจิตใจไปตาม อํ า นาจหรือ ตามแนวของความรู นั ้น ๆ. นี ้ใ ครจะเอาอยา งไหนก็ไ ด ไมม ีใ ครวา มั น เป น สิ่ ง ที่ เลื อ กเอาได . แต เชื่ อ ว า ทุ ก คนคงจะเลื อ กเอา ในฝ า ยที่ จ ะไม ต อ งเป น ทุก ข ; แตแ ลว จะเลือ กเปน หรือ ไมเ ปน เลือ กถูก หรือ ไมถ ูก นี ้ม ัน ก็อ ีก อยา งหนึ ่ง , มั น ขึ้ น อยู กั บ ข อ ที่ ว า คน ๆ นั้ น รู จั ก ความทุ ก ข ห รื อ ไม ? บางคนบอกว า จะดั บ ทุ ก ข พอถามว า เป น ทุ ก ข อ ย า งไร ? ก็ ไม รู ; โง ถึ ง ขนาดนี้ คื อ เอาความทุ ก ข ม าให ดู ไม ได , แล ว ก็ ม าขอให ช ว ยแนะวิ ธี ดั บ ทุ ก ข มั น ก็ ค นบ า , คื อ ไม มี ค วามทุ ก ข ที่ รู สึ ก อยู จ ริ ง แลวก็มาขอใหดับทุกข. ความรู ที่ จ ะเป น ประโยชน ไ ด ต อ งเป น ความรู ที่ รู จ ริ ง ไปตั้ ง แต ตั ว ป ญ หา ที่ มั น มี ป ญ หาอยู จ ริ ง ; เช น มี ค วามทุ ก ข อ ยู จ ริ ง จึ ง จะหาทางที่ จ ะดั บ ทุ ก ข ไดจ ริง เหมือ นกัน . ฉะนั ้น การเรีย นรู เ รื ่อ งโลกในแงข องความทุก ขนี ้ เปน ความ จํ า เปน คือ จะชว ยใหรู จ ัก ความทุก ขที ่แ ทจ ริง . เพราะปญ หามัน อยู ที ่ค วามทุก ข ; ป ญ หามั น ตั้ ง ขึ้ น มาด ว ยเรื่ อ งของความทุ ก ข , ถ า ไม มี ค วามทุ ก ข เ ราก็ ไ ม มี ป ญ หา อะไร. มองดูข อ นี ้ก ัน เสีย กอ น เดี ๋ย วนี ้ม ัน ทนอยู ไ มไ ด เพราะมัน มีค วามทุก ข และเปนปญหา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org พอมี ค วามทุ ก ข เ ป น ป ญ หา มั น ก็ ดู ง า ยต อ ไปอี ก ว า มั น เกิ ด ขึ้ น มา อยา งไร ? ในที ่ส ุด มัน ก็ไ ปเขา รูป กัน กับ ขอ ที ่ว า มัน มาจากสิ ่ง ที ่เ รีย กผัส สะ, จึ ง เรี ย กว า เป น เรื่ อ ง ก ข ก กา คื อ เป น จุ ด ตั้ ง ต น ของเรื่ อ งทั้ ง หมดจริ ง ๆ ; แต ก็ อธิ บ ายได ห ลายแง ห ลายมุ ม . เรื่ อ ง ผั ส สะ คํ าเดี ยวเท านั้ น อธิ บ ายได ม ากแง ม ากมุ ม ซึ่ งจะได พู ด กั น เรื่ อ ย ๆ ไป จนกว าจะจบจะสิ้ น ที่ เกี่ ย วกั บ ก ข ก กา ของพระพุ ท ธ – ศาสนา.
๙๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา [ทบทวนเรื่องธาตุ]
ถ าจะทบทวนเรื่องที่ แล ว ๆ มา ท านทั้ งหลายก็ คงจะนึ กได ว าเราเริ่มต น พูด กัน ถึง เรื ่อ งธาตุ, คํ า วา ธาตุ เ พราะมัน มีอ ยู อ ยา งเปน พื ้น ฐาน สํ า หรับ จะ ใหเ รื ่อ งตา ง ๆ เกิด ขึ ้น , หรือ กอ ขึ ้น บนสิ ่ง ที ่เ รีย กวา ธาตุนั ้น ๆ. ดัง นั ้น การที่ รูจั ก เรื่อ งธาตุ ทั้ ง หลาย อั น จะก อ ให เกิ ด อายตนะและผั ส สะนี้ มั น เป น เรื่อ งรากฐาน ลงไปอี ก , เป น เรื่อ งรากฐานชั้ น ต น ที เดี ย ว ; เพราะผั ส สะมั น ตั้ งต น มาจากอายตนะ ซึ ่ง ตั ้ง ตน มาจากธาตุทั ้ง ปวง. แตแ ลว ทุก อยา งนี ้ก ็ย ัง คงเรีย กวา ธาตุห นึ ่ง ได อยูนั่นเอง, ธาตุที่เปนรากฐานที่สุด คือเปนธาตุทั้ง ๖ ไดแก ธาตุดิน ธาตุน้ํา ธาตุไฟ ธาตุ ล ม ธาตุ อ ากาศ ธาตุ วิ ญ ญาณ ซึ่ ง ได ข อรอ งแล ว ขอร อ งเล า ว า ท า นทั้ ง หลาย จงมีค วามเขา ใจในเรื่อ งนี ้ ในฐานะที่เปน เรื่อ งพื ้น ฐาน ใหม ากที่สุด , และให ย้ํ าให ทบทวนอยู เป นประจํ าวั น เหมื อนกั บ ว า เราทํ ากิ จประจํ าวั น, ในทางฝ ายวั ต ถุ ทางฝา ยรา งกาย เรื ่อ งกิน อาหาร เรื ่อ งอาบน้ํ า เรื ่อ งไปถาน เรื ่อ งอะไรตา ง ๆ ; เหล านี้ ซ้ํ า ๆ ซาก ๆ อย างไร, ในทางฝ ายจิ ตใจ ก็ ควรจะมาคํ านึ งถึ งสิ่ งที่ เรี ยกว าธาตุ ใหเกิดความแจมแจงเขาใจอยูเปนประจําวัน ฉันนั้นดวยเหมือนกัน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้นเราจึง ตั้ งต นพู ดกั นถึ งเรื่อง ธาตุ ที่ เป นรากฐาน คื อ ดิน น้ํ า ไฟ ลม อากาศ วิญญาณ, แลวมีธาตุที่เปนรากฐานชั้นตอมา ก็คือธาตุตา ธาตุหู ธาตุจ มูก ธาตุลิ ้น ธาตุก าย ธาตุใ จ ซึ ่ง อยู ข า งใน คือ ในตัว คน, แลว ก็ม ีธ าตุ ข างนอกคื อ ธาตุ รู ป ธาตุ เสี ย ง ธาตุ ก ลิ่ น ธาตุ รส ธาตุ โผฏฐั พ พะ ธาตุ ธั ม มารมณ ซึ่งเปนธาตุขางนอก.
ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ
๙๕
ถ าธาตุ ข างในกั บธาตุ ข างนอก จะมี ขึ้ นมาได มั นก็ ต องอาศั ยสิ่ งที่ เรียกว า ธาตุด ิน ธาตุน้ํ า ธาตุไ ฟ ธาตุล ม ธาตุอ ากาศ ธาตุว ิญ ญาณ นั ่น เอง ; ฉะนั ้น ๖ ธาตุแ รกมัน จึงเปน ที่ตั้งของธาตุชุด ตอ มา : ธาตุ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ, รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ และ ธาตุ ชุดที่ ๒ นี้ก็เป นที่ ตั้ งตอไป จะใหเกิด ธาตุที ่สูงขึ้น ไป ละเอีย ดขึ้นไป ประณีต ขึ้นไป เปน รูป ธาตุ เวทนาธาตุ สัญ ญาธาตุ สังขารธาตุ วิญ ญาณธาตุ ปรากฏตัวออกมาได, โดยปรุงกัน ขึ้นเป น อายตนะกอ น แลว ก็เปน ผัส สะ แลว ก็เปน เวทนาตัณ หา, หรือ วา เปน เวทนา เปนสัญญา เปนสังขาร เปนวิญญาณ ที่สูงขึ้นไปตามลําดับ. การทบทวนอย างนี้ อ ยู เสมอ ทํ าให มี ความเห็ น แจ ม แจ งในเรื่ อ งที่ สํ าคั ญ ที่ สุ ด คื อ เรื่องที่ เรียกว า สุ ญ ญตาหรืออนั ตตา หรืออื่ น ๆ แล วแต จะเรียก ; แต รวม แลว ก็ค ือ เรื ่อ งไมใ ชต ัว ตน ไมใ ชส ัต วบ ุค คล ไมใ ชต ัว ไมใ ชต นนี ่ แมส ุญ ญตานี้ ก็ต อ งเรีย กไดว า ธาตุ มัน เปน ธาตุอ ัน หนึ ่ง เปน ธาตุแ หง ความวา งในระดับ สูง สุด ; ถา ไป เล็ง ถึง ผ ล มัน เรีย ก วา นิพ พ าน ธาตุ ก็จ บ กัน ที ่ นิพ พ าน ธาตุ, สุญญตธาตุ นิพพานธาตุนี้ มันเปนฝาย อสังขตธาตุ ก็จบกันเทานั้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ตั ้ง ตน กัน ดว ยเรื่อ งธาตุที ่ม ีป จ จัย ปรุง แตง แลว ก็เรื่อ ยไปจนกระทั ่ง สูง สุด จนรู จ ัก ธาตุที ่ไ มม ีป จ จัย ปรุง แตง เรื ่อ งมัน ก็จ บกัน . ตั ้ง ตน ดว ยเรื ่อ ง ธาตุ แล ว ก็ เป น ไปตามเรื่อ งของธาตุ เรื่ อ ย ๆ ไปจนกระทั่ ง ถึ ง ธาตุ สุ ด ท า ย, คื อ ธาตุ ที่ ไม ต อ งมี ป จ จั ย ปรุ ง แต ง เป น ที่ จ บที่ สิ้ น ของการหมุ น เวี ย นเปลี่ ย นแปลงของธาตุ ที่ มี ป จ จั ย ปรุ ง แต ง มั น ก็ จ บกั น เท า นี้ . แต ร ายละเอี ย ดมั น มี ม าก ฉะนั้ น เราเรี ย น เรื่องธาตุใหรูในชั้นที่เปนรากฐาน เปนพวกรากฐาน จึงไดเรียกวา ก ข ก กา.
๙๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา [เริ่มการบรรยายครั้งนี้.]
ทีนี้ก็ดูกันในหัวขอที่จะพูดวันนี้ วา การเกิดขึ้นของทุกสิ่ง ตั้งตนที่ ผัสสะสิ่งเดียว เปนเรื่อง ก ข ก กา ของมนุษยหรือของโลกทั้งหมด หรือของ อะไร ๆ ทั้งหมด.
มนุษยมีขึ้นเมื่อมีผัสสะ. เราจะพู ดกั นถึ งเรื่ องมนุ ษย ก อน ก ข ก กา ของมนุ ษย นี่ มั นมี ความหมาย ซั บ ซ อ นอยู ห ลายชั้ น ก ข ก กา ที่ ม นุ ษ ย จ ะต อ งเรี ย น อย า งนี้ ก็ ไ ด เรี ย กว า ก ข ก กา ของมนุ ษ ย ; เพราะมนุ ษ ย จ ะต อ งเรี ย นเรื่ อ งนี้ ก อ น อย า งนี้ ก็ ไ ด . แต ที่ จ ริ ง มั น ยิ่ ง กว า นั้ น คื อ ว า มนุ ษ ย นี้ มั น ตั้ ง ต น ขึ้ น มาจากสิ่ ง ใด ควรจะเรี ย กสิ่ ง นั้ น ว า ก ข ก กา สํ า หรับ ปรุง ขึ ้น มาเปน มนุษ ย ; นั ่น แหละจะเขา ใจเรื ่อ งผัส สะไดง า ยขึ ้น . เมื่ อ ใดมี ผั ส สะ เมื่ อ นั้ น สิ่ งที่ เรีย กวามนุ ษ ย จ ะมี ขึ้ น ; เมื่ อ ไม มี ผั ส สะสิ่ งที่ เรีย กวา มนุ ษ ย ก็ ไม มี . เมื่ อไรมี ผั ส สะ คื อ ความรูสึ ก ต อ สิ่ งใด เมื่ อ นั้ น จึ งจะเรียกว ามนุ ษ ย มี ; ถายังไมทําหนาที่ผัสสะ ก็ยังไมเรียกวาเปนมนุษยเพราะมันไมรูสึกอะไร.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org พอมาถึ ง ตอนนี้ ก็ อ ยากจะแนะให เปรีย บเที ย บเรื่อ งแผ น ดิ น อี ก คน ๆ หนึ่ง มองวา แผน ดิน โลกนี้ม ีอ ยูต ลอดเวลา ; แตค นหนึ่ง มองวา เราจะถือ วาแผ น ดิ น นี้ มี เท าที่ เรากํ าลั งมี ค วาม รูสึกตอแผนดิน นั้น ๆ อยู ; ถาเราไม รูสึก ต อ มั น มั น ก็ ค วรจะถื อ ว า ไม มี หรื อ มี ค า เท า กั บ ไม มี . เช น เมื่ อ เรานอนหลั บ อยู พวกแรกมั น ก็ ถื อ ว า ถึ งเราจะหลั บ ไม รูไม เห็ น อะไร แผ น ดิ น มั น ก็ ยั งมี , คนธรรมดา
ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ
๙๗
ก็พ ูด อยา งนี ้. ทีนี ้อ ีก คนหนึ ่ง มัน พูด วา เมื ่อ ฉัน นอนหลับ แผน ดิน มัน ก็ม ีค า เทา กับ ไมม ี; เพ ราะฉัน ไมรู ส ึก ตอ สิ ่ง ที ่เ รีย กวา แผน ดิน นั ้น . ฉะนั ้น สองคนนี้ คนไหนจะเปนคนโงกวาหรือคนฉลาดกวากัน ? ถ าว าคนที่ สลบ เช น ถู กวางยาสลบหรื อสลบเองก็ ตาม มั นไม รู สึ กว าอะไร มี เขาก็จ ะถือ วา แผน ดิน นี ้ม ิไ ดม ี; แตค นหนึ ่ง มัน ก็แ ยง วา มี. คนนั ้น มัน จะตาย ไปเขา โลงไปแลว แผน ดิน มัน ก็ย ัง มี แผน ดิน โลกนี ้ม ัน ก็ย ัง มี. แตค นหนึ ่ง จะถือ ว า เมื่ อ คนนั้ น เข า โลงตายไปแล ว แผ น ดิ น มั น จะมี อ ะไรสํ า หรั บ คนที่ มั น เข า โลงตาย ไปแลว . นี ่จ ะเอาบัญ ญัต ิคํ า วา มี หรือ คํ า วา ไมม ี กัน ที ่ต รงไหนแน ? ขอให ดูใหดี.
ความมีหรือไมมี ขึ้นอยูกับความรูสึกที่มีผลออกมา. ถา ตามทางพุท ธศาสนาแลว จะถือ วา มีห รือ ไมม ีก ็ต าม มัน ก็เ อา ตรงที ่ม ัน มีค วามหมาย มีค า มีผ ลอะไรขึ้น มา; ถามัน ไมมีความหมายอะไรเลย ก็ ถื อ ว าเท ากั บ ไม มี . เช น ว า คนตาบอด ภาพต าง ๆ มั น ก็ ไม มี ค าสํ าหรั บ คนตาบอด คนหู ห นวก เสี ย งต า ง ๆ มั น ก็ ไ ม มี ค า สํ า หรั บ คนที่ หู ห นวก. ถ า เป น คนที่ จ มู ก ไม รู กลิ ่น แลว กลิ ่น นั ้น มัน ก็ไ มม ีสํ า หรับ คนนั ้น ; บางทีพ ูด กัน ไมรู เ รื ่อ งมัน นา โมโห, พู ด กั บ คนที่ จ มู ก มั น ไม รู ก ลิ่ น อะไรเลยนี้ ให มั น ดมอะไรมั น ก็ ไ ม มี ค วามหมายอะไร, จะให ด มของหอมอะไร มั น ก็ ไ ม มี ค วามหมายอะไร. มั น เป น อย า งนี้ เรื่ อ ยไปจนถึ ง เรื ่อ งของลิ ้น , เรื ่อ งของผิว หนัง , เรื ่อ งของอะไรตา ง ๆ, ถา คนมัน เปน อัม พาตเสีย แลว โผฏฐัพพะทั้งหลายมันก็ไมมีความหมายอะไร อยางนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๙๘
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ที นี้ ก็ ม าดู กั น ถึ ง เรื่ อ งของความทุ ก ข ความทุ ก ข มั น เป น เรื่อ งที่ ป รากฏ แกใ จ ; ไมใ ชป รากฏแกสิ ่ง ที ่ไ มม ีใ จ. ความทุก ขที ่เ จ็บ ปวดทนยากนี ้ มัน มี ความหมายสํา หรับ สิ่งที ่ม ีค วามรูสึก คือ มีจ ิต ใจ; ดังนั้น มัน จึงไมมีค วามหมาย แกก อ นหิน หรือ อะไรทํ า นองนี ้. สํ า หรับ ตน ไมนี ้ม ัน อยู ร ะหวา งครึ ่ง ๆ คือ มัน รู ส ึก อยู ส ัก ครึ ่ง หนึ ่ง เห็น จะได, อัน นี ้เ ราไมจํ า เปน จะตอ งไปรู ว า ครึ ่ง หรือ ไมค รึ ่ง แต มั น มี ค วามรูสึ ก เพราะเราเคยเห็ น ต น ไม มั น ทํ าอาการต อ สู เพื่ อ เอาชี วิ ต รอด ; แม วามั นจะไม รูสึ กเจ็ บ ปวด มั น ก็ ยั งไม อยากจะตาย มั นมี ความรูสึ กต อ สู ที่ ไม อยากจะ ตาย ขวนขวายอยา งนั ้น อยา งนี ้. ไปสัง เกตดูใ หด ี จะเห็น การตอ สู ข องตน ไมนี้ เพื่อใหอยูรอด. นี่ค วามทุก ข มัน มีค วามหมายเฉพาะแกสิ่งที ่ม ีค วามรูสึก ; ฉะนั ้น เราจะต อ งเอารื่ อ งของสิ่ ง ที่ มี ค วามรู สึ ก นั่ น แหละเป น หลั ก , ก็ คื อ เอาเรื่ อ งของคน ของมนุ ษย เรา ที่ มี จิ ตมี ใจมี ความรูสึ กนี่ แหละเป นหลั ก เรียกวามนุ ษย ตั วหนั งสื อมั น ก็ บ อกอยู แ ล ว มนุ ษ ย แ ปลว า มี จิ ต ใจในระดั บ สู ง สํ า หรั บ ความรู สึ ก กระทั่ ง จะรู พ ระ นิพ พานก็ไ ด ; ถา ไมอ ยา งนั ้น มัน ก็จ ะตอ งไมใ ชม นุษ ย มัน จะเปน คนธรรมดา มากเกินไป, เปนปุถุชนมากเกินไป กระทั่งเปนสัตวเดรัจฉานไปเสีย.
www.buddhadasa.in.th การรูธรรมะตองเปนเรื่องของเวไนยสัตว. www.buddhadasa.org เรื่ อ งธรรมะทั้ ง หมด ต อ งเอาระดั บ ของมนุ ษ ย ที่ พ อจะรู อ ะไรได ม า เปน หลัก ซึ ่ง เขาเรีย กวา เวไนยสัต ว, หมายถึง มนุษ ยที ่พ อจะพูด กัน รู เ รื ่อ ง มนุ ษ ย ที่ พ อจะทํ าความเข าใจกั นได , แล วก็ พ าไปได คื อ ผู ที่ พ ระพุ ทธเจ าท านพอจะ
ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ
๙๙
พาไปได จึ ง จะเรี ย กว า เวไนยสั ต ว . ถ า มั น ถึ ง ขนาดที่ พู ด กั น ไม รู เรื่ อ ง พระพุ ท ธ – เจาทานก็พ าไปไมไดแ ลว เขาก็ไมเรีย กวา เวไนยสัต ว ; เพราะคําวา เวไนยะ นี ้แ ปลวา พอจะพาไปได. ธรรมะก็เปน เรื่อ งของเวไนยสัต ว คือ สัต วที ่พ อจะพา ไปได. ทีนี้คนในโลกนี้ มันมี เวไนยสัตวกันสักกี่มากนอย ? คําพูดนี้ไมยกเวน ใคร ไม ย กเว น ภิ ก ษุ สามเณร อุ บ าสก อุ บ าสิ ก า หรื อ ใครชนิ ด ไหน แล ว มี อ ยู สั ก กี่ ค นที่ เป น เวไนยสั ต ว ? ที่ พ อที่ พ ระธรรมของพระพุ ท ธเจ า จะพาไปได . การเป น พระเณรนี้ ยั ง ไม รั บ ประกั น ได ; เพราะว า โดยจิ ต ใจแล ว กลั บ ไปอยู แ ถวหลั ง ของ พวกฆราวาสบางคนเสี ย ก็ มี . ฉะนั้ น ภิ ก ษุ ส ามเณรบางคนติ ด แน น อยู ในกามารมณ หรือในอะไรตาง ๆ ที่แมพระพุทธเจาก็พาไปไมได. ขอให คิ ด ดู ให ดี ๆ ว า ความสํ า คั ญ ของมนุ ษ ย นั้ น มั น อยู ต รงที่ มี ค วาม เปน เวไนยสัต ว. ฉะนั้น เรื่อ งที่จ ะพูด ตอ ไปนี้ ก็ตอ งเปน เรื่อ งในระดับ บุค คล ที่ เป น เวไนยสั ต ว คื อ พอจะเข า ใจกั น ได เปลี่ ย นแปลงไปตามความรู นั้ น ๆ ของ พระพุท ธเจา ที ่ท า นทรงสั ่ง สอนไวไ ด; อยา งนี ้จ ึง เรีย กวา มนุษ ย ที ่แ ทจ ริง คื อ มี จิ ต ใจสู ง เรื่อ ง ก ข ก กา ของมนุ ษ ย ก็ ห มายความว า มนุ ษ ย ต อ งตั้ ง ต น กั น ตรงนี ้, ตั ้ง ตน เปน มนุษ ยก ัน ที ่ต รงนี ้ คือ เริ ่ม รู จ ัก สิ ่ง ที ่ค วรรู แลว ใจมัน ก็ สู งขึ้ น บ าง ก็ เรีย กว า ก ข ก กา ของมนุ ษ ย มั น เริ่ม ต น แล ว เป น การเกิ ด แห งมนุ ษ ย แลว อยางนี้ก็ได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สํ าหรั บคํ าว า ก ข ก กา ของมนุ ษย มั นมี ความหมายหลายอย างอย างนี้ แต ส รุ ป แล ว มนุ ษ ย ต องหมายความว า มี ป ญ ญาอย างมนุ ษ ย ; ไม ใช ว าเกิ ด มาเป น คนแลว มัน จะเปน มนุษ ย. เกิด มาเปน คนนั ้น อาตมาถือ วา เปน กัน ทุก คน
๑๐๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ยัง ไมท ัน เปน มนุษ ย ; จะเปน อาตมาเอง หรือ ใครก็ต าม พอเกิด มาจากทอ งแม มั นยั งไม เป นมนุ ษ ย , คื อมั นยั งไม มี จิ ตใจสู งพอที่ จะเข าใจในธรรมะของพระพุ ทธเจ า ไมเปน เวไนยสัต ว. ตอ งศึก ษาอบรมกัน มาเรื่อ ย ๆ ถา ถูก วิธีสํ า หรับ บางคน ใจ มั น ก็ สู ง พอถึ ง จะเรี ย กว า เป น มนุ ษ ย , คื อ เข า ไปในขอบเขตของเวไนยสั ต ว ที่ พ ระ พุ ท ธเจ า ท า นพอจะพาไปได , ที่ เหลื อ นอกนั้ น ไปไม ไ ด มั น ก็ ต ายอยู ในวั ฏ ฏสงสาร ตายอยูในโลกนี้. นี่ จึ ง ถื อ เอาผู ที่ มี ป ญ ญาของมนุ ษ ย มาเป น ผู ที่ มี ม นุ ษ ย มาเรี ย น ก ข ก กา ก็ เรี ย นเพื่ อ ย า งขึ้ น สู ค วามเป น มนุ ษ ย เพราะไม รู ม าจากในท อ ง. เกิ ด มาแล ว ก็ เรี ยน ก็ เรี ยน ก ข ก กา สํ าหรั บ จะมี ความรู สํ าหรั บ ย างขึ้ นมาสู ความเป นมนุ ษ ย . ดัง นั ้น จึง ถือ วา เรื ่อ งนี ้เ ปน เรื ่อ งสํ า หรับ มนุษ ย คือ เรื ่อ งมนุษ ยจ ะรู จ ัก ตัว เองวา ตั้งตนเปนมนุษยขึ้น มาอยางไร ? แลวจะไปกันทางไหน ? แลวจะไปจบกัน ที ่ไ หน ? เรื ่อ งจบนั ้น ยัง ไมถ ึง จะไมพ ูด ก็ไ ด. มัน ก็ต าย แตนี ่จ ะพูด เรื ่อ งตั ้ง ตน ซึ่งเรียกวา ก ข ก กา.
ดู ก ข ก กา ตามหลักพุทธศาสนา. www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เอ า, ที นี้ มองกั นต อไปที่ ว า เรื่ อง ก ข ก กา ของความเป นมนุ ษย นี่ พวก อื่ น จะพู ด กั น อย า งอื่ น ; แต เราพวกพุ ท ธบริ ษั ท ก็ จ ะพู ด กั น อย า งที่ พ ระพุ ท ธเจ า ทานสอนไว หรือวาพูดกันตามหลักพุทธศาสนา. ทีนี้ พอมาถึงคํ าวา ตามหลั กของพระพุ ทธศาสนา ป ญ หาก็ยังมี อีกวา พุ ทธศาสนาชนิ ดไหน ? พุทธศาสนาเดี๋ยวนี้ก็เกิดมีหลายแบบเหลือประมาณ ; อยาง
ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ
๑๐๑
นอยก็มีพุทธศาสนาอยางเถรวาท, อยางมหายาน เปนตน, แลวก็มีพุทธศาสนา ที่ ประหลาด ๆ ที่ แตกแขนงเกิ ดขึ้ นใหม ๆ แยกออกไปจนเรียกกั นไม ถู กก็ มี , เดี๋ ยวนี้ จะ เอากั นแต เพี ยงว า เป นพุ ทธศาสนาอย างเถรวาท คื อถื อเอาตามคํ าสอนที่ อยู ในภาษา บาลี ที่ เรี ย กกั น ว า พระไตรป ฎ ก, จะเว น พุ ท ธศาสนาอย างมหายาน. แม ม หายาน ก็ มี พ ระไตรป ฎก แต เราถื อว ามั นมี อะไรที่ แปลกออกไป, แล วก็ มี ความมุ งหมายที่ จะ พูด จะสอนกัน โดยวิธีก ารอยา งอื่น . เราก็เลิก สนใจ จะสนใจกัน แตพ ุท ธศาสนา อยา งเถรวาท ในพระคัม ภีร ที ่เราถือ กัน อยู ท ุก วัน นี ้ คือ พระไตรปฎ กบาลีอ ยา ง เถรวาท. ที นี้ ในพระไตรป ฎ กอย า งเถรวาทของเราทั้ งหมดนี้ มั น ก็ ยั ง มี ไม แ ง ต าง ๆ กั น คื อในแงข องการปฏิ บั ติ ที่ จํ าเป นแก ความเป นมนุ ษ ย เป น ก ข ก กา แกค วามเปน มนุษ ยโ ดยตรงก็ม ี; สว นนี ้ก ลับ ไมค อ ยมีใ ครสนใจ. อีก สว นหนึ ่ง ก็เ ปน แงข องปริย ัต ิ สูง ขึ ้น ไปจนถึง ปรมัต ถอ ภิธ รรม อัน นี ้เ ปน แงข องปริย ัต ิ ; ส วนนี้ ยิ่ งสนใจกั น มาก แล วก็ ยิ่ งเตลิ ด เป ด เป งไป คื อ ว าไกลออกไปจากการปฏิ บั ติ . ไมตั ้ง ตน เปน การปฏิบ ัต ิ ตั ้ง ตน แตรูใ หม ัน มากเขา ๆ ๆ , พูด ไดม ากเขา มัน ก็เกง แต ใ นทางที่ จ ะพู ด ในทางที่ จ ะอธิ บ าย ; แต ใ นจิ ต ใจไม มี ก ารปฏิ บั ติ เลย. หมาย ความว า ไม รู จั กแม แต ความเป นมนุ ษย ของตั วที่ เป นจริ ง ๆ คื อไม รู จั กเรื่ อง ก ข ก กา อยางที่เรากําลังวากัน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แม ว า จะพู ด ถึ ง เรื่ อ งเดี ย วกั น , พู ด ถึ ง ชื่ อ ธรรมะ ชื่ อ เดี ย วกั น มั น ก็ ยั ง มี ความหมายต างกั น . เช น ว า จะพู ด กั น ถึ งเรื่อ ง ผั ส สะ อย างที่ ว านี้ หรือจะขยั บ เข า มาอีก พู ดเรื่อง ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ อยางที่กําลังจะพู ดนี้ พู ดอยางนั กปฏิ บั ติ มันก็มีความหมายที่แทจริงอยูอยางหนึ่ง ; แตพูดอยางนักปริยัติ มันมีความ
๑๐๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
หมายไปอีก อยา งหนึ ่ง . มัน เดิน คนละทางอยู อ ยา งนี ้ ; เพราะเขามุ ง หมายตา ง กัน . พวกปฏิบ ัต ิก ็จ ะมุ ง ดับ ทุก ขโ ดยตรง โดยเร็ว โดยดว น ราวกับ วา ไฟมัน ไหมอ ยู ที ่ศ ีร ษะ จะตอ งรีบ ดว น. สว นนัก ปริย ัต ิเ ขาไมม ีป ญ หาอยา งนั ้น ; เขา มีแ ตว า จะรู อ ะไรใหยิ ่ง ขึ ้น ไป, จะตอบคํ า ถามที ่ม ัน เพิ ่ม ขึ ้น มาใหมเ รื ่อ ย ๆ ๆ จน ในที ่ส ุด มัน ก็เ ฟอ , ตอ งใชคํ า อยา งนี ้; เพราะมัน เกิน จํ า เปน ที ่จ ะตอ งรู มัน เกิด คํ า พู ด ขึ้ น มาว า รู ม าก - ยากนาน อย า งนี้ หรื อ บ า หอบฟางอะไรนี้ ขึ้ น มา ก็ สํ า หรั บ แตพวกนักปริยัติเทานั้นแหละ. คําพูดอยางนี้จะไมมีแกนักปฏิบัติ. ขอให สั ง เกตดู ใ ห ดี ๆ ว า เราจะต อ งพู ด กั น แต ใ นแง ข องการปฏิ บั ติ ; แมเ ปน อยา งเถรวาทแท ๆ แลว ก็ย ัง พูด กัน แตใ นแงข องการปฏิบ ัต ิ ; ไมจํ า เปน จะตอ งพูด ในแงข องปริย ัต ิ ซึ ่ง มัน ยากที ่จ ะยุต ิล งได หรือ จะจบลงได, ยิ ่ง เปน นั ก เลงหนั ง สื อ แล ว มั น ก็ ข ยายความได ไ ม มี ที่ สิ้ น สุ ด . ถ า จะเอากั น ในแง ข องการ ปฏิ บั ติ มั น ก็ มี เหตุ ผ ลต น ปลายอย า งที่ ว า มาแล ว ว า เรามี ค วามทุ ก ข เ ป น ป ญ หา เบื ้อ งตน . เราดูว า ความทุก ขเ กิด อยู อ ยา งไร ? เกิด อยู ที ่ต รงไหน ? ใหรู จ ัก ก ข ตั ว นี้ กั น เสี ย ก อ น ว า ความทุ ก ข นี้ เป น อย า งไร ? อยู ที่ ต รงไหน ? แม ที่ สุ ด แต จ ะมอง กันวา ทุกสิ่งนี้มาตั้งตนเกิดเปนปญหาขึ้นเมื่อไร ?
www.buddhadasa.in.th ในแงปฏิบัติ ตองรูการตั้งตนของผัสสะ. www.buddhadasa.org สิ่งตาง ๆ ที่เกี่ยวของกันอยู ในชีวิตของคนเรานั้น มันตั้งตนเกิดเปนปญหา ขึ้ น มาเมื่ อ ไร ? คํ าตอบก็ มี อ ยู อ ย างที่ ก ล าวแล ว เมื่ อ ตะกี้ นี้ ว า มั น ตั้ งต น ขึ้ น มา เมื่ อ มัน มีสิ ่ง ที ่เ รีย กวา ผัส สะ นั ่น เอง. มี ผัส สะ เมื ่อ ไร ? ที ่ไ หน ? ปญ หาจะ
ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ
๑๐๓
ตั ้ง ตน ที ่นั ้น และเมื ่อ นั ้น ผัส สะทางตาก็ไ ด ทางหูก ็ไ ด ทางจมูก ก็ไ ด ทางลิ ้น ก็ไ ด ทางผิวหนังก็ได ทางใจลวน ๆ ก็ได ตั้งตนเมื่อไรก็มีปญหาเมื่อนั้น. แตต รงนี ้ก ็ต อ งเขา ใจกัน อีก ทีห นึ ่ง วา ผัส สะนี ้ม ัน มีอ ยู ๒ ชั ้น เปน เรื่อ งที่ เคยอธิ บ ายแล ว ว า มี อ ยู ๒ ชั้ น คื อ ว า ผั ส สะเฉย ๆ, ผั ส สะกระทบโป ง ๆ ไปนี ้ มัน ก็ผ ัส สะหนึ ่ง . ผัส สะอีก อัน หนึ ่ง เปน ผัส สะเมื ่อ จิต ใจเขา ไปรู ค วาม หมายของสิ่งนั้น นี่เปน ผัส สะที่จ ะทําใหเกิด ปญ หา ดว ยอํานาจของอวิช ชา. เขาจึงได เรีย กวา อวิช ชาสั ม ผั ส คื อผั สสะด วยอํานาจของอวิชชา คื อ มีผั สสะด วย อํ านาจของความโง ถ าเรามี ผั สสะด วยอํ านาจของป ญญาของความรูแล ว ป ญหาไม มี , จะไมมี อะไรทําใหเกิดความทุ กขขึ้นมาได. แตนี้เราผัสสะหรือสั มผั สสิ่ งตาง ๆ ด วย อํานาจของอวิชชา หรือความโง มันจึงเปนปญหา. เมื ่อ ตามัน โง มัน ก็ส ัม ผัส รูป ในฐานะที ่เ ปน สิ ่ง ที ่น า รัก นา ยิน ดี นา ยึด ถือ วา เปน ตัว กูเปน ของกู. ถา หูม ัน โง ก็ส ัม ผัส เสีย ง ในฐานะที ่เปน สิ ่ง ที ่น า รัก นา ยิน ดี วา เปน ของกู - ของกู. จมูก มัน ก็โ ง ก็ส ัม ผัส โดยความเปน ของ หอมน าเสน หาอะไรต าง ๆ เหล านี้ . ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ที่ มั นโง มั นไปสั มผั ส เอาอะไรมา ในฐานะเป นสิ่ งที่ น ารัก น ายิ นดี น ายึ ดถื ออย างนี้ เขาเรียกวามั นสั มผั ส ดว ยอํ า นาจของอวิช ชา ; นี ่เ รีย กวา ผัส สะในที ่นี ้ ซึ ่ง เปน ที ่ตั ้ง ตน ของสิ ่ง ทั้งหลายทั้งปวง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ า จะมองดู กั น ส ว นใหญ ส ว นกว า ง ส ว นใหญ ที่ สุ ด ว า ทารกเกิ ด ลื ม ตา ออกมาจากท อ งแม ในโลกนี้ เห็ น โลกนี้ เข า ในสภาพอย า งนี้ ก็ ล องคิ ด ดู ว า ทารกนี้ มัน รู จ ัก โลกนี ้ผ ิด หรือ ถูก ? พวกหนึ ่ง จะตอบวา รู จ ัก ถูก สิ เพราะตามัน ดี หูม ัน ดี
๑๐๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
อะไรมั น ดี มั น ก็ ต อ งรู จั ก อย า งที่ ค นทั่ ว ไปรู แล ว ก็ ถื อ ว า ถู ก สิ . แต ว า ทางธรรมะนี้ ยัง ไมถือ ยัง ไมถือ วา ทารกนี้รูจัก โลกนี้อ ยา งถูก ตอ ง ; เพราะวา ทารกนี้ไ ม ไดม ีค วามรู เ รื ่อ งทุก ข เรื ่อ งเหตุใ หท ุก ข เรื ่อ งอะไรเลย. ดัง นั ้น แกจึง รู จ ัก โลกนี้ ไปตามความหมายของคนธรรมดารู จั ก ไม รู ว า ทุ ก ข เป น อย า งไร ? เหตุ ใ ห เกิ ด ทุ ก ข เป น อย า งไร ? ก็ เรี ย กว า เราลื ม ตาขึ้ น มาในโลกนี้ ไม ใ ช ด ว ยอํ า นาจของวิ ช ชาหรื อ ปญญา มันมาในลักษณะกลาง ๆ. หรือถาจะถามวารูหรือไมรู ? ก็บอกวาไมรู. พระพุทธเจาก็ยังไดตรัสเรื่องนี้วา ทารกนั้นมิไดมีความรูเรื่องเจโตวิมุติ ปญญาวิมุติมากอน; ฉะนั้นเขาจึงมีอวิชชาที่จะยึดถือนั่นนี่เปนตัวตน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เปนตัวตน, คือเปนปฏิจจสมุปบาทหรือเปนความทุกขขึ้นมา. ทารกธรรมดาเปน อยา งนี ้ ; พอทารกนี ้โ ตขึ ้น แลว ไดศ ึก ษาอะไรมากพอ จึง จะ เรี ย กว าทารกนี้ พ น จากความเป น ทารก เพราะว าเขารู จั ก โลกทั้ งหลายทั้ งปวง ตามที่ เปนจริง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ แ หละเขาเริ่ ม เรี ย น ก ข ก กา กั น ที่ ต รงนี้ ไม ใช เรี ย น ก ข ก กา เมื่ อ อายุ ๔ - ๕ ป กั บ ครู ที่ โ รงเรี ย น ; นั้ น สํ า หรั บ จะรู ห นั ง สื อ สํ า หรั บ จะรู วั ต ถุ รู โ ลก ทางวัต ถุ. แตว า ทารกนี ้จ ะเริ ่ม รู จ ัก ความทุก ข รู จ ัก เหตุใ หเ กิด ทุก ข จากใจจริง ของตน วา พอเราคิด อยา งนี ้แ ลว เปน ทุก ขท ุก ที พอเรายึด ถือ อยา งนี ้แ ลว เปน ทุ ก ข ทุ ก ที . โดยทางตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ มี ผั ส สะ มี เวทนาอย า งนี้ นี่ เรี ย กว า ทารกเริ่ ม รู จั ก ก ข ก กา ของพระพุ ท ธเจ า , แล ว ก็ เรี ย นหนั ง สื อ จากพระพุ ท ธเจ า โดยตรง. ในที่ สุ ดเขาก็ จะรูอยางที่ กําลั งพู ดนี้ วา เพราะสั มผั สด วยอวิชชา จึ งเกิ ด ความยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ใน ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ รูป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ
ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ
๑๐๕
ธัมมารมณ , เรียกวาป ญ หามั นแยกตั วออกมาชั ดเจน เป นความทุ กข เกิ ดขึ้ น เมื่ อตา เห็ น รูป เป น ต น ด ว ยอํ า นาจของอวิ ช ชาสั ม ผั ส ความหมายก็ เกิ ด แก สิ่ ง ทุ ก สิ่ ง คื อ สิ่ งทุ กสิ่ งนั้ นจะให มี ความทุ กข ก็ ได , จะให มี ความรูความฉลาด ไม มี ความทุ กข ก็ ได . แตถา ปลอ ยใหเปน ไปตามเรื่อ งตามราวของสามัญ ชนคนธรรมดาแลว มัน เปน ไปเพื ่อ ความทุก ขทั ้ง นั ้น ; เพราะวา สามัญ ชนมิไ ดพ กเอาสติป ญ ญาความรู มา ตั ้ง แตใ นทอ ง ยัง ไมท ัน จะเรีย น มัน ก็ต อ งเรีย น. เดี ๋ย วนี ้ก ็รู ว า เปน อยา งนี ้ ๆ คือเรียนจากของจริง. แต มั น ก็ เป น ความรู ที่ ต รงกั น กั บ ที่ พ ระพุ ท ธเจ า ท า นได ต รั ส ไว แม ว า จะ ไมม ีโ อกาสไปพบพระพุท ธเจา , หรือ วา แมไ มม ีโ อกาสจะไดอ า นพระไตรปฎ ก ; แตถา เขาเปน คนที่มีค วามรูสึก ดี มีปญ ญา ก็จ ะคอ ย ๆ พบไดเ หมือ นกัน วา ถา คิด อยา งนี ้แ ลว ก็เ ปน ทุก ขท ุก ที, ถา นึก อยา งนี ้ รูส ึก อยา งนี ้ แลว ก็เปน ทุก ข ทุกที, หรือวาถาทําอยางนี้เปนเกิดเรื่องทุกที, อยางนี้เปนตน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แต ก ารที่ จ ะให เขารู เองอย า งนี้ มั น ช า เกิ น ไป เพราะฉะนั้ น เรามาถื อ เอา ประโยชนจากการตรัสรูของพระพุทธเจากันบาง คือ ไปเอาคําสั่งสอนของทานมา ศึก ษา จะชว ยใหเ ร็ว ขึ ้น ; ถา ไมอ ยา งนั ้น แลว จะมาวัด กัน ทํ า ไม ? มาฟง เทศน มาฟ ง ปาฐกถา กั น ทํ า ไม ? ก็ เพื่ อ ว า จะช ว ยประหยั ด เวลา. เอาความรู ข องพระ พุท ธเจา มาชว ย ใหม ัน เร็ว เขา , เรีย กวา ที ่จ ะคิด นึก เอาเองทั ้ง หมด ; แตแ ลว มัน จะตองตรงกัน ถาถูกแลวเปนอันวาตรงกัน. อยางไรเรียกวาถูก ? ที่เรียกวา ถูก นั้น คือ ดับความทุกขได. อยา ไปเอาถู ก เอาผิ ด กั น ตามแบบปรัช ญา มั น จะเพ อ เจ อ , มั น จะโงห นั ก ขึ้ น ไปอี ก ที่ ว า
๑๐๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ถู ก หรื อ ผิ ด ตามแบบของปรั ช ญานั้ น มั น มากมายหลายสิ บ แขนง. แต ถ า ตามแบบ ของพระพุท ธศาสนาแลว มัน งา ยนิด เดีย ว ; ถา มัน ดับ ทุก ขไ ดแ ลว เปน ถูก แน. ดั บ ทุ ก ข ไ ด ม าก ก็ ถู ก มาก, ดั บ ทุ ก ข ไ ด น อ ย ก็ ถู ก น อ ย, ดั บ ทุ ก ข ไ ด ทั้ ง หมด ก็ เ ป น อั น ว า ถู ก ทั้ ง หมด, ฉะนั้ น เราจึ ง รู จั ก ได ด ว ยป ญ ญาของเราเอง ไม ต อ งเชื่ อ บุ ค คลอื่ น ไมตองเชื่องม ๆ งาย ๆ อยางที่หามไวใน กาลามสูตร ๑๐ ประการนั้น. ไมตองเชื่อแมแตคําของครูบาอาจารย, ไมตองเชื่อแมแตคําของพระ พุทธเจาดวยซ้ําไป. พระพุทธเจาทานตองการ, ทานทรงประสงคอยางนี้วา สาวก ทั้งหลาย อยาไดพูดตามคําของเราเลย. พวกสาวกทั้งหลายจงพูดตามความรู ที่ตัว รูแจงประจักษอยูในใจออกไปเถิด ไมตองพูดตามคําของศาสดาของตน ๆ. แตแลว มันก็ไปตรงกันนั่นแหละ. นี่ ห มายความว า พระพุ ท ธเจ า ท า นทรงมี ค วามประสงค ใ ห ทุ ก คน พยายาม จนกระทั่ งรู จ ริ ง รู ถู ก ต อ ง แล ว ดั บ ทุ ก ข ได , แล วพู ด ออกไปตามลํ า พั ง ตน ถา ถูก แลว ก็ด ับ ทุก ขไ ด, แลว ก็จ ะไป ตรงกัน กับ คํ า ของพ ระพ ุท ธเจา เอง ; อย า งนี้ ท า นเรี ย กว า ไม ต อ งพู ด ตามคํ า แห ง ศาสดาตน. พู ด ตามความรู สึ ก ในใจของ ตนออกมา แล ว ก็ ไ ปตรงกั บ คํ า ของพระศาสดานั้ น ก็ ต ามใจนั้ น ; อย า งนี้ จึ ง จะ เรี ย กว า เป น สาวกที่ แ ท จ ริ ง . ท า นวางหลั ก ไว อ ย า งนั้ น ว า ในที่ สุ ด เขาจะไม ต อ งพู ด กั น ตามคํ า แห ง ศาสดาของตน, เขาจะพู ด จากความรู สึ ก ภายในใจของเขาเอง ; แต แลวมันก็ไปตรงกันอยางนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ ค น ที่ รู ก ข ก กา เรื่ อ ยไป จน รู ห นั งสื อ ห นั งห า รู ห ม ด แล วมั น ก็ จะเปน อยา งนี ้. พูด อะไรออกไปจากจิต ใจของตน ; ไมต อ งพูด ตามพระบาลี,
ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ
๑๐๗
ไมตอ งพูด ตามพระไตรปฎ ก, ไมตอ งพูด ตามอะไร. ขอใหพ ุด ออกไปจากความ รู ส ึก ในใจ แลว ก็จ ะถูก โดยที ่ว า ดับ ทุก ขไ ด แลว ก็จ ะไปตรงกับ คํ า ในบาลีใ น พระไตรป ฎ กเอง. อย า งนี้ เราเรี ย กว า ก ข ก กา ตามแบบของนั ก ปฏิ บั ติ , เรี ย น หนั ง สื อ ตามแบบของนั ก ปฏิ บั ติ , ไม ใ ช เรี ย นตามแบบของนั ก ปริ ยั ติ หรื อ ท อ งจํ า หรือคิด ๆ นึก ๆ คํานึงคํานวณ.
ดูความรูสึกของจิตใจจะรูไดวา ทุกอยางตั้งตนที่ผัสสะ. เอาละ ที นี้ มั นก็พบไดเอง ในขอที่ สํ าคัญที่ สุดขอหนึ่ งวา ทุ กอย างตั้ งต น ที ่ผ ัส สะ, เกิด ขึ ้น ก็เ กิด ที ่ผ ัส สะ, ตั ้ง อยู ก ็ตั ้ง อยู ที ่ผ ัส สะ จนกวา ผัส สะนั ้น จะ ดั บ ไป, แล ว ก็ ต อ งหมายถึ ง สั ม ผั ส ด ว ยอวิ ช ชา ถ า เป น เรื่ อ งของความทุ ก ข , ถ า เป น เรื่อ งของความไม มี ทุ ก ข ก็ สั ม ผั ส ด ว ยวิ ช ชาด ว ยป ญ ญา. ที นี้ ต ามธรรมดาคน ก็ส ัม ผัส ดว ยอวิช ชาทั ้ง นั ้น แหละ. ฉะนั ้น มัน จึง ตอ งเกิด ขึ ้น เพราะสัม ผัส ดว ย อวิ ชชา, ตั้ งอยู ที่ สั ม ผั ส ของอวิ ชชา, แล วก็ จะดั บ ไป พรอ มกั น กั บ การดั บ ของสั ม ผั ส ด ว ยอวิ ช ชา, เพื่ อ ไปหาเรื่ อ งใหม เพื่ อ ไปมี เรื่ อ งใหม . เรื่ อ งนี้ มั น เสร็ จ ไปก็ ดั บ ไป แลวก็ไปตั้งตนเรื่องใหม.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทุ ก อย า งตั้ ง ต น ที่ ผั ส สะ เกิ ด ขึ้ น ที่ ผั ส สะ ตั้ ง อยู ที่ ผั ส สะ ; ผั ส สะชนิ ด โง หรือ ฉลาดก็ส ุด แท แตม ัน จะมีอ ยู ชั ่ว ขณะของผัส สะทํ า หนา ที ่อ ยู . พอผัส สะไม ทํ า หนา ที ่ ดับ ไปแลว มัน ก็เ ปน อัน วา ดับ ไป. นี ่เ รื ่อ งมัน จึง เปน เรื ่อ ง เกิด - ดับ , เกิด - ดับ อยู ต ลอดเวลา. โลกนี ้ทั ้ง โลกก็ เกิด - ดับ อยู ต ลอดเวลา, จะวา รา งกายนี ้ รา งกายนี ้เกิด - ดับ อยู ต ลอดเวลา ตามความรูส ึก ของผัส สะ. จิต ใจ
๑๐๘
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
นี ้ก ็ เกิด - ดับ เกิด - ดับ อยู ต ลอดเวลา ตามเรื ่อ งของผัส สะ. นี ่เ รีย กวา ทั ้ง กาย ทั้ ง จิ ต นี่ แ หละทั้ ง ความรู สึ ก อะไรทั้ ง หมดนี้ มั น ก็ เกิ ด - ดั บ เป น เวลาตามเวลา ตามอํานาจของผัสสะ. นี่โลกขางใน. ที นี้ โลกข า งนอก รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ หรือ ที่ เราจะรับ เข า มาทาง ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย นี้ ก็ เกิ ด - ดั บ อยู ต ลอดเวลา ขึ้ น อยู กั บ ผั ส สะ เป น ไปตามอํ า นาจของผั ส สะ มั น เกิ ด เมื่ อ มี ผั ส สะ มั น ดั บ ไปเมื่ อ ผั ส สะดั บ . ถ า ใคร มองเห็ นอยางนี้ จะมองเห็นวา โลกนี้ วางจากตั วตน โลกนี้ไม มีสวนไหนที่ จะยึดถือ ไดวา ตัวตน ก็เลยเปนคนที่มีจิตไมยึดถือ. เดี ๋ย วนี ้ม องไมเ ห็น ก็ย ึด ถือ ; พอยึด ถือ ก็ม ีผ ลเปน กิเ ลส. พอมีก ิเ ลส มั น ก็ มี ผ ลเป น ผลของกิ เลส คื อ มี ค วามทุ ก ข เพราะความรั ก ความโกรธ ความ เกลี ย ด ความกลั ว โดยมากก็ มี อ ยู ๔ อย างนี้ ซึ่ งเป น หั วข อ ใหญ ๆ แล ว ก็ แ จกลู ก ออกไป เป น ตั วเล็ ก ๆ ๆ , เป น ความทุ ก ข ตั วเล็ ก ๆ ๆ อี ก มากมาย. ตั วใหญ ๆ ก็ คื อ ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ดัง นั ้น จะศึก ษาเรื่อ งนี ้ ก็ต อ งรูจ ัก สิ ่ง เหลา นี ้ก อ น คือ รู จ ัก ตัว ความรัก ความโกรธ ความเกลีย ด ความกลัว นี ้กัน เสีย กอ น. ที่จ ริงมัน ก็เกิด อยูบอ ย ๆ แตเ กิด แลว ก็ไ มรู จ ัก , เพีย งแตรู ส ึก แลว ก็ไ มรู จ ัก รู ส ึก รัก รู ส ึก โกรธ รู ส ึก เกลีย ด รูสึกกลัว. นี่รูสึก แตแลวไมรูจักวามันคืออะไร ? มันคืออะไรโดยแทจริง.
โดยสรุ ป ความก็ คื อ ไม รู ว า โอ ย , มั น เป น เพี ย งเรื่ อ งของผั ส สะด ว ย อํานาจของอวิชชา ; มีผลออกมาเปน ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความ
ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ
๑๐๙
กลั ว . เมื่ อ ใดผั ส สะนี้ ดั บ ไป มั น ก็ ดั บ ไป, พอมั น เข า มาในจิ ต อี ก มี ก ารสั ม ผั ส ด ว ย จิต อีก มั น ก็เกิด ขึ้น มาอีก . หรือ วาถ ายั งลื ม หู ลื ม ตาอยู เป น เวลานานอยางนี้ มั น ก็ เขา มาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ ้น ทางผิว กาย ได ; ถา เปน เวลาอื ่น นอกจากนี้ มัน ก็เ ปน เรื่อ งของจิต คิด นึก ขึ้น มาเองได โดยคิด ขึ้น มาตามความ รูสึ ก ครั้งก อ น ๆ ที่ เหลื อ อยู เป น ความจํ า เป น สั ญ ญาความหมายมั่ น อะไรอยู ในใจ. นี่คือ ขอ เท็จ จริง อัน แรก ที่จ ะตอ งรูจัก กัน กอ น วา ความทุก ขนี้มัน อยูใ นรูป ของ ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความปรารถนาอยาง ใดแลว ไมเ ปน ไปตามที ่ป รารถนานั ้น . ตอ งรู จ ัก สิ ่ง นี ้ด ีจ ริง ๆ กอ น แลว จึง จะ คอย ๆ รูจักตอไปไดถึงวา มันมาอยางไร ? มันจะดับไปไดอยางไร ? เดี๋ ยวนี้ เรากํ าลั งพู ดถึ ง ก ข ก กา ของสิ่ งเหล านี้ ; เพราะฉะนั้ นจะไม รี บ กระโดดพูด ขา มไปถึง เรื ่อ งอะไรที ่ม ัน ไกลไปกวา นี ้. จะเนน กัน อยู แ ตที ่นี ่ ที ่ต รงนี้ ว า มั น มาจากผั ส สะ, เพื่ อ ให รูจั ก ผั ส สะให ดี ขึ้ น ตามหั ว ข อ ที่ ตั้ ง ไว สํ า หรับ การพู ด ในวันนี้วา ทุกสิ่งตั้งตนที่ผัสสะเพียงสิ่งเดียว เพื่อใหรูจักสิ่งที่เรียกวา ผัสสะ.
พิจารณารายละเอียดของผัสสะ. www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ผั ส สะทางตานี้ จะมี ม ากกว า เพราะว าที่ เราลื มตาอยู มั นเห็ นมากกวา, ที่หูจะมีโอกาสทําผัสสะสักครั้งหนึ่ง, หรือที่จมูกจะมีโอกาสผัสสะสักครั้งหนึ่ง, หรือวา ลิ้ นนี้ โอกาสน อยที่ จะมี ผั สสะกั บเขาสั กที เพราะว าต อเมื่ อไปกิ นอะไรโน น ลิ้ นจึ งจะ มี โอกาสผั ส สะกั บ เขาสั ก ที , ส ว นผิ ว หนั ง ยั ง มี โอกาสว า เพราะว า สั ม ผั ส หนาวร อ น อะไรไดบ า ง ; แตถ า พูด ถึง สัม ผัส ระหวา งเพศแลว มัน ก็น าน ๆ ครั ้ง เหมือ นกัน
๑๑๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
มัน มีโ อกาสนอ ยเหมือ นกัน . ดัง นั ้น เรื ่อ งตาเห็น รูป นี ้ มัน จะมากกวา อยา งอื ่น มันจึงเอามาไวอันแรกวา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ. แตถ า ที ่ค ลอ งแคลว ที ่ส ุด เปน ไดง า ยไดม ากที ่ส ุด ก็ต อ งเรื ่อ งใจ มัน คิด นึก ไดแ ว็บ เดีย ว, เอาเรื ่อ งอะไรในอดีต มาคิด ไดแ คแ ว็บ เดีย วแหละ. แลว คิด เปน ใหญ เ ปน โต เปน เรื ่อ งเต็ม ไปทั ้ง โลกก็ไ ด; นั ่น ทํ า เลน กับ ใจสิ, ฉะนั ้น ระวั ง เรื่ อ งจิ ต เรื่อ งใจนั้ น ให ม าก; แต ว า มั น จะมาทาง ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ก็ ต ามเถอะ เรีย กว า ผั ส สะเสมอกั น , และถ า เป น ผั ส สะด ว ยอวิ ช ชาแล ว จะต อ ง เกิดความทุกขดวยกันทั้งนั้น. นี่ มาเรี ยนเรื่ องผั สสะกั นในวั นนี้ ให เป นพิ เศษ เฉพาะคํ า ๆ เดี ยวว า มี ตา สํ า หรับ ผั ส สะ มี หู สํ า หรั บ ผั ส สะ แล ว มั น มี ค วามสั ม ผั ส กั บ อะไรเมื่ อ ไรที่ ไหน ? พอ สัม ผัส แลว เกิด อะไรขึ้น . พอมีก ารสัม ผัส ทางตา สิ่ง ที ่เ รีย กวา รูป ก็เ กิด ขึ ้น ; ถ า ไม มี ก ารสั ม ผั ส ทางตา รู นั้ น ก็ มิ ได เกิ ด ขึ้ น หรื อ เท า กั บ มิ ได มี อ ยู , เสี ย งก็ เหมื อ น กั น ถ า มี ก ารสั ม ผั ส ทางหู เสี ย งก็ มี ขึ้ น ; ถ า ป อ งกั น เสี ย หรื อ ว า หู มั น พิ ก ารไปแล ว มัน ก็ไ มม ีเ สีย ง. แตเ ดี ๋ย วนี ้ว า ยัง บริบ ูร ณด ีท ุก อยา ง และสัม ผัส เมื ่อ ไรก็เ ปน มี สิ่ ง นั้ น เมื่ อ นั้ น รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ ๖ ประการนี้ จะมี เมื่อมีการสัมผัสทางอายตนะทั้ง ๖.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เอ า , ที นี้ ผั ส สะหรื อ สั ม ผั ส นี้ มั น ของอะไร ? ก็ ต อ งเรี ย กว า ของคู . ถ า ไม มี คู มั น จะสั ม ผั ส ได อ ย า งไร ? เพราะว า สั ม ผั ส มั น แปลว า กระทบ ; ถ า มี ก าร กระทบ มั น ต อ งมี ข องอย า งน อ ย ๒ อย า ง จึ ง จะกระทบได ; แม มั น จะมี ห ลาย ๆ อยา ง มัน ก็ต อ งแบง เปน ๒ ฝา ย แลว มัน จึง จะมีก ารกระทบได. ฉะนั ้น คํ า วา ผัสสะ ก็คือ การกระทบ, กระทบก็ตองมีของ ๒ อยางนี้.
ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ
๑๑๑
ที นี้ ข องสองอย า งนี้ มั น ต อ งเป น สิ่ ง ที่ มี อ ยู โดยธรรมชาติ โดยความ เป น ของคู ก ั น สํ า หรั บ การกระทบกั น . ถ า มั น ไม ไ ด ม ี คู สํ า หรั บ การกระทบ กั น แล ว มั น สั ม ผั ส ไม ได ; เช น ให ต าไปสั ม ผั ส กั บ เสี ย ง อย า งนี้ มั น ทํ าไม ได ; เพราะ เสี ยงมั น คู กั บ หู . ตามั น คู กั บ รูป , จะเอาตาไปเป น คู สั ม ผั ส กั บ เสี ย ง มั น เป น ไปไม ได . ดัง นั ้น มัน จึง ตอ งถูก คู ซึ ่ง มีอ ยู ๖ คู ด ว ยกัน แลว สํ า หรับ สิ ่ง ที ่ม ีช ีว ิต มีว ิญ ญาณ มีความรูสึกนี้ เอามนุษยเปนหลัก. การที่ ท านแบ งว า มี อายตนะ ๖ อายตนะ คื อ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ นี ้ก ็เพราะวา เอามนุษ ยเปน หลัก ; เราจะเอาสัต วอื ่น เปน หลัก มัน ไมแ น, แลว ก็ไม จํ า เป น ที่ จ ะต อ งไปยุ ง ไปรู กั บ มั น . เช น จะเอาไส เดื อ นเป น หลั ก นี้ มั น ก็ ป ว ยการ เพราะว าเราไม ได เป น ไส เดื อ น เราไม ต อ งรูว าไส เดื อ นมั น มี อ ายตนะกี่ อ ายตนะ ไม ต อ งรู ก็ ได , หรื อ ปู ปลา มด แมลง อะไรต า ง ๆ นี้ มั น มี อ ายตนะกี่ อ ย า ง เราก็ ไมจํ า เปน จะตอ งรูก ็ไ ด. แตถ า จะใหเดา เราก็อ ยากจะเดาวา มัน คงจะมีค รบ ๖ อย า งเหมื อ นกั น แต ไ ม ส มบู ร ณ อย า งนี้ เ ป น ต น ; บางอย า งไม ส มบู ร ณ , บาง อยา งมัน มากเกิน ไป อะไรก็ไ ด. แตธ รรมะนี ้ม ีสํ า หรับ มนุษ ย ; ฉะนั ้น จึง เอามนุ ษ ย เป น หลั ก , แล วก็ วาง ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ไวในลั ก ษณะอย างนี้ แล วก็ วาง รูป เสี ยง กลิ่ น รส โผฏฐั พพะ ธั มมารมณ ไว อี ก ๖ อย าง สํ าหรับเป นคู กั น , เป น ของคู กั น สํ า หรั บ จะทํ า การสั ม ผั ส กั น , แล ว ก็ มี ป ฏิ กิ ริ ย าเกิ ด ขึ้ น ไปเป น ลําดับ ๆ จนจะไปเปนทุกข หรือวาจะเปนอะไร ก็แลวแตเรื่องของมัน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org คนโบราณกอ นพุท ธกาลกอ นพระพุท ธเจา เขาก็ม ีค วามรู เ รื ่อ งวา ตองมี อะไรที่ เปน คู สําหรับ ที่ จะสัมพั น ธกัน นี้ จึงจะเกิดเรื่องราวอะไรตาง ๆ ได เรื ่อ ง อิม เอี ๊ย ง ยิน ยาง หรือ อิม เอี ๊ย งของจีน นั ้น ก็เกา เปน พัน ๆ ปนี ่ เกา กวา
๑๑๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
พุ ท ธกาลเสี ย อี ก ก็ มี ค วามหมายอย า งเดี ย วกั น แต เขาเรี ย กไม เหมื อ นกั น หรื อ เรี ย ก อย างอื่ น. บางที เรี ยกแต เพี ยงว า อิ มเอี๊ ยง ก็ หมายความว า ฝ ายหนึ่ งกั บอี กฝ ายหนึ่ ง ซึ่งตรงกันขาม. ซึ่งถามาพบกันเมื่อไรแลว ก็จะเกิดปฏิกิริยาอันใดอันหนึ่งขึ้นมา. แตเ ดี ๋ย วนี ้ค วามรู นี ้ม ัน เรีย วลง เหลือ แตอ ิม เอี ๊ย ง นี ้ว า ฟา กับ ดิน ; ที่ มี ค ว า ม ห ม า ย อ ย า ง อื ่ น . ฟ า กั บ ดิ น ที ่ ว า ถ า ถึ ง กั น เข า เมื ่ อ ไ ร เป น มี เรื่ อ ง; นั่ น แหละคื อ อิ ม เอี๊ ย ง. ที่ วิ ท ยาศาสตร ส มั ย นี้ เ รี ย กว า บวกกั บ ลบ มั น มี ลั ก ษณะเป น บวก อยู พ วกหนึ่ ง , มี ลั ก ษณะเป น ลบ อยู พ วกหนึ่ ง . ถ า สั ม พั น ธ กั น เมื่ อ ไรเป น มี เ รื่ อ ง, เป น มี ป ฏิ กิ ริ ย า มี แ สดงอาการออกมา เป น พลั ง งาน เป น อะไรต า ง ๆ. นี้ ก็ แ ปลว า คนโบราณเขาก็ รู ว า มี อ ะไรอยู ๒ ฝ า ย ตรงกั น ข า ม ; ถ า มาผัส สะกัน เขา เมื ่อ ไรเปน เกิด เรื ่อ ง : เรื ่อ งดี เรื ่อ งรา ย ก็ย ัง ไมต อ งพูด ; แต ตอ งเกิด เรื ่อ งแน นี ่ท ุก อยา งมีล ัก ษณะอยา งนี ้เ ปน รากฐาน, แลว เรื ่อ งอะไรตา ง ๆ มันตั้งตนเมื่อมีผัสสะ เพราะวากอนนั้นมันก็ไมมีเรื่อง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แล ว ความเป น คู นี้ มั น สู ง ขึ้ น มา สู ง ขึ้ น มา จนกระทั่ ง เรื่ อ งสู ง สุ ด เป น เรื่อ งทางวิ ญ ญาณ ทางนามธรรม ทางจิ ตใจ, โดยเฉพาะอย างยิ่ งคู สุ ด ท ายนี้ เข าใจ วา จะเปน เรื่อ งของความดี - ความชั่ว ความดีก ับ ความชั่ว นี้ พอเขา มาหา กัน แลว ก็ม ีผ ลเปน การเปรีย บเทีย บ ทํ า ใหเ กิด คา ขึ ้น มา, เปน คา ของความดี เปนคาของความชั่ว ที่ทําใหเรายุงยากลําบาก เปนทุกขนอนไมหลับ. ทางวั ต ถุ ล ว น เป น เพี ย งว า วั ต ถุ บ วก, วั ต ถุ ล บ เกิ ด กระแสไฟฟ า ออก มา นี ้ม ัน ก็ไ มเ กี ่ย วกับ ดีห รือ ชั ่ว . แตถ า ในเรื ่อ งจิต ใจคนแลว มัน ก็ม ีค วามหมาย สู ง สุ ด อยู ที่ ดี แ ละชั่ ว . ที่ ค วรต อ งการก็ เ รี ย กว า ดี , ที่ ไ ม ค วรต อ งการก็ เ รี ย กว า ไม ดี
ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ
๑๑๓
แต ทั้ ง นี้ สํ า หรั บ คนโง ทั้ ง นั้ น ต อ งการดี ก็ ต าม ต อ งการชั่ ว ก็ ต าม มั น เป น เรื่ อ งของ คนโงทั ้ง นั ้น , ถา เปน คนฉลาดอยา งพระพุท ธเจา แลว ทา นตอ งการจะอยู เหนือ สิ ่ง เหลา นี ้ คือ ไมใ หค าวมชั ่ว บีบ คั ้น ไมใ หค วามดีบ ีบ คั ้น , ไมใ หเ กิด ความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด ๆ. ฉะนั้ น ผั ส สะทั้ งหลาย มั นก็ มี ผ ลเป น สิ่ ง ๒ สิ่ ง คื อ ที่ น าปรารถนา ของคนทั่ ว ไป, หรื อ ไม น า ปรารถนาของคนทั่ ว ไป, ที่ เ รี ย กว า ความดี - ความชั่ ว นั่ น เอง. เราจะต อ งรู ว า ของคู ใ นโลกนี้ มี อ ยู สํ า หรั บ ทํ า ให เ กิ ด เรื่ อ ง ; พู ด อย า งคน โบราณ อย า งอิ ม เอี๊ ย งของจี น ก็ เหมื อ นกั น คื อ ว า ส ว นหนึ่ ง กั บ อี ก ส ว นหนึ่ ง ถ า มา พบกัน เขา แลว เปน เกิด เรื่อ งมีเ รื่อ ง. เดี ๋ย วนี ้ท างพุท ธศาสนาเราก็ว า มีข องคู อ ยู คูหนึ่ง คือ อายตนะภายใน กับ อายตนะภายนอก ถาพบกันเขาเมื่อไรแลวก็ จ ะม ีเ รื ่อ ง ; มัน อยู เ ปน คู ๆ กัน ๖ คู ขา งใน ๖ คู ขา งน อ ก ๖ คู พ บ กัน เมื่อไรเปนมีเรื่อง. การพบกันของสิ่งนี้เรียกวาผัสสะ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ส ว นที่ อ ยู ข า งใน มั น เป น สิ่ ง ที่ มี ค วามรู สึ ก ได อ ยู แ ล ว ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ นี ้; เพราะมัน เปน ของมนุษ ย คือ สิ ่ง ที ่ม ีช ีว ิต มีค วามรู ส ึก . ฉะนั ้น ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ มั น หมายถึ ง ธาตุ รู ธาตุ วิ ญ ญาณธาตุ อะไรที่ มั น รวมอยู ดว ย เปน พื ้น ฐานอยู ด ว ย. ทีนี ้ม ัน จึง รู ส ึก ตอ รูป เสีย ง กลิ ่น รส โผฏฐัพ พะ ธัม มารมณข า งนอก ; แตถ า มัน ไมก ระทบกัน มัน ไมม าพบกัน ความรู นั ้น ก็ ไมรู , มัน ไมเ กิด ความรู ขึ ้น มาได, เพราะมัน ไมรู ว า จะรู อ ะไร.ในตาก็ม ีธ าตุรู ที่ ในหูก ็ม ีธ าตุรู ที ่ใ นจมูก ก็ม ีธ าตุรู อะไรก็ม ีธ าตุรู ; แตถ า ไมม ีอ ะไรมากระทบ มันก็ไมรูวาจะรูอะไร ฉะนั้นมันจึงตายดาน เงียบหายอยูในนั้น.
๑๑๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
พอมี รูปมากระทบตา ความรูทางตามั นก็ รูขึ้ นมา เรียกว า จั กษุ วิญญาณ, คือ การเห็ นทางตา, พอเสี ยงมากระทบหู มั นก็มี ความรูทางหู ขึ้นมา เรียกวา โสต วิญ ญาณ, มี ลิ่ นมากระทบจมู ก ก็ มี ความรูทางจมู กขึ้นมา เรียกวา ฆานวิญ ญาณ คือการได กลิ่ นทางจมู ก, พอรสมากระทบลิ้ น มั นก็ รูสึ กที่ ลิ้ นขึ้นมา เรียกวา ชิ วหา – วิญ ญาณ มัน รูร สที ่ลิ ้น , มีอ ะไรมาสัม ผัส ผิว หนัง เย็น รอ น ออ น แข็ง นิ ่ม นวล หรือกระด าง หรืออะไรอย างนี้ มั นก็ รูขึ้นมาทางกาย เรียกวา กายวิ ญ ญาณ, ถ ามี อารมณ ที่ เป นนามธรรมมากระทบจิต จิตมั นก็ รูอารมณ นั้ น ก็ เรียกวา มโนวิ ญญาณ. นี่ คื อ เป น ปฏิ กิ ริ ย าที่ เกิ ด ขึ้ น เพราะการกระทบของสิ่ ง ๒ สิ่ ง ที่ เป น คู . อายตนะ ภายในสิ่ง หนึ่ง อายตนะภายนอกสิ่ง หนึ่ง พอถึง กัน เขา มัน ก็เ กิด สว นที ่ ๓ ที่เรียกวาวิญญาณ. เรื่ อ งนี้ ก็ เคยพู ด หลายครั้ งหลายหน พู ด ซ้ํ า พู ด ซาก อ า งพระบาลี ม าให ฟงวา จกฺขฺุจ ปฏิจฺจ รูเป จ อุปฺปชฺชติ จกฺขุวิฺาณํ - อาศัยตาดวย อาศัยรูป ทั้งหลายดวย ยอ มบังเกิด จักขุวิญ ญาณ. แตวาฟ งกันเฉย ๆ ฟงกันเหมือนกับวา แรดฟง ป เปา ป ใ หแ รดฟง . นี ่ท ุก คนเปน อยา งนี ้ ทอ งได สวดได ไดย ิน ดว ย แล ว ก็ เหมื อ นกั น ว า แรดฟ ง ป มั น ก็ ได ยิ น ว า ตากั บ รูป อาศั ย กั น เกิ ด จั ก ษุ วิ ญ ญาณ อะไรนั ้น , ฟง ไดย ิน แตเ สีย งแตไ มไ ดรู ส ึก แทจ ริง ที ่เ กิด อยู ใ นตัว เอง ในจิต ใจของ ตัว เอง. เพราะฉะนั ้น ตอ ไปนี ้ข อใหตั ้ง ตน ก ข ก กา กัน ที; แตว า เปน ก ข ก กา ทางปฏิบ ัต ิ. พอตาเห็น รูป แลว ก็ใ หรู ส ึก จัก ษุว ิญ ญาณ, พอหูไ ดย ิน เสีย ง ก็ใ หรู จ ัก โสตวิญ ญาณจริง ๆ กัน สัก ที. ฉะนั ้น จึง ตอ งอาศัย ความไมป ระมาท อยา ไปมัว รัก มัว โกรธ มัว เกลีย ด มัว กลัว มัว อะไรกัน อยูเลย มีส ติส ัม ปชัญ ญะ ที่ จะกํ าหนด เมื่ อมี การกระทบ สั มผั ส ทางตา ทางหู เป นต น ให รูวาจักษุ วิญ ญาณ เกิดขึ้นอยางไร.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ
๑๑๕
สรุ ป เป น ใจความสั้ น ๆ ว า ของข า งในพวกหนึ่ ง , แล ว ของข า งนอกพวก หนึ ่ง , พอในกับ นอก สองอยา งนี ้ก ระทบกัน จะเกิด ความรูส ึก ขึ ้น ระหวา งนั ้น ที่ เรี ย กว า วิ ญ ญาณ. ข า งในคื อ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ข า งนอกคื อ รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ ข า งในกั บ ข า งนอกกระทบกั น เมื่ อ ไร จะเกิ ด สิ่ ง ที่ ๓ ขึ้นมา เรียกวา วิญญาณตามทวารนั้น ๆ. ที นี้ เรี ย กว า ผั ส สะ เพราะว า ๓ อย างนี้ ถึ งกั น โดยสมบู รณ จะถื อ ว าข าง นอกข า งในกระทบกั น เรี ย กว า ผั ส สะ นี้ ยั ง ไม ส มบู ร ณ , จะถื อ ว า เป น ผั ส สะสมบู ร ณ ตอ เมื ่อ เกิด วิญ ญาณขึ ้น มาแลว ดว ย; เพราะฉะนั ้น พระพุท ธเจา จึง ไดต รัส ไว ชัดเจนตอไป ติณฺณํ ธมฺมานํ สงฺคติ ผสฺโส - การมาถึงพรอมกันแหงธรรมทั้ง ๓ นี้ เรีย กวา ผัส สะ, สงฺค ติ ก็ม าถึง พรอ มกัน มาถึง ดว ยกัน พรอ มกัน นี ่เ รีย กวา สงฺค ติ. ติณ ฺณ ํ ธมฺม านํ แหง สิ ่ง ทั ้ง ๓ นี ้, ผสฺโ ส เรีย กวา ผัส สะ. นี ่ค ือ ผัส สะ ที่ตั้งใจจะพูดวันนี้วา สิ่งทั้งปวงตั้งตนขึ้นที่สิ่งที่เรียกวาผัสสะเทานั้น ไมมีอะไรอื่น.
ผัสสะเปนตนเหตุใหมีโลก. www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ ผั ส ส ะ คื อ อ ะ ไร ? เมื่ อ ไร ? ที่ ไห น ? อ ย า งไร ? จ ะ ต อ งรู ให ชั ด เจ น ยิ่ ง ขึ้ น กว า ที่ แ ล ว มา จึ ง เรี ย กว า เรี ย น ก ข ก กา กั น เถิ ด ซ้ํ า แล ว ซ้ํ า เล า . เมื่ อ ใดมี ผั ส สะ เมื่ อ นั้ น ก็ มี ป รากฏการณ ทางตา ทางหู ท างจมู ก ทางลิ้ น ทางกาย ทางใจ ที ่เ รีย กวา รูป เสีย ง กลิ ่น รส โผฏฐัพ พะ ธัม มารมณ ที ่ม ีค วามหมาย แลว อัน นั้นคือ เรียกวา โลก, โลก คือ สิ่งนั้น
๑๑๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
โลก คือสิ่งที่ปรากฏแกเรา ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรียกวาโลก ; ฉะนั ้น คํ า วา โลก นี ้ไ มใ ชแ ผน ดิน โลก ไมใ ชต ัว วัต ถุโ ลก. คํ า วา โลกในที ่นี้ หมายความถึงสิ่งที่เขามาปรากฏแกเรา ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ชั่วขณะ ที ่เ รามีผ ัส สะ คือ มีค วามรู ส ึก ตอ สิ ่ง นั ้น , ถา เราไมม ีค วามรู ส ึก ตอ สิ ่ง นั ้น ก็ถ ือ วา มัน ไมมี มัน มิไดเกิด มัน ยังมิไดเกิด ; เมื ่อ ยังไมม ีผัส สะ ถือ วา โลกยังมิไดเกิด . พอมีผ ัส สะปรากฏผล เปน ผลแกจ ิต แลว เรีย กวา โลกนี ้ม ัน เกิด . ที ่โ ลกจะมี รูปรางอย างไร มั นแล วแต ความโงหรือความฉลาดของเรา, แล วแต วิ ชชาหรืออวิ ชชา ของคนผู ผ ัส สะนั ้น . ฉะนั ้น จึง เห็น โลกตา ง ๆ กัน ; แตถ ึง อยา งไรก็ด ี ก็ย อ มพูด ไดวา โลกนี้เปนปรากฏการณจากผัสสะ ; เพราะมีผัสสะจึงมีโลก. ถ าดู ถึ งว า ทํ าไมโลกนี้ จึ งมี ความหมาย ? แล วสิ่ งที่ เข ามาทาง ตา หู จมู ก ลิ้น กาย ใจ ทําไมจึงมีความหมาย ? คือวามีอันตราย หรือมีความที่นาหวาดเสียว นาสนใจ นากลัว นาระวัง ; เพราะมัน เกิด ผัส สะ อยางนี้แ ลว มัน เกิด เวทนา, มันเกิดเวทนาแลวมันจะเกิดกิเลส มี ตัณหา เปนตน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เมื ่อ จะพูด ใหล ะเอีย ดตอ ไปอีก มัน ก็ม ีเ วทนาแลว มัน ก็โ งต ะครุบ เอาเวทนานั้ น เป น ของสํ า คั ญ เป น ตั ว เป น ตนเป น ของเราที เดี ย ว. ถ า สุ ข เวทนาก็ ยึด ถือ อยา งหนึ ่ง , ถา ทุก ขเวทนาก็ย ึด ถือ อีก อยา งหนึ ่ง , ถา ทุก ขเวทนาก็ย ึด ถือ ในเวทนานั้น ดวยความสําคัญมั่นหมายที่เรียกวาสัญญา สัญญาวาเรา สัญญา วา ของเรา สัญ ญ าวา สวย สัญ ญ าวา ไมส ุข สัญ ญ าวา ทุก ข, โอม ากมาย นับไมไหวสัญญานี้.
ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ
๑๑๗
ที นี้ มี สั ญ ญาอย า งนี้ ล งไปแล ว มั น เกิ ด ความคิ ด , ความคิ ด อย า งนั้ น ความคิ ด อย า งนี้ ความคิ ด อย า งโน น ว า ตั ว กู เป น อย า งไร. ดั ง นั้ น สภาพที่ มั น คิ ด ว า มั น เป น อย า งไรนั่ น แหละ เขาเรี ย กว า โลกโดยแท จ ริ ง โลกโดยความหมายที่ แทจ ริง . ฉะนั ้น จึง มีค วามคิด วา กูเ ปน มนุษ ยบ า ง หรือ วา กูเ ปน นั ่น กูเ ปน นี่ กูเ ปน สัต ว กูเ ปน บุค คล; บางทีม ัน ก็ค ิด ไมต รงตามความจริง , มัน เรีย กหรือ มัน ยึ ด ถื อ ไม ต รงตามความจริ ง เช น มั น ร อ นอกร อ นใจอยู เพราะความคิ ด อั น นี้ แต มั น ก็ ไ ม เรี ย กว า มั น กํ า ลั ง ตกนรกเลย. ความคิ ด ที่ เ ดิ น ไปผิ ด แล ว ร อ นเหมื อ นกั บ ไฟ สุมอยูนี่ ที่จริงควรจะเรียกวามัน เปนสัตวนรก, เวลานั้นเปนสัตวนรก. จะมี ใ ครบ า งที่ กํ า ลั ง คิ ด ว า เราเป น นรก เราเป น สั ต ว น รก เรากํ า ลั ง ตกนรก. เปล า ทั้ ง นั้ น , มั น ไปโมโหโทโสคนอื่ น , หรื อ ว า มั น เป น ความรู สึ ก หรื อ ความคิด ที ่โ ง มัน ก็ไ มย อมรับ วา เรากํ า ลัง เปน สัต วเ ดรัจ ฉาน; เพราะมัน เอา สัต วเ ดรัจ ฉานไวข า งนอก เปน สุน ัข เปน แมว เปน กา เปน ไก ที ่วิ ่ง อยู ข า งนอก, ไม ได ม ารู ว ามั น อยู ข างใน คื อ ผั ส สะที่ ทํ าให เกิ ด เวทนา สั ญ ญา สั งขาร แล ว เป น ความโง . เดี๋ ยวนี้ เรามี ค วามเป น สั ต ว เดรัจ ฉานอยู ข างใน, หรื อ ว าเรามี ค วามหิ ว เปน เปรตอยู ข า งใน, มีค วามกลัว ความขลาด ก็เปน อสุร กายอยู ข า งใน มัน ไม มองอยางนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้น จึงไมมองเห็นวา อะไร ๆ มันอยูที่ผัสสะ, เปนผลของผัสสะ ก็เ ลยฟง พระพุท ธเจา ตรัส ไวไ มถ ูก ฟง ไมเ ขา ใจเลย. พระพุท ธเจา ทา นตรัส วา ทุก อยา งมัน อยู ที ่ผ ัส สะ, เพราะผัส สะนั ่น แหละตรงนั ้น แหละมัน เปน ที ่ใ หม ีโ ลก, ตรงนั้ น ให มี สั ต ว ให มี บุ ค คล ให มี น รก ให มี ส วรรค ให มี ม าร มี ม ารโลกพรหมโลก มีอะไรทุกอยางอยูที่ตรงผัสสะนั้น.
๑๑๘
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
นี่ ข อให ทุ ก คนไปสอบไล ตั ว เองเอาก็ แ ล ว กั น ไปวั ด ดู ตั ว เองก็ แ ล ว กั น ว า เรานี้ มีความรูสึกอยางนี้ หรือเปลา ? วา โลกก็ อยูที่ ผัสสะ สั ตวก็ อยูที่ ผั สสะ มนุ ษย ก็ อ ยู ที่ ผั ส สะ, เทวดาก็ อ ยู ที่ ผั ส สะ หรื อ แม แ ต จ ะเอาวั ต ถุ ล ว น ๆ เช น แผ น ดิ น นี้ มั น ก็ อ ยู ที่ ผั ส สะ. ถ า เราไม สั ม ผั ส ต อ แผ น ดิ น แผ น ดิ น มั น ก็ ไ ม มี , หรื อ ว า ประกอบ กั น ขึ้ น เป น โลกนี้ โลกทั้ ง โลกทั้ ง ตั ว โลกนี้ มั น ก็ อ ยู ที่ ผั ส สะ, ถ า ไม มี ค วามรู สึ ก มั น ก็ ไมมี. นี่ ถ า เรี ย น ก ข ก กา ตามแบบของพระพุ ท ธเจ า มั น รู อ ย า งนี้ น ะ. อย า เห็ น เป น เรื่ อ งไกลออกไป หรื อ ว า ลึ ก เกิ น ไป, หรื อ ว า ไม ใ ช เ รื่ อ ง ก ข ก กา. คนยั ง เข า ใจผิ ด อยู ม าก เถี ย งว า ไม ใ ช เรื่ อ ง ก ข ก กา ก็ ต ามใจเขาสิ , เขาจะไปเอาอะไรก็ ตามใจเขา เอาอะไรเปน ก ข ก กา. แตอ าตมายืน ยัน อยู เ สมอวา ตอ งเอาเรื ่อ ง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ, รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ แลวก็ สัมผัสกันออกมาเปนอะไรตางๆ นี้คือเรื่อง ก ข ก กา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ขอรบกวนเซ า ซี้ ซ้ํ า ๆ ซาก ๆ ว า จงสนใจเรื่ อ งนี้ จงศึ ก ษา ก ข ก กา กั น เสี ย ใหม . อย า ได ป ระมาทอยู เ ลย ไม ค วรชะเง อ หาเรื่ อ งเฟ อ อื่ น ๆ ความอยาก เปน นัก ป ราชญ เรีย น นั ่น เรีย นนี ่เ ปน นัก ป ราชญ อ ยา งนั ้น อยา งนี ้ ; มัน จะนา หั ว เราะ น า เวทนาอย า งยิ่ ง สํ า หรั บ คนที่ ไ ม รู ก ข ก กา คื อ ไม รู เรื่ อ ง ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ, รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ แล ว ปรุ ง ขึ้ น มาเป น วิญญาณ ผัสสะ เวทนา. เดี๋ ย วนี้ ค นทั้ ง โลก แม พ วกฝรั่ ง ที่ แ สนจะเฉลี ย วฉลาดนี้ พวกฝรั่ ง เหล า นี้ ก็ ไม รู จั ก พุ ท ธศาสนา ; เพราะไม เ รี ย นพุ ท ธศาสนาให ถู ก ตั ว พุ ท ธศาสนา
ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ
๑๑๙
แล ว ก็ ไม เรี ย นไปตรงที่ จุ ด ตั้ ง ต น ที่ ก ข ก กา เขาไม เรี ย นเรื่ อ ง ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจอย า งที่ เ รากํ า ลั ง พู ด . เขาไปเรี ย นในแง อื่ น และเป น ปรั ช ญา เป น อะไร มากมาย เรี ย กอภิ ธ รรมเรี ย นอะไรไปโน น ซึ่ ง ไม เรี ย นจากตั ว จริง ของ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ, แล ว ก็ รู จั ก สิ่ ง ที่ เกิ ด อยู จ ริ ง ๆ ที่ เนื้ อ ที่ ตั ว ; หมายความว า เอา กาย วาจา ใจ นี้ เป น หนั ง สื อ เรี ย น. เขาไปเอาอื่ น เป น หนั ง สื อ เรี ย น, ไปเอาพระคั ม ภี ร เอาอะไรไมรูเปนหนังสือเรียน ไมเอากาย วาจา ใจ นั้นเองเปนหนังสือเรียน. ฉะนั้ น จึ ง ย้ํ า แล ว ย้ํ า อี ก ว า ทุ ก คนเมื่ อ ยั ง มี ค วามหวั ง ที่ จ ะได ป ระโยชน สูง สุด แกต น โดยสมมติที ่เรีย กวา ตนนี ้ แกส ัง ขารกลุ ม นี ้ อยากจะไดป ระโยชน สูงสุด ตามที่พ ระพุทธเจาทานทรงสอนไว เพื่อใหถอนความยึดมั่นวาตนเสียได นี้ ; จงพยายามศึ ก ษา ก ข ก กา ที่ เรื่อ ง ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ, ให รู เรื่ อ ง ของสิ่งที่เรีย กวาผัส สะกอ น ในฐานะเปน เพีย งสิ่งเดียวเทานั้น ที่เปน ที่อ อก มาของสิ่ งทั้ งหลาย, เป นความทุ กข ขึ้ นมาอย างไร ? แล วจะดั บมั นอย างไร ? ก็ ดั บ ที ่ จัด การกับ ผัส สะใหถ ูก ตอ ง. ถา จะปอ งกัน ก็ต อ งปอ งกัน ที ่ผ ัส สะ, ถา จะแกไ ข ก็ ต อ งแก ไขที่ ผั ส สะ, ถ า จะบรรลุ ม รรคผล ก็ ต อ งเป น เรื่ อ งมี ส ติ สั ป ชั ญ ญะสมบู ร ณ ในขณะที่มันผัสสะ, อะไรก็รวมอยูที่ ผัสสะ จริง ๆ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ า ว า ไม ทํ า อย า งนี้ ก็ เรี ย กว า เป น คนประมาท ; ประมาทนั้ น ไม ใ ช อ ยู ที ่ไ หน มัน อยู ที ่ว า ไมรู โ ง เผลอเรอ เลิน เลอ ในการที ่จ ะรู เ ทา ทัน ตา หู จมูก ลิ้ น กาย ใจ ; นั่ น แหละคื อ ประมาท เรี ย กว า เป น ผู ไม ฉ ลาดเกี่ ย วกั บ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ก็ ไ ด , ไม ฉ ลาดในเรื่ อ ง ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจนี่ ฟ ง แล ว ก็ น า หั ว แต ค นทุ ก คนว า เขาฉลาด เขาเก ง เขารู เรื่ อ งตั ว ของเขาเอง ; แต ค วามจริ ง มั น ยั ง ไม มี เลย ไม ฉ ลาดในเรื่อ ง ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ในเรื่อ งประจํ าวั น , วั น หนึ่ ง ๆ
๑๒๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
นี่ แหละ; อย างนั้ นเรี ยกว าเป นคนป ระม าท ทั้ งฆ ราวาส ทั้ งบ รรพ ชิ ต ยั งเป น คนประมาท พุทธศาสนาจึงเปนหมัน เพราะวาคนมันกําลังประมาท.
พึงรูคุณและโทษของผัสสะ. เอาละ, ที นี้ อ ยากจะพู ด ต อ ไปสั ก หน อ ย เป น การประกอบเรื่ อ ง ว าที่ เกี่ ย ว กั บพวกเรา พุ ทธบริษั ทสาวกของพระพุ ทธเจ านี้ พระพุ ท ธเจ าท านได ต รัส ไว ว า เขา ไม รูอย างแท จริงเกี่ ยวกั บผั สสายตนะ. เขาไม มี ความรูอย างแท จริงเกี่ยวกั บ ผั สสา ยตนะ คือ อายตนะสํ าหรับ การสั ม ผั ส , นั้ น เรีย กวา เขาไม ได ป ระพฤติ พ รหม จรรย, เขายังอยูหางไกลจากธรรมวินัยนี้. อวุสิตํ เตน พรหฺมจริยํ - พรหมจรรย อันบุคคลนั้นมิไดอยูประพฤติอยูแลว อารกา โส อิมสฺมา ธมฺมวินยา - บุคคลนั้นอยู ห างไกลจากธรรมวิ นั ยนี้ คื ออยู นอกศาสนานี้ . อารกา - อยู ห างไกล, คื ออยู นอก ศาสนานี้ ว า คนนั้ น มั น อยู น อกศาสนานี้ คนนั้ น ไม ได ป ระพฤติ พ รหมจรรย ในศาสนา นี้เลย ในเมื่อคนนั้นไม ปชานาติ คือไมรูอยางชัดเจน ตอเรื่องของผัสสายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ไม รู ก ารเกิ ด ขึ้ น การดั บ ไป ไม รู เสน ห อั น ยั่ ว ยวน ไม รู จั ก โทษอั น ร า ยกาจ ไม รู จั ก อุ บ ายเป น เครื่ อ งกํ าจั ด เสี ย ซึ่ งอํ า นาจของอายตนะนั้ น . แยกออกเป น ๕ อย า ง สํ า หรับ การที ่จ ะรู อ ะไรใหช ัด เจนลงไป. ในกรณ ีนี ้ ๑. การเกิด ขึ ้น แหง ผัส สะ อย างไร ? ๒. การดั บ ไปแฟ งผั ส สะอย างไร ? ๓. รสอร อ ยหรื อ เสน ห ข องผั ส สะ นั้ น มี อ ย า งไร ? ๔. โท ษ อั น เล วท ราม ร า ยกาจข อ งผั ส ส ะนั้ น เป นอย า งไร ?
ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ
๑๒๑
๕. ทํ า อย า งไรเราจึ ง จะเอาชนะมั น ได ? ห า อย า งนี้ ภิ ก ษุ ใ ดไม รู ภิ ก ษุ นั้ น ไม ชื่ อ ว า ประพฤติพรหมจรรย แลวก็ชื่อวาอยูนอกศาสนานี้ อยูนอกธรรมวินัยนี้. นี่ เขาไม รู จั กผั สสะใน ๕ ลั กษณะหรื ออาการ ไม รู ว าผั สสะเกิ ดขึ้ นอย างไร ? ไม รู ว าผั สสะดั บไปอย างไร ? ไม รู ว าผั สสะมี รสอร อยหรื อเสน ห ยั่ วยวนอย างไร ? ไม รู ว า ผั ส สะมี ค วามเลวทรามร า ยกาจอย างไร ? ไม รู ว า อุ บ ายอย า งไร ? จึ งจะระงั บ หรื อ ดั บ ความเลวทรามของผั ส สะนี้ เสี ย ได . ไม รู ผั ส สะโดยอาการ ๕ อย า งนี้ แ ล ว . คนนั้ น ชื ่อ วา ยัง ไมไ ดป ระพฤติพ รหมจรรย ในศาสนานี ้ ยัง อยู น อกศาสนานี ้ นี ่ฟ ง แลว มันนากลัว. แล วถ าเมื่ อ ถื อ เอาตามนี้ เป น หลั ก แล ว ใครบ างที่ ส ามารถจะยื น ยั น ตั วเอง ปฏิ ญ าณตั วเองได ว า เป น ผู ป ระพฤติ พ รหมจรรย อ ยู ในศาสนานี้ ไม ต อ งให ใครมาช วย ตัด สิน ไมต อ งใหใ ครมากลา วอีก แลว . ตัว เองสอบสวนตัว เองตัด สิน ใจตัว เอง วา เรากํา ลังเปน ผูป ระพฤติ ชนิด ที่เรีย กวา ประพฤติพ รหมจรรยอ ยูใ นศาสนา นี้ ห รื อ ไม ก็ แ ล ว กั น . อย า ทํ า เล น กั บ เรื่ อ ง ก ข ก กา ในพุ ท ธศาสนานี้ คื อ เรื่ อ ง ผั ส สะ. อาตมาอยากจะย้ํ า ลงไปอี ก ที่ ว า ใครโง ข นาดไม รู จั ก ก ข ก กา ในพุ ท ธ ศาสนานี ้แ ลว คนนั ้น ไมไ ดอ ยู ใ นศาสนานี ้ แตอ ยู น อกศาสนานี ้ เพราะไมรู ก ข ก กา ของพุทธศาสนา คือเรื่องผัสสะ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ไปศึ ก ษาเอาเอง ผั ส สะเกิ ด เมื่ อ ไร ? ผั ส สะดั บ เมื่ อ ไร ? อะไรเป น เสนห ยั ่ว ยวนของผัส สะ ? อะไรเปน ความเลวทรามรา ยกาจซอ นอยู ใ นนั ้น ? อะไรเปน อุบ ายที ่เ ราเอาชนะอํ า นาจของผัส สะได ? นี ่ก ็เ รีย กวา รู ก ข ก กา เรื่องผัสสะ อยางที่เรียกวาถูกตอง, หรือใชได หรือเพียงพอ.
๑๒๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ทั้ งวันทั้ งคื น จงตั้ งความปรารถนา ตั้ งความพยายาม ไม ประมาทที่ จะ ศึ ก ษารูจั ก หรือ ควบคุ ม หรือ เอาชนะผั ส สะนี้ ให ได ก็มี เท านั้ น แหละ. พระเณรก็ ตาม อุบาสกอุบาสิกาก็ตาม ที่วาตองการผลในพระพุทธศาสนาใหยิ่งขึ้นไป. ถาตอ งการทํามาหากิน หาเงิน หาทอง หาลูก หาเมีย ก็ทําไปตามเรื่อ ง ; เพราะว า มั น ต อ งการอย า งนั้ น อยู . แต ว า ถ า ต อ งการผลที่ สู ง ไปกว า นั้ น ก็ ค วรทํ า อย า งนี้ , หรื อ ถ า ว า มั น จะอยู ต รงกลางระหว า งกึ่ ง กลางก็ ไ ด . แม ว า เราจะไปเกี่ ย ว ขอ งกับ ทรัพ ยส มบัต ิ เงิน ทอง บุต ร ภรรยา สามีอ ะไรก็ต าม ใหรู เ รื ่อ งของ ผั ส สะไว บ า งตามสมควร มั น จะไม ต อ งนั่ งเช็ ด หั ว เข า ด ว ยน้ํ า ตา หรื อ เช็ ด น้ํ า ตาด ว ย หั ว เข า อะไรก็ ไ ม รู เรี ย กอย า งไรถู ก ก็ ต ามใจ ว า มั น จะไม ต อ งเป น อย า งนั้ น บ อ ย ๆ. ถารูเรื่อ งของผั ส สะอยู บ าง สัต วนั้ น ๆ ก็จ ะมี ค วามทุ ก ข น อ ยลง เพราะวาป ญ หา หรื อ ความทุ ก ข นี้ มั น เกิ ด จากผั ส สะโดยตรงเท า นั้ น เพี ย งอย า งเดี ย ว. นี่ เ รื่ อ งที่ เกี่ ยวกั บ สาวกของพระสั ม มาสั ม พุ ท ธเจ า จะต อ งเรี ย น ก ข ก กา ให รู จ ริ ง คื อ เรื่ อ ง ผัสสะ ใครยังรูนอยก็อุตสาหเรียน, ใครยังไมรูเลย ก็ตองยิ่งตั้งอกตั้งใจเรียน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เอาละ, ยั งเหลื อเวลาอี กนิ ดหน อ ย ก็ พู ดถึ งเรื่ องเกี่ ยวกั บพระองค เองบ าง ที ่เ กี ่ย วกับ พระสัม มาสัม พุท ธเจา เอง ทา นก็ย กเรื ่อ งผัส สะนี ้เ ปน เรื ่อ งสํ า คัญ เหมื อ นกั น คื อ ยกเอาเรื่ อ งอายตนะ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ, รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ ของคู ข า งในกั บ ข า งนอกนี้ เป น เรื่ อ งสํ า คั ญ ซึ่ ง เป น ที่ ตั้ ง แห ง ผั ส สะ ว า ถ า ยั ง ไม รู เรื่ อ งนี้ ก็ ยั ง ไม เป น พระพุ ท ธเจ า . คื อ ท า นได ต รั ส ว า เรา ยังไมปฏิญญาณวา เปนสัมมาสัมโพธิอภิสัมพุทโธ, สัมมาสัมโพธิอภิสัมพุทโธ เป น ผู รู พ ร อ มเฉพาะด ว ยสั ม มาสั ม โพธิ . เดี๋ ย วนี้ เราเรีย กกั น สั้ น ๆ วา ยั งไม ต รัส รู สัมมาสัมโพธิญาณนั่นแหละ.
ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ
๑๒๓
พ ระองค ท รงยื น ยั น ว า ถ า ต ถ าค ต ยั ง ไม รู เ รื่ อ งอ าย ต น ะข า งใน อายตนะขา งนอกแลว ยัง ไมรู อ ยา งชัด เจนแจม แจง ถูก ตอ งแลว จะยัง ไม ปฏิญ ญาตัววา เปน สัม มาสัม พุท ธะ คือ ยังไมต รัส รู. นี่บ าลีมีอ ยูชัด ๆ อยางนี้, แต ก็ ไม อ ยากจะอ า งบาลี นั ก เพราะว า มั น อ า งมามากแล ว . ใครสนใจก็ ไปเป ด ดู ก็ ไ ด คัม ภีรก ็ม ีอ ยู พระไตรปฎ กก็ม ีอ ยู อยา งสัง ยุต ตนิก าย มีม ากเกี ่ย วกับ อายตะนี ้. เขาจั ด ไว สั ง ยุ ต ต ห นึ่ ง ที เดี ย ว เรี ย กว า อายตนสั ง ยุ ต ต พระคั ม ภี ร ห มวดนี้ จ ะพู ด แต เรื่ อ งอายตนะทั้ งนั้ น แล ว ก็ มี พู ด อย า งที่ เอามาพู ด ให ฟ งนี้ เท า ที่ เกี่ ย วกั บ พระพุ ท ธเจ า นั้น พระพุทธเจาทานตรัสวา ตลอดเวลาที่ตถาคตยังไมรูชัดเจนแจมแจงในอัสสาทะ คือ เสนห ยั ่ว ยวน ในอาทีน วะ คือ โทษของความเลวทรามรา ยกาจ, นิส สรณ ะ อุ บายที่ จะอยู เหนื อสิ่ งนี้ คื อ อายตนะในและนอก ตลอดเวลาเท านั้ นยั งไมปฏิ ญ ญาว า เปนสัมมาสัมพุทธะ. ที่ เรามาพู ด กั น สั้ น ๆ ลุ น ๆ ว า พระพุ ท ธเจ า ตรั ส รู ๆ แล ว ก็ เ ป น สั ม มา สั ม พุ ท ธเจ า นั้ น เราก็ พู ด กั น ได , แล ว เราก็ มั ก จะรู กั น แต ว า ตรั ส รู นั้ น ตรั ส รู อ ริ ย สั จ จ ๔ แล ว ก็ เ รี ย กว า ตรั ส รู , แล ว ก็ เ ป น พระสั ม มาสั ม พุ ท ธเจ า . แต ใ นที่ อื่ น อี ก มากมายหลายแห ง โน น ก็ มี ต รั ส ว า ถ า ยั ง ไม รู เ รื่ อ งนี้ อ ย า งี้ ไม รู เ รื่ อ งนั้ น อย า งนั้ น ละก็ ยั ง ไม ป ฏิ ญ ญ าว า เป น สั ม มาสั ม พุ ท ธเจ า ; โดยเฉพาะในกรณี นี้ ยกเรื่ อ ง อายตนะ ๖ ขา งในและอายตนะ ๖ ขา งนอก มาเปน วัต ถุสํ า หรับ ปฏิญ ญา วา ถา ยัง ไมม ีค วามรู แ จม แจง ในเรื ่อ งอาตนะเหลา นี ้ วา เสนห ข องมัน อยา งไร ? โทษของมั น อย า งไร ? วิ ธี จ ะเอาชนะมั น ให ไ ด นั้ น เป น อย า งไรแล ว ถ า ยั ง ไม รู อ ย า งนี้ แลว ยังไมปฏิญญาวาเปนสัมมาสัมพุทธะ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๑๒๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
สํ า หรั บ พุ ท ธเจ า เอง ท า นมี ห ลั ก เกณฑ อ ย า งนี้ ว า ต อ งรู เรื่ อ งอายตนะ ซึ่ งเป น ที่ ตั้ ง แห งผั ส สะ หรือ เรื่อ งผั ส สะอั น เกิ ด ขึ้ น เพราะอายตนะนี้ ถ ายั งไม รูเรื่อ งนี้ ยังไม เรียกวาเป นสัมมาสัม พุ ทธะ. ทีนี้ สําหรับ สาวกนั้น ท านก็ ต รัสยื น ยัน ไวอ ยาง ที่พูดมาแลวเมื่อกี้นี้วา ถายังไมรูเรื่อง ผัสสายตนะหรืออายตนะอันเปนที่ตั้งแหง ผัสสะแลว ก็ยังไมชื่อวาประพฤติพรหมจรรยอยูในศาสนานี้ นี่เพียงเทานี้มันก็เปน น้ํ าหนั กที่ มากพอแล วว า เราจะต องสนใจกั บเรื่อ งผั สสะ, หรืออายตนะกั นอย างไร ? หรือจะถือวาผัสสะหรืออายตนะนี้ มันมีความสําคัญมากหรือนอยเพียงไร ? แต แล วความเห็ นอาจจะขั ดกั น อยู ในข อ ที่ วา อาตมาถื อว า นี้ เป น เรื่ อ ง ก ข ก กา คื อ ต อ งเรี ย นก อ น ต อ งเรี ย นที แ รก ต อ งเรี ย นก อ นสิ่ งใดหมดในเรื่ อ งของ การปฏิบ ัต ิ. ทีนี ้ค นอื ่น เขาไมถ ือ อยา งนี ้ เขาวา เรีย นอื ่น กอ น เรื ่อ งนี ้ย ัง สูง เกิ น ไป นี้ เป น ปรมั ต ถ ก็ ยั ง ไม เรี ย น. นี้ มั น ก็ เลยมากี ด ขวางกั น อยู อ ย า งนี้ ; ดั ง นั้ น ใครจะเชื่อใคร มันก็แลวแตวาใครอยากจะเชื่อใคร.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที่ เอามาพู ดนี้ ไม ต องการให เชื่ อว า ต องการให ดู ด วยตนเอง, แล วก็ เชื่ อ ตนเอง. ใหรู จ ัก อายตนะใหรู จ ัก ผัส สะ, แลว จิต ใจมีค วามเจริญ สูง ขึ ้น ไป เพราะความรูอัน นี้ คื อจะรูจั ก โลกเป น อย างดี , จะรูจัก เหตุ ให เกิ ด โลกเป น อยางดี , จะรูจั กความดั บ สนิ ทแห งโลกเป น อย างดี , รูจั กทางให ถึ งความดั บ สนิ ท แห งโลกเป น อยางดี, ที่เรียกวา อริยสัจจ ๔ แตใชคําวา โลก แทนคําวาทุกข.
ที่ เรี ย กว า ทุ ก ข นี้ มั น ชั ด แล ว มั น ทนไม ไหว ที่ เรี ย กว า โลกนั้ น เพราะ ว า มั น เป น ของหลอกลวง มั น เป น ของที่ แ ตกทํ า ลายยึ ด ถื อ ไม ได . แต ค นก็ ม าเข า ใจ ไปเสี ย ว า เป น ของเที่ ย งแท มั่ น คง ถาวร ยึ ด ถื อ ได ควรปรารถนาอย า งยิ่ ง เป น อยางนี้.
ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ
๑๒๕
ที นี้ มาพู ดกั นถึ งข อที่ ว า เราจะต องรู ว าโลก หรื อว าเกี่ ยวกั บโลกทั้ งหมดนี้ มัน มาจากอะไร ? มัน ตั ้ง ตน ที ่อ ะไร ? แลว มัน ตั ้ง อยู ที ่อ ะไร ? แลว มัน จะดับ ไป ที่ อ ะไร ? ถ าเขาใจอย างที่ อ าตมาพู ด แล ว ก็ เห็ น ได เอง ว าทั้ งหมดที่ เกี่ ย วกั บ โลก หรือ ความทุก ขนี ้ มัน เกิด ขึ ้น ที ่ผ ัส สะ, ตั ้ง ตน ที ่ผ ัส สะ ตั ้ง อยู ที ่ผ ัส สะ ดับ ไปก็ ดับ พรอ มกัน ไปกับ ผัส สะ, เกิด ขึ ้น มาอีก ก็ม าพรอ มกับ ผัส สะ ตั ้ง อยู บ นผัส สะ ดั บ ไปด ว ยผั ส สะ. เป น คํ า พู ด เพี ย ง ๒ - ๓ คํ า เท า นี้ ไปดู ให ดี ก็ จ ะรู สิ่ ง ที่ เรี ย กว า ก ข ก กา ของพุทธศาสนา อยางแทจริง. เอาละเป น อั น ว า เราก็ ยั งคงพู ด เรื่ อ ง ก ข ก กา ของพระพุ ท ธศาสนาอยู นั ่น เอง ใครจะเบื ่อ ก็เ บื ่อ ; แตอ าตมามัน ไมรู จ ัก เบื ่อ . ไมม ีใ ครฟง ก็พ ูด บา ไป คนเดี ย วก็ ไ ด จะพู ด แต เ รื่ อ งนี้ แ หละ เรื่ อ งที่ สํ า คั ญ ที่ สุ ด ในพุ ท ธศาสนา แล ว เป น รากฐานคล า ย ๆ กั บ เป น ก ข ก กา แล ว มี ค วามสํ า คั ญ มากเท า กั บ ตั ว ก ข ก กา ; เพราะว าหนั งสื อ หนั งหาทั้ งหมด จะเป น อั ก ษรศาสตร ว รรณคดี ชั้ น เอกชั้ น เยี่ ย มอะไร มั น ก็ ต อ งประกอบอยู ด ว ย ก ข ก กา เอาสิ อั ก ษรชนิ ด ไหน วรรณคดี ช นิ ด ไหนล ะ ที่ มั น ไม ป ระกอบอยู ด ว ยเสี ย งของ ก ข ก กา นี้ มั น ก็ ไ ม มี เราจะถื อ ว า เป น เรื่ อ ง รากฐานที ่ส ุด ก็ไ ด เปน สิ ่ง ที ่สํ า คัญ ที ่ส ุด ก็ไ ด, หรือ เปน ทั ้ง หมดทุก อยา ง ทั ้ง รากฐาน ทั้ ง ตรงกลาง ทั้ ง เบื้ อ งปลาย อะไรก็ ไ ด ไม มี เ รื่ อ งอื่ น เลย มี แ ต เ รื่ อ ง ผัสสะเรื่องเดียว.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ ท า แล ว ท า อี ก ยื น ยั น แล ว ยื น ยั น อี ก ว า พุ ท ธศาสนาไม ส อนว า มี อ ะไร สํ าคั ญ มากเท ากั บ เรื่ อ ง ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ข างใน, และ รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พพะ ธั มมารมณ ข างนอก, อาศั ยกั นแล วก็ เกิ ดเป นความรู สึ กทางอายตนะนั้ น ๆ
๑๒๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ขึ้น มา แลวก็เรีย กวาผัส สะขึ้น มา. พอผัส สะมี - ปญ หามี, ผัส สะไมม ี - ปญ หา ไมมี. ฉะนั้ น การที่ จ ะตั ด ป ญ หาทั้ งหลายได ต อ งเป น ผู รอบรูในเรื่ อ งของ ผัส สะ, รวมทั ้ง เรื ่อ งอายตนะ อัน เปน ที ่ตั ้ง แหง ผัส สะ. ถา เรีย กรวมกัน เรีย กวา เรื่ อ งผั ส สายตนะ แปลว า อายตนะอั น เป น ที่ ตั้ ง แห ง ผั ส สะ ก็ คื อ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ข า งใน, รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ ข า งนอก, ถึ ง กั น แลว เกิด จัก ษุว ิญ ญาณ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ ้น ทางกาย ทางใจ ; มีเรื่อ งนี้เรื่อ งเดีย ว เปน เรื่อ งตัว แทตัว จริง ของพระพุท ธศาสนา ในระยะตั้ง ต น ในระยะเริ่ม แรก จึ งได ส มมติ ว าเป น ก ข ก กา มี คํ าอธิ บายในแงนี้ อย างที่ ได อธิ บ ายมาแล ว ในวั น นี้ ก็ พ อสมควรแก เวลาแล ว , และก็ ห มดแรงจะพู ด แล ว ก็ ยุ ติ ไวทีกอน. ขออาราธนาพระสงฆ ท านสวดคณาสาธยาย ตามระเบี ยบที่ วางไว สํ าหรั บ สงเสริมศรัทธาปสาทะของทานทั้งหลายสืบตอไป.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org _____________
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
- ๖ ๙ กุมภาพันธ ๒๕๑๗
ปญหาในวิถีของชีวิตตั้งตนดวยกามธาตุ.
ทานสาธุชน ผูมีความสนใจในธรรม ทั้งหลาย, การบรรยายประจํ า วั น เสาร ภ าคมาฆบู ช า ครั้ ง ที่ ๖ นี้ จะได ก ล า วโดย หั วข อใหญ ว า ก ข ก กา ของการศึ กษาพุ ทธศาสนา ซึ่ งพุ ทธบริษั ทจะต องเรียนกั น เสีย ใหมอ ีก ตอ ไป ซึ ่ง ไดก ลา วมาแลว ๕ ครั ้ง . สว นในครั ้ง นี ้จ ะไดก ลา วโดย หัวขอยอยวาป ญ หาในวิถีของชีวิตตั้ งต นด วยกามธาตุ. ขอที่วาตั้งตนดวยกามธาตุ นั ่น แหละเปน เรื ่อ ง ก ข ก กา ในที ่นี ้ คือ เปน แงที ่จ ะตอ งหยิบ ขึ ้น มาพิจ ารณาดู จนกระทั่งเห็นวามันเปนเรื่อง ก ข ก กา อยางไร.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทุกชีวิตมีปญหาเรื่องการสืบพันธุ.
สิ่ ง ที่ เรี ย กว า ป ญ หาในชี วิ ต นั้ น ก็ ห มายถึ ง สิ่ ง ที่ มั น ทํ า ความยุ ง ยาก ลําบาก นั้นอยางหนึ่ง, แลวสิ่งที่จะตองเอามาศึกษาใหรู ดวยความจําเปนที่จะ
๑๒๗
๑๒๘
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ตองรู แลวก็จะได ขจัดป ญ หา หรือความยุงยากนั้นออกไปเสียใหได นี้ก็อยางหนึ่ง เหมื อ นอย างกั บ ว า อยู ในโลกนี้ ป ญ หาเรื่อ งปากเรื่องท อ ง จะเป น ป ญ หาแรก อย าง เดียวกัน. ที ่เรีย กวา ชีว ิต ๆ ในที ่นี ้ ก็ห มายถึง สิ ่ง ที ่ม ีช ีว ิต ทั ้ง หมดก็ไ ด ; แต โดยส ว นใหญ แ ล ว หมายถึ ง ชี วิ ต ชั้ น ที่ เป น คนเป น มนุ ษ ย แต โดยเหตุ ที่ สั ต ว ทั้ งหลาย ที่ เป น สั ต ว เดรั จ ฉาน ก็ เป น สิ่ ง ที่ มี ชี วิ ต , ต่ํ า ลงไปกว า สั ต ว เดรั จ ฉาน ก็ ไ ด แ ก พ วก ตนไมตนไล มันก็มีชีวิต, ถาสิ่งใดมีชีวิตสิ่งนั้นตองมีปญหา เปนแนนอน. ป ญ หาแรกก็ คื อ มั น จะตายเพราะไม ได สิ่ งต า ง ๆ ที่ จํ าเป น ; อย า ง ชีว ิต ตน ไมนี ้ มัน ก็ต อ งดิ ้น รนเพื ่อ จะใหร อดอยู ไ ด, ที ่ล ะเอีย ดไปกวา นั ้น ตน ไม ทั้ งหลายนี้ ก็ ต องการจะมี ชี วิต อยู ไม สู ญ พั น ธุ ไปเสี ย; เมื่ อต องการจะอยู ไม สู ญ พั น ธุ ไปเสีย ก็ตองสืบพันธุเอาไว. ดังนั้นตนไมทั้งหลาย ก็มีปญหาเรื่องสืบพันธุ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เมื่ อ พู ด ถึ ง การสื บ พั น ธุ มั น ก็ ต อ งมี เพศ ๒ เพศ คื อ เพศตั ว ผู แ ละเพศ ตั วเมี ย . คนทั่ วไปก็ พ อจะรูจั ก ได ว าต น ไม มี เพศตั วผู แ ละเพศตั วเมี ย , แล วสื บ พั น ธุ อยา งไร จึง เปน ลูก เหลือ อยู ไมส ูญ พัน ธุ ไ ป ? พ วกที ่เ ปน นัก วิท ยาศาสตร นั ก ปราชญ ในเรื่ อ งของต น ไม ก็ ยิ่ ง รู ดี จนกระทั่ ง รู ว า ส ว นไหนเป น เพศผู , ส ว น ไหนเป น เพศตั วเมี ย , คื อ ไข ที่ รวมอยู ในดอกเดี ย วกั น ในดอกไม ด อกหนึ่ ง มี ทั้ งเพศผู เพศเมีย . หรือ วา ตน ไมที ่ม ีเ พศผู เ พศเมีย อยู ค นละดอก ก็รู ว า ดอกสว นไหน ชนิดไหนเปนดอกตัวผู ดอกชนิดไหนเปนดอกตัวเมีย.
ปญหาในวิถีของชีวิตตั้งตนดวยกามธาตุ
๑๒๙
อย า งต น ข า วโพด ดอกส ง ขึ้ น ข า งบนเป น ดอกตั ว ผู , ดอกที่ จ ะเป น รวง ขา วโพดเปน ดอกตัว เมีย , แลว ก็ม ีก ารผสมพัน ธุ , จึง ไดเ ปน ฝก ขา วโพด. แลว บางชนิด ดอกตัว ผู อ ยูที ่ต น อื่น ดอกตัว เมีย อยูที ่ต น อื ่น ตอ งอาศัย แมลง อาศัย สิ ่ง บางสิ ่ง พาไป จึง จะมีโ อกาสไปถึง กัน ได. บางชนิด ยิ ่ง ไกลกวา นั ้น คือ ตอ ง อาศัยน้ํ าไหลในลําธาร พาเกษรดอกตัวผูที่อยูตนลําธารไปหาดอกตัวเมียที่อยูขาง ล างที่ ปลายลํ าธาร คื อส วนล างของลํ าธารที่ ไหลไปทางทะเล, อย างนี้ ก็ มี ก็ ตรวจพบ หมายความว า แม แ ต พื ช หรือ ต น ไม ก็ มี ก ารสื บ พั น ธุ ; และเมื่ อ มี ก ารสื บ พั น ธุ ก็ ต อ ง มีเพศผูและเพศเมีย ดังนั้นก็ตองอาศัยสิ่งที่เรียกวากามธาตุ ดวยเหมือนกัน. แม จะเป น ชี วิ ต ที่ ต่ํ าต อ ยเช น ต น ไม ไม ป รากฏชั ด เจนเหมื อ นในสั ต ว ห รื อ ในคน ก็ ยั ง มี ส ว นแห ง การสื บ พั น ธุ , และเมื่ อ มี ค วามต อ งการจะสื บ พั น ธุ ก็ ต อ งมี สว นแหง กามธาตุ. ดัง นั ้น ควรจะถือ วา แมใ นวิถ ีช ีว ิต ของพืช ทั ้ง หลาย ก็ตั ้ง ตนปญหาดวยกามธาตุ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ ม าถึ ง สั ต ว เดรั จ ฉาน สุ นั ข วั ว ควาย เป น ต น ก็ ยิ่ ง เห็ น ได ชั ด มี การสื บพั นธุ มี ความรูสึ กรุนแรงของสิ่ งที่ เรียกวา กามธาตุ , แล วก็ เป น ป ญ หาเกี่ ยว กับการสืบพันธุ.
นี้ ก็ ม าถึ ง มนุ ษ ย ก็ เ ห็ น ชั ด ว า จะต อ งมี เ รื่ อ งระหว า งเพศ. มี ป ญ หา เกี่ยวกับเรื่องเพศอยางไร ทั้งหมดนี้ก็เป น ไปด วยอํานาจของสิ่ งที่ เรีย กวา กาม ธาตุ.
๑๓๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
กามธาตุเปนที่มาแหงปญหา. ธาตุ ทั้ งหลาย ๓ อย างที่ พ ระท านได ส วดกั น แล ว เมื่ อตะกี้ นี้ ว า กามธาตุ รู ป ธาตุ อรู ป ธาตุ เป น ๓ ธาตุ ด ว ยกั น กามธาตุ เป น ธาตุ แ รกในบรรดาธาตุ ทั้ ง ๓ นั้น นั่นแหละ คือสิ่งที่จะถือวา เปนที่มาแหงปญ หาตาง ๆ ในขั้นตนของชีวิต ทั้งปวง. เมื่ อ พู ด อย า งนี้ บางคนจะแย ง ว า มั น ไม ใ ช เรื่ อ ง ก ข ก กา เสี ย แล ว . อาตมาก็ย ัง แยง วา มัน ก็ย ัง เปน เรื ่อ ง ก ข ก กา อยู นั ่น เอง. เขาก็ไ มเรีย น ไม เอามาเรี ย น แล ว ก็ ไ ม รู ว า มั น เป น เรื่ อ งเบื้ อ งต น อย า งไร, มั น ก็ เลยไม รู ว า มั น เป น เรื่ อง ก ข ก กา กั นอย างไร จึ งต องขอร องให ย อนมาดู ที่ ตั ว, พยายามทํ าความเข าใจ ตัว เอง ตั ้ง แตเ กิด มาตั ้ง แตอ อ นแตอ อกจนกระทั ่ง บัด นี ้ จะมีช ีว ิต อยู ส ัก กี ่ป หรือ กี่สิบป จนกระทั่งบัดนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ปญหาแรกที่สุด คือป ญหาที่ ตั้ งตนขึ้นมาดวยธาตุ อะไร ในที่นี้ยืนยันวา ตั้ งต น ขึ้ น มาด ว ยกามธาตุ เพราะก อนจะมี ความรูสึ กประเภทกามธาตุ ป ญ หาก็ ยั ง ไม มี , มั น เป น เรื่ อ งธรรมดาเกิ น ไป จนไม เรี ย กว า ป ญ หา. เมื่ อ ยั ง มี แ ต ธ าตุ ล ว น ๆ ผสมปรุ ง แต ง กั น อยู ไม เจื อ ด ว ยกามธาตุ , แม จ ะมี ชี วิ ต แล ว ป ญ หาก็ ยั ง ไม มี . แต เดี๋ ย วนี้ มั น มี ค วามลึ ก ซึ้ ง เร น ลั บ อยู ใ นข อ ที่ ว า สิ่ ง ที่ เรี ย กว า กามธาตุ ก็ ดี รู ป ธาตุ ก็ ดี อรู ป ธาตุ ก็ ดี มั น มี เชื้ อ ของมั น อยู เป น ธาตุ ส ว นหนึ่ ง ซึ่ ง พร อ มที่ จ ะแสดงตั ว ออกมา ในเมื่ อ บรรดาธาตุ ทั้ ง หลายต า ง ๆ ที่ เป น พื้ น ฐานได ใ ห โอกาส. ธาตุ ที่ เป น พื้ น ฐาน ต า ง ๆ นั ้ น ได ใ ห โ อกาสสํ า หรั บ กามธาตุ เป น เรื ่ อ งแรก ในชี วิ ต คนเรา ส ว นของกามธาตุ นี้ เป น เรื่ อ งแรก เหมื อ นกั บ ว า เรื่ อ งที่ ป ากคอก หรื อ หญ า ปากคอก.
ปญหาในวิถีของชีวิตตั้งตนดวยกามธาตุ
๑๓๑
นี่ แหละคื อข อ ที่ จะพิ จารณาดู กั น ก อ น และเรี ย กว าเป น เรื่ อ ง ก ข ก กา เพราะว า มั น เป น หญ า ปากคอก, เป น วั ว ที่ อ ยู ป ากคอกชิ ง ออกได ก อ นวั ว ทั้ ง หลาย. กามธาตุเปนอยางนี้ จึงถือวาเปนที่ตั้งตนของปญหาแหงชีวิต ของสิ่งที่มีชีวิต.
ทบทวนเรื่องธาตุพื้นฐาน. ในชั้นแรกจะตองพิ จารณาดู ธาตุ ล วน ๆ ซึ่งเคยอธิบายมาแลวหลายครั้ง หลายหน แมแตในบทสวดที่ สวดไปเมื่อตะกี้นี้ก็ระบุ ถึงธาตุพื้ น ฐานลวน ๆ นี้กอ น วา คนเราประกอบอยู ด ว ย ธาตุ ๖ คือ ธาตุ ดิน ธาตุไ ฟ ธาตุล ม ธาตุ อากาศ ธาตุวิญญาณ นี้เปนธาตุ ๖ เปนธาตุพื้นฐานและทั่วไป สําหรับใชทั่วไป. ธาตุ พื้ น ฐานถั ด มา ก็ คื อ ธาตุ ต า ธาตุ หู ธาตุ จมู ก ธาตุ ลิ้ น ธาตุ กาย ธาตุ ใจ นี้ ก็ อี ก ๖ ซึ่ งก็ ได เคยสวดแล วอธิ บ ายแล ว ว าจั ก ษุ ธาตุ โสตธาตุ ฆานธาตุ ชิ วหาธาตุ กายธาตุ มโนธาตุ เป น ธาตุ ๖ อี ก หมวดหนึ่ ง นี้ ก็ เป น ธาตุ พื้ น ฐาน ซึ่ ง ยั งไม มี ค วามหมายแห ง กามธาตุ หรือ รูป ธาตุ หรือ อรู ป ธาตุ เป น ต น จนกว า มั น จะ ถึงเวลาหรือปรุงแตงกันขึ้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แล วธาตุ ๖ อี กหมวดหนึ่ ง ก็คื อ ธาตุรูป ธาตุเสียง ธาตุ กลิ่ น ธาตุรส ธาตุ โผฏฐั พ พะ ธาตุ ธั ม มารมณ หมายถึ งอยู ข างนอก รูป ธาตุ สั ท ทธาตุ คั นธธาตุ รสธาตุ โผฏฐัพพะธาตุ ธัมมธาตุ นี้ก็ ๖ อีกเหมือนกัน.
๑๓๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
เราได ธ าตุ ๓ หมวด หมวดละ ๖ ก็ เป น ๑๘ ธาตุ หมวดละ ๖ สาม หมวดเป น ๑๘ ธาตุ แล ว นี้ เรียกวาพื้ นฐานที่ สุ ด, และพื้ นฐานอย างยิ่ ง ก็ คื อ ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ล ม ธาตุ ไฟ ธาตุ อ ากาศ ธาตุ วิ ญ ญาณ. และ ๖ ธาตุ แ รกนี่ เอง จะให โอกาสแกธ าตุต า ธาตุห ู ธาตุจ มูก ธาตุก าย ธาตุใ จ, และธาตุต า หู จมูก ลิ ้น กาย ใจ เป น ต น นี้ ทํ าอะไรไม ได จนกว าจะได ธ าตุ ข างนอกมาช ว ย คื อ ธาตุ รูป ธาตุเสียง ธาตุกลิ่น ธาตุรส ธาตุโผฏฐัพพะ ธาตุธัมมารมณ. ดั ง นั้ น เราจึ ง เรี ย ก ๖ อย า งหลั ง นี้ ว า ธาตุ ข า งนอก คื อ รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ ที่ จ ะเข า มากระทบกั บ ธาตุ ข า งใน คื อ ธาตุ ต า ธาตุ หู ธาตุ จ มู ก ธาตุ ลิ้ น ธาตุ ก าย ธาตุ ใจ ; แต ทั้ ง หมดธาตุ นี้ อ าศั ย พื้ น ฐานรากฐานอยู ที่ ธาตุดิน ธาตุน้ํา ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุอากาศ ธาตุวิญญาณ. ถ า ท า นผู ใดเข า ใจเรื่ อ งราวหรื อ หน า ที่ ข องธาตุ ทั้ ง ๓ หมวดนี้ แ ล ว ก็ จ ะ เรี ย กว า รู ก ข ก กา ในเรื่ อ งธาตุ , แล ว ก็ จ ะเข า ใจเรื่ อ งธาตุ ต อ ๆ ไป จนถึ ง ที่ สุ ด ได โดยไมย ากเลย ; จึง ขอใหส นใจธาตุพื ้น ฐาน ๓ จํ า พวกนี ้ก ัน ไวใ หด ี ๆ ใหเ ขา ใจ ชัดเจนอยู.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ธาตุ พื้ นฐานหมวดแรก ก็ คื อ ดิ น น้ํ า ไฟ ลม อากาศ วิ ญ ญาณ, แล ว ธาตุ ข างใน ก็ คื อ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ธาตุ ข า งนอก ก็ คื อ รูป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ , แล วก็ จ ะรู ได ง ายว า นี่ แ หละที่ ตั้ งของป ญ หา, รากฐาน ที่ ตั้ ง ของป ญ หา, แล ว ป ญ หาอะไรจะเกิ ด ขึ้ น มาก อ น ? ก็ คื อ ป ญ หาที่ จ ะเกิ ด มา จากกามธาตุ ซึ่งเป นธาตุห นึ่งในบรรดาธาตุทั้ ง ๓ : กามธาตุ รูป ธาตุ อรูป ธาตุ , ๓ ธาตุ นี้ กามธาตุ เหมื อ นกั บ วั ว ตั ว ที่ อ ยู ป ากคอก มั น จะถลั น ออกมาก อ นวั ว ตั ว อื่ น .
ปญหาในวิถีของชีวิตตั้งตนดวยกามธาตุ
๑๓๓
กามธาตุปรากฏเมื่อรูจักความอรอย. เมื ่อ ชีว ิต ตั ้ง ตน พอสมควรแลว ปญ หาเรื ่อ งกามธาตุก ็จ ะเกิด ขึ ้น เราจึ งดู ตั ว ก ตั ว ข ของเรื่ อ งธาตุ นี้ ว า ชี วิ ต นี้ ตั้ งต น ขึ้ น ด วยธาตุ ล วน ๆ ๓ หมวด ๆ ละ ๖ นี้ ซึ่ ง เป น ธาตุ ก ลาง ๆ. ในชั้ น แรกยั ง นั บ ว า เป น ธาตุ ก ลาง ๆ หรื อ จะเรี ย กว า อั พ ยากฤต คื อ พู ด ว า เป น อย า งไรก็ ยั ง ไม ไ ด ; พู ด ว า ดี ก็ ไ ม ไ ด , ว า ชั่ ว ก็ ไ ม ไ ด , ว า ทุก ขก ็ไ มไ ด, วา สุข ก็ไ มไ ด อะไรทํ า นองนี ้ ยัง เปน กลาง ๆ อยู . ชีว ิต ของเรา มั น เริ่ ม ขึ้ น มาด วยธาตุ ๓ หมวดนี้ , ยั งไม เป น ป ญ หาก อ น จนกว าจะได ก ามธาตุ เข า มาตามโอกาส คื อกว าจะได อารมณ คื อธาตุ ภายนอกเข ามา สํ าหรั บกามธาตุ ที่ อยู แนว หนาหรือปากคอก. สั ง เกตเอาเองง า ย ๆ ว า เด็ ก เล็ ก ๆ เกิ ด ขึ้ น มา ในชั้ น แรกก็ ไ ม รู เ รื่ อ ง อะไร ก็ มี ธาตุ ดิ น น้ํ า ไฟ ลม อากาศ วิ ญ ญาณ ปรุ งแต งขึ้ นมา เป น ชี วิ ตร างกาย แล วมี ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ที่ ประกอบอยู ด วย ธาตุ ตา ธาตุ หู ธาตุ จมู ก ธาตุ ลิ้ น ธาตุ กาย ธาตุ ใจ, จนกว าเมื่ อไรเด็ กทารกนั้ นจะได รั บธาตุ ข างนอก คื อ รู ป เสี ยง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ ที่ จ ะมากระทบ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ. เมื่ อ ยั งไม มี ความรู สึ กอะไรมากไปกว านั้ น ก็ เรี ยกว ายั งเป นชั้ นกลาง ๆ อย างว าหิ วก็ ร องไห ได กิ น ก็หยุดไป, จนกวาเมื่ อไรจะรูจักความอรอย ในสิ่งที่ ไดกินเขาไป ตอนนี้ก็บอกยาก. อาตมาก็ นึ ก ไม อ อกเหมื อ นกั น ว า ตั ว เองเมื่ อ เป น ทารกนั้ น รู สึ ก อร อ ยเมื่ อ ไร เมื่ อ อายุ ได กี่ วั น เมื่ อ อายุ ได กี่ สั ป ดาห จึ งจะรู สึ ก ว าอร อ ยเป น หรื อ ไม อ ร อ ยแล วก็ โกรธขึ้ น มา เปนนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๑๓๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ในชั้ น แรกจะรู สึ ก แต ว า หิ ว ก็ ร อ งไห ได กิ น ก็ ห ยุ ด ไป แม เพี ย งเท า นี้ ก็ ยั ง จํ าไม ค อ ยได , แล วก็ จํ าอาการอย างนี้ ไม ค อ ยได ด วยกั น ทุ ก คน. เพราะฉะนั้ น อย าเอา เวลากันดี กวาวาเมื่ อไร เมื่ ออายุเท าไร พู ดได ตามพระบาลีเลยวา, พระพุ ทธเจ าท าน ไดตรัสไวเอง วา เมื่อทารกนั้นมันรูจักยึดมั่นในรสอรอย ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ; เมื่อนั้นทารกนั้นจะเริ่มรูจัก ตัณหา อุปาทาน คือ รูจัก ตัณหา อุปาทาน ซึ่งจะเปนที่ตั้งแหงปฏิจจสมุปบาทและความทุกข. เมื่ อ ทารกนั้ น รูจั ก กั บ ความอรอ ย ก็เรียกวานั่ น แหละคื อ หน าที่ หรือ การงาน หรือ การแสดงออก, หรือ ความปรากฏ ของสิ่ งที่ เรีย กวา กามธาตุ ; เพราะคํ าว ากามธาตุ ในกรณี ทั่ วไป ไม จํ าเป น จะต องหมายถึ งเรื่ องเพศ ระหว างเพศผู เพศเมี ย อย า งเดี ย ว, แม ค วามรู สึ ก อร อ ย ทางตา ทางหู ทางจมู ก ทางลิ้ น ทาง ผิ วหนั ง ๕ อย างนี้ ก็ เรี ยกว า เป นสิ่ งที่ สงเคราะห รวมอยู ในกามธาตุ , จนกว าทารกนั้ น จะเติ บโตขึ้ นมาตามลํ าดั บ สิ่ งที่ เรี ยกว ากามธาตุ ก็ ขยายตั วขึ้ นมาตามลํ าดั บ จนกว า จะมีความรูสึกเรื่องเพศ หรือเรื่องระหวางเพศ.
การขยายตัวของกามธาตุ. www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เดี๋ ย วนี้ นั ก ปราชญ ใ นทางจิ ต วิ ท ยา ที่ เกี่ ย วกั บ ระบบจิ ต หรื อ วิ ญ ญาณนี้ เขาก็ ยอมรั บ ว าความรู สึ กเหล านี้ เป นการตั้ งต น หรื อเป นการแสดงออกในระยะต น ๆ ของความรู สึ ก ทางเพศ. ฉะนั้ น เด็ ก เล็ ก ๆ ก็ รู จั ก กอดแม หรื อ รู จั ก ความสั ม ผั ส ที่ นิ่ ม นวล ที่ เ ป น โผฏฐั พ พะ ที่ เป น ความหมายของเรื่ อ งทางเพศในเวลาต อ มา. นี่ หมายความวา เชื้ อ แห งกามธาตุ มั น ก็ได มี อ ยู แลว, แลวก็ไดเริ่มแสดงอาการแลว ;
ปญหาในวิถีของชีวิตตั้งตนดวยกามธาตุ
๑๓๕
จึง เปน อัน ถือ ไดวา กามธาตุก ็ด ี รูป ธาตุก ็ด ี อรูป ธาตุก ็ด ี มัน มีเชื ้อ อยู แ ลว แต ไม แสดงออกจนกวาจะได โอกาส คื อมี การสั มพั นธกันระหวางธาตุ ขางนอกกับธาตุ ขางใน. นี้ ก ามธาตุ ก็ ข ยายตั วเรื่ อ ยไป จนถึ งกั บ อวั ย วะต าง ๆ ในรางกายเจริญ เต็ ม ที่ , ความรู สึ ก ระหว า งเพศจึ ง เต็ ม ที่ ; กามธาตุ จึ ง ได โ อกาสที่ จ ะแสดงบทบาท รุน แรง. เดี ๋ย วนี ้ม ัน ไมใ ชเ รื ่อ งวา หิว อยากจะกิน อิ ่ม แลว เลิก กัน , มัน เปน ความ หิ วความต องการ ของธาตุ ที่ สู งขึ้ นไปกว าธาตุ พื้ นฐาน คื อความต องการของกามธาตุ ; ฉะนั้ น จึ ง รุ น แรงถึ ง ขนาดที่ เป น ป ญ หา คื อ นํ า มาซึ่ ง ความทุ ก ข หรื อ นํ า มาซึ่ ง ความ ยุงยากตาง ๆ นานาในโลกนี้. เราจะได เห็ น อาชญากรรมทางเพศนี่ หนาขึ้ น ๆ ในโลกนี้ ทุ ก วั น ๆ ตาม ความเจริ ญ ของมนุ ษ ย ที่ เจริ ญ ด ว ยวั ต ถุ ที่ ส ง เสริ ม ความรู สึ ก ทางกามธาตุ . เดี๋ ย วนี้ ดู เ หมื อ นว า อะไร ๆ ในโลกนี้ ก็ ตั้ ง หน า ตั้ ง ตาจะผลิ ต กั น เพื่ อ ส ง เสริ ม กํ า ลั ง ของ กามธาตุ กั น ทั้ ง นั้ น , นั บ ตั้ ง แต ใ ห ส วย นั บ ตั้ ง แต ใ ห ไ พเราะ, นั บ ตั้ ง แต ใ ห ห อม ให อร อ ย ให นิ่ ม นวล, ที่ เรี ย กกั น ว า อารมณ ทั้ ง ๕ หรื อ กามคุ ณ ทั้ ง ๕ ส งเสริ ม ให ก า ว หนาอยางกะวิ่งไปทีเดียว.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้ น คนจึ งตกเป น เหยื่ อ ของกามธาตุ ม าก ป ญ หาอาชญากรรม ทางเพศจึ ง มี ม าก ; นี้ ค วรจะเรี ย กว า ก ข ก กา ของป ญ หาของมนุ ษ ย ในด า น อาชญ ากรรมทางเพศ; เมื่ อ ไม รู ก ข ก กา แล ว จะไปรู อ ะไรมากกว า นั้ น ได อยา งไร ? ขอใหรู เ สีย ทีเ ถอะวา เรื ่อ งยุ ง ยากลํ า บากในบา นเมือ ง หรือ วา โลกนี้
๑๓๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ส วนใหญ ส วนหนึ่ งนั้ น มั น ตั้ งต น ขึ้ น มาด ว ยป ญ หาทางสิ่ งที่ เรี ย กว า กามธาตุ , มั น ก็ รุ น แรงเรื่ อ ยไป ๆ จนกระทั่ ง มี ค วามเป น หนุ ม เป น สาวเต็ ม ที่ , จนกว า จะเนื อ ยไป เพราะมันลวงไป ๆ.
ธาตุกาม - รูป - อรูปจะปรากฏตามวัย - เวลา. เมื่ อ กามธาตุ เนื อ ยไป โอกาสส ว นใหญ ก็ เป น ของ รูป ธาตุ คื อ ที่ จ ะไป หลงใหลในสิ ่ง ที ่เ ปน รูป บริส ุท ธิ ์ เปน รูป ลว น ๆ ไมเ กี ่ย วกับ กาม ; เมื ่อ รูป ธาตุ เจริ ญ ก าวหน าไปได มาก มั นก็ จะเนื อยไป มั นก็ จะเป นโอกาสให เกิ ดความหลงใหลใน ทางอรูปธาตุ. นี่ถาเราจะแบงกันเปนตอน ๆ ก็เปนอยางนี้. คนอายุ น อย ๆ ก็ เริ่ มต นด วยกามธาตุ จนกระทั่ งถึ งวั ยหนุ มสาว วั ยกลาง คนอย า งนี้ , หลั ง จากนั้ น กามธาตุ ก็ เนื อ ยไป จนเป น โอกาสของรู ป ธาตุ คื อ เป น เรื่ อ ง วั ต ถุ ทรั พ ย สิ่ ง ของสมบั ติ เป น วั ต ถุ อ ย า งนี้ เสี ย มากกว า , จนกระทั่ ง แก ช รา ก็ จ ะ นึก ถึง อรูป ธาตุ เชน บุญ เชน กุศ ล เชน โลกหนา , หรือ แมแ ตว า เกีย รติย ศชื ่อ เสี ย งอั น แท จ ริ ง ก็ จ ะมานึ ก กั น ตอนนี้ นี้ ในคนหนึ่ ง ๆ มี อ ายุ ยื น ยาวสั ก ๘๐ - ๙๐ ป หรือ ๑๐๐ ป เป น อย างมาก มั น ก็มี ก ารตั้ งต น ด ว ยป ญ หาของกามธาตุ , แล วจึ ง มาถึงรูปธาตุ, และมาถึง อรูปธาตุ ดวยอาการอยางนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ เป น ส ว นหนึ่ ง ซึ่ ง จะต อ งสั งเกตให เห็ น ให รู จั ก ก ข ก กา ของป ญ หา ที่ ตั้ งต น ขึ้ น มาจากกามธาตุ เป น ส ว นใหญ เราไม มี ค วามสุ ข เรามี ค วามทุ ก ข ดิ้ น รน ทนทรมาน แล ว แก ก็ ไ ม ไ ด และไม รู ว า มั น มาจากอะไร หรื อ บางที รู ว า มั น มาจาก สิ ่ง นี ้, ก็บ ัง คับ ใจใหม ัน อยู ใ นอํ า นาจไมไ ด มัน ก็ต กเปน เหยื ่อ ของความรู ส ึก
ปญหาในวิถีของชีวิตตั้งตนดวยกามธาตุ
๑๓๗
เหลา นั ้น มัน ก็เ ลยแกไ มไ ด, ทั ้ง ที ่รู อ ยู ว า จะตอ งแกอ ยา งนี ้ ๆ. แตถ า ไดศ ึก ษา เรื่อ งเหลา นี้ใ หเ พีย งพอ มัน มีห วัง หรือ มีสว นที่จ ะแกไ ดม ากขึ้น หรือ งา ยขึ้น ดั งนั้ นจึงขอให สนใจ วาชีวิตคนหนึ่ งมั นตั้ งต นด วยป ญหากามธาตุ แล วก็ มาถึ งป ญหา รูปธาตุ แลวก็มาถึงปญหาอรูปธาตุ ดวยอาการอยางนี้. ที นี้ เราจะดู กั น ในข อ ที่ ว า แม ใ นระยะกาลอั น หนึ่ ง ๆ ซึ่ ง เรี ย กว า เป น ระยะกาลของธาตุห นึ ่ง ๆ ในเบื ้อ งตน เชน ในกามธาตุ ก็ย ัง มีส ว นที ่จ ะตอ ง สลับ กัน อยู ก ับ เรื ่อ งของรูป ธาตุห รือ อรูป ธาตุ; เพราะเหตุว า สิ ่ง เหลา นี ้ม ัน สั ม พั น ธ กั น อยู มั น เนื่ อ งกั น อยู มั น ไม ได แ ยกกั น โดยเด็ ด ขาด, และเพราะเหตุ ที่ ว า ความเปลี่ ย นแปลงมี ม าก ในระหว า งความสั ม พั น ธ กั น นี้ ฉะนั้ น มั น จึ ง มี ก ารแทรก แซงบาง ระหวางธาตุอื่น. เช น ในวั ย เด็ ก วั ย หนุ ม สาว ที่ จ ะถื อ ว า เป น ระยะกาลของกามธาตุ ; แตในบางคราว หรือบางโอกาส คนหนุ ม สาวก็ มิ ได ลุม หลงในเรื่อ งทางกามา รมณห รือ ทางเพศ จนตลอดทั ้ง ๒๔ ชั ่ว โมง ก็ไ ปสนใจเรื ่อ งวัต ถุล ว น ๆ ก็ม ี, ไม เกี่ ยวกั บความรูสึ กทางกามบ างก็ มี , หรือบางที ก็ ออกไปหาความรูสึ กที่ ไม เกี่ ยวกั บ กาม, เช น ต อ งไปนั่ ง พั ก ผ อ นก็ มี บางที อ ยากจะนั่ ง อยู นิ่ ง ๆ หรื อ ไปนั่ ง ที่ ริ ม ทะเล นิ่ง ๆ ไมม ีใ ครมารบกวนก็มี. แตโดยเหตุที ่วา มัน เปน ระยะกาลของกามธาตุ มัน ก็ห นีไ มพ น , มัน ก็จ ะตอ งวิ่ง มาหาเหยื ่อ หรือ อารมณท างกามธาตุต อ ไป อีก ; สวนใหญมันจึงเปนเสียอยางนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แต สั งเกตดู ให ดี แล วว า ไม ได เป นอย างนั้ นไปตลอดเวลา มั นมี ส วนแทรก แซงของธาตุ อื่ น เป น ธรรมดา แต ว า มั น น อ ยเกิ น ไป ; ดั ง นั้ น จึ ง ไม นั บ ว า ระยะกาล
๑๓๘
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
นี ้ห รือ วัย นี ้ เปน วัย ของรูป ธาตุห รือ อรูป ธาตุ. นี ้แ หละคือ ความเปน ก ข ก กา ของกามธาตุ ที่ตั้ง ตน ขึ้น มาในชีวิต ของคนเปน ระยะแรก มีโ อกาสใหธ าตุ อื่น แทรกแซงไดน อ ยมากในชีวิต ประจํา วัน จนกวา จะลว งกาลผา นวัย ไปเปน ผู ใหญ อ ายุ ม าก จึ งจะเป น โอกาสของรูป ธาตุ ; ที นี้ ก ามธาตุ ก็ ก ลายเป น ผู แ ทรกแซง เล็ก ๆ นอย ๆ จนกวาจะหมดไป; เมื่อลวงกาลผานวัยไปถึงความแกชรา ก็เปน โอกาสของอรูป ธาตุม ากกวา ; สว นที ่เปน กามธาตุ หรือ รูป ธาตุ ก็ม ีก ารแทรก แซงบางเปนสวนใหญ. ถ าเรามองดู ชี วิ ตอย างนี้ เข าใจความจริงอย างนี้ มั นควบคุ มป ญหาต าง ๆ ได ง าย ฉะนั้ น จึ งขอร องว า อย าไปเบื่ อ หน ายในการที่ จะศึ กษา ก ข ก กา อั น เกี่ ย ว เรื่องธาตุนี้เลย. อาตมาก็ พู ดซ้ํ า ๆ ซาก ๆ อยู แต เรื่ อง ก ข ก กา จนคนบางคนเบื่ อหน าแล ว ก็ มี ; แต มั น ก็ ช วยไม ได มั น ไม มี ท างอื่ น ที่ ทํ า ให ค นเราจะอยู ได ด ว ยความสงบสุ ข . พระพุ ท ธเจ า ท านก็ ต รัส ไว ชั ด เจน อย างบทที่ พ ระได ส วดได ต ะกี้ นี้ ว าเมื่ อ ใดมี ก าร เกิดขึ้นแหงธาตุ เมื่อนั้นก็มีการเกิดขึ้นแหงทุกข; เมื่อใดมีการดับไปแหงธาตุ เมื่อนั้นก็มีการดับขึ้นแหงทุกข. นี้หมายความวาเมื่อใดธาตุมันปรุงแตงกัน จน ทํ าหน าที่ สํ าเร็จรูปตามหน าที่ ของ กามธาตุ รูปธาตุ อรูปธาตุ เป นต นแล ว ป ญ หา มัน ก็เกิด ขึ ้น ลว นแตเปน ทุก ขทั ้ง นั ้น , มัน เปน ความทุก ขที ่ต า ง ๆ กัน วัย หนุ ม สาวก็ มี ค วามทุ กข แบบหนึ่ ง, พ อ บ านแม เรือ นก็ มี ค วามทุ กข อ ยู อี กแบบหนึ่ ง, คนแก ชราจนกระทั ่ง แกห งอ ม ก็ม ีค วามทุก ขไ ปอีก แบบหนึ ่ง . แตอ ยา งไรก็ด ี ทั ้ง หมด นี้ มั น มี มู ล มาจากป ญ หาเรื่ อ งธาตุ ทั้ ง ๓ นี้ ทั้ งนั้ น จึ งควรจะรูกั น ไว ตั้ งแต เบื้ อ งต น จนถึงเบื้องปลาย. ถาเรียนเรื่องเบื้องตน ก็ตองถือวา เปนเรื่อง ก ข ก กา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
ปญหาในวิถีของชีวิตตั้งตนดวยกามธาตุ
๑๓๙
อยากจะแนะให พิ จารณาว า ป ญ หาเรื่ อ งกามธาตุ นี้ ม าก อ น แล วก็ ม า ตามธรรมชาติ มาโดยสั ญ ชาตญาณ มาตามปกติ ธ รรมดา, แล ว ก็ ไ ด ทํ า ให เกิ ด ป ญ หายุ งยากลํ าบากส วนตั วบุ คคล หรือเป นป ญ หาทางศี ลธรรมของสั งคม จนสั งคม เสื ่อ ม. มนุษ ยจ ึง มีร ะเบีย บประเพณี กระทั ่ง เรื ่อ งทางศาสนา ที ่จ ะควบคุม ป ญ หาที่ เ กี่ ย วกั บ กามธาตุ หรื อ กามารมณ นี้ . ขอให ไ ปศึ ก ษาดู โดยเฉพาะใน ป จ จุ บั น นี้ แล ว มี ป ญ หาความยุ งยากลํ าบาก อั น มี มู ล เหตุ ม าจากเรื่ อ งกามารมณ นี้ มากขึ้ น ทุ ก ที เพราะว า ไม มี ใครห า มใครได . ในบ า นในเมื อ งในกรุ ง จึ ง เต็ ม ไปด ว ย สถานที่ ที่ ส ง เสริ ม กามารมณ ทางตา ทางหู ทางจมู ก ทางลิ้ น ทางกาย. มนุ ษ ย ก็ จะมี ป ญ หามาก มี ค วามทุ ก ข ม าก ราวกั บ ว าตกนรกทั้ งเป น อยู ที่ นี่ อยู ต ลอดเวลา ดวยเหมือนกัน.
กามธาตุ - รูป - อรูป เคยถูกยกเปนนิพพาน. ที นี้ เมื่ อ พู ด ถึ ง เรื่ อ งกามธาตุ ก็ มี เรื่ อ งเป น เรื่ อ งระหว า งเพศ ถ า ทํ า ได ดี เขายกให เป น สวรรค ไ ปเลย ว า ในสวรรค นั้ น ก็ ไ ม มี อ ะไร นอกไปจากกามารมณ ที่ เป น ทิ พ ย , แล ว ก็ ได อ ย า งอกอย า งใจนี้ เตลิ ด เป ด เป งไปทางหนึ่ ง , แล ว ก็ ดู เอาเองว า เปน เรื ่อ งดี หรือ เปน เรื ่อ งรา ย. ที ่น า หัว อยา งยิ ่ง หรือ แปลกประหลาดไปกวา นั ้น อี ก ก็ คื อ พระพุ ท ธเจ า ท า นได ต รั ส ไว ในเรื่ อ งทิ ฏ ฐิ ทั้ ง หลายของมนุ ษ ย ซึ่ ง มี อ ยู มากมายดวยกัน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org มนุษยพวกหนึ่งมีทิฏฐิ ถือเอากามารมณสูงสุดวาเปนนิพพาน นาขันหรือ ไม น า ขั น น า หั ว หรื อ ไม น า หั ว ก็ ต าม แต ว า เป น เรื่ อ งจริ ง ที่ ไ ด มี อ ยู แ ล ว ตั้ ง แต
๑๔๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
กอนพุ ทธกาล. หรือแมในพุทธกาลก็มี คือลัทธิที่เรียกวา กามสุขัลลิกานุโยค บา ง, ลัท ธิโ ลกายตะบา ง. ถา เทีย บกับ เดี ๋ย วนี ้ ก็ค ือ ลัท ธิว ัต ถุน ิย ม ที ่เ อา ความสู ง สุ ด ทางเนื้ อ หนั ง ว า เป น ของสู ง สุ ด ของมนุ ษ ย . สมั ย โน น เขาก็ เ รี ย กว า นิพ พาน เพราะมันเปนสูงสุดของความสุขที่มนุษ ยจะพึ งได คือ ดับ ความใครข อง มนุษยไดมาก ; มนุษยก็รูสึกเปนสุขมากจนยึดเอาเปนนิพพาน กันคราวหนึ่ง. สมั ย หนึ่ ง . มี ค นเชื่ อ ถื อ กั น มาก นั บ ถื อ กั น มาก นั บ ถื อ ลั ท ธิ นี้ กั น มาก นั้ น ก็ เรี ย กว า กามารมณ หรื อ กามธาตุ ก็ ต าม ถู ก ยกขึ้ น เป น นิ พ พานก อ นธาตุ ใด ๆ. กาม นิพพานมากอนนิพพานใด ๆ ก็จะตองเลาตอไปวา ตอมานั้นมีอะไรเปนนิพพาน. เมื่ อมนุ ษย มี กามารมณ สู งสุ ดเป นนิ พพานกั นยุ คหนึ่ ง สมั ยหนึ่ งแล ว ต อ มามนุษ ยอ ีก พวกหนึ ่ง เกิด พบวา เปน เรื ่อ งหลอกลวง ; เพราะวา เขาไดไ ปพบ ความสุ ข ที่ เกิด มาจากสมาธิป ระเภทรูป ฌาน คือเอารูป ธรรมลวน ๆ ที่ไมเกี่ยว กั บกามารมณ มากํ าหนดไว ในจิ ต, แล วก็ ขจั ดความรูสึ กที่ เป นกามารมณ ออกไปเสี ย ไดจากจิต อยางบทสวดของสัมมาสมาธิ ที่วาดวยปฐมฌาน กาเมหิ อกุสเลหิ วิวิจฺเจว ที่ สงั ดออกไปเสี ยได จากกามและอกุ ศลนี้ ได สมาธิ นี้ มา มี ความสุ ข ก็ เลยยึ ดถื อเอา ความสุ ข ที่ เ กิ ด จากสมาธิ ป ระเภทรู ป ธรรมนี้ ว า เป น นิ พ พาน. นี้ ก็ มี อ ยู ยุ ค หนึ่ ง เหมื อนกั น เรียกว าเอาความรูสึ กที่ เกิ ดมาจากรู ปธาตุ อั น บริสุ ทธิ์ นี้ เป น นิ พ พาน เป น ยุคที่สอง
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ต อ มาอี ก ยุ ค หนึ่ ง เกิ ด มี ค นพบว า นั้ น ก็ ยั ง หยาบไปหน อ ยไม ป ระณี ต จึงคนหาไดความสุขมาจากสิ่งที่ไมมีรูป เรียกวาอรูปฌาน ; นับตั้งแตอากา สานั ญจายตนะ ไปจนถึ งเนวสั ญ ญานาสั ญญายตนะ, แล วก็ บั ญ ญั ติ นี้ ว าเป นนิ พพาน คนก็เชื่อถือกันมาก นับถือกันมากอยูยุคหนึ่ง.
ปญหาในวิถีของชีวิตตั้งตนดวยกามธาตุ
๑๔๑
เมื่ อพระพุ ทธเจ าออกผนวชใหม ๆ ก็ ได เข าไปศึ กษาในสํ านั กนี้ คื อที่ เอา อรูปฌานที่ เกิ ดมาจากอรูปธรรมว าเป นนิ พพาน, ที่ เรารูจั กกั นวา สํ านั กอาฬารดาบส, สํานักอุทกดาบส ; เขาไปศึกษาแลวไมพอพระทัย, มีคําตรัสของพระพุทธเจาเองวา เพราะนั่นเปนแตเพียง อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ. พระองค ไมเห็นดวย แลวก็หลีกออกไปเสีย ไปคนหาใหม จึงไดพ บนิ พ พานอยางในพระ พุทธศาสนา ซึ่งประกอบขึ้นดวยนิโรธธาตุ โดยสมบูรณ, คือจะตองตัดกําลังของ กามธาตุ ของรูปธาตุ ของอรูปธาตุ ออกไปเสี ยให หมด ด วยอํ านาจของนิ โรธธาตุ ; ที ่เ ราเรีย กวา ดับ กิเ ลสตัณ หาเสีย ไดสิ ้น เชิง . นี ้จ ึง จะเปน นิพ พานที ่ถ ูก ตอ ง นิพพานแทจริง นิพพานที่มาจากนิโรธธาตุนี้มาหลังเขาหมด. ทีแ รกกามนิพ พานมากอ น อาศัย กามธาตุเ ปน กํ า ลัง , แลว ตอ มา รูป นิ พ พานมากอน อาศั ยรูป ธาตุ เป นกําลัง, ตอมาอรูป นิ พ พาน อาศัย อรูป ธาตุ เปน กําลัง, ครั้นมาถึงพระพุ ทธเจา ก็อ าศั ยนิ โรธธาตุ เปน กําลัง ดั บ กิ เลสดั บ ทุกขสิ้นเชิง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ดูเถอะวาทําไมจะไมควรกลาววา กามธาตุ เป นต นตอแห งป ญ หาใน ชี วิ ต มนุ ษ ย , จนกระทั่ งบั ด นี้ ก็ ยั งมี ค นแบ งเป น พวก ๆ กั น ถื อ ลั ท ธิ นั้ น ถื อ ลั ท ธิ นี้ . พวกที่ ถื อเอากามารมณ เป นนิ พพานก็ ยั งมี อยู ก็ ได แก คนป จจุ บั นนี้ บางคน หรือบาง พวก หรือจํ านวนมากเสี ยด วย, ไม เห็ นด วยวาอะไรประเสริฐไปกวารสทางกามารมณ . เขาก็ลุมหลงไมสนใจธรรมะอื่นเลย สนใจแตธรรมะทางกามธาตุ ทางกามารมณ ทั้งนั้น ในปจจุบันนี้ก็ยังมี.
๑๔๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ฉะนั้ นอย าไปดู ถู กดู หมิ่ นคนสมั ยก อนพุ ทธกาลโน นว าโง เลย เขาก็ เหมื อน กั บคนสมั ยนี้ เมื่ อเขาไม เห็ นอะไร หรื อไม เข าใจอะไร ๆ ได ดี กว านี้ ก็ ต องเอาเรื่ องทาง กามธาตุ เป น นิ พ พาน, และมี อ ยู ก อ นพุ ท ธกาลนานไกล; กระทั่ ง ในยุ ค พุ ท ธกาลก็ ยั ง เหลื อ อยู กระทั่ ง บั ด นี้ ก็ ยั ง เหลื อ อยู แล ว จะยิ่ ง มากขึ้ น ด ว ยซ้ํ า ไป. เพราะว า บั ด นี้ โลกเรานี้ กําลั งหลงใหลแต เรื่อ งทางกามธาตุ เรื่อ งกามารมณ จะยิ่ งไปกวาครั้ง พุ ท ธกาลเสี ย อี ก . ทํ า ไมเป น อย า งนั้ น เพราะว า โลกสมั ย นี้ ฉ ลาดมากขึ้ น ในเรื่ อ ง ทางวั ต ถุ จึ งสามารถแสวงหาหรื อ ว าปรุ งขึ้ น มา, คื อ ปรุ งเหยื่ อ สํ าหรั บ กามธาตุ ขึ้ น มา ได ดี ได ม ากกว า สมั ย ครั้ งพุ ท ธกาล ก็ ค วรจะถื อ ว า ป ญ หาที่ เกี่ ย วกั บ กามธาตุ นี้ เป น ปญหาเบื้องตนของมนุษย แมกระทั่งทุกวันนี้.
ทุกอยางเกิดจากสิ่งที่ซอนอยูในธาตุ ผสมกับเหตุปจจัยภายนอก. ที นี้ เ ราก็ จ ะดู ข อ เท็ จ จริ ง อั น หนึ่ ง ที่ ว า มั น เป น มาในลั ก ษณ ะอย า งนี้ ได อ ย า งไร ? ในข อ นี้ อยากจะแนะให สั ง เกตให เ ห็ น ข อ เท็ จ จริ ง ที่ ว า ธาตุ ที่ เ ป น ป ญ หา ที่ เ ป น ตั ว ป ญ หา เช น กามธาตุ รู ป ธาตุ อรู ป ธาตุ นี้ มั น ก็ มี เ ป น เชื้ อ ที่ มองไม เ ห็ น ที่ ซ อ นมาเสร็ จ แล ว ในธาตุ ทั้ ง หลาย ที่ จ ะปรุ ง แต ง กั น ขึ้ น มาเป น ชี วิ ต . เพราะวา ธาตุห นึ ่ง ๆ นั ้น ก็ม ีเ ชื ้อ อะไรเก็บ ไวใ นนั ้น มาก; อยา งวา ในธาตุด ิน ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ลม นี้ มั นมี เชื้ อ หรื อ มี โอกาส หรื อมี ค วามเหมาะสม ที่ จะซ อ น ธาตุ อื่ น ๆ ไว ใ นนั้ น ; จะเป น กามธาตุ ก็ ดี รู ป ธาตุ ก็ ดี อรู ป ธาตุ ก็ ดี นิ โ รธธาตุ ก็ ดี มัน มีเ ชื ้อ หรือ อํ า นาจ หรือ อะไรก็ต าม ซอ นมาเสร็จ อยู ใ นนั ้น , แลว เมื ่อ ธาตุ
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
ปญหาในวิถีของชีวิตตั้งตนดวยกามธาตุ
๑๔๓
ทั้ งหลายเหล านี้ แต ละธาตุ มาผสมรวมกั นเข าอี ก มั นก็ มี ทางที่ จะให ขยายตั วออกมา เป น รู ป เป น ร า งมากขึ้ น อี ก . การที่ เราจะเข า ใจคํ า ว า มี อ ะไรซ อ มมาแล ว ในนั้ น นั้ น ไมย าก คือ ขอใหส ัง เกตดูจ ากสิ ่ง ที ่ม องดูด ว ยตาเห็น กัน กอ น; เมื ่อ เห็น แลว ก็ จะมองสิ่งที่มองดวยตาไมเห็นไดเปนลําดับไป. เช นว าในไข ไก ฟ องหนึ่ ง เอามาต อยดู จะเห็ นเยื่ อเหลื อง ๆ ขาว ๆ อะไร ไม เห็ น มี อ ะไรมากไปกว า นั้ น หรื อ มี จุ ด ชี วิ ต จุ ด หนึ่ ง เล็ ก ๆ ซึ่ ง ก็ ดู ย าก. ที นี้ เมื่ อ ไข ฟองนั้ นได รับความอบอุ นพอ ทํ าไมเนื้ อเหลื อง ๆ ขาว ๆ เหล านั้ นกลายเป นลู กไก ได , แลว ในลูก ไกนั ้น มัน ก็ม ี ขนไก, ขาไก, หงอนไก, กระดูก ไก, เลือ ดไก, อะไรอยู ในลูก ไกนั้น มัน เอามาจากไหน ? ถา มัน ไมซอ นอยู มาเสร็จ แลว ในฟองไข เล็ ก ๆ ซึ่ งอยู ในเปลื อ กบาง ๆ. เพราะว า ในระยะที่ ฟ องไข ฟ ก ตั ว นี้ ก็ ไม มี อ ะไร นอก จากความรอนที่ พอเหมาะสม, ความรอนที่ เหมาะสมก็ ทํ าให ฟองไขนั้ น กลายเป นไก เป น ลู ก ไก ขึ้ น มา. มั น ก็ น า หั ว ที่ ว า เรากิ น ไข เข าไปฟองหนึ่ ง ก็ เท า กั บ กิ น กระดู ก ไก , ขาไก , ขนไก , อะไรไก ไก ทั้ ง หมดเข า ไปแล ว ด ว ย; แต เราก็ ไ ม นึ ก อย า งนั้ น ก็ นึ ก วา กิน ฟองไขเ พีย งแตเ นื ้อ เหลือ ง ๆ ขาว ๆ เทา นั ้น เอง. นี ้เ รีย กวา ไมด ู หรือ วา ขี้เกียจที่จะดูกันมากเกินไป.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ขอให ส นใจดู ว า แม แ ต ใ นเรื่ อ งวั ต ถุ ล ว น ๆ มั น ก็ ยั ง มี อ ะไรซ อ นกั น อยู ในนั้ น จนกว า จะแสดงตั ว ออกมา ด ว ยเหตุ ป จ จั ย อื่ น ๆ. บรรดาธาตุ ทั้ งหลายธาตุ หนึ่ง ๆ ก็มีอะไรซอนอยูในนั้น มากมายหลายอยาง จนกวาจะไดโอกาสไดแสดง ตั วออกมา เพราะเหตุ ป จ จั ย มั น ช วยแวดล อ ม. ในฟองไข ซึ่ งเป น สั ต ว ที่ เป น ครรภ อ ยู ในฟองนี ้ มัน เห็น ไดง า ย. ทีนี ้แ มจ ะเขยิบ เขา ไปในคน ในครรภข องสัต วที ่ไ ม ต อ งใช ฟ องไข มั น ก็ ยั ง พอจะเห็ น ได อ ยู นั่ น เอง. ถ า เราเข า ใจเรื่ อ งของฟองไข แ ล ว
๑๔๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ก็ เข าใจเรื่อ งการตั้ งปฏิ ส นธิ และการเจริ ญ ของสั ต ว ที่ ไม ต อ งไข อ อกมาเป น ฟองก็ ได อีกเหมือนกัน เชน มนุษยเปนตน. มนุ ษ ย เกิ ดในครรภ หรื อว าสั ตว เดรั จฉานประเภทที่ เกิ ดในครรภ ไม ต อง ออกเป น ฟองนี้ มั น มี ห ลั ก เกณฑ อั น เดี ย วกั น ; อย า งที่ เขาถื อ กั น เป น หลั ก ในคั ม ภี ร นั้ น ก็ ว า เป น กลละ ก อ น คื อ เป น จุ ด เล็ ก ที่ ใสมาก, เล็ ก จนดู ด ว ยตาไม เห็ น เป น กลละที่ อ ยู ใ นครรภ ข องมารดา, แล ว ต อ มาจึ ง เป น อั ม พุ ช ะ คื อ ใหญ ขึ้ น หน อ ย ตอมาจึงเปน เปสิ เปนชิ้นเนื้อ, ตอมาจึงเปนป ญจสาขา คืองอกเป น ๕ แงง จะได เปน หัวเปนมือ ๒ เปนเทา ๒. นี้ ดู ในระยะที่ มั นเป นกลละ ซึ่ งเป นจุ ดเล็ กที่ แทบจะมองไม เห็ น ว าทํ าไม ในนั ้น มัน จึง มีค วามที ่จ ะเปน สัต ว เปน คนออกมาในตอนหลัง นี ้เ สร็จ ; เพราะวา มั น มี ซ อ นมาเสร็จ แล วอยู ในนั้ น , มั น ก็ เจริญ ไปตามเรื่อ งของมั น จนออกมาเป น คนอยา งที ่ม านั ่ง กัน อยู ที ่นี ่. ทีแ รกก็เ ปน จุด เล็ก ๆ; เพราะฉะนั ้น ตอ งถือ วา ใน จุดเล็ก ๆ นั้น มันไดซอนความเปนคนอยางนี้ไวแลวโดยสมบูรณ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ดั ง นั้ น ขอให ถื อ ว า ในธาตุ ห นึ่ ง ๆ มั น ก็ มี อ ะไรของมั น ซ อ นมาแล ว โดยสมบูร ณ ตามหนา ที ่ข องธาตุนั ้น ๆ. ทีนี ้เมื ่อ ธาตุ นั ้น ๆ มัน ประกอบกัน เขา หลายธาตุ ความที่มีอ ะไรซอ นกัน อยูในนั้น มัน ก็ยิ่งมากขึ้น เปนธาตุดิน ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ลม ธาตุ อ ากาศ ธาตุ วิ ญ ญาณ ทั้ ง ๖ ธาตุ มารวมกั น , แล ว เปลี่ ย นแปลงไปตามความที่ มั น รวมกั น แล ว มั น ต อ งมี อ ะไร ๆ ที่ ซ อ นอยู ในนั้ น มาก มายนั ก มากมายกว าที่ เป น เพี ย งธาตุ เดี ย ว. ฉะนั้ น จึ งมี ความรูสึ ก ที่ คิ ด นึ ก มี ความ อะไรสารพั ดอย าง ความรูสึ กคิ ด นึ กที่ กว างขวางยิ่ งกวาโลกทั้ งหมด มั น ก็ ซ อนอยู ใน
ปญหาในวิถีของชีวิตตั้งตนดวยกามธาตุ
๑๔๕
หั วสมองเล็ ก ๆ ของคน ซึ่ งเคยซ อนอยู ในธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ลม อากาศ วิญญาณ ที่เล็ก ๆ ที่จะเรียกวา จะไมมีความหมาย. ฉะนั้ น ขอให นึ ก ถึ ง ว า เมื่ อ ธาตุ ห ลายธาตุ ม าประชุ ม กุ ม กั น เข า . มา ปรุงแตงอยางเหมาะสมแลว มันก็จะเปนที่ออกมาแหงสิ่งที่นาอัศจรรย มากมาย หลายสถาน, จึง ออกมาตามอํ า นาจอิท ธิพ ลของกามธาตุ ของรูป ธาตุ ของ อรู ป ธาตุ ; เกิ ด เป น มนุ ษ ย พ วกที่ บ า หลั ง ในเรื่ อ งกามารมณ , เกิ ด เป น มนุ ษ ย ที่ บ า หลั งในเรื่องของรูปฌาน, หรือความสุ ขที่ มาจากรูปฌาน, หรือพวกที่ บ าหลั งในอรูป ฌาน เปน ตน . จึง เปน ของไมแ ปลก ถา เราเขา ใจมาตั ้ง แตต น มัน ก็เ ปน อยา งนี้ กระทั่งธรรมธาตุทั่วไป. ในธรรมธาตุ ทั้ ง หลาย แบ ง เป น สั ง ขตธาตุ คื อ ธาตุ ที่ มี ป จ จั ย ปรุ ง แต ง มัน มีป จ จัย มากมาย มัน ก็ย ัง มีอ ะไรซอ นอยู ใ นนั ้น มากมาย. ทีนี ้อ ีก สว นหนึ ่ง เปน อสัง ขตธาตุนี ้ มัน ก็ม ีอ ะไรซอ นอยู ใ นอสัง ขตธาตุ, เปน นิโ รธธาตุ ที ่มี อะไรซอ นอยู ใ นนั ้น มัน จึง ปรากฏออกมาเปน นิพ พาน อยา งที ่เ ราปรารถนา กัน นัก หลับ หูห ลับ ตาปรารถนาก็ไ ด. แตวา ในนิพ พานธาตุจ ะตอ งมีน ิโ รธธาตุ ซึ่งซ อนคุ ณสมบั ติ อะไรไวหลายอย าง จนมาอบรมประพฤติ ปฏิ บั ติ เจริญงอกงามออกมา เป น พระนิ พ พานที่ ถู ก ต อ งและสมบู ร ณ แล ว ก็ ดั บ ทุ ก ข ไ ด , มั น ก็ ไ ม พ น ไปจาก นิพพานธาตุหรือนิโรธธาตุ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ ขอให เข าใจ ให เห็ นชั ดว า ธาตุ ทั้ งหลายประเภทที่ เป นสั งขตะก็ ดี ประ เภทที่เปนอสังขตะก็ดี แตละธาตุ ๆ นี้ ลวนแตมีคุณ สมบัติอะไรซอนอยูในนั้น มากมาย. ทีนี ้จ ะเจริญ วิวัฒ นาออกมาเปน ประโยชน ไดอ ยา งไร ; มัน แลว
๑๔๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
แตสิ ่ง แวดลอ มหรือ เหตุป จ จัย . เหตุป จ จัย ที ่สํ า คัญ ก็ค ือ การประพฤติป ฏิบ ัติ ธรรม, ถ าเราประพฤติ ปฏิ บั ติ ธรรมถู กต อ ง นิ โรธธาตุ ก็ จะให ผลออกมาเป นนิ พ พาน ธาตุที ่แ ทจ ริง และถึง ที ่ส ุด ได. นี ้ค ือ เรื ่อ งธาตุทั ้ง หลายที ่เ กี ่ย วขอ งกัน อยู ก ับ สิ ่ง ที่มีชีวิตทุกระดับ. เมื่ อเราเข าใจคํ าว าธาตุ แต ละธาตุ มี คุ ณ สมบั ติ ซ อนอยู แล วในนั้ น อย างที่ มองไม เห็ น นี่ ขั้ น หนึ่ ง แล ว , แล ว ก็ เข า ใจต อ ไปอี ก ว า เมื่ อ หลาย ๆ ธาตุ ม าสั ม พั น ธ เนื่ อ งกั น อี ก คุ ณ สมบั ติ ที่ ซ อ นอยู ในนั้ น ย อ มมี ลึ ก มากกว า งขวางไปกว า นั้ น อี ก , มั น จึง ออกมาเปน อะไรทุก ๆ อยา งได. ถา เขา ใจไดด ัง นี ้แ ลว มัน ก็ง า ยที ่จ ะเขา ใจ ต อ ไป คื อ จะเข าใจเรื่อ งทุ ก ข เรื่ อ งเหตุ ให เกิ ด ทุ ก ข เรื่ อ งความไม มี ทุ ก ข และทางให ถึงความไมมีทุกข ไดโดยงาย; จึงถือวา เรื่องธาตุทั้งหลายนี้เปนเรื่อง ก ข ก กา. และขอวิ ง วอนว า ท า นทั้ งหลายอย า ได เบื่ อ หน า ย ในการที่ จ ะศึ ก ษา เรื ่อ งธาตุเ ลย, อยากจะพูด ซ้ํ า ๆ ซาก ๆ วา แมแ ตค นแกแ ลว ก็ย ัง ตอ งไปเรีย น ก ข ก กา กั น ใหม ด ว ยเหตุ ผ ลหลายประการ, คนแก ๆ ที่ นั่ ง อยู ที่ นี่ สามารถจะ เขี ยน ก ข ให ถู กต องเรี ยบร อยตามลํ าดั บ ไหม ? บางที มั น ก็ หลงใหลฟ น เฟ อนไปแล ว ก็ มี . นี้ ถ าถามกั น ให ล ะเอี ย ดออกไป ว าทํ าไมจึ งต อ งมี ก ข ก กา ในลํ าดั บ อย างนั้ น หรื อ ต อ งมี อ อกเสี ย งอย า งนี้ ? ทํ า ไมจึ งต อ งปรุ ง ด ว ยสระอย า งนั้ น อย า งนี้ ? แล ว มา กลายเป น คํ า อะไร ? ยิ่ ง ถามไปป ญ หาเรื่ อ งตั ว หนั ง สื อ ตั ว อั ก ษรนี้ มั น ก็ ยิ่ ง มี ม ากที่ ไมท ราบ. ฉะนั ้น การที ่จ ะเรีย น ก ข ก กา กัน ใหด ีก วา กอ นนั ้น มัน ก็เ ปน สิ ่ง ที่ สมควร แม ก ข ก กา อย างลู กเด็ ก ๆ เราก็ ลื มกั นเสี ยมากแล ว สู ลู กเด็ ก ๆ ไม ได ก็ มี .
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
ปญหาในวิถีของชีวิตตั้งตนดวยกามธาตุ
๑๔๗
ธาตุกาม, รูป, อรูป ดับลงไดดวยนิโรธธาตุ. เอาละ, เป น อั น ว า ต อ งเรี ย น ต อ งสนใจที่ จ ะเรี ย น ก ข ก กา เกี่ ย วกั บ ธาตุ ที นี้ ก็ จ ะดู กั น ต อ ไปใหม ถึ ง ข อ ที่ ว า ในธาตุ ทั้ ง ๓ ที่ เป น ตั ว ป ญ หานี้ มั น ก็ ยั ง มี ค วามลั บ อั น หนึ่ ง ซึ่ ง จะต อ งมองให เห็ น . ความลั บ นี้ คื อ ข อ ที่ มั น สั ม พั น ธ กั น อยู กั บ นิโ รธธาตุต ลอดเวลา ; แตม ัน เปน ไปในลัก ษณะที ่ไ มเ ด็ด ขาด ไมถ ึง ที ่ส ุด . เมื ่อ กี้ ก็ ได พู ด แล ว ถ า ไม ลื ม เสี ย ว า ธาตุ ที่ เป น ตั ว ตั ณ หานั้ น มี ๓ ธาตุ คื อ กามธาตุ แลว ก็ร ูป ธาตุ แลว ก็อ รูป ธาตุ. นี ่ธ าตุที ่เ ปน ตัว ปญ หา มัน มี ๓ ธาตุ อยา งนี ้, แลวธาตุ อี ก อยางหนึ่ ง ซึ่งมั นสรางมาคูกัน สํ าหรับ แกป ญ หานั้ น มั นมี ธาตุ เดี ย ว เรี ย กว า นิ โ รธธาตุ . นิ โ รธธาตุ นี้ คื อ จะเป น ผู ช ว ย เป น ผู เกิ ด มาสํ า หรั บ เป น คู ป รั บ กับปญหาเหลานั้น. เราก็ ม องไปตั้ ง แต ต น อย างเรี ย น ก ข ก กา กั น อี ก ; อย างว า กามธาตุ นี้ พอมั น เกิ ด ขึ้ น ปรุ ง แต ง ขึ้ น ในจิ ต ใจของคนคนใดคนหนึ่ ง ระอุ ร อ นไปด ว ย กามารมณ ถา ใหเ ปน อยา งนั ้น เรื ่อ ยตลอดวัน ตลอดคืน มัน ก็เ ปน บา และตาย, ใคร ๆ ก็ต อ งเห็น วา ถา ฤทธิ ์ห รือ อํ า นาจของกามารมณห รือ กามธาตุนี ้ มัน ระอุ อยู เ รื ่อ ยตลอดเวลา เพีย ง ๒๔ ชั ่ว โมง มัน ก็ต อ งบา หรือ ตาย. เขาก็ต อ งมีผ ลดี มีโ ชคดี มีอ านิส งส มีเ ครื ่อ งคุ ม ครองของนิโ รธธาตุ เขา มาชว ยระงับ ดับ เสีย เปน ครั ้ง เปน คราว อํ า นาจของกามารมณม ัน จึง ระงับ ไป ; แมแ ตชั ่ว ครู ชั ่ว ยาม มันก็พอใหทนอยูได ไมตองเปนบาและไมตองตาย.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ เราก็ เห็ น ได ว า นิ โ รธธาตุ ก็ เ ข า มาเจื อ อยู เข า มาเกี่ ย วข อ งอยู กั บ ความเปน ไปของธาตุทั ้ง หลายที ่เ ปน ตัว ปญ หา ; หากแตว า นิโ รธธาตุนั ้น เปน ไป
๑๔๘
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ตามธรรมชาติ ยั ง เป น ไปตามธรรมชาติ , มิ ได เป น ไปด ว ยอํ า นาจของการปฏิ บั ติ หรื อ การเจริ ญ หรื อ การอบรม. เพราะฉะนั้ น จึ ง มี กํ า ลั ง น อ ย กํ า จั ด ฤทธิ์ ข อง กามารมณไ ดแ ตเ พีย งตามธรรมชาติ; แตก ็ด ีว ิเ ศษที ่ส ุด แลว ที ่ว า คนนั ้น ไม ตอ งเปน บา และตาย. ฉะนั ้น ขอใหข อบคุณ นิโ รธธาตุ หรือ พระนิพ พานลว งหนา ที่ เจี ย ดมาที ล ะน อ ย, เจี ย ดมาที ล ะน อ ย มาช ว ยเหลื อ คุ ม ครองมนุ ษ ย ที่ บ า หลั ง ใน กามารมณ อยู ในเวลานี้ . ขอขอบคุ ณ พระนิ พ พาน คื อ นิ โรธธาตุ ที่ เจี ยดตั วหรือแบ ง ภาคมาที ละน อย ๆ มาช วยระงับดั บความรอนของกามารมณ ของสั ตว ที่ กํ าลั งลุ มหลง ในกามารมณ ใหร ะงับ ไปเปน ครั ้ง คราว. นี ่เ รีย กวา เราเรีย น ก ข ก กา ของ กามธาตุ ให รู ว า มั น รอดอยู ได อ ย างไร ในชี วิ ต ของสั ต ว ทั้ ง หลาย ผู อ ยู ในวิ สั ย ของ กามารมณ. ที นี้ ม นุ ษ ย ที่ สู ง ขึ้ น ไป ถึ ง ขั้ น รู ป ธาตุ พวกฤาษี ชี ไ พร ที่ พ อใจอยู ใ น ความสุ ขอั น เกิ ด จากสมาธิ เช น รูป ฌาน เป น ต น มั น ก็ มี เวลาที่ ห ยุ ด พั ก หรือ มี เวลา ที่ ดั บ ไป แห ง ความหลงใหลลุ ม หลงนั้ น บ า งเหมื อ นกั น ; มิ ฉ ะนั้ น ก็ จ ะต อ งเป น บ า อี ก ชนิ ด หนึ่ ง หรือ อาจจะตายไปในลั ก ษณะอย า งหนึ่ ง มั น ก็ มี ก ารหยุ ด พั ก ระยะ หยุ ด พั ก นั้ น เป น โอกาสหรือ เป น ช ว งของ นิ โรธธาตุ ที่ จ ะเข า มาช ว ย มาแสดงตั ว ; แตเ ขาก็ไ มรู ส ึก เพราะวา มัน เปน ธรรมชาติ, มิไ ดเ ปน ไปเพราะวา เขาอบรม ทํา ใหมีขึ้น มา. นี่ นิพ พานธาตุ เขา มาชว ยพวกที่ตั ้ง อยูใ นภูม ิข องรูป ธาตุ ในลั กษณะอย างนี้ ก็ ค วรจะขอบใจ แต แล วก็ ไม มี ใครขอบใจ หลงใหลอยู แต ส วนที่ เปนรูปธาตุ ทั้ง ๆ ที่นิโรธธาตุจูเขามา แบงภาคเขามาชวยเหลือใหรอดอยูได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ พ วกอรู ป ธาตุ ก็ อ ย า งเดี ย วกั น ฤาษี มุ นี ชี ไพร ที่ มั น สู งขึ้ น ไปกว า นั้ น ไปไดถ ึง ขั ้น อรูป ธาตุ มัน ก็ต อ งหยุด มัน ก็ต อ งพัก ผอ น; เพราะฉะนั ้น นิโ รธ -
ปญหาในวิถีของชีวิตตั้งตนดวยกามธาตุ
๑๔๙
ธาตุ นี้ คื อ ธาตุ ที่ สํ า คั ญ ที่ สุ ด ในการที่ จ ะช ว ยมนุ ษ ย ห รื อ สิ่ ง ที่ มี ชี วิ ต ให มั น รอด อยูได. เราก็ พ อจะมองเห็ น ได กั น แล ว ในขั้ น นี้ ว า ถ า ไม มี ก ารหยุ ด พั ก , อะไรก็ ตามใจ ถา ไมม ีก ารหยุด พัก แลว เราจะตอ งตาย. ใหเราทํ า อะไร ใหเรานั ่ง โดย ไม หยุ ดมั นก็ ต องตาย, ให เรายื นโดยไม หยุ ดมั นก็ ต องตาย, เดิ นไม หยุ ดก็ ตาย, จะให กิ น โดยไม ห ยุ ด มั น ก็ ต อ งตาย, เพราะฉะนั้ น มั น ต อ งมี ระยะที่ ห ยุ ด ระยะที่ เรี ย กว าดั บ ไป ระยะหนึ่ ง เพื่ อ จะได เปลี่ ย นเป น อย างอื่ น แล วมั น จึ งจะทนอยู ได แ ละไม ต าย. ฉะนั้ น เราจะต อ งมี ก ารกิ น การนอน การเดิ น การยื น การอะไรต าง ๆ ทุ ก อย าง ทุ ก อย า ง ที่เราทํากันอยูนี้ ตองมีระยะหยุด. ฉะนั้ นเราควรจะสนใจในเรื่อ งของความหยุ ด หรือ นิ โรธธาตุ กัน บ าง ให มั น ถู ก ต อ งเพี ย งแต ว า เดี๋ ย วนี้ มั น ยั ง ไม ห ยุ ด จริ ง . ถ า หยุ ด จริ ง เมื่ อ ไร มั น ก็ เป น เรื่ อ งของนิ พ พานไป. เดี๋ ย วนี้ มั น ยั ง ไม ห ยุ ด จริ ง มั น เป น เรื่ อ งหยุ ด ชั่ ว คราว แล ว ก็ สลั บ อยู กั บ การเกิ ด ที่ เรี ย กว า การดั บ นี้ มั น สลั บ กั น อยู กั บ การเกิ ด เขาจึ ง เรี ย กว า เปน กุปปธรรม คือสิ่งที่ยังกลับไปกลับมาได เรียกวาเปน กุปปธรรม.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ดัง นั ้น นิโ รธธาตุ ในระยะนี ้แ สดงบทบาทเปน กุป ปธรรมทั ้ง นั ้น , นั บ ตั้ งแต ห ยุ ด ทางกามารมณ หรื อ หยุ ด ทางรู ป ธาตุ ทางอรู ป ธาตุ มั น เป น กุ ป ปธรรม ทั ้ง นั ้น , จนกระทั ่ง เรามาประพฤติป ฏิบ ัต ิ เพื ่อ จะหยุด กิเ ลส จะดับ กิเ ลสแลว ; แต ม ั น ยั ง ดั บ ไม ไ ด มั น ก็ เ ป น การดั บ ชนิ ด กุ ป ปธรรม คื อ ชั่ ว คราวทั ้ ง นั้ น . ดั ง นั้ น บางคราวเราจึ ง รู สึ ก ว า เอ ะ เราหยุ ด กิ เ ลสนี้ ไ ด แ ล ว ทํ า ไมมั น กลั บ มาอี ก ? เพราะว า นิ โรธธาตุ นี้ ยั งเป น กุ ป ปธรรม ยั งไม ส มบู รณ , จนกระทั่ งมั น เป น กุ ป ปธรรม
๑๕๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ที่ ค อ นข างมั่ น คงขึ้ น มาเสี ย ก อ น, ก อ นนี้ มั น เป น กุ ป ปธรรมชนิ ด เหลาะแหละ, เหลาะ แหละทั้ งนั้ น . เดี๋ ย วเบื่ อ กามารมณ เดี๋ ย วก็ ห ลงใหลกามารมณ มั น ก็ เหลาะแหละ ๆ อยูอยางนี้. เหมื อ นกั บ ว า กิ น อาหารนั้ น ถ า กิ น น้ํ า พริ ก ทุ ก วั น มั น ก็ เบื่ อ เรี ย กว า เบื่ อ ไม อ ยากแล ว, ต อ ไปหลาย ๆ วั น เข ามั น ก็ อ ยากกิ น น้ํ าพริ ก อี ก , อยากกิ น เนื้ อ กิ น ปลา กิน อะไรสลับ ไปสลับ มา หลอกกัน อยู อ ยา งนี ้. นี ่ค วามเบื ่อ ชนิด นี ้ม ัน เปน ความ เบื ่อ เหลาะแหละ; แตว า เมื ่อ นานเขา มนุษ ยค นนั ้น ก็รู ค วามจริง นี ้ม ากเขา ความเบื่ อนี้ มั นก็ ค อนข างจะเป นรูปเป นราง หรือมั่ นคงขึ้ น, จนเป นเรื่องความเบื่ อชนิ ดที่ เรี ย กว า ค อ นข า งมั่ น คง จนกระทั่ ง เป น ความเบื่ อ ที่ มั่ น คง แล ว มั น ก็ จ ะมี ค วามดั บ ที่มั่นคงทีหลัง.
นิโรธธาตุ ทําหนาที่สมบูรณก็เปนนิพพานธาตุ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org การที่ จ ะละกามารมณ ก็ ดี ละรู ป ธรรมหรื อ อรู ป ธรรมก็ ดี มั น ก็ ต อ งไป ตามลํ า ดับ ของการดับ ที ่ไ มมั ่น คง แลว ก็มั ่น คง จนกระทั ่ง เฉีย บขาดลงไป. ฉะนั้ น การละกิ เลส ในชั้ น ที่ เรี ย กว า บรรลุ ม รรค ผล นั้ น เป น อกุ ป ปธรรมทั้ ง นั้ น ; แม แ ต ล ะในขั้ น พระโสดาบั น ก็ เ ป น อกุ ป ปธรรม คื อ ว า ส ว นใดที่ ล ะได แ ล ว มั น ไม กลั บ มาอี ก , ส ว นใดที่ ล ะได แ ล ว ไม ก ลั บ มาอี ก จนเป น พระอรหั น ต ก็ เ ป น อุ ป ป ธรรมสมบู ร ณ , แล ว เราก็ มั ก จะไปมองอกุ ป ปธรรมกั น แต ใ นขั้ น พระอรหั น ต เพราะ ละหมดและสมบูรณ ละกิเลสไดสิ้นเชิง.
ปญหาในวิถีของชีวิตตั้งตนดวยกามธาตุ
๑๕๑
นิโ รธธาตุนั ้น แสดงตัว ออกมาถึง ขั ้น เด็ด ขาด เปน อกุป ปธรรม. กุปปะ นั้นแปลวา ยังหวั่นไหวยอนหลังได, อกุปปธรรม แปลวา แนนแฟนตายตัว ไมกลับหลัง ไมยอนหลัง ไมเปลี่ยนแปลง. ถาเปนนิพพานจริงก็เปน อกุปปธรรม ; แมที ่เ รีย กวา สอุป าทิเ สสนิพ พาน มัน ก็เ รีย กไดว า เปน อกุป ปธรรม ; แมใ น ขั้ น พระโสดาบั น สกิ ท าคามี อนาคามี ก็ ยั ง เรี ย กว า เป น อกุ ป ปธรรม, แต มั น บางสว น. ถา ถึง ขั้น พระอรหัน ตแ ลว ก็เ ปน อกุป ปธรรมสมบูร ณ. นิพ พาน ที่ มี ไ อร อ นเหลื อ อยู บ า ง รอเวลากว า จะเย็ น นี้ ก็ เป น อกุ ป ปธรรมแล ว สมบู ร ณ แ ล ว สํ า หรั บ ขั้ น พระอรหั น ต . นี้ เ ป น นิ พ พานที่ เ รี ย กว า สมบู ร ณ ได แ ล ว ของความเป น อกุปปธรรม ไมตองรอจนถึงเปนอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ. นี่ ขอให เหลื อบตามองว า นิ โรธธาตุ นี้ มี บุ ญ คุ ณ อย างใหญ หลวง คื อเป น ที่ แ สดงออกมาของพระนิ พ พานในขั้ น สุ ด ท าย. จุ ด หมายปลายทางของมนุ ษ ย จ ะ อยู ที่ นั่ น แต ว า เมื่ อ มนุ ษ ย ยั ง ไม ถึ ง ที่ นั่ น มั น ก็ ม าช ว ยประคั บ ประคองให มั น พอดี , ให มี ค วามพอดี ในการที่ จ ะเป น ทาสของกามารมณ แ ต เพี ย งพอดี , มี ระยะที่ จ ะหยุ ด หรือไมเปนทาสสลับอยูบาง ชีวิตมันถึงรอดอยูได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ า เปรี ย บเที ย บกั น แล ว คนเราเป น ทาสของกามารมณ ยิ่ ง กว า สั ต ว เดรั จ ฉาน ; พอพู ด อย า งนี้ ก็ ห าว า ด า แต มั น เป น ความจริ ง ว า มนุ ษ ย นี้ ยิ่ ง เจริ ญ มากอย า งสมั ย นี้ แล ว ก็ เป น ธาตุ ข องกามารมณ ยิ่ ง กว า สั ต ว เดรั จ ฉาน ; เช น สุ นั ข และแมว เป น ต น . ไปดู เ อาเองก็ แ ล ว กั น มั น ก็ ค วรจะคิ ด ถึ ง ข อ ที่ ว า นิ โ รธธาตุ กํ า ลัง เปน ประโยชน แกส ุน ัข และแมวมากกวา คน มัน นา ละอายที ่ต รงนี ้. แต ถ าเราจะดู กั น ให จ ริ ง ๆ เราก็ ค งจะพบวิ ธี ที่ จ ะทํ า ให เราเป น ทาสของกามารมณ น อ ย ลง จนกระทั่ ง หลุ ด ออกมาได ; เพราะเรารู จั ก สิ่ ง ที่ เ รี ย กว า นิ โ รธธาตุ นั่ น แหละ
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
๑๕๒
เปนที่ดับเสีย ซึ่งปญหาตาง ๆ อันเกิดมาจากกามธาตุ รูปธาตุ และ อรูปธาตุ ดังที่กลาวมานี้. นี้ คื อ ก ข ก กา ที่ แ สดงให เ ห็ น ว า ป ญ หาในชี วิ ต ของสิ่ ง ที่ มี ชี วิ ต ทุ ก ชนิ ด มั น ตั้ ง ต น ขึ้ น ที่ ก ามธาตุ ; อย า งที่ ไ ด ย กตั ว อย า งมาข า งต น แล ว ว า เมื่ อ ทารก เกิ ดมาใหม ๆ ยั งไม มี ป ญหาเรื่องกามธาตุ , ยั งไม มี ป ญหาเรื่องรูปธาตุ อรูปธาตุ . แต ว า ปญ หานั ้น มัน ซอ นมาแลว เสร็จ ในตัว ธาตุทั ้ง หลาย ที ่ป ระกอบกัน ขึ ้น เปน ทารก นั ้น . ฉะนั ้น ทารกนั ้น เติบ โตขึ ้น มาสัก หนอ ย มัน ก็ม ีโ อกาสที ่จ ะเปน ที ่แ สดงออก ของกามธาตุ รู ป ธาตุ อรู ป ธาตุ ต อ ไปข า งหน า จนต อ งให นิ โ รธธาตุ ม าช ว ย ประคั บ ประคองคุ ม ครองไว บ า ง เป น บางครั้ ง บางคราว อย า ให มั น เป น บ า เสี ย , อย าให มั น ตายเสี ย . ฉะนั้ น นิ โรธธาตุ ก็ ไม เคยแยกออกไปจากธาตุ ทั้ ง ๓ นี้ จึ ง ทําใหสิ่งมีชีวิตรอดอยูไดในปจจุบันนี้. ....
....
....
.....
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เอาละ ขอสรุ ป ความเพื่ อ จํ า ง า ย ให มั น สั้ น ๆ อี ก ครั้ ง หนึ่ ง ในความ เปน ก ข ก กา ระหวางธาตุทั้งหลาย.
ข อแรกก็ นึ กถึ ง ธาตุ พื้ น ฐานทั่ วไป มี อ ยู ๓ หมวด ๆ ละ ๖ นี้ พู ด ซ้ํ า จากที่ ไ ด พู ด มาแล ว ; แต ส รุ ป ความเพื่ อ ให เห็ น ง า ย จํ า ง า ย ว า ในชั้ น แรกก็ มี ธ าตุ พื้ น ฐานทั่ วไปอยู ๓ หมวด หมวดละ ๖. หมวดแรก คื อ ธาตุ ดิ น น้ํ า ไฟ ลม อากาศ วิญ ญาณ, นี ้เ ปน พื ้น ฐานจริง ๆ , เปน เนื ้อ เปน หนัง ของธาตุจ ริง ๆ แลว ก็ ถึ งหมวดที่ ๒ คื อ ธาตุ ข างใน ๖ คื อธาตุ ตา ธาตุ หู ธาตุ จมู ก ธาตุ ลิ้ น ธาตุ กาย
ปญหาในวิถีของชีวิตตั้งตนดวยกามธาตุ
๑๕๓
ธาตุ ใ จ, แล ว ต อ มาหมวดที่ ๓ อี ก ๖ คื อ ธาตุ ข า งนอก คื อ ธาตุ รู ป ธาตุ เสี ย ง ธาตุ กลิ่ น ธาตุ รส ธาตุ โผฏฐั พพะ ธาตุ ธั มมารมณ เห็ นได ว ามี อยู ๓ กลุ ม กลุ มละ ๖ นี้เปนธาตุพื้นฐาน. ที นี้ ธาตุ พื้ น ฐานนี้ เจริญ วิวัฒ นาการขึ้ น มา จนเป น โอกาสแห งการ แสด งอ อ ก ข อ งธาตุ ล ึ ก ลั บ ที ่ ม ี เ ชื ้ อ ซ อ น อ ยู ม าแล ว ในธาตุ พื ้ น ฐานนั ้ น ; พอธาตุ พื้ น ฐานนั้ น ปรุ ง แต ง กั น ได ที่ ด ว ยเหตุ ป จ จั ย ข า งนอกแวดล อ ม ก็ มี ธ าตุ ที่ จ ะ เป นป ญ หา ธาตุ ที่ จะทํ าความรายกาจนั้ น แสดงตั วออกมา คื อ กามธาตุ แสดงออก มากอ น; เปรีย บเหมือ นวัว ตัว ที ่อ ยู ที ่ป ระตูค อก วัว ตัว นี ้พ อเปด ประตูอ อกกอ น ตั ว อื่ น เพราะมั น อยู ที่ ป ระตู วั ว ที่ อ ยู ข า งในต อ งออกที ห ลั ง . ฉะนั้ น กามธาตุ นี้ เปรียบเหมือนกับวัวตัวที่อยูที่ประตูคอก มันก็แสดงออกมากอน. เหมื อ นกั บ เด็ ก ทารกพอโตขึ้ น กี่ วั น กี่ เ ดื อ นกี่ ป ก็ พู ด ไม ไ ด ; พอรู จั ก ความอรอย และรูจึกยึดถือในความอรอยแล ว ก็เรียกวา กามธาตุ แสดงออก แล ว ทางตา ทางหู ทางจมู ก ทางลิ้ น ทางกายก็ ได . บางที จ ะเปรี ย บเที ย บว า เมื่ อ เด็ ก รู จั ก ดู พ วงปลาตะเพี ย น หรื อ พวกอะไรสวย ๆ ที่ แ ขวนให ดู แล ว พอใจอย า งนี้ ก็ พ อ จะกล า วได ว า กามธาตุ ท างตานี้ มั น เริ่ ม แล ว พอได รั บ คํ า กล อ มให น อน กล อ มแล ว ให ส บายแล ว ให มั น นอนหลั บ นี้ จนมั น ชอบแล ว พอจะพู ด ได ว า กามธาตุ ท างหู นี้ เริ่ ม ต น อยู แ ล ว ที นี้ ท างจมู ก ทางลิ้ น ทางอะไรก็ ไ ปตามลํ า ดั บ . นี้ ก ามธาตุ อ อกมา เป นป ญ หาอันดั บแรก ตามหั วขอของการบรรยายในวันนี้ ที่ วา ป ญ หาในวิถี แห งชี วิต ทุกชนิด มันตั้งตนดวยกามธาตุ และมุงหมายสูการสืบพันธุ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๑๕๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ที นี้ เมื่ อ ต อ มาอี ก มั น มี วิ วั ฒ นาการทางจิ ต ทางสมอง ทางความคิ ด ทางนึก นี ้ มัน ก็เ ปน โอกาสของรูป ธาตุ ที ่จ ะไปหลงใหลในความสุข ในรสอรอ ย ที่ ม าจากวั ต ถุ ล ว น ๆ ไม เกี่ ย วกั บ กาม ก็ ห ลงใหลกั น ไปพั ก หนึ่ ง . นี้ ถ า ว า โชคมั น ดี คนนั้ น มั น ยั งไม ต าย มั น มี ค วามเจริ ญ ต อ ไปอี ก มั น ก็ รู จั ก ไปหลงใหลในสิ่ งที่ ป ระณี ต กวานั้น คือ อรูปธาตุ คือธาตุที่ไมมีรูปไมมีราง เปนนามธรรมลวน ๆ. กามธาตุ เ ป น ไปพั ก หนึ่ ง ในชี วิ ต คนเรา กว า จะเกิ ด ความเนื อ ยขึ้ น มา เป น โอกาสของรู ป ธาตุ ไ ประยะหนึ่ ง จนจะเกิ ด ความเนื อ ยขึ้ น มา, แล ว มี โอกาส ของ อรูป ธาตุ ในครั ้ง สุด ทา ย ก็จ ะหลงใหลแลว ในที ่ส ุด ก็ต อ งไดพึ ่ง นิโ รธธาตุ พึ่ งมาตั้ งแต แรกนั้ น มั น พึ่ งอย างหลุ บ ๆ ล อ ๆ เรื่ อยมา เดี๋ ยวเกิ ดเดี๋ ยวดั บ , เดี๋ ยวเกิ ด เดี๋ ย วดั บ นี้ พึ่ ง ในระยะแรก ๆ. แต ก็ พ อประทั ง ชี วิ ต นี้ ไ ว อย า ให เป น บ า หรื อ ตายได , แล ว ก็ ม าพึ่ ง กั น ในโอกาสสุ ด ท า ย คื อ การที่ จ ะรู จั ก ดั บ หรื อ ควบคุ ม อํ า นาจอิ ท ธิ พ ล ของธาตุ เหล า นั้ น ได สิ้ น เชิ ง นี่ คื อ การบรรลุ ม รรค ผล นิ พ พาน นิ โรธธาตุ ทํ า หน า ที่ สมบู รณ . นี้ เราก็ ดู ให ดี ก็ ควรจะขอบใจนิ โรธธาตุ ที่ มาประทั งไว ประทั งไว , ประทั งไว จนกวาจะถึงโอกาสที่จะไดรับผลเต็มที่.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ ระยะเวลาเหล านี้ มั นเปลี่ ยนแปลงได นี่ ขอให สนใจเป นพิ เศษในป ญ หา ข อ นี้ ห น อ ย ถ า เราปล อ ยไปตามธรรมดา กามธาตุ มั น จะเล น งานเราในรู ป ของ กามารมณ นี้ เป น เวลาหลายสิ บ ป , เอาละสมมติ ว า อายุ ๓๐ - ๔๐ ป จึ ง จะเบื่ อ กามารมณ นี ้ม ัน เปน ไปตามธรรมชาติ. แตถ า เราจะทํ า ใหผ ิด กวา นั ้น เราก็ไ ป รับ เอาข อ ปฏิ บั ติ ที่ พ ระพุ ท ธเจ าท านทรงแสดงไว ในฐานะที่ เป น นิ โรธคามิ นี ปฏิป ทา คือ การปฏิบ ัต ิธ รรมทั ้ง หลายนี ้ เอามาใชป ฏิบ ัต ิ, มัน จะระงับ ความรู ส ึก
ปญหาในวิถีของชีวิตตั้งตนดวยกามธาตุ
๑๕๕
ที่ เป น อิ ท ธิ พ ลเป น พิ ษ เป น อะไรของกามธาตุ นี้ ได เร็ ว กว า นั้ น ไม ต อ งรอไปจนถึ ง อายุ ๔๐ - ๕๐ ป จึงจะเบื่อมันจะเบื่อไดเร็วกวานั้น. นี้ ธาตุ อื่ น ๆ ก็ เหมื อนกั น ที่ จะเป นธาตุ ของรู ป ธาตุ อรู ป ธาตุ ไปนานเป น หลาย ๆ สิ บ ป มั น จะย น ระยะให สั้ น เข า มาได เพราะการปฏิ บั ติ ธ รรมในพระพุ ท ธ ศาสนา. ฉะนั้ น เราจึ ง รู จั ก ว า พระพุ ท ธเจ า ท า นสอนไว อ ย า งไร คื อ ข อ ปฏิ บั ติ ที่ เรี ย กว า ทุ ก ขนิ โ รธคามิ น ี ป ฏิ ป ทานี ้ มั น ล ว นแต จ ะย น ระยะอั น นี ้ ใ ห สั ้ น เข า ทั้ ง นั้ น , คื อ จะไม ต อ งเป น ทุ ก ข ท รมาน เกี่ ย วกั บ กามธาตุ น านถึ ง เท า นั้ น , ไม ต อ ง เป น ทุ ก ข ท รมานเกี่ ย วกั บ รู ป ธาตุ น านถึ ง เท า นั้ น , ไม ต อ งเป น ทุ ก ข ท รมานเกี่ ย วกั บ อรูปธาตุนานถึงเทานั้น. ถ าพู ดให ตรง ๆ ขึ้ นมาก็ ว า คนนี้ จะไม ต องเป นทุ กข เพราะกามารมณ นาน ถึ งเท า นั้ น , แล ว ต อ มาเลิ ก จากกามารมณ มาสนใจเรื่ อ งทรั พ ย ส มบั ติ วั ต ถุ นี้ ก็ จ ะไม ต อ งเป น ทุ ก ข ใ ห น านถึ ง เท า นั้ น , หรื อ ว า ต อ มาจะมามี ป ญ หาทรมานใจเพราะเรื่ อ ง นามธรรม เชน บุญ กุศ ล เกีย รติย ศชื ่อ เสีย ง ก็ไ มต อ งเปน ทุก ขน านถึง เทา นั ้น . จิตใจจะถูกเปลื้องออกมา หมดจากอํานาจของธาตุทั้ง ๓ นั้น มาเปนธาตุวาง จากความทุก ข ที ่เรีย กวา นิพ พานธาตุ หรือ สุญ ญตาธาตุ หรือ อะไรก็แ ลว แต จะเรี ยก, คื อว ามั น ว างจากการบี บ คั้ นจากธาตุ ทั้ ง ๓ นั่ น เอง. ข อ นี้ จะทํ าให ม าถึ งเร็ ว เข า ด ว ยการปฏิ บั ติ ธ รรมในพระพุ ท ธศาสนา, แล ว ก็ ป ฏิ บั ติ ไ ปจนถึ ง ที่ สุ ด ก็ บ รรลุ มรรค ผล นิ พ พาน มั น ก็ สิ้ น สุ ด กั น มั น เป น นิ พ พานธาตุ คื อ ธาตุ ดั บ ขึ้ น มาโดย สมบูร ณ เรีย กวา นิโ รธธาตุป รุง ตัว ไดเ ต็ม ที ่ถ ึง ที ่ส ุด เปน นิพ พานธาตุ. ปญ หา ของมนุ ษ ย ก็ จบ ป ญ หาของมนุ ษ ย สิ้ น สุ ด ลง แค ระยะเวลาที่ นิ พ พานธาตุ ป รากฏโดย สมบูรณ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๑๕๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
เดี ๋ย วนี ้ป ญ หาของคนเรานี ่ มัน ตั ้ง ตน ที ่ก ามธาตุอ ยู ; ฉะนั ้น ขอ ให ดู ใ ห ดี ว า มั น เป น เด็ ก อมมื อ สั ก เท า ไร ? ภิ ก ษุ ส ามเณรก็ ดี อุ บ าสกอุ บ าสิ ก าก็ ดี ถ า ยั งมี ป ญ หาเรื่อ งกามธาตุ ม ากนั ก มั น ก็ คื อ เด็ ก อมมื อ นั่ น เอง. ขอให เอาไปสนใจ เป น พิ เศษ ก็ รีบ ๆ โตเร็ว ๆ หน อ ย เลื่ อ นชั้ น กั น เร็ว ๆ หน อ ย เพราะว า กฎเกณฑ ทั้ ง หลายนั้ น มั น มี อ ยู อ ย า งนี้ . พระพุ ท ธเจ า ก็ ได ท รงแสดงไว อ ย า งนี้ , แสดงหนทาง แหงการปฏิบัติอยางนี้. ขอใหเขาใจและไดผานไปเร็ว ๆ ใหผานจากกามนิพพาน นิพ พานทางกามนี ้ไ ปเสีย เร็ว ๆ, แลว ก็ไ ปหารูป นิพ พาน นิพ พานทางรูป ธรรม ล ว น ๆ เสี ย เร็ ว ๆ แล ว หาอรู ป นิ พ พาน นิ พ พานทางอรู ป ธรรมไปเสี ย เร็ ว ๆ, ในที่ สุดก็ถึงนิโรธธาตุนิพพานนี้ได คือนิพพานจริง กอนแตรางกายตาย. ฉะนั้ น ถ า ใครมาถึ ง ขั้ น นี้ ไ ด เร็ ว เท า ไร ก อ นแต ร า งกายตายนี้ ก็ นั บ ว า เป น กํ า ไรของคน ๆ นั้ น มากเท า นั้ น ; แต ว า แม ที่ สุ ด แต ว า ไปนิ พ พานเอากั น ใน ระดับ สุด ทา ย พรอ มกับ รา งกายตาย ก็ย ัง ดีก วา เกิด มาทีห นึ ่ง ไมรู เ รื ่อ งนิพ พาน. ไดอ า นเรื่อ งดับ ไมเหลือ มาแลว ก็รูวิธีที่วา ทํา อยา งไรเราจึง จะดับ ไมเหลือ พรอ มกับ รา งกายแตกดับ ; แมว า จะตอ งแตกตายโดยกระทัน หัน ก็ก ระโจน พรอ มกัน ไปกับ รา งกายมัน แตกดับ ใหมัน เปน นิโรธธาตุที ่ส มบูร ณ ทัน ชั่ว ขณะ จิ ต เดี ย ว ชั่ ว พริ บ ตาเดี ย ว ก็ ยั ง ดี ก ว า ไม เคยพบ ; อย า งนี้ เรี ย กว า ไม เสี ย ที ที่ เกิ ด มาเปนมนุษย และพบพระพุทธศาสนา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เอาละ พู ดสั้ น ๆ ว า กามธาตุ สร างป ญ หาก อนป ญ หาใด ๆ, แล วก็ มาถึ ง รู ป ธาตุ ถึ ง อรู ป ธาตุ เป น ป ญ หาหนั ก ละเอี ย ดลึ ก ซึ้ ง ยิ่ ง ขึ้ น , และนิ โ รธธาตุ ก็ ช ว ย ประคั บ ประคองเรื่อ ย ๆ มา; ไม ต อ งตายเสี ย ไม ต อ งเป น บ าเสี ย แล วเราก็ พ อกพู น
ปญหาในวิถีของชีวิตตั้งตนดวยกามธาตุ
๑๕๗
ความเจริ ญ ของนิ โ รธธาตุ นี้ ให เกิ ด เป น มรรค ผล นิ พ พาน อั น แท จ ริ ง ขึ้ น มาได ตามที่ พ ระพุ ท ธองค ท รงสั่ งสอนไว ก็ จ ะหมดป ญ หา. ผู ที่ ห มดป ญ หานี้ เราเรี ย ก กันวา พระอรหันต เปนอับดับสูงสุดของมนุษยที่เกิดมาควรจะได. นี่ คํ า บรรยายวั น นี้ แสดงเรื่ อ งป ญ หาในวิ ถี ชี วิ ต ของทุ ก ชี วิ ต ตั้ ง ต น ขึ้ น ด วยกามธาตุ นั บ ได ว าแสดง ก ข ก กา ในเรื่อ งของธาตุ พ อสมควรแก เวลาแล ว ก็ ขอยุติไวทีกอน. ขออาราธนาพระสงฆไดสวดคณสาธยาย เพื่อสงเสริมศรัทธาปสาทะ ฉันทะ อุตสาหะ วิริยะ ในเรื่องการปฏิบัตินี้ ตอไปอีกตามสมควร.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ______________
ก ข ก กา ของการศึกษาของพุทธศาสนา - ๗ ๑๖ กุมภาพันธ ๒๕๑๗
อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก.
ทานสาธุชน ผูสนใจในธรรม ทั้งหลาย, ในการบรรยายครั้ งที่ ๗ แห งภาคมาฆบู ชานี้ ก็ จ ะได ก ล าวโดยหั วข อ ว า ก ข ก กา ของการศึกษาพุ ทธศาสนา ตอไปตามเดิม สวนหัวขอยอยนี้ มีชื่อวา สิ่ง ที่เรียกวา อารมณ คือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ( ทบทวน. )
ขอทบทวนความจํ า ของท า นทั้ ง หลายอี ก ครั้ ง หนึ่ ง ว า ทุ ก ครั้ ง ที่ แ ล ว มา ได พู ด ถึ ง สิ่ ง ที่ ค วรจะถื อ ว า เป น ก ข ก กา แห ง พุ ท ธธรรมในพระพุ ท ธศาสนา โดย เห็ นวา เป นเรื่องที่ กํ าลั งเป นป ญ หาเฉพาะหน าในเวลานี้ การที่ จะเข าใจพุ ทธศาสนา โดยแทจ ริง ใหถ ูก ตอ งไมไ ด ก็เ พราะไมเ ขา ใจเรื ่อ งเหลา นี ้ ; เพราะวา ไปสนใจ เรื่องอื่นยิ่งไปกวาจําเปน สวนเรื่องที่เปนรากฐานแทจริงนั้น ฟนเฝอไปหมด,
๑๕๘
อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก
๑๕๙
ไมม ีค วามเขา ใจถูก ตอ ง แมใ นเรื ่อ งขัน ธ เรื ่อ งธาตุ เรื ่อ งอายตนะ, ถึง กับ เข า ใจผิ ด อย า งยิ่ ง ไปเสี ย ก็ มี จึ ง ต อ งรื้ อ ฟ น เรื่ อ งนี้ ขึ้ น มาชํ า ระสะสางกั น ใหม ; มั น ดู คลา ยกับ วา จับ ตัว คนเฒา คนแกม าเรีย น ก ข ก กา กัน ใหม. แตม ัน เปน สิ ่ง ที่ จํ า เปน อยา งยิ ่ง หรือ หลีก เลี ่ย งไมไ ด จึง ตอ งทํ า ; ฉะนั ้น ขอใหพ ิจ ารณ าดูใ หดี แลวอยาไดทอถอย ในการที่จะกระทําเชนนี้. ในเวลานี้ พวกฝรั่ ง ชาวต า งประเทศเป น อั น มาก เขาสนใจพุ ท ธศาสนา แต ก็ ไ ม ถู ก ตั ว พุ ท ธศาสนา ใช ป ฏิ บั ติ อ ะไรไม ไ ด ; ส ว นใหญ ก็ ไ ปสนใจในลั ก ษณะ อื่ น ซึ่ ง ไม ใ ช เป น ตั ว ศาสนา คื อ ไปสนใจในลั ก ษณะปรั ช ญาอะไรทํ า นองนั้ น ไปเสี ย เลยไมถ ูก ตัว พุท ธศาสนา ที ่พ ระพุท ธเจา ทา นประสงคใ หท ุก คนรูแ ละปฏิบ ัติ เพื ่อ ดับ ทุก ขไ ด นี ่เ ปน เสีย อยา งนี ้ ทั ้ง คนไทยทั ้ง คนฝรั ่ง ก็ไ มม ีท างที ่จ ะรู จ ัก พุ ทธศาสนา, เว น เสี ยแต ว าจะมาเรี ยน ก ข ก กา กั นเสี ยใหม ให รู ว าพุ ทธศาสนาตั้ ง ตนขึ้นที่อะไร ? แลวเปนไปอยางไร ? ตามลําดับ ๆ ไปตั้งแตตนจนถึงที่สุด.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แม ในประเทศไทยเราเวลานี้ ถ า พู ด ถึ ง คํ า ว า ธาตุ ว า อายตนะ แล ว ก็ม ัก จะถือ เสีย วา รู ด ีแ ลว , แลว ก็ไ มอ ยากจะฟง ; มัน จึง เปน ของที ่ฟ น เฝอ เรื้อ รัง อยู ตลอดเวลาจนบั ดนี้ . แม ว าจะมี บางคนบางพวก กํ าลั งพู ดเรื่ อง ธาตุ อายตนะ เรื่ อง ขัน ธอ ยู ก็ไ มถ ูก ตรงตามที ่ม ีอ ยู ใ นพระพุท ธวจนะนั ้น ; ถึง กับ ทายกทายิก าบางคนพูดวา ขาพเจามีขันธทั้ง ๕ อยูตลอดเวลา ทั้งหลับและทั้งตื่น อยางนี้ก็มี. โดย ที ่แ ทนั ้น ไมต อ งพูด ถึง เวลาหลับ ; แมเ วลาตื ่น อยู แ ท ๆ เราก็ไ มอ าจจะมีข ัน ธ ครบทั้ ง ๕ ได จะต อ งมี ที ล ะขั น ธ ตามลํ า ดั บ การเกิ ด ขึ้ น แห ง สั ง ขารธรรมนั้ น ๆ อยางนี้เปนตน.
๑๖๐
ก ข ก กา ของการศึกษาของพุทธศาสนา
ถ ายั งเข าใจ หรื อยั งสอนกั นอยู ว า เรามี ขั นธ ๕ อยู ตลอดเวลา, โดยเฉพาะ อย า งยิ่ ง ทั้ ง ๕ ขั น ธ พร อ มกั น อย า งนี้ ก็ ใ ห ท ราบเถิ ด ว า ไม ต รงตามที่ พ ระพุ ท ธ องค ท รงสั่ ง สอนไว ; เพราะเหตุ นี้ เอง จึ ง จํ า เป น ที่ จ ะต อ งมาตั้ ง ต น ศึ ก ษาเรื่ อ งขั น ธ เรื่อ งธาตุ เรื่อ งอาตนะ กัน เสีย ใหมใ หถ ูก ตอ ง มัน จึง จะเขา ใจเรื่อ งอื ่น ถูก ตอ ง ไปตามลําดับ. เข าใจเรื่อ งธาตุ ถู ก ต อ ง ก็เข าใจเรื่อ งอายตนะถู ก ต อ ง, เข าใจเรื่อ ง อาตนะถูก ตอ ง จึง จะเขา ใจเรื ่อ งการเกิด ขึ ้น แหง ขัน ธ ๕ ไดถ ูก ตอ ง, เขา ใจ เรื ่อ งขัน ธ ๕ ถูก ตอ งแลว จึง จะเขา ใจเรื ่อ ง ปญ จุป าทานขัน ธทั ้ง ๕ ไดโ ดย ถูก ตอ ง, เขา ใจเรื ่อ งทุก ขไ ดโ ดยถูก ตอ ง, แลว จึง จะเขา ใจเรื ่อ งความดับ ทุกข หรือมรรค ผล นิพพานได ตลอดถึงวิธีปฏิบัติ. เดี๋ ย วนี้ สั บ สนไปตั้ ง แต เรื่ อ งขั น ธ เรื่ อ งธาตุ เรื่ อ งอาตนะ ก็ เลยฟ น เฝ อ จึง เห็น วา จํ า เปน ที ่จ ะรื ้อ ฟ น ขึ ้น มาทบทวนกัน ตั ้ง แตต น ; สว นที ่ผ ิด จะไดแ กเ สีย ใหถูก, ที่ถูกอยูแลว มันก็จะมีเครื่องรับรองใหแนนแฟนยิ่ง ๆ ขึ้นไป.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เมื่ อ พู ด ถึ ง ก ข ก กา ต อ งนึ ก ว าเราเรี ย น ก ข ก กา นี้ ไม ใช ว าวั น เดี ย ว จบ ยั ง ต อ งเรี ย นแจกลู ก ไปทุ ก ตั ว แล ว ยั ง ต อ งใช ผั น ด ว ยวรรณยุ ก ต ไม เอก ไม โ ท ไม ตรี ไม จั ตวา ไปอี กทุ กตั ว มาถึ งมี ตั วสะกด เป นมาตรากั น มาตรากั ง กั บ มาตรา กั ก กั ด กว า จะจบหมดนี้ ก็ กิ น เวลาหลายวั น . เรื่ อ ง ก ข ก กา ในทางธรรมะก็ เหมือ นกัน จะตอ งอดทน สนใจศึก ษาเรื่อ งธาตุ เปน ตน ใหเขา ใจแจม แจง , ไม ฟ น เฝ อ แก กั น และกั น จึ ง จะเข า ใจหลั ก พระพุ ท ธศาสนาในชั้ น ที่ เป น พื้ น ฐานได .
อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก
๑๖๑
นี่ ข อให มี ค วามพอใจ ในการที่ จ ะฟ น ฟู หลั ก ธรรมะที่ สํ า คั ญ ถึ ง ขนาดที่ เรี ย กว า เป น ก ข ก กา ในพุทธศาสนากันเสียใหมอยางนี้. เมื่ อ พู ด ถึ งคํ าว า ก ข ก กา ก็ มี ค นที่ ยั งเข าใจผิ ด อยู ว ามั น เป น เรื่ อ งง าย เกิ น ไป ขอให ม องดู กั น ในทุ ก แง ทุ ก มุ ม ว า ก ข ก กา ไม ไ ด เ ป น เรื่ อ งง า ย; ถ า เรี ยนอย างลู กเด็ ก ๆ อมมื อ ดู มั นจะง าย; แต ถ าเรี ยนอย างนั กปราชญ เรี ยน ก ข ก กา ไมใ ชเรื ่อ งงา ย. เดี ๋ย วนี ้ม ัน ไมเ กี ่ย วกับ เรื ่อ งงา ยหรือ ยาก มัน เกี ่ย วกับ เปน รากฐาน ที ่ล ึก ซึ ้ง ; ถา รากฐานไมถ ูก ตอ ง รากฐานไมแ นน แฟน ทุก อยา งมัน ก็ไ มถ ูก ตอ งและไมแ นน แฟน . แตนี ่เ ราตอ งการใหถ ูก ตอ งแนน แฟน สมบูร ณ เราจึง ตองทํารากฐานใหดี ๆ. คนเรี ย นหนั ง สื อ สมั ย ก อ น เรี ย น ก ข ก กา จึ ง รู ห นั ง สื อ แน น แฟ น กว า เด็ ก ๆ ที่ เรีย นลั ด ๆ ลวก ๆ อย า งสมั ย นี้ . ธรรมะนี้ ก็ เหมื อ นกั น ถ า เรี ย นรากฐาน คือ เรื ่อ งธาตุ เรื ่อ งอายตนะ เรื ่อ งขัน ธ โดยเฉพาะใหถ ูก ตอ งแนน แฟน และ กวา งขวางแลว จะรู พ ุท ธศาสนาถูก ตอ งแนน แฟน และสมบูร ณ; ฉะนั ้น จึง ขอใหสนใจเปนพิเศษ คําวา ก ข ก กา มีความหมายอยางนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ดังที่ กลาวมาแล ววา เรื่องที่ เป นรากฐานที่ สุ ด ก็ คื อ เรื่องธาตุ . คําวา ธาตุ หรื อ ส ว นที่ เราทรงตั ว อยู ไ ด เอง ในฐานะที่ เป น ส ว นย อ ย เรื่ อ งย อ ย เรื่ อ งเล็ ก ที่ สุ ด ของเรื่ อ งใหญ ที่ เ ราจะแบ ง ออกไปได ให เ ป น ส ว นย อ ย ๆ เท า ไร; เมื่ อ ไม แบ ง อี ก แล ว ก็ ถื อ ว า เป น ธาตุ อั น หนึ่ ง ๆ ที่ ป ระกอบกั น ขึ้ น เป น สิ่ ง ใดสิ่ ง หนึ่ ง เรื่ อ ง ใดเรื ่อ งหนึ ่ง . ในพระพุท ธศาสนานี ้ก ็เ หมือ นกัน ธรรมะชื ่อ ตา ง ๆ กัน เอาไป แยกแยะออกดู ในที่สุดจะพบอยูที่ความเปนธาตุ ธาตุใดธาตุหนึ่ง.
๑๖๒
ก ข ก กา ของการศึกษาของพุทธศาสนา [ เริ่มการบรรยายครั้งนี้. ]
ในวั น นี้ จ ะได ก ล า วโดยหั ว ข อ ว า สิ่ ง ที่ เรี ย กว า อารมณ คื อ ป จ จั ย แห ง เหตุ ก ารณ ทุ ก อย างในโลก; กล า วโดยสรุป คื อ ว า เราจะพู ด กั น ถึ ง เรื่ อ งอารมณ . เรื ่อ งอารมณนี ้ เมื ่อ ไปดูใ หด ี มัน ก็ไ ปเปน ธาตุใ ดธาตุห นึ ่ง ; เชน ธาตุด ิน น้ํ า ไฟ ลม อากาศ วิ ญ ญาณ หรื อ ว า เป น รู ป ธาตุ สั ท ทธาตุ คั น ธธาตุ รสธาตุ โผฏฐัพ พะธาตุ ธัม มธาตุ, นี ่เ รีย กโดยบาลี, หรือ ถา เรีย กอยา งไร ๆ เราก็ว า ธาตุ รู ป ธาตุ เสี ย ง ธาตุ ก ลิ่ น ธาตุ รส ธาตุ โผฏฐั พ พะ ธาตุ ธั ม มารมณ แต ก็ ไม ค อ ยมี ใครเรียกกันนัก.
ศึกษาใหเขาใจธาตุ ๓ หมวดปรุงกัน. ฉะนั้ น จึ ง ต อ งสนใจเรื่อ งธาตุ เป น พื้ น ฐานของทุ ก เรื่ อ ง, และในการ บรรยายทุ กครั้งได เตื อนแล วเตื อนอี กว า อย างน อยเราต องมี ความแจ มแจ งใน ธาตุ ๓ หมวด : หมวดที่ ๑ มี ๖ อย าง คื อ ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ลม ธาตุ อากาศ ธาตุ วิ ญ ญาณ ที่ ป ระกอบกั น ขึ้ น เป น มนุ ษ ย ค นหนึ่ ง ๆ; อย า งที่ พ ระท า นได ส วดพระบาลี นี้ ไ ปแล ว เมื่ อ ตะกี้ นี้ นี้ เ รี ย กว า เป น พื้ น ฐาน ที่ ป ระกอบกั น ขึ้ น เป น ร า งกาย มนุษยคนหนึ่ง ๆ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ธาตุห มวดที่ ๒ ก็ มี ๖ อยาง คือ ธาตุ ที่ ป ระกอบกั น ขึ้ น เปน ตา เปน หู เปน จมูก เปน ลิ ้น เปน กาย เปน ใจ เรีย กโดยบาลี จัก ขุธ าตุ โสตธาตุ ฆานธาตุ คันธธาตุ ชิวหาธาตุ กายธาตุ มโนธาตุ.
อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก
๑๖๓
และธาตุ หมวดที่ ๓ ก็ มี ๖ อย าง อย างที่ วาเมื่ อตะกี้ นี้ (คู กั บหมวดที่ ๒) ธาตุร ูป ธาตุเ สีย ง ธาตุก ลิ ่น ธาตุร ส ธาตุโ ผฏฐัพ พะ ธาตุธ ัม มารมณ; เรีย ก ว า รู ป ธาตุ สั ท ทธาตุ คั น ธธาตุ รสธาตุ โผฏฐั พ พธาตุ ธั ม มธาตุ . จํ า เป น ภาษา ไทยงาย ๆ จะดีกวา. ต อ งมี ค วามเข าใจแจ ม แจ งชั ดเจน ในธาตุ ๓ หมวด ๆ ละ ๖ นี้ จนไม มี ติ ด ขั ด แล วจะเข าใจเรื่ อ งต าง ๆ ได ง ายขึ้ น . นี้ เรี ย กว าเป น ก ข ก กา ที่ สุ ด สํ าหรั บ ธาตุ ๑๘ อยางนี้. ที นี้ ก็ สั ง เกตศึ ก ษาเรื่ อ ย ๆ มา ในชี วิ ต ประจํ า วั น ว า มี ธ าตุ ต า แล ว ก็ มี ธาตุ รู ป เข า มาอาศั ย กั บ ตา ก็ เกิ ด จั ก ษุ วิ ญ ญาณคื อ การเห็ น ทางตาขึ้ น ก็ มี วิ ญ ญาณเกิ ด ขึ้ น ; มั น ก็ เหมื อ นกั บ ว า มั น มี จิ ต ได เกิ ด ขึ้ น มี ค วามรู สึ ก เกิ ด ขึ้ น เกี่ ย ว กั บ เรื่ อ งตานั้ น เกี่ ย วกั บ สิ่ ง ที่ ก ระทบตานั้ น มิ ใ ช เ ป น เรื่ อ งเดี ย วกั น หมดไปเสี ย ทุ ก เรื่อง มันเปนเรื่อง ๆ ไป.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ตากั บ รู ป กั บ วิ ญ ญาณเกี่ ย วข อ งกั น นี้ เรี ย กว า ผั ส สะ ที่ มี อ ยู ทุ ก วั น . จากผั ส สะนี้ ก็ มี เวทนา รู สึ ก ทางตา สบายตาไม ส บายตา นี้ ก็ มี อ ยู ทุ ก วั น . เวทนา มี แ ล ว ก็ เกิ ด ตั ณ หา คื อ ความอยากไปตามความต อ งการของเวทนานั้ น มี อ ยู ทุ ก วั น . แล ว เกิ ด อุ ป าทานยึ ด ถื อ สิ่ งที่ ตั ณ หามั น ต อ งการ เพื่ อ จะเป น ของเรา หรื อ ยึ ด ถื อ เอา ความต อ งการของตั ว เรา. บางที ก็ ยึ ด ถื อ เอาวิ ญ ญาณที่ รูสึ ก นั้ น เป น ตั ว เรา มั น เกิ ด ตัว เรา - เกิด ของเรา ในความรู ส ึก ขึ ้น มา, เปน ตัว กู - ของกู อยา งนี ้ มัน เปน อยู ท ุ ก วั น . ถ า เกิ ด ตั ว กู - ของกู อ ย า งนี ้ แ ล ว ก็ เ รี ย กว า มี อ ุ ป าทาน มี ภ พ มี ช าติ มี ช รามรณ ะ; อย า งที่ ห ลี ก เลี่ ย งไม ไ ด ก็ เ ป น ทุ ก ข , รู สึ ก เป น ทุ ก ข
๑๖๔
ก ข ก กา ของการศึกษาของพุทธศาสนา
รู สึ ก หม น หมอง รู สึ ก หนั ก อกหนั ก ใจอยู ทุ ก วั น . นี้ จ ะเรี ย กว า ก ข ก กา หรื อ ไม ? จะเห็ น ด ว ยหรื อ ไม ที่ จ ะเรี ย กว า ก ข ก กา ? มั น เป น เบื้ อ งต น ที่ สุ ด มั น ก็ เ ป น รากฐานที่สุด มันเปนเรื่องกอนเรื่องอื่นทั้งหมดอยูตลอดเวลา.
ตองการดับทุกขตองเริ่มศึกษาเรื่องธาตุ. ถ าไม สนใจเรื่องอย างนี้ เป นไม เข าใจพุ ทธศาสนา ให มี ความเฉลี ยวฉลาด อย า งพวกฝรั่ ง สั ก ๑๐ ฝรั่ ง ก็ ไม มี ท างจะเข า ใจพุ ท ธศาสนา; เหมื อ นอย า งที่ ฝรั่ ง เขาสนใจศึ ก ษาพุ ท ธศาสนากั น อยู เป น เรื่ อ งศึ ก ษาในแง อื่ น ไปหมด, หรื อ เตลิ ด เป ด เปง จนผิด พุท ธศาสนาไปก็มี. เพราะไมส นใจจะศึก ษาจากขา งใน ที่เ นื้อ ที่ตัว ที ่ต า ที ่ห ู ที ่จ มูก เหลา นี ้, ไปศึก ษาเรื ่อ งที ่ว า ตามตัว หนัง สือ ซึ ่ง อยู ที ่ไ หนก็ไ มรู ; จึ งต องคํ านวณไปตามวิ ธี คํ านวณ ทางตรรกวิ ทยาบ าง ทางจิ ตวิ ทยาบ าง, แล วส วน มากก็ทางปรัชญา ศึ ก ษาจนตายก็ยิ่ งไม รูพุ ท ธศาสนา ยิ่งเขารกเขาพงของความ รูทางปรัชญา, หรือเปนอภิธรรมยิ่งกวาอภิธรรม จนไมดับทุกขไดเลย.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ าต อ งการ จะดั บ ทุ ก ข ให ได ต อ งมาตั้ งต น ศึ ก ษาที่ นี่ , และต อ งเข า ใจจริง ๆ แลว ตอ งศึก ษาตามวิธ ีข องวิท ยาศาสตร. อยา ไปศึก ษาตามวิถ ีท าง ของปรั ช ญา; มั น ต า งกั น อยู ที่ ว า ปรั ช ญาอาศั ย สิ่ ง ที่ มิ ได มี ตั ว จริ ง ปรากฏอยู แล ว คํ านึ งคํ านวณไปตามเหตุ ผล; ส วนวิ ทยาศาสตรนั้ นจะต องอาศั ยศึ กษาจากสิ่ งที่ เป น ตั ว จริ ง ปรากฏอยู ที่ นี่ เดี๋ ย วนี้ . เหมื อ นกั บ เอามาดู ได ในฝ า มื อ แล ว ก็ ศึ ก ษาไปจาก สิ่ งนั้ น ตามลํ าดั บ ไป จึ งจะรูความจริ งของสิ่ งนั้ น , เรีย กว า นี่ เป น วิ ธี ก ารศึ ก ษาอย าง พุ ท ธศาสนา, ไม ใ ช ศึ ก ษาอย า งวิ ธี ป รั ช ญา. ศึ ก ษาอย า งวิ ธี ข องศาสนา ก็ ศึ ก ษา
อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก
๑๖๕
อย างวิ ท ยาศาสตร ตามวิ ธี การทางวิ ท ยาศาสตร. ฉะนั้ น จึ งเอาเรื่ อ งที่ รู อ ยู จริ ง เห็ น อยู จ ริ ง ปรากฏอยู จ ริ ง ข า งใน เช น ตากั บ รู ป มั น เกิ ด อะไรขึ้ น ? หู กั บ เสี ย งมั น เกิ ด อะไรขึ้ น ? จมู ก กั บ กลิ่ น มั น เกิ ด อะไรขึ้ น ? เป น หมวด ๆ ๆ ไป ตามสิ่ ง ที่ เรี ย กว า ธาตุ ; มั น รายละเอี ย ดที่ ต อ งศึ ก ษาอี ก มาก. แต ที่ เอามาให เป น ก ข ก กา ในเบื้ อ ง ตนก็คือ ๓ หมวด ๆ ละ ๖ ดังที่กลาวแลว. ขอใหสนใจใหดีเปนพิเศษ. ดิน น้ํา ไฟ ลม อากาศ วิญญาณ เปนธาตุที่ประกอบกันขึ้นเปน สัต วที ่ม ีช ีว ิต ; ตา หู จมูก ลิ ้น กาย ใจ อายตนะนี ้สํ า หรับ สัม ผัส หรือ รู ส ึก , แล ว ก็ รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ ข า งนอก จะเข า มาถึ ง ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ, ข า งนอกนี้ ก็ เรีย กว า อายตนะข า งนอก เป น เบื้ อ งต น ของสิ่ ง ที่ เป น ป ญ หาของมนุ ษ ย เรา ในชี วิ ต ประจํ า วั น ; เลยเป น ๓ หมวด ๆ ละ ๖ เรี ย กว า ธาตุ ๑๘ อยาง ไมมากไปกวาสิ่งที่เปนจริงในประจําวัน.
ศึกษาใหรูจักสิ่งที่เรียกวาอารมณ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ วั น นี้ จะพู ดเรื่อง อารมณ ลองคิ ดดู ว ามั น อยู ในหมวดไหน ? มั น อยู ในหมวดสุดทาย คือหมวดอายตนะภายนอก คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธั ม มารมณ . ก็ แ ปลว าเราจะศึ กษากั น ในหมวดอายตนะภายนอก ในการบรรยาย ครั้งที่ ๗ นี้.
สํ าหรับคํ าว า อารมณ ควรคิ ดพิ จารณากั นโดยทางตั วหนั งสื อก อน คํ าว า อารมณ ใ นภาษาไทยนั้ น เอาเป น หลั ก ไม ไ ด ; เพราะฉะนั้ น ขอให เข า ใจกั น เสี ย
๑๖๖
ก ข ก กา ของการศึกษาของพุทธศาสนา
ทุ ก คนว า ภาษานี้ มั น เดิ น ได อย างนี้ เอง ภาษาหนึ่ งถอดออกไปเป น ภาษาหนึ่ งแล ว มัน จะเดิน เคลื ่อ นไปไมม ากก็น อ ย. ภาษาบาลีก ็เหมือ นกัน เมื ่อ มาเปน ภาษาไทยแลว มันก็เคลื่อนไป, บางทีเคลื่อนไปตรงกันขามกลับความอยูก็มี. เดี๋ยวนี้คําวา อารมณ ในภาษาไทยนั้น หมายถึง ความรูสึกในใจมาก กว า ; เช น พื้ น เพของจิ ต ใจในขณะนั้ น เป น อย า งไร, เรี ย กว า อารมณ ข องเขาเป น อย างไร, อารมณ กํ าลั งดี อารมณ กํ าลั งไม ดี . นี่ คํ าว าอารมณ ในภาษาไทยใช กั น ไป เสี ย อย า งนี้ ; มั น คนละเรื่อ งกั บ ในภาษาบาลี ซึ่ งคํ า ว า "อารมณ " หมายถึ ง สิ่ ง ที่ จะเขามากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ. ถ ากระทบแล วเกิ ด ความรูสึ กอย างไร งุ น ง านอยู ในใจ อั น นั้ น ไม ได เรีย ก ว า อารมณ ; อั น นั้ น ก็ เรี ย กว า กิ เลสอย า งอื่ น เช น เรี ย กว า ตั ณ หาบ า ง อุ ป าทาน บาง; ถาจัดเป นพวกขันธ ก็เรียกวา เวทนาขันธ บ าง สั ญ ญาขั นธ บาง สั งขารขัน ธ บา ง; ถา เปน ความคิด ที ่งุน งา นก็เ รีย กวา สัง ขารขัน ธ ทั ้ง นั ้น ; ดัง นั ้น เราจะตองถือเอาคําวา อารมณในบาลีมาเปนหลัก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org คําวา อารมณ ที่จะเขาใจกันงาย ๆ ก็หมายความวา รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่จะมากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย นี้ ๕ อยาง แลวก็ความรูสึก เก าแก ที่ จะมาผุ ดขึ้ นในใจอี กเรียกวา ธัมมารมณ ที่ จะมากระทบใจในป จจุ บั นนี้ นี้ ก็ เป นอั นหนึ่ ง เลยได เป นอารมณ ๖. อารมณ กระทบ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ๕ อย าง ขางนอก นี้ ก็ สํ าคั ญ ไปพวกหนึ่ ง ที่ ป รุงขึ้ น ภายในสํ าหรับ กระทบใจ โดยไม ต อ ง อาศั ย ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ เลย ในเวลานั้ นก็ ยั งมี อยู นี้ เรียกว า ธั มมารมณ นี้ ก็
อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก
๑๖๗
ยิ ่ง สํ า คัญ ; แตว า รวมกัน แลว ก็เ รีย กวา อารมณ ไดด ว ยกัน ทั ้ง นั ้น แปลวา สิ ่ง ที่จะมากระทบกับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั่นเอง. นี้ดูใหละเอียดตามตัวหนังสือ คําวาอารมณ แปลวา ที่หนวงบาง แปลวา ที่ ยิ น ดี บ าง, มั นมี ความหมายละเอี ยดมาก. ถ าถื อเอาความหมายอย างคนที่ มี ตั วตน เป น หลั ก ธรรมะในฝ า ยฮิ น ดู ห รื อ ฝ า ยพรหมณ เ ขาก็ จ ะพู ด ว า สํ า หรั บ จิ ต หรื อ อาตมั น เข า ไปจั บ ฉวยเอา. แต ถ า พู ด อย า งภาษาชาวพุ ท ธ พู ด อย า งนั้ น ไม ไ ด ; เพราะไม มี จิ ต ไม มี อ าตมั น ชนิ ด นั้ น แล ว จิ ต นี้ ก็ เพิ่ งเกิ ด ขึ้ น หลั ง อารมณ ก ระทบแล ว ; เลยต อ งพู ด ตามพระบาลี ที่ ว า อาศั ย ตาด ว ย อาศั ย รู ป ด ว ย ย อ มเกิ ด จั ก ษุ วิ ญ ญาณ; ตาอาศั ย กั บ รู ป คื อ อารมณ นั้ น ได แ ล ว จึ งจะเกิ ด จั ก ษุ วิ ญ ญาณ วิ ญ ญาณ หรือจิตนี้เกิดทีหลัง. ฉะนั้ น จึ ง ไม พู ด ว า อารมณ นี้ เป น สิ่ ง สํ า หรั บ จิ ต หรื อ ตั ว ตนเข า ไปจั บ ฉวย ยึด เอา; ถา พูด อยา งนั ้น มัน ก็จ ะเปน ฮิน ดูห รือ พราหมณไ ป คือ มีต ัว ตนไป. พูด อยา งพุท ธไมม ีต ัว ตน ทุก อยา งไมใ ชต ัว ตนเปน สัก วา ธาตุ, ไดก ารปรุง แตง ที่ เหมาะแล ว มั น ก็ ป รุ ง แต ง เป น สิ่ ง ใหม ขึ้ น มา ในนั้ น อาจจะมี ค วามรู สึ ก โง ไ ปว า เป น ตัวเราก็ได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้ นคํ าว า อารมณ ถ าถื อตามหลั กในทางพุ ทธศาสนา ก็ แปลว า สิ่ งที่ อาศั ย กั น กั บ จิ ต จะเรี ย กว า เป น หน ว งของจิ ต มั น ก็ ยั ง ได ; ถ า เข า ใจผิ ด มั น ก็ ผิ ด ได ; เรี ย กว า สิ่ ง ที่ อ าศั ย กั บ อายตนะ แล ว ก็ เกิ ด เป น ความรู สึ ก เป น จิ ต ขึ้ น มา จิ ต กํ า ลั ง หนวงสิ่งนั้นเปนอารมณก็ได; แตจะใหเปนตัวตนนั้นไมได.
๑๖๘
ก ข ก กา ของการศึกษาของพุทธศาสนา
โดยพยั ญ ชนะก็ มี อยู อย างนี้ ตั วพยั ญ ชนะก็ ยั งกํ ากวม อารมฺ มณํ หรือที่ มาจาก อาลมฺพนํ ก็แปลวา ที่หนวงของจิต. ถาจะถือวามาจาก รม ที่แปลวา ยินดี ก็แปลวา มันเปนสิ่งที่หลงใหลยินดีของจิต อยางนี้ก็ยังไดอีก. แตขอใหรูจักจากภายในดีกวา ที่จะมารูจักจากตัวหนังสือ เมื่อตากระทบ รูป เมื ่อ หูก ระทบเสีย ง เปน ตน มัน เกิด ขึ ้น ในใจ, แลว สัง เกตเอาที ่นั ่น ก็แ ลว กัน ว ารูป ที่ ม ากระทบตานั้ น มั น คื อ อะไร ? เสี ย งที่ ม ากระทบหู นั้ น มั น คื อ อะไร ? จะค อ ย เข า ใจแจ ม แจ ง ขึ้ น ที ล ะน อ ย ๆ ว า อารมณ นั้ น คื อ อะไร. แต ให เข า ใจไว ที ห นึ่ ง ก อ น ว า สิ่ งที่ เรี ยกว าอารมณ ๆ ที่ ม ากระทบนี้ มั น ยั งไม ดี ไม ชั่ ว ยั งไม จั ด เป น สิ่ งดี สิ่ งชั่ ว; มั น ต อ งผสมปรุง แต งเป น ความคิ ด อย า งนั้ น อย า งนี้ เสี ย ก อ น จึ งจะจั ด เป น ดี เป น ชั่ ว . อารมณ ล วน ๆ ยั งไม ดี ไม ชั่ ว จะได รู จั ก ป อ งกั น อย าให เป น ไปในทางชั่ ว, ให เป น ไป แตในทางดี ไดตามปรารถนา. นี้เรียกวาโดยพยัญชนะ โดยตั วหนั งสื อ คําวา อารมณ แปลวา เป นที่ ยิ น ดี แ ห ง จิ ต , เป น ที่ ยึ ด หน ว งแห ง จิ ต ; โดยเฉพาะภาษาอภิ ธ รรมแล ว ก็ ใช คํ า ว า เป น ที่ ห น ว งเอาของจิ ต , คื อ จิ ต ย อ มหน ว งสิ่ ง ใดสิ่ ง หนึ่ ง เป น อารมณ แปลคํ า ว า อารมณบาง, อาลัมพนะ แปลวา เปนที่หนวงเอา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เดี ๋ย วนี ้เ ราเรีย นพุท ธศาสนา ไมใ ชเ รามาเรีย นหนัง สือ บาลี. เรา จะเรีย นพระธรรมคํ า สอนของพระพุ ท ธเจ า เราก็ ต อ งดู สิ่ งที่ เรีย กว า อารมณ โดย หลั ก ของธรรมชาติ ที่ ป รุง แต ง กั น อยู ในใจดี ก ว า ; ก็ อ ย า งพระบาลี ที่ ได ว า มาแล ว ขางตน วา จกฺขฺุจ ปฏิจฺจ รูเป จ อุปฺปชฺชติ จกฺขุวิฺาณํ - เพราะอาศัยตาดวย รูปดวย ยอมบังเกิดจักษุวิญญาณ ติณฺณํ ธมฺมานํ สงฺคติ ผสฺโส - การประจวบ
อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก
๑๖๙
กัน ของ ๓ สิ่งนี ้เรีย กวา ผัส สะ, ผสฺส ปจฺจ ยา เวทนา เพราะผัส สะเปน ปจ จัย จึ ง เกิ ด เวทนา, อย า งนี้ เ รื่ อ ยไป จนเกิ ด ทุ ก ข จนเกิ ด ความทุ ก ข , นี้ เ รี ย กว า โดย ธรรมชาติ. สิ่งที่เรียกวา อารมณ มีอยูโดยธรรมชาติ ที่จะเขามาอาศัยกันกับตา ขา งใน ที ่ม ีอ ยู ใ นตัว คน. แลว จะเกิด จัก ษุว ิญ ญ าณ เปน ตน ขึ ้น ในตัว คน; จะเกิ ด ผั ส สะ เวทนา ตั ณ หา อุ ป าทาน ภพ ชาติ ขึ้ น ในตั ว คน; นี้ โ ดยธรรมชาติ พระพุ ท ธเจ า ท า นบั น ดาลอะไรไม ไ ด ; ธรรมชาติ เ ป น อยู อ ย า งนี้ ; แต ท า นรู เ รื่ อ งนี้ ทา นจึง นํ า มาสอน วา ธรรมชาติม ัน มีอ ยู อ ยา งนี ้. เราจะตอ งเขา ใจใหถ ูก ตอ ง โดยที ่จ ะปอ งกัน ความทุก ขไ มใ หเ กิด ขึ ้น มาได, หรือ ถา เกิด ขึ ้น มาได ก็จ ะดับ เสียได. เราควรจะรู จั ก อารมณ ใ นฐานะที่ เป น ธรรมชาติ อั น หนึ่ ง ที่ มี อ ยู ต าม ธรรมชาติ แล วที่ จะเข ามาทํ าเรื่อ งทํ าราวขึ้ น ในจิ ตใจของคนเรา ให เกิ ดป ญ หายุ งยาก นี้ ใ ห ดี ๆ. นี้ เรี ย กว า รู จั ก อารมณ จ ากธรรมชาติ โ ดยตรงอย า งนี้ ดี ก ว า ที่ จ ะรู จั ก ตาม ตั วหนั งสื อ, ดี กว าที่ จะรู จั กตามคํ าบอกเล าบางอย างบางประการ ที่ มั นไม มี ประโยชน อะไร. รู จั ก ตามคํ า บอกเล า ก็ รู จั ก ตามที่ พ ระพุ ท ธเจ า ท า นตรั ส ดี ก ว า ; แต แ ล ว ยั งไม รูจักตั วจริง จนกวาจะมารูจั ก จากที่ เมื่ อ อารมณ ม ากระทบ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ เข า จริ ง ๆ ; นั่ น จึ ง จะรู จั ก อารมณ . รู จั ก ผลที่ เ กิ ด ขึ้ น จากการกระทบของ อารมณ, รูจักตอไปตามลําดับ จนแกปญหาตาง ๆ ได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๑๗๐
ก ข ก กา ของการศึกษาของพุทธศาสนา
นี่ ข อร อ งให รู จั ก สิ่ งที่ เรี ย กว า อารมณ ในฐานะที่ เป น ธรรมชาติ อั น หนึ่ ง ที่มีอยูตามธรรมชาติที่จะเขามากระทบอายตนะภายใน คือ กระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แลวมีเรื่องมีราวมีปญหา.
อารมณก็คือโลก. ที นี้ จะให ดู ต อไปอี ก ว าโดยข อเท็ จจริ งที่ เป นอยู แล ว อารมณ นั้ นคื ออะไร ? ถ า จะพู ด โดยข อ เท็ จ จริ ง หรื อ ตามสถานการณ ที่ เป น อยู จ ริ ง ในชี วิ ต ของคนเรา อารมณม ัน ก็ค ือ "โลก" นั ่น เอง. เดี ๋ย วนี ้เราไมรู จ ัก โลก ในฐานะอยา งนี ้, เรา ไปเขาใจความหมายของคําวา โลก แคบไปบาง หรือวาเขวไปบาง. ถ า จะรู ต ามหลั ก พระพุ ท ธศาสนาแล ว โลกทั้ ง หมดก็ คื อ สิ่ ง ที่ จ ะมา ปรากฏแก ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ของเรา, เรามี เพี ย ง ๖ อย าง, แล วมั น ก็ ปรากฏได เพี ย ง ๖ ทาง, มากกว า นั้ น มั น ปรากฏไม ได . ดั งนั้ น โลก ก็ คื อ สิ่ งที่ จ ะมา ปรากฏแก ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ๖ อย า งของเรา. โลกก็ คื อ รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ ๖ ประการเทานั้น, ไมมีอะไรมากไปกวานั้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั ้น รูป เสีย ง กลิ ่น รส โผฏฐัพ พะ ธัม มารมณ แตล ะอยา ง ๆ ก็ คื อ โลก ในแต ล ะแง ล ะมุ ม นั่ น เอง. ที่ เป น รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ก็ อยู ข า งนอก จะเรีย กวา อยู ข า งนอกก็ไ ด. ที ่เ ปน อารมณเ กิด ขึ ้น ในใจ ปรุง ขึ ้น ในใจก็เ รีย กวา โลกขา งในก็ไ ด; แตม ัน ก็เ ปน โลกอยู นั ่น แหละ; เพราะมัน เป น สิ่ งที่ จิ ต จะต องรู สึ ก จิ ต รู สึ ก ก็ เรี ย กว าโลกสํ าหรั บ จิ ต ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย รู สึ ก
อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก
๑๗๑
ก็ เรี ย กว าโลกสํ าหรั บ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย. นี้ ข อให ม องให เห็ น ชั ด ตามพระพุ ท ธ ประสงควา โลกก็คืออารมณ, อารมณก็คือโลก. แต ที นี้ พ ระพุ ท ธเจ า ท า นมองลึ ก กว า นั้ น ท า นตรั ส ถึ ง ข อ ที่ ว า ถ า มั น มา เกิด เปน ปญ หาแกเ ราเมื ่อ ไร จึง จะเรีย กวา มัน มี; พอมัน มาเปน ปญ หาแกเ รา เมื ่อ ไร ก็เ รีย ก วา เปน ทุก ข; เพ ราะวา เราไดไ ป จับ ฉวยยึด ถือ เอา ตาม ประสาตามวิสัยของคนที่ไมรูจักโลก. ถ าพู ด ว าไม รูจั ก โลก แล วคนก็ มั ก จะไม ย อมรับ ; เพราะวา เขาจะ พูด วา เขารู จ ัก โลกดี. ยิ ่ง พวกฝรั ่ง สมัย นี ้ นัก วิท ยาศาสตรป ราดเปรื่อ งนั ้น เขา จะไม ย อมรับ ว า เขาไม รูจั ก โลก. แต ถ า พู ด ตามหลั ก พุ ท ธศาสนาแล ว ก็ จ ะพู ด ได ว า ยั งไม รูจักโลกเลย เป นคนตาบอดยิ่ งกวาตาบอด; เพราะวาฝรั่งเหล านั้ น รูจักโลกแต ในแงสํ า หรับ จะยึด มั ่น ถือ มั ่น เปน ตัว กู - ของกู จะครองโลกจะอะไร เอา ประโยชน ทุ ก อย า ง; เขารู จั ก โลกในแง นี้ . อย า งนี้ พุ ท ธบริ ษั ท ไม เรี ย กว า รู จั ก โลก; แต ถื อ ว า เป น คนตาบอดต อ โลก, หลงยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ในโลก. เพราะว า คนเหล า นั้ น ไมรูจักโลก โดยความเปนอารมณ ๖ ประการ คือ รูป เสียง กลิ่นรส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ , แล วเป นมายา คื อเอาจริงไม ได เป นของชั่ วคราว ๆ หลอกให เกิ ดความ รูสึกยึดมั่นถือมั่น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้เ รารูจัก เราไมไ ปหลงยึด มั่น ถือ มั่น กับ มัน นี้จึง เรีย กวา คนที่ รู จ ั ก โลกไปตามหลั ก ของพุ ท ธศาาสนา. ฉะนั ้ น จึ ง ไม ย ึ ด มั ่ น ถื อ มั ่ น สิ ่ ง ใด โดยความเป น ตั ว ตน หรื อ โดยความเป น ของตน, เรี ย กว า เป น ผู รู จั ก อารมณ ๖ ประการ นั้ น ก็ คื อ รู จั ก โลกทั้ ง ปวง, แล ว ก็ ไ ม ห ลงไปในโลก ในแง ใ ดแง ห นึ่ ง .
๑๗๒
ก ข ก กา ของการศึกษาของพุทธศาสนา
นี้ เรียกว า อารมณ ก็ คื อ โลก นั่ นเอง ในความหมายที่ ลึ กที่ สุ ด ของพระพุ ทธสาสนา ไม ใ ช โลกก อ นดิ น , ไม ใ ช โลกก อ นกลม ๆ นี้ . แต มั น หมายถึ ง คุ ณ ค า อะไรที่ มั น มี อ ยู ในโลกกลม ๆ นี้ ที่ จะเข ามามาทํ าให เกิ ดป ญ หา ที่ ตา ที่ หู ที่ จมู ก ที่ ลิ้ น ที่ กาย ที่ ใจ ของคน. นั ่น แหละคือ ตัว รา ยกาจของสิ ่ง ที ่เรีย กวา โลก เราจะตอ งรู จ ัก ในสว นนี้ ใหเพียงพอ.
อารมณในโลกปจจุบันมารวมที่วัตถุนิยม. ที นี้ ดู อี ก แง ห นึ่ ง ก็ โดยป ญ หาที่ กํ า ลั ง มี อ ยู อารมณ ใ นโลกนี้ ในฐานะ ที ่ม ัน เปน ตัว ปญ หาที ่กํ า ลัง มีอ ยู มัน มารวมอยู ที ่คํ า วา วัต ถุน ิย ม; หมายความ ว าตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ นี้ มั นเป นฝ ายชนะ ไปหลงใหลในอารมณ รู ป เสี ยง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ฯลฯ, แล ว ก็ เกิ ด นิ ย ม หลงใหลในวั ต ถุ เหล า นั้ น จนเกิ ด ความคิ ด ใหม ๆ, ปรุ งแต งไปในทางที่ จ ะให ห ลงใหลในโลกยิ่ งขึ้ น ๆ, ความเจริญ ก า วหน า ในโลกสมั ย นี้ เ ป น ไปแต ใ นทางอย า งนี้ . ฉะนั้ น จึ ง ไกลความสงบ, ไกลสั น ติ ภ าพ ไกลอะไร ออกไปทุ ก ที . การที่ ม นุ ษ ย ที่ มี ป ญ ญาในโลกสมั ย นี้ โดยเฉพาะฝรั่ ง ที่ ก า วหน า นั้ น เขาก็ จั ด โลกไปแต ใ นแง ข องวั ต ถุ ม ากขึ้ น ๆ; มั น ก็ ไ กลจากสั น ติ ภ าพ ไกลจากความสงบสุขยิ่งขึ้นทุกที.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ความสะดวกสบายที่ ทํ า ให เกิ ด ขึ้ น มาได นั้ น ไม ได ช ว ยส งเสริ ม เกิ ด สั น ติ ภาพ; แตม ัน ชว ยใหเ กิด ความหลงในโลกนั ้น เองมากขึ ้น , แลว ก็ช ว ยใหห ลงใหล ในตัว กู - ของกู, ยึด มั ่น ถือ มั ่น เห็น แกต ัว มากขึ ้น , รวมกัน แลว มัน ไมม ีท างที ่จ ะ เกิ ด สั น ติ ภ าพ หรื อ สั น ติ สุ ข ในโลกได เลย, จึ ง กลายเป น ความหลอกลวงเหลื อ
อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก
๑๗๓
ประมาณ โลกจึ งกลายเป น ความหลอกลวง, หรื อ สิ่ งที่ ห ลอกลวงเหลื อ ประมาณใน เวลานี้ เราเรียกกันวาติดบวงหรือวา ติดเหยื่อของวัตถุนิยม. คํ า พู ด ทั้ ง หมดนี้ ล ว นแต เ ป น การแสดงให เ ห็ น ว า อารมณ นี้ คื อ อะไร; สิ่ ง ที่ เรี ย กว า อารมณ นั้ น คื อ ตั ว โลก ที่ กํ า ลั ง หลอกลวงเราอยู ทุ ก วั น อย า งยิ่ ง ; โดยเฉพาะในปจจุบันนี้เปนวัตถุนิยม นี้คืออารมณ. ความหมายของอารมณ คุ ณ ค าของอารมณ อิ ท ธิ พ ลของอารมณ พิ ษ สงของอารมณ มั น รวมอยู ที่ คํ า ๆ นี้ คื อ วั ต ถุ นิ ย ม ที่ กํ าลั งครอบงํ าโลก ยึ ด ครองโลก แลว มีผ ล คือ เผาผลาญโลกใหรอ นระอุ ไปดว ยกิเลสตัณ หา ซึ่งรอ นยิ่ง กวา จะ เผากั น ด วยไฟธรรมดา เพราะมั น เผาจิ ต ใจ, นั่ น แหละ อารมณ ก็ คื อ สิ่ งนี้ คื อ ความ หมายของอารมณ กํา ลัง อยูใ นรูป ของวัต ถุน ิย ม, เปน ตัว โลกที่ป รากฏ ทาง ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย หรือ ใจ ด ว ย. แต เราไม รู จั ก ดู กั น ในแงนี้ ไปรู จั ก แต ใ นแง ของเวทนาที่เปนเสนห, หรือเปนเครื่องหลอกลวง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้ น ขอให รู จั ก สิ่ ง ที่ เรี ย กว า อารมณ ให ดี , อารมณ ทั้ ง ๖ ประการนี้ คื อ อะไร ? แล ว ก็ จ ะแก ป ญ หา เกี่ ย วกั บ ความทุ ก ข ใ นจิ ต ใจของตนเองได . แล ว ถ า มนุ ษ ย ทุ ก คนรู เ รื่ อ งนี้ ก็ จ ะแก ป ญ หาความเร า ร อ นของโลกทั้ ง โลกได นี้ คื อ สิ่ ง ที่ เรีย กวาอารมณ เป น ป จ จั ย แห งเหตุ ก ารณ ทุ ก อย างในโลก. จะพู ด ให ก ลั บ กั นใน ทางดี ที ่ไ มเ ปน ความทุก ข มัน ก็อ าศัย อารมณเ หมือ นกัน ; แตรู เ ทา ทัน อารมณ; ไมไปหลงอารมณ, ไมไปเปนทาสเปนบาวของอารมณ. เดี๋ ย วนี้ มั น ตรงกั น ข า ม คื อ ไปหลงใหลในอารมณ , เป น บ า วเป น ทาส ของอารมณ , อารมณ มั น จึ ง ให ผ ลแต ที่ เ ป น ทุ ก ข ถ า เรารู จั ก เท า ทั น อารมณ
๑๗๔
ก ข ก กา ของการศึกษาของพุทธศาสนา
ก็ เรี ย กว า อยู เหนื อ อารมณ , ก็ อ ยู เหนื อ โลก มั น ก็ ม าทํ า ให จิ ต นี้ เป น ทุ ก ข ไม ไ ด , เป น ผูอยูเหนืออารมณหรือเหนือโลก ซึ่งจะวิสัชนากันทีหลัง. เดี๋ ย วนี้ ก็ ได รู ว า อารมณ คื อ อะไรพอสมควรแล ว แล ว ก็ อ ยากจะเน น ใน ข อ ที่ ว า มั น เป น ก ข ก กา อย า งไร ? บางคนอาจจะเบื่ อ แล ว ก็ ได เน น ความเป น ก ข ก กา ของธรรมะเหล า นี้ . แต ถ า ไม เบื่ อ แล ว จะดี เพราะว า ยั ง ไม เข า ใจ. ทํ า ไม จึ ง ถื อ ว า นี้ เป น ก ข ก กา ? สํ า หรั บ อารมณ นี้ มั น เป น ต น เหตุ ข องสิ่ ง ทั้ ง ปวง; เพราะเป นต น เหตุ เบื้ องต น ที่ สุ ด จึ งเรี ยกว า ก ข ก กา เพราะว า ก ข ก กา เป น เรื่ อ ง แรกเปนเบื้องตนของทุกเรื่อง เรื่องอารมณนี้เปนเบื้องตนของเรื่องทุกเรื่อง. ถ า เราอย า มี รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ๕ ประการนี้ มั น ก็ ไ ม มี ป ญหาอะไร. เอาละ, ย อมให มี ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ มนุ ษย มี ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย; แต ถ าไม มี รูป สํ าหรั บตา ไม มี เสี ยงสํ าหรับ หู ไม มี กลิ่ นสํ าหรั บ จมู ก ไม มี รสสํ าหรับ ลิ้ น ไม มี สั ม ผั ส สํ า หรั บ ผิ ว หนั ง เพื่ อ ผิ ว หนั ง มั น ก็ ไ ม มี ค วามหมาย. มั น มี ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ไปเปล า ๆ มั น เท า กั บ ไม มี . ถ า พู ด ให ลึ ก กว า นี้ ก็ จ ะมี แ ต ป ระสาทตา ประสาทหู ประสาทจมู ก ฯลฯ เท า นั้ น แหละ; มั น จะมี ต า หู จมู ก ฯลฯ โดย สมบูรณไมได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org พระพุ ทธเจาทานตรัสวา ตอ เมื่ อ มี รูป เสีย ง กลิ่ น รส เป น ต น มา กระทบ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย มั น จึ งจะเกิ ด จั ก ษุ วิ ญ ญาณ โสตวิ ญ ญาณ ฆานวิ ญ ญาณ ฯลฯ, หรื อ ที่ มี ตา หู จมู ก ลิ้ น ฯลฯ ที่ ส มบู ร ณ ขึ้ น มาได ; มิ ฉ ะนั้ น แลวมันก็จะมีแตสักวา ประสาทที่รออยู ที่ตา ที่ประสาทที่รออยูที่หู ฯลฯ.
อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก
๑๗๕
อย า งนี้ เรี ย กว า อะไรเป น ต น เหตุ จะเรี ย กว า รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พพะ ข างนอก ที่ จะมากระทบตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ เป นต นเหตุ . หรื อจะเรี ยกว า ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย เป น ตน เหตุ . อาตมารูสึ กวา ข างนอกนั่ น แหละมั น เป น ต น เหตุ พื้ น ฐาน; เพราะมั น มี อ ยู ก อ น, มั น มี อ ยู ทั่ วไป ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย จะมี ห รื อ ไม มี ก็ ไม ท ราบ ไม รู ไม ชี้ . แต ว า รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ มั น มี อ ยู โดย ธรรมชาติ มีอ ยู เ ปน พื ้น ฐานกอ นแลว ; ฉะนั ้น ตอ งถือ วา พื ้น ฐานกอ นเกา แก ก ข ก กา นี้ก็เรียกวาอารมณ นี้คือเรื่อง ก ข ก กา ที่สุด.
ถาไมมีอารมณจิตก็ไมมี. ที นี้ ดู ให ใ กล เข า มา สิ่ ง ที่ เรี ย กว า จิ ต จิ ต นี้ จะเป น จิ ต ขึ้ น มาไม ไ ด ถ า ไมม ีอ ารมณ. ถา ศึก ษาใหล ะเอีย ดในทางพุท ธศาสนาแลว ก็จ ะยิ ่ง รู สิ ่ง นี ้ช ัด เจน ยิ่ งขึ้ น เพราะว าธรรมดาเราเข าใจผิ ด ถื อมาผิ ด ๆ หรื อสอนกั นมาผิ ด ๆ. โดยเหตุ ที่ ว า ศาสนาพรหมณ เข า มาแล ว ก อ นพุ ท ธศาสนา, มาสอนให พ วกที่ นี่ เ ชื่ อ อย า งลั ท ธิ พราหมณ คื อ มี อ าตมั น ว า มี อ าตมมั น คื อ มี ตั ว ตน. บางที ก็ เ รี ย กว า จิ ต เจตภู ต วิ ญ ญาณ อะไรก็ แ ล ว แต จ ะเรี ย ก หมายถึ ง สิ่ ง ๆ เดี ย วกั น ทั้ งนั้ น ว า คนเรามี เจตภู ต มี จิ ต มี วิ ญ ญาณ มี อ าตมั น เกิ ด มาเสร็ จ จากท อ งแม . นี้ ก็ มี อ ะไรเข า มาสํ า หรั บ ให เจตภู ต หรื อ อาตมั น นี้ แตะต อ ง เสวย ซ อ งเสพอะไรต า ง ๆ อย า งนี้ มั น มี จิ ต เสี ย กอนแลว.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org โดยทางพุ ท ธศาสนาจะไม ถื อ ดั ง กล า วนั้ น ; สิ่ ง ที่ เรี ย กว า จิ ต โดยแท จ ริ ง จะมี ต อ เมื่ อ อารมณ ข างนอกมากระทบอายตนะข างใน, แล วปรุงเป น ความรูสึ ก
๑๗๖
ก ข ก กา ของการศึกษาของพุทธศาสนา
ขึ้ นที่ นั่ นแล วจึ งเรี ยกว า จิ ต เฉพาะกรณี เฉพาะเรื่ อ งเฉพาะราว ให เป นเรื่ อ ง ๆ ราย ๆ ไป; เกี่ยวกับจิตเกิดขึ้น ไมยอมใหมีจิตที่เปนตัวตนอันถาวร. ที่ จ ะเป น อาตมั น อั น ถาวร, จะเป น ตั ว ตนอั น ถาวร นั้ น มั น เป น พราหมณ นั้ น มั น เป น ฮิ น ดู เขาเข า มาก อ น เขาสอนไว ก อ นเสร็ จ แล ว เขาจึ ง ได เปรี ย บ. คน ไทยเราจึงถือศาสนาฮินดูอยูโดยกําเนิด โดยในสวนลึกของจิตใจวามีตัวกู มีตัวมีตน มี อ ะไร มี เจตภู ต วิ ญ ญาณ เข าออกร างกายนี้ ตายแล วมั น ก็ อ อกไปหาร างกายใหม , หรื อ ว า นอนหลั บ มั น ก็ อ อกไปเที่ ย วเล น อย า งนี้ เ ป น ต น . ฝ า ยลั ท ธิ นั้ น ได เ ปรี ย บ เพราะสอนอยู ก อ นแล ว; พุ ท ธศาสนามาสอนสู งไปกว า นั้ น โดยให รู ว า สิ่ งที่ เรี ย กว า จิตโดยแทจริงนั้น ไมไดเปนตัวตนอยางนั้น, ตัวตนอยางนั้นก็มิไดมี. อยา ไดเ ขา ใจวา มีสิ ่ง ที ่เ ปน ตัว ตนโดยแนแ ทถ าวรอยา งนั ้น เลย; ไมม ีอัต ตา ไมม ีอ าตมัน ชนิด นั ้น มีแ ตค วามรูส ึก ที ่เพิ ่ง เกิด ขึ้น เมื ่อ อายตนะขา ง ในข า งนอกกระทบกั น แล ว สํ า คั ญ ผิ ด เป น ตั ว ตน เป น ตั ว ตนได เห็ น ตั ว ตนได ยิ น ตัวตนไดชิมไดดม ไดรสอรอย ไดไมอรอย.
www.buddhadasa.in.th พุทธศาสนาไมทําลายของเกา มีแตเสริมใหดีขึ้น. www.buddhadasa.org เรื่ อ งนี้ เราจะไม ท ะเลาะกั น เมื่ อ สอนอยู อ ย า งนั้ น ก อ นก็ ไ ด . ขอให ถื อ เอาเปน ความรูพื้น ฐานอยางนั้น ไปกอ น แลวก็เรีย นความรูใ หม สําหรับ ถอน ความรู อ ย า งนั้ น เสี ย ตามสมควร; เพราะคนเราจะต อ งมี ค วามรู อ ย า งใดอย า งหนึ่ ง
อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก
๑๗๗
จะอยู โดยปราศจากความรู ไม ได . ถ ามั นเป นความรู ที่ เขาสอนกั นอยู ก อน มี ป ระโยชน ในทางใดทางหนึ่ ง อยู , หรื อ ว า ไปแก ไ ขกั น โดยตรงไม ไ ด ก็ ส อนให ดี ก ว า ที่ จํ า เป น กวาเทานั้นเอง. ในข อ นี้ จะขอตั ก เตื อ นเป น พิ เศษแก ทุ ก คนสั ก หน อ ย ว า ถึ ง เวลาแล ว ที ่จ ะตอ งเขา ใจขอ นี ้ วา พระศาสดาไมไ ดท รงอุบ ัต ิขึ ้น มาเพื ่อ จะรื้อ ฟ น ทํ า ลาย ของเกา ; แตว า ทรงอุบ ัต ิขึ ้น มา เพื ่อ จะทํ า ของเกา ที ่ย ัง บกพรอ งอยู นั ้น ให เต็ม, คือเพื่อจะเสริมยอดขึ้นไปใหถึงที่สุด. แตจะไมรื้อรากฐานใหพังทลายไป. เราเคยเข า ใจผิ ด เรื่ อ งนี้ เราจึ งถื อ ว ามั น เป น ศาสนาที่ เป น ปฏิ ป ก ษ ต อ กั น ต อ งทํ า ลายกั น , ต อ งฟ ด เหวี่ ย งกั น ให แ ตกกระจายไปข า งหนึ่ ง , ให ช นะข า งหนึ่ ง แล ว ก็ เ อาอั น นั้ น ขึ้ น มาเทิ ด ทู น . แต เมื่ อ สั ง เกตดู แ ล ว พระพุ ท ธเจ า ท า นไม ท รง ประสงค อ ย างนี้ ท านไม เคยตรัสเพิ กถอนอะไรที่ เขามี อยู ก อ น อย างจะตรัสก็ ตรัสว า นั่นจะดับทุกขไมไดถึงที่สุดนะ ตองอยางนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อย า งว า ท า นเห็ น สิ ง คาลมาณพไหว ทิ ศ ผมเป ย ก ผ า เป ย ก ยื น ไหว ทิ ศ อยูที่สี่ แยก. ทานถามวา ทํ าอะไร ? ไหวทิศ . ไหวทํ าไม ? เพราะบิ ดาสอนให ไหว ทิศ . เพื ่อ ประโยชนอ ะไร ? เพื ่อ ความเจริญ . ทา นตรัส บอกวา ในอริย วิน ัย เขาไหวท ิศ กัน อีก อยา งหนึ ่ง ลองดูก ็ได, แลว ทา นสอนเรื ่อ งทิศ ๖ : ทิศ เบื ้อ ง หน า บิ ด ามารดา, ทิ ศ เบื้ อ งหลั ง บุ ต รภรรยา, ทิ ศ เบื้ อ งซ า ย เพื่ อ น, ทิ ศ เบื้ อ งขวา ครู บ าอาจารย , ทิ ศ เบื้ อ งต่ํ า บ า วไพร , ส ว นทิ ศ เบื้ อ งบนคื อ สมณะ, ให ป ฏิ บั ติ ใ ห ถู ก ต อ งต อ บุ ค คล ๖ จํ าพวกนี้ เรี ย กว าไหว ทิ ศ ไม มี คํ าพู ด ที่ ต รั ส ว า นั้ น บ า, นั้ น ผิ ด .
๑๗๘
ก ข ก กา ของการศึกษาของพุทธศาสนา
แมพระพุ ทธภาษิ ตเรื่อง พหุ เว สรณํ ยนฺ ติ ก็เหมือนกัน ที่ตรัสเองวา มนุ ษ ย เป น อั น มากไหวภู เขา ไหวต น ไม ไหวสิ่ งศั ก ดิ์ สิ ท ธิ์ ไหวอะไรตาง ๆ. แล ว ทา นก็ไ มไ ดบ อกวา นั ้น มัน บา หรือ มัน ผิด , คือ ทา นไมแ ตะตอ ง. แตท า น บอกวา นั้น ไมใ ชที่สุด นั ้น ไมดับ ทุก ขถึง ที ่สุด นั้น ไมใ ชที่พึ ่ง อัน เกษมและ สู ง สุ ด ; แล ว สู ง สุ ด เมื่ อ ผู ใ ดถึ ง พระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ เห็ น อริ ย สั จ จ ๔ ตามที่ เป น จริ ง ก็ ดั บ ทุ ก ข ถึ ง ที่ สุ ด . มี อี ก มากมายหลายเรื่ อ งที่ แ สดงว า พระพุท ธเจา ทา นไมแ ตะตอ งของเกา ในลัก ษณะเพิก ถอน; แตท า นจะเสริม ยอดใหสูงสุด. ฉะนั้ น เราจะต อ งปฏิ บั ติ ต อ ลั ท ธิ ต า ง ๆ ที่ มี อ ยู ก อ นนั้ น ในฐานะว า เป น พื้ น ฐานที่ ยั ง ต่ํ า กว า . แม แ ต พ ระเยซู เองก็ ยั ง ตรั ส ไว ชั ด เจน ในคั ม ภี ร ข องคริ ส เตี ย น ว า เราไม ไ ด เกิ ด มาเพื่ อ ทํ า ลายเพิ ก ถอน; แต เกิ ด มาเพื่ อ ทํ า ให เต็ ม ทํ า ให ส มบู ร ณ หมายถึ ง คํ า สอนของโมเสส ของใครอี ก หลาย ๆ คน ที มี อ ยู ก อ นพระเยซู ซึ่ ง บาง อยา งมัน ก็ข ัด กัน กับ พระเยซู. พระเยซูท า นวา ไมต อ งถอน; แตพ ูด ใหมใ หเ ต็ม ใหบริบูรณได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้ น จึ งเข าใจว าศาสดาทุ ก องค จะไม เพิ ก ถอนของที่ ศ าสดาก อ นหน า นั ้น ไดก ลา วไว; แตจ ะสอนใหเ ต็ม ขึ ้น ไปเทา นั ้น . ฉะนั ้น เรื ่อ งอะไรตา ง ๆ นี ้ไ ป สอนใหเต็มไดทุกเรื่อง ความงมงายก็จะหมดไปเอง.
เรื่ องจิ ตเรื่ องวิ ญ ญาณนี้ ถ าใครยั งเข าใจอย างเก าแก อย างโบรมโบราณงมงายอยู ก็ ไ ม ต อ งไปด า เขา, ไม ต อ งไปว า เขา, บอกว า มั น ต อ งไปอย า งนี้ ต า งหาก, ต องไปต อไปอย างนี้ ต างหากจึ งจะดั บ ทุ กข ได . สรุป ความง าย ๆ ว า ต อ งหมดความ
อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก
๑๗๙
ยึดถือความสําคัญ วามีตัวตน ตางหาก จึงจะดับทุกขได, แลวจะไดชี้เรื่องจิตกัน เสียใหม. ที่ ว า เคยยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ว า เป น ตั ว เป น ตน เป น อั ต ตา เป น อาตมั น นั้ น มัน ไมจ ริง เพราะมัน เปน เพีย งธรรมชาติที ่ป ระกอบกัน ขึ ้น เปน ความรู ส ึก เปน เรื่อ ง ๆ ไปเทานั้น เอง นี้เรีย กวา จิต เปน สิ่งที ่เพิ ่งเกิด มี ตอ เมื่อ ไดอ ารมณขา ง นอกมากระทบกับอวัยวะสําหรับรับการกระทบ. เช น ข างในมี จั ก ษุ ป ระสาท ข างนอกมี รู ป เข ามากระทบจั ก ษุ ป ระสาท มั น ก็ บั งเกิ ด จั ก ษุ วิ ญ ญาณ คื อ ความรู สึ ก แจ ม แจ งทางตาขึ้ น มา คล า ย ๆ กั บ ว า กู เห็น อยา งนั ้น แหละ เราเห็น กูเ ห็น อยา งนั ้น . ที ่จ ริง กูนั ้น ก็ม ิไ ดม ี แตม ีก าร เห็น ชนิด ที ่ม ีค วามรู ส ึก ทํ า ใหห ลงไปวา เราเห็น หรือ กูเ ห็น ก็ไ ด. ฉะนั ้น จิต ที ่ว า เปน ผู เ ห็น นั ้น จึง เปน ของเพิ ่ง เกิด , ฉะนั ้น จิต ที ่ว า จะเปน กูไ ดย ิน ทางหู หรื อ ได ด มทางจมู ก ได รู ท างลิ้ น ได สั ม ผั ส ทางผิ ว หนั ง อะไรก็ ต าม เป น ของเพิ่ ง เกิ ด , ฉะนั้ น จิ ต จึ ง เป น ของใหม หลั ง จากที่ อ ารมณ ก ระทบกั บ อวั ย วะหรื อ อายตนะ ภายใน สํ า หรับ กระทบแลว จึง เกิด ขึ ้น มาดวงหนึ ่ง คราวหนึ ่ง เสร็จ เรื ่อ งแลว ก็ ดั บ ไป. ดวงอื่ น เมื่ อ ได ก ระทบใหม ก็ เกิ ด ขึ้ น อี ก ; มั น จึ ง เป น ดวง ๆ เหมื อ นกั บ ฟอง สบู ชั ่ว ขณ ะ ๆ ๆ; ไมใ ชด วงถาวร ไมใ ชเ อากองเลน ไดเ ปน กอง ๆ; มัน เปน ของที่มายา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี ้เรีย กวา จิต นี ้เปน มายา ที ่อ ารมณข า งนอกเขา มาชว ยสรา งขึ ้น โดยกระทบที่ อ ายตนะสํ า หรั บ การกระทบ มี กั น อยู เป น คู ๆ : ตาคู กั บ รู ป , หู คู กั บ เสี ย ง, จมู ก คู กั บ กลิ่ น , ลิ้ น คู กั บ รส, กายคู กั บ สั ม ผั ส ทางผิ ว หนั ง แล ว ก็ ใ จคู กั บ สิ่ ง ที่จะเกิดมีความรูสึกขึ้นในใจ เขาเรียกวา ธัมมารมณ.
๑๘๐
ก ข ก กา ของการศึกษาของพุทธศาสนา
นี้ เรี ย กว า อารมณ เป น ก ข ก กา ที่ จะต อ งศึ กษาให รูจั ก สิ่ งที่ เรียกว า อารมณ ; เหมือ นกับ เรีย น ก ข ก กา กอ น จึง จะอา นหนัง สือ ได. อารม ณ คือ ทุก สิ ่ง ที ่ม ากระทบ หรือ ที ่เรีย กวา โลก, แลว กํ า ลัง รวมตัว เปน วัต ถุน ิย ม ที่ กําลังครอบงําจิตใจของคนทั้งโลก ใหเดือดรอนกันไปทั้งโลก.
อารมณเปนจุดตั้งตนของการศึกษา. ที นี้ ดู ค วามเป น ก ข ก กา ของอารมณ นี้ อี ก ที ห นึ่ ง ว า มั น เป น จุ ด ตั้ งต น ของการศึก ษา. ถา ใครจะศึก ษาพุท ธศาสนา ศึก ษาพระธรรม แลว ก็ต อ ง ไปตั้ ง ต น ศึ ก ษาที่ อ ารมณ ก อ น คื อ ศึ ก ษาที่ รู ป เสี ย ง กลิ่ น รสโผฏฐั พ พะ ที่ จ ะ เขา มากระทบ ตา หู จมูก ลิ ้น กาย นั ่น แหละกอ น; ถา ไมถ ือ เอาอัน นี ้เ ปน จุด ตั้งตนสําหรับการศึกษาแลว ไมมีทางจะทราบ จะรู จะเขาใจอะไรได. นี้ ไ ม ต อ งศึ ก ษา โดยชนิ ด ที่ เรี ย กว า ไปจํ า ไปท อ งไปอะไรที่ ไหน ศึ ก ษา โดยจํ า โดยทอ งโดยฟง เขามา นี ้ใ ชไ มไ ด ไมม ีป ระโยชนอ ะไร; จะตอ งศึก ษาจาก ที ่รู ส ึก อยู จ ริง . แมว า พระพุท ธเจา ทา นจะสอนแนะวิธ ี; แตท า นก็จ ะแนะวิธ ีที่ จะต องมาทํ าเอาเอง จากสิ่ งที่ จะรูสึ กจริ งออกมาเองจากภายใน, แล วจงพยายามสํ ารวม ทุ ก อย า ง ระมั ด ระวั ง ให ดี ไม ป ระมาทอย า งยิ่ ง ที่ จ ะระวั ง ให ดี ที่ จ ะให เข า ใจสิ่ ง ที่ เรียกวา รูป เสียง กลิ่น รส ฯลฯ นั้นใหจนได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เดี๋ ย วนี้ เ ราไม ตั้ ง ต น ที่ จ ะศึ ก ษา; เราเตรี ย มพร อ มที่ จ ะล อ งลอยไปตาม กระแสยั่ ว ยวนของมั น มั น จึ ง ตกเป น ฝ า ยถู ก กระทํ า , คื อ อารมณ ทั้ ง หลายมั น ก็ พ า คนนั้ น ล อ งลอยไปตามกระแสความยั่ ว ยวน. นี้ ต อ งมาตั้ ง ต น กั น ใหม มา
อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก
๑๘๑
ยื น อยู บ นขาของตั วเอง, ตั้ งต น ที่ จ ะศึ ก ษา รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ กัน ใหม. ใหถ ือ เอาเปน เรื ่อ งสํ า หรับ ตั ้ง ตน เหมือ นกับ วา ก ข ก กา. ดังนั้นอาตมาจึงถือวา อารมณนี้เปน ก ข ก กา สําหรับจุดตั้งตนของการศึกษา. ที นี้ จะพู ดให กว างออกไปกว านั้ น ก็ พู ด ได ว าอารมณ นี้ มั น เป น เป าหมาย เปน จุด หมายของทุก อยา ง. คนเราจะทํ า อะไร ก็ต อ งมีเ ปา หมาย; นี ้ไ มใ ชพ ูด เรื่องธรรมะภายใน, พู ดเรื่ องธรรมะภายนอก ว าเราจะทํ าอะไร จะค าขายหรือจะเป น อะไรก็ ต าม มั น ต อ งมี เป า หมาย. เป า หมายนั้ น ก็ คื อ อารมณ , เป า หมายต อ งมา กอ นสิ ่ง อื ่น ; ฉะนั ้น อารมณก ็จ ึง เปน สิ ่ง ที ่ม ากอ นสิ ่ง อื ่น . เราจะเลน การเมือ ง เราก็ ต องมี เป าหมาย; ฉะนั้ นเป าหมายก็ จะต องมาก อนสิ่ งอื่ น จะค าขายหรือว าจะทํ า อะไรก็ต อ งมีเ ปา หมาย, เปา หมายตอ งมากอ นสิ ่ง อื ่น . แมค นที ่จ ะครองโลก มัน ก็ตองมีเปาหมาย เปาหมายก็มากอนสิ่งอื่น นั้นเปนเรื่องขางนอก. ถาเรื่องขางใน เราตองการจะบรรลุม รรค ผล นิ พพาน เราก็ตองมี เปา หมาย; จะมีน ิพ พานเปน อารมณ ทั ้ง ที ่เราไมรู จ ัก พระนิพ พาน ก็ย ัง ดีก วา ที่ ไม มี เสี ย เลย. พระพุ ท ธเจ า ท า นไม ท รงแนะนํ า อย า งนั้ น , ไม ท รงแนะนํ า ให เอาสิ่ ง ที่ ไมรูจักอะไรเสียเลยมาเปนเปาหมาย. แตก็มีคําวาเอาพระนิ พ พานเป น เป าหมาย สํา หรับ คนที่มีส ติปญ ญา รูวา ความทุก ขเปน ของรอ น; ถา ดับ ทุก ขไ ดก็เ ย็น เป น นิ พ พาน, ก็ เลยรูวา นิ พ พานนั้ น คื อ เย็ น เพราะปราศจากความรอ นของความ ทุกข, แลวก็มุงหมายเอาความเย็นถึงที่สุด ไมกลับรอนอีกตอไปนั้นเปนเปาหมาย.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อย างนี้ เรามองเห็ นได เอง ไม ต องเชื่ อตามผู อื่ น เราก็ สามารถจะมี พ ระนิพพานเปน เปาหมาย หรือเปนอารมณ ของการประพฤติกระทําทุกอยาง. เรา จะให ทาน ทํ าบุ ญ ให ทาน ก็ มี พระนิ พพานเป นอารมณ , จะรักษาศี ลก็ มี พระนิ พพาน
๑๘๒
ก ข ก กา ของการศึกษาของพุทธศาสนา
เป น อารมณ , จะทํ า สมาธิ ก็ มี พ ระนิ พ พานเป น อารมณ เป น เป า หมายดี ก ว า . แม แต กํ า ลั ง กระทํ า อย า งอื่ น อยู ก็ ต อ งมี พ ระนิ พ พานเป น เป า หมาย. ส ว นการกระทํ า ป ญ ญาหรือวิ ป สสนานั้ น ไม ต องกล าวแล ว เพราะว ามั นต อ งทํ าเพื่ อ มี พ ระนิ พ พานเป น เปาหมายอยูแลว. เดี๋ ยวนี้ เราจะแก ป ญ หาต าง ๆ อะไรในชี วิ ต ประจํ าวั น ก็ ต อ งมี อ ารมณ คือ เรื่อ งนั ้น แหละเปน อารมณม าแก, แลว ก็ต อ งแยกแยะอารมณนั ้น ออกไป จน ถึ ง ว า เรื่ อ งนี้ เข า มาทางตา, หรื อ เรื่ อ งนั้ น เข า ทางหู เข า มาทางจมู ก ทางลิ้ น ทาง อะไรต า ง ๆ. แม ว า เป น เรื่ อ งที่ กํ า ลั งเกิ ด อยู ข า งใน กํ า ลั งคิ ด อยู ข า งใน ค น อยู ข า งใน ก็ ยั งจะพอมองเห็ น ได : เรื่ อ งนี้ มั น เคยมาจากเรื่ อ งทางตาสมั ย ก อ นโน น , เรื่ อ งนี้ มั น เคยมาจากเรื่ อ งทางได ยิ น ทางหู เมื่ อ สมั ย ก อ น; เพราะเรื่ อ งที่ เกิ ด ภายในใจนั้ น ต อ ง มาจากเรื่ อ งที่ ม าจากข า งนอก ที่ เป น อดี ต ทั้ ง นั้ น มั น เก็ บ สะสมไว ในภายใน ฉะนั้ น เรื่อ งธัม มารมณ เรื่อ งจิต ใจนั้น ก็เ ปน เรื่อ ง รูป เสีย ง กลิ ่น รส โผฏฐัพ พะ ในอดีต ที่มาเก็บสะสมไวขางในทั้งนั้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เราจะพบอารมณ อย างใดอย างหนึ่ งได ทั้ งนั้ น โดยที่ ว าไม ต องเข าใจผิ ดว า ไมม ีอ ารมณ หรือ มองอารมณ อ ัน เปน ตน เหตุไ มพ บ; มัน จะพบทั ้ง นั ้น มัน อยู ที ่ว า มองเปน หรือ มองไมเ ปน เทา นั ้น เอง. นี ่เ รีย กวา เปา หมายคือ อารมณ มัน ต อ งมาก อ นสิ่ งใด ฉะนั้ น เราต อ งเข าใจมั น ก อ นสิ่ งอื่ น จึ งถื อ ว าเป น เรื่ อ ง ก ข ก กา ที่ จ ะต อ งไปแตะต อ งก อ นเรื่ อ งใด จะต อ งก อ นเรื่ อ งใด จะต อ งเข า ใจมั น ก อ นเรื่ อ งใด ทั้งสิ้น.
นี่ ขอให ทุ กท านได พิ จารณาดู เถอะว า มั นเป นเรื่ อง ก ข ก กา กี่ ม ากน อย หรื อ มหาศาลอย า งไร สํ า หรั บ สิ่ ง ที่ เรี ย กว า อารมณ นั้ น . เราไม เข า ใจอารมณ เรา กํ า ลั งพ ายแพ แ ก อ ารมณ , เรากํ าลั ง เป น ทาสของอารมณ , ถู ก อารมณ จู งจมู ก ไป
อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก
๑๘๓
ในลั กษณะอย างไร; ฉะนั้ นมาศึ กษาเรื่องอารมณ กั นเสี ยใหม แต ต องมาตามวิ ธี ที่ พระพุทธเจาทานตรัสสอนไว จึงจะเอาชนะได.
อารมณมีอยูคูกับมนุษย, เปนนายหรือรับใช. ที นี้ ม าดู กั น ต อ ไปอี ก ให ใ กล ตั ว ยิ่ ง ขึ้ น ไปอี ก ; แต ว า ให มั น กว า ง ๆ ยิ่ ง ขึ้นไปอี ก คื อวาอารมณ นี้ มั นเกี่ ยวของกั บมนุ ษย อย างที่ แยกกั นไม ได อย างที่ อธิบาย มาแล ว , เดี๋ ย วนี้ ข อให ส รุ ป ความ ให ม องเห็ น ชั ด ว า สิ่ ง ที่ เรี ย กว า อารมณ นั้ น มั น เปน ของคู ก ัน กับ มนุษ ย แยกกัน ออกไมได; เพราะมนุษ ยม ี ตา หู จมูก ลิ ้น กาย ใจ; อารมณ มั น ก็ คู กั น กั บ สิ่ ง เหล า นั้ น มั น หนี ไม พ น ไม ว า จะลื ม ตาขึ้ น เมื่ อ ไร มั น ก็ มี อารมณ ท างตา หู ยั งใช ได อ ยู ต อ งได ยิ น เสี ย งทางหู นี่ มั นแยกกั น ไม ได อ ย างนี้ ก็เลยเปนอันถือไดวาอารมณนี้มันคูกันกับมนุษย แตมันมีนัยอันสําคัญอยู ๒ นัย. อารมณ คูกันกับมนุษย โดยนัยที่สําคัญ ๒ นัย คือวา สําหรับเป นนาย มนุษ ย หรือ วา สํ า หรับ รับ ใชม นุษ ย. อารมณทั ้ง หลาย รูป เสีย ง กลิ ่น รส โผฏฐัพ พะ ธัม มารมณ ทั ้ง หลายนั ้น คู ก ัน กับ มนุษ ย; แตว า สํ า หรับ ใชม นุษ ย ให ค วามสะดวกสบายแก ม นุ ษ ย , หรื อ ว า สํ า หรับ มาเป น นายมนุ ษ ย บี บ คั้ น มนุ ษ ย ลากมนุ ษ ย ใ ห เป น ทาสของอารมณ . นี้ ก็ ดู เอาเองก็ แ ล ว กั น ว า ในทั่ ว ๆ ไปทุ ก หน ทุ ก แห ง ทั้ ง โลกนี้ คนทั้ ง โลกนี้ กํ า ลั ง เกี่ ย วข อ งกั บ อารมณ ในลั ก ษณะที่ ช นะเหนื อ อารมณ หรือวาพายแพแกอารมณ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๑๘๔
ก ข ก กา ของการศึกษาของพุทธศาสนา
คนเป น อั น มากจะคิ ด ว า เขาชนะอารมณ , เขาเป น นายเหนื อ อารมณ . เขาคิด วา เขาดีเขาอวดได. แตด ุใ หด ีอ าจจะมีค วามหมายที ่ใ ชผ ิด กัน อยู ; เชน ว า ถ าชายหนุ มคนหนึ่ งพยายามจนสํ าเร็ จ ได ผู หญิ งคนหนึ่ งมาเป นภรรยาอย างนี้ ; ถ า มองในแงห นึ ่ง ก็ว า ชนะแลว ชนะสิ ่ง นั ้น ไดสิ ่ง นั ้น มา. แตถ า มองอีก แงห นึ ่ง มั นเป นการพ ายแพ ตลอดกาลก็ ได . คื อพ ายแพ ที่ ต องไปเป นทาสของเขาตั้ งแต ต นจน ปลาย อยางนี้เรียกวาพายแพ. เดี๋ ย วนี้ พ วกวั ต ถุ นิ ย ม วั ต ถุ นิ ย มที่ เก ง ที่ สุ ด ก็ ต อ งยกให พ วกฝรั่ ง ; เขา อาจจะคิ ด ว า เขาชนะโลก ชนะโลก ไปโลกพระจั น ทร ก็ ไ ด จะไปโลกอั ง คาร โลก พระศุ ก ร ก็ ไ ด ในอนาคตข า งหน า เพราะว า เขาชนะโลก. เมื่ อ วั น ที่ ไ ปเหยี ย บดวง จั น ทร ค รั้ ง แรก อาตมาก็ ค อยดู โทรทั ศ น กั บ เขาด ว ยเหมื อ นกั น ฟ ง อะไรด ว ย ได ยิ น คํ า ประกาศของประธานาธิ บ ดี ว า มนุ ษ ย ไ ด พิ ชิ ต ดวงจั น ทร เ ป น ครั้ ง แรกแล ว . นี้ เราก็ นึ ก สะดุ งว า พิ ชิ ต แบบไหนกั น ? ตามหลั ก พุ ท ธศาสนา ก็ คื อ พ า ยแพ สิ้ น เนื้ อ ประดาตัว; แตถาพูดภาษาชาวบาน ก็วาชนะสิ้นเชิง คือเหยียบดวงจันทรได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ า มองกั น ในแง ที่ ว า ดวงจั น ทร พ า ยแพ แค ไ ปเหยี ย บได นี้ ดู จ ะน า หั ว มาก; แต ไ ม ม องว า ดวงจั น ทร นั้ น ทํ า ให ม นุ ษ ย ต อ งเป น ทาสเป น บ า ว นั บ ตั้ ง แต การค น คว า , นั บ ตั้ ง แต ก ารลงทุ น ด ว ยการยากลํ า บาก ลงทุ น ด ว ยชี วิ ต ลงทุ น อะไร ตาง ๆ. เมื่อขึ้นไปเหยียบดวงจันทรไดนั้น เรียกวาพายแพหรือชนะกันแน ? ถา พระจันทรเปนสิ่งที่มีชีวิตวิญญาณ ก็จะหัวเราะฟนแหง. นี่ ม องดู ใ นแง ข องกิ เลสตั ณ หา ก็ คื อ การพ า ยแพ แต ถ า มองดู ใ นแง ของวั ต ถุ มั น ก็ ว า ชนะ. นี้ ช นะแล ว ได อ ะไรบ า ง ? ได สั น ติ สุ ข ได สั น ติ ภ าพ หรื อ
อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก
๑๘๕
อย า งไร ? นี่ ดู เป น เรื่ อ งหลอกลวงกั น ทั้ ง นั้ น , ดู จ ะทํ า เพื่ อ ประโยชน ส ว นตั ว เพื่ อ จะ ล างผลาญผู อื่ นเสี ยมากกว า ก็ เลยไม มี การชนะทางไหนเลย ในแง ของธรรมะก็ ไม ชนะ แง โลกก็ ไม ช นะ. มั น เป น เรื่ อ งผิ ด ประสงค ข องพระเป น เจ า , ผิ ด กฎของธรรมชาติ ในขอ ที ่ว า มนุษ ยค วรจะทํ า อะไรบา ง. ไมทํ า สิ ่ง ที ่ค วรจะทํ า โลกนี ้ไ มม ีส ัน ติภาพ มั น ก็ เลยพ า ยแพ กั น ทั้ ง โลก. การที่ ไ ปเหยี ย บดวงจั น ทร ไ ด คื อ การพ า ยแพ ของมนุษ ยทั ้ง โลก มากกวา ที ่จ ะเรีย กวา เปน ชัย ชนะของมนุษ ยที ่ไ ปเหยีย บ ดวงจันทรได. นี่ อุ ต ส า ห เอามาพู ด เสี ย ยื ด ยาว นี้ ก็ เพื่ อ ให เข า ใจความหมายของคํ า ว า แพ หรือ คํ า วา ชนะนั ่น เอง. ถา เราสับ สนกัน ในขอ นี ้ จนเอาแพเ ปน ชนะ, เอา ชนะเป น แพ แ ล ว ไม มี ท างจะชนะได . เราจะต อ งเป น ทุ ก ข จ นตายเข า โลงไป, ไม มี ทางที่จะดับทุกขได คือไมมีทางที่จะชนะอารมณหรือโลกนี้ได.
คนธรรมดายังเปนทาสอารมณ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ ม าดู กั น เสี ย ให ดี ว า อารมณ ห รื อ โลกทั้ งหลาย ที่ เรี ย กว าอารมณ นี้ เรา กําลังเกี่ยวของกับมันในลักษณะอยางไร ? ภาษาบาลี มี อยูงาย ๆ อยู ๒ คํา วามี อารมณ กั บ ไม มี อ ารมณ ; แต ฟ ง แล ว ไม มี ท างที่ จ ะเข า ใจได คื อ มั น กํ า กวมเกิ น ไป. แต เดี๋ ย ว นี้ พู ด ตามคํ า บาลี สั้ น ๆ ว า ถ า เป น คนมี อ ารมณ ก็ ห มายความว า เป น ทาสของ อารมณ, ถา เราไมม ีอ ารมณ ก็ค ือ เราไมเ ปน ทาสของอารมณ. เวลาใดเรา ไม มี อารมณ เวลานั้ น เราไม เป น ทาสของอารมณ , พอเวลาเรามี อารมณ หมายความ ว า เรายึ ด ถื อ อารมณ เรารู สึ ก ต อ อารมณ เราก็ พ า ยแพ แ ก อ ารมณ , นี้ เป น หลั ก ทั่ วไป.
๑๘๖
ก ข ก กา ของการศึกษาของพุทธศาสนา
ที นี้ ม องดู ก ว า ง ๆ มนุ ษ ย ธ รรมดาสามั ญ คื อ เป น ปุ ถุ ช นยั ง ไม บ รรลุ นิ พ พาน ต อ งมี อ ารมณ ไม เคยว า งจากอารมณ , คื อ จะเปลี่ ย นกั น มี อ ารมณ นั้ น อารมณ นี้ เรื่ อ ยไป แล วก็ ทุ ก ๆ เวลาเป น ทาสของอารมณ เพราะไม รู จั ก อารมณ . เป น จิ ต ที่ ยั ง ไม บ รรลุ นิ พ พาน จิ ต ที่ ไ ม มี แ สงสว า ง ไม มี ป ญ หารู พ ระนิ พ พานนั้ น จะมี อารมณ พ า ยแพ แ ก อ ารมณ อ ยู ต ลอดเวลา, จะเป น ทาสของอารมณ อ ยู ต ลอดเวลา, เรียกวาคนธรรมดาแลวก็มีอารมณ คือมีโลก มีอารมณ เปนนายของตัว. ถาจิตที่บรรลุนิพพานจะไมมีอารมณ เรียกวา อนารมฺมณํ - เปนจิตที่ ไม มี อ ารมณ , อารมณ เข าไม ติ ด อารมณ เข า ไม ถึ ง , มั น เป น จิ ต ที่ ช นะเหนื อ อารมณ เสีย เรื ่อ ยไป; ไมใ ชว า ตาบอด หูห นวก; ยัง คงมี ตา หู จมูก ลิ ้น กาย ใจ; รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ เขามาไมได, เขามาไมถึง. เขา มาไมถ ึง หมายความวา ไมไ ดเ ขา มาสํ า เร็จ ประโยชนใ นการ หลอกใหห ลง ใหย ึด มั ่น ถือ มั ่น ; ฉะนั ้น จึง เรีย กวา ไมไ ดเ ขา มา. ที ่จ ริง ตาก็เ ห็น รู ป อยู เป น พระอรหั น ต โ ดยสมบู ร ณ แ ล ว ตาก็ ยั ง มี อ ยู หู ก็ ยั ง มี อ ยู อะไรก็ ยั ง มี อ ยู ก็ ยั ง เห็ น รู ป ฟ ง เสี ย ง ดมกลิ่ น ลิ้ ม รส อยู ; แต มั น ไม มี ค วามหมาย ในทางที่ จ ะให สิ่ งนั้ นมาบี บคั้ นท านได เหมื อนกั บอารมณ มั นกระทํ าแก สั ตว ทั้ งหลายทั้ งปวง. ฉะนั้ น จึ งเรี ยกว าพระอรหั นต ทั้ งหลายไม มี อารมณ ; ถ าพู ดอี กที ก็ ไม มี โลก โลกไม มี สํ าหรั บ พระอรหั น ต เพราะว า อารมณ ไม มี สํ า หรั บ พระอรหั น ต ; ฉะนั้ น โลกไม มี สํ า หรั บ พระ อรหันต หรือเรียกอีกทีใหเพราะกวานั้นก็วา พระอรหันตทานอยูเหนือโลก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ าพู ด ว า พระอรหั น ต อ ยู เหนื อ โลก เด็ ก ๆ ก็ ฟ งไม อ อกอี ก แหละ เพราะ พระอรหั น ต ก็ ยั งเดิ น อยู ในโลก บิ ณ ฑบาตอยู ในโลก. อยู เหนื อ โลกอย า งไร ? ก็ ต อ ง
อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก
๑๘๗
พูด ภาษาธรรมะ ไมใ ชพ ูด ภาษาคนธรรมดา, พูด ภาษาธรรมะคือ ภาษาของผู รู วา พระอรหัน ตม ิไ ดม ีอ ยู ใ นโลก, พระอรหัน ตไ มม ีโ ลก, พ ระอรหัน ตไ มมี อารมณ ทั้ ง ที่ ท า นมี เครื่ อ งรั บ อารมณ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ; และก็ มิ ใ ช ว า ทา นมิไ ดร ับ อารมณเ ลย แตว า อารมณอ ะไรเขา มา อารมณนั ้น หมดความ หมายไป, อารมณ อ ะไรเข า มาอารมณ นั้ น หมดความหมายไป; มั น ยิ่ ง กว า คลื่ น กระทบฝ ง ถ ามาทางตาก็จะทํ าอะไรใจท านไม ได , ถ ามาทางหู ก็ทํ าอะไรใจท านไม ได มั น เหมื อ นกั บ สลายไปหมดอย า งนี้ , ก็ เรี ย กว า ไม มี อ ารมณ , จิ ต ของท า นไม มี อารมณ ไม มี ที่ ตั้งบนอารมณ เลยอารมณ ไม มี ความหมายแกท าน เรียกวาจิ ตหลุ ด พนอยูเหนือโลก อยางนี้. นี่ ถ าเข าใจพระอรหั น ต ก อ น คล ายกั บ ขึ้ น ต น ไม จากทางปลาย, ไปรู จั ก พระอรหั นตมากอน วาทานมีจิตอยางนี้ จนไมมีอารมณ จนไมมีโลกสําหรับทาน ทีนี้ก็จะเขาใจเราปุถุชนธรรมดาไดมากขึ้น วาเรานี้มันตรงกันขามไปเสียทุกอยาง ทุ ก ประการ, คื อ มี อ ารมณ เดี๋ ย วตา เดี๋ ย วหู จมู ก ลิ้ น กาย รั บ อารมณ นั่ น รั บ อารมณ นี่ ; แล ว รั บ แล ว ไม ใ ช มั น กระท อ นกลั บ , มั น เข า ไปข า งใน เข า ไปก อ กวน ข า งใน. ปรุ ง เป น เวทนา สั ญ ญา สั ง ขาร วิ ญ ญาณ, เป น ตั ว กู - ของกู ผลั ด กั น แลว ผลัด กัน อีก วัน หนึ ่ง ไมรู ว า กี ่ค รั ้ง หรือ กี ่ส ิบ ครั ้ง ในภาษาธรรมะนี ้เ รีย กวา ตาย - เกิด , ตาย - เกิด วัน หนึ ่ง ๆ ไมรู กี ่ค รั้ง หรือ กี ่ส ิบ ครั้ง , ไมรูกี ่ส ิบ กี ่รอ ยชาติ ในวั น หนึ่ ง ก็ อ าจเป น ได . ต อ เมื่ อ มี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะพอเท า นั้ น แหละ มั น จึ ง จะน อ ย ลง ๆ, และถ าสมบู รณ ด วยสติ สั มปชั ญ ญะเป นพระอรหั นต เท านั้ นแหละ จึ งไม มี เกิ ด หรือไมมีตายในลักษณะนี้อีก คืออารมณทําอะไรไมไดอีก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เดี๋ ย วนี้ ปุ ถุ ช นธรรมดาสามั ญ ทั่ ว ไป ก็ เรี ย กว า มี อ ารมณ เ ป น สมบั ติ หมายความว า เราพอใจนี่ เราพอใจที่ จ ะเป น ทาสของอารมณ แล ว จะไปโทษใคร.
๑๘๘
ก ข ก กา ของการศึกษาของพุทธศาสนา
เราไมไ ดม ีเ ปา หมายที ่จ ะชนะอารมณ, ไมไ ดม ีเ ปา หมายที ่จ ะเกีย ดกัน อารมณ ออกไปเสี ย จากของเขตของจิ ต ; เพราะว า จิ ต นี้ มั น ไม รู จั ก อารมณ มั น ยั ง มี ค วาม เข า ใจผิ ด ต อ อารมณ หลงรั ก ต อ อารมณ จึ ง อยากจะมี แ ต อ ารมณ ยึ ด ถื อ อารมณ . สมัครที่จะเปนทาสของอารมณ. นี้คือปุถุชนคนธรรมดาสามัญเปนอยางนี้. นี้ ไ ปศึ ก ษ าอารมณ กั น ที่ ต รงนี้ จึ ง จะเรี ย กว า เป นเรื่ อ ง ก ข ก กา; เป น เรื่ อ งจํ า เป น ที่ สุ ด เป น เรื่ อ งที่ จ ริ ง อยู ใ นชี วิ ต ประจํ า วั น เราเป น ผู ที่ เกี่ ย วข อ งกั บ อารมณ ในฐานะที่ไมรูจักอารมณ.
อารมณมีมา เอาชนะใหได. ที นี้ เมื่ อ เรารู จั ก อารมณ ว า เป น อะไรแล ว เราจะทํ า อย างไร ? คนบางคน เข า ใจผิ ด พู ด คํ า พู ด ที่ ฟ ง ไม รู เรื่ อ งว า หนี อ ารมณ หนี โลก นี้ มั น คนบ า หลั บ ตาพู ด . ถ า พู ด ว า หนี โลก หนี บ า นเรื อ น หนี อ ะไร มั น เป น สิ่ ง ที่ ทํ า ไม ได ; เพราะว า มั น มี ม า เพื ่อ ใหช นะ ถา หนีม ัน ก็ไ มรู จ ะหนีไ ปไหน. โลกหรือ อารมณนี ้ม ัน มีม าสํ า หรับ ใหเ ขาเขา ใจ แลว เราตอ สู ไ ด ตา นทานได ชนะได จนมัน มาทํ า อะไรไมไ ด; เข า มาแล ว ผลั ก กระเด็ น กลั บ ออกไป เหมื อ นคลื่ น กระทบฝ ง เหมื อ นพระอรหั น ต อย างนั้ น. หมายความว า การพยายามทํ าให ถึ งที่ สุ ดจุ ดหมายปลายทาง ก็ คื อทํ าอย าง ที่ พ ระอรหั น ต ท า นทํ า แล ว . เป น ผู ช นะอารมณ ก็ อ ยู ด ว ยความผาสุ ก ไม มี ทุ ก ข โดยประการทั้งปวง. ไมมีความหมายแหงความเกิด แก เจ็บ ตาย มารบกวน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เดี๋ ย วนี้ เรายั งมี ป ญ หา ป ญ หาคื อ ความหมายอั น น ากลั วของความเกิ ด แก เจ็ บ ตาย, อยู แ ล ว ก็ ยั ง อยากได สิ่ ง ที่ เรี ย กว า อร อ ย หรื อ ว า ตรงกั บ ความรู สึ ก
อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก
๑๘๙
ของกิ เลส ตั ณ หา; เพราะว า เรามี อวิ ช ชา, เราจึ ง ไม รู จั ก อารมณ จึ ง ได ไ ปเป น ผู หลงใหลในอารมณเพราะอํานาจของอวิชชานั้น. ฉะนั้นพระพุทธเจาทานจึงตรัสชี้วา มนุษยสัตวโลกทั้งหลายนี้ มีอวิชชาเปนเครื่องกั้น มีอวิชชาเปนเครื่องหุมหอ, หรือวามีอะไรตาง ๆ ที่มีอวิชชานี้เปนเครื่องคลุมเอาไว ไมใหลืมหูลืมตา สําหรับ จะเห็นวาโลกนี้คืออะไร ? ถาพูดใหชัดวา อารมณ นี้คืออะไร ? รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพ พะนี ้ค ือ อะไร ? ฉะนั ้น เราจึง ไมรู จ ัก โลก, จึง จมอยู ใ นโลก, แลว จึง ถู ก บี บ คั้ น อยู ด ว ยความหมายของการเกิ ด การแก การเจ็ บ การตาย เพราะมั น มี ตัวตน. แต ถ า ผู ใด ศึ ก ษา ก ข ก กา ให ดี ตั้ ง ต น ให ดี จะรู จั ก อารมณ ทั้ ง หลายดี คือ จะรูจ ัก โลกทั ้ง หมดดี และจะอยู ด ว ยใจคอที ่เ หนือ โลกขึ ้น มาทีล ะ น อ ย ๆ. บางวัน ที่ เราไม มี อ ารมณ นั้ น มั น เป น เรื่องฟลุ ค เรื่อ งบั งเอิ ญ มากกวา; เช น เรานอนหลั บ เสี ย เช น นี้ ? หรือ ว า จิ ต มั น ขี้ เกี ย จไปรับ อารมณ อ ะไรเข า มั น หยุ ด พั ก บ า งนี้ ก็ เรี ย กว า ไม มี อ ารมณ ได . อย า งนี้ จ ะเรี ย กว า ไม มี อ ารมณ ที่ ช นะอารมณ นั้ น ไมได มันไมไดชนะอารมณ; พออารมณมามันก็รับอีก ก็แพอีก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เราศึ กษากั น จนถึ งกั บ ว า ให เราชนะอารมณ จะเป น เรื่ อ งรั ก เรื่ อ งโกรธ เรื่ อ งเกลี ย ด เรื่ อ งกลั ว อะไร ก็ ใ ห ช นะขึ้ น ที ล ะนิ ด ๆ ๆ, ชนะที เดี ย วหมดคงไม ไ หว แล วก็ ช นะตั้ งต น มาตามลํ าดั บ ; เหมื อ นอย างการบรรยายในครั้งที่ แล วมาว า กามธาตุเปน ปญ หาแรกแหง วิถ ีชีวิต ของมนุษ ย, คือ ธาตุที่เปน ที่ตั้ง แหง กามารมณ นั้ น จะเป น ป ญ หาแรก; ฉะนั้ น คนเราจะต อ งตั้ งต น ด ว ยการเอาชนะอารมณ ท าง กามเสียกอน, แลวสูงขึ้นไปก็ทางรูปทางอรูปนั้นทีหลัง
๑๙๐
ก ข ก กา ของการศึกษาของพุทธศาสนา
จะรูจักอารมณ ตองศึกษาจากเรื่องจริง. ทีนี้ก็ศึกษาวา ทําไมจึงเกิดความรูสึกที่เปนกาม คือความหลงใหล ? ก็ เ พราะมี อ วิ ช ชา เพราะไม รู ต ามที่ เป น จริ ง ; ก็ จ ะต อ งทํ า แสงสว า ง คื อ อวิ ช ชา เพราะว า ไม มี ท างที่ จ ะศึ ก ษาจากหนั งสื อ หนั งสื อ ที่ ไหน นอกจากว าศึ ก ษาจากความ เจ็ บ ปวด ความทุ ก ข ท รมาน ที่ ไ ด รั บ จากการเป น ทาสของอารมณ ค รั้ ง หนึ่ ง . เป น ทาสของอารมณ ที่ น า รั ก น า พอใจ น า หลงใหล; ทางตาครั้ ง หนึ่ ง ก็ ม าศึ ก ษาทางหู ทางจมู ก , โดยเฉพาะทางผิ ว หนั ง ; เพราะว า กามารมณ มี สั ม ผั ส ทางผิ ว หนั ง เป น ที่ รุน แรงก วา เรื ่อ งอื ่น แลว ก็ไ ป ถึง เรื ่อ งจิต ใจ ซึ ่ง เปน ที ่ร วบ ย อ ด รวบ รัด เอ า ทุ ก ๆ ทางเข า ไว ใ นเรื่ อ งของจิ ต ใจ แล ว มั น ทรมานจิ ต ใจอย า งไร. นี่ เรี ย กว า ศึ ก ษา ลงไปที่ตัวธรรมะจริง ๆ ที่มีอยูจริง; อยาไปเอาเรื่องอื่นมาคํานวณ. นี่ มั ว แต ใ ช เ รื่ อ งคํ า นวณ อยู นี้ เราจึ ง ไม เ ข า ใจธรรมะจริ ง ฉะนั้ น การ เรี ย นในโรงเรี ย น จะให จ บนั ก ธรรมเอก จบเปรี ย ญเก า ประโยค สิ บ ประโยค มั น ก็ ช ว ยอะไรไม ได ; เพราะมั น เป น เรื่ อ งสอนด ว ยการคํ า นวณ ตามแบบปรั ช ญาทั้ ง นั้ น , มันไมมีเวลาที่จะไปศึกษาจากเรื่องจริง แลวก็ไมนิยมศึกษาจากเรื่องจริงดวย.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เราเรีย นวิธ ีก ารในโรงเรีย นแลว เราก็ต อ งเอาไปทํ า การปฏิบ ัต ิจ ริง ในเวลาที่ เราสามารถจะปฏิ บั ติ , คื อ เมื่ อ เกิ ด ความทุ ก ข ขึ้ น มาจริ ง ๆ, ที่ รู สึ ก อยู ในใจ จริ ง ๆ, พิ จารณาความทุ กข โดยความเป น ของหลอกลวงอย างไร; เพราะเราไปยึ ด มั่ น อย า งไรมั น จึ ง เป น ทุ ก ข ขึ้ น มา. ความสุ ข ก็ เ หมื อ นกั น อี ก มั น หลอกลวงอย า งไร, ไปยึ ด มั่ น แล ว เกิ ด ความทุ ก ข อ ย า งไร. เดี๋ ย วนี้ เราก็ ไม ค อ ยจะทํ า อย า งนั้ น หรื อ ไม ได ทํ าเสี ย เลย; พอมี ความทุ ก ข ก็ ร อ งห ม ร องไห ตี โพยตี พ าย, หรื อ บั น ดาลโทสะอย างนั้ น
อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก
๑๙๑
อย า งนี้ เสี ย อี ก เลยไม รู กั น . พอได รั บ สุ ข เวทนามา ก็ ห ลงใหลเพลิ ด เพลิ น เลื่ อ นลอย ไปเลย ก็ เลยไม ได ศึ กษาอี ก อยู ต ลอดเวลา, ก็ ไม ได ศึ กษาธรรมะจริง ๆ จากของจริ ง ตามวิธีที่แทจริงของพระพุทธเจา มันก็ไมมีทางที่จะชนะอารมณได. นี่ ข อให ตั้ งต น ชํ า ระสะสางเรื่ อ ง ก ข ก กา กั น ใหม . แต อ าตมาไม ใช ว า จะดู ถู ก คนแก แ ล ว ก็ ช วนคนแก ม าเรี ย น ก ข ก กา กั น เสี ย ใหม ; เพราะว า ถ า เรา ไม รู เรื่ อ งนี้ แ ล ว จะเป น คนแก ไปไม ได . หมายความว า จะเรี ย นจบพระไตรป ฎ กแล ว จะเป น ผู รู พ ระไตรป ฏ กไปไม ได ถ าไม รู เรื่ อ งนี้ . นี่ ห มายความว าจะมี อ ายุ ม ากแล วจะ เปน คนแกไ ปไมไ ด ถา ไมรู เ รื ่อ งนี ้ คือ ตอ งรู เ รื ่อ งชีว ิต , ตอ งรู เ รื ่อ งโลก, รู เ รื ่อ ง จิ ต ใจให เพี ย งพอจริ ง ๆ ก อ น จึ ง จะเรี ย กว า คนแก คื อ มั น รู จ ริ ง สมตามที่ ได เกิ ด มา มีอ ายุย ืน ยาวจริง . เพราะวา ไมรู เ รื ่อ งอารมณ หรือ สิ ่ง ที ่เ ขา มาทํ า ลุ ม หลงนั ่น แหละ จึ ง เรี ย กว า เป น คนไม รู ; ผ า นโลกมาเท า ไร ๆ ก็ ต อ งให มั น เป น การก า วหน า ในความรู เรื่ อ งนี้ ก็ จ ะได ชื่ อ ว า เป น คนแก , แก ใ นทางธรรมะ ไม ไ ด เอาเวลาป เดื อ น เปน ประมาณ. ฉะนั ้น ถา ยัง ไมรู ก็ถ ือ วา เปน เด็ก ก็แ ลว กัน ก็ม าตั ้ง ตน ศึก ษา ก ข ก กา กันเสียใหม คือเรื่อง อารมณ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ าพู ด ให ต รงกั บ เรื่ อ ง ธาตุ ก็ ว า อารมณ ทั้ ง ๖ นี้ ก็ เป น ธาตุ ; ธาตุ รูป ธาตุ เสี ย ง ธาตุ ก ลิ่ น ธาตุ ร ส ธาตุ โผฏฐั พ พะ ธาตุ ธั ม มารมณ ที่ จ ะมากระทบ กั บ ธาตุ คื อธาตุ ต า ธาตุ หู ธาตุ จมู ก ธาตุ ลิ้ น ธาตุ กาย ธาตุ ใจ, ซึ่ งตั้ งอาศั ย อยู ที่ รางกายนี้ คื อ ธาตุ ตา ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ลม ธาตุ อากาศ ธาตุ วิ ญ ญาณ, จนกว า จะไดเขาถึงนิโรธธาตุ หรือธาตุพระนิพพาน อยางนี้.
๑๙๒
ก ข ก กา ของการศึกษาของพุทธศาสนา
วิธีการเอาชนะอารมณ. เรื่องที่ จะศึ กษาเกี่ ยวกั บอารมณ ต อไปอี ก ก็ อยากจะพู ดถึ งเรื่อง การเอา ชนะอารมณ ว า ที่ จ ริง เรื่ อ งนี้ ก็ พู ด กั น อยู ต ลอดเวลา; แต ว า เราไม ได ใช ชื่ อ ว า เอา ชนะอารมณ. เมื่อ จะชนะอารมณก็ต อ งรูจัก สิ่ง ที ่เ รีย กวา อารมณ ตามนัย ดังที่กลาวมาขางตน, เราจะลงมือปฏิบัติทีนี้. อะไรเป น ก ข ก กา ของการปฏิ บั ติ คื อการชนะอารมณ ? การตั้ งต นเอา ชนะอารมณ นั้นคือ ก ข ก กา ของการปฏิบัติ. ฉะนั้นผูใดกลาเอยอางถึงวา เราจะปฏิ บั ติ เราจะลงมื อ ปฏิ บั ติ ธ รรม, เราจะเอาจริ งเอาจั งกั บ การปฏิ บั ติ ธ รรม ก็ ขอใหผูนั้น สํานึก สัก หนอ ยวา มัน ไมมีอ ะไรนอกจากการตั้งตน เอาชนะอารมณ ใหได มันจึงจะเปนการปฏิบัติที่แทจริง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ มั นจะรั บ รู ป เสี ยง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ; นี้ จะตอ งควบคุม ใหด ี ใหม ัน มีก ารชนะที ่นั ่น , และนั ่น แหละคือ การปฏิบ ัต ิ จะ ตองระวง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่เรียกวา อินทรีย. ทุกครั้งที่ รูป เสียง กลิ ่น รส โผฏฐัพ พะ ที ่เรีย กวา อามรณนี ้เ ขา มาเกี ่ย วขอ ง ใหม ัน เปน ความ ปลอดภัย เวลานั้น ที่นั่น เมื่อ นั้น ทัน ทว งที, ในลัก ษณะที่วา มัน เกิด กิเลสไมได อาสวะกิ เลสจะเกิ ด ขึ้ น ไหลนองท ว มทั บ จิ ต ใจไม ได โดยวิ ธี ใดแล ว เราก็ จ ะประพฤติ กระทํ าโดยวิ ธี นั้ น ที่ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ เมื่ อ มี อารมณ มากระทบ. หลั ก ใหญ อยู ที่ นั่ น จะเป นเบื้ องต นก็ ดี ท ามกลางก็ ดี เบื้ องปลายสุ ดท ายก็ ดี มั นอยู ที่ นั่ น คือปฏิบัติชนิดที่มันเกิดอาสวะไมได.
อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก
๑๙๓
ที นี้ เราจะมองกั น อย า งกว า ง ๆ ก อ นว า ปฏิ บั ติ เพื่ อ เอาชนะอารมณ นั้ น มัน ตั ้ง ตน ที ่ช นะตัว เองบัง คับ ตัว เอง นี ่เ ปน หลัก ธรรมะกวา งขวางครอบโลก. เดี๋ ย วนี้ โ ลกพ า ยแพ แ ก ตั ว เอง ไม มี ก ารบั ง คั บ ตั ว เอง, เดี๋ ย วนี้ ค นไม ค อ ยพู ด ถึ ง การ บั งคั บตั วเอง. ขอให ท านผู สู งอายุ ทั้ งหลายทุ ก ๆ ท านแหละ ซั กซ อมความจํ าว า เมื่ อ ส มั ย ๕๐ - ๖๐ ป ก อ น โน น จ ะ ได ย ิ น คํ า ว า บั ง คั บ ตั ว เอ ง ช น ะ ตั ว เอ ง นี้ มากที่ สุ ด ทั้ งภาษาฝรั่งและทั้ งภาษาไทย, หรือวาที่ เราไปถ ายทอดมาจากฝรั่ง แล ว จะนิ ย มคํ า ว า ผู บั งคั บ ตั ว เองคื อ สุ ภ าพบุ รุ ษ , อย า งนี้ เราจะได ยิ น มากที่ สุ ด . แต พอมา สมัย นี ้ โดยเฉพาะเวลานี ้ จะไมไ ดย ิน คํ า วา บัง คับ ตัว เอง. และยุว ชน หรือ ว าเด็ ก ๆ เหล านี้ กํ าลั งเป น อย างไร ? รู จั ก คํ าว า บั งคั บ ตั วเองนี้ สั กกี่ เปอร เซ็ น ต ? เชื่ อ ว า สั ก ๒ - ๓ เปอร เซ็ น ต ก็ ไ ม ไ ด แล ว คงจะเป น อย า งนี้ ทั้ ง โลก เพราะไม มี ใ คร อยากจะบั งคั บ ตั ว เอง เขาอยากจะปล อ ยไปตามความต อ งการแห ง อารมณ ; นี้ เรียกวาตามใจตัวเอง. ก็ ไ ปอ า นข า วต า ง ๆ ทางเมื อ งฝรั่ ง ดู เ ถอะ ในชี วิ ต ประจํ า วั น ของเขา เขาไม มี ก ารบั ง คั บ ตั ว เอง, แล ว ยิ่ ง เขาเมาเสรี ป ระชาธิ ป ไตยด ว ย ก็ ยิ่ ง ไม ต อ งบั ง คั บ ตั ว เอง. เขาทํ า อะไรแปลก ๆ อย า งหนั ง สื อ พิ ม พ เมื่ อ ๔ - ๕ วั น มานี้ ลงข า วถึ ง ว า นิ สิ ต มหาวิ ท ยาลั ย เป น ร อ ย ๆ วิ่ งเปลื อ ยกายไปตามถนน ที่ ค นหนาแน น ย า นกลาง พระนครเลย, แล ว ก็ ไ ปในที่ ต า ง ๆ ได . เมื่ อ ก อ นได ยิ น แต ว า ไปเปลื อ ยกายกั น ที่ ชายหาดที่ ริ ม ทะเล เดี๋ ย วนี้ ถึ งขนาดที่ เรี ย กว า ใจกลางพระนครยิ่ งคั บ คั่ งเท าไรยิ่ งทํ า นี่ เขารู จั ก อะไร ? อย า งไร ? เขารู จั ก อารมณ อ ย างไร ? รู จั ก โลกอย า งไร รู จั ก ตั ว เอง อยางไร ? รูจักวาอะไรควรจะทําอยางไร ?
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๑๙๔
ก ข ก กา ของการศึกษาของพุทธศาสนา
นี้ ก ารบั ง คั บ ตั ว เองถู ก เหยี ย ด ว า เป น เรื่ อ งของคนโง ของคนที่ ไ ม รู จั ก กอบโกยเอาความสุ ขความสํ าราญอะไรต าง ๆ. นี้ โลกมั น เปลี่ ยนขนาดนี้ . นี้ เรากํ าลั ง มาพู ด เรื่ อ งครึ ค ระที่ สุ ด ให เขาฟ ง หรื อ อย า งไร ? อาตมาเห็ น ว า มั น เป น เรื่ อ งที่ ช ว ย ไมไ ด; เพราะวา เราเปน พุท ธบริษ ัท สาวกของพระพุท ธเจา เราก็ค งพูด ไปตาม เดิม วา ตอ งตั ้ง ตน ดว ยการบัง คับ ตัว เอง คือ บัง คับ กิเ ลส; คํ า วา ตัว เอง มัน เป น เรื่ อ งของกิ เลส. เพราะว าถ าหมดกิ เลส มี ป ญ ญาสู งสุ ด แล ว มั น ไม มี ตั วเอง, สิ ่ง ที ่เ รีย กวา ตัว นั ้น มัน ไมม ี. ฉะนั ้น ตัว มัน อยู ต อ เมื ่อ มีก ิเ ลส; เรื ่อ งของ ตั ว มั น จึ ง เป น เรื่ อ งของกิ เลส, เรื่ อ งของกิ เลสมั น จึ ง เป น เรื่ อ งของตั ว ถ า เราพู ด ว า บังคับตัวเอง เรายอมหมายถึงการบังคับกิเลส. ที นี้ การบั ง คั บ ตั ว เอง ก็ ห มายความว า ตั ว เองนั้ น บั ง คั บ กิ เลส; มั น ยัง พา ยแพแ กก ิเลส มัน ยัง อยู ใ ตป กครองของกิเลส; ฉะนั ้น ตอ งบัง คับ กิเ ลสหรือ บัง คับ ตัว เอง. นี ้ถ า ละเอีย ดประณีต ที ่ส ุด แลว ตอ งศึก ษาเรื ่อ งอารมณที ่ม าสรา ง ตัวเอง มาชักจูงตั วเอง มาลอลวงตั วเอง ศึ กษาความเป นมายาหลอกลวงชั่ วขณะ ของรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ เหลานั้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เราจะไม เกี่ ยวข องกั บ อารมณ ไม ได เพราะว าชี วิ ต นี้ มั น มี รอดอยู ได เพราะ อารมณ . แต ถ า อารมณ ทั้ ง หลายเข า มา เพี ย งเพื่ อ เป น ป จ จั ย หล อ เลี้ ย งชี วิ ต นี้ ไ ม เป น ไร, ไม เรี ย กว า อารมณ ที่ เป น อั น ตราย. เช น หิ ว เราต อ งรั บ ประทาน, หรื อ กระหาย เราตอ งดื ่ม อยา งนี ้เ ปน ตน . นี ้อ ารมณเ หลา นั ้น มาเปน ปจ จัย หลอ เลี ้ย ง ชีว ิต เราก็จ ัด ใหม ัน อยู เพีย งเทา นั ้น ; เราอยา ปลอ ยใหม ัน เลยไปถึง กับ วา มัน เปนเหยื่อหลอกลวงชีวิต.
อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก
๑๙๕
เชน อาหารการกิน นี ้ถ า กิน เปน อาหารอยา งนี ้ด ี กิน อยู แ ตพ อดี; แต ถ า วา เลยนั้ น ไป มั น ก็ เป น กิ น อร อ ย, ไปกิ น ที่ ไม ค วรกิ น ไปกิ น มากกวา ที่ ค วรกิ น กิ น จนเป น อั น ตราย อย า งที่ เรี ย กว า ไม มี ค วามหมาย, เป น คนกิ น จุ บ กิ น จิ บ กิ น ตามใจตามปากตามใจทอง อยางนั้นเรียกวา พายแพแกอารมณ. อารมณก็กลายไป เปนเครื่องมือของพญามาร ที่จะย่ํายีคนนั้น. แต ถ าว า อารมณ ถู ก ควบคุ ม ไว ได , อารมณ เป น สิ่ งที่ ถู ก ควบคุ ม ไว ได มัน ก็เปน ปจจัย หลอเลี้ยงชีวิต; แลวเราจะตอ งมีรูป มาทําใหตาไดทํางานทางตา มี เสี ยง มาให หู ทํ างานทางหู มี กลิ่ น มาให จมู กทํ างานทางจมู ก ฯลฯ เพื่ อให มั นเหมื อน กั บ exercise, เพื่ อ ให อ ยู ในสภาพที่ ดี อ ยู เสมอเพี ยงเท านั้ น . ให รอดชี วิ ต อยู ได เพี ย ง เทา นั ้น ก็ไ มม ีโ ทษอะไร; กลับ มีป ระโยชน วา จะไดใ ช ตา หู จมูก ลิ ้น กาย ใจ ให เป น ประโยชน แก จิ ตใจ, สํ าหรั บจะศึ กษาเพื่ อบรรลุ มรรค ผล นิ พ พาน อย าง นี้ก็ได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ เราต อ งควบคุ ม หรือ เอาชนะอารมณ ให มั น อยูแต ในสภาพอยางนี้ อย า ให มั น มากว า นี้ คื อ ขึ้ น มาท ว มท น แล ว ก็ ห ลอกลวงพาไปลงเหวลงนรก เวี ย น วา ยไปวัฏ ฏสงสารไมม ีที ่สิ ้น สุด . นี ้เ รีย กวา ท างธรรม ะตอ งมีห ลัก เกณ ฑ อ ย า งนี ้ . ถึ ง ท างวิ ส ั ย โล ก ก็ ต อ งมี ห ลั ก เก ณ ฑ อ ย า งนี ้ ; มิ ฉ ะ นั ้ น แ ล ว อารมณนั ้น จะพาไปสู ค วามลม จม. คนมีก ิเลสมาก โลภมากอะไรมากนี ้ มัน ก็ ลม จม; บัง คับ ตัว ไวไ มไ ด มัน ก็ลุ ม หลงในอบายมุข อะไรตา ง ๆ ที ่ทํ า ใหเ กิด ความล มจม. ถ าบั งคั บ ไม ได มั นก็ ไม มี ความล มจม ประโยชน ส วนตั วได รับ . แล วยั ง ลนเหลือไปยังผูอื่น, ก็ทําใหโลกนี้มีสันติสุขหรือสันติภาพได.
๑๙๖
ก ข ก กา ของการศึกษาของพุทธศาสนา
ฉะนั ้น สัต วโลกผู ม ีก ารบัง คับ อารมณนั ้น แหละ เปน ผู ที ่ม ีป ระโยชน แก โลก. ทุ กศาสนาก็ ส อนอยางนี้ , คํ าสอนของพระเยซูพิ จารณาดู แลวก็ส อนอย าง นี้ ว า ให ทํ า ประโยชน ผู อื่ น ด ว ยการที่ ว า ไม เอาเปรี ย บผู อื่ น . ประโยชน มั น น อ ยนิ ด เดี ย ว ไม เ ท า ไรมั น ก็ เ ต็ ม , แล ว มั น ก็ ล น เหลื อ ไปยั ง ผู อื่ น เห็ น แก ผู อื่ น ยิ่ ง กว า ตั ว เพราะวาผู อื่ น มี จํานวนมากกวาตั ว. เดี๋ ย วนี้ ค นเรามั น เห็ น แก ตั ว , สรางตั วขึ้ น มา เสี ย เรื่ อ ย จนมั น ใหญ เกิ น ไป เพราะตั ว มั น ไม รู จั ก อิ่ ม ไม รู จั ก พอ, มั น ก็ เลยจมอยู ในเรื่องของตัวที่ใหญเกินไป, เรียกวาเปนวัฏฏสงสารที่ไมรูจักสิ้นสุด. เรื่องใหญ ๆ เปนหลักใหญ ๆ เราตองชนะอารมณ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ, เป นมนุ ษย ที่ ถู กต องตามความหมายของมนุ ษย วามี ใจสู งอยู เหนื ออารมณ กระทั่งเปนผูชนะอารมณ กระทั่งเปนผูชนะอารมณโดยเด็ดขาดเปนพระอรหันต. เราจะต อ งใช ก ารบั งคั บ อารมณ นี้ เพื่ อ แก ป ญ หาทุ ก อย า ง ในชี วิ ต ประจํ า วัน ของคนทุก ชั ้น ทุก ประเภท; แมที ่ส ุด แตล ะบุห รี ่ เรื ่อ งเล็ก ๆ ที ่กํ า ลัง เปน ปญ หา ก็ยัง ตอ งใชวิธีช นะอารมณ ควบคุม อารมณ, หรือ จะละอะไรที่ม ัน เล็กไปกวานั้น มันก็ยังใชวิธีชนะอารมณ นี้เราจะใหทาน จะรักษาศีล จะทําสมาธิ อะไรตาง ๆ ก็ดูใหดี ใหมันกลายเปนเรื่องที่วาชนะอารมณ, อยาไปเพิ่มเขา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ า ว า เราจะให ท านเพื่ อ เอาสวรรค วิ ม าน ดู ใ ห ดี เถอะมั น จะเพิ่ ม ความ พ ายแพ แก อารมณ , คื อไปอยากมากกว าที แรก, ไปอยากอย างลุ มหลง หลงใหลมาก กว า ที แ รกเสี ย อี ก . แต ถ า จะให ท านเพื่ อ ชนะความเห็ น แก ตั ว อย า งนี้ มั น ก็ ล ด อารมณ , ลดอํ า นาจของอารมณ , ลดอิ ท ธิ พ ลของอารมณ . ถ า ดู ข า งนอกมั น ก็ เหมือ น ๆ กัน แหละ; เอาของไปบริจ าคทาน บริจ าคอยา งนั ้น อยา งนี ้ ที ่นั ่น ที ่นี่ รูป อย า งเดี ย วกั น ; แต ห มายความในภายในนั้ น อาจจะผิ ด กั น ก็ ได , คื อ เพิ่ ม อํ า นาจ
อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก
๑๙๗
ของอารมณ ก็ ไ ด ลดอํ า นาจของอารมณ ก็ ไ ด , ที่ ม าครอบงํ า จิ ต ใจ. พู ด ให ชั ด ก็ ว า เพิ ่ม ความเห็น แกต ัว ก็ไ ด ลดความเห็น แกต ัว ก็ไ ด การใหท านนี ้; ฉะนั ้น ตอ งให ถูกวิธี. พระพุท ธเจาทานจึงตรัส นักตรัสหนาวาใหเลือ กใหดี ใหระมัด ระวังใหดี ใหพิจารณาใหดีที่สุด แลวจึงบําเพ็ญทาน. จะรั ก ษาศี ล ก็ เหมื อ นกั น ถ า ว า รั ก ษาศี ล ไม ดี เอาสวรรค วิ ม าน มั น ก็ เพิ่ ม ความเห็ น แก ตั ว , คื อ เพิ่ ม อํ า นาจของอารมณ ใ นโลก ที่ จ ะมาครอบงํ า เรา. ได ยิ น ว า ในสวรรค มี อ ารมณ ดี มี รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ที่ เป น ทิ พ ย เหลื อ ที่ จะเปรี ย บได กั บ ในโลกมนุ ษ ย ก็ อ ยากไปสวรรค , ประพฤติ พ รหมจรรย เพื่ อ ไปสวรรค อยางนี้ก็มีมาก : นี่ก็พายแพแกอารมณหนักยิ่งขึ้น. ทํ า สมาธิเ พื ่อ ไปสวรรค; เพื ่อ ไปพรหมโลก คือ เปน สวรรคอ ีก ชนิด หนึ่ ง คื อ มี ตั ว กู - ของกู ที่ ยื น ยาวเป น อนั น ตกาลไปเลย. นี้ มั น ก็ ยิ่ ง พ า ยแพ แ ก อารมณ ชนิ ด ที่ ล ะเอี ย ดลึ ก ซึ้ งเหลื อ ประมาณ, จนมองเห็ น ยาก ว า เป น การพ า ยแพ แกอารมณ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แตถาถูกตองแลวมันก็ รักษาศีล ทําสมาธิ ทําปญญา เพื่ อลดอํานาจ ของอารมณ ที่ จะมาครอบงําจิ ตใจ, ลดความเห็ นแก ตั วเรื่อย ๆ ไป จนหมดอารมณ เป น อนารมฺ ม ณํ คื อ นิ พ พาน; อารมณ ไม มี ค วามหมาย ไม มี อํ า นาจ ไม มี อ ะไร แกบ ุค คลนั ้น อีก ตอ ไป. จะไมม ีอ ารมณ เ ลยเด็ด ขาด ก็ม ีแ ตน ิพ พาน. ถา เปน เรื่ อ งวั ฏ ฏสงสารแล ว ก็ เต็ ม ไปด ว ยอารมณ , แล ว ก็ ม ากมายที่ สุ ด ก็ คื อ ที่ เรี ย กกั น ว า สวรรค วิ ม านอะไรก็ ต าม, มั น เป น ที่ ห ลงใหลมาก ก็ ยิ่ ง มี ค า ของอารมณ ม าก. ใน โลกมนุ ษ ย นี้ ค อ ยยั ง ชั่ ว หน อ ย เพราะมี เวลาที่ จ ะสลั บ กั น กั บ ความผิ ด หวั ง ความ สมหวังอะไร มันเปนการศึกษาที่ดีกวา.
๑๙๘
ก ข ก กา ของการศึกษาของพุทธศาสนา
ฉะนั้ นขออย าให เสี ย ที ที่ ได เกิ ด มาเป น มนุ ษ ย คื อ ในโลกที่ มั น มี ความ พอดี สํ าหรับการศึ กษา ไม มี ความทุ กขมากเกิ นไป ไม มี ความเพลิดเพลิ นมากเกินไป. นี ่ถ ือ เอาโอกาสนี ้ ศึก ษาใหรู จ ัก พระธรรมอัน สูง สุด ในพระพุท ธศาสนาอยา งนี ้, แลว ก็สํ า เร็จ ดว ยความที ่ว า เขา ใจถูก ตอ ง, สัม าทิฏ ฐิค วามเขา ใจถูก ตอ ง มัน เปน อยา งนี ้ ความจริง มัน มีอ ยู อ ยา งนี ้. ความถูก ตอ งนี ้ถ า รัก ษาไวไ มดี ไมม ีส ติส ัม ปชัญ ญะพอ มัน ก็ก ลับ ผิด ได. ฉะนั ้น อยา ประมาท วา ความถูก ต อ งนั้ น มั น จะอยู กั บ เราตลอดเวลา มั น อาจเปลี่ ย นเป น ผิ ด ได ถ า ไม รั ก ษาไว ด ว ย สติสัมปชัญญะ. สติ สั ม ปชั ญ ญะนี้ ก็ ไ ม ใ ช จ ะมี ไ ด ง า ย ๆ, มั น ก็ ต อ งตั้ ง อกตั้ ง ใจมาก เหมือ นกัน ที ่จ ะมีส ติส ัม ปชัญ ญะ, จะตอ งมีห ิร ิโ อตตัป ปะบา ง; ถา พลาดทีไ ร แลว ก็ใ หล ะอาย จนไมรู ว า จะซุก หนา ไวที ่ไ หน แมไ มม ีใ ครเห็น , แมไ มม ีใ คร เห็ น แล วเราเผลอไปเป น ทาสของอารมณ เข า ครั้งหนึ่ ง ก็ ขอให ล ะอายจนไม รูว า จะ ไปซุ ก หน า ที่ ไ หน; อย า งนี้ เรี ย กว า มี หิ ริ โ อตตั ป ปะ. ถ า ทํ า อย า งนี้ อ ยู บ อ ย ๆ แล ว สติส ัม ปชัญ ญะก็จ ะสมบูร ณขึ ้น ๆ. สัม มทิฏ ฐิ ความรู ถ ูก ตอ ง ความเขา ใจถูก ตอง ก็จะเบิกบานเต็มที่ มีกําลังเต็มที่ ก็คือเอาชนะอารมณไดอยางสม่ําเสมอ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั ้น ขอใหตั ้ง ตน ดว ยความมีห ิร ิโ อตตัป ปะ, รู จ ัก ละอายเมื ่อ พา ยแพแ กอ ารมณ ทางตาทางหู ทางจมูก ฯลฯ ทางไหนก็ไ ด เมื ่อ ไรก็ไ ด มีค นอื ่น รู ก ็ไ ด ไมม ีค นอื ่น รู ก ็ไ ด; แลว โดยมากความพา ยแพอ ารมณม ัน อยู ใ นใจ นี้ใครจะไปรู เรารูคนเดียว มันก็ละอายคนเดียว จึงจะเปนความจริงเปนเรื่องจริง.
เดี๋ ยวนี้ ต อหน าคนมาก ๆ เขายั งไม ละอาย แล วเขาก็ จะไปละอายคนเดี ยว ได อ ย างไร ? นี่ โลกกํ า ลั งไม มี หิ ริ โอตตั ป ปะมากขึ้ น ดั งที่ ป รากฏเป น ข าวในหน า
อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก
๑๙๙
หนัง สือ พิม พม ากขึ ้น ๆ, โลกนี ้ม ัน จะไมม ีห ิร ิโ อตตัป ปะกัน แลว . โลกนี ้ก ็จ ะตอ ง เปน ไฟเดือ ดรอ น เพราะพายแพแ กอ ารมณซึ่งเปน บว งของพญามาร, พญา มารถื อบ วงดอกไม ๕ ดอก คื ออารมณ ทั้ ง ๕ นี้ สํ าหรับคล องสั ตว โลกไปตามความ ปรารถนาของพญามารนี้, ภาพอุปมาเขาเขียนอยางนี้. นี่ คํ า อธิ บ ายเรื่ อ ง ก ข ก กา เป น ครั้ งที่ ๗ ก็ คื อ เรื่ อ งอารมณ , สํ า หรั บ คํ า ว า อารมณ คื อ สิ่ งที่ จิ ต จะเข าไปติ ด พั น มั น เป น เครื่อ งปรุง แต งจิ ต ขึ้ น แล ว ก็ เป น ความเคยชิ น ในการที่ จิ ต จะเข า ไปติ ด พั น ในความหมาย ในคุ ณ ค า ของอารมณ แมที่เปนอดีต แลวก็เอาชนะยาก ถอนยาก. ขอให ทุ กคนคํ านึ งคํ านวณดู ที่ จิ ตใจของตนเอง ว าเรายั งมี อารมณ ในอดี ต ที่ มี อิ ทธิ พลเหนื อจิ ตใจอยู อย างไร ? เป นความเคยชิ นที่ จะดึ งไปแต ในทางพ ายแพ แก อารมณ อ ย า งไร ? แล ว ก็ รี บ รื้ อ ถอนขึ้ น มา โดยหลั ก ธรรมะที่ พ ระพุ ท ธเจ า ท า นได ตรั ส ไว ในลั ก ษณะอย า งนี้ . แต เดี๋ ย วนี้ อาตมาเอามาบรรยายในส ว นที่ เป น ก ข ก กา เรี ย กว า ทบทวนความรู พื้ น ฐานกั น เสี ย ใหม . ขอให สํ า เร็ จ ประโยชน แ ก ท า น ทั้งหลายทุก ๆ ทาน ตามสมควรแกโอกาสเถิด.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ตอไปนี้ก็ขอใหพระสงฆทั้งหลาย สวดคณาสาธยายธรรมะ เปนเครื่อง กระตุนจิตใจในการปฏิบัติธรรมตอไป. _______________
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา - ๘ ๒๓ กุมภาพันธ ๒๕๑๗
ความแตกตางระหวางศีลธรรมกับปรมัตถธรรม.
ทานสาธุชน ผูมีความสนใจในธรรม ทั้งหลาย, การบรรยายประจํ าวั น เสาร ครั้ งที่ ๘ แห งภาคมาฆบู ชานี้ ก็ จะกล าวไป โดยหัวขอใหญ วา ก ข ก กา ของการศึกษาพุ ทธศาสนา ตอไปตามเดิม และจะไดกลาว โดยหั ว ข อ ย อ ย แคบเข า มาเฉพาะวั น นี้ ว า ความแตกต า งระหว า ง ก ข ก กา ทางศีลธรรม และ ก ข ก กา ทางปรมัตถธรรม.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ข อ นี้ ไ ด แ บ ง ให เห็ น ชั ด อยู แ ล ว ว า เรื่ อ งที่ เรี ย กว า ก ข ก กา นั้ น มี อ ยู ๒ ระดั บ คื อ ระดั บ ทางศี ล ธรรมทั่ ว ๆ ไป นี้ อ ย า งหนึ่ ง , และระดั บ ทางปรมั ต ถธรรม คือสูงสุดในทางสติปญญา นั้นอยางหนึ่ง.
อย างศี ล ธรรมนั้ น ก็ คื อ อย างที่ ส ามั ญ ชนทั่ วไปจะเข าใจได , แล วก็ เอา มาพูดกันอยู แลวก็พูดกันอยูโดยภาษาคน คือคนที่ธรรมดาสามัญพูดกันดวยภาษา
๒๐๐
ความแตกตางระหวางศีลธรรมกับปรมัตถธรรม
๒๐๑
ธรรมดา ทีนี ้ที ่เ ปน อยา งปรมัต ถธรรมนั ้น เปน เรื ่อ งที ่ส ูง ขึ ้น ไป รู เ ขา ใจ หรือ พู ด กั น แต ในหมู ผู รู, แล ว ก็ พู ด อยู โดยภาษาธรรม. ถ า ผู ใดเข าใจคํ า ว า ภาษาคน กับ คําวา ภาษาธรรมดีแลว ยอมเขาใจความขอนี้ไดงาย. ในวั นนี้ จะได เอามาเที ยบกั นให เห็ นว า ก ข ก กา มั นมี อยู ถึ ง ๒ ประเภท คือ ประเภทของคนธรรมดา และประเภทของคนที่มีปญ ญา ดัง ที่ก ลา วแลว ก ข ก กา ของคนธรรมดา ก็ เรี ย กว า ก ข ก กา ของศี ล ธรรม ส ว น ก ข ก กา ของผูมีปญญายิ่งไปกวาธรรมดานั้น ก็คือ ก ข ก กา ทางฝายปรมัตถธรรม. ในการบรรยายครั ้ง ที ่แ ลว มา นับ แตค รั ้ง แรกที ่ส ุด เปน ตน มานั ้น ไดพูด กัน แตเ รื่อ ง ก ข ก กา ทางฝา ยปรมัต ถธรรม; เพราะวา เปน ความ มุ ง หมายโดยเฉพาะ ที่ จ ะพู ด กั น ให เข า ใจในเรื่ อ งนี้ เสี ย ก อ น; ในฐานะเป น ป ญ หา รี บ ด ว น. คื อ ว า พุ ท ธบริ ษั ท เรา กระทั่ ง ครู บ าอาจารย ที่ สั่ ง สอนอยู ก็ กํ า ลั ง สั บ สน ปนเปกั น ไปหมด ในทางพู ด หรือ การสอน เกี่ ย วกั บ เรื่อ งเบื้ อ งต น ที่ สุ ด ของพระพุ ท ธศาสนา ในขั้นที่เปนหัวใจของพุทธศาสนา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org [ ทบทวน. ]
นี้ ข อทบทวนอี ก ครั้ ง หนึ่ ง ว า แม แ ต จ ะพู ด เรื่ อ งขั น ธ ๕ ก็ พู ด แต ต าม ตั วหนั งสื อ วาขันธมี ๕ คื ออย างนั้ น อย างนั้ น โดยไม ต องรูวามั นคื ออะไร ? อย างไร ? เมื ่ อ ไร ? ที ่ ไ ห น ? ที ่ เ กิ ด อ ยู จ ริ ง ๆ ใน ใจ ข อ งเรานั ้ น ก็ ไ ม รู จ ั ก จึ ง ทํ า ให บ างคนเข า ใจผิ ด ไปว า เรามี ขั น ธ ๕ อยู ต ลอดเวลา อย า งนี้ ก็ มี , ถึ ง กั บ บางคน เข า ใจไปว า แม แ ต เวลาหลั บ อยู เราก็ มี ขั น ธ ๕ ซึ่ ง มั น มี ค า เท า กั บ ว า เมื่ อ เรายั ง สลบอยู ด ว ยเหตุ ใดก็ ต าม เราก็ ยั งมี ขั น ธ ๕. อย างนี้ เป น ความเข า ใจผิ ด เพราะว า
๒๐๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ตามที่ถูกนั้น เรามีขันธ ๕ พรอมกันไมได มันมีทีละขันธ เปนลําดับมาก ตามที่ ไดแ สดงใหฟ ง ซ้ํ า ๆ ซาก ๆ อยู เ สมอ, ซึ ่ง สรุป ไดค วามวา เมื ่อ ตาเห็น รูป เกิด จั กษุ วิ ญ ญาณแล ว จึ งจะเกิ ดรู ปขั นธ ภายใน ภายนอก, แล วจะเกิ ดวิ ญ ญาณขั นธ คื อ จั ก ษุ วิ ญ ญาณนั้ น , แล ว จึ ง เกิ ด เวทนาขั น ธ คื อ รู สึ ก ต อ รู ป ที่ ม ากระทบตานั้ น , แล ว จึ งจะเกิ ดสั ญ ญาขั นธ คื อความสํ าคั ญ มั่ นหมายอย างใดอย างหนึ่ ง ลงไปที่ เวทนานั้ น เป น ต น , แล ว จึ ง จะเกิ ด สั ง ขารขั น ธ คื อ ความคิ ด นึ ก อย า งใดอย า งหนึ่ ง เกี่ ย วกั บ ความสํ า คัญ มั ่น หมายในเวทนานั ้น เปน ตน . จึง เห็น ไดว า มัน เกิด ทีล ะขัน ธ; อันหนึ่งเปนปจจัยแหงอันหนึ่ง มันจึงเกิดพรอมกันไมได. การพู ด ก็ พู ด ได อ ย า งนี้ แต ผู ฟ ง จะเข า ใจ จะมองเห็ น แจ ม แจ ง ชั ด เจน หรือ ไม นั ้น มัน เปน อีก เรื ่อ งหนึ ่ง ; แตโ ดยเหตุที ่เ รื ่อ งนี ้เ ปน เรื ่อ งเบื ้อ งตน ที ่ส ุด ที่ เข า ใจพระพุ ท ธศาสนาอั น ลึ ก ซึ้ ง ได จึ ง ได เรี ย กว า เรื่ อ ง ก ข ก กา ของพระพุ ท ธศาสนา. เมื่ อ มี ก ารเข า ใจเรื่ อ งนี้ ผิ ด หรื อ ไปทํ า สั บ กั น เสี ย หมดแล ว ก็ คื อ ไม เข า ใจ เรื่ อ งที่ เป น รากฐานทั้ ง หมดของเรื่ อ งทั้ ง หลาย, ก็ เป น อั น ว า เข า ใจเรื่ อ งต า ง ๆ ไม ได , จะเข า ใจเรื่ อ งอายตนะ เรื่ อ งขั น ธ เรื่ อ งอุ ป าทานขั น ธ เรื่ อ งทุ ก ข เรื่ อ งดั บ ทุ ก ข ไม ได . เพราะเหตุ นั้ น เอง เป น ข อ ที่ บ อกให แ ล ว ในตั ว ว า เราก็ ฟ ง มามาก คิ ด นึ ก มาก หรื อ ถึงกับพยายามปฏิ บั ติตามที่ จะทํ าไดก็มี ; แตแลวก็ยั งไม สามารถที่ จะดั บความทุ กข ได จนเปนที่พอใจ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org โดยสรุ ป แล ว ก็ คื อ ไม ส ามารถจะป อ งกั น การเกิ ด ขึ้ น แห ง ป ญ จุ ปาทานขัน ธ คือ การสํ า คัญ ขัน ธทั ้ง ๕ ขัน ธใ ดขัน ธห นึ ่ง โดยความเปน ตัว ตน นั ่น เอง. เมื ่อ อุป ทานขัน ธอ ัน ใดอัน หนึ ่ง เกิด ขึ ้น ก็ต อ งเปน ทุก ขม ีค วามทุก ข, แล ว เราก็ ไ ม รู ว า นี้ เป น ความทุ ก ข หรื อ จะรู สึ ก ว า หนั ก อกหนั ก ใจบ า ง ก็ ไ ม รู ว า มั น
ความแตกตางระหวางศีลธรรมกับปรมัตถธรรม
๒๐๓
เป นเพราะเหตุ ไร, นี้ เรียกว าไม รูจั ก ก ข ก กา เอาเสี ยเลย, คื อไม รูจั กว า ความทุ กข ไดตั้งตนขึ้นมาอยางไร. ความทุกขตั้งตนขึ้นมา เรียกวา ก ข ก กา ในปรมัตถธรรมแหงพระพุทธศาสนา. ที่ เป น ก ข ก กา ที่ สุ ด ก็ คื อ การที่ ธ รรมะเหล า นี้ ตั้ ง อยู ในฐานะเป น ธาตุ ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ล ม ธาตุ อ ากาศ ธาตุ วิ ญ ญาณก อ น ได โอกาส ก็ ประกอบกั นเข า เป นเรื่องความรูสึ ก คื อกลายรูปเป นอายตะภายในขึ้ นมา สํ าหรับ รูต ออายตนะภายนอก, ก็ เกิ ดวิ ญ ญาณ เกิ ดผั สสะ เกิ ดเวทนา ตามสมควรแก กรณี นั ้น ๆ ซึ ่ง วัน หนึ ่ง ๆ ก็ม ีไ ดห ลายคราว. ใจความสํ า คัญ ก็ม ีเทา นี ้ สํ า หรับ เรื ่อ ง ก ข ก กา ในฝ า ยปรมั ต ถธรรม ในพระพุ ท ธศาสนา แล ว ก็ ได ก ล า วกั น มาโดย ละเอียด คือหลายครั้งของการบรรยายแลว ขอใหทบทวนดูเอง. [ เริ่มการบรรยายครั้งนี้. ]
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ ในวั น นี้ ก็ จ ะได เปรี ย บเที ย บให เห็ น ความแตกต า งกั น ในระหว า ง ก ข ก กา ทางปรมั ต ถธรรม ที่ ก ล า วมาแล ว นั้ น กั บ ก ข ก กา อี ก แบบหนึ่ ง ซึ่ ง ยั งไม ได เอามาพู ดถึ ง คื อ ก ข ก กา ในทางฝ ายศี ล ธรรม. การที่ ต องเอามาพู ดถึ ง แลว เอามาเปรีย บเทีย บกัน ดูนี ้ ก็ม ีป ระโยชนม าก คือ จะทํ า ใหเขา ใจ ก ข ก กา ในทางปรมัต ถธรรมไดยิ ่ง ขึ ้น นั ่น เอง ดัง นั ้น จึง ตอ งเอามาพูด และเมื ่อ พูด ขึ ้น ทานทั้งหลายก็จะนึกได.
แต ว าอยากจะแนะให สั งเกตอะไรมาก เป นพิ เศษขึ้ นไปอี กอย างหนึ่ ง คื อ ความหมายของสิ่ ง ที่ เรี ย กกั น ว า ก ข ก กา นั่ น เอง. ความเป น ก ข ก กา นี้
๒๐๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
เข าใจยาก คื อยากที่ จะเขาใจได วา นี้ มั นเป น ก ข ก กา อย างมากที่ สุ ดที่ จะเขาใจได , ก็จ ะเขา ใจไดแ ตเ พีย งวา เรื ่อ งอะไรเปน เรื ่อ งแรกที ่ส ุด ตอ งเรีย นใหไ ดก อ น; เรื่อ งนั้ นเป นเรื่อง ก ข ก กา พู ดอย างนี้ มั นก็ ถู ก แต ความจริงนั้ น มั นไม อาจจะรูสึ ก อยางนี้ได. ยกตั วอย างที่ ท านทั้ งหลายเข าใจ คื อ ว า เด็ ก ๆ หรื อ เราเองก็ ตาม เมื่ อ ยั งเป น เด็ ก เล็ ก ๆ แรกเรี ย น ก ข ก กา เราไม เคยรู สึ ก ว า นี้ เป น เรื่ อ งง า ย ๆ. นี้ เป น เรื่ อ ง ก ข ก กา, นี้ เป น เรื่ อ งเบื้ อ งต น อย างง ายอย างต่ํ าที่ สุ ด . ลองคิ ด ดู เถอะก็ พ อ จะระลึ ก เรื่ อ งได ด ว ยใจ; หรื อ ถ า ระลึ ก ไม ไ ด ก็ ไ ปสั ง เกตดู เด็ ก เล็ ก ๆ เวลานี้ เด็ ก เล็ ก ๆ คนหนึ่ ง กํ า ลั ง เรี ย น ก ข ก กา อยู . เด็ ก เล็ ก ๆ คนนี้ เขารู สึ ก ว า มั น ง า ย แสนงา ย มัน เปน เรื ่อ งเบื ้อ งตน เรื ่อ งต่ํ า ที ่ส ุด หรือ เปลา ? สัง เกตดูใ หด ีจ ะเห็น ได ว า เด็ กเล็ ก ๆ จะไม รูสึ กว า เรื่อง ก ข ที่ เขากํ าลั งเรียนอยู นั้ น เป นเรื่องงาย เป น เรื่ อ งเรื่ อ งเบื้ อ งต น หรื อ เป น เรื่ อ ง ก ข ก กา. เขาจะรู สึ ก ว า มั น เป น เรื่ อ งใหญ เป น เรื่องสูง เปนเรื่องมีเกียรติ เปนเรื่องที่ดีที่สุดสําหรับมนุษย
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ าเราไปทํ าให เขารูสึ กว าเป นเรื่ องต่ํ า ๆ เขาก็ ไม อยากเรียน, ไม ได เกี ยรติ ไม ได ความทะนงตั ววา ได เก งได อะไรในการเรียน. แต ถึ งวา เราจะไปบอกเด็ กเล็ ก ๆ ว า เรื่ อ ง ก ข ก กา นี้ มั น ง า ยนะ เป น เรื่ อ งแรกเป น เรื่ อ งง า ยที่ สุ ด เด็ ก ๆ ก็ จ ะไม เชื่ อ ; เพราะเด็ ก ๆ ไม รู สึ ก ว า มั น ง า ย เพราะมั น ทํ า ความยุ ง ยากลํ า บากให แ ก เขา ในการที่ จ ะจํ า ต อ งเรี ย นกั น แล ว เรี ย นกั น เล า . ถ า เรี ย นอย า งวิ ธี โ บราณก็ ถู ก ตี ตั้ ง หลายหน กว าจะจบ ตั ว ก ตั ว ข ตั ว ค ตั ว ง ไปได ; แม จะเรี ยนกั นอย างวิ ธี สนุ ก อย างสมั ยใหม นี้ เด็ กก็ ไม รูสึ กว าเป นเรื่องงาย ยั งคงรูสึ กวาเป นเรื่องยาก เป นเรื่องดี เป นเรื่องมี เกี ยรติ , ถ าทํ าได ก็ เป นคนเก ง จํ า ก ข ก กา ได สั ก ๑๐ ตั ว หนึ่ ง ก็ เป น
ความแตกตางระหวางศีลธรรมกับปรมัตถธรรม
๒๐๕
คนเกง เสีย แลว . นี ่จ ะตอ งเขา ใจกัน กอ น แลว ก็จ ะเปรีย บเทีย บถึง เรื ่อ งของเรา พุทธบริษัท วาเรากําลังมีความรูสึกอยางเดียวกันนั้นอยางไร. ขอให นึ กดู ให ดี ข อที่ เด็ ก ๆ ไม รู สึ กว า เรื่ อง ก ข ก กา เป นเรื่ องเล็ กน อย เป น เรื่ อ งเบื้ อ งต น เป น เรื่ อ งง า ย ๆ นั้ น มั น เป น เพราะเหตุ ใ ด ? เป น เพราะเหตุ ว า เขายั ง ไม รู ว า เรี ย นหมดเรี ย นจบเรี ย นถึ ง ที่ สุ ด นั้ น มั น เป น อย า งไร ? เขารู ไ ม ไ ด . ฉะนั ้น พอเรีย น ก ข เขา เขาก็ค ิด วา นี ้เ รื ่อ งทั ้ง หมด, เรื ่อ งทั ้ง หมดมัน มีเ ทา นี้ วั น หนึ่ ง ๆ ก็ เป น เท า นี้ เรื่ อ ยไปทุ ก วั น ๆ มั น ก็ เป น เรื่ อ งทั้ ง หมดเป น เรื่ อ งสู ง ขึ้ น ไป เปน เรื ่อ งทั ้ง หมดเพีย งเทา นี ้เทา นั ้น . เพราะวา จบที ่ไ หน ไมรู . เด็ก ๆ ไมม ีท างที่ จะรู ได ว า จบ ที่ ชั้ น มั ธ ยม ที่ ชั้ น อุ ด มขั้ น ปริ ญ ญา ขั้ น อะไรเขาไม มี ท างจะรู; ฉะนั้ น เรื่ อ ง ก ข ก กา ก็ เป น เรื่ อ งใหญ โตที่ สุ ด ของเขาเป น ประจํ าวั น , เขาก็ ค อ ยเลื่ อ นขึ้ น ไปตามลํ า ดับ จนกระทั ่ง ไดเรีย นรู ถ ึง ขั ้น ปริญ ญา จึง จะมองยอ นหลัง มาวา เรื ่อ ง ก ข ก กา นี้ เปนเรื่องเล็กจริง เปนเรื่องเบื้องตน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฝายศีลธรรมตองเริ่มตนดวยศรัทธาในศาสนา. ที นี้ พุ ท ธบริ ษั ท เรา จะตั้ ง ต น ก ข ก กา กั น ในทางศี ล ธรรม. ขอย้ํ า ว า กํ า ลั ง พู ด เรื่ อ ง ก ข ก กา ในฝ า ยศี ล ธรรม ไม ใช ฝ า ยปรมั ต ถธรรม. ก ข ก กา ใน ฝายศีลธรรมนั้นมีอะไรบาง ?
มันก็ตองตั้ งต นดวยเรื่องที่วา ทํ าไมจึงเข าวัด ? ทํ าไมคนอยูที่บ านจึงได อยากจะเข าวัดกะเขา ? นั้ นก็ ต องเพราะมี ศรัทธา ในเรื่อ งของวั ด วาอารามเรื่อ งของ
๒๐๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ศาสนา มี ศ รั ท ธา นี้ ก อ น จึ ง มาเข า วั ด . นี้ ก็ เป น เรื่ อ ง ก ข ก กา เหมื อ นกั บ แรก เรี ย นตั ว ก ตั ว ข เหมื อ นกั น . แต เราขณะนั้ น จะไม รู สึ ก ว า เป น เรื่ อ ง ก ข ก กา เราจะรู สึ ก ว า เป น เรื่ อ งใหญ โ ต เป น เรื่ อ งดี ม าก; เพราะมั น ดี ก ว า หลาย ๆ คนที่ ไ ม เข า วั ด , แล ว ก็ ยั ง ไม รู จ ะเปรี ย บเที ย บด ว ยซ้ํ า ไป ว า เข า วั ด เพื่ อ อะไร ? คนเข า วั ด ทํ า อะไรบ าง ? คนไม เข า วั ด บางคนเขาทํ าอะไรบ าง ? นี้ ก็ ยั งไม รู จั ก เปรี ย บเที ย บ. แต ก็ เป น อั น กล า วได ว า มี ศ รั ท ธา เชื่ อ ในพระศาสนา เชื่ อ ในพระรั ต นตรั ย พระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ ก็ มี ค วามรู สึ ก ว า ได เรื่ อ งดี ที่ สุ ด ได เรื่ อ งใหญ ที่ สุ ด สู ง สุ ด มาก ที่ สุ ด อะไรทํ า นองนั้ น , กระทั่ ง ว า มี เกี ย รติ ที่ สุ ด ด ว ยเหมื อ นกั น , เหมื อ นกั บ เด็ ก ๆ พอรู ก ข ก กา ก็รูสึกวา เกงและมีเกียรติ. เมื่ อ คนเราเข า มาในวั ด ครั้ ง แรกก็ จ ะรู สึ ก อย า งนั้ น , และดู จ ะรู สึ ก ว า ไม มี อะไรมากไปกวา นั ้น ทายกทายิก าสว นมาก จะรู ส ึก วา ไมม ีอ ะไรมากไปกวา เขา วัด ฟง เทศนฟ ง ธรรมทํ า บุญ ใหท าน ไมม ีอ ะไรมากไปกวา นั ้น ; เชน เดีย วกับ เด็ ก ๆ ยั งไม รู ว า ก ข ก กา นี้ ยั งอยู ในระดั บ ต น ยั งจะต อ งทํ าต อ ไปอี กมาก, ทั้ งนี้ ก็ เพราะว า มั น ทํ า ให เกิ ด ความภาคภู มิ ใ จ, และที่ สํ า คั ญ ที่ สุ ด ก็ คื อ ความเชื่ อ นั้ น ได ทําใหเกิดความรูสึกอบอุนในใจ คือระงับความกลัวบางอยางเสียได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เราชาวไทย ได รั บ การอบรมสั่ งสอนมาตามวั ฒ นธรรมของชาวไทย จึ งมี ความเชื่ อ อย า งนั้ น มี ค วามหวั ง อย า งนี้ มี ค วามกลั ว อย า งนู น . เดี๋ ย วนี้ ได ม าเข า วัด ทํ า ใหเ กิด ความเชื ่อ อุ น ใจไดว า เราไดสิ ่ง ที ่ด ี วา เราไดที ่พึ ่ง ที ่พึ ่ง ได คือ พระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ , แล ว ก็ อุ น ใจว า เราจะไม ต อ งตกนรก, แล ว ก็ ไ ม มี ความกลัว ชนิด ที ่เ คยรบกวนอยู . เราจึง รู ส ึก พอใจมาก ดูจ ะเปน เรื ่อ งทั ้ง หมด แลว ที่มนุษยจะตองรูกันอยางนี้.
ความแตกตางระหวางศีลธรรมกับปรมัตถธรรม
๒๐๗
แต แ ล ว ต อ มา ถ าเราศึ ก ษามากขึ้ น เราจะรู สึ ก ว า เพี ย งมี ค วามเชื่ อ เทา นั ้น ยัง ไมพ อ; เพราะมัน มีค วามทุก ขอ ยา งอื ่น ที ่ม ากไปกวา นั ้น , กระทั ่ง ไม สามารถจะหยุ ดความกลั วได หมดสิ้ น อย างน อยก็ ยั งกลั วตาย, กลั วจะไม เป นไปตาม ที ่ต ัว ตอ งการ; แมว า จะไดม ีศ รัท ธามาก ทํ า บุญ มาก ความกลัว ก็ย ัง ไมห ยุด , คือ กลัว วา จะไมไ ดต ามที ่ต ัว ตอ งการ, ยัง มีค วามลัง เลอยู เ สมอไป. นี ่ค ือ ขอ ที่ มันยังไมถึงที่สุดมันยังเปน ก ข ก กา อยู. ฉะนั้ น สิ่ งที่ เรียกว า ศรั ทธา ที่ นํ าเข ามาสู พุ ท ธศาสนา จึ งควรจะเรียก ไดวา เป น ขั้น ก ข ก กา ในขั้น หนึ่ ง ซึ่งเราจะตองเรียนใหรู ใหมากยิ่งขึ้นไป ให ศรั ท ธานั้ น แจ ม แจ งใสกระจ างมากขึ้ น จนกว าจะกลายเป น ป ญ ญา; แต ถ ามั น กลาย เปน ปญ ญาไปเสีย แลว มัน ก็ไ มใ ช ก ข ก กา ในทางศีล ธรรมเสีย แลว มัน เปน ก ข ก กา ฝ ายปรมั ต ถธรรมเป น อย างน อ ย หรื อ มั น เลยความเป น ก ข ก กา ไปเสี ย ก็ไ ด. เดี ๋ย วนี ้เ มื ่อ ยัง เปน เพีย งศรัท ธาอยู ก็เ รีย กวา เปน เรื ่อ งที ่เ ริ ่ม ลูบ คลํ า ใน พระศาสนา, จะคว า หาที่ พึ่ ง ทํ า ความอุ น ใจ ขจั ด ความกลั ว ; แต เนื่ อ งจากยั ง เป น เรื่ อ งทางศี ล ธรรม จึ ง ยั ง ไม ถึ ง ที่ สุ ด เป น เรื่ อ ง ก ข ก กา ในขั้ น ที่ เรี ย กว า ศี ล ธรรม ยังไมถึงที่สุด จะตองทําตอไป.
www.buddhadasa.in.th หลังจากศรัทธา ก็บําเพ็ญทาน ศีล ภาวนา. www.buddhadasa.org ที นี้ จะถื อโอกาสดู พ ร อม ๆ กั น ไปเสี ยเลยว า หลั งจากศรั ทธาแล ว คื อเชื่ อ พระรั ต นตรั ย แล ว เราก็ มี ก ารบํ า เพ็ ญ ทาน; เหมื อ นอย า งที่ บํ า เพ็ ญ กั น อยู นี่ แ หละ. ให ท านวั ต ถุ สิ่ ง ของ, ให ท านสิ่ ง ต า ง ๆ ที่ ค วรจะให , นี้ มั น เป น เครื่ อ งทํ า ความอุ น ใจ
๒๐๘
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
กํ า จัด ค ว า ม ก ลัว ห วั ่น วิต ก บ า ง อ ยา ง ได; แ ตก ็ย ัง ไม ห ม ด มัน ม ีข อ บ เข ต จํ า กั ด อยู เพราะเป น เรื่ อ งการให ท านตามธรรมดา คื อ ตามวิ ถี ท างของศี ล ธรรม, แลว ก็เ ปน สิ ่ง ที ่อ าศัย อยู ก ับ ศรัท ธา คือ ความเชื ่อ . ฉะนั ้น สิ ่ง ที ่เ รีย กวา ทาน นี้ จึงเปน ก ข ก กา ในทางศีลธรรม ดวยเหมือนกัน. ที นี้ ม าถึ ง การรั ก ษาศี ล , คนมาอยู วั ด ก็ รั ก ษาศี ล , และโดยเฉพาะในวั น อุโ บสถก็ร ัก ษา ศีล ๘ ศีล อุโ บสถ; ทํ า ใหด ีที ่ส ุด ใหส ุด ความสามารถของตน. นี้ ก็ เพิ่ ม ความอุ น ใจได อี ก ระงั บ ความกลั ว ได อี ก แต ก็ ไ ม ห มดสิ้ น , จึ ง เรี ย กว า มั น เปน ศีล ในขั ้น ตน เปน ศีล ที ่ย ัง ฝากอยู ก ับ ศรัท ธา ยัง ไมไ ดม าจากปญ ญาโดย แทจ ริง . ศีล ชนิด นี ้จ ะตอ งอาศัย ที ่พึ ่ง จะตอ งมีที ่ฝ ากที ่อ ิง อยู เ สมอ แลว คอยแต จะลม ลุก คลุม คลาน; เพราะวา ไมไ ดรู จ ัก สิ ่ง ทั ้ง หลายทั ้ง ปวงตามที ่เ ปน จริง วา ไมเ ที ่ย ง เปน ทุก ข เปน อนัต ตา เปน ตน . ยัง มีค วามยึด มั ่น ถือ มั ่น อยู มัน ก็ม ีท าง ที่ จ ะขาดศี ล อยู , แล ว ก็ มี ส ว นที่ ยั ง ต อ งกลั ว หรื อ วิ ต กกั ง วลเหลื อ อยู . ต อ เมื่ อ ไรมั น เป นศี ลที่ มาจากป ญ ญา หรื อมาจากความไม ยึ ดมั่ นถื อมั่ น เมื่ อนั้ นแหละมั นจึ งจะเป น ศี ล ในขั้ น โลกุ ต ตรศี ล ไม มี ค วามเปลี่ ย นแปลงอี ก ต อ ไป. แต นี้ เ มื่ อ ยั ง เป น ศี ล ตาม ธรรมดาอยู ก็ เรี ย กว ามั น อยู ในประเภท ก ข ก กา แม ว ามั น จะเลยขึ้ น ไปถึ ง กะ กา กิ กี ขะ ขา ขิ ขี เรื่อยขึ้นไป มันก็ยังอยูในระดับสอนเรียนสอนอานอยูนั่นแหละ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ จะดู ไปถึ งเรื่ อ งสวดมนต ภ าวนา เราก็ มี ก ารสวดมนต ท อ งบทภาวนา ต าง ๆ ซึ่ งก็ เพิ่ ม ความพอใจ ความอุ น ใจ แก ไขความกลั วความวิ ต กกั งวลได ม ากขึ้ น คื อ มี ค วามรู ม ากขึ้ น เพิ่ ม ความรู ม ากขึ้ น ; กระทั่ ง เจริ ญ สมาธิ มั น ก็ เป น แล ว เดี๋ ย วนี้ มั น ก็ มี ผ ลมากขึ้ น ในทางที่ จ ะทํ าความอุ น ใจหรื อ ระงั บ ความกลั ว. แต ก็ ยั งเป น ศี ล สมาธิ ที่ฝ ากไวกับ ศรัท ธาอยูนั่น เอง, ยัง ไมใ ชเรื่อ งของปรมัต ถธรรม, ยัง เปน
ความแตกตางระหวางศีลธรรมกับปรมัตถธรรม
๒๐๙
เรื่ อ งของศี ล ธรรม ที่ ทํ า ไปด ว ยศรั ท ธาความเชื่ อ เป น พื้ น ฐาน แล ว ก็ ข ยั น ขั น แข็ ง ไป ตามอํ า นาจของศรั ท ธานั้ น ; อย า งนี้ เรี ย กว า เป น ระดั บ ศี ล ธรรมทั้ ง นั้ น , ยั ง ไม ถึ ง ขั้ น ปรมัตถธรรม. ฉะนั้ น เราพยายามในขั้ น นี้ ม าตั้ ง แต แ รก จนกระทั่ ง บั ด นี้ ถ า ยั ง ไม ถึ ง ที่ สุ ด แห งการตั ด กิ เลส ก็ ยั งเรี ย กว ายั งไม จ บเรื่ อ ง, หรื อ ว ายั งเป น เรื่ อ งที่ ต อ งพยายาม ปลุ ก ปล้ํ า กั น ไป เหมื อ นอย า งเรีย น ก ข ก กา. ทั้ ง นี้ ก็ เพราะเหตุ ว า ผลที่ สู ง สุ ด ใน ทางศีล ธรรมนั ้น มัน ฝากไวก ับ ศรัท ธาอยู เ สมอไป; ถา ทํ า ใหเ ปน เรื ่อ งของ ปญญา มันก็กลายเปนเรื่องปรมัตถธรรมไปเสีย คือเปนอีกประเภทหนึ่ง. เดี ๋ย วนี ้ พุท ธบ ริษ ัท สว น ให ญ ที ่ย ัง ตั ้ง อยู ไ ดด ว ยศรัท ธาอยา งนี้ ก็เรีย กวา เปน ผูเริ่ม ตน ทําความดับ ทุก ขใหแ กต น ตามวิถีท างของศีล ธรรมซึ่ง ต อ งอาศั ย ศรั ท ธา; แม ว า จะอาศั ย วิ ริ ย ะ สั น ติ สมาธิ ป ญ ญา ก็ ยั ง ไม ถึ ง ขั้ น ที่ จ ะ เรี ย กว า เป น ปรมั ต ถธรรมได , เป น เรื่ อ งพิ จ ารณากั น แต เ พี ย งว า สิ่ ง ที่ เรากระทํ า นี้ มั น จะให ผ ลเป น ที่ พึ่ งแก เรา ตามที่ เราต อ งการอย างนั้ น ๆ. เช น ว า ทํ าให เราสบายใจ ทํ าให เราอบอุ นใจ ทํ าให เราหายกลั ว; อย างนี้ ก็ พอเรียกว า สติ ป ญญาได บ างเหมื อนกั น แต ก็ ยั ง เป น สติ ป ญ ญ า ในขั้ น ศี ล ธรรม ทั้ ง หมดนี้ เ รี ย กว า ก ข ก กา ทางฝ า ย ศีลธรรม.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แต อย าลื ม ว า เราจะไม รู สึ กว า มั น เป น ก ข ก กา เพราะว าเราเข าวั ดมา ตั้ ง ๑๐ ป , ๒๐ ป , ๓๐ ป , ๔๐-๕๐ ป แล ว ก็ มี , เราเข า วั ด มี ศ รั ท ธา ทํ า ทาน ถือศี ล สวดมนตภาวนาอะไรมา เหลานี้ ตั้ งหลายสิบป แล วก็มี , เราไม รูสึ กวามั นเป น ก ข ก กา; เพราะเราไม รู สึ ก ว า ทั้ ง หมดทั้ ง สิ้ น ที่ จ บหมดนั้ น มั น อยู ที่ ไ หน, แล ว
๒๑๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ก็ม ัก จะเขา ใจเอาวา นี ้ค ือ ทั ้ง หมดทั ้ง สิ ้น . ฉะนั ้น เราจึง ไมรู ส ึก วา ยัง อยู ใ นขั ้น ก ข ก กา หรื อ ว า ชั้ น ประถม หรื อ ว า ชั้ น มั ธ ยมต น ๆ อย า งนี้ เราก็ ยั ง ไม รู สึ ก ; เราก็ มักจะถือวา หมดกันเพียงเทานี้ มันมีเพียงเทานี้สําหรับเรา. เพราะฉะนั้ น อาตมาจึ งกล าวว า เราไม อ าจจะรู สึ กหรื อ รู จั ก ได ว า มั น เป น ก ข ก กา. ตอ เมื ่อ เรามาพิจ ารณาใหด ีใ หส ูง ขึ ้น ไป แลว มองลงมายัง ทางลา งนี้ เราจึ งจะรู สึ กว า ยั งอยู ในขั้ น ก ข ก กา ด วยเหมื อ นกั น , แล วก็ ยั งเป น ขั้ น ก ข ก กา ทางฝ า ยศี ล ธรรมด ว ย; ดั ง นั้ น จึ ง ต อ งแยกไว พ วกหนึ่ ง สํ า หรั บ เอามาเปรี ย บกั น อี ก ทีหนึ่งกับ ก ข ก กา ในทางฝายปรมัตถธรรม. แม ว าคนบางคนจะทํ า พร อ ม ๆ กั น ไปทั้ ง ๒ ฝ า ยก็ ได อุ บ าสกอุ บ าสิ ก า บางคนหรื อ บางจํ า พวก สามารถตั้ ง ตนอยู ใ นศี ล ธรรมชั้ น ดี , แล ว กํ า ลั ง ศึ ก ษา พิ จ ารณาในขั้ น ปรมั ต ถธรรม คื อ ชั้ น สู ง ที่ จ ะถอนความยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น หรื อ ทํ า ให หลุด พน ได; อยา งนี ้ก ็ย ัง มี. แมจ ะไมม ากนัก ก็ย ัง กลา วไดว า มี แตแ ลว มัน ก็ ไปติ ด ตั น อยู ที่ ค วามเป น ก ข ก กา ในขั้ น ปรมั ต ถธรรมอี ก นั่ น เอง. ดั ง นั้ น จึ ง เป น อัน กลา วไดโ ดยแนน อนวา แมว า พุท ธบริษ ัท พวกหนึ ่ง จะตั ้ง ตนไวไ ดด ีใ นสว น ศี ล ธรรม คื อ ศรั ท ธา มี ท าน มี ศี ล มี ส วนมนต ภ าวนา มี ส มาธิ เจริ ญ กั ม มั ฏ ฐาน ตามสมควรแลว ; แตถ า ยัง เปน เรื ่อ งของศีล ธรรมอยู มัน ก็ย ัง ไมใ ชเ รื ่อ งถึง ที ่ส ุด , มัน ยัง เปน เรื ่อ งที ่จ ะตอ งพยายามใหส ูง ขึ ้น ไปตามลํ า ดับ คือ เปน เรื ่อ ง ทางปรมัตถธรรม.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เพราะฉะนั ้น จึง เปน อัน แนน อนวา มีศ รัท ธาก็ม ีไ ป ใหท านก็ทํ า ไป มี ศี ล ก็ ทํ า ไป ทํ า สวดมนต ภ าวนาก็ ทํ า ไป, มั น เป น เรื่ อ งรากฐาน พื้ น ฐานอยู ร ะดั บ ห นึ่ ง เพื่ อ ค ว า ม แ น น อ น ว า จ ะ ไม ต ก ต่ํ า ไป ก ว า นั้ น อี ก . แ ต มั น มี เรื่ อ ง อ ยู
ความแตกตางระหวางศีลธรรมกับปรมัตถธรรม
๒๑๑
ขา งหนา คือ วา จะตอ งเจริญ ทางปญ ญาใหรูว า ตัว ความทุก ขจ ริง ๆ นั ้น มัน มาจากอะไร ? จะควบคุม หรือ วา จะดับ มัน เสีย ไดโ ดยวิธ ีใ ด ? นี ่แ หละจึง จะ มาถึงเรื่อง ก ข ก กา ในทางฝายปรมัตถธรรม.
ฝายปรมัตถตองมุงถึงนิพพาน. เมื่ อ ได ยิ น คํ าว าปรมั ต ถธรรม ก็ ข อให นึ ก ถึ งคํ าที่ ค นแต ล ะคนเขาใช คํ าว า พระปรมั ต ถ , เขาพู ด ว า พระปรมั ต ถ ก็ คื อ นั่ น แหละ คื อ ปรมั ต ถธรรม; หมายถึ ง การพู ด ถึ ง ธรรม ที่ มี ค วามหมาย หรื อ อรรถะอั น ลึ ก ซึ้ ง อย า งยิ่ ง กว า ธรรมดา. ปรมะ นั้นมั น แปลวา อยางยิ่ง, ปรมั ต ถะ แปลวา มี อ รรถะอย างยิ่ ง, อยางที่ธรรมดาจะ ไม ได ม อง หรื อ มองไม เห็ น จึ งต อ งอาศั ย การแนะนํ า สั่ ง สอนจากพระพุ ท ธเจ า , แล ว ก็เปนเรื่องราวที่ทานสอนไวอยางลึกอีกเหมือนกัน หรือวาอยางสั้น ๆ ที่สุดดวยซ้ําไป. เช น ท านสอนว า ทุ ก สิ่ งเป น อนิ จฺ จํ ทุ กฺ ขํ อนตฺ ต า. พวกเราก็ ไม รูว า เป น อนิ จฺ จํ ทุ กฺ ขํ อนตฺ ตา. นั้ นอย างไร, ต องศึ กษาต องพยายามกั นอี กนาน กว าจะรูว า อะไรที ่เ ปน อนิจ ฺจ ํ ทุก ฺข ํ อนตฺต า. แลว ยิ ่ง ไดคํ า สอนที ่ว า สิ ่ง ทุก สิ ่ง จะยึด มั ่น ถื อ มั่ น โดยความเป น ตั ว เราของเราไม ได ; อย า งนี้ แ ล ว ก็ ยิ่ ง งงกั น ใหญ ; เพราะว า ตลอดเวลาที ่แ ลว มา เราไดย ึด มั ่น ถือ มั ่น นี ่ โดยความเปน เรา, เปน ตัว เรา. เชน ว า นี้ เป น ตั ว เรา, นี้ เป น ชี วิ ต ของเรา, นี้ เป น กุ ศ ลที่ เราได ทํ า ไว , บุ ญ กุ ศ ลเหล า นี้ จ ะ เป น ที่ พึ่ ง ของเรา, เราตายจากนี้ แ ล ว จะได รั บ ผลบุ ญ กุ ศ ลที่ เราทํ า ไว นี้ ใ นชาติ ต อ ๆ ไป; อยา งนี ้ ลว นแตเ ปน ตัว เรา เปน ของเราไปหมด. พอไดย ิน เรื ่อ งทางฝา ย ปรมัตถธรรมวา ไมมีอะไรที่จะเปนตัวเราหรือเปนของเราได เราก็งง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๒๑๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ตอนนี้ แ หละเราจะรู ข อ เท็ จ จริ ง มาสั ก อย า งหนึ่ ง ว า เราเรี ย น ก ข ก กา มาคนละแบบแลว . เรามี ก ข ก กา ทางศีล ธรรมมาอยา งถูก หรือ วา อยา ง เต็ม ที ่แ ลว ก็ไ ด; แตเ ราไมม ีค วามรู ก ข ก กา ในทางฝา ยปรมัต ถธรรม เรา จึ งเข าใจไม ได ในข อที่ ว าไม ใช ตั วตน ไม ใช ของตน, มี แต ว าธาตุ ทั้ งหลายมี อ ยู ตาม ธรรมชาติ เป น ไปตามเหตุ ต ามป จ จั ย . ปรุ งแต งขึ้ น มาเป น ความรู สึ ก อย างนั้ น อย างนี้ เป น ทุ ก ข ก็ มี ไม ทุ ก ข ก็ มี . นี่ เ รื่ อ งปรมั ต ถธรรมมั น เป น อย า งนี้ . พอมาจั บ เรี ย น เรื่ อ งปรมั ต ถธรรมอย างนี้ เข า มั น ก็ เป น เรื่ อ งตั้ งต น กั น ใหม เหมื อ นกั บ เรี ย น ก ข ก กา สําหรับอีกเรื่องหนึ่งตางหาก. ก ข ก กา ทางฝ ายปรมั ต ถธรรมนั้ น เป น ก ข ก กา สํ าหรับ ที่ จ ะ ไปนิ พ พาน. สั ง เกตดู ใ ห ดี ว า เรื่ อ ง อนิ จฺ จํ ทุ กฺ ขํ อนตฺ ต า นี้ เป น เรื่ อ ง ก ข ก กา แต สํ า หรั บ จะไปนิ พ พาน. ส ว นเรื่ อ งที่ ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น เป น เราเป น ของเรา ทํ า ความดี ทํ าบุ ญ ทํ ากุ ศล ทํ าอะไรต าง ๆ นี้ มั น เป น ก ข ก กา สํ าหรั บ จะอยู ที่ นี่ , คื อ สํ าหรั บ จะเวี ยนอยู ในวั ฏ ฏสงสาร ที่ พ อจะมี ความสุ ขบ าง คื อจะมี ความอุ นใจบ าง, เพราะว า เรายังทําอะไรไมไดมากไปกวานี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ ก็ จ ะขอเตื อ นให นึ ก ถึ ง เด็ ก ๆ อี ก ครั้ ง หนึ่ ง ตั ว เล็ ก ๆ เรี ย น ก ข ก กา ได สั ก ๔ - ๕ ตั ว ๙ ตั ว ๑๐ ตั ว ก็ ภ าคภู มิ ใจอย า งยิ่ ง ; มั น ก็ เป น ความถู ก ต อ งแล ว ที่ เด็ ก ๆ ควรจะภาคภู มิ ใ จ เพราะรู ก ข ก กา สั ก ๑๐ ตั ว เพราะว า มั น ดี ก ว า ที่ ไม รู ดี ก ว า เด็ ก ที่ ยั ง ไม รู ห รื อ ไม ได เรี ย น; เพราะว า เขายั งได รู เขายั งมี ค วามสามารถ ที ่จ ะรู ไ ด. คนเรานี ้ก ็เ หมือ นกัน แมจ ะยัง ไมรู เ รื ่อ งนิพ พาน คือ เรื ่อ งทั ้ง หมด; แตเราก็ย ัง มีค วามรูเรื่อ งวา ที ่จ ะอยู ในวัฏ ฏสงสารนี ้ จะอยู ก ัน อยา งไรใหม ัน ดี, อยู ใ นวั ฏ ฏสงสารให เ ป น สุ ค ติ ให เป น มนุ ษ ย ที่ มี สุ ค ติ ให เป น สวรรค ที่ เป น สุ ค ติ , อยาตองเปนนรก อบาย อยางนี้เปนตน.
ความแตกตางระหวางศีลธรรมกับปรมัตถธรรม
๒๑๓
ฉะนั้ น การที่ จ ะถอนคนออกมาให พ น จาก นรก ทุ ค ติ หรื อ อบาย นี้ มั น ก็ เป น ก ข ก กา ขั้ น หนึ่ ง คื อ ก ข ก กา ชั้ น ศี ล ธรรม, ที่ จะช วยออกมาเสี ย ให พ น ความร อ นใจ ที่ จ ะเกิ ด จากสิ่ ง ที่ เรี ย กว า นรก อบาย หรื อ ทุ ค ติ นั้ น พอเราทํ า ไป แลว เราก็แ นใ จสบายใจวา นรกนี ้ไ มต กแน เราไมต กนรกแน นี ้ม ัน มีค วาม สบายสักเทาไร ขอใหลองคิดดู. แต แ ม ว า เราจะแน ใ จว า นรกนี้ เรายั ง ไม ต กแน เราไม ต กแน , เราก็ ไ ม อาจจะแนใ จวา เราจะบรรลุน ิพ พาน. เราอาจะไมม ีค วามทุก ขอ ยา งในนรก; แต เราอาจจะมี ค วามทุ ก ข อ ย า งอื่ น ที่ มั น ไม เหมื อ นกั บ ความทุ ก ข ใ นนรก. เช น ว า จะมี ค วามทุ ก ข ใ นสวรรค ก็ ไ ด ถ า เป น ความทุ ก ข ใ นสวรรค แ ล ว ก็ ยิ่ ง เข า ใจยาก; เพราะว า เราไปยึ ด ถื อ สิ่ ง ใดที่ ว า ตั ว เรา ว า ของเราเข า ก็ จ ะมี ค วามทุ ก ข ทั้ ง นั้ น . แม พวกเทวดาในสวรรค ที ่ไ ปยึด สวรรคนี ้ว า เปน ของเรา มัน ก็ม ีค วามทุก ขท ัน ที ดว ยเหมือ นกัน ; พอไปยึด สิ ่ง ใดโดยความเปน เราเปน ของเราแลว จะไมมี ความทุกขนั้นเปนไมมี.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี ่เ รื่อ งของปรมัต ถธรรม จึง สูง ไกลไปกวา ที ่ว า จะเพีย งแตป อ ง กั น ไม ใ ห ต กนรก; เพราะว า เมื่ อ ไม ต กนรกแล ว ป ญ หามั น ยั ง เหลื อ อยู สํ า หรั บ ความทุ ก ข ข องบุ ค คลผู ไ ม ต กนรก, คื อ ผู ที่ เป น มนุ ษ ย ที่ ดี เป น เทวดาที่ ดี นี้ มั น ก็ ยั ง มี ค วามทุ ก ข ความร อ นใจ แบบใหม ๆ แปลก ๆ สู ง ขึ้ น ไป ตามประเภทบุ ค คล นั้น ๆ.
นี้ ก็ เคยพู ดกั นมาหลายครั้ งหลายหนแล ว ว าคนชั่ วคนพาลมี ความทุ กข ไป ตามแบบของคนชั่ ว หรื อ คนพาล, คนขอทานก็ มี ค วามทุ ก ข ไ ปตามแบบของคน
๒๑๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ขอทาน แม ว าเขาไม ได เป น คนชั่ ว เพราะว าคนขอทานบางคนก็ ไม ได เป น คนชั่ ว; แต เพราะว าเขามี กรรมอะไรอย างไรอย างหนึ่ ง เขาทุ พพลภาพเขาก็ ต องขอทาน, เขาก็ มี ความ ทุ กข ไปตามแบบขอทาน. ถ าเขายึ ดถื อว าเขาเป นขอทาน มี การยึ ดถื อในตั วตนของตน อ ยา งนั ้น อ ยา งนี ้ ก็น อ ย อ ก นอ ย ใจ ก็ต อ งเปน ทุก ขเ ทา นั ้น เอ ง. ห รือ วา ข อ ทานมาได ม ากยึ ด ถื อ โดยความเป น ของตน ไม อยากให เป น อย างไรไป มั น ก็ เป น ทุ ก ข นอนไมห ลับ . ถา วา เปน เศรษฐี มัน ก็ม ีค วามทุก ขไ ปตามแบบของเศรษฐี; ไป ดู ใ ห ดี เศรษฐี ส ว นมากก็ มี น รกขุ ม ใหญ ๆ อยู ใ นใจ นอนไม ค อ ยจะหลั บ ร อ นอก รอนใจอยูตลอดวันตลอดคืนก็วาได. นี่ แ ม เ ป น มนุ ษ ย ก็ มี ค วามทุ ก ข ต ามแบบของมนุ ษ ย , เป น เทวดาก็ มี ความทุ ก ข ไ ปตามแบบของเทวดา, เป น เทวดาในชั้ น พรหมสู ง สุ ด ก็ ยั ง มี ค วามทุ ก ข ไปตามแบบพรหม, คือ ยึด ถือ ตัว ตน วา เปน ตัว ตนที ่ด ีที ่ส ุด ไมม ีต ัว ตนชนิด ไหน จะเสมอ แลว ก็ไ มอ ยากตายเหมือ นกัน หมด. ขอใหเ ขา ใจงา ย ๆ วา ความทุก ข ทั้ ง หมดมั น ไปสรุ ป อยู ต รงที่ ว า ไม อ ยากจะตาย; มนุ ษ ย ก็ ยั ง ไม อ ยากจะตาย, เทวดาในชั้ น กามาวจรสวรรค ก็ ไ ม อ ยากจะตาย, เทวดาชั้ น พรหม คื อ ชั้ น รู ป าวจร อรู ป าวจร ก็ ไม อ ยากจะตาย. พอมี วี่ แ ววแห ง ความตายก็ เป น ทุ ก ข ทั้ ง นั้ น แล ว ไม มี วี่แววอะไรมากก็คิดนึกเอาได, กลัวตายขึ้นมาเองได ทั้งที่ยังไมตองตาย.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ า พิ จ ารณาดู ให ดี จ ะเห็ น ว า คนเรามี ค วามทุ ก ข ที่ เกี่ ย วกั บ ความตาย นั ้น โดยที ่ม ัน ไมไ ดม ีเ รื ่อ งที ่จ ะตอ งตายเลย ก็ม ีอ ยู เ ปน สว นมาก. หรือ ความ ทุ ก ข อื่ น ๆ ที่ เราเป น ทุ ก ข นั้ น มั น เป น เพราะเราไปคิ ด ผิ ด วิ ธี มั น ก็ เลยเกิ ด วิ ต กกั ง วล เป น ทุ ก ข ขึ้ น มา, ทั้ ง ที่ เ รื่ อ งนั้ น มั น ไม ต อ งเป น อย า งนั้ น . ถึ ง ที่ จ ะตายจริ ง จะทุ ก ข จริ ง มั น ก็ ไ ม ไ ด ม าให เ ห็ น อย า งนั้ น , มั น ตายไปแล ว มั น ทุ ก ข ไ ปแล ว . ที่ เ อามา
ความแตกตางระหวางศีลธรรมกับปรมัตถธรรม
๒๑๕
คิดสําหรับใหเปนทุกขหรือใหกลัวตายนี้ มันเปนคิดสําหรับ จะใหทุกข, หรือ ให ก ลั วขึ้ น มา โดยไม มี ป ระโยชน อ ะไร ไม มี ค วามหมายอะไร. นี่ เขาเรี ย กว า ความ ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ในตั ว ตน ในของตน ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น จะให เป น อย า งนี้ อ ย า งนี้ , อย า ให เปน อยา งนั ้น อยา งนั ้น . แมม ัน ยัง ไมท ัน จะเปน มัน ก็ว ิต กลว งหนา ไวว า จะเปน แลวก็เปนทุกขเสียแลว ถามันมากไป มันก็เปนบาไปแลวมันก็ตาย. ธรรมะในชั้น สูง สุด ในเรื่อ งปรมัต ถธรรมนั ้น มัน มีค วามมุ ง หมาย ที ่จ ะแกป ญ หาขอ นี ้. คือ ใหท ุก คนมองเห็น เสีย ตามที ่เปน จริง วา มัน ยึด ถือ วา ตัว วา ตน วา ของตนไมไ ด, มัน เปน ธาตุธ รรมชาติ เปน ไปตามเหตุต ามปจ จัย หรือ ตามกฎเกณฑข องอิท ัป ปจ จยตา. ที ่เราฟง กัน มากมายแลว ถา เห็น แจม แจงถึงขั้นนั้นก็เรียกวาเขาถึงปรมัตถธรรม. เดี๋ ยวนี้ เรายั งไม เข าถึ งปรมั ตถธรรม กํ าลั งพยายามอยู ก็ เรี ยกว า กํ าลั ง เรี ยน ก ข ก กา ทางฝ ายปรมั ตถธรรม ซึ่ งเป น ก ข ก กา ฝ ายพระนิ พพาน ก ข ก กา ที่ จ ะนํ า ไปสู พ ระนิ พ พาน, เรี ย กว า ก ข ก กา ของนิ พ พานก็ ได , ยั ง ไม ถึ ง นิ พ พาน ยังเปน เพียงการพยายามตั้งตน ปล้ําปลุกกันอยู เพื่อจะใหเขาใจคําวา สิ่งทั้ง หลายทั ้งปวง ไมเที ่ย ง เปน ทุก ข เปน อนัต ตา, ไมใชสัต ว บุค คล ตัวตน เรา เขานี่ ปล้ํ า ปลุ ก กั น อยู ต ลอดเวลา ก็ ยั งรูไม ได ยั งเข า ใจไม ได . จิ ต ใจมั น ยั ง อยู ใ น ขั ้น ศีล ธรรมอยู เ สมอไป, ยัง จะมี ตัว เรา มีข องเรา มีอ ะไรของเรา. เรามีช ีว ิต ของเรา เราไม ยอมตาย เราไม อ ยากตาย, เราก็ กลั วได ต ลอดวั น ตลอดคื น ; อย างนี้ เพราะว าเราเรียน ก ข ก กา ของศี ลธรรมก็ ยั งไม จบ, แล วเราก็ เรี ยน ก ข ก กา ของ ฝ ายปรมั ตถธรรมไม ได , หรือวาได น อยเกิ นไป จนไม อาจจะปล อยวางบางอย างหรือ บางสวนออกไปได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๒๑๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
นี่ เป น การเปรี ย บเที ย บให เห็ น ความแตกต า งกั น ระหว า ง ก ข ก กา ๒ ชนิด ก ข ก กา ทางฝา ยศีล ธรรมเราก็ย ัง ปล้ํ า ปลุก กัน อยู ย ัง ไมจ บ, สว น ก ข ก กา ทางฝายปรมั ตถธรรมนั้น นากลัววา จะยังไมไดลงมื อเรียน เลยก็ได, หรือวาเรียนก็เรียนอยางนกแกวนกขุนทองอยางนั้นเอง.
ฝายศีลธรรมศึกษาใหรู แลวเลื่อนใหสูงขึ้นถึงปรมัตถ. เรามี ห น า ที่ ที่ จ ะต อ งเรี ย น ให ท ะลุ ไปทั้ ง ๒ ฝ า ย เราก็ ต อ งเรี ย นฝ า ยที่ ถึง เขา กอ นเปน ธรรมดา คือ ฝา ยศีล ธรรม; เพราะวา เราไมไ ดม ีบ ุญ วาสนามา มากพอ ที่ ว า เกิ ด ขึ้ น มาแล ว ก็ จ ะรู ป รมั ต ถธรรม แล ว ก็ จ ะปล อ ยวางสิ่ ง ทั้ ง ปวง, แล ว เปน พ ระอรหัน ตไ ด ตั ้ง แตอ ายุ ๑๕ ขวบ อยา งที ่ก ลา วไวใ นคัม ภีร . นั ้น เปน เรื่ อ งพิ เศษมากเกิ น ไป เราไม นึ ก ถึ ง ก็ ไ ด , เราไม ก ล า นึ ก ถึ ง . ถ า เรานึ ก ถึ ง ว า พระอรหั น ต ๑๕ ขวบก็ มี นี้ , ก็ นึ ก ถึ ง เพื่ อ ให เกิ ด กํ า ลั ง ใจ ว า เราไม ใ ช อ ายุ ๑๕ ขวบนี่ . ฉะนั้น เราควรจะพยายามทํ า อะไรไดบ า ง เพื ่อ วา จะเปน กํา ลัง ใจ สํา หรับ ทํ า ในสวนที่มันยังเปนหนาที่ของเราอยูในเวลานี้ แมในเรื่องศีลธรรม.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ า เราจะมี ศ รั ท ธา ซึ่ ง เป น ก ข ก กา ทางศี ล ธรรมนี้ เราก็ มี ศ รั ท ธาให เจริ ญ ให ก า วหน า , คื อ ให ศ รั ท ธานี่ มั น ก า วหน า ขึ้ น ไปจากความงมงาย เป น ศรั ท ธา ที่ ไม งมงาย คื อ มั น มี ป ญ ญาเข ามาทุ ก ที . เมื่ อ ก อ นนี้ เชื่ อ ตาม ๆ เขา เดี๋ ยวนี้ ก็ เชื่ อ ตั ว เองได . เมื่ อ ก อ นเชื่ อ พระพุ ท ธเจ า ก็ ยั ง ไม แ น ใ จ มั น สั ก ว า เชื่ อ ๆ ไปอย า งนั้ น เอง; ต อมามี ป ญ ญา พิ จารณาเห็ นตามนั้ น เชื่ อป ญ ญาของตั ว แล วก็ ไปตรงกั บคํ าสั่ งสอน ของพระพุทธเจา มันก็เลยเชื่อพระพุทธเจามากขึ้น.
ความแตกตางระหวางศีลธรรมกับปรมัตถธรรม
๒๑๗
ฉะนั ้น ขอบอกไวท ุก คนวา เรื ่อ งศรัท ธานี ้ ยัง มีที ่จ ะตอ งใหส ูง ยิ่ง ๆ ขึ้น ไปอี ก มาก ไม ใชมั น มีเพี ยงเท านี้ . ถูกแลวเรามี ความเชื่อ ตัวเรา วาเรามี ศรั ทธา ๑๐๐% ในพระพุ ทธเจ า; แต ว าเราเชื่ ออย างเหมา ๆ เอา ศรั ทธานั้ นยั งอาจจะ ปลู กฝ งให มั นเจริญ ให มั นรุงเรืองด วยป ญ ญาได ; โดยพิ จารณาให รูจั กพระพุ ท ธเจ า รู จ ัก พระธรรม รู จ ัก พระสงฆ ใหยิ ่ง ๆ ขึ ้น ไป, แลว ศรัท ธาจะเจริญ ยิ ่ง ขึ ้น ไป ดวยเหมือนกัน คือเปนศรัทธาที่จะกลายเปนสัมมาทิฏฐิ ไปในที่สุด. ที นี้ ก ข ก กา เกี่ ย วกั บ ศรั ท ธานี้ มั น ไปถึ ง ไหนกั น แล ว มั น แจกลู ก ไป ถึ งไหนกั น แล ว, หรื อ ว ามั น บริ สุ ท ธิ์ บ ริบู รณ ถึ งขั้ น ที่ จ ะกลายเป น ป ญ ญา, หรือ เป น ศรั ท ธา ที่ ตั้ ง รากฐานอยู บ นป ญ ญาอย า งแท จ ริ ง แล ว อย า งนี้ เป น ต น . นี้ เรี ย กว า เรี ย น ก ข ก กา ที่ เกี่ ย วกั บ ศรั ท ธา ซึ่ ง เป น เรื่ อ งทางศี ล ธรรมนั้ น ให รู เร็ ว ๆ เร็ ว ๆ ยิ่งขึ้นไปตามลําดับ. เรื่ อ งการให ท าน ก็ เหมื อ นกั น ถ า เราให ท านเพื่ อ จะเอาหน า เอาตานี้ , เราก็เ ลื ่อ นขึ ้น ไปเสีย แลว ไมใ ชใ หท านเพื ่อ เอาหนา เอาตา ใหท านเพื ่อ มัน เปน บุญ กุศ ลที่แ ทจ ริง . เมื่อ เปน บุญ เปน กุศ ลที่แ ทจ ริงแลว ก็ยังเลื่อ นตอ ขึ้น ไปอีก วา เราใหท านชนิด ที ่ไ มเ อาอะไรก็ไ ด; เพราะวา ถา เราขืน เอาอะไรไว โดยความ ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น แล ว มั น ก็ เป น เครื่ อ งหนั ก แม แ ต บุ ญ หรื อ กุ ศ ลนั้ น แหละ ถ า มี ค วาม ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น แล ว มั น ก็ จ ะเป น ของหนั ก ทั้ ง นั้ น . ฉะนั้ น ถ า เราให อ อกไป เพื่ อ ให มั น หมดความยึดมั่นถือมั่นแลว มันก็เปนของเบา; ฉะนั้น การใหทานใหถูกตองนี้ มันจึง เปน เรื่อ งให เพื่อ ใหมัน หมดความยึด มั่น ถือ มั่น , ยึด มั่น ถือ มั่น อะไรใดไว ก็ให สิ ่ง นั ้น ออกไปเสีย ใหม ัน หมดความยึด มั ่น ถือ มั ่น ; อยา งนี ้เ รีย กวา การใหท าน ของเรานั้น เจริญ งอกงาม จนกระทั่งไปเปน เรื่องของปญ ญา หรือเรื่องปรมัตถ-
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๒๑๘
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ธรรมไปในที่ สุ ด ; ไม ใช เป น การเรี ย น ก ข ก กา อยู ที่ เรื่ อ งการให ท าน มั ว นั่ ง นั บ ว า ให ค นนั้ น จะได ห น า ตาอย า งนี้ ให อ ย า งนี้ จ ะได วิ ม านกี่ ห ลั ง อย า งนี้ เป น ต น ; ไม มั ว นั่งนับนั่งคิดอยูอยางนี้. นี้ มั น เป น เรื่ อ ง ก ข ก กา ที่ มั น มากไป มั น ก็ เป น เรื่ อ งรํ า คาญ เป น เรื่ อ ง หนัก อกหนัก ใจ จิต ใจมัน ไมเ กลี ้ย งเกลา; เพราะวา เรายึด มั ่น ถือ มั ่น ในสว น กํ า ไร ที ่เราจะไดม าจากการใหท าน. ถา ยัง ขืน ทํ า อยา งนั ้น อยู ก็ย ัง ตอ งเรีย กวา มั ว เรี ย น ก ข ก กา ที่ เกี่ ย วกั บ การให ท านอยู นั่ น เอง, ยั งไม รู จั ก หนั งสื อ หนั ง หาที่ สู ง ขึ้นไปเกี่ยวกับการใหทาน. รัก ษาศีล ก็เ หมือ นกัน อีก ถา จะรัก ษาศีล อวดคน; นี ้ม ัน ก็เ ปน เรื ่อ ง ก ข ก กา ในเรื ่อ งการรัก ษาศีล . ถา อยา งไรก็ล องรัก ษาศีล อยา ใหใ ครมัน รู นี่บางทีจะเลื่อนชั้นไดเร็วกวา ที่จะมัวรักษาศีลอวดคน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เดี ๋ย วนี ้ก ็ม ีค นเปน อัน มาก ที ่จ ะทํ า อะไรสัก หนอ ย ก็ต อ งทํ า อวดคน นี้ มั น เป น การลดให ต่ํ าลงไป ควรจะเลิ ก ๆ กั น เสี ย บ าง; เพราะว าเรื่ อ งอวดเรื่ อ งอะไร นี้ มั น เป น เรื่ อ งยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น มั น เพิ่ ม กิ เลส. แล ว ถ า ยั ง ไม ต อ งอวดไม ใ ห ใ ครรู อ ย า งนี้ มั นไม เพิ่ มกิ เลส, มั นทํ าลายกิ เลสได มากกว า. เพราะเหตุ ฉะนั้ นแหละ ปู ย า ตา ยาย เขาจึงพูดวา ปดทองที่หลังพระนั้น มันไดบุญกวาปดทองหนาพระ; คนตองปลงตก ตอ งมีค วามคิด ที ่ถ ูก ตอ งหรือ ซื ่อ ตรง จึง จะสมัค รปด ทองขา งหลัง พระ ซึ ่ง ไมค อ ย มีใ ครเห็น . นี ้ก ็เ รีย กวา ไมทํ า อะไรเพื ่อ ใหอ วดคน; ถา ยัง ทํ า อะไรเพื ่อ อวด คนอยู มั น ก็ เป น เรื่ อ ง ก ข ก กา เหมื อ นลู ก เด็ ก ๆ เขาเรี ย น ก ข ก กา ถ าใครไปยอ ยกยอเขา เขาก็เรียนใหญอยางนี้ เพราะวาเขาเรียนอวดคน.
ความแตกตางระหวางศีลธรรมกับปรมัตถธรรม
๒๑๙
เรื่ อ งศี ล ธรรมก็ เหมื อ นกั น มั น ก็ เป น เรื่ อ ง ก ข ก กา ถ าจะให มั น ก าว หนา ก็อ ยา ไดทํ า เพื ่อ อวดคน; จะสวดมนตภ าวนา, จะเจริญ สมาธิก ัม มฏฐาน, ก็ต อ งไมเ ปน เรื ่อ งอวดคน. เดี ๋ย วนี ้แ มแ ตเ รื ่อ งวิป ส สนา เรื ่อ งอะไรตา ง ๆ มัน ก็ เป น เรื่ อ งอวดคนกั น เสี ย โดยมาก; มั น ก็ ยิ่ ง ตกต่ํ า ใหญ , มั น ตกต่ํ า ทางจิ ต ใจ, คื อ มั น ทํ า เพื่ อ จะอวดคน มั น ก็ ไปเป น ก ข ก กา อยู นั่ น เอง เพราะมั น ช ว ยส ง เสริ ม ให เกิดกิเลส. ขอให ซั ก ซ อ ม สอบสวน ซั ก ฟอก เรื่ อ ง ก ข ก กา ของตน ๆ ด วยกั น ทุกคน วา ก ข ก กา ของเรานี้ มันกาวหนามาหรือเปลา ? แมในทางศีลธรรม ก ข ก กา ทางศี ล ธรรมของเรานี้ มั น เจริ ญ รุ ง เรื อ ง มั น เติ บ โตขึ้ น มาอย า งถู ก ต อ ง หรื อ เปล า ? แล วมั นก็ จะได ไปหา ก ข ก กา ในทางฝ ายปรมั ตถธรรมซึ่ งสู งสื บ ต อไป. ก ข ก กา ทางฝ า ยศี ล ธรรม ก็ จ ะเวี ย นว า ยอยู ใ นวั ฏ ฏสงสารนี้ ทํ า ดี แ ล ว หรื อ ยั ง ? คื อ ว าทํ าให มั น พร อ มที่ จ ะขึ้ น มาจากวั ฏ ฏสงสารหรื อ ยั ง ? พอมั น พร อ มแล ว มั น ก็ จ ะ ไดออกไปจากวัฏฏสงสาร ไปตามทางของนิพพานได.
เปรียบเทียบผลการปฏิบัติศีลธรรมกับปรมัตถ. www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ ก็ จ ะเปรี ย บเที ย บให เ ห็ น ชั ด ยิ่ ง ขึ้ น ไปอี ก หน อ ย คื อ ให เ ห็ น ความ แตกตางระหวาง ก ข ศีลธรรม กับ ก ข ปรมัตถธรรม.
ถ า เรื่ อ ง ท างศี ล ธรรม มั น ก็ เ พี ยงเป น เครื่ อ งอุ น ใจ แน ใ จ หรื อ บรรเทาความกลั ว ได ต ามสมควร แต ไ ม ส ามารถจะหมดความกลั ว โดยสิ้ น เชิ ง .
๒๒๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
แตถ า เปน เรื ่อ งทางปรมัต ถธรรม นั ้น มัน อุ น ใจเกิน กวา นั ้น หรือ ทํ า ลายความ กลั ว ความวิ ต กกั งวลอะไรต า ง ๆ ได ห มดจนไม มี เหลื อ . เรื่อ งศี ล ธรรมจะกํ า จั ด ความกลัว ไดแ ตบ างระดับ อุ น ใจไดแ ตบ างระดับ , แตถ า ปรมัต ถธรรมแลว มัน จะถอนรากถอนโคน ทํ า ให ไม ต อ งกลั ว อี ก ต อ ไป คื อ มั น จะอุ น ใจได โดยอั ต โนมั ติ ; นี่มันตางกันอยูอยางนี้. และเรื ่อ งของปรมัต ถธรรมนั ้น มัน เปน เรื ่อ งที ่ถ ูก ตอ งมาตั ้ง แตต น คื อ อาศั ย ความจริ ง หรื อ ว า สั จ จะมาตั้ ง แต ต น ; ฉะนั้ น จึ ง สามารถจะเป น จุ ด ตั้ ง ต น ได ทุก แขนง แมว า เราจะปฏิบ ัต ิอ ยู ใ นโลกนี ้. ถา รู ป รมัต ถธรรมจริง ก็ย ัง ปฏิบ ัต ิไ ด ดีก วา และถา รู จ ัก ปรมัต ถธรรมจริง การตั ้ง ตน นั ้น มัน ตั ้ง ตน เพื ่อ จะบรรลุม รรค ผล นิพพาน มากกวา. ยกตั ว อย า งว า เราจะให ท านอย า งนี้ ถ า มี ค วามรู เรื่ อ งปรมั ต ถธรรมมา เปน ตน ทุน แลว มัน ก็จ ะใหท านเพื ่อ บรรลุม รรค ผล นิพ พาน เหมือ นที ่ค น แตก อ นเขาวา ใหท านนี ้ใ หเ ปน ไปเพื ่อ สิ ้น อาสวะ. นี ่ม ัน ใหท านดว ยความรู ท าง ปรมั ต ถธรรมว า อาสวะนั้ น เป น บ อ เกิ ด แห ง ความทุ ก ข ให สิ้ น อาสวะ คื อ ไม ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น . แต ถ า คนไม รู ถึ ง ขนาดนั้ น เมื่ อ ให ท านนั้ น เขาก็ จ ะอธิ ษ ฐานว า ขอให ไ ด เกิ ด ในสวรรค ขอให เกิ ด ทั น พระศรี อ าริ ย , ขอให ไ ด เกิ ด อะไรชนิ ด ที่ มี อ ะไรสวยสด งดงาม นาสนุกสนานมาก อยูเทานั้นเอง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เราจะเห็ น ได ก ารอุ ทิ ศ ทาน หรื อ อธิ ษ ฐานผลของทานแตกต า งกั น อยู เป น ๒ อย า ง คื อ พวกหนึ่ ง ว า ให ได ไปสวรรค ได ไปสุ ค ติ มี ค วามสุ ข , เขาต อ งการ ความสุ ข ตามที่ เขาอยากจะได , ส ว นพวกหนึ่ ง เขาอธิ ษ ฐานทานของเขาว า ขอให เปนไปเพื่อความสิ้นอาสวะ. หรือใหเปนปจจัยแหงพระนิพพานในอนาคตกาล.
ความแตกตางระหวางศีลธรรมกับปรมัตถธรรม
๒๒๑
พวกหนึ่ ง ไปในความสุ ข อย า งที่ เขาต อ งการ ก็ คื อ ว า เกิ ด สวย เกิ ด รวย เป น เทวดา เป น อะไรตามที่ เขาอยากจะต อ งการก อ น, นี้ ก็ เรี ย กว า ชั้ น ศี ล ธรรม. แต ถา ตอ งการสิ้น อาสวะตอ งการนิพ พานแลว ก็เ ปน ปรมัต ถธรรม. ฉะนั้น การ ให ท านแบบหนึ่ ง ก็ เ ป น ศี ล ธรรม, การให ท านอี ก แบบหนึ่ ง ก็ เ ป น ปรมั ต ถธรรมได . เราเริ่ ม ทํ าให มั น ดี ไปโดยเร็ ว ก็ เรียกว าเราเขยิ บ ให มั น พ นจากการเรี ยน ก ข ก กา ให เปนการเรียนหนังสือหนังหา รูจักอะไรตอไปใหถึงที่สุด. ที นี้ อ ยากจะเปรี ย บกั น ว า การที่ จ ะศึ ก ษาให รู เรื่ อ งของปรมั ต ถธรรม ว า ไมค วรยึด มั ่น ถือ มั ่น ไปตั ้ง แตท ีแ รกนั ้น มัน ก็ไ มน า กลัว ไมใ ชน า กลัว . บางคน เขาว ามั นน ากลั ว ถ าจะไม เอาอะไรเสี ยเลย มั นก็ ไม ได อะไรเลย มั นว าง มั นเคว งคว าง มัน ไมไ ดอ ะไร ฉัน ไมช อบ, อยา งนี ้ก ็ม ี. นี ้เ พราะวา เขาไมเ ขา ใจเรื ่อ งพ ระนิพ พาน, เห็น วา พระนิพ พานไมไ ดอ ะไร. แลว บางคนเขา ใจไปวา พระนิพ พาน นี่ มั น จื ด ยิ่ งกว าน้ํ าจื ด มั น ไม ห วาน มั นไม เค็ ม มั น ไม มี รสอรอยอะไร อย างนี้ , เข าใจ ไปอย า งนี้ ก็ มี ; เพราะว า เขามั น ติ ด ชอบใจในรสหวาน รสเค็ ม รสมั น รสอะไร ตาง ๆ นี้ พอพูดถึงรสจืดก็เขาใจเปนวามันไมมีรสอะไร.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แตที ่จ ริง เรื ่อ งพ ระนิพ พ าน นั ่น มัน ไมใ ชจ ืด ; แตม ัน ไมรู จ ะเรีย ก วา อะไร, มัน เพีย งแตว า มัน ไมเ หมือ นอยา งที ่ค นเขาปรารถนากัน เทา นั ้น , มัน ไม ห วาน ไม ข ม ไม เค็ ม ไม เปรี้ ย ว ไม มั น ไม เผ็ ด ไม อ ะไร, คื อ มั น เป น รสที่ ไ ม มี ความทุก ขอ ะไรเลย. ไมร บกวนความรู ส ึก อะไรเลย. ถา มัน เผ็ด หรือ มัน หวาน หรือ มัน ขม หรือ มัน เปรี ้ย ว มัน รบกวนความรู ส ึก ใหลิ ้น ของเรานี ้ม ัน ป น ปว น เมื่ อเรายั งไม เบื่ อก็ ว ากั นไปได , เรายั งไม เบื่ อ เราอยากจะให ลิ้ นของเราได รั บรสแปลก ๆ รบกวนป น ป ว นอยู เรื่ อ ย ก็ ได เหมื อ นกั น , แล ว ก็ ได รสที่ เราชอบ คื อ รสหวาน รสมั น
๒๒๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
รสอะไรสุ ด แท . แต เ รื่ อ งพระนิ พ พานนั ้ น มั น ไม ม ี เ ครื่ อ งรบกวนอะไรเลย มั น จึ ง บอกไม ถู ก จะว า จื ด มั น ก็ ไม ใช , จะว า เย็ น มั น ก็ ไม ใช . ที่ จ ริ ง มั น ก็ บ อกไม ได ; แต เราก็ ต องพู ดสมมติวามั นจืดอย างยิ่ ง, หรือมั นเย็ นอยางยิ่ง, หรือมั นวิเศษอยางยิ่ ง ไปตามคําที่จะเอามาพูดใหสนใจกันขึ้นมาได. นี ่ข อใหรู จ ัก เปรีย บเทีย บวา เรื ่อ งของศีล ธรรมนี ้ มัน จะวนอยู ใ น เรื่ อ งวั ฏ ฏสงสารไปก อ น ดี ๆ สู ง ขึ้ น ไปยิ่ ง ขึ้ น ไป จนกว า จะหลุ ด พ น ออกไปได . สว นเรื่อ งปรมัต ถธรรมนั ้น มัน ไมร อเพื ่อ อยา งนั ้น มัน อยากจะออกไปจากสิ ่ง รบเรารบกวน รุงตุงนังนี้ ออกไปใหพ น เรียกวาปรมัตถธรรม. ฉะนั้น ก ข ก กา มั น ก็ ต อ งต า งกั น บ า ง, ก ข ก กา ของวั ฏ ฏสงสาร ของเวี ย นว า ยไปในวั ฏ ฏสงสาร มันก็อยางหนึ่ง, ก ข ก กา สําหรับพระนิพพาน มันก็ตองอีกอยางหนึ่ง. แล วที่ อาตมาเอามาพู ดเสี ยมากมาย เอามาซั กซ อมความเข าใจกั นเสี ยมาก มายที่ แล วมาแต หนหลั งนั้ น ก็ เรื่อง ก ข ก กา สํ าหรั บไปพระนิ พพานทั้ งนั้ น; เพราะ พุท ธบริษัท ที่แ ทจ ริง จะตอ งการเรื่อ งดับ ทุก ขแ ละไปนิพ พานทั้งนั้น , ไมตอ ง การจะมาวนเวี ยนอยู ในวั ฏ ฏสงสาร แม ชั้ น ดี เลิ ศ ชั้ นสวรรค ชั้ น สุ ดยอดอย างนี้ ก็ ไม ประสงค , ไม ต อ งการความทุ ก ข โดยประการทั้ ง ปวง จึ ง มาศึ ก ษาพระพุ ท ธศาสนา มั นเลยเหนื อความสุ ขขึ้ นไปอี ก. ความสุ ขมั นก็ รบกวน ลองมี ความสุ ขชนิ ดนั้ น ความ สุขชนิดนี้ คาวมสุขชนิดโนน มันก็รบกวน, สูอยูเหนือความสุขไปเสียไมได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ เรารูจั กทํ าจิ ตใจให อ ยู เหนื อความสุ ข; แม ว ารางกายนี้ มั น ยั งอยู ในโลก มัน ยัง กระทบพบเห็น สิ ่ง ที ่ไ มน า รัก ไมน า พอใจอยู ใ นโลกก็ช า งมัน ; แตจ ิต ใจ ของเรานั้ น มั น อยู เหนื อ ความรบกวนเหล า นั้ น ได . แม เราจะต อ งกิ น ต อ งดื่ ม
ความแตกตางระหวางศีลธรรมกับปรมัตถธรรม
๒๒๓
ต องอาบ ต องถ าย ต องเจ็ บไข ต องเป นอะไรต าง ๆ ไปตามธรรมดาโลก ก็ ช างหั วมั น มั น ก็ เป น ไปตามเรื่ อ งของโลก; จิ ต ใจของเราให มั น อยู เหนื อ นั้ น ไว เรื่ อ ย คื อ อย า ใหม ัน เกิด ความรู ส ึก ที ่เ ปน ทุก ข เพราะสิ ่ง เหลา นั ้น ได. ถา มัน เกิด ขึ ้น ก็อ าศัย ความรู เรื่ อ งปรมั ต ถธรรม เรื่ อ งไม ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น นี้ เข า มาตั ด ออกไปเสี ย . อย า ให มันมารบกวนจิตใจใหเดือดรอนหรือเปนทุกขได. ความไข เจ็ บ นี้ มั น ต องมาแน แต ถ ามั น มาแล ว เรารู เท าทั น เราก็ หั วเราะ ได ว า เออ, นี้ มั น มาสอนให กู ฉ ลาดให รู จั ก อะไรมากขึ้ น , แล ว ก็ จ ะได หั ว เราะเยาะ ความเจ็ บความไข อะไรได มากขึ้น แล วมั นจะได หายเร็ว, หรือถ ามั นเป นความเจ็ บไข ที่ ไม อ าจจะหายได ก็ จ ะหั ว เราะว า มั น ก็ อ ย า งนั้ น . ถ า มั น เป น ความเจ็ บ ไข ที่ ทํ า ให ตอ งตาย ก็ยิ ่ง หัว เราะใหญว า ก็ด ีแ ลว กูไ มต อ งรอนาน, ไมต อ งลํ า บากนาน มั น ก็ จ ะได ต ายไปในส ว นรา งกาย. ส ว นจิ ต ใจแท จ ริ ง นั้ น ไม รู สึ ก ว า มี ตั ว กู ; เขา เรีย กว า จิ ต มั น หลุ ด พ น มั น มี แ ต จิ ต ที่ ห ลุ ด พ น จากสิ่ งที่ ม ารบกวน, จิ ต อย า งนี้ เขาไม ไดเ รีย กวา ตัว กู ไมไ ดเ รีย กวา ตัว ตน. ที ่เ รีย กวา ตัว กู เรีย กวา ตัว ตน เฉพาะ เมื่อยังไมรูธรรมะ หลงไปวาเปนตัวกู หลงไปวาเปนตัวตน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เดี๋ ย วนี้ เรายั ง มี ตั ว กู และยั ง มี ตั ว ตน เพราะเรา ยั ง ไม รู ธ รรมะ เราก็ ใชขอ นี้แ หละเปน เครื่อ งมือ สํา หรับ แกลํา ใหตัว กูมัน ชว งลา งตัว กู, ใหตัว กู มั น ฉลาดขึ้ น ๆ, แล วมั น ช วยเพิ ก ถอนตั วกู , ถ าความตายมา ก็ ดี เหมื อ นกั น มั น จะ ได ดั บ ถ ามั น ไม ม า ก็ ดี เหมื อ นกั น ยั งจะได ทํ าประโยชน ต อ ไป; แต แ ล วก็ ไม ใช เพื่ อ ตั วกู มั น ก็ เลยไม มี ค วามทุ ก ข ไม มี ค วามทุ ก ข อ ะไรกั บ ใคร. นี้ เขาเรี ย กว า ปรมั ต ถธรรม คิ ด ดู เถอะว า มั น ปรมั ต ถ ห รื อ ไม ป รมั ต ถ ? มั น ลึ ก ซึ้ ง หรื อ ไม ลึ ก ซึ้ ง ? มั น ลึ ก ซึ้งถึงขนาดที่ไมมีตัวตนไมมีตัวกู ขนาดที่เปนทุกขไมได.
๒๒๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ฉะนั้ น การที่ ว า เราเริ่ ม เข า มาสู ศ าสนานี้ เริ่ ม เข า วั ด เข า วา เป น คนโง มาเข าวั ดเข าวานี้ เราก็ จะเรียน ก ข ก กา เรื่องศี ลธรรมไปก อนก็ ได คื อทํ าบุ ญให ทาน ไปตามเรื่อ งเพื่ อ มี ตั ว กู ที่ ดี ก ว า ไปอย า งนี้ ก็ ได มั น ก็ ถู ก เหมื อ นกั น ; แต ว า ถ า ใครจะ สมั ค รเรียนเรื่องไม มี ตั วกู มี แต สั งขารเป น ไปตามเหตุ ต ามป จจั ย ไม ใช ตั วกู อย างนี้ มัน ก็ไ ดเ หมือ นกัน มัน ยากลํ า บากหนอ ย; แตถ า วา โชคดี มีผู ส อนดี มีผู แ นะดี มีสิ่งแวดลอมดี มันก็เขาใจได. ให นึ ก ถึ งที่ ว า พระอรหั น ต อ ายุ ๑๕ ขวบก็ มี ได แม ว า เป น กรณี พิ เศษ. เดี๋ ย วนี้ เ ราก็ ไ ม ใ ช ค นอายุ ๑๕ ขวบแล ว , เราเกิ ด มา ๒๐ ป ๓๐ ป ๔๐-๕๐ ป กั น แล ว ก็ มี , ก็ พ อจะนึ ก ได วา ถ าเราอย าไปยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น อะไร เราก็ ไม มี ค วาม ทุก ขแ น. ฉะนั้น ทํ า อะไรก็ทํ า ไปโดยไมตอ งยึด มั ่น ถือ มั ่น อยา งนี้ม ัน ไปเร็ว กว ากั นมาก, มั นเหมื อนกั บวามี โชคดี มี บุ ญ วาสนามาก เรียน ก ข ก กา พั กเดี ยว จบหมด. เมื่ อคนอื่ นเรียนตั้ งหลายป เราเรียนพั กเดี ยวจบหมด นี่ จะไม ดี หรืออย างไร, มั น เป น คนรู เร็ ว เป น คนฉลาด, เป น คนรู ได ง า ย, เรี ย นอะไรพั ก เดี ย วก็ จ บได ห มด มันก็ดีเหมือนกัน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ เรี ยกว า ให รู จั กเปรี ยบเที ยบว า เราจะตั้ งต น ก ข ก กา แบบศี ลธรรม เรื่ อ ย ๆ ไปแล ว ก็ คู ๆ กั น ไปกั บ เรื่ อ งปรมั ต ถธรรมมั น ก็ ได , และบางคนมั น เก ง กว า นั้ น ตั้ ง ต น เรื่ อ งทางปรมั ต ถธรรมเลยก็ ได , เพราะว า ถ า หาก ตั้ ง ต น ทางปรมั ต ถธรรมถูก มัน ก็ไ มเ ปน ขา ศึก แกเ รื่อ งทางศีล ธรรมอะไร; แตจ ะกลับ ทํา ใหมี ศีลธรรมถูก มีศีลธรรมดี มีศีลธรรมเร็วยิ่ง ๆ ขึ้นไปกวาเสียอีก. นี้ก็อยากจะบอกวา เรื่องปรมั ต ถธรรมนั้ น มั นเป น เรื่องจริงแท ข อง ธรรมชาติ , แล ว มั น เป น เรื่อ งศึ ก ษาธรรมชาติ ข องคนฉลาด. ส ว น เรื่ อ งศี ล ธรรม
ความแตกตางระหวางศีลธรรมกับปรมัตถธรรม
๒๒๕
นั้ น ไมไดเพ งเล็งถึงธรรมชาติอันกวางขวางอยางนั้ น เพ งเล็ งถึงป ญ หาเฉพาะคน คือ วา คนมั น หม น หมองใจเป น ทุ ก ข ไม รูวาจะตั้ งจิ ต ตั้ งใจไวอ ย างไร เขาก็ มี ระบอบทางศีล ธรรมเขา มา ให วา ใหเชื ่อ อยา งนี ้ ใหก ระทํ า อยา งนี ้ ใหข วนขวายไปอย า งนี้ แล ว ความทุ ก ข นั้ น มั น ก็ จ ะน อ ยไปเอง, นี่ อ ย า งนี้ ก็ ได มั น ก็ มี เหมื อ นกั น ว าให เชื่ อ อย างนี้ ให ให ท านอย างนี้ ให รัก ษาศี ล อย างนี้ ก็ ทํ าไป, ก็ ข จั ด ความทุ ก ขไปได เหมื อ นกัน ที ล ะน อ ยหรือ ตามลํ าดั บ อย างเรียน ก ข ก กา ไป ตามลําดับ. แตถาจะเรียน ก ข ก กา อยางพระปรมั ต ถ นั้น มัน กระโดดไปเรีย น เรื่อง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เลย; แมแตเนื้อหนังรางกายของเรา ของตน ของกู อะไรก็ ต ามนี้ มั น ก็ เป น อนิ จฺ จํ ทุ กฺ ขํ อนตฺ ต า คื อ ไม ใช ข องกู ; เมื่ อ ตั ว กู นี้ ก็ ไม ใช ตัวกู คือวา มันเปน อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา แลวสิ่งตาง ๆ ที่เปนทรัพยสมบัติของตัวกู มันก็อยางเดียวกันอีก แมแตบุญกุศลมันก็เปนอยางเดียวกันอีก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้ น เราต อ งการจิ ต ที่ ไ ม ยึ ด ถื อ อะไร นั่ น แหละคื อ เป น จิ ต ที่ ไ ม มี ความทุ ก ข , เป น จิ ต ที่ ได รั บ ความไม มี ทุ ก ข เลย ประเสริ ฐ ที่ ต รงนั้ น . มั น ประเสริ ฐ กวาจิ ตที่ ได รับสิ่ งที่ มี ความทุ กขน อยหน อย มี ความทุ กข น อยหน อยแต ยั งมี ความทุ กข , และมี ค วามทุ ก ข น อ ยหน อ ยเรื่ อ ย ๆ ไปกว า จะหมดทุ ก ข . นั้ น มั น ก็ อี ก แบบหนึ่ ง แบบที ่ม ัน ไปอยา งอื ่น ไมไ ด แลว ก็ม ีค วามทุก ขร อ งไหไ ปพลางก็ทํ า บุญ ไปพลาง; ก็ไ ดร อ งไหน อ ยลงหนอ ย, แลว ก็ทํ า บุญ มากขึ ้น หนอ ย ก็ร อ งไหน อ ยลงหนอ ย จนกวาจะไมรองไห.
๒๒๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
แต ถ า มั น มี วิ ธี อื่ น มั น มี ถึ ง กั บ ที่ ว า ไม ต อ งร อ งไห เ ลย อย า งนี้ มั น ก็ มี เหมื อ นกั น . ถ า พระพุ ท ธเจ า มาโปรดสั ต ว ท า นโปรดวิ ธ ี อ ย า งที ่ เ รี ย กว า ไมต อ งรอ งไหทั ้ง นั ้น . สว นวิธ ีที ่จ ะรอ งไหไ ปพลางนี ้ เขาก็ทํ า กัน อยู ทั ่ว ๆ ไป, เว น ไว แ ต สั ต ว ที่ มั น จะทํ า อย า งดี ที่ สุ ด ไม ไ ด มั น ก็ ทํ า อย า งดี น อ ย ๆ ดี ร อง ๆ ลงมา; อย างนี้ ก็ เรี ยกว าทํ าไปพลางก็ แล วกั น. แต ว าใครจะสมั ครใจทํ าอย างยื ดเยื้ อ ยื ดยาด ยื ด ยาวอย า งนี้ อ ยู อ ย า งนั้ น มั น ก็ ค งไม ถู ก แน , และถ า มองเห็ น ว า มั น มี วิ ธี ที่ จ ะทํ า ให เร็วกวานั้น มันก็คงเลือกเอาวิธีเร็วกวานั้นกันทั้งนั้น.
ถึงนิพพานเร็วไดโดยทางปรมัตถ. แล ว มั น มี ป ญ หาอยู ที่ ว า จะพบวิ ธี อ ย า งนั้ น ได อ ย า งไร มั น จะเป น โชคดี หรื อ ไม ที่ ว า จะได ฟ ง พระธรรมคํ า สอนของพระพุ ท ธเจ า โดยตรงโดยแท จ ริ ง ที่ จ ะ ให เพิ กถอนความยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น เสี ย ได ห รื อ ไม ? มั น เป น อย างนี้ ต างหาก หรื อ ว าถ าจะ มองไปที่ บุ ค คลนั้ น บางที อุ ป นิ สั ย มั น ยั ง ต่ํ า มั น ยั ง เข า ใจไม ไ ด มั น ยั ง มื ด มนท เกิ น ไปก็ ไ ด . แต ใ ครบ า งจะไปประณามตั ว เองว า เป น คนมื ด มื ด มนท จ นไม รู จั ก ลื ม หู ลื ม ตาเสี ย เลย นี้ มั น ก็ ไ ม มี . เราไม อ ยากจะเป น คนมื ด มนท ถึ ง ขนาดนั้ น . ถ า ว า เรา ยั งมื ด มนท เราก็ สมั ค รที่ จะเป นคนมื ด มนท แต น อ ย; แล วเราก็ อ ยากที่ จะให มั นสว างไสวโดยเร็ ว อยากจะให ค วามมื ด มนท น อ ย ๆ มั น หมดไปโดยเร็ ว , ให เป น สว า งไสว ลื ม หู ลื ม ตา เห็ น แจ ง แก พ ระนิ พ พาน, ทํ า พระนิ พ พานให แ จ ง นี้ โดยเร็ ว ที่ นี่ แ ละ เดี๋ย วนี ้. ฉะนั้น ควรจะหมายมั ่น กัน อยา งนี ้ วา ใหม ัน โชคดี ใหไ ดฟ ง คํ า สั ่ง สอน ที่ถูก ตอ ง, และใหไ ดเ ขา ใจคํา สั่ง สอนนั้น โดยชัด เจนและโดยเร็ว ใหค วาม มืดมนทมันหายไปโดยเร็ว. นี้เรียกวา ไปตามทางของพระนิพพาน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
ความแตกตางระหวางศีลธรรมกับปรมัตถธรรม
๒๒๗
ไปตามทางพระนิ พ พานก็ จ ะตั้ ง ต น โดยวิ ธี ก ข ก กา ของพระนิพ พาน คือ เรีย นใหรู ใหเ ขา ใจ เรื่อ งธาตุทั้ง ปวง ที่ไ ดโ อกาสแลว ก็ป รุง กัน ขึ้น มาเปน อายตนะ แลว ก็ป รุง ขึ้น มาเปน ขัน ธ ปรุง ขึ ้น มาเปน อุป าทานขัน ธ แล ว เป น ทุ ก ข แล ว ก็ ดั บ ไปเป น คราว ๆ, เห็ น ว า มั น เป น สั ก ว า ธาตุ ต ามธรรมชาติ อยา งนี ้ ไมใ ชต ัว เรา ไมใ ชข องเรา ที ่ต รงไหนเลย คือ ก ข ก กา สํ า หรับ ปรมัตถธรรม จะพู ด ซ้ํ า แล วซ้ํ าเล าสั ก กี่ ค รั้ ง กี่ ร อ ยครั้ ง กี่ พั น ครั้ ง ก็ พู ด อย างนี้ เท า นั้ น วามันมีแตสิ่งที่เรียกวาธาตุ ที่เปนอยูตามธรรมชาติ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ํา ธาตุไฟ ธาตุ ล ม ธาตุ อ ากาศ ธาตุ วิ ญ ญาณนี้ ๖ ธาตุ . แล ว ก็ มี ธาตุ ต า ธาตุ หู ธาตุ จ มู ก ธาตุ ลิ้ น ธาตุ ก าย ธาตุ ใจ ที่ ป รุงออกมาตามธรรมชาติ จ ากธาตุ นั้ น ๆ. แลวก็ มี ธาตุ รูป เสี ยง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั มมารมณ ข างนอก แล วมากระทบกั น เข ากั บ ธาตุ ข า งใน เกิ ด เป น ผั ส สะ อย า งนี้ ก็ เ รี ย กว า ธาตุ เ หล า นั้ น ได ป รุ ง ขึ้ น มาเป น อายตนะ กระทบกั น เป น ผั ส สะ, แล ว ก็ มี เวทนา มี สั ญ ญา มี สั ง ขาร ที่ เรี ย กว า ขันธ ๕ เปนอยางนี้อยูทุก ๆ ๆ ไมเวนแตละวัน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แต จิ ต นี้ มั น ยั ง โง จิ ต นี้ มั น ยั ง มื ด อยู มั น ไม รู สึ ก ว า นี้ เป น ไปสั ก ว า ธาตุ ตามธรรมชาติ . จิ ต นี้ จ ะรู สึ ก ว าเป น ตั ว กู เป น ตั ว ตน เป น ของตน กู ได เห็ น กู ได ยิ น กู ได อ ะไรต าง ๆ แล วกู ต อ งการอย างนั้ น กู ต องการอย างนี้ กู จะทํ าให ม ากขึ้ น ไปอี ก จะไดอ ยา งนั ้น จะไดอ ยา งนี ้ มัน มีต ัว กูเ รื ่อ ย; นี ้เ รีย กวา เปน จิต ที ่ไ มรู เปน จิต ที่ ไมรู ก ข ก กา ของพระนิพพานเลย.
๒๒๘
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
นี่ เรามาพู ด กั น เพื่ อ ให รู เพื่ อ ให จิ ต นี้ รู ว า มี สั ก ธาตุ ต ามธรรมชาติ ป รุ ง แตง เปน อายตนะ ปรุง แตง เปน ขัน ธ เปน อุป าทานขัน ธ แลว เปน ทุก ข. ฉะนั ้น จึ ง ขอร อ งซ้ํ า แล ว ซ้ํ า เล า อี ก ว า ให เข า ใจเรื่ อ งธาตุ ก อ นเป น เรื่ อ งแรก, แล ว เข า ใจ เรื่ องอายตนะที่ จะปรุ งเป น ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ขณะหนึ่ ง ๆ ๆ แล วก็ จะปรุ งเป น วิ ญ ญาณทางตา ทางหู ฯลฯ, แล ว มี เวทนาทางตา ทางหู ฯลฯ, แล ว ก็ มี สั ญ ญา มั่ น หมายเวทนานั้ น อย า งนั้ น อย า งนี้ ของกู อ ย า งนั้ น อย า งนี้ , แล ว มี สั ง ขารคิ ด นึ ก อย างนั้ นอย างนี้ ว าล วนแต เป นสั กว ารู ป เวทนา สั ญ ญา สั งขาร วิ ญ ญาณ ไม ใช ตั ว ไมใชตน ไมใชคนอยางนี้อยูทุกวัน ๆ. นี่ ค นเรี ย นลั ด ชนิ ด ที่ ว า จะเป น พระอรหั น ต ไ ด ใ นอายุ ๑๕ ขวบ เป น เด็ กอายุ ๑๕ ขวบนี้ ก็ เรี ยกว า มั น ยั งโชคดี น อยกว า ว าคนโต ๆ อายุ ๕๐, ๖๐ ขวบ อาจจะรู ได เร็ ว กว า เด็ ก อายุ ๑๕ ขวบ ถ า มี ก ารสอน หรื อ ว า ได ยิ น ได ฟ ง ได ป ฏิ บั ติ ใหมันถูกทาง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ขอให ทุ ก คนรู ว า มั น มี จุ ด ตั้ ง ต น อยู ๒ แผนกอย า งนี้ จะเลื อ กเอาอย า ง ไหนก็ เลื อ กเอาเถิ ด . จะเลื อ กเอา ก ข ก กา ทางศี ล ธรรมเรื่ อ ย ๆ มา อย างที่ เป น มา แลว ก็ไ ด มัน ไมผ ิด อะไร; แตม ัน ก็ช า ก็อ ืด อาด . แตจ ะเลือ กเอา ก ข ก กา ทางปรมั ต ถธรรม คื อ ก ข ก กา ของพระนิ พ พานก็ ได ; แต ต อ งตั้ ง อกตั้ ง ใจเป น พิ เศษ, ต อ งจริ ง กั น หน อ ย ต อ งใช ส ติ ป ญ ญามาก. ต อ งศึ ก ษาให เข า ใจเรื่ อ งธาตุ เรื่ อ งอายตนะ แล ว ก็ เ รื่ อ งขั น ธ เรื่ อ งอุ ป าทานขั น ธ เรื่ อ งทุ ก ข เรื่ อ งดั บ ทุ ก ข คื อ เรื่ อ งมรรค ผล นิ พ พาน ลั ด ตรงไปยั ง นิ พ พาน. ตั้ ง ต น ที่ ธาตุ ที่ ไ ม ใ ช สั ต ว บุ ค คล ตั ว ตน เรา เขา นี่ , แล ว ก็ รู ค วามจริ ง เรื่ อ ยไปจนไม ยึ ด มั่ น แลวก็เปนนิพพาน นี่ ก ข ก กา ของปรมัตถธรรม. .... .... .... ....
ความแตกตางระหวางศีลธรรมกับปรมัตถธรรม
๒๒๙
วั นนี้ เพี ยงแต เอามาเปรี ยบเที ยบกั นให ดู ว า ก ข ก กา ทางศี ลธรรม ซึ่ ง เราคลานงุม งามกั น มาเป น เวลาหลายป ห ลายสิ บ ป แล ว มั น ก็ มี อ ยู แบบหนึ่ ง; มั น ไม ผิด อะไร มัน เปน เพีย งเทา นั ้น . มัน เปน เพีย งมีโ ชคดีเ ทา นั ้น ไมม ีโ ชคดีก วา นั ้น , ที นี้ อี ก แบบหนึ่ ง เป น ก ข ก กา ทางปรมั ต ถธรรม สํ า หรั บ เรื่ อ งที่ มี โชคดี ก ว า เร็ ว กว า , ก็ ศึ ก ษาเรื่ อ งธาตุ เรื่ อ งอายตนะ เรื่ อ งขั น ธ เรื่ อ งอุ ป าทานขั น ธ เรื่ อ งทุ ก ข เรื่องดับทุกข เรื่องมรรค ผล นิพพาน ตรงไปนั่น. ถ าจะมาต อชนกั น ก็ หมายความว า ก ข ก กา ทางศี ลธรรมนั้ น อุ ตส าห ทํ าความดี สรางสมความดี ๆ ๆ เรื่อ ยมา ก็ อ ยู ด วยความดี แล วก็ มี ค วามทุ กข ตาม แบบของคนดี เรื่ อ ย ๆ มา จนทนไม ไ หว, จนว า อยากจะพ น ไปจากนี้ อี ก ที ; แล ว มั นก็ กระโดดข ามไปฝ าย ก ข ก กา ทางปรมั ตถธรรม คื อไม สนใจกั บความดี , สนใจ แตจ ะหลุด พน จากความทุก ขทั ้ง ปวง, ทุก ขอ ยา งเลวก็ไ มเ อา, ทุก ขอ ยา งกลาง ก็ไมเอา, ทุกขอยางดีที่สุดก็ไมเอา, จะเอาแตเรื่องไมทุกขทาเดียวเทานั้น นี่มัน เป น เรื่อ งของปรมั ต ถธรรม. ลองคิ ด ๆ ดู ไปตามคํ าที่ พู ด นี้ แล วก็ จะเขาใจความ แตกต า งว า มั น แตกต า งกั น อย า งไร. ระหว า งการเรี ย น ก ข ก กา ทางศี ล ธรรม และการเรียน ก ข ก กา ทางปรมัตถธรรม ?
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เอาละ ที นี้ ก็ สรุปความตอนท ายนี้ วา ก ข ก กา ทางศี ลธรรมนั้ น มั น ตั ้ง ตน ขึ ้น จากความเชื ่อ แลว มัน ก็ไ ปตามอํ า นาจของความเชื ่อ , หรือ ผลแหง ความเชื่ อ . เราไม มี ป ญ ญาเห็ น ได เอง เราก็ ต อ งเชื่ อ ไปก อ น. นี่ ก ข ก กา ทาง ศี ล ธรรม ตั้ งต น ขึ้ น มาจากความเชื่ อ แล วก็ เป น ไปตามอํ านาจของความเชื่ อ เรื่อ ย ๆ ไป แลว ก็ม ีผ ลแหง ความเชื ่อ ที ่ไ ดเ ชื ่อ แลว มีผ ลอยา งไร นั ่น แหละเปน เครื ่อ ง รับ รอง มั น ก็ ดํ าเนิ น ไปได ต ามอํ า นาจของความเชื่ อ . นี้ มั น ระยะหนึ่ ง จนกวา จะถึ ง
๒๓๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
หัวเลี้ยวหั วต อ ซึ่งจะเป น เรื่อง ก ข ก กา ทางฝ ายปรมั ต ถธรรม ที่ มั น ตั้ งต น ขึ้ น ดวยสติปญญา ไปตามอํานาจของเหตุผล. เหตุ ผ ลนี้ จะโดยคํ านวณใครค รวญก็ ได ในขั้ น ต น ก็ เหตุ ผ ลใครค รวญ คํ า นวณทั ้ง นั ้น . ตอ มามัน ก็เ หตุผ ลจากความสัง เกตเห็น , แลว รู ส ึก ไดใ นใจเอง. นี่ ก็ เป น เหตุ ผ ลที่ จ ริ ง กว า จนกระทั่ ง ว า เมื่ อ ไรมั น ไม ต อ งใช เหตุ ผ ล เมื่ อ นั้ น มั น ก็ พนจากความเปน ก ข ก กา. ถ ายั งอาศั ยความเชื่ อ ความเชื่ อ ช วยพาไป ๆ ก็ ยั งเป น ก ข ก กา แบบ ศี ล ธรรม, ถ า อาศั ย การตั้ ง ต น ที่ ป ญ ญาที่ อ ยู ใ นอํ า นาจแห ง เหตุ ผ ล, เป น ไปตาม อํ า นาจแหง เหตุผ ล. นี ้ก ็เ ปน ก ข ก กา ทางปรมัต ถธรรม. ถา มัน เปน ไปหนัก เข า ๆ มั นก็ อยู เหนื อเหตุ ผล เป นป ญญาสมบู รณ นี้ มั นก็ เลิ กความเป น ก ข ก กา มั น ไมมีความเปน ก ข ก กา อีกตอไป.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ ถ าว าเราจะมาเหลื อบตาดู โดยเล็ งเอาพระนิ พ พานเป น จุ ด หมายกั น แล ว ก็ ล องคํ านวณดู เองว า เรากํ าลั งงุม ง ามอยู ที่ ก ข ก กา ในขั้ น ไหน อย างไร ? ถ า สมมติ ว า ใครเอาหรื อ ไม เอาก็ สุ ด แท แ ต . อยากจะสมมติ ว า ถ า จะเพ ง เล็ ง เอา พระนิ พ พานเป นเป าหมายกั นแล ว เดี๋ ยวนี้ เรากํ าลั งคลานงุม ง าม ๆ อยู ที่ ก ข ก กา ประเภทไหน ? ที่ ก ข ก กา ประเภทศี ลธรรม หรื อว า ก ข ก กา ประเภทปรมั ต ถธรรม ? อยู ที่ ประเภทไหน และได มากน อยเท าไร ? และอย างไร ? นี่ จะได เห็ นชั ดเจน ยิ่ งขึ้ นไป ว ามั นมี ความแตกต างกั นอย างไร ในระหว าง ก ข ก กา ทางศี ลธรรม กั บ ก ข ก กา ทางปรมั ต ถธรรม, นี้ พ วกหนึ่ ง . กั บ พวกที่ ไม ต อ งเรี ย น ก ข ก กา อี ก
ความแตกตางระหวางศีลธรรมกับปรมัตถธรรม
๒๓๑
ตอไป เพราะวาเขาถึงฝงถึงตลิ่งแหงการศึกษาแลว; นี่ไมตองเรียน ก ข ก กา กันอีกตอไป มันก็ตางกันมาก. ทีนี้ในพวกที่ยังตองเรียน ก ข ก กา นี้ มันก็ยังตางกันมาก คือพวก หนึ่งก็คลายตวมเตี้ยมอยูที่ ก ข ก กา ประเภทหนึ่ง, พวกหนึ่งก็กําลังวิ่งไปอยางเรียก วา ก ข ก กา ประเภทลัด, ประเภทเรียนลัด และตรงแลวเร็ว คือเรียนตั้งตนดวย การไมมีตัวตนไปจากเรื่องธาตุตามธรรมชาติ เปนไปตามกฎเกณฑแหงอิทัปปจจยตา ไมมีตัวกู ไมมีของกู นี้มันก็เร็ว. นี่เราจะอยูในพวกไหน ก็คงจะรูจักตัวเองได; แตแลวก็ใหเขาใจวา มันไมมีผิดแลว ไมมีพวกไหนผิดแลว มีอยูแตวา ควรจะไปใหเร็วกวานั้น ใหถูกยิ่งขึ้นไปกวานั้น นั่นแหละจึงจะเรียกวา เปนผูไมประมาท. อยามัวประมาท เกี่ยวกับเวลา เกี่ยวกับอายุ เกี่ยวกับรางกายสบายดี เกี่ยวกับมีกินมีใชอยู, อยา มัวประมาทดวยเรื่องอยางนั้นอยู. รีบพยายามทําจิตใจใหมันถึงขั้นสวางไสว หลุด พนไมมีความทุกข ไมเกิดความทุกข, มีอะไรเขามาทําใหมีความทุกข ก็หัวเราะเยาะ ได แลวก็ไลตะเพิดใหมันกลับไป. วันคืนลวงไปโดยไมตองมีความเปนทุกขเลย นั่นคือวามันรูแลว ไมตองมัวเรียน ก ข ก กา อยูตอไปแลว.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เอาละเดี๋ยวนี้เราก็พูดถึงความแตกตางระหวาง ก ข ก กา ๒ ชนิด ให เห็นความแตกตางที่วา ควรจะเลือกกันอยางไร พอสมควรแกเวลาแลว ไวโอกาสหนา ก็จะพูดถึงเรื่อง ก ข ก กา สําหรับพระนิพพานโดยตรง สืบตอไป.
ตอไปนี้ก็ใหโอกาสแกพระสงฆทานไดสวดธรรมปริยาย สงเสริมศรัทธา ความเชื่อหรือความกลาหาญ ในการเรียนพระศาสนานี้ ตามควรแกเวลาตอไปอีก ขอนิมนตได. _____________
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
- ๙ ๒ มีนาคม ๒๕๑๗
ก ข ก กา ของนิพพาน. ทานสาธุชน ผูมีความสนใจในธรรม ทั้งหลาย, การบรรยายประจําวันเสารในวันนี้ เปนครั้งที่ ๙ แหงภาคมาฆบูชา ซึ่งจะ ไดกลาวโดยหัวขอใหญ ที่เรียกวา ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา ตอไปตามเดิม แตวาในวันนี้จะไดกลาวโดยหัวขอยอยแยกออกมา วา ก ข ก กา ของนิพพาน. [ปรารภและทบทวน. ]
ในครั้งที่แลวมา ไดมีการเปรียบเทียบใหเห็นความแตกตาง ระหวาง ก ข ก กา ทางศีลธรรม กับ ก ข ก กา ทางปรมัตถธรรม. ถาทานทั้งหลายมีความเขาใจ ในความแตกตางอันนี้ ก็ยอมเปนการงาย ที่จะเขาใจไดวา ก ข ก กา แหงพระนิพพานนั้นเปนอยางไร.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ขอใหทบทวนดูใหดีวา ก ข ก กา ของศีลธรรมนั้น มันเปนเรื่อง หนึ่งตางหาก คือ เปนเรื่องในเบื้องตนของคนทั่วไป, และเปนเรื่องที่กลาวโดย
๒๓๒
ก ข ก กา ของนิพพาน
๒๓๓
ภาษาคน, และเปนเรื่องที่กลาวสําหรับบุคคล ผูยังมีความรูสึกวามีตัวมีตน มีอะไรเปนของตน สําหรับจะยึดมั่นถือมั่น จึงตองมีระเบียบทางศีลธรรม ซึ่ง เปนเครื่องควบคุมใหคนเหลานั้น ยึดมั่นถือมั่นแตในทางที่ถูกที่ควร. และให ยึดมั่นนอยลง ๆ เพราะวาความยึดมั่นนั้นเปนทุกข จนกวาเมื่อไรเขาจะมองเห็นวา ความยึดมั่นนี้เปนทุกข ก็เริ่มเบื่อหนายตอการที่จะยึดมั่น เรื่องของศีลธรรม ก็มา สิ้นสุดกันที่ตรงนี้. ตอแตนั้นไป ก็เปนเรื่องทางปรมัตถธรรม ของบุคคลผูจะไมยึดมั่น ถือมั่น เห็นโทษแหงความยึดมั่นถือมั่น พรอมกับการเห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวง โดยความเปนสิ่งที่ไมควรจะถือวา เปนตัวเราหรือเปนของเรา, คือเห็นเปน ธรรมชาติ ไ ปทั้ ง นั้ น . นี้ ก็ เ ป น เรื่ อ งทางปรมั ต ถธรรม ของบุ ค คลผู เ ห็ น ธรรมะในชั้นลึก. นี่แหละคือขอที่มันแตกตางกันอยูเปน ๒ อยาง หรือเปน ๒ ชั้น. ชั้นศีลธรรม ก็เพื่อประโยชนแกการที่จะเวียนวายไปในโลกอยางดี เวียนวายใหดี อยูในสภาพที่เรียกกันวาดี. ครั้นมองเห็นวาการเวียนวายนั้น แมจะดีอยางไร ก็ยังเปนไปเพื่อความทุกข. จึงอยากจะไมตองเวียนวาย คือ ไมตองเปนไปตามกระแสโลกนั่นเอง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org พิจารณาใหเห็นความแตกตางของโลกิยะกับโลกุตตระ. ขอใหทานในใจใหเห็นแจงชัด ในความแตกตาง ระหวางโลกิยธรรม ธรรมะที่ประพฤติเปนไปเพื่อประโยชนในโลก กับ โลกุตตระธรรม ธรรมที่จะอยู เหนือโลก ขามขึ้นพนจากโลก วามันมีอยูอยางนี้.
๒๓๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
การพิจารณาเชนนี้ มีประโยชนอยูในตัวมันเอง คือวาเมื่อยิ่งพิจารณา โลกไปเทาไร ก็จะยิ่งรูจักโลก และไมหลงใหลในโลก มากขึ้นเทานั้น, ความ หลงใหลในกาลกอน มันก็เบาบางไป. พิจารณาใหเห็นโลก ใหรูจักโลก ใน ทุกแงทุกมุม, หรือที่สําคัญที่สุด ก็คือ การปฏิบัติตนอยูในโลกเพื่อประโยชน อะไร ? แลวผลที่ไดที่ดีที่สุดนั้นเปนอยางไร ? นี่พิจารณาอยูอยางนี้ ก็ทําใหรูจัก โลกดีขึ้น. ถาพิจารณาในสวนโลกุตตระ แมวาจะเปนการพยายามที่จะพิจารณา ทั้งที่ยังไมเห็นอยู ก็ยังมีประโยชนอยูนั่นเอง คือ จะเปนชองทาง ที่จะใหเห็น สิ่งที่ลึกกวาหรือเหนือกวา สําหรับจะเปนที่หลบหลีกจากความทุกข หรือความ ยากลําบาก ที่จะตองเปนไปในโลก หรือเปนไปตามกระแสโลก. ทีนี้คนบางคนก็จะไมเขาใจ คือ เขาใจผิด ถึงกับวามันอยูกันคนละทิศ คนละทาง เหมือนกับที่เขาใจกันโดยมาก วาโลกุตตระนั้นมันอยูที่ไหนก็ไมรู คือมันอยูไกลไปยิ่งกวาที่จะเรียกวา นอกฟาหิมพานต. นี่เพราะวาเขาจะไดรับการ สั่งสอนมาผิด ๆ หรืออะไรก็ตามที ทําใหเกิดความเขาใจอยางนี้กันอยูโดยมาก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เมื่อเรื่องนี้ไมไดบีบคั้นอะไร ใหตองสนใจมากเปนพิเศษ ก็เลยปลอย ไวอยางนั้น, จนกระทั่งบัดนี้ มันก็ยังเปนอยางนั้น จนกระทั่งจะตายไป มันก็ตาย ไปดวยความรูสึกอยางนั้น. นี่เรียกวาเกิดมาทีหนึ่ง ก็ไมรูทิศเหนือ ทิศใต ไมรูวาจะไปกันทางไหน.
ก ข ก กา ของนิพพาน
๒๓๕
ถาไดรับการแนะนําที่ดี ไดยินไดฟงคําสอนในพระพุทธศาสนาของ พระอริยเจา อยางถูกตองแลว ก็จะรูไดวา ทั้งหมดนี้มันอยูในจิต หรืออยูใน สิ่งที่เรียกวาจิต. ในคนคนหนึ่งนี้ถาจิตคิดผิด หรือถึงกับตั้งจิตไวผิด โลกนี้ มันก็เปนภัยเปนอันตราย หรือเปนความทุกข แกจิตชนิดนั้น; เพราะวาจิต ชนิดนั้นมันยังเปนจิตที่โง, หรือเปนจิตที่ยังเปนโลก ๆ มากเกินไป, ไมรูจักสิ่งที่ เรียกวาโลก. โลกนี้มันก็หุมหอเอา จึงเปนจิตที่มีความทุกข เนื่องมาจากสิ่ง ที่แวดลอมอยูรอบ ๆ ตัว คือโลกนั่นเอง. ความเปนอยางนี้ ก็เรียกวาเปนภาวะที่ อยูในโลก หรืออยูภายใตโลกดวยซ้ําไป. ทีนี้ในทางที่ตรงกันขาม ถาวาจิตนั้นไดอบรมดี, มีความเขาใจดีใน ธรรมะ ในชั้นที่เปนปรมัตถธรรม จิตนั้นก็เปนจิตที่แจมแจงสวางไสว หรือจะ เรียกวา เปนจิตที่ตั้งไวถูกตอง, อะไร ๆ ในโลกนี้ก็ไมสามารถทําจิตชนิดนี้ให เปนทุกขได, เพราะสิ่งทั้งหลายจะแวดลอมเขามาที่จิตอยางไร จิตก็อยูเหนือสิ่ง เหลานั้น ทุกอยางไป ทุกทีไป ทุกหนทุกแหง. จิตที่อบรมดี ตั้งไวดี ยอมมี ลักษณะอยูเหนือความบีบคั้น หรือความทวมทับ ของสิ่งที่เรียกวาโลก ภาวะ ของจิตชนิดนี้จึงเรียกวา เปนโลกุตระภาวะ, คือเปนภาวะที่อยูเหนือโลก.
www.buddhadasa.in.th ทุกเรื่องรูสึกไดที่จิต. www.buddhadasa.org ขอใหสังเกตดูใหดีวา ภาวะที่จิตจะอยูใตโลก มันก็อยูที่จิตนั่นแหละ, ภาวะที่จิตจะอยูเหนือโลก มันก็อยูที่จิตนั่นแหละ; ฉะนั้นถาอยากจะเรียกเปนวา โลกิยธรรม กับ โลกุตตระธรรม ก็แสดงวามันอยูที่จิตนั้น, เปนไปในโลกหรือวา
๒๓๖ เปนไปนอกโลก มันก็อยูที่จิตนั้น; รูสึกไดดวยจิต, รูสึกไดที่จิต.
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา เพราะวาแมแตตัวโลกเอง
มันก็เปนสิ่งที่
ผูมีปญญาจะมองเห็นวา สิ่งที่เรียกวาโลกนั้น มันก็คือสิ่งที่รูสึกอยู ในจิต; ไมใชสิ่งที่เกลื่อนกลาดอยูตามพื้นแผนดินทั่ว ๆ ไปนั้นจะเรียกวาโลก. นั้นเปนภาษาคนธรรมดาพูด, ภาษาคนที่ยังไมรูธรรมะพูด; แตคนที่รูธรรมะ จริ ง แล ว จะรู ว า อะไร ๆ มั น รู สึ ก อยู ที่ จิ ต ถ า ไม รู สึ ก อยู ที่ จิ ต มั น ก็ เหมือนกับไมมี. โลกนี้มันจะใหญโตมโหฬารสักเทาไรก็ตาม ถาไมปรากฏแกจิต มันก็มีคาเทากับไมมี. ทีนี้มันจะมาเปนการดีหรือการชั่ว เปนการไดหรือเปนการเสีย หรือ เปนอะไรทุก ๆ อยาง; มันก็เปนตอเมื่อเขามาปรากฏแกจิต หรือเกี่ยวของแกจิต. ฉะนั้นจึงเห็นวา โลกก็ดี พนจากโลกก็ดี นอกโลกก็ดี อะไรเหลานี้มันอยูที่จิต; ; แลวแตวาจิตนั้นมันจะเปนจิตชนิดไหน, แลวมันจะอยูในภาวะเชนไรในเมื่อสิ่ง ตาง ๆ ทั้งหลายเหลานั้นเขามาแวดลอมจิต.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org มันก็เกิดเปนเรื่อง ๒ เรื่องขึ้นมา คือเรื่องของคนที่ยังไมรู กับเรื่อง ของคนที่รูถึงที่สุด หรือรูลึกซึ้ง. คนที่ยังไมรูก็มีความมั่นหมายไปตามความไมรู, มันจึงเกิดมีความเขาใจเปนตัวเปนตน เปนของของตน, ยึดมั่นถือมั่นมันจึงมีดีมีชั่ว มีไดมีเสีย มีเกิดมีตาย มีอะไรตาง ๆ, ไปตามประสาของผูที่ยังไมรูหรือรูนอย. ฉะนั้น จึงมีระเบียบปฏิบัติแบบหนึ่ง สําหรับบุคคลประเภทนี้ ก็เรียกวา ศีลธรรม.
ก ข ก กา ของนิพพาน
๒๓๗
ทีนี้ บุคคลที่รูแลวเกินกวานั้น ยังมีปญหาอยูที่วา อยากจะหลุดพน ไปจากสิ่งที่เปนที่ตั้งแหงความยึดถือ หรือที่เคยยึดถือมาแลว หรือกําลังยึดถืออยู ก็ตาม, นี่จะทําอยางไร. เขาก็มีวิธีคิดพิจารณาของเขาอีกแบบหนึ่ง เพื่อ จะหลุดพนออกไปใหได ซึ่งเรียกวามันเปนธรรมะที่สูงขึ้นไป, มีอรรถะคือ ความหมายที่ยิ่งขึ้นไป, มีประโยชนหรืออานิสงสที่จะพึงไดรับก็ยิ่งขึ้นไป ในสวนนี้ เราเรียกวา ปรมัตถธรรม. นี้ก็ขอใหดูตอไปอีกสักนิดหนึ่งวา ทั้ง ๒ สิ่งนั้นมันไมไดอยูที่ไหน, มัน อยูที่คน ที่มีจิตใจแตกตางกันอยู เปน ๒ อยาง หรือ ๒ พวก ๒ ประเภท ในโลกนี้ นั่นเอง. หรือถาจะดูใหละเอียดเขาไปอีก ก็จะพบวาคนคนเดียวนั่นแหละ เมื่อ เด็ก ๆ หรือวายังเปนคนหนุมสาวคนแรกรูจักโลก นี้มันก็มีจิตชนิดหนึ่ง, ครั้นไดลวงกาลผานวัยไปมาก รูจักโลกนี้มาก ก็มีจิตอีกชนิดหนึ่ง. เพียงเทานี้ก็จะเห็นไดวา เรื่องของคนหนุมก็เปนเรื่องของศีลธรรม, เรื่องของคนแกที่ถูกตอง คือเปนคนแกสมกับเปนคนแกจริง ๆ มันก็เปนเรื่อง ของปรมัตถธรรม. เมื่อคนหนุมจะไปมัวโงมัวหลงในสิ่งที่เปน อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา, คนแกไมควรจะไปมัวโงในเรื่องที่เปน อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา, ถาไม อยางนั้นก็ไมควรจะเรียกวาคนแก; เพราะคําวาคนแกควรจะเปนเรื่องแกของ สติปญญา สมกับที่วาไดเห็นโลกมามาก ไดลวงกาลผานวัยมามาก มันแกดวยเวลา ฉะนั้นมันก็ตองแกดวยสติปญญา. ถามันไดอยางนี้ ก็เรียกวาถูกตอง ตามที่ ธรรมชาติกําหนดให คือ คนหนุมกับคนแกมันควรจะไมเหมือนกัน. ถาเหมือนกัน แลวจะไปมัวเรียกวา คนหนุมคนแกทําไม หรือจะเรียกใหดีกวานั้น ก็ตองเรียกวา
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๒๓๘
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
คนออนกับคนแก, คนออนดวยสติปญญา; เพราะมันมีเวลาที่เกิดมานอย, นี้มัน ก็อยางหนึ่ง. ทีนี้คนมันแกดวยสติปญญาเพราะเวลาที่เกิดมามาก นี้มันก็อยางหนึ่ง. นี้เรียกวาเอาตามกฎเกณฑธรรมชาติ ตามธรรมดาสามัญเปนหลัก วายิ่งอยูไปนาน มันก็ควรจะยิ่งรูอะไรมากนี้ เปนกฎธรรมดาในคนคนหนึ่งนั้นแมจะ เปนคนที่มีสติปญญานอยจะเปนคนโง; ถาใหอยูไปนาน มันตองรูอะไรมากกวาเมื่อ มันแรกเกิดมา. แตถาคนมันฉลาด ยิ่งอยูไปนาน ก็ยิ่งรูมาก, มากกวาที่คนโง แมจะอยูในโลกเปนเวลานาน. แตอยางไรก็ดี มันไมหนีหลักในขอที่วา ถาเกิดมา นานมันก็ตองรูอะไรมาก, มันก็ตองฉลาดกวา; ความผิดความถูก ความไดความ เสีย ความสุขความทุกข นั่นแหละ มันเปนครูที่สอนใหอยูในตัว. ขอใหสังเกตดูสุนัข ตัวที่อายุมากหลายป มันฉลาดกวาสุนัขที่เพิ่งเกิด. สุนัขพันธุเดียวกัน หรือที่มีอะไร ๆ คลาย ๆ กัน ถาอายุมันมาก มันก็ไมรูอะไรมาก ฉลาดมาก, รูจักจิตใจของเจาของมากกวาสุนัขตัวที่เพิ่งเกิด. เราจะสังเกตดูสุนัข สักตัวหนึ่งตัวเดียวก็ได วาตั้งแตมันแรกเกิดจนบัดนี้แลวจนบัดนี้อายุมันตั้ง ๑๐ กวาปแลว มันฉลาดขึ้นทุกป ๆ อยางไร. นี่เรียกวา จะพบสิ่งที่เปนไปตาม ธรรมชาติธรรมดาอยางหนึ่ง วายิ่งอยูไปนาน มันก็ยิ่งรูอะไรมาก, จนกระทั่ง มันรูราวกับวาเปนคนละตัว คนละอยาง คนละพันธุ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทีนี้มนุษยก็ไมควรเสียเปรียบในขอนี้ เมื่ออยูไปมากอยูไปนาน ควร จะรูอะไรมาก เมื่อมากมันก็ตองไมซ้ํากัน มันตองมากออกไปจริง ๆ เหมือนกัน. ดังนั้นการที่ไประคนกันอยูกับสิ่งที่เปนอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา นานเขา ๆ มันก็ควร จะรูจักวา นี่เปนอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา กันบาง จึงจะถูกตอง.
ก ข ก กา ของนิพพาน
๒๓๙
ถาอายุยิ่งมากเขา ก็ยิ่งไมมองเห็นความเปน อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ของ สิ่งตาง ๆ, แลวจะเรียกวาอะไร ? ก็ไมควรจะเรียกวา คนนี้ไดเติบโต เติบใหญ ได เจริญรุงเรืองขึ้นไปเปนแน คือมันไมไดมีอะไรที่จะขยายออกไป มันหยุดชะงัก, ก็คือ คนที่ไมเติบโต หรือไมแกนั่นเอง. มันผิดกฎของธรรมชาติอยางนี้ ก็ตองเรียกวา คนบา, แตจะโทษเขานักก็ไมได เพราะมันมีบางสิ่งบางอยางมาทําใหบา; โดยเฉพาะ อยางยิ่งก็คือ โลกสมัยนี้ มันมีอะไรมากมาย ที่เขามาทําใหคนเปนบา; โดยทาง สติปญญาแลว มันไมเจริญเติบโตขึ้นไปตามลําดับ, ไมสามารถจะเลื่อนจาก ศีลธรรมขึ้นไปสูปรมัตถธรรม; มิหนําซ้ํามันกลับมีศีลธรรมที่เลวลง ๆ มัน มีศีลธรรมที่ถอยหลัง มีศีลธรรมที่เลวลง. โลกของเราจึงไดเปนอยางนี้ ในสภาพ มีศีลธรรมที่ถอยหลัง มีศีลธรรมที่เลวลง. โลกของเราจึงไดเปนอยางนี้ ในสภาพปจจุบันนี้ ทั่ ว ไปทั้ ง โลก, คื อ มั น มี ค วามเสื่ อ มในทางศี ล ธรรม ก็ เ ลยจะพู ด อะไร กัน ถึงเรื่องปรมัตถธรรม เพราะเรื่องทางศีลธรรมมันก็มีแตเสื่อมเสียแลว.
โลกปจจุบันเรียน ก ข ก กา แตทางวัตถุ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ขออภัย ที่จะตองปรับทุกขกันในขอนี้สักหนอยหนึ่ง วาโลกในปจจุบัน นี้ มันยิ่งเปนอยางนี้หนักขึ้น คือมันเกิดความนิยม ในการที่จะแยกเอาธรรมะหรือ ศาสนาออกไปจากประชาชน. เดี๋ยวนี้เรียกวากําลังจะเปนกันทั้งโลก; พวกฝรั่ง ที่เขากาวหนาในทางผลิต ในทางพัฒนาอะไรตาง ๆ นั่นแหละเปนผูนํากอน ในการ ที่แยกธรรมะหรือแยกศาสนา แยกศีลธรรมนี้ออกไปจากประชาชน, คือวาให ประชาชนศึกษาแตในเรื่องผลิตเพื่อเศรษฐกิจ , เพื่อเปนอยูดวยสุขภาพ อนามัยนี่ ใหไดตามใจไปเสียทุกอยางที่กิเลสมันตองการ, ก็เปนเหตุใหลุมหลง ไปในทางนี้.
๒๔๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
สวนทางเรื่องธรรมะหรือศาสนานั้น เขายกใหเปนเรื่องสวนตัว บุคคล ใครสนใจก็ไปหาเอาเอง; แมจะลําบากเทาไรก็เชิญไปหาเอาเอง ในหลัก สูตรของการศึกษา ไมมีเรื่องศีลธรรม เรื่องศาสนา เรื่องพระเจา. ในการที่จะใหคน ไดรับสิทธิพิเศษอะไรในการทํางาน หรืออะไรก็ตาม ก็ไมยกเอาเรื่องศีลธรรม หรือ เรื่องศาสนามาเปนเครื่องทดสอบ, หรือวาเปนเครื่องใหคะแนน, ก็เอาเรื่องเกงแต ในทางที่จะผลิตจะทําตามกิเลสนั้นมากกวา. ดังนั้นเรื่องธรรมะ หรือ เรื่อง ศาสนามันจึงขาดความสนใจ ศีลธรรมมันก็ต่ําลง. นี้เปนตนเหตุ ที่ทําใหคนเราในโลกนี้ ในสมัยนี้ เปนบา, คือยิ่งอยูไป เทาไรก็ยิ่งไมรูจัก อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ในสิ่งทั้งปลายทั้งปวง. ที่จะอยูเปน ปกติ มันอยูไมได เพราะจิตใจมันเปนบา; เพราะวาไมมองเห็นความเปน อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อยางที่กลาวแลว. นี้คือตัวปญหา ที่ทําความยุงยากลําบากใหแกมนุษยเรา, รวมทั้ง พวกเราพุทธบริษัทไมกี่คนที่นั่งอยูที่นี่ก็เหมือนกัน มันเปนปญหาอยางเดียวกัน, และเปนปญหาที่เราไมไดสรางขึ้น. แตวาเปนปญหาที่เราตองไดรับผล คือความยุง ยากลําบากจากปญหานั้น แลวมันเปนสิ่งที่คอยมาฉุดลากเรา ใหออกไปจากแนวทาง ของธรรมะ. ถาเราเผลอนิดเดียวทนอยูไมได เราก็ตองกระโจนลงไป สูการกระทํา ชนิดที่ทําใหหลงใหลมัวเมาในโลกนี้, ก็เลยไมตองพูดถึงสิ่งที่เรียกวาปรมัตถธรรม, ก็คือจะไมไดมีโอกาสตั้งตนเรียน ก ข ก กา ของพระนิพพาน. มันกลายเปนวา เรียน ก ข ก กา ของศีลธรรม ในโลกนี้ก็ไมหมดไมสิ้น, และบางทียิ่งกวานั้นมันก็คือ ไมไดเรียนเสียเลย; เพราะวามันไปมัวเรียน ก ข ก กา แตของวัตถุนิยม, คือ ก ข
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
ก ข ก กา ของนิพพาน ก กา ของเรื่องความสนุกสนานเอร็ดอรอยทางวัตถุ ไมรูจักซา จนกระทั่งตายเนาเขาโลงไป.
๒๔๑ ทางเนื้อทางหนัง
ไมรูจักสราง
เรียน ก ข ก กา ของวัตถุนิยมก็ไมจบ แลวทําอยางไรที่จะไดมาเรียน ก ข ก กาของศีลธรรม, และเมื่อไมไดเรียน ก ข ก กา ของศีลธรรมแลว มัน ก็ไมมีโอกาสไมมีหวัง ที่จะเรียนก ข ก กา ของปรมัตถธรรม, ที่จะเรียกวา ก ข ก กา ของนิพพานในที่นี้. นี่แหละคือเรื่องเบื้องตน ที่จะตองมองเห็นใหชัดเจนอยู เราจึงจะ คอยกาวไปตามทางของพระพุทธศาสนา สูงขึ้นไปตามลําดับได ไมพลาดเวลา, คือ วาเวลาในชีวิตนี้จะเพียงพอ. เราจะมีความกาวหนาไปตามลําดับ แลวก็ถึงที่สุดจุด หมายปลายทางได โดยที่ไมตองตายเสียกอน แมวาจะมีอายุเพียงไมเกิน ๑๐๐ ป. ขอนี้ก็เปนขอที่จะตองทําไวในใจเสมอ วาไมมีใครที่จะมีอายุเกิน ๑๐๐ ป, โดยทั่ว ๆ ไปจะพูดวาอยางนี้, แลวจะจัดจะทํากันอยางไร ใหไดรับประโยชนสูงสุด ที่มนุษย ควรจะไดรับทันกันใน ๑๐๐ ป.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เมื่อเปนเด็ก ก็ใหไดรับธรรมะอยางเด็กที่ดีและเต็มเปยม, เมื่อเปนหนุม สาว ก็มีธรรมะอยางคนหนุมสาวที่ดีและเต็มเปยม, เมื่อเปนพอบานแมเรือน ก็มี ธรรมะของพอบานแมเรือนที่ดีและเต็มเปยม, ครั้งตอมาเปนคนแก ก็มีธรรมะ ของคนแก ถูกตองบริบูรณดีตามแบบของคนแก. ครั้นมาเปนคนชราแกหงอม ก็ยิ่งมีธรรมะที่แจมใส ที่สดใส ที่เขมแข็ง ที่แกกลา ถึงกับเอาชนะปญหาตาง ๆ ไมแมแตความตาย คือความตายก็ไมมีปญหาสําหรับคนชนิดนี้ กลับยิ้มเยาะความ ตายได ทั้งที่ฟนไมมีสักซี่หนึ่งอยางนี้ก็ทําได. ก็เรียกวาเปนคนที่ ไดเดินไปจน
๒๔๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ถึงที่สุด ที่มนุษยจะตองเดิน, แลวก็เดินทันแกเวลาอายุของตัว งาย ๆ วา มันจะไมเกิน ๑๐๐ ปไปได.
ที่พูดกันโดยสรุป
เมื่อดูพฤติกรรมของคนบางคน มันก็นาเวทนาสงสาร ซึ่งจะทําใหสรุปผล ไดวา ตอใหคนชนิดนี้มีอายุสัก ๕๐๐ ป มันก็เดินไมถึงปลายทาง หรือตั้ง ๑,๐๐๐ ป มันก็ยังจะไมเดินถึงปลายทางอยูนั่นเอง เพราะเขาเปนคนบา ไมรูวาจะเดินไป ทางไหน; เพราะมัวแตติดตามสิ่งที่มายั่วยวนมาหลอกลวง ที่เขาทํากันขึ้น ใหม ๆ ในโลกนี้ อยางไมรูจักจบจักสิ้น. ขอใหพิจารณาดู ก็จะพอมองเห็นไดวา เรื่องการคนควา หรือการ ผลิตการประดิษฐ การทําอะไรตาง ๆ ขึ้นมา สําหรับทําใหคนโงหลงใหลไม รูจักสรางนี้ มันจะยังเปนไปอีกนาน แลวมันจะยิ่งมาก ยิ่งรุนแรง หรือยิ่งเกงกลา ขึ้น, นี้ระวังใหดี. ถาเราพลัดตกหลุมนี้แลว ก็จะเปนอยางที่วา ไมรูจักกาว หนาในทางจิตใจ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้นเราจะตองเกงถึงขนาดวา เราอยูในโลกที่มีสิ่งยั่วยวนเหลือประมาณ อยางนี้ได โดยที่ไมตองถูกลอถูกหลอกใหหลง, ถาจําเปน จะเอาสิ่งเหลานี้มา ใชเปนอุปกรณการเปนอยูอยางสะดวกดายอะไรบางก็ได; แตตองไมใชเพื่อ จะมายั่วมาหลอกใหลุมหลงอยูแตในสิ่งเหลานี้ จนเห็นแกตัวจัด, จนไมมีความ สงบใจเลย; แมแตนอนก็ไมหลับสนิท มันตองสะดุง มันตองฝนราย; เพราะ ความที่เห็นแกตัวจัด. แลวมันก็จะเปนไปในทางที่วา มันออกมาเปนการกระทําทาง กาย ทางวาจา, แลวก็เบียดเบียนซึ่งกันและกัน, แลวก็ฆาฟนซึ่งกันและกัน ก็ทํา ใหตายไปเสียกอนแตที่จะไดทําประโยชนอะไรที่สูงขึ้นไป.
ก ข ก กา ของนิพพาน
๒๔๓
นี่โลกนี้กําลังเปนอยางนี้ แลวเราก็ตองอยูรวมกับเขา ในโลกที่ กําลังเปนอยางนี้. ฉะนั้นจึงตองมีธรรมะ ชนิดที่มันจะแกปญหาอันนี้ได. นั่นแหละคือ ประโยชนหรืออานิสงสของธรรมะในพระพุทธศาสนา ชนิดที่จะ ทําใหคนเรานี้ มีความสามารถอยูเหนือโลก, เหนือความทุกขที่จะเกิดมาจากโลก, เหนือความดึงดูดของโลก ที่จะดึงดูดลงไปหาความต่ํา ความทราม ความเลวในทาง จิตใจ. ....
....
....
....
สรุปความวา ทั้งหมดที่ใหทบทวนกันดูนี้ เพื่อใหแยกใหเห็นวา มัน มีเรื่องที่มนุษยจะตองเผชิญ หรือวาแกไขใหมันลุลวงไป อยูเปน ๒ ระดับ คือ เปนระดับศีลธรรมระดับหนึ่ง, แลวก็เปนระดับปรมัตถธรรมระดับหนึ่ง. เมื่อเกิดมายังเล็กอยู ไมรูอะไรมาก ไมอาจจะรูปรมัตถธรรม ก็ผาน มาทางศีลธรรม เปนคนที่ดีมีศีลธรรม. ถาเปนเด็กมันก็เปนเด็กดี มีความ ซื่อสัตย มีความออนนอม มีความกตัญูกตเวที มีอะไรตาง ๆ ทุกอยาง ที่เรียก กันวาศีลธรรม.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ศีลธรรมนี้ก็ขยายขึ้นมาถึงกับวา จะประพฤติใหดี ใหถูกทั้งสวน ตัวและสวนสังคม, ใหถูกทั้งที่เรียกวา ในขั้นต่ํา ๆ สําหรับมนุษย ขั้นสูง ๆ สําหรับ เทวดาในสวรรค. นี้ก็อยางเดียวกันนั่นแหละ จะเปนเทวดาหรือมนุษย มันก็ อยูที่จิตนั่นแหละ, หรือวาจะเอาวัตถุภายนอกเปนเครื่องวัด มันก็หมายความวา ถาเปนมนุษยมันก็บริโภคกามคุณ ชนิดที่แลกเอามาดวยเหงื่อ. แตถาเปนเทวดา ในสวรรคนั้น มันก็ไมมีอะไรมาก นอกจากวาโชคดี มันมีโอกาสที่จะบริโภคกามคุณ
๒๔๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
โดยที่ไมตองแลกเอาดวยเหงื่อ; จะเปนเพราะวากอนหนานั้น มันไดทําอะไร ไวมาก มันก็หากามคุณไดงายไดมากในบัดนี้ โดยที่ไมตองแลกเอาดวยเหงื่อ. แต ระวังใหดี พอมีเหงื่อเมื่อไรเทวดานั้นก็ตองตาย. ถาใครเคยอานหนังสือเรื่องนี้มากอนแลว ก็จะพบวา พอมีเหงื่อก็จุติ เทานั้น ขอความในคัมภีรตาง ๆ เขากลาวไวอยางนี้ วาเทวดานั้นพอมีเหงื่อออกก็จุติ เทานั้น คือตายจากความเปนเทวดาเทานั้น. ทั้งนี้เพราะวามันไมมีอะไร เพราะ มันมีความหมายแตเพียงวา กําลังสนุกสนานเพลิดเพลิน เสวยผลของสิ่งที่ไดทําไว แตกอนดวยเหงื่อ. เดี๋ยวนี้ก็มาไมตองมีเหงื่อ แลวก็เสวยกามคุณนั้น; พอมัน หมดฤทธิ์หมดเดชเขา มันก็ตองหันไปหาเหงื่ออีก มันก็คือตายจากความเปนเทวดา, แลวมันมีอะไรดีกวากันที่ตรงไหน ในเมื่อคนหนึ่งมันก็บริโภคกามคุณ เพียงแตวา มันไมตองมีเหงื่อในขณะนั้น เพราะวามันทําไวดีมาแตกอน. ผูที่มีปญญาใน สวนปรมัตถธรรม จึงมองเห็นวา ไมไหว ในการที่จะหลงใหลไปในเรื่องเหลานี้, จะมีเหงื่อหรือจะไมมีเหงื่อ มันก็เหมือนกัน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้นเราพิจารณาใหดีใหเห็นวา อะไรจะเปนที่นาพอใจ, ที่ควรจะบูชา, แลวทางนั้นมันมีอยูอยางไร ที่จะเดินไปได.
อะไรเปนสิ่ง
ในที่สุดก็มาถึงเรื่องราวที่กลาวแลวนี้ วาเมื่อไดผานเรื่องของศีลธรรม มาดีแลว, มีความสุขตามแบบของคนที่อยูในโลกนี้แลว, ซึ่งจะตองมีเหงื่อบาง ไมมีเหงื่อบาง หัวเราะบาง รองไหบาง เอือมระอาแลวมันก็จะเลื่อนชั้น ออกไป ใหพนขอบเขตเหลานี้, ที่เรียกวาเหนือโลก นอกโลก พนโลก ไมตองขึ้น ๆ ลง ๆ ฟู ๆ แฟบ ๆ อยางนี้ นี่มันจึงเหมือนกับวาขึ้นศักราชกันใหม.
ก ข ก กา ของนิพพาน
๒๔๕
ในที่บางแหงก็ไดยิน ก็ไดเห็น พูดโดยใชคําวาโลกใหม ซึ่งก็มีความ ถูกตองอยูบางเหมือนกัน, คือเอาพระนิพพานเปนโลกใหม เปนโลกอื่น ที่มัน แตกตางตรงกันขามจากโลกนี้, อยางนี้เรียกวาโลกใหม เอาพระนิพพานเปนโลก ใหม เอาเปนเมืองใหม มันก็ถูกอยางสมมติ. แตถาไมสมมติพูดกันจริง ๆ แลวก็ ควรจะพูดตามที่พูดกันอยูโดยมาก วาเหนือโลก วาพนโลก วาออกไป นอกโลก นั่นแหละถูกกวา. เมื่อออกไปนอกโลกได มันก็เรียกวาถึงที่สุดของโลก ปญหามันก็จบ, เลยประมวลเรื่องทั้งหลายมาดูในคราวเดียวกัน ก็จะพบไดวา, เรื่องทั้งหมดนั้นมัน แบงไดเปน ๒ ตอน คือ อยูในโลกใหดีใหถูกตอง ตามแบบของโลก นี้ตอนหนึ่ง เปนของศีลธรรม, และก็ออกไปนอกโลกใหได ใหสําเร็จ นี้ก็เปนอีกตอนหนึ่ง เปนเรื่องของปรมัตถธรรม, เปนโลกุตตระธรรม. เรื่องในชีวิตของคน ก็เกิดเปน ๒ ตอนขึ้นมา เปนตอนที่ตองอาศัย ศีลธรรมเพื่ออยูในโลกนี้ใหดี นี้ตอนหนึ่ง; ก็ตองตั้งตนดวย ก ข ก กา เหมือนกัน, ทํา ก ข ก กา ในทางศีลธรรมใหดี จนเจริญเต็มที่. ทีนี้พอมาถึงระยะที่ ๒ ที่จะตองเลื่อนออกไปนอกโลก มันก็ตองตั้งตน ก ข ก กา กันใหม เพราะมันคน ละเรื่องคนละแบบ มันก็ตองเรียนอีกวิธีหนึ่ง, ซึ่งตองตั้งตนกันใหม ก็เลยตอง เรียน ก ข ก กา กันใหม สําหรับออกไปนอกโลก, ซึ่งในที่นี้ก็จะเรียกวา ก ข ก กา ของนิพพาน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สรุปเรียกชื่อใหสั้น ๆ งาย ๆ ก็วา กอนหนานี้ เราเรียน ก ข ก กา ของ วัฏฏสงสาร, เราเรียน ก ข ก กา ของวัฏฏสงสารมาถึงที่สุดแลว ทั้งดีทั้งชั่ว
๒๔๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ทั้งสุขทั้งทุกข ทั้งบุญทั้งบาป. นี่ครบถวนแลว ก็เรียกวาจบ ก ข ก กา ของวัฏฏสงสารแลว; ก็ตั้งตนใหมเปนเรื่อง ก ข ก กา ของพระนิพพาน. ทานผูใด มีความสนใจในเรื่องนี้ อยากจะทําใหไดทันแกกาลแกเวลา ก็จงใครครวญใหดี ใหสําเร็จประโยชน ใหทันแกเวลาจริง จึงจะเรียกวาไมประมาท. เอาละ, ทีนี้ก็จะพูดกันถึงเรื่อง ก ข ก กา ของนิพพานโดยตรง อยาง ละเอียดไปทีละอยาง หรือทีละแงละมุมตามลําดับ ใหสุดความสามารถที่อาตมาที่ เปนผูพูดนี้จะพูดไดอยางไร. ( เริ่มการบรรยายครั้งนี้. )
จะรู ก ข ก กา ของนิพพาน ตองเปนผูรูความจริงดานใน. ในชั้นแรกจะตั้งปญหาขึ้นมาสักขอหนึ่ง วาใครจะเปนผูเริ่มรู ก ข ก กา ของนิพพาน ? วาใครคนไหนจะเปนผูเริ่มรู เริ่มเรียน ก ข ก กา ของ พระนิพพาน ? ใครควรจะไดชื่อไดนามวาอยางนี้ ? ก็อาศัยตามเรื่องราวตาง ๆ ใน พระคัมภีรในบาลี ในเหตุผลขอเท็จจริงที่ไดผานกันมาแลว ก็พอจะกลาวไดเปน ขอ ๆ ไป หรือวาใหมันเปนแง ๆ เปนมุม ๆ ไป ใหเห็นไดชัดถนัดยิ่งขึ้น มันเปนเหลี่ยม เปนมุมที่เราจะมองกันไดแปลก ๆ แลวก็เรียกชื่อกันไปแปลก ๆ ทั้งที่วาโดย เนื้อแทแลว มันเปนเรื่องเดียวหรือเปนสิ่งเดียว.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org กอนวา,
ในขั้นแรกก็จะพูดกันอยางคลุม ๆ อยางกําปนทุบดิน ไมผิด เสียทีหนึ่ง ผูนั้นจะตองเปนผูเริ่มเห็นความจริงในดานใน, ผูน้นั จะตองเริ่มเห็น
ก ข ก กา ของนิพพาน
๒๔๗
ความจริงในดานใน. นี่ใครอยากจะเรียน ก ข ก กา ของนิพพาน คนนั้นตอง ตั้งตนพยายาม ดวยการมองเห็นความจริงในดานใน เปนความจริง, แลว ทําไมตองแบงเปนดานนอกดานใน ดานลึกดานตื้น ? นี้ก็เปนเรื่องที่จะตองสังเกต ใหเห็นอีกเหมือนกัน; เพราะวาคนโงก็มีความจริงของคนโง, คนมีปญญาก็มี ความจริงของคนมีปญญา, มันแลกกันไมได มันแทนกันไมได. ลองไปพูดกับ คนโงซิ ทําไมมันจึงพูดกันไมรูเรื่อง ? ก็เพราะวาคนโงก็มีความจริงของคนโง โดยเด็ดขาดอยูอยางนั้น. ถึงคนมีปญญาก็เหมือนกัน มีปญญาอยูหลายชั้น ปญญาอยางตื้น ๆ , มันก็มีความจริงตามแบบของปญญาตื้น ๆ หรือเจือโง มันก็พูดกันไมรูเรื่องกับคนที่มีปญญาจริง. ขอใหจับเปนหลักเกณฑใหไดอันหนึ่งวา สิ่งที่เรียกวาของจริงนั้น มันมีอยูเทาที่บุคคลคนนั้น จะมองเห็นวาจริงเทานั้นเอง; ถาเขามองเห็นวา จริงไมได มันก็ไมมีความจริงอื่นนอกไปจากนั้น. ฉะนั้นจึงพูดวา ทุกคนมีความ จริงเปนของตนเอง ตามที่เขามองเห็น ซึ่งเปนเหตุใหเขาหัวดื้อ ถือทิฏฐิมานะ อะไรตาง ๆ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ขอใหสังเกตตัวเราเอง เมื่อตอนแรก ๆ เราก็มีความจริงหรือความถูก ตองนั้นอยางหนึ่ง; ครั้นมาบัดนี้เรามีความจริงหรือความถูกตอง ซึ่งมันเลื่อนมัน เปลี่ยนไปอยางหนึ่ง; แตแลวเราก็ไมคอยจะสังเกตใหดี.
เขาเรียนรูมาอยางไร เขามีความคิดเห็นอยางไร ในที่สุดเขาก็จะถือ เอานั้นเปนความจริง, นอกนั้นไมจริง. แมวาจะเอาความจริงแทของพระพุทธเจามาสอน เขาก็ฟงแตหู หรือวาเขารับไวดวยปาก; แตเขาไมมีความจริงอยางนั้น ไมถือหลักความจริงอยางนั้น จนกวาเขาจะเขาใจ จะรูแจงในความจริงเหลานั้น.
๒๔๘
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ความจริงในเรื่องเดียวกันมันก็มีหลายชั้น ยิ่งเมื่อคนละเรื่องแลวมันก็ มีมาก. เชนวาความจริงของเด็ก ๆ ความจริงของคนแก นี้มันเปนไปดวยกัน ไมได. ความจริงของโง, ความจริงของคนฉลาด, ความจริงของคนพาล, ความ จริงของบัณฑิต, มันก็รวมกันไมได. แตตางฝายตางถือเอาความเปนจริงทั้งนั้น.. ฉะนั้นขอใหสรุปความวา ความจริงนั้นมีหลายอยางหรือมีหลายชั้น; อยางนอยก็ มีขั้นตื้นและมีขั้นลึก ความจริงขั้นตื้น มันก็ไปตื้น ๆ, ความจริงขั้นลึกก็ไปลึก ๆ, มีความจริงดานนอกความจริงดานใน. สวนธรรมะนั้น มันเปนความจริงดานใน, แลวก็ยิ่งในลงไป คือยิ่ง ลึกลงไป จนกวาจะถึงที่สุด วาธรรมะนี้เปนของลึกซึ้ง; ยิ่งปรมัตถธรรมก็ยิ่ง ลึกซึ้ง; เพราะชื่อมันบอกอยูแลว วาธรรมะอันลึกซึ้งมีอรรถอันยิ่ง มีอรรถ อันลึกซึ้ง เรียกวาปรมัตถธรรม. นี้คนที่รูแตศีลธรรม จึงเขาใจปรมัตถธรรม ไมได; อยางที่เดี๋ยวนี้ก็มีไมกี่คน ที่จะยอมรับวาไมมีตัวตน, หรือยอมลง เห็นดวยวา ไมมีตัวตน นี้ก็ยังหายากเสียแลว; ไมใชเปนผูมองเห็น หรือวา รูแจงแทงตลอด เพียงแตใหเห็นดวยเหตุผล ยอมรับวามันไมมีสิ่งที่ควรเรียกวา ตัวตน นี้ก็ยังหายากเสียแลว. ฉะนั้นเราจึงไมมีที่จะพูดกับใครกี่คนนัก, เรื่องอนัตตา เรื่องไมมีตัวตนในโลกนี้ในเมืองไทยนี้ มันก็กําลังเปนอยางนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เห็นความจริงดานในคือเห็นไตรลักษณ. ฉะนั้นผูที่จะเริ่ม ก ข ก กา ของพระนิพพานนั้น ตองเริ่มทําตนเปนผูมองความ จริงในดานใน, ใหเห็นความจริงในดานใน ขึ้นสักระดับหนึ่ง
ก ข ก กา ของนิพพาน
๒๔๙
กอน คือ ก ข ก กา ของพระนิพพาน ในระดับแรกระดับตนนั่นแหละ จึงจะเรียกวา เปนผูเริ่มเรียน ก ข ก กา ของฝายโลกุตตระ. ใชคํารวม ๆ กําปนทุบดิน วาเริ่มเห็น ความจริงดานใน กันในระดับหนึ่งกอน. ทีนี้ขยายความออกไปชั้นหนึ่งก็วา เปนผูที่เริ่มเห็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา. ขอใหทุกคนที่นี่ ที่นั่งอยูที่นี่ทบทวนระลึกยอนหลังไปเมื่อยังเปนเด็ก ๆ แลวอายุมากขึ้น ๆ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้. สมมติวามีอายุ ๖๐ ป ๗๐ ป แลวตรวจดู วา ไดเริ่มมองเห็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เมื่อไร, เมื่ออายุเทาไร ? หรือวา ไมเคยมองเห็นเลย เพียงแตไดยินไดฟงเสียงบนธรรมาสน หรือวาไดอานตัวหนังสือ ในหนังสือ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา. ที่อาตมาวานี้ หมายความวา แมแตวาวี่แววหรือรองรอยของ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ก็ยังดี, ก็ยังเอาอยูดี วาไดเริ่มมองเห็นวี่แววรองรอยของ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เมื่อไร ? แลวก็มองดูลูกเด็ก ๆ ที่กําลังวิ่งเลนอยูเดี๋ยวนี้ มันจะมองเห็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ไดอยางไร ? แลวเมื่อมีอายุสูงขึ้น มากขึ้น ๆ มันจะเริ่มมองเห็น ไดเมื่อไร ? นี่เดี๋ยวนี้ กระทั่งมาเปนมารดา กระทั่งมาเปนบิดา ของเด็ก ๆ แลว มันก็มองเห็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เมื่อไรหรืออยางไร ?
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ขอนี้มันก็ขึ้นอยูกับสิ่งแวดลอมอยูมากเหมือนกัน สิ่งแวดลอมเหลานั้น ไมมีอะไรสําคัญมากเทากับวัฒนธรรมประจําชาติ ประจําคน ประจําชนชาตินั้น ๆ ถาวามันเปนชนชาติที่เขาสนใจเรื่องธรรมะกันอยูเปนประจําแลว โอกาสที่จะไดฟง ไดยิน ไดเห็น ไดเขาใจเรื่อง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา มันก็มีมากกวา. ถาเราเปนลูก เปนหลานของคุณยาคุณยาย ที่ไปวัดเสมอ เราก็มีโอกาสที่จะไดยินไดฟงเรื่องนี้
๒๕๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
กอนกวาเด็ก ๆ ที่เปนลูกหลานของคุณยาคุณยาย ที่มัวสาละวนแตเรื่องโลก ๆ หรือ วาในชนเหลาอื่น ที่ถือศาสนาอื่น ที่ไมมีเรื่อง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อยางนี้ก็ยิ่งไมมี โอกาสที่จะไดยิน. นี่ดีที่วาเปนพุทธบริษัท เปนคนไทย ในประเทศไทยนี้ มันมี โอกาสที่จะไดยินมากกวา แตแลวก็พิจารณาดูวา เราเริ่มไดยินเมื่อไร เรามีความรูสึก ในเรื่องนี้เมื่อไร เราเริ่มเห็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา บางเมื่อไร. แลวที่สําคัญที่สุด ก็คือวา จิตใจมันไดเปลี่ยนแปลงอยางไรหรือเปลา ถาวาจิตใจมันไมไดเปลี่ยนแปลงอะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็ยอมรับสารภาพเสียวาไมได เห็นก็แลวกัน ไมไดเห็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ทั้งที่พูดได ทั้งที่เทศนได ในเรื่อง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา แตจิตใจมันก็ไมไดเปลี่ยนแปลง ไปตามความหมายของ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ก็เรียกวาเปนผูไมเห็นเสียดีกวา เพราะฉะนั้นเปนพระเปนเณร ก็อยาไดอวดดีไปเลย เปนอุบาสกเปนอุบาสิกา ก็อยาไดประมาทไปเลย ในเรื่อง เห็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา นี้ แมวามันจะเปนเพียง ก ข ก กา ของนิพพาน มัน ก็ไมใชเรื่องเล็กนอย.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ขอใหทบทวนใหดี แลวสรุปความใหดี ใหมองเห็นชัดวา เราเริ่มเห็น ความไมนายึดมั่นถือมั่น ของสิ่งทั้งหลายรอบตัวเรานั้นเมื่อไร นับตั้งแตเราเกิดมา จนบัดนี้ เราไดเริ่มมองเห็นความไมนายึดมั่นถือมั่น ของสิ่งตาง ๆ รอบตัวเรานั้น เมื่อไร เราเริ่มรูสึกตอความจริงอันนี้เมื่อไร หรือวาเรายังคงยึดมั่นถือมั่น เงิน ทอง ขาวของ ทรัพยสมบัติ บุตร ภรรยา สามี อะไร อยูตลอดเวลาจนบัดนี้ ไมเคยมอง เห็นภาวะที่ไมนายึดมั่นถือมั่นในสิ่งเหลานั้นเลย. เรื่องนี้มันไมชวยได เพราะมาบวชเปนพระเปนเณร แมวาอยูที่บาน เปนอุบาสก อุบาสิกา ก็มีโอกาสที่จะเห็นได ไมแพเปนพระเปนเณร ถาเปนพระ
ก ข ก กา ของนิพพาน
๒๕๑
เป น เณรที่ ไ ม ส นใจ ไม พ ยายามที่ จ ะสนใจจะเห็ น แล ว ก็ ยิ่ ง ไม เห็ น , ยิ่ ง จะล า หลั ง ชาวบ า น อุ บ าสกอุ บ าสิ ก า ที่ อ ยู ที่ บ า นด ว ยซ้ํ าไป. เพราะว า ถ า เป น ฆราวาสที่ ต อ ง ต อ สู ม าก ดิ้ น รนมาก กระทบกระทั่ งกั บ ความทุ ก ข ม าก; อย างนี้ มั น มี โอกาสเห็ น ง า ยกว า ที่ ว า เป น พระเป น เณร แล ว นอนสบาย เล น สบาย อะไรสบายเสี ย เรื่ อ ย ๆ ตลอดวันตลอดคืน. ฉะนั้ น ขอให นึ ก เสี ย ว า เป น คนกั น ก็ แ ล ว กั น เป น มนุ ษ ย กั น ก็ แ ล ว กั น , ไมต อ งแบง แยกกัน เปน บรรพชิต หรือ ฆราวาส, ไมต อ งแบง แยกวา เปน ผู ห ญ ิง หรือ เปน ผู ช าย. ขอถือ เอาเปน หลัก วา เปน มนุษ ยที ่ม ีค วามรู ส ึก คิด นึก ได เกิด แล วก็ เติ บ โตขึ้ น มา; ความรู สึ ก คิ ด นึ ก มั น ก็ ยึ ด ถื อ สิ่ งต าง ๆ มากขึ้ น ๆ มากขึ้ น , แล ว มัน เริ ่ม สะดุ ง หรือ วา คลายออก เพราะไปมองเห็น ชัด ความไมน า ยึด มั ่น ถือ มั ่น ในสิ่ ง บางสิ่ ง เข า เมื่ อ ไรในเงิ น ทองทรั พ ย ส มบั ติ ก็ ดี ในบุ ต รภรรยาสามี ก็ ดี ในอะไร ก็ด ี, วา มัน ลว นแตเ ปน สิ ่ง ที ่ต อ งเปน ไปตามธรรมชาติ เปน ไปตามเหตุป จ จัย หรือ ที ่เ รีย กวา เปน ไปตามกฎเกณฑแ หง อิท ัป ปจ จยตานั ้น ไดเ ริ ่ม มองเห็น อย างนั้ น เมื่ อ ไร นั่ น แหละเป น จุด ตั้ งต น ของการเรีย น ก ข ก กา ของพระนิพพาน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ า ใครได ม องเห็ น ภาวะอั น นี้ แ ห ง จิ ต ใจของตนแล ว ก็ ใ ห ถื อ เอาจุ ด นั้ น เป น จุ ด ตั้ ง ต น ของการเรี ย น ก ข ก กา ของพระนิ พ พาน. จะเมื่ อ อายุ เท า ไร จะ เมื ่อ มีเ รื ่อ งอะไร อะไรก็ส ุด แทเ ถอะ; แตถ า เราเริ ่ม มองเห็น วา ไมม ีอ ะไรที ่ค วรจะ ไปบ า กั บ มั น , ขออภั ย ใช คํ า หยาบ ๆ ว า ไปบ า รั ก กั บ มั น ไปบ า เกลี ย ดกั บ มั น ไปบ า กลัว บา โกรธบา อะไรตา ง ๆ ไปบา กับ มัน , เริ ่ม มองเห็น ขอ ที ่ว า ไมค วรจะไป บ า ห ลงให ลอะไรกั บ มั น ; นั่ น แห ละเป น จุ ด ตั้ ง ต น . เรี ย กว า เป น การเห็ น
๒๕๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ได โดยที่ไมตองไดยินไดฟงคําวา อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ก็ได; เพราะคําวา อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เปนภาษาบาลี, เปนภาษาตางประเทศ คนอาจ จะไมรูความหมาย ไมรูสึกก็ได. แตในภาษาจิตใจ แลวมันเหมือนกันหมด ทุกชาติทุกภาษา คือเริ่มเห็นความหลอกลวงของสิ่งตาง ๆ, เริ่มมองเห็นวา ไปยึดถือหมายมั่น นั่นนี่เขาแลว มันเปนทุกขทุกที. เริ่มเห็นวามันเปนไปตาม ธรรมชาติ ไมมีตัวตนแทจริงอะไร ที่จะเปนตัวตนของใครได อยางนี้. ถาความ รูสึกอันนี้เกิดก็เรียกวา เขาเห็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา, โดยพูดวา อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ก็พูดไมเปน ไมเคยพูด ไมรูภาษาที่ลึก ๆ ภาษาอื่น อยางนี้; แตกลับ รูเห็นธรรมะที่แทจริง ตัว อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ที่แทจริง. เรื่ องนี้ สํ าคั ญ มาก จนถึ งกั บ ปู ย า ตา ยาย ของเราท านได ใช คํ าสู งสุ ด เติมเขาไป เรียกวาพระไตรลักษณ, พระอนิจจัง ก็มี, พระทุกขัง ก็มี, พระอนัตตา ก็ มี , ทั้ ง ที่ สิ่ ง เหล า นี้ เป น ที่ ตั้ ง แห ง ความทุ ก ข ทํ า ไมเราไปเรี ย กว า พระเข า ? ก็ เพราะ วา มัน เปน สิ ่ง ประเสริฐ ในฐานะที ่ต อ งรูจ ัก ถา รูจ ัก แลว มัน กลับ คุ ม ครอง. ใครไปเห็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา แลว, อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ที่เห็นนั้นจะคุมครอง ไมใหมีความทุกข.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org มั น ก็ ถู ก แล ว ที่ จ ะเรี ย กว า พระอนิ จ จั ง พระทุ ก ขั ง พระอนั ต ตา รวม กัน เรีย กวา พระไตรลัก ษณ ; เห็น แลว คุ ม ครอง, คุ ม ครองยิ ่ง กวา พระเครื ่อ งที่ แขวนคอ. เห็น ธรรมะ เห็น พระไตรลัก ษณก ็เ รีย กวา คุ ม ครองที ่ส ุด เลย คือ ถา ยังมีความทุกขอยู ก็หมายความวายังไมเห็น คือยังไมมีการคุมครอง.
เห็น อนิจ จัง ทุก ขัง อนัต ตา สรุป ความลงไปไดเ พีย งคํ า เดีย ววา เห็ น ภาวะที่ ไ ม ค วรไปยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ในสิ่ ง ใดก็ ต าม. ก อ นนี้ เ ราไม เ ห็ น เราก็ ยึ ด
ก ข ก กา ของนิพพาน มั่นถือมั่น; พอเริ่มเห็นภาวะลักษณะที่ไมควรจะยึดมั่นถือมั่น, เทานั้น ก็เรียกวาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา.
๒๕๓ ไมนาจะยึดมั่นถือมั่น
เช น ก อ นนี้ ก็ ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ในเงิ น ซึ่ ง ชอบกั น มากที่ สุ ด ในโลกนี้ เพราะ ว า เป น ป จ จั ย ให สํ า เร็ จ ตามความใคร ; มั น ก็ ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ในเงิ น . ต อ มาถึ ง วั น หนึ่ ง อายุ ม ากเข า แล ว ก็ ม องเห็ น ว า เงิ น นี้ ก ลั บ จะเป น เครื่ อ งทรมานคน ทํ า อั น ตรายคน, ปล อยไว เฉย ๆ ดี กว า. อย าต องไปยึ ดมั่ นถื อมั่ นมั นเลย ก็ เรียกว าเห็ นอนุ ปาทานนิ ยภาวะ, อนุปาทานนิยธรรม - ธรรมอันบุคคลไมควรยึดมั่นถือมั่น; หรือภาวะอันบุคคลไม ควรยึดมั่นถือมั่น; นี่ไดเริ่มเห็น. เรื่ อ งทรั พ ย สมบั ติ อื่ น ๆ ก็ เหมื อ นกั น เรื่ อ งบุ ต ร ภรรยา สามี อะไรต าง ๆ ก็ เหมื อ นกั น มั น ควรจะอยู ใ นฐานะที่ ว า เป น ของธรรมชาติ ; เมื่ อ ยั ง ไม รู ก็ เกี่ ย วข อ ง กันไปตามบุคคลที่ไมรู; พอรูแลว ก็เกี่ยวของกันไป ในฐานะที่เปนบุคคลที่เปน ผู ช ว ย เ ห ลื อ ซึ ่ ง กั น แ ล ะ กั น สํ า ห รั บ จ ะ อ อ ก ไ ป เสี ย จ า ก ก อ ง ทุ ก ข . เมื ่ อ ยั ง ไม รู การเป น ผั ว เมี ย กั น ก็ เป น คู บ า ด ว ยกั น , เป น เพื่ อ นบ า ด ว ยกั น . แต พ อรู แ ล ว การเป นผั วเมี ยนี้ อาจจะเป นเพื่ อนที่ ดี ของกั นและกั น สํ าหรั บจะออกไปจากกองทุ กข อยา งนี ้ก ็ไ ด. มัน สํ า คัญ อยู ที ่ว า เห็น หรือ ไมเ ห็น ; ถา เห็น ก็รู เ ขา ใจถูก ตอ ง มั น ก็ ทํ า ไปอย า งหนึ่ ง , ถ า ไม เ ห็ น มั น ก็ ทํ า ไปอี ก อย า งหนึ่ ง ; ฉะนั้ น มนุ ษ ย ทุ ก คน มันก็มีปญหาอยางนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ขอให ไ ด ดู เ อาเองว า จุ ด ตั้ ง ต น ของเรา ที่ ไ ด เ ริ่ ม เห็ น อนุ ป าทานิ ย ธรรม . ซึ ่ง ตรงกัน ขา มกับ อุป านิย ธรรมนี ้เ ราเห็น เมื ่อ ไร; อยา งนั ้น มัน ก ข ก กา ของการถึงพระนิพพานไดตั้งตนแลว.
๒๕๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
พระโสดาบันเปนผูเริ่มเห็น ก ข ก กา ของนิพพาน. ที นี้ จ ะวั ด ผลด ว ยอะไรต อ ไปอี ก ? เมื่ อ ลงมื อ เรี ย น ก ข ก กา ของพระ นิ พ พานได สํ าเร็ จในขั้ น ก ข ก กา นี้ ขอระบุ เสี ยเลยว าได แก ความเป นพระโสดาบั น . ความเปน พระโสดาบัน นั ่น แหละ เปน คนเริ่ม ก ข ก กา ของพระนิพ พาน, ยัง ไมถึงนิพพาน. แต พ อพู ด อย า งนี้ คนส ว นมากก็ จ ะค า น แล ว ก็ จ ะด า ว า ท า นพุ ท ธทาส นี ้พ ูด อะไรเอาเอง, พูด แหวกแนว พูด นอกเรื ่อ ง พูด ไมเ หมือ นคนอื ่น พูด ; เชน พูด วา เปน พระโสดาบัน นี้ เปน ผูเรีย น ก ข ก กา ของพระนิพ พาน. นั้น เขา ฟ ง ไม ดี เขาไม เข า ใจ เขาไม จั ด รู ป เรื่ อ งให มั น เข า รู ป กั น . เราได พู ด แล ว ว า ส ว นหลั ง ภาคหลั ง คื อ ปรมั ต ถธรรมนั้ น มั น เป น อี ก เรื่ อ งหนึ่ ง . การที่ จ ะย า งเท า เข า มาตั้ ง ต น เข า กั บ ที่ ส ว นนี้ นั้ น มั น ไม มี อ ะไรอื่ น นอกจากความเป น พระโสดาบั น . หรื อ ว า กําลังปฏิบัติอยูอยางสุดความสามารถเพื่อจะเปนพระโสดาบัน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี ้ห มายความวา ก็เ ริ ่ม มองความจริง ดา นใน, เริ ่ม มองเห็น อนิจ จัง ทุ ก ขั ง อนั ต ตา แล ว , แม ว าไม ถึ งที่ สุ ด ก็ เริ่ม ปฏิ บั ติ เพื่ อ จะต อ ต า นกิ เลสหรือ ความ ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น . นั่ น แหละคื อ พระโสดาบั น , รวมทั้ ง ผู ที่ กํ า ลั ง ปฏิ บั ติ เพื่ อ ความเป น พระโสดาบัน . ฉะนั้น ใครเรีย น ก ข ก กา ของนิพ พาน ก็คือ พระโสดาบัน ที ่แ ทจ ริง , หรือ วา แมแ ตผู ที ่กํ า ลัง ปฏิบ ัต ิเ พื ่อ เปน พระโสดาบัน ก็ค ือ ผู ที ่เ ริ ่ม ลงมือ เรียน ก ข ก กา ของพระนิพพาน.
ก ข ก กา ของนิพพาน
๒๕๕
นี้ ใ ครเริ่ ม ในข อ นี้ ในลั ก ษณะอย า งนี้ ก็ ไ ปดู เ อาเองก็ แ ล ว กั น , ใครจะ ไปดู แ ทนกั น ได . ดู กิ ริ ย าท า ทางเอาแน ไ ม ไ ด , มั น เรื่ อ งตบตาได มั น เคร ง หลอกกั น ได มั น พู ด หลอกกั น ก็ ไ ด . ฉะนั ้ น ทุ ก คนต อ งรู ข องตั ว เอง ว า ใครเริ ่ ม เรี ย น ก ข ก กา ของพระนิ พ พาน. คื อ เริ่ ม พยายามต อ สู ดิ้ น รนเพื่ อ ความเป น พระโสดาบั น , จนกระทั่ งเป น พระโสดาบั น แล ว ก็ จะเรี ย กแต เพี ย งว า รู ก ข ก กา ของพระนิ พ พาน เทานั้น ยังไมถึงพระนิพพาน. นี้ พ ระโสดาบั น มี เครื่ อ งวั ด โดยสรุป แล ว ก็ เรีย กวา เป น ผู ล ะ : เริ่ ม ละโม ห ะที่ เ ป นพื้ นฐาน, โมหะหรื อ อวิ ช ชาขั้ น พื้ นฐานนั้ น ได เ ริ่ ม ละ. ปุ ถุ ช นมี โมหะ มี อ วิ ช ชาขั้ น พื้ นฐานเต็ ม ที่ ; แต พ ระโสดาบั น นั้ น เริ่ ม ละอวิ ช ชาห รื อ โมหะ ที่เปนพื้นฐานรากฐานนี้ ออกไปไดหมด. เรื่ อ งนี้ ไ ด พู ด มามากแล ว ได บ รรยายมามากแล ว พิ ม พ เ ป น หนั ง สื อ หนั ง หา ปรากฏอยู ม ากแล ว ไปหาอ า นได แล ว บางคนก็ จํ า ได ดี ด ว ย ที่ อ าตมาเคย พูด อยา งไร. ขอ นี ้ไ ดแ กเรื ่อ งที ่เคยอธิบ ายมากมายโดยละเอีย ดวา พระโสดาบัน ไดละสักกายทิฏฐิอยางไร, ละวิจิกิจฉา อยางไร, ละสีลัพพัตตปรามาส อยางไร, รวมกันเปน ๓ อยาง พระโสดาบันละได จึงไดชื่อวาพระโสดาบัน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สิ่ งที่ ๑ ละสั ก กายทิ ฏ ฐิ คื อปุ ถุ ชนมี ตั วกู เต็ ม ที่ : มี ตั วกู อ ย างหยาบ ๆ, แล ว ก็ มี ตั ว กู เ ต็ ม ที่ , มี สั ก กายะเต็ ม ที่ ; เพราะฉะนั้ น จึ ง กลั ว ตายเต็ ม ที่ , ยิ่ ง เป น ปุ ถุ ช นชั้ น ดี ม าก ยิ่ ง กลั ว ตายมาก, คนจนยั งกลั ว ตายน อ ย คนรวยยิ่ ง กลั ว ตายมาก. ปุ ถุ ช นที่ มี ค วามทุ ก ข ม ากกลั ว ตายน อ ย, ปุ ถุ ช นที่ มี ค วามทุ ก ข น อ ยยิ่ ง กลั ว ตายมาก, ปุ ถุ ช นที่ ไ ม ป รากฏความทุ ก ข เสี ย เลย ยิ่ ง กลั ว ตายมากขึ้ น ไปอี ก . ฉะนั้ น มนุ ษ ย นี้
๒๕๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
กลัวตายนอยกวาเทวดาชั้นกามาวจรกุศล, เทวดาชั้นกามาวจรกุศลอยูดวยกามคุณ ที ่อิ ่ม หนํ า สํ า ราญ ก็เ ลยกลัว ตายมาก ไมอ ยากตายมาก. ทีนี ้เ ทวดาชั ้น พรหม มี ค วามสุ ข ละเอี ย ดประณี ต ยิ่ ง ขึ้ น ไปกว า นั้ น อี ก ; เทวดาชั้ น พรหมจึ ง ยิ่ ง กลั ว ตาย มากกวาเทวดาชั้นกามาวจรอีก. พู ด โดยสมมติ เป น อย า งนี้ เอาคล า ย ๆ กั บ ว า เป น โลกคนละโลก; แต ถ าพู ดโดยเนื้ อแท ก็ คื อจิ ตใจของบุ คคล ที่ ถ ามี ความทุ กข มากมั นก็ อยากตาย. หรือ กลั ว ตายน อ ย. ถ า มี ค วามสุ ข มากมั น ก็ ไม อ ยากตาย หรื อ มั น กลั ว ตายมาก, ยิ่ ง มี ความสุขประณีตละเอียดเทาไร มันก็ยิ่งไมอยากตายมากขึ้นเทานั้น. ฉะนั้นเมื่อพู ดวา สักกายนิโรธ, สักกายนิ โรธ - ดั บเสี ยซึ่งสักกายะ นี้ พวกพรหมชั้ น สู งสุ ด นั้ น กลั วมากกว าสั ต ว ใด ๆ ยิ่ งกว าเทวดาในกามาวจร ยิ่ งกว า มนุษ ย หรือ ผู ที ่ท ุก ขท รมาน เกือ บจะตายมิต ายแหล เชน สัต วน รก เชน เปรต นี้มั นก็ยิ่งไม คอยกลัวตายซิ เพราะมั นจะตายมิตายแหลอยูแลว แตคนที่ สบายมั นจะ กลัวตายมาก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เรื่ อ งสั ก กายะเป น อย า งนี้ แปลว า กายของเรา ตั ว กู - ของกู ในชั้ น หยาบในชั้ น พื้ น ฐานทั่ ว ไป นี่ ปุ ถุ ช นมี เต็ ม ที่ . แต ผู เ รี ย น ก ข ก กา ของพระนิพ พาน เริ ่ม ละสัก กายะอัน นี ้ ซึ่ง เปน องคอ ัน หนึ ่ง ที ่พ ระโสดาบัน จะตอ งละ, ฉะนั ้น ละตัว กู - ของกู ที ่ม ัน แกก ลา เขม แข็ง นั ้น เสีย สัก ระดับ หนึ ่ง ก็เ รีย กวา เริ่มเรียน ก ข ก กา ของนิพพาน.
ทีนี้ สิ่ งที่ ๒ เรียกวา วิจิ กิ จฉา คื อ ความลั งเล นี้ ก็อธิบายมากแล วใน การบรรยายครั้ งก อ น ๆ ครั้ งอื่ น ๆ แล วที่ พิ ม พ อ ยู ก็ ม ากแล ว. สรุ ป ความว าลั งเลใน
ก ข ก กา ของนิพพาน
๒๕๗
ความเป น มนุ ษ ย , ลั งเลในการปฏิ บั ติ เพื่ อออกไปจากทุ ก ข , ลั งเลในความดี ค วามชั่ ว, ลั ง เลในการที่ จ ะขึ้ น ไปพ น ความดี ค วามชั่ ว มั น ลั ง เลไปหมด; มั น ไม แ น ใ จ เพราะ มั น มื ด มั น โง มั น ไม รู จ ะวางจิ ต ใจอย า งไรแน อย า งนี้ เ รี ย กว า ลั ง เล. จะเอาข า ง ธรรมะดี หรื อ ว า จะเอาข า งโลกดี นี้ ก็ ยั ง ลั ง เล, เป น พระเป น เณรก็ ยั ง ลั ง เล ว า จะ บวชอยู ดี หรือ วาจะสึ ก ออกไปดี . นี่ ห มายความวา ยั งลั งเลวา จะเอาข างธรรมะดี ห รือ วา จะเอาขา งโลก ๆ ดี. ถึง ชาวบา นก็เ หมือ นกัน ก็ย ัง ลัง เลวา ไปหา พระพุ ท ธเจ า ดี , หรื อ ว า จะอยู กั บ กองเงิ น กองทองดี อยู กั บ เกี ย รติ ย ศชื่ อ เสี ย งอะไรดี นี้มันก็ลังเล. นี่ลังเลพื้นฐานมันเปนอยางนี้. เมื่ อ ได ยิ น พระธรรมคํ า สอนของพระพุ ท ธเจ า ก็ ยั งลั งเล ว า นี้ พู ด กั น จริ ง หรื อ เปล า ? แล ว มั น จะดั บ ทุ ก ข ไ ด จ ริ ง หรื อ เปล า ? เพราะยั ง มองไม เห็ น ว า ธรรมะ นี้ จ ะดั บ ทุ ก ข ไ ด จ ริ ง . เรื่ อ งศี ล สมาธิ ป ญ ญา จะดั บ ทุ ก ข ไ ด จ ริ ง หรื อ เปล า ? มั น ก็ ยังลังเล นี้เรียกวาลังเลในพระธรรม.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เมื ่อ ลัง เลในพระธรรม ก็ค ือ ลัง เลในพระพุท ธเจา , ลัง เลตอ การ ตรั ส รู ข องพระพุ ท ธเจ า , แล ว มั น ก็ ต อ งเลยลั ง เลต อ พระสงฆ ว า พระสงฆ ที่ ป ฏิ บั ติ กัน อยู นั ้น ถูก หรือ เปลา ? ดับ ทุก ขไ ดจ ริง หรือ เปลา ? มัน ลัง เลตอ พระพุท ธ ต อ พระธรรม ต อ พระสงฆ , ลั ง เลต อ การปฏิ บั ติ ข องตั ว เองเพื่ อ จะดั บ ทุ ก ข อะไร ต า ง ๆ มั น ลั งเลไปหมด, กระทั่ งบางที มั น ลั งเลถึ ง ขนาดว า ตายดี ห รื อ อยู ดี ก็ อ าจจะ มีได. ฉะนั้ น มั น ต อ งมี ค วามแน น อนลงไป ในข อ ปฏิ บั ติ เพื่ อ ความดั บ ทุ ก ข , เพื่ อ มรรค ผล นิ พ พาน นั้ น แหละ ต อ งแน น อนลงไป, ปราศจากความลั ง เล.
๒๕๘
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
รูจักพระพุทธเจาจริง รูจักพระธรรมจริง รูจักพระสงฆจริง จนไมมีความลังเลใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆอีก. นี้ก็เรียกวา ละวิจิกิจฉาได เปนการรู ก ข ก กา ของพระนิพพานองคหนึ่งเหมือนกัน. ทีนี้ สิ่งที่ ๓ สีลัพ พั ต ตปรามาส นี้ คือ ความงมงายทั้งหลาย. การ ประพฤติ ก ระทํ าที่ ไม อ ยู ในอํ านาจของเหตุ ผ ล เรี ยกว าสี ลั พ พั ต ตปรามาส. แม ป ฏิ บั ติ ดี ป ฏิ บั ติ ถู ก อยู แ ท ๆ แต ไม รู จั ก การปฏิ บั ติ นั้ น ๆ ว า มั น เป น เหตุ ผ ลอย างไร ก็ ป ฏิ บั ติ ไป, อย า งนี้ ก็ เรีย กว า สี ลั พ พั ต ตปรามาส. ตั ว หนั งสื อ มั น ก็ บ อกอยู แ ล ว ว า ลู บ คลํ า ศีลและพรตดวยความโง. ฉะนั้น ผูที่ปฏิบัติอยูอยางเครงครัด กลายเปนลูบคลํา ศี ล พรตด ว ยความโง ก็ ได , หรื อ ว า ความลู บ คลํ า ศี ล พรตนั่ น แหละ จะทํ า ให ป ฏิ บั ติ เครงกวาคนอื่นเหลือประมาณ อยางนี้ก็ได. ฉะนั้ น เราจะปฏิ บั ติ อ ะไร ต อ งเห็ น ชั ด อยู ว า ข อ ปฏิ บั ติ นั้ น มั น จะละ กิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะ ไดอ ยางไร; แลวปฏิบัติล งไปอยางนี้แ หละเรีย ก ว า ถู ก ต อ ง, ไม เป น สี ลั พ พตตปรามาส; หรื อ ว า ปฏิ บั ติ อ ย า งนั้ น เหมื อ นกั น แต มั น โงมันงมงายทําไม มันก็เรียกวาสีลัพพัตตปรามาส.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สี ลั พ พั ต ตปรามาสอย า งอื่ น มั น มี อี ก มั น มี โ ง ง มงายต่ํ า ไปกว า นั้ น อี ก ซึ ่ง เปน เรื ่อ งของไสยศาสตร ของอะไรตา ง ๆ อีก มากมาย; แตใ จความสํ า คัญ มัน อยู ที ่ว า มัน ไมรู จ ัก หรือ มัน ไมม ีเ หตุผ ลในการปฏิบ ัต ิเ ชน นั ้น , มัน เพีย งแต ปฏิ บั ติ ต าม ๆ กั น ไป ด ว ยความงมงาย. กระทั่ งมาบวชนี้ ก็ บ วชงมงาย, กระทั่ งมา ปฏิ บั ติ ศี ล สมาธิ ป ญญา ก็ ทํ าอย างงมงาย, อย างนี้ ก็ เรียกวาเป นสี ลั พพั ตตปรามาสหมด
ก ข ก กา ของนิพพาน
๒๕๙
มันก็ตองละ. ที่ชาวบานจะตองละ ที่บรรพชิตจะตองละหรือทุกคนจะตอง ละความงมงายเหลานี้, ก็เลยเรียกวา รู ก ข ก กา ของพระนิพพาน. นี้ ตามหลั กก็ ได ยื นยั นไว แสดงไว เพี ยง ๓ อย างเท านั้ นพอ; ละสั กกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพัตตปรามาสได ก็เปนพระโสดาบัน. นี้ ขอให ดู ให ดี ว า ทั้ ง ๓ อย างนี้ มั น คื อ โมหะพื้ น ฐาน, อวิ ช ชาพื้ น ฐาน, ความโง พื้ น ฐาน ของมนุ ษ ย เรา. พอเกิ ด มาจากท อ งแม มั น ก็ เริ่ ม สะสม ความโงพื้นฐานนี้มากขึ้น ๆ มากขึ้น. ไปดูเรื่องของเด็ก ๆ เอาเองก็แลวกัน วามันเพิ่มสักกายะ ตัวกู – ของกู มากขึ้ น อย า งไร. มั น เพิ่ ม ความลั ง เล ไม รู จ ะไปทางทิ ศ ไหนมากขึ้ น ๆ อย า งไร. เด็ ก คลอดออกมาจากท อ งแม นี้ มั น ไม รูว า คลอดมาทํ าไม ? เกิ ด มาทํ า ไม ? จะไป ขางไหน ? มั นไม รู ยื นเหลี ยวหน าเหลี ยวหลั งอยู ไม รูจะไปข างไหน มั นจึ งเต็ มไปด วย วิจิกิจ ฉา. ทีนี้มัน ก็ถูก ลากถูก พาไป ตามสิ่ง แวดลอ ม จนกวา มัน จะพบทาง ที่ถูกตองจึงจะหมดวิจิกิจฉา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ สี ลั พ พั ต ตปรามาสนี้ ก็ มี ไ ด ง า ย เด็ ก ๆ พอคลอดออกมา มั น ก็ อยากดี, มัน ก็ก ลัว ตาย. ฉะนั้น ถาใครบอกวานี้ดี นี้แ กต ายได กัน ตายได มัน ก็ เอา, มั น ก็ เลยเป น เรื่ อ งสี ลั พ พั ต ตปรามาส มากขึ้ น ๆ มากขึ้ น กวา จะมาพบ พระพุทธศาสนา ที่เปนแสงสวาง.
ดั ง นั้ น จึ ง ถื อ ได ว า การละสั ก กายทิ ฏ ฐิ วิ จิ กิ จ ฉา สี ลั พ พั ต ตปรามาส ๓ อย างนี้ เป น เครื่อ งบอกวา เป น ผู รู ก ข ก กา ของพระนิ พ พาน; ฉะนั้ น
๒๖๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ผู ใดกํ าลั ง พยายามปฏิ บั ติ อ ยู เพื่ อ อย างนี้ ก็ เรี ย กว า สงเคราะห ไว ในพวกที่ เรี ย น ก ข ก กา ของพระนิพ พานดว ยเหมือ นกัน . เพราะฉะนั ้น เราจะพูด วา พระโสดาบัน ก็ดี, ผูที่กํา ลัง พยายามปฏิบัติเ พื่อ ความเปน พระโสดาบัน ก็ดี, นั่น แหละคือ ผูเรียน ก ข ก กา ของพระนิพพาน.
พระโสดาบันนั้นเริ่มเห็นอริยสัจจ. ที นี้ พู ด ให เข าใจชั ด ต อ ไปอี ก คื อ พู ด ด ว ยถ อ ยคํ าที่ ได ยิ น ได ฟ งกั น อยู ม าก ก็ต อ งวา ผู เ ริ ่ม เห็น อริย สัจ จ มีด วงตาเห็น ธรรม, มีด วงตาเห็น ธรรม มัน ก็ เปน เรื ่อ ง อนิจ ฺจ ํ ทุก ฺข ํ อนตฺต า อยู โ ดยสว นใหญ; เริ่ม เห็น วา สิ ่ง ทั ้ง หลาย ทั้ ง ปวงไม เที่ ย ง เป น ทุ ก ข เป น อนั ต ตา, ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ไม ได , สิ่ ง ใดมี เกิ ด แล ว ก็ ต อ ง มี ดั บ . เพราะฉะนั้ น จะไปเปลี่ ย นแปลงมั น ไม ไ ด , เริ่ ม เห็ น อย า งนี้ ก็ เรี ย กว า เริ่ ม มี ดวงตาเห็ น ธรรมชาติ อั น แท จ ริ ง เรี ย กว า มี ด วงตาเห็ น ธรรม. นี้ เรี ย กอี ก อย า งหนึ่ ง เขาก็เ รีย กวา เห็น อริจ สัจ จ : เห็น วา ทุก ขเ ปน อยา งไร, เหตุใ หเ กิด ทุก ขเ ปน อยา งไร, ความไมม ีท ุก ขเปน อยา งไร, ทางใหถ ึง ความไมม ีท ุก ขนั ้น เปน อยา งไร. ที นี้ โ ดยส ว นใหญ เห็ น กลั บ กั น เสี ย เอาสุ ข เป น ทุ ก ข เอาทุ ก ข เป น สุ ข มั น ยุ ง ไปหมด ทําอะไรถูกใจ ถูกกับกิเลส ก็กลายเปนสุขไปหมด.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เดี๋ ย วนี้ ม าเริ่ ม มี ด วงตาเห็ น ธรรม อย า งถู ก ต อ งตามที่ เ ป น จริ ง ว า ความทุกขนั้นเปนอยางไร ? ก็เนื่องจากเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา, เห็นความ นา เกลีย ดของสิ ่ง เหลา นั ้น ก็เ รีย กวา เห็น ทุก ข ในความหมายที ่ก วา งขวางที ่ส ุด . สิ่ ง ใดไม เ ที่ ย ง สิ่ ง นั้ น เป น ทุ ก ข ; แม แ ต ก อ นหิ น นี้ ก็ ไ ม เ ที่ ย ง ฉะนั้ น ก อ นหิ น นี้
ก ข ก กา ของนิพพาน
๒๖๑
ก็ เป น ทุ ก ข ในความหมายที่ ว า ดู แ ล ว มั น น า เกลี ย ดเหลื อ เกิ น มั น น า ระอาใจเหลื อ เกิน . ที ่ว า กอ นหิน นี ้ มัน ก็เ ปลี ่ย นแปลงเรื ่อ ย มัน มีก ารเกิด ดับ มีก ารเปลี ่ย น แปลง มีค วามเปน มายา, ทั ้ง ที ่ม ัน เปน กอ นหิน แข็ง อยา งนี ้แ หละ. นี ้ก ็เ รีย กวา เห็น ความทุก ข ในแงที ่ว า มัน ดูแ ลว นา เกลีย ด. นี ้ถ า เราไปยึด ถือ จะใหเ ปน ของเรา ตามความเหมาะสมของเราเข า จิ ต ใจของเราก็ เป น ทุ ก ข ; หรื อ ว า สิ่ ง ใดมี ความรู ส ึก มีช ีว ิต มีค วามรู ส ึก แลว สิ ่ง นั ้น มัน ก็เ ปลี ่ย นแปลง สิ ่ง นั ้น มัน ก็เ ปน ทุกข, มันรูสึกเปนทุกขอยูในใจของมันเอง. นี่ความทุ กขมี หลายความหมาย หลายปริยาย หลายรูป หลายภาวะ. ดูใ หเ ห็น ความที ่ไ มน า ไปหลงรัก ไมน า ไปยึด ถือ นั ่น ก็เรีย กวา เริ ่ม เห็น ทุก ข. และโดยสวนใหญทานก็ระบุใหดูที่ ความเกิด ความแก ความเจ็บ ความตาย โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส. ตองการอยางไรแลวก็ไมไดตามที่ตอง การนั้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สรุป แลวก็คื อ ป ญ จุ ป าทานขั น ธ ทั้ ง ๕ ประการเป น ตั วทุ ก ข คื อ ไป หมายมั ่น ใหข ัน ธใ ดขัน ธห นึ ่ง เปน ไปตามประสงคข องตน : ใหร ูป เปน ไปตาม ความประสงค ของตน, ให เวทนาเป น ไปตามความประสงค ของตน, ให สั ญ ญาเป น ไปตามความประสงค ข องตน, ให สั ง ขารเป น ไปตามความประสงค ข องตน,ให วิ ญ ญาณเป น ไปตามความประสงค ข องตน. พู ด อย า งนี้ มั น ก็ ยิ่ ง ฟ ง ไม ถู ก ; เพราะ พู ดด วยภาษาบาลี . ถ าพู ดตามภาษาไทย ๆ หน อยก็ วา ทุ กอย างที่ มั นเกิ ดขึ้นในจิ ตใจ ในกาย ในใจ ในอะไรรูส ึก คิด นึก อยู นี ่ จะใหเ ปน ตัว ตน ใหเ ปน ของตน เปน ไปตามความปรารถนาของตนไปเสียหมด; นั่นแหละคือความยึดมั่นถือมั่นเบญจขันธ
๒๖๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ที่ เ ป น ตั ว ทุ ก ข ; ให รู จั ก ตั ว ทุ ก ข อ ย า งนี้ ก อ น เราเรี ย กว า รู จั ก ทุ ก ข ข อ แรกของ อริยสัจจ. ทีนี ้เ ห็น เหตุใ หเ กิด ทุก ข คือ วา ตัณ หา อุป าทาน. ถา มีต ัณ หาก็ต อ ง มี อุ ป าทาน พอถึ งอุ ป าทานก็ ป รากฏเป น ความทุ ก ข , เพราะไปยึ ด ถื อ ยึ ด ถื อ เข าเป น ความทุ ก ข , มั น เป น คํ า พู ด ที่ ฟ ง ง า ย; เป น ภาษาธรรมดาที่ ฟ ง ง า ย คื อ ว า ถ า ไปยึ ด ถือเขาก็หนัก; ถาอยาไปยึดถือเขามันก็ไมหนัก เพราะมันไมไดยึดถือ. ที นี้ เมื่ อ จิ ต ไปยึ ด ถื อ นั่ น นี่ เป น ตั ว ตนของตนเข า มั น ก็ ห นั ก หนั ก ก็ คื อ เปน ทุก ข. ฉะนั ้น ความทุก ขม าจากความยึด ถือ คือ อุป าทาน, อุป าทานนั ้น มาจากตั ณ หา คื อความอยากอย างใดอย างหนึ่ งตามความต องการนั้ น. พระพุ ทธเจ า ทานระบุตัณหาวา เปนเหตุใหเกิดทุกข โดยผานทางอุปาทาน หรือเอาตัวอุปาทาน เปนตัวทุกขเลยก็ได. นี่รูอริยสัจจขอ ๒.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แล ว ความไม มี ทุ ก ข มั น ก็ ต รงกั น ข า ม คื อ ความไม ยึ ด ถื อ ความไม มี ตัณหา ไมมีทุกข. นี้อริยสัจจขอ ๓.
ทีนี ้ท างปฏิบ ัต ิ เราอยู ใ หถ ูก เปน ใหถ ูก ใหฉ ลาด. เมื ่อ ฉลาดแลว ก็ ทํ าถู กทั้ งทางกาย ทั้ งทางวาจา ทั้ งทางใจ ก็ ไม มี ความอยาก, ไม มี ความยึ ดถื อ ก็ ไม เปนความทุกข นี่เรียกวา อริยสัจจขอ ๔.
ใครได ม องเห็ น เค า ความข อ นี้ ทั้ ง ๔ อย าง อย างถู ก ต อ ง คนนั้ น เรี ย กว า เริ่ ม เห็ น อริ ย สั จ จ แ ม ไ ม ส มบู ร ณ แต ว า ถู ก ต อ ง เริ่ ม เห็ น อริ ย สั จ จ อ ย า งถู ก ต อ ง
ก ข ก กา ของนิพพาน
๒๖๓
อยางครบถวน แตยังไมสมบูรณ คือไมถึงที่สุด. ฉะนั้นพระโสดาบัน ก็คือผู เริ่มเห็นอริยสัจจ อยางถูกตองในระดับหนึ่ง, แลวเห็นตอไปอีก ก็เปน พระสกิทาคามี อนาคามี กระทั่งเปนพระอรหันต, เห็นอริยสัจจถึงที่สุด เดี๋ยวนี้พระโสดาบันก็คือ ผูที่เห็นอริยสัจจ ๔ ดวยดวงตาที่แจมใส ชนิดที่เห็น ธรรมะได. นี่คนที่เรียน ก ข ก กา ของพระนิพพาน ก็คือพระโสดาบัน เขามา ในเขต ก ข ก กา ของพระนิพพาน ไมเทาไรก็จะรูหมด ถึงตัวพระนิพพาน.
พระโสดาบันคือผูถึงกระแสแหงพระนิพพาน. ที นี้ ดู ต อ ไปอี ก ให เ ข า ใจชั ด ขึ้ น ก็ ดู ที่ คํ า พู ด นั้ น ๆ อี ก ที ห นึ่ ง . พระโสดาบั น แปลว า ผู ถึ ง กระแส, ถึ ง กระแสแห ง พระนิ พ พาน. พระโสดาบั น เรี ย ก เป นไทย ๆ มันก็แปลก โสตาป นนะ โสตะ + อาป นนะ หรือโสตา อาป นนะ วา ผูถึง แลว ซึ่ง กระแส. กระแสคือ การไหลไปที ่แ นน อน เรีย กวา กระแส; เดี๋ย วนี้ เปน กระแสแหง พระนิพ พาน. พระโสดาบัน มาถึง นี ้ มาถึง จุด นี ้แ ลว เที ่ย งแท แนนอนตอพระนิพพาน; เพราะฉะนั้นจึงเรียกวาพระโสดาบัน ผูถึงกระแส.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ พระโสดาบั น มี คํ าเรี ยกอี กมากมายหลายชื่ อ หรื อหลายสิ บชื่ อ แล ว ชื่อที่นาสนใจ ที่สุดก็คือ อมตทฺวาเร โต - ผูยืน อยูแลว ที่ป ระตูแหงอมตะ. พระโสดาบั น คื อ ผู ที่ ยื น อยู แ ล ว ที่ ป ระตู หรือ วาก าวข ามธรณี ป ระตู แ ห งอมตะคื อ นิ พ พาน. แต ยั ง ไม ไ ด เข า ไปถึ ง กลางเมื อ ง ยั ง ไม ไ ปถึ ง กลางเมื อ งนิ พ พาน; แต ถึ ง ประตู ห รือ ก า วข า มธรณี ป ระตู . นี้ บ าลี เขาเรีย กว า อมตทฺ ว าเร โต - ตั้ งอยู แ ล ว ที่ป ระตู. ไปยืน อยูแ ลว ที่ป ระตูแ หง อมตะ นี้ก็เ ปน พระโสดาบัน เปน ผูเ รีย น ก ข ก กา ของพระนิพพาน.
๒๖๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
อุป มาอยา งอื ่น มีอ ีก มาก; เชน วา ถา วา เปน คนตกทะเล วา ยหาฝ ง ก็เปนผูที่ถึงเขตน้ําตื้น จะเดินขึ้นไปบนบกไดโดยแนนอน นี้ก็เรียกวาพระโสดาบัน; ผิ ด จากคนที่ ต กทะเลไปแล ว จมลงไป แล ว มั น ตายเลย หรื อ ว า ผุ ด ขึ้ น มา ๒ - ๓ ครั้ ง แล ว มั น ก็ จ มลงไปอี ก แล ว ก็ ต ายเลย หรือ ว า กํ า ลั ง มุ ง เข า มาหาฝ งเห็ น ทิ ศ ทางแล ว ม าถึ ง เข ต น้ํ า ตื ้ น แ ล ว ; นี ้ ก ็ เ รี ย ก ว า พ ระโส ด าบั น , ผู ที ่ ถ ึ ง เขต น้ํ า ตื ้ น ขอ ง วัฏฏสงสาร กําลังจะขึ้นบก ก็เรียกวา ผูเรียน ก ข ก กา ของพระนิพพาน. ฉะนั ้น อยา ไดก ลัว พระนิพ พาน จนถึง กับ ทํ า อะไรไมถ ูก ; ถา เขา ใจ ข อ ความเหล า นี้ แ ล ว จะเห็ น ว า พระนิ พ พานนั้ น ก็ อ ยู ใ นวิ สั ย ; เพราะเหตุ ว า ความ เปน พระโสดาบัน นั ้น มัน อยู ใ นวิส ัย . เมื ่อ เปน พระโสดาบัน ได ก็ถ ึง นิพ พาน ได โ ดยแน น อน; ฉะนั้ น ขอให ทํ า ความเป น พระโสดาบั น นี้ ให อ ยู ใ นวิ สั ย เสี ย ก อ น เถิ ด เรี ย กว า เรี ย น ก ข ก กา ของนิ พ พาน เป น ผู เที่ ย งต อ นิ พ พาน เป น ผู ไ ม เวี ย น ไปสูความตกต่ําอีก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทั้ ง หมดนี้ มั น ก็ ม ากอยู แ ล ว เป น หั ว ข อ ที่ อ าจจะพิ จ ารณาเห็ น มากมาย อยู แ ลว . พูด ไปอีก มัน ก็อ ยา งนี ้แ หละ มัน ก็ม ีอ ีก มาก มัน ก็ไ มจํ า เปน ; แตว า หั ว ข อ ที่ พู ด ไปแล วนี้ มั น จํ าเป น หรื อ ว าพอแล ว สํ าหรั บ ที่ จ ะพิ จ ารณาให เห็ น ว า เป น ก ข ก กา แหงพระนิพพาน.
กอ นนี ้เ ราไมป ระสีป ระสา ตอ ซีก หรือ ฝา ยแหง พระนิพ พาน มัน จม อยู ใ นวั ฏ ฏสงสาร, มั น ก็ เรี ย น ก ข ก กา ไปอี ก ทางหนึ่ ง คื อ สํ า หรั บ จะจมอยู ใ น วั ฏ ฏสงสาร; จะไปหลงความดี , จะไปติ ด อยู ในความดี , จะเวี ย นว า ยไปในความดี ไปในสวรรค ไปในสุ ค ติ อ ะไร มั น ติ ด อยู เท านั้ น . นี่ เรี ยกว า ก ข ก กา ของวั ฏ ฏสงสาร
ก ข ก กา ของนิพพาน
๒๖๕
ทีนี ้พ อสิ ่ง เหลา นั ้น ถูก มองเห็น เปน ของที ่ห ลอกลวงมายา ยึด ถือ เขา แลว เปน ทุกข มันก็เริ่มเปลี่ยนเปนเรื่องของพระนิพพาน, ก็ตั้งตนเรียน ก ข ก กา กันใหม สําหรับไปนิพพาน จะไมใหเรียก ก ข ก กา แหงนิพพานแลว จะใหเรียกวาอะไร. คนที่ ไ ม เ ข า ใจ คนที่ ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น จะไม ย อมเรี ย ก, แล ว ก็ จ ะหาว า ท า นพุ ท ธทาสนี้ บ า แล ว แหวกแนว สอนไม มี เหตุ ผ ลไม เหมื อ นใคร ที่ ม าบอกว า มี ก ข ก กา แห ง พระนิ พ พาน, คล า ย ๆ กั บ พระนิ พ พานนี้ มั น ช า งง า ยเสี ย เหลื อ เกิ น เหมื อ นกั บ ก ข ก กา. แต ถึ งอย างไรก็ ยั งยื น ยั น อยู วา มั น เป น ก ข ก กา แห ง นิพ พาน, มัน ขึ ้น ศัก ราชใหม มัน กา วขึ ้น ไปสู โ ลกอื ่น ซึ ่ง เปน เรื ่อ งเหนือ โลก โลกที ่เ หนือ โลกโลกที ่พ น โลก. ฉะนั ้น เราก็ต อ งตั ้ง ตน ใหมส ิ; เหมือ นกับ ไป เกิด ใหม เปน เด็ก ออ นกัน ใหม, ไปเรีย น ก ข ก กา กัน ใหม; แตม ัน เพื ่อ ไปสู จุด สุด ทา ยจุด ปลายทาง คือ พระนิพ พาน. ฉะนั ้น ก็จ ะขอเรีย กวา ก ข ก กา ของพระนิพ พาน, หรือ ก ข ก กา ทางฝา ยปรมัต ถธรรม ไปเรีย นเขา แลว มัน ก็จะเปน ก ข ก กา ของพระนิพพาน ที่ทําใหลุถึงนิพพาน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้น ถาวายังหลับหูหลับตาไมยอมฟง แลวคอยแตจะคานอยูเสมอวา เรื่อ งพระนิ พ พานไม ใช งาย ไม ใชอ ยู ในวิสัย , หรือ แม แตพ ระโสดาบั น ความเป น พระโสดาบั น นี้ ก็ มิ ใ ช ข องง า ย แล ว มั น ไม อ ยู ในวิ สั ย ของคนธรรมดาสามั ญ ; โดย เฉพาะคนในสมั ยป จจุ บั น มนุ ษย สมั ยนี้ ในโลกสมั ยนี้ อย าไปพู ดถึ งพระโสดาบั นเลย. คนนั้ น มั น โงเอง, คนนั้ น แหละขุ ด หลุ ม ฝ งตั วเอง ฝงให มิ ด ให ลึ ก, ให มิ ด ให ลึ ก จนไมมีทางที่จะโผลขึ้นมาไดอีก มันก็อยูที่นั่น.
๒๖๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
แตเดี๋ยวนี้เราอยากจะทําตามพระพุทธโอวาท ที่ตรัสวา ปฏิบัติให ถูกตอง เปนอยูใหถูกตอง โลกจะไมวางจากพระอรหันต. นี่เราจึงพยายามไป ตามนั้ น เพื่ อ ให มั น เข า ไปในกระแสแห ง ความถู ก ต อ งที่ เรี ย กว า มรรคมี อ งค ๘ ประการนั่ น , เป น ความถู ก ต อ ง ๘ ประการ รวมกั น เข า แล ว เป น อริ ย มรรค นั้ น มัน เปน กระแสแหง ความถูก ตอ ง. นี ้เ ราก็ส รา งกระแสนี ้ขึ ้น มา; ถา ถึง กระแสนี ้เ รีย กวา พระโสดาบัน ก็เ รีย กวา ผู ที ่เ ริ่ม เรีย น ก ข ก กา หรือ วา รู ก ข ก กา ของพระนิ พ พานแล ว , แล ว ก็ อ า นต อ ไป, แล ว ก็ เรีย นต อ ไป ๆ มั น ก็ จ ะรู พระนิพ พานได. นี ่ข อใหฟ ง เรื ่อ งทั ้ง หมดนี ้ ในฐานะเปน เรื ่อ งจริง ในจิต ในใจ. อย าฟ งเป น เรื่อ งในหนั งสื อ. อย าฟ งเป น เรื่อ งเสี ยงเรื่อ งคํ าพู ด เอามากล าวกั น อย าง เพอ เจอ ไมรูวา อะไร. ขอใหฟ ง ในฐานะเปน เรื่อ งจริง แลว ก็เ ปน เรื่อ งใน จิต ใจ. เมื ่อ ยัง มองเห็น อยู ว า เปน ปุถ ุช น ก็ม องเห็น ความเปน ปุถ ุช นใหด ี ให ถู ก ต อ ง มั นจะเลื่ อ นเป น กั ล ยาณปุ ถุ ชนได , แล วมั น ก็ จะค อ ยเลื่ อ นไปหา ความเป น พระอริยเจาได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เดี๋ ย วนี้ เราเป น ปุ ถุ ช น เอาละ, ยอมเป น ปุ ถุ ช น เราจะมองหาจุ ด หมาย ปลายทางกัน ที่ไ หน ? ปุถุช น คนนี้ จะมองจุด หมายปลายทาง ของชีวิต นี้ ที ่ไ หน ? ดูม ัน จะมืด มนท มัน ชา งเปน ปุถ ุช นเสีย เหลือ เกิน กระทั ่ง ไมรู ว า มัน จะไปที ่ไ หน; มัน จะกา วหนา ไปทางไหน, มัน จะเจริญ ไปทางไหน มัน ก็ไ มรู . อย างจะรู มั น ก็ เรื่ อ งที่ นี่ เงิ น ทอง ข าวของ ทรั พ ย ส มบั ติ บุ ต ร ภรรยา สามี มี ห น า มีต า มีเ กีย รติ อะไรตา ง ๆ เหลา นี ้, เรีย กวา เรื ่อ งกิน เรื ่อ งกาม เรื ่อ งเกีย รติ นี่ พ อแล ว ไม มี อ ะไรมากไปกว า นี้ . นี่ มั น ช า งเป น ปุ ถุ ช นเสี ย เหลื อ เกิ น แล ว เป น ปุถุชนไปจนตาย หรือวาจะโชคดีจะคอยเปลี่ยนได ก็ลองไปพิจารณาดู.
ก ข ก กา ของนิพพาน
๒๖๗
เรียน ก ข ก กา ของพระนิพพานดวยบทเรียน "อยูไปทําไม". แต อาตมาอยากจะยื นยั นว า ถ าขยั น อุ ตส าห พยายาม พิ จารณา ในข อ ที่ ว า เกิ ด มาทํ า ไม ? เกิ ด มาทํ า ไม ? จะไปข า งไหนกั น ? นี่ ใ ห บ อ ย ๆ เถอะ มั น จะ ค อ ย ๆ ละ ค อ ย ๆ ห า งจากความเป น ปุ ถุ ช นเกิ น ไป มาเป น ปุ ถุ ช นที่ เบาบาง ปุ ถุ ช น ชั้ น ดี . แล ว ก็ ต อ งทํ า จริ ง แล ว ก็ ต อ งไม ล ะอายในข อ นี้ , คื อ ถ า มั ว ละอายในข อ นี้ แ ล ว มั น จะไม ก ล า คิ ด ตรง ๆ ไม ก ล า คิ ด จริ ง . นี้ เรี ย กว า คนโกหกตั ว เอง, หลอกลวงตั ว เอง มัน หลอกลวงตัว เอง ไมใ หก ลา คิด ไปในทางที ่จ ะหลุด พน ออกไปได; เพราะมัน ไม รู มั น พยายามที่ จะปล อ ยไปตามความสะดวกสบาย ตามความเคยชิ น ตามความ ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ยึ ด ถื อ อยู อ ย า งไรก็ จ ะเอาแต อ ย า งนั้ น . ไม ก ล า คิ ด ที่ จ ะให แ ปลกไป จากนั้ น ; ถ า ใครมาพู ด ถึ ง เรื่ อ งที่ แ ปลกออกไป ก็ ไ ม ย อมรั บ ฟ ง เพราะว า ทิ ฏ ฐิ มานะของตัว มัน เต็ม ปรี่ แบบที ่เขาเรีย กกัน วา น้ํ า ชามัน ลน ถว ย มัน ใสล งไปอีก ไมไ ด. นี ้ถ า วา จะสับ เปลี ่ย นกัน เสีย บา ง, เอาทิฏ ฐิม านะนั ้น ออกไปเสีย , แลว เอาทิฏฐิอยางอื่นเขามาแทน บางทีจะเร็วขึ้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ป ญ หาอั น หนึ่ ง ที่ ดี ที่ สุ ด ก็ คื อ ป ญ หาที่ นี่ ที่ เรี ย กว า เกิ ด มาทํ า ไม นี้ ? มี ชี วิ ต อยู ทํ า ไม ? เดี๋ ย วนี้ มี ชี วิ ต อยู ทํ า ไม ? ถ า คิ ด เดี๋ ย วนี้ ไ ม อ อก, นั่ ง อยู ที่ นี่ ไ ม อ อก ก็ เ อาไปคิ ด เมื่ อ จะนอนหรื อ เมื่ อ จะตื่ น นอน, หรื อ เมื่ อ เวลาที่ มั น โปร ง สบาย ไม มี อะไรรบกวน หรื อ ว า จิ ต มั น กํ า ลั ง เข ม แข็ ง คมกล า , ไปคิ ด ดู ว า นี่ อ ยู ไปทํ า ไม ? เรานี้ อุ ต ส า ห ห าเงิ น หาทอง เลี้ ย งอะไร อยู กั น ไปทํ า ไม ? อยู กั น ไปทํ า ไม ? ตั้ ง ป ญ หา วาอยูกันไปทําไมนี้เรื่อยไปเถอะ แลวจะพบจุดปลายทางวา อยูกันทําไม.
๒๖๘
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ถา เปน พระอรหัน ตแ ลว มัน หมดความอยู , เพราะละอัส มิม านะ ว า ตั ว ว า ตนได , ไม มี ตั ว ตนแล ว ไม มี ค วามอยู . ฉะนั้ น พระอรหั น ต ท า นจึ ง หมด ปญหาวา "อยูกันไปทําไม" ทานไมมีปญหานี้. แต ถ าว าใคร ปุ ถุ ชนโง ๆ ไปคะยั้ นคะยอให ท านตอบ ว าท านอยู ไปทํ าไม, จะไปคะยั้นคะยอพระอรหันต ใหตอบวาอยูไปทําไม. พระอรหั นต ก็จะตอบวา กูอยู รอความตายซิ อย า งนี้ มี ในบาลี ไม ใ ช อ าตมาว า เอาเอง. มี คํ า ของพระอรหั น ต บางองค หรือหลายองค ทานตอบอยางนั้น วาอยูเหมือนลูกจางรอเวลาจายเงินคาจาง ตอนเย็ น , อยู เหมื อ นกั บ พวกลู ก จ า งรอเวลาจ า ยเงิ น ค า จ า งในตอนเย็ น . นี่ ถ า ใคร ไปบั ง คั บ ให พ ระอรหั น ต ท า นตอบว า อยู ไ ปทํ า ไม; ท า นก็ ต อบอย า งนี้ . แต ที่ จ ริ ง ทานมิไดอยู, ทานมิไดมีตัวสําหรับจะอยู, มันก็คือมิไดอยู แลวก็มิไดอะไร. แต นี้ จ ะตอบภาษาคนธรรมดา, ตอบภาษาชาวบ า น ให พ อชาวบ า น ฟ งรูเรื่อ งบ า ง ก็ ว าอยู รอความตายสิ เพราะไม ต อ งการอะไร ไม ต อ งการอะไรเลย, แล ว อยู ทํ า ไม มั น ก็ อ ยู ก ว า มั น จะดั บ ลง, มั น ก็ ไ ม มี ค วามทุ ก ข เหมื อ นกั น , อยู อ ย า ง นั ้น ก็ไ มม ีค วามทุก ขเ หมือ นกัน . แตว า พวกบุถ ุช นทั ้ง หลายไมเ อา, คงไมเ อาอยู รอความตายนี้ ค งไม เอา. ฉะนั้ น ไปทํ า นา ไปทํ า สวน ไปหาเงิ น ไปอะไร มั น ยั ง จะดี ก ว า . แต พ ระอรหั น ต ท านก็ ไม ได ต อ งการอย างนั้ น ; เพราะถ า ว าอยู เฉย ๆ มั น ก็ ตายเองก็ ไ ด , เรี ย กว า อยู ร อความตาย, คล า ย ๆ กั บ ว า จะตอบประชดคนโง ที่ ไ ป ถามมากกว า ; เพราะเมื่ อ พระอรหั น ต ท า นอยู ท า นก็ เป น ตั ว อย า งที่ ดี สอนธรรมะ อยู ด ว ยที ่เ นื ้อ ที ่ต ัว , เปน ตัว อยา งที ่ด ี มีป ระโยชนแ กป ระชาชนในโลกอยู แ ลว . อยางนี้ก็อยูเพื่อเปนประโยชนแกคนอื่นในโลกก็ไดเหมือนกัน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
ก ข ก กา ของนิพพาน
๒๖๙
ทีนี้เรา ที่ ยังไม เป นพระอรหั นต หรือวาแมแตวาพระโสดาบันนี้ก็ยังไม เปน พระอรหัน ต ก็อ ยู ไ ปทํ า ไม ? คงจะอยู เ พื ่อ ความเปน อรหัน ต ในใจของ ใครคิด อยา งไรก็ไ ปรู ก ัน เองก็แ ลว กัน วา อยู ไ ปทํ า ไม. บางคนก็อ ยู เ พื ่อ หาเงิน ใหล ูก เรีย นจนจบ ก็อ ยู ไ ปอยา งนี ้ก อ นก็ไ ด; แตจ ะคิด เผื ่อ ลว งหนา ไวก ็ไ มเ ปน ไร วา มัน จะอยู ไ ปทํ า ไมในที ่ส ุด , หรือ ถา ลูก มัน โตแลว ขึ ้น ไปอีก มัน จะอยู ไ ปทํ า ไม ลู กนั้ นมั นก็ ไม มี สิ้ นสุ ดสิ มั นก็ อยู เลี้ ยงลู กกั นต อ ๆ ไปไม มี ที่ สิ้ นสุ ด, มั นก็ ทํ าให ราคา ของมนุษยตกต่ําหรือหมดไป. มัน ควรจะอยูเ พื ่อ อะไรสัก อยา งหนึ ่ง ซึ่ง สูง สุด หรือ ดีที ่สุด , นอก นั้ น มั น เป น เรื่ อ งสมั ค รเล น ไป เหมื อ นกั บ ว า ทํ า ไปพลางเดิ น ไปพลาง, เดิ น ทางไป พลางทําไปพลาง กวาจะถึงจุดหมายปลายทาง. ที่ ทําไปพลางนั้น มั นก็สงเสริม การเดิ น ทางให ถึ งจุ ด หมายปลายทาง; ฉะนั้ น ถ าใครหาทรัพ ย สมบั ติ ให ดี มี บุ ต ร ภรรยา สามี ให ดี มี เกี ย รติ ย ศ ชื่ อ เสี ย ง อะไรให ดี มี ให ดี ให ถู ก นั้ น มั น จะส ง เสริ ม การเดินทางที่ดี ที่ไปถึงจุดหมายปลายทางไดเร็วขึ้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้ น ขอฝากป ญ หานี้ ไว สํ าหรับทุ กคน วา มี เวลาเมื่ อไรเป นคิ ดเถอะ วาอยูไปทํ าไม ? ที่อยูนี้อยูไปทําไม ? ถาคิดไมถูกแลวจะเศรา อยากจะตายดวยซ้ํา ไป; ถ า คิ ด ไม ถู ก มั น จะเศร า สร อ ยอยากจะตาย. ถ า คิ ด ถู ก แล ว มั น จะกล า หาญ, มั น จะทํ า สิ่ ง ที่ ว า อยู ไปทํ า ไมนั่ น แหละได แล ว ก็ ได จ ริ ง ๆ ด ว ย ว า อยู เพื่ อ ทํ า อะไร, มันจะทําสิ่งนั้นไดจริง ๆ ดวย. จะพู ด อย า งที่ ฟ ง ไม ถู ก มั น ก็ พู ด ได อยู เ พื่ อ ไม มี ค วามทุ ก ข , แล ว บํ าเพ็ ญ ประโยชน แก ผูอื่ นไปเรื่อย ๆ กวารางกายมั นจะแตกดั บ. แต ถ าพู ดอย างนี้
๒๗๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
จะมี ใ ครเอากี่ ค น, จะมี ใ ครสมั ค รเอาสั ก กี่ ค น ? เพราะคนยั ง โง ม าก ยั ง ไม ส มั ค ร จะเอาอย า งนี้ แ น น อน. ฉะนั้ น อยู ไ ปทํ า ไม, อยู ไ ปทํ า ไม, คิ ด ไป เพื่ อ มั น เลื่ อ นชั้ น ตัวเอง, เพื่อเลื่อนชั้นตัวเอง, ในที่สุดก็ไปที่จุดนั้น มันไมมีที่อื่น. นี่ขอให ใชอุ บ ายอั น นี้ เลื่ อ นชั้ น ตั ว เอง : อยูไปทําไม ? แลวมั นก็อ ยู ไปเพื่ อ อั น นั้ น แหละ ให ใ กล เข า ไป, พอไปถึ ง แล ว มั น ก็ ยั ง มี อี ก ก็ ไ ปอี ก , ก็ เลื่ อ น ไปอีก, ไปถึงแลวก็ยังมีอีก, ก็เลื่อนไปอีก มันก็ถึงจุดหมายปลายทาง. นี้เรียกวาพยายามที่ จะเรียน ก ข ก กา ของพระนิพพาน ด วยบทเรียน วา อยู ไ ปทํ า ไม. ถา อยู เพื ่อ กิน เพื ่อ เลน เพื ่อ หัว เพื ่อ กิน เหลา เมายารา เริง เต็ม ที่ อ ะไร อย า งนี้ ก็ อ ยู เพี ย งวั ฏ ฏสงสาร. แต ถ า ว า ยั งมี อ ะไรยิ่ ง กว า นั้ น ดี ก ว า นั้ น อยู ไปเพื่ อ สิ่ งนั้ น คื อ อะไร แล วก็ เรีย กว า ก ข ก กา ของพระนิ พ พาน. ไปเข าชั้ น เรีย น ก ข ก กา สํ า หรับ ไปพระนิ พ พานกั น ได ห รือ ยั ง ? ต อ งใช คํ า ว าได ห รือ ยั ง ? เพราะ บางคนยังไมเอานี่. ตองถามดูวาจะสมัครไปเขาเรียนชั้น ก ข ก กา ของพระนิพพานกันหรือยัง ?
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ าถามว ายากนั ก หรื อ ? ถ าเข าใจตามนี้ มั น ไม ย าก, มั น ไม ย ากนั ก มั น ตอ งอยู ใ นวิส ัย . ถา สิ ่ง นี ้อ ยู เ หนือ วิส ัย การตรัส รู ข องพระพุท ธเจา ก็เ ปน หมัน คํ า สั ่ง สอนของพระพุท ธเจา ก็เ ปน หมัน . เพราะวา สิ ่ง นี ้ไ มเ หลือ วิส ัย ; เพราะ ฉะนั้น คําสั่งสอนของพระพุทธเจาก็ไมเปนหมัน.
ก ข ก กา ของนิพพาน
๒๗๑
ก ข ก กา ของพระนิพพาน เรียนจากธรรมชาติภายใน. นี้ จะเรี ยน ก ข ก กา ของพระนิ พพานกั นที่ ไหน ? บางคนอาจจะตอบได แล ว ว าจะเรีย น ก ข ก กา ของพระนิ พ พานกั น ที่ ไหน บางคนอาจจะตอบได แ ล ว; เพราะเคยพูด กัน มามากแลว . ถา สรุป ความอีก ที วา ตอ งเรีย นจากธรรมชาติที่ เป น ภายใน แลวก็ตองเรีย นอยางวิท ยาศาสตร อยาเรีย นอย างปรัชญา, อยา เรี ย นอย า งวรรณคดี อั ก ษรศาสตร , มั น จะเตลิ ด เป ด เป ง ไปไหนก็ ไ ม รู . อย า เรี ย น อย างปรัชญา มั นจะเตลิ ดเป ดเป งเข ารกเข าพง, แต ต องเรียนอย างศาสนา คื อเรียน อย า งวิ ท ยาศาสตร , ต อ งมี ข องจริ ง มาเรี ย น แล ว ทํ า ไปตามลํ า ดั บ . มี ค วามทุ ก ข ที่ เบญจขั น ธ มาสํ า หรั บ เป น บทเรีย น แล ว ก็ เรี ย นให มั น เห็ น ชั ด ให มั น ก า วไปผ า นไป; นี ้ก ็ว า เรีย นอยา งวิท ยาศาสตร. เรีย นจากธรรมชาติ คือ ขัน ธทั ้ง ๕ นี ้เ ปน ธรรมชาติ แลว ก็อ ยู ภ ายใน ไมใ ชอ ยู ข า งนอก. ขัน ธไ หนเกิด ขึ ้น เมื ่อ ไรใหรู จ ัก , แล ว เรี ย นจากขั น ธ นั้ น นี่ เรี ย กว า เรี ย นจากธรรมชาติ เรี ย นจากข า งใน เรี ย นอย า ง วิธีวิทยาศาสตร อยาเรียนอยางปรัชญา จะเปนบา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทํ า ผิ ด วิ ธี มั น ก็ ก ลายเป น บ า ; แม แ ต ก ารปฏิ บั ติ ธ รรมะปฏิ บั ติ ศ าสนา ถ า ทํ า ผิ ด วิ ธี มั น ก็ เป น บ า ได เหมื อ นกั น , ยิ่ ง เรี ย นนี้ ยิ่ ง เป น บ า ได ง า ยกว า เพราะมั น เตลิดเปดเปงไดงาย ฟุงซานไดงาย, เรียนจนเปนบานี้เปนของธรรมดาที่สุด.
ฉะนั้ น ขอให เรี ย นจากธรรมชาติ เรี ย นจากข า งใน แล ว ในที่ สุ ด ก็ จ ะเห็ น ได ว า มั น มี ก ารเปลี่ ย นแปลงอย า งเป น ที่ น า พอใจ; แม ที่ สุ ด แต ค วามเชื่ อ ก อ นนี้ เรามี ศ รั ท ธาอย า งไร, เดี๋ ย วนี้ เรามี ศ รั ท ธาที่ สู ง ขึ้ น ไปอย า งไร. ก อ นนี้ ค วามเชื่ อ มั น
๒๗๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
งมงาย, เดี๋ ย วนี้ ศ รั ท ธาความเชื่ อ มั น ไม ง มงาย. ก อ นนี้ ศ รั ท ธาเชื่ อ ในพระพุ ท ธเจ า , เดี ๋ย วนี ้ก ็เ ปลี ่ย นศรัท ธาเปน เชื ่อ ตัว เองได. เชื ่อ ตัว เองได เชื ่อ ความเห็น แจง ของ ตัว เองได; นั ้น แหละคือ พระพุท ธเจา จริง . ปญ ญ าเห็น ธรรมะ ธรรมะนั ้น เปน พระพุท ธเจา , นั ้น เปน พระพุท ธเจา จริง ; เชื ่อ ธรรมะนั ้น เรีย กวา เชื ่อ ตัว เอง นี่มันเลื่อนขึ้นมาไดอยางนี้. ที แ รกมั น โง มั น ก็ เ ชื่ อ ตามคนอื่ น พู ด , ต อ มามั น ก็ ส มั ค รเชื่ อ พระพุ ท ธเจ า ตามตั ว หนั ง สื อ , ต อ มาก็ มี พ ระพุ ท ธเจ า จริ ง และเชื่ อ สติ ป ญ ญาของตั ว เองจริ ง ไมต อ งเชื ่อ พระพุท ธเจา . หรือ ถา พูด อีก ทีห นึ ่ง ก็ว า เชื ่อ พระพุท ธเจา ที ่จ ริง ที่ แทจ ริง ที ่ม ีอ ยู ใ นใจจริง ๆ; นี ่อ ยา งนี ้ด ีก วา เชื ่อ พระพุท ธเจา ที ่อ ยู ใ นพระคัม ภีร หรืออยูที่ไหนก็ไมรู. นี่ เรี ย กว า คนที่ เข า มาในขอบเขตนี้ มั น ก็ เป น ไปตามกฎเกณฑ ข องเรื่ อ ง ราวอั น นี้ ไ ม เ หลื อ วิ สั ย ไม ย ากเกิ น ไป. แต มั น ต อ งมี ก ารเปลี่ ย นแปลงบ า ง มี ก าร ทดสอบได อ ย า งหนึ่ ง ว า เดี๋ ย วนี้ โอชาแห งชี วิ ต , ออกจะเป น ศั พ ท แ สงที่ ป ระหลาด ๆ อยูหนอย วาโอชาแหงชีวิตไดเปลี่ยนไปอยางไร.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เมื่ อ ก อ นนี้ เราชอบอะไร สิ่ ง นั้ น เป น โอชาแห ง ชี วิ ต ในขณะนั้ น . เดี๋ ย วนี้ เราชอบอะไร เราบู ช าอะไร; นี ้ ค ื อ โอชาแห ง ชี ว ิ ต เดี ๋ ย วนี ้ . เมื ่ อ ก อ นนี้ ชอบกิ น แกง กิ น กั บ กิ น อาหาร มั น ก็ เ ป น โอชาแห ง ชี วิ ต ; เดี๋ ย วนี้ ช อบกิ น ธรรมะ ชอบกิ น พระธรรม มี พ ระธรรมเป น โอชาแห ง ชี วิ ต . โอชาแห ง ชี วิ ต มั น ก็ เ ปลี่ ย นแปลง, เปลี่ ย นจากกิ น กาม เกี ย รติ มาเป น ธรรมะ. ก อ นนี้ กิ น หรื อ กาม
ก ข ก กา ของนิพพาน
๒๗๓
หรือเกียรติ ที่ถูกอกถูกใจนั้นเปนโอชาแหงชีวิต. เดี๋ยวนี้ธรรมะคือความสงบเย็น หรือความสะอาด สวาง สงบ จากการรบกวนของกิเลสนี้เปนโอชาแหงชีวิต. เรื่ อ งนี้ ไ ด อ ธิ บ ายละเอี ย ดแล ว หลายครั้ ง หลายหนแล ว ; เมื่ อ พู ด ถึ ง เรื่องความสุ ข โดยเฉพาะในเรื่องวันมาฆบู ชา เทศน เรื่องความสุ ขก็ จะพู ดถึ งเรื่องนี้ ที่เปนโอชาสูงสุดของชีวิต. ไปทบทวนดูเองก็แลวกัน. นี่ มั นจะเปลี่ ยนแปลงมาก สุ นั ขที่ เคยกิ นอุ จจาระ เดี๋ ยวนี้ จะไม กิ นอุ จจาระ แล ว นี่ มั น จะเปลี่ ย นขนาดนี้ ; เคยเป น สุ นั ข ที่ กิ น อุ จ จาระ เดี๋ ย วนี้ จ ะไม กิ น อุ จ จาระ แล ว , หรื อ แม ที่ สุ ด แต ม ดที่ มั น เคยชอบกิ น น้ํ า ตาล เดี๋ ย วนี้ มั น จะไม กิ น น้ํ า ตาลแล ว มันจะกินสิ่งอื่นที่มันดีกวาน้ําตาลหรือสูงกวาน้ําตาล. นี่มาเขาโรงเรียน เรียน ก ข ก กา ของพระนิพพาน แลวมันจะตอง มี ก ารเปลี่ ย นแปลงอยางนี้ , เอาไม เอาก็ต ามใจ นี้ บอกไว เพื่ อ คิ ด ลวงหน า วามั น ตอ งเปน อยา งนี ้. เรีย นแลว ก็ไ ดป ระกาศนีย บัต รเหมือ นกัน ชั ้น ประถมหนึ ่ง พระพุทธเจาทานก็รับรอง ปาฏิโภโค แปลวา นายประกัน พระพุทธเจาเปนนาย ประกัน วาพระโสดาบันนี้จักตองนิพพานเปนแนนอน. ฉะนั้นขอใหกระเถิบเขามา กระเสื อกกระสนเข ามาจนกระทั่ งถึ งกระแสแห งพระนิ พ พาน, เรียน ก ข ก กา แห ง พระนิพ พานไดแ ลว . พระพุท ธเจา ทา นก็อ อกประกาศนีย บัต รให รับ รองใหว า ผูนี ้เ ที ่ย งแทต อ นิพ พาน ไมม ีก ารเวีย นกลับ อีก เปน ธรรมดา. อยา ทํา เลน มั น ไม ใ ช ข องเล น ไม ใ ช ข องเล็ ก น อ ย พระพุ ท ธเจ า ออกประกาศนี ย บั ต รให แ ก ผู ที่ เรียน ก ข ก กา ของพระนิพพานไดสําเร็จ วาจะเปนผูถึงนิพพานไดโดยแนนอน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๒๗๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
นี้ อาตมาเรียกว า ก ข ก กา ของพระนิ พพาน เป นคํ าอธิ บายส วนหนึ่ งของ ก ข ก กาแหงประมัตถธรรม ที่มันคูกันอยูกับ ก ข ก กา แห งศีลธรรม ซึ่งเป น เรื่อ งโลก, ก ข ก กา แหง ปรมัต ถธรรม มัน เปน เรื่อ งโลกุต ตระ; เรีย กให น าสนใจ ก็ เรีย กวา ก ข ก กา ของพระนิ พ พาน ที่ จ ะทํ าให ค นเราเกิ ด มาที ห นึ่ ง ไม เสี ยที ที่ เกิ ดมา คื อจะได รับ สิ่ งที่ ดี ที่ สุ ด ที่ มนุ ษ ย พึ งจะได รับ และโดยเฉพาะอย าง ยิ่งจากพระพุทธศาสนา. เอาละ, เปนอันวา การบรรยายเรื่อง ก ข ก กา แหงนิพพานนี้ มันมี อยูอยางนี้ แลวก็พอสมควรแกเวลาอยางนี้ ก็ตองขอยุติไวตามที่สมควรแกเวลา เพื่อ เปนโอกาสใหพระสงฆทานจะไดสวดคณสาธยายธรรม ที่เปนเครื่องกระตุนกําลังใจ ของบุคคลผูจะเรียน ก ข ก กา ของพระนิพพานไดอีกวาระหนึ่ง เอา นิมนตสวดได.
________________
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา - ๑๐ ๙ มีนาคม ๒๕๑๗
ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน.
ทานสาธุชน ผูมีความสนใจในธรรม ทั้งหลาย, การบรรยายประจํ าวั นเสาร ครั้งที่ ๑๐ แห งภาคมาฆบู ชานี้ ก็ ยั งจะได กล าว โดยหัวขอวา ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา ตอไปตามเดิม หากแตจะมีหัวขอ ยอยตามลําดับ อยางที่เคยมีมาแลว สําหรับในวันนี้วา ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org [ทบทวน. ]
ทานทั้งหลายจะตองทบทวน ใจความของเรื่องนี้ ที่ไดผานมาแลว ตามลํ าดั บ ว าเรากํ าลั งพู ดกั นถึ งเรื่อง ก ข ก กา มี ความหมายในข อที่ ว า เป นเรื่องที่ ต อ งตั้ ง ต น กั น ใหม , จะเป น การเรี ย นใหม , หรื อ จะเป น การทบทวนใหม , ก็ แ ล ว แต ว าบุ ค คลนั้ น จะเป น อย างไร. บางคนจะคิ ด ว าเป น ที่ น าละอาย ที่ จ ะต อ งมาทบทวน การเรี ย น ก ข ก กา กั น ใหม ถ าพู ด อย างนี้ มั น ก็ น าละอาย ทั้ งฝ า ยผู ส อนคื อ ผู พู ด และฝายผูฟงหรือผูเรียน. ผูเรียนตองมาเรียน ก ข ก กา กันใหม เขาก็ไมคอย
๒๗๕
๒๗๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
จะยอมและกระดาก ถึ งผู สอนถ าต องมาสอน ก ข ก กา กั นใหม มั นก็ น าจะละอายด วย เหมือ นกัน . แตเดี ๋ย วนี ้เ รื ่อ งมัน ไมเปน อยา งนั ้น คือ มัน มีค วามจํ า เปน ที ่จ ะตอ ง ทบทวน, หรือ เรีย นซ้ํ า สว นที ่เ ปน ก ข ก กา กัน ใหม; ดัง ที ่ไ ดข อรอ งทา น ทั้งหลายอยูแลวเปนประจํา วาอยาไดอิดหนาระอาใจ ที่จะตองทําอยางซ้ํา ๆ ซาก ๆ. ขอให นึ ก ดู ถึ ง สมั ย ที่ เราเรี ย น ก ข ก กา กั น จริ ง ๆ มั น ต อ งเรี ย นซ้ํ า ๆ ซาก ๆ ทั้ ง เช า ทั้ ง เย็ น วั น แล ว วั น เล า , ถู ก เขาตี กี่ ค รั้ ง กว า จะรู ห นั ง สื อ ในชั้ น ก ข ก กา นี ้ไ ปได. ถึง อยา งนั ้น เราก็ย ัง ทนได และเราไดเ คยทนมาแลว , เพราะทํ า กั น มาแล ว จนผ า นมาได . เดี๋ ย วนี้ มั น เป น เรื่ อ งเรี ย นธรรมะ แต ใ นขั้ น ต น มั น ก็ มี ลั ก ษณะอย า งเดี ย วกั บ ที่ ว า เรี ย น ก ข ก กา นั้ น เหมื อ นกั น ; ดั ง นั้ น จึ ง ได ใ ห ชื่ อ ว า ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา หรือ ก ข ก กา สําหรับพุทธบริษัท. ในชั้ น ที่ เป น ศี ลธรรม มันก็มี ก ข ก กา ไปแบบหนึ่ ง : รูจัก ให ท าน รูจักมี ศรัท ธา รักษาศีล ภาวนาไปตามเรื่อ ง นี้เรียกวา ก ข ก กา ในขั้นศีลธรรม. พอมาถึง ก ข ก กา ในขั้นปรมัตถธรรม ก็ตองรูจักศึกษาความจริงของสิ่งทั้ง ปวง คือ เรีย นรู เ รื ่อ งธาตุ เรื ่อ งอายตนะ เรื ่อ งขัน ธ เรื ่อ งอุป าทานขัน ธ เปน ตน ; ลว นแตเ ปน เรื ่อ งภายใน เปน เรื ่อ งเกี ่ย วกับ จิต ใจที ่ล ึก ซึ ้ง ทั ้ง นั ้น ; แต ก็ยั งคงเรียกวา ก ข ก กา คื อเป นของที่ เริ่มต น แล วก็เรียนต อไปจนกวาจะรูถึงที่ สุ ด. เราได ทบทวนกั นมาทุ ก ๆ ครั้ง ที่ มี การบรรยาย ให สนใจเป นพิ เศษ ให ละเอี ยดลออ อยาไดประมาท ในเรื่องที่เรียกวา ก ข ก กา นี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ในครั้งที่ แล วมาก็ไดพู ดถึ ง ก ข ก กา ของนิ พ พาน ก็ห มายความวา เป น เรื่ อ งที่ ต อ งเรี ย นในชั้ น แรก เพื่ อ การรู นิ พ พาน, ยุ ติ ล งที่ ว า การพยายาม
ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน
๒๗๗
ปฏิ บั ติ จนกระทั่ ง เป น พระโสดาบั น นี้ เรี ย กว า ก ข ก กา ของนิ พ พาน. และตั ว ก ข ก กา ของเรื่ อ งนี้ ก็ คื อ ธาตุ ทั้ งหลาย มี ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ล ม ธาตุ อากาศ ธาตุ วิ ญ ญาณ เป น ต น มี รายละเอี ยดดั งที่ พ ระผู สวด ได ส วดบทพระพุ ท ธภาษิต เกี่ยวกับเรื่องธาตุไปแลวเมื่อตะกี้นี้. ถ าเข าใจสิ่ งที่ เรีย กวา ธาตุ เป น ธาตุ ๆ ไป ก็ เหมื อ นกั บ ว าเราได เรีย น ตัว ก ตัว ข ตัว ค ตัว ง แลว ธาตุนี้ยังจะตองปรุงกันเขาเปนอายตนะ, อายตนะ นี้ ทํ า หน า ที่ แ ล ว ก็ ยั ง จะปรุ ง กั น ขึ้ น เป น ขั น ธ เป น รู ป เวทนา สั ญ ญา สั ง ขาร วิญ ญาณ, ถา เผลอไปมีอ ุป าทาน ก็เ กิด เปน อุป าทานขัน ธแ ละเปน ตัว ทุก ข. มั น ก็ เหมื อ นกั บ ว า แจกลู ก ขึ้ น ไปตามลํ าดั บ กะ กา กิ กี ขะ ขา ขิ ขี จนกว าจะ ครบถ ว น. การเรี ย น ก ข ก กา ของนิ พ พาน ก็ ต อ งเรีย นเรื่อ งธาตุ เรื่ อ งอายตนะ เรื่ อ งขั น ธ อย างนี้ เอง, ที่ จ ะเรี ย นให ล ะเอี ย ดออกไป มี ส ระครบถ วนแล ว ยั งจะต อ ง ผันดวยไมวรรณยุกต ไมเอก ไมโท ไมตรี จัตวาอะไรไปตามเรื่อง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เช นเรารู เรื่ องธาตุ ก็ จะต องรู ในหลาย ๆ ลั กษณะ ตามที่ จะรู ได อย างไร, เชน รู ว า ธาตุ เชน ธาตุด ิน เปน ตน นี ้ม ีล ัก ษณะอยา งไร, และประเภทของธาตุนี้ จะแจกไปได กี่ ป ระเภท และว า สมุ ฏ ฐานของธาตุ นี้ ไ ด แ ก อ ะไร, เพราะมี อ ะไรเป น สมุ ฏ ฐาน ธาตุ นี้ จึ ง เกิ ด ขึ้ น และตั้ ง อยู . หรื อ จะเรี ย กว า มี อ ะไรเป น สมุ ทั ย ของธาตุ นี ้, คือ วา ธาตุนี ้ม ัน จะงอกงามขึ ้น มาไดอ ยา งไร ดว ยอาศัย อะไร แลว อะไรเปน อัตถังคมะ เปนนิโรธะของธาตุนั้น ๆ.
อัตถังคมะ อยางที่เราเรียกในภาษาไทยวา อัสดง นี้คือดับไปชั่วขณะ ๆ ตามวาระ เหมื อนพระอาทิ ตย ดั บในตอนเย็ น รุงขึ้ น ก็ โผล หน ามาอี ก แล วก็ มี อั ส ดง
๒๗๘
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
อีก อัตถังคมะหรืออัสดงนี้ หมายความวา มันดับชั่วคราวตามวาระ. สวนนิโรธะ ที ่แ ทจ ริง นั ้น หมายถึง ดับ สนิท ไมม ีเ หลือ ; สว นใดดับ ไป สว นนั ้น ก็ด ับ สนิท ไมมีเหลือ ไมผลุบ ๆ โผล ๆ เหมือนกับดวงอาทิตย. นี้ ก็ ต อ งรู ว า ธาตุ นี้ มั น มี ก ารอั ส ดง คื อ ดั บ ชั่ ว คราวอย า งไร, มี ก ารดั บ โดยสนิ ท อย างไร, แล วก็ ยั งรู ว าธาตุ นี้ มี อั ส สาทะ คื อเสน ห ที่ ห ลอกให คนหลงอย างไร, แล ว ธาตุ นี้ มี อ าที น วะ คื อ พิ ษ อั น ร า ยกาจที่ มั น ซ อ นไว ใ ต เสน ห สํ า หรั บ ทํ า อั น ตราย คนนั้ น มี อ ยู อ ย า งไร, และในที่ สุ ด ก็ รู ว า นิ ส สรณะคื อ อุ บ ายที่ จ ะออกพ น ไปเสี ย ได จากโทษทุกขทั้งหลายที่เกี่ยวกับธาตุนั้น มีอยูอยางไร. ก็ ล องคิ ด ดู ใ ห ดี ว า การที่ จ ะรู อ ะไรสั ก อย า งหนึ่ ง ให ถู ก ต อ งครบถ ว น บริ บู ร ณ และมี ป ระโยชน ใ นการดั บ ทุ ก ข นั้ น มั น มี แ ง มี มุ ม ต า ง ๆ ที่ จ ะต อ งรู อย า ง นอ ยก็อ ยา งที ่ว า มาแลว . ทบทวนอีก ทีห นึ ่ง ก็ว า รู ว า มัน มีล ัก ษณะอยา งไร, มัน มี ป ระเภท คื อ จะจํ า แนกแจกแจงออกไปได กี่ อ ย า งกี่ พ วก, มั น มี ส มุ ฏ ฐานคื อ ที่ ตั้ ง , แล ว มั น มี ส มุ ทั ย คื อ ที่ เจริ ญ งอกงามขึ้ น มาอย า งไร, มั น จะอั ส ดงหรื อ มั น จะนิ โ รธ ดว ยลัก ษณะอยา งไร, มัน มีเ สนห ห ลอกลวง และมีโ ทษทุก ขที ่ซ อ นไว สํ า หรับ ทํ าอั น ตรายนั้ น อย างไร, และข อ สุ ด ท ายก็ คื อ อุ บ ายที่ เราจะเอาชนะ หรือ อยู เหนื อ สิ่ง ๆ นั้นไดอยางไร.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ในเรื่ อ งธาตุ จ ะมี กี่ ธ าตุ มั น ก็ ต อ งรู ค รบโดยอาการเหล า นั้ น , อายตนะ ก็เ หมือ นกัน ตอ งรู จ ัก อาตนะนั ้น ๆ ครบโดยอาการเหลา นี ้, เมื ่อ ปรุง ขึ ้น เปน ขัน ธ ก็ต อ งรู ค รบโดยอาการเหลา นี ้, ยิ ่ง เมื ่อ เปน อุป าทานขัน ธ ก็ยิ ่ง จะตอ งรู ใ หช ัด เจน ยิ่ ง ๆ ขึ้ น ไปอี ก , จึ ง จะเรี ย กว า เป น ผู รู ก ข ก กา ของนิ พ พาน ก็ รู แ จกลู ก ขึ้ น มา
ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน
๒๗๙
ตามลํ า ดั บ แล ว ก็ รูผั น ไปตามวรรณยุ ก ต ต า ง ๆ จนครบถ ว นทุ ก อย า งทุ ก แงทุ ก มุ ม นี้เรียกวา รู ก ข ก กา ของพระนิพพาน กันในลักษณะอยางนี้. คํ าอธิ บ ายในหลาย ๆ ครั้ งมาแล ว ก็ ล วนแต อ ธิ บ ายเรื่ อ งอย างนี้ ทั้ งนั้ น . สวนในวัน นี้ จ ะได ก ล าวถึ งลั ก ษณะของผู รู ก ข ก กา ของนิ พ พาน ต อ จากครั้งที่ แล ว มา. ในครั้ง ที่ แ ล ว มาเรี ย กว า เรื่ อ ง ก ข ก กา ของนิ พ พาน. ส ว นในวั น นี้ เรี ย ก วา เรื่อ งผู รู ก ข ก กา ของนิ พ พาน. ผู ที่ รู ก ข ก กา ของนิ พ พานโดยแท จ ริง นั้น มีเรื่องราวอะไรที่นาสนใจบาง ก็จะไดพูดกันวันนี้. ในครั้งที่แลวมา เมื่อพูด ก ข ก กา ของนิ พพาน ก็ไดแสดงใหเห็นชัด แลว วา ไดแ กก ารปฏิบ ัต ิเ พื ่อ ความเปน พระโสดาบัน , ปุถุช นเหมือ นกับ คน ตาบอด คนไม รู ห นั ง สื อ , แล ว ก็ จ ะเริ่ ม เรี ย นหนั ง สื อ เรื่ อ งนิ พ พาน. การลงมื อ เรี ย น ก็ค ือ การปฏิบ ัต ิเพื ่อ ความเปน พระโสดาบัน . ความเปน พระโสดาบัน นั ่น แหละ เปน เบื ้อ งตน เปน เงื่อ นตน ของการบรรลุน ิพ พาน; เพราะวา ถา ถึง พระโสดาปตติมรรคปตติผล ก็คือแนนอนวาจะตองถึงนิพพาน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org [ เริ่มการบรรยายครั้งนี้. ]
ที นี้ จ ะได ดู กั น ให ล ะเอี ย ด ถึ ง ตั ว ผู รู ก ข ก กา นั้ น โดยเปรี ย บเที ย บ กัน วา ปุถ ุช นไมรู เ ลย, พระโสดาบัน ก็เ ริ ่ม ลืม ตา, แลว ตอ ไปจากนั ้น ก็ล ืม ตา มากขึ้น จนเปนพระอรหันต ก็คือรูถึงที่สุด.
๒๘๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
อริยบุคคลรูเรื่องเดียวกัน แตตางระดับ. ในตอนนี้ มี ข อ ที่ จ ะต อ งทราบเป น หลั ก ทั่ ว ไปหรื อ เป น พื้ น ฐานเสี ย ก อ นว า จะเป น พระโสดาบั น ก็ ต าม พระสกิ ท าคามี อนาคามี หรื อ พระอรหั น ต ก็ ต าม เรื ่ อ ง ที ่ ท า น จ ะ ต อ ง รู นั ้ น มั น เ ห มื อ น กั น ห ม ด ; แ ต ว า มั น รู ไ ด ม า ก น อ ย กวากัน จนถึงกับเกิดการเปลี่ยนแปลงมากนอยกวากัน. เปน พระโสดาบัน ก็รู แตไ มรู ถ ึง ขนาดที ่จ ะหลุด พน ได; ขอ นี ้ม ีพ ระ บาลีชัดเจนอยูแลววา ยถา ภูตํ ปชานาติ - พระโสดาบันยอมรูชัดตามที่เปนจริง ซึ่ง สมุ ทั ย เป น ต น ของป ญ จุ ป าทานขั น ธ . พระโสดาบั น รู ชั ด ธรรมชาติ สั ง ขารธรรม เหล านั้ น ; แต ส วนพระอรหั น ต นั้ น มี พ ระบาลี ขยายความต อ ไปว า ยถาภู ตํ วิ ทิ ตฺ ว า อนุปาทา วิมุตฺโต โหติ คือรูแจงตามที่เปนจริงอยางนั้นแลว เปนผูหลุดพนแลว เพราะไมยึดมั่นดวยอุปาทาน, มันเปนเรื่องที่ตอกันไป พระโสดาบัน นั้นมีลักษณะ วา ยอ มรูชัด ซึ ่ง ธรรมนั ้น ๆ ตามที ่เปน จริง , สว นพระอรหัน ตนั้น มีพ ระบาลีวา ครั้น รูแ จง ซึ่ง ธรรมนั้น ๆ ตามที่เ ปน จริง แลว ยอ มเปน ผูห ลุด พน เพราะไม ถือมั่นดวยอุปาทาน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ข อ นี้ ห มายความว า สิ่ งที่ รู นั้ น คื อ สิ่ ง ๆ เดี ย วกั น ; โดยเฉพาะอย างยิ่ ง ก็ เรื่ อ งขั น ธ หรื อ เรื่ อ งป ญ จุ ป าทานขั น ธ เป น ส ว นใหญ ว า มี ส มุ ทั ย อย า งไร. มี นิ โ รธ อยา งไร, มีท างที ่จ ะใหถ ึง ความดับ นั ้น ไดอ ยา งไร. พระโสดาบัน เปน แตผู รู แ จง ในแนวธรรมหรื อ กระแสแห ง ธรรม หรื อ ความจริ ง นั้ น ๆ ว า มี อ ยู อ ย า งไร, เรี ย กว า ดวงตาเห็ น ธรรม พอที่ จ ะเป น เครื่ อ งรั บ ประกั น ได ว า จะไม เ ดิ น ผิ ด ทางอี ก ต อ ไป. แต ว า ความรู ข องท า นั้ น ยั ง ไม เพี ย งพอ ถึ ง กั บ จะทํ า ให จิ ต ใจเกิ ด การเปลี่ ย นแปลง
ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน
๒๘๑
อยา งใหญห ลวง; เพราะฉะนั ้น การรู ข องทา นนั ้น จึง เปน แตเ พีย งการบรรลุ ความเปน พระโสดาบัน . ครั ้ง ตอ มาความรู นั ้น ไดเ จริญ แจม แจง ตอ ไปอีก แทนที่ จ ะเป น ปชานาติ ก็ ก ลายเป น วิ ทิ ตฺ ว า, รูแ จ ง ยิ่ ง ขึ้ น ไปอี ก ตามที่ เป น จริง , ผลแห งความรูแ จ งนั้ น มี ม ากพอ ถึ งกั บ ทํ าให เกิ ด การเปลี่ ย นแปลงในทางใจ คื อ จิตหลุดพน ไมยึดมั่นถือมั่น สิ่งใดอีกตอไป. นี้ แ หละคื อ เรื่ อ งที่ จ ะต อ งทํ า ความเข าใจกั น ไว ในฐานะเป น หลั ก พื้ น ฐาน ซึ่ ง อาตมาจะต อ งเรี ย กว า ก ข ก กา ต อ ไปอี ก ตามเดิ ม ; แต ว า คนบางคนหรื อ คน ส ว นมาก คงจะไม เ ห็ น ด ว ย คื อ ไม ย อมให เ รี ย กความรู อ ย า งนี้ ว า ก ข ก กา. แต อาตมาขอยืน ยัน วา มัน เปน เรื ่อ งแรกของการที ่จ ะบรรลุน ิพ พาน, เปน เรื ่อ งแรก ที ่ส ุด จึง เรีย กวา ก ข ก กา ของนิพ พาน, จนถึง กับ จัด พระโสดาบัน ใหเปน ผูรู ก ข ก กา ของพระนิพพานเทานั้น. พระโสดาบั น เป น ผู รู ก ข ก กา ของพระนิ พ พาน, ฟ ง ดู ให ดี ; เพราะ มี ท างที่ จ ะเข า ใจผิ ด ได . ส ว นบุ ถุ ช นคนธรรมดานั้ น ยั ง ไม รู ก ข ก กา ของพระนิ พ พานเลย, มั น เหมื อ นกั บ คนตาบอด คนตามองอะไรไม เห็ น ไม ป ระสี ป ระสาใน เรื่อ ง อนิ จ จั ง ทุ ก ขั ง อนั ต ตา ของสิ่ งทั้ ง หลายทั้ ง ปวง. ถ า เริ่ ม มองเห็ น สิ่ ง ทั้ ง ปวง โดยความเป น อนิ จ จั ง ทุ ก ขั ง อนั ต ตา ว ามั น เป น อย างอื่ น ไม ได มั น แน น อนลง ไปอยางนี้ ก็เป น จุด เริ่ม ต น ที่ จะละจากความเป น บุ ถุชน ขึ้นมาสูความเปนพระอริยเจา และเปนอันดับแรก คือพระโสดาบัน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org มั น ต อ กั น อยู กั บ เรื่ อ งของบุ ถุ ช น จั ด บุ ถุ ช นไว เสี ย โลกหนึ่ งหรื อ ฟากหนึ่ ง ; อี ก ฟากหนึ่ งก็ เป น เรื่อ งของพระอริย เจ า , แล ว ก็ ตั้ ง ต น เรื่ อ ง ก ข ก กา ฝ า ยพระ-
๒๘๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
อริ ย เจ า กั น ตรงที ่ ค วามเป น พระโสดาบั น . ฉะนั ้ น ผู ที ่ ค วรจะได น ามว า รู ก ข ก กา ของพระนิ พ พานถึ ง ขนาดแล ว นั้ น ก็ ไ ด แ ก พ ระโสดาบั น ; แม ว า ความรูนั้นยังไมมากพอ ถึงกับจะทําใหจิตนี้หลุดพนจากสิ่งทั้งปวงโดยสิ้นเชิงได. นี้ ก็ เป น พระพุ ท ธภาษิ ต ที่ ต รั ส ไว เป น หลั ก สํ าหรั บ ที่ จ ะต อ งกํ าหนดจดจํ า ให ดี มิ ฉ ะนั้ น แล ว จะเกิ ด ความสั บ สนปนเปกั น ไปหมด, หรื อ ถึ ง กั บ เกิ ด ความท อ แท ไม อ ยากจะศึ กษาอี ก ต อ ไปก็ ได , เพราะมั น ยุ งยากฟ น เฝ อ นั ก อย างว าพระโสดาบั น ก็รู อนิจ จัง ทุก ขัง อนัต ตา หรือ รู อ ริย สัจ จ. พระอรหัน ตก ็รูอ นิจ จัง ทุก ขัง อนัต ตา หรือ รู อ ริย สัจ จ. สิ ่ง ที ่ต อ งเรีย นตอ งรู เ หมือ นกัน แลว ทํ า ไมมาบรรลุ ธรรมตางกัน ในระดับที่ตางกัน อยางนี้เปนตน. เดี๋ ย วนี้ ได แ นะให พิ จ ารณาดู ให ล ะเอี ย ดว า มั น อยู ที่ ต รงนี้ คื อ ว า รู เรื่ อ ง เดีย วกัน , รู อ ยา งเดีย วกัน แตม ัน ยัง ไมเ ทา กัน , คือ ในชั ้น ตน มัน ยัง ไมม ากพอ ที่ จ ะทํ า ให เกิ ด การเปลี่ ย นแปลงทางจิ ต ใจ. อย างเดี๋ ย วนี้ เราก็ เรี ย นจากตํ า รา ท อ งได จํ า ได พูด ก็ไ ด สอนก็ไ ด เทศนก ็ไ ด; แตแ ลว ก็ย ัง ไมรู ว า รู สิ ่ง นั ้น ตามที ่เ ปน จริง . นี่ ก็ เพราะว ามั น ไปจํ าเขามา โดยที่ อยากจะดี บ าง, อยากจะเก งบ าง, แต ในจิ ต ใจนั้ น ไม ไ ด รู โ ดยธรรมชาติ หรื อ ว า รู ด ว ยจิ ต ใจที่ เ ข า ถึ ง ตั ว ธรรมชาติ นั้ น ๆ. มั น จึ ง ต อ ง เขยิ บ ต อ ไปว าจะลงมื อ ตั้ งต น รู จั ก สิ่ งทั้ งหลายทั้ งปวงรอบตั วเรา ให ลึ ก ซึ้ งถึ งขนาด ที่เรียกวา รูดวยจิตใจของเรา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ แหละได เปรี ย บเที ยบให เห็ น ว า มั น ต างกั น อย างไร ในระหว าง ๒ ฝ าย คือ ฝา ยพระโสดาบัน ซึ ่ง เปน เพีย งผู รู ก ข ก กา ของพระนิพ พาน; สว น พระอรหันตนั้นเปนผูรูพระนิพพาน โดยสมบูรณ พนจากความเปน ก ข ก กา
ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน
๒๘๓
ไปแล ว . ถ า ผู ใ ดฟ ง เข า ใจ ก็ จ ะเกิ ด ความกล า หาญ แน ใ จเพี ย งพอที่ จ ะมี ค วาม สํ า นึก วา เรื ่อ งการบรรลุม รรค ผล นิพ พาน นั ้น ไมเ หลือ วิส ัย ; และโดย เฉพาะอย า งยิ่ ง ความเป น พระโสดาบั น นั้ น ไม เหลื อ วิ สั ย เพราะมั น เป น เพี ย งการ เริ่มตน ลงมือเรียน ก ข ก กา ของนิพพาน. เรื่อ งที่ จ ะพู ด กั น โดยละเอี ย ดในวั น นี้ ก็ คื อ เรื่ อ งตอนนี้ คื อ เรื่อ งลั ก ษณะ ของพระโสดาบันที่จะเริ่มรูจัก ก ข ก กา ของพระนิพพานนั้น วาเปนอยางไร. เราควรจะทํ า ความเขา ใจเรื่อ งเกี ่ย วกับ คํ า วา รูห รือ ผู รูนี ้ ใหม ัน เปน ขั ้น ๆ ตอน ๆ ไป ใหม ัน แนช ัด ; เชน วา กํ า ลัง รู อ ยู กํ า ลัง เริ ่ม รู หรือ กํ า ลัง รูอยู ยังไมถึงขนาด แลวก็รูถึงขนาด แลวก็รูเสร็จแลว. รู อ ยู คือ ยัง รู ไ มเ สร็จ , รู ไ มถ ึง ที ่ส ุด รู ไ มจ บ รู ไ มมั ่น คง รู ไ มร ุน แรง จนถึง กับ เปลี ่ย นนิส ัย ได; ฉะนั ้น คํ า วา รู อ ยู กับ รู แ ลว นี ้ม ัน ตา งกัน มาก. ทีนี้ รู อ ยู ยัง ไมถ ึง ขนาด มัน ก็ไ มพ อที ่จ ะมีค วามเปลี ่ย นแปลง; ถา รู ถ ึง ขนาด มัน ก็เรีย กวา พอจะเพีย งพอได; แตม ัน ยัง ไมแ นน อน วา คนนั ้น มัน จะรัก ษาไว ใหยืดยาวถึงที่สุดจริง ๆ ไดหรือไม คือใหถึงขนาดที่เรียกวา รูเสร็จแลวไดหรือไม ?
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ าว าที่ จ ริ ง บุ ถุ ช นเรานี้ ถ าเป น บุ ถุ ช นชั้ น ดี คื อ อย า เป น บุ ถุ ช นที่ เลวเกิ น ไปแล ว ในบางครั้ง บางคราวก็ มี ค วามรู เหมื อ นกั น รูเรื่อ ง อนิ จ จั ง ทุ ก ขั ง อนั ต ตา บ า งไม ม ากก็ น อ ย, นี้ เรีย กว า รูเหมื อ นกั น เป น ส ว นน อ ยนี้ ก็ เรี ย กว า ยั ง ไม ถึ งขนาด คื อยั งไม ถึ งขนาดที่ จะเปลี่ ยนแปลงจิ ตใจเดิ มได . จิ ตใจเดิ ม ๆ ของบุ ถุ ชนเป นอย างไร มั น ไม เปลี่ ย นแปลงได เพราะรู ไ ม ถึ ง ขนาด; ครั้ ง รู ถึ ง ขนาด มั น จะเปลี่ ย นแปลง.
๒๘๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ถ า เป น พระโสดาบั น ก็ เรี ย กว า รู จ ริ ง รู ถึ ง ขนาด จนถึ ง กั บ เปลี่ ย น แปลงภาวะเดิม ๆ ของจิต ใจ, คือ เปลี ่ย นแปลงสัน ดานเดิม ๆ นั ้น ได; แมไ ม ทั ้ง หมด มัน ก็เ ปลี ่ย นไดใ นบางสว น. แตโ ดยเหตุที ่รู จ ริง และรู ถ ึง ขน าดนั ่น แหละ การเปลี่ ย นนั้ น จึ ง เปลี่ ย นจริ ง ; ไม ใช เปลี่ ย นกลั บ ไปกลั บ มา แม ไม เปลี่ ย น หมดก็ ต ามเถอะ. แต ถ า ส ว นใดเปลี่ ย นได , ส ว นนั้ น ก็ เ ปลี่ ย นจริ ง คื อ ไม ก ลั บ ไป กลั บ มาอี ก . อย างที่ เรีย กวา พระโสดาบั น ละสั ก กายทิ ฏ ฐิ วิจิ กิ จ ฉา สี ลั พ พั ต ตปรามาส ได เพี ยง ๓ อย างเท านั้ น, แต ท านก็ ละได จริ ง เพราะรูถึ งขนาดที่ จะทํ าลาย สั ง โยชน ๓ ประการนี้ ไ ด จ ริ ง . มั น จึ ง เป น ความรู ที่ ถึ ง ขนาดที่ จ ะเปลี่ ย นแปลงนิ สั ย สัน ดานจิต ใจ ในสว นแรกนี ้ไ ด อยา งนี ้เ ปน ตน . เรีย กวา ลัก ษณ ะของผู รู มัน ก็ ยังมีอยูหลายชั้น หลายระดับอยางนี้.
องคแหงของการบรรลุพระโสดาบัน. ที นี้ จ ะดู กั น ต อ ไปให ล ะเอี ย ด โดยเฉพาะที่ ผู รู ก ข ก กา ของนิ พ พาน กล า วคื อ พระโสดาบั น นั้ น เรื่ อ งเกี่ ย วกั บ พระโสดาบั น นี้ ก็ มี ต รั ส ไว ม ากมาย, อย างไร เรียกวาเป นพระโสดาบั น นี้ ก็ ตรัสไวมากมาย เรียกว า โสตาป ตติ ยั งคะ แปลว า องค แหงการบรรลุความเปนพระโสดาบัน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org องค แ ห ง ความเป น พระโสดาบั น นี้ มี ม าก และที่ เราได ยิ น ได ฟ ง กั น อยู บ อ ย ๆ นั้ น ๆ ก็ เช น ว า : เป น ผู มี ศ รั ท ธา ไม ห วั่ น ไหวเปลี่ ย นแปลงอี ก ต อ ไปใน พระพุ ท ธเจ า ๑, ในพระธรรม ๑, ในพระสงฆ ๑, แล วก็ มี อ ริย กั น ตศี ล คื อ ศี ล
ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน
๒๘๕
ที่ เป น ที่ พ อใจของพระอริย เจา อี ก ๑, รวมเป น ๔ องค ๔ นี้ เป น องค แ ห งพระโสดาบัน. มีศ รัท ธาไมห วั ่น ไหวเปลี ่ย นแปลงในพระพุท ธเจา อีก ตอ ไป นี ้ก็ หมายความว า พระโสดาบั น ต อ งรู จั ก พระพุ ท ธเจ า จริ ง ๆ ถึ ง ขนาดนั้ น . ที่ ว า รู จั ก พระพุทธเจาจริง ก็ตองรูคุณธรรมที่ทําความเปนพระพุทธเจา เชน ความหมด กิ เลสโดยสิ้ น เชิ งของพระพุ ทธเจ า, ความไม มี ทุ ก ข เลยของพระพุ ทธเจ า, พระโสดาบั น รูจั ก พระพุ ท ธเจ า จริ ง ถึ ง ขนาดนี้ จึ ง มี ศ รั ท ธาไม ห วั่ น ไหวหรื อ ไม เปลี่ ย นแปลงใน พระพุทธเจาอีกตอไป. สํ า หรับ พระธรรมนั ้น พระโสดาบัน รู สิ ่ง ที ่เ รีย กวา พระธรรม วา จะเปน เครื่อ งนํ า สัต วอ อกจากทุก ขไ ดจ ริง , เห็น ชัด อยู อ ยา งนั ้น จริง ๆ. นี ้จ ึง จะ เรี ย กว า รู จั ก พระธรรมจริ ง ๆ จึ ง มี ศ รั ท ธาในพระธรรม อย า งที่ เปลี่ ย นแปลงไม ไ ด อีกตอไป.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สํ า ห รับ พ ระส งฆ พ ระโส ด าบัน ก็รู ว า พ ระ ส งฆนั ้น เปน ผู ที่ ปฏิ บั ติ ได อ ย า งนั้ น จริ ง ไม ใ ช ค นโลเลเหลวไหล, และว าพระสงฆ นี้ เป น เครื่อ ง พิ สู จ น ว า ธรรมะนี้ ไม เหลื อ วิ สั ย , และพระสงฆ นี้ เป น บุ ค คลจะหาได ในโลก, ก็ เลย มี ค วามเชื่ อ หรื อมี ศ รัท ธา ในความเป น พระสงฆ ว ามี อ ยู จริ ง แล วก็ น าเลื่ อ มใสจริง, และพยายามปฏิ บั ติ เพื่ อ ความเป น พระสงฆ นั้ นด วย ก็ เลยเรียกวา มี ศรัทธาในพระสงฆจริง ๆ.
นี่ ปุ ถุ ช นคนไหน ที่ มี ศ รั ท ธาในพระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ อย า งนี้ . ถามีอยางนี้มันก็ไมเปนปุถุชน ก็เลยจากความเปนบุถุชน คือเปนพระโสดาบัน.
๒๘๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
คนที่มีศรัทธาอยางนี้ ยอมจะมี ศีลดีถึงขนาดที่ เรียกวา อริยกัน ตศี ล คือ ศี ลเป น ที่ พ อใจของพระอริย เจ า เป นศีลที่ไม ตลบแตลง, เปน ศีลที่กลับกลอก ไม ได ว า เป น ศี ล ที่ ม าจากป ญ ญา ที่ รูจั ก อนิ จ จั ง ทุ ก ขั ง อนั ต ตา มั น ก็ เลยล วงศี ล ไมได. ถ า บุ ถุ ช นคนพาลหรื อ คนธรรมดานั้ น มี ศี ล ไม ไ ด จะมี ศี ล ให ไ ด ก็ ต อ ง ตั้ งอกตั้ งใจ ที่ จ ะรั กษาศี ล ตามสิ ก ขาบท มั น ก็ เลยเป น การต อ สู ฮึ ด ฮั ด อึ ด อั ด กั น ไป ตามเรื่ อ ง ที่ เพี ย งแต จ ะรั ก ษาอั น นี้ ไ ว ใ ห ไ ด ; เพราะว า มิ ไ ด มี ป ญ ญามาช ว ยให มั น งา ยขึ ้น แตถ า ผู ที ่เ ปน พระโสดาบัน มีป ญ ญาเห็น อนิจ จัง ทุก ขัง อนัต ตาหรือ เห็ น ธรรมะอย างอื่ น ๆ ของสั งขารทั้ งหลายทั้ งปวง มั น ก็ เกิ ด ความไม ยึ ด ถื อ ในบาง สิ่ งบางอย าง ในบางระดั บ ซึ่ งเป นเหตุ ให กิ เลสถอยกํ าลั งอยู แล ว. ฉะนั้ น การรั กษา ศีลจึงเปนไปไดงาย และเปนไปไดโดยบริสุทธิ์ผุดผอง ไมดางไมพรอย, ถึงขนาด ที่เรียกวา ศีลที่พระอริยเจาพอใจ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ ศี ล ของคนธรรมดา ต อ งอาศั ย เจตนา; ส ว นศี ล ของพระอริ ย เจ า ท า นอาศั ย ป ญ ญา รากฐานจึ ง มั่ น คงกว า กั น มาก. ฉะนั้ น เมื่ อ ท า นผู ใ ดจะมี ศี ล อย างพระโสดาบั น มี ก็ จงพิ จารณาในทางป ญ ญาให ม าก กระทั่ งเกิ ด ความรูสึ กจาง คลาย ในความยึ ดมั่ น ถื อมั่ น ในสิ่ งที่ เป น เหยื่ อ ของกิ เลสเหล านั้ น . อย างนี้ อ ยู เฉย ๆ มั น ก็ ไ ม มี ท างจะขาดศี ล , แล ว คิ ด ดู ซิ ว า จิ ต ใจมั น สู ง ถึ ง ขนาดที่ จ ะไม ไปหลงใหล ในเรื่อ งเอร็ด อรอ ย สวยงาม สนุ ก สนาน เป น ที่ ตั้ งของกิ เลส อย า งนี้ มั น ก็ จ ะทํ า ให อยู เ ฉย ไมอ ยากจะไปลว งศีล . แตค นโงที ่ย ัง หลงใหล ในเรื ่อ งสวย เรื ่อ งงาม เรื่ อ งเอร็ ด อร อ ย เรื่ อ งต อ งการอะไรต า ง ๆ มากมายอย า งนี้ เมื่ อ ไม ได มั น ก็ ต อ งไป เอามา โดยยอมขาดศีล ไมนึกถึงศีล.
ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน
๒๘๗
เพี ย งแต ศี ล มั น ก็ ผิ ด อย า งนี้ เสี ย แล ว ว า พระอริ ย เจ า มี ศี ล ได ด ว ยเหตุ อะไร, ด ว ยสมุ ฏ ฐานอะไร. แล ว บุ ถุ ช นจะมี ศี ล ได ด ว ยสมุ ฏ ฐานอะไร, ฉะนั้ น ถ า ยั ง จะต องมี อ ะไรบั งคั บ มี อ ะไรชั ก จู ง มี ค นมาจ างให รั ก ษาศี ล หรือ มี อ ะไรมาขู ให ก ลั ว สําหรับจะรักษาศีล; อยางนี้ก็ตองเปนศีลของบุถุชนไปกอน. ถาจิตใจสูงถึงขนาดที่ไมตกเปนทาสของกิเลส เพราะมีปญญาเพียง พอแลว มัน ก็เ ปน ศีล ขึ ้น มาโดยอัต โนมัต ิ, เปน ศีล ที ่ไ มต อ งอาศัย เจตนา แต อาศั ย ป ญ ญา. ถ า ยั ง อาศั ย เจตนาอยู มั น ก็ ยั ง ล ม ลุ ก คลุ ก คลานอยู ; เหมื อ นกั บ ที่ วา คนบุถ ุช นธรรมดารัก ษาศีล จนตาย ก็ไ มเ คยมีศ ีล บริส ุท ธิ ์ผ ุด ผอ งได. ถา เปน พระอริย เจา อาศัย สติป ญ ญา มัน อยู เหนือ เจตนา มัน บัง คับ ไวไ ดด ว ยปญ ญา, ก็เ ลยมีศีล ได โดยแทบวา ไมตอ งรัก ษาศีล , ไมตอ งตั้ง ใจจะรัก ษาศีล , มัน ก็ มี ศี ลเสี ยได ด วยอํ านาของป ญ ญา คื อความคิ ดมั นไม เป นไปในทางที่ จะไปฆ า ไปลั ก ไปทําใหมันผิดศีล อยางใดอยางหนึ่ง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ า พู ด ด วยภาษาธรรมดาให ฟ งง า ยกว า นี้ ก็ เรี ย กว า คนมั น ดี เสี ย แล ว , คนมั น ดี ถึ ง ขนาดที่ จ ะทํ า อย า งนั้ น ไม ไ ด อี ก , มั น ดี เกิ น กว า ที่ จ ะไปทํ า ผิ ด อย า งนั้ น เสี ย แล ว , นี่ คื อ พระอริ จ เจ า . ถ า เป น บุ ถุ ช นมั น ไม ถึ ง ขนาดนั้ น มั น ต อ งระวั ง กั น เรื่ อ ยไป, มั น ต อ งคอยห า มปราม, ควบคุ ม อยู เรื่อ ยไป, ต อ งผู ก ต อ งล า มต อ งคอย กระตุกอยูเรื่อยไป มันก็ยังเอาไวไมคอยจะอยู. ฉะนั้นพระโสดาบั น เป น ผูมี อริยกัน ตศีล เพราะวาละ สักกายทิ ฏ ฐิ วิจ ิก ิจ ฉา สีล ัพ พัต ตปรามาสได. ไมไ ปหลงในเหยื ่อ ตา ง ๆ ในโลกนี ้ ซึ ่ง เปน เหตุใหคนเราผิดศีล.
๒๘๘
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
นี้พ ระโสดาบัน เปน ผูรู ก ข ก กา ของพระนิพ พาน ในอัน ดับ แรก ยั ง เป น ได ม ากถึ ง อย า งนี้ . เราก็ รู กั น อยู ทั่ ว ไป ได ยิ น ได ฟ ง มากกว า อย า งอื่ น ว า พระ โสดาบั น นั้ น มี ศ รั ท ธาในพระพุ ท ธเจ า ในพระธรรม ในพระสงฆ ไม ค ลอนแคลน เปลี่ยนแปลงอีกตอไป แลวมีอริยกันตศีลดวย.
พระโสดาบันสามารถระงับภัยเวรได. ที นี้ ที่ รูกั นมากอี กอย างหนึ่ ง ก็ ว าท านระงั บภั ยเวรทั้ งหลายได อริ ยสาวกสฺ ส ปฺจ ภยานิ วูปสนฺตานิ โหนฺติ - ภัยทั้งหลาย ๕ อยางของพระอริยสาวกนั้นเขาไปสงบ รํ า งั บ แล ว . ภั ย ทั้ ง หลายในที่ นี้ ห มายถึ ง ความทุ ศี ล , โดยเฉพาะศี ล ๕ นี้ แ หละ เรี ยกว าภั ย หรื อสิ่ งที่ ควรกลั ว ๕ ประการ. ปฺ จ ภยานิ - ภั ยทั้ งหลาย ๕ ประการ, อริยสาวกสฺส ของพระอริยสาวก, วูปสนฺตานิ - เปนธรรมชาติที่จะเขาไปสงบรํางับ แล ว ; ก็ แ ปลว า อั น ตรายที่ มั น จะเกิ ด แก ค นเรา ๕ ประการ เนื่ อ งมาจากการกระทํ า ปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท และสุราเมรยมัชชะฯ นี้หมด แล ว ถู ก กระทํ า ให ร ะงั บ ไปแล ว เกิ ด ขึ้ น มาไม ไ ด ; เพราะว า ท า นมี ส ติ ป ญ ญ า มี ศรัทธา อยางที่วามาแลวนั่นเอง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ในพระบาลี บางแห ง ในสู ตรบางสู ตร พระพุ ทธเจ าทรงแสดงองค แห ง ความเปนพระโสดาบันไวสั้น ๆ ที่สุด วาภัย ๕ ประการของทานนั้นระงับแลว.
บางคนจะฟ งไม เข าใจ ว าถื อ ศี ล ๕ ได บ ริ สุ ท ธิ์ เด็ ด ขาด นี้ เป น พระโสดาบั น ได เชี ย วหรื อ ? ถ า เขารู ว า การมี ศี ล ๕ ของพระโสดาบั น นั้ น มี ถึ ง ขนาดที่ ว า
ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน
๒๘๙
ระงับภั ยโดยสิ้ นเชิ ง ไม เป นภั ย ขึ้นมาได อีกต อไปแล ว. ย อมหมายความวา จิ ตใจ หรือสันดานของพระโสดาบันนั้นเปลี่ยนไปมาก. แต ในที่ นี้ เราจะระบุ ไปแต เพี ยงวา จะทํ าความผิ ด ๕ ประการนั้ นไม ได อีก ตอ ไป, โดยไมต อ งมีเ จตนาที ่จ ะเวน มัน ก็เ ปน การเวน อยู ใ นตัว ; อยา งนี ้จ ึง จะเรียกวา วูป สนฺ ต คื อ เข าไปสงบรํ างับ แล ว. แม คํ าวาเชื้ อ หรือรกรากที่ จะทํ าให ทํ า ผิ ด ในศี ล ๕ ประการนี้ มั น ถู ก ถอนไปหมดแล ว ก็ เลยไม มี ท างอี ก แล ว ที่ ว า พระโสดาบั น จะผิ ด ศี ล ๕ ประการ. ฉะนั้ น จึ ง พู ด ได อ ย า งที่ ค นไม ค อ ยเข า ใจ หรื อ ไมคอยยอมเชื่อวา ถือศีล ๕ ไดบริสุทธิ์ ก็เปนพระโสดาบันได. แต ถ า ว า ที่ จ ริ ง ก็ ค วรจะพู ด อย า งอื่ น พู ด อย า งพระพุ ท ธเจ า ตรั ส นี่ แ หละ ถูก ตอ ง วา ภัย ๕ ประการสงบรํ า งับ แลว . ถา จะพูด วา ถือ ศีล ๕ ไดบ ริบ ูร ณ นี ้ม ัน ยัง ฟง ยาก; เพราะวา คํ า วา ถือ นี ้ม ัน ตอ งหมายถึง เจตนา, มัน ตอ งมีเจตนา มัน จึง จะเปน การถือ ; แตถ า ยัง เปน เจตนาหรือ มีเ จตนาอยู มัน ยัง ไมส งบระงับ แน เพราะฉะนั ้น มัน จะกลายเปน วา พูด แลว จะไมเ ชื ่อ วา ตอ งไมถ ือ ศีล ๕ นั ่น จึ ง จะเป น พระโสดาบั น หรื อ ไม ถื อ ศี ล ๕ แต มั น กลั บ มี ศี ล ๕; เพราะว า รกราก ของการทุ ศี ล ๕ นั้ น มั น ถู ก ทํ า ลายไปหมดแล ว . ฉะนั้ น ท า นไม ต อ งถื อ ศี ล ๕ ไม มี เจตนาที่จะถือศีล ๕ แตมันก็ผิดศีล ๕ ไมไดอีกตอไป.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สว นคนธรรมดานี ้ม ัน ตอ งถือ , ตอ งถือ ใหเ ครง ตอ งตั ้ง เจตนาจะ ถื อ ให เ คร ง นี้ มั น ยั ง เป น บุ ถุ ช นอยู , และเมื่ อ ยั ง มี ถื อ ด ว ยเจตนาอยู อ ย า งนี้ มั น ก็ สมบู ร ณ ไม ไ ด ; เพราะมั น ยั ง มี เ รื่ อ งมารบกวนอยู ต ลอดเวลา, เพราะว า ไม ไ ด ทําลายตนเหตุใหทุศีลนั้นเสีย ดวยอํานาจของปญญา เหมือนพระโสดาบัน.
๒๙๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
นี ่ค วามของบุถ ุช นที ่ถ ือ ศีล แลว มัน มีไ มไ ด สว นพระโสดาบัน ไม ถื อ ศี ล แต ก ลั บ มี ศ ี ล สมบู ร ณ ; มั น ต า งกั น อยู อ ย า งนี ้ . พู ด แล ว มั น ก็ ฟ ง ยาก; แตค วามจริง มัน ก็เ ปน อยา งนี ้ ถา พูด ใหช ัด อีก ทีห นึ ่ง วา คนที ่ด ีถ ึง ขนาด แลว ไมต อ งถือ ศีล ก็ม ีศ ีล คือ ไมไ ปทํ า ผิด ศีล . สว นที ่ค นยัง ไมด ีนั ้น แลว มีเจตนาจะถือสีล ก็ยังถือไวไมได เพราะคนมันเลวมันคอยแตจะผิดศีลเรื่อย. ฉะนั้นเราจะรูจักพระโสดาบันกันในขอที่วา เพียงแตวาภัยทั้งหลาย ๕ ประการ ของพระอริย สาวกนั้น เขาไปสงบรํางับ แลว ก็ได. นี้เรีย กวาเปน องคที่แสดงความเปนพระโสดาบัน โดยสมบูรณดวยเหมือนกัน.
พระโสดาบันปฏิบัติมรรคมีองค ๘ ไดสมบูรณ. ที นี้ ใ นที่ อื่ น ๆ ก็ มี ต รั ส ว า อริ ย มรรคมี อ งค ๘ นั้ น เรี ย กว า กระแส ผู ที่ ปฏิบัติอ ยูใ นอริย มรรคมีอ งค ๘ อยางถูก ตอ งและครบถว น แมในระดับ แรก ก็เรียกวา ผูถึงกระแส คือ เปนพระโสดาบันดวยเหมือนกัน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ท า นเป น ผู ที่ มี สั ม าทิ ฏ ฐิ มี ค วามรู ความเห็ น ความเชื่ อ ความเข า ใจ ถูก ตอ ง นี ้อ ยา งหนึ ่ง , แลว มีส ัม มาสัง กัป ปะ คือ มีค วามดํ า ริ ใฝฝ น ปรารถนา ถูกต อง นี้ อยางหนึ่ ง, สั มมาวาจา ท านมี การพู ดจาถูกตอง, สั มมากั มมั นโต ท าน มี การงานถู กต อง, สั มมาอาชี โว มี การเลี้ ยงชีวิตถู กต อง, สั มมาวายาโม พากเพี ยร พยายามถู ก ต อ ง, สั ม มาสติ ระลึ ก ประจํ าใจตลอดเวลามั น ถู ก ต อ ง, สั ม มาสมาธิ ป ก ใจมั่ น แน วแน อ ยู อ ย างถู กต อ ง. ก็ เป น ความถู ก ต อ ง ๘ ประการ รวมเข าด วยกั น
ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน
๒๙๑
เรีย กวา กระแส ผู ป ฏิบ ัต ิอ ยู ใ นกระแสนี ้ เรีย กวา พระโสดาบัน . เรื ่อ งมัน ก็ อย า งเดี ย วกั น อี ก ว า จะมี ศี ล สมบู ร ณ , จะมี ศ รั ท ธาในพระรั ต นตรั ย ไม ง อ นแง น คลอนแคลน. เรื่ อ งอริ ย มรรคมี อ งค ๘ นี้ พู ด กั น มายื ด ยาวแล ว โดยรายละเอี ย ด จึ งไม พู ด อี ก ในวั น นี้ พู ด แต เพี ย งให ร ะลึ ก นึ ก ถึ ง ว า พระพุ ท ธเจ า ท า นได ต รั ส ไว ว า ผู ที่ ดํารงตนอยูในอริยมรรคมีองค ๘ นั้น คือผูที่ตั้งอยูในกระแสแหงพระนิพพาน เปน ลักษณะของพระโสดาบัน. การตั้ ง อยู ในกระแสของอั ฏ ฐั งคิ ก มรรคนี้ ก็ ดี , การที่ มี เวรภั ย ทั้ ง ๕ รํ า งั บ สิ้ น ดั บ สิ้ น ไปแล วก็ ดี , การมี ศ รั ท ธาในพระรั ต นตรั ย และมี อ ริ ย มรรคกั น ตศี ล ก็ ดี , เป น องคแหงพระโสดาบันที่รูจักกันมาก.
พระโสดาบันละกังขา ๑๐ ได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ อยากจะพู ด เรื่ อ งที่ ไม ค อยจะเคยได ยิ น ได ฟ งต อ ไปอี ก ว าพระโสดาบั น นั ้น มีอ ะไรอีก บา ง ในฐานะที ่เ ปน ผู รู ก ข ก กา ของพระนิพ พานแลว . ในสูต ร ที่ สํ าคั ญ หลาย ๆ สู ต ร มี ข อ ความเหมื อ น ๆ กั น ในทิ ฏ ฐิ สั งยุ ต ต สั งยุ ต ตนิ กาย กล าว ไววา พระโสดาบันละกังขา ๑๐ ประการได, ละกังขาได ๑๐ ประการ.
สิ่ ง ที่ เรี ย กว า กั ง ขานี้ ไม ท ราบว า จะเรี ย กในภาษาไทยอย า งไรดี ก็ ต อ ง เรี ย กว า กั ง ขาไว ก อ น; เพราะเป น คํ า ที่ มี ค วามหมายแปลก หมายถึ ง ความสงสั ย
๒๙๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
หรือ ความลัง เล, ความอยากรู ความอยากรูอ ีก , ความเขา ใจไมห มด, เหลา นี้ ก็เรียกวา กังขา คําเดียวก็พอ. พระโสดาบั น ละกั ง ขา ๑๐ ประการได , ไม มี กั ง ขา ๑๐ ประการ; คื อ ไมมีกังขา ๕ ประการ ในขันธทั้ง ๕ ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนี้ เรี ย กว า ขั น ธ ๕. ในขั น ธ ๕ ประการนี้ พระโสดาบั น ไม มี กั ง ขา เกี่ ย วกั บ อนั ต ตา เปนตน. คนธรรมดามีกังขา นับตั้งแต ไมรู รูครึ่ง ๆ กลาง ๆ สงสัย ลังเล ไม แ น ใ จ, ยั ง จะต อ งรู ต อ ไปอี ก ก็ เช น ที่ ว า ไม แ น ใ จในความเป น ของไม เที่ ย งของ ขั น ธ ๕. ไม แ น ใจในความเป น ทุ ก ข ข องขั น ธ ๕, ไม แ น ใจในความเป น อนั ต ตาของ ขัน ธ ๕; ฉะนั ้น จึง ไดร ัก หลงใหลในขัน ธ ๕ ยึด ขัน ธ ๕ หรือ ขัน ธใ ดขัน ธห นึ ่ง โดยความเปนตัวตน อยูเสมอทุกวัน วันละหลาย ๆ ครั้ง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org โดยเฉพาะอยา งยิ ่ง เมื ่อ มีเ วทนาเกิด ขึ ้น เปน สุข เวทนา, คนโงก็ ย อ มหลั บ ตาไม ป ระสี ป ระสาต อ อะไรหมด, นอกจากจะหลงใหลยึ ด มั่ น ในสุ ข เวทนาที่ เกิ ด ขึ้ น ในวั น หนึ่ ง ๆ, เกิ ด ขึ้ น ทางตา ทางหู ทางจมู ก ทางลิ้ น ทางผิ วหนั ง ทางไหนก็ สุ ด แท หรือ จะคิ ด ฝ น เอาก็ ได รูสึ ก เป น สุ ข เวทนาแล ว , ความคิ ด มั น แน ว ลงไป เป น ตั ว กู มี ค วามสุ ข มี สุ ข เวทนา เป น สุ ข เวทนาของกู มั น ชิ น เป น นิ สั ย เสี ย อย างนี้ . เรีย กว ามี อ นุ สั ย มี อ วิ ชชานุ สั ย มี ราคานุ สั ย เป น ต น วั น หนึ่ งซ้ํ า ๆ ซาก ๆ แล ว ๆ เล า ๆ ไม รู กี่ สิ บ ครั้ ง กี่ ร อ ยครั้ ง , มั น ชิ น เป น นิ สั ย อย า งนี้ ; ฉะนั้ น จึ ง ไม มี ความรู ว า ขัน ธ ๕ นี ้ แตล ะขัน ธนี ้เ ปน อนิจ จัง ทุก ขัง อนัต ตา. มัน กลาย เป น ไม รูไปเสี ย ที เดี ย ว ไม ใช แต เพี ย งว าลั งเล หรือ รูบ างไม รูบ าง หรือ ว ายั งอยากจะ
ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน
๒๙๓
รู ต อ ไปอี ก อย า งนี้ มั น ก็ ไม ถึ ง ขนาดนั้ น . มั น เอาเป น ขนาดที่ เรี ย กว า ไม รู สึ ก เสี ย เลย แลวก็หลงใหลในขันธทั้ง ๕. ส ว นพระโสดาบั น นั้ น ไม มี กั ง ขา หรื อ เยื่ อ ใยอะไรเหลื อ อยู สํ า หรั บ จะไปยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ขั น ธ ทั้ ง ๕ นั้ น โดยความเป น ตั ว ตน; อย า งนี้ เรี ย กว า ละความ กังขาในขันธทั้ง ๕ เสียได. นี้ ค นที่ จะอยากเรี ย น ก ข ก กา ของพระนิ พ พาน ก็ ล องทดสอบดู ตั วเอง ก็ แ ล ว กั น ว า ในวั น หนึ่ ง ๆ นั้ น จิ ต ใจของเราเกลี้ ย งเกลาไปจากกั ง ขาเหล า นี้ ห รื อ เปล า ? หรื อ ว า เผลอไม ไ ด เผลอแล ว เป น ยึ ด ถื อ ไม ใ นรู ป ก็ ใ นเวทนา, ไม ใ น เวทนาก็ ใ นสั ญ ญา หรื อ ในสั ง ขาร หรื อ ในวิ ญ ญาณ. คื อ มั น มี ตั ว กู – ของกู อ ย า ง ใดอย า งหนึ่ ง ในลั ก ษณะใดลั ก ษณะหนึ่ ง ในเรื่ อ งใดเรื่ อ งหนึ่ ง ไปเสี ย เรื่ อ ย ในวั น หนึ่ ง ๆ จนเป น นิ สั ย ไปเสี ย , และมั น ยั ง ไม ถึ ง ขนาดของพระโสดาบั น ที่ เรี ย กว า ไม เหลือเยื่อใยไวสําหรับจะกังขา คือสงสัยหรือลังเล ในความไมใชตน ของขันธทั้ง ๕.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ ก ารเรียน ก ข ก กา จึ งต อ งตั้ งต น ที่ ขั น ธ ๕ อยางที่ ไดพู ดมาแล ว หลาย ๆ ครั้ ง ในวั น ก อนว า ให รู จั กขั น ธ ๕ ให ดี เสี ยก อน, ไม อย างนั้ น แล วจะไม รู ว า ขัน ธ ๕ คือ อะไร อยู ที ่ไ หน, แลว ก็จ ะไมรู ว า กัง ขาในขัน ธ ๕ นั ้น เกิด ขึ ้น อยา งไร ที ่ใ ด และเมื ่อ ไร ที ่ไ หน. ตอ งรู จ ัก ขัน ธ ๕ กัน จริง ๆ อยา งที ่ไ ดท บทวนมาแล ว ว า เรี ย นขั น ธ ๕ กั น เสี ย ใหม แล ว ก็ ม ารู กั ง ขาในขั น ธ ๕ ที่ ค นเราจะมี กั ง ขาในขั น ธ ๕ เหลื อ อยู แล ว ก็ จ ะได รู ว า มั น เหลื อ อยู อ ย า งไร, แล ว จะได แ ก ไ ข อย า งไร. มั น ต อ งเรี ย นตั ว ก ก อ น แล ว มั น จึ ง จะไปรู ถึ ง กา กิ กี กึ กื ได ; ฉะนั้ น จึ ง ขอรบเร า ว า อย า เบื่ อ หน า ย อย า อิ ด หนาระอาใจ ที่ จ ะต อ งตั้ ง ต น กั น ใหม หรื อ วาทบทวนกันใหมในเรื่อง ก ข ก กา.
๒๙๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
นี่ พ ระโสดาบั น ละกั ง ขาในขั น ธ ทั้ ง ๕ ได เด็ ด ขาด, ไม ได ส งสั ย ใน ความเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของขันธ ๕ อีกตอไป นี้เรียกวาละกังขาได ๕. ทีนี ้พ ระโสดาบัน ละกัง ขาในสิ ่ง ที ่รู ส ึก สํ า นึก อยู เ ปน ประจํ า วัน ได โดยความเปนของที่วา ไมนาจะยึดถือเลย, ไมควรจะยึดถือเลย. ความรูสึกประจําวันนี้ ในบาลีระบุ ไวชัด อยางนี้วา ทิ ฏฐะ ในสิ่งที่เรา ได เห็ น , สุ ต ะ ในสิ่ ง ที่ เราได ยิ น ได ฟ ง , มุ ต ะ ในสิ่ ง ที่ เราได ก ลิ่ น ด ว ยจมู ก รู ร สด ว ย ลิ้ น หรื อ สั ม ผั ส ที่ ผิ ว หนั ง อย า งนี้ เ รี ย กว า มุ ต ะ, แล ว ก็ วิ ญ ญ าต ะ รู แ จ ง ทาง วิ ญ ญาณแล ว ก็ ป ต ตะ ในสิ่ ง ที่ เราได รั บ แล ว ได มี แ ล ว ได บ รรลุ แ ล ว , ปริ เ ยสิ ต ะ ในสิ่ ง ที่ เรากํ า ลั ง เที่ ย วเสาะแสวงหา ขวนขวายหวั ง อยู ปรารถนาอยู อนุ วิ จ ริ ต ะ มนสา ในสิ่งที่จิตใจมันเขาไปฝงอยู. นั บดู ก็ จะได เป นเรื่อง ทิ ฏ ฐะ สุ ตะ มุ ตะ วิ ญ ญาตะ ป ตตะ ปริเยสิ ต ะ อนุวิจริตะ มนสา. ในบรรดาสิ่งที่เราเกี่ยวของอยูเปนประจําวันมากมาย เรามีสิ่ง ที่ เราได เห็ น สิ่ ง ที่ เราได ฟ ง แล ว สิ่ ง ที่ เราได ด ม ได ลิ้ ม ได สั ม ผั ส ทางผิ ว หนั ง และ สิ ่ง ที ่รู แ จง ดว ยใจ แลว สิ ่ง ที ่ไ ดร ับ แลว และสิ ่ง ที ่เ ที ่ย วแสวงหาอยู แ ลว สิ ่ง ที ่จ ิต มัน เขาไปหลงใหลพัวพันอยู.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ ข อให สั ง เกตดู มั น เป น เรื่ อ งจริ ง ๆ, เป น เรื่ อ งที่ มี อ ยู จ ริ ง แล ว เป น ไป จริง ในวัน หนึ่ง ๆ นี้ค นธรรมดาก็ไ มอ าจจะละกัง ขาในสิ ่ง เหลา นี ้ไ ด คือ ยัง จะ มี ห ว งใย หลงรั ก ใคร หลงใหลอาลั ย อาวรณ ในความที่ จ ะถื อ เอามาเป น ตั ว เรา หรื อ เป น ของเรา, หรื อ ในความรู สึ ก ว า มั น ควรถื อ ว า เป น ตั ว เราเป น ของเราอยู นั่ น แหละ ในสิ่ ง เหล า นี้ นี้ พ ระโสดาบั น ก็ ล ะกั ง ขา ในสิ่ ง ทั้ ง หมดนี้ ไ ด แล ว ก็ นั บ เป น
ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน
๒๙๕
ขอเดียวขอหนึ่งเทานั้น, นับเปนขอเดียวเทานั้นวา ทานละกังขาในทิฏฐะ สุตะมุตะ วิญญาตะ ปตตะปริเยสิตะ อนุวิจริตะ มนสา เสียได. อาตมาอยากจะแนะใหสังเกตขอสุดทาย ที่ เรียกวา อนุ วิจริตมนสา สิ่งที่ ใจของเราเขา ไปเที ่ย วอยู ใ นนั ้น มีอ ะไรบา ง ? นี ้ม ัน ตอ งเปน คน ๆ ไป. บางคน มั น มี เ รื่ อ งบุ ต ร บางคนมี เ รื่ อ งภรรยา บางคนมี เ รื่ อ งสามี บางคนมี เ รื่ อ งทรั พ ย สมบัติ, มัน แลว แตเ หตุอ ะไร. สิ่ง ใดกํา ลัง มีอ ยูเ ปน ปญ หา เปน เรื่อ งราวของ คนนั้น ในวัน นั้น . แลว ใหสัง เกตดูใ หดีวา จิต ใจของคนนั้น มัน จะเที่ย วอยู แต ในสิ่ งนั้ น คื อ จิ ตใจมั น จะคํ านึ งนึ ก ถึ ง. นี่ ก็ เรียกวาจิต ใจมั น เที่ ยวไป เที่ ยวไป ดวยใจในสิ่ งนั้ น เป นประจําวันตลอดวันของคนนั้น, เรียกวาเรามี เรื่องอะไรที่ ฝ งใจ หรื อ มั น เป น ป ญ หาอยู ใ นจิ ต ใจ เราจะมี อ ย า งนี้ . นี้ ก็ แ สดงว า มั น ลื ม ไปแล ว . มั น หลงเห็น เปน ตัว ตน เปน ของตนไปมากแลว ; ฉะนั ้น จึง เรีย กวา ไมรู ป ระสีป ระสา ที่จะละเสีย.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แตพ ระโสดาบัน ทา นละกัง ขาในเรื่อ งอยา งนี้แ ลว ; ฉะนั้น จึง ไม มีเ รื ่อ งที ่ห มกมุ น โดยความเปน ตัว ตน สํ า หรับ จิต ที ่ม ัน เที ่ย วไปในเรื ่อ งนั ้น ๆ. แต ถึง อยา งนั ้น ก็ด ี ใหรู ไ ดว า ไมถ ึง ขนาด หมดสิ ้น เชิง ถึง กับ เปน พระอรหัน ต; แต วาท านเริ่ ม ละได อย างน อ ยก็ จ ะมี ส ติ รูทั น ท ว งที วา นี่ มั น ไม ค วรจะไปหลงกั บ มั น , ไม ค วรจะไปหลงใหลกั บ มั น . ที่ เราได เห็ น ก็ ดี ได ฟ ง ก็ ดี ได ด มก็ ดี ได ลิ้ ม ด ว ย ลิ้นก็ ดี ได สั มผั สผิวหนั งก็ ดี ได รูแจงคิ ดด วยใจก็ดี ได รับแล วก็ ดี กํ าลั งเที่ ยวแสวงหา อยู ก็ดี หรือมี อยูแล วสํ าหรับจิตไปหลงใหลมั วเมาอยูก็ดี , ไม มี ความสงสั ย ความโง ความหลงเหลื ออยู สํ าหรับจะไปผู กพั นกั บสิ่ งเหล านั้ น. นี่ เรียกวาละกั งขาในข อนี้ ได .
๒๙๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ที นี้ พ ระโสดาบั น ละกั ง ขาในอริ ย สั จ จ ทั้ ง ๔ ประการได เรื่ อ งอริ ย สั จจ ๔ ประการนี้ จะไม บ รรยายให เสี ย เวลา เพราะว าพู ด กั น มากมายก ายกองแล ว โดยรายละเอี ย ด ไปหาอ า นดู ก็ ไ ด . แต ส รุ ป เอาแต ใ จความ ก็ คื อ เรื่ อ งทุ ก ข , เรื่ อ ง เหตุ ให เกิ ด ทุ ก ข , เรื่ อ งความดั บ ไม เหลื อ แห ง ทุ ก ข , เรื่ อ งทางให ถึ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง ทุ ก ข นี้ พ ระอรหั น ต เ ข า ใจถู ก ต อ ง ด ว ยสั ม มาทิ ฏ ฐิ แ ห ง อั ฎ ฐั ง คิ ก มรรค ก็ รู เรื่ อ งอริ ย สั จ จ ๔ นี้ อ ย า งถู ก ต อ ง, ไม ผิ ด ได อี ก ต อ ไป. เพราะฉะนั้ น จึ ง ไม มี ค วามโง ความสงสัยอะไรเหลืออยู สําหรับจะเขาใจผิดอีกตอไป. จะยกตั วอย างง าย ๆ เช น ว า คนธรรมดาจะคิ ด ว า ความทุ ก ข นี้ เกิ ด มา จากผี ส างเทวดา เกิ ด มาจากโชค เกิ ด มาจากเคราะห , หรื อ แม ที่ สุ ด แต เกิ ด มาจาก กรรมเก า หรื อว าแม ที่ สุ ดเกิ ดมาจากพระเจ าอะไรอย างนี้ คนธรรมดาจะคิ ดอย างนั้ น . แตถ า พระโสดาบัน ก็จ ะคิด วา มัน มาจากตัณ หา คือ สมุท ัย คือ กิเลส, แลว ทา น ก็ม ีค วามคิด ที ่เ ด็ด ขาดลงไป ไมเ หลือ ไวสํา หรับ สงสัย อะไรอีก วา มัน อาจจะ ไมใชมาจากกิเลส หรือไมใชเปนเรื่องของกรรม.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ตอนนี้ มั น เป น เรื่ อ งที่ ค อ นข างจะละเอี ย ด บางอย างที่ เข าใจยาก เช น เรา จะคิ ด ว า ความทุ ก ข นี้ มิ ได ม าจากกรรมเก า อย า งเดี ย ว; ถ า ว า ความทุ ก ข มั น มาจาก กรรมเก า อย า งเดี ย วแล ว ก็ เราก็ ทํ า อะไรไม ได เพราะกรรมเก า มั น ยั งไม ห มด. เดี๋ ย ว นี้ มั นเป นความทุ กข ที่ มาจากกรรมใหม ๆ นี้ ก็ ได , หรื อความทุ กข นี้ อาจจะทํ าให สิ้ นไป ด ว ยการทํ า กรรมใหม ๆ ก็ ได , มั น ไม ขึ้ น อยู ในอํ า นาจของกรรมเก า ทั้ งหมดทั้ ง ๑๐๐ เปอรเ ซ็น ต; แมว า จะเปน ไปตามอํ า นาจของกรรมเกา แตส ามารถจะปด เพิก ถอน เสีย ใหห มดไปไดด ว ยการทํ า กรรมใหมที ่ถ ูก ตอ ง. อยา งนี ้ก ็เรีย กวา เปนความเขาใจที่ถูกตอง.
ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน
๒๙๗
หรือถ าจะว าความทุ กข นี้ มาจากพระเป นเจ าอั นสู งสุ ด มั นก็ หมดทางที่ จะ แก ไข; เพราะว า เราจะไปต อ รองอะไรกั บ พระเป น เจ า ไม ได ถ า มาจากพระเป น เจ า เราก็ ไม มี อํ า นาจที่ จ ะดั บ ทุ ก ข ; เพราะฉะนั้ น เราจะไม ถื อ ว า ความทุ ก ข นี้ ม าจาก พระเปน เจา อยา งที่เ ขาพูด ๆ กัน ; แตม ัน มาจากกิเ ลสตัณ หา ที ่เ ราจะละ ก็ไ ด, ที ่เ ราจะแกไ ขก็ไ ด. ถา จะพูด วา ความทุก ขม าจากพระเปน เจา ก็ก ิเ ลส นั่นแหละเปนพระเปนเจา อยางนี้จะดีกวา. นี้ ค นธรรมดาไม เห็ น อย า งนี้ กํ า ลั ง สงสั ย ลั ง เล : พร า ไปหมด ว า ความทุ ก ข นี้ มั น มาจากอะไรก็ ไม รู . มาจากผี ส างเทวดาก็ ได , มาจากโชคชะตาราศี มาจากพระเจา มาจากอะไร ๆ ก็ไมรู มากมายเหลือเกิน. แต ถ าเป น พระโสดาบั น ท านก็ รูว ามั น มาจากตั ณ หา, หรือ มาจาก อุ ป าทาน ที่ มาจากตั ณ หาอี กที หนึ่ ง, หรือถ าต นตอของมั น ก็ คื ออวิ ชชา ความไม รู ถูกตองในเรื่องนี้ ทําใหเกิดตัณหา อุปาทาน ขึ้นมาแลวก็เปนทุกข, อยางนี้เปนตน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ เรี ย กว า พระโสดาบั น ท า นละกั ง ขา ที่ เกี่ ย วกั บ อริ ย สั จ จ ทั้ ง ๔ ประการได ; ไม เข า ใจผิ ด ไม ลั ง เล ไม เคลื อ บแคลง ในเรื่ อ งอริ ย สั จ จ ทั้ ง ๔ ท า น เห็นแจงอริยสัจจทั้ง ๔ ถึงขนาดนี้ จึงไดเปนพระโสดาบัน.
แต ขอเตื อนตรงนี้ อี กหน อ ยว า อย าลื ม ว า แม จะเป น พระอรหั น ต ก็ ต อ ง รูเรื ่อ งอริย สัจ จ ๔ นี ้ใ หยิ ่ง ขึ ้น ไปอีก , รูอ ริย สัจ จ ๔ เพีย งเทา นี ้เ ปน พระโสดาบัน , รูอริ ยสั จจ ๔ มากขึ้ นไปอี กนิ ด ก็ เป น พระสกิ ทาคามี , ขึ้ น ไปอี กก็ เป นพระอนาคามี , ถึ ง ที่ สุ ด ก็ เ ป น พระอรหั น ต . แต ถึ ง อย า งไรก็ ดี ในขั้ น พระโสดาบั น นี้ ท า นละ
๒๙๘
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
กัง ขาที่ทํ า ใหค วามคิด ความเชื่อ อะไรมัน สับ สนนั้น เสีย ไดแ ลว , ไมมีกัง ขาที่จ ะ สั บ สนในเรื่ อ งของอริ ย สั จ จ ๔ อี ก ต อ ไป. นี้ เรี ย กว า พระโสดาบั น ท า นละกั ง ขาใน อริยสัจจทั้ง ๔ เสียได นี้นับเปน ๔ ขอ, ก็เลยเปนกังขา ๑๐. ละกั ง ขาในขั น ธ ๕ เสี ย ได นี่ นั บ เป น ๕, ละกั ง ขาในสิ่ ง ที่ มั น เข า เกี่ ย วข อ ง แวดลอ มเราในประจําวัน นี้ เสี ย ได นี้ นั บ เป น หนึ่ ง ละกั งขาในอริย สั จ จ ทั้ ง ๔ เสี ย ได นี้ นั บ เป น ๔ ก็ เลยรวมกั น แล ว เป น ๑๐; เรี ย กว า ท า นละกั ง ขา ๑๐ เสี ย ได ในลั ก ษณะหนึ่ ง ในระดั บ หนึ่ ง เพี ย งเพื่ อ ความเป น พระโสดาบั น . ถ า ละได ม ากขึ้ น ไปกว า นั้ น จนถอนอุ ป าทานอะไรได อี ก ที ก็ เป น พระอรหั น ต เท า นั้ น เอง. ดังนั้นจึงถือเอาวา ละกังขา ๑๐ ประการ ในลักษณะอยางนี้ นั่นแหละคือผูรู ก ข ก กา ของพระนิ พ พาน, ผู รู ก ข ก กา ของพระนิ พ พานนี้ คื อ พระโสดา บันอยางที่กลาวมาแลว. ในที่ สุ ด ก็ อ ยากจะแนะให เห็ น ว า ก ข ก กา ที่ เป น ป ญ หายุ งยากนั้ น คื อ กัง ขา. บุถ ุช นธรรมดาจะเต็ม ไปดว ยกัง ขา คือ ความไมแ นใ จ ความสงสัย ความไม รู , ความที่ ต อ งรู เ พิ่ ม เติ ม อี ก อะไร นั่ น เรี ย กว า กั ง ขา. คนธรรมดา คน เปน บุถ ุช น จะเต็ม ไปดว ยกัง ขา ไมอ ยา งนั ้น ก็อ ยา งนี ้ ในวัน หนึ ่ง ๆ; ฉะนั ้น ถาเริ่มจะละกังขาในขั้นพื้นฐานเสียไดในระดับนี้ ก็คือความเปนพระโสดาบัน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้ น ความไม รู ตั ว ก ความไม รู ตั ว ข ความไม รู ตั ว ค ง กะ กา กิ กี นี ้ค ือ กัง ขา ของการเรีย นหนัง สือ . แตเ ดี ๋ย วนี ้ห นัง สือ ที ่เ รีย นนี ้ม ัน เปน เรื ่อ ง พระนิ พ พาน; ฉะนั้ น รี บ ละกั ง ขาในขั น ธ ทั้ ง ๕. ละกั ง ขาในสิ่ ง ที่ เ ข า มา
ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน
๒๙๙
กระทบกระทั ่ง เรา ในชีว ิต ประจํ า วัน เปน ประจํ า แลว ก็ล ะกัง ขาในอริย สัจ จ ทั้ง ๔ เสีย, ก็เรียกวารู ก ข ก กา ของพระนิพพาน.
พระโสดาบันรูแจงแทงตลอดในญายธรรม. ที นี้ ห ลั ก เกณฑ อี ก อั น หนึ่ ง ซึ่ ง พระองค ท รงแสดงไว มี พ ระบาลี ว า ญายธรรมอันประเสริฐของอริยสาวกนั้น เปนสิ่งที่อริยสาวกนั้นเห็นอยางดีแลวดวย ปญญา แทงตลอดดีแลวดวยปญญา. อริโย จสฺส าโย - ญายธรรมอันประเสริฐ ของอริยสาวกนั้น, สุทิฏโฐ - เปนสิ่งที่อริยสาวกนั้นเห็นหรือเขาใจดีแลว, สุปฏิวิทฺโธ - แทงตลอดเฉพาะดี แ ล ว , ปฺ าย - ด ว ยป ญ ญา. นี้ ก ลายเป น เรื่ อ ง ปฏิ จ จ มุ ป บาทเรี ย กว า ญายธรรม เฉย ๆ, นี ้ หมายถึ ง ธรรมที ่ ค วรรู . แต ใ น พระบาลี นี้ จะเล็ งถึ งปฏิ จจสมุ ปบาท โดยรายละเอี ยดที่ เคยบรรยายกั นมาแล วอย างมาก มายนั้นแหละ, ปฏิจจสมุปบาทนั้นแหละ เรียกวา ญายธรรม.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ า เอาแต ใ จความสั้ น ๆ ก็ เ รี ย กว า อิ ทั ป ป จ จยตา คื อ ความจริ ง ในข อ ที่ วา เมื ่อ สิ ่ง นี ้ม ี สิ ่ง นี ้ก ็ม ี, เมื ่อ สิ ่ง นี ้ม ี สิ ่ง นี ้ก ็ม ี เปน เหตุเ ปน ปจ จัย ตอ ๆ กัน ไป. แตที ่สํ า คัญ ที ่ส ุด นั ้น คือ ที ่ม ัน เกี ่ย วกับ มนุษ ยเ รา ที ่เ ขา มาเกี ่ย วขอ งกับ มนุษ ยเ รา ใหเห็นชัดอยูเสมอวา เมื่อตาเห็นรูปก็เกิดจักษุวิญญาณ คือการเห็นทางตาแลว ก็ตาดวยรูปดวย การเห็นทางตาดวย มาถึงพรอมกันแลวก็เรียกวาผัสสะ เพราะผัสสะ นี้เปนปจจัยก็มีเวทนา เวทนาเปนปจจัยก็มีตัณหา ตัณหาเปนปจจัยที่มีอุปาทาน แล ว มั น ก็ จ ะมี ทุ ก ข มี ภ พ มี ช าติ มี ทุ ก ข . ความที่ ทุ ก ข มั น ก อ ขึ้ น มาตามกฎเกณฑ
๓๐๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
อั น นี้ ที่ เ รี ย กกั น ว า ปฏิ จ จสมุ ป บาทนี้ เรี ย กว า ญ ายธรรม แปลว า ธรรมที่ ค วรรู . ญายธรรมในที่นี้หมายความแตเพีย งวา เปน ธรรมที ่ม นุษ ยค วรจะรู, มนุษ ยตอ ง รู, ถา ไมรู จ ะมีค วามทุก ข. ฉะนั ้น ญายธรรมที ่ม นุษ ยจ ะตอ งรู จ ริง ๆ ในที ่นี้ ก็คือ ปฏิจจสมุปบาท. เดี๋ ย วนี้ เ ราก็ ไ ม เ ข า ใจปฏิ จ จสมุ ป บาท ทั้ ง ที่ ท อ งได พู ด ได สอนได แล ว ก็ ส อนผิ ด ๆ เสี ย ก็ มี ; แต โ ดยใจความแล ว มั น ก็ เป น เรื่ อ งคล า ย ๆ กั บ ที่ แ ล ว มาเมื่ อ ตะกี้ นี้ ที่ พู ด ว า อะไร ๆ ที่ เข ามาทางตา ทางหู นี่ คื อ ว าได เห็ น ได ฟ ง ได ด ม ได ลิ้ ม ได รู สึ ก ได ติ ด ตาม ได แ สวงหา แล ว ก็ ได คิ ด ได นึ ก ได ค รุ น อยู ในใจนั่ น แหละ มั น เป น อาการแห ง ปฏิ จ จสมุ ป บาทด ว ยเหมื อ นกั น . แต เมื่ อ จะแยกให ชั ด ก็ ข อให ทุ กคนศึ กษาเรื่ อง ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ เมื่ อมี อะไรเข ามากระทบตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ มันเกิดอะไรขึ้น เปนลําดับ เปนลําดับ นี้เรียกวาปฏิจจสมุปบาท. ถา สุท ิฏ โฐ - เปน ผู เห็น เห็น อยา งดีแ ลว ในปฏิจ จสมุป บาท หรือ สุปฎิวิทฺโธ - รูแจงแทงตลอดดีแลวในปฏิจจสมุปบาท นี้ก็เรียกวาพระโสดาบัน; มั น ไม มี อ ะไรแปลกต า งแยกกั น เป น คนละชนิ ด หรื อ คนละพวก; แม ว า จะได ก ล า ว ไว ห ลายชนิ ด หลายพวก แต ว ามั น เล็ งถึ งจิ ต ใจของบุ ค คลที่ เรี ย กว าพระโสดาบั น . ถ า เปน พระโสดาบัน แลว จะมองกัน ในแงนี ้ จะเปน อยา งนี ้, มองกัน ในแงโ นน จะเป น อย า งโน น , จะมองในแง นั้ น จะเป น อย า งนั้ น , หลายอย า งหลายแง ก็ ไ ด . แต มั น ไม พ น ไปจากอย างที่ วามานี้ คื อ รู แ จ งในเรื่ อ งที่ ค วรจะรู จนเรื่อ งนั้ น ไม เป น ปญหาอีกตอไป.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน
๓๐๑
รู แ จ งในเรื่ อ งนั้ น ๆ จนเรื่ อ งนั้ น ๆ ไม เป น ป ญ หาอี ก ต อ ไป นี้ ไม ใช เล น ๆ, ไมใ ชเรื่อ งลน ๆ นี ่. เดี ๋ย วนี ้เ รารู แ จง ในเรื ่อ งนั ้น ๆ จนเรื่อ งนั ้น ๆ ไมเปน ปญ หา อีกต อ ไป หรือ เปล า ? ไปคิด ดู ให ดี ทุ กคนนะไปคิ ด ดู ให ดี , วาเรารูแ จ งหรือ เข าใจ แทงตลอดในเรื่ อ งนั้ น ๆ จนเรื่อ งนั้ น ๆ ไม เป น ป ญ หาอี ก ต อ ไปหรือ เปล า ? บางที มั น จะเป น ป ญ หาไปหมดเสี ย ด ว ยซ้ํ า ไป; เรื่ อ งสุ นั ข เรื่ อ งแมว เรื่ อ งไก เรื่ อ งหมู เรื่ อ งอะไรต า ง ๆ นี้ มั น ก็ ยั ง มาเป น ป ญ หาได . นี้ เรื่ อ งที่ มั น มากกว า นั้ น เกี่ ย วกั บ คน กั น นี้ มั น มี ม าก มั น เป น ป ญ หาไปหมด. รู แ จ ง จนว า เรื่ อ งนั้ น จะต อ งเป น อย า งนั้ น ต อ งเป น อย า งนั้ น ไปตามกฎเกณฑ อ ย า งนั้ น . อย า มาเป น ป ญ หาขึ้ น มาได หรื อ เปนปญหาสําหรับใหเกิดความทุกขรอน หมนหมองใจ อยาใหมันมีขึ้นมาได. ถ ามั น เป น ป ญ หาของการงานที่ ต อ งทํ า ก็ ทํ าไปโดยไม ต องหม นหมองใจ. ใหป ฏิเสธลงไปเสีย เลยวา กูไมไดเกิด มาเพื ่อ มีค วามทุก ข; ใชคํา หยาบ ๆ ดา มัน เลยวา กูไ มไ ดเ กิด มาเพื ่อ จะเปน ทุก ข. ฉะนั ้น กูจ ะไมย อมเปน ทุก ข แตว า จะแกป ญ หาเหลา นี ้ใ หไ ด; เรื่อ งอะไรมัน จะเกิด ขึ ้น เปน ประจํา วัน จะเอา ชนะใหได, แลวก็ไมตองเปนทุกขดวย.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แตทีนี้มัน ยากลําบากอยู ตรงที่วามัน โงเกิน ไป ที่จะไมคิด อยางนี้, ที่ จ ะไม เ ป น ทุ ก ข อ ย า งนี้ , มั น เป น ทุ ก ข เ สี ย ก อ นเสมอ. มั น จะต อ งให ศึ ก ษาเผื่ อ ไว ก อ นล ว งหน า ว า มั น ต อ งเป น อย า งนี้ ในบรรดาสิ่ งทั้ งหลายในโลกนี้ ที่ มั น จะเข า มา กระทบ มาเกี่ยวของกับมนุษย มันตองเปนอยางนี้ คือตามกฎของปฏิจจสมุปบาท:-
เมื่ อ ได เ ห็ น ก็ มี ก ารเห็ น แล ว ก็ มี ก ารกระทบด ว ยการเห็ น แล ว ก็ เ กิ ด เวทนา คื อ สบายตาหรือไม สบายตาหรื อเฉย ๆ นี้ , แล วก็ จะเกิ ดความสํ าคั ญ มั่ นหมาย
๓๐๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ในสิ่ ง ที่ ได เห็ น นั่ น แหละ. ถ า สบายตาก็ สํ า คั ญ ไปอย า งหนึ่ ง , ที่ ไม ส บายตาก็ สํ า คั ญ ไปอย า งหนึ่ ง , ที่ เฉย ๆ กลาง ๆ ก็ สํ า คั ญ ไปอย า งหนึ่ ง ; มั น โง ต ลอดเวลาทุ ก เรื่ อ ง ก็ เ ลยไปยึ ด ถื อ โดยความเป น สุ ข บ า ง เป น ทุ ก ข บ า ง ดี บ า งชั่ ว บ า ง ให มั น ร อ นใจ หรือใหมันกระวนกระวายไปเสียหมด. เดี๋ย วนี ้พ ระโสดาบัน ทานเห็น ถูก ตอ ง ทา นแทงตลอดอยา งดีใ น ญายธรรม คื อ สิ่ ง ที่ ค นควรจะรู นี้ จึ ง เรี ย กว า ท า นรู ก ข ก กา ของพระนิ พ พาน ชนิดที่แนนอนที่วา จะตองถึงพระนิพพานเปนแนนอน. ที่ อาตมาเอามากล าวหลาย ๆ อย าง พร อม ๆ กั นอย างนี้ ก็ เพราะว ามั น จะเหมาะแก ค นบางคน ซึ่ ง ไม เหมื อ นกั น ทุ ก คน. ถ า ผู มี ป ญ ญามาก สมมติ ว า เขา เกิ ด มาดี มี ป ญ ญามาก โดยนิ สั ย แล ว พู ด แต เพี ย งเท า นี้ ก็ พ อแล ว ว า สิ่ ง ที่ ม นุ ษ ย ควรจะรู เขารู เขารูจริง ๆ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แล ว สิ่ ง ที่ ม นุ ษ ย ค วรจะรู หรื อ ญายธรรมนี้ คื อ อะไร ? คื อ ว า เมื่ อ มี อะไรเขามากระทบเราแลว อยาใหมันเกิดความทุกขไดนั่น มีเทานี้เอง, มันมา กระทบเราทางตา ทางหู ทางจมู ก อะไรก็ ตามใจ อย าให มั นเกิ ดความทุ กข ขึ้ นมาได , โดยที ่รูเสีย กอ นแลว วา เมื ่อ มากระทบเราแลว ถา เราเผลอไปอวิช ชาเกิด ขึ ้น แลว มัน ก็จ ะเปน ไปในทางที ่จ ะเปน ทุก ขจ นได. เห็น อะไรก็เปน ทุก ข, ไดย ิน อะไรก็เปน ทุก ข, ไดส ัม ผัส อะไรอยา งใดอยา งหนึ ่ง ก็เปน ทุก ข; เพราะวา อวิช ชา มัน เกิด ขึ ้น ผสมเขา ไปในเรื ่อ งนั ้น ทุก ทีไ ป คือ เราไมรู จ ริง ในเรื ่อ งนั ้น ๆ. สรุป แลว ก็ค ือ ไมรู ใ นลัก ษณะที ่ทํ า ใหไ ปยึด มั ่น ถือ มั ่น , สํ า คัญ มั ่น หมายโดยความ เปนตัวเราเปนของเรา, เปนตัวกูเปนของกู.
ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน
๓๐๓
ทีนี ้พ ระพุท ธเจา ทา นยัง ตรัส ไวอ ีก วา ปฏิจ จสมุป บาทนั ้น เปน เบื้องตนแหงพรหมจรรย คือเปนพระอาทิพรหมจรรย; อภิสมยสังยุตต สังยุตตนิ ก าย มี ข อ ความนี้ ที่ พ ระพุ ท ธเจ า ตรั ส ไว ว า ปฏิ จ จสมุ ป บาทเป น อาทิ พ รหมจรรย , เป น เบื้ อ งต น แห งพรหมจรรย , อาทิ หรื อ เบื้ อ งต น มั น คื อ ตรงกั บ คํ า ว า ก ข ก กา ก ข ก กา ของพรหมจรรย คือ ปฏิจ จสมุป บาท. ถา รู ป ฏิจ จสมุป บาท ก็ค ือ รู ก ข ก กา ของพรหมจรรย. พรหมจรรยใ นที ่นี ้ห มายถึง การประพฤติเ พื ่อ ดับ ทุก ขสิ ้น เชิง . ไม ใช พ รหมจรรย เด็ ก ๆ เล น . พรหมจรรย อย างภาษาไทยธรรมดา หมายถึ งประพฤติ อย า งชั้ น ต่ํ า นี้ ก็ ได . แต ถ า พรหมจรรย อ ย า งที่ พ ระพุ ท ธเจ า ท า นตรั ส แล ว ก็ ห มายถึ ง ปฏิบ ัต ิเ พื ่อ ดับ ทุก ขสิ ้น เชิง คือ เปน พระอรหัน ตทั ้ง นั ้น ; เชน ทา นบวชคนดว ย เอหิ ภิ ก ขุ อุ ป สั ม ปทาวาจา นี้ ท า นไม ไ ด ต รั ส อะไรมาก; ท า นว า มาเป น ภิ ก ษุ ประพฤติพ รหมจรรย เพื ่อ ทํา ที่สุด แหงความทุก ข เทานี้เอง. พรหมจรรยข อง ท านในที่ นี้ ห มายถึ ง ปฏิ บั ติ เพื่ อ ทํ า ที่ สุ ด แห งความทุ ก ข , การปฏิ บั ติ นั้ น ชื่ อ ว า พรหมจรรย.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อะไรเป น เบื้ อ งต น แห ง พรหมจรรย หรื อ อะไรเป น ก ข ก กา ของ พรหมจรรย ? ท า นตรั ส ไว ใ นพระบาลี นี้ ว า เรื่ อ งปฏิ จ จสมุ ป บาท. เรื่ อ งปฏิ จ จสมุ ป บาทก็ คื อ เรื่ อ งให รู ว า อะไรเป น ทุ ก ข , อะไรเป น เหตุ ใ ห เ กิ ด ทุ ก ข , อะไรเป น ความดับ ทุก ข, อะไรเปน ทางใหถ ึง ความดับ ทุก ข. ฉะนั ้น เรื ่อ งปฏิจ จสมุป บาท นั่นแหละกลายเป น เรื่อ ง ก ข ก กา ของพระนิ พ พาน, คื อ เป น ก ข ก กา ของ การปฏิบัติที่เรียกวาพรหมจรรยก็แลวกัน.
๓๐๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
เดี๋ยวนี้ เราไมเขาใจ, ไม รูเรื่อ งปฏิจจสมุป บาทอยางถูกตอง, รูผิด ๆ อย า งนกแก ว นกขุ น ทอง ก็ มี ผ ลเท า กั บ ไม รู ก็ คื อ ไม รู ก ข ก กา ของพรหมจรรย . ฉะนั้ น อย า ได เข า ใจว า เรื่ อ งปฏิ จ จสมุ ป บาท นั้ น เป น เรื่ อ งอยู น อกวิ สั ย ที่ เราควรจะรู ; ขอ ใหเ ห็น วา ม ัน เป น เรื ่อ งที ่อ ยู ก ับ เนื ้อ กับ ตัว , มัน เกิด อ ยู ก ับ เนื ้อ กับ ตัว เป น ประจํ า วัน ตอ งรู เพื ่อ จะไดจ ัด การใหม ัน ถูก ตอ ง แลว ก็จ ะไมม ีอ ะไรผิด อีก ตอ ไป; ก็ เลยได ชื่ อ ว าเป น ก ข ก กา ของพรหมจรรย , คื อ กระแสแห งการปฏิ บั ติ เพื่ อ จะดั บ ทุกขสิ้นเชิง นี่ ก ขก กา แหงพรหมจรรยอยางนี้. ฉะนั้นเรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้ นอกจากจะเรียกวา ญายธรรม คือสิ่ง ที ่ม นุษ ยค วรจะรู แลว ยัง ตรัส เรีย กวา เปน เบื ้อ งตน แหง พรหมจรรย. มัน เป น เงื่ อ นต น หรื อ เป น ก ข ก กา นั่ น แหละ แห ง พรหมจรรย ด ว ย; ฉะนั้ น อย า เอาเรื่ อ งปฏิ จ จสมุ ป บาทไปแขวนไว เสี ย บนเพดาน ไม ม าเกี่ ย วข อ งกั น มั น เป น เรื่ อ ง ที่ เกิ ด อยู จ ริ ง เกี่ ย วข อ งอยู จ ริ ง ที่ ก าย วาจา ใจ ของเราอยู จ ริ ง เป น ประจํ า วั น . แต แ ล ว เราไม รู ก็ เลยถื อ ว า เป น เรื่ อ งที่ ยั ง ไม ต อ งรู , เอาไปแขวนไว เสี ย ที่ ไ หนก็ ไ ม รู แลวมันก็แกปญหาที่เกิดอยูจริงที่เนื้อที่ตัวนี้ไมได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้ น ก็ เลยไม ต องพู ด ถึ งความเป น พระโสดาบั น คิ ด ดู ซิ มั น โง ถึ งขนาด นี ้ แลว จะเปน พระโสดาบัน อยา งไร; ความทุก ขม ัน เกิด อยู ที ่เ นื ้อ ที ่ต ัว นี ้ แลว เรื ่อ ง ที ่จ ะดับ ความทุก ขไ ดนั ้น เอาไปเก็บ ไวเสีย ที ่ไ หนก็ไ มรู เพราะฉะนั ้น ก็เ ปน บุถ ุช น ยิ่ ง กว า บุ ถุ ช น, จึ ง ต อ งทบทวนกั น ใหม ; ศึ ก ษากั น ใหม เรี ย กว า เรี ย น ก ข ก กา ของพรหมจรรยกันเสียใหม; แตในที่นี้จะเรียกวา ก ข ก กา ของนิพพาน.
ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน
๓๐๕
นี่ ที่ พู ด มาทั้ ง หมดนี้ พอเป น ตั ว อย า งให เข า ใจบุ ค คลประเภทหนึ่ ง ตาม ที่ บั ญ ญั ติ ใ นที่ นี้ ว า เป น ผู รู ก ข ก กา ของพระนิ พ พาน คื อ พระโสดาบั น ท า น ละกัง ขา ๑๐ ประการเสีย ได, แลว ก็รู แ จง แทงตลอดซึ ่ง ญายธรรม คือ สิ ่ง ที่ มนุษ ยค วรจะรู ในฐานะที ่ญ ายธรรมนั ้น เปน เบื ้อ งตน แหพ รหมจรรย. นี ่ม ัน ก็ค ง จะแปลกไปบ า ง จากการบรรยายครั้ ง ก อ น ๆ แต มั น เรื่ อ งเดี ย วกั น คื อ เรื่ อ งพระ โสดาบั น ด ว ยกั น . นี้ เ รามองพระโสดาบั น ในมุ ม อื่ น หรื อ ในทิ ศ ทางอื่ น มั น ก็ ม อง เห็ น อย า งนี้ , คื อ ยิ่ ง กว า ที่ จ ะมองเห็ น แต เพี ย งว า มี ศ รั ท ธาในพระรั ต นตรั ย มี อ ริ ย กั น ตศี ล หรื อ ว า ละเวรภั ย ทั้ ง ๕ ได หรื อ ว า ดํ า เนิ น อยู ใ นมรรคมี อ งค ๘ ประการ. นั้ น มั น ยั ง เรี ย กว า คํ า พู ด ยั ง มากไปกว า ที่ จ ะพู ด ว า รู ญ ายธรรม คื อ สิ่ ง ที่ มั น เกี่ ย วกั น อยูกับเราทุกวัน ๆ ทุกวันเวลานาทีนี้ ใหเรื่องนี้ ใหแกปญหาเรื่องนี้ใหได.
อานิสงสของการรู ก ข ก กา ของพระนิพพาน. เอ า , ที นี้ ต อ ไปชั่ ว เวลาเล็ ก น อ ยนี้ ก็ อ ยากจะพู ด ถึ ง เรื่ อ งผลประโยชน หรือ อานิส งส ของการรู ก ข ก กา ของพระนิพ พาน. นี ่เ รีย กวา จะเรีย ก อยางเขาเรียกกันสมัยนี้วาประเมินผลก็ได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ผลของการรู ก ข ก กา ของพระนิ พ พาน ในขั้ น ที่ เป น พระโสดาบั น เต็ ม รูป แลว นี้ พระพุท ธองคไดท รงแสดงไวห ลายอยา ง; แตอ ยา งที ่ค วรจะเอามาพูด ถึ งก อน ก็ อย างในพระบาลี อภิ สมยสั งยุ ตต สั งยุ ตตนิ กายอี ก นั่ นเอง จะเรียกว าเป นผล ชั้น ก ข ก กา ก็ได คื อบุ ค คลนั้ น จะหยั่งเห็น พระนิ พ พานได โดยที่ ยังไมถึงพระนิพพาน; เหมือนกับบุคคลมองเห็นน้ําในบอลึกชัดเจน แตยังตักกินไมได.
๓๐๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
นี้ เราทํ าความเข าใจในอุ ป มาก อ น แล วก็ จะเข าใจอุ ป มั ย ได ถ าตามั น ก็ ดี แสงสวา งมัน ก็ม ี บอ นั ้น มัน ก็ไ มไ ดล ึก เกิน ไป คนก็ม องเห็น น้ํ า ที ่ใ สแจว อยู ใ นบอ นั้ น ว า เป น น้ํ า ที่ กิ น ได . แต เ ดี๋ ย วนี้ มื อ ของเรายั ง สั้ น ยาวไม พ อ จะตั ก น้ํ า ไม ถึ ง , เชื อ กก็ ไ ม มี ถั ง ก็ ไ ม มี , แต เ ราเห็ น น้ํ า นั้ น ชั ด ว า น้ํ า นั้ น เป น น้ํ า ที่ กิ น ได แ ล ว เรามี ความแนใ จวา น้ํ า นั ้น กิน ได และเราจะตอ งทํ า ใหม ัน กิน ไดโ ดยแนน อน ในเวลา ตอ มา. ในเวลานี ้ย ัง กิน ไมไ ด ยัง กิน ไมถ ึง ; แตเ ห็น ชัด แลว วา น้ํ า นี ้ก ิน ได. นี้ พ ระโสดาบั น เป น เพี ย งผู ห ยั่ ง เห็ น พระนิ พ พาน, หน ว งเอาพระนิ พ พานเป น อารมณ , เห็ น พระนิ พ พาน ยั งไม ลุ ถึ งพระนิ พ พานโดยสมบู รณ เป น เพี ย งถึ งกระแส แหงพระนิพพาน. แต ใ นอี ก ปริ ย ายหนึ่ ง โวหารหนึ่ ง จะเรี ย กว า ถึ ง พระนิ พ พานในอั น ดั บ พ ระ โส ด าบัน ก็ไ ด; แตใ หเ ขา ใจ วา นั ้น ยัง ไมใ ชน ิพ พ าน ที ่ส ม บูร ณ . ถา จ ะ เอาการบรรลุม รรคผลขั ้น พระโสดาบัน วา เปน การถึง นิพ พานขั ้น หนึ ่ง ก็ม ัน เปน ขั้ น ห นึ่ งเท านั้ น ใน ขั้ น ถึ ง กระแส แห งพ ระนิ พ พ าน เท านั้ น . ห รื อ จะถื อ เอาว า สัง โยชน ๓ ประการที ่ด ับ ไปได เปน นิพ พานของพระโสดาบัน มัน ก็ไ ด; แตมันก็มีสังโยชนเหลืออยูอีก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เดี๋ ย วนี้ เราเล็ งถึ งพระนิ พ พานโดยสมบู รณ แล ว ก็ จ ะถื อ ว า พระโสดาบั น นี้ เปน ผู ห ยั ่ง เห็น พระนิพ พาน, มีพ ระนิพ พานเปน อารมณอ ยู จ อ หนา ; แตย ัง แตะ ต อ งพระนิ พ พานนั้ น ไม ได . นี้ เรี ย กว า ก ข ก กา ที่ เป น ผล ผลที่ เป น ชั้ น ก ข ก กา คือผลขั้นแรกที่จะใหเราอนุมานได มันมีอยูอยางนี้.
ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน
๓๐๗
อาตมาเชื่ อ ว า บางที พ ระพุ ท ธเจ า ท า นได ต รั ส ข อ นี้ ก็ เ พื่ อ อย า ให ค น ถอยกํ า ลั ง ใจ, อย า ให ค นเสี ย กํ า ลั ง ใจ ไม ก ล า คิ ด กล า เอื้ อ ม เอาพระนิ พ พาน. ทา นจึง วา มัน ก็ย ัง มีอ ยู ใ นระดับ หนึ ่ง ที ่วา มองเห็น พระนิพ พาน แมย ัง ไมท ัน จะถึง มันก็แนที่จะถึงนิพพาน; เหมือนกับคนเห็นน้ําในบอ แตยังตักกินไมถึง. ฉะนั้น คนทั่วไปควรจะนึกถึงขอนี้แหละเปนขอแรก เปน ก ข ก กา ของผลแหง การบรรลุธ รรม. อยา ทอ ถอยวา ไมถ ึง ไมม ีว ัน ถึง ไมอ าจจะถึง ; แต ให รูชัดวามั น อาจจะถึ งได โดยวิธี นี้ ก อ น, แลวมั น ก็จะถึงไดโดยสมบู รณ โดยแน นอน ในโอกาสหลัง . อยา งถา บุร ุษ นี ้เ ห็น น้ํ า ชัด ในบอ นี ้อ ยา งนี ้แ ลว ; ฉะนั ้น การที่ จะพยายามไปหาถั งมา หรือไปหากระบอกมา ไปหาสายเชื อกมา หรืออะไรต อ ๆ กั น เข า ตั ก น้ํ า กิ น ให ได นี้ มั น ไม ย าก มั น ลํ า บากน อ ย กว า ที่ จ ะหาจนพบบ อ น้ํ า นี้ . ให เที ย บเคี ย งอย า งนี้ ว า ลํ า บากเหลื อ เกิ น ที่ ก ว า จะมาพบบ อ น้ํ า นี้ , แล ว พบบ อ น้ํ า นี้ แ ล ว . ป ญ หาเหลื อ อยู นิ ด หน อ ยว า น้ํ า มั น ยั ง ลึ ก เกิ น ไปตั ก ไม ถึ ง ; แต เราเห็ น ชั ด แลว เปน ที ่แ นน อนแลว . ฉะนั ้น จึง ไมม ีป ญ หาอะไรที ่ว า จะไมไ ด, มัน มีแ ตว า จะต องได คื อช าหรือเร็ ว, ก็ ไปตั ดเถาวั ลย ม า ไปตั ดกระบอกมา แล วก็ ตั กน้ํ าขึ้ น มา กินได, นี้ก็เปนเรื่องสุดทาย.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ก ารประเมิน ผล ในขั้น แรกของความเปน พระโสดาบัน นี้, มัน ใหกําลังใจมากถึงอยางนี้ทีเดียว.
ทีนี้พระพุทธเจาไดตรัสไวในพระสูตรถัด ๆ ไปอีก จะเปรียบเทียบความ ทุ ก ข ที่ ห มดไป แม ใ นชั้ น ก ข ก กา แห ง ความเป น พระโสดาบั น นี้ . ท า นตรั ส ว า ความทุ ก ข มั น หมดไปมาก จนเหลื อ ที่ จ ะเปรีย บได กั บ ส วนที่ เหลื อ อยู ; เช น
๓๐๘
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
เปรีย บดว ยฝุ น ดิน หรือ ฝุ น ทั ้ง โลกนี ้. ถา ผู ป ฏิบ ัต ิถ ึง ขั ้น ที ่เ ปน พระโสดาบัน นี้ แลว ความทุกขก็จะเหลืออยูเหมือนกับวา ฝุนติดที่ปลายเล็บเทานั้น. ฝุ น ทั้ ง โลกนั้ น หายไปแล ว คื อ ความทุ ก ข ที่ เท า กั บ ฝุ น ทั้ ง โลกนั้ น หายไป แล ว . หรื อ ถ า เปรี ย บกั บ น้ํ า ในมหาสมุ ท ร ก็ ห ายไปเกื อ บหมด เหลื อ แต น้ํ า สั ก ว า ติ ด อยู ปลายใบหญ า. ความทุ กข จะเหลื ออยู น อยเท านั้ น หรือถ าเปรียบขนาดภู เขาหิ มาลั ย อย างนี้ ก็ ทั้ งขนาดภู เขาหิ มาลั ย, ความทุ กข ในขนาดเท านั้ นได หายไป, เหลื อความทุ กข อยู ป ริ ม าณเท า สั ก ว า ก อ นกรวดเล็ ก ๆ ๒ - ๓ เม็ ด เท านั้ น . นี่ ท าน คํ านวณผลของ การบรรลุพระโสดาบัน. ที นี้ ผู ฟ งก็ จะไม เชื่ อ อย างที่ อ าตมาว า ที่ จะจั ด พระโสดาบั น ให เป น ผู แรกรู ก ข ก กา ของพระนิ พ พานนี่ , หรื อ ว า ก ข ก กา ของพระนิ พ พาน คื อ ความเป น พระโสดาบั น นี้ ก็จะไม เชื่อ . แต นี้ อาตมาก็จะพู ด ให ชัด วา รู ก ข ก กา นั่ น แหละ ขอให รู จ ริ ง เถอะ มั น เป น การรู เ ข า ไปตั ้ ง ครึ่ ง ตั ้ ง ค อ นแล ว ; เพราะว า ถ า ไปเที ย บกั บ ความบุ ถุ ช นแล ว มั น ไกลกั น มา ไม รู กี่ ร อ ยเท า พั น เท า หมื่ น เท า . ความมื ด ของบุ ถุ ช น ความยั ง ห า งไกลต อ พระนิ พ พานของบุ ถุ ช น นั้ น มั น มากมาย เหลือ เกิน . แตว า ขึ ้น มา ถึง ขั ้น เปน พระโสดาบัน แมจ ะเปน ขั ้น แรก, ขั ้น แรก ถึ ง กระแส นี่ ก็ เ รี ย กว า มั น ผิ ด กั น มาก. แต ถึ ง อย า งนั้ น ก็ ต อ งเรี ย กว า แรกถึ ง กระแสแหงพระนิพพาน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ให ถื อ เอาเป น ก ข ก กา ชนิ ด ที่ รูจ ริ ง, รูแน น อนวา เราจะรูห นั งสื อ ได โ ดยแน น อน; ไม ใ ช มั ว แต ว า ก ข ก กา อยู ที่ นั่ น มั น รู แ จกสระไปหมด, รู จั ก ผั นไปตามวรรณยุ กต ทั้ งหมด, รู จั กเอามาต อกั น กล้ํ ากั น สนธิ กั น อะไร อ านเป นคํ า เปนอะไรไดแลว. นี้เรียกวารู ก ข ก กา คือรูทุกตัวอักษรอยางนี้.
ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน
๓๐๙
ความเปน ก ข ก กา นี ้ มัน หมายถึง เริ ่ม รู ; แตว า ขั ้น ที ่เ รีย กวา เริ ่ม รู นั ้น มีม าตรฐานอยา งไร เทา ไร มัน ตอ งรู ก ัน โดยสมบูร ณ; อยา งนอ ยก็เ รีย กวา รูไม เหลื อ ในเรื่ อ งที่ จ ะต อ งรู; หากแต วายั งทํ าไม ได เหมื อ นกั บ เห็ น น้ํ าในบ อ นี้ เห็ น ชั ด แล ว แต ย ั ง ตั ก กิ น ไม ไ ด . ห รื อ พ ระโส ด าบั น รู โ ด ย ป ช าน าติ รู แ จ ง แล ว . แตวายังไม วิทิตฺวา - ถึงกับที่ทําจิตใหหลุดพนไปจากความยึดมั่นถือมั่นเหลานั่นเหลานั้น ได. นี่ ระดั บ มั น ต างกั น อยู อ ย างนี้ แต ถึ งอย างไรก็ ต อ งยอมรั บ ว า ที่ ต อ งรู ต อง เห็ น หรื อ ต อ งมองดู นั้ น ได รู ได เห็ น ได ม องดู แ ล ว , คื อ พระพุ ท ธเจ า ท า นได ต รั ส บทบั ญ ญั ติ อื่ น ๆ ไว อี ก เพื่ อ ให รู จั ก พระโสดาบั น ยิ่ ง ขึ้ น ; แต ใ นความหมายเดิ ม หรือ เทา เดิม . พระโสดาบัน เปน ทิฏ ฐิส ัม ปน โน, เปน ทัส สนสัม ปน โน; ถา ไม เคยได ยิ น ก็ ได ยิ นเดี๋ ยวนี้ ก็ ได ว าพระโสดาบั นเป น ทิ ฏ ฐิ สั ม ป น โน – สมบู รณ ด วย ทิฏฐิ และทัสสนสัมปนโน - สมบูรณดวยทัศนะ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทิฏฐิสัมปนโน ก็ - สมบูรณดวยความเห็น, แลวทัสสนสัมปนโน – สมบูรณ ด ว ยการเห็ น . ท า นสมบู ร ณ ด ว ยความเห็ น , และสมบู ร ณ ด ว ยการเห็ น , นี้ เพื่ อ ให มั น ชั ด เจน มั น ไม มี อ ะไรเหลื อ ความเห็ น ถู ก ต อ งเป น อย า งนั้ น ๆ ก็ มี อ ยู แต ถ า ไม มีก ารเห็น มัน ก็ใ ชไ มไ ด. ถา วา มีค วามเห็น ก็ต อ งมีก ารเห็น ดว ย, คือ หลัง จากการเห็ น แล ว จึ ง มี ค วามเห็ น . ถ า อย า งนี้ ก็ ไ ด ; แต เ พื่ อ ไม ใ ห มั น กํ า กวม พระพุ ท ธเจ า ท า นเลยตรั ส ไว ทั้ ง ๒ บท ว า พระโสดาบั น นั้ น สมบู ร ณ ด ว ยความเห็ น และสมบูรณดวยการเห็น.
ที นี้ ม องดู พ วกเรากั น เองบ า งซิ สมบู ร ณ ด ว ยอะไร ? สมบู ร ณ ด ว ยความ เห็ นไหม ? แล วสมบู รณ ด วยการเห็ นไหม ? ดู มั นจะยั งไม มี ทั้ ง ๒ อย าง คื อความเห็ น
๓๑๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
มัน ยัง ไมถ ูก ตอ ง ก็เ รีย กวา ไมส มบูร ณด ว ยทิฏ ฐิ. ทีนี ้ท ิฏ ฐินั ้น มัน มี หรือ มัน ไปอยู เสี ย ที่ ไหนก็ ไม ท ราบ, มั น ไม เอามาทํ าหน าที่ มั น ไม เอามาเห็ น คล าย ๆ กั บ ว า บางคนมีตา แตมันไมดู. เดี๋ ยวนี้ ใครกํ าลั งมี ตาแล วไม ดู บ าง ? ก็ ลองคิ ด ดู มั นอาจจะเป น อย างนั้ น ก ระ มั ง ; ทํ า ไม ทุ ก ค น ก็ ม ี ต า แล ว ทํ า ไม จึ ง ไม เ ห็ น . ที นี ้ เ รื ่ อ งธ รรม ะมั น ลึ ก กวา นั ้น ตอ งมีต าอีก ชนิด หนึ ่ง แลว ก็จ ะตอ งดูอ ีก ทีห นึ ่ง ดว ย. เดี ๋ย วนี ้ม ีต า ทํ า ไมจึ ง ไม ดู ? เดิ น สะดุ ด ก อ นหิ น นี้ ล ม บ อ ย ๆ นี่ มั น มี ต าแล ว มั น ไม ดู . นี้ เรี ย กว า ตาเนื้ อ ๆ ตาข างนอกก็ ยั งเป นเสี ยอย างนี้ , มี ตาแล วก็ ไม ได ใช ตานั้ นให เป นประโยชน . ทีนี ้ท างธรรมะเขาเรีย กธรรมจัก ษุ แลว ก็ยิ ่ง ใชย ากกวา นี ้; มัน ตอ งมีต าดว ย และตอ งมีก ารใชต านั ้น ดว ย. พระองคจ ึงตรัส วา พระโสดาบัน นั ้น เปน ทิฏ ฐิส ัม ปนโน เปนทัสสนสัมปนโน, สมบูรณดวยความเห็น สมบูรณดวยการเห็น. ทีนี้ถัดไปอีกก็ตรัสวา อาคโต อิมํ สทฺธมฺมํ ปสฺสติ อิมํ สทฺธมฺมํ, อาคโต อิมํ สทฺธมฺมํ มาแลวสูพระสัทธรรมนี้. พระโสดาบันนั้นเปนผูมาแลวสูสัทธรรมนี้ ปสฺสติ อิมํ สทฺธมฺมํ - ยอมเห็นซึ่งสัทธรรมนี้. นี่ ฉะนั้นอยาทําเลนกับพระพุทธเจา ท านจะตรั ส อะไรชนิ ด ที่ มั น ไม มี ช อ งโหว หรื อ ไม มี ท างที่ จ ะผิ ด หรื อ ว า ช อ งโหว ให เขา ค าน อย างที่ เขาเรี ยกกั นสมั ยนี้ ว า มั นไม มี logic ท านจะสมบู รณ ด วย logic แม ในคํ าตรั ส ของทาน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อาคโต อิมํ สทฺธมฺมํ - มาสูสัทธรรมนี้, ปสฺสติ อิมํ สทฺธมฺมํ - ยอมเห็น ซึ่ ง สั ท ธรรมนี้ . ถ า จะเปรี ย บก็ เหมื อ นกั บ บางคนมาที่ วั ด นี้ แ ล ว แต ไ ม เห็ น วั ด นี้ น ะ
ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน
๓๑๑
เข า ใจไหม ? มาที่ วั ด นี้ กั น มาก ๆ แต ไ ม เ ห็ น วั ด นี้ . นี่ พ ระพุ ท ธเจ า ท า นจึ ง ได ต รั ส ว า มาสูสัทธรรมนี้ และยอมเห็น ซึ่งสัทธรรมนี้, นั่นแหละคือพระโสดาบัน. แต ถ า เราจะให มั น เป น เรื่ อ งเดี ย วกั น ก็ ได ต อ งหมายถึ ง คนที่ มี ต า, มี ต าดี คื อ ที่ มี ป ญ ญา ขอแต ใ ห ไ ด ม าเถอะ มั น ก็ จ ะเห็ น แหละ, หรื อ ถ า มั น เห็ น เข า มั น จะ มาหรือไมมาก็สุดแท แลวมันเห็นก็แลวกัน. แต เดี๋ ย วนี้ ท า นจะตรั ส อย า งไรก็ ไ ม ท ราบ แต อ าตมาถื อ ว า ท า นจะตรั ส ให มั น ไม ใ ห มี ช อ งโหว , จึ ง ตรั ส ว า เป นผู ม าแล ว สู สั ท ธรรมนี้ , แล ว ก็ ย อ มเห็ น ซึ่ ง สั ท ธรรมนี้ , คื อ มาแล ว สู ค วามรู อั น ถู ก ต อ งในพระศาสนานี้ แล ว ก็ ไ ด เห็ น ธรรมนั้ น ๆ จริง ๆ ดวย นี่พระโสดาบันทานเปนอยางนี้. เสกฺ เขน าเณน สมนฺ นาคโต - ประกอบพรอมแล วด วยญาณอั นเป น เสขะ, เสกฺขาย วิชฺชาย สมนฺนาคโต - ประกอบพรอมแลวดวยวิชชาอันเปนเสขะ, ท านใช คํ า ๒ คํ าพร อ มกั น ไป ญาณ แปลว าความรู , วิ ช ชา ก็ แปลว า ความรู ญาณ ก็ แ ปลว า ความรู , วิ ช ชา ก็ แ ปลว า ความรู , แล ว มั น ต า งกั น อย า งไร ? ตามปกติ มั น ก็ ใชแทนกัน เรียกวา เปนคําแทนกันได; แตนี้ก็เปนคําที่ย้ําใหมันมาก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ค วาม รู เ ฉ ย ๆ ค วาม รู รู ไ วม าก ๆ; อ ยา งรู ไ วท ว ม หัว เอ าตัว ไม ร อ ด นี ้ก ็เ รีย กวา ญ าณ ก็ไ ด. ถา เรีย กวา ญ าณ แปลวา ความรู นี ้ รู ไ มม ีเ ขตจํ า กัด , รู อ ยา งความรู ท ว มหัว เอาตัว ไมร อดก็ไ ด. แตถ า วา เปน วิช ชาแลว ตอ งเปน ความ รู ที่ ถู ก ใช , ความรู ที่ อ าจจะใช แ ละถู ก ใช คื อ ความรู ที่ คู กั น อ ยู กั บ การป ฏิ บั ติ .
๓๑๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ต อ งมี ค วามรูสํ า หรับ การปฏิ บั ติ , แล ว ก็ ได ป ฏิ บั ติ ต ามความรู นั้ น ความรูนั้ น ก็ เรีย ก วาวิชชา. ในกรณี ทั่ วไปธรรมดาในโลกนี้ คนบางคน รู – รู – รู - รู มากแล วไม ได ปฏิบัติอะไร ไมทําอะไร รูทวมหัวเอาตัวไมรอด. แตถาวา ความรูใด ๆ เขาเอามา ปฏิ บั ติ สํ าเร็จประโยชน แก การเลี้ ยงชี วิต, หรือการทํ าประโยชน ผู อื่ นอะไรก็ ตาม นี้ ก็ เรียกวาวิชชาได, สําหรับภาษาบาลีเปนอยางนี้. เพราะฉะนั้นเมื่อจะเอาความหมาย ที่ จํ ากั ดรัดกุ ม กั นหน อยแล ว ญาณ กั บ วิ ช ชา ก็ มี ความหมายที่ กว างแคบกว ากั น . ญาณ เปน ความรู ทั ่ว ๆ ไป มากนอ ยเทา ไรก็ไ ด; แตถ า วิช ชาเปน ความรู ที่ จําเป นแก การปฏิ บั ติ ที่ ต องมี เดี๋ ยวนั้ น เวลานั้ นในขณะนั้ น ตองใชมั นในขณะนั้ น. นี้พระโสดาบันมีทั้งญาณ มีทั้งวิชชา. สํ า หรั บ เสขบุ ค คล คื อ คนที่ ยั ง ไม เป น พระอรหั น ต ผู ที่ ยั ง ไม เป น พระอรหั น ต จะต อ งมี ญ าณอะไรบ า ง ? จะต อ งมี วิ ช ชาอะไรบ า ง ? พระโสดาบั น ก็ มี . ฉะนั้ น พระโสดาบั น นี้ ก็ เรีย กวา เป น ผู ป ระกอบพร อ มแล ว ด วยญาณ ด ว ย วิชชา ซึ่งเปนเสขะ คือของบุคคลที่ยังไมเปนพระอรหันต ทานมีพรอม.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทีนี ้บ ทตอ ไป พระพุท ธเจา ทา นตรัส วา ธมฺม โสตํ สมาปนฺโน - เปน ผูมาถึงพรอมดวย มาถึงทั่วแลว ซึ่งกระแสแหงธรรม. ธมฺมโสตํ แปลวา กระแส แห ง ธรรม มาถึ ง แล ว ซึ่ ง กระแสแห ง ธรรม. ในที นี้ ห มายถึ ง พระนิ พ พาน, กระแส แห ง ธรรมนี้ ห มายถึ ง กระแสแห ง พระนิ พ พาน. ที่ เรีย กว า กระแสนั้ น ในภาษา ธรรมดาเขาแปลวา เกลี ยวที่ มั น ไหลไปอยางไม มีอะไรตานทาน หรือ วาต านทาน ยาก; อยางนี้ก็เรียกวา กระแส หรือ โสตา.
ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน
๓๑๓
ทีนี้กระแสแหงพระนิพพาน นั้นหมายความวา มีการปฏิบัติอยูระยะ หนึ ่ง หรือ ตอนหนึ ่ง , ซึ ่ง ถา ถึง นั ่น แลว จะไมก ลับ หลัง . ถา ยัง กลับ หลัง อยู ไ ด ยั ง ไม เรี ย กว า ธมฺ ม โสตํ หรื อ กระแสแห ง พระนิ พ พาน ต อ งปฏิ บั ติ ม า, ปฏิ บั ติ ม า, ปฏิ บั ติ ม าจนถึ ง ระยะหนึ่ งขั้ น หนึ่ ง ซึ่ งกลั บ หลั บ อี ก ไม ได ก็ เรี ย กว า ธมฺ ม โสตํ พระโสดาบันตั้งอยูที่จุดนี้. บางที ในทางวั ต ถุ อาตมาเคยเปรี ย บเที ย บให เขาฟ งว า เหมื อ นกั บ เรา ถี บรถจั กรยานขึ้ นสะพานโค ง เมื่ อเราได พยายามถี บด วยเรี่ยวแรงแข งขาขึ้ นมา จนถึ ง จุ ด สู งสุ ด ของสะพานโค ง. ที นี้ ยั งเหลื อ แต จ ะลงไปทางต่ํ านี่ จุ ด นั้ น แหละจะเรี ย กว า จุ ด ที่ เ ป น กระแสแห ง ธรรม คื อ จะไม ก ลั บ อี ก แน น อน มั น มี แ ต จ ะไปเอง ไหลไปเอาขา งโนน . พระโสดาบัน มีลัก ษณะเหมือ นกับ อยา งนี้ คือ มาถึง จุด นี้ ที่กลับอีกไมไดเพราะมันถึงกระแสแหงพระนิพพาน. ทีนี้ ทานเรียกดวยบทตอไปอีกวา อริโย นิพฺ เพธิกปฺโ. อริโย แปลวา ประเสริฐ, นิพฺเพธิกปฺโ แปลวา มีปญญา เปนเครื่องเจาะแทงซึ่งกิเลส. ปญญา นี้ มี หลายชนิ ด ป ญ ญาบางชนิ ด ไม เจาะแทงกิ เลส ฉะนั้ น ต อ งระบุ ให ชั ด ว า ป ญ ญา ที่เจาะแทงกิเลส เรียกเป นภาษาบาลีวา นิ พฺ เพธิกปฺ โ, นิ พเพธิกป ญญา ป ญญา ที่จะเจาะแทงกิเลส. ผูใดมีปญญานี้เรียกวา นิพเพธิกปญโญ คือ ผูที่มีปญญาเปน เครื่ อ งเจาะแทงกิ เลส. คนปุ ถุ ช นไม มี ป ญ หาถึ งขนาดนี้ แต พ อปฏิ บั ติ ม าถึ งความ เป นพระโสดาบั นแล ว เรียกได เลยวา ท านเป นผู มี ป ญ ญาถึ งขนาดที่ เรียกได วา เจาะ แทงกิ เลส; เพราะอย า งน อ ยก็ ได ทํ า สั ง โยชน ๓ ประการให สิ้ น ไป, หรื อ จะถื อ เอา มาตรฐานที ่ว า เพราะรู ญ ายธรรม คือ ปฏิจ สมุป บาทนั ้น . ถา รู อ ัน นี ้จ ริง ก็เรีย กวา มีปญญาเปนเครื่องเจาะแทงกิเลสได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๓๑๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
บทสุดทายก็วา อมตทฺวารํ อาหจฺจ ติฏติ แปลวา ยืนอยูจดประตูแหง อมตะ, ยืน อยู จ ดประตูแ หง อมตะ. นี ้เปน เรื่อ งสมมติ ใหพ ระนิพ พานนี ้เหมือ น กั บ บ า นเมื อ ง, แล ว ก็ มี ป ระตู คื อ ถ า ไปยื น อยู จ ดประตู เหยี ย บธรณี ป ระตู นั่ น แหละ เรีย กวา พระโสดาบัน เปน ผู ย ืน อยู จ ดประตูแ หง พระนิพ พานอัน เปน อมตะ. ถา โดยอุ ป มานี้ แ ล ว ก็ ยั ง เข า ไปในเมื อ ง แต ว า ยื น อยู จ ดประตู . ฉะนั้ น ที่ อ าตมาเรี ย ก ว า ก ข ก กา ของพระนิ พพาน ก็ ควรจะถู กกระมั ง, ไม ควรจะคั ดค านกั นนั ก เพราะ วา ไปยืน อยู จ ดประตูเ ทา นั ้น ยัง ไมไ ดเ ขา ไปในประตู. แตถ ึง อยา งไรก็ด ี ตอ ง ถือวา มันเปนการประเมินผลได เปนที่แนนอนวา พระโสดาบันทานเปนอยางนี้. ที นี้ ก็ แ สดงผลให ชั ด เจนไปอี ก ก็ เรีย กวา ขี ณ นิ ร โย – เป น ผู มี น รกอั น สิ้ น แล ว : จะนรกชนิ ดไหนก็ ตามใจ สิ้ นแล ว หมดแล ว จะนรกใต ดิ นหรือนรกในใจ ในอก อะไรก็สิ้นแลว. แลวก็ ขีณติรจฺฉานโยนิโย - เปนผูมีกําเนิดเดรัจฉานอันสิ้นแลว คือจะ สิ้นความเปนสัตวเดรัจฉานอีกตอไป, หรือวาจะไมไปเกิดเปนสัตวเดรัจฉานอีกก็ได, หรื อ ว า อยู เป น คนที่ นี่ จะไม โง อ ย า งสั ต ว เดรั จ ฉานอี ก ต อ ไปก็ ได . แต ค วามหมายที่ ดี ก ว า นั้ น ควรจะถื อ ว า จะไม โ ง อ ย า งสั ต ว เ ดรั จ ฉานอี ก ต อ ไป; เพราะสั ต ว เดรัจ ฉานนี ้ม ัน หมายถึง ความโง. เดี ๋ย วนี ้เ ราจะไมโ งใ นเรื ่อ งทุก ข, เรื่อ งเหตุ ใหเ กิด ทุก ข, เรื ่อ งความดับ ทุก ข, ทางแหง ความดับ ทุก ขอ ีก ตอ ไป. นี ้ก ็เ รีย กวา จะไมเกิดความโงอยางสัตวเดรัจฉานอีกตอไป.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ขี ณ ป ตฺ ติ วิ ส โย - มี วิ สั ย แห งเปรตสิ้ น แล ว คื อ สิ้ น วิสั ย แห ง เปรตแล ว ; จะเปรตรู ป ร า งน า กลั ว อย า งที่ เขาพู ด กั น ก็ ไ ด ไม เ ป น เปรตอย า งนั้ น อี ก ต อ ไป;
ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน
๓๑๕
จะไม เป นเปรตเพราะหิ วกระหายอย างอยากถู กลอตเตอรี่เป นต น ไม เป นเปรตอยางนี้ ด วย, ไม เป นเปรตอย างไหนหมดเลย. คื อไม มี ความอยากที่ จะแผดเผาหั วใจชนิ ดไหน อีกตอไป. นี้เรียกวา มีวิสัยแหงเปรตอันสิ้นแลว. ขีณาปายทุคฺคติวินิปาโต - มีอบายและทุคติและวินิบาต อันสิ้นแลว, อบายทุกชนิดสิ้นแลว, ทุคติทุกชนิดสิ้นแลว, วินิ บาต คือความตกต่ําทุ กชนิดก็สิ้น แลว ; หมายความวา ลงต่ํา ไมมีอีก ความตอ งทนทุก ขลํา บากไมมีอีก ความ เดื อ ดร อ นอย างที่ เรี ย กว าอบายนั้ น ไม มี อี ก เพราะว าจิ ตใจที่ ถอนความยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ไดในบางระดับแลว. โสตาปนฺโน เรียกวาผูถึงแลวซึ่งกระแส อวินิปาตธมฺโม – ไมมีความตกต่ํา เปน ธรรมดา, นิย โต - เปน ผู เ ที ่ย ว, สมฺโ พธิป รายโน - มีส ัม โพธิเ ปน เบื ้อ งหนา . ผูที่ เป นพระโสดาบั นนั้ น จะไม ตกต่ํ าอี กเป นธรรมดา นิ ยโต แปลวา เที่ ยง คื อเที่ ยง ต อ พระนิ พ พาน. ถ า ยั ง ไม เป น พระโสดาบั น ยั ง ไม เป น ที่ แ น น อนว า เที่ ย งแท ต อ พระนิ พ พาน, ก็ แ ปลว า เพิ่ ง จะละจากความเป น บุ ถุ ช นขึ้ น มา ในลั ก ษณะที่ เที่ ย ง แทต อ พระนิพ พาน. บุถ ุช นไมม ีก ารเที ่ย งแทต อ พระนิพ พาน สมฺโ พธิป รายโน นี้ ก็ ข ยายความนี้ ชั ด ขึ้ น ว า มี สั ม โพธิ เป น ที่ ไ ปในเบื้ อ งหน า คื อ จะมี ค วามรู ถึ ง ขนาด เปน พระอรหัน ต สมฺโพธิ - รูถ ึง ที ่ส ุด รูพ รอ ม รูก ัน อยา งเปน พระอรหัน ตนี ้ จะมี ในเบื้องหนา นี้อานิสงสความเปนพระโสดาบัน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ พ ระพุ ท ธเจ า ท า นยั ง ได ต รั ส ไว อย า งที่ ค วรสนใจอย า งหนึ่ งว า คน ชนิ ด นี้ ไ ม ต อ งเชื่ อ คนอื่ น , คนชนิ ด นี้ จ ะเชื่ อ ตั ว เอง. ฉะนั้ น พระโสดาบั น ไม ต อ ง
๓๑๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
เชื่ อ คนอื่ น คื อ เช น ไม ต อ งให ใ ครมาช ว ยตั้ ง ให ว า แกเป น พระโสดาบั น ; ถ า พระ โสดาบันเปนพระโสดาบัน ก็จะรูวา เรานี่เปนพระโสดาบัน อยางนี้เปนตน. ฉะนั้ นเมื่ อปรารถนาอยู นี่ เรียกว า โส อากงฺ ข มาโน – อริ ย สาวกนั้ น เมื่ อ ปรารถนาอยู - อตฺตนา ว อตฺตานํ พฺยากเรยฺย – ยอมพยากรณซึ่งตนไวดวยตนนั่น ทีย ว, ขีณ นิร โยมฺห ิ - วา เราเปน ผู ม ีน รกอัน สิ ้น แลว , ขีณ ติร จฺฉ านโยนิโ ย – วา เราเปนผูมีกําเนิดเดรัจฉานอันสิ้นแลว, ขีณปตฺติวิสโย – วา เรามีเปรตวิสัยอันสิ้น แล ว , ขี ณ าปายทุ คฺ ค ติ วิ นิ ป าโต - ว า เราเป น ผู มี อ บาย ทุ ค ติ วิ นิ บ าต อั น สิ้ น แล ว , โสตาปนฺโนหมสฺมิ - เราเป นพระโสดาบัน คือเปนผูถึงกระแสแลว, อวินิ ปาตธมฺโม – มี อั น ไม ต กต่ํ า เป น ธรรมดา, นิ ย โต - เป น ผู เ ที่ ย งแท , สมฺ โ พธิ ป รายโน – มี สัมโพธิเปนที่ไปในเบื้องหนา ดังนี้. นี้ ว า การเป น นั้ น จะพยากรณ ตั ว เองได ว า เป น ไม ต อ งมี ใ ครมาออก ประกาศนี ย บั ต รตั้ ง ให ว า เป น ก็ เ พราะว า เป น ทิ ฏ ฐิ สั ม ป น โน, เป น ทั ส สมสั ม ป น โน อะไรต า ง ๆ อย า งที่ ว า มาข า งต น แล ว . เพราะฉะนั้ น จึ ง เห็ น ว า เป น หรื อ ไม เป น แล ว ก็ ไม ต องเชื่ อ ตามคนอื่ น คนอื่ นจะมาบอกว าเป นหรื อ ไม เป น มั น ก็ ไม ต อ งเชื่ อ แต ว าเชื่ อ ความรูของตัวเองอยางนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ พิ จ ารณ าดู ก็ จ ะเห็ น ว า มั น เป น เรื่ อ งที่ ส มบู ร ณ อยู ใ นตั ว , เป น ผู ห ยั่ ง เห็ น พระนิ พ พาน ยั ง ไม ถึ ง พระนิ พ พานก็ จ ริ ง , แต แ น เ ที่ ย งแท ต อ พระนิ พ พานนั้ น ความทุ ก ข สิ้ น ไปมาก จนเรี ย กว า แทบจะไม มี เหลื อ อยู เหมื อ นกั บ เที ย บขี้ ฝุ น ที่ ป ลาย เล็บกับฝุนทั้งโลก.
ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน
๓๑๗
นี่ ค วามที่ มี ค วามเห็ น อย า งถู ก ต อ ง ถึ ง ขนาดเป น พระโสดาบั น และ สามารถที ่จ ะเริ ่ม เปน ครั ้ง แรก, เริ ่ม เปน ครั ้ง แรกในการรู จ ัก ตัว เอง. กอ นนี ้เ ราถือ ว า บุ ถุ ช นทั้ ง หลายนี้ ไม ไ ด รู จั ก แม แ ต ตั ว เอง ไม รู ว า อะไรเป น อะไร, ไม รู เรื่ อ งขั น ธ เรื่ อ งธาตุ เรื่ อ งอายตนะ อะไรเป น อะไร. ฉะนั้ น การแรกเริ่ ม รู จั ก ตั ว เอง นี้ ก็ คื อ ความเปน พระโสดาบัน จนถึง กับ รู ว า เดี ๋ย วนี ้เ ราเปน พระโสดาบัน แตไ มใ ชใ ช คํ าว า พระโสดาบั น สํ าหรับ โอ อวด สํ าหรับ เกี ยรติ ยศ สํ าหรั บ แต งตั้ งอะไรทํ านองนั้ น . โสดาบันในที่นี้ก็แปลวา ผูที่เขาถึงกระแสแหงพระนิพพาน. ภาษาที่ พ ระพุ ท ธเจ าไม เคยใช แต เขาใช กั น มาก คํ าว า โคตรภู แปลว า ละโคตรบุ ถุ ช นเสี ย ได แล วก็ เข าไปสู โคตรของพระอริย ะ นี้ เป น ภาษานอกพระบาลี แต ก็ เป น หลั ก เกณฑ ที่ ใช ถื อ เป น เครื่ อ งทดสอบได เหมื อ นกั บ ว า มี เส น แบ ง เขต ฝ า ย นี้ เ ป น ฝ า ยบุ ถุ ช น ฝ า ยนี้ ก็ เป น ฝ า ยอริ ย ะ; ฉะนั้ น พระโสดาบั น คื อ ผู ที่ ก า วข า มเขต นั้ น ไปได นั่ น เอง. แต ก็ ยั ง อยากจะเรี ย กว า ผู รู ก ข ก กา แห ง พระนิ พ พาน มายื น อยูจดประตูแหงอมตะ ยังไมไดเขาไปในเมืองนั้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ คื อ อานิ ส งส ข องความเป น พระโสดาบั น แล ว ก็ เรี ย กพระโสดาบั น นี้ ว า เป น ผู รู ก ข ก กา แห งพระนิ พ พาน, เพื่ อ ให รู จั ก ก ข ก กา ที่ เราทุ กคนจะต อ งเรี ย น กัน ใหม จะตอ งทดสอบกัน ใหม จะตอ งตั ้ง ตน กัน ใหม ใหด ียิ ่ง ขึ ้น ; เสีย อยา ง เดี ย วแต ว าเรามั น อวดดี เราไม ย อมเป น เด็ ก ที่ จ ะเรี ย น ก ข ก กา เราไม ช อบทํ าอะไร ซ้ํ า ๆ ซาก ๆ, เราลื ม ไปว า เมื่ อ เราเริ่ ม เรี ย น ก ข ก กา ครั้ ง กระโน น เราเรี ย นอย า ง ซ้ํ า ๆ ซาก ๆ เรี ย นแล วเรี ย นอี ก ทั้ งเช าทั้ งเย็ น เป น วั น ๆ เดื อ น ๆ เราจึ งรู ก ข ก กา. แต พ อมาถึ ง ก ข ก กา ของพระธรรมนี้ เราไม ส มั ค รที่ จ ะอดทนถึ ง ขนาดนั้ น ไม
๓๑๘
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ยอมซ้ํ า ๆ ซาก ๆ ขนาดนั้ น , เราอวดดี เป น ผู ใ หญ เสี ย เรื่ อ ย ไม ย อมเป น เด็ ก มั น ก็ ไมอาจจะเรียน ก ข ก กา ได นี่มันขัดกันอยูที่ตรงนี้. ฉะนั้ น ขอให ไ ปคิ ด กั น ดู เ สี ย ใหม เ ถอะ ให มั น มี ก ารชํ า ระสะสางไปแต เบื้ อ งต น . ตั้ งแต ขนาดที่ เรี ย กว า ก ข ก กา ที เดี ย ว, จะเป น ก ข ก กา ของศี ล ธรรม ก็ทําใหดี, เปน ก ข ก กา ของปรมัตถธรรม ก็ทําใหถึงที่สุด ปญหาก็จะจบกัน. นี่การบรรยายในวันนี้ ก็สมควรแกเวลาแลว เรื่องผูรู ก ข ก กา ของ พระนิพพาน ขอฝากไวใหนําไปคิดพิจารณา. ตอไปนี้ขอใหพระสงฆสวดธรรมกถา ที่จะเปนเครื่องชวยกระตุนกําลังใจแกทานทั้งหลาย ตอไปอีกวาระหนึ่ง. _______________
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา - ๑๑ ๑๖ มีนาคม ๒๕๑๗
การเรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพาน. ทานสาธุชน ผูมีความสนใจในธรรม ทั้งหลาย, การบรรยายประจํ าวั นเสาร ครั้ งที่ ๑๑ แห งภาคมาฆบู ชานี้ ยั งคงกล าว ไปโดยหัวขอใหญ ที่วา ก ข ก กา ของการศึกษาพุ ทธศาสนา ตอไปตามเดิม ; แต มาถึงตอนที่จะเรียกโดยหัวขอยอยวา การเรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพาน. [ทบทวน.]
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ผู ที่ ไม เคยฟ ง ตอนต น ๆ มาก อ น ก็ อ าจจะฉงนบ า ง เพราะเรื่ อ งติ ด ต อ กัน มาตามลํ าดั บ ดังนั้ น จึงตอ งขอทบทวน วาคําบรรยายชุด นี้ จะกล าวถึงโดยหั ว ขอใหญ ที่วา ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา; หมายความวา ขอรองให พุ ทธ บริษัทเรียน ก ข ก กา กันใหม เพราะวาเทาที่เรียนมาแลวนั้น มันเฝอก็มี, มันรู ไมจริงรูผิด ๆ ก็มี, แมแตเรื่องขันธ เรื่องธาตุ เรื่องอายตนะ. ดังนั้นจึงตองขอรอง
๓๑๙
๓๒๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ให ม าสะสางกั น ใหม ไปตั้ งแต ต น , ให เข าใจตั้ งแต คํ าว า ธาตุ แล วคํ าว า อายตนะ คํ า ว า ขั น ธ คํ า ว า อุ ป ทานขั น ธ ชึ่ ง เป น ตั ว ทุ ก ข และการปฏิ บั ติ เพื่ อ ดั บ ชึ่ ง ความ ทุกขนั้น อันไดแก มรรค ผล นิพพาน. ก ข ก กา คํ า นี้ หมายถึ ง เรื่ อ งเบี้ อ งต น , แต ว า เรื่ อ งเบี้ อ งต น นี้ มั น กลับ มีค วามสํ า คัญ คือ เปน ฐาน, ถา พื ้น ฐานไมด ี สิ ่ง ที ่ต ามมาก็ไ มด ี. ดัง นั ้น เรื่ องพื้ น ฐาน หรือ ก ข ก กา จึ งต องเป น เรื่ องที่ ถู กต อ ง หรือ ดี ที่ สุ ด. นี้ เรื่องเบี้ อ ง ตน เรื ่อ งพื ้น ฐานนี ้ มัน ก็ม ีห ลายเรื ่อ ง, ฉะนั ้น เราจึง ตอ งดู วา มัน เปน เรื ่อ งทาง ศีล ธรรมสํ า หรับ คนทั ้ว ๆไป หรือ วา มัน เปน เรื ่อ งทางปรมัต ถธรรม ของผู ที่ ตองการจะศึกษาสูงถึงขนาดความหลุดพน. ถ า เป น เรื่ อ งศี ล ธรรมของบุ ค คลทั่ ว ไป ก ข ก กา มั น ก็ เป น เรื่ อ ง ให มี ศรั ท ธาที่ ถู ก ต อ ง ให มี ท าน มี ศี ล มี อ ะไรไปตามลํ า ดั บ เพื่ อ ประพฤติ ดี มี ค วามสุ ข อยูในโลกนี้ และคําพูดทั้งหมดที่พูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็เปนภาษาคนธรรมดา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แต ที่ นี้ ถ า หากว า มั น เป น เรื่ อ งส ว นปรมั ต ถธรรม คื อ สู ง ขึ้ น ไปกว า ศี ล ธรรม, คื อ เป น เรื่ อ งที่ จ ะชี้ ใ ห เห็ น ความไม มี บุ ค คล ไม มี สั ต ว ไม มี ตั ว ไม มี ต น มัน ก็ตั ้ง ตน กัน ไปอีก แนวหนึ ่ง , แลว คํ า พูด ก็เ ปน ภาษาธรรมโดยเฉพาะ. ดัง นั ้น จึง ต อ งตั้ งต น ด วยเรื่อ งธาตุ ด วยเรื่อ ง อายตนะ ดวยเรื่อ ง ขั น ธ คื อจะแจกสิ่งที่ เรี ย กกั น ว า สั ต ว ว า คนนี้ ให แ หลกลาญ ไป ไม เ หลื อ อยู สํ า รั บ ความเป น คน. ที นี้ พุ ท ธบริ ษั ท เราก็ มี ทั้ ง ๒ ชนิ ด คื อ กํ า ลั ง ศึ ก ษาศี ล ธรรมก็ มี อ ยู , และชนิ ด ที่ กํ า ลั ง สนใจเรื่องปรมัตถธรรม เพื่อการบรรลุนิพพานก็มีอยู
การเรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพาน
๓๒๑
เรื่อง ก ข ก กา ที่ ได บรรยายมานี้ ก็ ได บรรยายมาตามลํ าดั บ นั บตั้ งแต แยกออกเป น เรื่ อ งศี ล ธรรม และเรื่ อ งปรมั ต ถธรรม แล ว ก็ ได บ รรยายในส ว นที่ เป นปรมั ตถธรรม จนถึ งกั บเรียกว า ก ข ก กา ของนิ พพาน. การจะศึ กษาก็ ดี ปฏิ บั ติ ก็ ดี เพื่ อนิ พ พานนั้ น จะต อ งตั้ งต น กั น อย างไร นี้ ก็ เรี ยกว า ก ข ก กา ของนิ พ พาน, และยิ่งกวานั้น ยังระบุเอาการบรรลุโสดาบันนั้น วาเปนการเริ่มตน ก ข ก กา ของนิ พ พาน คื อ จะไม เ ริ่ ม ต น ไปตั้ ง แต เรื่ อ งของบุ ถุ ช นคนธรรมดา ที่ มี ตั ว มี ต น ตองการจะเกิดดี เกิดสวย เกิดรวย อยางนี้ก็ตัดไปไวเสียพวกหนึ่ง. พอจะเริ่ มต น ก ข ก กา ของพระนิ พพาน แล วก็ ย อมจะหมายความว า บุ ถุ ชน คนนั้ นเป นบุ ถุ ชนชั้ นดี เห็ นชี วิ ตเห็ นโลก เห็ นอะไรต าง ๆ มา พอสมควรแล ว, เข าใจ สิ่ งต าง ๆ ที่ เคยหลงเคยงมงาย มาพอสมควรแล ว จึ งเริ่ ม เปลี่ ย นแปลง ; นั บ ตั้ งแต ละความเห็ น ว าตั วว าตนอย างหยาบ ๆ นั้ น เสี ย ได เข าใจพระพุ ท ธ พระธรรม พระ สงฆ ชัด เจน, ไมฝ ากไวก ับ ความเชื ่อ ที ่โ ยกไปโยกมา เหมือ นของคนธรรมดา. เขาใจการปฏิบัติ เพื่อดับทุกขอยางชัดเจน, ละการปฏิบัติอยางบุถุชน ที่งม งายมาตั้งแตแรกนั้นเสียได ; อยางนี้ตางหากเรียกวาคนที่ลงมือเรียน ก ข ก กา แหง นิพ พาน. ฉะนั ้น ขอใหทํ า ความเขา ใจอยา งนี ้ใ หถ ูก ตอ ง จึง จะฟง เรื่อ งราวที่ จะกลาวตอไปนี้ไดอยางถูกตองเชนเดียวกัน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ผูรู ก ข ก กา ของนิ พ พานนั้ น ก็ห มายถึงพระโสดาบัน ทําไมจึง กล าวพระโสดาบั นว า เป นคนเรี ยน ก ข ก กา ? ก็ อย าลื มว า มั นเป นเรื่ อง ก ข ก กา ของชั้ น นิ พ พาน. ถ า มั น เป น ก ข ก กา ของบุ ถุ ช นมั น ก็ อ ย า งหนึ่ ง มั น ก็ ต อ งเรี ย น เรื่ อ งสรณคมณ เรื่ อ งทาน เรื่ อ งศี ล เรื่ อ งอะไรไปตามลํ า ดั บ เพื่ อ จะเวี ย นว า ยอยู ในวั ฏ ฏสงสารให ดี ๆ. แต ถ า เป น เรื่ อ งของพระอริ ย เจ า , หรื อ ว า เริ่ ม ขึ้ น สู ข อบเขต
๓๒๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ของพระอริ ย เจ า มั น ก็ ก ลายเป น การเริ่ ม เรี ย นเรื่ อ งไม มี ตั ว ตน. เรี ย นเรื่ อ งไม ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น สิ่ ง ใด โดยความเป น ตั ว ตน หรื อ เป น ตั ว กู เป น ของกู , นี่ มั น ต า งกั น อยู อ ย า งนี้ ฉะนั้นการเริ่มเรียน ก ข ก กา ของพระนิพพานนั้น จึงไดเรียนปรมัตถธรรม ทั้ ง หลาย คื อ ธาตุ คื อ อายตนะ คื อ ขั น ธ คื อ อุ ป าทานขั น ธ ซึ่ ง มั น เป น การรวม เรื่ องกิ เลสและความทุ กข ทั้ งหลายทั้ งปวงเข าไว ได หมด เพื่ อเกิ ดความเบื่ อหน ายคลาย กํ า หนัด ในสิ ่ง ตา ง ๆ ในวัฏ ฏะนี ้. นี ่ค ือ ผู รู ก ข ก กา ของพระนิพ พานนั ้น ตอ ง ตั้ งต น กั น ตั้ งแต พ ระโสดาบั น ขึ้ น ไป เป น การบรรยายในครั้ งที่ แล วมา ว าท านละอะไร ไดบาง. บัด นี ้ก ็ม าถึง ตอนที ่จ ะกลา วถึง การเรีย น หรือ วิธ ีเ รีย น สํ า หรับ เรีย น ก ข ก กา เพื่ อ นิ พ พานนี้ มั น ก็ ต องแปลกจากการเรี ย น ก ข ก กา เพื่ อ ไปสวรรค ไป วิ ม าน ไปอะไรต า ง ๆ อย า งที่ เขาต อ งการกั น นั้ น ; ฉะนั้ น เราก็ ต อ งถื อ ว า มั น เป น อีกระบบหนึ่ง ระดับหนึ่ง หรืออีกชั้นหนึ่ง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org [ทบทวนใหทําความเขาใจเรื่องอุปมา.]
ที นี้ จ ะขอทบทวนอี ก ส วนหนึ่ ง ก็ คื อ ทบทวน การอุ ป มา ว าเดี๋ ยวนี้ คํ า บรรยายชุ ด นี้ ก็ เต็ ม ไปด ว ยอุ ป มา, และก็ ใช อุ ป มามาตามลํ า ดั บ ; นี้ เกี่ ย วกั บ การ เรี ย น นี้ ก็ เรี ย กว า อุ ป มา; การเรี ย น ก ข ก กา เพื่ อ นิ พ พานนี้ เ ป น อุ ป มาอย า งยิ่ ง ราวกั บ ว าเด็ ก ๆ เรี ย น ก ข ก กา. นี้ เอาไปอุ ป มากั บ การเรี ย น ก ข ก กา ของเด็ ก ๆ. แต ว าเป น การเรี ย นของผู ที่ ไม ใช เด็ ก คื อ มี อ ายุ ม าก อาจจะมี อ ายุ ห ลาย ๆ สิ บ ป แต แลว ก็ย ัง เทา กับ เด็ก ; เพราะวา เรื ่อ งที ่จ ะตอ งเรีย นนั ้น มัน เปน เรื ่อ งนิพ พาน คือ มัน สูง เกิน ไป กวา ที ่ค นธรรมดาสามัญ แมอ ายุห ลายสิบ ปจ ะรู ไ ด, ก็เ ลย เปรี ย บเที ย บว า เหมื อ นกั บ เรี ย น ก ข ก กา กั น อี ก ครั้ ง หนึ่ ง . นี่ คํ า บรรยายวั น นี้ จึ ง ไดชื่อวา การเรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพาน.
การเรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพาน
๓๒๓
เรี ย นศี ล ธรรมนั้ น เรี ย นด ว ยภาษาคน, เรี ย นปรมั ต ถธรรมนั้ น เรี ย นด ว ย ภาษาธรรม, ตอ งแยกกัน เปน ๒ อยา งนี ้เ รื ่อ ยไป. ภาษาคนในทีนี ้ก ลาย เป น เรื่ อ งอุ ป มาไปในที่ สุ ด . ส ว นภาษาธรรมนั้ น เป น คํา พู ด ตรง ๆ จริ ง ๆ. นี่ตองทําความเขาใจอยางนี้ จึงจะฟงเรื่องตอไปนี้ไดถูกตอง.
การเรียนเพื่อนิพพานก็คลายการเรียนธรรมดา. ที นี้ สํ า หรั บ การเรี ย นนี้ จะแยกเป น หั ว ข อ ให เหมาะสมกั บ การอุ ป มาสื บ ต อ ไป ว า ในการเรี ย นหนั ง สื อ นั้ น ตามธรรมดาสามั ญ ของเด็ ก ๆ นี้ ; เราจะต อ ง แยกแยะดู ใ ห ดี ว า มั น มี อ ะไรบ า ง. อย า งแรกที่ สุ ด ก็ จ ะต อ งนึ ก ถึ ง สถานที่ เ รี ย น เช น โรงเรี ย นซึ่ งเต็ ม ไปด วยเครื่ อ งใช เครื่ อ งมื อ ในการเรี ย น จะเป น วั ด วาอารามก็ ได ก็ เรี ย กว า สถานที่ เรี ย น, มั น ต อ งถู ก ต อ ง และมั น ต อ งเหมาะสม. สํ า หรั บ การเรี ย น ตามชั้น เชิงนั้น ๆ ถาจะเรีย นเพื ่อ นิพ พาน มัน ก็ตอ งมีส ถานที่เรีย นที่เหมาะสม กับการเรียนเรื่องนิพพาน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ ก็ เ วลาเรี ย น จะเรี ย นกั น เวลาไหนแน ถ า เด็ ก ๆ ที่ โ รงเรี ย นมั น ก็ เรีย นตามเวลา ที่ เขากํ า หนดไว ว าไปโรงเรีย นกั น เวลานั้ น เวลานี้ ; เรีย นที่ โรงเรีย น ก็ม ี, เรีย นที ่บ า นเปน การบา นก็ม ี. นี ่เ รีย นชา เรีย นบา ย เรีย นค่ํ า เรีย นที ่โ รง เรีย นเรีย นที ่บ า น อยา งนี ้ก ็เรีย กวา เวลาไหนก็ม ีก ารเรีย น เวลานั ้น ก็เ รีย กวา เปน เวลาเรีย น. นอกจากเวลาเรีย นแลว ก็ย ัง มี วิธ ีก ารเรีย น ตามที ่กํ า หนดไว อย า งไร บั ญ ญั ติ ไว อ ย า งไร ก็ ต อ งมี วิ ธี ก ารแห ง การเรี ย นนั้ น ด ว ย; นอกจากนั้ น อี ก ก็ ยั ง ต อ งมี ผู ส อน ผู ส อนที่ ดี คื อ ครู บ าอาจารย แล ว ที นี้ ก็ ต อ งมี ตั ว ผู เ รี ย น คื อ
๓๒๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
นัก เรีย นนั ้น ดว ย เปน เด็ก ปญ ญาออ นก็ม ี เด็ก โงก ็ม ี เด็ก ปูน กลางก็ม ี เด็ก ฉลาด ก็มี, นี้เรียกวามันเปนปญหา เกี่ยวกับผูเรียน. คิ ด ดู ใ ห ดี เ กี่ ย วกั บ เรื่ อ งเหล า นี้ ว า มั น ต อ งมี อ ย า งถู ก ต อ ง. ก็ ถู ก ต อ ง ตามอะไร ? ถู ก ต อ งตามเรื่ อ งตามราวของมั น . ถ า เป น เทคนิ ค ก็ ต อ งเป น เทคนิ ค ของธรรมชาติ. อยา ไปกลา อวดวา คนเปน ผู รู เ ทคนิค หรือ วางเทคนิค ; ที่ จริง ธรรมชาติ เป น ผู ว าง เรารูธ รรมชาติ นั้ น จึ ง สามารถที่ จ ะวางเทคนิ ค ของสิ่ งต า ง ๆ ให มั น ถู ก ต อ ง ตามที่ ธ รรมชาติ มั น ต อ งการ, เรี ย กว า กฎเกณ ฑ ข องธรรมชาติ เพราะว าเราไม ส ามารถจะทํ า ให ผิ ด กฎเกณฑ ข องธรรมชาติ ได . สถานที่ เรี ย น ก็ ดี เวลาเรีย นก็ดี วิธีเ รีย นก็ดี ผูส อนก็ดี ผูเ รีย นก็ดี ลว นแตตอ งเปน ไปอยา ง ถูก ตอ ง ตามเทคนิค ของธรรมชาติทั ้ง นั ้น ; ยิ ่ง คนเรีย นมัน ไมเ หมือ นกัน ดว ย แลว มันก็ยิ่งตองมีการปรับปรุงแกไขอยางอื่นอีกมาก, คนเรียนมันมีหลายชนิด.
สถานที่เรียนเพื่อนิพพาน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เอาละ, ที นี้ เราจะพู ด กั น ถึ ง สถานที่ เรี ย นก อ น. ถ า เรี ย นอย า งลู ก เด็ ก ๆ มั น ก็ เรี ย นที่ โ รงเรี ย น มั น เป น โรงเรี ย นข า งนอก เป น โรงเรี ย นทางภายนอก ; แต ถ าจะเรี ยน ก ข ก กา เพื่ อนิ พพานแล ว สถานที่ เรี ยนนั้ นอย าได เข าใจว า เป นโรงเรี ยน โรงธรรม วัด วาอารามอยา งนี ้, โรงเรีย นสํา หรับ ก ข ก กา เพื ่อ ไปนิพ พานนั ้น ไดแกรางกายที่ยาวประมาณวาหนึ่งนี้, แตเปนรางกายที่ยังเปน ๆ คือรูสึกคิด นึ ก อะไรได ; ไม ใช รา งกายที่ ต ายแล ว ซึ่ งมั น ไม มี ค วามรูสึ ก อะไร ในรา งกายที่ ยั ง
การเรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพาน
๓๒๕
เปน ๆ นั ้น มัน มีจ ิต มีสิ ่ง ที ่เ กิด กับ จิต หรือ ปรุง แตง จิต . นี ่ก ็ต อ งรู จ ัก เพราะ ว าร างกายนี้ ไม ใช เป น รางกายล วน ๆ , รางกายล วน ๆ มั นอยู ไม ได มั นต อ งมี จิ ตด วย และมีสิ่งที่เกิดอยูกับจิตเพื่อความเปนจิตที่สมบูรณ. ขอให นึ กถึ งคํ าว า นามรูป, นามรู ป : นาม แปลว า จิ ต, รู ป แปลว า กาย. นามรู ป นี้ แ ยกกั น ไม ไ ด ; ถ า แยกกั น แล ว มั น สลายหมด, มั น ไม มี อ ะไรอยู ไ ด ต าม ลํ า พั ง . นามกั บ รู ป ต อ งอยู ร ว มกั น ผสมเป น อั น เดี ย วกั น จึ ง จะเรี ย กว า นามรู ป . เหมือ นกับ เราทุก คนที ่กํ า ลัง มีช ีว ิต ที ่นั ่ง อยู ที ่นี ่ ก็โดยเหตุที ่น ามรูป ไมไ ดแ ยกกัน , ไม ได แ ยกเป น กายและจิ ต แล ว ก็ อ ยู ด ว ยกั น คนละแห ง คนละที่ . มั น กลายเป น สิ่ ง ที่ รวมเป น สิ่ ง เดี ย วกั น จนต อ งเรี ย กว า นามรู ป , ไม เ รี ย ก นาม กั บ รู ป ; ถ า เรี ย ก อย า งนั้ น ก็ ห มายความว า ยั งไม รู ถึ งที่ สุ ด . ถ า รู ถึ งที่ สุ ด ต อ งเรี ย กว า มั น เป น สิ่ งเดี ย ว กัน และใหชื ่อ มัน ใหมว า นามรูป เปน สิ ่ง เดีย วเทา นั ้น ไมใ ชส องสิ ่ง ; นั ่น แหละมัน จึง จะเปน ชีว ิต อยู ไ ด. ฉะนั ้น ตองเอานามรูป นี ้ม าเปน โรงเรีย น เปน หองเรียน หรือเปนทุกอยาง ที่จําเปนจะตองใชในการเรียน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ คนส ว นใหญ ก็ ต อ งการแต จ ะฟ ง แล ว ก็ ไ ปเรี ย นที่ วั ด นั้ น วั ด นี้ , เรี ย นธรรมะนั้ น ธรรมะนี้ , กระทั่ ง ถึ ง เรี ย นอภิ ธ รรมเป น ต น . ถ า อย า งนี้ มั น เป น เรี ย น ก ข ก กา อย างลู ก เด็ ก ๆ อยู เรื่อ ยไป และไม ใช ก ข ก กา เพื่ อ นิ พ พาน ; มั น เป น ก ข ก กา เพื่ อ ปริ ยั ติ , เพื่ อ มี ค วามรู อ ย า งปริ ยั ติ , แล ว ก็ ไปรั บ จ า งสอนเขาเพื่ อ ประโยชนอยางใดอยางหนึ่ง มันเปนเรื่องขางนอกไปเสียอยางนี้. ถาเรียน ก ข ก กา เพื่ อนิ พพานกั นแล ว ตองเรียนด วยโรงเรียน คื อ ร า งกายนี้ ที่ ยั ง เป น ๆ คื อ มี จิ ต ใจ คื อ เรี ย นจากนามรู ป : ก็ ไ ปแยกดู ว า มั น เป น
๓๒๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ส วนกายอย างไร, ส วนจิ ต อย างไร, ส วนสิ่ งที่ ป รุ งแต งจิ ต อย างไร. เรื่ อ งมั น คล าย ๆ กั บ ที่ เขาเรีย นจากหนั ง สื อ นั่ น แหละ ; แต เราไม ต อ งการจะเรีย นในวิ ธี นั้ น , ต อ งการ จะเรียนใหรูจัก เพื่อเกิดความเบื่อหนายคลายความยึดมั่นถือมั่นตางหาก. เมื่ อ พู ด ถึ ง ที่ ส งั ด ที่ เรี ย กว า สุ ญ ญาคาร เช น เข าไปในป า ในถ้ํ า ใน ที่เงียบสงัดที่ไหนก็ตาม ที่เรียกวาสุญญาคาร, นั้นเปนเพียงเครื่องประกอบที่ใหความ สะด วก ; นั ้น ไมใ ชโ รงเรีย น. เราไปนั ่ง ที ่โ คนไมแ ลว ทํ า กรรมฐาน อยา ได เข า ใจว า ที่ โคนไม ต รงนั้ น เป น โรงเรี ย น หรื อ เข า ไปในถ้ํ า แล ว ทํ า วิ ป ส สนา อย า ได เข า ใจว า ถ้ํ า นั้ น มั น เป น โรงเรี ย น นั้ น มั น เป น โรงเรี ย นของลู ก เด็ ก ๆ ถ า ของผู ที่ เรี ย น ก ข ก กา เพื่อนิพพานแลว โรงเรียนตองเขยิบเขามาอยูที่รางกาย คือนามรูป แลวก็เรียน. ฉะนั้ น ให เข า ใจว า สุ ญ ญาคารทั้ ง หลาย เช น ป า เช น โคนไม ท อ งถ้ํ า ภู เขา ที่ แจ ง ลอมฟาง อะไรต าง ๆ นั้ นมั นเป นเพี ยงอุ ป กรณ , เพื่ อให ความสะดวก สํ าหรับรางกาย. ถ าจะเรียนกวาสุ ญญาคารก็ ได แต ต องหมายถึ งเวลาที่ จิ ตมั นไม รูสึ ก คิ ด นึ ก ต อ เรื่อ งอะไรหมด, จิ ต กํ า ลั งน อ มนึ ก ถึ ง แต เรื่อ งในภายในส ว นเดี ย ว ; สภาพ อยางนั้นเรียกวาสุญญาคาร นี่ถูกตองที่สุด.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org จะเปรี ยบเที ยบให เห็ น เช น ว าไปนั่ งอยู ในถ้ํ าคนเดี ยวแท ๆ กลางดง จะ เรี ย กว า สุ ญ ญาคารโดยแท จ ริ ง นี้ ก็ ไม ถู ก ; เพราะว า จิ ต มั น แล น ไปในเมื อ ง, ไปคิ ด ถึ ง ใครที่ ในบ า นในเมื อ งก็ ได จะเป น สุ ญ ญาคารไม ได คื อ ไม ส งบ ไม ส งั ด ไม ว า ง. แตถา เมื่อ ใดจิต มัน สงบสงัด โดยการนอ มเขา ไปกํา หนดแตเ รื่อ งในภายใน ; เรื่ อ งขั น ธ เรื่ อ งธาตุ เรื่ อ งอายตนะ อะไรก็ ได , จนไม ได ยิ น เสี ย งอะไร, มั น รู จั ก อยู
การเรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพาน
๓๒๗
แต เ รื่ อ งธรรมชาติ ใ นภายในอย า งนี้ . แม ว า เขาจะนั่ ง อยู ใ นโรงหนั ง โรงละครหรื อ ตลาด ที่ ไ หนก็ ไ ด ที่ ล ว นแต จ อแจอื้ อ อึ ง ไปหมด ก็ เรี ย กว า เขานั่ ง อยู ใ นสุ ญ ญาคาร คื อ ที่ ส งั ด ; เพราะว า ตา หู จมู ก ลิ้ น อะไรของเขาไม รั บ อารมณ เ หล า นั้ น เลย. จิตไปแนวแนอยูกับธรรมชาติในภายใน เรื่องขันธ เรื่องธาตุ เรื่องอายตนะ : นี้ จึ งถื อวา สภาพที่ เป น อย างนั้ น นั่ นแหละ เรียกว าสุ ญ ญาคาร คื อเรือนวาง หรือ ที่สงบสงัดอันแทจริง. เพี ย งเท า นี้ ก็ ข อให เปรี ย บเที ย บกั น ดู เถอะว า มั น ต า งกั น อย า งไร ; แม แต เรื่ อ งโรงเรี ย นจะเรี ย น ก ข ก กา อย า งลู ก เด็ ก ๆ เรี ย น, หรื อ จะเรี ย น ก ข ก กา เพื่ อ ความร่ํ า รวย หรื อ เพื่ อ ความไปสวรรค วิ ม าน นี้ มั น ก็ เรี ย นอย า งอื่ น ใช โ รงเรี ย น อย า งอื ่ น . แต ถ า เรี ย นเพื ่ อ นิ พ พาน แล ว ก็ จ ะต อ งใช โ รงเรี ย นคื อ นามรู ป . ถ าพู ดอย างสมั ยใหม หน อยก็ จะพู ดวาเรี ยนจากชี วิ ต, เรียนจากตั วชี วิ ตนั้ นเอง, แล วก็ เรี ยนอย างที่ เรี ยกว าอยู ในสุ ญ ญาคาร เพราะว าจิ ตไม ได ออกไปจากร างกายนี้ . ความ คิ ดนึ กทั้ งหลายไม ได ออกไปจากร างกายนี้ ภาวะอย างนี้ เรี ยกว า สงบสงั ดอย างยิ่ ง, กําลังอยูในที่วางอยางยิ่ง, ไมมีอะไรรบกวน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ข อนี้ ต อ งทํ าให พ อดี คนโดยมากที่ เขาอยากจะยึ ด มั่ นแล วถื อ เคร ง ก็ ต อ ง ไปหาที่ อ ย า งนั้ น หาที่ อ ย า งนี้ ในที่ สุ ด ก็ ไ ม พ บดอก; แม จ ะไปนั่ ง อยู ก ลางดงในป า คนเดีย ว จิต มัน ก็ยิ ่ง กลับ มาที ่บ า น. ฉะนั ้น ตอ งรู จ ัก ทํ า ใหพ อดี คือ วา ปรับ ปรุง นั ่น แหละใหพ อดี ; ถา จิต มัน สงบสงัด ในภายในแลว มัน ก็ไ มลํ า บากที ่จ ะหา สงบสงัด ขา งนอก. ถา คนแรกเรีย นจะคิด วา จะไปหาที ่ใ นปา ในถ้ํ า บา ง, ก็ต อ ง คิ ด ดู ให ดี . บางที มั น ไปเพิ่ ม ป ญ หาอย างอื่ น เช น ความหวาดกลั ว ความอะไรต าง ๆ มันก็มี ตองไปปรับปรุงใหพอดี นั้นก็เปนสวนอุปกรณประกอบเทานั้นเอง.
๓๒๘
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
โรงเรีย นอั น แท จ ริง สํ า หรับ ผู ที่ จ ะเรี ย น ก ข ก กา เพื่ อ นิ พ พานนั้ น คือ รา งกายนี ้. ขอย้ํ า อีก ครั ้ง หนึ ่ง วา ตอ งอยู แ ตใ นขอบเขตอัน นี ้, อยา ใหจ ิต ออกไปนอกขอบเขตอัน นี ้ ก็เ รีย กวา เขามีโ รงเรีย น สํ า หรับ การเรีย นเพื ่อ นิพ พาน. นี่กลาวโดยยอ ๆ สถานที่เรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพานนั้นเปนอยางนี้.
เวลาสําหรับเรียน. นี้ ดู ต อ ไปถึ ง เวลาเรี ย น ลู ก เด็ ก ๆ เขาก็ เรี ย นตามชั่ ว โมงที่ ค รู กํ า หนด ; เรี ย นเพื่ อ ได ผ ลเป น การรู ห นั งสื อ สอบไล ได เป น เวลาเช า เวลาบ าย เวลาค่ํ า เรี ย นที่ โรงเรี ย นก็ มี , เรี ย นที่ บ า นเป น การบ า นก็ มี . แต ว า หลั ก เกณฑ อั น นี้ เรามาทํ า อุ ป มา แล ว ก็ เอามาใช ไ ด กั บ การเรี ย นเพื่ อ นิ พ พาน ก็ ไ ด เหมื อ นกั น . อย า งที่ ก ล า วมาแล ว ข า งตน วา เรีย นโดยมีร า งกายนี ้เ ปน โรงเรีย น มีช ีว ิต นี ้เ ปน โรงเรีย น นี ้เ วลาเรีย น ก็ตองเรียนเมื่อมันมีเรื่องใหเรียน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เรื่ อ งให เ รี ย นนี้ มั น ก็ มี ห ลายชนิ ด หลายระดั บ ; ฉะนั้ น ก็ พ อจะแยกได วา เราจะเรีย นเมื่ อ มั น มี เรื่อ ง, มั น มี เรื่ อ งเกิ ด แก จิ ต ใจ เขาเรีย กว า เรี ย นต อ หน า อารมณ ; เมื่ อ มี อ ารมณ ม ากระทบจิ ต ก็ เ ป น เวลาหนึ่ ง เหมื อ นกั น ที่ ต อ งเรี ย น. เวลานี้ ยิ่ งเรี ย นยาก เหมื อ นกั บ ว า ครู ให โจทย เลขที่ ย ากที่ สุ ด มาเรี ย น มาทํ า เรี ย กว า เรี ย นต อ หน า อารมณ , คื อ เรื่ อ งแรงร า ยอารมณ ใ หญ กํ า ลั ง เกิ ด ขึ้ น อยู ใ นจิ ต . แต ค น โง จ ะคิ ด ว า โอ ย ไม ใ ช เวลาเรี ย น หนี เ ตลิ ด เป ด เป ง ไปเสี ย ที่ อื่ น , ไม เ รี ย น. แต ถ า คนฉลาดเขาจะคิด วา นั ้น แหละ เวลาที ่ด ีที ่ส ุด จํ า เปน ที ่ส ุด ที ่เราจะตอ งเรีย น เมื่อเรื่องตาง ๆ มันเกิดขึ้นในใจ, กําลังยุงยากที่สุดแกจิตใจ นั้นคือเวลาที่ดี ที่สุดสําหรับการเรียน.
การเรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพาน
๓๒๙
แต ก็ ลองไปคิ ดดู เถอะว า ใครบ างคิ ดอย างนี้ ; เขาจะไปกิ นเหล าเสี ยบ าง, ไปทํ าอะไรเสี ยบ าง, ไปกลบเกลื่ อนอารมณ ด วยเรื่ องอย างอื่ น แม แต ผู ที่ ไม กิ น เหล า มันก็ยังคิดวาเรียนไมได ก็ไปทําอยางอื่น ก็เลยเสียโอกาสอันดีพิเศษไปเสีย. อย า งนี้ เรี ย กว า เรี ย นในที่ ต อ หน า อารมณ : อารมณ ยั่ ว ทางตา อารมณ ยั่ ว ทางหู อารมณ ยั่ ว ทางจมู ก ทางลิ้ น ทางกาย ทางผิ ว หนั ง อะไร ; ล ว นแต เป น เวลาที ่เ รีย กวา อารมณร บกวน, เผชิญ หนา กับ อารมณ เราก็ต อ งเรีย นใหไ ด มัน เปน เวลาสํ า คัญ เวลาหนึ ่ง . นี ้เ วลาลับ หลัง อารมณ คือ กํ า ลัง ไมม ีอ ะไรมา รบกวน เปน เวลาที ่ว า งหรือ โปรง สบาย อยา งนี ้ก ็เ ปน เวลาหนึ ่ง ที ่ต อ งเรีย น ; แมวามันจะตองเรียนคนละอยาง ก็จัดวาเปนเวลาเรียนดวยเหมือนกัน. ถ า พู ด อย า งนี้ แ ล ว มั น คล า ย ๆ กั บ ว า ไม มี เวลาว า ง แม ก ระทั่ ง เวลา หลับ ก็ย ัง ตอ งจัด ใหเ ปน การเรีย น. เวลาตื ่น อยู ม ัน ไมม ีเ วลาวา ง เพราะวา เราต องเผชิ ญ อารมณ หรือไม เผชิ ญ อารมณ ก็ มี ๒ อย างเท านั้ น, มั นก็ ต องเรียนทั้ ง สอนเวลา, กระทั่ งเวลาหลั บ ก็ ต องมี การจั ดการทํ า ให การหลั บนั้ นมั นเป นการหลั บ ที่ ดี อย างที่ เรี ย กว าหลั บ มี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะอย างสี ห ไสยา อย างนี้ เป น ต น . ขอให คิ ด ดู ที ว า แม แ ต เวลาหลั บ มั น ก็ เป น เวลาเรี ย น ถ า จะเรี ย น ก ข ก กา เพื่ อ ไปนิ พ พาน กั น จริง ๆ เรีย กว า ลั บ หลั ง อารมณ นี้ อ ย า งนี้ เรีย กว า ลั บ หลั ง อารมณ อารมณ ไ ม รบกวน ก็ตองเรียน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทีนี้ยังมีอีกแขนงหนึ่ง ซึ่งจะตองนึกถึงวา เรียนเมื่อกําลังเสวยอารมณ ; มี ความสุ ข ความทุ กข หรืออะไรก็ ตาม ที่ เรียกวาอารมณ กํ าลั งเสวยอารมณ , น้ํ าตา เต็ม หนา เวลามีท ุก ข อยา งนี ้ ก็ต อ งจัด เปน เวลาเรีย น, เรีย กวา เรีย นเมื่อ กํา ลัง เสวย.
๓๓๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
อารมณ ทั้ งที่ น้ํ าตานองหน า. หรื อ ว ามั น รอ นผ าวหายใจไม อ อกอะไรก็ ตาม, ก็ ต อ ง จัด หรือ ปรับ ให มั น เป น เวลาเรีย นให จ นได . หรือ เวลาที่ เสวยอารมณ ที่ เป น สุ ข ก็ อยาไปลิงโลด หลงใหล เพลิดเพลิน มัวเมาเสีย, จัดเวลาที่ เสวยอารมณ อันเป น สุขนั้น ใหเปนเวลาเรียนเสียดวย. ที นี้ ยังมี อยู อีก อย างหนึ่ ง ก็ คื อ วา เจตนาจะเรีย นจากสั ญ ญาในอดี ต สั ญ ญานี้ ก็ คื อ ความจํ าหมาย ในอดี ต ก็ คื อ ที่ แ ล วมาแต ห นหลั ง. เราต อ งขุ ด ค น ตาม ความจํ า หมาย ถึง เรื ่อ งราวตา ง ๆ ในอดีต เอามาเรีย น; อยา งนี ้ก ็ไ มเ รีย กวา เรี ย นต อ หน า อารมณ หรื อ ลั บ หลั ง อารมณ อ ะไร. เราไปนํ า เอาของในอดี ต มาเป น อารมณ มาเรียน นี้ เรียกวาเรียนจากสัญ ญาในอดีต; หมายความวา กํ าลั งทบทวน เรื่องในอดีต เอามาสอบสวนทบทวนใหมันฉลาดยิ่ง ๆ ขึ้นไป. เรื่ อ งอดี ต นี้ ก็ ช วยได ม าก ถ าใครรูจั ก ทบทวนเอามาศึ ก ษา มั น ก็ จ ะ เป น ครู บ าอาจารย ที่ ดี ; ยิ่ ง มี อ ดี ต มากก็ ยิ่ ง มี ท างที่ จ ะรู อ ะไรได ม าก. ดู แ ต สุ นั ข เถอะ สุ นั ข ตั วไหนอายุ ม าก ตั วนั้ น จะมี ค วามเฉลี ย วฉลาดมาก เพราะว าอดี ต มั น มี มาก ; นี ้ก ็ค ือ เวลามัน เปน ผู ส อน. ฉะนั ้น ถา เรามีเ รื ่อ งในอดีต มาก ก็ห มาย ความวา มี อะไรที่ สะสมไวมาก พอที่ จะคุยเอามาเรียน, ขุดเอามาเรียนอีก มันก็ดี มาก คือดีกวาที่จะไมมีการกระทําอยางนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที ่วา เรีย นจากสัญ ญาในอดีต นี ้ ไมใ ชเอามาวิต กกัง วล มารอ งไห มาเสีย ใจ, มาอาลัย อาวรณ ทํา นองนั้น ; แตเ อามาเปน เครื่อ งเปรีย บเทีย บ, ชี้ ให เห็ น ความเป น อนิ จ จั ง ทุ ก ขั ง อนั ต ตา, ความไม น า ยึ ด ถื อ , หรื อ อะไรทุ ก ๆ แง ทุ ก ๆ มุ ม ที่ อ ดี ต มั น จะสอนได ; นี้ เรี ย กว า เรี ย นจากสั ญ ญาในอดี ต ; เวลาที่ เรี ย น อยูอยางนั้นเรียกวา เปนเวลาเรียนจากสัญญาในอดีต.
การเรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพาน
๓๓๑
สรุ ป แล ว เวลาเรี ย นของเราก็ มี ว า : เรี ย นต อ หน า อารมณ ที่ กํ า ลั ง ประดังกันเขามา ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ, หรือเวลาเรียนลับหลังอารมณ กําลัง ไม มี อ ารมณ อ ย า งนั้ น . เรากํ า ลั งเป น อิ ส ระแก ตั ว จะคิ ด นึ ก ศึ ก ษาอะไรก็ ได หรือ ว า เรีย นเวลาที่ กํ า ลั ง เสวยอารมณ สุ ข อารมณ ทุ ก ข อย า งใดอย า งหนึ่ งอยู , หรือ ว า เวลาเรียนนั้นเปนเวลาที่ขุดคนเอาสัญญาในอดีตทั้งหลายมาพิจารณา ก็เรียก วาเวลาเรียนของผูที่เรียน ก ข ก กา เพื่อไปนิพพาน กลาวโดยยอ ๆ ก็เปนอยางนี้.
วิธีการเรียน. ทีนี ้ก ็ด ูต อ ไป ถึง เรื ่อ งวิธ ีก ารเรีย น. วิธ ีก ารเรีย นนี ้ ก็เ ปน ปญ หาที่ ยุ ง ยากลํ า บากมากเหมื อ นกั น เพราะมั น กว า งขวางเหลื อ เกิ น ; จะแยกให เป น ส ว น ใหญ ๆที ่ส ุด กอ น สัก ๒ ชนิด วา เรีย นอยา งเรีย น ป ริย ัต ิ, แลว ก็ว า เรีย น อยา งวิธ ีป ฏิบ ัต ิ. ปริย ัต ิก ็เ ปน การเรีย น, ปฏิบ ัต ิก ็เ ปน การเรีย น. คนบางคนจะ กํ าลั งฟ งไม ถู ก ว าทํ าไมเรี ย กปฏิ บั ติ ว าเป น การเรี ย น ? เพราะเขาแยกการเรี ย นเป น ปริยั ติ , แล วเอาความรู นั้ น มาปฏิ บั ติ , แล วจะมาเรีย กว าการเรีย นอย างไรอี ก ที่ จ ริ ง มันเปนการเรียน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เรี ย นปริ ยั ติ นั้ น เรีย นจากหนั งสื อ , เรีย นจากคํ าสอน, เรีย นจากคํ า พู ด อะไรต าง ๆ ; มี ความจํ านี่ เป นสิ่ งสํ าคั ญ มี การคิ ด การถาม การจํ า เป นส วนสํ าคั ญ ก็ไดความรูอยางปริยัติ ยังไมเคยปฏิบัติเลยก็ได นี้ก็เรียกวาเรียนโดยวิธีปริยัติ. ทีนี ้เ รีย นโดยวิธ ีป ฏิบ ัต ินั ้น ไมใ ชเ รีย นอยา งนั ้น ; ก็ต อ งเอาเรื่อ ง ที่รูสึกอยูในใจจริง ๆ มาคิด มานึก มาพิจารณา. อยางวาทํากรรมฐานอยางนี้
๓๓๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
เมื่ อ ทํ า กรรมฐานอยู ก็ ต อ งเรี ย กว า เรี ย นอยู เหมื อ นกั น , กํ า ลั ง เรี ย นอยู เหมื อ นกั น ; แตเรียนดวยวิธีป ฏิบัติ. ถาวากํ าหนดลมหายใจก็เรีย นให รูเรื่อ งลมหายใจ จาก ลมหายใจนั้ น. อย าไปเรี ยนจากหนั งสื อ แม ว าครั้ งแรกจะเรี ยนหนั งสื ออานาปานสติ มากอ น ; เดี ๋ย วนี ้ม ัน ไมใ ชเ รีย นหนัง สือ เลม นั ้น แลว . มาเรีย นจากลมหายใจ โดยตรง. ที่ ว าเรี ย นจากลมหายใจโดยตรงนี้ ก็ คื อ เรี ย นข อ เท็ จ จริ งต าง ๆ นานา ประการ หลายประการ จากลมหายใจนั้ น โดยตรง, หรื อ ว าเรี ย นจากความเจนจั ด ของสิ่ งที่ ผ านมาแล ว เอามาคิ ด มานึ ก มาทบทวนอยู ; เหมื อ นอย างที่ พู ด เมื่ อ ตะกี้ นี้ ว า สั ญ ญาในอดี ต เอามาทบทวนอยู อย างนี้ ก็ เรี ยกว าเรี ยนอย างวิ ธี ปฏิ บั ติ . หรื อ ว าถ าความรูสึ ก อารมณ อะไรต าง ๆ มั น เกิ ด ขึ้ น ในใจ แล วก็ จั ด การกั บ อารมณ นั้ น ๆ ใหเ ปน ที ่เ รีย บรอ ย หรือ ถูก ตอ งไป. นี ้ก ็เ รีย กวา การเรีย น มัน เปน การเรีย นอยา ง วิธีปฏิบัติ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เปนอันวาจะเรียนอยางปริยัติ เพื่ อความรู ทางหลักวิชาทั่ว ๆ ไปกอน ก็ได, แลว ก็ม ีก ารเรีย นดว ยการปฏิบ ัต ิ เพื ่อ เกิด ความรูแ จง แทงตลอด, เปน ญาณเป น ทั ส สนะเพื่ อทํ าลายกิ เลส. นี่ วิ ธี ก ารเรีย น ก ข ก กา เพื่ อ นิ พ พานมั น มี อ ยู อย า งนี้ . ถ า วิ ธี ก ารเรี ย นอย า งลู ก เด็ ก ๆ เรี ย นในโรงเรี ย น สอบไล ไ ด มั น ไม มี วิ ธี การอย า งหลั ง ; มั น มี แ ต อ ย า งแรก คื อ เรี ย นจากหนั ง สื อ เรี ย นจากครู เรี ย นจาก สิ่ งของ เรี ย นจากอะไรต าง ๆ , แล วก็ เพื่ อ ความรู ในขอบเขตเท าที่ จํ ากั ด ไว เท านั้ น , ไมเกี่ยวของกับเรื่องบรรลุมรรค ผล นิพพาน.
การเรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพาน
๓๓๓
ตองเรียนใหถูกตรงกับเวลา. ที นี้ วิ ธี ก ารเรี ย น ที่ จ ะต อ งดู กั น ต อ ไปอี ก มั น ก็ เนื่ อ งกั น อยู กั บ เวลาเรี ย น ที ่ก ลา วมาแลว นั ่น เอง วิธีก ารเรีย น จะตอ งจัด ตอ งทํ า ใหถ ูก ใหต รงกับ เวลา ซึ่ งจั ด เป น เวลาเรี ย นนั้ น เป น ลั ก ษณะ ๆ ไป. เมื่ อ ตะกี้ ก็ พู ด แล วว า เวลาเรี ย นมี แ ยก เปน : เรีย นตอ หนา อารมณ เมื ่อ อารมณป ระดัง ประดาเขา มา ทางตา หู จมูก ลิ้ น กาย ใจ แล วในเวลาอย างนี้ จะมี วิ ธี การเรี ยนอย างไร ตามหลั ก ธรรมะทั่ วไป ? หลัก สว นใหญก็วา ในเวลาอยา งนี ้มัน ขึ ้น อยู ก ับ สติสัม ปชัญ ญะ. เมื่อ เรากํา ลัง ถู ก อารมณ แ วดล อ ม, เผชิ ญ หน า กั บ อารมณ , วิ ธี ก ารเรี ย นก็ คื อ มี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะ ใหม าก ใหถูก ใหพ อ. สติสัม ปชัญ ญะนั้น ตอ งถูก เรื่อ งถูก ราว แลว ก็ม าก พอสมบูร ณนั ่น เอง. เรีย กวา หัด วิธ ีม ีส ติส ัม ปช ญญะ กัน ที ่ต รงนั ้น แหละ. เมื ่อ เผชิญ หนา กัน เขา กับ ขา ศึก ก็ต อ งมีส ติสัม ปชัญ ญะรับ หนา ขา ศึก จนเอา ชนะข า ศึ ก ให ไ ด . ถ า ว า เรี ย นต อ หน า อารมณ แล ว วิ ธี ก ารเรี ย นก็ คื อ ทํ า ให มี ส ติ สัมปชัญญะ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ า เป น เวลาเรี ย นลั บ หลั ง อารมณ นี้ ก็ ต อ งจั ด เอาซิ , จั ด เอาตามที่ ว า เราจะต อ งการอย างไร; โดยเฉพาะก็ คื อ เรื่ อ งทํ าสมาธิ ทํ าวิ ป ส สนา ทํ า ป ญ ญา ต า ง ๆ , ระบบนั้ น ระบบนี้ ตามที่ เราชอบใจว า จะทํ า อะไร; เพราะได โอกาสลั บ หลั ง อารมณ อารมณ กํ า ลั ง ไม ร บกวน. เราจะปฏิ บั ติ วิ ป ส สนากรรมฐาน รู ป ไหน แบบไหน อยางไรก็ได, ก็เลยฝกไปในทางใหเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เปน สวนใหญ เตรียมพรอมไว. นี ้ถ า วา เปน เวลาที ่กํ า ลัง เสวยอารมณ เวลาที ่น้ํ า ตานองหนา อยู ด ว ย ความทุ กข อย างนี้ จะเรี ยนอะไร, จะเรี ยนวิ ธี ใด, มั นก็ ลํ าบากมากที่ จะเรียนในเวลา
๓๓๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
อย างนี้ , หรือ ว าวิ ธี การที่ จะเรีย นในเวลาอย างนี้ มั น ก็ ต อ งเก งกว าธรรมดา มั น ต อ ง มีอะไรหลาย ๆ อยาง : มีสติสัมปชัญญะก็มี, มีปญญาใชเหตุผลก็มี, แตก็อยาก จะยืม คํ า สูง สุด คํ า หนึ ่ง ซึ ่ง มีไ วใ ชสํ า หรับ ธรรมะชั ้น สูง สุด มาใชใ นที ่นี ้ว า สิ ่ง ที่ เรียกวา นิ พเพธิ กป ญญา นั่ นแหละอาจจะมาชวยได , ใช คํ าวา "อาจจะ" นี้ ก็ เผื่ อไวว า มั นอาจจะเหลื อวิ สั ยของคนธรรมดาก็ ได ที่ จะมี ป ญ ญาอย างนี้ หรื อว าจะเอามาใช ได หรือไม. นิพเพธิกปญญา แปลวา ปญญาเปนเครื่องเจาะแทงกิเลส; โดยเฉพาะ เจาะจงนั้น หมายถึง เมื่อไดบําเพ็ญวิปสสนาถึงที่สุดแลว ถูกตองดีแลว สมบูรณ แลวก็จะเกิดปญญาประเภทนี้ขึ้นมาเจาะแทงกิเลส นี่ก็ยืมคํานี้มาใช สําหรับจะ ให มั นตรงกั บเรื่องหน อย วากํ าลั งเสวยอารมณ กําลั งมี ป ญหามาก กํ าลั งน้ํ าตานอง หนา อยู นี ้. มัน ตอ งมีป ญ ญาที ่ค มเฉีย บเหมือ นอยา งนั ้น เหมือ นกัน มัน จึง จะทํ า ให น้ํ า ตาแห ง ไปได ใ นทั น ที , ได ค วามรู ที่ เฉี ย บแหลมอย า งใดอย า งหนึ่ ง มา แล ว ก็ ตั ดความรูสึ กที่ กํ าลั งมื ดมั ว กํ าลั งกลุ มรุมจิ ตใจนั้ นออกไปได มี ความหมายเหมื อนกั บ ศาสตราอาวุธที่ ค ม เอามาใช สํ าหรับ กวาดล างอารมณ ในขณะนั้ น อารมณ ทุ ก ข ก็ อยางหนึ่ง, อารมณสุขก็อยางหนึ่ง. คํา วาอารมณในที่นี้ หมายถึงเฉพาะแต ที่ มั นรุนแรง จะเป นทางความทุ กขก็ ได , จะเป นทางความสุ ขก็ ดี , คื อวาความยินดี ก็ดี ความยินรายก็ดี มันรุนแรง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทีนี ้เ มื ่อ ตะกี ้ก ็ไ ดพ ูด ถึง เรื่อ งเวลาที ่เ ราหลับ เราก็ต อ งเรีย น ; นี ้ว ิธี การเรีย นในเวลาที่ เราหลั บ นั้ น จะต องทํ าอย างไร. นี้ ก็ มี อ ยู ชั ด แล วในพระคั ม ภี ร ทั้ ง หลาย เรื่อ งสีห ไสยาสน เราตอ งมีส ติสัม ปชัญ ญะที่จ ะหลับ ; ถา หลับ ตามวิธี นั ้น เวลาหลับ ลงไปแลว ก็จ ะปลอดภัย ไดโ ดยอัต โนมัต ิใ นตัว มัน เอง, คือ ความ ไมเผลอสติเลย แมแตในเวลาหลับ.
การเรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพาน
๓๓๕
จะชี้ ตั ว อย า งให เห็ น เหมื อ นอย า งว า เรื่ อ งสี ห ไสยาสน นี้ มี ห ลั ก ว า มี สติสัมปชัญญะสมบูรณ; เมื่อนอนลงไป วางมือ วางเทา ไวอยางไร กําหนดแมนยํา กระทั่ งถึงผานุ ง. นี่ขออภัยที่ใชคําพู ดอยางนี้. แล วเมื่ อตื่น ขึ้น มาก็ดูวา มื อ เท า ผานุง เปนตนนี้ มันยังอยูในสภาพเดิมหรือไม ; ถามือเทามันเคลื่อนไป หรือ ผานุงมันเคลื่อนไปแลว ก็เรียกวามันเสียไปแลว. ถ า เป น ราชสี ห ก็ ด า ตั ว เองว า ไอ ช าติ ห มา มั น นอนอย า งหมา ไม น อน อย า งราชสี ห แล ว มั น ก็ น อนใหม เพื่ อ ให ไ ด อ ย า งนั้ น . นี้ ไปอ า นดู เรื่ อ งสี ห ไสยาสน ในพระคั ม ภี ร มั น มี อ ยู อ ย า งนี้ สี ห ไสยาสน แปลว า นอนอย า งราชสี ห . เมื่ อ ราชสี ห เขานอนแลว เขาจะกํ า หนดอยา งนี ้ แลว พอตื ่น ขึ ้น มา ตอ งไมม ีอ ะไรเคลื ่อ นที ่ ; แมแ ตว า กอ นกรวดสัก เม็ด หนึ ่ง มัน ไดเ คลื ่อ นที ่ไ ปเพราะเขาดิ ้น . ถา กอ นกรวด มันเคลื่อนที่ไปสักเม็ดหนึ่ง, เขารูเขาดิ้นเวลานอน เขาก็ดาตัวเองวาไอชาติหมา. นี่ ดู เถอะ ความที่ ว า มี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะ มั น คุ ม ครองได อ ย า งไร ; แม ในเวลาหลั บ นั้ น มั น ยั ง คุ ม ครองได ด ว ยอํ า นาจของวิ ธี ก ารที่ ดี , คื อ การกระทํ า สติส ัม ปชัญ ญะที ่ด ี. นี ่ว ิธ ีก ารเรีย นตลอดเวลาที ่ห ลับ มัน ก็เ ปน วิธ ีก ารที ่ทํ า ไวดี ที่ตั้งไวดี, ที่ฝกฝนใหมันเปนนิสัย, กระทั่งเวลาตื่น มันก็ตื่นไดตรง แมแตเวลานาที.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ ไม ใช เรื่ อ งพู ด เพ อ ๆ มั น เป น เรื่ อ งที่ ป ฏิ บั ติ ได . อาตมาก็ ยื น ยั น ว า เคย ปฏิ บั ติ ได เมื่ อ ตั้ ง ใจจริ ง มั น เคยปฏิ บั ติ ได , มั น จะตื่ น ตรงเผงไม ผิ ด แม แ ต ห นึ่ ง นาที . แต พ อเรื่ อ งมั น ยุ ง ยาก มั น มี อ ะไรมาก มั น ก็ เลื่ อ นไปอี ก เหมื อ นกั น ; แต ถ า ตั้ ง ใจ ปฏิ บั ติ ไม มี อ ะไรรบกวน ทํ า อยู อ ย า งนั้ น ไม กี่ วั น มั น จะหลั บ และตื่ น ได ต รงเผง, ไม พลาดแม แ ต ห นึ่ ง นาที นี้ เป น ต น . นี้ ก็ เรื่ อ งว า การหลั บ นั้ น มั น ก็ ยั ง ควบคุ ม ได ก็
๓๓๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ใครไปปลุ ก มั น ละ, ที่ ให มั น ตื่ น ขึ้ น มาตรงเผงแม แ ต น าที นี้ แสดงว า มั น มี อ ะไรที่ มั น สัมพันธกันอยู แมในเวลาหลับ, จึงขอใหถือวา แมแตเวลาหลับก็ตองมีการเรียน และมีวิธีการเรียน. นี่ คื อ วิ ธี ก ารเรี ย น ก ข ก กา เพื่ อ ไปนิ พ พานนั้ น มั น มี อ ยู อ ย า งนี้ ต อ หน า อารมณ ก็ ดี ลั บ หลั ง อารมณ ก็ ดี กํ า ลั ง เสวยอารมณ ก็ ดี แม ก ระทั่ ง เวลา หลับ.
ผูสอน ก ข ก กา เพื่อไปนิพพาน. เอ า , ที นี้ จ ะพู ด กั น ถึ ง ผู ส อน การเรี ย นนี้ มั น ต อ งมี ค นสอนและมี ค น เรีย น. เดี ๋ย วนี ้เ ราจะพูด ถึง คนสอนกอ น ลูก เด็ก ๆเรีย นหนัง สือ ที ่โ รงเรีย น ทา น ทั้ งหลายก็ เห็ น อยู แล วว า มี ค รูสอน, บางที ก็ เป นครูจริง ๆ, บางที ก็ เป น เพี ยงลู กจ าง รับ จา งสอนหนัง สือ เทา นั ้น ไมม ีค วามเปน ครูเ ลยก็ม ี. แตถ ึง อยา งนั ้น ก็ต อ ง เรี ย นกว า ผู ส อนอยู ดี ที่ โรงเรี ย นก็ มี ผู ส อน. แต นี่ เรี ย น ก ข ก กา เพื่ อ ไปนิ พ พานนี้ ใครจะเป น คนสอน ? เอ า , ถ า เรี ย นที่ โ รงเรี ย นนั ก ธรรม โรงเรี ย นบาลี มั น ก็ เป น เรื่ อ งเรี ย นปริ ยั ติ เหมื อ นกั บ ลู ก เด็ ก ๆ เรี ย น; นั้ น ไม ใ ช เรี ย นเพื่ อ นิ พ พาน มั น เป น เรี ย นเพื่ อ รู ป ริ ยั ติ , เหมื อ นเด็ ก ๆ เขาเรี ย นเพื่ อ จะมี ค วามรู . นั้ น เรี ย กว า คนสอน, คนด วยกั น พู ด สอน หรือ มี ห นั งสื อ หนั งหาตํ ารับ ตํ ารา ที่ พิ ม พ ขึ้ น ไว โดยที่ มี ค นสอน แลว เขาก็พ ิม พไ ว มาอา นเอาบา ง มาฟง เอาบา ง. นี ้เ รีย กวา คนสอน, คน ดวยกันพูด, คนดวยกันสอน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สํ า หรั บ เรื่ อ ง ก ข ก กา เพื่ อ ไปนิ พ พานนั้ น ไม ได มุ งหมายถึ งข อ นี้ แม วา เราจะฟง คํ า สอนเรื่อ งพระนิพ พาน แตเราไมถ ือ วา นั ้น เปน ผู ส อนโดยตรงหรือ
การเรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพาน
๓๓๗
โดยแทจ ริง . ถา จะถือ วา พระพุท ธเจา สอน อยา งนี ้ก ็ไ ด ; แตอ ยา ลืม วา พ ระ พุทธเจาทานยังยอมรับแตเพียงวา ทานเปนผูชี้ทางเทานั้น แลวก็เดินเอง. ที นี้ เ รามาดู ใ ห ล ะเอี ย ดอี ก ที ห นึ่ ง ว า อะไรมั น สอนกั น แน ? ท า นเป น ผู ชี ้ท างแลว เราก็ม าพยายามเดิน , แลว อะไรมัน สอนกัน แน ? เมื ่อ ทํ า อะไรลงไป อัน นั ้น แหละมัน สอน ; นึก ถึง เด็ก เขาสอนเดิน มัน ก็ต อ งเปน เรื ่อ งความพยายาม ที่ จ ะทํ า หรื อ จะเดิ น นั่ น แหละมั น สอน. ดู แ ต ลู ก สั ต ว ไ ม ต อ งมี ใ ครสอน หรื อ เพี ย งแต เห็ น ตั ว อย า ง แล ว มั น ก็ ทํ า , แล ว มั น ก็ มี ค วามรู ขึ้ น มาสํ า หรั บ เรื่ อ งนั้ น ๆ , แล ว มั น ก็ เดิ น ได , หลาย ๆ หนเข ามาเดิ น ได . นี้ เราต อ งการจะให เพ งเล็ งถึ ง ผู ส อนที่ ดี ก ว าคน คือการกระทํานั้นเองมันสอน. อยากจะพู ดไว สํ าหรั บฟ งง าย ๆ และเป นการช วยความจํ าที่ ดี ว าธรรมชาติ สอน นั ่น แหละดีก วา คน สอน . เพราะธรรมชาตินั ้น มัน สอนจริง ; คนสอนนี้ มั น สอนอย า งที่ เรี ย กว า ไม จ ริ ง, เมื่ อ พู ด ได มั น ก็ ส อนได หรื อ ว า ตั ว เองปฏิ บั ติ ไม ได ไป จํ า คํ า ของคนอื่ น มาพู ด มั น ก็ ไ ด ; นี้ มั น เรี ย กว า มั น ยั ง ไม จ ริ ง ; ถ า ธรรมชาติ ส อน มั น จริงกวา. ดั งนั้ น พระพุ ท ธเจ าท านจึ งตรัส ว า ที่ ฉั น พู ด นี้ อ ย าเพ อ เชื่ อ ต อ งไป ทบทวนหรือตองไปผานเหตุการณนั้น ๆ ดูกอน แลวเห็นจริงตามนั้นแลวจึงคอยเชื่อ. นี ่ท า นใหโ อกาส ใหธ รรมชาติม ัน สอน. ฉะนั ้น ทา นสอนอะไร ทา นจึง สอน อยางที่เรียกวา เพียงแตบอกแนว แลวก็ไมตองการใหเชื่อ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ ค นเรามั น มั ก จะดี เกิ น ไปในการที่ จ ะเชื่ อ , มั น เชื่ อ ตะพึ ด มั น เชื่ อ งมงาย, มั น ก็ ไ ม มี ก ารทดสอบ, ไม มี ก ารเห็ น จริ ง แล ว จึ ง ค อ ยเชื่ อ ; เพราะไม ใ ห โ อกาสแก ธรรมชาติ สํ า หรั บ จะช ว ยสอน , ธรรมชาติ ก็ ไ ม มี โ อกาสจะแทรกแซง อย า งนี้ เปนตน.
๓๓๘
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
เหมื อ นอย างมานั่ งตรงนี้ ฟ งอาตมาพู ด จะเรี ยกว าสอนก็ ได นี้ มั น ก็ ยั ง ไมจ ริง ยัง ไมด ี ; แตถ า ใหธ รรมชาติส อน คือ ธรรมชาติทั ้ง หลายเหลา นี ้ มัน มี อิ ทธิ พลแวดล อมจิ ตใจ ไม ให เกิ ดความยึ ดมั่ นถื อมั่ น, แล วจิ ตใจมั นว าง สงบ เย็ น รูว า ความสงบเย็นนั้นเปนอยางไร ? เรียนจากความรูสึกในใจ ที่ธรรมชาติเปนผูปน ให อย างนี้ เรีย กวาธรรมชาติ ส อน ; อยางนี้ มั น ดี กวาที่คนจะสอน. แม วาอาตมา จะพร่ําอธิบายคําวาสงบ คําวาเย็น คํ าวาวาง คําวาหยุด อะไรนี้ มั นก็ไม เขาใจได คื อ ไมรู ส ึก ได ; อาจจะเขา ใจไดบ า ง แตก ็ไ มถ ึง ที ่ส ุด , แลว ก็ไ มรู จ ริง . แตถ า วา จิต ใจมัน ไดเ ปน อยา งนี ้แ ลว โดยธรรมชาติบ ีบ บัง คับ นั้น เรีย กวา จะรูจ ริง วา จิ ตใจที่ มั นหยุ ดนั้ นเป นอย างไร, จิ ตใจที่ เย็ นนั้ นเป นอย างไร, ว าง สะอาด สว าง สงบ นั้นเปนอยางไร, นี้เรียกวาธรรมชาติสอนดีกวาคนสอน. สรุป แลว มัน ก็อ ยู ที ่ค วามรู ส ึก ที ่จ ิต ใจนั ่น แหละสอน ดีก วา ที ่ฟ ง คํ า พูดขางนอกสอน, ใหความรูสึกในจิตใจสอน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทีนี ้จ ะตอ งเรีย กวา ความรู ส ึก ในความรู ส ึก ; เดี ๋ย วจะฟง ไมค อ ยถูก วาความรูสึกในความรูสึ ก, ความรูสึกที่ มี อยูในขณะที่ เรากํ าลั งมี ความรูสึ ก ให อั นนั้ น แหละสอน จะเรียกเหมื อนที่ เขาเรียกกั นเดี๋ ยวนี้ วา experience หรืออะไรอย างนี้ ก็ ได ; เพราะว า คํ าว า experience ในทางธรรมะนี้ หมายถึ งความรู สึ ก ในใจ. ไม ใช ค วาม ชํานาญทางรางกาย หรือรูสึ กทางรางกาย. ความรูสึ กที่ ผ านมา จนเกิ ดความยิ นดี ยิ นร าย เกิ ดความโง เกิ ดความฉลาด อะไรนี้ เรี ยกว าความรู สึ ก ที่ มั นมี อยู ในขณะที่ เรามีค วามรูส ึก แลว มัน สอนดีก วา อยา งไหนหมด; แลว โดยเฉพาะอยา งยิ ่ง ที ่เ ปน ทุก ขนั ่น แหละสอนดีก วา ; เพราะวา มัน เหมือ นกับ วา มัน บอกความจริง . ในเวลาที่ เราเป นสุ ขนั้ น มั นมาหลอก ให เข าใจผิ ดไปวา โลกนี้ เป นสวรรค เป นวิมาน
การเรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพาน
๓๓๙
เปน ค วาม สุข มัน ม าห ล อ ก ; แตถ า เมื ่อ ทุก ขแ ลว นั ้น มัน บ อ กค วาม จริง วา ธรรมดามัน เปน อยา งนี ้. ฉะนั ้น ในเวลาที ่เ ปน ทุก ขแ ลว ก็ใ หเ อาความทุก ข นั ่น แหละเปน ครูเ ถิด นั ่น แหละครู มัน ก็ไ ปอยู ที ่ค วามทุก ข, ความทุก ขส อน ดีกวาความสุขสอน. แต ถ าว าจะเอาความรู สึ กถึ งขนาดสู งขึ้ นไปเป นความเจนจั ด เชี่ ยวชาญ หรื อ เจนจั ด คื อ ว า ผ า นมาอย า งซ้ํ า ๆ ซาก ๆ อย า งนี้ มั น ก็ สู ง ขึ้ น ไป เรี ย กว า spiritual experience อี ก ที ห นึ่ ง . อั น นี้ ดี แ ละมี ป ระโยชน ม าก, มั น เป น ทั้ ง บทเรี ย น เป น ทั้ ง ผู ส อน เป น อะไรเสร็ จ อยู ใ นตั ว . นี้ ถ า เรามี ป ญ หาเมื่ อ ไร อั น นี้ จ ะวิ่ ง มาช ว ย. ฉะนั้ น มั น จึ ง ยิ่ ง กว า ครู ผู ส อน มั น กลายเป น ผู ช ว ยไปอี ก ด ว ย spiritual experience, แต เขาใช กั นทั่ ว ๆ ไปแล วเดี๋ ยวนี้ เป นคํ าที่ มี ความหมายว า ความเจนจั ดในทางฝ าย สติปญญา ฝายจิตฝายวิญญาณ ที่เปนอุปกรณที่ทําใหมนุษยเรารูจักธรรมชาติ. อั น นี้ ส อนได ล ะเอี ย ดลออสุ ขุ ม ที่ สุ ด ถ า เราจะมี ค รู ก็ ค วรจะมี ค รู อ ย า ง นี้ จึ งจะเรี ยกว า มี ค รู อย างละเอี ยดลออที่ สุ ด สุ ขุ ม ลึ กซึ้ งที่ สุ ด. ถ าจะเอาพระพุ ทธเจ า เป นผู สอน ก็ อย าลื มว า ท านจะยอมรั บแต เพี ยงว า อกฺ ขาตาโร ตถาคตา - ตถาคต ทั้งหลายเปนแตผูบอกทางเทานั้น, แลวตองไปทําเอาเอง จนเกิด experience, สูงขึ้น ไปถึ ง spiritual experience, อั น นั้ น แหละมั น จะสอน, แล ว จะบรรลุ ม รรค ผล นิพ พาน, เพราะเหตุนั ้น . แมว า จะมีค นบางคน จะบรรลุ มรรค ผล นิพ พาน ตรงข า งหน า ตรงพระพั ก ตร พ ระพุ ท ธเจ า ตรงนั้ น เวลานั้ น มั น ก็ ไ ด ผ า นอย า งนี้ ม า หมด; เพราะเขาเคยมี spiritual expericence, เขาจึ ง ฟ งพระพุ ทธเจ า เพี ยง ๒ – ๓ คํ า เขา ใจแจม แจง แทงตลอด, บรรลุค วามเปน พระอรหัน ต ที ่ต รงพระพัก ตร พระพุทธเจา ตรงที่นั่งกันอยูนั้นเอง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๓๔๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
คํ าว าศาสดา แปลว าผู ส อน ; แต ว ามั น ไม ใช ส อนอย างสอน ก ข ก กา ในโรงเรีย นลูก เด็ก ๆ แลว ไมใ ชส อนอยา งสอนดว ยปากพูด หูฟ ง ; สอนอยา ง ทําใหเกิด ความเปลี่ย นแปลงขึ้น มา ในจิต ในใจของบุค คลผูนั้น ; ถา ทา นแนะ วิ ธี ใ ห ไ ปปฏิ บั ติ ต าม หรื อ ว า พู ด ชนิ ด ที่ มั น จะทํ า ให เกิ ด ความเปลี่ ย นแปลง ขึ้ น ใน จิต ใจของบุค คลนั ้น ในเวลานั ้น ; อยา งนี ้ นี ่ค ือ พระศาสดาที ่แ ทจ ริง เปน ผู ปลุกใหตื่นจากความหลับ คือกิเลส. ที นี้ ยั งมี คํ าที่ จะสรุป ได อี กคํ าหนึ่ ง ที่ คนโบราณเขาพู ดไว ว าผิ ด ก็ เป น ครู ถูก ก็เ ปน ค รู. คํ า วา ค รูก ็ค ือ คํ า วา ศาสดานั ่น เอง ; ฉะนั ้น เราอาจจะพูด ได ใหมว า ผิด ก็เ ปน ศาสดา ถูก ก็เ ปน ศาสดา. ความผิด มัน ก็ส อนได, ความถูก มั น ก็ ส อนได ข อ นี้ เกื อ บจะไม ต อ งอธิ บ ายแล ว เพราะว า อย า งน อ ย แต ล ะท า นนี้ ค ง จะเคยทํ าผิ ด และทํ าถู ก มาแล ว, แล วเคยผิ ด แล วก็ นึ ก ได จนรู จั ก ถู ก อย างนี้ เรี ย กว า ความผิด นั ่น แหละมัน สอนใหรู จ ัก ถูก ; นี ้ถ ูก ก็เปน ครู, ถา เราพอใจในการที ่เรา ไดทําถูก ประสบผลสําเร็จ ก็รูสึกวามันเปนครู.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แต อ ย า ลื ม ว า อาตมาขอท ว งหรื อ ย้ํ า ไว เสมอว า ความทุ ก ข ส อนดี ก ว า ความสุข เพราะฉะนั ้น ความผิด นี ้จ ะสอนดีส อนจริง กวา ความถูก . ความ ถู ก มั น ก็ ส บายไป พอความผิ ด นี้ มั น ก็ ต อ งเดื อ ดร อ น; แต ค นก็ ไ ม ต อ นรั บ ความผิ ด อย า งเป น ครู ก็ เลยไม ไ ด ค วามรู จ ากความผิ ด . ถึ ง แม เมื่ อ ทํ า ถู ก ก็ เหมื อ นกั น ก็ มั ก จะสะเพร า, เป น คนสะเพร า, เป น คนเลิ น เล อ , ไม ได รั บ ความรู เต็ ม ที่ จ ากการกระทํ า ถู ก . เพราะว า ไม ค อ ยจะสนใจ, ความผิ ด ที่ ส อน, ความถู ก ก็ ส อน, ความผิ ด ก็ ส อน อย างเจ็ บ ปวด, ความถู ก ก็ ส อนอย างอ อ นหวานอะไรนี้ . แต แ ล ว ความผิ ด นี้ จ ะสอน ได ดี ก ว า ; แต แ ล ว คนก็ ไ ม ค อ ยสนใจเรี ย น จากตั ว ความผิ ด และความถู ก ที่ มี อ ยู
การเรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพาน
๓๔๑
เปน ประจํ า นั ่น เอง. นี ่ข อใหไ ปคิด ดูด ว ย วา จริง หรือ ไมจ ริง ? เรามีก ารทํ า ผิด ทํ า ถู ก อยู เป น ประจํ า วั น ; แต เราก็ ไม เอามาเป น ครูส อน, หรือ ว า เอามาเป น ครูส อน ใหเต็มที่, แลวทํามันนอยเกินไป. ทั ้ง หมดนี ้เรีย กวา ปญ หาตา ง ๆ เกี ่ย วกับ ผู ส อน แลว เปน เรื ่อ งใน จิตใจ แลวก็เปนเรื่องของสติของสัมปชัญญะ ที่จะมาชวยเหลือใหมีการสอนที่ดี, แล ว ไม ต อ งมี ผู ส อนชนิ ด ที่ เป น คน และมี ผู ส อนชนิ ด ที่ เป น ธรรม เป น ธรรมะ, มี ความรู สึ ก ในจิ ต ใจที่ มี ลั ก ษณะเป น ธรรมะ อย า งใดอย า งหนึ่ ง ข อ ใดข อ หนึ่ ง อยู . นั่นแหละจะเปนครูสอน ชวยจําคําวา ผิดก็เปนครู ถูกก็เปนครู ไวดวยก็แลวกัน.
ผูเรียนเปนบุคคลหลายลักษณะ. ทีนี ้ด ูถ ึง ผู เ รีย นกัน บา ง, ผู เ รีย นถา เปน โรงเรีย นลูก เด็ก ๆ ก็ด ู ผู เ รีย น ก็ คื อ ลู ก เด็ ก ๆ กระทั่ ง เป น วั ย รุ น กระทั่ ง เป น หนุ ม สาว เรี ย นในมหาวิ ท ยาลั ย นี้ ก็ เรี ย กว าผู เรี ย น มี ห ลายชนิ ด หลายขนาด คื อ โง ม ากโง น อ ย หรื อ ฉลาด หรื อ ฉลาด อย างยิ่ งนี้ ก็ มี ตามเรื่ องตามราว. แต ที นี้ ถ ามาถึ งผู เรี ยน เรี ยนก ก ข กา ไปนิ พ พาน แล ว เรายั ง มี ท างที่ จ ะพิ จ ารณาได ม ากกว า นั้ น ตั ว นั ก เรีย นคนนั้ น เป น คนมี ส ติ ปญญาระดับไหน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เกี ่ย ว ก ับ ส ต ิป ญ ญ า นี ้ ท า น ว า ง ร ะ ด ับ ไว น า ฟ ง เห ม ือ น ก ัน ว า : พ ว ก ที่ ๑. ระดั บ ดี ม ากเรีย กวา อุ ค ฆติ ตั ญ ู คนพวกนี้ พู ด ๒-๓ คํ า ก็ เข าใจได เอง เป น คุ งเป น แคว กวา งขวางไปเลยนี้ เป น พวกอุ ค ฆติ ตั ญ ู , ไม ต อ งอธิ บ ายอะไร มาก บอกแตหัวขอ ก็จะเขาใจเสียแลว, มันมีความเจนจัดทางวิญญาณมาก.
๓๔๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ที นี้ พวกที่ ๒ เรีย กวา วิ ป จิ ต ตั ญ ู พวกนี้ ต อ งการคํ า อธิ บ ายบ า ง มั น อยู ใ นเกณฑ ฉ ลาดเหมื อ นกั น ฉลาดมากเหมื อ นกั น แต ยั ง ต อ งการคํ า อธิ บ ายที่ มากพอสมควร. ที นี้ พวกที่ ๓ เรียกวาเนยยะ คํ านี้ แปลว า พอจะพาไปได เท านั้ น เอง, พอจะนํ าไปได คื อ มั น ไม ฉ ลาด ไม เรี ย กว าอยู ในเกณฑ ฉ ลาด, หรื อ อาจจะค อ นข า ง โง ก็ ไ ด คื อ ฉลาดน อ ยมาก. แต แ ล ว ก็ ยั ง อยู ใ นพวกที่ ว า พอจะนํ า ไปได คื อ ว า อุ ต ส า ห พ ร่ํ า สอนชี้ แ จง เซ า ซี้ พิ รี้ พิ ไ รอย า งนั้ น อย า งนี้ อ ย า งโน น แล ว ก็ พ อที่ จ ะทํ า ให เขาเขาใจได หรือนําไปได หรือวาบรรลุนิพพานไดเหมือนกัน. ที ่เ หลือ พ วกที ่ ๔ สุด ทา ยก็พ วก ปทปรมะ นี ้ก ็แ ปลวา ไมไ หว, แมพระพุทธเจาก็ชวยไมได สําหรับคนประเภทนี้. นี้ เราดู ที ว า เรา, พวกเราทั้ ง หมดที่ นั่ ง อยู ที่ นี่ หรื อ ว า ที่ อ ยู ในโลกทั้ ง หมด ก็ต าม เปน พวกไหนโดยมาก ? หรือ วา เราเองนี ้จ ะเปน พวกไหนดี ? ถา วา อยู ในลั ก ษณะ ที่ วาพู ด กัน อย างไร เท าไร อยางไรก็ ไม มี ท างจะเข าใจธรรมะได แ ล ว มัน ก็ต อ งเปน ปทปรมะ; หมายความวา จะไมรูเ รื ่อ งพระนิพ พานได, จนตาย ไมรู เ รื ่อ งพระนิพ พานได. ฉะนั ้น พวกนี ้ก ็จ ะไดแ ตเ พีย งวา ไปสวรรค, ใหทํ า ดี มาก ๆ ไว แ ล ว ก็ ไปสวรรค แล ว ก็ ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ว าไปสวรรค แ น ; เพราะว าเราได ทํ า ดี ทํ า บุ ญ ทํ า กุ ศ ลอย า งนั้ น อย า งนี้ . เหมื อ นที่ เขาถื อ กั น นั่ น แหละ ฟ ง เทศน กี่ ร อ ยครั้ ง ฟ ง อะไรกี่ พั น ครั้ งกี่ อ ย า ง ก็ ยึ ด ถื อ ว า นี้ พ อแล ว แน แ ล ว ตายแล ว ไปสวรรค , อย า งนี้ ก็ เรี ย กว า ยั ง ไม พ บกั บ นิ พ พาน เป น พวกปทปรมะ. สํ า หรั บ ไปนิ พ พาน, ก ก ข กา ของพระนิ พ พาน ก็ ยั ง ไม อ าจจะเกิ ด เป น แสงเป น ท อ แสงอะไรขึ้ น มาได ใ นบุ ค คล
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
การเรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพาน
๓๔๓
ประเภทนี้ . มั น ก็ เหลื อ แต พ วก ๓ พวกข า งต น พวกที่ เรี ย กว า เนยยะนี้ จ ะต อ งพู ด กั น แล ว พู ด กั น อี ก จนตาย ก็ พ อจะรู อ ะไรได บ า ง ส ว นที่ อ ธิ บ ายบ า งก็ รู แ ล ว ไม ต อ ง อธิบายเลยก็รู มันก็จะหายาก. นี้ ก็ พู ด ให ฟ ง เพื่ อ ว า จะได รู จั ก นึ ก รู จั ก เที ย บเคี ย งกั น นั่ น เอง ว า เราจะ อยู ในพวกไหน ? อย างน อ ยก็ ขอให อ ยู ในพวกที่ เรี ย กว า เนยฺ ย อ านว า เนยยะ คื อ พอจะนําไปได. ทีนี ้ก ็ด ูถ ึง พฤติ จริง ๆ ขอ เท็จ จริง ที ่ม ัน เปน จริง ของการที ่จ ะทํ า ให ค นเรามั น แตกต า งกั น อย า งนั้ น เป น พวก ๆ ไป อาตมาอยากจะระบุ ไปยั ง สิ่ ง ๆ หนึ่ง เรียกวา ความรูจักโลก, ความรูจักโลก. ขออภั ย ที่ จ ะต อ งย้ํ า อี ก ครั้ ง หนึ่ ง ว า ยกตั ว อย า งด ว ยสุ นั ข เมื่ อ อายุ มั น มากเข า มั น ก็ รู จั ก โลกมากเข า มั น ฉลาด มั น ทํ า อะไรได ห ลายอย า ง. ฉะนั้ น สุ นั ข ตั วที่ มี อายุ เกิ น ๑๐ ป ขึ้ นไปแล ว ฉลาดกว าลู กสุ นั ขมาก เพราะว ามั น รู จั กโลกมาก กวาลูกสุนัข.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี ้ค นเราก็เ หมือ นกัน ถา รู จ ัก โลกมาก ชีว ิต ผา นมามาก สุข ทุก ข ผ านมามาก, เรียกว าอย างโชกโชน ก็ ดู เหมื อนเขาจะเรียกกั น อย างนั้ น จนมี ค วาม รู จ ัก โลกมาก. นี ้ค นที ่รู จ ัก โลกมากนี ้แ หละ มัน จะเปน พวกอุค ฆติต ัญ ูห รือ วิ ป จิ ตั ญ ู ไม ต อ งอธิ บ ายพู ด แต หั ว ข อ มั น ก็ รู หรื อ อธิ บ ายบ า งพอสมควรมั น ก็ รู เพราะวาเขาเปนผูที่รูจักโลกมากเหลือเกิน.
อย าไปประณามโลกให มั นมากนั ก ว าโลกนั่ นแหละมั นสอน ความผิ ดมั น สอนความถูก มัน สอน โลกนั ่น แหละมัน สอน. ฉะนั ้น ถา ใครรู จ ัก โลกมากพอ
๓๔๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
คนนั้นจะสามารถกระโดดขึ้น ไปอยูเหนื อ โลกได เปนโลกุตตระ เปนนิพ พานได. ขอใหส นใจ ในคํ า วา จงรู จ ัก โลกนี ้ ใหม ัน ถูก ตอ ง, และใหม ัน มากพอ ใหม ัน ถู กต องแล วยิ่ งขึ้ น ๆ จนมั นมากพอและสมบู รณ . ความรูจั กโลกนี่ แหละจะทํ าให เป น อุค ฆตัญ ู วิป จิตัญ ู หรือเนยยะได อยางใดอยางหนึ่ง; ถาไม รูจักโลกเสี ย เลย ก็ จ ะต อ งรั ย บเป น พวกปทปรมะ พระพุ ท ธเจ า ก็ โปรดไม ได เพราะว า เขาไม รู จั ก อะไรเลย. ที นี้ คํ า ว า รูจั ก โลกหรือ คนผู รู จั ก โลกนี้ , สํ า หรั บ คนนี้ มั น ไม ใช สุ นั ข นะ มั น ไม ใ ช สั ต ว น ะ ; เพราะว า คนมั น สามารถเรี ย น สามารถอบรม สามารถเร ง เร ง ให มั น เร็ ว ได . ถ า สุ นั ข มั น ไปตามธรรมชาติ ความฉลาดของมั น ไปตามธรรมชาติ . แตวา คนเรานี้เรง ได ดว ยการศึก ษาดว ยการอบรมที่ถูก วิธี มัน เรง ได. ฉะนั้น อายุ น อยมั นก็ อาจจะรู จั กโลกได , นี้ คนที่ อ ายุ มากแต ไม มี การศึ กษาโลก ไม รูจั กโลก มั นก็ เป นไปได เหมื อนกั น เอาอายุ เป นประมาณนั กก็ ไม ค อยได . ฉะนั้ นเราจะไม พู ดว า เด็ก หรือ ผู ใ หญ เพราะมัน อยู ที ่ว า ความรู จ ัก โลกมากนั ่น แหละคือ ผู ใ หญ, ความรูจ ัก โลกนอ ยนั ่น แหละเด็ก ฉะนั ้น ไมตอ งเอาอายุส ัง ขารนี ้เ ปน ประมาณ กันนัก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org และอี ก ที ห นึ่ ง ก็ ไ ม ค วรจะพู ด ว า เป น บรรพชิ ต หรื อ เป น คฤหั ส ถ มั น อยู ที่ ว า มี ส ติ ป ญ ญา มี ค วามคิ ด นึ ก ที่ ดี ที่ ถู ก หรือ ไม ต า งหาก. ฆราวาสก็ รู จั ก โลก ได, บรรพชิต ก็รู จ ัก โลกได แมว า ไมต อ งไปจมอยู ใ นโลก มัน ก็รู จ ัก โลกได. ฉะนั้ น จึ งมี พ ระอรหั น ต เด็ ก ๆ , ในพระคั ม ภี ร ก็ มี ก ล าวถึ งพระอรหั น ต อ ายุ ๑๕ ขวบ ซึ่ ง มี สั ก ๒ - ๓ องค เห็ น จะได ตามที่ เขี ย นไว . นี้ ก็ เป น เครื่ อ งยื น ยั น ว า แม เด็ ก นี้ ถ ามั น มี อะไรที่ ทํ าให รูจั กโลกมากได มั นก็ พ อที่ จะเป นโลกุ ตตระ เป นผู ข ามขึ้ นเหนื อ
การเรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพาน
๓๔๕
โลก เป นโลกุ ตตระได เหมื อนกั น, แล วบรรพชิ ตหรื อฆราวาสมั นก็ ไม แน , ว าสามเณร อายุ ๑๕ ป เป น พระอรหั น ต ได . อย างนี้ ก็ มี เขี ยนไว มั น ก็ ไม เคยผ านโลกบางอย าง หรือไมเคยอะไรบางอยาง แตมันก็มีคาเทากับการผานเหมือนกัน. ฉะนั้ น การที่ ไม ต อ งผ า นอะไรไปเสี ย ทั้ งหมด นั่ น แหละมั น ก็ มี ผ ลได เท า กับ วา ไดเ คยผา นอะไรไปทั ้ง หมด ; เพราะมัน อาจจะรู ส ึก ได โดยวิธ ีล ัด หรือ วิธ ีก ระโดด วิธ ีก ระโดดไกล. ถา เขารู ว า สุข เวทนา ที ่เ รีย กกัน วา ความเอร็ด อรอยสนุกสนานเอร็ดอรอยอยางยิ่งนี้ มันเปนมายา เปนของหลอกลวงเปนของ มายาแลว , มัน ไมจํ า เปน ที ่จ ะตอ งไปลอง หาความเอร็ด อรอ ยสนุก สนานเหลา นั้ น ทุ ก แบบทุ ก แง ทุ ก มุ ม เพราะจิ ต มั น เชื่ อ แน ว า ความสนุ ก สนานเอร็ ด อร อ ย อะไรมั น ก็ ไม มากไปกว านี้ มั น เป นมายาเป น สิ่ งหลอกลวง; จะเป น เรื่องกามคุ ณ ก็ ดี , เป น เรื่อ งเกี ย รติ ย ศชื่ อ เสี ย งก็ ดี เป น อะไรก็ ดี ไม ต อ งไปลองมั น ก็ เบื่ อ หรือ ว า มั น เฉยได ; ฉะนั้นจึงเปนพระอรหันตได แมวาอายุ ๑๕ ป และเปนเพียงสามเณร.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อยาไปโงเหมือนพระเณรบางองคที่โงมาก ที่ มั กจะพู ดวา ต องสึกออก ไปลองมี ลู ก มี เมี ย มี นั่ น มี นี่ เสี ย ก อ น จึ ง จะรู เรื่ อ งเบื่ อ หน า ยคลายกํ า หนั ด ; นี่ มั น เปน เรื่อ งแกต ัว ของคนที ่ไ มเอาจริง . มัน อาจจะถูก บา งในคํ า ที ่เขาพูด อยา งนั ้น มั น อาจจะมี ส ว นถู ก อยู บ า ง แต ที่ มั น ไม จํ า เป น จะต อ งเป น อย า งนั้ น มั น ถู ก ว า , มั น เป นเรื่ องข อแก ตั วของคนเหลวไหล โดยเฉพาะของพระเณรที่ เหลวไหล. หรื อว าที่ เขา ยอมแพ, แตเขาไมยอมสารภาพ เขาเลยหาทางออกมาแกตัวอยางนี้ก็มี. ความจริงมันอยูที่รูจัก ความเปนมายาของเวทนาทั้งหลาย สุขเวทนา ก็ ดี ทุ กขเวทนาก็ ดี อทุ กขมสุ ขเวทนาก็ ดี ล วนแต เป นมายา. ฉะนั้ นในโลกทั้ งหลาย
๓๔๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ในเรื่องโลกทั้งหลายมันไมมีอะไรมากกวานี้ คือไมมีอะไรมากไปกวานี้ ที่มันจะใหเพียง สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา ก็เลยไมตองไปลอง, ก็ไมตองไปลอง เรื่องกาม เรื่องกิน เรื่องเกียรติเรื่องอะไรตาง ๆ ก็ได. จิตใจมันก็หลุดพนไปได นี้เรียกวา คนรูจักโลก โดยไมตองผานโลก. นี้อาตมาจะพูดผิดหรือพูดถูก ก็ไมแนเสียแลวเหมือนกัน ; แตอากัป กิริยาตาง ๆ มันแสดงวาเขารูจักโลกสมบูรณ โดยไมตองผานโลก คือเขารูวา โลกมัน ใหอะไรบาง มันใหเพียง ๓ อยางเทานั้น. แลว ๓ อยางนั้นเปนเรื่องหลอกทั้งนั้น มันก็ไมตองลอง, ก็เลยรูจักคาของโลกหรืออะไรของโลกทั้งหมด โดยที่ไมตองผาน เขาไปในโลกทุกกระเบียดนิ้ว ; เพราะสวนสําคัญที่มันอาจจะรูไดนั้นมันมีอยู วา โลกมันใหอะไรไดเพียงเทานั้น แลวทั้งหมดนั้นเปนเพียงมายา อยางนี้จะ เรียกวาคนที่รูจักโลกถึงที่สุด. นี้คนไมรูจักโลก มันก็ตรงกันขาม ก็เปนปทปรมะก็มีไดทั้งเด็กและผูใหญ ทั้งคฤหัสถทั้งบรรพชิตไดดวยเหมือนกัน.
www.buddhadasa.in.th วาสนาทําใหมีสติปญญาตางกัน. www.buddhadasa.org ทีนี้อ ยากจะพูดถึงอีกหมวดหนึ่ง ที่ทําใหคนเราตางกัน เปนอุคฆติ ตัญู วิปติตัญู เปนตนนั้นนี้มันก็คือวาสนาแหงบุคคลนั้น หรือวาธาตุแท แหงบุคคลนั้น มันมีคําใชแทนกันอยู เรียกวาวาสนา.
การเรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพาน
๓๔๗
วาสนาคํานี้แปลวา เครื่องอยู เครื่องนอน เครื่องอาศัย ก็หมายความวา อะไรที่มันนอนอยู หรืออาศัยอยู ในสันดานของบุคคลนั้น นั้นเรียกวาวาสนาของ บุคคลนั้น บางคนมีกามธาตุเปนวาสนา, บางคนมีรูปธาตุเปนวาสนา. ถ าคนที่ มี กามธาตุ เป นวาสนา คนเหล านั้ นก็ มั วเมาหมกมุ นในกามารมณ อย า งหนาแน น อย า งเหนี ย วแน น มาตั้ ง แต ต น จนปลายนี้ ; เพราะว า เขามี ก ามธาตุ เป น วาสนา อยู ใ นสั น ดานของเขา. กามธาตุ ก็ คื อ ธาตุ ที่ ทํ า ให รู สึ ก ในทางกาม คื อ เรื ่อ งเพศ คา ของเพศ อะไรทํ า นองนี ้ ; ถา กามธาตุเ ปน วาสนาของคนนั ้น คน นั้นก็มีความหนักในเรื่องกาม. แล วบางคนมี รู ป ธาตุ เป น วาสนา เขาก็ ไม ค อ ยจะมี ค วามรูสึ กชนิ ดกาม นั้ น ออกหน า ; แต มี ค วามรู สึ ก ในสิ่ ง ที่ ว า เป น รู ป ธรรม รู ป บริ สุ ท ธิ์ คื อ สิ่ ง ที่ เ ป น รู ป ธรรมทั้ ง หลายนี้ , แต ไ ม มี ค วามหมายเป น กามารมณ . เขาไปชอบอย า งนั้ น แม ที่ สุ ด แต จ ะเป น ของเล น ก็ ไ ด หรื อ ว า คนหนึ่ ง มั น จะชอบต น ไม ชอบธรรมชาติ ชอบ อะไรนี้ จนไมสนใจเรื่องกามารมณ. นี้เปนตัวอยาง ก็เพราะวาเขามีรูปธาตุเปน วาสนาของเขา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ ถ าบางคนจะมี อรูปธาตุ อรูปธาตุ แปลว าธาตุ ที่ ไม มี รู ป คื อเป นนาม เปนวาสนา คน ๆ นี้ก็จะไมชอบกามารมณ แลวก็ไมชอบรูปธรรม วัตถุสิ่งของ ไม สะสมเครื่อ งลายครามอะไรนั ้น ; แตว า จะชอบเกีย รติย ศชื ่อ เสีย งหรือ บุญ กุศ ล อะไรต า ง ๆ ที่ มั น เป น นามธรรม แล ว เขาก็ ห ลงใหลขวนขวายไปในทางนามธรรม นับตั้งแตเกียรติยศชื่อเสียงเปนตนไป เพราะวาเขามีอรูปธาตุเปนวาสนา.
๓๔๘
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ฉะนั้ น คนเหล า นี้ เมื่ อ อยู ใ นโลกนี้ มั น ก็ สั ม ผั ส โลกในแง ต า ง ๆ กั น ; ดั งนั้ นเขาจึ งรูจั กโลกไม เหมื อนกั น เหมื อนกั บ ว าคนสวมแว นตาเขี ยวก็ เห็ นโลกเขี ยว, คนสวมแว น ตาแดงก็ เห็ น โลกแดงอย า งนี้ , มั น รูสึ ก หรือ มั น มองไปในแงที่ ต า งกั น นี้ ก็ทําใหคนเราตางกัน ในสวนที่จะมีปญหา คือยุง. นี้ถ าเผอิ ญวาจะมี บุ คคลอีกสั กประเภทหนึ่ ง เขามี นิ โรธธาตุ เป นวาสนา. นิโรธธาตุ แปลวาธาตุแหงความดับ ธาตุแหงความหยุด ธาตุแหงความสงบ, นิโรธ ธาตุทํ า ใหค นอยา งนี ้ช อบความหยุด ความดับ ความสงบ. ถา เขามีน ิโ รธธาตุ เปนวาสนาแลว อาจจะบรรลุความเปนพระอรหันตไดตั้งแตอายุ ๑๕ ปก็ได เพราะเขามี ธาตุ แห งความหยุ ด ความดั บ ความสงบ มั นงายหรือมั นพรอมที่ จะเข าใจ หรือ รั บ เอา หรื อ รูสึ ก ความดั บ ความหยุ ด ความสงบ เพราะว าเขามี นิ โรธธาตุ เป น วาสนา ฉะนั้ นเด็ กคนนี้ ก็ จะไม หลงใหลในอะไรมาแต เล็ ก จะไม รองไห มาแต เล็ ก จะ ไม อ ะไรงอแงมาแต เล็ ก , เขาจะหยุ ด มั น จะสงบ มั น จะเยื อ กเย็ น เหมื อ นกั บ ว า จะเปนพระอรหันตมาเสียตั้งแตในทองอยางนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ เราเรี ย กว า มั น มี ว าสนาในสั น ดานต า งกั น ; บางคนก็ มี ก ามธาตุ บางคนก็ มี รู ป ธาตุ บางคนก็ มี อ รู ป ธาตุ บางคนก็ มี นิ โ รธธาตุ . ฉะนั้ น เราจึ ง เห็ น ความแตกตา งกัน ระหวา งคนเรา ที ่แ จกเปน อุค ฆติต ัญ ู พูด คํ า เดีย วก็รู เ รื ่อ ง, เป น วิ ป จตั ญ ู ต อ งอธิ บ ายกั น หน อ ย, เป น เนยยะ ก็ ต อ งพร่ําสอนชี้ แ จงกั น มาก อยางนี้เปนตน. นี้เราอยูในพวกไหนก็ไปคิดดูเอง.
แต แล วมั นมี โชคดี ที่ วา สิ่ งเหล านี้ มั นแก ไขได , แม จะเป น นิ สั ยสั น ดาน นี้ เป น สิ่ งที่ แ ก ไข ได . ใค รเข า ใจไป ว า นิ สั ยสั น ด าน เป น สิ่ ง ที่ แก ไ ขไม ได
การเรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพาน
๓๔๙
เรี ย กว า คนนั้ น ก็ ยั ง ไม รู จั ก , ไม รูจั ก สิ่ ง ที่ เรี ย กว า นิ สั ย สั น ดาน แล ว เขาไม รู จั ก พุ ท ธ ศาสนาดวย. ถาเขารูจักพุทธศาสนาเขาจะรูวา สิ่งตาง ๆ นี้เปนไปตามเหตุปจจัย ตามกฎเกณฑ แ ห ง อิ ทั ป ป จ จยตา ; เพราะฉะนั้ น ต อ งแก ไ ขได คื อ แก ไ ขที่ เหตุ ปจ จัย . ฉะนั ้น เราก็พ ยายามแกไ ขขอ บกพรอ ง แมที ่เ ปน ชั ้น สัน ดาน คือ ใน สวนลึก เรียกวากวาดลางสันดานกันไดเลย. การบรรลุม รรคผล ก็ค ือ การกวาดลา งสัน ดานนั ่น เอง ใหห มดไป จากกิเ ลสอนุส ัย ที ่ส ะสมไวใ นสัน ดาน. ฉะนั ้น คอยพยายามศึก ษาและปฏิบ ัติ พระพุท ธศาสนาใหถ ูก วิธ ี จะแกส ัน ดานแกน ิส ัย ได. มัน ก็เ ปน ความหวัง อัน หนึ ่ง ที ่วา จะเปลี ่ย นจากปทปรมะ ก็ไ ด ; แตวา คนปทปรมะนี ้ จะไมย อมรับ ฟ ง จะไม ย อมแก ไ ขไปเสี ย ตะพึ ด ก็ ได . เพราะฉะนั้ น ก็ ต ายเปล า . แต พ วกที่ เป น เนยยะนี ้ อาจจะแกไ ขไดม าก, ก็เลื ่อ นขึ ้น มาเปน วิป จิต ัญ ู เปน อุค ฆติต ัญ ู พูดคําเดียวรูเรื่องก็ได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สรางบารมีขึ้นเพื่อแกไขนิสัยสันดาน. ฉะนั้ น ขอให เตรี ย มแก ไขเสี ย ตั้ ง แต บั ด นี้ โอกาสข างหน า มั น อาจจะฟ ง ธรรมะข อ ใดข อ หนึ่ ง ข อ เดี ย ว แล ว รู แ จ ง แทงตลอดไปเลยก็ ไ ด ; เพราะว า เขาแก ไ ข นิสัยสันดาน ชําระนิสัยสันดานใหสะอาดยิ่งขึ้น เปนการเตรียมพรอมไว.
ที นี้ ก็ ยั ง มี เรื่ อ งที่ ค ล า ยกั บ สั น ดานหรื อ นิ สั ย ก็ คื อ เรื่ อ งที่ เรี ย กว า บารมี . บารมี นี้ มี ค วามหมายที่ เถี ยงกั น อยู หรือ ว ายุ ติ กั น แล วก็ ได ว ามั นมี อ ยู สั กสองความ
๓๕๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
หมาย, คํานี้ แปลวา เครื่องให ขาม, เครื่องให ข ามไปฝงโน น ก็เรียกวาบารมี หรือ เครื่องทําใหเต็มเปยมบริบูรณ ก็เรียกวาบารมี. ถ า เรามี บ ารมี ม าก ก็ คื อ ว า เราได ส ะสมสิ่ ง ที่ เป น ประโยชน ไ ว ม าก ; เช น เราให ท านมาก เราก็ มี บ ารมี ในทางทานนั้ น สะสมไว ม าก, มั น ก็ ง า ยแก ก ารที่ จ ะ สลั ดสละความยึ ดมั่ นถื อมั่ น มี ทานบารมี ศี ล บารมี ป ญญาบารมี ขั นติ บารมี อะไร หลาย ๆ บารมี . แต คํ า ว า บารมี นี้ มั น ก็ มี ค วามหมายตรงที่ ว า ทํ า ให ม ากพอเข า ไว จนเต็ ม สํ า หรั บ จะใช ใ นกรณี นั้ น ๆ ; เช น เราหั ด อดทนมาก เราก็ จ ะเป น ผู อ ดทนที่ ดี ที่ สุ ด ในบรรดาผู อ ดทน. หรื อ ว า เราจะเป น คนมี ศี ล ก็ รั ก ษาศี ล ให มั น มาก ให มั น จริง ใหมันถูก ใหมันยิ่งขึ้นไป เราก็จะเปนคนมีศีล. ฉะนั้ น ถ า ผู ใ ดสะสมบารมี ไ ว ม าก มั น ก็ จ ะแก นิ สั ย สั น ดานที่ เ ลวได เหมื อ นกั น ; เพราะว า ถ า เอาอั น นี้ อ อกไป ใส อั น นี้ ล งไป อั น โน น ก็ ต อ งถอยไป ; เหมื อนว ามั นมี น้ํ าเสี ยอยู ในโอ ง ถ าเราปล อยน้ํ าดี น้ํ าสะอาดลงไปเรื่อย น้ํ าเสี ยมั นก็ ถู ก ดั น ให อ อกไปออกไป ๆ, น้ํ า ดี มั น เข า อยู แ ทนมากขึ้ น ๆ. นี้ สั น ดานของคนเราก็ เหมื อ นกั บ โอ งนี้ มั นอาจจะนองเนื่ องอยู ด วยกิ เลสอนุ สั ย นี้ เราก็ ป ล อ ยบารมี คื อ การ กระทํ า ส ว นที่ ถู ก ที่ ดี ม ากเข า ๆ ๆ เติ ม ลงไป ๆ; นั้ น มั น ก็ ถ อยไปได คื อ เปลี่ ย น ความเคยชิ น นั่ น เอง. ถ า อยู อ ย า งวิ ท ยาศาสตร ห น อ ยก็ พู ด ว า เปลี่ ย นความเคยชิ น ที่เปนนิสัยนั้นมันเปลี่ยนได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ ก็ เป นอั นว าเราจะจั ดเรื่ องวาสนา แก ไขเรื่องวาสนาหรือ เรื่องนิ สั ย เรื่ อง นิส ัย เรื ่อ งบารมีใ หม ัน ถูก นี ้จ ะจัด กัน อยา งไร ? ถา วา อยากจะใหม ัน เร็ว เรีย กวา เปน นัก เรีย นที ่เ รีย นลัด จริง ๆ ก็ต อ งทํ า ใหถ ูก ไปตั ้ง แตต น , และเชื ่อ วา
การเรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพาน
๓๕๑
จํ า เป น สํ า หรั บ ทุ ก คน อย า งที่ พ ระพุ ท ธเจ า ท า นได ต รั ส ไว ก็ มี ห ลั ก ว า จะต อ งคบ สัตบุรุษ. ขอ แรกจะต อ งคบสั ต บุ รุษ สั ต บุ รุษ นั้ น คื อคนดี ก็ได คนสงบก็ได , สั ต มั น แปลวาดี ก็ ได วาสงบก็ ได . คํ าวาสั ต บุ รุษ นี้ เคยเป น ชื่ อ ของพระอรหั น ต ใน พระบาลีพ ระไตรปฎ กปจ จุบ ัน นี ้ก ็เ คยพบ คํ า วา สัต บุร ุษ เปน ชื ่อ ของพระอรหัน ต. ในจารึ ก ผอบศิ ล าชิ้ น กระดู ก ของพระอรหั น ต บ างองค ก็ ใช คํ าว าสั ต บุ รุ ษ เช น สั ป ปุ ริ สั ส สะ สารี ปุ ต ตั ส สะ, สั ป ปุ ริ สั ส สะ โมคคั ล ลานั ส สะ, พระสารี บุ ต รผู เป น สั ต บุ รุ ษ พระโมคคั ล ลานะผู เ ป น สั ต บุ รุ ษ , เคยมี จ ารึ ก ที่ ผ อบหิ น ที่ บ รรจุ ก ระดู ก ของท า น. ฉะนั ้น คํ า วา สัต บุร ุษ นั ้น เคยใชแ กพ ระอรหัน ตใ นยุค ครั ้ง พุท ธกาล ; แต เดี๋ยวนี้เราลดความหมายของคํานี้ลงมา เปนคนดีคนสงบก็แลวกัน. นี้ ค บสั ต บุ รุ ษ ก็ ค บคนที่ ส งบสงั ด ที่ กํ า ลั ง เดิ น ไปตามทางของพระ อรหัน ต. จะคบสัต บุร ุษ ไดอ ยา งไร ? ก็ไ ปแกป ญ หาเอาเอง ; ก็ต อ งอยู ใ น ถิ่นที่มีสัตบุรุษ, แลวยังตองพยายามเขาไปติดตอกับสัตบุรุษ วาเราอยูรวมเมือง กัน กับ สัต บุร ุษ . แตถ า เราไมไ ปหา ก็ไ มม ีท างจะคบกับ สัต บุร ุษ ; ฉะนั ้น เรา ต อ งเข า ไปหา หรื อ เข า ไปนั่ ง ใกล สั ต บุ รุ ษ ซึ่ ง จะมี โ อกาสให ไ ด ฟ ง ธรรมะ ได รั บ คํ า สั่งสอนแนะนําชี้แจง. นี้เรียกวาไดโอกาสฟงธรรมจากสัตบุรุษ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ ก็ จะต องพยายามทํ าความเข าใจในธรรมะที่ ได ฟ งนั้ น ; นี้ ไม ใช ฟ งอย าง นกแก ว นกขุ น ทอง ที่ ฟ ง กั น อยู โดยมากเวลานี้ . คนโบราณเขาใช คํ า ล อ ว า ฟ ง ทาง หูซา ยแลวมัน ก็อ อกไปเสีย ทางหูข วา ; ฉะนั้น ฟง จนตายมัน ก็ไมไดเรื่อ งไดราว คื อ ไม ไ ด ค วามรู อ ะไรเพิ่ ม ขึ้ น . นี้ ต อ งฟ ง สั ต บุ รุ ษ ชนิ ด ที่ เ ข า ใจธรรมะของสั ต บุ รุ ษ
๓๕๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
แล ว ก็ เอาไปปฏิ บั ติ ก็ รู แ จ ง แทงตลอดในธรรมะนั้ น ก็ บ รรลุ ม รรค ผล นิ พ พาน ได , คือ หลุด พน ได. วิธ ีล ัด ดูจ ะไมม ีว ิธ ีไ หนลัด กวา นี ้แ ลว ตอ งเกี ่ย วขอ งกับ สัต บุร ุษ แลวก็รูธรรมะจากสัตบุรุษ แลวก็ปฏิบัติ จนหลุดพนได. นี้ ข อให ม องดู ว า ทุ ก อย า งนี้ จ ะต อ งเป น ไปตามเหตุ ต ามป จ จั ย ; การคบ สัต บ ุร ุษ ก็เ ป น เห ต ุเ ป น ป จ จัย ก็ไ ดฟ ง ธรรม ะขอ งส ัต บ ุร ุษ , ธรรม ะนั ้น ก็เ ป น เห ตุ เป น ป จ จั ย ที่ จ ะเอามาชะล า งนิ สั ย สั น ดานของเรา. การชะล า งนิ สั ย สั น ดาน คื อ การปฏิ บั ติ ธ รรม นี้ ก็ เ ป น เหตุ เ ป น ป จ จั ย ที่ จ ะทํ า ให บ รรลุ ม รรคผลนิ พ พาน ; ฉะนั้ น สิ่งตาง ๆ ตองเปนไปตามกฎเกณฑที่เด็ดขาดตายตัว ของเหตุปจจัย. เราตอ งเปน คนฉลาด ในการจัด การทํ า กับ สิ ่ง ที ่เ รีย กวา เหตุป จ จัย แล วเราก็ จะโตเร็ว โตเร็วในทางวิญญาณ, เป นผู ใหญ ในทางวิญญาณ คื อเป นผู อยู ในโลก แลว ก็รู จ ัก โลกไดเ ร็ว เรีย กวา เปน ผู ใ หญ ; ไมใ ชอ ายุม ากเสีย เปลา ๆ ไม ใชหั วหงอกเสี ยเปล า ๆ , แล วไม รูอะไร นั้ นเรียกวา คนไม โตยั งเป นเด็ กอมมื อ หัวงอก เขาโลงไปเลย, เปน เด็ก อมมือ เขาโลงไปเลยก็ได ; เพราะมัน ไมรูจัก โต. แตถ า วา รู จ ัก โลก, รู จ ัก ความจริง ของโลก, รู จ ัก เหตุใ หเ กิด โลก, รู จ ัก ความ ดับ ของโลก, ทํ า ใหม ีค วามดับ โลก อยา งที ่พ ระพุท ธเจา ทา นตรัส นั ้น นี ้ค ือ เปน ผูใหญ อายุนอย ๆ ก็ได ๑๕ ป ก็ได. นี่เป นอันวา เราไดพิ จารณากันถึงตัวผูเรียน พอแลว.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ไป ทบ ทวนดู ก็ แ ล ว กั น ว า เราจะต อ งรู เ รื่ อ งส ถ าน ที่ เรี ย น ร า งกายที่ เป น ๆ อยู นี้ เ ป น โรงเรี ย น แล ว เวลาเรี ย น คื อ เวลาที่ เ ผชิ ญ กั บ อารมณ , หรื อ ลั บ หลั ง อารมณ หรื อ แม แ ต เ วลาหลั บ ก็ ต อ งจั ด ให เ ป น เวลาเรี ย น. วิ ธี ก ารเรี ย น ก็ มี ให เ หมาะแก เ วลาเรี ย น แล ว ผู ส อนนั้ น ไม มี อ ะไรดี เ ท า กั บ ความรู จั ก โลก ความที่
การเรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพาน
๓๕๓
เรารูจั ก โลกนั้ น จะเป น ผู ส อนที่ ดี แล ว เป น ผู เรี ย นที่ ดี ก็ ห มายความว า ปฏิ บั ติ ถู ก ตองตามความรูที่เรารูจักโลก ; เพราะฉะนั้นเราก็สามารถที่จะอยูเหนือโลก. สรุปความแลว เคล็ดลับมันอยูที่วาเราตองเรียนจากความรูสึกโดยตรง ในความรู สึ ก ที่ มี อ ยู ในความรู สึ ก . อย าหวั งที่ จ ะเรี ย นจากฟ งอาตมาเทศน หรื อ ว า อา นหนัง สือ หรือ อะไรทํ า นองนั ้น . ตอ งเรีย นจากความรู ส ึก ขา งใน ซึ ่ง เรีย กวา ธรรมชาติอัน ลึก ซึ้ง มัน จะสอนให, แลว ก็รูจัก เหตุ รูจัก ปจ จัย รูจัก ความเปน ไปตามเหตุ ต ามป จ จั ย ของสิ่ ง เหล า นั้ น ด ว ย; รู สิ่ ง ทั้ ง หมดนี้ แ ล ว มั น ก็ เห็ น อนิ จ จัง ทุก ขัง อนัต ตา ไดโ ดยงา ย. เปน อัน วา จะรูจ ัก สิ่ง ทั้ง ปวงในลัก ษณะที่ ควรรูอยางถูกตอง ตามที่เปนจริง เรียกวายถาภูตสัมมัปปญญา. นี่คือวิถีทางของการเรียน ก ก ข กา เพื่อนิพพาน ; จะเปนการรู แบบเฉื่ อยชา หรือจะเป นการรูแบบสายฟ าแลบ มั นก็ ไม พ นจากหลั กเกณฑ เหล านี้ ; ไม ใช ว า มั น จะต า งกั น ในเรื่อ งเหตุ ป จ จั ย เหตุ ป จ จั ย มั น เหมื อ นกั น , แต ถ า มั น ถู ก วิ ธี แล ว มั นก็ เร็วเหมื อนสายฟ าแลบ ถ ามั นไม ค อยถู กวิธี แล วมั นก็ เฉื่ อยชาอื ดอาดไปบ าง. ฉะนั้ นขอให สนใจว าเราจะต องเรียนเพื่ อนิ พพานนี้ ด วยการตั้ งต นอย างนี้ ตั้ งต นโดย วิธีนี้ เพราะฉะนั้น อาตมาจึงเรียนวาเรียน ก ก ข กา เพื่อนิพพาน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แสดงวิ ธี ก ารเรี ย นและโรงเรี ย น และเวลาเรี ย นพอสมควรแล ว ก็ นั บ ว า การบรรยายในวั น นี้ ให ค วามรูในข อ นี้ โดยเฉพาะ ในข อ นี้ โดยสมบู รณ แ ล ว ก็ ข อยุ ติ ไวที. ขอใหพระสงฆทั้งหลาย ทานไดสวดธรรมคณสาธยาย เพื่อสงเสริม ศรัทธาปสาทะ ใหเขมแข็งตอไป.
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
- ๑๒ ๒๓ มีนาคม ๒๕๑๗
ก ข ก กา เกี่ยวกับการถึงพระรัตนตรัย. ทานสาธุชน ผูมีความสนใจในธรรม ทั้งหลาย, การบรรยายประจํ า วั น เสาร เป น ครั้ ง ที่ ๑๒ แห ง ภาคมาฆบู ช าในวั น นี้ อาตมาก็ ยั งคงจะกล าวโดยหั วข อว า ก ข ก กา ของการศึ กษาพุ ทธศาสนา ต อไปตาม เดิ ม และจะขอกล าวโดยหั วข อนี้ อี กครั้ งหนึ่ ง จนกว าจะหมดการบรรยายแห งภาคนี้ , และในวั น นี้ จ ะได ก ล าวโดยหั วข อ ย อ ย แยกออกไปว า ก ข ก กา เกี่ ย วกั บ การถึ ง พระรัตนตรัย.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ท า นทั้ ง หลายที่ เ คยได ฟ ง มาแต ต น ก็ จ ะทราบได ว า ได ก ล า วแต เ รื่ อ ง ก ข ก กา กั นไปเสี ยทั้ งนั้ น อย างน ารํ าคาญ แต ถ าสั งเกตดู ให ดี ก็ จะพบว า ได กล าว ถึ งธรรมะนั้ น ๆ ที่ ตั้ งอยู ในลั กษณะแห งความเป น ก ข ก กา นั้ น ต างกั น เป น ชั้ น ๆ , เปน เรื ่อ ง ๆ ไป. แตสํ า หรับ ผู ที ่ไ มเ คยฟง มากอ น เพิ ่ง มาฟง ในครั ้ง นี ้ ก็ย อ ม จะฉงน
๓๕๔
ก ข ก กา เกี่ยวกับการถึงพระรัตนตรัย
๓๕๕
บ างเป นธรรมดา มั นเป นเรื่องที่ ไม อาจจะช วยได เพราะเป นการบรรยายชุ ดใหญ ติ ด ต อกั นมาตามลํ าดั บ. แต ถึ งอย างไรก็ ยั งขอทบทวนข อความบางอย าง เพื่ อให ติ ดต อ กันไป และเพื่อประโยชนแกบุคคลบางคนผูเผชิญไดมาฟงในครั้งนี้เปนครั้งแรก. [ทบทวน.]
ที่เราเรียกวา ก ข ก กา สําหรับพุทธบริษัทนั้น หมายถึงพุทธบริษัท สมั ย นี ้ ซึ ่ ง มี ก ารศึ ก ษาที ่ ฟ น เฝ อ ; มากก็ จ ริ ง แต ย ั ง ฟ น เฟ อ จนถึ ง กั บ ว า เรื ่อ งที ่เ ปน ชั ้น ก ข ก กา หรือ ชั ้น ตน ชั ้น ต่ํ า ที ่ส ุด ก็เ ขา ใจไมไ ด และยัง ฟ น เฝอ . ดั งนั้ นเราจึ งต องหยิ บเรื่องนี้ ขึ้ นมาสะสางกั นเสี ยใหม กลายเป นการทํ าสั งคายนาเรื่อง ก ข ก กา ; ถ า ไม ทํ า อย า งนี้ มั น จะทํ า ให เรากลายเป น พุ ท ธบริษั ท หรือ เป น ชาววั ด ที่ หั วหงอกเปล า ๆ, คื อ ว าเป น ชาววั ด กั น มาจนหั วหงอก แต ไม มี ค วามรู ส มกั น กั บ ที่ เป นคนแก หั วหงอก. ฉะนั้ นอย าได รั งเกี ยจว า จะต องมาเรียน ก ข ก กา กั นทั้ งที่ หั ว หงอกแล ว, ทั้ งนี้ ก็ เพราะว า ก ข ก กา ในความหมายนี้ มั น มี ห ลายระดั บ มี ได ทุ ก ระดับ ของบุค คลหรือ ของธรรมะ, หรือ มีไดทั้ง ระดับ ศีล ธรรม และปรมัต ถธรรม หรือที่ทานทั้งหลายมักจะเรียกกันวา ระดับโลกิยธรรม และระดับโลกุตตระธรรม.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ าจะดู ที่ ตั วบุ ค คลโดยตรง ก็ จ ะพบว า บุ ค คลแต ล ะชั้ น แต ล ะพวก ก็ มี การตั้ งต น ของตน ๆ ให เหมาะแก ส ถานะแห งจิ ต ใจของตนด ว ยกั น ทุ ก พวก ; ถ า จะ แยกกั น เป น พวกบุ ถุ ช นฝ า ยหนึ่ ง กั บ พวกอริ ย เจ า อี ก ฝ า ยหนึ่ ง เป น สองฝ า ยแล ว มันก็ยังผิดแผกแตกตางกันหลายระดับ ในฝายหนึ่งอีกนั่นเอง. เป น พ ว ก บุ ถุ ช น ก็ ยั ง แ ย ก อ อ ก ไป ได เป น อ ย า งน อ ย สั ก ๓ พ ว ก : คื อ เป น บุ ถุ ช นชั้ น ที่ อ อ นมาก, หรื อ ว า ชั้ น อั น ธพาล เรี ย กว า พาลบุ ถุ ช นนี้ ก็ มี , อยู ใ น
๓๕๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ระดั บ กลาง ๆ จะเรีย กว าบุ ถุ ช นเฉย ๆ นี้ ก็ มี , เป น บุ ถุ ช นชั้ น ดี เรีย กวากั ล ยาณ บุ ถุ ช น. ถ า ไปแยกดี ม ากดี น อ ย แล ว ก็ ยิ่ ง มากชั้ น ออกไป, จะแยกเป น พาลมาก เป น พาลน อ ย มั น ก็ ยิ่ ง มากชั้ น ออกไป, ฉะนั้ น เอาแต สั ก ๓ ชั้ น ก็ พ อแล ว ว า เป น พาลบุ ถุ ช น นี้ ก็ ต่ํ า ที่ สุ ด แล ว เป น บุ ถุ ช นเฉย ๆ ก็ คื อ บุ ถุ ช นกลาง ๆ ทั่ ว ๆ ไป แล ว ก็ บุ ถุ ช นชั้ น ดี ทั้ ง ๓ พวกนี้ ก็ มี ก ข ก กา ของตนโดยเฉพาะ. คื อ การที่ เขาจะ ตั้งตนศึกษา และปฏิบัติของตนอยางไร. ที่ แ ปลกไปกว า นั้ น ที่ ค นโตมากจะไม ย อมรั บ ไม ย อมเข า ใจด ว ยก็ ไ ด นั้นคืออาตมายังกลาววา แมในพระอริยเจาหลาย ๆ พวกนั้น ก็มี ก ข ก กา ของ ตนเอง เช น เดี ย วกั บ บุ ถุ ช นจะต อ ง ก ข ก กา มี ข องตน ๆ ตามพวกเป น ลํ า ดั บ ไป เพื่ อให มั นดี ขึ้ น จนเปลี่ ยนพวก ก ข ก กา ของพระโสดาบั นมี อยู อย างไร ก็ ได กล าว มาแล ว โดยละเอี ย ด ในการบรรยายครั้ งหนึ่ ง ซึ่ ง เรี ย กว า ก ข ก กา เพื่ อ นิ พ พาน. ครั้ นเป นพระโสดาบั นแล ว ท านก็ จะต องกระทํ าต อไป เพื่ อความเป นพระสกิ ทาคามี เป น ต น . อั น นี้ อ ยากจะกล า วว า มั น เหมื อ นกั บ การตั้ ง ต น เรี ย นชั้ น ต อ ไป คื อ เรี ย น ก ข ก กา สํ าหรั บชั้ นต อไป ทํ าอย างนี้ เรื่ อยไป จนกว าจะเป นพระอรหั นต จึ งจะจบ เรื่อง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ แ หละเป น เหตุ ใ ห มี สิ่ ง ที่ เข า จะต อ งตั้ ง ต น ต า งกั น เป น พวก ๆ ไป ตั้ ง หลายพวกอย า งนี้ ; นี้ ก็ เรี ย กว า ก ข ก กา ของคนพวกหนึ่ ง ๆ มี ไ ด ห ลายระดั บ มี ได ทุ ก ระดั บ ของบุ ค คล ทั้ งประเภทที่ เป น โลกิ ย ะหรื อ โลกุ ต ตระ คื อ เป น บุ ถุ ช นหรื อ เปนพระอริยเจา.
ก ข ก กา เกี่ยวกับการถึงพระรัตนตรัย
๓๕๗
ทีนี้ปญหามันมีวา เราสมัยนี้เรียนกาวกายกันอยางฟนเฝอ, แลวไม เคยปฏิบั ติใหเสร็จ เปนเรื่อง ๆ ไป หรือเปนชั้น ๆ ไป ; เพราะวาเรามันละโมบ ต อ การที่ จะรู หรื อ อยากจะอวดดี มากกว าที่ จะปฏิ บั ติ ให ได ผ ลจริง ๆ ข อ นี้ เป น เหตุ ให ฟ น เฝ อ สั บ สนกั น ไปหมด จนต อ งสะสางกั น ใหม จึ งทํ าให อ าตมาเห็ น ว า ชั กชวน กั นมาเรี ยก ก ข ก กา กั นใหม เป นพวก ๆ ไป เลยเรี ยกการบรรยายชุ ดนี้ ว า ก ข ก กา สําหรับพุทธบริษัทจะตองสนใจ. [เริ่มการบรรยายครั้งนี้.]
สํ า หรับ ในวัน นี ้ ที ่ใ หห ัว ขอ ยอ ยแยกออกมานั ้น แยกออกมาเรีย กวา ก ข ก กา เกี่ยวกับการถึงพระรัตนตรัย นี้ก็ยังเปนปญหา คือจะไมเขาใจไดทันที. การถึ งพระรัต นตรัย นี้ เรียกกั น วา สรณคมน ; ทุ กคนถาเคยมาวัด ก็ จะได ยิน คํ า ว า สรณาคมน รั บ สรณาคมน . สมั ย ก อ น ๆ ยั ง พู ด กั น มากกว า สมั ย นี้ ด ว ยซ้ํ า ไป ถึ งคํ าวาสรณาคมน คอยระวังไม ให สรณาคมน ของตนขาด, คอยเตื อนซึ่งกั นและกั น ว าอย าทํ าให สรณาคมน ขาด, เดี๋ ยวนี้ ก็ ชั กจะอ อนไปเลื อนไป ไม ค อยจะพู ดถึ ง แต ถึ ง อยางนั้นสิ่งนี้ก็ยังมีอยู ยังเปนปญหาอยู.
www.buddhadasa.in.th ถึงพระรัตนตรัยมีไดทั้งในขั้นศีลธรรมและปรมัตถ. www.buddhadasa.org การถึ งพระรั ตนตรั ย รั บเอาพระรั ตนตรั ยมาเป นที่ พึ่ งนี้ คนทั่ วไปก็ คิ ดว า เป น เรื่ อ งเบื้ อ งต น สมกั บ ที่ จ ะเป น ก ข ก กา จริ ง . แต ในที่ นี้ อ ยากจะบอกให ท ราบ วาการถึงพระรัตนตรัยนั้นมีหลายชั้น ไมใชวาจะมีแตชั้นจับตัวมาใหวาสรณาคมน มั น ยั งมี อี ก หลายชั้ น แล วมั น ยั งมี ป ญ หาซั บ ซ อ นอยู ในนั้ น หลายอย างด วยกั น , ซึ่ ง
๓๕๘
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ถ าเรามองดู ให ดี แ ล ว จะเห็ น ว า มั น มี อ ยู ห ลายขั้ น คื อ ถึ ง มากถึ งน อ ย นั้ น ก็ มี , หรื อ ว า ถึ ง อย า งจริ ง และถึ ง อย า งไม จ ริ ง นั้ น ก็ มี , จนกระทั่ ง บรรลุ ม รรค ผล แล ว ก็ ยั ง กล า วได ว า เป น การถึ ง พระรั ต นตรั ย ในลั ก ษณะใดลั ก ษณะหนึ่ ง ที่ ลึ ก ซึ้ ง ยิ่ ง ขึ้ น ไป ถ า มองดู กั น ตามนั ย ะอั น นี้ แ ล ว การถึ ง พระรั ต นตรั ย นั้ น ไม ใ ช เป น เรื่ อ ง ก ข ก กา ชั้นเด็กอมมือ คือขั้นที่แรกเรียน, ขอใหฟงดูใหดีตอไปอีกครั้งหนึ่ง. ขอให ท านผู ฟ งที่ เคยฟ งมาแล วบางท าน ทบทวนถึ งการบรรยายบางครั้ ง ที ่แ ลว มา ซึ ่ง มีอ ยู ค รั ้ง หนึ ่ง ซึ ่ง ไดเ นน ใหเ ห็น ชัด เจนวา การถึง พระรัต นตรัย นั ้น มี ทั้ ง ชนิ ด ศี ล ธรรมและชั้ น ปรมั ต ถธรรม ; หมายความว า ในชั้ น ภาษาคน หรื อ ชั้ น การประพฤติป ฏิบ ัต ิชั ้น สามัญ ทั ่ว ๆ ไป นี ้ก ็ม ีก ารถึง พระรัต นตรัย แลว , และแม ในชั ้น ที ่ส ูง สุด ลึก ซึ ้ง สํ า หรับ ผู ม ีส ติป ญ ญา ก็ย ัง มีก ารถึง พระรัต นตรัย เรีย กวา ในขั้นปรมัตถธรรม. ทํ า ไมจึ ง เป น อย า งนี้ ? ทั้ ง นี้ ก็ เพราะว า สิ่ ง ที่ เรี ย กว า พระรั ต นตรั ย นั้ น ก็ม ีห ล าย ระ ดับ นั ่น เอ ง. ที ่แ รก เรีย น แ รก ฟง ห รือ ส ะ พ รา ก็จ ะ มีค วาม รู ความเข า ใจอย า งคร า ว ๆ ว า พระรั ต นตรั ย ก็ คื อ พระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ เท า นั้ น เอง, แล ว เขาก็ คิ ด ว า เมื่ อ ได อ อกวาจาว า พุ ท ธั ง สรณั ง คั จ ฉามิ เป น ต น จนจบไปแล ว เขาก็ มี พ ระรั ต นตรั ย คื อ พระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ . อาตมาคิ ด ว า คงจะเป น อย า งนี้ กั น โดยมาก จึ ง ได เ ห็ น ว า พระรั ต นตรั ย นั้ น มี เ พี ย งเท า นั้ น ; สํ า หรั บ ผู ที่ ตั้ ง ใจจริ ง จะให ไ ด รั บ ประโยชน จ ริ ง ๆ เป น ผู ที่ อ ยากจะถึ ง ความจริ ง ยั ง จะต อ งคิ ด อี ก มาก ; เพราะว า สิ่ ง ที่ เรี ย กว า พระรั ต นตรั ย นั้ น มี อ ยู ห ลายระดั บ .
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
ก ข ก กา เกี่ยวกับการถึงพระรัตนตรัย
๓๕๙
จะยกตัวอยาง เชน พระพุทธเจา. พระพุ ทธเจาทานตรัสวา ผูใดเห็ น ธรรม ผูนั้นเห็นเรา, ผูใดไมเห็นธรรม ผูนั้นไมเห็นเรา, แมวาผูนั้นจะนั่งชิดกัน อยู ถึงขนาดจับจีวรของพระองคไว ผูนั้นก็ชื่อวาไมเห็นเรา คือเห็นพระตถาคต. ส ว นผู ที่ เห็ น ธรรม แม จ ะไม เคยเห็ น รู ป ร า งเนื้ อ ตั ว ของพระองค ยั ง ได ชื่ อ ว า ได เห็ น พระตถาคต ; เพียงเทา นี้ก็พ อจะบอกใหท ราบไดแ ลววา พระพุท ธเจา อยางนอ ย ก็มีสองความหมายเสียแลว คือรูปรางของทาน เนื้อตัวของทานนั้นก็มีความหมาย หนึ่ ง จะถึ งท านเป น ที่ พึ่ งได อย างไร, ที นี้ อี ก ความหมายหนึ่ ง ก็ คื อธรรมหรือ ธรรมะ ที่ มี อ ยู ใ นพระหฤทั ย ของท า น หรื อ เป น คุ ณ สมบั ติ แ ห ง การดั บ ทุ ก ข ได สิ้ น เชิ ง ของ ท า นมั น ไม มี รูป ร า งอย า งนี้ . นี้ ก็ เป น พระพุ ท ธเจ า หรือ ว า เป น พระตถาคตอี ก ระดั บ หนึ่ง. เมื่อนึกถึงพระพุทธภาษิต อีกแหงหนึ่ง ซึ่งมีวา ผูใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผูนั้นชื่อวาเห็นธรรม, ผูใดเห็นธรรม ผูนั้นยอมเห็นปฏิจจสมุปบาท, ผูใดเห็น ปฏิจจสมุปบาท ผูนั้นเห็นธรรม ผูใดเห็นธรรมผูนั้นเห็นตถาคต. หมายความวา ผูที่จะเห็นพระตถาคตจริง ๆ นั้น ตองเห็นปฏิจจสมุปบาท คือเห็นอาการที่ความ ทุก ขเ กิด ขึ้น จริง ๆ , และเห็น อาการที่ค วามทุก ขดับ ลงไปโดยสิ้น เชิง จริง ๆ. ทีนี ้ก ารที ่จ ะเห็น จริง นั ้น มัน เห็น ที ่อื ่น ไมไ ด. นอกจากเห็น ในตัว เอง, ในตัว ของผู นั ้น เอง. ฉะนั ้น เขาเห็น ปฏิจ จสมุป บาทในตัว ของผู นั ้น เอง ก็ค ือ เห็น ธรรม ในตัว ของเขาเอง, ก็คือ เห็น พระพุท ธเจา หรือ เห็น พระตถาคตในตัว ของเขา เอง. นี้ ผู ใ ดกํ า ลั ง เป น อย า งนี้ บ า ง ? ผู ใ ดกํ า ลั ง เห็ น แจ ง ปฏิ จ จสมุ ป บาทในตั ว เอง อยางนี้บาง นี้มันจะมีปญหาเกิดขึ้นอยางนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org พระพุท ธเจา ก็ม ีห ลายระดับ อยา งนี ้ ; ถา เปน พระพุท ธเจา สํ า หรับ ลูกเด็ก ๆ เล็ก ๆ แลว ก็จะเอาตัวบุคคลนั้นแหละเปนหลัก, เมื่อบุคคลนั้นไมได
๓๖๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
มีอ ยู ก็เ อาพระพุท ธรูป เปน หลัก , บางทีก ็เ อาพระธาตุเ ปน หลัก หรือ แลว แต วาจะเอาอะไรตามความเข าใจของเขาวานี้ เป นพระพุ ทธเจ า, นี้ ก็ มี อยู เป นชั้ น ๆ ด วย เหมือ นกัน . ในทางวัต ถุภ ายนอกก็ม ีห ลายชั ้น ในทางจิต ใจภายในก็ม ีห ลายชั ้น เพราะว า การเห็ น ธรรมนั้ น มั น ต า งกั น ไม ใ ช ร ะดั บ เดี ย วกั น ; เพราะฉะนั้ น พระ พุทธเจาจึงมีหลายระดับอยางนี้. นี้ พ ระธรรมก็ เหมื อ นกั น ไม ผิ ด แปลกอะไรกั น คื อ พระธรรมมี ห ลาย ระดับ ธรรมะชั ้น ไหนที ่ว า เห็น แลว ไดชื ่อ วา เห็น พระพุท ธเจา นั ้น ก็เ ปน ระดับ เดี ยวกั น กั บ พระพุ ท ธเจ า หรื อ เป น สิ่ งเดี ยวกั น กั บ พระพุ ท ธเจ า ; แต ก็ ยั งมี พ ระธรรม ที่ ต่ํ า ลงไปจากนั้ น อี ก ก็ จ ะเห็ น พระธรรมชนิ ด ที่ เป น เพี ย งพระพุ ท ธเจ า องค น อ ย ๆ ยังไมโตยังไมสมบูรณ. นี้ ก ารที่ จ ะเห็ น พระสงฆ ก็ มี ห ลายระดั บ ; อย า งที่ ท า นทั้ ง หลายก็ ทราบ และทองกันอยูวา พระสงฆ ๔ คู ๘ พระองค คือโสดาบันปตติมรรค โสดา ป ต ติ ผ ล, สกิ ท าคามิ ม รรค สกิ ท าคามิ ผ ล, อนาคามิ ม รรค อนาคามิ ผ ล, อรหั ต ต มรรค อรหั ต ตผล, นั บ เป น ๔ คู ๘ พระองค อย างน อ ยก็ ๔ ระดั บ หรื อ ๘ ระดั บ อยู แ ลว . แลว ยัง มีผู ที ่กํ า ลัง พยายามปฏิบ ัต ิเ พื ่อ เปน พระโสดาบัน นี ้ก ็จ ัด เปน พระสงฆ , แลวแม ผูที่เราเรียกกันวา สมมุ ติ สงฆ คือยังไมมี การปฏิบั ติที่ มุงตรงไปยัง พระนิ พ พานอย า งนี้ ก็ ยั ง เรี ย กว า พระสงฆ อ ยู นั่ น เอง; จึ ง มี พ ระสงฆ โดยอนุ โลม บ า ง, มี พ ระสงฆ แ ท จ ริ งบ าง ซึ่ งทั้ ง สองพวกนี้ ก็ ยั งมี ห ลายระดั บ ในฝ ายหนึ่ ง เช น พระอริยสงฆที่แทจริงก็ยังมีตั้ง ๔ พระ ๘ คูองค ก็มีหลายระดับ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
ก ข ก กา เกี่ยวกับการถึงพระรัตนตรัย
๓๖๑
พระรัตนตรัยก็มีหลายระดับ ฉะนั้น การถึงพระรัตนตรัยก็ตองหลาย ระดับ . นี ้เ ราก็ท บทวนดูต ัว เราเองก็แ ลว กัน วา เดี ๋ย วนี ้เ องนั ่น แหละ ซึ ่ง รู จ ัก ตัวเอง รูจักจิตใจของตัวเองดี วากําลังถึงพระรัตนตรัยในระดับไหน ? มันจะ เป น ก ข ก กา กี่ ม ากน อ ย ? จะเป น ก ข ก กา ของเด็ ก ชั้ น อนุ บ าลหรื อ ว าชั้ น ที่ สู ง ขึ้นไปกวานี่จะตองทําสังคายนา. ที นี้ ที่ ว าจะแยกออกเป นเพี ยงสองฝ าย ให มั นศึ กษาง าย คื อฝ ายศี ลธรรม และฝ า ยปรมั ต ถธรรม, เพี ย งสองฝ า ย ก็ จ ะพอเห็ น ได ง า ยขึ้ น ไปอี ก ว า เอากั น ทาง ฝายศีลธรรมสําหรับปฏิบัติของบุคคลทั่วไป เปนชาวไร ชาวนา ชาวปา ชาวสวน อะไร ก็ มี การถื อพระรัต นตรัยในลั กษณะอย างนั้ น. รูจั กพระรัตนตรัยแต ในลั กษณะ อย า งนั้ น นี้ เป น ชั้ น ศี ล ธรรม ; เช น แล ว แต จ ะได ยิ น ได ฟ ง มาว า พระพุ ท ธเจ า เป น บุ ค คลชนิ ด ไร แล ว การถึ ง พระรั ต นตรั ย นั้ น ก็ ไ ปรั บ สรณ าคมน พุ ท ธั ง สรณั ง คัจฉามิ เป นต น, แลวก็ เป นอั นวาเป นการถึง เสร็จแล วก็ รักษาระเบี ยบปฏิ บั ติ ต าง ๆ, สํ าหรับผู ที่ เป นพุ ทธมามกะ หรือเป นอุ บาสกอุ บาสิ กา จะพึ งระวั งรักษาไว เป นอย างดี นี้ก็เรียกวาถึงพระรัตนตรัยในขั้นศีลธรรม.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แตถ า เปน ในขั ้น ปรมัต ถธรรมแลว ยัง ไปไกลกวา นั ้น คือ จะตอ ง รู จ ัก พระพุท ธ พระธรรม พระสงฆ ที ่แ ทจ ริง ที ่ล ึก ซึ ้ง ที ่เ ปน พระองคจ ริง ขนาดที ่ต รัส วา "ผู ใ ดเห็น ธรรมผู นั ้น เห็น เรา ผู ใ ดเห็น เราผู นั ้น เห็น ธรรม ผู ใ ด เห็น ปฏิจ จสมุป บาทผู นั ้น เห็น ธรรม ผู ใ ดเห็น ธรรมผู นั ้น เห็น ปฏิจ จสมุป บาท" อยา งนี ้เ ปน ตน . กระทั ่ง เห็น พระรัต นตรัย ที ่ส ูง ยิ ่ง ขึ ้น ไป ในความหมายแหง ความเปนอนัตตา สุญญตา ในที่สุด อยางนี้ก็ยังมี.
๓๖๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
นี ่ก ารถึง พระรัต นตรัย จึง มีไ ดห ลายระดับ อยา งนอ ยก็ใ หเ ปน สัก ๒ ประเภท คือ ประเภทศีลธรรม และ ประเภทปรมัตถธรรม. ทีนี ้อ ยากจะขอใหท ุก คน สอบสวนดูก ารถึง พระรัต นตรัย ของตน อี ก ครั้ ง หนึ่ ง ว า เป น การถึ ง พระรั ต นตรั ย ขั้ น ศี ล ธรรม หรื อ ขั้ น ปรมั ต ถธรรม. ถ า เปน ขั้น ศีล ธรรม ก็เ ปน สิ่ที่ขึ ้น อยู ก ับ ศรัท ธา ถา เปน ขั ้น ปรมัต ถธรรม ก็ยอ ม ขึ้น อยู กับ ปญ ญา แตก็ม ีทั ้ง ศรัท ธาทั ้ง ปญ ญาเจือ กัน . หากแตวา ขั ้น ศีล ธรรม นั้น ศรัท ธาออกหนา ในขั้น ปรมัต ถธรรมนั ้น ปญ ญาออกหนา . ไปพิจ ารณาดู พระรั ตนตรัยของตน ๆ ดู ด วยกั น ทุ กคนเถิ ด ก็ จะเข าใจคํ าที่ ว า การถึ งพระรั ตนตรั ย นั้น มีเปนขั้น ๆ หรือเปน ๒ ประเภทอยางนี้. นี้ มี ความเป น ก ข ก กา อยู ที่ ไหน ก็ จะได พิ จารณากั นดู ต อไป ก ข ก กา ชนิ ด ที่ ว าลากตั ว มาวั ด สอนให ว า พุ ท ธั ง สรณั ง คั จ ฉามิ นี้ มั น ก็ เป น ก ข ก กา ชั้ นที่ ต่ํ าที่ สุ ด. ที นี้ แม จะรูจั กธรรมะมากขึ้ นไปกว านั้ น มั นก็ ยั งเป น ก ข ก กา อยู อี ก นั่ น เอง ; เพราะว า ได เลื่ อ นชั้ น เขยิ บ ออกไปทุ ก ที ไปที่ จุ ด ตั้ ง ต น ในระดั บ ที่ สู ง ขึ้ น ไป ทุก ที. ฉะนั ้น ไปแตะเขา ที ่ต รงไหน มัน ก็เ ปน ก ข ก กา ที ่ต รงนั ้น เพราะวา ตอ ง ตั้ ง ต น ใหม เหมื อ นกั บ คนที่ เรี ย นแล ว เลื่ อ นชั้ น นี้ เลื่ อ นชั้ น กั น อย า งไร ก็ จ ะพู ด ถึ ง กันตอไป.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อาการที่เขาถึงพระรัตนตรัย. ที นี้ จะพู ดถึ งสิ่ งซึ่ งอาตมาจะขอพู ดซ้ํ า ๆ อย างไม เบื่ อหน าย เกี่ ยวกั บเรื่ อง นี้ ได เคยพู ด มาหลายครั้ ง แล ว ก็ ยั ง จะพู ด อี ก , คื อ ว า การถึ ง พระรั ต นตรั ย นั้ น
ก ข ก กา เกี่ยวกับการถึงพระรัตนตรัย
๓๖๓
เมื่ อ พู ด ถึ ง กิ ริ ย าอาการที่ ถึ ง แล ว ก็ จ ะแบ ง ออกเป น สั ก ๓ ระดั บ คื อ ถึ ง ด ว ยการ ถือ อยา งหนึ ่ง , แลว ถึง ดว ยการถึง จริง ๆ นี ้อ ยา งหนึ ่ง , แลว ถึง ดว ยการ เปนเสียเอง นี้อยางหนึ่ง. สรณาคมน แปลวา มาสูสรณะ. ทีนี้มันไมรูวาอยูที่ไหน ? มันก็ตองรับ เอาที่ เขาบอกให ไว ที ก อ น เอามาถื อ ไว ก อ น ตามที่ เขาว า นี้ เรี ย กว า เป น การถื อ ; เชน นับ ถือ พระพุท ธ พระธรรม พระสงฆ ยัง ไมท ัน จะทราบเรื ่อ งราวอะไร การรับ ถือ ของคนเขา มาใหม หรือ คนใหมต อ ศาสนา จะเขา มาถือ ศาสนานี ้ย ัง ไมถึง หัว ใจของพุท ธศาสนา. ดัง นั้น จึง เรีย กวา ถือ ไปกอ น รับ ถือ ไวกอ น ยัง ไม เขา ถึง หัว ใจ ; นี ้เรีย กวา การถือ ก็ถือ กัน ดว ยสมาทานดว ยวาจา แลว ก็ตั ้ง ใจ จะทําตามนั้น, ดู ๆ มันก็เปนพิธีอยูมาก เปนระเบียบหรือพิธีเทานั้นเอง. คนนั้ น จะพยายาม ให มี ค วามรู ค วามเข า ใจ ให มี ค วามจริ ง จั ง ในการ ถื อนั้ นให มากขึ้ น คื อพยายามศึ กษาค นคว าไม หยุ ดหย อน ให ได รับประโยชน ให ได รับ ผล แหง การถือ ประจัก ษแ กใ จของตน ๆ. ตอ มาก็เ ลื ่อ นชั ้น ขึ ้น มาเปน การ ถึ ง . การถื อ นั ้ น ถื อ ด ว ยพิ ธ ี ก ็ ไ ด , สมาทานด ว ยวาจาก็ ไ ด ; แต ก ารถึ ง นั ้ น ทํ า อย า งนั้ น ไม ไ ด เพราะมั น เลื่ อ นชั้ น ขึ้ น มาแล ว มั น เป น การถึ ง ด ว ยสติ ป ญ ญา ด ว ยความรูสึ ก , มี ค วามรูวาพระรัต นตรัยเป น อยางไรมากขึ้น , แล วก็รูสึก ต อ ความ รูสึ ก ที่ ว า ถ า เรามี ก ารถึ ง พระรั ต นตรั ย แล ว มั น มี ผ ลอย า งไร เช น ว า เป น ความสงบ สุข อยา งไร. หรือ แมแ ตเ พีย งเราเขา ใจ ในสิ ่ง ที ่เ รีย กวา พระพุท ธ พระธรรม พระสงฆ เต็มที่เทานั้น ในจิตใจของเราก็รูสึกเปลี่ยนไปอยางไร ก็จะตองรูดวย ; นี้เรียกวามันเลื่อนขึ้นมาเปนการถึง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๓๖๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
แล ว การถึ ง นี้ เป น ไปหนั ก เข า ๆ มั น ก็ ขึ้ น ไปเป น ชั้ น ดี ชั้ น ที่ เ ป น พระ อริ ย เจ า อริ ย สาวก อริ ย เจ า ในที่ สุ ด คื อ เป น พระอรหั น ต แ ล ว นั้ น ก็ ไ ด ก ลายเป น พระรัต นตรัย เสีย เอง, คือ วา พระอรหัน ตนั ้น มีส ภาพแหง จิต ใจเหมือ นกัน กับ พระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ หรือ เป น ความหมายของคํ าว า พระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ อยู อ ย า งครบถ ว น, มี พ ระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ เป น เนื้ อ เป น ตั ว ของท า นไปเลย. นี้ จึ ง เรี ย กว า ถึ ง พระรั ต นตรั ย ด ว ยการเป น เสี ย เอง. นี้ ห มาย ความว าจิ ต ใจ วิ ญ ญาณ อะไรต าง ๆ ของท าน มั น เป น เหมื อ นพระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ เสียเอง. การถึ งพระรั ต นตรั ย เราดู กั น ให กว างขวางทั่ วไปแล ว จะแบ งได เป น ๓ ชั้นอยางนี้ คื อ ถื อ ด ว ยศรัท ธา ดวยการสมาทาน ด วยการประกอบพิ ธี นี้ ก็ อ ยาง หนึ่ ง, แล วการถึ งด วยสติ ป ญ ญา ด วยความรูสึ ก นี้ ก็ อ ย างหนึ่ ง , แล วก็ ถึ งจริ ง ๆ คื อ เป น เสี ย เอง เป น พระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ เสี ย เอง ทั้ ง เนื้ อ ทั้ ง ตั ว นี้ ก็ อยางหนึ่ง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ ข อพู ด ซ้ํ า ในที่ นี้ อี ก แล ว ก็ จ ะพู ด อี ก ไม มี ค วามกลั ว ว า ใครจะเบื่ อ ; เพราะว านี้ มั นเป น ก ข ก กา อยู ในทุ กระดั บ, เรี ยน ก ข ก กา สํ าหรั บ ถื อ, ครั้ นได ถื อ แล ว ก็ เรี ย น ก ข ก กา สํ าหรั บ ถึ ง, ครั้ น ถึ งแล วก็ เรี ย น ก ข ก กา สํ าหรั บ ที่ จ ะ เปนเสียเอง มันเลยมี ก ก ข กา ดักหนาอยูเรื่อยไป. การบรรยายโดยละเอี ย ดเกี่ ย วกั บ คํ า ๓ คํ า นี้ มี อ ยู แ ล ว ในการ บรรยายชุดที่เรียกวา โอสาเรตัพพธรรม, คือปแรก ๆ ของการบรรยายวันเสารที่ นี่ .ฉะนั้ น ถ า เมื่ อ มี ก ารพิ ม พ อ อกมาแล ว ก็ ข อให ศึ ก ษาดู อ ย า งละเอี ย ดที่ นั่ น . ในที่ นี้
ก ข ก กา เกี่ยวกับการถึงพระรัตนตรัย
๓๖๕
ต อ งการแต เพี ย งจะเตื อ นซ้ํ า ๆ หรื อ ย้ํ า ๆ อยู เสมอว า ระวั งให ดี อย าให มั น เป น เรื่ อ ง หลั บ หู ห ลั บ ตาเหมา ๆ กั น ไป โดยไม รู ว าอะไร. ให รู จั ก แยกให เห็ น ชั ด เป น ชั้ น ๆ ว า มั น เป น การถื อ เป น การถึ ง แล ว มั น การเป น เสี ย เองเลย อย า งนี ้ . อย า งนี้ เปนอยางนอย.
ลักษณะบุคคลที่ถือและถึงพระรัตนตรัย. ที นี้ จะให เห็ น ความเป น ก ข ก กา ในการถึ งพระรั ต นตรั ยให ชั ด ยิ่ งขึ้ น ไป อีก ก็จ ะไดชี้ใ หเ ห็น ลัก ษณะแหง บุค คล ที ่เ ขา มาเกี ่ย วขอ งกับ พระรัต นตรัย ที่มีกันอยูเปนชั้น ๆ . เมื่ อ จะจํ า แนกโดยบุ ค คล ก็ ข อให ม องดู ใ ห ไ กลไปทางข า งต น , แล ว จึ ง ค อยมองดู ให ไกลไปทางข างปลาย ว าบุ คคลที่ จะเข ามารับนั บถื อพระรั ตนตรั ยนั้ น ก็ ยั ง มีอ ยู เ ปน หลายชนิด หลายอยา ง ; เชน พวกที ่ถ ือ ที ่พึ ่ง อยา งอื ่น มากอ น นี ้ก ็พ วก หนึ ่ง , พวกที ่ไ มถ ือ ที ่พึ ่ง อะไรเลยมากอ น นี ้ก ็พ วกหนึ ่ง , แลว พวกที ่เ ปน ชาว พุท ธโดยกํ า เนิด หรือ โดยทะเบีย น นี ้ก ็พ วกหนึ ่ง . เอามาพูด พรอ ม ๆ กัน เพราะ วามันไมคอยจะตางกันนัก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ในชั ้น แรก คนที ่ถ ือ ลัท ธิอ ยา งอื ่น มากอ น ถือ ผีถ ือ สางเชื ่อ เทวดา เชื่ อ อะไรต าง ๆ มาอย างเต็ ม ที่ ก อ น แล วจะมาเปลี่ ย นเป น ถื อ พระรั ต นตรั ย นี้ มั น ก็ มี อยู พ วกหนึ่ ง . นี้ บ างคนมี จิ ต ใจเป น อิ ส ระ ไม เ ชื่ อ ไม ถื อ อะไรมาก อ นเลย ; เพราะ วา เขามั น เกิ ด มาในตระกู ล ที่ เป น อย างนั้ น , หรือ ว า เขามั น อุ ต ริเกิ ด ไม เชื่ อ ขึ้ น มาเอง
๓๖๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ก็ไ ด นี ่ค นพวกนี ้ไ มถ ือ อะไร ไมเ ชื ่อ อะไร ไมย อมรับ ฟง อะไรดว ยซ้ํ า ไป นี ้ม า กอนก็พวกหนึ่ง สองพวกนี้มันก็เหมือนกันไมได เห็นอยูไดชัดแลว. การที่จะเขามาถือพระรัตนตรัยนี้ มันก็ตองมองเห็นวา พระรัตน – ตรัยดีกวาสิ่งที่เขาถืออยูกอน ; เชน ถือผี ถือสาง ถืออะไรตาง ๆ นี้ พอมาไดยิน ไดฟ ง เรื ่อ งพระรัต นตรัย ก็เ ลยชอบใจ จึง สลัด สิ ่ง ที ่เ คยถือ อยู แ ตก อ นนั ้น ออกไป มารั บ ถื อ ใหม อ ย า งนี้ . ถ า ไม อ ย า งนั้ น แล ว เขาก็ ไม ย อมถื อ แน คื อ ไม ย อมเปลี่ ย น. ถา พวกที่ไ มถือ อะไรมากอ น ก็เผชิญ วาเขามาเห็น วา นี้แ หละมัน ดีแ น ดีก วา ไม ถื อ อะไรเลย แล ว น า ถื อ ที่ สุ ด . ถ า เขาเป น คนที่ มี ส ติ ป ญ ญา อย า งนั ก คิ ด นั ก วิทยาศาสตรนี้ ถาเขาเขาใจได เขาก็จะถือทันที แมวาเขาจะไมเคยถืออะไรมากอน. แต แ ล ว มั น ก็ ไม ได ห มายความว า จะเป น เหมื อ นกั น ไปหมด ; มั น มี ค น ดื้ อ ดึ งมั น มี ค นงมงาย หรือว าบางที ก็ เข ามาถื อ , รับ ถื อ เอาด วยความงมงายก็ มี คน ที่ ไม ถื อ อะไรมาก อ น หรือ ว า ถื อ อะไรมาก อ นแล ว ก็ ต าม เปลี่ ย นมาถื อ พุ ท ธศาสนา อยางงมงายก็มี ; ทั้งนี้เพราะวามันยังมีคนอีกพวกหนึ่งเป น ชาวพุ ท ธมาแตกําเนิ ด คือ บิด ามารดาเปน ชาวพุท ธ เกิด มาในบา นเรือ นแหง ชาวพุท ธ จดทะเบีย นก็ ว า เป น ชาวพุ ท ธ. แต แ ล ว ก็ ไ ม รู จ ั ก พระรั ต นตรั ย นี ้ ก ็ ย ั ง มี อ ยู ; นั ่ น ก็ ต อ ง ถื อ ว า เป น พวกที่ ยั งงมงาย อยู เหมื อ นกั น มั น ก็ จ ะต อ งตั้ งต น เหมื อ นกั บ ผู ที่ ไม ได ถื ออะไรมาก อนเลยก็ ได , หรืออาจจะไปเหมื อนกั บผู ที่ ถื ออะไรอย างผิ ด ๆ มาก อนแล ว ก็ไ ด ; เพราะการถือ เอาอยา งที ่ไ มม ีเ หตุผ ล ไมม ีค วามหมายนั ้น มัน ยอ มเปน สี ลั พ พั ต ตาปรามาสไปทั้ ง นั้ น แต มั น เป น ชั้ น ดี ห น อ ย ที่ ว า จะดึ ง เข า มาหาจุ ด ศู น ย กลางได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
ก ข ก กา เกี่ยวกับการถึงพระรัตนตรัย
๓๖๗
สิ่ ง ที่ จ ะทํ า ให เ ขามาสนใจในสรณ ะที่ พึ่ ง อั น นี้ มั น จึ ง มี ไ ด แ ม ใ น ลัก ษณะที ่ง มงาย, และแมใ นลัก ษณะที ่ห ูต าสวา ง. ที ่ง มงายนั ้น เชน เพราะ กลั ว พอเกิ ด อะไรที่ เขากลั ว อั น นี้ เผชิ ญ ไปแก ค วามกลั ว ได เขาก็ เลยรั บ เอา, หรื อ ว า มี ค วามงมงาย แต ถู ก เกลี้ ย กล อ ม ถู ก ชั ก ชวนอะไรก็ ไ ด หรื อ ว า แม ที่ สุ ด แต ว า ดวยอํานาจของสัญชาตญาณแหงการเอาอยาง, สัญชาตญาณนี้ก็นําคนเขามาถือ ศาสนาได. บางท านอาจจะยั งไม เข าใจ นี้ เป นการกล าวด วยภาษาจิ ตวิ ทยา ว าบรรดา สัตวที่มีชีวิตนั้น ยังมีสัญชาตญาณแหงการเอาอยาง เหลืออยูดวยกันทั้งนั้น นั บ ตั้ ง แต สั ต ว เดรั จ ฉานขึ้ น มาที เดี ย ว จนมาถึ ง คน, เห็ น อะไรแล ว ชอบเอาอย า ง, และเพราะเอาอย า งนี่ แ หละ มั น จึ ง ทํ า ให ทํ า อะไรเป น เหมื อ นกั บ ลู ก สั ต ว ตั ว เล็ ก ๆ เพิ่ งเกิ ด มาจากท องแม มั น ก็ เห็ น แม ทํ าอย างไร มั น ก็ ทํ าอย างนั้ น , จนกระทั่ งมั น ทํ า ได เหมื อนแม จะเดิ น จะวิ่ ง จะทุ ก ๆ อย าง มั นเป นสั ญ ชาตญาณแห งการเอาอย าง. นี่ ค นเราก็ เหมื อ นกั น พอเห็ น อะไรเป น ตั ว อย า ง ถ า เป น ที่ น า สนใจด ว ยแล ว ก็ ยิ่ ง อยากจะเอาอย าง. การถื อพระรัตนตรัย โดยสั ญ ชาตญาณแห งการเอาอย าง นี้ ก็ ยั ง ไมพ อ ยัง จัด ไวใ นพวกที ่จ ะตอ งปรับ ปรุง แกไ ขดว ยเหมือ นกัน . นี ้ร วมความวา พวกที่ ไม รู จั ก พระรั ต นตรั ย อย างถู ก ต อ งมาก อ น นั้ น ก็ มี ก ข ก กา โดยเฉพาะของ พวกเขา อีกประเภทหนึ่งแบบหนึ่ง วิธีหนึ่งทีเดียว.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทีนี้สูงขึ้นมา ก็ม าถึงพวกที่วารูจักพระรัต นตรัย เพราะมีก ารศึก ษา มี การชี้ แจง นั บตั้ งแต ว า มี การตั้ งใจที่ จะศึ กษาหรื อชี้ แจงกั น จนกระทั่ งรู ตามลํ าดั บ กลายเป น พวกที่ เริ่ ม ลื ม ตา รู จั ก พระรั ต นตรั ย . เขาก็ จ ะมี ค วามรู สึ ก ชนิ ด หนึ่ ง เกิ ด ขึ้น ที ่เรีย กวา มีเ หตุผ ลในตัว มัน เอง โดยไมต อ งเชื ่อ ตามผู อื ่น วา นี ่เปน สิ ่ง ที ่เอา
๓๖๘
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
เปน ที ่พึ ่ง ไดแ น วา นี ่เ ปน สิ ่ง ที ่จ ะเปน ที ่พึ ่ง ที ่แ ทจ ริง . คนเหลา นี ้จ ะเรีย กวา เปน ผู เริ่ ม ก ข ก กา ชั ้น ที ่น า ดูน า เลื ่อ มใส ; เริ่ม มีค วามเชื ่อ ลงไปวา นี ้เปน ที ่พึ ่ง อัน แท จริ ง ไม มี ที่ พึ่ ง อื่ น แม ว า จะเอาได ไม ห มด ก็ รู แ น ว า นี้ เป น ที่ พึ่ ง ได แ ท จ ริ ง . ฉะนั้ น กิ ริย าอาการที่ เรี ย กว า ก อ นนี้ เคยรับ ถื อ มาอย า งพิ ธี รี ต อง ก็ เปลี่ ย นเป น อาการที่ เรีย กวา ไดถ ึง พระรัต นตรัย ในระยะเริ่ม แรก ; แตก ็เ ปน การถึง โดยแทจ ริง . เขาต องการจะลงรากตั วเองให แน นแฟ น, เขาก็ ทํ ายิ่ งขึ้ นไปตามลํ าดั บ หลั งจากที่ มอง เห็ น ว า นี้ เป น ที่ พึ่ ง ได จ ริ ง ก็ พ ยายามทํ า ให แ น น แฟ น มั น จะลงรากตั ว เองให แ น น แฟนลงไปในพระรัตนตรัยหรือพระพุทธศาสนา นี้เรียกวาเปนพวกที่ถึง. ทีนี้เ มื่อ ถึง แลว ก็ม ีก ารปฏิบัติต อ ไป จนใหถึง ถึง ที่สุด . อาตมา อยากจะพู ด ลงไปเลย ใครจะเชื่ อ ก็ ไ ด ไ ม เชื่ อ ก็ ไ ด แล ว คนส ว นใหญ ก็ ค งจะไม เชื่ อ คือจะพูดวา ผูที่ถึงพระรัตนตรัย โดยแทจริงนั้น จะตองนับตั้งแตพระโสดา บั น ขึ้ น ไป, นอกนั้ น เป น เพี ย งการถื อ ถื อ ด ว ยศรั ท ธา ยั ง ไม เรี ย กว า ถึ ง พระ – รัตนตรัยโดยแทจริง ; ถาจริงก็จริงในการถือ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถา ถึง พระรัต นตรัย จริง ๆ แลว ตอ งนับ ตั ้ง แตพ ระโสดาบัน ผู มี ดวงตาเห็ น ธรรมเป น ครั้ ง แรก, เห็ น ธรรมจึ ง จะเห็ น พระพุ ท ธเจ า เห็ น พระตถาคต เห็ น พระธรรม เห็ น พระสงฆ จึ ง จะสามารถถึ ง ได จ ริ ง เป น ครั้ ง แรก ก็ เ ลยจั ด เอา พระโสดาบั น นี้ เป น การตั้ งต น ก ข ก กา ในฝ ายโลกุ ต ตระ. แล วท านก็ ต อ งปฏิ บั ติ เรื่อ ยไป จนเป น สกิ ท าคามี อนาคามี และเป น พระอรหั น ต ในที่ สุ ด ก็ เรีย กว า เสร็จ การปฏิบ ัต ิ จบกิจ พรหมจรรย คือ เปน พระรัต นตรัย เสีย เอง ; อยา งที ่ไ ดก ลา ว มาแล ว ว า พระอรหั น ต นั้ น ท า นเป น พระรัต นตรัย เสี ย เอง มั น จึ ง หมดเรื่อ งกั น หมด ป ญ หากั น . ที่ ว า จะถื อ พระรั ต นตรั ย ไปทํ า ไมกั น อี ก ก็ ไ ม มี และต อ งถึ ง อี ก ก็ ไ ม มี
ก ข ก กา เกี่ยวกับการถึงพระรัตนตรัย
๓๖๙
เพราะว า เป น เสี ย เองแล ว . ถ า ยั ง ต่ํ า กว า นี้ ก็ จ ะต อ งพยายามถึ ง ให ยิ่ ง ขึ้ น ไป ถ า ยั ง ต่ํ า ลงไปอี ก ก็ พ ยายามถื อ ขึ้ น ไว เป น การตั้ ง ต น . จงดู เถอะว า ก ข ก กา ในการ ถึงพระรัตนตรัยนั้น มันจะอยูเปนชั้น ๆ อยางไร สักกี่ชั้นอยางนี้. ที นี้ มองดู อี กที หนึ่ ง เป นการย อนดู หลั งว า อาการที่ ถึ งนั้ น มั นมี ลั กษณะ ตา งกัน อยา งไร ? บุถ ุช นที ่เ ปน คนพาล ไมม ีก ารถือ ; เมื ่อ ไมม ีก ารถือ ก็ไ ม ตอ งพูด ถึง การถึง . ถา บุถ ุช นคนพาล อัน ธพาล ทํ า พิธ ีร ับ สรณาคมน มัน ก็ต อ ง มี ค วามหมายเป น อย า งอื่ น ; เช น ถู ก บั ง คั บ มิ ฉ ะนั้ น เขาจะฆ า เสี ย , หรื อ ว า เขาจะ ทํ าตบตาคนอื่ น หลอกลวงคนอื่ น เพื่ อความทุ จริ ต, เขาก็ ทํ าตั วเป นผู รั บถื อสรณาคมน อยา งนั ้น อยา งนี ้. นี ่ก ารถือ สรณาคมนข องบุถ ุช นอัน ธพาลนั ้น จะมีไ ดแ ตเ พีย ง เทานั้น ; เราจะไมเรียกวาถือโดยแทจริง, แลวก็ไมตองเรียกวาถึงดวย. นี้ ถ า เป น บุ ถุ ช นธรรมดาไม ใช ค นพาล แต ยั ง ไม รู อ ะไร ก็ ต อ งทํ า ตาม ธรรมเนี ย ม. พอลู ก เด็ ก ๆ โตขึ้ น พ อ แม ก็ พ ามาวั ด เขาต อ งรั บ ศี ล ก็ ต อ งว า สรณาคมน ก็ ต อ งถึ งสรณาคมน ต ามธรรมเนี ย ม อย างนี้ เป น ต น , หรื อ ว าเขาอยาก จะให ดี ก ว า เด็ ก คนอื่ น , เขาก็ อ ยากจะถื อ เขาก็ ร บเร า ขอถื อ อย า งนี้ ก็ มี . นี่ บุ ถุ ช น ธรรมดาสามัญ ก็รับถือสรณาคมน ตามธรรมเนียมดวยศรัทธาตามธรรมเนียม.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ ถ า เป น บุ ถุ ช นชั้ น ดี เรี ย กว า กั ล ยาณบุ ถุ ช น นี้ มั น เกื อ บจะเป น พระ อริย เจา แลว ; แตย ัง ไมเ ปน พระอริย เจา . นี ้ก ็เ พราะวา มัน เริ ่ม มีแ สงสวา งสอ ง มี ธ รรมะอุ ทั ย คื อ เห็ น ราง ๆ ในความประเสริ ฐ ของพระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ . เขาก็ เขยิ บ ตั วมาทางฝ ายนี้ ม ากขึ้ น มี ศ รัท ธา ลงรากมากขึ้ น , ถึ ง ขนาด ที ่จ ะไมห วั ่น ไหว ก็เ ปน บุถ ุช นชั ้น ดีม ีอ ุท ัย ยัง ไมส วา งแจม จา . แตม ัน มีก ารอุท ัย
๓๗๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ทอแสงขึ ้น มาในจิต ใจของเขา. อาการที ่ถ ึง พระรัต นตรัย นั ้น มัน ก็ม ีอ ีก แบบหนึ ่ง นี่ใน ๓ บุถุชน ก็มีอาการตางกันอยางนี้. ที นี้ ในฝ า ยพระอริ ย สาวก หรื อ พระอริ ย เจ า ก็ แ บ ง เป น ๒ พวกคื อ ; พระเสขะ คือ พวกที ่ย ัง ไมบ รรลุพ ระอรหัน ต ก็ถ ึง ถึง จริง ๆ คือ เริ ่ม ถึง แลว ก็ถ ึง จริง ๆ ยิ ่ง ขึ ้น ไป ๆ. นี ้ม ัน เปน ไปดว ยการเปลี ่ย นแปลงแหง จิต ใจ ที ่ล ะกิเ ลส หรื อ สั ง โยชน ไ ด . คํ า อธิ บ ายเรื่ อ งนี้ มี ล ะเอี ย ดแล ว ในเรื่ อ งนั้ น ๆ ว า ละสั ง โยชน อะไรได , แล ว ก็ เป น พระอริ ย เจ า ชั้ น ไหนจนกระทั่ ง ละกิ เลสสั ง โยชน ไ ด ห มด ก็ เป น พระอรหัน ต ; นี ้เ ปน พระอเสขะ, ไมต อ งมีก ารปฏิบ ัต ิอ ีก ตอ ไป มัน ก็เ ปน ถึง ที่สุดแหงการถึง อยางที่เรียกวาเปนเสียเอง ดังที่กลาวแลว. ดู ที่ กิริยาอาการแห งการถื อ และการถึ ง มั นก็ ต างกั น อย างนี้ ; ฉะนั้ น ในการต า งกั น แต ล ะชั้ น ๆ นั้ น มั น มี จุ ด ตั้ งต น เพื่ อ ขึ้ น ชั้ น ใหม ถื อ ว า เป น ก ข ก กา แห งการถึ งพระรัตนตรัยเป นลํ าดั บมา อย างนี้ . เพราะว าเราไม สามารถจะชี้ ลงไปได เด็ ดขาด ว าตรงไหนเป น ก ข ก กา โดยเด็ ดขาด, มั น จะเปลี่ ยนเรื่ อ ยไปตามลํ าดั บ ของความเจริญกาวหนา แหงจิตใจ ตามชั้นนั้น ๆ.
www.buddhadasa.in.th ความแตกตางระหวางการถือกับการถึง. www.buddhadasa.org ที นี้ จ ะดู ให ล ะเอี ย ดออกไปอี ก สั ก หน อ ย ความแตกต า งระหว า งการถื อ กับ การถึง มัน ก็น า สนใจ การถือ ของบุถ ุช นนั ้น ก็ม ีว า ถา เปน บุถ ุช นชั ้น เลว หรือ ชั้ น ธรรมดานี้ มาถื อ พระรั ต นตรั ย ด ว ยเหตุ ป จ จั ย ภายนอกผลั ก ไสเข า มา
ก ข ก กา เกี่ยวกับการถึงพระรัตนตรัย
๓๗๑
เชน การคบสัต บุร ุษ เปน ตน คือ คบคนดี แลว เขาชวน เขาแนะนํ า เขาชัก ชวน. นี้ เรี ย กว าเป น เหตุ ป จจั ย ภายนอก คื อ การกระตุ น หรื อ การชั กชวนอะไร กระทั่ งการ บัง คับ หรือ เข็น ไป ของบุค คลหรือ สิ ่ง แวดลอ ม ; นี ้เ รีย กวา ปจ จัย ภายนอก. ถา เป นบุ ถุ ชนชั้ นธรรมดาสามั ญ ก็ มี ป จจั ยภายนอกอย างต่ํ า ๆ คบบุ คคลไม ถึ งชั้ นสั ตบุ รุษ ก็ ยั งได , ทํ าให มี การทํ าพิ ธี ประกาศตั วถึ งพระรั ตนตรั ย ก็ เป น ก ข ก กา ของบุ ถุ ชน ชั้นนี้ไป. ที นี้ ก็ ม าถึ ง กั ล ยาณบุ ถุ ช น คื อ บุ ถุ ช นชั้ น ดี นี้ เราต อ งยอมรั บ ว า มั น เริ่ม เปลี ่ย นเปน ปจ จัย ภายในถา เปน บุถ ุช นชั ้น ดี จะตอ งเริ ่ม เปลี ่ย นเปน ปจ จัย ภายใน ; ไมใ ชก ารบัง คับ ผลัก ไส หรือ หลอกลอ ของคนภายนอก ของปจ จัย ภายนอก. เขาเริ่ มมี ป จจั ยภายใน คื อมี ความเข าใจแจ มแจ งถึ งขนาด ที่ จะเป นธรรมะ อุ ทั ย อย างที่ ว ามาแล ว คื อธรรมะเริ่ มไขแสงขึ้ นมาราง ๆ ในจิ ตใจของเขา เป นป จจั ย ภายในใหเ ขาถือ พระรัต นตรัย ในระดับ ใหม. นี ้เ ขาก็ทํ า ใหม ากในสัม มาทิฏ ฐินี้ คื อ ธรรมะอุ ทั ย ในชั้ น ที่ มั น ยั ง ไม รุ ง เรื อ งนี้ ทํ า ให มั น รุ ง เรื อ งขึ้ น พยายามในการที่ จะเห็นธรรม หรือเห็นแสงสวางนั้น ใหมากยิ่งขึ้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org การกระทํ าอย างนี้ มั นก็ เป นการเรี ยน ก ข ก กา ของกั ลยาณบุ ถุ ชน มั น ไมม ีท างที ่จ ะเปน อัน เดีย วกัน ได กับ บุถ ุช นชั ้น ธรรมดาหรือ ชั ้น ต่ํ า . แตพ อเขา เลื่ อ นชั้ น ที ห นึ่ ง เขาต อ งมาตั้ งต น ใหม ที ห นึ่ ง มี บ ทเรีย นประเภท ก ข ก กา ให อี ก ที ห นึ่ ง มั น ต อ กั น ไม ติ ด มั น ต อ งเรี ย ก ก ข ก กา เสมอไป, เพราะอั น หนึ่ ง ทํ า ด ว ย ป จจั ยภายนอก, อั นหนึ่ งทํ าด วยป จจั ยภายใน, อั นหนึ่ งทํ าด วยความงมงาย อั นหนึ่ ง ทําดวยสติปญญา อยางนี้.
๓๗๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ทีนี้ กัลยาณบุถุชน กาวหนาไปเรื่อย ๆ ไป ก็จะเขาเขตของพระ อริย เจา . ถา เปน ชั ้น เสขบุค คล พระโสดาบัน กระทั ่ง พระอนาคามีอ ยา งนี ้ ก็ยิ ่ง มี จิ ต ใจภายในนั้ น มากขึ้ น , มี กํ า ลั ง แรงขึ้ น มี ก ารเห็ น ธรรมในภายใน เลื่ อ นชั้ น ไป ตามลํ า ดับ ก็เ ปน ก ข ก กา ของทา นแตล ะชั ้น . แมว า เรื ่อ งที ่ท า นเรีย นนั ้น มั น จะเป น เรื่ อ งเดี ย วกั น , แต มั น ต อ งตั้ ง ต น ที่ จุ ด ใหม เมื่ อ จะละกิ เลส หรื อ สั ง โยชน อั น อื่ น ต อ ไป. อย า งนี้ อ ยากจะเรี ย กว า ลงมื อ เรี ย นใหม เป น ก ข ก กา ทั้ ง นั้ น ; มั น จะได ง า ยดี พู ด ก็ ง า ย ฟ งก็ ง า ย เข า ใจก็ ง า ย, แล ว มั น ก็ ไม ค อ ยรู สึ ก เหนื่ อ ย โดย ทําใหมันเปนชั้น ๆ ไปทีละชั้นทีละชั้นอยางนี้. ที นี้ เ มื่ อ พระเสขบุ ค คลเหล า นั้ น ได ก า วหน า ไปตามลํ า ดั บ ในที่ สุ ด ก็ ถึ ง ขั ้ น สุ ด ท า ย ที ่ เ รี ย กว า พระอรหั น ต หรื อ อเสขบุ ค คล นี ้ ชั ้ น เดี ย วเท า นั ้ น ที ่อ ยากจะยอมรับ วา มัน เปน การพน , พน จากความเปน ก ข ก กา. ถา เปน พระอรหั น ต แ ล ว ก็ เ ป น ผู รู ห นั ง สื อ ไม ใ ช เ รี ย น ก ข ก กา แล ว ก็ พ น จากป จ จั ย ทั้ ง ภายนอกและภายใน, คื อ อยู เหนื อ การกระตุ น ของป จ จั ย ทั้ ง ที่ เป น ป จ จั ย ภานอก และป จ จั ย ภายใน เรี ย กว า พ น จากเหตุ ป จ จั ย ที่ จ ะกระตุ น ; ก็ แ ปลว า ก ข ก กา นี้ มี ทุ กตอน ที่ คนเราจะเลื่ อนชั้ นไปตามลํ าดั บ ให ทํ าเหมื อนกั บ ว าเราเรี ยน ก ข ก กา ทุกตอน ไมอยางนั้นจะไมสมบูรณ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทีนี้ ก็ม าถึงขั้น สุด ท าย ก็พ น จากความเป น ก ข ก กา ก็ เรีย กวาเป น ผู จ บการเรีย น ; ทางศาสนาก็เรีย กวา เปน ผู อ ยู จ บพรหมจรรย, หรือ ประพฤติ จบพรหมจรรย สิ่ งที่ จ ะต อ งทํ า เพื่ อ ถึ งที่ สุ ด นั้ น มิ ได มี เหลื อ อยู อี ก ต อ ไป. นี้ ก็ เรี ย กว า ผู จ บพรหมจรรย , จบการเรี ย น จบการศึ ก ษา พ น เหตุ พ น ป จ จั ย ก็ คื อ พ น ทุ ก ข โดยประการทั้งปวง.
ก ข ก กา เกี่ยวกับการถึงพระรัตนตรัย
๓๗๓
นี่ แหละคื อสิ่ งที่ อาตมาเรี ยกว า ก ข ก กา, แล วมั น ก็ เป น ก ข ก กา ของ ก ข ก กา กันเรื่อยไป จนกวาจะถึงที่สุด. ใครจะมองเปนไมใช ก ข ก กา ก็ไ ด ถา เขามีว ิธ ีทํ า อยา งอื ่น . แตเ ดี ๋ย วนี ้รูส ึก วา มัน ตอ งตั ้ง ตน กัน อยา งนี ้ไ ป, และโดยเฉพาะอย างยิ่ ง ชั้ นต นที่ สุ ดนี้ ก็ กํ าลั งเฝ อ จึงได หยิ บเอาคํ านี้ ขึ้นมาใช เพื่ อ เข าใจง าย, แล วก็ เพื่ อละอาย ว ามั นไม เลื่ อนชั้ นกั นเสี ยเลย, แล ว ก ข ก กา ก็ ไปจบ ลงในที่สุด คือไมใช ก ข ก กา มันสลับซับซอนกันอยางไร ก็พิจารณาดูเอง. แต ถึ ง อย า งไรก็ ดี การเรี ย กร อ งเช น นี้ คนอื่ น อาจจะเรี ย กร อ งเป น อย างอื่ น ก็ ได . สํ าหรั บ อาตมานั้ น อยากจะแบ งเป น ชั้ น ๆ ให เห็ น ง าย ให เข าใจง าย แลว ตั ้ง ตน งา ย ; ใหม ีก ารตั ้ง ตน ที ่ด ี ที ่ส ุด ความสามารถ สุด ฝไ มล ายมือ ทุก ชั ้น ทุก ตอนไป, จากความเปน บุถุช นชั้น ธรรมดา มาเปน กัล ยาณบุถุช น, แลว มาเปนพระเสขบุคคล, แลวก็จบลงดวยความเปนพระอเสขะ มันก็จบ. วั น นี้ ที่ บ านนี้ เมื อ งนี้ เขาเรี ย กว าวั น จบป คื อ วั น สิ้ น เดื อ นสี่ นี่ เขาเรี ย ก ว า วั น จบป ก็ อ ยากจะให นึ ก ถึ ง คํ า นี้ กั น บ า ง; มั น จบอย า งไม รู จ บ ป ห น า มั น ก็ มี วั น อย างนี้ อี ก มั นมี วันจบป อี ก เรียกวามั นจบอย างไม รูจบ, แล วมั นจบอย างน าสงสาร. มั น ก็ ดี สํ าหรับ คนที่ ชอบไม รูจั ก จบ หรื อ ว าจะต องทํ ากั น เรื่อ ยไป, เกื อ บจะงมงายไป ที เ ดี ย ว. ถ า จะทํ า ให รู จ ั ก จบ จบป จ บเดื อ นกั น เสี ย บ า ง ; เราต อ งรี บ เรี ย น ก ข ก กา อยางนี้แหละ ใหมันเร็วเขา แลวใหมันจบ ก ข ก กา กันเสียที.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เดี๋ ย วนี้ มั น เหมื อ นกั บ ว า ถื อ อย า งงมงาย วั น จบป จ บเดื อ น มั น ก็ ต อ ง ทํ า อย า งนั้ น อย า งนี้ มั น สมกั บ เขาถื อ กั น มา เขาทํ า กั น มาแล ว ก็ ไม รู จั ก จบอย า งไร ก็ เลยกลายเป นเรื่องขั้ นต น หรือว าขั้ นลู กเด็ ก ๆ ไปหมด. ถ าอยากให จบเร็ว ๆ ก็ ป นี้
๓๗๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ก็ เลื่ อนชั้ นสั กชั้ นหนึ่ งซิ , แล วป หน าก็ เลื่ อนอี กชั้ นหนึ่ ง, ป โน นก็ เลื่ อนอี กชั้ น คื อ เรี ย น ก ข ก กา ให มั น สํ า เร็ จ . เราเลื่ อ นไปได ป ล ะชั้ น , ป ล ะชั้ น ก็ ยั ง พอจะ เรีย กว า จบในหนึ่ ง ป แต ล ะป , แต ล ะป เรื่อ ยไปจนจบเลย จบชนิ ด ที่ ไม ต อ งเรี ย น อีก ไมตองมีอีกก็ได. นี่ ถ า จะถื อ เอาประโยชน ข องการที่ วั น นี้ เ ป น วั น จบป จบเดื อ น ตาม ธรรม เนีย ม บา น นี ้เ มือ งนี ้น ะ แลว ก็ม าทํ า บุญ กัน เปน พิเ ศ ษ อ ะไรเปน พิเ ศ ษ ขอให เข าใจคํ าว าจบ ให ลึ กซึ้ งยิ่ ง ๆ ขึ้ นไป ยิ่ ง ๆ ขึ้ นไป. อย าให มั น จบแล วจบเล า, จบแลว จบเลา , ชนิด ที ่ไ มม ีอ ะไรยิ ่ง ขึ ้น ไปเสีย เลย. ความที ่จ ะเอาตัว รอดไดนั ้น อยูที่ความไมประมาท; ความไมประมาทนี้หมายถึงความรูดวย คือ ไมหลับหู หลั บ ตา อยู ด ว ย. คนที่ ไ ม รู อยู อ ย า งหลั บ หู ห ลั บ ตา นั่ น แหละก็ เ ป น ผู ป ระมาท อยางยิ่งดวยเหมือนกัน. คํ า ว า ประมาทนั้ น เขาหมายถึ ง อยู ป ราศจากสติ คื อ ไม มี ส ติ , มั น เหมื อ นกั บ หลั บ ไหล. ที นี้ ค นที่ ไ ม รู จั ก จบ ไม รู จั ก อะไรนี้ มั น ก็ คื อ คนหลั บ ไหล ; ฉะนั้ น จึ งเรี ย กว าคนประมาท. ฉะนั้ น ถ าจะให พ น จากความเสี ย หายอั น นี้ หรื อ ความ ถูกตําหนิติเตียนในขอนี้ ก็ตองรูจักความไมประมาท, คือมีสติ ตื่ นอยู ไม หลับไหล, รู ว า เรานี้ จ ะต อ งทํ า อะไร, มั น เป น มาอย า งไร, จะต อ งเป น อย า งไร, แล ว จะไปจบ ลงที่ตรงไหน และดี.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถึงพระรัตนตรัยใหไดจริง ก็จบพรหมจรรย. หวั งว า จะสนใจเรื่ อ งจบการเรี ย น ก ข ก กา กั น เสี ย ให เร็ ว ที่ สุ ด ให สุ ด ความสามารถของตน แม ในหั ว ข อ ที่ เรีย กว า การถึ ง พระรั ต นตรั ย เท า ที่ พู ด มานี้ .
ก ข ก กา เกี่ยวกับการถึงพระรัตนตรัย
๓๗๕
ถ าท านเข าใจ ท านก็ จะมองเห็ นได ว า อาตมาไม ได พู ดเรื่องอื่ นเลย ว าพุ ท ธศาสนา ทั้งหมดนั้น ไมไดมีอะไรนอกจากการถึงพระรัตนตรัยใหได. พู ด อย า งนี้ เขาก็ ไม เชื่ อ เสี ย แล ว บางคนก็ ห าว า พู ด แหวกแนวบ า ง, พู ด เลน ลิ้นโวหารอะไรบาง, พูด วา ไมตอ งทําอะไร ถึงพระรัต นตรัย ไดอ ยางเดีย ว เทา นั ้น , มัน ก็จ บพรหมจรรยใ นพระพุท ธศาสนา. นี ้ก ็เ พราะวา คนเหลา นั ้น เขาเอาเรื ่อ งสรณ าคมนนี ้ ไวใ หเ ปน เรื ่อ งสํ า หรับ ลูก เด็ก ๆ เล็ก ๆ , แลว ก็ ป ฏิ บ ั ต ิ ศี ล ท าน ส ม าธิ อะไรเรื ่ อ ย ๆ ไป ไม รู กี ่ ชั ้ น กี ่ ร ะดั บ แล ว จึ ง จบ , จบศาสนา. เดี๋ย วนี ้อ าตมา มาบอกวา ไมต อ งทํ า อะไร, ถึง พระรัต นตรัย ใหไ ด ใหจ ริง ใหถ ึงที ่ส ุด เทา นั ้น ก็จ บพระพุท ธศาสนา ; ก็ไปคิด ดูเอาเอง วาผูที่จ ะ เห็ น ธรรมะอย า งพระพุ ท ธเจ า คื อ เห็ น ปฏิ จ จสมุ ป บาทนั้ น จะต อ งทํ า อย า งไรบ า ง, มั น จึ ง จะถึ ง ได จ ริ ง แล ว ก็ จ บพรหมจรรย จ ริ ง เหมื อ นกั น . บางคนก็ ไ ม ย อมให พู ด อย างนี้ ว าไม ต องทํ าอะไร นอกจากถึ งพระรั ตนตรั ยให ได เท านั้ น ก็ จบกิ จพรหมจรรย ในพุทธศาสนา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org หลายคนที่ นั่ งอยู ที่ นี่ ก็ อ าจจะคิ ด อย า งนั้ น ก็ ได คื อ ไม เชื่ อ , หรื อ คิ ด ว า อาตมาพู ด เล น โวหาร มั น ก็ จ ริ ง เหมื อ นกั น แหละ ที่ จ ะพู ด เล น โวหาร ; แต มั น เป น โวหารที่ จ ริงที่ สุ ด , แล วเป น โวหารที่ เป น ประโยชน ที่ สุ ด คื อ อย าให มั น มากเรื่อ งมาก ราวจนเวีย นหัว มีแตเรื่อ งเดีย ววา ถึงพระรัต นตรัย กัน ใหไดใหจ ริง ใหถึงที่ส ุด แล ว ก็ จ บพรหมจรรย . เดี๋ ย วนี้ มั น มี แ ต ถื อ ๆ ไว ตามธรรมเนี ย ม ตามประเพณี ตามพิธ ี ; เหมือ นกับ ลิง มัน ถือ ดวงแกว ไว มัน จะมีป ระโยชนอ ะไรบา ง. ถา ลิง มัน
๓๗๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ถือ ดวงแกว ไวนั ้น มัน คงมีป ระโยชนน อ ยมาก. ฉะนั ้น จะตอ งทํ า ใหใ ชป ระโยชน ให ไ ด ถึ ง ที่ สุ ด ในเมื่ อ เรามี ก ารถื อ พระรั ต นตรั ย ; รั ต นะก็ แ ปลว า แก ว อยู แ ล ว , รั ต นตรั ย ก็ แ ปลว า แก ว ๓ ดวงอยู แ ล ว ; ลิ ง ตั ว นี้ มี โ อกาสดี ม าก ได ถื อ แก ว ตั้ ง ๓ ดวง, แตมันก็จะเปนสักวาถืออยางลิงถือแกว มันไมถึงซึ่งประโยชนของแกวนั้นเลย.
เมื่อมีความสะอาด สวาง สงบ แลวชื่อวาถึงรัตนตรัย. เพื่ อ ให เรื่ อ งมั น น อ ยเข า ให มั น ลํ า บากน อ ยเข า ก็ ค วรจะคิ ด อย า งนี้ , พยายามให ถือกัน ให ดี, แลวก็เปลี่ยนเปนถึง แลวถึงไปตามลําดับ, แลวก็ถึงที่สุด ดวยการทําทุกอยางนี้ ; กาย วาจา ใจนี้ ใหเปนเหมือนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ คือ มีค วามสะอาด มีค วามสวา ง มีค วามสงบนี ้ยิ ่ง ขึ ้น ไป ยิ ่ง ขึ ้น ไป ๆ ไมมีอะไรมากกวานั้น. ถ าว าจะปฏิ บั ติ เพื่ อความสะอาด สว าง สงบ มั นก็ มี จุ ดอยู ที่ จุ ด ๆ เดี ยวอี ก เหมื อ นกั น ว าความยึ ด มั่ น ถื อมั่ น เป น ตั วเป น ตนเป น ของ ๆ ตนนี้ ทํ าให เห็ น แก ตั ว. ครั้ น เห็ น แก ตั ว แล ว ก็ เกิ ด ความโลภ ความโกรธ ความหลง, จะจาระไนออกเป น รายอยา ง วา มีกี ่อ ยา ง มัน นับ ไมไ หว มัน มากเกิน ไป. สรุป เปน สิ ่ง ๆ เดีย ววา มัน มีค วามยึด มั ่น ถือ มั ่น แลว ก็เ ห็น แกต ัว กู เห็น แกข องกู; ถา มีต ัว กูม ีข องกู พระรัต นตรัย ก็ไ มม ีที ่อ ยู ; เพราะวา ตัว กู - ของกูใ นที ่นี ้ หมายถึง ยึด มั ่น ถือ มั ่น ดวยอุปาทาน ดวยกิเลสที่เรียกวาอุปาทาน โดยความเปนตัวกูเปนของกู.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
ก ข ก กา เกี่ยวกับการถึงพระรัตนตรัย
๓๗๗
เมื ่อ เอาอัน นี ้ รา งกายนี ้ ทรัพ ยส มบัต ินี ้ เปน ตัว กูเ ปน ของกูแ ลว พระรัตนตรัยก็ เข ามาไม ได , คื อเข ามาเป นของบุ คคลคนนั้ นไม ได เพราะบุ คคลผู นั้ น ไปเอาที่ สิ่ ง ภายนอกนั้ น เป น ตั ว กู - ของกู เสี ย จนเต็ ม เนื้ อ ที่ ที่ จิ ต ใจมั น จะยึ ด ถื อ ได . ฉะนั้ น ต อ งยอมเฉย หรื อ ว า ปล อ ยวาง สิ่ ง เหล า นั้ น กั น บ า ง แล ว ก็ ม าดู ที่ ค วาม สะอาด สวาง สงบ ของจิตใจ ซึ่งมันเปนความหมายของคําวา พระรัตนตรัย. อาตมาพยายามอธิ บ ายให เจ านาค หรื อ ให ใครทั่ ว ๆ ไปนี้ เข าใจพระ รัตนตรัยไดงาย ๆ ดวยคําวา สะอาด สวาง สงบ สามคํานั้น ; เพราะเปนคําที่ เขารูจั กดี ถ าทํ าผิ ด ทํ าชั่ ว ทางกาย ทางวาจา ทางใจ ก็ ว าไม สะอาดแล ว ก็ สะดุ ง ก็ร ีบ ละเสีย . นี ้ถ า เขาไมรู จนถึง กับ ไปทํ า ผิด อยา งนั ้น มัน ก็ส ะดุ ง ก็รู เ สีย ก็ร ีบ รูเสีย, รูหลักสําคัญที่วา ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดแลวก็เปนทุกขเพราะสิ่งนั้น. สํ า หรั บ ความสงบนั้ น มั น พอจะคลํ า เองได ด ว ยกั น ทุ ก คน ; มั น ร อ น มันเป นทุ กข ก็เกลียดก็กลัว ก็อยากจะหลบหนีกันอยูแลว, ก็พอจะขยับขยายได ด ว ยการคาดคะเน ด ว ยการเดาก็ ได . เพราะว า แม แ ต สุ นั ข มั น ก็ ยั ง รู ว า นอนตรงนี้ ไม ส บาย ก็ เขยิ บ ไปนอนตรงโน น , ไม ส บายอี ก ก็ เลื่ อ นไปตรงโน น อี ก , ไม ส บายอี ก ก็ เลื่ อ น เดี๋ ย วก็ พ บที่ น อนสบาย. นี้ ม นุ ษ ย ก็ เหมื อ นกั น เมื่ อ วางจิ ต ใจไว ในลั ก ษณะ อย า งนี้ มั น ร อ นมั น ไม เ ป น สุ ข ก็ ล องเปลี่ ย นไปวางไว อ ย า งอื่ น ในรู ป อื่ น ก็ ว าง เรื่อย ๆ ไป เปลี่ยนเรื่อย ๆ ไป. เดี๋ ยวมั นก็พบจุดที่ มันพอจะทนได อยูด วยความสงบ นี ้เรีย กวา ธรรมชาติส อน มัน ดีอ ยา งนี ้ มัน รูจ ริง คนดว ยกัน สอนมัน ยัง ไมรูจ ริง ยังตองใหธรรมชาติในภายในมันสอนอีกทีหนึ่ง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๓๗๘
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ที นี้ เ มื่ อ สะอาด สว า ง สงบ ได มั น ก็ เ รี ย กว า มี พ ระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ มีแ กว ๓ ดวง. สามดวงนี ้จ ะเรีย กเปน พระพุท ธ พระธรรม พระสงฆ ก็ ได ; แต ใจความมั น อยู ที่ ค วามสะอาดสว าง สงบ นั้ น นี้ เป น การถึ งพระรั ต นตรั ย ไม ใ ช เพี ย งแต ถื อ ไว เฉย ๆ. ฉะนั้ น ถ า ท า นผู ใ ดทํ า พิ ธี รั บ สรณาคมน ซ้ํ า แล ว ซ้ํ า เล า อยู เสมอ ๆ แล วรูสึ กว าจิ ตใจมั นยั งไม สงบ หรือว าไม สะอาด ไม สว าง อะไรก็ ตามนี้ ก็แกไปเสียเรื่อย ๆ อยานอนใจ ใหมันคอย ๆ มีความสะอาด สวาง สงบ เกิดขึ้น แลวก็จะไมเสียที. นี่ อ าตมาได บ รรยายในวั น นี้ เป น ครั้ ง ที่ ๑๒ เรื่ อ ง ก ข ก กา สํ า หรั บ พุ ทธบริ ษั ท แล วจะมี อยู อี กครั้ งเดี ยว แล วก็ จะจบเรื่ อ ง ก ข ก กา ของพุ ทธบริ ษั ท , สําหรับวันนี้ก็พูดถึง การถึงพระรัตนตรัย ในฐานะที่วา เมื่อยังไมถึงอยูเพียงใด เราจะตอ งสนใจในฐานะเปน เรื่อ งแรก, เปน จุด ตั้งตน อยูเพีย งนั้น , แลว ก็เลื่อ น จุ ด ตั้ ง ต น ต อ ไป ๆ จนกว า จะถึ ง จุ ด สุ ด ท า ย. มั น ก็ ไ ม ย ากลํ า บาก คื อ ไม เกิ น ความ สามารถ, ไมเ กิน วิส ัย ของบุถ ุช นคนธรรมดา ที ่ห วัง ดีม ีค วามรัก ตัว ซื ่อ ตรงตอ ตัว เอง แลว ก็รัก ตัว เองวา เกิด มาทั ้ง ทีใ หไ ดสิ ่ง ที ่ด ีที ่ส ุด ที ่ม นุษ ยค วรจะได, มันก็จะตองไดเปนแนนอน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ขอยุติการบรรยายในวัน นี้ ไวเพี ยงเท านี้ กอน ใหโอกาสแกพ ระ สงฆทานจะไดสวดพระธรรม ซึ่งเปนเครื่องกระตุนเตือนใจ ในโอกาสตอไป. _______________
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
- ๑๓ ๓๐ มีนาคม ๒๕๑๗
ประมวลเรื่องอันเกี่ยวกับ ก ข ก กา ทั้งปวง. ทานสาธุชน ผูมีความสนใจในธรรม ทั้งหลาย, การบรรยายประจํ าวั นเสาร ภาคมาฆบู ชา ล วงมาถึ งอั นดั บที่ ๑๓ ในวั นนี้ แล ว และเป น อั น ดั บ สุ ด ท า ยของภาคนี้ . การบรรยายทุ ก ครั้ ง ในภาคนี้ ได ก ล า ว ดวยเรื่อง ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนาในแงมุมที่ตาง ๆ กัน เรียกชื่อปลีกยอย ออกไป ตามใจความสํ าคั ญ ของเรื่ องนั้ น ๆ ส วนวั นสุ ดท ายวั นนี้ จะได กล าวโดยหั วข อ ยอ ยวา ประมวลเรื่อ งอันเกี่ยวกับ ก ข ก กา ทั้งปวง. นี้หมายความวา เรื่อ ง ก ข ก กา หลายชนิ ด ที่ ได ก ล า วมาแล ว แต วั น ก อ น ๆ นั้ น วั น นี้ จ ะได ส รุ ป ความ เอามากล า วในที เดี ย วกั น , เพื่ อ เป น การทบทวน และเพื่ อ สะดวกแก ก ารทํ า ความ เขาใจพรอม ๆ กันดวย.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๓๗๙
๓๘๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา (ปรารภและทบทวน.)
สิ่ ง แรกที่ สุ ด ที่ ได ย กขึ้ น มาปรารภเรื่ อ ย ๆ มา ก็ คื อ ข อ ที่ ว า เราพุ ท ธ บริษัท ทั้ง หลาย ไมรูจัก เรื่อ งที่เ ปน ชั้น รากฐานที่สุด ขนาดที่ค วรจะเรีย กวา ก ข ก กา กั นอยู เป นส วนใหญ , หรือจะรูบ าง ก็ ไม ถึ งขนาดที่ จะสํ าเร็จประโยชน ได . นี้มันเปนเพราะวา เราไดทําผิด กัน เรื่อ ย ๆ มา คือไมไดศึก ษาเรื่องที่เปน ราก ฐาน ; แต แ ล ว ก็ สั่ ง สอนกั น อย า งที่ เรี ย กว า ขอไปที หรื อ จะเรี ย กว า อย า งรี บ ด ว น หรือวาไมอยากจะลําบาก เกินกวาที่จําเปน.
ถา จะยกตัว อยา ง ก็เหมือ นอยา งวา เราเรีย นหนัง สือ โดยไมเ รีย น ก ข ก กา ก็ทํ า ได ; เหมือ นคนโบราณเขาเรีย นหนัง สือ ก็ส อนใหอ า นเลย ; เช น เอาหนั งสื อ เรื่อ งลั ก ษณวงศ ม าเป ด ใบแรกก็ ให อ า นเลย, สอนอยู ไม เท าไรก็ อ า น ไดเ หมือ นกัน . คนพวกนี ้ก ็ไ มรู ว า ก ข ก กา นั ้น เปน อยา งไร. หรือ อีก ทางหนึ ่ง เราเรี ย นภาษา, โดยเฉพาะภาษาต า งประเทศ เราก็ เรี ย นรู เ รื่ อ ง เรี ย นแปลให รู เรื ่อ งเทา นั ้น , แลว ก็ย ัง ไมรู ไ วยากรณเ ลย ; เชน นี ้จ ะเรีย กวา รู ภ าษานั ้น ดีไ มไ ด ตอ งเรีย นไวยากรณอ ีก ทีห นึ ่ง เนื ่อ งจากไวยากรณนั ้น มัน เปน เรื ่อ งไมช วนเรีย น มั น น า เบื่ อ คนก็ ไม ค อ ยจะเรีย น, แม มี ให เรีย นก็ เรีย นอย า งเสี ย ไม ได ; การรูภ าษา นั้นจึงไมสมบูรณ เพราะไมไดเรียนไวยากรณ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เดี๋ ย วนี้ พุ ท ธบริ ษั ท เรา ก็ เรี ย นพุ ท ธศาสนากั น ในลั ก ษณะอย า งนั้ น คื อ เรี ยนสอนอ านสวดกั น ไปเลย โดยไม ต องเรี ยน ก ข ก กา หรื อ ว าเรี ย นรู เรื่ อ งอะไร คราว ๆ ไป โดยไมตองรูหลักสําคัญที่เปนชั้นรากฐาน แตละอยาง ๆ ของ ธรรมะนั ้น ๆ. นี ้ค ือ ความจริง ที ่ซ อ นเรน อยู ที ่ทํ า ใหเ รารู ธ รรมะนั ้น อยา งชัด
ประมวลเรื่องอันเกี่ยวกับ ก ข ก กา ทั้งปวง
๓๘๑
แจ ง แต อ าตมาเอามาเรี ย กว า ก ข ก กา ที่ เรายั งไม ได เรี ย น. ที่ เรี ย กว า ก ข ก กา อย างนี้ บางคนก็ ไม เห็ นด วย คื อไม ยอมรั บ ว ามั นเป น ก ข ก กา เพราะมั นเป นของ ยาก ; แต ถ า ว า โดยแท จ ริ ง แล ว เรื่ อ งรากฐานทั้ ง หลาย ที่ ค วรจะเรี ย นก อ นอื่ น นั้ น ตองเรียกวาเรื่องเบื้องตน หรือเรื่อง ก ข ก กา.
เอาละ, เป นอั นว า เรามาปรองดองกั นในข อที่ วา การพู ดว าต องเรี ยน ก ข ก กา กันใหมนี้ ขอใหถือเอาเปนเครื่องกระตุนจิตใจ ใหตั้งหนาตั้งตาเรียน กั นเสี ยใหม , เรี ยนกั นเสี ยใหม ให เป นอย างดี คนที่ ไม รู จั กละอาย ก็ ควรจะละอายกั น เสี ย บ า ง ว า เรี ย นมาถึ ง บั ด นี้ แ ล ว ก็ ยั ง ไม รู เรื่ อ ง ก ข ก กา. การพู ด เช น นี้ ก็ เลยได ผลเพิ่ ม ขึ้น ไปในขอที่ วา จะเป น เครื่อ งกระตุ น เตื อ นใจ ให ค นที่ ขี้ ข ลาดนั้ น กล า หาญกัน บา ง, คนที่ไ มคอ ยละอายนั้น จะไดรูจัก ละอายกัน เสีย บา ง, จะได ขยั น ขั น แข็ ง ในการที่ จ ะเรีย นเรื่ อ งที่ เป น รากฐาน หรื อ เป น เบื้ อ งต น ที่ สุ ด จนควร จะเรียกวา ก ข ก กา ดังที่กลาวแลว.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ก ข ก กา มีทั้งฝายศีลธรรมและปรมัตถ. อาตมาได เคยกล าวมาทุ กครั้ งที่ บรรยาย ว าเรื่ อง ก ข ก กา นั้ น มี ทั้ งฝ าย ปรมัต ถธรรมและฝา ยศีล ธรรม. ฝา ยปรมัต ถธรรม คือ เปน ธรรมะชั ้น จริง คือ ชั้น ที่ไ มส มมติ คือ เปน ธรรมะที่บ อก สอนเรื่อ งไมมีตัว ตน ; สว นศีล ธรรม นั ้น เปน เรื่อ งที ่ส มมติใหเปน บุค คล และมีต ัว ตน, คํ า สอนประเภทที ่ม ีต ัว มีต น เป น หลั ก สํ า หรั บ จะได เป น ที่ ตั้ ง แห ง ความรั ก ความสนใจ ความพยายาม ให แ ก
๓๘๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ตนเอง ; อยา งนี ้ก ็เ รีย กวา เรื ่อ งศีล ธรรม ; สว นเรื ่อ งปรมัต ถธรรมนั ้น พยายาม จะสอนแตในแงที่วา มันไมมีสิ่งที่ควรจะเรียกวาตัวตน.
นี้พระพุทธภาษิต ที่พระพุทธองคไดตรัสไวเอง มี ทั้ง ๒ ประเภท คือ ประเภทศีล ธรรม ก็มีป ระเภทปรมัต ถธรรมก็มี; แมใ นธรรมะชื่อ เดีย วกัน คือ เรื่องบุคคล วามีบุคคลหรือไมมีบุคคล.
ตัวอยาง เชน เมื่อทรงสอนเรื่องศีลธรรม, ก็สอนอยางเชนกับวา เรามี กรรมเปนของเรา เราทํากรรมใดไว เราจะไดรับผลแหงกรรมนั้น, เราทําดีก็ตาม เราทํ า ชั ่ว ก็ต าม เราจะไดร ับ ผลแหง กรรมนั ้น อยา งนี ้ม ัน มีต ัว เรา มัน มีต ัว คน เรีย กวาตรัส สอนอย างศี ล ธรรม, และเป น เรื่อ ง ก ข ก กา ที่ สุด คื อ คล อ ยตาม ความรูสึกสามัญ สํานึกของสัตวทั้งหลาย ที่ไมเคยฟงธรรมะมาแตกอน, ก็รูสึกวา มี ตั ว มี ต น, หรื อ ได ฟ ง ธรรมะที่ เป น คํ า สั่ งสอนแต เรื่อ งที่ มี ตั ว มี ต น เขามี ค วามรูสึ ก ที่ เปนตัวตนอยูตลอดเวลา. ก็ทรงสอนเริ่มตนดวย ก ข ก กา ทํานองนี้ วาเรามี ตนก็ รั ก ตน ก็ ส งวนตนให ด ี ค ื อ ประพฤติ ด ี นั ่ น เอง. แต พ อถึ ง คราวสอน เรื่อ งปรมัต ธรรม ก็ต รัส สอนเรื่อ งอนัต ตา สุญ ญตา โดยเฉพาะ. บุค คลที่ ประกอบอยูดวยขันธทั้ง ๕ นั้น ไมมีสวนใดที่จะเปนตัวเปนตน. ไมมีบุคคลอยางนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ ค นพวกหนึ่ ง ก็ จ ะรู สึ ก ว า เรื่ อ งไม มี ตั ว ไม มี ต นนี้ มั น เป น เรื่ อ งสู ง สุ ด เป น เรื่อ งลึ ก ซึ้ ง ; แต อ าตมาก็ เอามาทํ า เสี ย ให อ ยู ในระดั บ เดี ย วกั น ว า มั น เป น เรื่อ ง ก ข ก กา ว า การที่ เ ราจะเรี ย นเรื่ อ งขั น ธ เรื่ อ งธาตุ เรื่ อ งอายตนะ เรื่ อ งไม มี บุ ค คลนี้ มั น ก็ เป น เรื่ อ ง ก ข ก กา; แต วา มั น เป น เรื่อ ง ก ข ก กา ของเรื่ อ ง ประเภทปรมัตถธรรม คือที่จะเปนตัวพระพุทธศาสนาโดยแทจริงนั่นเอง.
ประมวลเรื่องอันเกี่ยวกับ ก ข ก กา ทั้งปวง
๓๘๓
เมื่ อ เรื่ อ งมี ตั วมี ต น มั น เป น ของพวกคนเหล าอื่ น ไม ใช ข องพุ ท ธศาสนา โดยเฉพาะ เพราะใคร ๆ ก็ ส อนอย างนั้ น . พุ ท ธศาสนาจะแปลกออกไปก็ ส อนเรื่ อ ง ไมมีตัว ตน ; ฉะนั้น การเริ่ม สอนเรื่อ งไมมีตัว ตนนี้ ควรจะถือ วา เปน การ เริ่ม เรียน ก ข ก กา ในพระพุ ท ธศาสนา. ดังนั้นคําสอนเรื่อ งธาตุ เรื่องอาตนะ เรื ่ อ งขั น ธ หรื อ อะไรก็ ต าม ที ่ แ ยกออกไป ไม ใ ห ม ี ต ั ว ตนเหลื อ อยู ที ่ ไ หน นั้นควรจะถือวา เปนก ข ก กา ของพุทธศาสนาโดยแทจริง
แต แล วก็ มี คนเป นอั นมากไม ยอม แล วยั งกล าวหาอาตมาว า ท านพุ ทธ ทาสนี้ ส อนแหวกแนวบ า ๆ บอ ๆ อย า งนี้ เสมอ; อย า งนี้ ก็ ไม โกรธ และก็ ไม ถื อ สา อะไร, ยั งคงมุ งหมายที่ จะพู ดถ อยคํ าที่ กระตุ น เตื อ นใจท านทั้ งหลาย ให ขะมั กเขม น เรี ย น ก ข ก กา ประเภทนี้ กั น เสี ย ที ; เพราะมั น อยู ที่ ต รงนี้ แ หละ ที่ พุ ท ธบริ ษั ท ยัง ทํ า เสีย ชื ่อ ขายหนา ไมส มกับ ที ่เ ปน พุท ธบริษ ัท ก็อ ยู ที ่ต รงนี ้. พุท ธบริษ ัท ก็ แ ป ลว า ผู รู ต าม พ ระพุ ท ธเจ า ; ฉะนั ้ น ค วรจะรู เ รื ่ อ งไม ม ี ต ั ว ไม ม ี ต น . ส ว นเรื่ อ งของฆราวาสนั้ น ก็ ส อนไป ในฐานะที่ ว า มั น เป น เรื่ อ งทั่ ว ไปของคนซึ่ ง ยั ง ไมมีอะไรแปลก ยังไมมีอะไรพิเศษออกไป จากคนธรรมดา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
นี้ ส รุ ป ความว า เรื่ อ ง ก ข ก กา นั้ น ต อ งแบ ง ออกเป น ๒ ฝ า ย ๒ ประเภท ๒ ระดั บ แล ว แต จ ะเรี ย ก คื อ ฝ า ยปรมั ต ถธรรม นี้ เป น เรื่ อ งจริ ง พู ด เรื่ อ ง ความไม มี ตั ว ตน, และฝ า ยศี ล ธรรม นี้ เป น เรื่อ งสมมติ ว า ให มี ตั ว ตน และก็ พู ด ไป ตามสมควรแกความรูสึกของบุคคลที่ยังไมรูสมมติ แลวก็หลงวามีตัวมีตน.
๓๘๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ทั้งฝายปรมัตถ, ศีลธรรม ตองรูถูกตองไปแตตน.
เราไมรูเรื่องขันธ ๕ กันอยางถูกตอง นี้ก็หมายความวา เราพยายาม จะสอน จะเรี ย นเรื่ อ งขั น ธ ๕ ด ว ยกั น ตลอดเวลา; แต ไ ม มี ค วามรู อ ย า งถู ก ต อ ง. เชนรูกันไปในทางที่วา เรามีขันธ ๕ ครบทั้ง ๕ ตลอดเวลา อยางนี้ มันก็เปน เรื่องที่ผิดจากความจริง ยิ่งกวาที่จะผิด.
ที นี้ บ างคนไปไกลยิ่ ง กว า นั้ น คื อ ว า แม น อนหลั บ อยู เราก็ มี ขั น ธ ค รบ ทั้ ง ๕. นี้ ก็ ยิ่ งผิ ดมากไปเกิ นกว าที่ จะเรียกว าผิ ด ; เพราะวา เรื่ อ งขั น ธ ๕ นั้ น มั น จะมี พ รอ มกั น ไม ได , มั นจะมี ม าตามลํ าดั บแล ว ถึงกับ วา อัน หนึ่ งต องดั บ ไปกอ น อัน หนึ ่ง จึง จะมี ก็ม ี. เรามีเ วทนาแลว เวทนานั ้น ถูก ยึด ถือ เปน สัญ ญาหรือ ถูก ปรุ ง แต ง เป น สั ง ขาร คื อ ความคิ ด ความรู สึ ก ประเภทเวทนาขั น ธ ต อ งระงั บ ไปก อ น มั นจึ งจะมี ความรูสึ กประเภทสั ญ ญาขันธ หรือสั งขารขันธ เกิ ดขึ้นในใจแทนที่ อยู ได ; เพราะว ามั นไม สามารถจะรู สึ กพร อมกั นหลายอย าง ในบรรดาสิ่ งที่ มั นมี หน าที่ หรื อ กิจ การงานตา งกัน . เราตอ งเรีย นเรื ่อ งขัน ธ ๕ กัน เสีย ใหม ในฐานะเปน เรื ่อ ง ก ข ก กา ของฝายปรมัตถธรรม.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ท านทั้ งหลายจะเรี ยกอย างไรก็ ตามใจ แต อาตมาจะขอเรี ยกว า ก ข ก กา เพราะว ามั น เป น สิ่ งแรกที่ เขาให เรี ยน, เมื่ อ เราไปอยู วั ด เป น เด็ ก ตั วเล็ ก ๆ เขาก็ เขี ย น ก ข ก กา ใส กระดาษ กระดาน ให เรียน ไม มี อ ะไรจะให เรียนก อนหน านั้ น. ที นี้ ถ า จะมาศึก ษาเรื่อ งของพระพุท ธเจา โดยตรง, ขอใหฟ ง ใหถ นัด ชัด เจนวา โดยตรง เรื่องพระพุทธศาสนาโดยตรง, เราก็ตองเรียนเรื่องขันธ ๕ กอน แลวจึงจะรูอะไร
ประมวลเรื่องอันเกี่ยวกับ ก ข ก กา ทั้งปวง
๓๘๕
ต า ง ๆ มากมาย ที่ เ กี่ ย วข อ งกั น อยู กั บ เรื่ อ งของขั น ธ ๕ นั้ น . แม ว า เรื่ อ งขั น ธ ๕ มั น จะประกอบอยู ด วยอะไรบางอย าง เราก็ ต อ งเรี ย นหมด, ต อ งเรี ย กว าเรื่ อ งขั น ธ ๕ ดว ยกัน ทั ้ง นั ้น . เดี ๋ย วก็จ ะไดพ ิจ ารณากัน ดู วา เรื ่อ งขัน ธ ๕ นั ้น มัน มีอ ะไรรวม อยูบาง เราไมรูขอนี้แลว ก็ควรจะเรียกวา เราไมรู ก ข ก กา ของพุทธศาสนา.
ที นี ้ ใ นฝ า ย ศี ล ธรรม เราก็ ย ั ง รู ไ ม ด ี รู ไ ม จ ริ ง . อย า หาว า ดู ห มิ ่ น ดู ถู ก อะไรเลย เราไม รู โดยแท จ ริ งเรื่ อ งสรณาคมน เรื่ อ งทาน เรื่ อ งศี ล อย างถู ก ต อ ง. เรารั บ สรณาคมน อ ย า งนกแก ว นกขุ น ทอง ทั้ ง ที่ ไม รู เรื่ อ งสรณาคมน นั้ น เลยก็ ทํ า ได ; เพราะมั น เป น เพี ย งพิ ธี รี ต องเท า นั้ น , และโดยมากก็ ทํ า กั น เพี ย งเท า นั้ น , เพราะเมื่ อ ได ทํ าอย างนั้ น มั นก็ พอใจเสี ยแล ว นี้ เรี ยกว า ไม รู เรื่ องสรณาคมน ทั้ งที่ รั บสรณาคมน อยูทุกวัน ดังเชน :-
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ไมรู เ รื ่อ งท าน ทั ้ง ที ่ทํ า ท าน อ ยู เ ปน ป ระจํ า ทุก วัน ; เชน ไมรู ว า ทานนี ้ทํ า เพื ่อ อะไร, แลว ทํ า ไปตามความประสงคข องตัว มัน ก็ก ลายเปน ทานที่ ไม ถู ก ต อ ง ตามหลั ก ของพุ ท ธศาสนาไปเสี ย ก็ ไ ด . เช น ว า ทํ า ทานเพื่ อ จะแลกเอา สวรรค แลกเอาวิ ม าน, เป น การค า กํ า ไรเกิ น ควร อย า งนี้ อ าตมารู สึ ก ว า ไม ใ ช พุ ท ธศาสนา, หรื อ ถ าจะว ากั น โดยประวั ติ มั น ก็ มี ม าแล วก อ นพุ ท ธศาสนาเกิ ด ที่ เขา สอนใหทําทานอยางนี้.
การทํ า ทานในพระพุ ท ธศาสนานั้ น ต อ งเพื่ อ ทํ าลายความเห็ น แก ตั ว คื อ ที ่เ ราใหท านออกไปนั ้น ; ไมใ ชไ ปแลกเอาสวรรคว ิม านมา. แตว า จะใหก าร ทํ าทานนี้ มั น พาเอาความเห็ น แก ตั ว เช น ความขี้ เหนี ย ว ความโลภ อะไรต า ง ๆ นี้ ออกไป, ออกไป, ออกไป, ออกไป ใหห มดจากเนื ้อ จากตัว ; ถา ไปรับ สวรรค
๓๘๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
วิม านเปน กํ า ไรมหาศาลเขา มา มัน ก็ยิ ่ง เพิ ่ม ความเห็น แกต ัว . ไปลองคิด ดูใ หดี ฉะนั้ น เราไม รู จ ั ก เรื่ อ งทาน ในลั ก ษณะที ่ เ ป น การกระทํ า อั น ถู ก ต อ ง ของ พุทธศาสนาในขั้นที่เปน ก ข ก กา กันอยางนี้.
แมเ รื ่อ งศีล ก็อ ยา งเดีย วกัน อีก , คนสว นมากก็อ ยากจะรัก ษาศีล อวดคน, หรือ วา อยากจะรัก ษาศีล เพื ่อ แลกสวรรคว ิม าน ไมไ ดร ัก ษาศีล เพื่ อ จะกํ า จั ด กิ เลส ส ว นที่ จ ะออกมาทางกาย ทางวาจา อย า งนี้ เป น ต น . นี้ เรี ย กว า ไมรู ก ข ก กา แมในฝายศีลธรรม ซึ่งจะไดวากันโดยละเอียดอีกครั้งหนึ่ง.
นอกจากนั้ น ก็ ไม รูเรื่อ งการปฏิ บั ติ ส มาธิ วิป ส สนา อย างถู ก ต อ งตาม หลัก ของพระพุท ธศาสนา, ยัง มีเ ขว เถลไถลออกไป เปน แบบอื ่น อยา งอื ่น , ไม ต รงจุ ด ตั้ ง ต น ของพุ ท ธศาสนา ก็ เรี ย กว า ไม เป น ก ข ก กา ของสมาธิ วิ ป ส สนา นั่นเอง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้น จึงเห็ น วา เราควรชําระสะสางป ญ หาเรื่อ ง ก ข ก กา นี้ ให ทุก แขนงกัน เสีย ที. นี ่แ หละ คือ คํ า ปรารภเรื ่อ งนี ้ตั ้ง แตแ รกเริ ่ม การบรรยาย. ขอท านทั้ งหลาย เอาไปคิ ดดู ให ดี ถ าเห็ นด วยก็ คงจะง าย ในการที่ จะเรี ยน ก ข ก กา กันตอไป.
๑. เรื่องเกี่ยวกับปรมัตถ. ทีนี ้จ ะ ซอ ม ค วาม เขา ใจ ดว ย ก าป ระม วล คํ า บ รรย าย ห ล าย ค รั ้ง ตอหลายครั้งเอามาแตใจความอีกครั้งหนึ่ง ในสวนที่เกี่ยวกับปรัตถธรรม วา ก ข ก กา
ประมวลเรื่องอันเกี่ยวกับ ก ข ก กา ทั้งปวง
๓๘๗
ทางฝ า ยปรมั ต ถธรรมนั้ น มั น ยั ง มี ป ญ หาอยู อ ย า งไรโดยละเอี ย ด แต ก็ โดยสั ง เขป โดยละเอียด คือครบทุกเรื่องที่ควรจะรู แตโดยสังเขป ก็คือพอเทาที่จะเขาใจได.
เรื่ อ งปรมั ต ถธรรมนั้ น เป น เรื่ อ งสอนความไม มี ตั วตน ดั งที่ ได ก ล าวแล ว คูกับศีลธรรม ที่จะสอนเรื่องความมีตัวตน, แลวก็ทําใหดี ก ข ก กา ของปรมัตถ ธรรม นั ้ น มี จ ุ ด ให ญ ร วม อ ยู ที ่ เ รื ่ อ งขั น ธ ทั ้ ง ๕ คํ า เดี ย วก็ พ อ ; เพ ราะ วาความทุกขก็จะเกิดที่นี่ แลวดับความทุกขก็จะตองดับที่นี่.
แต เรื่ อ งขั น ธ ทั้ ง ๕ นั้ น มั น กิ น ความมาก กว า ง ครอบคลุ ม ลงไปถึ ง เรื่ อ ง เช น เรื่ อ งธาตุ เรื่ อ งอายตนะ ที นี้ จ ะเรีย งลํ า ดั บ กั น อย า งไร ก็ ดู เหมื อ นว า จะ ไม รู กั น เสี ย แล ว ว า จะเรี ย งลํ า ดั บ กั น อย า งไร. จะเรี ย งลํ า ดั บ ว า ธาตุ อายตนะ ขันธ, หรือจะเรียงวา ขันธ ธาตุ อายตนะ หรืออายตนะ ขันธ ธาตุ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ ก็ จ ะเห็ น ได ใ นการพู ด กั น นั่ น เอง ว า เขาเรี ย งลํ า ดั บ มั น อย า งไร แล ว แสดงใหรู ว า คนนั ้น รู จ ัก สิ ่ง เหลา นั ้น หรือ ไม. ถา ไมรู จ ัก มัน ก็ต อ งเรีย งผิด เชน แทนที่ จ ะพู ด ว า ก ข ค ฆ ง ก็ พู ด ว า ง ก ข ค มั น ก็ ไ ม ถู ก ลํ า ดั บ . เราจะต อ ง เรียกว า ก ข ค ฆ ง ไม ควรจะไปเรี ยงให มั นสั บสนกั นไปอย างอื่ น ; เพราะว าแม แต จะเรี ยงเรื่อง ก ข ค ฆ ง นี้ เขาก็ มี หลั กที่ จะเรี ยง ไม ใช ว ากั นตามเดาสุ ม, คื อมี หลั ก ที่ จ ะต อ งเรี ย งตั ว อะไรก อ น เอาตามอวั ย วะที่ มั น ทํ า ให เกิ ด เสี ย งนั้ น อะไรมาก อ น อะไรมาหลั ง หรื อ อะไรหนั ก อะไรเบา ด วยอวั ย วะอั น ไหน มั น มี ห ลั ก ครบทุ ก วรรค ของตัว ก ข ค ฆ ง จ ฉ ช ฌ ญ นี้.
๓๘๘
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ที นี้ เรื่ อ งขั น ธ ทั้ ง ๕ นี้ ก็ เ หมื อ นกั น มั น ก็ ค วรจะเรี ย งคํ า ว า ธาตุ ก อ น แล ว อายตนะติ ด ตามมา แล ว ก็ ขั น ธ เป น ตั ว สํ า คั ญ เกิ ด ขึ้ น แล ว ก็ เ ลยไปเป น อุป าทานขัน ธ ทีห ลัง จากนั ้น ก็ค ือ ความทุก ข. ถา ตอ ไปจากนั ้น อีก ก็เ ปน เรื ่อ ง การปฏิบ ัต ิ เพื ่อ จะดับ เสีย ซึ ่ง ความทุก ขนั ้น คือ ศีล สมาธิ ปญ ญา แลว เรื่อ ง สุดทายก็ตองเปนเรื่อง มรรค ผล นิพพาน.
ศึกษาเรื่องธาตุเปนอันดับแรกกอน.
ท านลองสั งเกตดู ให ดี ว า มั น มี ค วามจํ าเป น อย างไร ที่ จะต อ งเรี ยงลํ าดั บ กัน อยา งนี ้, เพราะวา ธาตุนี ่ม ัน เปน สิ ่ง ที ่ม ีอ ยู ต ามธรรมชาติ เปน ธาตุ – ธาตุ – ธาตุ - ธาตุ ไปไม รู กี่ สิ บ กี่ ร อ ยธาตุ ; แต ที่ สํ า คั ญ ๆ ก็ เ ช น ธาตุ ดิ น น้ํ า ลม ไฟ อากาศ วิญ ญาณ, ธาตุด ิน ธาตุน้ํ า ธาตุล ม ธาตุไ ฟ นี ้รู จ ัก กัน ดี. แตย ัง รู จ ัก กั น ผิ ด ๆ ผิ ด อย า งน า ร อ งไห ที่ รู จั ก ธาตุ ดิ น ว า คื อ ก อ นดิ น , รู จั ก ธาตุ น้ํ า ว า คื อ น้ํ า ในโอง , รู จ ัก ธาตุล มวา ลมอากาศที ่ห ายใจออก - เขา , รู จ ัก ธาตุไ ฟ ที ่ก อ ติด ขึ ้น หุงขาว อยางนี้มันผิด ; เพราะธาตุทั้ง ๔ นั้น มันไมไดหมายความถึงตัววัตถุอยางนั้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ อ ยากจะขอบอกให ท ราบไว อี ก ที ห นึ่ งด ว ยว า มี ห ลั ก ที่ จ ะควรทราบไว วา ในพุท ธศาสนานี ้ ไมม ีห ลัก ที ่จ ะพูด ถึง วัต ถุเ ลย ; แมจ ะพูด ถึง วัต ถุใ ด ๆ ก็ ต าม จะเล็ ง ถึ ง คุ ณ สมบั ติ แ ห ง วั ต ถุ นั้ น มากกว า ที่ จ ะเล็ ง ถึ ง ตั ว วั ต ถุ นั้ น . ถ า พู ด ถึ ง ธาตุ แ ล ว ในทางฝ า ยการศึ ก ษาอย า งโลก ๆ ในป จ จุ บั น นี้ แม พ วกฝรั่ ง ที่ เป น คน ยอดเยี่ยมในทางการศึกษาฝายนี้ เมื่อพูดถึงธาตุ เขาก็หมายถึงตั ววัตถุธาตุ ทั้งนั้น, จะหมายถึงตัววัตถุ ซึ่งเขาสมมติชื่อเรียกวาธาตุนั้น ๆ ทั้งนั้นเลย.
ประมวลเรื่องอันเกี่ยวกับ ก ข ก กา ทั้งปวง
๓๘๙
แตถ า ธาตุใ นพุท ธศาสนาแลว จะไมไ ดเ ล็ง ถึง วัต ถุนั ้น โดยตรง แต จะเล็ง ถึง คุณ สมบัต ิที ่ม ีอ ยู ใ นตัว วัต ถุนั ้น . ตัว วัต ถุนั ้น ไมต อ งสนใจก็ได, เพราะ มัน มีค า เพราะมัน มีค ุณ สมบัต ิช นิด นั ้น อยู . ดัง นั ้น จะเห็น ไดท ัน ทีว า พุท ธศาสนา นี ้มุ ง จะสอนเรื ่อ งนามธรรมมากกวา ; เพราะวา สิ ่ง ที ่เ รีย กวา คุณ สมบัต ินั ้น มัน กระเดีย ดมาในทางเปน นามธรรมแลว มัน ไมม ีต ัว ตนที ่จ ะจับ ฉวยโดยตรงได. นี่แ หละคือ หลัก สํ า คัญ อยา งหนึ ่ง ซึ ่ง ซอ นเรน อยู แตก็เ ปน ขั้น ตน ที ่ส ุด ในชั้น ที่ เป น ก ข ก กา ว าพุ ทธศาสนานั้ น มุ งหมายจะชี้ แจง สั่ งสอนเป ดเผย ในเรื่ องฝ าย นามธรรมหรือฝายจิตใจมากกวา.
ดั งนั้ นเมื่ อกล าวถึ งธาตุ เชน ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ลม ธาตุ ไฟ ก็ จะเล็ ง ถึงคุณสมบัติที่มีอยูในสิ่งที่เรียกวา ธาตุนั้น ๆ เชนวา ปฐวีธาตุ ก็แปลวา ธาตุดิน, แต มิ ได เล็ ง ถึ ง ตั ว ดิ น โดยตรง โดยเฉพาะเจาะจงและเพี ย งเท า นั้ น . แต จ ะไปเล็ ง ถึ ง คุณ สมบั ติ ที่ เราจะเห็ นไดงาย ๆ ที่มี อยูในกอนดิ น คื อคุณ สมบั ติที่ มั นเป นของแข็ ง มัน กิน เนื ้อ ที ่ อยา งนี ้เ ปน ตน . คุณ สมบัต ิที ่ทํ า ใหเ กิด การกิน เนื ้อ ที ่ หรือ ขยาย เนื้อที่ออกไป นี้คือธาตุดิน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อาโปธาตุ ธาตุ น้ํ า มั น ก็ ได แ ก คุ ณ สมบั ติ ที่ จ ะเกาะกุ ม ไม ให ก ระจั ด กระจาย เชน เดีย วกับ ลัก ษณะของน้ํ า . เราจะเห็น วา มัน มีล ัก ษณะกุม ตัว เขา รวมตั ว กั น เป น หน ว ยน้ํ า หนึ่ ง หน ว ยเสมอไป, เว น ไว แ ต มั น จะมี อ ะไร ซึ่ ง มี อํ า นาจ เหนื อ กว า มาแยกมั น ออกไป. ถ า ปล อ ยไปตามธรรมชาติ แ ล ว น้ํ า นี้ จ ะเกาะกุ ม เขามาหากัน คุณสมบัติอันนี้ เรียกวาธาตุน้ํา.
ธาตุ ล ม ก็ คื อ คุ ณ สมบั ติ ที่ มั น ลอยได ระเหยได เคลื่ อ นไหวได มี ความหมายเปนคุณสมบัติของการเคลื่อนไหวไป.
๓๙๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
เตโชธาตุ ธาตุไ ฟ ก็ค ุณ สมบัต ิที ่ม ัน เผาไหม ทํ า การเผาไหมแ ก สิ่ งอื่ น หรื อ จะเรี ย กอี ก ที ห นึ่ งก็ ว าอุ ณ หภู มิ . ถ าอุ ณ หภู มิ ห นึ่ งมั น สู งกว าอุ ณ หภู มิ ห นึ่ ง มัน ก็เ ผาอุณ หภูม ิที ่ต่ํ า กวา . ฉะนั ้น อุณ หภูม ินั ่น แหละ คือ ความหมาของคํ า วา ธาตุ ไ ฟ ; แล ว มั น จึ ง มี ไ ด แ ม ใ นน้ํ า น้ํ า เย็ น ที่ เ ราดื่ ม เข า ไปแก ว หนึ่ ง อย า งนี้ มั น ก็ มี ธาตุ ไ ฟ คื อ อุ ณ หภู มิ ร ะดั บ หนึ่ ง , แล ว มั น มี ธ าตุ ล ม คื อ ว า ในน้ํ า นั้ น ส ว นที่ เป น ของ ระเหย เป น การระเหยได , แล ว ในน้ํ า นั้ น ก็ มี ธ าตุ ดิ น แต มั น ละเอี ย ดเกิ น ไปกว า ที่ เรา จะเห็ น ได . เพราะมั น มี ก ารกิ น เนื้ อ ที่ มั น เป น อณู ที่ ล ะเอี ย ดเกิ น ไป แต มั น เป น ลั ก ษณะของธาตุ ดิ น , แล ว มั น ก็ เป น ธาตุ น้ํ า คื อ มั น เกาะกุ ม กั น อยู เหมื อ นกั บ ว า มั น เปนกอนของน้ํา ฉะนั้นในน้ํา ที่เราดื่มเขาไปแกวหนึ่งมันก็มีครบทั้ง ๔ ธาตุ.
ที นี้ เราดู ที่ ก อนดิ น ก็ มี ลั กษณะว า มั นกิ นเนื้ อ ที่ นี้ ก็ เป นธาตุ ดิ น ก อนดิ น นั้ น ก็ มี น้ํ าเจื อ อยู แม ว าจะมองเห็ น ยาก มั น ก็ มี น้ํ าเจื อ อยู ในปริ ม าณใดปริ ม าณหนึ่ ง, แล ว ในดิ น นั้ น ก็ มี คุ ณ สมบั ติ ที่ ร ะเหยได คื อ มี ธ าตุ ล ม, แล ว ในดิ น นั้ น ก็ มี อุ ณ หภู มิ ระดับ ใดระดับ หนึ ่ง อยู มัน ก็ม ีธ าตุไ ฟ, หยิบ ดิน มากอ นหนึ ่ง ในนั ้น ก็ม ีค รบทั ้ง ๔ ธาตุ, ตัก น้ํ า มาแกว หนึ ่ง น้ํ า แกว นั ้น มัน ก็ม ีค รบทั ้ง ๔ ธาตุ อยา งนี ้เ ปน ตน คื อ ว า พระพุ ท ธศาสนา มุ ง จะสอนส ว นที่ เป น นามธรรม อั น ลึ ก กว า รู ป ธรรม จึ ง เล็ ง ถึ ง คุ ณ สมบั ติ . นี้ ย กตั ว อย า งมาเท า นั้ น ถ า จะพู ด กั น หมดก็ เ วลาไม พ อ มั น กิ น เวลามาก, ยกตัวอยางมาใหเห็นวา เรายังเขาใจเรื่องธาตุนั้นผิดอยูอยางไร.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
สว นอากาศธาตุนั ้น ที ่ว า งหรือ ความวา ง หรือ เปน ที ่ว า ง สํ า หรับ ใหธ าตุทั ้ง หลายอื ่น ตั ้ง อยู ไ ด. สว นวิญ ญาณธาตุนั ้น เปน พิเ ศษ คือ ธาตุที ่จ ะ ทํ า ความรู สึ ก ให เกิ ด ขึ้ น ได ก็ เป น ๖ ธาตุ ด ว ยกั น จาก ๖ ธาตุ นี้ มั น ก็ ทํ า ให เกิ ด ธาตุอื่น ๆ อีกมาก.
ประมวลเรื่องอันเกี่ยวกับ ก ข ก กา ทั้งปวง
๓๙๑
ธาตุ ดิ น น้ํ า ลม ไฟ อากาศ วิญญาณ ๖ ธาตุ นี้ เท านั้ น แต ทํ าให เกิ ด ธาตุอื ่น ๆ อีก มาก ; เชน ใหเ กิด ธาตุต า ธาตุห ู ธาตุจ มูก ธาตุลิ ้น ธาตุก าย ธาตุ ใจ. คุ ณ สมบั ติ ห รือ หน า ที่ ที่ จ ะทํ า ได ทางตา ทางหู ทางจมู ก เป น ต น นี้ ก็ ยั ง เรี ย กว า ธาตุ นี้ เป น คํ า ที่ พ ระพุ ท ธเจ า ตรั ส หรื อ ใช หรื อ ทรงระบุ อ ย า งนี้ . แล ว ก็ ยั ง ตรั ส ถึ ง ธาตุ รู ป ธาตุ เ สี ย ง ธาตุ ก ลิ่ น ธาตุ ร ส ธาตุ โ ผฏฐั พ พะ ธาตุ ธั ม มารมณ ขางนอก ที่มันจะมาเขาคูกันกับตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้ก็เปนธาตุ.
ทีนี ้ธ าตุพ วกขา งนอก กับ ธาตุพ วกขา งใน มากระทบถึง กัน เขา มัน ก็ป รุงเปน วิญ ญาณธาตุ หรือ วาทําใหวิญ ญาณธาตุ ปรากฏออกมา ; เมื่อ ตากระทบรู ป ก็ เกิ ดจั กษุ วิ ญ ญาณคื อการเห็ นทางตา นี้ วิ ญ ญาณธาตุ ปรากฏออกมา ให เ ห็ น แล ว . ธาตุ เหล า นี้ มั น มี อ ยู เป น พื้ น ฐาน เมื่ อ ได โ อกาส ได ป จ จั ย ได อ ะไร ตาง ๆ มันก็ปรากฏออกมา เพราะมันทําหนาที่ของมัน นี้เรียกวาเรื่องธาตุ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ า เรายั ง ไม รู เ รื่ อ งธาตุ นี้ ก็ เ รี ย กว า ยั ง ไม รู ก ข ก กา ของปรมั ต ถ ธรรมของพุท ธศาสนา ; แตนี ้ค นโดยมากเห็น วา เรื ่อ งปรมัต ถธรรมนี ้ ไมใ ช ก ข ก กา นั่ น เพราะว าเขาฟ งไม ดี . อาตมากํ าลั งบอกว า นี้ มั น เป น เรื่ อ ง ก ข ก กา ของปรมั ต ถธรรม ถ า ไม อ ย า งนั้ น ก็ ไ ม มี เรื่ อ งปรมั ต ถธรรมอะไรที่ ไ หน, มั น ต อ งมี เรื่อง ก ข ก กา สําหรับศึกษาเรื่องปรมัตถธรรม.
นี่ เรารู เรื่ อ งธาตุ อ ย า งนี้ กั น เสี ย ให ถู ก ต อ ง รู ว า ธาตุ นี้ มั น จะปรุ งนั่ น ปรุ ง นี่ ขึ ้น มา ใหเ ปน รูป ขึ ้น มา ใหเ ปน นามขึ ้น มา. แตที ่เ ปน อยู จ ริง ในเนื ้อ ตัว ของเรา วันหนึ่ง ๆ นี้ ธาตุเหลานี้มันปรุงอายตนะ ธาตุดิน น้ํา ลม ไฟ อากาศ วิญญาณนี้
๓๙๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
มั น จะปรุ ง อายตนะคื อ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ มี ห น า ที่ มี ก ารกระทํ า หน า ที่ ขึ้นมาในวันหนึ่ง ๆ.
ธาตุปรุงอายตนะ แลวอายตนะปรุงขันธ.
ทีนี ้อ ายตนะนี ้ มัน ทํ า หนา ที ่ต อ ไปอีก คือ จะปรุง ใหข ัน ธต า ง ๆ ปรากฏออกมา ซึ่ งจะทบทวนกั น อย างสั้ น ๆ อี ก ที ว า เมื่ อ ตาเห็ น รู ป ก็ เกิ ด การเห็ น ทางตา คื อจั กษุ วิ ญ ญาณ นี้ ก็ เกิ ดวิ ญ ญาณขั นธ ส วนน อยขึ้ นมา ๓ ประการนี้ ร วมกั น คื อ ตากั บ รู ป จั ก ษุ วิ ญ ญาณนี้ มาถึ ง กั น เข า แล ว เรี ย กว า ผั ส สะ. เพราะผั ส สะเป น ปจจัย จึงเกิดเวทนา นี้คือเวทนาขันธไดเกิดขึ้นมา เพราะผัสสะเปนปจจัย.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทีนี ้เ วทนานี ้เ กิด แลว เปน ความรู ส ึก ชอบหรือ ไมช อบ เปน ตน บา ง ก็ มี ค วามรู สึ ก ที่ จํ า ได ว า ถู ก ใจ นี้ ถู ก ใจหรื อ นี้ ไ ม ถู ก ใจ แล ว สํ า คั ญ มั่ น หมายว า นี้ เป น อย า งไร, นี้ ส วย นี้ ไ ม ส วย นี้ น า รั ก นี้ น า พอใจ นี้ เ ราชอบ, นี้ เ ราถื อ ว า เป น ของเรา หรือแก เรา เพื่ อเรา นี้ เรียกวาสั ญ ญา มั นก็เป น สั ญ ญาขั นธ เกิ ดขึ้ น เพราะ ตาเห็นรูปนั้น.
ถ า เกิ ด สั ญ ญาขั น ธ อ ย า งนี้ แ ล ว มั น ก็ เกิ ด สั ง ขารขั น ธ คื อ ความคิ ด ไป ตามอํ า นาจของความมั่ น หมายนั้ น ๆ : คิ ด จะได คิ ด จะมี คิ ด จะเอา คิ ด จะเป น คิ ด จะหา คิ ด จะยึ ด ครอง กระทั่ ง คิ ด จะลั ก จะขโมย ก็ เรีย กว า สั ง ขารขั น ธ เกิ ด แล ว
ประมวลเรื่องอันเกี่ยวกับ ก ข ก กา ทั้งปวง
๓๙๓
สว นรูป ขัน ธนั ้น เกิด แลว ตั ้ง แตเมื ่อ ตาทํ า หนา ที ่ข องตา หรือ วา รูป ข า งนอกเข า มาเกี่ ย วข อ งกั บ ตา อย า งนี้ เรี ย กว า รู ป ขั น ธ เกิ ด แล ว ทั้ ง ข า งนอกและ ขางใน.
ที นี้ ก็ เลยรู ป ขั น ธ เวทนาขั น ธ สั ญ ญาขั น ธ สั ง ขารขั น ธ วิ ญ ญาณขั น ธ เกิ ด มาครบถ ว นตามลํ า ดั บ ตามหน า ที่ ตามเหตุ ต ามป จ จั ย อย า งนี้ ก็ เพราะมี สิ่ ง ที่ เรี ย กว า อายตนะ, คื อ ธาตุ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ที่ ลุ ก ขึ้ น ทํ า หน า ที่ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ โดยสมบู ร ณ . แล ว อายตะนี้ ก็ ม าจาก ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ล ม ธาตุไ ฟ อากาศ วิญ ญาณ ที ่ม ัน ไดเ หตุไ ดป จ จัย มัน ปรุง แตง กัน ขึ ้น มา. ธาตุ ชวยใหเกิดอายตนะ, อายตนะชวยใหเกิดสิ่งที่เรียกวาขันธ.
ที นี้ บ างที ก็ จ ะไม พู ด ในลั ก ษณะของขั น ธ ๕ พู ด ไปในเรื่ อ งของปฏิ จ จ สมุ ป บาทก็ มี , เช น ว าเวทนาเกิ ด แล ว ก็ เกิ ด ตั ณ หา อุ ป าทาน ภพ ชาติ เป น ทุ ก ข ไป อย า งนั้ น ก็ มี , แต เนื้ อ แท ก็ เหมื อ นกั น กั บ ขั น ธ ๕ บางที ก็ แ จกในระหว า ง เวทนากั บ ตั ณ หานั้ น มากมายไปเสี ย ก็ มี , ไม เป น ไร นั้ น มั น เป น รายละเอี ย ดปลี ก ย อ ย แต ให เรา รูก็แลวกันวา ธาตุนี้มีสวนชวยปรุงอายตนะ, อายตนะปรุงใหเกิดขันธ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org จากขันธปรุงเปนอุปาทานขันธ ฯลฯ กระทั่งถึงนิพพาน.
นี้ ถ า ว า เมื่ อ เกิ ด ขั น ธ นั้ น มั น เกิ ด ด ว ยความโง คื อ ความเผลอสติ แล ว ขัน ธที ่เ กิด นั ้น ถูก ยึด ถือ ดว ยอุป าทาน ซึ ่ง ม าจากอ วิช ชา. ที ่จ ริง สิ ่ง นี ้ก ็เ ปน สั ง ขารขั น ธ เช น อุ ป าทานอย า งนี้ ก็ ต อ งจั ด เป น สั ง ขารขั น ธ , คื อ ความคิ ด ที่ ผิ ด ชนิ ด
๓๙๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
หนึ ่ง มัน ไดเ กิด ขึ ้น แลว ยึด ถือ ขัน ธ ๕ ขัน ธใ ดขัน ธห นึ ่ง วา เปน เราบา ง วา เปน ของเราบา ง หรือ ยึด ถือ ทั ้ง ๕ ทั ้ง ๕ ขัน ธว า เปน เราบา ง เปน ของเราบา ง นี ้เ รีย กวา อุป าทานขัน ธเ กิด แลว . เมื ่อ ตะกี ้เ รีย กวา ขัน ธเ ฉย ๆ เพราะไมม ีก าร ยึด ถือ ดว ยอุป าทาน. ทีนี ้ใ นบางกรณี มัน มีก ารยึด ถือ ดว ยอุป าทาน คือ ในกรณี ที่ จ ะให เ กิ ด ความทุ ก ข นั่ น แหละ จะต อ งมี ก ารยึ ด ถื อ ด ว ยอุ ป าทาน ที่ ม าจาก อวิช ชาคือ ความโง. นี ้ก ็เ รีย กวา อุป าท าน ขัน ธ เปน ตัว ทุก ข เสร็จ ไปตอน หนึ่ง เรื่อง ก ข ก กา มันเสร็จไปตอนหนึ่ง ตอนที่ใหเกิดทุกข ขึ้นมาโดยสมบูรณ.
ทีนี ้ม ัน ก็ม ีห นา ที ่ต อ ไป ที ่จ ะดับ ทุก ข มัน ก็ต อ งตั ้ง ตน ดว ยการรู การคิ ด การพยายามไปอี ก ทางหนึ่ ง ซึ่ ง ตรงกั น ข า ม ซึ่ ง เป น เรื่ อ งของการปฏิ บั ติ ธรรม. เราจะต อ งมี ก ารปฏิ บั ติ ศี ล สมาธิ ป ญ ญา แล วก็ จะได ผ ลเป น การบรรลุ มรรค ผล นิ พ พาน ซึ่ งโดยที่ แท แล ว ก็ เพื่ อ จะดั บ ความทุ ก ข ที่ ม าจากอุ ป าทานขั น ธ นั่นเอง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เรื่อ ง ศี ล สมาธิ ป ญ ญา นี้ ก็ เป น ก ข ก กา สํ าหรั บ ที่ จ ะบรรลุ มรรค ผล นิพ พาน คือ ฝา ยดับ ทุก ข, แลว มัน ก็ไ มม ีที ่ตั ้ง อะไรกัน ที ่ไ หน มัน มี ที ่ตั ้ง ที ่น ามรูป ที ่ร า งกาย ที ่จ ิต ใจ ที ่ข ัน ธ ๕ อีก นั ่น เอง. ถา ทํ า ใหข ัน ธ ๕ นี้ ไม เผลอสติ , ไม ป ราศจากสติ แ ล ว ไม มี อุ ป าทานยึ ด แล ว มั น ก็ เป น ขั น ธ ๕ ที่ ไ ม มี ความทุ ก ข . และถ า มั น เป น ได อ ย า งนี้ ต ลอดไป มั น ก็ ไ ม มี ค วามทุ ก ข เลยก็ เรี ย กว า เปน ขัน ธ ๕ ที ่บ ริส ุท ธิ ์ ไมเ ปน ที ่ตั ้ง แหง อุป าท าน มัน ก็ไ มม ีค วาม ทุก ขเ ลย. นี่ เป น ขั น ธ ๕ อย างของพระอรหั น ต ซึ่ งไม มี กิ เลสเลย, เป น วั ต ถุ ป ระสงค ที่ มุ งหมาย ในระดับสุดทาย.
ประมวลเรื่องอันเกี่ยวกับ ก ข ก กา ทั้งปวง
๓๙๕
นี้ เรี ย กว า เราไม รู เรื่ อ ง ก ข ก กา ของปรมั ต ถธรรม อั น ได แ ก สิ่ ง ที่ เรี ย ก ว า ธาตุ ว า อายตนะ ว า ขั น ธ ว า อุ ป าทานขั น ธ และว า ความทุ ก ข ทั้ ง ปวง ; ฉะนั้ น เราควรจะตั ้ง ตน เรีย น ก ข ก กา โดยเฉพาะเรื ่อ งธาตุ เรื ่อ งอายตนะนี ้ก ัน เสีย ใหม แล ว ก็ จ ะรู จั ก กิ เ ลส รู จั ก อุ ป สรรค รู จั ก ป ญ หาต า ง ๆ ย า งถู ก ต อ งตามที่ เ ป น จริ ง แล ว จะแก ไขได . สํ า หรั บ สิ่ ง ที่ เรี ย กว า ธาตุ นั่ น แหละสํ า คั ญ ที่ สุ ด เพี ย งคํ า เดี ย ว นี ้ จะเปน ความรู ที ่แ กป ญ หาตา ง ๆ ไดห มด. เดี ๋ย วนี ้เพราะเราไมรู จ ัก สิ ่ง ที ่เรีย ก ว า ธาตุ อย า งเดี ย วเท า นั้ น เราจึ ง เป น คนโง อ ย า งบรมโง , หรื อ จะว า โง ๆ โง ๆ สั ก หมื่ น ครั้ ง แสนครั้ ง ก็ ยั ง ไม คุ ม กั น . มั น โง เ พราะไม รู จั ก สิ่ ง ที่ เ รี ย กว า ธาตุ . ถ า รู จั ก สิ่งที่เรียกวาธาตุ วาเปนสิ่งที่เปนไปสักวาธรรมชาติ อยางนี้แลวมันก็ไมมีปญหา.
เช น เราไปหลงในรสอร อ ยที่ เ กิ ด ขึ้ น ทางเนื้ อ หนั ง เพ ราะการสั ม ผั ส ระหว างเพศ, เพศหญิ ง เพศชาย นี้ ก็ เพราะโง ในข อที่ ว าไม รู ว า โผฏฐั พพธาตุ นั้ น พระ พุทธเจาไดตรัสไว วาเปนสักวาธาตุที่เปนไปตามธรรมชาติ เกิดขึ้นตามเหตุตามปจจัย ตามกฎเกณฑ ข องธรรมชาติ . มั น มี ค วามรู สึ ก ในจิ ต ใจอย า งนั้ น ; แต จิ ต ใจนั้ น มั น โง มั น ไม ป ระกอบไปด ว ยป ญ ญา, มั น จึ ง เห็ น ไปว า โผฏฐั พ พะที่ เกิ ด ขึ้ น ระหว า ง เพศนั้ น เป น ของประเสริ ฐ จนถึ ง กั บ หลงใหลบู ช าต า ง ๆ นานา ยกขึ้ น เป น เรื่ อ ง ประเสริฐ ที ่ส ุด ของมนุษ ย มัน โงส ัก เทา ไร, จะใชคํ า วา โงส ัก กี ่ร อ ย กี ่พ ัน กี ่ห มื ่น กี่แสนครั้งจึงจะสมกัน เพราะไมรูจักสิ่งที่เรียกวาธาตุนั้น เพียงคําเดียวเทานั้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
รู ป ที่ ส วย ๆ นั้ น ก็ คื อ รู ป ธาตุ ถ า รู ว า เป น เพี ย งสั ก ว า ธาตุ ก็ จ ะไม ห ลงใน ความสวยของรู ป , เสี ย งที่ ไ พเราะนั้ น เสี ย งก็ เป น สั ท ทธาตุ เป น ธาตุ ต ามธรรมชาติ อย า งหนึ่ ง ถ า รู ข อ นี้ แ ล ว ก็ จ ะไม ห ลงใหลในความไพเราะของเสี ย ง, กลิ่ น ที่ ห อม
๓๙๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
นั้ น ก็ เหมื อ นกั น กลิ่ น นั้ น เป น สั ก ว าธาตุ ต ามธรรมชาติ ถ ารูแล วก็ ไม ห ลงในกลิ่ น นั้ น , รสที่ อ ร อ ย ที่ ลิ้ น ความอร อ ยนั้ น รสนั้ น ก็ สั ก ว า ธาตุ เรีย กว า รสธาตุ , ถ า รูว า ธาตุ ก็ไม หลงใหลในรสนั้ น . ที นี้ โผฏฐั พ พะธาตุ สั ม ผั สทางผิ วหนั ง ที่ มี ป ญ หามากก็ คื อ สั ม ผั ส ระหว างเพศ ถ ารูว าเป น เพี ย งสั ก ว าธาตุ ต ามธรรมชาติ ก็ ไม ห ลงใหล ในโผฏ ฐั พ พะนั้ น . ที นี้ ธั ม มารมณ จะยกตั ว อย า งง า ย ๆ เช น เกี ย รติ ย ศชื่ อ เสี ย ง นี้ เป น ธั ม มารมณ เป น ธั ม มธาตุ . ถ า รูว า สั ก ว า ธาตุ ต ามธรรมชาติ คนก็ จ ะไม ห ลงใหลใน เรื่องเกียรติยศชื่อเสียง, อยางนี้เปนตน.
นี่ เพราะไม รู จั กสิ่ งที่ เรี ยกว าธาตุ ตามธรรมชาติ หรื อ เป น ไปตามธรรม ชาติ จึ งได หลงใหลอย าง หลั บหู หลั บตา. ฉะนั้ น คนที่ เข ามาอยู วัด วันแรกเพื่ อจะ บวชในพุ ทธศาสนา เขาจึ งให เรียนบทพิ จารณาเรื่องธาตุ คื อบทที่ เรียกวา ยถาปจฺ จยํ ปวตฺตมานํ ธาตุมตฺตเมเวตํ ยทิทํ จีวรํ เปนตนนี้ ซึ่งแสดงความเปนธาตุ ที่ภิกษุ สามเณร สวดกันอยูทุกวันนี่ จะรูหรือไมรูก็ไมทราบ แตวาสวดกันอยูทุกวัน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถารูเรื่อ งความเปน ธาตุอ ยางนี้ดีแลวคงไมสึก เพราะมันไมรู มันจึง โง ไ ปหลงในเรื่ อ งหลอกของธาตุ มั น จึ ง ต อ งสึ ก . นี้ พู ด โดยไม ต อ งเกรงใจ จะเป น เรื่ อ ง ก ข ก กา กี่ ม ากน อ ย ก็ ข อให ล องคิ ด ดู ว า มั น มี ค วามสํ า คั ญ เท า ไร. ฉะนั้ น ขอใหเขาใจความหมายของคําวา ยถา ปจฺจยํ ปวตฺตมานํ ที่เขาเขียนใหเรียนใน วั น แรกที่ เข า มาอยู วั ด เพื่ อ จะบวชนั้ น ให ดี ๆ นี่ ก ข ก กา ของปรมั ต ถธรรม มั น เปนอยางนี้.
ประมวลเรื่องอันเกี่ยวกับ ก ข ก กา ทั้งปวง
๓๙๗
๒. เรื่องที่เกี่ยวกับศีลธรรม.
ที นี้ ก็ ม าถึ ง เรื่ อ งที่ ๒ คื อ เรื่ อ งศี ล ธรรม ก ข ก กา ของศี ล ธรรม คื อ ก ข ก กา ของเรื่ อ งมี ตั ว มี ต น มี สั ต ว มี บุ ค คล มี เรามี เขา มี ได มี เสี ย มี ทุ ก ข มี สุ ข , ก็ค วรจะเพง เล็ง ไปยัง เรื ่อ งสรณาคมน เรื ่อ งทาน เรื ่อ งศีล ที ่เ ขาขวนขวาย กันนักสําหรับตัวตน สําหรับของตนนั่นแหละ และก็พูดกันมาก็มากแลว.
สรุ ปเอาแต ใจความ ว าสรณมาคมน นั้ น ถ าตั้ งต นถู ก คื อเรี ยน ก ข ก กา กั น มาถู ก ก็ รู ว านั้ น เป น สิ่ งที่ สู งสุ ด ที่ จะพึ่ งได พึ่ งพาอาศั ย ได ; หรื อ ว ายิ่ งกว านั้ น ก็ คื อ พระพุท ธเจา นั ้น ทา นเปน ผู รู แ ละดับ ทุก ขไ ด และสอนคนอื ่น . พระธรรมนั ้น เปน เครื ่อ งดับ ทุก ขโ ดยตรง, พระสงฆค ือ ผู ป ระสบความสํ า เร็จ ในเรื ่อ งนี ้. ฉะนั ้น เราถื อ พระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ ในลั ก ษณะอย า งนี้ ก็ เรี ย กว า ถู ก เรื่ อ งของ สรณาคมน ไ ม ไขว เขว ว า สิ่ ง สู ง สุ ด หรื อ บุ ค คลสู ง สุ ด วั ต ถุ สู ง สุ ด ที่ จ ะเป น ที่ พึ่ ง ได มัน มีอ ยูอ ยา งนี้. อยา ไปถือ ใหก ลายเปน ของศัก ดิ ์สิท ธิ์ไ ปเสีย จะเอามาแขวน ที่คอสักเทาไร มันก็ชวยอะไรไมได ถาไมรูใหถูกตองจริงตามความหมายของสิ่งนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที่ นี้ เรื่ อ งทาน ถ า เราจะมี ค วามรู อ ย า งถู ก ต อ ง ในเบื้ อ งต น สั ก อย า ง หนึ่ง วา สัต วทั้ง หลายเปน เพื ่อ นเกิด แก เจ็บ ตาย ดว ยกัน ทั้ง หมดทั้ง สิ้น เท า นี้ จ ะพอ ไม ต อ งรู อ ะไรมาก ขอให รู จ ริ ง เห็ น จริ งด วยใจจริ งว า สั ต ว ทั้ งหลายเป น เพื่ อ นเกิ ด แก เจ็ บ ตาย ด วยกั น ทั้ งหมดทั้ งสิ้ น เท านี้ เอง, แล วมั น จะหยิ บ ยื่ น ให เอง มันจะชวยเหลือเอง มันจะเมตตากรุณา จะสงเคราะหอะไรเอง.
๓๙๘
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
เดี๋ ย วนี้ ไม ได ให ท านด ว ยข อ ที่ ว า สั ต ว ทั้ ง หลายเป น เพื่ อ น เกิ ด แก เจ็ บ ตาย ดว ยกัน ทั ้ง หมดทั ้ง สิ ้น . ไปใหท านเพื ่อ จะแลกเอาสวรรค เอามาเปน ตัว กู มาเป น ของกู . เขาเลยต อ งหลอกให ด ว ยสวรรค นั่ น เองว า ให ห ยิ บ ยื่ น ให ค นอื่ น บ า ง ; แตค วามมุ ง หมายอัน แทจ ริง ของเรื ่อ งนั ้น ตอ งการจะใหส ละความเห็น แกต ัว ของบุคคลผูมีตัว อันยึดถือไวหนาแนนเกินไป.
ถ า ผู ใ ดจะเรี ย น ก ข ก กา ให ถู ก ต อ งในเรื่ อ งเกี่ ย วกั บ การให ท านแล ว ขอใหภาวนาไวเถิดวา สัตวทั้งหลายเปนเพื่อนทุกข เกิด แก เจ็บ ตาย ดวย กั น ทั้ งหมดทั้ งสิ้ น . จงปฏิ บั ติ ต อ สั ต ว ทั้ ง หลายเหล านั้ น ให ถู ก ต อ งตามความหมาย อันนี้ หรือวาจะอยูกันในโลกนี้ ก็ใหอยูกันดวยความรูสึกอยางนี้ มันก็ใหทานเอง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org [นี่ฝนจะตกแลว เพราะฉะนั้นตองรีบลัดหนอย.]
เรื่ อ งศี ล ถ ารู ก ข ก กา ในเบื้ อ งต น มั น ก็ ม าจากความรู สึ ก อย างเดี ย ว กัน อีก ; วา ถา เรารู ส ึก วา สัต วทั ้ง หลายเปน เพื ่อ นทุก ข เกิด แก เจ็บ ตาย ดว ยกัน ทั ้ง หมดทั ้ง สิ ้น เราก็เ บีย ดเบีย นเขาไมไ ด, ประทุษ รา ยทรัพ ยส มบัติ ร า งกายของเขาก็ ไ ม ไ ด . มั น ก็ มี ศี ล ข อ ที่ ๑, ศี ล ข อ ที่ ๒, ไม ป ระทุ ษ ร า ยของรั ก ของเขาได ก็ มี ศี ลข อที่ ๓, ไม ประทุ ษรายสิ ทธิ ประโยชน อะไรของผู อื่ นได ด วยวาจา ก็ มี ศี ลข อที่ ๔, ไม ประทุ ษร ายสติ ป ญญา สมปฤดี ของตั วเอง ก็ ไม ผิ ดศี ลข อที่ ๕. ก็ แปลว า มั น คงอยู ในความสงบ ปกติ ที่ สุ ด เพราะว าพอทํ าผิ ด ในเรื่ อ งนี้ มั น ผิ ด ปรกติ เท านั้ น . เช น ไปดื่ ม น้ํ า เมาเข า มั น ก็ ผิ ด ปกติ , หรื อ ไปทํ า อะไรอื่ น เข าเพราะการดื่ ม น้ํ า เมา ก็ ผิ ด ปกติ, รักษาความปกติไวไดอยางเดียว ก็เรียกวามีศีล.
ประมวลเรื่องอันเกี่ยวกับ ก ข ก กา ทั้งปวง
๓๙๙
ฉะนั้ น เรื่ องศี ลนี้ ก็ คื อความสงบ ไม มี ความวุ นวาย ตรงตามความหมาย ของคํ า วา ศีล สี - ละแปลวา ปกติ ถือ ศีล ขอ เดีย วพอ จะทํ า ใหม ีศ ีล จริง ๆ ทุก ขอ , ที นี้ ค นที่ ไม จ ริ ง จะถื อ ศี ล ๕ ศี ล ๘ ศี ล ๑๐ ศี ล กี่ ร อ ยก็ ต าม มั น ไม จ ริ งแล ว , มั น ก็ ไม มี ศี ล สั ก ข อ เดี ย ว ไม ถู ก ต อ งตามจุ ด ประสงค ข องศี ล คื อ ความสงบ, ฉะนั้ น ถ า ยั ง ไมม ีค วามสงบ ก็ย ัง ไมม ีศ ีล . ฉะนั ้น คนที ่ถ ือ ศีล จริง ขอ เดีย วเทา นั ้น คือ ความ สงบนี ้ แลว จะมีศ ีล ทุก ขอ ได แลว ก็ม ีจ ริง ดว ย ไมใ ชว า สัก วา อํ า พรางไวแ ต ขางหนา.
เรื่ อ งสรณาคมน เรื่ อ งทาน เรื่ อ งศี ล และเรื่ อ งที่ บุ ค คลในระดั บ ที่ มี ตั วตน จะต องรู นี้ มี อี กมากมาย เราเอามารวมกั นเข าหมดนี้ เรี ยกว า ก ข ก กา หลาย ๆ ตั ว ก ข ก กา หลาย ๆ ตัว . ถา ทํ า เพื ่อ ใหไ ดด ี วนเวีย นอยู ใ นโลกนี ้ ก็เ รีย กวา วั ฏ ฏคามิ นี คื อ เวี ย นดี ได ดี , หรื อ เผลอเข า ก็ ชั่ ว แล ว ก็ ดี ดี ชั่ ว บุ ญ บาป สุ ข ทุ ก ข อยู ใ นโลกนี้ เรี ย กว า วั ฏ ฏคามิ นี เป น การปฏิ บั ติ เพื่ อ ให ว นเวี ย นอยู ใ นโลกนี้ . ที นี้ ถา ทํ า ดีก วา นั ้น เรื ่อ งทาน เรื ่อ งศีล เรื ่อ งสรณ าคมน ก็เ ถอะ ถา ทํ า ดี คือ ทํ า ถูก ตอ งจริง แลว มัน จะดึง ออกไปจากโลกนี ้ ซึ ่ง เปน วิฎ ัฎ คามิน ี. วิว ัฏ ฏ ะ แปลวา มิใ ชว ัฏ ฏะ หรือ ออกไปนอกวัฏ ฏะ. ฉะนั ้น คนที ่ม ีส รณาคมน มีท าน มีศีลดีนั้น จะคอย ๆ หลีกออกไปจากโลกนี้ หรือจากวัฏฏะนี้ไปสูโลกุตตระได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้ น อย า ทํ า เล น กั บ ก ข ก กา ไม กี่ ตั ว นี้ ; ถ า ทํ า ผิ ด มั น จะทํ า ให วนเวีย นอยู ใ นวัฏ ฏะนี ้ คือ เกิด แลว เกิด อีก อยา งนั ้น อยา งนี ้ ภพนั ้น ภพนี ้. แต ถ าทํ าให ดี มั น จะค อ ย ๆ เกิ ด ความเบื่ อ หน าย ในการวายเวีย นอยางนี้ ; แม แ ต การให ท านนี้ มั น ก็ จ ะผลั ก ออกไป จากโลกนี้ ไปหาโลกุ ต ตระ. การรั ก ษาศี ล
๔๐๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ก็ยิ่งผลัก ไปจากโลกนไปสูโลกุ ต ตระ. นั่น เปน ก ข ก กา ที่เขาเรียนดี เขาเรียน ถูกตอง มันจะชวยผลักใหออกไปจากโลกนี้ ไปสูโลกุตตระ.
รูวา "เกิดมาทําไม" ถูกตอง, จะดับทุกขได.
ที นี้ มั นมี สิ่ งที่ ต องคิ ดอยู อี กข อหนึ่ ง เกี่ ยวกั บ เรื่องนี้ ที่ เป น ชั้ น ก ข ก กา วาเรื่อง ก ข ก กา นี้ มั นจะมาขึ้นอยูกับความรูที่รูวา เรานี้ เกิดมาทํ าไม ? ถาเราไม รู วาเกิดมาทําไม เทานั้นแหละ, มันก็ไมรูจะ ก ข ก กา กันที่ตรงไหนถูก, คือจะ ไม รู จั ก ประโยชน ข องศี ล ธรรม, ไม รู จั ก ประโยชน ข องปรมั ต ถธรรม. ฉะนั้ น ก ข ก กา ของศี ล ธรรมก็ ดี ของปรมั ต ถธรรมก็ ดี มั น จะต อ งมากลมกลื น กั น กั บ ความรู ก ข ก กา ในขั้ นที่ ว า เราเกิ ดมาทํ าไม. เดี๋ ยวนี้ การที่ รูวา เราเกิ ด มาทํ าไม นี้ มั น ก็ ย าก ยากแสนยากเหมื อ นกั น , แต ถ า ไม รู มั น ก็ ตั้ ง ต น ไม ถู ก เหมื อ นกั น เพราะฉะนั้น มันจึงเปน ก ข ก กา ชั้นลึก ชั้นยาก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เนื่ องจากการสั งเกตอยู ตลอดเวลา ที่ เรามี ชี วิ ตอยู แต ต นจนบั ดนี้ ค อย ๆ รูว าอะไรถู ก ค อ ย ๆ รู ว าอะไรผิ ด และค อ ย ๆ รู ว า อะไรมั น เป น ไปเพื่ อ ความสงบ, อะไรไมเ ปน ไปเพื ่อ ความสงบ. รู ว า เวลาที ่ค วรปรารถนาที ่ส ุด ก็ค ือ เวลาที ่มี ความสงบ, คือ ไมมีค วามทุก ข. ในที ่สุด ก็จ ะคอ ย ๆ มองเห็น หรือ วาเชื่อ ไดดว ย ตนเองวา เราเกิด มาเพื ่อ จะกํ า จัด ความทุก ข. เราไมอ ยากจะเกิด มา หรือ เรา ไมไ ดเ จตนาจะเกิด มา ; แตม ัน ก็ไ ดเ กิด มาแลว . ฉะนั ้น เมื ่อ เกิด มาแลว อยา งนี้ จะตองทําอยางไร นี้ปญหามันเหลืออยูเทานี้.
ประมวลเรื่องอันเกี่ยวกับ ก ข ก กา ทั้งปวง
๔๐๑
ถา รูวา เกิด มาทํา ไมอยา งถูก ตอ งแลว ก ข ก กา นี่ก็จ ะตั้ง ตน ดี จะตั ้ง ตน เร็ว คือ จะเรีย นหนัง สือ รู เ ร็ว เหมือ นคนฉลาดยิ ่ง . คนฉลาดอยา งยิ ่ง เรีย นเดี๋ ย วเดี ยวก็ รู รูม หาศาลที เดี ย ว เป น อุ ค ฆติ ตั ญ ู เพี ย งแต เขาเอ ย ปากมั น ก็ รู เสี ย แล ว เกิ ด มาทํ า ไม; แล ว คนที่ ไ ม รู ว า เกิ ด มาทํ า ไมนั่ น แหละ ควรจะถื อ ว า เป น คนโงที่สุด.
นี่ ใครจะเป น คนโง อ ยู ในจํ านวนนี้ ก็ ไปตั ด สิ น ดู เอาเองก็ แ ล วกั น เพราะ มั น ไม ย าก. เรารูว าเราเกิ ด มาทํ า ไม, หรือ วาเราไม รูวาเราเกิ ด มาทํ าไม, หรือ ว าเรา รู อ ยู ผิ ด ๆ ว า เกิ ด มาทํ า ไม. มั น พิ สู จ น ไ ด ต รงที่ ว า ถ า เรารู อ ย า งนี้ แล ว มั น ยั ง มี ความทุ ก ข อ ยู ก็ ห มายความว า เรารู ผิ ด แล ว ; ถ า เรารูเราเกิ ด มาทํ าไม เราทํ า อย า งนั้ น อยู แล ว ไม มี ค วามทุ ก ข เกิ ด ขึ้ น นี้ ก็ เรี ย กว า รู ถู ก แน . ไม มี ใ ครช ว ยตั ด สิ น ใหได นอกจากผลที ่ม ัน เกิด ขึ้น มา ถา ดับ ทุก ขไ ด ก็เรีย กวา เรารูถูก , ความรู ของเราถูก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แต เดี๋ ย วนี้ เรายั ง ได เปรี ย บอยู บ า ง ที่ ว า เรามี พ ระพุ ท ธศาสนาเป น หลั ก เกณ ฑ. ฉะนั ้น เราก็อ าศัย พุท ธศาสนาเปน เครื ่อ งชว ย ; แตไ มใ ชใ หช ว ย อย างหลั บหู หลั บตา คื อไม ต องเชื่ ออย างงมงาย ให เชื่ อประกอบด วยสติ ป ญญา, พอที่ จะรู ว า เกิด มาทํ า ไม. แมว า พระพุท ธเจา ทา นไดต รัส ไว ละเอีย ดลออในทุก แง ทุ ก มุ ม ; แต ท า นก็ ยั ง ขอร อ งว า อย า เชื่ อ ทั น ที ต อ งพิ จ ารณาดู ต อ งลองดู ต อ ง ปฏิ บ ั ต ิ ด ู , แล ว มั น พิ ส ู จ น ใ นตั ว มั น เอง ว า มั น ดั บ ทุ ก ข ไ ด และก็ นั ่ น แหละ เชื ่อ ได ถือ เอาเปน หลัก ได. การที ่จ ะเชื ่อ อะไรใหเ ด็ด ขาดลงไปนั ้น ตอ งอาศัย หลั ก เกณฑ อ ย า งนี้ ; แม แ ต จ ะตั ด สิ น ลงไปว า เราเกิ ด มาทํ า ไม นี้ ก็ ต อ งระวั ง ให ดี .
๔๐๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ถา มัน โผงผางพรวดพราดลงไป มัน มีส ว นผิด แลว มัน ก็จ ะเสีย เวลา ; ฉะนั ้น คอย ๆ ระวังใหมันมีแตถูกเรื่อยไปดีกวา.
หลักปฏิบัติทั้งศีลธรรมและปรมัตถขึ้นอยูที่สติ.
ที นี้ เวลาเล็ ก น อ ยสุ ด ท ายนี้ ก็ อ ยากจะพู ด ว า ก ข ก กา ของการปฏิ บั ติ ธรรม ซึ ่ง กิน ความทั ้ง สว นศีล ธรรมและสว นปรมัต ถธรรม. การปฏิบ ัต ิธ รรมนั ้น อะไรเป น ก ข ก กา เสี ยเวลาสั กอึ ด ใจหนึ่ ง ถามท านทั้ งหลายว า ท านทั้ งหลายที่ นั่ ง อยู ที่ นี่ ท า นรู สึ ก ว า ในการปฏิ บั ติ ธ รรมนั้ น มี อ ะไรเป น ตั ว ก. คงจะตอบต า ง ๆ กั น ตอบอย างไรก็ เก็ บ ไว ในใจ ; ส วนอาตมานี้ จ ะบอกว า สติ เป น ตั ว ก ของการปฏิ บั ติ ธรรม, แล ว มั น ประหลาดที่ ว า สติ นี้ จ ะเป น ทุ ก อย า ง กระทั่ ง เป น ฮ. สุ ด ท า ยของ พยัญชนะทั้งหลาย.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org มั น เลยเป น ของประหลาดที่ ว า มั น เป น ทุ ก อย า ง เป น ทุ ก เวลา เป น ทุ ก สถานที่ สิ่งที่เรียกวาสติ, สติ อยางเดียวเท านั้ น , คือความเป น ผูมี สติ คือ รูสึกตัว มีส มปฤดีห รือ ปญ ญา, รูส ึก อยู ก อ นแตที ่จ ะคิด จะพูด จะทํ า อะไรลงไป. เดี๋ ย วนี้ เราปล อ ยไปตามธรรมชาติ เกิ น ไป อยากจะพู ด ก็ พู ด , อยากจะทํ า ก็ ทํ า , หรื อ อยากจะคิด ก็ค ิด ไมไ ดสิ ่ง ที ่เ รีย กวา สติ มาเปน ผู นํ า หรือ เปน ผู ต ัก เตือ น หรือ เปนผูยับยั้ง หรือเปนอะไรก็สุดแท.
แต สิ่ งที่ เรี ย กว า สติ นี้ ก็ เป น สิ่ งที่ เข า ใจยาก, และยิ่ งกว า นั้ น ก็ ยั งเป น สิ่ ง ที่ จ ะมี ไ ด โ ดยยาก ; เพราะคนเรามั น หั ด มาในทางที่ จ ะไม มี ส ติ . คนดู ตั้ ง แต
ประมวลเรื่องอันเกี่ยวกับ ก ข ก กา ทั้งปวง
๔๐๓
เกิ ดมาจนบั ดนี้ ไม ได เคยหั ดที่ จะมี สติ ชอบอะไรก็ ทํ า, ชอบอะไรก็ พู ด ก็ คิ ด ก็ ทํ า, ไปตามอารมณ ทั้ งนั้ น, ไม เคยมี สติ ไม เคยยั บยั้ งดู ก อนวา ที่ จะทํ าลงไปนี้ เป นอย างไร, หรื อว าคํ าพู ด ที่ จะพู ด ลงไปนี้ มั น จะเกิ ด อะไรขึ้ น ไม เคยฝ ก อย างนี้ , ไม เคยได รั บ การ สั่งสอนใหทําอยางนี้. เราจึงฝกมาแตในทางที่จะไมมีสติ ตั้งแตเกิดมาจนบัดนี้.
ฉะนั้ น สิ่ ง ที่ เป น ป ญ หาอั น แรกที่ สุ ด ก็ คื อ ความมี ส ติ ขอให มี ห ลั ก ที่ ว า จะพ ูด อ ะไรอ อ ก ไป ก็ม ีส ติรู เ รื ่อ งที ่จ ะพูด นั ้น ดีเ สีย กอ น, และจะทํ า อะไรก็ เหมือ นกัน , หรือ แมแ ตจ ะปลอ ยความคิด ใหไ หลไปในกระแสไหน ก็จ งมีส ติ กอนที่จะปลอยใหมันไปในกระแสนั้น. นี่เรียกวา สติจะมากอน.
การฝก หัด สติอ ยางสมบูร ณ เรีย กวา อานาปานสติ, คือ ความเปน ผู มี สติ ทุ กครั้งที่ หายใจออกเข า, มี สติ ทุ กครั้งที่ ห ายใจออกเข า, แล วคิ ดดู เถอะ มั นจะ ขาดตอนได อ ย า งไร. ก็ ค วามมี ส ติ ส มบู ร ณ นั่ น แหละเป น ตั ว แท เป น เนื้ อ เป น ตั ว ของสิ่งที่เรียกวา การปฏิบัติธรรม.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org คํ า ว า สติ เป น คํ า ประหลาด หมายถึ ง ทุ ก อย า งจะรวมอยู ใ นนั้ น ไม โดยตรงก็ โดยอ อ ม. อย างป ญ ญาก็ ร วมอยู ในคํ าว าสติ ; เพราะวา ถ าไม มี ป ญ ญา มั น ก็ ไ ม รู ว า จะรู สึ ก ตั ว ว า อะไร. ความรู สึ ก ตั ว นั้ น มั น รู สึ ก ว า ผิ ด หรื อ ถู ก , สุ ข หรื อ ทุ ก ข ดี ห รื อ ชั่ ว นี้ มั น รู สึ ก ตั ว อย า งนี้ . ฉะนั้ น ต อ งมี ป ญ ญามั น ก็ ทํ า ให มี ป ญ ญานี้ โดยตรง หรือ ตอ งมีก อ นแลว มัน จึง มีส ติที ่ไ ด. มีส ติแ ลว มัน ก็เ ปน เหตุใ หทํ า ถู ก คิ ด ถู ก พู ด ถู ก อะไรต อ ไปอี ก ; แม จ ะมี ชี วิ ต อยู ก็ ถู ก จะมี ส มาธิ ก็ มี ไ ด มั น ก็ เล ย ชว ย ยึด โย งสิ ่ง ตา ง ๆ ไว ค รบ ถว น บ ริบ ูร ณ . นี ้เ รีย ก วา มัน เปน ตัว ก าร โดยตรงก็มี เปนอุปกรณโดยออมก็มี.
๔๐๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
สิ่ ง ที่ เ รี ย กว า อั ฏ ฐั ง คิ ก มรรค ๘ ประการนั้ น อั ฏ ฐั ง คิ ก มรรค คื อ มรรคมีอ งคแ ปดประการนั ้น มัน ก็สํ า เร็จ ไดเพราะมีส ติ; แมวา จะมีส ัม มาทิฏ ฐิ คื อ ป ญ ญา เป น ผู นํ า แต แ ล ว การเป น ไปได การยึ ด โยงกั น อยู ไ ด นี้ เป น ไปได ด ว ย อํ า นาจของสติ ; แม ว า จะมี ส มาธิ เป น ตั ว กํ า ลั ง แต ว า กํ า ลั ง นั้ น มั น ใช ไปอย า งถู ก ตอ งดว ยอํ า นาจของสติ, และยัง มีก ารเลี ้ย งชีว ิต การกระทํ า พากเพีย รถูก ตอ ง มันก็ทําไดดวยอํานาจของสติ.
ตามความเห็ น ของอาตมา จึ งถื อ ว า ก ข ก กา ของสิ่ งที่ เรี ย กว า การ ปฏิบัติธรรมนั้น คือสิ่งที่เรียกวาสติ, ทุกอยางมีความสําคัญขึ้นอยูกับสิ่งที่เรียกวา สติ และบางที ก็ เรี ย กว า ความไม ป ระมาท, มั น มี คํ า แทนชื่ อ หลายอย า งหลาย ประการ. ถา มีส ติแ ลว ก็เ ปน อัน วา ทุก อยา งมัน จะเดิน ไปยัง มรรค ผล นิพพาน เปนแนนอน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทีนี้ถึงแมวาในเรื่อ งศีล ธรรม สติ ก็ชวยทั้ งหมด คือจะไดมีตัวตนที่ดี. สตินี ้จ ะชว ยใหเ ราไมทํ า อะไรผิด มีต ัว ตนที ่ด ี, ไดร ับ แตค วามดี อยู ใ นโลกนี ้, เวี ย นว า ยอยู ในโลกนี้ ก็ เวี ย นว า ยอยู แ ต ใ นทางที่ ดี . ที นี้ อี ก ทางหนึ่ ง สติ นี้ จ ะช ว ย ใหอ อกไปพน จากความมีต ัว ตน, ไมม ีต ัว ตน ไปสู โลกุต ตร. นี ้ก ็ย ัง ดว ยอํ า นาจ ของสติ . ขอให มองเห็ นสติ ในฐานะที่ เป นทั้ งตั ว ก ข ก กา และเป นสุ ดท ายของทั้ งหมด ดวยอยางนี้.
เอาละ, ขอสรุ ป ความว า เราต อ งย อ นไปเรี ย น ก ข ก กา กั น ใหม แล ว ให ดี ที่ สุ ด ขออภั ย ต องใช คํ าวาเรียนใหม , ออกจะเป นการดู ถู กท านทั้ งหลาย วาจั บ ตั ว มาเรี ย นใหม . แต ค วามจริ ง มั น อย า งนั้ น มั น ต อ งเรี ย นใหม เพราะว า ที่ เรี ย นมา
ประมวลเรื่องอันเกี่ยวกับ ก ข ก กา ทั้งปวง
๔๐๕
ก อ นนั้ น มั น เลอะเทอะ, มั น เลอะเลื อ นหรื อ สั บ สน ชนต น ชนปลายไม ค อ ยจะถู ก . ขอให เรีย นใหม แล วขอให เรีย นให ดี ที่ สุ ด ด วย. อยาให ใหม อ ยางเหลวไหลอย างที่ แลวมาอีก , มัน จะไมม ีอ ะไรใหม. เรีย นกัน ใหมแ ตวา เรีย นใหดีที ่ส ุด ไมเหมือ น กับที่แลวมา.
ก็ ตั้ ง ต น ปฏิ บั ติ กั น ให ดี ที่ สุ ด ตั้ ง ต น สอนกั น ไปให ถู ก ต อ ง นี้ ก็ จ ะพอทั น กั บ เวลา หรื อ ว า พอสมกั บ สถานการณ แห ง ยุ ค ป จ จุ บั น . เรามี อ ายุ เหลื อ อยู เท า นี้ ถ า เราทํ าถู ก ต อ ง มาลงทุ น เรีย น ก ข ก กา กั น เสี ย ใหม ให ถู ก ต อ งนั้ น ก็ ยั ง ทั น แก เวลา ; เพราะวา ถา ทํ า ไมถ ูก ตอ งเอง เรีย นอีก กี ่ร อ ยกี ่ป กี ่พ ัน ป มัน ก็ไ มถ ึง จุด ที่ มุ งหมาย. ฉะนั้ นถ าเรี ยนใหม ทํ าถู กต อง บางที่ ๒ - ๓ ป ก็ ถึ งจุ ดหมายปลายทางได ; ฉะนั้ น จึ ง เรี ย นว า เรี ย นเสี ย ใหม ใ ห ดี ที่ สุ ด ยั ง พอทั น แก เ วลา, แล ว ก็ ยั ง พอสู กั บ สถานการณ ที ่กํ า ลัง เปน อยู ใ นปจ จุบ ัน แมว า โลกนี ้ม ัน จะรอ นเปน ไฟอยา งไร. มั น อยู ในลั ก ษณะที่ ล อ แหลมจะต อ งฉิ บ หายวายวอดแน ; เพราะว า คนในโลกไม มี ศี ล ธรรมยิ่ งขึ้ น มี แ ต ก ารเอาเปรีย บ, การบ านการเมื อ งล ว นแต เป น การเอาเปรีย บ. โลกนี้ จะต อ งวิ น าศด วยอาวุ ธแรงราย ที่ เขามี ๆ กั น อยู . เราอย าท อ ใจ; ธรรมะนี้ ยั ง สู กั น ได กั บ สถานการณ อ ย างนี้ , แล วเราจะต อ งไม เป น ทุ ก ข เลย จนวาระสุ ด ท าย. แม ว า จะต อ งตายลง มั น ก็ ไ ม ม ี ค วาม ทุ ก ข เ ลย. นี ้ เ รี ย กว า มั น ยั ง ทั น แก สถานการณ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
ขอให สนใจไว เถอะ; ถ าเข าใจอย างนี้ แล ว มั น ก็ ยั งเรี ยกว าเอาตั วรอดได ไม เสี ย ที ที่ เกิ ด มาชาติ ห นึ่ ง ยั ง เอาตั ว รอดได . สมมติ ว า จะต อ งตายด ว ยระเบิ ด ปรมาณู ในป สองป ข างหน านี้ เรายั งมี การกระทํ าชนิ ดที่ เอาตั วรอดได โดยไม ต องถู ก
๔๐๖
ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ลู ก ระเบิ ด ชนิ ด นั้ น คื อ มั น จะถู ก ได ก็ แ ต ร า งกาย. แต จิ ต ใจมั น ถู ก ไม ไ ด มั น ไม ย อม ใหถูกจิตใจของเรา เพราะธรรมะนี้คุมครอง.
นี่ เรี ย กว าเรี ย น ก ข ก กา กั น เสี ย ใหม ให ดี ที่ สุ ด ยั งทั น แก เวลา ยั งทั น แก สถานการณ ; แม ว า การตั้ ง ใจเรี ย นนี้ จ ะลํ า บากบ า ง ก็ มี ป ระโยชน ม าก ทนลํ า บาก เอ าห นอ ย. อา น ห นัง สือ ใหรู เ รื ่อ งนี ้ม ัน ส นุก ; แตเ รีย น ไวย าก รณ ม ัน ลํ า บ าก มัน ทรมานจิต ใจ แตก ็ข อรอ งใหท นเรีย นไวยากรณ ด ว ย มัน จึง จะรู ห นัง สือ ดี. นี่ขอใหเรียน ก ข ก กา ของปรมัตถธรรม ของศีลธรรม ของการปฏิบัติธรรม ในลักษณะอยางที่วามาแลว.
นี้ เป น อั น ว าอาตมาได พู ด ถึ งเรื่ อ ง ก ข ก กา ของพุ ท ธบริ ษั ท หรื อ สํ าหรั บ พุ ท ธบริ ษั ท หรื อ เพื่ อ พุ ท ธบริ ษั ท มาถึ ง ๑๓ ครั้ ง แล ว ทั้ ง ครั้ ง นี้ , เพื่ อ ว า เราจะได เรีย น ถึง ตัว พ ุท ธศ าส น า ใหถ ึง ตัว จริง ตัว แทต ัว จริง ขอ งพ ระธรรม ห รือ ขอ ง ธรรมชาติ กั น เสี ย ที . แม จ ะเป น นั ก ธรรมเอกแล ว แม จ ะเป น เปรี ย ญเอกแล ว ก็ ยั ง ต อ งเรี ย น ก ข ก กา นี้ ; ไม ใ ช ว า จะดู ถู ก หรื อ ดู ห มิ่ น คนเหล า นั้ น เป น อั น ว า ไม ไ ด ยกเวน ใครที ่จ ะตอ งเรีย น ก ข ก กา นี ้. ถา ยัง ตอบปญ หานี ้ไ มไ ด คือ ไมทํ า ความกระจา งแจง ใหแ กต ัว เองไดว า อะไร จะไปกัน ทางไหน, ก็ข อให เรียนกันเสียใหม ในลักษณะอยางวามานี้ทุกประการ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ คํ า บรรยายนี้ ก็ ส มควรแก เวลาแล ว แล ว ก็ เป น ครั้ ง สุ ด ท า ย ก็ ข อ พระสงฆทั้งหลาย สวดคณสาธยายอีกวาระหนึ่ง.
_____________
ก ข ก กา
ภาคผนวก
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
เรื่องที่ ๑ ๑ มกราคม ๒๕๑๗ ที่ลานหินโคง, สวนโมกข.
เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม. การบรรยายธรรมในวั น นี้ ขอให เ ป น พิ เ ศษ คื อ ไม ใ ช แ สดงตามปกติ เหมื อ นครั้ งที่ แ ล ว มา. แต ก็ อ ดไม ได เพราะว า เราได ตั้ งใจไว ว า จะต อ งทํ า ตามที่ เคย ทํ า , หรื อ ทํ า ตามที่ กํ า หนดไว ก็ เลยรี บ ขอตั ว จากหมอ กลั บ มาให ทั น วั น ป ใ หม ซึ่ ง ก็ ไ ด ท ราบว า หลายคนตั้ ง ใจมา เพื่ อ จะได รั บ ประโยชน เนื่ อ งในวั น ป ใ หม จ าก สถานที่ นี้ . อาตมาก็ เลยพยายามมาให ทั น แม จ ะพู ด ได ไม ม ากก็ จ ะพู ด ตามที่ จ ะพู ด ได , แล ว ก็ ต อ งพู ด ค อ ย เพราะไม ค อ ยจะมี เสี ย ง ฉะนั้ น ต อ งใช เครื่ อ งขยายเสี ย งนี้ ชวยเต็มที่.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ เพื่ อ จะให ป ระหยั ด ลงไปได อี ก ก็ ต อ งการบุ ค คลสั ก คนหนึ่ ง ซึ่ ง เป น ผู ซั ก ถาม ตลอดถึ งขยายความ ก็ จ ะประหยั ด เรี่ ย วแรงได ม าก เท า ที่ ได น อนฟ งอยู ที่ กุ ฏิ ส องสามวั น มาแล วนี้ จะขอระบุ คุ ณ กั ญ ญา ให เป น คนมาถาม อยู ที่ ไหนก็ ให ม า ที่ ไ มโครโฟนตั ว นั้ น เป น ผู ซั ก ถามในฐานะที่ เ ป น ผู ซั ก ที่ ดี . อยู ที่ ไ หน ใครช ว ยไป ตามมาแล วป ญหาก็ จะเป นผู ที่ มี ป ญหาชนิ ดที่ จะต องอธิ บายอยู แล ว. ด วยคุ ณกั ญญาเป น ผู ซั ก ถาม แล ว ก็ ที่ อ ธิ บ ายอยู เมื่ อ ตะกี้ นี้ เพื่ อ ว า จะได ป ระหยั ด การพู ด คื อ จะแจ ม แจ ง หรือละเอียดลออได ดวยการซัก.
๔๐๙
๔๑๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ซอมความเขาใจที่จะพูดเรื่อง ก ข ก กา ที นี้ ก็ เ ป น เรื่ อ งเกี่ ย วกั บ ป ใ หม เพราะฉะนั้ น ก็ จ ะไม ใ ห เ สี ย ที ที่ ว า มั น เป น วั น ป ใ หม . ก็ จ ะพู ด เรื่ อ งที่ เกี่ ย วกั บ ป ใ หม . อย า งที่ ไ ด เคยบอกแล ว ว า ป นี้ มั น ใหมไ ปไมไ ด ; แตว า จิต ใจของคน หรือ คนนี ้อ าจจะทํ า ใหใ หมไ ดด ว ยการ ปรั บ ปรุ ง . ฉะนั ้ น จึ ง ถื อ โอกาสว า จะพู ด เรื่ อ งใดเรื่ อ งหนึ ่ ง ที ่ เ ป น การปรั บ ปรุง ใหวิช ชาความรูข องทา นทั ้ง หลายนี ้ใ หมขึ ้น บา ง, ใหส มกับ คํ า วา มัน เปน วันปใหม ก็ดูจะไดผลดี. ที นี้ เกี่ ย วกั บ วั น ป ใหม ก็ ค วรจะมี อ ะไรใหม อ ย างที่ ว ามาแล ว ก็ เลยอยาก จะพู ด ว า จะขอร อ งให ท า นทั้ ง หลาย ตั้ ง ต น เรี ย นใหม , ตั้ ง ต น เสี ย ใหม , ชํ า ระ สะสางใหม เรื่ อ ง ก ข ก กา กั น เสี ย ใหม . ที่ พู ด ว าจั บ ตั วให เรี ย น ก ข ก กา กั น เสี ย ใหม อ ย างนี้ บางคนอาจจะนึ ก หงุด หงิด แล วก็ ได . ผู ที่ ตั้ งตั ว เองเป น ครูบ าอาจารย บางคน กํ าลั งจะไม ชอบอาตมาแล วก็ ได ในการที่ พู ดว า ต องจั บตั วมาเรี ยน ก ข ก กา กั น เสี ย ใหม ; เพราะว า นอนฟ ง อยู ที่ กุ ฏิ ๒ - ๓ คื น มานี้ ก็ รู ว า เรี ย น ก ข ก กา มา ผิ ด . ช ว ยฟ ง ให ดี ว า เรี ย น ก ข ก กา มาผิ ด อาจเรี ย นลั ด อย า งผู ใ หญ ไม เ คย เรี ย น ก ข ค ง หรื อ กะ กา กิ กี ก็ ได ซึ่ ง เรี ย นแบบเบสิ ค (basic) เรี ย นจากข า ง บนจากปลายมาหาข า งล า งก็ ไ ด . อย า งนี้ ก็ ต อ งปรั บ ปรุ ง เรื่ อ งการเรี ย น ก ข ก กา กั น ใหม , แล ว ก็ ไ ม ใ ช ดู ถู ก , ไม ใ ช ดู ถู ก ใครแม แ ต สั ก คนเดี ย วว า เป น คนไม มี ค วามรู ขนาดที่ตองจับตัวมาเรียน ก ข ก กา กันเสียใหม.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที ่ว า เรีย นใหม นี ้ก ็ไ มไ ดเ รีย นใหมทั ้ง หมด เปน แต ปรับ ปรุง สว น ที่ ยั งไม ท ราบ หรือว าทราบน อย หรือวามั นยั งเขวอยู เช นอะไรแล วจึ งอะไร เป นต น,
เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม
๔๑๑
มั น ควรจะเป น ระเบี ย บเรี ย บร อ ย เช น ก สระ อะ กะ, ก สระ อา กา, ก สระอิ กิ ก สระอึ อ า นว า กู เป น เสี ย อย างนี้ มั น ก็ ผิ ด . ต อ งจั บ ตั วมาท อ งกั น ใหม ให มั น เป น ระเบีย บ, เปน ก ข ก กา ของธรรมะธรรมะนี ้ส ูง สุด เปน ของพระพุท ธเจา . ฉะนั้ น การที่ จ ะเรี ย น ก ข ก กา ในธรรมะของพระพุ ท ธเจ า คงไม ใช เรื่ อ งเสี ย เกี ย รติ , แลว แมจ ะจับ มาเรีย นอนุบ าล เรีย น ก กา กิ กี อยา งที ่น ัก เรีย นเรีย น แตเ รีย น ก ข ก กา อยางแบบของธรรมะ. เอาละ, ก็ ต อ งขออย า งที่ ว า มาแล ว เมื่ อ ตะกี้ นี้ ว า ขอให มี ผู ซั ก ที่ ดี สั ก คน หนึ่ ง แล วก็ ระบุ คุ ณ กั ญ ญา เขามาหรื อ ยั ง ? ช วยเป น ผู ซั ก ตามที่ เห็ น ว า ควรจะซั ก , แล ว ก็ ต อ งซั ก ในที่ ที่ ค วรจะซั ก ด ว ย จึ ง จะเป น ผู ซั ก ที่ ดี . ฉะนั้ น คุ ณ ทํ า ตั ว เป น ผู ซั ก ถาม ซึ่ ง จะได พู ด กั น ไปที ล ะข อ ว า วั น นี้ จ ะพู ด ให เป น ไปในทางที่ จั บ ตั ว แม ค รู บ า อาจารย มาเรียน ก ข ก กา กันเสียใหม, ก ข ก กา ของธรรมะของพระพุทธเจา. เอาละ, จะตั้ ง ต น ไปจากคํ า ว า ธรรมะเสี ย ก อ น แล ว จะรู ว า ก ข ก กา ของธรรมะนั้ น เป น อย า งไร, ก็ ข อเชิ ญ ให ผู ซั ก มานั่ ง ที่ ไ มโครโฟนเลย ซึ่ ง พร อ มที่ จะซักโดยไมตองเสียเวลาไปมา ๆ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ขอนมั สการท านนะคะ ดิ ฉั นก็ ยั งมิ ได มี ความสามารถอะไรลึ กซึ้ งนั ก มี ป ญ หาอยู ว า ∗ ขณะนี้สวนมากมีนักศึกษาซึ่งเปนเด็กมาจากตรัง ขอแรกก็จะเอาปญหาอันนี้กอน เชนวา...
ไม ใ ช , ไม ใ ช ... อย า งนั้ น เดี๋ ย วก อ นคงจะเข า ใจผิ ด อยู ขอให นั่ ง ก อ น, ให เตรี ย มตั ว สํ า หรั บ ซั ก และตอบ นั่ ง ข า งไมโครโฟนนั่ น แหละ เพราะว า คุ ณ จะต อ ง เป น ผู ยื น ยั น อี ก ที ห นึ่ ง , นอกนั้ น ก็ เป น ผู ฟ ง ว า ธรรมะของพระพุ ท ธเจ า ทั้ ง หมด
∗
ตัวจิ๋วเปนคําพูดของผูอื่นตลอดเรื่อง
๔๑๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ทั ้ง สิ ้น มีเ พีย งเรื่อ งเดีย ว คือ เรื่อ งความดับ ทุก ข. นี้ค ุณ เห็น แลว หรือ ไมเ ห็น ด วย ? มาพู ด ที่ นี่ เลย อย าไปนั่ งเสี ย ให อ ยู ที่ ไมโครโฟนนี้ ว าธรรมะของพระพุ ท ธ เจ า มี เพี ย งเรื่ อ งเดี ย ว คื อ เรื่ อ งความดั บ ทุ ก ข เท า นั้ น จริ ง หรื อ ไม จ ริ ง ? เห็ น ด ว ย หรือไมเห็นดวย ? ถาไมเห็นใหแยงเลย. อั นนี้ เป นเรื่ องจริ งและเห็ นด วย ที่ ว ายอมรั บจริ งและเห็ นด วยนั่ นก็ คื อว า มนุ ษย เรา เมื่ อเวลาทุ กข ขึ้ นมา ก็ ต องมี สิ่ งที่ ยึ ดเหนี่ ยว ที นี้ ป ญ หาว าสิ่ งที่ จะยึ ดเหนี่ ยวนี้ เราจะทํ าอย างไร ? แลวก็ตองศึกษาวาคําสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจานั้น ปฏิบัติอยางไรจึงมีความดับทุกขได ?
ป ญ หายั งไม ถึ งนั้ น , ขอให ไปตามลํ า ดั บ ที ล ะนิ ด ๆ, เพราะว า เป น เรื่ อ ง ก ข ก กา, จะถามใหมวา ธรรมะของพระพุ ท ธเจา มี เพี ยงเรื่อ งเดียวเทานั้น คือ เรื่องความดับทุ กขจริงไหม ? จริงคะ เห็นดวย ? เห็นดวย แลวทําไมคุณหรือใคร... มักจะพูดวา ธรรมะมีตั้งแปดหมื่นสี่พันเรื่อง. ที่ ว าแปดหมื่ นสี่ พั นพระธรรมขั นธ นี้ ก็ หมายถึ งว าเป นเรื่ องที่ มาก ที่ ลึ กซึ้ งจนรวมสรุ ป แลว จับประเด็นวา เรื่องดับทุกขจริง ๆ ก็ไมใชถึงชั้นนั้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อาว, ถามีแปดหมื่นสี่พันเรื่องแลว จะมีเรื่องเดียวอยางไรละ ?
คือสรุปลงมาแลว อันนั้นเปนเรื่องที่เฟอ หรือไมจําเปนก็ได ในความรูสึกสวนตัว.
ถ าพู ดว าเฟ อไม ถู ก เพราะตั้ งแปดหมื่ นสี่ พั นหั วข อนั้ นต องมารวมเข มข น งวดลงที่ คํ า ๆ เดี ย วว า เป น เรื่ อ งดั บ ทุ ก ข จะเป น ข อ ไหนก็ ต าม ในแปดหมื่ น สี่ พั น
เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม
๔๑๓
ข อ นั้ น ต อ งเป น เรื่ อ งความดั บ ทุ ก ข หรื อ เป น อุ ป กรณ ข องความดั บ ทุ ก ข . แม แ ต จ ะ พูดเรื่องทุกข ก็คือพูดใหรูเรื่องความดับทุกข เราจึงพูดเรื่องความทุกขกันกอน.
ทําความเขาใจเรื่องความทุกข. นี ้เ ปน อัน วา ใหท ุก คนรู ก ข ก กา ขนาดที ่ว า ธรรมะของพระ พุ ท ธเจ าทั้ งหมดนั้ น คื อ ความดั บ ทุ ก ข . หรือ ถ าจะพู ด เป นสองอย าง จะวาอย างไร ? คุ ณ นั่ ง ที่ เ ก า อี้ ก็ ไ ด ต อ งเดิ น ไปมาเหนื่ อ ยตาย, นั่ ง เก า อี้ ที่ ไ มโครโฟนนั่ น แหละ คื อ ว า จะพู ด ให เข า ใจเป น ๒ เรื่ อ งจะได ไ หม ? จะว า อย า งไร ? มั น ก็ จ ะแยกออกเป น ๒ เรื่ อ งได ถ า ๒ เรื่ อ งจะว า อย า งไร ? ถ า เรื่ อ งเดี ย วคื อ ความดั บ ทุ ก ข ถ า ๒ เรื่ อ ง จะวาอยางไร ? ถา เปน ๒ เรื ่อ งก็ค ือ ความทุก ข กับ ความดับ ทุก ข. แตค วาม ทุ ก ข นี้ มั น ไม มี ค วามหมายอะไร ถ าไม ใช เพื่ อ ความดั บ ทุ ก ข ; เพราะฉะนั้ น เราจึ งถื อ ว า เรื่ อ งความทุ ก ข นั้ น มั น เป น เรื่ อ งที่ ๒ อยู ใ นความดั บ ทุ ก ข . ถ า จะแยกเป น ๔ เรื่ อ ง ก็ไ ดว า ความทุก ข กับ เหตุข องความทุก ขอ ยา งหนึ ่ง , แลว ความดับ ทุก ขก ับ ทางให ถึ ง ความดั บ ทุ ก ข นี่ อี ก อย า งหนึ่ ง เป น ๒ คู เลยเป น เรื่ อ ง ๔ เรื่ อ ง. นี่ พู ด ว า ธรรมะของพระพุ ท ธเจ า มี เพี ย ง ๔ เรื่ อ งก็ ไ ด ถู ก ไหม ? คื อ เห็ น ด ว ยไหม ? เห็ น ดวยคะ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แตที่พระพุทธเจาทานตรัสเอง ทานวา แตกอนนี้ก็ดี เดี๋ยวนี้ก็ดี ตถาคต จะกลา วแตเ รื ่อ งทุก ขก ับ ความดับ ทุก ขเ ทา นั ้น ; นี ่ข อใหจํ า ไวด ว ย ปุพ ฺเ พ จาหํ
๔๑๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ภิกฺขเว เอตรหิ จ ทุกฺขณฺเจว ปฺาเปมิ ทุกฺขสฺส จ นิโรธํ วา แตกอนที่แลวมาก็ดี บั ดนี้ ก็ ดี ฉั นบั ญญั ติ เฉพาะเรื่องทุ กข กับเรื่องความดั บทุ กขเท านั้ น. มันกลายเป น ๒ เรื ่อ ง ถา พูด แตเ รื ่อ งเดีย วมัน อธิบ ายยาก; ฉะนั ้น พระพุท ธเจา ทา นก็จ ะแยก เปน ๒ เรื่อง : เรื่องความทุกขเรื่องหนึ่ง, กับเรื่องความดับทุกขเรื่องหนึ่ง. นี่ ถ า พู ด ไม มี ใ จความรวมอยู ที่ นี่ มั น ก็ เ คว ง เปะปะแน สองเรื่ อ งนี้ ร วม เปน เรื ่อ งเดีย ว คือ ความดับ ทุก ขก ็ไ ด ; แตเ ราจะดับ ทุก ขโ ดยไมรู จ ัก ความทุก ข นั ้น มัน ก็ทํ า ไมไ ด. เพราะฉะนั ้น ตอ งพูด เรื ่อ งความทุก ขก ัน กอ น ; ฉะนั ้น การตั้งตนพูดเรื่องความทุกขกันเสียกอนนี้ เปนความเหมาะสมไหม ? ปญหาประเด็นที่ทานถามมานี่ก็คือวา พวกที่นั่งอยูที่นี่ ก็ตองการฟงเรื่องนี้ เชน
ฉะนั้ น เราก็ จ ะตั้ ง ต น พู ด เรื่ อ งความทุ ก ข ก อ น แล ว จึ ง จะพู ด เรื่ อ งความ ดับทุกข.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้ น ก ข ก กา ที่ เขยิ บ เข า มาอี ก มั น ก็ มี เรื่ อ งความทุ ก ข , เหมื อ นกั บ ตั ว ก ยั ง ไม ไ ด ใ ส ส ระ อะ อา อิ อี อะไรเลย, ก็ ต อ งพู ด เรื่ อ งความทุ ก ข กั น ก อ น, แลวจะไมพูดใหเฟอเพราะวาเวลานอย. แลวก็ไมคอยมีแรง จะพูดแตจํากัดที่สุดเลย. ทีนี้ที่เมื่อพูดถึงความทุกข ก็จะตองตั้งปญหาวา อะไรเปนความทุกข ? ถามว า อะไรเป น ความทุ ก ข ? ข อ นี้ ท า นถามใช ไ หมคะ ? ถามว า อะไร เป นความทุ กข . ป ญหาที่ ว าความทุ กข นี่ ถามหมายถึ งผู ศึ กษา หรือว าจะถามอย างคนฟ งทั่ วไป ? ไมตองนึกถึงใครหมด. ถามคุณ คุณตอบพอแลว อะไรคือความทุกข ?
เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม
๔๑๕
ความทุ กข ก็ หมายถึ งว าความเกิ ด หมายถึ งว าความเกิ ดกิ เลสขึ้ นกั บ จิ ตใจ คื อว า เศร า หมอง นี่ แ หละ หรื อ ความอยาก ข อ นี้ ที่ ท า นถามอย า งนี้ จะให ต อบคํ า เดี ย วก็ รู สึ ก ว า จะไมชัด.
ตอบใหสั้นที่สุด สั้นที่สุดเทาที่จะสั้นไดวา อะไรเปนความทุกข ?เชนวา ความอยากได สิ่งที่อยากได ถาไมสมอยาก อันนี้ก็ทําใหเกิดความทุกขขึ้น.
ตอบให ต รงป ญ หาว า อะไรเป น ความทุ ก ข ? ไม ใช ถ ามว า อะไรเป น เหตุ ใ ห เกิ ด ทุ ก ข ถามว า อะไรเป น ความทุ ก ข ? อะไรเป น ความทุ ก ข นี่ ก ข ก กา ที่สุด อะไรเปนความทุกข ไมตองกลัววาจะผิดหรืออะไร วาอะไรเปนความทุกข ? ตรงนี้ถาจะตอบวา ความเกิด แก เจ็บ ตาย อยางนี้.
ถ าตอบว าความเกิ ด แก เจ็ บ ตาย เป นความทุ กข ก็ ได เรี ยน ก ข ก กา ผิด ทั้งที่วามีบ าลีอ ยูวา ความเกิด เปน ทุก ข ความแก เปน ทุก ข ความตาย เปนทุกข นี้ก็คือเรียนผิด, แปลความหมายผิด.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ก อ นหิ น ก อ นนี้ มั น หนั ก ไหม ? ก อ นใหญ นี้ ห นั ก ไหม ? หนั ก ไม จ ริ ง . อยางนี้ ตองขอประทานอภัย อยางนั้ นก็ขอตอบใหม ขอตอบวา อุปาทาน เปนอะไร ? คื อ เราไปยึด . พูด เปน ประโยคใหช ัด ซิ คือ วา อะไรเปน ตัว ทุก ข ? อะไรเปน ความทุ กข . เอา, จะพู ดให เขาใจนะ ก อนหิ นกอนนี้ หนั กไหม ? อย าเพ อทิ้ งเรื่องนี้ ซิ , กอนหินกอนนี้กอนใหญเบอเรอนี้หนักไหม ?
๔๑๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ถ าถามแบบนี้ ต องขอประทานอภั ย เพราะว ายั งไม เข าใจป ญหาที่ ถามเริ่มต นใช ไหม ? ก อนหิ นนี่ ตั วของก อนหิ นเองมั นไม มี ความรู สึ กว าหนั ก เรานี่ ถ าเราไปยก เราก็ ต องตอบว าหนั ก. นั่ น ตอบว า หนั ก เดี๋ ย วนี้ คุ ณ ว า มั น หนั ก ไหม ? ก็ ค วามรู สึ ก เกิ ด ขึ้ น ว า หนั ก แล ว ก็ ไ ม เคย บอกใชไหมวา กอนหินนี้มันหนัก ? อั น นี้ ค วามรู สึ ก ที่ ท า นถามอย า งนี้ เพราะว าเคยทดลอง ไม ใช อ ย า งคนทั่ ว ไป
นั ่น มัน อนุม านวา ความเกิด เปน ทุก ข ความแกเ ปน ทุก ข คุณ อนุม านนั ่น เอง เช น เดี ย วกั บ อนุ ม านว า ก อ นหิ น นี้ ห นั ก ถ า ว า ก อ นหิ น นี้ ห นั ก ก็ ห มายความว า เรา เคยแบกกอนหินนี้ หรือวาอยางนอยกําลังแบกอยูก็รูวาหนัก. ที นี้ ก็ ดู ก อ นหิ น นี้ เป น ตั ว อย า ง แล ว เราจะต อ งตอบว า การแบกก อ นหิ น มั น เป น ความหนั ก . ฉะนั้ น ความหนั ก นั้ น เป น ความทุ ก ข ฉะนั้ น ความหนั ก จะไม มี แก ผู ที่ ไ ม แ บกใช ไ หม ? ใช นี้ ความทุ ก ข จ ะไม มี แ ก ผู ที่ ไ ม ยึ ด ถื อ หรื อ ผู ที่ ไ ม มี อุป าทานในสิ ่ง ใดสิ ่ง หนึ ่ง ใชไ หม ? ใช เชน เดีย วกับ ที ่ว า กอ นหิน นี ่จ ะไมห นัก แก ผูที่ไมแบก แตมันหนักแกผูที่แบก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ คื อ ก ข ก กา ที่ พ ระพุ ท ธเจ าท านตรั สว า ภารา หเว ปฺ จ กฺ ข นฺ ธ า ขั นธ ทั้ ง ๕ เป นของหนั กเวย นี่ แหละ ถ าคนไม รูจั กวา ขันธ ๕ คื ออะไร จะรูได ไหม ว า ขั น ธ ๕ เป น ของหนั ก ตอนนี้ ก็ ต อ งศึ ก ษา คื อ ว า นี่ ค นที่ ไ ม รู ว า ขั น ธ ๕ คื อ อะไร บางคน จะรูไดอยางไรวา ขันธ ๕ เปนของหนัก ?
เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม
๔๑๗
ถ าคนไม ศึ กษา ก็ ยากแก การจะเข าใจ เอาละยอมว าศึ กษาแล วขั นธ ๕ เป น ของหนั ก ใช ไหม ? ถ า คนยั ง ไม ศึ ก ษาก็ จ ะต อ งคิ ด ว า หนั ก คนยั ง ไม ศึ ก ษาก็ จ ะคิ ด เอาว า หนัก อยา งนั ้น หรือ ? คือ วา ขัน ธห า นี ้ห นัก ถา ไมแ บกละไมแ บกขัน ธ ๕ ไมย ึด ถือ ขัน ธ ๕ จะหนัก ไหม ? ไมห นัก ฉะนั ้น ความหนัก นั ้น มัน อยู ที ่แ บก หรือ อยู ที ่ย ึด หรื อ ที่ หิ้ ว ขึ้ น มา. ตอนนี้ ก็ ข ออภั ย นะคะ ขอถามท า นสั ก ครั้ ง หนึ่ ง ; ว า อย า งไร ? คื อ ว า ขอถามทานวา ปญหามีอยูวาที่กําลังแบกนี่ เรากําลังอยูกับโลกสังคม หรือวาเรากําลังอยูกับขันธ ๕ นี่ ถาจะไมใหหนัก วิธีที่วาใหมีความรูสึกอยางไร ?
นี่ กระโดดพรวดพราดไปแล ว ไม ใช เรี ยน ก ข ต องพู ดว าเดี๋ ยวนี้ มั นหนั ก เพราะแบก เพราะถื อ ใช ไหม ? ถ า ไม แ บกไม ถื อ ก็ ไม ห นั ก เช น ที่ ว า ภารา หเว ปฺจกฺขนฺธา - ขันธทั้ง ๕ เปนของหนัก และ ภารหาโร จ ปุคฺคโลก - คนนั่นแหละ เป น ผู แ บกของหนั ก , ถ า ว า เราไม เกิ ด ความคิ ด ว า คน แล ว คนไหนมั น จะมาแบก ของหนัก ละ เพราะวา คนตา งหากจะเปน ผู แ บกของหนัก . ถา มัน มีแ ตข ัน ธ ๕ เฉย ๆ ในขั น ธ ๕ นั้ น ไม มี ค วามรู สึ ก เป น อุ ป าทานว า คน ว า ฉั น ว า กู ก็ ไม มี ใ คร ที่จะแบกขันธ ๕ ก็เปนขันธ ๕ ที่ไมไดมีการแบกมันก็ไมหนัก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทานตรัสไวชัดวา ภาราทานํ ทุกฺขํ โลเก - การแบกของหนักนั้นเปนทุกข, ภาราทานํ - การถือแบกหิ้วของหนัก ภาระนั่นเปนตัวทุกข, ภารนิกฺเขปนํ สุขํ - เหวี่ยงของหนักทิ้งไปเสียไมทุกข. ฉะนั ้น เปรีย บความแลว ทุก ขอ ยู ที ่ไ หน ? ทุก ขอ ยู ที ่หิ ้ว ที ่แ บก หรือ ที่ อุ ป าทาน. ถ า ความเกิ ด เป น ทุ ก ข ต อ งเป น ความเกิ ด ที่ เราหิ้ ว , เราแบกไว เป น ของเรา. ความแก เป น ทุ ก ข ก็ ต อ งเป น ความแก ที่ เราแบก เราหิ้ ว ไว เป น ความแก
๔๑๘
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ของเรา. ความตายเป น ทุ ก ข ก็ เป น ความตายที่ เราแบกเราหิ้ ว เอามาเป น ความตาย ของเรา. ถาเราไมแบกไมหิ้ว ความเกิดแกเจ็บตายมันไมเปนทุกข. แตที่พระพุทธเจาทานตรัสเฉย ๆ อยางนั้น ทานหมายถึงคนธรรมดาทั้ง หลายนั้นแบกความเกิด ความแก ความเจ็บ ความตาย โลกะปริเทวะ อะไรทั้งหมด ทั้งสิ้นนั้น เปนของเขาเอง, แลวก็ไดตรัสสรุปทายวา สงฺขิตฺเตน ปฺจุปาทานกฺขนฺธา ทุกฺขา - ถาจะสรุปความกันแลว ขันธที่ประกอบอยูดวยอุปาทาน ๕ ประการนั้นเปน ตั ว ทุ ก ข คื อ การมี อุ ป าทานคื อ ยึ ด ถื อ หิ้ ว หอบในขั น ธ ทั้ ง ๕ นั้ น เป น ตั ว ทุ ก ข ; เช น เดียวกับคําที่วา ภาราทานํ ทุกฺขํ โลเก - การแบกของหนักเปนทุกขในโลก. คํ า ถามที ่ตั ้ง เมื ่อ ตะกี ้ว า อะไรเปน ตัว ทุก ข ? หรือ เปน ตัว หนัก ก็ไ ด ก็ตองบอกวาการหิ้ว การถือ ยึดถือ นั่นแหละเปนตัวหนัก หรือเปนตัวทุกข. ยุ ติ ไ หมข อ นี้ ? การหิ้ ว หรื อ ถื อ ที่ เ รี ย กว า อุ ป าทานในสิ่ ง ใดก็ ต ามที่ อุปาทานวาเราวาของเรานั้นนะ, การหิ้วการถืออะไรนั่นแหละเปนตัวทุกข.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ขออภั ยอี กครั้ง คื อว า บางครั้งถ าเราเดิ นหิ้ วของ จะไม มี ความรูสึ กว าหนั ก มั นจะ เป นอยู ช วงหนึ่ งที่ มี ความรูสึ กวาหนั ก. บางครั้งเราเดิ นคุ ยกั นไปเพลิ น ๆ ถ าเรามี เพื่ อน เราหาบ น้ําสักสองกระปอง บางทีเราคุยไปเพลิน ๆ แลวไมหนัก.
เอาละ เข า ใจแล ว ๆ ไม ต อ งพู ด มากเวลาน อ ย, มื อ เปล า ๆ กั บ มื อ ที่ ถื อ น้ํา กระปองนมอยางนี้อันไหนหนักอันไหนรูสึกหนัก ? มือเปลา. ถ าจะเอามารู สึ กละก็ ถ ามี สิ่ งอื่ น อยู บ นมื อนี่ อั น นั้ น ก็ ห นั ก ถ ามื อเปล า ๆ ไม ห นั ก
เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม
๔๑๙
ที่ เราว ามื อ เปล า ๆ ไม ห นั ก เพราะว าน้ํ ากระป อ งนิ ด เดี ยว มั น ก็ ต องหนั ก เพราะวา มีก ารถือ นี ่. ฉะนั ้น เราจึง วา หนัก ที ่ก ารถือ . ถา สิ ่ง ของนั ้น แมส ัก ชิ ้น หนึ ่ง ถา เราไมไ ดถ ือ มัน ก็ไ มห นัก ; แตเ ดี ๋ย วนี ้น้ํ า กระปอ งเดีย ว นิด เดีย ว ถา ไปถือ เขา มั น จะมี ค วามหนั ก . เบญจขั น ธ ก็ เหมื อ นกั น ถ า อย า ไปถื อ เอามาเป น เรา เป น ของเรา, ขันธเล็ก ขันธนอย ขันธใหญก็ตาม มันไมหนัก. ยุ ติ ห รื อ ยั ง ว า เพราะการถื อ จึ ง มี ก ารหนั ก และมี ค วามทุ ก ข . ถ าไม ถื อ ก็ไมหนัก. ถาจะซักก็ซัก, ถาจะแยงก็แยง. ไม แย งคื อ อยากจะหาความรู เพิ่ ม ขึ้ น คื อ เช น ว า อย างป ญ หาที่ ว า บางครั้ งเราไม รูสึกตัววาอะไรที่ทําใหเราหนัก มันจะมีชวงระยะหนึ่งที่วาพอมีความรูสึกขึ้นมา.
นี่หมายความวา เราถือไวโดยไมรูสึกตัววาเราถือใชไหม ? ชวงนั้นนั่นแหละจะเรียกวาอะไร
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org มั นก็ ยั งต องหนั ก กว าที่ ว าเราไม ได ถื ออะไร; แม ว าเราจะไม รู สึ กตั วว าเรา ถื อ ไว มั น ก็ จ ะต อ งหนั ก กว า ที่ ว าเราไม ได ถื อ อะไร. มั น มี กิ เลสอื่ น มาแทรกแซง เช น ว า เราจะถื อ ก อ นทอง เพชรพลอยอะไรไป นี้ ค วามดี ใ จความอะไรต า ง ๆ มั น ทํ า ให ไมรูสึกหนัก. แตตองพูดกันโดยขอเท็จจริงกันแลว ถามีการถือก็ตองมีความหนัก.
เพื่ อ จะยุ ติ กั น เสี ย ที ว า ความทุ ก ข นั้ น เกิ ด ขึ้ น เพราะการถื อ . ยุ ติ ห รื อ ไม ยุ ติ ว า ความทุ ก ข ต อ งเกิ ด ขึ้ น เพราะการถื อ ถ า ไม มี ก ารถื อ ก็ ไม ห นั ก ชี วิ ต ร า งกาย
๔๒๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
อะไรทุ ก อย าง ถ าเราไม ถื อ ไว ว าเป น ของเรา มั น ก็ ไม ห นั ก . ยุ ติ ไหม ว า หนั ก เพราะ ถือ ถือจึงไดหนัก ? ก็ ยั งขอถามอี กข อหนึ่ งเรื่ องความหนั ก ความรู สึ กนี่ อยากจะให ท านอธิ บ ายว า เช น บางครั้ งเราจะถื อ ทองคํ านี่ สั ก ก อ นหนึ่ ง กั บ ก อ นหิ น น้ํ าหนั ก เท ากั น นี่ ที นี้ ค วามรู สึ ก ที่ เกิ ด หนั ก บางคนถ าถื อทองคํ าเท าก อนหิ นแล วจะมี ความรู สึ กว าไม หนั กเลย พอถื อก อนหิ นแล วจะรู สึ กหนั ก อยากใหทานอธิบายวา ขณะจิตนั้น เพราะอะไรจึงมีความรูสึกหนัก.
นี่ เถลไถลไปนอกเรื่ อ ง ก็ ใ นเรื่ อ งต อ งการจะพู ด ว า เพราะถื อ จึ ง ได ห นั ก หรื อ ว า เพราะถื อ จึ ง ได เป น ทุ ก ข ยุ ติ นี้ กั น เสี ย ที ก อ น, เดี๋ ย วก็ จ ะไปถึ ง นั้ น ที ห ลั ง นั้ น มัน เปน เรื่อ งปลีก ยอ ยวา เพราะถือ จึง ไดห นัก เพราะถือ จึง ไดเ ปน ทุก ข นี ่ย ุติ หรื อ ยั ง ? ข อ นี้ ก็ ข อยุ ติ ไ ด ก็ เ ป น ของจริ ง แล ว ที่ ว า เพราะถื อ จึ ง ได ห นั ก หรื อ ว า เพราะวาถือจึงไดเปนทุกข. เดี๋ ยวก็ จะรอฟ งท านเหมื อนกั น เรายั งจะไม พู ด เรื่ องนั้ น บอกว ากํ าลั งจะสอน
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ก ข ก กา, กําลังจะสอน ก ข ก กา แกคนเหลานี้ทุกคนแมที่เปนครูบาอาจารย. เอาละขอวายุติแลว ถายอมรับวาเพราะถือจึงไดหนักหรือเปนทุกข.
ที นี้ อย า งไรเรี ย กว า ถื อ ? คื อ จะถามพรอ มกั น ว า อย างไรเรีย กว า ถื อ ? เดี๋ยวนี้คุณกําลังยึดถือเบญจขันธอันใดอันหนึ่งไหม ?
ขณะนี้ ใช ไหมคะ ? ขณะนี้ ดิ ฉั น ก็ กํ า ลั งยึ ด ถื อ ขั น ธ ๕ นี่ แ หละค ะ เดี๋ ย วนี้ คุ ณ
ก็ กํ าลั งเป น ทุ กข แบกขั นธ ๕ อยู อย างนั้ นหรื อ ก็ ขณะนี้ กํ าลั งยกตั วอย างสภาวะความ
เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม
๔๒๑
เป นจริ งขณะนี้ ลมพั ดมา ก็ รู สึ กหนาว นี่ ก็ รู สึ กว าจะมี อาการที่ ว ายั งไม ปกติ นั่ นแหละเดี๋ ยวนี้ จึ ง
จะพู ด ถึ ง จะพู ด ให รู ว า เรามี ค วามยึ ด ถื อ หรื อ แบก หรื อ ถื อ อยู ต ลอดเวลาอย างนั้ น หรือ ? ขอตอบด วยสภาวะความเป นจริงว าไม ตลอดเวลา คนที่ มาทั้ งหมดนี้ ก็ คงจะไม มี ใครได แ บกอะไรอยู ต ลอดเวลา จะยึ ด ถื อ แล ว ก็ แ บกอยู แ ต เพี ย งบางเวลา เท า นั้ น ใช ไหม ? ขอประทานโทษบางท านที่ นั่ งอยู นี้ อาจจะตอบดี กว าดิ ฉั นก็ ได โอ ย, ไม ได ดอก เวลา ไมพ อที ่จ ะโยกโยค นนั ้น ทีนี ้ท ี แลว คุณ ก็เ ปน นัก ซัก ที ่ด ี เอามาคนเดีย วก็พ อ. ว า คนเราไม ไ ด ยึ ด ถื อ อยู ต ลอดเวลาใช ไ หม ? ยั ง มี เวลาที่ ว า ง ที่ ไ ม ยึ ด ถื อ ใช ไ หม ? ใช, ความจริงเปนอยางนั้นไมไดยึดถืออยูตลอดเวลา. เช นว า ลมพั ดอย างนี้ หรื อว าหนาวนี้ ถ าเราไม ได ยึ ดถื อเราก็ ไม เป นทุ กข , เพี ยงแต รู สึ ก ว า หนาว ๆ; แต ก็ ไ ม ยึ ด ถื อ เป น ความหาว เป นโมโหโทโส จนมี อุ ป าทาน, ก็ แ ปลว า แม ล มพั ด บางที ก็ ยึ ด ถื อ บางที ก็ ไ ม ยึ ด ถื อ . แต ป ระเด็ น สํ า คั ญ จะตอ งการใหเห็น ในขอ ที ่วา เมื ่อ ยึด ถือ จะตอ งเปน ทุก ข แตวา โชคดีที ่วา คนเรา มิ ได ยึ ด ถื อ อยู ต ลอดเวลา จริ งใช ไหม ใช ค ะ ถ ายึ ด ถื อ อยู ต ลอดเวลา ทุ ก ครั้ งหายใจ เข าออกทั้ งวั น ทั้ งคื น ทั้ งหลั บ ทั้ งตื่ นมั นจะเป นอย างไร ? ก็ จะต องมี ความทุ กข เรารอน อ ยู ต ล อ ด ทั ้ ง วั น ม า ก ก ว า นั ้ น มั น จ ะ บ า ต า ย ไ ม ไ ด ม า นั ่ ง อ ยู ที ่ นี ่ ล อ ง ไปคิดดูทุกคนซิ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ ายึ ด มั่ น ถื อ มั่ น อยู ในขั น ธ ใดขั น ธ ห นึ่ ง ตั วกู - ของกู อย างใดอยู ตลอดเวลา ทั้งวันทั้งคืน แลวมันเปนบานานแลว มันตายนานแลว ; ถึงอยาก จะใหคํานวณดูใหมวา เวลาของเรา ๒๔ ชั่วโมงหรือเทาไรก็ตาม เวลาที่เรายึดถือ กับเวลาที่เราไมยึดถือนั้น เวลาไหนมากกวา ? เวลาที่จิตของเรายึดมั่นถือมั่นขันธ
๔๒๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
มี อุ ป าทานกั บ เวลาที่ จิ ต ไม ได ยึ ด มั่ น ขั น ธ อุ ป าทานนี้ เวลาไหนมั นมากกว า ? เวลา ที่ ยึ ดถื อมากกว า หรื อเวลาที่ ไม ยึ ดถื อมากกว า ? อั นนี้ ท านจะให เฉพาะตั วดิ ฉั นตอบใช ไหม ? ที่ คุ ย ก อ นซิ ตอบแทนคนอื่ น . ก็ ห มายถึ งว า เวลาที่ ยึ ด ถื อ มากกว า เวลาที่ ยึ ด ถื อ ฉะนั้ น จึ ง เป น คนอยู ไ ด ไม เช น นั้ น บ า แล ว ตายแล ว ไม ม าเป น อย า งนี้ อ ยู ไ ด . คนอื่ น ก็ เหมื อ นกั น แหละ คิ ด ดู ใ ห ดี เถอะ เวลาที่ เรากลั ด กลุ ม เป น ตั ว กู - ของกู นั้ น มั น มี เป น ครั้ ง คราว เหมื อ นกั บ เราหิ้ ว ก อ นหิ น หนั ก ๆ นี้ เราจะหิ้ ว อยู ต ลอดเวลาไม ไ ด มื อ มั น หลุ ด แน , แขนมั น หลุ ด แน , มั น ต อ งมี เวลาที่ ทิ้ ง ที่ ว างที่ อ ะไรบ า ง มั น จึ ง จะ หยิบขึ้นมาหิ้วชั่วขณะ. ฉะนั้ น การที่ จะถื อเบญขันธ รูป เวทนา สัญญา สั งขาร วิญญาณ ดวย อุปาทานวา เรา - ของเรานั้ น มั นมี เป นบางเวลา; เวลาที่อวิชชาเขามาประสมโรง เราก็จะมี ตัณ หาอุปาทานยึดถือ ; ถ าอวิช ชามิ ได ม าประสบโรงแล วก็ ไม มี ก ารยึ ด ถื อ. ก็ไลมาโดยลํ าดั บวา เมื่ อยึ ดถื อก็ มี ความหนั กและทุ กข, เมื่ อไม ยึดถื อก็ไม มี ความ หนั ก และทุ ก ข แล ว เราไม ได ยึ ด ถื อ อยู ต ลอดเวลา และว า เวลาที่ ยึ ด ถื อ นั้ น มี น อ ย กว า มาก น อ ยมากกว า เวลาที่ ยึ ด ถื อ . เพราะฉะนั้ น เราจึ งเป น คนปกติ อ ย า งนี้ อ ยู ได คื อมี ความทุ กข พอที่ จะไม ตาย, มี ความทุ กข พอที่ จะให ได มี โอกาสหยุ ดพั กผ อนศึ กษา ค นคว าหาความดั บทุ กข ต อไปได . ถ ามี ความยึ ดถื ออยู ตลอดเวลา เป นทุ กข อยู ตลอด เวลานี้ ไมมีระยะเวลาวางเวน เราก็ไมมีระยะที่จะมาศึกษาสนทนาอยางนี้อยูได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เอา , สรุป วา ตอ เมื ่อ ยึด ถือ จึง จะเปน ทุก ข. นี ้เ ราไมพ ูด ตามพระ พุ ท ธเจ า เพราะว า พระพุ ท ธเจ า ท า นทรงประสงค ว า ให ทุ ก คนมองเห็ น เอง ด ว ยตน เอง; เช น ว า ความยึ ด ถื อ เป น ความทุ ก ข อ ย า งนี้ ก็ จ ะมองเห็ น เองว า จิ ต เมื่ อ ยึ ด ถื อ อะไรอยู มั น เป น ความทุ ก ข , เมื่ อ จิ ต ไม ยึ ด ถื อ อะไรก็ เป น ความทุ ก ข . ถ า พู ด ตาม
เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม
๔๒๓
พระพุ ทธเจาก็ตรงกันพอดี ทานวา ภาราทานํ ทุ กฺขํ โลเก - การถือของหนั กเป น ทุกข, ภารนิกฺเขปนํ สุขํ - สลัดของหนักทิ้งไป ไมเปนทุกข. ที นี้ อะไรเล า ที่ เ ป น ของหนั ก ที่ ม นุ ษ ย เ รายึ ด ถื อ กั น อยู ? ตอบว า อย างไร ? ถามว า มี อ ะไร มนุ ษ ย เรามี อ ะไรที่ เป น ของหนั ก ที่ ยึ ด ถื อ กั น อยู . มนุ ษ ย ยึ ด ถื อ เป น ข อ งห นั ก จึ ง ได ม ี ค ว าม ทุ ก ข . ค น ทั ่ ว ไป รว ม ทั ้ ง คุ ณ เอ ง ด ว ย ยั งยึ ดถื ออะไรอยู มั นจึ งได เกิ ดเป นของหนั กที่ เป นทุ กข ? หมายถึ งจะเอาเรื่องตั ว หรื อ เอาภายนอกที่ วั ต ถุ ก็ ได เป น คํ า ถามที่ ก ลางที่ สุ ด ว า คนเรายึ ด ถื อ อะไรอยู จึ งได เปนทุกข หรืออะไรเปนเรื่องที่เขายึดถือกัน. คําถามนี้ ก็ตอบไปเมื่อกี้นี้แลววา หมายความวายึดขันธ ๕ ยึดตัวเอง.
จะเรี ย กว า ยึ ด ขั น ธ ๕ ยึ ด ตั ว เองก็ ไ ด จะเรี ย กว า ยึ ด ขั น ธ ๕ ก็ ไ ด มั น เล็งถึงสิ่งเดียวกัน. ขันธ ๕ มีอะไรบาง ? มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ลู ก เด็ ก ๆ เหล า นี้ จํ า ไว ใ ห ดี บางที ไ ม เคยได ยิ น ว า ขั น ธ ๕ นี้ มี รู ป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ, แลวก็เรียกวาขันธ ๕.
ขั น ธ ที่ ๑ คื อ รู ป ขั น ธ ขั น ธ ที่ ๒ คื อ เว ท น า ขั น ธ ขั น ธ ที่ ๓ คื อ สั ญ ญาขั น ธ ขั น ธ ที่ ๔ คื อ สั ง ขารขั น ธ ขั น ธ ที่ ๕ คื อ วิ ญ ญาณขั น ธ แล ว ยั ง ไม รู ว า อะไรใช ไหม ? เท า ที่ พู ด จ อ มานี่ ลู ก เด็ ก เหล านี้ ยั งไม รู ว าอะไร. คุ ณ พอจะอธิ บ ายให เขาฟงไดไหมวา รูปขันธ เวทนาขันธ เปนตนนี้ คืออยางไร ?
๔๒๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ท านจะให อธิ บายหรือคะ บางขณะบางที ดิ ฉั น อธิ บาย ท านอาจจะไม เข าใจ ก็ลองวาไปซิ ถาทานอนุญาต ถาผิดพลาดทานก็ชวยเสริมดวย.
อยาเสียเวลาในเรื่องอยางนี้ซิวาไปก็แลวกัน. คื ออย างนี้ ที่ ได ศึ กษา คื อว า รู ปเป นสิ่ งที่ เราจั บต องได จั บได หมายถึ งว า ความ รู สึ ก เรี ย กว า รู ป เช น ว า เย็ น ร อ น อ อ นแข็ ง ในร า งกายเรานี่ ที่ สั ม ผั ส ได เรี ย กว า รู ป แล ว เวทนา ก็ คื อความรู สึ ก เช น ว าความรู สึ ก ในร างกาย จะยกตั วอย างบางครั้ งก็ ต อ งยกตั วอย าง เหมื อ นกั น เช น อย างนั ก ศึ ก ษานี่ ขณะที่ เรารู สึ ก ว า เราหนาว ขณะนี้ เราก็ เกิ ด เวทนาขึ้ น หรื อ เราจะไปเหยี ย บก อ นดิ น ร อ น ๆ เราก็ เรี ย กว า เวทนา แล ว เช น ว า เราถู ก น้ํ า ร อ นลวก มั น ก็ เกิ ด เวทนาขึ้น. สั ญญาในที่ นี้ ก็ หมายถึ งว า จํ าได หมายรู เช นว า นั กศึ กษานี่ อาจจะอยู กั นคนละต าง จั งหวั ด แล วก็ ม าพบกั นที่ สวนโมกข นี่ เคยรู จั กกั นมาก อน แล วก็ ม าพบกั น นี่ แหละการทํ างาน ที่ เรี ยกว า จํ าได หมายรู ว าเพื่ อนคนนี้ ชื่ อแดงนะ นี่ คื อสั ญ ญา ว าเพื่ อนคนนี้ ชื่ อแดง พอมาเจอกั น อี ก ครั้ ง หนึ่ ง ที่ นั่ น อาจป ที่ แ ล ว พบกั น ที่ ก รุ ง เทพฯ ป นี้ เรามาพบกั น ที่ ส วนโมกข เราก็ จํ า ได หมายรูนี้เรียกวาสัญญา
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ สั งขารในที่ นี้ หมายถึ งว า ความนึ กคิ ด เช นว านั กศึ กษานี้ จะมี ความต องนึ กคิ ด คิ ดจะทํ าอะไร จะทํ าอย างไร นี่ ยั งไม พู ดถึ งทุ กข พู ดถึ งขั นธ ห าที่ ยั งไม มี ทุ กข สั งขารตอนนี้ ที่ เรา มี ความนึ กคิ ดนี่ เรี ยกว าสั งขาร คนเราจะต องทํ าอย างไร และจะต องมี ความนึ กคิ ดว า เราจะทํ าอะไร นี่เรียกวา สังขาร.
แล ววิ ญ ญาณในที่ นี้ ก็ หมายถึ งว า จะเรียกว าจิ ตหรือความรูสึ กวิ ญ ญาณในที่ นี้ ก็ เปรี ยบง ายเหมื อนกั บ ว า การทํ างานของจิ ตที่ เราไปรั บ ความรู เช นว า ตาเราไปเห็ นรู ป ลั กษณะ
เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม
๔๒๕
อะไรต าง ๆ นี้ คื อ ว าจิ ต เข าไปรั บ รู หรื อ จะเรี ย กว าวิ ญ ญาณ ๖ ก็ ได ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ จิตนี่เขาไปรับรู.
นี่ คื อ เรีย น ก ข ก กา มาอยางไม เป น ลํ าดั บ ไม ถู ก ต อ ง ไม เรีย บ รอย, แลวก็ไปเอาฝอย เอายอดอะไรไมรูมาพูดใหมันมากเรื่อง. เมื่ อ ตะกี้ บ อกแล ว นะว า วั น นี้ เราจะสอน ก ข ก กา กั น ที เดี ย ว, ตั้ ง ต น ด ว ย ก ข ก กาเรี ย น ก ข ก กา อย า งแบบใหม ให ส มกั บ ป ใหม . ให มี ค วามรู เรื่ อ ง ก ข ก กา อยางชัดเจนถูกตองเต็มที่ตามที่เปนจริง. คุ ณ ไม ได เรียน ก ข ก กา มา อยา งถูก ตอ งตามลํ า ดับ ๆ, เรีย นพรวดพราด เรีย นอยา งผู ใ หญ เรีย นหนัง สือ หรือวาแบบเบสิค ที่มันไมมีรากฐาน, จึงพูดยกตัวอยางมากเกินไป หรือออมคอม. สิ่ งที่ เรี ย กว า ขั น ธ แล ว ก็ สิ่ งที่ เรี ย กว า อายตนะ และสิ่ งที่ เรี ย กว า ธาตุ สามอย า งนี้ คื อ ก ข ก กา เดี๋ ย วนี้ เรากํ า ลั ง เรี ย นมาจากข า งบน คื อ เรี ย นขั น ธ ว า รู ป เวทนา สั ญ ญา สั ง ขาร วิ ญ ญาณ; เพระว า ขั น ธ นี้ เป น ของหนั ก ถ า เราเอามา ถื อ เมื่ อ ไรเป น หนั ก เมื่ อ นั้ น เป น มี ค วามทุ ก ข เมื่ อ นั้ น มั น กลายเป น ป ญ จุ ป าทานขั น ธ ไป, มั น เป น ของหนั ก และเป น ทุ ก ข , ถ า ยั ง เป น ขั น ธ เ ฉย ๆ อย า งขั น ธ ๕ นี้ ยั ง ไม เป นทุกข. ไม มี เลยที่ พ ระพุ ท ธเจาจะตรัสวา ขัน ธ ๕ เป น ทุ กข ; แตจ ะตรัส วา ขัน ธ ๕ ที ่ย ึด มั ่น ดว ยอุป าทาน จึง จะเปน ทุก ข. ถา ตรัส วา ขัน ธ ๕ เปน ของ หนั ก มั น ก็ ห นั ก อยู ต รงนี้ เหมื อ นก อ นหิ น นี้ มั น ยั งไม ม าเป น ความทุ ก ข แ ก เรา เพราะ เราไมไดถือ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๔๒๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
เราต อ งรู จั ก ขั น ธ นี้ เ ป น ๒ ชนิ ด คื อ ขั น ธ ที่ เ รามิ ไ ด ถื อ เหมื อ นก อ นหิ น ก อ น นี ้ ที ่ เ รามิ ไ ดแ บ ก , อี ก ช นิ ด กอ น หิน ก อ น นี ้ที ่เ ราเอ าม า แบ ก ไวบ น บา . มัน เปน ๒ ชนิด กอ นหิน ที ่ม ิไ ดแ บก เปน ขัน ธเ ฉย ๆ เปน เบ็ญ จขัน ธเ ฉย ๆ, กอ นหิน ที่แบกอยูเรียกวา ปญจุปาทานักขันธ คือขันธที่ ๕ ที่มีอุปาทานแบกเอาไว.
ถา เปน รูป เรีย กวา รูป ขัน ธ ยัง ไมเ ปน ทุก ข, ถา ไปแบกรูป ขัน ธไ ว มันกลายเปนรูปูปาทานขันธ; ขันธนี้แบกแลว หนักแลว, เปนทุกขอยูที่การแบก. เวท น าขัน ธ ก็เ ห มือ น กัน ไมเ ปน ทุก ข; แตถ า ไป ยึด เอ าเวท น า เป น เวทนาของกู เ ข า เมื่ อ ไร ก็ ก ลายเป น เวทนู ป าทานขั น ธ ขึ้ น มาที เดี ย วแล ว ก็ เป น ทุกข. สั ญ ญาก็ เหมื อนกั น ถ าใครมี สั ญ ญาว ของกู เอาสั ญ ญาเป นของกู แล วก็ เปนทุกข.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สั ง ขาร ก็ เ หมื อ นกั น อี ก ถ า สั ง ขารเฉย ๆ มั น ก็ ไ ม ไ ด แ บกมั น ก็ ไ ม เ ป น ทุกข; แตพอเอามาแบกมาถือเขา เปนสังขารูปาทานขันธ มันก็ทุกขอีก.
วิ ญ ญาณเฉย ๆ ก็ ไม เป น ทุ ก ข ; แต พ อคนเอามาถื อ เป น วิ ญ ญาณของกู เปนตัวกูเขาเทานั้น ก็เปนวิญญาณูปาทานขันธ ก็เปนทุกข. คุณจะชวยอธิบายความแตกตางระหวางคําวาขันธ กับ อุปาทานขันธ ทีไดไหม ? ไปทีละอยาง เชนรูปขันธกับรูปูปาทานขันธนี้มันตางกันอยางไร ?
เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม
๔๒๗
เมื่ อตะกี้ ท านบอกว าให อธิ บ ายเรื่ องขั นธ ๕ แต ท านไม ได ห มายว า ให ช วยอธิ บ าย เรื่องขันธ ๕ ที่เปนทุกข.
นั ่น แหละเดี ๋ย วนี ้จ ะใหช ว ยเปรีย บเทีย บใหเ ขาฟง วา ขัน ธ ๕ ที ่ถ ูก ยึ ด ถื อ กั บ ขั น ธ ๕ ที่ ไ ม ถู ก ยึ ด ถื อ นี้ มั น ต า งกั น อย า งไร ? ให นั ก ศึ ก ษาโดยเฉพาะ พวกลู ก เด็ ก ๆ นี่ ได ฟ ง ว า รู ป ที่ ถู ก ยึ ด ถื อ กั บ รู ป ที่ ไม ถู ก ยึ ด ถื อ นี้ มั น ต า งกั น อย า งไร ? จะได รู ว า ต อ เมื่ อ ยึ ด ถื อ จึ งมี ค วามทุ ก ข . ยกตั ว อย างร างกายนี้ ที่ ยึ ด ถื อ กั บ ไม ยึ ด ถื อ มันตางกันอยางไร ? รูปที่ไมมีอุปาทาน ก็เมื่อกี้ก็อยูในประเด็นที่ทานอธิบายแลวไมใชหรือ
ศึกษาใหเขาใจคําวาทุกข. ใหย กตัว อยา งที ่เ ห็น ชัด ในวัน หนึ ่ง ๆ ของคนทุก คนวา สว นที ่เ ปน รางกายก็ ดี , ส วนที่ เป นจิ ตใจก็ ดี , ส วนที่ เป นความรูสึ กก็ ดี , ที่ มั นมี อยู ตามธรรมชาติ นั ้น มัน ไมไ ดม ีค วามทุก ขแ กเ รา หรือ แกจ ิต ของเรา. แตม ัน มีค วามทุก ขใ น ความหมายอื ่น ; เพราะคํ า วา ทุก ขม ัน มี ๒ ความหมาย. พูด เสีย เลยกอ นก็ไ ด นี่ มั น จะเป น ก ข ก กา อั น หนึ่ ง ที่ ยั ง ไม ค อ ยจะเรี ย นกั น ให ดี เพราะว า ไม เคยเรี ย น บาลี ; แมแตคนที่เรียนบาลี ก็ยังสะพรา ไมรูวาตัวไหนมีความหมายอยางไร.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ยกตัว อยา ง กอ นหิน กอ นนี ้ เปน ทุก ขแ กบ ุค คลผู แ บก ; ถา เปน ทุ ก ข แ ก บุ ค คลผู แ บก คํ า ว า ทุ ก ข นั้ น มั น หมายถึ ง ทํ าให เขาเจ็ บ ปวดรวดรา วทนอยู ไม ไหว. คํ าว าทุ ก ข นั้ น หมายความว าทนยากเหลื อ เกิ น ทนไม ไหว มั นจะตายอยู แล ว นี่ก็ทุกขเพราะแบกกอนหินอันนี้ การแบกนั้นทําใหเปนทุกข.
๔๒๘
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ทีนี้ม ีค วามทุก ขอ ยูอ ีก หนึ ่ง ที่วา ถา สังขารใดไมเที ่ย ง สัง ขารนั ้น เป น ทุ ก ข คุ ณ เคยได ยิ น ไหม ? สิ่ งใดไม เที่ ย งสิ่ งนั้ น เป น ทุ ก ข ก อ นหิ น นี้ เที่ ย งไหม ? ไมเที่ยง ถาไมเที่ยงกอนหินนี้ตองเปนทุกขใชไหม ? อันนี้ที่ทานหมายถึงจะให... ที่ทานถามหมายถึงจะเอา ทุกขภาวะ หรือปกิณณกะ.
อั น นั้ น เพราะฟ ง ไม ถู ก . ถามว า เมื่ อ สิ่ ง ใดไม เที่ ย ง สิ่ ง นั้ น เป น ทุ ก ข . เดี ๋ย วนี ้ก อ นหิน นี ้ไ มเ ที ่ย ง กอ นหิน นี ้ต อ งเปน ทุก ขไ หม ? เปน ถา เปน ทุก ขนี้ ความหมายอย างอื่ น , เป นทุ กขเพราะวาดู แล วน าเกลี ยดน าชัง น าอิ ดหนาระอาใจ คือ มัน มีล ัก ษณะแหง ความทุก ข. ถา พูด วา กอ นหิน นี ้เ ปน ทุก ข คํ า วา ทุก ขคํ า นี้ ตองแปลวามีลักษณะแหงความทุกข ซึ่งดูแลวนาระอาใจ. ถ า เรามองเห็ น ความไม เ ที่ ย งของก อ นหิ น ก อ นนี้ เราจะนึ ก ระอาใจ สั ง เวชไหม ? ว า แม แ ต ก อ นหิ น ยั ง รู จั ก ไม เที่ ย ง เราก็ สั ง เวช เพราะมั น มี ลั ก ษณะ แหง ความทุก ข. นี ่คํ า วา ทุก ขัง นี ้แ ปลวา เปน ตัว ทุก ขก ็ม ี คํ า วา ทุก ขัง แปลวา มีล ัก ษณะแหง ความทุก ขก็ม ี. ทีนี้คํา วา ทุก ขัง แปลวา นํ า มาซึ่ง ความทุก ข ก็มี นี้อยางนอยสามอยาง อยางนี้คําวาทุกขัง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถาไมเรียน ก ข ก กา นี้ กันเสียใหดีแลว ทุกคนจะฟงไมถูก เพราะทุกขัง แปลวา เปนทุกขไปเสียหมด; ไมถูก. ทุกขัง แปลวา เปนทุกข; ถาอยางนี้ ละก็ตองหมายความวา ทุกขทรมานเพราะเราไปแบกอะไร ถืออะไรเขาไว ถาวา สิ่งใดไมเที่ยง สิ่งนั้นเปนทุกข นี้มีลักษณะแหงความเปนทุกข ดูแลวสังเวชใจ
เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม
๔๒๙
ทีนี้วา นํามาซึ่งความทุกข เชนวา ทุกฺโข ปาป จ อุจฺจโย อะไรก็ตาม การทําบาปนั้นเปน ทุกข คือนํามาซึ่งทุกข. คําวาทุกข แปลวา นํามาซึ่งทุกข. ฉะนั้ นขอให ทุ กคนโดยเฉพาะนั กศึ กษาเด็ ก ๆ ให รูว าคํ าว า ทุ กขั ง นี้ อย าง น อ ยมี ๓ ความหมาย : ๑. แปลว า เป น ทุ ก ข ท รมาน แก ผู ที่ เข า ไปยึ ด ถื อ . ๒. แปลวา มี ลั ก ษณะแห งความทุ ก ข ส องแสดงอยู ที่ นั่ น, ทั้ งที่ เราไม ได ไปยึ ดถื อมั นเลย ไม ไ ด ไ ปแบกมั น เลย, มั น มี ลั ก ษณะแห ง ความทุ ก ข . เช น ก อ นหิ น ก อ นนี้ มี ลั ก ษณะ แหง ความทุก ข เพราะมัน ไมเ ที ่ย งมัน เปลี ่ย นแปลงเรื ่อ ย, มัน มีแ ลว มัน ไมม ี, มัน มีล ัก ษณะแหง ความทุก ข นี ้ก ็เ รีย กวา ทุก ขเ หมือ นกัน . ๓. ทีนี ้ก ารกระทํ า บางอย างเป น ทุ ก ข เพราะวามั น นํ ามาซึ่ งทุ ก ข คื อ ทํ าชั่ ว เป น ทุ ก ข เพราะวามั น นํ า มาซึ่ ง ทุ ก ข . ทุ ก ขั ง อย า งนี้ หรื อ ว า ทุ ก โข ทุ ก ขา อะไรก็ ต าม มั น นํ า มาซึ่ ง ทุกข. และยังมีความหมายอยางอื่นอีก.
ขันธประกอบดวยอุปาทาน เปนทุกข.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ ใน ๓ ความหมายนี้ ที่ ว า ขั น ธ ที่ ป ระกอบอยู ด วยอุ ป าทาน ที่ เป น ตัว ปญ หานั ้น มัน หมายถึง เปน ทุก ข. มัน เกิด เปน ปญ หา เพราะมัน เปน ทุก ข. ถ ามั นไม เป นทุ กข มั นไม มี ป ญ หา, ถ ามั นเป นทุ กข อยู แต มั น มั นไม มาเนื่ องกั นกั บเรา มัน ก็ไ มเ ปน ปญ หาแกเ รา. ฉะนั ้น เราไมต อ งสนใจก็ไ ด, เราสนใจแตใ นแงที ่ม ัน มาบี บ คั้ น เรา ทรมานแก เรา เพราะว า เราไปยึ ด ถื อ มั น . ในเรื่ อ งของอริ ย สั จ จ ๔ ทรงแสดงการยึดเบญจขันธทั้ง ๕ เปนตัวตนนี้วาเปนตัวความทุกข.
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
๔๓๐
นี้ เราควรจะขยายแจกลู ก กะ กา กิ กี กึ กื ต อไปอี กว า เมื่ อไรมี เบญจขั นธ เกิ ด ขึ้ น ? แล วเมื่ อ เบญจขั น ธ เกิ ด ขึ้ น แล ว ในกรณี อ ย างไรเรี ย กว า ยึ ด ถื อ ? ในกรณี อยางไรเรียกวาไมไดยึดถือ ?
ขันธ ๕ มิไดเกิดตลอดเวลาและเกิดคราวละอยาง. เดี๋ ย วก อ น จะถามให ชั ด กว า นี้ ว า คุ ณ ถื อ เบญ จขั น ธ เ กิ ด อยู ต ลอด เวลาไหม! ไม . เบญจขั นธจะเกิ ดขึ้ นอยู เป นบางครั้งบางคราว. เมื่ อไรเบญจขั นธเกิ ด ขึ้น ? เมื่ อไรสิ่งที่เรียกวาเบญจขั น ธล วน ๆ ยั งไม เกิ ด อุ ป าทาน ? เมื่ อไรเบญจ ขั น ธ ทั้ ง ๕ นี้ เกิ ด ขึ้ น คุ ณ จะถื อ ว าเกิ ด พรึ บ เดี ยวทั้ ง ๕ หรื อ ว าเกิ ด มาที ละอย าง ๆ ? เกิดทีละอยาง.
นี่ ช ว ยจํ า ไว ด ว ย ตรงนี้ แ หละเป น ก ข ก กา ที่ ถ า จํ า ผิ ด แล ว ผิ ด หมด ถ าใครถื อ ว าเบญจขั น ธ เกิ ด ที เดี ยวพรึ่ บ ทั้ ง ๕ อย างนี่ เขาว าเอาเอง. แล วไม อ าจจะ มองเห็นได, แลวก็ผิดหลักพระบาลีอะไรไปหมดเลย.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เบญจขั น ธ ขัน ธ ๕ นี้ ไม เกิ ด อยูต ลอดเวลา, จะเกิ ด แต บ างครั้งเ มื่อมีเหตุปจจัยพอ, และการเกิดของมันนั้นไมอาจจะเกิดพรึ่บเดียวทั้ง ๕ จะตอง เกิดมาตามลําดับ, หรือวาตามที่มันจะเปนปจจัยแกกันและกัน.
ที นี้ ต ามที่ ใ ครจะพู ด ว า เบญจขั น ธ เกิ ด อยู ต ลอดเวลา มั น ก็ เป น เรื่ อ งที่ พู ดกั น ไม รู เ รื่ อ งแน ต อ งเลิ ก พู ดกั น ; เพ ราะบางคนพู ดมากไปถึ ง กั บ ว า แม
เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม
๔๓๑
เขานอนหลั บ อยู เขาก็ มี เบญจขั น ธ อ ย างนี้ . แม เขานอนหลั บ อยู เขาก็ มี เบญจขั น ธ ครบทั้ ง ๕ ขั น ธ อ ย า งนี้ ก็ ไ ม ต อ งพู ด กั น , มั น ไม มี ท างจะพู ด กั น รู เรื่ อ ง ; เพราะว า เบญจขันธนี้จะเกิดขึ้นอยูแตบางเวลา แลวก็เกิดขึ้นมาตามลําดับ. คุณยกตัวอยาง วาเบญจขันธทั้ง ๕ เกิดขึ้นมาโดยอาศัยรูปทางตาเปนอารมณสักตัวอยางไดไหม ? จะขอตอบ ไม ท ราบว า จะถู ก หรื อ จะผิ ด . ว า ไปเลยไม ต อ งออกตั ว ให เสี ย เวลา. หมายถึ งว า เช นว า ตาเห็ นรู ป เบญจขั นธ ที่ จะเกิ ดขึ้ นแต ละครั้ งๆ จะต องถู กผั สสะ หมายถึ งว า ผัสสะเหลานี้ไมใชผัสสะพรอมกันทีละครั้งเชน เมื่อตาเห็นรูป รูปนั้นก็เกิดขึ้น.
นี่จะไม กะ กา กิ กี กึ กื เสียแลว มั นจะแจกกลับถอยหลั งไป ต องตั้ งต น ดว ยตา แลว อาศัย รูป , ตานี ้อ ยู ข า งใน เรีย กวา ตา, แลว รูป อยู ข า งนอก ปฏิจฺจ แปลวา มาถึงกันเขา, แลวอุปฺปชฺชติ จกฺขุวิฺาณํ จะเกิดการเห็นทางตา ยอ นไปไหม ? พระพุท ธเจา ทา นยอมให นี ้เ ปน พระพุท ธภาษิต ; จะยอ นก็ไ ด ตากั บ รู ป อาศั ย กั น แล ว เกิ ด จั ก ษุ ว ิ ญ ญาณ คื อ การเห็ น ทางตา. ทุ ก คน เขา ใจไหม ระวัง ใหด ี ๆ นะ ตอนนี ้ม ัน เปน ตอนที ่จ ะเปน เรื ่อ งเปน ราว. ทางตา ทางหู ทางจมู ก ทางลิ้ น ทางกาย ทางใจ มั น ๖ ทาง. นี้ ยกตั วอย างทางแรกคื อทางตา ตาเห็ นรูป ก็ เกิ ดการเห็ นทางตา, คื อจั กษุ วิ ญ ญาณ นี่ เพี ยงเท านี้ เท านั้ น. ขั น ธ อะไร เกิดแลว รูปขันธเกิดหรือยัง ? ขณะนี้พอตาเห็นรูป ก็รูปขันธเกิดขึ้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org รู ป ขั น ธ เกิ ด แล ว ก็ วิ ญ ญาณขั น ธ เกิ ด หรื อ ยั ง ? อย า งน อ ยก็ วิ ญ ญาณ ขัน ธใ นชั ้น หนึ ่ง ชั้น เล็ก ๆ ชั้น ตน ๆ นี ้ ไดเ กิด แลว คือ วิญ ญาณทางตา คือ การเห็ น รู ป ทางตา, แล ว รูป ขั น ธ ก็ เกิ ด แล ว , กลุ ม ของรู ป ก็ เกิ ด แล ว คื อ กลุ ม รูป ข า ง
๔๓๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ในคื อ ตา. กลุ ม รูป ข างนอกคื อธาตุ ต าง ๆ นั้ น ก็ เรี ยกว ารูป , มั น คุ ม กั น เข าเป น กลุ ม แล ว ก็ เรี ย กว า รู ป ขั น ธ . มั น ติ ด แป ป ๆ ๆ ๆ เป น ไปแต ไม ใ ช ค ราวเดี ย วกั น ได , มั น ก็ เกิดวิญญาณขันธ. ถา ๓ ประการนี่เกิดขึ้นแลว ก็เรียกวาผัสสะ แลว, ผัสสะ นี้จะเรียกวาสังขารขันธ โดยออมก็ได. ที นี้ ถ า เกิ ด ผั ส สะแล ว ต อ งเกิ ด เวทนา คื อ ความรู สึ ก สบายไม ส บาย สุ ขทุ ก ข อ ะไรต าง ๆ นี้ เรี ย กว า เวทนาขั น ธ จึ งเกิ ด หลั งจากเกิ ด การเห็ น ทางตา, คื อ จั ก ษุ วิ ญ ญาณแล ว , จึ ง จะเกิ ด ผั ส สะ แล ว จึ ง เกิ ด เวทนาขั น ธ , หรื อ ว า จะแทรก สัญ ญาที่ ตรงนี้ . ตาเห็ นรูป จํ าได วารูปอะไรก็เรียกวา สั ญ ญาขั นธ เกิ ดแล ว ; แต ที่ จริงสั ญ ญาขัน ธ ตั วนี้ ไม สํ าคั ญ , สั ญ ญาขั น ธ ตั ว หลั งสํ าคั ญ กว า คื อ เมื่ อ มี เวทนา ขึ้นแลว เวทนาเกิดแลว มันไมสัญ ญาวาเวทนาของฉัน, สัญ ญานี้ตัวรายกาจ มาก. หรือวาเวทนาเกิดแลว เกิดสังขารขันธ คือความคิดจะทําอยางไรเกี่ยวกับ เวทนานี ้. ถา เวทนานา รัก ก็ค ิด จะเอา, เวทนานา เกลีย ดก็ค ิด จะทํ า ลาย. นี ่ก็ เรียกวา ความคิดอันนี้เปนสังขารขันธเกิดแลว.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทีนี้เมื่อ เกิด เปน เวทนา ขึ้น มาแลว สุข ทุก ข ขึ้น ในจิต แลว มัน ยัง มีวิญ ญาณขัน ธ อัน อื่น ที่เ ปน มโนวิญ ญาณ, เปน มโนวิญ ญาณเขา มาสัม ผัส ลงไปบนสุ ข หรือ ทุ ก ขเวทนา ที่ เกิด มาทางตานี้ ที ห นึ่ ง. นี่ วิญ ญาณตั ว การ ที่ จ ะ ตอ งใหม ีเ รื ่อ งเปน อวิช ชา ตัณ ห าไดง า ย. มัน เปน มโนสัม ผัส , เปน มโน สัมผัสสชาเวทนา เปนตัวกิเลสไดงาย.
เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม
๔๓๓
ทบทวนอุปาทานขันธ ๕, และขันธลวน. ทบทวนกั น อี ก หน อ ย ว า พอตาทํ า หน า ที่ ขึ้ น มาในการเห็ น รู ป เรี ย กว า รูป ขัน ธเกิด แลว , วิญ ญาณขัน ธท างตาก็เกิด แลว , เวทนาที่ม าจากการสัม ผัส ของตากั บรูปนั้ นก็ เกิ ดแล ว และสั ญญา สํ าคั ญมั่ นหมายวาเวทนา เป นสุ ข สุ ขสั ญญา ทุกขสัญญา อัตตสัญญา มมสัญญา. สัญญาอะไรที่เนื่องจากเวทนา นี่สัญญาที่ รา ยที ่ส ุด ที ่ทํ า ใหเ กิด ทุก ข ไดเ กิด ขึ ้น แลว , แลว ก็เ กิด ความคิด เปน สัง ขาร ขันธ จะทําดีทําชั่วก็เกิดแลว แลววิญญาณ มโนวิญญาณ มารวบรัดเอาทั้งหมด นั้น เปนตัวกู - ของกู : รูปของกู เวทนาของกู สัญญาของกู. นี่มโนวิญญาณทําใหเกิด เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ประเภทที่ ปน ความยึด มั ่น ถือ มั ่น . นี ่ใ นกรณีที ่ย ึด มั ่น ถือ มั ่น จะเปน อยา งนี ้; ถา ในกรณีที่ ไม ยึ ด มั่ น มั น ก็ ไม ม าถึ งอย า งนี้ . เช น เห็ น รูป ทางตาพอรู ว า สวยไม ส วย แล ว ก็ เลิ ก กัน อยา งนี ้, หรือ วา คิด นิด หนอ ยก็ไ ดแ ตไ มต อ งยึด ถือ ก็เ ลิก กัน อยา งนี ้ ; นี้ เปนขันธ ๕ เฉย ๆ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เดี๋ ย วนี้ ใคร ๆ ก็ ลื ม ตาอยู ทุ ก คน ใครจะหลั บ ตา นั่ งหลั บ ตาอยู ได มั น ก็ ลื ม ตาอยู ทุ ก คน. ตามั น ก็ เห็ น รูป ต น ไม ต น ไล อ ย า งนี้ มั น ก็ เรีย กว า ตาเห็ น รูป ก็ เกิ ด การเห็นทางตา; เมื่อมันไมมีปจจัยพอ ที่จะทําใหเกิดเวทนาชนิดที่รักหรือ เกลียดแลวก็เฉยได.
เหมื อ นเราเห็ น ก อ นหิ น ก อ นนี้ ต น ไม ต น นี้ เราก็ ไม มี ค วามรู สึ ก รั ก หรื อ ไม รั ก , ไม ยิ น ดี ยิ น ร า ย แต มั น ก็ เป น เวทนา. นี้ ค วามคิ ด จะเกิ ด บ า งก็ ไ ด หรื อ
๔๓๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ไม เกิ ด ก็ ได , แม เกิ ด ก็ ไม เกิ ด ไปในทางยึ ด ถื อ แม จ ะคิ ด ว าต น ไม นี้ มั น เกิ ด มาเพราะ มั น มี น้ํ า มี ดิ น มี อ ะไร มั น จึ ง เกิ ด ได . นี้ มั น เป น ความคิ ด แต ไม ใ ช สั ง ขาร ที่ เป น ความยึ ด ถื อ . วิ ญ ญาณก็ เห็ น อยู แ ล ว อย า งนี้ . มั น เป น ขั น ธ ๕ ล ว น ๆ ไม ถู ก อุปาทานยึดถือ ไมเกิดกับอวิชชา. นี้ ตั ว อย า งของขั น ธ ๕ ล ว น ๆ : รูป ขั น ธ เวทนาขั น ธ สั ญ ญาขั น ธ สั งขารขั นธ วิ ญ ญาณขั นธ ล วน ๆ ไม เกิ ดอุ ปาทาน เกิ ดทางตา แล วก็ ดั บไป. รูปขั นธ เกิ ด ขึ้ น ทํ า หน า ที่ เสร็ จ เป น วิ ญ ญาณขั น ธ แ ล ว ทํ า หน า ที่ เป น เวทนา เป น สั ญ ญา เป นสั งขารอะไรก็ ตาม. เพราะว าจิ ตมั นดวงเดี ยว มั นทํ าหน าที่ หลายอย างพรอมกั น ไมไ ด, เพราะวา จิต มัน ดวงเดีย ว. ฉะนั ้น ตอ งมีอ ะไร ๆ ปรุง แตง จิต ใหทํ า หนา ที่ ทีละอยาง ๆ เพราะฉะนั้นขันธมันจึงเกิดขึ้นทีละอยาง ๆ นี่เกิดขันธลวน ๆ ซึ่ง วันหนึ่ งเกิ ดอยู มากมาย. นี่ ลื มตาอย างนี้ ก็ เห็ น. บางที มั นไปครึ่งท อนไม ครบ ๕ ก็ มี , แม แ ต ไปครบทั้ ง ๕ มั น ไม เป น ทุ ก ข ก็ มี . เดี๋ ย วได ยิ น เสี ย งลมพั ด ทางหู เดี๋ ย วได ยิ น นกร อ งทางหู , เดี๋ ย วได ก ลิ่ น มาทางจมู ก , นี่ ที่ จ ะเป น ง า ย ๆ ที่ สุ ด ก็ ส ามอย า งนี้ : ตา หู จมู ก นี้ , ส ว นเรื่ อ งลิ้ น จะต อ งมี สั ม ผั ส อะไรเข า ก อ น ส ว นทางจิ ต ทางมโน นี้ เป น ได ม าก ได ง า ย ได พ ร อ ม ได ไ ว ในทุ ก ๆ อย า ง; แต ถ า ไม ยึ ด ถื อ ไม เกิ ด ความรูสึกวาอะไรของกู หรือตัวกูแลว มันไมมีความทุกข.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ ย กตั ว อย างให ฟ ง แล ว ว า ขั น ธ ทั้ ง ๕ นี้ เกิ ด ขึ้ น อย า งไร. ทบทวนอี ก ที ก็ ได เดี๋ ยวลู กเด็ก ๆ เหล านี้จะลื ม วาตานี้เป นพวกรูปอยู ขางใน ยังไม เกิดจนกวาจะ ได มี ภ าพข า งนอกเข า มาเนื่ อ งด ว ย จึ ง จะเรี ย กว า ตาเกิ ด . รู ป ข า งในก็ เกิ ด , รูป ข า ง นอกก็ เกิ ด, ตาอาศั ยรูปแล วเกิ ดจั กษุ วิญญาณ คื อการเห็ นทางตาได เป น ๓ อย างแล ว คือตา ๑ รูป ๑ จักษุวิญญาณ ๑ ได ๓ อยางแลว แลวก็มีพระบาลีวา ติณฺณํ ธมฺมานํ
เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม
๔๓๕
สงฺคติ ผสฺโส - การมาพรอมกันแหงสิ่งทั้ง ๓ นี้ เรียกวาผัสสะ, ผัสสะเกิดแลว. เมื่อ ๓ อยางนี้มาพรอมกันแลวก็เรียกวาผัสสะแลว. เพราะผัส สะนี ้เปน ตน เหตุ จึง มีค วามรู ส ึก ที ่เรีย กวา เวทนา, เมื ่อ ตาเห็ นสวยไม สวย ยิ นดี ยิ นร าย นี้ เรียกว าเป นเวทนา, เวทนาเกิ ดแล ว เพราะผั สสะ นั้นเปนตนเหตุ. ทีนี้เวทนานี้จะเปนอารมณ ใหสัญญายึดมั่น อยางนั้น อยางนี้ วาสวย วางาม ว าเราว าของเรา เป นอั ตตสั ญ ญา สุ ขสั ญ ญาอะไรขึ้ นมา สํ าคั ญ มั่ น หมาย ว าเป น อะไร, แล วโดยมากก็ มั กจะสั ญ ญาว าเวทนานี้ ของเรา, เวทนานี้ เป น ของเรา. ถา ไมสํ า คัญ ถึง ขนาดนี ้ก ็ย ัง ไมเ ปน ทุก ข สว นที ่จํา ไดวา รูป อะไร เสีย งอะไร, นี้ สัญญาอยางนั้นยังไมทําพิษทําเรื่องอะไร ก็เรียกวา สัญญาเหมือนกัน. ฉะนั้ น สั ญ ญ ามี อ ยู ๒ ความหมาย สั ญ ญาจํ า ได ว า อะไรเป น อะไร คืออะไร. เรียกอะไรนี้สัญญาหนึ่ง นี้ไมรายกาจ. ทีนี้สัญญาอีกประเภทหนึ่ง สัญญาวาสุข, สุ ข สั ญ ญานี้ ระวั งให ดี . สั ญ ญาว าทุ ก ข , ทุ ก ขสั ญ ญา นี้ ระวั งให ดี , อั ต ตสั ญ ญา สั ญ ญาว าตั ว กู นี้ ยิ่ งรา ยแล ว , พอไปยึ ด ถื อ เป น แบบนี้ เข า แล ว ก็ จ ะต อ งไปเป น ทาง แหงความทุกขแน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แต เดี๋ ยวนี้ เอาเป นว า เราไม ได พู ดถึ งกรณี ที่ มี ความทุ กข เอาแต สั ญ ญา จํา ไดวา อะไร. แลว เกิด ความพอใจ ในสิ่ง ที่เ ราเคยจํา ไดวา นี้ดี นี้ไ มอัน ตราย นี้ น า รัก เกิ ด ความคิ ด เล น ๆ ไปอย า งนั้ น , แล ว ก็ เกิ ด วิ ญ ญาณซั บ ซ อ นในรูป บ า ง ;
๔๓๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
วิ ญ ญาณในเวทนานั้ น บ า ง มั น เป น มโนวิ ญ ญาณ ชี วิ ต วั น หนึ่ ง ๆ ของเราเป น อยู อยางนี้เกือบตลอดเวลา แตยังไมเปนทุกข.
ลักษณะของอุปาทานขันธ. เอาละที นี้ จะยกตั วอย างคู ที่ เรียกว า อุ ป าทานขั น ธ ทั้ ง ๕ ว ามั นจะเกิ ด ขึ ้น มาอยา งไร ? ก็ตั ้ง ตน ดว ยตาเห็น รูป , ตานี ้เ ปน รูป ขา งใน รูป ขา งนอก พอเห็ น กั น เข า แล ว มั น ก็ มี ก ารเห็ น ทางตา คื อ ตาของเราเห็ น คนที่ เราเกลี ย ดน้ํ า หน า ที่ สุ ด เลย, ตาของเรา เห็ น ภาพคนที่ เราเกลี ย ดน้ํ า หน า ที่ สุ ด เลย. พอเกิ ด การ เห็ น ทางตา เกิ ด จั ก ษุ วิ ญ ญาณแล ว , ๓ ประการนี้ เรี ย กว า ผั ส สะ. ผั ส สะนี้ มั น ไม ใช ผั ส สะตามปกติ เหมื อ นที่ ว า เมื่ อ ตะกี้ เสี ย แล ว , มั น เป น ผั ส สะที่ ม าจากการเกลี ย ด ของเรา ในคนที ่เราเห็น นั ่น . อยา งนี ้เ ขาเรีย กวา มัน เปน ผัส สะที ่ม าจากอวิช ชา มาจากกิ เลส, มั น เป น โอกาสให อ วิ ช ชาเกิ ด ขึ้ น ผสมโรงตรงที่ ผั ส สะนั้ น มั น จึ ง เป น การสัมผัสดวยอวิชชาเสียแลว ไมเหมือนตัวอยางแรกซึ่งเปนขันธลวน ๆ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เดี๋ ย วนี้ ขั น ธ ที่ จ ะเกิ ด อุ ป าทาน เพราะว า เรามั น โง ไ ปเที่ ย วได รั ก คน นั้ น , เที่ ยวได เกลี ย ดคนนี้ อ ยู , มี ค วามมั่ น หมายอยู ในสั ญ ญามั่ น หมาย พอตาเห็ น รูป คนที่ เราเกลี ย ดมา, สั ญ ญาก็ วิ่ งปร าดทั น ที เลย ว านี่ คื อ ศั ต รูของกู . นั้ นคื อ ความโง นั ้น คือ กิเ ลส เปน ตัว อวิช ชา. ฉะนั ้น ผัส สะของเขาเปน อวิช ชาสัม ผัส , สัม ผัส ลง ไปด ว ยอวิ ช ชา. ดั ง นั้ น เวทนาของเขาจึ ง เป น เวทนาที่ เ กิ ด มาจากอวิ ช ชาสั ม ผั ส ; ฉะนั้ น จึ ง เป น เวทนาที่ รุ น แรงมาก คื อ เดื อ ดร อ นเป น ทุ ก ข . คื อ ว า ตั ว สั่ น เลย, เพี ย ง
เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม
๔๓๗
แต ได เห็ นคนที่ เราเกลี ยด นี่ มั นเป นทุ กขเวทนา; ฉะนั้ นจึ งเป นเวทนาเหมื อนที แรกไมไ ด. เดี ๋ย วนี ้เ ปน เวทนาที ่เ กิด มาจากอวิช ชาสัม ผัส หรือ วา ถา เห็น คู ร ัก เห็ น แฟนอะไรอย า งนี้ มั น ก็ เ กิ ด ตรงกั น ข า ม, มั น เป น เวทนาที่ เกิ ด มาจากอวิ ช ชา สั ม ผั ส อี ก ชนิ ด หนึ่ ง . แต มั น เป น ไปในทางสุ ข เวทนา นี้ ก็ ยึ ด ถื อ เหมื อ นกั น , นี้ สั ญ ญา มั นก็ มั่ นหมายว าเป นข าศึ กของกู มั นก็ เกลี ยด, สั ญ ญาก็ มั่ นหมายว าเป นแฟนของเรา เราก็รักอยางนี้. ที นี้ สั ง ขารที่ เ กิ ด ขึ้ น มั น ก็ เ ข า รู ป กั น พอดี , มั น ก็ คิ ด ไปตามความเกลี ย ด หรื อ ตามความรั ก , มโนวิ ญ ญาณก็ ค อยสั ม ผั ส อยู ทุ ก ๆ ตอนที่ มั น จะสั ม ผั ส ได พอ เห็ น เสร็ จ เรี ย บร อ ย เราก็ มี ค วามทุ ก ข เหมื อ นกั บ ไฟเผา, หรื อ ว า เราสบายใจ ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น แบกของหนั ก ยิ่ ง กว า ก อ นหิ น เราก็ ยั ง ไม รู สึ ก . เหมื อ นคุ ณ ว า เมื่ อ ตะกี้ นี้ แบก กอ นเพชรกอ นพลอย แบกเทา ไร กอ นใหญ ๆ มัน ก็ไ มห นัก เพราะมัน ไปรวม กับเวทนาที่ตองการ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ ใ ห รู จั ก เปรี ย บเที ย บเบญจขั น ธ ล ว น ๆ กั บ เบญจขั น ธ ที่ ป ระกอบอยู ด ว ยอุ ป าทาน ว า ต า งกั น อย า งนี้ เบญจขั น ธ ล ว น ๆ ยั ง ไม ถู ก ยึ ด ถื อ ก็ ไ ม เป น ทุ ก ข , พอถูกยึดเขาก็เปนทุกข.
สรุป ความวา ใน ก ข ก กา ตอนนี ้ เราตอ งมีข ัน ธ หรือ เบญ จ ขันธ ขันธ ๕ นี้ เปน ๒ ชนิด คือ ชนิดที่ไมถูกจับฉวยดวยอุปาทาน นี้อยาง หนึ ่ง , และชนิด ที ่ถ ูก จับ ฉวยอยู ด ว ยอุป าทาน นี ้อ ีก อยา งหนึ ่ง เปน ๒ ชนิด . อย า งนี้ คุ ณ เห็ น ด ว ยไหม ? เห็ น . มี อ ะไรอี ก ก็ ให ว า ให มั น เสร็ จ เป น ตอน ๆ ไป อย า ใหตองพูดทีหลังอีก.
๔๓๘
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ป ญ หาที่ จะถามอี กสั กข อหนึ่ งคื อ ที่ อธิ บายเมื่ อตะกี้ นี้ ว า ตาเห็ นรู ปในขณะช วงนี้ ที่ เรายั งไม มี ค วามทุ ก ข จะยกตั วอย าง เช น เราเห็ น รู ป เป น ผู ห ญิง, ตาเห็ น หรื อ คนเห็ น ? หมาย ถึ งว าตั วดิ ฉั นเป นคนเห็ น ที นี้ จะยกตั วอย างเป นผู หญิ งเห็ นผู ชาย เช นว าเห็ นเป นผู ชายนี้ อยาก เรียนถามทานวา อุปาทานนั้นเกิดแลวหรือยัง ขณะที่เห็น แตยังไมมีความเรารอน.
อ าว, นี้ แสดงว า คุ ณไม เข าใจคํ าพู ดที่ อาตมาพู ดเป นวรรคเป นเวร, ป ญหา นี้เปนปญหาทั่วไปที่สงสัย แลวก็อยากจะถามทานใหตอบสั้น ๆ.
เข าใจป ญ หาแล ว ตอบเลย ว าผู ห ญิ งเห็ น ผู ชายก็ ได , ผู ชายเห็ น ผู ห ญิ ง ก็ไ ด, มัน ก็แ ลว แตวา การเห็น นั้น มัน เปด โอกาสใหอ วิช ชาเกิด ขึ้น หรือ ไม ? ถ าผู ชายเห็ น ผู ห ญิ ง เป ด โอกาสให อ วิ ชชาเกิ ด ขึ้ น มั น ก็ ต อ งมี ค วามกํ าหนั ด อย างนี้ เปน ตน . แตถา มัน ไมเ ปด โอกาสใหอ วิช ชาเกิด ขึ้น มัน มีส ติ, หรือ วา ศึก ษา มาดี มั น ก็ ไ ม เกิ ด . หรื อ ว า ถ า เห็ น คนที่ เกลี ย ด, ผู ห ญิ ง เห็ น ผู ช ายที่ เกลี ย ด หรื อ ผู ชายเห็ น ผู ห ญิ งที่ เกลี ย ด, มั น ก็ ไม เกิ ด อย างนั้ น , แต ก็ เกิ ด อวิ ชชาทางที่ จะให เกลี ยด. ฉะนั้ น เราเอาแน ไม ได ; เราต อ งเอาจิ ต เป น หลั ก เอาอายตนะเป น หลั ก มี ค วาม สัมผัสแล วในขณะสั มผั สนั้ น เป นโอกาสแห งอวิชชาอย างใดอย างหนึ่ งหรือไม ? ที่ จะ เกิด ขึ ้น มาผสม. ฉะนั ้น เราเลยพูด ไดว า มัน เปน อวิช ชาสัม ผัส หรือ วา เปน วิ ช ชาสั ม ผั ส คื อ มี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะ. ถ า สั ม ผั ส ใดมี อ วิ ช ชาเข า มาเกี่ ย วข อ งเป น อวิช ชาสัม ผัส ตอ งไปในรูป ของปฏิจ จสมุป บาทและเปน ทุก ข. ถา สัม ผัส ใด มัน ไมเ สีย หลัก มัน มีส ติส ัม ปชัญ ญะเกิด ขึ ้น , สัม ผัส นั ้น มัน เปน วิช ชาสัม ผัส หรือ วา สติสัม ปชัญ ญะสัม ผัส มัน จะไมเ ปน ไปในรูป ของปฏิจ สมุป บาทที่จ ะ ทําใหเกิดทุกขขึ้น. มีอะไรอีก ?
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม
๔๓๙
ที่ ถ ามนี่ หมายถึ ง ว า เราหยุ ด แค เห็ น ผู ช าย ยกตั ว อย า งเช น ว า ขั น ธ ๕ เป น อพยากฤต เป นกลาง ๆ ยั งไม ใช สั ตว ไม ใช บุ คคล. ป ญ หาสงสั ยว า ที่ ผั สสะ เห็ นเป นผู ชายและ หยุ ดแค ผู ชาย. เรื่ องนี้ ถามท านว า ช วยอธิ บายให เข าใจด วยว า ขณะนี้ อุ ปาทานเกิ ดแล วหรื อยั ง ? ก็ตอบมาเมื่อกี้นี้. หมายถึงวา ยังไมเกิดสายปฏิจจสมุปบาท.
นั่ น แหละยั งไม เกิ ด อุ ป าทาน. นี่ ข อให ถื อ เป น หลั ก เถอะถ า มี อุ ป าทาน แลวเปนปฏิ จจสมุ ปบาท. ทีนี้เปนผูชายนี่ยังไมเกิดหรือ ? ก็แลวแตจิตใจของการเห็นซิ มั น จะรู สึ ก อย างไรบ าง, มั น สํ าคั ญ อยู ที่ นั่ น . เมื่ อ เห็ น เพศตรงกั น ข ามอย างนี้ มั น เห็ น ด ว ยความรู สึ ก ของอวิ ช ชา หรื อ เห็ น ด ว ยความรู สึ ก ของวิ ช ชา คื อ สติ สั ม ปชั ญ ญะ. ถ าเห็ นด วยอวิ ชชาแล ว ไม พ นที่ จะเกิ ดเวทนา ตั ณ หา อุ ปาทาน, เป นปฏิ จจสมุ ปบาท และเปนทุกข. เป นข อ ถกเถี ย ง หมายถึ งผู ที่ ศึ ก ษา หมายถึ งที่ กรุ งเทพฯ เขาบอกว า ถ าเห็นเป น ปรมัตถนี้ ยังไมใชผูชาย ถาเห็นเปนผูชายเมื่อไร เมื่อนั้นแหละอุปาทานเกิดแลว.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อ า ว, นั้ น ก็ ถู ก , พู ด อย า งนี้ ก็ ถู ก , แล ว คนธรรมดาอย า งนี้ เห็ น เป น ปรมัต ถไ ดห รือ ? คนเหลา นี ้จ ะเห็น ปรมัต ถไ ด ทั ้ง ที ่ไ มรู ว า ปรมัต ถค ือ อะไร ? มั นก็ ต องเล็ งเห็ นตามปกรติ วิ สั ยของคนธรรมดา ไม ต องรูว าปรมั ตถ ละ, ในบางกรณี มั น เปลี่ ย นรู ป เป น อย า งอื่ น , หรื อ ว า เขาไม ช อบ เขาเกลี ย ด เขาเฉยได เพราะเหตุ อื่ น ก็ม ีไ ดเ หมือ นกัน , การที ่เ ห็น เปน ขัน ธ เปน ธาตุ เปน อายตนะ มัน ตอ งคน เล า เรี ย น, คนธรรมดาเหล า นี้ เ ห็ น ไม ไ ด . ฉะนั้ น เราจึ ง ต อ งพู ด ว า เมื่ อ มี ก ารเห็ น ทางตา หรือ ไดย ิน ทางหูเ ปน ตน นั ้น ในขณ ะแหง สัม ผัส นั ้น , มัน สัม ผัส ดว ย ความโง หรือ สัม ผัส ดวยความฉลาดตางหาก. ถาสัม ผัส ดว ยความโงม ัน ก็ห ลง ไป, ถาสัมผัสดวยความฉลาด มันก็เหนี่ยวรั้งไวได, เรื่องมีเทานั้น.
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
๔๔๐ ที่ถามนี้ หมายถึงวายังไมศึกษาธรรม.
นี่ ก็ ต อ งเป น อย า งนี้ ผู ที่ ยั ง ไม ไ ด ศึ ก ษาธรรม ต อ งใช คํ า อย า งนี้ ว า พอ สั ม ผั ส ทางตา ทางหู ทางจมู ก เป น ต น นั้ น , สั ม ผั ส ด วยความฉลาดหรือ สั ม ผั ส ด วย ความโง, ถา สัม ผัส ดว ยความโง เปน อวิช ชาสัม ผัส ตอ งเกิด กิเ ลส ไปตาม วิถีทางของปฏิจจสมุปบาทที่จะเกิดทุกข. แตถาเขามีความฉลาดเสีย เขารูทัน ดว ยเหตุใ ดเหตุห นึ ่ง ก็ต าม มัน ก็ไ มม ีก ิเ ลสเกิด ได, มัน ก็ไ มม ีป ฏิจ จสมุป บาท เกิ ด ขึ้ น , มั น ก็ ห ยุ ด ชะงั ก แค นั้ น , หรื อ ว า ต อ ไปอี ก นิ ด มั น ก็ ช ะงั ก ก็ ก ลายเป น การ ศึ ก ษา เป น วิ ช ชาความรู, รูเรื่อ งคนนี่ มั น หลอกลวง, คนนี่ มั น มาทํ า ให เราหลงใหล นี่มัน ก็รูไปเสียอยางนี้, เปน การศึก ษาไปเสีย ไมเปน ปฏิจ จสมุป บาท ที่จ ะทํา ใหเกิดทุกข. นี่ ขอให ช วยจํ าให ดี ๆ ว า ทุ ก ๆ คนไม ว าเด็ ก ผู ใหญ นี้ ในวั นหนึ่ ง ๆ มั นมี ก ข ก กา อยู อย างนี้ คื อจะมี ทางตาบ าง ทางหู บ าง ทางจมู กบ าง ทางลิ้ นบ าง ฯลฯ หกทางนั่ น แหละ มี การถึ งกั น เข าแล วก็ เกิ ด ความรู สึ ก ทางตา เป น ต น ก็ เกิ ด ผั ส สะ, แลว ก็เ กิด เวทนา ตัณ หา อุป าทาน. ถา เผลอไปมัน จะเปน ทุก ข แลว แตส ติม ัน จะมาทั น ที่ ต รงไหน สติ ม าทั น ที่ ต รงไหนมั น จะชะงัก ได ที่ ต รงนั้ น , บางที เป น เวทนา แลว มัน ก็ย ัง ชะงัก ไปได, เปลี ่ย นกลับ ไมร ัก ไมโ กรธ, หรือ บางทีเ ปน ตัณ หา เป น ทุ ก ข เข า ไปแล ว ตั้ ง ครึ่ ง หนึ่ ง แล ว มั น ก็ เกิ ด บ า ง เอ า มั น หยุ ด กระแสตั ณ หาได ดวยอํานาจของสตินั้น อยางนี้ก็มี.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม
๔๔๑
อุปาทานขันธหรือขันธ ๕ เปนเรื่องชีวิตประจําวัน. นี่ เรื่ อ ง ก ข ก กา แท ๆ, แล วเรื่ อ งชี วิ ต ประจํ า วั น ของคนทุ ก คน คื อ ว า มั น เกิ ด ขั น ธ ก็ ต อ งเมื่ อ มี ก ารกระทบทางตา หู จมู ก ลิ้ น เป น ต น แล ว ก็ เกิ ด ขั น ธ แล วเมื่ อ เราเกิ ด ป ญ จุ ป าทานขั น ธ ขณะนั้ น เมื่ อ มี การกระทบแล ว อวิ ช ชาเข าพลอย ผสมโรงด วย ความโง เข าไปพลอยผสมโรงด วย มั น จะเกิ ด อุ ป าทานขั น ธ ถ ามั น ยั ง ไม โง คื อ ว า มั น ยั งมี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะ หรือ ว า มั น ไม โง ด ว ยเหตุ ใดก็ ต ามเถอะ มั น จะ เป น เพี ย งขั น ธ ล ว น ๆ เหมื อ นที่ เดี๋ ย วนี้ ต าเราก็ เห็ น อะไร หู เราก็ ไ ด ยิ น อะไร จมู ก เราก็ไ ดก ลิ ่น อะไรแตเ รายัง ไมเ ปน ทุก ข เพราะมัน เปน เพีย งขัน ธล ว น ๆ แตม ัน เป น ของหนั ก อยู ใ นตั ว เหมื อ นก อ นหิ น ก อ นนี้ ถ า เราไม ไ ด ไ ปแบกมั น มั น จะทํ า อะไรเราได ขั นธ ล วน ๆ นี้ ก็ เหมื อนกั น ถ าเราไม ได ไปแบกมั น คื อไม เข าไปเอามาเป น ของเรา มันก็ทําอะไรเราไมได เพราะฉะนั้น พระพุทธเจาทานจึงตรัสวา การถือของ หนัก เปน ทุก ข ; ถา ไมถ ือ ก็ไ มเปน ทุก ข, ของหนัก ก็ห นัก ไป เมื ่อ ฉัน ไมถ ือ ฉัน ก็ ไมเปนทุกข, หรือวา สงฺขิตฺเตน ปฺจุปาทานกฺขนฺธา ทุกฺขา - เบญจขันธที่ประ กอบอยูดวยอุปาทาน คือมีคนถือ มีอุปาทานถือ มันจึงจะมีทุกขแกจิตนั้นตาง หาก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org คนทุ ก คนจะต อ งตอบได ว า เมื่ อ ไรเกิ ด เบญจขั น ธ ล ว น ๆ นี้ อ ย า งหนึ่ ง , เมื่อไรเกิดอุปาทานขันธ ซึ่งเปนทุกขนี้อยางหนึ่ง ? อยางหลังเปนปฏิจจสมุปบาท ; อยา งแรกไมเ ปน . เมื ่อ ไรเกิด ขัน ธ ? ก็เ มื ่อ มีก ระทบทางอายตนะ. ดัง นั ้น เรามิไ ดม ีขัน ธอ ยูต ลอดเวลา หรือ วา ถา มีเ ราก็ต อ งมีขัน ธที ่ส ับ เปลี ่ย นกัน . เมื่ อ ตาเราไม ทํ าหน าที่ เห็ น , หู เราไม ทํ าหน าที่ ได ยิ น , เช น ว าเราหลั บ อยู , อย างนี้ มั น ก็ไ มม ีข ัน ธไ ด ; เวน ไวแ ตเ ราจะฝน หรือ ละเมอ มัน ก็ม ีแ บบอื ่น . บางทีเ รา
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
๔๔๒
ลื ม ตาไปนั่ ง เหม อ มั น ก็ เ หมื อ นกั บ เรามิ ไ ด เ ห็ น อะไร, อย า งนี้ ก็ ไ ม เ กิ ด ขั น ธ ไ ด . นี้ เปนการพักผอน ตรงที่ไมเกิดขันธ, และไมเกิดอุปาทานขันธ.
ขันธเกิดไดตองอาศัยอายตนะและธาตุ. ที นี้ จ ะมาถึ ง ก ข ค ฆ ง ที่ มั น ต่ํ า ลงไปอี ก ที่ เข า ใจผิ ด กั น อยู นอนฟ ง อยูรูสึกวา นี้เรียน ก ข มาผิดแลว. ขัน ธจ ะตอ งไดอ าศัย อะไรจึง จะเกิด ขัน ธ ? จะตอ งอาศัย อายตนะ. อายตนะจะตองไดอาศัยอะไร ? ก็จะตองอาศัยธาตุ. พู ดไปแตตนที่สุดก็ตองพู ดถึงธาตุ. คุณวา ธาตุ มี กี่ อย าง ? ธาตุ มี ๔ อย าง. ถู กนิ ดเดี ยว คุ ณ หมายถึ งดิ น น้ํ า ลม ไฟ ใช ไหม ? มีธาตุรูอีกอยางหนึ่ง. เอ า , ย ัง เห ล ือ อ ีก ม ัน ม ีตั ้ง ๖ ก อ น ถ า อ ย า งนั ้น ด ิน น้ํ า ล ม ไฟ อากาศ วิ ญ ญ าณ . ธาตุ ๖ ปถวี ธ าตุ อาโปธาตุ วาโยธาตุ เตโชธาตุ อากาสธาตุ วิญญาณธาตุ ธาตุทั้ง ๖ กอน อยางนี้ก็ถูก แตไมเกง คือมันยังเหลือธาตุอยูอีก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ า ตอบอย า งที่ เล า เรี ย นมาแล ว ศึ ก ษามาแล ว ขนาดเป น ครู บ าอาจารย แล ว ต อ งต อ บ ว า ธาตุ ม ี ส อ ง, ส อ งคื อ อ ะไร ก็ ม ี ส ั ง ขต ธาตุ อ สั ง ขต ธาตุ . นั่นแหละถูกที่สุด.
เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม
๔๔๓
ถาถามวา ธาตุมีกี่อยาง แลวตอบอยางที่รูที่สุดก็ตองตอบวามี ๒ ธาตุ : ประเภทหนึ่งเปนสังขตะ คือ ธาตุ ที่ เปลี่ย นแปลงได ปรุงแตงได เปลี่ยนแปลงได เป น สั ง ขตธาตุ , มี ม ากนั บ ไม ไ หว ไม รู ว า กี่ ร อ ยชนิ ด . อี ก ธาตุ ห นึ่ ง เป น อสั ง ขต ธาตุ อะไรทําไมได อะไรเปลี่ยนแปลงไมได ; มี ๒ ธาตุ. ที นี้ อสั ง ขตธาตุ นี้ ยั ง รู ย าก อย า เพ อ พู ด ถึ ง ดี ก ว า หยุ ด เอาไว ก อ น ฝากเอาไว ก อ น. พู ด ถึ ง สั ง ขตธาตุ คื อ ธาตุ ที ่ ป จ จั ย กระทํ า ขึ ้ น ปรุ ง ขึ ้ น , นี้ จ ะเรี ย กว า มี ๖ ธาตุ ก็ ไ ด . มี ดิ น น้ํ า ลม ไฟ อากาศ วิ ญ ญาณ ก็ ไ ด หรื อ ถ า ไม เรียกอย างนั้ น ยั งมี เรียกอย างอื่ นได , เช นเรียกว า ธาตุ ตา ธาตุ หู ธาตุ จมู ก ธาตุ ลิ้ น ธาตุ กาย ธาตุ ใจ. คุ ณ เคยได ยิ นไหม ? ๖ อย างอย างนี้ คุ ณ เคยได ยิ นไหม ? นี่ มั นมี อยางนี้. ในพุทธภาษิต มันมีอยางนี้ ธาตุ ๖ คือ ธาตุตา ธาตุหู ธาตุจมูก ธาตุลิ้น ธาตุกาย ธาตุใจ, แลวธาตุ ๖ อีกพวกก็คือวา ธาตุรูป ธาตุเสียง ธาตุกลิ่น ธาตุรส ธาตุโผฏฐัพพะ และธาตุธัมมารมณ นี้ก็ธาตุขางนอก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทีนี้ธาตุขางใน มีธาตุจากความหมายของกิเลสวา กามธาตุ - ธาตุที่ทําใหเรา เกิ ด ความรู สึ ก ทางกาม, แล ว ก็ รู ป ธาตุ – ธาตุ ที่ ทํา ให เ ราเกิ ด ความรู สึ ก พอใจ รูป บริสุท ธิ์, แลว อรูป ธาตุ - ธาตุที ่ทํา ใหเ ราเกิด ความรูสึก พอใจในสิ่ง ที่ไ มมีรูป , แลวนิโรธธาตุ - ธาตุที่ทําใหเกิดความดับ, ดับกิเลสทั้งหลายดับ ความพอใจทั้งหลาย ในสิ ่ง เหลา นั ้น เสีย ได. อัน นี ้ก ็เ ปน ธาตุ ๔ นะ : ธาตุ ๔ คือ กามธาตุ รูป ธาตุ อรูปธาตุ นิโรธธาตุ.
ถาบรรดาสั ตวที่ ยั งต่ํ าอยู พอใจในกาม ก็เพราะวามี กามธาตุ เป นตั ว การปรุ ง แต ง อยู ในนั้ น , ทํ า ให จิ ต เกิ ด ความรูสึ ก พอใจในกาม. ถ า จะให สู ง ขึ้ น ไปถึ ง
๔๔๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
รูป ธาตุ มัน ก็ไ มพ อใจในกาม แตจ ะพอใจในสิ ่ง ที ่บ ริสุท ธิ์, เชน การเขา ฌาน ในรูป ฌานอยา งนี ้. ถา สูง ขึ ้น ไปอีก ก็เ ปน อรูป ฌาน อรูป ธาตุ, ทั ้ง ๓ อยา งนี้ มัน บา ทั ้ง นั ้น เลย, ทั ้ง กาม ทั ้ง รูป ทั ้ง อรูป นี ้. ถา จิต นอ ม ไป เพื ่อ ค วาม ดับ เปน นิ โรธธาตุ ก็ เป น ไปเพื่ อ นิ พ พาน. นี้ ก็ ธ าตุ ๔ ที่ มี อ ยู ในตั ว เรา, หรื อ บางเวลา เราชอบกาม เพราะกามธาตุ เ ข า มาเป น เจ า เรื อ น. คน ๆ เดี ย วบางเวลามั น ก็ ไ ม ชอบกามเบื่ อ กาม อยากอยู นิ่ ง ๆ; นี้ ก็ เพราะว า รู ป ธาตุ ห รื อ อรู ป ธาตุ แ ทรกเข า มา, หรื อบางที อยากจะอยู นิ่ งยิ่ งกว านั้ นอี ก อยากจะไม ยุ งกั บอะไรหมด ก็ เพราะนิ โรธธาตุ เล็ ก ๆ น อ ย ๆ ชั่ ว คราว มั น แทรกเข า มา. แต ถ า พู ด กั น อย า งไม เ ปลี่ ย นแปลง ก็ ต อ งเป น อย างพระอริยเจ าไปเลย หรือ ว าเป นอย าง พวกชั้ น สู งกว าธรรมดา พวกที่ เขาฌานสมาบัติ หรือเปนพระอริยเจา เปนพระอรหันตไปเลย. ฉะนั้ น โดยพื้ น ฐานแล ว เราอาจจะพู ด ได ว า เรามี ธ าตุ อ ยู ต ลอดเวลา แมห ลับ และตื ่น , แตว า จะพูด วา เรามีข ัน ธอ ยู ต ลอดเวลา พูด ไมไ ด. เรามี ธาตุ อยู ต ลอดเวลา เช น ว าเรามี ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ล ม ธาตุ อากาศ ธาตุ วิญ ญาณ ก็เ ปน สัก แตว า ธาตุน ะ; จํ า ดี ๆ นะ อยา เอาไปปนกัน นะ. ที ่เ ปน ธาตุ นี ้เ ราอาจจะมีอ ยู ไ ดต ลอดเวลา; แตที ่เ ปน ขัน ธ ธาตุที ่ไ ปปรุง เปน ขัน ธนั ้น เรา ไม มี อ ยู ไ ด ต ลอดเวลา, มั น มี ต อ เมื่ อ มั น ปรุ ง เป น ขั น ธ , แล ว ธาตุ นี้ มั น ทํ า อะไรไม ไ ด มันตองปรุงเปนอายตนะเสียกอน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เช น ว าเรามี ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ล ม ธาตุ อากาศ ธาตุ วิ ญ ญาณ อะไรก็ต ามเถอะปรุง ปรุง แลว เปน ลูก ตา เปน กอ นลูก ตา, รวมทั ้ง ประสาท สํ า หรั บ ลู ก ตา, แล ว เราก็ ต อ งมี ธ าตุ ต า หรื อ จั ก ษุ ธ าตุ สํ า หรั บ ที่ จ ะประจํ า อยู ใ นนี้ , ตานี้ จึ ง พร อ มที่ จ ะเป น อายตนะทางตา เมื่ อ ได ก ระทบรู ป ข า งนอก. มิ ฉ ะนั้ น มั น
เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม
๔๔๕
จะเป น ธาตุ ต า ที่ ป ระกอบอยู ด ว ย ดิ น น้ํ า ลม ไฟ ที่ เป น ดวงตาลู ก ตา อยู เฉย ๆ เท า นั้ น ; แต พ อเห็ น รู ป ข า งนอก มั น เปลี่ ย นจากความเป น ธาตุ ไปสู ค วามเป น อายตนะ, แล ว จึ ง จะเรี ย กว า อายตนะทางตา, กลายเป น จั ก ขุ อ ายตนะไป. มั น จะ เปน จัก ขุอ ายตนะได ก็ต อ เมื ่อ ไดร ูป ขา งนอก ที ่เ ปลี ่ย นจากรูป ธาตุ มาเปน รู ป ายตนะแล ว และรู ป ายตนะข า งนอกกั บ จั ก ขุ อ ายตนะข า งในถึ ง กั น เข า จึ ง จะเกิ ด จัก ขุว ิญ ญ าณ แลว จึง เปน ขัน ธขึ ้น มาได. ฉะนั ้น ธาตุต อ งปรุง เปน อายตนะ กอน, อายตนะทําหนาที่แลว จึงจะเกิดเปนขันธขึ้นมา. สามคํ า นี้ จํ า ให ดี เป น ก ข ก กา ถ า เรี ย นผิ ด แล ว เป น ผิ ด หมด, จะทํ า ให เข า ใจว า กิ เลสเกิ ด อยู ต ลอดเวลาบ า ง, อวิ ช ชาเกิ ด อยู ต ลอดเวลาบ า ง, มั น เกิ ด ไม ไ ด . ไม มี สิ่ ง ใดที่ จ ะเกิ ด อยู ไ ด ต ลอดเวลา โดยที่ ไ ม ต อ งดั บ ; เว น แต อ สั ง ขต ธาตุพ วกเดีย ว. ในบรรดาสัง ขตธาตุ แลว จะตอ งมีเ กิด - ดับ , อสัง ขตธาตุ เท า นั้ น ที่ จ ะไม มี เ กิ ด และไม มี ดั บ , อาจจะเป น รู ป เป น นาม เป น กิ เ ลส ตั ณ หา อุ ป าทาน อวิ ช ชาอะไรก็ ต าม อะไรก็ ต าม มั น เป น สั ง ขตธาตุ มั น ต อ งมี ก ารเกิ ด ดั บ . มันไดโอกาสมันจึงเกิด , หมดเหตุหมดปจจัย หรือไมไดโอกาสมันก็เกิดไมได, หรือมันตองดับไป อยางนี้.
www.buddhadasa.in.th ศึกษาใหรูจักคุณลักษณะหนาที่ของธาตุ. www.buddhadasa.org นี้ ศึ ก ษาเรื่ อ งธาตุ ให ดี ๆ แล วให รูว ามั น ปรุงเป นอายตนะขึ้ น มาอย างไร เมื่อไร, แลวมันจะปรุงเปนขันธขึ้นมาอยางไร, และเมื่อไร.
๔๔๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
นี่ ทบทวนสํ าหรับลู กเด็ ก ๆ นี้ อี กที หนึ่ งก็ ได วาเรามี ธาตุ ดิ น น้ํ า ลม ไฟ อากาสธาตุ วิญ ญาณธาตุ อยูเป น พื้ น ฐานในที่ ทั่ วไป ทุกหนทุกแหง. ที่สวนหนึ่ง มั นมาประกอบกั นเข าเป นลู กตาของเราในลู กตาของเรา, ในลู กตาของเรานี้ มี ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไ ฟ ธาตุ ล ม คื อ ในเนื้ อ หนั ง ของเรานี้ มั น จะต อ งมี ธ าตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุไฟ ธาตุลม. สว นที่ แ ข็ง กิน เนื้ อ ที่ นี้ เรียกวา ธาตุ ดิ น , สว นความเหลว ที่ มี การเกาะกุ มกั นอยู เป นความเหลวก็ เรียกวา ธาตุ น้ํ า, ในเนื้ อนี้ ก็ มี เลื อดมี น้ํ า, ในเนื้ อ นี้ ก็ มี ธาตุ ไฟ คื อ อุ ณ หภู มิ , เดี่ ย วนี้ เป น ไข น อ ย ๆ มี อุ ณ หภู มิ ตั้ ง ๙๙o ฟาเรนไฮด อย างนี้ เป นต น, มั นต องมี อุณ หภู มิ , แล วก็ มี ธาตุ ลม คื อส วนที่ ระเหยไปมาอยู เรื่อย. ๔ ธาตุ นี้ อย างน อยทํ าเป นเนื้ อก อนลู กตาขึ้ นมาได แล วมี ธาตุ วาง คื อเป นอากาสธาตุ เป น พื้ น รองรับ ให สิ่ ง เหล า นี้ มั น มี ที่ ตั้ ง อยู ได . แล ว ยั ง จะต อ งมี ธ าตุ ที่ สํ า คั ญ กว า นั้ น คื อจั กขุ ธาตุ หรือ ธาตุ ตา มาสิ งอยู ในลู กตานี้ ด วยในก อนลู กตานี้ ด วย. แต เราเรียก วามั นยั งไม มา มั นยั งไม เกิ ดจนกวาจะมี การเห็ นทางตา เป นจั กขุ ธาตุ ซึ่ งมาทํ าหน าที่ เปนจักขุอายตนะ ฉะนั้นเราจึงมีการเห็นไดทางตา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org รู ป ธาตุ ข า งนอก รู ป อะไรก็ ต ามที่ เห็ น นี้ ต น ไม ใ บไม อ ะไรก็ ต ามมั น ก็ เป น ธาตุ ดิ น น้ํ า ลม ไฟ อากาสธาตุ คุ ม กั น อยู เป น อย า งนั้ น ; ถ ายั งไม ม ากระทบ ตาเรา มั นก็ ไม มี ความหมายแก เรา, มั นยังไม เกิ ด. พอมั นมา กระทบเรา เรียกว า มั น เกิ ด . ก็ เรี ย กว า รู ป ธาตุ ข า งนอกนี่ มั น กลายเป น รู ป ายตนะขึ้ น มา, เป น อายตนะคือ รูป ขึ ้น มา. ครั้น พอมากระทบกับ จัก ขุอ ายตนะขา งใน มัน ก็เ กิด จักขุวิญ ญาณขึ้น มา, เปนขัน ธขึ้น มา, เปน จัก ขุวิญ ญาณ เปนรูป ขัน ธ ที่ทํา ใหเ กิด วิญ ญาณขัน ธขึ ้น มา ; มัน เปน อัน เดีย วกัน ไมไ ด, ธาตุก ็ด ี อายตนะก็ดี ขัน ธก ็ด ี เปน อัน เดีย วกัน ไมไ ด, แลว ขัน ธก ็ด ี อุป าทานขัน ธก ็ด ี เปน อัน เดีย ว กันไมได.
เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม
๔๔๗
การปรุงตั้งแตอวิชชาสัมผัสจนเปนทุกขเรียกวาปฏิจจสมุปบาท. ฉะนั ้น ในขณะที ่ด วงตาเห็น รูป เกิด อยู นี ้ ยัง ไมม ีก ิเ ลส, ยัง ไมใ ช กิ เ ลส ยั ง ไม มี กิ เ ลส. ต อ งโง ใ นขณ ะนั้ น ต อ งเผลอในขณะนั้ น ต อ งมี เ หตุ ป จ จั ย อย า งใดอย า งหนึ่ งในขณะนั้ น , คื อ ในขณะที่ ต ากระทบรู ป หู ก ระทบเสี ย ง เป น ต น นี้ ถ า ได โ อกาสของความโง อวิ ช ชา เข า มาผสมโรงด ว ยแล ว , สั ม ผั ส อั น นั้ น จะเป น การสั ม ผั ส ด ว ยอวิ ช ชา, แล ว มั น ก็ จ ะมี เวทนา ที่ เกิ ด จากอวิ ช ชาสั ม ผั ส แล ว มั น ตอ งเกิด ตัณ หาแนๆ , แลว มัน จะเกิด อุป าทานยึด มั่น ไปตามกระแสแหง ตัณ หา ก็ จ ะเกิ ด ภพ คื อ ปรุ ง เป น การกระทํ า มโนกรรมที่ จ ะให เกิ ด เกิ ด เป น อุ ป าทาน, เกิ ด เปน ตัณ หาแลว เกิด เปน อุป าทาน กิเ ลสที ่ทํ า หนา ที ่ย ึด มั ่น เปน ตัว กู - ของกู, แลวมันจะเกิดชาติ เกิดภพ เกิดทุกข. นี่เรียกวา ปฏิจจสมุปบาท มันจะมาตาม ลํ า ดับ อยา งนี ้, เปน อยา งอื ่น ไมไ ด. นี ้เ รีย กวา อุป ทานขัน ธ วัน หนึ ่ง มีไ มกี ่ค รั ้ง และบางวั น อาจจะไม มี ก็ ได . ถ า เราไม มี ค วามทุ ก ข เกี่ ย วกั บ เรื่อ งเหล า นี้ แ ล ว วั น นั้ น ไม ได เกิ ด อุ ป าทานขั น ธ . ถ าวั น นั้ น เกิ ด ความทุ ก ข กี่ อ ย า ง แล ว ก็ แ ปลวา วัน นั้ น มันเกิดอุปาทานขันธเทานั้นอยาง, หรือเกิดปฏิจจสมุปบาทเทานั้นรอบ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ ก ข ก กา นี่ ถ าเข าใจแล ว จะรู ธ รรมะแล ว จะพู ด ไม ผิ ด จะสอนไม ผิด, จะเป นครูบาอาจารยที่ ไม ต องพู ดผิ ด. ที นี้ ก็ต องพู ดมาจากข างใน. พระพุ ทธ เจาทานตองการนัก ตองการหนาวาสาวกทั้งหลายจงพูดออกมาตามที่รูสึกโดยประจักษ อยูขางใน. อยาพู ดตามคําของตถาคตเลย ; สาวกที่แทจริงเขาจะไมพูดตามคําของ พระศาสดาของตน ; แต ส าวกนั้ น เขาจะพู ด ตามความรู ป ระจั ก ษ ชั ด ที่ เขารู ป ระจั ก ษ ชั ดอยู ข างใน, แล วเขาพู ดออกมา, แล วมั นจะไปเหมื อนกั บคํ าที่ ว าพระศาสดาตรัสด วย กันทุกคํา ทุกอักษร.
๔๔๘
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
เดี๋ ยวนี้ เราไปเที่ ยวจํ าคํ าเขามาพู ด บางที ก็ จํ าขี้ ป ากของเขามาด วยซ้ํ าไป, ไม ใช คํ าที่ ถู กต อง, มั นก็ พู ดกั นมาก แล วก็ เปะ ๆ ปะ ๆ ไปหมด เพราะว าไม ได เรี ยน ก ข ก กา ให รู อ ย า งถู ก ต อ งว า อะไรคื อ ธาตุ อยู ที่ ไหน เมื่ อ ไร กี่ อ ย า ง ๆ, แล ว เมื่ อ ไรธาตุ นี้ ป ระกอบกั น เข า แล ว เกิ ด ขึ้ น เป น อายตนะ อายตนะภายนอกก็ ต าม และอายตนะภายในก็ตาม แลวเมื่อไรเกิดผัสสะ เกิดเวทนาตามธรรมดา เปนขันธ ล วน ๆ, แล วเมื่ อ ไรเลยไปถึ งอุ ป าทานขั น ธ ; คื อ เกิ ด ตั ณ หา อุ ป าทาน ภพ ชาติ และเปน ทุก ข. สว นนี ้เ ขาเรีย กวา ปฏิจ จสมุป บาท คือ อาการที ่ม ัน เกิด ขึ ้น จน เปนทุกข กระแสสายอันนี้เขาเรียกวาปฏิจจสมุปบาท. ฟ งให ดี ว า คํ า ว า ปฏิ จ จสมุ ป บาท นี้ เขาใช แ ก เรื่ อ งจิ ต ใจเกี่ ย วกั บ ความทุก ขเทานั้น . ถาเปน เรื่อ งของตน ไม กอ นหิน กอ นดิน อยางนี้ไมเรีย ก วา ปฏิ จ จสมุ ป บาท แต เรีย กว าอิ ทั ป ป จ จยตา ทั้ งหมดเลย. แต ถ า เป น เรื่อ งเกี่ ย ว กับ คนสัต วที ่ม ีค วามรู ส ึก . จิต ใจสูง อยางนี ้ จะมีค วามทุก ขอ ยา งนี ้ ตอ งเรีย กวา อิท ัป ปจ จยตาสมุป ป าโท ชื ่อ มัน ยาวออกไปวา อิท ัป ปจ จยตาชนิด ปฏิจ จ สมุป บาทนี ้เ กี ่ย วกับ เรื ่อ งในใจคน. ถา อิท ัป ปจ จตาเฉย ๆ อะไรก็ไ ด กอ นหิน กอนดินตนไมอะไรก็ได มันเปนกระแสแหงอิทัปปจจตาไปทั้งสิ้น.
www.buddhadasa.in.th ลักษณะของกิเลสและสั่งสมเปนอนุสัย. www.buddhadasa.org ที นี้ ก็ ม าถึ ง กิ เลส ที่ เป น ตั ว ให ยึ ด ถื อ สั ก ที แ ล ว ก็ จ ะหมดเรื่ อ ง ก็ ไ ด ก ล า ว มาแล ว ว า ความทุ ก ข เ กิ ด ขึ้ น เมื่ อ มี ค วามยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ซึ่ ง เป น กิ เ ลส ก็ ตั้ ง ต น ว า
เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม
๔๔๙
ตาเห็น รูป อาศัย รูป เกิด การเห็น ทางตา คือ จัก ษุว ิญ ญ าณ จกฺข ุ ฺจ ป ฏิจ ฺจ รูเป จอุปฺปชฺชติ จกฺขุวิญญาณํ เพราะอาศัยตาดวยรูปดวยจึงเกิดจักษุวิญญาณ, ติณฺณํ ธมฺ มานํ สงฺคติ ผสฺโส - ความมาพรอมกันแห งธรรม ๓ ประการนี้ เรียกวา ผัสสะ, ผสฺสปจฺจยา เวทนา - เพราะผัสสะเป นป จจัยจึงเกิดเวทนา, เวทนาปจฺจยา ตณฺ หา เพราะเวทนาเป นปจจัยจึงเกิดตัณหา, ตฺ หาปจฺจยา อุปาทานํ -เพราะตัณหาเป น ปจจัยจึงเกิดอุปาทาน, อุปาทานปจฺจยา ภโว - เพราะอุปาทานเปนปจจัยจึงเกิดภพ, ภวปจฺจยา ชาติ - เพราะภพเป นป จจัยจึงเกิดชาติ , ชาติปจฺจยา ชรามรณํ โสกปริ เทวทุก ขโทมนสสุป ายาสา ฯลฯ (เรื ่อ ยไปจน) ...สมุท โย โหติ - ทุก ขทั ้ง ปวง เกิดขึ้นเพราะชาติเปนปจจัย. จํ า ให ดี ๆ ว า ตากระทบรู ป เกิ ด การเห็ น ทางตา, ทั้ ง หมดนี้ เ รี ย กว า ผั ส สะ. ตอนผั ส สะนี้ เ ราต อ งระวั ง ให ดี ถ า เป ด โอกาสให อ วิ ช ชาเข า มาครอบงํ า ผสมโรง แลวมันจะเปลี่ยนรูปเปนอุปาทานเปนเบญจขันธที่มีอุปาทาน. ที นี้ คุ ณ จะถามว า อวิ ช ชามาจากไหนใช ไ หม ? คุ ณ จะถามอย า งนั้ น ใชไหม ? ไมไดถามอยางนั้น, คุณเอาอวิชชามาแตไหน ?
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ระหว า งมี ก าร ป ระจวบ แห งธรรม ๓ ป ระการ ที่ เ รี ย กว า ผั ส สะนี้ ผั ส สะนี้ ก็ จ ะต อ งมี ผั ส สะที่ ป ระกอบอยู ด ว ยอวิ ช ชา หรื อ ผั ส สะที่ ป ระกอบด ว ย อวิ ชชา, อวิ ชชานี้ อย าไปเรียกมั นวากิ เลส ถ าไปเรียกอวิ ชชาวากิ เลส แล วมั นสะเพรา, มัน ทํ า อยา งสะเพรา . อวิช ชามัน เปน อาสวะ เปน อนุส ัย , กิเ ลสนั ้น เรีย กวา โลภะ โทสะ โมหะ หรื อ ราคะ โทสะ โมหะ สามอย า งนี้ เป น แม บ ท เรี ย กว า กิ เลส.
๔๕๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
โลภะหรื อ ราคะ นี้ อ ย างหนึ่ ง เป น กิ เลสประเภทลากเข ามาหาตั ว , เอาเข า มา ๆ ๆ ราคะก็ ต าม โลภะก็ ต าม มั น ลากเข า มาหาฉั น . โกธะหรื อ โทสะ มัน เปน กิเลสที่ผ ลัก ออกไปและอยากจะตีใหต ายดว ย มัน ผลัก ออกไป. ถา โมหะ นี ้ม ัน โงม ัน มืด มัน ไมรู ว า จะทํ า อยา งไรดี, มัน อาจจะวิ ่ง อยู ร อบ ๆ ก็ไ ด. ไมรูว า จะรักดีหรือจะเกลียดดี. ถ าราคะหรื อโลภะละก็ มั นรั ก ถ าโทสะหรื อโกธะแล วมั น เกลี ยด, ถ าโมหะ แล ว มั น ยั ง โง ยั ง มื ด ยั ง ไม รู ว า จะทํ า อย า งไรดี มั น จึ ง ได แ ต พั ว พั น หลงใหลอยู ร อบ ๆ. นี้ คื อ ตั ว กิ เลส ฉะนั้ น กิ เลสมี อ ย า งเดี ย ว, ไม ข อร อ งให พู ด ว า กิ เลสมี ๓ ชั้ น หรื อ มี กิ เลสอย างหยาบ กิ เลสอย างกลาง กิ เลสอย างละเอี ย ด, แล วเอาโลภะ โทสะ โมหะ เป นกิ เลสอย าง กลาง นี้ ว าเอาเอง. ผู ใดพู ดอย างนี้ ผู นั้ นว าเอาเอง, แล วก็ ว าตาม ๆ ๆ กัน มา เพราะกิเ ลสจะมีแ ต โลภะ โทสะ โมหะ ๓ อยา งนี ้, ถา มัน ออกมา เปน การฆา การลัก ขโมยการอะไรตา ง ๆ นี ้ม ัน อาการของกิเ ลส. ชั ้น หยาบ ชั ้น นอก. ทีนี ้ที ่เ ปน ชั ้น ในลึก เขา ไป ถา วา มัน มีค วามโลภ หรือ ราคะทีห นึ ่ง , มั น จะสร า งราคานุ สั ย เข า ไว คื อ ความเคยชิ น ที่ จ ะราคะ จะกํ า หนั ด นั่ น แหละเข าไว ครั้งหนึ่ งแล วราคะหลายครั้ง ๆ มั นก็ จะสรางความเคยชิ นหรืองายสะดวกดายที่ จะราคะ เข าไว . ส ว นนี้ ก็ เรี ย กว า อนุ สั ย คื อ ความเคยชิ น ที่ จิ ต จะราคะ, แล ว เมื่ อ โกรธโทสะ หรือโกรธที หนึ่ งมั นจะสรางปฏิ ฆ านุ สั ย เขาไวที หนึ่ ง, โกรธอี กที หนึ่ งก็ เพิ่ มปฏิ ฆานุ สั ย ไว ที หนึ่ ง, โกรธอี กที หนึ่ งเพิ่ มปฏิ ฆ านุ สั ยไว อี ก มั นก็ มี ความเคยชิ นที่ จะโกรธจะปฏิ ฆ ะ จะโทสะ นี้เรียกวา ปฏิฆานุสัย ทีนี้ถาวา มันมีโมหะ มันก็จะไปสราง อวิชชานุสัย.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org หรือ ถา พูด อีก ทีม ัน ใกลเ ขา มาอีก ก็ว า อารมณที ่น า รัก เกิด ทีห นึ ่ง ก็สรางราคานุสัย, อารมณ ที่นาเกลียด นาโกรธเกิดทีหนึ่ง ก็เกิดปฏิฆานุสัย, อารมณ
เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม
๔๕๑
ที่เปน อทุกขมสุข ทีหนึ่ง ก็ จะเปนอวิชชานุสัย, อวิชชานุสัยเปนเพียงความเคยชิน ที่ จะลุ กขึ้ นมาทํ าหน าที่ คราว ๆ หนึ่ งเท านั้ น ไม ได มี อยู ตายตั วตลอดเวลา. นี่ ราคา นุสัยก็ดี ปฏิฆ านุสัย ก็ดี อวิชชานุสัย มิใชมีอยูตลอดเวลา ; เพราะวาบรรดา สังขตะธาตุทั้งหลายนี้ ไมมีสังขตธาตุอันใดจะมีอยูไดตลอดเวลาโดยไมเกิดดับ ฉะนั้ น อวิ ชชาก็ ดี , พวกกิ เลสคื อ โลภะ โทสะ โมหะ ก็ ดี , พวกอนุ สั ย คื อ ราคานุ สั ย ปฏิ ฆานุ สั ย ก็ ดี , อวิชชานุ สั ย ก็ ดี , จะต องมี การเกิ ดดั บ ตามเหตุ ตามป จจั ยตามกาล ตามเวลา, ไม มี สิ่ ง ใดที่ จ ะเที่ ย งตายตั ว อยู ได นอกจากพวกอสั ง ขตธาตุ พ วกเดี ย ว เทา นั ้น . ทีนี ้สว นความทุก ข สว นกิเ ลส สว นรูป สว นนามนี ้ มัน เปน สัง ขต ธาตุทั้งนั้น, แลวมันตองมีการเกิดดับตลอดเวลา. ทีนี้เราเอาอวิชชามาจากไหน ? พอตาเห็นรูปเกิดการเห็นทางตา สาม อยา งนี้เรีย กวา ผัส สะ ผัส สะจะไดอ วิช ชามาจากไหน ? ก็ไดม าจากความเคยชิน นี้ จะความเคยชิ นมาทางไหน มั นก็ จะชิ นมาทางนั้ นคื อชิ นที่ จะรัก, หรือชิ นที่ จะโกรธ จะเกลี ย ด, ที่ จ ะโง จ ะหลง. ถ า ชิ น อั น ไหนมา ก็ เรี ย กว า อาศั ย อนุ สั ย อั น นั้ น ; แต ทุก อัน นี ้จ ะเรีย กไดว า มัน เปน ความไมรู เปน ความโง ; ฉะนั ้น จึง เรีย กวา อวิชชาได ดวยกันทั้งนั้น.
www.buddhadasa.in.th อวิชชาสั่งสมมาจากอนุสัยและอาสวะ. www.buddhadasa.org ที นี้ ถ าถามวาเอาอวิ ชชามาจากไหน ? เมื่ อตาเห็ นรูป มี การสั มผั สแล ว เอาอวิช ชามาแตไ หนมาผสมเขา มาในสัม ผัส ก็ค ือ ความเคยชิน . ความเคย ชิน นี ้ส ะสมไวตั ้ง แตเ มื ่อ ไร ? ตั ้ง แตเ มื ่อ เปน เด็ก ๆ แตอ อ นแตอ อกมาทีเ ดีย ว.
๔๕๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
มั น ไวที่ จะเกิ ด ความโลภ ไวที่ จะเกิ ด ความโกรธ ไวที่ จะเกิ ด ความหลง ไวมากจนดู ไม ออกว า มั นเกิ ดขึ้ นมา, คล าย ๆ กั บวามั นเกิ ดอยู แล ว นี่ เรียกว าอนุ สั ย อนุ สั ยแปลว า ติ ดตาม, ผู ติ ดตาม, เรียกอี กชื่อหนึ่ งวา อาสวะ เชน อวิชชาสวะ. อวิชชาในฐานะ เปน อาสวะนั ้น คือ ความเคยชิน ที ่จ ะสะสมอยา งยิ ่ง ; ฉะนั ้น จึง ไวป บ ที ่จ ะโง. พอตาเห็ น รู ป ก็ โ ง , หู ฟ ง เสี ย งก็ โ ง , จมู ก ได ก ลิ่ น ก็ โ ง , ด ว ยอํ า นาจของอวิ ช ชาสวะ บ า ง อวิ ช ชานุ สั ย บ า ง. นี่ ผั ส สะจึ ง มี ท างที่ จ ะแยกกั น เดิ น เป น ๒ ทาง : เป น อวิ ช ชาสั ม ผั ส ; เพราะว าอนุ สั ย อย างนี้ มั น เข าผสมโรงเกิ ด ขึ้ น แล วเข าผสมโรงได ใน ทุกกรณี ; เพราะพระพุทธเจาทานไดตรัสวา สพฺเพสุ ธมฺเมสุ อวิชฺชา อนุปติตา อวิชชายอมตกตามไดในธรรมทั้งหลายทั้งปวง. สพฺเพสุ ธมฺเมสุ - ในธรรมทั้งหลาย ทั้งปวง, อวิชฺชา คือ อวิชชา, อนุปติตา - ตกตามได. อวิชขานี้คลาย ๆ กับวามันอยู ไปเสีย ทุก หนทุก แหง จะตกอยู ใ นที ่ไ หนเมื ่อ ไรก็ไ ด; เหมือ นกับ วา บา นของเรา นี้ พ อเจาะรู เข าที่ ต รงไหน ที่ ฝ า แสงสว างจะเข ามาทั น ที เพราะแสงนี้ มี อ ยู รอบพร อ ม อยู ข า งนอกแล ว , เจาะรู ต รงไหนก็ เ ข า มาทั น ที . จิ ต นี้ ก็ เ หมื อ นกั น ในขณ ะแห ง สัม ผัส นั ้น เผลอมีรูเขา อวิช ชาจะเขา ผสมเปน อวิช ชาสัม ผัส , แลว ตอ งเดิน ไป ตามกระแสแห งปฏิ จ จสมุ ป บาทฝายสมุ ท ยวาร คือ เกิ ด ทุ กข ขึ้นมาจนได. ฉะนั้ น จึงสอนใหมีสติ. พุ ทธศาสนาสอนอยางยิ่งกวาสิ่งใดหมดก็คือใหมี สติ, สติ ระลึ ก ทัน ทว งที, ปอ งกัน ทัน ทว งที, คุ ม ครองทัน ทว งที, ปด กั ้น ทัน ทว งที, อยา งนี้ แล วอวิชชาไม มี ทางที่ จะเข ามาผสมในการสั มผั ส ทางตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ, ก็ เลยเป นเบญจขั นธ ล วน ๆ ชั่ วขณะ. แล วก็ ดั บไปตามเหตุ ป จจั ย ไม เกิ ดทุ กข . นี่ เบญจ ขั น ธ ล วน ๆ มั นจะเป น อย างไรก็ ต ามใจ มั น ไม เกิ ด กิ เลสเข าไปยึ ด ถื อ แล วมั น ก็ ไม เป น ทุ ก ข . ที นี ้ ม ั น มี รู รั่ ว อวิ ช ชานุ ส ั ย โผล ขึ ้ น มาได ผสมในสั ม ผั ส นั ้ น , สั ม ผั ส นั ้ น ก็ ใ ห เ กิ ด เวทนา ชนิ ด ที ่ จ ะเป น เหยื ่ อ ของตั ณ หา, ตั ณ หาก็ ส ง ให เ กิ ด อุปาทาน, อุปทานก็ใหเกิดภพ ภพก็ใหเกิดชาติ, ชาติก็ใหเกิดทุกขทั้งหลาย.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม
๔๕๓
ทุกสิ่งเพิ่งเกิดเมื่อผัสสะถามีสติทันจิตก็ประภัสสร. นี้ ก็ จ ะเห็ น ว า มั น เพิ่ ง เกิ ด ทั้ ง นั้ น , ไม มี อ ะไรที่ จ ะเกิ ด เป น ตายตั ว อยู ไ ด . ถ า ใครเห็ น ว า สิ่ ง ใดเกิ ด อยู ต ายตั ว ได ค นนั้ น ก็ เป น สั ส สตทิ ฏ ฐิ , คนนั้ น มี มิ จ ฉาทิ ฏ ฐิ ประเภทสั ส สตทิ ฏ ฐิ โดยถื อ ว า มี สิ่ ง ใดสิ่ ง หนึ่ ง อยู ต ลอดเวลา โดยที่ ไ ม ต อ งเกิ ด ดับ . แตว า เปน พุท ธศาสนาแลว จะเปน สัส สตทิฏ ฐิไ มไ ด, จะตอ งมีสิ ่ง ทั ้ง หลาย ที่เป นไปตามเหตุตามป จจัย ตามโอกาส. นี่ป ฏิ จจสมุ ป บาทจะเกิ ดขึ้น ได ก็ต อเมื่ อ เผลอสติ ; ถ า ไม มี สิ่ ง เหล า นี้ เกิ ด ขึ้ น ไม เป น ปฏิ จ จสมุ ป บาท ไม เป น อุ ป าทานขั น ธ . ดั ง นั้ น จิ ต ย อ มผ อ งใส เป น ปภั ส สร; นี่ ถื อ ว า ตลอดเวลากิ เลสมิ ได เกิ ด ขึ้ น จิ ต ย อ ม ผ อ งใสเป น ประภั ส สร. แม ว า เราจะนั่ งนอนยื น เดิ น กิ น อาหาร ทํ า อะไรอยู ก็ ต าม ถ า กิเ ลสมิไ ดเ กิด ขึ้น เพราะสัม ผัส , มีส ติป อ งกัน ไวเ ปน อยา งดีแ ลว จิต นั ้น จะยัง คงเปนประภัสสร. นี่ ถ า ถามว า จะหาดู จิ ต ประภั ส สรที่ ไหน ? ก็ ต อ งหาดู ที่ จิ ต ในขณะที่ มั น มิไ ดม ีก ิเ ลสเกิด ขึ ้น , ที ่นี ่ก็ไ ด, ที ่ไ หนก็ไ ด, เพราะวา ตามธรรมชาติข องจิต นั ้น มี ประภา, ประภา แปลว า กาววาว แสงสว างกาววาว, ส - ร แปลว าวิ่ งไป, ประภั สสร แปลวามีประเภทที่แลนออก วิ่งออกมา, คือรัศมี, พูดงาย ๆ ก็คือรัศมี เพราะวาไม มี กิ เลสมาหุ ม ห อป ด บั ง ; เหมื อ นกั บของเรา ถ าไม มี โคลนมาป ด เพชรก็ ส งแสงประ ภั ส สร เดี๋ ย วนี้ เพชรที่ ยั งมิ ได เจื อ ระไน มั น มี อ ะไรป ด อยู เพชรมั น ส งประภั ส สรไม ได . นี่ เปรี ย บเที ย บทางวั ต ถุ เหมื อ นอย า งเพชรมั น มี ค วามเป น ประภั ส สรอยู ในนั้ น ถ า มี อะไรขรุ ข ระหุ ม เสี ย ออกไม ไ ด ฉะนั้ น เจี ย ระไนเสี ย มั น ก็ ป ระภั ส สร. ที นี้ เจี ย ระไน แล ว ถ า เอาโคลนไปปะเข า อี ก มั น ก็ ไ ม ป ระภั ส สร, ก็ ต อ งเอาออกไปเสี ย ที ห นึ่ ง .
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๔๕๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
จิ ต นี้ ก็ เหมื อ นกั น ธรรมดามั น มี ค วามเป น ประภั ส สร แต ว า มั น สู ญ ความประภั ส สร เพราะมั น มี อ ะไรมาห อ หุ ม . เมื่ อ ใดไม มี ป ฏิ จ จสมุ ป บาทเกิ ด ขึ้ น ในจิ ต เมื่ อ นั้ น จิ ต เป น ประภั ส สร เมื่ อ ใดกิ เลสมิ ได เกิ ด ขึ้ น ในจิ ต นั้ น เมื่ อ นั้ น จิ ต เป น ประภั ส สร. ดั ง นั้ น จิตที่ไมเปนประภัสสรก็คือเปนทุกข มันมีความทุกข มันมีกิเลส.
จิตประภัสสรกลับเศราหมองไดเพราะกิเลส. ถาจิตประภัสสรแลวทําไมจะตองกลับเศราหมองอีก ? เพราะวามันยัง ไมม ีค ุณ สมบัต ิอ ยา งหนึ ่ง ซึ ่ง จะปอ งกัน กิเ ลส ; เพราะเหตุนั ้น เราจึง มีก าร อบรมจิ ต อี ก ส วนหนึ่ งต างหาก ที่ จ ะป อ งกั น มิ ให เกิ ด กิ เลส จิ ต ก็ ป ระภั ส สรตลอดกาล คือเปนพระอริยเจา, เปนพระอรหันตไปเลย, จิตไมกลับเศราหมองอีก. เรื่ องนี้ มี คํ าอยู ๒ คํ า กุ ปปธรรม กั บ อกุ ปปธรรม. ความเป นประภั สสร ของจิตของพวกเราตามธรรมดานี้เปนกุปปธรรม คือกลับเศราหมองเพราะกิเลส ไดอ ีก ; แตค วามเปน ประภัส สรของพระอรหัน ตนั้น เปน อกุป ปธรรม, กลับ เศร าหมองอี ก ไม ได . แต ถ าในขณะที่ มั น ว างจากกิ เลสแล วมั น พอ ๆ กั น คื อ มี ค วาม เป น ประภั ส สรพอ ๆ กั น ; แต มั น มี ได น อ ย, ได แ วบเดี ย ว; ได ชั่ ว ขณะ, ได บ างเวลา มันมี อะไรมาแตะต องอยูเรื่อยไม มากก็น อย. พระพุ ทธภาษิ ตมี อยู วา จิ ตนี้ เป นประ ภัส สร, ปภสฺส รมิท ํ ภิก ฺข เว จิต ฺต ํ - จิต นี ้ม ีป กติเ ปน ประภัส สร. แตถ า ถือ เอา ตามคํ าของพระสารี บุ ต ร ในคั ม ภี ร ป ฏิ สั ม ภิ ท ามั ค ค ท านพู ด คล าย ๆ กั บ ว าพู ด แทน พระพุ ท ธเจ า ว า ภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย, ปกติ ป ริ สุ ทฺ ธ มิ ทํ ภิ กฺ ข เว จิ ตฺ ตํ - จิ ต นี้ มี ค วาม บริ สุ ท ธิ์ อ ยู เ ป น ปรกติ ; ใช คํ า แปลอย า งนี้ จิ ต นี้ มี ค วามบริ สุ ท ธิ์ อ ยู เ ป น ปรกติ
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม
๔๕๕
ปกติป ริส ุท ฺธ มิท ํ ภิก ฺข เว จิต ฺต ํ อาคนฺต ุเ กหิ อุป กิเ ลเสหิ อุป กิล ิฏ ํ, ตอนนี้ เหมือ นกัน . ที ่เ ปน พ ระพุท ธภ าษิต ตรัส วา จิต นี ้เ ปน ป ระภัส สร แตภ าษิต พระสารีบ ุต ร ที ่พ ูด อยู ใ นรูป คลา ยกับ รูป พระพุท ธภาสิต วา จิต นี ้ม ีค วามบริส ุท ธิ์ อยูเปนปรกติ. ฉะนั้ น ระวั งเท านั้ น แหละ ไม ต องทํ าอะไรมาก หรือ ว าอยู ให ดี ๆอย าให เกิด โอกาสที่จ ะใหอ วิช ชาเกิด ขึ้น ผสมผัส สะ, หัด สติใหม าก; เพราะวา ทํา ผิด มาเป น ๑๐ ป ๒๐ ป กว าจะโตเท านี้ หลาย ๑๐ ป ชิ นแต ให เกิ ดอวิ ชชา, จะมาตั้ งต น ป องกั นอี กฝ กเอาในระยะอั นสั้ น มั นก็ ลํ าบากหน อย, แต ก็ ทํ าได . ก็ ทํ าให ดี ทํ าให มาก ด วยการปฏิ บั ติ ธรรมในพระพุ ทธศาสนา มั นก็ จะมี ความสามารถที่ จะมี สติ ป องกั นการ มาแหงอวิชชา.
ปองกันไมใหอวิชชาเกิด อนุสัย, อาสวะจะออนกําลัง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ เมื่ อ อวิ ช ชาถู ก ป อ งกั น มิ ใ ห เกิ ด ได ความเคยชิ น นั้ น ก็ ค อ ยสลายไป จางไป. ความเคยชิ น ที่ จะเกิ ดจากโลภะ โทสะ โมหะ มั นจึ งค อ ย ๆ สลายไป, มั นจึ ง เกิ ดยาก จนกระทั่ งไม เกิ ดเลยในที่ สุ ด. นี่ เรี ยกว าสิ้ นราคะ โทสะ โมหะ เพราะว าคอย กัน ไมใ หม ัน เกิด ได, จนมัน สูญ เสีย ธรรมชาติที ่จ ะเกิด หรือ ความเคยชิน ที ่จ ะเกิด นี่ คื อ การทํ าลายอาสวะ ทํ าลายอนุ สั ย อยูเรื่อยไปทุ กคราวที่ มี การเห็ น รูป ฟ งเสีย ง ดมกลิ่นลิ้มรส ฯลฯ. ฉะนั้ นขอให จํ า ก ข ก ก า กะ กา กิ กี บทสุ ดท ายให ดี ๆ ว า ทุ กคราวที่ ตากระทบรูป หรือ หู ก ระทบเสี ย งก็ ต าม จงกระทํ าอย าให อ วิ ช ชาเกิ ด มาได . ระวั ง
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
๔๕๖
อย า ให อ วิ ช ชาเกิ ด ได ข อ นี้ จ ะเป น การบั่ น ทอนอวิ ช ชานุ สั ย , และอวิ ช ชาสวะลงไป เรื่ อ ย ๆ เรื่ อ ย ๆ จนอ อ นกํ า ลั ง จนหมดไป ; เหมื อ นกั บ เรา ไม ใ ห มั น ได กิ น อาหาร ไมเพิ ่ม อาหาร มัน ก็ผ อม, ผอมก็ต าย นี ่ป อ งกัน อยา ใหก ิเ ลสอยา ไดก ิน อาหาร นั่นคือการปฏิบัติธรรมะที่ถูกตอง เรียกวา มัชฌิมาปฏิปทา. พระพุท ธเจา ทา นจึง ตรัส ไว ฟง ดูแ ลว มัน งา ยเหลือ เกิน วา ถา ภิก ษุ ทั ้ง หลายเหลา นี ้จ ัก เปน อยู โ ดยชอบไซร โลกนี ้จ ะไมว า งจากพระอรหัน ต. ทานจะปรินิ พพานอยูหยก ๆ แลวทานยังอุตสาหตรัสประโยคนี้ อิ เม เจ ภิ กฺ ขเว ภิ กฺ ขู สมฺม าวิห าเรยฺยุ อสฺุโ โลโก อรหนฺเ ตหิ อสฺส - ดูก อ นภิก ษุทั ้ง หลายถา ภิกษุเหลานี้จักเปนอยูโดยชอบไซร โลกนี้จะไมวางจากพระอรหันต. เปนอยูโดย ชอบ ในที่ นี้ ไม มี อ ะไร คื อ เราทํ า อย า ให กิ เลสได โอกาสเกิ ด , มั น ก็ ค อ ย ๆ หมด อนุส ัย , หมดอาสวะไปเอง, ก็ค ือ ระวัง ทุก คราวที ่ต าเห็น รูป ไมใ หก ิเ ลสเกิด หรื อ ว า ได ฟ ง เสี ย งไม ใ ห กิ เลสเกิ ด จมู ก ได ก ลิ่ น ไม ใ ห กิ เ ลสเกิ ด ฯลฯ. ให เ ป น แต เบญจขัน ธล ว น ๆ ธรรมดา, อยา ใหเปน ปญ จุป าทานขัน ธ. นี ่เรีย กวา เปน อยู ชอบ กิ เลสก็ ผ อมลง, อาสวะก็ ผ อมลง, อนุ สั ย ก็ จ างลง, มั น ก็ ห มดไปวั น หนึ่ ง เป น การประภัสสรที่ตายตัว.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ....
....
....
....
ทั้ งหมดนี้ อาตมาเรี ย กว า ก ข ก กา ในการศึ ก ษาธรรมะของพระพุ ท ธ เจาเปน ก ข ก กา ของธรรมะ.
คุ ณ กั ญ ญาว าอย างไร จริ งไหม ? ตอนนี้ ดิ ฉั นที่ ศึ กษาและติ ดตามหนั งสื อที่ ศึ กษา มาก็เขาใจวา ที่ทานอธิบายมานี้ก็เห็นดวย วาจิตนี้ประภัสสร.
เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม
๔๕๗
ไม ใช , นี้ เป น ก ข ก กา หรื อไม ? อ อ , ใช ค ะ คุ ณ เรี ยน ก ข ก กา มา ผิดใชไหม ? ก็ผิดบาง ถูกบาง ก็ถูกแลวผิดบางถูกบาง. นี่ ขอเตื อนครู บาอาจารย ทั้ งหลาย และผู ฟ งทั้ งหลาย ว าป ใหม นี้ จงปรั บปรุ ง กั นเสี ยใหม , เรียน ก ข ก กา กั นเสี ยใหม , ถ ายั งมี ผิ ดอยู บ าง ก็ เรียนเสี ยใหม ให ถู ก ใหหมด. นี่ เรื่องป ใหม ที่ อุ ตส าห ตั้ งใจจะพู ดป นี้ มั นมี อย างนี้ ป ใหม นี้ เรียน ก ข ก กา กั นใหม , ป ใหม นี้ ปรับปรุงการเรียน ก ข ก กา ที่ ยั งผิ ด ๆ อยู นี้ ให มั นถู กต องเสี ยใหม , แลวมันจะสมกับปใหม. แลวก็พอกันทีใชไหม ? ที นี้ ป ญหายั งมี อยู อี ก จะถามท านอี กสั กคํ าหนึ่ ง อี กสั กข อหนึ่ งให ท านอธิ บาย แต ว า ส ว นตั ว ดิ ฉั น ไม มี ป ญ หา. อ า วก็ ไม ต อ งถาม. ที นี้ ก็ ยั ง ลั ง เลสงสั ย อยู คื อ ป ญ หาถกเถี ย งกั น ว า ขณะที่ จิ ตที่ ทํ างานอยู เฉย ๆ เช นยกตั วอย างว า ขณะที่ ตั วดิ ฉั นกํ าลั งพิ มพ ดี ดอยู เฉย ๆ นี้ ขณะนี้ ดิ ฉั นก็ ว า นี่ แหละจิ ตประภั สสร ที นี้ ก็ ยั งลั งเลสงสั ยอยู เพราะอี กท านหนึ่ งบอกว า ขณะนั้ นแหละ จิตมีโมหะ อยากจะใหทานชี้ลงไป.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ไม มี ใครจะไปชี้ ในจิ ต ใจของใครได . เมื่ อ เราพิ ม พ ดี ด อยู เรามี ค วามรู สึ ก ประเภทอุ ปาทานตั วกู - ของกู จะได จะเสี ย จะดี จะเด นอะไรหรื อเปล า ? เฉย ๆ ค ะ ก็ เป น ประภั ส สร แต ถ า เราพิ ม พ ดี ด เราจะเอาดี , พอทํ า ผิ ด แล ว โกรธหั ว ป น ว า มั น มี แต เสี ย อย า งนี้ มั น ไม ป ระภั ส สร. ฉะนั้ น การที่ จ ะถามว า เมื่ อ กํ า ลั ง พิ ม พ ดี ด อยู นั้ น จิ ตประภั สสรหรื อไม ? มั นก็ ต องว าแล วแต จิ ตใจของคนนั้ น, ว าทํ าอยู ด วยอุ ปาทาน หรือทํ าอยูด วยสติ สั มปชัญญะ ; ถ าเกิ ดกิ เลสอย างใดอยางหนึ่ งก็ จิตไม ประภั สสร, ถ า ไม เกิ ดกิ เลสก็ จิ ตประภั สสร. นี้ เป นหลั กที่ จะไปใช กั บอะไรก็ ได ; แม แต จะรับประทาน อาหาร จะอาบน้ํ า จะไปถาน จะอะไรต าง ๆ ก็ ระวั งจิ ตให ปรกติ ก็ ประภั สสร. นี่ แหละ
๔๕๘
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
เปน อยู ช อบ อยา งนี ้ กิเ ลสก็คอ ยขาดอาหารตายไป ๆ, ยากที ่อ วิช ชาจะมาเกิด ขึ้นในขณะแหงผัสสะ. ก ข ก กา มีอยูเทานี้ :เริ่ ม ด ว ยธาตุ มี อ ยู ทั่ ว ๆ ไป หลาย ๆ ธาตุ ดิ น น้ํ า ไฟ ลม อากาสธาตุ วิ ญ ญาณธาตุ จั ก ขุ ธ าตุ โสตธาตุ สั ท ทธาตุ อะไรกระทั่ ง กามธาตุ รู ป ธาตุ อรู ป ธาตุ มากมาย, ทั ้ง หมดนี ้เ ปน สัง ขตธาตุ; เหมือ นกับ ดิน เหนีย ว จะป น เปน รูป อะไรก็ไ ด. สว นอีก ธาตุห นึ ่ง เรีย กวา อสัง ขตะ ซึ ่ง สว นใหญเ ล็ง ถึง พระนิพ พาน ห รื อ นิ โ รธ ธ าตุ เป น ที ่ ด ั บ แ ห ง ทุ ก ข ทั ้ ง ป วง; นี ้ ไ ม เ ห มื อ น ดิ น เห นี ย ว ป น เป น อะไรไมไ ดม ัน อยู ต ามลัก ษณ ะของมัน เองโดยเฉพาะ, รู จ ัก ธาตุทั ้ง หมดนี ้แ ลว ก็ เรี ย กว า รู ห มด. ถ า ไม รู ก ข ก กา ที่ มั น เปาะ ๆ ปะ ๆ ยุ งอยู ที่ ต า หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ของเราวันหนึ่ง ๆ, เรียนเสียใหถูก.
เอาละ, ไมมีแรงจะพูดแลว, หยุดกันที. __________________
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
อบรมนักศึกษา จากมหาวิทยาลัยรามคําแหง ๗ มกราคม ๒๕๒๒ ณ โรงเรียนหินธรรมชาติ โมกขพลาราม ไชยา.
ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นักศึกษา ผูสนใจในธรรม ทั้งหลาย,
การบรรยายครั้งนี้ จะกล า วโดยหั ว ข อ ว า ก ข ก กา สํ า หรั บ พุ ท ธ -
ศาสนา
อะไรเป น ก ข ก กา ก็หมายความวา สิ่ งนั้ นเป นสิ่ งที่ ต องเรียนก อน, เรียนก อนสิ่ งใดหมด เหมื อนกั บคนเขาเรียน ก ข ก กา เมื่ อเรียนหนั งสื อ. เมื่ อถามว า อะไรเป น ก ข ก กา ก็คงจะตอบกันไม ไดนัก แมที่เป นนักศึกษานี้ เพราะยังไม เคย ศึ กษาพุ ทธศาสนามาอย างเพี ยงพอ, ก็ ถื อเอาได ตามที่ เขาพู ด ๆ กั นก็ แล วกั น ; อย าง เมื่อคุณจะมาศึกษาพุทธศาสนานี้ เรียนเรื่องอะไรกอน, หรือวาอานเรื่องอะไรกอน, ๔๕๙
๔๖๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
เขาแนะให อ า นเรื่ อ งอะไรก อ น ? บางที ก็ จ ะเป น เรื่ อ งพระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ ก อ น. มั น ก็ ถู ก อย า งยิ่ ง , ถ า พู ด อย า งนั้ น ก็ ถู ก อย า งยิ่ ง ; แต ว า ความหมายมั น ยั ง มี อะไรซอ นอยู วา อะไรเปน พระพุท ธ พระธรรมพระสงฆ ที ่เ ราจะรู จ ะถึง ได หรือ จะมี หรือถึงกับวา เราก็จะเปนเสียเอง.
เรียน ก ข ก กา ของพุทธศาสนาตองเรียนที่ ตา - ใจ. เรื่ อ ง ก ข ก กา ของพุ ท ธศาสนานี้ มั น ก็ มี ค วามลํ าบากอยู ที่ จ ะต อ ง ถามกั น ขึ้ น ว า สํ า หรั บ จะเรี ย นโดยวิ ธี ไหนกั น ? ถ า เรี ย นอย างวิ ช าทั่ ว ๆ ไป ก็ เรี ย น เรื่ อ งแรก ๆ สํ า หรั บ จํ า ; แต ถ า เรี ย นสํ า หรั บ ปฏิ บั ติ มั น ก็ ก ลายเป น เรื่ อ งสิ่ ง ที่ เ รา มองข า มอยู ทุ ก วั น , เราไม ส นใจกั บ สิ่ ง นั้ น ว า มั น สํ า คั ญ , นั่ น แหละเราจึ ง ไม รู ก ข ก กา ของพุทธศาสนา ในแงของการปฏิบัติ. ลองตั้ ง ป ญ หาถามตั ว เองดู ว า เพี ย งแต เ รี ย นมั น จะได ป ระโยชน อ ะไร? นอกจากจะรู ห รื อ ท อ งจํ า ไว มั นก็ ไ ม พ อ ที่ จ ะขจั ด ป ญ หาของเราได , มั น ต อ ง สามารถขจัด ปญ หาของเราได เราจึง จะเรีย กวา เรารู หรือ เรามี. เดี ๋ย วนี ้อ ะไร เป นป ญ หาของเรา เราก็ ยั งไม รู เสี ยอี ก, ก็ เลยไม รู ว าจะต องเรี ยนอะไร, จะต องทํ าอะไร, จะตองตั้งตนที่จุดไหน ?
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อย า งเมื่ อ วานก็ ไ ด พู ด กั น ที ห นึ่ ง แล ว ว า จะเรี ย นพุ ท ธศาสนาไปทํ า ไม? และเรี ย นเพื่ อ ให มี ค วามรู , หรื อ ว า จะเรี ย นสํ า หรั บ เอาไปใช ป ฏิ บั ติ ให เ รามี ค วาม
ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา
๔๖๑
เหมาะสมที่ จ ะทํ าการงานของเรา. เช น ทํ าให เราสามารถศึ ก ษาประจํ าวั น ของเรานั้ น ดี ขึ้ น , หรื อ ว า เราจะอยู ใ นโลกในสั ง คมนี้ อย า งที่ ไ ม มี ป ญ หา คื อ ไม เดื อ ดร อ นไม มี ความทุ ก ข , หรื อ ว า จะเรี ย นเพื่ อ รู จั ก ขจั ด ความโลภ, ความโกรธ, ความหลง ที่ ม า รบกวนเรา, หรือถึงกับทําความทุกขรอนใหแกเรานั้น ใหมันออกไปเสีย. นี ่ค วรจะมุ ง หมายเรีย นอยา งนี ้แ หละ ซึ ่ง มัน ยิ ่ง กวา เรีย นขีด เขีย น ทอ งจํ า คือ มัน เรีย นอยา งรู จ ัก ตัว จริง เรีย นดว ยการสัม ผัส เรีย นดว ยการ เขาใจอยางซึมซาบ หรือเรียนดวยการใชใหเปนประโยชนอยู. นี่ เราจะเรี ย นเพี ย งเพื่ อ รู ก็ ดี เพื่ อ เอาไปช ว ยให เราทํ า การงานหน า ที่ ข อง เราดี ขึ้ น ดี , หรื อ ว า จะเพื่ อ ป อ งกั น กํ า จั ด กิ เลสก็ ดี มั น ก็ ต อ งรู สิ่ ง ที่ เรี ย กว า ก ข ก กา นี่ เป น ต น ไป. ขอให ส นใจให สํ าเร็ จ ประโยชน จ ะได คุ ม ค าที่ ม าลํ าบากและหมดเปลื อ ง เราควรจะพูด ถึง เรื ่อ งนี ้ก ัน เปน เรื ่อ งแรก; แตบ างทีม ัน ก็ไ มส ะดวก มัน ดึง เขา มา หาจุ ด นี้ ยั ง ไม ไ ด . เดี๋ ย วนี้ เข า ใจว า พอจะเข า ใจกั น ได , พอจะพู ด กั น ได ว า จะเรี ย น พุท ธศาสนานี้ ตอ งตั้ง ตน เรีย นเปน ก ข ก กา นี้ ลงที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org คนทุกคนมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แตเขาก็ไมรูจักมันวาคืออะไร. นอกจากปลอ ยไปตามเรื ่อ งของมัน เอง; ก็ม ีต าไวด ู มีห ูไ วฟ ง มีจ มูก ไวด ม ฯลฯ, ก็ ทํ า ไปอย า งไม ต อ งรู อ ะไร นอกจากรู เพี ย งเท า นั้ น . ที นี้ มั น ก็ เกิ ด ความเข า ใจผิ ด , เกิ ด ความหลงใหลในตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ และในเรื่ อ งต า ง ๆ ที่ มั น เกี่ ย วกั น อยู กับตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.
๔๖๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
พอเอ ยชื่ อเรื่ อง ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ บางคนก็ ไม อ ยากจะฟ ง, มั น ก็ ง ว งขึ้ น มาทั น ที . นี่ ห มายความว า มั น ลํ า บากแหละที่ จ ะเรี ย น ก ข ก กา ของพุ ท ธ ศาสนา, หรื อ คิ ด เสี ย ว า รู แ ล ว . ฉะนั้ น ขอให ท นฟ ง , ถ า ไม ค อ ยจะสนใจก็ ข อให ท น ฟงตอไปวา :ป ญ หาต า ง ๆ ของมนุ ษ ย มั น ตั้ ง ต น ที่ ต า หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ; นี่ ถา กลา วตามหลัก พุท ธศาสนาก็ถ ึง กับ กลา ววา โลกนี ้ม ัน ขึ ้น มาได ก็เ พราะ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ. นี่ ก ล า วอย า งภาษาธรรมะในพุ ท ธศาสนา, มั น ต า ง จากที่ เราเคยได ยิ น ได ฟ ง หรื อ ได เล าได เรี ย นมา ว าโลกนี้ มั น มาจากอะไรก็ แล วแต ค รู เขาจะสอน : มาจากดวงอาทิ ต ย ก็ มี , มาจากการรวมตั ว ของหมอกเพลิ ง เหล า นั้ น ก็ม ี. เราก็เ ขา ใจแตอ ยา งนั ้น , ก็เ ปน เรื ่อ งโลกที ่เ ปน วัต ถุ. แตป ญ หาเรื ่อ งความ ทุก ขข องเรา มัน ไมใ ชเ รื ่อ งวัต ถุ มัน เปน เรื ่อ งจิต ใจ รู ส ึก ไดด ว ยจิต ใจ. ฉะนั ้น ก็ตองเรียนโลกในแงของจิตใจกันบาง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เรียนโลกในแงของจิตใจ.
เรื่ อ งทางวั ต ถุ เขาก็ ว า โลกมั น มี ม าไม รู กี่ ล า น ๆ ป แ ล ว ; แต ถ า เรี ย น ทางพุท ธศาสนา หรือ กลา วอยา งพุท ธศาสนา ก็โ ลกนี ้ม ัน เพิ ่ง มี, แลว ก็ม ัน มี ๆ คือ เกิด ๆ ดับ ๆ ไปตามครั ้ง ตามคราว ที ่เ ราสัม ผัส ดว ยตา หู จมูก ลิ ้น กาย ใจ. นี ่ข อใหเ ขา ใจตอนนี ้แ หละ ที ่เ ปน เรื ่อ งที ่สํ า คัญ คือ สมมติว า ถา เรา ไม มี ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ, ขอให ทํ าในใจตามไปให ถู กต องด วยว า ถ าเราไม มี ตา หู
ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา
๔๖๓
จมู ก ลิ้ น กาย ใจ มั นจะเป นอย างไร ? โลกนี้ มั นก็ มี ไม ได นี่ ถ าเข าใจคํ านี้ แล วก็ จะ เข า ใจได ต ลอดไป; มั น เพราะเรามี ต า หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ต า งหาก โลกมั น จึ ง มี ขึ้ น มาได . ถ าเราไม มี ต า เราก็ ไม เห็ น ว ามั น มี อ ะไร, ไม มี หู ก็ ไม ได ยิ น เสี ย งอะไร ; ในสิ่งทั้ง ๖ นั้น คือรูปที่จะเห็นดวยตา, เสียงที่จะไดยินดวยหู, กลิ่นที่จะรูไดดวย จมูก , รสที ่จ ะรูด วยลิ้น , สิ่งที่ม ากระทบผิว หนังที ่จ ะรูไดด ว ยผิวหนัง, กระทั่ง ความคิ ด ที่ เกิ ด ขึ้ น ในจิ ต ที่ เราจะรู สึ ก ได ด ว ยจิ ต . นี่ มั น มี อ ยู ๖ อย า ง อย า งนี้ . ฉะนั้ น ถ ามั น ไม มี ต า หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ เราก็ ไม รู สึ ก อะไรเลย เราไม มี อ ะไรเลย ทั ้ง ที ่ม ัน มีอ ยู อ ยา งนี ้. นี ้ล อง สมมุต ิด ู ทุก อยา งมัน มีอ ยู อ ยา งนี ้; แตเราคนเดีย ว นี้ ไ ม มี ต า หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ มั น ก็ มี ไ ม ไ ด , มั น เป น สิ่ ง ที่ มี ไ ม ไ ด , มั น ก็ มี ชี วิ ต อยู ไม ได ด วย, โดยแท จริงมั นจะมี ชี วิ ตอยู ไม ได , เพราะมั นไม สามารถจะปฏิ บั ติ อะไร ในตัว มัน เองได. แตถา เราไมม ีต า หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แลว โลกนี้ม ัน ก็ เทากับไมมี.
โลกมีเมื่อสิ่งทั้ง ๖ ทําหนาที่.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทีนี้เมื่อไรตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันทําหนาที่ตามเรื่องของมัน ; เชน ตาเห็น รูป , หูฟ ง เสีย ง เปน ตน ; เมื ่อ นั ้น แหละโลก ในสว นนั ้น มัน ก็ม ี : เมื่ อตาเห็ นรูป โลกในส วนที่ เป นรูปมั น ก็ มี , เมื่ อหู ได ยิ นเสี ยง โลกในส วนที่ เป น เสี ยง มัน ก็ม ี, หรือ มัน ไดก ลิ ่น โลกในสว นที ่เ ปน กลิ ่น มัน ก็ม ี, อยา งนี ้เ รื ่อ ยไปจนครบ ทั ้ง ๖ อยา ง. นี ้ม ัน เปน ขอ เท็จ จริง ที ่ยิ ่ง กวา จริง ซึ ่ง ตอ งมองใหเ ห็น เสีย กอ น ถามองไมเห็นก็จะเขาใจตอไปไมได.
๔๖๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
พู ด อย า งภาษาธรรมะ เขาไม พู ด เหมื อ นกั บ ที่ ภ าษาชาวบ า นพู ด เช น ใน กรณี นี้ ชาวบ า นเขาพู ด ว า โลกมี อ ยู ต ลอดเวลา ล า น ๆ ป ม าแล ว . ส ว นภาษา ธรรมะนี้ โลกมีเ มื่อ ผัส สะดว ยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ; พอไมสัม ผัส มัน ก็ เท า กั บ ไม มี คื อ ดั บ ไป, พอสั ม ผั ส อี ก มั น ก็ มี ขึ้ น มา แล ว แต ใ นด า นไหน คื อ ตา หู หรื อ จมู ก ลิ้ น กาย ใจ. ฉะนั้ น เขาจึ ง เรี ย กว า โลกนี้ มี เ กิ ด ดั บ อยู เ รื่ อ ย. นี่ เป น ภาษาอะไร บ าหรื อ ดี ? ลองพยายามคิ ด ดู ที่ ว าโลกนี้ เกิ ด - ดั บ อยู เรื่ อ ย ตามขณะที่ เรารูสึกมัน. หรือไมรูสึกมัน. ที นี้ มั น หนั ก ยิ่ ง ไปกว า นั้ น อี ก ซึ่ ง คนทั่ ว ไปก็ ชั ก จะสั่ น หั ว ที่ พู ด ว า แม แ ต ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนั ้น มัน ก็ม ิไ ดม ีอ ยูต ลอดเวลา, มัน มีก ารเกิด ขึ้น แลว ดับ ไป. ทุก คนจะสงสัย หรือ ไมเ ชื ่อ : ฉัน มีต าอยู ต ลอดเวลา, มีห ูอ ยู ต ลอดเวลา, มีจมูกอยูตลอดเวลา, ฯลฯ ทํ าไมจึงเรียกวา มั นเกิดขึ้น แลวดั บไป, เกิด ๆ ดับ ๆ อยู . นี ่เ ปน ภาษาธรรมะเขาพูด อยา งนี ้; หมายความวา เมื ่อ ตาทํ า หนา ที ่ข องตา ก็ เรียกว าตามั นเกิ ดขึ้ น, พอเสร็ จหน าที่ ของตา ไม ทํ าหน าที่ ทางตา ก็ เรียกว าตาดั บไป หูก ็เ หมือ นกัน . หูทํ า หนา ที ่ท างหู ก็ห ูเ กิด ขึ ้น , เสร็จ เรื ่อ งแลว ไมทํ า แลว ก็ด ับ ไป. มัน จึง เปน เรื ่อ งที ่ผ ลัด กัน เกิด ผลัด กัน ดับ ระหวา งตา หู จมูก ลิ ้น กาย ใจ, มัน ละเอีย ดขนาดนี ้แ หละ; จะนา สนใจหรือ ไมน า สนใจ ก็ไ ปลองคิด ดู. แต ถา จะเขา ใจธรรมะแลว ก็ตอ งเขา ใจเรื่อ งนี้, คือ เรื่อ ง ก ข ก กา ของธรรมะ, เรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เมื่ อ คุ ณ พู ด ว า อยากจะศึ ก ษาธรรมะ อยากจะรู ธ รรมะ ก็ เป น หน า ที่ ข อง อาตมาที ่ จ ะช ว ยให รู ธ รรมะ. แต พ อจะช ว ยให รู ธ รรมะ มั น ก็ ต อ งช ว ยให รู ก ข ก กา ของธรรมะ คือ เรื่อ งตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ; ถาไมอ ยา งนั้น ก็
ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา
๔๖๕
ไม มี ท างที่ จ ะรู ถึ ง ธรรมะที่ แ ท จ ริ ง . ทุ ก เรื่ อ งมั น มารวมอยู ที่ ต า หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ซึ่ ง ควรจะฟ งกั น ต อ ไป, แล ว ควรจะจํ าไว ด ว ย. ถ า จะมี ค วามรู ข นาดที่ เรี ย กว า พอตั ว หรื อมี ความรู ที่ จะพู ดกั บคนต างชาติ ต างศาสนา ฝรั่ งมั งค าอะไรก็ ตาม, เมื่ อเขาให เรา อธิบายพุทธศาสนา เราก็ตองพูดจาใหมันถูกตอง.
อายตนะ ๖ คูกระทบกันทําใหเกิดวิญญาณและผัสสะ. เรื่องต อไปนี้ ก็ คื อวา เรามี ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ เรียกวา อายตนะ ภายใน เพราะมัน มีอ ยู ใ นตัว เรา. ทีนี ้ก ็ม ีรูป เสีย ง กลิ ่น รส โผฏฐัพ พะ ธัมมารมณ, อีก ๖ อยางอยูขางนอก ที่จะเปนคูกับตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ. คํ า ว า รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส. แต คํ า ว า โผฏฐั พ พะ นี้ มั น เป น คํ า ภาษาธรรมะอาจจะ ไมเคยไดยิน; อะไรที่มากระทบผิวหนังใหเกิดความรูสึกทางผิวหนัง สิ่งนั้นเรียกวา โผฏฐัพพะ คือสิ่งที่มากระทบทางผิวหนัง. ทีนี้ธัมมารมณนั้นคือสิ่งที่มากระทบใจ คือความรูสึกตาง ๆ ที่เกิดขึ้นในใจ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ช ว ยเข า ใจไว ใ ห ดี ๆ ว า ๖ คู : ตา คู กั บ รู ป , ตาสํ า หรั บ เห็ น รู ป , รู ป สํ า หรับ ใหต าเห็น . หูคู ก ับ เสีย ง, เสีย งสํ า หรับ หูไ ดย ิน , หรือ มีห ูไ วสํ า หรับ ได ยิ น เสี ย ง ฟ ง เสี ย ง . จ มู ก มี ไ ว รู จ ั ก ก ลิ ่ น . ลิ ้ น มี ไ ว รู จ ั ก ร ส . ผิ ว ห นั ง ทั ่ ว ไป ระบบประสาทที ่ผ ิว หนัง ทั ่ว ไป มีไ วสํ า หรับ รูสิ ่ง ที ่จ ะมากระทบผิว หนัง ทั ่ว ทั ้ง เนื้อทั้งตัวทีนี้ก็ใจมีไวสําหรับรูสึกความคิดนึกที่จะเกิดขึ้นในใจ.
๔๖๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
นี้ เป น เรื่ อ งจริ ง เกิ น กว า จริ ง , เป น เรื่ อ งที่ เราจะต อ งรู จั ก มั น จริ ง ๆ. เมื่ อ ก อ นนี้ เ ราไม ส นใจ เราก็ ไ ม รู จั ก , เราก็ คิ ด ว า รู จั ก . เดี๋ ย วนี้ เ รารู จั ก ไปตามลํ า ดั บ ตามที่มีกลาวไวในพระพุทธวจนะ คือ ตา ถึงกัน เขากับ รูป ก็เกิดการเห็น ทาง ตา ; นี่พูดเรื่องตา เปนตัวอยางกอน. ตา มาถึงกันเขากับรูป ก็เกิดการเห็นทางตา เรียกวา จักษุวิญญาณ หรือ วิญ ญาณทางตา. นี่วิญ ญาณก็เ พิ ่ง เกิด เดี ๋ย วนี ้, เมื ่อ ตามาถึง เขา กับ รูป ก็เกิดวิญญาณทางตา. เมื่อหูถึงเขากับเสียง ก็เกิดวิญญาณทางหู. กลิ่นถึงเขากับจมูกก็เกิดวิญญาณทางจมูก. ลิ้นถึงกันเขากับรสก็เกิดวิญญาณทางลิ้น. ผิวหนังสัมผัสกันกับสิ่งที่มาสัมผัสผิวหนังก็เกิดวิญญาณทางผิวหนัง ซึ่งเรียกวา กายวิญญาณ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ความรูสึกเกิดขึ้นในจิตกระทบจิต รูสึกได ก็เรียกวา วิญญาณทางจิต แตเขาใชคําวา มโน วิญญาณทางมโน.
ฉะนั้ นเราจึ งมี จั กษุ วิ ญญาณทางตา, โสตวิ ญญาณทางหู , ฆานวิ ญญาณ ทางจมู ก, ชิ วหาวิ ญ ญาณทางลิ้ น, กายวิญ ญาณทางผิ วหนั ง, มโนวิญ ญาณในทาง จิตใจ.
อย า รูสึ ก หรือ อย า เห็ น ว า เป น เรื่อ งเหลวไหลครึค ระบ า ๆ บอ ๆ. ถ า จะ รูจักพุ ทธศาสนาแล วก็รีบรูจักสิ่ งเหล านี้ เสีย ; ที่ วา อายตนะภายใน ตา หู จมู ก ลิ้ น
ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา
๔๖๗
กาย ใจ, อายตนะภายนอก คือ รูป เสีย ง กลิ ่น รส โผฏฐัพ พะธัม มารมณ มาถึ งกั น เข าตามคู ของมั น แล วก็ เกิ ด วิญ ญาณ คื อ จั ก ษุ วิ ญ ญาณ โสตวิ ญ ญาณ ฆานวิ ญ ญาณ ชิ วหาวิ ญ ญาณ กายวิ ญ ญาณ มโนวิ ญ ญาณ ก็ เลยได เป น ๓ เรื่อง ขึ้นมาแลว. นี้ ย กตั ว อย า งด ว ยเรื่ อ งทางตาต อ ไปอี ก ตา ถึ ง เข า กั บ รู ป เกิ ด จั ก ษุ วิ ญ ญาณการเห็ น ทางตา, เป น ๓ สิ่ ง ขึ้ น มา : คื อ ตา สิ่ ง หนึ่ ง , รู ป สิ่ ง หนึ่ ง , จั ก ษุ วิ ญ ญาณ อี ก สิ่ ง หนึ่ ง . การมาถึ ง กั น เข า อย า งเต็ ม ที่ ข องสิ่ ง ทั้ ง ๓ นี้ ก็ เรี ย กว า ผัส สะ ; ในกรณีนี ้ก ็เ รีย กวา จัก ษุส ัม ผัส คือ สัม ผัส ทางตา ; ถา มัน เปน เรื ่อ ง ทางหู หู ถึ งเข ากั บ เสี ยง เกิ ด วิ ญ ญาณทางหู ๓ สิ่ งนี้ ม าถึ งกั น เข า ทํ างานร วมกั น เข า ก็ เรี ย กว า สั ม ผั ส ทางหู . กลิ่ น กั บ จมู ก ถึ งกั น เข า เกิ ด วิ ญ ญาณทางจมู ก , แล ว ก็ เลย เรีย กวา สัม ผัส ทางจมูก เรีย กวา ฆานสัม ผัส . ทางลิ ้น ก็เ หมือ นกัน อีก ลิ ้น กับ รส ชิ ว หาวิ ญ ญาณ รวมกั น ก็ เรี ย กว า ชิ ว หาสั ม ผั ส . แล ว ก็ เรี ย กว า กายสั ม ผั ส มโนสัมผัส จนไปตลอดเรื่องทั้ง ๖.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สัมผัสขาดสติปญญาก็เกิดเวทนา, ตัณหา. นี่ รู จั ก สิ่ ง ที่ เ รี ย กว า สั ม ผั ส ; ทุ ก ค น มี สิ่ ง เห ล านี้ ที่ ทํ าห น าที่ เป น วิญญาณหรือเปนสัมผัสอยูตลอดเวลา.
ที นี้ เ มื่ อ เราสั ม ผั ส เราก็ ไ ม รู สึ ก หรื อ สนใจที่ จ ะควบคุ ม เรื่ อ งสั ม ผั ส ก็ ปล อ ยไปตามเรื่ อ ง. ฉะนั้ น สั ม ผั ส ของเราก็ เ ป น สั ม ผั ส ที่ ป ล อ ยไปตามเรื่ อ ง ไม
๔๖๘
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ประกอบไปด ว ยป ญ ญา, ไม ป ระกอบไปด ว ยสติ , เรี ย กว า สั ม ผั ส ของผู ที่ ไม มี ปญญาไมมีสติ มันก็เกิดเวทนา. เมื ่อ มีส ัม ผัส แลว มัน ก็เกิด เวทนา เราจะมีส ติห รือ ไมม ีส ติใ นสัม ผัส นั ้น มัน ก็ม ีเวทนาเกิด ขึ ้น แปลวา ความรูส ึก ใหรูส ึก เปน สุข คือ ถูก ใจก็ม ี, เปน ทุกขไมถูกใจ ก็มี, หรือไมพูดไดวา ถูกใจหรือไมถูกใจก็มี นี้เขาเรียกกลาง ๆ นี้ก็มี. ที ่เ ราสัม ผัส สิ ่ง นั ้น ๆ แลว เกิด เวทนา. ทีนี ้เกิด เวทนาแลว นี ้ ถา ยัง ไมม ีป ญ ญา ไม มี ส ติ อยู ต อ ไป ก็ จ ะเกิ ด ตั ณ หา. อย างคนธรรมดานี้ พอมี สั ม ผั ส แล วมี เวทนา แลวก็ตองมีตัณหา; อยางสั มผั สทางตา ก็ เกิ ดเวทนาทางตา สวยหรือไม สวย แล วจะเกิ ด ตั ณ หาคื อความอยาก ไปตามความหมายของการที่ มั นสวยหรือ ไม สวย. ถ าสวยถึ ง ขนาดที่จ ับ อกจับ ใจ มัน ก็เกิด ตัณ หาชนิด ที ่จ ะเอา, เกิด ความอยากได. ถา ไม สวยไมถูกใจ ก็อยากจะใหไมมี, อยากใหผานพนไปเสีย หรืออยากจะทําลายเสีย, หรือบางทีความอยากมันก็เอียงไปในแงที่อยากจะเปน เปนอยางสวยนั้นบางก็ได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้ น ความอยากหรื อ ตั ณ หามั น ก็ เกิ ด ขึ้ น เพราะเวทนาของบุ ค คลที่ ไมม ีป ญ ญา ไมม ีส ติ ไมม ีค วามรู ท างธรรมะ ก็ค ือ คนทั ่ว ไป. ทุก คนในโลก พอเกิดสัมผัสเกิดเวทนา, แลวก็เกิดตัณหา ไปตามการยั่วยุของเวทนา.
นี่ มั น ออกจะซั บ ซ อ น ถ า ไม จํ า ให ดี ก็ เลอะหมด, แล ว ก็ ว นเวี ย นหมด แล ว จะไม ไ ด เ รื่ อ งอะไรก็ ไ ด ; ฉะนั้ น ช ว ยจํ า ให มั น แม น ยํ า . เดี๋ ย วนี้ มั น มาถึ ง เกิ ด ตัณ หา คือ ความอยากแลว , ตัณ หาที ่เ ปน เหตุใ หเ กิด ทุก ขนั ่น แหละ มัน ก็ เกิดขึ้นมาแลว.
ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา
๔๖๙
ตัณหาเกิดแลว อุปาทาน, ภพก็เกิด. ที นี้ เมื่ อ เกิ ด ตั ณ หา มั น ก็ จ ะเกิ ด สิ่ งที่ เรี ย กว า อุ ป าทาน คื อ ความยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ในสิ่ ง ที่ มั น อยาก, มั น อยากในอะไร มั น ก็ จ ะยึ ด มั่ น ในสิ่ ง นั้ น ที่ มั น อยาก ; เช น รู สึ กสบายตาเพราะรู ป สวย มั น ก็ อ ยากที่ จะยึ ด ครองความสวยนั้ น , มั น มี อยาก ไดขึ้น มากอ น เรีย กวา ตัณ หา แลว หลัง จากนั ้น มัน จะเกิด ความรูส ึก วา กูม ีอ ยู, กูอ ยาก, อยากไดม าเปน ของกู; แตม ัน เปน เรื่อ งที ่ไ วยิ ่ง กวา สายฟา แลบ ที่ มัน จะเกิด ความรูสึก อยาก, แลว ก็เกิด ยึด ถือ วา มีกูเปน ผูอ ยาก, อยากไดม า เปน ของกู; นี ่เ รีย กวา อุป าทาน. ความรู ส ึก เปน ตัว ฉัน เปน ของฉัน ตัว กู เป นของกู มั นก็ เกิ ดขึ้ นมา พระพุ ทธเจ าท านทรงแสดงให มั นละเอี ยด, ให เห็ นอย าง ละเอียด ซึ่งไมมีใครแสดงกันอยางละเอียดกันอยางนี้. นี้ เกิ ด อุ ป าทาน รู สึ ก เป น กู เป น ของกู แล ว ก็ เรี ย กว า เกิ ด ภพ แหละ, มีภ วะ มีภ พ คือ มีค วามเปน แหง บุค คล. ความอยาก, ความยึด มั ่น ถื อ มั่ น แล ว ความรู สึ ก เป น ตั ว ฉั น เป น ตั ว กู นั่ น แหละเขาเรี ย กว า ภพ คื อ มี ขึ้ น แหง บุค คล. กอ นนี ้บ ุค คลไมม ี เพราะมัน ไมรู ส ึก วา กูม ี. เดี ๋ย วนี ้ม ัน เกิด รู ส ึก วากูมี กูเปน กูอยู กูอยากได ขึ้นมา ก็เรียกวาภพ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ ภ พเพิ่ ง มี เดี๋ ย วนี้ , นี่ ภ าษาธรรมเป น อย า งนี้ , ภพเพิ่ ง มี เดี๋ ย วนี้ , ไม ใ ช มี อ ยู ตลอดเวลาตั้ งแต คลอดออกมาจากท องแม , แล วมี อ ยู ตลอดเวลากว าจะเข าโลง. นั้ น ภาษาชาวบ าน ไม ใช ภ าษาพระพุ ท ธเจ า หรื อ ภาษาทั่ วไปที่ พ ระพุ ท ธเจ าท านก็ ใช เหมื อ นกั น ; แต เมื่ อ ถึ งคราวที่ ท า นจะแสดงเรื่ อ งของท า น ท า นมี ค วามหมายอย างนี้ ก็มีภพขึ้นมา.
๔๗๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
นี้ ก็ มี ภ พขึ้ น มา ที่ เขาเรี ย กว า existence คื อ ความมี อ ยู แ ห ง บุ ค คล, ค วาม ห ม าย แ ห งบุ ค ค ล เป น individuality ที่ เรี ย ก ว า ภ าษ าจิ ต วิ ท ย า เป น individuality ไดเกิดขึ้น หลังจากความรูสึกยึดถือเปนตัวกู - ของกูแลว มันก็ มีตัวตนที่ตรงนี้. นี่ค วามสําคั ญ มั น ก็อ ยูต รงที่ วา ตั ว ตนนั้ น มั น เพิ่ งเกิ ด , เพิ่ งเกิด เดี๋ยวนี้ เพราะสํ าคั ญ ว าตั วตน; และเพราะเกิ ดมาจากสํ าคั ญ มั่ นหมาย เพราะฉะนั้ น ตั วตน ไมใชของจริง, ไมใชของมีอยูจริง เปนเพี ยงความรูสึกหมายมั่นดวยความไมรู, สํ า คั ญ เป น ตั ว ตน มั น ก็ มี ตั ว ตน นี่ ตั ว ตนมั น จึ ง มี แล ว ก็ มี อ ย า งมายา ; มี ภ พ นี่ เรียกวามีภพ.
ตอจากภพก็เกิดชาติ มีตัวตนและทุกข. แล ว ก็ มี อั น สุ ด ท า ย คื อ ชาติ คลอดหรื อ เกิ ด ออกมาโดยสมบู ร ณ อย า งกั บ เขาคลอดลู ก ออกมา, อย า งมารดาคลอดบุ ต รออกมาทางกํ า เนิ ด นั้ น มั น คลอดชนิด นั ้น . แตเ ดี ๋ย วนี ้ม ัน คลอดชนิด นี ้ มัน คลอดชนิด นามธรรม, มัน เกิด เปน ตัว กู ขึ้น มาในความรูส ึก ทั ้ง เนื ้อ ทั ้ง ตัว , เปน ตัว ฉัน ตัว กู ขึ้น มา. ก็มี ตัวตนโดยสมบูรณนั่นแหละ พูดอยางนั้นดีกวา; เรามีภพ มีชาติขึ้นมาแลว.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ตามหลั กของพระพุ ทธภาษิ ตเป นอยางนี้ ภพ หรือชาติ นี้ มี บ อย ๆ คื อ มีท ุก คราวที ่ม ัน มีอ ุป าทาน มีต ัณ หา มีเ วทนา ที ่ส ัม ผัส ดว ยความไมรู . ฉะนั้ น เราจึ ง มี ภ พ มี ช าติ เป น ตั ว กู โ ดยไม รู สึ ก ตั ว , เราไม รู สึ ก ตั ว . แต ต ามความ
ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา
๔๗๑
จริง หรือ ธรรมชาตินั ้น มัน เปน อยา งนั ้น . ฉะนั ้น เราจึง มีต ัว กู ตัว ฉัน นี ่ วัน หนึ ่ง หลาย ๆ ครั้ ง หลาย ๆ สิ บ ครั้ ง ก็ ไ ด , หลายสิ บ ครั้ ง ก็ ไ ด ; เพราะเดี๋ ย วทางตา เดี๋ ย วทางหู เดี๋ ย วทางจมู ก ฯลฯ คื อ ใน ๖ ทางนั้ น เราก็ ยั ง มี ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย และผิ ว หนั ง อยู นี้ ก็ มี สั ม ผั ส ทางตา หู จมู ก ลิ้ น และผิ ว หนั ง อยู วั น หนึ่ ง ก็ สลับ กัน ไปไดเ รื่อ ย. นี้แ มวา ไมไ ดส ัม ผัส ทางตา หู จมูก ลิ ้น และผิว หนัง มั น ก็ นึ ก ได ท างจิ ต ใจ; เช น กลางคื น ค่ํ า ๆ มื ด ๆ ก็ อ าศั ย จิ ต คิ ด นึ ก เอาได มั น ก็ รูสึ ก ได ; ฉะนั้นเราจึงมีตัวตนชนิดนี้, ตัวตนที่เปนอนัตตา ตัวตนที่มิใชตัวตนอยู. แล วทุ ก คราวที่ เรารูสึ ก เป น ตั ว ตนชนิ ด นี้ เราจะต อ งรู สึ ก เป น ทุ ก ข เพราะมัน เกิด เปน ภาระขึ้นมาทัน ที จะตอ งทําตามความตอ งการของตัว ตน ; ความไดความเสีย ความแพความชนะ ความเจ็บความไข ความตายอะไร มันก็ เปน ของตัว ตนขึ้น มา. ถาไมมีค วามรูสึก วา ตัว ตน แลวเราจะรูสึก เปน ทุก ข ไมไ ด หรือ เปน สุข ก็ไ มไ ด. สุข หรือ ทุก ขนี ้ม ัน หลอกเทา กัน แหละ ; ถา มีต ัว ตน ถูกใจตัวตน มันก็เรียกวา เปนสุข, ไมถูกใจตัวตน มันก็วาเปนทุกข.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ า เราสอบไล ต ก เราเสี ย ใจอยู ก็ เพราะว า เรามี ค วามรู สึ ก เป น ตั ว ตน, ตัว เรา ตัว ตน ที ่ส อบไล, แลว มัน ก็ต ก; ถา เราไมม ีค วามรู ส ึก เปน ตัว ตน มัน ก็ ไมม ีใ ครสอบไล, แลว มัน ก็ไ มม ีไ ดห รือ ตก. นี ้ถ า เราจะมีต ัว ตน ชนิด ที ่เ รา รูเ ทา รูท ัน ไมต อ งใหเ ปน ภาระหนัก คือ ไมตอ งยิน ดียิน รา ยไปตามไดห รือ ตก, นี้มันสบายกวา.
ถึ งเรื่ องอื่ น ก็ เหมื อ นกั น เรื่ อ งได เงิ น ได ของ ได ของถู กใจ หรื อ ว าสู ญ เสี ย ของถู ก ใจ หรื อ ว าอะไรก็ ต าม มั น จะเป น สุ ขหรื อ เป น ทุ ก ข ห รื อ ไม , จะมี ความหมาย หรื อ ไม ก็ เพราะมั น มี ค วามรู สึ ก กว า ตั ว ตนหรื อ ไม . ถ า มี ค วามรู สึ ก ว า เป น ตั ว ตน
๔๗๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
แลว มัน ตองมีค วามหมายแหละ ซึ ่ง เปน สุข หรือ ทุก ข : วา ไดห รือ เสีย , วา แพ ห รือ ชนะ เป น คู ๆ คู ๆ กั น ไป, แล วทั้ งหมดนั้ น เป น ภาระหนั ก แก จิ ต ใจ และ เปนความทุกข. ได ค วามสุ ข มั น ก็ตองยึดถือ หนั กขึ้น ไปอีก มั น ก็มี ค วามรูสึ ก เป น ห วง หวงและห วง, แล วมั นก็ มี ความทุ กขเพราะหวงและห วง, วิตกกั งวลในสิ่ งที่ เรารูสึ กวา เป น สุ ข เพราะว า มั น มี ตั ว ตน. ถ า ไม มี ค วามรู สึ ก ที่ เป น ตั ว ตน จะไม มี ค วามรู สึ ก หวงหรื อ ห ว ง หรื อ วิ ต กกั ง วล, จิ ต มั น เป น อิ ส ระ ก็ ส บายดี . เดี ๋ ย วนี ้ เ รามี ความรูส ึก ไปในทางที ่จ ะใหห นัก อึ ้ง ; ผิด หวัง ก็ห นัก อึ ้ง ไปแบบหนึ ่ง , สมหวัง ก็หนักอึ้งไปอีกแบบหนึ่ง. ถาไม เขาใจตรงนี้ แล วไม เขาใจธรรมะ; เพราะคนไรธรรมะจะรูสึกวา ถ าสมหวั งแล วก็ ส บายไปเลย เป น สุ ข ไปเลย, ไม ม องเห็ น ความหนั ก อึ้ งเพราะความ สมหวัง . เชน เรื่อ งของความรัก ที่เ ขา ใจกัน ผิด ๆ แลว ก็บูช ากัน นัก เพราะไม มองเห็น เปน ความหนัก อึ ้ง , หรือ ความวิต กกัง วล หรือ ความทนทรมาน ที ่เกิด ขึ้ น มาจากสิ่ ง ที่ เรี ย กว า ความรั ก . มั น มี แ บบของมั น อย า งนั้ น . ความไม รั ก มั น ก็ มี แบบของมัน อีก อยา งหนึ ่ง ; แตแ ลว มัน ก็เ ปน เรื ่อ งของความหนัก อึ ้ง เหมือ นกัน มันหนักอึ้งเพราะมันมีตัวตน มีความหมายเปนตัวตนและของตน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ มั น ละเอี ย ดกว า กั น สั ก กี่ ม ากน อ ย ช ว ยคิ ด กั น ตรงข อ นี้ , คนธรรมดา เขาว า ถ า ได แ ล ว ก็ ดี เขาไม มี ค วามทุ ก ข . แต ท างธรรมะนี้ ถ า ยึ ด ถื อ แล ว เป น ทุ ก ข ทั้ ง นั้ น ได ก็ เป น ทุ ก ข , เสี ย ก็ เป น ทุ ก ข . ได อ ย า งใจก็ เป น ทุ ก ข ไม ไ ด อ ย า งใจก็ เป น ทุ ก ข ; เพราะว า มั น ยึ ด ถื อ มี ค วามหนั ก อึ้ ง บนจิ ต ใจ. ฉะนั้ น เราจึ ง เห็ น คนเป น
ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา
๔๗๓
ทุก ขเ พราะได, หรือ คนที ่ย ึด มั ่น ในเรื่อ งดีเ รื่อ งชั ่ว , ยึด มั ่น ในเรื ่อ งของความดี จนเป น ทุ ก ข จนฆ า ตั ว ตายเพราะความยึ ด มั่ น ในความดี นี้ ก็ มี อ ยู ม าก, ก็ เป น เรื่อ ง ของความทุก ข. นี ่ฟ ง เรื ่อ งนี ้อ อกหรือ ไมอ อก มัน เปน เรื ่อ งตั ้ง ตน มาแต ก ข ก กา ทีเ ดีย ว, แลว ก็ขึ ้น มาจนถึง เปน เรื ่อ งตัว เรื ่อ ง, แลว ขึ ้น มาจนถึง เปน ตัว ความทุกข เปนตัวปญหา. นี้ถาวามันกลับตรงกันขาม มันก็เปนเรื่องไมมีทุกข.
ตองมีสติสัมปชัญญะเมื่อสัมผัส. ที นี้ จ ะต อ งฟ ง ให ดี ว า เราจะอยู กั น อย า งไรในโลกนี้ ; เพราะเรามี ตา หู จมูก ลิ ้น กาย ใจ แลว รูป เสีย ง กลิ ่น รส โผฏ ฐัพ พ ะ ธัม ม ารม ณ ก็ คอยมาสั ม ผั ส อยู เสมอ ; นี้ เมื่ อ สั ม ผั ส นั่ น แหละ เมื่ อ ตาเห็ น รู ป เมื่ อ หู ฟ งเสี ย ง จมู ก ไดก ลิ ่น ฯลฯ นั ่น เรีย กวา สัม ผัส ; เมื ่อ สัม ผัส นั ่น แหละ จะตอ งมีธ รรมะ, คือ จะต อ งเป น ลู ก ศิ ษ ย ข องพระพุ ท ธเจ า และมี ธ รรมะ มี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะ มี ป ญ ญา เมื่อมีการสัมผัส.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ตะกี้ บ อกไปแล ว ว า เป น คนโง น ะ, ไม ใ ช ลู ก ศิ ษ ย พ ระพุ ท ธเจ า , เป น ปุ ถุ ช นคนธรรมดา ไม รูธรรมะไม ใชลู ก ศิ ษ ย ของพระพุ ท ธเจา. พอสั ม ผั ส เกิ ด เวทนา สุข หรือ ทุก ข มัน ก็ม ีต ัณ หา มีค วามอยากไปตามเรื ่อ งของไดห รือ เสีย สุข หรือ ทุ ก ข สวยหรื อไม สวย อร อ ยหรื อ ไม อ ร อยก็ สุ ดแท , มั น ก็ เกิ ด อุ ป าทาน เป น ยึ ด มั่ น ถื อ มั่น เปนตัวเปนตน เปนของตน มีความหนักอกหนักใจตลอดสาย.
๔๗๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
เดี๋ ย วนี้ ค นเป น ลู ก ศิ ษ ย ข องพระพุ ท ธเจ า ได รั บ คํ า สั่ ง สอนมาเพี ย งพอ รูเรื่องของสติสัมปชัญ ญะและปญ ญา. ฉะนั้นพอมีการสัม ผัส ทางตา ทางหู ฯลฯ ก็ ต าม สติ สั ม ปชั ญ ญะ ป ญ ญามั น มาทั น ที บอกว า นี่ มั น สั ม ผั ส เกิ ด เวทนาขึ้ น สบายตาไม ส บายตา สบายหู ไม ส บายหู หอมแก จ มู ก เหม็ น แก จ มู ก ฯลฯ อะไรก็ ตามเปนคู ๆ กันไป ก็เรียกวาเวทนาเกิด มีสติปญ ญาตามแบบของพระพุทธเจา วา นี่มันสักวาเวทนาเทานั้น. คํานี้ ฟ งยาก แต สํ าคั ญ มากกวา สั ก แต วาเวทนาเท านั้ น ; เวทนาทาง ตาสวยเหลื อประมาณ ได เกิ ดขึ้ นสบายตาที่ สุ ด. คนที่ มี ธรรมะก็ บอกว า นี่ มั นสั กแต ว า เวทนาเท านั้ น , สั กแต ว าความรู สึ ก เท านั้ น , สั ก แต ว าความรู สึ ก ว าสวยเท านั้ น ; ถ า ไม ส วย ถ า น า เกลี ย ด มั น ก็ อ ย า งเดี ย วกั น อี ก แหละ. นี้ มั น สั ก ว า เวทนาเท า นั้ น คื อ ไมสบายตา มันเปนเพียงความรูสึกไมสบายตา. ที นี้ เ สี ย ง ไพเราะหรื อ ไม ไ พเราะ มั น สั ม ผั ส เข า เป น เวทนา ไพเราะ หรือไมไพเราะ จิตใจที่มันฉลาดมันก็วา โอย มันสักวาเวทนาเทานั้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org คุ ณ ช ว ยจํ า ข อ นี้ ไว เถอะ จะเป น ลู ก ศิ ษ ย ข องพระพุ ท ธเจ า ทั น ที ตั้ ง ครึ่ ง ตั้งคอนทีเดียว, คือสามารถที่จะรูสึกทันทวงทีวา นี่มันสักแตวาเวทนาเทานั้น . เมื่ อทางตารูสึ กสวยไม สวย, ทางหู รูสึ กไพเราะหรือไม ไพเราะ, ทางจมู กรูสึ กหอมหรือ เหม็ น , ทางลิ้ น รูสึ ก อรอ ยหรือ ไม อ รอ ย, ทางผิ ว หนั ง รูสึ ก นิ่ ม นวลหรือ กระด า ง ทาง จิตรูสึกวาระคายใจหรือไมระคายใจนี้, ความรูสึกทั้ง ๖ คูนี้ มีปญญามองเห็นวา มันสักวาเวทนาเทานั้น; พระพุทธเจาทานสอน.
ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา
๔๗๕
สัก วา เวทนา คือ มัน สัก วา ความรู ส ึก ที ่เ กิด ขึ ้น ตามธรรมชาติ ธรรมดาเทา นั ้น . เมื ่อ ตามัน กระทบรูป สวย ๆ มัน ก็รู ส ึก สวย, สัก วา ความรู ส ึก ที ่เ กิด ขึ ้น ตามธรรมชาติ ที ่จ ะตอ งเกิด ขึ ้น อยา งนั ้น เทา นั ้น . นี ้เ มื ่อ มัน กระทบรูป ที่ ไม ส วย มั น ก็ รูสึ ก ไม ส วย, มั น รูสึ ก เกลี ย ดชั งขึ้ น มา มั น ก็ สั ก ว าความรู สึ ก เท า นั้ น . อย าไปเอาอะไรกั บ มั น นั ก, หรื อไม เอาอะไรกั บ มั น เลยเสี ย ดี กว า, แล วเราก็ จะไม ห ลง รักและไมหลงเกลียด. เดี๋ย วนี้เ รามัน อยูดว ยความหลงรัก ในที่นา รัก , แลว หลงเกลีย ดใน ที่ เ รารู สึ ก ว า น า เกลี ย ด, เรามั น โง ทั้ ง ขึ้ น ทั้ ง ล อ ง, ฉะนั้ น อยู ด ว ยจิ ต ใจที่ ไ ม ห ลงรั ก และหลงเกลียด นั่นแหละคือความมุงหมายของธรรมะของศาสนา. ทีนี้ ในขณะที่ สั ม ผัส และมี เวทนา เรามี ส ติ ป ญ ญา อยางนี้ แลว มั น ก็ ไม เ กิ ด ตั ณ หา ซึ่ ง เป น เหตุ ใ ห เ กิ ด ทุ ก ข ไม เ กิ ด อุ ป าทาน ไม เ กิ ด ภพ ไม เ กิ ด ชาติ อยา งที ่ว า เมื ่อ ตะกี ้นี ้ ซึ ่ง มัน เปน ทุก ข มัน กลับ มาเปน ความรู ความฉลาด วา โอ นี ่ ม ั น สั ก ว า เวทนาเท า นั ้ น . แล ว ดู ต อ ไปอี ก เอ า , ไม เ ที ่ ย งโว ย ทรมานใจ ผู เ ขา ไปมองโวย แลว ไมม ีต ัว ไมม ีต นโวย มัน กลายเปน เรื ่อ งการศึก ษาชั ้น สูง สุด ไปเสีย.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ รู จั ก แยกทางกั น ตรงนี้ เมื่ อ อารมณ มากระท บ เกิ ด เวทนาแล ว ปุ ถุ ช นคนไม มี ค วามรู มั น ก็ เกิ ด ตั ณ หา เกิ ด อุ ป าทาน เกิ ด ภพ เกิ ด ชาติ เป น ทุ ก ข ไปทางโน น . ส ว นฝ า ยนี้ ผั ส สะ มี เ วทนา แล ว มั น ก็ เ กิ ด การศึ ก ษา, รู ว า นี้ สั ก ว า เวทนา หรือ วา มัน เปน ตามธรรมชาติอ ยา งนี ้ แลว ไมเ ที ่ย ง คือ หลอกลวงที ่ส ุด . เมื่ อ ตะกี้ ไ ม มี เดี๋ ย วนี้ มี มี แ ล ว ก็ เ ปลี่ ย นอยู เ รื่ อ ย, แล ว ดู แ ล ว น า เกลี ย ดน า ชั ง ;
๔๗๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
นั่ น แหละเขาเรี ย กว าความทุ ก ข ไม ส บายแก ก ารดู เรี ย กว ามั น เป น ทุ ก ข ถึ งมั น ไม ได ทํ า อะไรเรา มั น ก็ มี ลั ก ษณะที่ ดู แ ล ว น า ชั ง คื อ หลอกลวง, แล ว มั น มี ค วามเป น อนัต ตา ไมใ ชตัว ตนที่ไ หน, เพิ่งเกิด มาดว ยความรูสึก เทา นั้น , สัก วา ความ รูสึกเทานั้น เพราะมันเปนสักวาความรูสึกเทานั้น ก็เรียกวามันเปนอนัตตา. นี้ คื อ ความรู สู ง สุ ด สุ ด ยอดในพุ ท ธศาสนา หรื อ สุ ด ยอดในโลก. คุ ณ ไม ช อบก็ ได , คุ ณ อาจจะไม ช อบมั น ก็ ได ความรู ช นิ ด นี้ . นี้ ค วามยากลํ า บาก มั น จะอยู ที่ ต รงนี้ . คุ ณ ว า อยากจะเรี ย นธรรมะของพระพุ ท ธเจ า ; แต ธ รรมะของ พระพุ ทธเจาท านเป นอยางนี้ จะชอบหรือ ไม ชอบ ? ถ าต องการจะไม ให เป น ทุ ก ข มัน ก็ม ีท างนี ้เ ทา นั ้น แหละ คือ รูจ ัก สิ ่ง ทั ้ง หลายทั ้ง ปวง ตามที ่ม ัน ปรุง แตง กัน ขึ้นมาอยางไร, แลวก็ไมมีตัวตนอันแทจริง นอกจากความรูสึกเทานั้น.
ความรูสึกทุกรูปแบบก็เปนสักวาความรูสึกเทานั้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เวทนา สั ก ว า ความรู สึ ก เท า นั้ น , เวทนาที่ รู สึ ก เป น สุ ข คื อ พอใจ เป น ทุกขคือไมพอใจ หรืออยูระหวางกลาง ไมสุขไมทุกขนี้ มันสักวาความรูสึกเทานั้ น, ไมเ อาตัว ตนอะไรที ่ไ หนได. แตเ ราก็ห ลงรัก จนยอมพลีช ีว ิต ; คนหนุ ม คนสาว ที ่บ รมโง จะหลงรัก สิ ่ง นี ้จ นยอมพลีช ีว ิต คิด ดูก ็แ ลว กัน มัน จะเปน อยา งไร นี่เรียกวาเวทนาเทานั้น.
ถ า มั น เป น เรื่ อ งของความสํ า คั ญ มั่ น หมายต อ ไปอี ก ; สํ า คั ญ ว า สวย สํ า คัญ วา ดี แลว แตจ ะสํ า คัญ วา อะไร ก็เ รีย กวา สัญ ญา. นี ้ก ็ส ัก วา ความรู ส ึก เทานั้น เรียกวาสัญญา.
ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา
๔๗๗
พอรู สึ ก หลงใหลอย า งนี้ แ ล ว มั น ก็ เกิ ด ความคิ ด จะทํ า อย า งนั้ น จะทํ า อยา งนี ้, มีต ัว กูต อ งการจะทํ า อยา งนั ้น อยา งนี ้ ก็เ รีย กวา สัง ขาร. สัง ขารนี ้มี ความหมายพิ เศษ หมายถึ ง ความคิ ด . แต เราจะรู สึ ก ว า เรา กู คิ ด นั่ น แหละเป น ตั ว กู คิ ด เช น โกรธ เช น เกลี ย ด เช น จะฆ า มั น หรื อ ว า รั ก จะเอามั น อะไรนี้ ก็ เรี ย กว า ความคิด เขาเรีย กวา สัง ขาร มัน ก็สัก วา ความรูสึก เทา นั ้น ไมใ ชต ัว ตนอะไร ที่แทจริง. ฉะนั ้น ความรูส ึก ทุก รูป แบบ จะเปน เวทนาก็ด ี สัญ ญาก็ด ี สัง ขาร ก็ด ี มัน เปน สัก วา ความรู ส ึก เทา นั ้น ก็เลยไมม ีอ ะไรที ่จ ะตอ งหลงใหล ถึง กับ ไป รัก ไปโกรธ ไปเกลีย ด ไปกลัว ไปเปน ทุก ขเ ปน รอ น ใจคอปรกติอ ยู ต ามเดิม . นี้ทํา อะไรก็ไ ด เปน คนมีใ จคอปรกติเ ปน อิส ระอยูต ามเดิม . ลองไปเทีย บดูซิ มัน ไมเ สีย เวลาเปลา , มัน คุ ม คา ที ่ส ุด ไปเทีย บกัน ดู ของเราเองก็ไ ด. เวลาที ่เ รา โงไ ป มัน เปน อยา งไร เวล าที ่เ ราไมโ งม ัน เปน อยา งไร, เวล าที ่เ รารัก มัน เปน อย า งไร, เวลาที่ เราหลงเกลี ย ดมั น เป น อย า งไร, เวลาที่ เราหลงอย า งใดอย า งหนึ่ ง กั บ ไม หลงอย างใดอย างหนึ่ ง มั นเป นอย างไร มั น ต างกั น มาก, เวลาไหนสบาย เวลา ไหนจิตเปนอิสระ เวลาไหนจิตหลุดพน เวลาไหนจิตถูกกักขัง ถูกจับกุม.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เมื่ อ เรารู สึ ก รั ก หรื อ ไม รั ก คื อ เกลี ย ด รั ก หรื อ เกลี ย ด หรื อ สนใจอยู อย า งยิ่ ง ก็ เรีย กว า ถู ก จั บ กุ ม , จิ ต นี้ ถู ก จั บ กุ ม ถู ก ผู ก พั น ด ว ยกิ เลส ไม เป น อิ ส ระ มัน เปน อยางไรบา ง. เมื่อ ใดจิต ของเราเปน อิส ระ, ไมถูกความรูสึก อะไรจับ กุม , ไม ห ลงรั ก ไม ห ลงเกลี ย ด ไม ห ลงโกรธ ไม ห ลงกลั ว ไม ห ลงเศร า ไม ห ลงอะไรต าง ๆ นี้มันเปนอิสระอยางไร ?
๔๗๘
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ศึกษาธรรมะสูงสุดเพียงทําจิตใหเปนอิสระ. ถ าเราไม ต อ งการจิ ต ชนิ ด นี้ ก็ ไม รูว า จะศึ ก ษาธรรมะไปทํ าไม! ธรรมะ มัน สูง สุด เพีย งแคทํ า จิต ใหเปน อิส ระเทา นั ้น บางทีเขาเรีย กอีก คํ า หนึ ่ง วา หลุด พน , วิม ุต ติ - หลุด พน คือ หลุด พน จากโลก จากสิ่ง ตา ง ๆ ในโลก ที ่ม ัน คอย จั บ กุ ม เรา. สิ่ ง ต า ง ๆ ในโลกที่ มั น คอยจั บ เรา คื อ รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธัมมารมณ ทั้ งที่ สวยและไม สวย ทั้ งที่ ถู กใจและไม ถู กใจนี้ มั นคอยจับกุ มเรา, จั บกุ ม เราให รัก ก็ มี , จั บ กุ ม เราให เกลี ย ดก็ มี , คื อ ให เราถู ก ใจหรื อ ไม ถู ก ใจ เป นสุ ขหรื อเป น ทุ ก ข เรี ย กว า จั บ กุ ม ทั้ ง นั้ น , ไม เป น อิ ส ระ, แต เราไม รู สึ ก ว า นี้ ถู ก จั บ กุ ม , ความโง ของเราทําใหเรารูสึกสบายเสียอีก เมื่อมันถูกจับกุม. ฉะนั้น คนที่ต กหลุม ของความรัก หรือตกหลุม ของของความเกลีย ด ก็ต าม มัน ไมรูส ึก ดอก วา เราถูก ทํ า รา ย ถูก ทรมาน, มัน รูส ึก สบายไปเสีย อีก . มั นอยากจะหมกจม อยู ในกิ เลสแห งความรั กหรื อความโกรธ ความอาฆาตอะไรก็ ตาม เถอะ มัน สบายไปเสีย อีก . ถา มัน รูส ึก สบายไปเสีย อีก ก็ไ มต อ งพูด กัน คือ มันเปนปุถุชนมากเกินไป คือ พอใจในความทุกข.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ไปสั ง เกตดู ใ ห ดี ในกรุ ง เทพฯ นั่ น จะมองดู ได ทั่ ว ทุ ก หั ว ระแหง ที่ พ วก อันธพาลทั้งหลายเขาพอใจในการตกอยูใตอํานาจของกิเลส, แลวก็ทําสิ่งที่ไม ควรทํา มีความทุกข แตเขากลับตองการ.
นี่ พู ด อย า งที่ เ รี ย กว า คุ ณ ตั้ ง ใจจะศึ ก ษาธรรมะ ถ า คุ ณ ยั ง ยื น อยู ว า อยากจะศึกษาธรรมะ แลวก็ มัน ก็ตอ งทนฟงเรื่องอยางนี้ มันจึงจะเปนธรรมะ
ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา
๔๗๙
จริง . เรื ่อ งอื ่น เปน ธรรมะเลน หมด. ใหรู ค วามจริง วา ตัว เรา คนเรา ที ่ย ัง โงอ ยู นั้ น เป น อย า งไร, ที่ ว า มั น ลื ม ตาแล ว เป น พุ ท ธะ เป น สาวกของพระพุ ท ธเจ า ขึ้ น มา แล ว นี่ มั น เป น อย า งไร, มั น รู ไ ด ต รงที่ เมื่ อ อารมณ ม ากระทบ, เป น เวทนา เป น ผั ส สะเป น เวทนา นั่ น แหละเรามี จิ ต ใจอย า งไร. ถ า เราโง มี ตั ว เราก็ ห ลงรั ก หลงชั ง เกิด ตัณ หา อุป าทาน จนเปน ทุก ขไ ปในที ่ส ุด . นี ่ค ือ คนทั ่ว ไป แตถ า เราเปน สาวกของพระพุ ท ธเจ า เป น พุ ท ธมามกะสมชื่ อ เราก็ มี ค วามรู มี ส ติ สั ม ปชัญ ญะ มีปญ ญาเมื่อ สัม ผัส และมีเ วทนา. เอา , นี้สัก วา ความรูสึก เทา นั้น เวย จะมาหลอกเราไมได, จะมาหลอกเราใหหลงรักหลงเกลียดไมได. นี่คือ ขอ ที่พูด วา จํา เปน แมแ กน ัก เรีย นนัก ศึก ษา ที ่จ ะไมต กหลุม ของความรัก ความโกรธ ความเกลีย ด ความกลัว อะไรตา ง ๆ , แลวเขาก็จ ะ เรีย นได ดี , แล ว ต อ ไปข า งหน า เมื่ อ ไปมี สั งคมกว า งออกไป เขาก็ จ ะรูจั ก ทํ า จิ ต ไม ให ตกไปในทางความทุก ข ใหท รงตัว อยู ไ ดเ ปน อิส ระ. สัง คมไมทํ า ใหเ ขารอ นใจ ได , กระทั่ งว า กิ เลสภายในของเขา คื อ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ของเขา ก็ไมไดทําใหเขาเปนทุกขได.
www.buddhadasa.in.th พุทธบริษัทตองมีชีวิตอยูดวยสติปญญา. www.buddhadasa.org นี้ คื อ ก ข ก กา รู เรื่ อ งตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ แล ว รู เรื่ อ งคู partner ของมั น คื อ รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ มั น มาถึ งกั น เข า ที ไร มั น จับ คู ก ัน ทีไ ร แลว เปน เกิด เรื ่อ ง, คือ จะมีผ ัส สะ มีเ วทนา. ถา คนนั ้น โง มัน ก็ ไปตามสายของความทุ ก ข , ถ า คนนั้ น ฉลาด มั น ก็ ม าอี ก ฝ ายหนึ่ งตรงกั น ข าม ไม มี
๔๘๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ความทุก ข เลยไดค วามรู ความฉลาด ในสิ ่ง ทั ้ง ปวงขึ ้น มา. ฉะนั ้น ถา เปน พุ ท ธบริ ษั ท วั น คื น มั น เจริ ญ ด ว ยความรู ค วามแจ ม แจ ง ความสว า งไสว ; ถาเปนปุถุชนคนโงคนเขลา วันคืนมันก็เจริญไปดวยกิเลสตัณหาและความทุกข. นี้ คื อ เรื่ อ งที่ เราจะเรี ย นธรรมะกั น เพื่ อ ให รู ธ รรมะและเป น พุ ท ธบริ ษั ท มี ชี วิ ต อยู ด ว ยสติ ป ญ ญา; เหมื อ นกั บ ลื ม ตา คํ า ว า พุ ท ธะ แปลว า ผู ตื่ น คื อ ลื ม ตา ไม ใช หลั บอยู คนที่ ไม ใช พุ ทธะมั นหลั บอยู , หลั บอยู ด วยกิ เลส, หลั บอยู ด วยอวิชชา หลั บ อยู ด ว ยความโง . ฉะนั้ น ถ า พุ ท ธะ มั น ตื่ น อยู ด ว ยป ญ ญา ไม มี อ วิ ช ชาแต มี วิช ชา ; ปุถ ุช นหลับ อยู ด ว ยอวิช ชา ; อริย บุค คลตื ่น อยู ด ว ยวิช ชา คือ ความรู . การที่เ รามาศึก ษาธรรมะกัน นี้ ก็เ พื่อ ใหม ีวิช ชา สํา หรับ จะไดเ ปน ผูตื่น อยู ตอไป. นี่ โ ดยย อ ก ข ก กา มั น มี อ ยู อ ย า งนี้ ขอร อ งว า ไปช ว ยจํ า ให แ ม น ยํ า . อย า เห็ น เป น เรื่ อ งไร ส าระ, แล ว มั น เป น ที่ ร วมของทุ ก เรื่ อ งในธรรมะ. เรื่ อ ง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เปน ที่ร วมของทุก เรื่อ งในทางธรรมะ แลว นี้ก็คือ เรื่อ ง ปฏิ จจสมุ ป บาท คื อเรื่องการเกิ ดขึ้ น แห งความทุ กข และการดั บลงแห งความทุ กข . ต อ งศึ ก ษาให เข า ใจว า เกิ ด ขึ้ น แห ง ความทุ ก ข อ ย า งไร, แล ว ดั บ ลงแห ง ความทุ ก ข อยางไร.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทบทวนเพื่อใหเขาใจถูกตอง.
เอ า, ทบทวนอี ก ที ฟ งให ดี เมื่ อ ตะกี้ อ าจจะยั งฟ งไม ถ นั ด . ยกตั วอย าง เรื่ อ งตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ มั น เหมื อ นกั น แหละ เข า ใจเรื่ อ งหนึ่ ง ก็ เ ข า ใจ
ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา
๔๘๑
ทุ ก เรื่ อ ง: ตา มั น จั บ คู ข องมั น คื อ รู ป แล ว เกิ ด วิ ญ ญาณทางตา คื อ การเห็ น รู ป ทางตา, ทั้ ง ๓ อย า งนี้ ทํ า งานร ว มกั น เรี ย กว า ผั ส สะ. ขณะแห ง ผั ส สะ นี้ สํ า คั ญ มาก ถา มีธ รรมะ มีส ติป ญ ญ า มัน ก็ไ มโ งไ มห ลงลืม ตัว ไมเ ผลอตัว , รู ส ึก อยู นี้สักวาผัสสะ เทานั้น. ที นี้ พ อผั ส สะแล ว มั น ก็ ต องเกิ ด เวทนา คื อสบายแก ตา ไม สบายแก ตา ถ า โง มั น ก็ ห ลงรั ก หรือ หลงเกลี ย ด แล ว แต ว า เวทนานั้ น จะเป น อย า งไร. ถ า มี ธ รรมะ มัน ไมโ ง มัน ก็ว า โอย ! นี ้ส ัก วา เวทนาเทา นั ้น , สัก วา ความรู ส ึก เทา นั ้น ตรงนี้ จ ะแยกกั น แหละ ฝ า ยโน น มั น หลงรั ก เวทนา มั น เกิ ด ตั ณ หา คื อ อยากไปตาม เวทนา, เกิ ด อุ ป าทาน ยึ ด มั่ น ในเวทนา, เกิ ด ภพ มี ตั ว กู ผู ยึ ด มั่ น ผู เป น อยู , เกิ ด ชาติสมบูรณแหงตัวกู มีความทุกข นั่นไปสายของความทุกข. ทีนี ้ฝ า ยนี ้ม ัน จะดับ ทุก ข ก็ค ือ พอมีผ ัส สะ มัน รู ส ึก ตัว มีเ วทนา มั น ก็ รู สึ ก ตั ว ตั ณ หามั น ก็ เกิ ด ไม ได ตั ณ หามั น ดั บ แหละ. ตั ณ หามั น ดั บ , อุ ป าทาน มั น ก็ เ กิ ด ไม ไ ด ภพเกิ ด ไม ไ ด ชาติ เ กิ ด ไม ไ ด ความทุ ก ข ไ ม เ ป น ของใครได ไม มี ความทุ ก ข ; นี่ ฝ า ยดั บ ทุ ก ข . วั น หนึ่ ง ๆ มั น จะเกิ ด ทุ ก ข หรื อ มั น จะดั บ ทุ ก ข ก็ เพราะอาการ ๒ อยางนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ เป น เรื่ อ งพู ด ตั ว จริ ง ก็ ต อ งไปกํ า หนดเอาเอง; ฉะนั้ น จะต อ งปฏิ บั ติ ธรรม ที ่ใ ชคํ า วา ปฏิบ ัต ิธ รรม มาอยู ส วนโมกขจ ะปฏิบ ัต ิธ รรม ก็ค ือ ตอ งกํ า หนด ตั ้ง สติอ ารมณใ หด ี เพื ่อ คอยจับ สิ ่ง เหลา นี ้, หรือ วา กลับ ไปจากสวนโมกข ไปถึง ที ่อ ยู เ ดิม ก็เ หมือ นกัน ; ถา จะปฏิบ ัต ิธ รรม ตอ งสํ า รวมใหเ กิด ความสงบ พอที่ จะคอยจับ สิ ่ง เหลา นี ้ ; จับ ความเกิด ขึ ้น แหง ผัส สะ แหง เวทนา แหง ตัณ หา
๔๘๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
อุ ป าทาน เหล า นี้ , เพราะมั น เกิ ด อยู เป น ประจํ า . แต ถ า เราไม ค อยสั ง เกต ไม ค อย จั บ เราก็ ไม เห็ น เราก็ ป ล อ ยไปตามเรื่ อ งของมั น ก็ ห ลงใหลไปตามเรื่ อ งของกิ เลส ตัณหา,แลวก็เปนทุกขโดยไมรูสึกตัว บางทีก็รูสึกตัว บางทีก็นั่งรองไหอยู. ถ าเรามาอยู กั บธรรมชาติ สงบเย็ นอย างนี้ อย ามากระโดดโลดเต น หั วเราะ หยอกล อ กั น เสี ย ก็ จ ะมี จิ ต ใจเหมาะสมที่ จ ะจั บ สิ่ ง เหล า นี้ ได . ฉะนั้ น การที่ ม าอยู กับ ธรรมชาติอ ัน สงบ มัน มีโ อกาส อยา งนี ้; แตถ า เรามาเลน หัว กัน เสีย หยอก ลอ กัน เสีย อะไรกัน เสีย มัน ก็เ หมือ นกัน อีก แหละ มัน จับ ไมไ ด ; เพราะจิต ใจ มั น ไปหลงอยู ใ นอารมณ เ หล า นั้ น เสี ย แล ว ไม มี เ วลาสํ า หรั บ จะมากํ า หนดคอยรู คอยจับ. ฉะนั้ นที่ วาจะมาอยู สวนโมกข จะปฏิ บั ติ ธรรม กั นบ าง ก็ จงดํ ารงตนให ดี , ใหม ีค วามสงบทางกายเขา ไป สงบทางวาจา สงบทางจิต , แลว ก็พ รอ มที ่จ ะ คอยจับความรูสึกคิดนึกที่จะเกิดขึ้นในจิต ก็จะเห็นธรรมะ เขาใจธรรม.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี ้เ รีย กวา ปฏิบ ัต ิธ รรมะขั ้น สูง แลว แหละ ไมใ ชเ พีย งแตถ ือ ศีล ; ๘ แต ป ฏิ บั ติ ใ นเรื่ อ งทางจิ ต ทางสมาธิ ท างป ญ ญาแล ว ก็ จ ะได ค วามรู เช น ในระดั บ สู ง . ฉะนั ้น จึง บอกใหรู ว า ก ข ก กา มัน มีอ ยู อ ยา งนี ้, แลว เราก็ใ ชใ หม ัน เปน เรื ่อ ง อา นเรื่อ งเขีย นอะไรขึ ้น มา, จนรู เ รื ่อ งความทุก ขแ ละรู เ รื ่อ งความดับ ทุก ข จน มองเห็ นชั ดว าความทุ กข เกิ ดขึ้ นมาอย างนี้ ๆ เลย แล วก็ เข าใจแม นยํ าไม ต องถามใคร, ไม ต อ งจดไว ใ นสมุ ด จดไว ใ นสมุ ด นั้ น มั น ไว ต อบสอบไล . แต ถ า ปฏิ บั ติ ธ รรมะแล ว จดไวในสมุดไมสําเร็จประโยชนอะไร ตองจดอยูในใจ.
ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา
๔๘๓
ฉะนั้ นก็ ไปทํ าความเข าใจเสี ยให ดี ว าอายตนะข างใน คื อตา อายตนะ ขา งนอก คือ รูป พอถึง กัน เขา เกิด วิญ ญาณทางตา ๓ อยา งนี ้ทํ า งานรว ม กั น เรี ย กว าผั ส สะ, คื อสั ม ผั ส ทางตา. พอมี สั ม ผั ส ทางตา มั น ก็ จะเกิ ด เวทนาทางตา สวยหรือ ไมส วย. พอเวทนาเกิด แลว มัน ก็จ ะเกิด ตัณ หา อยากไปตามความที่ มั น สวยหรื อ ไม ส วย, เกิ ด ตั ณ หาอยากเต็ ม ที่ นี้ แ ล ว จะเกิ ด ความรู สึ ก อี ก อั น หนึ่ งแซง เข า มาว า ฉั น ฉั น ฉั น อยาก ฉั น ต อ งการ เอามาเป น ของฉั น , สํ า หรั บ ที่ มั น สวย ; หรื อ ฉั น อยากจะขยี้ มั น ให แ หลกไปในเรื่ อ งที่ มั น ไม ส วย. มั น มี ฉั น อย า งนี้ ก็ เกิ ด อุ ป าทาน แล ว ก็ เกิ ด ภพ คื อ ความมี แ ห ง ตั ว ฉั น เต็ ม ที่ ขึ้ น มา, แล ว มั น ก็ ส มบู ร ณ เป น ชาติ ชาติ แ ห ง คนชนิ ด นั้ น ที่ มั น กํ า ลั ง โง อ ยู หรื อ อะไรอยู ก็ ต าม, มั น เป น ชาติ แหงคนคนนั้นในขณะนั้น. เมื่ อ มั น มี ตั ว ตนสมบู ร ณ อย า งนี้ แ ล ว อะไร ๆ ต า ง ๆ มั น ก็ จ ะเป น ป ญ หาของคนคนนั้ น ; ความเจ็ บ ของเขา ความแก ข องเขา ความตายของเขา เขามี ค วามหวนระลึ ก ไปถึ ง ทุ ก สิ่ ง , แล ว มั น ก็ จ ะเป น ป ญ หาของเขาเป น ความทุ ก ข ของเขา, ความทุกขเกิดขึ้นอยางนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้ น เราอย า มาสร า งตั ว ตนอย า งนี้ ; ทํ า จิ ต ให เป น อิ ส ระ แล ว ก็ ตั้ งหน า ตั้ ง ตาเรี ย นอย า งดี ที่ สุ ด , อย า มาตกอยู ใต อํ า นาจของกิ เลสตั ณ หา เรื่ อ งรั ก เรื่ อ งชั ง เรื่องอะไรเหลานี้.
เรื ่ อ งนี ้ เ รี ย กว า ป ฏิ จ จสมุ ป บ าท ถ า มั น มาในทางให เ กิ ด ทุ ก ข ก็ เรี ย กว า ฝ า ยเกิ ด ทุ ก ข ; ถ ามั น มาในทางฝ ายตรงกั น ข า ม คื อ มั น ไม เกิ ด ทุ ก ข ก็ เรี ย ก ว า ฝ ายดั บ ทุ ก ข . เรารู จั กไว ทั้ ง ๒ ฝ าย, รู จั ก ควบคุ ม ให มั น เป น ไปแต ในฝ ายดั บ ทุ กข .
๔๘๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
พระพุทธ - ธรรม - สงฆ เปน ก ข ก กา ของพุทธศาสนา. ทีนี้ก็จะพูดใหฟงตอไป วา ทําไมเขาจึงถือวา เรื่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ นี้เปน ก ข ก กา ของธรรมะ ของพุทธศาสนา. เราจะมี พ ระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ จริ ง ไม ใ ช สั ก ว า มี สั ก ว า พู ด หรือ สัก วา พุท ฺธ ํ สรณํ คจฺฉ ามิ แลว ก็ม ีพ ระพุท ธ อยา งนั ้น ไมพ อ, คือ ใหรู ว า เมื่อ ใดจิตมันมีสติปญ ญา สัม ปชัญ ญะ รูแจงชัด ในขณะที่มีสัมผัส มีเวทนา เมื ่อ นั ้น จิต ที ่รู แ จง ที ่ตื ่น ที ่เ ปน อิส ระนั ่น แหละเปน พระพุท ธ. จิต นั ้น เปน พระพุท ธเสีย เอง จิต ที ่รู แ จง ถึง ที ่ส ุด นั ่น แหละเปน พระพุท ธ; ถา เราจะถือ วา จิต ของเราเปนพระพุทธ หรือถาเราเปนผูรูแจง เราก็เปนพระพุทธเสียเอง. นี่ เราจะมี พ ระพุ ท ธจริ ง ๆ ในเรา หรื อ ถึ งกั บ ว า เรานี่ เป น พระพุ ท ธเจ าเสี ย เอง. ถา จิต นี ้ม ัน รู แ จง นี ้ จนความทุก ขเ กิด ไมไ ด เวลานั ้น อยา งนอ ยที ่ส ุด เรามี พ ระพุ ทธเจาจริงอยูในเรา, คือในจิตของเรา, หรือเราอาจจะมาเรียกรองมาก กว า นั้ น ว า เวลานั้ น เราเป น พระพุ ท ธเจ า เสี ย เอง, คื อ จิ ต นั้ น มั น เป น พระพุ ท ธเจ า เสียเอง. นี่จะมีพระพุทธเจาจริงกวาอยางนี้ ไมตองรองวา พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี ้ ค วาม รู นั ้ น แห ล ะ ที ่ ป ฏิ บ ั ต ิ อ ยู อ ย า งนั ้ น ที ่ ค วาม ทุ ก ข เ กิ ด ไมไดที่ปฏิจจสมุปบาทมันปรุงกันไมได นั่นคือตัวพระธรรม, ตัวความรูอยู จนความ ทุก ขเ กิด ไมไ ด นี ้เ ปน ตัว พระธรรม. เราก็ม ีพ ระธรรมจริง อยู ใ นจิต , หรือ จิต เป น พระธรรมเสี ย เอง เกิ ด มี พ ระธรรม โดยไม ต อ งรอ งว า ธมฺ มํ สรณํ คจฺ ฉ ามิ .
ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา
๔๘๕
ความที่ มั น มี ค วามดั บ แห ง ทุ ก ข อยู ใ นการปฏิ บั ติ ค วบคุ ม ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ไวไ ด ความทุก ขไ มเ กิด นั ้น เรีย กวา พระธรรมจริง , เราก็ม ีพ ระธรรมจริง หรือ กลา พูด วา เราก็เ ปน พระธรรมเสีย เองเลย. นี ่เ ราก็ม ีพ ระธรรมจริง โดยไม ตองรองวา ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ. ทีนี ้จ ิต อีก สว นหนึ ่ง ซึ ่ง จะเรีย กวา ตัว เดีย วกัน นั ่น แหละมัน ปฏิบ ัต ิอ ยู , มั นปฏิ บั ติ อยู พยายามอยู รักษาสติ สั มปชั ญ ญะใช ป ญ ญาอยู ; นี้ เรียกว า ปฏิ บั ติ อยู นี ้เ ปน ตัว พ ระส งฆ. ฉะนั ้น จิต นั ้น มีพ ระสงฆ หรือ เปน ตัว พ ระสงฆเ สีย เอง แลวเราก็มีพ ระสงฆ หรือเปน พระสงฆ โดยไมตอ งรอ งวา สงฺฆ ํ สรณํ คจฺฉ ามิ ก็ได, แตมันเปนเสียจริง ๆ. นี่ ค วามที่ จ ะมี พ ระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ เสี ย จริ ง ๆ มั น มี ได อ ย า งนี้ เพราะรู เ รื ่อ งนี ้. เรื ่อ งนี ้สํ า คัญ มาก ที ่เ รีย กวา เรื ่อ งปฏิจ จสมุป บาทนี ่ ถา เรารู เรื่อ งนี้เราเปน พระพุท ธ เรามีพ ระธรรม เราเปน พระสงฆ เพราะเราปฏิบัติ ไมใหเกิดทุกขได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เรื ่อ งนี ้ม ัน สํ า คัญ มากจนถึง กับ วา แมแ ตพ ระพุท ธเจา เอง ทํ า เปน พระพุ ท ธเจ า แล ว ท า นยั ง เอาเรื่ อ งนี้ ม าสาธยาย, มั น สาธยายคื อ มาพู ด ตามลํ า พั ง พระองค เหมือ นกับ ทอ งเลน อยา งนั ้น แหละ; เหมือ นกับ พวกคุณ รอ งเพลงเลน คนเดีย ว เพลงไหนที ่ช อบ ชอบเอามารอ งเลน คนเดีย วอยา งนี ้. พระพุท ธเจา ท า นก็ ท รงกระทํ า กั บ เรื่ อ งนี้ อ ย า งนั้ น , คื อ เอาข อ ความนี้ มากล า วอยู โ ดยพระองค เอง พระองค เดี ย ว ไม ต อ งมี ใครอยู ถ าเป น บาลี ก็ จะมี ว า จกฺ ขุ ญ จ ปฏิ จฺ จ รู เป จ อุป ฺป ชฺช ติ จกฺข ุวิฺาณํ ติณ ฺณ ํ ธมฺม านํ สงฺค ติ ผสฺโ ส ผสฺส ปจฺจ ยา เวทนา
๔๘๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
เวทนาปจฺจยา ตณฺหา, ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานํ, อุปาทานปจฺจยา ภโว, ภวปจฺจยา ชาติ, ชาติปจฺจยา ขรามรณํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสสุปายาสา สมฺภวนฺติฯ นี่ เรื่ อ งตาจบแล ว ก็ ว า เรื่ อ งหู อี ก จมู ก อี ก ฯลฯ ไปจนกระทั่ ง ทั้ ง ๖ เรื่ อ ง. นี่ ถ า ว า เป น ภาษาบาลีคืออยางนี้.
ปฏิจจสมุปบาทเปนอาทิพรหมจรรย. ไม มี เรื่ อ งไหน ที่ พ ระพุ ท ธเจ า ท า นทรงเอามาร อ งเล น อย า งนี้ , หรื อ นอก จากเรื่อ งนี้ คื อ เรื่อ งปฏิ จ จสมุ ป บาทนี้ . ในพระไตรป ฏ กเราสํ ารวจดู ห มดแล ว ไม มี เรื่องไหนที่มีเกียรติสูง ถึงกับพระพุทธเจาทรงเอามาทองเลน นอกจากเรื่องนี้. ที นี้ วั น หนึ่ ง ท า นท อ งโดยพระองค เองอยู อ ย า งนี้ มี พ ระองค ห นึ่ ง เองมา ข า งหลั ง มาแอบฟ ง อยู ด วยเจตนาอะไรก็ ต ามใจเถอะ ที นี้ พ ระพุ ท ธเจ า เผอิ ญ ท า น ทรงเหลี ย วไปเห็ น พระองค นั้ น เข า ก็ ว า เอ า , นี่ ดี แ ล ว . นี่ ดี แ ล ว , มา, นี่ เ รื่ อ ง สํ า คั ญ ที่ สุ ด . ท า นตรั ส บอกภิ ก ษุ นั้ น ว า เอ า, นี่ เรื่ อ งสํ าคั ญ ที่ สุ ด เรี ย กว า อาทิ พรหมจรรย แปลวา เงื่อนตนของพรหมจรรย. อาตมาเลยเอามาเรียกใหคุณฟงวา ก ข ก กา ของพระพุ ท ธศาสนา ถาพระพุ ท ธเจาท านเรียกท านเรียกวา อาทิ พรหมจรรย แปลวา เงื่อนตนของพรหมจรรย ของพระศาสนา นั่นแหละ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เรื่ อ ง ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ คู กั บ รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ ถึ ง กั น เข า เกิ ด วิ ญ ญาณ – แล ว เกิ ด ผั ส สะ - เกิ ด เวทนา - เกิ ด ตั ณ หา – อุ ป าทาน – ภพ – ชาติ - จนเป น ทุ ก ข . นี่ คื อ เรื่ อ งอาทิ พ พรหมจรรย เรื่ อ งเงื่ อ น
ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา
๔๘๗
ตนของพรหมจรรย เราเรียกวา ก ข ก กา ของพุทธศาสนา. แตมันไมหยุดอยู เพียงความเปน ก ข, มันกลายเปนตัวแทตัวจริง แลวกลายเปนดับทุกขได, เปน ตัวหัว ใจของพุท ธศาสนาไปเลย. นี้ป ระหยัด มาก เปน ก ข ก กา แลว ก็เปน ตัวแท, แลวเปนตัวปลาย ตัวผล ตัวผลสุดทายไปเลย. ควรจะสนใจอยางยิ่ง. ฉะนั้ น เราต อ งการจะศึ ก ษาธรรมะ ก็ จั บ ตั ว ธรรมะให ถู ก ต อ ง ตั้ ง แต ตัว ก. ตัว ข. ตัว ง. ไปเลย, แลว เขา ไปตามลํ า ดับ ถูก ตัว ถูก หัว ใจ ได รับ ผลไดรับ ประโยชน จนดับ ทุก ขไ ด จนกระทั่ง วา มีพ ระพุท ธ มีพ ระธรรม มี พ ระสงฆ , หรื อ จนกระทั่ ง ว า เป น พระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ เ สี ย เอง นี่ มั น วิเศษถึงอยางนี้. นี่ มั น จะต อ งลงทุ น ด ว ยการตั้ ง อกตั้ ง ใจระมั ด ระวั ง สํ า รวม ; ถ า เราจะ มั วแต ป ล อ ยตามอารมณ ก ระโดดโลดเต น สรวลเสเฮฮา ไปตามอารมณ แล วจิ ต นั้ น หยาบมาก ไมอ าจจะเขา ใจเรื ่อ งอัน ละเอีย ดประณีต นี ้ไ ด. ฉะนั ้น ขอใหล งทุน ดว ยการสํา รวมระวัง ดํา รงการเปน อยูใ หถูก ตอ ง การกิน การนุง การหม การอยูอาศัย การอะไรตาง ๆ แหละ ใหมันสงบรํางับ, แลวจิตมันก็จะประณีต ละเอียดพอที่จะเขาใจเรื่องนี้ได มีเหลือวิสัย.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เรียนพุทธศาสนาตองเรียนอยางวิทยาศาสตร. ขอร อ งให สั ง เกตดู ใ ห ดี ในฐานะที่ เ ป น นั ก ศึ ก ษา ว า เราเรี ย นเรื่ อ งจริ ง ไม ใช เรื่อ งสมมติ , คนโง ๆ ว า ธรรมะเป น เรื่อ งสมมติ ; แต เดี๋ ย วนี้ มั น เป น เรื่ อ งจริ ง
๔๘๘
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
จริงยิ่งกวาวิทยาศาสตร : มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ, มีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพ พะ ธัม มารมณ มาถึงกัน เขา เกิดความเปลี่ย นแปลงรูสึกเปน ลําดับ เป น ในภายใน ซึ่ งเรารู สึ ก ได เป น เรื่ อ งที่ ไม ต อ งคํ านวณ, ไม ต อ งคาดคะเน ไม ต อ ง สมมติ มันเปนเรื่องจริง มีอยู ปรากฏอยู. นี้ เราจะถื อ ว า พุ ท ธศาสนาที่ แ ท นี้ มั น เป น เรื่ อ งจริ ง ถ า เปรี ย บกั บ วิ ช า สมั ยป จจุ บั น พุ ทธศาสนาก็ เป นวิ ทยาศาสตร ไม เป นปรัชญา, ปรัชญาเรื่องคํ านวณ ต อ งสมมติ ใ นเบื้ อ งต น , ต อ งตั้ ง สมมติ ฐ านว า เราจะเอากั น อย า งไร. แล ว ค อ ยหา เหตุผลคํานวณไปตามนั้น ใหไดผลอยางนั้น ๆ เรื่องปรัชญา เอามาใชกับพุท ธ ศาสนาไมได ทํากับพุทธศาสนา ตองทําอยางกับวาเปนวิทยาศาสตร : มอง เห็น อยู อ ยา งนี ้, แลว มัน เปลี ่ย นไปอยา งนี ้, แลว มัน เปลี ่ย นไปอยา งนี ้ โดยการ ระทํ า ของเราแท ๆ เราควบคุ ม ได จนเราได ผ ลตามที่ เ ราต อ งการ เหมื อ นกั บ วิทยาศาสตร. ฉะนั้น ธรรมะ จึงเปนวิทยาศาสตร ไมใชปรัชญา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แต ถ า คนไหนยั งไม เข า ใจ มั น ก็ ต อ งเป น ปรั ช ญาไปก อ น คนไหนไม เข า ถึ งตั วธรรมะ, จะเห็ นธรรมะเป นปรัชญาไปพลาง, อาศั ยการคาดคะเนคํ านึ งคํ านวณ ไปพลาง. ฉะนั้ น คนโดยมาก พวกฝรั่ง ก็ เถอะ เขาเรี ย นพุ ท ธศาสนาอย า งคํ า นวณ ไปพลางเปนปรัชญาไปพลาง. เรียนเรื่องนี้คือเรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้ ฝรั่งเขาเรียน อย า งเป น ปรั ช ญา ; ถ า อย า งนี้ ไ ม ถู ก ตั ว พุ ท ธศาสนา จนกว า เมื ่ อ ไร จะ มองเห็น จริง ชัด อยา งเปน วิท ยาศาสตร; เมื่อ นั้น เขาก็จ ะเขา ถึง ตัว พุท ธ ศาสนา.
ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา
๔๘๙
เรื่ อ งปรั ช ญานี้ มั น เป น เรื่ อ งคํ า นวณ จะพู ด ง า ย ๆ ก็ ว า เป น เรื่ อ งลม ๆ แล ง ๆ, เอาจริงอะไรกั น มั น ไม ได . แต ถ าเป น วิ ท ยาศาสตรนี้ เอาจริงกั น มั น ได ทํ าให ได ผ ลตามที่ เราต อ งการได , หากแต ว ามั น เป น เรื่ อ งทางจิ ต ใจ. เดี๋ ย วนี้ ในโลกนี้ เขารู วิทยาศาสตรกันแตในเรื่องทางวัตถุ เรื่องทางจิตใจเขาไมไดสนใจ. นี้พ ระพุท ธเจา ทา นมีเ รื่อ งวิท ยาศาสตร ทั้ง ทางวัต ถุแ ละทั้ง ทาง จิต ใจ และยกเอาเรื่อ งจิต ใจเปน เรื่อ งสํา คัญ กวา ; เพราะวา ความทุก ขมัน เกิด ที ่จิ ต ที่ จิ ต ใจ มั น เป น ความรูสึ ก ของจิ ต ใจ ; ฉะนั้ น เราจะต อ งทํ า ให มั น เป น เรื่อ งของ จิตใจ อยาใหความทุกขมันเกิดได. นี่ ท านออกบวชขวนขวายจนตรัส รูม าตามลํ าดั บ วาความทุ กขนี้ ม า จากอะไร ? มาจากชาติ . ชาติ มาจากอะไร ? มาจากภพ. ภพมาจากอะไร ? มาจาก อุ ป าทาน. อุ ป าทานมาจากอะไร ? ก็ ม าจากตั ณ หา. ตั ณ หามาจากอะไร ? มาจาก เวทนา. เวทนามาจากอะไร ? มาจากผั ส สะ. ผั ส สะมาจากอะไร ? ก็ ม าจากการ ทํ างานรวมกั นของตากั บรู ป และวิ ญ ญาณ คื อมาจากการทํ างานร วมกั นของอายตนะ ภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖ และวิญญาณ ๖ นี่เปนเรื่องวิทยาศาสตร ตรงนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เอาละเป นอั นว า วั นนี้ มี ความตั้ งใจที่ จะให คุ ณ รูจั กตั วแท ของพุ ทธศาสนา เริ่ ม ต น ด ว ย ก ข ก กา อั น ถู ก ต อ ง. ฉะนั้ น ขอให ส นใจ เหมื อ นกั บ ที่ เราสนใจ เรี ย น ก ข ก กา สมั ย เด็ ก , เราก็ รู ม าตามลํ า ดั บ จนรู ห นั ง สื อ ดี . นี้ ข อให ทุ ก คน สนใจเรื่ อง ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ให ดี สนใจเรื่ องรู ป เสี ยง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธัมมารมณ ให ดี , สนใจมั นที่ มั นเกิ ดเป นวิญ ญาณ ผั สสะ เวทนา ตั ณ หา อุ ปาทาน ภพ ชาติ และความทุ ก ข ใ ห ดี ก็ เป น อั น ว า เข า ถึ ง หั ว ใจของพุ ท ธศาสนา จนมี
๔๙๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
พระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ จริ ง , หรื อ จนกระทั่ ง อาจจะกล า วได โ ดยไม มี ใ คร ค า นได ว า เราก็ เ ป น พระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ อยู ส ว นหนึ่ ง เหมื อ นกั น โดย แท จ ริ ง ด ว ย, ก็ เรี ย กว า ไม เสี ย ที ที่ ตั้ ง ใจจะศึ ก ษา จะปฏิ บั ติ เพื่ อ ให ได รั บ ประโยชน อั น สูงสุดจากพระพุทธศาสนาเปนแนนอน. ฉะนั้ นจึ งอยากจะกล าวว า ถ าเข าใจเรื่ องนี้ แล วคุ มค าไปจนตาย, มี ประโยชน ไปจนตาย, ไม ต อ งเรี ย นเรื่ อ งอะไรอื่ น อี ก ก็ ได . เรื่ อ งนี้ จ ะมี ป ระโยชน คุ ม ค า คุ ม ครอง ไปจนตลอดชี วิ ต . ถ า ไม เข า ใจละเอี ย ด ก็ ไ ปศึ ก ษาส ว นที่ ยั ง ไม เข า ใจให มั น ละเอี ย ด, เนื้อแทมันมีเพียงเทานี้. เอาละ, การบรรยายมั น พอสมควรแก เวลาแล ว ต อ ไปนี้ ก็ ให เป น การ ถามตอบ เอา ใครมีปญหาอะไรก็ถาม. …. …. …. ….
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถาม: ขอเรี ย นถามหลวงพ อว า การที่ เรากําหนดรู ก ารกระทบของอิ นทรี ย ทั้ ง ๖ ทั้ งวั น วั น หนึ่ ง ๆ เราจะได ยิ นได ฟ ง ได พบได เห็ นสิ่ งต าง ๆ เหล านั้ น อารมณ เหล านั้ นมากมาย เหลื อเกิ น. ผมเกรงว า เราจะไม มี สติ ป ญ ญ าที่ จะมากํ าหนดรู สิ่ งเหล านั้ นเท าทั น เพราะ บางที เราก็ ได ยิ น ได เห็ น ได อยู กั บสิ่ งเหล านั้ น คื อรู สึ กกั บสิ่ งเหล านั้ นพร อ มกั นทุ ก อายต - นะอยางนี้ มันจะมีสติที่ไหน กําลังอะไรมากําหนดได จนใหทั่วถึงสิ่งเหลานั้น.
ตอบ: เอา, ปญหานี้ดี ปญหานี้เปนปญหาที่ดี คือเปนปญหาที่มันเกี่ยวกับความ จริ ง เป น practical จริ ง ๆ คื อ เขาถามว า แต ล ะวั น ๆ เรื่ อ งมั นมาก ทาง ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ เราจะเอาความสามารถที่ ไหนมาควบคุ ม มั น นี่ ทุ ก คนคง จะรูสึกวาเปนปญหา แลวมันก็เปนปญหาจริง ๆ ดวย.
ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา
๔๙๑
นี้ มั น ต องรู ถึ งข อเท็ จจริ งอั น อื่ น ต อ ไปอี ก ลึ ก ลงไปอี ก คื อ ว าเราฝ ก ฝนอยู เป น ประจํ า คื อ ฝ ก ฝนในการให มี ส ติ ห รื อ สมาธิ อ ยู แล ว ก็ ฝ ก ฝนให ร อบรู ใ นทาง ของป ญญาอยู ในทางป ญญานั้ นให รูเรื่องที่ ว ามั นเป นอนิ จจั ง ทุ กขั ง อนั ตตา. เราคิ ด นึ ก ทบทวนอยู ศึ ก ษาอยู ทํ า วิ ป ส สนาในส ว นนี้ อ ยู เรามี ค วามเข า ใจเรื่ อ งความจริ ง ของสิ่งทั้งปวงอยู นี้สวนหนึ่ง ฝกอยูจนทําได. อี กส วนหนึ่ ง ฝ กทางสมถะ ทางสติ เราฝ กให เป นคนที่ มี สติ สมบู รณ และ ว อ งไว, ให มี สติ ว องไวในการที่ จะเอาป ญ ญา เอาความรู เรื่ องอนิ จจั ง ทุ กขั ง อนั ต ตา มาใช ใ ห ทั น ท ว งที , แล ว เราฝ ก ชํ า นาญในแง ที่ ว า มั น มี ส ติ จ ะไม ใ ห เ กิ ด ความคิ ด ความนึก ความรูสึก หรือการตัดสินใจอะไรลงไป กอนแตที่จะมีสติเสียกอน. นี้ เมื่ อ ทํ า ได อ ย า งนี้ เป น นิ สั ย แล ว มั น ก็ ค วบคุ ม สิ่ ง ต า ง ๆ ได คื อ ความ คิ ด มั น จะไม เกิ ด ขึ้ น หรื อ จะไม ตั ด สิ น ตั้ ง ใจลงไป เจตนาลงไป ว า จะทํ า อะไร โดย ที่ ไม รู สึ ก ตั ว เสี ย ก อ น มั น เป น อย า งนั้ น ฉะนั้ น ถ า มั น เกิ ด ขึ้ น มั น ไม เข าไปถึ งในจิ ต ใจ ก็ ไ ม เป น ไร. เช น ตาเห็ น รู ป อยู นี้ มั น ไม ไ ด เข า ไปถึ ง จิ ต ใจมั น ก็ ไ ม เป น ไร; แต ถ า มั น เป น เรื่ อ งที่ เข า ไปในจิ ต ใจ เรามี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะพอที่ จ ะรั บ หน า กั บ มั น มั น เคยชิ น ที่ จะมองเห็นเปน สักวาเวทนาเทานั้น สักวาผัสสะเทานั้น ไมเกิดตัณหา ไมเกิดอุปาทาน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ เ ขาเรี ย กว า ฝ ก วิ ป ส สนาในส ว นที่ มี ส ติ เรี ย กว า สติ ป ฏ ฐาน ถ า ใคร ฝ ก ในส ว นสติ ป ฏ ฐานจนเสร็ จ สํ า เร็ จ ไปแล ว เขาก็ จ ะมี อั น นี้ : มี ส ติ พ อที่ จ ะรั บ อารมณ ส ะกั ด กั้ น อารมณ ห รื อ กี ด กั น อารมณ หรื อ กลั่ น กรองอารมณ ไม ใ ห มั น ไป ในทางใหเกิดกิเลสได. ฉะนั้นเราจึงสามารถอยูไดในโลกที่เต็มไปดวยอารมณ.
๔๙๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
เดี๋ ย วนี้ มั น มี ป ญ หาที่ เราเหล า นี้ เราไม มี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะไม มี ป ญ ญาพอ เพราะไม ไ ด ฝ ก สติ ป ฏ ฐาน ไม ไ ด ฝ ก วิ ป ส สนาในส ว นอนิ จ จั ง ทุ ก ขั ง อนั ต ตา ไม ชํ านาญเชี่ ยวชาญในการที่ จะควบคุ มความรู สึ ก. ฉะนั้ นไม ต องกลั วค อย ๆ ทํ าค อย ๆ ไป ถามีโอกาสก็ทํามากเปนพิเศษ ที่จะฝกสติปฏฐาน ฝกวิปสสนาตามโอกาส. แล วก็ มี จิ ตใจอั นใหม ที่ เข มแข็ ง ที่ ว องไว ที่ รวดเร็ ว คื อมี สมาธิ มี ป ญ ญา รั บ อารมณ เหล า นั้ น มั น จะไม ผ า เข า ไปได เพราะความที่ เรามี ส ติ มี ป ญ ญา มั น อยู ข า งนอก ก็ ไ ม เ ป น ไร; หมายความว า มั น ไม ทํ า อะไรแก จิ ต ใจของเรา ก็ ใ ช ไ ด . มั น เต็ ม ไปด ว ยเรื่ อ งน า รั ก น า เกลี ย ด น า อะไรก็ ต ามใจมั น มั น ก็ อ ยู ที่ นั่ น แหละ, มั น ก็ เกลื่ อ นอยู ใ นโลก ไม เข า มาในจิ ต ใจของเราได . ถ า มั น จะเข า มาได เล็ ด ลอด เข า มาได ก็ ล ว นแต เ ป น สิ่ ง ที่ ทํ า ให เราเกิ ด ความรู ความฉลาด เห็ น อนิ จ จั ง ทุ ก ขั ง อนั ต ตา ยิ่ ง ๆ ขึ้ น ไป. เรื่ อ งที่ มั น ยั ง ไม เคยรู มั น ละเอี ย ดเกิ น ไป มั น ก็ จ ะได รู ขึ้ น มา แตที่จะเขามาใหเรารูสึกรัก รูสึกชัง เกิดตัณหา อุปาทานนี้ไมได เปนไปไมได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้ น ไม ต อ งกลั ว จะอยู ที่ ก รุ ง เทพฯ หรื อ ยิ่ ง กว า ที่ ก รุ ง เทพฯ ถ า มี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะพอแล วมั น ก็ ป อ งกั น ได สติ มั น กั้ น ไว ไม ให เข ามาในจิ ต ใจได . ถ าอั น ไหน จํ า เป น จะต อ งรู รั บ รู ที่ จ ะต อ งจั ด การ จะต อ งเกี่ ย วข อ ง มั น ก็ ป ล อ ยเข า มา, แล ว มั น ก็ รู แล ว ก็ ทํ า ถู ก ต อ งหมด. ถ า เป น เรื่ อ งที่ ต อ งทํ า ที่ ต อ งจั ด เป น ป ญ หาที่ ต อ ง แก หรื อ มั น เป น หน า ที่ ก ารงานของเรา, เราต อ งทํ า เราต อ งจั ด ให ถู ก ต อ ง ก็ จั ด ด ว ย จิ ต ที่ เป น อย า งนี้ . จิ ต ที่ เฉลี ย วฉลาดมี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะ ไม มี ค วามทุ ก ข เลย ทํ า สิ่ ง ต า ง ๆ ให ลุ ล ว งไปด ว ยดี ตามที่ ค วรจะทํ า . สิ่ ง นอกนั้ น ก็ ไ ม ต อ งทํ า ไม ต อ งสนใจ, นี่ เ ป น อุ บ ายอย า งยิ่ ง เป น ศิ ล ปะอย า งยิ่ ง ที่ จ ะมี ชี วิ ต อยู ใ นโลกอั น แสนวุ น วายนี้ แลวก็ไมวุนวาย.
ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา
๔๙๓
สรุ ป ความว า มั น ป อ งกั น ได หรื อ ทํ า ได แก ป ญ หาได ด ว ยการปรั บ ปรุ ง ตนเอง ให มี คุ ณ สมบั ติ สู งขึ้ น ไป คื อ มี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะมี ป ญ ญาที่ เพี ยงพอ มี ส มาธิ อ ยู ในคําวาสติ, เอา, มีอะไรอีก. ถาม : ในเมื่ อ จิ ต เราตามรั ก ษา หรื อ ตามดู อ ารมณ ที่ ม ากระทบอยู รู อ ยู อ ย า งนั้ น ขณ ะนั้ น เวลานั้ น, แล วสมมติ ว าถ าเกิ ดเหตุ การณ ภายนอก เหตุ การณ เลวร าย, เหตุ การณ ที่ ไม น า พึ งเกิ ด เหตุ ก ารณ ที่ ไมพึ งปรารถนา ของหมู ของสั ง คมขึ้ น มาในขณ ะนั้ น แล ว ก็ ใกล ตั ว เรา, เราจะใช จิ ต ระดั บ นี้ จิ ต ที่ ต ามรู อ ารมณ รู เหตุ ก ารณ แก ป ญหาที่ มั น เกิ ด ขึ้ น นั้ น การแก ของเรานั้ นเราจะเชื่ อ มั่ นได ไหมว า จิ ต เราในขณะนั้ นจะแก ป ญหาอย างนั้ นได ถู ก ตอง.
ตอบ : เราจะต อ งเชื่ อ มั่ น ทํ า ไมเล า เราทํ า ให มั น ถู ก ต อ ง มั น ก็ แ ก ไ ด . หรื อ จะถาม เดี๋ยวนี้วา เราจะเชื่อไดไหมวา เราจะสามารถใหมันแกไขไดถูกตองมัน ตองเชื่อวาเรามันทําถูกตองหรือไม ถาทําถูกตองแลวมันก็แกปญหาได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เรื่ อ งสั บ สนวุ น วายนั้ น มั น เป น เรื่ อ งที่ ทํ า ยากแหละ ถ า เรามั น อ อ นแอ, จิ ต ใจมั น อ อ นแอ คื อ มั น ไปรั บ อารมณ จ นรู สึ ก กลั ว รู สึ ก โกรธ รู สึ ก เกลี ย ด หรื อ รู สึ ก ต อ งการเสี ย อย า งใดอย า งหนึ่ ง แล ว มั น ทํ า ไม ไ ด . เราต อ งควบคุ ม ให มั น มี อิ ส ระ มั น จะคิ ด ถู ก ตั ด สิ น ถู ก ทํ า ถู ก ต อ สู ถู ก ป อ งกั น ถู ก อะไรถู ก ได , ก็ ไ ม ต อ งกลั ว ให ป ญ ญาอยู กั บ เนื้ อ กั บ ตั ว ตลอดเวลาที่ มั น มี ป ญ หา, หมายถึ ง มี ส ติ ด ว ย มี ส มาธิ ด ว ย มี ส ว นที่ จ ะต อ งประกอบกั น ด ว ย. มี ป ญ ญา, มี ป ฏิ ภ าณ มี ส ติ มี สั ม ปชั ญ ญะ เหล า นี้ สํ า คั ญ มาก. ที นี้ มั น จะช า หรื อ เร็ ว อยู ที่ ฝ ก ถ า ฝ ก ให ดี เ ข า มั น ก็ เ ร็ ว สติ มั น ก็ เ ร็ ว สมาธิมันก็คลองแคลว ปญญามันก็คลองแคลว.
๔๙๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ถาม : การฝ ก อาการของจิ ต หรื อ ว า การฝ ก ทางจิ ต อย า งนี้ วิ ธี ก ารฝ ก วิ ธี ก ารทํ า ของเรา นี่ มั น ใช ฝ ก อยู ใ นขณะเวลาการทํ า การทํ า งานเท า นั้ น หรื อ หรื อ ว า เราจะต อ งมา ใชเวลาฝกเปนอยูในที่สงัด ?
ตอบ : นั่ น ควรจะเห็ น ได แ ล ว มั น เป น หลั ก ทั่ ว ไป เราควรจะเห็ น ได มองเห็ น ได โดยไม ต องถามก็ ได ; เหมื อนกั บ เราซื้ อป นมา จะใช ป องกั นตั วต อสู ข าศึ ก ถ าซื้ อมา เก็บ ไวเ ฉย ๆ ไมฝ ก การใชป น ใหถ ึง ที ่ส ุด แลว มัน จะใชไ ดห รือ ? ฉะนั ้น เราก็ต อ ง ฝกการใชปนใหถึงที่สุด เมื่อถึงเวลาที่จะตองใช ก็ใชไดทันทวงที. เดี๋ ย วนี้ จ ะเป น พระ เป น เณร เป น ชาวบ า นก็ ดี ถ า มี เ วลา จะฝ ก จิ ต เตรี ย มไว ก็ ต อ งฝ ก เตรี ย มไว พอถึ ง เวลามั น จะได ใ ช , ก็ แ ปลว า เวลาที่ จ ะต อ งฝ ก มั น ก็ มี อ ยู ส ว นหนึ่ ง เวลาที่ จ ะใช มั น ให ทั น ท ว งที มั น ก็ มี ส ว นหนึ่ ง . ฉะนั้ น ขอ ให ทุ ก คนพยายามสละเวลาที่ จ ะไปโรงอาบอบนวด ไปบางแสน ไปอะไร สละเสี ย บ า ง, แล ว เอามาฝ ก จิ ต ให มั น อยู ในอํ า นาจของเรา ให ใช มั น ได ทั น ท ว งที อะไรเกิ ด ขึ้ น ก็ จ ะได ใ ช . นี่ เ ขาเรี ย กว า การฝ ก เราฝ ก แล ว มั น ก็ ใ ช ก็ ใ ช ไ ด ต ามที่ ต อ งการ, เครื่องมื อทุ กอย างต องฝ กการใช ทั้ งนั้ นแหละ แม จะมี รถยนต มั น ก็ ต องฝ กขั บ รถยนต มั น จึ ง จะใช ร ถยนต ไ ด อาวุ ธ ก็ เหมื อ นกั น เครื่ อ งใช ไ ม ส อยอย า งอื่ น ก็ เหมื อ นกั น ตองการฝกการใชใหถึงที่สุด.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถาม : ทําไมศาสนาจึงเกี่ยวของกับชีวิตนอยเหลือเกิน มีปญหาที่เพื่อน ๆ ถามมา
ตอบ : ทํ าไมศาสนาจึ งเกี่ ยวข องกั บชี วิตน อยเหลื อเกิ น เพราะเจ าของชี วิตมั นโงตอบ สั้น ๆ อยางนี้. เอา อะไรอีก. ถาม : โปรดอธิบายวัตถุวิภาษกับจิตนิยม ใหเขาใจวาอันไหนมีความสําคัญมากกวากัน ?
ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา
๔๙๕
ตอบ : คนนี้เอาศัพทการเมืองปจจุบันมาถาม คนเขียนควรจะรูแลวนา เขา จึง เขีย นได ไมอ ยา งนั ้น มัน จะเขีย นไดอ ยา งไร วัต ถุว ิภ าษคือ อะไร, แลว จิ ตตนิ ยมคื ออะไร. เขาควรจะใช คํ าว า วั ตถุ นิ ยม วั ตถุ นิ ยมที่ ประกอบไปด วยเหตุ ผ ล ทางปรั ชญาเขาเรี ย กว า dialectic materialism วั ต ถุ นิ ย มวิ ภ าษ คื อ เขาพยายามจะ โน ม น า วความคิ ด ของคน ให ไปนิ ย มวั ต ถุ ด ว ยเหตุ ผ ลที่ ล ะเอี ย ดลออทางปรั ช ญา ทางชี ววิ ทยา ทางอะไรอี กหลาย ๆ ทาง เพื่ อจะให เกิ ดเป นพวกที่ นิ ยมวั ตถุ ไปยุ งกั น แต เรื่ อ งวั ต ถุ พั ฒ นาวั ต ถุ ใ ห ถึ ง ที่ สุ ด ; เพราะคนพวกนี้ เขาถื อ ว า เราจะแก ป ญ หา ของโลก โดยการพั ฒ นาวัตถุ ให ถึ งที่ สุ ด พวกวั ตถุ นิ ยมเขาถื อว า เราจะทํ าสั นติ ภ าพ ในโลกนี้ ได ด วยการทํ าวั ต ถุ ให มั น ถึ งที่ สุ ด ก็ เกิ ด ปรั ชญาทางวั ต ถุ นี้ ขึ้ น มา เรี ย กว า วัตถุนิยมวิภาษ. ที นี้ ทางจิ ตตนิ ยม ก็ ควรจะมี วิ ภาษด วยเหมื อนกั นแหละ คื อเขาถื อว าไม ได เราต องมาศึ กษาและพั ฒ นาเรื่องจิ ต ; เราจึ งจะทํ าโลกนี้ ให มี สั นติ ภาพได ก็ มุ งกั น แตเรื่องจิต โดยไมคํานึงถึงวัตถุ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ส วนพุ ทธศาสนานั้ นไม เอาอย างนั้ น เอาความพอดี ความถู กต อง ทั้ งจิ ต และวั ตถุ จึ งไม เรี ยกว าวั ต ถุ นิ ย มหรื อ จิ ต ตนิ ยม, จะเรี ยกว าความถู กต อ งนิ ยม นิ ย ม ความถู ก ต อ ง คื อ ธรรมเนี ย ม หรื อ อะไรก็ แ ล ว แต จ ะเรี ย ก ให มั น เป น ความถู ก ต อ ง ระหว า งวั ต ถุ กั บ จิ ต ก็ แ ล ว กั น . นี่ คื อ ความมุ ง หมายของพุ ท ธศาสนา เป น ธรรมนิ ย ม ดีกวา.
วั ตถุ นิ ยมมั น ก็ เหวี่ ย งไปสุ ด โต งฝ ายหนึ่ ง จิ ต ตนิ ยมมั น ก็ เหวี่ ย งไปสุ ด โต ง ฝา ยหนึ ่ง ; แตค นเรายัง มีทั ้ง กายและทั ้ง จิต . ฉะนั ้น เราตอ งอยู ที ่ค วามถูก ตอ ง
๔๙๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ระหว า งกายกั บ จิ ต ดี ก ว า . พระพุ ท ธศาสนาก็ อ ยู ที่ ต รงนี้ สนใจความถู ก ต อ งทั้ ง ทาง ฝายวัตถุและทั้งทางฝายจิต คือทั้งทางฝายรางกายและทั้งทางฝายจิต ไมแยก. นี่ เรี ย กว า จะต า งกั น อย า งไรก็ ไ ปดู เอาเอง แล ว เราก็ ไ ม ต อ งการจะเอา ประโยชน จ ากความต า งของมั น . เราจะเอาประโยชน จ ากการที่ เราทํ า ให มั น ถู ก ต อ ง เกี่ ย วกั บ สิ่ ง ทั้ ง ๒ นี้ , อย า ทํ า ผิ ด พลาด, อย า ให เกิ น ในทางวั ต ถุ . เดี๋ ย วนี้ ท างวั ต ถุ มั น จะเกิ น โลกนี้ จนทํ า ให โ ลกเต็ ม ไปด ว ยกิ เ ลส ส ว นทางจิ ต นั้ น ไม ค อ ยมี เพราะ มั น ไม ส นุ ก . คนที่ เ กิ ด มาในโลกยุ ค ป จ จุ บั น นี้ ไม ค อ ยชอบทางจิ ต เพราะมั น ไม สนุ ก ไม อ ร อ ย ไม ส นุ ก สนาน ก็ เ ลยหั น ไปทางวั ต ถุ กั น หมด, จนทางวั ต ถุ มั น เกิ น มันก็เปนที่ตั้งแหงกิเลสมันก็เกิดปญหาทางจิตขึ้นมาอีก. เอามีปญหาอยางไรอีก. ถาม : ผมหมดป ญ หาแล วครั บ เพื่ อ น ๆ มี ป ญ หาอะไรก็ เชิ ญ เข ามาถามหลวงพ อ ได เลยครั บ มีเพื่อน ฝากถามมาวา มังสวิรัตนั้นอยูในธรรมะประเภทไหน ?
ตอบ :เรื่องมังสวิรัติไมไดเปนปญหาทางธรรม หรือไมใชเรื่องที่จะเปนปญหาใน พุท ธศาสนา ควรจะถือ วา เปน เรื ่อ งทั ่ว ไป, เปน เรื ่อ งความจริง ทั ่ว ๆ ไป พระพุ ท ธเจ า ท า นไม ท รงบั ญ ญั ติ ใ ห ถื อ มั ง สวิ รั ต ก็ ห มายความว า ไม ได บั ญ ญั ติ เรื่ อ งนี้ . ถ า ใครเห็ น ว า มี ป ระโยชน ก็ ถื อ ได ท า นก็ ไ ม ห า ม ถ า มั น พิ สู จ น ค วามมี ประโยชนแลวก็ถือได มังสวิรัติ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แต สํ า หรั บ ภิ ก ษุ นั้ น เป น บุ ค คลประเภทหนึ่ ง มี ชี วิ ต อยู ใ นโลก เนื่ อ ง ด ว ยอาหารหรื อ วั ต ถุ ป จ จั ย ที่ ผู อื่ น ให แล ว ก็ ไ ม มี สิ ท ธิ ที่ จ ะเรี ย กร อ งว า เอาอย า งนั้ น เอาอย า งนี้ ไม มี สิ ท ธิ . ฉะนั้ น จึ ง ได ป ล อ ยไปตามที่ เขาจะให แล ว เมื่ อ เขาให ม าแล ว
ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา
๔๙๗
ก็ อ ย า ไปทํ า ความสํ า คั ญ มั่ น หมายว า เนื้ อ หรื อ ว า ผั ก ไม ถู ก ทั้ ง นั้ น . ให ม องดู ใ น ลักษณะที่เปนสิ่งที่เปนอาหารที่มีประโยชน ที่ควรจะบริโภคก็แลวกัน. การไปทํ าความหมายว าเนื้ อหรื อผั กนั้ น มั นเป นเรื่ องเพื่ อกิ เลส เพื่ ออร อย หรือ เพื ่อ ไมอ รอ ย เพื ่อ ดีห รือ เพื ่อ ไมด ี อะไรไปทํ า นองนั ้น เสีย . อยา ไปสรา งความ รูสึ ก อย า งนั้ น ขึ้ น มา หมายมั่ น เป น การกิ น เนื้ อ ก็ ไม ถู ก หมายมั่ น เป น การกิ น ผั ก ก็ ไม ถู ก . ควรจะหมายมั่ น เพี ย งการกิ น อาหารที่ บ ริ สุ ท ธิ์ . แต เดี๋ ย วนี้ ถ า ใครสามารถจะ จั ด อาหารให ตั วเองได และรูสึ ก ว า มั น มี ป ระโยชน ก็ จั ด ได เขาอยากจะเว น อาหาร สวนที่เปนโทษเสีย เชนถือวาเนื้อเปนโทษ เขาก็เวนเสียสิ เขาก็กินแตผัก. ฉะนั้ น ก็ ไ ปหาความจริ ง เอาเอง ไปพิ สู จ น ท ดลองเอาเอง ว า กิ น เนื้ อ มี ประโยชน ท างจิ ต ใจทางร า งกาย ทางอะไรก็ กิ น ถ า ไม มี ป ระโยชน ใ ห โ ทษก็ ไ ม กิ น กิ น ผั ก มี ป ระโยชน ก็ กิ น ผั ก แต อ ย า ใช คํ า ว า เนื้ อ ว า ผั ก ด ว ยความยึ ด ถื อ หมายมั่ น เลย ใหมองไปในแงที่วา เปนอาหารที่เหมาะสมสําหรับเราก็แลวกัน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถาม : คื อ กระผมนะครั บ อยากจะถามเรื่ อ งเกี่ ย วกั บ ชาติ ห น า หรื อ ว ากรรมเก า คื อ หลั งจาก ตาย ไปแล วนะครั บ ที่ ถ ามี ผู ถามพระพุ ทธเจ าท านไม ตอบ อยากทราบว ามั นมี จริ งหรื อ เปลา ? ถา มีจริงอยากใหอธิบายครับ ใหเขาใจ ขอบคุณมากครับ.
ตอบ : เรื่อ งนี้ มี อ ะไร ๆ ที่ ยั ง ไขวกั น อยู ม าก เช น ว าพระพุ ท ธเจ า บางคนเข าใจเอา เองวา พระพุทธเจาปฏิเสธเรื่องนี้ ที่จริงทานไมไดปฏิเสธ เรื่องชาติหนา เรื่อ งนรก สวรรค อะไรอย างที่ เขาพู ด กั น อยู ก อ น ๆ นั้ น ท านไม ได ป ฏิ เสธ, ก็ ทิ้ งไว . ถา ใครมาชวนคุย เรื ่อ งนี ้ ทา นบอกวา รอไวก อ นยัง ไมจํ า เปน มาพูด กัน วา เดี ๋ย ว
๔๙๘
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
นี ้ม ีค วามทุก ขห รือ ไม เดี ๋ย วนี ้แ กม ีค วามทุก ขห รือ ไม ? แลว ก็พ ูด เรื่อ งนี ้ก ัน กอ นซิ. ทีนี ้ถ า ดับ ทุก ขที ่นี ่ไ ด ชาติห นา ก็ไ มต อ งก ลัว ฉ ะนั ้น เราไมพ ูด ถึง ชาติห นา เพราะว าเราไปทํ าอะไรกั บมั นไม ได . ยิ่ งชาติ ที่ แล วมาด วยแล ว เรายิ่ งทํ าอะไรกั บ มั น ไมไ ด เราจะไปพูด ใหเ สีย เวลาทํ า ไม. เราก็พ ูด ที ่นี ่แ ละเดี ๋ย วนี ้ ที ่เ ราจะทํ า ได ที่ เราจะควบคุ ม ได จะจั ดจะทํ าได แล วเราก็ ทํ าให ถู ก . ที นี้ เรื่อ งชาติ ห น าถ ามั น มี มั น ก็ถูกไปหมดแหละ เพราะวามันไดทําไวถูก เปนเหตุเปนปจจัยของความถูก. ฉะนั้ น อย า เข า ใจว า พระพุ ท ธเจ า ท า นปฏิ เสธสิ่ ง เหล า นี้ ท า นไม ได พู ด ปฏิเ สธหรือ ยอมรับ , แตท า นวา ยัง ไมใ ชเ รื ่อ งดว นที ่จ ะพูด กัน , มาพูด เรื ่อ งดว นที่ จะพู ดกัน แล วทํ าให เสี ยให ถู ก. ถาที่ นี่ ทํ าถู กแล วชาติ หน าก็ ถู ก เรื่องนรกก็เหมื อนกั น อย า ตกนรกกั น ในมหาวิ ท ยาลั ย ก็ แ ล ว กั น . แล ว มั น ไม ต กนรกโลกหน า โลกไหนอี ก แหละ. ที ่นี ่อ ยา ตกนรก อยา ทํ า ใหม ัน มีค วามหมายแหง นรก ถา ตอ งการสวรรค ก็ ทํ าให มั น มี ความหมายแห งสวรรค ที่ นี่ เดี๋ ยวนี้ ต ลอดเวลาไป, ตายแล วไม ต อ งกลั ว จะต อ งได ส วรรค อย า ทํ า ผิ ด ที่ มั น เป น ความทุ ก ข ค วามร อ นใจที่ นี่ ทํ า แต ที่ ถู ก ที่ สบายใจ ที่ ย กมื อ ไหว ตั ว เองได อยู ต ลอดเวลา ตายแล ว ไม ต อ งกลั ว . ถ า สวรรค มี เป น ไปสวรรค แ น ถ า ไม มี ก็ จ ะทํ า อย า งไรได ; ท า นไม ได ป ฏิ เสธว า ไม มี ห รื อ รั บ ว า มี แต มั น ขึ้ น อยู กั บ เหตุ ป จ จั ย ที่ เราจะทํ า กั น เดี๋ ย วนี้ , แล ว ป ญ หาที่ สํ า คั ญ ที่ สุ ด นั้ น ก็ คื อ ความทุ ก ข , ความทุ ก ข เดี๋ ย วนี้ มี ค วามทุ ก ข ห รือ ไม ? ไฟกํ า ลั ง ไหม หั ว อยู ห รือ ไม ? นี่มาจัดเรื่องนี้กันกอน เมื่อจัดเรื่องนี้ไดเรื่องอื่นก็หมดปญหา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทานไมไดปฏิเสธเรื่องนรกเรื่องสวรรคเรื่องอะไร อยางที่เขาพูด ๆ กั น อยู ใ นเวลานั้ น . แต บ างที ท า นก็ ผ สมโรงเลยไปกั บ เขาด ว ยเหมื อ นกั น ว า ถ า ต องการจะมี ค วามสุ ขในชาติ ห น า ก็ ขอให ป ฏิ บั ติ อ ย างนี้ ๆ นี้ ก็ มี ; เพราะถื อ เสี ย ว า
ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา
๔๙๙
คนเหล า นั้ น เขาชอบชาติ ห น า มี ค วามสุ ข . ท า นก็ แ นะได ว า ต อ งทํ า อย า งนี้ สิ เพื่ อ มี ความสุ ข ในชาติ ห น า แต ท า นไม ได ยื น ยั น มั่ น หมาย อย า งที่ ค นธรรมดาเขายื น ยั น กั น ว า มี แ น ว า ไม มี แ น , ว า ตายแล ว เกิ ด ตายแล ว ไม เกิ ด ท า นไม ยื น ยั น , แล ว ไม ชวนพู ด เรื่ อ งอย า งนั้ น . ชวนพู ด แต ว า เดี๋ ย วนี้ มี ค วามทุ ก ข ห รื อ ไม ไหนเอามาดู จ ะ ไดชวยกันแกไข. ฉะนั้ นเราอย าไปเสี ยเวลากั บเรื่องที่ เรายั งทํ าอะไรไม ได เรามาใช เวลากั บ เรื่ อ งที่ เราจะทํ า มั น ได จะจั ด มั น ได จะควบคุ ม มั น ได กั น ก อ น คื อ ร า งกาย จิ ต ใจ ความคิ ด ความเห็ น ความรู ค วามเชื่ อ นี้ เรารี บ ทํ าให มั น ถู ก เสี ย ก อ นเถอะ แล วมั น จะรับประกันตลอดไปเลย. ถาม : คือวาสัตวเปนสิ่งที่มีชีวิตนะครับ ตนไมก็เปนสิ่งที่มีชีวิต กระผมอยากทราบวา ตนไม นี่มีจิต และวิญญาณหรือไมครับ ?
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ตอบ : นี่ ถ ามว า ต น ไม มี จิ ต มี วิ ญ ญาณหรื อ ไม ? ก็ ต อบว า ป ญ หานี้ ไ ม ใ ช ป ญ หา ทางธรรม ไมใ ชป ญ หาทางพุท ธศาสนา, และไมม ีก ารบัญ ญัต ิไ วโ ดยตรง. แต ถ า อาศั ย ศึ ก ษาสั ง เกตประมวลมาดู เราก็ พ อจะพู ด ได เหมื อ นกั น . แต ถ า ถาม อย างนี้ มั นเป นป ญ หาทางวั ตถุ หรื อทางชี ววิ ทยามากกว า. คุ ณ ไปติ ดตามความรู ท าง ชีว วิท ยา โดยเฉพาะสมัย ปจ จุบ ัน นี ้ เขาก็อ ธิบ ายกัน ไดม าก พอที ่จ ะทํ า ใหเ รา เขาใจได. สํ าหรั บ อาตมานั้ น เท าที่ ศึ ก ษาค น คว าทดลอง เท าที่ อ ะไรมาเรื่ อ ย ๆ นี้ อยากจะพู ดว า มั น ก็ มี หากแต วามั นคนระดั บ สิ่ งใดมี ชี วิ ต สิ่ งนั้ นจะต อ งมี จิ ตหรือ มี
๕๐๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
วิ ญ ญ าณ เป น แน น อน. หากแต ว า มั น เป น ระดั บ ที่ น อ ยมาก หรื อ อะไรมากก็ ไ ด เพราะมั น มี ค วามรู สึ ก , เพราะมั น มี ค วามรู สึ ก . ไปศึ ก ษาทางชี ว วิ ท ยา จะมี ผ ล ให รูไดวาตนไมก็มีความรูสึก. ไปศึกษาทางชีววิทยา จะมีผลใหรูไดวาตนไมก็มีความรูสึก. เดี๋ ยวนี้ เขาตั้ งสมาคมค น คว าเรื่ อ งนี้ กั น ขึ้ น มามาก สถาบั น บางแห งทํ าแต เรื่ อ งนี้ เ รื่ อ งเดี ย ว : พิ สู จ น ถึ ง เรื่ อ งต น ไม มี ค วามรู สึ ก หรื อ ไม ? พิ สู จ น กั น ถึ ง ว า มี ความรู ส ึก รัก รู ส ึก กลัว รู ส ึก ตอ สู อะไรนี ่ มีร ายละเอีย ดพอใชท ีเ ดีย ว. แตว า เราไม ได เป น สมาชิ ก หรื อ เราไม ได ติ ด ต อ เพื่ อ จะรั บ ความรู อั น นี้ ม า ต อ งไปติ ด ต อ กั บ พวกนั ้น พิส ูจ นไ ดว า ตน ไมนี ้ม ีก ลัว ตายเหมือ นกัน . เขามีเ ครื ่อ งวัด ความรู ส ึก ของตน ไม คนที ่เ กลีย ดตน ไมเ ขา มาในหอ งนั ้น แลว เครื ่อ งวัด มัน ก็แ สดงทีเ ดีย ว คนที่รักตนไมเขามาในหองนั้น เครื่องวัดนั้นก็แสดงทีเดียว. หรื อ ทดลองให เด็ ก ๆ แบ ง เป น ๒ พวก ให ป ลู ก เมล็ ด พื ช ลงไปในจาน แล ว พวกหนึ่ ง ให ไ ปเยี่ ย ม ให ก ล า วคํ า ไพเราะอ อ นหวาน เหมื อ นกั บ น อ งเหมื อ นกั บ เพื่ อ นอะไรทุ ก วั น แล ว อี ก พวกหนึ่ ง ให ไ ปด า ให ไ ปสาปแช ง อะไรทุ ก วั น ปรากฏว า เมล็ ด พื ช นี้ อ อกหน อ มาไม เ หมื อ นกั น ; ฝ า ยหนึ่ ง มั น เจริ ญ ดี , ฝ า ยหนึ่ ง มั น เหมื อ น มันเกือบตาย หรือมันตาย.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ดู ต น ไม สิ เราดู ด ว ยความรู ธ รรมดาชาวบ า นธรรมดาเถอะ ต น ไม นี้ มั น ตอ สู เ พื ่อ รอด อยู ร อดทั ้ง นั ้น ; พอเราไปทํ า ใหม ัน ตกใจแลว มัน ก็จ ะตอ สู แลว มัน ก็ จ ะเริ่ ม ออกดอกออกผลเพื่ อ การตาย เพื่ อ จะทิ้ ง พื ช พั น ธุ ไ ว . นี้ ช าวสวนเขารู ดี ทุ ก คนแหละ ถ าต นไม นี้ มั นไม ออกลู ก เขาก็ พ ยายามไปทํ าเหมื อนกั บจะแกล งให มั นตาย เอามี ด ไปสั บ บ า ง เอาไฟไปลนบ า ง อะไร มั น ก็ อ อกผลมา แล ว บางที ก็ ต ายไปเลย.
ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา
๕๐๑
มัน รู จ ัก ตอ สู มัน รู จ ัก จะสืบ พัน ธุ ใ หเ ห ลือ ไว ก็ด ูส ิ มัน รู จ ัก ห ากิน รู จ ัก โนม เงื ้อ มไปหาแสงแดด รู จ ัก แขง ขัน รู จ ัก อะไรกัน , แลว ยิ ่ง ตน ไมบ างชนิด พวกที ่ม ัน มี ค วามรู สึ ก ไว มั น ก็ รู สึ ก ได เช น มั น รู สึ ก หุ บ รู สึ ก เบิ ก บาน รู สึ ก อะไรอย า งหญ า ไมยราพ หรือ วา ตน ไมช นิด ที ่ม ัน กิน แมลงอยา งนี ้ พอแมลงตกลงไปในหลุม ในดอกของมั น มั น ก็ หุ บ แล วมั น ก็ ล ะลายน้ํ า ย อ ยนี้ . นี้ แ สดงว า มั น มี ค วามรู สึ ก ต อ ง ใชว า อยา งนั ้น มัน มีค วามรู ส ึก มีค วามหมายกับ คิด นึก และรู ส ึก มัน มีช ีว ิต แล ว มั น รู สึ ก คิ ด นึ ก มั น รู สึ ก สั ม ผั ส ว า มั น มี อ ะไรมาถู ก หรื อ ไม . นี้ ก็ เรี ย กว า มั น รู สึ ก มีวิญญาณที่เปนสัมผัส. ถาม : ปญหาตอไป การที่มีคนไปกราบไหวพระพุทธรูปนั้น เปนการประพฤติผิดหลัก ธรรมหรือไม ?
ตอบ : ถามเอาเปรี ย บ คื อ ไม ไ ด บ อกว า ไปกราบไหว พ ระพุ ท ธรู ป ด ว ยความรู สึ ก อยางไร นี่ไมไดบอกนี่. การที่ใครจะไปกราบไหวพระพุทธรูปนั้น มีความหมายหลายอยาง แลวแตความรูสึก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ าเขาไปกราบไหว สั ญ ญลั ก ษณ ของพระพุ ท ธเจ า ไปขอบคุ ณ พระพุ ท ธ เจา , ไปหาความรู ส ึก อะไรที ่เ กี ่ย วกับ ธรรมะ นี ้ม ัน ก็ไ มผ ิด . ถา ถือ พระพุท ธเจา เป น รู ป เคารพ แล ว ก็ ไปไหว พ ระพุ ท ธรู ป อย า งรู ป เคารพ อย า งนี้ ไม เป น พุ ท ธศาสนา. แต ถ า ไปกระทํ า อย า งวั ต ถุ สั ญ ญลั ก ษณ ข องพระพุ ท ธเจ า เพื่ อ ให เรามี จิ ต ใจใกล ชิ ด หรื อ ดี หรื อ ยิ่ ง หรื อ สู ง ขึ้ น ไป มั น ก็ เป น พุ ท ธศาสนา. ไหว รู ป เคารพนั่ น เขาเลิ ก กั น ไปนานแล ว , เลิ ก กั น ไปเสี ย หลายพั น ป แ ล ว . เขาประณามว า มั น โง เ ขลา. ฉะนั้ น คุ ณ อย า จั ด การไหว พ ระพุ ท ธรู ป นี้ ว า เป น การไหว รู ป เคารพ มั น จะเสี ย หายแก พ ระ พุทธศาสนา หรือพุทธบริษัทนั่นเอง.
๕๐๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
เราไปกราบไหวพ ระพุท ธรูป ใหถ ือ วา เปน การแสดงความเคารพ พระพุ ท ธเจ า ทางสั ญ ญลั ก ษณ ข องพระองค ถึ ง เมื่ อ พระองค ยั งมี ชี วิ ต อยู ร า งกาย ของพระพุ ท ธเจ า ก็ เป น เพี ย งสั ญ ญลั ก ษณ เท า นั้ น แหละ; เพราะว า พระพุ ท ธเจ า ตั ว จริง อยู ข า งใน. เห็น ธรรมะจึง จะเห็น พระพุท ธเจา เห็น พระพุท ธเจา คือ เห็น ธรรมะ. ฉะนั้ น เราจะไหว ที่ นั่ น ที่ นี้ สํ า หรั บ คนที่ ทํ า อย า งนั้ น ไม ไ ด ก็ ไ หว ผ า นทาง สั ญ ญลั กษณ . เมื่ อพระพุ ทธเจ าท านยั งมี ชี วิ ต อยู ร างกายของท านเป น สั ญ ญลั กษณ ของพระพุ ท ธเจ า เราก็ ไ หว . ต อ มาท า นปริ นิ พ พานไป พระธาตุ นี้ ก็ เ ป น สั ญ ญ ลั ก ษณ, แลว ตอ มาเขาเอาพระพุท ธรูป หรือ พระเจดีย พระอะไรเปน สัญ ลัก ษณ ก็ไหวไดเหมือนกัน ; แตอยามองไปในแงของรูปเคารพ. ถาม : ป ญ หาต อ ไปที่ เพื่ อ น ๆ ถามมาครั บ การที่ พ ระพุ ท ธเจ าตรั ส ว า ความสุ ข ในโลกนี้ ไม มี มีแต ทุกข นอยกั บ ทุกข ม าก หมายความว าอย างไร ช วยอธิ บ ายให เข าใจแจ ม แจ งด วย ครับ ?
ตอบ : คื อ เขาต อ งการให ม องให ลึ ก จนเห็ น ว า สิ่ ง ที่ เรี ย กว า ความสุ ข นั้ น มั น เป น เรื่องความสําคัญผิด, เรามีความทุกขเปนเรื่องจริง, แลวก็ทุกขนั้นก็ ลดลง ๆ จนไมม ีท ุก ขเ หลือ นั ้น มัน ก็เ ปน เรื ่อ งจริง . ถา จะใหเ ปน เรื ่อ งสุข มัน ก็ ต อ งเรี ย กว า สวมลงไปที่ ค วามมี ทุ ก ข น อ ยหรื อ ไม มี ทุ ก ข เลย, ความที่ ไ ม มี ทุ ก ข เลย เราสมมติบัญญัติเรียกวาเปนความสุข.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ คํ า ว า สุ ข หรื อ ทุ ก ข นี้ มั น มี อี ก คู ห นึ่ ง มี อี ก คํ า หนึ่ ง เป น เพี ยง เวทนา สุ ข เวทนา ได อ ย า งใจเอร็ ด อร อ ย, นี้ เราเรี ย กกั น ว า ความสุ ข , เป น เวทนา เท า นั้ น . เวทนานั้ น เป น ทุ ก ข ผู มี ป ญ ญาเขาชี้ ใ ห เห็ น ว า สุ ข เวทนา เวทนาที่ กํ า ลั ง
ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา
๕๐๓
เปน สุข นั ้น มัน ก็เ ปน ทุก ข คือ ดูแ ลว มัน นา เกลีย ดนา ชัง มัน ไมเ ปน ความสบายใจ ที่ จ ะไปดู สิ่ ง ที่ ห ลอกลวงเปลี่ ย นแปลง. สุ ข เวทนานั้ น หลอกลวงและเปลี่ ย นแปลง แล ว ก็ ค รอบงํ า จิ ต ของใครแล ว คนนั้ น มั น จะยึ ด หนั ก อยู ด ว ยอุ ป าทาน. ฉะนั้ น สุ ข เวทนาก็เ ปน สัก วา เวทนาที ่ห ลอกลวง, ไมค วรจะเรีย กวา ความสุข ที ่แ ทจ ริง . ถ าจะมี ค วามสุ ขที่ แท จริ งกั น แล ว ก็ ขอให ไปเอาที่ ค วามหมดทุ ก ข สิ้ น ทุ กข ดั บ ทุ ก ข หมดความรู สึ ก ว า ตั ว ตน หมดความรู สึ ก ว า ตั ว ตน, ทุ ก ข เกิ ด ไม ไ ด . เอานั้ น เป น ความสุขได. ที นี้ ถ าว าเป นภาษาต่ํ าลงมา เป นภาษาชาวบ านชาวโลก ก็ เอาที่ ว า ไม มี ใครเจ็ บ ปวดเดื อ ดร อ นรํ า คาญนั้ น แหละ เป น ความสงบสุ ข อย า งภาษาโลก ๆ. ทุ ก คนอยู ด ว ยกั น ด ว ยความสงบ จั ด เป น สุ ข . แต อ ย า ไปพู ด ถึ ง ความต อ งเกิ ด ต อ งแก ต อ งเจ็ บ ต อ งตาย นี้ อ ย า ไปพู ด ขึ้ น . เอาความสุ ข เพี ย งภาษาชาวบ า น มี กิ น มี ใ ช สบายกั น ไปได ก็ เรีย กว า ความสุ ข อย า งชาวบ า น แต ไม ใช ค วามสุ ข ในความหมาย ที่แทจริง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้ นถ าว าพู ดกั นในความหมายที่ แท จริงแล ว มั นก็ จะพู ดกั นอย างที่ ว า แหละ มี ทุ ก ข กั บ ไม มี ทุ ก ข . มี ค วามทุ ก ข มั น ก็ เ ป น ทุ ก ข , แล ว น อ ยลง ๆ จนไม มี เหลื อ ก็ เป น ความสิ้ น สุ ด แห ง ความทุ ก ข . ให ส มมติ ห รื อ บั ญ ญั ติ อั น นี้ ว า เป น ความ สุขดีกวา พระนิพพานคือสิ้นสุดแหงความทุกข.
ถาม : ปญ หามีว า ตามหลั ก ศาสนาพุ ทธว า การฆ าสั ต ว เป นการบาปใช ไหมครั บ ? แล ว ทํ าไมมี พ ระ บางองค หรื อ คนบางกลุ ม ว าการฆ าคอมมิ วนิ ส ต ไม บ าป กระผมอยาก ทราบวา มันเปนความจริงมากนอยแคไหนครับ ?
๕๐๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ตอบ : โอ ตอบแทนคนเหลานี้เราไมตอบ ไปถามเขาเถอะ, ไมตอบแทนใหเขา, แล ว คํ า พู ด มั น กํ า กวม เจ า ของคํ า พู ด นี้ เขาก็ เปลี่ ย น, เขาก็ เปลี่ ย นว า ฆ า ลัทธิคอมมิวนิสตตางหาก ไมใชฆาคน มันเลนตลก ตองไปถามเจาของคําพูด. แต เรามี วิ ธี นะ ฆ าคอมมิ วนิ สต แล วไม บาป คื อว าเราชวนกั นปฏิ บั ติ ธรรม ศี ล ธรรม ให มี เต็ ม ไปในโลก แล ว คอมมิ ว นิ ส ต ต ายหมดเอง, มั น เลิ ก ความเป น คอมมิว นิส ตก ัน เอง. นี ่ไ มบ าปดว ย, แลว คอมมิว นิต สก ็ไ มม ีด ว ย, พวกนายทุน นั่ น แหละกลายเป น ใจบุ ญ เอื้ อ เฟ อ ให เต็ ม ที่ เถอะ คอมมิ ว นิ ส ต ก็ ต ายหมดเอง คื อ ไมมีใครเปนคอมมิวนิสต. ถาม : ขอโทษนะครับ คือมีเพื่อนถามวา พระพุทธเจารูปรางอยางไร ? เปนเจาชายสิทธิธัตถะ หรือเปลา ?
ตอบ : พระพุทธเจามีรูปรางอยางไร เปนเจาชายสิทธิธัตถะหรือเปลา ก็แปลกดี พ ระพุท ธเจา ไมม ีร ูป รา ง คุณ ฟง ถูก ไหม ? พ ระพุท ธเจา จะมีร ูป รา ง อยา งไรไมไ ด ; เพราะวา เปน นามธรรม ไมม ีม ิต ิ คือ ไมม ี dimension. ฉะนั ้น พระพุ ทธเจ าที่ แท จริ งไม มี รู ปร าง ส วนรางกายของท านนั้ น มั นเป นเพี ยงเปลื อกนอก ของทาน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org พระพุท ธเจา ทา นไดต รัส วา ผูใ ดเห็น ธรรม ผูนั้น เห็น เรา, ผูใ ด เห็น เราผูนั้น เห็น ธรรม ผูใ ดเห็น ปฏิจ จสมุป บาท ผูนั้น เห็น ธรรม, ผูใ ดเห็น ธรรม ผูนั้น เห็น ปฏิจ จสมุป บาท, เรื่อ งปฏิจ จสมุป บาทก็คือ เรื่อ งที่พูด เมื่อ อตะกี้ นี้ แ หละเรื่ อ งปฎิ จ จสมุ ป บาท, ท า นตรั ส ว า ผู ใ ดเห็ น ปฏิ จ จสมุ ป บาท ผู นั้ น
ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา
๕๐๕
เห็น ธรรม ผู ใ ดเห็น ธรรม ผู นั ้น เห็น เรา. ฉะนั ้น พระพุท ธเจา แทจ ริง มีรูป รา ง ไม ไ ด ไม มี dimension ก็ เรี ย กว า ไม มี รู ป ร า งอย า งไร. ถ า ว า จะมี รู ป ร า งก็ มี รู ป ร า ง อย า งธรรม. พระธรรมมี รู ป ร า งอย า งไร ก็ ไ ม มี ใ ครบอกได คื อ ไม มี รู ป ร า ง เพราะ ไมใชสิ่งที่มีรูปราง. ทีนี ้พ ระสิต ธัต ถะ เปน ชื ่อ สมมติ สํ า หรับ เปลือ กของทา น เมื ่อ ยัง ไมทันจะเปนพระพุทธเจา นี้ ข อเรี ย กว ามั น เกี่ ย วกั บ ภาษา ถ า เราพู ด กั น ภาษาคน ภาษาเด็ ก ๆ เรา ก็ ว า พระพุ ท ธเจ า ประสู ติ แต เมื่ อ พระพุ ท ธเจ า ประสู ติ นั้ น ยั ง ไม เป น พระพุ ท ธเจ า , จะเรี ยกว าพระพุ ทธเจ าประสู ติ ได อย างไร แต ถ าเราพู ดอย างภาษาชาวบ าน ภาษาคน ธรรมดา ก็เ รีย กวา พระพุท ธเจา ตั ้ง แตย ัง อยู ใ นทอ ง ตั ้ง แตจ ุต ิม า, ไมถ ูก . ขอ ใหยึด หลัก ที่วา ผูใดเห็นธรรม ผูนั้น เห็น พระพุท ธเจา ผูใดเห็น พระพุท ธเจา ผู นั ้น เห็น ธรรม ฉะนั ้น พระพุท ธเจา ยัง อยู ก ระทั ่ง เดี ๋ย วนี ้, ยัง อยู ก ระทั ่ง เดี ๋ย วนี้ แตคุณก็มองไมเห็นพระพุทธเจา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถาม : ขอกราบเรียนครับ วาผูที่มีจิตวางแลว แตวามีภรรยา และอารมณที่ผูนั้นกระทําตอ ภรรยาถือวาเปนกิเลสหรือเปลา ?
ตอบ : มันจะขัดกันอยูในตัวเอง ถามีจิตวางมีภรรยาไมได คือไมมีตัวตนที่จะมี ภรรยา.
๔๐๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ถาม : ถ า อย า งนั้ น ศาสนาพุ ท ธก็ ไ ม ส ง เสริ ม ให มี ค รอบครั ว สิ ค รั บ ?
ตอบ : จะไมพูดถึงเรื่องวา มีครอบครัวหรือไมมีครอบครัว อยางไหนไมเปนทุกข แล วก็ เอาอย างนั้ น แหละ. มี ค รอบครั วนั้ น มั น ก็ จํ าเป น จะต อ งมี สํ าหรั บ ผู ที่ จะตอ งมี, ถา ไมม ีค รอบครัว แลว มัน เดือ ดรอ นเปน ทุก ข; หรือ ไปทํ า ชั ่ว อยา งอื ่น ก็ม ีค รอบครัว เสีย ดีก วา ทั ้ง ที ่ว า ครอบครัว มัน ก็ม ีเ รื ่อ งยุ ง ยาก มีเ รื ่อ งเปน ทุก ข. ถ า แนะนํ า เขาก็ แ นะนํ า ว า ไม มี ค รอบครั ว ดี ก ว า , แต ถ า มั น ทํ า ไม ไ ด ก็ มี , แล ว ก็ มี ใหม ัน ถูก วิธ ี ที ่ใ หม ีค วามทุก ขน อ ย, คือ ใหม ีอ ยา งเพื ่อ น ที ่จ ะศึก ษาปฏิบ ัต ิธ รรม ดับทุกขกันดีกวา, อยาไปมีเพื่อสนองกิเลสหรือวาสงเสริมกิเลส. ถาม : สมมติ ว า ถ า หากว า ทุ ก คนกระทํ าในจิ ต ว า งได ห มด ในโลกนี้ หรื อ ว า ในประเทศไทย นี้ก็ไม มีผูที่สืบทายาทตอสิครับ ?
ตอบ : นั่นแหละมันก็ควรจะถามได แตขอเท็จจริงไมเปนอยางนั้น. ขอเท็จจริง คือไมมีใครสามารถจะมีจิตวางไดทุกคน ในโลกนี้. มันเปนไปไมได. นี้เราพูดกัน ถึงวาอยาเปนทุกข เพื่ออยาใหเปนทุกข ใหรูจักทําจิตใหวาง, แลวก็ไมไดหมายความวา ทุกคนมันจะทําไดกันทั้งโลก, เพียงแตบวชกันทุกคนนี้ก็ทําไมไดเสียแลว แลวบวชแลวยัง ทําจิตใหวางไมไดอีกละ, เพียงแตจะบวชกันทุกคนมันก็ยังทําไมไดแลวเอาสิมีอะไร ?
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถาม : ผมขอถามวา อานิสสงสของการสรางพระพุทธรูปมีอะไรบาง ?
ตอบ : พวกที ่ห ลอ พระพุท ธรูป ขายจะตอบไดด ี, เราที ่ม ีอ ยู ก ัน เดี ๋ย วนี ้ เราทํ า พระพุ ท ธรู ป ขึ้ น เป น พระพุ ท ธรู ป องค ใ หญ องค น อ ย องค เ ล็ ก พระเครื่ อ ง
ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา
๕๐๗
พระอะไรก็ตาม เรียกวา สรางขึ้ น มาเพื่ อ สะดวกแก การเคารพบู ชา แกการทําใน ใจถึ ง พระพุ ท ธเจ า เพื่ อ พุ ท ธานุ ส สติ . ถ า เขาใช กั น อย า งนี้ ก็ มี ป ระโยชน อ ย า งนี้ เพื่ อ ส ง เสริ ม ความมี พุ ท ธานุ ส สติ ใ ห ง า ยให ส ะดวก ก็ เป น บุ ญ เป น กุ ศ ล จิ ต น อ มไป ตามทางของพระพุ ท ธเจ า . ถ า เป น พระเครื่ อ งรางก็ ช ว ยทํ า ให บ างคนที่ ขี้ ข ลาดหาย ขลาด. นี้ ค งจะไม เ ป น ป ญ หา เพราะเราก็ ไ ม ไ ด คิ ด จะสร า ง เขาสร า งกั น มาก เหลื อ เกิ น . มองในแง ดี ก็ จ ะใช เ ป น พุ ท ธานุ ส สติ โดยเฉพาะสํ า หรั บ ผู ตั้ ง ต น ผู เริ่ ม ตั้ ง ต น ที่ จ ะต อ งใช สิ่ ง เหล า นี้ เป น เครื่ อ งช ว ยประกอบ. ถ า ผู ที่ สู ง ไปด ว ยธรรมะแล ว เขาก็ ใ ช ธ รรมะเป น พระพุ ท ธเจ า เป น พระพุ ท ธรู ป . ถามแต เ พี ย งว า มี ป ระโยชน อย างไรบ างใช ไหม ? ก็ แปลว า ผู ถ ามก็ ย อมรั บ ว ามั น มี ป ระโยชน แล วใช ไหม แล วจึ ง ถามวาอะไรบาง ? ถาม : ถามว า อานิ ส สงส อย า งชาติ ห น า อะไรอย า งนี้ .
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ตอบ : เกี่ ย วกั บ พระพุ ท ธรู ป เกี่ ย วกั บ สร า งพระพุ ท ธรู ป หรื อ ? เอ าถ าจิ ต เป น บุ ญ มั น ก็ มี ป ระโยชน เรื่ อ งชาติ ห น า เมื่ อ ชาติ ห น ามั น มี เรา ก็มีบุญที่ทําไวแลว มันก็มีประโยชน ชาติหนามันก็จะดี. ทํ า ไมชอบไปถามถึง ชาติห นา นัก เลา ถา ชาตินี ้ด ีใ หม ัน ถึง ที ่ส ุด มี พระพุ ท ธรู ป ก็ ใ ช ใ ห เป น ประโยชน ที่ นี่ เดี๋ ย วนี้ ชาติ นี้ ใ ห เต็ ม ที่ ชาติ ห น า ไม ต อ งห ว ง มันดีเอง. ถาม : ขอนมัสการถามอีกขอวา การที่มีผูนั่งแลวเห็นพระพุทธรูปอะไรนี้ใชพระพุทธเจาหรือ เปลา ?
๕๐๘
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ตอบ : เขาเห็ น ว า อย า งไร ถาม : เห็นรูปเปนคลายพระพุทธรูป นั่นใชพระพุทธเจาตัวจริงหรือเปลา ?
ตอบ : อาว เมื่อตะกี้บอกแลว พระพุทธเจาตัวจริงไมมีรูป. เมื่อกี้บอกแลว ถา เขาหลั บ ตาเห็ น เขา ก็ เห็ น อย า งที่ เขาคิ ด ที่ เขาสร า งขึ้ น เอาพระพุ ท ธรู ป มาเพ ง เพ ง ๆ ๆ เดี๋ ยวก็ ติ ดตาก็ เห็ น หลั บ ก็ เห็ น เพราะเขาเคยเห็ น พระพุ ทธรู ป มานม นานแล ว . เขาก็ ห ลั บ ตาให เห็ น พระพุ ท ธรู ป ได โดยง า ย เพี ย งจิ ต น อ มไปนิ ด เดี ย วก็ เห็ น. แต มั นแปลกอยู ที่ ว า ต างคนต างเห็ นเป นไปตามแบบของตั ว อาซิ้ ม ก็ จ ะ เห็ นพระพุ ทธเจ าเป นรู ป แบบอย างจี น, คนอิ นเดี ยก็ จะเห็ นพระพุ ทธเจ าอย างรู ป แบบ อิ น เดี ย , เราก็ เห็ น พระพุ ทธเจ า เป นรู ป แบบอย า งพระพุ ทธรู ป ไทย ๆ. คุ ณ คิ ด ว า อะไรสร างขึ้ นมาอย างนี้ มโนภาพสร างขึ้ นมาตามสั ญ ญา, ความสํ าคั ญ มั่ นหมายว าเป น อย างไร. อาตมายื น ยั น ว า พระพุ ท ธเจ า ไม มี รู ป ถ า เป น พระพุ ท ธเจ าที่ แ ท จ ริ ง ไม มี รูปไมมีภาพ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถาม : ท า นครั บ อยากจะทราบเรื่ อ งเกี่ ย วกั บ พลั งจิ ต คื อ พลั งจิ ต นี่ เกี่ ย วข อ งกั บ ศาสนาพุ ท ธ หรื อ ไม ค รั บ ? ถ า สมมติ ว า มี ค นคนหนึ่ งเกลี ย ดชั งอี ก คนหนึ่ งมาก สาปแช งทุ ก วั น ๆ แบบนี้ แลวจะมีผลถึงคนที่เขาเกลียดชังไหมครับ ?
ตอบ : เรื่องจิต, กําลังจิต อะไรจิต นี้มันก็เปนเรื่องจิต ไมใชเรื่องธรรมะ เรื ่อ งธรรมะก็จ ะดับ กิเ ลสดับ ทุก ข เรื ่อ งธรรมะ. ถา เปน เรื ่อ งจิต มัน ก็ เป น เรื่ อ งวิ ช าอี ก อั น หนึ่ งเกี่ ย วกั บ เรื่ อ งจิ ต . ถ า เขาสามารถค น คว า รู เอามาประพฤติ กระทํ า มั น ก็ ได ผ ล คื อ มี จิ ต ที่ มี กํ าลั ง จิ ต นี้ มี กํ าลั งแล วก็ เป น เรื่ อ งทางจิ ต ไม ใช ท าง ธรรม. เขาถื อ ว า มั นส งไปบั งคั บให เบี ยดเบี ยน ไปอะไรกั น ได . วิ ช านี้ เขาค นเขา พบ เขาสนใจกั น ก อ นพุ ท ธกาล ก อ นพระพุ ท ธเจ า , ความรู เรื่ อ งจิ ต ใช กํ า ลั งจิ ต ให ไปทําใหคนตาย ใหคนอะไรก็สุดแท, มันมีอยูกอนพุทธกาล ไมใชเรื่องธรรมะ.
อบรมคณะนักศึกษา จากวิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช ๒๑ มกราคม ๒๕๒๒ ณ โรงเรียนหินธรรมชาติ สวนโมกขพลาราม ไชยา
เคาโครงของพุทธศาสนา. นักศึกษา ผูสนใจในธรรม ทั้งหลาย, ชั่ วเวลาเล็ กน อยนี้ เราอาจจะพู ดกั นได แต เรื่องที่ มั นเป นเค าโครงใหญ ๆ ของพระพุ ท ธศาสนา, แล ว ก็ เป น ความจํ า เป น ด ว ย ที่ เราจะต อ งจั บ เค า โครงของ พุ ท ธศาสนาให ได รายละเอี ยดนั้ นอาจจะศึ ก ษาได เอง ค น คว าได เอง จากหนั งสื อ ต า ง ๆ เรื่ อ งเค าโครงนั้ น สํ าคั ญ มาก มั น เหมื อ นกั บ การทํ าบ านเรื อ น แม ว า เราจะมี ไม ม ากพอ; แต ถ า เราไม มี ค วามรู ที่ จ ะเอามาชนกั น ให เป น บ า นเป น เรื อ นได ก็ ไ ม สํ า เร็ จ ประโยชน . ฉะนั้ น การที่ ท า นทั้ ง หลายตั้ ง ใจมา ว า จะหาความรู ท างพุ ท ธ ศาสนาในวันนี้ เห็นวาเราควรจะพูดกันถึงเรื่องเคาโครง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org พระพุทธเจาทานไดตรัสวา แตกอนก็ดี เดี๋ยวนี้ก็ดี ฉันบัญญัติเฉพาะ เรื่องทุกขกับความดับทุกขเทานั้น. คําวา บัญญัติ ในที่นี้ หมายถึงเรื่องที่ทรง เอามาพูด มากลาว มาทํา ใหมันเปนเรื่อง หรือเปดเผยใหเปนที่เขาใจแกคนทั่ว
๕๐๙
๕๑๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ไป, ก็ ห มายความว า เอามาสอนนั่ น เอง. ท า นทรงยื น ยั น ว า จะพู ด กั น แต เรื่ อ ง ทุก ขก ับ ความดับ ทุก ข; ฉะนั ้น เราจงถือ เปน หลัก วา ถา เรื ่อ งนี ้น อกไปจากนี้ ยังไมตองพูดก็ได, จะตองจับเรื่องความทุกขกับความดับทุกขใหได.
เรื่องตนของเรื่องความทุกข. นี้ อ ะไรเป น เงื่ อ นต น ของเรื่ อ งความทุ ก ข จะต อ งเข า ใจกั น เสี ย ก อ น, แล ว จึงทําในเรื่องที่ตรงกันขาม มันก็จะดับทุกข. ถาจะถามขึ้นวา เราจะตั้งตนเรียนเรื่องความทุกข รวมทั้งความดับทุกข ด วยนี้ กั น ที่ ไหน ? ท านทั้ งหลายจงรูไว และมี ความเข าใจหรือ เห็ นอย างแจ ม แจ งว า เราจะตองตั้งตนกันที่เรื่อง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ, ใหถือวานี่เปน ก ข ก กา ของพระพุ ท ธศาสนา ที่ เราจะเรี ย นก อ นสิ่ ง ใด ๆ หรื อ ถ า เราจะเรี ย นภาษาอั ง กฤษ เราก็ ตั้ งต น ที่ A B C D, เรี ย นภาษาไทยก็ ตั้ ง ต น ที่ ก ข ก กา. ถ า เรี ย นพุ ท ธศาสนา ทํ า นองนั้ น ก็ ตั้ ง ต น ที่ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ แล ว ก็ ไ ม ใ ช เรี ย นจากหนั ง สื อ หรื อ เรี ย นที ่ ห นั ง สื อ ต อ งเรี ย นที ่ ต ั ว จริ ง ของมั น . ตั ว จริ ง ของมั น อยู ที ่ ค นทุ ก คน. คนทุ ก คนมี ต า หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ แล ว ก็ พ อที่ จ ะรู ไ ด เ องว า มั น ทํ า หน า ที่ อ ะไร; ถาใครไมรูไดในขอนี้ ก็ดูจะวิปริตมาก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ตามปรกติ ทุ ก คนจะรู ไ ด ว า ตา สํ า หรั บ เห็ น รู ป คื อ ทํ า หน า ที่ ก ารเห็ น ภาพ เห็ น รู ป , หู ทํ า หน า ที่ ไ ด ยิ น เสี ย ง, จมู ก ทํ า หน า ที่ รู สึ ก กลิ่ น , ลิ้ น สํ า หรั บ รู สึ ก
เคาโครงของพุทธศาสนา
๕๑๑
รส, กายคื อ ผิ วกายทั่ วไป สํ าหรั บ จะรู สึ ก ต อ สิ่ งที่ จ ะมากระทบกาย คื อ มากระทบผิ ว หนั ง , ใจ มี ห น า ที่ จ ะรู สึ ก เรื่ อ งที่ จ ะเกิ ด รู สึ ก ขึ้ น มาในทางใจ เป น ความคิ ด นึ ก ความ รูสึก. เราก็ จ ะมองให เห็ น ละเอี ย ดลงไปว า เมื่ อ ตาเห็ น รู ป มั น ก็ เกิ ด ผลขึ้ น มา ว า เห็ น รู ป ที่ ถู ก ใจหรื อ ไม ถู ก ใจ, หู ไ ด ยิ น เสี ย ง ก็ ไ ด ยิ น เสี ย งที่ ถู ก ใจ หรื อ ไม ถู ก ใจ, จมูก ที ่ไ ดก ลิ ่น ก็เ หมือ นกัน . นี ่รู เ อาเองไดทั ้ง ๖ ใหรู เ รื ่อ งทั ้ง ๖ นี ้ว า เปน สิ ่ง ที่ สําคัญที่สุดสําหรับมนุษย. ถ ามนุ ษ ย ไม มี ต า หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ มั น จะเป น อย างไรบ าง ? ก็ ล อง คิ ด ดู เอง มั น ก็ เท า กั บ ไม มี เรื่ อ งอะไร หรื อ ว า ไม มี อ ะไรทั้ งหมดเลยก็ ได , คื อ ไม มี โลก ทั้ ง โลกเลยก็ ได ; เพราะถ า เราไม มี ต า หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ สํ า หรั บ รู สึ ก สิ่ ง เหล า นี้ แลว มัน ก็เ หมือ นกับ ไมม ี. ลองคํ า นวณดูบ า ง ใหเ ห็น ชัด ลงไปวา . อะไร ๆ มัน มีสําหรับเราทั้ง ๖ ทางนี้ ก็เพราะมันมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่เองทานจึง เรียกตาหูจมูกลิ้นกายใจนี้วา อินทรีย - อินทรียะ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org คําวา อินทรีย นี้มันแปลวา สิ่งที่สําคัญ. เรามีสิ่งที่สําคัญ ๖ อยาง คื อ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ; ถ า ไม มี สิ่ งทั้ ง ๖ นี้ แ ล ว อะไร ๆ มั น ก็ ไม มี ไปหมด, หรื อ ถ า เรื่ อ งมั น จะเกิ ด ก็ เพราะเกี่ ย วกั บ สิ่ ง ๖ อย า งนี้ . เรื่ อ งไม เกิ ด ก็ เพราะควบคุ ม สิ่ งทั้ ง ๖ นี้ ไว ได ; ฉะนั้ น จึ ง จั ด ทั้ ง ๖ นี้ ว า เป น สิ่ ง สํ า คั ญ เลยเรี ย กว า อิ น ทรี ย ๖ ในฐานะเปนเรื่องสําคัญ.
๕๑๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
อี ก ทางหนึ่ ง เราเรี ย กสิ่ ง ทั้ ง ๖ นี้ ว า อายตนะภายใน คื อ สิ่ ง สํ า หรั บ ทํ า หน า ที่ สื บ ต อ หรื อ กระทบ ที่ อ ยู ใ นภายใน. ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ นี้ ห มาย ความว า มั น อยู ใ นตั ว เรา, อยู ภ ายในตั ว เรา, แล ว มั น ก็ คู กั น กั บ สิ่ ง ภายนอก ซึ่ ง จะ เรี ยกว าอายตนะภายนอกอี ก ๖ ก็ คื อรู ป เสี ยง กลิ่ น รส โผฏฐั พพะ และธั มมารมณ . รู ป สํ า หรั บ ตาเห็ น , เสี ย งสํ า หรั บ หู ไ ด ยิ น , กลิ่ น สํ า หรั บ จมู ก รู สึ ก , รสสํ า หรั บ ลิ้ น รู สึ ก ที่ สํ าหรับผิ วหนั งจะรูสึ ก นั้ น เขาเรียกแปลกไปหน อย ไม ค อยคุ นหู กั บภาษาไทย เรียก ว า โผฏฐั พ พะ, ช ว ยจํ า ไว ด ว ย เขี ย นให อ า นได ว า โผฏฐั พ พะ แล ว ส ว นที่ ใ จจะรู สึ ก นั้ น เขาเรี ย กว า ธั ม มารมณ มั น แปลกอยู ๒ คํ า , รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส นี้ เ ราเข า ใจกั น ดี แ ล ว เป น ภาษาไทยธรรมดา, โผฏฐั พ พะ กั บ ธั ม มารมณ นี้ เอาคํ า บาลี เดิ ม มาใช. นี ้สิ ่ง ที ่อ ยู ข า งนอก เรีย กวา อายตนะภายนอก จะมากระทบกับ สิ ่ง ที่ อ ยู ภ ายใน ที่ เรี ย กว า อายตนะภายใน คื อ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ที่ เป น สิ่ ง ภายนอก อายตนะภายนอกนั้ น ก็ เ รี ย กอี ก อย า งหนึ่ ง ว า อารมณ , อารมณะ, อารมณ ในภาษาไทยเราเอาคํ าว า อารมณ ไปใช หมายถึ งความรู สึ กในใจเป น อารมณ ดี อารมณเสีย นั้นก็คําหนึ่ง, เปนภาษาไทย ไมเอามาปนกับคําวา อารมณ ๖ นี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ นี้ บ างที เราก็ เ รี ย กว า อารมณ ๖ แปลวา เปน ที ่ห นว งเอา, คํ า วา อารมณ นี ้แ ปลวา เปน ที ่ห นว งเอา; รู ป ารมณ คื อ รู ป เป น ที่ ห น ว งเอาแห ง ตา, สั ท ธารมณ เสี ย งเป น ที่ ห น ว งเอาแห ง หู , กลิ ่น คัน ธารมณ นี ้เ ปน ที ่ห นว งเอาแหง จมูก , แลว ก็ รส นี ่เ รีย กวา รสารมณ เป น ที่ ห น ว งเอาแห ง ลิ้ น , สั ม ผั ส ผิ ว หนั ง โผฏฐั พ พารมณ นี้ เป น ที่ ห น ว งเอาแห ง กาย แหงผิวกาย, แลวธัมมารมณ ความรูสึกภายในนั้นเปนที่หนวงเอาแหงใจ.
เคาโครงของพุทธศาสนา
๕๑๓
นี่ ก ข ก กา มี อยู ๖ คู : ข างใน กั บข างนอก เป นคู กั น, ข างใน ๖ คือ ตา หู จมูกลิ้น กาย ใจ เรียกวาอินทรีย ก็ได, เรียกวาอายตนะภายใน ๖ ก็ไ ด. ขา งน อกมีอ ยู ๖ คือ รูป เสีย งกลิ ่น รส โผฏฐัพ พะ ธัม มารมณ นี้ เรียกวา อารมณ ๖ ก็ได, เรียกวา อายตนะภายนอก ๖ ก็ได. เราไดสิ่งเหลานี้ มา ๑๒ สิ่ง ขางใน ๖ ขางนอก ๖ ก็ตองรูจักมันจริง ๆ อยาเพียงแตจําชื่อได, หรือจดไวในกระดาษ, ก็ตองรูจักมันจริง ๆ ซึ่งเราก็ใชมันอยูตลอดเวลา. เอาละ, ที นี้ เรื่ องก็ จะเดิ นต อไป ซึ่ งเรี ยกว า ก ข ก กา แล วก็ จะต องมี การ แจกลูกไปเรื่อย ๆ จนกวามันจะผันเปนเสียงตาง ๆ.
อายตนะใน - นอกกระทบกันเกิดวิญญาณและผัสสะ. ที่ เราจะต อ งรูต อ ไปก็ คื อ ว า อายตนะภายใน กั บ อายตนะภายนอก มาถึง กัน เขา แลว ก็จ ะเกิด สิ ่ง ที ่เรีย กวา วิญ ญาณ. คู แ รก คือ ตา มาถึง กัน เขา กับรูป ก็เกิดจักษุวิญญาณ คือวิญญาณทางตา, หูถึงกันเขากับเสียง ก็เกิดวิญญาณ ทางหู เรียกวา โสตวิญญาณ, จมูกถึงกันเขากับกลิ่น ก็เกิดวิญญาณทางจมูกเรียก ว า ฆานวิ ญ ญาณ, ลิ้ น ถึ ง กั น เข า กั บ รส ก็ เกิ ด วิ ญ ญาณทางลิ้ น เรี ย กว า ชิ ว หา วิญญาณ, กายสัมผัสกันเขากับสิ่งที่มาถูกกาย ก็เกิดวิญญาณทางผิวหนัง เรียกวา กายวิญญาณ, ความรูสึกในใจมาถูกกันเขากับ ใจ หรือใจมาถูกกันเขากับอารมณ ของใจ เกิดอารมณทางใจ เรียกวา มโนวิญญาณ
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๕๑๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
เราก็ ไ ด วิ ญ ญาณ ๖ ขึ้ น มา. ดู ใ ห ดี จดไว ถู ก ไหม ? มั น จะเกิ ด จั ก ษุ วิ ญ ญ า ณ โส ต วิ ญ ญ าณ ฆ า น วิ ญ ญ า ณ ก า ย วิ ญ ญ า ณ ม โน วิ ญ ญ า ณ ขึ้ นมาอี ก ๖ ชนิ ด ตามจํ านวนของอายตนะ. อย างที่ สรุปความสั้ น ๆ ได ว า อายตนะ ภายใน ถึงกัน เขากับ อายตนะภายนอก มัน ก็เกิด วิญ ญาณ, อายตนะภายใน มี ๖ อายตนะภายนอกมี ๖ ถึงกันเขาก็เกิดวิญญาณ ๖. เอ า, ที นี้ เรื่องต อไปมั นก็ มี ว า เกิ ดวิ ญ ญาณแล ว ทํ าหน าที่ ทางวิ ญ ญาณ. ของสิ่ งทั้ ง ๓ นี้ , ของสิ่ งทั้ ง ๓ นี้ ที่ จ ดลงไปแล ว วา อายตนะภายใน อายตนะ ภายนอก แลว ก็วิญ ญาณ ๓ อยา งนี ้ทํ า งานรว มกัน , ทํา งานดว ยกัน ก็เรีย ก ว า ผั ส สะ, เราก็ เลยมี ผั ส สะ ๖ อี ก : ผั ส สะทางตา เรี ย กว า จั ก ษุ สั ม ผั ส , ผั ส สะ ทางหู ก็เ รีย กวา โสตสัม ผัส , ผัส สะทางจมูก เรีย กวา ฆานสัม ผัส , ผัส สะทางลิ ้น ก็ เรียกว าชิ วหาสั มผั ส, สั มผั สผิ วหนั ง ก็ เรียกว ากายสั มผั สะ, สั มผั สทางใจ ก็ เรียกว า มโนสัมผัส, ก็ไดมาอีก ๖ อยางที่เรียกวา สัมผัส.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ดู ให ดี ว า จดถู ก ไหม ? ตั้ ง แต แ รกมาก็ มี อายตนะภายใน ๖ อายตนะ ภายนอก ๖ ถึงกันเขาเรียกวา วิญญาณ ๖. ๓ อยางนี้ทํางานรวมกันเมื่อไร ก็เรียกวา ผัสสะ แลวก็มีผัสสะ ๖.
นี้ จ ะเรี ย นจากของจริ ง ก็ คื อ เมื่ อ เราตาเห็ น รู ป เมื่ อ หู ได ยิ น เสี ย ง ก็ เรี ย น จากสิ่ งนั้ น แหละ ไม ใช เรี ย นจากหนั งสื อ ดอก. ให รู จั ก ตั วสิ่ งที่ เรีย กว า ผั ส สะ, สิ่ งที่ เรีย กวา ผัส สะ นั ้น แหละมีค วามสํ า คัญ , เปน จุด ที ่สํ า คัญ ที ่จ ะตอ งควบคุม ให ได. ถา ควบคุม ผัส สะไมไ ด แลว ก็จ ะตอ งเกิด เรื ่อ งเปน ความทุก ข, ถา รู เ ทา ทัน ควบคุ ม ผั ส สะได ก็ ไ ม เ กิ ด เรื่ อ งเป น ทุ ก ข . ผั ส สะจะให เ กิ ด เรื่ อ งเป น ความ
เคาโครงของพุทธศาสนา
๕๑๕
ทุกข ก็ตอเมื่อขณะแหงผัสสะนั้นเรามันโง เราปราศจากสติ เราปราศจากวิชชา ปราศจากปญญา.
จากผัสสะโงจะเกิดสิ่งอื่นตอไป กระทั่งเปนทุกข. เมื่ อตาเห็ นรูป เกิ ดจั กษุ วิญ ญาณ ๓ ประการนี้ เรียกวาผั สสะทางตา; เวลานี้เป น เวลาที่ สําคั ญ ที่ สุด ถ าเราโงไป ผัสสะทางตามั นก็จะทํ าให เกิด เวทนา. แตเปน เวทนาที ่จ ะทํ า ใหเ กิด ความรู ส ึก เปน ทุก ข; ถา มัน สวยก็เปน เวทนาที ่เ ปน สุ ข , ถ า มั น ไม ส วยก็ เป น เวทนาที่ เป น ทุ ก ข , และเวทนาคื อ ความรู สึ ก ที่ เกิ ด มาจาก สั ม ผั ส ทางตา เวทนาก็ เลยมี ๖ ด วยเหมื อ นกั น . เวทนาที่ เกิ ด มาจากสั ม ผั ส ทางตา เวทนาที่ เกิ ดมาจากสั มผั สทางหู เวทนาที่ เกิ ดมาจากสั มผั สทางจมู ก ทางลิ้ น ทางกาย ทางใจ ตอไป เมื่ อ รู ป ที่ เห็ น นั้ น มั น สวย มั น ก็ เกิ ด ความรั ก ถ า รู ป ที่ เห็ น นั้ น มั น ไม ส วย มัน ก็เ กิด ความเกลีย ด. นี ่ก ิเ ลสมัน จะตั ้ง ตน ที ่ค วามรัก หรือ ความเกลีย ด ; อธิ บ ายต อ ไปก็ คื อ ว า เมื่ อ เกิ ด เวทนา รู สึ ก พอใจหรื อ ไม พ อใจแล ว มั น ก็ จ ะเกิ ด ตั ณ หา, ตั ณ หาไปตามลํ าดั บ จากเวทนา. ถ า เวทนาเป น ที่ ถู ก ใจ มั น ก็ เกิ ด ตั ณ หา ในทางที่ จะเอา จะได จะมี จะเป น , ถ าเวทนานั้ น ไม ถู ก ใจ มั น ก็ เกิ ด ตั ณ หาในทาง ที่จะไม เอา ไม เป น ไม ได หรือจะตีเสี ยใหตายอยางนี้ . ตั ณ หาแปลวา ความอยาก แตวามันเปนความอยากโดยความโง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๕๑๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
นี่ตัณ หาก็พลอยมี ๖ ไปตามจํานวน ๖ ของอายตนะอีกเหมือนกัน คื อตั ณ หาในรู ป, ตั ณ หาในเสี ยง, ตั ณ หาในกลิ่ น, ตั ณ หาในรส, ตั ณ หาในโผฏฐั พพะ, ตั ณ หาในธั ม มารมณ . ถ า จดอยู แ ต ใ นหนั ง สื อ ก็ ไ ม มี ป ระโยชน อ ะไร, แต ถ า คอย เอามาทํ า ไวใ นใจ เราเกิด ตัณ หาอะไร เมื ่อ ไร ใหรู เ ทา ทัน ทว งที นั ่น แหละ จะมีประโยชน. นี้ จ ะพู ด ต อ ไปให จ บเสี ย ก อ น พอเกิ ด ตั ณ หา คื อ ความอยาก อยากเอา อยากได อยากเป น ในเมื่ อ มั น พอใจ อยากไม ได ไม เอา ไม เป น อยากจะทํ า ลาย เสี ย , เมื่ อ มั น ไม พ อใจ นี้ ก็ เกิ ด ตั ณ หาแล ว, เป น ความอยากอย างโง แล ว ก็ จะเกิ ด ยึ ด มั่นถือมั่น เกิดความรูสึกวากู วาฉัน ขึ้นมาทีเดียว ซึ่งเปนผูอยาก. เรื่ อ งนี้ มั น ออกจะแปลก นั ก เรี ย นที่ เ คยมาตามหลั ก วิ ช าสามั ญ ทั่ ว ไป เขาก็ จะถื อว า มั นต องเกิ ดมี ผู อยากก อนซิ จึ งจะเกิ ดมี ความอยากได . แต ในทางธรรมะ ทางจิ ต ใจนี้ มั น ไม เป น อย า งนั้ น , มั น เกิ ด การปรุ ง แต ง จนเกิ ด ความอยาก รู สึ ก อยากกอ น; พอความรู ส ึก อยากเกิด แลว มัน จึง คอ ยเกิด ความรู ส ึก วา ฉัน , กู ซึ่งเป น ผู อ ยาก ผู จ ะได ผู จะเอาขึ้ น มา. อย างนั้ น ก็ จ ะเรี ย กว าอุ ป าทาน, อุ ป าทาน เกิด มาจากตัณ หา, ความยึด มั ่น ถือ มั ่น เปน ตัว ตน เปน ของตน, เปน ตัว กู ตัวฉัน ขึ้นมา คือเปนผูอยากนั่นเอง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ าเรี ยนอย าง logic มั นก็ ขั ดกั บ logic ว า ผู อยากมาที หลั งความอยาก ; เหตุ ผ ลธรรมดาว า มี ไ ม ไ ด มั น ต อ งมี ผู อ ยากก อ นแล ว จึ ง จะมี ค วามอยาก. แต นี้ ธรรมะนี้ มั น เป น ธรรมชาติ ที่ แ ท จ ริ ง ก็ จ ะบอกให รู ว า ตั ว ผู อ ยากนั้ น มั น ไม ไ ด มี
เคาโครงของพุทธศาสนา
๕๑๗
จริง มัน หลอก ๆ มัน เปน เพีย งความรู ส ึก เทา นั ้น เอง, มัน เปน ความรูส ึก วา ตัว กู ไมใชมีตัวกูจริง ไมใชมีตัวตนจริง แตมันก็รูสึกมีตัวกูที่อยาก นี่ เรารูกั นไวเสี ยเดี๋ ยวนี้ เป นการล วงหน าวา ตั วกู ผู อยากนั้ นมิ ใช ตั วจริ ง เป น ความคิ ด ผิ ด สํ า คั ญ ผิ ด เข า ใจผิ ด ของอวิ ช ชา ของความโง ซึ่ ง จะต อ งเกิ ด ขึ้ น ตามหลั ก ความอยาก. ความอยากเรี ย กว า ตั ณ หา, มี ค วามอยากหรื อ ตั ณ หา แลว ก็จะเกิดอุปาทาน - ยึดถือตัวกูผูอยาก. นี ่ก ็เ รีย กวา มัน มี ตัว กู ขึ ้น มาแลว . พอมีอ ุป าทานเปน ผู อ ยากแลว ก็เ รีย กวา ภพแหละ คือ ความมีอ ยู แ หง ตัว กู เกิด ตัว กู แลว เกิด ความมีอ ยู แ หง ตัวกู เรียกวาภพ. อุปาทานก็ใหเกิดภพคือความมีอยูแหงสิ่งที่ยึดถือนั้น. ภพนี ้เ ปน ไปเต็ม ที ่แ ลว ก็เ รีย กวา เกิด ชาติ โดยสมบูร ณขึ ้น มา คือ เปนตัวตนที่เต็มที่ เต็มขนาด เต็มระดับ เปนตัวฉันที่คิดนึกอะไรในแบบตัวฉันเต็มที่.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org พอมี ตั ว ฉั น แล ว อะไร ๆ มั น ก็ จ ะเป น ป ญ หาล อ มตั ว ฉั น ซึ่ ง จะทํ า ให ตัว ฉัน เปน ทุก ข; ถา ไมม ีต ัว ฉัน สิ ่ง เหลา นี ้ก ็ไ มม ี; เพ ราะมีต ัว ฉัน สิ ่ง ที ่ม ัน เกี ่ย วขอ งกับ ตัว ฉัน มัน ก็ม ีป ญ หาขึ ้น มา; เชน วา ความเกิด ของฉัน ความแก ของฉัน ความตายของฉัน ความไดอยางใจ ความไมไดอยางใจ อะไรก็เกิดขึ้นมา เกาะอยูที่ความรูสึกวาตัวฉันที่สมบูรณนั่นเอง.
๕๑๘
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
นี่เรา เปนทุกขกันตอนนี้ : มีตัณหาความอยาก ใหเกิดอุปาทาน ผูอยาก, เกิดความมีอยูแหงบุคคลผูอยาก, เกิดความเต็มเปยมแหงความเปน บุ ค คลผูอ ยาก, แล วก็ต องเป น ทุ กข ดวยสิ่งตาง ๆ ที่เขามาพั วพั นอยูกับ บุคคลผู อยาก. เราจึ งมี ค วามเกิ ด ความแก ความเจ็ บ ความตาย ความรู สึ ก ต า ง ๆ ที่ ทํ า ใหเปนทุกข. ความทุกขทั้งหลายเกิดขึ้นไดเพราะเหตุอยางนี้ นี่พระพุทธเจาทาน ตรัส. ขอให รู จั ก สิ่ ง นี้ เรื่ อ งนี้ เป น เรื่ อ งแรก. อย า จดไปเฉย ๆ เอาไปทํ า ความเข าใจอยู ตลอดเวลานาน ๆ หน อย, แล วจะเข าใจพุ ทธศาสนาตั วจริง คื อพุ ทธ ศาสนาที่ แท จริง ที่ เรียกวาความทุ กขมี อยู อย างไร, เกิ ดขึ้นอย างไร, นี่ เรียกวาเรื่ อง ความทุกข
ความดับทุกขมีไดโดยทางตรงขามกับขางตน
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ อี ก เรื่ อ งหนึ่ งเป น เรื่ อ งความดั บ ทุ ก ข คื อ ตรงกั น ข า ม ก็ ตั้ งต น มาอย า ง ตะกี้ อี ก และ. ดู ท บทวน ที่ จ ดมาแล ว ว า อายตนะภายใน กั บ อายตนะภายนอกถึ ง กัน เขา ก็เ กิด วิญ ญาณ ๖ ของ ๓ สิ ่ง นี ้ทํ า งานรว มกัน เรีย กวา ผัส สะ ๖. ทีนี้ ในขณะแห งผั ส สะนี้ มั น เกิ ด มี ส ติ ป ญ ญา, มี ส ติ และมี ป ญ ญาขึ้น มา ก็ เป น ผั ส สะ คนละชนิด กับ ชุด แรกที ่เ ปน ผัส สะโง ผัส สะไปสัม ผัส อะไรดว ยความโง นั ้น เรียกวาอวิชชาเขาไปเกิดอยูในผัสสะ. ทีนี้ในกรณี นี้ กรณี หลัง ที่จะไมเกิดทุ กข นั ่น มัน มีผ ัส สะฉลาด คือ เมื ่อ ตาเห็น รูป ก็ฉ ลาด, เมื ่อ หูไ ดย ิน ก็ฉ ลาด, เมื ่อ จมู ก ได ก ลิ่ น ก็ ฉ ลาด, เมื่ อ ลิ้ น รูสึ ก รสก็ ฉ ลาด, เมื่ อ สั ม ผั ส ผิ ว หนั งก็ ฉ ลาด เมื่ อ จิ ต คิ ด
เคาโครงของพุทธศาสนา
๕๑๙
อะไรก็ ฉลาด, มั นฉลาดในขณะแห งผั สสะ, ก็ เป น วิ ชชาสั ม ผั ส สั มผั สอะไร ๆ ด วย ความรูสึกตัวและฉลาด. อยางนี้มันก็เกิดเวทนา ดวยเหมือนกัน แตเป น เวทนาที่ ความฉลาด ของเราควบคุ ม อยู มั นจึงไมทํ าใหเกิดตัณ หา คือ ความรัก หรือความเกลียด ไป ตามอํ า นาจของเวทนา; เพราะเวทนานี้ ถู ก ความฉลาดของเราควบคุ ม อยู , ควบ คุมมาแลวตั้งแตผัสสะโนน. เมื่ อมีผัสสะสัมผัสมีความฉลาด คือ สติ ม าทั น ท วงที , เวทนานั ้น ไมทํ า ใหเกิด ตัณ หา รัก หรือ ตัณ หาเกลีย ดได, มัน ก็ไมเกิด ตัณ หา. นี่ เขาเรียกวา ตั ณ หาดั บ , ตั ณ หาไม เกิ ด , หรือ ถามั น เก งมากกวานั้ น ก็ เวทนามั น ก็ ดั บ เวทนามั น ไม เกิ ด เพราะผั ส สะมั น ฉลาด แต ต ามปรกติ เราฉลาดไม ค อ ยจะทั น ในขณะแหงผัสสะ. นี่ ทุ ก คนไปย อ นระลึ ก ถึ ง สิ่ ง ที่ เป น มาแล ว หรื อ จะเป น ต อ ไปก็ ได ว า เมื ่อ ตาเราเห็น รูป นั ่น เราโงห รือ เราฉลาด, เมื ่อ หูไ ดฟ ง เสีย ง เราโงห รือ ฉลาด, เมื่อจมูกไดกลิ่น ฯลฯ ไปจนถึงอันสุดทาย เราโงหรือเราฉลาด.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เมื่ อ ตาเห็ น รู ป ที่ น า รัก เราไปรั ก เข า แล ว หรือ เห็ น รูป ที่ ไม น า รัก เห็ น รูป ศัต รูเ ห็น อะไรนี ้ เราก็ไ ปโกรธเขา แลว เห็น รูป คู ร ัก มัน ก็ไ ปรัก เสีย แลว มัน ไม มีอะไรที่จะยับยั้งได.
หรือ ฟง เสีย งที ่ไ พเราะ เชน เสีย งเพลงที ่เ ราชอบ เราลุก ขึ ้น ไปเตน ตามเพลงนั้ น เสี ย แล ว ไม รู ตั้ ง แต เ มื่ อ ไร. นี่ มั น ไม มี ส ติ มั น ไม มี เ ครื่ อ งควบคุ ม
๕๒๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
มั น ไม มี ก ารยั บ ยั้ ง เมื่ อ เสี ย งน า เกลี ย ดน า ชั ง , เสี ย งของคู ศั ต รู คู อ าฆาต เราก็ โ กรธ เราก็เกลียดเสียแลว. กลิ ่น ก็เ หมือ นกัน เมื ่อ กลิ ่น หอม ก็ย ิน ดีเ สีย แลว , เมื ่อ กลิ ่น เหม็น มัน ก็ข ัด ใจเสีย แลว . นี ่ม ัน เปน เรื ่อ งที ่ใ หเ กิด เวทนา แลว ก็เ กิด ตัณ หาเกิด ความ ทุกข เสียแลว. เดี๋ ย วนี้ ม าเอากั น ใหม มาเป น ลู ก ศิ ษ ย ข องพระพุ ท ธเจ า มาฝ ก ตนให เป น คนที่ มี ส ติ เมื่ อ ตาเห็ น รูป เมื่ อ หู ฟ งเสี ย ง เมื่ อ จมู ก ได ก ลิ่ น ฯลฯ ทั้ ง ๖ อย า ง; มีส ติ พอเห็น รูป สวย มีส ติพ อที ่จ ะไมไ ปรัก มัน , เห็น รูป ไมส วย ก็ม ีส ติพ อที ่จ ะ ไม ไปเกลี ยดมั น รองด ามั น ว า โอ ย สั ก ว ารู ป เท านั้ น โว ย, สั ก ว ารูป เท านั้ น โว ย จะ ไมใ หม ัน มีค วามหมายเปน สวยหรือ ไมส วย. พอไดย ิน เสีย งก็เ หมือ นกัน แหละ มั น สั ก ว าเสี ยงเท านั้ น โว ย จะไม ยอมให ม าครอบงําใจของกู วาเพราะหรือ ไม ไพเราะ, กลิ ่น ก็เ หมือ นกัน สัก วา ก ลิ ่น เทา นั ้น แหละ, จะหอมห รือ จะเหม็น ก็ส ัก วา กลิ่ น เท า นั้ น แหละ, รสที่ ลิ้ น ก็ เหมื อ นกั น อร อ ยหรื อ ไม อ รอ ยก็ มั น สั ก ว า รส เท า นั้ น , สัม ผัส ผิว หนัง นิ ่ม นวลหรือ กระดา ง อะไรก็ต าม ก็ม ัน สัก วา สัม ผัส ผิว หนัง เท านั้ น . ทีนี้สัมผัสในใจ ก็โอ สักวาสัมผัสรูสึกในใจเทานั้นแหละ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ อย างนี้ มั นจะเรียกว า มี ส ติ สั ม ผั ส ทุ ก อย างในโลก เป น สั ม ผั สที่ ฉลาด คื อ มี ค วามรู ที่ ถู ก ต อ ง, มี ส ติ ร ะลึ ก ในความรู อ ย า งถู ก ต อ งนั้ น ได ในขณะที่ สั ม ผั ส . สัม ผัส อะไร อัน นั้น มัน มากลายเปน สิ่ง ที่เ ราจะศึก ษาหรือ เรีย นรูไ ปหมด ไม ให เ กิ ด เวทนา ไม ใ ห เ กิ ด ตั ณ หา; เช น เห็ น รู ป อย า งนี้ มั น ก็ รู สึ ก ว า รู ป เราจะ
เคาโครงของพุทธศาสนา
๕๒๑
ต อ งทํ า อะไรกั บ รู ป นี้ ไ หม ? เราจะต อ งจั ด การกั บ รู ป ที่ เราเห็ น นี้ ไ หม ? ถ า มั น ไม มี เรื่องที่เกี่ยวของกันก็เลิกกัน, ไมตองไปสนใจ. ถา มัน มีเ รื ่อ งที ่จ ะตอ งเกี ่ย วขอ งกัน ก็ทํ า ไปสิ, รูป อะไรที ่ม ัน เห็น อยู จะต อ งทํ า อะไรกั บ รู ป ที่ เห็ น อยู นี้ , กั บ เสี ย งที่ ไ ด ยิ น นี้ , กั บ กลิ่ น ที่ ได รั บ สั ม ผั ส อยู นี้ . สว นมากมัน ไมต อ งทํ า อะไรดอก คือ อยา ไปยิน ดีย ิน รา ยกับ มัน มัน ก็ห ายไป ตามเรื ่อ งของมัน เอง. แตถ า มัน เปน เรื่อ งที ่เ ราตอ งทํ า ก็ทํ า สิ แลว ตอ งทํ า ดว ยสติ ดว ยปญ ญา อยา ไปหลงใหเกิด ตัณ หา ใหเ กิด อุป าทาน. นี ่ผ ัส สะ อย างนี้ เรายั งไม เคยมี เรามี แต จะยิ นดี หรือยิ นราย เกิ ดเวทนาต อผั สสะ, เราก็ ตกเป น ทาสของเวทนา, เป น ทาสของตั ณ หา ก็ ไ ด เป น ทุ ก ข . เดี๋ ย วนี้ มั น จะกลั บ ตรงกั น ขา ม คือ จะไมต กเปน ทาสของเวทนา ไมเ ปน ทาสของตัณ หา เพราะรูเ ทา ทันในขณะแหงผัสสะ. พระพุทธเจาทานไดตรัสไววา ผัสสะนั่นแหละเปนเรื่องสําคัญทั้งหมด ของทุ ก เรื่ อ งแหละ : ที่ จ ะได เสี ย จะเป น ทุ ก ข หรื อ จะเป น สั ม มาทิ ฏ ฐิ มิ จ ฉาทิ ฏ ฐิ อะไรก็อยูตรงที่ผัสสะนั่นแหละ. ใหรูเรื่องผัสสะ ใหควบคุมผัสสะใหได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่คือ รูพุท ธศาสนาจริง ๆ มารูที่ต รงนี้ : รูเรื่อ งผัส สะ และควบ คุ ม ผั ส สะได , ก็ ไม เกิ ด เวทนาที่ จ ะหลอกให เรารัก หรือ เกลี ย ด, แล วมั น ก็ เกิ ด ตั ณ หา ไมไ ด คือ ตัณ หาดับ . ตัณ หาดับ อุป าทาน ตัว กูผู อ ยาก มัน ก็ไ มเ กิด คือ ดั บ ภพ คื อ ความเป น แห งตั วกู มั น ก็ ดั บ , ชาติ ความสมบู รณ แห งตั วกู มั น ก็ ดั บ , ความทุ กข ทั้งหลายมันก็ เกิดไมได, มันไมมีอะไรมาเปนเกิด แก เจ็บ ตาย ของกู หรือ ไมมีอะไรที่เปนทุกขมาเปนของกู ทุกขมันก็ดับ.
๕๒๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ฉะนั้ น เราเหลื อ บตาดู ให ดี ว า มั น ตั้ ง ต น มาจากจุ ด เดี ย วกั น แล ว มาแยก ทางกันตรงกลาง อันหนึ่งไปทางที่จะเปนทุกข, อันหนึ่งมาในทางที่จะไมเปนทุกข.
ทบทวนซ้ําเพื่อใหรูจักดับทุกข. อย าเพิ่ งเบื่ อ นะ จะขอซ้ํ าอี กที ว า ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ นี้ อ ยู ข างใน, แล ว ก็ รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ อยู ข า งนอก มั น มาเนื่ อ งกั น เข า แล ว ก็ จะเกิ ดวิ ญ ญาณทางตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ. นี้ เรื่อ ง ข างใน กั บ เรื่อ ง ข าง นอกวิญญาณ มาทํางานพรอมกันเขาเรียกวาผัสสะ. ตรงนี้ เ ป น จุ ด แยก เป น ทาง ๒ แพร ง ; ถ า ตรงนี้ ไ ม มี ส ติ ไ ม มี ป ญ ญ า มั น ก็ ไ ปทางเวทนาที่ จ ะให เกิ ด ตั ณ หาอุ ป าทาน ภพ ชาติ และเป น ทุ ก ข แต ถ า ตรง จุ ด ผั ส สะนั้ น เกิ ด มี ส ติ แ ละป ญ ญา มั น ก็ ไม เกิ ด เวทนาที่ จ ะให เกิ ด ตั ณ หา หรือ อุ ป าทาน หรื อ ภพ หรื อ ชาติ ที่ จ ะเป น ทุ ก ข , มั น แยกมาเสี ย ในทางที่ ไม เป น ทุ ก ข , แล ว เราก็ ทํ า อะไร ๆ ได ทุ ก อย า ง ตามที่ เ ราควรจะทํ า ในเรื่ อ งนี้ มั น ก็ ไ ม เ ป น ทุ ก ข เพราะรู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ . บางเรื่ อ งนั้ น เราต อ งไปเกี่ ย ว ข อ ง เราต อ งทํ า ต อ งจั ด กั บ มั น ตามที่ มั น จะต อ งทํ า สํ า หรั บ มนุ ษ ย เราก็ ทํ า ด ว ย สติและปญญา มันก็ไมเกิดความทุกข.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ขอให ห ลั บ ตามองเห็ น ภาพ ว า มั น ตั้ ง ต น มาจากจุ ด เดี ย วกั น ; พอมา ถึ ง ระดั บ แห ง ผั ส สะมั น เกิ ด แยกทางกั น ฝ า ยหนึ่ ง มั น สํ า หรั บ คนโง , ไม มี ส ติ ไม
เคาโครงของพุทธศาสนา
๕๒๓
มี ป ญ ญา ก็ เป น เวทนา ตั ณ หา อุ ป าทาน ภพ ชาติ และเป น ทุ ก ข . ส ว นฝ า ยนี้ มั น สํ า หรั บ คนฉลาด มั น ก็ ไม เกิ ด เวทนา ตั ณ หา อุ ป าทาน ภพ ชาติ และเป น ทุ ก ข ; แม ว ามั นจะเกิ ดเวทนา ก็ เกิ ดเวทนาสํ าหรั บ ให เรารูจั ก ว าจะต อ งทํ าอย างไร, ไม เกิ ด เวทนาใหเราหลงรัก หลงชัง เหมือนฝายโนน. นี่ คื อตั วความทุ กข กั บ ความดั บ ทุ กข มั น มี อยู อ ย างนี้ พระพุ ท ธเจ าท าน ตรั ส ว า ฉั น พู ด แต เ รื่ อ งความทุ ก ข กั บ ความดั บ ทุ ก ข ; เรื่ อ งอื่ น ชวนพู ด ด ว ยไม เอา เชนมีคนมาชวนพูดวา ตายแลวเกิดหรือตายแลวไมเกิด พระพุทธเจาทานวายัง ไม จํ าเป น ยั งไม พู ด , มาพู ด เรื่ อ งความทุ ก ข กั น เถอะ, แกมี ค วามทุ ก ข อ ย างไรว ามา แล ว ฉัน ก็จ ะบอกวิธ ีที ่จ ะไมใ หเ ปน ทุก ขไ ด แลว มัน ก็ห มดเรื ่อ งกัน ไป. ไมต อ ง ไปเสียเวลา เรื่องตายแลวเกิดหรือตายแลวไมเกิด. มี เรื่ องอี กมากมาย ที่ พระพุ ทธเจ าท านจะไม ตรั สตอบหรื อไม คุ ยด วยที่ ท าน วา ไมจํ า เปน . ไมจํ า เปน แตเ รื ่อ งนี ้ คือ เรื ่อ งที ่จํ า เปน เรีย กวา เรื ่อ งปฏิจ จสมุ ป บาท ชื่ อ นี้ จํ า ยากหน อ ย, เขี ย นก็ ดี เหมื อ นกั น ปฏิ จ จสมุ ป บาท คื อ เรื่ อ งที่ พู ด เมื่อ ตะกี้นี้. ปฏิจ จสมุป บาทฝา ยเกิด ทุก ข ก็เ ปน ทุก ข, ปฏิจ จสมุป บาทฝา ย ดับทุกข ก็ไมมีทุกข, จําคําวา ปฏิจจสมุปบาท ไวใหดี ๆ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ควรศึกษาปฏิจจสมุปบาททั้งฝายทุกขและไมทุกข. แปลกไหม ? คํ าว า ปฏิ จ จสมุ ป บาท คํ านี้ มั น แปลว า อาศั ย กั น แล ว เกิ ด ขึ้ น . คํ า ว า ปฏิ จ จสมุ ป บาทนี้ แ ปลว า อาศั ย แล ว เกิ ด ขึ้ น , คื อ ทุ ก สิ่ ง ที่ มั น ต อ ง อาศั ย เหตุ ป จ จั ย อะไรอั น หนึ่ ง แล ว จึ ง เกิ ด ขึ้ น ทั้ ง นั้ น ; เป น เรื่ อ งของสิ่ ง อื่ น ๆ
๕๒๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ที ่ม ิใ ชม นุษ ยก ็ไ ด. แตเ ดี ๋ย วนี ้เ ราพูด สํ า หรับ เรื ่อ งมนุษ ยใ นใจ. เชน วา ตา กับ รูป อาศัยกันแลวเกิดวิญญาณ, ๓ ประการ นี้อาศัยกันแลวเกิดผัสสะ เพราะมี ผั ส สะจึ งมี เวทนา เพราะอาศั ย เวทนาจึ งเกิ ด ตั ณ หา เพราะอาศั ย ตั ณ หาจึ งเกิ ด อุ ป าทาน เพราะอาศั ย อุ ป าทานจึ ง เกิ ด ภพ เพราะอาศั ย ภพจึ ง เกิ ด ชาติ เพราะ อาศัย ชาติจ ึง เกิด ทุก ข ทั ้ง ปวง, แปลวา เพราะอาศัย กัน จึง เกิด ขึ้น , หรือ อาศัย กันแลวเกิดขึ้น เรียกวาเรื่องปฏิจจสมุปบาท ที่จะเกิดความทุกข. ทีนี ้ ปฏิจ จสมุป บาทที ่จ ะไมเ กิด ทุก ข คือ จะเกิด สิ ่ง ที ่ไ มเ ปน ทุก ข มั น ก็ อ าศั ย กั น แล ว เกิ ด ขึ้ น เหมื อ นกั น พอมาถึ ง ผั ส สะแล ว ก็ มั น อาศั ย สติ แ ละ ป ญ ญานี้ แล ว ก็ เกิ ด เวทนาที่ จ ะไม เป น ตั ณ หา, เวทนาที่ จ ะไม เกิ ด ตั ณ หา, แล ว มั น ก็อาศั ยอั นนี้ ไม เกิ ดตั ณ หา ไม เกิ ดอุ ปาทาน ไม เกิดภพ ไม เกิดชาติ , มั นได อาศั ยสิ่ งนี้ มันก็มีความดับลงแหงสิ่งนั้น ก็ไมเปนทุกข นี้เปนเรื่องสําหรับสิ่งที่มีชีวิต. ถ า สํ า หรั บ สิ่ ง ที่ ไ ม มี ชี วิ ต เช น ก อ น ดิ น หิ น ทราย เหล า นี้ ก็ เหมื อ นกั น แหละ, มั นต องมี เหตุ ป จจั ยอย างใดอย างหนึ่ ง มั นจึ งเกิ ดขึ้ นมาในโลกนี้ ; เพราะแม แต โลกนี้ ทั้ งโลก อย า งที่ เราเรี ย นมาในวิ ท ยาศาสตร นั้ น มั น ก็ มี เหตุ ป จ จั ย อั น ใดอั น หนึ่ ง ที่ ทํ า ให โ ลกนี้ เกิ ด ขึ้ น มา; พระจั น ทร เกิ ด ขึ้ น มา, อะไร ๆเกิ ด ขึ้ น มา, แล ว สิ่ ง ต า ง ๆ เกิ ด ขึ้ น มาในโลก จนมี สั ต ว มี ค น มี อ ะไรเต็ ม ไปหมด กระทั่ ง สิ่ ง ที่ ม นุ ษ ย ส ร า งขึ้ น มาเพราะมนุ ษ ย มั นสร างขึ้ นมา ตึ กรามอะไรต าง ๆ เหล านี้ , มั นมี เหตุ ป จจั ย อาศั ย เหตุปจจัยแลวมันจึงเกิดขึ้นมา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ขอ ที่อ าศัย เหตุปจ จัย แลว จึงเกิด ขึ้น มานี้เรีย กวา ปฏิจ จสมุป บาท. มีความสําคัญถึงกับมีคํากลาวไววา ผูใดเห็นปฏิจจสมุปบาทผูนั้นเห็นธรรม, ผูใด
เคาโครงของพุทธศาสนา
๕๒๕
เห็นธรรมผูนั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท, ผูใดเห็นปฏิจจสมุปบาทผูนั้นเห็นธรรม. แลว ก็ มี ต อ ไปว า ผู ใดเห็ น ธรรมผู นั้ น เห็ น ตถาคต, ผู ใดเห็ น ตถาคตผู นั้ น เห็ น ธรรม. ตถาคตในที ่นี ้ห มายถึง พระพุท ธเจา ; ผู ใ ดเห็น พระพุท ธเจา ผู นั ้น เห็น ธรรม, ผูใดเห็นธรรมผูนั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท. เห็ น ปฏิ จ จสมุ ป บาทนี้ คื อ เห็ น ด วยป ญ ญาภายในตามเรื่อ งที่ ได พู ด มา แล ว ที่ เรี ย กว า ก ข ก กา : เห็ น ข า งใน ๖ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ, เห็ น ข า ง นอก ๖ รูป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธัม มารมณ , แล ว เห็ น วิ ญ ญาณที่ เกิ ด มา จากการเนื ่อ งกัน ของอายตนะนั ้น , แลว เห็น ผัส สะ ๖, เห็น เวทนา ๖, เห็น ตั ณ หา ๖, กระทั่ ง เห็ น อุ ป าทาน ภพ ชาติ นั่ น แหละเห็ น ว า มั น เกิ ด ทุ ก ข ขึ้ น มา อยา งนี ้. นี ้เ รีย กวา เห็น ปฏิจ จสมุป บาท, เห็น ความจริง ฝา ยเกิด ทุก ขแ ลว ก็เ ห็น ฝ า ยตรงกั น ข า ม คื อ ไม เกิ ด ทุ ก ข เห็ น ชั ด อยู รู สึ ก อยู ไ ม ใ ช เขี ย นตั ว หนั ง สื อ แล ว อ า น เห็น ดว ยความรู ส ึก ดว ยปญ ญาของเรา; นี ้เ รีย กวา เห็น ปฏิจ จสมุป บาท. อยางนี้เรียกวาเห็นธรรม, เห็นธรรมอยางนี้เรียกวาเห็นพระพุทธเจา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org มั น จะมากไปกว า เห็ น พระพุ ท ธเจ า ก็ ไ ด คื อ เมื่ อ เรารู อ ย า งนี้ เรารู เหมือ นที ่พ ระพุท ธเจา ทา นรู ; นี ่เ ราจะเปน พระพุท ธเจา เสีย เองก็ไ ด ถา เราเห็น อัน นี ้ช ัด ลงไปจริง ๆ เหมือ นกับ ที ่พ ระพุท ธเจา ทา นเห็น , คือ ตรัส รู แ ลว เปน พระพุท ธเจา เพราะทา นเห็น เรื ่อ งนี ้. ฉะนั ้น จิต ของเราที ่เ ห็น เรื ่อ งนี ้เ ปน พระ พุท ธเจา สํ า หรับ เรา เรีย กวา เห็น พระพุท ธเจา , หรือ มีพ ระพุท ธเจา หรือ เปน พระพุท ธเจา ใหก ับ เรา. จิต ที ่เ ห็น ปฏิจ จสมุป บาทชัด ๆ นี ้ค ือ เปน พระพุท ธเจา จิตนั้นเปนพระพุทธเจานอย ๆ.
๕๒๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ทีนี้ธรรมะที่เห็นนี้เปนพระธรรม พระธรรมก็อยูกับเรา มีกับเรา. ทีนี ้จ ะมาถึง พระสงฆ, เราตอ งปฏิบ ัต ิเ พื ่อ มีส ติ มีป ญ ญ า ในขณ ะ แห ง ผั ส สะ, ถ า เราปฏิ บั ติ ถู ก ต อ งในขณ ะแห ง ผั ส สะ ไม โ ง ไ ม ห ลง เป น ผั ส สะที่ ลืมหูลืมตา มีปญญา แลวนี่คือพระสงฆแหละ คือปฏิบัติได. นี้จ ิต ของเราเปน พระพุท ธจริง เปน พระธรรมจริง เปน พระสงฆ จริง อยูก ับ เรา มีใ นเรา. เรามีพ ระพุท ธ พระธรรม พระสงฆจ ริง ไมใ ช มั ว ต ะ โ ก น ว า พุ ท ธํ ส ร ณ ํ ค จฺ ฉ า มิ , ส งฺ ฆํ ส ร ณ ํ ค จฺ ฉ า มิ , นั้ น มั น เป น พิ ธี มี พ ระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ อย า งเป น พิ ธี , ก็ ดี ก ว า ไม มี เ สี ย เลย. แต ถ า มี กั น จริ ง ๆ ก็ ต อ งมี ที่ จิ ต ที่ เห็ น อยู อ ย า งนี้ รู อ ยู อ ย า งนี้ , แล ว ก็ ส ามารถ ที่จะหยุดกระแสแหงปฏิจจสมุปบาทเสียได.
พระพุทธเจาตรัสรูเพราะเห็นปฏิจจสมุปบาท.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ จะพู ดความสํ าคั ญของเรื่ องปฏิ จจสมุ ปบาทนี้ ให ฟ งอี กเรื่ องหนึ่ งว า ว าแม วา พระพุท ธเจา ทา นตรัส รู เ รื ่อ งนี ้, และเปน พระพุท ธเจา เพราะรูเ รื ่อ งนี ้. นี ่ช ว ย ฟ ง จํ า ไว ด ว ย ว า เป น พระพุ ท ธเจ า เพราะรู เรื่ อ งนี้ . นี่ ต ามที่ พ ระพุ ท ธเจ า ท า นตรั ส เอง, ท า นตรั ส รู เ พราะมองเห็ น ปฏิ จ จสมุ ป บาท. ตรั ส รู เ ป น พระพุ ท ธเจ า . นี้ แ ม ว า เป น พระพุ ท ธเจ า มานานแล ว ท า นก็ ยั ง ทรงชอบธรรมะเรื่ อ งปฏิ จ จสมุ ป บาท นี้ ม ากที่ สุ ด จนท า นเอามาท อ งเล น , ต อ งใช คํ า ว า ท อ งเล น ; ถ า เรี ย นกเป น บาลี ก็ เรียกว า มาทรงสาธยายอยู ไม มี เรื่อ งอื่ น ในพระไตรป ฎ กเท าที่ เราจะสํ ารวจดู ห มด
เคาโครงของพุทธศาสนา
๕๒๗
พระไตรป ฎ ก ไม เห็ น มี เรื่ อ งไหนที่ มี เกี ย รติ ม าก จนถึ ง กั บ พระพุ ท ธเจ า ทรงนํ า มา สาธยายเลน นอกจากเรื่องนี้. วั น หนึ่ งท า นประทั บ อยู พ ระองค เดี ย ว เป น อารมณ ที่ ส บาย ท า นที่ ท อ ง เรื่ อ งนี้ เรื่ อ งปฏิ จ จสมุ ป บาทนี้ เล น อยู ต ามลํ า พั ง ; เหมื อ นกั บ พวกคนสมั ย นี้ เขา จะร อ งเพลงอะไรที่ เขาชอบที่ สุ ด ร อ งเพลงที่ เขาชอบที่ สุ ด ฮึ ม ฮั ม ๆ อยู ต ามลํ าพั ง . พระพุทธเจาทานก็ทรงสาธยายเรื่องปฏิจจสมุปบาท แตก็วาเปนภาษาบาลี แลว ก็ ว า ไปที ล ะหมวด ๆ, คื อ หมวดตาจบ แล ว ก็ ห มวดหู แล ว ก็ ห มวดจมู ก หมวดลิ้ น หมวดกาย หมวดใจ แล วก็ ห มวดฝ ายเกิ ดขึ้ น มาเป น ทุ กข , แล วก็ ห มวดดั บ ลงจนไม มีท ุก ข แลว เกิด ขึ ้น แลว ดับ ลง.นี ้ม ัน มี ๖ หมวด หมวดละ ๒ มัน ก็ม ีถ ึง ๑๒ เที่ ย วแหละ, ๖ เที่ ย วอย า งเกิ ด ขึ้ น , ๖ เที่ ย วอย า งดั บ ลงแต ไ ม ใ ช ท อ งอย า งท อ ง สู ต รคู ณ สู ต รคู ณ นั้ น กลั ว จะลื ม แล ว เด็ ก ก็ ท อ งสู ต รคู ณ . นี้ พ ระพุ ท ธเจ า ท า นไม ต อ งลื ม ดอก ไม มี เรื่ อ งลื ม ไม มี เรื่ อ งหลงอะไรอี ก แล ว แต ท า นก็ ยั ง อุ ต ส า ห เอามา สาธยายเลน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถาวาเปนภาษาบาลี ก็จะวา จกฺขฺุจ ปฏิจฺจ รูเป จ อุปฺปชฺชติ จกฺขุวิฺญาณํ ติณฺณํ ธมฺมมานํ สงฺคติ ผสฺโส ผสฺสปจฺจยจา เวทนา เวทนาปจฺจยา ตณฺหา ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานํ อุปาทานปจฺจยา ภโว ภวปจฺจยา ชาติ ชาติ ปจฺจ ยาชรามรณํ โสกปริเทวทุกฺข โทมนสฺส สุป ายาสา สมฺภ วนฺต ิ เอวเมสสฺส เกวลสฺส ทุกฺข กฺข นฺธสฺส สมุท โย โหติ. นี่วาเรื่อ งตา แลวก็วาเรื่อ งหู ฯลฯ นี่ถา วาเปนบาลีก็วาอยางนี้.
๕๒๘
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
เพื่ อ ให ม องเห็ น ว า เป น เรื่ อ งที่ สํ า คั ญ ที่ สุ ด เป น ตั ว พุ ท ธศาสนา, ตรั ส รู เป น พระพุ ท ธเจ าก็ เพราะตรัส รู เรื่ อ งนี้ , ตรั ส รู เรื่ อ งนี้ แล วยั งมาท อ งเล น อยู บ อ ย ๆ. นี่ เรื่องทุกขกับเรื่องดับทุกข คือเรื่องปฏิจจสมุปบาท. ฉะนั้นขอใหจําไวเปนหลัก. ถาทานเคยเรีนยเรื่องอริยสั จจ ๔ ก็เรียกวา ทุกขคืออยางนั้น ๆ คือชาติ ชรา มรณะ, แล วเหตุ ให เกิ ดทุ กข คื อตั ณ หา, ดั บทุ กข คื อไม มี ตั ณ หา มรรคมี องค ๘ ทํ า ใหเ กิด ความดับ ทุก ข. นั ้น มัน ก็เ รื ่อ งเดีย วกัน แหละ แตนั ้น พูด อยา งสั ้น วา ตั ณ หาให เกิ ด ทุ ก ข . นี้ ท รงแสดงละเอี ย ดว า ทํ า อย างไรจึ ง จะเกิ ด ตั ณ หา ? พอเกิ ด ตั ณ หาแล วเกิ ด อุ ป าทาน เกิ ด ภพ เกิ ดชาติ ซอยโดยละเอี ย ดจนกว าจะเกิ ด ทุ ก ข , ก็ แปลว า กล า วให มั น ละเอี ย ดถี่ ยิ บ เลย. เรื่ อ งเป น ปฏิ จ จสมุ ป บาทนั่ น คื อ เรื่ อ ง อริยสัจจ แตกลาวอยางถี่ยิบ. อริจยสัจจธรรมดาสั้น ๆ ลุน ๆ ก็วา ตัณหาใหเกิด ทุก ข; แตถา เรื่อ งปฏิจ จสมุป บาทใหเ กิด ทุก ขอ ยา งละเอีย ดถี่ยิบ ก็ตอ งวา มี อายตนะภายใน อายตนะภายนอก วิ ญ ญาณ เกิ ดผั สสะ เกิ ดเวทนา เกิ ดตั ณ หา ตรงนี้ ; พอเกิ ด ตั ณ หาแล ว ลํ า ดั บ ของมั น จะเกิ ด อุ ป าทาน เกิ ด ภพเกิ ด ชาติ เกิ ด ทุกข นี้มีรายละเอียดถี่ยิบไปอยางนั้น แตมันเรื่องเดียวกัน.
www.buddhadasa.in.th ฝกมีสติตรงผัสสะและเดินใหถูกทาง. www.buddhadasa.org ทีนี้ก็มาดูตรงที่วา ทางสองแพรง คือตรงผัสสะ. ตรงจุดของผัสสะ มีอายตนะภายใน อายตนะภายนอก เกิดวิญญาณ แลวเกิดผัสสะ, ตรงนี้เปน จุ ดทาง ๒ แพรง จะไปฝ ายความโงก็ เกิ ดทุ กข , จะมาฝ ายความฉลาดก็ ไม เกิ ดทุ กข .
เคาโครงของพุทธศาสนา
๕๒๙
นี้ เราก็ ต อ งมาทํ า ตนให เป น คนฉลาด ก็ ทํ า ให เป น คนฉลาดนี้ โดย เฉพาะใจความของเรื่อ งนี้ ก็ คื อ ทํ า ให มี ส ติ แ ละป ญ ญา. ฉะนั้ น เขาจึ ง มี ร ะเบี ย บ สอนใหทํ า สมถะและวิป ส สนา; ชาวบา นเขาเรีย กกัน ทั ่ว ๆ ไปวา ทํ า วิป ส สนา คื อ ทํ า ให เกิ ด สมาธิ ให เกิ ด ป ญ ญา. นี้ มั น มี ส ติ แ ละป ญ ญามาก และคล อ งแคล ว ว อ งไว, สํ า หรั บ สติ ป ญ ญ านี ้ ม าเกิ ด ทั น ใน ขณ ะแห ง ผั ส สะ. พอมี ผ ั ส สะ กับอารมณแลวก็ จิตนี้วองไวมากที่จะมีสติปญญาเขามาควบคุมผัสสะทันที. ถ าเราต อ งการอย างนี้ เราก็ ต อ งไปลงทุ น หน อ ย ฝ ก สติ ที่ เรีย กว า สติ ปฎ ฐาน; ฝก ใหม ีส ติ, ฝก วิป ส สนาชนิด ที ่ทํ า ใหม ีส ติ, แลว ก็ม ีป ญ ญาพรอ มกัน อยู ใ นตัว นั ้น มัน เปน อีก เรื ่อ งหนึ ่ง . ถา เราฝก จนมีส ติแ ลว ผัส สะของเราก็ จะถูกควบคุมดวยสติปญญา ก็เดินมาในทางแพรงนี้, แพรงที่จะไมเกิดทุกข; ถา เราไมม ีส ติป ญ ญา มัน ก็ไ ปในทางแพรง ที ่จ ะเกิด ทุก ข. ฉะนั ้น การฝก สติ, สติป ฏ ฐาน นั ้น มีป ระโยชนม าก สํ า หรับ จะดับ ทุก ขโ ดยตรงในกระแสแหง ปฏิ จ จสมุ ป บาท. นี้ ว เจาะจงว า จะจะตั ด กระแสแห ง ความทุ ก ข ในสายของ ปฏิจจสมุปบาทนั้น เราตองมีสติ ที่เรียกวาสติปฏฐาน.
www.buddhadasa.in.th ดํารงชีวิตอยูในมรรคมีองค ๘ ก็ดับทุกขได. www.buddhadasa.org แต ที นี้ ท า นยั ง ตรั ส ไว อี ก รู ป แบบหนึ่ ง ว า ถ า อยู กั น โดยทั่ ว ๆ ไปสํ า หรั บ ทุ ก คนนี้ ก็ ใ ห มี อ ริ ย มรรคมี อ งค ๘. อริ ย มรรคมี อ งค ๘ นี้ เข า ใจว า ทุ ก คนคงจะ เคยได ยิ น มาแล ว ได ฟ งมาแล ว, ได ฟ งมาแล ว, และบางคนคงจะจํ าได : สั ม มา -
๕๓๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสติ สั มมาสมาธิ. นี่ ไปหารายละเอียดเอาจากหนังสือเรื่องนั้น ๆ โดยสมบู รณ ในที่ นี้ จะบอกแต หลั กที่ เป นใจความสํ าคั ญ วาเราจะดํ ารงชี วิตของเรา อย างที่ เรียกว า อยูในรูปแบบของมรรคมีองค ๘. องคที ่ ๑ คือ เราจะตอ งมีค วามเห็น ความรู ความเขา ใจ ความ เชื ่อ ถือ อะไรอยา งถูก ตอ ง ก็เ รีย กวา สัม มาทิฏ ฐิ มีค วามเห็น ชอบ ในชีว ิต ป ระ จํ า วั น ข อ งเรา ต ล อ ด เว ล า นี ้ ข อ ให ม ี ส ั ม ม าทิ ฏ ฐิ ค ื อ ค วา ม เห็ น ค วา ม เชื่อ ความเขาใจ อยางถูกตอง เรียกสั้น ๆ วามีความเห็นถูกตอง. แล ว ๒ มี สั ม มาสั งกั ป โป คื อมี ความหวั ง ความดํ าริ ความใฝ ฝ นอย าง ถูกตอง คือมีความประสงคที่ถูกตอง. ขอที่ ๓ มีสัมมาวาจา มีการพูดจาที่ถูกตอง. ขอที่ ๔ มีสัมมากัมมันโต มีการทําการงานที่ถูกตอง. ขอที่ ๕ มีสัมมาอาชีโว ดํารงชีวิตเลี้ยงชีวิตอยางถูกตอง. ขอที่ ๖ มีสัมมาวายาโม พากเพียรพยายามอยูอยางถูกตอง. ขอที่ ๗ สัมมาสติ นี่คือตัวนี้ที่วาเมื่อตะกี้นี้ สัมมาสติ มีสติอยางถูกตอง. ขอที่ ๘ สุดทาย สัมมาสมาธิ มีสมาธิอยางถูกตอง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org มั น มาสํ าคั ญ อยู ที่ ว ามี สติ สั ม มาสติ อย างถู กต อ ง นั้ น แหละมั น จะไป ควบคุมผัสสะ ใหมันเปนผัสสะที่ฉลาด, อยาเปนผัสสะที่โง, แลวปฏิจจสมุปบาท นั้น ก็จะไมเปนไปเพื่อความทุกข, มันจะยอนกลับมาหาความดับทุกข.
เคาโครงของพุทธศาสนา
๕๓๑
ทํ า อย า งไรจะมี ส ติ เ พี ย งพอ มี ส มาธิ เ พี ย งพอ ? เราก็ ต อ งฝ ก ซิ เรา อุต สา หฝ ก เรื ่อ งสติ เรื ่อ งสมาธิ จนมัน ทํ า ไดถ นัด มามีป ระจํ า อยู ก ับ เรา ตลอดชีวิตของเรา, เปนผูมีสติเปนผูมีสมาธิ อยางเพียงพอสําหรับควบคุมผัสสะ. แต อ ย างไรก็ ต าม จะต อ งมี ค รบทั้ ง ๘ นะ ไปศึ ก ษาให ล ะเอี ย ดเถอะ จะมี ประโยชน ที่ สุ ด , แล ว ก็ ท อ งเป น บาลี ไ ว ใ ห ไ ด ด ว ย, รู ค วามหมายรู อ ะไรหมด แล ว ก็ ปฏิบ ัต ิใ หม ัน มีสิ ่ง นั ้น จริง ๆ. ถา อยู ด ว ยอริย มรรคมีอ งค ๘ อยา งนี ้แ ลว ผัส สะ จะโงไมได, ไมวาจะไปสัมผัสอะไรทางไหน ก็เลยไมเกิดความทุกข. นี้ เ ป น เรื่ อ งตั้ ง ๘ เรื่ อ ง เอามารวมกั น เป น เรื่ อ งเดี ย ว เรี ย กว า มรรค คื อ หนทางที่ จะดั บ ทุ กข แต ถ าจะพู ดเฉพาะเจาะจง ที่ ต องการโดยด วน โดยจํ าเป น แลว ก็ค ือ สติ มีส ติใ นขณะแหง ผัส สะ แลว ความทุก ขก ็เ กิด ไมไ ด. แตนี ้เ พื ่อ จะเปนอยูใหสมบูรณแบบ ก็จะตองมีครบทั้ง ๘ ประการ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ช ว ยจํ า ไว ว า นี้ เป น สิ่ ง ประเสริ ฐ ที่ สุ ด ที่ พ ระพุ ท ธเจ า ท า นประทานให แ ก เรา ซึ่ ง เราจะต อ งศึ ก ษาให เข า ใจ และปฏิ บั ติ อ ยู เ ป น ประจํ า ตลอดชี วิ ต , คุ ม ครอง ไม ใ ห เ ป น ทุ ก ข เรี ย กว า มั ช ฌิ ม าปฏิ ป ทา - หนทางที่ จ ะเป น สายกลาง มี อ งค ประกอบ ๘ องค เรี ย กว า มรรคมี อ งค ๘, เรี ย กอย างอริ ย สั จ จ ก็ เรีย กว า ทุ ก ขนิโรธคามินีปฏิปทา - ปฏิปทาเปนเครื่องยังสัตวใหถึงความดับแหงทุกข. มรรค มี อ งค ๘ นี้ บ างที ก็ เรีย กวาพรหมจรรย , ขอ ปฏิ บั ติ ๘ อยางบางที เรีย กวาพรหม จรรย. ถา ประพฤติใ นองค ๘ นี ้อ ยู ก็เ รีย กวา ประพฤติพ รหมจรรยแ ลว จะทํา ลายกิเ ลสที่เ ปน ตน เหตุแ หง ความทุก ข, หรือ ปอ งกัน ไมใ หเ กิด ขึ้น มาได มันก็เลยไดบรรลุมรรคผลในพระพุทธศาสนา รวมความวา ไมตองเปนทุกข.
๕๓๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
แม เราจะเป น นั ก เรี ย นนั ก ศึ ก ษา ก็ ล องประพฤติ ธ รรมะ ๘ ประการนี้ ดู เถอะ เราก็ จ ะรั บ ผลดี ทุ ก อย า งแหละ. เรื่ อ งการเรี ย นก็ ดี การเป น อยู ที่ ดี อะไร ก็ ดี มั น จะมี ผ ลดี ถ า ตั้ ง อยู ในมรรคมี อ งค ๘, และถ า เราสามารถมี ส ติ เพี ย งพอ ใช ส ติ ทั น แก เ วลาทั น ท ว งที แล ว เราจะไม เ กิ ด ความทุ ก ข เลย เราจะไม โ ง , จะไม มั ว โง เที่ ย วหั ว เราะในบางกรณี มาร อ งไห อ ยู ใ นบางกรณี . เรื่ อ งโง มี อ ยู ๒ เรื่อง : ชอบใจก็หัวเราะรวนเหมือนกันคนบา, ไมชอบใจก็มานั่งรองไหอยู; มัน มีอยู ๒ อยาง อยางนี้, เราไมตองเปนใน ๒ อยางนี้ เราก็ปรกติ มีความปรกติ. ฉะนั้น หั ด ให มี สติ เร็ว ๆ เพี ยงพอ, มี ป ญ ญาอยู ในสติ นั้ น มาทั น ในขณะที่ ผั ส สะ. ที่ มี ผั ส สะทางตา ทางหู ทางจมู ก ทางลิ้ น ทางกาย ทางใจ ซึ่ ง เราต อ งมี อ ยู เสมอ; อย า งน อ ยที่ สุ ด เราก็ ต อ งหั ด ยั บ ยั้ ง , อย า ทํ า อะไรผลุ น ผลันลงไปตามเรื่องที่มากระทบ. อะไรกระทบตา ก็ยับยั้ง พอที่จะรูสึกวามันคืออะไร อยาไปหลงรัก หลงเกลี ย ดมั น , อะไรมากระทบหู ก็ ยั บ ยั้ งความรู สึ ก ไว ได ก อ น อย าไปหลงรั ก หลง เกลี ยดมั น, อะไรมากระทบจมู กก็ เหมื อนกั น, กระทบลิ้ น กระทบผิ วกาย กระทบจิ ต ก็ เหมื อนกั น ยั บยั้ งไว ก อน, ยั งไม ไปพลุ งพล านที่ จะไปรักมั น หรือเกลี ยดมั น คื อ ไม ยิน ดีไ มยิน รา ย. ควบคุม ความยิน ดีย ิน รา ยใหไ ด ใหใ จคอปรกติ, แลว มาดู อีก ที วาเรื่อ งนี้ จะตอ งทํ าอยางไร. ถารูเห็นวา จะตอ งทํ าอยางไรก็ทํ าไปตามที่ ควรจะทํ า เปน ผลดี. ถา เห็น วา เรื ่อ งนี ้ไ มต อ งทํ า อะไร ไมเ กี ่ย วขอ งกัน ก็ไ ด ก็เลิก ก็ไมตองสนใจมันก็ได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
เคาโครงของพุทธศาสนา
๕๓๓
นี่ คื อ การเป น อยู มี ชี วิ ต อยู อย า งถู ก ต อ งตามแบบของพระพุ ท ธศาสนา แล ว เราก็ จ ะไม เป น ทุ ก ข เลย, มั น ก็ จ ะจบเรื่ อ งพระพุ ท ธศาสนา อย า งที่ พระพุทธเจาทานตรัสวา ฉันพูดแตเรื่องความทุกขกับเรื่องความดับทุกขเทานัน้ มัน มีเทานี้. ป ญ หาของมนุ ษ ย เรา ก็ มี เรื่อ งความทุ ก ข , แล วเราจะต อ งดั บ ทุ ก ข ให ไ ด แล ว เราก็ ต อ งรู ว า ความทุ ก ข นั้ น เป น อย า งไร, ความทุ ก ข นั้ น เกิ ด มาจากอะไร แลวเราจะทําอยางไรสิ่งนั้นจึงจะไมเกิด. เหตุใหเกิดทุกขจะไมเกิด แลวความทุกข ก็ไมเกิด. บอกแล ว ว า วั น นี้ จ ะพู ด กั น ได แ ต เค า โครงของเรื่ อ ง หรื อ หั ว ข อ ของเรื่ อ ง โดยรายละเอี ย ดไปหาเอาเองเถอะ. ความทุ ก ข มี อ ะไรบ า ง แจกลู ก ได ม ากมาย หลายสิ บ หลายร อ ยชนิ ด เรื่ อ งของรู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ นี้ ก็ มี ม าก ราย ละเอียดมันมีมาก แตใจความมันมีเทานี้.
เรื่องที่ควรทราบอีกก็คือทํากรรมฐาน. www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ ถ า จะพู ด กั น อี ก มั น ก็ ต อ งพู ด เรื่ อ งทํ า สติ ที่ เรี ย กว า ทํ า กรรมฐานเพื่ อ จะไดม ีส ติท ัน ทว งทีใ นขณ ะแหง ผัส สะ, ถา ผู นั ้น มีส ติท ัน ทว งที ในขณ ะแหง ผั ส สะ แล ว เป น อั น ว า รอดตั ว จะไม มี ค วามทุ ก ข เ ลย. เรื่ อ งทํ า สติ อ ย า งไร ก็ มี ห นั ง สื อ หนั ง หา ตํ า รั บ ตํ า รา ที่ ล ะเอี ย ดลออมากเหมื อ นกั น ไปหาอ า นดู , เดี ๋ย วนี ้ก ็จ ะพูด ไดเ ฉพาะเคา โครงอีก เหมือ นกัน , ที ่ว า ทํ า สตินั ้น เขาฝก อยา งที่
๕๓๔
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
เรี ย กว า ฝ ก สมาธิ ; ถ า ฝ ก สมาธิ สํ า เร็ จ มั น ก็ มี ส ติ อ ยู ด ว ย รวมอยู ใ นคํ า ว า สมาธิ นั้ น . มั น มี ห ลั ก ว า เราจะฝ ก ให เ ป น คนรู ตั ว รู สึ ก ตั ว ก อ น จึ ง จะคิ ด จะพู ด จะทํ า อะไรลงไป, เราหั ด บทเรี ย นบทนี้ ว า เราจะเป น ผู รู สึ ก ตั ว ให ดี เ สี ย ก อ น แลวจึงจะพู ดจะคิดจะทําอะไรลงไป, คือเราจะต องรูสึ กตั วทั น ควัน กับ เมื่ อ มี เรื่อ ง มากระทบซึ่ ง มั น เร็ ว อย า งสายฟ า แลบ. ความรู สึ ก เกิ ด ขึ้ น เป น ความชอบ เป น ค วาม ไม ช อ บ มั น เร็ ว เหมื อ นกั บ สายฟ าแลบ ; ฉะนั้ น ก็ ฝ ก ส ติ ให เร็ ว เหมื อ นกั บ สายฟ าแลบ คื อ จะไม คิ ด ไม พู ด ไม ทํ า อะไรลงไปโดยปราศจากสติ . นี้ เราก็ ม าฝ ก ตนให มี ส ติ ในสิ่ ง ใดสิ่ ง หนึ่ ง อยู จ นสํ า เร็ จ , ฝ ก ให มี ส ติ ใ นสิ่ ง ใดสิ่ ง หนึ่งอยู แลวก็มีการฝกเมื่อมันจะเปลี่ยนจากสิ่งหนึ่งไปยังสิ่งหนึ่ง มันก็มีสติ. ที่นิยมกัน โดยมากนั้นก็ฝกกําหนดลมหายใจ เมื่อเราหายใจมีสติกําหนดลมหายใจอยูตลอด เวลา นี้เปนบทเรียนทีแรก. คนธรรมดาเขาทํ าไม ได ที่ จะให สติ นั้ นไปกํ าหนดอยู ที่ สิ่ งใดสิ่ งหนึ่ งตลอด เวลา เขาทํ า ไม ได มั น ก็ ห นี ไปเสี ย , เอามากํ า หนดลมหายใจเข า ออก ๆอยู นี่ มั น ก็ หนี ไปเสี ย, มั นไปมั วติ ดอยู กั บลมหายใจเข าออก ๆ เป นเวลานาน ๆ ได นี้ เรียกวาเรา บั ง คั บ จิ ต ไม ไ ด บั ง คั บ สติ ไ ม ไ ด . เราก็ ต อ งฝ ก ในขั้ น ต น ที่ สุ ด ว า เราจะบั ง คั บ มันใหไดเสียกอน ก็กําหนดสติที่ลมหายใจ, ลมหายใจ หายใจออก - เขาอยูออก เข า อยู กํ า หนดลมหายใจด ว ยสติ นี้ หรื อ มี ส ติ กํ า หนดลมหายใจนี้ เข า - ออก ๆ อยู. ลองไปทําดู มันก็มีบทเรียนเทานี้แหละขอแรก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทีนี้กําหนดลมหายใจ ใหมันละเอียด ๆ ละเอียด, ลมหายใจที่ละเอียด เขา ละเอียดเขารางกายมั นก็รํางับ ลงด วย ก็เรียกวามีความสุขในทางความรูสึก ; เพราะรา งกายมั น สงบรํา งั บ , พรอ มกั น ทั้ ง จิ ต มั น ก็ มี ส มาธิ กํ า หนดอยู ที่ ล มหายใจ
เคาโครงของพุทธศาสนา
๕๓๕
หรือจะให กํ าหนดอย างอื่ นแทนลมหายใจ นั้ น มั นเป น เรื่อ งเป นราวไปตามวิ ธี ฝ กซึ่ งมี อยู ถึ ง ๑๖ ขั้ น ๑๖ ตอน, มั น พู ด กั น ที่ นี่ ไ ม ไ ด ด อก เพราะมั น ละเอี ย ดอย า งนั้ น . ถาพูดตองพูดกันคราวอื่น หรือไปหาหนังสือหนังหามาอานดู หรือวาจะใหเปดเทป ให ฟ งเมื่ อ เวลามี . การบรรยายเรื่ อ งนี้ มี บั น ทึ ก อยู ในเทป ที่ เรีย กวาสมบู รณ ก็ มี , ถาสนใจก็ขอใหทานเปดเทปฟง. นี้ จ ะพู ด แต หั ว ใจของมั น ว า กํ า หนดที่ สิ่ ง ใดสิ่ ง หนึ่ ง จนกํ า หนด ได ; หมายความว า เราบั ง คั บ จิ ต ได . พอเราบั ง คั บ จิ ต ได เราก็ บั ง คั บ จิ ต ให มี ส ติ เมื่ อ มี สั ม ผั ส , เราก็ ค วบคุ ม สั ม ผั ส ได , มั น ก็ ไ ม เกิ ด เวทนา ตั ณ หา และเป น ทุกข. ฝ ก วิป ส สนานี้ วิเศษมาก ดี ม าก ไม ใช เรื่ อ งบ า ๆ บอ ๆ เหมื อ นที่ เขาพู ด กั น , คื อ เราฝ ก ที่ จ ะเป น ผู บั งคั บ จิ ต ได , แล ว ก็ ส ามารถบั งคั บ จิ ต ให มี ส ติ ในขณะแห ง ผั ส สะ ในชี วิ ต ประจํ า วั น ของเราตลอดวั น ตลอดเดื อ นตลอดป นี้ . เรา ไม สั ม ผั ส อะไรด ว ยความโง หรื อ เผลอสติ ; ฉะนั้ น เราจึ ง ควบคุ ม สติ ไ ด เมื่ อ กระทบอารมณทุกอยางทุกชนิด กิเลสเกิดไมได ไมมีการทําผิดพลาดใหเสียหาย อย างคนที่ ไม มี สติ . แล วก็ ทํ าการงานก็ จะดี ที่ สุ ด, จะศึ กษาเล าเรียนก็ จะดี ที่ สุ ด, จะ พั ก ผ อ นก็ ส บายที่ สุ ด , จะมี ชี วิ ต อยู เ ป น คน จนกว า จะตายนี้ มั น ก็ เ ป น ไปใน ลักษณะที่ดีที่สุด เพราะอํานาจของสิ่งที่เรียกวาสติ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เราควบคุ ม โลภะ โทสะ โมหะ ได เพราะสติ , เราควบคุ ม ความรัก ความโกรธ ความเกลี ย ด ความกลั ว ความวิ ต กกั งวล ความโศกเศร า อะไรได ด ว ย
๕๓๖
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
อํ า นาจของความมี ส ติ , อย า งที่ ว า มาแล ว . ฉะนั้ น ควรจะสนใจเป น เรื่ อ งคู กั น กับเรื่องปฏิจจสมุปบาท. ปฏิจจสมุป บาท บอกใหรูวาความทุกขเกิดขึ้นอยางไร, ความทุกข จะดั บ ไปอย า งไร; แต ค วามทุ ก ข จ ะดั บ ลงไปได นั้ น ต อ งด ว ยอํ า นาจของ ความ มี สติ .ฉะนั้ น ไป ฝ ก สติ เราก็ จ ะมี พ ระพุ ทธ พ ระธรรม พ ระสงฆ อยู ใ น ใจเรา หรื อ จิ ต ใจของเรานั้ น จะเป น พระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ น อ ย ๆ ขึ้ น มา เสียเอง ดวยการมีสติอยางที่กลาวนี้. ข อ ที่ เ รารู นั้ น เป น พระพุ ท ธเจ า , สิ่ ง ที่ เ รารู นั้ น เป น พระธรรม, สิ่ ง ที่ เ ราปฏิ บั ติ ห รื อ การปฏิ บั ติ นั้ น เป น พระสงฆ . เรามี จิ ต ที่ รู เรามี สิ่ ง ที่ สํ า หรั บ จิ ต รู , แล ว มี ก ารปฏิ บั ติ จิ ต นั้ น ให ถู ก ต อ ง. นี่ คื อ การมี พ ระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ ที่แทจริง เราเรียกวา ก ข ก กา ของพุทธศาสนาที่แทจริง มีอยูอยางนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ วั น นี้ ก็ ตั้ ง ใจว า จะพู ด แต เค า โครงของพระพุ ท ธศาสนา ก็ พู ด ได เท า นี้ โดยรายละเอี ย ดไว แสวงหาทางอื่ น คราวอื่ น , หรื อ ถ าจะพู ด ก็ พู ด กั น คราวอื่ น นี้ เป น จุดตั้งตนที่จะมีไวเปนหลักพื้นฐาน สําหรับศึกษาตอไป.
ขอให ทุ ก คน รั ก ษาหลั ก พื้ น ฐานนี้ ไ ว ใ ห ดี ให ชั ด เจนแจ ม แจ ง อยู ใ นใจ เสมอ, แล ว จะศึ ก ษาพุ ท ธศาสนาเรื่ อ งอะไรต อ ไปก็ ไ ด . แม จ ะมี ศี ล มี ศี ล ธรรม มี อ ะไร มั น ก็ เพราะควบคุ ม ความรู สึ ก เหล า นี้ ไ ว ไ ด . ทุ ก เรื่ อ งมั น จะมาขึ้ น อยู กั บ การมี ส ติ ใ นขณะแห ง ผั ส สะ; ถ า เราไม มี ส ติ ใ นขณะแห ง ผั ส สะ แล ว จะไม มี อะไร เหลื อ เป น ความถู ก ต อ งอยู ได เลย. ธรรมะจะมี อี ก กี่ ร อ ยกี่ พั น อย า ง มั น สํ า เร็ จ
เคาโครงของพุทธศาสนา
๕๓๗
อยู ต รงที่ วามี ส ติ ในขณะแห งผั ส สะ. ขอให จํ าไวให ดี เป น ผู มี ส ติ ในขณะแห งผั ส สะ ให ม ากที่ สุ ด เท า ที่ เราจะมี ม ากได , แล ว เราเพิ่ ม ให ม ากขึ้ น ด ว ยการฝ ก สติ ต อ ๆ ไป อี ก . เดี๋ ย วนี้ เรายั งมี ก ารฝ กส ติ น อ ย ก็ ใ ช ต าม น อ ย ก อ น , มี ส ติ ใน ข ณ ะ แห ง ผั ส สะให ทั น แก เวลา ก็ จ ะคุ ม ครองได ม าก, แล ว ต อ ไปฝ ก สติ ใ ห ส มบู ร ณ ยิ่งขึ้น, ก็คุมครองไดมากยิ่งขึ้น กวาจะถึงที่สุด คือความทุกขเกิดไมไดโดยแทจริง. เอาละ, การบรรยายนี่รูสึกวาพอแลวสําหรับวันนี้ เวลาเหลืออยูบาง ตอไปนี้ก็เปนเวลาสําหรับตอบคําถาม ถาใครมีความสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ถามได แลวก็จะตอบให. ....
....
....
....
พระพุ ทธเจ าท านประสู ติ กลางดิ น สอนสาวกกลางดิ น นิ พพานกลางดิ น. พระไตรป ฎ กตั้ ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขั น ธ นั้ น เกิ ด ขึ้ น เพราะการนั่ ง สอนกั น กลางดิ น . นี่ เราเรี ย กว า โรงเรี ย นของพระพุ ท ธเจ า , แล ว แผ น ดิ น นี้ เป น ที่ ป ระสู ติ เป น ที่ ต รั ส รู เป น ที่ ป ริ นิ พ พาน. พระพุ ท ธเจ า ท า นเกิ ด กลางดิ น ตรั ส รู ก ลางดิ น ตายกลางดิ น นี่พูดกันธรรมดา, กุฏิของทานตลอดเวลาก็พื้นดิน; ฉะนั้นขอใหชอบพื้นดินกันบาง พอได นั่ ง ก ล า ง ดิ น ที ไร แ ล ว ก็ ข อ ใ ห จิ ต นึ ก ถึ ง พ ร ะ พุ ท ธ เจ า ทั น ที เรี ย ก ว า พุทธานุสสติ ไดบุญ ไดกุศล จะมีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธเจาไดยิ่งขึ้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ โ รงเรี ย นกลางดิ น มั น มี อ ะไรพิ เ ศษกว า โรงเรี ย นที่ เ ป น ตึ ก เป น อะไร แบบที่ เ ขามี กั น ทั่ ว ไปในโลก. ฉะนั้ น ขอให ถื อ ว า เรานั่ ง หรื อ เราใช โ รงเรี ย นอย า ง พระพุ ท ธเจ า ก็ แ ล ว กั น , มั น มี จิ ต ใจแปลกกั น กว า ที่ จ ะไปใช โ รงเรี ย นอย า งธรรมดา.
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
๕๓๘
สามัญ ; ฉะนั้น ชว ยจํา ความรูสึก ในใจที่เ กิด ขึ้น ในขณะที ่เ รานั ่ง อยูต รงนี้ วามันมีอยางไร, อยางนอยมันก็มีลักษณะที่สะอาด สวาง และสงบ บางตาม สมควร. ถา ความรู ส ึก อัน นี ้ไ ดเ กิด ขึ ้น แลว ขอใหจํ า ไวใ หแ มน รัก ษาไวใ หด ี ๆ ให อ ยู กั บ เราตลอดไปนาน ๆ, แล วเพิ่ ม เติ ม ไว เรื่ อ ย ให มั น ติ ด กั น ไว เรื่ อ ย ว ามี ค วาม สะอาด มี ค วามสว าง มี ค วามสงบ แห งจิ ต ใจ, ก็ จ ะได รั บ ประโยชน ได รั บ กํ าไรใน ชีวิต คือมีธรรมะเปนเครื่องทําความเยือกเย็นแกจิตใจตลอดไป. เอาละ, ถาไมมีปญหาอะไรก็ปดประชุมได. ....
....
....
....
ถาม : ขอกราบเรี ยน มี นั กศึ กษาถามว า ตามธรรมดามนุ ษ ย เราทุ ก คนเมื่ ออยู ในครรภ ม ารดา นั้ น จิ ตย อมว าง, แต พ อลื มตาขึ้ นมองโลก ย อมมี ๓ ตั วคื อ โลภโกรธ หลง เข ามาอยู ทั้ ง สิ้ น . แต เมื่ อ เรารู จั ก ตั ว เอง กํ า จั ด ได ๑ ตั ว ผลต อ มาจะกํ า จั ด ได ห มดหรื อ ไม ? ขอให ท านจง ช วยอธิ บ ายให เพื่ อ น ๆ นั ก ศึ ก ษาได ฟ งด วย ว ามี วิ ธี กํ าจั ด ๓ ตั วนี้ ได อยางไร ?
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ตอบ : คือ วา เมื ่อ อยู ใ นทอ งมารดา มัน ไมม ีท างที ่จ ะเกิด กิเลส; กิเ ลสจะเกิด ก็ ตอเมื่อคลอดออกมา แลว แลวก็มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่ทํางานได แลว . ฉะนั ้น ทารกนั ้น จะตอ งเติบ โตพอสมควร จะเติบ โตพอที ่จ ะรู ว า อรอ ย หรื อไม อร อย พอใจหรื อไม พ อใจ ก็ เรี ยกว า ต องมี ผั สสะเป น แล ว, แล วก็ มี เวทนา เพราะว า ทารกนี้ ยั งไม มี ส ติ ยั งไม มี ป ญ ญา ยั งไม มี ความรู . ฉะนั้ น เขาก็ มี ผั ส สะ ตามแบบของความไม รู มั นก็ เกิ ดความรู สึ กที่ เป นกิ เลส ประเภทใดประเภท
เคาโครงของพุทธศาสนา
๕๓๙
หนึ่ ง , รั ก หรื อ ต อ งการความโง ก็ เ กิ ด ความโลภ. เมื่ อ ไม ไ ด อ ย า งใจด ว ยความโง ก็เกิดความโกรธ อยูดวยความโง ก็เรียกวาความหลง. นี้ เด็ กโตขึ้ นมาก็ ค อย ๆ มี ความโลภ ควาาโกรธ ความหลง เติ บโตขึ้ นมาตาม ที่ ผั ส สะมั น ขยายตั ว กว า งขวางอย า งไร. เวทนากว า งขวางอย า งไร, ก็ เ กิ ด กิ เ ลส กวางขวางเรื่อยขึ้นมา จนกวาจะเปนผูใหญ มันก็มีกิเลสเกิดขึ้นเต็มที่และสมบูรณ. ทีนี้ที่ถามวา จะกําจัดมันอยางไร ? ก็เรื่องเดียวกับเมื่อตะกี้นี้พูดไปแลววามีผัสสะ เ มื่ อ ไ ร ก็ มี ส ติ เ มื่ อ นั้ น , มี ส ติ ค ว บ คุ ม ผั ส ส ะ กิ เล ส ก็ ไ ม เกิ ด . เร า ศึ ก ษาจนรูว าความทุ ก ข เป น อย างนี้ , กิ เลสเป น เหตุ ให เกิ ด ทุ ก ข เป น อย างนี้ , แล วเราก็ ไม ป ระ ส งค . ก็ มี ส ติ ค ว บ คุ ม ผั ส ส ะ กิ เล ส ก็ ไม เกิ ด . กิ เล ส ไม เกิ ด มั น ก็ ไม มี ความชินที่จะเกิด มันก็งายดาย เปนอยูอยางที่ไมมีกิเลส. ขอให จํ า ไว ว า มั น เรื่ อ งเดี ย วกั น คื อ ควบคุ ม ผั ส สะไว ใ ห ไ ด กิ เ ลสก็ ไ ม เกิ ด มี ส ติ มี ป ญ ญ าพอ ก็ ค วบคุ ม ผั ส สะไว ไ ด . ขอให ไ ปเพิ่ ม พู น สติ ห รื อ ป ญ ญ า ฝกฝนใหมีมากและเร็ว พอที่จะควบคุมผัสสะ ใจความมันมีเทานี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถาม : ขอเรี ย นถามอี ก ข อ กระผมได อ า นหนั ง สื อ มา คํ า ว า ชาติ ป ทุ กฺ ข า ชราป ทุ กฺ ข า และมรณมฺ ป ทุ กฺ ขํ ในหนั งสื อ บางเล ม ของเขาอธิ บ ายว า หมายถึ งว าการเกิ ด จากท อ ง แม จากครรภ ของมารดา การตีความหมายอย า งนี้ กระผมคิ ดว า ไม คอยน าจะถู ก นั ก ไมทราบวาถูกตองเปนอยางไรครับ ?
ตอบ : มันก็ถูกตองทั้ง ๒ อยางแหละ จะตีความหมายธรรมดาภาษาคน วาเกิด จากท อ งแม แล ว ก็ ช ราไปตามเรื่ อ ง นั้ น ก็ ถู ก เหมื อ นกั น , มั น ก็ เ ป น ทุ ก ข เหมือนกัน.
๕๔๐
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
แต ว าที่ มั นเป นทุ กข กว านั้ น, มั นเป นทุ กข เมื่ อมี ความยึ ดถื อว าความเกิ ด ของเรา ความแก ข องเรา ความตายของเรา. นี่ เป น ความเกิ ด อี ก ความหมายหนึ่ ง ซึ่ ง เป น ทุ ก ข ว า เป น ทุ ก ข จ ริ ง กว า . ถ า เราไม ถื อ ว า ความเกิ ด ของเรา ความแก ของเรา ความตายของเรา มั น ก็ ไม เป น ทุ ก ข ทั้ ง ที่ มั น เกิ ด แก ตาย อยู นั่ น แหละ. ผู ที่ เป น พระอรหั น ต แ ล ว ก็ ยั ง มี ร า งกายที่ เรี ย กว า แก เจ็ บ ตาย อยู นั่ น แหละ; แต ท า นก็ ไม เป น ทุ ก ข ความเกิ ด แก เจ็ บ ตาย ของท า นมั น ก็ ไม เป น ทุ ก ข เพราะว า ท า นไม ไ ด ถื อ ว า ความเกิ ด แก เจ็ บ ตาย ของเรา. นี่ เ ขาเรี ย กว า ความ ปล อ ยวางหรื อ ความหลุ ด พ น . แต ถ าใครไปถื อ วา ความเกิ ด แก เจ็ บ ตาย ของ เรา คนนั้นจะเปนทุกขทันที และทุกทีที่มีความยึดถืออยางนั้น. ที นี้ ความเกิ ดจากท องแม นั้ น ยั งไม มี ความหมายอะไรนั ก จนกว าเมื่ อไร มัน ถู กยึด ถือวาความเกิด ของเรา มัน จึงจะแสดงบทบาท แสดงฤทธิ์ให เห็ น ; เกิ ดจากท องแม มั นก็ แล วไปแล ว, แต ถ าเอามายึ ดถื อวาความเกิ ดของเราเมื่ อไร ก็ จะ เป น ทุ ก ข เมื่ อ นั้ น . ฉะนั้ น ความเกิ ด จากท อ งแม ไม มี ค วามหมายที่ ส มบู ร ณ จนกว า เมื่ อ ไรจิ ต ใจจะเกิ ด ความยึ ด ถื อ ว า ความเกิ ด ของเรา. เกิ ด มาจากท อ งแม มั น ก็ เป น เรื่องครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไม สมบู รณ จนกว าจะมี ความยึ ดถื อความเกิ ดนั้ น วาความเกิ ด ของเรา, เมื่ อ นั้ น แหละสมบู ร ณ . ยึ ด ถื อ เมื่ อ ไรมี ก ารเกิ ด เมื่ อ นั้ น , ยึ ด ถื อ เมื่ อ ไร มีการเกิดเมื่อนั้น, และเปนทุกขเมื่อนั้น และเปนทุกขทุกที.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org จะเรี ยกว าถู ก มั นก็ ถู กทั้ ง ๒ ความหมายแหละ แต ว ามั นไม เท ากั น ความหมายเล็ ก ๆ ความหมายอย างภาษาเนื้ อหนั งวัตถุ มั นก็ เป นอย างหนึ่ ง, ความ หมายทางจิ ต ใจ คื อ ความยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น นั้ น มั น เป น อี ก เรื่ อ งหนึ่ ง , แล ว สํ า คั ญ ว า ,
เคาโครงของพุทธศาสนา
๕๔๑
แล ว ก็ เป น ทุ ก ข ก ว า . ความเจ็ บ ปวดที่ ไม โง ไ ปหลงยึ ด ถื อ ว า ความเจ็ บ ปวดของเรา นั้นมันเจ็บนอยกวา. ช ว ยจํ า กั น ไปด ว ย ว า เจ็ บ อะไรก็ ต ามเถอะ เจ็ บ แผล เจ็ บ อะไรก็ ต าม ตามธรรมดาจะมี ค วามทุ ก ข ต ามแบบนั้ น อยู แ ล ว ; แต ถ า ไปยึ ด ถื อ ว า ความ เจ็บ ของเราเขาไปอี ก จะเจ็บ มากกวานั้ น เขาไปอี ก , จะเจ็บ จนถึงกับจะเป นบ า หรือวาทรมานถึงสวนลึกสุดของจิตใจ. ความเกิ ด เป น ทุ ก ข ความแก เป น ทุ ก ข ต อ เมื่ อ มั น มี ค วามหมายว า เป น ของเรา ถ าไม ถู ก ยึ ด ถื อ ว าเป น ของเรา มั น ก็ จะเรียกว าไม เป น ทุ ก ข ก็ ได หรือ มั น เป น ทุ กข ชนิ ดเดี ย ว ถ ามั น มี เวทนา ถ ามั น มี เวทนาเช น ความแก ความเจ็ บ มั น มี เวทนา ก็ เป น ทุ ก ข ช นิ ด เดี ย ว แต ถ าไปยึ ด ถื อ ว า ความแก ของเราความเจ็ บ ของเรา จะทุ ก ข มากกว านั้ น หรือว าทุ กข ชนิ ดเดี ยวความรูสึ กธรรมดานี้ ถ าไปยึ ดถื อเข าอี ก มั นจะมี ความรูสึกเปนทุกขมากกวานั้นอีก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ เรีย กว า ตั ว จริ ง ของมั น อยู ที่ ต รงยึ ด ถื อ ; เมื่ อ ใดไปยึ ด ถื อ เมื่ อ นั้ น จะมี สิ่ งนั้ นเกิ ด ขึ้ น โดยความเป นของเรา, แล วก็ จะมี ความทุ กข มี ห วง มี วิ ต กกั งวล เกี่ยวกับความเกิด แก เจ็บ ตาย นั้นมาก กวาที่จะปลอยมันไปตามเรื่อง.
ตะกี้ ถ ามว า อั น ไหนจะถู ก กว า มั น ก็ ถู ก กั น ทั้ ง ๒ แหละ แต มั น ถู ก กั น คนละระดั บ , แล วระดั บ ที่ มี ป ญ หาเกี่ ยวกั บ พุ ทธศาสนาคื ออย างหลั ง อย างที่ มั นถู ก ยึ ด ถื อ ว า เป น ความเกิ ด แก เจ็ บ ตาย ของเรา. ท า นสอนให มี ป ญ ญารู สลั ด ออกไปโดยความไม ใช เป น ของเรา ให เป น ของธรรมชาติ . เอ า , มี ป ญ หาอะไรอี ก ?
๕๔๒
ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
ถาม: มีปญหาอีกขอหนึ่ง ถามวา ผมมีความทุกขอยู ๒ อยาง คือ ๑ ผมกลัวผีหลอก ทํา อย า งไรจึ ง จะหายกลั ว ผี ? อี ก ข อ หนึ่ ง ถามว า ผมกลั ว โจรผู ร า ย แล ว ทํ า อย า งไรจึ ง จะ หายกลัวโจร?
ตอบ: ถามีสติมีปญญาพอ ก็ไมมีความกลัว ไปฝกใหมันมีสติปญญาพอ ไดเห็น ไดรูสึกอะไร ก็อยาไปเขาใจวาเปนผี, แลวเรายึดมั่นถือมันใหมันเปนผีขึ้น มา. ให ศึ ก ษาให รู ว า กลั ว มั น ก็ เป น ทุ ก ข เปล า ๆ ไม ก ลั ว ดี ก ว า , หรื อ ว า ถ า จะต อ ง ทํ า อยา งไรก็ทํ า ไป จะปอ งกัน หรือ หลีก หนีโ จรผู ร า ยอยา งไร ก็ห ลีก หนีไ ปโดยที่ จิ ตใจไม ต องกลั ว จะได ไม เป นทุ กข , มี สติ มี ป ญ ญาสํ าหรับที่ จะไม กลั ว แล วก็ ไม เป น ทุกข. เอา, มีอะไรอีก? ถาม : ยังมีอีก แตวารูสึกวาตรงกับคําอธิบายที่ทานไดอธิบายไปแลวเมื่อกี้ เชนเขาถามวา วิญ ญาณที่พ ระพุท ธเจาไดก ลาวไวนั้น หมายความวา อยางไร ก็รูสึก วาก็ตรงกับ ที่ทา น ไดอธิบายผานมาแลว.
ตอบ : เมื่ ออายตนะภายนอก กั บอายตนะภายในเนื่ องกั น มั นจะเกิ ดวิ ญ ญาณขึ้ น ทางอายตนะนั้น ๆ คือทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ; นี่วิญญาณที่ พระพุ ทธเจ าท านสอนเป นอย างนี้ . ส วนวิ ญ ญาณเจตภู ติ ที่ ชาวบ านพู ด ลอยไปเกิ ด ลอยมาเกิ ด นั้ น อี ก ความหมายหนึ่ ง พระพุ ท ธเจ า ท า นไม ไ ด ต รั ส ถึ ง เรื่ อ งนี้ เราก็ ไมพูด. แต ถ าเราเชื่ อว ามี วิ ญ ญาณที่ เป นผี อย างนั้ นอยู , แล วเราก็ จะแก ป ญ หา นั้น ได ดว ยมีส ติมีปญ ญา เมื่อ เกิด การกระทบชนิด ที่ใ หเ กิด ความรูสึก วา ผี, มีส ติมีปญ ญาใหพ อ แลวจะไมเกิด ความรูสึกวาผี, หรือ ถามัน เกิด ความรูสึก วาผี ก็ข อใหถือ วา มัน เปน เพีย งผลแหง การกระทบทางอายตนะทา นั้น ไมใ ชผี จริง ๆ. ถา ศึก ษาใหถ ึง ที ่ส ุด มัน เปน เรื่อ งไมม ีต ัว ไมม ีต น ศึก ษาเรื่อ งอนัต ตา เรื่องสุญญตา แลวจะไมมีผีเหลืออยูเลย.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
_____________