[Title will be auto-generated]

Page 1

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


คําปรารภ ธรรมโฆษณ เล มนี้ เป นคํ าบรรยายชุ ด ที่ ลานหิ นโค ง สวนโมกขพลาราม ประจํ าวั นเสาร ภาคมาฆบู ชา ระหว างวั นที่ ๕ มกราคม ถึ ง ๓๐ มี นาคม พ.ศ.๒๕๑๗ รวม ๑๓ ครั้ ง กั บ คํ า บรรยายพิ เ ศษต น ป ๒๕๑๗ หนึ่ ง ครั้ ง , ในป พ.ศ.๒๕๒๒ อี ก สองครั้ง รวมตีพ ิม พไ วเปน ภาคผนวก เพราะเปน คํ า บรรยายแนวเดีย วกัน , รวม เปน เลม ๑๖ ครั ้ง เปน ธรรมโฆษณห มวดสอง ชุด ปกรณพ ิเ ศษ อัน ดับ ๑๔ ค. บนพื้ น แถบสี แ ดง จั ด พิ ม พ ขึ้ น ได โดยใช เงิ น บริ จ าคของคุ ณ ภุ ช งค บุ ญ สู ง ผู เป น ทานบดี ตั้ ง ทุ น ไว ที่ ส วนอุ ศ มมู ล นิ ธิ เพื่ อ จั ด พิ ม พ ห นั ง สื อ ธรรมโฆษณ เล ม ใดเล ม หนึ่ ง ของ ท า นอาจารย พุ ท ธทาสภิ ก ขุ ทางสวนอุ ศ มมู ล นิ ธิ ได เสนอท า นทานบดี ให จั ด พิ ม พ คํ า บรรยายที่ รวบรวมไว เป น หนั ง สื อ ชุ ด ธรรมโฆษณ ฉบั บ ชื่ อ ว า ก ข ก กา ของ การศึก ษาพุท ธศาสนา เพื ่อ ถวายทา นอาจารยส ว นหนึ ่ง แจกเปน ธรรม บรรณาการตามสมควร และอี กส วนหนึ่ งสํ าหรั บสมนาคุ ณ แก ผู ช วยเหลื อในการพิ มพ หนังสือชุดธรรมโฆษณตอไป ชื่ อของคํ าบรรยายเล มนี้ ท านอาจารย ตั้ งชื่ อเป นอุ ปมาให คิ ดประหนึ่ งว า เป น เรื่ อ งเรี ย น ก ข ก กา ง า ย ๆ ; แต แ ท จ ริ ง มิ ได ง า ยเลยสํ า หรั บ การเริ่ ม เรี ย นขั้ น ต น นั้ น ฉั น ใด, ก ข ก กา ของการศึ ก ษาพุ ท ธศาสนาก็ ฉั น นั้ น ; เพราะเป น การ ศึ กษาเบื้ องต นของวิ ทยาศาสตร ทางรู ปธรรม – นามธรรม อั นเป นจั กรกลของกายกั บ จิ ต ชั้ น ปรมั ต ถ ถ า ผู ใ ดศึ ก ษาให รู แ จ ง เห็ น จริ ง ของจั ก รกลอั น นี้ จะสามารถเข า ใจ ธรรมชาติ ของทุ กสิ่ ง, สามารถหยั่ งรู แจ งในไตรลั กษณ , อิ ทั ปป จจยตา, ปฏิ จจสมุ ปบาท และตถตาไดโดยงาย.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


คํา บรรยายของท า นอาจารย พุ ท ธทาส ที่ ส มควรจะรวบรวมเป น หนั ง สื อ ธรรมโฆษณไ ด ยัง มีอ ีก มาก ; หากทา นผู ใ ดประสงคจ ะสรา งหนัง สือ นี ้ไ วใ น พระพุ ท ธศาสนาต อ ไปอี ก โปรดติ ด ต อ ที่ สวนโมกขพลาราม, ธรรมทานมู ล นิ ธิ อําเภอไชยา หรือที่สวนอุศมมูลนิธิ คณะผูจัดทํา สวนอุศมมูลนิธิ ๗๗ หมู ๖ แขวงหนองบอน เขตพระโขนง ถนนสุขุมวิท ซอย ๑๐๓ กทม. ๑๐๒๖๐

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธ ศาสนา www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธ ศาสนา คําบรรยายประจําวันเสาร ภาคมาฆบูชา ณ ลานหินโคง เชิงเขาพุทธทอง สวนโมกพลาราม อ. ไชยา ระหวางวันที่ ๕ มกราคม ถึง ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๗ และอบรมพิเศษ ๒๕๑๗, ๒๕๒๒ (รวม ๓ เรื่อง) ของ

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org พุทธทาสภิกขุ

ธรรมทานมูลนิธิ จัดพิมพดวยทุน ของผูบริจาคที่ตั้งไวทาง “สวนอุศมมูลนิธิ” เปนอันดับที่ สิบสอง แหงทุนนี้ เปนการพิมพครั้งแรกของหนังสือเลมนี้ในชุดธรรมโฆษณหมวดสอง อันดับที่ ๑๔ ค บนพื้นแถบสีแดง ชุดปกรณพิเศษ


พิมพจํานวน ๑,๕๐๐ เลม, พฤษภาคม ๒๕๑๘ (ลิขสิทธิ์ไมสงวนสําหรับการพิมพแจกเปนธรรมทาน , สงวนเฉพาะการพิมพจําหนาย)

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


สารบาญละเอียด ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

๑. อารัมภกถา เกี่ยวกับ ก ข ก กา ในพุทธศาสนา ทานองคบรรยายเพิ่งหายปวยพอทําไดจึงยังมีการบรรยายตามปกติ …. …. ใหถือหลักวา กิจกรรมของหมูคณะตองปฏิบัติอยางเครงครัด …. …. ปจจุบันไมคอยสนใจปฏิบัติกิจวัตรประจําวงศสกุล …. …. …. …. การแสดงธรรมที่เคยจัดประจําวันในวัด ไมควรเลิกละ …. …. …. …. การบรรยายครั้งนี้จะรื้อฟนธรรมะชนิดที่เรียกวาเปน ก ข ก กา …. …. …. ผูศึกษาพุทธศาสนาไมตั้งตนเรียนเรื่องที่กําลังเกิดที่กายวาจาใจ …. …. …. เขาไมรูเรื่องที่ควรรู, จึงรูเทาที่มีอยูเปนตัวหนังสือ …. …. …. การถึงพระรัตนตรัย ตองเรียน ก ข ก กา ของพระธรรมที่แทจริง…. …. …. ธรรมะที่เปรียบเหมือน ก ข ก กา ก็คือเกี่ยวกับขันธทั้งหา …. …. …. ตองศึกษาทบทวนเริ่มตั้งแตเรื่องธาตุหก กระทั่งธาตุปรุงกัน …. …. …. ธาตุขางในยังมีคูกับธาตุขางนอก, ปรุงเปนอายตนะตามโอกาส …. …. …. ธาตุทั้งหลาย ปรุงกันเปนอายตนะเปนขันธ, เปนอุปาทานขันธ …. …. …. ตอจากนี้ใหภิกษุขึ้นธรรมาสนพูดสั้น ๆ เรื่อง ก ข ก กา ทีละองค …. …. ภิกษุพูดจบแลว, สรุปใหมองดูภายในตน เพื่อรูเรื่องทุกข …. …. …. ใหรูเรื่องขั้นตน ๆ ของความดับทุกขคือ อยายึดมั่นถือมั่น …. …. …. ใหรูไปถึงวา ถามีสติ, มีความรู, จะปรุงเปนทุกขไมได …. …. …. ใหรูจักขันธหา ถึงขนาดเห็นธรรมชาติอยาใหปรุงเปนทุกข …. …. …. จิตเปนประภัสสร, ตองเขาใจธาตุอายตนะขันธแลวดับทุกขได …. …. …

๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ ๑๑ ๑๒ ๑๓ ๑๔ ๑๕ ๑๖ ๑๗ ๑๘

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


[๒]

๒. คําอภิปรายของภิกษุอื่น ซึ่งบรรยายครั้งที่ ๒ ของชุด ไมไดรวมไวในชุดนี้

๓. เรื่องเกี่ยวกับธาตุ การพูด ก ข ก กา แหงพุทธศาสนา จะเรียกวาของปรมัตถก็ได …. …. ควรถือเสียวา พุทธศาสนาตองเปนปรมัตถ เพราะเปนเรื่องดับทุกข …. …. ตัวพุทธศาสนาตองการใหเห็น อนัตตา ซึ่งดับกิเลสได …. …. …. ทุกสิ่งเปนธาตุ แตสรุปแลวมี ๒ : สังขตะกับ อสังขตะ …. …. …. …. ขอใหตั้งตนศึกษาเรื่องธาตุโดยละเอียด, จะเขาใจพุทธศาสนา …. …. …. ถาไมรูจักธาตุ ไมเห็นธาตุ ก็จะมองไมเห็นอนัตตา …. …. …. พอรูจักธาตุสังขตะ และอสังขตะก็จะรูวาไมมีอัตตา …. …. …. ตองศึกษาใหรูจักคุณสมบัติอันเปนสวนประกอบของธาตุ …. …. …. …. พิจารณาดูเริ่มแต ธาตุดิน, ธาตุน้ํา วามีคุณสมบัติอยางไร …. …. …. ธาตุไฟ ลม อากาศ มีลักษณะเฉพาะ, สวนวิญญาณธาตุเปนนามธรรม …. จากธาตุ ๖ ยังประกอบเปนธาตุอื่น ๆ ไดอีก …. …. …. …. …. ธาตุภายในมีประสาท เมื่อจับคูกับธาตุภายนอกก็ปรุงเปนธาตุใหม …. …. อายตนะขางในกระทบกับอายตนะภายนอก วิญญาณธาตุก็เขาผสม …. …. การเกิดขึ้นแหงธาตุแลวปรุงจนเปนอุปาทานขันธ ก็เปนทุกข …. …. …. ตองมองใหเห็นวาความทุกขมันตั้งรากฐานอยูบนพื้นฐานแหงธาตุ …. …. อายตนะ และขันธแตละชื่อที่มีขึ้นก็เพราะมีธาตุอยางนั้น ๆ อยูกอน …. …. ธาตุเดิมที่ปรุงเปนสังขารขันธยังมีธาตุอีกหมวดละ ๓ มาปรุงรวมคือ : ธาตุ …. กุศล อกุศล อัพพยากต, และธาตุกาม รูป อรูป …. …. …. …. ยังมีอสังขตธาตุ เรียกนิพพานหรือนิโรธธาตุ, เปนที่ดับทุกข …. …. เมื่อรูวาสิ้นทุกข จะปรากฎเปนธาตุวางหรือสุญญตธาตุ …. …. …. …. มนุษยตองเปนทุกข เพราะไมรูจักสิ่งที่เรียกวาธาตุ …. …. …. ….

๑๙ ๒๐ ๒๑ ๒๒ ๒๓ ๒๔ ๒๕ ๒๖ ๒๗ ๒๘ ๒๙ ๓๐ ๓๑ ๓๒ ๓๓ ๓๔

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๓๕ ๓๖ ๓๗ ๓๘


[๓] คําบรรยายของภิกษุรูปหนึ่ง

สุขทุกข นี้เปนเพียงสักวาธาตุ ไมมีตัวตนแนนอนอะไร …. …. …. พระผูมีพระภาคทรงสอนใหมีปญญาเห็นเพียงสักวาธาตุ …. …. …. ทองคําวา "สักวาธาตุ" ไวเรื่อย ทุกขจะคอย ๆ นอยลง …. …. …. ดับทุกข คือดับที่จิตใจ, ที่ความรูสึกใหรูวา "สักวาธาตุ" เทานั้น …. …. รู "สักวาธาตุ" นี้สอนใหคนฉลาด, รูความจริงแลวไมทุกข …. …. …. ถารูตามความเปนจริงแลว เรียกวาเราไดครูที่ประเสริฐที่สุด …. …. …. พระพุทธเจาตรัสวา ไมยึดมั่นถือมั่น, รูจริงเรื่องธาตุ, ก็หมดปญหา …. …. ภิกษุอีกรูปหนึ่งบรรยาย :เรื่องธาตุนี้ตองเรียนใหรูทั้งภายในภายนอกแลวไมยึดมั่นฯ …. …. …. ตองมีปญญารูจักธาตุ, รูวิธีทําใหทุกขดับคืออริยมรรคมีองค ๘ …. …. ภิกษุอีกรูปหนึ่งบรรยาย :คําวาธาตุ กับ ธรรม นี่มคี วามหมายอยางเดียวกัน …. …. …. พระพุทธเจาเคยตรัสวา คนดีอยูกับคนดีได เพราะธาตุเหมือนกัน …. …. นันทิเกิด ความทุกขก็เกิด, นันทิดับ ความทุกขก็ดับ, ไมเที่ยงได …. …. ตองรูจักวาอายตนะใน - นอก - ผัสสะ - ตัณหา ไมใชตัวตนของเรา …. …. การประพฤติพรหมจรรยก็เพื่อรูเรื่องทุกขและดับทุกข …. …. …. เมื่อมีผัสสะ_เวทนา_ตัณหาแลว ตองดับตรงที่ตัณหานั้น …. …. …. รางกายนี้บางทีเรียกวาโลก ถาธาตุไมทําหนาที่ โลกก็สลาย …. …. อยาใหเกิดตัณหา โดยมีวิชชาธาตุมาทัน ก็จะมีความโลงใจ …. …. …. เมื่ออาการขันธเกิด พึงรูวา สักวาธาตุ เทานี้ก็ถึงที่สุดทุกขได …. …. …. พระพุทธเจาตรัสรู ก็เพราะรูปริวัฎฎ ๔ ของเบญจขันธ …. …. …. ถาไมไปสําคัญ, ละความพอใจความกําหนัด, ก็เปนนิโรธ …. …. ….

๓๙ ๔๐ ๔๑ ๔๒ ๔๓ ๔๔ ๔๕

๔๖ ๔๗ ๔๘ ๔๙ ๕๐ ๕๑ ๕๒ ๕๓ ๕๔ ๕๕ ๕๖ ๕๗ ๕๘

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


[๔]

ควรสนใจธาตุที่ทําใหเปนทุกข เพราะยึดถือเขาจึงเปนทุกข …. …. …. ธาตุที่ทําใหเปนทุกข มันก็ทุกขอยูตามธรรมชาติเชนนั้นเอง …. …. …. ตองศึกษาใหมากที่สุด ตรงเวทนาตอกับตัณหาตองมีสติปญญา …. …. ….

๕๙ ๖๐ ๖๑

๔. ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุ เปนตนเหตุแหงมิจฉาทิฎฐิอันรายแรง การศึกษาในเรื่อง ก ข ก กา นี้ยังโลเล เอาแนไมได …. …. …. ทบทวนใหรูวา เรื่องธาตุตองศึกษาใหเขาใจทุกแงทุกมุม …. …. …. ถาธาตุบางธาตุไมปรุงแตงกัน ธาตุอื่น ๆ ก็มิอาจปรากฎออกมาได…. …. …. ธาตุตาง ๆ ปรุงตอเนื่องกันเปนลําดับ ๆ ไป …. …. …. พอธาตุขางในถึงกันกับธาตุขางนอกก็เปนโอกาสใหธาตุอื่น ๆ เกิดอีก …. …. ธาตุที่ปรุงออกมาเปนธาตุกาม, รูป, อรูป และถึงดับเปนนิโรธธาตุ… …. …. รูจักคุณลักษณะของธาตุ ๖ ใหถูกเสียกอน จะเขาใจธาตุตอไป …. …. …. แลวตองรูจักคุณสมบัติ หรือสมรรถภาพของแตละธาตุ …. …. …. ธาตุอากาศ คือ ธาตุวาง, วางทางจิตนั้นไมไดคิดนึกอะไร …. …. …. วิญญาณธาตุ คือ บรรดาความรูสึกทางจิตทั้งนามธรรมและอรูปธรรม …. …. ธาตุ ๖ เปนธาตุพื้นฐาน แตคนไมรูสึกวาเปนสักวาธาตุปรุงกันอยู…. …. …. ความเขาใจผิดเรื่องธาตุ เปนตนเหตุแหงมิจฉาทิฎฐิ …. …. …. มิจฉาทิฎฐินี้เปนอันตรายตอการบรรลุมรรค ผล นิพพาน …. …. …. มิจฉาทิฎฐิเกิดขึ้นเพราะไมเขาใจธาตุผิดเปนตัวกู - ของกูเสมอ …. …. …. เขาใจเรื่องธาตุโดยชื่อ หรือแกลงเขาใจผิดเพราะคดโกงก็ได …. …. …. พระพุทธเจาทรงเตือนใหฉลาดรูเรื่องธาตุตามที่เปนจริง …. …. …. ฉลาดเรื่องธาตุ คืออยาเห็นธาตุเปนตัวเราหรือของเรา …. …. …. ไมรูจักธาตุวาเปนสักวาธรรมชาติเปนเหตุใหมีความทุกข …. …. ….

๖๒ ๖๓ ๖๔ ๖๕ ๖๖ ๖๗ ๖๘ ๖๙ ๗๐ ๗๑ ๗๒ ๗๓ ๗๔ ๗๕ ๗๖ ๗๗ ๗๘ ๗๙

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


[๕]

ทุกขทั้งหลายมาจากไมรูความจริงที่สักวาธาตุตามธรรมชาติ …. พระพุทธเจาตรัสรูสิ่งที่ไมมีใครเคยสอนมากอน คือ สุญญตา, อนัตตา หัวใจของพุทธศาสนาอยูที่อนัตตาหรือสุญญตา …. ถายังหลงรสอรอยของโลก ก็ไมอาจมองเห็นความเปนธาตุ …. คนโงไปยึดถือธาตุเปนตัวตน จึงเปนทุกขขึ้นมา …. ตัวทุกขอยูที่ความยึดมั่นถือมั่นในธาตุนั้น …. …. …. …. ผูไมรูเรื่องธาตุ จะยินดียินรายไปตามความหลอกของธาตุ …. …. เห็นความเปนธาตุจะไมเห็นเปนตัวตนสัตวบุคคลอะไร …. ตองมีสติสัมปชัญญะ มองเห็นสิ่งทั้งปวงเปนสักวาธาตุ ….

…. …. …. …. …. …. …. …. ….

…. …. …. …. …. …. …. …. ….

๘๐ ๘๑ ๘๒ ๘๓ ๘๔ ๘๕ ๘๖ ๘๗ ๘๘

๕. การเกิดขึ้นของทุกสิ่งตั้งตนที่ผัสสะเพียงสิ่งเดียว การบรรยายครั้งนี้ใหถือเหมือนเรียน ก ข ก กา มาสัก ๕ …. …. …. ๘๙ การเกิดขึ้นของทุกสิ่งตั้งตนที่ผัสสะ จึงตองรูจักผัสสะใหดี …. …. …. ๙๐ ทุกสิ่งในโลกนี้มีการเกิด - ดับ ๆ อยูตลอดเวลา …. …. …. ๙๑ เมื่อรูวาโลกนี้มีการเกิดดับจะตองใหไมยึดมั่นถือมั่นอยูโลก …. …. …. ๙๒ การเรียนรูเรื่องโลกในแงความทุกข จะรูตอไปวามาจากผัสสะ …. …. …. ๙๓ ผัสสะมันตั้งตนมาจากอายตนะซึ่งมาจากธาตุทั้งปวง …. …. …. ๙๔ ตองรูจักธาตุตั้งตนจนถึงธาตุสุดทาย ไมมีปจจัยปรุงแตง …. …. …. ๙๕ มนุษยมีขึ้น เพราะมีความรูสึกที่เรียกวาผัสสะ …. …. …. ๙๖ ความมี - ไมมี ขึ้นอยูกับความรูสึกที่มีผลออกมา …. …. …. ๙๗ ความทุกขมีความหมาย เฉพาะแกสิ่งที่มีความรูสึก …. …. …. ๙๘ ความสําคัญของมนุษย อยูตรงที่เปนเวไนยสัตว …. …. …. ๙๙ มนุษยควรรูจักตัวเองวา ตั้งตนอยางไร, ไปทางไหน, จบที่ไหน …. …. …. ๑๐๐ การศึกษาพุทธศาสนามีหลายแงทั้งปริยัติปฏิบัติ …. …. …. ๑๐๑

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


[๖]

เราตองศึกษา ในแงปฏิบัติ เพราะเรามีความทุกขเปนปญหา …. …. …. มีผัสสะโงเมื่อไร ปญหาจะตั้งตนเมื่อนั้น …. …. …. เพราะสัมผัสดวยอวิชชา จึงเกิดความยึดมั่นถือมั่น …. …. …. การคิดเห็นทุกขเองมันชา จึงควรศึกษาตามพระพุทธเจา …. …. …. ไมใชรูตามพระองค แตตอ งรูประจักษดวยใจเองและดับทุกขได …. …. …. ดูความรูสึกที่จิต จะรูไดวา ทุกอยางตั้งตนที่ผัสสะ …. …. …. โลกนี้ไมมีสวนใดควรยึดถือ, ไปยึดเขาก็เกิดทุกข …. …. …. ความทุกขสวนใหญมาในรูป รัก โกรธ เกลียด กลัว …. …. …. ถาเปนผัสสะดวยอวิชชาแลว จะตองเกิดความทุกขทั้งนั้น …. …. …. การสัมผัสเกิดไดดวยสิ่งที่มีอยูโดยธรรมชาติ ๖ คู …. …. …. ความเปนของคู ถาพบกันจะเกิดปฏิกิริยา เปนดี – ชั่ว …. …. …. การพบกันของอายตนะ ๖ คู เกิดมีเรื่องนี้เรียกผัสสะ …. …. …. พอสิ่งที่เปนคูกระทบกัน ก็เกิดสิ่งที่ ๓ เรียกวาวิญญาณ …. …. …. ผัสสะจะสมบูรณ เมื่อวิญญาณเกิดขึ้นมาแลวดวย …. …. …. พอผัสสะเกิดแลว ก็มีสิ่งอืน่ ๆ เชน เวทนา สัญญา …. …. …. เมื่อมีสัญญา แลวก็เกิดความคิดตาง ๆ เปนตัวกู - ของกู ฯลฯ …. …. …. เรื่อง ตา - ใจ คูกับรูป - ธัมมารมณสัมผัสกัน นี้คือเรื่อง ก ข ก กา …. …. พยายามศึกษา ก ข ก กา ใหรูเรื่องผัสสะ, มีสติขณะผัสสะ …. …. …. ผูประพฤติพรหมจรรยในศาสนาตองรูชัดเจนเรื่องผัสสายตนะ …. …. …. ตองรูจักผัสสะในลักษณะ ๕ คือ เกิด – เสนห – โทษ – วิธีชนะ …. …. …. ตองพยายามศึกษารูจักควบคุมเอาชนะผัสสะใหจงได …. …. …. พระพุทธองคทรงยืนยันวาถาไมรูเรื่องอายตนะทั้งคูจะยังไมตรัสรู …. …. …. จึงใหรูจักผัสสะ แลวจิตจะเจริญ รูจักโลกอยางดี …. …. ….

๑๐๒ ๑๐๓ ๑๐๔ ๑๐๕ ๑๐๖ ๑๐๗ ๑๐๘ ๑๐๙ ๑๑๐ ๑๑๑ ๑๑๒ ๑๑๓ ๑๑๔ ๑๑๕ ๑๑๖ ๑๑๗ ๑๑๘ ๑๑๙ ๑๒๐ ๑๒๑ ๑๒๒ ๑๒๓ ๑๒๔

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


[๗]

แลวจะเห็นไดเองวา โลกตั้งตนที่ผัสสะตั้งอยูดับไปพรอมผัสสะ …. ตองรอบรูในเรื่องผัสสายตนะอันเปนจริงของพุทธศาสนา ….

…. ….

…. ….

๑๒๕ ๑๒๖

ขอที่วาตั้งตนดวยกามธาตุ เปน ก ข ก กา ของปญหาชีวิต …. …. …. สิ่งที่มีชีวิต จะตองตายและสูญพันธุเพราะไมไดสิ่งที่จําเปน …. …. …. วิถีชีวิตของสัตวของพืช ตั้งตนปญหาดวยกามธาตุ …. …. …. ธาตุที่เปนพื้นฐานใหโอกาสแกกามธาตุเปนเรื่องแรก …. …. …. ธาตุพื้นฐานลวน ๆ เริ่มดวยสวนประกอบที่เปนคนแลวขยายตอไป …. …. เดิมมีธาตุ ๓ หมวด คือ กาม – รูป - อรูป แลวขยายหมวดละ ๖ …. …. กามธาตุปรากฎกอน เมื่อมีธาตุภายนอกมาใหรูจักความอรอย…. …. …. เริ่มแตทารกรูจักอรอย นั่นคือกามธาตุปรากฎแลวขยายไปทุกที …. …. เมื่อรางกายเติบโต กามธาตุก็ขยายตัวเรื่อย ปญหาทางเพศก็มากขึ้น …. กามธาตุตั้งตนแลวเนือยไปก็เกิดมีรูปธาตุ, อรูปธาตุ …. …. …. ในระยะหนึ่งอาจมีสวนเปน กามธาตุ, รูปหรืออรูปฯ ก็ได …. …. …. เมื่อใดธาตุปรุงแตงกันจนเปนธาตุทั้ง ๓ ปญหาก็เกิดเปนทุกขทั้งนั้น …. กามธาตุทําใหมีปญหามากมนุษยจึงมีระเบียบควบคุมเรื่องนี้ …. …. …. ธาตุทั้ง ๓ มนุษยเคยยกเปนนิพพาน แตคนพบวาไมจริง …. …. …. นิพพานในพระพุทธศาสนาตองมีนิโรธธาตุ ดับกิเลสสิ้นเชิง …. …. …. โลกปจจุบันหลงใหลในเรื่องกามธาตุยิ่งไปกวาครั้งพุทธกาล …. …. …. บรรดาธาตุทั้งหลายยังมีธาตุอะไรซอนอยูในนั้นอีกมาก …. …. …. จะพิสูจนไดดังที่สัตวเกิดในครรภเริ่มแตเปนจุดเล็ก ๆ กระทั่งโต …. …. …. ธาตุที่ปรุงกัน ๓ หมวดแรกเปนตัวตัณหายังแบงเปนฝายนามธรรมไดอีก ๓ ….

๑๒๗ ๑๒๘ ๑๒๙ ๑๓๐ ๑๓๑ ๑๓๒ ๑๓๓ ๑๓๔ ๑๓๕ ๑๓๖ ๑๓๗ ๑๓๘ ๑๓๙ ๑๔๐ ๑๔๑ ๑๔๒ ๑๔๓ ๑๔๔ ๑๔๕

๖. ปญหาในวิถีของชีวิตตั้งตนดวยกามธาตุ

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


[๘]

มีคุณสมบัติตาง ๆ ไดแก ธาตุสังขตะ, อสังขตะ, นิโรธธาตุ …. …. นิโรธธาตุเปนเครื่องแกปญหาของธาตุทั้ง ๓ ขางตน …. …. …. ชีวิตทั้งหลายในขั้นกามารมณ หรือถึงรูป - อรูปธาตุ ก็ยังตองการนิโรธ นิโรธธาตุเปนความดับ หยุดพัก, หยุดจริงก็เปนนิพพานธาตุ …. …. เมื่อไร นิโรธธาตุทําหนาที่สมบูรณ ก็เปนนิพพานธาตุ …. …. นิโรธธาตุเปนที่แสดงออกของนิพพาน ชวยใหไมเปนทาสกามารมณ …. นิโรธธาตุมาชวยคุมครองใหมีชีวิตรอดอยูไดในปจจุบัน …. …. ธาตุพื้นฐานวิวัฒนาการจนเปนโอกาสใหธาตุลึกลับซอนมา …. …. ธาตุทั้ง ๓ คือ กาม – รูป - อรูป มาทําชีวิตหลงใหลมาเรื่อย ๆ …. …. ถาไดศึกษาพระศาสนามีขอปฏิบัติ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาก็ไมทุกขมาก กามธาตุสรางปญหามากจึงตองรูจักมีนิโรธธาตุมาชวย …. …. เพิ่มพูนนิโรธธาตุใหเกิดมรรคผลนิพพานก็จะหมดปญหา …. ….

…. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. ….

๑๔๖ ๒๔๗ ๑๔๘ ๑๔๙ ๑๕๐ ๑๕๑ ๑๕๒ ๑๕๓ ๑๕๔ ๑๕๕ ๑๕๖ ๑๕๗

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๗. อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก

ทบทวนใหเขาใจหลักพุทธศาสนาใหถูกตอง …. …. เรื่อง ธาตุ ขันธ อายตนะ ยังเขาใจไมถูกตอง, ควรสนใจ …. …. เขาใจเรื่องธาตุใหถูกตอง แลวจึงจะเขาใจกระทั่งปญจุปาทานขันธ …. ธรรมะขอตาง ๆ แยกดู จะพบความเปนธาตุใดธาตุหนึ่ง …. …. ตองสนใจธาตุพื้นฐาน ๓ หมวดเริ่มแตหมวดที่จะประกอบเปนกาย …. แลวปรุงกันออกไปเปนหมวดละ ๖ จนเปนธาตุ ๑๘ อยาง …. …. ถาไมสนใจเรื่องธาตุ จะไมเขาใจพุทธศาสนา, ตองศึกษาอยางวิทยาศาสตร ศึกษาใหรูจักคํา "อารมณ" มิใชตามตัวหนังสือในภาษาไทย …. …. อารมณในบาลีหมายถึง สิ่งที่เขามากระทบ ตา – ใจ …. ….

…. …. …. …. …. …. …. …. ….

๑๕๘ ๑๕๙ ๑๖๐ ๑๖๑ ๑๖๒ ๑๖๓ ๑๖๔ ๑๖๕ ๑๖๖


[๙]

อารมณเปนสิ่งที่อาศัยกับอายตนะ เกิดความรูสึกเปนจิต …. …. …. ๑๖๗ พิจารณาดู อารมณโดยหลักธรรมชาติที่ปรุงแตงกันอยูในใจ …. …. …. ๑๖๘ จะรูจักอารมณ เมื่ออารมณมากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ…. …. …. ๑๖๙ อารมณก็คือโลกทั้งหมดที่มาปรากฎแกอายตนะ ๖ …. …. …. ๑๗๐ ถารูจักอารมณ ๖ จะรูจกั โลก แลวไมหลงโลกในแงใด ๆ …. …. …. ๑๗๑ อารมณในโลกที่เปนปญหาในปจจุบันรวมอยูที่วัตถุนิยม …. …. …. ๑๗๒ อารมณเปนปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก …. …. …. ๑๗๓ อารมณเปนตนเหตุของสิ่งทั้งปวง …. …. …. …. …. …. ๑๗๔ ถาไมมีอารมณ จิตก็จะไมรูสึกเปนจิตขึ้นมาได …. …. …. ๑๗๕ จิตแทจริง มิไดเปนตัวตน สวนที่สอนกันเปนตนนั้นเปนฮินดู …. …. …. ๑๗๖ ที่สอนกันมาแตกอน ก็มีประโยชนเหมือนกันแตรูเพิ่มขึ้นก็ยิ่งดี …. …. …. ๑๗๗ พระพุทธเจาไมทรงทําลายของเกา แตทรงเสริมใหสูงขึ้น …. …. …. ๑๗๘ จิตเปนสิ่งที่เพิ่งปรากฎเมื่อไดอารมณขางนอกมากระทบอวัยวะ …. …. …. ๑๗๙ จะศึกษาพุทธศาสนาตองตั้งตนที่อารมณคืออายตนะทั้งคู …. …. …. ๑๘๐ อารมณเปนสิ่งมาสูจิตกอนอื่น จะตองตัง้ เปาหมายใหถูก …. …. …. ๑๘๑ จะแกปญหาตาง ๆ ในชีวิตประจําวันตองเอาอารมณเรื่องนั้นมาแก…. …. …. ๑๘๒ อารมณมีอยูคูกับมนุษย สําหรับเปนนายหรือรับใชก็ได …. …. …. ๑๘๓ การคิดวาชนะอารมณ ตองพิจารณาใหดี อาจแพก็ได …. …. …. ๑๘๔ ถาเปนคนมีอารมณ ก็หมายความวา เปนทาสของอารมณ …. …. …. ๑๘๕ ถาจิตบรรลุนิพพานจะไมมีอารมณ, อารมณเขาไมถึง …. …. …. ๑๘๖ ปุถุชนรับอารมณเขาไปกอกวนขางใน เปนตัวกู – ของกู …. …. …. ๑๘๗ อารมณมีมาสําหรับใหเราเขาใจ แลวตอสูตานทานได …. …. …. ๑๘๘ ศึกษา ก ข ก กา ใหดี จะรูจักอารมณ, เอาชนะได …. …. …. ๑๘๙ เมื่อเปนทาสของอารมณแตละครั้ง ตองรูทรมานจิตใจเพียงไร …. …. …. ๑๙๐

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


[๑๐]

ถาไมไดศึกษาธรรมะจากของจริง ไมมที างชนะอารมณได …. …. …. ๑๙๑ การตั้งตนเอาชนะอารมณ คือ ก ข ก กา ของการปฏิบัติธรรม …. …. …. ๑๙๒ ตั้งตนดวยการบังคับตัวเอง เปนหลักธรรมกวางขวาง …. …. …. ๑๙๓ การบังคับตัวเองก็คือบังคับกิเลส, และรูจักอารมณที่มาลอลวง …. …. …. ๑๙๔ เมื่ออารมณถูกควบคุมไวไดก็เปนปจจัยหลอเลี้ยงชีวิต …. …. …. ๑๙๕ เราตองบังคับควบคุมอารมณ เพื่อแกปญหาทุกอยางประจําวัน …. …. …. ๑๙๖ การบําเพ็ญทาน รักษาศีล ทําสมาธิ ตองทําเพื่อชนะอารมณ …. …. …. ๑๙๗ ตองรูจักใชธรรมะใหถูกตอง เชนสัมมาทิฎฐิ, สติสัมปชัญญะฯ …. …. …. ๑๙๘ ตองคํานึงคํานวณดูจิตตนเองวามีอารมณในอดีตมาอยางไร …. …. …. ๑๙๙

๘. ความแตกตางระหวางศีลธรรมกับปรมัตถธรรม. ก ข ก กา มี ๒ ระดับ คือ ศีลธรรมกับปรมัตถธรรม …. …. …. ๒๐๐ คําบรรยายตั้งแตตนจนถึงครั้ง ๗ เปนฝายปรมัตถธรรม …. …. …. ๒๐๑ ทบทวนเรื่องขันธ ๕ จะมีทีละขันธ, เมื่ออุปาทานเกิดก็เปนทุกข …. …. …. ๒๐๒ การบรรยายครั้งนี้จะพูด ก ข ก กา ฝายศีลธรรม …. …. …. ๒๐๓ ก ข ก กา นี้เขาใจยาก เหมือนผูเริ่มเรียนจะไมรูสึกวางาย …. …. …. ๒๐๔ พุทธบริษัทจะตั้งตน ก ข ก กา ในทางศีลธรรมก็เริ่มตนดวยทําไมจึงเขาวัด …. ๒๐๕ ทายกทายิการูสึกเพียงวาเขาวัดเพื่อฟงธรรมทําบุญใหทาน …. …. …. ๒๐๖ หลังจากศรัทธาแลว ก็บําเพ็ญ ทาน ศีล ภาวนา …. …. …. ๒๐๗ การรักษาศีล, ภาวนาที่ยังไมประกอบดวยปญญายังไมใชปรมัตถ …. …. …. ๒๐๘ พุทธบริษัทสวนใหญยังเริ่มดับทุกขโดยอาศัยศรัทธายังไมมีปญญา …. …. …. ๒๐๙ บางคนตั้งตนไวดีในสวนศีลธรรมจะตองทําใหสูงขึ้นไป …. …. …. ๒๑๐ จะตองเจริญทางปญญารูจักทุกข และดับทุกขไดจึงจะเขาสูปรมัตถ…. …. …. ๒๑๑ ก ข ก กา ฝายปรมัตถมุงจะไปถึงนิพพาน …. …. …. … …. …. ๒๑๒

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


[๑๑]

เรื่องปรมัตถสูงไกลไปกวาเพียงปองกันไมใหตกนรก …. …. …. ความทุกขทั้งหมดไปสรุปอยูตรงที่วา ไมอยากจะตาย …. …. …. ปรมัตถจะแกปญหาใหเห็นความจริงตามกฎอิทัปปจจยตา …. …. …. ควรมีศรัทธาประกอบดวยปญญาจะเปนกําลังใจในการปฏิบัติ …. …. …. ศรัทธาหรือทาน ตองเปนสัมมาทิฎฐิ, หมดความยึดมั่นฯ …. …. …. การรักษาศีลมิใชเพื่ออวดคน แตทําเพื่อทําลายกิเลส …. …. …. การทํากัมมัฎฐาน, วิปสสนาควรจะเปนไปเพื่อพนวัฎฎสงสาร …. …. …. ปฏิบัติศีลธรรมมีผลเปนความอุนใจบางเทานั้น …. …. …. การปฏิบัติทางปรมัตถมุงไปทางสิ้นอาสวะ, ถึงนิพพาน …. …. …. พุทธบริษัทแทจริงจะตองการทุกขไปนิพพานไมวนในวัฎฎสงสาร …. …. …. จิตใจยังไมรูธรรมะยังมีตัวกู ตองใชตัวกูชวยลางตัวกูเสีย …. …. …. ตั้งตนสูศาสนาทางศีลธรรมกอนจะยากกวาเริ่มทางปรมัตถ …. …. …. เราตองการจิตที่ไมมีความทุกข ไปเรียนทางปรมัตถเลยดีกวา …. …. …. ควรทําพระนิพพานใหแจงเสียโดยเร็วที่นี่และเดี๋ยวนี้ …. …. …. ไปสูทางนิพพาน ตองเริ่มตนเรื่อง ขันธ อายตนะ …. …. …. เขาใจเรื่องธาตุแลวการปรุงของธาตุเปนอายตนะ, ขันธ …. …. …. ปฏิบัติฝายปรมัตถไมเอาทุกข จะเอาแตไมทุกขทาเดียว …. …. …. ถายังอาศัยความเชื่อก็ตองแกดวยปญญา …. …. …. การปฏิบัติฝายศีลธรรมก็มิไดผิด แตอีกฝายหนึ่งไปเร็วกวา …. …. ….

๒๑๓ ๒๑๔ ๒๑๕ ๒๑๖ ๒๑๗ ๒๑๘ ๒๑๙ ๒๒๐ ๒๒๑ ๒๒๒ ๒๒๓ ๒๒๔ ๒๒๕ ๒๒๖ ๒๒๗ ๒๒๘ ๒๒๙ ๒๓๐ ๒๓๑

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๙. ก ข ก กา ของนิพพาน. ทบทวน ก ข ก กา ของศีลธรรม เปรียบเทียบฝายปรมัตถ พิจารณาใหเห็นความตางของโลกิยะกับโลกุตตระ โลกุตตระ จะเปนชองทางลึกและเหนือสําหรับหลีกจากทุกข

…. …. …. …. …. …. …. …. ….

๒๓๒ ๒๓๓ ๒๓๔


[๑๒]

จิตที่อบรมตั้งไวดี ยอมอยูเหนือโลกเปนโลกุตตระภาวะ …. …. …. ในโลก, นอกโลก, พนจากโลก ลวนแตอยูที่จิต …. …. …. วิธีคิดพิจารณาเพื่อความหลุดพน เรียกวาปรมัตถธรรม …. …. …. ตามกฎธรรมชาติ ถาเกิดมานานตองรูอะไรมาก ตองฉลาดขึ้น …. …. …. ถาไมมองเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ไมเลื่อนสูป รมัตถ …. …. …. ศีลธรรมต่ําลง คนไมรูจัก อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จึงกอความยุงยาก …. เมื่อไมเรียน ก ข ก กา ทางศีลธรรม ก็ไมมีหวังทางปรมัตถ …. …. …. บางคนไมรูวาจะเดินไปทางไหน เพราะมัวหลงสิ่งยั่วยวน …. …. …. มนุษยจะตองเปนคนดีมีศีลธรรมทั้งสวนตัวและสังคม …. …. …. เมื่อผานศีลธรรมมาดีจนระอา จะเลือ่ นชั้นขึ้นไปเหนือโลก …. …. …. จะเลื่อนออกไปนอกโลก ก็ตองตั้งตนเรียนใหม …. …. …. จะรู ก ข ก กา ของนิพพานตองเริ่มเห็นความจริงดานใน …. …. …. "ของจริง" มีอยูเทาที่คน ๆ นั้น จะมองเห็นวาจริงดานลึก …. …. …. ความจริงดานในเปนธรรมะลึกซึ้ง เรียกวาปรมัตถธรรม …. …. …. ตองเริ่มเรียน ก ข ก กา ฝายโลกุตตระกระทั่งเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา …. อยาประมาทในเรื่องเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ซึ่งเปน ก ข ก กา ของนิพพาน ตองเห็นทุกอยางเปนไปตามกฎอิทัปปจจยตาเปนจุดตั้งตน …. …. …. เห็นพระไตรลักษณแลว จะเห็นภาวะที่ไมควรไมยึดมั่นถือมั่น …. …. …. ถาเริ่มเห็นธรรมอันไมควรยึดมั่นถือมั่นก็นับวาเปนก ข ก กา ของนิพพาน พระโสดาบันเปนผูเริ่มเห็นความจริงดานใน …. …. …. พระโสดาบัน เริ่มละอวิชชา ๓ : สักกายทิฎฐิ, วิจิกิจฉา, สีลัพพัตต …. …. ละสักกายทิฎฐิ คือความรูสึกเปนตัวกู - ของกู ที่กลาแข็งนั้นเสีย …. …. ละวิจิกิจฉา คือละความลังเลในพระพุทธพระธรรมพระสงฆ …. …. ….

๒๓๕ ๒๓๖ ๒๓๗ ๒๓๘ ๒๓๙ ๒๔๐ ๒๔๑ ๒๔๒ ๒๔๓ ๒๔๔ ๒๔๕ ๒๔๖ ๒๔๗ ๒๔๘ ๒๔๙ ๒๕๐ ๒๕๑ ๒๕๒ ๒๕๓ ๒๕๔ ๒๕๕ ๒๕๖ ๒๕๗

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


[๑๓]

ละสีลพัตตปรามาส คือตองไมปฏิบัติโงงมงายเปนไสยศาสตร …. …. …. ๓ ประการเปนอวิชชาพื้นฐาน ถาละไดแสดงวา รู ก ข ก ขา ของนิพพาน เมื่อเห็นไตรรัตนแลว ก็จะมีดวงตาเห็นธรรม เรียกวาเห็นอริจสัจจ . …. …. แลวเห็นขันธทั้ง ๕ เปนตัวทุกข, ดูใหเห็นความไมนายึดถือ …. …. …. เห็นทุกขจะเห็นเหตุใหเกิดทุกข, ความไมมีทุกข, และทางพนทุกข…. …. …. พระโสดาบัน, มีคําวา เปนผูไมยืนอยูแลวที่ประตูแหงอมตะ …. …. …. อุปมาดุจ คนวายน้ําเขาฝง ถึงเขตน้ําตื้น จะขึ้นบกไดแนนอน …. …. …. เมื่อมองเห็นความเปนมายา แลวมาตั้งตน ก ข ก กา ไปนิพพานได …. ควรพยายามทําตามพระโอวาท ที่วาปฏิบัติถูกตอง จะไมวางจากอรหันต …. พิจารณาวา "เกิดมาทําไม" บอย ๆ จะละความเปนปุถุชนไดโดยลําดับ …. …. ตอบคําถาม "เกิดมาทําไม" คิดใหดีเชนอยูเพื่อประโยชนผูอื่น ก็ยังดี …. …. ตอบใหดียิ่งขึ้นก็ไดวา อยูเพื่อไมมีความทุกข, ไดดีที่สุดที่ควรได …. …. พยายามเรียน ก ข ก กา ดวยบทเรียนวา อยูไปทําไม? ตอบใหได …. …. เรียน ก ข ก กา ของนิพพาน ตองเรียนจากธรรมชาติขางในคือขันธ …. …. พิจารณาดูโอชาของชีวิตวาไดเปลี่ยนแปลงจากต่ํา ๆ มาเปนธรรมะอยางไร …. ถาปฏิบัติถึงพระโสดาบันแลว พระพุทธเจาตรัสวาถึงนิพพานแนนอน …. …. เรียน ก ข ก กา แหงนิพพาน จะทําใหไมเสียทีเกิด ตองไดสิ่งที่ดที ี่สุด …. ….

๒๕๘ ๒๕๙ ๒๖๐ ๒๖๑ ๒๖๒ ๒๖๓ ๒๖๔ ๒๖๕ ๒๖๖ ๒๖๗ ๒๖๘ ๒๖๙ ๒๗๐ ๒๗๑ ๒๗๒ ๒๗๓ ๒๗๔

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๑๐. ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน

บททวนความหมายที่พูดเรื่อง ก ข ก กา …. …. …. …. ขั้นศีลธรรม ใหรูจักทานศีลภาวนา, ขั้นปรมัตถตองรูความจริงของทุกสิ่ง …. พึงเขาใจเรื่องธาตุปรุงกัน กระทั่งเปนอุปาทานขันธ …. …. …. การรูจักธาตุตองรูถึงการดับ, อัสสาทะ, อาทีนวะ, และนิสสรณะ …. …. ครั้งนี้จะไดกลาวถึงลักษณะของผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน …. …. ….

๒๗๕ ๒๗๖ ๒๗๗ ๒๗๘ ๒๗๙


[๑๔]

ผูรูทุกขั้น รูเหมือนกันหมด ตางแตมากนอยกวากัน …. …. …. …. พระโสดาบันเปนผูเริ่มมองเห็นสิ่งทั้งปวง เปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา …. …. พระโสดาบันรูเพียง ก ข ก กา ของพระนิพพาน สวนพระอรหันตรูสมบูรณ ตองทําความเขาใจคําวา รู : เริ่มรู, รูอยู, รูถึงขนาด, รูเสร็จแลว …. …. เปนพระโสดาบันจริง จะละสัญโญชน ๓ ไดถึงขนาดเปลี่ยนนิสัย …. …. องคแหงการบรรลุโสดาบันมี ๔ : มีศรัทธาไมหวั่นไหวใน …. …. …. พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ . …. …. …. …. …. และมีศีลขนาดอริยกันตศีล, เปนศีลมาจากปญญารูอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มีศีลเปนอัตโนมัติ เพราะจิตไมเปนทาสของกิเลส …. …. …. พระโสดาบันมีศีล ๕ บริสุทธิ์เด็ดขาดถึงขนาดระงับภัยเวรได …. …. …. แมไมเจตนาถือศีล ๕ ก็ไมผิดอีก เพราะถอนรกรากไปหมดแลว …. …. พระโสดาบันปฏิบัติอยูในอริยมรรคมีองค ๘ ถูกตองครบถวน …. …. …. ทานละกังขา ๑๐ ประการได, กังขาคือความสงสัย …. …. …. กังขา ๑๐ ไดแก ๑ ละกังขาเกี่ยวกับขันธ ๕ เพราะรูจักอนัตตา …. …. จะละกังขาในขันธ ๕ ได ตองศึกษาเรื่องนี้ใหรูแจง …. …. …. ความรูสึกประจําวันจะเห็นความไมนายึดถือในสิ่งตาง ๆ …. …. …. ความรูสึกมี ๗ อยาง, ขอสุดทาย อนุวิจริตมนสา ตองมีสติรูทัน . …. …. ทานละกังขาในอริยสัจจทั้ง ๔ ประการไดดวยสัมมาทิฎฐิ …. …. …. พระโสดาบันรูโดยไมสงสัยวาความทุกขมาจากตัณหา - อุปาทานฯ …. …. พระโสดาบันละกังขา ๑๐ คือ :- ละกังขาในขันธ ๕ …. …. …. ละกังขาในสิ่งแวดลอมจิตใจ (ที่มี ๗ ลักษณะ) คือ ๑ …. …. …. ละกังขาในอริจสัจจทั้ง ๔, รวมแลวเปน ๑๐ …. …. …. พระโสดาบันรูแจงแทงตลอดในญายธรรม – ธรรมที่ควรรู …. …. ….

๒๘๐ ๒๘๑ ๒๘๒ ๒๘๓ ๒๘๔ ๒๘๕ ๒๘๖ ๒๘๗ ๒๘๘ ๒๘๙ ๒๙๐ ๒๙๑ ๒๙๒ ๒๙๓ ๒๙๔ ๒๙๕ ๒๙๖ ๒๙๗

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๒๙๘ ๒๙๙


[๑๕]

เปนผูเห็นอยางดีแลวในปฏิจจสมุปบาทซึ่งเปนญายธรรม …. …. …. ทุกคนควรคิด : เรารูแจงในเรื่องนั้น ๆ ไมเปนปญหาหรือไม? …. …. …. ญายธรรม คือเมื่อมีอะไรมากระทบ อยาใหเกิดความทุกขได …. …. …. ถารูปฏิจจสมุปบาท ก็คือรู ก ข ก กา ของพรหมจรรย …. …. …. ควรรูวาปฏิจจสมุปบาทเปนเรื่องอยูกับตัว ตองศึกษาใหเขาใจ …. …. …. อานิสงสของการรู ก ข ก กา ของนิพพานจะหยั่งเห็นนิพพานได …. …. การหยั่งเห็นพระนิพพาน คือ ถึงกระแส ยังไมถึงขั้นสมบูรณ …. …. …. ขั้นนี้ทุกขหมดไปมาก และจะสมบูรณแนนอนตอไป …. …. …. รู ก ข ก กา จริง นับวารูเขาไปตั้งครึ่งแลว ทุกขเหลือนอยแลว …. …. พระพุทธเจาตรัสวา พระโสดาบันเปนผูสมบูรณดวยทิฎฐิและทัศนะ, …. …. และยอมเห็นสัทธรรมแจงชัด, …. …. …. …. …. …. และประกอบดวยญาณ, กับวิชชาอันเปนเสขะ, …. …. …. ญาณ เปนความรูทั่วไปมากนอยก็ได, วิชชาเปนความรู ที่จําเปนแกการปฏิบัติ …. …. …. …. …. …. กระแสแหงพระนิพพาน คือมีการปฏิบัติระยะหนึ่ง, ไมถอยกลับ, …. …. เปนผูยืนอยูจดประตู อมตะ, พนวิสัยนรก, เดรัจฉาน, เปรต …. …. …. เปนผูไมมีทุคติ, ไมตกต่ํา, จะมีความรูถึงขนาดพระอรหันต …. …. …. พระโสดาบันยังไมถึงนิพพานจริง แตแนนอนที่จะถึงตอไป …. …. …. พระโสดาบันกาวขามเขตบุถุชนไดแลว ที่เรียกวาละโคตรภู …. …. …. ควรชําระปญหาทั้ง ก ข ก กา ของศีลธรรม และปรมัตถธรรม …. ….

๓๐๐ ๓๐๑ ๓๐๒ ๓๐๓ ๓๐๔ ๓๐๕ ๓๐๖ ๓๐๗ ๓๐๘ ๓๐๙ ๓๑๐ ๓๑๑

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๓๑๒ ๓๑๓ ๓๑๔ ๓๑๕ ๓๑๖ ๓๑๗ ๓๑๘

๑๑. การเรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพาน. ทบทวนคําที่กลาวเรื่อง ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา …. …. การศึกษาสวนปรมัตถธรรมสูงกวาศีลธรรม เริ่มตนจากธาตุ …. …. ….

๓๑๙ ๓๒๐


[๑๖]

ผูจะเริ่มตน ก ข ก กา ของพระนิพพานนั้นเปนบุถุชนชั้นดีพอสมควร …. การเรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพาน นี้เปนอุปมาอยางยิ่ง …. …. …. การเรียนเพื่อนิพพานจะแยกเปนหัวขออุปมาเหมือนเด็ก ๆ เรียน…. …. …. สถานที่เรียน ก ข ก กา เพื่อไปนิพพาน ไดแกรางกายคนเปน ๆ นี้ …. รางกายก็คือนามรูป จึงเอานามรูปนี้มาเปนโรงเรียน …. …. …. สุญญาคารทั้งหลายเปนเพียงอุปกรณเพื่อใหความสะดวก …. …. …. หรือพูดวาเรียนจากชีวิต, เรียนอยางที่อยูในสุญญาคาร …. …. …. เวลาสําหรับเรียน ตองเรียนเมื่อมีเรื่อง คือตอหนาอารมณ …. …. ตองเรียนใหไดทั้งขณะเผชิญหนาและลับหลังอารมณ …. …. …. ขณะกําลังเสวยอารมณทุกข – สุข – สัญญาในอดีตก็ตองเรียน …. …. …. วิธีการเรียน : เรียนอยางปริยัติ, กับอยางปฏิบัติ …. …. …. เรียนอยางปริยัติเพื่อรูหลักวิชา, แลวปฏิบัติเพื่อรูแจง …. …. …. ตองเรียนใหถูกตองตรงกับเวลา, มีสติสัมปชัญญะใหมากพอ …. …. …. เมื่อบําเพ็ญวิปสสนาถูกตองแลว จะเกิดนิพเพธิกปญญาคมเฉียบ …. …. การกระทําสติสัมปชัญญะที่ดีคุมครองไดแมเวลาหลับ …. …. ….

๓๒๑ ๓๒๒ ๓๒๔ ๓๒๕ ๓๒๖ ๓๒๗ ๓๒๘ ๓๒๙ ๓๓๐ ๓๓๑ ๓๓๒ ๓๓๓ ๓๓๔ ๓๓๕

ตองพิจารณาวาอะไรสอนกันแน …. …. …. การกระทํานั้นเองเปนผูสอน, ธรรมชาติสอนดีกวาคนสอน …. …. …. ความรูสึกในจิตใจสอน ดีกวาฟงคําพูดขางนอกสอน …. …. …. ความเจนจัดฝายสติปญญานี้เปนทั้งบทเรียนและผูสอน …. …. …. ความทุกข, ความผิด, จะสอนดีสอนจริงกวาความสุข, ความถูก …. ….

๓๓๖ ๓๓๗ ๓๓๘ ๓๓๙ ๓๔๐

ผูเรียน เปนบุคคลหลายลักษณะ ๑. อุคฆติตัญูดีมาก

๓๔๑ ๓๔๒ ๓๔๓

๓๒๓

www.buddhadasa.in.th ผูสอน www.buddhadasa.org …. …. …. พวก ๒ - ๓ - ๔ : วิปจิตัญู, เนยยะ, ปทปรมะ ต่ําลงตามลําดับ …. คนที่รูจักโลกมามากเปนพวกฉลาดระดับ ๑ – ๒ …. …. …. ….


[๑๗]

คนรูจักโลกมามาก เราเรงไดดวยการศึกษาอบรมใหถูกวิธี …. …. …. แมไมตองผานมาทุกสิ่ง ก็อาจรูสึกไดโดยวิธีลัด, ไมตองลองทุกสิ่ง …. …. เมื่อรูจักโลกเพียงเวทนาแลวไมตองลองเรื่องกาม กิน เกียรติก็รูได …. …. วาสนาทําใหมีสติปญญาตางกัน, ใครมีธาตุแทอะไรก็มีจิตหนักไปทางนั้น …. ถามีธาตุหนักไปทางนิโรธธาตุ ก็อาจบรรลุอรหันตไดแตเด็ก ๆ …. …. …. การบรรลุมรรคผล ก็คือ การกวาดลางสันดานใหหมดจากกิเลส …. …. ถาผูใดสะสมบารมีไวมาก จะแกนิสัยสันดานที่เลวได …. …. …. การสรางบารมี ขอแรกตองคบสัตบุรุษเพื่อฟงธรรมของทาน …. …. …. การไดฟงธรรมของสัตบุรุษเปนปจจัยชําระลางนิสัยสันดาน …. …. …. เคล็ดในการเรียน ตองศึกษาจากความรูสึกขางใน, จนเปนยถาภูต สัมมัปปญญา …. …. ….

๓๔๔ ๓๔๕ ๓๔๖ ๓๔๗ ๓๔๘ ๓๔๙ ๓๕๐ ๓๕๑ ๓๕๒ ๓๕๓

๑๒. ก ข ก กา เกี่ยวกับการถึงพระรัตนตรัย. การบรรยายครั้งนี้ เกี่ยวกับการถึงพระรัตนตรัย …. ทบทวนหัวขอที่บรรยายมาแลว …. การบรรยายที่กลาวนี้ทําเปนขั้น ๆ จนกวาจะจบเปนพระอรหันต การถึงพระรัตนตรัยมีไดหลายชั้น และยังมีปญหาซับซอน …. การถึงพระรัตนตรัย มีทั้งขั้นสามัญและขั้นปรมัตถ …. ตัวอยาง "การเห็นพระพุทธเจา" ยังมี ๒ ความหมาย …. การเห็นพระธรรม พระสงฆ ก็มีหลายระดับ …. เห็นพระรัตนตรัยสูงขึ้นไป ตองเห็นอนัตตา, สุญญตา …. ขั้นศีลธรรมขึ้นอยูกับศรัทธา, ขั้นปรมัตถขึ้นอยูกับปญญา …. อาการที่เขาถึงมี ๓ ระดับคือถือ, ถึงจริง ๆ, เปนเสียเอง …. ถือดวยสมาทาน, ถึงดวยสติปญญา, ถึงดวยเปนเสียเอง ….

…. …. …. …. …. …. …. …. …. …. ….

…. …. …. …. …. …. …. …. …. …. ….

๒๕๔ ๓๕๕ ๓๕๖ ๓๕๗ ๓๕๘ ๓๕๙ ๓๖๐ ๓๖๑ ๓๖๒ ๓๖๓ ๓๖๔

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


[๑๘]

ลักษณะบุคคลที่เกี่ยวของพระรัตนตรัยก็มีอยูหลายชั้น …. …. พวกที่ไมถืออะไรมากอน, และมีสติปญญานี้เปนชั้นดี …. …. พวกที่สนใจอยางงมงายหรือเอาอยาง นีย้ ังตองแกไข …. … . ผูถึงพระรัตนตรัยโดยแทจริง จะนับตั้งแตพระโสดาบัน …. …. ปุถุชนชั้นดีจะเริ่มเห็นความประเสริฐของพระรัตนตรัย …. …. พระอริยสาวกมีทั้งพระเสขะและพระอเสขะ …. …. พวกกัลยาณปุถุชนเปนผูพยายามจะเห็นธรรม …. …. ตองเรียน ก ข ก กา ไปตามลําดับจากพระเสขะจนถึงขั้นอเสขะ เราตองเรียนโดยลําดับจากปุถุชนเปนกัลยาณชนและสูงขึ้นไป …. …. จะเอาตัวรอดไดตองไมประมาท, มีสติตื่นอยู …. …. การถึงพระรัตนตรัยใหไดจริงถึงที่สุดก็จบพุทธศาสนา …. …. ถึงดวยกาย วาจา ใจ คือมีความสะอาด สวาง สงบ …. …. ควรเขาใจความหมายของคํา สะอาด สวาง สงบของจิต …. …. เมื่อสะอาด สวาง สงบแลว ก็เรียกวามีพระพุทธ, พระธรรม, พระสงฆ

…. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. ….

๓๖๕ ๓๖๖ ๓๖๗ ๓๖๘ ๓๖๙ ๓๗๐ ๓๗๑ ๓๗๒ ๓๗๓ ๓๗๔ ๓๗๕ ๓๗๖ ๓๗๗ ๓๗๘

การบรรยายครั้งนี้สรุปเรื่องที่บรรยายแลวมาทําความเขาใจอีกที …. …. ทบทวนการเรียนพุทธศาสนาเปรียบเทียบกับการเรียน ก ข ก กา …. …. ตองเรียนแบบนี้ เพื่อเปนเครื่องกระตุนจิตใจใหเรียนใหมอยางดี …. …. พระพุทธองคตรัสไวเองวาธรรมะชื่อเดียวกันมีทั้งศีลธรม ปรมัตถ …. …. พุทธศาสนาสอนแปลกออกไป คือสอนเรื่องไมมีตัวตน …. …. …. จะเรียนพุทธศาสนาโดยตรง ตองเรียนเรื่องขันธ ๕ กอน …. …. …. ในฝายศีลธรรม จะตองรูจ ริงในเรื่องสรณาคมน ทาน ศีล …. …. ….

๓๗๙ ๓๘๐ ๓๘๑ ๓๘๒ ๓๘๓ ๓๘๔ ๓๘๕

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๑๓. ประมวลเรื่องอันเกี่ยวกับ ก ข ก กา ทั้งปวง.


[๑๙]

ควรชําระสะสางปญหาตาง ๆ เริ่มแตฟงการบรรยายมาขางตน ๆ จะซอมความเขาใจเกี่ยวกับเรื่องขันธ ๕ เริ่มแตเรื่องธาตุ …. ในพุทธศาสนาไมมีเรื่องทางวัตถุ มีแตเรื่องธาตุ …. ธาตุ, ก็มิไดเล็งถึงวัตถุ แตเล็งถึงคุณสมบัติของสิ่งนั้น ๆ …. พิจารณาดูที่วัตถุตาง ๆ จะมีคุณสมบัติครบทุกธาตุ …. ธาตุตาง ๆ ปรุงกันเปนธาตุอื่น ๆ ปรากฎมาตามโอกาส …. ธาตุปรุงอายตนะแลวอายตนะทําหนาที่ปรุงตอไป …. อายตนะปรุงใหเกิดขันธ ๕, เปนอยางปฏิจจสมุปบาทก็มี …. ครั้นปรุงในฝายทุกขสมบูรณ ก็ทําหนาที่ดับทุกขตอไป …. ควรตั้งตนเรียนเรื่องธาตุจนรูจักแลวจะไมมีปญหา …. ถารูวาทุกอยางเปนสักวาธาตุก็จะไมถูกธาตุหลอก, ไมหลงใหล …. ฝายทางศีลธรรมตองมีเรื่องสรณาคมน ทาน ศีลใหถูก …. การใหทานรักษาศีลตองรูวา จะใหสละความเห็นแกตัว …. เมื่อสรณาคมณ ทาน ศีล ดี จะคอยหลีกออกจากวัฎฎะได …. ตองฝกใหรูวา "เกิดมาทําไม" จะคอย ๆ มองเห็นวา "เพื่อขจัดทุกข" รูวาเกิดมาทําไมถูกตองแลว จะตั้งตนไดดีและรูเร็ว …. การปฏิบัติธรรมที่เริ่มดวยตัวกู, ก.คือ สติ ซึ่งเปนทุกอยางจนถึง ฮ มีสติแลว เปนเหตุใหคิด - ทํา - พูด ไดถูกตอง …. ทุกอยางขึ้นอยูกับสติหรือไมประมาทจะถึงมรรคผลนิพพานได …. ปฏิบัติธรรมใหถูกตอง, จะไมเปนทุกขเลย, เอาตัวรอดได …. ถาตอบปญหาวาอะไร จะไปกันทางไหน? ขอใหเรียนกันใหม ….

…. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. ….

๓๘๖ ๓๘๗ ๓๘๘ ๓๘๙ ๓๙๐ ๓๙๑ ๓๙๒ ๓๙๓ ๓๙๔ ๓๙๕ ๓๙๖ ๓๙๗ ๓๙๘ ๓๙๙ ๔๐๐ ๔๐๑ ๔๐๒ ๔๐๓ ๔๐๔ ๔๐๕ ๔๐๖

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


[๒๐]

ภาคผนวก.

….

….

….

….

….

….

เรื่องที่ ๑. เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม.

….

…. ….

….

….

๔๐๗

….

๔๐๙

บรรยายพิเศษดวยวิธีถาม - ตอบ - และซักถาม …. …. …. ๔๐๙ ซอมความเขาใจในขอที่ขอใหปรับปรุงวิชาความรูใหม …. …. …. ๔๑๐ เชิญใหสตรีผูหนึ่งเปนผูซักถาม …. …. …. ๔๑๑ ทําความเขาใจเรื่องความทุกขแลวซักถามผูที่เชิญมา …. …. …. ๔๑๓-๔๒๖ ซอมความเขาใจใหศึกษาคําวา "ทุกข" ใหถูก …. …. …. ๔๒๗-๔๒๘ ชี้แจงขันธประกอบดวยอุปาทานขันธ …. …. …. …. …. …. ๔๒๙ ขันธ ๕ มิไดเกิดตลอดเวลาและเกิดคราวละอยาง …. …. …. ๔๓๐-๔๓๒ ทบทวนอุปาทานขันธ ๕ และขันธลวน ๆ …. …. …. …. ๔๓๓-๔๓๕ ลักษณะของอุปาทานขันธ …. …. …. …. ๔๓๖-๔๔๐ อุปาทานขันธหรือขันธ ๕ เปนเรื่องชีวิตประจําวัน … …. …. …. ๔๔๑ ขันธเกิดไดตองอาศัยอายตนะและธาตุ …. …. …. ….๔๔๒-๔๔๔ ศึกษาใหรูจักคุณลักษณะหนาที่ของธาตุ …. …. …. ….๔๔๕-๔๔๖ การปรุงตั้งแตอวิชชาผัสจนเปนทุกขเรียกวาปฎิจจสมุปบาท …. …. ….๔๔๗-๔๔๘ ลักษณะของกิเลสและสั่งสมเปนอนุสัย …. …. …. ….๔๔๙-๔๕๑ อวิชชาสั่งสมมาจากอนุสัยและอาสวะ …. …. …. ….๔๕๒ ทุกสิ่งเพิ่งเกิดเมื่อผัสสะ ถามีสติทันจิตก็เปนประภัสสร …. …. …. ….๔๕๓ จิตประภัสสรกับเศราหมองไดเพราะกิเลส …. …. …. ….๔๕๔ ปองกันไมใหอวิชชาเกิด อนุสัย, อาสวะจะออนกําลัง …. …. …. ….๔๕๕ ผูซักถามชี้แจงและโตตอบตอไป …. …. …. …. …. ….๔๕๖-๔๕๘

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


[๒๑]

๔๕๙ เรียน ก ข ก กา ของพุทธศาสนาตองเรียนที่ ตา – หู – จมูก – ลิ้น – กาย - ใจ ๔๖๐ - ๔๖๑ เรียนโลกในแงของจิตใจ ที่สัมผัสดวยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ …. …. ๔๖๒ ถาเราไมมีตา หู จมูก ลิ้น กายใจ โลกนี้ก็เทากับไมมี …. …. …. ๔๖๓ แม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็มิไดมอี ยูตลอดเวลา …. …. …. ๔๖๔ อายตนะ ๖ คูกระทบกันทําใหเกิดวิญญาณ และผัสสะ …. …. ๔๖๕-๔๖๗ สัมผัสขาดสติปญญา ก็เกิดเวทนา, ตัณหา, เปนเหตุใหทุกข …. …. …. ๔๖๘ ตัณหาเกิดแลว อุปาทาน ภพ ก็เกิด …. …. …. ๔๖๙ ตอจากภพเกิดชาติ มีตัวตน และเปนทุกข …. …. …. ๔๗๐ ทุกคราวที่รูสึกเปนตัวตน จะตองเปนทุกข เพราะเกิดภาระขึ้น …. …. …. ๔๗๑ สิ่งที่เปนคู ๆ : สุข - ทุกข ฯลฯ เปนภาระหนักแกจิตใจทั้งนั้น …. …. …. ๔๗๒ เมื่อสัมผัสใด ๆ ตองมีธรรมะ มีสติสัมปชัญญะ มีปญญา …. …. …. ๔๗๓ พอมีสัมผัส เกิดเวทนาขึ้น ก็รูสึกใหทันทวงทีวามันสักวา …. …. …. ๔๗๔ เวทนาก็คือสักวาความรูสึกที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเทานั้น …. …. …. ๔๗๕ ความรูสึกทุกแบบ ก็เปนสักวา ความรูสึกเทานั้น …. …. …. ๔๗๖ เมื่อเกิดความคิด, มีตัวกูจะทําอะไร ก็ใหรูสกึ วา สักวา … เทานั้น …. …. …. ๔๗๗ ศึกษาธรรมะสูงสุด ก็เพียงทําจิตใหเปนอิสสระจากโลก …. …. …. ๔๗๘ นักศึกษารูดังกลาวมา จะไมตองรอนใจดวย โลภ โกรธ หลง …. …. …. ๔๗๙ การมาศึกษาธรรมะ ก็เพื่อใหมีวิชชา ทําใหเปนผูตื่นอยู …. …. …. ๔๘๐ ทบทวนการปรุงของอายตนะ …. …. …. ๔๘๑-๔๘๓ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ เปน ก ข ก กา ของพุทธศาสนา …. …. ๔๘๔-๔๘๕ ปฏิจจสมุปบาทเปนอาทิพรหมจรรย …. …. …. …. …. ๔๘๖ เรียนพุทธศาสนาตองเรียนอยางวิทยาศาสตร …. …. …. …. ๔๘๗-๔๘๙ ตอบปญหาของนักศึกษาผูสงสัย …. …. …. …. …. …. ๔๙๐-๕๐๘

เรื่องที่ ๒. ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา. ….

….

….

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


[๒๒]

…. การบรรยายครั้งนี้จะพูดถึงเรื่องเคาโครงของพุทธศาสนา …. เงื่อนตนของความทุกขตองเริ่มที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ …. อายตนะ ๖ ภายใน เรียกวาอินทรีย ๖ เพราะเปนเรื่องสําคัญ …. อายตนะ ๖ ภายนอก เรียกวา อารมณคือเปนที่หนวงเอา …. อายตนะใน - นอกกระทบกัน เกิดวิญญาณ ๖ …. อายตนะภายในภายนอกวิญญาณทํางานรวมกันเรียก ผัสสะ …. จากผัสสะโงทําใหเกิดสิ่งอื่นตอไป คือ เวทนา - ตัณหา …. พอเกิดความอยากเกิดกูผูอยาก เปนอุปาทานขึ้นมา …. มีอุปาทานผูอยากแลว เกิดความมีตัวกูเปนภพ - ชาติ …. ความดับทุกขมีไดโดยทางตรงขามกับขางตน …. …. …. เมื่อจิตคิดไดอยางฉลาด ก็เปนวิชชาไปตั้งแตผัสสะ เวทนา …. เมื่อมีสติสัมผัสใด ๆ เปนสิ่งที่เรียนรู ก็ไมเกิดเวทนา ตัณหา …. ผัสสะเปนเรื่องสําคัญในทุกเรื่อง ตองรูท ัน, ควบคุมใหได …. ทบทวนย้ําขางตน เพื่อใหรูจักดับทุกข …. …. …. …. เรื่องที่จําเปนตองรูคือปฏิจจสมุปบาททั้งฝายทุกขและดับทุกข …. ปฏิจจสมุปบาทเปนเรื่องอาศัยกันแลวเกิดขึ้น …. …. …. การเห็นปฏิจจสมุปบาท คือเห็นดวยปญญาภายใน …. ถาเรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆจริง จะหยุดกระแสปฏิจจะฯได พระพุทธเจาตรัสรูเพราะเห็นปฏิจจสมุปบาท …. …. …. ปฏิจจสมุปบาทก็คือเรื่องอริยสัจจ ซึ่งกลาวอยางละเอียด …. ตองศึกษาโดยฝกมีสติตรงผัสสะ และเดินใหถูกทาง …. ดํารงชีวิตอยูในมรรคมีองค ๘ ก็ดับทุกขได …. …. …. …. เรื่องที่ ๓. เคาโครงของพุทธศาสนา.

…. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. …. ….

…. ๕๐๙ …. ๕๐๙ …. ๕๑๐ …. ๕๑๑ …. ๕๑๒ …. ๕๑๓ …. ๕๑๔ …. ๕๑๕ …. ๕๑๖ …. ๕๑๗ …. ๕๑๘ …. ๕๑๙ …. ๕๒๐ …. ๕๒๑ …. ๕๒๒ …. ๕๒๓ …. ๕๒๔ …. ๕๒๕ …. ๕๒๖ …. ๕๒๗ …. ๕๒๘ …. ๕๒๙ ๕๒๙ -๕๓๒

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


[๒๓]

ปญหาของมนุษย มีเรื่องความทุกข เราจึงตองดับทุกขใหได การฝกมีสติใหทันทวงทีขณะผัสสะ จะไมมีทุกขเลย จะตองฝกบังคับจิตโดยวิปสสนา จะควบคุมสติได ทุกเรื่องขึ้นอยูกับการมีสติในขณะแหงผัสสะ …. …. มีสติในขณะแหงผัสสะใหทันเวลา จะคุมครองไดมาก ขอใหระลึกถึงพระพุทธเจาที่เสด็จอยูสวนมากบนพื้นดิน ตอบคําถามของนักศึกษา …. …. …. ….

…. …. …. …. …. …. ….

…. …. …. …. …. …. ….

…. ๕๓๓ …. ๕๓๔ …. ๕๓๕ …. ๕๓๖ …. ๕๓๗ …. ๕๓๘ ๕๓๙ -๕๔๒

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


สารบาญ ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา ๑. อารัมภกถา เกี่ยวกับ ก ข ก กา ในพุทธศาสนา …. …. …. …. …. ๑ ๒. คําอภิปรายของภิกษุอื่น (ไมรวมในชุดนี้) …. …. …. …. …. …. ๓. เรื่องเกี่ยวกับธาตุ …. …. …. …. …. …. …. …. …. ๑๙ ๔. ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุ …. …. …. …. …. …. …. …. ๖๒ เปนตนเหตุแหงมิจฉาทิฎฐิอันรายแรง ๕. การเกิดขึ้นของทุกสิ่ง ตั้งตนที่ผัสสะเพียงสิ่งเดียว …. …. …. …. …. ๘๙ ๖. ปญหาในวิถีของชีวิต ตั้งตนดวยกามธาตุ …. …. …. …. …. …. ๑๒๗ ๗. อารมณ คือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก …. …. …. …. ๑๕๘ ๘. ความแตกตางระหวางศีลธรรมกับปรมัตถธรรม …. …. …. …. …. ๒๐๐ ๙. ก ข ก กา ของนิพพาน …. …. …. …. …. …. …. …. ๒๓๒ ๑๐. ผูรู ก ข ก กา ของนิพพา …. …. …. …. …. …. …. …. ๒๗๕ ๑๑. การเรียน ก ข ก กา เพือ่ นิพพาน …. …. …. …. …. …. …. ๓๑๙ ๑๒. ก ข ก กา เกี่ยวกับการถึงพระรัตนตรัย …. …. …. …. …. …. ๓๕๔ ๑๓. ประมวลเรื่อง อันเกี่ยวกับ ก ข ก กา ทั้งปวง …. …. …. …. …. ๓๗๙ ภาคผนวก เรื่องที่ ๑. เรื่อง ก ข ก กา ในวันปใหม …. …. …. …. …. …. ๔๐๗ " ๒. ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา …. …. …. …. …. …. ๔๕๙ " ๓. เคาโครงของพุทธศาสนา …. …. …. …. …. …. ๕๐๙ โปรดดูสารบาญละเอียดในหนาตอไป

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

- ๑๕ มกราคม ๒๕๒๗

อารัมภกถาเกี่ยวกับ ก ข ก กา ในพุทธศาสนา.

ทานสาธุชน ผูมีความสนใจในธรรม ทั้งหลาย, วัน นี ้เ ปน วัน เสารแ รกของการบรรยายตลอดฤดูแ ลง สามเดือ นในป หนึ่ ง ๆ ของสํ า นั ก นี้ . ดั ง ที่ ท า นทั้ ง หลายก็ ท ราบกั น อยู เป น อย า งดี ในข อ ที่ ว า เรา จะพยายามให มี ธ รรมบรรยาย ในลั ก ษณะใดลั ก ษณะหนึ่ ง ทุ ก วั น เสาร เว น แต ฤ ดู ฝนสามเดื อ นเท า นั้ น .

www.buddhadasa.in.th กิจวัตรใดปฏิบัติประจํา พึงรักษากิจนั้นไว. www.buddhadasa.org สํ าหรั บ วั น เสาร แ รกนี้ ก็ มี คนคิ ดว า อาตมาไม สบาย ต องไปรั ก ษ าเยี ยวยา กลั บมาใหม ๆ ยั งไม สบาย คงจะทํ าไม ได บางคนก็ เลยคิ ดเอาว า ไม มี การบรรยาย ; นี ้เ ปน ลัก ษณะของคนที ่อ อ นแอ, จึง อยากจะขอพูด ถึง เรื ่อ งนี ้เ ปน พิเ ศษ แทรกไว


ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

สัก นิด หนึ ่ง ตลอดเวลาตอ ไปขา งหนา ดว ย. วา วงศต ระกูล ตระกูล หนึ ่ง ซึ ่ง ได บั ญ ญั ติ กิ จ วั ต ร อย างใดอย างหนึ่ งประจํ า ตระกู ล ไว แ ล ว เขาก็ จ ะทํ าติ ด กั น ไป อย า ง ไม ข าดตอน หลาย ๆ ชั่ ว อายุ ค น จนกว า จะถึ ง ชั่ ว ที่ ลู ก หลานเป น คนเหลวไหล มั น ก็ จ ะเลิ ก กิ จ กรรมอั น นั้ น เสี ย . เราก็ เคยเห็ น ๆ กั น อยู แม แ ต ตั ว อย า งเล็ ก ๆ น อ ย ๆ ที่ สุ ด ; เช น เรื่ อ งตั ก บาตรพระตอนเช า อย า งนี้ เคยทํ า กั น มาเป น ชั่ ว คน ๆ ของ สกุลบางสกุล อยางนี้ก็มี ครั้นมาถึงชั่วที่โลเลก็เลิกไป. ควรจะถือ เปน หลัก สํ า หรับ ปฏิบ ัต ิว า อยา งไร ๆ ก็จ ะตอ งไมใ หผ ิด กิจ กรรมประจํ า หมู  ประจํ า คณะ ประจํ า สมาคม ที ่ไ ดตั ้ง ขึ ้น ไวนั ้น ลม เลิก ไป. ถ า คนหนึ ่ ง ทํ า ไม ไ ด คนหนึ ่ ง ต อ งทํ า แทน มั น ก็ ไ ม ต  อ งเลิ ก ; แต ถ  า เห็ น ว า คนที่เคยทํา ทําไมได ก็ชวนกันเฉยเสีย มันก็เลิก. เรื่องอยางนี้ พระพุทธเจาก็เคยตรัสสรรเสริญพระเถระองคหนึ่ง ซึ่งยืนยัน ดวยการที่วา จะดูแลคณะสงฆแทนองคพระผูมีพระภาคเจา ในเมื่อพระองคหลีก อยู ใ นที่ ส งั ด หรื อ ด ว ยเหตุ ใ ดเหตุ ห นึ่ ง ซึ่ ง ไม ส ามารถจะบริ ห ารคณะสงฆ ได แต ก็ มี พ ระสาวกบางองค ที่ ว า เมื่ อ เห็ น พระผู มี พ ระภาคหลี ก ไปสู ที่ ส งั ด ตั ว ก็ จ ะหลี ก ไปสู ที ่ส งัด ดว ยอยา งนี ้ มัน ก็ด ีห รือ ถูก เหมือ นกัน ; แตม ัน ไมถ ูก ในบางอยา ง ที ่เ กี ่ย ว แกจะบริหารหมูคณะ

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ า เรามานึ ก ถึ ง เรื่ อ งนี้ แ ล ว ก็ ข อให จํ า ไว เ ป น หลั ก ว า กิ จ กรรมของ หมู ข องคณะ ของสมาคม ของสกุ ล อะไรก็ ต าม จะต อ งช ว ยกั น พยายามรั ก ษา ไว อ ย า งเคร ง ครั ด คื อ เป น หลั ก สํ า หรั บ ต อ งปฏิ บั ติ อ ย า งเคร ง ครั ด , แล ว คณะนั้ น สกุ ล นั้ น ก็ จ ะไม ล ม ละลาย จะอยู ติ ด ต อ กั น ไปได ห ลาย ๆ ชั่ ว หลายสิ บ ชั่ ว อายุ ค น ;


อารัมภกถาเกี่ยวกับ ก ข ก กา ในพุทธศาสนา

แม ว ามั นจะเป นความไม เที่ ยง จะต องสู ญ หายไป มั น ก็ ช ามาก คื อมั นจะอยู นานมาก. นี่ ช ว ยกั น สอนลู ก สอนหลานของตน ๆ แต ล ะคน ให นึ ก ถึ งวั ต รปฏิ บั ติ ซึ่ ง ปู ย า ตา ยาย ไดเคยตั้งไวประจําสกุลอยางไร. เดี๋ ยวนี้ เราไม ค อยจะได เห็ น คนที่ ทํ าอะไรหลาย ๆ อย าง ที่ ปู ย า ตา ยาย เคยทํา; แมที่ สุดแตเอาหม อน้ํ าใส น้ํ ากินมาตั้ งไวที่ ประตู บ าน ก็ไม ค อยเห็ นใครทํ า ซึ่ ง เมื่ อ ก อ นมี ค นทํ า ; เพราะเขาไปคิ ด เสี ย ว า มั น ไม มี ป ระโยชน อ ะไร. ที่ จ ริ ง มี ประโยชน ม ากและหลายอย า งด ว ย, จะใช ร ดต น ไม ก็ ยั ง ได เพราะมั น อยู ใ กล ๆ. ต น ไม ข า งประตู บ า น ต น มะลิ ต น อะไร มั น ก็ ค งจะไม ต าย, หรื อ ว า ถ า ใครมาขอน้ํ า กิ น มั น ก็ ไ ม ต อ งวิ่ ง ขึ้ น ไปบนเรื อ น, ถ า เป น โจรผู ร า ยด ว ยแล ว มั น ก็ จ ะไม เ สี ย เปรี ย บ เพราะมัน มีน้ํ า กิน ที ่ป ระตูบ า น อยา งนี ้เ ปน ตน ; เราไมต อ งใหโ จรผู ร า ยขึ ้น ไปกิน น้ําถึงบนเรือน. อานิ ส งส คงจะมี ม ากกว า นี้ ปู ย า ตา ยาย จึ ง ได ทํ า กั น มา ; แต ว า อยางนอยที่สุดก็คือ เมตตา กรุณา นึกถึงผูอื่น โดยคิดวาสัตวทั้งหลายเปนเพื่อน เกิ ด แก เจ็ บ ตาย ด วยกั นทั้ งหมดทั้ งสิ้ น . เราจะเหนื่ อยบ าง จะลํ าบากบ างก็ ยิ นดี แล ว เขาจะกิ น หรื อ ไม กิ น ก็ ต ามใจ, จะตั ก น้ํ า มาใส ไ ว ใ นไหที่ ป ระตู บ า น เป น กิ จ วั ต ร ปฏิ บั ติ ; ฝ ก หั ด นิ สั ย ให ข ยั น ขั น แข็ ง ให ส ม่ํ า เสมอ ไม ลุ ม ๆ ดอน ๆ ก็ ดี ; ถ า เด็ ก ๆ ลู ก หลานในบ า นนั้ น ได รั บ การฝ ก หั ด มาอย า งนั้ น โตขึ้ น มั น ก็ จ ะต อ งเป น เด็ ก ดี . นี่ เป น ตั ว อย า งเพี ย งเล็ ก น อ ย ที่ จ ะแสดงว า วั ต รปฏิ บั ติ ป ระจํ า วงศ ส กุ ล ที่ เคยทํ า สื บ ๆ กันมานั้น ไมใชของเล็กนอยเลย.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ที นี้ ก็ ม าถึ ง เรื่ อ งอย า งที่ เราคิ ด ว า จะทํ า การบรรยายธรรม ในลั ก ษณะใด ลั ก ษณะหนึ่ ง ประจํ า วั น เสาร ซึ่ ง เป น สิ่ ง ที่ พ อจะทํ า ได สามารถจะทํ าได โดยแน น อน ก็ค วรจะมีขึ ้น แลว ควรรัก ษาไว เปน เรื ่อ งของสํ า นัก ; ไมใ ชชั ่ว อายุค นนี ้ พวกนี้ มัน ควรจะเปน เรื่อ งสํา นัก ที่ส ามารถจะทํา ไดต ลอดกาลไปทีเ ดีย ว ; ถา ตั้ง ป ณ ิธ าน ไวอ ยา งนี ้ มัน ไมค อ ยจะเหลว. ถา ไมตั ้ง ป ณ ิธ านไวเ สีย เลย มีก าร กระทบกระทั ้ง แทรกแซงนิด เดีย ว มัน ก็เ หลวได เลิก ไปเสีย ได. ฉะนั ้น วัด วา อารามต า ง ๆ จึ ง ได เลิ ก อะไรไปมากอย า ง หลายต อ หลายอย า ง เพราะไม อ ดทน, เพราะไม รั ก ที่ จะทํ าให เป น ของจริ งจั ง. เมื่ อ หลายสิ บ ป ม านี้ ก็ จ ะเห็ น ได ว า วั ด ต าง ๆ ก็ มี ก ารทํ า อะไรเป น ประจํ า อย า งในพรรษาก็ ต อ งมี ก ารแสดงธรรมทุ ก วั น กั น ทุ ก วั ด จนกว า จะออกพรรษา. เมื่ อ ออกพรรษาแล ว ก็ ยั งมี ทุ ก วั น พระสิ บ ห า ค่ํ า และแปดค่ํ า เจ็ ด วั น ครั้ ง หนึ่ ง ; เหมื อ นอย า งวั น เสาร ข องเรานี้ ก็ ทํ า กั น ได . เมื่ อ เด็ ก ๆ เคยเห็ น ทํากันไดทุกวัด ; แตเดี๋ยวนี้มันไมไดทํา เพราะวาชวนกันโลเลทอถอย ไมตอสู. ที นี้ ก็ พิ จ ารณาดู ต อ ไปว า มั น เกี่ ย วเนื่ อ งกั บ ความเสื่ อ มหรื อ ความเจริ ญ ของพระศาสนาอยา งไรบา ง ? ความไมเอาจริง เอาจัง ไมต อ สู  ไมข ยัน ขัน แข็ง นี่ มั น เกี่ ยวกั บ ความเสื่ อ มหรื อ ความเจริ ญ ของคณะสงฆ ของพุ ท ธบริ ษั ท อย างไรบ าง ? คิ ด ดู ใ ห ดี ก็ จ ะพอเห็ น ได ว า มั น ได เสี ย หายไปหลายอย า ง สํ า หรั บ สิ่ ง ที่ ไม ค วร, ไม ควรจะเสี ย ไปนี้ มั น ก็ ไ ด เสี ย ไปหลายอย า ง, มั น ก็ ร อ ยหรอลงไป ไม มี ค วามรู ค วาม เขาใจในธรรมะเปนปกแผน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เอ าล ะ , จึ งเป น อั น ว า อ ย าก จ ะ ข อ ร อ งไว ว า ทั้ งผู แ ส ด งแ ล ะ ผู ฟ ง ค ว ร จะถือ วา กิจ กรรมบรรยายธรรม ประจํ า วัน ธรรมสวนะ ๗ วัน ครั ้ง นี ้ ขอใหช ว ย


อารัมภกถาเกี่ยวกับ ก ข ก กา ในพุทธศาสนา

กัน ฟ น ฟูก ัน ขึ ้น มาใหมท ุก วัด วาอาราม, และที ่ทํ า ไดแ ลว ก็ข อใหทํ า ใหมั ่น คง หรือยิ่ง ๆ ขึ้นไป. นี้เปนเรื่องแทรกพิเศษ ที่นึกไดในวันนี้.

ฟนความรู ก ข ก กา ของพระธรรมกันกอน. ที นี้ ก็ จ ะได พู ด ถึ ง เรื่ อ งที่ เกี่ ย วกั บ วั น เสาร วั น นี้ เป น วั น เสาร แ รก แล ว ก็ ไม อาจจะบรรยายได ด วยตนเองมากนั ก ก็จํ าเป นบ าง ที่ จะต องเปลี่ ยนวิธีการบางสิ่ ง บางอย า ง ให มั น พอทํ า ไปได , ไม ต อ งล ม ละลายเสี ย ; จึ งคิ ด ว าจะพู ด เรื่อ งที่ เห็ น ว า เป น หั ว ข อ สํ า คั ญ ที่ สุ ด รื้ อ ฟ น ขึ้ น มาพู ด กั น ใหม , แล ว ให ภิ ก ษุ บ างองค วิ พ ากษ วิจารณ หรือสรุปความ หรือวาทบทวนขอความ สรุปใจความใหชัดเจนยิ่งขึ้น. แต ที่ ประสงค อย างยิ่ งนั้ น คื อจะขอถื อว า เป นการสอบไล ดู ว าคนเหล านี้ ไดเขา ใจธรรมะแลว อยา งไร; โดยเฉพาะอยา งยิ ่ง ธรรมะชนิด ที ่เรีย กไดวา เปน ก ข ก กา ของธรรมะที เดี ย ว ซึ่ ง ก็ ไ ด พู ด กั น เมื่ อ วั น ก อ น วั น ป ใ หม ค ราวหนึ่ ง แล ว เรี ย กว า ก ข ก กา ของปรมั ต ถธรรม. ที่ ต อ งรื้ อ ฟ น ขึ้ น มาเรีย นกั น ใหม ด ว ยความ จํ าเป น อย างยิ่ ง แล วก็ ส มกั บ วาเป น วั นป ใหม ต อ งมี อะไรที่ ใหม ที่ อาจจะทํ าให ใหม ขึ ้น มาไดอ ีก . นี ้ก ็เ ห็น วา เรื ่อ ง ก ข ก กา ของธรรมะนี ้ เกา เต็ม ทีแ ลว คร่ํ า , หรือบางคนก็ถึงกับไมรูวา มันมีอยูอยางไรดวยซ้ําไป; ไมเชื่อก็ลองถามกันถูกเถอะ

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อ ะไรเป น ก ข ก ก า ข อ งพ ระธ รรม ; นี่ ค น ก็ จะนึ กกั น ไป ห ล าย ๆ แง แลว สว นมากที ่ส ุด ก็จ ะนึก ไปในแงข องปริย ัต ิธ รรม. เมื ่อ นึก ถึง ปริย ัต ิธ รรม ก็


ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ต อ งนึ ก ถึ ง พระไตรป ฎ ก พระวิ นั ย พระสู ต ร พระปรมั ต ถ อ ะไรเรื่ อ ยไป, หรื อ บาง คนก็จ ะนึก ไปถึง พระพุท ธเจา พระธรรมเจา พระสงฆเจา , แลว ก็พ ูด ไปในเรื ่อ ง นั ้น ในฐานะเปน เรื ่อ ง ก ข ก กา ของพระธรรม ก็ม ัว เปน กัน เสีย อยา งนี ้. ขอ ยื น ยั น ว า เพราะมั ว เป น กั น เสี ย อย า งนี้ จึ ง ไม รูพ ระธรรม ไม รู พุ ท ธศาสนาที่ จ ะเป น ที่พึ่งแกตนได. ขอนี้มันเชนเดียวกับชาวตางประเทศ ที่เมื่อเขามา เรียนพุ ทธศาสนาแลว ไปเรีย นสว นเปลือ ก หรือ สว นที ่ย ัง ไมจํ า เปน ทั ้ง นั ้น มัน เรีย นมากเกิน ไป ; เชน ถ าฝรั่งจะเรียนพุ ทธศาสนา เขาก็ จะตั้ งป ญ หาว าใครสอน ? เมื่ อรูว าพระพุ ทธเจ าสอน ก็ ตั้ งป ญ หาว าพระพุ ท ธเจ าเกิ ด ที่ ไหน ? เมื่ อ รูว าเกิ ด ที่ ป ระเทศอิ น เดี ย เขาจะศึ ก ษา ประเทศอิ น เดี ย เสี ย ก อ นอย า งแตกฉาน กระทั่ ง รู ว า ประเทศอิ น เดี ย ในสมั ย ที่ พ ระ พุท ธเจา เกิด นั ้น มัน เปน อยา งไร ? นี ้ม ัน ก็เ ปน เรื ่อ งใหญ กิน เวลา กิน เรี ่ย วแรง กินมันสมอง.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ ค รั้ น รู แ ล ว ก็ จ ะ เริ่ ม เรี ย น ห ลั ก พ ระ ศ าส น า ก็ ไป เรี ย น เรื่ อ งที่ มั น แ ป ล ก ดี เช น เรื่ อ งกรรม เรื่ อ งอนั ต ตา เรื่ อ งนิ พ พาน เรื่ อ งอะไรนี้ ; แม จ ะเรี ย นเรื่ อ ง สั ง ขาร มั น ก็ เรี ย นอย า งเรื่ อ งปริ ยั ติ ปรั ช ญา ท า ได เลยว า พวกชาวต า งประเทศ เหล า นั้ น ไม ม าตั้ งต น ศึ ก ษาที่ ก ข ก กา ของปรมั ต ถธรรม คื อ ไม ได ม าเรี ย น เรื่องที่มันกําลังเกิดอยูที่กาย ที่วาจา ที่ใจจริง ๆ ของคนคนนั้น; จะดวยเหตุ ใดก็ ย ากที่ จ ะกล า ว. แต ว า เขาไม ไ ด เรี ย น แล ว จึ ง เลยไม รู เรื่ อ งที่ มั น เกิ ด อยู จ ริ ง ๆ ; แตไปรูเรื่องอื่นมากเกินไป.


อารัมภกถาเกี่ยวกับ ก ข ก กา ในพุทธศาสนา

เขาไมรูเรื่อ งที ่ค วรจะรู, โดยเฉพาะก็เรื่อ งที่เราเรีย กกัน วา ขัน ธทั ้ง หา นี ้, ไมไ ดเ รีย นใหถ ูก ขัน ธทั ้ง หา ; ไปเรีย นแตเ รื ่อ งชื ่อ ของมัน , เรื ่อ งอะไร ของมั น มากมายก า ยกอง ไม รู ว า เกิ ด ที่ ไ หน เมื่ อ ไร. แม เ ป น พระเป น เณ รก็ เหมื อ นกั น ไม ดี ก ว าชาวบ า น; เช น พระเณรบางคนก็ มี ค วามรู ว า ขั น ธ ทั้ งห า นี้ เรามี อยู ต ลอดเวลา เรามี อ ยู พ ร อ มกั น อย า งนี้ เป น ต น , แล ว ก็ พู ด สะเพร า ลวก ๆ ว า ขันธหาเปนทุกขอยางนี้ ไมไดพูดวาขันธหาที่มีอุปาทานยึดครองเปนตัวทุกข มันก็ เปนเรื่องที่เฉไฉเถลไถลได ไมตรงความจริง. ฉะนั้นจึงใหเรียน ก ข ก กา กันเสียใหมดีกวา ใหมันเปนการตั้งตน ที่ ถู ก ต อ งเรี ย บร อ ย; ไม ใ ช ว า พอเราจะเรี ย นพุ ท ธศาสนาแล ว ก็ จะต อ งเรี ย นเรื่ อ ง พระพุท ธ พระธรรม พระสงฆ เหมือ นกับ ที ่เ ขาเขา ใจกัน อยู . ถา อยา งนี ้ม ัน ยัง ไกลออกไป แล ว จะไม รู จั ก พระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ ตั ว จริ ง เสี ย ด ว ยซ้ํ า ไป ; จะรู จ ัก แตพ ระพุท ธ พระธรรม พระสงฆ เทา ที ่เ รีย น, เทา ที ่อ ยู ใ นตัว หนัง สือ หรือความจําได.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ข อ นี้ เราจ ะ เห็ น ได จ า ก ก ารที่ ว า ใน ส มั ย พุ ท ธ ก าล แ ท ๆ เมื่ อ มี ค น ไป เฝ า พระพุ ท ธเจ า บางที เป น คนไม นั บ ถื อ มาก อ นเลย เป น ศั ต รูก็ มี , ไปเฝ า พระพุ ท ธเจ า ไปสนทนาไปไต ถ าม ในที่ สุ ด เขาเข า ใจ, เขาชอบใจ เขาถึ ง ค อ ยประกาศตนเป น อุบ าสก นั บ ถื อ พระรัต นตรัย ตอ พระพั กตรพ ระพุ ทธเจาเป นต นไปจนตลอดชีวิต ; พระรัต นตรัย นั ้น มา ตอ เมื ่อ เขา ใจธรรมะแลว นี ้ม ัน จริง แท; แตพ ระรัต นตรัย ที่มากอน มาโดยคําพูด มาโดยการสวดทองนี้ยังไมจริง.


ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ถ า ว า จะให ถึ ง พระรั ต นตรั ย จริ ง ไปตั้ ง แต ต น ก็ จ ะต อ งเรี ย น ก ข ก กา ของพระธรรมที ่แ ทจ ริง ตั ้ง ตน ดว ยเรื ่อ งขัน ธห า เปน ตน จนเขา ใจธรรมะนั ้น เห็น ธรรมะนั ้น ; เห็น ธรรมะนั ้น จึง จะชื ่อ วา เห็น พระพุท ธเจา . ขอ นี ้ก ็เ คย บอกกันหลายหนแลว มีพุทธภาษิตชัดเจนอยูแลววา พระองคไดตรัสวา ผูใดเห็น ธรรมผูนั้นเห็นเรา ผูใดเห็นเราผูนั้นเห็นธรรม; ผูใดเห็นปฏิจสมุปบาท ผูนั้น ชื่อวาเห็นธรรม, ผูใดเห็นธรรม ผูนั้นตองเห็นปฏิจสมุปบาท. มันมีอยูอยางนี้. นี ้เ ห็น ปฏิจ สมุป บาท ไมใ ชม ัน อา นไดจ ากหนัง สือ มัน ตอ งเห็น อาการของปฏิจ จสมุป บาท ที่มัน เกิด ขึ้น ดับ ไป, เกิด ขึ้น ดับ ไป ยุบ ๆ ยับ ๆ ที ่เ นื ้อ ที ่ต ัว ที ่ก าย ที ่ว าจา ที ่ใ จ ของบุค คลนั ้น เอง. พอเห็น อัน นี ้ก ็เ รีย กวา เห็น ปฏิจจสมุปบาท, เห็นปฏิจจสมุปบาทก็คือเห็นธรรม, เห็นธรรมก็คือเห็นพระตถาคต ; พระพุทธเจาทานตรัสไว อยางนี้.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เพราะฉะนั้ นอาตมาจึ ง คิ ดว า ไหน ๆ ก็ ป ใหม ก็ ควรจะมี อะไรให ม บ าง ; อย างน อยก็ วิ ธี เรี ย น หรื อวิ ธี ศึ กษาที่ ใหม กั น บ าง ให เข าถึ ง ก ข ก กา ที่ มี รากฐาน, คื อจะต องเรี ยน ก ข ก กา แล วก็ แจกเป น กะ กา กิ กี ขะ ขา ขิ ขี เรื่ อยไป แล วก็ มี กา ก า ก า, ขา ข า ข า ไปตามรากฐานที่ มั นมั่ นคง มั นจะไม มี ทางผิ ดได เพราะมั น เห็ นชั ดอยู แก ลู กตา. ผิ ดกั บ เรียนหนั งสื ออี กแบบหนึ่ ง ซึ่ งอาตมาเด็ ก ๆ ก็ เคยเห็ นว า คนรุนพี่สาว ลูกปา อะไร เขาเรียนหนังสือวันแรก ก็คือเขาอานหนังสือลักษณวงศเลย. ลุ งเข า ส อ น ให เอ า ห นั งสื อ ใบ แ รก ม า ส อ น ให ๒ - ๓ บ รรทั ด ใน ห นั งสื อ ลั กษณวงศ ก็ ชั กอ านกั นไปวั นละ ๔ - ๕ บรรทั ด เขาจํ าแม นยํ า ก็ มากขึ้ นจนเป นใบ ๆ. นั่ นแหละเขาก็ อ านได เอง มี ส วนผิ ดน อย ก็ ค อย ๆ ถู กไปตามลํ าดั บ, แล วลองเปรียบ ดูเ ถอะวา คนเริ ่ม เรีย นหนัง สือ ดว ยวิธ ีนี ้ กับ เรีย น ก ข ก กา นั ่น อัน ไหนมัน จะ มั่นคงกวา ?


อารัมภกถาเกี่ยวกับ ก ข ก กา ในพุทธศาสนา

ถ า จะเรี ย นพุ ท ธศาสนาก็ เหมื อ นกั น จะเรี ย นอย า งเหมา ๆ เอาไปก อ น ก็ไ ดเ หมือ นกัน มัน ก็อ าจจะรู ธ รรมะได; แตค งจะไมช ัด เจนแจม แจง หรือ มัน ไมห ยั ่ง รากลึก . ฉะนั ้น ตอ งเรีย นที ่ต ัว ธรรมะจริง ซึ ่ง เปรีย บเหมือ นกับ ก ข ก กา สิ ่ง นั ้น ก็ค ือ ขัน ธทั ้ง หา ซึ ่ง เกิด ขึ ้น อยู แ กต ัว เราเปน ประจํ า วัน . สว นมาก เกิ ดเป นเพี ยงขั นธ ทั้ งห า เหมาะ ๆ จึ งจะเกิ ดเป นป ญ จุ ปาทานขั นธ ทั้ งห า คื อเป นทุ กข กันสักทีหนึ่ง; ฉะนั้นตองดูวา ขันธหาคืออะไร ? คือ รูป เวทนา สัญ ญา สังขาร วิ ญ ญ า ณ . เมื ่ อ รู  ว  า แ ต ล ะ อ ย า ง เป น อ ย า ง ไร แ ล ว มั น เกิ ด จ ริ ง ๆ เมื ่ อ ไร, เกิ ด อย า งไร; เกิ ด จริ ง ๆ เมื่ อ ไร ต อ งให เห็ น เหมื อ นอย า งที่ เราเห็ น ดิ น ทราย กรวด ใบ ไม ที ่อ ยู ต รงห นา เรานี ้; ตอ งใหเ ห็น ชัด อยา งนี ้; แมว า จะเปน น าม ธรรม ก็เ ห็น ไดด ว ยปญ ญา; เชน วา ตามัน เห็น รูป ขา งนอกเกิด ความเห็น ทางตา นี ่เ รา ก็ตองเขาใจได ไมใชมันลึกลับอะไร. ตาเห็ น รู ป ก็ เ กิ ด การเห็ น ทางตา ทั้ ง หมดนี้ เรี ย กว า ผั ส สะ, คื อ การ กระทบของพวกนามธรรม เกิ ด เวทนา คื อ ความรู สึ ก อย า งนั้ น อย า งนี้ ขึ้ น , เกิ ด สั ญ ญา คื อ หมายมั่ น ในความรู สึ ก อย า งนั้ น อย า งนี้ ขึ้ น มา; เกิ ด สั ง ขาร คิ ด ไปตาม สมควรแกส ัญ ญานั ้น ๆ, แลว วิญ ญาณนี ้ม ัน ก็เ กิด ซับ ซอ นที ่จ ะเกิด ทุก ข ก็เ ปน มโนวิ ญ ญาณไปยึ ดเอาเวทนาอย างใดอย างหนึ่ งเข า เป นตั วตนหรื อเป นของตน เพราะ มั น ไปรู สึ ก ว า เป น อย า งไร เกิ ด ความโง ขึ้ น มา เป น สั ง ขารอั น ที่ ส อง ที่ ส าม คื อ เป น ตัว เปน ตน เปน กูเ ปน ของกู. นี ่ม โนวิญ ญาณนี ้ทํ า เหตุร า ยกาจอยา งนี ้ คนเราจึง ไดเปนทุกข; นี่คือ ก ข ก กา.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ก็ ต อ งไปดู ให ดี ว า ขั น ธ ทั้ ง ๕ คื อ อะไร ? ขั น ธ ที่ มี อุ ป าทานทั้ งห านั้ น เป น อย างไร ? อายตนะหกคื ออย างไร ? ธาตุ ทั้ งหลายที่ จะช วยกั นปรุ งขึ้ นเป นอายตนะหก


๑๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

เป น อย า งไร ? ธาตุ อ ะไรเป น พื้ น ฐานทั่ ว ไป สํ า หรั บ สั ง ขารทั้ ง ปวง ? มี ธ าตุ ที่ ต รง กั น ข า มโดยประการทั้ ง ปวง, นั้ น คื อ ธาตุ อ ะไร ? ถ า เรีย นอย า งนี้ มั น จะเรีย นเหมื อ น อย างที่ เรี ยกว า เรี ยน ก ข ก กา อย างแจกรู ป แจกอะไร อย างไม ยกเว นแม สั กนิ ดเดี ยว มันก็รูดี.

ตองศึกษาทบทวนเริ่มแตเรื่องธาตุ. ถ า จะไล ขึ้ น ไปตั้ งต น ก็ เรื่ อ งธาตุ มี ธ าตุ ฝ า ยสั ง ขตะหรื อ ฝ า ยสั ง ขารอยู คื อ ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ล ม ธาตุ อ ากาศ ธาตุ วิ ญ ญาณ นี้ ธ าตุ พื้ น ฐาน. ถ าใครไม รูจั ก ก็ เรีย กว า ยั งไม ได เรี ย น ก ข ค ง เลย จะน า สงสารกี่ ม ากน อ ย ; ถ า ไม รูว าธาตุ ดิ นอยู ที่ ตรงไหน ธาตุ น้ํ า ธาตุ ลม ธาตุ ไฟ ธาตุ อากาศ ธาตุ วิญญาณ อยู ที่ ตรงไหน, ในเนื้ อ ในตั ว ของเรา หรื อ นอกเนื้ อ นอกตั ว ของเรา หรื อ ในโลกทั้ ง สิ้ น นี้ มันอยูที่ตรงไหน อยาเพอไปสนใจอยางอื่นซิ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org รู จั ก ธ า ตุ ดิ น คื อ ส ว น ที่ เป น ข อ งแ ข็ ง, รู จั ก ธ า ตุ น้ํ า คื อ ส ว น ที่ เป น ข อ ง เหลว, รูจักธาตุ ลม คือสวนที่มันระเหยลอยได. รูจักธาตุไฟ คือ สวนที่มีอุณ หภู มิ มี การเผาไหม , รูจั กอากาศธาตุ คื อที่ วางที่ เป นเหตุ ให สิ่งต าง ๆ มั นตั้ งอยู ได . ที นี้ ก็ วิญ ญาณธาตุที ่ล ึก ลับ แตเรารู ส ึก ได เพราะเรามีจ ิต ใจที ่ค ิด นึก อะไรได. ฉะนั ้น ถ า เราไม รู จั ก มั น เราก็ นึ ก ว า อะไรที่ คิ ด ได นั้ น คื อ วิ ญ ญาณธาตุ , เป น แต สั ก ว า ธาตุ เทา นี ้. หกธาตุนี ้ก ็เ กี ่ย วขอ งกัน อยู ต ลอดเวลาในวัน หนึ ่ง ๆ สํ า หรับ ที ่จ ะปรุง ขึ้น มาเปน นั ่น เปน นี ่ม ากมาย แตที ่สํ า คัญ ก็ค ือ ปรุง เปน อายตนะ. ฉะนั้น จึง ตอ ง มีธ าตุอ ยา งอื ่น ที ่ค วรจะรู ไ วอ ีก คือ เชน วา ธาตุต า สํ า หรับ จะใหรู แ จง ทางตา.


อารัมภกถาเกี่ยวกับ ก ข ก กา ในพุทธศาสนา

๑๑

ธาตุ หู สํ า หรั บ จะให หู ไ ด ยิ น อะไรได . ธาตุ จ มู ก สํ า หรั บ ให จ มู ก รู ก ลิ่ น ได . ธาตุ ลิ้ น สํ า หรับ ใหลิ ้น รู ร สได. ธาตุผ ิว กาย สํ า หรับ ใหผ ิว กายรู ส ัม ผัส ได. แลว ก็ธ าตุใ จ ใหใจรูสึกได. ที นี้ ข างนอกมั นยั งมี ธาตุ รู ป อี กธาตุ หนึ่ ง, ธาตุ รู ป ธาตุ ที่ ทํ าให สิ่ งต าง ๆ มีร ูป ขึ ้น มา, แลว ก็ธ าตุเ สีย งที ่ทํ า ใหเ กิด สิ ่ง ที ่เ รีย กวา เสีย ง. ธาตุก ลิ ่น ที ่ทํ า ให เกิ ด มี สิ่ ง ที่ เรี ย กว า กลิ่ น ขึ้ น มา. ธาตุ ร สคื อ ให รู ร ส ให เกิ ด รสที่ รู สึ ก ได ขึ้ น มา และก็ ธาตุ โผฏฐั พ พะคื อ สั ม ผั ส ผิ ว หนั ง คื อ เราจะรู สึ ก สั ม ผั ส ทางผิ ว หนั งได ขึ้ น มา. แล ว ก็ ธาตุธัมมารมณ คือสิ่งที่ใจจะรูสึกได. นี่ ก ระทั่ ง ธาตุ ต า หู จมู ก ลิ้ น กาย หรื อ ธาตุ รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส มั น ก็ ต องอาศั ย ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ลม ธาตุ ไฟ ธาตุ อากาศ ธาตุ วิ ญ ญาณ เหมื อนกั น, มัน ก็เ ขา จับ กลุ ม กัน เปน หมู นั ้น หมู นี ้ แลว ก็ป รุง ขึ ้น มาตามสมควรแกโ อกาส ; เช น ปรุ งเป น อายตนะทางตา อายตนะทางตานี้ มั นต องเอาธาตุ ต ามา, แล วก็ เอา ธาตุ ดิ น น้ํ า ลม ไฟ อากาศ วิ ญ ญาณอะไรด วยนี้ ม า ตั้ งหกธาตุ แล ว แล วมี ธาตุ ต า เข ามารวมด วย, แล วก็ ธาตุ รูปข างนอกเข ามาเกี่ ยวข องด วย จึ งจะเกิ ดสิ่ งใหม ที่ เรียกว า อายตนะทางตา หรือ จักขุอายตนะ; ถาไมอยางนั้นมันเกิดไมได.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ า ไม มี ดิ น น้ํ า ล ม ไฟ อ า ก า ศ วิ ญ ญ า ณ อ ยู ก อ น ลู ก ต า นี่ มั น มี ไม ได , ประสาทลู ก ตามั น มี ไ ม ได , ความรู สึ ก ทางตามั น มี ไ ม ได ถ า ไม มี รู ป ข า งนอก ความ รูสึกทางตาก็มีไมได. เพราะฉะนั้นพระพุ ท ธเจาทานจึงตรัสวา ตากับ รูปอาศัยกัน จึ งจะเกิ ดจั กษุ วิ ญ ญาณ. คํ าว าตากั บรูปในที่ นี้ หมายถึ งอายตนะทั้ งนั้ นนะ จั กษุ ธาตุ หรื อ ธาตุ ต า ที่ ไ ด ธ าตุ ต า ง ๆ มาประชุ ม กั น แล ว เกิ ด เป น อายตนะทางตาขึ้ น มาชั่ ว


๑๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ขณะหนึ่ ง แล ว ก็ จ ะดั บ ไปเมื่ อ ทํ า หน า ที่ ข องมั น เสร็ จ . รู ป ข า งนอกก็ เข า มาผสมโรง ชั่วขณะ แลวมันก็จะดับไปเมื่อทําหนาที่เรื่องนี้เสร็จ; นี่มันเปนอยางนี้. ถ าพยายามทํ าความเข าใจจะเห็ นสิ่ งเหล านี้ ชั ดแจ ง เหมื อนเรานั่ งอยู ตรงนี้ เห็น เม็ด กรวด เม็ด ทราย มด แมลง ใบไม ใบหญา นี ้ เห็น ชัด อยา งนี ้จ ึง จะได, คือ เห็น ธาตุทั ้ง หลาย ที ่ไ ดโ อกาสแลว จะปรุง กัน ขึ ้น เปน อายตนะ. อายตนะคู นั ้น ๆ ไดโ อกาสแลว ก็จ ะปรุง ขึ ้น เปน ขัน ธ : ถา ในขณะนั ้น มัน โงไ ป มัน ก็ ปรุง เปน อุป าทานขัน ธ แลว มัน ก็ไ ดเ ปน ทุก ข นั ่ง รอ งไหอ ยู บ า ง, หรือ อะไรบา ง. นี่ คื อ ก ข ก กา หรื อจะเรี ยกว าสู ตรคู ณ สํ าหรั บ เด็ กเล็ ก ๆ เขาจะต องเรี ยนก็ ได , ต อ ง แมนยํา, ตองชัดเจนถูกตอง, จึงจะเรียนหนังสือ หรือเรียนเลขเปนลําดับตอไปได. เดี๋ ยวนี้ เราไม ได เรี ยนจากของจริ งลงไปตรง ๆ อย างกะเขาเรี ยนวิ ทยาศาสตร อย างนี้ : เรามั กจะไปเรียนท องจํ า ไปเรี ยนอะไรต าง ๆ ซึ่ งเราก็ ยั งไม รูว าอะไรไปเสี ย เรื ่อ ย ๆ. ฉ ะนั ้น เปน พ ระเปน เณ รตั ้ง สิบ พ รรษ าแลว ก็ไ มรู  ก ข ก กา ขอ ง พระธรรม. ฟง ดูค ลา ยกับ เปน เรื ่อ งพูด เลน แตว า มัน เปน เรื ่อ งจริง ยิ ่ง กวา จริง ; เป น เณรแล ว เป น พระแล ว ก็ ห ลายพรรษาแล ว ก็ ยั ง ไม รู ก ข ก กา ของพระธรรม แลวจะเสียหายสักเทาไร คือมันจะตายดาน เปนไปไมได สักกี่มากนอย.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั ้น วัน นี ้ก ็เ รีย กวา เปน วัน เริ ่ม ตน ดว ย แลว ยัง เนื ่อ งในปใ หมด ว ย เราก็ ป รั บ ปรุ ง ระบบการเรี ย นใหม คื อ ย อ นกลั บ มาเรี ย น ก ข ก กา กั น โดย ระบบใหม วิธีใหม, ที่จะใหรู ก ข ก กา ในพระพุทธศาสนา อยางถูกตอง.

ที นี้ เมื่ อ อ าต ม าไม ค อ ย จ ะ มี แ รง ห รื อ ว ายั งไม ส บ าย อ ยู จ ะ พู ด ม าก ก ว านี้ ก็ ค งจะทํ าไม ได จึ งถื อ โอกาสเป น การสอบไล ดู ก อ น ว าพระองค ไหน ท า นมี ค วามรู


อารัมภกถาเกี่ยวกับ ก ข ก กา ในพุทธศาสนา

๑๓

ความเข า ใจในเรื่ อ งนี้ แ ล ว อย า งไร, ก็ ข อให ขึ้ น มาพู ด ที ล ะองค ละองค ; โดยสรุ ป ใจความให สั้ น ให ก ะทั ด รัด ชั ด เจน แล วก็ จะได เป น ที่ พ อใจว า เพี ย งพอแล วสํ าหรั บ การเรี ย น ก ข ก กา, แล วก็ จ ะได แ จกลู ก ต อ ๆ ไป จนถึ งกั บ เขาเรี ย กว า เรีย น กก เรี ย น กง เรี ย น กม เรี ย น เกย เรี ย นอะไรไปให มั น ถึ ง ที่ สุ ด โน น . นี่ ที่ คิ ด ไว สํ า หรั บ วั น เสาร แ รกวั น นี้ ก็ จ ะพู ด เรื่ อ ง ก ข ก กา ของปรมั ต ถธรรมในพระพุ ท ธ ศาสนากั น หรืออาจจะเป นว า วันเสารภาคมาฆบู ชานี้ จะพู ดกั นแต เรื่อง ก ข ก กา ในพระพุทธศาสนา กันเสียทั้งภาคเลย ก็ยังได. ที นี้ ก็ ถึ งคราวที่ จะทดสอบกั นแล ว พระองค ไหนหรื อแม แต เณรองค ไหน อย าละอาย อย ากระดาก, ไม ต องละอาย ไม ต อ งกระดาก; เหมื อ นกั บ มาท อ งสู ต ร คู ณ ให ฟ ง หรื อ ว า มาแจกลู ก ก ข ก กา ให ฟ ง แล ว ก็ แ จกจากความรู สึ ก ที่ ม อง เห็น อยู ใ นใจ นั ่ง ที ่ธ รรมมาสนอ ัน นี ้ก ็ไ ด, ธรรมมาสนเ ล็ก นะ ขึ ้น นั ่ง บนนั ้น วา ไป ใหเ วลาตามสมควร; แตต อ งใหไ ดเ รื ่อ งครบถว น ของสิ ่ง ที ่เ ปน รากฐานของ ปรมั ต ถธรรม ที่ เมื่ อ ผู ใ ดเห็ น แล ว ชื่ อ ว า เห็ น ปฏิ จ จสมุ ป บาท ผู เห็ น ปฏิ จ สมุ ป บาท ชื่อวาเห็นธรรม ผูที่เห็นธรรมชื่อวาเห็นตถาคต แลวเราก็จะไดพระพุทธเจาที่แทจริง.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ

[ตอไปนี้ ภิกษุอื่นบรรยายตอไป ]

.... .... .... .... ....

เรื่องเบื้องตนที่ควรรูอีก เกี่ยวกับความทุกข. เอาละ, เท าที่ กล าวมาทั้ งหมดนี้ ก็ เป นการขยายใจความส วนใดส วนหนึ่ ง. ที นี้ อ าตมาก็ อ ยากจะพู ด สรุ ป เป น ครั้ ง สุ ด ท า ยอี ก ครั้ ง หนึ่ ง เพื่ อ จะได เลิ ก ประชุ ม ;


๑๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

แตว า เมื ่อ สวดธรรมบทปด ประชุม แลว ยัง จะตอ งขอรอ งใหอ ุบ าสกคนสองคน มากล า วใจความสํ า คั ญ เท า ที่ ตั ว เก็ บ ไปได เล็ ก น อ ย เพื่ อ สอบดู ว า อุ บ าสกได อ ะไร ไปบาง. คํ า ว า ก ข ก กา นี้ ไม ต อ งพู ด แล ว ว า เป น เรื่ อ งแรกเรี ย น อย า งเดี ย ว กั บ A B C D, ก ข ก กา ก็ เป น เรื่ อ งแรกที่ สุ ด ที่ คนจะต องเข าไปเกี่ ยวข องด วย. ในการเรี ย น, เรื่ อ งมั น มี ป ญ หาขึ้ น มาว า เพราะว า เรามี ค วามทุ ก ข ลํ า บาก เราจึ ง ตอ งเรีย น เพื ่อ แกค วามทุก ขลํ า บาก; เรีย นทางโลกใหรู ห นัง สือ รู เ ลข ก็เ พื ่อ แกความทุกขลําบากทางโลก, เรียน ทางธรรมนี้ เพื่ อแก ป ญ หาความทุ กข ลําบาก ในทางจิ ต ใจ. ก ข ก กา ในเรื่ อ งทางจิ ต ใจ นั้ น ก็ คื อ เรื่ อ งพระธรรมส ว นที่ ว า จะ เปนเบื้องตนที่สุด ที่ทุกคนควรจะทราบ. เรื่ อ งเบื้ อ งต น ที่ สุ ด ก็ คื อ ความทุ ก ข แล ว ก็ มี อ ยู ใ นตั ว คนนั้ น เอง คื อ พระพุทธเจาทานไดตรัสวา โลกหรือความทุกข ก็ดี เหตุใหเกิดโลก หรือ เหตุใหเกิด ความทุกข ก็ดี ความดับของโลก หรือความดับของทุกข ก็ดี ทางใหถึงความดับของ โลก, หรื อ ทางให ถึ ง ความดั บ ทุ ก ข ก็ ดี อยู ใ นร า งกายนี้ ยาววาหนึ่ ง ที่ ยั ง เป น ๆ คื อ มีส ัญ ญ าและใจ. จึง ไดค วามวา เรื ่อ งความทุก ขนั ้น ดว ย ความดับ ทุก ขด ว ย มีอ ยู ใ นคน นี ้เ ปน เรื ่อ งแรกที ่ส ุด . ที ่ค นจะตอ งมองดูต ัว ตนของตนเขา ไปขา งใน เพื่อใหเห็นเรื่องทุกขและเรื่องดับทุกข.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ จ ะ เห็ น อ ย า ง ไร เห็ น ห ลั ก ให ญ ๆ คื อ ว า ถ า เป น ทุ ก ข ก็ เพ รา ะ ยึ ด มั่ น ว า ตัว เราวา ของเรา; ถา ไมย ึด มั ่น ก็ไ มม ีอ ะไรเปน ทุก ข. เดี ๋ย วนี ้เ รายึด มั ่น ไปเสีย แทบจะทุ ก อย า ง ฉะนั้ น จึ ง ได มี ค วามทุ ก ข ม ากในทางจิ ต ใจ; นี่ ห ลั ก ส ว นใหญ มั น มี


อารัมภกถาเกี่ยวกับ ก ข ก กา ในพุทธศาสนา

๑๕

อยู . อยา ลืม วา เพราะไปยึด มั ่น มัน จึง เปน ทุก ข. เหมือ นวา กอ นหิน กอ น ใหญนี้มันหนัก แตถาไมเอามาแบกไว มันก็ไมทําอะไรเรา; เราจึงตองรูจักไมแบก. สํ า หรั บ วั ต ถุ ข า งนอกนี้ มั น ง า ยที่ เราจะไม แ บก; แต วั ต ถุ ข า งใน มั น เกิ ด ขึ้ น ในใจมั น ทั บ ถมจิ ต ใจ มั น ก็ เป น เรื่ อ งที่ ย ากกว า เรื่ อ งข า งนอก; จะป อ งกั น อย าให มั นเกิ ดยึ ดมั่ น ถื อมั่ นขึ้ นก็ ได หรือวามั นเกิ ดยึ ดมั่ นถื อ มั่ นขึ้ น เสี ยแล ว จะสลั ด มัน เสีย อยา งไร อยา งนี ้ก ็ไ ด. แตว า ทางที ่ด ีที ่ส ุด นั ้น จะตอ งมีค วามรู ช นิด ที่ อยา ใหม ัน เกิด ขึ ้น จะดีก วา . ถา เรารู เ รื่อ งนี ้ใ นขั ้น ตน ๆ ก็เรีย กวา ก ข ก กา ของเรื่องความดับทุกข คือ อยาไปยึดมั่นถือมั่น. ข อนี้ อยากจะเตื อนแล วเตื อนอี กอยู เสมอว า เมื่ อจะเข ามาบวชในพุ ทธ ศาสนา ธรรมเนี ย มไทยแท แ ต โบราณ ท านให เรี ย น ยถาปจฺ จ ยํ ปวตฺ ต มานํ ธาตุ ม ตฺ ต เมวตํ ยทิ ทํ จี ว รํ ฯ เรื่อ ยไปนี่ คื อ ให เรีย นว า มั น เป น สั ก ว า ธาตุ ต าม ธรรมชาติ เป นไปตามเหตุตามปจจัย นิสฺสตฺโต นิชฺชีโว สุฺโ - ไมใชสัตว บุคคล ตัวตน เราเขา. คําวา สัตว บุคคล ตัวตน เราเขานั้น คือความยึดมั่น เท า นั้ น , ไม มี ตั ว จริ ง อะไร; แต เรามั่ น หมายว า มี อ ย า งนั้ น อย า งนี้ เป น สั ต ว บุ ค คล ตั ว ตนเราเขา. อย า ให เ กิ ด ความรู สึ ก อั น นี ้ ไ ด ก็ เ รี ย กว า ไม ม ี ค วามยึ ด มั ่ น ถือมั่น.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทํ าอ ย างไรอ ย าให ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ? ก็ ให รู โ ด ย ค ว าม เป น ธ าตุ ฉ ะนั้ น เราจึ งต อ งพู ด กั น เรื่ อ งธาตุ : ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ล ม ธาตุ ไฟ ธาตุ อ ากาศ ธาตุ วิ ญ ญาณ นี่ ธาตุ พื้ นฐาน แล วธาตุ ที่ ว า จะมาผสมโรง คื อ ธาตุ ตา ธาตุ หู ธาตุ จมู ก ธาตุลิ ้น ธาตุก าย ธาตุใ จ. ธาตุที ่จ ะเปน อุป กรณอ ัน นั ้น อีก ทีห นึ ่ง ก็ค ือ ธาตุร ูป


๑๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ธาตุ เ สี ย ง ธาตุ ก ลิ่ น ธาตุ ร ส ธาตุ โ ผฏฐั พ พะ ธาตุ ธั ม มารมณ . แล ว ยั ง มี อ ยู เ ป น ระดั บ ๆ ที่ ป รุ งกั น ขึ้ น ไป ก็ เป น กามธาตุ ที่ ทํ า ให เกิ ด ความรูสึ ก ยึ ด มั่ น ในทางกาม. รูปธาตุใหเกิดความรูสึกยึดมั่นที่เปนรูป คือไมใชกาม. อรูปธาตุ มันก็คือจะให เกิดความรูสึกยึดมั่นประเภท อรูปธาตุ. ยึด มั ่น กาม ยึด มั ่น รูป ยึด มั ่น อรูป เปน ทุก ขเ หมือ นกัน หมด ; แต ว า โชคดี ที่ มี ธ าตุ สุ ด ท า ยคื อ นิ โรธธาตุ ที่ จั ด ไว ฝ า ยอสั ง ขตธาตุ โน น ที่ ม าช ว ย แกสิ ่ง เหลา นี ้ไ ด นั ้น เราคอ ยรูท ีห ลัง . เพราะวา เดี ๋ย วนี ้เ ราจะรู เ รื ่อ งที ่ทํ า ใหเ กิด ความทุ กข ขึ้ น มา คื อ ธาตุ ดิ น น้ํ า ลม ไฟ เป นรากฐานของ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ, รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ จะต อ งรู มั น อย า งไร. อย า ให ป รุ ง มาเป น เรื่ อ งกาม เรื่ อ งรู ป เรื่ อ งอรู ป ขึ้ น มา. รู ไ ปถึ ง ว า ถ า เรามี ส ติ หรื อ มี ค วามรู มันก็ปรุงไมได; ถาเราไมรูหรือเผลอไป มันก็ตองปรุงและเปนทุกขแน. เรื่องนี้จะใหใครสอน ? ก็พระพุทธเจาตรัสไววา ความดับไมเหลือแหง โลก แหง ทุก ขนี้ ก็อ ยูใ นรา งกายนี้; เพราะฉะนั้น ธรรมชาตินั่น แหละสอน, ตั ว เองนั่ น แหละสอน คื อ ความเจ็ บ ปวดนั่ น แหละมั น สอน, ความทุ ก ข นั่ น แหละมั น สอน, ลองเป น ทุ ก ข ใ ห ม าก ๆ เข า มั น ก็ จ ะบอกความตรงข า มได เอง. นี่ ธ รรมชาติ ไปทํ า อะไรให เข า เป น ทุ ก ข แล ว มั น ก็ เข็ ด หลาบ มั น ก็ ไ ม ทํ า อี ก ; เมื่ อ เราทํ า อย า งนี้ เจ็บปวด เราก็ไมทําอีก.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แ ม แ ต ส ุน ัข แ ล ะ แ ม ว ม ัน ก ็รู จ ัก ว า ถ า ทํ า อ ย า ง นี ้แ ล ว ม ัน เด ือ ด ร อ น , แล ว มั น ก็ ไ ม ทํ า อี ก , มั น ก็ ห ลี ก เลี่ ย งเสี ย . ความรู ช นิ ด นี้ มั น สะสมกั น มากขึ้ น ๆ เรีย กวา สติป ญ ญา, ก็ใ ชส ติป ญ ญานี ้ป อ งกัน ไมใ หม ัน ปรุง แตง กัน ขึ ้น มา ใน


อารัมภกถาเกี่ยวกับ ก ข ก กา ในพุทธศาสนา

๑๗

ลัก ษณะที ่เปน ทุก ข. ดัง นั ้น เขาจึง สอนเรื่อ งใหเห็น ความจริง ของธาตุด ิน ธาตุน้ํ า ธาตุไฟ ธาตุลม, เห็ นความไม ใช ตั วตน ของ ตา หู จมู ก ลิ้น กาย ใจ รูป เสี ยง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ มั น ก็ ไ ม มี ท างที่ จ ะปรุ ง ให เกิ ด ความรู สึ ก ที่ เป น กิเลส เปนอุปาทาน. ถ าจะแยกให ล ะเอี ย ดออกไปว า ธาตุ ทั้ ง หลายมั น จะปรุ งเป น อายตนะ, อายตนะมั น จะปรุ ง เป น ขั น ธ , แล ว ขั น ธ นี้ ถ า เผลอเมื่ อ ไร มั น จะเป น ที่ ตั้ ง แห ง อุป าทาน, กลายเปน ทานขัน ธขึ ้น มา. เรื ่อ งขัน ธห า นี ้ ตอ งถือ เปน เรื ่อ ง สํ าคั ญ ที่ สุ ด เพราะวาพระพุ ทธเจ าท านสอนมากที่ สุ ด. เมื่ อเราสํ ารวจดู ในพระบาลิ ทั้ ง หมดแล ว พบว า สอนเรื่ อ งขั น ธ ห า มากที่ สุ ด , หรื อ อย า งน อ ยก็ เนื่ อ งกั น อยู กั บ ขัน ธห า , แลว ก็เ รื ่อ งขัน ธห า นี ่เ อง ที ่ทํ า ใหบ ุค คลชุด แรกเปน พระอรหัน ต คือ พระบาลีอนัตตลักขณสูตร. แตมันไมสําคัญเทากับขอที่วา เรื่องขันธหานั้นมันคือ เรื ่อ งที ่ม ีอ ยู ใ นเนื ้อ ในตัว , ในกาย ในวาจา ในใจ อะไร ในตัว คนนั ่น เอง คือ ขันธห า. ฉะนั้ นเรื่องจึ งไม มี เรื่องอะไรสํ าคั ญมากเท าขั นธห า, แล วเรื่องต าง ๆ ทั้ งหลาย มั น ก็ ป ระกอบอยู ที่ ขั น ธ ห า . เรื่ อ งสุ ข เรื่ อ งทุ ก ข เรื่ อ งดี เรื่ อ งชั่ ว เรื่ อ งบุ ญ เรื่ อ ง บาป เรื่ อ งปฏิ จ จสมุ ป บาท เรื่ อ งอริ ย สั จ จ เรื่ อ งกรรม เรื่ อ งอะไรก็ ต าม มั น เนื่ อ ง อยูกับเรื่องขันธหา.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉ ะนั้ น รู จั ก ขั น ธ ห าอ ย าให เกิ ด เป น ทุ ก ข , รู จั ก เรื่ อ งขอ งขั น ธ ห าถึ งขน าด ที่ อยา ใหเ กิด เปน ทุก ขขึ ้น มา. ใหเ ปน ขัน ธห า แตอ ยา เปน อุป าทานขัน ธห า คือ ใหเปน เพีย งขัน ธห า ตามธรรมชาติ, และมีส ติป ญ ญารูเทา ทัน เสีย . อยา เผลอ ให เป น ขั น ธ ห า ถู ก ยึ ด ถื อ เป น ป ญ จุ ป าทานขั น ธ แ ล ว เป น ทุ ก ข นี้ คื อ เรื่ อ ง ก ข ก กา เพราะวา ถา เราทํา ไดน ะ ไมเ กิด อุป าทานขัน ธหา แลว จิต ใจก็จ ะไมมีทุก ข ก็


๑๘

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

เรี ย กว า เป น ประภั ส สร, คื อ สุ ก ใสกาววาวอยู เรื่ อ ย เพราะไม มี อุ ป กิ เลสอั น ใดเกิ ด ขึ้น; นั่นคือพื้นฐานเดิมแทของสิ่งที่เรียกวาคนหรือจิต. คนมี จิ ต เป น ประภั ส สรอยู เป น พื้ น ฐาน แต เขาไม มี ค วามรู เพี ย งพอ, ยั ง ไม มี ค วามรู เพี ย งพอ หรื อ ว า รู แ ล ว เผลอไปบ า งก็ มี , จิ ต ก็ สู ญ ความเป น ประภั ส สรอยู บอ ย ๆ ; สูญ ทีไ รก็เ ปน ทุก ขท ุก ที. นี ้ค วามเข็ด หลาบสอนใหร ะมัด ระวัง ดีขึ ้น ๆ ก็ รั ก ษาไว ไ ด : ฉะนั้ น ความรู ค วามฉลาดที่ เ พิ่ ม ขึ้ น ก็ คื อ ความรู ใ น เรื่ อ งธาตุ เรื่องอายตนะ เรื่องขั นธ เรื่องป ญ จุปาทานขันธ นั่นเอง อาการทั้ งหลายที่ เรียกวา อาการปฏิจจสมุปบาท ก็คืออาการของขันธที่ประกอบอยูดวยอุปาทาน. ฉะนั้ น ให ทุ ก คนถื อ ว า นี้ เ ป น เรื่ อ งเบื้ อ งต น ; เหมื อ นกั บ ว า เราจะเรี ย น หนั ง สื อ เราควรจะเรี ย น ก ข ก กา ก อ นดี ก ว า ที่ จ ะไปเรี ย นคลุ ม ๆ เอา, อย า ง คนโบราณเขาสอนให อ า นหนั ง สื อ ลั ก ษณวงศ เลยที เดี ย ว อ า นเลย มั น ไม มี ร ากฐาน, มัน จะสํ า เร็จ ประโยชนบ า งในวงแคบ. พออา นหนัง สือ รู เ รื ่อ งบา ง แตว า เขีย นก็ ไม ค อยจะได , อ านก็ ผิ ด ๆ ถู ก ๆ สะกดการั นต , จะอ านได แต ที่ เคยอ านมาแล วเท านั้ น. ฉะนั ้น ขอใหเ ขา ใจเรื ่อ ง ๓ เรื ่อ ง คือ เรื ่อ งธาตุ เรื ่อ งอายตนะ แลว ก็เ รื ่อ งขัน ธ และอุป าท าน ขัน ธด ว ย. นี ่ค ือ เรื ่อ งความทุก ข และเรื ่อ งความดับ ทุก ข เรีย ก งาย ๆ กันเสียใหมวา เรื่อง ก ข ก กา ของพระธรรม.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ขอใหทุกคนประสบความสําเร็จในวันปใหม โดยใหมออกไปจากปที่แลวมา วาเราเรียน ก ข ก กา กันเสียใหม. [การบรรยายครั้งที่ ๒ เปนเรื่องอภิปรายของภิกษุอื่น. ไมไดรวมไวในชุดนี้] ผู ร วบรวม.


ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา - ๓๑๙ มกราคม ๒๕๑๗

เรื่องเกี่ยวกับธาตุ.

ทานสาธุชน ผูมีความสนใจในธรรม ทั้งหลาย, [ปรารภและทบทวน]

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อาตมามี ความตั้ งใจไว ว า การบรรยายวั นเสาร ตลอดภาคแรก ๓ เดื อนนี้ จั ก ได ก ล าวกั น โดยหั วข อ ว า ก ข ก กา แห งพระพุ ท ธศาสนาเรื่ อ ย ๆ ไปทุ ก คราว ; แม ว าในบางคราวจะบรรยายเองไม ได ก็ จ ะขอให ภิ ก ษุ บ างองค ที่ บ รรยายได โดย ปริย ายโดยปริ ย ายหนึ่ ง ส วนใดส วนหนึ่ ง เป น ผู บ รรยายกั น เรื่ อ ย ๆ ไป, ไม ให ขาด. แต ก็ ให ยั งคงอยู ในข อ ว า ก ข ก กา ของพุ ท ธศาสนาอยู นั่ น เอง, หรื อ จะเรี ย กให ดี กวานั้น ก็จะเรียกวา ก ข ก กา ของปรมัตถธรรมในพุทธศาสนา อยางนี้ก็ได เหมื อ นกั น . อย างแรก พู ด ถึ งพุ ท ธศาสนา, อย างหลั งเรีย กวา ปรมั ต ถธรรมใน พุ ท ธศาสนา ฟ ง ดู ค ล า ยกั บ ว า มั น คนละเรื่ อ งกั น เป น พุ ท ธศาสนาธรรมดา กั บ พุ ท ธศาสนาอย า งลึ ก ซึ้ ง ขนาดเป น ปรมั ต ถ เป น ๒ อย า งกั น อยู อ ย า งนี้ ก็ เพราะ ๑๙


๒๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

วาคนเขาชอบพู ดกั นอย างนี้ แล วมั นก็เป นเรื่องวาเอาเองเสียมากกวา. พุ ทธศาสนา มีเรื่องเดียว เรื่องดับทุกขที่เกิดมาจากอุปาทาน, ที่เกิดมาจากตัณหา, ที่เกิดมา จากอวิ ช ชา, เป น ลํ า ดั บ ๆ ๆ กั น ไป มั น มี เท า นี้ . มั น ไม มี ตื้ น ลึ ก อะไรมากไปกว า นี้ เรียกวาเปนเรื่องเดียวกันได. เดี๋ ยวนี้ คนมั กจะถื อเอาศี ลธรรมขั้ นต่ํ า ๆ ซึ่ งมั นเหมื อนกั นทุ กศาสนา และ มี อยู ก อนพุ ทธศาสนาเกิ ดด วยซ้ํ าไป ว านี่ ก็ เป นพุ ทธศาสนา ก็ เลยเกิ ดมี พุ ทธศาสนา อย างธรรมดา ๆ แล วก็ เกิ ดพุ ทธศาสนาอย างที่ เรียกว าชั้ นลึ กซึ้ ง หรือปรมั ตถ . คํ าว า ปรมั ต ถ นี้ พระพุ ท ธเจ า จะไม เคยใช ไม เ คยทรงใช ด ว ยซ้ํ า ไป แต ค นชั้ น หลั ง นี้ ก็ หลงใหลกั น สํ า หรั บ จะโอ อ วด ว า เรามี ค วามรู ในชั้ น ปรมั ต ถ อย า งนี้ เป น ต น . ควร จะถือเสียวา ถาพุท ธศาสนาแลวก็ตองเปน ปรมัต ถ คือ เปนเรื่องลึกในการที่จะ ดับ ทุก ข; ฉะนั ้น จึง ไมต อ งพุด ใหเ ปน สองอยา งสามอยา งก็ไ ด. นี ้ค วรจะเขา ใจ กัน ไวเสีย ตอนหนึ ่ง ดว ย วา ถา เปน พุท ธศาสนาจริง ก็ไ มม ีเ รื ่อ งอื ่น นอกจาก เรื ่อ งดับ ทุก ข โดยดับ ที ่ก ิเ ลสอัน เปน เหตุใ หเ กิด ทุก ขนั ้น เทา นั ้น , นอกนั ้น ก็เ ปน ของที่ เหมื อ นกั น ในทุ ก ศาสนา, หรือ ว า เขาสอนกั น อยู ก อ นพุ ท ธศาสนา. เรื่ อ งการ เวียนวายไปตามกรรมอยางนี้เขาสอนกันอยูกอนพุทธศาสนา ; แตถาพุทธศาสนา เกิ ด ขึ้ น ก็ ต อ งสอนเรื่ อ งการหยุ ด เวี ย นว า ยไปตามกรรม คื อ เอาชนะกรรมหรือ วิบ ากของกรรมนั ้น ใหไ ด ; นั ่น แหละคือ พุท ธศาสนา ; เพราะฉะนั ้น พุท ธศาสนา จึงเล็งถึงเรื่องดับทุกข ดวยสามารถดับกิเลสดับตัณหานั้นโดยตรง.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ า จ ะ พ ูด ใ น ร ูป ข อ ง คํ า ส อ น ก ็เ ป น คํ า ส อ น เรื ่อ ง ใ ห ด ับ ท ุก ข  โด ย การมองใหเห็น สิ่ง หนึ ่ง ซึ่ง สํา คัญ ที่ส ุด เพีย งสิ ่ง เดีย ว คือ สิ่ง ที่เรีย กวา อนัต ตา. ถ า ใครเห็ น ความจริ งทุ ก ๆ ประการ เกี่ ย วกั บ สิ่ งที่ เรี ย กว าอนั ต ตา ก็ ห มายความว า


เรื่องเกี่ยวกับธาตุ

๒๑

เห็ น พุ ท ธศาสนา, เห็ น ธรรมะ, เห็ น การปฏิ บั ติ , และผลของการปฏิ บั ติ ธ รรมะใน พุ ท ธศาสนา. เราจึ ง เพ ง เล็ ง ไปยั ง สิ่ ง ที่ เรี ย กว า อนั ต ตา ซึ่ ง มั น มี อ ยู แ ต ใ นพุ ท ธ ศาสนา ในศาสนาอื่นเขาไมใชคํานี้, หรือถาในศาสนาอื่นบางศาสนาแลว จะหา ว าอนั ต ตานี้ เป น เรื่อ งผิ ด ไปเสี ย ก็ ได ; เพราะว าเขาจะสอนเรื่ อ งอั ต ตา คื อ ให มี อั ต ตา ที ่แ ทจ ริง . สว นพุท ธศาสนานั ้น ตอ งการจะใหเ ห็น จริง ที ่จ ริง กวา จริง ที ่ส ุด คื อ ว า เห็ น อนั ต ตา คื อ ความที่ มั น ไม ใช อั ต ตา หรือ มั น ไม มี สิ่ งที่ ค วรจะเรีย ก ว า อัตตาโดยแทจริง นี้ก็เรียกวาอนัตตา. ใหถ ือ วา ตัว พุท ธศาสนาทั ้ง เนื ้อ ทั ้ง ตัว ก็ค ือ เรื ่อ งอนัต ตา; ถา เห็น แล วจะดั บกิ เลสทั นที , กิ เลสดั บแล วก็ ดั บทุ กขได ; นั่ นแหละตั วแท ของพุ ทธศาสนา , จะเรีย กว าปรมั ต ถธรรม หรือ จะไม เรีย กว าปรมั ต ถธรรม มั น ก็ ต อ งเรื่อ งนี้ , มั น ไม มี เรื ่อ งอื ่น นอกไปจากเรื ่อ งนี ้ไ ด. ฉะนั ้น ขอใหส นใจเรื่อ งสิ ่ง ที ่เ รีย กวา อนัต ตา คือตัวพุทธศาสนา.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทุกสิ่งเปนธาตุ : สังขตะเปนอสังขตะ.

เมื่ อ มาถึ งตรงนี้ อยากจะพู ด เสี ย เลยว า พุ ท ธศาสนาสอนให เห็ น ทุ ก อย า งโดยความเป น ธาตุ , เป น สั ก ว า ธาตุ , ไม มี ส ว นใดที่ จ ะถื อ ว า เป น สั ต ว เป น บุค คล ตัว ตน เราเขา. พุท ธศาสนามุ ง จะใหเห็น อนัต ตา คือ เห็น วา มัน ไมม ีต ัว ไมมีตน สัตว บุคคล อะไร, มีแตสิ่งที่เรียกวาธาตุ.


๒๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ที นี้ ใ นบรรดาธาตุ ทั้ ง หลายนั้ น จะมี กี่ สิ บ อย า ง กี่ ร อ ยอย า ง ก็ สุ ด แท ; แตสรุปแลวมันก็มีเพียง ๒ อยางคือ สังขตธาตุ กับ อสังขตธาตุ. โดยสรุปยอ สังขตธาตุ ก็คือสิ่งที่มัน มีเหตุปจจัยปรุงแตง ทําใหหมุน เวียนเปลี่ยนแปลงอยูเสมอ ไมมีที่สิ้นสุด มันมีตัวมันเองเปนความหมุนเวียนเปลี่ยน แปลง, อะไรประกอบกัน เขา เปน สิ ่ง เหลา นี ้ ไมว า สว นไหนก็ต าม ก็เ รีย กวา ธาตุ ทั้ งนั้ น . ฉะนั้ น สั งเขตธาตุ จึ งมี ม ากมายหลายสิ บ หลายรอ ยอย าง เรียกว าสั งขตธาตุ เพราะมีเหตุปจจัยปรุงแตง นี้ก็เรียกวาธาตุเทานั้น ไมใชสัตว บุคคลตัวตน เราเขา. ที นี้ อ ย างที่ ส องเรีย ก อสั งขตธาตุ นั้ น คื อ ตรงกั น ข าม สิ่ งนี้ ไม มี ป จ จั ย ปรุง แตง , แลว ก็ไ มป รุง แตง สิ ่ง ใด มัน ตรงกัน ขา มกับ สัง ขตธาตุ โดยประการ ทั้ง ปวง. บางทีก็เ รีย กวา นิโ รธธาตุ ธาตุเ ปน ที่ดับ แหง ธาตุทั้ง หลาย, บางที ก็เ รีย กวา นิพ พานธาตุ ธาตุเ ปน ที ่ด ับ เย็น สนิท อยา งนี้ก็ม ี ; เรีย กกัน อยา ง รัด กุม ก็ค วรจะเรีย กวา อสัง ขตธาตุ คือ ธาตุที ่ไ มม ีเหตุป จ จัย ปรุง แตง , ทรง ตั วอยู ได โดยไม ต องมี เหตุ ป จจัยปรุงแต ง มั นจึงไม เปลี่ ยนแปลง มั นจึ งไม ดู น าเกลี ยด แตถึงอยางนั้นก็เปนสักแตวาธาตุ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สัง ขตธาตุ ก็เปน แตส ัก วา ธาตุ, อสัง ขตธาตุ ก็เ ปน แตส ัก วา ธาตุ ; เพราะฉะนั้นมันจึงมีแตอนัตตา. สังขารทั้งปวงไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตา นั ้น ถูก ; แตธ รรมทั ้ง ปวงเปน อนัต ตานั ้น ถูก กวา คือ วา สัง ขารก็ต ามวิส ัง ขาร ก็ ต ามหมายความว า ที่ เป น สั ง ขารก็ ต าม ที่ เป น วิ สั ง ขารก็ ต าม เป น อนั ต ตาด ว ย ; สว นที ่ไ มเ ที ่ย งที ่เ ปน ทุก ขนั ้น มัน เปน แตพ วกที ่เ ปน สัง ขาร หรือ เปน สัง ขตธาตุ.


เรื่องเกี่ยวกับธาตุ

๒๓

ฉะนั้ น เราจึ ง กล าวได โดยสรุป ท า ยในที่ สุ ด ว า จะเป น ธาตุ ช นิ ด ไหนมั น ก็ ล ว นแต สั ก วาธาตุ, ไมใชสัตว บุคคล ตัวตน เราเขา อะไรนี้. ฉะนั้ น จึ งไม ถื อ ว า นิ พ พานนั้ น เป น อั ต ตา แม ว า จะมี ค นบางคน ครู บ า อาจารย บางท านสอนวา นิ พพานเป นอั ตตาอะไรก็ ตามใจเขา, ไม จํ าเป นจะต องไป เถียงกัน, และนี้ตองการจะชี้ใหเห็นวา พระพุทธเจาทานทรงแสดงไวชัดวา ที่เปน สังขตะก็เปนเพียงสักวาธาตุ, ที่เปนอสังขตะก็เปนเพียงสักวาธาตุ. ฉะนั้นเมื่อเปน เพีย ง สัก วา ธาตุแ ลว ก็เ ปน ตัว ตนไปไมไ ด ; ดัง นั้น จึง เปน อนัต ตา. ความรู นี ้ไ มเ ปน ที ่ตั ้ง แหง กิเ ลส แตเ ปน ที ่ด ับ แหง กิเ ลส ; ไมเ ปน ที ่ตั ้ง แหง กิเ ลสก็ไ มอ าจ จะทํ า กรรม ดัง นั ้น ก็ไ มม ีก รรม ไมม ีผ ลกรรม ดว ยอํ า นาจของความรู ข อ นี ้. นี้ คือตัวพุทธศาสนา. ที นี้ เมื่ อกล าวอย างนี้ ท านทั้ งหลายทุ ก คนก็ ลองคิ ดดู เอาเองก็ แล วกั น ว า อะไรจะเป นสิ่ งที่ ควรเรี ยกว า ก ข ก กา ในพระพุ ทธศาสนา. อาตมาก็ เห็ นว า เรื่ อ ง ธาตุ นั้ น เอง เป น เรื่อ ง ก ข ก กา ในพุ ท ธศาสนา; เพราะฉะนั้ น ขอให ตั้ งต น ศึกษาเรื่องธาตุ ใหเขาใจละเอียด ชัดเจนแจมแจง แตกฉานโดยประการทั้งปวง , ก็ จ ะเรี ย กเข า ใจเรื่ อ ง ก ข ก กา ในพุ ท ธศาสนา. แต ที นี้ มั น มี บ างคนโง ไปว า เรื่ อ ง ก ข ก กา นี้ เป น เรื่ อ งง าย มั น มี เรื่ อ งยากอยู อี ก เรื่ องหนึ่ งต างหาก. อาตมาไม คิ ด ว า อยา งนั ้น คิด วา ก ข ก กา นี ้ไ มใ ชเ รื ่อ งงา ย ; แตวา เปน เรื ่อ งรากฐาน เปน เรื่ อ งพื้ น ฐาน เป น เรื่ อ งสมุ ฏ ฐาน ของทุ ก เรื่ อ ง.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เรื ่อ งรากฐานของทุก เรื่อ ง ไมไ ดห มายความวา งา ย ; เมื ่อ ไปเขา ใจ ว า เรื่อ งธาตุ ทั้ ง หลายเป น เรื่ อ งง า ยเสี ย แล ว ก็ ไม ค อ ยจะสนใจ. นี่ ค นโดยมากที่ เป น


๒๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

นัก ศึก ษา นัก ธรรม นัก อะไร ก็ส ุด แท มัก จะดูห มิ ่น เรื ่อ งธาตุ วา เปน เรื ่อ งงา ย, แลว ก็ไ มส นใจใหส ุด ความสามารถของตน, เลยไมม ีค วามรู เรื ่อ งธาตุ. เขาก็เลย ไม รู เรื่ อ ง ก ข ก กา พอที่ จ ะเป น รากฐานอั น แท จริ งของการศึ ก ษาเรื่ อ งพุ ท ธศาสนา นั้นได. อยา ลืม วา เรื่อ งพุท ธศาสนานั้น คือ เรื่อ งอนัต ตา; ถา ไมเ ห็น ธาตุ ก็ไ มเ ห็น อนัต ตา; ถา เห็น อนัต ตาก็ห มายความวา เห็น ธาตุ เห็น โดยความเปน ธาตุ จึ งถื อว าเรื่ องธาตุ นี้ เป นเรื่องรากฐาน ; อย างกั บว า ก ข ก กา เป นรากฐานของ การเรียนหนังสือหนังหาที่เราเรียนกันอยู. ที นี้ ถ าบางคนจะคิ ดว า อ าว, ก็ เรื่อง ก ข ก กา มั นเป นเรื่ องง ายนี่ เบื้ อง ตนงาย ๆ นั้นคือคนโงที่สุด; เพราะวาอาตมาเคยถูกตีมาหลายครั้งหลายหน เมื่อ เรี ยน ก ข ก กา มั นไม งาย มั นจํ าก็ ยาก มั นจํ าได ยาก จํ าได ไม หมด วั นหนึ่ งไม กี่ ตั ว, เคยถูก ตีเพราะเรีย น ก ข ก กา นี ้ม าก ตามวิธ ีก ารเรีย นสมัย กอ น ; จํ า ไมไ ดก ็ตี ขี ้เกีย จก็ต ี เผลอไปก็ต ี อะไรก็ต ี, ไมเ หมือ นเดี ๋ย วนี ้ ซึ ่ง เขาใหร อ งเพลงไปพลาง เรียน ก ข ก กา แตก็ไมเชื่อวามันจะรูดีกวา จะตั้งใจเรียนจริง ๆ .

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เมื่ อเรี ยน ก ข ก กา นี้ ถู กตี มากกว า เมื่ อเรี ยนขึ้ นมาถึ ง กะ กา กิ กี กระทั่ ง อ านได , เรี ย นหนั งสื อ เป น เล ม ๆ ได นี้ ไม ค อ ยถู ก ตี แ ล ว ก็ ต อ งถื อ ว า เมื่ อ เรี ย น ก ข ก กา คื อ เรื่ อ งหนั ก อกหนั ก ใจที่ สุ ด , เป น เรื่ อ งแรกเรี ย น แรกลงมื อ เรี ย น ; ฉะนั้ น อย าได ถื อว าเรื่ อง ก ข ก กา นี้ เป นเรื่องงาย. ขอให นึ กถึ งตั วเองเมื่ อแรกเรียนหนั งสื อ คงจะไม มี อะไรหนั กอกหนั กใจมาก เท าที่ จะต องจํ า ก ข ก กา นี้ เพราะมั นไม สนุ กเลย อะไรก็ไมรู มันจะสนุกบางก็ตอเมื่ออานออกเปนเรื่องเปนราวบางแลว.


เรื่องเกี่ยวกับธาตุ

๒๕

ที่ พู ด นี้ ก็ ห ม าย ค วาม ว า อ ย าให เห็ น ว าเรื่ อ ง ก ข ก ก า เป น เรื่ อ งง า ย ; แต ใ ห เ ห็ น ว า เป น รากฐานเบื้ อ งต น เป น พื้ น ฐานทั่ ว ไป ที่ เ ราจะต อ งทํ า ให ดี ให รู จริ ง . เดี๋ ย วนี้ จ ะลองทดสอบกั น ดู ก็ ได จั บ คนโต ๆ นี้ ม าให เขี ย น ก ข ก กา ในเวลา อั น สั้ น ให เ รี ย บร อ ย ; บางที จ ะเขี ย นผิ ด ก็ ไ ด , ยิ่ ง ต อ งการให เ ขี ย นเป น วรรค เป น หมวด เปน หมู  ใหถ ูก ตามวิธ ีข องการจัด อัก ขรวิธ ี บางทีเ ขีย นผิด ก็ไ ด. บางคน ไม รู ว า ก ข ค ฆ ง, จ ฉ ช ซ ฌ ญ นี้ มั นไม รู ไม รู ว าเป น วรรคอย างไร ? เพราะเหตุ ใด จึ ง ต อ งเป น วรรคอย า งนั้ น ? ไม ไ ด เ รี ย นเรื่ อ งอวั ย วะที่ เ กิ ด แห ง ตั ว พยั ญ ชนะหรื อ สระ เหลานี้มันก็เขียนไมถูก. นี่ไมควรจะถือวาเรื่อง ก ข ก กา นี้เปนเรื่องงายเกินไป. เอาละ, เป น ที่ ยุ ติ กั น เสี ย ที ว าเมื่ อ พู ด ว า ก ข ก กา, A B C D นี้ มั น ไม ใช เรื่ อ งง า ย ; แต มั น เป น เรื่ อ งรากฐาน แล ว กว า งขวางไม มี ที่ สิ้ น สุ ด . จะเรี ย นให จ บ มหาวิ ท ยาลั ย ชั้ น ไหนสั ก กี่ ชั้ น มั น ก็ ไ ม พ น ตั ว ก ตั ว ข ตั ว ค ตั ว ง อยู นั่ น แหละ ; ต อ งมี พ ยั ญ ชนะ มี ส ระอะไรเหล า นี้ เป น รากฐานของการใช ห นั ง สื อ เรี ย นหนั ง สื อ . ข อ นี้ เป น อย างไร การศึ ก ษาพุ ท ธศาสนาก็ ต อ งใช ก ข ก กา คื อ เรื่ อ งธาตุ ทั้ งปวง เป น เสมื อ นกั บ ว า ก ข ก กา อย า งนั้ น . พอรู ธ าตุ ทั้ ง สองฝ า ย คื อ ฝ า ยสั ง ขตะและฝ า ย อสัง ขตะ ก็เ ปน อัน วา รู ห มด คือ รู ว า ไมม ีอ ัต ตา แตเ ปน อนัต ตา, เปน เหตุใ ห จิตหลุดพน ไมยึดถือสิ่งใด วาเปนตัวตนหรือของตน มันก็ดับทุกขได ก็นิพพาน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ขอวิ ง วอนให ท า นทั้ ง หลายทุ ก คน สนใจเรื่ อ งธาตุ ในฐานะที่ เป น ก ข ก กา ของพระพุท ธศาสนา หรือ จะเรีย กวา ของปรมัต ถธรรม ในพุท ธศาสนา ก็ส ุด แท, แลว แตจ ะชอบ. บางคนก็ช อบชื ่อ เสีย งที ่โ ก ๆ เก ๆ ก็ว า กัน ไป ; แต ว า กั น โดยตรง ๆ แล ว ก็ ไ ม ต อ งก็ ไ ด . เมื่ อ มั น เป น ตั ว พุ ท ธศาสนาแล ว ก็ ไ ม มี เล็ ก ไม มี


๒๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ตื้น ไมงา ย, แลว ตอ งเรีย นใหรูวา สิ่ง ทั้ง ปวงเปน สัก วา ธาตุต ามธรรมชาติ ; ไมใชสัตว บุคคล ตัวตน เราเขา อยางนี้. นี่ วัน นี้ ก็ พู ด ให เห็ น กัน เสี ยที วา ก ข ก กา นี้ หมายความวาอย างไร. ทีนี้ก็พูดใหเห็นพอเปนเคา ๆ ตอไปอีกสักหนอยวา ธาตุทั้งหลายนี่มันตั้งอยูในฐานะ เปน ก ข ก กา อยางไร.

ศึกษาคุณสมบัติของธาตุ. ขอให ทุ กคนสนใจคํ า ๆ เดี ยวนี้ กั นเสี ยก อนว า มั นหมายความว าอะไร ? คื อคํ าวา ธาตุ เขี ยนเป นภาษาบาลี อ านเป น ๒ พยางค วา ธา - ตุ ธ ธง สระ อา ต เต า สระ อุ อ านว า ธา – ตุ ๒ พยางค ; แต พ อมาเป นภาษาไทยเขาไปรวมกั น เสี ย เป น ตั ว สะกด อ า นว า ธาตุ เฉย ๆ. เราใช ภ าษาไทย เราก็ ใ ช คํ า ว า ธาตุ จึ ง ถามวา คําวา ธาตุนี้หมายถึงอะไร ?

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ าจะเอากั นตามตั วภาษาแล วมั นยุ งยากมาก, ทางพยั ญชนะก็ ยุ งยากมาก, แปลวา สิ ่ง ที ่ท รงตัว เองอยู ไ ด โดยเหตุป จ จัย หรือ ดว ยตัว มัน เองโดยไมต อ งมีเหตุ ป จจั ย มั น ยุ งยากมาก. ฉะนั้ น ถื อ เอาตามความหมายทั่ ว ๆ ไปในภาษาอื่ น ๆ ด วย ก็ ได ว า , คํ า ว า ธาตุ หมายความว า ส ว นประกอบ; ส ว น ที่ เราไม จํ า เป น จะต อ ง แบ งแยกออกไปอี ก แล ว. คื อ ส วนประกอบหลาย ๆ ส วนที่ ป ระกอบกั น ขึ้ น เป น สิ่ งใด สิ่ งหนึ่ ง. ส วนประกอบส วนที่ เราไม ค วรจะแบ งแยกออกไปอี ก แล ว, ยุ ติ กั น เท านั้ น ที่


เรื่องเกี่ยวกับธาตุ

๒๗

ที่ นั่ น เรี ย กว า ธาตุ . แม คํ า ว า element ในภาษาอั ง กฤษ เขาก็ ใ ห คํ า แปลอย า งนี้ เหมือ นกัน ; สว นประกอบสว นสุด ทา ย ซึ ่ง จะไมแ บง แยกกัน อีก , ยุต ิอ ยา งนี้ แหละดี, มัน งา ยดี. ขึ ้น ชื ่อ วา ธาตุแ ลว ก็แ ปลวา สว นประกอบสว นหนึ ่ง ๆ ซึ่ งจะประกอบกั น เข าหลาย ๆ ส วนเป น สิ่ งใดสิ่ งหนึ่ ง นั้ น คื อ สิ่ งที่ เรีย กว าธาตุ ; เมื่ อ เรียกวาธาตุแลว ก็จะไมพยายามแบงออกไปอีกแลว. ที นี้ ก็ ดู ว ามั นมี อะไรบ าง ? เหมื อนอย างเมื่ อตะกี้ นี้ พระผู สวนสาธยายนี้ ก็ไดสวดวา บุรุษนี้ประกอบไปดวยธาตุหก. พระพุทธเจาตรัสวา คนเรานี้ประกอบ ไปดว ยธาตุ ๖ คือ ธาตุด ิน ธาตุน้ํ า ธาตุไ ฟ ธาตุอ ากาศ ธาตุว ิญ ญ าณ . ธาตุทั ้ง ๖ นี ้ ไมจํ า เปน จะตอ งแบง แยกอีก ก็ได หรือ มัน ไมค วรจะแบง แยกได ดวย เชนวา :ธาตุดิน หมายถึง คุณสมบัติที่มีลักษณะ เปนของแข็ง กินเนื้อที่ ; จะแยกเป น ผม ขน หนั ง นั้ น มั น ไม เป น ประมาณ มั น มากมาย มั น ไม สิ้ น สุ ด ได . แต ทุ กอย างมั นเหมื อนกั นตรงที่ ว า ในสิ่ งเหล านั้ นมั นมี ของแข็ ง มี ความเป นของแข็ ง ที่กินเนื้อที่.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ธาตุน้ํ า สําหรับธาตุน้ํานี่ ก็คือธาตุที่วามันเกาะกุมกันเขา ดวยความ เหลวของมัน เปลี ่ย นรูป เปลี ่ย นรา งไปได ; แตก็ไมล ะจากกัน คุณ สมบัต ิแ หง การคุ ม ตั ว เกาะตั ว กั น อยู นี้ เรีย กว า ธาตุ น้ํ า ; จะดู ที่ น้ํ า เลื อ ด น้ํ า หนอง น้ํ า อะไรใน ตัวคนนี้ก็ได.


๒๘

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ที นี้ ธาตุ ไฟ นั้ น คื อ ความรอ นและอุ ณ หภู มิ คุ ณ สมบั ติ ที่ เป น ความ รอน และเผาไหมสิ่งอื่นได นี้ก็เรียกวาธาตุไฟ. ทีนี้ ธาตุลม นั้น คุณสมบัติที่ ระเหยได นี้สิ่งที่ทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลง. ฉะนั้ น ดิ น น้ํ า ลม ไฟ ๔ ธาตุ นี้ เป น เรื่ อ งวั ต ถุ มี อ ยู ในวั ต ถุ ทั้ งหลาย : ในเนื้ อ ก็ มี ดิ น น้ํ า ลม ไฟ, ในเลื อ ดก็ มี ดิ น น้ํ า ลม ไฟ, มั น จะพู ด ชี้ ระบุ ไปที่ สิ่ ง ใดสิ ่ง หนึ ่ง โดยเฉพาะไมไ ด; จึง ตอ งพูด วา หมายถึง คุณ สมบัต ิที ่เ ปน ของแข็ง กิ นเนื้ อที่ คุ ณ สมบั ติ อั นนี้ เรียกวาธาตุ ดิ น, คุ ณ สมบั ติ ที่ อ อนเหลวแต เกาะตั วอยู เสมอ คุ ณ สมบั ติ นี้ เรีย กว าธาตุ น้ํ า คุ ณ สมบั ติ ที่ ทํ าให มี ความรอ น และเผาผลาญสิ่ งอื่ น ได คุณสมบัตินี้ก็เรียกวาธาตุไฟ, สวนที่ระเหยขยายตัวลอยไปได นี้ก็เรียกวาธาตุลม. ที นี้ ธ าตุ ถั ด ไปเรีย กว า อากาศธาตุ คื อ ความว า งหรือ ที่ ว า ง หรือ ส ว น ที ่เ ปน ที ่ว า ง หรือ คุณ สมบัต ิแ หง ความวา ง ซึ ่ง เปน เหตุใ หสิ ่ง อื ่น เขา ไปตั ้ง อยู ไ ด . ถา ไมม ีธ าตุนี ้ ธาตุทั ้ง หลายก็ไ มม ีที ่ตั ้ง เหมือ นกัน ; ธาตุทั ้ง หลายอื ่น นั ้น มัน ตั ้ง อยูบนธาตุวาง.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ ธ าตุ สุ ด ท าย คื อ วิ ญ ญ าณ ธ าตุ นี้ แ ย ก อ อ ก ไป ต างห าก เป น น าม ธ รรม เปน นามธาตุ คือ ธาตุที ่เปน ความรูส ึก ที ่ทํ า ความรูส ึก ใหเกิด ขึ้น ได. วิญ ญาณ ธาตุก ็ต อ งอาศัย อยู ที ่ ธาตุด ิน ธาตุไ ฟ ธาตุล ม อากาศธาตุ; หมายความวา ธาตุ ดิ น น้ํ า ลม ไฟ นี้ มั นจะต องปรุงกั นขึ้ นเป นตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ เป นต น , แลวก็เปนที่อาศัยของการเกิดความรูสึกที่เปนวิญญาณธาตุ.


เรื่องเกี่ยวกับธาตุ

๒๙

พระพุทธเจาทานตรัสไวอันแรกที่สุดวา บุรุษนี้ คนเรานี้ประกอบดวย ธาตุ ๖ คือ ดิน น้ํา ลม ไฟ อากาศ วิญญาณ. วิญญาณนั้นเปนฝายนาม ; ดิน น้ํา ลม ไฟ เปน ฝา ยรูป . อากาศธาตุนี ้ไ มค วรจะเรีย กวา รูป หรือ นาม ; แตเขามัก จะ รวมกันไวเปนฝายนาม เพราะหมายถึงเอาความวางไมมีอะไร. ธาตุด ิน ธาตุน้ํ า ธาตุไ ฟ ธาตุล ม ; ที ่เ ปน วัต ถุนี ้ม ัน ประกอบกัน ขึ ้น เป นเนื้ อเป นหนั ง เป นตา เป นผม ขน ฟ น หนั ง, ที่ นิ ยมเรียกว าอาการ ๓๒ อย างนี้ กระทั่ งเป นเลื อด เป นหนอง เป นน้ํ ามู ก น้ํ าลายอะไร ที่ ประกอบกั นเป นร างกายเรา. แล วเตโชธาตุ คื อ ธาตุ ไฟ ก็ป ระกอบเขาเป นอุณ หภู มิ ในรางกาย ซึ่งจะต อ งมี อ ยู เท านั้ น เท านี้ รางกายนี้ จึ งจะดํ ารงอยู ได ไม เน าไปเป น ต น . ธาตุ ล ม ก็ คื อ อาการที่ ขยายตัว จนระเหย ถา ยเทได มัน จึง ทํ า ใหช ีว ิต อยู ไ ด. เปน ธาตุแ หง ความเปลี ่ย น แปลง ; ฉะนั้ น เราจึ ง มี ผม ขน เล็ บ ฟ น หนั ง เลื อ ด เนื้ อ กระดู ก อะไรต า ง ๆ ครบที่ประกอบกันอยูเปนรางกายนี้.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org จากธาตุ ๖ ยังประกอบเปนธาตุอื่นไดอีก.

ทีนี ้ย ัง มีธ าตุที ่จ ะอาศัย รา งกายนี ้, ธาตุสํ า หรับ การเห็น ก็เ รีย กวา จัก ขุธ าตุ ; ถา ไมม ีจ ัก ขุธ าตุ ลูก ตาไมอ าจจะเห็น ได หรือ ถา ไมม ีจ ัก ขุธ าตุ ลูก ตา มัน ก็ไ มต อ งมี. ดิน น้ํ า ไฟ ลม มัน สรา งกอ นลูก ตาขึ ้น มาได กระทั ่ง สรา ง เส น ประสาทตาขึ้ น มาได ; แต ว ามั น สํ าเร็ จ ด วยธาตุ อี ก ธาตุ ห นึ่ ง ที่ เรี ย กว าจั ก ขุ ธ าตุ ที่ จะอาศั ยเสนประสาทที่ ตา, แลวทํ าหน าที่ ของมั น คุ ณ สมบั ติ นี้ เรียกวา จั กขุ ธาตุ . แล วมี คุ ณ สมบั ติ ที่ จะทํ าหน าที่ ได ยิ น เสี ย งได ที่ จ ะอยู ที่ ป ระสาทหู ซึ่งดิ น น้ํ า ลม


๓๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ไฟ ประกอบกัน ขึ ้น เปน กอ นหู เปน อวัย วะหู แลว ก็ม ีป ระสาทสํ า หรับ หู, แลว เรา ก็ม ีโ สตธาตุ ธาตุท างหู ; ยัง มีฆ านธาตุ ธาตุจ มูก ธาตุทํ า หนา ที ่ท างจมูก , ชิ ว หาธาตุ ธาตุ ทํ า หน า ที่ ที่ ลิ้ น , มี ก ายธาตุ ที่ ทํ า หน า ที่ ต ามผิ ว กายทั่ ว ไป แล ว ก็ มี มโนธาตุ ที ่จ ะทํ า ความรู ส ึก ที ่ใ จ. มัน เลยเกิด ธาตุอ ีก ๖ ธาตุขึ ้น มา เรีย กวา ธาตุตา ธาตุหู ธาตุจมูก ธาตุลิ้น ธาตุกาย ธาตุใจ ซึ่งถาเรียกเปนบาลี ก็วา จักขุธาตุ โสตธาตุ ฆานธาตุ กายธาตุ มโนธาตุ ; นี ้ ก ็ เ ป น สั ก ว า ธาตุ อ ยู  ก  อ น แล ว ก็ อ าศั ย อยู ที่ อวั ย วะตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ของคนที่ ยั งเป น ๆ นี้ มั น ยั งเป น ธาตุ อยูกอน. ทีนี้ธาตุ ตา หู จมู ก ลิ้น กาย ใจ เป นสั กวาธาตุ อยางนี้ ยังไม มี เรื่อง ตอ งไดธ าตุข า งนอกที ่คู ก ัน คือ วา รูป ธาตุ สัท ทธาตุ คัน ธธาตุ รสธาตุ โผฏ ฐั พ พธาตุ ธั ม มธาตุ ; ข า งนอก คื อ รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ .ข างนอกอี ก ๖ ธาตุ มั น จั บ คู กั น เมื่ อ ไร, มาได คู กั น เมื่ อ ไร มั น ก็ จ ะเกิ ด เป น ของอั น ใหมขึ ้น มา คือ ไมเ ปน สัก วา ธาตุต าเฉย ๆ แลว . มัน เปน อวัย วะสํ า หรับ เห็น แลว ก็เรียกวาอายตนะ .

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที่ เคยเรี ย กว า จั ก ขุ ธ าตุ มั น ก็ เ ปลี่ ย นเป น จั ก ขุ อ ายตนะ, ที่ เคยเป น เพี ย งโสตธาตุ ก็ ก ลายเป น โสตายตนะ , ที่ เคยเรีย กว าฆานธาตุ ก็ เป น ฆานายตนะ , ที ่เ รีย กวา ชิว หาธาตุ ก็ก ลายเปน ชิว หายตนะ ; หมายถึง เมื ่อ มัน ทํ า หน าที่ เห็ น ได ยิ น ได กลิ่ น ได ลิ้ มรส ได สั มผั สทางผิ วหนั งได คิ ดทางใจ. หมายความ วา เมื ่อ ธาตุทั ้ง ขา งนอกขา งในจับ คู กัน เราก็ไ ดสิ ่ง ที ่เรีย กวา อายตนะขา งใน และอายตนะขา งนอกขึ้น มา. อายตนะขางใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ , อายตนะข างนอก คื อ รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ . แต เปลี่ ย นชื่ อ


เรื่องเกี่ยวกับธาตุ

๓๑

วาอายตนะ เมื่ อตะกี้เรียกวาธาตุ เทานั้ น ; ฉะนั้น ธาตุ ๖ มันก็ กลายเป นอายตนะ ๖ ในเมื่อไดโอกาสอันสมควร คือ ไดทําหนาที่. นี ่ล องคิด วา เปน รากฐานอยา งไร, มัน เปน ก ข ก กา อยา งไร. ดิน น้ํ า ลม ไฟ ทํ าให เกิ ด ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ขึ้นมาอย างนี้ , แล วทํ าให รูป เสี ยง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ข างนอกมี ค วามหมายขึ้ น มา. เมื่ อ อายตนะข างนอก กั บ อายตนะ ขา งใน กระทบกัน แลว วิญ ญาณธาตุก ็ไ ดโ อกาส ; เชน วา ตากระทบรูป ก็เ กิด จัก ขุว ิญ ญาณ, หูก ระทบเสีย งก็เกิด โสตวิญ ญาณ, กลิ ่น กระทบจมูก ก็เรีย กวา ฆานวิ ญ ญาณ, ลิ้ นกระทบรสก็ เรียกว า ชิ วหาวิ ญ ญาณ, ผิ วหนั งสั มผั สโผฏฐั พ พะ ขางนอกก็เรียกวา กายวิญญาณ, ใจไดสัมผัสความรูสึกทางใจก็เรียกวา มโนวิญญาณ . นี่ วิญญาณธาตุ ซึ่งนอกอยู เฉย ๆ ก็กลายเป นวิ ญญาณขึ้นมา ซึ่งจะเรียกวาอย างอื่ น ไปแล ว ; จะไม เรี ยกว าวิ ญ ญาณธาตุ เฉย ๆ แล ว, จะเรียกว าวิ ญ ญาณบ าง, จะเรียก วิญญาณขันธบาง หรืออะไรตอไป เปลี่ยนรูปไปเปนอยางอื่นแลว.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ธาตุปรากฏและปรุงเรื่อย ทําใหเกิดทุกข.

ที แ ร ก พ ร ะ พุ ท ธ เจ า ท า น ต รั ส ว า บุ รุ ษ นี้ ป ร ะ ก อ บ ด ว ย ธ า ตุ ๖ น ะ ; เดี๋ ยวนี้ มั นไม ใช ลํ าพั ง ๖ มั นมี อะไรอี กมากเข ามารวมกั นเข า ยั กย ายถ ายเทไป. เช น ธาตุ ต า ธาตุ หู เป น ต น , ธาตุ รู ป ธาตุ เ สี ย ง ธาตุ ก ลิ่ น เป น ต น , แล ว มั น ยั ง มี อี ก หลาย ๆ อย างหลาย ๆ หมวด ซึ่ งเราจะพู ดกั นในวั นแรกหมดนี้ ไม ได เวลามั นไม พ อ แล ว คนฟ ง ก็ เฝ อ หมด จึ ง พู ด แต ให เพี ย งมองเห็ น เป น แนวเป น เค าไปว า ธาตุ นี้ มั น


๓๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

คือ สิ ่ง สุด ทา ย ที ่เราจะไมแ บง แยกอีก แลว แลว มัน จะประกอบกัน เขา เปน นั ่น เปนนี่ เปนโนน เรื่อยขึ้นมา. ยกตั ว อย า งธาตุ คู แ รก ธาตุ ต ากั บ ธาตุ รู ป ได อ าศั ย กั น เมื่ อ ไร ก็ เกิ ด เป น อายตนะทางตากั บ อายตนะทางรู ป ขึ้ น มา คื อ ตาอาศั ย รู ป ก็ เกิ ด จั ก ขุ วิ ญ ญาณ. วิ ญ ญาณธาตุ เกิ ด ขึ้ น ทํ า หน า ที่ มั น จะมี เรื่อ ง, แปลว า ธาตุ ทั้ ง หลายไม ได อ ยู อ ย า ง เดิ ม แล ว ลุ กขึ้ นมาทํ าหน าที่ แล ว ; อย างเดี ยวกั บ ข อ ความที่ พ ระสงฆ ส วดเมื่ อตะกี้ นี้ ในบทสวดนั ้น วา การเกิด ขึ ้น แหง ธาตุ การปรากฏขึ ้น แหง ธาตุ การอะไรขึ ้น แหง ธาตุ นั ้น แหละ คือ การเกิด ขึ้น แหง ความทุก ข. ที ่นี้ก ารดับ ไปแหง ธาตุ การไม ตั้ งอยู แ ห ง ธาตุ นั้ น แหละ คื อ การดั บ ไปแห ง ทุ ก ข . ฉะนั้ น เมื่ อ ใดธาตุ ลุ ก ขึ้ น มาปรุงเปนอายตนะ เปนขันธ เปนอุปาทานขันธเปนทุกข, ก็เปนทุกขเทานั้น. ที นี้ ธ าตุ ไม ป รากฏด ว ยเหตุ ใดก็ ต าม, เพราะมั น ยั ง ไม ป รากฏ. เพราะ ไม มี เหตุ ป จ จั ย ก็ ต าม หรื อ ว า เพราะผู นั้ น มี ป ญ ญา มี วิ ช ชา มี ญ าณอั น สู ง สุ ด , ไม ปลอ ยใหธ าตุนี ้ห ลอก ใหเ ปน ตัว เปน ตน, เห็น เปน สัก วา ธาตุเ ทา นั ้น ไมใ ห มัน ลุก ขึ ้น มาเปน ตัว เปน ตนได; อยา งนี ้ก ็เ รีย กวา ความดับ ไปแหง ธาตุ เหมื อ นกั น , ความไม ป รากฏขึ้ น แห ง ธาตุ เหมื อ นกั น เพราะว า เขามี ป ญ ญาที่ จ ะ ควบคุ ม ธาตุ นั้ น ไว ให เป น แต สั ก ว า ธาตุ อย า มาหลอกมาหลอนให เป น ตั ว ตนขึ้ น มา. ความดั บไปแห งธาตุ ก็ คื อความดั บไปแห งทุ กข , ความไม ปรากฏแห งธาตุ ก็ คื อความ ไมปรากฏแหงทุกข. นี้ความปรากฏแหงธาตุก็คือความปรากฏแหงทุกข.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


เรื่องเกี่ยวกับธาตุ

๓๓

ความปรุงแหงธาตุเปนการปรุงใหเกิดทุกข. ความเกิด ขึ้น ปรุง แตง ขึ้น มาแหง ธาตุ ก็คือ ความปรุง แตง ขึ้น แหง ทุก ข. นี ้ม ัน เปน รากฐาน, มัน เปน พื ้น ฐานชั ้น ก ข ก กา ที ่เ ราจะตอ งมองให เห็ น , ไม อ ย างนั้ น เราจะมองไม เห็ น ว า ความทุ ก ข นี้ มั น เกิ ด ขึ้ น มาจากอะไร. เราจะ มองไม เห็ น ว า ความทุ กข นี้ มั น ตั้ งรากฐานอยู บ นอะไร ; ก็ แปลว าเราไม รู ก ข ก กา แม ว า เราจะอ า นหนั ง สื อ ได ตามวิ ธี อี ก วิ ธี ห นึ่ ง , คื อ ว า อ า นหนั ง สื อ กั น เลย ไม ต อ ง เรี ย น ก ข ก กา อย างนี้ มั น ก็ เรี ย กว าไม รู ดี ไม รู จ ริ ง มั น รู อ ย างขอไปที มั น สู รู กั น จริง ๆ ไมได. อาตมาก็ ไม ได ยื นยั นว า เราต องเรียน ก ข ก กา ก อน จึ งจะเรียนหนั งสื อ ได น ะ ; เพราะว า คนเขาไม เรี ย น ก ข ก กา เขาอ า นหนั ง สื อ ได ก็ มี แต มั น สู ค นที่ เรี ย น ก ข ก กา ไม ไ ด . นี้ ถ า เราเรี ย นรู เรื่ อ งธาตุ ที่ จ ะปรุ ง กั น เป น อายตนะ แล ว จะปรุง เปน ขัน ธ เปน อุป าทานขัน ธ แลว เปน ทุก ข แลว จะดับ ทุก ขนี ้อ ยา งไร มัน รู ช ัด เจนวา ก็เ รีย กวา มัน รู อ ยา งเปน หลัก วิช า เปน เทคนิค เปน อะไรกวา , มัน ทําใหสําเร็จประโยชนไดงายกวา. ฉะนั้น ขอใหสนใจเรื่องธาตุ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ธาตุ ต ากั บ ธาตุ รู ป อาศั ย กั น ก็ เกิ ด วิ ญ ญาณธาตุ ที่ ลุ ก ขึ้ น มาทํ า หน า ที่ การเห็ น ทางตา เรี ย กจั ก ขุ วิ ญ ญาณ ที นี้ มั น ก็ เกิ ด เวทนาธาตุ สั ญ ญาธาตุ สั งขาร ธาตุ วิญญาณธาตุอะไรเต็มที่ขึ้นมา ที่เรียกวาขันธ.

ที่จริงมันก็มีอยูแลว เพราะวา พระพุทธเจาก็ไดตรัสวา ธาตุหา อีกอยาง หนึ่ ง ก็ คื อ รู ป ธาตุ เวทนาธาตุ สั ญ ญาธาตุ สั ง ขารธาตุ วิ ญ ญาณธาตุ ; นี้ ก็


๓๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

แปลว า ธาตุ ส ว นหนึ่ ง ซึ่ ง มั น จะปรุ ง แต ง ขึ้ น มาเป น รู ป ขั น ธ เวทนาขั น ธ สั ญ ญา ขัน ธ สัง ขารขัน ธ วิญ ญาณขัน ธ นั ่น เอง. เชน เดีย วกับ วา จัก ขุอ ายตนะ นี ้ม ัน ปรุ ง ขึ้ น มาจากจั ก ขุ ธ าตุ ; ฉะนั้ น ขั น ธ ทั้ ง หลายมั น ก็ ป รุ ง มาจากธาตุ ที่ มี ชื่ อ ตามชื่ อ นั้ น ๆ, รูป ขั น ธ ก็ ม าจากรูป ธาตุ , เวทนาขั น ธ ก็ ม าจากเวทนาธาตุ สั ญ ญาขั น ธ ก็ ม า จากสั ญญาธาตุ , สังขารขันธก็มาจากสั งขารธาตุ, วิญญาณขันธก็มาจากวิญญาณธาตุ อยางนี้. แต วาที่ พู ด กั น อยู ต ามธรรมดา ไม เรียกให เต็ ม ที่ อ ย างนี้ ไปเรียกสั้ น ๆ ลุ น ๆ ว า เวทนา สั ญ ญา สั ง ขาร วิ ญ ญาณ เสี ย เลยไม แ สดงถึ ง ข อ ที่ ว า มั น เป น ทั้ ง ธาตุ , และกลายมาเป น ขั น ธ อ ย า งไร; เพราะถ า มั น ไม มี ธ าตุ แ ห ง ความเป น อยา งนี ้อ ยู ก อ นแลว มัน จะเกิด ขึ ้น ไมไ ด, เชน จะมีร ูป ขัน ธขึ ้น ไมไ ดถ า ไมม ีร ูป ธาตุ , อย า งนี้ เ ป น ต น , หรื อ จะเกิ ด การเห็ น ทางตาไม ไ ด ถ า ไม มี ธ าตุ ต า ธาตุ สํ า หรับ ดวงตา. มัน มีธ าตุสํ า หรับ ตา มัน จึง เกิด การเห็น ทางตา; ทํ า ตาให เปนอายตนะขึ้นมา, มีการเห็นทางตา เกิดวิญญาณทางตา เกิดผัสสะ ทางตา เกิด เวทนาทางตา เกิด สัญ ญาโดยอาศัย การเห็น ทางตา และเกิด สัง ขารคิด นึก ไปตามนั้น ก็เรียกวาสังขารขันธ.

www.buddhadasa.in.th ธาตุเดิมปรุงเปนธาตุใหมกระทั่งดับ. www.buddhadasa.org ทีนี ้พ อมาถึง ตอนนี ้ ก็ย ัง ตอ งนึก ตอ ไปถึง วา ยัง มีธ าตุที ่แ สดงไวโ ดย หมวดอื ่น วา สุข ธาตุ - ธาตุที ่ทํ า ความรูส ึก เปน สุข , ทุก ขธาตุ – ธาตุที ่ทํ า ความ


เรื่องเกี่ยวกับธาตุ

๓๕

รูสึกเปนทุกข, โสมนัสสธาตุ - ธาตุที่ทําความรูสึกเปนโสมนัส, โทมนัสสธาตุ - ธาตุ ที ่ทํ า ความรู ส ึก เปน โทมนัส , แลว ก็อ ุเ บกขาธาตุ - ธาตุที ่ไ มรู ส ึก สุข หรือ ทุก ข, โทมนั ส หรื อ โสมนั ส . ฉะนั ้ น ในกรณี ที ่ เ กิ ด เวทนาขึ ้ น มา เพราะเวทนาธาตุ ไดเปลี่ยนเปนเวทนาขันธแลว, มันก็ยังวามีเวทนานั้นจะไดอาศัยสุขธาตุ ประกอบ หรือ ทุก ขธาตุป ระกอบ หรือ โสมนัส โทมนัส หรือ อุเ บกขาประกอบ; ดัง นั ้น เวทนาจึ งมี สุ ขเวทนา ทุ กขเวทนา โสมนั ส เวทนา โทมนั ส สเวทนา อุ เบกขาเวทนา อะไรก็ตาม แลวแตจะเรียก. ทีนี้ถา มัน ปรุง เปน ความคิด นึก ขึ้น มา เปน สัง ขารขัน ธขึ้น มา มัน ก็ยังมีธาตุห มวดอื่น ที่เรีย ก กุศ ลธาตุ อกุศ ลธาตุ อัพ พยากตธาตุ ความคิด นั้ น จึ งมี รู ป ร างเป น กุ ศ ลบ าง เป น อกุ ศ ลบ าง เป น อั พ พยากฤตบ าง หรื อ ถ าต่ํ าลงไป กวานั้น มันก็ยังมี ธาตุห มวดอื่น เชน กามธาตุ - ธาตุที่ใหเกิดความรูสึกเปนกาม, รูปธาตุ - ธาตุที่ทําใหเกิดความรูสึกเปนรูปบริสุทธิ์ ไมเกี่ยวกับกาม, อรูปธาตุ – ธาตุ ที่ใหเกิดความรูสึกไมเกี่ยวกับรูป คือไมมีรูป ไมสนใจกับรูป.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้ น เวทนา ก็ ดี สั ญ ญา ก็ ดี กระทั่ ง สั ง ขารก็ ดี ในบางกรณี มั น น อ มไปในทางกามารมณ คื อ เรื่อ งเพศ; ในบางกรณี มั น ไม น อ มไปเพื่ อ กามารมณ มัน เปน รูป บริส ุท ธิ ์ หรือ วา สูง ไปกวา นั ้น ก็เปน อรูป . นี ้เพราะวา มัน มีธ าตุเ หลา นี้ อยู  ; ถ า ได อ าศั ย กามธาตุ ความรู ส ึ ก นึ ก คิ ด ก็ เ ป น เรื่ อ งกามารมณ ไ ป, ถ า ได อ าศั ย รู ป ธาตุ มั น ก็ ไ ม เกี่ ย วกั บ กาม ไปเป น เรื่ อ งของรู ป ธรรมล ว น ๆ เป น เรื่องของผูที่ มี จิตใจสูงไปขณะหนึ่ งอยางน อย ไมเกี่ยวกับกาม ไปสนใจอยู กับเรื่อง ที่เปนรูปที่บริสุทธิ์ กระทั่งเปนนามธรรมบริสุทธิ์.


๓๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

นี่ จะเห็ น ได ว า มั น ยั งมี ธ าตุ อี ก มาก ที่ เราไม เคยสนใจ เพราะว าเราไม สนใจ ก ข ก กา แล วเราก็ ไม แ จกเป น กะ กา กิ กี กึ กื อ กุ กู , ขะ ขา ขิ ขี ขึ ขื อ ขุ ขู กระทั่ งไม ใส วรรณยุ ก ต เอก โท ตรี มั น ก็ เลยไม ได แ จกอะไรออกไป. แต ถ าเราไม รู ครบถ ว น เราก็ ส ามารถจะแจกออกไปจนครบได ในบรรดารูป ธรรมและนามธรรม ก็เ กิด ขึ ้น - ตั ้ง อยู  - ดับ ไป. ในวัน หนึ ่ง ๆ ในความเปน สัต ว เปน คนเป นอะไรที่ เรา สมมติ เรี ย กกั น ในวั น หนึ่ ง ๆ นี้ มั น มากมายเหลื อ เกิ น , ยั ก ย ายถ า ยเท ปรุ ง ขึ้ น มา ด ว ยธาตุ อั น นั้ น แล ว ก็ เปลี่ ย นแปลงไปด ว ยอํ า นาจของธาตุ อั น อื่ น , แล ว ก็ เป นธาตุ อั น อื่ น , แล วก็ เป น อายตนะขึ้ น มา, แล วก็ เป น ขั น ธ ขึ้ น มา แล วก็ มี กิ เลสยึ ด ถื อ ,เปน อุป าทานขึ ้น มา จนกระทั ่ง เปน ทุก ข, จนกระทั ่ง เอือ ม ไมอ ยากจะเปน ทุก ขจ ึง ปฏิบ ัต ิธ รรมะเพื ่อ บรรลุม รรค ผล นิพ พาน. ธาตุส ุด ทา ยคือ นิพ พานธาตุเปน ที ่ด ับ ของความทุก ข ซึ ่ง บางทีก ็เ รีย กวา นิโ รธธาตุ, ถา เรีย กกวา งกวา นั ้น ก็ เรีย ก วา อสัง ขตธาตุ เหมือ นที ่ก ลา วมาแลว ; มัน ดับ เหตุด ับ ปจ จัย ดับ อํ า นาจของเหตุ ปจจัยไมใหปรุงแตง.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ ตั้ งแ ต ต น จ น ป ล าย ไม มี อ ะ ไรน อ ก จ าก ธ าตุ บ รรด าธ าตุ ทั้ งห ล าย ที่ มั น ปรุง แตง เปลี ่ย นแปลง วุ น วาย เปน ทุก ขนี ้ มัน ก็ไ ปจบลงดว ยนิโ รธธาตุ ธาตุ เปน ที ่ด ับ ; เปน ที ่ด ับ แหง กาม, เปน ที ่ด ับ แหง รูป , เปน ที ่ด ับ แหง อรูป , ก็เ ลย เรีย กชื ่อ ใหมวา นิพ พานธาตุ - ธาตุเปน ที ่ด ับ เย็น สนิท . ถา ดับ ไมม ีไ ออุ น เหลือ เลยก็เ รีย กวา อนุป าทิเ สสนิพ พานธาตุ, ถา มีไ ออุ น เหลือ อยู บ า งก็เ รีย กวา สอุป าทิเ สสนิพ พานธาตุ. แตโ ดยเหตุที ่ธ าตุนี ้ไ มม ีเ หตุป จ จัย ปรุง แตง จึง เรียกวา อสังขตธาตุ. ฉะนั้น อสังขตธาตุนี้ก็ดี และสังขตธาตุ ทั้งหลายที่แสน จะมากมายก็ดี เปนสักวาธาตุ ตามธรรมชาติ ไมมีอะไรเปนตัวตน.


เรื่องเกี่ยวกับธาตุ

๓๗

นี่ เรารู ห นั งสื อ เดี๋ ย วนี้ เราเรี ย นหนั งสื อ รู รู แ ล ว ว า ไม มี ตั ว ตน; รู ห นั งสื อ ของพระพุ ท ธเจ า ก็ คื อ รู ว าไม มี ตั วตน, กิ เลสเกิ ด ไม ได ความทุ ก ข เกิ ด ไม ได , กรรม เกิ ด ไม ไ ด กรรมเก า ก็ สิ้ น ไป กรรมใหม ก็ เกิ ด ไม ไ ด ; เรื่ อ งมั น ก็ จ บ ปรากฏอยู เป น สุญ ญตธาตุ หรือ สุญญธาตุ คือ ธาตุวาง ซึ่งเปนวางในทางสูงสุด. โดยเคาโครง มันก็มีเทานี้สําหรับ ก ข ก กา เรื่องธาตุ ก็อุตสาหเรียนกันไป. นี่ อ าตมาอยากจะขอให ทุ ก คนสนใจเรื่ อ งธาตุ ; ไม ใ ช ใ นฐานะที่ เป น เรื ่อ งงา ย; แตใ นฐานะที ่เ ปน เรื ่อ งรากฐานพื ้น ฐานสํ า หรับ ทุก เรื ่อ ง ของทั ้ง หมด ทุก เรื ่อ งในพระพุท ธศาสนา. ไมม ีอ ะไรที ่ไ มใ ชธ าตุ นับ ตั ้ง แตขี ้ฝุ น ที ่ไ มม ีร าคา สั ก อณู ห นึ่ ง แทบจะมองด ว ยตาไม เห็ น ขึ้ น มาเป น ดิ น เป น ต น ไม เป น ภู เขา เป น สั ต ว เป น สากลจั ก รวาลอะไรก็ ต าม มั น ก็ สั ก แต ว า ธาตุ . นี้ ใ นทางนามธรรม วิญ ญ าณ ก็ด ี ผัส สะก็ด ี เวทนาก็ด ี สุข ทุก ขก ็ด ี ชีว ิต ก็ด ี อะไรก็ด ี มัน ก็เ ปน สั กวาธาตุ . ความเกิ ดขึ้ นก็ สักวาธาตุ , ความตั้ งอยู ก็ สั กวาธาตุ , ความดั บไปก็ สักวา ธาตุ , มั น แปลกจากที่ ม นุ ษ ย พ วกอื่ น เขาเรียกกั น มนุ ษ ย พ วกอื่ น เขาเรียกกั นแต พ วก วัตถุธาตุเทานั้น; เขาไมรูจักสิ่งอันมองไมเห็นตัวเหลานี้.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้ นอย าเอาไปปนกั บคํ าว าธาตุ ที่ ลู กเด็ ก ๆ เรียนวิ ทยาศาสตรในโรง เรี ย น. ธาตุ อ ย า งนั้ น มั น เป น วั ต ถุ ธ าตุ แล ว มุ ง หมายไปอี ก ทางหนึ่ ง ค น คว า ไปอี ก ทางหนึ ่ง เพื ่อ ผลอัน ตา งกัน ไมเ หมือ นกัน ; แตถ ึง อยา งนั ้น มัน ก็ร วมอยู ใ นคํ า วา รูป ธาตุ. ที ่พ วกฝรั ่ง เขาจะคน เกง เทา ไร พบกัน กี ่ส ิบ ธาตุ กี ่ร อ ยธาตุ มัน ก็ร วม อยู ใ นคํ า ว า รู ป ธาตุ ทั้ ง นั้ น ; ไม มี คํ า ว า อรู ป ธาตุ ไม มี คํ า แปลกออกไปว า เป น กาม ธาตุ นิโ รธธาตุ สัง ขตธาตุ อสัง ขตธาตุ เพราะเขาตอ งการแตรู เ รื ่อ งทางวัต ถุ ผลิ วั ต ถุ ม าให ค นมั น โง ม ากขึ้ น , ให มั น หลงในสิ่ งที่ เรี ย กว า ธาตุ นี้ ม ากขึ้ น จนไม รูจั ก


ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

๓๘

สร า งซา จนได ร บราฆ า ฟ น แย ง ชิ ง กั น ไม มี ที่ สิ้ น สุ ด ; เพราะไม รู จั ก สิ่ ง ที่ เรี ย กว า ธาตุ นั ่น เอง, เพราะไมรูจ ัก สิ ่ง ที ่เ รีย กวา ธาตุเ พีย งสิ ่ง เดีย วเทา นั ้น มนุษ ยจ ึง ตอ ง เปน ทุก ข, จึง ตอ งเวีย นวา ยอยู ใ นกองทุก ข. ฉะนั ้น ขอใหรู จ ัก สิ ่ง แรกที ่ส ุด ของสิ ่ง ทั้งปวง คือสิ่งที่เรียกวาธาตุ ในฐานะเปน ก ข ก กา ในพุทธศาสนา. นี่ อ าตมาเหนื่ อ ย ไม มี แ รงจะพู ด แล ว ต อ งยุ ติ สํ า หรั บ วั น นี้ ขอร อ งให พระสงฆ ใ นท า นนั่ ง อยู นี้ ท า นบรรยายเพิ่ ม เติ ม ความรู ใ ห มั น ชั ด เจนยิ่ ง ขึ้ น หรื อ แปลกออกไปตามที่ ท า นจะทํ าได . ขอให ตั้ งใจฟ ง ต อ ไปอี ก ครั้งหนึ่ ง เพื่ อ ไม ให บ อ น มั น ล ม วั น เสาร นี่ ไ ม ใ ห มั น ล ม ก็ เลยต อ งพู ด กั น ไปตามมี ต ามได คนละนิ ด คนละ หน อ ย แล ว แต ใ ครจะช ว ยกั น . เอาละ, ก็ ข อร อ งให ทุ ก องค นี้ พู ด เรื่ อ ง ก ข ก กา แห ง พระพุ ท ธศาสนา เท า ที่ ข า พเจ า รู จั ก ต อ ไป. เอ า , ใครก อ นก็ ไ ด ต ามถนั ด พู ด แต ก ข ก กา ในระดั บ ก ข ก กา แห งพระพุ ทธศาสนาดู สั ก ๓ เดื อน ไม ใช ทุ ก ๗ วันครั้งหนึ่ง.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ....

....

....

....

(ภิกษุรูปหนึ่งบรรยาย)

ทานพุทธบริษัททั้งหลาย,

แรกได ฟ ง ท า นอาจารย ได ชี้ แ นะซึ่ ง หลั ก เกณฑ เป น ลํ า ดั บ ๆ มาแล ว ที นี้ ก็ จะให พระภิ กษุ ทั้ งหลาย แสดงความคิ ดเห็ น หรื อ ความรู ในเรื่ องธาตุ ก ข ก กา กั น ต อ ไป. อาตมาจะได ม าอธิ บ าย หรือ ว า เอาความรู ที่ ได เคยศึ ก ษาในพระพุ ท ธ ศาสนา เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง ก ข ก กา คื อ เรื่ อ งนี้ มาบรรยายหรื อ แสดงความ ข อ คิ ด เห็นตามสติปญญา.


เรื่องเกี่ยวกับธาตุ

๓๙

ที นี้ เรื่ องธาตุ ก็ ได กล าวมาแล ว เรื่ อ งธาตุ ๖ อย าง คื อ ดิ น น้ํ า ลม ไฟ ธาตุ ตะกี้ ท านอาจารย ก็ ได ว าแล วอี กอย างหนึ่ ง ในอี กหมวดหนึ่ งก็ มี ๖ อี ก ก็ เรียกว า ธาตุสุข ธาตุทุกข หรือ โสมนัส โทมนัส แลวก็อุเบกขา อวิชชา. ที นี้ โดยเฉพาะอย างยิ่ ง เรื่ อ งป ญ ญาที่ ว าเรื่ อ งสุ ข เรื่ อ งทุ ก ข สํ าหรั บ ผู ที่ ยั ง มี กิ เลสอยู ซึ่ ง โดยเฉพาะอย า งยิ่ ง ทํ า ไมเราจึ ง มี ค วามสุ ข ความทุ ก ข อ ยู ? ก็ ปญ หาที่วาไมรูจัก วา สุข วา ทุก ขนี ้ม ัน เปน เพีย งวาธาตุเทานั ้น จึงเขา ไปยึด ถือ โดยความเป น ตั ว เป น ตน. เพราะทุ ก สิ่ ง ทุ ก อย า งขึ้ น ชื่ อ ว า ธาตุ แ ล ว มั น ก็ ไ ม มี อ ะไร ที่ เป น ตั ว เป น ตนแน น อนได ที่ แ น น อนก็ คื อ อสั ง ขตธาตุ เท า นั้ น , ส ว นอื่ น ก็ สั ง ขต – ธาตุไมแนนอน. ที นี้ เรื่ อ งความสุ ข ความทุ ก ข อุ เบกขา อวิ ช ชา อย า งนี้ มั น อาศั ย สิ่ ง ปรุง แตง กัน ขึ ้น เกิด ขึ ้น ชั ่ว ขณะ ชั ่ว เวลาเทา นั ้น ; แตด ว ยอํ า นาจที ่ว า เราไมมี สติปญญาพอ หรือฝกมาไมถึงที่สุด ก็เลยเขาไปยึดถือเอา โดยสําคัญมั่นหมายวา เปน ตัว เปน ตน ซึ ่ง ลืม นึก ไปวา ที ่จ ริง สิ ่ง เหลา นั ้น คือ สุข . ที ่แ ปลวา ทนงา ยคือ มัน ตอ งทนเหมือ นกัน ไมว า สุข ขั ้น ไหน. สุข พวกกามารมณก ็ด ี, สุข เรื่อ งของ ไดฌ าน ไดส มาบัต ิอ ะไรก็ต ามใจ; นั ่น ก็อ าศัย เหตุป จ จัย เกิด ขึ ้น ซึ ่ง ชั ่ว ขณ ะ ชั่ วเวลา มั นก็ ไม เที่ ยงแท แน นอนอะไร แต ว าคนไปสํ าคั ญ มั่ นหมายเข า นึ กว ามั นเป น ของดิ บ ของดี ของอร อ ยเลยก็ เข า ไปติ ด ไปยึ ด เอาว า เป น เรา เป น ของเราเข า โดยปราศจากสติ ป ญ ญา จึ ง ไม เห็ น ถู ก ต อ งตามความเป น จริง ; ซึ่ ง ที่ จ ริ ง เป น ลม ๆ แล ง ๆ เท า นั้ น มั น ไม ได ตั้ ง อยู น าน หรื อ เดี๋ ย วเดี ย วก็ ห ายไป, เดี๋ ย วเดี ย วก็ ห ายไป. แต ทํ าไมจึ งมาฝ งแน นอยู ก็ อาศั ยอํ านาจความเคยชิ นที่ เราไม เคยทํ าในใจวา เป นเพี ยง

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


๔๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

สั ก ว าธาตุ เท านั้ น , จึ งยิ น ดี ปรี ด า อิ่ ม เอิ บ พร่ํ าสรรเสริ ญ เพลิ ด เพลิ น มั วหมกกั น ไปในสุ ข ธาตุ นั้ น . ผลสุ ด ท า ย ตั ว เองก็ มี ค วามเสี ย คื อ เสี ย ทางสติ ป ญ ญา, ส ว นที่ ได ม า ได ม าจริง ; ส ว นจิ ต ใจมั น เสี ย เพราะไปยิ น ดี ยิ น ร า ย เกิ ด ไปหวั่ น ไหวขึ้ น มา, ทํ า ให เพิ่ ม กิ เลสในตั ว ทํ า ให ร าคะ หรื อ รั ก ในความสุ ข นั้ น ยิ่ ง ขึ้ น , เพิ่ ม ขึ้ น มาเรื่ อ ย. ได รับอะไรมาก็ ดี ใจทุ กที ดี ใจทุ กที ไม เคยพิ จารณา, อ อนี่ สั กวาธาตุ เท านั้ น เลยเพิ่ ม เขามาเรื่อย ตั้งแตเด็กเล็กจนมาถึงปจจุบัน จนถึงใหญ ถึงแก ถึงตาย ไปเลยก็มี. แต พระผู มี พระภาค ทรงสอนให เรามี ป ญ ญา พิ จารณาเห็ นเพี ยงสั กว า ธาตุ เ ท า นั้ น มั น ก็ ไ ม มี ป ญ หา ในการที่ จ ะไปรั ก ส ว นที่ สุ ข ธาตุ นั้ น หรื อ ธาตุ แ ห ง ความสุ ข นั้ น ; เพราะมั น เป น เพี ย งอาศั ย ป จ จั ย เกิ ด ขึ้ น ชั่ ว ขณะ ๆ เท า นั้ น เอง ซึ่ ง เปน เรื ่อ งที ่ต อ งทน, ขึ ้น ชื ่อ วา ตอ งทนแลว มัน ก็ท ุก ขทั ้ง นั ้น มัน ตั ้ง อยู ไ มไ ด ดัง พุท ธศาสนาบอกแลว พูด ถึง ความดับ ทุก ข ทั ้ง สุข ทั ้ง ทุก ข โสมนัส โทมนัส อุเ บกขา หรือ อวิช ชา ก็ร วมอยู ที ่ท ุก ขนั ้น เอง; เพราะมัน ทนอยู ไ มไ ด เพราะ มันอาศัยเหตุปจจัยปรุงแตง.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ ว าถึ งตั วความทุ กข อี ก สิ่ งที่ ไปชอบอกชอบใจก็ ด วยการเข าไปยึ ดถื อ ไปแบกเขา ไว. ความทุก ขนี ้ก ็เ ปน เพีย งสัก วา ธาตุเ ทา นั ้น อีก . แตทํ า ไมทํ า ใหค น เราจึ งรองห มรองไห ตี อก นอนไม หลั บ กระวนกระวาย ? ก็ เพราะเหตุ วา ไปยึ ดถื อ เข า อี ก นั่ น แหละเป น เรื่ อ งสํ า คั ญ ถื อ ว า มั น เป น ตั ว เป น ตนเข า อี ก ถื อ ว า ความรู ความระลึ กได ชั่ วขณะจิ ตเท านั้ น ก็ เรียกขณิ กวาท ทางพุ ทธศาสนาถื อวาเป นขณิ กวาท ชั ่ว ขณะจิต . แตเ ราไปเพลิด เพลิน พร่ํ า สรรเสริญ มัว หมกมัน อีก ในสุข นั ้น ก็ไ ม


เรื่องเกี่ยวกับธาตุ

๔๑

พิ จารณาเห็ นสั กที ว า มั นเป นสั กแต ว าธาตุ , ก็ เลยทํ าให มี ความกระวนกระวายใจ หรื อ เดือดรอนใจแบบในฝายลบ. ที นี้ ในฝ ายลบนั้ นทํ าให จิ ตใจทนยาก ทุ กข นั้ น มั น ทนยาก, หรือมองเห็ น แลว นา เอือ มระอา. ในสว นที ่น า เอือ มระอานี ้ เปน เรื ่อ งของสรรพสัง ขารทั ้ง ปวง คือ มัน ตอ งเปลี ่ย นแปลงไป; แตท ุก ขอ ีก ทีสํ า หรับ คนเรานี ้ค ือ เขา ไปสํ า คัญ มั ่น หมาย ยึ ด เข า มาเป น เรื่ อ งทรมานร า งกาย ทรมานจิ ต ใจ ร า งกาย ทางจิ ต ทางใจ อีก ทีห นึ ่ง ในทุก ขนั ้น . ที ่จ ริง ทุก ขเ ปน เพีย งสัก วา ธาตุอ ีก เหมือ นกัน ไมว า จะทุก ข แบบไหน ก็ ธ าตุ ทั้ ง นั้ น แต เราไม เคยทํ า ในใจ, ไม เคยทํ า ในใจไว เลย มั น เผลอสติ อยู เรื่ อ ย, ไม ไ ด ต ามคิ ด ว า มั น สั ก ว า ธาตุ สั ก ว า ธาตุ ไม ไ ด ท อ งคํ า นี้ , และก็ บ างที เรื ่อ งมัน หายไปตั ้ง หลายวัน แลว เปน เดือ น เปน ป ก็ย ัง เก็บ มาทุก ข มารอ งหม ร อ งไห ก็ เ พราะนึ ก ว า มั น เป น ตั ว เป น ตน. ที ่จ ริง มัน เปน เพีย งสัก วา ธาตุ เกิด ขึ ้น - ตั ้ง อยู  - ดับ ไป หายไปตั ้ง นานแล ว ไม น า จะเอามาเป น อารมณ อี ก เลยก็ ทํ า ให เกิ ด ความยึ ด ถื อ ในตั ว ธาตุ นั้ น เป น ตั ว เป น ตนขึ้ น มา, เลยลุ ก ขึ้ น มาทํ า หน า ที่ เป น ตั ว ทุ ก ข เ ข า อี ก ซึ่ ง ไม น า จะเป น อย า งนั้ น ; เพราะว า ไม มี ส ติ ป ญ ญาที่ ลึ ก ซึ้ ง ถู ก ต อ ง ตามคํ า สอนขององค ส มเด็ จ พระสั ม มาสั ม พุ ท ธเจ า ที่ ว า ให รู สิ่ ง ใด รู ต ามความเป น จริ ง ; ไม ใ ช รู แ ต เปลื อ กหรื อ ตื ้น ๆ, ถา หากวา รู ถ ึง ความจริง อัน นี ้แ ลว ถึง วา ดับ ไปหมดทัน ที มัน ก็เ รีย กวา มั น ก็ ค อ ยน อ ยลง ๆ น อ ยลง, นานเข ามั น ก็ ห มดไปเอง ถ าหากว าท อ งเป น สั ก ว าธาตุ เป น สั ก ว า ธาตุ ไว เ รื่ อ ย มั น มี เ หตุ ป จ จั ย ปรุ ง แต ง เกิ ด ขึ้ น - ตั้ ง อยู - ดั บ ไป อย า ง นั ้น เอง; มัน ไมม ีอ ะไรเปน ตัว เปน ตน เขา ไปจับ ไปฉวย หรือ มัด มัน ไวใ หอ ยู ใ น

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


๔๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

อํ า นาจตั ว ตนของเราได ; แม แ ต ตั ว เรา ก็ ทํ า อะไรไม ไ ด ก็ ห มุ น เวี ย นเปลี่ ย นแปลง ไปตามเหตุตามปจจัยอยูเนืองนิจ. ถ า หากว า รู จ ริ งอย า งนี้ ส ว นฝ า ยทุ ก ข ที่ จ ะทรมานจิ ต ใจของเรา มั น ก็ จะไมเ กิด ขึ ้น ; เพราะเราเห็น เปน เพีย งสัก วา ธาตุเ ทา นั ้น . คนที ่ม าทํ า ใหเ รา ทุ ก ข ให เราทุ ก ข นี่ ไม ใ ช ว า คนมาทํ า ให เรา ไม ใ ช ค นอื่ น มาทํ า ให เรา เราเองต า ง หาก; คนสว นมากมัน ไปโทษคนนั ้น โทษคนนี ้ โทษคนโนน มัน วา เขามาทํ า ใหเ ราเปน ทุก ข เปน รอ น อยา งนั ้น อยา งนี ้ขึ ้น มา. แตที ่จ ริง เปน ทุก ขที ่เ ราเอง ตา งหาก เราไปรับ เราไปยึด เราไปมัด เราไปแบกเขา เอง; และก็โ ดยสว นมาก ก็ ไ ม ไ ด พิ จ ารณาเห็ น ตรงนี้ , ก็ เลยไปโทษคนนั้ น คนนี้ หาว า เขามาทํ า ให เราเป น ทุกข ก็เลยดับทุกขกันไมพบ ไมรูวาดับที่ไหนกันแน. ดับทุ กข ก็คือดับที่จิตที่ใจ, ดั บที่ ความรูสึก ของเราเอง ให รูวาเป น เพีย งสัก วา ธาตุเ ทา นั ้น มัน ก็ห มดความหมาย; นี ้ใ นสว นของความทุก ข ที่ เกิด ขึ ้น มาจากเวทนาที ่ว า แลว . เรื ่อ งโสมนัส โทมนัส ความสบายใจ ความ ทุ ก ข ใ จ ความทรมานใจ นี่ ก็ เพี ย งชั่ ว ขณะ ๆ อี ก เกิ ด ขึ้ น - ตั้ ง อยู – ดั บ ไป, เกิ ด ขึ ้น - ตั ้ง อยู  – ดับ ไป ; มัน ก็ไ มม ีอ ะไรที ่เ ปน ตัว เปน ตน, หรือ บัง คับ บัญ ชาให เป น อย างนี้ ๆ แม สั ก วิ น าที เดี ย วก็ บั งคั บ บั ญ ชาไม ได มั น ก็ เกิ ด ขึ้ น -- ตั้ งอยู – ดั บ ไป เรื่องของมันเองอยางนั้น. เพราะมันเปนเพียงสักวาธาตุ ดังที่วาแลว.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สว นอุเ บกขาเฉย ๆ ก็ธ าตุอ ีก เหมือ นกัน ก็เ ปน ธาตุอ ยา งห นึ ่ง เหมื อ นกั น , ก็ ไ ม ค วรที่ จ ะเข า ไปยึ ด ถื อ เหมื อ นกั น . อวิ ช ชาธาตุ ตั ว นี้ ก็ เป น สั ก ว า ธาตุเ หมือ นกัน ; เชน วา เรามีค วามทุก ขเ พราะอวิช ชา ตาเห็น รูป หูฟ ง เสีย ง


เรื่องเกี่ยวกับธาตุ

๔๓

ธาตุ นี้ ทํ า หน า ที่ ขึ้ น มา เราไม รู ต ามความเป น จริ ง เลยเกิ ด ทุ ก ข ; ที่ รู อั น นั้ น ก็ เ ป น อวิชชา หรือวาเปนสักวาธาตุเทานั้นเอง. ที นี้ เ มื่ อ เราเผลอสติ ไ ปชั่ ว ขณะนั้ น ก็ ไ ม ต อ งมานั่ ง เป น ทุ ก ข ยึ ด ถื อ จน ร อ นอกร อ นใจขึ้ น มา, ถื อ ว า เป น บทเรี ย นเสี ย ว า เรานี้ ยั ง ป ญ ญาน อ ย ที ห ลั ง จะไม ให เกิ ด อย า งนั้ น อี ก , คื อ มาคิ ด ในทางที่ ทํ า ให เกิ ด ป ญ ญา. อย า ไปคิ ด ในทางร อ งไห ห รือ วา นั ่ง ต รอ ม อ ก ต ร อ ม ใจ เป น ท ุก ข ต ีอ ก รอ ง ไห  พ ิไ ร รํ า พ ัน เส ีย ; เพราะถื อ ว า มั น เป น ไปแล ว มั น ผ า นไปแล ว จะเก็ บ เอามาเป น อารมณ ในทางที่ จะยึ ด ถื อ ไม ไ ด , เพราะเรื่ อ งที่ ทํ า ไปแล ว จะทํ า คื น ไม ไ ด นอกจากว า เราจะเปลี่ ย น การปฏิ บั ติ ที่ ถู ก ต อ งใหม เท า นั้ น เอง. เช น พู ด ไปแล ว คํ า หนึ่ ง นี่ จะเอาเรี ย กคื น มา พู ด ใหม คํ านั้ น น ะ เอามาพู ด ใหม ไม ได มั น ผ า นไปแล ว , นอกจากว าเราทํ า เอาใหม เทานั้นเอง. ที นี้ ความที่ เราไม รู ต ามความเป น จริ ง ก็ ถื อ ว า เป น เพี ย งสั ก ว า ธาตุ เหมื อ นกั น ไปผิ ด พลาดอะไรเข า ; ถ า หากว า ตอนนั้ น เรายั ง ไม รู ต ามความเป น จริ ง ก็ อ ย า มาเป น ทุ ก ข ไปเก็ บ เรื่ อ งนั้ น เป น ทุ ก ข . แต ข อให รู ว า เป น สั ก ว า ธาตุ อ ย า งหนึ่ ง แลว ก็ม าแกไ ขกัน ใหม, ทีห ลัง จะไมใ หเ กิด อยา งนั ้น อีก ไมไ ปยึด ถือ ไวม ัน ก็ไ ม ทุก ข. คนโบราณจึง วา ผิด ก็เ ปน ครู ถูก ก็เ ปน ครู มัน ก็ม าสอนใหทั ้ง นั ้น เพราะ ว า ธ า ตุ นี ่ ส อ น ให ค น ฉ ล าด ; ถ า ห า ก ว า ค น ไม รู  ค รู ก ็ ค ื อ ธ าตุ บ อ ก แ ล ว ทั้งดีทั้งชั่ว.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สรุป เรื่ อ งดี เรื่ อ งชั่ ว นั่ น แหละ ที่ ค นเรายึ ด ถื อ ก็ เรีย ก สั ก ว า ธาตุ เพราะ ฉะนั้ น ธาตุ นี่ แ หละที่ ว า เป น ครู , อวิ ช ชาธาตุ ก็ เป น ครู ข องเรา มาสอนเรา ถ า หากว า


๔๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

คนไม มี อ วิ ช ชาธาตุ แ ล ว ทุ ก ข มั น ไม มี แ ล ว พระพุ ท ธเจ า ก็ เกิ ด ขึ้ น ไม ได , แล ว ว า ถ า ไมม ีช าติ ชรา มรณ ะ หรือ ทุก ข พระพุท ธเจา ก็ไ มเ กิด ขึ ้น ; เพราะฉะนั ้น ครู ที่ ดี ที่ สุ ด คื อ อวิ ช ชานี้ , อวิ ชชาธาตุ หรื อ พวกอวิ ช ชาทั้ งหลาย กี่ ร อ ยอย างก็ ต ามใจ ; ถ ารู ต ามความเป น จริ งแล ว ก็ เรีย กวา เราได ค รู ที่ ดี ที่ สุ ด ที่ ป ระเสริฐ ที่ สุ ด แล ว สอนเราทุกวัน ตลอดเวลา เรียกวายังมีความรูสึกอยู. หรื อ ว าได รั บ ผั ส สะ กระทบกั น ระหว างภายนอก ภายใน คื อ ตาภายใน ภายนอกคื อ รู ป เป น ต น มาสอนทุ ก ๆ เวลา, แล ว รั ก เราเสี ย ด วย ไม ใช เกลี ย ด. ถ า หากวา เกลีย ดจริง เขาไมม าใหเ รารู  เราก็ไ มรู เ รื ่อ ง ถึง รู ก ็ไ มไ ดอ ะไร; เพราะ ฉะนั ้น เราตอ งรูเ รื่อ งนี ้ เรื่อ งอวิช ชาธาตุก ็เ ปน เรื่อ งธาตุอ ยา งหนึ ่ง ซึ ่ง เมื ่อ เกิด ขึ้ น แก เราในฐานะที่ เราไปโง กั บ สิ่ ง ใดสิ่ ง หนึ่ ง เข า ก็ ถื อ ว า อ อ , นี่ เป น เพี ย งสั ก ว า ธาตุ อย าไปเสี ยอกเสี ยใจแล วเก็ บเอาความโงอั นนั้ นมาศึ กษา ที หลั งอย าเป นอย าง นั้นอีก ; ผลสุดทายมันก็ไดประโยชน

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แตถ า หากวา เปน ทุก ข ไปรอ งหม รอ งไห ไปยึด ถือ เขา นอนตีอ ก พิไ ร รํ า พัน ; ผลสุด ทา ยนั ่น แยที ่ส ุด ไมไ ดเ รื ่อ งอะไร มัน ก็ไ มไ ดป ญ ญ า มัน ยิ ่ง เพิ่ ม ความทุ ก ข ไป, เพิ่ ม เข าไป ๆ มากขึ้ น . เพราะฉะนั้ น ให ถื อ ว า หมวดนี้ ก็ เรี ย กว า เรื่ อ งของธาตุ อี ก เหมื อ นกั น . เรื่ อ ง ๖ อย า งคื อ สุ ข ก็ เ ป น ธาตุ ทุ ก ข ก็ เ ป น ธาตุ โสมนั ส ความสบายใจก็ เป น ธาตุ โทมนั ส ความทุ ก ข ใจก็ เป น ธาตุ อุ เบกขาคื อ ความ วางเฉย ปกติ ธรรมดา ๆ อยู ก็ เป นธาตุ , หรือ อวิ ชชาก็ เป น สั กว าธาตุ อี กเหมื อ นกั น . เพราะฉะนั้ นเวลาผิ ดพลาดขึ้ นมาอย างไรก็ ถื อวาเป นธาตุ นั้ นแหล ะ, แล วก็ เอาความรู รื ่อ งธาตุนั ้น มาแกไ ขเปน บทเรีย นตอ ไป แลว จะไดรู ถ ึง ความจริง แลว จะไมไ ป ยึดถือมันในสวนที่ ๖ นี้.


เรื่องเกี่ยวกับธาตุ

๔๕

เพราะคนเราไปยึ ด ถื อ ในส ว นทั้ ง ๖ นี้ จึ ง ไม พ น จากความทุ ก ข ถ า ไม ไปยึ ด ถื อ ถึ ง แม ว า ทุ ก ข ขึ้ น มาแล ว ถ า ไม ยึ ด ถื อ ความทุ ก ข นั้ น ก็ สิ้ น ไป ; เพราะ ฉะนั้น พระพุทธเจาจึงวา ไมยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ลวงมาแลว ในอนาคต และทั้ง ป จ จุ บั น มั น ก็ ห มดป ญ หา. เพราะฉะนั้ น เวลาทํ า อะไรลงไปแล ว ถึ ง แม ว า เรา ปราศจากสติ ป ญ ญาไปบ า ง แต ว า ขอให เก็ บ เอาสิ่ งที่ ผิ ด พลาดนั้ น น ะ มาศึ ก ษา แล ว อยา เปน ทุก ข, จะเปน ครูที ่ด ีต อ ไป, แลว อยา ทํ า ผิด อีก . ผลสุด ทา ยมัน ก็จ ะไดค รู ที่ ดี คื อ สิ่ ง ที่ เ รี ย กว า ธาตุ นี้ ช ว ยสอน เราให รู ค วาม จริ ง ทั้ ง ดี ทั้ ง ชั่ ว ได เ ป น ประโยชน คื อ ไม มี ค วามทุ ก ข ต อ ไป. เพราะฉะนั้ น วั น นี้ ก็ ไ ด ม าชี้ แ จง หรื อ ว า นํ า ความรูเทาที่มีสติปญญา ก็ไดพูดมาก็เห็นวาพอสมควร จึงขอยุติลงไวเพียงแคนี้. ....

....

....

....

(พระภิกษุอีกรูปหนึ่งบรรยาย)

ญาติโยม และ ทานพุทธบริษัท ผูสนใจในธรรมทั้งหลาย,

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ป นี้ ก็ นึ ก ว า น า เป น ป ที่ พ วกเราน า จะคิ ด ฉงนกั น ; เพราะว า ท า นอาจารย ทานก็เคยปรารภมาวา กอนที่ทานจะสิ้นชีวิตทานบอกวาทานจะพูดเรื่อง ปฏิจจสมุป บาท. ที นี้ ท า นก็ ได พู ด มาหลายเรื่ อ งแล ว จนเรื่ อ งสุ ด ท า ยก็ คื อ เรื่ อ ง ปฏิ จ จสมุ ป บาท. แตวาทําไมทานจึงใหเราเรียน ก ข ก กา กันใหม มันนาสงสัย ? ที นี้ เรื่ อ งที่ อาตมาคิ ด เอาเองก็ ได หรื อ ว าอาจจะตรงกั บ ท านบางท านก็ ได ; เพราะวา พวกเรานี ้ฟ ง กัน มาแลว แตว า พวกเรานี ้ไ มส นใจ พวกเราอาจจะเปน นั ก เรี ย นที่ ดื้ อ ดึ งก็ ได ; เหมื อ นกั บ ว าครู ส อนให เราเขี ย น ก ข ก กา แต ว าเราก็ ไม เขี ย น


๔๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ตามครู , ครู บ อกให เ ขี ย นตั ว ก ให เขี ย นหั ว ก อ น เราก็ ไ ปเขี ย นมาจากหาง, ให เรีย นตัว นี ้ ใหอ า นดัง นี ้ แตว า เราก็อ า นไมเ หมือ นทา น; พอบอกวา ลองอา นดูซิ ก็อ า นผิด ทุก ที นี ่เ ปน อยา งนี ้ เพราะฉะนั ้น ปนี ้ท า นก็ตั ้ง ตน ใหพ วกเราใหม. นี้ เป น เรื่องที่ น าคิ ด เพราะพวกเราไม ส นใจนั่ น เอง รวมทั้ งตั วอาตมาด วย จึ งเป น อั น ว า ทานก็ใหเรียน ก ข ก กา กันใหม. ที นี้ ใ นเรื่ อ ง ก ข ก กา ในป นี้ ท า นให เ รี ย นเรื่ อ งธาตุ , หรื อ ว า เรื่ อ ง อายตนะ เรื่อ งขั น ธ ทั้ งหมดนี้ ก็ อ ยู ในฐานะของธาตุ คื อ ท านให เรารูจัก เรื่อ งธาตุ วา ทั้ งหมดในโลกนี้ ไม วาอยู ขางนอกเรา หรือ วาอยูในตั วเรา อยู ที่ จิ ต ใจของเรา มัน ก็เ ปน ธาตุทั ้ง นั ้น มัน ไมม ีอ ะไรเปน อยา งอื ่น ไปได. ถา หากวา เปน ธรรม มัน ก็เ ปน ธรรมทั ้ง นั ้น สุด แลว แตที ่เ ราจะเพง เล็ง ลงไปในเรื ่อ งนี ้. ทีนี ้เ รื ่อ งธาตุนี้ เราเรีย นเรื่อ งธาตุ ข า งนอก; เช น อย า งในทางโลกเขาเรีย นกั น เขาศึ ก ษากั น จนถึ ง โลกพระจัน ทร โลกพระอั งคาร ก็ เรื่อ งธาตุ ทั้ งนั้ น . แต เราเรีย นเรื่ อ งธาตุ นี้ คื อ เรา เรีย นเรื ่อ งธาตุภ ายนอก, แลว ก็เ รีย นเรื่อ งธาตุภ ายใน ที ่เ ปน รูป ธาตุ ที ่เ ปน อรูปธาตุ แล วก็ เป นธาตุ สํ าหรับดั บ คื ออย าให ไปยึ ดมั่ นถื อมั่ นในเรื่องธาตุ ทั้ งสองนั้ น เรียกวานิโรธธาตุ หรือนิพพานธาตุ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทีนี ้เ ราตอ งรู จ ัก ธาตุ นี ่ค ือ เรื ่อ งแรก; ถา หากวา เราไมรู จ ัก ธาตุ เรา ก็ไ มรูจ ัก หนา ที ่ ไมรูจ ัก อายตนะ ก็ไ มรูจ ัก ขัน ธ. เวลาธาตุไ ปทํ า หนา ที ่ ก็ เรีย ก ว าอายตนะ; พออายตนะทํ าหน า ที่ คื อ ต อ อายตนะภายนอก อายตนะภายใน เสร็จ เรีย บรอ ยแลว ก็เ ปน ขัน ธขึ ้น มา เราก็ไ มรูอ ีก วา ขัน ธนั ้น พอเราไปยึด ถือ เขา มัน ก็เปน ทุก ข เพราะฉะนั ้น ในเมื ่อ เราไมรูจ ัก ธาตุ เราก็ไ ปยึด ถือ ธาตุ เราไม


เรื่องเกี่ยวกับธาตุ

๔๗

รู จั ก อายตนะ เราก็ ไ ปยึ ด ถื อ อายตนะ ไม รู จั ก ขั น ธ ก็ ไ ปยึ ด ถื อ ขั น ธ นี้ เรื่ อ งมั น เป น อยางนี้ จึงตองเรียน ก ข ก กา กันใหม. เราต อ งรู จั ก ธาตุ ว า ตั ว เรานี้ มั น ประกอบด ว ยธาตุ กี่ อ ย า ง แล ว เวลา ธาตุม ัน ทํ า หนา ที ่ คือ มีต ัว เราขึ ้น มาแลว ; พอมีต ัว เราขึ ้น มาแลว มัน ก็ม ีต า มีห ู มีจ มูก มีลิ ้น มีก าย มีใ จ; พอมีสิ ่ง เหลา นี ้แ ลว สิ ่ง เหลา นี ้ก ็ทํ า หนา ที่ นี้ ธาตุ มั น กลายแล ว คื อ ธาตุ ต ามั น ก็ ไ ปเห็ น รู ป . ที นี้ พ อเห็ น รู ป ก็ เ กิ ด จั ก ษุ วิ ญ ญาณ จั ก ษุ สั ม ผั ส , เกิ ด เวทนาที่ เป น สุ ข บ า ง ที่ เป น ทุ ก ข บ า ง ที่ เป น อทุ ก ขมสุ ข เวทนาบา ง. ทีนี ้เ ราไมรู  พอเราไมรู ม ัน ก็เ กิด ขัน ธขึ ้น มาอีก ; พอเกิด ขัน ธ ขึ้นมาก็เขาไปยึดถืออีก นี้เรื่องมันก็ก็เปนทุกข นี้เรื่องมันก็เปนอยางนี้. ถ าเรารู จั กว าตั วเราก็ ประกอบด วยธาตุ จิ ตใจของเราก็ ประกอบด วยธาตุ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ก็ คื อธาตุ , สิ่ งที่ เราเห็ นคื อ รู ป เสี ยง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธัมมารมณ ก็คือธาตุ; มั นเป นสักแตวาธาตุเทานั้ น, ไมมี อะไรที่เป นอยางอื่น มั นเป น เพีย งสัก แตว า ธาตุ, พ อมัน เปน ธาตุแ ลว ก็เ ปน ขัน ธเ ปน ขัน ธนั ้น ก็ค ือ ธาตุ ชนิดหนึ่งเหมือนกัน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ เราต อ งมี ป ญ ญา : มี ป ญ ญารูจั ก ธาตุ มี ป ญ ญารูจั ก อายตนะ มี ปญ ญารูจักขันธ ถาเรารูจัก ๒ อยางนี้แลว เราก็ตองรูจักวามันเกิด ขึ้น ได อ ยางไร มัน ดับ ไดอ ยา งไร และวิธ ีไ หนที ่จ ะทํ า ใหม ัน ดับ และไมม ีค วามทุก ข ? ก็ เรื ่อ งอริย มรรคมีอ งคแ ปดนั ่น เอง. เพราะฉะนั ้น เราจึง ตอ งมาเรีย นกัน ใหม มา ศึกษากันใหม มาซ้ําชั้นกันใหมในปนี้. ....

....

....

....


ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

๔๘

(ภิกษุอีกองคหนึ่งบรรยาย)

ทานสาธุชนผูสนใจในธรรมทั้งหลาย, การพู ด หรื อ การบรรยายในวั น นี้ ก็ ยั งเป น เรื่ อ ง ก ข ก กา ตามเดิ ม วั น ก อ น ๆ ก็ ได พู ด กั น ไปบ า งแล ว แต ก็ ยั ง ไม ล ะเอี ย ด. สํ า หรั บ วั น นี้ ก็ จ ะได ก ล า วเรื่ อ ง ก ข ก กา นี่ ให มั นปลี กย อยออกไป; โดยเฉพาะอย างยิ่ งวั นนี้ ก็ เป น เรื่องที่ ไปค นคว า มา ไปจดมาแลวก็เอามาอานใหฟง เพื่อใหไดเขาใจยิ่งขึ้น. เรื ่อ งธาตุ เรื ่อ งอายตนะ เรื ่อ งขัน ธนี ่ที ่เ รีย กวา เปน เรื ่อ ง ก ข ก กา เพราะวา เปน เรื ่อ งพื ้น ฐานในการศึก ษาธรรมะ; ถา ไมรู เ รื ่อ งพื ้น บาน ไปเริ ่ม ศึ กษาเรื่องที่ เป นปลายเหตุ ปลายเรื่องนี่ ก็ ทํ าให ศึ กษายาก เข าใจลํ าบาก. เรื่องธาตุ เป น เรื่ อ งแรก หรื อ เป น พื้ น ฐานของสิ่ ง ทั้ ง ปวง เพราะว า ทุ ก อย า งเป น แต เพี ย งธาตุ ทุกอยางเปนธรรม คําวา ธรรม กับคําวา ธาตุนี่ มีความหมายอยางเดียวกัน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org คํ า วา ธาตุ แปลวา สิ ่ง ทุก สิ ่ง , สิ ่ง ทั ้ง ปวง ทรงสภาพไว. อยา งที่ เปน สัง ขตธาตุก็คือ ทรงสภาพไวใ นฐานะที่เ ปน เรื่อ งปรุง แตง อสัง ขตธาตุ ก็ เป น ธาตุ ที่ ไ ม มี ก ารปรุ ง แต ง . นี้ เป น เรื่ อ งธาตุ เหมื อ นที่ พ ระเดชพระคุ ณ ท า นได แสดงใหฟ ง แลว . ทีนี ้ใ นพระสูต ร พระพุท ธเจา ทา นตรัส ใน พหุธ าตุส ูต ร วา ภิกษุพึงเปนผูฉลาดในธาตุ, ธาตุ ๑๘ คือ ธาตุที่เรียกวา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ, ลวก็ธาตุที่เรียกวา รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ, และธาตุที่เปน จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณนี้อีกพวกหนึ่งจนถึง มโนวิญญาณ, อีกพวกหนึ่ง ก็เปน ธาตุที่อาศัยอยูในธาตุ ๖ คือ ดิน น้ํา ไฟ ลม อากาศธาตุ และวิญญาณธาตุ และ เปนผูฉลาดในธาตุคือ ธาตุสุข ธาตุทุกข ธาตุโสมนัส ธาตุโทมนัส ธาตุอุเบกขา


เรื่องเกี่ยวกับธาตุ

๔๙

ธาตุอ วิช ชา นี ้ด ัง ที ่ไ ดแ สดงแลว . และธาตุอื ่น ยัง มีอ ีก กามธาตุ เนกขัม มธาตุ พยาปาทธาตุ อพยาปาทธาตุ หิ ง สาธาตุ วิ หิ ง สาธาตุ , ธาตุ อื่ น ยั งมี อี ก คื อ กามธาตุ รู ป ธาตุ อรู ป ธาตุ , ธาตุ อื่ น ยั ง มี อี ก คื อ สั ง ขตธาตุ อสั ง ขตธาตุ ทั้ ง หมดก็ เ ป น เพียงวาธาตุ. และอี ก ธาตุ ห นึ่ ง ที่ เ ราไม ค อ ยได ยิ น แต ว า คนเราคบกั น นี้ เ พราะธาตุ , คนนั ้น ธาตุม ัน ตรงกัน มัน ก็เ ลยคบกัน ได. นี ้ก ็เ ปน ธาตุเ หมือ นกัน มีอ ยู ใ นพระ สูตรก็วา พระพุทธเจาตรัสชี้ใหภักษุดูวา สัทธิวิหาริกของพระสารีบุตรนั้นนะ มีธาตุ เหมือนพระสารีบุตร คือเปนผูที่มีปญญา, สัทธิวิหาริกของพระกัสสปนี้ คือเปนผู ครงในธุดงค, สัทธิวิหาริกของพระโมคคัลลานะนี้เปนผูมีฤทธิ์, สัทธิวิหาริกของ พระเทวทั ตคื อเป นผู ปรารถนาลามก. เพราะมั นอยู กั นได คนดี อยู กั บคนดี เพราะมั น มีธ าตุต รงกัน , คนชั ่ว มัน อยู ก ับ คนชั ่ว เพ ราะมัน มีธ าตุต รงกัน . ฉะนั ้น ธาตุนั ้น แปลว า อย า งไร ก็ แ ปลว า มั น เหมื อ นกั น ไปกั น ได , คนขี้ โ ม ขี้ คุ ย มั น ก็ ไ ปกั น ได คน เฉยมั น ก็ อ ยู กั น ได , นี่ เรี ย กว า มั น อยู กั น ด ว ยธาตุ ; ลึ ก ไปกว า ที่ ได ยิ น ได ฟ ง มา แต ว า อยางนี้ยังไมสําคัญ ยังไมเปนเหตุใหเกิดทุกข.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ตอ เมื ่อ ธาตุม ัน ลุก ขึ ้น มาทํ า หนา ที ่ เมื ่อ นั ้น จึง เปน ทุก ข, เรีย กวา ธาตุม ัน มาเกิด ขึ ้น . การเกิด ขึ ้น ของธาตุเ ปน เหตุใ หเ กิด ทุก ข ความดับ ไปของ ธาตุค ือ ความดับ ไปของทุก ข; เพราะฉะนั ้น ตอ งสนใจการเกิด ขึ ้น ของธาตุ. ทีนี ้ธ าตุม ัน เกิด ขึ ้น มัน ก็ต อ งเปน เรื ่อ งเกี ่ย วกับ มนุษ ย ก็ค ือ อ าย ต น ะเกิด ขึ ้น ; พออายตนะเกิด ขึ ้น ก็ม ีก ารกระทบเรีย กวา ผัส สะเกิด ขึ ้น ; ฉะนั ้น เรื ่อ งที ่จ ะพูด ตอไปนี้ก็เปนเรื่องเกี่ยวกับผัสสะ.


๕๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

พระพุ ทธเจ าตรั ส ว ารูปที่ เห็ นด วยจั กษุ หมายความว าเมื่ อตากระทบรู ป, รูป ที ่เ ห็น ดว ยจัก ษุ นา ปรารถนา นา ใคร นา พอใจ เปน ที ่ร ัก ประกอบดว ยกาม เปน ที ่ตั ้ง แหง ความกํ า หนัด . ถา ภิก ษุไ ปเพลิด เพลิน , ไปพร่ํ า สรรเสริญ ไปเมา หมก เปน เหตุใ หเ กิด ทุก ข. ฉะนั ้น เมื ่อ ตาเห็น รูป ไปเพลิด เพลิน ไปสรรเสริญ ห รื อ ไป เม าห ม ก ก็ เรี ย ก ว า นั น ทิ เกิ ด , ค วาม ทุ ก ข ก็ เกิ ด . ถ า ต าเห็ น รู ป ไป เพลิ ด เพลิ น ไปพร่ํ า สรรเสริ ญ ก็ เ รี ย กว า ไปเมาหมก เพราะว า นั น ทิ เ กิ ด นั น ทิ เ กิ ด ความทุก ขก ็เ กิด , นัน ทิด ับ ความทุก ขก ็ด ับ . นี ้ว า ในเรื ่อ งรูป , เสีย ง กลิ ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ ก็เหมือนกัน. ที นี้ ต อไป สู ตรที่ พ ระนั น ทกะ ไปสอนนางภิ กษุ ณี ก็ มี ว า เมื่ อตาเห็ นรูป ตาก็ไ มเ ที ่ย ง รูป ก็ไ มเ ที ่ย ง จัก ษุว ิญ ญ าณ ก็ไ มเ ที ่ย ง, หูไ ดย ิน เสีย ง หูก ็ไ มเ ที ่ย ง เสี ย งก็ ไม เที่ ย ง โสตวิ ญ ญาณก็ ไม เที่ ย ง, วิ ญ ญาณไม เที่ ย ง ผั ส สะก็ ไม เที่ ย ง ; ฉะนั้ น เวทนาก็ ไม เที่ ย ง, ฉะนั้ น สุ ข เวทนาก็ ต าม ทุ ก ขเวทนาก็ ต าม ไม เที่ ย ง. เพราะเหตุ ว า ตาไม เที่ ย งเสี ย แล ว . หู ไ ม เที่ ย งเสี ย แล ว , ตาไม เที่ ย งเสี ย แล ว , รู ป ไม เที่ ย งเสี ย แล ว , จั ก ขุ วิ ญ ญาณไม เที่ ยงเสี ยแล ว, เวทนานี้ จะเที่ ยงมาจากไหน ? เพราะโดยมากเราก็ ไป หลงเวทนา วา เวทนานี ้ม ัน เที ่ย ง, นี ้ก ็เ นื ่อ งมาจากการกระทํ า ของธาตุ ที ่ล ุก ขึ้นมาเปนอายตนะ เมื่อกระทบกันแลวก็เกิดผัสสะ และเวทนาขึ้น.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ต อ ไปพระพุ ท ธเจ า ตรั ส ว า ภิ ก ษุ ทั้ ง หลายพึ ง รู ธ รรม ๖ หมวด คื อ อายตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖ วิ ญ ญาณ ๖ ผั สสะ ๖ เวทนา ๖ และ ตัณหา ๖ ผูใดกลาววารูป จักษุ จักษุวิญญาณจักษุสัมผัส จักษุสัมผัสสชาเวทนา หรือตัณหาที่มาจากรูปนั้น เปนอัตตาแลว ผูนั้นยอมเปนทุกข; เพราะสิ่งนั้นปรากฏ


เรื่องเกี่ยวกับธาตุ

๕๑

เกิ ด ขึ้ น และเสื่ อ มไป สิ่ งนั้ น จึ งไม ใช ต น. ฉะนั้ น ถ าผู ใดไปยึ ด ถื อ รูป ตา หรื อ เห็นรูป จักขุวิญญาณ วาเปนตัวตนแลวความทุกขก็เกิดขึ้น หูไดยินเสียง เกิดโสต วิญญาณ เกิดโสตสัมผัส เกิดโสตสัมผัสสชาเวทนา และเกิดตัณหาที่มาจากเสียง ก็เหมือ นกัน . นี ้เรีย กวา ไปยึด ถือ กระทบ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ, แลว ก็เกิด เวทนาไปตามลํ า ดับ นี ้ว า เปน ตัว ตน ความทุก ขก ็เกิด ขึ ้น ; เพราะฉะนั ้น เมื่อเวลามีการกระทบ ตองมีสติสัมปชัญญะอยูวาไมใชตน ก็สักวาธาตุไปตามเดิม. วิ ธี ป ฎิ บั ติ เพื่ อละตั ว ตน ห รื อ ดั บ สั ก กายะ ก็ พึ ง เห็ น ว า ธรรม ๖ หมวดนี้ ก็คื อธรรม ๖ หมวดที่ พระพุ ทธเจ าท านตรัสวา อายตนะภายใน อายตนะ ภายนอก วิญ ญาณ ผั ส สะ เวทนา และตั ณ หานี่ ไม ใช เรา, เนตํ มม เนโส หมสฺมิ น เมโส อตฺ ต า - ไม ใชเรา ไม ใชข องเรา ไม ใช ตัว ตนของเรา; เพราะวา อาศั ย จักษุ กับ รูป เกิด จักขุวิญ ญาณ; การรวมกัน ของธรรม ๓ ประการ ชื่ อ วาผัสสะ, ผัสสะเปนปจจัยเกิดสุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา. สุ ข เวทนาอั น บุ ค คลถู ก ต อ งแล ว ไม มี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะ เข า ไปพร่ํ า สรรเสริ ญ เพลิ ด เพลิ น เมาหมก จึ ง เกิ ด ราคานุ สั ย ; หมายความว า เมื่ อ ตาเห็ น รู ป เกิ ด จั ก ขุ วิ ญ ญ าณ การรวมกั น ของธรรม ๓ ประการ ชื่ อ ว า ผั ส สะ ผั ส สะนี้ เ ป น ปจ จัย ใหเ กิด สุข เวทนา ทุก ขเวทนา อทุก ขมสุข เวทนา. สุข เวทนาอัน บุค คล เขา ไปถูก ตอ งแลว เพลิด เพลิน สรรเสริญ เมาหมก ราคานุส ัย ก็เ กิด ขึ ้น . ทุก ขเวทนาอัน บุค คลร่ําสรรเสริญ เมาหมก ปฏิฆ านุสัย ก็เกิด ขึ้น .. อทุก ขม สุ ข เวทนา อั น บุ ค คลไม รู ไม รู ท าง ไม รู โทษ ไม รู สิ่ ง อั น ที่ เป น ที่ ส ลั ด ออกแห ง เวทนานั ้ น อวิ ช ชานุ ส ั ย ก็ เ กิ ด ขึ ้ น .. นี ้ ว ิ ธ ี ล ะ ราคานุ ส ั ย ปฏิ ฆ านุ ส ั ย และ

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


๕๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

อวิ ช ชานุ สั ย ละในทางที่ ต รงกั น ข า ม คื อ เมื่ อ มี ก ารกระทบ อาศั ย จั ก ษุ รู ป บวก จั ก ขุ วิ ญ ญาณ รวมกั น เป น ผั ส สะนี่ เกิ ด สุ ข เวทนา ทุ ก ขเวทนาก็ ต าม ก็ อ ย า ไป เพลิดเพลิน สรรเสริญ และเมาหมก. และจุ ด นี้ แ หละเป น จุ ด สํ า คั ญ ว า เมื่ อ มี ก ารกระทบ ทางตากระทบรู ป หู ก ระทบเสี ย งนี้ จะเรี ย กว า มารก็ เ รี ย กตรงนี้ . พระพุ ท ธเจ า ท า นเรี ย กว า มี ก าร บั ญ ญั ติ ว า มี ม ารนั้ น ก็ ต รงนี้ จั ก ษุ รู ป จั ก ษุ วิ ญ ญาณ มี อ ยู ณ ที่ ใ ด, จั ก ขุ คื อ ตา เห็น รูป เกิด จัก ขุว ิญ ญาณ มีอ ยู ที ่ใ ด ที ่นั ้น ทา นจะเรีย กวา มาร, หรือ วา เกิด เป น มารขึ้ น มาก็ ต รงนั้ น ฉะนั้ นระวั งให ดี ว า เมื่ อ ตาเห็ น รู ป เป น ต น เกิ ด จั กขุ วิ ญ ญาณ นี่ ต รงนี้ จ ะเป น มารหรื อ ไม เป น มาร. พระพุ ท ธเจ า ท า นบั ญ ญั ติ ม าร ท า นบั ญ ญั ติ ตรงนี้บัญญัติเปนมาร บัญญัติเปนกิเลสก็ตรงนี้. ที นี้ มี ค นไปถามว า เราประพฤติ พ รหมจรรย เพื่ อ รู อ ะไร ? พระพุ ท ธเจ า ก็บ อกวา ประพฤติพ รหมจรรยเ พื ่อ รู ท ุก ข. ก็ท ุก ขม ัน เปน ไฉน ? อาศัย ตากับ รูป เกิด จัก ขุว ิญ ญ าณ การรวมกัน ของธรรมทั ้ง ๓ ประการ ทํ า ใหเ กิด ผัส สะ ผั ส สะทํ า ให เกิ ด เวทนา เวทนาทํ า ให เกิ ด ตั ณ หาอุ ป ทาน; นี่ คื อ ทุ ก ข . ฉะนั้ น เรามา ประพฤติพรหมจรรยนี่เพื่อรูทุกข แลวก็เพื่อดับทุกขตรงนี้.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org วิธีดับทุกข มีอยูสูตรหนึ่ง ในทุกขสูตร พระพุทธเจาทานตรัสวา ทุกข, การเกิ ด ขึ้ น ของทุ ก ข เพราะว า เมื่ อ ตาเห็ น รู ป เกิ ด จั ก ขุ วิ ญ ญาณ การรวมกั น ของ ธรรม ๓ ประการ ชื่อวาผัสสะ ผัสสะเปนปจจัยใหเกิดเวทนา เวทนาเปนปจจัย ใหเกิดตัณหา ตัณหาเปนปจจัยใหเกิดอุปาทาน อุปาทานเปนปจจัยใหเกิดภพ ภพ เปนปจจัยใหเกิดชาติ ชาติเปนปจจัยใหเกิดทุกข. นี้เรียกวาทุกขเกิดแลว.


เรื่องเกี่ยวกับธาตุ

๕๓

อันนี้การดับทุกข พระพุทธเจาทานตรัสวา เมื่อตาเห็นรูปเกิดจักขุ วิญญาณ การรวมกันของธรรม ๓ ประการชื่อวาผัสสะ ผัสสะเปนปจจัยใหเกิด เวทนา, เวทนาเปนปจจัยใหเกิดตัณ หา. เพราะการดับ สํารอก ไมเหลือของ ตัณหา อุปาทานก็ดับ, อุปาทานดับภพดับ ชาติดับ ทุกขก็ดับ แสดงวาถาเรามี ทุก ขขึ ้น มา เพราะมัน มีต ัณ หา การรวมกัน ของธรรม ๓ ประการ ชื ่อ วา ผัส สะ. ผั ส สะทํ า ให เกิ ด เวทนา เวทนาทํ า ให เกิ ด ตั ณ หา นี้ มั น ทุ ก ข แ ล ว เพราะตั ณ หาเป น เหตุใ หเ กิด ทุก ข; ถา มีต ัณ หาจึง ตอ งมีท ุก ข. ฉะนั ้น ขณะที ่เ รามีท ุก ขอ ยู  เพราะ ว า มี ตั ณ หา; ฉะนั้ น การดั บ ก็ ต อ งดั บ ที่ ตั ว ตั ณ หา นั่ น . มั น ก็ เป น ความแปลก ประหลาดอยู อ ย า งหนึ่ ง ว า ถ า เราจะไปดั บ ทุ ก ข นี่ ดั บ ไม ได แต ถ า เราไปดั บ ตั ณ หา คือมีความรูจริงมาดับ ทุกขมันคอย ๆ ดับไปเอง. ยกตั ว อย า งว า ไปเห็ น อะไรเข า เกิ ด ความชอบ เกิ ด ความอยากจะได ขึ้ น มา นี้ ก็ เรี ย กว า เกิ ด ตั ณ หา; อยากจะได ขึ้ น มา ทุ ก ข ก็ เกิ ด ขึ้ น มี ค วามอยากจะ ได สิ่ ง ที่ เรี ย กว า เป น ความทุ ก ข นี่ มี ค วามตื่ น เต น มี ค วามอยากจะได มี ค วามตื่ น เต น จิ ต ใจก็ ห วั่ น ไหว. ที นี้ เราจะไปดั บ ความหวั่ น ไหวนี่ ดั บ อย า งไร, ก็ ต อ งรู ว า ความหวั่ น ไหวมั น เกิ ด ขึ้ น เพราะว าเรามี ตั ณ หา. ตั ณ หามาจากความที่ เราไม รู ต าม ที ่เ ปน จริง มีส ติส ัม ปชัญ ญะมาดับ วา อา ว, ที ่แ ทจ ริง มัน เปน สัก วา ธาตุ; พอ ดับ ที ่ต ัณ หา จิต มัน ก็ค อ ยเย็น ลง ๆ ๆ ทุก ขม ัน ก็ดับ ไป. เพราะฉะนั้น พระ พุทธเจาทานตรัสวา เมื่อเวทนาเปนปจจัยใหเกิดตัณหา การดับสํารอกไมเหลือของ ตัณหา อุปาทานก็ดับภพดับ ภพดับก็ชาติดับ ชาติดับก็ทุกขดับ นี้ในทุกขสูตร.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org บางที ก็ เรี ย กว า โลกก็ เหมื อ นกั น ตาเห็ น รู ป เกิ ด จั ก ขุ วิ ญ ญาณ การรวม กัน ของธรรม ๓ ประการ ไปเกิด ผัส สะ. ผัส สะเปน ปจ จัย ใหเกิด เวทนา, เวทนา


๕๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

เป น ป จ จั ย ให เกิ ด ตั ณ หา, ตั ณ หาเป น ป จ จั ย ให เกิ ด อุ ป าทาน, อุ ป าทานเป น ป จ จั ย ให เกิดภพ ภพใหเกิดชาติ ชาติทําใหเกิดโลก. นี่เรียกวาโลก เหมือนกัน. ทีนี้ตอไปอีก ในสูตรหนึ่ง พระพุทธเจาทานตรัสวา บางทีเรียกวาโลก. โลกนี่ แ ปลว า สิ่ ง ที่ ต อ งแตก สิ่ ง ที่ ต อ งแตกสลายนั้ น คื อ อะไร ? ก็ คื อ จั ก ขุ ส ลาย รู ป สลาย จักขุวิญ ญาณสลาย จักขุสัมผัสสลาย เวทนาอันเกิดแตผัสสะนั่นสลาย ก็ เรี ย กว า โลกสลาย. ฉะนั้ น คํ า ว า ในรา งกายเรานี้ ในตั ว เรานี้ บางที ก็ เรี ย กว า โลก ฉะนั้ น ใครต อ งการให โลกแตก หรื อ โลกสลาย ก็ คื อ ทุ ก ข ดั บ ก็ คื อ ให จั ก ขุ มั น สลาย ไป รูป สลายไป. คํ า วา สลายในที ่นี ้ก ็ค ือ วา ธาตุไ มล ุก ขึ ้น มาทํ า หนา ที ่ ให มั น สลายเป น ธาตุ อ ยู ต ามเดิ ม อย าให ลุ ก ขึ้ น มาทํ าหน าที่ ; อย างนี้ เรี ย กว าจั ก ขุ ส ลาย รู ปสลาย จั กขุ วิ ญ ญาณสลาย จั กขุ สั มผั สสลาย จั กขุ สั มผั สสชาเวทนาสลาย เป นต น. นี่ก็มีตา มีหู มีจมูก ลิ้น กาย ใจ วาไปจนครบ. อีกสูตรหนึ่ง มีภิกษุไปถามพระสารีบุตร ถึงซึ่งความโลงใจนั้น, เพราะวา คนเรานี ่ม ีค วามอึด อัด ไมส บายใจ เปน ประจํ า วัน ดูที ่ต ัว เราเองก็รู . วัน หนึ ่ง ๆ ก็เ คยมีค วามคับ ใจ ไมเ คยมีคํ า อุท านออกมาวา เขาสลายโลง มีแ ตเจอหนา ใคร ที่ ไ หน ก็ บ อกว า ทุ ก ข ทั้ ง นั้ น แย ทั้ ง นั้ น เป น ไงป นี้ แย มี แ ต คํ า ว า แย , ไม มี ใ คร บอกวา โลง ใจ เบาสบาย. ตอนนี ้พ ระองคนี ้ก ็ไ ปถามพระสารีบ ุต ร ที ่เ รีย กวา ความโลงใจ ๆ นั้นเพราะเหตุอะไร จึงเรียกวาความโลงใจ ?

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org พระสารีบุ ต รก็ ต อบว า ดู ก อ นผู มี อ ายุ , เมื่ อ ใดภิ ก ษุ รู ค วามเกิ ด ความ ดับ คุณ โทษ และอุบาย เครื่องสลัดออก แหงผัสสายตนะทั้ง ๖ คือตาเห็นรูป. หู ไ ด ยิ น เสี ย งนี้ เกิ ด จั ก ษุ วิ ญ ญาณ ผั ส สะนี้ เรี ย กว า รู เท า นี้ แ ล ว เกิ ด การสลั ด ออก


เรื่องเกี่ยวกับธาตุ

๕๕

รูท างสลัด ออกตามความเปน จริง ดวยเหตุเพียงเทานี้ ชื่อ วาถึงซึ่งความโลงใจ. ฉะนั้ น ใครอยากจะโล ง ใจ ก็ ต อ งรู ค วามเกิ ด ดั บ คุ ณ โทษ และอุ บ ายเป น เครื่ อ ง สลัดออก ของผัสสะทั้ง ๖ นี่. ทีนี ้ภ ิก ษุนั ้น ก็ถ ามตอ ไปอีก วา ที ่ม ัน โลง ใจยิ ่ง ขึ ้น มัน โลง ใจอยา งยิ ่ง , โลงใจถึงที่สุดนั่น ดวยเหตุอะไร ? พระสารีบุตรก็ตอบวา เมื่อรูเทานี้แลว ก็ไม ถื อ มั่ น ด ว ยอุ ป าท าน สิ , รู เ หตุ เ กิ ด รู คุ ณ รู โ ทษ รู อุ บ ายแล ว ก็ ไ ม ถื อ มั่ น ด ว ย อุ ป าทาน. เพราะฉะนั้ น เมื่ อ ตาเห็ น รู ป เป น ต น เกิ ด จั ก ขุ วิ ญ ญาณ การรวมกั น ของ ธรรม ๓ ประการ ชื่ อว าผั สสะ ผั สสะเป นเวทนา ก็ อย ามี ตั ณ หา, อย าให เกิ ดตั ณ หา ใหม ีว ิช ชาธาตุม าทัน คือ ไมถ ือ มั ่น ในอุป าทาน, เมื ่อ นั ้น จะถึง ซึ ่ง ความโลง ใจ อยางยิ่ง. นี่ คื อ เรื่ อ งที่ เกี่ ย วกั บ อายตนะ หรื อ การกล า วถึ ง เรื่ อ งธาตุ มั น ลุ ก ขึ้ น ทํ า หนา ที ่ ซึ ่ง มัน จะเปน เหตุใ หเ กิด ทุก ข. อาตมาก็ไ ดเ อามา คัด มา กลา วใหฟ ง พระพุ ท ธเจ า ท า นตรั ส ไว เ ป น ส ว นน อ ย และมี อี ก เยอะแยะที่ ว า จุ ด นี้ ว า เป น จุ ด สําคัญ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทีนี ้ต อ ไปเปน เรื ่อ งขัน ธ เพราะวา ตามัน ไปกระทบรูป หรือ เมื ่อ มัน ลุก ขึ ้น มาทํ า หนา ที ่แ ลว มัน ทํ า ใหเ กิด ขัน ธขึ ้น มา. นี ้ก ็ใ หพ ิจ ารณาวา ขัน ธที ่เ กิด ขึ้นมานี่ วารูปไมเที่ยง เวทนาไมเที่ยง สัญญาไมเที่ยง สังขารไมเที่ยง วิญญาณ ไมเ ที ่ย ง; สิ ่ง ใดไมเ ที ่ย ง เปน ทุก ข เปน อนัต ตา ก็ไ มค วรจะตามเห็น วา เปน ของเรา; ฉะนั ้น รูป เวทนา สัญ ญา สัง ขารนั ้น ไมใ ชเ รา. ถา จิต ของภิก ษุค ลาย


๕๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

จากรูป ธาตุ เวทนาธาตุ สัญ ญาธาตุ สัง ขารธาตุ วิญ ญาณธาตุ หลุด พน แลว เพราะไมถือมั่น เรียกวาพรหมจรรยอยูจบ. นี่พระพุทธเจาทานตรัสวา รูปก็เปนธาตุ เวทนาก็เปนธาตุ สัญญาก็ เปนธาตุ สังขารก็เปนธาตุ วิญญาณก็เปนธาตุ; ฉะนั้น เมื่อมีการกระทบ อายตนะ ทํ า หน า ที่ ม ากระทบคื อ ตาเห็ น รู ป เป น ต น เกิ ด เป น ขั น ธ ขึ้ น มานี่ พึ ง มี ค วามรู ว า ขั น ธ นั้ น เป น เพี ย งธาตุ เกิ ด ขึ้ น ตามธรรมชาติ ; เมื่ อ ธาตุ นั้ น มากระทบกั น ก็เ กิด เปน ธาตุขึ ้น มาอีก ธาตุห นึ ่ง เรีย กวา ธาตุร ูป ธาตุเ วทนา ธาตุส ัญ ญา ธาตุ สั งขาร ธาตุ วิ ญ ญาณ. พึ งเห็ น ว า รู ป เวทนา สั ญ ญา สั งขาร วิ ญ ญาณ นั้ น ไมใ ชต น ไมเ ที ่ย ง เปน ทุก ข เปน อนัต ตา ปฏิบ ัต ิเ ทา นี ้ชื ่อ วา เสร็จ กิจ พรหมจรรย ถึงที่สุดแหงทุกข. ทีนี้ตอไปอีกวา อุป าทานในเบ็ ญ จขันธนั่นคืออะไร ? ขันธหานี่รูแลว แต ว า อุ ป าทานนั้ น น ะ เป น อย า งไร ? รู ป อย า งใดอย า งหนึ่ ง ในอดี ต ก็ ดี ป จ จุ บั น ก็ ดี อนาคตก็ ดี เป น ไปในภายในหรื อ ภายนอก หยาบหรื อ ละเอี ย ด เลวหรื อ ประณี ต ไกลหรื อ ใกล ก็ ต าม; ถ า เป น ไปโดยอาสวะ เป น ป จ จั ย แห ง อุ ป าทาน เรี ย กว า อุป าทานในรูป ขัน ธ. เวทนาก็เหมือ นกัน อยา งใดอยา งหนึ ่ง ในอดีต ในปจ จุบ ัน ในอนาคต ถ า หากว า มั น มี อุ ป าทานเข า ไปในเวทนานั้ น ก็ เ รี ย กว า อุ ป าทานใน เวทนาขันธ, สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เหมือนกัน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อีกอยางหนึ่ งที่ เราคิ ดวา เราเลวกวาเขา เราดี เสมอเขา เราดี กวา เขา นี่ เพราะเราไม รูเท าทั น ของ รูป เวทนา สั ญ ญา สั งขาร วิญ ญาณ. บางที เราก็ เก ง กว า เขาด ว ยรู ป ดี ก ว า เขาด ว ยรู ป , บางที ก็ ดี ว า เขาด ว ยเวทนา, บางที ก็ ดี


เรื่องเกี่ยวกับธาตุ

๕๗

กว าเขาด วยสั ญ ญา, บางที ก็ ดี กว าเขาด วยสั งขาร, บางที ก็ ดี กว าเขาด วยวิ ญ ญาณ, บางที ก็ เสมอกั บ เขาด ว ยรูป , บางที ก็ เสมอกั บ เขาด ว ยเวทนา, บางที ก็ เสมอกั บ เขา ด วย สั ญญา สั งขาร วิญญาณ, บางที ก็ เลวกวาเขาด วย รูป เวทนา ตั ณหา สั ญญา สั งขาร วิ ญ ญาณ. เมื่ อรูป เวทนา สั ญญา สั งขาร วิ ญ ญาณ ไม เที่ ยง เป นทุ กข เป นอนั ตตา ฉะนั้ น เราจะเลวกว าเขา ดี กว าเขา เสมอเขาได อย างไร ? ฉะนั้ นคนที่ ถื อว า มี ม านะ วา เลวกวาเขา ดีกวาเขา เสมอเขานี่ เพราะไมรูตามความเปนจริงของขันธหา ที่ ว า รู ป เวทนา สั ญ ญา สั ง ขาร วิ ญ ญาณ นี้ ไม ใ ช ต น แล ว จะไปเลวกว า ดี ก ว า เสมอกันไดอยางไร. ที่พระพุทธเจาทานตรัสรูอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ พระองคตรัสวา เพราะพระองครูปริวัฎฎ ๔ ของเบญจขันธนี่ คือรูเรื่อง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิ ญ ญาณ, รูเรื่อ งความเกิ ด แห งรูป เวทนา สั ญ ญา สั งขาร วิ ญ ญาณ, รูค วามดั บ แห งรูป เวทนา สั ญ ญา สั งขาร วิ ญ ญาณ, รูทางดั บแห งรูป เวทนา สั ญ ญา สั งขาร วิ ญ ญาณ, หรือกล าวอี กอย างหนึ่ งก็ ว า รูเรื่องรูป ความเกิ ดแห งรูป ความดั บแห งรูป ปฏิ ปทาให ถึ งความดั บแห งรูป เวทนา สั ญญา สั งขาร วิ ญญาณ ก็ รูอย างเดี ยวกั นกั บ ในกรณีรูรูปนั้น.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทีนี้ตอไปพระพุทธเจาทานตรัสวา ตถาคตพูดไมตางจากชาวโลก แตวา ชาวโลกนั้นพู ดตางจากพระองค. พระพุทธเจาทานก็ยังพูดตรงกับชาวโลก; เพราะ ชาวโลกเขาพู ดคําวามี กั บไม มี , ชาวโลกเรานี้ พู ดคํ าวามี กั บไม มี สองอย างนี่ เรียกวา สุ ด ไปทางใดทางหนึ่ ง นี่ . พระพุ ท ธเจ า ท า นก็ ต รั ส มี กั บ ไม มี เหมื อ นกั น คื อ ว า ถ า ถื อ กั น ว าโลก สมมติ ว าไม มี , พระพุ ทธเจ าท านก็ ว าไม มี , โลกสมมติ วามี พระพุ ทธเจ า ท านก็ ตรัสว ามี , คื อโลกสมมติ ว า รูปที่ เที่ ยง ยั่ งยื น ไม แปรปรวน ไม มี พระพุ ทธเจ า ท านก็ ตรัสวาไม มี เหมื อนกั น, คื อแสดงวา รูป เวทนา สั ญญา สั งขาร วิญญาณ นั้ น


ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

๕๘

ที่ เ ขาบอกว า ที่ ยั่ ง ยื น แปรปรวน ไม มี พระพุ ท ธเจ า ก็ บ อกว า เออ, ไม มี . แต ถ า โลกเขาบอกว า รู ป เวทนา สั ญ ญ า สั ง ขาร วิ ญ ญ าณ ที่ ไ ม เ ที่ ย ง ไม ยั่ ง ยื น นี่ มี พระพุ ท ธเจ า ท า นก็ ต รั ส ว า มี นี่ แ สดงว า พระพุ ท ธเจ า ท า นก็ พู ด เหมื อ นกั บ ที่ ช าวโลก เขาพูด; แตวาชาวโลกพูดไมเหมือนกับพระพุทธเจาทานพูด ทานตรัส. นี ้ต อ ไปพระพุท ธเจา ทา นตรัส วา ความเปน นิโรธ ธรรมที ่เปน นิโรธ นั้นมีอยูในรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ นั่น ; ถาใครละความพอใจ ความกําหนัด ความดีใจในรูป ก็เรียกวามีนิโรธธรรมอยูในรูปนั้น, ละความพอใจใน เวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ ก็มีนิโรธธรรมอยูในเวทนา ในสัญญา ใน สั ง ขาร ในวิ ญ ญาณ. ก็ แ สดงว า ทุ ก อย า งมั น ไม เป น อะไร เราไปสํ า คั ญ มั น เสี ย เอง ; ถ า ไม ไปสํ า คั ญ ละความพอใจ ละความกํ า หนั ด แล ว สิ่ ง นั้ น ก็ เป น นิ โรธอยู ต ามเดิ ม สําหรับเรา. นี้ เรี ย กว าได รวบรวมเอามา อ า นให ฟ ง พอสมควรแก เวลา เรื่ อ งอายตนะ เรื่องขันธ ยังมีอีก หากมีโอกาสจะไดรวบรวมมาอีก ขอยุติไวเพียงแคนี้.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ....

....

....

....

(ภิกษุอีกรูปหนึ่งบรรยาย.)

สํ า หรั บ ธรรมะ ก ข ก กา ในวั น นี้ ก็ พู ด ซ้ํ า เหมื อ นอย า งคราวก อ นอี ก . แต ก ารพู ด หรื อ การฟ ง พระเดชพระคุ ณ ท า นอาจารย ท า นก็ ห วั ง ว า ทั้ ง การฟ ง และ การพู ด นี้ จะให ไ ด ป ระโยชน ทั้ ง สองฝ า ย; คื อ ผู ฟ ง ก็ ฟ ง ไป พิ จ ารณ าไป, ผู พู ด ก็ พยายาม ที่ จ ะค น หาทั้ ง ภายในและภายนอก. ภายในคื อ ร า งกายนี้ , ส ว นภายนอก


เรื่องเกี่ยวกับธาตุ

๕๙

นั้ น ก็ คื อ ค น หา จากพระสู ต รที่ พ ระพุ ท ธองค ได ต รัส ไวใ นที่ ต า ง ๆ ที่ ม าเหมื อ นอย า ง ทา นวรศัก ดิ ์ คือ รูป ที ่ท า นพูด ไวแ ลว เมื ่อ กี ้นี ้. ทา นไดค น ควา มา คือ ทา นได คนความาละเอียดละออ ในทางนี้. นี้ สํ า หรั บ อาตมาก็ ไ ม ไ ด ค น คว า ก็ เป น แต เ พี ย งเก็ บ สาระ จากที่ โ น น บ า งที่ นี่ บ า ง เอามาพู ด , นี้ สํ า หรั บ ก ข ก กา ในธรรมะนั้ น ก็ มี ๓ อย า ง ที่ ก ล า ว มาแล ว ตั้ ง แต วั น เสาร แ รก คื อ วั น ที่ ๕ โน น คื อ กล า วถึ ง ธาตุ ถึ ง อายตนะ แล ว ก็ถึง ขัน ธ. กอ นอื่น ที่จ ะรูธ รรมะทั่ว ๆ ไปนั้น ทา นใหรูจัก ธาตุเ สีย กอ น คือ ในสู ต ร สู ต รหนึ่ ง พระพุ ท ธองค ได ต รัส ไว คื อ ให รู จั ก ว า ทุ ก สิ่ ง ทุ ก อย า งนี้ เป น ธาตุ ทั้ งหมด ไม เลื อ กว า อะไร ในโลกนี้ โลกอื่ น หรือ ในสากลจั ก รวาล หรือ ในตั ว เรานี้ เองก็เปนธาตุทั้งนั้น. ทีนี้ธาตุที่ควรจะสนใจใหมากที่สุด คือ ธาตุที่ทําใหค นเราเกิด ทุกข ; ธาตุที ่ทํ า ใหเ ราเกิด ทุก ข คือ ธาตุที ่เ กิด อยู ใ นตัว เรานี ้ ตั ้ง ตน ตั ้ง แต ธาตุด ิน ธาตุน้ํ า ธาตุไ ฟ ธาตุที ่เ ปน อากาศ และก็ม ีว ิญ ญ าณ ธาตุ. ธาตุทั ้ง หมดนี้ ถ า หากว า เราไม ไ ด ศึ ก ษา ไม รู ต ามความเป น จริ ง แล ว ก็ จ ะทํ า ให ไปถื อ ไปยึ ด ถื อ ทํ า ให เป น ทุ ก ข เพราะว า ธาตุ ทั้ ง หมดนี้ ที่ จ ะทํ า ให เป น ทุ ก ข ก็ คื อ ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุไฟ ธาตุลม แลวก็วิญญาณธาตุ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ตามในสูตร ๆ หนึ่ง พระพุทธองคไดตรัสไววา ธาตุเหลานี้ถาเราไป ยึดถือแลวมันเปนทุกข; เพราะวาจะทําใหชาติ ชรา มรณะ; นี้คือความทุกขเกิด ขึ ้น . สว นอากาศธาตุนั ้น เปน ธาตุน อกเหนือ ออกไปจากธาตุทั ้ง ๕ ธาตุด ิน ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ลม และวิ ญ ญาณ อากาศธาตุ นี้ ก็ เป นธาตุ รวมอยู กั บธาตุ ทั้ ง ๕


๖๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ดั ง กล า วแล ว นั้ น . แต ที นี้ ไ ม ไ ด ศึ ก ษา ไม พิ จ ารณาคื อ พิ จ ารณาภายในร า งกาย ของเรา ซึ่ ง รวมอยู ทั้ ง หมด ๖ ธาตุ นี้ ; เพราะว า ธาตุ ที่ ทํ า ให เ ป น ทุ ก ข นั้ น มั น ก็ ทุกขอยูตามธรรมชาติของมันแลว. พระพุ ทธองคไดตรัสวา ฐิตา ว สา ธาตุ คือวา ธาตุนั ้น ก็ตั ้ง อยู อ ยา งนั ้น เอง, ฐิต า ว สา ธาตุ คือ ตัว ธาตุนั ้น ก็ตั ้ง อยู อ ยา ง นั้นเอง ฐิตา ว สา ธาตุ คือธาตุนั้นตั้งอยูอยางนั้นเอง ธัมมั ฏฐิตตา คือความเป น อยางนั้นเอง. ที นี้ แ ล ว ก็ ถ า หากว า เป น อสั ง ขตธาตุ คื อ ธาตุ ที่ ไ ม เปลี่ ย นแปลง ส ว น สั ง ขตธาตุ คื อ ธาตุ ที่ เปลี่ ย นแปลง เป น อนิ จ จั ง ทุ ก ขั ง แต อั น สุ ด ท า ยก็ เป น อนั ต ตา. ธาตุ เ หล า นี้ ย อ มตั้ ง อยู ไ ม ไ ด ย อ มเปลี่ ย นแปลง ย อ มเป น ทุ ก ข เป น อนั ต ตา เรี ย กว า เกิ ด ขึ้ น - ตั้ ง อยู - ดั บ ไป. ฉะนั้ น ในการที่ เกิ ด ขึ้ น - ตั้ ง อยู - ดั บ ไป ของธาตุเ หลา นี ้ เราจะไปยึด ถือ ไมไ ด; นี ้เ ริ ่ม ตน ตั ้ง แตม ีอ ายตนะตอ จากธาตุ แล วก็ มี อายตนะอายตนะนี้ ก็ มี ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ และในนี้ ที่ เรียกวาอายตนะ ภายใน ทุก ๆ ทานที่นั่งฟงอยูที่นี่ก็มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ นี้เปนธาตุ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ สิ่ ง ที่ ม ากระทบทางภายนอกก็ คื อ รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ คื อ ว าวั ต ถุ ภ ายนอก แล วก็ ธั ม มารมณ อารมณ คื อ อารมณ ที่ จ ะมาเกิ ด ขึ้ น ในใจ รู ป มากระทบกั บ ตา เสี ยงมากระทบกั บ หู กลิ่ น มากระทบกั บ จมู ก รสมากระทบกั บ ลิ้ น โผฏฐั พ พะมากระทบกั บ กาย อารมณ ม ากระทั บ กั บ ใจ, อั น นี้ เกิ ด เป น ความคิ ด ขึ้ น . เมื่อเกิดอายตนะกระทบกัน แลว นี้ก็เกิดวิญ ญาณ ตากระทบรูปนี้ก็เกิดวิญ ญาณ ขึ ้น เกิด ความรู ส ึก ขึ ้น , เมื ่อ กระทบครั้ง แรกนั ้น ครั้ง แรกนั ้น ยัง ไมเกิด ความรูส ึก พอรู ส ึก ขึ ้น ก็เ กิด วิญ ญาณ. เมื ่อ เกิด วิญ ญาณแลว ก็เ กิด ความรู ส ึก จะพอใจ หรือ ไมพ อใจ ; นี ้เ รีย กวา เวทนา, ตอ จากเวทนาแลว ก็ม ีส ัญ ญาจํ า ไดห มายรู.


เรื่องเกี่ยวกับธาตุ

๖๑

ตอ จากจํ า ไดห มายรู แ ลว ก็เกิด สัง ขารปรุง แตง . นี ้ใ นขัน ธทั ้ง ๕ นี ้ ถา หากวา เกิด ขึ้น ตามธรรมดา ก็เ ปน ธาตุต ามธรรมดา. แตถา เกิด ไปยึด ถือ ขึ้น ก็ทํ า ใหเกิดเปนทุกขขึ้นมา. ทีนี ้ก อ นที ่จ ะยึด ถือ นั ้น มัน ก็เ กิด ตรงเวทนานี ่เ อง; ฉะนั ้น ใหศ ึก ษา ที่ เวทนา พระพุ ท ธองค ก็ ให ศึ ก ษาที่ เวทนานี้ , เวทนา นี้ ถ า หากว า ใครไม ได ศึ ก ษา หรื อ ไม มี ส ติ ค วบคุ ม แล ว ความพอใจก็ ดี ความไม พ อใจก็ ดี หรือ ความอยากนิ่ ง ๆ คือ วา ไมส ุข ไมท ุก ข นี ้ก ็ด ี, มีเ วทนาแลว ก็ทํ า ใหเ พลิด เพลิน , หลงเพลิด เพลิน มี ค วามเพลิ ด เพลิ น . เมื่ อ เพลิ ด เพลิ น แล ว ตอนนี้ ก็ จ ะมี ก ารกระซิ บ ขึ้ น มาเรี ย กว า ตั ณ หา; การเพลิ ด เพลิ น นี้ มี ร ะยะอั น ใกล ชิ ด มากกั บ ตั ณ หา คื อ ตั ณ หา เรี ย กว า กระซิ บ ว า จะยึ ด หรื อ ไม ยึ ด เพลิ น แล ว , แล ว จะเอาหรื อ ไม เอาอะไรเหล า นี้ เกิ ด อุปทาน ขึ้นแลว. ฉะนั้ น สิ่ ง ที่ จ ะต อ งศึ ก ษา ก็ ศึ ก ษาตรงเวทนาต อ ตั ณ หานี้ เวทนากั บ ตัณ หาที่ตอ กัน นี้ ทําใหเกิด ความทุก ขขึ้น ฉะนั้น สิ่งที่จะตองศึกษาใหมากที่สุด ก็ คื อ เวทนา คื อ ต อ งมี ส ติ . พระพุ ท ธองค ใ ห มี ส ติ เมื่ อ มี ส ติ ระมั ด ระวั ง ศึ ก ษา พิ จ ารณาอยู เ สมอว า สิ่ ง เหล า นี้ ก็ สั ก ว า ธาตุ สิ่ ง เหล า นี้ เป น สั ก ว า อายตนะ, สิ่ ง เหลา นี ้ส ัก วา เปน ขัน ธ. ทั ้ง หมดนั ้น ก็ตั ้ง อยู ไ มไ ด ตั ้ง อยู ไ มไ ดแ ลว ก็เ ปลี ่ย นแปลง ไป แลว ก็ไ มใ ชต ัว ไมใ ชต น. เมื ่อ พิจ ารณ าอยู อ ยา งนี ้ ปญ หาก็เ กิด ขึ ้น , เมื่ อ ป ญ ญาเกิ ด ขึ้ น จะเห็ น ว า สิ่ ง เหล า นั้ น มี โ ทษ ไปยึ ด ถื อ ไม ไ ด , เมื่ อ ยึ ด ถื อ ไม ไ ด พิ จ ารณาอยูอ ย างนี้ เรื่อ ยไปนิ โรธก็ เกิ ด , หรือ อากาศธาตุ หรือ ความวาง คื อ ความ ดั บ ไปแห ง ขั น ธ อายตนะ และธาตุ ก็ เป น อยู ต ามธรรมชาติ เท า นั้ น , เมื่ อ ไม ยึ ด ถื อ ก็มีแต ถึงที่สุดแหงความทุกข. เรื่องทั้งหลายก็มีอยูเทานี้ ตอนนี้ก็พูดไดเทานี้

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org

พระสงฆสวดคณสาธยาย.


ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

- ๔ ๒๖ มกราคม ๒๕๑๗

ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุ เปนตนเหตุแหงมิจฉาทิฏฐิอันรายแรง.

ทานสาธุชน ผูมีความสนใจในธรรมทั้งหลาย,

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org การบรรยายประจํ าวั นเสาร ในภาคมาฆบู ชานี้ เป นการบรรยายครั้ งที่ ๔ แลว, แลวก็จะยังคงบรรยายโดยหัวขอใหญวา ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา อยู นั่ น เอง, เป น ก ข ก กา สํ าหรั บ พุ ท ธบริ ษั ท ในพุ ท ธศาสนา; จะต อ งศึ กษากั น ให ชั ด เจนแจ ม แจ ง ครบถ ว นบริ บู ร ณ ; ถ า ยั ง ไม ชั ด เจนแจ ม แจ ง เป น ต น แล ว ก็ ยั ง จะ ตอ งศึกษากัน ตอ ไป. โดยที่ไดสังเกตเห็น วา ที่แ ลว ๆ มา การศึก ษาในเรื่อ งนี้ ยัง โลเลยัง หละหลวม ยัง เอาแนไ มไ ด, จึง ทํ า ใหเ รื ่อ งอื ่น ๆ ที ่เ นื ่อ งกัน อยู นั ้น พลอยมืดมัวไป.

๖๒


ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ

๖๓

สํ าหรับ ในวัน นี้ จ ะได ก ล า วโดยหั ว ข อ ย อ ยวา ความเข าใจผิ ด เกี่ ย วกั บ ธาตุ เปน ตน เหตุแ หงมิจ ฉาทิฏ ฐิอ ัน รา ยแรง, หรือ จะพูด กลับ กัน อีก ทีห นึ่ง ก็วา ต น เหตุ แ ห ง มิ จ ฉาทิ ฏ ฐิ อั น ร า ยแรง ก็ คื อ ความเข า ใจผิ ด เรื่ อ ง ธาตุ นั่ น เอง. สิ่ ง ที่ เรีย กวา ธาตุ เป น เบื้ อ งต น เป น รากฐานของสิ่ งทั้ งปวง จึ งได เรีย กวาเรื่อ ง ก ข ก กา. เรื่ อ งทุ ก เรื่ อ งเกี่ ย วกั บ ธาตุ ทุ ก แง ทุ ก มุ ม นี้ ต อ งถื อ ว า เป น เรื่ อ ง ก ข ก กา ในพุทธศาสนา สําหรับพุทธบริษัทจะตองศึกษา. [ทบทวน]

อย างไรก็ ดี จะต องทบทวนข อความที่ แล ว ๆ มาในบางส วน เพื่ อให ง าย แก ก ารที่ จ ะฟ งเรื่อ งต อ ไป, หรือ ว า เพื่ อ ประโยชน แ ก บุ ค คล ผู จ ะเพิ่ งฟ งเป น ครั้งแรก ในวั น นี้ . ถึ ง แม ค นที่ เคยฟ ง มาแล ว หลาย ๆ ครั้ ง ก็ ยั ง จะต อ งทํ า อย า งนี้ อ ยู เรื่ อ ยไป คื อ ว าต อ งทบทวน; เช น เดี ย วกั บ เมื่ อ เด็ ก ๆ ก็ เรี ย น ก ข ค ฆ ง วั น หนึ่ งได ๔ - ๕ ตั ว วั น หลั ง จะเรี ย นต อ ไปอี ก ก็ ต อ งทบทวนที่ เรี ย นไปแล ว , ไม อ ย า งนั้ น มั น ลื ม เสี ย มั นต อกั นไม ได . ฉะนั้ นการทบทวนสิ่ งที่ ได เรียนหนั งสื อหรือได ทํ าไปแล วในวันก อนนั้ น เป น สิ่ ง ที่ จํ า เป น อย า งยิ่ ง ; แม ที่ สุ ด แต ก ารทํ า กั ม มั ฏ ฐาน ทํ า วิ ป ส สนา การทํ า ใน วันหลั งก็ ต องทบทวนส วนที่ ทํ าในวันก อนเสี ยก อน จนกวาจะมาถึ งส วนที่ กํ าลั งทํ าอยู ในวัน นี ้ จึง ทํ า ตอ ไป. นี ้ข อใหจํ า ไวด ว ย วา เปน วิธ ีก ารที ่จํ า เปน สํ า หรับ ผู ปฏิบ ัต ิธ รรมะในพระพุท ธศาสนา ทั ้ง ในสว นการศึก ษาเลา เรีย น และการ ประพฤติกระทําทางกายวาจาใจเปนตน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ศึกษาเรื่องความปรุงของธาตุใหเขาใจ. อยากจะขอรองอยูเสมอวา สิ่งที่เรียกวา ธาตุ - ธาตุ นั้นคือสิ่งที่เปน สว นยอ ย ที ่ส ุด , หรือ เปน สว นรากฐานที ่ส ุด ; เปน สว นยอ ยที ่ป ระกอบกัน ขึ ้น


๖๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

เปน สว นใหญ, เปน สว นยอ ยที ่เราไมค วรจะแบง ออกไปอีก แลว เพราะแบง ไมไ ด หรื อ ไม ค วรจะแบ ง ก็ ต ามที . สิ่ ง ที่ มี ลั ก ษณะอย า งนี้ เราเรี ย กกั น ว า ธาตุ จึ ง พอจะ จั บ เค าได ว า ธาตุ ต องมี หลายธาตุ , ล วนแต เป น ส วนย อย ที่ ไม แบ งกั นอี กต อ ไปแล ว ดว ยกัน ทั้ง นั้น ; แลว หลาย ๆ ธาตุนี ้ป รุง รวมกัน เขา ก็เกิด สิ่ง ใหมบ า ง, หรือ เป นโอกาสที่ จะแสดงออกมาซึ่ งธาตุ อื่ น ๆ อี กบ าง. หมายความว า ถ าธาตุ บ างธาตุ ไม ได ป รุง แต ง กั น แล ว ธาตุ บ างธาตุ ที่ ยั ง เหลื อ อยู นั้ น ไม มี โอกาสจะแสดงให เห็ น ก็ มี เชน ถา ดิน น้ํ า ไฟ ลม ๔ ธาตุนี ้ไ มป ระกอบปรุง แตง กัน แลว สิ ่ง ที ่เรีย กวา รู ป ธาตุ ก็ มิ อ าจจะเกิ ด ขึ้ น หรื อ ปรากฏออกมาได . เมื่ อ เป น ดั ง นั้ น แล ว ธาตุ ที่ ละเอี ยดลงไปก็ ยิ่ งไม ปรากฏ; เช น เวทนาธาตุ สั ญ ญาธาตุ สั งขารธาตุ วิญ ญาณ ธาตุ เปนตน. ฉะนั ้น ตอ งจํ า ไดเ ปน หลัก ทั ่ว ไปวา ถา ไมม ีก ารปรุง แตง ของธาตุ แลว ก็จ ะมีก ารหยุด นิ ่ง อยู  ไมม ีอ ะไรเกิด ขึ ้น , ไมม ีอ ะไรที ่จ ะมีโ อกาสแสดงตัว ออกมาใหเห็น . นี ้ค ือ ความเปน ก ข ก กา ในแงห นึ ่ง ในปริย ายหนึ ่ง คือ ขอ ที ่ว า มันตองมีสิ่งนี้ หรือมีการกระทําอยางนี้ของสิ่งนี้กอน สิ่งอื่น ๆ จึงจะออกมาหรือ ปรากฏขึ้ น ; เมื่ อ เป น ดั งนี้ ก็ ต อ งถื อ ว า มั น ก็ เป น ก ข ก กา เพราะมั น เป น ตั วแรก เปนอันแรก นี่คือคําวา ธาตุ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ สํ า หรั บ ชื่ อ ของธาตุ นั้ น มี ม าก, มี ม ากมาย จนพู ด ได ว า หลายสิ บ อย า ง, หรื อ ถ า จะแจงกั น จริง ๆ จะให ห ลายร อ ยอย า งก็ ได ; แต ที่ จํ า เป น ที่ สุ ด ที่ ทานทั้งหลายจะตองจําได หรือรูจักอยางแมนยํานั้น ก็มีอยูไม กี่ธาตุ นักในเบื้องตน. แต แม ว าจะมี อยู ไม กี่ ธาตุ มั นก็ มี ความจํ าเป นมาก คื อความจํ าเป นทั้ งหมดมารวมอยู ที่จะตองรูจักธาตุเหลานี้กอน.


ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ

๖๕

ตามที่ คนธรรมดาสามั ญ ทั่ วไปคุ นเคยกั นอยู ก็ มี อยู ๖ ธาตุ : คื อ ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไ ฟ ธาตุ ล ม ธาตุ อ ากาศ ธาตุ วิ ญ ญาณ ; เหมื อ นพระพุ ท ธ ภาษิตที่พระสงฆ ไดสวดไปแลวเมื่อกี้นี้วา ฉธาตุโร อยํ ภิกฺขุ ปุริโส, ดูกอนภิกษุ บุ รุษ นี้ ประกอบด วยธาตุ ๖; ดังนั้ นขอให จําไวให แม น เหมื อนกั บวา ตั ว ก ตัว ข ตัว ค ตัว ง คือ ตัว แรก ปฐวีธ าตุ - ธาตุด ิน , อาโปธาตุ - ธาตุน้ํ า , เตโชธาตุ – ธาตุ ไฟ, วาโยธาตุ - ธาตุ ลม, อากาสธาตุ - ธาตุ อากาศ คื อธาตุ ว าง, วิ ญ ญาณ ธาตุ - ธาตุ วิ ญ ญาณ คื อ ธาตุ จิ ต ใจ ธาตุ ที่ รู สึ ก อะไรได , เรี ย กเป น ไทยก็ ว า ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ลม ธาตุ อากาศ ธาตุ วิ ญ ญาณ; ควรจะเป นสิ่ งที่ คล องปากก อน เหมือนกับวาเราเรียน ตัว ก ตัว ข ตัว ค ตัว ฆ ตัว ง กอน อยางนั้นเหมือนกัน.

ธาตุปรุงแตงเนื่องกันเปนลําดับ. ที นี้ ดู ต อ ไป ก็ จ ะพบว ามั น มี เนื่ อ งกั น ไปที เดี ย ว จะต อ งมี ธาตุ หมวด ๖ อี ก หมวดหนึ่ ง , เป น หมวดอื่ น ๆ ต า งออกไป, ธาตุ ๖ คื อ ธาตุ ต า ธาตุ หู ธาตุ จมู ก ธาตุ ลิ้ น ธาตุ ก าย ธาตุ ใจ ที่ เรี ย กว า จั ก ขุ ธ าตุ โสตธาตุ ฆานธาตุ ชิ ว หา ธาตุ กายธาตุ มโนธาตุ อยางนี้เป นตน, แล วมี ธาตุ ๖ อี ก หมวดหนึ่ งซึ่ งมั น อยู ขางนอก คื อ ธาตุ รูป ธาตุ เสียง ธาตุ กลิ่น ธาตุรส ธาตุโผฏฐัพพะ ธาตุธัมมารมณ . ๖ อย างแรก คื อ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ นั้ น อยู ข างใน, ๖ อย างหลั ง คื อ รูป เสีย ง กลิ ่น รส โผฏฐัพ พะธัม มารมณ นั ้น มัน อยู ข า งนอก. เราก็ต อ งรู จ ัก อีก ๒ หมวด หมวดละ ๖.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


๖๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ถ า รู จั ก ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ, รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธัม มารมณ กัน จริง ๆ แลว ยอ มเขา ใจไดเ อง อธิบ ายไดเ องวา ; เพราะอาศัย ธาตุ ๒ กลุ ม นี ้ มัน เกิด ธาตุอ ีก กลุ ม หนึ ่ง คือ ธาตุวิญ ญาณ วิญ ญาณธาตุ ปรากฏออกมา เป นวิ ญญาณทางตา, วิญญาณทางหู , วิ ญญาณทางจมู ก, วิ ญญาณ ทางลิ้ น, วิ ญ ญาณทางกาย, วิ ญ ญาณทางใจ ; ถ าพู ดให ชั ด ก็ คื อ ว าการเห็ น ทางตา การได ยิ น ทางหู การได ก ลิ่ น ทางจมู ก การได รสทางลิ้ น การรูสึ ก สั ม ผั ส ผิ ว หนั ง ทาง ผิ ว หนั ง และการรู สึ ก ความคิ ด นึ ก ได ใ นทางจิ ต ใจ. นี้ ก็ เลยได อี ก หมวดหนึ่ ง มี จํานวน ๖ อีกเหมือนกัน. ๖ แรก คื อ ธาตุ ดิ น , ธาตุ น้ํ า , ธาตุ ไฟ, ธาตุ ล ม, ธาตุ อ ากาศ, ธาตุ วิญ ญาณ นี ้ม ัน เปน พื ้น ฐาน. ๖ อัน นี ้อ าศัย กัน มากหรือ นอ ยหรือ เมื ่อ ไรเวลา ไหนก็ต าม ยอ มเปน โอกาสใหธ าตุอื ่น แสดงตัว ออกมา เปน ธาตุเ ห็น ทางตา ธาตุ ได ยิ นทางหู ธาตุ ได กลิ่ นทางจมู ก รูรสทางลิ้ น รูสั มผั สทางกาย และรูสึ กขางในใจ, ก็เลยไดเปน ๒๔ ธาตุ แลว ๔ หมวด ๆ ละ ๖.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เมื่ อ ธาตุ ข า งใน มี ตา เป น ต น ถึ ง กั น เข า กั บ ธาตุ ข า งนอก มี รู ป เปน ตน วิญ ญาณธาตุ ทางตาก็ป รากฏออกมา นี ้ก ็เ ปน โอกาสของธาตุอื ่น ๆ ตอ ไปอีก ที ่จ ะเกิด เปน ความรู ส ึก ขึ ้น ; เพราะการปรุง แตง กัน ระหวา งธาตุเหลา นั้ น เป น ธาตุ ค วามสุ ข ธาตุ ค วามทุ ก ข ธาตุ โ สมนั ส ธาตุ โ ทมนั ส ธาตุ อุ เ บกขา เปน ตน ; แมเ ปน สุข เปน ทุก ข โสมนัส โทมนัส เปน ตน แลว , มัน ยัง แตกตา ง กัน ออกไปอีก, คือมันอาศัย กาม เพราะ กามธาตุ เขามาปรุงแตงก็มี มันอาศัย รูป ธรรมล วน ๆ ไม เกี่ ยวกั บ กาม เพราะ รู ป ธาตุ เข าปรุงแต งก็ มี , แล วเป น อรูป – ธรรมอาศัย อรูป ธาตุ ไมเกี ่ย วกับ กาม ไมเ กี ่ย วกับ รูป อยา งนี ้ก ็ม ี. แลว ก็ม ีธ าตุ


ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ

๖๗

ที่สําคัญ เปน พิเศษอีกธาตุห นึ่งเรีย กวา นิโรธธาตุ - ธาตุแ หงความดับ มีอํา นาจ ให สิ่ งต าง ๆ ดั บ, หรือมี หน าที่ ดั บสิ่ งต าง ๆ นี้ เรียกวา นิ โรธธาตุ จะดั บเล็ ก ๆ น อย ๆ, หรือจะดั บใหญ ๆ ดั บมาก ๆ จะดั บชั่ วคราว หรื อจะดั บเด็ ดขาดตลอดกาลก็ ต าม ก็ เรียกวา นิโรธธาตุไดทั้งนั้น. นี ่ ก ข ก กา ตั ้ง ตน ขึ ้น มาอยา งนี ้ รู เ รื ่อ ง ดิน น้ํ า ไฟ ลม อากาศ วิญญาณ ๖ ธาตุนี้กอน, แลวรูจักธาตุ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ, แลวรูจักธาตุ รูป รส กลิ่ น เสี ย ง โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ , รู จั ก วิ ญ ญาณ ที่ จ ะเกิ ด ขึ้ น เพราะสิ่ ง ทั ้ง ๖ นั ้น , แลว ก็รู จ ัก ผลที ่จ ะปรากฏออกมาเปน สุข ทุก ข โสมนัส โทมนัส อุเบกขา. ที นี ้ รู  จ ั ก ว า แจกเป น ก าม ก็ ม ี เป น รู ป ก็ ม ี เป น อ รู ป ก็ ม ี ; แต ว  า แตล ะธาตุ ๆ เมื ่อ ทํ า หนา ที ่ข องตัว เสร็จ แลว ก็ใ หโ อกาสแกธ าตุพ ิเ ศษอัน หนึ ่ง คือ นิโ รธธาตุ ที ่จ ะใหด ับ ไปคราวหนึ ่ง กอ น, แลว มีอ ัน ใหมเ กิด ขึ ้น มา แลว ก็ ดั บ ไปคราวหนึ่ ง ก อ น, อั น ใหม เกิ ด ขึ้ น มา แล ว ดั บ ไปคราวหนึ่ ง ก อ น, อย า งนี้ เรื่ อ ย ไป จนถึ งกั บวาสามารถทํ าให มั นมี ความดั บอย างลึ กซึ้ งลงไป ถึ งการดั บกิ เลส ดั บต น เหตุแ หง ความทุก ขจ ริง ๆ เปน ธาตุอ ัน ดับ สุด ทา ยที ่เรีย กวา นิพ พานธาตุ, ซึ่ง ที่ แทก็คือนิโรธธาตุนั่นเอง.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org คํ า ว า นิ โรธธาตุ นี้ เราใช ค วามหมายมั น กว า ง เป น ดั บ เล็ ก ๆ น อ ย ๆ อะไรทั ่ว ไปก็ไ ด; แตน ิพ พานธาตุ นั ้น จะหมายถึง การดับ กิเ ลส, มีอ ะไรเหลือ อยูบางก็เรียกวา สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ, ไมมีไออุนไอรอนอะไรเหลืออยูเลย ก็เรียกวา อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ เปนตน.


๖๘

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

บางคนฟ ง ไม ดี ก็ จ ะรู สึ ก ว า เพี ย งเท า นี้ ก็ เฝ อ เสี ย แล ว ฟ น เฝ อ แล ว ยุ ง ยากแล ว ลํ าบากแล ว, นี่ เหมื อ นกั บ เด็ ก ๆ บางคน กว า จะจํ า ก ข ก กา ได กว า จะจํ าตั ว ก ข ทั้ งหมดได ทั้ ง ๔๐ กว าตั วนั้ น ถู กตี ถู กลงโทษอย างใดอย างหนึ่ งมาก มายทีเ ดีย ว; เพราะวา เขาไมรู จ ัก สัง เกต, เพราะวา เขาเปน เด็ก โงเ กิน ไป. ทีนี้ บางคนไม โง เกิ น ไป มั น ก็ ไม น านนั ก บางคนมั น ฉลาดหน อ ย บอกที เดี ย ววั น เดี ย ว มั น ก็ จํ า ได ตั้ ง แต ๔ - ๕ ตั ว , ไม กี่ วั น มั น จํ า ได ห มด ทั้ ง หมด. แต เด็ ก บางคนนั้ น ๔ - ๕ ตั ว แรก ตั้ ง หลาย ๆ วั น ก็ ยั งจํ าไม ได , ยั งถู ก ตี ไม ตี มื อ จนกระทั้ งเบื่ อ ระอากั น ไป หนีไมมาเรียนอีกตอไปก็มี. ฉะนั้ นเราจงทํ าจิ ตใจให ดี ๆ แม แต จะเรี ยน ก ข ก กา ก็ ต องอาศั ยความ รู สึ ก ของจิ ต ใจที่ ป รกติ สั ง เกตให ดี ๆ, จํ า ไว ใ ห แ ม น ยํ า ให มั น สุ ขุ ม รอบคอบ ซึ่ ง อาตมาก็ ได พยายามอย างยิ่ งแล ว อย างสุ ดความสามารถแล ว ที่ จะเลื อกสรรเอามาให เรีย นกัน กอ น; เหมือ นกับ เลือ กตัว ก ข ค ฆ ง ๕ ตัว นี ้ม าทีแ รก, มาใหรู จ ัก ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ลม ธาตุ อากาศ ธาตุ วิ ญ ญาณ กั นให ถู กต องเสี ยก อน ว ามั น หมายถึ งอะไร ? อย าไปดิ น ที่ ก อ นดิ น , อย าไปน้ํ าที่ น้ํ าในโอ ง, หรื อ อย าไปไฟ ที่เตาไฟหุงขาว, อยางนั้นมันไมถูก.

www.buddhadasa.in.th ตองรูจักธาตุที่คุณสมบัติหรือสมรรถภาพของธาตุ. www.buddhadasa.org ธาตุ ดิ น มั นอยู ที่ คุ ณ สมบั ติ หรือสมรรถภาพส วนที่ มั นทํ าให เกิ ดการกิ น เนื ้อ ที ่ มัน จึง ปรากฏมีอ าการเหมือ นกับ วา มัน แข็ง มัน รุก เนื ้อ ที ่. ธาตุน้ํ า คือ ความที่ มั น เหลวแต มั น เกาะกุ ม ตั ว กั น อยู ไม ย อมแยกจากกั น เว น แต มั น มี เหตุ สุ ด


ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ

๖๙

วิ สั ย . นี่ คุ ณ สมบั ติ ข องธาตุ น้ํ า คื อ มั น เกาะตั ว กั น แล ว เปลี่ ย นรู ป ได มั น จึ ง ไหลได ธาตุ ไ ฟ ก็ คื อ อุ ณ หภู มิ ที่ มั น ร อ น และมั น เผาไหม ไ ด . ธาตุ ล ม ก็ คื อ ที่ ร ะเหยได เคลื่ อ นที่ ไ ด . มี คุ ณ สมบั ติ ห รื อ สมรรถภาพอย า งใดอย า งหนึ่ ง นี้ ก็ เ รี ย กว า ธาตุ อยางหนึ่ง ๆ ใน ๔ อยางนี้. เราม ัก จ ะ ม อ งกัน ผ าด ๆ เผ ิน ๆ วา ธ าต ุด ิน - ก็ที ่ด ิน ที ่นั ่ง อ ยู นี ่, ธาตุน้ํ า - ก็น้ํ า ในโอง ในบอ . เดี ๋ย วนี ้ก ็ไ มม ีธ าตุน้ํ า หรือ แมจ ะเรีย นมาวา ในตัว เรามี ธาตุ ดิ น : ผม ขน เล็ บ ฟ น หนั ง, ธาตุ น้ํ า คื อ เลื อ ด หนอง น้ํ ามู ก น้ํ าลาย ก็ต าม. แตม ัน ระบุช ัด เกิน ไป จนไมต รงตามความเปน จริง ; เชน จะแนะให สังเกตวา ในผม ขน เล็บ ฟน หนัง นี้ มันก็มี น้ํา อยูในนั้น, ใน ผม ขน เล็บ ฟน หนัง ก็ม ี น้ํ า , แลว ก็ม ีธ าตุไ ฟ คือ อุณ หภูม ิห รือ ความรอ น ความเผาไหม ; ถ า ไมอ ยา งนั ้น แลว ผม ขน เล็บ ฟน หนัง มัน จะสึก กรอ น, มัน จะชรา มัน จะ เปลี ่ย นแปลงไปไมไ ด. ธาตุล ม ก็ม ีอ ยู ใ น ผม ขน เล็บ ฟน หนัง นั ่น แหละ มันจึงเปลี่ยนได ระเหยได.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ ในของเหลว เช น เลื อ ด เช น หนอง เช น น้ํ า มู ก น้ํ า ลาย น้ํ า ตา น้ํ า ปส สาวะ อะไรก็ต ามนั ้น ; มัน ไมใ ชม ีแ ตธ าตุน้ํ า มัน มี ธาตุด ิน อยู ใ นนั ้น ดว ย, มัน มีธ าตุไ ฟคือ อุณ หภูม ิร วมเปน ความรอ นอยู  แมใ นน้ํ า มูก น้ํ า ตานั ้น ดว ย และมีธาตุลมคือมันระเหยอยูตลอดเวลาดวย. เราต อ งเข า ใจว า ตั ว ธาตุ จ ริ ง ๆ นั้ น หมายถึ ง คุ ณ สมบั ติ อั น หนึ่ ง ซึ่ ง มี สมรรถภาพ ที่ จะทํ าอยางใดอยางหนึ่งไปตามหน าที่ของมั น จึงถูกจัดวา เป น ธาตุ คือ สว นประกอบที่เ ปน สว นยอ ยที่สุด ที่ลึก ที่สุด ที่เ ราไมค วรจะแบง แยกอีก


๗๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ตอ ไปแลว . นี ่รู จ ัก วา ตัว เรานี ้ป ระกอบดว ย ธาตุด ิน ธาตุน้ํ า ธาตุไ ฟ ธาตุล ม ธาตุอากาศ ธาตุวิญญาณ ใหถูกตองกันอยางไรเสียกอน. สํ าหรั บ ธาตุ อ ากาศ นั้ น แปลว า ธาตุ ว าง คื อ ธาตุ ที่ ไม มี อ ะไรอยู ใน เวลานั้ น เป น การให อ ากาศ หรื อ ให โอกาสแก สิ่ งอื่ น ๆ ที่ จ ะเกิ ด ขึ้ น - ตั้ งอยู – ดั บ ไป ซึ่ ง เรี ย กว า ธาตุ ว า ง. แต คํ า ว า ว า ง นี้ มี ค วามหมายหลายชั้ น ทั้ ง ตื้ น และทั้ งลึ ก ๆ ; วางอยางทางวัตถุ ก็คือ ไมมีอะไร, ถาวางทางจิต ก็คือวา จิตไมไดคิดนึกอะไร, วางทางความคิดเห็นสติปญญา ก็คือ วางจาก ความรูสึกวาตัวกูวาของกู. คํ า ว า ว า ง คํ า เดี ย วนี้ มั น มี ห ลายความหมายอย า งนี้ ; ถ า ไม เข า ใจดี แล ว มั น ก็ ป นกั น ยุ ง , แล ว ก็ ท ะเลาะกั น แล ว ก็ เ ถี ย งกั น ; เพราะต า งคนต า งถื อ เอา ความหมายอย า งใดอย า งหนึ่ ง . ดั งนั้ น แม แ ต จ ะรู จั ก สิ่ งที่ เรี ย กว า อากาศธาตุ ที่ มั น อยู ใ นร า งกายเรา ของคนหนึ่ ง ๆ นี้ เป น เรื่ อ ง ก ข ก กา แท ๆ แต ก็ ไ ม ไ ด เ รี ย น ไมไดเหลือบตา ไมรูอากาศธาตุ ที่มีอยูในรางกายของตนเอง อยางถูกตองแทจริง.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สํ า หรับ วิญ ญาณธาตุนั ้น มัน เปน เรื ่อ งละเอีย ด เพราะมัน เปน นาม ธาตุ, เปน ธาตุที ่ป ระหลาดที ่ไ มม ีเ นื ้อ ไมม ีต ัว ; ตอ งอาศัย สิ ่ง อื ่น ซึ ่ง เปน วัต ถุ ธาตุ แลว มัน จึง จะแสดงอาการของมัน ได. เชน วา อาศัย ตากับ รูป ยอ มเกิด จักขุวิญญาณ จกฺขุฺจ ปฏิจฺจ รูเป จ อุปฺปชฺฌติ จกฺขุวิฺาณํ, ตองอาศัยตาดวย รู ป ด ว ย จั ก ษุ วิ ญ ญาณ จึ ง จะบั ง เกิ ด มั น บั ง เกิ ด ตามลํ า พั ง ไม ไ ด ; เพราะมั น เป น นามธรรม เป น นามธาตุ ต อ งอาศั ย ตากั บ รู ป มาเนื่ อ งกั น เข า , แล ว มั น จึ ง จะแสดง ตัว ออกมาเปน วิญ ญาณธาตุ อยา งนี ้เ ปน ตน . นี ้เ ปน เพีย งตัว อยา งอยา งหนึ ่ง ใน หลาย ๆ อยาง.


ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ

๗๑

วิญญาณธาตุ ยังมีมากกวานี้ ยังเปลี่ยนไปอยูในรูปของสิ่งที่เรียกวา เวทนาธาตุ สัญ ญาธาตุ สัง ขารธาตุ อะไรไดอีก . ในที่นี ้ส รุป เอาบรรดาความ รู สึ ก ทั้ ง หลาย ที่ เกี่ ย วกั บ จิ ต ใจ แล ว มาเรี ย กว า วิ ญ ญาณธาตุ กั น หมด ; ฉะนั้ น อย าได เข าใจว า วิ ญ ญาณธาตุ ในที่ นี้ หมายถึ ง วิ ญ ญาณทาง ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย เปน ตน แตอ ยา งเดีย ว, มัน ยัง หมายไปถึง ความรูส ึก อัน อื ่น ที ่ส ืบ เนื ่อ งกัน ไป ใน ฐานะที่เปนนามธรรม. เปนอรูปธรรม ก็เรียกวา วิญญาณธาตุได. นี่ ก ข ก กา ของเรา ตั้ งต น ขึ้ น มาด วยคํ าว า ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ลม ธาตุ อ ากาศ ธาตุ วิ ญ ญาณ อย าได ท องเพ อ ๆ ไปอย างนกแก วนกขุ นทอง ; ต องเข าใจและมองเห็ นว า มั นอยู อย างไร ? ที่ ตรงไหน ? เมื่ อไร ? จริง ๆ ในฐานะที่ สัก วา เปน ธาตุอ ยู ต ามธรรมชาติ. ในเมื ่อ อะไรมัน ปรุง กัน เขา เปน อายตนะ, เปน อายตนะ คื ออายตนะทางตา อายตนะทางหู , หรืออายตนะข างนอก เป นอายตนะ คือ รูป เสีย ง แลว เมื ่อ ไรมัน จะปรุง กัน ขึ ้น มาเปน วิญ ญาณ, หรือ เมื ่อ ไรมัน จะ ปรุง กัน เขา เปน ขัน ธ เปน รูป ขัน ธ เวทนาขัน ธ สัญ ญาขัน ธ นั ่น แหละ ดูม ัน จะ ยั ง มื ด มนท ทั้ ง นั้ น . แต ทุ ก คนก็ ท อ งได ว า รู ป เวทนา สั ญ ญา สั ง ขาร วิ ญ ญาณ เพราะมันทองเทานั้นเอง.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ รายละเอี ยดก็ พู ด กั นมาหลายครั้ งหลายหนแล ว ว า ธาตุ จะปรุ งขึ้ น มา เป น อายตนะ อย า งไร ? ปรุ ง กั น เป น ขั น ธ อย า งไร ? แล ว เกิ ด อุ ป าทานขั น ธ อย า งไร ? แล ว เป น ความทุ ก ข ใ นอุ ป าทานขั น ธ นั้ น อย า งไร ? แล ว จะดั บ ทุ ก ข เป น มรรค ผล นิ พ พาน ได ในลั ก ษณะใด ? ทั้ ง หมดนี้ เรีย กว าเรื่ อ งธาตุ เรื่ อ งอาการ ของธาตุ แตมันไปตอนปลาย ตอนเบื้องปลาย ตอนชั้นที่สุดที่ลึกขึ้นไป.


๗๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ที นี้ มาตั้ งต น ก ข ก กา กั น ให รู ว า ดิ น น้ํ า ไฟ ลม อากาศ วิ ญ ญาณ ๖ ธาตุ นี ้แ หละเปน ธาตุพื ้น ฐาน, เปน รากฐานที ่จ ะเปน เครื่อ งปรุง แตง หรือ เป น ที่ ตั้ ง ที่ อ าศั ย ให ธ าตุ อื่ น ๆ แสดงออกมา ปรุง กั น ต อ ไปไม รูจั ก จบสิ้ น . เรี ย กว า คน ๆ หนึ่ งนี้ ประกอบอยู ด วยธาตุ พื้ นฐาน ๖ ประการ, แล วก็ จะให โอกาสแก ธาตุ อี ก มากมาย ปรากฏออกมาหรื อ เกิ ด ขึ้ น , แล ว ปรากฏออกมาในลั ก ษณะที่ ค น ๆ นั้ น ผู ที ่ส มมติว า เปน เจา ของคนนั ้น แหละ มัน โงม ัน ไมรู ; เมื ่อ ไมรู ก ็เ ขา ใจผิด ได ตางๆ. และความเขา ใจผิด อยางรายกาจที่สุด ก็คือ ไมรูสึก วาเปน สัก วา ธาตุ ปรุง แตง กัน ตามธรรมชาติ; ไปรู ส ึก วา สวย วา อรอ ย วา กูอ รอ ย แลว กูก ็ต อ ง การ, มัน มีต ัว กูที ่ต อ งการ, มีต ัว กูที ่ไ ดที ่เสีย . นี ่ม ัน เกิด ความรู ส ึก วา เปน ตัว กู ขึ้นมา. ทุ กคนต องสั งเกตดู เอง จะคอยฟ งอาตมาอย างเดี ยวก็ ไม ได , จะอ านแต หนัง สือ อยา งเดีย วก็ไ มไ ด; ตอ งสัง เกตเอาเอง จากสิ ่ง ที ่ม ัน เกิด ขึ ้น มาในจิต ใจ. ยกตั วอย างงาย ๆ ว าเมื่ อกิ นอะไรอรอยขึ้ นมา หรือมั นมี ความรูสึ กอย างไร; มั นรูสึ ก วา นี ้เ ปน สัก วา ธาตุต ามธรรมชาติเ ทา นั ้น หรือ มัน รูส ึก วา แกงหมู แกงไก แกงเลีย ง แกงเผ็ด น้ํา พริก แลว ก็อ รอ ย แลว ก็ถูก ใจ แลว ก็อ ยากจะเอาอีก , มั น คิ ด ไปเตลิ ด เป ด เป งไปทางโน น ไม ย อ นมาในทางที่ ว า นี้ สั ก ว า ธาตุ เป น ไป ตามธรรมชาติ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แมวาจะสวดบทปจจเวทกขณ ยถาปจจยัง อยู ก็สวดกันแตปาก ; แม วาจะอธิ บายข อความนี้ ได มั นก็ อธิ บายด วยโวหารปฏิ ภาณ, อธิบายด วยสติ ป ญ ญา สําหรับ อธิบ าย, แตไมม ีส ติปญ ญาอัน แทจ ริง ที่จ ะรูกัน จริง ๆ วานี้เปน สัก วา ธาตุตามธรรมชาติ, เปนไปตามเหตุตามปจจัยอยูเนืองนิจ, วางเปลาจากตัวตน ไ ม


ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ

๗๓

ใช สั ต ว ไม ใ ช บุ ค คล, ว า บุ ค คลหรื อ เกี่ ย วกั บ บุ ค คล. เช น ของอร อ ยนี้ มั น ก็ รูสึ ก วา ของอรอ ย อาหารอรอ ย แลว ตัว กูผู ก ิน นี ้ม ัน ก็เ ปน ตัว เราผู ก ิน ; ไมใ ชส ัก วา ธาตุดวยกัน ทั้ง ๒ ฝาย. ของกิน ก็สัก วาธาตุ, ตัวผูกิน ก็สัก วาธาตุ, ไมใชสัต ว ไมใชบุคคล. ฉะนั้ นอย าเอาเปรียบกั น นั ก อย าเข าข างตั วเอง แล วก็ เถี ยงอย างหน า ด าน ว าทุ กคราว ที่ กิ น อาหารอรอ ย ๆ นั้ น มั น มี ความรูสึ กอย างนี้ ห รือ เปล า ? รูสึ ก ว า ของกิ น นั้ น ก็ สั ก ว า ธาตุ , ผู กิ น นั้ น ก็ สั ก ว า ธาตุ มั น รู สึ ก อย า งนี้ ห รื อ เปล า ? เวลา ก็ ล วงมาหลายสิ บ ป แล ว อายุ ก็ ล วงมาถึ งขนาดนี้ แล ว มั น มี ความรูสึ กแจ ม แจ ง เมื่ อ กินอาหารเปนตนนั้นนะ วาสักวาธาตุตามธรรมชาติ อยางนี้หรือเปลา ? นี่ คื อการที่ มองข าม ก ข ก กา ไปหมด มั นก็ เลยไม มี ก ข ก กา สํ าหรับ ที่ จ ะเป น รากฐาน สํ า หรั บ ศึ ก ษาต อ ไปข า งหน า , หรื อ รากฐานมั น ล ม ละลาย เหมื อ นกั บ ป ก หลั ก ลงในน้ํ า หรื อ ในโคลนที่ เหลวนี้ มั น อยู ไม ได , จึ ง ขอร อ งให ส นใจ กันหนอย ในฐานะที่วามันเปน ก ข ก กา เปนรากฐานของการศึกษา

www.buddhadasa.in.th ความเขาใจผิดเรื่องธาตุ, รูสึกเปนตัวกู - ของกู. www.buddhadasa.org ที นี้ เราก็ จํ า กั น ได ม าก พู ด กั น ได ม ากแล ว เหลื อ อยู ก็ แ ต ว า มั น รู จ ริ ง หรื อ เปล า ? เข า ใจจริ ง หรื อ เปล า ? นี่ ม าลงมื อ เรีย นกั น เสี ย ใหม นี้ ก็ จ ะชี้ ให เห็ น ใน ขอที่วา ความเขาใจผิด ในเรื่องธาตุ เปน ตน เหตุแหงมิจฉาทิฏ ฐิ อันรายกาจ อยา งไร. ก็จ ะมีอ ะไรละ คือ มัน ทํ า ใหห ลงไปวา อรอ ยบา ง วา สวยบา ง วา


๗๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

หอมบ า ง ว า อย า งนั้ น อย า งนี้ , ไปตามความรู สึ ก ของ กามธาตุ ก็ เ ป น เรื่ อ งของ กามารมณไ ป; แมจ ะไปหลงอยา งพวกฤาษีม ุน ี หลงในรูป ฌานอรูป ฌาน มัน ก็เพราะหลง ไมรูจ ัก ธาตุเหมือ นกัน เพราะไมรูจ ัก สิ ่ง ที ่เรีย กวา สัก วา ธาตุต าม ธรรมชาติ จิต มัน ก็ไ ปหลง. อารมณนั ้น ก็เ ปน สัก วา ธาตุ ตามธรรมชาติ, จิต นี้ ก็ เป น สั ก ว า ธาตุ ตามธรรมชาติ คื อ เป น ธาตุ จิ ต ธาตุ วิ ญ ญาณ; แต แ ล ว มั น ไม เคยรู ส ึก วา มัน เปน ธาตุ มัน ไปรู ส ึก วา เปน ตัว กู - ของกูเ สีย หมด. ผู รู ส ึก เรีย กวา ตัว กู, สิ ่ง ที ่ถ ูก รู ส ึก เรีย กวา ของกู มัน ก็ม ีแ ตอ ยางนี ้. นี ้เ รีย กวา มิจ ฉาทิฏ ฐิ อยางรายแรงเกิดขึ้นแลว. ที ่ม ัน ยากเย็น เหลือ ประมาณ ก็ค ือ เรื ่อ งความสุข ; ความสุข เกิด ขึ ้น ไมม ีใ ครรูส ึก วา นี ้เ ปน สัก วา ธาตุต ามธรรมชาติ; แตก ็ไ ปหลงใหลในความสุข นั้ น ในฐานะที่ เ ป น ความสุ ข เป น ตั ว ตนของความสุ ข จะเอามาเป น ตั ว ตนของกู มาคู ก ัน อยู ก ับ ตัว กูนี ้ เรีย กวา มิจ ฉาทิฏ ฐิม ัน เกิด ขึ ้น อยา งนี ้ ไมเ ห็น โดยความ เปนธาตุ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org มิ จ ฉาทิ ฏ ฐิ นี้ คื อ มิ จ ฉาทิ ฏ ฐิ ที่ เป น อั น ตรายที่ สุ ด , คื อ มั น เป น อั น ตราย ตอ การบรรลุม รรคถ ผล นิพ พาน, เรานี้ล ะความรัก ก็ไมได, และละความโกรธ ก็ ไม ได , ละความเกลี ย ดก็ ไม ได , ละความกลั วก็ ไม ได , ละความอิ จฉาริ ษ ยาก็ ไม ได , ละอะไรไมไดอีกมากมายหลายอยาง กระทั่ งละความอุ ต ริไปเอาเรื่อ งที่ ไม จํ าเป น จะตอ งคิด มาคิด นี ้ก ็ล ะไมไ ด. สว นเรื ่อ งที ่จํ า เปน จะตอ งคิด นั ้น กลับ ไมค ิด ; เรื ่อ งควรคิด อยา งนี ้ ก็ไ ปคิด เสีย อยา งอื ่น , เรื ่อ งที ่ค วรจะรู ส ึก เพีย งเล็ก นอ ย ก็ไ ป รู สึ ก เสี ย มากมาย, เรื่ อ งเล็ ก น อ ยไปรู สึ ก เป น เรื่ อ งมากมายใหญ โต, นั้ น แหละมั น เป น


ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ

๗๕

เรื่อ งขาดทุน เปน เรื่อ งของมิจ ฉาทิฏ ฐิ. ถา มีค วามเขา ใจถูก ตอ ง เห็น แตส ัก วา เปน ธาตุแ ลว มัน จะไมม ีค วามทุก ข; แตเ ดี ๋ย วนี ้ไ มเ ห็น อยา งนั ้น ก็เ กิด เปน มิจฉาทิฏฐิ นี้เปนมิจฉาทิฏฐิสวนที่ไมเห็นโดยความเปนธาตุ.

เพราะเขาใจธาตุผิด ก็เกิดมิจฉาทิฏฐิรายยิ่งขึ้นอีก. ที นี้ ยั งมี มิ จฉาทิ ฏ ฐิ ที่ ร า ยกาจต อ ยอดขึ้ น ไปอี ก ก็ คื อ ว า เมื่ อ ได รั บ คํ าสั่ ง สอนวา มัน เปน แตส ัก วา ธาตุ ดัง นี ้แ ลว ; คนทุจ ริต ไมซื ่อ ตรงเหลา นั ้น มัน ก็ เลยผสมโรง, พูด เอาเองเลยวา ถา เปน สัก วา ธาตุแ ลว ก็ไ มต อ งถือ กัน สิ. ดั งนั้ น การที่ ใครจะไปขโมยใคร, ไปประพฤติ ล วงในกามต อ ใคร, มั น เป น สั ก วา ธาตุ เทา นั ้น ; ไมม ีบ าปไมม ีก รรม, ก็ไ มต อ งถือ กัน ไมต อ งถือ วา เปน บาปเปน กรรม. นี้ มั น ก็ เ ป น มิ จ ฉาทิ ฏ ฐิ ที่ ร า ยยิ่ ง ขึ้ น ไปกว า นั้ น อี ก , จนกระทั่ ง มี ค นมิ จ ฉาทิ ฏ ฐิ ประเภทนี ้แ หละ เที ่ย วสอนกัน อยู ว า พระอรหัน ตก ็บ ริโ ภคกามระหวา งเพศ ; เพราะว าพระอรหั น ต นี้ ก็ ม องเห็ น สิ่ งทั้ งปวงโดยความเป น ธาตุ แล ว, ก็ เลยไม มี ความ รู สึ ก ว า เป น เรื่ อ งเพศเรื่ อ งอะไร; พระอรหั น ต ก็ มี ก ารบริ โภคกามหรื อ สื บ พั น ธุ หรื อ อะไรได โดยไมมีความหมาย, อยางนี้ก็มีอยูจริงในเวลานี้.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ในประเทศไทยเรา หรือ วาในประเทศอื่ น ก็ ได . มิ จ ฉาทิ ฏ ฐิ อั น เลวร าย ที่ สุ ด เกิ ด ขึ้ น เพราะไม เข า ใจในความหมายของคํ า ว า ธาตุ โดยถู ก ต อ ง ตาม ธรรมดาก็ เ ห็ น เป น ไม ใ ช ธ าตุ เป น ตั ว กู เป น ของกู เ สมอ มั น ก็ มี ค วามทุ ก ข ไ ปตาม แบบนั ้น , เปน ความทุก ขไ ปตามแบบของคนซื ่อ คนโง คนตรง, ทีนี ้ม ัน มีค วาม


๗๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ทุก ขอ ีก แบบหนึ ่ง ของคนคด คนทุจ ริต มัน อา งเอาธาตุขึ ้น มาบัง หนา เพื ่อ จะ ทํา อะไรตามกิเ ลสตัณ หา แลว ก็วา ไมบ าป. เชน ฆา สัต วก็ไ มบ าป ; เพราะ วามีดดาบนั้นมันเปนธาตุอันหนึ่ง, แลวมันก็แหวกไปในระหวางธาตุดิน ทั้งหลาย ที่ มั น ผ า แล ง ไปได อี ก แล ว จนผ า นทะลุ ไ ปข า งหนึ่ ง , คอของคนหนึ่ ง ถู ก ตั ด ขาดไป แลว ก็ไ มม ีบ าปแกใ คร เพราะวา มัน เปน เพีย งสัก วา ธาตุผ า นไปในระหวา ง ธาตุ ตามธรรมชาติเทานั้น.. ลั ท ธิ ดั ง กล า วอย า งนี้ มี ส อนอยู ใ นครั้ ง พุ ท ธกาล เป น คู แ ข ง ขั น กั น กั บ พระพุท ธเจา ดว ย; ที ่เ ขาเรีย กกัน วา ลัท ธิค รูทั ้ง ๖ มีอ ยู ค นหนึ ่ง ที ่ส อนอยา งนี้ แลว ก็ม ีค นรับ เอาเหมือ นกัน , แลว มัน ก็ย ัง อยู ก ระทั ่ง บัด นี ้. พวกจิต วา งอัน ธพาล ทั้ง หลาย มัน ก็ถือ เอาขอ นี ้เ ปน ขอ แกตัว วา ทํา ใหจิต วา ง ไมม ีตัว กู - ของกู แลว ก็ไ ปทํ า อะไรตามกิเ ลสตัณ หาของตน แลว ก็ไ มร ับ ผิด ชอบ, แลว ก็ไ มมี บาป.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ แหละ โทษอั น รายแรง ของการเข าใจผิ ด ในเรื่อ งธาตุ มั น มี อ ย างนี้ ใหเ กิด ความทุก ขแ กค นซื ่อ คนตรง ไปยึด ถือ วา ตัว ตนเขา , ใหเ กิด ทุก ขเ กิด โทษแก ค นคดโกง สํ าหรับ จะเอาเปรีย บคนอื่ น ด วยการอ างเอาธาตุ ขึ้ น มาบั ง หน า . จะเห็ น คนบางคนยกเรื่ อ งนี้ ขึ้ น มาพู ด จาล อ เลี ย นกั น อยู ก็ มี , เอามาเป น เรื่ อ งล อ เลี ย น เสี ย ด ว ยซ้ํ า ไปว า ว า มั น เป น สั ก ว า ธาตุ เท า นั้ น จะถื อ หาอะไรกั น แล ว ตั ว ก็ ไ ปล ว ง ละเมิดเขา. การที ่ค นเราในปจ จุบ ัน นี ้ เขา ใจผิด ในเรื ่อ งธาตุ โดยพาซื ่อ ก็ไ ด, แกลง เขา ใจผิด เพราะคดโกงก็ไ ด มัน มีอ ยู ทั ่ว ไป. อาตมาจึง ถือ วา นี ่แ หละคือ


ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ

๗๗

ความเป น ก ข ก กา ในเรื่ อ งของธาตุ มั น เป น รากฐานที่ มี อ ยู ที่ ตั้ งอยู สํ าหรั บ จะ ทํ า ความยุ ง ยากลํ า บากให แ ก ม นุ ษ ย เพื่ อ มี ค วามทุ ก ข ; เว น เสี ย แต ว า เมื่ อ ไรจะมี ความเข า ใจเรื่ อ งธาตุ กั น ให ถู ก ต อ งเท า นั้ น แหละ มั น จึ ง จะหายไป, คื อ ความทุ ก ข ทั้ งหลายจะหายไป. พอเข าใจถู กในเรื่องธาตุ เท านั้ น ความทุ กข ทั้ งหลายจะหายไป, ความทุ ก ข อ ย า งเลว คื อ เอาเปรี ย บคนอื่ น ยกเรื่ อ งธาตุ ม าเป น เครื่ อ งบั ง หน า แก ตั ว นี้ มี ไ ม ไ ด ; เพราะเขามั น รู จ ริ ง แล ว ก็ ซื่ อ ตรงกั น จริ ง ๆ ไม เป น อั น ธพาลถื อ โอกาส เอาเปรียบคนอื่น.

พึงฉลาดในเรื่องธาตุ, ไมใหหลอกเราได. ที นี้ ค นที่ ป ฏิ บั ติ ธ รรมนี่ ก็ ม องเห็ น ธาตุ เข า ถึ ง ซึ่ ง ความจริ ง โดยความ เปนธาตุ จนถึงกับวา สิ่งที่เรียกวา ธาตุ นั้น จะมาหลอกลวงเราไมไดอีกตอไป ; นี่เปนสิ่งที่สําคัญที่สุด. พระพุทธเจาทานจะทรงตักเตือนที่สําคัญที่สุดเกี่ยวกับเรื่อง ธาตุนี้ มีวา เธอทั้งหลายจงเปนผูฉลาดในธาตุทั้งหลายเถิด, พวกเธอจงเปนผูฉลาด ในธาตุทั ้ง หลายเถิด ; นี ้ก ็แ สดงชัด อยู แ ลว วา คนสว นมากนี ้โ งใ นเรื ่อ งของ ธาตุ, ไมไดรูตามที่เปนจริงในเรื่องของธาตุ, นี่เรียกวา ไมฉลาดในเรื่องของธาตุ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถาพูดวาฉลาดในเรื่องของธาตุ ก็หมายความวา ฉลาดจนมันหลอก เอาไม ได คื อ ธาตุ ต า ธาตุ หู ธาตุ จ มู ก ธาตุ ลิ้ น ธาตุ ก าย ธาตุ ใจ ธาตุ รู ป ธาตุ เสีย ง ธาตุก ลิ ่น ธาตุร ส ธาตุโ ผฏฐัพ พะ ธาตุธ ัม มารมณ นี ้ม ัน หลอกเอาไมไ ด. ถา ธาตุต า ธาตุห ูเ ปน ตน มัน ยัง หลอกใหเ ห็น สวย เห็น งาม เห็น เอร็ด อรอ ยได ก็เ รีย กวา ยัง ไมฉ ลาดในธาตุ; แมจ ะเปน นัก แสดงปาฐกถา พูด เรื ่อ งนี ้ไ ดเ ปน


๗๘

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ชั่ ว โมง ๆ มั น ก็ ยั ง โง อ ยู นั่ น เอง, ยั ง ไม ฉ ลาดในเรื่ อ งธาตุ อ ยู นั่ น เอง ; เพราะว า ที่ แสดงพูดไดมาก ๆ นั้น เพื่อวาจะหาความเอร็ดอรอยจากการแสดง, หรือจาก ลากสั ก การะ ที่ จ ะเกิ ด ขึ้ น เพราะการแสดง ก็ พู ด มากด ว ยสติ ป ญ ญา สํ า หรั บ ที่ จ ะ แสวงหารสอรอ ย ที่ จ ะได ม าจากธาตุ , ไม ได แ สดงด ว ยความรูสึ ก ตามที่ เป น จริง ว า สิ่งที่เรียกวาธาตุนี้คืออะไร. ฉะนั้นเมื่อไดฟงพระพุทธภาษิตที่วา พึงเปนผูฉลาดในธาตุทั้งหลายเถิด ดังนี้แลว ก็ขอใหมีหลักเกณฑที่ตายตัวลงไปสั้น ๆ วา ฉลาดในลักษณะที่อยา ใหม ัน หลอกเราได. อยา ใหธ าตุทั ้ง หลายกี ่ธ าตุ กี ่ส ิบ ธาตุ กี ่ร อ ยธาตุก ็ต าม หลอกเราได, และโดยเฉพาะอยางยิ่ง ๖ ธาตุเทานั้นแหละ คือธาตุ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้ อยาใหมันหลอกเราได. ใหมีสติปญญา มีอะไร ทันทวงทีไปหมด อยาใหมันหลอกเราได. เราไมเ ห็น เปน ธาตุ แตเ ห็น เปน ตัว เรา เห็น เปน ของเรา. เชน ว า มี ใ ครมาขโมยของ ๆ เรา; เราก็ ไ ม เ คยคิ ด ว า มั น มาทํ า ให เ ราได บุ ญ เราก็ โกรธมั น หรื อจะเอาตํ ารวจไปจั บ เพราะมั นมาขโมยของ ๆ เรา. ไม เคยรูสึ กว า มั น มาทํ าให เราได บุ ญ . ไม รูจั กตามที่ สิ่ งทั้ งหลายทั้ งปวง ต องเป นไปตามเหตุ ตามป จจั ย ตามธรรมดาของธาตุ , หรื อ ว า เมื่ อ มี ใ ครมาฆ า เรานี้ เราก็ ก ลั ว และเราก็ ไ ม คิ ด ว า นี ่ม ัน จะทํ า ใหเ ราดับ ไมเ หลือ เร็ว เขา โดยไมต อ งลงทุน อะไร. ไมต อ งรออะไรอีก ถ า จะมี ใ ครมาฆ า เรานี้ ทํ า ไมเราจึ ง กลั ว ? เพราะเราไม รู ว า นี้ มั น จะมาทํ า ให ดั บ ไมเ หลือ เร็ว เขา ไมต อ งรอนาน ; ก็เ พราะไมรู จ ัก ความที ่ว า มัน เปน ธาตุ เปนไปตามเหตุตามปจจัยโดยถูกตอง มันก็กลัว. ผลสุดทายมันก็มีแตเสีย ไมมีได

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ

๗๙

มีแตความทุกข ไมมีความสงบเลย. แตถ า เรารู ต ามที ่เ ปน จริง แลว ไมม ีอ ะไรที ่จ ะเปน เรื ่อ งเสีย หรือ ตอ งเปน ทุก ข; เปน เรื ่อ งนา หัว เราะทั ้ง นั ้น : เรื ่อ งไดเ รื ่อ งเสีย . เรื ่อ งเปน เรื่อ งตาย, เรื่อ งอยู เรื่อ งไป, เรื่อ งอะไรก็ ต ามเถอะ, มั น เป น สั ก ว าธาตุ ที่ เป น ไป ตามธรรมชาติ, แลวเราก็หัวเราะได. นี้เรียกวาเปนผูฉลาด ในเรื่องธาตุทั้งปวง แต วา ที่ พู ด นี้ มั น เป น เรื่อ งใหญ เกิ น ไป เอาแต เรื่ อ งเล็ ก ๆ น อ ย ๆ มา พูด กัน กอ น ก็ด ูเ หมือ นจะยัง มีป ญ หามาก. เรื ่อ งที ่ข ัด อกขัด ใจเล็ก ๆ นอ ย ๆ ประจํ า วั น กะคนนั้ น กะคนนี้ , มี อ ะไรบ า งในวั น หนึ่ ง ๆ ของใครก็ ไปสํ า รวจดู ตั ว เอง ก็แ ลว กัน วา วัน หนึ ่ง มัน โกรธกี ่ค รั ้ง กี ่ห น มัน อึด อัด ขัด ใจอะไรบา ง, กะใครบา ง, หรื อ มั น กลั ว อะไรบ า ง, หรื อ มั น อิ จ ฉาริ ษ ยาบ า ง, มั น มากมาย. ในบรรดาชื่ อ ของ กิเ ลสและอุป กิเ ลสทั้ง หลายนั้น ลว นแตแ สดงใหเ ห็น วา มัน มาจากการที่ คน ๆ นั ้น ยัง เปน คนมากเกิน ไป, ยัง ไมรู จ ัก ธาตุต ามที ่เปน จริง ; มัน มีต ัว กู ของกู แลว ปรุง เปน ความรู ส ึก ชนิด ที ่เ รีย กวา กิเ ลส เปน เหตุใ หม ีค วามทุก ข แล วก็ มี แต คิ ดเตลิ ดเป ดเป งออกไป, ไกลออกไปเป นความทุ กข ใหม ๆ แปลก ๆ ออก ไป ; ไม ย อ นต น มาหาความดั บ หรื อ ความหยุ ด เลย. มั น ก็ เป น โอกาสให ถู ก หลอก เรื่ อ ยไป, ให ธ าตุ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ นี้ แ หละมั น หลอกเรื่ อ ยไป, แล ว มั น หลอกหนั ก ขึ้ น ๆ ๆ. เด็ ก ตั ว เล็ ก ๆ นี้ ยั ง ถู ก หลอกน อ ยกว า คนแก ๆ กระทั่ ง แก ม าก แลว.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เกือบจะไมตองอธิบายก็ไดกระมังวา คนแก ๆ นี้มันถูกหลอกหนักยิ่ง ขึ้ น ไปอี กอย างไร, ในเมื่ อมาเที ยบดู กั บลู กเด็ ก ๆ เล็ ก ๆ มั นถู กหลอกน อยกวามาก. จะเห็นไดชัดทีเดียววา ลูกเด็ก ๆ นั้นมันเกือบจะไมมีความทุกขเลย, มีความทุกข


๘๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ก็น อ ย แลว เปน เรื ่อ งเล็ก ๆ เบ็ด เตล็ด ทั ้ง นั ้น . คนผู ใ หญนี ่ค ิด มาก คิด ลึก แลว คิ ด กว างขวาง, แล ว ก็ คิ ด ไกลในอนาคตที่ แ สนจะไกล กระทั่ งชาติ ข างหน า อี ก ไม รู จั กกี่ รอยกี่ ชาติ พั นชาติ หมื่ นชาติ ก็ เอามาคิ ดเป น, มั นก็ ต องมี ความทุ กข มากกว าลู ก เด็ก ๆ. ความทุก ขอ ัน มากมายนี ้ ก็ม าจากการที ่ไ มรูจ ัก ตามที ่เปน จริง วา สิ ่ง เหลานั้นเปนสักวาธาตุตามธรรมชาติ ไมใชตัวเรา ไมใชของเรา ความไมเขาใจเกี่ยวกับธาตุ เปนตนเหตุแหงความเห็นผิด หรือ มิจฉา อทิฏ ฐิทุก ชนิด : ใหเ กิด ตัว ตน ใหเ กิด ของตน ใหเ กิด ยึด มั่น ถือ มั่น ไปเสีย ทุก ครั ้ง ทุก คราวที ่ต าเห็น รูป , หูฟ ง เสีย ง, จมูก ไดก ลิ ่น เปน ตน . นี ้ค ือ คนที ่โ งต อ สิ ่ง ที ่เรีย กวา ธาตุ ไมฉ ลาดตอ สิ ่ง ทีเรีย กวา ธาตุ; เพราะฉะนั ้น เปน อยู ส ัก รอ ยป พัน ป หมื ่น ป มัน ก็ไ มรู  ก ข ก กา ของพุท ธศาสนา ไมม ีว ัน ที ่จ ะเขา ถึง หัว ใจ ของพุทธศาสนา.

หัวใจของพุทธศาสนาคือสุญญตา เพราะมีสักแตวาธาตุ,

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org หั วใจของพุ ทธศาสนานั้ น ก็คือความจริงที่วา ไมมี ตั วตน - ไม มี ของ ตน เปนสักวาธาตุตามธรรมชาติ, วางจากสิ่งที่เรียกวา ตัวตน, หัวใจของพุทธ ศาสนาคือ "สุญญตา" คือ ความวางจากตัวตน หรือ บางทีก็เรียกวา อนัตตา ไม ใช ตั ว ตน, มั น เป น สั ก วา ธาตุ ต ามธรรมชาติ . แม มั น จะมี อ ยู ม ากมาย มั น ก็ ไม มี อั น ไหนที่ เป น ตั ว ตนได , มั น เป น สั ก ว า ธาตุ ต ามธรรมชาติ เพราะฉะนั้ น จึ ง เรี ย กว า วา งจากตัว ตน พูด วา อนัต ตา ไมใ ชต ัว ตนนี ้ ก็ถ ูก ดีเหมือ นกัน ตรงดีเหมือ น กัน ; แตไมลึก ไมแ ยบคาย เทา กับ ที ่จ ะพูด วา สุญ ญตา คือ ความวาง วา ง จากตัวตน วางจากความเปนตัวตน วางจากความเปนของ ๆ ตน.


ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ

๘๑

แต ค นมั น ก็ รู สึ ก ไม ไ ด แม กิ น น้ํ า พริ ก ไม ถู ก ปากสั ก หน อ ย มั น ก็ มี ตั ว กู ของกู ขึ้ น มา ; โกรธคนนั้ น ขั ด ใจคนนี้ เสี ย แล ว มั น ก็ สุ ญ ญตาไม ไ ด , อนั ต ตาไม ได, ไมรู จ ัก ธาตุทั ้ง หลายตามที ่เ ปน จริง . เปน พระก็ด ี เปน เณรก็ด ี เปน อุบ าสก อุ บ าสิ ก าก็ ดี ยั ง มี ป ญ หาอย า งนี้ กั น อยู ทั้ ง นั้ น สมน้ํ า หน า มั น ที่ ไ ม รู จั ก ก ข ก กา ; ฉะนั ้น จึง ตอ งพูด กัน แตเ รื ่อ งนี ้ ; จะโกรธ หรือ วา จะไมโ กรธ ก็ต ามใจ มัน ก็ต อ ง พู ด กั น แต เรื่อ งที่ ยั งไม รู คื อ เรื่อ ง ก ข ก กา, ไม รู หั ว ใจของพุ ท ธศาสนา ก็ เพราะ ไมรูเรื่องธาตุ. พุท ธศาสนานั ้น คือ เรื ่อ ง สุญ ญตา เรื ่อ ง อนัต ตา. ขอใหเ ขา ใจไว ด วย. เรื่ องนอกนั้ น มั นมี ในศาสนาอื่ น ศาสนาอื่ น ทั่ ว ๆ ไป ในอดี ต อนาคต ป จจุ บั น เขาก็สอนกันทั้งนั้น ศาสนาอื่นสอนเรื่องทาน เรื่องศีล เรื่องสมาธิ แมกระทั่งเรื่อง ปญญาในบางระดับ สอนเรื่องกรรม สอนเรื่องไดรับผลกรรมเวียนวายไปตามกรรม ; อยางนี้สอนอยูกอนพระพุทธเจา. แตไมเคยสอน เรื่อง สุญญตา เรื่อง อนัตตา.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org พระพุท ธเจา เกิด ขึ้น ทา นตรัส รู สิ ่ง ที ่ไ มเ คยฟง มาแตก อ น; นั ้น ก็ค ือ เรื่อ งสุญ ญตา เรื่อ งอนัต ตา คือ การที ่ท า นรู จ ัก สิ ่ง ที ่เรีย กวา ธาตุทั ้ง หลาย ถูก ตอ งตามที ่เ ปน จริง วา มัน มีแ ตส ุญ ญตา อนัต ตา, ธาตุด ิน ธาตุน้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ล ม ธาตุ อ ากาศ ธาตุ วิ ญ ญาณ; นั้ น แหละเป น เนื้ อ แท ข องสุ ญ ญตาของ อนั ต ตา. ดู ใ ห ดี ๆ แล ว มั น จะปรุ ง กั น ขึ้ น มาเป น ธาตุ อื่ น อี ก กี่ ช นิ ด มั น ก็ เป น อนั ต ตา เปน สุญ ญตา แมแ ตจ ะเปน ธาตุแ หง ความดับ เปน นิโ รธธาตุ เปน นิพ พานธาตุ มัน ก็ย ัง คงเปน สุญ ญตาเปน อนัต ตา. ฉะนั ้น ธาตุทั ้ง หลายนั ้น มัน เปน อนัต ตา มันเปนสุญญตา.


๘๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

เมื่ อ เราไม รู จั ก ธาตุ ต ามที่ เป น จริ ง ก็ เรี ย กว า ไม รู จั ก พุ ท ธศาสนา ไม มี ความรู เรื่ อ งพุ ท ธศาสนา, เป น พุ ท ธบริษั ท เพ อ ๆ ไป ตามธรรมเนี ย มตามประเพณี . เอาเรื่อ งสุญ ญตาหรือ เรื่อ งอนัต ตาก็ต ามนี ้ ออกเสีย แลว มัน ก็ไ มม ีพ ุท ธศาสนา ; ถา มีพ ุท ธศาสนา ก็ตอ งมีสุญ ญตามีอ นัต ตา ที ่เห็น แจม แจงชัด เจนอยู. ฉะนั ้น ถ าใครไม รูจั ก หรือ ไม ม องเห็ น ไม ส นใจสุ ญ ญตาอนั ต ตา ก็ ไม มี ความเป น พุ ท ธบริษั ท เลย. หั ว ใจของพุ ท ธศาสนาก็ อ ยู ที่ ต รงนี้ . เนื้ อ ตั ว ทั้ ง หมดทั้ ง สิ้ น ของพุ ท ธ – ศาสนาก็อ ยู ที ่ต รงนี ้, คือ วา ความเปน อนัต ตาหรือ สุญ ญตา ไมใ ชส ัต ว บุค คล ตัว ตน หรือ เปน สัก วา ธาตุต ามธรรมชาติ. นี ้ค ือ หัว ใจของพุท ธศาสนาก็ไ ด, หรือ เปน เนื ้อ ตัว ทั ้ง หมดของพุท ธศาสนาก็ไ ด. พุท ธศาสนาไมม ีเ รื ่อ งอื ่น นอก จากเรื่องสุญญตากับอนัตตา. ฉะนั ้น เราจะตอ งเขา ใจเรื ่อ งธาตุทั ้ง หลายทั ้ง ปวง ใหรูต ามที ่เ ปน จริ ง ว า มั น เป น ธาตุ ต ามธรรมชาติ ; ไม ใ ช ส ั ต ว บุ ค คล ตั ว ตน เรา เขา. นี่ เรีย กว า เราเข า ถึ ง รากเหง า ของพุ ท ธศาสนา หรื อ ว า เราคว า เอาพุ ท ธศาสนามาได อย า งน อ ยก็ เอามากุ ม ไว ก อ น ; แม ว า จะไม ไปได ม ากกว า นั้ น ให เห็ น คื อ ให เข า ใจ ให รูจั ก ให ฉ ลาด ในสิ่ งที่ เรีย กวา ธาตุ อย างถู ก ต อ ง. อย าให เป น เข าใจอย าง อันธพาลเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ปญหาศึกษาเรื่องธาตุไมได เพราะยังหลงรสอรอยของโลก. มั น เป น ป ญ หาที่ สํ า คั ญ อยู ในจิ ต ใจของคนทุ ก คน. พู ด กั น ตรง ๆ ดี ก ว า มั น ไม เสี ย เวลามาก คื อ ว า คนที่ ศึ ก ษาพุ ท ธศาสนา กํ า ลั ง คิ ด ว า รูพุ ท ธศาสนามาก


ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ

๘๓

มายนี้ ก็ ยั ง ไม รู จั ก พุ ท ธศาสนา. ใจหนึ่ ง มั น ก็ อ ยากจะฟ ง แหละ อยากจะเห็ น โดย ความเป น ธาตุ ; เหมื อ นท า นทั้ ง หลายทุ ก คนที่ นั่ ง อยู ที่ นี่ อาตมาก็ ย อมเชื่ อ ยอม เชื่ อ สั ก ที หรื อ กี่ ที ก็ ไ ด ว า ท า นทั้ ง หลายนี้ ก็ ยิ น ดี ที่ อ ยากจะฟ ง อยากจะเห็ น อยาก จะเข าใจ โดยความเป น ธาตุ , แต ว าใจหนึ่ งมั นอยากจะกิ นอะไรอร อ ย ๆ อยู ใช ไหม ? หรื อว าอยากจะให เขาสรรเสริ ญ ให เขายกย อ ง อยากมี ห น ามี ต า มี เกี ย รติ มี เด น มี ดี ใช ไ หม ? ใจหนึ่ ง มั น ก็ อ ยากจะเห็ น โดยความเป น ธาตุ ศึ ก ษาเรื่ อ งธาตุ ; แต ใ จ หนึ่ ง มั น ก็ อ ยากจะกิ น อะไรอร อ ย ๆ อยู , ยั ง อยากจะได ส วรรค อยากจะได วิ ม าน เหมื อ นใจจะขาดอยู ใช ไหม ? แต ใจหนึ่ งมั น ก็ อยากจะศึ ก ษาเรื่ องธาตุ โดยความเป น ธาตุ ไมใ ชส ัต ว บุค คล ตัว ตน เรา เขา ; แตแ ลว ขา งไหนมัน มีน้ํ า หนัก มาก กวากัน. นี่ ถ า ยั งละโมบโลภลาภ ต อ สวรรค ต อ วิ ม าน นางฟ า เทพบุ ต ร อะไร นี ้แ ลว มัน ก็เ ปน คนที ่ไ มม องเห็น โดยความเปน ธาตุเ ลย แมแ ตน ิด เดีย ว, ไม เห็ นธาตุ ดิ น น้ํ า ไฟ ลม อากาศ วิ ญ ญาณ ว าเป นธาตุ เลย มั นจึ งไปตะกละตะกลาม ตอ สวรรค วิม าน ซึ ่ง เปน เรื ่อ งเพศ เรื ่อ งกามารมณ เรื ่อ งเอร็ด อรอ ยทางตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ด ว ยกั น ทั้ ง นั้ น . อย า งนี้ แ หละคื อ คนที่ ลั ง เลอย า งต่ํ า ที่ สุ ด ลั ง เล อย า งรา ยที่ สุ ด , เป น วิ จิ กิ จ ฉาอย า งเลวที่ สุ ด ก็ ยั ง ละไม ได คื อ อยากจะศึ ก ษาเรื่ อ ง ธาตุ แตแลวก็ยังอยากจะไดของอรอยอยู มันก็ไมมีทางที่จะลงกันได, คือปรับให ลงกันไมได.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org มั นต องสมั ครที่ จะศึ กษาความเป นธาตุ ให รู จริ ง เพื่ อต อสู กั นกั บสิ่ งอร อย ๆ ที่ มั น จะเข ามาครอบงํา จิ ต ใจ. พอเรามี ค วามรูสึ ก อยากอร อ ยต อ สิ่ งใด หรือ กํ าลั ง อรอ ยตอ สิ ่ง ใด ก็ต อ งใชอ าวุธ คือ ความรู เ รื ่อ งธาตุนี ้แ หละ ฟาดฟน ความรูอ ัน


๘๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

นั้ น ให แตกกระจายไป. อย าไปเสี ยดายมั นเลย, อย าไปเสี ยดายว ามั นจะหมดอรอ ย มันจะจืดไปเสีย หรือจะไมมีของอรอยมาบํารุงบําเรอ. นี้ มี ค วามไม จ ริ ง ใจ ไม แ น ใ จ คิ ด ได ก็ ลั ง เล ; ใจหนึ่ ง อยากจะศึ ก ษา เรื่ องธาตุ เพราะว าเป นเรื่ องสํ าคั ญ ในพระพุ ทธศาสนา, แต ใจหนึ่ งก็ ยั งอยากจะเอร็ ด อรอ ยในสวรรคว ิม าน ในอะไรตา ง ๆ ; ไมอ ยากจะถือ เรื ่อ งธาตุแ ลว . ไมอ ยาก จะถื อ โดยความเป น ธาตุ แล ว ถ าถื อ โดยความเป นธาตุ มั น ก็ ไม มี เรื่อ งอรอ ย นี้ เรีย ก วา ความหลอกลวงของสิ่งที่เรียกวาธาตุนั้น มันยังชนะเราอยูเสมอไป, ธาตุ มัน ยัง หลอกเราไดอ ยู เ สมอไป. เรายัง พา ยแพแ กธ าตุเ สมอไป; ธาตุเ กิด ขึ ้น มา ทําใหมีความทุกข; เหมือนกับบทสวดที่วา การปรากฏขึ้นแหงธาตุทั้งหลายนั้น คือการปรากฏขึ้นแหงความทุกข. นี่ จะไม เรี ยกว า ก ข ก กา แล วจะเรี ยกว าอะไร ? เพราะว าป ญ หาของ คนเรา มั น ไม มี ป ญ หาอะไรที่ จ ะทั่ ว ไป เท า กั บ ป ญ หาเรื่ อ ง ความทุ ก ข หรื อ เรื่ อ ง ความดั บ ทุ ก ข , เพราะมี ทุ ก ข เราจึ ง ต อ งการดั บ ทุ ก ข . ความดั บ ทุ ก ข เป น ป ญ หา ; เพราะมันมีความทุกข ; ฉะนั้น ปญหาอันแรกก็คือความทุกข.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ปญหาของผูไมเขาใจเรื่องธาตุยังมีอีกมาก. ที นี้ คนก็ จะมี ป ญ หาต อไปว า เอ า ! ถ าเป นธาตุ แล วทํ าไมต องเป นทุ กข ? นี ้จ ะไปโทษธาตุแ ลว . คนโงก ็แ กต ัว แบบนั ้น เอง; เพราะคนโงไ ปยึด ถือ ธาตุ โดยความเปน ตัว ตน ธาตุจ ึง เปน ความทุก ขขึ ้น มา ไมใ ชธ าตุ ตัว ธาตุเ อง ธาตุ แ ท ๆ มั น เป น ความทุ ก ข , มั น ไม เป น อะไร มั น ไม เป น ทุ ก ข มั น ไม เป น สุ ข มั น


ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ

๘๕

เปน สัก วา ธาตุต ามธรรมชาติ. แตพ อคนโงไ ปยึด ถือ ธาตุ โดยความเปน ตัว ตน หรือ เปน ของตน ความทุก ขม ัน ก็เกิด ขึ ้น ; อยา งนี ้เรีย กวา ธาตุม ัน ตั ้ง ขึ ้น มา มัน ถู ก ปรุ ง แต ง ขึ้ น มา มั น ปรากฏขึ้ น มาในจิ ต ใจของบุ ค คลนั้ น . ฉะนั้ น การปรากฏ แหง ธาตุ ก็ค ือ การปรากฏแหง ทุก ข ; แตด ูใ หด ีว า ตัว ธาตุนั ้น ไมใ ชเ ปน ตัว ทุก ข ตัว ทุก ขม ัน อยูที ่ค วามยึด มั่น ถือ มั่น ในธาตุนั ้น วา เปน ตัว ตนหรือ ของ ตน. คนอาจจะสงสั ยว า เอ า, ถ ามั นสั กว าธาตุ ตามธรรมชาติ แล ว จะทํ าบุ ญ – ได บุ ญ จะทํ าบาป - ได บ าป อย างไรกั น ? เดี๋ ยวนี้ คนมั นยั งไม รู มั นยั งอยากเอร็ด – อรอ ยที ่เ รีย กวา บุญ , มัน เกลีย ดเจ็บ ปวดที ่เ รีย กวา บาป, ก็อ ยากจะไดบ ุญ เรื่อ งบาปเรื่อ งบุญ นี้ จะทํา เปน ทํา ไดแ ตค นที่ไ มรูจัก เรื่อ งธาตุ; ถา มัน เกิด ไปรูจั ก เรื่อ งธาตุ โดยแท จ ริงเสี ย แล ว มั น ไม อ ยากทั้ ง บาป, ไม อ ยากทั้ ง บุ ญ , มั น ทํ า บาปไม ไ ด , แล ว ก็ ทํ า บุ ญ ไม ไ ด ; เพราะไม ยึ ด ถื อ อะไรโดยความเป น ตั ว ตน หรื อ เปนของ ๆ ตนได.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ธาตุทั้ งปวงเป นอนัตตา, มันเปนอนัตตา หมายความวา เป นอยูตาม ธรรมชาติ ; แตเ ราไมย อมรับ เราไมรู ส ึก , เราไมม องเห็น โดยความเปน อนัต ตา. ถา มัน อรอ ยที ่ลิ ้น มัน ก็เ ปน ความอรอ ยของกู. ธาตุลิ ้น มัน ก็เ กิด หลอกลวงใหรู ส ึก อรอ ย เปน ลิ ้น ของกู. หรือ จะเอาลิ ้น เปน ตัว กูก ็ไ ด, แลว มัน ก็ รสอรอยของกู ปญหามันเลยปนกันยุงไปหมด.

ถ าเราไม รู เรื่ อ ง ก ข ก กา ป ญ หาจะปนกั น ยุ งไปหมด ; เหมื อ นคนไม รู ก ข ก กา นั ่น แหละ มัน ทํ า อะไรไมไ ด มัน อา นหนัง สือ ไมไ ด. ถา ไมรู เ รื ่อ งธาตุ


๘๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ตามที ่เ ปน จริง ก็ม ีป ญ หามากขึ ้น เพิ ่ม ขึ ้น กวา เดิม มากมาย ; จะสงสัย เรื ่อ ง ดี เรื่องชั่ ว, เรื่องบุ ญเรื่องบาป, เรื่องทํ ากรรมเรื่องได ผลกรรม อะไรไปเสี ยตะพึ ด, ไม มี อะไรที ่ไ มเ ปน ปญ หา ; แลว ก็แ บง ออกเปน ๒ ฝา ย อยา งหนึ ่ง สํ า หรับ เกลีย ด สํ า หรับ กลัว คือ ไมป รารถนา ก็เปน ทุก ขเ หมือ นกัน , อีก ฝา ยหนึ ่ง ก็สํ า หรับ อยาก สํ า หรับ ทะเยอทะยาน สํ า หรั บ กระหาย นี้ ก็ เป น ทุ ก ข เหมื อ นกั น . มั น ก็ เลยได ทุ ก ข ทั้ง ขึ้น ทั ้ง ลอ ง สํา หรับ บุค คลที่ไ มรูเรื่อ งธาตุ ก็จ ะเกิด ความยิน ดียิน รา ย, ยิน ดี ในสิ ่ง ที ่เ ปน ที ่ตั ้ง แหง ความยิน ดี, แลว ยิน รา ยในสิ ่ง ที ่เ ปน ที ่ตั ้ง แหง ความยิน รา ย. นี่คือคนที่ไมรูเรื่องธาตุ, ไมฉลาดในเรื่องธาตุ ธาตุมันจึงหลอกเอา. เมื่ อ อาการอย า งนี้ มั น กํ า ลั ง เป น อยู แ ก ค นทุ ก คนในโลกนี้ ทั้ ง เด็ ก ทั้ ง ใหญ แล ว จะไม เรี ย กว า เรื่ อ งเบื้ อ งต น เรื่ อ งทั่ ว ไป เรื่ อ งรากฐานอย า งไรกั น ? มั น ก็ค วรจะถือ วา เปน เรื ่อ งต่ํ า ที ่ส ุด รากฐานที ่ส ุด เบื ้อ งตน ที ่ส ุด . ดัง นั ้น อาตมา จึ งเรีย กวา เป น เรื่อ ง ก ข ก กา ซึ่ ง คนบางคนไม ย อมเห็ น ด ว ย ว าการพู ด เรื่ อ ง ธาตุนี ้เ ปน เรื ่อ ง ก ข ก กา เขาเห็น เปน ปรมัต ถธรรม เปน อภิธ รรม เปน อะไร มากไป จนไม ย อมให เป น เรื่ อ ง ก ข ก กา ; เพราะว าไม รู จั ก พระพุ ท ธศาสนา ที่ จ ะ สอนแตเ รื ่อ งความดับ ทุก ขเทา นั ้น , มีค วามดับ ทุก ขที ่ไ หน ก็ม ีพ ุท ธศาสนาที ่นั ่น , ไม มี ค วามดั บ ทุ ก ข ที่ ไหน ก็ ไม มี พุ ท ธศาสนาที่ นั่ น . แม ว า จะไปพู ด กั น อย า งเป น คุ ง เปน แคว เปน ปรมัต ถ เปน อภิธ รรมอะไรใหม ากมาย มัน ก็ไ มเ ปน พุท ธศาสนา ไปได . แล ว มั น ก็ พิ สู จ น อ ยู ใ นตั ว แล ว ว า คนที่ พู ด มาก ๆ อย า งนั้ น แหละยิ่ ง ไม รู จั ก ธาตุ มันไมรูจักธาตุ, กําลงมีตัวกู - ของกู เต็มที่.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ป ญ หาของมนุ ษ ย เป น อย า งนี้ เรี ย กว า ไม รู จั ก ธาตุ ต ามที่ เป น จริ ง ก็ เกิด มิจ ฉาทิฏ ฐิรา ยแรงอยา งนั้น อยา งนี้ขึ้น มา ; อยา งต่ํา ที ่สุด ก็ม ี วิจิกิจ ฉา มี


ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ

๘๗

ความสงสั ย ว า จะศึ ก ษาเรื่ อ งธาตุ ดี หรื อ ว า จะหาของเอร็ ด อร อ ยมากิ น ดี มั น ก็ มี ความลังเลอยูแตอยางนี้.

ศึกษาเรื่องธาตุจะเขาใจพุทธศาสนาถูกตอง. ขอให ส นใจ ก ข ก กา ในพระพุ ท ธศาสนากั น เสี ย ใหม ให ถู ก ต อ ง กล าว คือ การศึก ษาเรื ่อ งธาตุ นั ้น เอง. ลูก คลํ า ดูที ่เนื ้อ ที ่ต ัว ธาตุด ิน ธาตุน้ํ า ธาตุไ ฟ ธาตุ ล ม ธาตุ อ ากาศ ธาตุ วิ ญ ญาณ มั น อยู ที่ ต รงไหน ? จงพยายามลู บ เนื้ อ ลู บ ตั ว ลูบ หัว ลูบ เทา ลูบ คลํ า อยู ด ูเ รื ่อ ย ๆ ในภายในนี ้ ใหม ัน รู จ ัก สิ ่ง ที ่เ รีย กวา ธาตุ, จึ งจะเรี ย กได ว า เป น ผู ส นใจ เริ่ ม ต น ศึ ก ษา ก ข ก กา แห งพระพุ ท ธศาสนาอย างถู ก ต อ งกั น เสี ย ใหม . ไม จํ า เป น จะเอาเรื่ อ งนั้ น เรื่ อ งนี้ เรื่ อ งโน น มาพู ด ให ย าวความ ; พู ด กัน แตเ รื ่อ งที ่ใ หเ ห็น วา อะไรมัน เปน รากฐาน คือ เปน ธาตุ เปน รากฐาน, เปน สว นยอ ยที ่ส ุด ที ่จ ะประกอบกัน ขึ ้น เปน สว นใหญต อ ๆ ไป มัน คือ อะไร ? แลว ก็ ดูที ่สิ ่ง นั ้น ใหด ี อยา ใหเ ห็น เปน ตัว เปน ตน เปน สัต ว เปน บุค คล เปน อะไร ทํ า นองที่ จ ะทํ า ให เกิ ด ความโลภ ความโกรธ ความหลง ขึ้ น มาได . เห็ น โดยความ เปนธาตุอยูโดยแทจริงตามที่เปนจริง.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ต อ งไม ให โอกาสแก จิ ต อั น ธพาลที่ มั น จะถื อ เอาโอกาสนี้ แ หละ โอกาสที่ สั ก ว า เป น ธาตุ นี้ แ หละไปเที่ ย วประทุ ษ ร า ยลู ก เมี ย เขา หรื อ ว า ไปขโมยเขา หรื อ ไป ฆ า เขา ไปกิ น เหล า เมามาย, แล ว ก็ บ อกว า มั น ก็ สั ก ว า ธาตุ : เหล า ก็ สั ก ว า ธาตุ เนื้ อ หนั ง ก็ สั ก ว า ธาตุ อะไรก็ สั ก ว า ธาตุ ไปนอนคลุ ก ฝุ น หรื อ นอนอยู ต ามในคู มั น ก็ สัก วา ธาตุ. นี ่ม ัน เปน จิต อัน ธพาล ; มัน เอาคํ า วา ธาตุขึ ้น มาสํ า หรับ เปน โล


๘๘

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

บัง หนา , แกต ัว สํ า หรับ จะทํ า ความชั ่ว . อยา งนี ้ไ มต อ งพูด ก็ไ ด มัน ไมใ ชเ รื ่อ ง ของเรา มันคงไมมีแกเรา ไมเกี่ยวกับเรา. มัน ยัง เหลือ อยู แ ตว า มีส ติส ัม ปชัญ ญะทุก เมื ่อ มองเห็น สิ ่ง ทั ้ง ปวง โดยความเป น ของวางจากตั ว ตน คือ มั นเป น แต สั ก วาธาตุ ที่ กํ าลั งเป น ไปตาม ธรรมชาติ ตามเหตุตามปจจัยอยูเนืองนิจ, ใหมันเจริญกาวหนาไปดวยสติปญญา อย า งนี้ เรื่ อ ย ๆ ไป ; นั่ น แหละคื อ คนที่ เรี ย นรู ก ข ก กา กา กิ กี แจกลู ก ไปตาม ลํ า ดั บ ๆ ในเวลาไม น านนั ก ก็ จ ะอ า นหนั ง สื อ ได ดี รู ห นั ง สื อ ได ดี , คื อ รู พ ระธรรม ที่ เป น ตั ว พุ ท ธศาสนาของพระพุ ท ธเจ าได ดี เรี ย กว า เป น คนรู ห นั ง สื อ กั น เสี ย ที ป ญ หา มันก็จะหมดเอง. นี่ขอใหสนใจ ก ข ก กา กันอยางนี้. อาตมาก็มีเรี่ยวแรงสําหรับจะพูดในวันนี้เพียงเทานี้ นี่เวลาก็ยังเหลืออยู บาง ขอโอกาสใหพระสงฆบางองคทานบรรยายขยายความหรือวาชวยกันทําความเขา ใจเกี่ยวกับ ก ข ก กา นี้ตอไป กวาจะยุติลงดวยเวลา.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เอา, นิมนตองคที่คางอยู ที่ไมไดพูดคราวกอน. [คําบรรยายของภิกษุรูปอื่น ไมไดบันทึกไว] _____________


ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

- ๕๒ กุมภาพันธ ๒๕๑๗

การเกิดขึ้นของทุกสิ่งตั้งตนที่ผัสสะเพียงสิ่งเดียว.

ทานสาธุชน ผูมีความสนใจในธรรม ทั้งหลาย,

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ในการบรรยายครั้งที่ ๕ แห งภาคมาฆบู ชานี้ อาตมาจะได กล าวโดยหั วข อ ว า ก ข ก กา ของการศึ กษาพระพุ ทธศาสนา ต อไปตามเดิ ม หรื อกล าวอี กอย างหนึ่ ง ก็วา เราจะพูดถึงเรื่อง ก ข ก กา นี้อีกเปนครั้งที่ ๕.

คนที่ ฟ งไม ถู กคงจะรํ าคาญเหลื อที่ จะรํ าคาญแล ว เหมื อนลู กเด็ ก ๆ เรียน ก ข ก กา ไม น า สนุ ก ก็ รํ า คาญ ; แต แ ล ว ก็ ต อ งทนเรี ย นแล ว เรี ย นเล า เรี ย นซ้ํ า ๆ ซาก ๆ จนรู ก ข ก กา, เดี๋ ย วนี้ ก็ จ ะพู ด เรื่ อ ง ก ข ก กา แห งพระพุ ท ธศาสนา เป น ครั้ ง ที่ ๕ เท า นั้ น เอง ; เหมื อ นกั บ ว า ได เรี ย น ก ข ก กา มาได สั ก ๕ วั น เท า นั้ น , คงจะยั งไม ม ากมายอะไรนั ก . เรื่ อ ง ก ข ก กา แห งพระพุ ท ธศาสนาในวั น นี้ จะได

๘๙


๙๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

กลา วโดยหัว ขอ ยอ ที ่ชัด เจนลงไปวา การเกิด ขึ้น ของทุก สิ ่ง ตั ้ง ตน ที ่ผ ัส สะเพีย ง สิ่งเดียว. การเกิดขึ้นของทุกสิ่งตั้งตนที่ผัสสะเพียงสิ่งเดียว. เมื่ อ กล า วเช น นี้ บางคนคงจะฟ ง ถู ก หรื อ นึ ก ออก หรื อ เห็ น เค า เงื่ อ น แล ว เพราะว า เรื่ อ งที่ ค ล า ยกั น นี้ เคยกล า วมาแล ว หลายครั้ ง หลายหน. แต วั น นี้ เอามากล าวอี ก ในรูปรางของ ก ข ก กา คื อเบื้ องต นที่ สุ ด เพราะวาเป น เรื่ องที่ ไม ค อ ยสั ง เกตกั น จนไม เห็ น ความสํ า คั ญ คื อ ไม เห็ น ความที่ มั น เป น สิ่ ง เดี ย วเรื่ อ ง เดียว ที่เปนการตั้งตนของทุกสิ่ง ไดแกสิ่งที่เรียกวา ผัสสะ.

ศึกษาคําวา " การเกิดขึ้น " ใหเขาใจกอน. เมื่ อ พู ด ถึ ง คํ า ว า ผั ส สะ บางคนก็ ว า เข า ใจแล ว เข า ใจแล ว ; นี้ มั น แน นอน ก็ มี ค นเข า ใจเรื่ อ งผั ส สะ แต ก็ เข า ใจต า ง ๆ กั น ไป, เข า ใจมากบ า งน อ ยบ า ง. บางคนเข า ใจไปในทางเถลไถลไปในทางอื่ น ก็ มี แล ว แต ว า คน ๆ นั้ น เขาเคยได ยิ น ได ฟ งคํ า ๆ นี้ มาในลั กษณะอย างไร. นี่ แหละคื อความจําเป นที่ ต องเอามาพู ดกั นใหม ให รู จั ก สิ่ ง ที่ เรี ย กว า ผั ส สะ ให ดี ยิ่ ง ขึ้ น ไป, จนมองเห็ น ชั ด ลงไปที เดี ย วว า มั น เป น เพียงสิ่งเดียว ซึ่งเปนที่ตั้งตนของการเกิดของสิ่งทุกสิ่ง.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เมื่ อ พู ด ถึ งคํ า ว า เกิ ด ขึ้ น นี้ ก็ อ ย างเดี ย วกั น อี ก ; บางคนก็ คิ ด ว า เข าใจ แตแลวมันก็ ยังเขาใจนอยเกินไป คือ คนสวนมากไมเขาใจวา ทุ กสิ่งที่ มี การเกิด ดับ อยูตลอดเวลา ; แมแตสิ่งที่เรียกกันวาโลกนี้.


ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ

๙๑

เมื่ อ พู ด คํ าว า โลกนี้ เกิ ด และดั บ อยู ต ลอดเวลา ; บางคนไม เข าใจเอา เสี ยเลยที เดี ยว แล วยั งจะหาว าเป นคํ าพู ดที่ บ า ๆ บอ ๆ. หรื อเป นคํ าพู ดที่ แกล งพู ดล อ กั น เล น , หรื อ ว า เป น การใช สํ า นวนโวหารมากเกิ น ไป. นี่ ถ า ผู ใ ดไม ม องเห็ น โดย ประจักษ ชั ดวา แมแตสิ่งที่เรียกวา โลก โลกนี้ มี การเกิด - ดั บ ๆ อยูตลอดเวลา แลว, คนนั้นยังไมรูธรรมะที่เปนชั้น ก ข ก กา ในพุทธศาสนา. พุทธศาสนาสอนใหเห็นวา ทุกอยางมีการเกิด และ ดับอยู เสมอ ; จะช า เร็ ว เท า ไรนั้ น ขึ้ น อยู กั บ จิ ต ที่ มี ค วามรู สึ ก ต อ สิ่ ง นั้ น ๆ. นี้ ค นที่ เ ขาไม เ คยเล า เรีย น แล ะเปน คนที ่ม อ งกัน แตใ น แงว ัต ถุ ก็จ ะไมเ ชื ่อ ; เพ ราะเขาม องเห็น แผ น ดิ น โลกนี้ มี อ ยู ต ลอดเวลา แล ว ก็ เรี ย นกั น มาว า ไม รู กี่ แ สน กี่ ล า น กี่ ล า นล า น ป ม าแล ว มั น ก็ มี แ ล ว อย า งนี้ จะเรี ย กว า เกิ ด - ดั บ อย า งไร ? นี่ ท างพุ ท ธศาสนา พูดวามัน เกิด - ดับ อยูตลอดเวลา ไปตามขณะจิต ที่รูสึกตอสิ่งนี้. นี่ ข อให พิ จ ารณาดู ว ามั น เป น คนละเรื่ อ งกั น ถึ ง ขนาดนี้ เป น คนละอย า ง คนละแนว คนละความหมาย. เดี ๋ย วนี ้เ ราจะเรีย นเรื ่อ งพุท ธศาสนา เราจึง ต อ งเรี ย นตามหลั ก ของพุ ท ธศาสนา ไม ใ ช เรี ย นวิ ท ยาศาสตร เรื่ อ งแผ น ดิ น ที่ จ ะ เรียนวา แผนดินนี้มันมีอยูอยางนี้เรื่อย ๆ มา เปนเวลานานเปนลาน ๆ ปมาแลว.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทํ า ไมต อ งแยกกั น เรี ย นอย า งนี้ ? เพราะว า เรี ย นอย า งโน น มั น ดั บ ความ ทุก ขไ มไ ด. ถา เรีย นอยา งนี ้ อยา งพระพุท ธเจา ทา นสอนวา โลกมัน เกิด ดับ อยู ต ลอดเวลา นี้ มั น ดั บ ความทุ ก ข ได . เมื่ อ เราอยากจะเรีย นอย างที่ พ ระพุ ท ธเจ า ทานสอน ก็เพื่อจะใหดับทุกขไดนั่นเอง.


๙๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

คนที่ เรี ยนเรื่ องโลกมาอย างไร ย อ มมี ผ ลเกิ ด ขึ้ น ตามสมควรแก ก ารที่ ต น เลา เรีย นมาอยา งนั ้น : เชน เรีย นมาในรูป ที ่ว า โลกนี ้ม ัน เที ่ย ง หรือ เปน รูป ธรรมที่เที่ยงแท ก็มีผ ลใหค น ๆ นั้น ยึด มั่น ถือ มั่น ในสิ่งทีเรีย กวาโลกนั้น ๆ, หรือพู ดอี กอย างหนึ่ งก็ ว า เป นคนติ ดอยู กั บโลก ติ ดแน นอยู กั บโลก หมุ นไปตามโลก ออกมาไมได มันก็ตองลมลุกคลุกคลานไปตามโลก. ที นี้ ค นหนึ่ ง เขาเรี ย นมาในลั ก ษณะที่ ต รงกั น ข า ม ให รู ต ามที่ เป น จริ ง ว า โลกนี้ เป น อย างไร ? มี ก าร เกิ ด - ดั บ อยู ต ลอดเวลาอย างไร ? ความรู ช นิ ด นี้ ไมทําใหยึดมั่นถือมั่นอยูในโลก คือไมตองติดไปตามโลก มีจิตใจที่แยกออกมาได จากโลก ก็ไ มต อ งลม ลุก คลุก คลานไปตามโลก. นี ่ม ัน ตา งกัน อยา งทีเรีย กวา ตรงกันขาม หรือยิ่งกวาตรงกันขาม. ถาเราไมรูเรื่องสิ่งนั้น ๆ พอ ก็จะยึดมั่นถือมั่น ในสิ่งนั้น ๆ แลวก็ จะต อ งทุ ลั ก ทุ เลไปตามสิ่ งนั้ น ๆ ; แม แ ต สั ง ขารรา งกายนี้ เราไปเห็ น โดยความเป น ของเที่ ยงเป นของตน มั น ก็ ยึ ดมั่ นถื อ มั่ น แล วมั น ก็ จะตองหนั กอกหนั กใจ ต องขึ้ น ๆ ลง ๆ , หรื อ ว า ส ว นใหญ มั น จะต อ งมี ค วามทุ ก ข เพราะสั ง ขารนี้ มั น จะต อ งเปลี่ ย น แปลงไป ตามเรื่องของมัน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เรื่อ งข างนอกก็ เหมื อ นกั น เรื่อ งทรัพ ยส มบั ติ เรื่องเกีย รติยศชื่อ เสี ยง, เรื่องอะไรต าง ๆ เหล านี้ แม แต ชี วิต ความตายอย างไร ก็ ล ว นแต ต อ งเป น ไปตาม กฎเกณฑ ของมั น, ตามเหตุตามป จจัยของมัน. ถาไปยึดมั่นมันเขาใหเปนของเที่ยง หรือ เปน ของของตน มัน ก็เ ปน ไปไมไ ด มัน ก็ต อ งรอ งไห มัน ก็ต อ งหวาดเสีย ว ตองสะดุง ตองเปนไปตาง ๆ นานา .


ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ

๙๓

นี้เปนการชี้ใหเห็นวา มีความรู รูอยางไร มันก็จะตองมีจิตใจไปตาม อํ า นาจหรือ ตามแนวของความรู นั ้น ๆ. นี ้ใ ครจะเอาอยา งไหนก็ไ ด ไมม ีใ ครวา มั น เป น สิ่ ง ที่ เลื อ กเอาได . แต เชื่ อ ว า ทุ ก คนคงจะเลื อ กเอา ในฝ า ยที่ จ ะไม ต อ งเป น ทุก ข ; แตแ ลว จะเลือ กเปน หรือ ไมเ ปน เลือ กถูก หรือ ไมถ ูก นี ้ม ัน ก็อ ีก อยา งหนึ ่ง , มั น ขึ้ น อยู กั บ ข อ ที่ ว า คน ๆ นั้ น รู จั ก ความทุ ก ข ห รื อ ไม ? บางคนบอกว า จะดั บ ทุ ก ข พอถามว า เป น ทุ ก ข อ ย า งไร ? ก็ ไม รู ; โง ถึ ง ขนาดนี้ คื อ เอาความทุ ก ข ม าให ดู ไม ได , แล ว ก็ ม าขอให ช ว ยแนะวิ ธี ดั บ ทุ ก ข มั น ก็ ค นบ า , คื อ ไม มี ค วามทุ ก ข ที่ รู สึ ก อยู จ ริ ง แลวก็มาขอใหดับทุกข. ความรู ที่ จ ะเป น ประโยชน ไ ด ต อ งเป น ความรู ที่ รู จ ริ ง ไปตั้ ง แต ตั ว ป ญ หา ที่ มั น มี ป ญ หาอยู จ ริ ง ; เช น มี ค วามทุ ก ข อ ยู จ ริ ง จึ ง จะหาทางที่ จ ะดั บ ทุ ก ข ไดจ ริง เหมือ นกัน . ฉะนั ้น การเรีย นรู เ รื ่อ งโลกในแงข องความทุก ขนี ้ เปน ความ จํ า เปน คือ จะชว ยใหรู จ ัก ความทุก ขที ่แ ทจ ริง . เพราะปญ หามัน อยู ที ่ค วามทุก ข ; ป ญ หามั น ตั้ ง ขึ้ น มาด ว ยเรื่ อ งของความทุ ก ข , ถ า ไม มี ค วามทุ ก ข เ ราก็ ไ ม มี ป ญ หา อะไร. มองดูข อ นี ้ก ัน เสีย กอ น เดี ๋ย วนี ้ม ัน ทนอยู ไ มไ ด เพราะมัน มีค วามทุก ข และเปนปญหา.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org พอมี ค วามทุ ก ข เ ป น ป ญ หา มั น ก็ ดู ง า ยต อ ไปอี ก ว า มั น เกิ ด ขึ้ น มา อยา งไร ? ในที ่ส ุด มัน ก็ไ ปเขา รูป กัน กับ ขอ ที ่ว า มัน มาจากสิ ่ง ที ่เ รีย กผัส สะ, จึ ง เรี ย กว า เป น เรื่ อ ง ก ข ก กา คื อ เป น จุ ด ตั้ ง ต น ของเรื่ อ งทั้ ง หมดจริ ง ๆ ; แต ก็ อธิ บ ายได ห ลายแง ห ลายมุ ม . เรื่ อ ง ผั ส สะ คํ าเดี ยวเท านั้ น อธิ บ ายได ม ากแง ม ากมุ ม ซึ่ งจะได พู ด กั น เรื่ อ ย ๆ ไป จนกว าจะจบจะสิ้ น ที่ เกี่ ย วกั บ ก ข ก กา ของพระพุ ท ธ – ศาสนา.


๙๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา [ทบทวนเรื่องธาตุ]

ถ าจะทบทวนเรื่องที่ แล ว ๆ มา ท านทั้ งหลายก็ คงจะนึ กได ว าเราเริ่มต น พูด กัน ถึง เรื ่อ งธาตุ, คํ า วา ธาตุ เ พราะมัน มีอ ยู อ ยา งเปน พื ้น ฐาน สํ า หรับ จะ ใหเ รื ่อ งตา ง ๆ เกิด ขึ ้น , หรือ กอ ขึ ้น บนสิ ่ง ที ่เ รีย กวา ธาตุนั ้น ๆ. ดัง นั ้น การที่ รูจั ก เรื่อ งธาตุ ทั้ ง หลาย อั น จะก อ ให เกิ ด อายตนะและผั ส สะนี้ มั น เป น เรื่อ งรากฐาน ลงไปอี ก , เป น เรื่อ งรากฐานชั้ น ต น ที เดี ย ว ; เพราะผั ส สะมั น ตั้ งต น มาจากอายตนะ ซึ ่ง ตั ้ง ตน มาจากธาตุทั ้ง ปวง. แตแ ลว ทุก อยา งนี ้ก ็ย ัง คงเรีย กวา ธาตุห นึ ่ง ได อยูนั่นเอง, ธาตุที่เปนรากฐานที่สุด คือเปนธาตุทั้ง ๖ ไดแก ธาตุดิน ธาตุน้ํา ธาตุไฟ ธาตุ ล ม ธาตุ อ ากาศ ธาตุ วิ ญ ญาณ ซึ่ ง ได ข อรอ งแล ว ขอร อ งเล า ว า ท า นทั้ ง หลาย จงมีค วามเขา ใจในเรื่อ งนี ้ ในฐานะที่เปน เรื่อ งพื ้น ฐาน ใหม ากที่สุด , และให ย้ํ าให ทบทวนอยู เป นประจํ าวั น เหมื อนกั บ ว า เราทํ ากิ จประจํ าวั น, ในทางฝ ายวั ต ถุ ทางฝา ยรา งกาย เรื ่อ งกิน อาหาร เรื ่อ งอาบน้ํ า เรื ่อ งไปถาน เรื ่อ งอะไรตา ง ๆ ; เหล านี้ ซ้ํ า ๆ ซาก ๆ อย างไร, ในทางฝ ายจิ ตใจ ก็ ควรจะมาคํ านึ งถึ งสิ่ งที่ เรี ยกว าธาตุ ใหเกิดความแจมแจงเขาใจอยูเปนประจําวัน ฉันนั้นดวยเหมือนกัน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้นเราจึง ตั้ งต นพู ดกั นถึ งเรื่อง ธาตุ ที่ เป นรากฐาน คื อ ดิน น้ํ า ไฟ ลม อากาศ วิญญาณ, แลวมีธาตุที่เปนรากฐานชั้นตอมา ก็คือธาตุตา ธาตุหู ธาตุจ มูก ธาตุลิ ้น ธาตุก าย ธาตุใ จ ซึ ่ง อยู ข า งใน คือ ในตัว คน, แลว ก็ม ีธ าตุ ข างนอกคื อ ธาตุ รู ป ธาตุ เสี ย ง ธาตุ ก ลิ่ น ธาตุ รส ธาตุ โผฏฐั พ พะ ธาตุ ธั ม มารมณ ซึ่งเปนธาตุขางนอก.


ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ

๙๕

ถ าธาตุ ข างในกั บธาตุ ข างนอก จะมี ขึ้ นมาได มั นก็ ต องอาศั ยสิ่ งที่ เรียกว า ธาตุด ิน ธาตุน้ํ า ธาตุไ ฟ ธาตุล ม ธาตุอ ากาศ ธาตุว ิญ ญาณ นั ่น เอง ; ฉะนั ้น ๖ ธาตุแ รกมัน จึงเปน ที่ตั้งของธาตุชุด ตอ มา : ธาตุ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ, รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ และ ธาตุ ชุดที่ ๒ นี้ก็เป นที่ ตั้ งตอไป จะใหเกิด ธาตุที ่สูงขึ้น ไป ละเอีย ดขึ้นไป ประณีต ขึ้นไป เปน รูป ธาตุ เวทนาธาตุ สัญ ญาธาตุ สังขารธาตุ วิญ ญาณธาตุ ปรากฏตัวออกมาได, โดยปรุงกัน ขึ้นเป น อายตนะกอ น แลว ก็เปน ผัส สะ แลว ก็เปน เวทนาตัณ หา, หรือ วา เปน เวทนา เปนสัญญา เปนสังขาร เปนวิญญาณ ที่สูงขึ้นไปตามลําดับ. การทบทวนอย างนี้ อ ยู เสมอ ทํ าให มี ความเห็ น แจ ม แจ งในเรื่ อ งที่ สํ าคั ญ ที่ สุ ด คื อ เรื่องที่ เรียกว า สุ ญ ญตาหรืออนั ตตา หรืออื่ น ๆ แล วแต จะเรียก ; แต รวม แลว ก็ค ือ เรื ่อ งไมใ ชต ัว ตน ไมใ ชส ัต วบ ุค คล ไมใ ชต ัว ไมใ ชต นนี ่ แมส ุญ ญตานี้ ก็ต อ งเรีย กไดว า ธาตุ มัน เปน ธาตุอ ัน หนึ ่ง เปน ธาตุแ หง ความวา งในระดับ สูง สุด ; ถา ไป เล็ง ถึง ผ ล มัน เรีย ก วา นิพ พ าน ธาตุ ก็จ บ กัน ที ่ นิพ พ าน ธาตุ, สุญญตธาตุ นิพพานธาตุนี้ มันเปนฝาย อสังขตธาตุ ก็จบกันเทานั้น.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ตั ้ง ตน กัน ดว ยเรื่อ งธาตุที ่ม ีป จ จัย ปรุง แตง แลว ก็เรื่อ ยไปจนกระทั ่ง สูง สุด จนรู จ ัก ธาตุที ่ไ มม ีป จ จัย ปรุง แตง เรื ่อ งมัน ก็จ บกัน . ตั ้ง ตน ดว ยเรื ่อ ง ธาตุ แล ว ก็ เป น ไปตามเรื่อ งของธาตุ เรื่ อ ย ๆ ไปจนกระทั่ ง ถึ ง ธาตุ สุ ด ท า ย, คื อ ธาตุ ที่ ไม ต อ งมี ป จ จั ย ปรุ ง แต ง เป น ที่ จ บที่ สิ้ น ของการหมุ น เวี ย นเปลี่ ย นแปลงของธาตุ ที่ มี ป จ จั ย ปรุ ง แต ง มั น ก็ จ บกั น เท า นี้ . แต ร ายละเอี ย ดมั น มี ม าก ฉะนั้ น เราเรี ย น เรื่องธาตุใหรูในชั้นที่เปนรากฐาน เปนพวกรากฐาน จึงไดเรียกวา ก ข ก กา.


๙๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา [เริ่มการบรรยายครั้งนี้.]

ทีนี้ก็ดูกันในหัวขอที่จะพูดวันนี้ วา การเกิดขึ้นของทุกสิ่ง ตั้งตนที่ ผัสสะสิ่งเดียว เปนเรื่อง ก ข ก กา ของมนุษยหรือของโลกทั้งหมด หรือของ อะไร ๆ ทั้งหมด.

มนุษยมีขึ้นเมื่อมีผัสสะ. เราจะพู ดกั นถึ งเรื่ องมนุ ษย ก อน ก ข ก กา ของมนุ ษย นี่ มั นมี ความหมาย ซั บ ซ อ นอยู ห ลายชั้ น ก ข ก กา ที่ ม นุ ษ ย จ ะต อ งเรี ย น อย า งนี้ ก็ ไ ด เรี ย กว า ก ข ก กา ของมนุ ษ ย ; เพราะมนุ ษ ย จ ะต อ งเรี ย นเรื่ อ งนี้ ก อ น อย า งนี้ ก็ ไ ด . แต ที่ จ ริ ง มั น ยิ่ ง กว า นั้ น คื อ ว า มนุ ษ ย นี้ มั น ตั้ ง ต น ขึ้ น มาจากสิ่ ง ใด ควรจะเรี ย กสิ่ ง นั้ น ว า ก ข ก กา สํ า หรับ ปรุง ขึ ้น มาเปน มนุษ ย ; นั ่น แหละจะเขา ใจเรื ่อ งผัส สะไดง า ยขึ ้น . เมื่ อ ใดมี ผั ส สะ เมื่ อ นั้ น สิ่ งที่ เรีย กวามนุ ษ ย จ ะมี ขึ้ น ; เมื่ อ ไม มี ผั ส สะสิ่ งที่ เรีย กวา มนุ ษ ย ก็ ไม มี . เมื่ อไรมี ผั ส สะ คื อ ความรูสึ ก ต อ สิ่ งใด เมื่ อ นั้ น จึ งจะเรียกว ามนุ ษ ย มี ; ถายังไมทําหนาที่ผัสสะ ก็ยังไมเรียกวาเปนมนุษยเพราะมันไมรูสึกอะไร.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org พอมาถึ ง ตอนนี้ ก็ อ ยากจะแนะให เปรีย บเที ย บเรื่อ งแผ น ดิ น อี ก คน ๆ หนึ่ง มองวา แผน ดิน โลกนี้ม ีอ ยูต ลอดเวลา ; แตค นหนึ่ง มองวา เราจะถือ วาแผ น ดิ น นี้ มี เท าที่ เรากํ าลั งมี ค วาม รูสึกตอแผนดิน นั้น ๆ อยู ; ถาเราไม รูสึก ต อ มั น มั น ก็ ค วรจะถื อ ว า ไม มี หรื อ มี ค า เท า กั บ ไม มี . เช น เมื่ อ เรานอนหลั บ อยู พวกแรกมั น ก็ ถื อ ว า ถึ งเราจะหลั บ ไม รูไม เห็ น อะไร แผ น ดิ น มั น ก็ ยั งมี , คนธรรมดา


ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ

๙๗

ก็พ ูด อยา งนี ้. ทีนี ้อ ีก คนหนึ ่ง มัน พูด วา เมื ่อ ฉัน นอนหลับ แผน ดิน มัน ก็ม ีค า เทา กับ ไมม ี; เพ ราะฉัน ไมรู ส ึก ตอ สิ ่ง ที ่เ รีย กวา แผน ดิน นั ้น . ฉะนั ้น สองคนนี้ คนไหนจะเปนคนโงกวาหรือคนฉลาดกวากัน ? ถ าว าคนที่ สลบ เช น ถู กวางยาสลบหรื อสลบเองก็ ตาม มั นไม รู สึ กว าอะไร มี เขาก็จ ะถือ วา แผน ดิน นี ้ม ิไ ดม ี; แตค นหนึ ่ง มัน ก็แ ยง วา มี. คนนั ้น มัน จะตาย ไปเขา โลงไปแลว แผน ดิน มัน ก็ย ัง มี แผน ดิน โลกนี ้ม ัน ก็ย ัง มี. แตค นหนึ ่ง จะถือ ว า เมื่ อ คนนั้ น เข า โลงตายไปแล ว แผ น ดิ น มั น จะมี อ ะไรสํ า หรั บ คนที่ มั น เข า โลงตาย ไปแลว . นี ่จ ะเอาบัญ ญัต ิคํ า วา มี หรือ คํ า วา ไมม ี กัน ที ่ต รงไหนแน ? ขอให ดูใหดี.

ความมีหรือไมมี ขึ้นอยูกับความรูสึกที่มีผลออกมา. ถา ตามทางพุท ธศาสนาแลว จะถือ วา มีห รือ ไมม ีก ็ต าม มัน ก็เ อา ตรงที ่ม ัน มีค วามหมาย มีค า มีผ ลอะไรขึ้น มา; ถามัน ไมมีความหมายอะไรเลย ก็ ถื อ ว าเท ากั บ ไม มี . เช น ว า คนตาบอด ภาพต าง ๆ มั น ก็ ไม มี ค าสํ าหรั บ คนตาบอด คนหู ห นวก เสี ย งต า ง ๆ มั น ก็ ไ ม มี ค า สํ า หรั บ คนที่ หู ห นวก. ถ า เป น คนที่ จ มู ก ไม รู กลิ ่น แลว กลิ ่น นั ้น มัน ก็ไ มม ีสํ า หรับ คนนั ้น ; บางทีพ ูด กัน ไมรู เ รื ่อ งมัน นา โมโห, พู ด กั บ คนที่ จ มู ก มั น ไม รู ก ลิ่ น อะไรเลยนี้ ให มั น ดมอะไรมั น ก็ ไ ม มี ค วามหมายอะไร, จะให ด มของหอมอะไร มั น ก็ ไ ม มี ค วามหมายอะไร. มั น เป น อย า งนี้ เรื่ อ ยไปจนถึ ง เรื ่อ งของลิ ้น , เรื ่อ งของผิว หนัง , เรื ่อ งของอะไรตา ง ๆ, ถา คนมัน เปน อัม พาตเสีย แลว โผฏฐัพพะทั้งหลายมันก็ไมมีความหมายอะไร อยางนี้.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


๙๘

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ที นี้ ก็ ม าดู กั น ถึ ง เรื่ อ งของความทุ ก ข ความทุ ก ข มั น เป น เรื่อ งที่ ป รากฏ แกใ จ ; ไมใ ชป รากฏแกสิ ่ง ที ่ไ มม ีใ จ. ความทุก ขที ่เ จ็บ ปวดทนยากนี ้ มัน มี ความหมายสํา หรับ สิ่งที ่ม ีค วามรูสึก คือ มีจ ิต ใจ; ดังนั้น มัน จึงไมมีค วามหมาย แกก อ นหิน หรือ อะไรทํ า นองนี ้. สํ า หรับ ตน ไมนี ้ม ัน อยู ร ะหวา งครึ ่ง ๆ คือ มัน รู ส ึก อยู ส ัก ครึ ่ง หนึ ่ง เห็น จะได, อัน นี ้เ ราไมจํ า เปน จะตอ งไปรู ว า ครึ ่ง หรือ ไมค รึ ่ง แต มั น มี ค วามรูสึ ก เพราะเราเคยเห็ น ต น ไม มั น ทํ าอาการต อ สู เพื่ อ เอาชี วิ ต รอด ; แม วามั นจะไม รูสึ กเจ็ บ ปวด มั น ก็ ยั งไม อยากจะตาย มั นมี ความรูสึ กต อ สู ที่ ไม อยากจะ ตาย ขวนขวายอยา งนั ้น อยา งนี ้. ไปสัง เกตดูใ หด ี จะเห็น การตอ สู ข องตน ไมนี้ เพื่อใหอยูรอด. นี่ค วามทุก ข มัน มีค วามหมายเฉพาะแกสิ่งที ่ม ีค วามรูสึก ; ฉะนั ้น เราจะต อ งเอารื่ อ งของสิ่ ง ที่ มี ค วามรู สึ ก นั่ น แหละเป น หลั ก , ก็ คื อ เอาเรื่ อ งของคน ของมนุ ษย เรา ที่ มี จิ ตมี ใจมี ความรูสึ กนี่ แหละเป นหลั ก เรียกวามนุ ษย ตั วหนั งสื อมั น ก็ บ อกอยู แ ล ว มนุ ษ ย แ ปลว า มี จิ ต ใจในระดั บ สู ง สํ า หรั บ ความรู สึ ก กระทั่ ง จะรู พ ระ นิพ พานก็ไ ด ; ถา ไมอ ยา งนั ้น มัน ก็จ ะตอ งไมใ ชม นุษ ย มัน จะเปน คนธรรมดา มากเกินไป, เปนปุถุชนมากเกินไป กระทั่งเปนสัตวเดรัจฉานไปเสีย.

www.buddhadasa.in.th การรูธรรมะตองเปนเรื่องของเวไนยสัตว. www.buddhadasa.org เรื่ อ งธรรมะทั้ ง หมด ต อ งเอาระดั บ ของมนุ ษ ย ที่ พ อจะรู อ ะไรได ม า เปน หลัก ซึ ่ง เขาเรีย กวา เวไนยสัต ว, หมายถึง มนุษ ยที ่พ อจะพูด กัน รู เ รื ่อ ง มนุ ษ ย ที่ พ อจะทํ าความเข าใจกั นได , แล วก็ พ าไปได คื อ ผู ที่ พ ระพุ ทธเจ าท านพอจะ


ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ

๙๙

พาไปได จึ ง จะเรี ย กว า เวไนยสั ต ว . ถ า มั น ถึ ง ขนาดที่ พู ด กั น ไม รู เรื่ อ ง พระพุ ท ธ – เจาทานก็พ าไปไมไดแ ลว เขาก็ไมเรีย กวา เวไนยสัต ว ; เพราะคําวา เวไนยะ นี ้แ ปลวา พอจะพาไปได. ธรรมะก็เปน เรื่อ งของเวไนยสัต ว คือ สัต วที ่พ อจะพา ไปได. ทีนี้คนในโลกนี้ มันมี เวไนยสัตวกันสักกี่มากนอย ? คําพูดนี้ไมยกเวน ใคร ไม ย กเว น ภิ ก ษุ สามเณร อุ บ าสก อุ บ าสิ ก า หรื อ ใครชนิ ด ไหน แล ว มี อ ยู สั ก กี่ ค นที่ เป น เวไนยสั ต ว ? ที่ พ อที่ พ ระธรรมของพระพุ ท ธเจ า จะพาไปได . การเป น พระเณรนี้ ยั ง ไม รั บ ประกั น ได ; เพราะว า โดยจิ ต ใจแล ว กลั บ ไปอยู แ ถวหลั ง ของ พวกฆราวาสบางคนเสี ย ก็ มี . ฉะนั้ น ภิ ก ษุ ส ามเณรบางคนติ ด แน น อยู ในกามารมณ หรือในอะไรตาง ๆ ที่แมพระพุทธเจาก็พาไปไมได. ขอให คิ ด ดู ให ดี ๆ ว า ความสํ า คั ญ ของมนุ ษ ย นั้ น มั น อยู ต รงที่ มี ค วาม เปน เวไนยสัต ว. ฉะนั้น เรื่อ งที่จ ะพูด ตอ ไปนี้ ก็ตอ งเปน เรื่อ งในระดับ บุค คล ที่ เป น เวไนยสั ต ว คื อ พอจะเข า ใจกั น ได เปลี่ ย นแปลงไปตามความรู นั้ น ๆ ของ พระพุท ธเจา ที ่ท า นทรงสั ่ง สอนไวไ ด; อยา งนี ้จ ึง เรีย กวา มนุษ ย ที ่แ ทจ ริง คื อ มี จิ ต ใจสู ง เรื่อ ง ก ข ก กา ของมนุ ษ ย ก็ ห มายความว า มนุ ษ ย ต อ งตั้ ง ต น กั น ตรงนี ้, ตั ้ง ตน เปน มนุษ ยก ัน ที ่ต รงนี ้ คือ เริ ่ม รู จ ัก สิ ่ง ที ่ค วรรู  แลว ใจมัน ก็ สู งขึ้ น บ าง ก็ เรีย กว า ก ข ก กา ของมนุ ษ ย มั น เริ่ม ต น แล ว เป น การเกิ ด แห งมนุ ษ ย แลว อยางนี้ก็ได.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สํ าหรั บคํ าว า ก ข ก กา ของมนุ ษย มั นมี ความหมายหลายอย างอย างนี้ แต ส รุ ป แล ว มนุ ษ ย ต องหมายความว า มี ป ญ ญาอย างมนุ ษ ย ; ไม ใช ว าเกิ ด มาเป น คนแลว มัน จะเปน มนุษ ย. เกิด มาเปน คนนั ้น อาตมาถือ วา เปน กัน ทุก คน


๑๐๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ยัง ไมท ัน เปน มนุษ ย ; จะเปน อาตมาเอง หรือ ใครก็ต าม พอเกิด มาจากทอ งแม มั นยั งไม เป นมนุ ษ ย , คื อมั นยั งไม มี จิ ตใจสู งพอที่ จะเข าใจในธรรมะของพระพุ ทธเจ า ไมเปน เวไนยสัต ว. ตอ งศึก ษาอบรมกัน มาเรื่อ ย ๆ ถา ถูก วิธีสํ า หรับ บางคน ใจ มั น ก็ สู ง พอถึ ง จะเรี ย กว า เป น มนุ ษ ย , คื อ เข า ไปในขอบเขตของเวไนยสั ต ว ที่ พ ระ พุ ท ธเจ า ท า นพอจะพาไปได , ที่ เหลื อ นอกนั้ น ไปไม ไ ด มั น ก็ ต ายอยู ในวั ฏ ฏสงสาร ตายอยูในโลกนี้. นี่ จึ ง ถื อ เอาผู ที่ มี ป ญ ญาของมนุ ษ ย มาเป น ผู ที่ มี ม นุ ษ ย มาเรี ย น ก ข ก กา ก็ เรี ย นเพื่ อ ย า งขึ้ น สู ค วามเป น มนุ ษ ย เพราะไม รู ม าจากในท อ ง. เกิ ด มาแล ว ก็ เรี ยน ก็ เรี ยน ก ข ก กา สํ าหรั บ จะมี ความรู สํ าหรั บ ย างขึ้ นมาสู ความเป นมนุ ษ ย . ดัง นั ้น จึง ถือ วา เรื ่อ งนี ้เ ปน เรื ่อ งสํ า หรับ มนุษ ย คือ เรื ่อ งมนุษ ยจ ะรู จ ัก ตัว เองวา ตั้งตนเปนมนุษยขึ้น มาอยางไร ? แลวจะไปกันทางไหน ? แลวจะไปจบกัน ที ่ไ หน ? เรื ่อ งจบนั ้น ยัง ไมถ ึง จะไมพ ูด ก็ไ ด. มัน ก็ต าย แตนี ่จ ะพูด เรื ่อ งตั ้ง ตน ซึ่งเรียกวา ก ข ก กา.

ดู ก ข ก กา ตามหลักพุทธศาสนา. www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เอ า, ที นี้ มองกั นต อไปที่ ว า เรื่ อง ก ข ก กา ของความเป นมนุ ษย นี่ พวก อื่ น จะพู ด กั น อย า งอื่ น ; แต เราพวกพุ ท ธบริ ษั ท ก็ จ ะพู ด กั น อย า งที่ พ ระพุ ท ธเจ า ทานสอนไว หรือวาพูดกันตามหลักพุทธศาสนา. ทีนี้ พอมาถึงคํ าวา ตามหลั กของพระพุ ทธศาสนา ป ญ หาก็ยังมี อีกวา พุ ทธศาสนาชนิ ดไหน ? พุทธศาสนาเดี๋ยวนี้ก็เกิดมีหลายแบบเหลือประมาณ ; อยาง


ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ

๑๐๑

นอยก็มีพุทธศาสนาอยางเถรวาท, อยางมหายาน เปนตน, แลวก็มีพุทธศาสนา ที่ ประหลาด ๆ ที่ แตกแขนงเกิ ดขึ้ นใหม ๆ แยกออกไปจนเรียกกั นไม ถู กก็ มี , เดี๋ ยวนี้ จะ เอากั นแต เพี ยงว า เป นพุ ทธศาสนาอย างเถรวาท คื อถื อเอาตามคํ าสอนที่ อยู ในภาษา บาลี ที่ เรี ย กกั น ว า พระไตรป ฎ ก, จะเว น พุ ท ธศาสนาอย างมหายาน. แม ม หายาน ก็ มี พ ระไตรป ฎก แต เราถื อว ามั นมี อะไรที่ แปลกออกไป, แล วก็ มี ความมุ งหมายที่ จะ พูด จะสอนกัน โดยวิธีก ารอยา งอื่น . เราก็เลิก สนใจ จะสนใจกัน แตพ ุท ธศาสนา อยา งเถรวาท ในพระคัม ภีร ที ่เราถือ กัน อยู ท ุก วัน นี ้ คือ พระไตรปฎ กบาลีอ ยา ง เถรวาท. ที นี้ ในพระไตรป ฎ กอย า งเถรวาทของเราทั้ งหมดนี้ มั น ก็ ยั ง มี ไม แ ง ต าง ๆ กั น คื อในแงข องการปฏิ บั ติ ที่ จํ าเป นแก ความเป นมนุ ษ ย เป น ก ข ก กา แกค วามเปน มนุษ ยโ ดยตรงก็ม ี; สว นนี ้ก ลับ ไมค อ ยมีใ ครสนใจ. อีก สว นหนึ ่ง ก็เ ปน แงข องปริย ัต ิ สูง ขึ ้น ไปจนถึง ปรมัต ถอ ภิธ รรม อัน นี ้เ ปน แงข องปริย ัต ิ ; ส วนนี้ ยิ่ งสนใจกั น มาก แล วก็ ยิ่ งเตลิ ด เป ด เป งไป คื อ ว าไกลออกไปจากการปฏิ บั ติ . ไมตั ้ง ตน เปน การปฏิบ ัต ิ ตั ้ง ตน แตรูใ หม ัน มากเขา ๆ ๆ , พูด ไดม ากเขา มัน ก็เกง แต ใ นทางที่ จ ะพู ด ในทางที่ จ ะอธิ บ าย ; แต ใ นจิ ต ใจไม มี ก ารปฏิ บั ติ เลย. หมาย ความว า ไม รู จั กแม แต ความเป นมนุ ษย ของตั วที่ เป นจริ ง ๆ คื อไม รู จั กเรื่ อง ก ข ก กา อยางที่เรากําลังวากัน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แม ว า จะพู ด ถึ ง เรื่ อ งเดี ย วกั น , พู ด ถึ ง ชื่ อ ธรรมะ ชื่ อ เดี ย วกั น มั น ก็ ยั ง มี ความหมายต างกั น . เช น ว า จะพู ด กั น ถึ งเรื่อ ง ผั ส สะ อย างที่ ว านี้ หรือจะขยั บ เข า มาอีก พู ดเรื่อง ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ อยางที่กําลังจะพู ดนี้ พู ดอยางนั กปฏิ บั ติ มันก็มีความหมายที่แทจริงอยูอยางหนึ่ง ; แตพูดอยางนักปริยัติ มันมีความ


๑๐๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

หมายไปอีก อยา งหนึ ่ง . มัน เดิน คนละทางอยู อ ยา งนี ้ ; เพราะเขามุ ง หมายตา ง กัน . พวกปฏิบ ัต ิก ็จ ะมุ ง ดับ ทุก ขโ ดยตรง โดยเร็ว โดยดว น ราวกับ วา ไฟมัน ไหมอ ยู ที ่ศ ีร ษะ จะตอ งรีบ ดว น. สว นนัก ปริย ัต ิเ ขาไมม ีป ญ หาอยา งนั ้น ; เขา มีแ ตว า จะรู อ ะไรใหยิ ่ง ขึ ้น ไป, จะตอบคํ า ถามที ่ม ัน เพิ ่ม ขึ ้น มาใหมเ รื ่อ ย ๆ ๆ จน ในที ่ส ุด มัน ก็เ ฟอ , ตอ งใชคํ า อยา งนี ้; เพราะมัน เกิน จํ า เปน ที ่จ ะตอ งรู  มัน เกิด คํ า พู ด ขึ้ น มาว า รู ม าก - ยากนาน อย า งนี้ หรื อ บ า หอบฟางอะไรนี้ ขึ้ น มา ก็ สํ า หรั บ แตพวกนักปริยัติเทานั้นแหละ. คําพูดอยางนี้จะไมมีแกนักปฏิบัติ. ขอให สั ง เกตดู ใ ห ดี ๆ ว า เราจะต อ งพู ด กั น แต ใ นแง ข องการปฏิ บั ติ ; แมเ ปน อยา งเถรวาทแท ๆ แลว ก็ย ัง พูด กัน แตใ นแงข องการปฏิบ ัต ิ ; ไมจํ า เปน จะตอ งพูด ในแงข องปริย ัต ิ ซึ ่ง มัน ยากที ่จ ะยุต ิล งได หรือ จะจบลงได, ยิ ่ง เปน นั ก เลงหนั ง สื อ แล ว มั น ก็ ข ยายความได ไ ม มี ที่ สิ้ น สุ ด . ถ า จะเอากั น ในแง ข องการ ปฏิ บั ติ มั น ก็ มี เหตุ ผ ลต น ปลายอย า งที่ ว า มาแล ว ว า เรามี ค วามทุ ก ข เ ป น ป ญ หา เบื ้อ งตน . เราดูว า ความทุก ขเ กิด อยู อ ยา งไร ? เกิด อยู ที ่ต รงไหน ? ใหรู จ ัก ก ข ตั ว นี้ กั น เสี ย ก อ น ว า ความทุ ก ข นี้ เป น อย า งไร ? อยู ที่ ต รงไหน ? แม ที่ สุ ด แต จ ะมอง กันวา ทุกสิ่งนี้มาตั้งตนเกิดเปนปญหาขึ้นเมื่อไร ?

www.buddhadasa.in.th ในแงปฏิบัติ ตองรูการตั้งตนของผัสสะ. www.buddhadasa.org สิ่งตาง ๆ ที่เกี่ยวของกันอยู ในชีวิตของคนเรานั้น มันตั้งตนเกิดเปนปญหา ขึ้ น มาเมื่ อ ไร ? คํ าตอบก็ มี อ ยู อ ย างที่ ก ล าวแล ว เมื่ อ ตะกี้ นี้ ว า มั น ตั้ งต น ขึ้ น มา เมื่ อ มัน มีสิ ่ง ที ่เ รีย กวา ผัส สะ นั ่น เอง. มี ผัส สะ เมื ่อ ไร ? ที ่ไ หน ? ปญ หาจะ


ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ

๑๐๓

ตั ้ง ตน ที ่นั ้น และเมื ่อ นั ้น ผัส สะทางตาก็ไ ด ทางหูก ็ไ ด ทางจมูก ก็ไ ด ทางลิ ้น ก็ไ ด ทางผิวหนังก็ได ทางใจลวน ๆ ก็ได ตั้งตนเมื่อไรก็มีปญหาเมื่อนั้น. แตต รงนี ้ก ็ต อ งเขา ใจกัน อีก ทีห นึ ่ง วา ผัส สะนี ้ม ัน มีอ ยู  ๒ ชั ้น เปน เรื่อ งที่ เคยอธิ บ ายแล ว ว า มี อ ยู ๒ ชั้ น คื อ ว า ผั ส สะเฉย ๆ, ผั ส สะกระทบโป ง ๆ ไปนี ้ มัน ก็ผ ัส สะหนึ ่ง . ผัส สะอีก อัน หนึ ่ง เปน ผัส สะเมื ่อ จิต ใจเขา ไปรู ค วาม หมายของสิ่งนั้น นี่เปน ผัส สะที่จ ะทําใหเกิด ปญ หา ดว ยอํานาจของอวิช ชา. เขาจึงได เรีย กวา อวิช ชาสั ม ผั ส คื อผั สสะด วยอํานาจของอวิชชา คื อ มีผั สสะด วย อํ านาจของความโง ถ าเรามี ผั สสะด วยอํ านาจของป ญญาของความรูแล ว ป ญหาไม มี , จะไมมี อะไรทําใหเกิดความทุ กขขึ้นมาได. แตนี้เราผัสสะหรือสั มผั สสิ่ งตาง ๆ ด วย อํานาจของอวิชชา หรือความโง มันจึงเปนปญหา. เมื ่อ ตามัน โง มัน ก็ส ัม ผัส รูป ในฐานะที ่เ ปน สิ ่ง ที ่น า รัก นา ยิน ดี นา ยึด ถือ วา เปน ตัว กูเปน ของกู. ถา หูม ัน โง ก็ส ัม ผัส เสีย ง ในฐานะที ่เปน สิ ่ง ที ่น า รัก นา ยิน ดี วา เปน ของกู - ของกู. จมูก มัน ก็โ ง ก็ส ัม ผัส โดยความเปน ของ หอมน าเสน หาอะไรต าง ๆ เหล านี้ . ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ที่ มั นโง มั นไปสั มผั ส เอาอะไรมา ในฐานะเป นสิ่ งที่ น ารัก น ายิ นดี น ายึ ดถื ออย างนี้ เขาเรียกวามั นสั มผั ส ดว ยอํ า นาจของอวิช ชา ; นี ่เ รีย กวา ผัส สะในที ่นี ้ ซึ ่ง เปน ที ่ตั ้ง ตน ของสิ ่ง ทั้งหลายทั้งปวง.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ า จะมองดู กั น ส ว นใหญ ส ว นกว า ง ส ว นใหญ ที่ สุ ด ว า ทารกเกิ ด ลื ม ตา ออกมาจากท อ งแม ในโลกนี้ เห็ น โลกนี้ เข า ในสภาพอย า งนี้ ก็ ล องคิ ด ดู ว า ทารกนี้ มัน รู จ ัก โลกนี ้ผ ิด หรือ ถูก ? พวกหนึ ่ง จะตอบวา รู จ ัก ถูก สิ เพราะตามัน ดี หูม ัน ดี


๑๐๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

อะไรมั น ดี มั น ก็ ต อ งรู จั ก อย า งที่ ค นทั่ ว ไปรู แล ว ก็ ถื อ ว า ถู ก สิ . แต ว า ทางธรรมะนี้ ยัง ไมถือ ยัง ไมถือ วา ทารกนี้รูจัก โลกนี้อ ยา งถูก ตอ ง ; เพราะวา ทารกนี้ไ ม ไดม ีค วามรู เ รื ่อ งทุก ข เรื ่อ งเหตุใ หท ุก ข เรื ่อ งอะไรเลย. ดัง นั ้น แกจึง รู จ ัก โลกนี้ ไปตามความหมายของคนธรรมดารู จั ก ไม รู ว า ทุ ก ข เป น อย า งไร ? เหตุ ใ ห เกิ ด ทุ ก ข เป น อย า งไร ? ก็ เรี ย กว า เราลื ม ตาขึ้ น มาในโลกนี้ ไม ใ ช ด ว ยอํ า นาจของวิ ช ชาหรื อ ปญญา มันมาในลักษณะกลาง ๆ. หรือถาจะถามวารูหรือไมรู ? ก็บอกวาไมรู. พระพุทธเจาก็ยังไดตรัสเรื่องนี้วา ทารกนั้นมิไดมีความรูเรื่องเจโตวิมุติ ปญญาวิมุติมากอน; ฉะนั้นเขาจึงมีอวิชชาที่จะยึดถือนั่นนี่เปนตัวตน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เปนตัวตน, คือเปนปฏิจจสมุปบาทหรือเปนความทุกขขึ้นมา. ทารกธรรมดาเปน อยา งนี ้ ; พอทารกนี ้โ ตขึ ้น แลว ไดศ ึก ษาอะไรมากพอ จึง จะ เรี ย กว าทารกนี้ พ น จากความเป น ทารก เพราะว าเขารู จั ก โลกทั้ งหลายทั้ งปวง ตามที่ เปนจริง.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ แ หละเขาเริ่ ม เรี ย น ก ข ก กา กั น ที่ ต รงนี้ ไม ใช เรี ย น ก ข ก กา เมื่ อ อายุ ๔ - ๕ ป กั บ ครู ที่ โ รงเรี ย น ; นั้ น สํ า หรั บ จะรู ห นั ง สื อ สํ า หรั บ จะรู วั ต ถุ รู โ ลก ทางวัต ถุ. แตว า ทารกนี ้จ ะเริ ่ม รู จ ัก ความทุก ข รู จ ัก เหตุใ หเ กิด ทุก ข จากใจจริง ของตน วา พอเราคิด อยา งนี ้แ ลว เปน ทุก ขท ุก ที พอเรายึด ถือ อยา งนี ้แ ลว เปน ทุ ก ข ทุ ก ที . โดยทางตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ มี ผั ส สะ มี เวทนาอย า งนี้ นี่ เรี ย กว า ทารกเริ่ ม รู จั ก ก ข ก กา ของพระพุ ท ธเจ า , แล ว ก็ เรี ย นหนั ง สื อ จากพระพุ ท ธเจ า โดยตรง. ในที่ สุ ดเขาก็ จะรูอยางที่ กําลั งพู ดนี้ วา เพราะสั มผั สด วยอวิชชา จึ งเกิ ด ความยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ใน ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ รูป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ


ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ

๑๐๕

ธัมมารมณ , เรียกวาป ญ หามั นแยกตั วออกมาชั ดเจน เป นความทุ กข เกิ ดขึ้ น เมื่ อตา เห็ น รูป เป น ต น ด ว ยอํ า นาจของอวิ ช ชาสั ม ผั ส ความหมายก็ เกิ ด แก สิ่ ง ทุ ก สิ่ ง คื อ สิ่ งทุ กสิ่ งนั้ นจะให มี ความทุ กข ก็ ได , จะให มี ความรูความฉลาด ไม มี ความทุ กข ก็ ได . แตถา ปลอ ยใหเปน ไปตามเรื่อ งตามราวของสามัญ ชนคนธรรมดาแลว มัน เปน ไปเพื ่อ ความทุก ขทั ้ง นั ้น ; เพราะวา สามัญ ชนมิไ ดพ กเอาสติป ญ ญาความรู มา ตั ้ง แตใ นทอ ง ยัง ไมท ัน จะเรีย น มัน ก็ต อ งเรีย น. เดี ๋ย วนี ้ก ็รู ว า เปน อยา งนี ้ ๆ คือเรียนจากของจริง. แต มั น ก็ เป น ความรู ที่ ต รงกั น กั บ ที่ พ ระพุ ท ธเจ า ท า นได ต รั ส ไว แม ว า จะ ไมม ีโ อกาสไปพบพระพุท ธเจา , หรือ วา แมไ มม ีโ อกาสจะไดอ า นพระไตรปฎ ก ; แตถา เขาเปน คนที่มีค วามรูสึก ดี มีปญ ญา ก็จ ะคอ ย ๆ พบไดเ หมือ นกัน วา ถา คิด อยา งนี ้แ ลว ก็เ ปน ทุก ขท ุก ที, ถา นึก อยา งนี ้ รูส ึก อยา งนี ้ แลว ก็เปน ทุก ข ทุกที, หรือวาถาทําอยางนี้เปนเกิดเรื่องทุกที, อยางนี้เปนตน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แต ก ารที่ จ ะให เขารู เองอย า งนี้ มั น ช า เกิ น ไป เพราะฉะนั้ น เรามาถื อ เอา ประโยชนจากการตรัสรูของพระพุทธเจากันบาง คือ ไปเอาคําสั่งสอนของทานมา ศึก ษา จะชว ยใหเ ร็ว ขึ ้น ; ถา ไมอ ยา งนั ้น แลว จะมาวัด กัน ทํ า ไม ? มาฟง เทศน มาฟ ง ปาฐกถา กั น ทํ า ไม ? ก็ เพื่ อ ว า จะช ว ยประหยั ด เวลา. เอาความรู ข องพระ พุท ธเจา มาชว ย ใหม ัน เร็ว เขา , เรีย กวา ที ่จ ะคิด นึก เอาเองทั ้ง หมด ; แตแ ลว มัน จะตองตรงกัน ถาถูกแลวเปนอันวาตรงกัน. อยางไรเรียกวาถูก ? ที่เรียกวา ถูก นั้น คือ ดับความทุกขได. อยา ไปเอาถู ก เอาผิ ด กั น ตามแบบปรัช ญา มั น จะเพ อ เจ อ , มั น จะโงห นั ก ขึ้ น ไปอี ก ที่ ว า


๑๐๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ถู ก หรื อ ผิ ด ตามแบบของปรั ช ญานั้ น มั น มากมายหลายสิ บ แขนง. แต ถ า ตามแบบ ของพระพุท ธศาสนาแลว มัน งา ยนิด เดีย ว ; ถา มัน ดับ ทุก ขไ ดแ ลว เปน ถูก แน. ดั บ ทุ ก ข ไ ด ม าก ก็ ถู ก มาก, ดั บ ทุ ก ข ไ ด น อ ย ก็ ถู ก น อ ย, ดั บ ทุ ก ข ไ ด ทั้ ง หมด ก็ เ ป น อั น ว า ถู ก ทั้ ง หมด, ฉะนั้ น เราจึ ง รู จั ก ได ด ว ยป ญ ญาของเราเอง ไม ต อ งเชื่ อ บุ ค คลอื่ น ไมตองเชื่องม ๆ งาย ๆ อยางที่หามไวใน กาลามสูตร ๑๐ ประการนั้น. ไมตองเชื่อแมแตคําของครูบาอาจารย, ไมตองเชื่อแมแตคําของพระ พุทธเจาดวยซ้ําไป. พระพุทธเจาทานตองการ, ทานทรงประสงคอยางนี้วา สาวก ทั้งหลาย อยาไดพูดตามคําของเราเลย. พวกสาวกทั้งหลายจงพูดตามความรู ที่ตัว รูแจงประจักษอยูในใจออกไปเถิด ไมตองพูดตามคําของศาสดาของตน ๆ. แตแลว มันก็ไปตรงกันนั่นแหละ. นี่ ห มายความว า พระพุ ท ธเจ า ท า นทรงมี ค วามประสงค ใ ห ทุ ก คน พยายาม จนกระทั่ งรู จ ริ ง รู ถู ก ต อ ง แล ว ดั บ ทุ ก ข ได , แล วพู ด ออกไปตามลํ า พั ง ตน ถา ถูก แลว ก็ด ับ ทุก ขไ ด, แลว ก็จ ะไป ตรงกัน กับ คํ า ของพ ระพ ุท ธเจา เอง ; อย า งนี้ ท า นเรี ย กว า ไม ต อ งพู ด ตามคํ า แห ง ศาสดาตน. พู ด ตามความรู สึ ก ในใจของ ตนออกมา แล ว ก็ ไ ปตรงกั บ คํ า ของพระศาสดานั้ น ก็ ต ามใจนั้ น ; อย า งนี้ จึ ง จะ เรี ย กว า เป น สาวกที่ แ ท จ ริ ง . ท า นวางหลั ก ไว อ ย า งนั้ น ว า ในที่ สุ ด เขาจะไม ต อ งพู ด กั น ตามคํ า แห ง ศาสดาของตน, เขาจะพู ด จากความรู สึ ก ภายในใจของเขาเอง ; แต แลวมันก็ไปตรงกันอยางนี้.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ ค น ที่ รู ก ข ก กา เรื่ อ ยไป จน รู ห นั งสื อ ห นั งห า รู ห ม ด แล วมั น ก็ จะเปน อยา งนี ้. พูด อะไรออกไปจากจิต ใจของตน ; ไมต อ งพูด ตามพระบาลี,


ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ

๑๐๗

ไมตอ งพูด ตามพระไตรปฎ ก, ไมตอ งพูด ตามอะไร. ขอใหพ ุด ออกไปจากความ รู ส ึก ในใจ แลว ก็จ ะถูก โดยที ่ว า ดับ ทุก ขไ ด แลว ก็จ ะไปตรงกับ คํ า ในบาลีใ น พระไตรป ฎ กเอง. อย า งนี้ เราเรี ย กว า ก ข ก กา ตามแบบของนั ก ปฏิ บั ติ , เรี ย น หนั ง สื อ ตามแบบของนั ก ปฏิ บั ติ , ไม ใ ช เรี ย นตามแบบของนั ก ปริ ยั ติ หรื อ ท อ งจํ า หรือคิด ๆ นึก ๆ คํานึงคํานวณ.

ดูความรูสึกของจิตใจจะรูไดวา ทุกอยางตั้งตนที่ผัสสะ. เอาละ ที นี้ มั นก็พบไดเอง ในขอที่ สํ าคัญที่ สุดขอหนึ่ งวา ทุ กอย างตั้ งต น ที ่ผ ัส สะ, เกิด ขึ ้น ก็เ กิด ที ่ผ ัส สะ, ตั ้ง อยู ก ็ตั ้ง อยู ที ่ผ ัส สะ จนกวา ผัส สะนั ้น จะ ดั บ ไป, แล ว ก็ ต อ งหมายถึ ง สั ม ผั ส ด ว ยอวิ ช ชา ถ า เป น เรื่ อ งของความทุ ก ข , ถ า เป น เรื่อ งของความไม มี ทุ ก ข ก็ สั ม ผั ส ด ว ยวิ ช ชาด ว ยป ญ ญา. ที นี้ ต ามธรรมดาคน ก็ส ัม ผัส ดว ยอวิช ชาทั ้ง นั ้น แหละ. ฉะนั ้น มัน จึง ตอ งเกิด ขึ ้น เพราะสัม ผัส ดว ย อวิ ชชา, ตั้ งอยู ที่ สั ม ผั ส ของอวิ ชชา, แล วก็ จะดั บ ไป พรอ มกั น กั บ การดั บ ของสั ม ผั ส ด ว ยอวิ ช ชา, เพื่ อ ไปหาเรื่ อ งใหม เพื่ อ ไปมี เรื่ อ งใหม . เรื่ อ งนี้ มั น เสร็ จ ไปก็ ดั บ ไป แลวก็ไปตั้งตนเรื่องใหม.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทุ ก อย า งตั้ ง ต น ที่ ผั ส สะ เกิ ด ขึ้ น ที่ ผั ส สะ ตั้ ง อยู ที่ ผั ส สะ ; ผั ส สะชนิ ด โง หรือ ฉลาดก็ส ุด แท แตม ัน จะมีอ ยู ชั ่ว ขณะของผัส สะทํ า หนา ที ่อ ยู . พอผัส สะไม ทํ า หนา ที ่ ดับ ไปแลว มัน ก็เ ปน อัน วา ดับ ไป. นี ่เ รื ่อ งมัน จึง เปน เรื ่อ ง เกิด - ดับ , เกิด - ดับ อยู ต ลอดเวลา. โลกนี ้ทั ้ง โลกก็ เกิด - ดับ อยู ต ลอดเวลา, จะวา รา งกายนี ้ รา งกายนี ้เกิด - ดับ อยู ต ลอดเวลา ตามความรูส ึก ของผัส สะ. จิต ใจ


๑๐๘

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

นี ้ก ็ เกิด - ดับ เกิด - ดับ อยู ต ลอดเวลา ตามเรื ่อ งของผัส สะ. นี ่เ รีย กวา ทั ้ง กาย ทั้ ง จิ ต นี่ แ หละทั้ ง ความรู สึ ก อะไรทั้ ง หมดนี้ มั น ก็ เกิ ด - ดั บ เป น เวลาตามเวลา ตามอํานาจของผัสสะ. นี่โลกขางใน. ที นี้ โลกข า งนอก รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ หรือ ที่ เราจะรับ เข า มาทาง ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย นี้ ก็ เกิ ด - ดั บ อยู ต ลอดเวลา ขึ้ น อยู กั บ ผั ส สะ เป น ไปตามอํ า นาจของผั ส สะ มั น เกิ ด เมื่ อ มี ผั ส สะ มั น ดั บ ไปเมื่ อ ผั ส สะดั บ . ถ า ใคร มองเห็ นอยางนี้ จะมองเห็นวา โลกนี้ วางจากตั วตน โลกนี้ไม มีสวนไหนที่ จะยึดถือ ไดวา ตัวตน ก็เลยเปนคนที่มีจิตไมยึดถือ. เดี ๋ย วนี ้ม องไมเ ห็น ก็ย ึด ถือ ; พอยึด ถือ ก็ม ีผ ลเปน กิเ ลส. พอมีก ิเ ลส มั น ก็ มี ผ ลเป น ผลของกิ เลส คื อ มี ค วามทุ ก ข เพราะความรั ก ความโกรธ ความ เกลี ย ด ความกลั ว โดยมากก็ มี อ ยู ๔ อย างนี้ ซึ่ งเป น หั วข อ ใหญ ๆ แล ว ก็ แ จกลู ก ออกไป เป น ตั วเล็ ก ๆ ๆ , เป น ความทุ ก ข ตั วเล็ ก ๆ ๆ อี ก มากมาย. ตั วใหญ ๆ ก็ คื อ ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ดัง นั ้น จะศึก ษาเรื่อ งนี ้ ก็ต อ งรูจ ัก สิ ่ง เหลา นี ้ก อ น คือ รู จ ัก ตัว ความรัก ความโกรธ ความเกลีย ด ความกลัว นี ้กัน เสีย กอ น. ที่จ ริงมัน ก็เกิด อยูบอ ย ๆ แตเ กิด แลว ก็ไ มรู จ ัก , เพีย งแตรู ส ึก แลว ก็ไ มรู จ ัก รู ส ึก รัก รู ส ึก โกรธ รู ส ึก เกลีย ด รูสึกกลัว. นี่รูสึก แตแลวไมรูจักวามันคืออะไร ? มันคืออะไรโดยแทจริง.

โดยสรุ ป ความก็ คื อ ไม รู ว า โอ ย , มั น เป น เพี ย งเรื่ อ งของผั ส สะด ว ย อํานาจของอวิชชา ; มีผลออกมาเปน ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความ


ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ

๑๐๙

กลั ว . เมื่ อ ใดผั ส สะนี้ ดั บ ไป มั น ก็ ดั บ ไป, พอมั น เข า มาในจิ ต อี ก มี ก ารสั ม ผั ส ด ว ย จิต อีก มั น ก็เกิด ขึ้น มาอีก . หรือ วาถ ายั งลื ม หู ลื ม ตาอยู เป น เวลานานอยางนี้ มั น ก็ เขา มาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ ้น ทางผิว กาย ได ; ถา เปน เวลาอื ่น นอกจากนี้ มัน ก็เ ปน เรื่อ งของจิต คิด นึก ขึ้น มาเองได โดยคิด ขึ้น มาตามความ รูสึ ก ครั้งก อ น ๆ ที่ เหลื อ อยู เป น ความจํ า เป น สั ญ ญาความหมายมั่ น อะไรอยู ในใจ. นี่คือ ขอ เท็จ จริง อัน แรก ที่จ ะตอ งรูจัก กัน กอ น วา ความทุก ขนี้มัน อยูใ นรูป ของ ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความปรารถนาอยาง ใดแลว ไมเ ปน ไปตามที ่ป รารถนานั ้น . ตอ งรู จ ัก สิ ่ง นี ้ด ีจ ริง ๆ กอ น แลว จึง จะ คอย ๆ รูจักตอไปไดถึงวา มันมาอยางไร ? มันจะดับไปไดอยางไร ? เดี๋ ยวนี้ เรากํ าลั งพู ดถึ ง ก ข ก กา ของสิ่ งเหล านี้ ; เพราะฉะนั้ นจะไม รี บ กระโดดพูด ขา มไปถึง เรื ่อ งอะไรที ่ม ัน ไกลไปกวา นี ้. จะเนน กัน อยู แ ตที ่นี ่ ที ่ต รงนี้ ว า มั น มาจากผั ส สะ, เพื่ อ ให รูจั ก ผั ส สะให ดี ขึ้ น ตามหั ว ข อ ที่ ตั้ ง ไว สํ า หรับ การพู ด ในวันนี้วา ทุกสิ่งตั้งตนที่ผัสสะเพียงสิ่งเดียว เพื่อใหรูจักสิ่งที่เรียกวา ผัสสะ.

พิจารณารายละเอียดของผัสสะ. www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ผั ส สะทางตานี้ จะมี ม ากกว า เพราะว าที่ เราลื มตาอยู มั นเห็ นมากกวา, ที่หูจะมีโอกาสทําผัสสะสักครั้งหนึ่ง, หรือที่จมูกจะมีโอกาสผัสสะสักครั้งหนึ่ง, หรือวา ลิ้ นนี้ โอกาสน อยที่ จะมี ผั สสะกั บเขาสั กที เพราะว าต อเมื่ อไปกิ นอะไรโน น ลิ้ นจึ งจะ มี โอกาสผั ส สะกั บ เขาสั ก ที , ส ว นผิ ว หนั ง ยั ง มี โอกาสว า เพราะว า สั ม ผั ส หนาวร อ น อะไรไดบ า ง ; แตถ า พูด ถึง สัม ผัส ระหวา งเพศแลว มัน ก็น าน ๆ ครั ้ง เหมือ นกัน


๑๑๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

มัน มีโ อกาสนอ ยเหมือ นกัน . ดัง นั ้น เรื ่อ งตาเห็น รูป นี ้ มัน จะมากกวา อยา งอื ่น มันจึงเอามาไวอันแรกวา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ. แตถ า ที ่ค ลอ งแคลว ที ่ส ุด เปน ไดง า ยไดม ากที ่ส ุด ก็ต อ งเรื ่อ งใจ มัน คิด นึก ไดแ ว็บ เดีย ว, เอาเรื ่อ งอะไรในอดีต มาคิด ไดแ คแ ว็บ เดีย วแหละ. แลว คิด เปน ใหญ เ ปน โต เปน เรื ่อ งเต็ม ไปทั ้ง โลกก็ไ ด; นั ่น ทํ า เลน กับ ใจสิ, ฉะนั ้น ระวั ง เรื่ อ งจิ ต เรื่อ งใจนั้ น ให ม าก; แต ว า มั น จะมาทาง ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ก็ ต ามเถอะ เรีย กว า ผั ส สะเสมอกั น , และถ า เป น ผั ส สะด ว ยอวิ ช ชาแล ว จะต อ ง เกิดความทุกขดวยกันทั้งนั้น. นี่ มาเรี ยนเรื่ องผั สสะกั นในวั นนี้ ให เป นพิ เศษ เฉพาะคํ า ๆ เดี ยวว า มี ตา สํ า หรับ ผั ส สะ มี หู สํ า หรั บ ผั ส สะ แล ว มั น มี ค วามสั ม ผั ส กั บ อะไรเมื่ อ ไรที่ ไหน ? พอ สัม ผัส แลว เกิด อะไรขึ้น . พอมีก ารสัม ผัส ทางตา สิ่ง ที ่เ รีย กวา รูป ก็เ กิด ขึ ้น ; ถ า ไม มี ก ารสั ม ผั ส ทางตา รู นั้ น ก็ มิ ได เกิ ด ขึ้ น หรื อ เท า กั บ มิ ได มี อ ยู , เสี ย งก็ เหมื อ น กั น ถ า มี ก ารสั ม ผั ส ทางหู เสี ย งก็ มี ขึ้ น ; ถ า ป อ งกั น เสี ย หรื อ ว า หู มั น พิ ก ารไปแล ว มัน ก็ไ มม ีเ สีย ง. แตเ ดี ๋ย วนี ้ว า ยัง บริบ ูร ณด ีท ุก อยา ง และสัม ผัส เมื ่อ ไรก็เ ปน มี สิ่ ง นั้ น เมื่ อ นั้ น รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ ๖ ประการนี้ จะมี เมื่อมีการสัมผัสทางอายตนะทั้ง ๖.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เอ า , ที นี้ ผั ส สะหรื อ สั ม ผั ส นี้ มั น ของอะไร ? ก็ ต อ งเรี ย กว า ของคู . ถ า ไม มี คู มั น จะสั ม ผั ส ได อ ย า งไร ? เพราะว า สั ม ผั ส มั น แปลว า กระทบ ; ถ า มี ก าร กระทบ มั น ต อ งมี ข องอย า งน อ ย ๒ อย า ง จึ ง จะกระทบได ; แม มั น จะมี ห ลาย ๆ อยา ง มัน ก็ต อ งแบง เปน ๒ ฝา ย แลว มัน จึง จะมีก ารกระทบได. ฉะนั ้น คํ า วา ผัสสะ ก็คือ การกระทบ, กระทบก็ตองมีของ ๒ อยางนี้.


ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ

๑๑๑

ที นี้ ข องสองอย า งนี้ มั น ต อ งเป น สิ่ ง ที่ มี อ ยู โดยธรรมชาติ โดยความ เป น ของคู  ก ั น สํ า หรั บ การกระทบกั น . ถ า มั น ไม ไ ด ม ี คู  สํ า หรั บ การกระทบ กั น แล ว มั น สั ม ผั ส ไม ได ; เช น ให ต าไปสั ม ผั ส กั บ เสี ย ง อย า งนี้ มั น ทํ าไม ได ; เพราะ เสี ยงมั น คู กั บ หู . ตามั น คู กั บ รูป , จะเอาตาไปเป น คู สั ม ผั ส กั บ เสี ย ง มั น เป น ไปไม ได . ดัง นั ้น มัน จึง ตอ งถูก คู  ซึ ่ง มีอ ยู  ๖ คู ด ว ยกัน แลว สํ า หรับ สิ ่ง ที ่ม ีช ีว ิต มีว ิญ ญาณ มีความรูสึกนี้ เอามนุษยเปนหลัก. การที่ ท านแบ งว า มี อายตนะ ๖ อายตนะ คื อ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ นี ้ก ็เพราะวา เอามนุษ ยเปน หลัก ; เราจะเอาสัต วอื ่น เปน หลัก มัน ไมแ น, แลว ก็ไม จํ า เป น ที่ จ ะต อ งไปยุ ง ไปรู กั บ มั น . เช น จะเอาไส เดื อ นเป น หลั ก นี้ มั น ก็ ป ว ยการ เพราะว าเราไม ได เป น ไส เดื อ น เราไม ต อ งรูว าไส เดื อ นมั น มี อ ายตนะกี่ อ ายตนะ ไม ต อ งรู ก็ ได , หรื อ ปู ปลา มด แมลง อะไรต า ง ๆ นี้ มั น มี อ ายตนะกี่ อ ย า ง เราก็ ไมจํ า เปน จะตอ งรูก ็ไ ด. แตถ า จะใหเดา เราก็อ ยากจะเดาวา มัน คงจะมีค รบ ๖ อย า งเหมื อ นกั น แต ไ ม ส มบู ร ณ อย า งนี้ เ ป น ต น ; บางอย า งไม ส มบู ร ณ , บาง อยา งมัน มากเกิน ไป อะไรก็ไ ด. แตธ รรมะนี ้ม ีสํ า หรับ มนุษ ย ; ฉะนั ้น จึง เอามนุ ษ ย เป น หลั ก , แล วก็ วาง ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ไวในลั ก ษณะอย างนี้ แล วก็ วาง รูป เสี ยง กลิ่ น รส โผฏฐั พพะ ธั มมารมณ ไว อี ก ๖ อย าง สํ าหรับเป นคู กั น , เป น ของคู กั น สํ า หรั บ จะทํ า การสั ม ผั ส กั น , แล ว ก็ มี ป ฏิ กิ ริ ย าเกิ ด ขึ้ น ไปเป น ลําดับ ๆ จนจะไปเปนทุกข หรือวาจะเปนอะไร ก็แลวแตเรื่องของมัน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org คนโบราณกอ นพุท ธกาลกอ นพระพุท ธเจา เขาก็ม ีค วามรู เ รื ่อ งวา ตองมี อะไรที่ เปน คู สําหรับ ที่ จะสัมพั น ธกัน นี้ จึงจะเกิดเรื่องราวอะไรตาง ๆ ได เรื ่อ ง อิม เอี ๊ย ง ยิน ยาง หรือ อิม เอี ๊ย งของจีน นั ้น ก็เกา เปน พัน ๆ ปนี ่ เกา กวา


๑๑๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

พุ ท ธกาลเสี ย อี ก ก็ มี ค วามหมายอย า งเดี ย วกั น แต เขาเรี ย กไม เหมื อ นกั น หรื อ เรี ย ก อย างอื่ น. บางที เรี ยกแต เพี ยงว า อิ มเอี๊ ยง ก็ หมายความว า ฝ ายหนึ่ งกั บอี กฝ ายหนึ่ ง ซึ่งตรงกันขาม. ซึ่งถามาพบกันเมื่อไรแลว ก็จะเกิดปฏิกิริยาอันใดอันหนึ่งขึ้นมา. แตเ ดี ๋ย วนี ้ค วามรู นี ้ม ัน เรีย วลง เหลือ แตอ ิม เอี ๊ย ง นี ้ว า ฟา กับ ดิน ; ที่ มี ค ว า ม ห ม า ย อ ย า ง อื ่ น . ฟ า กั บ ดิ น ที ่ ว  า ถ า ถึ ง กั น เข า เมื ่ อ ไ ร เป น มี เรื่ อ ง; นั่ น แหละคื อ อิ ม เอี๊ ย ง. ที่ วิ ท ยาศาสตร ส มั ย นี้ เ รี ย กว า บวกกั บ ลบ มั น มี ลั ก ษณะเป น บวก อยู พ วกหนึ่ ง , มี ลั ก ษณะเป น ลบ อยู พ วกหนึ่ ง . ถ า สั ม พั น ธ กั น เมื่ อ ไรเป น มี เ รื่ อ ง, เป น มี ป ฏิ กิ ริ ย า มี แ สดงอาการออกมา เป น พลั ง งาน เป น อะไรต า ง ๆ. นี้ ก็ แ ปลว า คนโบราณเขาก็ รู ว า มี อ ะไรอยู ๒ ฝ า ย ตรงกั น ข า ม ; ถ า มาผัส สะกัน เขา เมื ่อ ไรเปน เกิด เรื ่อ ง : เรื ่อ งดี เรื ่อ งรา ย ก็ย ัง ไมต อ งพูด ; แต ตอ งเกิด เรื ่อ งแน นี ่ท ุก อยา งมีล ัก ษณะอยา งนี ้เ ปน รากฐาน, แลว เรื ่อ งอะไรตา ง ๆ มันตั้งตนเมื่อมีผัสสะ เพราะวากอนนั้นมันก็ไมมีเรื่อง.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แล ว ความเป น คู นี้ มั น สู ง ขึ้ น มา สู ง ขึ้ น มา จนกระทั่ ง เรื่ อ งสู ง สุ ด เป น เรื่อ งทางวิ ญ ญาณ ทางนามธรรม ทางจิ ตใจ, โดยเฉพาะอย างยิ่ งคู สุ ด ท ายนี้ เข าใจ วา จะเปน เรื่อ งของความดี - ความชั่ว ความดีก ับ ความชั่ว นี้ พอเขา มาหา กัน แลว ก็ม ีผ ลเปน การเปรีย บเทีย บ ทํ า ใหเ กิด คา ขึ ้น มา, เปน คา ของความดี เปนคาของความชั่ว ที่ทําใหเรายุงยากลําบาก เปนทุกขนอนไมหลับ. ทางวั ต ถุ ล ว น เป น เพี ย งว า วั ต ถุ บ วก, วั ต ถุ ล บ เกิ ด กระแสไฟฟ า ออก มา นี ้ม ัน ก็ไ มเ กี ่ย วกับ ดีห รือ ชั ่ว . แตถ า ในเรื ่อ งจิต ใจคนแลว มัน ก็ม ีค วามหมาย สู ง สุ ด อยู ที่ ดี แ ละชั่ ว . ที่ ค วรต อ งการก็ เ รี ย กว า ดี , ที่ ไ ม ค วรต อ งการก็ เ รี ย กว า ไม ดี


ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ

๑๑๓

แต ทั้ ง นี้ สํ า หรั บ คนโง ทั้ ง นั้ น ต อ งการดี ก็ ต าม ต อ งการชั่ ว ก็ ต าม มั น เป น เรื่ อ งของ คนโงทั ้ง นั ้น , ถา เปน คนฉลาดอยา งพระพุท ธเจา แลว ทา นตอ งการจะอยู เหนือ สิ ่ง เหลา นี ้ คือ ไมใ หค าวมชั ่ว บีบ คั ้น ไมใ หค วามดีบ ีบ คั ้น , ไมใ หเ กิด ความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด ๆ. ฉะนั้ น ผั ส สะทั้ งหลาย มั นก็ มี ผ ลเป น สิ่ ง ๒ สิ่ ง คื อ ที่ น าปรารถนา ของคนทั่ ว ไป, หรื อ ไม น า ปรารถนาของคนทั่ ว ไป, ที่ เ รี ย กว า ความดี - ความชั่ ว นั่ น เอง. เราจะต อ งรู ว า ของคู ใ นโลกนี้ มี อ ยู สํ า หรั บ ทํ า ให เ กิ ด เรื่ อ ง ; พู ด อย า งคน โบราณ อย า งอิ ม เอี๊ ย งของจี น ก็ เหมื อ นกั น คื อ ว า ส ว นหนึ่ ง กั บ อี ก ส ว นหนึ่ ง ถ า มา พบกัน เขา แลว เปน เกิด เรื่อ งมีเ รื่อ ง. เดี ๋ย วนี ้ท างพุท ธศาสนาเราก็ว า มีข องคู อ ยู คูหนึ่ง คือ อายตนะภายใน กับ อายตนะภายนอก ถาพบกันเขาเมื่อไรแลวก็ จ ะม ีเ รื ่อ ง ; มัน อยู เ ปน คู  ๆ กัน ๖ คู  ขา งใน ๖ คู  ขา งน อ ก ๖ คู  พ บ กัน เมื่อไรเปนมีเรื่อง. การพบกันของสิ่งนี้เรียกวาผัสสะ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ส ว นที่ อ ยู ข า งใน มั น เป น สิ่ ง ที่ มี ค วามรู สึ ก ได อ ยู แ ล ว ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ นี ้; เพราะมัน เปน ของมนุษ ย คือ สิ ่ง ที ่ม ีช ีว ิต มีค วามรู ส ึก . ฉะนั ้น ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ มั น หมายถึ ง ธาตุ รู ธาตุ วิ ญ ญาณธาตุ อะไรที่ มั น รวมอยู ดว ย เปน พื ้น ฐานอยู ด ว ย. ทีนี ้ม ัน จึง รู ส ึก ตอ รูป เสีย ง กลิ ่น รส โผฏฐัพ พะ ธัม มารมณข า งนอก ; แตถ า มัน ไมก ระทบกัน มัน ไมม าพบกัน ความรู นั ้น ก็ ไมรู , มัน ไมเ กิด ความรู ขึ ้น มาได, เพราะมัน ไมรู ว า จะรู อ ะไร.ในตาก็ม ีธ าตุรู  ที่ ในหูก ็ม ีธ าตุรู  ที ่ใ นจมูก ก็ม ีธ าตุรู  อะไรก็ม ีธ าตุรู  ; แตถ า ไมม ีอ ะไรมากระทบ มันก็ไมรูวาจะรูอะไร ฉะนั้นมันจึงตายดาน เงียบหายอยูในนั้น.


๑๑๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

พอมี รูปมากระทบตา ความรูทางตามั นก็ รูขึ้ นมา เรียกว า จั กษุ วิญญาณ, คือ การเห็ นทางตา, พอเสี ยงมากระทบหู มั นก็มี ความรูทางหู ขึ้นมา เรียกวา โสต วิญ ญาณ, มี ลิ่ นมากระทบจมู ก ก็ มี ความรูทางจมู กขึ้นมา เรียกวา ฆานวิญ ญาณ คือการได กลิ่ นทางจมู ก, พอรสมากระทบลิ้ น มั นก็ รูสึ กที่ ลิ้ นขึ้นมา เรียกวา ชิ วหา – วิญ ญาณ มัน รูร สที ่ลิ ้น , มีอ ะไรมาสัม ผัส ผิว หนัง เย็น รอ น ออ น แข็ง นิ ่ม นวล หรือกระด าง หรืออะไรอย างนี้ มั นก็ รูขึ้นมาทางกาย เรียกวา กายวิ ญ ญาณ, ถ ามี อารมณ ที่ เป นนามธรรมมากระทบจิต จิตมั นก็ รูอารมณ นั้ น ก็ เรียกวา มโนวิ ญญาณ. นี่ คื อ เป น ปฏิ กิ ริ ย าที่ เกิ ด ขึ้ น เพราะการกระทบของสิ่ ง ๒ สิ่ ง ที่ เป น คู . อายตนะ ภายในสิ่ง หนึ่ง อายตนะภายนอกสิ่ง หนึ่ง พอถึง กัน เขา มัน ก็เ กิด สว นที ่ ๓ ที่เรียกวาวิญญาณ. เรื่ อ งนี้ ก็ เคยพู ด หลายครั้ งหลายหน พู ด ซ้ํ า พู ด ซาก อ า งพระบาลี ม าให ฟงวา จกฺขุฺจ ปฏิจฺจ รูเป จ อุปฺปชฺชติ จกฺขุวิฺาณํ - อาศัยตาดวย อาศัยรูป ทั้งหลายดวย ยอ มบังเกิด จักขุวิญ ญาณ. แตวาฟ งกันเฉย ๆ ฟงกันเหมือนกับวา แรดฟง ป  เปา ป ใ หแ รดฟง . นี ่ท ุก คนเปน อยา งนี ้ ทอ งได สวดได ไดย ิน ดว ย แล ว ก็ เหมื อ นกั น ว า แรดฟ ง ป มั น ก็ ได ยิ น ว า ตากั บ รูป อาศั ย กั น เกิ ด จั ก ษุ วิ ญ ญาณ อะไรนั ้น , ฟง ไดย ิน แตเ สีย งแตไ มไ ดรู ส ึก แทจ ริง ที ่เ กิด อยู ใ นตัว เอง ในจิต ใจของ ตัว เอง. เพราะฉะนั ้น ตอ ไปนี ้ข อใหตั ้ง ตน ก ข ก กา กัน ที; แตว า เปน ก ข ก กา ทางปฏิบ ัต ิ. พอตาเห็น รูป แลว ก็ใ หรู ส ึก จัก ษุว ิญ ญาณ, พอหูไ ดย ิน เสีย ง ก็ใ หรู จ ัก โสตวิญ ญาณจริง ๆ กัน สัก ที. ฉะนั ้น จึง ตอ งอาศัย ความไมป ระมาท อยา ไปมัว รัก มัว โกรธ มัว เกลีย ด มัว กลัว มัว อะไรกัน อยูเลย มีส ติส ัม ปชัญ ญะ ที่ จะกํ าหนด เมื่ อมี การกระทบ สั มผั ส ทางตา ทางหู เป นต น ให รูวาจักษุ วิญ ญาณ เกิดขึ้นอยางไร.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ

๑๑๕

สรุ ป เป น ใจความสั้ น ๆ ว า ของข า งในพวกหนึ่ ง , แล ว ของข า งนอกพวก หนึ ่ง , พอในกับ นอก สองอยา งนี ้ก ระทบกัน จะเกิด ความรูส ึก ขึ ้น ระหวา งนั ้น ที่ เรี ย กว า วิ ญ ญาณ. ข า งในคื อ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ข า งนอกคื อ รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ ข า งในกั บ ข า งนอกกระทบกั น เมื่ อ ไร จะเกิ ด สิ่ ง ที่ ๓ ขึ้นมา เรียกวา วิญญาณตามทวารนั้น ๆ. ที นี้ เรี ย กว า ผั ส สะ เพราะว า ๓ อย างนี้ ถึ งกั น โดยสมบู รณ จะถื อ ว าข าง นอกข า งในกระทบกั น เรี ย กว า ผั ส สะ นี้ ยั ง ไม ส มบู ร ณ , จะถื อ ว า เป น ผั ส สะสมบู ร ณ ตอ เมื ่อ เกิด วิญ ญาณขึ ้น มาแลว ดว ย; เพราะฉะนั ้น พระพุท ธเจา จึง ไดต รัส ไว ชัดเจนตอไป ติณฺณํ ธมฺมานํ สงฺคติ ผสฺโส - การมาถึงพรอมกันแหงธรรมทั้ง ๓ นี้ เรีย กวา ผัส สะ, สงฺค ติ ก็ม าถึง พรอ มกัน มาถึง ดว ยกัน พรอ มกัน นี ่เ รีย กวา สงฺค ติ. ติณ ฺณ ํ ธมฺม านํ แหง สิ ่ง ทั ้ง ๓ นี ้, ผสฺโ ส เรีย กวา ผัส สะ. นี ่ค ือ ผัส สะ ที่ตั้งใจจะพูดวันนี้วา สิ่งทั้งปวงตั้งตนขึ้นที่สิ่งที่เรียกวาผัสสะเทานั้น ไมมีอะไรอื่น.

ผัสสะเปนตนเหตุใหมีโลก. www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ ผั ส ส ะ คื อ อ ะ ไร ? เมื่ อ ไร ? ที่ ไห น ? อ ย า งไร ? จ ะ ต อ งรู ให ชั ด เจ น ยิ่ ง ขึ้ น กว า ที่ แ ล ว มา จึ ง เรี ย กว า เรี ย น ก ข ก กา กั น เถิ ด ซ้ํ า แล ว ซ้ํ า เล า . เมื่ อ ใดมี ผั ส สะ เมื่ อ นั้ น ก็ มี ป รากฏการณ ทางตา ทางหู ท างจมู ก ทางลิ้ น ทางกาย ทางใจ ที ่เ รีย กวา รูป เสีย ง กลิ ่น รส โผฏฐัพ พะ ธัม มารมณ ที ่ม ีค วามหมาย แลว อัน นั้นคือ เรียกวา โลก, โลก คือ สิ่งนั้น


๑๑๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

โลก คือสิ่งที่ปรากฏแกเรา ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรียกวาโลก ; ฉะนั ้น คํ า วา โลก นี ้ไ มใ ชแ ผน ดิน โลก ไมใ ชต ัว วัต ถุโ ลก. คํ า วา โลกในที ่นี้ หมายความถึงสิ่งที่เขามาปรากฏแกเรา ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ชั่วขณะ ที ่เ รามีผ ัส สะ คือ มีค วามรู ส ึก ตอ สิ ่ง นั ้น , ถา เราไมม ีค วามรู ส ึก ตอ สิ ่ง นั ้น ก็ถ ือ วา มัน ไมมี มัน มิไดเกิด มัน ยังมิไดเกิด ; เมื ่อ ยังไมม ีผัส สะ ถือ วา โลกยังมิไดเกิด . พอมีผ ัส สะปรากฏผล เปน ผลแกจ ิต แลว เรีย กวา โลกนี ้ม ัน เกิด . ที ่โ ลกจะมี รูปรางอย างไร มั นแล วแต ความโงหรือความฉลาดของเรา, แล วแต วิ ชชาหรืออวิ ชชา ของคนผู ผ ัส สะนั ้น . ฉะนั ้น จึง เห็น โลกตา ง ๆ กัน ; แตถ ึง อยา งไรก็ด ี ก็ย อ มพูด ไดวา โลกนี้เปนปรากฏการณจากผัสสะ ; เพราะมีผัสสะจึงมีโลก. ถ าดู ถึ งว า ทํ าไมโลกนี้ จึ งมี ความหมาย ? แล วสิ่ งที่ เข ามาทาง ตา หู จมู ก ลิ้น กาย ใจ ทําไมจึงมีความหมาย ? คือวามีอันตราย หรือมีความที่นาหวาดเสียว นาสนใจ นากลัว นาระวัง ; เพราะมัน เกิด ผัส สะ อยางนี้แ ลว มัน เกิด เวทนา, มันเกิดเวทนาแลวมันจะเกิดกิเลส มี ตัณหา เปนตน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เมื ่อ จะพูด ใหล ะเอีย ดตอ ไปอีก มัน ก็ม ีเ วทนาแลว มัน ก็โ งต ะครุบ เอาเวทนานั้ น เป น ของสํ า คั ญ เป น ตั ว เป น ตนเป น ของเราที เดี ย ว. ถ า สุ ข เวทนาก็ ยึด ถือ อยา งหนึ ่ง , ถา ทุก ขเวทนาก็ย ึด ถือ อีก อยา งหนึ ่ง , ถา ทุก ขเวทนาก็ย ึด ถือ ในเวทนานั้น ดวยความสําคัญมั่นหมายที่เรียกวาสัญญา สัญญาวาเรา สัญญา วา ของเรา สัญ ญ าวา สวย สัญ ญ าวา ไมส ุข สัญ ญ าวา ทุก ข, โอม ากมาย นับไมไหวสัญญานี้.


ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ

๑๑๗

ที นี้ มี สั ญ ญาอย า งนี้ ล งไปแล ว มั น เกิ ด ความคิ ด , ความคิ ด อย า งนั้ น ความคิ ด อย า งนี้ ความคิ ด อย า งโน น ว า ตั ว กู เป น อย า งไร. ดั ง นั้ น สภาพที่ มั น คิ ด ว า มั น เป น อย า งไรนั่ น แหละ เขาเรี ย กว า โลกโดยแท จ ริ ง โลกโดยความหมายที่ แทจ ริง . ฉะนั ้น จึง มีค วามคิด วา กูเ ปน มนุษ ยบ า ง หรือ วา กูเ ปน นั ่น กูเ ปน นี่ กูเ ปน สัต ว กูเ ปน บุค คล; บางทีม ัน ก็ค ิด ไมต รงตามความจริง , มัน เรีย กหรือ มัน ยึ ด ถื อ ไม ต รงตามความจริ ง เช น มั น ร อ นอกร อ นใจอยู เพราะความคิ ด อั น นี้ แต มั น ก็ ไ ม เรี ย กว า มั น กํ า ลั ง ตกนรกเลย. ความคิ ด ที่ เ ดิ น ไปผิ ด แล ว ร อ นเหมื อ นกั บ ไฟ สุมอยูนี่ ที่จริงควรจะเรียกวามัน เปนสัตวนรก, เวลานั้นเปนสัตวนรก. จะมี ใ ครบ า งที่ กํ า ลั ง คิ ด ว า เราเป น นรก เราเป น สั ต ว น รก เรากํ า ลั ง ตกนรก. เปล า ทั้ ง นั้ น , มั น ไปโมโหโทโสคนอื่ น , หรื อ ว า มั น เป น ความรู สึ ก หรื อ ความคิด ที ่โ ง มัน ก็ไ มย อมรับ วา เรากํ า ลัง เปน สัต วเ ดรัจ ฉาน; เพราะมัน เอา สัต วเ ดรัจ ฉานไวข า งนอก เปน สุน ัข เปน แมว เปน กา เปน ไก ที ่วิ ่ง อยู ข า งนอก, ไม ได ม ารู ว ามั น อยู ข างใน คื อ ผั ส สะที่ ทํ าให เกิ ด เวทนา สั ญ ญา สั งขาร แล ว เป น ความโง . เดี๋ ยวนี้ เรามี ค วามเป น สั ต ว เดรัจ ฉานอยู ข างใน, หรื อ ว าเรามี ค วามหิ ว เปน เปรตอยู ข า งใน, มีค วามกลัว ความขลาด ก็เปน อสุร กายอยู ข า งใน มัน ไม มองอยางนี้.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้น จึงไมมองเห็นวา อะไร ๆ มันอยูที่ผัสสะ, เปนผลของผัสสะ ก็เ ลยฟง พระพุท ธเจา ตรัส ไวไ มถ ูก ฟง ไมเ ขา ใจเลย. พระพุท ธเจา ทา นตรัส วา ทุก อยา งมัน อยู ที ่ผ ัส สะ, เพราะผัส สะนั ่น แหละตรงนั ้น แหละมัน เปน ที ่ใ หม ีโ ลก, ตรงนั้ น ให มี สั ต ว ให มี บุ ค คล ให มี น รก ให มี ส วรรค ให มี ม าร มี ม ารโลกพรหมโลก มีอะไรทุกอยางอยูที่ตรงผัสสะนั้น.


๑๑๘

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

นี่ ข อให ทุ ก คนไปสอบไล ตั ว เองเอาก็ แ ล ว กั น ไปวั ด ดู ตั ว เองก็ แ ล ว กั น ว า เรานี้ มีความรูสึกอยางนี้ หรือเปลา ? วา โลกก็ อยูที่ ผัสสะ สั ตวก็ อยูที่ ผั สสะ มนุ ษย ก็ อ ยู ที่ ผั ส สะ, เทวดาก็ อ ยู ที่ ผั ส สะ หรื อ แม แ ต จ ะเอาวั ต ถุ ล ว น ๆ เช น แผ น ดิ น นี้ มั น ก็ อ ยู ที่ ผั ส สะ. ถ า เราไม สั ม ผั ส ต อ แผ น ดิ น แผ น ดิ น มั น ก็ ไ ม มี , หรื อ ว า ประกอบ กั น ขึ้ น เป น โลกนี้ โลกทั้ ง โลกทั้ ง ตั ว โลกนี้ มั น ก็ อ ยู ที่ ผั ส สะ, ถ า ไม มี ค วามรู สึ ก มั น ก็ ไมมี. นี่ ถ า เรี ย น ก ข ก กา ตามแบบของพระพุ ท ธเจ า มั น รู อ ย า งนี้ น ะ. อย า เห็ น เป น เรื่ อ งไกลออกไป หรื อ ว า ลึ ก เกิ น ไป, หรื อ ว า ไม ใ ช เ รื่ อ ง ก ข ก กา. คนยั ง เข า ใจผิ ด อยู ม าก เถี ย งว า ไม ใ ช เรื่ อ ง ก ข ก กา ก็ ต ามใจเขาสิ , เขาจะไปเอาอะไรก็ ตามใจเขา เอาอะไรเปน ก ข ก กา. แตอ าตมายืน ยัน อยู เ สมอวา ตอ งเอาเรื ่อ ง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ, รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ แลวก็ สัมผัสกันออกมาเปนอะไรตางๆ นี้คือเรื่อง ก ข ก กา.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ขอรบกวนเซ า ซี้ ซ้ํ า ๆ ซาก ๆ ว า จงสนใจเรื่ อ งนี้ จงศึ ก ษา ก ข ก กา กั น เสี ย ใหม . อย า ได ป ระมาทอยู เ ลย ไม ค วรชะเง อ หาเรื่ อ งเฟ อ อื่ น ๆ ความอยาก เปน นัก ป ราชญ  เรีย น นั ่น เรีย นนี ่เ ปน นัก ป ราชญ อ ยา งนั ้น อยา งนี ้ ; มัน จะนา หั ว เราะ น า เวทนาอย า งยิ่ ง สํ า หรั บ คนที่ ไ ม รู ก ข ก กา คื อ ไม รู เรื่ อ ง ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ, รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ แล ว ปรุ ง ขึ้ น มาเป น วิญญาณ ผัสสะ เวทนา. เดี๋ ย วนี้ ค นทั้ ง โลก แม พ วกฝรั่ ง ที่ แ สนจะเฉลี ย วฉลาดนี้ พวกฝรั่ ง เหล า นี้ ก็ ไม รู จั ก พุ ท ธศาสนา ; เพราะไม เ รี ย นพุ ท ธศาสนาให ถู ก ตั ว พุ ท ธศาสนา


ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ

๑๑๙

แล ว ก็ ไม เรี ย นไปตรงที่ จุ ด ตั้ ง ต น ที่ ก ข ก กา เขาไม เรี ย นเรื่ อ ง ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจอย า งที่ เ รากํ า ลั ง พู ด . เขาไปเรี ย นในแง อื่ น และเป น ปรั ช ญา เป น อะไร มากมาย เรี ย กอภิ ธ รรมเรี ย นอะไรไปโน น ซึ่ ง ไม เรี ย นจากตั ว จริง ของ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ, แล ว ก็ รู จั ก สิ่ ง ที่ เกิ ด อยู จ ริ ง ๆ ที่ เนื้ อ ที่ ตั ว ; หมายความว า เอา กาย วาจา ใจ นี้ เป น หนั ง สื อ เรี ย น. เขาไปเอาอื่ น เป น หนั ง สื อ เรี ย น, ไปเอาพระคั ม ภี ร เอาอะไรไมรูเปนหนังสือเรียน ไมเอากาย วาจา ใจ นั้นเองเปนหนังสือเรียน. ฉะนั้ น จึ ง ย้ํ า แล ว ย้ํ า อี ก ว า ทุ ก คนเมื่ อ ยั ง มี ค วามหวั ง ที่ จ ะได ป ระโยชน สูง สุด แกต น โดยสมมติที ่เรีย กวา ตนนี ้ แกส ัง ขารกลุ ม นี ้ อยากจะไดป ระโยชน สูงสุด ตามที่พ ระพุทธเจาทานทรงสอนไว เพื่อใหถอนความยึดมั่นวาตนเสียได นี้ ; จงพยายามศึ ก ษา ก ข ก กา ที่ เรื่อ ง ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ, ให รู เรื่ อ ง ของสิ่งที่เรีย กวาผัส สะกอ น ในฐานะเปน เพีย งสิ่งเดียวเทานั้น ที่เปน ที่อ อก มาของสิ่ งทั้ งหลาย, เป นความทุ กข ขึ้ นมาอย างไร ? แล วจะดั บมั นอย างไร ? ก็ ดั บ ที ่ จัด การกับ ผัส สะใหถ ูก ตอ ง. ถา จะปอ งกัน ก็ต อ งปอ งกัน ที ่ผ ัส สะ, ถา จะแกไ ข ก็ ต อ งแก ไขที่ ผั ส สะ, ถ า จะบรรลุ ม รรคผล ก็ ต อ งเป น เรื่ อ งมี ส ติ สั ป ชั ญ ญะสมบู ร ณ ในขณะที่มันผัสสะ, อะไรก็รวมอยูที่ ผัสสะ จริง ๆ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ า ว า ไม ทํ า อย า งนี้ ก็ เรี ย กว า เป น คนประมาท ; ประมาทนั้ น ไม ใ ช อ ยู ที ่ไ หน มัน อยู ที ่ว า ไมรู โ ง เผลอเรอ เลิน เลอ ในการที ่จ ะรู เ ทา ทัน ตา หู จมูก ลิ้ น กาย ใจ ; นั่ น แหละคื อ ประมาท เรี ย กว า เป น ผู ไม ฉ ลาดเกี่ ย วกั บ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ก็ ไ ด , ไม ฉ ลาดในเรื่ อ ง ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจนี่ ฟ ง แล ว ก็ น า หั ว แต ค นทุ ก คนว า เขาฉลาด เขาเก ง เขารู เรื่ อ งตั ว ของเขาเอง ; แต ค วามจริ ง มั น ยั ง ไม มี เลย ไม ฉ ลาดในเรื่อ ง ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ในเรื่อ งประจํ าวั น , วั น หนึ่ ง ๆ


๑๒๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

นี่ แหละ; อย างนั้ นเรี ยกว าเป นคนป ระม าท ทั้ งฆ ราวาส ทั้ งบ รรพ ชิ ต ยั งเป น คนประมาท พุทธศาสนาจึงเปนหมัน เพราะวาคนมันกําลังประมาท.

พึงรูคุณและโทษของผัสสะ. เอาละ, ที นี้ อ ยากจะพู ด ต อ ไปสั ก หน อ ย เป น การประกอบเรื่ อ ง ว าที่ เกี่ ย ว กั บพวกเรา พุ ทธบริษั ทสาวกของพระพุ ทธเจ านี้ พระพุ ท ธเจ าท านได ต รัส ไว ว า เขา ไม รูอย างแท จริงเกี่ ยวกั บผั สสายตนะ. เขาไม มี ความรูอย างแท จริงเกี่ยวกั บ ผั สสา ยตนะ คือ อายตนะสํ าหรับ การสั ม ผั ส , นั้ น เรีย กวา เขาไม ได ป ระพฤติ พ รหม จรรย, เขายังอยูหางไกลจากธรรมวินัยนี้. อวุสิตํ เตน พรหฺมจริยํ - พรหมจรรย อันบุคคลนั้นมิไดอยูประพฤติอยูแลว อารกา โส อิมสฺมา ธมฺมวินยา - บุคคลนั้นอยู ห างไกลจากธรรมวิ นั ยนี้ คื ออยู นอกศาสนานี้ . อารกา - อยู ห างไกล, คื ออยู นอก ศาสนานี้ ว า คนนั้ น มั น อยู น อกศาสนานี้ คนนั้ น ไม ได ป ระพฤติ พ รหมจรรย ในศาสนา นี้เลย ในเมื่อคนนั้นไม ปชานาติ คือไมรูอยางชัดเจน ตอเรื่องของผัสสายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ไม รู ก ารเกิ ด ขึ้ น การดั บ ไป ไม รู เสน ห อั น ยั่ ว ยวน ไม รู จั ก โทษอั น ร า ยกาจ ไม รู จั ก อุ บ ายเป น เครื่ อ งกํ าจั ด เสี ย ซึ่ งอํ า นาจของอายตนะนั้ น . แยกออกเป น ๕ อย า ง สํ า หรับ การที ่จ ะรู อ ะไรใหช ัด เจนลงไป. ในกรณ ีนี ้ ๑. การเกิด ขึ ้น แหง ผัส สะ อย างไร ? ๒. การดั บ ไปแฟ งผั ส สะอย างไร ? ๓. รสอร อ ยหรื อ เสน ห ข องผั ส สะ นั้ น มี อ ย า งไร ? ๔. โท ษ อั น เล วท ราม ร า ยกาจข อ งผั ส ส ะนั้ น เป นอย า งไร ?


ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ

๑๒๑

๕. ทํ า อย า งไรเราจึ ง จะเอาชนะมั น ได ? ห า อย า งนี้ ภิ ก ษุ ใ ดไม รู ภิ ก ษุ นั้ น ไม ชื่ อ ว า ประพฤติพรหมจรรย แลวก็ชื่อวาอยูนอกศาสนานี้ อยูนอกธรรมวินัยนี้. นี่ เขาไม รู จั กผั สสะใน ๕ ลั กษณะหรื ออาการ ไม รู ว าผั สสะเกิ ดขึ้ นอย างไร ? ไม รู ว าผั สสะดั บไปอย างไร ? ไม รู ว าผั สสะมี รสอร อยหรื อเสน ห ยั่ วยวนอย างไร ? ไม รู ว า ผั ส สะมี ค วามเลวทรามร า ยกาจอย างไร ? ไม รู ว า อุ บ ายอย า งไร ? จึ งจะระงั บ หรื อ ดั บ ความเลวทรามของผั ส สะนี้ เสี ย ได . ไม รู ผั ส สะโดยอาการ ๕ อย า งนี้ แ ล ว . คนนั้ น ชื ่อ วา ยัง ไมไ ดป ระพฤติพ รหมจรรย ในศาสนานี ้ ยัง อยู น อกศาสนานี ้ นี ่ฟ ง แลว มันนากลัว. แล วถ าเมื่ อ ถื อ เอาตามนี้ เป น หลั ก แล ว ใครบ างที่ ส ามารถจะยื น ยั น ตั วเอง ปฏิ ญ าณตั วเองได ว า เป น ผู ป ระพฤติ พ รหมจรรย อ ยู ในศาสนานี้ ไม ต อ งให ใครมาช วย ตัด สิน ไมต อ งใหใ ครมากลา วอีก แลว . ตัว เองสอบสวนตัว เองตัด สิน ใจตัว เอง วา เรากํา ลังเปน ผูป ระพฤติ ชนิด ที่เรีย กวา ประพฤติพ รหมจรรยอ ยูใ นศาสนา นี้ ห รื อ ไม ก็ แ ล ว กั น . อย า ทํ า เล น กั บ เรื่ อ ง ก ข ก กา ในพุ ท ธศาสนานี้ คื อ เรื่ อ ง ผั ส สะ. อาตมาอยากจะย้ํ า ลงไปอี ก ที่ ว า ใครโง ข นาดไม รู จั ก ก ข ก กา ในพุ ท ธ ศาสนานี ้แ ลว คนนั ้น ไมไ ดอ ยู ใ นศาสนานี ้ แตอ ยู น อกศาสนานี ้ เพราะไมรู  ก ข ก กา ของพุทธศาสนา คือเรื่องผัสสะ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ไปศึ ก ษาเอาเอง ผั ส สะเกิ ด เมื่ อ ไร ? ผั ส สะดั บ เมื่ อ ไร ? อะไรเป น เสนห ยั ่ว ยวนของผัส สะ ? อะไรเปน ความเลวทรามรา ยกาจซอ นอยู ใ นนั ้น ? อะไรเปน อุบ ายที ่เ ราเอาชนะอํ า นาจของผัส สะได ? นี ่ก ็เ รีย กวา รู  ก ข ก กา เรื่องผัสสะ อยางที่เรียกวาถูกตอง, หรือใชได หรือเพียงพอ.


๑๒๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ทั้ งวันทั้ งคื น จงตั้ งความปรารถนา ตั้ งความพยายาม ไม ประมาทที่ จะ ศึ ก ษารูจั ก หรือ ควบคุ ม หรือ เอาชนะผั ส สะนี้ ให ได ก็มี เท านั้ น แหละ. พระเณรก็ ตาม อุบาสกอุบาสิกาก็ตาม ที่วาตองการผลในพระพุทธศาสนาใหยิ่งขึ้นไป. ถาตอ งการทํามาหากิน หาเงิน หาทอง หาลูก หาเมีย ก็ทําไปตามเรื่อ ง ; เพราะว า มั น ต อ งการอย า งนั้ น อยู . แต ว า ถ า ต อ งการผลที่ สู ง ไปกว า นั้ น ก็ ค วรทํ า อย า งนี้ , หรื อ ถ า ว า มั น จะอยู ต รงกลางระหว า งกึ่ ง กลางก็ ไ ด . แม ว า เราจะไปเกี่ ย ว ขอ งกับ ทรัพ ยส มบัต ิ เงิน ทอง บุต ร ภรรยา สามีอ ะไรก็ต าม ใหรู เ รื ่อ งของ ผั ส สะไว บ า งตามสมควร มั น จะไม ต อ งนั่ งเช็ ด หั ว เข า ด ว ยน้ํ า ตา หรื อ เช็ ด น้ํ า ตาด ว ย หั ว เข า อะไรก็ ไ ม รู เรี ย กอย า งไรถู ก ก็ ต ามใจ ว า มั น จะไม ต อ งเป น อย า งนั้ น บ อ ย ๆ. ถารูเรื่อ งของผั ส สะอยู บ าง สัต วนั้ น ๆ ก็จ ะมี ค วามทุ ก ข น อ ยลง เพราะวาป ญ หา หรื อ ความทุ ก ข นี้ มั น เกิ ด จากผั ส สะโดยตรงเท า นั้ น เพี ย งอย า งเดี ย ว. นี่ เ รื่ อ งที่ เกี่ ยวกั บ สาวกของพระสั ม มาสั ม พุ ท ธเจ า จะต อ งเรี ย น ก ข ก กา ให รู จ ริ ง คื อ เรื่ อ ง ผัสสะ ใครยังรูนอยก็อุตสาหเรียน, ใครยังไมรูเลย ก็ตองยิ่งตั้งอกตั้งใจเรียน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เอาละ, ยั งเหลื อเวลาอี กนิ ดหน อ ย ก็ พู ดถึ งเรื่ องเกี่ ยวกั บพระองค เองบ าง ที ่เ กี ่ย วกับ พระสัม มาสัม พุท ธเจา เอง ทา นก็ย กเรื ่อ งผัส สะนี ้เ ปน เรื ่อ งสํ า คัญ เหมื อ นกั น คื อ ยกเอาเรื่ อ งอายตนะ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ, รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ ของคู ข า งในกั บ ข า งนอกนี้ เป น เรื่ อ งสํ า คั ญ ซึ่ ง เป น ที่ ตั้ ง แห ง ผั ส สะ ว า ถ า ยั ง ไม รู เรื่ อ งนี้ ก็ ยั ง ไม เป น พระพุ ท ธเจ า . คื อ ท า นได ต รั ส ว า เรา ยังไมปฏิญญาณวา เปนสัมมาสัมโพธิอภิสัมพุทโธ, สัมมาสัมโพธิอภิสัมพุทโธ เป น ผู รู พ ร อ มเฉพาะด ว ยสั ม มาสั ม โพธิ . เดี๋ ย วนี้ เราเรีย กกั น สั้ น ๆ วา ยั งไม ต รัส รู สัมมาสัมโพธิญาณนั่นแหละ.


ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ

๑๒๓

พ ระองค ท รงยื น ยั น ว า ถ า ต ถ าค ต ยั ง ไม รู เ รื่ อ งอ าย ต น ะข า งใน อายตนะขา งนอกแลว ยัง ไมรู อ ยา งชัด เจนแจม แจง ถูก ตอ งแลว จะยัง ไม ปฏิญ ญาตัววา เปน สัม มาสัม พุท ธะ คือ ยังไมต รัส รู. นี่บ าลีมีอ ยูชัด ๆ อยางนี้, แต ก็ ไม อ ยากจะอ า งบาลี นั ก เพราะว า มั น อ า งมามากแล ว . ใครสนใจก็ ไปเป ด ดู ก็ ไ ด คัม ภีรก ็ม ีอ ยู  พระไตรปฎ กก็ม ีอ ยู  อยา งสัง ยุต ตนิก าย มีม ากเกี ่ย วกับ อายตะนี ้. เขาจั ด ไว สั ง ยุ ต ต ห นึ่ ง ที เดี ย ว เรี ย กว า อายตนสั ง ยุ ต ต พระคั ม ภี ร ห มวดนี้ จ ะพู ด แต เรื่ อ งอายตนะทั้ งนั้ น แล ว ก็ มี พู ด อย า งที่ เอามาพู ด ให ฟ งนี้ เท า ที่ เกี่ ย วกั บ พระพุ ท ธเจ า นั้น พระพุทธเจาทานตรัสวา ตลอดเวลาที่ตถาคตยังไมรูชัดเจนแจมแจงในอัสสาทะ คือ เสนห ยั ่ว ยวน ในอาทีน วะ คือ โทษของความเลวทรามรา ยกาจ, นิส สรณ ะ อุ บายที่ จะอยู เหนื อสิ่ งนี้ คื อ อายตนะในและนอก ตลอดเวลาเท านั้ นยั งไมปฏิ ญ ญาว า เปนสัมมาสัมพุทธะ. ที่ เรามาพู ด กั น สั้ น ๆ ลุ น ๆ ว า พระพุ ท ธเจ า ตรั ส รู ๆ แล ว ก็ เ ป น สั ม มา สั ม พุ ท ธเจ า นั้ น เราก็ พู ด กั น ได , แล ว เราก็ มั ก จะรู กั น แต ว า ตรั ส รู นั้ น ตรั ส รู อ ริ ย สั จ จ ๔ แล ว ก็ เ รี ย กว า ตรั ส รู , แล ว ก็ เ ป น พระสั ม มาสั ม พุ ท ธเจ า . แต ใ นที่ อื่ น อี ก มากมายหลายแห ง โน น ก็ มี ต รั ส ว า ถ า ยั ง ไม รู เ รื่ อ งนี้ อ ย า งี้ ไม รู เ รื่ อ งนั้ น อย า งนั้ น ละก็ ยั ง ไม ป ฏิ ญ ญ าว า เป น สั ม มาสั ม พุ ท ธเจ า ; โดยเฉพาะในกรณี นี้ ยกเรื่ อ ง อายตนะ ๖ ขา งในและอายตนะ ๖ ขา งนอก มาเปน วัต ถุสํ า หรับ ปฏิญ ญา วา ถา ยัง ไมม ีค วามรู แ จม แจง ในเรื ่อ งอาตนะเหลา นี ้ วา เสนห ข องมัน อยา งไร ? โทษของมั น อย า งไร ? วิ ธี จ ะเอาชนะมั น ให ไ ด นั้ น เป น อย า งไรแล ว ถ า ยั ง ไม รู อ ย า งนี้ แลว ยังไมปฏิญญาวาเปนสัมมาสัมพุทธะ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


๑๒๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

สํ า หรั บ พุ ท ธเจ า เอง ท า นมี ห ลั ก เกณฑ อ ย า งนี้ ว า ต อ งรู เรื่ อ งอายตนะ ซึ่ งเป น ที่ ตั้ ง แห งผั ส สะ หรือ เรื่อ งผั ส สะอั น เกิ ด ขึ้ น เพราะอายตนะนี้ ถ ายั งไม รูเรื่อ งนี้ ยังไม เรียกวาเป นสัมมาสัม พุ ทธะ. ทีนี้ สําหรับ สาวกนั้น ท านก็ ต รัสยื น ยัน ไวอ ยาง ที่พูดมาแลวเมื่อกี้นี้วา ถายังไมรูเรื่อง ผัสสายตนะหรืออายตนะอันเปนที่ตั้งแหง ผัสสะแลว ก็ยังไมชื่อวาประพฤติพรหมจรรยอยูในศาสนานี้ นี่เพียงเทานี้มันก็เปน น้ํ าหนั กที่ มากพอแล วว า เราจะต องสนใจกั บเรื่อ งผั สสะ, หรืออายตนะกั นอย างไร ? หรือจะถือวาผัสสะหรืออายตนะนี้ มันมีความสําคัญมากหรือนอยเพียงไร ? แต แล วความเห็ นอาจจะขั ดกั น อยู ในข อ ที่ วา อาตมาถื อว า นี้ เป น เรื่ อ ง ก ข ก กา คื อ ต อ งเรี ย นก อ น ต อ งเรี ย นที แ รก ต อ งเรี ย นก อ นสิ่ งใดหมดในเรื่ อ งของ การปฏิบ ัต ิ. ทีนี ้ค นอื ่น เขาไมถ ือ อยา งนี ้ เขาวา เรีย นอื ่น กอ น เรื ่อ งนี ้ย ัง สูง เกิ น ไป นี้ เป น ปรมั ต ถ ก็ ยั ง ไม เรี ย น. นี้ มั น ก็ เลยมากี ด ขวางกั น อยู อ ย า งนี้ ; ดั ง นั้ น ใครจะเชื่อใคร มันก็แลวแตวาใครอยากจะเชื่อใคร.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที่ เอามาพู ดนี้ ไม ต องการให เชื่ อว า ต องการให ดู ด วยตนเอง, แล วก็ เชื่ อ ตนเอง. ใหรู จ ัก อายตนะใหรู จ ัก ผัส สะ, แลว จิต ใจมีค วามเจริญ สูง ขึ ้น ไป เพราะความรูอัน นี้ คื อจะรูจั ก โลกเป น อย างดี , จะรูจัก เหตุ ให เกิ ด โลกเป น อยางดี , จะรูจั กความดั บ สนิ ทแห งโลกเป น อย างดี , รูจั กทางให ถึ งความดั บ สนิ ท แห งโลกเป น อยางดี, ที่เรียกวา อริยสัจจ ๔ แตใชคําวา โลก แทนคําวาทุกข.

ที่ เรี ย กว า ทุ ก ข นี้ มั น ชั ด แล ว มั น ทนไม ไหว ที่ เรี ย กว า โลกนั้ น เพราะ ว า มั น เป น ของหลอกลวง มั น เป น ของที่ แ ตกทํ า ลายยึ ด ถื อ ไม ได . แต ค นก็ ม าเข า ใจ ไปเสี ย ว า เป น ของเที่ ย งแท มั่ น คง ถาวร ยึ ด ถื อ ได ควรปรารถนาอย า งยิ่ ง เป น อยางนี้.


ความเขาใจผิดเกี่ยวกับธาตุฯ

๑๒๕

ที นี้ มาพู ดกั นถึ งข อที่ ว า เราจะต องรู ว าโลก หรื อว าเกี่ ยวกั บโลกทั้ งหมดนี้ มัน มาจากอะไร ? มัน ตั ้ง ตน ที ่อ ะไร ? แลว มัน ตั ้ง อยู ที ่อ ะไร ? แลว มัน จะดับ ไป ที่ อ ะไร ? ถ าเขาใจอย างที่ อ าตมาพู ด แล ว ก็ เห็ น ได เอง ว าทั้ งหมดที่ เกี่ ย วกั บ โลก หรือ ความทุก ขนี ้ มัน เกิด ขึ ้น ที ่ผ ัส สะ, ตั ้ง ตน ที ่ผ ัส สะ ตั ้ง อยู ที ่ผ ัส สะ ดับ ไปก็ ดับ พรอ มกัน ไปกับ ผัส สะ, เกิด ขึ ้น มาอีก ก็ม าพรอ มกับ ผัส สะ ตั ้ง อยู บ นผัส สะ ดั บ ไปด ว ยผั ส สะ. เป น คํ า พู ด เพี ย ง ๒ - ๓ คํ า เท า นี้ ไปดู ให ดี ก็ จ ะรู สิ่ ง ที่ เรี ย กว า ก ข ก กา ของพุทธศาสนา อยางแทจริง. เอาละเป น อั น ว า เราก็ ยั งคงพู ด เรื่ อ ง ก ข ก กา ของพระพุ ท ธศาสนาอยู นั ่น เอง ใครจะเบื ่อ ก็เ บื ่อ ; แตอ าตมามัน ไมรู จ ัก เบื ่อ . ไมม ีใ ครฟง ก็พ ูด บา ไป คนเดี ย วก็ ไ ด จะพู ด แต เ รื่ อ งนี้ แ หละ เรื่ อ งที่ สํ า คั ญ ที่ สุ ด ในพุ ท ธศาสนา แล ว เป น รากฐานคล า ย ๆ กั บ เป น ก ข ก กา แล ว มี ค วามสํ า คั ญ มากเท า กั บ ตั ว ก ข ก กา ; เพราะว าหนั งสื อ หนั งหาทั้ งหมด จะเป น อั ก ษรศาสตร ว รรณคดี ชั้ น เอกชั้ น เยี่ ย มอะไร มั น ก็ ต อ งประกอบอยู ด ว ย ก ข ก กา เอาสิ อั ก ษรชนิ ด ไหน วรรณคดี ช นิ ด ไหนล ะ ที่ มั น ไม ป ระกอบอยู ด ว ยเสี ย งของ ก ข ก กา นี้ มั น ก็ ไ ม มี เราจะถื อ ว า เป น เรื่ อ ง รากฐานที ่ส ุด ก็ไ ด เปน สิ ่ง ที ่สํ า คัญ ที ่ส ุด ก็ไ ด, หรือ เปน ทั ้ง หมดทุก อยา ง ทั ้ง รากฐาน ทั้ ง ตรงกลาง ทั้ ง เบื้ อ งปลาย อะไรก็ ไ ด ไม มี เ รื่ อ งอื่ น เลย มี แ ต เ รื่ อ ง ผัสสะเรื่องเดียว.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ ท า แล ว ท า อี ก ยื น ยั น แล ว ยื น ยั น อี ก ว า พุ ท ธศาสนาไม ส อนว า มี อ ะไร สํ าคั ญ มากเท ากั บ เรื่ อ ง ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ข างใน, และ รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พพะ ธั มมารมณ ข างนอก, อาศั ยกั นแล วก็ เกิ ดเป นความรู สึ กทางอายตนะนั้ น ๆ


๑๒๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ขึ้น มา แลวก็เรีย กวาผัส สะขึ้น มา. พอผัส สะมี - ปญ หามี, ผัส สะไมม ี - ปญ หา ไมมี. ฉะนั้ น การที่ จ ะตั ด ป ญ หาทั้ งหลายได ต อ งเป น ผู รอบรูในเรื่ อ งของ ผัส สะ, รวมทั ้ง เรื ่อ งอายตนะ อัน เปน ที ่ตั ้ง แหง ผัส สะ. ถา เรีย กรวมกัน เรีย กวา เรื่ อ งผั ส สายตนะ แปลว า อายตนะอั น เป น ที่ ตั้ ง แห ง ผั ส สะ ก็ คื อ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ข า งใน, รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ ข า งนอก, ถึ ง กั น แลว เกิด จัก ษุว ิญ ญาณ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ ้น ทางกาย ทางใจ ; มีเรื่อ งนี้เรื่อ งเดีย ว เปน เรื่อ งตัว แทตัว จริง ของพระพุท ธศาสนา ในระยะตั้ง ต น ในระยะเริ่ม แรก จึ งได ส มมติ ว าเป น ก ข ก กา มี คํ าอธิ บายในแงนี้ อย างที่ ได อธิ บ ายมาแล ว ในวั น นี้ ก็ พ อสมควรแก เวลาแล ว , และก็ ห มดแรงจะพู ด แล ว ก็ ยุ ติ ไวทีกอน. ขออาราธนาพระสงฆ ท านสวดคณาสาธยาย ตามระเบี ยบที่ วางไว สํ าหรั บ สงเสริมศรัทธาปสาทะของทานทั้งหลายสืบตอไป.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org _____________


ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

- ๖ ๙ กุมภาพันธ ๒๕๑๗

ปญหาในวิถีของชีวิตตั้งตนดวยกามธาตุ.

ทานสาธุชน ผูมีความสนใจในธรรม ทั้งหลาย, การบรรยายประจํ า วั น เสาร ภ าคมาฆบู ช า ครั้ ง ที่ ๖ นี้ จะได ก ล า วโดย หั วข อใหญ ว า ก ข ก กา ของการศึ กษาพุ ทธศาสนา ซึ่ งพุ ทธบริษั ทจะต องเรียนกั น เสีย ใหมอ ีก ตอ ไป ซึ ่ง ไดก ลา วมาแลว ๕ ครั ้ง . สว นในครั ้ง นี ้จ ะไดก ลา วโดย หัวขอยอยวาป ญ หาในวิถีของชีวิตตั้ งต นด วยกามธาตุ. ขอที่วาตั้งตนดวยกามธาตุ นั ่น แหละเปน เรื ่อ ง ก ข ก กา ในที ่นี ้ คือ เปน แงที ่จ ะตอ งหยิบ ขึ ้น มาพิจ ารณาดู จนกระทั่งเห็นวามันเปนเรื่อง ก ข ก กา อยางไร.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทุกชีวิตมีปญหาเรื่องการสืบพันธุ.

สิ่ ง ที่ เรี ย กว า ป ญ หาในชี วิ ต นั้ น ก็ ห มายถึ ง สิ่ ง ที่ มั น ทํ า ความยุ ง ยาก ลําบาก นั้นอยางหนึ่ง, แลวสิ่งที่จะตองเอามาศึกษาใหรู ดวยความจําเปนที่จะ

๑๒๗


๑๒๘

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ตองรู แลวก็จะได ขจัดป ญ หา หรือความยุงยากนั้นออกไปเสียใหได นี้ก็อยางหนึ่ง เหมื อ นอย างกั บ ว า อยู ในโลกนี้ ป ญ หาเรื่อ งปากเรื่องท อ ง จะเป น ป ญ หาแรก อย าง เดียวกัน. ที ่เรีย กวา ชีว ิต ๆ ในที ่นี ้ ก็ห มายถึง สิ ่ง ที ่ม ีช ีว ิต ทั ้ง หมดก็ไ ด ; แต โดยส ว นใหญ แ ล ว หมายถึ ง ชี วิ ต ชั้ น ที่ เป น คนเป น มนุ ษ ย แต โดยเหตุ ที่ สั ต ว ทั้ งหลาย ที่ เป น สั ต ว เดรั จ ฉาน ก็ เป น สิ่ ง ที่ มี ชี วิ ต , ต่ํ า ลงไปกว า สั ต ว เดรั จ ฉาน ก็ ไ ด แ ก พ วก ตนไมตนไล มันก็มีชีวิต, ถาสิ่งใดมีชีวิตสิ่งนั้นตองมีปญหา เปนแนนอน. ป ญ หาแรกก็ คื อ มั น จะตายเพราะไม ได สิ่ งต า ง ๆ ที่ จํ าเป น ; อย า ง ชีว ิต ตน ไมนี ้ มัน ก็ต อ งดิ ้น รนเพื ่อ จะใหร อดอยู ไ ด, ที ่ล ะเอีย ดไปกวา นั ้น ตน ไม ทั้ งหลายนี้ ก็ ต องการจะมี ชี วิต อยู ไม สู ญ พั น ธุ ไปเสี ย; เมื่ อต องการจะอยู ไม สู ญ พั น ธุ ไปเสีย ก็ตองสืบพันธุเอาไว. ดังนั้นตนไมทั้งหลาย ก็มีปญหาเรื่องสืบพันธุ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เมื่ อ พู ด ถึ ง การสื บ พั น ธุ มั น ก็ ต อ งมี เพศ ๒ เพศ คื อ เพศตั ว ผู แ ละเพศ ตั วเมี ย . คนทั่ วไปก็ พ อจะรูจั ก ได ว าต น ไม มี เพศตั วผู แ ละเพศตั วเมี ย , แล วสื บ พั น ธุ อยา งไร จึง เปน ลูก เหลือ อยู  ไมส ูญ พัน ธุ ไ ป ? พ วกที ่เ ปน นัก วิท ยาศาสตร นั ก ปราชญ ในเรื่ อ งของต น ไม ก็ ยิ่ ง รู ดี จนกระทั่ ง รู ว า ส ว นไหนเป น เพศผู , ส ว น ไหนเป น เพศตั วเมี ย , คื อ ไข ที่ รวมอยู ในดอกเดี ย วกั น ในดอกไม ด อกหนึ่ ง มี ทั้ งเพศผู เพศเมีย . หรือ วา ตน ไมที ่ม ีเ พศผู เ พศเมีย อยู ค นละดอก ก็รู ว า ดอกสว นไหน ชนิดไหนเปนดอกตัวผู ดอกชนิดไหนเปนดอกตัวเมีย.


ปญหาในวิถีของชีวิตตั้งตนดวยกามธาตุ

๑๒๙

อย า งต น ข า วโพด ดอกส ง ขึ้ น ข า งบนเป น ดอกตั ว ผู , ดอกที่ จ ะเป น รวง ขา วโพดเปน ดอกตัว เมีย , แลว ก็ม ีก ารผสมพัน ธุ , จึง ไดเ ปน ฝก ขา วโพด. แลว บางชนิด ดอกตัว ผู อ ยูที ่ต น อื่น ดอกตัว เมีย อยูที ่ต น อื ่น ตอ งอาศัย แมลง อาศัย สิ ่ง บางสิ ่ง พาไป จึง จะมีโ อกาสไปถึง กัน ได. บางชนิด ยิ ่ง ไกลกวา นั ้น คือ ตอ ง อาศัยน้ํ าไหลในลําธาร พาเกษรดอกตัวผูที่อยูตนลําธารไปหาดอกตัวเมียที่อยูขาง ล างที่ ปลายลํ าธาร คื อส วนล างของลํ าธารที่ ไหลไปทางทะเล, อย างนี้ ก็ มี ก็ ตรวจพบ หมายความว า แม แ ต พื ช หรือ ต น ไม ก็ มี ก ารสื บ พั น ธุ ; และเมื่ อ มี ก ารสื บ พั น ธุ ก็ ต อ ง มีเพศผูและเพศเมีย ดังนั้นก็ตองอาศัยสิ่งที่เรียกวากามธาตุ ดวยเหมือนกัน. แม จะเป น ชี วิ ต ที่ ต่ํ าต อ ยเช น ต น ไม ไม ป รากฏชั ด เจนเหมื อ นในสั ต ว ห รื อ ในคน ก็ ยั ง มี ส ว นแห ง การสื บ พั น ธุ , และเมื่ อ มี ค วามต อ งการจะสื บ พั น ธุ ก็ ต อ งมี สว นแหง กามธาตุ. ดัง นั ้น ควรจะถือ วา แมใ นวิถ ีช ีว ิต ของพืช ทั ้ง หลาย ก็ตั ้ง ตนปญหาดวยกามธาตุ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ ม าถึ ง สั ต ว เดรั จ ฉาน สุ นั ข วั ว ควาย เป น ต น ก็ ยิ่ ง เห็ น ได ชั ด มี การสื บพั นธุ มี ความรูสึ กรุนแรงของสิ่ งที่ เรียกวา กามธาตุ , แล วก็ เป น ป ญ หาเกี่ ยว กับการสืบพันธุ.

นี้ ก็ ม าถึ ง มนุ ษ ย ก็ เ ห็ น ชั ด ว า จะต อ งมี เ รื่ อ งระหว า งเพศ. มี ป ญ หา เกี่ยวกับเรื่องเพศอยางไร ทั้งหมดนี้ก็เป น ไปด วยอํานาจของสิ่ งที่ เรีย กวา กาม ธาตุ.


๑๓๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

กามธาตุเปนที่มาแหงปญหา. ธาตุ ทั้ งหลาย ๓ อย างที่ พ ระท านได ส วดกั น แล ว เมื่ อตะกี้ นี้ ว า กามธาตุ รู ป ธาตุ อรู ป ธาตุ เป น ๓ ธาตุ ด ว ยกั น กามธาตุ เป น ธาตุ แ รกในบรรดาธาตุ ทั้ ง ๓ นั้น นั่นแหละ คือสิ่งที่จะถือวา เปนที่มาแหงปญ หาตาง ๆ ในขั้นตนของชีวิต ทั้งปวง. เมื่ อ พู ด อย า งนี้ บางคนจะแย ง ว า มั น ไม ใ ช เรื่ อ ง ก ข ก กา เสี ย แล ว . อาตมาก็ย ัง แยง วา มัน ก็ย ัง เปน เรื ่อ ง ก ข ก กา อยู นั ่น เอง. เขาก็ไ มเรีย น ไม เอามาเรี ย น แล ว ก็ ไ ม รู ว า มั น เป น เรื่ อ งเบื้ อ งต น อย า งไร, มั น ก็ เลยไม รู ว า มั น เป น เรื่ อง ก ข ก กา กั นอย างไร จึ งต องขอร องให ย อนมาดู ที่ ตั ว, พยายามทํ าความเข าใจ ตัว เอง ตั ้ง แตเ กิด มาตั ้ง แตอ อ นแตอ อกจนกระทั ่ง บัด นี ้ จะมีช ีว ิต อยู ส ัก กี ่ป  หรือ กี่สิบป จนกระทั่งบัดนี้.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ปญหาแรกที่สุด คือป ญหาที่ ตั้ งตนขึ้นมาดวยธาตุ อะไร ในที่นี้ยืนยันวา ตั้ งต น ขึ้ น มาด ว ยกามธาตุ เพราะก อนจะมี ความรูสึ กประเภทกามธาตุ ป ญ หาก็ ยั ง ไม มี , มั น เป น เรื่ อ งธรรมดาเกิ น ไป จนไม เรี ย กว า ป ญ หา. เมื่ อ ยั ง มี แ ต ธ าตุ ล ว น ๆ ผสมปรุ ง แต ง กั น อยู ไม เจื อ ด ว ยกามธาตุ , แม จ ะมี ชี วิ ต แล ว ป ญ หาก็ ยั ง ไม มี . แต เดี๋ ย วนี้ มั น มี ค วามลึ ก ซึ้ ง เร น ลั บ อยู ใ นข อ ที่ ว า สิ่ ง ที่ เรี ย กว า กามธาตุ ก็ ดี รู ป ธาตุ ก็ ดี อรู ป ธาตุ ก็ ดี มั น มี เชื้ อ ของมั น อยู เป น ธาตุ ส ว นหนึ่ ง ซึ่ ง พร อ มที่ จ ะแสดงตั ว ออกมา ในเมื่ อ บรรดาธาตุ ทั้ ง หลายต า ง ๆ ที่ เป น พื้ น ฐานได ใ ห โอกาส. ธาตุ ที่ เป น พื้ น ฐาน ต า ง ๆ นั ้ น ได ใ ห โ อกาสสํ า หรั บ กามธาตุ เป น เรื ่ อ งแรก ในชี วิ ต คนเรา ส ว นของกามธาตุ นี้ เป น เรื่ อ งแรก เหมื อ นกั บ ว า เรื่ อ งที่ ป ากคอก หรื อ หญ า ปากคอก.


ปญหาในวิถีของชีวิตตั้งตนดวยกามธาตุ

๑๓๑

นี่ แหละคื อข อ ที่ จะพิ จารณาดู กั น ก อ น และเรี ย กว าเป น เรื่ อ ง ก ข ก กา เพราะว า มั น เป น หญ า ปากคอก, เป น วั ว ที่ อ ยู ป ากคอกชิ ง ออกได ก อ นวั ว ทั้ ง หลาย. กามธาตุเปนอยางนี้ จึงถือวาเปนที่ตั้งตนของปญหาแหงชีวิต ของสิ่งที่มีชีวิต.

ทบทวนเรื่องธาตุพื้นฐาน. ในชั้นแรกจะตองพิ จารณาดู ธาตุ ล วน ๆ ซึ่งเคยอธิบายมาแลวหลายครั้ง หลายหน แมแตในบทสวดที่ สวดไปเมื่อตะกี้นี้ก็ระบุ ถึงธาตุพื้ น ฐานลวน ๆ นี้กอ น วา คนเราประกอบอยู ด ว ย ธาตุ ๖ คือ ธาตุ ดิน ธาตุไ ฟ ธาตุล ม ธาตุ อากาศ ธาตุวิญญาณ นี้เปนธาตุ ๖ เปนธาตุพื้นฐานและทั่วไป สําหรับใชทั่วไป. ธาตุ พื้ น ฐานถั ด มา ก็ คื อ ธาตุ ต า ธาตุ หู ธาตุ จมู ก ธาตุ ลิ้ น ธาตุ กาย ธาตุ ใจ นี้ ก็ อี ก ๖ ซึ่ งก็ ได เคยสวดแล วอธิ บ ายแล ว ว าจั ก ษุ ธาตุ โสตธาตุ ฆานธาตุ ชิ วหาธาตุ กายธาตุ มโนธาตุ เป น ธาตุ ๖ อี ก หมวดหนึ่ ง นี้ ก็ เป น ธาตุ พื้ น ฐาน ซึ่ ง ยั งไม มี ค วามหมายแห ง กามธาตุ หรือ รูป ธาตุ หรือ อรู ป ธาตุ เป น ต น จนกว า มั น จะ ถึงเวลาหรือปรุงแตงกันขึ้น.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แล วธาตุ ๖ อี กหมวดหนึ่ ง ก็คื อ ธาตุรูป ธาตุเสียง ธาตุ กลิ่ น ธาตุรส ธาตุ โผฏฐั พ พะ ธาตุ ธั ม มารมณ หมายถึ งอยู ข างนอก รูป ธาตุ สั ท ทธาตุ คั นธธาตุ รสธาตุ โผฏฐัพพะธาตุ ธัมมธาตุ นี้ก็ ๖ อีกเหมือนกัน.


๑๓๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

เราได ธ าตุ ๓ หมวด หมวดละ ๖ ก็ เป น ๑๘ ธาตุ หมวดละ ๖ สาม หมวดเป น ๑๘ ธาตุ แล ว นี้ เรียกวาพื้ นฐานที่ สุ ด, และพื้ นฐานอย างยิ่ ง ก็ คื อ ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ล ม ธาตุ ไฟ ธาตุ อ ากาศ ธาตุ วิ ญ ญาณ. และ ๖ ธาตุ แ รกนี่ เอง จะให โอกาสแกธ าตุต า ธาตุห ู ธาตุจ มูก ธาตุก าย ธาตุใ จ, และธาตุต า หู จมูก ลิ ้น กาย ใจ เป น ต น นี้ ทํ าอะไรไม ได จนกว าจะได ธ าตุ ข างนอกมาช ว ย คื อ ธาตุ รูป ธาตุเสียง ธาตุกลิ่น ธาตุรส ธาตุโผฏฐัพพะ ธาตุธัมมารมณ. ดั ง นั้ น เราจึ ง เรี ย ก ๖ อย า งหลั ง นี้ ว า ธาตุ ข า งนอก คื อ รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ ที่ จ ะเข า มากระทบกั บ ธาตุ ข า งใน คื อ ธาตุ ต า ธาตุ หู ธาตุ จ มู ก ธาตุ ลิ้ น ธาตุ ก าย ธาตุ ใจ ; แต ทั้ ง หมดธาตุ นี้ อ าศั ย พื้ น ฐานรากฐานอยู ที่ ธาตุดิน ธาตุน้ํา ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุอากาศ ธาตุวิญญาณ. ถ า ท า นผู ใดเข า ใจเรื่ อ งราวหรื อ หน า ที่ ข องธาตุ ทั้ ง ๓ หมวดนี้ แ ล ว ก็ จ ะ เรี ย กว า รู ก ข ก กา ในเรื่ อ งธาตุ , แล ว ก็ จ ะเข า ใจเรื่ อ งธาตุ ต อ ๆ ไป จนถึ ง ที่ สุ ด ได โดยไมย ากเลย ; จึง ขอใหส นใจธาตุพื ้น ฐาน ๓ จํ า พวกนี ้ก ัน ไวใ หด ี ๆ ใหเ ขา ใจ ชัดเจนอยู.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ธาตุ พื้ นฐานหมวดแรก ก็ คื อ ดิ น น้ํ า ไฟ ลม อากาศ วิ ญ ญาณ, แล ว ธาตุ ข างใน ก็ คื อ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ธาตุ ข า งนอก ก็ คื อ รูป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ , แล วก็ จ ะรู ได ง ายว า นี่ แ หละที่ ตั้ งของป ญ หา, รากฐาน ที่ ตั้ ง ของป ญ หา, แล ว ป ญ หาอะไรจะเกิ ด ขึ้ น มาก อ น ? ก็ คื อ ป ญ หาที่ จ ะเกิ ด มา จากกามธาตุ ซึ่งเป นธาตุห นึ่งในบรรดาธาตุทั้ ง ๓ : กามธาตุ รูป ธาตุ อรูป ธาตุ , ๓ ธาตุ นี้ กามธาตุ เหมื อ นกั บ วั ว ตั ว ที่ อ ยู ป ากคอก มั น จะถลั น ออกมาก อ นวั ว ตั ว อื่ น .


ปญหาในวิถีของชีวิตตั้งตนดวยกามธาตุ

๑๓๓

กามธาตุปรากฏเมื่อรูจักความอรอย. เมื ่อ ชีว ิต ตั ้ง ตน พอสมควรแลว ปญ หาเรื ่อ งกามธาตุก ็จ ะเกิด ขึ ้น เราจึ งดู ตั ว ก ตั ว ข ของเรื่ อ งธาตุ นี้ ว า ชี วิ ต นี้ ตั้ งต น ขึ้ น ด วยธาตุ ล วน ๆ ๓ หมวด ๆ ละ ๖ นี้ ซึ่ ง เป น ธาตุ ก ลาง ๆ. ในชั้ น แรกยั ง นั บ ว า เป น ธาตุ ก ลาง ๆ หรื อ จะเรี ย กว า อั พ ยากฤต คื อ พู ด ว า เป น อย า งไรก็ ยั ง ไม ไ ด ; พู ด ว า ดี ก็ ไ ม ไ ด , ว า ชั่ ว ก็ ไ ม ไ ด , ว า ทุก ขก ็ไ มไ ด, วา สุข ก็ไ มไ ด อะไรทํ า นองนี ้ ยัง เปน กลาง ๆ อยู . ชีว ิต ของเรา มั น เริ่ ม ขึ้ น มาด วยธาตุ ๓ หมวดนี้ , ยั งไม เป น ป ญ หาก อ น จนกว าจะได ก ามธาตุ เข า มาตามโอกาส คื อกว าจะได อารมณ คื อธาตุ ภายนอกเข ามา สํ าหรั บกามธาตุ ที่ อยู แนว หนาหรือปากคอก. สั ง เกตเอาเองง า ย ๆ ว า เด็ ก เล็ ก ๆ เกิ ด ขึ้ น มา ในชั้ น แรกก็ ไ ม รู เ รื่ อ ง อะไร ก็ มี ธาตุ ดิ น น้ํ า ไฟ ลม อากาศ วิ ญ ญาณ ปรุ งแต งขึ้ นมา เป น ชี วิ ตร างกาย แล วมี ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ที่ ประกอบอยู ด วย ธาตุ ตา ธาตุ หู ธาตุ จมู ก ธาตุ ลิ้ น ธาตุ กาย ธาตุ ใจ, จนกว าเมื่ อไรเด็ กทารกนั้ นจะได รั บธาตุ ข างนอก คื อ รู ป เสี ยง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ ที่ จ ะมากระทบ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ. เมื่ อ ยั งไม มี ความรู สึ กอะไรมากไปกว านั้ น ก็ เรี ยกว ายั งเป นชั้ นกลาง ๆ อย างว าหิ วก็ ร องไห ได กิ น ก็หยุดไป, จนกวาเมื่ อไรจะรูจักความอรอย ในสิ่งที่ ไดกินเขาไป ตอนนี้ก็บอกยาก. อาตมาก็ นึ ก ไม อ อกเหมื อ นกั น ว า ตั ว เองเมื่ อ เป น ทารกนั้ น รู สึ ก อร อ ยเมื่ อ ไร เมื่ อ อายุ ได กี่ วั น เมื่ อ อายุ ได กี่ สั ป ดาห จึ งจะรู สึ ก ว าอร อ ยเป น หรื อ ไม อ ร อ ยแล วก็ โกรธขึ้ น มา เปนนี้.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


๑๓๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ในชั้ น แรกจะรู สึ ก แต ว า หิ ว ก็ ร อ งไห ได กิ น ก็ ห ยุ ด ไป แม เพี ย งเท า นี้ ก็ ยั ง จํ าไม ค อ ยได , แล วก็ จํ าอาการอย างนี้ ไม ค อ ยได ด วยกั น ทุ ก คน. เพราะฉะนั้ น อย าเอา เวลากันดี กวาวาเมื่ อไร เมื่ ออายุเท าไร พู ดได ตามพระบาลีเลยวา, พระพุ ทธเจ าท าน ไดตรัสไวเอง วา เมื่อทารกนั้นมันรูจักยึดมั่นในรสอรอย ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ; เมื่อนั้นทารกนั้นจะเริ่มรูจัก ตัณหา อุปาทาน คือ รูจัก ตัณหา อุปาทาน ซึ่งจะเปนที่ตั้งแหงปฏิจจสมุปบาทและความทุกข. เมื่ อ ทารกนั้ น รูจั ก กั บ ความอรอ ย ก็เรียกวานั่ น แหละคื อ หน าที่ หรือ การงาน หรือ การแสดงออก, หรือ ความปรากฏ ของสิ่ งที่ เรีย กวา กามธาตุ ; เพราะคํ าว ากามธาตุ ในกรณี ทั่ วไป ไม จํ าเป น จะต องหมายถึ งเรื่ องเพศ ระหว างเพศผู เพศเมี ย อย า งเดี ย ว, แม ค วามรู สึ ก อร อ ย ทางตา ทางหู ทางจมู ก ทางลิ้ น ทาง ผิ วหนั ง ๕ อย างนี้ ก็ เรี ยกว า เป นสิ่ งที่ สงเคราะห รวมอยู ในกามธาตุ , จนกว าทารกนั้ น จะเติ บโตขึ้ นมาตามลํ าดั บ สิ่ งที่ เรี ยกว ากามธาตุ ก็ ขยายตั วขึ้ นมาตามลํ าดั บ จนกว า จะมีความรูสึกเรื่องเพศ หรือเรื่องระหวางเพศ.

การขยายตัวของกามธาตุ. www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เดี๋ ย วนี้ นั ก ปราชญ ใ นทางจิ ต วิ ท ยา ที่ เกี่ ย วกั บ ระบบจิ ต หรื อ วิ ญ ญาณนี้ เขาก็ ยอมรั บ ว าความรู สึ กเหล านี้ เป นการตั้ งต น หรื อเป นการแสดงออกในระยะต น ๆ ของความรู สึ ก ทางเพศ. ฉะนั้ น เด็ ก เล็ ก ๆ ก็ รู จั ก กอดแม หรื อ รู จั ก ความสั ม ผั ส ที่ นิ่ ม นวล ที่ เ ป น โผฏฐั พ พะ ที่ เป น ความหมายของเรื่ อ งทางเพศในเวลาต อ มา. นี่ หมายความวา เชื้ อ แห งกามธาตุ มั น ก็ได มี อ ยู แลว, แลวก็ไดเริ่มแสดงอาการแลว ;


ปญหาในวิถีของชีวิตตั้งตนดวยกามธาตุ

๑๓๕

จึง เปน อัน ถือ ไดวา กามธาตุก ็ด ี รูป ธาตุก ็ด ี อรูป ธาตุก ็ด ี มัน มีเชื ้อ อยู แ ลว แต ไม แสดงออกจนกวาจะได โอกาส คื อมี การสั มพั นธกันระหวางธาตุ ขางนอกกับธาตุ ขางใน. นี้ ก ามธาตุ ก็ ข ยายตั วเรื่ อ ยไป จนถึ งกั บ อวั ย วะต าง ๆ ในรางกายเจริญ เต็ ม ที่ , ความรู สึ ก ระหว า งเพศจึ ง เต็ ม ที่ ; กามธาตุ จึ ง ได โ อกาสที่ จ ะแสดงบทบาท รุน แรง. เดี ๋ย วนี ้ม ัน ไมใ ชเ รื ่อ งวา หิว อยากจะกิน อิ ่ม แลว เลิก กัน , มัน เปน ความ หิ วความต องการ ของธาตุ ที่ สู งขึ้ นไปกว าธาตุ พื้ นฐาน คื อความต องการของกามธาตุ ; ฉะนั้ น จึ ง รุ น แรงถึ ง ขนาดที่ เป น ป ญ หา คื อ นํ า มาซึ่ ง ความทุ ก ข หรื อ นํ า มาซึ่ ง ความ ยุงยากตาง ๆ นานาในโลกนี้. เราจะได เห็ น อาชญากรรมทางเพศนี่ หนาขึ้ น ๆ ในโลกนี้ ทุ ก วั น ๆ ตาม ความเจริ ญ ของมนุ ษ ย ที่ เจริ ญ ด ว ยวั ต ถุ ที่ ส ง เสริ ม ความรู สึ ก ทางกามธาตุ . เดี๋ ย วนี้ ดู เ หมื อ นว า อะไร ๆ ในโลกนี้ ก็ ตั้ ง หน า ตั้ ง ตาจะผลิ ต กั น เพื่ อ ส ง เสริ ม กํ า ลั ง ของ กามธาตุ กั น ทั้ ง นั้ น , นั บ ตั้ ง แต ใ ห ส วย นั บ ตั้ ง แต ใ ห ไ พเราะ, นั บ ตั้ ง แต ใ ห ห อม ให อร อ ย ให นิ่ ม นวล, ที่ เรี ย กกั น ว า อารมณ ทั้ ง ๕ หรื อ กามคุ ณ ทั้ ง ๕ ส งเสริ ม ให ก า ว หนาอยางกะวิ่งไปทีเดียว.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้ น คนจึ งตกเป น เหยื่ อ ของกามธาตุ ม าก ป ญ หาอาชญากรรม ทางเพศจึ ง มี ม าก ; นี้ ค วรจะเรี ย กว า ก ข ก กา ของป ญ หาของมนุ ษ ย ในด า น อาชญ ากรรมทางเพศ; เมื่ อ ไม รู ก ข ก กา แล ว จะไปรู อ ะไรมากกว า นั้ น ได อยา งไร ? ขอใหรู เ สีย ทีเ ถอะวา เรื ่อ งยุ ง ยากลํ า บากในบา นเมือ ง หรือ วา โลกนี้


๑๓๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ส วนใหญ ส วนหนึ่ งนั้ น มั น ตั้ งต น ขึ้ น มาด ว ยป ญ หาทางสิ่ งที่ เรี ย กว า กามธาตุ , มั น ก็ รุ น แรงเรื่ อ ยไป ๆ จนกระทั่ ง มี ค วามเป น หนุ ม เป น สาวเต็ ม ที่ , จนกว า จะเนื อ ยไป เพราะมันลวงไป ๆ.

ธาตุกาม - รูป - อรูปจะปรากฏตามวัย - เวลา. เมื่ อ กามธาตุ เนื อ ยไป โอกาสส ว นใหญ ก็ เป น ของ รูป ธาตุ คื อ ที่ จ ะไป หลงใหลในสิ ่ง ที ่เ ปน รูป บริส ุท ธิ ์ เปน รูป ลว น ๆ ไมเ กี ่ย วกับ กาม ; เมื ่อ รูป ธาตุ เจริ ญ ก าวหน าไปได มาก มั นก็ จะเนื อยไป มั นก็ จะเป นโอกาสให เกิ ดความหลงใหลใน ทางอรูปธาตุ. นี่ถาเราจะแบงกันเปนตอน ๆ ก็เปนอยางนี้. คนอายุ น อย ๆ ก็ เริ่ มต นด วยกามธาตุ จนกระทั่ งถึ งวั ยหนุ มสาว วั ยกลาง คนอย า งนี้ , หลั ง จากนั้ น กามธาตุ ก็ เนื อ ยไป จนเป น โอกาสของรู ป ธาตุ คื อ เป น เรื่ อ ง วั ต ถุ ทรั พ ย สิ่ ง ของสมบั ติ เป น วั ต ถุ อ ย า งนี้ เสี ย มากกว า , จนกระทั่ ง แก ช รา ก็ จ ะ นึก ถึง อรูป ธาตุ เชน บุญ เชน กุศ ล เชน โลกหนา , หรือ แมแ ตว า เกีย รติย ศชื ่อ เสี ย งอั น แท จ ริ ง ก็ จ ะมานึ ก กั น ตอนนี้ นี้ ในคนหนึ่ ง ๆ มี อ ายุ ยื น ยาวสั ก ๘๐ - ๙๐ ป หรือ ๑๐๐ ป เป น อย างมาก มั น ก็มี ก ารตั้ งต น ด ว ยป ญ หาของกามธาตุ , แล วจึ ง มาถึงรูปธาตุ, และมาถึง อรูปธาตุ ดวยอาการอยางนี้.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ เป น ส ว นหนึ่ ง ซึ่ ง จะต อ งสั งเกตให เห็ น ให รู จั ก ก ข ก กา ของป ญ หา ที่ ตั้ งต น ขึ้ น มาจากกามธาตุ เป น ส ว นใหญ เราไม มี ค วามสุ ข เรามี ค วามทุ ก ข ดิ้ น รน ทนทรมาน แล ว แก ก็ ไ ม ไ ด และไม รู ว า มั น มาจากอะไร หรื อ บางที รู ว า มั น มาจาก สิ ่ง นี ้, ก็บ ัง คับ ใจใหม ัน อยู ใ นอํ า นาจไมไ ด มัน ก็ต กเปน เหยื ่อ ของความรู ส ึก


ปญหาในวิถีของชีวิตตั้งตนดวยกามธาตุ

๑๓๗

เหลา นั ้น มัน ก็เ ลยแกไ มไ ด, ทั ้ง ที ่รู อ ยู ว า จะตอ งแกอ ยา งนี ้ ๆ. แตถ า ไดศ ึก ษา เรื่อ งเหลา นี้ใ หเ พีย งพอ มัน มีห วัง หรือ มีสว นที่จ ะแกไ ดม ากขึ้น หรือ งา ยขึ้น ดั งนั้ นจึงขอให สนใจ วาชีวิตคนหนึ่ งมั นตั้ งต นด วยป ญหากามธาตุ แล วก็ มาถึ งป ญหา รูปธาตุ แลวก็มาถึงปญหาอรูปธาตุ ดวยอาการอยางนี้. ที นี้ เราจะดู กั น ในข อ ที่ ว า แม ใ นระยะกาลอั น หนึ่ ง ๆ ซึ่ ง เรี ย กว า เป น ระยะกาลของธาตุห นึ ่ง ๆ ในเบื ้อ งตน เชน ในกามธาตุ ก็ย ัง มีส ว นที ่จ ะตอ ง สลับ กัน อยู ก ับ เรื ่อ งของรูป ธาตุห รือ อรูป ธาตุ; เพราะเหตุว า สิ ่ง เหลา นี ้ม ัน สั ม พั น ธ กั น อยู มั น เนื่ อ งกั น อยู มั น ไม ได แ ยกกั น โดยเด็ ด ขาด, และเพราะเหตุ ที่ ว า ความเปลี่ ย นแปลงมี ม าก ในระหว า งความสั ม พั น ธ กั น นี้ ฉะนั้ น มั น จึ ง มี ก ารแทรก แซงบาง ระหวางธาตุอื่น. เช น ในวั ย เด็ ก วั ย หนุ ม สาว ที่ จ ะถื อ ว า เป น ระยะกาลของกามธาตุ ; แตในบางคราว หรือบางโอกาส คนหนุ ม สาวก็ มิ ได ลุม หลงในเรื่อ งทางกามา รมณห รือ ทางเพศ จนตลอดทั ้ง ๒๔ ชั ่ว โมง ก็ไ ปสนใจเรื ่อ งวัต ถุล ว น ๆ ก็ม ี, ไม เกี่ ยวกั บความรูสึ กทางกามบ างก็ มี , หรือบางที ก็ ออกไปหาความรูสึ กที่ ไม เกี่ ยวกั บ กาม, เช น ต อ งไปนั่ ง พั ก ผ อ นก็ มี บางที อ ยากจะนั่ ง อยู นิ่ ง ๆ หรื อ ไปนั่ ง ที่ ริ ม ทะเล นิ่ง ๆ ไมม ีใ ครมารบกวนก็มี. แตโดยเหตุที ่วา มัน เปน ระยะกาลของกามธาตุ มัน ก็ห นีไ มพ น , มัน ก็จ ะตอ งวิ่ง มาหาเหยื ่อ หรือ อารมณท างกามธาตุต อ ไป อีก ; สวนใหญมันจึงเปนเสียอยางนี้.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แต สั งเกตดู ให ดี แล วว า ไม ได เป นอย างนั้ นไปตลอดเวลา มั นมี ส วนแทรก แซงของธาตุ อื่ น เป น ธรรมดา แต ว า มั น น อ ยเกิ น ไป ; ดั ง นั้ น จึ ง ไม นั บ ว า ระยะกาล


๑๓๘

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

นี ้ห รือ วัย นี ้ เปน วัย ของรูป ธาตุห รือ อรูป ธาตุ. นี ้แ หละคือ ความเปน ก ข ก กา ของกามธาตุ ที่ตั้ง ตน ขึ้น มาในชีวิต ของคนเปน ระยะแรก มีโ อกาสใหธ าตุ อื่น แทรกแซงไดน อ ยมากในชีวิต ประจํา วัน จนกวา จะลว งกาลผา นวัย ไปเปน ผู ใหญ อ ายุ ม าก จึ งจะเป น โอกาสของรูป ธาตุ ; ที นี้ ก ามธาตุ ก็ ก ลายเป น ผู แ ทรกแซง เล็ก ๆ นอย ๆ จนกวาจะหมดไป; เมื่อลวงกาลผานวัยไปถึงความแกชรา ก็เปน โอกาสของอรูป ธาตุม ากกวา ; สว นที ่เปน กามธาตุ หรือ รูป ธาตุ ก็ม ีก ารแทรก แซงบางเปนสวนใหญ. ถ าเรามองดู ชี วิ ตอย างนี้ เข าใจความจริงอย างนี้ มั นควบคุ มป ญหาต าง ๆ ได ง าย ฉะนั้ น จึ งขอร องว า อย าไปเบื่ อ หน ายในการที่ จะศึ กษา ก ข ก กา อั น เกี่ ย ว เรื่องธาตุนี้เลย. อาตมาก็ พู ดซ้ํ า ๆ ซาก ๆ อยู แต เรื่ อง ก ข ก กา จนคนบางคนเบื่ อหน าแล ว ก็ มี ; แต มั น ก็ ช วยไม ได มั น ไม มี ท างอื่ น ที่ ทํ า ให ค นเราจะอยู ได ด ว ยความสงบสุ ข . พระพุ ท ธเจ า ท านก็ ต รัส ไว ชั ด เจน อย างบทที่ พ ระได ส วดได ต ะกี้ นี้ ว าเมื่ อ ใดมี ก าร เกิดขึ้นแหงธาตุ เมื่อนั้นก็มีการเกิดขึ้นแหงทุกข; เมื่อใดมีการดับไปแหงธาตุ เมื่อนั้นก็มีการดับขึ้นแหงทุกข. นี้หมายความวาเมื่อใดธาตุมันปรุงแตงกัน จน ทํ าหน าที่ สํ าเร็จรูปตามหน าที่ ของ กามธาตุ รูปธาตุ อรูปธาตุ เป นต นแล ว ป ญ หา มัน ก็เกิด ขึ ้น ลว นแตเปน ทุก ขทั ้ง นั ้น , มัน เปน ความทุก ขที ่ต า ง ๆ กัน วัย หนุ ม สาวก็ มี ค วามทุ กข แบบหนึ่ ง, พ อ บ านแม เรือ นก็ มี ค วามทุ กข อ ยู อี กแบบหนึ่ ง, คนแก ชราจนกระทั ่ง แกห งอ ม ก็ม ีค วามทุก ขไ ปอีก แบบหนึ ่ง . แตอ ยา งไรก็ด ี ทั ้ง หมด นี้ มั น มี มู ล มาจากป ญ หาเรื่ อ งธาตุ ทั้ ง ๓ นี้ ทั้ งนั้ น จึ งควรจะรูกั น ไว ตั้ งแต เบื้ อ งต น จนถึงเบื้องปลาย. ถาเรียนเรื่องเบื้องตน ก็ตองถือวา เปนเรื่อง ก ข ก กา.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


ปญหาในวิถีของชีวิตตั้งตนดวยกามธาตุ

๑๓๙

อยากจะแนะให พิ จารณาว า ป ญ หาเรื่ อ งกามธาตุ นี้ ม าก อ น แล วก็ ม า ตามธรรมชาติ มาโดยสั ญ ชาตญาณ มาตามปกติ ธ รรมดา, แล ว ก็ ไ ด ทํ า ให เกิ ด ป ญ หายุ งยากลํ าบากส วนตั วบุ คคล หรือเป นป ญ หาทางศี ลธรรมของสั งคม จนสั งคม เสื ่อ ม. มนุษ ยจ ึง มีร ะเบีย บประเพณี กระทั ่ง เรื ่อ งทางศาสนา ที ่จ ะควบคุม ป ญ หาที่ เ กี่ ย วกั บ กามธาตุ หรื อ กามารมณ นี้ . ขอให ไ ปศึ ก ษาดู โดยเฉพาะใน ป จ จุ บั น นี้ แล ว มี ป ญ หาความยุ งยากลํ าบาก อั น มี มู ล เหตุ ม าจากเรื่ อ งกามารมณ นี้ มากขึ้ น ทุ ก ที เพราะว า ไม มี ใครห า มใครได . ในบ า นในเมื อ งในกรุ ง จึ ง เต็ ม ไปด ว ย สถานที่ ที่ ส ง เสริ ม กามารมณ ทางตา ทางหู ทางจมู ก ทางลิ้ น ทางกาย. มนุ ษ ย ก็ จะมี ป ญ หามาก มี ค วามทุ ก ข ม าก ราวกั บ ว าตกนรกทั้ งเป น อยู ที่ นี่ อยู ต ลอดเวลา ดวยเหมือนกัน.

กามธาตุ - รูป - อรูป เคยถูกยกเปนนิพพาน. ที นี้ เมื่ อ พู ด ถึ ง เรื่ อ งกามธาตุ ก็ มี เรื่ อ งเป น เรื่ อ งระหว า งเพศ ถ า ทํ า ได ดี เขายกให เป น สวรรค ไ ปเลย ว า ในสวรรค นั้ น ก็ ไ ม มี อ ะไร นอกไปจากกามารมณ ที่ เป น ทิ พ ย , แล ว ก็ ได อ ย า งอกอย า งใจนี้ เตลิ ด เป ด เป งไปทางหนึ่ ง , แล ว ก็ ดู เอาเองว า เปน เรื ่อ งดี หรือ เปน เรื ่อ งรา ย. ที ่น า หัว อยา งยิ ่ง หรือ แปลกประหลาดไปกวา นั ้น อี ก ก็ คื อ พระพุ ท ธเจ า ท า นได ต รั ส ไว ในเรื่ อ งทิ ฏ ฐิ ทั้ ง หลายของมนุ ษ ย ซึ่ ง มี อ ยู มากมายดวยกัน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org มนุษยพวกหนึ่งมีทิฏฐิ ถือเอากามารมณสูงสุดวาเปนนิพพาน นาขันหรือ ไม น า ขั น น า หั ว หรื อ ไม น า หั ว ก็ ต าม แต ว า เป น เรื่ อ งจริ ง ที่ ไ ด มี อ ยู แ ล ว ตั้ ง แต


๑๔๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

กอนพุ ทธกาล. หรือแมในพุทธกาลก็มี คือลัทธิที่เรียกวา กามสุขัลลิกานุโยค บา ง, ลัท ธิโ ลกายตะบา ง. ถา เทีย บกับ เดี ๋ย วนี ้ ก็ค ือ ลัท ธิว ัต ถุน ิย ม ที ่เ อา ความสู ง สุ ด ทางเนื้ อ หนั ง ว า เป น ของสู ง สุ ด ของมนุ ษ ย . สมั ย โน น เขาก็ เ รี ย กว า นิพ พาน เพราะมันเปนสูงสุดของความสุขที่มนุษ ยจะพึ งได คือ ดับ ความใครข อง มนุษยไดมาก ; มนุษยก็รูสึกเปนสุขมากจนยึดเอาเปนนิพพาน กันคราวหนึ่ง. สมั ย หนึ่ ง . มี ค นเชื่ อ ถื อ กั น มาก นั บ ถื อ กั น มาก นั บ ถื อ ลั ท ธิ นี้ กั น มาก นั้ น ก็ เรี ย กว า กามารมณ หรื อ กามธาตุ ก็ ต าม ถู ก ยกขึ้ น เป น นิ พ พานก อ นธาตุ ใด ๆ. กาม นิพพานมากอนนิพพานใด ๆ ก็จะตองเลาตอไปวา ตอมานั้นมีอะไรเปนนิพพาน. เมื่ อมนุ ษย มี กามารมณ สู งสุ ดเป นนิ พพานกั นยุ คหนึ่ ง สมั ยหนึ่ งแล ว ต อ มามนุษ ยอ ีก พวกหนึ ่ง เกิด พบวา เปน เรื ่อ งหลอกลวง ; เพราะวา เขาไดไ ปพบ ความสุ ข ที่ เกิด มาจากสมาธิป ระเภทรูป ฌาน คือเอารูป ธรรมลวน ๆ ที่ไมเกี่ยว กั บกามารมณ มากํ าหนดไว ในจิ ต, แล วก็ ขจั ดความรูสึ กที่ เป นกามารมณ ออกไปเสี ย ไดจากจิต อยางบทสวดของสัมมาสมาธิ ที่วาดวยปฐมฌาน กาเมหิ อกุสเลหิ วิวิจฺเจว ที่ สงั ดออกไปเสี ยได จากกามและอกุ ศลนี้ ได สมาธิ นี้ มา มี ความสุ ข ก็ เลยยึ ดถื อเอา ความสุ ข ที่ เ กิ ด จากสมาธิ ป ระเภทรู ป ธรรมนี้ ว า เป น นิ พ พาน. นี้ ก็ มี อ ยู ยุ ค หนึ่ ง เหมื อนกั น เรียกว าเอาความรูสึ กที่ เกิ ดมาจากรู ปธาตุ อั น บริสุ ทธิ์ นี้ เป น นิ พ พาน เป น ยุคที่สอง

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ต อ มาอี ก ยุ ค หนึ่ ง เกิ ด มี ค นพบว า นั้ น ก็ ยั ง หยาบไปหน อ ยไม ป ระณี ต จึงคนหาไดความสุขมาจากสิ่งที่ไมมีรูป เรียกวาอรูปฌาน ; นับตั้งแตอากา สานั ญจายตนะ ไปจนถึ งเนวสั ญ ญานาสั ญญายตนะ, แล วก็ บั ญ ญั ติ นี้ ว าเป นนิ พพาน คนก็เชื่อถือกันมาก นับถือกันมากอยูยุคหนึ่ง.


ปญหาในวิถีของชีวิตตั้งตนดวยกามธาตุ

๑๔๑

เมื่ อพระพุ ทธเจ าออกผนวชใหม ๆ ก็ ได เข าไปศึ กษาในสํ านั กนี้ คื อที่ เอา อรูปฌานที่ เกิ ดมาจากอรูปธรรมว าเป นนิ พพาน, ที่ เรารูจั กกั นวา สํ านั กอาฬารดาบส, สํานักอุทกดาบส ; เขาไปศึกษาแลวไมพอพระทัย, มีคําตรัสของพระพุทธเจาเองวา เพราะนั่นเปนแตเพียง อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ. พระองค ไมเห็นดวย แลวก็หลีกออกไปเสีย ไปคนหาใหม จึงไดพ บนิ พ พานอยางในพระ พุทธศาสนา ซึ่งประกอบขึ้นดวยนิโรธธาตุ โดยสมบูรณ, คือจะตองตัดกําลังของ กามธาตุ ของรูปธาตุ ของอรูปธาตุ ออกไปเสี ยให หมด ด วยอํ านาจของนิ โรธธาตุ ; ที ่เ ราเรีย กวา ดับ กิเ ลสตัณ หาเสีย ไดสิ ้น เชิง . นี ้จ ึง จะเปน นิพ พานที ่ถ ูก ตอ ง นิพพานแทจริง นิพพานที่มาจากนิโรธธาตุนี้มาหลังเขาหมด. ทีแ รกกามนิพ พานมากอ น อาศัย กามธาตุเ ปน กํ า ลัง , แลว ตอ มา รูป นิ พ พานมากอน อาศั ยรูป ธาตุ เป นกําลัง, ตอมาอรูป นิ พ พาน อาศัย อรูป ธาตุ เปน กําลัง, ครั้นมาถึงพระพุ ทธเจา ก็อ าศั ยนิ โรธธาตุ เปน กําลัง ดั บ กิ เลสดั บ ทุกขสิ้นเชิง.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ดูเถอะวาทําไมจะไมควรกลาววา กามธาตุ เป นต นตอแห งป ญ หาใน ชี วิ ต มนุ ษ ย , จนกระทั่ งบั ด นี้ ก็ ยั งมี ค นแบ งเป น พวก ๆ กั น ถื อ ลั ท ธิ นั้ น ถื อ ลั ท ธิ นี้ . พวกที่ ถื อเอากามารมณ เป นนิ พพานก็ ยั งมี อยู ก็ ได แก คนป จจุ บั นนี้ บางคน หรือบาง พวก หรือจํ านวนมากเสี ยด วย, ไม เห็ นด วยวาอะไรประเสริฐไปกวารสทางกามารมณ . เขาก็ลุมหลงไมสนใจธรรมะอื่นเลย สนใจแตธรรมะทางกามธาตุ ทางกามารมณ ทั้งนั้น ในปจจุบันนี้ก็ยังมี.


๑๔๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ฉะนั้ นอย าไปดู ถู กดู หมิ่ นคนสมั ยก อนพุ ทธกาลโน นว าโง เลย เขาก็ เหมื อน กั บคนสมั ยนี้ เมื่ อเขาไม เห็ นอะไร หรื อไม เข าใจอะไร ๆ ได ดี กว านี้ ก็ ต องเอาเรื่ องทาง กามธาตุ เป น นิ พ พาน, และมี อ ยู ก อ นพุ ท ธกาลนานไกล; กระทั่ ง ในยุ ค พุ ท ธกาลก็ ยั ง เหลื อ อยู กระทั่ ง บั ด นี้ ก็ ยั ง เหลื อ อยู แล ว จะยิ่ ง มากขึ้ น ด ว ยซ้ํ า ไป. เพราะว า บั ด นี้ โลกเรานี้ กําลั งหลงใหลแต เรื่อ งทางกามธาตุ เรื่อ งกามารมณ จะยิ่ งไปกวาครั้ง พุ ท ธกาลเสี ย อี ก . ทํ า ไมเป น อย า งนั้ น เพราะว า โลกสมั ย นี้ ฉ ลาดมากขึ้ น ในเรื่ อ ง ทางวั ต ถุ จึ งสามารถแสวงหาหรื อ ว าปรุ งขึ้ น มา, คื อ ปรุ งเหยื่ อ สํ าหรั บ กามธาตุ ขึ้ น มา ได ดี ได ม ากกว า สมั ย ครั้ งพุ ท ธกาล ก็ ค วรจะถื อ ว า ป ญ หาที่ เกี่ ย วกั บ กามธาตุ นี้ เป น ปญหาเบื้องตนของมนุษย แมกระทั่งทุกวันนี้.

ทุกอยางเกิดจากสิ่งที่ซอนอยูในธาตุ ผสมกับเหตุปจจัยภายนอก. ที นี้ เ ราก็ จ ะดู ข อ เท็ จ จริ ง อั น หนึ่ ง ที่ ว า มั น เป น มาในลั ก ษณ ะอย า งนี้ ได อ ย า งไร ? ในข อ นี้ อยากจะแนะให สั ง เกตให เ ห็ น ข อ เท็ จ จริ ง ที่ ว า ธาตุ ที่ เ ป น ป ญ หา ที่ เ ป น ตั ว ป ญ หา เช น กามธาตุ รู ป ธาตุ อรู ป ธาตุ นี้ มั น ก็ มี เ ป น เชื้ อ ที่ มองไม เ ห็ น ที่ ซ อ นมาเสร็ จ แล ว ในธาตุ ทั้ ง หลาย ที่ จ ะปรุ ง แต ง กั น ขึ้ น มาเป น ชี วิ ต . เพราะวา ธาตุห นึ ่ง ๆ นั ้น ก็ม ีเ ชื ้อ อะไรเก็บ ไวใ นนั ้น มาก; อยา งวา ในธาตุด ิน ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ลม นี้ มั นมี เชื้ อ หรื อ มี โอกาส หรื อมี ค วามเหมาะสม ที่ จะซ อ น ธาตุ อื่ น ๆ ไว ใ นนั้ น ; จะเป น กามธาตุ ก็ ดี รู ป ธาตุ ก็ ดี อรู ป ธาตุ ก็ ดี นิ โ รธธาตุ ก็ ดี มัน มีเ ชื ้อ หรือ อํ า นาจ หรือ อะไรก็ต าม ซอ นมาเสร็จ อยู ใ นนั ้น , แลว เมื ่อ ธาตุ

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


ปญหาในวิถีของชีวิตตั้งตนดวยกามธาตุ

๑๔๓

ทั้ งหลายเหล านี้ แต ละธาตุ มาผสมรวมกั นเข าอี ก มั นก็ มี ทางที่ จะให ขยายตั วออกมา เป น รู ป เป น ร า งมากขึ้ น อี ก . การที่ เราจะเข า ใจคํ า ว า มี อ ะไรซ อ มมาแล ว ในนั้ น นั้ น ไมย าก คือ ขอใหส ัง เกตดูจ ากสิ ่ง ที ่ม องดูด ว ยตาเห็น กัน กอ น; เมื ่อ เห็น แลว ก็ จะมองสิ่งที่มองดวยตาไมเห็นไดเปนลําดับไป. เช นว าในไข ไก ฟ องหนึ่ ง เอามาต อยดู จะเห็ นเยื่ อเหลื อง ๆ ขาว ๆ อะไร ไม เห็ น มี อ ะไรมากไปกว า นั้ น หรื อ มี จุ ด ชี วิ ต จุ ด หนึ่ ง เล็ ก ๆ ซึ่ ง ก็ ดู ย าก. ที นี้ เมื่ อ ไข ฟองนั้ นได รับความอบอุ นพอ ทํ าไมเนื้ อเหลื อง ๆ ขาว ๆ เหล านั้ นกลายเป นลู กไก ได , แลว ในลูก ไกนั ้น มัน ก็ม ี ขนไก, ขาไก, หงอนไก, กระดูก ไก, เลือ ดไก, อะไรอยู ในลูก ไกนั้น มัน เอามาจากไหน ? ถา มัน ไมซอ นอยู มาเสร็จ แลว ในฟองไข เล็ ก ๆ ซึ่ งอยู ในเปลื อ กบาง ๆ. เพราะว า ในระยะที่ ฟ องไข ฟ ก ตั ว นี้ ก็ ไม มี อ ะไร นอก จากความรอนที่ พอเหมาะสม, ความรอนที่ เหมาะสมก็ ทํ าให ฟองไขนั้ น กลายเป นไก เป น ลู ก ไก ขึ้ น มา. มั น ก็ น า หั ว ที่ ว า เรากิ น ไข เข าไปฟองหนึ่ ง ก็ เท า กั บ กิ น กระดู ก ไก , ขาไก , ขนไก , อะไรไก ไก ทั้ ง หมดเข า ไปแล ว ด ว ย; แต เราก็ ไ ม นึ ก อย า งนั้ น ก็ นึ ก วา กิน ฟองไขเ พีย งแตเ นื ้อ เหลือ ง ๆ ขาว ๆ เทา นั ้น เอง. นี ้เ รีย กวา ไมด ู หรือ วา ขี้เกียจที่จะดูกันมากเกินไป.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ขอให ส นใจดู ว า แม แ ต ใ นเรื่ อ งวั ต ถุ ล ว น ๆ มั น ก็ ยั ง มี อ ะไรซ อ นกั น อยู ในนั้ น จนกว า จะแสดงตั ว ออกมา ด ว ยเหตุ ป จ จั ย อื่ น ๆ. บรรดาธาตุ ทั้ งหลายธาตุ หนึ่ง ๆ ก็มีอะไรซอนอยูในนั้น มากมายหลายอยาง จนกวาจะไดโอกาสไดแสดง ตั วออกมา เพราะเหตุ ป จ จั ย มั น ช วยแวดล อ ม. ในฟองไข ซึ่ งเป น สั ต ว ที่ เป น ครรภ อ ยู ในฟองนี ้ มัน เห็น ไดง า ย. ทีนี ้แ มจ ะเขยิบ เขา ไปในคน ในครรภข องสัต วที ่ไ ม ต อ งใช ฟ องไข มั น ก็ ยั ง พอจะเห็ น ได อ ยู นั่ น เอง. ถ า เราเข า ใจเรื่ อ งของฟองไข แ ล ว


๑๔๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ก็ เข าใจเรื่อ งการตั้ งปฏิ ส นธิ และการเจริ ญ ของสั ต ว ที่ ไม ต อ งไข อ อกมาเป น ฟองก็ ได อีกเหมือนกัน เชน มนุษยเปนตน. มนุ ษ ย เกิ ดในครรภ หรื อว าสั ตว เดรั จฉานประเภทที่ เกิ ดในครรภ ไม ต อง ออกเป น ฟองนี้ มั น มี ห ลั ก เกณฑ อั น เดี ย วกั น ; อย า งที่ เขาถื อ กั น เป น หลั ก ในคั ม ภี ร นั้ น ก็ ว า เป น กลละ ก อ น คื อ เป น จุ ด เล็ ก ที่ ใสมาก, เล็ ก จนดู ด ว ยตาไม เห็ น เป น กลละที่ อ ยู ใ นครรภ ข องมารดา, แล ว ต อ มาจึ ง เป น อั ม พุ ช ะ คื อ ใหญ ขึ้ น หน อ ย ตอมาจึงเปน เปสิ เปนชิ้นเนื้อ, ตอมาจึงเปนป ญจสาขา คืองอกเป น ๕ แงง จะได เปน หัวเปนมือ ๒ เปนเทา ๒. นี้ ดู ในระยะที่ มั นเป นกลละ ซึ่ งเป นจุ ดเล็ กที่ แทบจะมองไม เห็ น ว าทํ าไม ในนั ้น มัน จึง มีค วามที ่จ ะเปน สัต ว เปน คนออกมาในตอนหลัง นี ้เ สร็จ ; เพราะวา มั น มี ซ อ นมาเสร็จ แล วอยู ในนั้ น , มั น ก็ เจริญ ไปตามเรื่อ งของมั น จนออกมาเป น คนอยา งที ่ม านั ่ง กัน อยู ที ่นี ่. ทีแ รกก็เ ปน จุด เล็ก ๆ; เพราะฉะนั ้น ตอ งถือ วา ใน จุดเล็ก ๆ นั้น มันไดซอนความเปนคนอยางนี้ไวแลวโดยสมบูรณ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ดั ง นั้ น ขอให ถื อ ว า ในธาตุ ห นึ่ ง ๆ มั น ก็ มี อ ะไรของมั น ซ อ นมาแล ว โดยสมบูร ณ ตามหนา ที ่ข องธาตุนั ้น ๆ. ทีนี ้เมื ่อ ธาตุ นั ้น ๆ มัน ประกอบกัน เขา หลายธาตุ ความที่มีอ ะไรซอ นกัน อยูในนั้น มัน ก็ยิ่งมากขึ้น เปนธาตุดิน ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ลม ธาตุ อ ากาศ ธาตุ วิ ญ ญาณ ทั้ ง ๖ ธาตุ มารวมกั น , แล ว เปลี่ ย นแปลงไปตามความที่ มั น รวมกั น แล ว มั น ต อ งมี อ ะไร ๆ ที่ ซ อ นอยู ในนั้ น มาก มายนั ก มากมายกว าที่ เป น เพี ย งธาตุ เดี ย ว. ฉะนั้ น จึ งมี ความรูสึ ก ที่ คิ ด นึ ก มี ความ อะไรสารพั ดอย าง ความรูสึ กคิ ด นึ กที่ กว างขวางยิ่ งกวาโลกทั้ งหมด มั น ก็ ซ อนอยู ใน


ปญหาในวิถีของชีวิตตั้งตนดวยกามธาตุ

๑๔๕

หั วสมองเล็ ก ๆ ของคน ซึ่ งเคยซ อนอยู ในธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ลม อากาศ วิญญาณ ที่เล็ก ๆ ที่จะเรียกวา จะไมมีความหมาย. ฉะนั้ น ขอให นึ ก ถึ ง ว า เมื่ อ ธาตุ ห ลายธาตุ ม าประชุ ม กุ ม กั น เข า . มา ปรุงแตงอยางเหมาะสมแลว มันก็จะเปนที่ออกมาแหงสิ่งที่นาอัศจรรย มากมาย หลายสถาน, จึง ออกมาตามอํ า นาจอิท ธิพ ลของกามธาตุ ของรูป ธาตุ ของ อรู ป ธาตุ ; เกิ ด เป น มนุ ษ ย พ วกที่ บ า หลั ง ในเรื่ อ งกามารมณ , เกิ ด เป น มนุ ษ ย ที่ บ า หลั งในเรื่องของรูปฌาน, หรือความสุ ขที่ มาจากรูปฌาน, หรือพวกที่ บ าหลั งในอรูป ฌาน เปน ตน . จึง เปน ของไมแ ปลก ถา เราเขา ใจมาตั ้ง แตต น มัน ก็เ ปน อยา งนี้ กระทั่งธรรมธาตุทั่วไป. ในธรรมธาตุ ทั้ ง หลาย แบ ง เป น สั ง ขตธาตุ คื อ ธาตุ ที่ มี ป จ จั ย ปรุ ง แต ง มัน มีป จ จัย มากมาย มัน ก็ย ัง มีอ ะไรซอ นอยู ใ นนั ้น มากมาย. ทีนี ้อ ีก สว นหนึ ่ง เปน อสัง ขตธาตุนี ้ มัน ก็ม ีอ ะไรซอ นอยู ใ นอสัง ขตธาตุ, เปน นิโ รธธาตุ ที ่มี อะไรซอ นอยู ใ นนั ้น มัน จึง ปรากฏออกมาเปน นิพ พาน อยา งที ่เ ราปรารถนา กัน นัก หลับ หูห ลับ ตาปรารถนาก็ไ ด. แตวา ในนิพ พานธาตุจ ะตอ งมีน ิโ รธธาตุ ซึ่งซ อนคุ ณสมบั ติ อะไรไวหลายอย าง จนมาอบรมประพฤติ ปฏิ บั ติ เจริญงอกงามออกมา เป น พระนิ พ พานที่ ถู ก ต อ งและสมบู ร ณ แล ว ก็ ดั บ ทุ ก ข ไ ด , มั น ก็ ไ ม พ น ไปจาก นิพพานธาตุหรือนิโรธธาตุ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ ขอให เข าใจ ให เห็ นชั ดว า ธาตุ ทั้ งหลายประเภทที่ เป นสั งขตะก็ ดี ประ เภทที่เปนอสังขตะก็ดี แตละธาตุ ๆ นี้ ลวนแตมีคุณ สมบัติอะไรซอนอยูในนั้น มากมาย. ทีนี ้จ ะเจริญ วิวัฒ นาออกมาเปน ประโยชน ไดอ ยา งไร ; มัน แลว


๑๔๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

แตสิ ่ง แวดลอ มหรือ เหตุป จ จัย . เหตุป จ จัย ที ่สํ า คัญ ก็ค ือ การประพฤติป ฏิบ ัติ ธรรม, ถ าเราประพฤติ ปฏิ บั ติ ธรรมถู กต อ ง นิ โรธธาตุ ก็ จะให ผลออกมาเป นนิ พ พาน ธาตุที ่แ ทจ ริง และถึง ที ่ส ุด ได. นี ้ค ือ เรื ่อ งธาตุทั ้ง หลายที ่เ กี ่ย วขอ งกัน อยู ก ับ สิ ่ง ที่มีชีวิตทุกระดับ. เมื่ อเราเข าใจคํ าว าธาตุ แต ละธาตุ มี คุ ณ สมบั ติ ซ อนอยู แล วในนั้ น อย างที่ มองไม เห็ น นี่ ขั้ น หนึ่ ง แล ว , แล ว ก็ เข า ใจต อ ไปอี ก ว า เมื่ อ หลาย ๆ ธาตุ ม าสั ม พั น ธ เนื่ อ งกั น อี ก คุ ณ สมบั ติ ที่ ซ อ นอยู ในนั้ น ย อ มมี ลึ ก มากกว า งขวางไปกว า นั้ น อี ก , มั น จึง ออกมาเปน อะไรทุก ๆ อยา งได. ถา เขา ใจไดด ัง นี ้แ ลว มัน ก็ง า ยที ่จ ะเขา ใจ ต อ ไป คื อ จะเข าใจเรื่อ งทุ ก ข เรื่ อ งเหตุ ให เกิ ด ทุ ก ข เรื่ อ งความไม มี ทุ ก ข และทางให ถึงความไมมีทุกข ไดโดยงาย; จึงถือวา เรื่องธาตุทั้งหลายนี้เปนเรื่อง ก ข ก กา. และขอวิ ง วอนว า ท า นทั้ งหลายอย า ได เบื่ อ หน า ย ในการที่ จ ะศึ ก ษา เรื ่อ งธาตุเ ลย, อยากจะพูด ซ้ํ า ๆ ซาก ๆ วา แมแ ตค นแกแ ลว ก็ย ัง ตอ งไปเรีย น ก ข ก กา กั น ใหม ด ว ยเหตุ ผ ลหลายประการ, คนแก ๆ ที่ นั่ ง อยู ที่ นี่ สามารถจะ เขี ยน ก ข ให ถู กต องเรี ยบร อยตามลํ าดั บ ไหม ? บางที มั น ก็ หลงใหลฟ น เฟ อนไปแล ว ก็ มี . นี้ ถ าถามกั น ให ล ะเอี ย ดออกไป ว าทํ าไมจึ งต อ งมี ก ข ก กา ในลํ าดั บ อย างนั้ น หรื อ ต อ งมี อ อกเสี ย งอย า งนี้ ? ทํ า ไมจึ งต อ งปรุ ง ด ว ยสระอย า งนั้ น อย า งนี้ ? แล ว มา กลายเป น คํ า อะไร ? ยิ่ ง ถามไปป ญ หาเรื่ อ งตั ว หนั ง สื อ ตั ว อั ก ษรนี้ มั น ก็ ยิ่ ง มี ม ากที่ ไมท ราบ. ฉะนั ้น การที ่จ ะเรีย น ก ข ก กา กัน ใหด ีก วา กอ นนั ้น มัน ก็เ ปน สิ ่ง ที่ สมควร แม ก ข ก กา อย างลู กเด็ ก ๆ เราก็ ลื มกั นเสี ยมากแล ว สู ลู กเด็ ก ๆ ไม ได ก็ มี .

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


ปญหาในวิถีของชีวิตตั้งตนดวยกามธาตุ

๑๔๗

ธาตุกาม, รูป, อรูป ดับลงไดดวยนิโรธธาตุ. เอาละ, เป น อั น ว า ต อ งเรี ย น ต อ งสนใจที่ จ ะเรี ย น ก ข ก กา เกี่ ย วกั บ ธาตุ ที นี้ ก็ จ ะดู กั น ต อ ไปใหม ถึ ง ข อ ที่ ว า ในธาตุ ทั้ ง ๓ ที่ เป น ตั ว ป ญ หานี้ มั น ก็ ยั ง มี ค วามลั บ อั น หนึ่ ง ซึ่ ง จะต อ งมองให เห็ น . ความลั บ นี้ คื อ ข อ ที่ มั น สั ม พั น ธ กั น อยู กั บ นิโ รธธาตุต ลอดเวลา ; แตม ัน เปน ไปในลัก ษณะที ่ไ มเ ด็ด ขาด ไมถ ึง ที ่ส ุด . เมื ่อ กี้ ก็ ได พู ด แล ว ถ า ไม ลื ม เสี ย ว า ธาตุ ที่ เป น ตั ว ตั ณ หานั้ น มี ๓ ธาตุ คื อ กามธาตุ แลว ก็ร ูป ธาตุ แลว ก็อ รูป ธาตุ. นี ่ธ าตุที ่เ ปน ตัว ปญ หา มัน มี ๓ ธาตุ อยา งนี ้, แลวธาตุ อี ก อยางหนึ่ ง ซึ่งมั นสรางมาคูกัน สํ าหรับ แกป ญ หานั้ น มั นมี ธาตุ เดี ย ว เรี ย กว า นิ โ รธธาตุ . นิ โ รธธาตุ นี้ คื อ จะเป น ผู ช ว ย เป น ผู เกิ ด มาสํ า หรั บ เป น คู ป รั บ กับปญหาเหลานั้น. เราก็ ม องไปตั้ ง แต ต น อย างเรี ย น ก ข ก กา กั น อี ก ; อย างว า กามธาตุ นี้ พอมั น เกิ ด ขึ้ น ปรุ ง แต ง ขึ้ น ในจิ ต ใจของคนคนใดคนหนึ่ ง ระอุ ร อ นไปด ว ย กามารมณ ถา ใหเ ปน อยา งนั ้น เรื ่อ ยตลอดวัน ตลอดคืน มัน ก็เ ปน บา และตาย, ใคร ๆ ก็ต อ งเห็น วา ถา ฤทธิ ์ห รือ อํ า นาจของกามารมณห รือ กามธาตุนี ้ มัน ระอุ อยู เ รื ่อ ยตลอดเวลา เพีย ง ๒๔ ชั ่ว โมง มัน ก็ต อ งบา หรือ ตาย. เขาก็ต อ งมีผ ลดี มีโ ชคดี มีอ านิส งส มีเ ครื ่อ งคุ ม ครองของนิโ รธธาตุ เขา มาชว ยระงับ ดับ เสีย เปน ครั ้ง เปน คราว อํ า นาจของกามารมณม ัน จึง ระงับ ไป ; แมแ ตชั ่ว ครู ชั ่ว ยาม มันก็พอใหทนอยูได ไมตองเปนบาและไมตองตาย.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ เราก็ เห็ น ได ว า นิ โ รธธาตุ ก็ เ ข า มาเจื อ อยู เข า มาเกี่ ย วข อ งอยู กั บ ความเปน ไปของธาตุทั ้ง หลายที ่เ ปน ตัว ปญ หา ; หากแตว า นิโ รธธาตุนั ้น เปน ไป


๑๔๘

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ตามธรรมชาติ ยั ง เป น ไปตามธรรมชาติ , มิ ได เป น ไปด ว ยอํ า นาจของการปฏิ บั ติ หรื อ การเจริ ญ หรื อ การอบรม. เพราะฉะนั้ น จึ ง มี กํ า ลั ง น อ ย กํ า จั ด ฤทธิ์ ข อง กามารมณไ ดแ ตเ พีย งตามธรรมชาติ; แตก ็ด ีว ิเ ศษที ่ส ุด แลว ที ่ว า คนนั ้น ไม ตอ งเปน บา และตาย. ฉะนั ้น ขอใหข อบคุณ นิโ รธธาตุ หรือ พระนิพ พานลว งหนา ที่ เจี ย ดมาที ล ะน อ ย, เจี ย ดมาที ล ะน อ ย มาช ว ยเหลื อ คุ ม ครองมนุ ษ ย ที่ บ า หลั ง ใน กามารมณ อยู ในเวลานี้ . ขอขอบคุ ณ พระนิ พ พาน คื อ นิ โรธธาตุ ที่ เจี ยดตั วหรือแบ ง ภาคมาที ละน อย ๆ มาช วยระงับดั บความรอนของกามารมณ ของสั ตว ที่ กํ าลั งลุ มหลง ในกามารมณ  ใหร ะงับ ไปเปน ครั ้ง คราว. นี ่เ รีย กวา เราเรีย น ก ข ก กา ของ กามธาตุ ให รู ว า มั น รอดอยู ได อ ย างไร ในชี วิ ต ของสั ต ว ทั้ ง หลาย ผู อ ยู ในวิ สั ย ของ กามารมณ. ที นี้ ม นุ ษ ย ที่ สู ง ขึ้ น ไป ถึ ง ขั้ น รู ป ธาตุ พวกฤาษี ชี ไ พร ที่ พ อใจอยู ใ น ความสุ ขอั น เกิ ด จากสมาธิ เช น รูป ฌาน เป น ต น มั น ก็ มี เวลาที่ ห ยุ ด พั ก หรือ มี เวลา ที่ ดั บ ไป แห ง ความหลงใหลลุ ม หลงนั้ น บ า งเหมื อ นกั น ; มิ ฉ ะนั้ น ก็ จ ะต อ งเป น บ า อี ก ชนิ ด หนึ่ ง หรือ อาจจะตายไปในลั ก ษณะอย า งหนึ่ ง มั น ก็ มี ก ารหยุ ด พั ก ระยะ หยุ ด พั ก นั้ น เป น โอกาสหรือ เป น ช ว งของ นิ โรธธาตุ ที่ จ ะเข า มาช ว ย มาแสดงตั ว ; แตเ ขาก็ไ มรู ส ึก เพราะวา มัน เปน ธรรมชาติ, มิไ ดเ ปน ไปเพราะวา เขาอบรม ทํา ใหมีขึ้น มา. นี่ นิพ พานธาตุ เขา มาชว ยพวกที่ตั ้ง อยูใ นภูม ิข องรูป ธาตุ ในลั กษณะอย างนี้ ก็ ค วรจะขอบใจ แต แล วก็ ไม มี ใครขอบใจ หลงใหลอยู แต ส วนที่ เปนรูปธาตุ ทั้ง ๆ ที่นิโรธธาตุจูเขามา แบงภาคเขามาชวยเหลือใหรอดอยูได.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ พ วกอรู ป ธาตุ ก็ อ ย า งเดี ย วกั น ฤาษี มุ นี ชี ไพร ที่ มั น สู งขึ้ น ไปกว า นั้ น ไปไดถ ึง ขั ้น อรูป ธาตุ มัน ก็ต อ งหยุด มัน ก็ต อ งพัก ผอ น; เพราะฉะนั ้น นิโ รธ -


ปญหาในวิถีของชีวิตตั้งตนดวยกามธาตุ

๑๔๙

ธาตุ นี้ คื อ ธาตุ ที่ สํ า คั ญ ที่ สุ ด ในการที่ จ ะช ว ยมนุ ษ ย ห รื อ สิ่ ง ที่ มี ชี วิ ต ให มั น รอด อยูได. เราก็ พ อจะมองเห็ น ได กั น แล ว ในขั้ น นี้ ว า ถ า ไม มี ก ารหยุ ด พั ก , อะไรก็ ตามใจ ถา ไมม ีก ารหยุด พัก แลว เราจะตอ งตาย. ใหเราทํ า อะไร ใหเรานั ่ง โดย ไม หยุ ดมั นก็ ต องตาย, ให เรายื นโดยไม หยุ ดมั นก็ ต องตาย, เดิ นไม หยุ ดก็ ตาย, จะให กิ น โดยไม ห ยุ ด มั น ก็ ต อ งตาย, เพราะฉะนั้ น มั น ต อ งมี ระยะที่ ห ยุ ด ระยะที่ เรี ย กว าดั บ ไป ระยะหนึ่ ง เพื่ อ จะได เปลี่ ย นเป น อย างอื่ น แล วมั น จึ งจะทนอยู ได แ ละไม ต าย. ฉะนั้ น เราจะต อ งมี ก ารกิ น การนอน การเดิ น การยื น การอะไรต าง ๆ ทุ ก อย าง ทุ ก อย า ง ที่เราทํากันอยูนี้ ตองมีระยะหยุด. ฉะนั้ นเราควรจะสนใจในเรื่อ งของความหยุ ด หรือ นิ โรธธาตุ กัน บ าง ให มั น ถู ก ต อ งเพี ย งแต ว า เดี๋ ย วนี้ มั น ยั ง ไม ห ยุ ด จริ ง . ถ า หยุ ด จริ ง เมื่ อ ไร มั น ก็ เป น เรื่ อ งของนิ พ พานไป. เดี๋ ย วนี้ มั น ยั ง ไม ห ยุ ด จริ ง มั น เป น เรื่ อ งหยุ ด ชั่ ว คราว แล ว ก็ สลั บ อยู กั บ การเกิ ด ที่ เรี ย กว า การดั บ นี้ มั น สลั บ กั น อยู กั บ การเกิ ด เขาจึ ง เรี ย กว า เปน กุปปธรรม คือสิ่งที่ยังกลับไปกลับมาได เรียกวาเปน กุปปธรรม.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ดัง นั ้น นิโ รธธาตุ ในระยะนี ้แ สดงบทบาทเปน กุป ปธรรมทั ้ง นั ้น , นั บ ตั้ งแต ห ยุ ด ทางกามารมณ หรื อ หยุ ด ทางรู ป ธาตุ ทางอรู ป ธาตุ มั น เป น กุ ป ปธรรม ทั ้ง นั ้น , จนกระทั ่ง เรามาประพฤติป ฏิบ ัต ิ เพื ่อ จะหยุด กิเ ลส จะดับ กิเ ลสแลว ; แต ม ั น ยั ง ดั บ ไม ไ ด มั น ก็ เ ป น การดั บ ชนิ ด กุ ป ปธรรม คื อ ชั่ ว คราวทั ้ ง นั้ น . ดั ง นั้ น บางคราวเราจึ ง รู สึ ก ว า เอ ะ เราหยุ ด กิ เ ลสนี้ ไ ด แ ล ว ทํ า ไมมั น กลั บ มาอี ก ? เพราะว า นิ โรธธาตุ นี้ ยั งเป น กุ ป ปธรรม ยั งไม ส มบู รณ , จนกระทั่ งมั น เป น กุ ป ปธรรม


๑๕๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ที่ ค อ นข างมั่ น คงขึ้ น มาเสี ย ก อ น, ก อ นนี้ มั น เป น กุ ป ปธรรมชนิ ด เหลาะแหละ, เหลาะ แหละทั้ งนั้ น . เดี๋ ย วเบื่ อ กามารมณ เดี๋ ย วก็ ห ลงใหลกามารมณ มั น ก็ เหลาะแหละ ๆ อยูอยางนี้. เหมื อ นกั บ ว า กิ น อาหารนั้ น ถ า กิ น น้ํ า พริ ก ทุ ก วั น มั น ก็ เบื่ อ เรี ย กว า เบื่ อ ไม อ ยากแล ว, ต อ ไปหลาย ๆ วั น เข ามั น ก็ อ ยากกิ น น้ํ าพริ ก อี ก , อยากกิ น เนื้ อ กิ น ปลา กิน อะไรสลับ ไปสลับ มา หลอกกัน อยู อ ยา งนี ้. นี ่ค วามเบื ่อ ชนิด นี ้ม ัน เปน ความ เบื ่อ เหลาะแหละ; แตว า เมื ่อ นานเขา มนุษ ยค นนั ้น ก็รู ค วามจริง นี ้ม ากเขา ความเบื่ อนี้ มั นก็ ค อนข างจะเป นรูปเป นราง หรือมั่ นคงขึ้ น, จนเป นเรื่องความเบื่ อชนิ ดที่ เรี ย กว า ค อ นข า งมั่ น คง จนกระทั่ ง เป น ความเบื่ อ ที่ มั่ น คง แล ว มั น ก็ จ ะมี ค วามดั บ ที่มั่นคงทีหลัง.

นิโรธธาตุ ทําหนาที่สมบูรณก็เปนนิพพานธาตุ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org การที่ จ ะละกามารมณ ก็ ดี ละรู ป ธรรมหรื อ อรู ป ธรรมก็ ดี มั น ก็ ต อ งไป ตามลํ า ดับ ของการดับ ที ่ไ มมั ่น คง แลว ก็มั ่น คง จนกระทั ่ง เฉีย บขาดลงไป. ฉะนั้ น การละกิ เลส ในชั้ น ที่ เรี ย กว า บรรลุ ม รรค ผล นั้ น เป น อกุ ป ปธรรมทั้ ง นั้ น ; แม แ ต ล ะในขั้ น พระโสดาบั น ก็ เ ป น อกุ ป ปธรรม คื อ ว า ส ว นใดที่ ล ะได แ ล ว มั น ไม กลั บ มาอี ก , ส ว นใดที่ ล ะได แ ล ว ไม ก ลั บ มาอี ก จนเป น พระอรหั น ต ก็ เ ป น อุ ป ป ธรรมสมบู ร ณ , แล ว เราก็ มั ก จะไปมองอกุ ป ปธรรมกั น แต ใ นขั้ น พระอรหั น ต เพราะ ละหมดและสมบูรณ ละกิเลสไดสิ้นเชิง.


ปญหาในวิถีของชีวิตตั้งตนดวยกามธาตุ

๑๕๑

นิโ รธธาตุนั ้น แสดงตัว ออกมาถึง ขั ้น เด็ด ขาด เปน อกุป ปธรรม. กุปปะ นั้นแปลวา ยังหวั่นไหวยอนหลังได, อกุปปธรรม แปลวา แนนแฟนตายตัว ไมกลับหลัง ไมยอนหลัง ไมเปลี่ยนแปลง. ถาเปนนิพพานจริงก็เปน อกุปปธรรม ; แมที ่เ รีย กวา สอุป าทิเ สสนิพ พาน มัน ก็เ รีย กไดว า เปน อกุป ปธรรม ; แมใ น ขั้ น พระโสดาบั น สกิ ท าคามี อนาคามี ก็ ยั ง เรี ย กว า เป น อกุ ป ปธรรม, แต มั น บางสว น. ถา ถึง ขั้น พระอรหัน ตแ ลว ก็เ ปน อกุป ปธรรมสมบูร ณ. นิพ พาน ที่ มี ไ อร อ นเหลื อ อยู บ า ง รอเวลากว า จะเย็ น นี้ ก็ เป น อกุ ป ปธรรมแล ว สมบู ร ณ แ ล ว สํ า หรั บ ขั้ น พระอรหั น ต . นี้ เ ป น นิ พ พานที่ เ รี ย กว า สมบู ร ณ ได แ ล ว ของความเป น อกุปปธรรม ไมตองรอจนถึงเปนอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ. นี่ ขอให เหลื อบตามองว า นิ โรธธาตุ นี้ มี บุ ญ คุ ณ อย างใหญ หลวง คื อเป น ที่ แ สดงออกมาของพระนิ พ พานในขั้ น สุ ด ท าย. จุ ด หมายปลายทางของมนุ ษ ย จ ะ อยู ที่ นั่ น แต ว า เมื่ อ มนุ ษ ย ยั ง ไม ถึ ง ที่ นั่ น มั น ก็ ม าช ว ยประคั บ ประคองให มั น พอดี , ให มี ค วามพอดี ในการที่ จ ะเป น ทาสของกามารมณ แ ต เพี ย งพอดี , มี ระยะที่ จ ะหยุ ด หรือไมเปนทาสสลับอยูบาง ชีวิตมันถึงรอดอยูได.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ า เปรี ย บเที ย บกั น แล ว คนเราเป น ทาสของกามารมณ ยิ่ ง กว า สั ต ว เดรั จ ฉาน ; พอพู ด อย า งนี้ ก็ ห าว า ด า แต มั น เป น ความจริ ง ว า มนุ ษ ย นี้ ยิ่ ง เจริ ญ มากอย า งสมั ย นี้ แล ว ก็ เป น ธาตุ ข องกามารมณ ยิ่ ง กว า สั ต ว เดรั จ ฉาน ; เช น สุ นั ข และแมว เป น ต น . ไปดู เ อาเองก็ แ ล ว กั น มั น ก็ ค วรจะคิ ด ถึ ง ข อ ที่ ว า นิ โ รธธาตุ กํ า ลัง เปน ประโยชน แกส ุน ัข และแมวมากกวา คน มัน นา ละอายที ่ต รงนี ้. แต ถ าเราจะดู กั น ให จ ริ ง ๆ เราก็ ค งจะพบวิ ธี ที่ จ ะทํ า ให เราเป น ทาสของกามารมณ น อ ย ลง จนกระทั่ ง หลุ ด ออกมาได ; เพราะเรารู จั ก สิ่ ง ที่ เ รี ย กว า นิ โ รธธาตุ นั่ น แหละ


ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

๑๕๒

เปนที่ดับเสีย ซึ่งปญหาตาง ๆ อันเกิดมาจากกามธาตุ รูปธาตุ และ อรูปธาตุ ดังที่กลาวมานี้. นี้ คื อ ก ข ก กา ที่ แ สดงให เ ห็ น ว า ป ญ หาในชี วิ ต ของสิ่ ง ที่ มี ชี วิ ต ทุ ก ชนิ ด มั น ตั้ ง ต น ขึ้ น ที่ ก ามธาตุ ; อย า งที่ ไ ด ย กตั ว อย า งมาข า งต น แล ว ว า เมื่ อ ทารก เกิ ดมาใหม ๆ ยั งไม มี ป ญหาเรื่องกามธาตุ , ยั งไม มี ป ญหาเรื่องรูปธาตุ อรูปธาตุ . แต ว า ปญ หานั ้น มัน ซอ นมาแลว เสร็จ ในตัว ธาตุทั ้ง หลาย ที ่ป ระกอบกัน ขึ ้น เปน ทารก นั ้น . ฉะนั ้น ทารกนั ้น เติบ โตขึ ้น มาสัก หนอ ย มัน ก็ม ีโ อกาสที ่จ ะเปน ที ่แ สดงออก ของกามธาตุ รู ป ธาตุ อรู ป ธาตุ ต อ ไปข า งหน า จนต อ งให นิ โ รธธาตุ ม าช ว ย ประคั บ ประคองคุ ม ครองไว บ า ง เป น บางครั้ ง บางคราว อย า ให มั น เป น บ า เสี ย , อย าให มั น ตายเสี ย . ฉะนั้ น นิ โรธธาตุ ก็ ไม เคยแยกออกไปจากธาตุ ทั้ ง ๓ นี้ จึ ง ทําใหสิ่งมีชีวิตรอดอยูไดในปจจุบันนี้. ....

....

....

.....

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เอาละ ขอสรุ ป ความเพื่ อ จํ า ง า ย ให มั น สั้ น ๆ อี ก ครั้ ง หนึ่ ง ในความ เปน ก ข ก กา ระหวางธาตุทั้งหลาย.

ข อแรกก็ นึ กถึ ง ธาตุ พื้ น ฐานทั่ วไป มี อ ยู ๓ หมวด ๆ ละ ๖ นี้ พู ด ซ้ํ า จากที่ ไ ด พู ด มาแล ว ; แต ส รุ ป ความเพื่ อ ให เห็ น ง า ย จํ า ง า ย ว า ในชั้ น แรกก็ มี ธ าตุ พื้ น ฐานทั่ วไปอยู ๓ หมวด หมวดละ ๖. หมวดแรก คื อ ธาตุ ดิ น น้ํ า ไฟ ลม อากาศ วิญ ญาณ, นี ้เ ปน พื ้น ฐานจริง ๆ , เปน เนื ้อ เปน หนัง ของธาตุจ ริง ๆ แลว ก็ ถึ งหมวดที่ ๒ คื อ ธาตุ ข างใน ๖ คื อธาตุ ตา ธาตุ หู ธาตุ จมู ก ธาตุ ลิ้ น ธาตุ กาย


ปญหาในวิถีของชีวิตตั้งตนดวยกามธาตุ

๑๕๓

ธาตุ ใ จ, แล ว ต อ มาหมวดที่ ๓ อี ก ๖ คื อ ธาตุ ข า งนอก คื อ ธาตุ รู ป ธาตุ เสี ย ง ธาตุ กลิ่ น ธาตุ รส ธาตุ โผฏฐั พพะ ธาตุ ธั มมารมณ เห็ นได ว ามี อยู ๓ กลุ ม กลุ มละ ๖ นี้เปนธาตุพื้นฐาน. ที นี้ ธาตุ พื้ น ฐานนี้ เจริญ วิวัฒ นาการขึ้ น มา จนเป น โอกาสแห งการ แสด งอ อ ก ข อ งธาตุ ล ึ ก ลั บ ที ่ ม ี เ ชื ้ อ ซ อ น อ ยู  ม าแล ว ในธาตุ พื ้ น ฐานนั ้ น ; พอธาตุ พื้ น ฐานนั้ น ปรุ ง แต ง กั น ได ที่ ด ว ยเหตุ ป จ จั ย ข า งนอกแวดล อ ม ก็ มี ธ าตุ ที่ จ ะ เป นป ญ หา ธาตุ ที่ จะทํ าความรายกาจนั้ น แสดงตั วออกมา คื อ กามธาตุ แสดงออก มากอ น; เปรีย บเหมือ นวัว ตัว ที ่อ ยู ที ่ป ระตูค อก วัว ตัว นี ้พ อเปด ประตูอ อกกอ น ตั ว อื่ น เพราะมั น อยู ที่ ป ระตู วั ว ที่ อ ยู ข า งในต อ งออกที ห ลั ง . ฉะนั้ น กามธาตุ นี้ เปรียบเหมือนกับวัวตัวที่อยูที่ประตูคอก มันก็แสดงออกมากอน. เหมื อ นกั บ เด็ ก ทารกพอโตขึ้ น กี่ วั น กี่ เ ดื อ นกี่ ป ก็ พู ด ไม ไ ด ; พอรู จั ก ความอรอย และรูจึกยึดถือในความอรอยแล ว ก็เรียกวา กามธาตุ แสดงออก แล ว ทางตา ทางหู ทางจมู ก ทางลิ้ น ทางกายก็ ได . บางที จ ะเปรี ย บเที ย บว า เมื่ อ เด็ ก รู จั ก ดู พ วงปลาตะเพี ย น หรื อ พวกอะไรสวย ๆ ที่ แ ขวนให ดู แล ว พอใจอย า งนี้ ก็ พ อ จะกล า วได ว า กามธาตุ ท างตานี้ มั น เริ่ ม แล ว พอได รั บ คํ า กล อ มให น อน กล อ มแล ว ให ส บายแล ว ให มั น นอนหลั บ นี้ จนมั น ชอบแล ว พอจะพู ด ได ว า กามธาตุ ท างหู นี้ เริ่ ม ต น อยู แ ล ว ที นี้ ท างจมู ก ทางลิ้ น ทางอะไรก็ ไ ปตามลํ า ดั บ . นี้ ก ามธาตุ อ อกมา เป นป ญ หาอันดั บแรก ตามหั วขอของการบรรยายในวันนี้ ที่ วา ป ญ หาในวิถี แห งชี วิต ทุกชนิด มันตั้งตนดวยกามธาตุ และมุงหมายสูการสืบพันธุ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


๑๕๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ที นี้ เมื่ อ ต อ มาอี ก มั น มี วิ วั ฒ นาการทางจิ ต ทางสมอง ทางความคิ ด ทางนึก นี ้ มัน ก็เ ปน โอกาสของรูป ธาตุ ที ่จ ะไปหลงใหลในความสุข ในรสอรอ ย ที่ ม าจากวั ต ถุ ล ว น ๆ ไม เกี่ ย วกั บ กาม ก็ ห ลงใหลกั น ไปพั ก หนึ่ ง . นี้ ถ า ว า โชคมั น ดี คนนั้ น มั น ยั งไม ต าย มั น มี ค วามเจริ ญ ต อ ไปอี ก มั น ก็ รู จั ก ไปหลงใหลในสิ่ งที่ ป ระณี ต กวานั้น คือ อรูปธาตุ คือธาตุที่ไมมีรูปไมมีราง เปนนามธรรมลวน ๆ. กามธาตุ เ ป น ไปพั ก หนึ่ ง ในชี วิ ต คนเรา กว า จะเกิ ด ความเนื อ ยขึ้ น มา เป น โอกาสของรู ป ธาตุ ไ ประยะหนึ่ ง จนจะเกิ ด ความเนื อ ยขึ้ น มา, แล ว มี โอกาส ของ อรูป ธาตุ ในครั ้ง สุด ทา ย ก็จ ะหลงใหลแลว ในที ่ส ุด ก็ต อ งไดพึ ่ง นิโ รธธาตุ พึ่ งมาตั้ งแต แรกนั้ น มั น พึ่ งอย างหลุ บ ๆ ล อ ๆ เรื่ อยมา เดี๋ ยวเกิ ดเดี๋ ยวดั บ , เดี๋ ยวเกิ ด เดี๋ ย วดั บ นี้ พึ่ ง ในระยะแรก ๆ. แต ก็ พ อประทั ง ชี วิ ต นี้ ไ ว อย า ให เป น บ า หรื อ ตายได , แล ว ก็ ม าพึ่ ง กั น ในโอกาสสุ ด ท า ย คื อ การที่ จ ะรู จั ก ดั บ หรื อ ควบคุ ม อํ า นาจอิ ท ธิ พ ล ของธาตุ เหล า นั้ น ได สิ้ น เชิ ง นี่ คื อ การบรรลุ ม รรค ผล นิ พ พาน นิ โรธธาตุ ทํ า หน า ที่ สมบู รณ . นี้ เราก็ ดู ให ดี ก็ ควรจะขอบใจนิ โรธธาตุ ที่ มาประทั งไว ประทั งไว , ประทั งไว จนกวาจะถึงโอกาสที่จะไดรับผลเต็มที่.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ ระยะเวลาเหล านี้ มั นเปลี่ ยนแปลงได นี่ ขอให สนใจเป นพิ เศษในป ญ หา ข อ นี้ ห น อ ย ถ า เราปล อ ยไปตามธรรมดา กามธาตุ มั น จะเล น งานเราในรู ป ของ กามารมณ นี้ เป น เวลาหลายสิ บ ป , เอาละสมมติ ว า อายุ ๓๐ - ๔๐ ป จึ ง จะเบื่ อ กามารมณ  นี ้ม ัน เปน ไปตามธรรมชาติ. แตถ า เราจะทํ า ใหผ ิด กวา นั ้น เราก็ไ ป รับ เอาข อ ปฏิ บั ติ ที่ พ ระพุ ท ธเจ าท านทรงแสดงไว ในฐานะที่ เป น นิ โรธคามิ นี ปฏิป ทา คือ การปฏิบ ัต ิธ รรมทั ้ง หลายนี ้ เอามาใชป ฏิบ ัต ิ, มัน จะระงับ ความรู ส ึก


ปญหาในวิถีของชีวิตตั้งตนดวยกามธาตุ

๑๕๕

ที่ เป น อิ ท ธิ พ ลเป น พิ ษ เป น อะไรของกามธาตุ นี้ ได เร็ ว กว า นั้ น ไม ต อ งรอไปจนถึ ง อายุ ๔๐ - ๕๐ ป จึงจะเบื่อมันจะเบื่อไดเร็วกวานั้น. นี้ ธาตุ อื่ น ๆ ก็ เหมื อนกั น ที่ จะเป นธาตุ ของรู ป ธาตุ อรู ป ธาตุ ไปนานเป น หลาย ๆ สิ บ ป มั น จะย น ระยะให สั้ น เข า มาได เพราะการปฏิ บั ติ ธ รรมในพระพุ ท ธ ศาสนา. ฉะนั้ น เราจึ ง รู จั ก ว า พระพุ ท ธเจ า ท า นสอนไว อ ย า งไร คื อ ข อ ปฏิ บั ติ ที่ เรี ย กว า ทุ ก ขนิ โ รธคามิ น ี ป ฏิ ป ทานี ้ มั น ล ว นแต จ ะย น ระยะอั น นี ้ ใ ห สั ้ น เข า ทั้ ง นั้ น , คื อ จะไม ต อ งเป น ทุ ก ข ท รมาน เกี่ ย วกั บ กามธาตุ น านถึ ง เท า นั้ น , ไม ต อ ง เป น ทุ ก ข ท รมานเกี่ ย วกั บ รู ป ธาตุ น านถึ ง เท า นั้ น , ไม ต อ งเป น ทุ ก ข ท รมานเกี่ ย วกั บ อรูปธาตุนานถึงเทานั้น. ถ าพู ดให ตรง ๆ ขึ้ นมาก็ ว า คนนี้ จะไม ต องเป นทุ กข เพราะกามารมณ นาน ถึ งเท า นั้ น , แล ว ต อ มาเลิ ก จากกามารมณ มาสนใจเรื่ อ งทรั พ ย ส มบั ติ วั ต ถุ นี้ ก็ จ ะไม ต อ งเป น ทุ ก ข ใ ห น านถึ ง เท า นั้ น , หรื อ ว า ต อ มาจะมามี ป ญ หาทรมานใจเพราะเรื่ อ ง นามธรรม เชน บุญ กุศ ล เกีย รติย ศชื ่อ เสีย ง ก็ไ มต อ งเปน ทุก ขน านถึง เทา นั ้น . จิตใจจะถูกเปลื้องออกมา หมดจากอํานาจของธาตุทั้ง ๓ นั้น มาเปนธาตุวาง จากความทุก ข ที ่เรีย กวา นิพ พานธาตุ หรือ สุญ ญตาธาตุ หรือ อะไรก็แ ลว แต จะเรี ยก, คื อว ามั น ว างจากการบี บ คั้ นจากธาตุ ทั้ ง ๓ นั่ น เอง. ข อ นี้ จะทํ าให ม าถึ งเร็ ว เข า ด ว ยการปฏิ บั ติ ธ รรมในพระพุ ท ธศาสนา, แล ว ก็ ป ฏิ บั ติ ไ ปจนถึ ง ที่ สุ ด ก็ บ รรลุ มรรค ผล นิ พ พาน มั น ก็ สิ้ น สุ ด กั น มั น เป น นิ พ พานธาตุ คื อ ธาตุ ดั บ ขึ้ น มาโดย สมบูร ณ เรีย กวา นิโ รธธาตุป รุง ตัว ไดเ ต็ม ที ่ถ ึง ที ่ส ุด เปน นิพ พานธาตุ. ปญ หา ของมนุ ษ ย ก็ จบ ป ญ หาของมนุ ษ ย สิ้ น สุ ด ลง แค ระยะเวลาที่ นิ พ พานธาตุ ป รากฏโดย สมบูรณ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


๑๕๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

เดี ๋ย วนี ้ป ญ หาของคนเรานี ่ มัน ตั ้ง ตน ที ่ก ามธาตุอ ยู  ; ฉะนั ้น ขอ ให ดู ใ ห ดี ว า มั น เป น เด็ ก อมมื อ สั ก เท า ไร ? ภิ ก ษุ ส ามเณรก็ ดี อุ บ าสกอุ บ าสิ ก าก็ ดี ถ า ยั งมี ป ญ หาเรื่อ งกามธาตุ ม ากนั ก มั น ก็ คื อ เด็ ก อมมื อ นั่ น เอง. ขอให เอาไปสนใจ เป น พิ เศษ ก็ รีบ ๆ โตเร็ว ๆ หน อ ย เลื่ อ นชั้ น กั น เร็ว ๆ หน อ ย เพราะว า กฎเกณฑ ทั้ ง หลายนั้ น มั น มี อ ยู อ ย า งนี้ . พระพุ ท ธเจ า ก็ ได ท รงแสดงไว อ ย า งนี้ , แสดงหนทาง แหงการปฏิบัติอยางนี้. ขอใหเขาใจและไดผานไปเร็ว ๆ ใหผานจากกามนิพพาน นิพ พานทางกามนี ้ไ ปเสีย เร็ว ๆ, แลว ก็ไ ปหารูป นิพ พาน นิพ พานทางรูป ธรรม ล ว น ๆ เสี ย เร็ ว ๆ แล ว หาอรู ป นิ พ พาน นิ พ พานทางอรู ป ธรรมไปเสี ย เร็ ว ๆ, ในที่ สุดก็ถึงนิโรธธาตุนิพพานนี้ได คือนิพพานจริง กอนแตรางกายตาย. ฉะนั้ น ถ า ใครมาถึ ง ขั้ น นี้ ไ ด เร็ ว เท า ไร ก อ นแต ร า งกายตายนี้ ก็ นั บ ว า เป น กํ า ไรของคน ๆ นั้ น มากเท า นั้ น ; แต ว า แม ที่ สุ ด แต ว า ไปนิ พ พานเอากั น ใน ระดับ สุด ทา ย พรอ มกับ รา งกายตาย ก็ย ัง ดีก วา เกิด มาทีห นึ ่ง ไมรู เ รื ่อ งนิพ พาน. ไดอ า นเรื่อ งดับ ไมเหลือ มาแลว ก็รูวิธีที่วา ทํา อยา งไรเราจึง จะดับ ไมเหลือ พรอ มกับ รา งกายแตกดับ ; แมว า จะตอ งแตกตายโดยกระทัน หัน ก็ก ระโจน พรอ มกัน ไปกับ รา งกายมัน แตกดับ ใหมัน เปน นิโรธธาตุที ่ส มบูร ณ ทัน ชั่ว ขณะ จิ ต เดี ย ว ชั่ ว พริ บ ตาเดี ย ว ก็ ยั ง ดี ก ว า ไม เคยพบ ; อย า งนี้ เรี ย กว า ไม เสี ย ที ที่ เกิ ด มาเปนมนุษย และพบพระพุทธศาสนา.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เอาละ พู ดสั้ น ๆ ว า กามธาตุ สร างป ญ หาก อนป ญ หาใด ๆ, แล วก็ มาถึ ง รู ป ธาตุ ถึ ง อรู ป ธาตุ เป น ป ญ หาหนั ก ละเอี ย ดลึ ก ซึ้ ง ยิ่ ง ขึ้ น , และนิ โ รธธาตุ ก็ ช ว ย ประคั บ ประคองเรื่อ ย ๆ มา; ไม ต อ งตายเสี ย ไม ต อ งเป น บ าเสี ย แล วเราก็ พ อกพู น


ปญหาในวิถีของชีวิตตั้งตนดวยกามธาตุ

๑๕๗

ความเจริ ญ ของนิ โ รธธาตุ นี้ ให เกิ ด เป น มรรค ผล นิ พ พาน อั น แท จ ริ ง ขึ้ น มาได ตามที่ พ ระพุ ท ธองค ท รงสั่ งสอนไว ก็ จ ะหมดป ญ หา. ผู ที่ ห มดป ญ หานี้ เราเรี ย ก กันวา พระอรหันต เปนอับดับสูงสุดของมนุษยที่เกิดมาควรจะได. นี่ คํ า บรรยายวั น นี้ แสดงเรื่ อ งป ญ หาในวิ ถี ชี วิ ต ของทุ ก ชี วิ ต ตั้ ง ต น ขึ้ น ด วยกามธาตุ นั บ ได ว าแสดง ก ข ก กา ในเรื่อ งของธาตุ พ อสมควรแก เวลาแล ว ก็ ขอยุติไวทีกอน. ขออาราธนาพระสงฆไดสวดคณสาธยาย เพื่อสงเสริมศรัทธาปสาทะ ฉันทะ อุตสาหะ วิริยะ ในเรื่องการปฏิบัตินี้ ตอไปอีกตามสมควร.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ______________


ก ข ก กา ของการศึกษาของพุทธศาสนา - ๗ ๑๖ กุมภาพันธ ๒๕๑๗

อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก.

ทานสาธุชน ผูสนใจในธรรม ทั้งหลาย, ในการบรรยายครั้ งที่ ๗ แห งภาคมาฆบู ชานี้ ก็ จ ะได ก ล าวโดยหั วข อ ว า ก ข ก กา ของการศึกษาพุ ทธศาสนา ตอไปตามเดิม สวนหัวขอยอยนี้ มีชื่อวา สิ่ง ที่เรียกวา อารมณ คือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ( ทบทวน. )

ขอทบทวนความจํ า ของท า นทั้ ง หลายอี ก ครั้ ง หนึ่ ง ว า ทุ ก ครั้ ง ที่ แ ล ว มา ได พู ด ถึ ง สิ่ ง ที่ ค วรจะถื อ ว า เป น ก ข ก กา แห ง พุ ท ธธรรมในพระพุ ท ธศาสนา โดย เห็ นวา เป นเรื่องที่ กํ าลั งเป นป ญ หาเฉพาะหน าในเวลานี้ การที่ จะเข าใจพุ ทธศาสนา โดยแทจ ริง ใหถ ูก ตอ งไมไ ด ก็เ พราะไมเ ขา ใจเรื ่อ งเหลา นี ้ ; เพราะวา ไปสนใจ เรื่องอื่นยิ่งไปกวาจําเปน สวนเรื่องที่เปนรากฐานแทจริงนั้น ฟนเฝอไปหมด,

๑๕๘


อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก

๑๕๙

ไมม ีค วามเขา ใจถูก ตอ ง แมใ นเรื ่อ งขัน ธ เรื ่อ งธาตุ เรื ่อ งอายตนะ, ถึง กับ เข า ใจผิ ด อย า งยิ่ ง ไปเสี ย ก็ มี จึ ง ต อ งรื้ อ ฟ น เรื่ อ งนี้ ขึ้ น มาชํ า ระสะสางกั น ใหม ; มั น ดู คลา ยกับ วา จับ ตัว คนเฒา คนแกม าเรีย น ก ข ก กา กัน ใหม. แตม ัน เปน สิ ่ง ที่ จํ า เปน อยา งยิ ่ง หรือ หลีก เลี ่ย งไมไ ด จึง ตอ งทํ า ; ฉะนั ้น ขอใหพ ิจ ารณ าดูใ หดี แลวอยาไดทอถอย ในการที่จะกระทําเชนนี้. ในเวลานี้ พวกฝรั่ ง ชาวต า งประเทศเป น อั น มาก เขาสนใจพุ ท ธศาสนา แต ก็ ไ ม ถู ก ตั ว พุ ท ธศาสนา ใช ป ฏิ บั ติ อ ะไรไม ไ ด ; ส ว นใหญ ก็ ไ ปสนใจในลั ก ษณะ อื่ น ซึ่ ง ไม ใ ช เป น ตั ว ศาสนา คื อ ไปสนใจในลั ก ษณะปรั ช ญาอะไรทํ า นองนั้ น ไปเสี ย เลยไมถ ูก ตัว พุท ธศาสนา ที ่พ ระพุท ธเจา ทา นประสงคใ หท ุก คนรูแ ละปฏิบ ัติ เพื ่อ ดับ ทุก ขไ ด นี ่เ ปน เสีย อยา งนี ้ ทั ้ง คนไทยทั ้ง คนฝรั ่ง ก็ไ มม ีท างที ่จ ะรู จ ัก พุ ทธศาสนา, เว น เสี ยแต ว าจะมาเรี ยน ก ข ก กา กั นเสี ยใหม ให รู ว าพุ ทธศาสนาตั้ ง ตนขึ้นที่อะไร ? แลวเปนไปอยางไร ? ตามลําดับ ๆ ไปตั้งแตตนจนถึงที่สุด.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แม ในประเทศไทยเราเวลานี้ ถ า พู ด ถึ ง คํ า ว า ธาตุ ว า อายตนะ แล ว ก็ม ัก จะถือ เสีย วา รู ด ีแ ลว , แลว ก็ไ มอ ยากจะฟง ; มัน จึง เปน ของที ่ฟ น เฝอ เรื้อ รัง อยู ตลอดเวลาจนบั ดนี้ . แม ว าจะมี บางคนบางพวก กํ าลั งพู ดเรื่ อง ธาตุ อายตนะ เรื่ อง ขัน ธอ ยู  ก็ไ มถ ูก ตรงตามที ่ม ีอ ยู ใ นพระพุท ธวจนะนั ้น ; ถึง กับ ทายกทายิก าบางคนพูดวา ขาพเจามีขันธทั้ง ๕ อยูตลอดเวลา ทั้งหลับและทั้งตื่น อยางนี้ก็มี. โดย ที ่แ ทนั ้น ไมต อ งพูด ถึง เวลาหลับ ; แมเ วลาตื ่น อยู แ ท ๆ เราก็ไ มอ าจจะมีข ัน ธ ครบทั้ ง ๕ ได จะต อ งมี ที ล ะขั น ธ ตามลํ า ดั บ การเกิ ด ขึ้ น แห ง สั ง ขารธรรมนั้ น ๆ อยางนี้เปนตน.


๑๖๐

ก ข ก กา ของการศึกษาของพุทธศาสนา

ถ ายั งเข าใจ หรื อยั งสอนกั นอยู ว า เรามี ขั นธ ๕ อยู ตลอดเวลา, โดยเฉพาะ อย า งยิ่ ง ทั้ ง ๕ ขั น ธ พร อ มกั น อย า งนี้ ก็ ใ ห ท ราบเถิ ด ว า ไม ต รงตามที่ พ ระพุ ท ธ องค ท รงสั่ ง สอนไว ; เพราะเหตุ นี้ เอง จึ ง จํ า เป น ที่ จ ะต อ งมาตั้ ง ต น ศึ ก ษาเรื่ อ งขั น ธ เรื่อ งธาตุ เรื่อ งอาตนะ กัน เสีย ใหมใ หถ ูก ตอ ง มัน จึง จะเขา ใจเรื่อ งอื ่น ถูก ตอ ง ไปตามลําดับ. เข าใจเรื่อ งธาตุ ถู ก ต อ ง ก็เข าใจเรื่อ งอายตนะถู ก ต อ ง, เข าใจเรื่อ ง อาตนะถูก ตอ ง จึง จะเขา ใจเรื ่อ งการเกิด ขึ ้น แหง ขัน ธ ๕ ไดถ ูก ตอ ง, เขา ใจ เรื ่อ งขัน ธ ๕ ถูก ตอ งแลว จึง จะเขา ใจเรื ่อ ง ปญ จุป าทานขัน ธทั ้ง ๕ ไดโ ดย ถูก ตอ ง, เขา ใจเรื ่อ งทุก ขไ ดโ ดยถูก ตอ ง, แลว จึง จะเขา ใจเรื ่อ งความดับ ทุกข หรือมรรค ผล นิพพานได ตลอดถึงวิธีปฏิบัติ. เดี๋ ย วนี้ สั บ สนไปตั้ ง แต เรื่ อ งขั น ธ เรื่ อ งธาตุ เรื่ อ งอาตนะ ก็ เลยฟ น เฝ อ จึง เห็น วา จํ า เปน ที ่จ ะรื ้อ ฟ น ขึ ้น มาทบทวนกัน ตั ้ง แตต น ; สว นที ่ผ ิด จะไดแ กเ สีย ใหถูก, ที่ถูกอยูแลว มันก็จะมีเครื่องรับรองใหแนนแฟนยิ่ง ๆ ขึ้นไป.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เมื่ อ พู ด ถึ ง ก ข ก กา ต อ งนึ ก ว าเราเรี ย น ก ข ก กา นี้ ไม ใช ว าวั น เดี ย ว จบ ยั ง ต อ งเรี ย นแจกลู ก ไปทุ ก ตั ว แล ว ยั ง ต อ งใช ผั น ด ว ยวรรณยุ ก ต ไม เอก ไม โ ท ไม ตรี ไม จั ตวา ไปอี กทุ กตั ว มาถึ งมี ตั วสะกด เป นมาตรากั น มาตรากั ง กั บ มาตรา กั ก กั ด กว า จะจบหมดนี้ ก็ กิ น เวลาหลายวั น . เรื่ อ ง ก ข ก กา ในทางธรรมะก็ เหมือ นกัน จะตอ งอดทน สนใจศึก ษาเรื่อ งธาตุ เปน ตน ใหเขา ใจแจม แจง , ไม ฟ น เฝ อ แก กั น และกั น จึ ง จะเข า ใจหลั ก พระพุ ท ธศาสนาในชั้ น ที่ เป น พื้ น ฐานได .


อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก

๑๖๑

นี่ ข อให มี ค วามพอใจ ในการที่ จ ะฟ น ฟู หลั ก ธรรมะที่ สํ า คั ญ ถึ ง ขนาดที่ เรี ย กว า เป น ก ข ก กา ในพุทธศาสนากันเสียใหมอยางนี้. เมื่ อ พู ด ถึ งคํ าว า ก ข ก กา ก็ มี ค นที่ ยั งเข าใจผิ ด อยู ว ามั น เป น เรื่ อ งง าย เกิ น ไป ขอให ม องดู กั น ในทุ ก แง ทุ ก มุ ม ว า ก ข ก กา ไม ไ ด เ ป น เรื่ อ งง า ย; ถ า เรี ยนอย างลู กเด็ ก ๆ อมมื อ ดู มั นจะง าย; แต ถ าเรี ยนอย างนั กปราชญ เรี ยน ก ข ก กา ไมใ ชเรื ่อ งงา ย. เดี ๋ย วนี ้ม ัน ไมเ กี ่ย วกับ เรื ่อ งงา ยหรือ ยาก มัน เกี ่ย วกับ เปน รากฐาน ที ่ล ึก ซึ ้ง ; ถา รากฐานไมถ ูก ตอ ง รากฐานไมแ นน แฟน ทุก อยา งมัน ก็ไ มถ ูก ตอ งและไมแ นน แฟน . แตนี ่เ ราตอ งการใหถ ูก ตอ งแนน แฟน สมบูร ณ เราจึง ตองทํารากฐานใหดี ๆ. คนเรี ย นหนั ง สื อ สมั ย ก อ น เรี ย น ก ข ก กา จึ ง รู ห นั ง สื อ แน น แฟ น กว า เด็ ก ๆ ที่ เรีย นลั ด ๆ ลวก ๆ อย า งสมั ย นี้ . ธรรมะนี้ ก็ เหมื อ นกั น ถ า เรี ย นรากฐาน คือ เรื ่อ งธาตุ เรื ่อ งอายตนะ เรื ่อ งขัน ธ โดยเฉพาะใหถ ูก ตอ งแนน แฟน และ กวา งขวางแลว จะรู พ ุท ธศาสนาถูก ตอ งแนน แฟน และสมบูร ณ; ฉะนั ้น จึง ขอใหสนใจเปนพิเศษ คําวา ก ข ก กา มีความหมายอยางนี้.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ดังที่ กลาวมาแล ววา เรื่องที่ เป นรากฐานที่ สุ ด ก็ คื อ เรื่องธาตุ . คําวา ธาตุ หรื อ ส ว นที่ เราทรงตั ว อยู ไ ด เอง ในฐานะที่ เป น ส ว นย อ ย เรื่ อ งย อ ย เรื่ อ งเล็ ก ที่ สุ ด ของเรื่ อ งใหญ ที่ เ ราจะแบ ง ออกไปได ให เ ป น ส ว นย อ ย ๆ เท า ไร; เมื่ อ ไม แบ ง อี ก แล ว ก็ ถื อ ว า เป น ธาตุ อั น หนึ่ ง ๆ ที่ ป ระกอบกั น ขึ้ น เป น สิ่ ง ใดสิ่ ง หนึ่ ง เรื่ อ ง ใดเรื ่อ งหนึ ่ง . ในพระพุท ธศาสนานี ้ก ็เ หมือ นกัน ธรรมะชื ่อ ตา ง ๆ กัน เอาไป แยกแยะออกดู ในที่สุดจะพบอยูที่ความเปนธาตุ ธาตุใดธาตุหนึ่ง.


๑๖๒

ก ข ก กา ของการศึกษาของพุทธศาสนา [ เริ่มการบรรยายครั้งนี้. ]

ในวั น นี้ จ ะได ก ล า วโดยหั ว ข อ ว า สิ่ ง ที่ เรี ย กว า อารมณ คื อ ป จ จั ย แห ง เหตุ ก ารณ ทุ ก อย างในโลก; กล า วโดยสรุป คื อ ว า เราจะพู ด กั น ถึ ง เรื่ อ งอารมณ . เรื ่อ งอารมณนี ้ เมื ่อ ไปดูใ หด ี มัน ก็ไ ปเปน ธาตุใ ดธาตุห นึ ่ง ; เชน ธาตุด ิน น้ํ า ไฟ ลม อากาศ วิ ญ ญาณ หรื อ ว า เป น รู ป ธาตุ สั ท ทธาตุ คั น ธธาตุ รสธาตุ โผฏฐัพ พะธาตุ ธัม มธาตุ, นี ่เ รีย กโดยบาลี, หรือ ถา เรีย กอยา งไร ๆ เราก็ว า ธาตุ รู ป ธาตุ เสี ย ง ธาตุ ก ลิ่ น ธาตุ รส ธาตุ โผฏฐั พ พะ ธาตุ ธั ม มารมณ แต ก็ ไม ค อ ยมี ใครเรียกกันนัก.

ศึกษาใหเขาใจธาตุ ๓ หมวดปรุงกัน. ฉะนั้ น จึ ง ต อ งสนใจเรื่อ งธาตุ เป น พื้ น ฐานของทุ ก เรื่ อ ง, และในการ บรรยายทุ กครั้งได เตื อนแล วเตื อนอี กว า อย างน อยเราต องมี ความแจ มแจ งใน ธาตุ ๓ หมวด : หมวดที่ ๑ มี ๖ อย าง คื อ ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ลม ธาตุ อากาศ ธาตุ วิ ญ ญาณ ที่ ป ระกอบกั น ขึ้ น เป น มนุ ษ ย ค นหนึ่ ง ๆ; อย า งที่ พ ระท า นได ส วดพระบาลี นี้ ไ ปแล ว เมื่ อ ตะกี้ นี้ นี้ เ รี ย กว า เป น พื้ น ฐาน ที่ ป ระกอบกั น ขึ้ น เป น ร า งกาย มนุษยคนหนึ่ง ๆ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ธาตุห มวดที่ ๒ ก็ มี ๖ อยาง คือ ธาตุ ที่ ป ระกอบกั น ขึ้ น เปน ตา เปน หู เปน จมูก เปน ลิ ้น เปน กาย เปน ใจ เรีย กโดยบาลี จัก ขุธ าตุ โสตธาตุ ฆานธาตุ คันธธาตุ ชิวหาธาตุ กายธาตุ มโนธาตุ.


อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก

๑๖๓

และธาตุ หมวดที่ ๓ ก็ มี ๖ อย าง อย างที่ วาเมื่ อตะกี้ นี้ (คู กั บหมวดที่ ๒) ธาตุร ูป ธาตุเ สีย ง ธาตุก ลิ ่น ธาตุร ส ธาตุโ ผฏฐัพ พะ ธาตุธ ัม มารมณ; เรีย ก ว า รู ป ธาตุ สั ท ทธาตุ คั น ธธาตุ รสธาตุ โผฏฐั พ พธาตุ ธั ม มธาตุ . จํ า เป น ภาษา ไทยงาย ๆ จะดีกวา. ต อ งมี ค วามเข าใจแจ ม แจ งชั ดเจน ในธาตุ ๓ หมวด ๆ ละ ๖ นี้ จนไม มี ติ ด ขั ด แล วจะเข าใจเรื่ อ งต าง ๆ ได ง ายขึ้ น . นี้ เรี ย กว าเป น ก ข ก กา ที่ สุ ด สํ าหรั บ ธาตุ ๑๘ อยางนี้. ที นี้ ก็ สั ง เกตศึ ก ษาเรื่ อ ย ๆ มา ในชี วิ ต ประจํ า วั น ว า มี ธ าตุ ต า แล ว ก็ มี ธาตุ รู ป เข า มาอาศั ย กั บ ตา ก็ เกิ ด จั ก ษุ วิ ญ ญาณคื อ การเห็ น ทางตาขึ้ น ก็ มี วิ ญ ญาณเกิ ด ขึ้ น ; มั น ก็ เหมื อ นกั บ ว า มั น มี จิ ต ได เกิ ด ขึ้ น มี ค วามรู สึ ก เกิ ด ขึ้ น เกี่ ย ว กั บ เรื่ อ งตานั้ น เกี่ ย วกั บ สิ่ ง ที่ ก ระทบตานั้ น มิ ใ ช เ ป น เรื่ อ งเดี ย วกั น หมดไปเสี ย ทุ ก เรื่อง มันเปนเรื่อง ๆ ไป.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ตากั บ รู ป กั บ วิ ญ ญาณเกี่ ย วข อ งกั น นี้ เรี ย กว า ผั ส สะ ที่ มี อ ยู ทุ ก วั น . จากผั ส สะนี้ ก็ มี เวทนา รู สึ ก ทางตา สบายตาไม ส บายตา นี้ ก็ มี อ ยู ทุ ก วั น . เวทนา มี แ ล ว ก็ เกิ ด ตั ณ หา คื อ ความอยากไปตามความต อ งการของเวทนานั้ น มี อ ยู ทุ ก วั น . แล ว เกิ ด อุ ป าทานยึ ด ถื อ สิ่ งที่ ตั ณ หามั น ต อ งการ เพื่ อ จะเป น ของเรา หรื อ ยึ ด ถื อ เอา ความต อ งการของตั ว เรา. บางที ก็ ยึ ด ถื อ เอาวิ ญ ญาณที่ รูสึ ก นั้ น เป น ตั ว เรา มั น เกิ ด ตัว เรา - เกิด ของเรา ในความรู ส ึก ขึ ้น มา, เปน ตัว กู - ของกู อยา งนี ้ มัน เปน อยู  ท ุ ก วั น . ถ า เกิ ด ตั ว กู - ของกู อ ย า งนี ้ แ ล ว ก็ เ รี ย กว า มี อ ุ ป าทาน มี ภ พ มี ช าติ มี ช รามรณ ะ; อย า งที่ ห ลี ก เลี่ ย งไม ไ ด ก็ เ ป น ทุ ก ข , รู สึ ก เป น ทุ ก ข


๑๖๔

ก ข ก กา ของการศึกษาของพุทธศาสนา

รู สึ ก หม น หมอง รู สึ ก หนั ก อกหนั ก ใจอยู ทุ ก วั น . นี้ จ ะเรี ย กว า ก ข ก กา หรื อ ไม ? จะเห็ น ด ว ยหรื อ ไม ที่ จ ะเรี ย กว า ก ข ก กา ? มั น เป น เบื้ อ งต น ที่ สุ ด มั น ก็ เ ป น รากฐานที่สุด มันเปนเรื่องกอนเรื่องอื่นทั้งหมดอยูตลอดเวลา.

ตองการดับทุกขตองเริ่มศึกษาเรื่องธาตุ. ถ าไม สนใจเรื่องอย างนี้ เป นไม เข าใจพุ ทธศาสนา ให มี ความเฉลี ยวฉลาด อย า งพวกฝรั่ ง สั ก ๑๐ ฝรั่ ง ก็ ไม มี ท างจะเข า ใจพุ ท ธศาสนา; เหมื อ นอย า งที่ ฝรั่ ง เขาสนใจศึ ก ษาพุ ท ธศาสนากั น อยู เป น เรื่ อ งศึ ก ษาในแง อื่ น ไปหมด, หรื อ เตลิ ด เป ด เปง จนผิด พุท ธศาสนาไปก็มี. เพราะไมส นใจจะศึก ษาจากขา งใน ที่เ นื้อ ที่ตัว ที ่ต า ที ่ห ู ที ่จ มูก เหลา นี ้, ไปศึก ษาเรื ่อ งที ่ว า ตามตัว หนัง สือ ซึ ่ง อยู ที ่ไ หนก็ไ มรู ; จึ งต องคํ านวณไปตามวิ ธี คํ านวณ ทางตรรกวิ ทยาบ าง ทางจิ ตวิ ทยาบ าง, แล วส วน มากก็ทางปรัชญา ศึ ก ษาจนตายก็ยิ่ งไม รูพุ ท ธศาสนา ยิ่งเขารกเขาพงของความ รูทางปรัชญา, หรือเปนอภิธรรมยิ่งกวาอภิธรรม จนไมดับทุกขไดเลย.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ าต อ งการ จะดั บ ทุ ก ข ให ได ต อ งมาตั้ งต น ศึ ก ษาที่ นี่ , และต อ งเข า ใจจริง ๆ แลว ตอ งศึก ษาตามวิธ ีข องวิท ยาศาสตร. อยา ไปศึก ษาตามวิถ ีท าง ของปรั ช ญา; มั น ต า งกั น อยู ที่ ว า ปรั ช ญาอาศั ย สิ่ ง ที่ มิ ได มี ตั ว จริ ง ปรากฏอยู แล ว คํ านึ งคํ านวณไปตามเหตุ ผล; ส วนวิ ทยาศาสตรนั้ นจะต องอาศั ยศึ กษาจากสิ่ งที่ เป น ตั ว จริ ง ปรากฏอยู ที่ นี่ เดี๋ ย วนี้ . เหมื อ นกั บ เอามาดู ได ในฝ า มื อ แล ว ก็ ศึ ก ษาไปจาก สิ่ งนั้ น ตามลํ าดั บ ไป จึ งจะรูความจริ งของสิ่ งนั้ น , เรีย กว า นี่ เป น วิ ธี ก ารศึ ก ษาอย าง พุ ท ธศาสนา, ไม ใ ช ศึ ก ษาอย า งวิ ธี ป รั ช ญา. ศึ ก ษาอย า งวิ ธี ข องศาสนา ก็ ศึ ก ษา


อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก

๑๖๕

อย างวิ ท ยาศาสตร ตามวิ ธี การทางวิ ท ยาศาสตร. ฉะนั้ น จึ งเอาเรื่ อ งที่ รู อ ยู จริ ง เห็ น อยู จ ริ ง ปรากฏอยู จ ริ ง ข า งใน เช น ตากั บ รู ป มั น เกิ ด อะไรขึ้ น ? หู กั บ เสี ย งมั น เกิ ด อะไรขึ้ น ? จมู ก กั บ กลิ่ น มั น เกิ ด อะไรขึ้ น ? เป น หมวด ๆ ๆ ไป ตามสิ่ ง ที่ เรี ย กว า ธาตุ ; มั น รายละเอี ย ดที่ ต อ งศึ ก ษาอี ก มาก. แต ที่ เอามาให เป น ก ข ก กา ในเบื้ อ ง ตนก็คือ ๓ หมวด ๆ ละ ๖ ดังที่กลาวแลว. ขอใหสนใจใหดีเปนพิเศษ. ดิน น้ํา ไฟ ลม อากาศ วิญญาณ เปนธาตุที่ประกอบกันขึ้นเปน สัต วที ่ม ีช ีว ิต ; ตา หู จมูก ลิ ้น กาย ใจ อายตนะนี ้สํ า หรับ สัม ผัส หรือ รู ส ึก , แล ว ก็ รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ ข า งนอก จะเข า มาถึ ง ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ, ข า งนอกนี้ ก็ เรีย กว า อายตนะข า งนอก เป น เบื้ อ งต น ของสิ่ ง ที่ เป น ป ญ หาของมนุ ษ ย เรา ในชี วิ ต ประจํ า วั น ; เลยเป น ๓ หมวด ๆ ละ ๖ เรี ย กว า ธาตุ ๑๘ อยาง ไมมากไปกวาสิ่งที่เปนจริงในประจําวัน.

ศึกษาใหรูจักสิ่งที่เรียกวาอารมณ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ วั น นี้ จะพู ดเรื่อง อารมณ ลองคิ ดดู ว ามั น อยู ในหมวดไหน ? มั น อยู ในหมวดสุดทาย คือหมวดอายตนะภายนอก คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธั ม มารมณ . ก็ แ ปลว าเราจะศึ กษากั น ในหมวดอายตนะภายนอก ในการบรรยาย ครั้งที่ ๗ นี้.

สํ าหรับคํ าว า อารมณ ควรคิ ดพิ จารณากั นโดยทางตั วหนั งสื อก อน คํ าว า อารมณ ใ นภาษาไทยนั้ น เอาเป น หลั ก ไม ไ ด ; เพราะฉะนั้ น ขอให เข า ใจกั น เสี ย


๑๖๖

ก ข ก กา ของการศึกษาของพุทธศาสนา

ทุ ก คนว า ภาษานี้ มั น เดิ น ได อย างนี้ เอง ภาษาหนึ่ งถอดออกไปเป น ภาษาหนึ่ งแล ว มัน จะเดิน เคลื ่อ นไปไมม ากก็น อ ย. ภาษาบาลีก ็เหมือ นกัน เมื ่อ มาเปน ภาษาไทยแลว มันก็เคลื่อนไป, บางทีเคลื่อนไปตรงกันขามกลับความอยูก็มี. เดี๋ยวนี้คําวา อารมณ ในภาษาไทยนั้น หมายถึง ความรูสึกในใจมาก กว า ; เช น พื้ น เพของจิ ต ใจในขณะนั้ น เป น อย า งไร, เรี ย กว า อารมณ ข องเขาเป น อย างไร, อารมณ กํ าลั งดี อารมณ กํ าลั งไม ดี . นี่ คํ าว าอารมณ ในภาษาไทยใช กั น ไป เสี ย อย า งนี้ ; มั น คนละเรื่อ งกั บ ในภาษาบาลี ซึ่ งคํ า ว า "อารมณ " หมายถึ ง สิ่ ง ที่ จะเขามากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ. ถ ากระทบแล วเกิ ด ความรูสึ กอย างไร งุ น ง านอยู ในใจ อั น นั้ น ไม ได เรีย ก ว า อารมณ ; อั น นั้ น ก็ เรี ย กว า กิ เลสอย า งอื่ น เช น เรี ย กว า ตั ณ หาบ า ง อุ ป าทาน บาง; ถาจัดเป นพวกขันธ ก็เรียกวา เวทนาขันธ บ าง สั ญ ญาขั นธ บาง สั งขารขัน ธ บา ง; ถา เปน ความคิด ที ่งุน งา นก็เ รีย กวา สัง ขารขัน ธ ทั ้ง นั ้น ; ดัง นั ้น เราจะตองถือเอาคําวา อารมณในบาลีมาเปนหลัก.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org คําวา อารมณ ที่จะเขาใจกันงาย ๆ ก็หมายความวา รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่จะมากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย นี้ ๕ อยาง แลวก็ความรูสึก เก าแก ที่ จะมาผุ ดขึ้ นในใจอี กเรียกวา ธัมมารมณ ที่ จะมากระทบใจในป จจุ บั นนี้ นี้ ก็ เป นอั นหนึ่ ง เลยได เป นอารมณ ๖. อารมณ กระทบ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ๕ อย าง ขางนอก นี้ ก็ สํ าคั ญ ไปพวกหนึ่ ง ที่ ป รุงขึ้ น ภายในสํ าหรับ กระทบใจ โดยไม ต อ ง อาศั ย ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ เลย ในเวลานั้ นก็ ยั งมี อยู นี้ เรียกว า ธั มมารมณ นี้ ก็


อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก

๑๖๗

ยิ ่ง สํ า คัญ ; แตว า รวมกัน แลว ก็เ รีย กวา อารมณ ไดด ว ยกัน ทั ้ง นั ้น แปลวา สิ ่ง ที่จะมากระทบกับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั่นเอง. นี้ดูใหละเอียดตามตัวหนังสือ คําวาอารมณ แปลวา ที่หนวงบาง แปลวา ที่ ยิ น ดี บ าง, มั นมี ความหมายละเอี ยดมาก. ถ าถื อเอาความหมายอย างคนที่ มี ตั วตน เป น หลั ก ธรรมะในฝ า ยฮิ น ดู ห รื อ ฝ า ยพรหมณ เ ขาก็ จ ะพู ด ว า สํ า หรั บ จิ ต หรื อ อาตมั น เข า ไปจั บ ฉวยเอา. แต ถ า พู ด อย า งภาษาชาวพุ ท ธ พู ด อย า งนั้ น ไม ไ ด ; เพราะไม มี จิ ต ไม มี อ าตมั น ชนิ ด นั้ น แล ว จิ ต นี้ ก็ เพิ่ งเกิ ด ขึ้ น หลั ง อารมณ ก ระทบแล ว ; เลยต อ งพู ด ตามพระบาลี ที่ ว า อาศั ย ตาด ว ย อาศั ย รู ป ด ว ย ย อ มเกิ ด จั ก ษุ วิ ญ ญาณ; ตาอาศั ย กั บ รู ป คื อ อารมณ นั้ น ได แ ล ว จึ งจะเกิ ด จั ก ษุ วิ ญ ญาณ วิ ญ ญาณ หรือจิตนี้เกิดทีหลัง. ฉะนั้ น จึ ง ไม พู ด ว า อารมณ นี้ เป น สิ่ ง สํ า หรั บ จิ ต หรื อ ตั ว ตนเข า ไปจั บ ฉวย ยึด เอา; ถา พูด อยา งนั ้น มัน ก็จ ะเปน ฮิน ดูห รือ พราหมณไ ป คือ มีต ัว ตนไป. พูด อยา งพุท ธไมม ีต ัว ตน ทุก อยา งไมใ ชต ัว ตนเปน สัก วา ธาตุ, ไดก ารปรุง แตง ที่ เหมาะแล ว มั น ก็ ป รุ ง แต ง เป น สิ่ ง ใหม ขึ้ น มา ในนั้ น อาจจะมี ค วามรู สึ ก โง ไ ปว า เป น ตัวเราก็ได.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้ นคํ าว า อารมณ ถ าถื อตามหลั กในทางพุ ทธศาสนา ก็ แปลว า สิ่ งที่ อาศั ย กั น กั บ จิ ต จะเรี ย กว า เป น หน ว งของจิ ต มั น ก็ ยั ง ได ; ถ า เข า ใจผิ ด มั น ก็ ผิ ด ได ; เรี ย กว า สิ่ ง ที่ อ าศั ย กั บ อายตนะ แล ว ก็ เกิ ด เป น ความรู สึ ก เป น จิ ต ขึ้ น มา จิ ต กํ า ลั ง หนวงสิ่งนั้นเปนอารมณก็ได; แตจะใหเปนตัวตนนั้นไมได.


๑๖๘

ก ข ก กา ของการศึกษาของพุทธศาสนา

โดยพยั ญ ชนะก็ มี อยู อย างนี้ ตั วพยั ญ ชนะก็ ยั งกํ ากวม อารมฺ มณํ หรือที่ มาจาก อาลมฺพนํ ก็แปลวา ที่หนวงของจิต. ถาจะถือวามาจาก รม ที่แปลวา ยินดี ก็แปลวา มันเปนสิ่งที่หลงใหลยินดีของจิต อยางนี้ก็ยังไดอีก. แตขอใหรูจักจากภายในดีกวา ที่จะมารูจักจากตัวหนังสือ เมื่อตากระทบ รูป เมื ่อ หูก ระทบเสีย ง เปน ตน มัน เกิด ขึ ้น ในใจ, แลว สัง เกตเอาที ่นั ่น ก็แ ลว กัน ว ารูป ที่ ม ากระทบตานั้ น มั น คื อ อะไร ? เสี ย งที่ ม ากระทบหู นั้ น มั น คื อ อะไร ? จะค อ ย เข า ใจแจ ม แจ ง ขึ้ น ที ล ะน อ ย ๆ ว า อารมณ นั้ น คื อ อะไร. แต ให เข า ใจไว ที ห นึ่ ง ก อ น ว า สิ่ งที่ เรี ยกว าอารมณ ๆ ที่ ม ากระทบนี้ มั น ยั งไม ดี ไม ชั่ ว ยั งไม จั ด เป น สิ่ งดี สิ่ งชั่ ว; มั น ต อ งผสมปรุง แต งเป น ความคิ ด อย า งนั้ น อย า งนี้ เสี ย ก อ น จึ งจะจั ด เป น ดี เป น ชั่ ว . อารมณ ล วน ๆ ยั งไม ดี ไม ชั่ ว จะได รู จั ก ป อ งกั น อย าให เป น ไปในทางชั่ ว, ให เป น ไป แตในทางดี ไดตามปรารถนา. นี้เรียกวาโดยพยัญชนะ โดยตั วหนั งสื อ คําวา อารมณ แปลวา เป นที่ ยิ น ดี แ ห ง จิ ต , เป น ที่ ยึ ด หน ว งแห ง จิ ต ; โดยเฉพาะภาษาอภิ ธ รรมแล ว ก็ ใช คํ า ว า เป น ที่ ห น ว งเอาของจิ ต , คื อ จิ ต ย อ มหน ว งสิ่ ง ใดสิ่ ง หนึ่ ง เป น อารมณ แปลคํ า ว า อารมณบาง, อาลัมพนะ แปลวา เปนที่หนวงเอา.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เดี ๋ย วนี ้เ ราเรีย นพุท ธศาสนา ไมใ ชเ รามาเรีย นหนัง สือ บาลี. เรา จะเรีย นพระธรรมคํ า สอนของพระพุ ท ธเจ า เราก็ ต อ งดู สิ่ งที่ เรีย กว า อารมณ โดย หลั ก ของธรรมชาติ ที่ ป รุง แต ง กั น อยู ในใจดี ก ว า ; ก็ อ ย า งพระบาลี ที่ ได ว า มาแล ว ขางตน วา จกฺขุฺจ ปฏิจฺจ รูเป จ อุปฺปชฺชติ จกฺขุวิฺาณํ - เพราะอาศัยตาดวย รูปดวย ยอมบังเกิดจักษุวิญญาณ ติณฺณํ ธมฺมานํ สงฺคติ ผสฺโส - การประจวบ


อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก

๑๖๙

กัน ของ ๓ สิ่งนี ้เรีย กวา ผัส สะ, ผสฺส ปจฺจ ยา เวทนา เพราะผัส สะเปน ปจ จัย จึ ง เกิ ด เวทนา, อย า งนี้ เ รื่ อ ยไป จนเกิ ด ทุ ก ข จนเกิ ด ความทุ ก ข , นี้ เ รี ย กว า โดย ธรรมชาติ. สิ่งที่เรียกวา อารมณ มีอยูโดยธรรมชาติ ที่จะเขามาอาศัยกันกับตา ขา งใน ที ่ม ีอ ยู ใ นตัว คน. แลว จะเกิด จัก ษุว ิญ ญ าณ เปน ตน ขึ ้น ในตัว คน; จะเกิ ด ผั ส สะ เวทนา ตั ณ หา อุ ป าทาน ภพ ชาติ ขึ้ น ในตั ว คน; นี้ โ ดยธรรมชาติ พระพุ ท ธเจ า ท า นบั น ดาลอะไรไม ไ ด ; ธรรมชาติ เ ป น อยู อ ย า งนี้ ; แต ท า นรู เ รื่ อ งนี้ ทา นจึง นํ า มาสอน วา ธรรมชาติม ัน มีอ ยู อ ยา งนี ้. เราจะตอ งเขา ใจใหถ ูก ตอ ง โดยที ่จ ะปอ งกัน ความทุก ขไ มใ หเ กิด ขึ ้น มาได, หรือ ถา เกิด ขึ ้น มาได ก็จ ะดับ เสียได. เราควรจะรู จั ก อารมณ ใ นฐานะที่ เป น ธรรมชาติ อั น หนึ่ ง ที่ มี อ ยู ต าม ธรรมชาติ แล วที่ จะเข ามาทํ าเรื่อ งทํ าราวขึ้ น ในจิ ตใจของคนเรา ให เกิ ดป ญ หายุ งยาก นี้ ใ ห ดี ๆ. นี้ เรี ย กว า รู จั ก อารมณ จ ากธรรมชาติ โ ดยตรงอย า งนี้ ดี ก ว า ที่ จ ะรู จั ก ตาม ตั วหนั งสื อ, ดี กว าที่ จะรู จั กตามคํ าบอกเล าบางอย างบางประการ ที่ มั นไม มี ประโยชน อะไร. รู จั ก ตามคํ า บอกเล า ก็ รู จั ก ตามที่ พ ระพุ ท ธเจ า ท า นตรั ส ดี ก ว า ; แต แ ล ว ยั งไม รูจักตั วจริง จนกวาจะมารูจั ก จากที่ เมื่ อ อารมณ ม ากระทบ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ เข า จริ ง ๆ ; นั่ น จึ ง จะรู จั ก อารมณ . รู จั ก ผลที่ เ กิ ด ขึ้ น จากการกระทบของ อารมณ, รูจักตอไปตามลําดับ จนแกปญหาตาง ๆ ได.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


๑๗๐

ก ข ก กา ของการศึกษาของพุทธศาสนา

นี่ ข อร อ งให รู จั ก สิ่ งที่ เรี ย กว า อารมณ ในฐานะที่ เป น ธรรมชาติ อั น หนึ่ ง ที่มีอยูตามธรรมชาติที่จะเขามากระทบอายตนะภายใน คือ กระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แลวมีเรื่องมีราวมีปญหา.

อารมณก็คือโลก. ที นี้ จะให ดู ต อไปอี ก ว าโดยข อเท็ จจริ งที่ เป นอยู แล ว อารมณ นั้ นคื ออะไร ? ถ า จะพู ด โดยข อ เท็ จ จริ ง หรื อ ตามสถานการณ ที่ เป น อยู จ ริ ง ในชี วิ ต ของคนเรา อารมณม ัน ก็ค ือ "โลก" นั ่น เอง. เดี ๋ย วนี ้เราไมรู จ ัก โลก ในฐานะอยา งนี ้, เรา ไปเขาใจความหมายของคําวา โลก แคบไปบาง หรือวาเขวไปบาง. ถ า จะรู ต ามหลั ก พระพุ ท ธศาสนาแล ว โลกทั้ ง หมดก็ คื อ สิ่ ง ที่ จ ะมา ปรากฏแก ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ของเรา, เรามี เพี ย ง ๖ อย าง, แล วมั น ก็ ปรากฏได เพี ย ง ๖ ทาง, มากกว า นั้ น มั น ปรากฏไม ได . ดั งนั้ น โลก ก็ คื อ สิ่ งที่ จ ะมา ปรากฏแก ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ๖ อย า งของเรา. โลกก็ คื อ รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ ๖ ประการเทานั้น, ไมมีอะไรมากไปกวานั้น.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั ้น รูป เสีย ง กลิ ่น รส โผฏฐัพ พะ ธัม มารมณ แตล ะอยา ง ๆ ก็ คื อ โลก ในแต ล ะแง ล ะมุ ม นั่ น เอง. ที่ เป น รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ก็ อยู ข า งนอก จะเรีย กวา อยู ข า งนอกก็ไ ด. ที ่เ ปน อารมณเ กิด ขึ ้น ในใจ ปรุง ขึ ้น ในใจก็เ รีย กวา โลกขา งในก็ไ ด; แตม ัน ก็เ ปน โลกอยู นั ่น แหละ; เพราะมัน เป น สิ่ งที่ จิ ต จะต องรู สึ ก จิ ต รู สึ ก ก็ เรี ย กว าโลกสํ าหรั บ จิ ต ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย รู สึ ก


อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก

๑๗๑

ก็ เรี ย กว าโลกสํ าหรั บ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย. นี้ ข อให ม องให เห็ น ชั ด ตามพระพุ ท ธ ประสงควา โลกก็คืออารมณ, อารมณก็คือโลก. แต ที นี้ พ ระพุ ท ธเจ า ท า นมองลึ ก กว า นั้ น ท า นตรั ส ถึ ง ข อ ที่ ว า ถ า มั น มา เกิด เปน ปญ หาแกเ ราเมื ่อ ไร จึง จะเรีย กวา มัน มี; พอมัน มาเปน ปญ หาแกเ รา เมื ่อ ไร ก็เ รีย ก วา เปน ทุก ข; เพ ราะวา เราไดไ ป จับ ฉวยยึด ถือ เอา ตาม ประสาตามวิสัยของคนที่ไมรูจักโลก. ถ าพู ด ว าไม รูจั ก โลก แล วคนก็ มั ก จะไม ย อมรับ ; เพราะวา เขาจะ พูด วา เขารู จ ัก โลกดี. ยิ ่ง พวกฝรั ่ง สมัย นี ้ นัก วิท ยาศาสตรป ราดเปรื่อ งนั ้น เขา จะไม ย อมรับ ว า เขาไม รูจั ก โลก. แต ถ า พู ด ตามหลั ก พุ ท ธศาสนาแล ว ก็ จ ะพู ด ได ว า ยั งไม รูจักโลกเลย เป นคนตาบอดยิ่ งกวาตาบอด; เพราะวาฝรั่งเหล านั้ น รูจักโลกแต ในแงสํ า หรับ จะยึด มั ่น ถือ มั ่น เปน ตัว กู - ของกู จะครองโลกจะอะไร เอา ประโยชน ทุ ก อย า ง; เขารู จั ก โลกในแง นี้ . อย า งนี้ พุ ท ธบริ ษั ท ไม เรี ย กว า รู จั ก โลก; แต ถื อ ว า เป น คนตาบอดต อ โลก, หลงยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ในโลก. เพราะว า คนเหล า นั้ น ไมรูจักโลก โดยความเปนอารมณ ๖ ประการ คือ รูป เสียง กลิ่นรส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ , แล วเป นมายา คื อเอาจริงไม ได เป นของชั่ วคราว ๆ หลอกให เกิ ดความ รูสึกยึดมั่นถือมั่น.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้เ รารูจัก เราไมไ ปหลงยึด มั่น ถือ มั่น กับ มัน นี้จึง เรีย กวา คนที่ รู  จ ั ก โลกไปตามหลั ก ของพุ ท ธศาาสนา. ฉะนั ้ น จึ ง ไม ย ึ ด มั ่ น ถื อ มั ่ น สิ ่ ง ใด โดยความเป น ตั ว ตน หรื อ โดยความเป น ของตน, เรี ย กว า เป น ผู รู จั ก อารมณ ๖ ประการ นั้ น ก็ คื อ รู จั ก โลกทั้ ง ปวง, แล ว ก็ ไ ม ห ลงไปในโลก ในแง ใ ดแง ห นึ่ ง .


๑๗๒

ก ข ก กา ของการศึกษาของพุทธศาสนา

นี้ เรียกว า อารมณ ก็ คื อ โลก นั่ นเอง ในความหมายที่ ลึ กที่ สุ ด ของพระพุ ทธสาสนา ไม ใ ช โลกก อ นดิ น , ไม ใ ช โลกก อ นกลม ๆ นี้ . แต มั น หมายถึ ง คุ ณ ค า อะไรที่ มั น มี อ ยู ในโลกกลม ๆ นี้ ที่ จะเข ามามาทํ าให เกิ ดป ญ หา ที่ ตา ที่ หู ที่ จมู ก ที่ ลิ้ น ที่ กาย ที่ ใจ ของคน. นั ่น แหละคือ ตัว รา ยกาจของสิ ่ง ที ่เรีย กวา โลก เราจะตอ งรู จ ัก ในสว นนี้ ใหเพียงพอ.

อารมณในโลกปจจุบันมารวมที่วัตถุนิยม. ที นี้ ดู อี ก แง ห นึ่ ง ก็ โดยป ญ หาที่ กํ า ลั ง มี อ ยู อารมณ ใ นโลกนี้ ในฐานะ ที ่ม ัน เปน ตัว ปญ หาที ่กํ า ลัง มีอ ยู  มัน มารวมอยู ที ่คํ า วา วัต ถุน ิย ม; หมายความ ว าตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ นี้ มั นเป นฝ ายชนะ ไปหลงใหลในอารมณ รู ป เสี ยง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ฯลฯ, แล ว ก็ เกิ ด นิ ย ม หลงใหลในวั ต ถุ เหล า นั้ น จนเกิ ด ความคิ ด ใหม ๆ, ปรุ งแต งไปในทางที่ จ ะให ห ลงใหลในโลกยิ่ งขึ้ น ๆ, ความเจริญ ก า วหน า ในโลกสมั ย นี้ เ ป น ไปแต ใ นทางอย า งนี้ . ฉะนั้ น จึ ง ไกลความสงบ, ไกลสั น ติ ภ าพ ไกลอะไร ออกไปทุ ก ที . การที่ ม นุ ษ ย ที่ มี ป ญ ญาในโลกสมั ย นี้ โดยเฉพาะฝรั่ ง ที่ ก า วหน า นั้ น เขาก็ จั ด โลกไปแต ใ นแง ข องวั ต ถุ ม ากขึ้ น ๆ; มั น ก็ ไ กลจากสั น ติ ภ าพ ไกลจากความสงบสุขยิ่งขึ้นทุกที.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ความสะดวกสบายที่ ทํ า ให เกิ ด ขึ้ น มาได นั้ น ไม ได ช ว ยส งเสริ ม เกิ ด สั น ติ ภาพ; แตม ัน ชว ยใหเ กิด ความหลงในโลกนั ้น เองมากขึ ้น , แลว ก็ช ว ยใหห ลงใหล ในตัว กู - ของกู, ยึด มั ่น ถือ มั ่น เห็น แกต ัว มากขึ ้น , รวมกัน แลว มัน ไมม ีท างที ่จ ะ เกิ ด สั น ติ ภ าพ หรื อ สั น ติ สุ ข ในโลกได เลย, จึ ง กลายเป น ความหลอกลวงเหลื อ


อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก

๑๗๓

ประมาณ โลกจึ งกลายเป น ความหลอกลวง, หรื อ สิ่ งที่ ห ลอกลวงเหลื อ ประมาณใน เวลานี้ เราเรียกกันวาติดบวงหรือวา ติดเหยื่อของวัตถุนิยม. คํ า พู ด ทั้ ง หมดนี้ ล ว นแต เ ป น การแสดงให เ ห็ น ว า อารมณ นี้ คื อ อะไร; สิ่ ง ที่ เรี ย กว า อารมณ นั้ น คื อ ตั ว โลก ที่ กํ า ลั ง หลอกลวงเราอยู ทุ ก วั น อย า งยิ่ ง ; โดยเฉพาะในปจจุบันนี้เปนวัตถุนิยม นี้คืออารมณ. ความหมายของอารมณ คุ ณ ค าของอารมณ อิ ท ธิ พ ลของอารมณ พิ ษ สงของอารมณ มั น รวมอยู ที่ คํ า ๆ นี้ คื อ วั ต ถุ นิ ย ม ที่ กํ าลั งครอบงํ าโลก ยึ ด ครองโลก แลว มีผ ล คือ เผาผลาญโลกใหรอ นระอุ ไปดว ยกิเลสตัณ หา ซึ่งรอ นยิ่ง กวา จะ เผากั น ด วยไฟธรรมดา เพราะมั น เผาจิ ต ใจ, นั่ น แหละ อารมณ ก็ คื อ สิ่ งนี้ คื อ ความ หมายของอารมณ กํา ลัง อยูใ นรูป ของวัต ถุน ิย ม, เปน ตัว โลกที่ป รากฏ ทาง ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย หรือ ใจ ด ว ย. แต เราไม รู จั ก ดู กั น ในแงนี้ ไปรู จั ก แต ใ นแง ของเวทนาที่เปนเสนห, หรือเปนเครื่องหลอกลวง.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้ น ขอให รู จั ก สิ่ ง ที่ เรี ย กว า อารมณ ให ดี , อารมณ ทั้ ง ๖ ประการนี้ คื อ อะไร ? แล ว ก็ จ ะแก ป ญ หา เกี่ ย วกั บ ความทุ ก ข ใ นจิ ต ใจของตนเองได . แล ว ถ า มนุ ษ ย ทุ ก คนรู เ รื่ อ งนี้ ก็ จ ะแก ป ญ หาความเร า ร อ นของโลกทั้ ง โลกได นี้ คื อ สิ่ ง ที่ เรีย กวาอารมณ เป น ป จ จั ย แห งเหตุ ก ารณ ทุ ก อย างในโลก. จะพู ด ให ก ลั บ กั นใน ทางดี ที ่ไ มเ ปน ความทุก ข มัน ก็อ าศัย อารมณเ หมือ นกัน ; แตรู เ ทา ทัน อารมณ; ไมไปหลงอารมณ, ไมไปเปนทาสเปนบาวของอารมณ. เดี๋ ย วนี้ มั น ตรงกั น ข า ม คื อ ไปหลงใหลในอารมณ , เป น บ า วเป น ทาส ของอารมณ , อารมณ มั น จึ ง ให ผ ลแต ที่ เ ป น ทุ ก ข ถ า เรารู จั ก เท า ทั น อารมณ


๑๗๔

ก ข ก กา ของการศึกษาของพุทธศาสนา

ก็ เรี ย กว า อยู เหนื อ อารมณ , ก็ อ ยู เหนื อ โลก มั น ก็ ม าทํ า ให จิ ต นี้ เป น ทุ ก ข ไม ไ ด , เป น ผูอยูเหนืออารมณหรือเหนือโลก ซึ่งจะวิสัชนากันทีหลัง. เดี๋ ย วนี้ ก็ ได รู ว า อารมณ คื อ อะไรพอสมควรแล ว แล ว ก็ อ ยากจะเน น ใน ข อ ที่ ว า มั น เป น ก ข ก กา อย า งไร ? บางคนอาจจะเบื่ อ แล ว ก็ ได เน น ความเป น ก ข ก กา ของธรรมะเหล า นี้ . แต ถ า ไม เบื่ อ แล ว จะดี เพราะว า ยั ง ไม เข า ใจ. ทํ า ไม จึ ง ถื อ ว า นี้ เป น ก ข ก กา ? สํ า หรั บ อารมณ นี้ มั น เป น ต น เหตุ ข องสิ่ ง ทั้ ง ปวง; เพราะเป นต น เหตุ เบื้ องต น ที่ สุ ด จึ งเรี ยกว า ก ข ก กา เพราะว า ก ข ก กา เป น เรื่ อ ง แรกเปนเบื้องตนของทุกเรื่อง เรื่องอารมณนี้เปนเบื้องตนของเรื่องทุกเรื่อง. ถ า เราอย า มี รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ๕ ประการนี้ มั น ก็ ไ ม มี ป ญหาอะไร. เอาละ, ย อมให มี ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ มนุ ษย มี ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย; แต ถ าไม มี รูป สํ าหรั บตา ไม มี เสี ยงสํ าหรับ หู ไม มี กลิ่ นสํ าหรั บ จมู ก ไม มี รสสํ าหรับ ลิ้ น ไม มี สั ม ผั ส สํ า หรั บ ผิ ว หนั ง เพื่ อ ผิ ว หนั ง มั น ก็ ไ ม มี ค วามหมาย. มั น มี ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ไปเปล า ๆ มั น เท า กั บ ไม มี . ถ า พู ด ให ลึ ก กว า นี้ ก็ จ ะมี แ ต ป ระสาทตา ประสาทหู ประสาทจมู ก ฯลฯ เท า นั้ น แหละ; มั น จะมี ต า หู จมู ก ฯลฯ โดย สมบูรณไมได.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org พระพุ ทธเจาทานตรัสวา ตอ เมื่ อ มี รูป เสีย ง กลิ่ น รส เป น ต น มา กระทบ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย มั น จึ งจะเกิ ด จั ก ษุ วิ ญ ญาณ โสตวิ ญ ญาณ ฆานวิ ญ ญาณ ฯลฯ, หรื อ ที่ มี ตา หู จมู ก ลิ้ น ฯลฯ ที่ ส มบู ร ณ ขึ้ น มาได ; มิ ฉ ะนั้ น แลวมันก็จะมีแตสักวา ประสาทที่รออยู ที่ตา ที่ประสาทที่รออยูที่หู ฯลฯ.


อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก

๑๗๕

อย า งนี้ เรี ย กว า อะไรเป น ต น เหตุ จะเรี ย กว า รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พพะ ข างนอก ที่ จะมากระทบตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ เป นต นเหตุ . หรื อจะเรี ยกว า ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย เป น ตน เหตุ . อาตมารูสึ กวา ข างนอกนั่ น แหละมั น เป น ต น เหตุ พื้ น ฐาน; เพราะมั น มี อ ยู ก อ น, มั น มี อ ยู ทั่ วไป ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย จะมี ห รื อ ไม มี ก็ ไม ท ราบ ไม รู ไม ชี้ . แต ว า รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ มั น มี อ ยู โดย ธรรมชาติ มีอ ยู เ ปน พื ้น ฐานกอ นแลว ; ฉะนั ้น ตอ งถือ วา พื ้น ฐานกอ นเกา แก ก ข ก กา นี้ก็เรียกวาอารมณ นี้คือเรื่อง ก ข ก กา ที่สุด.

ถาไมมีอารมณจิตก็ไมมี. ที นี้ ดู ให ใ กล เข า มา สิ่ ง ที่ เรี ย กว า จิ ต จิ ต นี้ จะเป น จิ ต ขึ้ น มาไม ไ ด ถ า ไมม ีอ ารมณ. ถา ศึก ษาใหล ะเอีย ดในทางพุท ธศาสนาแลว ก็จ ะยิ ่ง รู สิ ่ง นี ้ช ัด เจน ยิ่ งขึ้ น เพราะว าธรรมดาเราเข าใจผิ ด ถื อมาผิ ด ๆ หรื อสอนกั นมาผิ ด ๆ. โดยเหตุ ที่ ว า ศาสนาพรหมณ เข า มาแล ว ก อ นพุ ท ธศาสนา, มาสอนให พ วกที่ นี่ เ ชื่ อ อย า งลั ท ธิ พราหมณ คื อ มี อ าตมั น ว า มี อ าตมมั น คื อ มี ตั ว ตน. บางที ก็ เ รี ย กว า จิ ต เจตภู ต วิ ญ ญาณ อะไรก็ แ ล ว แต จ ะเรี ย ก หมายถึ ง สิ่ ง ๆ เดี ย วกั น ทั้ งนั้ น ว า คนเรามี เจตภู ต มี จิ ต มี วิ ญ ญาณ มี อ าตมั น เกิ ด มาเสร็ จ จากท อ งแม . นี้ ก็ มี อ ะไรเข า มาสํ า หรั บ ให เจตภู ต หรื อ อาตมั น นี้ แตะต อ ง เสวย ซ อ งเสพอะไรต า ง ๆ อย า งนี้ มั น มี จิ ต เสี ย กอนแลว.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org โดยทางพุ ท ธศาสนาจะไม ถื อ ดั ง กล า วนั้ น ; สิ่ ง ที่ เรี ย กว า จิ ต โดยแท จ ริ ง จะมี ต อ เมื่ อ อารมณ ข างนอกมากระทบอายตนะข างใน, แล วปรุงเป น ความรูสึ ก


๑๗๖

ก ข ก กา ของการศึกษาของพุทธศาสนา

ขึ้ นที่ นั่ นแล วจึ งเรี ยกว า จิ ต เฉพาะกรณี เฉพาะเรื่ อ งเฉพาะราว ให เป นเรื่ อ ง ๆ ราย ๆ ไป; เกี่ยวกับจิตเกิดขึ้น ไมยอมใหมีจิตที่เปนตัวตนอันถาวร. ที่ จ ะเป น อาตมั น อั น ถาวร, จะเป น ตั ว ตนอั น ถาวร นั้ น มั น เป น พราหมณ นั้ น มั น เป น ฮิ น ดู เขาเข า มาก อ น เขาสอนไว ก อ นเสร็ จ แล ว เขาจึ ง ได เปรี ย บ. คน ไทยเราจึงถือศาสนาฮินดูอยูโดยกําเนิด โดยในสวนลึกของจิตใจวามีตัวกู มีตัวมีตน มี อ ะไร มี เจตภู ต วิ ญ ญาณ เข าออกร างกายนี้ ตายแล วมั น ก็ อ อกไปหาร างกายใหม , หรื อ ว า นอนหลั บ มั น ก็ อ อกไปเที่ ย วเล น อย า งนี้ เ ป น ต น . ฝ า ยลั ท ธิ นั้ น ได เ ปรี ย บ เพราะสอนอยู ก อ นแล ว; พุ ท ธศาสนามาสอนสู งไปกว า นั้ น โดยให รู ว า สิ่ งที่ เรี ย กว า จิตโดยแทจริงนั้น ไมไดเปนตัวตนอยางนั้น, ตัวตนอยางนั้นก็มิไดมี. อยา ไดเ ขา ใจวา มีสิ ่ง ที ่เ ปน ตัว ตนโดยแนแ ทถ าวรอยา งนั ้น เลย; ไมม ีอัต ตา ไมม ีอ าตมัน ชนิด นั ้น มีแ ตค วามรูส ึก ที ่เพิ ่ง เกิด ขึ้น เมื ่อ อายตนะขา ง ในข า งนอกกระทบกั น แล ว สํ า คั ญ ผิ ด เป น ตั ว ตน เป น ตั ว ตนได เห็ น ตั ว ตนได ยิ น ตัวตนไดชิมไดดม ไดรสอรอย ไดไมอรอย.

www.buddhadasa.in.th พุทธศาสนาไมทําลายของเกา มีแตเสริมใหดีขึ้น. www.buddhadasa.org เรื่ อ งนี้ เราจะไม ท ะเลาะกั น เมื่ อ สอนอยู อ ย า งนั้ น ก อ นก็ ไ ด . ขอให ถื อ เอาเปน ความรูพื้น ฐานอยางนั้น ไปกอ น แลวก็เรีย นความรูใ หม สําหรับ ถอน ความรู อ ย า งนั้ น เสี ย ตามสมควร; เพราะคนเราจะต อ งมี ค วามรู อ ย า งใดอย า งหนึ่ ง


อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก

๑๗๗

จะอยู โดยปราศจากความรู ไม ได . ถ ามั นเป นความรู ที่ เขาสอนกั นอยู ก อน มี ป ระโยชน ในทางใดทางหนึ่ ง อยู , หรื อ ว า ไปแก ไ ขกั น โดยตรงไม ไ ด ก็ ส อนให ดี ก ว า ที่ จํ า เป น กวาเทานั้นเอง. ในข อ นี้ จะขอตั ก เตื อ นเป น พิ เศษแก ทุ ก คนสั ก หน อ ย ว า ถึ ง เวลาแล ว ที ่จ ะตอ งเขา ใจขอ นี ้ วา พระศาสดาไมไ ดท รงอุบ ัต ิขึ ้น มาเพื ่อ จะรื้อ ฟ น ทํ า ลาย ของเกา ; แตว า ทรงอุบ ัต ิขึ ้น มา เพื ่อ จะทํ า ของเกา ที ่ย ัง บกพรอ งอยู นั ้น ให เต็ม, คือเพื่อจะเสริมยอดขึ้นไปใหถึงที่สุด. แตจะไมรื้อรากฐานใหพังทลายไป. เราเคยเข า ใจผิ ด เรื่ อ งนี้ เราจึ งถื อ ว ามั น เป น ศาสนาที่ เป น ปฏิ ป ก ษ ต อ กั น ต อ งทํ า ลายกั น , ต อ งฟ ด เหวี่ ย งกั น ให แ ตกกระจายไปข า งหนึ่ ง , ให ช นะข า งหนึ่ ง แล ว ก็ เ อาอั น นั้ น ขึ้ น มาเทิ ด ทู น . แต เมื่ อ สั ง เกตดู แ ล ว พระพุ ท ธเจ า ท า นไม ท รง ประสงค อ ย างนี้ ท านไม เคยตรัสเพิ กถอนอะไรที่ เขามี อยู ก อ น อย างจะตรัสก็ ตรัสว า นั่นจะดับทุกขไมไดถึงที่สุดนะ ตองอยางนี้.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อย า งว า ท า นเห็ น สิ ง คาลมาณพไหว ทิ ศ ผมเป ย ก ผ า เป ย ก ยื น ไหว ทิ ศ อยูที่สี่ แยก. ทานถามวา ทํ าอะไร ? ไหวทิศ . ไหวทํ าไม ? เพราะบิ ดาสอนให ไหว ทิศ . เพื ่อ ประโยชนอ ะไร ? เพื ่อ ความเจริญ . ทา นตรัส บอกวา ในอริย วิน ัย เขาไหวท ิศ กัน อีก อยา งหนึ ่ง ลองดูก ็ได, แลว ทา นสอนเรื ่อ งทิศ ๖ : ทิศ เบื ้อ ง หน า บิ ด ามารดา, ทิ ศ เบื้ อ งหลั ง บุ ต รภรรยา, ทิ ศ เบื้ อ งซ า ย เพื่ อ น, ทิ ศ เบื้ อ งขวา ครู บ าอาจารย , ทิ ศ เบื้ อ งต่ํ า บ า วไพร , ส ว นทิ ศ เบื้ อ งบนคื อ สมณะ, ให ป ฏิ บั ติ ใ ห ถู ก ต อ งต อ บุ ค คล ๖ จํ าพวกนี้ เรี ย กว าไหว ทิ ศ ไม มี คํ าพู ด ที่ ต รั ส ว า นั้ น บ า, นั้ น ผิ ด .


๑๗๘

ก ข ก กา ของการศึกษาของพุทธศาสนา

แมพระพุ ทธภาษิ ตเรื่อง พหุ เว สรณํ ยนฺ ติ ก็เหมือนกัน ที่ตรัสเองวา มนุ ษ ย เป น อั น มากไหวภู เขา ไหวต น ไม ไหวสิ่ งศั ก ดิ์ สิ ท ธิ์ ไหวอะไรตาง ๆ. แล ว ทา นก็ไ มไ ดบ อกวา นั ้น มัน บา หรือ มัน ผิด , คือ ทา นไมแ ตะตอ ง. แตท า น บอกวา นั้น ไมใ ชที่สุด นั ้น ไมดับ ทุก ขถึง ที ่สุด นั้น ไมใ ชที่พึ ่ง อัน เกษมและ สู ง สุ ด ; แล ว สู ง สุ ด เมื่ อ ผู ใ ดถึ ง พระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ เห็ น อริ ย สั จ จ ๔ ตามที่ เป น จริ ง ก็ ดั บ ทุ ก ข ถึ ง ที่ สุ ด . มี อี ก มากมายหลายเรื่ อ งที่ แ สดงว า พระพุท ธเจา ทา นไมแ ตะตอ งของเกา ในลัก ษณะเพิก ถอน; แตท า นจะเสริม ยอดใหสูงสุด. ฉะนั้ น เราจะต อ งปฏิ บั ติ ต อ ลั ท ธิ ต า ง ๆ ที่ มี อ ยู ก อ นนั้ น ในฐานะว า เป น พื้ น ฐานที่ ยั ง ต่ํ า กว า . แม แ ต พ ระเยซู เองก็ ยั ง ตรั ส ไว ชั ด เจน ในคั ม ภี ร ข องคริ ส เตี ย น ว า เราไม ไ ด เกิ ด มาเพื่ อ ทํ า ลายเพิ ก ถอน; แต เกิ ด มาเพื่ อ ทํ า ให เต็ ม ทํ า ให ส มบู ร ณ หมายถึ ง คํ า สอนของโมเสส ของใครอี ก หลาย ๆ คน ที มี อ ยู ก อ นพระเยซู ซึ่ ง บาง อยา งมัน ก็ข ัด กัน กับ พระเยซู. พระเยซูท า นวา ไมต อ งถอน; แตพ ูด ใหมใ หเ ต็ม ใหบริบูรณได.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้ น จึ งเข าใจว าศาสดาทุ ก องค จะไม เพิ ก ถอนของที่ ศ าสดาก อ นหน า นั ้น ไดก ลา วไว; แตจ ะสอนใหเ ต็ม ขึ ้น ไปเทา นั ้น . ฉะนั ้น เรื ่อ งอะไรตา ง ๆ นี ้ไ ป สอนใหเต็มไดทุกเรื่อง ความงมงายก็จะหมดไปเอง.

เรื่ องจิ ตเรื่ องวิ ญ ญาณนี้ ถ าใครยั งเข าใจอย างเก าแก อย างโบรมโบราณงมงายอยู ก็ ไ ม ต อ งไปด า เขา, ไม ต อ งไปว า เขา, บอกว า มั น ต อ งไปอย า งนี้ ต า งหาก, ต องไปต อไปอย างนี้ ต างหากจึ งจะดั บ ทุ กข ได . สรุป ความง าย ๆ ว า ต อ งหมดความ


อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก

๑๗๙

ยึดถือความสําคัญ วามีตัวตน ตางหาก จึงจะดับทุกขได, แลวจะไดชี้เรื่องจิตกัน เสียใหม. ที่ ว า เคยยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ว า เป น ตั ว เป น ตน เป น อั ต ตา เป น อาตมั น นั้ น มัน ไมจ ริง เพราะมัน เปน เพีย งธรรมชาติที ่ป ระกอบกัน ขึ ้น เปน ความรู ส ึก เปน เรื่อ ง ๆ ไปเทานั้น เอง นี้เรีย กวา จิต เปน สิ่งที ่เพิ ่งเกิด มี ตอ เมื่อ ไดอ ารมณขา ง นอกมากระทบกับอวัยวะสําหรับรับการกระทบ. เช น ข างในมี จั ก ษุ ป ระสาท ข างนอกมี รู ป เข ามากระทบจั ก ษุ ป ระสาท มั น ก็ บั งเกิ ด จั ก ษุ วิ ญ ญาณ คื อ ความรู สึ ก แจ ม แจ งทางตาขึ้ น มา คล า ย ๆ กั บ ว า กู เห็น อยา งนั ้น แหละ เราเห็น กูเ ห็น อยา งนั ้น . ที ่จ ริง กูนั ้น ก็ม ิไ ดม ี แตม ีก าร เห็น ชนิด ที ่ม ีค วามรู ส ึก ทํ า ใหห ลงไปวา เราเห็น หรือ กูเ ห็น ก็ไ ด. ฉะนั ้น จิต ที ่ว า เปน ผู เ ห็น นั ้น จึง เปน ของเพิ ่ง เกิด , ฉะนั ้น จิต ที ่ว า จะเปน กูไ ดย ิน ทางหู หรื อ ได ด มทางจมู ก ได รู ท างลิ้ น ได สั ม ผั ส ทางผิ ว หนั ง อะไรก็ ต าม เป น ของเพิ่ ง เกิ ด , ฉะนั้ น จิ ต จึ ง เป น ของใหม หลั ง จากที่ อ ารมณ ก ระทบกั บ อวั ย วะหรื อ อายตนะ ภายใน สํ า หรับ กระทบแลว จึง เกิด ขึ ้น มาดวงหนึ ่ง คราวหนึ ่ง เสร็จ เรื ่อ งแลว ก็ ดั บ ไป. ดวงอื่ น เมื่ อ ได ก ระทบใหม ก็ เกิ ด ขึ้ น อี ก ; มั น จึ ง เป น ดวง ๆ เหมื อ นกั บ ฟอง สบู ชั ่ว ขณ ะ ๆ ๆ; ไมใ ชด วงถาวร ไมใ ชเ อากองเลน ไดเ ปน กอง ๆ; มัน เปน ของที่มายา.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี ้เรีย กวา จิต นี ้เปน มายา ที ่อ ารมณข า งนอกเขา มาชว ยสรา งขึ ้น โดยกระทบที่ อ ายตนะสํ า หรั บ การกระทบ มี กั น อยู เป น คู ๆ : ตาคู กั บ รู ป , หู คู กั บ เสี ย ง, จมู ก คู กั บ กลิ่ น , ลิ้ น คู กั บ รส, กายคู กั บ สั ม ผั ส ทางผิ ว หนั ง แล ว ก็ ใ จคู กั บ สิ่ ง ที่จะเกิดมีความรูสึกขึ้นในใจ เขาเรียกวา ธัมมารมณ.


๑๘๐

ก ข ก กา ของการศึกษาของพุทธศาสนา

นี้ เรี ย กว า อารมณ เป น ก ข ก กา ที่ จะต อ งศึ กษาให รูจั ก สิ่ งที่ เรียกว า อารมณ ; เหมือ นกับ เรีย น ก ข ก กา กอ น จึง จะอา นหนัง สือ ได. อารม ณ คือ ทุก สิ ่ง ที ่ม ากระทบ หรือ ที ่เรีย กวา โลก, แลว กํ า ลัง รวมตัว เปน วัต ถุน ิย ม ที่ กําลังครอบงําจิตใจของคนทั้งโลก ใหเดือดรอนกันไปทั้งโลก.

อารมณเปนจุดตั้งตนของการศึกษา. ที นี้ ดู ค วามเป น ก ข ก กา ของอารมณ นี้ อี ก ที ห นึ่ ง ว า มั น เป น จุ ด ตั้ งต น ของการศึก ษา. ถา ใครจะศึก ษาพุท ธศาสนา ศึก ษาพระธรรม แลว ก็ต อ ง ไปตั้ ง ต น ศึ ก ษาที่ อ ารมณ ก อ น คื อ ศึ ก ษาที่ รู ป เสี ย ง กลิ่ น รสโผฏฐั พ พะ ที่ จ ะ เขา มากระทบ ตา หู จมูก ลิ ้น กาย นั ่น แหละกอ น; ถา ไมถ ือ เอาอัน นี ้เ ปน จุด ตั้งตนสําหรับการศึกษาแลว ไมมีทางจะทราบ จะรู จะเขาใจอะไรได. นี้ ไ ม ต อ งศึ ก ษา โดยชนิ ด ที่ เรี ย กว า ไปจํ า ไปท อ งไปอะไรที่ ไหน ศึ ก ษา โดยจํ า โดยทอ งโดยฟง เขามา นี ้ใ ชไ มไ ด ไมม ีป ระโยชนอ ะไร; จะตอ งศึก ษาจาก ที ่รู ส ึก อยู จ ริง . แมว า พระพุท ธเจา ทา นจะสอนแนะวิธ ี; แตท า นก็จ ะแนะวิธ ีที่ จะต องมาทํ าเอาเอง จากสิ่ งที่ จะรูสึ กจริ งออกมาเองจากภายใน, แล วจงพยายามสํ ารวม ทุ ก อย า ง ระมั ด ระวั ง ให ดี ไม ป ระมาทอย า งยิ่ ง ที่ จ ะระวั ง ให ดี ที่ จ ะให เข า ใจสิ่ ง ที่ เรียกวา รูป เสียง กลิ่น รส ฯลฯ นั้นใหจนได.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เดี๋ ย วนี้ เ ราไม ตั้ ง ต น ที่ จ ะศึ ก ษา; เราเตรี ย มพร อ มที่ จ ะล อ งลอยไปตาม กระแสยั่ ว ยวนของมั น มั น จึ ง ตกเป น ฝ า ยถู ก กระทํ า , คื อ อารมณ ทั้ ง หลายมั น ก็ พ า คนนั้ น ล อ งลอยไปตามกระแสความยั่ ว ยวน. นี้ ต อ งมาตั้ ง ต น กั น ใหม มา


อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก

๑๘๑

ยื น อยู บ นขาของตั วเอง, ตั้ งต น ที่ จ ะศึ ก ษา รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ กัน ใหม. ใหถ ือ เอาเปน เรื ่อ งสํ า หรับ ตั ้ง ตน เหมือ นกับ วา ก ข ก กา. ดังนั้นอาตมาจึงถือวา อารมณนี้เปน ก ข ก กา สําหรับจุดตั้งตนของการศึกษา. ที นี้ จะพู ดให กว างออกไปกว านั้ น ก็ พู ด ได ว าอารมณ นี้ มั น เป น เป าหมาย เปน จุด หมายของทุก อยา ง. คนเราจะทํ า อะไร ก็ต อ งมีเ ปา หมาย; นี ้ไ มใ ชพ ูด เรื่องธรรมะภายใน, พู ดเรื่ องธรรมะภายนอก ว าเราจะทํ าอะไร จะค าขายหรือจะเป น อะไรก็ ต าม มั น ต อ งมี เป า หมาย. เป า หมายนั้ น ก็ คื อ อารมณ , เป า หมายต อ งมา กอ นสิ ่ง อื ่น ; ฉะนั ้น อารมณก ็จ ึง เปน สิ ่ง ที ่ม ากอ นสิ ่ง อื ่น . เราจะเลน การเมือ ง เราก็ ต องมี เป าหมาย; ฉะนั้ นเป าหมายก็ จะต องมาก อนสิ่ งอื่ น จะค าขายหรือว าจะทํ า อะไรก็ต อ งมีเ ปา หมาย, เปา หมายตอ งมากอ นสิ ่ง อื ่น . แมค นที ่จ ะครองโลก มัน ก็ตองมีเปาหมาย เปาหมายก็มากอนสิ่งอื่น นั้นเปนเรื่องขางนอก. ถาเรื่องขางใน เราตองการจะบรรลุม รรค ผล นิ พพาน เราก็ตองมี เปา หมาย; จะมีน ิพ พานเปน อารมณ ทั ้ง ที ่เราไมรู จ ัก พระนิพ พาน ก็ย ัง ดีก วา ที่ ไม มี เสี ย เลย. พระพุ ท ธเจ า ท า นไม ท รงแนะนํ า อย า งนั้ น , ไม ท รงแนะนํ า ให เอาสิ่ ง ที่ ไมรูจักอะไรเสียเลยมาเปนเปาหมาย. แตก็มีคําวาเอาพระนิ พ พานเป น เป าหมาย สํา หรับ คนที่มีส ติปญ ญา รูวา ความทุก ขเปน ของรอ น; ถา ดับ ทุก ขไ ดก็เ ย็น เป น นิ พ พาน, ก็ เลยรูวา นิ พ พานนั้ น คื อ เย็ น เพราะปราศจากความรอ นของความ ทุกข, แลวก็มุงหมายเอาความเย็นถึงที่สุด ไมกลับรอนอีกตอไปนั้นเปนเปาหมาย.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อย างนี้ เรามองเห็ นได เอง ไม ต องเชื่ อตามผู อื่ น เราก็ สามารถจะมี พ ระนิพพานเปน เปาหมาย หรือเปนอารมณ ของการประพฤติกระทําทุกอยาง. เรา จะให ทาน ทํ าบุ ญ ให ทาน ก็ มี พระนิ พพานเป นอารมณ , จะรักษาศี ลก็ มี พระนิ พพาน


๑๘๒

ก ข ก กา ของการศึกษาของพุทธศาสนา

เป น อารมณ , จะทํ า สมาธิ ก็ มี พ ระนิ พ พานเป น อารมณ เป น เป า หมายดี ก ว า . แม แต กํ า ลั ง กระทํ า อย า งอื่ น อยู ก็ ต อ งมี พ ระนิ พ พานเป น เป า หมาย. ส ว นการกระทํ า ป ญ ญาหรือวิ ป สสนานั้ น ไม ต องกล าวแล ว เพราะว ามั นต อ งทํ าเพื่ อ มี พ ระนิ พ พานเป น เปาหมายอยูแลว. เดี๋ ยวนี้ เราจะแก ป ญ หาต าง ๆ อะไรในชี วิ ต ประจํ าวั น ก็ ต อ งมี อ ารมณ คือ เรื่อ งนั ้น แหละเปน อารมณม าแก, แลว ก็ต อ งแยกแยะอารมณนั ้น ออกไป จน ถึ ง ว า เรื่ อ งนี้ เข า มาทางตา, หรื อ เรื่ อ งนั้ น เข า ทางหู เข า มาทางจมู ก ทางลิ้ น ทาง อะไรต า ง ๆ. แม ว า เป น เรื่ อ งที่ กํ า ลั งเกิ ด อยู ข า งใน กํ า ลั งคิ ด อยู ข า งใน ค น อยู ข า งใน ก็ ยั งจะพอมองเห็ น ได : เรื่ อ งนี้ มั น เคยมาจากเรื่ อ งทางตาสมั ย ก อ นโน น , เรื่ อ งนี้ มั น เคยมาจากเรื่ อ งทางได ยิ น ทางหู เมื่ อ สมั ย ก อ น; เพราะเรื่ อ งที่ เกิ ด ภายในใจนั้ น ต อ ง มาจากเรื่ อ งที่ ม าจากข า งนอก ที่ เป น อดี ต ทั้ ง นั้ น มั น เก็ บ สะสมไว ในภายใน ฉะนั้ น เรื่อ งธัม มารมณ เรื่อ งจิต ใจนั้น ก็เ ปน เรื่อ ง รูป เสีย ง กลิ ่น รส โผฏฐัพ พะ ในอดีต ที่มาเก็บสะสมไวขางในทั้งนั้น.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เราจะพบอารมณ อย างใดอย างหนึ่ งได ทั้ งนั้ น โดยที่ ว าไม ต องเข าใจผิ ดว า ไมม ีอ ารมณ  หรือ มองอารมณ อ ัน เปน ตน เหตุไ มพ บ; มัน จะพบทั ้ง นั ้น มัน อยู ที ่ว า มองเปน หรือ มองไมเ ปน เทา นั ้น เอง. นี ่เ รีย กวา เปา หมายคือ อารมณ มัน ต อ งมาก อ นสิ่ งใด ฉะนั้ น เราต อ งเข าใจมั น ก อ นสิ่ งอื่ น จึ งถื อ ว าเป น เรื่ อ ง ก ข ก กา ที่ จ ะต อ งไปแตะต อ งก อ นเรื่ อ งใด จะต อ งก อ นเรื่ อ งใด จะต อ งเข า ใจมั น ก อ นเรื่ อ งใด ทั้งสิ้น.

นี่ ขอให ทุ กท านได พิ จารณาดู เถอะว า มั นเป นเรื่ อง ก ข ก กา กี่ ม ากน อย หรื อ มหาศาลอย า งไร สํ า หรั บ สิ่ ง ที่ เรี ย กว า อารมณ นั้ น . เราไม เข า ใจอารมณ เรา กํ า ลั งพ ายแพ แ ก อ ารมณ , เรากํ าลั ง เป น ทาสของอารมณ , ถู ก อารมณ จู งจมู ก ไป


อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก

๑๘๓

ในลั กษณะอย างไร; ฉะนั้ นมาศึ กษาเรื่องอารมณ กั นเสี ยใหม แต ต องมาตามวิ ธี ที่ พระพุทธเจาทานตรัสสอนไว จึงจะเอาชนะได.

อารมณมีอยูคูกับมนุษย, เปนนายหรือรับใช. ที นี้ ม าดู กั น ต อ ไปอี ก ให ใ กล ตั ว ยิ่ ง ขึ้ น ไปอี ก ; แต ว า ให มั น กว า ง ๆ ยิ่ ง ขึ้นไปอี ก คื อวาอารมณ นี้ มั นเกี่ ยวของกั บมนุ ษย อย างที่ แยกกั นไม ได อย างที่ อธิบาย มาแล ว , เดี๋ ย วนี้ ข อให ส รุ ป ความ ให ม องเห็ น ชั ด ว า สิ่ ง ที่ เรี ย กว า อารมณ นั้ น มั น เปน ของคู ก ัน กับ มนุษ ย แยกกัน ออกไมได; เพราะมนุษ ยม ี ตา หู จมูก ลิ ้น กาย ใจ; อารมณ มั น ก็ คู กั น กั บ สิ่ ง เหล า นั้ น มั น หนี ไม พ น ไม ว า จะลื ม ตาขึ้ น เมื่ อ ไร มั น ก็ มี อารมณ ท างตา หู ยั งใช ได อ ยู ต อ งได ยิ น เสี ย งทางหู นี่ มั นแยกกั น ไม ได อ ย างนี้ ก็เลยเปนอันถือไดวาอารมณนี้มันคูกันกับมนุษย แตมันมีนัยอันสําคัญอยู ๒ นัย. อารมณ คูกันกับมนุษย โดยนัยที่สําคัญ ๒ นัย คือวา สําหรับเป นนาย มนุษ ย หรือ วา สํ า หรับ รับ ใชม นุษ ย. อารมณทั ้ง หลาย รูป เสีย ง กลิ ่น รส โผฏฐัพ พะ ธัม มารมณ ทั ้ง หลายนั ้น คู ก ัน กับ มนุษ ย; แตว า สํ า หรับ ใชม นุษ ย ให ค วามสะดวกสบายแก ม นุ ษ ย , หรื อ ว า สํ า หรับ มาเป น นายมนุ ษ ย บี บ คั้ น มนุ ษ ย ลากมนุ ษ ย ใ ห เป น ทาสของอารมณ . นี้ ก็ ดู เอาเองก็ แ ล ว กั น ว า ในทั่ ว ๆ ไปทุ ก หน ทุ ก แห ง ทั้ ง โลกนี้ คนทั้ ง โลกนี้ กํ า ลั ง เกี่ ย วข อ งกั บ อารมณ ในลั ก ษณะที่ ช นะเหนื อ อารมณ หรือวาพายแพแกอารมณ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


๑๘๔

ก ข ก กา ของการศึกษาของพุทธศาสนา

คนเป น อั น มากจะคิ ด ว า เขาชนะอารมณ , เขาเป น นายเหนื อ อารมณ . เขาคิด วา เขาดีเขาอวดได. แตด ุใ หด ีอ าจจะมีค วามหมายที ่ใ ชผ ิด กัน อยู ; เชน ว า ถ าชายหนุ มคนหนึ่ งพยายามจนสํ าเร็ จ ได ผู หญิ งคนหนึ่ งมาเป นภรรยาอย างนี้ ; ถ า มองในแงห นึ ่ง ก็ว า ชนะแลว ชนะสิ ่ง นั ้น ไดสิ ่ง นั ้น มา. แตถ า มองอีก แงห นึ ่ง มั นเป นการพ ายแพ ตลอดกาลก็ ได . คื อพ ายแพ ที่ ต องไปเป นทาสของเขาตั้ งแต ต นจน ปลาย อยางนี้เรียกวาพายแพ. เดี๋ ย วนี้ พ วกวั ต ถุ นิ ย ม วั ต ถุ นิ ย มที่ เก ง ที่ สุ ด ก็ ต อ งยกให พ วกฝรั่ ง ; เขา อาจจะคิ ด ว า เขาชนะโลก ชนะโลก ไปโลกพระจั น ทร ก็ ไ ด จะไปโลกอั ง คาร โลก พระศุ ก ร ก็ ไ ด ในอนาคตข า งหน า เพราะว า เขาชนะโลก. เมื่ อ วั น ที่ ไ ปเหยี ย บดวง จั น ทร ค รั้ ง แรก อาตมาก็ ค อยดู โทรทั ศ น กั บ เขาด ว ยเหมื อ นกั น ฟ ง อะไรด ว ย ได ยิ น คํ า ประกาศของประธานาธิ บ ดี ว า มนุ ษ ย ไ ด พิ ชิ ต ดวงจั น ทร เ ป น ครั้ ง แรกแล ว . นี้ เราก็ นึ ก สะดุ งว า พิ ชิ ต แบบไหนกั น ? ตามหลั ก พุ ท ธศาสนา ก็ คื อ พ า ยแพ สิ้ น เนื้ อ ประดาตัว; แตถาพูดภาษาชาวบาน ก็วาชนะสิ้นเชิง คือเหยียบดวงจันทรได.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ า มองกั น ในแง ที่ ว า ดวงจั น ทร พ า ยแพ แค ไ ปเหยี ย บได นี้ ดู จ ะน า หั ว มาก; แต ไ ม ม องว า ดวงจั น ทร นั้ น ทํ า ให ม นุ ษ ย ต อ งเป น ทาสเป น บ า ว นั บ ตั้ ง แต การค น คว า , นั บ ตั้ ง แต ก ารลงทุ น ด ว ยการยากลํ า บาก ลงทุ น ด ว ยชี วิ ต ลงทุ น อะไร ตาง ๆ. เมื่อขึ้นไปเหยียบดวงจันทรไดนั้น เรียกวาพายแพหรือชนะกันแน ? ถา พระจันทรเปนสิ่งที่มีชีวิตวิญญาณ ก็จะหัวเราะฟนแหง. นี่ ม องดู ใ นแง ข องกิ เลสตั ณ หา ก็ คื อ การพ า ยแพ แต ถ า มองดู ใ นแง ของวั ต ถุ มั น ก็ ว า ชนะ. นี้ ช นะแล ว ได อ ะไรบ า ง ? ได สั น ติ สุ ข ได สั น ติ ภ าพ หรื อ


อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก

๑๘๕

อย า งไร ? นี่ ดู เป น เรื่ อ งหลอกลวงกั น ทั้ ง นั้ น , ดู จ ะทํ า เพื่ อ ประโยชน ส ว นตั ว เพื่ อ จะ ล างผลาญผู อื่ นเสี ยมากกว า ก็ เลยไม มี การชนะทางไหนเลย ในแง ของธรรมะก็ ไม ชนะ แง โลกก็ ไม ช นะ. มั น เป น เรื่ อ งผิ ด ประสงค ข องพระเป น เจ า , ผิ ด กฎของธรรมชาติ ในขอ ที ่ว า มนุษ ยค วรจะทํ า อะไรบา ง. ไมทํ า สิ ่ง ที ่ค วรจะทํ า โลกนี ้ไ มม ีส ัน ติภาพ มั น ก็ เลยพ า ยแพ กั น ทั้ ง โลก. การที่ ไ ปเหยี ย บดวงจั น ทร ไ ด คื อ การพ า ยแพ ของมนุษ ยทั ้ง โลก มากกวา ที ่จ ะเรีย กวา เปน ชัย ชนะของมนุษ ยที ่ไ ปเหยีย บ ดวงจันทรได. นี่ อุ ต ส า ห เอามาพู ด เสี ย ยื ด ยาว นี้ ก็ เพื่ อ ให เข า ใจความหมายของคํ า ว า แพ หรือ คํ า วา ชนะนั ่น เอง. ถา เราสับ สนกัน ในขอ นี ้ จนเอาแพเ ปน ชนะ, เอา ชนะเป น แพ แ ล ว ไม มี ท างจะชนะได . เราจะต อ งเป น ทุ ก ข จ นตายเข า โลงไป, ไม มี ทางที่จะดับทุกขได คือไมมีทางที่จะชนะอารมณหรือโลกนี้ได.

คนธรรมดายังเปนทาสอารมณ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ ม าดู กั น เสี ย ให ดี ว า อารมณ ห รื อ โลกทั้ งหลาย ที่ เรี ย กว าอารมณ นี้ เรา กําลังเกี่ยวของกับมันในลักษณะอยางไร ? ภาษาบาลี มี อยูงาย ๆ อยู ๒ คํา วามี อารมณ กั บ ไม มี อ ารมณ ; แต ฟ ง แล ว ไม มี ท างที่ จ ะเข า ใจได คื อ มั น กํ า กวมเกิ น ไป. แต เดี๋ ย ว นี้ พู ด ตามคํ า บาลี สั้ น ๆ ว า ถ า เป น คนมี อ ารมณ ก็ ห มายความว า เป น ทาสของ อารมณ, ถา เราไมม ีอ ารมณ ก็ค ือ เราไมเ ปน ทาสของอารมณ. เวลาใดเรา ไม มี อารมณ เวลานั้ น เราไม เป น ทาสของอารมณ , พอเวลาเรามี อารมณ หมายความ ว า เรายึ ด ถื อ อารมณ เรารู สึ ก ต อ อารมณ เราก็ พ า ยแพ แ ก อ ารมณ , นี้ เป น หลั ก ทั่ วไป.


๑๘๖

ก ข ก กา ของการศึกษาของพุทธศาสนา

ที นี้ ม องดู ก ว า ง ๆ มนุ ษ ย ธ รรมดาสามั ญ คื อ เป น ปุ ถุ ช นยั ง ไม บ รรลุ นิ พ พาน ต อ งมี อ ารมณ ไม เคยว า งจากอารมณ , คื อ จะเปลี่ ย นกั น มี อ ารมณ นั้ น อารมณ นี้ เรื่ อ ยไป แล วก็ ทุ ก ๆ เวลาเป น ทาสของอารมณ เพราะไม รู จั ก อารมณ . เป น จิ ต ที่ ยั ง ไม บ รรลุ นิ พ พาน จิ ต ที่ ไ ม มี แ สงสว า ง ไม มี ป ญ หารู พ ระนิ พ พานนั้ น จะมี อารมณ พ า ยแพ แ ก อ ารมณ อ ยู ต ลอดเวลา, จะเป น ทาสของอารมณ อ ยู ต ลอดเวลา, เรียกวาคนธรรมดาแลวก็มีอารมณ คือมีโลก มีอารมณ เปนนายของตัว. ถาจิตที่บรรลุนิพพานจะไมมีอารมณ เรียกวา อนารมฺมณํ - เปนจิตที่ ไม มี อ ารมณ , อารมณ เข าไม ติ ด อารมณ เข า ไม ถึ ง , มั น เป น จิ ต ที่ ช นะเหนื อ อารมณ เสีย เรื ่อ ยไป; ไมใ ชว า ตาบอด หูห นวก; ยัง คงมี ตา หู จมูก ลิ ้น กาย ใจ; รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ เขามาไมได, เขามาไมถึง. เขา มาไมถ ึง หมายความวา ไมไ ดเ ขา มาสํ า เร็จ ประโยชนใ นการ หลอกใหห ลง ใหย ึด มั ่น ถือ มั ่น ; ฉะนั ้น จึง เรีย กวา ไมไ ดเ ขา มา. ที ่จ ริง ตาก็เ ห็น รู ป อยู เป น พระอรหั น ต โ ดยสมบู ร ณ แ ล ว ตาก็ ยั ง มี อ ยู หู ก็ ยั ง มี อ ยู อะไรก็ ยั ง มี อ ยู ก็ ยั ง เห็ น รู ป ฟ ง เสี ย ง ดมกลิ่ น ลิ้ ม รส อยู ; แต มั น ไม มี ค วามหมาย ในทางที่ จ ะให สิ่ งนั้ นมาบี บคั้ นท านได เหมื อนกั บอารมณ มั นกระทํ าแก สั ตว ทั้ งหลายทั้ งปวง. ฉะนั้ น จึ งเรี ยกว าพระอรหั นต ทั้ งหลายไม มี อารมณ ; ถ าพู ดอี กที ก็ ไม มี โลก โลกไม มี สํ าหรั บ พระอรหั น ต เพราะว า อารมณ ไม มี สํ า หรั บ พระอรหั น ต ; ฉะนั้ น โลกไม มี สํ า หรั บ พระ อรหันต หรือเรียกอีกทีใหเพราะกวานั้นก็วา พระอรหันตทานอยูเหนือโลก.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ าพู ด ว า พระอรหั น ต อ ยู เหนื อ โลก เด็ ก ๆ ก็ ฟ งไม อ อกอี ก แหละ เพราะ พระอรหั น ต ก็ ยั งเดิ น อยู ในโลก บิ ณ ฑบาตอยู ในโลก. อยู เหนื อ โลกอย า งไร ? ก็ ต อ ง


อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก

๑๘๗

พูด ภาษาธรรมะ ไมใ ชพ ูด ภาษาคนธรรมดา, พูด ภาษาธรรมะคือ ภาษาของผู รู วา พระอรหัน ตม ิไ ดม ีอ ยู ใ นโลก, พระอรหัน ตไ มม ีโ ลก, พ ระอรหัน ตไ มมี อารมณ ทั้ ง ที่ ท า นมี เครื่ อ งรั บ อารมณ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ; และก็ มิ ใ ช ว า ทา นมิไ ดร ับ อารมณเ ลย แตว า อารมณอ ะไรเขา มา อารมณนั ้น หมดความ หมายไป, อารมณ อ ะไรเข า มาอารมณ นั้ น หมดความหมายไป; มั น ยิ่ ง กว า คลื่ น กระทบฝ ง ถ ามาทางตาก็จะทํ าอะไรใจท านไม ได , ถ ามาทางหู ก็ทํ าอะไรใจท านไม ได มั น เหมื อ นกั บ สลายไปหมดอย า งนี้ , ก็ เรี ย กว า ไม มี อ ารมณ , จิ ต ของท า นไม มี อารมณ ไม มี ที่ ตั้งบนอารมณ เลยอารมณ ไม มี ความหมายแกท าน เรียกวาจิ ตหลุ ด พนอยูเหนือโลก อยางนี้. นี่ ถ าเข าใจพระอรหั น ต ก อ น คล ายกั บ ขึ้ น ต น ไม จากทางปลาย, ไปรู จั ก พระอรหั นตมากอน วาทานมีจิตอยางนี้ จนไมมีอารมณ จนไมมีโลกสําหรับทาน ทีนี้ก็จะเขาใจเราปุถุชนธรรมดาไดมากขึ้น วาเรานี้มันตรงกันขามไปเสียทุกอยาง ทุ ก ประการ, คื อ มี อ ารมณ เดี๋ ย วตา เดี๋ ย วหู จมู ก ลิ้ น กาย รั บ อารมณ นั่ น รั บ อารมณ นี่ ; แล ว รั บ แล ว ไม ใ ช มั น กระท อ นกลั บ , มั น เข า ไปข า งใน เข า ไปก อ กวน ข า งใน. ปรุ ง เป น เวทนา สั ญ ญา สั ง ขาร วิ ญ ญาณ, เป น ตั ว กู - ของกู ผลั ด กั น แลว ผลัด กัน อีก วัน หนึ ่ง ไมรู ว า กี ่ค รั ้ง หรือ กี ่ส ิบ ครั ้ง ในภาษาธรรมะนี ้เ รีย กวา ตาย - เกิด , ตาย - เกิด วัน หนึ ่ง ๆ ไมรู กี ่ค รั้ง หรือ กี ่ส ิบ ครั้ง , ไมรูกี ่ส ิบ กี ่รอ ยชาติ ในวั น หนึ่ ง ก็ อ าจเป น ได . ต อ เมื่ อ มี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะพอเท า นั้ น แหละ มั น จึ ง จะน อ ย ลง ๆ, และถ าสมบู รณ ด วยสติ สั มปชั ญ ญะเป นพระอรหั นต เท านั้ นแหละ จึ งไม มี เกิ ด หรือไมมีตายในลักษณะนี้อีก คืออารมณทําอะไรไมไดอีก.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เดี๋ ย วนี้ ปุ ถุ ช นธรรมดาสามั ญ ทั่ ว ไป ก็ เรี ย กว า มี อ ารมณ เ ป น สมบั ติ หมายความว า เราพอใจนี่ เราพอใจที่ จ ะเป น ทาสของอารมณ แล ว จะไปโทษใคร.


๑๘๘

ก ข ก กา ของการศึกษาของพุทธศาสนา

เราไมไ ดม ีเ ปา หมายที ่จ ะชนะอารมณ, ไมไ ดม ีเ ปา หมายที ่จ ะเกีย ดกัน อารมณ ออกไปเสี ย จากของเขตของจิ ต ; เพราะว า จิ ต นี้ มั น ไม รู จั ก อารมณ มั น ยั ง มี ค วาม เข า ใจผิ ด ต อ อารมณ หลงรั ก ต อ อารมณ จึ ง อยากจะมี แ ต อ ารมณ ยึ ด ถื อ อารมณ . สมัครที่จะเปนทาสของอารมณ. นี้คือปุถุชนคนธรรมดาสามัญเปนอยางนี้. นี้ ไ ปศึ ก ษ าอารมณ กั น ที่ ต รงนี้ จึ ง จะเรี ย กว า เป นเรื่ อ ง ก ข ก กา; เป น เรื่ อ งจํ า เป น ที่ สุ ด เป น เรื่ อ งที่ จ ริ ง อยู ใ นชี วิ ต ประจํ า วั น เราเป น ผู ที่ เกี่ ย วข อ งกั บ อารมณ ในฐานะที่ไมรูจักอารมณ.

อารมณมีมา เอาชนะใหได. ที นี้ เมื่ อ เรารู จั ก อารมณ ว า เป น อะไรแล ว เราจะทํ า อย างไร ? คนบางคน เข า ใจผิ ด พู ด คํ า พู ด ที่ ฟ ง ไม รู เรื่ อ งว า หนี อ ารมณ หนี โลก นี้ มั น คนบ า หลั บ ตาพู ด . ถ า พู ด ว า หนี โลก หนี บ า นเรื อ น หนี อ ะไร มั น เป น สิ่ ง ที่ ทํ า ไม ได ; เพราะว า มั น มี ม า เพื ่อ ใหช นะ ถา หนีม ัน ก็ไ มรู จ ะหนีไ ปไหน. โลกหรือ อารมณนี ้ม ัน มีม าสํ า หรับ ใหเ ขาเขา ใจ แลว เราตอ สู ไ ด ตา นทานได ชนะได จนมัน มาทํ า อะไรไมไ ด; เข า มาแล ว ผลั ก กระเด็ น กลั บ ออกไป เหมื อ นคลื่ น กระทบฝ ง เหมื อ นพระอรหั น ต อย างนั้ น. หมายความว า การพยายามทํ าให ถึ งที่ สุ ดจุ ดหมายปลายทาง ก็ คื อทํ าอย าง ที่ พ ระอรหั น ต ท า นทํ า แล ว . เป น ผู ช นะอารมณ ก็ อ ยู ด ว ยความผาสุ ก ไม มี ทุ ก ข โดยประการทั้งปวง. ไมมีความหมายแหงความเกิด แก เจ็บ ตาย มารบกวน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เดี๋ ย วนี้ เรายั งมี ป ญ หา ป ญ หาคื อ ความหมายอั น น ากลั วของความเกิ ด แก เจ็ บ ตาย, อยู แ ล ว ก็ ยั ง อยากได สิ่ ง ที่ เรี ย กว า อร อ ย หรื อ ว า ตรงกั บ ความรู สึ ก


อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก

๑๘๙

ของกิ เลส ตั ณ หา; เพราะว า เรามี อวิ ช ชา, เราจึ ง ไม รู จั ก อารมณ จึ ง ได ไ ปเป น ผู หลงใหลในอารมณเพราะอํานาจของอวิชชานั้น. ฉะนั้นพระพุทธเจาทานจึงตรัสชี้วา มนุษยสัตวโลกทั้งหลายนี้ มีอวิชชาเปนเครื่องกั้น มีอวิชชาเปนเครื่องหุมหอ, หรือวามีอะไรตาง ๆ ที่มีอวิชชานี้เปนเครื่องคลุมเอาไว ไมใหลืมหูลืมตา สําหรับ จะเห็นวาโลกนี้คืออะไร ? ถาพูดใหชัดวา อารมณ นี้คืออะไร ? รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพ พะนี ้ค ือ อะไร ? ฉะนั ้น เราจึง ไมรู จ ัก โลก, จึง จมอยู ใ นโลก, แลว จึง ถู ก บี บ คั้ น อยู ด ว ยความหมายของการเกิ ด การแก การเจ็ บ การตาย เพราะมั น มี ตัวตน. แต ถ า ผู ใด ศึ ก ษา ก ข ก กา ให ดี ตั้ ง ต น ให ดี จะรู จั ก อารมณ ทั้ ง หลายดี คือ จะรูจ ัก โลกทั ้ง หมดดี และจะอยู ด ว ยใจคอที ่เ หนือ โลกขึ ้น มาทีล ะ น อ ย ๆ. บางวัน ที่ เราไม มี อ ารมณ นั้ น มั น เป น เรื่องฟลุ ค เรื่อ งบั งเอิ ญ มากกวา; เช น เรานอนหลั บ เสี ย เช น นี้ ? หรือ ว า จิ ต มั น ขี้ เกี ย จไปรับ อารมณ อ ะไรเข า มั น หยุ ด พั ก บ า งนี้ ก็ เรี ย กว า ไม มี อ ารมณ ได . อย า งนี้ จ ะเรี ย กว า ไม มี อ ารมณ ที่ ช นะอารมณ นั้ น ไมได มันไมไดชนะอารมณ; พออารมณมามันก็รับอีก ก็แพอีก.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เราศึ กษากั น จนถึ งกั บ ว า ให เราชนะอารมณ จะเป น เรื่ อ งรั ก เรื่ อ งโกรธ เรื่ อ งเกลี ย ด เรื่ อ งกลั ว อะไร ก็ ใ ห ช นะขึ้ น ที ล ะนิ ด ๆ ๆ, ชนะที เดี ย วหมดคงไม ไ หว แล วก็ ช นะตั้ งต น มาตามลํ าดั บ ; เหมื อ นอย างการบรรยายในครั้งที่ แล วมาว า กามธาตุเปน ปญ หาแรกแหง วิถ ีชีวิต ของมนุษ ย, คือ ธาตุที่เปน ที่ตั้ง แหง กามารมณ นั้ น จะเป น ป ญ หาแรก; ฉะนั้ น คนเราจะต อ งตั้ งต น ด ว ยการเอาชนะอารมณ ท าง กามเสียกอน, แลวสูงขึ้นไปก็ทางรูปทางอรูปนั้นทีหลัง


๑๙๐

ก ข ก กา ของการศึกษาของพุทธศาสนา

จะรูจักอารมณ ตองศึกษาจากเรื่องจริง. ทีนี้ก็ศึกษาวา ทําไมจึงเกิดความรูสึกที่เปนกาม คือความหลงใหล ? ก็ เ พราะมี อ วิ ช ชา เพราะไม รู ต ามที่ เป น จริ ง ; ก็ จ ะต อ งทํ า แสงสว า ง คื อ อวิ ช ชา เพราะว า ไม มี ท างที่ จ ะศึ ก ษาจากหนั งสื อ หนั งสื อ ที่ ไหน นอกจากว าศึ ก ษาจากความ เจ็ บ ปวด ความทุ ก ข ท รมาน ที่ ไ ด รั บ จากการเป น ทาสของอารมณ ค รั้ ง หนึ่ ง . เป น ทาสของอารมณ ที่ น า รั ก น า พอใจ น า หลงใหล; ทางตาครั้ ง หนึ่ ง ก็ ม าศึ ก ษาทางหู ทางจมู ก , โดยเฉพาะทางผิ ว หนั ง ; เพราะว า กามารมณ มี สั ม ผั ส ทางผิ ว หนั ง เป น ที่ รุน แรงก วา เรื ่อ งอื ่น แลว ก็ไ ป ถึง เรื ่อ งจิต ใจ ซึ ่ง เปน ที ่ร วบ ย อ ด รวบ รัด เอ า ทุ ก ๆ ทางเข า ไว ใ นเรื่ อ งของจิ ต ใจ แล ว มั น ทรมานจิ ต ใจอย า งไร. นี่ เรี ย กว า ศึ ก ษา ลงไปที่ตัวธรรมะจริง ๆ ที่มีอยูจริง; อยาไปเอาเรื่องอื่นมาคํานวณ. นี่ มั ว แต ใ ช เ รื่ อ งคํ า นวณ อยู นี้ เราจึ ง ไม เ ข า ใจธรรมะจริ ง ฉะนั้ น การ เรี ย นในโรงเรี ย น จะให จ บนั ก ธรรมเอก จบเปรี ย ญเก า ประโยค สิ บ ประโยค มั น ก็ ช ว ยอะไรไม ได ; เพราะมั น เป น เรื่ อ งสอนด ว ยการคํ า นวณ ตามแบบปรั ช ญาทั้ ง นั้ น , มันไมมีเวลาที่จะไปศึกษาจากเรื่องจริง แลวก็ไมนิยมศึกษาจากเรื่องจริงดวย.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เราเรีย นวิธ ีก ารในโรงเรีย นแลว เราก็ต อ งเอาไปทํ า การปฏิบ ัต ิจ ริง ในเวลาที่ เราสามารถจะปฏิ บั ติ , คื อ เมื่ อ เกิ ด ความทุ ก ข ขึ้ น มาจริ ง ๆ, ที่ รู สึ ก อยู ในใจ จริ ง ๆ, พิ จารณาความทุ กข โดยความเป น ของหลอกลวงอย างไร; เพราะเราไปยึ ด มั่ น อย า งไรมั น จึ ง เป น ทุ ก ข ขึ้ น มา. ความสุ ข ก็ เ หมื อ นกั น อี ก มั น หลอกลวงอย า งไร, ไปยึ ด มั่ น แล ว เกิ ด ความทุ ก ข อ ย า งไร. เดี๋ ย วนี้ เราก็ ไม ค อ ยจะทํ า อย า งนั้ น หรื อ ไม ได ทํ าเสี ย เลย; พอมี ความทุ ก ข ก็ ร อ งห ม ร องไห ตี โพยตี พ าย, หรื อ บั น ดาลโทสะอย างนั้ น


อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก

๑๙๑

อย า งนี้ เสี ย อี ก เลยไม รู กั น . พอได รั บ สุ ข เวทนามา ก็ ห ลงใหลเพลิ ด เพลิ น เลื่ อ นลอย ไปเลย ก็ เลยไม ได ศึ กษาอี ก อยู ต ลอดเวลา, ก็ ไม ได ศึ กษาธรรมะจริง ๆ จากของจริ ง ตามวิธีที่แทจริงของพระพุทธเจา มันก็ไมมีทางที่จะชนะอารมณได. นี่ ข อให ตั้ งต น ชํ า ระสะสางเรื่ อ ง ก ข ก กา กั น ใหม . แต อ าตมาไม ใช ว า จะดู ถู ก คนแก แ ล ว ก็ ช วนคนแก ม าเรี ย น ก ข ก กา กั น เสี ย ใหม ; เพราะว า ถ า เรา ไม รู เรื่ อ งนี้ แ ล ว จะเป น คนแก ไปไม ได . หมายความว า จะเรี ย นจบพระไตรป ฎ กแล ว จะเป น ผู รู พ ระไตรป ฏ กไปไม ได ถ าไม รู เรื่ อ งนี้ . นี่ ห มายความว าจะมี อ ายุ ม ากแล วจะ เปน คนแกไ ปไมไ ด ถา ไมรู เ รื ่อ งนี ้ คือ ตอ งรู เ รื ่อ งชีว ิต , ตอ งรู เ รื ่อ งโลก, รู เ รื ่อ ง จิ ต ใจให เพี ย งพอจริ ง ๆ ก อ น จึ ง จะเรี ย กว า คนแก คื อ มั น รู จ ริ ง สมตามที่ ได เกิ ด มา มีอ ายุย ืน ยาวจริง . เพราะวา ไมรู เ รื ่อ งอารมณ หรือ สิ ่ง ที ่เ ขา มาทํ า ลุ ม หลงนั ่น แหละ จึ ง เรี ย กว า เป น คนไม รู ; ผ า นโลกมาเท า ไร ๆ ก็ ต อ งให มั น เป น การก า วหน า ในความรู เรื่ อ งนี้ ก็ จ ะได ชื่ อ ว า เป น คนแก , แก ใ นทางธรรมะ ไม ไ ด เอาเวลาป เดื อ น เปน ประมาณ. ฉะนั ้น ถา ยัง ไมรู  ก็ถ ือ วา เปน เด็ก ก็แ ลว กัน ก็ม าตั ้ง ตน ศึก ษา ก ข ก กา กันเสียใหม คือเรื่อง อารมณ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ าพู ด ให ต รงกั บ เรื่ อ ง ธาตุ ก็ ว า อารมณ ทั้ ง ๖ นี้ ก็ เป น ธาตุ ; ธาตุ รูป ธาตุ เสี ย ง ธาตุ ก ลิ่ น ธาตุ ร ส ธาตุ โผฏฐั พ พะ ธาตุ ธั ม มารมณ ที่ จ ะมากระทบ กั บ ธาตุ คื อธาตุ ต า ธาตุ หู ธาตุ จมู ก ธาตุ ลิ้ น ธาตุ กาย ธาตุ ใจ, ซึ่ งตั้ งอาศั ย อยู ที่ รางกายนี้ คื อ ธาตุ ตา ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ลม ธาตุ อากาศ ธาตุ วิ ญ ญาณ, จนกว า จะไดเขาถึงนิโรธธาตุ หรือธาตุพระนิพพาน อยางนี้.


๑๙๒

ก ข ก กา ของการศึกษาของพุทธศาสนา

วิธีการเอาชนะอารมณ. เรื่องที่ จะศึ กษาเกี่ ยวกั บอารมณ ต อไปอี ก ก็ อยากจะพู ดถึ งเรื่อง การเอา ชนะอารมณ ว า ที่ จ ริง เรื่ อ งนี้ ก็ พู ด กั น อยู ต ลอดเวลา; แต ว า เราไม ได ใช ชื่ อ ว า เอา ชนะอารมณ. เมื่อ จะชนะอารมณก็ต อ งรูจัก สิ่ง ที ่เ รีย กวา อารมณ ตามนัย ดังที่กลาวมาขางตน, เราจะลงมือปฏิบัติทีนี้. อะไรเป น ก ข ก กา ของการปฏิ บั ติ คื อการชนะอารมณ ? การตั้ งต นเอา ชนะอารมณ นั้นคือ ก ข ก กา ของการปฏิบัติ. ฉะนั้นผูใดกลาเอยอางถึงวา เราจะปฏิ บั ติ เราจะลงมื อ ปฏิ บั ติ ธ รรม, เราจะเอาจริ งเอาจั งกั บ การปฏิ บั ติ ธ รรม ก็ ขอใหผูนั้น สํานึก สัก หนอ ยวา มัน ไมมีอ ะไรนอกจากการตั้งตน เอาชนะอารมณ ใหได มันจึงจะเปนการปฏิบัติที่แทจริง.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ มั นจะรั บ รู ป เสี ยง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ; นี้ จะตอ งควบคุม ใหด ี ใหม ัน มีก ารชนะที ่นั ่น , และนั ่น แหละคือ การปฏิบ ัต ิ จะ ตองระวง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่เรียกวา อินทรีย. ทุกครั้งที่ รูป เสียง กลิ ่น รส โผฏฐัพ พะ ที ่เรีย กวา อามรณนี ้เ ขา มาเกี ่ย วขอ ง ใหม ัน เปน ความ ปลอดภัย เวลานั้น ที่นั่น เมื่อ นั้น ทัน ทว งที, ในลัก ษณะที่วา มัน เกิด กิเลสไมได อาสวะกิ เลสจะเกิ ด ขึ้ น ไหลนองท ว มทั บ จิ ต ใจไม ได โดยวิ ธี ใดแล ว เราก็ จ ะประพฤติ กระทํ าโดยวิ ธี นั้ น ที่ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ เมื่ อ มี อารมณ มากระทบ. หลั ก ใหญ อยู ที่ นั่ น จะเป นเบื้ องต นก็ ดี ท ามกลางก็ ดี เบื้ องปลายสุ ดท ายก็ ดี มั นอยู ที่ นั่ น คือปฏิบัติชนิดที่มันเกิดอาสวะไมได.


อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก

๑๙๓

ที นี้ เราจะมองกั น อย า งกว า ง ๆ ก อ นว า ปฏิ บั ติ เพื่ อ เอาชนะอารมณ นั้ น มัน ตั ้ง ตน ที ่ช นะตัว เองบัง คับ ตัว เอง นี ่เ ปน หลัก ธรรมะกวา งขวางครอบโลก. เดี๋ ย วนี้ โ ลกพ า ยแพ แ ก ตั ว เอง ไม มี ก ารบั ง คั บ ตั ว เอง, เดี๋ ย วนี้ ค นไม ค อ ยพู ด ถึ ง การ บั งคั บตั วเอง. ขอให ท านผู สู งอายุ ทั้ งหลายทุ ก ๆ ท านแหละ ซั กซ อมความจํ าว า เมื่ อ ส มั ย ๕๐ - ๖๐ ป ก  อ น โน น จ ะ ได ย ิ น คํ า ว า บั ง คั บ ตั ว เอ ง ช น ะ ตั ว เอ ง นี้ มากที่ สุ ด ทั้ งภาษาฝรั่งและทั้ งภาษาไทย, หรือวาที่ เราไปถ ายทอดมาจากฝรั่ง แล ว จะนิ ย มคํ า ว า ผู บั งคั บ ตั ว เองคื อ สุ ภ าพบุ รุ ษ , อย า งนี้ เราจะได ยิ น มากที่ สุ ด . แต พอมา สมัย นี ้ โดยเฉพาะเวลานี ้ จะไมไ ดย ิน คํ า วา บัง คับ ตัว เอง. และยุว ชน หรือ ว าเด็ ก ๆ เหล านี้ กํ าลั งเป น อย างไร ? รู จั ก คํ าว า บั งคั บ ตั วเองนี้ สั กกี่ เปอร เซ็ น ต ? เชื่ อ ว า สั ก ๒ - ๓ เปอร เซ็ น ต ก็ ไ ม ไ ด แล ว คงจะเป น อย า งนี้ ทั้ ง โลก เพราะไม มี ใ คร อยากจะบั งคั บ ตั ว เอง เขาอยากจะปล อ ยไปตามความต อ งการแห ง อารมณ ; นี้ เรียกวาตามใจตัวเอง. ก็ ไ ปอ า นข า วต า ง ๆ ทางเมื อ งฝรั่ ง ดู เ ถอะ ในชี วิ ต ประจํ า วั น ของเขา เขาไม มี ก ารบั ง คั บ ตั ว เอง, แล ว ยิ่ ง เขาเมาเสรี ป ระชาธิ ป ไตยด ว ย ก็ ยิ่ ง ไม ต อ งบั ง คั บ ตั ว เอง. เขาทํ า อะไรแปลก ๆ อย า งหนั ง สื อ พิ ม พ เมื่ อ ๔ - ๕ วั น มานี้ ลงข า วถึ ง ว า นิ สิ ต มหาวิ ท ยาลั ย เป น ร อ ย ๆ วิ่ งเปลื อ ยกายไปตามถนน ที่ ค นหนาแน น ย า นกลาง พระนครเลย, แล ว ก็ ไ ปในที่ ต า ง ๆ ได . เมื่ อ ก อ นได ยิ น แต ว า ไปเปลื อ ยกายกั น ที่ ชายหาดที่ ริ ม ทะเล เดี๋ ย วนี้ ถึ งขนาดที่ เรี ย กว า ใจกลางพระนครยิ่ งคั บ คั่ งเท าไรยิ่ งทํ า นี่ เขารู จั ก อะไร ? อย า งไร ? เขารู จั ก อารมณ อ ย างไร ? รู จั ก โลกอย า งไร รู จั ก ตั ว เอง อยางไร ? รูจักวาอะไรควรจะทําอยางไร ?

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


๑๙๔

ก ข ก กา ของการศึกษาของพุทธศาสนา

นี้ ก ารบั ง คั บ ตั ว เองถู ก เหยี ย ด ว า เป น เรื่ อ งของคนโง ของคนที่ ไ ม รู จั ก กอบโกยเอาความสุ ขความสํ าราญอะไรต าง ๆ. นี้ โลกมั น เปลี่ ยนขนาดนี้ . นี้ เรากํ าลั ง มาพู ด เรื่ อ งครึ ค ระที่ สุ ด ให เขาฟ ง หรื อ อย า งไร ? อาตมาเห็ น ว า มั น เป น เรื่ อ งที่ ช ว ย ไมไ ด; เพราะวา เราเปน พุท ธบริษ ัท สาวกของพระพุท ธเจา เราก็ค งพูด ไปตาม เดิม วา ตอ งตั ้ง ตน ดว ยการบัง คับ ตัว เอง คือ บัง คับ กิเ ลส; คํ า วา ตัว เอง มัน เป น เรื่ อ งของกิ เลส. เพราะว าถ าหมดกิ เลส มี ป ญ ญาสู งสุ ด แล ว มั น ไม มี ตั วเอง, สิ ่ง ที ่เ รีย กวา ตัว นั ้น มัน ไมม ี. ฉะนั ้น ตัว มัน อยู ต อ เมื ่อ มีก ิเ ลส; เรื ่อ งของ ตั ว มั น จึ ง เป น เรื่ อ งของกิ เลส, เรื่ อ งของกิ เลสมั น จึ ง เป น เรื่ อ งของตั ว ถ า เราพู ด ว า บังคับตัวเอง เรายอมหมายถึงการบังคับกิเลส. ที นี้ การบั ง คั บ ตั ว เอง ก็ ห มายความว า ตั ว เองนั้ น บั ง คั บ กิ เลส; มั น ยัง พา ยแพแ กก ิเลส มัน ยัง อยู ใ ตป กครองของกิเลส; ฉะนั ้น ตอ งบัง คับ กิเ ลสหรือ บัง คับ ตัว เอง. นี ้ถ า ละเอีย ดประณีต ที ่ส ุด แลว ตอ งศึก ษาเรื ่อ งอารมณที ่ม าสรา ง ตัวเอง มาชักจูงตั วเอง มาลอลวงตั วเอง ศึ กษาความเป นมายาหลอกลวงชั่ วขณะ ของรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ เหลานั้น.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เราจะไม เกี่ ยวข องกั บ อารมณ ไม ได เพราะว าชี วิ ต นี้ มั น มี รอดอยู ได เพราะ อารมณ . แต ถ า อารมณ ทั้ ง หลายเข า มา เพี ย งเพื่ อ เป น ป จ จั ย หล อ เลี้ ย งชี วิ ต นี้ ไ ม เป น ไร, ไม เรี ย กว า อารมณ ที่ เป น อั น ตราย. เช น หิ ว เราต อ งรั บ ประทาน, หรื อ กระหาย เราตอ งดื ่ม อยา งนี ้เ ปน ตน . นี ้อ ารมณเ หลา นั ้น มาเปน ปจ จัย หลอ เลี ้ย ง ชีว ิต เราก็จ ัด ใหม ัน อยู เพีย งเทา นั ้น ; เราอยา ปลอ ยใหม ัน เลยไปถึง กับ วา มัน เปนเหยื่อหลอกลวงชีวิต.


อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก

๑๙๕

เชน อาหารการกิน นี ้ถ า กิน เปน อาหารอยา งนี ้ด ี กิน อยู แ ตพ อดี; แต ถ า วา เลยนั้ น ไป มั น ก็ เป น กิ น อร อ ย, ไปกิ น ที่ ไม ค วรกิ น ไปกิ น มากกวา ที่ ค วรกิ น กิ น จนเป น อั น ตราย อย า งที่ เรี ย กว า ไม มี ค วามหมาย, เป น คนกิ น จุ บ กิ น จิ บ กิ น ตามใจตามปากตามใจทอง อยางนั้นเรียกวา พายแพแกอารมณ. อารมณก็กลายไป เปนเครื่องมือของพญามาร ที่จะย่ํายีคนนั้น. แต ถ าว า อารมณ ถู ก ควบคุ ม ไว ได , อารมณ เป น สิ่ งที่ ถู ก ควบคุ ม ไว ได มัน ก็เปน ปจจัย หลอเลี้ยงชีวิต; แลวเราจะตอ งมีรูป มาทําใหตาไดทํางานทางตา มี เสี ยง มาให หู ทํ างานทางหู มี กลิ่ น มาให จมู กทํ างานทางจมู ก ฯลฯ เพื่ อให มั นเหมื อน กั บ exercise, เพื่ อ ให อ ยู ในสภาพที่ ดี อ ยู เสมอเพี ยงเท านั้ น . ให รอดชี วิ ต อยู ได เพี ย ง เทา นั ้น ก็ไ มม ีโ ทษอะไร; กลับ มีป ระโยชน วา จะไดใ ช ตา หู จมูก ลิ ้น กาย ใจ ให เป น ประโยชน แก จิ ตใจ, สํ าหรั บจะศึ กษาเพื่ อบรรลุ มรรค ผล นิ พ พาน อย าง นี้ก็ได.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ เราต อ งควบคุ ม หรือ เอาชนะอารมณ ให มั น อยูแต ในสภาพอยางนี้ อย า ให มั น มากว า นี้ คื อ ขึ้ น มาท ว มท น แล ว ก็ ห ลอกลวงพาไปลงเหวลงนรก เวี ย น วา ยไปวัฏ ฏสงสารไมม ีที ่สิ ้น สุด . นี ้เ รีย กวา ท างธรรม ะตอ งมีห ลัก เกณ ฑ อ ย า งนี ้ . ถึ ง ท างวิ ส ั ย โล ก ก็ ต  อ งมี ห ลั ก เก ณ ฑ อ ย า งนี ้ ; มิ ฉ ะ นั ้ น แ ล ว อารมณนั ้น จะพาไปสู ค วามลม จม. คนมีก ิเลสมาก โลภมากอะไรมากนี ้ มัน ก็ ลม จม; บัง คับ ตัว ไวไ มไ ด มัน ก็ลุ ม หลงในอบายมุข อะไรตา ง ๆ ที ่ทํ า ใหเ กิด ความล มจม. ถ าบั งคั บ ไม ได มั นก็ ไม มี ความล มจม ประโยชน ส วนตั วได รับ . แล วยั ง ลนเหลือไปยังผูอื่น, ก็ทําใหโลกนี้มีสันติสุขหรือสันติภาพได.


๑๙๖

ก ข ก กา ของการศึกษาของพุทธศาสนา

ฉะนั ้น สัต วโลกผู ม ีก ารบัง คับ อารมณนั ้น แหละ เปน ผู ที ่ม ีป ระโยชน แก โลก. ทุ กศาสนาก็ ส อนอยางนี้ , คํ าสอนของพระเยซูพิ จารณาดู แลวก็ส อนอย าง นี้ ว า ให ทํ า ประโยชน ผู อื่ น ด ว ยการที่ ว า ไม เอาเปรี ย บผู อื่ น . ประโยชน มั น น อ ยนิ ด เดี ย ว ไม เ ท า ไรมั น ก็ เ ต็ ม , แล ว มั น ก็ ล น เหลื อ ไปยั ง ผู อื่ น เห็ น แก ผู อื่ น ยิ่ ง กว า ตั ว เพราะวาผู อื่ น มี จํานวนมากกวาตั ว. เดี๋ ย วนี้ ค นเรามั น เห็ น แก ตั ว , สรางตั วขึ้ น มา เสี ย เรื่ อ ย จนมั น ใหญ เกิ น ไป เพราะตั ว มั น ไม รู จั ก อิ่ ม ไม รู จั ก พอ, มั น ก็ เลยจมอยู ในเรื่องของตัวที่ใหญเกินไป, เรียกวาเปนวัฏฏสงสารที่ไมรูจักสิ้นสุด. เรื่องใหญ ๆ เปนหลักใหญ ๆ เราตองชนะอารมณ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ, เป นมนุ ษย ที่ ถู กต องตามความหมายของมนุ ษย วามี ใจสู งอยู เหนื ออารมณ กระทั่งเปนผูชนะอารมณ กระทั่งเปนผูชนะอารมณโดยเด็ดขาดเปนพระอรหันต. เราจะต อ งใช ก ารบั งคั บ อารมณ นี้ เพื่ อ แก ป ญ หาทุ ก อย า ง ในชี วิ ต ประจํ า วัน ของคนทุก ชั ้น ทุก ประเภท; แมที ่ส ุด แตล ะบุห รี ่ เรื ่อ งเล็ก ๆ ที ่กํ า ลัง เปน ปญ หา ก็ยัง ตอ งใชวิธีช นะอารมณ ควบคุม อารมณ, หรือ จะละอะไรที่ม ัน เล็กไปกวานั้น มันก็ยังใชวิธีชนะอารมณ นี้เราจะใหทาน จะรักษาศีล จะทําสมาธิ อะไรตาง ๆ ก็ดูใหดี ใหมันกลายเปนเรื่องที่วาชนะอารมณ, อยาไปเพิ่มเขา.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ า ว า เราจะให ท านเพื่ อ เอาสวรรค วิ ม าน ดู ใ ห ดี เถอะมั น จะเพิ่ ม ความ พ ายแพ แก อารมณ , คื อไปอยากมากกว าที แรก, ไปอยากอย างลุ มหลง หลงใหลมาก กว า ที แ รกเสี ย อี ก . แต ถ า จะให ท านเพื่ อ ชนะความเห็ น แก ตั ว อย า งนี้ มั น ก็ ล ด อารมณ , ลดอํ า นาจของอารมณ , ลดอิ ท ธิ พ ลของอารมณ . ถ า ดู ข า งนอกมั น ก็ เหมือ น ๆ กัน แหละ; เอาของไปบริจ าคทาน บริจ าคอยา งนั ้น อยา งนี ้ ที ่นั ่น ที ่นี่ รูป อย า งเดี ย วกั น ; แต ห มายความในภายในนั้ น อาจจะผิ ด กั น ก็ ได , คื อ เพิ่ ม อํ า นาจ


อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก

๑๙๗

ของอารมณ ก็ ไ ด ลดอํ า นาจของอารมณ ก็ ไ ด , ที่ ม าครอบงํ า จิ ต ใจ. พู ด ให ชั ด ก็ ว า เพิ ่ม ความเห็น แกต ัว ก็ไ ด ลดความเห็น แกต ัว ก็ไ ด การใหท านนี ้; ฉะนั ้น ตอ งให ถูกวิธี. พระพุท ธเจาทานจึงตรัส นักตรัสหนาวาใหเลือ กใหดี ใหระมัด ระวังใหดี ใหพิจารณาใหดีที่สุด แลวจึงบําเพ็ญทาน. จะรั ก ษาศี ล ก็ เหมื อ นกั น ถ า ว า รั ก ษาศี ล ไม ดี เอาสวรรค วิ ม าน มั น ก็ เพิ่ ม ความเห็ น แก ตั ว , คื อ เพิ่ ม อํ า นาจของอารมณ ใ นโลก ที่ จ ะมาครอบงํ า เรา. ได ยิ น ว า ในสวรรค มี อ ารมณ ดี มี รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ที่ เป น ทิ พ ย เหลื อ ที่ จะเปรี ย บได กั บ ในโลกมนุ ษ ย ก็ อ ยากไปสวรรค , ประพฤติ พ รหมจรรย เพื่ อ ไปสวรรค อยางนี้ก็มีมาก : นี่ก็พายแพแกอารมณหนักยิ่งขึ้น. ทํ า สมาธิเ พื ่อ ไปสวรรค; เพื ่อ ไปพรหมโลก คือ เปน สวรรคอ ีก ชนิด หนึ่ ง คื อ มี ตั ว กู - ของกู ที่ ยื น ยาวเป น อนั น ตกาลไปเลย. นี้ มั น ก็ ยิ่ ง พ า ยแพ แ ก อารมณ ชนิ ด ที่ ล ะเอี ย ดลึ ก ซึ้ งเหลื อ ประมาณ, จนมองเห็ น ยาก ว า เป น การพ า ยแพ แกอารมณ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แตถาถูกตองแลวมันก็ รักษาศีล ทําสมาธิ ทําปญญา เพื่ อลดอํานาจ ของอารมณ ที่ จะมาครอบงําจิ ตใจ, ลดความเห็ นแก ตั วเรื่อย ๆ ไป จนหมดอารมณ เป น อนารมฺ ม ณํ คื อ นิ พ พาน; อารมณ ไม มี ค วามหมาย ไม มี อํ า นาจ ไม มี อ ะไร แกบ ุค คลนั ้น อีก ตอ ไป. จะไมม ีอ ารมณ เ ลยเด็ด ขาด ก็ม ีแ ตน ิพ พาน. ถา เปน เรื่ อ งวั ฏ ฏสงสารแล ว ก็ เต็ ม ไปด ว ยอารมณ , แล ว ก็ ม ากมายที่ สุ ด ก็ คื อ ที่ เรี ย กกั น ว า สวรรค วิ ม านอะไรก็ ต าม, มั น เป น ที่ ห ลงใหลมาก ก็ ยิ่ ง มี ค า ของอารมณ ม าก. ใน โลกมนุ ษ ย นี้ ค อ ยยั ง ชั่ ว หน อ ย เพราะมี เวลาที่ จ ะสลั บ กั น กั บ ความผิ ด หวั ง ความ สมหวังอะไร มันเปนการศึกษาที่ดีกวา.


๑๙๘

ก ข ก กา ของการศึกษาของพุทธศาสนา

ฉะนั้ นขออย าให เสี ย ที ที่ ได เกิ ด มาเป น มนุ ษ ย คื อ ในโลกที่ มั น มี ความ พอดี สํ าหรับการศึ กษา ไม มี ความทุ กขมากเกิ นไป ไม มี ความเพลิดเพลิ นมากเกินไป. นี ่ถ ือ เอาโอกาสนี ้ ศึก ษาใหรู จ ัก พระธรรมอัน สูง สุด ในพระพุท ธศาสนาอยา งนี ้, แลว ก็สํ า เร็จ ดว ยความที ่ว า เขา ใจถูก ตอ ง, สัม าทิฏ ฐิค วามเขา ใจถูก ตอ ง มัน เปน อยา งนี ้ ความจริง มัน มีอ ยู อ ยา งนี ้. ความถูก ตอ งนี ้ถ า รัก ษาไวไ มดี ไมม ีส ติส ัม ปชัญ ญะพอ มัน ก็ก ลับ ผิด ได. ฉะนั ้น อยา ประมาท วา ความถูก ต อ งนั้ น มั น จะอยู กั บ เราตลอดเวลา มั น อาจเปลี่ ย นเป น ผิ ด ได ถ า ไม รั ก ษาไว ด ว ย สติสัมปชัญญะ. สติ สั ม ปชั ญ ญะนี้ ก็ ไ ม ใ ช จ ะมี ไ ด ง า ย ๆ, มั น ก็ ต อ งตั้ ง อกตั้ ง ใจมาก เหมือ นกัน ที ่จ ะมีส ติส ัม ปชัญ ญะ, จะตอ งมีห ิร ิโ อตตัป ปะบา ง; ถา พลาดทีไ ร แลว ก็ใ หล ะอาย จนไมรู ว า จะซุก หนา ไวที ่ไ หน แมไ มม ีใ ครเห็น , แมไ มม ีใ คร เห็ น แล วเราเผลอไปเป น ทาสของอารมณ เข า ครั้งหนึ่ ง ก็ ขอให ล ะอายจนไม รูว า จะ ไปซุ ก หน า ที่ ไ หน; อย า งนี้ เรี ย กว า มี หิ ริ โ อตตั ป ปะ. ถ า ทํ า อย า งนี้ อ ยู บ อ ย ๆ แล ว สติส ัม ปชัญ ญะก็จ ะสมบูร ณขึ ้น ๆ. สัม มทิฏ ฐิ ความรู ถ ูก ตอ ง ความเขา ใจถูก ตอง ก็จะเบิกบานเต็มที่ มีกําลังเต็มที่ ก็คือเอาชนะอารมณไดอยางสม่ําเสมอ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั ้น ขอใหตั ้ง ตน ดว ยความมีห ิร ิโ อตตัป ปะ, รู จ ัก ละอายเมื ่อ พา ยแพแ กอ ารมณ ทางตาทางหู ทางจมูก ฯลฯ ทางไหนก็ไ ด เมื ่อ ไรก็ไ ด มีค นอื ่น รู ก ็ไ ด ไมม ีค นอื ่น รู ก ็ไ ด; แลว โดยมากความพา ยแพอ ารมณม ัน อยู ใ นใจ นี้ใครจะไปรู เรารูคนเดียว มันก็ละอายคนเดียว จึงจะเปนความจริงเปนเรื่องจริง.

เดี๋ ยวนี้ ต อหน าคนมาก ๆ เขายั งไม ละอาย แล วเขาก็ จะไปละอายคนเดี ยว ได อ ย างไร ? นี่ โลกกํ า ลั งไม มี หิ ริ โอตตั ป ปะมากขึ้ น ดั งที่ ป รากฏเป น ข าวในหน า


อารมณคือปจจัยแหงเหตุการณทุกอยางในโลก

๑๙๙

หนัง สือ พิม พม ากขึ ้น ๆ, โลกนี ้ม ัน จะไมม ีห ิร ิโ อตตัป ปะกัน แลว . โลกนี ้ก ็จ ะตอ ง เปน ไฟเดือ ดรอ น เพราะพายแพแ กอ ารมณซึ่งเปน บว งของพญามาร, พญา มารถื อบ วงดอกไม ๕ ดอก คื ออารมณ ทั้ ง ๕ นี้ สํ าหรับคล องสั ตว โลกไปตามความ ปรารถนาของพญามารนี้, ภาพอุปมาเขาเขียนอยางนี้. นี่ คํ า อธิ บ ายเรื่ อ ง ก ข ก กา เป น ครั้ งที่ ๗ ก็ คื อ เรื่ อ งอารมณ , สํ า หรั บ คํ า ว า อารมณ คื อ สิ่ งที่ จิ ต จะเข าไปติ ด พั น มั น เป น เครื่อ งปรุง แต งจิ ต ขึ้ น แล ว ก็ เป น ความเคยชิ น ในการที่ จิ ต จะเข า ไปติ ด พั น ในความหมาย ในคุ ณ ค า ของอารมณ แมที่เปนอดีต แลวก็เอาชนะยาก ถอนยาก. ขอให ทุ กคนคํ านึ งคํ านวณดู ที่ จิ ตใจของตนเอง ว าเรายั งมี อารมณ ในอดี ต ที่ มี อิ ทธิ พลเหนื อจิ ตใจอยู อย างไร ? เป นความเคยชิ นที่ จะดึ งไปแต ในทางพ ายแพ แก อารมณ อ ย า งไร ? แล ว ก็ รี บ รื้ อ ถอนขึ้ น มา โดยหลั ก ธรรมะที่ พ ระพุ ท ธเจ า ท า นได ตรั ส ไว ในลั ก ษณะอย า งนี้ . แต เดี๋ ย วนี้ อาตมาเอามาบรรยายในส ว นที่ เป น ก ข ก กา เรี ย กว า ทบทวนความรู พื้ น ฐานกั น เสี ย ใหม . ขอให สํ า เร็ จ ประโยชน แ ก ท า น ทั้งหลายทุก ๆ ทาน ตามสมควรแกโอกาสเถิด.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ตอไปนี้ก็ขอใหพระสงฆทั้งหลาย สวดคณาสาธยายธรรมะ เปนเครื่อง กระตุนจิตใจในการปฏิบัติธรรมตอไป. _______________


ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา - ๘ ๒๓ กุมภาพันธ ๒๕๑๗

ความแตกตางระหวางศีลธรรมกับปรมัตถธรรม.

ทานสาธุชน ผูมีความสนใจในธรรม ทั้งหลาย, การบรรยายประจํ าวั น เสาร ครั้ งที่ ๘ แห งภาคมาฆบู ชานี้ ก็ จะกล าวไป โดยหัวขอใหญ วา ก ข ก กา ของการศึกษาพุ ทธศาสนา ตอไปตามเดิม และจะไดกลาว โดยหั ว ข อ ย อ ย แคบเข า มาเฉพาะวั น นี้ ว า ความแตกต า งระหว า ง ก ข ก กา ทางศีลธรรม และ ก ข ก กา ทางปรมัตถธรรม.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ข อ นี้ ไ ด แ บ ง ให เห็ น ชั ด อยู แ ล ว ว า เรื่ อ งที่ เรี ย กว า ก ข ก กา นั้ น มี อ ยู ๒ ระดั บ คื อ ระดั บ ทางศี ล ธรรมทั่ ว ๆ ไป นี้ อ ย า งหนึ่ ง , และระดั บ ทางปรมั ต ถธรรม คือสูงสุดในทางสติปญญา นั้นอยางหนึ่ง.

อย างศี ล ธรรมนั้ น ก็ คื อ อย างที่ ส ามั ญ ชนทั่ วไปจะเข าใจได , แล วก็ เอา มาพูดกันอยู แลวก็พูดกันอยูโดยภาษาคน คือคนที่ธรรมดาสามัญพูดกันดวยภาษา

๒๐๐


ความแตกตางระหวางศีลธรรมกับปรมัตถธรรม

๒๐๑

ธรรมดา ทีนี ้ที ่เ ปน อยา งปรมัต ถธรรมนั ้น เปน เรื ่อ งที ่ส ูง ขึ ้น ไป รู เ ขา ใจ หรือ พู ด กั น แต ในหมู ผู รู, แล ว ก็ พู ด อยู โดยภาษาธรรม. ถ า ผู ใดเข าใจคํ า ว า ภาษาคน กับ คําวา ภาษาธรรมดีแลว ยอมเขาใจความขอนี้ไดงาย. ในวั นนี้ จะได เอามาเที ยบกั นให เห็ นว า ก ข ก กา มั นมี อยู ถึ ง ๒ ประเภท คือ ประเภทของคนธรรมดา และประเภทของคนที่มีปญ ญา ดัง ที่ก ลา วแลว ก ข ก กา ของคนธรรมดา ก็ เรี ย กว า ก ข ก กา ของศี ล ธรรม ส ว น ก ข ก กา ของผูมีปญญายิ่งไปกวาธรรมดานั้น ก็คือ ก ข ก กา ทางฝายปรมัตถธรรม. ในการบรรยายครั ้ง ที ่แ ลว มา นับ แตค รั ้ง แรกที ่ส ุด เปน ตน มานั ้น ไดพูด กัน แตเ รื่อ ง ก ข ก กา ทางฝา ยปรมัต ถธรรม; เพราะวา เปน ความ มุ ง หมายโดยเฉพาะ ที่ จ ะพู ด กั น ให เข า ใจในเรื่ อ งนี้ เสี ย ก อ น; ในฐานะเป น ป ญ หา รี บ ด ว น. คื อ ว า พุ ท ธบริ ษั ท เรา กระทั่ ง ครู บ าอาจารย ที่ สั่ ง สอนอยู ก็ กํ า ลั ง สั บ สน ปนเปกั น ไปหมด ในทางพู ด หรือ การสอน เกี่ ย วกั บ เรื่อ งเบื้ อ งต น ที่ สุ ด ของพระพุ ท ธศาสนา ในขั้นที่เปนหัวใจของพุทธศาสนา.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org [ ทบทวน. ]

นี้ ข อทบทวนอี ก ครั้ ง หนึ่ ง ว า แม แ ต จ ะพู ด เรื่ อ งขั น ธ ๕ ก็ พู ด แต ต าม ตั วหนั งสื อ วาขันธมี ๕ คื ออย างนั้ น อย างนั้ น โดยไม ต องรูวามั นคื ออะไร ? อย างไร ? เมื ่ อ ไร ? ที ่ ไ ห น ? ที ่ เ กิ ด อ ยู  จ ริ ง ๆ ใน ใจ ข อ งเรานั ้ น ก็ ไ ม รู  จ ั ก จึ ง ทํ า ให บ างคนเข า ใจผิ ด ไปว า เรามี ขั น ธ ๕ อยู ต ลอดเวลา อย า งนี้ ก็ มี , ถึ ง กั บ บางคน เข า ใจไปว า แม แ ต เวลาหลั บ อยู เราก็ มี ขั น ธ ๕ ซึ่ ง มั น มี ค า เท า กั บ ว า เมื่ อ เรายั ง สลบอยู ด ว ยเหตุ ใดก็ ต าม เราก็ ยั งมี ขั น ธ ๕. อย างนี้ เป น ความเข า ใจผิ ด เพราะว า


๒๐๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ตามที่ถูกนั้น เรามีขันธ ๕ พรอมกันไมได มันมีทีละขันธ เปนลําดับมาก ตามที่ ไดแ สดงใหฟ ง ซ้ํ า ๆ ซาก ๆ อยู เ สมอ, ซึ ่ง สรุป ไดค วามวา เมื ่อ ตาเห็น รูป เกิด จั กษุ วิ ญ ญาณแล ว จึ งจะเกิ ดรู ปขั นธ ภายใน ภายนอก, แล วจะเกิ ดวิ ญ ญาณขั นธ คื อ จั ก ษุ วิ ญ ญาณนั้ น , แล ว จึ ง เกิ ด เวทนาขั น ธ คื อ รู สึ ก ต อ รู ป ที่ ม ากระทบตานั้ น , แล ว จึ งจะเกิ ดสั ญ ญาขั นธ คื อความสํ าคั ญ มั่ นหมายอย างใดอย างหนึ่ ง ลงไปที่ เวทนานั้ น เป น ต น , แล ว จึ ง จะเกิ ด สั ง ขารขั น ธ คื อ ความคิ ด นึ ก อย า งใดอย า งหนึ่ ง เกี่ ย วกั บ ความสํ า คัญ มั ่น หมายในเวทนานั ้น เปน ตน . จึง เห็น ไดว า มัน เกิด ทีล ะขัน ธ; อันหนึ่งเปนปจจัยแหงอันหนึ่ง มันจึงเกิดพรอมกันไมได. การพู ด ก็ พู ด ได อ ย า งนี้ แต ผู ฟ ง จะเข า ใจ จะมองเห็ น แจ ม แจ ง ชั ด เจน หรือ ไม นั ้น มัน เปน อีก เรื ่อ งหนึ ่ง ; แตโ ดยเหตุที ่เ รื ่อ งนี ้เ ปน เรื ่อ งเบื ้อ งตน ที ่ส ุด ที่ เข า ใจพระพุ ท ธศาสนาอั น ลึ ก ซึ้ ง ได จึ ง ได เรี ย กว า เรื่ อ ง ก ข ก กา ของพระพุ ท ธศาสนา. เมื่ อ มี ก ารเข า ใจเรื่ อ งนี้ ผิ ด หรื อ ไปทํ า สั บ กั น เสี ย หมดแล ว ก็ คื อ ไม เข า ใจ เรื่ อ งที่ เป น รากฐานทั้ ง หมดของเรื่ อ งทั้ ง หลาย, ก็ เป น อั น ว า เข า ใจเรื่ อ งต า ง ๆ ไม ได , จะเข า ใจเรื่ อ งอายตนะ เรื่ อ งขั น ธ เรื่ อ งอุ ป าทานขั น ธ เรื่ อ งทุ ก ข เรื่ อ งดั บ ทุ ก ข ไม ได . เพราะเหตุ นั้ น เอง เป น ข อ ที่ บ อกให แ ล ว ในตั ว ว า เราก็ ฟ ง มามาก คิ ด นึ ก มาก หรื อ ถึงกับพยายามปฏิ บั ติตามที่ จะทํ าไดก็มี ; แตแลวก็ยั งไม สามารถที่ จะดั บความทุ กข ได จนเปนที่พอใจ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org โดยสรุ ป แล ว ก็ คื อ ไม ส ามารถจะป อ งกั น การเกิ ด ขึ้ น แห ง ป ญ จุ ปาทานขัน ธ คือ การสํ า คัญ ขัน ธทั ้ง ๕ ขัน ธใ ดขัน ธห นึ ่ง โดยความเปน ตัว ตน นั ่น เอง. เมื ่อ อุป ทานขัน ธอ ัน ใดอัน หนึ ่ง เกิด ขึ ้น ก็ต อ งเปน ทุก ขม ีค วามทุก ข, แล ว เราก็ ไ ม รู ว า นี้ เป น ความทุ ก ข หรื อ จะรู สึ ก ว า หนั ก อกหนั ก ใจบ า ง ก็ ไ ม รู ว า มั น


ความแตกตางระหวางศีลธรรมกับปรมัตถธรรม

๒๐๓

เป นเพราะเหตุ ไร, นี้ เรียกว าไม รูจั ก ก ข ก กา เอาเสี ยเลย, คื อไม รูจั กว า ความทุ กข ไดตั้งตนขึ้นมาอยางไร. ความทุกขตั้งตนขึ้นมา เรียกวา ก ข ก กา ในปรมัตถธรรมแหงพระพุทธศาสนา. ที่ เป น ก ข ก กา ที่ สุ ด ก็ คื อ การที่ ธ รรมะเหล า นี้ ตั้ ง อยู ในฐานะเป น ธาตุ ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ล ม ธาตุ อ ากาศ ธาตุ วิ ญ ญาณก อ น ได โอกาส ก็ ประกอบกั นเข า เป นเรื่องความรูสึ ก คื อกลายรูปเป นอายตะภายในขึ้ นมา สํ าหรับ รูต ออายตนะภายนอก, ก็ เกิ ดวิ ญ ญาณ เกิ ดผั สสะ เกิ ดเวทนา ตามสมควรแก กรณี นั ้น ๆ ซึ ่ง วัน หนึ ่ง ๆ ก็ม ีไ ดห ลายคราว. ใจความสํ า คัญ ก็ม ีเทา นี ้ สํ า หรับ เรื ่อ ง ก ข ก กา ในฝ า ยปรมั ต ถธรรม ในพระพุ ท ธศาสนา แล ว ก็ ได ก ล า วกั น มาโดย ละเอียด คือหลายครั้งของการบรรยายแลว ขอใหทบทวนดูเอง. [ เริ่มการบรรยายครั้งนี้. ]

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ ในวั น นี้ ก็ จ ะได เปรี ย บเที ย บให เห็ น ความแตกต า งกั น ในระหว า ง ก ข ก กา ทางปรมั ต ถธรรม ที่ ก ล า วมาแล ว นั้ น กั บ ก ข ก กา อี ก แบบหนึ่ ง ซึ่ ง ยั งไม ได เอามาพู ดถึ ง คื อ ก ข ก กา ในทางฝ ายศี ล ธรรม. การที่ ต องเอามาพู ดถึ ง แลว เอามาเปรีย บเทีย บกัน ดูนี ้ ก็ม ีป ระโยชนม าก คือ จะทํ า ใหเขา ใจ ก ข ก กา ในทางปรมัต ถธรรมไดยิ ่ง ขึ ้น นั ่น เอง ดัง นั ้น จึง ตอ งเอามาพูด และเมื ่อ พูด ขึ ้น ทานทั้งหลายก็จะนึกได.

แต ว าอยากจะแนะให สั งเกตอะไรมาก เป นพิ เศษขึ้ นไปอี กอย างหนึ่ ง คื อ ความหมายของสิ่ ง ที่ เรี ย กกั น ว า ก ข ก กา นั่ น เอง. ความเป น ก ข ก กา นี้


๒๐๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

เข าใจยาก คื อยากที่ จะเขาใจได วา นี้ มั นเป น ก ข ก กา อย างมากที่ สุ ดที่ จะเขาใจได , ก็จ ะเขา ใจไดแ ตเ พีย งวา เรื ่อ งอะไรเปน เรื ่อ งแรกที ่ส ุด ตอ งเรีย นใหไ ดก อ น; เรื่อ งนั้ นเป นเรื่อง ก ข ก กา พู ดอย างนี้ มั นก็ ถู ก แต ความจริงนั้ น มั นไม อาจจะรูสึ ก อยางนี้ได. ยกตั วอย างที่ ท านทั้ งหลายเข าใจ คื อ ว า เด็ ก ๆ หรื อ เราเองก็ ตาม เมื่ อ ยั งเป น เด็ ก เล็ ก ๆ แรกเรี ย น ก ข ก กา เราไม เคยรู สึ ก ว า นี้ เป น เรื่ อ งง า ย ๆ. นี้ เป น เรื่ อ ง ก ข ก กา, นี้ เป น เรื่ อ งเบื้ อ งต น อย างง ายอย างต่ํ าที่ สุ ด . ลองคิ ด ดู เถอะก็ พ อ จะระลึ ก เรื่ อ งได ด ว ยใจ; หรื อ ถ า ระลึ ก ไม ไ ด ก็ ไ ปสั ง เกตดู เด็ ก เล็ ก ๆ เวลานี้ เด็ ก เล็ ก ๆ คนหนึ่ ง กํ า ลั ง เรี ย น ก ข ก กา อยู . เด็ ก เล็ ก ๆ คนนี้ เขารู สึ ก ว า มั น ง า ย แสนงา ย มัน เปน เรื ่อ งเบื ้อ งตน เรื ่อ งต่ํ า ที ่ส ุด หรือ เปลา ? สัง เกตดูใ หด ีจ ะเห็น ได ว า เด็ กเล็ ก ๆ จะไม รูสึ กว า เรื่อง ก ข ที่ เขากํ าลั งเรียนอยู นั้ น เป นเรื่องงาย เป น เรื่ อ งเรื่ อ งเบื้ อ งต น หรื อ เป น เรื่ อ ง ก ข ก กา. เขาจะรู สึ ก ว า มั น เป น เรื่ อ งใหญ เป น เรื่องสูง เปนเรื่องมีเกียรติ เปนเรื่องที่ดีที่สุดสําหรับมนุษย

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ าเราไปทํ าให เขารูสึ กว าเป นเรื่ องต่ํ า ๆ เขาก็ ไม อยากเรียน, ไม ได เกี ยรติ ไม ได ความทะนงตั ววา ได เก งได อะไรในการเรียน. แต ถึ งวา เราจะไปบอกเด็ กเล็ ก ๆ ว า เรื่ อ ง ก ข ก กา นี้ มั น ง า ยนะ เป น เรื่ อ งแรกเป น เรื่ อ งง า ยที่ สุ ด เด็ ก ๆ ก็ จ ะไม เชื่ อ ; เพราะเด็ ก ๆ ไม รู สึ ก ว า มั น ง า ย เพราะมั น ทํ า ความยุ ง ยากลํ า บากให แ ก เขา ในการที่ จ ะจํ า ต อ งเรี ย นกั น แล ว เรี ย นกั น เล า . ถ า เรี ย นอย า งวิ ธี โ บราณก็ ถู ก ตี ตั้ ง หลายหน กว าจะจบ ตั ว ก ตั ว ข ตั ว ค ตั ว ง ไปได ; แม จะเรี ยนกั นอย างวิ ธี สนุ ก อย างสมั ยใหม นี้ เด็ กก็ ไม รูสึ กว าเป นเรื่องงาย ยั งคงรูสึ กวาเป นเรื่องยาก เป นเรื่องดี เป นเรื่องมี เกี ยรติ , ถ าทํ าได ก็ เป นคนเก ง จํ า ก ข ก กา ได สั ก ๑๐ ตั ว หนึ่ ง ก็ เป น


ความแตกตางระหวางศีลธรรมกับปรมัตถธรรม

๒๐๕

คนเกง เสีย แลว . นี ่จ ะตอ งเขา ใจกัน กอ น แลว ก็จ ะเปรีย บเทีย บถึง เรื ่อ งของเรา พุทธบริษัท วาเรากําลังมีความรูสึกอยางเดียวกันนั้นอยางไร. ขอให นึ กดู ให ดี ข อที่ เด็ ก ๆ ไม รู สึ กว า เรื่ อง ก ข ก กา เป นเรื่ องเล็ กน อย เป น เรื่ อ งเบื้ อ งต น เป น เรื่ อ งง า ย ๆ นั้ น มั น เป น เพราะเหตุ ใ ด ? เป น เพราะเหตุ ว า เขายั ง ไม รู ว า เรี ย นหมดเรี ย นจบเรี ย นถึ ง ที่ สุ ด นั้ น มั น เป น อย า งไร ? เขารู ไ ม ไ ด . ฉะนั ้น พอเรีย น ก ข เขา เขาก็ค ิด วา นี ้เ รื ่อ งทั ้ง หมด, เรื ่อ งทั ้ง หมดมัน มีเ ทา นี้ วั น หนึ่ ง ๆ ก็ เป น เท า นี้ เรื่ อ ยไปทุ ก วั น ๆ มั น ก็ เป น เรื่ อ งทั้ ง หมดเป น เรื่ อ งสู ง ขึ้ น ไป เปน เรื ่อ งทั ้ง หมดเพีย งเทา นี ้เทา นั ้น . เพราะวา จบที ่ไ หน ไมรู . เด็ก ๆ ไมม ีท างที่ จะรู ได ว า จบ ที่ ชั้ น มั ธ ยม ที่ ชั้ น อุ ด มขั้ น ปริ ญ ญา ขั้ น อะไรเขาไม มี ท างจะรู; ฉะนั้ น เรื่ อ ง ก ข ก กา ก็ เป น เรื่ อ งใหญ โตที่ สุ ด ของเขาเป น ประจํ าวั น , เขาก็ ค อ ยเลื่ อ นขึ้ น ไปตามลํ า ดับ จนกระทั ่ง ไดเรีย นรู ถ ึง ขั ้น ปริญ ญา จึง จะมองยอ นหลัง มาวา เรื ่อ ง ก ข ก กา นี้ เปนเรื่องเล็กจริง เปนเรื่องเบื้องตน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฝายศีลธรรมตองเริ่มตนดวยศรัทธาในศาสนา. ที นี้ พุ ท ธบริ ษั ท เรา จะตั้ ง ต น ก ข ก กา กั น ในทางศี ล ธรรม. ขอย้ํ า ว า กํ า ลั ง พู ด เรื่ อ ง ก ข ก กา ในฝ า ยศี ล ธรรม ไม ใช ฝ า ยปรมั ต ถธรรม. ก ข ก กา ใน ฝายศีลธรรมนั้นมีอะไรบาง ?

มันก็ตองตั้ งต นดวยเรื่องที่วา ทํ าไมจึงเข าวัด ? ทํ าไมคนอยูที่บ านจึงได อยากจะเข าวัดกะเขา ? นั้ นก็ ต องเพราะมี ศรัทธา ในเรื่อ งของวั ด วาอารามเรื่อ งของ


๒๐๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ศาสนา มี ศ รั ท ธา นี้ ก อ น จึ ง มาเข า วั ด . นี้ ก็ เป น เรื่ อ ง ก ข ก กา เหมื อ นกั บ แรก เรี ย นตั ว ก ตั ว ข เหมื อ นกั น . แต เราขณะนั้ น จะไม รู สึ ก ว า เป น เรื่ อ ง ก ข ก กา เราจะรู สึ ก ว า เป น เรื่ อ งใหญ โ ต เป น เรื่ อ งดี ม าก; เพราะมั น ดี ก ว า หลาย ๆ คนที่ ไ ม เข า วั ด , แล ว ก็ ยั ง ไม รู จ ะเปรี ย บเที ย บด ว ยซ้ํ า ไป ว า เข า วั ด เพื่ อ อะไร ? คนเข า วั ด ทํ า อะไรบ าง ? คนไม เข า วั ด บางคนเขาทํ าอะไรบ าง ? นี้ ก็ ยั งไม รู จั ก เปรี ย บเที ย บ. แต ก็ เป น อั น กล า วได ว า มี ศ รั ท ธา เชื่ อ ในพระศาสนา เชื่ อ ในพระรั ต นตรั ย พระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ ก็ มี ค วามรู สึ ก ว า ได เรื่ อ งดี ที่ สุ ด ได เรื่ อ งใหญ ที่ สุ ด สู ง สุ ด มาก ที่ สุ ด อะไรทํ า นองนั้ น , กระทั่ ง ว า มี เกี ย รติ ที่ สุ ด ด ว ยเหมื อ นกั น , เหมื อ นกั บ เด็ ก ๆ พอรู ก ข ก กา ก็รูสึกวา เกงและมีเกียรติ. เมื่ อ คนเราเข า มาในวั ด ครั้ ง แรกก็ จ ะรู สึ ก อย า งนั้ น , และดู จ ะรู สึ ก ว า ไม มี อะไรมากไปกวา นั ้น ทายกทายิก าสว นมาก จะรู ส ึก วา ไมม ีอ ะไรมากไปกวา เขา วัด ฟง เทศนฟ ง ธรรมทํ า บุญ ใหท าน ไมม ีอ ะไรมากไปกวา นั ้น ; เชน เดีย วกับ เด็ ก ๆ ยั งไม รู ว า ก ข ก กา นี้ ยั งอยู ในระดั บ ต น ยั งจะต อ งทํ าต อ ไปอี กมาก, ทั้ งนี้ ก็ เพราะว า มั น ทํ า ให เกิ ด ความภาคภู มิ ใ จ, และที่ สํ า คั ญ ที่ สุ ด ก็ คื อ ความเชื่ อ นั้ น ได ทําใหเกิดความรูสึกอบอุนในใจ คือระงับความกลัวบางอยางเสียได.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เราชาวไทย ได รั บ การอบรมสั่ งสอนมาตามวั ฒ นธรรมของชาวไทย จึ งมี ความเชื่ อ อย า งนั้ น มี ค วามหวั ง อย า งนี้ มี ค วามกลั ว อย า งนู น . เดี๋ ย วนี้ ได ม าเข า วัด ทํ า ใหเ กิด ความเชื ่อ อุ น ใจไดว า เราไดสิ ่ง ที ่ด ี วา เราไดที ่พึ ่ง ที ่พึ ่ง ได คือ พระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ , แล ว ก็ อุ น ใจว า เราจะไม ต อ งตกนรก, แล ว ก็ ไ ม มี ความกลัว ชนิด ที ่เ คยรบกวนอยู . เราจึง รู ส ึก พอใจมาก ดูจ ะเปน เรื ่อ งทั ้ง หมด แลว ที่มนุษยจะตองรูกันอยางนี้.


ความแตกตางระหวางศีลธรรมกับปรมัตถธรรม

๒๐๗

แต แ ล ว ต อ มา ถ าเราศึ ก ษามากขึ้ น เราจะรู สึ ก ว า เพี ย งมี ค วามเชื่ อ เทา นั ้น ยัง ไมพ อ; เพราะมัน มีค วามทุก ขอ ยา งอื ่น ที ่ม ากไปกวา นั ้น , กระทั ่ง ไม สามารถจะหยุ ดความกลั วได หมดสิ้ น อย างน อยก็ ยั งกลั วตาย, กลั วจะไม เป นไปตาม ที ่ต ัว ตอ งการ; แมว า จะไดม ีศ รัท ธามาก ทํ า บุญ มาก ความกลัว ก็ย ัง ไมห ยุด , คือ กลัว วา จะไมไ ดต ามที ่ต ัว ตอ งการ, ยัง มีค วามลัง เลอยู เ สมอไป. นี ่ค ือ ขอ ที่ มันยังไมถึงที่สุดมันยังเปน ก ข ก กา อยู. ฉะนั้ น สิ่ งที่ เรียกว า ศรั ทธา ที่ นํ าเข ามาสู พุ ท ธศาสนา จึ งควรจะเรียก ไดวา เป น ขั้น ก ข ก กา ในขั้น หนึ่ ง ซึ่งเราจะตองเรียนใหรู ใหมากยิ่งขึ้นไป ให ศรั ท ธานั้ น แจ ม แจ งใสกระจ างมากขึ้ น จนกว าจะกลายเป น ป ญ ญา; แต ถ ามั น กลาย เปน ปญ ญาไปเสีย แลว มัน ก็ไ มใ ช ก ข ก กา ในทางศีล ธรรมเสีย แลว มัน เปน ก ข ก กา ฝ ายปรมั ต ถธรรมเป น อย างน อ ย หรื อ มั น เลยความเป น ก ข ก กา ไปเสี ย ก็ไ ด. เดี ๋ย วนี ้เ มื ่อ ยัง เปน เพีย งศรัท ธาอยู  ก็เ รีย กวา เปน เรื ่อ งที ่เ ริ ่ม ลูบ คลํ า ใน พระศาสนา, จะคว า หาที่ พึ่ ง ทํ า ความอุ น ใจ ขจั ด ความกลั ว ; แต เนื่ อ งจากยั ง เป น เรื่ อ งทางศี ล ธรรม จึ ง ยั ง ไม ถึ ง ที่ สุ ด เป น เรื่ อ ง ก ข ก กา ในขั้ น ที่ เรี ย กว า ศี ล ธรรม ยังไมถึงที่สุด จะตองทําตอไป.

www.buddhadasa.in.th หลังจากศรัทธา ก็บําเพ็ญทาน ศีล ภาวนา. www.buddhadasa.org ที นี้ จะถื อโอกาสดู พ ร อม ๆ กั น ไปเสี ยเลยว า หลั งจากศรั ทธาแล ว คื อเชื่ อ พระรั ต นตรั ย แล ว เราก็ มี ก ารบํ า เพ็ ญ ทาน; เหมื อ นอย า งที่ บํ า เพ็ ญ กั น อยู นี่ แ หละ. ให ท านวั ต ถุ สิ่ ง ของ, ให ท านสิ่ ง ต า ง ๆ ที่ ค วรจะให , นี้ มั น เป น เครื่ อ งทํ า ความอุ น ใจ


๒๐๘

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

กํ า จัด ค ว า ม ก ลัว ห วั ่น วิต ก บ า ง อ ยา ง ได; แ ตก ็ย ัง ไม ห ม ด มัน ม ีข อ บ เข ต จํ า กั ด อยู เพราะเป น เรื่ อ งการให ท านตามธรรมดา คื อ ตามวิ ถี ท างของศี ล ธรรม, แลว ก็เ ปน สิ ่ง ที ่อ าศัย อยู ก ับ ศรัท ธา คือ ความเชื ่อ . ฉะนั ้น สิ ่ง ที ่เ รีย กวา ทาน นี้ จึงเปน ก ข ก กา ในทางศีลธรรม ดวยเหมือนกัน. ที นี้ ม าถึ ง การรั ก ษาศี ล , คนมาอยู วั ด ก็ รั ก ษาศี ล , และโดยเฉพาะในวั น อุโ บสถก็ร ัก ษา ศีล ๘ ศีล อุโ บสถ; ทํ า ใหด ีที ่ส ุด ใหส ุด ความสามารถของตน. นี้ ก็ เพิ่ ม ความอุ น ใจได อี ก ระงั บ ความกลั ว ได อี ก แต ก็ ไ ม ห มดสิ้ น , จึ ง เรี ย กว า มั น เปน ศีล ในขั ้น ตน เปน ศีล ที ่ย ัง ฝากอยู ก ับ ศรัท ธา ยัง ไมไ ดม าจากปญ ญาโดย แทจ ริง . ศีล ชนิด นี ้จ ะตอ งอาศัย ที ่พึ ่ง จะตอ งมีที ่ฝ ากที ่อ ิง อยู เ สมอ แลว คอยแต จะลม ลุก คลุม คลาน; เพราะวา ไมไ ดรู จ ัก สิ ่ง ทั ้ง หลายทั ้ง ปวงตามที ่เ ปน จริง วา ไมเ ที ่ย ง เปน ทุก ข เปน อนัต ตา เปน ตน . ยัง มีค วามยึด มั ่น ถือ มั ่น อยู  มัน ก็ม ีท าง ที่ จ ะขาดศี ล อยู , แล ว ก็ มี ส ว นที่ ยั ง ต อ งกลั ว หรื อ วิ ต กกั ง วลเหลื อ อยู . ต อ เมื่ อ ไรมั น เป นศี ลที่ มาจากป ญ ญา หรื อมาจากความไม ยึ ดมั่ นถื อมั่ น เมื่ อนั้ นแหละมั นจึ งจะเป น ศี ล ในขั้ น โลกุ ต ตรศี ล ไม มี ค วามเปลี่ ย นแปลงอี ก ต อ ไป. แต นี้ เ มื่ อ ยั ง เป น ศี ล ตาม ธรรมดาอยู ก็ เรี ย กว ามั น อยู ในประเภท ก ข ก กา แม ว ามั น จะเลยขึ้ น ไปถึ ง กะ กา กิ กี ขะ ขา ขิ ขี เรื่อยขึ้นไป มันก็ยังอยูในระดับสอนเรียนสอนอานอยูนั่นแหละ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ จะดู ไปถึ งเรื่ อ งสวดมนต ภ าวนา เราก็ มี ก ารสวดมนต ท อ งบทภาวนา ต าง ๆ ซึ่ งก็ เพิ่ ม ความพอใจ ความอุ น ใจ แก ไขความกลั วความวิ ต กกั งวลได ม ากขึ้ น คื อ มี ค วามรู ม ากขึ้ น เพิ่ ม ความรู ม ากขึ้ น ; กระทั่ ง เจริ ญ สมาธิ มั น ก็ เป น แล ว เดี๋ ย วนี้ มั น ก็ มี ผ ลมากขึ้ น ในทางที่ จ ะทํ าความอุ น ใจหรื อ ระงั บ ความกลั ว. แต ก็ ยั งเป น ศี ล สมาธิ ที่ฝ ากไวกับ ศรัท ธาอยูนั่น เอง, ยัง ไมใ ชเรื่อ งของปรมัต ถธรรม, ยัง เปน


ความแตกตางระหวางศีลธรรมกับปรมัตถธรรม

๒๐๙

เรื่ อ งของศี ล ธรรม ที่ ทํ า ไปด ว ยศรั ท ธาความเชื่ อ เป น พื้ น ฐาน แล ว ก็ ข ยั น ขั น แข็ ง ไป ตามอํ า นาจของศรั ท ธานั้ น ; อย า งนี้ เรี ย กว า เป น ระดั บ ศี ล ธรรมทั้ ง นั้ น , ยั ง ไม ถึ ง ขั้ น ปรมัตถธรรม. ฉะนั้ น เราพยายามในขั้ น นี้ ม าตั้ ง แต แ รก จนกระทั่ ง บั ด นี้ ถ า ยั ง ไม ถึ ง ที่ สุ ด แห งการตั ด กิ เลส ก็ ยั งเรี ย กว ายั งไม จ บเรื่ อ ง, หรื อ ว ายั งเป น เรื่ อ งที่ ต อ งพยายาม ปลุ ก ปล้ํ า กั น ไป เหมื อ นอย า งเรีย น ก ข ก กา. ทั้ ง นี้ ก็ เพราะเหตุ ว า ผลที่ สู ง สุ ด ใน ทางศีล ธรรมนั ้น มัน ฝากไวก ับ ศรัท ธาอยู เ สมอไป; ถา ทํ า ใหเ ปน เรื ่อ งของ ปญญา มันก็กลายเปนเรื่องปรมัตถธรรมไปเสีย คือเปนอีกประเภทหนึ่ง. เดี ๋ย วนี ้ พุท ธบ ริษ ัท สว น ให ญ ที ่ย ัง ตั ้ง อยู ไ ดด ว ยศรัท ธาอยา งนี้ ก็เรีย กวา เปน ผูเริ่ม ตน ทําความดับ ทุก ขใหแ กต น ตามวิถีท างของศีล ธรรมซึ่ง ต อ งอาศั ย ศรั ท ธา; แม ว า จะอาศั ย วิ ริ ย ะ สั น ติ สมาธิ ป ญ ญา ก็ ยั ง ไม ถึ ง ขั้ น ที่ จ ะ เรี ย กว า เป น ปรมั ต ถธรรมได , เป น เรื่ อ งพิ จ ารณากั น แต เ พี ย งว า สิ่ ง ที่ เรากระทํ า นี้ มั น จะให ผ ลเป น ที่ พึ่ งแก เรา ตามที่ เราต อ งการอย างนั้ น ๆ. เช น ว า ทํ าให เราสบายใจ ทํ าให เราอบอุ นใจ ทํ าให เราหายกลั ว; อย างนี้ ก็ พอเรียกว า สติ ป ญญาได บ างเหมื อนกั น แต ก็ ยั ง เป น สติ ป ญ ญ า ในขั้ น ศี ล ธรรม ทั้ ง หมดนี้ เ รี ย กว า ก ข ก กา ทางฝ า ย ศีลธรรม.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แต อย าลื ม ว า เราจะไม รู สึ กว า มั น เป น ก ข ก กา เพราะว าเราเข าวั ดมา ตั้ ง ๑๐ ป , ๒๐ ป , ๓๐ ป , ๔๐-๕๐ ป แล ว ก็ มี , เราเข า วั ด มี ศ รั ท ธา ทํ า ทาน ถือศี ล สวดมนตภาวนาอะไรมา เหลานี้ ตั้ งหลายสิบป แล วก็มี , เราไม รูสึ กวามั นเป น ก ข ก กา; เพราะเราไม รู สึ ก ว า ทั้ ง หมดทั้ ง สิ้ น ที่ จ บหมดนั้ น มั น อยู ที่ ไ หน, แล ว


๒๑๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ก็ม ัก จะเขา ใจเอาวา นี ้ค ือ ทั ้ง หมดทั ้ง สิ ้น . ฉะนั ้น เราจึง ไมรู ส ึก วา ยัง อยู ใ นขั ้น ก ข ก กา หรื อ ว า ชั้ น ประถม หรื อ ว า ชั้ น มั ธ ยมต น ๆ อย า งนี้ เราก็ ยั ง ไม รู สึ ก ; เราก็ มักจะถือวา หมดกันเพียงเทานี้ มันมีเพียงเทานี้สําหรับเรา. เพราะฉะนั้ น อาตมาจึ งกล าวว า เราไม อ าจจะรู สึ กหรื อ รู จั ก ได ว า มั น เป น ก ข ก กา. ตอ เมื ่อ เรามาพิจ ารณาใหด ีใ หส ูง ขึ ้น ไป แลว มองลงมายัง ทางลา งนี้ เราจึ งจะรู สึ กว า ยั งอยู ในขั้ น ก ข ก กา ด วยเหมื อ นกั น , แล วก็ ยั งเป น ขั้ น ก ข ก กา ทางฝ า ยศี ล ธรรมด ว ย; ดั ง นั้ น จึ ง ต อ งแยกไว พ วกหนึ่ ง สํ า หรั บ เอามาเปรี ย บกั น อี ก ทีหนึ่งกับ ก ข ก กา ในทางฝายปรมัตถธรรม. แม ว าคนบางคนจะทํ า พร อ ม ๆ กั น ไปทั้ ง ๒ ฝ า ยก็ ได อุ บ าสกอุ บ าสิ ก า บางคนหรื อ บางจํ า พวก สามารถตั้ ง ตนอยู ใ นศี ล ธรรมชั้ น ดี , แล ว กํ า ลั ง ศึ ก ษา พิ จ ารณาในขั้ น ปรมั ต ถธรรม คื อ ชั้ น สู ง ที่ จ ะถอนความยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น หรื อ ทํ า ให หลุด พน ได; อยา งนี ้ก ็ย ัง มี. แมจ ะไมม ากนัก ก็ย ัง กลา วไดว า มี แตแ ลว มัน ก็ ไปติ ด ตั น อยู ที่ ค วามเป น ก ข ก กา ในขั้ น ปรมั ต ถธรรมอี ก นั่ น เอง. ดั ง นั้ น จึ ง เป น อัน กลา วไดโ ดยแนน อนวา แมว า พุท ธบริษ ัท พวกหนึ ่ง จะตั ้ง ตนไวไ ดด ีใ นสว น ศี ล ธรรม คื อ ศรั ท ธา มี ท าน มี ศี ล มี ส วนมนต ภ าวนา มี ส มาธิ เจริ ญ กั ม มั ฏ ฐาน ตามสมควรแลว ; แตถ า ยัง เปน เรื ่อ งของศีล ธรรมอยู  มัน ก็ย ัง ไมใ ชเ รื ่อ งถึง ที ่ส ุด , มัน ยัง เปน เรื ่อ งที ่จ ะตอ งพยายามใหส ูง ขึ ้น ไปตามลํ า ดับ คือ เปน เรื ่อ ง ทางปรมัตถธรรม.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เพราะฉะนั ้น จึง เปน อัน แนน อนวา มีศ รัท ธาก็ม ีไ ป ใหท านก็ทํ า ไป มี ศี ล ก็ ทํ า ไป ทํ า สวดมนต ภ าวนาก็ ทํ า ไป, มั น เป น เรื่ อ งรากฐาน พื้ น ฐานอยู ร ะดั บ ห นึ่ ง เพื่ อ ค ว า ม แ น น อ น ว า จ ะ ไม ต ก ต่ํ า ไป ก ว า นั้ น อี ก . แ ต มั น มี เรื่ อ ง อ ยู


ความแตกตางระหวางศีลธรรมกับปรมัตถธรรม

๒๑๑

ขา งหนา คือ วา จะตอ งเจริญ ทางปญ ญาใหรูว า ตัว ความทุก ขจ ริง ๆ นั ้น มัน มาจากอะไร ? จะควบคุม หรือ วา จะดับ มัน เสีย ไดโ ดยวิธ ีใ ด ? นี ่แ หละจึง จะ มาถึงเรื่อง ก ข ก กา ในทางฝายปรมัตถธรรม.

ฝายปรมัตถตองมุงถึงนิพพาน. เมื่ อ ได ยิ น คํ าว าปรมั ต ถธรรม ก็ ข อให นึ ก ถึ งคํ าที่ ค นแต ล ะคนเขาใช คํ าว า พระปรมั ต ถ , เขาพู ด ว า พระปรมั ต ถ ก็ คื อ นั่ น แหละ คื อ ปรมั ต ถธรรม; หมายถึ ง การพู ด ถึ ง ธรรม ที่ มี ค วามหมาย หรื อ อรรถะอั น ลึ ก ซึ้ ง อย า งยิ่ ง กว า ธรรมดา. ปรมะ นั้นมั น แปลวา อยางยิ่ง, ปรมั ต ถะ แปลวา มี อ รรถะอย างยิ่ ง, อยางที่ธรรมดาจะ ไม ได ม อง หรื อ มองไม เห็ น จึ งต อ งอาศั ย การแนะนํ า สั่ ง สอนจากพระพุ ท ธเจ า , แล ว ก็เปนเรื่องราวที่ทานสอนไวอยางลึกอีกเหมือนกัน หรือวาอยางสั้น ๆ ที่สุดดวยซ้ําไป. เช น ท านสอนว า ทุ ก สิ่ งเป น อนิ จฺ จํ ทุ กฺ ขํ อนตฺ ต า. พวกเราก็ ไม รูว า เป น อนิ จฺ จํ ทุ กฺ ขํ อนตฺ ตา. นั้ นอย างไร, ต องศึ กษาต องพยายามกั นอี กนาน กว าจะรูว า อะไรที ่เ ปน อนิจ ฺจ ํ ทุก ฺข ํ อนตฺต า. แลว ยิ ่ง ไดคํ า สอนที ่ว า สิ ่ง ทุก สิ ่ง จะยึด มั ่น ถื อ มั่ น โดยความเป น ตั ว เราของเราไม ได ; อย า งนี้ แ ล ว ก็ ยิ่ ง งงกั น ใหญ ; เพราะว า ตลอดเวลาที ่แ ลว มา เราไดย ึด มั ่น ถือ มั ่น นี ่ โดยความเปน เรา, เปน ตัว เรา. เชน ว า นี้ เป น ตั ว เรา, นี้ เป น ชี วิ ต ของเรา, นี้ เป น กุ ศ ลที่ เราได ทํ า ไว , บุ ญ กุ ศ ลเหล า นี้ จ ะ เป น ที่ พึ่ ง ของเรา, เราตายจากนี้ แ ล ว จะได รั บ ผลบุ ญ กุ ศ ลที่ เราทํ า ไว นี้ ใ นชาติ ต อ ๆ ไป; อยา งนี ้ ลว นแตเ ปน ตัว เรา เปน ของเราไปหมด. พอไดย ิน เรื ่อ งทางฝา ย ปรมัตถธรรมวา ไมมีอะไรที่จะเปนตัวเราหรือเปนของเราได เราก็งง.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


๒๑๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ตอนนี้ แ หละเราจะรู ข อ เท็ จ จริ ง มาสั ก อย า งหนึ่ ง ว า เราเรี ย น ก ข ก กา มาคนละแบบแลว . เรามี ก ข ก กา ทางศีล ธรรมมาอยา งถูก หรือ วา อยา ง เต็ม ที ่แ ลว ก็ไ ด; แตเ ราไมม ีค วามรู  ก ข ก กา ในทางฝา ยปรมัต ถธรรม เรา จึ งเข าใจไม ได ในข อที่ ว าไม ใช ตั วตน ไม ใช ของตน, มี แต ว าธาตุ ทั้ งหลายมี อ ยู ตาม ธรรมชาติ เป น ไปตามเหตุ ต ามป จ จั ย . ปรุ งแต งขึ้ น มาเป น ความรู สึ ก อย างนั้ น อย างนี้ เป น ทุ ก ข ก็ มี ไม ทุ ก ข ก็ มี . นี่ เ รื่ อ งปรมั ต ถธรรมมั น เป น อย า งนี้ . พอมาจั บ เรี ย น เรื่ อ งปรมั ต ถธรรมอย างนี้ เข า มั น ก็ เป น เรื่ อ งตั้ งต น กั น ใหม เหมื อ นกั บ เรี ย น ก ข ก กา สําหรับอีกเรื่องหนึ่งตางหาก. ก ข ก กา ทางฝ ายปรมั ต ถธรรมนั้ น เป น ก ข ก กา สํ าหรับ ที่ จ ะ ไปนิ พ พาน. สั ง เกตดู ใ ห ดี ว า เรื่ อ ง อนิ จฺ จํ ทุ กฺ ขํ อนตฺ ต า นี้ เป น เรื่ อ ง ก ข ก กา แต สํ า หรั บ จะไปนิ พ พาน. ส ว นเรื่ อ งที่ ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น เป น เราเป น ของเรา ทํ า ความดี ทํ าบุ ญ ทํ ากุ ศล ทํ าอะไรต าง ๆ นี้ มั น เป น ก ข ก กา สํ าหรั บ จะอยู ที่ นี่ , คื อ สํ าหรั บ จะเวี ยนอยู ในวั ฏ ฏสงสาร ที่ พ อจะมี ความสุ ขบ าง คื อจะมี ความอุ นใจบ าง, เพราะว า เรายังทําอะไรไมไดมากไปกวานี้.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ ก็ จ ะขอเตื อ นให นึ ก ถึ ง เด็ ก ๆ อี ก ครั้ ง หนึ่ ง ตั ว เล็ ก ๆ เรี ย น ก ข ก กา ได สั ก ๔ - ๕ ตั ว ๙ ตั ว ๑๐ ตั ว ก็ ภ าคภู มิ ใจอย า งยิ่ ง ; มั น ก็ เป น ความถู ก ต อ งแล ว ที่ เด็ ก ๆ ควรจะภาคภู มิ ใ จ เพราะรู ก ข ก กา สั ก ๑๐ ตั ว เพราะว า มั น ดี ก ว า ที่ ไม รู ดี ก ว า เด็ ก ที่ ยั ง ไม รู ห รื อ ไม ได เรี ย น; เพราะว า เขายั งได รู เขายั งมี ค วามสามารถ ที ่จ ะรู ไ ด. คนเรานี ้ก ็เ หมือ นกัน แมจ ะยัง ไมรู เ รื ่อ งนิพ พาน คือ เรื ่อ งทั ้ง หมด; แตเราก็ย ัง มีค วามรูเรื่อ งวา ที ่จ ะอยู ในวัฏ ฏสงสารนี ้ จะอยู ก ัน อยา งไรใหม ัน ดี, อยู ใ นวั ฏ ฏสงสารให เ ป น สุ ค ติ ให เป น มนุ ษ ย ที่ มี สุ ค ติ ให เป น สวรรค ที่ เป น สุ ค ติ , อยาตองเปนนรก อบาย อยางนี้เปนตน.


ความแตกตางระหวางศีลธรรมกับปรมัตถธรรม

๒๑๓

ฉะนั้ น การที่ จ ะถอนคนออกมาให พ น จาก นรก ทุ ค ติ หรื อ อบาย นี้ มั น ก็ เป น ก ข ก กา ขั้ น หนึ่ ง คื อ ก ข ก กา ชั้ น ศี ล ธรรม, ที่ จะช วยออกมาเสี ย ให พ น ความร อ นใจ ที่ จ ะเกิ ด จากสิ่ ง ที่ เรี ย กว า นรก อบาย หรื อ ทุ ค ติ นั้ น พอเราทํ า ไป แลว เราก็แ นใ จสบายใจวา นรกนี ้ไ มต กแน เราไมต กนรกแน นี ้ม ัน มีค วาม สบายสักเทาไร ขอใหลองคิดดู. แต แ ม ว า เราจะแน ใ จว า นรกนี้ เรายั ง ไม ต กแน เราไม ต กแน , เราก็ ไ ม อาจจะแนใ จวา เราจะบรรลุน ิพ พาน. เราอาจะไมม ีค วามทุก ขอ ยา งในนรก; แต เราอาจจะมี ค วามทุ ก ข อ ย า งอื่ น ที่ มั น ไม เหมื อ นกั บ ความทุ ก ข ใ นนรก. เช น ว า จะมี ค วามทุ ก ข ใ นสวรรค ก็ ไ ด ถ า เป น ความทุ ก ข ใ นสวรรค แ ล ว ก็ ยิ่ ง เข า ใจยาก; เพราะว า เราไปยึ ด ถื อ สิ่ ง ใดที่ ว า ตั ว เรา ว า ของเราเข า ก็ จ ะมี ค วามทุ ก ข ทั้ ง นั้ น . แม พวกเทวดาในสวรรค ที ่ไ ปยึด สวรรคนี ้ว า เปน ของเรา มัน ก็ม ีค วามทุก ขท ัน ที ดว ยเหมือ นกัน ; พอไปยึด สิ ่ง ใดโดยความเปน เราเปน ของเราแลว จะไมมี ความทุกขนั้นเปนไมมี.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี ่เ รื่อ งของปรมัต ถธรรม จึง สูง ไกลไปกวา ที ่ว า จะเพีย งแตป อ ง กั น ไม ใ ห ต กนรก; เพราะว า เมื่ อ ไม ต กนรกแล ว ป ญ หามั น ยั ง เหลื อ อยู สํ า หรั บ ความทุ ก ข ข องบุ ค คลผู ไ ม ต กนรก, คื อ ผู ที่ เป น มนุ ษ ย ที่ ดี เป น เทวดาที่ ดี นี้ มั น ก็ ยั ง มี ค วามทุ ก ข ความร อ นใจ แบบใหม ๆ แปลก ๆ สู ง ขึ้ น ไป ตามประเภทบุ ค คล นั้น ๆ.

นี้ ก็ เคยพู ดกั นมาหลายครั้ งหลายหนแล ว ว าคนชั่ วคนพาลมี ความทุ กข ไป ตามแบบของคนชั่ ว หรื อ คนพาล, คนขอทานก็ มี ค วามทุ ก ข ไ ปตามแบบของคน


๒๑๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ขอทาน แม ว าเขาไม ได เป น คนชั่ ว เพราะว าคนขอทานบางคนก็ ไม ได เป น คนชั่ ว; แต เพราะว าเขามี กรรมอะไรอย างไรอย างหนึ่ ง เขาทุ พพลภาพเขาก็ ต องขอทาน, เขาก็ มี ความ ทุ กข ไปตามแบบขอทาน. ถ าเขายึ ดถื อว าเขาเป นขอทาน มี การยึ ดถื อในตั วตนของตน อ ยา งนั ้น อ ยา งนี ้ ก็น อ ย อ ก นอ ย ใจ ก็ต อ งเปน ทุก ขเ ทา นั ้น เอ ง. ห รือ วา ข อ ทานมาได ม ากยึ ด ถื อ โดยความเป น ของตน ไม อยากให เป น อย างไรไป มั น ก็ เป น ทุ ก ข นอนไมห ลับ . ถา วา เปน เศรษฐี มัน ก็ม ีค วามทุก ขไ ปตามแบบของเศรษฐี; ไป ดู ใ ห ดี เศรษฐี ส ว นมากก็ มี น รกขุ ม ใหญ ๆ อยู ใ นใจ นอนไม ค อ ยจะหลั บ ร อ นอก รอนใจอยูตลอดวันตลอดคืนก็วาได. นี่ แ ม เ ป น มนุ ษ ย ก็ มี ค วามทุ ก ข ต ามแบบของมนุ ษ ย , เป น เทวดาก็ มี ความทุ ก ข ไ ปตามแบบของเทวดา, เป น เทวดาในชั้ น พรหมสู ง สุ ด ก็ ยั ง มี ค วามทุ ก ข ไปตามแบบพรหม, คือ ยึด ถือ ตัว ตน วา เปน ตัว ตนที ่ด ีที ่ส ุด ไมม ีต ัว ตนชนิด ไหน จะเสมอ แลว ก็ไ มอ ยากตายเหมือ นกัน หมด. ขอใหเ ขา ใจงา ย ๆ วา ความทุก ข ทั้ ง หมดมั น ไปสรุ ป อยู ต รงที่ ว า ไม อ ยากจะตาย; มนุ ษ ย ก็ ยั ง ไม อ ยากจะตาย, เทวดาในชั้ น กามาวจรสวรรค ก็ ไ ม อ ยากจะตาย, เทวดาชั้ น พรหม คื อ ชั้ น รู ป าวจร อรู ป าวจร ก็ ไม อ ยากจะตาย. พอมี วี่ แ ววแห ง ความตายก็ เป น ทุ ก ข ทั้ ง นั้ น แล ว ไม มี วี่แววอะไรมากก็คิดนึกเอาได, กลัวตายขึ้นมาเองได ทั้งที่ยังไมตองตาย.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ า พิ จ ารณาดู ให ดี จ ะเห็ น ว า คนเรามี ค วามทุ ก ข ที่ เกี่ ย วกั บ ความตาย นั ้น โดยที ่ม ัน ไมไ ดม ีเ รื ่อ งที ่จ ะตอ งตายเลย ก็ม ีอ ยู เ ปน สว นมาก. หรือ ความ ทุ ก ข อื่ น ๆ ที่ เราเป น ทุ ก ข นั้ น มั น เป น เพราะเราไปคิ ด ผิ ด วิ ธี มั น ก็ เลยเกิ ด วิ ต กกั ง วล เป น ทุ ก ข ขึ้ น มา, ทั้ ง ที่ เ รื่ อ งนั้ น มั น ไม ต อ งเป น อย า งนั้ น . ถึ ง ที่ จ ะตายจริ ง จะทุ ก ข จริ ง มั น ก็ ไ ม ไ ด ม าให เ ห็ น อย า งนั้ น , มั น ตายไปแล ว มั น ทุ ก ข ไ ปแล ว . ที่ เ อามา


ความแตกตางระหวางศีลธรรมกับปรมัตถธรรม

๒๑๕

คิดสําหรับใหเปนทุกขหรือใหกลัวตายนี้ มันเปนคิดสําหรับ จะใหทุกข, หรือ ให ก ลั วขึ้ น มา โดยไม มี ป ระโยชน อ ะไร ไม มี ค วามหมายอะไร. นี่ เขาเรี ย กว า ความ ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ในตั ว ตน ในของตน ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น จะให เป น อย า งนี้ อ ย า งนี้ , อย า ให เปน อยา งนั ้น อยา งนั ้น . แมม ัน ยัง ไมท ัน จะเปน มัน ก็ว ิต กลว งหนา ไวว า จะเปน แลวก็เปนทุกขเสียแลว ถามันมากไป มันก็เปนบาไปแลวมันก็ตาย. ธรรมะในชั้น สูง สุด ในเรื่อ งปรมัต ถธรรมนั ้น มัน มีค วามมุ ง หมาย ที ่จ ะแกป ญ หาขอ นี ้. คือ ใหท ุก คนมองเห็น เสีย ตามที ่เปน จริง วา มัน ยึด ถือ วา ตัว วา ตน วา ของตนไมไ ด, มัน เปน ธาตุธ รรมชาติ เปน ไปตามเหตุต ามปจ จัย หรือ ตามกฎเกณฑข องอิท ัป ปจ จยตา. ที ่เราฟง กัน มากมายแลว ถา เห็น แจม แจงถึงขั้นนั้นก็เรียกวาเขาถึงปรมัตถธรรม. เดี๋ ยวนี้ เรายั งไม เข าถึ งปรมั ตถธรรม กํ าลั งพยายามอยู ก็ เรี ยกว า กํ าลั ง เรี ยน ก ข ก กา ทางฝ ายปรมั ตถธรรม ซึ่ งเป น ก ข ก กา ฝ ายพระนิ พพาน ก ข ก กา ที่ จ ะนํ า ไปสู พ ระนิ พ พาน, เรี ย กว า ก ข ก กา ของนิ พ พานก็ ได , ยั ง ไม ถึ ง นิ พ พาน ยังเปน เพียงการพยายามตั้งตน ปล้ําปลุกกันอยู เพื่อจะใหเขาใจคําวา สิ่งทั้ง หลายทั ้งปวง ไมเที ่ย ง เปน ทุก ข เปน อนัต ตา, ไมใชสัต ว บุค คล ตัวตน เรา เขานี่ ปล้ํ า ปลุ ก กั น อยู ต ลอดเวลา ก็ ยั งรูไม ได ยั งเข า ใจไม ได . จิ ต ใจมั น ยั ง อยู ใ น ขั ้น ศีล ธรรมอยู เ สมอไป, ยัง จะมี ตัว เรา มีข องเรา มีอ ะไรของเรา. เรามีช ีว ิต ของเรา เราไม ยอมตาย เราไม อ ยากตาย, เราก็ กลั วได ต ลอดวั น ตลอดคื น ; อย างนี้ เพราะว าเราเรียน ก ข ก กา ของศี ลธรรมก็ ยั งไม จบ, แล วเราก็ เรี ยน ก ข ก กา ของ ฝ ายปรมั ตถธรรมไม ได , หรือวาได น อยเกิ นไป จนไม อาจจะปล อยวางบางอย างหรือ บางสวนออกไปได.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


๒๑๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

นี่ เป น การเปรี ย บเที ย บให เห็ น ความแตกต า งกั น ระหว า ง ก ข ก กา ๒ ชนิด ก ข ก กา ทางฝา ยศีล ธรรมเราก็ย ัง ปล้ํ า ปลุก กัน อยู ย ัง ไมจ บ, สว น ก ข ก กา ทางฝายปรมั ตถธรรมนั้น นากลัววา จะยังไมไดลงมื อเรียน เลยก็ได, หรือวาเรียนก็เรียนอยางนกแกวนกขุนทองอยางนั้นเอง.

ฝายศีลธรรมศึกษาใหรู แลวเลื่อนใหสูงขึ้นถึงปรมัตถ. เรามี ห น า ที่ ที่ จ ะต อ งเรี ย น ให ท ะลุ ไปทั้ ง ๒ ฝ า ย เราก็ ต อ งเรี ย นฝ า ยที่ ถึง เขา กอ นเปน ธรรมดา คือ ฝา ยศีล ธรรม; เพราะวา เราไมไ ดม ีบ ุญ วาสนามา มากพอ ที่ ว า เกิ ด ขึ้ น มาแล ว ก็ จ ะรู ป รมั ต ถธรรม แล ว ก็ จ ะปล อ ยวางสิ่ ง ทั้ ง ปวง, แล ว เปน พ ระอรหัน ตไ ด ตั ้ง แตอ ายุ ๑๕ ขวบ อยา งที ่ก ลา วไวใ นคัม ภีร . นั ้น เปน เรื่ อ งพิ เศษมากเกิ น ไป เราไม นึ ก ถึ ง ก็ ไ ด , เราไม ก ล า นึ ก ถึ ง . ถ า เรานึ ก ถึ ง ว า พระอรหั น ต ๑๕ ขวบก็ มี นี้ , ก็ นึ ก ถึ ง เพื่ อ ให เกิ ด กํ า ลั ง ใจ ว า เราไม ใ ช อ ายุ ๑๕ ขวบนี่ . ฉะนั้น เราควรจะพยายามทํ า อะไรไดบ า ง เพื ่อ วา จะเปน กํา ลัง ใจ สํา หรับ ทํ า ในสวนที่มันยังเปนหนาที่ของเราอยูในเวลานี้ แมในเรื่องศีลธรรม.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ า เราจะมี ศ รั ท ธา ซึ่ ง เป น ก ข ก กา ทางศี ล ธรรมนี้ เราก็ มี ศ รั ท ธาให เจริ ญ ให ก า วหน า , คื อ ให ศ รั ท ธานี่ มั น ก า วหน า ขึ้ น ไปจากความงมงาย เป น ศรั ท ธา ที่ ไม งมงาย คื อ มั น มี ป ญ ญาเข ามาทุ ก ที . เมื่ อ ก อ นนี้ เชื่ อ ตาม ๆ เขา เดี๋ ยวนี้ ก็ เชื่ อ ตั ว เองได . เมื่ อ ก อ นเชื่ อ พระพุ ท ธเจ า ก็ ยั ง ไม แ น ใ จ มั น สั ก ว า เชื่ อ ๆ ไปอย า งนั้ น เอง; ต อมามี ป ญ ญา พิ จารณาเห็ นตามนั้ น เชื่ อป ญ ญาของตั ว แล วก็ ไปตรงกั บคํ าสั่ งสอน ของพระพุทธเจา มันก็เลยเชื่อพระพุทธเจามากขึ้น.


ความแตกตางระหวางศีลธรรมกับปรมัตถธรรม

๒๑๗

ฉะนั ้น ขอบอกไวท ุก คนวา เรื ่อ งศรัท ธานี ้ ยัง มีที ่จ ะตอ งใหส ูง ยิ่ง ๆ ขึ้น ไปอี ก มาก ไม ใชมั น มีเพี ยงเท านี้ . ถูกแลวเรามี ความเชื่อ ตัวเรา วาเรามี ศรั ทธา ๑๐๐% ในพระพุ ทธเจ า; แต ว าเราเชื่ ออย างเหมา ๆ เอา ศรั ทธานั้ นยั งอาจจะ ปลู กฝ งให มั นเจริญ ให มั นรุงเรืองด วยป ญ ญาได ; โดยพิ จารณาให รูจั กพระพุ ท ธเจ า รู จ ัก พระธรรม รู จ ัก พระสงฆ ใหยิ ่ง ๆ ขึ ้น ไป, แลว ศรัท ธาจะเจริญ ยิ ่ง ขึ ้น ไป ดวยเหมือนกัน คือเปนศรัทธาที่จะกลายเปนสัมมาทิฏฐิ ไปในที่สุด. ที นี้ ก ข ก กา เกี่ ย วกั บ ศรั ท ธานี้ มั น ไปถึ ง ไหนกั น แล ว มั น แจกลู ก ไป ถึ งไหนกั น แล ว, หรื อ ว ามั น บริ สุ ท ธิ์ บ ริบู รณ ถึ งขั้ น ที่ จ ะกลายเป น ป ญ ญา, หรือ เป น ศรั ท ธา ที่ ตั้ ง รากฐานอยู บ นป ญ ญาอย า งแท จ ริ ง แล ว อย า งนี้ เป น ต น . นี้ เรี ย กว า เรี ย น ก ข ก กา ที่ เกี่ ย วกั บ ศรั ท ธา ซึ่ ง เป น เรื่ อ งทางศี ล ธรรมนั้ น ให รู เร็ ว ๆ เร็ ว ๆ ยิ่งขึ้นไปตามลําดับ. เรื่ อ งการให ท าน ก็ เหมื อ นกั น ถ า เราให ท านเพื่ อ จะเอาหน า เอาตานี้ , เราก็เ ลื ่อ นขึ ้น ไปเสีย แลว ไมใ ชใ หท านเพื ่อ เอาหนา เอาตา ใหท านเพื ่อ มัน เปน บุญ กุศ ลที่แ ทจ ริง . เมื่อ เปน บุญ เปน กุศ ลที่แ ทจ ริงแลว ก็ยังเลื่อ นตอ ขึ้น ไปอีก วา เราใหท านชนิด ที ่ไ มเ อาอะไรก็ไ ด; เพราะวา ถา เราขืน เอาอะไรไว โดยความ ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น แล ว มั น ก็ เป น เครื่ อ งหนั ก แม แ ต บุ ญ หรื อ กุ ศ ลนั้ น แหละ ถ า มี ค วาม ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น แล ว มั น ก็ จ ะเป น ของหนั ก ทั้ ง นั้ น . ฉะนั้ น ถ า เราให อ อกไป เพื่ อ ให มั น หมดความยึดมั่นถือมั่นแลว มันก็เปนของเบา; ฉะนั้น การใหทานใหถูกตองนี้ มันจึง เปน เรื่อ งให เพื่อ ใหมัน หมดความยึด มั่น ถือ มั่น , ยึด มั่น ถือ มั่น อะไรใดไว ก็ให สิ ่ง นั ้น ออกไปเสีย ใหม ัน หมดความยึด มั ่น ถือ มั ่น ; อยา งนี ้เ รีย กวา การใหท าน ของเรานั้น เจริญ งอกงาม จนกระทั่งไปเปน เรื่องของปญ ญา หรือเรื่องปรมัตถ-

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


๒๑๘

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ธรรมไปในที่ สุ ด ; ไม ใช เป น การเรี ย น ก ข ก กา อยู ที่ เรื่ อ งการให ท าน มั ว นั่ ง นั บ ว า ให ค นนั้ น จะได ห น า ตาอย า งนี้ ให อ ย า งนี้ จ ะได วิ ม านกี่ ห ลั ง อย า งนี้ เป น ต น ; ไม มั ว นั่งนับนั่งคิดอยูอยางนี้. นี้ มั น เป น เรื่ อ ง ก ข ก กา ที่ มั น มากไป มั น ก็ เป น เรื่ อ งรํ า คาญ เป น เรื่ อ ง หนัก อกหนัก ใจ จิต ใจมัน ไมเ กลี ้ย งเกลา; เพราะวา เรายึด มั ่น ถือ มั ่น ในสว น กํ า ไร ที ่เราจะไดม าจากการใหท าน. ถา ยัง ขืน ทํ า อยา งนั ้น อยู  ก็ย ัง ตอ งเรีย กวา มั ว เรี ย น ก ข ก กา ที่ เกี่ ย วกั บ การให ท านอยู นั่ น เอง, ยั งไม รู จั ก หนั งสื อ หนั ง หาที่ สู ง ขึ้นไปเกี่ยวกับการใหทาน. รัก ษาศีล ก็เ หมือ นกัน อีก ถา จะรัก ษาศีล อวดคน; นี ้ม ัน ก็เ ปน เรื ่อ ง ก ข ก กา ในเรื ่อ งการรัก ษาศีล . ถา อยา งไรก็ล องรัก ษาศีล อยา ใหใ ครมัน รู นี่บางทีจะเลื่อนชั้นไดเร็วกวา ที่จะมัวรักษาศีลอวดคน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เดี ๋ย วนี ้ก ็ม ีค นเปน อัน มาก ที ่จ ะทํ า อะไรสัก หนอ ย ก็ต อ งทํ า อวดคน นี้ มั น เป น การลดให ต่ํ าลงไป ควรจะเลิ ก ๆ กั น เสี ย บ าง; เพราะว าเรื่ อ งอวดเรื่ อ งอะไร นี้ มั น เป น เรื่ อ งยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น มั น เพิ่ ม กิ เลส. แล ว ถ า ยั ง ไม ต อ งอวดไม ใ ห ใ ครรู อ ย า งนี้ มั นไม เพิ่ มกิ เลส, มั นทํ าลายกิ เลสได มากกว า. เพราะเหตุ ฉะนั้ นแหละ ปู ย า ตา ยาย เขาจึงพูดวา ปดทองที่หลังพระนั้น มันไดบุญกวาปดทองหนาพระ; คนตองปลงตก ตอ งมีค วามคิด ที ่ถ ูก ตอ งหรือ ซื ่อ ตรง จึง จะสมัค รปด ทองขา งหลัง พระ ซึ ่ง ไมค อ ย มีใ ครเห็น . นี ้ก ็เ รีย กวา ไมทํ า อะไรเพื ่อ ใหอ วดคน; ถา ยัง ทํ า อะไรเพื ่อ อวด คนอยู มั น ก็ เป น เรื่ อ ง ก ข ก กา เหมื อ นลู ก เด็ ก ๆ เขาเรี ย น ก ข ก กา ถ าใครไปยอ ยกยอเขา เขาก็เรียนใหญอยางนี้ เพราะวาเขาเรียนอวดคน.


ความแตกตางระหวางศีลธรรมกับปรมัตถธรรม

๒๑๙

เรื่ อ งศี ล ธรรมก็ เหมื อ นกั น มั น ก็ เป น เรื่ อ ง ก ข ก กา ถ าจะให มั น ก าว หนา ก็อ ยา ไดทํ า เพื ่อ อวดคน; จะสวดมนตภ าวนา, จะเจริญ สมาธิก ัม มฏฐาน, ก็ต อ งไมเ ปน เรื ่อ งอวดคน. เดี ๋ย วนี ้แ มแ ตเ รื ่อ งวิป ส สนา เรื ่อ งอะไรตา ง ๆ มัน ก็ เป น เรื่ อ งอวดคนกั น เสี ย โดยมาก; มั น ก็ ยิ่ ง ตกต่ํ า ใหญ , มั น ตกต่ํ า ทางจิ ต ใจ, คื อ มั น ทํ า เพื่ อ จะอวดคน มั น ก็ ไปเป น ก ข ก กา อยู นั่ น เอง เพราะมั น ช ว ยส ง เสริ ม ให เกิดกิเลส. ขอให ซั ก ซ อ ม สอบสวน ซั ก ฟอก เรื่ อ ง ก ข ก กา ของตน ๆ ด วยกั น ทุกคน วา ก ข ก กา ของเรานี้ มันกาวหนามาหรือเปลา ? แมในทางศีลธรรม ก ข ก กา ทางศี ล ธรรมของเรานี้ มั น เจริ ญ รุ ง เรื อ ง มั น เติ บ โตขึ้ น มาอย า งถู ก ต อ ง หรื อ เปล า ? แล วมั นก็ จะได ไปหา ก ข ก กา ในทางฝ ายปรมั ตถธรรมซึ่ งสู งสื บ ต อไป. ก ข ก กา ทางฝ า ยศี ล ธรรม ก็ จ ะเวี ย นว า ยอยู ใ นวั ฏ ฏสงสารนี้ ทํ า ดี แ ล ว หรื อ ยั ง ? คื อ ว าทํ าให มั น พร อ มที่ จ ะขึ้ น มาจากวั ฏ ฏสงสารหรื อ ยั ง ? พอมั น พร อ มแล ว มั น ก็ จ ะ ไดออกไปจากวัฏฏสงสาร ไปตามทางของนิพพานได.

เปรียบเทียบผลการปฏิบัติศีลธรรมกับปรมัตถ. www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ ก็ จ ะเปรี ย บเที ย บให เ ห็ น ชั ด ยิ่ ง ขึ้ น ไปอี ก หน อ ย คื อ ให เ ห็ น ความ แตกตางระหวาง ก ข ศีลธรรม กับ ก ข ปรมัตถธรรม.

ถ า เรื่ อ ง ท างศี ล ธรรม มั น ก็ เ พี ยงเป น เครื่ อ งอุ น ใจ แน ใ จ หรื อ บรรเทาความกลั ว ได ต ามสมควร แต ไ ม ส ามารถจะหมดความกลั ว โดยสิ้ น เชิ ง .


๒๒๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

แตถ า เปน เรื ่อ งทางปรมัต ถธรรม นั ้น มัน อุ น ใจเกิน กวา นั ้น หรือ ทํ า ลายความ กลั ว ความวิ ต กกั งวลอะไรต า ง ๆ ได ห มดจนไม มี เหลื อ . เรื่อ งศี ล ธรรมจะกํ า จั ด ความกลัว ไดแ ตบ างระดับ อุ น ใจไดแ ตบ างระดับ , แตถ า ปรมัต ถธรรมแลว มัน จะถอนรากถอนโคน ทํ า ให ไม ต อ งกลั ว อี ก ต อ ไป คื อ มั น จะอุ น ใจได โดยอั ต โนมั ติ ; นี่มันตางกันอยูอยางนี้. และเรื ่อ งของปรมัต ถธรรมนั ้น มัน เปน เรื ่อ งที ่ถ ูก ตอ งมาตั ้ง แตต น คื อ อาศั ย ความจริ ง หรื อ ว า สั จ จะมาตั้ ง แต ต น ; ฉะนั้ น จึ ง สามารถจะเป น จุ ด ตั้ ง ต น ได ทุก แขนง แมว า เราจะปฏิบ ัต ิอ ยู ใ นโลกนี ้. ถา รู ป รมัต ถธรรมจริง ก็ย ัง ปฏิบ ัต ิไ ด ดีก วา และถา รู จ ัก ปรมัต ถธรรมจริง การตั ้ง ตน นั ้น มัน ตั ้ง ตน เพื ่อ จะบรรลุม รรค ผล นิพพาน มากกวา. ยกตั ว อย า งว า เราจะให ท านอย า งนี้ ถ า มี ค วามรู เรื่ อ งปรมั ต ถธรรมมา เปน ตน ทุน แลว มัน ก็จ ะใหท านเพื ่อ บรรลุม รรค ผล นิพ พาน เหมือ นที ่ค น แตก อ นเขาวา ใหท านนี ้ใ หเ ปน ไปเพื ่อ สิ ้น อาสวะ. นี ่ม ัน ใหท านดว ยความรู ท าง ปรมั ต ถธรรมว า อาสวะนั้ น เป น บ อ เกิ ด แห ง ความทุ ก ข ให สิ้ น อาสวะ คื อ ไม ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น . แต ถ า คนไม รู ถึ ง ขนาดนั้ น เมื่ อ ให ท านนั้ น เขาก็ จ ะอธิ ษ ฐานว า ขอให ไ ด เกิ ด ในสวรรค ขอให เกิ ด ทั น พระศรี อ าริ ย , ขอให ไ ด เกิ ด อะไรชนิ ด ที่ มี อ ะไรสวยสด งดงาม นาสนุกสนานมาก อยูเทานั้นเอง.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เราจะเห็ น ได ก ารอุ ทิ ศ ทาน หรื อ อธิ ษ ฐานผลของทานแตกต า งกั น อยู เป น ๒ อย า ง คื อ พวกหนึ่ ง ว า ให ได ไปสวรรค ได ไปสุ ค ติ มี ค วามสุ ข , เขาต อ งการ ความสุ ข ตามที่ เขาอยากจะได , ส ว นพวกหนึ่ ง เขาอธิ ษ ฐานทานของเขาว า ขอให เปนไปเพื่อความสิ้นอาสวะ. หรือใหเปนปจจัยแหงพระนิพพานในอนาคตกาล.


ความแตกตางระหวางศีลธรรมกับปรมัตถธรรม

๒๒๑

พวกหนึ่ ง ไปในความสุ ข อย า งที่ เขาต อ งการ ก็ คื อ ว า เกิ ด สวย เกิ ด รวย เป น เทวดา เป น อะไรตามที่ เขาอยากจะต อ งการก อ น, นี้ ก็ เรี ย กว า ชั้ น ศี ล ธรรม. แต ถา ตอ งการสิ้น อาสวะตอ งการนิพ พานแลว ก็เ ปน ปรมัต ถธรรม. ฉะนั้น การ ให ท านแบบหนึ่ ง ก็ เ ป น ศี ล ธรรม, การให ท านอี ก แบบหนึ่ ง ก็ เ ป น ปรมั ต ถธรรมได . เราเริ่ ม ทํ าให มั น ดี ไปโดยเร็ ว ก็ เรียกว าเราเขยิ บ ให มั น พ นจากการเรี ยน ก ข ก กา ให เปนการเรียนหนังสือหนังหา รูจักอะไรตอไปใหถึงที่สุด. ที นี้ อ ยากจะเปรี ย บกั น ว า การที่ จ ะศึ ก ษาให รู เรื่ อ งของปรมั ต ถธรรม ว า ไมค วรยึด มั ่น ถือ มั ่น ไปตั ้ง แตท ีแ รกนั ้น มัน ก็ไ มน า กลัว ไมใ ชน า กลัว . บางคน เขาว ามั นน ากลั ว ถ าจะไม เอาอะไรเสี ยเลย มั นก็ ไม ได อะไรเลย มั นว าง มั นเคว งคว าง มัน ไมไ ดอ ะไร ฉัน ไมช อบ, อยา งนี ้ก ็ม ี. นี ้เ พราะวา เขาไมเ ขา ใจเรื ่อ งพ ระนิพ พาน, เห็น วา พระนิพ พานไมไ ดอ ะไร. แลว บางคนเขา ใจไปวา พระนิพ พาน นี่ มั น จื ด ยิ่ งกว าน้ํ าจื ด มั น ไม ห วาน มั นไม เค็ ม มั น ไม มี รสอรอยอะไร อย างนี้ , เข าใจ ไปอย า งนี้ ก็ มี ; เพราะว า เขามั น ติ ด ชอบใจในรสหวาน รสเค็ ม รสมั น รสอะไร ตาง ๆ นี้ พอพูดถึงรสจืดก็เขาใจเปนวามันไมมีรสอะไร.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แตที ่จ ริง เรื ่อ งพ ระนิพ พ าน นั ่น มัน ไมใ ชจ ืด ; แตม ัน ไมรู จ ะเรีย ก วา อะไร, มัน เพีย งแตว า มัน ไมเ หมือ นอยา งที ่ค นเขาปรารถนากัน เทา นั ้น , มัน ไม ห วาน ไม ข ม ไม เค็ ม ไม เปรี้ ย ว ไม มั น ไม เผ็ ด ไม อ ะไร, คื อ มั น เป น รสที่ ไ ม มี ความทุก ขอ ะไรเลย. ไมร บกวนความรู ส ึก อะไรเลย. ถา มัน เผ็ด หรือ มัน หวาน หรือ มัน ขม หรือ มัน เปรี ้ย ว มัน รบกวนความรู ส ึก ใหลิ ้น ของเรานี ้ม ัน ป น ปว น เมื่ อเรายั งไม เบื่ อก็ ว ากั นไปได , เรายั งไม เบื่ อ เราอยากจะให ลิ้ นของเราได รั บรสแปลก ๆ รบกวนป น ป ว นอยู เรื่ อ ย ก็ ได เหมื อ นกั น , แล ว ก็ ได รสที่ เราชอบ คื อ รสหวาน รสมั น


๒๒๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

รสอะไรสุ ด แท . แต เ รื่ อ งพระนิ พ พานนั ้ น มั น ไม ม ี เ ครื่ อ งรบกวนอะไรเลย มั น จึ ง บอกไม ถู ก จะว า จื ด มั น ก็ ไม ใช , จะว า เย็ น มั น ก็ ไม ใช . ที่ จ ริ ง มั น ก็ บ อกไม ได ; แต เราก็ ต องพู ดสมมติวามั นจืดอย างยิ่ ง, หรือมั นเย็ นอยางยิ่ง, หรือมั นวิเศษอยางยิ่ ง ไปตามคําที่จะเอามาพูดใหสนใจกันขึ้นมาได. นี ่ข อใหรู จ ัก เปรีย บเทีย บวา เรื ่อ งของศีล ธรรมนี ้ มัน จะวนอยู ใ น เรื่ อ งวั ฏ ฏสงสารไปก อ น ดี ๆ สู ง ขึ้ น ไปยิ่ ง ขึ้ น ไป จนกว า จะหลุ ด พ น ออกไปได . สว นเรื่อ งปรมัต ถธรรมนั ้น มัน ไมร อเพื ่อ อยา งนั ้น มัน อยากจะออกไปจากสิ ่ง รบเรารบกวน รุงตุงนังนี้ ออกไปใหพ น เรียกวาปรมัตถธรรม. ฉะนั้น ก ข ก กา มั น ก็ ต อ งต า งกั น บ า ง, ก ข ก กา ของวั ฏ ฏสงสาร ของเวี ย นว า ยไปในวั ฏ ฏสงสาร มันก็อยางหนึ่ง, ก ข ก กา สําหรับพระนิพพาน มันก็ตองอีกอยางหนึ่ง. แล วที่ อาตมาเอามาพู ดเสี ยมากมาย เอามาซั กซ อมความเข าใจกั นเสี ยมาก มายที่ แล วมาแต หนหลั งนั้ น ก็ เรื่อง ก ข ก กา สํ าหรั บไปพระนิ พพานทั้ งนั้ น; เพราะ พุท ธบริษัท ที่แ ทจ ริง จะตอ งการเรื่อ งดับ ทุก ขแ ละไปนิพ พานทั้งนั้น , ไมตอ ง การจะมาวนเวี ยนอยู ในวั ฏ ฏสงสาร แม ชั้ น ดี เลิ ศ ชั้ นสวรรค ชั้ น สุ ดยอดอย างนี้ ก็ ไม ประสงค , ไม ต อ งการความทุ ก ข โดยประการทั้ ง ปวง จึ ง มาศึ ก ษาพระพุ ท ธศาสนา มั นเลยเหนื อความสุ ขขึ้ นไปอี ก. ความสุ ขมั นก็ รบกวน ลองมี ความสุ ขชนิ ดนั้ น ความ สุขชนิดนี้ คาวมสุขชนิดโนน มันก็รบกวน, สูอยูเหนือความสุขไปเสียไมได.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ เรารูจั กทํ าจิ ตใจให อ ยู เหนื อความสุ ข; แม ว ารางกายนี้ มั น ยั งอยู ในโลก มัน ยัง กระทบพบเห็น สิ ่ง ที ่ไ มน า รัก ไมน า พอใจอยู ใ นโลกก็ช า งมัน ; แตจ ิต ใจ ของเรานั้ น มั น อยู เหนื อ ความรบกวนเหล า นั้ น ได . แม เราจะต อ งกิ น ต อ งดื่ ม


ความแตกตางระหวางศีลธรรมกับปรมัตถธรรม

๒๒๓

ต องอาบ ต องถ าย ต องเจ็ บไข ต องเป นอะไรต าง ๆ ไปตามธรรมดาโลก ก็ ช างหั วมั น มั น ก็ เป น ไปตามเรื่ อ งของโลก; จิ ต ใจของเราให มั น อยู เหนื อ นั้ น ไว เรื่ อ ย คื อ อย า ใหม ัน เกิด ความรู ส ึก ที ่เ ปน ทุก ข เพราะสิ ่ง เหลา นั ้น ได. ถา มัน เกิด ขึ ้น ก็อ าศัย ความรู เรื่ อ งปรมั ต ถธรรม เรื่ อ งไม ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น นี้ เข า มาตั ด ออกไปเสี ย . อย า ให มันมารบกวนจิตใจใหเดือดรอนหรือเปนทุกขได. ความไข เจ็ บ นี้ มั น ต องมาแน แต ถ ามั น มาแล ว เรารู เท าทั น เราก็ หั วเราะ ได ว า เออ, นี้ มั น มาสอนให กู ฉ ลาดให รู จั ก อะไรมากขึ้ น , แล ว ก็ จ ะได หั ว เราะเยาะ ความเจ็ บความไข อะไรได มากขึ้น แล วมั นจะได หายเร็ว, หรือถ ามั นเป นความเจ็ บไข ที่ ไม อ าจจะหายได ก็ จ ะหั ว เราะว า มั น ก็ อ ย า งนั้ น . ถ า มั น เป น ความเจ็ บ ไข ที่ ทํ า ให ตอ งตาย ก็ยิ ่ง หัว เราะใหญว า ก็ด ีแ ลว กูไ มต อ งรอนาน, ไมต อ งลํ า บากนาน มั น ก็ จ ะได ต ายไปในส ว นรา งกาย. ส ว นจิ ต ใจแท จ ริ ง นั้ น ไม รู สึ ก ว า มี ตั ว กู ; เขา เรีย กว า จิ ต มั น หลุ ด พ น มั น มี แ ต จิ ต ที่ ห ลุ ด พ น จากสิ่ งที่ ม ารบกวน, จิ ต อย า งนี้ เขาไม ไดเ รีย กวา ตัว กู ไมไ ดเ รีย กวา ตัว ตน. ที ่เ รีย กวา ตัว กู เรีย กวา ตัว ตน เฉพาะ เมื่อยังไมรูธรรมะ หลงไปวาเปนตัวกู หลงไปวาเปนตัวตน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เดี๋ ย วนี้ เรายั ง มี ตั ว กู และยั ง มี ตั ว ตน เพราะเรา ยั ง ไม รู ธ รรมะ เราก็ ใชขอ นี้แ หละเปน เครื่อ งมือ สํา หรับ แกลํา ใหตัว กูมัน ชว งลา งตัว กู, ใหตัว กู มั น ฉลาดขึ้ น ๆ, แล วมั น ช วยเพิ ก ถอนตั วกู , ถ าความตายมา ก็ ดี เหมื อ นกั น มั น จะ ได ดั บ ถ ามั น ไม ม า ก็ ดี เหมื อ นกั น ยั งจะได ทํ าประโยชน ต อ ไป; แต แ ล วก็ ไม ใช เพื่ อ ตั วกู มั น ก็ เลยไม มี ค วามทุ ก ข ไม มี ค วามทุ ก ข อ ะไรกั บ ใคร. นี้ เขาเรี ย กว า ปรมั ต ถธรรม คิ ด ดู เถอะว า มั น ปรมั ต ถ ห รื อ ไม ป รมั ต ถ ? มั น ลึ ก ซึ้ ง หรื อ ไม ลึ ก ซึ้ ง ? มั น ลึ ก ซึ้งถึงขนาดที่ไมมีตัวตนไมมีตัวกู ขนาดที่เปนทุกขไมได.


๒๒๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ฉะนั้ น การที่ ว า เราเริ่ ม เข า มาสู ศ าสนานี้ เริ่ ม เข า วั ด เข า วา เป น คนโง มาเข าวั ดเข าวานี้ เราก็ จะเรียน ก ข ก กา เรื่องศี ลธรรมไปก อนก็ ได คื อทํ าบุ ญให ทาน ไปตามเรื่อ งเพื่ อ มี ตั ว กู ที่ ดี ก ว า ไปอย า งนี้ ก็ ได มั น ก็ ถู ก เหมื อ นกั น ; แต ว า ถ า ใครจะ สมั ค รเรียนเรื่องไม มี ตั วกู มี แต สั งขารเป น ไปตามเหตุ ต ามป จจั ย ไม ใช ตั วกู อย างนี้ มัน ก็ไ ดเ หมือ นกัน มัน ยากลํ า บากหนอ ย; แตถ า วา โชคดี มีผู ส อนดี มีผู แ นะดี มีสิ่งแวดลอมดี มันก็เขาใจได. ให นึ ก ถึ งที่ ว า พระอรหั น ต อ ายุ ๑๕ ขวบก็ มี ได แม ว า เป น กรณี พิ เศษ. เดี๋ ย วนี้ เ ราก็ ไ ม ใ ช ค นอายุ ๑๕ ขวบแล ว , เราเกิ ด มา ๒๐ ป ๓๐ ป ๔๐-๕๐ ป กั น แล ว ก็ มี , ก็ พ อจะนึ ก ได วา ถ าเราอย าไปยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น อะไร เราก็ ไม มี ค วาม ทุก ขแ น. ฉะนั้น ทํ า อะไรก็ทํ า ไปโดยไมตอ งยึด มั ่น ถือ มั ่น อยา งนี้ม ัน ไปเร็ว กว ากั นมาก, มั นเหมื อนกั บวามี โชคดี มี บุ ญ วาสนามาก เรียน ก ข ก กา พั กเดี ยว จบหมด. เมื่ อคนอื่ นเรียนตั้ งหลายป เราเรียนพั กเดี ยวจบหมด นี่ จะไม ดี หรืออย างไร, มั น เป น คนรู เร็ ว เป น คนฉลาด, เป น คนรู ได ง า ย, เรี ย นอะไรพั ก เดี ย วก็ จ บได ห มด มันก็ดีเหมือนกัน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ เรี ยกว า ให รู จั กเปรี ยบเที ยบว า เราจะตั้ งต น ก ข ก กา แบบศี ลธรรม เรื่ อ ย ๆ ไปแล ว ก็ คู ๆ กั น ไปกั บ เรื่ อ งปรมั ต ถธรรมมั น ก็ ได , และบางคนมั น เก ง กว า นั้ น ตั้ ง ต น เรื่ อ งทางปรมั ต ถธรรมเลยก็ ได , เพราะว า ถ า หาก ตั้ ง ต น ทางปรมั ต ถธรรมถูก มัน ก็ไ มเ ปน ขา ศึก แกเ รื่อ งทางศีล ธรรมอะไร; แตจ ะกลับ ทํา ใหมี ศีลธรรมถูก มีศีลธรรมดี มีศีลธรรมเร็วยิ่ง ๆ ขึ้นไปกวาเสียอีก. นี้ก็อยากจะบอกวา เรื่องปรมั ต ถธรรมนั้ น มั นเป น เรื่องจริงแท ข อง ธรรมชาติ , แล ว มั น เป น เรื่อ งศึ ก ษาธรรมชาติ ข องคนฉลาด. ส ว น เรื่ อ งศี ล ธรรม


ความแตกตางระหวางศีลธรรมกับปรมัตถธรรม

๒๒๕

นั้ น ไมไดเพ งเล็งถึงธรรมชาติอันกวางขวางอยางนั้ น เพ งเล็ งถึงป ญ หาเฉพาะคน คือ วา คนมั น หม น หมองใจเป น ทุ ก ข ไม รูวาจะตั้ งจิ ต ตั้ งใจไวอ ย างไร เขาก็ มี ระบอบทางศีล ธรรมเขา มา ให วา ใหเชื ่อ อยา งนี ้ ใหก ระทํ า อยา งนี ้ ใหข วนขวายไปอย า งนี้ แล ว ความทุ ก ข นั้ น มั น ก็ จ ะน อ ยไปเอง, นี่ อ ย า งนี้ ก็ ได มั น ก็ มี เหมื อ นกั น ว าให เชื่ อ อย างนี้ ให ให ท านอย างนี้ ให รัก ษาศี ล อย างนี้ ก็ ทํ าไป, ก็ ข จั ด ความทุ ก ขไปได เหมื อ นกัน ที ล ะน อ ยหรือ ตามลํ าดั บ อย างเรียน ก ข ก กา ไป ตามลําดับ. แตถาจะเรียน ก ข ก กา อยางพระปรมั ต ถ นั้น มัน กระโดดไปเรีย น เรื่อง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เลย; แมแตเนื้อหนังรางกายของเรา ของตน ของกู อะไรก็ ต ามนี้ มั น ก็ เป น อนิ จฺ จํ ทุ กฺ ขํ อนตฺ ต า คื อ ไม ใช ข องกู ; เมื่ อ ตั ว กู นี้ ก็ ไม ใช ตัวกู คือวา มันเปน อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา แลวสิ่งตาง ๆ ที่เปนทรัพยสมบัติของตัวกู มันก็อยางเดียวกันอีก แมแตบุญกุศลมันก็เปนอยางเดียวกันอีก.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้ น เราต อ งการจิ ต ที่ ไ ม ยึ ด ถื อ อะไร นั่ น แหละคื อ เป น จิ ต ที่ ไ ม มี ความทุ ก ข , เป น จิ ต ที่ ได รั บ ความไม มี ทุ ก ข เลย ประเสริ ฐ ที่ ต รงนั้ น . มั น ประเสริ ฐ กวาจิ ตที่ ได รับสิ่ งที่ มี ความทุ กขน อยหน อย มี ความทุ กข น อยหน อยแต ยั งมี ความทุ กข , และมี ค วามทุ ก ข น อ ยหน อ ยเรื่ อ ย ๆ ไปกว า จะหมดทุ ก ข . นั้ น มั น ก็ อี ก แบบหนึ่ ง แบบที ่ม ัน ไปอยา งอื ่น ไมไ ด แลว ก็ม ีค วามทุก ขร อ งไหไ ปพลางก็ทํ า บุญ ไปพลาง; ก็ไ ดร อ งไหน อ ยลงหนอ ย, แลว ก็ทํ า บุญ มากขึ ้น หนอ ย ก็ร อ งไหน อ ยลงหนอ ย จนกวาจะไมรองไห.


๒๒๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

แต ถ า มั น มี วิ ธี อื่ น มั น มี ถึ ง กั บ ที่ ว า ไม ต อ งร อ งไห เ ลย อย า งนี้ มั น ก็ มี เหมื อ นกั น . ถ า พระพุ ท ธเจ า มาโปรดสั ต ว ท า นโปรดวิ ธ ี อ ย า งที ่ เ รี ย กว า ไมต อ งรอ งไหทั ้ง นั ้น . สว นวิธ ีที ่จ ะรอ งไหไ ปพลางนี ้ เขาก็ทํ า กัน อยู ทั ่ว ๆ ไป, เว น ไว แ ต สั ต ว ที่ มั น จะทํ า อย า งดี ที่ สุ ด ไม ไ ด มั น ก็ ทํ า อย า งดี น อ ย ๆ ดี ร อง ๆ ลงมา; อย างนี้ ก็ เรี ยกว าทํ าไปพลางก็ แล วกั น. แต ว าใครจะสมั ครใจทํ าอย างยื ดเยื้ อ ยื ดยาด ยื ด ยาวอย า งนี้ อ ยู อ ย า งนั้ น มั น ก็ ค งไม ถู ก แน , และถ า มองเห็ น ว า มั น มี วิ ธี ที่ จ ะทํ า ให เร็วกวานั้น มันก็คงเลือกเอาวิธีเร็วกวานั้นกันทั้งนั้น.

ถึงนิพพานเร็วไดโดยทางปรมัตถ. แล ว มั น มี ป ญ หาอยู ที่ ว า จะพบวิ ธี อ ย า งนั้ น ได อ ย า งไร มั น จะเป น โชคดี หรื อ ไม ที่ ว า จะได ฟ ง พระธรรมคํ า สอนของพระพุ ท ธเจ า โดยตรงโดยแท จ ริ ง ที่ จ ะ ให เพิ กถอนความยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น เสี ย ได ห รื อ ไม ? มั น เป น อย างนี้ ต างหาก หรื อ ว าถ าจะ มองไปที่ บุ ค คลนั้ น บางที อุ ป นิ สั ย มั น ยั ง ต่ํ า มั น ยั ง เข า ใจไม ไ ด มั น ยั ง มื ด มนท เกิ น ไปก็ ไ ด . แต ใ ครบ า งจะไปประณามตั ว เองว า เป น คนมื ด มื ด มนท จ นไม รู จั ก ลื ม หู ลื ม ตาเสี ย เลย นี้ มั น ก็ ไ ม มี . เราไม อ ยากจะเป น คนมื ด มนท ถึ ง ขนาดนั้ น . ถ า ว า เรา ยั งมื ด มนท เราก็ สมั ค รที่ จะเป นคนมื ด มนท แต น อ ย; แล วเราก็ อ ยากที่ จะให มั นสว างไสวโดยเร็ ว อยากจะให ค วามมื ด มนท น อ ย ๆ มั น หมดไปโดยเร็ ว , ให เป น สว า งไสว ลื ม หู ลื ม ตา เห็ น แจ ง แก พ ระนิ พ พาน, ทํ า พระนิ พ พานให แ จ ง นี้ โดยเร็ ว ที่ นี่ แ ละ เดี๋ย วนี ้. ฉะนั้น ควรจะหมายมั ่น กัน อยา งนี ้ วา ใหม ัน โชคดี ใหไ ดฟ ง คํ า สั ่ง สอน ที่ถูก ตอ ง, และใหไ ดเ ขา ใจคํา สั่ง สอนนั้น โดยชัด เจนและโดยเร็ว ใหค วาม มืดมนทมันหายไปโดยเร็ว. นี้เรียกวา ไปตามทางของพระนิพพาน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


ความแตกตางระหวางศีลธรรมกับปรมัตถธรรม

๒๒๗

ไปตามทางพระนิ พ พานก็ จ ะตั้ ง ต น โดยวิ ธี ก ข ก กา ของพระนิพ พาน คือ เรีย นใหรู ใหเ ขา ใจ เรื่อ งธาตุทั้ง ปวง ที่ไ ดโ อกาสแลว ก็ป รุง กัน ขึ้น มาเปน อายตนะ แลว ก็ป รุง ขึ้น มาเปน ขัน ธ ปรุง ขึ ้น มาเปน อุป าทานขัน ธ แล ว เป น ทุ ก ข แล ว ก็ ดั บ ไปเป น คราว ๆ, เห็ น ว า มั น เป น สั ก ว า ธาตุ ต ามธรรมชาติ อยา งนี ้ ไมใ ชต ัว เรา ไมใ ชข องเรา ที ่ต รงไหนเลย คือ ก ข ก กา สํ า หรับ ปรมัตถธรรม จะพู ด ซ้ํ า แล วซ้ํ าเล าสั ก กี่ ค รั้ ง กี่ ร อ ยครั้ ง กี่ พั น ครั้ ง ก็ พู ด อย างนี้ เท า นั้ น วามันมีแตสิ่งที่เรียกวาธาตุ ที่เปนอยูตามธรรมชาติ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ํา ธาตุไฟ ธาตุ ล ม ธาตุ อ ากาศ ธาตุ วิ ญ ญาณนี้ ๖ ธาตุ . แล ว ก็ มี ธาตุ ต า ธาตุ หู ธาตุ จ มู ก ธาตุ ลิ้ น ธาตุ ก าย ธาตุ ใจ ที่ ป รุงออกมาตามธรรมชาติ จ ากธาตุ นั้ น ๆ. แลวก็ มี ธาตุ รูป เสี ยง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั มมารมณ ข างนอก แล วมากระทบกั น เข ากั บ ธาตุ ข า งใน เกิ ด เป น ผั ส สะ อย า งนี้ ก็ เ รี ย กว า ธาตุ เ หล า นั้ น ได ป รุ ง ขึ้ น มาเป น อายตนะ กระทบกั น เป น ผั ส สะ, แล ว ก็ มี เวทนา มี สั ญ ญา มี สั ง ขาร ที่ เรี ย กว า ขันธ ๕ เปนอยางนี้อยูทุก ๆ ๆ ไมเวนแตละวัน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แต จิ ต นี้ มั น ยั ง โง จิ ต นี้ มั น ยั ง มื ด อยู มั น ไม รู สึ ก ว า นี้ เป น ไปสั ก ว า ธาตุ ตามธรรมชาติ . จิ ต นี้ จ ะรู สึ ก ว าเป น ตั ว กู เป น ตั ว ตน เป น ของตน กู ได เห็ น กู ได ยิ น กู ได อ ะไรต าง ๆ แล วกู ต อ งการอย างนั้ น กู ต องการอย างนี้ กู จะทํ าให ม ากขึ้ น ไปอี ก จะไดอ ยา งนั ้น จะไดอ ยา งนี ้ มัน มีต ัว กูเ รื ่อ ย; นี ้เ รีย กวา เปน จิต ที ่ไ มรู  เปน จิต ที่ ไมรู ก ข ก กา ของพระนิพพานเลย.


๒๒๘

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

นี่ เรามาพู ด กั น เพื่ อ ให รู เพื่ อ ให จิ ต นี้ รู ว า มี สั ก ธาตุ ต ามธรรมชาติ ป รุ ง แตง เปน อายตนะ ปรุง แตง เปน ขัน ธ เปน อุป าทานขัน ธ แลว เปน ทุก ข. ฉะนั ้น จึ ง ขอร อ งซ้ํ า แล ว ซ้ํ า เล า อี ก ว า ให เข า ใจเรื่ อ งธาตุ ก อ นเป น เรื่ อ งแรก, แล ว เข า ใจ เรื่ องอายตนะที่ จะปรุ งเป น ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ขณะหนึ่ ง ๆ ๆ แล วก็ จะปรุ งเป น วิ ญ ญาณทางตา ทางหู ฯลฯ, แล ว มี เวทนาทางตา ทางหู ฯลฯ, แล ว ก็ มี สั ญ ญา มั่ น หมายเวทนานั้ น อย า งนั้ น อย า งนี้ ของกู อ ย า งนั้ น อย า งนี้ , แล ว มี สั ง ขารคิ ด นึ ก อย างนั้ นอย างนี้ ว าล วนแต เป นสั กว ารู ป เวทนา สั ญ ญา สั งขาร วิ ญ ญาณ ไม ใช ตั ว ไมใชตน ไมใชคนอยางนี้อยูทุกวัน ๆ. นี่ ค นเรี ย นลั ด ชนิ ด ที่ ว า จะเป น พระอรหั น ต ไ ด ใ นอายุ ๑๕ ขวบ เป น เด็ กอายุ ๑๕ ขวบนี้ ก็ เรี ยกว า มั น ยั งโชคดี น อยกว า ว าคนโต ๆ อายุ ๕๐, ๖๐ ขวบ อาจจะรู ได เร็ ว กว า เด็ ก อายุ ๑๕ ขวบ ถ า มี ก ารสอน หรื อ ว า ได ยิ น ได ฟ ง ได ป ฏิ บั ติ ใหมันถูกทาง.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ขอให ทุ ก คนรู ว า มั น มี จุ ด ตั้ ง ต น อยู ๒ แผนกอย า งนี้ จะเลื อ กเอาอย า ง ไหนก็ เลื อ กเอาเถิ ด . จะเลื อ กเอา ก ข ก กา ทางศี ล ธรรมเรื่ อ ย ๆ มา อย างที่ เป น มา แลว ก็ไ ด มัน ไมผ ิด อะไร; แตม ัน ก็ช า ก็อ ืด อาด . แตจ ะเลือ กเอา ก ข ก กา ทางปรมั ต ถธรรม คื อ ก ข ก กา ของพระนิ พ พานก็ ได ; แต ต อ งตั้ ง อกตั้ ง ใจเป น พิ เศษ, ต อ งจริ ง กั น หน อ ย ต อ งใช ส ติ ป ญ ญามาก. ต อ งศึ ก ษาให เข า ใจเรื่ อ งธาตุ เรื่ อ งอายตนะ แล ว ก็ เ รื่ อ งขั น ธ เรื่ อ งอุ ป าทานขั น ธ เรื่ อ งทุ ก ข เรื่ อ งดั บ ทุ ก ข คื อ เรื่ อ งมรรค ผล นิ พ พาน ลั ด ตรงไปยั ง นิ พ พาน. ตั้ ง ต น ที่ ธาตุ ที่ ไ ม ใ ช สั ต ว บุ ค คล ตั ว ตน เรา เขา นี่ , แล ว ก็ รู ค วามจริ ง เรื่ อ ยไปจนไม ยึ ด มั่ น แลวก็เปนนิพพาน นี่ ก ข ก กา ของปรมัตถธรรม. .... .... .... ....


ความแตกตางระหวางศีลธรรมกับปรมัตถธรรม

๒๒๙

วั นนี้ เพี ยงแต เอามาเปรี ยบเที ยบกั นให ดู ว า ก ข ก กา ทางศี ลธรรม ซึ่ ง เราคลานงุม งามกั น มาเป น เวลาหลายป ห ลายสิ บ ป แล ว มั น ก็ มี อ ยู แบบหนึ่ ง; มั น ไม ผิด อะไร มัน เปน เพีย งเทา นั ้น . มัน เปน เพีย งมีโ ชคดีเ ทา นั ้น ไมม ีโ ชคดีก วา นั ้น , ที นี้ อี ก แบบหนึ่ ง เป น ก ข ก กา ทางปรมั ต ถธรรม สํ า หรั บ เรื่ อ งที่ มี โชคดี ก ว า เร็ ว กว า , ก็ ศึ ก ษาเรื่ อ งธาตุ เรื่ อ งอายตนะ เรื่ อ งขั น ธ เรื่ อ งอุ ป าทานขั น ธ เรื่ อ งทุ ก ข เรื่องดับทุกข เรื่องมรรค ผล นิพพาน ตรงไปนั่น. ถ าจะมาต อชนกั น ก็ หมายความว า ก ข ก กา ทางศี ลธรรมนั้ น อุ ตส าห ทํ าความดี สรางสมความดี ๆ ๆ เรื่อ ยมา ก็ อ ยู ด วยความดี แล วก็ มี ค วามทุ กข ตาม แบบของคนดี เรื่ อ ย ๆ มา จนทนไม ไ หว, จนว า อยากจะพ น ไปจากนี้ อี ก ที ; แล ว มั นก็ กระโดดข ามไปฝ าย ก ข ก กา ทางปรมั ตถธรรม คื อไม สนใจกั บความดี , สนใจ แตจ ะหลุด พน จากความทุก ขทั ้ง ปวง, ทุก ขอ ยา งเลวก็ไ มเ อา, ทุก ขอ ยา งกลาง ก็ไมเอา, ทุกขอยางดีที่สุดก็ไมเอา, จะเอาแตเรื่องไมทุกขทาเดียวเทานั้น นี่มัน เป น เรื่อ งของปรมั ต ถธรรม. ลองคิ ด ๆ ดู ไปตามคํ าที่ พู ด นี้ แล วก็ จะเขาใจความ แตกต า งว า มั น แตกต า งกั น อย า งไร. ระหว า งการเรี ย น ก ข ก กา ทางศี ล ธรรม และการเรียน ก ข ก กา ทางปรมัตถธรรม ?

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เอาละ ที นี้ ก็ สรุปความตอนท ายนี้ วา ก ข ก กา ทางศี ลธรรมนั้ น มั น ตั ้ง ตน ขึ ้น จากความเชื ่อ แลว มัน ก็ไ ปตามอํ า นาจของความเชื ่อ , หรือ ผลแหง ความเชื่ อ . เราไม มี ป ญ ญาเห็ น ได เอง เราก็ ต อ งเชื่ อ ไปก อ น. นี่ ก ข ก กา ทาง ศี ล ธรรม ตั้ งต น ขึ้ น มาจากความเชื่ อ แล วก็ เป น ไปตามอํ านาจของความเชื่ อ เรื่อ ย ๆ ไป แลว ก็ม ีผ ลแหง ความเชื ่อ ที ่ไ ดเ ชื ่อ แลว มีผ ลอยา งไร นั ่น แหละเปน เครื ่อ ง รับ รอง มั น ก็ ดํ าเนิ น ไปได ต ามอํ า นาจของความเชื่ อ . นี้ มั น ระยะหนึ่ ง จนกวา จะถึ ง


๒๓๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

หัวเลี้ยวหั วต อ ซึ่งจะเป น เรื่อง ก ข ก กา ทางฝ ายปรมั ต ถธรรม ที่ มั น ตั้ งต น ขึ้ น ดวยสติปญญา ไปตามอํานาจของเหตุผล. เหตุ ผ ลนี้ จะโดยคํ านวณใครค รวญก็ ได ในขั้ น ต น ก็ เหตุ ผ ลใครค รวญ คํ า นวณทั ้ง นั ้น . ตอ มามัน ก็เ หตุผ ลจากความสัง เกตเห็น , แลว รู ส ึก ไดใ นใจเอง. นี่ ก็ เป น เหตุ ผ ลที่ จ ริ ง กว า จนกระทั่ ง ว า เมื่ อ ไรมั น ไม ต อ งใช เหตุ ผ ล เมื่ อ นั้ น มั น ก็ พนจากความเปน ก ข ก กา. ถ ายั งอาศั ยความเชื่ อ ความเชื่ อ ช วยพาไป ๆ ก็ ยั งเป น ก ข ก กา แบบ ศี ล ธรรม, ถ า อาศั ย การตั้ ง ต น ที่ ป ญ ญาที่ อ ยู ใ นอํ า นาจแห ง เหตุ ผ ล, เป น ไปตาม อํ า นาจแหง เหตุผ ล. นี ้ก ็เ ปน ก ข ก กา ทางปรมัต ถธรรม. ถา มัน เปน ไปหนัก เข า ๆ มั นก็ อยู เหนื อเหตุ ผล เป นป ญญาสมบู รณ นี้ มั นก็ เลิ กความเป น ก ข ก กา มั น ไมมีความเปน ก ข ก กา อีกตอไป.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ ถ าว าเราจะมาเหลื อบตาดู โดยเล็ งเอาพระนิ พ พานเป น จุ ด หมายกั น แล ว ก็ ล องคํ านวณดู เองว า เรากํ าลั งงุม ง ามอยู ที่ ก ข ก กา ในขั้ น ไหน อย างไร ? ถ า สมมติ ว า ใครเอาหรื อ ไม เอาก็ สุ ด แท แ ต . อยากจะสมมติ ว า ถ า จะเพ ง เล็ ง เอา พระนิ พ พานเป นเป าหมายกั นแล ว เดี๋ ยวนี้ เรากํ าลั งคลานงุม ง าม ๆ อยู ที่ ก ข ก กา ประเภทไหน ? ที่ ก ข ก กา ประเภทศี ลธรรม หรื อว า ก ข ก กา ประเภทปรมั ต ถธรรม ? อยู ที่ ประเภทไหน และได มากน อยเท าไร ? และอย างไร ? นี่ จะได เห็ นชั ดเจน ยิ่ งขึ้ นไป ว ามั นมี ความแตกต างกั นอย างไร ในระหว าง ก ข ก กา ทางศี ลธรรม กั บ ก ข ก กา ทางปรมั ต ถธรรม, นี้ พ วกหนึ่ ง . กั บ พวกที่ ไม ต อ งเรี ย น ก ข ก กา อี ก


ความแตกตางระหวางศีลธรรมกับปรมัตถธรรม

๒๓๑

ตอไป เพราะวาเขาถึงฝงถึงตลิ่งแหงการศึกษาแลว; นี่ไมตองเรียน ก ข ก กา กันอีกตอไป มันก็ตางกันมาก. ทีนี้ในพวกที่ยังตองเรียน ก ข ก กา นี้ มันก็ยังตางกันมาก คือพวก หนึ่งก็คลายตวมเตี้ยมอยูที่ ก ข ก กา ประเภทหนึ่ง, พวกหนึ่งก็กําลังวิ่งไปอยางเรียก วา ก ข ก กา ประเภทลัด, ประเภทเรียนลัด และตรงแลวเร็ว คือเรียนตั้งตนดวย การไมมีตัวตนไปจากเรื่องธาตุตามธรรมชาติ เปนไปตามกฎเกณฑแหงอิทัปปจจยตา ไมมีตัวกู ไมมีของกู นี้มันก็เร็ว. นี่เราจะอยูในพวกไหน ก็คงจะรูจักตัวเองได; แตแลวก็ใหเขาใจวา มันไมมีผิดแลว ไมมีพวกไหนผิดแลว มีอยูแตวา ควรจะไปใหเร็วกวานั้น ใหถูกยิ่งขึ้นไปกวานั้น นั่นแหละจึงจะเรียกวา เปนผูไมประมาท. อยามัวประมาท เกี่ยวกับเวลา เกี่ยวกับอายุ เกี่ยวกับรางกายสบายดี เกี่ยวกับมีกินมีใชอยู, อยา มัวประมาทดวยเรื่องอยางนั้นอยู. รีบพยายามทําจิตใจใหมันถึงขั้นสวางไสว หลุด พนไมมีความทุกข ไมเกิดความทุกข, มีอะไรเขามาทําใหมีความทุกข ก็หัวเราะเยาะ ได แลวก็ไลตะเพิดใหมันกลับไป. วันคืนลวงไปโดยไมตองมีความเปนทุกขเลย นั่นคือวามันรูแลว ไมตองมัวเรียน ก ข ก กา อยูตอไปแลว.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เอาละเดี๋ยวนี้เราก็พูดถึงความแตกตางระหวาง ก ข ก กา ๒ ชนิด ให เห็นความแตกตางที่วา ควรจะเลือกกันอยางไร พอสมควรแกเวลาแลว ไวโอกาสหนา ก็จะพูดถึงเรื่อง ก ข ก กา สําหรับพระนิพพานโดยตรง สืบตอไป.

ตอไปนี้ก็ใหโอกาสแกพระสงฆทานไดสวดธรรมปริยาย สงเสริมศรัทธา ความเชื่อหรือความกลาหาญ ในการเรียนพระศาสนานี้ ตามควรแกเวลาตอไปอีก ขอนิมนตได. _____________


ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

- ๙ ๒ มีนาคม ๒๕๑๗

ก ข ก กา ของนิพพาน. ทานสาธุชน ผูมีความสนใจในธรรม ทั้งหลาย, การบรรยายประจําวันเสารในวันนี้ เปนครั้งที่ ๙ แหงภาคมาฆบูชา ซึ่งจะ ไดกลาวโดยหัวขอใหญ ที่เรียกวา ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา ตอไปตามเดิม แตวาในวันนี้จะไดกลาวโดยหัวขอยอยแยกออกมา วา ก ข ก กา ของนิพพาน. [ปรารภและทบทวน. ]

ในครั้งที่แลวมา ไดมีการเปรียบเทียบใหเห็นความแตกตาง ระหวาง ก ข ก กา ทางศีลธรรม กับ ก ข ก กา ทางปรมัตถธรรม. ถาทานทั้งหลายมีความเขาใจ ในความแตกตางอันนี้ ก็ยอมเปนการงาย ที่จะเขาใจไดวา ก ข ก กา แหงพระนิพพานนั้นเปนอยางไร.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ขอใหทบทวนดูใหดีวา ก ข ก กา ของศีลธรรมนั้น มันเปนเรื่อง หนึ่งตางหาก คือ เปนเรื่องในเบื้องตนของคนทั่วไป, และเปนเรื่องที่กลาวโดย

๒๓๒


ก ข ก กา ของนิพพาน

๒๓๓

ภาษาคน, และเปนเรื่องที่กลาวสําหรับบุคคล ผูยังมีความรูสึกวามีตัวมีตน มีอะไรเปนของตน สําหรับจะยึดมั่นถือมั่น จึงตองมีระเบียบทางศีลธรรม ซึ่ง เปนเครื่องควบคุมใหคนเหลานั้น ยึดมั่นถือมั่นแตในทางที่ถูกที่ควร. และให ยึดมั่นนอยลง ๆ เพราะวาความยึดมั่นนั้นเปนทุกข จนกวาเมื่อไรเขาจะมองเห็นวา ความยึดมั่นนี้เปนทุกข ก็เริ่มเบื่อหนายตอการที่จะยึดมั่น เรื่องของศีลธรรม ก็มา สิ้นสุดกันที่ตรงนี้. ตอแตนั้นไป ก็เปนเรื่องทางปรมัตถธรรม ของบุคคลผูจะไมยึดมั่น ถือมั่น เห็นโทษแหงความยึดมั่นถือมั่น พรอมกับการเห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวง โดยความเปนสิ่งที่ไมควรจะถือวา เปนตัวเราหรือเปนของเรา, คือเห็นเปน ธรรมชาติ ไ ปทั้ ง นั้ น . นี้ ก็ เ ป น เรื่ อ งทางปรมั ต ถธรรม ของบุ ค คลผู เ ห็ น ธรรมะในชั้นลึก. นี่แหละคือขอที่มันแตกตางกันอยูเปน ๒ อยาง หรือเปน ๒ ชั้น. ชั้นศีลธรรม ก็เพื่อประโยชนแกการที่จะเวียนวายไปในโลกอยางดี เวียนวายใหดี อยูในสภาพที่เรียกกันวาดี. ครั้นมองเห็นวาการเวียนวายนั้น แมจะดีอยางไร ก็ยังเปนไปเพื่อความทุกข. จึงอยากจะไมตองเวียนวาย คือ ไมตองเปนไปตามกระแสโลกนั่นเอง.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org พิจารณาใหเห็นความแตกตางของโลกิยะกับโลกุตตระ. ขอใหทานในใจใหเห็นแจงชัด ในความแตกตาง ระหวางโลกิยธรรม ธรรมะที่ประพฤติเปนไปเพื่อประโยชนในโลก กับ โลกุตตระธรรม ธรรมที่จะอยู เหนือโลก ขามขึ้นพนจากโลก วามันมีอยูอยางนี้.


๒๓๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

การพิจารณาเชนนี้ มีประโยชนอยูในตัวมันเอง คือวาเมื่อยิ่งพิจารณา โลกไปเทาไร ก็จะยิ่งรูจักโลก และไมหลงใหลในโลก มากขึ้นเทานั้น, ความ หลงใหลในกาลกอน มันก็เบาบางไป. พิจารณาใหเห็นโลก ใหรูจักโลก ใน ทุกแงทุกมุม, หรือที่สําคัญที่สุด ก็คือ การปฏิบัติตนอยูในโลกเพื่อประโยชน อะไร ? แลวผลที่ไดที่ดีที่สุดนั้นเปนอยางไร ? นี่พิจารณาอยูอยางนี้ ก็ทําใหรูจัก โลกดีขึ้น. ถาพิจารณาในสวนโลกุตตระ แมวาจะเปนการพยายามที่จะพิจารณา ทั้งที่ยังไมเห็นอยู ก็ยังมีประโยชนอยูนั่นเอง คือ จะเปนชองทาง ที่จะใหเห็น สิ่งที่ลึกกวาหรือเหนือกวา สําหรับจะเปนที่หลบหลีกจากความทุกข หรือความ ยากลําบาก ที่จะตองเปนไปในโลก หรือเปนไปตามกระแสโลก. ทีนี้คนบางคนก็จะไมเขาใจ คือ เขาใจผิด ถึงกับวามันอยูกันคนละทิศ คนละทาง เหมือนกับที่เขาใจกันโดยมาก วาโลกุตตระนั้นมันอยูที่ไหนก็ไมรู คือมันอยูไกลไปยิ่งกวาที่จะเรียกวา นอกฟาหิมพานต. นี่เพราะวาเขาจะไดรับการ สั่งสอนมาผิด ๆ หรืออะไรก็ตามที ทําใหเกิดความเขาใจอยางนี้กันอยูโดยมาก.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เมื่อเรื่องนี้ไมไดบีบคั้นอะไร ใหตองสนใจมากเปนพิเศษ ก็เลยปลอย ไวอยางนั้น, จนกระทั่งบัดนี้ มันก็ยังเปนอยางนั้น จนกระทั่งจะตายไป มันก็ตาย ไปดวยความรูสึกอยางนั้น. นี่เรียกวาเกิดมาทีหนึ่ง ก็ไมรูทิศเหนือ ทิศใต ไมรูวาจะไปกันทางไหน.


ก ข ก กา ของนิพพาน

๒๓๕

ถาไดรับการแนะนําที่ดี ไดยินไดฟงคําสอนในพระพุทธศาสนาของ พระอริยเจา อยางถูกตองแลว ก็จะรูไดวา ทั้งหมดนี้มันอยูในจิต หรืออยูใน สิ่งที่เรียกวาจิต. ในคนคนหนึ่งนี้ถาจิตคิดผิด หรือถึงกับตั้งจิตไวผิด โลกนี้ มันก็เปนภัยเปนอันตราย หรือเปนความทุกข แกจิตชนิดนั้น; เพราะวาจิต ชนิดนั้นมันยังเปนจิตที่โง, หรือเปนจิตที่ยังเปนโลก ๆ มากเกินไป, ไมรูจักสิ่งที่ เรียกวาโลก. โลกนี้มันก็หุมหอเอา จึงเปนจิตที่มีความทุกข เนื่องมาจากสิ่ง ที่แวดลอมอยูรอบ ๆ ตัว คือโลกนั่นเอง. ความเปนอยางนี้ ก็เรียกวาเปนภาวะที่ อยูในโลก หรืออยูภายใตโลกดวยซ้ําไป. ทีนี้ในทางที่ตรงกันขาม ถาวาจิตนั้นไดอบรมดี, มีความเขาใจดีใน ธรรมะ ในชั้นที่เปนปรมัตถธรรม จิตนั้นก็เปนจิตที่แจมแจงสวางไสว หรือจะ เรียกวา เปนจิตที่ตั้งไวถูกตอง, อะไร ๆ ในโลกนี้ก็ไมสามารถทําจิตชนิดนี้ให เปนทุกขได, เพราะสิ่งทั้งหลายจะแวดลอมเขามาที่จิตอยางไร จิตก็อยูเหนือสิ่ง เหลานั้น ทุกอยางไป ทุกทีไป ทุกหนทุกแหง. จิตที่อบรมดี ตั้งไวดี ยอมมี ลักษณะอยูเหนือความบีบคั้น หรือความทวมทับ ของสิ่งที่เรียกวาโลก ภาวะ ของจิตชนิดนี้จึงเรียกวา เปนโลกุตระภาวะ, คือเปนภาวะที่อยูเหนือโลก.

www.buddhadasa.in.th ทุกเรื่องรูสึกไดที่จิต. www.buddhadasa.org ขอใหสังเกตดูใหดีวา ภาวะที่จิตจะอยูใตโลก มันก็อยูที่จิตนั่นแหละ, ภาวะที่จิตจะอยูเหนือโลก มันก็อยูที่จิตนั่นแหละ; ฉะนั้นถาอยากจะเรียกเปนวา โลกิยธรรม กับ โลกุตตระธรรม ก็แสดงวามันอยูที่จิตนั้น, เปนไปในโลกหรือวา


๒๓๖ เปนไปนอกโลก มันก็อยูที่จิตนั้น; รูสึกไดดวยจิต, รูสึกไดที่จิต.

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา เพราะวาแมแตตัวโลกเอง

มันก็เปนสิ่งที่

ผูมีปญญาจะมองเห็นวา สิ่งที่เรียกวาโลกนั้น มันก็คือสิ่งที่รูสึกอยู ในจิต; ไมใชสิ่งที่เกลื่อนกลาดอยูตามพื้นแผนดินทั่ว ๆ ไปนั้นจะเรียกวาโลก. นั้นเปนภาษาคนธรรมดาพูด, ภาษาคนที่ยังไมรูธรรมะพูด; แตคนที่รูธรรมะ จริ ง แล ว จะรู ว า อะไร ๆ มั น รู สึ ก อยู ที่ จิ ต ถ า ไม รู สึ ก อยู ที่ จิ ต มั น ก็ เหมือนกับไมมี. โลกนี้มันจะใหญโตมโหฬารสักเทาไรก็ตาม ถาไมปรากฏแกจิต มันก็มีคาเทากับไมมี. ทีนี้มันจะมาเปนการดีหรือการชั่ว เปนการไดหรือเปนการเสีย หรือ เปนอะไรทุก ๆ อยาง; มันก็เปนตอเมื่อเขามาปรากฏแกจิต หรือเกี่ยวของแกจิต. ฉะนั้นจึงเห็นวา โลกก็ดี พนจากโลกก็ดี นอกโลกก็ดี อะไรเหลานี้มันอยูที่จิต; ; แลวแตวาจิตนั้นมันจะเปนจิตชนิดไหน, แลวมันจะอยูในภาวะเชนไรในเมื่อสิ่ง ตาง ๆ ทั้งหลายเหลานั้นเขามาแวดลอมจิต.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org มันก็เกิดเปนเรื่อง ๒ เรื่องขึ้นมา คือเรื่องของคนที่ยังไมรู กับเรื่อง ของคนที่รูถึงที่สุด หรือรูลึกซึ้ง. คนที่ยังไมรูก็มีความมั่นหมายไปตามความไมรู, มันจึงเกิดมีความเขาใจเปนตัวเปนตน เปนของของตน, ยึดมั่นถือมั่นมันจึงมีดีมีชั่ว มีไดมีเสีย มีเกิดมีตาย มีอะไรตาง ๆ, ไปตามประสาของผูที่ยังไมรูหรือรูนอย. ฉะนั้น จึงมีระเบียบปฏิบัติแบบหนึ่ง สําหรับบุคคลประเภทนี้ ก็เรียกวา ศีลธรรม.


ก ข ก กา ของนิพพาน

๒๓๗

ทีนี้ บุคคลที่รูแลวเกินกวานั้น ยังมีปญหาอยูที่วา อยากจะหลุดพน ไปจากสิ่งที่เปนที่ตั้งแหงความยึดถือ หรือที่เคยยึดถือมาแลว หรือกําลังยึดถืออยู ก็ตาม, นี่จะทําอยางไร. เขาก็มีวิธีคิดพิจารณาของเขาอีกแบบหนึ่ง เพื่อ จะหลุดพนออกไปใหได ซึ่งเรียกวามันเปนธรรมะที่สูงขึ้นไป, มีอรรถะคือ ความหมายที่ยิ่งขึ้นไป, มีประโยชนหรืออานิสงสที่จะพึงไดรับก็ยิ่งขึ้นไป ในสวนนี้ เราเรียกวา ปรมัตถธรรม. นี้ก็ขอใหดูตอไปอีกสักนิดหนึ่งวา ทั้ง ๒ สิ่งนั้นมันไมไดอยูที่ไหน, มัน อยูที่คน ที่มีจิตใจแตกตางกันอยู เปน ๒ อยาง หรือ ๒ พวก ๒ ประเภท ในโลกนี้ นั่นเอง. หรือถาจะดูใหละเอียดเขาไปอีก ก็จะพบวาคนคนเดียวนั่นแหละ เมื่อ เด็ก ๆ หรือวายังเปนคนหนุมสาวคนแรกรูจักโลก นี้มันก็มีจิตชนิดหนึ่ง, ครั้นไดลวงกาลผานวัยไปมาก รูจักโลกนี้มาก ก็มีจิตอีกชนิดหนึ่ง. เพียงเทานี้ก็จะเห็นไดวา เรื่องของคนหนุมก็เปนเรื่องของศีลธรรม, เรื่องของคนแกที่ถูกตอง คือเปนคนแกสมกับเปนคนแกจริง ๆ มันก็เปนเรื่อง ของปรมัตถธรรม. เมื่อคนหนุมจะไปมัวโงมัวหลงในสิ่งที่เปน อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา, คนแกไมควรจะไปมัวโงในเรื่องที่เปน อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา, ถาไม อยางนั้นก็ไมควรจะเรียกวาคนแก; เพราะคําวาคนแกควรจะเปนเรื่องแกของ สติปญญา สมกับที่วาไดเห็นโลกมามาก ไดลวงกาลผานวัยมามาก มันแกดวยเวลา ฉะนั้นมันก็ตองแกดวยสติปญญา. ถามันไดอยางนี้ ก็เรียกวาถูกตอง ตามที่ ธรรมชาติกําหนดให คือ คนหนุมกับคนแกมันควรจะไมเหมือนกัน. ถาเหมือนกัน แลวจะไปมัวเรียกวา คนหนุมคนแกทําไม หรือจะเรียกใหดีกวานั้น ก็ตองเรียกวา

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


๒๓๘

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

คนออนกับคนแก, คนออนดวยสติปญญา; เพราะมันมีเวลาที่เกิดมานอย, นี้มัน ก็อยางหนึ่ง. ทีนี้คนมันแกดวยสติปญญาเพราะเวลาที่เกิดมามาก นี้มันก็อยางหนึ่ง. นี้เรียกวาเอาตามกฎเกณฑธรรมชาติ ตามธรรมดาสามัญเปนหลัก วายิ่งอยูไปนาน มันก็ควรจะยิ่งรูอะไรมากนี้ เปนกฎธรรมดาในคนคนหนึ่งนั้นแมจะ เปนคนที่มีสติปญญานอยจะเปนคนโง; ถาใหอยูไปนาน มันตองรูอะไรมากกวาเมื่อ มันแรกเกิดมา. แตถาคนมันฉลาด ยิ่งอยูไปนาน ก็ยิ่งรูมาก, มากกวาที่คนโง แมจะอยูในโลกเปนเวลานาน. แตอยางไรก็ดี มันไมหนีหลักในขอที่วา ถาเกิดมา นานมันก็ตองรูอะไรมาก, มันก็ตองฉลาดกวา; ความผิดความถูก ความไดความ เสีย ความสุขความทุกข นั่นแหละ มันเปนครูที่สอนใหอยูในตัว. ขอใหสังเกตดูสุนัข ตัวที่อายุมากหลายป มันฉลาดกวาสุนัขที่เพิ่งเกิด. สุนัขพันธุเดียวกัน หรือที่มีอะไร ๆ คลาย ๆ กัน ถาอายุมันมาก มันก็ไมรูอะไรมาก ฉลาดมาก, รูจักจิตใจของเจาของมากกวาสุนัขตัวที่เพิ่งเกิด. เราจะสังเกตดูสุนัข สักตัวหนึ่งตัวเดียวก็ได วาตั้งแตมันแรกเกิดจนบัดนี้แลวจนบัดนี้อายุมันตั้ง ๑๐ กวาปแลว มันฉลาดขึ้นทุกป ๆ อยางไร. นี่เรียกวา จะพบสิ่งที่เปนไปตาม ธรรมชาติธรรมดาอยางหนึ่ง วายิ่งอยูไปนาน มันก็ยิ่งรูอะไรมาก, จนกระทั่ง มันรูราวกับวาเปนคนละตัว คนละอยาง คนละพันธุ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทีนี้มนุษยก็ไมควรเสียเปรียบในขอนี้ เมื่ออยูไปมากอยูไปนาน ควร จะรูอะไรมาก เมื่อมากมันก็ตองไมซ้ํากัน มันตองมากออกไปจริง ๆ เหมือนกัน. ดังนั้นการที่ไประคนกันอยูกับสิ่งที่เปนอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา นานเขา ๆ มันก็ควร จะรูจักวา นี่เปนอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา กันบาง จึงจะถูกตอง.


ก ข ก กา ของนิพพาน

๒๓๙

ถาอายุยิ่งมากเขา ก็ยิ่งไมมองเห็นความเปน อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ของ สิ่งตาง ๆ, แลวจะเรียกวาอะไร ? ก็ไมควรจะเรียกวา คนนี้ไดเติบโต เติบใหญ ได เจริญรุงเรืองขึ้นไปเปนแน คือมันไมไดมีอะไรที่จะขยายออกไป มันหยุดชะงัก, ก็คือ คนที่ไมเติบโต หรือไมแกนั่นเอง. มันผิดกฎของธรรมชาติอยางนี้ ก็ตองเรียกวา คนบา, แตจะโทษเขานักก็ไมได เพราะมันมีบางสิ่งบางอยางมาทําใหบา; โดยเฉพาะ อยางยิ่งก็คือ โลกสมัยนี้ มันมีอะไรมากมาย ที่เขามาทําใหคนเปนบา; โดยทาง สติปญญาแลว มันไมเจริญเติบโตขึ้นไปตามลําดับ, ไมสามารถจะเลื่อนจาก ศีลธรรมขึ้นไปสูปรมัตถธรรม; มิหนําซ้ํามันกลับมีศีลธรรมที่เลวลง ๆ มัน มีศีลธรรมที่ถอยหลัง มีศีลธรรมที่เลวลง. โลกของเราจึงไดเปนอยางนี้ ในสภาพ มีศีลธรรมที่ถอยหลัง มีศีลธรรมที่เลวลง. โลกของเราจึงไดเปนอยางนี้ ในสภาพปจจุบันนี้ ทั่ ว ไปทั้ ง โลก, คื อ มั น มี ค วามเสื่ อ มในทางศี ล ธรรม ก็ เ ลยจะพู ด อะไร กัน ถึงเรื่องปรมัตถธรรม เพราะเรื่องทางศีลธรรมมันก็มีแตเสื่อมเสียแลว.

โลกปจจุบันเรียน ก ข ก กา แตทางวัตถุ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ขออภัย ที่จะตองปรับทุกขกันในขอนี้สักหนอยหนึ่ง วาโลกในปจจุบัน นี้ มันยิ่งเปนอยางนี้หนักขึ้น คือมันเกิดความนิยม ในการที่จะแยกเอาธรรมะหรือ ศาสนาออกไปจากประชาชน. เดี๋ยวนี้เรียกวากําลังจะเปนกันทั้งโลก; พวกฝรั่ง ที่เขากาวหนาในทางผลิต ในทางพัฒนาอะไรตาง ๆ นั่นแหละเปนผูนํากอน ในการ ที่แยกธรรมะหรือแยกศาสนา แยกศีลธรรมนี้ออกไปจากประชาชน, คือวาให ประชาชนศึกษาแตในเรื่องผลิตเพื่อเศรษฐกิจ , เพื่อเปนอยูดวยสุขภาพ อนามัยนี่ ใหไดตามใจไปเสียทุกอยางที่กิเลสมันตองการ, ก็เปนเหตุใหลุมหลง ไปในทางนี้.


๒๔๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

สวนทางเรื่องธรรมะหรือศาสนานั้น เขายกใหเปนเรื่องสวนตัว บุคคล ใครสนใจก็ไปหาเอาเอง; แมจะลําบากเทาไรก็เชิญไปหาเอาเอง ในหลัก สูตรของการศึกษา ไมมีเรื่องศีลธรรม เรื่องศาสนา เรื่องพระเจา. ในการที่จะใหคน ไดรับสิทธิพิเศษอะไรในการทํางาน หรืออะไรก็ตาม ก็ไมยกเอาเรื่องศีลธรรม หรือ เรื่องศาสนามาเปนเครื่องทดสอบ, หรือวาเปนเครื่องใหคะแนน, ก็เอาเรื่องเกงแต ในทางที่จะผลิตจะทําตามกิเลสนั้นมากกวา. ดังนั้นเรื่องธรรมะ หรือ เรื่อง ศาสนามันจึงขาดความสนใจ ศีลธรรมมันก็ต่ําลง. นี้เปนตนเหตุ ที่ทําใหคนเราในโลกนี้ ในสมัยนี้ เปนบา, คือยิ่งอยูไป เทาไรก็ยิ่งไมรูจัก อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ในสิ่งทั้งปลายทั้งปวง. ที่จะอยูเปน ปกติ มันอยูไมได เพราะจิตใจมันเปนบา; เพราะวาไมมองเห็นความเปน อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อยางที่กลาวแลว. นี้คือตัวปญหา ที่ทําความยุงยากลําบากใหแกมนุษยเรา, รวมทั้ง พวกเราพุทธบริษัทไมกี่คนที่นั่งอยูที่นี่ก็เหมือนกัน มันเปนปญหาอยางเดียวกัน, และเปนปญหาที่เราไมไดสรางขึ้น. แตวาเปนปญหาที่เราตองไดรับผล คือความยุง ยากลําบากจากปญหานั้น แลวมันเปนสิ่งที่คอยมาฉุดลากเรา ใหออกไปจากแนวทาง ของธรรมะ. ถาเราเผลอนิดเดียวทนอยูไมได เราก็ตองกระโจนลงไป สูการกระทํา ชนิดที่ทําใหหลงใหลมัวเมาในโลกนี้, ก็เลยไมตองพูดถึงสิ่งที่เรียกวาปรมัตถธรรม, ก็คือจะไมไดมีโอกาสตั้งตนเรียน ก ข ก กา ของพระนิพพาน. มันกลายเปนวา เรียน ก ข ก กา ของศีลธรรม ในโลกนี้ก็ไมหมดไมสิ้น, และบางทียิ่งกวานั้นมันก็คือ ไมไดเรียนเสียเลย; เพราะวามันไปมัวเรียน ก ข ก กา แตของวัตถุนิยม, คือ ก ข

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


ก ข ก กา ของนิพพาน ก กา ของเรื่องความสนุกสนานเอร็ดอรอยทางวัตถุ ไมรูจักซา จนกระทั่งตายเนาเขาโลงไป.

๒๔๑ ทางเนื้อทางหนัง

ไมรูจักสราง

เรียน ก ข ก กา ของวัตถุนิยมก็ไมจบ แลวทําอยางไรที่จะไดมาเรียน ก ข ก กาของศีลธรรม, และเมื่อไมไดเรียน ก ข ก กา ของศีลธรรมแลว มัน ก็ไมมีโอกาสไมมีหวัง ที่จะเรียนก ข ก กา ของปรมัตถธรรม, ที่จะเรียกวา ก ข ก กา ของนิพพานในที่นี้. นี่แหละคือเรื่องเบื้องตน ที่จะตองมองเห็นใหชัดเจนอยู เราจึงจะ คอยกาวไปตามทางของพระพุทธศาสนา สูงขึ้นไปตามลําดับได ไมพลาดเวลา, คือ วาเวลาในชีวิตนี้จะเพียงพอ. เราจะมีความกาวหนาไปตามลําดับ แลวก็ถึงที่สุดจุด หมายปลายทางได โดยที่ไมตองตายเสียกอน แมวาจะมีอายุเพียงไมเกิน ๑๐๐ ป. ขอนี้ก็เปนขอที่จะตองทําไวในใจเสมอ วาไมมีใครที่จะมีอายุเกิน ๑๐๐ ป, โดยทั่ว ๆ ไปจะพูดวาอยางนี้, แลวจะจัดจะทํากันอยางไร ใหไดรับประโยชนสูงสุด ที่มนุษย ควรจะไดรับทันกันใน ๑๐๐ ป.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เมื่อเปนเด็ก ก็ใหไดรับธรรมะอยางเด็กที่ดีและเต็มเปยม, เมื่อเปนหนุม สาว ก็มีธรรมะอยางคนหนุมสาวที่ดีและเต็มเปยม, เมื่อเปนพอบานแมเรือน ก็มี ธรรมะของพอบานแมเรือนที่ดีและเต็มเปยม, ครั้งตอมาเปนคนแก ก็มีธรรมะ ของคนแก ถูกตองบริบูรณดีตามแบบของคนแก. ครั้นมาเปนคนชราแกหงอม ก็ยิ่งมีธรรมะที่แจมใส ที่สดใส ที่เขมแข็ง ที่แกกลา ถึงกับเอาชนะปญหาตาง ๆ ไมแมแตความตาย คือความตายก็ไมมีปญหาสําหรับคนชนิดนี้ กลับยิ้มเยาะความ ตายได ทั้งที่ฟนไมมีสักซี่หนึ่งอยางนี้ก็ทําได. ก็เรียกวาเปนคนที่ ไดเดินไปจน


๒๔๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ถึงที่สุด ที่มนุษยจะตองเดิน, แลวก็เดินทันแกเวลาอายุของตัว งาย ๆ วา มันจะไมเกิน ๑๐๐ ปไปได.

ที่พูดกันโดยสรุป

เมื่อดูพฤติกรรมของคนบางคน มันก็นาเวทนาสงสาร ซึ่งจะทําใหสรุปผล ไดวา ตอใหคนชนิดนี้มีอายุสัก ๕๐๐ ป มันก็เดินไมถึงปลายทาง หรือตั้ง ๑,๐๐๐ ป มันก็ยังจะไมเดินถึงปลายทางอยูนั่นเอง เพราะเขาเปนคนบา ไมรูวาจะเดินไป ทางไหน; เพราะมัวแตติดตามสิ่งที่มายั่วยวนมาหลอกลวง ที่เขาทํากันขึ้น ใหม ๆ ในโลกนี้ อยางไมรูจักจบจักสิ้น. ขอใหพิจารณาดู ก็จะพอมองเห็นไดวา เรื่องการคนควา หรือการ ผลิตการประดิษฐ การทําอะไรตาง ๆ ขึ้นมา สําหรับทําใหคนโงหลงใหลไม รูจักสรางนี้ มันจะยังเปนไปอีกนาน แลวมันจะยิ่งมาก ยิ่งรุนแรง หรือยิ่งเกงกลา ขึ้น, นี้ระวังใหดี. ถาเราพลัดตกหลุมนี้แลว ก็จะเปนอยางที่วา ไมรูจักกาว หนาในทางจิตใจ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้นเราจะตองเกงถึงขนาดวา เราอยูในโลกที่มีสิ่งยั่วยวนเหลือประมาณ อยางนี้ได โดยที่ไมตองถูกลอถูกหลอกใหหลง, ถาจําเปน จะเอาสิ่งเหลานี้มา ใชเปนอุปกรณการเปนอยูอยางสะดวกดายอะไรบางก็ได; แตตองไมใชเพื่อ จะมายั่วมาหลอกใหลุมหลงอยูแตในสิ่งเหลานี้ จนเห็นแกตัวจัด, จนไมมีความ สงบใจเลย; แมแตนอนก็ไมหลับสนิท มันตองสะดุง มันตองฝนราย; เพราะ ความที่เห็นแกตัวจัด. แลวมันก็จะเปนไปในทางที่วา มันออกมาเปนการกระทําทาง กาย ทางวาจา, แลวก็เบียดเบียนซึ่งกันและกัน, แลวก็ฆาฟนซึ่งกันและกัน ก็ทํา ใหตายไปเสียกอนแตที่จะไดทําประโยชนอะไรที่สูงขึ้นไป.


ก ข ก กา ของนิพพาน

๒๔๓

นี่โลกนี้กําลังเปนอยางนี้ แลวเราก็ตองอยูรวมกับเขา ในโลกที่ กําลังเปนอยางนี้. ฉะนั้นจึงตองมีธรรมะ ชนิดที่มันจะแกปญหาอันนี้ได. นั่นแหละคือ ประโยชนหรืออานิสงสของธรรมะในพระพุทธศาสนา ชนิดที่จะ ทําใหคนเรานี้ มีความสามารถอยูเหนือโลก, เหนือความทุกขที่จะเกิดมาจากโลก, เหนือความดึงดูดของโลก ที่จะดึงดูดลงไปหาความต่ํา ความทราม ความเลวในทาง จิตใจ. ....

....

....

....

สรุปความวา ทั้งหมดที่ใหทบทวนกันดูนี้ เพื่อใหแยกใหเห็นวา มัน มีเรื่องที่มนุษยจะตองเผชิญ หรือวาแกไขใหมันลุลวงไป อยูเปน ๒ ระดับ คือ เปนระดับศีลธรรมระดับหนึ่ง, แลวก็เปนระดับปรมัตถธรรมระดับหนึ่ง. เมื่อเกิดมายังเล็กอยู ไมรูอะไรมาก ไมอาจจะรูปรมัตถธรรม ก็ผาน มาทางศีลธรรม เปนคนที่ดีมีศีลธรรม. ถาเปนเด็กมันก็เปนเด็กดี มีความ ซื่อสัตย มีความออนนอม มีความกตัญูกตเวที มีอะไรตาง ๆ ทุกอยาง ที่เรียก กันวาศีลธรรม.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ศีลธรรมนี้ก็ขยายขึ้นมาถึงกับวา จะประพฤติใหดี ใหถูกทั้งสวน ตัวและสวนสังคม, ใหถูกทั้งที่เรียกวา ในขั้นต่ํา ๆ สําหรับมนุษย ขั้นสูง ๆ สําหรับ เทวดาในสวรรค. นี้ก็อยางเดียวกันนั่นแหละ จะเปนเทวดาหรือมนุษย มันก็ อยูที่จิตนั่นแหละ, หรือวาจะเอาวัตถุภายนอกเปนเครื่องวัด มันก็หมายความวา ถาเปนมนุษยมันก็บริโภคกามคุณ ชนิดที่แลกเอามาดวยเหงื่อ. แตถาเปนเทวดา ในสวรรคนั้น มันก็ไมมีอะไรมาก นอกจากวาโชคดี มันมีโอกาสที่จะบริโภคกามคุณ


๒๔๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

โดยที่ไมตองแลกเอาดวยเหงื่อ; จะเปนเพราะวากอนหนานั้น มันไดทําอะไร ไวมาก มันก็หากามคุณไดงายไดมากในบัดนี้ โดยที่ไมตองแลกเอาดวยเหงื่อ. แต ระวังใหดี พอมีเหงื่อเมื่อไรเทวดานั้นก็ตองตาย. ถาใครเคยอานหนังสือเรื่องนี้มากอนแลว ก็จะพบวา พอมีเหงื่อก็จุติ เทานั้น ขอความในคัมภีรตาง ๆ เขากลาวไวอยางนี้ วาเทวดานั้นพอมีเหงื่อออกก็จุติ เทานั้น คือตายจากความเปนเทวดาเทานั้น. ทั้งนี้เพราะวามันไมมีอะไร เพราะ มันมีความหมายแตเพียงวา กําลังสนุกสนานเพลิดเพลิน เสวยผลของสิ่งที่ไดทําไว แตกอนดวยเหงื่อ. เดี๋ยวนี้ก็มาไมตองมีเหงื่อ แลวก็เสวยกามคุณนั้น; พอมัน หมดฤทธิ์หมดเดชเขา มันก็ตองหันไปหาเหงื่ออีก มันก็คือตายจากความเปนเทวดา, แลวมันมีอะไรดีกวากันที่ตรงไหน ในเมื่อคนหนึ่งมันก็บริโภคกามคุณ เพียงแตวา มันไมตองมีเหงื่อในขณะนั้น เพราะวามันทําไวดีมาแตกอน. ผูที่มีปญญาใน สวนปรมัตถธรรม จึงมองเห็นวา ไมไหว ในการที่จะหลงใหลไปในเรื่องเหลานี้, จะมีเหงื่อหรือจะไมมีเหงื่อ มันก็เหมือนกัน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้นเราพิจารณาใหดีใหเห็นวา อะไรจะเปนที่นาพอใจ, ที่ควรจะบูชา, แลวทางนั้นมันมีอยูอยางไร ที่จะเดินไปได.

อะไรเปนสิ่ง

ในที่สุดก็มาถึงเรื่องราวที่กลาวแลวนี้ วาเมื่อไดผานเรื่องของศีลธรรม มาดีแลว, มีความสุขตามแบบของคนที่อยูในโลกนี้แลว, ซึ่งจะตองมีเหงื่อบาง ไมมีเหงื่อบาง หัวเราะบาง รองไหบาง เอือมระอาแลวมันก็จะเลื่อนชั้น ออกไป ใหพนขอบเขตเหลานี้, ที่เรียกวาเหนือโลก นอกโลก พนโลก ไมตองขึ้น ๆ ลง ๆ ฟู ๆ แฟบ ๆ อยางนี้ นี่มันจึงเหมือนกับวาขึ้นศักราชกันใหม.


ก ข ก กา ของนิพพาน

๒๔๕

ในที่บางแหงก็ไดยิน ก็ไดเห็น พูดโดยใชคําวาโลกใหม ซึ่งก็มีความ ถูกตองอยูบางเหมือนกัน, คือเอาพระนิพพานเปนโลกใหม เปนโลกอื่น ที่มัน แตกตางตรงกันขามจากโลกนี้, อยางนี้เรียกวาโลกใหม เอาพระนิพพานเปนโลก ใหม เอาเปนเมืองใหม มันก็ถูกอยางสมมติ. แตถาไมสมมติพูดกันจริง ๆ แลวก็ ควรจะพูดตามที่พูดกันอยูโดยมาก วาเหนือโลก วาพนโลก วาออกไป นอกโลก นั่นแหละถูกกวา. เมื่อออกไปนอกโลกได มันก็เรียกวาถึงที่สุดของโลก ปญหามันก็จบ, เลยประมวลเรื่องทั้งหลายมาดูในคราวเดียวกัน ก็จะพบไดวา, เรื่องทั้งหมดนั้นมัน แบงไดเปน ๒ ตอน คือ อยูในโลกใหดีใหถูกตอง ตามแบบของโลก นี้ตอนหนึ่ง เปนของศีลธรรม, และก็ออกไปนอกโลกใหได ใหสําเร็จ นี้ก็เปนอีกตอนหนึ่ง เปนเรื่องของปรมัตถธรรม, เปนโลกุตตระธรรม. เรื่องในชีวิตของคน ก็เกิดเปน ๒ ตอนขึ้นมา เปนตอนที่ตองอาศัย ศีลธรรมเพื่ออยูในโลกนี้ใหดี นี้ตอนหนึ่ง; ก็ตองตั้งตนดวย ก ข ก กา เหมือนกัน, ทํา ก ข ก กา ในทางศีลธรรมใหดี จนเจริญเต็มที่. ทีนี้พอมาถึงระยะที่ ๒ ที่จะตองเลื่อนออกไปนอกโลก มันก็ตองตั้งตน ก ข ก กา กันใหม เพราะมันคน ละเรื่องคนละแบบ มันก็ตองเรียนอีกวิธีหนึ่ง, ซึ่งตองตั้งตนกันใหม ก็เลยตอง เรียน ก ข ก กา กันใหม สําหรับออกไปนอกโลก, ซึ่งในที่นี้ก็จะเรียกวา ก ข ก กา ของนิพพาน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สรุปเรียกชื่อใหสั้น ๆ งาย ๆ ก็วา กอนหนานี้ เราเรียน ก ข ก กา ของ วัฏฏสงสาร, เราเรียน ก ข ก กา ของวัฏฏสงสารมาถึงที่สุดแลว ทั้งดีทั้งชั่ว


๒๔๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ทั้งสุขทั้งทุกข ทั้งบุญทั้งบาป. นี่ครบถวนแลว ก็เรียกวาจบ ก ข ก กา ของวัฏฏสงสารแลว; ก็ตั้งตนใหมเปนเรื่อง ก ข ก กา ของพระนิพพาน. ทานผูใด มีความสนใจในเรื่องนี้ อยากจะทําใหไดทันแกกาลแกเวลา ก็จงใครครวญใหดี ใหสําเร็จประโยชน ใหทันแกเวลาจริง จึงจะเรียกวาไมประมาท. เอาละ, ทีนี้ก็จะพูดกันถึงเรื่อง ก ข ก กา ของนิพพานโดยตรง อยาง ละเอียดไปทีละอยาง หรือทีละแงละมุมตามลําดับ ใหสุดความสามารถที่อาตมาที่ เปนผูพูดนี้จะพูดไดอยางไร. ( เริ่มการบรรยายครั้งนี้. )

จะรู ก ข ก กา ของนิพพาน ตองเปนผูรูความจริงดานใน. ในชั้นแรกจะตั้งปญหาขึ้นมาสักขอหนึ่ง วาใครจะเปนผูเริ่มรู ก ข ก กา ของนิพพาน ? วาใครคนไหนจะเปนผูเริ่มรู เริ่มเรียน ก ข ก กา ของ พระนิพพาน ? ใครควรจะไดชื่อไดนามวาอยางนี้ ? ก็อาศัยตามเรื่องราวตาง ๆ ใน พระคัมภีรในบาลี ในเหตุผลขอเท็จจริงที่ไดผานกันมาแลว ก็พอจะกลาวไดเปน ขอ ๆ ไป หรือวาใหมันเปนแง ๆ เปนมุม ๆ ไป ใหเห็นไดชัดถนัดยิ่งขึ้น มันเปนเหลี่ยม เปนมุมที่เราจะมองกันไดแปลก ๆ แลวก็เรียกชื่อกันไปแปลก ๆ ทั้งที่วาโดย เนื้อแทแลว มันเปนเรื่องเดียวหรือเปนสิ่งเดียว.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org กอนวา,

ในขั้นแรกก็จะพูดกันอยางคลุม ๆ อยางกําปนทุบดิน ไมผิด เสียทีหนึ่ง ผูนั้นจะตองเปนผูเริ่มเห็นความจริงในดานใน, ผูน้นั จะตองเริ่มเห็น


ก ข ก กา ของนิพพาน

๒๔๗

ความจริงในดานใน. นี่ใครอยากจะเรียน ก ข ก กา ของนิพพาน คนนั้นตอง ตั้งตนพยายาม ดวยการมองเห็นความจริงในดานใน เปนความจริง, แลว ทําไมตองแบงเปนดานนอกดานใน ดานลึกดานตื้น ? นี้ก็เปนเรื่องที่จะตองสังเกต ใหเห็นอีกเหมือนกัน; เพราะวาคนโงก็มีความจริงของคนโง, คนมีปญญาก็มี ความจริงของคนมีปญญา, มันแลกกันไมได มันแทนกันไมได. ลองไปพูดกับ คนโงซิ ทําไมมันจึงพูดกันไมรูเรื่อง ? ก็เพราะวาคนโงก็มีความจริงของคนโง โดยเด็ดขาดอยูอยางนั้น. ถึงคนมีปญญาก็เหมือนกัน มีปญญาอยูหลายชั้น ปญญาอยางตื้น ๆ , มันก็มีความจริงตามแบบของปญญาตื้น ๆ หรือเจือโง มันก็พูดกันไมรูเรื่องกับคนที่มีปญญาจริง. ขอใหจับเปนหลักเกณฑใหไดอันหนึ่งวา สิ่งที่เรียกวาของจริงนั้น มันมีอยูเทาที่บุคคลคนนั้น จะมองเห็นวาจริงเทานั้นเอง; ถาเขามองเห็นวา จริงไมได มันก็ไมมีความจริงอื่นนอกไปจากนั้น. ฉะนั้นจึงพูดวา ทุกคนมีความ จริงเปนของตนเอง ตามที่เขามองเห็น ซึ่งเปนเหตุใหเขาหัวดื้อ ถือทิฏฐิมานะ อะไรตาง ๆ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ขอใหสังเกตตัวเราเอง เมื่อตอนแรก ๆ เราก็มีความจริงหรือความถูก ตองนั้นอยางหนึ่ง; ครั้นมาบัดนี้เรามีความจริงหรือความถูกตอง ซึ่งมันเลื่อนมัน เปลี่ยนไปอยางหนึ่ง; แตแลวเราก็ไมคอยจะสังเกตใหดี.

เขาเรียนรูมาอยางไร เขามีความคิดเห็นอยางไร ในที่สุดเขาก็จะถือ เอานั้นเปนความจริง, นอกนั้นไมจริง. แมวาจะเอาความจริงแทของพระพุทธเจามาสอน เขาก็ฟงแตหู หรือวาเขารับไวดวยปาก; แตเขาไมมีความจริงอยางนั้น ไมถือหลักความจริงอยางนั้น จนกวาเขาจะเขาใจ จะรูแจงในความจริงเหลานั้น.


๒๔๘

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ความจริงในเรื่องเดียวกันมันก็มีหลายชั้น ยิ่งเมื่อคนละเรื่องแลวมันก็ มีมาก. เชนวาความจริงของเด็ก ๆ ความจริงของคนแก นี้มันเปนไปดวยกัน ไมได. ความจริงของโง, ความจริงของคนฉลาด, ความจริงของคนพาล, ความ จริงของบัณฑิต, มันก็รวมกันไมได. แตตางฝายตางถือเอาความเปนจริงทั้งนั้น.. ฉะนั้นขอใหสรุปความวา ความจริงนั้นมีหลายอยางหรือมีหลายชั้น; อยางนอยก็ มีขั้นตื้นและมีขั้นลึก ความจริงขั้นตื้น มันก็ไปตื้น ๆ, ความจริงขั้นลึกก็ไปลึก ๆ, มีความจริงดานนอกความจริงดานใน. สวนธรรมะนั้น มันเปนความจริงดานใน, แลวก็ยิ่งในลงไป คือยิ่ง ลึกลงไป จนกวาจะถึงที่สุด วาธรรมะนี้เปนของลึกซึ้ง; ยิ่งปรมัตถธรรมก็ยิ่ง ลึกซึ้ง; เพราะชื่อมันบอกอยูแลว วาธรรมะอันลึกซึ้งมีอรรถอันยิ่ง มีอรรถ อันลึกซึ้ง เรียกวาปรมัตถธรรม. นี้คนที่รูแตศีลธรรม จึงเขาใจปรมัตถธรรม ไมได; อยางที่เดี๋ยวนี้ก็มีไมกี่คน ที่จะยอมรับวาไมมีตัวตน, หรือยอมลง เห็นดวยวา ไมมีตัวตน นี้ก็ยังหายากเสียแลว; ไมใชเปนผูมองเห็น หรือวา รูแจงแทงตลอด เพียงแตใหเห็นดวยเหตุผล ยอมรับวามันไมมีสิ่งที่ควรเรียกวา ตัวตน นี้ก็ยังหายากเสียแลว. ฉะนั้นเราจึงไมมีที่จะพูดกับใครกี่คนนัก, เรื่องอนัตตา เรื่องไมมีตัวตนในโลกนี้ในเมืองไทยนี้ มันก็กําลังเปนอยางนี้.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เห็นความจริงดานในคือเห็นไตรลักษณ. ฉะนั้นผูที่จะเริ่ม ก ข ก กา ของพระนิพพานนั้น ตองเริ่มทําตนเปนผูมองความ จริงในดานใน, ใหเห็นความจริงในดานใน ขึ้นสักระดับหนึ่ง


ก ข ก กา ของนิพพาน

๒๔๙

กอน คือ ก ข ก กา ของพระนิพพาน ในระดับแรกระดับตนนั่นแหละ จึงจะเรียกวา เปนผูเริ่มเรียน ก ข ก กา ของฝายโลกุตตระ. ใชคํารวม ๆ กําปนทุบดิน วาเริ่มเห็น ความจริงดานใน กันในระดับหนึ่งกอน. ทีนี้ขยายความออกไปชั้นหนึ่งก็วา เปนผูที่เริ่มเห็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา. ขอใหทุกคนที่นี่ ที่นั่งอยูที่นี่ทบทวนระลึกยอนหลังไปเมื่อยังเปนเด็ก ๆ แลวอายุมากขึ้น ๆ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้. สมมติวามีอายุ ๖๐ ป ๗๐ ป แลวตรวจดู วา ไดเริ่มมองเห็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เมื่อไร, เมื่ออายุเทาไร ? หรือวา ไมเคยมองเห็นเลย เพียงแตไดยินไดฟงเสียงบนธรรมาสน หรือวาไดอานตัวหนังสือ ในหนังสือ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา. ที่อาตมาวานี้ หมายความวา แมแตวาวี่แววหรือรองรอยของ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ก็ยังดี, ก็ยังเอาอยูดี วาไดเริ่มมองเห็นวี่แววรองรอยของ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เมื่อไร ? แลวก็มองดูลูกเด็ก ๆ ที่กําลังวิ่งเลนอยูเดี๋ยวนี้ มันจะมองเห็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ไดอยางไร ? แลวเมื่อมีอายุสูงขึ้น มากขึ้น ๆ มันจะเริ่มมองเห็น ไดเมื่อไร ? นี่เดี๋ยวนี้ กระทั่งมาเปนมารดา กระทั่งมาเปนบิดา ของเด็ก ๆ แลว มันก็มองเห็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เมื่อไรหรืออยางไร ?

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ขอนี้มันก็ขึ้นอยูกับสิ่งแวดลอมอยูมากเหมือนกัน สิ่งแวดลอมเหลานั้น ไมมีอะไรสําคัญมากเทากับวัฒนธรรมประจําชาติ ประจําคน ประจําชนชาตินั้น ๆ ถาวามันเปนชนชาติที่เขาสนใจเรื่องธรรมะกันอยูเปนประจําแลว โอกาสที่จะไดฟง ไดยิน ไดเห็น ไดเขาใจเรื่อง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา มันก็มีมากกวา. ถาเราเปนลูก เปนหลานของคุณยาคุณยาย ที่ไปวัดเสมอ เราก็มีโอกาสที่จะไดยินไดฟงเรื่องนี้


๒๕๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

กอนกวาเด็ก ๆ ที่เปนลูกหลานของคุณยาคุณยาย ที่มัวสาละวนแตเรื่องโลก ๆ หรือ วาในชนเหลาอื่น ที่ถือศาสนาอื่น ที่ไมมีเรื่อง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อยางนี้ก็ยิ่งไมมี โอกาสที่จะไดยิน. นี่ดีที่วาเปนพุทธบริษัท เปนคนไทย ในประเทศไทยนี้ มันมี โอกาสที่จะไดยินมากกวา แตแลวก็พิจารณาดูวา เราเริ่มไดยินเมื่อไร เรามีความรูสึก ในเรื่องนี้เมื่อไร เราเริ่มเห็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา บางเมื่อไร. แลวที่สําคัญที่สุด ก็คือวา จิตใจมันไดเปลี่ยนแปลงอยางไรหรือเปลา ถาวาจิตใจมันไมไดเปลี่ยนแปลงอะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็ยอมรับสารภาพเสียวาไมได เห็นก็แลวกัน ไมไดเห็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ทั้งที่พูดได ทั้งที่เทศนได ในเรื่อง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา แตจิตใจมันก็ไมไดเปลี่ยนแปลง ไปตามความหมายของ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ก็เรียกวาเปนผูไมเห็นเสียดีกวา เพราะฉะนั้นเปนพระเปนเณร ก็อยาไดอวดดีไปเลย เปนอุบาสกเปนอุบาสิกา ก็อยาไดประมาทไปเลย ในเรื่อง เห็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา นี้ แมวามันจะเปนเพียง ก ข ก กา ของนิพพาน มัน ก็ไมใชเรื่องเล็กนอย.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ขอใหทบทวนใหดี แลวสรุปความใหดี ใหมองเห็นชัดวา เราเริ่มเห็น ความไมนายึดมั่นถือมั่น ของสิ่งทั้งหลายรอบตัวเรานั้นเมื่อไร นับตั้งแตเราเกิดมา จนบัดนี้ เราไดเริ่มมองเห็นความไมนายึดมั่นถือมั่น ของสิ่งตาง ๆ รอบตัวเรานั้น เมื่อไร เราเริ่มรูสึกตอความจริงอันนี้เมื่อไร หรือวาเรายังคงยึดมั่นถือมั่น เงิน ทอง ขาวของ ทรัพยสมบัติ บุตร ภรรยา สามี อะไร อยูตลอดเวลาจนบัดนี้ ไมเคยมอง เห็นภาวะที่ไมนายึดมั่นถือมั่นในสิ่งเหลานั้นเลย. เรื่องนี้มันไมชวยได เพราะมาบวชเปนพระเปนเณร แมวาอยูที่บาน เปนอุบาสก อุบาสิกา ก็มีโอกาสที่จะเห็นได ไมแพเปนพระเปนเณร ถาเปนพระ


ก ข ก กา ของนิพพาน

๒๕๑

เป น เณรที่ ไ ม ส นใจ ไม พ ยายามที่ จ ะสนใจจะเห็ น แล ว ก็ ยิ่ ง ไม เห็ น , ยิ่ ง จะล า หลั ง ชาวบ า น อุ บ าสกอุ บ าสิ ก า ที่ อ ยู ที่ บ า นด ว ยซ้ํ าไป. เพราะว า ถ า เป น ฆราวาสที่ ต อ ง ต อ สู ม าก ดิ้ น รนมาก กระทบกระทั่ งกั บ ความทุ ก ข ม าก; อย างนี้ มั น มี โอกาสเห็ น ง า ยกว า ที่ ว า เป น พระเป น เณร แล ว นอนสบาย เล น สบาย อะไรสบายเสี ย เรื่ อ ย ๆ ตลอดวันตลอดคืน. ฉะนั้ น ขอให นึ ก เสี ย ว า เป น คนกั น ก็ แ ล ว กั น เป น มนุ ษ ย กั น ก็ แ ล ว กั น , ไมต อ งแบง แยกกัน เปน บรรพชิต หรือ ฆราวาส, ไมต อ งแบง แยกวา เปน ผู ห ญ ิง หรือ เปน ผู ช าย. ขอถือ เอาเปน หลัก วา เปน มนุษ ยที ่ม ีค วามรู ส ึก คิด นึก ได เกิด แล วก็ เติ บ โตขึ้ น มา; ความรู สึ ก คิ ด นึ ก มั น ก็ ยึ ด ถื อ สิ่ งต าง ๆ มากขึ้ น ๆ มากขึ้ น , แล ว มัน เริ ่ม สะดุ ง หรือ วา คลายออก เพราะไปมองเห็น ชัด ความไมน า ยึด มั ่น ถือ มั ่น ในสิ่ ง บางสิ่ ง เข า เมื่ อ ไรในเงิ น ทองทรั พ ย ส มบั ติ ก็ ดี ในบุ ต รภรรยาสามี ก็ ดี ในอะไร ก็ด ี, วา มัน ลว นแตเ ปน สิ ่ง ที ่ต อ งเปน ไปตามธรรมชาติ เปน ไปตามเหตุป จ จัย หรือ ที ่เ รีย กวา เปน ไปตามกฎเกณฑแ หง อิท ัป ปจ จยตานั ้น ไดเ ริ ่ม มองเห็น อย างนั้ น เมื่ อ ไร นั่ น แหละเป น จุด ตั้ งต น ของการเรีย น ก ข ก กา ของพระนิพพาน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ า ใครได ม องเห็ น ภาวะอั น นี้ แ ห ง จิ ต ใจของตนแล ว ก็ ใ ห ถื อ เอาจุ ด นั้ น เป น จุ ด ตั้ ง ต น ของการเรี ย น ก ข ก กา ของพระนิ พ พาน. จะเมื่ อ อายุ เท า ไร จะ เมื ่อ มีเ รื ่อ งอะไร อะไรก็ส ุด แทเ ถอะ; แตถ า เราเริ ่ม มองเห็น วา ไมม ีอ ะไรที ่ค วรจะ ไปบ า กั บ มั น , ขออภั ย ใช คํ า หยาบ ๆ ว า ไปบ า รั ก กั บ มั น ไปบ า เกลี ย ดกั บ มั น ไปบ า กลัว บา โกรธบา อะไรตา ง ๆ ไปบา กับ มัน , เริ ่ม มองเห็น ขอ ที ่ว า ไมค วรจะไป บ า ห ลงให ลอะไรกั บ มั น ; นั่ น แห ละเป น จุ ด ตั้ ง ต น . เรี ย กว า เป น การเห็ น


๒๕๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ได โดยที่ไมตองไดยินไดฟงคําวา อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ก็ได; เพราะคําวา อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เปนภาษาบาลี, เปนภาษาตางประเทศ คนอาจ จะไมรูความหมาย ไมรูสึกก็ได. แตในภาษาจิตใจ แลวมันเหมือนกันหมด ทุกชาติทุกภาษา คือเริ่มเห็นความหลอกลวงของสิ่งตาง ๆ, เริ่มมองเห็นวา ไปยึดถือหมายมั่น นั่นนี่เขาแลว มันเปนทุกขทุกที. เริ่มเห็นวามันเปนไปตาม ธรรมชาติ ไมมีตัวตนแทจริงอะไร ที่จะเปนตัวตนของใครได อยางนี้. ถาความ รูสึกอันนี้เกิดก็เรียกวา เขาเห็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา, โดยพูดวา อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ก็พูดไมเปน ไมเคยพูด ไมรูภาษาที่ลึก ๆ ภาษาอื่น อยางนี้; แตกลับ รูเห็นธรรมะที่แทจริง ตัว อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ที่แทจริง. เรื่ องนี้ สํ าคั ญ มาก จนถึ งกั บ ปู ย า ตา ยาย ของเราท านได ใช คํ าสู งสุ ด เติมเขาไป เรียกวาพระไตรลักษณ, พระอนิจจัง ก็มี, พระทุกขัง ก็มี, พระอนัตตา ก็ มี , ทั้ ง ที่ สิ่ ง เหล า นี้ เป น ที่ ตั้ ง แห ง ความทุ ก ข ทํ า ไมเราไปเรี ย กว า พระเข า ? ก็ เพราะ วา มัน เปน สิ ่ง ประเสริฐ ในฐานะที ่ต อ งรูจ ัก ถา รูจ ัก แลว มัน กลับ คุ ม ครอง. ใครไปเห็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา แลว, อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ที่เห็นนั้นจะคุมครอง ไมใหมีความทุกข.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org มั น ก็ ถู ก แล ว ที่ จ ะเรี ย กว า พระอนิ จ จั ง พระทุ ก ขั ง พระอนั ต ตา รวม กัน เรีย กวา พระไตรลัก ษณ ; เห็น แลว คุ ม ครอง, คุ ม ครองยิ ่ง กวา พระเครื ่อ งที่ แขวนคอ. เห็น ธรรมะ เห็น พระไตรลัก ษณก ็เ รีย กวา คุ ม ครองที ่ส ุด เลย คือ ถา ยังมีความทุกขอยู ก็หมายความวายังไมเห็น คือยังไมมีการคุมครอง.

เห็น อนิจ จัง ทุก ขัง อนัต ตา สรุป ความลงไปไดเ พีย งคํ า เดีย ววา เห็ น ภาวะที่ ไ ม ค วรไปยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ในสิ่ ง ใดก็ ต าม. ก อ นนี้ เ ราไม เ ห็ น เราก็ ยึ ด


ก ข ก กา ของนิพพาน มั่นถือมั่น; พอเริ่มเห็นภาวะลักษณะที่ไมควรจะยึดมั่นถือมั่น, เทานั้น ก็เรียกวาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา.

๒๕๓ ไมนาจะยึดมั่นถือมั่น

เช น ก อ นนี้ ก็ ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ในเงิ น ซึ่ ง ชอบกั น มากที่ สุ ด ในโลกนี้ เพราะ ว า เป น ป จ จั ย ให สํ า เร็ จ ตามความใคร ; มั น ก็ ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ในเงิ น . ต อ มาถึ ง วั น หนึ่ ง อายุ ม ากเข า แล ว ก็ ม องเห็ น ว า เงิ น นี้ ก ลั บ จะเป น เครื่ อ งทรมานคน ทํ า อั น ตรายคน, ปล อยไว เฉย ๆ ดี กว า. อย าต องไปยึ ดมั่ นถื อมั่ นมั นเลย ก็ เรียกว าเห็ นอนุ ปาทานนิ ยภาวะ, อนุปาทานนิยธรรม - ธรรมอันบุคคลไมควรยึดมั่นถือมั่น; หรือภาวะอันบุคคลไม ควรยึดมั่นถือมั่น; นี่ไดเริ่มเห็น. เรื่ อ งทรั พ ย สมบั ติ อื่ น ๆ ก็ เหมื อ นกั น เรื่ อ งบุ ต ร ภรรยา สามี อะไรต าง ๆ ก็ เหมื อ นกั น มั น ควรจะอยู ใ นฐานะที่ ว า เป น ของธรรมชาติ ; เมื่ อ ยั ง ไม รู ก็ เกี่ ย วข อ ง กันไปตามบุคคลที่ไมรู; พอรูแลว ก็เกี่ยวของกันไป ในฐานะที่เปนบุคคลที่เปน ผู  ช  ว ย เ ห ลื อ ซึ ่ ง กั น แ ล ะ กั น สํ า ห รั บ จ ะ อ อ ก ไ ป เสี ย จ า ก ก อ ง ทุ ก ข . เมื ่ อ ยั ง ไม รู การเป น ผั ว เมี ย กั น ก็ เป น คู บ า ด ว ยกั น , เป น เพื่ อ นบ า ด ว ยกั น . แต พ อรู แ ล ว การเป นผั วเมี ยนี้ อาจจะเป นเพื่ อนที่ ดี ของกั นและกั น สํ าหรั บจะออกไปจากกองทุ กข อยา งนี ้ก ็ไ ด. มัน สํ า คัญ อยู ที ่ว า เห็น หรือ ไมเ ห็น ; ถา เห็น ก็รู เ ขา ใจถูก ตอ ง มั น ก็ ทํ า ไปอย า งหนึ่ ง , ถ า ไม เ ห็ น มั น ก็ ทํ า ไปอี ก อย า งหนึ่ ง ; ฉะนั้ น มนุ ษ ย ทุ ก คน มันก็มีปญหาอยางนี้.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ขอให ไ ด ดู เ อาเองว า จุ ด ตั้ ง ต น ของเรา ที่ ไ ด เ ริ่ ม เห็ น อนุ ป าทานิ ย ธรรม . ซึ ่ง ตรงกัน ขา มกับ อุป านิย ธรรมนี ้เ ราเห็น เมื ่อ ไร; อยา งนั ้น มัน ก ข ก กา ของการถึงพระนิพพานไดตั้งตนแลว.


๒๕๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

พระโสดาบันเปนผูเริ่มเห็น ก ข ก กา ของนิพพาน. ที นี้ จ ะวั ด ผลด ว ยอะไรต อ ไปอี ก ? เมื่ อ ลงมื อ เรี ย น ก ข ก กา ของพระ นิ พ พานได สํ าเร็ จในขั้ น ก ข ก กา นี้ ขอระบุ เสี ยเลยว าได แก ความเป นพระโสดาบั น . ความเปน พระโสดาบัน นั ่น แหละ เปน คนเริ่ม ก ข ก กา ของพระนิพ พาน, ยัง ไมถึงนิพพาน. แต พ อพู ด อย า งนี้ คนส ว นมากก็ จ ะค า น แล ว ก็ จ ะด า ว า ท า นพุ ท ธทาส นี ้พ ูด อะไรเอาเอง, พูด แหวกแนว พูด นอกเรื ่อ ง พูด ไมเ หมือ นคนอื ่น พูด ; เชน พูด วา เปน พระโสดาบัน นี้ เปน ผูเรีย น ก ข ก กา ของพระนิพ พาน. นั้น เขา ฟ ง ไม ดี เขาไม เข า ใจ เขาไม จั ด รู ป เรื่ อ งให มั น เข า รู ป กั น . เราได พู ด แล ว ว า ส ว นหลั ง ภาคหลั ง คื อ ปรมั ต ถธรรมนั้ น มั น เป น อี ก เรื่ อ งหนึ่ ง . การที่ จ ะย า งเท า เข า มาตั้ ง ต น เข า กั บ ที่ ส ว นนี้ นั้ น มั น ไม มี อ ะไรอื่ น นอกจากความเป น พระโสดาบั น . หรื อ ว า กําลังปฏิบัติอยูอยางสุดความสามารถเพื่อจะเปนพระโสดาบัน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี ้ห มายความวา ก็เ ริ ่ม มองความจริง ดา นใน, เริ ่ม มองเห็น อนิจ จัง ทุ ก ขั ง อนั ต ตา แล ว , แม ว าไม ถึ งที่ สุ ด ก็ เริ่ม ปฏิ บั ติ เพื่ อ จะต อ ต า นกิ เลสหรือ ความ ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น . นั่ น แหละคื อ พระโสดาบั น , รวมทั้ ง ผู ที่ กํ า ลั ง ปฏิ บั ติ เพื่ อ ความเป น พระโสดาบัน . ฉะนั้น ใครเรีย น ก ข ก กา ของนิพ พาน ก็คือ พระโสดาบัน ที ่แ ทจ ริง , หรือ วา แมแ ตผู ที ่กํ า ลัง ปฏิบ ัต ิเ พื ่อ เปน พระโสดาบัน ก็ค ือ ผู ที ่เ ริ ่ม ลงมือ เรียน ก ข ก กา ของพระนิพพาน.


ก ข ก กา ของนิพพาน

๒๕๕

นี้ ใ ครเริ่ ม ในข อ นี้ ในลั ก ษณะอย า งนี้ ก็ ไ ปดู เ อาเองก็ แ ล ว กั น , ใครจะ ไปดู แ ทนกั น ได . ดู กิ ริ ย าท า ทางเอาแน ไ ม ไ ด , มั น เรื่ อ งตบตาได มั น เคร ง หลอกกั น ได มั น พู ด หลอกกั น ก็ ไ ด . ฉะนั ้ น ทุ ก คนต อ งรู  ข องตั ว เอง ว า ใครเริ ่ ม เรี ย น ก ข ก กา ของพระนิ พ พาน. คื อ เริ่ ม พยายามต อ สู ดิ้ น รนเพื่ อ ความเป น พระโสดาบั น , จนกระทั่ งเป น พระโสดาบั น แล ว ก็ จะเรี ย กแต เพี ย งว า รู ก ข ก กา ของพระนิ พ พาน เทานั้น ยังไมถึงพระนิพพาน. นี้ พ ระโสดาบั น มี เครื่ อ งวั ด โดยสรุป แล ว ก็ เรีย กวา เป น ผู ล ะ : เริ่ ม ละโม ห ะที่ เ ป นพื้ นฐาน, โมหะหรื อ อวิ ช ชาขั้ น พื้ นฐานนั้ น ได เ ริ่ ม ละ. ปุ ถุ ช นมี โมหะ มี อ วิ ช ชาขั้ น พื้ นฐานเต็ ม ที่ ; แต พ ระโสดาบั น นั้ น เริ่ ม ละอวิ ช ชาห รื อ โมหะ ที่เปนพื้นฐานรากฐานนี้ ออกไปไดหมด. เรื่ อ งนี้ ไ ด พู ด มามากแล ว ได บ รรยายมามากแล ว พิ ม พ เ ป น หนั ง สื อ หนั ง หา ปรากฏอยู ม ากแล ว ไปหาอ า นได แล ว บางคนก็ จํ า ได ดี ด ว ย ที่ อ าตมาเคย พูด อยา งไร. ขอ นี ้ไ ดแ กเรื ่อ งที ่เคยอธิบ ายมากมายโดยละเอีย ดวา พระโสดาบัน ไดละสักกายทิฏฐิอยางไร, ละวิจิกิจฉา อยางไร, ละสีลัพพัตตปรามาส อยางไร, รวมกันเปน ๓ อยาง พระโสดาบันละได จึงไดชื่อวาพระโสดาบัน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สิ่ งที่ ๑ ละสั ก กายทิ ฏ ฐิ คื อปุ ถุ ชนมี ตั วกู เต็ ม ที่ : มี ตั วกู อ ย างหยาบ ๆ, แล ว ก็ มี ตั ว กู เ ต็ ม ที่ , มี สั ก กายะเต็ ม ที่ ; เพราะฉะนั้ น จึ ง กลั ว ตายเต็ ม ที่ , ยิ่ ง เป น ปุ ถุ ช นชั้ น ดี ม าก ยิ่ ง กลั ว ตายมาก, คนจนยั งกลั ว ตายน อ ย คนรวยยิ่ ง กลั ว ตายมาก. ปุ ถุ ช นที่ มี ค วามทุ ก ข ม ากกลั ว ตายน อ ย, ปุ ถุ ช นที่ มี ค วามทุ ก ข น อ ยยิ่ ง กลั ว ตายมาก, ปุ ถุ ช นที่ ไ ม ป รากฏความทุ ก ข เสี ย เลย ยิ่ ง กลั ว ตายมากขึ้ น ไปอี ก . ฉะนั้ น มนุ ษ ย นี้


๒๕๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

กลัวตายนอยกวาเทวดาชั้นกามาวจรกุศล, เทวดาชั้นกามาวจรกุศลอยูดวยกามคุณ ที ่อิ ่ม หนํ า สํ า ราญ ก็เ ลยกลัว ตายมาก ไมอ ยากตายมาก. ทีนี ้เ ทวดาชั ้น พรหม มี ค วามสุ ข ละเอี ย ดประณี ต ยิ่ ง ขึ้ น ไปกว า นั้ น อี ก ; เทวดาชั้ น พรหมจึ ง ยิ่ ง กลั ว ตาย มากกวาเทวดาชั้นกามาวจรอีก. พู ด โดยสมมติ เป น อย า งนี้ เอาคล า ย ๆ กั บ ว า เป น โลกคนละโลก; แต ถ าพู ดโดยเนื้ อแท ก็ คื อจิ ตใจของบุ คคล ที่ ถ ามี ความทุ กข มากมั นก็ อยากตาย. หรือ กลั ว ตายน อ ย. ถ า มี ค วามสุ ข มากมั น ก็ ไม อ ยากตาย หรื อ มั น กลั ว ตายมาก, ยิ่ ง มี ความสุขประณีตละเอียดเทาไร มันก็ยิ่งไมอยากตายมากขึ้นเทานั้น. ฉะนั้นเมื่อพู ดวา สักกายนิโรธ, สักกายนิ โรธ - ดั บเสี ยซึ่งสักกายะ นี้ พวกพรหมชั้ น สู งสุ ด นั้ น กลั วมากกว าสั ต ว ใด ๆ ยิ่ งกว าเทวดาในกามาวจร ยิ่ งกว า มนุษ ย หรือ ผู ที ่ท ุก ขท รมาน เกือ บจะตายมิต ายแหล เชน สัต วน รก เชน เปรต นี้มั นก็ยิ่งไม คอยกลัวตายซิ เพราะมั นจะตายมิตายแหลอยูแลว แตคนที่ สบายมั นจะ กลัวตายมาก.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เรื่ อ งสั ก กายะเป น อย า งนี้ แปลว า กายของเรา ตั ว กู - ของกู ในชั้ น หยาบในชั้ น พื้ น ฐานทั่ ว ไป นี่ ปุ ถุ ช นมี เต็ ม ที่ . แต ผู เ รี ย น ก ข ก กา ของพระนิพ พาน เริ ่ม ละสัก กายะอัน นี ้ ซึ่ง เปน องคอ ัน หนึ ่ง ที ่พ ระโสดาบัน จะตอ งละ, ฉะนั ้น ละตัว กู - ของกู ที ่ม ัน แกก ลา เขม แข็ง นั ้น เสีย สัก ระดับ หนึ ่ง ก็เ รีย กวา เริ่มเรียน ก ข ก กา ของนิพพาน.

ทีนี้ สิ่ งที่ ๒ เรียกวา วิจิ กิ จฉา คื อ ความลั งเล นี้ ก็อธิบายมากแล วใน การบรรยายครั้ งก อ น ๆ ครั้ งอื่ น ๆ แล วที่ พิ ม พ อ ยู ก็ ม ากแล ว. สรุ ป ความว าลั งเลใน


ก ข ก กา ของนิพพาน

๒๕๗

ความเป น มนุ ษ ย , ลั งเลในการปฏิ บั ติ เพื่ อออกไปจากทุ ก ข , ลั งเลในความดี ค วามชั่ ว, ลั ง เลในการที่ จ ะขึ้ น ไปพ น ความดี ค วามชั่ ว มั น ลั ง เลไปหมด; มั น ไม แ น ใ จ เพราะ มั น มื ด มั น โง มั น ไม รู จ ะวางจิ ต ใจอย า งไรแน อย า งนี้ เ รี ย กว า ลั ง เล. จะเอาข า ง ธรรมะดี หรื อ ว า จะเอาข า งโลกดี นี้ ก็ ยั ง ลั ง เล, เป น พระเป น เณรก็ ยั ง ลั ง เล ว า จะ บวชอยู ดี หรือ วาจะสึ ก ออกไปดี . นี่ ห มายความวา ยั งลั งเลวา จะเอาข างธรรมะดี ห รือ วา จะเอาขา งโลก ๆ ดี. ถึง ชาวบา นก็เ หมือ นกัน ก็ย ัง ลัง เลวา ไปหา พระพุ ท ธเจ า ดี , หรื อ ว า จะอยู กั บ กองเงิ น กองทองดี อยู กั บ เกี ย รติ ย ศชื่ อ เสี ย งอะไรดี นี้มันก็ลังเล. นี่ลังเลพื้นฐานมันเปนอยางนี้. เมื่ อ ได ยิ น พระธรรมคํ า สอนของพระพุ ท ธเจ า ก็ ยั งลั งเล ว า นี้ พู ด กั น จริ ง หรื อ เปล า ? แล ว มั น จะดั บ ทุ ก ข ไ ด จ ริ ง หรื อ เปล า ? เพราะยั ง มองไม เห็ น ว า ธรรมะ นี้ จ ะดั บ ทุ ก ข ไ ด จ ริ ง . เรื่ อ งศี ล สมาธิ ป ญ ญา จะดั บ ทุ ก ข ไ ด จ ริ ง หรื อ เปล า ? มั น ก็ ยังลังเล นี้เรียกวาลังเลในพระธรรม.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เมื ่อ ลัง เลในพระธรรม ก็ค ือ ลัง เลในพระพุท ธเจา , ลัง เลตอ การ ตรั ส รู ข องพระพุ ท ธเจ า , แล ว มั น ก็ ต อ งเลยลั ง เลต อ พระสงฆ ว า พระสงฆ ที่ ป ฏิ บั ติ กัน อยู นั ้น ถูก หรือ เปลา ? ดับ ทุก ขไ ดจ ริง หรือ เปลา ? มัน ลัง เลตอ พระพุท ธ ต อ พระธรรม ต อ พระสงฆ , ลั ง เลต อ การปฏิ บั ติ ข องตั ว เองเพื่ อ จะดั บ ทุ ก ข อะไร ต า ง ๆ มั น ลั งเลไปหมด, กระทั่ งบางที มั น ลั งเลถึ ง ขนาดว า ตายดี ห รื อ อยู ดี ก็ อ าจจะ มีได. ฉะนั้ น มั น ต อ งมี ค วามแน น อนลงไป ในข อ ปฏิ บั ติ เพื่ อ ความดั บ ทุ ก ข , เพื่ อ มรรค ผล นิ พ พาน นั้ น แหละ ต อ งแน น อนลงไป, ปราศจากความลั ง เล.


๒๕๘

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

รูจักพระพุทธเจาจริง รูจักพระธรรมจริง รูจักพระสงฆจริง จนไมมีความลังเลใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆอีก. นี้ก็เรียกวา ละวิจิกิจฉาได เปนการรู ก ข ก กา ของพระนิพพานองคหนึ่งเหมือนกัน. ทีนี้ สิ่งที่ ๓ สีลัพ พั ต ตปรามาส นี้ คือ ความงมงายทั้งหลาย. การ ประพฤติ ก ระทํ าที่ ไม อ ยู ในอํ านาจของเหตุ ผ ล เรี ยกว าสี ลั พ พั ต ตปรามาส. แม ป ฏิ บั ติ ดี ป ฏิ บั ติ ถู ก อยู แ ท ๆ แต ไม รู จั ก การปฏิ บั ติ นั้ น ๆ ว า มั น เป น เหตุ ผ ลอย างไร ก็ ป ฏิ บั ติ ไป, อย า งนี้ ก็ เรีย กว า สี ลั พ พั ต ตปรามาส. ตั ว หนั งสื อ มั น ก็ บ อกอยู แ ล ว ว า ลู บ คลํ า ศีลและพรตดวยความโง. ฉะนั้น ผูที่ปฏิบัติอยูอยางเครงครัด กลายเปนลูบคลํา ศี ล พรตด ว ยความโง ก็ ได , หรื อ ว า ความลู บ คลํ า ศี ล พรตนั่ น แหละ จะทํ า ให ป ฏิ บั ติ เครงกวาคนอื่นเหลือประมาณ อยางนี้ก็ได. ฉะนั้ น เราจะปฏิ บั ติ อ ะไร ต อ งเห็ น ชั ด อยู ว า ข อ ปฏิ บั ติ นั้ น มั น จะละ กิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะ ไดอ ยางไร; แลวปฏิบัติล งไปอยางนี้แ หละเรีย ก ว า ถู ก ต อ ง, ไม เป น สี ลั พ พตตปรามาส; หรื อ ว า ปฏิ บั ติ อ ย า งนั้ น เหมื อ นกั น แต มั น โงมันงมงายทําไม มันก็เรียกวาสีลัพพัตตปรามาส.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สี ลั พ พั ต ตปรามาสอย า งอื่ น มั น มี อี ก มั น มี โ ง ง มงายต่ํ า ไปกว า นั้ น อี ก ซึ ่ง เปน เรื ่อ งของไสยศาสตร ของอะไรตา ง ๆ อีก มากมาย; แตใ จความสํ า คัญ มัน อยู ที ่ว า มัน ไมรู จ ัก หรือ มัน ไมม ีเ หตุผ ลในการปฏิบ ัต ิเ ชน นั ้น , มัน เพีย งแต ปฏิ บั ติ ต าม ๆ กั น ไป ด ว ยความงมงาย. กระทั่ งมาบวชนี้ ก็ บ วชงมงาย, กระทั่ งมา ปฏิ บั ติ ศี ล สมาธิ ป ญญา ก็ ทํ าอย างงมงาย, อย างนี้ ก็ เรียกวาเป นสี ลั พพั ตตปรามาสหมด


ก ข ก กา ของนิพพาน

๒๕๙

มันก็ตองละ. ที่ชาวบานจะตองละ ที่บรรพชิตจะตองละหรือทุกคนจะตอง ละความงมงายเหลานี้, ก็เลยเรียกวา รู ก ข ก กา ของพระนิพพาน. นี้ ตามหลั กก็ ได ยื นยั นไว แสดงไว เพี ยง ๓ อย างเท านั้ นพอ; ละสั กกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพัตตปรามาสได ก็เปนพระโสดาบัน. นี้ ขอให ดู ให ดี ว า ทั้ ง ๓ อย างนี้ มั น คื อ โมหะพื้ น ฐาน, อวิ ช ชาพื้ น ฐาน, ความโง พื้ น ฐาน ของมนุ ษ ย เรา. พอเกิ ด มาจากท อ งแม มั น ก็ เริ่ ม สะสม ความโงพื้นฐานนี้มากขึ้น ๆ มากขึ้น. ไปดูเรื่องของเด็ก ๆ เอาเองก็แลวกัน วามันเพิ่มสักกายะ ตัวกู – ของกู มากขึ้ น อย า งไร. มั น เพิ่ ม ความลั ง เล ไม รู จ ะไปทางทิ ศ ไหนมากขึ้ น ๆ อย า งไร. เด็ ก คลอดออกมาจากท อ งแม นี้ มั น ไม รูว า คลอดมาทํ าไม ? เกิ ด มาทํ า ไม ? จะไป ขางไหน ? มั นไม รู ยื นเหลี ยวหน าเหลี ยวหลั งอยู ไม รูจะไปข างไหน มั นจึ งเต็ มไปด วย วิจิกิจ ฉา. ทีนี้มัน ก็ถูก ลากถูก พาไป ตามสิ่ง แวดลอ ม จนกวา มัน จะพบทาง ที่ถูกตองจึงจะหมดวิจิกิจฉา.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ สี ลั พ พั ต ตปรามาสนี้ ก็ มี ไ ด ง า ย เด็ ก ๆ พอคลอดออกมา มั น ก็ อยากดี, มัน ก็ก ลัว ตาย. ฉะนั้น ถาใครบอกวานี้ดี นี้แ กต ายได กัน ตายได มัน ก็ เอา, มั น ก็ เลยเป น เรื่ อ งสี ลั พ พั ต ตปรามาส มากขึ้ น ๆ มากขึ้ น กวา จะมาพบ พระพุทธศาสนา ที่เปนแสงสวาง.

ดั ง นั้ น จึ ง ถื อ ได ว า การละสั ก กายทิ ฏ ฐิ วิ จิ กิ จ ฉา สี ลั พ พั ต ตปรามาส ๓ อย างนี้ เป น เครื่อ งบอกวา เป น ผู รู ก ข ก กา ของพระนิ พ พาน; ฉะนั้ น


๒๖๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ผู ใดกํ าลั ง พยายามปฏิ บั ติ อ ยู เพื่ อ อย างนี้ ก็ เรี ย กว า สงเคราะห ไว ในพวกที่ เรี ย น ก ข ก กา ของพระนิพ พานดว ยเหมือ นกัน . เพราะฉะนั ้น เราจะพูด วา พระโสดาบัน ก็ดี, ผูที่กํา ลัง พยายามปฏิบัติเ พื่อ ความเปน พระโสดาบัน ก็ดี, นั่น แหละคือ ผูเรียน ก ข ก กา ของพระนิพพาน.

พระโสดาบันนั้นเริ่มเห็นอริยสัจจ. ที นี้ พู ด ให เข าใจชั ด ต อ ไปอี ก คื อ พู ด ด ว ยถ อ ยคํ าที่ ได ยิ น ได ฟ งกั น อยู ม าก ก็ต อ งวา ผู เ ริ ่ม เห็น อริย สัจ จ มีด วงตาเห็น ธรรม, มีด วงตาเห็น ธรรม มัน ก็ เปน เรื ่อ ง อนิจ ฺจ ํ ทุก ฺข ํ อนตฺต า อยู โ ดยสว นใหญ; เริ่ม เห็น วา สิ ่ง ทั ้ง หลาย ทั้ ง ปวงไม เที่ ย ง เป น ทุ ก ข เป น อนั ต ตา, ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ไม ได , สิ่ ง ใดมี เกิ ด แล ว ก็ ต อ ง มี ดั บ . เพราะฉะนั้ น จะไปเปลี่ ย นแปลงมั น ไม ไ ด , เริ่ ม เห็ น อย า งนี้ ก็ เรี ย กว า เริ่ ม มี ดวงตาเห็ น ธรรมชาติ อั น แท จ ริ ง เรี ย กว า มี ด วงตาเห็ น ธรรม. นี้ เรี ย กอี ก อย า งหนึ่ ง เขาก็เ รีย กวา เห็น อริจ สัจ จ : เห็น วา ทุก ขเ ปน อยา งไร, เหตุใ หเ กิด ทุก ขเ ปน อยา งไร, ความไมม ีท ุก ขเปน อยา งไร, ทางใหถ ึง ความไมม ีท ุก ขนั ้น เปน อยา งไร. ที นี้ โ ดยส ว นใหญ เห็ น กลั บ กั น เสี ย เอาสุ ข เป น ทุ ก ข เอาทุ ก ข เป น สุ ข มั น ยุ ง ไปหมด ทําอะไรถูกใจ ถูกกับกิเลส ก็กลายเปนสุขไปหมด.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เดี๋ ย วนี้ ม าเริ่ ม มี ด วงตาเห็ น ธรรม อย า งถู ก ต อ งตามที่ เ ป น จริ ง ว า ความทุกขนั้นเปนอยางไร ? ก็เนื่องจากเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา, เห็นความ นา เกลีย ดของสิ ่ง เหลา นั ้น ก็เ รีย กวา เห็น ทุก ข ในความหมายที ่ก วา งขวางที ่ส ุด . สิ่ ง ใดไม เ ที่ ย ง สิ่ ง นั้ น เป น ทุ ก ข ; แม แ ต ก อ นหิ น นี้ ก็ ไ ม เ ที่ ย ง ฉะนั้ น ก อ นหิ น นี้


ก ข ก กา ของนิพพาน

๒๖๑

ก็ เป น ทุ ก ข ในความหมายที่ ว า ดู แ ล ว มั น น า เกลี ย ดเหลื อ เกิ น มั น น า ระอาใจเหลื อ เกิน . ที ่ว า กอ นหิน นี ้ มัน ก็เ ปลี ่ย นแปลงเรื ่อ ย มัน มีก ารเกิด ดับ มีก ารเปลี ่ย น แปลง มีค วามเปน มายา, ทั ้ง ที ่ม ัน เปน กอ นหิน แข็ง อยา งนี ้แ หละ. นี ้ก ็เ รีย กวา เห็น ความทุก ข ในแงที ่ว า มัน ดูแ ลว นา เกลีย ด. นี ้ถ า เราไปยึด ถือ จะใหเ ปน ของเรา ตามความเหมาะสมของเราเข า จิ ต ใจของเราก็ เป น ทุ ก ข ; หรื อ ว า สิ่ ง ใดมี ความรู ส ึก มีช ีว ิต มีค วามรู ส ึก แลว สิ ่ง นั ้น มัน ก็เ ปลี ่ย นแปลง สิ ่ง นั ้น มัน ก็เ ปน ทุกข, มันรูสึกเปนทุกขอยูในใจของมันเอง. นี่ความทุ กขมี หลายความหมาย หลายปริยาย หลายรูป หลายภาวะ. ดูใ หเ ห็น ความที ่ไ มน า ไปหลงรัก ไมน า ไปยึด ถือ นั ่น ก็เรีย กวา เริ ่ม เห็น ทุก ข. และโดยสวนใหญทานก็ระบุใหดูที่ ความเกิด ความแก ความเจ็บ ความตาย โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส. ตองการอยางไรแลวก็ไมไดตามที่ตอง การนั้น.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สรุป แลวก็คื อ ป ญ จุ ป าทานขั น ธ ทั้ ง ๕ ประการเป น ตั วทุ ก ข คื อ ไป หมายมั ่น ใหข ัน ธใ ดขัน ธห นึ ่ง เปน ไปตามประสงคข องตน : ใหร ูป เปน ไปตาม ความประสงค ของตน, ให เวทนาเป น ไปตามความประสงค ของตน, ให สั ญ ญาเป น ไปตามความประสงค ข องตน, ให สั ง ขารเป น ไปตามความประสงค ข องตน,ให วิ ญ ญาณเป น ไปตามความประสงค ข องตน. พู ด อย า งนี้ มั น ก็ ยิ่ ง ฟ ง ไม ถู ก ; เพราะ พู ดด วยภาษาบาลี . ถ าพู ดตามภาษาไทย ๆ หน อยก็ วา ทุ กอย างที่ มั นเกิ ดขึ้นในจิ ตใจ ในกาย ในใจ ในอะไรรูส ึก คิด นึก อยู นี ่ จะใหเ ปน ตัว ตน ใหเ ปน ของตน เปน ไปตามความปรารถนาของตนไปเสียหมด; นั่นแหละคือความยึดมั่นถือมั่นเบญจขันธ


๒๖๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ที่ เ ป น ตั ว ทุ ก ข ; ให รู จั ก ตั ว ทุ ก ข อ ย า งนี้ ก อ น เราเรี ย กว า รู จั ก ทุ ก ข ข อ แรกของ อริยสัจจ. ทีนี ้เ ห็น เหตุใ หเ กิด ทุก ข คือ วา ตัณ หา อุป าทาน. ถา มีต ัณ หาก็ต อ ง มี อุ ป าทาน พอถึ งอุ ป าทานก็ ป รากฏเป น ความทุ ก ข , เพราะไปยึ ด ถื อ ยึ ด ถื อ เข าเป น ความทุ ก ข , มั น เป น คํ า พู ด ที่ ฟ ง ง า ย; เป น ภาษาธรรมดาที่ ฟ ง ง า ย คื อ ว า ถ า ไปยึ ด ถือเขาก็หนัก; ถาอยาไปยึดถือเขามันก็ไมหนัก เพราะมันไมไดยึดถือ. ที นี้ เมื่ อ จิ ต ไปยึ ด ถื อ นั่ น นี่ เป น ตั ว ตนของตนเข า มั น ก็ ห นั ก หนั ก ก็ คื อ เปน ทุก ข. ฉะนั ้น ความทุก ขม าจากความยึด ถือ คือ อุป าทาน, อุป าทานนั ้น มาจากตั ณ หา คื อความอยากอย างใดอย างหนึ่ งตามความต องการนั้ น. พระพุ ทธเจ า ทานระบุตัณหาวา เปนเหตุใหเกิดทุกข โดยผานทางอุปาทาน หรือเอาตัวอุปาทาน เปนตัวทุกขเลยก็ได. นี่รูอริยสัจจขอ ๒.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แล ว ความไม มี ทุ ก ข มั น ก็ ต รงกั น ข า ม คื อ ความไม ยึ ด ถื อ ความไม มี ตัณหา ไมมีทุกข. นี้อริยสัจจขอ ๓.

ทีนี ้ท างปฏิบ ัต ิ เราอยู ใ หถ ูก เปน ใหถ ูก ใหฉ ลาด. เมื ่อ ฉลาดแลว ก็ ทํ าถู กทั้ งทางกาย ทั้ งทางวาจา ทั้ งทางใจ ก็ ไม มี ความอยาก, ไม มี ความยึ ดถื อ ก็ ไม เปนความทุกข นี่เรียกวา อริยสัจจขอ ๔.

ใครได ม องเห็ น เค า ความข อ นี้ ทั้ ง ๔ อย าง อย างถู ก ต อ ง คนนั้ น เรี ย กว า เริ่ ม เห็ น อริ ย สั จ จ แ ม ไ ม ส มบู ร ณ แต ว า ถู ก ต อ ง เริ่ ม เห็ น อริ ย สั จ จ อ ย า งถู ก ต อ ง


ก ข ก กา ของนิพพาน

๒๖๓

อยางครบถวน แตยังไมสมบูรณ คือไมถึงที่สุด. ฉะนั้นพระโสดาบัน ก็คือผู เริ่มเห็นอริยสัจจ อยางถูกตองในระดับหนึ่ง, แลวเห็นตอไปอีก ก็เปน พระสกิทาคามี อนาคามี กระทั่งเปนพระอรหันต, เห็นอริยสัจจถึงที่สุด เดี๋ยวนี้พระโสดาบันก็คือ ผูที่เห็นอริยสัจจ ๔ ดวยดวงตาที่แจมใส ชนิดที่เห็น ธรรมะได. นี่คนที่เรียน ก ข ก กา ของพระนิพพาน ก็คือพระโสดาบัน เขามา ในเขต ก ข ก กา ของพระนิพพาน ไมเทาไรก็จะรูหมด ถึงตัวพระนิพพาน.

พระโสดาบันคือผูถึงกระแสแหงพระนิพพาน. ที นี้ ดู ต อ ไปอี ก ให เ ข า ใจชั ด ขึ้ น ก็ ดู ที่ คํ า พู ด นั้ น ๆ อี ก ที ห นึ่ ง . พระโสดาบั น แปลว า ผู ถึ ง กระแส, ถึ ง กระแสแห ง พระนิ พ พาน. พระโสดาบั น เรี ย ก เป นไทย ๆ มันก็แปลก โสตาป นนะ โสตะ + อาป นนะ หรือโสตา อาป นนะ วา ผูถึง แลว ซึ่ง กระแส. กระแสคือ การไหลไปที ่แ นน อน เรีย กวา กระแส; เดี๋ย วนี้ เปน กระแสแหง พระนิพ พาน. พระโสดาบัน มาถึง นี ้ มาถึง จุด นี ้แ ลว เที ่ย งแท แนนอนตอพระนิพพาน; เพราะฉะนั้นจึงเรียกวาพระโสดาบัน ผูถึงกระแส.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ พระโสดาบั น มี คํ าเรี ยกอี กมากมายหลายชื่ อ หรื อหลายสิ บชื่ อ แล ว ชื่อที่นาสนใจ ที่สุดก็คือ อมตทฺวาเร โต - ผูยืน อยูแลว ที่ป ระตูแหงอมตะ. พระโสดาบั น คื อ ผู ที่ ยื น อยู แ ล ว ที่ ป ระตู หรือ วาก าวข ามธรณี ป ระตู แ ห งอมตะคื อ นิ พ พาน. แต ยั ง ไม ไ ด เข า ไปถึ ง กลางเมื อ ง ยั ง ไม ไ ปถึ ง กลางเมื อ งนิ พ พาน; แต ถึ ง ประตู ห รือ ก า วข า มธรณี ป ระตู . นี้ บ าลี เขาเรีย กว า อมตทฺ ว าเร โต - ตั้ งอยู แ ล ว ที่ป ระตู. ไปยืน อยูแ ลว ที่ป ระตูแ หง อมตะ นี้ก็เ ปน พระโสดาบัน เปน ผูเ รีย น ก ข ก กา ของพระนิพพาน.


๒๖๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

อุป มาอยา งอื ่น มีอ ีก มาก; เชน วา ถา วา เปน คนตกทะเล วา ยหาฝ ง ก็เปนผูที่ถึงเขตน้ําตื้น จะเดินขึ้นไปบนบกไดโดยแนนอน นี้ก็เรียกวาพระโสดาบัน; ผิ ด จากคนที่ ต กทะเลไปแล ว จมลงไป แล ว มั น ตายเลย หรื อ ว า ผุ ด ขึ้ น มา ๒ - ๓ ครั้ ง แล ว มั น ก็ จ มลงไปอี ก แล ว ก็ ต ายเลย หรือ ว า กํ า ลั ง มุ ง เข า มาหาฝ งเห็ น ทิ ศ ทางแล ว ม าถึ ง เข ต น้ํ า ตื ้ น แ ล ว ; นี ้ ก ็ เ รี ย ก ว า พ ระโส ด าบั น , ผู  ที ่ ถ ึ ง เขต น้ํ า ตื ้ น ขอ ง วัฏฏสงสาร กําลังจะขึ้นบก ก็เรียกวา ผูเรียน ก ข ก กา ของพระนิพพาน. ฉะนั ้น อยา ไดก ลัว พระนิพ พาน จนถึง กับ ทํ า อะไรไมถ ูก ; ถา เขา ใจ ข อ ความเหล า นี้ แ ล ว จะเห็ น ว า พระนิ พ พานนั้ น ก็ อ ยู ใ นวิ สั ย ; เพราะเหตุ ว า ความ เปน พระโสดาบัน นั ้น มัน อยู ใ นวิส ัย . เมื ่อ เปน พระโสดาบัน ได ก็ถ ึง นิพ พาน ได โ ดยแน น อน; ฉะนั้ น ขอให ทํ า ความเป น พระโสดาบั น นี้ ให อ ยู ใ นวิ สั ย เสี ย ก อ น เถิ ด เรี ย กว า เรี ย น ก ข ก กา ของนิ พ พาน เป น ผู เที่ ย งต อ นิ พ พาน เป น ผู ไ ม เวี ย น ไปสูความตกต่ําอีก.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทั้ ง หมดนี้ มั น ก็ ม ากอยู แ ล ว เป น หั ว ข อ ที่ อ าจจะพิ จ ารณาเห็ น มากมาย อยู แ ลว . พูด ไปอีก มัน ก็อ ยา งนี ้แ หละ มัน ก็ม ีอ ีก มาก มัน ก็ไ มจํ า เปน ; แตว า หั ว ข อ ที่ พู ด ไปแล วนี้ มั น จํ าเป น หรื อ ว าพอแล ว สํ าหรั บ ที่ จ ะพิ จ ารณาให เห็ น ว า เป น ก ข ก กา แหงพระนิพพาน.

กอ นนี ้เ ราไมป ระสีป ระสา ตอ ซีก หรือ ฝา ยแหง พระนิพ พาน มัน จม อยู ใ นวั ฏ ฏสงสาร, มั น ก็ เรี ย น ก ข ก กา ไปอี ก ทางหนึ่ ง คื อ สํ า หรั บ จะจมอยู ใ น วั ฏ ฏสงสาร; จะไปหลงความดี , จะไปติ ด อยู ในความดี , จะเวี ย นว า ยไปในความดี ไปในสวรรค ไปในสุ ค ติ อ ะไร มั น ติ ด อยู เท านั้ น . นี่ เรี ยกว า ก ข ก กา ของวั ฏ ฏสงสาร


ก ข ก กา ของนิพพาน

๒๖๕

ทีนี ้พ อสิ ่ง เหลา นั ้น ถูก มองเห็น เปน ของที ่ห ลอกลวงมายา ยึด ถือ เขา แลว เปน ทุกข มันก็เริ่มเปลี่ยนเปนเรื่องของพระนิพพาน, ก็ตั้งตนเรียน ก ข ก กา กันใหม สําหรับไปนิพพาน จะไมใหเรียก ก ข ก กา แหงนิพพานแลว จะใหเรียกวาอะไร. คนที่ ไ ม เ ข า ใจ คนที่ ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น จะไม ย อมเรี ย ก, แล ว ก็ จ ะหาว า ท า นพุ ท ธทาสนี้ บ า แล ว แหวกแนว สอนไม มี เหตุ ผ ลไม เหมื อ นใคร ที่ ม าบอกว า มี ก ข ก กา แห ง พระนิ พ พาน, คล า ย ๆ กั บ พระนิ พ พานนี้ มั น ช า งง า ยเสี ย เหลื อ เกิ น เหมื อ นกั บ ก ข ก กา. แต ถึ งอย างไรก็ ยั งยื น ยั น อยู วา มั น เป น ก ข ก กา แห ง นิพ พาน, มัน ขึ ้น ศัก ราชใหม มัน กา วขึ ้น ไปสู โ ลกอื ่น ซึ ่ง เปน เรื ่อ งเหนือ โลก โลกที ่เ หนือ โลกโลกที ่พ น โลก. ฉะนั ้น เราก็ต อ งตั ้ง ตน ใหมส ิ; เหมือ นกับ ไป เกิด ใหม เปน เด็ก ออ นกัน ใหม, ไปเรีย น ก ข ก กา กัน ใหม; แตม ัน เพื ่อ ไปสู จุด สุด ทา ยจุด ปลายทาง คือ พระนิพ พาน. ฉะนั ้น ก็จ ะขอเรีย กวา ก ข ก กา ของพระนิพ พาน, หรือ ก ข ก กา ทางฝา ยปรมัต ถธรรม ไปเรีย นเขา แลว มัน ก็จะเปน ก ข ก กา ของพระนิพพาน ที่ทําใหลุถึงนิพพาน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้น ถาวายังหลับหูหลับตาไมยอมฟง แลวคอยแตจะคานอยูเสมอวา เรื่อ งพระนิ พ พานไม ใช งาย ไม ใชอ ยู ในวิสัย , หรือ แม แตพ ระโสดาบั น ความเป น พระโสดาบั น นี้ ก็ มิ ใ ช ข องง า ย แล ว มั น ไม อ ยู ในวิ สั ย ของคนธรรมดาสามั ญ ; โดย เฉพาะคนในสมั ยป จจุ บั น มนุ ษย สมั ยนี้ ในโลกสมั ยนี้ อย าไปพู ดถึ งพระโสดาบั นเลย. คนนั้ น มั น โงเอง, คนนั้ น แหละขุ ด หลุ ม ฝ งตั วเอง ฝงให มิ ด ให ลึ ก, ให มิ ด ให ลึ ก จนไมมีทางที่จะโผลขึ้นมาไดอีก มันก็อยูที่นั่น.


๒๖๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

แตเดี๋ยวนี้เราอยากจะทําตามพระพุทธโอวาท ที่ตรัสวา ปฏิบัติให ถูกตอง เปนอยูใหถูกตอง โลกจะไมวางจากพระอรหันต. นี่เราจึงพยายามไป ตามนั้ น เพื่ อ ให มั น เข า ไปในกระแสแห ง ความถู ก ต อ งที่ เรี ย กว า มรรคมี อ งค ๘ ประการนั่ น , เป น ความถู ก ต อ ง ๘ ประการ รวมกั น เข า แล ว เป น อริ ย มรรค นั้ น มัน เปน กระแสแหง ความถูก ตอ ง. นี ้เ ราก็ส รา งกระแสนี ้ขึ ้น มา; ถา ถึง กระแสนี ้เ รีย กวา พระโสดาบัน ก็เ รีย กวา ผู ที ่เ ริ่ม เรีย น ก ข ก กา หรือ วา รู ก ข ก กา ของพระนิ พ พานแล ว , แล ว ก็ อ า นต อ ไป, แล ว ก็ เรีย นต อ ไป ๆ มั น ก็ จ ะรู พระนิพ พานได. นี ่ข อใหฟ ง เรื ่อ งทั ้ง หมดนี ้ ในฐานะเปน เรื ่อ งจริง ในจิต ในใจ. อย าฟ งเป น เรื่อ งในหนั งสื อ. อย าฟ งเป น เรื่อ งเสี ยงเรื่อ งคํ าพู ด เอามากล าวกั น อย าง เพอ เจอ ไมรูวา อะไร. ขอใหฟ ง ในฐานะเปน เรื่อ งจริง แลว ก็เ ปน เรื่อ งใน จิต ใจ. เมื ่อ ยัง มองเห็น อยู ว า เปน ปุถ ุช น ก็ม องเห็น ความเปน ปุถ ุช นใหด ี ให ถู ก ต อ ง มั นจะเลื่ อ นเป น กั ล ยาณปุ ถุ ชนได , แล วมั น ก็ จะค อ ยเลื่ อ นไปหา ความเป น พระอริยเจาได.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เดี๋ ย วนี้ เราเป น ปุ ถุ ช น เอาละ, ยอมเป น ปุ ถุ ช น เราจะมองหาจุ ด หมาย ปลายทางกัน ที่ไ หน ? ปุถุช น คนนี้ จะมองจุด หมายปลายทาง ของชีวิต นี้ ที ่ไ หน ? ดูม ัน จะมืด มนท มัน ชา งเปน ปุถ ุช นเสีย เหลือ เกิน กระทั ่ง ไมรู ว า มัน จะไปที ่ไ หน; มัน จะกา วหนา ไปทางไหน, มัน จะเจริญ ไปทางไหน มัน ก็ไ มรู . อย างจะรู มั น ก็ เรื่ อ งที่ นี่ เงิ น ทอง ข าวของ ทรั พ ย ส มบั ติ บุ ต ร ภรรยา สามี มี ห น า มีต า มีเ กีย รติ อะไรตา ง ๆ เหลา นี ้, เรีย กวา เรื ่อ งกิน เรื ่อ งกาม เรื ่อ งเกีย รติ นี่ พ อแล ว ไม มี อ ะไรมากไปกว า นี้ . นี่ มั น ช า งเป น ปุ ถุ ช นเสี ย เหลื อ เกิ น แล ว เป น ปุถุชนไปจนตาย หรือวาจะโชคดีจะคอยเปลี่ยนได ก็ลองไปพิจารณาดู.


ก ข ก กา ของนิพพาน

๒๖๗

เรียน ก ข ก กา ของพระนิพพานดวยบทเรียน "อยูไปทําไม". แต อาตมาอยากจะยื นยั นว า ถ าขยั น อุ ตส าห พยายาม พิ จารณา ในข อ ที่ ว า เกิ ด มาทํ า ไม ? เกิ ด มาทํ า ไม ? จะไปข า งไหนกั น ? นี่ ใ ห บ อ ย ๆ เถอะ มั น จะ ค อ ย ๆ ละ ค อ ย ๆ ห า งจากความเป น ปุ ถุ ช นเกิ น ไป มาเป น ปุ ถุ ช นที่ เบาบาง ปุ ถุ ช น ชั้ น ดี . แล ว ก็ ต อ งทํ า จริ ง แล ว ก็ ต อ งไม ล ะอายในข อ นี้ , คื อ ถ า มั ว ละอายในข อ นี้ แ ล ว มั น จะไม ก ล า คิ ด ตรง ๆ ไม ก ล า คิ ด จริ ง . นี้ เรี ย กว า คนโกหกตั ว เอง, หลอกลวงตั ว เอง มัน หลอกลวงตัว เอง ไมใ หก ลา คิด ไปในทางที ่จ ะหลุด พน ออกไปได; เพราะมัน ไม รู มั น พยายามที่ จะปล อ ยไปตามความสะดวกสบาย ตามความเคยชิ น ตามความ ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ยึ ด ถื อ อยู อ ย า งไรก็ จ ะเอาแต อ ย า งนั้ น . ไม ก ล า คิ ด ที่ จ ะให แ ปลกไป จากนั้ น ; ถ า ใครมาพู ด ถึ ง เรื่ อ งที่ แ ปลกออกไป ก็ ไ ม ย อมรั บ ฟ ง เพราะว า ทิ ฏ ฐิ มานะของตัว มัน เต็ม ปรี่ แบบที ่เขาเรีย กกัน วา น้ํ า ชามัน ลน ถว ย มัน ใสล งไปอีก ไมไ ด. นี ้ถ า วา จะสับ เปลี ่ย นกัน เสีย บา ง, เอาทิฏ ฐิม านะนั ้น ออกไปเสีย , แลว เอาทิฏฐิอยางอื่นเขามาแทน บางทีจะเร็วขึ้น.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ป ญ หาอั น หนึ่ ง ที่ ดี ที่ สุ ด ก็ คื อ ป ญ หาที่ นี่ ที่ เรี ย กว า เกิ ด มาทํ า ไม นี้ ? มี ชี วิ ต อยู ทํ า ไม ? เดี๋ ย วนี้ มี ชี วิ ต อยู ทํ า ไม ? ถ า คิ ด เดี๋ ย วนี้ ไ ม อ อก, นั่ ง อยู ที่ นี่ ไ ม อ อก ก็ เ อาไปคิ ด เมื่ อ จะนอนหรื อ เมื่ อ จะตื่ น นอน, หรื อ เมื่ อ เวลาที่ มั น โปร ง สบาย ไม มี อะไรรบกวน หรื อ ว า จิ ต มั น กํ า ลั ง เข ม แข็ ง คมกล า , ไปคิ ด ดู ว า นี่ อ ยู ไปทํ า ไม ? เรานี้ อุ ต ส า ห ห าเงิ น หาทอง เลี้ ย งอะไร อยู กั น ไปทํ า ไม ? อยู กั น ไปทํ า ไม ? ตั้ ง ป ญ หา วาอยูกันไปทําไมนี้เรื่อยไปเถอะ แลวจะพบจุดปลายทางวา อยูกันทําไม.


๒๖๘

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ถา เปน พระอรหัน ตแ ลว มัน หมดความอยู , เพราะละอัส มิม านะ ว า ตั ว ว า ตนได , ไม มี ตั ว ตนแล ว ไม มี ค วามอยู . ฉะนั้ น พระอรหั น ต ท า นจึ ง หมด ปญหาวา "อยูกันไปทําไม" ทานไมมีปญหานี้. แต ถ าว าใคร ปุ ถุ ชนโง ๆ ไปคะยั้ นคะยอให ท านตอบ ว าท านอยู ไปทํ าไม, จะไปคะยั้นคะยอพระอรหันต ใหตอบวาอยูไปทําไม. พระอรหั นต ก็จะตอบวา กูอยู รอความตายซิ อย า งนี้ มี ในบาลี ไม ใ ช อ าตมาว า เอาเอง. มี คํ า ของพระอรหั น ต บางองค หรือหลายองค ทานตอบอยางนั้น วาอยูเหมือนลูกจางรอเวลาจายเงินคาจาง ตอนเย็ น , อยู เหมื อ นกั บ พวกลู ก จ า งรอเวลาจ า ยเงิ น ค า จ า งในตอนเย็ น . นี่ ถ า ใคร ไปบั ง คั บ ให พ ระอรหั น ต ท า นตอบว า อยู ไ ปทํ า ไม; ท า นก็ ต อบอย า งนี้ . แต ที่ จ ริ ง ทานมิไดอยู, ทานมิไดมีตัวสําหรับจะอยู, มันก็คือมิไดอยู แลวก็มิไดอะไร. แต นี้ จ ะตอบภาษาคนธรรมดา, ตอบภาษาชาวบ า น ให พ อชาวบ า น ฟ งรูเรื่อ งบ า ง ก็ ว าอยู รอความตายสิ เพราะไม ต อ งการอะไร ไม ต อ งการอะไรเลย, แล ว อยู ทํ า ไม มั น ก็ อ ยู ก ว า มั น จะดั บ ลง, มั น ก็ ไ ม มี ค วามทุ ก ข เหมื อ นกั น , อยู อ ย า ง นั ้น ก็ไ มม ีค วามทุก ขเ หมือ นกัน . แตว า พวกบุถ ุช นทั ้ง หลายไมเ อา, คงไมเ อาอยู รอความตายนี้ ค งไม เอา. ฉะนั้ น ไปทํ า นา ไปทํ า สวน ไปหาเงิ น ไปอะไร มั น ยั ง จะดี ก ว า . แต พ ระอรหั น ต ท านก็ ไม ได ต อ งการอย างนั้ น ; เพราะถ า ว าอยู เฉย ๆ มั น ก็ ตายเองก็ ไ ด , เรี ย กว า อยู ร อความตาย, คล า ย ๆ กั บ ว า จะตอบประชดคนโง ที่ ไ ป ถามมากกว า ; เพราะเมื่ อ พระอรหั น ต ท า นอยู ท า นก็ เป น ตั ว อย า งที่ ดี สอนธรรมะ อยู ด ว ยที ่เ นื ้อ ที ่ต ัว , เปน ตัว อยา งที ่ด ี มีป ระโยชนแ กป ระชาชนในโลกอยู แ ลว . อยางนี้ก็อยูเพื่อเปนประโยชนแกคนอื่นในโลกก็ไดเหมือนกัน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


ก ข ก กา ของนิพพาน

๒๖๙

ทีนี้เรา ที่ ยังไม เป นพระอรหั นต หรือวาแมแตวาพระโสดาบันนี้ก็ยังไม เปน พระอรหัน ต ก็อ ยู ไ ปทํ า ไม ? คงจะอยู เ พื ่อ ความเปน อรหัน ต ในใจของ ใครคิด อยา งไรก็ไ ปรู ก ัน เองก็แ ลว กัน วา อยู ไ ปทํ า ไม. บางคนก็อ ยู เ พื ่อ หาเงิน ใหล ูก เรีย นจนจบ ก็อ ยู ไ ปอยา งนี ้ก อ นก็ไ ด; แตจ ะคิด เผื ่อ ลว งหนา ไวก ็ไ มเ ปน ไร วา มัน จะอยู ไ ปทํ า ไมในที ่ส ุด , หรือ ถา ลูก มัน โตแลว ขึ ้น ไปอีก มัน จะอยู ไ ปทํ า ไม ลู กนั้ นมั นก็ ไม มี สิ้ นสุ ดสิ มั นก็ อยู เลี้ ยงลู กกั นต อ ๆ ไปไม มี ที่ สิ้ นสุ ด, มั นก็ ทํ าให ราคา ของมนุษยตกต่ําหรือหมดไป. มัน ควรจะอยูเ พื ่อ อะไรสัก อยา งหนึ ่ง ซึ่ง สูง สุด หรือ ดีที ่สุด , นอก นั้ น มั น เป น เรื่ อ งสมั ค รเล น ไป เหมื อ นกั บ ว า ทํ า ไปพลางเดิ น ไปพลาง, เดิ น ทางไป พลางทําไปพลาง กวาจะถึงจุดหมายปลายทาง. ที่ ทําไปพลางนั้น มั นก็สงเสริม การเดิ น ทางให ถึ งจุ ด หมายปลายทาง; ฉะนั้ น ถ าใครหาทรัพ ย สมบั ติ ให ดี มี บุ ต ร ภรรยา สามี ให ดี มี เกี ย รติ ย ศ ชื่ อ เสี ย ง อะไรให ดี มี ให ดี ให ถู ก นั้ น มั น จะส ง เสริ ม การเดินทางที่ดี ที่ไปถึงจุดหมายปลายทางไดเร็วขึ้น.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้ น ขอฝากป ญ หานี้ ไว สํ าหรับทุ กคน วา มี เวลาเมื่ อไรเป นคิ ดเถอะ วาอยูไปทํ าไม ? ที่อยูนี้อยูไปทําไม ? ถาคิดไมถูกแลวจะเศรา อยากจะตายดวยซ้ํา ไป; ถ า คิ ด ไม ถู ก มั น จะเศร า สร อ ยอยากจะตาย. ถ า คิ ด ถู ก แล ว มั น จะกล า หาญ, มั น จะทํ า สิ่ ง ที่ ว า อยู ไปทํ า ไมนั่ น แหละได แล ว ก็ ได จ ริ ง ๆ ด ว ย ว า อยู เพื่ อ ทํ า อะไร, มันจะทําสิ่งนั้นไดจริง ๆ ดวย. จะพู ด อย า งที่ ฟ ง ไม ถู ก มั น ก็ พู ด ได อยู เ พื่ อ ไม มี ค วามทุ ก ข , แล ว บํ าเพ็ ญ ประโยชน แก ผูอื่ นไปเรื่อย ๆ กวารางกายมั นจะแตกดั บ. แต ถ าพู ดอย างนี้


๒๗๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

จะมี ใ ครเอากี่ ค น, จะมี ใ ครสมั ค รเอาสั ก กี่ ค น ? เพราะคนยั ง โง ม าก ยั ง ไม ส มั ค ร จะเอาอย า งนี้ แ น น อน. ฉะนั้ น อยู ไ ปทํ า ไม, อยู ไ ปทํ า ไม, คิ ด ไป เพื่ อ มั น เลื่ อ นชั้ น ตัวเอง, เพื่อเลื่อนชั้นตัวเอง, ในที่สุดก็ไปที่จุดนั้น มันไมมีที่อื่น. นี่ขอให ใชอุ บ ายอั น นี้ เลื่ อ นชั้ น ตั ว เอง : อยูไปทําไม ? แลวมั นก็อ ยู ไปเพื่ อ อั น นั้ น แหละ ให ใ กล เข า ไป, พอไปถึ ง แล ว มั น ก็ ยั ง มี อี ก ก็ ไ ปอี ก , ก็ เลื่ อ น ไปอีก, ไปถึงแลวก็ยังมีอีก, ก็เลื่อนไปอีก มันก็ถึงจุดหมายปลายทาง. นี้เรียกวาพยายามที่ จะเรียน ก ข ก กา ของพระนิพพาน ด วยบทเรียน วา อยู ไ ปทํ า ไม. ถา อยู เพื ่อ กิน เพื ่อ เลน เพื ่อ หัว เพื ่อ กิน เหลา เมายารา เริง เต็ม ที่ อ ะไร อย า งนี้ ก็ อ ยู เพี ย งวั ฏ ฏสงสาร. แต ถ า ว า ยั งมี อ ะไรยิ่ ง กว า นั้ น ดี ก ว า นั้ น อยู ไปเพื่ อ สิ่ งนั้ น คื อ อะไร แล วก็ เรีย กว า ก ข ก กา ของพระนิ พ พาน. ไปเข าชั้ น เรีย น ก ข ก กา สํ า หรับ ไปพระนิ พ พานกั น ได ห รือ ยั ง ? ต อ งใช คํ า ว าได ห รือ ยั ง ? เพราะ บางคนยังไมเอานี่. ตองถามดูวาจะสมัครไปเขาเรียนชั้น ก ข ก กา ของพระนิพพานกันหรือยัง ?

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ าถามว ายากนั ก หรื อ ? ถ าเข าใจตามนี้ มั น ไม ย าก, มั น ไม ย ากนั ก มั น ตอ งอยู ใ นวิส ัย . ถา สิ ่ง นี ้อ ยู เ หนือ วิส ัย การตรัส รู ข องพระพุท ธเจา ก็เ ปน หมัน คํ า สั ่ง สอนของพระพุท ธเจา ก็เ ปน หมัน . เพราะวา สิ ่ง นี ้ไ มเ หลือ วิส ัย ; เพราะ ฉะนั้น คําสั่งสอนของพระพุทธเจาก็ไมเปนหมัน.


ก ข ก กา ของนิพพาน

๒๗๑

ก ข ก กา ของพระนิพพาน เรียนจากธรรมชาติภายใน. นี้ จะเรี ยน ก ข ก กา ของพระนิ พพานกั นที่ ไหน ? บางคนอาจจะตอบได แล ว ว าจะเรีย น ก ข ก กา ของพระนิ พ พานกั น ที่ ไหน บางคนอาจจะตอบได แ ล ว; เพราะเคยพูด กัน มามากแลว . ถา สรุป ความอีก ที วา ตอ งเรีย นจากธรรมชาติที่ เป น ภายใน แลวก็ตองเรีย นอยางวิท ยาศาสตร อยาเรีย นอย างปรัชญา, อยา เรี ย นอย า งวรรณคดี อั ก ษรศาสตร , มั น จะเตลิ ด เป ด เป ง ไปไหนก็ ไ ม รู . อย า เรี ย น อย างปรัชญา มั นจะเตลิ ดเป ดเป งเข ารกเข าพง, แต ต องเรียนอย างศาสนา คื อเรียน อย า งวิ ท ยาศาสตร , ต อ งมี ข องจริ ง มาเรี ย น แล ว ทํ า ไปตามลํ า ดั บ . มี ค วามทุ ก ข ที่ เบญจขั น ธ มาสํ า หรั บ เป น บทเรีย น แล ว ก็ เรี ย นให มั น เห็ น ชั ด ให มั น ก า วไปผ า นไป; นี ้ก ็ว า เรีย นอยา งวิท ยาศาสตร. เรีย นจากธรรมชาติ คือ ขัน ธทั ้ง ๕ นี ้เ ปน ธรรมชาติ แลว ก็อ ยู ภ ายใน ไมใ ชอ ยู ข า งนอก. ขัน ธไ หนเกิด ขึ ้น เมื ่อ ไรใหรู จ ัก , แล ว เรี ย นจากขั น ธ นั้ น นี่ เรี ย กว า เรี ย นจากธรรมชาติ เรี ย นจากข า งใน เรี ย นอย า ง วิธีวิทยาศาสตร อยาเรียนอยางปรัชญา จะเปนบา.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทํ า ผิ ด วิ ธี มั น ก็ ก ลายเป น บ า ; แม แ ต ก ารปฏิ บั ติ ธ รรมะปฏิ บั ติ ศ าสนา ถ า ทํ า ผิ ด วิ ธี มั น ก็ เป น บ า ได เหมื อ นกั น , ยิ่ ง เรี ย นนี้ ยิ่ ง เป น บ า ได ง า ยกว า เพราะมั น เตลิดเปดเปงไดงาย ฟุงซานไดงาย, เรียนจนเปนบานี้เปนของธรรมดาที่สุด.

ฉะนั้ น ขอให เรี ย นจากธรรมชาติ เรี ย นจากข า งใน แล ว ในที่ สุ ด ก็ จ ะเห็ น ได ว า มั น มี ก ารเปลี่ ย นแปลงอย า งเป น ที่ น า พอใจ; แม ที่ สุ ด แต ค วามเชื่ อ ก อ นนี้ เรามี ศ รั ท ธาอย า งไร, เดี๋ ย วนี้ เรามี ศ รั ท ธาที่ สู ง ขึ้ น ไปอย า งไร. ก อ นนี้ ค วามเชื่ อ มั น


๒๗๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

งมงาย, เดี๋ ย วนี้ ศ รั ท ธาความเชื่ อ มั น ไม ง มงาย. ก อ นนี้ ศ รั ท ธาเชื่ อ ในพระพุ ท ธเจ า , เดี ๋ย วนี ้ก ็เ ปลี ่ย นศรัท ธาเปน เชื ่อ ตัว เองได. เชื ่อ ตัว เองได เชื ่อ ความเห็น แจง ของ ตัว เองได; นั ้น แหละคือ พระพุท ธเจา จริง . ปญ ญ าเห็น ธรรมะ ธรรมะนั ้น เปน พระพุท ธเจา , นั ้น เปน พระพุท ธเจา จริง ; เชื ่อ ธรรมะนั ้น เรีย กวา เชื ่อ ตัว เอง นี่มันเลื่อนขึ้นมาไดอยางนี้. ที แ รกมั น โง มั น ก็ เ ชื่ อ ตามคนอื่ น พู ด , ต อ มามั น ก็ ส มั ค รเชื่ อ พระพุ ท ธเจ า ตามตั ว หนั ง สื อ , ต อ มาก็ มี พ ระพุ ท ธเจ า จริ ง และเชื่ อ สติ ป ญ ญาของตั ว เองจริ ง ไมต อ งเชื ่อ พระพุท ธเจา . หรือ ถา พูด อีก ทีห นึ ่ง ก็ว า เชื ่อ พระพุท ธเจา ที ่จ ริง ที่ แทจ ริง ที ่ม ีอ ยู ใ นใจจริง ๆ; นี ่อ ยา งนี ้ด ีก วา เชื ่อ พระพุท ธเจา ที ่อ ยู ใ นพระคัม ภีร หรืออยูที่ไหนก็ไมรู. นี่ เรี ย กว า คนที่ เข า มาในขอบเขตนี้ มั น ก็ เป น ไปตามกฎเกณฑ ข องเรื่ อ ง ราวอั น นี้ ไ ม เ หลื อ วิ สั ย ไม ย ากเกิ น ไป. แต มั น ต อ งมี ก ารเปลี่ ย นแปลงบ า ง มี ก าร ทดสอบได อ ย า งหนึ่ ง ว า เดี๋ ย วนี้ โอชาแห งชี วิ ต , ออกจะเป น ศั พ ท แ สงที่ ป ระหลาด ๆ อยูหนอย วาโอชาแหงชีวิตไดเปลี่ยนไปอยางไร.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เมื่ อ ก อ นนี้ เราชอบอะไร สิ่ ง นั้ น เป น โอชาแห ง ชี วิ ต ในขณะนั้ น . เดี๋ ย วนี้ เราชอบอะไร เราบู ช าอะไร; นี ้ ค ื อ โอชาแห ง ชี ว ิ ต เดี ๋ ย วนี ้ . เมื ่ อ ก อ นนี้ ชอบกิ น แกง กิ น กั บ กิ น อาหาร มั น ก็ เ ป น โอชาแห ง ชี วิ ต ; เดี๋ ย วนี้ ช อบกิ น ธรรมะ ชอบกิ น พระธรรม มี พ ระธรรมเป น โอชาแห ง ชี วิ ต . โอชาแห ง ชี วิ ต มั น ก็ เ ปลี่ ย นแปลง, เปลี่ ย นจากกิ น กาม เกี ย รติ มาเป น ธรรมะ. ก อ นนี้ กิ น หรื อ กาม


ก ข ก กา ของนิพพาน

๒๗๓

หรือเกียรติ ที่ถูกอกถูกใจนั้นเปนโอชาแหงชีวิต. เดี๋ยวนี้ธรรมะคือความสงบเย็น หรือความสะอาด สวาง สงบ จากการรบกวนของกิเลสนี้เปนโอชาแหงชีวิต. เรื่ อ งนี้ ไ ด อ ธิ บ ายละเอี ย ดแล ว หลายครั้ ง หลายหนแล ว ; เมื่ อ พู ด ถึ ง เรื่องความสุ ข โดยเฉพาะในเรื่องวันมาฆบู ชา เทศน เรื่องความสุ ขก็ จะพู ดถึ งเรื่องนี้ ที่เปนโอชาสูงสุดของชีวิต. ไปทบทวนดูเองก็แลวกัน. นี่ มั นจะเปลี่ ยนแปลงมาก สุ นั ขที่ เคยกิ นอุ จจาระ เดี๋ ยวนี้ จะไม กิ นอุ จจาระ แล ว นี่ มั น จะเปลี่ ย นขนาดนี้ ; เคยเป น สุ นั ข ที่ กิ น อุ จ จาระ เดี๋ ย วนี้ จ ะไม กิ น อุ จ จาระ แล ว , หรื อ แม ที่ สุ ด แต ม ดที่ มั น เคยชอบกิ น น้ํ า ตาล เดี๋ ย วนี้ มั น จะไม กิ น น้ํ า ตาลแล ว มันจะกินสิ่งอื่นที่มันดีกวาน้ําตาลหรือสูงกวาน้ําตาล. นี่มาเขาโรงเรียน เรียน ก ข ก กา ของพระนิพพาน แลวมันจะตอง มี ก ารเปลี่ ย นแปลงอยางนี้ , เอาไม เอาก็ต ามใจ นี้ บอกไว เพื่ อ คิ ด ลวงหน า วามั น ตอ งเปน อยา งนี ้. เรีย นแลว ก็ไ ดป ระกาศนีย บัต รเหมือ นกัน ชั ้น ประถมหนึ ่ง พระพุทธเจาทานก็รับรอง ปาฏิโภโค แปลวา นายประกัน พระพุทธเจาเปนนาย ประกัน วาพระโสดาบันนี้จักตองนิพพานเปนแนนอน. ฉะนั้นขอใหกระเถิบเขามา กระเสื อกกระสนเข ามาจนกระทั่ งถึ งกระแสแห งพระนิ พ พาน, เรียน ก ข ก กา แห ง พระนิพ พานไดแ ลว . พระพุท ธเจา ทา นก็อ อกประกาศนีย บัต รให รับ รองใหว า ผูนี ้เ ที ่ย งแทต อ นิพ พาน ไมม ีก ารเวีย นกลับ อีก เปน ธรรมดา. อยา ทํา เลน มั น ไม ใ ช ข องเล น ไม ใ ช ข องเล็ ก น อ ย พระพุ ท ธเจ า ออกประกาศนี ย บั ต รให แ ก ผู ที่ เรียน ก ข ก กา ของพระนิพพานไดสําเร็จ วาจะเปนผูถึงนิพพานไดโดยแนนอน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


๒๗๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

นี้ อาตมาเรียกว า ก ข ก กา ของพระนิ พพาน เป นคํ าอธิ บายส วนหนึ่ งของ ก ข ก กาแหงประมัตถธรรม ที่มันคูกันอยูกับ ก ข ก กา แห งศีลธรรม ซึ่งเป น เรื่อ งโลก, ก ข ก กา แหง ปรมัต ถธรรม มัน เปน เรื่อ งโลกุต ตระ; เรีย กให น าสนใจ ก็ เรีย กวา ก ข ก กา ของพระนิ พ พาน ที่ จ ะทํ าให ค นเราเกิ ด มาที ห นึ่ ง ไม เสี ยที ที่ เกิ ดมา คื อจะได รับ สิ่ งที่ ดี ที่ สุ ด ที่ มนุ ษ ย พึ งจะได รับ และโดยเฉพาะอย าง ยิ่งจากพระพุทธศาสนา. เอาละ, เปนอันวา การบรรยายเรื่อง ก ข ก กา แหงนิพพานนี้ มันมี อยูอยางนี้ แลวก็พอสมควรแกเวลาอยางนี้ ก็ตองขอยุติไวตามที่สมควรแกเวลา เพื่อ เปนโอกาสใหพระสงฆทานจะไดสวดคณสาธยายธรรม ที่เปนเครื่องกระตุนกําลังใจ ของบุคคลผูจะเรียน ก ข ก กา ของพระนิพพานไดอีกวาระหนึ่ง เอา นิมนตสวดได.

________________

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา - ๑๐ ๙ มีนาคม ๒๕๑๗

ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน.

ทานสาธุชน ผูมีความสนใจในธรรม ทั้งหลาย, การบรรยายประจํ าวั นเสาร ครั้งที่ ๑๐ แห งภาคมาฆบู ชานี้ ก็ ยั งจะได กล าว โดยหัวขอวา ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา ตอไปตามเดิม หากแตจะมีหัวขอ ยอยตามลําดับ อยางที่เคยมีมาแลว สําหรับในวันนี้วา ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org [ทบทวน. ]

ทานทั้งหลายจะตองทบทวน ใจความของเรื่องนี้ ที่ไดผานมาแลว ตามลํ าดั บ ว าเรากํ าลั งพู ดกั นถึ งเรื่อง ก ข ก กา มี ความหมายในข อที่ ว า เป นเรื่องที่ ต อ งตั้ ง ต น กั น ใหม , จะเป น การเรี ย นใหม , หรื อ จะเป น การทบทวนใหม , ก็ แ ล ว แต ว าบุ ค คลนั้ น จะเป น อย างไร. บางคนจะคิ ด ว าเป น ที่ น าละอาย ที่ จ ะต อ งมาทบทวน การเรี ย น ก ข ก กา กั น ใหม ถ าพู ด อย างนี้ มั น ก็ น าละอาย ทั้ งฝ า ยผู ส อนคื อ ผู พู ด และฝายผูฟงหรือผูเรียน. ผูเรียนตองมาเรียน ก ข ก กา กันใหม เขาก็ไมคอย

๒๗๕


๒๗๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

จะยอมและกระดาก ถึ งผู สอนถ าต องมาสอน ก ข ก กา กั นใหม มั นก็ น าจะละอายด วย เหมือ นกัน . แตเดี ๋ย วนี ้เ รื ่อ งมัน ไมเปน อยา งนั ้น คือ มัน มีค วามจํ า เปน ที ่จ ะตอ ง ทบทวน, หรือ เรีย นซ้ํ า สว นที ่เ ปน ก ข ก กา กัน ใหม; ดัง ที ่ไ ดข อรอ งทา น ทั้งหลายอยูแลวเปนประจํา วาอยาไดอิดหนาระอาใจ ที่จะตองทําอยางซ้ํา ๆ ซาก ๆ. ขอให นึ ก ดู ถึ ง สมั ย ที่ เราเรี ย น ก ข ก กา กั น จริ ง ๆ มั น ต อ งเรี ย นซ้ํ า ๆ ซาก ๆ ทั้ ง เช า ทั้ ง เย็ น วั น แล ว วั น เล า , ถู ก เขาตี กี่ ค รั้ ง กว า จะรู ห นั ง สื อ ในชั้ น ก ข ก กา นี ้ไ ปได. ถึง อยา งนั ้น เราก็ย ัง ทนได และเราไดเ คยทนมาแลว , เพราะทํ า กั น มาแล ว จนผ า นมาได . เดี๋ ย วนี้ มั น เป น เรื่ อ งเรี ย นธรรมะ แต ใ นขั้ น ต น มั น ก็ มี ลั ก ษณะอย า งเดี ย วกั บ ที่ ว า เรี ย น ก ข ก กา นั้ น เหมื อ นกั น ; ดั ง นั้ น จึ ง ได ใ ห ชื่ อ ว า ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา หรือ ก ข ก กา สําหรับพุทธบริษัท. ในชั้ น ที่ เป น ศี ลธรรม มันก็มี ก ข ก กา ไปแบบหนึ่ ง : รูจัก ให ท าน รูจักมี ศรัท ธา รักษาศีล ภาวนาไปตามเรื่อ ง นี้เรียกวา ก ข ก กา ในขั้นศีลธรรม. พอมาถึง ก ข ก กา ในขั้นปรมัตถธรรม ก็ตองรูจักศึกษาความจริงของสิ่งทั้ง ปวง คือ เรีย นรู เ รื ่อ งธาตุ เรื ่อ งอายตนะ เรื ่อ งขัน ธ เรื ่อ งอุป าทานขัน ธ เปน ตน ; ลว นแตเ ปน เรื ่อ งภายใน เปน เรื ่อ งเกี ่ย วกับ จิต ใจที ่ล ึก ซึ ้ง ทั ้ง นั ้น ; แต ก็ยั งคงเรียกวา ก ข ก กา คื อเป นของที่ เริ่มต น แล วก็เรียนต อไปจนกวาจะรูถึงที่ สุ ด. เราได ทบทวนกั นมาทุ ก ๆ ครั้ง ที่ มี การบรรยาย ให สนใจเป นพิ เศษ ให ละเอี ยดลออ อยาไดประมาท ในเรื่องที่เรียกวา ก ข ก กา นี้.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ในครั้งที่ แล วมาก็ไดพู ดถึ ง ก ข ก กา ของนิ พ พาน ก็ห มายความวา เป น เรื่ อ งที่ ต อ งเรี ย นในชั้ น แรก เพื่ อ การรู นิ พ พาน, ยุ ติ ล งที่ ว า การพยายาม


ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน

๒๗๗

ปฏิ บั ติ จนกระทั่ ง เป น พระโสดาบั น นี้ เรี ย กว า ก ข ก กา ของนิ พ พาน. และตั ว ก ข ก กา ของเรื่ อ งนี้ ก็ คื อ ธาตุ ทั้ งหลาย มี ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ล ม ธาตุ อากาศ ธาตุ วิ ญ ญาณ เป น ต น มี รายละเอี ยดดั งที่ พ ระผู สวด ได ส วดบทพระพุ ท ธภาษิต เกี่ยวกับเรื่องธาตุไปแลวเมื่อตะกี้นี้. ถ าเข าใจสิ่ งที่ เรีย กวา ธาตุ เป น ธาตุ ๆ ไป ก็ เหมื อ นกั บ ว าเราได เรีย น ตัว ก ตัว ข ตัว ค ตัว ง แลว ธาตุนี้ยังจะตองปรุงกันเขาเปนอายตนะ, อายตนะ นี้ ทํ า หน า ที่ แ ล ว ก็ ยั ง จะปรุ ง กั น ขึ้ น เป น ขั น ธ เป น รู ป เวทนา สั ญ ญา สั ง ขาร วิญ ญาณ, ถา เผลอไปมีอ ุป าทาน ก็เ กิด เปน อุป าทานขัน ธแ ละเปน ตัว ทุก ข. มั น ก็ เหมื อ นกั บ ว า แจกลู ก ขึ้ น ไปตามลํ าดั บ กะ กา กิ กี ขะ ขา ขิ ขี จนกว าจะ ครบถ ว น. การเรี ย น ก ข ก กา ของนิ พ พาน ก็ ต อ งเรีย นเรื่อ งธาตุ เรื่ อ งอายตนะ เรื่ อ งขั น ธ อย างนี้ เอง, ที่ จ ะเรี ย นให ล ะเอี ย ดออกไป มี ส ระครบถ วนแล ว ยั งจะต อ ง ผันดวยไมวรรณยุกต ไมเอก ไมโท ไมตรี จัตวาอะไรไปตามเรื่อง.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เช นเรารู เรื่ องธาตุ ก็ จะต องรู ในหลาย ๆ ลั กษณะ ตามที่ จะรู ได อย างไร, เชน รู ว า ธาตุ เชน ธาตุด ิน เปน ตน นี ้ม ีล ัก ษณะอยา งไร, และประเภทของธาตุนี้ จะแจกไปได กี่ ป ระเภท และว า สมุ ฏ ฐานของธาตุ นี้ ไ ด แ ก อ ะไร, เพราะมี อ ะไรเป น สมุ ฏ ฐาน ธาตุ นี้ จึ ง เกิ ด ขึ้ น และตั้ ง อยู . หรื อ จะเรี ย กว า มี อ ะไรเป น สมุ ทั ย ของธาตุ นี ้, คือ วา ธาตุนี ้ม ัน จะงอกงามขึ ้น มาไดอ ยา งไร ดว ยอาศัย อะไร แลว อะไรเปน อัตถังคมะ เปนนิโรธะของธาตุนั้น ๆ.

อัตถังคมะ อยางที่เราเรียกในภาษาไทยวา อัสดง นี้คือดับไปชั่วขณะ ๆ ตามวาระ เหมื อนพระอาทิ ตย ดั บในตอนเย็ น รุงขึ้ น ก็ โผล หน ามาอี ก แล วก็ มี อั ส ดง


๒๗๘

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

อีก อัตถังคมะหรืออัสดงนี้ หมายความวา มันดับชั่วคราวตามวาระ. สวนนิโรธะ ที ่แ ทจ ริง นั ้น หมายถึง ดับ สนิท ไมม ีเ หลือ ; สว นใดดับ ไป สว นนั ้น ก็ด ับ สนิท ไมมีเหลือ ไมผลุบ ๆ โผล ๆ เหมือนกับดวงอาทิตย. นี้ ก็ ต อ งรู ว า ธาตุ นี้ มั น มี ก ารอั ส ดง คื อ ดั บ ชั่ ว คราวอย า งไร, มี ก ารดั บ โดยสนิ ท อย างไร, แล วก็ ยั งรู ว าธาตุ นี้ มี อั ส สาทะ คื อเสน ห ที่ ห ลอกให คนหลงอย างไร, แล ว ธาตุ นี้ มี อ าที น วะ คื อ พิ ษ อั น ร า ยกาจที่ มั น ซ อ นไว ใ ต เสน ห สํ า หรั บ ทํ า อั น ตราย คนนั้ น มี อ ยู อ ย า งไร, และในที่ สุ ด ก็ รู ว า นิ ส สรณะคื อ อุ บ ายที่ จ ะออกพ น ไปเสี ย ได จากโทษทุกขทั้งหลายที่เกี่ยวกับธาตุนั้น มีอยูอยางไร. ก็ ล องคิ ด ดู ใ ห ดี ว า การที่ จ ะรู อ ะไรสั ก อย า งหนึ่ ง ให ถู ก ต อ งครบถ ว น บริ บู ร ณ และมี ป ระโยชน ใ นการดั บ ทุ ก ข นั้ น มั น มี แ ง มี มุ ม ต า ง ๆ ที่ จ ะต อ งรู อย า ง นอ ยก็อ ยา งที ่ว า มาแลว . ทบทวนอีก ทีห นึ ่ง ก็ว า รู ว า มัน มีล ัก ษณะอยา งไร, มัน มี ป ระเภท คื อ จะจํ า แนกแจกแจงออกไปได กี่ อ ย า งกี่ พ วก, มั น มี ส มุ ฏ ฐานคื อ ที่ ตั้ ง , แล ว มั น มี ส มุ ทั ย คื อ ที่ เจริ ญ งอกงามขึ้ น มาอย า งไร, มั น จะอั ส ดงหรื อ มั น จะนิ โ รธ ดว ยลัก ษณะอยา งไร, มัน มีเ สนห ห ลอกลวง และมีโ ทษทุก ขที ่ซ อ นไว สํ า หรับ ทํ าอั น ตรายนั้ น อย างไร, และข อ สุ ด ท ายก็ คื อ อุ บ ายที่ เราจะเอาชนะ หรือ อยู เหนื อ สิ่ง ๆ นั้นไดอยางไร.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ในเรื่ อ งธาตุ จ ะมี กี่ ธ าตุ มั น ก็ ต อ งรู ค รบโดยอาการเหล า นั้ น , อายตนะ ก็เ หมือ นกัน ตอ งรู จ ัก อาตนะนั ้น ๆ ครบโดยอาการเหลา นี ้, เมื ่อ ปรุง ขึ ้น เปน ขัน ธ ก็ต อ งรู ค รบโดยอาการเหลา นี ้, ยิ ่ง เมื ่อ เปน อุป าทานขัน ธ ก็ยิ ่ง จะตอ งรู ใ หช ัด เจน ยิ่ ง ๆ ขึ้ น ไปอี ก , จึ ง จะเรี ย กว า เป น ผู รู ก ข ก กา ของนิ พ พาน ก็ รู แ จกลู ก ขึ้ น มา


ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน

๒๗๙

ตามลํ า ดั บ แล ว ก็ รูผั น ไปตามวรรณยุ ก ต ต า ง ๆ จนครบถ ว นทุ ก อย า งทุ ก แงทุ ก มุ ม นี้เรียกวา รู ก ข ก กา ของพระนิพพาน กันในลักษณะอยางนี้. คํ าอธิ บ ายในหลาย ๆ ครั้ งมาแล ว ก็ ล วนแต อ ธิ บ ายเรื่ อ งอย างนี้ ทั้ งนั้ น . สวนในวัน นี้ จ ะได ก ล าวถึ งลั ก ษณะของผู รู ก ข ก กา ของนิ พ พาน ต อ จากครั้งที่ แล ว มา. ในครั้ง ที่ แ ล ว มาเรี ย กว า เรื่ อ ง ก ข ก กา ของนิ พ พาน. ส ว นในวั น นี้ เรี ย ก วา เรื่อ งผู รู ก ข ก กา ของนิ พ พาน. ผู ที่ รู ก ข ก กา ของนิ พ พานโดยแท จ ริง นั้น มีเรื่องราวอะไรที่นาสนใจบาง ก็จะไดพูดกันวันนี้. ในครั้งที่แลวมา เมื่อพูด ก ข ก กา ของนิ พพาน ก็ไดแสดงใหเห็นชัด แลว วา ไดแ กก ารปฏิบ ัต ิเ พื ่อ ความเปน พระโสดาบัน , ปุถุช นเหมือ นกับ คน ตาบอด คนไม รู ห นั ง สื อ , แล ว ก็ จ ะเริ่ ม เรี ย นหนั ง สื อ เรื่ อ งนิ พ พาน. การลงมื อ เรี ย น ก็ค ือ การปฏิบ ัต ิเพื ่อ ความเปน พระโสดาบัน . ความเปน พระโสดาบัน นั ่น แหละ เปน เบื ้อ งตน เปน เงื่อ นตน ของการบรรลุน ิพ พาน; เพราะวา ถา ถึง พระโสดาปตติมรรคปตติผล ก็คือแนนอนวาจะตองถึงนิพพาน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org [ เริ่มการบรรยายครั้งนี้. ]

ที นี้ จ ะได ดู กั น ให ล ะเอี ย ด ถึ ง ตั ว ผู รู ก ข ก กา นั้ น โดยเปรี ย บเที ย บ กัน วา ปุถ ุช นไมรู เ ลย, พระโสดาบัน ก็เ ริ ่ม ลืม ตา, แลว ตอ ไปจากนั ้น ก็ล ืม ตา มากขึ้น จนเปนพระอรหันต ก็คือรูถึงที่สุด.


๒๘๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

อริยบุคคลรูเรื่องเดียวกัน แตตางระดับ. ในตอนนี้ มี ข อ ที่ จ ะต อ งทราบเป น หลั ก ทั่ ว ไปหรื อ เป น พื้ น ฐานเสี ย ก อ นว า จะเป น พระโสดาบั น ก็ ต าม พระสกิ ท าคามี อนาคามี หรื อ พระอรหั น ต ก็ ต าม เรื ่ อ ง ที ่ ท  า น จ ะ ต อ ง รู  นั ้ น มั น เ ห มื อ น กั น ห ม ด ; แ ต ว  า มั น รู  ไ ด ม า ก น อ ย กวากัน จนถึงกับเกิดการเปลี่ยนแปลงมากนอยกวากัน. เปน พระโสดาบัน ก็รู  แตไ มรู ถ ึง ขนาดที ่จ ะหลุด พน ได; ขอ นี ้ม ีพ ระ บาลีชัดเจนอยูแลววา ยถา ภูตํ ปชานาติ - พระโสดาบันยอมรูชัดตามที่เปนจริง ซึ่ง สมุ ทั ย เป น ต น ของป ญ จุ ป าทานขั น ธ . พระโสดาบั น รู ชั ด ธรรมชาติ สั ง ขารธรรม เหล านั้ น ; แต ส วนพระอรหั น ต นั้ น มี พ ระบาลี ขยายความต อ ไปว า ยถาภู ตํ วิ ทิ ตฺ ว า อนุปาทา วิมุตฺโต โหติ คือรูแจงตามที่เปนจริงอยางนั้นแลว เปนผูหลุดพนแลว เพราะไมยึดมั่นดวยอุปาทาน, มันเปนเรื่องที่ตอกันไป พระโสดาบัน นั้นมีลักษณะ วา ยอ มรูชัด ซึ ่ง ธรรมนั ้น ๆ ตามที ่เปน จริง , สว นพระอรหัน ตนั้น มีพ ระบาลีวา ครั้น รูแ จง ซึ่ง ธรรมนั้น ๆ ตามที่เ ปน จริง แลว ยอ มเปน ผูห ลุด พน เพราะไม ถือมั่นดวยอุปาทาน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ข อ นี้ ห มายความว า สิ่ งที่ รู นั้ น คื อ สิ่ ง ๆ เดี ย วกั น ; โดยเฉพาะอย างยิ่ ง ก็ เรื่ อ งขั น ธ หรื อ เรื่ อ งป ญ จุ ป าทานขั น ธ เป น ส ว นใหญ ว า มี ส มุ ทั ย อย า งไร. มี นิ โ รธ อยา งไร, มีท างที ่จ ะใหถ ึง ความดับ นั ้น ไดอ ยา งไร. พระโสดาบัน เปน แตผู รู แ จง ในแนวธรรมหรื อ กระแสแห ง ธรรม หรื อ ความจริ ง นั้ น ๆ ว า มี อ ยู อ ย า งไร, เรี ย กว า ดวงตาเห็ น ธรรม พอที่ จ ะเป น เครื่ อ งรั บ ประกั น ได ว า จะไม เ ดิ น ผิ ด ทางอี ก ต อ ไป. แต ว า ความรู ข องท า นั้ น ยั ง ไม เพี ย งพอ ถึ ง กั บ จะทํ า ให จิ ต ใจเกิ ด การเปลี่ ย นแปลง


ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน

๒๘๑

อยา งใหญห ลวง; เพราะฉะนั ้น การรู ข องทา นนั ้น จึง เปน แตเ พีย งการบรรลุ ความเปน พระโสดาบัน . ครั ้ง ตอ มาความรู นั ้น ไดเ จริญ แจม แจง ตอ ไปอีก แทนที่ จ ะเป น ปชานาติ ก็ ก ลายเป น วิ ทิ ตฺ ว า, รูแ จ ง ยิ่ ง ขึ้ น ไปอี ก ตามที่ เป น จริง , ผลแห งความรูแ จ งนั้ น มี ม ากพอ ถึ งกั บ ทํ าให เกิ ด การเปลี่ ย นแปลงในทางใจ คื อ จิตหลุดพน ไมยึดมั่นถือมั่น สิ่งใดอีกตอไป. นี้ แ หละคื อ เรื่ อ งที่ จ ะต อ งทํ า ความเข าใจกั น ไว ในฐานะเป น หลั ก พื้ น ฐาน ซึ่ ง อาตมาจะต อ งเรี ย กว า ก ข ก กา ต อ ไปอี ก ตามเดิ ม ; แต ว า คนบางคนหรื อ คน ส ว นมาก คงจะไม เ ห็ น ด ว ย คื อ ไม ย อมให เ รี ย กความรู อ ย า งนี้ ว า ก ข ก กา. แต อาตมาขอยืน ยัน วา มัน เปน เรื ่อ งแรกของการที ่จ ะบรรลุน ิพ พาน, เปน เรื ่อ งแรก ที ่ส ุด จึง เรีย กวา ก ข ก กา ของนิพ พาน, จนถึง กับ จัด พระโสดาบัน ใหเปน ผูรู ก ข ก กา ของพระนิพพานเทานั้น. พระโสดาบั น เป น ผู รู ก ข ก กา ของพระนิ พ พาน, ฟ ง ดู ให ดี ; เพราะ มี ท างที่ จ ะเข า ใจผิ ด ได . ส ว นบุ ถุ ช นคนธรรมดานั้ น ยั ง ไม รู ก ข ก กา ของพระนิ พ พานเลย, มั น เหมื อ นกั บ คนตาบอด คนตามองอะไรไม เห็ น ไม ป ระสี ป ระสาใน เรื่อ ง อนิ จ จั ง ทุ ก ขั ง อนั ต ตา ของสิ่ งทั้ ง หลายทั้ ง ปวง. ถ า เริ่ ม มองเห็ น สิ่ ง ทั้ ง ปวง โดยความเป น อนิ จ จั ง ทุ ก ขั ง อนั ต ตา ว ามั น เป น อย างอื่ น ไม ได มั น แน น อนลง ไปอยางนี้ ก็เป น จุด เริ่ม ต น ที่ จะละจากความเป น บุ ถุชน ขึ้นมาสูความเปนพระอริยเจา และเปนอันดับแรก คือพระโสดาบัน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org มั น ต อ กั น อยู กั บ เรื่ อ งของบุ ถุ ช น จั ด บุ ถุ ช นไว เสี ย โลกหนึ่ งหรื อ ฟากหนึ่ ง ; อี ก ฟากหนึ่ งก็ เป น เรื่อ งของพระอริย เจ า , แล ว ก็ ตั้ ง ต น เรื่ อ ง ก ข ก กา ฝ า ยพระ-


๒๘๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

อริ ย เจ า กั น ตรงที ่ ค วามเป น พระโสดาบั น . ฉะนั ้ น ผู  ที ่ ค วรจะได น ามว า รู ก ข ก กา ของพระนิ พ พานถึ ง ขนาดแล ว นั้ น ก็ ไ ด แ ก พ ระโสดาบั น ; แม ว า ความรูนั้นยังไมมากพอ ถึงกับจะทําใหจิตนี้หลุดพนจากสิ่งทั้งปวงโดยสิ้นเชิงได. นี้ ก็ เป น พระพุ ท ธภาษิ ต ที่ ต รั ส ไว เป น หลั ก สํ าหรั บ ที่ จ ะต อ งกํ าหนดจดจํ า ให ดี มิ ฉ ะนั้ น แล ว จะเกิ ด ความสั บ สนปนเปกั น ไปหมด, หรื อ ถึ ง กั บ เกิ ด ความท อ แท ไม อ ยากจะศึ กษาอี ก ต อ ไปก็ ได , เพราะมั น ยุ งยากฟ น เฝ อ นั ก อย างว าพระโสดาบั น ก็รู  อนิจ จัง ทุก ขัง อนัต ตา หรือ รู อ ริย สัจ จ. พระอรหัน ตก ็รูอ นิจ จัง ทุก ขัง อนัต ตา หรือ รู อ ริย สัจ จ. สิ ่ง ที ่ต อ งเรีย นตอ งรู เ หมือ นกัน แลว ทํ า ไมมาบรรลุ ธรรมตางกัน ในระดับที่ตางกัน อยางนี้เปนตน. เดี๋ ย วนี้ ได แ นะให พิ จ ารณาดู ให ล ะเอี ย ดว า มั น อยู ที่ ต รงนี้ คื อ ว า รู เรื่ อ ง เดีย วกัน , รู อ ยา งเดีย วกัน แตม ัน ยัง ไมเ ทา กัน , คือ ในชั ้น ตน มัน ยัง ไมม ากพอ ที่ จ ะทํ า ให เกิ ด การเปลี่ ย นแปลงทางจิ ต ใจ. อย างเดี๋ ย วนี้ เราก็ เรี ย นจากตํ า รา ท อ งได จํ า ได พูด ก็ไ ด สอนก็ไ ด เทศนก ็ไ ด; แตแ ลว ก็ย ัง ไมรู ว า รู สิ ่ง นั ้น ตามที ่เ ปน จริง . นี่ ก็ เพราะว ามั น ไปจํ าเขามา โดยที่ อยากจะดี บ าง, อยากจะเก งบ าง, แต ในจิ ต ใจนั้ น ไม ไ ด รู โ ดยธรรมชาติ หรื อ ว า รู ด ว ยจิ ต ใจที่ เ ข า ถึ ง ตั ว ธรรมชาติ นั้ น ๆ. มั น จึ ง ต อ ง เขยิ บ ต อ ไปว าจะลงมื อ ตั้ งต น รู จั ก สิ่ งทั้ งหลายทั้ งปวงรอบตั วเรา ให ลึ ก ซึ้ งถึ งขนาด ที่เรียกวา รูดวยจิตใจของเรา.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ แหละได เปรี ย บเที ยบให เห็ น ว า มั น ต างกั น อย างไร ในระหว าง ๒ ฝ าย คือ ฝา ยพระโสดาบัน ซึ ่ง เปน เพีย งผู รู  ก ข ก กา ของพระนิพ พาน; สว น พระอรหันตนั้นเปนผูรูพระนิพพาน โดยสมบูรณ พนจากความเปน ก ข ก กา


ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน

๒๘๓

ไปแล ว . ถ า ผู ใ ดฟ ง เข า ใจ ก็ จ ะเกิ ด ความกล า หาญ แน ใ จเพี ย งพอที่ จ ะมี ค วาม สํ า นึก วา เรื ่อ งการบรรลุม รรค ผล นิพ พาน นั ้น ไมเ หลือ วิส ัย ; และโดย เฉพาะอย า งยิ่ ง ความเป น พระโสดาบั น นั้ น ไม เหลื อ วิ สั ย เพราะมั น เป น เพี ย งการ เริ่มตน ลงมือเรียน ก ข ก กา ของนิพพาน. เรื่อ งที่ จ ะพู ด กั น โดยละเอี ย ดในวั น นี้ ก็ คื อ เรื่ อ งตอนนี้ คื อ เรื่อ งลั ก ษณะ ของพระโสดาบันที่จะเริ่มรูจัก ก ข ก กา ของพระนิพพานนั้น วาเปนอยางไร. เราควรจะทํ า ความเขา ใจเรื่อ งเกี ่ย วกับ คํ า วา รูห รือ ผู รูนี ้ ใหม ัน เปน ขั ้น ๆ ตอน ๆ ไป ใหม ัน แนช ัด ; เชน วา กํ า ลัง รู อ ยู  กํ า ลัง เริ ่ม รู  หรือ กํ า ลัง รูอยู ยังไมถึงขนาด แลวก็รูถึงขนาด แลวก็รูเสร็จแลว. รู อ ยู  คือ ยัง รู ไ มเ สร็จ , รู ไ มถ ึง ที ่ส ุด รู ไ มจ บ รู ไ มมั ่น คง รู ไ มร ุน แรง จนถึง กับ เปลี ่ย นนิส ัย ได; ฉะนั ้น คํ า วา รู อ ยู  กับ รู แ ลว นี ้ม ัน ตา งกัน มาก. ทีนี้ รู อ ยู  ยัง ไมถ ึง ขนาด มัน ก็ไ มพ อที ่จ ะมีค วามเปลี ่ย นแปลง; ถา รู ถ ึง ขนาด มัน ก็เรีย กวา พอจะเพีย งพอได; แตม ัน ยัง ไมแ นน อน วา คนนั ้น มัน จะรัก ษาไว ใหยืดยาวถึงที่สุดจริง ๆ ไดหรือไม คือใหถึงขนาดที่เรียกวา รูเสร็จแลวไดหรือไม ?

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ าว าที่ จ ริ ง บุ ถุ ช นเรานี้ ถ าเป น บุ ถุ ช นชั้ น ดี คื อ อย า เป น บุ ถุ ช นที่ เลวเกิ น ไปแล ว ในบางครั้ง บางคราวก็ มี ค วามรู เหมื อ นกั น รูเรื่อ ง อนิ จ จั ง ทุ ก ขั ง อนั ต ตา บ า งไม ม ากก็ น อ ย, นี้ เรีย กว า รูเหมื อ นกั น เป น ส ว นน อ ยนี้ ก็ เรี ย กว า ยั ง ไม ถึ งขนาด คื อยั งไม ถึ งขนาดที่ จะเปลี่ ยนแปลงจิ ตใจเดิ มได . จิ ตใจเดิ ม ๆ ของบุ ถุ ชนเป นอย างไร มั น ไม เปลี่ ย นแปลงได เพราะรู ไ ม ถึ ง ขนาด; ครั้ ง รู ถึ ง ขนาด มั น จะเปลี่ ย นแปลง.


๒๘๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ถ า เป น พระโสดาบั น ก็ เรี ย กว า รู จ ริ ง รู ถึ ง ขนาด จนถึ ง กั บ เปลี่ ย น แปลงภาวะเดิม ๆ ของจิต ใจ, คือ เปลี ่ย นแปลงสัน ดานเดิม ๆ นั ้น ได; แมไ ม ทั ้ง หมด มัน ก็เ ปลี ่ย นไดใ นบางสว น. แตโ ดยเหตุที ่รู จ ริง และรู ถ ึง ขน าดนั ่น แหละ การเปลี่ ย นนั้ น จึ ง เปลี่ ย นจริ ง ; ไม ใช เปลี่ ย นกลั บ ไปกลั บ มา แม ไม เปลี่ ย น หมดก็ ต ามเถอะ. แต ถ า ส ว นใดเปลี่ ย นได , ส ว นนั้ น ก็ เ ปลี่ ย นจริ ง คื อ ไม ก ลั บ ไป กลั บ มาอี ก . อย างที่ เรีย กวา พระโสดาบั น ละสั ก กายทิ ฏ ฐิ วิจิ กิ จ ฉา สี ลั พ พั ต ตปรามาส ได เพี ยง ๓ อย างเท านั้ น, แต ท านก็ ละได จริ ง เพราะรูถึ งขนาดที่ จะทํ าลาย สั ง โยชน ๓ ประการนี้ ไ ด จ ริ ง . มั น จึ ง เป น ความรู ที่ ถึ ง ขนาดที่ จ ะเปลี่ ย นแปลงนิ สั ย สัน ดานจิต ใจ ในสว นแรกนี ้ไ ด อยา งนี ้เ ปน ตน . เรีย กวา ลัก ษณ ะของผู รู  มัน ก็ ยังมีอยูหลายชั้น หลายระดับอยางนี้.

องคแหงของการบรรลุพระโสดาบัน. ที นี้ จ ะดู กั น ต อ ไปให ล ะเอี ย ด โดยเฉพาะที่ ผู รู ก ข ก กา ของนิ พ พาน กล า วคื อ พระโสดาบั น นั้ น เรื่ อ งเกี่ ย วกั บ พระโสดาบั น นี้ ก็ มี ต รั ส ไว ม ากมาย, อย างไร เรียกวาเป นพระโสดาบั น นี้ ก็ ตรัสไวมากมาย เรียกว า โสตาป ตติ ยั งคะ แปลว า องค แหงการบรรลุความเปนพระโสดาบัน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org องค แ ห ง ความเป น พระโสดาบั น นี้ มี ม าก และที่ เราได ยิ น ได ฟ ง กั น อยู บ อ ย ๆ นั้ น ๆ ก็ เช น ว า : เป น ผู มี ศ รั ท ธา ไม ห วั่ น ไหวเปลี่ ย นแปลงอี ก ต อ ไปใน พระพุ ท ธเจ า ๑, ในพระธรรม ๑, ในพระสงฆ ๑, แล วก็ มี อ ริย กั น ตศี ล คื อ ศี ล


ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน

๒๘๕

ที่ เป น ที่ พ อใจของพระอริย เจา อี ก ๑, รวมเป น ๔ องค ๔ นี้ เป น องค แ ห งพระโสดาบัน. มีศ รัท ธาไมห วั ่น ไหวเปลี ่ย นแปลงในพระพุท ธเจา อีก ตอ ไป นี ้ก็ หมายความว า พระโสดาบั น ต อ งรู จั ก พระพุ ท ธเจ า จริ ง ๆ ถึ ง ขนาดนั้ น . ที่ ว า รู จั ก พระพุทธเจาจริง ก็ตองรูคุณธรรมที่ทําความเปนพระพุทธเจา เชน ความหมด กิ เลสโดยสิ้ น เชิ งของพระพุ ทธเจ า, ความไม มี ทุ ก ข เลยของพระพุ ทธเจ า, พระโสดาบั น รูจั ก พระพุ ท ธเจ า จริ ง ถึ ง ขนาดนี้ จึ ง มี ศ รั ท ธาไม ห วั่ น ไหวหรื อ ไม เปลี่ ย นแปลงใน พระพุทธเจาอีกตอไป. สํ า หรับ พระธรรมนั ้น พระโสดาบัน รู สิ ่ง ที ่เ รีย กวา พระธรรม วา จะเปน เครื่อ งนํ า สัต วอ อกจากทุก ขไ ดจ ริง , เห็น ชัด อยู อ ยา งนั ้น จริง ๆ. นี ้จ ึง จะ เรี ย กว า รู จั ก พระธรรมจริ ง ๆ จึ ง มี ศ รั ท ธาในพระธรรม อย า งที่ เปลี่ ย นแปลงไม ไ ด อีกตอไป.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สํ า ห รับ พ ระส งฆ พ ระโส ด าบัน ก็รู ว า พ ระ ส งฆนั ้น เปน ผู ที่ ปฏิ บั ติ ได อ ย า งนั้ น จริ ง ไม ใ ช ค นโลเลเหลวไหล, และว าพระสงฆ นี้ เป น เครื่อ ง พิ สู จ น ว า ธรรมะนี้ ไม เหลื อ วิ สั ย , และพระสงฆ นี้ เป น บุ ค คลจะหาได ในโลก, ก็ เลย มี ค วามเชื่ อ หรื อมี ศ รัท ธา ในความเป น พระสงฆ ว ามี อ ยู จริ ง แล วก็ น าเลื่ อ มใสจริง, และพยายามปฏิ บั ติ เพื่ อ ความเป น พระสงฆ นั้ นด วย ก็ เลยเรียกวา มี ศรัทธาในพระสงฆจริง ๆ.

นี่ ปุ ถุ ช นคนไหน ที่ มี ศ รั ท ธาในพระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ อย า งนี้ . ถามีอยางนี้มันก็ไมเปนปุถุชน ก็เลยจากความเปนบุถุชน คือเปนพระโสดาบัน.


๒๘๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

คนที่มีศรัทธาอยางนี้ ยอมจะมี ศีลดีถึงขนาดที่ เรียกวา อริยกัน ตศี ล คือ ศี ลเป น ที่ พ อใจของพระอริย เจ า เป นศีลที่ไม ตลบแตลง, เปน ศีลที่กลับกลอก ไม ได ว า เป น ศี ล ที่ ม าจากป ญ ญา ที่ รูจั ก อนิ จ จั ง ทุ ก ขั ง อนั ต ตา มั น ก็ เลยล วงศี ล ไมได. ถ า บุ ถุ ช นคนพาลหรื อ คนธรรมดานั้ น มี ศี ล ไม ไ ด จะมี ศี ล ให ไ ด ก็ ต อ ง ตั้ งอกตั้ งใจ ที่ จ ะรั กษาศี ล ตามสิ ก ขาบท มั น ก็ เลยเป น การต อ สู ฮึ ด ฮั ด อึ ด อั ด กั น ไป ตามเรื่ อ ง ที่ เพี ย งแต จ ะรั ก ษาอั น นี้ ไ ว ใ ห ไ ด ; เพราะว า มิ ไ ด มี ป ญ ญามาช ว ยให มั น งา ยขึ ้น แตถ า ผู ที ่เ ปน พระโสดาบัน มีป ญ ญาเห็น อนิจ จัง ทุก ขัง อนัต ตาหรือ เห็ น ธรรมะอย างอื่ น ๆ ของสั งขารทั้ งหลายทั้ งปวง มั น ก็ เกิ ด ความไม ยึ ด ถื อ ในบาง สิ่ งบางอย าง ในบางระดั บ ซึ่ งเป นเหตุ ให กิ เลสถอยกํ าลั งอยู แล ว. ฉะนั้ น การรั กษา ศีลจึงเปนไปไดงาย และเปนไปไดโดยบริสุทธิ์ผุดผอง ไมดางไมพรอย, ถึงขนาด ที่เรียกวา ศีลที่พระอริยเจาพอใจ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ ศี ล ของคนธรรมดา ต อ งอาศั ย เจตนา; ส ว นศี ล ของพระอริ ย เจ า ท า นอาศั ย ป ญ ญา รากฐานจึ ง มั่ น คงกว า กั น มาก. ฉะนั้ น เมื่ อ ท า นผู ใ ดจะมี ศี ล อย างพระโสดาบั น มี ก็ จงพิ จารณาในทางป ญ ญาให ม าก กระทั่ งเกิ ด ความรูสึ กจาง คลาย ในความยึ ดมั่ น ถื อมั่ น ในสิ่ งที่ เป น เหยื่ อ ของกิ เลสเหล านั้ น . อย างนี้ อ ยู เฉย ๆ มั น ก็ ไ ม มี ท างจะขาดศี ล , แล ว คิ ด ดู ซิ ว า จิ ต ใจมั น สู ง ถึ ง ขนาดที่ จ ะไม ไปหลงใหล ในเรื่อ งเอร็ด อรอ ย สวยงาม สนุ ก สนาน เป น ที่ ตั้ งของกิ เลส อย า งนี้ มั น ก็ จ ะทํ า ให อยู เ ฉย ไมอ ยากจะไปลว งศีล . แตค นโงที ่ย ัง หลงใหล ในเรื ่อ งสวย เรื ่อ งงาม เรื่ อ งเอร็ ด อร อ ย เรื่ อ งต อ งการอะไรต า ง ๆ มากมายอย า งนี้ เมื่ อ ไม ได มั น ก็ ต อ งไป เอามา โดยยอมขาดศีล ไมนึกถึงศีล.


ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน

๒๘๗

เพี ย งแต ศี ล มั น ก็ ผิ ด อย า งนี้ เสี ย แล ว ว า พระอริ ย เจ า มี ศี ล ได ด ว ยเหตุ อะไร, ด ว ยสมุ ฏ ฐานอะไร. แล ว บุ ถุ ช นจะมี ศี ล ได ด ว ยสมุ ฏ ฐานอะไร, ฉะนั้ น ถ า ยั ง จะต องมี อ ะไรบั งคั บ มี อ ะไรชั ก จู ง มี ค นมาจ างให รั ก ษาศี ล หรือ มี อ ะไรมาขู ให ก ลั ว สําหรับจะรักษาศีล; อยางนี้ก็ตองเปนศีลของบุถุชนไปกอน. ถาจิตใจสูงถึงขนาดที่ไมตกเปนทาสของกิเลส เพราะมีปญญาเพียง พอแลว มัน ก็เ ปน ศีล ขึ ้น มาโดยอัต โนมัต ิ, เปน ศีล ที ่ไ มต อ งอาศัย เจตนา แต อาศั ย ป ญ ญา. ถ า ยั ง อาศั ย เจตนาอยู มั น ก็ ยั ง ล ม ลุ ก คลุ ก คลานอยู ; เหมื อ นกั บ ที่ วา คนบุถ ุช นธรรมดารัก ษาศีล จนตาย ก็ไ มเ คยมีศ ีล บริส ุท ธิ ์ผ ุด ผอ งได. ถา เปน พระอริย เจา อาศัย สติป ญ ญา มัน อยู เหนือ เจตนา มัน บัง คับ ไวไ ดด ว ยปญ ญา, ก็เ ลยมีศีล ได โดยแทบวา ไมตอ งรัก ษาศีล , ไมตอ งตั้ง ใจจะรัก ษาศีล , มัน ก็ มี ศี ลเสี ยได ด วยอํ านาของป ญ ญา คื อความคิ ดมั นไม เป นไปในทางที่ จะไปฆ า ไปลั ก ไปทําใหมันผิดศีล อยางใดอยางหนึ่ง.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ า พู ด ด วยภาษาธรรมดาให ฟ งง า ยกว า นี้ ก็ เรี ย กว า คนมั น ดี เสี ย แล ว , คนมั น ดี ถึ ง ขนาดที่ จ ะทํ า อย า งนั้ น ไม ไ ด อี ก , มั น ดี เกิ น กว า ที่ จ ะไปทํ า ผิ ด อย า งนั้ น เสี ย แล ว , นี่ คื อ พระอริ จ เจ า . ถ า เป น บุ ถุ ช นมั น ไม ถึ ง ขนาดนั้ น มั น ต อ งระวั ง กั น เรื่ อ ยไป, มั น ต อ งคอยห า มปราม, ควบคุ ม อยู เรื่อ ยไป, ต อ งผู ก ต อ งล า มต อ งคอย กระตุกอยูเรื่อยไป มันก็ยังเอาไวไมคอยจะอยู. ฉะนั้นพระโสดาบั น เป น ผูมี อริยกัน ตศีล เพราะวาละ สักกายทิ ฏ ฐิ วิจ ิก ิจ ฉา สีล ัพ พัต ตปรามาสได. ไมไ ปหลงในเหยื ่อ ตา ง ๆ ในโลกนี ้ ซึ ่ง เปน เหตุใหคนเราผิดศีล.


๒๘๘

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

นี้พ ระโสดาบัน เปน ผูรู ก ข ก กา ของพระนิพ พาน ในอัน ดับ แรก ยั ง เป น ได ม ากถึ ง อย า งนี้ . เราก็ รู กั น อยู ทั่ ว ไป ได ยิ น ได ฟ ง มากกว า อย า งอื่ น ว า พระ โสดาบั น นั้ น มี ศ รั ท ธาในพระพุ ท ธเจ า ในพระธรรม ในพระสงฆ ไม ค ลอนแคลน เปลี่ยนแปลงอีกตอไป แลวมีอริยกันตศีลดวย.

พระโสดาบันสามารถระงับภัยเวรได. ที นี้ ที่ รูกั นมากอี กอย างหนึ่ ง ก็ ว าท านระงั บภั ยเวรทั้ งหลายได อริ ยสาวกสฺ ส ปฺจ ภยานิ วูปสนฺตานิ โหนฺติ - ภัยทั้งหลาย ๕ อยางของพระอริยสาวกนั้นเขาไปสงบ รํ า งั บ แล ว . ภั ย ทั้ ง หลายในที่ นี้ ห มายถึ ง ความทุ ศี ล , โดยเฉพาะศี ล ๕ นี้ แ หละ เรี ยกว าภั ย หรื อสิ่ งที่ ควรกลั ว ๕ ประการ. ปฺ จ ภยานิ - ภั ยทั้ งหลาย ๕ ประการ, อริยสาวกสฺส ของพระอริยสาวก, วูปสนฺตานิ - เปนธรรมชาติที่จะเขาไปสงบรํางับ แล ว ; ก็ แ ปลว า อั น ตรายที่ มั น จะเกิ ด แก ค นเรา ๕ ประการ เนื่ อ งมาจากการกระทํ า ปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท และสุราเมรยมัชชะฯ นี้หมด แล ว ถู ก กระทํ า ให ร ะงั บ ไปแล ว เกิ ด ขึ้ น มาไม ไ ด ; เพราะว า ท า นมี ส ติ ป ญ ญ า มี ศรัทธา อยางที่วามาแลวนั่นเอง.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ในพระบาลี บางแห ง ในสู ตรบางสู ตร พระพุ ทธเจ าทรงแสดงองค แห ง ความเปนพระโสดาบันไวสั้น ๆ ที่สุด วาภัย ๕ ประการของทานนั้นระงับแลว.

บางคนจะฟ งไม เข าใจ ว าถื อ ศี ล ๕ ได บ ริ สุ ท ธิ์ เด็ ด ขาด นี้ เป น พระโสดาบั น ได เชี ย วหรื อ ? ถ า เขารู ว า การมี ศี ล ๕ ของพระโสดาบั น นั้ น มี ถึ ง ขนาดที่ ว า


ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน

๒๘๙

ระงับภั ยโดยสิ้ นเชิ ง ไม เป นภั ย ขึ้นมาได อีกต อไปแล ว. ย อมหมายความวา จิ ตใจ หรือสันดานของพระโสดาบันนั้นเปลี่ยนไปมาก. แต ในที่ นี้ เราจะระบุ ไปแต เพี ยงวา จะทํ าความผิ ด ๕ ประการนั้ นไม ได อีก ตอ ไป, โดยไมต อ งมีเ จตนาที ่จ ะเวน มัน ก็เ ปน การเวน อยู ใ นตัว ; อยา งนี ้จ ึง จะเรียกวา วูป สนฺ ต คื อ เข าไปสงบรํ างับ แล ว. แม คํ าวาเชื้ อ หรือรกรากที่ จะทํ าให ทํ า ผิ ด ในศี ล ๕ ประการนี้ มั น ถู ก ถอนไปหมดแล ว ก็ เลยไม มี ท างอี ก แล ว ที่ ว า พระโสดาบั น จะผิ ด ศี ล ๕ ประการ. ฉะนั้ น จึ ง พู ด ได อ ย า งที่ ค นไม ค อ ยเข า ใจ หรื อ ไมคอยยอมเชื่อวา ถือศีล ๕ ไดบริสุทธิ์ ก็เปนพระโสดาบันได. แต ถ า ว า ที่ จ ริ ง ก็ ค วรจะพู ด อย า งอื่ น พู ด อย า งพระพุ ท ธเจ า ตรั ส นี่ แ หละ ถูก ตอ ง วา ภัย ๕ ประการสงบรํ า งับ แลว . ถา จะพูด วา ถือ ศีล ๕ ไดบ ริบ ูร ณ นี ้ม ัน ยัง ฟง ยาก; เพราะวา คํ า วา ถือ นี ้ม ัน ตอ งหมายถึง เจตนา, มัน ตอ งมีเจตนา มัน จึง จะเปน การถือ ; แตถ า ยัง เปน เจตนาหรือ มีเ จตนาอยู  มัน ยัง ไมส งบระงับ แน เพราะฉะนั ้น มัน จะกลายเปน วา พูด แลว จะไมเ ชื ่อ วา ตอ งไมถ ือ ศีล ๕ นั ่น จึ ง จะเป น พระโสดาบั น หรื อ ไม ถื อ ศี ล ๕ แต มั น กลั บ มี ศี ล ๕; เพราะว า รกราก ของการทุ ศี ล ๕ นั้ น มั น ถู ก ทํ า ลายไปหมดแล ว . ฉะนั้ น ท า นไม ต อ งถื อ ศี ล ๕ ไม มี เจตนาที่จะถือศีล ๕ แตมันก็ผิดศีล ๕ ไมไดอีกตอไป.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สว นคนธรรมดานี ้ม ัน ตอ งถือ , ตอ งถือ ใหเ ครง ตอ งตั ้ง เจตนาจะ ถื อ ให เ คร ง นี้ มั น ยั ง เป น บุ ถุ ช นอยู , และเมื่ อ ยั ง มี ถื อ ด ว ยเจตนาอยู อ ย า งนี้ มั น ก็ สมบู ร ณ ไม ไ ด ; เพราะมั น ยั ง มี เ รื่ อ งมารบกวนอยู ต ลอดเวลา, เพราะว า ไม ไ ด ทําลายตนเหตุใหทุศีลนั้นเสีย ดวยอํานาจของปญญา เหมือนพระโสดาบัน.


๒๙๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

นี ่ค วามของบุถ ุช นที ่ถ ือ ศีล แลว มัน มีไ มไ ด สว นพระโสดาบัน ไม ถื อ ศี ล แต ก ลั บ มี ศ ี ล สมบู ร ณ ; มั น ต า งกั น อยู  อ ย า งนี ้ . พู ด แล ว มั น ก็ ฟ  ง ยาก; แตค วามจริง มัน ก็เ ปน อยา งนี ้ ถา พูด ใหช ัด อีก ทีห นึ ่ง วา คนที ่ด ีถ ึง ขนาด แลว ไมต อ งถือ ศีล ก็ม ีศ ีล คือ ไมไ ปทํ า ผิด ศีล . สว นที ่ค นยัง ไมด ีนั ้น แลว มีเจตนาจะถือสีล ก็ยังถือไวไมได เพราะคนมันเลวมันคอยแตจะผิดศีลเรื่อย. ฉะนั้นเราจะรูจักพระโสดาบันกันในขอที่วา เพียงแตวาภัยทั้งหลาย ๕ ประการ ของพระอริย สาวกนั้น เขาไปสงบรํางับ แลว ก็ได. นี้เรีย กวาเปน องคที่แสดงความเปนพระโสดาบัน โดยสมบูรณดวยเหมือนกัน.

พระโสดาบันปฏิบัติมรรคมีองค ๘ ไดสมบูรณ. ที นี้ ใ นที่ อื่ น ๆ ก็ มี ต รั ส ว า อริ ย มรรคมี อ งค ๘ นั้ น เรี ย กว า กระแส ผู ที่ ปฏิบัติอ ยูใ นอริย มรรคมีอ งค ๘ อยางถูก ตอ งและครบถว น แมในระดับ แรก ก็เรียกวา ผูถึงกระแส คือ เปนพระโสดาบันดวยเหมือนกัน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ท า นเป น ผู ที่ มี สั ม าทิ ฏ ฐิ มี ค วามรู ความเห็ น ความเชื่ อ ความเข า ใจ ถูก ตอ ง นี ้อ ยา งหนึ ่ง , แลว มีส ัม มาสัง กัป ปะ คือ มีค วามดํ า ริ ใฝฝ น ปรารถนา ถูกต อง นี้ อยางหนึ่ ง, สั มมาวาจา ท านมี การพู ดจาถูกตอง, สั มมากั มมั นโต ท าน มี การงานถู กต อง, สั มมาอาชี โว มี การเลี้ ยงชีวิตถู กต อง, สั มมาวายาโม พากเพี ยร พยายามถู ก ต อ ง, สั ม มาสติ ระลึ ก ประจํ าใจตลอดเวลามั น ถู ก ต อ ง, สั ม มาสมาธิ ป ก ใจมั่ น แน วแน อ ยู อ ย างถู กต อ ง. ก็ เป น ความถู ก ต อ ง ๘ ประการ รวมเข าด วยกั น


ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน

๒๙๑

เรีย กวา กระแส ผู ป ฏิบ ัต ิอ ยู ใ นกระแสนี ้ เรีย กวา พระโสดาบัน . เรื ่อ งมัน ก็ อย า งเดี ย วกั น อี ก ว า จะมี ศี ล สมบู ร ณ , จะมี ศ รั ท ธาในพระรั ต นตรั ย ไม ง อ นแง น คลอนแคลน. เรื่ อ งอริ ย มรรคมี อ งค ๘ นี้ พู ด กั น มายื ด ยาวแล ว โดยรายละเอี ย ด จึ งไม พู ด อี ก ในวั น นี้ พู ด แต เพี ย งให ร ะลึ ก นึ ก ถึ ง ว า พระพุ ท ธเจ า ท า นได ต รั ส ไว ว า ผู ที่ ดํารงตนอยูในอริยมรรคมีองค ๘ นั้น คือผูที่ตั้งอยูในกระแสแหงพระนิพพาน เปน ลักษณะของพระโสดาบัน. การตั้ ง อยู ในกระแสของอั ฏ ฐั งคิ ก มรรคนี้ ก็ ดี , การที่ มี เวรภั ย ทั้ ง ๕ รํ า งั บ สิ้ น ดั บ สิ้ น ไปแล วก็ ดี , การมี ศ รั ท ธาในพระรั ต นตรั ย และมี อ ริ ย มรรคกั น ตศี ล ก็ ดี , เป น องคแหงพระโสดาบันที่รูจักกันมาก.

พระโสดาบันละกังขา ๑๐ ได.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ อยากจะพู ด เรื่ อ งที่ ไม ค อยจะเคยได ยิ น ได ฟ งต อ ไปอี ก ว าพระโสดาบั น นั ้น มีอ ะไรอีก บา ง ในฐานะที ่เ ปน ผู รู  ก ข ก กา ของพระนิพ พานแลว . ในสูต ร ที่ สํ าคั ญ หลาย ๆ สู ต ร มี ข อ ความเหมื อ น ๆ กั น ในทิ ฏ ฐิ สั งยุ ต ต สั งยุ ต ตนิ กาย กล าว ไววา พระโสดาบันละกังขา ๑๐ ประการได, ละกังขาได ๑๐ ประการ.

สิ่ ง ที่ เรี ย กว า กั ง ขานี้ ไม ท ราบว า จะเรี ย กในภาษาไทยอย า งไรดี ก็ ต อ ง เรี ย กว า กั ง ขาไว ก อ น; เพราะเป น คํ า ที่ มี ค วามหมายแปลก หมายถึ ง ความสงสั ย


๒๙๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

หรือ ความลัง เล, ความอยากรู ความอยากรูอ ีก , ความเขา ใจไมห มด, เหลา นี้ ก็เรียกวา กังขา คําเดียวก็พอ. พระโสดาบั น ละกั ง ขา ๑๐ ประการได , ไม มี กั ง ขา ๑๐ ประการ; คื อ ไมมีกังขา ๕ ประการ ในขันธทั้ง ๕ ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนี้ เรี ย กว า ขั น ธ ๕. ในขั น ธ ๕ ประการนี้ พระโสดาบั น ไม มี กั ง ขา เกี่ ย วกั บ อนั ต ตา เปนตน. คนธรรมดามีกังขา นับตั้งแต ไมรู รูครึ่ง ๆ กลาง ๆ สงสัย ลังเล ไม แ น ใ จ, ยั ง จะต อ งรู ต อ ไปอี ก ก็ เช น ที่ ว า ไม แ น ใ จในความเป น ของไม เที่ ย งของ ขั น ธ ๕. ไม แ น ใจในความเป น ทุ ก ข ข องขั น ธ ๕, ไม แ น ใจในความเป น อนั ต ตาของ ขัน ธ ๕; ฉะนั ้น จึง ไดร ัก หลงใหลในขัน ธ ๕ ยึด ขัน ธ ๕ หรือ ขัน ธใ ดขัน ธห นึ ่ง โดยความเปนตัวตน อยูเสมอทุกวัน วันละหลาย ๆ ครั้ง.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org โดยเฉพาะอยา งยิ ่ง เมื ่อ มีเ วทนาเกิด ขึ ้น เปน สุข เวทนา, คนโงก็ ย อ มหลั บ ตาไม ป ระสี ป ระสาต อ อะไรหมด, นอกจากจะหลงใหลยึ ด มั่ น ในสุ ข เวทนาที่ เกิ ด ขึ้ น ในวั น หนึ่ ง ๆ, เกิ ด ขึ้ น ทางตา ทางหู ทางจมู ก ทางลิ้ น ทางผิ วหนั ง ทางไหนก็ สุ ด แท หรือ จะคิ ด ฝ น เอาก็ ได รูสึ ก เป น สุ ข เวทนาแล ว , ความคิ ด มั น แน ว ลงไป เป น ตั ว กู มี ค วามสุ ข มี สุ ข เวทนา เป น สุ ข เวทนาของกู มั น ชิ น เป น นิ สั ย เสี ย อย างนี้ . เรีย กว ามี อ นุ สั ย มี อ วิ ชชานุ สั ย มี ราคานุ สั ย เป น ต น วั น หนึ่ งซ้ํ า ๆ ซาก ๆ แล ว ๆ เล า ๆ ไม รู กี่ สิ บ ครั้ ง กี่ ร อ ยครั้ ง , มั น ชิ น เป น นิ สั ย อย า งนี้ ; ฉะนั้ น จึ ง ไม มี ความรู ว า ขัน ธ ๕ นี ้ แตล ะขัน ธนี ้เ ปน อนิจ จัง ทุก ขัง อนัต ตา. มัน กลาย เป น ไม รูไปเสี ย ที เดี ย ว ไม ใช แต เพี ย งว าลั งเล หรือ รูบ างไม รูบ าง หรือ ว ายั งอยากจะ


ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน

๒๙๓

รู ต อ ไปอี ก อย า งนี้ มั น ก็ ไม ถึ ง ขนาดนั้ น . มั น เอาเป น ขนาดที่ เรี ย กว า ไม รู สึ ก เสี ย เลย แลวก็หลงใหลในขันธทั้ง ๕. ส ว นพระโสดาบั น นั้ น ไม มี กั ง ขา หรื อ เยื่ อ ใยอะไรเหลื อ อยู สํ า หรั บ จะไปยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ขั น ธ ทั้ ง ๕ นั้ น โดยความเป น ตั ว ตน; อย า งนี้ เรี ย กว า ละความ กังขาในขันธทั้ง ๕ เสียได. นี้ ค นที่ จะอยากเรี ย น ก ข ก กา ของพระนิ พ พาน ก็ ล องทดสอบดู ตั วเอง ก็ แ ล ว กั น ว า ในวั น หนึ่ ง ๆ นั้ น จิ ต ใจของเราเกลี้ ย งเกลาไปจากกั ง ขาเหล า นี้ ห รื อ เปล า ? หรื อ ว า เผลอไม ไ ด เผลอแล ว เป น ยึ ด ถื อ ไม ใ นรู ป ก็ ใ นเวทนา, ไม ใ น เวทนาก็ ใ นสั ญ ญา หรื อ ในสั ง ขาร หรื อ ในวิ ญ ญาณ. คื อ มั น มี ตั ว กู – ของกู อ ย า ง ใดอย า งหนึ่ ง ในลั ก ษณะใดลั ก ษณะหนึ่ ง ในเรื่ อ งใดเรื่ อ งหนึ่ ง ไปเสี ย เรื่ อ ย ในวั น หนึ่ ง ๆ จนเป น นิ สั ย ไปเสี ย , และมั น ยั ง ไม ถึ ง ขนาดของพระโสดาบั น ที่ เรี ย กว า ไม เหลือเยื่อใยไวสําหรับจะกังขา คือสงสัยหรือลังเล ในความไมใชตน ของขันธทั้ง ๕.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ ก ารเรียน ก ข ก กา จึ งต อ งตั้ งต น ที่ ขั น ธ ๕ อยางที่ ไดพู ดมาแล ว หลาย ๆ ครั้ ง ในวั น ก อนว า ให รู จั กขั น ธ ๕ ให ดี เสี ยก อน, ไม อย างนั้ น แล วจะไม รู ว า ขัน ธ ๕ คือ อะไร อยู ที ่ไ หน, แลว ก็จ ะไมรู ว า กัง ขาในขัน ธ ๕ นั ้น เกิด ขึ ้น อยา งไร ที ่ใ ด และเมื ่อ ไร ที ่ไ หน. ตอ งรู จ ัก ขัน ธ ๕ กัน จริง ๆ อยา งที ่ไ ดท บทวนมาแล ว ว า เรี ย นขั น ธ ๕ กั น เสี ย ใหม แล ว ก็ ม ารู กั ง ขาในขั น ธ ๕ ที่ ค นเราจะมี กั ง ขาในขั น ธ ๕ เหลื อ อยู แล ว ก็ จ ะได รู ว า มั น เหลื อ อยู อ ย า งไร, แล ว จะได แ ก ไ ข อย า งไร. มั น ต อ งเรี ย นตั ว ก ก อ น แล ว มั น จึ ง จะไปรู ถึ ง กา กิ กี กึ กื ได ; ฉะนั้ น จึ ง ขอรบเร า ว า อย า เบื่ อ หน า ย อย า อิ ด หนาระอาใจ ที่ จ ะต อ งตั้ ง ต น กั น ใหม หรื อ วาทบทวนกันใหมในเรื่อง ก ข ก กา.


๒๙๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

นี่ พ ระโสดาบั น ละกั ง ขาในขั น ธ ทั้ ง ๕ ได เด็ ด ขาด, ไม ได ส งสั ย ใน ความเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของขันธ ๕ อีกตอไป นี้เรียกวาละกังขาได ๕. ทีนี ้พ ระโสดาบัน ละกัง ขาในสิ ่ง ที ่รู ส ึก สํ า นึก อยู เ ปน ประจํ า วัน ได โดยความเปนของที่วา ไมนาจะยึดถือเลย, ไมควรจะยึดถือเลย. ความรูสึกประจําวันนี้ ในบาลีระบุ ไวชัด อยางนี้วา ทิ ฏฐะ ในสิ่งที่เรา ได เห็ น , สุ ต ะ ในสิ่ ง ที่ เราได ยิ น ได ฟ ง , มุ ต ะ ในสิ่ ง ที่ เราได ก ลิ่ น ด ว ยจมู ก รู ร สด ว ย ลิ้ น หรื อ สั ม ผั ส ที่ ผิ ว หนั ง อย า งนี้ เ รี ย กว า มุ ต ะ, แล ว ก็ วิ ญ ญ าต ะ รู แ จ ง ทาง วิ ญ ญาณแล ว ก็ ป ต ตะ ในสิ่ ง ที่ เราได รั บ แล ว ได มี แ ล ว ได บ รรลุ แ ล ว , ปริ เ ยสิ ต ะ ในสิ่ ง ที่ เรากํ า ลั ง เที่ ย วเสาะแสวงหา ขวนขวายหวั ง อยู ปรารถนาอยู อนุ วิ จ ริ ต ะ มนสา ในสิ่งที่จิตใจมันเขาไปฝงอยู. นั บดู ก็ จะได เป นเรื่อง ทิ ฏ ฐะ สุ ตะ มุ ตะ วิ ญ ญาตะ ป ตตะ ปริเยสิ ต ะ อนุวิจริตะ มนสา. ในบรรดาสิ่งที่เราเกี่ยวของอยูเปนประจําวันมากมาย เรามีสิ่ง ที่ เราได เห็ น สิ่ ง ที่ เราได ฟ ง แล ว สิ่ ง ที่ เราได ด ม ได ลิ้ ม ได สั ม ผั ส ทางผิ ว หนั ง และ สิ ่ง ที ่รู แ จง ดว ยใจ แลว สิ ่ง ที ่ไ ดร ับ แลว และสิ ่ง ที ่เ ที ่ย วแสวงหาอยู แ ลว สิ ่ง ที ่จ ิต มัน เขาไปหลงใหลพัวพันอยู.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ ข อให สั ง เกตดู มั น เป น เรื่ อ งจริ ง ๆ, เป น เรื่ อ งที่ มี อ ยู จ ริ ง แล ว เป น ไป จริง ในวัน หนึ่ง ๆ นี้ค นธรรมดาก็ไ มอ าจจะละกัง ขาในสิ ่ง เหลา นี ้ไ ด คือ ยัง จะ มี ห ว งใย หลงรั ก ใคร หลงใหลอาลั ย อาวรณ ในความที่ จ ะถื อ เอามาเป น ตั ว เรา หรื อ เป น ของเรา, หรื อ ในความรู สึ ก ว า มั น ควรถื อ ว า เป น ตั ว เราเป น ของเราอยู นั่ น แหละ ในสิ่ ง เหล า นี้ นี้ พ ระโสดาบั น ก็ ล ะกั ง ขา ในสิ่ ง ทั้ ง หมดนี้ ไ ด แล ว ก็ นั บ เป น


ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน

๒๙๕

ขอเดียวขอหนึ่งเทานั้น, นับเปนขอเดียวเทานั้นวา ทานละกังขาในทิฏฐะ สุตะมุตะ วิญญาตะ ปตตะปริเยสิตะ อนุวิจริตะ มนสา เสียได. อาตมาอยากจะแนะใหสังเกตขอสุดทาย ที่ เรียกวา อนุ วิจริตมนสา สิ่งที่ ใจของเราเขา ไปเที ่ย วอยู ใ นนั ้น มีอ ะไรบา ง ? นี ้ม ัน ตอ งเปน คน ๆ ไป. บางคน มั น มี เ รื่ อ งบุ ต ร บางคนมี เ รื่ อ งภรรยา บางคนมี เ รื่ อ งสามี บางคนมี เ รื่ อ งทรั พ ย สมบัติ, มัน แลว แตเ หตุอ ะไร. สิ่ง ใดกํา ลัง มีอ ยูเ ปน ปญ หา เปน เรื่อ งราวของ คนนั้น ในวัน นั้น . แลว ใหสัง เกตดูใ หดีวา จิต ใจของคนนั้น มัน จะเที่ย วอยู แต ในสิ่ งนั้ น คื อ จิ ตใจมั น จะคํ านึ งนึ ก ถึ ง. นี่ ก็ เรียกวาจิต ใจมั น เที่ ยวไป เที่ ยวไป ดวยใจในสิ่ งนั้ น เป นประจําวันตลอดวันของคนนั้น, เรียกวาเรามี เรื่องอะไรที่ ฝ งใจ หรื อ มั น เป น ป ญ หาอยู ใ นจิ ต ใจ เราจะมี อ ย า งนี้ . นี้ ก็ แ สดงว า มั น ลื ม ไปแล ว . มั น หลงเห็น เปน ตัว ตน เปน ของตนไปมากแลว ; ฉะนั ้น จึง เรีย กวา ไมรู ป ระสีป ระสา ที่จะละเสีย.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แตพ ระโสดาบัน ทา นละกัง ขาในเรื่อ งอยา งนี้แ ลว ; ฉะนั้น จึง ไม มีเ รื ่อ งที ่ห มกมุ น โดยความเปน ตัว ตน สํ า หรับ จิต ที ่ม ัน เที ่ย วไปในเรื ่อ งนั ้น ๆ. แต ถึง อยา งนั ้น ก็ด ี ใหรู ไ ดว า ไมถ ึง ขนาด หมดสิ ้น เชิง ถึง กับ เปน พระอรหัน ต; แต วาท านเริ่ ม ละได อย างน อ ยก็ จ ะมี ส ติ รูทั น ท ว งที วา นี่ มั น ไม ค วรจะไปหลงกั บ มั น , ไม ค วรจะไปหลงใหลกั บ มั น . ที่ เราได เห็ น ก็ ดี ได ฟ ง ก็ ดี ได ด มก็ ดี ได ลิ้ ม ด ว ย ลิ้นก็ ดี ได สั มผั สผิวหนั งก็ ดี ได รูแจงคิ ดด วยใจก็ดี ได รับแล วก็ ดี กํ าลั งเที่ ยวแสวงหา อยู ก็ดี หรือมี อยูแล วสํ าหรับจิตไปหลงใหลมั วเมาอยูก็ดี , ไม มี ความสงสั ย ความโง ความหลงเหลื ออยู สํ าหรับจะไปผู กพั นกั บสิ่ งเหล านั้ น. นี่ เรียกวาละกั งขาในข อนี้ ได .


๒๙๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ที นี้ พ ระโสดาบั น ละกั ง ขาในอริ ย สั จ จ ทั้ ง ๔ ประการได เรื่ อ งอริ ย สั จจ ๔ ประการนี้ จะไม บ รรยายให เสี ย เวลา เพราะว าพู ด กั น มากมายก ายกองแล ว โดยรายละเอี ย ด ไปหาอ า นดู ก็ ไ ด . แต ส รุ ป เอาแต ใ จความ ก็ คื อ เรื่ อ งทุ ก ข , เรื่ อ ง เหตุ ให เกิ ด ทุ ก ข , เรื่ อ งความดั บ ไม เหลื อ แห ง ทุ ก ข , เรื่ อ งทางให ถึ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง ทุ ก ข นี้ พ ระอรหั น ต เ ข า ใจถู ก ต อ ง ด ว ยสั ม มาทิ ฏ ฐิ แ ห ง อั ฎ ฐั ง คิ ก มรรค ก็ รู เรื่ อ งอริ ย สั จ จ ๔ นี้ อ ย า งถู ก ต อ ง, ไม ผิ ด ได อี ก ต อ ไป. เพราะฉะนั้ น จึ ง ไม มี ค วามโง ความสงสัยอะไรเหลืออยู สําหรับจะเขาใจผิดอีกตอไป. จะยกตั วอย างง าย ๆ เช น ว า คนธรรมดาจะคิ ด ว า ความทุ ก ข นี้ เกิ ด มา จากผี ส างเทวดา เกิ ด มาจากโชค เกิ ด มาจากเคราะห , หรื อ แม ที่ สุ ด แต เกิ ด มาจาก กรรมเก า หรื อว าแม ที่ สุ ดเกิ ดมาจากพระเจ าอะไรอย างนี้ คนธรรมดาจะคิ ดอย างนั้ น . แตถ า พระโสดาบัน ก็จ ะคิด วา มัน มาจากตัณ หา คือ สมุท ัย คือ กิเลส, แลว ทา น ก็ม ีค วามคิด ที ่เ ด็ด ขาดลงไป ไมเ หลือ ไวสํา หรับ สงสัย อะไรอีก วา มัน อาจจะ ไมใชมาจากกิเลส หรือไมใชเปนเรื่องของกรรม.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ตอนนี้ มั น เป น เรื่ อ งที่ ค อ นข างจะละเอี ย ด บางอย างที่ เข าใจยาก เช น เรา จะคิ ด ว า ความทุ ก ข นี้ มิ ได ม าจากกรรมเก า อย า งเดี ย ว; ถ า ว า ความทุ ก ข มั น มาจาก กรรมเก า อย า งเดี ย วแล ว ก็ เราก็ ทํ า อะไรไม ได เพราะกรรมเก า มั น ยั งไม ห มด. เดี๋ ย ว นี้ มั นเป นความทุ กข ที่ มาจากกรรมใหม ๆ นี้ ก็ ได , หรื อความทุ กข นี้ อาจจะทํ าให สิ้ นไป ด ว ยการทํ า กรรมใหม ๆ ก็ ได , มั น ไม ขึ้ น อยู ในอํ า นาจของกรรมเก า ทั้ งหมดทั้ ง ๑๐๐ เปอรเ ซ็น ต; แมว า จะเปน ไปตามอํ า นาจของกรรมเกา แตส ามารถจะปด เพิก ถอน เสีย ใหห มดไปไดด ว ยการทํ า กรรมใหมที ่ถ ูก ตอ ง. อยา งนี ้ก ็เรีย กวา เปนความเขาใจที่ถูกตอง.


ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน

๒๙๗

หรือถ าจะว าความทุ กข นี้ มาจากพระเป นเจ าอั นสู งสุ ด มั นก็ หมดทางที่ จะ แก ไข; เพราะว า เราจะไปต อ รองอะไรกั บ พระเป น เจ า ไม ได ถ า มาจากพระเป น เจ า เราก็ ไม มี อํ า นาจที่ จ ะดั บ ทุ ก ข ; เพราะฉะนั้ น เราจะไม ถื อ ว า ความทุ ก ข นี้ ม าจาก พระเปน เจา อยา งที่เ ขาพูด ๆ กัน ; แตม ัน มาจากกิเ ลสตัณ หา ที ่เ ราจะละ ก็ไ ด, ที ่เ ราจะแกไ ขก็ไ ด. ถา จะพูด วา ความทุก ขม าจากพระเปน เจา ก็ก ิเ ลส นั่นแหละเปนพระเปนเจา อยางนี้จะดีกวา. นี้ ค นธรรมดาไม เห็ น อย า งนี้ กํ า ลั ง สงสั ย ลั ง เล : พร า ไปหมด ว า ความทุ ก ข นี้ มั น มาจากอะไรก็ ไม รู . มาจากผี ส างเทวดาก็ ได , มาจากโชคชะตาราศี มาจากพระเจา มาจากอะไร ๆ ก็ไมรู มากมายเหลือเกิน. แต ถ าเป น พระโสดาบั น ท านก็ รูว ามั น มาจากตั ณ หา, หรือ มาจาก อุ ป าทาน ที่ มาจากตั ณ หาอี กที หนึ่ ง, หรือถ าต นตอของมั น ก็ คื ออวิ ชชา ความไม รู ถูกตองในเรื่องนี้ ทําใหเกิดตัณหา อุปาทาน ขึ้นมาแลวก็เปนทุกข, อยางนี้เปนตน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ เรี ย กว า พระโสดาบั น ท า นละกั ง ขา ที่ เกี่ ย วกั บ อริ ย สั จ จ ทั้ ง ๔ ประการได ; ไม เข า ใจผิ ด ไม ลั ง เล ไม เคลื อ บแคลง ในเรื่ อ งอริ ย สั จ จ ทั้ ง ๔ ท า น เห็นแจงอริยสัจจทั้ง ๔ ถึงขนาดนี้ จึงไดเปนพระโสดาบัน.

แต ขอเตื อนตรงนี้ อี กหน อ ยว า อย าลื ม ว า แม จะเป น พระอรหั น ต ก็ ต อ ง รูเรื ่อ งอริย สัจ จ ๔ นี ้ใ หยิ ่ง ขึ ้น ไปอีก , รูอ ริย สัจ จ ๔ เพีย งเทา นี ้เ ปน พระโสดาบัน , รูอริ ยสั จจ ๔ มากขึ้ นไปอี กนิ ด ก็ เป น พระสกิ ทาคามี , ขึ้ น ไปอี กก็ เป นพระอนาคามี , ถึ ง ที่ สุ ด ก็ เ ป น พระอรหั น ต . แต ถึ ง อย า งไรก็ ดี ในขั้ น พระโสดาบั น นี้ ท า นละ


๒๙๘

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

กัง ขาที่ทํ า ใหค วามคิด ความเชื่อ อะไรมัน สับ สนนั้น เสีย ไดแ ลว , ไมมีกัง ขาที่จ ะ สั บ สนในเรื่ อ งของอริ ย สั จ จ ๔ อี ก ต อ ไป. นี้ เรี ย กว า พระโสดาบั น ท า นละกั ง ขาใน อริยสัจจทั้ง ๔ เสียได นี้นับเปน ๔ ขอ, ก็เลยเปนกังขา ๑๐. ละกั ง ขาในขั น ธ ๕ เสี ย ได นี่ นั บ เป น ๕, ละกั ง ขาในสิ่ ง ที่ มั น เข า เกี่ ย วข อ ง แวดลอ มเราในประจําวัน นี้ เสี ย ได นี้ นั บ เป น หนึ่ ง ละกั งขาในอริย สั จ จ ทั้ ง ๔ เสี ย ได นี้ นั บ เป น ๔ ก็ เลยรวมกั น แล ว เป น ๑๐; เรี ย กว า ท า นละกั ง ขา ๑๐ เสี ย ได ในลั ก ษณะหนึ่ ง ในระดั บ หนึ่ ง เพี ย งเพื่ อ ความเป น พระโสดาบั น . ถ า ละได ม ากขึ้ น ไปกว า นั้ น จนถอนอุ ป าทานอะไรได อี ก ที ก็ เป น พระอรหั น ต เท า นั้ น เอง. ดังนั้นจึงถือเอาวา ละกังขา ๑๐ ประการ ในลักษณะอยางนี้ นั่นแหละคือผูรู ก ข ก กา ของพระนิ พ พาน, ผู รู ก ข ก กา ของพระนิ พ พานนี้ คื อ พระโสดา บันอยางที่กลาวมาแลว. ในที่ สุ ด ก็ อ ยากจะแนะให เห็ น ว า ก ข ก กา ที่ เป น ป ญ หายุ งยากนั้ น คื อ กัง ขา. บุถ ุช นธรรมดาจะเต็ม ไปดว ยกัง ขา คือ ความไมแ นใ จ ความสงสัย ความไม รู , ความที่ ต อ งรู เ พิ่ ม เติ ม อี ก อะไร นั่ น เรี ย กว า กั ง ขา. คนธรรมดา คน เปน บุถ ุช น จะเต็ม ไปดว ยกัง ขา ไมอ ยา งนั ้น ก็อ ยา งนี ้ ในวัน หนึ ่ง ๆ; ฉะนั ้น ถาเริ่มจะละกังขาในขั้นพื้นฐานเสียไดในระดับนี้ ก็คือความเปนพระโสดาบัน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้ น ความไม รู ตั ว ก ความไม รู ตั ว ข ความไม รู ตั ว ค ง กะ กา กิ กี นี ้ค ือ กัง ขา ของการเรีย นหนัง สือ . แตเ ดี ๋ย วนี ้ห นัง สือ ที ่เ รีย นนี ้ม ัน เปน เรื ่อ ง พระนิ พ พาน; ฉะนั้ น รี บ ละกั ง ขาในขั น ธ ทั้ ง ๕. ละกั ง ขาในสิ่ ง ที่ เ ข า มา


ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน

๒๙๙

กระทบกระทั ่ง เรา ในชีว ิต ประจํ า วัน เปน ประจํ า แลว ก็ล ะกัง ขาในอริย สัจ จ ทั้ง ๔ เสีย, ก็เรียกวารู ก ข ก กา ของพระนิพพาน.

พระโสดาบันรูแจงแทงตลอดในญายธรรม. ที นี้ ห ลั ก เกณฑ อี ก อั น หนึ่ ง ซึ่ ง พระองค ท รงแสดงไว มี พ ระบาลี ว า ญายธรรมอันประเสริฐของอริยสาวกนั้น เปนสิ่งที่อริยสาวกนั้นเห็นอยางดีแลวดวย ปญญา แทงตลอดดีแลวดวยปญญา. อริโย จสฺส าโย - ญายธรรมอันประเสริฐ ของอริยสาวกนั้น, สุทิฏโฐ - เปนสิ่งที่อริยสาวกนั้นเห็นหรือเขาใจดีแลว, สุปฏิวิทฺโธ - แทงตลอดเฉพาะดี แ ล ว , ปฺ  าย - ด ว ยป ญ ญา. นี้ ก ลายเป น เรื่ อ ง ปฏิ จ จ มุ ป บาทเรี ย กว า ญายธรรม เฉย ๆ, นี ้ หมายถึ ง ธรรมที ่ ค วรรู  . แต ใ น พระบาลี นี้ จะเล็ งถึ งปฏิ จจสมุ ปบาท โดยรายละเอี ยดที่ เคยบรรยายกั นมาแล วอย างมาก มายนั้นแหละ, ปฏิจจสมุปบาทนั้นแหละ เรียกวา ญายธรรม.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ า เอาแต ใ จความสั้ น ๆ ก็ เ รี ย กว า อิ ทั ป ป จ จยตา คื อ ความจริ ง ในข อ ที่ วา เมื ่อ สิ ่ง นี ้ม ี สิ ่ง นี ้ก ็ม ี, เมื ่อ สิ ่ง นี ้ม ี สิ ่ง นี ้ก ็ม ี เปน เหตุเ ปน ปจ จัย ตอ ๆ กัน ไป. แตที ่สํ า คัญ ที ่ส ุด นั ้น คือ ที ่ม ัน เกี ่ย วกับ มนุษ ยเ รา ที ่เ ขา มาเกี ่ย วขอ งกับ มนุษ ยเ รา ใหเห็นชัดอยูเสมอวา เมื่อตาเห็นรูปก็เกิดจักษุวิญญาณ คือการเห็นทางตาแลว ก็ตาดวยรูปดวย การเห็นทางตาดวย มาถึงพรอมกันแลวก็เรียกวาผัสสะ เพราะผัสสะ นี้เปนปจจัยก็มีเวทนา เวทนาเปนปจจัยก็มีตัณหา ตัณหาเปนปจจัยที่มีอุปาทาน แล ว มั น ก็ จ ะมี ทุ ก ข มี ภ พ มี ช าติ มี ทุ ก ข . ความที่ ทุ ก ข มั น ก อ ขึ้ น มาตามกฎเกณฑ


๓๐๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

อั น นี้ ที่ เ รี ย กกั น ว า ปฏิ จ จสมุ ป บาทนี้ เรี ย กว า ญ ายธรรม แปลว า ธรรมที่ ค วรรู . ญายธรรมในที่นี้หมายความแตเพีย งวา เปน ธรรมที ่ม นุษ ยค วรจะรู, มนุษ ยตอ ง รู, ถา ไมรู จ ะมีค วามทุก ข. ฉะนั ้น ญายธรรมที ่ม นุษ ยจ ะตอ งรู จ ริง ๆ ในที ่นี้ ก็คือ ปฏิจจสมุปบาท. เดี๋ ย วนี้ เ ราก็ ไ ม เ ข า ใจปฏิ จ จสมุ ป บาท ทั้ ง ที่ ท อ งได พู ด ได สอนได แล ว ก็ ส อนผิ ด ๆ เสี ย ก็ มี ; แต โ ดยใจความแล ว มั น ก็ เป น เรื่ อ งคล า ย ๆ กั บ ที่ แ ล ว มาเมื่ อ ตะกี้ นี้ ที่ พู ด ว า อะไร ๆ ที่ เข ามาทางตา ทางหู นี่ คื อ ว าได เห็ น ได ฟ ง ได ด ม ได ลิ้ ม ได รู สึ ก ได ติ ด ตาม ได แ สวงหา แล ว ก็ ได คิ ด ได นึ ก ได ค รุ น อยู ในใจนั่ น แหละ มั น เป น อาการแห ง ปฏิ จ จสมุ ป บาทด ว ยเหมื อ นกั น . แต เมื่ อ จะแยกให ชั ด ก็ ข อให ทุ กคนศึ กษาเรื่ อง ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ เมื่ อมี อะไรเข ามากระทบตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ มันเกิดอะไรขึ้น เปนลําดับ เปนลําดับ นี้เรียกวาปฏิจจสมุปบาท. ถา สุท ิฏ โฐ - เปน ผู เห็น เห็น อยา งดีแ ลว ในปฏิจ จสมุป บาท หรือ สุปฎิวิทฺโธ - รูแจงแทงตลอดดีแลวในปฏิจจสมุปบาท นี้ก็เรียกวาพระโสดาบัน; มั น ไม มี อ ะไรแปลกต า งแยกกั น เป น คนละชนิ ด หรื อ คนละพวก; แม ว า จะได ก ล า ว ไว ห ลายชนิ ด หลายพวก แต ว ามั น เล็ งถึ งจิ ต ใจของบุ ค คลที่ เรี ย กว าพระโสดาบั น . ถ า เปน พระโสดาบัน แลว จะมองกัน ในแงนี ้ จะเปน อยา งนี ้, มองกัน ในแงโ นน จะเป น อย า งโน น , จะมองในแง นั้ น จะเป น อย า งนั้ น , หลายอย า งหลายแง ก็ ไ ด . แต มั น ไม พ น ไปจากอย างที่ วามานี้ คื อ รู แ จ งในเรื่ อ งที่ ค วรจะรู จนเรื่อ งนั้ น ไม เป น ปญหาอีกตอไป.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน

๓๐๑

รู แ จ งในเรื่ อ งนั้ น ๆ จนเรื่ อ งนั้ น ๆ ไม เป น ป ญ หาอี ก ต อ ไป นี้ ไม ใช เล น ๆ, ไมใ ชเรื่อ งลน ๆ นี ่. เดี ๋ย วนี ้เ รารู แ จง ในเรื ่อ งนั ้น ๆ จนเรื่อ งนั ้น ๆ ไมเปน ปญ หา อีกต อ ไป หรือ เปล า ? ไปคิด ดู ให ดี ทุ กคนนะไปคิ ด ดู ให ดี , วาเรารูแ จ งหรือ เข าใจ แทงตลอดในเรื่ อ งนั้ น ๆ จนเรื่อ งนั้ น ๆ ไม เป น ป ญ หาอี ก ต อ ไปหรือ เปล า ? บางที มั น จะเป น ป ญ หาไปหมดเสี ย ด ว ยซ้ํ า ไป; เรื่ อ งสุ นั ข เรื่ อ งแมว เรื่ อ งไก เรื่ อ งหมู เรื่ อ งอะไรต า ง ๆ นี้ มั น ก็ ยั ง มาเป น ป ญ หาได . นี้ เรื่ อ งที่ มั น มากกว า นั้ น เกี่ ย วกั บ คน กั น นี้ มั น มี ม าก มั น เป น ป ญ หาไปหมด. รู แ จ ง จนว า เรื่ อ งนั้ น จะต อ งเป น อย า งนั้ น ต อ งเป น อย า งนั้ น ไปตามกฎเกณฑ อ ย า งนั้ น . อย า มาเป น ป ญ หาขึ้ น มาได หรื อ เปนปญหาสําหรับใหเกิดความทุกขรอน หมนหมองใจ อยาใหมันมีขึ้นมาได. ถ ามั น เป น ป ญ หาของการงานที่ ต อ งทํ า ก็ ทํ าไปโดยไม ต องหม นหมองใจ. ใหป ฏิเสธลงไปเสีย เลยวา กูไมไดเกิด มาเพื ่อ มีค วามทุก ข; ใชคํา หยาบ ๆ ดา มัน เลยวา กูไ มไ ดเ กิด มาเพื ่อ จะเปน ทุก ข. ฉะนั ้น กูจ ะไมย อมเปน ทุก ข แตว า จะแกป ญ หาเหลา นี ้ใ หไ ด; เรื่อ งอะไรมัน จะเกิด ขึ ้น เปน ประจํา วัน จะเอา ชนะใหได, แลวก็ไมตองเปนทุกขดวย.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แตทีนี้มัน ยากลําบากอยู ตรงที่วามัน โงเกิน ไป ที่จะไมคิด อยางนี้, ที่ จ ะไม เ ป น ทุ ก ข อ ย า งนี้ , มั น เป น ทุ ก ข เ สี ย ก อ นเสมอ. มั น จะต อ งให ศึ ก ษาเผื่ อ ไว ก อ นล ว งหน า ว า มั น ต อ งเป น อย า งนี้ ในบรรดาสิ่ งทั้ งหลายในโลกนี้ ที่ มั น จะเข า มา กระทบ มาเกี่ยวของกับมนุษย มันตองเปนอยางนี้ คือตามกฎของปฏิจจสมุปบาท:-

เมื่ อ ได เ ห็ น ก็ มี ก ารเห็ น แล ว ก็ มี ก ารกระทบด ว ยการเห็ น แล ว ก็ เ กิ ด เวทนา คื อ สบายตาหรือไม สบายตาหรื อเฉย ๆ นี้ , แล วก็ จะเกิ ดความสํ าคั ญ มั่ นหมาย


๓๐๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ในสิ่ ง ที่ ได เห็ น นั่ น แหละ. ถ า สบายตาก็ สํ า คั ญ ไปอย า งหนึ่ ง , ที่ ไม ส บายตาก็ สํ า คั ญ ไปอย า งหนึ่ ง , ที่ เฉย ๆ กลาง ๆ ก็ สํ า คั ญ ไปอย า งหนึ่ ง ; มั น โง ต ลอดเวลาทุ ก เรื่ อ ง ก็ เ ลยไปยึ ด ถื อ โดยความเป น สุ ข บ า ง เป น ทุ ก ข บ า ง ดี บ า งชั่ ว บ า ง ให มั น ร อ นใจ หรือใหมันกระวนกระวายไปเสียหมด. เดี๋ย วนี ้พ ระโสดาบัน ทานเห็น ถูก ตอ ง ทา นแทงตลอดอยา งดีใ น ญายธรรม คื อ สิ่ ง ที่ ค นควรจะรู นี้ จึ ง เรี ย กว า ท า นรู ก ข ก กา ของพระนิ พ พาน ชนิดที่แนนอนที่วา จะตองถึงพระนิพพานเปนแนนอน. ที่ อาตมาเอามากล าวหลาย ๆ อย าง พร อม ๆ กั นอย างนี้ ก็ เพราะว ามั น จะเหมาะแก ค นบางคน ซึ่ ง ไม เหมื อ นกั น ทุ ก คน. ถ า ผู มี ป ญ ญามาก สมมติ ว า เขา เกิ ด มาดี มี ป ญ ญามาก โดยนิ สั ย แล ว พู ด แต เพี ย งเท า นี้ ก็ พ อแล ว ว า สิ่ ง ที่ ม นุ ษ ย ควรจะรู เขารู เขารูจริง ๆ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แล ว สิ่ ง ที่ ม นุ ษ ย ค วรจะรู หรื อ ญายธรรมนี้ คื อ อะไร ? คื อ ว า เมื่ อ มี อะไรเขามากระทบเราแลว อยาใหมันเกิดความทุกขไดนั่น มีเทานี้เอง, มันมา กระทบเราทางตา ทางหู ทางจมู ก อะไรก็ ตามใจ อย าให มั นเกิ ดความทุ กข ขึ้ นมาได , โดยที ่รูเสีย กอ นแลว วา เมื ่อ มากระทบเราแลว ถา เราเผลอไปอวิช ชาเกิด ขึ ้น แลว มัน ก็จ ะเปน ไปในทางที ่จ ะเปน ทุก ขจ นได. เห็น อะไรก็เปน ทุก ข, ไดย ิน อะไรก็เปน ทุก ข, ไดส ัม ผัส อะไรอยา งใดอยา งหนึ ่ง ก็เปน ทุก ข; เพราะวา อวิช ชา มัน เกิด ขึ ้น ผสมเขา ไปในเรื ่อ งนั ้น ทุก ทีไ ป คือ เราไมรู จ ริง ในเรื ่อ งนั ้น ๆ. สรุป แลว ก็ค ือ ไมรู ใ นลัก ษณะที ่ทํ า ใหไ ปยึด มั ่น ถือ มั ่น , สํ า คัญ มั ่น หมายโดยความ เปนตัวเราเปนของเรา, เปนตัวกูเปนของกู.


ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน

๓๐๓

ทีนี ้พ ระพุท ธเจา ทา นยัง ตรัส ไวอ ีก วา ปฏิจ จสมุป บาทนั ้น เปน เบื้องตนแหงพรหมจรรย คือเปนพระอาทิพรหมจรรย; อภิสมยสังยุตต สังยุตตนิ ก าย มี ข อ ความนี้ ที่ พ ระพุ ท ธเจ า ตรั ส ไว ว า ปฏิ จ จสมุ ป บาทเป น อาทิ พ รหมจรรย , เป น เบื้ อ งต น แห งพรหมจรรย , อาทิ หรื อ เบื้ อ งต น มั น คื อ ตรงกั บ คํ า ว า ก ข ก กา ก ข ก กา ของพรหมจรรย คือ ปฏิจ จสมุป บาท. ถา รู ป ฏิจ จสมุป บาท ก็ค ือ รู ก ข ก กา ของพรหมจรรย. พรหมจรรยใ นที ่นี ้ห มายถึง การประพฤติเ พื ่อ ดับ ทุก ขสิ ้น เชิง . ไม ใช พ รหมจรรย เด็ ก ๆ เล น . พรหมจรรย อย างภาษาไทยธรรมดา หมายถึ งประพฤติ อย า งชั้ น ต่ํ า นี้ ก็ ได . แต ถ า พรหมจรรย อ ย า งที่ พ ระพุ ท ธเจ า ท า นตรั ส แล ว ก็ ห มายถึ ง ปฏิบ ัต ิเ พื ่อ ดับ ทุก ขสิ ้น เชิง คือ เปน พระอรหัน ตทั ้ง นั ้น ; เชน ทา นบวชคนดว ย เอหิ ภิ ก ขุ อุ ป สั ม ปทาวาจา นี้ ท า นไม ไ ด ต รั ส อะไรมาก; ท า นว า มาเป น ภิ ก ษุ ประพฤติพ รหมจรรย เพื ่อ ทํา ที่สุด แหงความทุก ข เทานี้เอง. พรหมจรรยข อง ท านในที่ นี้ ห มายถึ ง ปฏิ บั ติ เพื่ อ ทํ า ที่ สุ ด แห งความทุ ก ข , การปฏิ บั ติ นั้ น ชื่ อ ว า พรหมจรรย.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อะไรเป น เบื้ อ งต น แห ง พรหมจรรย หรื อ อะไรเป น ก ข ก กา ของ พรหมจรรย ? ท า นตรั ส ไว ใ นพระบาลี นี้ ว า เรื่ อ งปฏิ จ จสมุ ป บาท. เรื่ อ งปฏิ จ จสมุ ป บาทก็ คื อ เรื่ อ งให รู ว า อะไรเป น ทุ ก ข , อะไรเป น เหตุ ใ ห เ กิ ด ทุ ก ข , อะไรเป น ความดับ ทุก ข, อะไรเปน ทางใหถ ึง ความดับ ทุก ข. ฉะนั ้น เรื ่อ งปฏิจ จสมุป บาท นั่นแหละกลายเป น เรื่อ ง ก ข ก กา ของพระนิ พ พาน, คื อ เป น ก ข ก กา ของ การปฏิบัติที่เรียกวาพรหมจรรยก็แลวกัน.


๓๐๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

เดี๋ยวนี้ เราไมเขาใจ, ไม รูเรื่อ งปฏิจจสมุป บาทอยางถูกตอง, รูผิด ๆ อย า งนกแก ว นกขุ น ทอง ก็ มี ผ ลเท า กั บ ไม รู ก็ คื อ ไม รู ก ข ก กา ของพรหมจรรย . ฉะนั้ น อย า ได เข า ใจว า เรื่ อ งปฏิ จ จสมุ ป บาท นั้ น เป น เรื่ อ งอยู น อกวิ สั ย ที่ เราควรจะรู ; ขอ ใหเ ห็น วา ม ัน เป น เรื ่อ งที ่อ ยู ก ับ เนื ้อ กับ ตัว , มัน เกิด อ ยู ก ับ เนื ้อ กับ ตัว เป น ประจํ า วัน ตอ งรู  เพื ่อ จะไดจ ัด การใหม ัน ถูก ตอ ง แลว ก็จ ะไมม ีอ ะไรผิด อีก ตอ ไป; ก็ เลยได ชื่ อ ว าเป น ก ข ก กา ของพรหมจรรย , คื อ กระแสแห งการปฏิ บั ติ เพื่ อ จะดั บ ทุกขสิ้นเชิง นี่ ก ขก กา แหงพรหมจรรยอยางนี้. ฉะนั้นเรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้ นอกจากจะเรียกวา ญายธรรม คือสิ่ง ที ่ม นุษ ยค วรจะรู  แลว ยัง ตรัส เรีย กวา เปน เบื ้อ งตน แหง พรหมจรรย. มัน เป น เงื่ อ นต น หรื อ เป น ก ข ก กา นั่ น แหละ แห ง พรหมจรรย ด ว ย; ฉะนั้ น อย า เอาเรื่ อ งปฏิ จ จสมุ ป บาทไปแขวนไว เสี ย บนเพดาน ไม ม าเกี่ ย วข อ งกั น มั น เป น เรื่ อ ง ที่ เกิ ด อยู จ ริ ง เกี่ ย วข อ งอยู จ ริ ง ที่ ก าย วาจา ใจ ของเราอยู จ ริ ง เป น ประจํ า วั น . แต แ ล ว เราไม รู ก็ เลยถื อ ว า เป น เรื่ อ งที่ ยั ง ไม ต อ งรู , เอาไปแขวนไว เสี ย ที่ ไ หนก็ ไ ม รู แลวมันก็แกปญหาที่เกิดอยูจริงที่เนื้อที่ตัวนี้ไมได.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้ น ก็ เลยไม ต องพู ด ถึ งความเป น พระโสดาบั น คิ ด ดู ซิ มั น โง ถึ งขนาด นี ้ แลว จะเปน พระโสดาบัน อยา งไร; ความทุก ขม ัน เกิด อยู ที ่เ นื ้อ ที ่ต ัว นี ้ แลว เรื ่อ ง ที ่จ ะดับ ความทุก ขไ ดนั ้น เอาไปเก็บ ไวเสีย ที ่ไ หนก็ไ มรู  เพราะฉะนั ้น ก็เ ปน บุถ ุช น ยิ่ ง กว า บุ ถุ ช น, จึ ง ต อ งทบทวนกั น ใหม ; ศึ ก ษากั น ใหม เรี ย กว า เรี ย น ก ข ก กา ของพรหมจรรยกันเสียใหม; แตในที่นี้จะเรียกวา ก ข ก กา ของนิพพาน.


ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน

๓๐๕

นี่ ที่ พู ด มาทั้ ง หมดนี้ พอเป น ตั ว อย า งให เข า ใจบุ ค คลประเภทหนึ่ ง ตาม ที่ บั ญ ญั ติ ใ นที่ นี้ ว า เป น ผู รู ก ข ก กา ของพระนิ พ พาน คื อ พระโสดาบั น ท า น ละกัง ขา ๑๐ ประการเสีย ได, แลว ก็รู แ จง แทงตลอดซึ ่ง ญายธรรม คือ สิ ่ง ที่ มนุษ ยค วรจะรู  ในฐานะที ่ญ ายธรรมนั ้น เปน เบื ้อ งตน แหพ รหมจรรย. นี ่ม ัน ก็ค ง จะแปลกไปบ า ง จากการบรรยายครั้ ง ก อ น ๆ แต มั น เรื่ อ งเดี ย วกั น คื อ เรื่ อ งพระ โสดาบั น ด ว ยกั น . นี้ เ รามองพระโสดาบั น ในมุ ม อื่ น หรื อ ในทิ ศ ทางอื่ น มั น ก็ ม อง เห็ น อย า งนี้ , คื อ ยิ่ ง กว า ที่ จ ะมองเห็ น แต เพี ย งว า มี ศ รั ท ธาในพระรั ต นตรั ย มี อ ริ ย กั น ตศี ล หรื อ ว า ละเวรภั ย ทั้ ง ๕ ได หรื อ ว า ดํ า เนิ น อยู ใ นมรรคมี อ งค ๘ ประการ. นั้ น มั น ยั ง เรี ย กว า คํ า พู ด ยั ง มากไปกว า ที่ จ ะพู ด ว า รู ญ ายธรรม คื อ สิ่ ง ที่ มั น เกี่ ย วกั น อยูกับเราทุกวัน ๆ ทุกวันเวลานาทีนี้ ใหเรื่องนี้ ใหแกปญหาเรื่องนี้ใหได.

อานิสงสของการรู ก ข ก กา ของพระนิพพาน. เอ า , ที นี้ ต อ ไปชั่ ว เวลาเล็ ก น อ ยนี้ ก็ อ ยากจะพู ด ถึ ง เรื่ อ งผลประโยชน หรือ อานิส งส ของการรู  ก ข ก กา ของพระนิพ พาน. นี ่เ รีย กวา จะเรีย ก อยางเขาเรียกกันสมัยนี้วาประเมินผลก็ได.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ผลของการรู ก ข ก กา ของพระนิ พ พาน ในขั้ น ที่ เป น พระโสดาบั น เต็ ม รูป แลว นี้ พระพุท ธองคไดท รงแสดงไวห ลายอยา ง; แตอ ยา งที ่ค วรจะเอามาพูด ถึ งก อน ก็ อย างในพระบาลี อภิ สมยสั งยุ ตต สั งยุ ตตนิ กายอี ก นั่ นเอง จะเรียกว าเป นผล ชั้น ก ข ก กา ก็ได คื อบุ ค คลนั้ น จะหยั่งเห็น พระนิ พ พานได โดยที่ ยังไมถึงพระนิพพาน; เหมือนกับบุคคลมองเห็นน้ําในบอลึกชัดเจน แตยังตักกินไมได.


๓๐๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

นี้ เราทํ าความเข าใจในอุ ป มาก อ น แล วก็ จะเข าใจอุ ป มั ย ได ถ าตามั น ก็ ดี แสงสวา งมัน ก็ม ี บอ นั ้น มัน ก็ไ มไ ดล ึก เกิน ไป คนก็ม องเห็น น้ํ า ที ่ใ สแจว อยู ใ นบอ นั้ น ว า เป น น้ํ า ที่ กิ น ได . แต เ ดี๋ ย วนี้ มื อ ของเรายั ง สั้ น ยาวไม พ อ จะตั ก น้ํ า ไม ถึ ง , เชื อ กก็ ไ ม มี ถั ง ก็ ไ ม มี , แต เ ราเห็ น น้ํ า นั้ น ชั ด ว า น้ํ า นั้ น เป น น้ํ า ที่ กิ น ได แ ล ว เรามี ความแนใ จวา น้ํ า นั ้น กิน ได และเราจะตอ งทํ า ใหม ัน กิน ไดโ ดยแนน อน ในเวลา ตอ มา. ในเวลานี ้ย ัง กิน ไมไ ด ยัง กิน ไมถ ึง ; แตเ ห็น ชัด แลว วา น้ํ า นี ้ก ิน ได. นี้ พ ระโสดาบั น เป น เพี ย งผู ห ยั่ ง เห็ น พระนิ พ พาน, หน ว งเอาพระนิ พ พานเป น อารมณ , เห็ น พระนิ พ พาน ยั งไม ลุ ถึ งพระนิ พ พานโดยสมบู รณ เป น เพี ย งถึ งกระแส แหงพระนิพพาน. แต ใ นอี ก ปริ ย ายหนึ่ ง โวหารหนึ่ ง จะเรี ย กว า ถึ ง พระนิ พ พานในอั น ดั บ พ ระ โส ด าบัน ก็ไ ด; แตใ หเ ขา ใจ วา นั ้น ยัง ไมใ ชน ิพ พ าน ที ่ส ม บูร ณ . ถา จ ะ เอาการบรรลุม รรคผลขั ้น พระโสดาบัน วา เปน การถึง นิพ พานขั ้น หนึ ่ง ก็ม ัน เปน ขั้ น ห นึ่ งเท านั้ น ใน ขั้ น ถึ ง กระแส แห งพ ระนิ พ พ าน เท านั้ น . ห รื อ จะถื อ เอาว า สัง โยชน ๓ ประการที ่ด ับ ไปได เปน นิพ พานของพระโสดาบัน มัน ก็ไ ด; แตมันก็มีสังโยชนเหลืออยูอีก.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เดี๋ ย วนี้ เราเล็ งถึ งพระนิ พ พานโดยสมบู รณ แล ว ก็ จ ะถื อ ว า พระโสดาบั น นี้ เปน ผู ห ยั ่ง เห็น พระนิพ พาน, มีพ ระนิพ พานเปน อารมณอ ยู จ อ หนา ; แตย ัง แตะ ต อ งพระนิ พ พานนั้ น ไม ได . นี้ เรี ย กว า ก ข ก กา ที่ เป น ผล ผลที่ เป น ชั้ น ก ข ก กา คือผลขั้นแรกที่จะใหเราอนุมานได มันมีอยูอยางนี้.


ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน

๓๐๗

อาตมาเชื่ อ ว า บางที พ ระพุ ท ธเจ า ท า นได ต รั ส ข อ นี้ ก็ เ พื่ อ อย า ให ค น ถอยกํ า ลั ง ใจ, อย า ให ค นเสี ย กํ า ลั ง ใจ ไม ก ล า คิ ด กล า เอื้ อ ม เอาพระนิ พ พาน. ทา นจึง วา มัน ก็ย ัง มีอ ยู ใ นระดับ หนึ ่ง ที ่วา มองเห็น พระนิพ พาน แมย ัง ไมท ัน จะถึง มันก็แนที่จะถึงนิพพาน; เหมือนกับคนเห็นน้ําในบอ แตยังตักกินไมถึง. ฉะนั้น คนทั่วไปควรจะนึกถึงขอนี้แหละเปนขอแรก เปน ก ข ก กา ของผลแหง การบรรลุธ รรม. อยา ทอ ถอยวา ไมถ ึง ไมม ีว ัน ถึง ไมอ าจจะถึง ; แต ให รูชัดวามั น อาจจะถึ งได โดยวิธี นี้ ก อ น, แลวมั น ก็จะถึงไดโดยสมบู รณ โดยแน นอน ในโอกาสหลัง . อยา งถา บุร ุษ นี ้เ ห็น น้ํ า ชัด ในบอ นี ้อ ยา งนี ้แ ลว ; ฉะนั ้น การที่ จะพยายามไปหาถั งมา หรือไปหากระบอกมา ไปหาสายเชื อกมา หรืออะไรต อ ๆ กั น เข า ตั ก น้ํ า กิ น ให ได นี้ มั น ไม ย าก มั น ลํ า บากน อ ย กว า ที่ จ ะหาจนพบบ อ น้ํ า นี้ . ให เที ย บเคี ย งอย า งนี้ ว า ลํ า บากเหลื อ เกิ น ที่ ก ว า จะมาพบบ อ น้ํ า นี้ , แล ว พบบ อ น้ํ า นี้ แ ล ว . ป ญ หาเหลื อ อยู นิ ด หน อ ยว า น้ํ า มั น ยั ง ลึ ก เกิ น ไปตั ก ไม ถึ ง ; แต เราเห็ น ชั ด แลว เปน ที ่แ นน อนแลว . ฉะนั ้น จึง ไมม ีป ญ หาอะไรที ่ว า จะไมไ ด, มัน มีแ ตว า จะต องได คื อช าหรือเร็ ว, ก็ ไปตั ดเถาวั ลย ม า ไปตั ดกระบอกมา แล วก็ ตั กน้ํ าขึ้ น มา กินได, นี้ก็เปนเรื่องสุดทาย.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ก ารประเมิน ผล ในขั้น แรกของความเปน พระโสดาบัน นี้, มัน ใหกําลังใจมากถึงอยางนี้ทีเดียว.

ทีนี้พระพุทธเจาไดตรัสไวในพระสูตรถัด ๆ ไปอีก จะเปรียบเทียบความ ทุ ก ข ที่ ห มดไป แม ใ นชั้ น ก ข ก กา แห ง ความเป น พระโสดาบั น นี้ . ท า นตรั ส ว า ความทุ ก ข มั น หมดไปมาก จนเหลื อ ที่ จ ะเปรีย บได กั บ ส วนที่ เหลื อ อยู ; เช น


๓๐๘

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

เปรีย บดว ยฝุ น ดิน หรือ ฝุ น ทั ้ง โลกนี ้. ถา ผู ป ฏิบ ัต ิถ ึง ขั ้น ที ่เ ปน พระโสดาบัน นี้ แลว ความทุกขก็จะเหลืออยูเหมือนกับวา ฝุนติดที่ปลายเล็บเทานั้น. ฝุ น ทั้ ง โลกนั้ น หายไปแล ว คื อ ความทุ ก ข ที่ เท า กั บ ฝุ น ทั้ ง โลกนั้ น หายไป แล ว . หรื อ ถ า เปรี ย บกั บ น้ํ า ในมหาสมุ ท ร ก็ ห ายไปเกื อ บหมด เหลื อ แต น้ํ า สั ก ว า ติ ด อยู ปลายใบหญ า. ความทุ กข จะเหลื ออยู น อยเท านั้ น หรือถ าเปรียบขนาดภู เขาหิ มาลั ย อย างนี้ ก็ ทั้ งขนาดภู เขาหิ มาลั ย, ความทุ กข ในขนาดเท านั้ นได หายไป, เหลื อความทุ กข อยู ป ริ ม าณเท า สั ก ว า ก อ นกรวดเล็ ก ๆ ๒ - ๓ เม็ ด เท านั้ น . นี่ ท าน คํ านวณผลของ การบรรลุพระโสดาบัน. ที นี้ ผู ฟ งก็ จะไม เชื่ อ อย างที่ อ าตมาว า ที่ จะจั ด พระโสดาบั น ให เป น ผู แรกรู ก ข ก กา ของพระนิ พ พานนี่ , หรื อ ว า ก ข ก กา ของพระนิ พ พาน คื อ ความเป น พระโสดาบั น นี้ ก็จะไม เชื่อ . แต นี้ อาตมาก็จะพู ด ให ชัด วา รู ก ข ก กา นั่ น แหละ ขอให รู  จ ริ ง เถอะ มั น เป น การรู เ ข า ไปตั ้ ง ครึ่ ง ตั ้ ง ค อ นแล ว ; เพราะว า ถ า ไปเที ย บกั บ ความบุ ถุ ช นแล ว มั น ไกลกั น มา ไม รู กี่ ร อ ยเท า พั น เท า หมื่ น เท า . ความมื ด ของบุ ถุ ช น ความยั ง ห า งไกลต อ พระนิ พ พานของบุ ถุ ช น นั้ น มั น มากมาย เหลือ เกิน . แตว า ขึ ้น มา ถึง ขั ้น เปน พระโสดาบัน แมจ ะเปน ขั ้น แรก, ขั ้น แรก ถึ ง กระแส นี่ ก็ เ รี ย กว า มั น ผิ ด กั น มาก. แต ถึ ง อย า งนั้ น ก็ ต อ งเรี ย กว า แรกถึ ง กระแสแหงพระนิพพาน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ให ถื อ เอาเป น ก ข ก กา ชนิ ด ที่ รูจ ริ ง, รูแน น อนวา เราจะรูห นั งสื อ ได โ ดยแน น อน; ไม ใ ช มั ว แต ว า ก ข ก กา อยู ที่ นั่ น มั น รู แ จกสระไปหมด, รู จั ก ผั นไปตามวรรณยุ กต ทั้ งหมด, รู จั กเอามาต อกั น กล้ํ ากั น สนธิ กั น อะไร อ านเป นคํ า เปนอะไรไดแลว. นี้เรียกวารู ก ข ก กา คือรูทุกตัวอักษรอยางนี้.


ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน

๓๐๙

ความเปน ก ข ก กา นี ้ มัน หมายถึง เริ ่ม รู ; แตว า ขั ้น ที ่เ รีย กวา เริ ่ม รู นั ้น มีม าตรฐานอยา งไร เทา ไร มัน ตอ งรู ก ัน โดยสมบูร ณ; อยา งนอ ยก็เ รีย กวา รูไม เหลื อ ในเรื่ อ งที่ จ ะต อ งรู; หากแต วายั งทํ าไม ได เหมื อ นกั บ เห็ น น้ํ าในบ อ นี้ เห็ น ชั ด แล ว แต ย ั ง ตั ก กิ น ไม ไ ด . ห รื อ พ ระโส ด าบั น รู  โ ด ย ป ช าน าติ รู  แ จ ง แล ว . แตวายังไม วิทิตฺวา - ถึงกับที่ทําจิตใหหลุดพนไปจากความยึดมั่นถือมั่นเหลานั่นเหลานั้น ได. นี่ ระดั บ มั น ต างกั น อยู อ ย างนี้ แต ถึ งอย างไรก็ ต อ งยอมรั บ ว า ที่ ต อ งรู ต อง เห็ น หรื อ ต อ งมองดู นั้ น ได รู ได เห็ น ได ม องดู แ ล ว , คื อ พระพุ ท ธเจ า ท า นได ต รั ส บทบั ญ ญั ติ อื่ น ๆ ไว อี ก เพื่ อ ให รู จั ก พระโสดาบั น ยิ่ ง ขึ้ น ; แต ใ นความหมายเดิ ม หรือ เทา เดิม . พระโสดาบัน เปน ทิฏ ฐิส ัม ปน โน, เปน ทัส สนสัม ปน โน; ถา ไม เคยได ยิ น ก็ ได ยิ นเดี๋ ยวนี้ ก็ ได ว าพระโสดาบั นเป น ทิ ฏ ฐิ สั ม ป น โน – สมบู รณ ด วย ทิฏฐิ และทัสสนสัมปนโน - สมบูรณดวยทัศนะ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทิฏฐิสัมปนโน ก็ - สมบูรณดวยความเห็น, แลวทัสสนสัมปนโน – สมบูรณ ด ว ยการเห็ น . ท า นสมบู ร ณ ด ว ยความเห็ น , และสมบู ร ณ ด ว ยการเห็ น , นี้ เพื่ อ ให มั น ชั ด เจน มั น ไม มี อ ะไรเหลื อ ความเห็ น ถู ก ต อ งเป น อย า งนั้ น ๆ ก็ มี อ ยู แต ถ า ไม มีก ารเห็น มัน ก็ใ ชไ มไ ด. ถา วา มีค วามเห็น ก็ต อ งมีก ารเห็น ดว ย, คือ หลัง จากการเห็ น แล ว จึ ง มี ค วามเห็ น . ถ า อย า งนี้ ก็ ไ ด ; แต เ พื่ อ ไม ใ ห มั น กํ า กวม พระพุ ท ธเจ า ท า นเลยตรั ส ไว ทั้ ง ๒ บท ว า พระโสดาบั น นั้ น สมบู ร ณ ด ว ยความเห็ น และสมบูรณดวยการเห็น.

ที นี้ ม องดู พ วกเรากั น เองบ า งซิ สมบู ร ณ ด ว ยอะไร ? สมบู ร ณ ด ว ยความ เห็ นไหม ? แล วสมบู รณ ด วยการเห็ นไหม ? ดู มั นจะยั งไม มี ทั้ ง ๒ อย าง คื อความเห็ น


๓๑๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

มัน ยัง ไมถ ูก ตอ ง ก็เ รีย กวา ไมส มบูร ณด ว ยทิฏ ฐิ. ทีนี ้ท ิฏ ฐินั ้น มัน มี หรือ มัน ไปอยู เสี ย ที่ ไหนก็ ไม ท ราบ, มั น ไม เอามาทํ าหน าที่ มั น ไม เอามาเห็ น คล าย ๆ กั บ ว า บางคนมีตา แตมันไมดู. เดี๋ ยวนี้ ใครกํ าลั งมี ตาแล วไม ดู บ าง ? ก็ ลองคิ ด ดู มั นอาจจะเป น อย างนั้ น ก ระ มั ง ; ทํ า ไม ทุ ก ค น ก็ ม ี ต า แล ว ทํ า ไม จึ ง ไม เ ห็ น . ที นี ้ เ รื ่ อ งธ รรม ะมั น ลึ ก กวา นั ้น ตอ งมีต าอีก ชนิด หนึ ่ง แลว ก็จ ะตอ งดูอ ีก ทีห นึ ่ง ดว ย. เดี ๋ย วนี ้ม ีต า ทํ า ไมจึ ง ไม ดู ? เดิ น สะดุ ด ก อ นหิ น นี้ ล ม บ อ ย ๆ นี่ มั น มี ต าแล ว มั น ไม ดู . นี้ เรี ย กว า ตาเนื้ อ ๆ ตาข างนอกก็ ยั งเป นเสี ยอย างนี้ , มี ตาแล วก็ ไม ได ใช ตานั้ นให เป นประโยชน . ทีนี ้ท างธรรมะเขาเรีย กธรรมจัก ษุ แลว ก็ยิ ่ง ใชย ากกวา นี ้; มัน ตอ งมีต าดว ย และตอ งมีก ารใชต านั ้น ดว ย. พระองคจ ึงตรัส วา พระโสดาบัน นั ้น เปน ทิฏ ฐิส ัม ปนโน เปนทัสสนสัมปนโน, สมบูรณดวยความเห็น สมบูรณดวยการเห็น. ทีนี้ถัดไปอีกก็ตรัสวา อาคโต อิมํ สทฺธมฺมํ ปสฺสติ อิมํ สทฺธมฺมํ, อาคโต อิมํ สทฺธมฺมํ มาแลวสูพระสัทธรรมนี้. พระโสดาบันนั้นเปนผูมาแลวสูสัทธรรมนี้ ปสฺสติ อิมํ สทฺธมฺมํ - ยอมเห็นซึ่งสัทธรรมนี้. นี่ ฉะนั้นอยาทําเลนกับพระพุทธเจา ท านจะตรั ส อะไรชนิ ด ที่ มั น ไม มี ช อ งโหว หรื อ ไม มี ท างที่ จ ะผิ ด หรื อ ว า ช อ งโหว ให เขา ค าน อย างที่ เขาเรี ยกกั นสมั ยนี้ ว า มั นไม มี logic ท านจะสมบู รณ ด วย logic แม ในคํ าตรั ส ของทาน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อาคโต อิมํ สทฺธมฺมํ - มาสูสัทธรรมนี้, ปสฺสติ อิมํ สทฺธมฺมํ - ยอมเห็น ซึ่ ง สั ท ธรรมนี้ . ถ า จะเปรี ย บก็ เหมื อ นกั บ บางคนมาที่ วั ด นี้ แ ล ว แต ไ ม เห็ น วั ด นี้ น ะ


ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน

๓๑๑

เข า ใจไหม ? มาที่ วั ด นี้ กั น มาก ๆ แต ไ ม เ ห็ น วั ด นี้ . นี่ พ ระพุ ท ธเจ า ท า นจึ ง ได ต รั ส ว า มาสูสัทธรรมนี้ และยอมเห็น ซึ่งสัทธรรมนี้, นั่นแหละคือพระโสดาบัน. แต ถ า เราจะให มั น เป น เรื่ อ งเดี ย วกั น ก็ ได ต อ งหมายถึ ง คนที่ มี ต า, มี ต าดี คื อ ที่ มี ป ญ ญา ขอแต ใ ห ไ ด ม าเถอะ มั น ก็ จ ะเห็ น แหละ, หรื อ ถ า มั น เห็ น เข า มั น จะ มาหรือไมมาก็สุดแท แลวมันเห็นก็แลวกัน. แต เดี๋ ย วนี้ ท า นจะตรั ส อย า งไรก็ ไ ม ท ราบ แต อ าตมาถื อ ว า ท า นจะตรั ส ให มั น ไม ใ ห มี ช อ งโหว , จึ ง ตรั ส ว า เป นผู ม าแล ว สู สั ท ธรรมนี้ , แล ว ก็ ย อ มเห็ น ซึ่ ง สั ท ธรรมนี้ , คื อ มาแล ว สู ค วามรู อั น ถู ก ต อ งในพระศาสนานี้ แล ว ก็ ไ ด เห็ น ธรรมนั้ น ๆ จริง ๆ ดวย นี่พระโสดาบันทานเปนอยางนี้. เสกฺ เขน าเณน สมนฺ นาคโต - ประกอบพรอมแล วด วยญาณอั นเป น เสขะ, เสกฺขาย วิชฺชาย สมนฺนาคโต - ประกอบพรอมแลวดวยวิชชาอันเปนเสขะ, ท านใช คํ า ๒ คํ าพร อ มกั น ไป ญาณ แปลว าความรู , วิ ช ชา ก็ แปลว า ความรู ญาณ ก็ แ ปลว า ความรู , วิ ช ชา ก็ แ ปลว า ความรู , แล ว มั น ต า งกั น อย า งไร ? ตามปกติ มั น ก็ ใชแทนกัน เรียกวา เปนคําแทนกันได; แตนี้ก็เปนคําที่ย้ําใหมันมาก.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ค วาม รู เ ฉ ย ๆ ค วาม รู  รู ไ วม าก ๆ; อ ยา งรู ไ วท ว ม หัว เอ าตัว ไม ร อ ด นี ้ก ็เ รีย กวา ญ าณ ก็ไ ด. ถา เรีย กวา ญ าณ แปลวา ความรู นี ้ รู ไ มม ีเ ขตจํ า กัด , รู อ ยา งความรู ท ว มหัว เอาตัว ไมร อดก็ไ ด. แตถ า วา เปน วิช ชาแลว ตอ งเปน ความ รู ที่ ถู ก ใช , ความรู ที่ อ าจจะใช แ ละถู ก ใช คื อ ความรู ที่ คู กั น อ ยู กั บ การป ฏิ บั ติ .


๓๑๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ต อ งมี ค วามรูสํ า หรับ การปฏิ บั ติ , แล ว ก็ ได ป ฏิ บั ติ ต ามความรู นั้ น ความรูนั้ น ก็ เรีย ก วาวิชชา. ในกรณี ทั่ วไปธรรมดาในโลกนี้ คนบางคน รู – รู – รู - รู มากแล วไม ได ปฏิบัติอะไร ไมทําอะไร รูทวมหัวเอาตัวไมรอด. แตถาวา ความรูใด ๆ เขาเอามา ปฏิ บั ติ สํ าเร็จประโยชน แก การเลี้ ยงชี วิต, หรือการทํ าประโยชน ผู อื่ นอะไรก็ ตาม นี้ ก็ เรียกวาวิชชาได, สําหรับภาษาบาลีเปนอยางนี้. เพราะฉะนั้นเมื่อจะเอาความหมาย ที่ จํ ากั ดรัดกุ ม กั นหน อยแล ว ญาณ กั บ วิ ช ชา ก็ มี ความหมายที่ กว างแคบกว ากั น . ญาณ เปน ความรู ทั ่ว ๆ ไป มากนอ ยเทา ไรก็ไ ด; แตถ า วิช ชาเปน ความรู ที่ จําเป นแก การปฏิ บั ติ ที่ ต องมี เดี๋ ยวนั้ น เวลานั้ นในขณะนั้ น ตองใชมั นในขณะนั้ น. นี้พระโสดาบันมีทั้งญาณ มีทั้งวิชชา. สํ า หรั บ เสขบุ ค คล คื อ คนที่ ยั ง ไม เป น พระอรหั น ต ผู ที่ ยั ง ไม เป น พระอรหั น ต จะต อ งมี ญ าณอะไรบ า ง ? จะต อ งมี วิ ช ชาอะไรบ า ง ? พระโสดาบั น ก็ มี . ฉะนั้ น พระโสดาบั น นี้ ก็ เรีย กวา เป น ผู ป ระกอบพร อ มแล ว ด วยญาณ ด ว ย วิชชา ซึ่งเปนเสขะ คือของบุคคลที่ยังไมเปนพระอรหันต ทานมีพรอม.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทีนี ้บ ทตอ ไป พระพุท ธเจา ทา นตรัส วา ธมฺม โสตํ สมาปนฺโน - เปน ผูมาถึงพรอมดวย มาถึงทั่วแลว ซึ่งกระแสแหงธรรม. ธมฺมโสตํ แปลวา กระแส แห ง ธรรม มาถึ ง แล ว ซึ่ ง กระแสแห ง ธรรม. ในที นี้ ห มายถึ ง พระนิ พ พาน, กระแส แห ง ธรรมนี้ ห มายถึ ง กระแสแห ง พระนิ พ พาน. ที่ เรีย กว า กระแสนั้ น ในภาษา ธรรมดาเขาแปลวา เกลี ยวที่ มั น ไหลไปอยางไม มีอะไรตานทาน หรือ วาต านทาน ยาก; อยางนี้ก็เรียกวา กระแส หรือ โสตา.


ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน

๓๑๓

ทีนี้กระแสแหงพระนิพพาน นั้นหมายความวา มีการปฏิบัติอยูระยะ หนึ ่ง หรือ ตอนหนึ ่ง , ซึ ่ง ถา ถึง นั ่น แลว จะไมก ลับ หลัง . ถา ยัง กลับ หลัง อยู ไ ด ยั ง ไม เรี ย กว า ธมฺ ม โสตํ หรื อ กระแสแห ง พระนิ พ พาน ต อ งปฏิ บั ติ ม า, ปฏิ บั ติ ม า, ปฏิ บั ติ ม าจนถึ ง ระยะหนึ่ งขั้ น หนึ่ ง ซึ่ งกลั บ หลั บ อี ก ไม ได ก็ เรี ย กว า ธมฺ ม โสตํ พระโสดาบันตั้งอยูที่จุดนี้. บางที ในทางวั ต ถุ อาตมาเคยเปรี ย บเที ย บให เขาฟ งว า เหมื อ นกั บ เรา ถี บรถจั กรยานขึ้ นสะพานโค ง เมื่ อเราได พยายามถี บด วยเรี่ยวแรงแข งขาขึ้ นมา จนถึ ง จุ ด สู งสุ ด ของสะพานโค ง. ที นี้ ยั งเหลื อ แต จ ะลงไปทางต่ํ านี่ จุ ด นั้ น แหละจะเรี ย กว า จุ ด ที่ เ ป น กระแสแห ง ธรรม คื อ จะไม ก ลั บ อี ก แน น อน มั น มี แ ต จ ะไปเอง ไหลไปเอาขา งโนน . พระโสดาบัน มีลัก ษณะเหมือ นกับ อยา งนี้ คือ มาถึง จุด นี้ ที่กลับอีกไมไดเพราะมันถึงกระแสแหงพระนิพพาน. ทีนี้ ทานเรียกดวยบทตอไปอีกวา อริโย นิพฺ เพธิกปฺโ. อริโย แปลวา ประเสริฐ, นิพฺเพธิกปฺโ แปลวา มีปญญา เปนเครื่องเจาะแทงซึ่งกิเลส. ปญญา นี้ มี หลายชนิ ด ป ญ ญาบางชนิ ด ไม เจาะแทงกิ เลส ฉะนั้ น ต อ งระบุ ให ชั ด ว า ป ญ ญา ที่เจาะแทงกิเลส เรียกเป นภาษาบาลีวา นิ พฺ เพธิกปฺ โ, นิ พเพธิกป ญญา ป ญญา ที่จะเจาะแทงกิเลส. ผูใดมีปญญานี้เรียกวา นิพเพธิกปญโญ คือ ผูที่มีปญญาเปน เครื่ อ งเจาะแทงกิ เลส. คนปุ ถุ ช นไม มี ป ญ หาถึ งขนาดนี้ แต พ อปฏิ บั ติ ม าถึ งความ เป นพระโสดาบั นแล ว เรียกได เลยวา ท านเป นผู มี ป ญ ญาถึ งขนาดที่ เรียกได วา เจาะ แทงกิ เลส; เพราะอย า งน อ ยก็ ได ทํ า สั ง โยชน ๓ ประการให สิ้ น ไป, หรื อ จะถื อ เอา มาตรฐานที ่ว า เพราะรู ญ ายธรรม คือ ปฏิจ สมุป บาทนั ้น . ถา รู อ ัน นี ้จ ริง ก็เรีย กวา มีปญญาเปนเครื่องเจาะแทงกิเลสได.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


๓๑๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

บทสุดทายก็วา อมตทฺวารํ อาหจฺจ ติฏติ แปลวา ยืนอยูจดประตูแหง อมตะ, ยืน อยู จ ดประตูแ หง อมตะ. นี ้เปน เรื่อ งสมมติ ใหพ ระนิพ พานนี ้เหมือ น กั บ บ า นเมื อ ง, แล ว ก็ มี ป ระตู คื อ ถ า ไปยื น อยู จ ดประตู เหยี ย บธรณี ป ระตู นั่ น แหละ เรีย กวา พระโสดาบัน เปน ผู ย ืน อยู จ ดประตูแ หง พระนิพ พานอัน เปน อมตะ. ถา โดยอุ ป มานี้ แ ล ว ก็ ยั ง เข า ไปในเมื อ ง แต ว า ยื น อยู จ ดประตู . ฉะนั้ น ที่ อ าตมาเรี ย ก ว า ก ข ก กา ของพระนิ พพาน ก็ ควรจะถู กกระมั ง, ไม ควรจะคั ดค านกั นนั ก เพราะ วา ไปยืน อยู จ ดประตูเ ทา นั ้น ยัง ไมไ ดเ ขา ไปในประตู. แตถ ึง อยา งไรก็ด ี ตอ ง ถือวา มันเปนการประเมินผลได เปนที่แนนอนวา พระโสดาบันทานเปนอยางนี้. ที นี้ ก็ แ สดงผลให ชั ด เจนไปอี ก ก็ เรีย กวา ขี ณ นิ ร โย – เป น ผู มี น รกอั น สิ้ น แล ว : จะนรกชนิ ดไหนก็ ตามใจ สิ้ นแล ว หมดแล ว จะนรกใต ดิ นหรือนรกในใจ ในอก อะไรก็สิ้นแลว. แลวก็ ขีณติรจฺฉานโยนิโย - เปนผูมีกําเนิดเดรัจฉานอันสิ้นแลว คือจะ สิ้นความเปนสัตวเดรัจฉานอีกตอไป, หรือวาจะไมไปเกิดเปนสัตวเดรัจฉานอีกก็ได, หรื อ ว า อยู เป น คนที่ นี่ จะไม โง อ ย า งสั ต ว เดรั จ ฉานอี ก ต อ ไปก็ ได . แต ค วามหมายที่ ดี ก ว า นั้ น ควรจะถื อ ว า จะไม โ ง อ ย า งสั ต ว เ ดรั จ ฉานอี ก ต อ ไป; เพราะสั ต ว เดรัจ ฉานนี ้ม ัน หมายถึง ความโง. เดี ๋ย วนี ้เ ราจะไมโ งใ นเรื ่อ งทุก ข, เรื่อ งเหตุ ใหเ กิด ทุก ข, เรื ่อ งความดับ ทุก ข, ทางแหง ความดับ ทุก ขอ ีก ตอ ไป. นี ้ก ็เ รีย กวา จะไมเกิดความโงอยางสัตวเดรัจฉานอีกตอไป.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ขี ณ ป ตฺ ติ วิ ส โย - มี วิ สั ย แห งเปรตสิ้ น แล ว คื อ สิ้ น วิสั ย แห ง เปรตแล ว ; จะเปรตรู ป ร า งน า กลั ว อย า งที่ เขาพู ด กั น ก็ ไ ด ไม เ ป น เปรตอย า งนั้ น อี ก ต อ ไป;


ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน

๓๑๕

จะไม เป นเปรตเพราะหิ วกระหายอย างอยากถู กลอตเตอรี่เป นต น ไม เป นเปรตอยางนี้ ด วย, ไม เป นเปรตอย างไหนหมดเลย. คื อไม มี ความอยากที่ จะแผดเผาหั วใจชนิ ดไหน อีกตอไป. นี้เรียกวา มีวิสัยแหงเปรตอันสิ้นแลว. ขีณาปายทุคฺคติวินิปาโต - มีอบายและทุคติและวินิบาต อันสิ้นแลว, อบายทุกชนิดสิ้นแลว, ทุคติทุกชนิดสิ้นแลว, วินิ บาต คือความตกต่ําทุ กชนิดก็สิ้น แลว ; หมายความวา ลงต่ํา ไมมีอีก ความตอ งทนทุก ขลํา บากไมมีอีก ความ เดื อ ดร อ นอย างที่ เรี ย กว าอบายนั้ น ไม มี อี ก เพราะว าจิ ตใจที่ ถอนความยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ไดในบางระดับแลว. โสตาปนฺโน เรียกวาผูถึงแลวซึ่งกระแส อวินิปาตธมฺโม – ไมมีความตกต่ํา เปน ธรรมดา, นิย โต - เปน ผู เ ที ่ย ว, สมฺโ พธิป รายโน - มีส ัม โพธิเ ปน เบื ้อ งหนา . ผูที่ เป นพระโสดาบั นนั้ น จะไม ตกต่ํ าอี กเป นธรรมดา นิ ยโต แปลวา เที่ ยง คื อเที่ ยง ต อ พระนิ พ พาน. ถ า ยั ง ไม เป น พระโสดาบั น ยั ง ไม เป น ที่ แ น น อนว า เที่ ย งแท ต อ พระนิ พ พาน, ก็ แ ปลว า เพิ่ ง จะละจากความเป น บุ ถุ ช นขึ้ น มา ในลั ก ษณะที่ เที่ ย ง แทต อ พระนิพ พาน. บุถ ุช นไมม ีก ารเที ่ย งแทต อ พระนิพ พาน สมฺโ พธิป รายโน นี้ ก็ ข ยายความนี้ ชั ด ขึ้ น ว า มี สั ม โพธิ เป น ที่ ไ ปในเบื้ อ งหน า คื อ จะมี ค วามรู ถึ ง ขนาด เปน พระอรหัน ต สมฺโพธิ - รูถ ึง ที ่ส ุด รูพ รอ ม รูก ัน อยา งเปน พระอรหัน ตนี ้ จะมี ในเบื้องหนา นี้อานิสงสความเปนพระโสดาบัน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ พ ระพุ ท ธเจ า ท า นยั ง ได ต รั ส ไว อย า งที่ ค วรสนใจอย า งหนึ่ งว า คน ชนิ ด นี้ ไ ม ต อ งเชื่ อ คนอื่ น , คนชนิ ด นี้ จ ะเชื่ อ ตั ว เอง. ฉะนั้ น พระโสดาบั น ไม ต อ ง


๓๑๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

เชื่ อ คนอื่ น คื อ เช น ไม ต อ งให ใ ครมาช ว ยตั้ ง ให ว า แกเป น พระโสดาบั น ; ถ า พระ โสดาบันเปนพระโสดาบัน ก็จะรูวา เรานี่เปนพระโสดาบัน อยางนี้เปนตน. ฉะนั้ นเมื่ อปรารถนาอยู นี่ เรียกว า โส อากงฺ ข มาโน – อริ ย สาวกนั้ น เมื่ อ ปรารถนาอยู - อตฺตนา ว อตฺตานํ พฺยากเรยฺย – ยอมพยากรณซึ่งตนไวดวยตนนั่น ทีย ว, ขีณ นิร โยมฺห ิ - วา เราเปน ผู ม ีน รกอัน สิ ้น แลว , ขีณ ติร จฺฉ านโยนิโ ย – วา เราเปนผูมีกําเนิดเดรัจฉานอันสิ้นแลว, ขีณปตฺติวิสโย – วา เรามีเปรตวิสัยอันสิ้น แล ว , ขี ณ าปายทุ คฺ ค ติ วิ นิ ป าโต - ว า เราเป น ผู มี อ บาย ทุ ค ติ วิ นิ บ าต อั น สิ้ น แล ว , โสตาปนฺโนหมสฺมิ - เราเป นพระโสดาบัน คือเปนผูถึงกระแสแลว, อวินิ ปาตธมฺโม – มี อั น ไม ต กต่ํ า เป น ธรรมดา, นิ ย โต - เป น ผู เ ที่ ย งแท , สมฺ โ พธิ ป รายโน – มี สัมโพธิเปนที่ไปในเบื้องหนา ดังนี้. นี้ ว า การเป น นั้ น จะพยากรณ ตั ว เองได ว า เป น ไม ต อ งมี ใ ครมาออก ประกาศนี ย บั ต รตั้ ง ให ว า เป น ก็ เ พราะว า เป น ทิ ฏ ฐิ สั ม ป น โน, เป น ทั ส สมสั ม ป น โน อะไรต า ง ๆ อย า งที่ ว า มาข า งต น แล ว . เพราะฉะนั้ น จึ ง เห็ น ว า เป น หรื อ ไม เป น แล ว ก็ ไม ต องเชื่ อ ตามคนอื่ น คนอื่ นจะมาบอกว าเป นหรื อ ไม เป น มั น ก็ ไม ต อ งเชื่ อ แต ว าเชื่ อ ความรูของตัวเองอยางนี้.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ พิ จ ารณ าดู ก็ จ ะเห็ น ว า มั น เป น เรื่ อ งที่ ส มบู ร ณ อยู ใ นตั ว , เป น ผู ห ยั่ ง เห็ น พระนิ พ พาน ยั ง ไม ถึ ง พระนิ พ พานก็ จ ริ ง , แต แ น เ ที่ ย งแท ต อ พระนิ พ พานนั้ น ความทุ ก ข สิ้ น ไปมาก จนเรี ย กว า แทบจะไม มี เหลื อ อยู เหมื อ นกั บ เที ย บขี้ ฝุ น ที่ ป ลาย เล็บกับฝุนทั้งโลก.


ผูรู ก ข ก กา ของนิพพาน

๓๑๗

นี่ ค วามที่ มี ค วามเห็ น อย า งถู ก ต อ ง ถึ ง ขนาดเป น พระโสดาบั น และ สามารถที ่จ ะเริ ่ม เปน ครั ้ง แรก, เริ ่ม เปน ครั ้ง แรกในการรู จ ัก ตัว เอง. กอ นนี ้เ ราถือ ว า บุ ถุ ช นทั้ ง หลายนี้ ไม ไ ด รู จั ก แม แ ต ตั ว เอง ไม รู ว า อะไรเป น อะไร, ไม รู เรื่ อ งขั น ธ เรื่ อ งธาตุ เรื่ อ งอายตนะ อะไรเป น อะไร. ฉะนั้ น การแรกเริ่ ม รู จั ก ตั ว เอง นี้ ก็ คื อ ความเปน พระโสดาบัน จนถึง กับ รู ว า เดี ๋ย วนี ้เ ราเปน พระโสดาบัน แตไ มใ ชใ ช คํ าว า พระโสดาบั น สํ าหรับ โอ อวด สํ าหรับ เกี ยรติ ยศ สํ าหรั บ แต งตั้ งอะไรทํ านองนั้ น . โสดาบันในที่นี้ก็แปลวา ผูที่เขาถึงกระแสแหงพระนิพพาน. ภาษาที่ พ ระพุ ท ธเจ าไม เคยใช แต เขาใช กั น มาก คํ าว า โคตรภู แปลว า ละโคตรบุ ถุ ช นเสี ย ได แล วก็ เข าไปสู โคตรของพระอริย ะ นี้ เป น ภาษานอกพระบาลี แต ก็ เป น หลั ก เกณฑ ที่ ใช ถื อ เป น เครื่ อ งทดสอบได เหมื อ นกั บ ว า มี เส น แบ ง เขต ฝ า ย นี้ เ ป น ฝ า ยบุ ถุ ช น ฝ า ยนี้ ก็ เป น ฝ า ยอริ ย ะ; ฉะนั้ น พระโสดาบั น คื อ ผู ที่ ก า วข า มเขต นั้ น ไปได นั่ น เอง. แต ก็ ยั ง อยากจะเรี ย กว า ผู รู ก ข ก กา แห ง พระนิ พ พาน มายื น อยูจดประตูแหงอมตะ ยังไมไดเขาไปในเมืองนั้น.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ คื อ อานิ ส งส ข องความเป น พระโสดาบั น แล ว ก็ เรี ย กพระโสดาบั น นี้ ว า เป น ผู รู ก ข ก กา แห งพระนิ พ พาน, เพื่ อ ให รู จั ก ก ข ก กา ที่ เราทุ กคนจะต อ งเรี ย น กัน ใหม จะตอ งทดสอบกัน ใหม จะตอ งตั ้ง ตน กัน ใหม ใหด ียิ ่ง ขึ ้น ; เสีย อยา ง เดี ย วแต ว าเรามั น อวดดี เราไม ย อมเป น เด็ ก ที่ จ ะเรี ย น ก ข ก กา เราไม ช อบทํ าอะไร ซ้ํ า ๆ ซาก ๆ, เราลื ม ไปว า เมื่ อ เราเริ่ ม เรี ย น ก ข ก กา ครั้ ง กระโน น เราเรี ย นอย า ง ซ้ํ า ๆ ซาก ๆ เรี ย นแล วเรี ย นอี ก ทั้ งเช าทั้ งเย็ น เป น วั น ๆ เดื อ น ๆ เราจึ งรู ก ข ก กา. แต พ อมาถึ ง ก ข ก กา ของพระธรรมนี้ เราไม ส มั ค รที่ จ ะอดทนถึ ง ขนาดนั้ น ไม


๓๑๘

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ยอมซ้ํ า ๆ ซาก ๆ ขนาดนั้ น , เราอวดดี เป น ผู ใ หญ เสี ย เรื่ อ ย ไม ย อมเป น เด็ ก มั น ก็ ไมอาจจะเรียน ก ข ก กา ได นี่มันขัดกันอยูที่ตรงนี้. ฉะนั้ น ขอให ไ ปคิ ด กั น ดู เ สี ย ใหม เ ถอะ ให มั น มี ก ารชํ า ระสะสางไปแต เบื้ อ งต น . ตั้ งแต ขนาดที่ เรี ย กว า ก ข ก กา ที เดี ย ว, จะเป น ก ข ก กา ของศี ล ธรรม ก็ทําใหดี, เปน ก ข ก กา ของปรมัตถธรรม ก็ทําใหถึงที่สุด ปญหาก็จะจบกัน. นี่การบรรยายในวันนี้ ก็สมควรแกเวลาแลว เรื่องผูรู ก ข ก กา ของ พระนิพพาน ขอฝากไวใหนําไปคิดพิจารณา. ตอไปนี้ขอใหพระสงฆสวดธรรมกถา ที่จะเปนเครื่องชวยกระตุนกําลังใจแกทานทั้งหลาย ตอไปอีกวาระหนึ่ง. _______________

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา - ๑๑ ๑๖ มีนาคม ๒๕๑๗

การเรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพาน. ทานสาธุชน ผูมีความสนใจในธรรม ทั้งหลาย, การบรรยายประจํ าวั นเสาร ครั้ งที่ ๑๑ แห งภาคมาฆบู ชานี้ ยั งคงกล าว ไปโดยหัวขอใหญ ที่วา ก ข ก กา ของการศึกษาพุ ทธศาสนา ตอไปตามเดิม ; แต มาถึงตอนที่จะเรียกโดยหัวขอยอยวา การเรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพาน. [ทบทวน.]

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ผู ที่ ไม เคยฟ ง ตอนต น ๆ มาก อ น ก็ อ าจจะฉงนบ า ง เพราะเรื่ อ งติ ด ต อ กัน มาตามลํ าดั บ ดังนั้ น จึงตอ งขอทบทวน วาคําบรรยายชุด นี้ จะกล าวถึงโดยหั ว ขอใหญ ที่วา ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา; หมายความวา ขอรองให พุ ทธ บริษัทเรียน ก ข ก กา กันใหม เพราะวาเทาที่เรียนมาแลวนั้น มันเฝอก็มี, มันรู ไมจริงรูผิด ๆ ก็มี, แมแตเรื่องขันธ เรื่องธาตุ เรื่องอายตนะ. ดังนั้นจึงตองขอรอง

๓๑๙


๓๒๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ให ม าสะสางกั น ใหม ไปตั้ งแต ต น , ให เข าใจตั้ งแต คํ าว า ธาตุ แล วคํ าว า อายตนะ คํ า ว า ขั น ธ คํ า ว า อุ ป ทานขั น ธ ชึ่ ง เป น ตั ว ทุ ก ข และการปฏิ บั ติ เพื่ อ ดั บ ชึ่ ง ความ ทุกขนั้น อันไดแก มรรค ผล นิพพาน. ก ข ก กา คํ า นี้ หมายถึ ง เรื่ อ งเบี้ อ งต น , แต ว า เรื่ อ งเบี้ อ งต น นี้ มั น กลับ มีค วามสํ า คัญ คือ เปน ฐาน, ถา พื ้น ฐานไมด ี สิ ่ง ที ่ต ามมาก็ไ มด ี. ดัง นั ้น เรื่ องพื้ น ฐาน หรือ ก ข ก กา จึ งต องเป น เรื่ องที่ ถู กต อ ง หรือ ดี ที่ สุ ด. นี้ เรื่องเบี้ อ ง ตน เรื ่อ งพื ้น ฐานนี ้ มัน ก็ม ีห ลายเรื ่อ ง, ฉะนั ้น เราจึง ตอ งดู วา มัน เปน เรื ่อ งทาง ศีล ธรรมสํ า หรับ คนทั ้ว ๆไป หรือ วา มัน เปน เรื ่อ งทางปรมัต ถธรรม ของผู ที่ ตองการจะศึกษาสูงถึงขนาดความหลุดพน. ถ า เป น เรื่ อ งศี ล ธรรมของบุ ค คลทั่ ว ไป ก ข ก กา มั น ก็ เป น เรื่ อ ง ให มี ศรั ท ธาที่ ถู ก ต อ ง ให มี ท าน มี ศี ล มี อ ะไรไปตามลํ า ดั บ เพื่ อ ประพฤติ ดี มี ค วามสุ ข อยูในโลกนี้ และคําพูดทั้งหมดที่พูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็เปนภาษาคนธรรมดา.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แต ที่ นี้ ถ า หากว า มั น เป น เรื่ อ งส ว นปรมั ต ถธรรม คื อ สู ง ขึ้ น ไปกว า ศี ล ธรรม, คื อ เป น เรื่ อ งที่ จ ะชี้ ใ ห เห็ น ความไม มี บุ ค คล ไม มี สั ต ว ไม มี ตั ว ไม มี ต น มัน ก็ตั ้ง ตน กัน ไปอีก แนวหนึ ่ง , แลว คํ า พูด ก็เ ปน ภาษาธรรมโดยเฉพาะ. ดัง นั ้น จึง ต อ งตั้ งต น ด วยเรื่อ งธาตุ ด วยเรื่อ ง อายตนะ ดวยเรื่อ ง ขั น ธ คื อจะแจกสิ่งที่ เรี ย กกั น ว า สั ต ว ว า คนนี้ ให แ หลกลาญ ไป ไม เ หลื อ อยู สํ า รั บ ความเป น คน. ที นี้ พุ ท ธบริ ษั ท เราก็ มี ทั้ ง ๒ ชนิ ด คื อ กํ า ลั ง ศึ ก ษาศี ล ธรรมก็ มี อ ยู , และชนิ ด ที่ กํ า ลั ง สนใจเรื่องปรมัตถธรรม เพื่อการบรรลุนิพพานก็มีอยู


การเรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพาน

๓๒๑

เรื่อง ก ข ก กา ที่ ได บรรยายมานี้ ก็ ได บรรยายมาตามลํ าดั บ นั บตั้ งแต แยกออกเป น เรื่ อ งศี ล ธรรม และเรื่ อ งปรมั ต ถธรรม แล ว ก็ ได บ รรยายในส ว นที่ เป นปรมั ตถธรรม จนถึ งกั บเรียกว า ก ข ก กา ของนิ พพาน. การจะศึ กษาก็ ดี ปฏิ บั ติ ก็ ดี เพื่ อนิ พ พานนั้ น จะต อ งตั้ งต น กั น อย างไร นี้ ก็ เรี ยกว า ก ข ก กา ของนิ พ พาน, และยิ่งกวานั้น ยังระบุเอาการบรรลุโสดาบันนั้น วาเปนการเริ่มตน ก ข ก กา ของนิ พ พาน คื อ จะไม เ ริ่ ม ต น ไปตั้ ง แต เรื่ อ งของบุ ถุ ช นคนธรรมดา ที่ มี ตั ว มี ต น ตองการจะเกิดดี เกิดสวย เกิดรวย อยางนี้ก็ตัดไปไวเสียพวกหนึ่ง. พอจะเริ่ มต น ก ข ก กา ของพระนิ พพาน แล วก็ ย อมจะหมายความว า บุ ถุ ชน คนนั้ นเป นบุ ถุ ชนชั้ นดี เห็ นชี วิ ตเห็ นโลก เห็ นอะไรต าง ๆ มา พอสมควรแล ว, เข าใจ สิ่ งต าง ๆ ที่ เคยหลงเคยงมงาย มาพอสมควรแล ว จึ งเริ่ ม เปลี่ ย นแปลง ; นั บ ตั้ งแต ละความเห็ น ว าตั วว าตนอย างหยาบ ๆ นั้ น เสี ย ได เข าใจพระพุ ท ธ พระธรรม พระ สงฆ ชัด เจน, ไมฝ ากไวก ับ ความเชื ่อ ที ่โ ยกไปโยกมา เหมือ นของคนธรรมดา. เขาใจการปฏิบัติ เพื่อดับทุกขอยางชัดเจน, ละการปฏิบัติอยางบุถุชน ที่งม งายมาตั้งแตแรกนั้นเสียได ; อยางนี้ตางหากเรียกวาคนที่ลงมือเรียน ก ข ก กา แหง นิพ พาน. ฉะนั ้น ขอใหทํ า ความเขา ใจอยา งนี ้ใ หถ ูก ตอ ง จึง จะฟง เรื่อ งราวที่ จะกลาวตอไปนี้ไดอยางถูกตองเชนเดียวกัน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ผูรู ก ข ก กา ของนิ พ พานนั้ น ก็ห มายถึงพระโสดาบัน ทําไมจึง กล าวพระโสดาบั นว า เป นคนเรี ยน ก ข ก กา ? ก็ อย าลื มว า มั นเป นเรื่ อง ก ข ก กา ของชั้ น นิ พ พาน. ถ า มั น เป น ก ข ก กา ของบุ ถุ ช นมั น ก็ อ ย า งหนึ่ ง มั น ก็ ต อ งเรี ย น เรื่ อ งสรณคมณ เรื่ อ งทาน เรื่ อ งศี ล เรื่ อ งอะไรไปตามลํ า ดั บ เพื่ อ จะเวี ย นว า ยอยู ในวั ฏ ฏสงสารให ดี ๆ. แต ถ า เป น เรื่ อ งของพระอริ ย เจ า , หรื อ ว า เริ่ ม ขึ้ น สู ข อบเขต


๓๒๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ของพระอริ ย เจ า มั น ก็ ก ลายเป น การเริ่ ม เรี ย นเรื่ อ งไม มี ตั ว ตน. เรี ย นเรื่ อ งไม ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น สิ่ ง ใด โดยความเป น ตั ว ตน หรื อ เป น ตั ว กู เป น ของกู , นี่ มั น ต า งกั น อยู อ ย า งนี้ ฉะนั้นการเริ่มเรียน ก ข ก กา ของพระนิพพานนั้น จึงไดเรียนปรมัตถธรรม ทั้ ง หลาย คื อ ธาตุ คื อ อายตนะ คื อ ขั น ธ คื อ อุ ป าทานขั น ธ ซึ่ ง มั น เป น การรวม เรื่ องกิ เลสและความทุ กข ทั้ งหลายทั้ งปวงเข าไว ได หมด เพื่ อเกิ ดความเบื่ อหน ายคลาย กํ า หนัด ในสิ ่ง ตา ง ๆ ในวัฏ ฏะนี ้. นี ่ค ือ ผู รู  ก ข ก กา ของพระนิพ พานนั ้น ตอ ง ตั้ งต น กั น ตั้ งแต พ ระโสดาบั น ขึ้ น ไป เป น การบรรยายในครั้ งที่ แล วมา ว าท านละอะไร ไดบาง. บัด นี ้ก ็ม าถึง ตอนที ่จ ะกลา วถึง การเรีย น หรือ วิธ ีเ รีย น สํ า หรับ เรีย น ก ข ก กา เพื่ อ นิ พ พานนี้ มั น ก็ ต องแปลกจากการเรี ย น ก ข ก กา เพื่ อ ไปสวรรค ไป วิ ม าน ไปอะไรต า ง ๆ อย า งที่ เขาต อ งการกั น นั้ น ; ฉะนั้ น เราก็ ต อ งถื อ ว า มั น เป น อีกระบบหนึ่ง ระดับหนึ่ง หรืออีกชั้นหนึ่ง.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org [ทบทวนใหทําความเขาใจเรื่องอุปมา.]

ที นี้ จ ะขอทบทวนอี ก ส วนหนึ่ ง ก็ คื อ ทบทวน การอุ ป มา ว าเดี๋ ยวนี้ คํ า บรรยายชุ ด นี้ ก็ เต็ ม ไปด ว ยอุ ป มา, และก็ ใช อุ ป มามาตามลํ า ดั บ ; นี้ เกี่ ย วกั บ การ เรี ย น นี้ ก็ เรี ย กว า อุ ป มา; การเรี ย น ก ข ก กา เพื่ อ นิ พ พานนี้ เ ป น อุ ป มาอย า งยิ่ ง ราวกั บ ว าเด็ ก ๆ เรี ย น ก ข ก กา. นี้ เอาไปอุ ป มากั บ การเรี ย น ก ข ก กา ของเด็ ก ๆ. แต ว าเป น การเรี ย นของผู ที่ ไม ใช เด็ ก คื อ มี อ ายุ ม าก อาจจะมี อ ายุ ห ลาย ๆ สิ บ ป แต แลว ก็ย ัง เทา กับ เด็ก ; เพราะวา เรื ่อ งที ่จ ะตอ งเรีย นนั ้น มัน เปน เรื ่อ งนิพ พาน คือ มัน สูง เกิน ไป กวา ที ่ค นธรรมดาสามัญ แมอ ายุห ลายสิบ ปจ ะรู ไ ด, ก็เ ลย เปรี ย บเที ย บว า เหมื อ นกั บ เรี ย น ก ข ก กา กั น อี ก ครั้ ง หนึ่ ง . นี่ คํ า บรรยายวั น นี้ จึ ง ไดชื่อวา การเรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพาน.


การเรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพาน

๓๒๓

เรี ย นศี ล ธรรมนั้ น เรี ย นด ว ยภาษาคน, เรี ย นปรมั ต ถธรรมนั้ น เรี ย นด ว ย ภาษาธรรม, ตอ งแยกกัน เปน ๒ อยา งนี ้เ รื ่อ ยไป. ภาษาคนในทีนี ้ก ลาย เป น เรื่ อ งอุ ป มาไปในที่ สุ ด . ส ว นภาษาธรรมนั้ น เป น คํา พู ด ตรง ๆ จริ ง ๆ. นี่ตองทําความเขาใจอยางนี้ จึงจะฟงเรื่องตอไปนี้ไดถูกตอง.

การเรียนเพื่อนิพพานก็คลายการเรียนธรรมดา. ที นี้ สํ า หรั บ การเรี ย นนี้ จะแยกเป น หั ว ข อ ให เหมาะสมกั บ การอุ ป มาสื บ ต อ ไป ว า ในการเรี ย นหนั ง สื อ นั้ น ตามธรรมดาสามั ญ ของเด็ ก ๆ นี้ ; เราจะต อ ง แยกแยะดู ใ ห ดี ว า มั น มี อ ะไรบ า ง. อย า งแรกที่ สุ ด ก็ จ ะต อ งนึ ก ถึ ง สถานที่ เ รี ย น เช น โรงเรี ย นซึ่ งเต็ ม ไปด วยเครื่ อ งใช เครื่ อ งมื อ ในการเรี ย น จะเป น วั ด วาอารามก็ ได ก็ เรี ย กว า สถานที่ เรี ย น, มั น ต อ งถู ก ต อ ง และมั น ต อ งเหมาะสม. สํ า หรั บ การเรี ย น ตามชั้น เชิงนั้น ๆ ถาจะเรีย นเพื ่อ นิพ พาน มัน ก็ตอ งมีส ถานที่เรีย นที่เหมาะสม กับการเรียนเรื่องนิพพาน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ ก็ เ วลาเรี ย น จะเรี ย นกั น เวลาไหนแน ถ า เด็ ก ๆ ที่ โ รงเรี ย นมั น ก็ เรีย นตามเวลา ที่ เขากํ า หนดไว ว าไปโรงเรีย นกั น เวลานั้ น เวลานี้ ; เรีย นที่ โรงเรีย น ก็ม ี, เรีย นที ่บ า นเปน การบา นก็ม ี. นี ่เ รีย นชา เรีย นบา ย เรีย นค่ํ า เรีย นที ่โ รง เรีย นเรีย นที ่บ า น อยา งนี ้ก ็เรีย กวา เวลาไหนก็ม ีก ารเรีย น เวลานั ้น ก็เ รีย กวา เปน เวลาเรีย น. นอกจากเวลาเรีย นแลว ก็ย ัง มี วิธ ีก ารเรีย น ตามที ่กํ า หนดไว อย า งไร บั ญ ญั ติ ไว อ ย า งไร ก็ ต อ งมี วิ ธี ก ารแห ง การเรี ย นนั้ น ด ว ย; นอกจากนั้ น อี ก ก็ ยั ง ต อ งมี ผู ส อน ผู ส อนที่ ดี คื อ ครู บ าอาจารย แล ว ที นี้ ก็ ต อ งมี ตั ว ผู เ รี ย น คื อ


๓๒๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

นัก เรีย นนั ้น ดว ย เปน เด็ก ปญ ญาออ นก็ม ี เด็ก โงก ็ม ี เด็ก ปูน กลางก็ม ี เด็ก ฉลาด ก็มี, นี้เรียกวามันเปนปญหา เกี่ยวกับผูเรียน. คิ ด ดู ใ ห ดี เ กี่ ย วกั บ เรื่ อ งเหล า นี้ ว า มั น ต อ งมี อ ย า งถู ก ต อ ง. ก็ ถู ก ต อ ง ตามอะไร ? ถู ก ต อ งตามเรื่ อ งตามราวของมั น . ถ า เป น เทคนิ ค ก็ ต อ งเป น เทคนิ ค ของธรรมชาติ. อยา ไปกลา อวดวา คนเปน ผู รู เ ทคนิค หรือ วางเทคนิค ; ที่ จริง ธรรมชาติ เป น ผู ว าง เรารูธ รรมชาติ นั้ น จึ ง สามารถที่ จ ะวางเทคนิ ค ของสิ่ งต า ง ๆ ให มั น ถู ก ต อ ง ตามที่ ธ รรมชาติ มั น ต อ งการ, เรี ย กว า กฎเกณ ฑ ข องธรรมชาติ เพราะว าเราไม ส ามารถจะทํ า ให ผิ ด กฎเกณฑ ข องธรรมชาติ ได . สถานที่ เรี ย น ก็ ดี เวลาเรีย นก็ดี วิธีเ รีย นก็ดี ผูส อนก็ดี ผูเ รีย นก็ดี ลว นแตตอ งเปน ไปอยา ง ถูก ตอ ง ตามเทคนิค ของธรรมชาติทั ้ง นั ้น ; ยิ ่ง คนเรีย นมัน ไมเ หมือ นกัน ดว ย แลว มันก็ยิ่งตองมีการปรับปรุงแกไขอยางอื่นอีกมาก, คนเรียนมันมีหลายชนิด.

สถานที่เรียนเพื่อนิพพาน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เอาละ, ที นี้ เราจะพู ด กั น ถึ ง สถานที่ เรี ย นก อ น. ถ า เรี ย นอย า งลู ก เด็ ก ๆ มั น ก็ เรี ย นที่ โ รงเรี ย น มั น เป น โรงเรี ย นข า งนอก เป น โรงเรี ย นทางภายนอก ; แต ถ าจะเรี ยน ก ข ก กา เพื่ อนิ พพานแล ว สถานที่ เรี ยนนั้ นอย าได เข าใจว า เป นโรงเรี ยน โรงธรรม วัด วาอารามอยา งนี ้, โรงเรีย นสํา หรับ ก ข ก กา เพื ่อ ไปนิพ พานนั ้น ไดแกรางกายที่ยาวประมาณวาหนึ่งนี้, แตเปนรางกายที่ยังเปน ๆ คือรูสึกคิด นึ ก อะไรได ; ไม ใช รา งกายที่ ต ายแล ว ซึ่ งมั น ไม มี ค วามรูสึ ก อะไร ในรา งกายที่ ยั ง


การเรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพาน

๓๒๕

เปน ๆ นั ้น มัน มีจ ิต มีสิ ่ง ที ่เ กิด กับ จิต หรือ ปรุง แตง จิต . นี ่ก ็ต อ งรู จ ัก เพราะ ว าร างกายนี้ ไม ใช เป น รางกายล วน ๆ , รางกายล วน ๆ มั นอยู ไม ได มั นต อ งมี จิ ตด วย และมีสิ่งที่เกิดอยูกับจิตเพื่อความเปนจิตที่สมบูรณ. ขอให นึ กถึ งคํ าว า นามรูป, นามรู ป : นาม แปลว า จิ ต, รู ป แปลว า กาย. นามรู ป นี้ แ ยกกั น ไม ไ ด ; ถ า แยกกั น แล ว มั น สลายหมด, มั น ไม มี อ ะไรอยู ไ ด ต าม ลํ า พั ง . นามกั บ รู ป ต อ งอยู ร ว มกั น ผสมเป น อั น เดี ย วกั น จึ ง จะเรี ย กว า นามรู ป . เหมือ นกับ เราทุก คนที ่กํ า ลัง มีช ีว ิต ที ่นั ่ง อยู ที ่นี ่ ก็โดยเหตุที ่น ามรูป ไมไ ดแ ยกกัน , ไม ได แ ยกเป น กายและจิ ต แล ว ก็ อ ยู ด ว ยกั น คนละแห ง คนละที่ . มั น กลายเป น สิ่ ง ที่ รวมเป น สิ่ ง เดี ย วกั น จนต อ งเรี ย กว า นามรู ป , ไม เ รี ย ก นาม กั บ รู ป ; ถ า เรี ย ก อย า งนั้ น ก็ ห มายความว า ยั งไม รู ถึ งที่ สุ ด . ถ า รู ถึ งที่ สุ ด ต อ งเรี ย กว า มั น เป น สิ่ งเดี ย ว กัน และใหชื ่อ มัน ใหมว า นามรูป เปน สิ ่ง เดีย วเทา นั ้น ไมใ ชส องสิ ่ง ; นั ่น แหละมัน จึง จะเปน ชีว ิต อยู ไ ด. ฉะนั ้น ตองเอานามรูป นี ้ม าเปน โรงเรีย น เปน หองเรียน หรือเปนทุกอยาง ที่จําเปนจะตองใชในการเรียน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ คนส ว นใหญ ก็ ต อ งการแต จ ะฟ ง แล ว ก็ ไ ปเรี ย นที่ วั ด นั้ น วั ด นี้ , เรี ย นธรรมะนั้ น ธรรมะนี้ , กระทั่ ง ถึ ง เรี ย นอภิ ธ รรมเป น ต น . ถ า อย า งนี้ มั น เป น เรี ย น ก ข ก กา อย างลู ก เด็ ก ๆ อยู เรื่อ ยไป และไม ใช ก ข ก กา เพื่ อ นิ พ พาน ; มั น เป น ก ข ก กา เพื่ อ ปริ ยั ติ , เพื่ อ มี ค วามรู อ ย า งปริ ยั ติ , แล ว ก็ ไปรั บ จ า งสอนเขาเพื่ อ ประโยชนอยางใดอยางหนึ่ง มันเปนเรื่องขางนอกไปเสียอยางนี้. ถาเรียน ก ข ก กา เพื่ อนิ พพานกั นแล ว ตองเรียนด วยโรงเรียน คื อ ร า งกายนี้ ที่ ยั ง เป น ๆ คื อ มี จิ ต ใจ คื อ เรี ย นจากนามรู ป : ก็ ไ ปแยกดู ว า มั น เป น


๓๒๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ส วนกายอย างไร, ส วนจิ ต อย างไร, ส วนสิ่ งที่ ป รุ งแต งจิ ต อย างไร. เรื่ อ งมั น คล าย ๆ กั บ ที่ เขาเรีย นจากหนั ง สื อ นั่ น แหละ ; แต เราไม ต อ งการจะเรีย นในวิ ธี นั้ น , ต อ งการ จะเรียนใหรูจัก เพื่อเกิดความเบื่อหนายคลายความยึดมั่นถือมั่นตางหาก. เมื่ อ พู ด ถึ ง ที่ ส งั ด ที่ เรี ย กว า สุ ญ ญาคาร เช น เข าไปในป า ในถ้ํ า ใน ที่เงียบสงัดที่ไหนก็ตาม ที่เรียกวาสุญญาคาร, นั้นเปนเพียงเครื่องประกอบที่ใหความ สะด วก ; นั ้น ไมใ ชโ รงเรีย น. เราไปนั ่ง ที ่โ คนไมแ ลว ทํ า กรรมฐาน อยา ได เข า ใจว า ที่ โคนไม ต รงนั้ น เป น โรงเรี ย น หรื อ เข า ไปในถ้ํ า แล ว ทํ า วิ ป ส สนา อย า ได เข า ใจว า ถ้ํ า นั้ น มั น เป น โรงเรี ย น นั้ น มั น เป น โรงเรี ย นของลู ก เด็ ก ๆ ถ า ของผู ที่ เรี ย น ก ข ก กา เพื่อนิพพานแลว โรงเรียนตองเขยิบเขามาอยูที่รางกาย คือนามรูป แลวก็เรียน. ฉะนั้ น ให เข า ใจว า สุ ญ ญาคารทั้ ง หลาย เช น ป า เช น โคนไม ท อ งถ้ํ า ภู เขา ที่ แจ ง ลอมฟาง อะไรต าง ๆ นั้ นมั นเป นเพี ยงอุ ป กรณ , เพื่ อให ความสะดวก สํ าหรับรางกาย. ถ าจะเรียนกวาสุ ญญาคารก็ ได แต ต องหมายถึ งเวลาที่ จิ ตมั นไม รูสึ ก คิ ด นึ ก ต อ เรื่อ งอะไรหมด, จิ ต กํ า ลั งน อ มนึ ก ถึ ง แต เรื่อ งในภายในส ว นเดี ย ว ; สภาพ อยางนั้นเรียกวาสุญญาคาร นี่ถูกตองที่สุด.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org จะเปรี ยบเที ยบให เห็ น เช น ว าไปนั่ งอยู ในถ้ํ าคนเดี ยวแท ๆ กลางดง จะ เรี ย กว า สุ ญ ญาคารโดยแท จ ริ ง นี้ ก็ ไม ถู ก ; เพราะว า จิ ต มั น แล น ไปในเมื อ ง, ไปคิ ด ถึ ง ใครที่ ในบ า นในเมื อ งก็ ได จะเป น สุ ญ ญาคารไม ได คื อ ไม ส งบ ไม ส งั ด ไม ว า ง. แตถา เมื่อ ใดจิต มัน สงบสงัด โดยการนอ มเขา ไปกํา หนดแตเ รื่อ งในภายใน ; เรื่ อ งขั น ธ เรื่ อ งธาตุ เรื่ อ งอายตนะ อะไรก็ ได , จนไม ได ยิ น เสี ย งอะไร, มั น รู จั ก อยู


การเรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพาน

๓๒๗

แต เ รื่ อ งธรรมชาติ ใ นภายในอย า งนี้ . แม ว า เขาจะนั่ ง อยู ใ นโรงหนั ง โรงละครหรื อ ตลาด ที่ ไ หนก็ ไ ด ที่ ล ว นแต จ อแจอื้ อ อึ ง ไปหมด ก็ เรี ย กว า เขานั่ ง อยู ใ นสุ ญ ญาคาร คื อ ที่ ส งั ด ; เพราะว า ตา หู จมู ก ลิ้ น อะไรของเขาไม รั บ อารมณ เ หล า นั้ น เลย. จิตไปแนวแนอยูกับธรรมชาติในภายใน เรื่องขันธ เรื่องธาตุ เรื่องอายตนะ : นี้ จึ งถื อวา สภาพที่ เป น อย างนั้ น นั่ นแหละ เรียกว าสุ ญ ญาคาร คื อเรือนวาง หรือ ที่สงบสงัดอันแทจริง. เพี ย งเท า นี้ ก็ ข อให เปรี ย บเที ย บกั น ดู เถอะว า มั น ต า งกั น อย า งไร ; แม แต เรื่ อ งโรงเรี ย นจะเรี ย น ก ข ก กา อย า งลู ก เด็ ก ๆ เรี ย น, หรื อ จะเรี ย น ก ข ก กา เพื่ อ ความร่ํ า รวย หรื อ เพื่ อ ความไปสวรรค วิ ม าน นี้ มั น ก็ เรี ย นอย า งอื่ น ใช โ รงเรี ย น อย า งอื ่ น . แต ถ  า เรี ย นเพื ่ อ นิ พ พาน แล ว ก็ จ ะต อ งใช โ รงเรี ย นคื อ นามรู ป . ถ าพู ดอย างสมั ยใหม หน อยก็ จะพู ดวาเรี ยนจากชี วิ ต, เรียนจากตั วชี วิ ตนั้ นเอง, แล วก็ เรี ยนอย างที่ เรี ยกว าอยู ในสุ ญ ญาคาร เพราะว าจิ ตไม ได ออกไปจากร างกายนี้ . ความ คิ ดนึ กทั้ งหลายไม ได ออกไปจากร างกายนี้ ภาวะอย างนี้ เรี ยกว า สงบสงั ดอย างยิ่ ง, กําลังอยูในที่วางอยางยิ่ง, ไมมีอะไรรบกวน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ข อนี้ ต อ งทํ าให พ อดี คนโดยมากที่ เขาอยากจะยึ ด มั่ นแล วถื อ เคร ง ก็ ต อ ง ไปหาที่ อ ย า งนั้ น หาที่ อ ย า งนี้ ในที่ สุ ด ก็ ไ ม พ บดอก; แม จ ะไปนั่ ง อยู ก ลางดงในป า คนเดีย ว จิต มัน ก็ยิ ่ง กลับ มาที ่บ า น. ฉะนั ้น ตอ งรู จ ัก ทํ า ใหพ อดี คือ วา ปรับ ปรุง นั ่น แหละใหพ อดี ; ถา จิต มัน สงบสงัด ในภายในแลว มัน ก็ไ มลํ า บากที ่จ ะหา สงบสงัด ขา งนอก. ถา คนแรกเรีย นจะคิด วา จะไปหาที ่ใ นปา ในถ้ํ า บา ง, ก็ต อ ง คิ ด ดู ให ดี . บางที มั น ไปเพิ่ ม ป ญ หาอย างอื่ น เช น ความหวาดกลั ว ความอะไรต าง ๆ มันก็มี ตองไปปรับปรุงใหพอดี นั้นก็เปนสวนอุปกรณประกอบเทานั้นเอง.


๓๒๘

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

โรงเรีย นอั น แท จ ริง สํ า หรับ ผู ที่ จ ะเรี ย น ก ข ก กา เพื่ อ นิ พ พานนั้ น คือ รา งกายนี ้. ขอย้ํ า อีก ครั ้ง หนึ ่ง วา ตอ งอยู แ ตใ นขอบเขตอัน นี ้, อยา ใหจ ิต ออกไปนอกขอบเขตอัน นี ้ ก็เ รีย กวา เขามีโ รงเรีย น สํ า หรับ การเรีย นเพื ่อ นิพ พาน. นี่กลาวโดยยอ ๆ สถานที่เรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพานนั้นเปนอยางนี้.

เวลาสําหรับเรียน. นี้ ดู ต อ ไปถึ ง เวลาเรี ย น ลู ก เด็ ก ๆ เขาก็ เรี ย นตามชั่ ว โมงที่ ค รู กํ า หนด ; เรี ย นเพื่ อ ได ผ ลเป น การรู ห นั งสื อ สอบไล ได เป น เวลาเช า เวลาบ าย เวลาค่ํ า เรี ย นที่ โรงเรี ย นก็ มี , เรี ย นที่ บ า นเป น การบ า นก็ มี . แต ว า หลั ก เกณฑ อั น นี้ เรามาทํ า อุ ป มา แล ว ก็ เอามาใช ไ ด กั บ การเรี ย นเพื่ อ นิ พ พาน ก็ ไ ด เหมื อ นกั น . อย า งที่ ก ล า วมาแล ว ข า งตน วา เรีย นโดยมีร า งกายนี ้เ ปน โรงเรีย น มีช ีว ิต นี ้เ ปน โรงเรีย น นี ้เ วลาเรีย น ก็ตองเรียนเมื่อมันมีเรื่องใหเรียน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เรื่ อ งให เ รี ย นนี้ มั น ก็ มี ห ลายชนิ ด หลายระดั บ ; ฉะนั้ น ก็ พ อจะแยกได วา เราจะเรีย นเมื่ อ มั น มี เรื่อ ง, มั น มี เรื่ อ งเกิ ด แก จิ ต ใจ เขาเรีย กว า เรี ย นต อ หน า อารมณ ; เมื่ อ มี อ ารมณ ม ากระทบจิ ต ก็ เ ป น เวลาหนึ่ ง เหมื อ นกั น ที่ ต อ งเรี ย น. เวลานี้ ยิ่ งเรี ย นยาก เหมื อ นกั บ ว า ครู ให โจทย เลขที่ ย ากที่ สุ ด มาเรี ย น มาทํ า เรี ย กว า เรี ย นต อ หน า อารมณ , คื อ เรื่ อ งแรงร า ยอารมณ ใ หญ กํ า ลั ง เกิ ด ขึ้ น อยู ใ นจิ ต . แต ค น โง จ ะคิ ด ว า โอ ย ไม ใ ช เวลาเรี ย น หนี เ ตลิ ด เป ด เป ง ไปเสี ย ที่ อื่ น , ไม เ รี ย น. แต ถ า คนฉลาดเขาจะคิด วา นั ้น แหละ เวลาที ่ด ีที ่ส ุด จํ า เปน ที ่ส ุด ที ่เราจะตอ งเรีย น เมื่อเรื่องตาง ๆ มันเกิดขึ้นในใจ, กําลังยุงยากที่สุดแกจิตใจ นั้นคือเวลาที่ดี ที่สุดสําหรับการเรียน.


การเรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพาน

๓๒๙

แต ก็ ลองไปคิ ดดู เถอะว า ใครบ างคิ ดอย างนี้ ; เขาจะไปกิ นเหล าเสี ยบ าง, ไปทํ าอะไรเสี ยบ าง, ไปกลบเกลื่ อนอารมณ ด วยเรื่ องอย างอื่ น แม แต ผู ที่ ไม กิ น เหล า มันก็ยังคิดวาเรียนไมได ก็ไปทําอยางอื่น ก็เลยเสียโอกาสอันดีพิเศษไปเสีย. อย า งนี้ เรี ย กว า เรี ย นในที่ ต อ หน า อารมณ : อารมณ ยั่ ว ทางตา อารมณ ยั่ ว ทางหู อารมณ ยั่ ว ทางจมู ก ทางลิ้ น ทางกาย ทางผิ ว หนั ง อะไร ; ล ว นแต เป น เวลาที ่เ รีย กวา อารมณร บกวน, เผชิญ หนา กับ อารมณ เราก็ต อ งเรีย นใหไ ด มัน เปน เวลาสํ า คัญ เวลาหนึ ่ง . นี ้เ วลาลับ หลัง อารมณ คือ กํ า ลัง ไมม ีอ ะไรมา รบกวน เปน เวลาที ่ว า งหรือ โปรง สบาย อยา งนี ้ก ็เ ปน เวลาหนึ ่ง ที ่ต อ งเรีย น ; แมวามันจะตองเรียนคนละอยาง ก็จัดวาเปนเวลาเรียนดวยเหมือนกัน. ถ า พู ด อย า งนี้ แ ล ว มั น คล า ย ๆ กั บ ว า ไม มี เวลาว า ง แม ก ระทั่ ง เวลา หลับ ก็ย ัง ตอ งจัด ใหเ ปน การเรีย น. เวลาตื ่น อยู ม ัน ไมม ีเ วลาวา ง เพราะวา เราต องเผชิ ญ อารมณ หรือไม เผชิ ญ อารมณ ก็ มี ๒ อย างเท านั้ น, มั นก็ ต องเรียนทั้ ง สอนเวลา, กระทั่ งเวลาหลั บ ก็ ต องมี การจั ดการทํ า ให การหลั บนั้ นมั นเป นการหลั บ ที่ ดี อย างที่ เรี ย กว าหลั บ มี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะอย างสี ห ไสยา อย างนี้ เป น ต น . ขอให คิ ด ดู ที ว า แม แ ต เวลาหลั บ มั น ก็ เป น เวลาเรี ย น ถ า จะเรี ย น ก ข ก กา เพื่ อ ไปนิ พ พาน กั น จริง ๆ เรีย กว า ลั บ หลั ง อารมณ นี้ อ ย า งนี้ เรีย กว า ลั บ หลั ง อารมณ อารมณ ไ ม รบกวน ก็ตองเรียน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทีนี้ยังมีอีกแขนงหนึ่ง ซึ่งจะตองนึกถึงวา เรียนเมื่อกําลังเสวยอารมณ ; มี ความสุ ข ความทุ กข หรืออะไรก็ ตาม ที่ เรียกวาอารมณ กํ าลั งเสวยอารมณ , น้ํ าตา เต็ม หนา เวลามีท ุก ข อยา งนี ้ ก็ต อ งจัด เปน เวลาเรีย น, เรีย กวา เรีย นเมื่อ กํา ลัง เสวย.


๓๓๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

อารมณ ทั้ งที่ น้ํ าตานองหน า. หรื อ ว ามั น รอ นผ าวหายใจไม อ อกอะไรก็ ตาม, ก็ ต อ ง จัด หรือ ปรับ ให มั น เป น เวลาเรีย นให จ นได . หรือ เวลาที่ เสวยอารมณ ที่ เป น สุ ข ก็ อยาไปลิงโลด หลงใหล เพลิดเพลิน มัวเมาเสีย, จัดเวลาที่ เสวยอารมณ อันเป น สุขนั้น ใหเปนเวลาเรียนเสียดวย. ที นี้ ยังมี อยู อีก อย างหนึ่ ง ก็ คื อ วา เจตนาจะเรีย นจากสั ญ ญาในอดี ต สั ญ ญานี้ ก็ คื อ ความจํ าหมาย ในอดี ต ก็ คื อ ที่ แ ล วมาแต ห นหลั ง. เราต อ งขุ ด ค น ตาม ความจํ า หมาย ถึง เรื ่อ งราวตา ง ๆ ในอดีต เอามาเรีย น; อยา งนี ้ก ็ไ มเ รีย กวา เรี ย นต อ หน า อารมณ หรื อ ลั บ หลั ง อารมณ อ ะไร. เราไปนํ า เอาของในอดี ต มาเป น อารมณ มาเรียน นี้ เรียกวาเรียนจากสัญ ญาในอดีต; หมายความวา กํ าลั งทบทวน เรื่องในอดีต เอามาสอบสวนทบทวนใหมันฉลาดยิ่ง ๆ ขึ้นไป. เรื่ อ งอดี ต นี้ ก็ ช วยได ม าก ถ าใครรูจั ก ทบทวนเอามาศึ ก ษา มั น ก็ จ ะ เป น ครู บ าอาจารย ที่ ดี ; ยิ่ ง มี อ ดี ต มากก็ ยิ่ ง มี ท างที่ จ ะรู อ ะไรได ม าก. ดู แ ต สุ นั ข เถอะ สุ นั ข ตั วไหนอายุ ม าก ตั วนั้ น จะมี ค วามเฉลี ย วฉลาดมาก เพราะว าอดี ต มั น มี มาก ; นี ้ก ็ค ือ เวลามัน เปน ผู ส อน. ฉะนั ้น ถา เรามีเ รื ่อ งในอดีต มาก ก็ห มาย ความวา มี อะไรที่ สะสมไวมาก พอที่ จะคุยเอามาเรียน, ขุดเอามาเรียนอีก มันก็ดี มาก คือดีกวาที่จะไมมีการกระทําอยางนี้.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที ่วา เรีย นจากสัญ ญาในอดีต นี ้ ไมใ ชเอามาวิต กกัง วล มารอ งไห มาเสีย ใจ, มาอาลัย อาวรณ ทํา นองนั้น ; แตเ อามาเปน เครื่อ งเปรีย บเทีย บ, ชี้ ให เห็ น ความเป น อนิ จ จั ง ทุ ก ขั ง อนั ต ตา, ความไม น า ยึ ด ถื อ , หรื อ อะไรทุ ก ๆ แง ทุ ก ๆ มุ ม ที่ อ ดี ต มั น จะสอนได ; นี้ เรี ย กว า เรี ย นจากสั ญ ญาในอดี ต ; เวลาที่ เรี ย น อยูอยางนั้นเรียกวา เปนเวลาเรียนจากสัญญาในอดีต.


การเรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพาน

๓๓๑

สรุ ป แล ว เวลาเรี ย นของเราก็ มี ว า : เรี ย นต อ หน า อารมณ ที่ กํ า ลั ง ประดังกันเขามา ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ, หรือเวลาเรียนลับหลังอารมณ กําลัง ไม มี อ ารมณ อ ย า งนั้ น . เรากํ า ลั งเป น อิ ส ระแก ตั ว จะคิ ด นึ ก ศึ ก ษาอะไรก็ ได หรือ ว า เรีย นเวลาที่ กํ า ลั ง เสวยอารมณ สุ ข อารมณ ทุ ก ข อย า งใดอย า งหนึ่ งอยู , หรือ ว า เวลาเรียนนั้นเปนเวลาที่ขุดคนเอาสัญญาในอดีตทั้งหลายมาพิจารณา ก็เรียก วาเวลาเรียนของผูที่เรียน ก ข ก กา เพื่อไปนิพพาน กลาวโดยยอ ๆ ก็เปนอยางนี้.

วิธีการเรียน. ทีนี ้ก ็ด ูต อ ไป ถึง เรื ่อ งวิธ ีก ารเรีย น. วิธ ีก ารเรีย นนี ้ ก็เ ปน ปญ หาที่ ยุ ง ยากลํ า บากมากเหมื อ นกั น เพราะมั น กว า งขวางเหลื อ เกิ น ; จะแยกให เป น ส ว น ใหญ  ๆที ่ส ุด กอ น สัก ๒ ชนิด วา เรีย นอยา งเรีย น ป ริย ัต ิ, แลว ก็ว า เรีย น อยา งวิธ ีป ฏิบ ัต ิ. ปริย ัต ิก ็เ ปน การเรีย น, ปฏิบ ัต ิก ็เ ปน การเรีย น. คนบางคนจะ กํ าลั งฟ งไม ถู ก ว าทํ าไมเรี ย กปฏิ บั ติ ว าเป น การเรี ย น ? เพราะเขาแยกการเรี ย นเป น ปริยั ติ , แล วเอาความรู นั้ น มาปฏิ บั ติ , แล วจะมาเรีย กว าการเรีย นอย างไรอี ก ที่ จ ริ ง มันเปนการเรียน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เรี ย นปริ ยั ติ นั้ น เรีย นจากหนั งสื อ , เรีย นจากคํ าสอน, เรีย นจากคํ า พู ด อะไรต าง ๆ ; มี ความจํ านี่ เป นสิ่ งสํ าคั ญ มี การคิ ด การถาม การจํ า เป นส วนสํ าคั ญ ก็ไดความรูอยางปริยัติ ยังไมเคยปฏิบัติเลยก็ได นี้ก็เรียกวาเรียนโดยวิธีปริยัติ. ทีนี ้เ รีย นโดยวิธ ีป ฏิบ ัต ินั ้น ไมใ ชเ รีย นอยา งนั ้น ; ก็ต อ งเอาเรื่อ ง ที่รูสึกอยูในใจจริง ๆ มาคิด มานึก มาพิจารณา. อยางวาทํากรรมฐานอยางนี้


๓๓๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

เมื่ อ ทํ า กรรมฐานอยู ก็ ต อ งเรี ย กว า เรี ย นอยู เหมื อ นกั น , กํ า ลั ง เรี ย นอยู เหมื อ นกั น ; แตเรียนดวยวิธีป ฏิบัติ. ถาวากํ าหนดลมหายใจก็เรีย นให รูเรื่อ งลมหายใจ จาก ลมหายใจนั้ น. อย าไปเรี ยนจากหนั งสื อ แม ว าครั้ งแรกจะเรี ยนหนั งสื ออานาปานสติ มากอ น ; เดี ๋ย วนี ้ม ัน ไมใ ชเ รีย นหนัง สือ เลม นั ้น แลว . มาเรีย นจากลมหายใจ โดยตรง. ที่ ว าเรี ย นจากลมหายใจโดยตรงนี้ ก็ คื อ เรี ย นข อ เท็ จ จริ งต าง ๆ นานา ประการ หลายประการ จากลมหายใจนั้ น โดยตรง, หรื อ ว าเรี ย นจากความเจนจั ด ของสิ่ งที่ ผ านมาแล ว เอามาคิ ด มานึ ก มาทบทวนอยู ; เหมื อ นอย างที่ พู ด เมื่ อ ตะกี้ นี้ ว า สั ญ ญาในอดี ต เอามาทบทวนอยู อย างนี้ ก็ เรี ยกว าเรี ยนอย างวิ ธี ปฏิ บั ติ . หรื อ ว าถ าความรูสึ ก อารมณ อะไรต าง ๆ มั น เกิ ด ขึ้ น ในใจ แล วก็ จั ด การกั บ อารมณ นั้ น ๆ ใหเ ปน ที ่เ รีย บรอ ย หรือ ถูก ตอ งไป. นี ้ก ็เ รีย กวา การเรีย น มัน เปน การเรีย นอยา ง วิธีปฏิบัติ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เปนอันวาจะเรียนอยางปริยัติ เพื่ อความรู ทางหลักวิชาทั่ว ๆ ไปกอน ก็ได, แลว ก็ม ีก ารเรีย นดว ยการปฏิบ ัต ิ เพื ่อ เกิด ความรูแ จง แทงตลอด, เปน ญาณเป น ทั ส สนะเพื่ อทํ าลายกิ เลส. นี่ วิ ธี ก ารเรีย น ก ข ก กา เพื่ อ นิ พ พานมั น มี อ ยู อย า งนี้ . ถ า วิ ธี ก ารเรี ย นอย า งลู ก เด็ ก ๆ เรี ย นในโรงเรี ย น สอบไล ไ ด มั น ไม มี วิ ธี การอย า งหลั ง ; มั น มี แ ต อ ย า งแรก คื อ เรี ย นจากหนั ง สื อ เรี ย นจากครู เรี ย นจาก สิ่ งของ เรี ย นจากอะไรต าง ๆ , แล วก็ เพื่ อ ความรู ในขอบเขตเท าที่ จํ ากั ด ไว เท านั้ น , ไมเกี่ยวของกับเรื่องบรรลุมรรค ผล นิพพาน.


การเรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพาน

๓๓๓

ตองเรียนใหถูกตรงกับเวลา. ที นี้ วิ ธี ก ารเรี ย น ที่ จ ะต อ งดู กั น ต อ ไปอี ก มั น ก็ เนื่ อ งกั น อยู กั บ เวลาเรี ย น ที ่ก ลา วมาแลว นั ่น เอง วิธีก ารเรีย น จะตอ งจัด ตอ งทํ า ใหถ ูก ใหต รงกับ เวลา ซึ่ งจั ด เป น เวลาเรี ย นนั้ น เป น ลั ก ษณะ ๆ ไป. เมื่ อ ตะกี้ ก็ พู ด แล วว า เวลาเรี ย นมี แ ยก เปน : เรีย นตอ หนา อารมณ เมื ่อ อารมณป ระดัง ประดาเขา มา ทางตา หู จมูก ลิ้ น กาย ใจ แล วในเวลาอย างนี้ จะมี วิ ธี การเรี ยนอย างไร ตามหลั ก ธรรมะทั่ วไป ? หลัก สว นใหญก็วา ในเวลาอยา งนี ้มัน ขึ ้น อยู ก ับ สติสัม ปชัญ ญะ. เมื่อ เรากํา ลัง ถู ก อารมณ แ วดล อ ม, เผชิ ญ หน า กั บ อารมณ , วิ ธี ก ารเรี ย นก็ คื อ มี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะ ใหม าก ใหถูก ใหพ อ. สติสัม ปชัญ ญะนั้น ตอ งถูก เรื่อ งถูก ราว แลว ก็ม าก พอสมบูร ณนั ่น เอง. เรีย กวา หัด วิธ ีม ีส ติส ัม ปช ญญะ กัน ที ่ต รงนั ้น แหละ. เมื ่อ เผชิญ หนา กัน เขา กับ ขา ศึก ก็ต อ งมีส ติสัม ปชัญ ญะรับ หนา ขา ศึก จนเอา ชนะข า ศึ ก ให ไ ด . ถ า ว า เรี ย นต อ หน า อารมณ แล ว วิ ธี ก ารเรี ย นก็ คื อ ทํ า ให มี ส ติ สัมปชัญญะ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ า เป น เวลาเรี ย นลั บ หลั ง อารมณ นี้ ก็ ต อ งจั ด เอาซิ , จั ด เอาตามที่ ว า เราจะต อ งการอย างไร; โดยเฉพาะก็ คื อ เรื่ อ งทํ าสมาธิ ทํ าวิ ป ส สนา ทํ า ป ญ ญา ต า ง ๆ , ระบบนั้ น ระบบนี้ ตามที่ เราชอบใจว า จะทํ า อะไร; เพราะได โอกาสลั บ หลั ง อารมณ อารมณ กํ า ลั ง ไม ร บกวน. เราจะปฏิ บั ติ วิ ป ส สนากรรมฐาน รู ป ไหน แบบไหน อยางไรก็ได, ก็เลยฝกไปในทางใหเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เปน สวนใหญ เตรียมพรอมไว. นี ้ถ า วา เปน เวลาที ่กํ า ลัง เสวยอารมณ เวลาที ่น้ํ า ตานองหนา อยู ด ว ย ความทุ กข อย างนี้ จะเรี ยนอะไร, จะเรี ยนวิ ธี ใด, มั นก็ ลํ าบากมากที่ จะเรียนในเวลา


๓๓๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

อย างนี้ , หรือ ว าวิ ธี การที่ จะเรีย นในเวลาอย างนี้ มั น ก็ ต อ งเก งกว าธรรมดา มั น ต อ ง มีอะไรหลาย ๆ อยาง : มีสติสัมปชัญญะก็มี, มีปญญาใชเหตุผลก็มี, แตก็อยาก จะยืม คํ า สูง สุด คํ า หนึ ่ง ซึ ่ง มีไ วใ ชสํ า หรับ ธรรมะชั ้น สูง สุด มาใชใ นที ่นี ้ว า สิ ่ง ที่ เรียกวา นิ พเพธิ กป ญญา นั่ นแหละอาจจะมาชวยได , ใช คํ าวา "อาจจะ" นี้ ก็ เผื่ อไวว า มั นอาจจะเหลื อวิ สั ยของคนธรรมดาก็ ได ที่ จะมี ป ญ ญาอย างนี้ หรื อว าจะเอามาใช ได หรือไม. นิพเพธิกปญญา แปลวา ปญญาเปนเครื่องเจาะแทงกิเลส; โดยเฉพาะ เจาะจงนั้น หมายถึง เมื่อไดบําเพ็ญวิปสสนาถึงที่สุดแลว ถูกตองดีแลว สมบูรณ แลวก็จะเกิดปญญาประเภทนี้ขึ้นมาเจาะแทงกิเลส นี่ก็ยืมคํานี้มาใช สําหรับจะ ให มั นตรงกั บเรื่องหน อย วากํ าลั งเสวยอารมณ กําลั งมี ป ญหามาก กํ าลั งน้ํ าตานอง หนา อยู นี ้. มัน ตอ งมีป ญ ญาที ่ค มเฉีย บเหมือ นอยา งนั ้น เหมือ นกัน มัน จึง จะทํ า ให น้ํ า ตาแห ง ไปได ใ นทั น ที , ได ค วามรู ที่ เฉี ย บแหลมอย า งใดอย า งหนึ่ ง มา แล ว ก็ ตั ดความรูสึ กที่ กํ าลั งมื ดมั ว กํ าลั งกลุ มรุมจิ ตใจนั้ นออกไปได มี ความหมายเหมื อนกั บ ศาสตราอาวุธที่ ค ม เอามาใช สํ าหรับ กวาดล างอารมณ ในขณะนั้ น อารมณ ทุ ก ข ก็ อยางหนึ่ง, อารมณสุขก็อยางหนึ่ง. คํา วาอารมณในที่นี้ หมายถึงเฉพาะแต ที่ มั นรุนแรง จะเป นทางความทุ กขก็ ได , จะเป นทางความสุ ขก็ ดี , คื อวาความยินดี ก็ดี ความยินรายก็ดี มันรุนแรง.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทีนี ้เ มื ่อ ตะกี ้ก ็ไ ดพ ูด ถึง เรื่อ งเวลาที ่เ ราหลับ เราก็ต อ งเรีย น ; นี ้ว ิธี การเรีย นในเวลาที่ เราหลั บ นั้ น จะต องทํ าอย างไร. นี้ ก็ มี อ ยู ชั ด แล วในพระคั ม ภี ร ทั้ ง หลาย เรื่อ งสีห ไสยาสน เราตอ งมีส ติสัม ปชัญ ญะที่จ ะหลับ ; ถา หลับ ตามวิธี นั ้น เวลาหลับ ลงไปแลว ก็จ ะปลอดภัย ไดโ ดยอัต โนมัต ิใ นตัว มัน เอง, คือ ความ ไมเผลอสติเลย แมแตในเวลาหลับ.


การเรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพาน

๓๓๕

จะชี้ ตั ว อย า งให เห็ น เหมื อ นอย า งว า เรื่ อ งสี ห ไสยาสน นี้ มี ห ลั ก ว า มี สติสัมปชัญญะสมบูรณ; เมื่อนอนลงไป วางมือ วางเทา ไวอยางไร กําหนดแมนยํา กระทั่ งถึงผานุ ง. นี่ขออภัยที่ใชคําพู ดอยางนี้. แล วเมื่ อตื่น ขึ้น มาก็ดูวา มื อ เท า ผานุง เปนตนนี้ มันยังอยูในสภาพเดิมหรือไม ; ถามือเทามันเคลื่อนไป หรือ ผานุงมันเคลื่อนไปแลว ก็เรียกวามันเสียไปแลว. ถ า เป น ราชสี ห ก็ ด า ตั ว เองว า ไอ ช าติ ห มา มั น นอนอย า งหมา ไม น อน อย า งราชสี ห แล ว มั น ก็ น อนใหม เพื่ อ ให ไ ด อ ย า งนั้ น . นี้ ไปอ า นดู เรื่ อ งสี ห ไสยาสน ในพระคั ม ภี ร มั น มี อ ยู อ ย า งนี้ สี ห ไสยาสน แปลว า นอนอย า งราชสี ห . เมื่ อ ราชสี ห เขานอนแลว เขาจะกํ า หนดอยา งนี ้ แลว พอตื ่น ขึ ้น มา ตอ งไมม ีอ ะไรเคลื ่อ นที ่ ; แมแ ตว า กอ นกรวดสัก เม็ด หนึ ่ง มัน ไดเ คลื ่อ นที ่ไ ปเพราะเขาดิ ้น . ถา กอ นกรวด มันเคลื่อนที่ไปสักเม็ดหนึ่ง, เขารูเขาดิ้นเวลานอน เขาก็ดาตัวเองวาไอชาติหมา. นี่ ดู เถอะ ความที่ ว า มี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะ มั น คุ ม ครองได อ ย า งไร ; แม ในเวลาหลั บ นั้ น มั น ยั ง คุ ม ครองได ด ว ยอํ า นาจของวิ ธี ก ารที่ ดี , คื อ การกระทํ า สติส ัม ปชัญ ญะที ่ด ี. นี ่ว ิธ ีก ารเรีย นตลอดเวลาที ่ห ลับ มัน ก็เ ปน วิธ ีก ารที ่ทํ า ไวดี ที่ตั้งไวดี, ที่ฝกฝนใหมันเปนนิสัย, กระทั่งเวลาตื่น มันก็ตื่นไดตรง แมแตเวลานาที.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ ไม ใช เรื่ อ งพู ด เพ อ ๆ มั น เป น เรื่ อ งที่ ป ฏิ บั ติ ได . อาตมาก็ ยื น ยั น ว า เคย ปฏิ บั ติ ได เมื่ อ ตั้ ง ใจจริ ง มั น เคยปฏิ บั ติ ได , มั น จะตื่ น ตรงเผงไม ผิ ด แม แ ต ห นึ่ ง นาที . แต พ อเรื่ อ งมั น ยุ ง ยาก มั น มี อ ะไรมาก มั น ก็ เลื่ อ นไปอี ก เหมื อ นกั น ; แต ถ า ตั้ ง ใจ ปฏิ บั ติ ไม มี อ ะไรรบกวน ทํ า อยู อ ย า งนั้ น ไม กี่ วั น มั น จะหลั บ และตื่ น ได ต รงเผง, ไม พลาดแม แ ต ห นึ่ ง นาที นี้ เป น ต น . นี้ ก็ เรื่ อ งว า การหลั บ นั้ น มั น ก็ ยั ง ควบคุ ม ได ก็


๓๓๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ใครไปปลุ ก มั น ละ, ที่ ให มั น ตื่ น ขึ้ น มาตรงเผงแม แ ต น าที นี้ แสดงว า มั น มี อ ะไรที่ มั น สัมพันธกันอยู แมในเวลาหลับ, จึงขอใหถือวา แมแตเวลาหลับก็ตองมีการเรียน และมีวิธีการเรียน. นี่ คื อ วิ ธี ก ารเรี ย น ก ข ก กา เพื่ อ ไปนิ พ พานนั้ น มั น มี อ ยู อ ย า งนี้ ต อ หน า อารมณ ก็ ดี ลั บ หลั ง อารมณ ก็ ดี กํ า ลั ง เสวยอารมณ ก็ ดี แม ก ระทั่ ง เวลา หลับ.

ผูสอน ก ข ก กา เพื่อไปนิพพาน. เอ า , ที นี้ จ ะพู ด กั น ถึ ง ผู ส อน การเรี ย นนี้ มั น ต อ งมี ค นสอนและมี ค น เรีย น. เดี ๋ย วนี ้เ ราจะพูด ถึง คนสอนกอ น ลูก เด็ก ๆเรีย นหนัง สือ ที ่โ รงเรีย น ทา น ทั้ งหลายก็ เห็ น อยู แล วว า มี ค รูสอน, บางที ก็ เป นครูจริง ๆ, บางที ก็ เป น เพี ยงลู กจ าง รับ จา งสอนหนัง สือ เทา นั ้น ไมม ีค วามเปน ครูเ ลยก็ม ี. แตถ ึง อยา งนั ้น ก็ต อ ง เรี ย นกว า ผู ส อนอยู ดี ที่ โรงเรี ย นก็ มี ผู ส อน. แต นี่ เรี ย น ก ข ก กา เพื่ อ ไปนิ พ พานนี้ ใครจะเป น คนสอน ? เอ า , ถ า เรี ย นที่ โ รงเรี ย นนั ก ธรรม โรงเรี ย นบาลี มั น ก็ เป น เรื่ อ งเรี ย นปริ ยั ติ เหมื อ นกั บ ลู ก เด็ ก ๆ เรี ย น; นั้ น ไม ใ ช เรี ย นเพื่ อ นิ พ พาน มั น เป น เรี ย นเพื่ อ รู ป ริ ยั ติ , เหมื อ นเด็ ก ๆ เขาเรี ย นเพื่ อ จะมี ค วามรู . นั้ น เรี ย กว า คนสอน, คนด วยกั น พู ด สอน หรือ มี ห นั งสื อ หนั งหาตํ ารับ ตํ ารา ที่ พิ ม พ ขึ้ น ไว โดยที่ มี ค นสอน แลว เขาก็พ ิม พไ ว มาอา นเอาบา ง มาฟง เอาบา ง. นี ้เ รีย กวา คนสอน, คน ดวยกันพูด, คนดวยกันสอน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สํ า หรั บ เรื่ อ ง ก ข ก กา เพื่ อ ไปนิ พ พานนั้ น ไม ได มุ งหมายถึ งข อ นี้ แม วา เราจะฟง คํ า สอนเรื่อ งพระนิพ พาน แตเราไมถ ือ วา นั ้น เปน ผู ส อนโดยตรงหรือ


การเรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพาน

๓๓๗

โดยแทจ ริง . ถา จะถือ วา พระพุท ธเจา สอน อยา งนี ้ก ็ไ ด ; แตอ ยา ลืม วา พ ระ พุทธเจาทานยังยอมรับแตเพียงวา ทานเปนผูชี้ทางเทานั้น แลวก็เดินเอง. ที นี้ เ รามาดู ใ ห ล ะเอี ย ดอี ก ที ห นึ่ ง ว า อะไรมั น สอนกั น แน ? ท า นเป น ผู ชี ้ท างแลว เราก็ม าพยายามเดิน , แลว อะไรมัน สอนกัน แน ? เมื ่อ ทํ า อะไรลงไป อัน นั ้น แหละมัน สอน ; นึก ถึง เด็ก เขาสอนเดิน มัน ก็ต อ งเปน เรื ่อ งความพยายาม ที่ จ ะทํ า หรื อ จะเดิ น นั่ น แหละมั น สอน. ดู แ ต ลู ก สั ต ว ไ ม ต อ งมี ใ ครสอน หรื อ เพี ย งแต เห็ น ตั ว อย า ง แล ว มั น ก็ ทํ า , แล ว มั น ก็ มี ค วามรู ขึ้ น มาสํ า หรั บ เรื่ อ งนั้ น ๆ , แล ว มั น ก็ เดิ น ได , หลาย ๆ หนเข ามาเดิ น ได . นี้ เราต อ งการจะให เพ งเล็ งถึ ง ผู ส อนที่ ดี ก ว าคน คือการกระทํานั้นเองมันสอน. อยากจะพู ดไว สํ าหรั บฟ งง าย ๆ และเป นการช วยความจํ าที่ ดี ว าธรรมชาติ สอน นั ่น แหละดีก วา คน สอน . เพราะธรรมชาตินั ้น มัน สอนจริง ; คนสอนนี้ มั น สอนอย า งที่ เรี ย กว า ไม จ ริ ง, เมื่ อ พู ด ได มั น ก็ ส อนได หรื อ ว า ตั ว เองปฏิ บั ติ ไม ได ไป จํ า คํ า ของคนอื่ น มาพู ด มั น ก็ ไ ด ; นี้ มั น เรี ย กว า มั น ยั ง ไม จ ริ ง ; ถ า ธรรมชาติ ส อน มั น จริงกวา. ดั งนั้ น พระพุ ท ธเจ าท านจึ งตรัส ว า ที่ ฉั น พู ด นี้ อ ย าเพ อ เชื่ อ ต อ งไป ทบทวนหรือตองไปผานเหตุการณนั้น ๆ ดูกอน แลวเห็นจริงตามนั้นแลวจึงคอยเชื่อ. นี ่ท า นใหโ อกาส ใหธ รรมชาติม ัน สอน. ฉะนั ้น ทา นสอนอะไร ทา นจึง สอน อยางที่เรียกวา เพียงแตบอกแนว แลวก็ไมตองการใหเชื่อ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ ค นเรามั น มั ก จะดี เกิ น ไปในการที่ จ ะเชื่ อ , มั น เชื่ อ ตะพึ ด มั น เชื่ อ งมงาย, มั น ก็ ไ ม มี ก ารทดสอบ, ไม มี ก ารเห็ น จริ ง แล ว จึ ง ค อ ยเชื่ อ ; เพราะไม ใ ห โ อกาสแก ธรรมชาติ สํ า หรั บ จะช ว ยสอน , ธรรมชาติ ก็ ไ ม มี โ อกาสจะแทรกแซง อย า งนี้ เปนตน.


๓๓๘

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

เหมื อ นอย างมานั่ งตรงนี้ ฟ งอาตมาพู ด จะเรี ยกว าสอนก็ ได นี้ มั น ก็ ยั ง ไมจ ริง ยัง ไมด ี ; แตถ า ใหธ รรมชาติส อน คือ ธรรมชาติทั ้ง หลายเหลา นี ้ มัน มี อิ ทธิ พลแวดล อมจิ ตใจ ไม ให เกิ ดความยึ ดมั่ นถื อมั่ น, แล วจิ ตใจมั นว าง สงบ เย็ น รูว า ความสงบเย็นนั้นเปนอยางไร ? เรียนจากความรูสึกในใจ ที่ธรรมชาติเปนผูปน ให อย างนี้ เรีย กวาธรรมชาติ ส อน ; อยางนี้ มั น ดี กวาที่คนจะสอน. แม วาอาตมา จะพร่ําอธิบายคําวาสงบ คําวาเย็น คํ าวาวาง คําวาหยุด อะไรนี้ มั นก็ไม เขาใจได คื อ ไมรู ส ึก ได ; อาจจะเขา ใจไดบ า ง แตก ็ไ มถ ึง ที ่ส ุด , แลว ก็ไ มรู จ ริง . แตถ า วา จิต ใจมัน ไดเ ปน อยา งนี ้แ ลว โดยธรรมชาติบ ีบ บัง คับ นั้น เรีย กวา จะรูจ ริง วา จิ ตใจที่ มั นหยุ ดนั้ นเป นอย างไร, จิ ตใจที่ เย็ นนั้ นเป นอย างไร, ว าง สะอาด สว าง สงบ นั้นเปนอยางไร, นี้เรียกวาธรรมชาติสอนดีกวาคนสอน. สรุป แลว มัน ก็อ ยู ที ่ค วามรู ส ึก ที ่จ ิต ใจนั ่น แหละสอน ดีก วา ที ่ฟ ง คํ า พูดขางนอกสอน, ใหความรูสึกในจิตใจสอน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทีนี ้จ ะตอ งเรีย กวา ความรู ส ึก ในความรู ส ึก ; เดี ๋ย วจะฟง ไมค อ ยถูก วาความรูสึกในความรูสึ ก, ความรูสึกที่ มี อยูในขณะที่ เรากํ าลั งมี ความรูสึ ก ให อั นนั้ น แหละสอน จะเรียกเหมื อนที่ เขาเรียกกั นเดี๋ ยวนี้ วา experience หรืออะไรอย างนี้ ก็ ได ; เพราะว า คํ าว า experience ในทางธรรมะนี้ หมายถึ งความรู สึ ก ในใจ. ไม ใช ค วาม ชํานาญทางรางกาย หรือรูสึ กทางรางกาย. ความรูสึ กที่ ผ านมา จนเกิ ดความยิ นดี ยิ นร าย เกิ ดความโง เกิ ดความฉลาด อะไรนี้ เรี ยกว าความรู สึ ก ที่ มั นมี อยู ในขณะที่ เรามีค วามรูส ึก แลว มัน สอนดีก วา อยา งไหนหมด; แลว โดยเฉพาะอยา งยิ ่ง ที ่เ ปน ทุก ขนั ่น แหละสอนดีก วา ; เพราะวา มัน เหมือ นกับ วา มัน บอกความจริง . ในเวลาที่ เราเป นสุ ขนั้ น มั นมาหลอก ให เข าใจผิ ดไปวา โลกนี้ เป นสวรรค เป นวิมาน


การเรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพาน

๓๓๙

เปน ค วาม สุข มัน ม าห ล อ ก ; แตถ า เมื ่อ ทุก ขแ ลว นั ้น มัน บ อ กค วาม จริง วา ธรรมดามัน เปน อยา งนี ้. ฉะนั ้น ในเวลาที ่เ ปน ทุก ขแ ลว ก็ใ หเ อาความทุก ข นั ่น แหละเปน ครูเ ถิด นั ่น แหละครู มัน ก็ไ ปอยู ที ่ค วามทุก ข, ความทุก ขส อน ดีกวาความสุขสอน. แต ถ าว าจะเอาความรู สึ กถึ งขนาดสู งขึ้ นไปเป นความเจนจั ด เชี่ ยวชาญ หรื อ เจนจั ด คื อ ว า ผ า นมาอย า งซ้ํ า ๆ ซาก ๆ อย า งนี้ มั น ก็ สู ง ขึ้ น ไป เรี ย กว า spiritual experience อี ก ที ห นึ่ ง . อั น นี้ ดี แ ละมี ป ระโยชน ม าก, มั น เป น ทั้ ง บทเรี ย น เป น ทั้ ง ผู ส อน เป น อะไรเสร็ จ อยู ใ นตั ว . นี้ ถ า เรามี ป ญ หาเมื่ อ ไร อั น นี้ จ ะวิ่ ง มาช ว ย. ฉะนั้ น มั น จึ ง ยิ่ ง กว า ครู ผู ส อน มั น กลายเป น ผู ช ว ยไปอี ก ด ว ย spiritual experience, แต เขาใช กั นทั่ ว ๆ ไปแล วเดี๋ ยวนี้ เป นคํ าที่ มี ความหมายว า ความเจนจั ดในทางฝ าย สติปญญา ฝายจิตฝายวิญญาณ ที่เปนอุปกรณที่ทําใหมนุษยเรารูจักธรรมชาติ. อั น นี้ ส อนได ล ะเอี ย ดลออสุ ขุ ม ที่ สุ ด ถ า เราจะมี ค รู ก็ ค วรจะมี ค รู อ ย า ง นี้ จึ งจะเรี ยกว า มี ค รู อย างละเอี ยดลออที่ สุ ด สุ ขุ ม ลึ กซึ้ งที่ สุ ด. ถ าจะเอาพระพุ ทธเจ า เป นผู สอน ก็ อย าลื มว า ท านจะยอมรั บแต เพี ยงว า อกฺ ขาตาโร ตถาคตา - ตถาคต ทั้งหลายเปนแตผูบอกทางเทานั้น, แลวตองไปทําเอาเอง จนเกิด experience, สูงขึ้น ไปถึ ง spiritual experience, อั น นั้ น แหละมั น จะสอน, แล ว จะบรรลุ ม รรค ผล นิพ พาน, เพราะเหตุนั ้น . แมว า จะมีค นบางคน จะบรรลุ มรรค ผล นิพ พาน ตรงข า งหน า ตรงพระพั ก ตร พ ระพุ ท ธเจ า ตรงนั้ น เวลานั้ น มั น ก็ ไ ด ผ า นอย า งนี้ ม า หมด; เพราะเขาเคยมี spiritual expericence, เขาจึ ง ฟ งพระพุ ทธเจ า เพี ยง ๒ – ๓ คํ า เขา ใจแจม แจง แทงตลอด, บรรลุค วามเปน พระอรหัน ต ที ่ต รงพระพัก ตร พระพุทธเจา ตรงที่นั่งกันอยูนั้นเอง.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


๓๔๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

คํ าว าศาสดา แปลว าผู ส อน ; แต ว ามั น ไม ใช ส อนอย างสอน ก ข ก กา ในโรงเรีย นลูก เด็ก ๆ แลว ไมใ ชส อนอยา งสอนดว ยปากพูด หูฟ ง ; สอนอยา ง ทําใหเกิด ความเปลี่ย นแปลงขึ้น มา ในจิต ในใจของบุค คลผูนั้น ; ถา ทา นแนะ วิ ธี ใ ห ไ ปปฏิ บั ติ ต าม หรื อ ว า พู ด ชนิ ด ที่ มั น จะทํ า ให เกิ ด ความเปลี่ ย นแปลง ขึ้ น ใน จิต ใจของบุค คลนั ้น ในเวลานั ้น ; อยา งนี ้ นี ่ค ือ พระศาสดาที ่แ ทจ ริง เปน ผู ปลุกใหตื่นจากความหลับ คือกิเลส. ที นี้ ยั งมี คํ าที่ จะสรุป ได อี กคํ าหนึ่ ง ที่ คนโบราณเขาพู ดไว ว าผิ ด ก็ เป น ครู ถูก ก็เ ปน ค รู. คํ า วา ค รูก ็ค ือ คํ า วา ศาสดานั ่น เอง ; ฉะนั ้น เราอาจจะพูด ได ใหมว า ผิด ก็เ ปน ศาสดา ถูก ก็เ ปน ศาสดา. ความผิด มัน ก็ส อนได, ความถูก มั น ก็ ส อนได ข อ นี้ เกื อ บจะไม ต อ งอธิ บ ายแล ว เพราะว า อย า งน อ ย แต ล ะท า นนี้ ค ง จะเคยทํ าผิ ด และทํ าถู ก มาแล ว, แล วเคยผิ ด แล วก็ นึ ก ได จนรู จั ก ถู ก อย างนี้ เรี ย กว า ความผิด นั ่น แหละมัน สอนใหรู จ ัก ถูก ; นี ้ถ ูก ก็เปน ครู, ถา เราพอใจในการที ่เรา ไดทําถูก ประสบผลสําเร็จ ก็รูสึกวามันเปนครู.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แต อ ย า ลื ม ว า อาตมาขอท ว งหรื อ ย้ํ า ไว เสมอว า ความทุ ก ข ส อนดี ก ว า ความสุข เพราะฉะนั ้น ความผิด นี ้จ ะสอนดีส อนจริง กวา ความถูก . ความ ถู ก มั น ก็ ส บายไป พอความผิ ด นี้ มั น ก็ ต อ งเดื อ ดร อ น; แต ค นก็ ไ ม ต อ นรั บ ความผิ ด อย า งเป น ครู ก็ เลยไม ไ ด ค วามรู จ ากความผิ ด . ถึ ง แม เมื่ อ ทํ า ถู ก ก็ เหมื อ นกั น ก็ มั ก จะสะเพร า, เป น คนสะเพร า, เป น คนเลิ น เล อ , ไม ได รั บ ความรู เต็ ม ที่ จ ากการกระทํ า ถู ก . เพราะว า ไม ค อ ยจะสนใจ, ความผิ ด ที่ ส อน, ความถู ก ก็ ส อน, ความผิ ด ก็ ส อน อย างเจ็ บ ปวด, ความถู ก ก็ ส อนอย างอ อ นหวานอะไรนี้ . แต แ ล ว ความผิ ด นี้ จ ะสอน ได ดี ก ว า ; แต แ ล ว คนก็ ไ ม ค อ ยสนใจเรี ย น จากตั ว ความผิ ด และความถู ก ที่ มี อ ยู


การเรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพาน

๓๔๑

เปน ประจํ า นั ่น เอง. นี ่ข อใหไ ปคิด ดูด ว ย วา จริง หรือ ไมจ ริง ? เรามีก ารทํ า ผิด ทํ า ถู ก อยู เป น ประจํ า วั น ; แต เราก็ ไม เอามาเป น ครูส อน, หรือ ว า เอามาเป น ครูส อน ใหเต็มที่, แลวทํามันนอยเกินไป. ทั ้ง หมดนี ้เรีย กวา ปญ หาตา ง ๆ เกี ่ย วกับ ผู ส อน แลว เปน เรื ่อ งใน จิตใจ แลวก็เปนเรื่องของสติของสัมปชัญญะ ที่จะมาชวยเหลือใหมีการสอนที่ดี, แล ว ไม ต อ งมี ผู ส อนชนิ ด ที่ เป น คน และมี ผู ส อนชนิ ด ที่ เป น ธรรม เป น ธรรมะ, มี ความรู สึ ก ในจิ ต ใจที่ มี ลั ก ษณะเป น ธรรมะ อย า งใดอย า งหนึ่ ง ข อ ใดข อ หนึ่ ง อยู . นั่นแหละจะเปนครูสอน ชวยจําคําวา ผิดก็เปนครู ถูกก็เปนครู ไวดวยก็แลวกัน.

ผูเรียนเปนบุคคลหลายลักษณะ. ทีนี ้ด ูถ ึง ผู เ รีย นกัน บา ง, ผู เ รีย นถา เปน โรงเรีย นลูก เด็ก ๆ ก็ด ู ผู เ รีย น ก็ คื อ ลู ก เด็ ก ๆ กระทั่ ง เป น วั ย รุ น กระทั่ ง เป น หนุ ม สาว เรี ย นในมหาวิ ท ยาลั ย นี้ ก็ เรี ย กว าผู เรี ย น มี ห ลายชนิ ด หลายขนาด คื อ โง ม ากโง น อ ย หรื อ ฉลาด หรื อ ฉลาด อย างยิ่ งนี้ ก็ มี ตามเรื่ องตามราว. แต ที นี้ ถ ามาถึ งผู เรี ยน เรี ยนก ก ข กา ไปนิ พ พาน แล ว เรายั ง มี ท างที่ จ ะพิ จ ารณาได ม ากกว า นั้ น ตั ว นั ก เรีย นคนนั้ น เป น คนมี ส ติ ปญญาระดับไหน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เกี ่ย ว ก ับ ส ต ิป ญ ญ า นี ้ ท า น ว า ง ร ะ ด ับ ไว  น า ฟ ง เห ม ือ น ก ัน ว า : พ ว ก ที่ ๑. ระดั บ ดี ม ากเรีย กวา อุ ค ฆติ ตั ญ ู คนพวกนี้ พู ด ๒-๓ คํ า ก็ เข าใจได เอง เป น คุ งเป น แคว กวา งขวางไปเลยนี้ เป น พวกอุ ค ฆติ ตั ญ ู , ไม ต อ งอธิ บ ายอะไร มาก บอกแตหัวขอ ก็จะเขาใจเสียแลว, มันมีความเจนจัดทางวิญญาณมาก.


๓๔๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ที นี้ พวกที่ ๒ เรีย กวา วิ ป จิ ต ตั ญ ู พวกนี้ ต อ งการคํ า อธิ บ ายบ า ง มั น อยู ใ นเกณฑ ฉ ลาดเหมื อ นกั น ฉลาดมากเหมื อ นกั น แต ยั ง ต อ งการคํ า อธิ บ ายที่ มากพอสมควร. ที นี้ พวกที่ ๓ เรียกวาเนยยะ คํ านี้ แปลว า พอจะพาไปได เท านั้ น เอง, พอจะนํ าไปได คื อ มั น ไม ฉ ลาด ไม เรี ย กว าอยู ในเกณฑ ฉ ลาด, หรื อ อาจจะค อ นข า ง โง ก็ ไ ด คื อ ฉลาดน อ ยมาก. แต แ ล ว ก็ ยั ง อยู ใ นพวกที่ ว า พอจะนํ า ไปได คื อ ว า อุ ต ส า ห พ ร่ํ า สอนชี้ แ จง เซ า ซี้ พิ รี้ พิ ไ รอย า งนั้ น อย า งนี้ อ ย า งโน น แล ว ก็ พ อที่ จ ะทํ า ให เขาเขาใจได หรือนําไปได หรือวาบรรลุนิพพานไดเหมือนกัน. ที ่เ หลือ พ วกที ่ ๔ สุด ทา ยก็พ วก ปทปรมะ นี ้ก ็แ ปลวา ไมไ หว, แมพระพุทธเจาก็ชวยไมได สําหรับคนประเภทนี้. นี้ เราดู ที ว า เรา, พวกเราทั้ ง หมดที่ นั่ ง อยู ที่ นี่ หรื อ ว า ที่ อ ยู ในโลกทั้ ง หมด ก็ต าม เปน พวกไหนโดยมาก ? หรือ วา เราเองนี ้จ ะเปน พวกไหนดี ? ถา วา อยู ในลั ก ษณะ ที่ วาพู ด กัน อย างไร เท าไร อยางไรก็ ไม มี ท างจะเข าใจธรรมะได แ ล ว มัน ก็ต อ งเปน ปทปรมะ; หมายความวา จะไมรูเ รื ่อ งพระนิพ พานได, จนตาย ไมรู เ รื ่อ งพระนิพ พานได. ฉะนั ้น พวกนี ้ก ็จ ะไดแ ตเ พีย งวา ไปสวรรค, ใหทํ า ดี มาก ๆ ไว แ ล ว ก็ ไปสวรรค แล ว ก็ ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ว าไปสวรรค แ น ; เพราะว าเราได ทํ า ดี ทํ า บุ ญ ทํ า กุ ศ ลอย า งนั้ น อย า งนี้ . เหมื อ นที่ เขาถื อ กั น นั่ น แหละ ฟ ง เทศน กี่ ร อ ยครั้ ง ฟ ง อะไรกี่ พั น ครั้ งกี่ อ ย า ง ก็ ยึ ด ถื อ ว า นี้ พ อแล ว แน แ ล ว ตายแล ว ไปสวรรค , อย า งนี้ ก็ เรี ย กว า ยั ง ไม พ บกั บ นิ พ พาน เป น พวกปทปรมะ. สํ า หรั บ ไปนิ พ พาน, ก ก ข กา ของพระนิ พ พาน ก็ ยั ง ไม อ าจจะเกิ ด เป น แสงเป น ท อ แสงอะไรขึ้ น มาได ใ นบุ ค คล

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


การเรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพาน

๓๔๓

ประเภทนี้ . มั น ก็ เหลื อ แต พ วก ๓ พวกข า งต น พวกที่ เรี ย กว า เนยยะนี้ จ ะต อ งพู ด กั น แล ว พู ด กั น อี ก จนตาย ก็ พ อจะรู อ ะไรได บ า ง ส ว นที่ อ ธิ บ ายบ า งก็ รู แ ล ว ไม ต อ ง อธิบายเลยก็รู มันก็จะหายาก. นี้ ก็ พู ด ให ฟ ง เพื่ อ ว า จะได รู จั ก นึ ก รู จั ก เที ย บเคี ย งกั น นั่ น เอง ว า เราจะ อยู ในพวกไหน ? อย างน อ ยก็ ขอให อ ยู ในพวกที่ เรี ย กว า เนยฺ ย อ านว า เนยยะ คื อ พอจะนําไปได. ทีนี ้ก ็ด ูถ ึง พฤติ จริง ๆ ขอ เท็จ จริง ที ่ม ัน เปน จริง ของการที ่จ ะทํ า ให ค นเรามั น แตกต า งกั น อย า งนั้ น เป น พวก ๆ ไป อาตมาอยากจะระบุ ไปยั ง สิ่ ง ๆ หนึ่ง เรียกวา ความรูจักโลก, ความรูจักโลก. ขออภั ย ที่ จ ะต อ งย้ํ า อี ก ครั้ ง หนึ่ ง ว า ยกตั ว อย า งด ว ยสุ นั ข เมื่ อ อายุ มั น มากเข า มั น ก็ รู จั ก โลกมากเข า มั น ฉลาด มั น ทํ า อะไรได ห ลายอย า ง. ฉะนั้ น สุ นั ข ตั วที่ มี อายุ เกิ น ๑๐ ป ขึ้ นไปแล ว ฉลาดกว าลู กสุ นั ขมาก เพราะว ามั น รู จั กโลกมาก กวาลูกสุนัข.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี ้ค นเราก็เ หมือ นกัน ถา รู จ ัก โลกมาก ชีว ิต ผา นมามาก สุข ทุก ข ผ านมามาก, เรียกว าอย างโชกโชน ก็ ดู เหมื อนเขาจะเรียกกั น อย างนั้ น จนมี ค วาม รู จ ัก โลกมาก. นี ้ค นที ่รู จ ัก โลกมากนี ้แ หละ มัน จะเปน พวกอุค ฆติต ัญ ูห รือ วิ ป จิ ตั ญ ู ไม ต อ งอธิ บ ายพู ด แต หั ว ข อ มั น ก็ รู หรื อ อธิ บ ายบ า งพอสมควรมั น ก็ รู เพราะวาเขาเปนผูที่รูจักโลกมากเหลือเกิน.

อย าไปประณามโลกให มั นมากนั ก ว าโลกนั่ นแหละมั นสอน ความผิ ดมั น สอนความถูก มัน สอน โลกนั ่น แหละมัน สอน. ฉะนั ้น ถา ใครรู จ ัก โลกมากพอ


๓๔๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

คนนั้นจะสามารถกระโดดขึ้น ไปอยูเหนื อ โลกได เปนโลกุตตระ เปนนิพ พานได. ขอใหส นใจ ในคํ า วา จงรู จ ัก โลกนี ้ ใหม ัน ถูก ตอ ง, และใหม ัน มากพอ ใหม ัน ถู กต องแล วยิ่ งขึ้ น ๆ จนมั นมากพอและสมบู รณ . ความรูจั กโลกนี่ แหละจะทํ าให เป น อุค ฆตัญ ู วิป จิตัญ ู หรือเนยยะได อยางใดอยางหนึ่ง; ถาไม รูจักโลกเสี ย เลย ก็ จ ะต อ งรั ย บเป น พวกปทปรมะ พระพุ ท ธเจ า ก็ โปรดไม ได เพราะว า เขาไม รู จั ก อะไรเลย. ที นี้ คํ า ว า รูจั ก โลกหรือ คนผู รู จั ก โลกนี้ , สํ า หรั บ คนนี้ มั น ไม ใช สุ นั ข นะ มั น ไม ใ ช สั ต ว น ะ ; เพราะว า คนมั น สามารถเรี ย น สามารถอบรม สามารถเร ง เร ง ให มั น เร็ ว ได . ถ า สุ นั ข มั น ไปตามธรรมชาติ ความฉลาดของมั น ไปตามธรรมชาติ . แตวา คนเรานี้เรง ได ดว ยการศึก ษาดว ยการอบรมที่ถูก วิธี มัน เรง ได. ฉะนั้น อายุ น อยมั นก็ อาจจะรู จั กโลกได , นี้ คนที่ อ ายุ มากแต ไม มี การศึ กษาโลก ไม รูจั กโลก มั นก็ เป นไปได เหมื อนกั น เอาอายุ เป นประมาณนั กก็ ไม ค อยได . ฉะนั้ นเราจะไม พู ดว า เด็ก หรือ ผู ใ หญ เพราะมัน อยู ที ่ว า ความรู จ ัก โลกมากนั ่น แหละคือ ผู ใ หญ, ความรูจ ัก โลกนอ ยนั ่น แหละเด็ก ฉะนั ้น ไมตอ งเอาอายุส ัง ขารนี ้เ ปน ประมาณ กันนัก.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org และอี ก ที ห นึ่ ง ก็ ไ ม ค วรจะพู ด ว า เป น บรรพชิ ต หรื อ เป น คฤหั ส ถ มั น อยู ที่ ว า มี ส ติ ป ญ ญา มี ค วามคิ ด นึ ก ที่ ดี ที่ ถู ก หรือ ไม ต า งหาก. ฆราวาสก็ รู จั ก โลก ได, บรรพชิต ก็รู จ ัก โลกได แมว า ไมต อ งไปจมอยู ใ นโลก มัน ก็รู จ ัก โลกได. ฉะนั้ น จึ งมี พ ระอรหั น ต เด็ ก ๆ , ในพระคั ม ภี ร ก็ มี ก ล าวถึ งพระอรหั น ต อ ายุ ๑๕ ขวบ ซึ่ ง มี สั ก ๒ - ๓ องค เห็ น จะได ตามที่ เขี ย นไว . นี้ ก็ เป น เครื่ อ งยื น ยั น ว า แม เด็ ก นี้ ถ ามั น มี อะไรที่ ทํ าให รูจั กโลกมากได มั นก็ พ อที่ จะเป นโลกุ ตตระ เป นผู ข ามขึ้ นเหนื อ


การเรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพาน

๓๔๕

โลก เป นโลกุ ตตระได เหมื อนกั น, แล วบรรพชิ ตหรื อฆราวาสมั นก็ ไม แน , ว าสามเณร อายุ ๑๕ ป เป น พระอรหั น ต ได . อย างนี้ ก็ มี เขี ยนไว มั น ก็ ไม เคยผ านโลกบางอย าง หรือไมเคยอะไรบางอยาง แตมันก็มีคาเทากับการผานเหมือนกัน. ฉะนั้ น การที่ ไม ต อ งผ า นอะไรไปเสี ย ทั้ งหมด นั่ น แหละมั น ก็ มี ผ ลได เท า กับ วา ไดเ คยผา นอะไรไปทั ้ง หมด ; เพราะมัน อาจจะรู ส ึก ได โดยวิธ ีล ัด หรือ วิธ ีก ระโดด วิธ ีก ระโดดไกล. ถา เขารู ว า สุข เวทนา ที ่เ รีย กกัน วา ความเอร็ด อรอยสนุกสนานเอร็ดอรอยอยางยิ่งนี้ มันเปนมายา เปนของหลอกลวงเปนของ มายาแลว , มัน ไมจํ า เปน ที ่จ ะตอ งไปลอง หาความเอร็ด อรอ ยสนุก สนานเหลา นั้ น ทุ ก แบบทุ ก แง ทุ ก มุ ม เพราะจิ ต มั น เชื่ อ แน ว า ความสนุ ก สนานเอร็ ด อร อ ย อะไรมั น ก็ ไม มากไปกว านี้ มั น เป นมายาเป น สิ่ งหลอกลวง; จะเป น เรื่องกามคุ ณ ก็ ดี , เป น เรื่อ งเกี ย รติ ย ศชื่ อ เสี ย งก็ ดี เป น อะไรก็ ดี ไม ต อ งไปลองมั น ก็ เบื่ อ หรือ ว า มั น เฉยได ; ฉะนั้นจึงเปนพระอรหันตได แมวาอายุ ๑๕ ป และเปนเพียงสามเณร.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อยาไปโงเหมือนพระเณรบางองคที่โงมาก ที่ มั กจะพู ดวา ต องสึกออก ไปลองมี ลู ก มี เมี ย มี นั่ น มี นี่ เสี ย ก อ น จึ ง จะรู เรื่ อ งเบื่ อ หน า ยคลายกํ า หนั ด ; นี่ มั น เปน เรื่อ งแกต ัว ของคนที ่ไ มเอาจริง . มัน อาจจะถูก บา งในคํ า ที ่เขาพูด อยา งนั ้น มั น อาจจะมี ส ว นถู ก อยู บ า ง แต ที่ มั น ไม จํ า เป น จะต อ งเป น อย า งนั้ น มั น ถู ก ว า , มั น เป นเรื่ องข อแก ตั วของคนเหลวไหล โดยเฉพาะของพระเณรที่ เหลวไหล. หรื อว าที่ เขา ยอมแพ, แตเขาไมยอมสารภาพ เขาเลยหาทางออกมาแกตัวอยางนี้ก็มี. ความจริงมันอยูที่รูจัก ความเปนมายาของเวทนาทั้งหลาย สุขเวทนา ก็ ดี ทุ กขเวทนาก็ ดี อทุ กขมสุ ขเวทนาก็ ดี ล วนแต เป นมายา. ฉะนั้ นในโลกทั้ งหลาย


๓๔๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ในเรื่องโลกทั้งหลายมันไมมีอะไรมากกวานี้ คือไมมีอะไรมากไปกวานี้ ที่มันจะใหเพียง สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา ก็เลยไมตองไปลอง, ก็ไมตองไปลอง เรื่องกาม เรื่องกิน เรื่องเกียรติเรื่องอะไรตาง ๆ ก็ได. จิตใจมันก็หลุดพนไปได นี้เรียกวา คนรูจักโลก โดยไมตองผานโลก. นี้อาตมาจะพูดผิดหรือพูดถูก ก็ไมแนเสียแลวเหมือนกัน ; แตอากัป กิริยาตาง ๆ มันแสดงวาเขารูจักโลกสมบูรณ โดยไมตองผานโลก คือเขารูวา โลกมัน ใหอะไรบาง มันใหเพียง ๓ อยางเทานั้น. แลว ๓ อยางนั้นเปนเรื่องหลอกทั้งนั้น มันก็ไมตองลอง, ก็เลยรูจักคาของโลกหรืออะไรของโลกทั้งหมด โดยที่ไมตองผาน เขาไปในโลกทุกกระเบียดนิ้ว ; เพราะสวนสําคัญที่มันอาจจะรูไดนั้นมันมีอยู วา โลกมันใหอะไรไดเพียงเทานั้น แลวทั้งหมดนั้นเปนเพียงมายา อยางนี้จะ เรียกวาคนที่รูจักโลกถึงที่สุด. นี้คนไมรูจักโลก มันก็ตรงกันขาม ก็เปนปทปรมะก็มีไดทั้งเด็กและผูใหญ ทั้งคฤหัสถทั้งบรรพชิตไดดวยเหมือนกัน.

www.buddhadasa.in.th วาสนาทําใหมีสติปญญาตางกัน. www.buddhadasa.org ทีนี้อ ยากจะพูดถึงอีกหมวดหนึ่ง ที่ทําใหคนเราตางกัน เปนอุคฆติ ตัญู วิปติตัญู เปนตนนั้นนี้มันก็คือวาสนาแหงบุคคลนั้น หรือวาธาตุแท แหงบุคคลนั้น มันมีคําใชแทนกันอยู เรียกวาวาสนา.


การเรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพาน

๓๔๗

วาสนาคํานี้แปลวา เครื่องอยู เครื่องนอน เครื่องอาศัย ก็หมายความวา อะไรที่มันนอนอยู หรืออาศัยอยู ในสันดานของบุคคลนั้น นั้นเรียกวาวาสนาของ บุคคลนั้น บางคนมีกามธาตุเปนวาสนา, บางคนมีรูปธาตุเปนวาสนา. ถ าคนที่ มี กามธาตุ เป นวาสนา คนเหล านั้ นก็ มั วเมาหมกมุ นในกามารมณ อย า งหนาแน น อย า งเหนี ย วแน น มาตั้ ง แต ต น จนปลายนี้ ; เพราะว า เขามี ก ามธาตุ เป น วาสนา อยู ใ นสั น ดานของเขา. กามธาตุ ก็ คื อ ธาตุ ที่ ทํ า ให รู สึ ก ในทางกาม คื อ เรื ่อ งเพศ คา ของเพศ อะไรทํ า นองนี ้ ; ถา กามธาตุเ ปน วาสนาของคนนั ้น คน นั้นก็มีความหนักในเรื่องกาม. แล วบางคนมี รู ป ธาตุ เป น วาสนา เขาก็ ไม ค อ ยจะมี ค วามรูสึ กชนิ ดกาม นั้ น ออกหน า ; แต มี ค วามรู สึ ก ในสิ่ ง ที่ ว า เป น รู ป ธรรม รู ป บริ สุ ท ธิ์ คื อ สิ่ ง ที่ เ ป น รู ป ธรรมทั้ ง หลายนี้ , แต ไ ม มี ค วามหมายเป น กามารมณ . เขาไปชอบอย า งนั้ น แม ที่ สุ ด แต จ ะเป น ของเล น ก็ ไ ด หรื อ ว า คนหนึ่ ง มั น จะชอบต น ไม ชอบธรรมชาติ ชอบ อะไรนี้ จนไมสนใจเรื่องกามารมณ. นี้เปนตัวอยาง ก็เพราะวาเขามีรูปธาตุเปน วาสนาของเขา.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ ถ าบางคนจะมี อรูปธาตุ อรูปธาตุ แปลว าธาตุ ที่ ไม มี รู ป คื อเป นนาม เปนวาสนา คน ๆ นี้ก็จะไมชอบกามารมณ แลวก็ไมชอบรูปธรรม วัตถุสิ่งของ ไม สะสมเครื่อ งลายครามอะไรนั ้น ; แตว า จะชอบเกีย รติย ศชื ่อ เสีย งหรือ บุญ กุศ ล อะไรต า ง ๆ ที่ มั น เป น นามธรรม แล ว เขาก็ ห ลงใหลขวนขวายไปในทางนามธรรม นับตั้งแตเกียรติยศชื่อเสียงเปนตนไป เพราะวาเขามีอรูปธาตุเปนวาสนา.


๓๔๘

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ฉะนั้ น คนเหล า นี้ เมื่ อ อยู ใ นโลกนี้ มั น ก็ สั ม ผั ส โลกในแง ต า ง ๆ กั น ; ดั งนั้ นเขาจึ งรูจั กโลกไม เหมื อนกั น เหมื อนกั บ ว าคนสวมแว นตาเขี ยวก็ เห็ นโลกเขี ยว, คนสวมแว น ตาแดงก็ เห็ น โลกแดงอย า งนี้ , มั น รูสึ ก หรือ มั น มองไปในแงที่ ต า งกั น นี้ ก็ทําใหคนเราตางกัน ในสวนที่จะมีปญหา คือยุง. นี้ถ าเผอิ ญวาจะมี บุ คคลอีกสั กประเภทหนึ่ ง เขามี นิ โรธธาตุ เป นวาสนา. นิโรธธาตุ แปลวาธาตุแหงความดับ ธาตุแหงความหยุด ธาตุแหงความสงบ, นิโรธ ธาตุทํ า ใหค นอยา งนี ้ช อบความหยุด ความดับ ความสงบ. ถา เขามีน ิโ รธธาตุ เปนวาสนาแลว อาจจะบรรลุความเปนพระอรหันตไดตั้งแตอายุ ๑๕ ปก็ได เพราะเขามี ธาตุ แห งความหยุ ด ความดั บ ความสงบ มั นงายหรือมั นพรอมที่ จะเข าใจ หรือ รั บ เอา หรื อ รูสึ ก ความดั บ ความหยุ ด ความสงบ เพราะว าเขามี นิ โรธธาตุ เป น วาสนา ฉะนั้ นเด็ กคนนี้ ก็ จะไม หลงใหลในอะไรมาแต เล็ ก จะไม รองไห มาแต เล็ ก จะ ไม อ ะไรงอแงมาแต เล็ ก , เขาจะหยุ ด มั น จะสงบ มั น จะเยื อ กเย็ น เหมื อ นกั บ ว า จะเปนพระอรหันตมาเสียตั้งแตในทองอยางนี้.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ เราเรี ย กว า มั น มี ว าสนาในสั น ดานต า งกั น ; บางคนก็ มี ก ามธาตุ บางคนก็ มี รู ป ธาตุ บางคนก็ มี อ รู ป ธาตุ บางคนก็ มี นิ โ รธธาตุ . ฉะนั้ น เราจึ ง เห็ น ความแตกตา งกัน ระหวา งคนเรา ที ่แ จกเปน อุค ฆติต ัญ ู พูด คํ า เดีย วก็รู เ รื ่อ ง, เป น วิ ป จตั ญ ู ต อ งอธิ บ ายกั น หน อ ย, เป น เนยยะ ก็ ต อ งพร่ําสอนชี้ แ จงกั น มาก อยางนี้เปนตน. นี้เราอยูในพวกไหนก็ไปคิดดูเอง.

แต แล วมั นมี โชคดี ที่ วา สิ่ งเหล านี้ มั นแก ไขได , แม จะเป น นิ สั ยสั น ดาน นี้ เป น สิ่ งที่ แ ก ไข ได . ใค รเข า ใจไป ว า นิ สั ยสั น ด าน เป น สิ่ ง ที่ แก ไ ขไม ได


การเรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพาน

๓๔๙

เรี ย กว า คนนั้ น ก็ ยั ง ไม รู จั ก , ไม รูจั ก สิ่ ง ที่ เรี ย กว า นิ สั ย สั น ดาน แล ว เขาไม รู จั ก พุ ท ธ ศาสนาดวย. ถาเขารูจักพุทธศาสนาเขาจะรูวา สิ่งตาง ๆ นี้เปนไปตามเหตุปจจัย ตามกฎเกณฑ แ ห ง อิ ทั ป ป จ จยตา ; เพราะฉะนั้ น ต อ งแก ไ ขได คื อ แก ไ ขที่ เหตุ ปจ จัย . ฉะนั ้น เราก็พ ยายามแกไ ขขอ บกพรอ ง แมที ่เ ปน ชั ้น สัน ดาน คือ ใน สวนลึก เรียกวากวาดลางสันดานกันไดเลย. การบรรลุม รรคผล ก็ค ือ การกวาดลา งสัน ดานนั ่น เอง ใหห มดไป จากกิเ ลสอนุส ัย ที ่ส ะสมไวใ นสัน ดาน. ฉะนั ้น คอยพยายามศึก ษาและปฏิบ ัติ พระพุท ธศาสนาใหถ ูก วิธ ี จะแกส ัน ดานแกน ิส ัย ได. มัน ก็เ ปน ความหวัง อัน หนึ ่ง ที ่วา จะเปลี ่ย นจากปทปรมะ ก็ไ ด ; แตวา คนปทปรมะนี ้ จะไมย อมรับ ฟ ง จะไม ย อมแก ไ ขไปเสี ย ตะพึ ด ก็ ได . เพราะฉะนั้ น ก็ ต ายเปล า . แต พ วกที่ เป น เนยยะนี ้ อาจจะแกไ ขไดม าก, ก็เลื ่อ นขึ ้น มาเปน วิป จิต ัญ ู เปน อุค ฆติต ัญ ู พูดคําเดียวรูเรื่องก็ได.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สรางบารมีขึ้นเพื่อแกไขนิสัยสันดาน. ฉะนั้ น ขอให เตรี ย มแก ไขเสี ย ตั้ ง แต บั ด นี้ โอกาสข างหน า มั น อาจจะฟ ง ธรรมะข อ ใดข อ หนึ่ ง ข อ เดี ย ว แล ว รู แ จ ง แทงตลอดไปเลยก็ ไ ด ; เพราะว า เขาแก ไ ข นิสัยสันดาน ชําระนิสัยสันดานใหสะอาดยิ่งขึ้น เปนการเตรียมพรอมไว.

ที นี้ ก็ ยั ง มี เรื่ อ งที่ ค ล า ยกั บ สั น ดานหรื อ นิ สั ย ก็ คื อ เรื่ อ งที่ เรี ย กว า บารมี . บารมี นี้ มี ค วามหมายที่ เถี ยงกั น อยู หรือ ว ายุ ติ กั น แล วก็ ได ว ามั นมี อ ยู สั กสองความ


๓๕๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

หมาย, คํานี้ แปลวา เครื่องให ขาม, เครื่องให ข ามไปฝงโน น ก็เรียกวาบารมี หรือ เครื่องทําใหเต็มเปยมบริบูรณ ก็เรียกวาบารมี. ถ า เรามี บ ารมี ม าก ก็ คื อ ว า เราได ส ะสมสิ่ ง ที่ เป น ประโยชน ไ ว ม าก ; เช น เราให ท านมาก เราก็ มี บ ารมี ในทางทานนั้ น สะสมไว ม าก, มั น ก็ ง า ยแก ก ารที่ จ ะ สลั ดสละความยึ ดมั่ นถื อมั่ น มี ทานบารมี ศี ล บารมี ป ญญาบารมี ขั นติ บารมี อะไร หลาย ๆ บารมี . แต คํ า ว า บารมี นี้ มั น ก็ มี ค วามหมายตรงที่ ว า ทํ า ให ม ากพอเข า ไว จนเต็ ม สํ า หรั บ จะใช ใ นกรณี นั้ น ๆ ; เช น เราหั ด อดทนมาก เราก็ จ ะเป น ผู อ ดทนที่ ดี ที่ สุ ด ในบรรดาผู อ ดทน. หรื อ ว า เราจะเป น คนมี ศี ล ก็ รั ก ษาศี ล ให มั น มาก ให มั น จริง ใหมันถูก ใหมันยิ่งขึ้นไป เราก็จะเปนคนมีศีล. ฉะนั้ น ถ า ผู ใ ดสะสมบารมี ไ ว ม าก มั น ก็ จ ะแก นิ สั ย สั น ดานที่ เ ลวได เหมื อ นกั น ; เพราะว า ถ า เอาอั น นี้ อ อกไป ใส อั น นี้ ล งไป อั น โน น ก็ ต อ งถอยไป ; เหมื อนว ามั นมี น้ํ าเสี ยอยู ในโอ ง ถ าเราปล อยน้ํ าดี น้ํ าสะอาดลงไปเรื่อย น้ํ าเสี ยมั นก็ ถู ก ดั น ให อ อกไปออกไป ๆ, น้ํ า ดี มั น เข า อยู แ ทนมากขึ้ น ๆ. นี้ สั น ดานของคนเราก็ เหมื อ นกั บ โอ งนี้ มั นอาจจะนองเนื่ องอยู ด วยกิ เลสอนุ สั ย นี้ เราก็ ป ล อ ยบารมี คื อ การ กระทํ า ส ว นที่ ถู ก ที่ ดี ม ากเข า ๆ ๆ เติ ม ลงไป ๆ; นั้ น มั น ก็ ถ อยไปได คื อ เปลี่ ย น ความเคยชิ น นั่ น เอง. ถ า อยู อ ย า งวิ ท ยาศาสตร ห น อ ยก็ พู ด ว า เปลี่ ย นความเคยชิ น ที่เปนนิสัยนั้นมันเปลี่ยนได.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ ก็ เป นอั นว าเราจะจั ดเรื่ องวาสนา แก ไขเรื่องวาสนาหรือ เรื่องนิ สั ย เรื่ อง นิส ัย เรื ่อ งบารมีใ หม ัน ถูก นี ้จ ะจัด กัน อยา งไร ? ถา วา อยากจะใหม ัน เร็ว เรีย กวา เปน นัก เรีย นที ่เ รีย นลัด จริง ๆ ก็ต อ งทํ า ใหถ ูก ไปตั ้ง แตต น , และเชื ่อ วา


การเรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพาน

๓๕๑

จํ า เป น สํ า หรั บ ทุ ก คน อย า งที่ พ ระพุ ท ธเจ า ท า นได ต รั ส ไว ก็ มี ห ลั ก ว า จะต อ งคบ สัตบุรุษ. ขอ แรกจะต อ งคบสั ต บุ รุษ สั ต บุ รุษ นั้ น คื อคนดี ก็ได คนสงบก็ได , สั ต มั น แปลวาดี ก็ ได วาสงบก็ ได . คํ าวาสั ต บุ รุษ นี้ เคยเป น ชื่ อ ของพระอรหั น ต ใน พระบาลีพ ระไตรปฎ กปจ จุบ ัน นี ้ก ็เ คยพบ คํ า วา สัต บุร ุษ เปน ชื ่อ ของพระอรหัน ต. ในจารึ ก ผอบศิ ล าชิ้ น กระดู ก ของพระอรหั น ต บ างองค ก็ ใช คํ าว าสั ต บุ รุ ษ เช น สั ป ปุ ริ สั ส สะ สารี ปุ ต ตั ส สะ, สั ป ปุ ริ สั ส สะ โมคคั ล ลานั ส สะ, พระสารี บุ ต รผู เป น สั ต บุ รุ ษ พระโมคคั ล ลานะผู เ ป น สั ต บุ รุ ษ , เคยมี จ ารึ ก ที่ ผ อบหิ น ที่ บ รรจุ ก ระดู ก ของท า น. ฉะนั ้น คํ า วา สัต บุร ุษ นั ้น เคยใชแ กพ ระอรหัน ตใ นยุค ครั ้ง พุท ธกาล ; แต เดี๋ยวนี้เราลดความหมายของคํานี้ลงมา เปนคนดีคนสงบก็แลวกัน. นี้ ค บสั ต บุ รุ ษ ก็ ค บคนที่ ส งบสงั ด ที่ กํ า ลั ง เดิ น ไปตามทางของพระ อรหัน ต. จะคบสัต บุร ุษ ไดอ ยา งไร ? ก็ไ ปแกป ญ หาเอาเอง ; ก็ต อ งอยู ใ น ถิ่นที่มีสัตบุรุษ, แลวยังตองพยายามเขาไปติดตอกับสัตบุรุษ วาเราอยูรวมเมือง กัน กับ สัต บุร ุษ . แตถ า เราไมไ ปหา ก็ไ มม ีท างจะคบกับ สัต บุร ุษ ; ฉะนั ้น เรา ต อ งเข า ไปหา หรื อ เข า ไปนั่ ง ใกล สั ต บุ รุ ษ ซึ่ ง จะมี โ อกาสให ไ ด ฟ ง ธรรมะ ได รั บ คํ า สั่งสอนแนะนําชี้แจง. นี้เรียกวาไดโอกาสฟงธรรมจากสัตบุรุษ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ ก็ จะต องพยายามทํ าความเข าใจในธรรมะที่ ได ฟ งนั้ น ; นี้ ไม ใช ฟ งอย าง นกแก ว นกขุ น ทอง ที่ ฟ ง กั น อยู โดยมากเวลานี้ . คนโบราณเขาใช คํ า ล อ ว า ฟ ง ทาง หูซา ยแลวมัน ก็อ อกไปเสีย ทางหูข วา ; ฉะนั้น ฟง จนตายมัน ก็ไมไดเรื่อ งไดราว คื อ ไม ไ ด ค วามรู อ ะไรเพิ่ ม ขึ้ น . นี้ ต อ งฟ ง สั ต บุ รุ ษ ชนิ ด ที่ เ ข า ใจธรรมะของสั ต บุ รุ ษ


๓๕๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

แล ว ก็ เอาไปปฏิ บั ติ ก็ รู แ จ ง แทงตลอดในธรรมะนั้ น ก็ บ รรลุ ม รรค ผล นิ พ พาน ได , คือ หลุด พน ได. วิธ ีล ัด ดูจ ะไมม ีว ิธ ีไ หนลัด กวา นี ้แ ลว ตอ งเกี ่ย วขอ งกับ สัต บุร ุษ แลวก็รูธรรมะจากสัตบุรุษ แลวก็ปฏิบัติ จนหลุดพนได. นี้ ข อให ม องดู ว า ทุ ก อย า งนี้ จ ะต อ งเป น ไปตามเหตุ ต ามป จ จั ย ; การคบ สัต บ ุร ุษ ก็เ ป น เห ต ุเ ป น ป จ จัย ก็ไ ดฟ ง ธรรม ะขอ งส ัต บ ุร ุษ , ธรรม ะนั ้น ก็เ ป น เห ตุ เป น ป จ จั ย ที่ จ ะเอามาชะล า งนิ สั ย สั น ดานของเรา. การชะล า งนิ สั ย สั น ดาน คื อ การปฏิ บั ติ ธ รรม นี้ ก็ เ ป น เหตุ เ ป น ป จ จั ย ที่ จ ะทํ า ให บ รรลุ ม รรคผลนิ พ พาน ; ฉะนั้ น สิ่งตาง ๆ ตองเปนไปตามกฎเกณฑที่เด็ดขาดตายตัว ของเหตุปจจัย. เราตอ งเปน คนฉลาด ในการจัด การทํ า กับ สิ ่ง ที ่เ รีย กวา เหตุป จ จัย แล วเราก็ จะโตเร็ว โตเร็วในทางวิญญาณ, เป นผู ใหญ ในทางวิญญาณ คื อเป นผู อยู ในโลก แลว ก็รู จ ัก โลกไดเ ร็ว เรีย กวา เปน ผู ใ หญ ; ไมใ ชอ ายุม ากเสีย เปลา ๆ ไม ใชหั วหงอกเสี ยเปล า ๆ , แล วไม รูอะไร นั้ นเรียกวา คนไม โตยั งเป นเด็ กอมมื อ หัวงอก เขาโลงไปเลย, เปน เด็ก อมมือ เขาโลงไปเลยก็ได ; เพราะมัน ไมรูจัก โต. แตถ า วา รู จ ัก โลก, รู จ ัก ความจริง ของโลก, รู จ ัก เหตุใ หเ กิด โลก, รู จ ัก ความ ดับ ของโลก, ทํ า ใหม ีค วามดับ โลก อยา งที ่พ ระพุท ธเจา ทา นตรัส นั ้น นี ้ค ือ เปน ผูใหญ อายุนอย ๆ ก็ได ๑๕ ป ก็ได. นี่เป นอันวา เราไดพิ จารณากันถึงตัวผูเรียน พอแลว.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ไป ทบ ทวนดู ก็ แ ล ว กั น ว า เราจะต อ งรู เ รื่ อ งส ถ าน ที่ เรี ย น ร า งกายที่ เป น ๆ อยู นี้ เ ป น โรงเรี ย น แล ว เวลาเรี ย น คื อ เวลาที่ เ ผชิ ญ กั บ อารมณ , หรื อ ลั บ หลั ง อารมณ หรื อ แม แ ต เ วลาหลั บ ก็ ต อ งจั ด ให เ ป น เวลาเรี ย น. วิ ธี ก ารเรี ย น ก็ มี ให เ หมาะแก เ วลาเรี ย น แล ว ผู ส อนนั้ น ไม มี อ ะไรดี เ ท า กั บ ความรู จั ก โลก ความที่


การเรียน ก ข ก กา เพื่อนิพพาน

๓๕๓

เรารูจั ก โลกนั้ น จะเป น ผู ส อนที่ ดี แล ว เป น ผู เรี ย นที่ ดี ก็ ห มายความว า ปฏิ บั ติ ถู ก ตองตามความรูที่เรารูจักโลก ; เพราะฉะนั้นเราก็สามารถที่จะอยูเหนือโลก. สรุปความแลว เคล็ดลับมันอยูที่วาเราตองเรียนจากความรูสึกโดยตรง ในความรู สึ ก ที่ มี อ ยู ในความรู สึ ก . อย าหวั งที่ จ ะเรี ย นจากฟ งอาตมาเทศน หรื อ ว า อา นหนัง สือ หรือ อะไรทํ า นองนั ้น . ตอ งเรีย นจากความรู ส ึก ขา งใน ซึ ่ง เรีย กวา ธรรมชาติอัน ลึก ซึ้ง มัน จะสอนให, แลว ก็รูจัก เหตุ รูจัก ปจ จัย รูจัก ความเปน ไปตามเหตุ ต ามป จ จั ย ของสิ่ ง เหล า นั้ น ด ว ย; รู สิ่ ง ทั้ ง หมดนี้ แ ล ว มั น ก็ เห็ น อนิ จ จัง ทุก ขัง อนัต ตา ไดโ ดยงา ย. เปน อัน วา จะรูจ ัก สิ่ง ทั้ง ปวงในลัก ษณะที่ ควรรูอยางถูกตอง ตามที่เปนจริง เรียกวายถาภูตสัมมัปปญญา. นี่คือวิถีทางของการเรียน ก ก ข กา เพื่อนิพพาน ; จะเปนการรู แบบเฉื่ อยชา หรือจะเป นการรูแบบสายฟ าแลบ มั นก็ ไม พ นจากหลั กเกณฑ เหล านี้ ; ไม ใช ว า มั น จะต า งกั น ในเรื่อ งเหตุ ป จ จั ย เหตุ ป จ จั ย มั น เหมื อ นกั น , แต ถ า มั น ถู ก วิ ธี แล ว มั นก็ เร็วเหมื อนสายฟ าแลบ ถ ามั นไม ค อยถู กวิธี แล วมั นก็ เฉื่ อยชาอื ดอาดไปบ าง. ฉะนั้ นขอให สนใจว าเราจะต องเรียนเพื่ อนิ พพานนี้ ด วยการตั้ งต นอย างนี้ ตั้ งต นโดย วิธีนี้ เพราะฉะนั้น อาตมาจึงเรียนวาเรียน ก ก ข กา เพื่อนิพพาน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แสดงวิ ธี ก ารเรี ย นและโรงเรี ย น และเวลาเรี ย นพอสมควรแล ว ก็ นั บ ว า การบรรยายในวั น นี้ ให ค วามรูในข อ นี้ โดยเฉพาะ ในข อ นี้ โดยสมบู รณ แ ล ว ก็ ข อยุ ติ ไวที. ขอใหพระสงฆทั้งหลาย ทานไดสวดธรรมคณสาธยาย เพื่อสงเสริม ศรัทธาปสาทะ ใหเขมแข็งตอไป.


ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

- ๑๒ ๒๓ มีนาคม ๒๕๑๗

ก ข ก กา เกี่ยวกับการถึงพระรัตนตรัย. ทานสาธุชน ผูมีความสนใจในธรรม ทั้งหลาย, การบรรยายประจํ า วั น เสาร เป น ครั้ ง ที่ ๑๒ แห ง ภาคมาฆบู ช าในวั น นี้ อาตมาก็ ยั งคงจะกล าวโดยหั วข อว า ก ข ก กา ของการศึ กษาพุ ทธศาสนา ต อไปตาม เดิ ม และจะขอกล าวโดยหั วข อนี้ อี กครั้ งหนึ่ ง จนกว าจะหมดการบรรยายแห งภาคนี้ , และในวั น นี้ จ ะได ก ล าวโดยหั วข อ ย อ ย แยกออกไปว า ก ข ก กา เกี่ ย วกั บ การถึ ง พระรัตนตรัย.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ท า นทั้ ง หลายที่ เ คยได ฟ ง มาแต ต น ก็ จ ะทราบได ว า ได ก ล า วแต เ รื่ อ ง ก ข ก กา กั นไปเสี ยทั้ งนั้ น อย างน ารํ าคาญ แต ถ าสั งเกตดู ให ดี ก็ จะพบว า ได กล าว ถึ งธรรมะนั้ น ๆ ที่ ตั้ งอยู ในลั กษณะแห งความเป น ก ข ก กา นั้ น ต างกั น เป น ชั้ น ๆ , เปน เรื ่อ ง ๆ ไป. แตสํ า หรับ ผู ที ่ไ มเ คยฟง มากอ น เพิ ่ง มาฟง ในครั ้ง นี ้ ก็ย อ ม จะฉงน

๓๕๔


ก ข ก กา เกี่ยวกับการถึงพระรัตนตรัย

๓๕๕

บ างเป นธรรมดา มั นเป นเรื่องที่ ไม อาจจะช วยได เพราะเป นการบรรยายชุ ดใหญ ติ ด ต อกั นมาตามลํ าดั บ. แต ถึ งอย างไรก็ ยั งขอทบทวนข อความบางอย าง เพื่ อให ติ ดต อ กันไป และเพื่อประโยชนแกบุคคลบางคนผูเผชิญไดมาฟงในครั้งนี้เปนครั้งแรก. [ทบทวน.]

ที่เราเรียกวา ก ข ก กา สําหรับพุทธบริษัทนั้น หมายถึงพุทธบริษัท สมั ย นี ้ ซึ ่ ง มี ก ารศึ ก ษาที ่ ฟ  น เฝ อ ; มากก็ จ ริ ง แต ย ั ง ฟ  น เฟ อ จนถึ ง กั บ ว า เรื ่อ งที ่เ ปน ชั ้น ก ข ก กา หรือ ชั ้น ตน ชั ้น ต่ํ า ที ่ส ุด ก็เ ขา ใจไมไ ด และยัง ฟ น เฝอ . ดั งนั้ นเราจึ งต องหยิ บเรื่องนี้ ขึ้ นมาสะสางกั นเสี ยใหม กลายเป นการทํ าสั งคายนาเรื่อง ก ข ก กา ; ถ า ไม ทํ า อย า งนี้ มั น จะทํ า ให เรากลายเป น พุ ท ธบริษั ท หรือ เป น ชาววั ด ที่ หั วหงอกเปล า ๆ, คื อ ว าเป น ชาววั ด กั น มาจนหั วหงอก แต ไม มี ค วามรู ส มกั น กั บ ที่ เป นคนแก หั วหงอก. ฉะนั้ นอย าได รั งเกี ยจว า จะต องมาเรียน ก ข ก กา กั นทั้ งที่ หั ว หงอกแล ว, ทั้ งนี้ ก็ เพราะว า ก ข ก กา ในความหมายนี้ มั น มี ห ลายระดั บ มี ได ทุ ก ระดับ ของบุค คลหรือ ของธรรมะ, หรือ มีไดทั้ง ระดับ ศีล ธรรม และปรมัต ถธรรม หรือที่ทานทั้งหลายมักจะเรียกกันวา ระดับโลกิยธรรม และระดับโลกุตตระธรรม.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ าจะดู ที่ ตั วบุ ค คลโดยตรง ก็ จ ะพบว า บุ ค คลแต ล ะชั้ น แต ล ะพวก ก็ มี การตั้ งต น ของตน ๆ ให เหมาะแก ส ถานะแห งจิ ต ใจของตนด ว ยกั น ทุ ก พวก ; ถ า จะ แยกกั น เป น พวกบุ ถุ ช นฝ า ยหนึ่ ง กั บ พวกอริ ย เจ า อี ก ฝ า ยหนึ่ ง เป น สองฝ า ยแล ว มันก็ยังผิดแผกแตกตางกันหลายระดับ ในฝายหนึ่งอีกนั่นเอง. เป น พ ว ก บุ ถุ ช น ก็ ยั ง แ ย ก อ อ ก ไป ได เป น อ ย า งน อ ย สั ก ๓ พ ว ก : คื อ เป น บุ ถุ ช นชั้ น ที่ อ อ นมาก, หรื อ ว า ชั้ น อั น ธพาล เรี ย กว า พาลบุ ถุ ช นนี้ ก็ มี , อยู ใ น


๓๕๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ระดั บ กลาง ๆ จะเรีย กว าบุ ถุ ช นเฉย ๆ นี้ ก็ มี , เป น บุ ถุ ช นชั้ น ดี เรีย กวากั ล ยาณ บุ ถุ ช น. ถ า ไปแยกดี ม ากดี น อ ย แล ว ก็ ยิ่ ง มากชั้ น ออกไป, จะแยกเป น พาลมาก เป น พาลน อ ย มั น ก็ ยิ่ ง มากชั้ น ออกไป, ฉะนั้ น เอาแต สั ก ๓ ชั้ น ก็ พ อแล ว ว า เป น พาลบุ ถุ ช น นี้ ก็ ต่ํ า ที่ สุ ด แล ว เป น บุ ถุ ช นเฉย ๆ ก็ คื อ บุ ถุ ช นกลาง ๆ ทั่ ว ๆ ไป แล ว ก็ บุ ถุ ช นชั้ น ดี ทั้ ง ๓ พวกนี้ ก็ มี ก ข ก กา ของตนโดยเฉพาะ. คื อ การที่ เขาจะ ตั้งตนศึกษา และปฏิบัติของตนอยางไร. ที่ แ ปลกไปกว า นั้ น ที่ ค นโตมากจะไม ย อมรั บ ไม ย อมเข า ใจด ว ยก็ ไ ด นั้นคืออาตมายังกลาววา แมในพระอริยเจาหลาย ๆ พวกนั้น ก็มี ก ข ก กา ของ ตนเอง เช น เดี ย วกั บ บุ ถุ ช นจะต อ ง ก ข ก กา มี ข องตน ๆ ตามพวกเป น ลํ า ดั บ ไป เพื่ อให มั นดี ขึ้ น จนเปลี่ ยนพวก ก ข ก กา ของพระโสดาบั นมี อยู อย างไร ก็ ได กล าว มาแล ว โดยละเอี ย ด ในการบรรยายครั้ งหนึ่ ง ซึ่ ง เรี ย กว า ก ข ก กา เพื่ อ นิ พ พาน. ครั้ นเป นพระโสดาบั นแล ว ท านก็ จะต องกระทํ าต อไป เพื่ อความเป นพระสกิ ทาคามี เป น ต น . อั น นี้ อ ยากจะกล า วว า มั น เหมื อ นกั บ การตั้ ง ต น เรี ย นชั้ น ต อ ไป คื อ เรี ย น ก ข ก กา สํ าหรั บชั้ นต อไป ทํ าอย างนี้ เรื่ อยไป จนกว าจะเป นพระอรหั นต จึ งจะจบ เรื่อง.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ แ หละเป น เหตุ ใ ห มี สิ่ ง ที่ เข า จะต อ งตั้ ง ต น ต า งกั น เป น พวก ๆ ไป ตั้ ง หลายพวกอย า งนี้ ; นี้ ก็ เรี ย กว า ก ข ก กา ของคนพวกหนึ่ ง ๆ มี ไ ด ห ลายระดั บ มี ได ทุ ก ระดั บ ของบุ ค คล ทั้ งประเภทที่ เป น โลกิ ย ะหรื อ โลกุ ต ตระ คื อ เป น บุ ถุ ช นหรื อ เปนพระอริยเจา.


ก ข ก กา เกี่ยวกับการถึงพระรัตนตรัย

๓๕๗

ทีนี้ปญหามันมีวา เราสมัยนี้เรียนกาวกายกันอยางฟนเฝอ, แลวไม เคยปฏิบั ติใหเสร็จ เปนเรื่อง ๆ ไป หรือเปนชั้น ๆ ไป ; เพราะวาเรามันละโมบ ต อ การที่ จะรู หรื อ อยากจะอวดดี มากกว าที่ จะปฏิ บั ติ ให ได ผ ลจริง ๆ ข อ นี้ เป น เหตุ ให ฟ น เฝ อ สั บ สนกั น ไปหมด จนต อ งสะสางกั น ใหม จึ งทํ าให อ าตมาเห็ น ว า ชั กชวน กั นมาเรี ยก ก ข ก กา กั นใหม เป นพวก ๆ ไป เลยเรี ยกการบรรยายชุ ดนี้ ว า ก ข ก กา สําหรับพุทธบริษัทจะตองสนใจ. [เริ่มการบรรยายครั้งนี้.]

สํ า หรับ ในวัน นี ้ ที ่ใ หห ัว ขอ ยอ ยแยกออกมานั ้น แยกออกมาเรีย กวา ก ข ก กา เกี่ยวกับการถึงพระรัตนตรัย นี้ก็ยังเปนปญหา คือจะไมเขาใจไดทันที. การถึ งพระรัต นตรัย นี้ เรียกกั น วา สรณคมน ; ทุ กคนถาเคยมาวัด ก็ จะได ยิน คํ า ว า สรณาคมน รั บ สรณาคมน . สมั ย ก อ น ๆ ยั ง พู ด กั น มากกว า สมั ย นี้ ด ว ยซ้ํ า ไป ถึ งคํ าวาสรณาคมน คอยระวังไม ให สรณาคมน ของตนขาด, คอยเตื อนซึ่งกั นและกั น ว าอย าทํ าให สรณาคมน ขาด, เดี๋ ยวนี้ ก็ ชั กจะอ อนไปเลื อนไป ไม ค อยจะพู ดถึ ง แต ถึ ง อยางนั้นสิ่งนี้ก็ยังมีอยู ยังเปนปญหาอยู.

www.buddhadasa.in.th ถึงพระรัตนตรัยมีไดทั้งในขั้นศีลธรรมและปรมัตถ. www.buddhadasa.org การถึ งพระรั ตนตรั ย รั บเอาพระรั ตนตรั ยมาเป นที่ พึ่ งนี้ คนทั่ วไปก็ คิ ดว า เป น เรื่ อ งเบื้ อ งต น สมกั บ ที่ จ ะเป น ก ข ก กา จริ ง . แต ในที่ นี้ อ ยากจะบอกให ท ราบ วาการถึงพระรัตนตรัยนั้นมีหลายชั้น ไมใชวาจะมีแตชั้นจับตัวมาใหวาสรณาคมน มั น ยั งมี อี ก หลายชั้ น แล วมั น ยั งมี ป ญ หาซั บ ซ อ นอยู ในนั้ น หลายอย างด วยกั น , ซึ่ ง


๓๕๘

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ถ าเรามองดู ให ดี แ ล ว จะเห็ น ว า มั น มี อ ยู ห ลายขั้ น คื อ ถึ ง มากถึ งน อ ย นั้ น ก็ มี , หรื อ ว า ถึ ง อย า งจริ ง และถึ ง อย า งไม จ ริ ง นั้ น ก็ มี , จนกระทั่ ง บรรลุ ม รรค ผล แล ว ก็ ยั ง กล า วได ว า เป น การถึ ง พระรั ต นตรั ย ในลั ก ษณะใดลั ก ษณะหนึ่ ง ที่ ลึ ก ซึ้ ง ยิ่ ง ขึ้ น ไป ถ า มองดู กั น ตามนั ย ะอั น นี้ แ ล ว การถึ ง พระรั ต นตรั ย นั้ น ไม ใ ช เป น เรื่ อ ง ก ข ก กา ชั้นเด็กอมมือ คือขั้นที่แรกเรียน, ขอใหฟงดูใหดีตอไปอีกครั้งหนึ่ง. ขอให ท านผู ฟ งที่ เคยฟ งมาแล วบางท าน ทบทวนถึ งการบรรยายบางครั้ ง ที ่แ ลว มา ซึ ่ง มีอ ยู ค รั ้ง หนึ ่ง ซึ ่ง ไดเ นน ใหเ ห็น ชัด เจนวา การถึง พระรัต นตรัย นั ้น มี ทั้ ง ชนิ ด ศี ล ธรรมและชั้ น ปรมั ต ถธรรม ; หมายความว า ในชั้ น ภาษาคน หรื อ ชั้ น การประพฤติป ฏิบ ัต ิชั ้น สามัญ ทั ่ว ๆ ไป นี ้ก ็ม ีก ารถึง พระรัต นตรัย แลว , และแม ในชั ้น ที ่ส ูง สุด ลึก ซึ ้ง สํ า หรับ ผู ม ีส ติป ญ ญา ก็ย ัง มีก ารถึง พระรัต นตรัย เรีย กวา ในขั้นปรมัตถธรรม. ทํ า ไมจึ ง เป น อย า งนี้ ? ทั้ ง นี้ ก็ เพราะว า สิ่ ง ที่ เรี ย กว า พระรั ต นตรั ย นั้ น ก็ม ีห ล าย ระ ดับ นั ่น เอ ง. ที ่แ รก เรีย น แ รก ฟง ห รือ ส ะ พ รา ก็จ ะ มีค วาม รู ความเข า ใจอย า งคร า ว ๆ ว า พระรั ต นตรั ย ก็ คื อ พระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ เท า นั้ น เอง, แล ว เขาก็ คิ ด ว า เมื่ อ ได อ อกวาจาว า พุ ท ธั ง สรณั ง คั จ ฉามิ เป น ต น จนจบไปแล ว เขาก็ มี พ ระรั ต นตรั ย คื อ พระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ . อาตมาคิ ด ว า คงจะเป น อย า งนี้ กั น โดยมาก จึ ง ได เ ห็ น ว า พระรั ต นตรั ย นั้ น มี เ พี ย งเท า นั้ น ; สํ า หรั บ ผู ที่ ตั้ ง ใจจริ ง จะให ไ ด รั บ ประโยชน จ ริ ง ๆ เป น ผู ที่ อ ยากจะถึ ง ความจริ ง ยั ง จะต อ งคิ ด อี ก มาก ; เพราะว า สิ่ ง ที่ เรี ย กว า พระรั ต นตรั ย นั้ น มี อ ยู ห ลายระดั บ .

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


ก ข ก กา เกี่ยวกับการถึงพระรัตนตรัย

๓๕๙

จะยกตัวอยาง เชน พระพุทธเจา. พระพุ ทธเจาทานตรัสวา ผูใดเห็ น ธรรม ผูนั้นเห็นเรา, ผูใดไมเห็นธรรม ผูนั้นไมเห็นเรา, แมวาผูนั้นจะนั่งชิดกัน อยู ถึงขนาดจับจีวรของพระองคไว ผูนั้นก็ชื่อวาไมเห็นเรา คือเห็นพระตถาคต. ส ว นผู ที่ เห็ น ธรรม แม จ ะไม เคยเห็ น รู ป ร า งเนื้ อ ตั ว ของพระองค ยั ง ได ชื่ อ ว า ได เห็ น พระตถาคต ; เพียงเทา นี้ก็พ อจะบอกใหท ราบไดแ ลววา พระพุท ธเจา อยางนอ ย ก็มีสองความหมายเสียแลว คือรูปรางของทาน เนื้อตัวของทานนั้นก็มีความหมาย หนึ่ ง จะถึ งท านเป น ที่ พึ่ งได อย างไร, ที นี้ อี ก ความหมายหนึ่ ง ก็ คื อธรรมหรือ ธรรมะ ที่ มี อ ยู ใ นพระหฤทั ย ของท า น หรื อ เป น คุ ณ สมบั ติ แ ห ง การดั บ ทุ ก ข ได สิ้ น เชิ ง ของ ท า นมั น ไม มี รูป ร า งอย า งนี้ . นี้ ก็ เป น พระพุ ท ธเจ า หรือ ว า เป น พระตถาคตอี ก ระดั บ หนึ่ง. เมื่อนึกถึงพระพุทธภาษิต อีกแหงหนึ่ง ซึ่งมีวา ผูใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผูนั้นชื่อวาเห็นธรรม, ผูใดเห็นธรรม ผูนั้นยอมเห็นปฏิจจสมุปบาท, ผูใดเห็น ปฏิจจสมุปบาท ผูนั้นเห็นธรรม ผูใดเห็นธรรมผูนั้นเห็นตถาคต. หมายความวา ผูที่จะเห็นพระตถาคตจริง ๆ นั้น ตองเห็นปฏิจจสมุปบาท คือเห็นอาการที่ความ ทุก ขเ กิด ขึ้น จริง ๆ , และเห็น อาการที่ค วามทุก ขดับ ลงไปโดยสิ้น เชิง จริง ๆ. ทีนี ้ก ารที ่จ ะเห็น จริง นั ้น มัน เห็น ที ่อื ่น ไมไ ด. นอกจากเห็น ในตัว เอง, ในตัว ของผู นั ้น เอง. ฉะนั ้น เขาเห็น ปฏิจ จสมุป บาทในตัว ของผู นั ้น เอง ก็ค ือ เห็น ธรรม ในตัว ของเขาเอง, ก็คือ เห็น พระพุท ธเจา หรือ เห็น พระตถาคตในตัว ของเขา เอง. นี้ ผู ใ ดกํ า ลั ง เป น อย า งนี้ บ า ง ? ผู ใ ดกํ า ลั ง เห็ น แจ ง ปฏิ จ จสมุ ป บาทในตั ว เอง อยางนี้บาง นี้มันจะมีปญหาเกิดขึ้นอยางนี้.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org พระพุท ธเจา ก็ม ีห ลายระดับ อยา งนี ้ ; ถา เปน พระพุท ธเจา สํ า หรับ ลูกเด็ก ๆ เล็ก ๆ แลว ก็จะเอาตัวบุคคลนั้นแหละเปนหลัก, เมื่อบุคคลนั้นไมได


๓๖๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

มีอ ยู  ก็เ อาพระพุท ธรูป เปน หลัก , บางทีก ็เ อาพระธาตุเ ปน หลัก หรือ แลว แต วาจะเอาอะไรตามความเข าใจของเขาวานี้ เป นพระพุ ทธเจ า, นี้ ก็ มี อยู เป นชั้ น ๆ ด วย เหมือ นกัน . ในทางวัต ถุภ ายนอกก็ม ีห ลายชั ้น ในทางจิต ใจภายในก็ม ีห ลายชั ้น เพราะว า การเห็ น ธรรมนั้ น มั น ต า งกั น ไม ใ ช ร ะดั บ เดี ย วกั น ; เพราะฉะนั้ น พระ พุทธเจาจึงมีหลายระดับอยางนี้. นี้ พ ระธรรมก็ เหมื อ นกั น ไม ผิ ด แปลกอะไรกั น คื อ พระธรรมมี ห ลาย ระดับ ธรรมะชั ้น ไหนที ่ว า เห็น แลว ไดชื ่อ วา เห็น พระพุท ธเจา นั ้น ก็เ ปน ระดับ เดี ยวกั น กั บ พระพุ ท ธเจ า หรื อ เป น สิ่ งเดี ยวกั น กั บ พระพุ ท ธเจ า ; แต ก็ ยั งมี พ ระธรรม ที่ ต่ํ า ลงไปจากนั้ น อี ก ก็ จ ะเห็ น พระธรรมชนิ ด ที่ เป น เพี ย งพระพุ ท ธเจ า องค น อ ย ๆ ยังไมโตยังไมสมบูรณ. นี้ ก ารที่ จ ะเห็ น พระสงฆ ก็ มี ห ลายระดั บ ; อย า งที่ ท า นทั้ ง หลายก็ ทราบ และทองกันอยูวา พระสงฆ ๔ คู ๘ พระองค คือโสดาบันปตติมรรค โสดา ป ต ติ ผ ล, สกิ ท าคามิ ม รรค สกิ ท าคามิ ผ ล, อนาคามิ ม รรค อนาคามิ ผ ล, อรหั ต ต มรรค อรหั ต ตผล, นั บ เป น ๔ คู ๘ พระองค อย างน อ ยก็ ๔ ระดั บ หรื อ ๘ ระดั บ อยู แ ลว . แลว ยัง มีผู ที ่กํ า ลัง พยายามปฏิบ ัต ิเ พื ่อ เปน พระโสดาบัน นี ้ก ็จ ัด เปน พระสงฆ , แลวแม ผูที่เราเรียกกันวา สมมุ ติ สงฆ คือยังไมมี การปฏิบั ติที่ มุงตรงไปยัง พระนิ พ พานอย า งนี้ ก็ ยั ง เรี ย กว า พระสงฆ อ ยู นั่ น เอง; จึ ง มี พ ระสงฆ โดยอนุ โลม บ า ง, มี พ ระสงฆ แ ท จ ริ งบ าง ซึ่ งทั้ ง สองพวกนี้ ก็ ยั งมี ห ลายระดั บ ในฝ ายหนึ่ ง เช น พระอริยสงฆที่แทจริงก็ยังมีตั้ง ๔ พระ ๘ คูองค ก็มีหลายระดับ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


ก ข ก กา เกี่ยวกับการถึงพระรัตนตรัย

๓๖๑

พระรัตนตรัยก็มีหลายระดับ ฉะนั้น การถึงพระรัตนตรัยก็ตองหลาย ระดับ . นี ้เ ราก็ท บทวนดูต ัว เราเองก็แ ลว กัน วา เดี ๋ย วนี ้เ องนั ่น แหละ ซึ ่ง รู จ ัก ตัวเอง รูจักจิตใจของตัวเองดี วากําลังถึงพระรัตนตรัยในระดับไหน ? มันจะ เป น ก ข ก กา กี่ ม ากน อ ย ? จะเป น ก ข ก กา ของเด็ ก ชั้ น อนุ บ าลหรื อ ว าชั้ น ที่ สู ง ขึ้นไปกวานี่จะตองทําสังคายนา. ที นี้ ที่ ว าจะแยกออกเป นเพี ยงสองฝ าย ให มั นศึ กษาง าย คื อฝ ายศี ลธรรม และฝ า ยปรมั ต ถธรรม, เพี ย งสองฝ า ย ก็ จ ะพอเห็ น ได ง า ยขึ้ น ไปอี ก ว า เอากั น ทาง ฝายศีลธรรมสําหรับปฏิบัติของบุคคลทั่วไป เปนชาวไร ชาวนา ชาวปา ชาวสวน อะไร ก็ มี การถื อพระรัต นตรัยในลั กษณะอย างนั้ น. รูจั กพระรัตนตรัยแต ในลั กษณะ อย า งนั้ น นี้ เป น ชั้ น ศี ล ธรรม ; เช น แล ว แต จ ะได ยิ น ได ฟ ง มาว า พระพุ ท ธเจ า เป น บุ ค คลชนิ ด ไร แล ว การถึ ง พระรั ต นตรั ย นั้ น ก็ ไ ปรั บ สรณ าคมน พุ ท ธั ง สรณั ง คัจฉามิ เป นต น, แลวก็ เป นอั นวาเป นการถึง เสร็จแล วก็ รักษาระเบี ยบปฏิ บั ติ ต าง ๆ, สํ าหรับผู ที่ เป นพุ ทธมามกะ หรือเป นอุ บาสกอุ บาสิ กา จะพึ งระวั งรักษาไว เป นอย างดี นี้ก็เรียกวาถึงพระรัตนตรัยในขั้นศีลธรรม.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แตถ า เปน ในขั ้น ปรมัต ถธรรมแลว ยัง ไปไกลกวา นั ้น คือ จะตอ ง รู จ ัก พระพุท ธ พระธรรม พระสงฆ ที ่แ ทจ ริง ที ่ล ึก ซึ ้ง ที ่เ ปน พระองคจ ริง ขนาดที ่ต รัส วา "ผู ใ ดเห็น ธรรมผู นั ้น เห็น เรา ผู ใ ดเห็น เราผู นั ้น เห็น ธรรม ผู ใ ด เห็น ปฏิจ จสมุป บาทผู นั ้น เห็น ธรรม ผู ใ ดเห็น ธรรมผู นั ้น เห็น ปฏิจ จสมุป บาท" อยา งนี ้เ ปน ตน . กระทั ่ง เห็น พระรัต นตรัย ที ่ส ูง ยิ ่ง ขึ ้น ไป ในความหมายแหง ความเปนอนัตตา สุญญตา ในที่สุด อยางนี้ก็ยังมี.


๓๖๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

นี ่ก ารถึง พระรัต นตรัย จึง มีไ ดห ลายระดับ อยา งนอ ยก็ใ หเ ปน สัก ๒ ประเภท คือ ประเภทศีลธรรม และ ประเภทปรมัตถธรรม. ทีนี ้อ ยากจะขอใหท ุก คน สอบสวนดูก ารถึง พระรัต นตรัย ของตน อี ก ครั้ ง หนึ่ ง ว า เป น การถึ ง พระรั ต นตรั ย ขั้ น ศี ล ธรรม หรื อ ขั้ น ปรมั ต ถธรรม. ถ า เปน ขั้น ศีล ธรรม ก็เ ปน สิ่ที่ขึ ้น อยู ก ับ ศรัท ธา ถา เปน ขั ้น ปรมัต ถธรรม ก็ยอ ม ขึ้น อยู กับ ปญ ญา แตก็ม ีทั ้ง ศรัท ธาทั ้ง ปญ ญาเจือ กัน . หากแตวา ขั ้น ศีล ธรรม นั้น ศรัท ธาออกหนา ในขั้น ปรมัต ถธรรมนั ้น ปญ ญาออกหนา . ไปพิจ ารณาดู พระรั ตนตรัยของตน ๆ ดู ด วยกั น ทุ กคนเถิ ด ก็ จะเข าใจคํ าที่ ว า การถึ งพระรั ตนตรั ย นั้น มีเปนขั้น ๆ หรือเปน ๒ ประเภทอยางนี้. นี้ มี ความเป น ก ข ก กา อยู ที่ ไหน ก็ จะได พิ จารณากั นดู ต อไป ก ข ก กา ชนิ ด ที่ ว าลากตั ว มาวั ด สอนให ว า พุ ท ธั ง สรณั ง คั จ ฉามิ นี้ มั น ก็ เป น ก ข ก กา ชั้ นที่ ต่ํ าที่ สุ ด. ที นี้ แม จะรูจั กธรรมะมากขึ้ นไปกว านั้ น มั นก็ ยั งเป น ก ข ก กา อยู อี ก นั่ น เอง ; เพราะว า ได เลื่ อ นชั้ น เขยิ บ ออกไปทุ ก ที ไปที่ จุ ด ตั้ ง ต น ในระดั บ ที่ สู ง ขึ้ น ไป ทุก ที. ฉะนั ้น ไปแตะเขา ที ่ต รงไหน มัน ก็เ ปน ก ข ก กา ที ่ต รงนั ้น เพราะวา ตอ ง ตั้ ง ต น ใหม เหมื อ นกั บ คนที่ เรี ย นแล ว เลื่ อ นชั้ น นี้ เลื่ อ นชั้ น กั น อย า งไร ก็ จ ะพู ด ถึ ง กันตอไป.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อาการที่เขาถึงพระรัตนตรัย. ที นี้ จะพู ดถึ งสิ่ งซึ่ งอาตมาจะขอพู ดซ้ํ า ๆ อย างไม เบื่ อหน าย เกี่ ยวกั บเรื่ อง นี้ ได เคยพู ด มาหลายครั้ ง แล ว ก็ ยั ง จะพู ด อี ก , คื อ ว า การถึ ง พระรั ต นตรั ย นั้ น


ก ข ก กา เกี่ยวกับการถึงพระรัตนตรัย

๓๖๓

เมื่ อ พู ด ถึ ง กิ ริ ย าอาการที่ ถึ ง แล ว ก็ จ ะแบ ง ออกเป น สั ก ๓ ระดั บ คื อ ถึ ง ด ว ยการ ถือ อยา งหนึ ่ง , แลว ถึง ดว ยการถึง จริง ๆ นี ้อ ยา งหนึ ่ง , แลว ถึง ดว ยการ เปนเสียเอง นี้อยางหนึ่ง. สรณาคมน แปลวา มาสูสรณะ. ทีนี้มันไมรูวาอยูที่ไหน ? มันก็ตองรับ เอาที่ เขาบอกให ไว ที ก อ น เอามาถื อ ไว ก อ น ตามที่ เขาว า นี้ เรี ย กว า เป น การถื อ ; เชน นับ ถือ พระพุท ธ พระธรรม พระสงฆ ยัง ไมท ัน จะทราบเรื ่อ งราวอะไร การรับ ถือ ของคนเขา มาใหม หรือ คนใหมต อ ศาสนา จะเขา มาถือ ศาสนานี ้ย ัง ไมถึง หัว ใจของพุท ธศาสนา. ดัง นั้น จึง เรีย กวา ถือ ไปกอ น รับ ถือ ไวกอ น ยัง ไม เขา ถึง หัว ใจ ; นี ้เรีย กวา การถือ ก็ถือ กัน ดว ยสมาทานดว ยวาจา แลว ก็ตั ้ง ใจ จะทําตามนั้น, ดู ๆ มันก็เปนพิธีอยูมาก เปนระเบียบหรือพิธีเทานั้นเอง. คนนั้ น จะพยายาม ให มี ค วามรู ค วามเข า ใจ ให มี ค วามจริ ง จั ง ในการ ถื อนั้ นให มากขึ้ น คื อพยายามศึ กษาค นคว าไม หยุ ดหย อน ให ได รับประโยชน ให ได รับ ผล แหง การถือ ประจัก ษแ กใ จของตน ๆ. ตอ มาก็เ ลื ่อ นชั ้น ขึ ้น มาเปน การ ถึ ง . การถื อ นั ้ น ถื อ ด ว ยพิ ธ ี ก ็ ไ ด , สมาทานด ว ยวาจาก็ ไ ด ; แต ก ารถึ ง นั ้ น ทํ า อย า งนั้ น ไม ไ ด เพราะมั น เลื่ อ นชั้ น ขึ้ น มาแล ว มั น เป น การถึ ง ด ว ยสติ ป ญ ญา ด ว ยความรูสึ ก , มี ค วามรูวาพระรัต นตรัยเป น อยางไรมากขึ้น , แล วก็รูสึก ต อ ความ รูสึ ก ที่ ว า ถ า เรามี ก ารถึ ง พระรั ต นตรั ย แล ว มั น มี ผ ลอย า งไร เช น ว า เป น ความสงบ สุข อยา งไร. หรือ แมแ ตเ พีย งเราเขา ใจ ในสิ ่ง ที ่เ รีย กวา พระพุท ธ พระธรรม พระสงฆ เต็มที่เทานั้น ในจิตใจของเราก็รูสึกเปลี่ยนไปอยางไร ก็จะตองรูดวย ; นี้เรียกวามันเลื่อนขึ้นมาเปนการถึง.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


๓๖๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

แล ว การถึ ง นี้ เป น ไปหนั ก เข า ๆ มั น ก็ ขึ้ น ไปเป น ชั้ น ดี ชั้ น ที่ เ ป น พระ อริ ย เจ า อริ ย สาวก อริ ย เจ า ในที่ สุ ด คื อ เป น พระอรหั น ต แ ล ว นั้ น ก็ ไ ด ก ลายเป น พระรัต นตรัย เสีย เอง, คือ วา พระอรหัน ตนั ้น มีส ภาพแหง จิต ใจเหมือ นกัน กับ พระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ หรือ เป น ความหมายของคํ าว า พระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ อยู อ ย า งครบถ ว น, มี พ ระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ เป น เนื้ อ เป น ตั ว ของท า นไปเลย. นี้ จึ ง เรี ย กว า ถึ ง พระรั ต นตรั ย ด ว ยการเป น เสี ย เอง. นี้ ห มาย ความว าจิ ต ใจ วิ ญ ญาณ อะไรต าง ๆ ของท าน มั น เป น เหมื อ นพระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ เสียเอง. การถึ งพระรั ต นตรั ย เราดู กั น ให กว างขวางทั่ วไปแล ว จะแบ งได เป น ๓ ชั้นอยางนี้ คื อ ถื อ ด ว ยศรัท ธา ดวยการสมาทาน ด วยการประกอบพิ ธี นี้ ก็ อ ยาง หนึ่ ง, แล วการถึ งด วยสติ ป ญ ญา ด วยความรูสึ ก นี้ ก็ อ ย างหนึ่ ง , แล วก็ ถึ งจริ ง ๆ คื อ เป น เสี ย เอง เป น พระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ เสี ย เอง ทั้ ง เนื้ อ ทั้ ง ตั ว นี้ ก็ อยางหนึ่ง.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ ข อพู ด ซ้ํ า ในที่ นี้ อี ก แล ว ก็ จ ะพู ด อี ก ไม มี ค วามกลั ว ว า ใครจะเบื่ อ ; เพราะว านี้ มั นเป น ก ข ก กา อยู ในทุ กระดั บ, เรี ยน ก ข ก กา สํ าหรั บ ถื อ, ครั้ นได ถื อ แล ว ก็ เรี ย น ก ข ก กา สํ าหรั บ ถึ ง, ครั้ น ถึ งแล วก็ เรี ย น ก ข ก กา สํ าหรั บ ที่ จ ะ เปนเสียเอง มันเลยมี ก ก ข กา ดักหนาอยูเรื่อยไป. การบรรยายโดยละเอี ย ดเกี่ ย วกั บ คํ า ๓ คํ า นี้ มี อ ยู แ ล ว ในการ บรรยายชุดที่เรียกวา โอสาเรตัพพธรรม, คือปแรก ๆ ของการบรรยายวันเสารที่ นี่ .ฉะนั้ น ถ า เมื่ อ มี ก ารพิ ม พ อ อกมาแล ว ก็ ข อให ศึ ก ษาดู อ ย า งละเอี ย ดที่ นั่ น . ในที่ นี้


ก ข ก กา เกี่ยวกับการถึงพระรัตนตรัย

๓๖๕

ต อ งการแต เพี ย งจะเตื อ นซ้ํ า ๆ หรื อ ย้ํ า ๆ อยู เสมอว า ระวั งให ดี อย าให มั น เป น เรื่ อ ง หลั บ หู ห ลั บ ตาเหมา ๆ กั น ไป โดยไม รู ว าอะไร. ให รู จั ก แยกให เห็ น ชั ด เป น ชั้ น ๆ ว า มั น เป น การถื อ เป น การถึ ง แล ว มั น การเป น เสี ย เองเลย อย า งนี ้ . อย า งนี้ เปนอยางนอย.

ลักษณะบุคคลที่ถือและถึงพระรัตนตรัย. ที นี้ จะให เห็ น ความเป น ก ข ก กา ในการถึ งพระรั ต นตรั ยให ชั ด ยิ่ งขึ้ น ไป อีก ก็จ ะไดชี้ใ หเ ห็น ลัก ษณะแหง บุค คล ที ่เ ขา มาเกี ่ย วขอ งกับ พระรัต นตรัย ที่มีกันอยูเปนชั้น ๆ . เมื่ อ จะจํ า แนกโดยบุ ค คล ก็ ข อให ม องดู ใ ห ไ กลไปทางข า งต น , แล ว จึ ง ค อยมองดู ให ไกลไปทางข างปลาย ว าบุ คคลที่ จะเข ามารับนั บถื อพระรั ตนตรั ยนั้ น ก็ ยั ง มีอ ยู เ ปน หลายชนิด หลายอยา ง ; เชน พวกที ่ถ ือ ที ่พึ ่ง อยา งอื ่น มากอ น นี ้ก ็พ วก หนึ ่ง , พวกที ่ไ มถ ือ ที ่พึ ่ง อะไรเลยมากอ น นี ้ก ็พ วกหนึ ่ง , แลว พวกที ่เ ปน ชาว พุท ธโดยกํ า เนิด หรือ โดยทะเบีย น นี ้ก ็พ วกหนึ ่ง . เอามาพูด พรอ ม ๆ กัน เพราะ วามันไมคอยจะตางกันนัก.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ในชั ้น แรก คนที ่ถ ือ ลัท ธิอ ยา งอื ่น มากอ น ถือ ผีถ ือ สางเชื ่อ เทวดา เชื่ อ อะไรต าง ๆ มาอย างเต็ ม ที่ ก อ น แล วจะมาเปลี่ ย นเป น ถื อ พระรั ต นตรั ย นี้ มั น ก็ มี อยู พ วกหนึ่ ง . นี้ บ างคนมี จิ ต ใจเป น อิ ส ระ ไม เ ชื่ อ ไม ถื อ อะไรมาก อ นเลย ; เพราะ วา เขามั น เกิ ด มาในตระกู ล ที่ เป น อย างนั้ น , หรือ ว า เขามั น อุ ต ริเกิ ด ไม เชื่ อ ขึ้ น มาเอง


๓๖๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ก็ไ ด นี ่ค นพวกนี ้ไ มถ ือ อะไร ไมเ ชื ่อ อะไร ไมย อมรับ ฟง อะไรดว ยซ้ํ า ไป นี ้ม า กอนก็พวกหนึ่ง สองพวกนี้มันก็เหมือนกันไมได เห็นอยูไดชัดแลว. การที่จะเขามาถือพระรัตนตรัยนี้ มันก็ตองมองเห็นวา พระรัตน – ตรัยดีกวาสิ่งที่เขาถืออยูกอน ; เชน ถือผี ถือสาง ถืออะไรตาง ๆ นี้ พอมาไดยิน ไดฟ ง เรื ่อ งพระรัต นตรัย ก็เ ลยชอบใจ จึง สลัด สิ ่ง ที ่เ คยถือ อยู แ ตก อ นนั ้น ออกไป มารั บ ถื อ ใหม อ ย า งนี้ . ถ า ไม อ ย า งนั้ น แล ว เขาก็ ไม ย อมถื อ แน คื อ ไม ย อมเปลี่ ย น. ถา พวกที่ไ มถือ อะไรมากอ น ก็เผชิญ วาเขามาเห็น วา นี้แ หละมัน ดีแ น ดีก วา ไม ถื อ อะไรเลย แล ว น า ถื อ ที่ สุ ด . ถ า เขาเป น คนที่ มี ส ติ ป ญ ญา อย า งนั ก คิ ด นั ก วิทยาศาสตรนี้ ถาเขาเขาใจได เขาก็จะถือทันที แมวาเขาจะไมเคยถืออะไรมากอน. แต แ ล ว มั น ก็ ไม ได ห มายความว า จะเป น เหมื อ นกั น ไปหมด ; มั น มี ค น ดื้ อ ดึ งมั น มี ค นงมงาย หรือว าบางที ก็ เข ามาถื อ , รับ ถื อ เอาด วยความงมงายก็ มี คน ที่ ไม ถื อ อะไรมาก อ น หรือ ว า ถื อ อะไรมาก อ นแล ว ก็ ต าม เปลี่ ย นมาถื อ พุ ท ธศาสนา อยางงมงายก็มี ; ทั้งนี้เพราะวามันยังมีคนอีกพวกหนึ่งเป น ชาวพุ ท ธมาแตกําเนิ ด คือ บิด ามารดาเปน ชาวพุท ธ เกิด มาในบา นเรือ นแหง ชาวพุท ธ จดทะเบีย นก็ ว า เป น ชาวพุ ท ธ. แต แ ล ว ก็ ไ ม รู  จ ั ก พระรั ต นตรั ย นี ้ ก ็ ย ั ง มี อ ยู  ; นั ่ น ก็ ต  อ ง ถื อ ว า เป น พวกที่ ยั งงมงาย อยู เหมื อ นกั น มั น ก็ จ ะต อ งตั้ งต น เหมื อ นกั บ ผู ที่ ไม ได ถื ออะไรมาก อนเลยก็ ได , หรืออาจจะไปเหมื อนกั บผู ที่ ถื ออะไรอย างผิ ด ๆ มาก อนแล ว ก็ไ ด ; เพราะการถือ เอาอยา งที ่ไ มม ีเ หตุผ ล ไมม ีค วามหมายนั ้น มัน ยอ มเปน สี ลั พ พั ต ตาปรามาสไปทั้ ง นั้ น แต มั น เป น ชั้ น ดี ห น อ ย ที่ ว า จะดึ ง เข า มาหาจุ ด ศู น ย กลางได.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


ก ข ก กา เกี่ยวกับการถึงพระรัตนตรัย

๓๖๗

สิ่ ง ที่ จ ะทํ า ให เ ขามาสนใจในสรณ ะที่ พึ่ ง อั น นี้ มั น จึ ง มี ไ ด แ ม ใ น ลัก ษณะที ่ง มงาย, และแมใ นลัก ษณะที ่ห ูต าสวา ง. ที ่ง มงายนั ้น เชน เพราะ กลั ว พอเกิ ด อะไรที่ เขากลั ว อั น นี้ เผชิ ญ ไปแก ค วามกลั ว ได เขาก็ เลยรั บ เอา, หรื อ ว า มี ค วามงมงาย แต ถู ก เกลี้ ย กล อ ม ถู ก ชั ก ชวนอะไรก็ ไ ด หรื อ ว า แม ที่ สุ ด แต ว า ดวยอํานาจของสัญชาตญาณแหงการเอาอยาง, สัญชาตญาณนี้ก็นําคนเขามาถือ ศาสนาได. บางท านอาจจะยั งไม เข าใจ นี้ เป นการกล าวด วยภาษาจิ ตวิ ทยา ว าบรรดา สัตวที่มีชีวิตนั้น ยังมีสัญชาตญาณแหงการเอาอยาง เหลืออยูดวยกันทั้งนั้น นั บ ตั้ ง แต สั ต ว เดรั จ ฉานขึ้ น มาที เดี ย ว จนมาถึ ง คน, เห็ น อะไรแล ว ชอบเอาอย า ง, และเพราะเอาอย า งนี่ แ หละ มั น จึ ง ทํ า ให ทํ า อะไรเป น เหมื อ นกั บ ลู ก สั ต ว ตั ว เล็ ก ๆ เพิ่ งเกิ ด มาจากท องแม มั น ก็ เห็ น แม ทํ าอย างไร มั น ก็ ทํ าอย างนั้ น , จนกระทั่ งมั น ทํ า ได เหมื อนแม จะเดิ น จะวิ่ ง จะทุ ก ๆ อย าง มั นเป นสั ญ ชาตญาณแห งการเอาอย าง. นี่ ค นเราก็ เหมื อ นกั น พอเห็ น อะไรเป น ตั ว อย า ง ถ า เป น ที่ น า สนใจด ว ยแล ว ก็ ยิ่ ง อยากจะเอาอย าง. การถื อพระรัตนตรัย โดยสั ญ ชาตญาณแห งการเอาอย าง นี้ ก็ ยั ง ไมพ อ ยัง จัด ไวใ นพวกที ่จ ะตอ งปรับ ปรุง แกไ ขดว ยเหมือ นกัน . นี ้ร วมความวา พวกที่ ไม รู จั ก พระรั ต นตรั ย อย างถู ก ต อ งมาก อ น นั้ น ก็ มี ก ข ก กา โดยเฉพาะของ พวกเขา อีกประเภทหนึ่งแบบหนึ่ง วิธีหนึ่งทีเดียว.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทีนี้สูงขึ้นมา ก็ม าถึงพวกที่วารูจักพระรัต นตรัย เพราะมีก ารศึก ษา มี การชี้ แจง นั บตั้ งแต ว า มี การตั้ งใจที่ จะศึ กษาหรื อชี้ แจงกั น จนกระทั่ งรู ตามลํ าดั บ กลายเป น พวกที่ เริ่ ม ลื ม ตา รู จั ก พระรั ต นตรั ย . เขาก็ จ ะมี ค วามรู สึ ก ชนิ ด หนึ่ ง เกิ ด ขึ้น ที ่เรีย กวา มีเ หตุผ ลในตัว มัน เอง โดยไมต อ งเชื ่อ ตามผู อื ่น วา นี ่เปน สิ ่ง ที ่เอา


๓๖๘

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

เปน ที ่พึ ่ง ไดแ น วา นี ่เ ปน สิ ่ง ที ่จ ะเปน ที ่พึ ่ง ที ่แ ทจ ริง . คนเหลา นี ้จ ะเรีย กวา เปน ผู เริ่ ม ก ข ก กา ชั ้น ที ่น า ดูน า เลื ่อ มใส ; เริ่ม มีค วามเชื ่อ ลงไปวา นี ้เปน ที ่พึ ่ง อัน แท จริ ง ไม มี ที่ พึ่ ง อื่ น แม ว า จะเอาได ไม ห มด ก็ รู แ น ว า นี้ เป น ที่ พึ่ ง ได แ ท จ ริ ง . ฉะนั้ น กิ ริย าอาการที่ เรี ย กว า ก อ นนี้ เคยรับ ถื อ มาอย า งพิ ธี รี ต อง ก็ เปลี่ ย นเป น อาการที่ เรีย กวา ไดถ ึง พระรัต นตรัย ในระยะเริ่ม แรก ; แตก ็เ ปน การถึง โดยแทจ ริง . เขาต องการจะลงรากตั วเองให แน นแฟ น, เขาก็ ทํ ายิ่ งขึ้ นไปตามลํ าดั บ หลั งจากที่ มอง เห็ น ว า นี้ เป น ที่ พึ่ ง ได จ ริ ง ก็ พ ยายามทํ า ให แ น น แฟ น มั น จะลงรากตั ว เองให แ น น แฟนลงไปในพระรัตนตรัยหรือพระพุทธศาสนา นี้เรียกวาเปนพวกที่ถึง. ทีนี้เ มื่อ ถึง แลว ก็ม ีก ารปฏิบัติต อ ไป จนใหถึง ถึง ที่สุด . อาตมา อยากจะพู ด ลงไปเลย ใครจะเชื่ อ ก็ ไ ด ไ ม เชื่ อ ก็ ไ ด แล ว คนส ว นใหญ ก็ ค งจะไม เชื่ อ คือจะพูดวา ผูที่ถึงพระรัตนตรัย โดยแทจริงนั้น จะตองนับตั้งแตพระโสดา บั น ขึ้ น ไป, นอกนั้ น เป น เพี ย งการถื อ ถื อ ด ว ยศรั ท ธา ยั ง ไม เรี ย กว า ถึ ง พระ – รัตนตรัยโดยแทจริง ; ถาจริงก็จริงในการถือ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถา ถึง พระรัต นตรัย จริง ๆ แลว ตอ งนับ ตั ้ง แตพ ระโสดาบัน ผู มี ดวงตาเห็ น ธรรมเป น ครั้ ง แรก, เห็ น ธรรมจึ ง จะเห็ น พระพุ ท ธเจ า เห็ น พระตถาคต เห็ น พระธรรม เห็ น พระสงฆ จึ ง จะสามารถถึ ง ได จ ริ ง เป น ครั้ ง แรก ก็ เ ลยจั ด เอา พระโสดาบั น นี้ เป น การตั้ งต น ก ข ก กา ในฝ ายโลกุ ต ตระ. แล วท านก็ ต อ งปฏิ บั ติ เรื่อ ยไป จนเป น สกิ ท าคามี อนาคามี และเป น พระอรหั น ต ในที่ สุ ด ก็ เรีย กว า เสร็จ การปฏิบ ัต ิ จบกิจ พรหมจรรย คือ เปน พระรัต นตรัย เสีย เอง ; อยา งที ่ไ ดก ลา ว มาแล ว ว า พระอรหั น ต นั้ น ท า นเป น พระรัต นตรัย เสี ย เอง มั น จึ ง หมดเรื่อ งกั น หมด ป ญ หากั น . ที่ ว า จะถื อ พระรั ต นตรั ย ไปทํ า ไมกั น อี ก ก็ ไ ม มี และต อ งถึ ง อี ก ก็ ไ ม มี


ก ข ก กา เกี่ยวกับการถึงพระรัตนตรัย

๓๖๙

เพราะว า เป น เสี ย เองแล ว . ถ า ยั ง ต่ํ า กว า นี้ ก็ จ ะต อ งพยายามถึ ง ให ยิ่ ง ขึ้ น ไป ถ า ยั ง ต่ํ า ลงไปอี ก ก็ พ ยายามถื อ ขึ้ น ไว เป น การตั้ ง ต น . จงดู เถอะว า ก ข ก กา ในการ ถึงพระรัตนตรัยนั้น มันจะอยูเปนชั้น ๆ อยางไร สักกี่ชั้นอยางนี้. ที นี้ มองดู อี กที หนึ่ ง เป นการย อนดู หลั งว า อาการที่ ถึ งนั้ น มั นมี ลั กษณะ ตา งกัน อยา งไร ? บุถ ุช นที ่เ ปน คนพาล ไมม ีก ารถือ ; เมื ่อ ไมม ีก ารถือ ก็ไ ม ตอ งพูด ถึง การถึง . ถา บุถ ุช นคนพาล อัน ธพาล ทํ า พิธ ีร ับ สรณาคมน มัน ก็ต อ ง มี ค วามหมายเป น อย า งอื่ น ; เช น ถู ก บั ง คั บ มิ ฉ ะนั้ น เขาจะฆ า เสี ย , หรื อ ว า เขาจะ ทํ าตบตาคนอื่ น หลอกลวงคนอื่ น เพื่ อความทุ จริ ต, เขาก็ ทํ าตั วเป นผู รั บถื อสรณาคมน อยา งนั ้น อยา งนี ้. นี ่ก ารถือ สรณาคมนข องบุถ ุช นอัน ธพาลนั ้น จะมีไ ดแ ตเ พีย ง เทานั้น ; เราจะไมเรียกวาถือโดยแทจริง, แลวก็ไมตองเรียกวาถึงดวย. นี้ ถ า เป น บุ ถุ ช นธรรมดาไม ใช ค นพาล แต ยั ง ไม รู อ ะไร ก็ ต อ งทํ า ตาม ธรรมเนี ย ม. พอลู ก เด็ ก ๆ โตขึ้ น พ อ แม ก็ พ ามาวั ด เขาต อ งรั บ ศี ล ก็ ต อ งว า สรณาคมน ก็ ต อ งถึ งสรณาคมน ต ามธรรมเนี ย ม อย างนี้ เป น ต น , หรื อ ว าเขาอยาก จะให ดี ก ว า เด็ ก คนอื่ น , เขาก็ อ ยากจะถื อ เขาก็ ร บเร า ขอถื อ อย า งนี้ ก็ มี . นี่ บุ ถุ ช น ธรรมดาสามัญ ก็รับถือสรณาคมน ตามธรรมเนียมดวยศรัทธาตามธรรมเนียม.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ ถ า เป น บุ ถุ ช นชั้ น ดี เรี ย กว า กั ล ยาณบุ ถุ ช น นี้ มั น เกื อ บจะเป น พระ อริย เจา แลว ; แตย ัง ไมเ ปน พระอริย เจา . นี ้ก ็เ พราะวา มัน เริ ่ม มีแ สงสวา งสอ ง มี ธ รรมะอุ ทั ย คื อ เห็ น ราง ๆ ในความประเสริ ฐ ของพระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ . เขาก็ เขยิ บ ตั วมาทางฝ ายนี้ ม ากขึ้ น มี ศ รัท ธา ลงรากมากขึ้ น , ถึ ง ขนาด ที ่จ ะไมห วั ่น ไหว ก็เ ปน บุถ ุช นชั ้น ดีม ีอ ุท ัย ยัง ไมส วา งแจม จา . แตม ัน มีก ารอุท ัย


๓๗๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ทอแสงขึ ้น มาในจิต ใจของเขา. อาการที ่ถ ึง พระรัต นตรัย นั ้น มัน ก็ม ีอ ีก แบบหนึ ่ง นี่ใน ๓ บุถุชน ก็มีอาการตางกันอยางนี้. ที นี้ ในฝ า ยพระอริ ย สาวก หรื อ พระอริ ย เจ า ก็ แ บ ง เป น ๒ พวกคื อ ; พระเสขะ คือ พวกที ่ย ัง ไมบ รรลุพ ระอรหัน ต ก็ถ ึง ถึง จริง ๆ คือ เริ ่ม ถึง แลว ก็ถ ึง จริง ๆ ยิ ่ง ขึ ้น ไป ๆ. นี ้ม ัน เปน ไปดว ยการเปลี ่ย นแปลงแหง จิต ใจ ที ่ล ะกิเ ลส หรื อ สั ง โยชน ไ ด . คํ า อธิ บ ายเรื่ อ งนี้ มี ล ะเอี ย ดแล ว ในเรื่ อ งนั้ น ๆ ว า ละสั ง โยชน อะไรได , แล ว ก็ เป น พระอริ ย เจ า ชั้ น ไหนจนกระทั่ ง ละกิ เลสสั ง โยชน ไ ด ห มด ก็ เป น พระอรหัน ต ; นี ้เ ปน พระอเสขะ, ไมต อ งมีก ารปฏิบ ัต ิอ ีก ตอ ไป มัน ก็เ ปน ถึง ที่สุดแหงการถึง อยางที่เรียกวาเปนเสียเอง ดังที่กลาวแลว. ดู ที่ กิริยาอาการแห งการถื อ และการถึ ง มั นก็ ต างกั น อย างนี้ ; ฉะนั้ น ในการต า งกั น แต ล ะชั้ น ๆ นั้ น มั น มี จุ ด ตั้ งต น เพื่ อ ขึ้ น ชั้ น ใหม ถื อ ว า เป น ก ข ก กา แห งการถึ งพระรัตนตรัยเป นลํ าดั บมา อย างนี้ . เพราะว าเราไม สามารถจะชี้ ลงไปได เด็ ดขาด ว าตรงไหนเป น ก ข ก กา โดยเด็ ดขาด, มั น จะเปลี่ ยนเรื่ อ ยไปตามลํ าดั บ ของความเจริญกาวหนา แหงจิตใจ ตามชั้นนั้น ๆ.

www.buddhadasa.in.th ความแตกตางระหวางการถือกับการถึง. www.buddhadasa.org ที นี้ จ ะดู ให ล ะเอี ย ดออกไปอี ก สั ก หน อ ย ความแตกต า งระหว า งการถื อ กับ การถึง มัน ก็น า สนใจ การถือ ของบุถ ุช นนั ้น ก็ม ีว า ถา เปน บุถ ุช นชั ้น เลว หรือ ชั้ น ธรรมดานี้ มาถื อ พระรั ต นตรั ย ด ว ยเหตุ ป จ จั ย ภายนอกผลั ก ไสเข า มา


ก ข ก กา เกี่ยวกับการถึงพระรัตนตรัย

๓๗๑

เชน การคบสัต บุร ุษ เปน ตน คือ คบคนดี แลว เขาชวน เขาแนะนํ า เขาชัก ชวน. นี้ เรี ย กว าเป น เหตุ ป จจั ย ภายนอก คื อ การกระตุ น หรื อ การชั กชวนอะไร กระทั่ งการ บัง คับ หรือ เข็น ไป ของบุค คลหรือ สิ ่ง แวดลอ ม ; นี ้เ รีย กวา ปจ จัย ภายนอก. ถา เป นบุ ถุ ชนชั้ นธรรมดาสามั ญ ก็ มี ป จจั ยภายนอกอย างต่ํ า ๆ คบบุ คคลไม ถึ งชั้ นสั ตบุ รุษ ก็ ยั งได , ทํ าให มี การทํ าพิ ธี ประกาศตั วถึ งพระรั ตนตรั ย ก็ เป น ก ข ก กา ของบุ ถุ ชน ชั้นนี้ไป. ที นี้ ก็ ม าถึ ง กั ล ยาณบุ ถุ ช น คื อ บุ ถุ ช นชั้ น ดี นี้ เราต อ งยอมรั บ ว า มั น เริ่ม เปลี ่ย นเปน ปจ จัย ภายในถา เปน บุถ ุช นชั ้น ดี จะตอ งเริ ่ม เปลี ่ย นเปน ปจ จัย ภายใน ; ไมใ ชก ารบัง คับ ผลัก ไส หรือ หลอกลอ ของคนภายนอก ของปจ จัย ภายนอก. เขาเริ่ มมี ป จจั ยภายใน คื อมี ความเข าใจแจ มแจ งถึ งขนาด ที่ จะเป นธรรมะ อุ ทั ย อย างที่ ว ามาแล ว คื อธรรมะเริ่ มไขแสงขึ้ นมาราง ๆ ในจิ ตใจของเขา เป นป จจั ย ภายในใหเ ขาถือ พระรัต นตรัย ในระดับ ใหม. นี ้เ ขาก็ทํ า ใหม ากในสัม มาทิฏ ฐินี้ คื อ ธรรมะอุ ทั ย ในชั้ น ที่ มั น ยั ง ไม รุ ง เรื อ งนี้ ทํ า ให มั น รุ ง เรื อ งขึ้ น พยายามในการที่ จะเห็นธรรม หรือเห็นแสงสวางนั้น ใหมากยิ่งขึ้น.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org การกระทํ าอย างนี้ มั นก็ เป นการเรี ยน ก ข ก กา ของกั ลยาณบุ ถุ ชน มั น ไมม ีท างที ่จ ะเปน อัน เดีย วกัน ได กับ บุถ ุช นชั ้น ธรรมดาหรือ ชั ้น ต่ํ า . แตพ อเขา เลื่ อ นชั้ น ที ห นึ่ ง เขาต อ งมาตั้ งต น ใหม ที ห นึ่ ง มี บ ทเรีย นประเภท ก ข ก กา ให อี ก ที ห นึ่ ง มั น ต อ กั น ไม ติ ด มั น ต อ งเรี ย ก ก ข ก กา เสมอไป, เพราะอั น หนึ่ ง ทํ า ด ว ย ป จจั ยภายนอก, อั นหนึ่ งทํ าด วยป จจั ยภายใน, อั นหนึ่ งทํ าด วยความงมงาย อั นหนึ่ ง ทําดวยสติปญญา อยางนี้.


๓๗๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ทีนี้ กัลยาณบุถุชน กาวหนาไปเรื่อย ๆ ไป ก็จะเขาเขตของพระ อริย เจา . ถา เปน ชั ้น เสขบุค คล พระโสดาบัน กระทั ่ง พระอนาคามีอ ยา งนี ้ ก็ยิ ่ง มี จิ ต ใจภายในนั้ น มากขึ้ น , มี กํ า ลั ง แรงขึ้ น มี ก ารเห็ น ธรรมในภายใน เลื่ อ นชั้ น ไป ตามลํ า ดับ ก็เ ปน ก ข ก กา ของทา นแตล ะชั ้น . แมว า เรื ่อ งที ่ท า นเรีย นนั ้น มั น จะเป น เรื่ อ งเดี ย วกั น , แต มั น ต อ งตั้ ง ต น ที่ จุ ด ใหม เมื่ อ จะละกิ เลส หรื อ สั ง โยชน อั น อื่ น ต อ ไป. อย า งนี้ อ ยากจะเรี ย กว า ลงมื อ เรี ย นใหม เป น ก ข ก กา ทั้ ง นั้ น ; มั น จะได ง า ยดี พู ด ก็ ง า ย ฟ งก็ ง า ย เข า ใจก็ ง า ย, แล ว มั น ก็ ไม ค อ ยรู สึ ก เหนื่ อ ย โดย ทําใหมันเปนชั้น ๆ ไปทีละชั้นทีละชั้นอยางนี้. ที นี้ เ มื่ อ พระเสขบุ ค คลเหล า นั้ น ได ก า วหน า ไปตามลํ า ดั บ ในที่ สุ ด ก็ ถึ ง ขั ้ น สุ ด ท า ย ที ่ เ รี ย กว า พระอรหั น ต หรื อ อเสขบุ ค คล นี ้ ชั ้ น เดี ย วเท า นั ้ น ที ่อ ยากจะยอมรับ วา มัน เปน การพน , พน จากความเปน ก ข ก กา. ถา เปน พระอรหั น ต แ ล ว ก็ เ ป น ผู รู ห นั ง สื อ ไม ใ ช เ รี ย น ก ข ก กา แล ว ก็ พ น จากป จ จั ย ทั้ ง ภายนอกและภายใน, คื อ อยู เหนื อ การกระตุ น ของป จ จั ย ทั้ ง ที่ เป น ป จ จั ย ภานอก และป จ จั ย ภายใน เรี ย กว า พ น จากเหตุ ป จ จั ย ที่ จ ะกระตุ น ; ก็ แ ปลว า ก ข ก กา นี้ มี ทุ กตอน ที่ คนเราจะเลื่ อนชั้ นไปตามลํ าดั บ ให ทํ าเหมื อนกั บ ว าเราเรี ยน ก ข ก กา ทุกตอน ไมอยางนั้นจะไมสมบูรณ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทีนี้ ก็ม าถึงขั้น สุด ท าย ก็พ น จากความเป น ก ข ก กา ก็ เรีย กวาเป น ผู จ บการเรีย น ; ทางศาสนาก็เรีย กวา เปน ผู อ ยู จ บพรหมจรรย, หรือ ประพฤติ จบพรหมจรรย สิ่ งที่ จ ะต อ งทํ า เพื่ อ ถึ งที่ สุ ด นั้ น มิ ได มี เหลื อ อยู อี ก ต อ ไป. นี้ ก็ เรี ย กว า ผู จ บพรหมจรรย , จบการเรี ย น จบการศึ ก ษา พ น เหตุ พ น ป จ จั ย ก็ คื อ พ น ทุ ก ข โดยประการทั้งปวง.


ก ข ก กา เกี่ยวกับการถึงพระรัตนตรัย

๓๗๓

นี่ แหละคื อสิ่ งที่ อาตมาเรี ยกว า ก ข ก กา, แล วมั น ก็ เป น ก ข ก กา ของ ก ข ก กา กันเรื่อยไป จนกวาจะถึงที่สุด. ใครจะมองเปนไมใช ก ข ก กา ก็ไ ด ถา เขามีว ิธ ีทํ า อยา งอื ่น . แตเ ดี ๋ย วนี ้รูส ึก วา มัน ตอ งตั ้ง ตน กัน อยา งนี ้ไ ป, และโดยเฉพาะอย างยิ่ ง ชั้ นต นที่ สุ ดนี้ ก็ กํ าลั งเฝ อ จึงได หยิ บเอาคํ านี้ ขึ้นมาใช เพื่ อ เข าใจง าย, แล วก็ เพื่ อละอาย ว ามั นไม เลื่ อนชั้ นกั นเสี ยเลย, แล ว ก ข ก กา ก็ ไปจบ ลงในที่สุด คือไมใช ก ข ก กา มันสลับซับซอนกันอยางไร ก็พิจารณาดูเอง. แต ถึ ง อย า งไรก็ ดี การเรี ย กร อ งเช น นี้ คนอื่ น อาจจะเรี ย กร อ งเป น อย างอื่ น ก็ ได . สํ าหรั บ อาตมานั้ น อยากจะแบ งเป น ชั้ น ๆ ให เห็ น ง าย ให เข าใจง าย แลว ตั ้ง ตน งา ย ; ใหม ีก ารตั ้ง ตน ที ่ด ี ที ่ส ุด ความสามารถ สุด ฝไ มล ายมือ ทุก ชั ้น ทุก ตอนไป, จากความเปน บุถุช นชั้น ธรรมดา มาเปน กัล ยาณบุถุช น, แลว มาเปนพระเสขบุคคล, แลวก็จบลงดวยความเปนพระอเสขะ มันก็จบ. วั น นี้ ที่ บ านนี้ เมื อ งนี้ เขาเรี ย กว าวั น จบป คื อ วั น สิ้ น เดื อ นสี่ นี่ เขาเรี ย ก ว า วั น จบป ก็ อ ยากจะให นึ ก ถึ ง คํ า นี้ กั น บ า ง; มั น จบอย า งไม รู จ บ ป ห น า มั น ก็ มี วั น อย างนี้ อี ก มั นมี วันจบป อี ก เรียกวามั นจบอย างไม รูจบ, แล วมั นจบอย างน าสงสาร. มั น ก็ ดี สํ าหรับ คนที่ ชอบไม รูจั ก จบ หรื อ ว าจะต องทํ ากั น เรื่อ ยไป, เกื อ บจะงมงายไป ที เ ดี ย ว. ถ า จะทํ า ให รู  จ ั ก จบ จบป จ บเดื อ นกั น เสี ย บ า ง ; เราต อ งรี บ เรี ย น ก ข ก กา อยางนี้แหละ ใหมันเร็วเขา แลวใหมันจบ ก ข ก กา กันเสียที.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เดี๋ ย วนี้ มั น เหมื อ นกั บ ว า ถื อ อย า งงมงาย วั น จบป จ บเดื อ น มั น ก็ ต อ ง ทํ า อย า งนั้ น อย า งนี้ มั น สมกั บ เขาถื อ กั น มา เขาทํ า กั น มาแล ว ก็ ไม รู จั ก จบอย า งไร ก็ เลยกลายเป นเรื่องขั้ นต น หรือว าขั้ นลู กเด็ ก ๆ ไปหมด. ถ าอยากให จบเร็ว ๆ ก็ ป นี้


๓๗๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ก็ เลื่ อนชั้ นสั กชั้ นหนึ่ งซิ , แล วป หน าก็ เลื่ อนอี กชั้ นหนึ่ ง, ป โน นก็ เลื่ อนอี กชั้ น คื อ เรี ย น ก ข ก กา ให มั น สํ า เร็ จ . เราเลื่ อ นไปได ป ล ะชั้ น , ป ล ะชั้ น ก็ ยั ง พอจะ เรีย กว า จบในหนึ่ ง ป แต ล ะป , แต ล ะป เรื่อ ยไปจนจบเลย จบชนิ ด ที่ ไม ต อ งเรี ย น อีก ไมตองมีอีกก็ได. นี่ ถ า จะถื อ เอาประโยชน ข องการที่ วั น นี้ เ ป น วั น จบป จบเดื อ น ตาม ธรรม เนีย ม บา น นี ้เ มือ งนี ้น ะ แลว ก็ม าทํ า บุญ กัน เปน พิเ ศ ษ อ ะไรเปน พิเ ศ ษ ขอให เข าใจคํ าว าจบ ให ลึ กซึ้ งยิ่ ง ๆ ขึ้ นไป ยิ่ ง ๆ ขึ้ นไป. อย าให มั น จบแล วจบเล า, จบแลว จบเลา , ชนิด ที ่ไ มม ีอ ะไรยิ ่ง ขึ ้น ไปเสีย เลย. ความที ่จ ะเอาตัว รอดไดนั ้น อยูที่ความไมประมาท; ความไมประมาทนี้หมายถึงความรูดวย คือ ไมหลับหู หลั บ ตา อยู ด ว ย. คนที่ ไ ม รู อยู อ ย า งหลั บ หู ห ลั บ ตา นั่ น แหละก็ เ ป น ผู ป ระมาท อยางยิ่งดวยเหมือนกัน. คํ า ว า ประมาทนั้ น เขาหมายถึ ง อยู ป ราศจากสติ คื อ ไม มี ส ติ , มั น เหมื อ นกั บ หลั บ ไหล. ที นี้ ค นที่ ไ ม รู จั ก จบ ไม รู จั ก อะไรนี้ มั น ก็ คื อ คนหลั บ ไหล ; ฉะนั้ น จึ งเรี ย กว าคนประมาท. ฉะนั้ น ถ าจะให พ น จากความเสี ย หายอั น นี้ หรื อ ความ ถูกตําหนิติเตียนในขอนี้ ก็ตองรูจักความไมประมาท, คือมีสติ ตื่ นอยู ไม หลับไหล, รู ว า เรานี้ จ ะต อ งทํ า อะไร, มั น เป น มาอย า งไร, จะต อ งเป น อย า งไร, แล ว จะไปจบ ลงที่ตรงไหน และดี.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถึงพระรัตนตรัยใหไดจริง ก็จบพรหมจรรย. หวั งว า จะสนใจเรื่ อ งจบการเรี ย น ก ข ก กา กั น เสี ย ให เร็ ว ที่ สุ ด ให สุ ด ความสามารถของตน แม ในหั ว ข อ ที่ เรีย กว า การถึ ง พระรั ต นตรั ย เท า ที่ พู ด มานี้ .


ก ข ก กา เกี่ยวกับการถึงพระรัตนตรัย

๓๗๕

ถ าท านเข าใจ ท านก็ จะมองเห็ นได ว า อาตมาไม ได พู ดเรื่องอื่ นเลย ว าพุ ท ธศาสนา ทั้งหมดนั้น ไมไดมีอะไรนอกจากการถึงพระรัตนตรัยใหได. พู ด อย า งนี้ เขาก็ ไม เชื่ อ เสี ย แล ว บางคนก็ ห าว า พู ด แหวกแนวบ า ง, พู ด เลน ลิ้นโวหารอะไรบาง, พูด วา ไมตอ งทําอะไร ถึงพระรัต นตรัย ไดอ ยางเดีย ว เทา นั ้น , มัน ก็จ บพรหมจรรยใ นพระพุท ธศาสนา. นี ้ก ็เ พราะวา คนเหลา นั ้น เขาเอาเรื ่อ งสรณ าคมนนี ้ ไวใ หเ ปน เรื ่อ งสํ า หรับ ลูก เด็ก ๆ เล็ก ๆ , แลว ก็ ป ฏิ บ ั ต ิ ศี ล ท าน ส ม าธิ อะไรเรื ่ อ ย ๆ ไป ไม รู  กี ่ ชั ้ น กี ่ ร ะดั บ แล ว จึ ง จบ , จบศาสนา. เดี๋ย วนี ้อ าตมา มาบอกวา ไมต อ งทํ า อะไร, ถึง พระรัต นตรัย ใหไ ด ใหจ ริง ใหถ ึงที ่ส ุด เทา นั ้น ก็จ บพระพุท ธศาสนา ; ก็ไปคิด ดูเอาเอง วาผูที่จ ะ เห็ น ธรรมะอย า งพระพุ ท ธเจ า คื อ เห็ น ปฏิ จ จสมุ ป บาทนั้ น จะต อ งทํ า อย า งไรบ า ง, มั น จึ ง จะถึ ง ได จ ริ ง แล ว ก็ จ บพรหมจรรย จ ริ ง เหมื อ นกั น . บางคนก็ ไ ม ย อมให พู ด อย างนี้ ว าไม ต องทํ าอะไร นอกจากถึ งพระรั ตนตรั ยให ได เท านั้ น ก็ จบกิ จพรหมจรรย ในพุทธศาสนา.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org หลายคนที่ นั่ งอยู ที่ นี่ ก็ อ าจจะคิ ด อย า งนั้ น ก็ ได คื อ ไม เชื่ อ , หรื อ คิ ด ว า อาตมาพู ด เล น โวหาร มั น ก็ จ ริ ง เหมื อ นกั น แหละ ที่ จ ะพู ด เล น โวหาร ; แต มั น เป น โวหารที่ จ ริงที่ สุ ด , แล วเป น โวหารที่ เป น ประโยชน ที่ สุ ด คื อ อย าให มั น มากเรื่อ งมาก ราวจนเวีย นหัว มีแตเรื่อ งเดีย ววา ถึงพระรัต นตรัย กัน ใหไดใหจ ริง ใหถึงที่ส ุด แล ว ก็ จ บพรหมจรรย . เดี๋ ย วนี้ มั น มี แ ต ถื อ ๆ ไว ตามธรรมเนี ย ม ตามประเพณี ตามพิธ ี ; เหมือ นกับ ลิง มัน ถือ ดวงแกว ไว มัน จะมีป ระโยชนอ ะไรบา ง. ถา ลิง มัน


๓๗๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ถือ ดวงแกว ไวนั ้น มัน คงมีป ระโยชนน อ ยมาก. ฉะนั ้น จะตอ งทํ า ใหใ ชป ระโยชน ให ไ ด ถึ ง ที่ สุ ด ในเมื่ อ เรามี ก ารถื อ พระรั ต นตรั ย ; รั ต นะก็ แ ปลว า แก ว อยู แ ล ว , รั ต นตรั ย ก็ แ ปลว า แก ว ๓ ดวงอยู แ ล ว ; ลิ ง ตั ว นี้ มี โ อกาสดี ม าก ได ถื อ แก ว ตั้ ง ๓ ดวง, แตมันก็จะเปนสักวาถืออยางลิงถือแกว มันไมถึงซึ่งประโยชนของแกวนั้นเลย.

เมื่อมีความสะอาด สวาง สงบ แลวชื่อวาถึงรัตนตรัย. เพื่ อ ให เรื่ อ งมั น น อ ยเข า ให มั น ลํ า บากน อ ยเข า ก็ ค วรจะคิ ด อย า งนี้ , พยายามให ถือกัน ให ดี, แลวก็เปลี่ยนเปนถึง แลวถึงไปตามลําดับ, แลวก็ถึงที่สุด ดวยการทําทุกอยางนี้ ; กาย วาจา ใจนี้ ใหเปนเหมือนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ คือ มีค วามสะอาด มีค วามสวา ง มีค วามสงบนี ้ยิ ่ง ขึ ้น ไป ยิ ่ง ขึ ้น ไป ๆ ไมมีอะไรมากกวานั้น. ถ าว าจะปฏิ บั ติ เพื่ อความสะอาด สว าง สงบ มั นก็ มี จุ ดอยู ที่ จุ ด ๆ เดี ยวอี ก เหมื อ นกั น ว าความยึ ด มั่ น ถื อมั่ น เป น ตั วเป น ตนเป น ของ ๆ ตนนี้ ทํ าให เห็ น แก ตั ว. ครั้ น เห็ น แก ตั ว แล ว ก็ เกิ ด ความโลภ ความโกรธ ความหลง, จะจาระไนออกเป น รายอยา ง วา มีกี ่อ ยา ง มัน นับ ไมไ หว มัน มากเกิน ไป. สรุป เปน สิ ่ง ๆ เดีย ววา มัน มีค วามยึด มั ่น ถือ มั ่น แลว ก็เ ห็น แกต ัว กู เห็น แกข องกู; ถา มีต ัว กูม ีข องกู พระรัต นตรัย ก็ไ มม ีที ่อ ยู  ; เพราะวา ตัว กู - ของกูใ นที ่นี ้ หมายถึง ยึด มั ่น ถือ มั ่น ดวยอุปาทาน ดวยกิเลสที่เรียกวาอุปาทาน โดยความเปนตัวกูเปนของกู.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


ก ข ก กา เกี่ยวกับการถึงพระรัตนตรัย

๓๗๗

เมื ่อ เอาอัน นี ้ รา งกายนี ้ ทรัพ ยส มบัต ินี ้ เปน ตัว กูเ ปน ของกูแ ลว พระรัตนตรัยก็ เข ามาไม ได , คื อเข ามาเป นของบุ คคลคนนั้ นไม ได เพราะบุ คคลผู นั้ น ไปเอาที่ สิ่ ง ภายนอกนั้ น เป น ตั ว กู - ของกู เสี ย จนเต็ ม เนื้ อ ที่ ที่ จิ ต ใจมั น จะยึ ด ถื อ ได . ฉะนั้ น ต อ งยอมเฉย หรื อ ว า ปล อ ยวาง สิ่ ง เหล า นั้ น กั น บ า ง แล ว ก็ ม าดู ที่ ค วาม สะอาด สวาง สงบ ของจิตใจ ซึ่งมันเปนความหมายของคําวา พระรัตนตรัย. อาตมาพยายามอธิ บ ายให เจ านาค หรื อ ให ใครทั่ ว ๆ ไปนี้ เข าใจพระ รัตนตรัยไดงาย ๆ ดวยคําวา สะอาด สวาง สงบ สามคํานั้น ; เพราะเปนคําที่ เขารูจั กดี ถ าทํ าผิ ด ทํ าชั่ ว ทางกาย ทางวาจา ทางใจ ก็ ว าไม สะอาดแล ว ก็ สะดุ ง ก็ร ีบ ละเสีย . นี ้ถ า เขาไมรู  จนถึง กับ ไปทํ า ผิด อยา งนั ้น มัน ก็ส ะดุ ง ก็รู เ สีย ก็ร ีบ รูเสีย, รูหลักสําคัญที่วา ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดแลวก็เปนทุกขเพราะสิ่งนั้น. สํ า หรั บ ความสงบนั้ น มั น พอจะคลํ า เองได ด ว ยกั น ทุ ก คน ; มั น ร อ น มันเป นทุ กข ก็เกลียดก็กลัว ก็อยากจะหลบหนีกันอยูแลว, ก็พอจะขยับขยายได ด ว ยการคาดคะเน ด ว ยการเดาก็ ได . เพราะว า แม แ ต สุ นั ข มั น ก็ ยั ง รู ว า นอนตรงนี้ ไม ส บาย ก็ เขยิ บ ไปนอนตรงโน น , ไม ส บายอี ก ก็ เลื่ อ นไปตรงโน น อี ก , ไม ส บายอี ก ก็ เลื่ อ น เดี๋ ย วก็ พ บที่ น อนสบาย. นี้ ม นุ ษ ย ก็ เหมื อ นกั น เมื่ อ วางจิ ต ใจไว ในลั ก ษณะ อย า งนี้ มั น ร อ นมั น ไม เ ป น สุ ข ก็ ล องเปลี่ ย นไปวางไว อ ย า งอื่ น ในรู ป อื่ น ก็ ว าง เรื่อย ๆ ไป เปลี่ยนเรื่อย ๆ ไป. เดี๋ ยวมั นก็พบจุดที่ มันพอจะทนได อยูด วยความสงบ นี ้เรีย กวา ธรรมชาติส อน มัน ดีอ ยา งนี ้ มัน รูจ ริง คนดว ยกัน สอนมัน ยัง ไมรูจ ริง ยังตองใหธรรมชาติในภายในมันสอนอีกทีหนึ่ง.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


๓๗๘

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ที นี้ เ มื่ อ สะอาด สว า ง สงบ ได มั น ก็ เ รี ย กว า มี พ ระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ มีแ กว ๓ ดวง. สามดวงนี ้จ ะเรีย กเปน พระพุท ธ พระธรรม พระสงฆ ก็ ได ; แต ใจความมั น อยู ที่ ค วามสะอาดสว าง สงบ นั้ น นี้ เป น การถึ งพระรั ต นตรั ย ไม ใ ช เพี ย งแต ถื อ ไว เฉย ๆ. ฉะนั้ น ถ า ท า นผู ใ ดทํ า พิ ธี รั บ สรณาคมน ซ้ํ า แล ว ซ้ํ า เล า อยู เสมอ ๆ แล วรูสึ กว าจิ ตใจมั นยั งไม สงบ หรือว าไม สะอาด ไม สว าง อะไรก็ ตามนี้ ก็แกไปเสียเรื่อย ๆ อยานอนใจ ใหมันคอย ๆ มีความสะอาด สวาง สงบ เกิดขึ้น แลวก็จะไมเสียที. นี่ อ าตมาได บ รรยายในวั น นี้ เป น ครั้ ง ที่ ๑๒ เรื่ อ ง ก ข ก กา สํ า หรั บ พุ ทธบริ ษั ท แล วจะมี อยู อี กครั้ งเดี ยว แล วก็ จะจบเรื่ อ ง ก ข ก กา ของพุ ทธบริ ษั ท , สําหรับวันนี้ก็พูดถึง การถึงพระรัตนตรัย ในฐานะที่วา เมื่อยังไมถึงอยูเพียงใด เราจะตอ งสนใจในฐานะเปน เรื่อ งแรก, เปน จุด ตั้งตน อยูเพีย งนั้น , แลว ก็เลื่อ น จุ ด ตั้ ง ต น ต อ ไป ๆ จนกว า จะถึ ง จุ ด สุ ด ท า ย. มั น ก็ ไ ม ย ากลํ า บาก คื อ ไม เกิ น ความ สามารถ, ไมเ กิน วิส ัย ของบุถ ุช นคนธรรมดา ที ่ห วัง ดีม ีค วามรัก ตัว ซื ่อ ตรงตอ ตัว เอง แลว ก็รัก ตัว เองวา เกิด มาทั ้ง ทีใ หไ ดสิ ่ง ที ่ด ีที ่ส ุด ที ่ม นุษ ยค วรจะได, มันก็จะตองไดเปนแนนอน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ขอยุติการบรรยายในวัน นี้ ไวเพี ยงเท านี้ กอน ใหโอกาสแกพ ระ สงฆทานจะไดสวดพระธรรม ซึ่งเปนเครื่องกระตุนเตือนใจ ในโอกาสตอไป. _______________


ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

- ๑๓ ๓๐ มีนาคม ๒๕๑๗

ประมวลเรื่องอันเกี่ยวกับ ก ข ก กา ทั้งปวง. ทานสาธุชน ผูมีความสนใจในธรรม ทั้งหลาย, การบรรยายประจํ าวั นเสาร ภาคมาฆบู ชา ล วงมาถึ งอั นดั บที่ ๑๓ ในวั นนี้ แล ว และเป น อั น ดั บ สุ ด ท า ยของภาคนี้ . การบรรยายทุ ก ครั้ ง ในภาคนี้ ได ก ล า ว ดวยเรื่อง ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนาในแงมุมที่ตาง ๆ กัน เรียกชื่อปลีกยอย ออกไป ตามใจความสํ าคั ญ ของเรื่ องนั้ น ๆ ส วนวั นสุ ดท ายวั นนี้ จะได กล าวโดยหั วข อ ยอ ยวา ประมวลเรื่อ งอันเกี่ยวกับ ก ข ก กา ทั้งปวง. นี้หมายความวา เรื่อ ง ก ข ก กา หลายชนิ ด ที่ ได ก ล า วมาแล ว แต วั น ก อ น ๆ นั้ น วั น นี้ จ ะได ส รุ ป ความ เอามากล า วในที เดี ย วกั น , เพื่ อ เป น การทบทวน และเพื่ อ สะดวกแก ก ารทํ า ความ เขาใจพรอม ๆ กันดวย.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org

๓๗๙


๓๘๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา (ปรารภและทบทวน.)

สิ่ ง แรกที่ สุ ด ที่ ได ย กขึ้ น มาปรารภเรื่ อ ย ๆ มา ก็ คื อ ข อ ที่ ว า เราพุ ท ธ บริษัท ทั้ง หลาย ไมรูจัก เรื่อ งที่เ ปน ชั้น รากฐานที่สุด ขนาดที่ค วรจะเรีย กวา ก ข ก กา กั นอยู เป นส วนใหญ , หรือจะรูบ าง ก็ ไม ถึ งขนาดที่ จะสํ าเร็จประโยชน ได . นี้มันเปนเพราะวา เราไดทําผิด กัน เรื่อ ย ๆ มา คือไมไดศึก ษาเรื่องที่เปน ราก ฐาน ; แต แ ล ว ก็ สั่ ง สอนกั น อย า งที่ เรี ย กว า ขอไปที หรื อ จะเรี ย กว า อย า งรี บ ด ว น หรือวาไมอยากจะลําบาก เกินกวาที่จําเปน.

ถา จะยกตัว อยา ง ก็เหมือ นอยา งวา เราเรีย นหนัง สือ โดยไมเ รีย น ก ข ก กา ก็ทํ า ได ; เหมือ นคนโบราณเขาเรีย นหนัง สือ ก็ส อนใหอ า นเลย ; เช น เอาหนั งสื อ เรื่อ งลั ก ษณวงศ ม าเป ด ใบแรกก็ ให อ า นเลย, สอนอยู ไม เท าไรก็ อ า น ไดเ หมือ นกัน . คนพวกนี ้ก ็ไ มรู ว า ก ข ก กา นั ้น เปน อยา งไร. หรือ อีก ทางหนึ ่ง เราเรี ย นภาษา, โดยเฉพาะภาษาต า งประเทศ เราก็ เรี ย นรู เ รื่ อ ง เรี ย นแปลให รู เรื ่อ งเทา นั ้น , แลว ก็ย ัง ไมรู ไ วยากรณเ ลย ; เชน นี ้จ ะเรีย กวา รู ภ าษานั ้น ดีไ มไ ด ตอ งเรีย นไวยากรณอ ีก ทีห นึ ่ง เนื ่อ งจากไวยากรณนั ้น มัน เปน เรื ่อ งไมช วนเรีย น มั น น า เบื่ อ คนก็ ไม ค อ ยจะเรีย น, แม มี ให เรีย นก็ เรีย นอย า งเสี ย ไม ได ; การรูภ าษา นั้นจึงไมสมบูรณ เพราะไมไดเรียนไวยากรณ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เดี๋ ย วนี้ พุ ท ธบริ ษั ท เรา ก็ เรี ย นพุ ท ธศาสนากั น ในลั ก ษณะอย า งนั้ น คื อ เรี ยนสอนอ านสวดกั น ไปเลย โดยไม ต องเรี ยน ก ข ก กา หรื อ ว าเรี ย นรู เรื่ อ งอะไร คราว ๆ ไป โดยไมตองรูหลักสําคัญที่เปนชั้นรากฐาน แตละอยาง ๆ ของ ธรรมะนั ้น ๆ. นี ้ค ือ ความจริง ที ่ซ อ นเรน อยู  ที ่ทํ า ใหเ รารู ธ รรมะนั ้น อยา งชัด


ประมวลเรื่องอันเกี่ยวกับ ก ข ก กา ทั้งปวง

๓๘๑

แจ ง แต อ าตมาเอามาเรี ย กว า ก ข ก กา ที่ เรายั งไม ได เรี ย น. ที่ เรี ย กว า ก ข ก กา อย างนี้ บางคนก็ ไม เห็ นด วย คื อไม ยอมรั บ ว ามั นเป น ก ข ก กา เพราะมั นเป นของ ยาก ; แต ถ า ว า โดยแท จ ริ ง แล ว เรื่ อ งรากฐานทั้ ง หลาย ที่ ค วรจะเรี ย นก อ นอื่ น นั้ น ตองเรียกวาเรื่องเบื้องตน หรือเรื่อง ก ข ก กา.

เอาละ, เป นอั นว า เรามาปรองดองกั นในข อที่ วา การพู ดว าต องเรี ยน ก ข ก กา กันใหมนี้ ขอใหถือเอาเปนเครื่องกระตุนจิตใจ ใหตั้งหนาตั้งตาเรียน กั นเสี ยใหม , เรี ยนกั นเสี ยใหม ให เป นอย างดี คนที่ ไม รู จั กละอาย ก็ ควรจะละอายกั น เสี ย บ า ง ว า เรี ย นมาถึ ง บั ด นี้ แ ล ว ก็ ยั ง ไม รู เรื่ อ ง ก ข ก กา. การพู ด เช น นี้ ก็ เลยได ผลเพิ่ ม ขึ้น ไปในขอที่ วา จะเป น เครื่อ งกระตุ น เตื อ นใจ ให ค นที่ ขี้ ข ลาดนั้ น กล า หาญกัน บา ง, คนที่ไ มคอ ยละอายนั้น จะไดรูจัก ละอายกัน เสีย บา ง, จะได ขยั น ขั น แข็ ง ในการที่ จ ะเรีย นเรื่ อ งที่ เป น รากฐาน หรื อ เป น เบื้ อ งต น ที่ สุ ด จนควร จะเรียกวา ก ข ก กา ดังที่กลาวแลว.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ก ข ก กา มีทั้งฝายศีลธรรมและปรมัตถ. อาตมาได เคยกล าวมาทุ กครั้ งที่ บรรยาย ว าเรื่ อง ก ข ก กา นั้ น มี ทั้ งฝ าย ปรมัต ถธรรมและฝา ยศีล ธรรม. ฝา ยปรมัต ถธรรม คือ เปน ธรรมะชั ้น จริง คือ ชั้น ที่ไ มส มมติ คือ เปน ธรรมะที่บ อก สอนเรื่อ งไมมีตัว ตน ; สว นศีล ธรรม นั ้น เปน เรื่อ งที ่ส มมติใหเปน บุค คล และมีต ัว ตน, คํ า สอนประเภทที ่ม ีต ัว มีต น เป น หลั ก สํ า หรั บ จะได เป น ที่ ตั้ ง แห ง ความรั ก ความสนใจ ความพยายาม ให แ ก


๓๘๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ตนเอง ; อยา งนี ้ก ็เ รีย กวา เรื ่อ งศีล ธรรม ; สว นเรื ่อ งปรมัต ถธรรมนั ้น พยายาม จะสอนแตในแงที่วา มันไมมีสิ่งที่ควรจะเรียกวาตัวตน.

นี้พระพุทธภาษิต ที่พระพุทธองคไดตรัสไวเอง มี ทั้ง ๒ ประเภท คือ ประเภทศีล ธรรม ก็มีป ระเภทปรมัต ถธรรมก็มี; แมใ นธรรมะชื่อ เดีย วกัน คือ เรื่องบุคคล วามีบุคคลหรือไมมีบุคคล.

ตัวอยาง เชน เมื่อทรงสอนเรื่องศีลธรรม, ก็สอนอยางเชนกับวา เรามี กรรมเปนของเรา เราทํากรรมใดไว เราจะไดรับผลแหงกรรมนั้น, เราทําดีก็ตาม เราทํ า ชั ่ว ก็ต าม เราจะไดร ับ ผลแหง กรรมนั ้น อยา งนี ้ม ัน มีต ัว เรา มัน มีต ัว คน เรีย กวาตรัส สอนอย างศี ล ธรรม, และเป น เรื่อ ง ก ข ก กา ที่ สุด คื อ คล อ ยตาม ความรูสึกสามัญ สํานึกของสัตวทั้งหลาย ที่ไมเคยฟงธรรมะมาแตกอน, ก็รูสึกวา มี ตั ว มี ต น, หรื อ ได ฟ ง ธรรมะที่ เป น คํ า สั่ งสอนแต เรื่อ งที่ มี ตั ว มี ต น เขามี ค วามรูสึ ก ที่ เปนตัวตนอยูตลอดเวลา. ก็ทรงสอนเริ่มตนดวย ก ข ก กา ทํานองนี้ วาเรามี ตนก็ รั ก ตน ก็ ส งวนตนให ด ี ค ื อ ประพฤติ ด ี นั ่ น เอง. แต พ อถึ ง คราวสอน เรื่อ งปรมัต ธรรม ก็ต รัส สอนเรื่อ งอนัต ตา สุญ ญตา โดยเฉพาะ. บุค คลที่ ประกอบอยูดวยขันธทั้ง ๕ นั้น ไมมีสวนใดที่จะเปนตัวเปนตน. ไมมีบุคคลอยางนี้.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ ค นพวกหนึ่ ง ก็ จ ะรู สึ ก ว า เรื่ อ งไม มี ตั ว ไม มี ต นนี้ มั น เป น เรื่ อ งสู ง สุ ด เป น เรื่อ งลึ ก ซึ้ ง ; แต อ าตมาก็ เอามาทํ า เสี ย ให อ ยู ในระดั บ เดี ย วกั น ว า มั น เป น เรื่อ ง ก ข ก กา ว า การที่ เ ราจะเรี ย นเรื่ อ งขั น ธ เรื่ อ งธาตุ เรื่ อ งอายตนะ เรื่ อ งไม มี บุ ค คลนี้ มั น ก็ เป น เรื่ อ ง ก ข ก กา; แต วา มั น เป น เรื่อ ง ก ข ก กา ของเรื่ อ ง ประเภทปรมัตถธรรม คือที่จะเปนตัวพระพุทธศาสนาโดยแทจริงนั่นเอง.


ประมวลเรื่องอันเกี่ยวกับ ก ข ก กา ทั้งปวง

๓๘๓

เมื่ อ เรื่ อ งมี ตั วมี ต น มั น เป น ของพวกคนเหล าอื่ น ไม ใช ข องพุ ท ธศาสนา โดยเฉพาะ เพราะใคร ๆ ก็ ส อนอย างนั้ น . พุ ท ธศาสนาจะแปลกออกไปก็ ส อนเรื่ อ ง ไมมีตัว ตน ; ฉะนั้น การเริ่ม สอนเรื่อ งไมมีตัว ตนนี้ ควรจะถือ วา เปน การ เริ่ม เรียน ก ข ก กา ในพระพุ ท ธศาสนา. ดังนั้นคําสอนเรื่อ งธาตุ เรื่องอาตนะ เรื ่ อ งขั น ธ หรื อ อะไรก็ ต าม ที ่ แ ยกออกไป ไม ใ ห ม ี ต ั ว ตนเหลื อ อยู  ที ่ ไ หน นั้นควรจะถือวา เปนก ข ก กา ของพุทธศาสนาโดยแทจริง

แต แล วก็ มี คนเป นอั นมากไม ยอม แล วยั งกล าวหาอาตมาว า ท านพุ ทธ ทาสนี้ ส อนแหวกแนวบ า ๆ บอ ๆ อย า งนี้ เสมอ; อย า งนี้ ก็ ไม โกรธ และก็ ไม ถื อ สา อะไร, ยั งคงมุ งหมายที่ จะพู ดถ อยคํ าที่ กระตุ น เตื อ นใจท านทั้ งหลาย ให ขะมั กเขม น เรี ย น ก ข ก กา ประเภทนี้ กั น เสี ย ที ; เพราะมั น อยู ที่ ต รงนี้ แ หละ ที่ พุ ท ธบริ ษั ท ยัง ทํ า เสีย ชื ่อ ขายหนา ไมส มกับ ที ่เ ปน พุท ธบริษ ัท ก็อ ยู ที ่ต รงนี ้. พุท ธบริษ ัท ก็ แ ป ลว า ผู  รู  ต าม พ ระพุ ท ธเจ า ; ฉะนั ้ น ค วรจะรู  เ รื ่ อ งไม ม ี ต ั ว ไม ม ี ต น . ส ว นเรื่ อ งของฆราวาสนั้ น ก็ ส อนไป ในฐานะที่ ว า มั น เป น เรื่ อ งทั่ ว ไปของคนซึ่ ง ยั ง ไมมีอะไรแปลก ยังไมมีอะไรพิเศษออกไป จากคนธรรมดา.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org

นี้ ส รุ ป ความว า เรื่ อ ง ก ข ก กา นั้ น ต อ งแบ ง ออกเป น ๒ ฝ า ย ๒ ประเภท ๒ ระดั บ แล ว แต จ ะเรี ย ก คื อ ฝ า ยปรมั ต ถธรรม นี้ เป น เรื่ อ งจริ ง พู ด เรื่ อ ง ความไม มี ตั ว ตน, และฝ า ยศี ล ธรรม นี้ เป น เรื่อ งสมมติ ว า ให มี ตั ว ตน และก็ พู ด ไป ตามสมควรแกความรูสึกของบุคคลที่ยังไมรูสมมติ แลวก็หลงวามีตัวมีตน.


๓๘๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ทั้งฝายปรมัตถ, ศีลธรรม ตองรูถูกตองไปแตตน.

เราไมรูเรื่องขันธ ๕ กันอยางถูกตอง นี้ก็หมายความวา เราพยายาม จะสอน จะเรี ย นเรื่ อ งขั น ธ ๕ ด ว ยกั น ตลอดเวลา; แต ไ ม มี ค วามรู อ ย า งถู ก ต อ ง. เชนรูกันไปในทางที่วา เรามีขันธ ๕ ครบทั้ง ๕ ตลอดเวลา อยางนี้ มันก็เปน เรื่องที่ผิดจากความจริง ยิ่งกวาที่จะผิด.

ที นี้ บ างคนไปไกลยิ่ ง กว า นั้ น คื อ ว า แม น อนหลั บ อยู เราก็ มี ขั น ธ ค รบ ทั้ ง ๕. นี้ ก็ ยิ่ งผิ ดมากไปเกิ นกว าที่ จะเรียกว าผิ ด ; เพราะวา เรื่ อ งขั น ธ ๕ นั้ น มั น จะมี พ รอ มกั น ไม ได , มั นจะมี ม าตามลํ าดั บแล ว ถึงกับ วา อัน หนึ่ งต องดั บ ไปกอ น อัน หนึ ่ง จึง จะมี ก็ม ี. เรามีเ วทนาแลว เวทนานั ้น ถูก ยึด ถือ เปน สัญ ญาหรือ ถูก ปรุ ง แต ง เป น สั ง ขาร คื อ ความคิ ด ความรู สึ ก ประเภทเวทนาขั น ธ ต อ งระงั บ ไปก อ น มั นจึ งจะมี ความรูสึ กประเภทสั ญ ญาขันธ หรือสั งขารขันธ เกิ ดขึ้นในใจแทนที่ อยู ได ; เพราะว ามั นไม สามารถจะรู สึ กพร อมกั นหลายอย าง ในบรรดาสิ่ งที่ มั นมี หน าที่ หรื อ กิจ การงานตา งกัน . เราตอ งเรีย นเรื ่อ งขัน ธ ๕ กัน เสีย ใหม ในฐานะเปน เรื ่อ ง ก ข ก กา ของฝายปรมัตถธรรม.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ท านทั้ งหลายจะเรี ยกอย างไรก็ ตามใจ แต อาตมาจะขอเรี ยกว า ก ข ก กา เพราะว ามั น เป น สิ่ งแรกที่ เขาให เรี ยน, เมื่ อ เราไปอยู วั ด เป น เด็ ก ตั วเล็ ก ๆ เขาก็ เขี ย น ก ข ก กา ใส กระดาษ กระดาน ให เรียน ไม มี อ ะไรจะให เรียนก อนหน านั้ น. ที นี้ ถ า จะมาศึก ษาเรื่อ งของพระพุท ธเจา โดยตรง, ขอใหฟ ง ใหถ นัด ชัด เจนวา โดยตรง เรื่องพระพุทธศาสนาโดยตรง, เราก็ตองเรียนเรื่องขันธ ๕ กอน แลวจึงจะรูอะไร


ประมวลเรื่องอันเกี่ยวกับ ก ข ก กา ทั้งปวง

๓๘๕

ต า ง ๆ มากมาย ที่ เ กี่ ย วข อ งกั น อยู กั บ เรื่ อ งของขั น ธ ๕ นั้ น . แม ว า เรื่ อ งขั น ธ ๕ มั น จะประกอบอยู ด วยอะไรบางอย าง เราก็ ต อ งเรี ย นหมด, ต อ งเรี ย กว าเรื่ อ งขั น ธ ๕ ดว ยกัน ทั ้ง นั ้น . เดี ๋ย วก็จ ะไดพ ิจ ารณากัน ดู วา เรื ่อ งขัน ธ ๕ นั ้น มัน มีอ ะไรรวม อยูบาง เราไมรูขอนี้แลว ก็ควรจะเรียกวา เราไมรู ก ข ก กา ของพุทธศาสนา.

ที นี ้ ใ นฝ า ย ศี ล ธรรม เราก็ ย ั ง รู  ไ ม ด ี รู  ไ ม จ ริ ง . อย า หาว า ดู ห มิ ่ น ดู ถู ก อะไรเลย เราไม รู โดยแท จ ริ งเรื่ อ งสรณาคมน เรื่ อ งทาน เรื่ อ งศี ล อย างถู ก ต อ ง. เรารั บ สรณาคมน อ ย า งนกแก ว นกขุ น ทอง ทั้ ง ที่ ไม รู เรื่ อ งสรณาคมน นั้ น เลยก็ ทํ า ได ; เพราะมั น เป น เพี ย งพิ ธี รี ต องเท า นั้ น , และโดยมากก็ ทํ า กั น เพี ย งเท า นั้ น , เพราะเมื่ อ ได ทํ าอย างนั้ น มั นก็ พอใจเสี ยแล ว นี้ เรี ยกว า ไม รู เรื่ องสรณาคมน ทั้ งที่ รั บสรณาคมน อยูทุกวัน ดังเชน :-

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ไมรู เ รื ่อ งท าน ทั ้ง ที ่ทํ า ท าน อ ยู เ ปน ป ระจํ า ทุก วัน ; เชน ไมรู ว า ทานนี ้ทํ า เพื ่อ อะไร, แลว ทํ า ไปตามความประสงคข องตัว มัน ก็ก ลายเปน ทานที่ ไม ถู ก ต อ ง ตามหลั ก ของพุ ท ธศาสนาไปเสี ย ก็ ไ ด . เช น ว า ทํ า ทานเพื่ อ จะแลกเอา สวรรค แลกเอาวิ ม าน, เป น การค า กํ า ไรเกิ น ควร อย า งนี้ อ าตมารู สึ ก ว า ไม ใ ช พุ ท ธศาสนา, หรื อ ถ าจะว ากั น โดยประวั ติ มั น ก็ มี ม าแล วก อ นพุ ท ธศาสนาเกิ ด ที่ เขา สอนใหทําทานอยางนี้.

การทํ า ทานในพระพุ ท ธศาสนานั้ น ต อ งเพื่ อ ทํ าลายความเห็ น แก ตั ว คื อ ที ่เ ราใหท านออกไปนั ้น ; ไมใ ชไ ปแลกเอาสวรรคว ิม านมา. แตว า จะใหก าร ทํ าทานนี้ มั น พาเอาความเห็ น แก ตั ว เช น ความขี้ เหนี ย ว ความโลภ อะไรต า ง ๆ นี้ ออกไป, ออกไป, ออกไป, ออกไป ใหห มดจากเนื ้อ จากตัว ; ถา ไปรับ สวรรค


๓๘๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

วิม านเปน กํ า ไรมหาศาลเขา มา มัน ก็ยิ ่ง เพิ ่ม ความเห็น แกต ัว . ไปลองคิด ดูใ หดี ฉะนั้ น เราไม รู จ ั ก เรื่ อ งทาน ในลั ก ษณะที ่ เ ป น การกระทํ า อั น ถู ก ต อ ง ของ พุทธศาสนาในขั้นที่เปน ก ข ก กา กันอยางนี้.

แมเ รื ่อ งศีล ก็อ ยา งเดีย วกัน อีก , คนสว นมากก็อ ยากจะรัก ษาศีล อวดคน, หรือ วา อยากจะรัก ษาศีล เพื ่อ แลกสวรรคว ิม าน ไมไ ดร ัก ษาศีล เพื่ อ จะกํ า จั ด กิ เลส ส ว นที่ จ ะออกมาทางกาย ทางวาจา อย า งนี้ เป น ต น . นี้ เรี ย กว า ไมรู ก ข ก กา แมในฝายศีลธรรม ซึ่งจะไดวากันโดยละเอียดอีกครั้งหนึ่ง.

นอกจากนั้ น ก็ ไม รูเรื่อ งการปฏิ บั ติ ส มาธิ วิป ส สนา อย างถู ก ต อ งตาม หลัก ของพระพุท ธศาสนา, ยัง มีเ ขว เถลไถลออกไป เปน แบบอื ่น อยา งอื ่น , ไม ต รงจุ ด ตั้ ง ต น ของพุ ท ธศาสนา ก็ เรี ย กว า ไม เป น ก ข ก กา ของสมาธิ วิ ป ส สนา นั่นเอง.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้น จึงเห็ น วา เราควรชําระสะสางป ญ หาเรื่อ ง ก ข ก กา นี้ ให ทุก แขนงกัน เสีย ที. นี ่แ หละ คือ คํ า ปรารภเรื ่อ งนี ้ตั ้ง แตแ รกเริ ่ม การบรรยาย. ขอท านทั้ งหลาย เอาไปคิ ดดู ให ดี ถ าเห็ นด วยก็ คงจะง าย ในการที่ จะเรี ยน ก ข ก กา กันตอไป.

๑. เรื่องเกี่ยวกับปรมัตถ. ทีนี ้จ ะ ซอ ม ค วาม เขา ใจ ดว ย ก าป ระม วล คํ า บ รรย าย ห ล าย ค รั ้ง ตอหลายครั้งเอามาแตใจความอีกครั้งหนึ่ง ในสวนที่เกี่ยวกับปรัตถธรรม วา ก ข ก กา


ประมวลเรื่องอันเกี่ยวกับ ก ข ก กา ทั้งปวง

๓๘๗

ทางฝ า ยปรมั ต ถธรรมนั้ น มั น ยั ง มี ป ญ หาอยู อ ย า งไรโดยละเอี ย ด แต ก็ โดยสั ง เขป โดยละเอียด คือครบทุกเรื่องที่ควรจะรู แตโดยสังเขป ก็คือพอเทาที่จะเขาใจได.

เรื่ อ งปรมั ต ถธรรมนั้ น เป น เรื่ อ งสอนความไม มี ตั วตน ดั งที่ ได ก ล าวแล ว คูกับศีลธรรม ที่จะสอนเรื่องความมีตัวตน, แลวก็ทําใหดี ก ข ก กา ของปรมัตถ ธรรม นั ้ น มี จ ุ ด ให ญ ร วม อ ยู  ที ่ เ รื ่ อ งขั น ธ ทั ้ ง ๕ คํ า เดี ย วก็ พ อ ; เพ ราะ วาความทุกขก็จะเกิดที่นี่ แลวดับความทุกขก็จะตองดับที่นี่.

แต เรื่ อ งขั น ธ ทั้ ง ๕ นั้ น มั น กิ น ความมาก กว า ง ครอบคลุ ม ลงไปถึ ง เรื่ อ ง เช น เรื่ อ งธาตุ เรื่ อ งอายตนะ ที นี้ จ ะเรีย งลํ า ดั บ กั น อย า งไร ก็ ดู เหมื อ นว า จะ ไม รู กั น เสี ย แล ว ว า จะเรี ย งลํ า ดั บ กั น อย า งไร. จะเรี ย งลํ า ดั บ ว า ธาตุ อายตนะ ขันธ, หรือจะเรียงวา ขันธ ธาตุ อายตนะ หรืออายตนะ ขันธ ธาตุ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ ก็ จ ะเห็ น ได ใ นการพู ด กั น นั่ น เอง ว า เขาเรี ย งลํ า ดั บ มั น อย า งไร แล ว แสดงใหรู ว า คนนั ้น รู จ ัก สิ ่ง เหลา นั ้น หรือ ไม. ถา ไมรู จ ัก มัน ก็ต อ งเรีย งผิด เชน แทนที่ จ ะพู ด ว า ก ข ค ฆ ง ก็ พู ด ว า ง ก ข ค มั น ก็ ไ ม ถู ก ลํ า ดั บ . เราจะต อ ง เรียกว า ก ข ค ฆ ง ไม ควรจะไปเรี ยงให มั นสั บสนกั นไปอย างอื่ น ; เพราะว าแม แต จะเรี ยงเรื่อง ก ข ค ฆ ง นี้ เขาก็ มี หลั กที่ จะเรี ยง ไม ใช ว ากั นตามเดาสุ ม, คื อมี หลั ก ที่ จ ะต อ งเรี ย งตั ว อะไรก อ น เอาตามอวั ย วะที่ มั น ทํ า ให เกิ ด เสี ย งนั้ น อะไรมาก อ น อะไรมาหลั ง หรื อ อะไรหนั ก อะไรเบา ด วยอวั ย วะอั น ไหน มั น มี ห ลั ก ครบทุ ก วรรค ของตัว ก ข ค ฆ ง จ ฉ ช ฌ ญ นี้.


๓๘๘

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ที นี้ เรื่ อ งขั น ธ ทั้ ง ๕ นี้ ก็ เ หมื อ นกั น มั น ก็ ค วรจะเรี ย งคํ า ว า ธาตุ ก อ น แล ว อายตนะติ ด ตามมา แล ว ก็ ขั น ธ เป น ตั ว สํ า คั ญ เกิ ด ขึ้ น แล ว ก็ เ ลยไปเป น อุป าทานขัน ธ ทีห ลัง จากนั ้น ก็ค ือ ความทุก ข. ถา ตอ ไปจากนั ้น อีก ก็เ ปน เรื ่อ ง การปฏิบ ัต ิ เพื ่อ จะดับ เสีย ซึ ่ง ความทุก ขนั ้น คือ ศีล สมาธิ ปญ ญา แลว เรื่อ ง สุดทายก็ตองเปนเรื่อง มรรค ผล นิพพาน.

ศึกษาเรื่องธาตุเปนอันดับแรกกอน.

ท านลองสั งเกตดู ให ดี ว า มั น มี ค วามจํ าเป น อย างไร ที่ จะต อ งเรี ยงลํ าดั บ กัน อยา งนี ้, เพราะวา ธาตุนี ่ม ัน เปน สิ ่ง ที ่ม ีอ ยู ต ามธรรมชาติ เปน ธาตุ – ธาตุ – ธาตุ - ธาตุ ไปไม รู กี่ สิ บ กี่ ร อ ยธาตุ ; แต ที่ สํ า คั ญ ๆ ก็ เ ช น ธาตุ ดิ น น้ํ า ลม ไฟ อากาศ วิญ ญาณ, ธาตุด ิน ธาตุน้ํ า ธาตุล ม ธาตุไ ฟ นี ้รู จ ัก กัน ดี. แตย ัง รู จ ัก กั น ผิ ด ๆ ผิ ด อย า งน า ร อ งไห ที่ รู จั ก ธาตุ ดิ น ว า คื อ ก อ นดิ น , รู จั ก ธาตุ น้ํ า ว า คื อ น้ํ า ในโอง , รู จ ัก ธาตุล มวา ลมอากาศที ่ห ายใจออก - เขา , รู จ ัก ธาตุไ ฟ ที ่ก อ ติด ขึ ้น หุงขาว อยางนี้มันผิด ; เพราะธาตุทั้ง ๔ นั้น มันไมไดหมายความถึงตัววัตถุอยางนั้น.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ อ ยากจะขอบอกให ท ราบไว อี ก ที ห นึ่ งด ว ยว า มี ห ลั ก ที่ จ ะควรทราบไว วา ในพุท ธศาสนานี ้ ไมม ีห ลัก ที ่จ ะพูด ถึง วัต ถุเ ลย ; แมจ ะพูด ถึง วัต ถุใ ด ๆ ก็ ต าม จะเล็ ง ถึ ง คุ ณ สมบั ติ แ ห ง วั ต ถุ นั้ น มากกว า ที่ จ ะเล็ ง ถึ ง ตั ว วั ต ถุ นั้ น . ถ า พู ด ถึ ง ธาตุ แ ล ว ในทางฝ า ยการศึ ก ษาอย า งโลก ๆ ในป จ จุ บั น นี้ แม พ วกฝรั่ ง ที่ เป น คน ยอดเยี่ยมในทางการศึกษาฝายนี้ เมื่อพูดถึงธาตุ เขาก็หมายถึงตั ววัตถุธาตุ ทั้งนั้น, จะหมายถึงตัววัตถุ ซึ่งเขาสมมติชื่อเรียกวาธาตุนั้น ๆ ทั้งนั้นเลย.


ประมวลเรื่องอันเกี่ยวกับ ก ข ก กา ทั้งปวง

๓๘๙

แตถ า ธาตุใ นพุท ธศาสนาแลว จะไมไ ดเ ล็ง ถึง วัต ถุนั ้น โดยตรง แต จะเล็ง ถึง คุณ สมบัต ิที ่ม ีอ ยู ใ นตัว วัต ถุนั ้น . ตัว วัต ถุนั ้น ไมต อ งสนใจก็ได, เพราะ มัน มีค า เพราะมัน มีค ุณ สมบัต ิช นิด นั ้น อยู . ดัง นั ้น จะเห็น ไดท ัน ทีว า พุท ธศาสนา นี ้มุ ง จะสอนเรื ่อ งนามธรรมมากกวา ; เพราะวา สิ ่ง ที ่เ รีย กวา คุณ สมบัต ินั ้น มัน กระเดีย ดมาในทางเปน นามธรรมแลว มัน ไมม ีต ัว ตนที ่จ ะจับ ฉวยโดยตรงได. นี่แ หละคือ หลัก สํ า คัญ อยา งหนึ ่ง ซึ ่ง ซอ นเรน อยู  แตก็เ ปน ขั้น ตน ที ่ส ุด ในชั้น ที่ เป น ก ข ก กา ว าพุ ทธศาสนานั้ น มุ งหมายจะชี้ แจง สั่ งสอนเป ดเผย ในเรื่ องฝ าย นามธรรมหรือฝายจิตใจมากกวา.

ดั งนั้ นเมื่ อกล าวถึ งธาตุ เชน ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ลม ธาตุ ไฟ ก็ จะเล็ ง ถึงคุณสมบัติที่มีอยูในสิ่งที่เรียกวา ธาตุนั้น ๆ เชนวา ปฐวีธาตุ ก็แปลวา ธาตุดิน, แต มิ ได เล็ ง ถึ ง ตั ว ดิ น โดยตรง โดยเฉพาะเจาะจงและเพี ย งเท า นั้ น . แต จ ะไปเล็ ง ถึ ง คุณ สมบั ติ ที่ เราจะเห็ นไดงาย ๆ ที่มี อยูในกอนดิ น คื อคุณ สมบั ติที่ มั นเป นของแข็ ง มัน กิน เนื ้อ ที ่ อยา งนี ้เ ปน ตน . คุณ สมบัต ิที ่ทํ า ใหเ กิด การกิน เนื ้อ ที ่ หรือ ขยาย เนื้อที่ออกไป นี้คือธาตุดิน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อาโปธาตุ ธาตุ น้ํ า มั น ก็ ได แ ก คุ ณ สมบั ติ ที่ จ ะเกาะกุ ม ไม ให ก ระจั ด กระจาย เชน เดีย วกับ ลัก ษณะของน้ํ า . เราจะเห็น วา มัน มีล ัก ษณะกุม ตัว เขา รวมตั ว กั น เป น หน ว ยน้ํ า หนึ่ ง หน ว ยเสมอไป, เว น ไว แ ต มั น จะมี อ ะไร ซึ่ ง มี อํ า นาจ เหนื อ กว า มาแยกมั น ออกไป. ถ า ปล อ ยไปตามธรรมชาติ แ ล ว น้ํ า นี้ จ ะเกาะกุ ม เขามาหากัน คุณสมบัติอันนี้ เรียกวาธาตุน้ํา.

ธาตุ ล ม ก็ คื อ คุ ณ สมบั ติ ที่ มั น ลอยได ระเหยได เคลื่ อ นไหวได มี ความหมายเปนคุณสมบัติของการเคลื่อนไหวไป.


๓๙๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

เตโชธาตุ ธาตุไ ฟ ก็ค ุณ สมบัต ิที ่ม ัน เผาไหม ทํ า การเผาไหมแ ก สิ่ งอื่ น หรื อ จะเรี ย กอี ก ที ห นึ่ งก็ ว าอุ ณ หภู มิ . ถ าอุ ณ หภู มิ ห นึ่ งมั น สู งกว าอุ ณ หภู มิ ห นึ่ ง มัน ก็เ ผาอุณ หภูม ิที ่ต่ํ า กวา . ฉะนั ้น อุณ หภูม ินั ่น แหละ คือ ความหมาของคํ า วา ธาตุ ไ ฟ ; แล ว มั น จึ ง มี ไ ด แ ม ใ นน้ํ า น้ํ า เย็ น ที่ เ ราดื่ ม เข า ไปแก ว หนึ่ ง อย า งนี้ มั น ก็ มี ธาตุ ไ ฟ คื อ อุ ณ หภู มิ ร ะดั บ หนึ่ ง , แล ว มั น มี ธ าตุ ล ม คื อ ว า ในน้ํ า นั้ น ส ว นที่ เป น ของ ระเหย เป น การระเหยได , แล ว ในน้ํ า นั้ น ก็ มี ธ าตุ ดิ น แต มั น ละเอี ย ดเกิ น ไปกว า ที่ เรา จะเห็ น ได . เพราะมั น มี ก ารกิ น เนื้ อ ที่ มั น เป น อณู ที่ ล ะเอี ย ดเกิ น ไป แต มั น เป น ลั ก ษณะของธาตุ ดิ น , แล ว มั น ก็ เป น ธาตุ น้ํ า คื อ มั น เกาะกุ ม กั น อยู เหมื อ นกั บ ว า มั น เปนกอนของน้ํา ฉะนั้นในน้ํา ที่เราดื่มเขาไปแกวหนึ่งมันก็มีครบทั้ง ๔ ธาตุ.

ที นี้ เราดู ที่ ก อนดิ น ก็ มี ลั กษณะว า มั นกิ นเนื้ อ ที่ นี้ ก็ เป นธาตุ ดิ น ก อนดิ น นั้ น ก็ มี น้ํ าเจื อ อยู แม ว าจะมองเห็ น ยาก มั น ก็ มี น้ํ าเจื อ อยู ในปริ ม าณใดปริ ม าณหนึ่ ง, แล ว ในดิ น นั้ น ก็ มี คุ ณ สมบั ติ ที่ ร ะเหยได คื อ มี ธ าตุ ล ม, แล ว ในดิ น นั้ น ก็ มี อุ ณ หภู มิ ระดับ ใดระดับ หนึ ่ง อยู  มัน ก็ม ีธ าตุไ ฟ, หยิบ ดิน มากอ นหนึ ่ง ในนั ้น ก็ม ีค รบทั ้ง ๔ ธาตุ, ตัก น้ํ า มาแกว หนึ ่ง น้ํ า แกว นั ้น มัน ก็ม ีค รบทั ้ง ๔ ธาตุ อยา งนี ้เ ปน ตน คื อ ว า พระพุ ท ธศาสนา มุ ง จะสอนส ว นที่ เป น นามธรรม อั น ลึ ก กว า รู ป ธรรม จึ ง เล็ ง ถึ ง คุ ณ สมบั ติ . นี้ ย กตั ว อย า งมาเท า นั้ น ถ า จะพู ด กั น หมดก็ เ วลาไม พ อ มั น กิ น เวลามาก, ยกตัวอยางมาใหเห็นวา เรายังเขาใจเรื่องธาตุนั้นผิดอยูอยางไร.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org

สว นอากาศธาตุนั ้น ที ่ว า งหรือ ความวา ง หรือ เปน ที ่ว า ง สํ า หรับ ใหธ าตุทั ้ง หลายอื ่น ตั ้ง อยู ไ ด. สว นวิญ ญาณธาตุนั ้น เปน พิเ ศษ คือ ธาตุที ่จ ะ ทํ า ความรู สึ ก ให เกิ ด ขึ้ น ได ก็ เป น ๖ ธาตุ ด ว ยกั น จาก ๖ ธาตุ นี้ มั น ก็ ทํ า ให เกิ ด ธาตุอื่น ๆ อีกมาก.


ประมวลเรื่องอันเกี่ยวกับ ก ข ก กา ทั้งปวง

๓๙๑

ธาตุ ดิ น น้ํ า ลม ไฟ อากาศ วิญญาณ ๖ ธาตุ นี้ เท านั้ น แต ทํ าให เกิ ด ธาตุอื ่น ๆ อีก มาก ; เชน ใหเ กิด ธาตุต า ธาตุห ู ธาตุจ มูก ธาตุลิ ้น ธาตุก าย ธาตุ ใจ. คุ ณ สมบั ติ ห รือ หน า ที่ ที่ จ ะทํ า ได ทางตา ทางหู ทางจมู ก เป น ต น นี้ ก็ ยั ง เรี ย กว า ธาตุ นี้ เป น คํ า ที่ พ ระพุ ท ธเจ า ตรั ส หรื อ ใช หรื อ ทรงระบุ อ ย า งนี้ . แล ว ก็ ยั ง ตรั ส ถึ ง ธาตุ รู ป ธาตุ เ สี ย ง ธาตุ ก ลิ่ น ธาตุ ร ส ธาตุ โ ผฏฐั พ พะ ธาตุ ธั ม มารมณ ขางนอก ที่มันจะมาเขาคูกันกับตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้ก็เปนธาตุ.

ทีนี ้ธ าตุพ วกขา งนอก กับ ธาตุพ วกขา งใน มากระทบถึง กัน เขา มัน ก็ป รุงเปน วิญ ญาณธาตุ หรือ วาทําใหวิญ ญาณธาตุ ปรากฏออกมา ; เมื่อ ตากระทบรู ป ก็ เกิ ดจั กษุ วิ ญ ญาณคื อการเห็ นทางตา นี้ วิ ญ ญาณธาตุ ปรากฏออกมา ให เ ห็ น แล ว . ธาตุ เหล า นี้ มั น มี อ ยู เป น พื้ น ฐาน เมื่ อ ได โ อกาส ได ป จ จั ย ได อ ะไร ตาง ๆ มันก็ปรากฏออกมา เพราะมันทําหนาที่ของมัน นี้เรียกวาเรื่องธาตุ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ า เรายั ง ไม รู เ รื่ อ งธาตุ นี้ ก็ เ รี ย กว า ยั ง ไม รู ก ข ก กา ของปรมั ต ถ ธรรมของพุท ธศาสนา ; แตนี ้ค นโดยมากเห็น วา เรื ่อ งปรมัต ถธรรมนี ้ ไมใ ช ก ข ก กา นั่ น เพราะว าเขาฟ งไม ดี . อาตมากํ าลั งบอกว า นี้ มั น เป น เรื่ อ ง ก ข ก กา ของปรมั ต ถธรรม ถ า ไม อ ย า งนั้ น ก็ ไ ม มี เรื่ อ งปรมั ต ถธรรมอะไรที่ ไ หน, มั น ต อ งมี เรื่อง ก ข ก กา สําหรับศึกษาเรื่องปรมัตถธรรม.

นี่ เรารู เรื่ อ งธาตุ อ ย า งนี้ กั น เสี ย ให ถู ก ต อ ง รู ว า ธาตุ นี้ มั น จะปรุ งนั่ น ปรุ ง นี่ ขึ ้น มา ใหเ ปน รูป ขึ ้น มา ใหเ ปน นามขึ ้น มา. แตที ่เ ปน อยู จ ริง ในเนื ้อ ตัว ของเรา วันหนึ่ง ๆ นี้ ธาตุเหลานี้มันปรุงอายตนะ ธาตุดิน น้ํา ลม ไฟ อากาศ วิญญาณนี้


๓๙๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

มั น จะปรุ ง อายตนะคื อ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ มี ห น า ที่ มี ก ารกระทํ า หน า ที่ ขึ้นมาในวันหนึ่ง ๆ.

ธาตุปรุงอายตนะ แลวอายตนะปรุงขันธ.

ทีนี ้อ ายตนะนี ้ มัน ทํ า หนา ที ่ต อ ไปอีก คือ จะปรุง ใหข ัน ธต า ง ๆ ปรากฏออกมา ซึ่ งจะทบทวนกั น อย างสั้ น ๆ อี ก ที ว า เมื่ อ ตาเห็ น รู ป ก็ เกิ ด การเห็ น ทางตา คื อจั กษุ วิ ญ ญาณ นี้ ก็ เกิ ดวิ ญ ญาณขั นธ ส วนน อยขึ้ นมา ๓ ประการนี้ ร วมกั น คื อ ตากั บ รู ป จั ก ษุ วิ ญ ญาณนี้ มาถึ ง กั น เข า แล ว เรี ย กว า ผั ส สะ. เพราะผั ส สะเป น ปจจัย จึงเกิดเวทนา นี้คือเวทนาขันธไดเกิดขึ้นมา เพราะผัสสะเปนปจจัย.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทีนี ้เ วทนานี ้เ กิด แลว เปน ความรู ส ึก ชอบหรือ ไมช อบ เปน ตน บา ง ก็ มี ค วามรู สึ ก ที่ จํ า ได ว า ถู ก ใจ นี้ ถู ก ใจหรื อ นี้ ไ ม ถู ก ใจ แล ว สํ า คั ญ มั่ น หมายว า นี้ เป น อย า งไร, นี้ ส วย นี้ ไ ม ส วย นี้ น า รั ก นี้ น า พอใจ นี้ เ ราชอบ, นี้ เ ราถื อ ว า เป น ของเรา หรือแก เรา เพื่ อเรา นี้ เรียกวาสั ญ ญา มั นก็เป น สั ญ ญาขั นธ เกิ ดขึ้ น เพราะ ตาเห็นรูปนั้น.

ถ า เกิ ด สั ญ ญาขั น ธ อ ย า งนี้ แ ล ว มั น ก็ เกิ ด สั ง ขารขั น ธ คื อ ความคิ ด ไป ตามอํ า นาจของความมั่ น หมายนั้ น ๆ : คิ ด จะได คิ ด จะมี คิ ด จะเอา คิ ด จะเป น คิ ด จะหา คิ ด จะยึ ด ครอง กระทั่ ง คิ ด จะลั ก จะขโมย ก็ เรีย กว า สั ง ขารขั น ธ เกิ ด แล ว


ประมวลเรื่องอันเกี่ยวกับ ก ข ก กา ทั้งปวง

๓๙๓

สว นรูป ขัน ธนั ้น เกิด แลว ตั ้ง แตเมื ่อ ตาทํ า หนา ที ่ข องตา หรือ วา รูป ข า งนอกเข า มาเกี่ ย วข อ งกั บ ตา อย า งนี้ เรี ย กว า รู ป ขั น ธ เกิ ด แล ว ทั้ ง ข า งนอกและ ขางใน.

ที นี้ ก็ เลยรู ป ขั น ธ เวทนาขั น ธ สั ญ ญาขั น ธ สั ง ขารขั น ธ วิ ญ ญาณขั น ธ เกิ ด มาครบถ ว นตามลํ า ดั บ ตามหน า ที่ ตามเหตุ ต ามป จ จั ย อย า งนี้ ก็ เพราะมี สิ่ ง ที่ เรี ย กว า อายตนะ, คื อ ธาตุ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ที่ ลุ ก ขึ้ น ทํ า หน า ที่ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ โดยสมบู ร ณ . แล ว อายตะนี้ ก็ ม าจาก ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ล ม ธาตุไ ฟ อากาศ วิญ ญาณ ที ่ม ัน ไดเ หตุไ ดป จ จัย มัน ปรุง แตง กัน ขึ ้น มา. ธาตุ ชวยใหเกิดอายตนะ, อายตนะชวยใหเกิดสิ่งที่เรียกวาขันธ.

ที นี้ บ างที ก็ จ ะไม พู ด ในลั ก ษณะของขั น ธ ๕ พู ด ไปในเรื่ อ งของปฏิ จ จ สมุ ป บาทก็ มี , เช น ว าเวทนาเกิ ด แล ว ก็ เกิ ด ตั ณ หา อุ ป าทาน ภพ ชาติ เป น ทุ ก ข ไป อย า งนั้ น ก็ มี , แต เนื้ อ แท ก็ เหมื อ นกั น กั บ ขั น ธ ๕ บางที ก็ แ จกในระหว า ง เวทนากั บ ตั ณ หานั้ น มากมายไปเสี ย ก็ มี , ไม เป น ไร นั้ น มั น เป น รายละเอี ย ดปลี ก ย อ ย แต ให เรา รูก็แลวกันวา ธาตุนี้มีสวนชวยปรุงอายตนะ, อายตนะปรุงใหเกิดขันธ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org จากขันธปรุงเปนอุปาทานขันธ ฯลฯ กระทั่งถึงนิพพาน.

นี้ ถ า ว า เมื่ อ เกิ ด ขั น ธ นั้ น มั น เกิ ด ด ว ยความโง คื อ ความเผลอสติ แล ว ขัน ธที ่เ กิด นั ้น ถูก ยึด ถือ ดว ยอุป าทาน ซึ ่ง ม าจากอ วิช ชา. ที ่จ ริง สิ ่ง นี ้ก ็เ ปน สั ง ขารขั น ธ เช น อุ ป าทานอย า งนี้ ก็ ต อ งจั ด เป น สั ง ขารขั น ธ , คื อ ความคิ ด ที่ ผิ ด ชนิ ด


๓๙๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

หนึ ่ง มัน ไดเ กิด ขึ ้น แลว ยึด ถือ ขัน ธ ๕ ขัน ธใ ดขัน ธห นึ ่ง วา เปน เราบา ง วา เปน ของเราบา ง หรือ ยึด ถือ ทั ้ง ๕ ทั ้ง ๕ ขัน ธว า เปน เราบา ง เปน ของเราบา ง นี ้เ รีย กวา อุป าทานขัน ธเ กิด แลว . เมื ่อ ตะกี ้เ รีย กวา ขัน ธเ ฉย ๆ เพราะไมม ีก าร ยึด ถือ ดว ยอุป าทาน. ทีนี ้ใ นบางกรณี มัน มีก ารยึด ถือ ดว ยอุป าทาน คือ ในกรณี ที่ จ ะให เ กิ ด ความทุ ก ข นั่ น แหละ จะต อ งมี ก ารยึ ด ถื อ ด ว ยอุ ป าทาน ที่ ม าจาก อวิช ชาคือ ความโง. นี ้ก ็เ รีย กวา อุป าท าน ขัน ธ เปน ตัว ทุก ข เสร็จ ไปตอน หนึ่ง เรื่อง ก ข ก กา มันเสร็จไปตอนหนึ่ง ตอนที่ใหเกิดทุกข ขึ้นมาโดยสมบูรณ.

ทีนี ้ม ัน ก็ม ีห นา ที ่ต อ ไป ที ่จ ะดับ ทุก ข มัน ก็ต อ งตั ้ง ตน ดว ยการรู การคิ ด การพยายามไปอี ก ทางหนึ่ ง ซึ่ ง ตรงกั น ข า ม ซึ่ ง เป น เรื่ อ งของการปฏิ บั ติ ธรรม. เราจะต อ งมี ก ารปฏิ บั ติ ศี ล สมาธิ ป ญ ญา แล วก็ จะได ผ ลเป น การบรรลุ มรรค ผล นิ พ พาน ซึ่ งโดยที่ แท แล ว ก็ เพื่ อ จะดั บ ความทุ ก ข ที่ ม าจากอุ ป าทานขั น ธ นั่นเอง.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เรื่อ ง ศี ล สมาธิ ป ญ ญา นี้ ก็ เป น ก ข ก กา สํ าหรั บ ที่ จ ะบรรลุ มรรค ผล นิพ พาน คือ ฝา ยดับ ทุก ข, แลว มัน ก็ไ มม ีที ่ตั ้ง อะไรกัน ที ่ไ หน มัน มี ที ่ตั ้ง ที ่น ามรูป ที ่ร า งกาย ที ่จ ิต ใจ ที ่ข ัน ธ ๕ อีก นั ่น เอง. ถา ทํ า ใหข ัน ธ ๕ นี้ ไม เผลอสติ , ไม ป ราศจากสติ แ ล ว ไม มี อุ ป าทานยึ ด แล ว มั น ก็ เป น ขั น ธ ๕ ที่ ไ ม มี ความทุ ก ข . และถ า มั น เป น ได อ ย า งนี้ ต ลอดไป มั น ก็ ไ ม มี ค วามทุ ก ข เลยก็ เรี ย กว า เปน ขัน ธ ๕ ที ่บ ริส ุท ธิ ์ ไมเ ปน ที ่ตั ้ง แหง อุป าท าน มัน ก็ไ มม ีค วาม ทุก ขเ ลย. นี่ เป น ขั น ธ ๕ อย างของพระอรหั น ต ซึ่ งไม มี กิ เลสเลย, เป น วั ต ถุ ป ระสงค ที่ มุ งหมาย ในระดับสุดทาย.


ประมวลเรื่องอันเกี่ยวกับ ก ข ก กา ทั้งปวง

๓๙๕

นี้ เรี ย กว า เราไม รู เรื่ อ ง ก ข ก กา ของปรมั ต ถธรรม อั น ได แ ก สิ่ ง ที่ เรี ย ก ว า ธาตุ ว า อายตนะ ว า ขั น ธ ว า อุ ป าทานขั น ธ และว า ความทุ ก ข ทั้ ง ปวง ; ฉะนั้ น เราควรจะตั ้ง ตน เรีย น ก ข ก กา โดยเฉพาะเรื ่อ งธาตุ เรื ่อ งอายตนะนี ้ก ัน เสีย ใหม แล ว ก็ จ ะรู จั ก กิ เ ลส รู จั ก อุ ป สรรค รู จั ก ป ญ หาต า ง ๆ ย า งถู ก ต อ งตามที่ เ ป น จริ ง แล ว จะแก ไขได . สํ า หรั บ สิ่ ง ที่ เรี ย กว า ธาตุ นั่ น แหละสํ า คั ญ ที่ สุ ด เพี ย งคํ า เดี ย ว นี ้ จะเปน ความรู ที ่แ กป ญ หาตา ง ๆ ไดห มด. เดี ๋ย วนี ้เพราะเราไมรู จ ัก สิ ่ง ที ่เรีย ก ว า ธาตุ อย า งเดี ย วเท า นั้ น เราจึ ง เป น คนโง อ ย า งบรมโง , หรื อ จะว า โง ๆ โง ๆ สั ก หมื่ น ครั้ ง แสนครั้ ง ก็ ยั ง ไม คุ ม กั น . มั น โง เ พราะไม รู จั ก สิ่ ง ที่ เ รี ย กว า ธาตุ . ถ า รู จั ก สิ่งที่เรียกวาธาตุ วาเปนสิ่งที่เปนไปสักวาธรรมชาติ อยางนี้แลวมันก็ไมมีปญหา.

เช น เราไปหลงในรสอร อ ยที่ เ กิ ด ขึ้ น ทางเนื้ อ หนั ง เพ ราะการสั ม ผั ส ระหว างเพศ, เพศหญิ ง เพศชาย นี้ ก็ เพราะโง ในข อที่ ว าไม รู ว า โผฏฐั พพธาตุ นั้ น พระ พุทธเจาไดตรัสไว วาเปนสักวาธาตุที่เปนไปตามธรรมชาติ เกิดขึ้นตามเหตุตามปจจัย ตามกฎเกณฑ ข องธรรมชาติ . มั น มี ค วามรู สึ ก ในจิ ต ใจอย า งนั้ น ; แต จิ ต ใจนั้ น มั น โง มั น ไม ป ระกอบไปด ว ยป ญ ญา, มั น จึ ง เห็ น ไปว า โผฏฐั พ พะที่ เกิ ด ขึ้ น ระหว า ง เพศนั้ น เป น ของประเสริ ฐ จนถึ ง กั บ หลงใหลบู ช าต า ง ๆ นานา ยกขึ้ น เป น เรื่ อ ง ประเสริฐ ที ่ส ุด ของมนุษ ย มัน โงส ัก เทา ไร, จะใชคํ า วา โงส ัก กี ่ร อ ย กี ่พ ัน กี ่ห มื ่น กี่แสนครั้งจึงจะสมกัน เพราะไมรูจักสิ่งที่เรียกวาธาตุนั้น เพียงคําเดียวเทานั้น.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org

รู ป ที่ ส วย ๆ นั้ น ก็ คื อ รู ป ธาตุ ถ า รู ว า เป น เพี ย งสั ก ว า ธาตุ ก็ จ ะไม ห ลงใน ความสวยของรู ป , เสี ย งที่ ไ พเราะนั้ น เสี ย งก็ เป น สั ท ทธาตุ เป น ธาตุ ต ามธรรมชาติ อย า งหนึ่ ง ถ า รู ข อ นี้ แ ล ว ก็ จ ะไม ห ลงใหลในความไพเราะของเสี ย ง, กลิ่ น ที่ ห อม


๓๙๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

นั้ น ก็ เหมื อ นกั น กลิ่ น นั้ น เป น สั ก ว าธาตุ ต ามธรรมชาติ ถ ารูแล วก็ ไม ห ลงในกลิ่ น นั้ น , รสที่ อ ร อ ย ที่ ลิ้ น ความอร อ ยนั้ น รสนั้ น ก็ สั ก ว า ธาตุ เรีย กว า รสธาตุ , ถ า รูว า ธาตุ ก็ไม หลงใหลในรสนั้ น . ที นี้ โผฏฐั พ พะธาตุ สั ม ผั สทางผิ วหนั ง ที่ มี ป ญ หามากก็ คื อ สั ม ผั ส ระหว างเพศ ถ ารูว าเป น เพี ย งสั ก ว าธาตุ ต ามธรรมชาติ ก็ ไม ห ลงใหล ในโผฏ ฐั พ พะนั้ น . ที นี้ ธั ม มารมณ จะยกตั ว อย า งง า ย ๆ เช น เกี ย รติ ย ศชื่ อ เสี ย ง นี้ เป น ธั ม มารมณ เป น ธั ม มธาตุ . ถ า รูว า สั ก ว า ธาตุ ต ามธรรมชาติ คนก็ จ ะไม ห ลงใหลใน เรื่องเกียรติยศชื่อเสียง, อยางนี้เปนตน.

นี่ เพราะไม รู จั กสิ่ งที่ เรี ยกว าธาตุ ตามธรรมชาติ หรื อ เป น ไปตามธรรม ชาติ จึ งได หลงใหลอย าง หลั บหู หลั บตา. ฉะนั้ น คนที่ เข ามาอยู วัด วันแรกเพื่ อจะ บวชในพุ ทธศาสนา เขาจึ งให เรียนบทพิ จารณาเรื่องธาตุ คื อบทที่ เรียกวา ยถาปจฺ จยํ ปวตฺตมานํ ธาตุมตฺตเมเวตํ ยทิทํ จีวรํ เปนตนนี้ ซึ่งแสดงความเปนธาตุ ที่ภิกษุ สามเณร สวดกันอยูทุกวันนี่ จะรูหรือไมรูก็ไมทราบ แตวาสวดกันอยูทุกวัน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถารูเรื่อ งความเปน ธาตุอ ยางนี้ดีแลวคงไมสึก เพราะมันไมรู มันจึง โง ไ ปหลงในเรื่ อ งหลอกของธาตุ มั น จึ ง ต อ งสึ ก . นี้ พู ด โดยไม ต อ งเกรงใจ จะเป น เรื่ อ ง ก ข ก กา กี่ ม ากน อ ย ก็ ข อให ล องคิ ด ดู ว า มั น มี ค วามสํ า คั ญ เท า ไร. ฉะนั้ น ขอใหเขาใจความหมายของคําวา ยถา ปจฺจยํ ปวตฺตมานํ ที่เขาเขียนใหเรียนใน วั น แรกที่ เข า มาอยู วั ด เพื่ อ จะบวชนั้ น ให ดี ๆ นี่ ก ข ก กา ของปรมั ต ถธรรม มั น เปนอยางนี้.


ประมวลเรื่องอันเกี่ยวกับ ก ข ก กา ทั้งปวง

๓๙๗

๒. เรื่องที่เกี่ยวกับศีลธรรม.

ที นี้ ก็ ม าถึ ง เรื่ อ งที่ ๒ คื อ เรื่ อ งศี ล ธรรม ก ข ก กา ของศี ล ธรรม คื อ ก ข ก กา ของเรื่ อ งมี ตั ว มี ต น มี สั ต ว มี บุ ค คล มี เรามี เขา มี ได มี เสี ย มี ทุ ก ข มี สุ ข , ก็ค วรจะเพง เล็ง ไปยัง เรื ่อ งสรณาคมน เรื ่อ งทาน เรื ่อ งศีล ที ่เ ขาขวนขวาย กันนักสําหรับตัวตน สําหรับของตนนั่นแหละ และก็พูดกันมาก็มากแลว.

สรุ ปเอาแต ใจความ ว าสรณมาคมน นั้ น ถ าตั้ งต นถู ก คื อเรี ยน ก ข ก กา กั น มาถู ก ก็ รู ว านั้ น เป น สิ่ งที่ สู งสุ ด ที่ จะพึ่ งได พึ่ งพาอาศั ย ได ; หรื อ ว ายิ่ งกว านั้ น ก็ คื อ พระพุท ธเจา นั ้น ทา นเปน ผู รู แ ละดับ ทุก ขไ ด และสอนคนอื ่น . พระธรรมนั ้น เปน เครื ่อ งดับ ทุก ขโ ดยตรง, พระสงฆค ือ ผู ป ระสบความสํ า เร็จ ในเรื ่อ งนี ้. ฉะนั ้น เราถื อ พระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ ในลั ก ษณะอย า งนี้ ก็ เรี ย กว า ถู ก เรื่ อ งของ สรณาคมน ไ ม ไขว เขว ว า สิ่ ง สู ง สุ ด หรื อ บุ ค คลสู ง สุ ด วั ต ถุ สู ง สุ ด ที่ จ ะเป น ที่ พึ่ ง ได มัน มีอ ยูอ ยา งนี้. อยา ไปถือ ใหก ลายเปน ของศัก ดิ ์สิท ธิ์ไ ปเสีย จะเอามาแขวน ที่คอสักเทาไร มันก็ชวยอะไรไมได ถาไมรูใหถูกตองจริงตามความหมายของสิ่งนี้.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที่ นี้ เรื่ อ งทาน ถ า เราจะมี ค วามรู อ ย า งถู ก ต อ ง ในเบื้ อ งต น สั ก อย า ง หนึ่ง วา สัต วทั้ง หลายเปน เพื ่อ นเกิด แก เจ็บ ตาย ดว ยกัน ทั้ง หมดทั้ง สิ้น เท า นี้ จ ะพอ ไม ต อ งรู อ ะไรมาก ขอให รู จ ริ ง เห็ น จริ งด วยใจจริ งว า สั ต ว ทั้ งหลายเป น เพื่ อ นเกิ ด แก เจ็ บ ตาย ด วยกั น ทั้ งหมดทั้ งสิ้ น เท านี้ เอง, แล วมั น จะหยิ บ ยื่ น ให เอง มันจะชวยเหลือเอง มันจะเมตตากรุณา จะสงเคราะหอะไรเอง.


๓๙๘

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

เดี๋ ย วนี้ ไม ได ให ท านด ว ยข อ ที่ ว า สั ต ว ทั้ ง หลายเป น เพื่ อ น เกิ ด แก เจ็ บ ตาย ดว ยกัน ทั ้ง หมดทั ้ง สิ ้น . ไปใหท านเพื ่อ จะแลกเอาสวรรค เอามาเปน ตัว กู มาเป น ของกู . เขาเลยต อ งหลอกให ด ว ยสวรรค นั่ น เองว า ให ห ยิ บ ยื่ น ให ค นอื่ น บ า ง ; แตค วามมุ ง หมายอัน แทจ ริง ของเรื ่อ งนั ้น ตอ งการจะใหส ละความเห็น แกต ัว ของบุคคลผูมีตัว อันยึดถือไวหนาแนนเกินไป.

ถ า ผู ใ ดจะเรี ย น ก ข ก กา ให ถู ก ต อ งในเรื่ อ งเกี่ ย วกั บ การให ท านแล ว ขอใหภาวนาไวเถิดวา สัตวทั้งหลายเปนเพื่อนทุกข เกิด แก เจ็บ ตาย ดวย กั น ทั้ งหมดทั้ งสิ้ น . จงปฏิ บั ติ ต อ สั ต ว ทั้ ง หลายเหล านั้ น ให ถู ก ต อ งตามความหมาย อันนี้ หรือวาจะอยูกันในโลกนี้ ก็ใหอยูกันดวยความรูสึกอยางนี้ มันก็ใหทานเอง.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org [นี่ฝนจะตกแลว เพราะฉะนั้นตองรีบลัดหนอย.]

เรื่ อ งศี ล ถ ารู ก ข ก กา ในเบื้ อ งต น มั น ก็ ม าจากความรู สึ ก อย างเดี ย ว กัน อีก ; วา ถา เรารู ส ึก วา สัต วทั ้ง หลายเปน เพื ่อ นทุก ข เกิด แก เจ็บ ตาย ดว ยกัน ทั ้ง หมดทั ้ง สิ ้น เราก็เ บีย ดเบีย นเขาไมไ ด, ประทุษ รา ยทรัพ ยส มบัติ ร า งกายของเขาก็ ไ ม ไ ด . มั น ก็ มี ศี ล ข อ ที่ ๑, ศี ล ข อ ที่ ๒, ไม ป ระทุ ษ ร า ยของรั ก ของเขาได ก็ มี ศี ลข อที่ ๓, ไม ประทุ ษรายสิ ทธิ ประโยชน อะไรของผู อื่ นได ด วยวาจา ก็ มี ศี ลข อที่ ๔, ไม ประทุ ษร ายสติ ป ญญา สมปฤดี ของตั วเอง ก็ ไม ผิ ดศี ลข อที่ ๕. ก็ แปลว า มั น คงอยู ในความสงบ ปกติ ที่ สุ ด เพราะว าพอทํ าผิ ด ในเรื่ อ งนี้ มั น ผิ ด ปรกติ เท านั้ น . เช น ไปดื่ ม น้ํ า เมาเข า มั น ก็ ผิ ด ปกติ , หรื อ ไปทํ า อะไรอื่ น เข าเพราะการดื่ ม น้ํ า เมา ก็ ผิ ด ปกติ, รักษาความปกติไวไดอยางเดียว ก็เรียกวามีศีล.


ประมวลเรื่องอันเกี่ยวกับ ก ข ก กา ทั้งปวง

๓๙๙

ฉะนั้ น เรื่ องศี ลนี้ ก็ คื อความสงบ ไม มี ความวุ นวาย ตรงตามความหมาย ของคํ า วา ศีล สี - ละแปลวา ปกติ ถือ ศีล ขอ เดีย วพอ จะทํ า ใหม ีศ ีล จริง ๆ ทุก ขอ , ที นี้ ค นที่ ไม จ ริ ง จะถื อ ศี ล ๕ ศี ล ๘ ศี ล ๑๐ ศี ล กี่ ร อ ยก็ ต าม มั น ไม จ ริ งแล ว , มั น ก็ ไม มี ศี ล สั ก ข อ เดี ย ว ไม ถู ก ต อ งตามจุ ด ประสงค ข องศี ล คื อ ความสงบ, ฉะนั้ น ถ า ยั ง ไมม ีค วามสงบ ก็ย ัง ไมม ีศ ีล . ฉะนั ้น คนที ่ถ ือ ศีล จริง ขอ เดีย วเทา นั ้น คือ ความ สงบนี ้ แลว จะมีศ ีล ทุก ขอ ได แลว ก็ม ีจ ริง ดว ย ไมใ ชว า สัก วา อํ า พรางไวแ ต ขางหนา.

เรื่ อ งสรณาคมน เรื่ อ งทาน เรื่ อ งศี ล และเรื่ อ งที่ บุ ค คลในระดั บ ที่ มี ตั วตน จะต องรู นี้ มี อี กมากมาย เราเอามารวมกั นเข าหมดนี้ เรี ยกว า ก ข ก กา หลาย ๆ ตั ว ก ข ก กา หลาย ๆ ตัว . ถา ทํ า เพื ่อ ใหไ ดด ี วนเวีย นอยู ใ นโลกนี ้ ก็เ รีย กวา วั ฏ ฏคามิ นี คื อ เวี ย นดี ได ดี , หรื อ เผลอเข า ก็ ชั่ ว แล ว ก็ ดี ดี ชั่ ว บุ ญ บาป สุ ข ทุ ก ข อยู ใ นโลกนี้ เรี ย กว า วั ฏ ฏคามิ นี เป น การปฏิ บั ติ เพื่ อ ให ว นเวี ย นอยู ใ นโลกนี้ . ที นี้ ถา ทํ า ดีก วา นั ้น เรื ่อ งทาน เรื ่อ งศีล เรื ่อ งสรณ าคมน ก็เ ถอะ ถา ทํ า ดี คือ ทํ า ถูก ตอ งจริง แลว มัน จะดึง ออกไปจากโลกนี ้ ซึ ่ง เปน วิฎ ัฎ คามิน ี. วิว ัฏ ฏ ะ แปลวา มิใ ชว ัฏ ฏะ หรือ ออกไปนอกวัฏ ฏะ. ฉะนั ้น คนที ่ม ีส รณาคมน มีท าน มีศีลดีนั้น จะคอย ๆ หลีกออกไปจากโลกนี้ หรือจากวัฏฏะนี้ไปสูโลกุตตระได.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้ น อย า ทํ า เล น กั บ ก ข ก กา ไม กี่ ตั ว นี้ ; ถ า ทํ า ผิ ด มั น จะทํ า ให วนเวีย นอยู ใ นวัฏ ฏะนี ้ คือ เกิด แลว เกิด อีก อยา งนั ้น อยา งนี ้ ภพนั ้น ภพนี ้. แต ถ าทํ าให ดี มั น จะค อ ย ๆ เกิ ด ความเบื่ อ หน าย ในการวายเวีย นอยางนี้ ; แม แ ต การให ท านนี้ มั น ก็ จ ะผลั ก ออกไป จากโลกนี้ ไปหาโลกุ ต ตระ. การรั ก ษาศี ล


๔๐๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ก็ยิ่งผลัก ไปจากโลกนไปสูโลกุ ต ตระ. นั่น เปน ก ข ก กา ที่เขาเรียนดี เขาเรียน ถูกตอง มันจะชวยผลักใหออกไปจากโลกนี้ ไปสูโลกุตตระ.

รูวา "เกิดมาทําไม" ถูกตอง, จะดับทุกขได.

ที นี้ มั นมี สิ่ งที่ ต องคิ ดอยู อี กข อหนึ่ ง เกี่ ยวกั บ เรื่องนี้ ที่ เป น ชั้ น ก ข ก กา วาเรื่อง ก ข ก กา นี้ มั นจะมาขึ้นอยูกับความรูที่รูวา เรานี้ เกิดมาทํ าไม ? ถาเราไม รู วาเกิดมาทําไม เทานั้นแหละ, มันก็ไมรูจะ ก ข ก กา กันที่ตรงไหนถูก, คือจะ ไม รู จั ก ประโยชน ข องศี ล ธรรม, ไม รู จั ก ประโยชน ข องปรมั ต ถธรรม. ฉะนั้ น ก ข ก กา ของศี ล ธรรมก็ ดี ของปรมั ต ถธรรมก็ ดี มั น จะต อ งมากลมกลื น กั น กั บ ความรู ก ข ก กา ในขั้ นที่ ว า เราเกิ ดมาทํ าไม. เดี๋ ยวนี้ การที่ รูวา เราเกิ ด มาทํ าไม นี้ มั น ก็ ย าก ยากแสนยากเหมื อ นกั น , แต ถ า ไม รู มั น ก็ ตั้ ง ต น ไม ถู ก เหมื อ นกั น เพราะฉะนั้น มันจึงเปน ก ข ก กา ชั้นลึก ชั้นยาก.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เนื่ องจากการสั งเกตอยู ตลอดเวลา ที่ เรามี ชี วิ ตอยู แต ต นจนบั ดนี้ ค อย ๆ รูว าอะไรถู ก ค อ ย ๆ รู ว าอะไรผิ ด และค อ ย ๆ รู ว า อะไรมั น เป น ไปเพื่ อ ความสงบ, อะไรไมเ ปน ไปเพื ่อ ความสงบ. รู ว า เวลาที ่ค วรปรารถนาที ่ส ุด ก็ค ือ เวลาที ่มี ความสงบ, คือ ไมมีค วามทุก ข. ในที ่สุด ก็จ ะคอ ย ๆ มองเห็น หรือ วาเชื่อ ไดดว ย ตนเองวา เราเกิด มาเพื ่อ จะกํ า จัด ความทุก ข. เราไมอ ยากจะเกิด มา หรือ เรา ไมไ ดเ จตนาจะเกิด มา ; แตม ัน ก็ไ ดเ กิด มาแลว . ฉะนั ้น เมื ่อ เกิด มาแลว อยา งนี้ จะตองทําอยางไร นี้ปญหามันเหลืออยูเทานี้.


ประมวลเรื่องอันเกี่ยวกับ ก ข ก กา ทั้งปวง

๔๐๑

ถา รูวา เกิด มาทํา ไมอยา งถูก ตอ งแลว ก ข ก กา นี่ก็จ ะตั้ง ตน ดี จะตั ้ง ตน เร็ว คือ จะเรีย นหนัง สือ รู เ ร็ว เหมือ นคนฉลาดยิ ่ง . คนฉลาดอยา งยิ ่ง เรีย นเดี๋ ย วเดี ยวก็ รู รูม หาศาลที เดี ย ว เป น อุ ค ฆติ ตั ญ ู เพี ย งแต เขาเอ ย ปากมั น ก็ รู เสี ย แล ว เกิ ด มาทํ า ไม; แล ว คนที่ ไ ม รู ว า เกิ ด มาทํ า ไมนั่ น แหละ ควรจะถื อ ว า เป น คนโงที่สุด.

นี่ ใครจะเป น คนโง อ ยู ในจํ านวนนี้ ก็ ไปตั ด สิ น ดู เอาเองก็ แ ล วกั น เพราะ มั น ไม ย าก. เรารูว าเราเกิ ด มาทํ า ไม, หรือ วาเราไม รูวาเราเกิ ด มาทํ าไม, หรือ ว าเรา รู อ ยู ผิ ด ๆ ว า เกิ ด มาทํ า ไม. มั น พิ สู จ น ไ ด ต รงที่ ว า ถ า เรารู อ ย า งนี้ แล ว มั น ยั ง มี ความทุ ก ข อ ยู ก็ ห มายความว า เรารู ผิ ด แล ว ; ถ า เรารูเราเกิ ด มาทํ าไม เราทํ า อย า งนั้ น อยู แล ว ไม มี ค วามทุ ก ข เกิ ด ขึ้ น นี้ ก็ เรี ย กว า รู ถู ก แน . ไม มี ใ ครช ว ยตั ด สิ น ใหได นอกจากผลที ่ม ัน เกิด ขึ้น มา ถา ดับ ทุก ขไ ด ก็เรีย กวา เรารูถูก , ความรู ของเราถูก.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แต เดี๋ ย วนี้ เรายั ง ได เปรี ย บอยู บ า ง ที่ ว า เรามี พ ระพุ ท ธศาสนาเป น หลั ก เกณ ฑ. ฉะนั ้น เราก็อ าศัย พุท ธศาสนาเปน เครื ่อ งชว ย ; แตไ มใ ชใ หช ว ย อย างหลั บหู หลั บตา คื อไม ต องเชื่ ออย างงมงาย ให เชื่ อประกอบด วยสติ ป ญญา, พอที่ จะรู ว า เกิด มาทํ า ไม. แมว า พระพุท ธเจา ทา นไดต รัส ไว ละเอีย ดลออในทุก แง ทุ ก มุ ม ; แต ท า นก็ ยั ง ขอร อ งว า อย า เชื่ อ ทั น ที ต อ งพิ จ ารณาดู ต อ งลองดู ต อ ง ปฏิ บ ั ต ิ ด ู , แล ว มั น พิ ส ู จ น ใ นตั ว มั น เอง ว า มั น ดั บ ทุ ก ข ไ ด และก็ นั ่ น แหละ เชื ่อ ได ถือ เอาเปน หลัก ได. การที ่จ ะเชื ่อ อะไรใหเ ด็ด ขาดลงไปนั ้น ตอ งอาศัย หลั ก เกณฑ อ ย า งนี้ ; แม แ ต จ ะตั ด สิ น ลงไปว า เราเกิ ด มาทํ า ไม นี้ ก็ ต อ งระวั ง ให ดี .


๔๐๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ถา มัน โผงผางพรวดพราดลงไป มัน มีส ว นผิด แลว มัน ก็จ ะเสีย เวลา ; ฉะนั ้น คอย ๆ ระวังใหมันมีแตถูกเรื่อยไปดีกวา.

หลักปฏิบัติทั้งศีลธรรมและปรมัตถขึ้นอยูที่สติ.

ที นี้ เวลาเล็ ก น อ ยสุ ด ท ายนี้ ก็ อ ยากจะพู ด ว า ก ข ก กา ของการปฏิ บั ติ ธรรม ซึ ่ง กิน ความทั ้ง สว นศีล ธรรมและสว นปรมัต ถธรรม. การปฏิบ ัต ิธ รรมนั ้น อะไรเป น ก ข ก กา เสี ยเวลาสั กอึ ด ใจหนึ่ ง ถามท านทั้ งหลายว า ท านทั้ งหลายที่ นั่ ง อยู ที่ นี่ ท า นรู สึ ก ว า ในการปฏิ บั ติ ธ รรมนั้ น มี อ ะไรเป น ตั ว ก. คงจะตอบต า ง ๆ กั น ตอบอย างไรก็ เก็ บ ไว ในใจ ; ส วนอาตมานี้ จ ะบอกว า สติ เป น ตั ว ก ของการปฏิ บั ติ ธรรม, แล ว มั น ประหลาดที่ ว า สติ นี้ จ ะเป น ทุ ก อย า ง กระทั่ ง เป น ฮ. สุ ด ท า ยของ พยัญชนะทั้งหลาย.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org มั น เลยเป น ของประหลาดที่ ว า มั น เป น ทุ ก อย า ง เป น ทุ ก เวลา เป น ทุ ก สถานที่ สิ่งที่เรียกวาสติ, สติ อยางเดียวเท านั้ น , คือความเป น ผูมี สติ คือ รูสึกตัว มีส มปฤดีห รือ ปญ ญา, รูส ึก อยู ก อ นแตที ่จ ะคิด จะพูด จะทํ า อะไรลงไป. เดี๋ ย วนี้ เราปล อ ยไปตามธรรมชาติ เกิ น ไป อยากจะพู ด ก็ พู ด , อยากจะทํ า ก็ ทํ า , หรื อ อยากจะคิด ก็ค ิด ไมไ ดสิ ่ง ที ่เ รีย กวา สติ มาเปน ผู นํ า หรือ เปน ผู ต ัก เตือ น หรือ เปนผูยับยั้ง หรือเปนอะไรก็สุดแท.

แต สิ่ งที่ เรี ย กว า สติ นี้ ก็ เป น สิ่ งที่ เข า ใจยาก, และยิ่ งกว า นั้ น ก็ ยั งเป น สิ่ ง ที่ จ ะมี ไ ด โ ดยยาก ; เพราะคนเรามั น หั ด มาในทางที่ จ ะไม มี ส ติ . คนดู ตั้ ง แต


ประมวลเรื่องอันเกี่ยวกับ ก ข ก กา ทั้งปวง

๔๐๓

เกิ ดมาจนบั ดนี้ ไม ได เคยหั ดที่ จะมี สติ ชอบอะไรก็ ทํ า, ชอบอะไรก็ พู ด ก็ คิ ด ก็ ทํ า, ไปตามอารมณ ทั้ งนั้ น, ไม เคยมี สติ ไม เคยยั บยั้ งดู ก อนวา ที่ จะทํ าลงไปนี้ เป นอย างไร, หรื อว าคํ าพู ด ที่ จะพู ด ลงไปนี้ มั น จะเกิ ด อะไรขึ้ น ไม เคยฝ ก อย างนี้ , ไม เคยได รั บ การ สั่งสอนใหทําอยางนี้. เราจึงฝกมาแตในทางที่จะไมมีสติ ตั้งแตเกิดมาจนบัดนี้.

ฉะนั้ น สิ่ ง ที่ เป น ป ญ หาอั น แรกที่ สุ ด ก็ คื อ ความมี ส ติ ขอให มี ห ลั ก ที่ ว า จะพ ูด อ ะไรอ อ ก ไป ก็ม ีส ติรู เ รื ่อ งที ่จ ะพูด นั ้น ดีเ สีย กอ น, และจะทํ า อะไรก็ เหมือ นกัน , หรือ แมแ ตจ ะปลอ ยความคิด ใหไ หลไปในกระแสไหน ก็จ งมีส ติ กอนที่จะปลอยใหมันไปในกระแสนั้น. นี่เรียกวา สติจะมากอน.

การฝก หัด สติอ ยางสมบูร ณ เรีย กวา อานาปานสติ, คือ ความเปน ผู มี สติ ทุ กครั้งที่ หายใจออกเข า, มี สติ ทุ กครั้งที่ ห ายใจออกเข า, แล วคิ ดดู เถอะ มั นจะ ขาดตอนได อ ย า งไร. ก็ ค วามมี ส ติ ส มบู ร ณ นั่ น แหละเป น ตั ว แท เป น เนื้ อ เป น ตั ว ของสิ่งที่เรียกวา การปฏิบัติธรรม.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org คํ า ว า สติ เป น คํ า ประหลาด หมายถึ ง ทุ ก อย า งจะรวมอยู ใ นนั้ น ไม โดยตรงก็ โดยอ อ ม. อย างป ญ ญาก็ ร วมอยู ในคํ าว าสติ ; เพราะวา ถ าไม มี ป ญ ญา มั น ก็ ไ ม รู ว า จะรู สึ ก ตั ว ว า อะไร. ความรู สึ ก ตั ว นั้ น มั น รู สึ ก ว า ผิ ด หรื อ ถู ก , สุ ข หรื อ ทุ ก ข ดี ห รื อ ชั่ ว นี้ มั น รู สึ ก ตั ว อย า งนี้ . ฉะนั้ น ต อ งมี ป ญ ญามั น ก็ ทํ า ให มี ป ญ ญานี้ โดยตรง หรือ ตอ งมีก อ นแลว มัน จึง มีส ติที ่ไ ด. มีส ติแ ลว มัน ก็เ ปน เหตุใ หทํ า ถู ก คิ ด ถู ก พู ด ถู ก อะไรต อ ไปอี ก ; แม จ ะมี ชี วิ ต อยู ก็ ถู ก จะมี ส มาธิ ก็ มี ไ ด มั น ก็ เล ย ชว ย ยึด โย งสิ ่ง ตา ง ๆ ไว ค รบ ถว น บ ริบ ูร ณ . นี ้เ รีย ก วา มัน เปน ตัว ก าร โดยตรงก็มี เปนอุปกรณโดยออมก็มี.


๔๐๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

สิ่ ง ที่ เ รี ย กว า อั ฏ ฐั ง คิ ก มรรค ๘ ประการนั้ น อั ฏ ฐั ง คิ ก มรรค คื อ มรรคมีอ งคแ ปดประการนั ้น มัน ก็สํ า เร็จ ไดเพราะมีส ติ; แมวา จะมีส ัม มาทิฏ ฐิ คื อ ป ญ ญา เป น ผู นํ า แต แ ล ว การเป น ไปได การยึ ด โยงกั น อยู ไ ด นี้ เป น ไปได ด ว ย อํ า นาจของสติ ; แม ว า จะมี ส มาธิ เป น ตั ว กํ า ลั ง แต ว า กํ า ลั ง นั้ น มั น ใช ไปอย า งถู ก ตอ งดว ยอํ า นาจของสติ, และยัง มีก ารเลี ้ย งชีว ิต การกระทํ า พากเพีย รถูก ตอ ง มันก็ทําไดดวยอํานาจของสติ.

ตามความเห็ น ของอาตมา จึ งถื อ ว า ก ข ก กา ของสิ่ งที่ เรี ย กว า การ ปฏิบัติธรรมนั้น คือสิ่งที่เรียกวาสติ, ทุกอยางมีความสําคัญขึ้นอยูกับสิ่งที่เรียกวา สติ และบางที ก็ เรี ย กว า ความไม ป ระมาท, มั น มี คํ า แทนชื่ อ หลายอย า งหลาย ประการ. ถา มีส ติแ ลว ก็เ ปน อัน วา ทุก อยา งมัน จะเดิน ไปยัง มรรค ผล นิพพาน เปนแนนอน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทีนี้ถึงแมวาในเรื่อ งศีล ธรรม สติ ก็ชวยทั้ งหมด คือจะไดมีตัวตนที่ดี. สตินี ้จ ะชว ยใหเ ราไมทํ า อะไรผิด มีต ัว ตนที ่ด ี, ไดร ับ แตค วามดี อยู ใ นโลกนี ้, เวี ย นว า ยอยู ในโลกนี้ ก็ เวี ย นว า ยอยู แ ต ใ นทางที่ ดี . ที นี้ อี ก ทางหนึ่ ง สติ นี้ จ ะช ว ย ใหอ อกไปพน จากความมีต ัว ตน, ไมม ีต ัว ตน ไปสู โลกุต ตร. นี ้ก ็ย ัง ดว ยอํ า นาจ ของสติ . ขอให มองเห็ นสติ ในฐานะที่ เป นทั้ งตั ว ก ข ก กา และเป นสุ ดท ายของทั้ งหมด ดวยอยางนี้.

เอาละ, ขอสรุ ป ความว า เราต อ งย อ นไปเรี ย น ก ข ก กา กั น ใหม แล ว ให ดี ที่ สุ ด ขออภั ย ต องใช คํ าวาเรียนใหม , ออกจะเป นการดู ถู กท านทั้ งหลาย วาจั บ ตั ว มาเรี ย นใหม . แต ค วามจริ ง มั น อย า งนั้ น มั น ต อ งเรี ย นใหม เพราะว า ที่ เรี ย นมา


ประมวลเรื่องอันเกี่ยวกับ ก ข ก กา ทั้งปวง

๔๐๕

ก อ นนั้ น มั น เลอะเทอะ, มั น เลอะเลื อ นหรื อ สั บ สน ชนต น ชนปลายไม ค อ ยจะถู ก . ขอให เรีย นใหม แล วขอให เรีย นให ดี ที่ สุ ด ด วย. อยาให ใหม อ ยางเหลวไหลอย างที่ แลวมาอีก , มัน จะไมม ีอ ะไรใหม. เรีย นกัน ใหมแ ตวา เรีย นใหดีที ่ส ุด ไมเหมือ น กับที่แลวมา.

ก็ ตั้ ง ต น ปฏิ บั ติ กั น ให ดี ที่ สุ ด ตั้ ง ต น สอนกั น ไปให ถู ก ต อ ง นี้ ก็ จ ะพอทั น กั บ เวลา หรื อ ว า พอสมกั บ สถานการณ แห ง ยุ ค ป จ จุ บั น . เรามี อ ายุ เหลื อ อยู เท า นี้ ถ า เราทํ าถู ก ต อ ง มาลงทุ น เรีย น ก ข ก กา กั น เสี ย ใหม ให ถู ก ต อ งนั้ น ก็ ยั ง ทั น แก เวลา ; เพราะวา ถา ทํ า ไมถ ูก ตอ งเอง เรีย นอีก กี ่ร อ ยกี ่ป กี ่พ ัน ป มัน ก็ไ มถ ึง จุด ที่ มุ งหมาย. ฉะนั้ นถ าเรี ยนใหม ทํ าถู กต อง บางที่ ๒ - ๓ ป ก็ ถึ งจุ ดหมายปลายทางได ; ฉะนั้ น จึ ง เรี ย นว า เรี ย นเสี ย ใหม ใ ห ดี ที่ สุ ด ยั ง พอทั น แก เ วลา, แล ว ก็ ยั ง พอสู กั บ สถานการณ ที ่กํ า ลัง เปน อยู ใ นปจ จุบ ัน แมว า โลกนี ้ม ัน จะรอ นเปน ไฟอยา งไร. มั น อยู ในลั ก ษณะที่ ล อ แหลมจะต อ งฉิ บ หายวายวอดแน ; เพราะว า คนในโลกไม มี ศี ล ธรรมยิ่ งขึ้ น มี แ ต ก ารเอาเปรีย บ, การบ านการเมื อ งล ว นแต เป น การเอาเปรีย บ. โลกนี้ จะต อ งวิ น าศด วยอาวุ ธแรงราย ที่ เขามี ๆ กั น อยู . เราอย าท อ ใจ; ธรรมะนี้ ยั ง สู กั น ได กั บ สถานการณ อ ย างนี้ , แล วเราจะต อ งไม เป น ทุ ก ข เลย จนวาระสุ ด ท าย. แม ว  า จะต อ งตายลง มั น ก็ ไ ม ม ี ค วาม ทุ ก ข เ ลย. นี ้ เ รี ย กว า มั น ยั ง ทั น แก สถานการณ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org

ขอให สนใจไว เถอะ; ถ าเข าใจอย างนี้ แล ว มั น ก็ ยั งเรี ยกว าเอาตั วรอดได ไม เสี ย ที ที่ เกิ ด มาชาติ ห นึ่ ง ยั ง เอาตั ว รอดได . สมมติ ว า จะต อ งตายด ว ยระเบิ ด ปรมาณู ในป สองป ข างหน านี้ เรายั งมี การกระทํ าชนิ ดที่ เอาตั วรอดได โดยไม ต องถู ก


๔๐๖

ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ลู ก ระเบิ ด ชนิ ด นั้ น คื อ มั น จะถู ก ได ก็ แ ต ร า งกาย. แต จิ ต ใจมั น ถู ก ไม ไ ด มั น ไม ย อม ใหถูกจิตใจของเรา เพราะธรรมะนี้คุมครอง.

นี่ เรี ย กว าเรี ย น ก ข ก กา กั น เสี ย ใหม ให ดี ที่ สุ ด ยั งทั น แก เวลา ยั งทั น แก สถานการณ ; แม ว า การตั้ ง ใจเรี ย นนี้ จ ะลํ า บากบ า ง ก็ มี ป ระโยชน ม าก ทนลํ า บาก เอ าห นอ ย. อา น ห นัง สือ ใหรู เ รื ่อ งนี ้ม ัน ส นุก ; แตเ รีย น ไวย าก รณ ม ัน ลํ า บ าก มัน ทรมานจิต ใจ แตก ็ข อรอ งใหท นเรีย นไวยากรณ ด ว ย มัน จึง จะรู ห นัง สือ ดี. นี่ขอใหเรียน ก ข ก กา ของปรมัตถธรรม ของศีลธรรม ของการปฏิบัติธรรม ในลักษณะอยางที่วามาแลว.

นี้ เป น อั น ว าอาตมาได พู ด ถึ งเรื่ อ ง ก ข ก กา ของพุ ท ธบริ ษั ท หรื อ สํ าหรั บ พุ ท ธบริ ษั ท หรื อ เพื่ อ พุ ท ธบริ ษั ท มาถึ ง ๑๓ ครั้ ง แล ว ทั้ ง ครั้ ง นี้ , เพื่ อ ว า เราจะได เรีย น ถึง ตัว พ ุท ธศ าส น า ใหถ ึง ตัว จริง ตัว แทต ัว จริง ขอ งพ ระธรรม ห รือ ขอ ง ธรรมชาติ กั น เสี ย ที . แม จ ะเป น นั ก ธรรมเอกแล ว แม จ ะเป น เปรี ย ญเอกแล ว ก็ ยั ง ต อ งเรี ย น ก ข ก กา นี้ ; ไม ใ ช ว า จะดู ถู ก หรื อ ดู ห มิ่ น คนเหล า นั้ น เป น อั น ว า ไม ไ ด ยกเวน ใครที ่จ ะตอ งเรีย น ก ข ก กา นี ้. ถา ยัง ตอบปญ หานี ้ไ มไ ด คือ ไมทํ า ความกระจา งแจง ใหแ กต ัว เองไดว า อะไร จะไปกัน ทางไหน, ก็ข อให เรียนกันเสียใหม ในลักษณะอยางวามานี้ทุกประการ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ คํ า บรรยายนี้ ก็ ส มควรแก เวลาแล ว แล ว ก็ เป น ครั้ ง สุ ด ท า ย ก็ ข อ พระสงฆทั้งหลาย สวดคณสาธยายอีกวาระหนึ่ง.

_____________


ก ข ก กา

ภาคผนวก

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


เรื่องที่ ๑ ๑ มกราคม ๒๕๑๗ ที่ลานหินโคง, สวนโมกข.

เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม. การบรรยายธรรมในวั น นี้ ขอให เ ป น พิ เ ศษ คื อ ไม ใ ช แ สดงตามปกติ เหมื อ นครั้ งที่ แ ล ว มา. แต ก็ อ ดไม ได เพราะว า เราได ตั้ งใจไว ว า จะต อ งทํ า ตามที่ เคย ทํ า , หรื อ ทํ า ตามที่ กํ า หนดไว ก็ เลยรี บ ขอตั ว จากหมอ กลั บ มาให ทั น วั น ป ใ หม ซึ่ ง ก็ ไ ด ท ราบว า หลายคนตั้ ง ใจมา เพื่ อ จะได รั บ ประโยชน เนื่ อ งในวั น ป ใ หม จ าก สถานที่ นี้ . อาตมาก็ เลยพยายามมาให ทั น แม จ ะพู ด ได ไม ม ากก็ จ ะพู ด ตามที่ จ ะพู ด ได , แล ว ก็ ต อ งพู ด ค อ ย เพราะไม ค อ ยจะมี เสี ย ง ฉะนั้ น ต อ งใช เครื่ อ งขยายเสี ย งนี้ ชวยเต็มที่.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ เพื่ อ จะให ป ระหยั ด ลงไปได อี ก ก็ ต อ งการบุ ค คลสั ก คนหนึ่ ง ซึ่ ง เป น ผู ซั ก ถาม ตลอดถึ งขยายความ ก็ จ ะประหยั ด เรี่ ย วแรงได ม าก เท า ที่ ได น อนฟ งอยู ที่ กุ ฏิ ส องสามวั น มาแล วนี้ จะขอระบุ คุ ณ กั ญ ญา ให เป น คนมาถาม อยู ที่ ไหนก็ ให ม า ที่ ไ มโครโฟนตั ว นั้ น เป น ผู ซั ก ถามในฐานะที่ เ ป น ผู ซั ก ที่ ดี . อยู ที่ ไ หน ใครช ว ยไป ตามมาแล วป ญหาก็ จะเป นผู ที่ มี ป ญหาชนิ ดที่ จะต องอธิ บายอยู แล ว. ด วยคุ ณกั ญญาเป น ผู ซั ก ถาม แล ว ก็ ที่ อ ธิ บ ายอยู เมื่ อ ตะกี้ นี้ เพื่ อ ว า จะได ป ระหยั ด การพู ด คื อ จะแจ ม แจ ง หรือละเอียดลออได ดวยการซัก.

๔๐๙


๔๑๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ซอมความเขาใจที่จะพูดเรื่อง ก ข ก กา ที นี้ ก็ เ ป น เรื่ อ งเกี่ ย วกั บ ป ใ หม เพราะฉะนั้ น ก็ จ ะไม ใ ห เ สี ย ที ที่ ว า มั น เป น วั น ป ใ หม . ก็ จ ะพู ด เรื่ อ งที่ เกี่ ย วกั บ ป ใ หม . อย า งที่ ไ ด เคยบอกแล ว ว า ป นี้ มั น ใหมไ ปไมไ ด ; แตว า จิต ใจของคน หรือ คนนี ้อ าจจะทํ า ใหใ หมไ ดด ว ยการ ปรั บ ปรุ ง . ฉะนั ้ น จึ ง ถื อ โอกาสว า จะพู ด เรื่ อ งใดเรื่ อ งหนึ ่ ง ที ่ เ ป น การปรั บ ปรุง ใหวิช ชาความรูข องทา นทั ้ง หลายนี ้ใ หมขึ ้น บา ง, ใหส มกับ คํ า วา มัน เปน วันปใหม ก็ดูจะไดผลดี. ที นี้ เกี่ ย วกั บ วั น ป ใหม ก็ ค วรจะมี อ ะไรใหม อ ย างที่ ว ามาแล ว ก็ เลยอยาก จะพู ด ว า จะขอร อ งให ท า นทั้ ง หลาย ตั้ ง ต น เรี ย นใหม , ตั้ ง ต น เสี ย ใหม , ชํ า ระ สะสางใหม เรื่ อ ง ก ข ก กา กั น เสี ย ใหม . ที่ พู ด ว าจั บ ตั วให เรี ย น ก ข ก กา กั น เสี ย ใหม อ ย างนี้ บางคนอาจจะนึ ก หงุด หงิด แล วก็ ได . ผู ที่ ตั้ งตั ว เองเป น ครูบ าอาจารย บางคน กํ าลั งจะไม ชอบอาตมาแล วก็ ได ในการที่ พู ดว า ต องจั บตั วมาเรี ยน ก ข ก กา กั น เสี ย ใหม ; เพราะว า นอนฟ ง อยู ที่ กุ ฏิ ๒ - ๓ คื น มานี้ ก็ รู ว า เรี ย น ก ข ก กา มา ผิ ด . ช ว ยฟ ง ให ดี ว า เรี ย น ก ข ก กา มาผิ ด อาจเรี ย นลั ด อย า งผู ใ หญ ไม เ คย เรี ย น ก ข ค ง หรื อ กะ กา กิ กี ก็ ได ซึ่ ง เรี ย นแบบเบสิ ค (basic) เรี ย นจากข า ง บนจากปลายมาหาข า งล า งก็ ไ ด . อย า งนี้ ก็ ต อ งปรั บ ปรุ ง เรื่ อ งการเรี ย น ก ข ก กา กั น ใหม , แล ว ก็ ไ ม ใ ช ดู ถู ก , ไม ใ ช ดู ถู ก ใครแม แ ต สั ก คนเดี ย วว า เป น คนไม มี ค วามรู ขนาดที่ตองจับตัวมาเรียน ก ข ก กา กันเสียใหม.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที ่ว า เรีย นใหม นี ้ก ็ไ มไ ดเ รีย นใหมทั ้ง หมด เปน แต ปรับ ปรุง สว น ที่ ยั งไม ท ราบ หรือว าทราบน อย หรือวามั นยั งเขวอยู เช นอะไรแล วจึ งอะไร เป นต น,


เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม

๔๑๑

มั น ควรจะเป น ระเบี ย บเรี ย บร อ ย เช น ก สระ อะ กะ, ก สระ อา กา, ก สระอิ กิ ก สระอึ อ า นว า กู เป น เสี ย อย างนี้ มั น ก็ ผิ ด . ต อ งจั บ ตั วมาท อ งกั น ใหม ให มั น เป น ระเบีย บ, เปน ก ข ก กา ของธรรมะธรรมะนี ้ส ูง สุด เปน ของพระพุท ธเจา . ฉะนั้ น การที่ จ ะเรี ย น ก ข ก กา ในธรรมะของพระพุ ท ธเจ า คงไม ใช เรื่ อ งเสี ย เกี ย รติ , แลว แมจ ะจับ มาเรีย นอนุบ าล เรีย น ก กา กิ กี อยา งที ่น ัก เรีย นเรีย น แตเ รีย น ก ข ก กา อยางแบบของธรรมะ. เอาละ, ก็ ต อ งขออย า งที่ ว า มาแล ว เมื่ อ ตะกี้ นี้ ว า ขอให มี ผู ซั ก ที่ ดี สั ก คน หนึ่ ง แล วก็ ระบุ คุ ณ กั ญ ญา เขามาหรื อ ยั ง ? ช วยเป น ผู ซั ก ตามที่ เห็ น ว า ควรจะซั ก , แล ว ก็ ต อ งซั ก ในที่ ที่ ค วรจะซั ก ด ว ย จึ ง จะเป น ผู ซั ก ที่ ดี . ฉะนั้ น คุ ณ ทํ า ตั ว เป น ผู ซั ก ถาม ซึ่ ง จะได พู ด กั น ไปที ล ะข อ ว า วั น นี้ จ ะพู ด ให เป น ไปในทางที่ จั บ ตั ว แม ค รู บ า อาจารย มาเรียน ก ข ก กา กันเสียใหม, ก ข ก กา ของธรรมะของพระพุทธเจา. เอาละ, จะตั้ ง ต น ไปจากคํ า ว า ธรรมะเสี ย ก อ น แล ว จะรู ว า ก ข ก กา ของธรรมะนั้ น เป น อย า งไร, ก็ ข อเชิ ญ ให ผู ซั ก มานั่ ง ที่ ไ มโครโฟนเลย ซึ่ ง พร อ มที่ จะซักโดยไมตองเสียเวลาไปมา ๆ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ขอนมั สการท านนะคะ ดิ ฉั นก็ ยั งมิ ได มี ความสามารถอะไรลึ กซึ้ งนั ก มี ป ญ หาอยู ว า ∗ ขณะนี้สวนมากมีนักศึกษาซึ่งเปนเด็กมาจากตรัง ขอแรกก็จะเอาปญหาอันนี้กอน เชนวา...

ไม ใ ช , ไม ใ ช ... อย า งนั้ น เดี๋ ย วก อ นคงจะเข า ใจผิ ด อยู ขอให นั่ ง ก อ น, ให เตรี ย มตั ว สํ า หรั บ ซั ก และตอบ นั่ ง ข า งไมโครโฟนนั่ น แหละ เพราะว า คุ ณ จะต อ ง เป น ผู ยื น ยั น อี ก ที ห นึ่ ง , นอกนั้ น ก็ เป น ผู ฟ ง ว า ธรรมะของพระพุ ท ธเจ า ทั้ ง หมด

ตัวจิ๋วเปนคําพูดของผูอื่นตลอดเรื่อง


๔๑๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ทั ้ง สิ ้น มีเ พีย งเรื่อ งเดีย ว คือ เรื่อ งความดับ ทุก ข. นี้ค ุณ เห็น แลว หรือ ไมเ ห็น ด วย ? มาพู ด ที่ นี่ เลย อย าไปนั่ งเสี ย ให อ ยู ที่ ไมโครโฟนนี้ ว าธรรมะของพระพุ ท ธ เจ า มี เพี ย งเรื่ อ งเดี ย ว คื อ เรื่ อ งความดั บ ทุ ก ข เท า นั้ น จริ ง หรื อ ไม จ ริ ง ? เห็ น ด ว ย หรือไมเห็นดวย ? ถาไมเห็นใหแยงเลย. อั นนี้ เป นเรื่ องจริ งและเห็ นด วย ที่ ว ายอมรั บจริ งและเห็ นด วยนั่ นก็ คื อว า มนุ ษย เรา เมื่ อเวลาทุ กข ขึ้ นมา ก็ ต องมี สิ่ งที่ ยึ ดเหนี่ ยว ที นี้ ป ญ หาว าสิ่ งที่ จะยึ ดเหนี่ ยวนี้ เราจะทํ าอย างไร ? แลวก็ตองศึกษาวาคําสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจานั้น ปฏิบัติอยางไรจึงมีความดับทุกขได ?

ป ญ หายั งไม ถึ งนั้ น , ขอให ไปตามลํ า ดั บ ที ล ะนิ ด ๆ, เพราะว า เป น เรื่ อ ง ก ข ก กา, จะถามใหมวา ธรรมะของพระพุ ท ธเจา มี เพี ยงเรื่อ งเดียวเทานั้น คือ เรื่องความดับทุ กขจริงไหม ? จริงคะ เห็นดวย ? เห็นดวย แลวทําไมคุณหรือใคร... มักจะพูดวา ธรรมะมีตั้งแปดหมื่นสี่พันเรื่อง. ที่ ว าแปดหมื่ นสี่ พั นพระธรรมขั นธ นี้ ก็ หมายถึ งว าเป นเรื่ องที่ มาก ที่ ลึ กซึ้ งจนรวมสรุ ป แลว จับประเด็นวา เรื่องดับทุกขจริง ๆ ก็ไมใชถึงชั้นนั้น.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อาว, ถามีแปดหมื่นสี่พันเรื่องแลว จะมีเรื่องเดียวอยางไรละ ?

คือสรุปลงมาแลว อันนั้นเปนเรื่องที่เฟอ หรือไมจําเปนก็ได ในความรูสึกสวนตัว.

ถ าพู ดว าเฟ อไม ถู ก เพราะตั้ งแปดหมื่ นสี่ พั นหั วข อนั้ นต องมารวมเข มข น งวดลงที่ คํ า ๆ เดี ย วว า เป น เรื่ อ งดั บ ทุ ก ข จะเป น ข อ ไหนก็ ต าม ในแปดหมื่ น สี่ พั น


เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม

๔๑๓

ข อ นั้ น ต อ งเป น เรื่ อ งความดั บ ทุ ก ข หรื อ เป น อุ ป กรณ ข องความดั บ ทุ ก ข . แม แ ต จ ะ พูดเรื่องทุกข ก็คือพูดใหรูเรื่องความดับทุกข เราจึงพูดเรื่องความทุกขกันกอน.

ทําความเขาใจเรื่องความทุกข. นี ้เ ปน อัน วา ใหท ุก คนรู  ก ข ก กา ขนาดที ่ว า ธรรมะของพระ พุ ท ธเจ าทั้ งหมดนั้ น คื อ ความดั บ ทุ ก ข . หรือ ถ าจะพู ด เป นสองอย าง จะวาอย างไร ? คุ ณ นั่ ง ที่ เ ก า อี้ ก็ ไ ด ต อ งเดิ น ไปมาเหนื่ อ ยตาย, นั่ ง เก า อี้ ที่ ไ มโครโฟนนั่ น แหละ คื อ ว า จะพู ด ให เข า ใจเป น ๒ เรื่ อ งจะได ไ หม ? จะว า อย า งไร ? มั น ก็ จ ะแยกออกเป น ๒ เรื่ อ งได ถ า ๒ เรื่ อ งจะว า อย า งไร ? ถ า เรื่ อ งเดี ย วคื อ ความดั บ ทุ ก ข ถ า ๒ เรื่ อ ง จะวาอยางไร ? ถา เปน ๒ เรื ่อ งก็ค ือ ความทุก ข กับ ความดับ ทุก ข. แตค วาม ทุ ก ข นี้ มั น ไม มี ค วามหมายอะไร ถ าไม ใช เพื่ อ ความดั บ ทุ ก ข ; เพราะฉะนั้ น เราจึ งถื อ ว า เรื่ อ งความทุ ก ข นั้ น มั น เป น เรื่ อ งที่ ๒ อยู ใ นความดั บ ทุ ก ข . ถ า จะแยกเป น ๔ เรื่ อ ง ก็ไ ดว า ความทุก ข กับ เหตุข องความทุก ขอ ยา งหนึ ่ง , แลว ความดับ ทุก ขก ับ ทางให ถึ ง ความดั บ ทุ ก ข นี่ อี ก อย า งหนึ่ ง เป น ๒ คู เลยเป น เรื่ อ ง ๔ เรื่ อ ง. นี่ พู ด ว า ธรรมะของพระพุ ท ธเจ า มี เพี ย ง ๔ เรื่ อ งก็ ไ ด ถู ก ไหม ? คื อ เห็ น ด ว ยไหม ? เห็ น ดวยคะ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แตที่พระพุทธเจาทานตรัสเอง ทานวา แตกอนนี้ก็ดี เดี๋ยวนี้ก็ดี ตถาคต จะกลา วแตเ รื ่อ งทุก ขก ับ ความดับ ทุก ขเ ทา นั ้น ; นี ่ข อใหจํ า ไวด ว ย ปุพ ฺเ พ จาหํ


๔๑๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ภิกฺขเว เอตรหิ จ ทุกฺขณฺเจว ปฺาเปมิ ทุกฺขสฺส จ นิโรธํ วา แตกอนที่แลวมาก็ดี บั ดนี้ ก็ ดี ฉั นบั ญญั ติ เฉพาะเรื่องทุ กข กับเรื่องความดั บทุ กขเท านั้ น. มันกลายเป น ๒ เรื ่อ ง ถา พูด แตเ รื ่อ งเดีย วมัน อธิบ ายยาก; ฉะนั ้น พระพุท ธเจา ทา นก็จ ะแยก เปน ๒ เรื่อง : เรื่องความทุกขเรื่องหนึ่ง, กับเรื่องความดับทุกขเรื่องหนึ่ง. นี่ ถ า พู ด ไม มี ใ จความรวมอยู ที่ นี่ มั น ก็ เ คว ง เปะปะแน สองเรื่ อ งนี้ ร วม เปน เรื ่อ งเดีย ว คือ ความดับ ทุก ขก ็ไ ด ; แตเ ราจะดับ ทุก ขโ ดยไมรู จ ัก ความทุก ข นั ้น มัน ก็ทํ า ไมไ ด. เพราะฉะนั ้น ตอ งพูด เรื ่อ งความทุก ขก ัน กอ น ; ฉะนั ้น การตั้งตนพูดเรื่องความทุกขกันเสียกอนนี้ เปนความเหมาะสมไหม ? ปญหาประเด็นที่ทานถามมานี่ก็คือวา พวกที่นั่งอยูที่นี่ ก็ตองการฟงเรื่องนี้ เชน

ฉะนั้ น เราก็ จ ะตั้ ง ต น พู ด เรื่ อ งความทุ ก ข ก อ น แล ว จึ ง จะพู ด เรื่ อ งความ ดับทุกข.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้ น ก ข ก กา ที่ เขยิ บ เข า มาอี ก มั น ก็ มี เรื่ อ งความทุ ก ข , เหมื อ นกั บ ตั ว ก ยั ง ไม ไ ด ใ ส ส ระ อะ อา อิ อี อะไรเลย, ก็ ต อ งพู ด เรื่ อ งความทุ ก ข กั น ก อ น, แลวจะไมพูดใหเฟอเพราะวาเวลานอย. แลวก็ไมคอยมีแรง จะพูดแตจํากัดที่สุดเลย. ทีนี้ที่เมื่อพูดถึงความทุกข ก็จะตองตั้งปญหาวา อะไรเปนความทุกข ? ถามว า อะไรเป น ความทุ ก ข ? ข อ นี้ ท า นถามใช ไ หมคะ ? ถามว า อะไร เป นความทุ กข . ป ญหาที่ ว าความทุ กข นี่ ถามหมายถึ งผู ศึ กษา หรือว าจะถามอย างคนฟ งทั่ วไป ? ไมตองนึกถึงใครหมด. ถามคุณ คุณตอบพอแลว อะไรคือความทุกข ?


เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม

๔๑๕

ความทุ กข ก็ หมายถึ งว าความเกิ ด หมายถึ งว าความเกิ ดกิ เลสขึ้ นกั บ จิ ตใจ คื อว า เศร า หมอง นี่ แ หละ หรื อ ความอยาก ข อ นี้ ที่ ท า นถามอย า งนี้ จะให ต อบคํ า เดี ย วก็ รู สึ ก ว า จะไมชัด.

ตอบใหสั้นที่สุด สั้นที่สุดเทาที่จะสั้นไดวา อะไรเปนความทุกข ?เชนวา ความอยากได สิ่งที่อยากได ถาไมสมอยาก อันนี้ก็ทําใหเกิดความทุกขขึ้น.

ตอบให ต รงป ญ หาว า อะไรเป น ความทุ ก ข ? ไม ใช ถ ามว า อะไรเป น เหตุ ใ ห เกิ ด ทุ ก ข ถามว า อะไรเป น ความทุ ก ข ? อะไรเป น ความทุ ก ข นี่ ก ข ก กา ที่สุด อะไรเปนความทุกข ไมตองกลัววาจะผิดหรืออะไร วาอะไรเปนความทุกข ? ตรงนี้ถาจะตอบวา ความเกิด แก เจ็บ ตาย อยางนี้.

ถ าตอบว าความเกิ ด แก เจ็ บ ตาย เป นความทุ กข ก็ ได เรี ยน ก ข ก กา ผิด ทั้งที่วามีบ าลีอ ยูวา ความเกิด เปน ทุก ข ความแก เปน ทุก ข ความตาย เปนทุกข นี้ก็คือเรียนผิด, แปลความหมายผิด.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ก อ นหิ น ก อ นนี้ มั น หนั ก ไหม ? ก อ นใหญ นี้ ห นั ก ไหม ? หนั ก ไม จ ริ ง . อยางนี้ ตองขอประทานอภัย อยางนั้ นก็ขอตอบใหม ขอตอบวา อุปาทาน เปนอะไร ? คื อ เราไปยึด . พูด เปน ประโยคใหช ัด ซิ คือ วา อะไรเปน ตัว ทุก ข ? อะไรเปน ความทุ กข . เอา, จะพู ดให เขาใจนะ ก อนหิ นกอนนี้ หนั กไหม ? อย าเพ อทิ้ งเรื่องนี้ ซิ , กอนหินกอนนี้กอนใหญเบอเรอนี้หนักไหม ?


๔๑๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ถ าถามแบบนี้ ต องขอประทานอภั ย เพราะว ายั งไม เข าใจป ญหาที่ ถามเริ่มต นใช ไหม ? ก อนหิ นนี่ ตั วของก อนหิ นเองมั นไม มี ความรู สึ กว าหนั ก เรานี่ ถ าเราไปยก เราก็ ต องตอบว าหนั ก. นั่ น ตอบว า หนั ก เดี๋ ย วนี้ คุ ณ ว า มั น หนั ก ไหม ? ก็ ค วามรู สึ ก เกิ ด ขึ้ น ว า หนั ก แล ว ก็ ไ ม เคย บอกใชไหมวา กอนหินนี้มันหนัก ? อั น นี้ ค วามรู สึ ก ที่ ท า นถามอย า งนี้ เพราะว าเคยทดลอง ไม ใช อ ย า งคนทั่ ว ไป

นั ่น มัน อนุม านวา ความเกิด เปน ทุก ข ความแกเ ปน ทุก ข คุณ อนุม านนั ่น เอง เช น เดี ย วกั บ อนุ ม านว า ก อ นหิ น นี้ ห นั ก ถ า ว า ก อ นหิ น นี้ ห นั ก ก็ ห มายความว า เรา เคยแบกกอนหินนี้ หรือวาอยางนอยกําลังแบกอยูก็รูวาหนัก. ที นี้ ก็ ดู ก อ นหิ น นี้ เป น ตั ว อย า ง แล ว เราจะต อ งตอบว า การแบกก อ นหิ น มั น เป น ความหนั ก . ฉะนั้ น ความหนั ก นั้ น เป น ความทุ ก ข ฉะนั้ น ความหนั ก จะไม มี แก ผู ที่ ไ ม แ บกใช ไ หม ? ใช นี้ ความทุ ก ข จ ะไม มี แ ก ผู ที่ ไ ม ยึ ด ถื อ หรื อ ผู ที่ ไ ม มี อุป าทานในสิ ่ง ใดสิ ่ง หนึ ่ง ใชไ หม ? ใช เชน เดีย วกับ ที ่ว า กอ นหิน นี ่จ ะไมห นัก แก ผูที่ไมแบก แตมันหนักแกผูที่แบก.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ คื อ ก ข ก กา ที่ พ ระพุ ท ธเจ าท านตรั สว า ภารา หเว ปฺ จ กฺ ข นฺ ธ า ขั นธ ทั้ ง ๕ เป นของหนั กเวย นี่ แหละ ถ าคนไม รูจั กวา ขันธ ๕ คื ออะไร จะรูได ไหม ว า ขั น ธ ๕ เป น ของหนั ก ตอนนี้ ก็ ต อ งศึ ก ษา คื อ ว า นี่ ค นที่ ไ ม รู ว า ขั น ธ ๕ คื อ อะไร บางคน จะรูไดอยางไรวา ขันธ ๕ เปนของหนัก ?


เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม

๔๑๗

ถ าคนไม ศึ กษา ก็ ยากแก การจะเข าใจ เอาละยอมว าศึ กษาแล วขั นธ ๕ เป น ของหนั ก ใช ไหม ? ถ า คนยั ง ไม ศึ ก ษาก็ จ ะต อ งคิ ด ว า หนั ก คนยั ง ไม ศึ ก ษาก็ จ ะคิ ด เอาว า หนัก อยา งนั ้น หรือ ? คือ วา ขัน ธห า นี ้ห นัก ถา ไมแ บกละไมแ บกขัน ธ ๕ ไมย ึด ถือ ขัน ธ ๕ จะหนัก ไหม ? ไมห นัก ฉะนั ้น ความหนัก นั ้น มัน อยู ที ่แ บก หรือ อยู ที ่ย ึด หรื อ ที่ หิ้ ว ขึ้ น มา. ตอนนี้ ก็ ข ออภั ย นะคะ ขอถามท า นสั ก ครั้ ง หนึ่ ง ; ว า อย า งไร ? คื อ ว า ขอถามทานวา ปญหามีอยูวาที่กําลังแบกนี่ เรากําลังอยูกับโลกสังคม หรือวาเรากําลังอยูกับขันธ ๕ นี่ ถาจะไมใหหนัก วิธีที่วาใหมีความรูสึกอยางไร ?

นี่ กระโดดพรวดพราดไปแล ว ไม ใช เรี ยน ก ข ต องพู ดว าเดี๋ ยวนี้ มั นหนั ก เพราะแบก เพราะถื อ ใช ไหม ? ถ า ไม แ บกไม ถื อ ก็ ไม ห นั ก เช น ที่ ว า ภารา หเว ปฺจกฺขนฺธา - ขันธทั้ง ๕ เปนของหนัก และ ภารหาโร จ ปุคฺคโลก - คนนั่นแหละ เป น ผู แ บกของหนั ก , ถ า ว า เราไม เกิ ด ความคิ ด ว า คน แล ว คนไหนมั น จะมาแบก ของหนัก ละ เพราะวา คนตา งหากจะเปน ผู แ บกของหนัก . ถา มัน มีแ ตข ัน ธ ๕ เฉย ๆ ในขั น ธ ๕ นั้ น ไม มี ค วามรู สึ ก เป น อุ ป าทานว า คน ว า ฉั น ว า กู ก็ ไม มี ใ คร ที่จะแบกขันธ ๕ ก็เปนขันธ ๕ ที่ไมไดมีการแบกมันก็ไมหนัก.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทานตรัสไวชัดวา ภาราทานํ ทุกฺขํ โลเก - การแบกของหนักนั้นเปนทุกข, ภาราทานํ - การถือแบกหิ้วของหนัก ภาระนั่นเปนตัวทุกข, ภารนิกฺเขปนํ สุขํ - เหวี่ยงของหนักทิ้งไปเสียไมทุกข. ฉะนั ้น เปรีย บความแลว ทุก ขอ ยู ที ่ไ หน ? ทุก ขอ ยู ที ่หิ ้ว ที ่แ บก หรือ ที่ อุ ป าทาน. ถ า ความเกิ ด เป น ทุ ก ข ต อ งเป น ความเกิ ด ที่ เราหิ้ ว , เราแบกไว เป น ของเรา. ความแก เป น ทุ ก ข ก็ ต อ งเป น ความแก ที่ เราแบก เราหิ้ ว ไว เป น ความแก


๔๑๘

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ของเรา. ความตายเป น ทุ ก ข ก็ เป น ความตายที่ เราแบกเราหิ้ ว เอามาเป น ความตาย ของเรา. ถาเราไมแบกไมหิ้ว ความเกิดแกเจ็บตายมันไมเปนทุกข. แตที่พระพุทธเจาทานตรัสเฉย ๆ อยางนั้น ทานหมายถึงคนธรรมดาทั้ง หลายนั้นแบกความเกิด ความแก ความเจ็บ ความตาย โลกะปริเทวะ อะไรทั้งหมด ทั้งสิ้นนั้น เปนของเขาเอง, แลวก็ไดตรัสสรุปทายวา สงฺขิตฺเตน ปฺจุปาทานกฺขนฺธา ทุกฺขา - ถาจะสรุปความกันแลว ขันธที่ประกอบอยูดวยอุปาทาน ๕ ประการนั้นเปน ตั ว ทุ ก ข คื อ การมี อุ ป าทานคื อ ยึ ด ถื อ หิ้ ว หอบในขั น ธ ทั้ ง ๕ นั้ น เป น ตั ว ทุ ก ข ; เช น เดียวกับคําที่วา ภาราทานํ ทุกฺขํ โลเก - การแบกของหนักเปนทุกขในโลก. คํ า ถามที ่ตั ้ง เมื ่อ ตะกี ้ว า อะไรเปน ตัว ทุก ข ? หรือ เปน ตัว หนัก ก็ไ ด ก็ตองบอกวาการหิ้ว การถือ ยึดถือ นั่นแหละเปนตัวหนัก หรือเปนตัวทุกข. ยุ ติ ไ หมข อ นี้ ? การหิ้ ว หรื อ ถื อ ที่ เ รี ย กว า อุ ป าทานในสิ่ ง ใดก็ ต ามที่ อุปาทานวาเราวาของเรานั้นนะ, การหิ้วการถืออะไรนั่นแหละเปนตัวทุกข.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ขออภั ยอี กครั้ง คื อว า บางครั้งถ าเราเดิ นหิ้ วของ จะไม มี ความรูสึ กว าหนั ก มั นจะ เป นอยู ช วงหนึ่ งที่ มี ความรูสึ กวาหนั ก. บางครั้งเราเดิ นคุ ยกั นไปเพลิ น ๆ ถ าเรามี เพื่ อน เราหาบ น้ําสักสองกระปอง บางทีเราคุยไปเพลิน ๆ แลวไมหนัก.

เอาละ เข า ใจแล ว ๆ ไม ต อ งพู ด มากเวลาน อ ย, มื อ เปล า ๆ กั บ มื อ ที่ ถื อ น้ํา กระปองนมอยางนี้อันไหนหนักอันไหนรูสึกหนัก ? มือเปลา. ถ าจะเอามารู สึ กละก็ ถ ามี สิ่ งอื่ น อยู บ นมื อนี่ อั น นั้ น ก็ ห นั ก ถ ามื อเปล า ๆ ไม ห นั ก


เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม

๔๑๙

ที่ เราว ามื อ เปล า ๆ ไม ห นั ก เพราะว าน้ํ ากระป อ งนิ ด เดี ยว มั น ก็ ต องหนั ก เพราะวา มีก ารถือ นี ่. ฉะนั ้น เราจึง วา หนัก ที ่ก ารถือ . ถา สิ ่ง ของนั ้น แมส ัก ชิ ้น หนึ ่ง ถา เราไมไ ดถ ือ มัน ก็ไ มห นัก ; แตเ ดี ๋ย วนี ้น้ํ า กระปอ งเดีย ว นิด เดีย ว ถา ไปถือ เขา มั น จะมี ค วามหนั ก . เบญจขั น ธ ก็ เหมื อ นกั น ถ า อย า ไปถื อ เอามาเป น เรา เป น ของเรา, ขันธเล็ก ขันธนอย ขันธใหญก็ตาม มันไมหนัก. ยุ ติ ห รื อ ยั ง ว า เพราะการถื อ จึ ง มี ก ารหนั ก และมี ค วามทุ ก ข . ถ าไม ถื อ ก็ไมหนัก. ถาจะซักก็ซัก, ถาจะแยงก็แยง. ไม แย งคื อ อยากจะหาความรู เพิ่ ม ขึ้ น คื อ เช น ว า อย างป ญ หาที่ ว า บางครั้ งเราไม รูสึกตัววาอะไรที่ทําใหเราหนัก มันจะมีชวงระยะหนึ่งที่วาพอมีความรูสึกขึ้นมา.

นี่หมายความวา เราถือไวโดยไมรูสึกตัววาเราถือใชไหม ? ชวงนั้นนั่นแหละจะเรียกวาอะไร

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org มั นก็ ยั งต องหนั ก กว าที่ ว าเราไม ได ถื ออะไร; แม ว าเราจะไม รู สึ กตั วว าเรา ถื อ ไว มั น ก็ จ ะต อ งหนั ก กว า ที่ ว าเราไม ได ถื อ อะไร. มั น มี กิ เลสอื่ น มาแทรกแซง เช น ว า เราจะถื อ ก อ นทอง เพชรพลอยอะไรไป นี้ ค วามดี ใ จความอะไรต า ง ๆ มั น ทํ า ให ไมรูสึกหนัก. แตตองพูดกันโดยขอเท็จจริงกันแลว ถามีการถือก็ตองมีความหนัก.

เพื่ อ จะยุ ติ กั น เสี ย ที ว า ความทุ ก ข นั้ น เกิ ด ขึ้ น เพราะการถื อ . ยุ ติ ห รื อ ไม ยุ ติ ว า ความทุ ก ข ต อ งเกิ ด ขึ้ น เพราะการถื อ ถ า ไม มี ก ารถื อ ก็ ไม ห นั ก ชี วิ ต ร า งกาย


๔๒๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

อะไรทุ ก อย าง ถ าเราไม ถื อ ไว ว าเป น ของเรา มั น ก็ ไม ห นั ก . ยุ ติ ไหม ว า หนั ก เพราะ ถือ ถือจึงไดหนัก ? ก็ ยั งขอถามอี กข อหนึ่ งเรื่ องความหนั ก ความรู สึ กนี่ อยากจะให ท านอธิ บ ายว า เช น บางครั้ งเราจะถื อ ทองคํ านี่ สั ก ก อ นหนึ่ ง กั บ ก อ นหิ น น้ํ าหนั ก เท ากั น นี่ ที นี้ ค วามรู สึ ก ที่ เกิ ด หนั ก บางคนถ าถื อทองคํ าเท าก อนหิ นแล วจะมี ความรู สึ กว าไม หนั กเลย พอถื อก อนหิ นแล วจะรู สึ กหนั ก อยากใหทานอธิบายวา ขณะจิตนั้น เพราะอะไรจึงมีความรูสึกหนัก.

นี่ เถลไถลไปนอกเรื่ อ ง ก็ ใ นเรื่ อ งต อ งการจะพู ด ว า เพราะถื อ จึ ง ได ห นั ก หรื อ ว า เพราะถื อ จึ ง ได เป น ทุ ก ข ยุ ติ นี้ กั น เสี ย ที ก อ น, เดี๋ ย วก็ จ ะไปถึ ง นั้ น ที ห ลั ง นั้ น มัน เปน เรื่อ งปลีก ยอ ยวา เพราะถือ จึง ไดห นัก เพราะถือ จึง ไดเ ปน ทุก ข นี ่ย ุติ หรื อ ยั ง ? ข อ นี้ ก็ ข อยุ ติ ไ ด ก็ เ ป น ของจริ ง แล ว ที่ ว า เพราะถื อ จึ ง ได ห นั ก หรื อ ว า เพราะวาถือจึงไดเปนทุกข. เดี๋ ยวก็ จะรอฟ งท านเหมื อนกั น เรายั งจะไม พู ด เรื่ องนั้ น บอกว ากํ าลั งจะสอน

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ก ข ก กา, กําลังจะสอน ก ข ก กา แกคนเหลานี้ทุกคนแมที่เปนครูบาอาจารย. เอาละขอวายุติแลว ถายอมรับวาเพราะถือจึงไดหนักหรือเปนทุกข.

ที นี้ อย า งไรเรี ย กว า ถื อ ? คื อ จะถามพรอ มกั น ว า อย างไรเรีย กว า ถื อ ? เดี๋ยวนี้คุณกําลังยึดถือเบญจขันธอันใดอันหนึ่งไหม ?

ขณะนี้ ใช ไหมคะ ? ขณะนี้ ดิ ฉั น ก็ กํ า ลั งยึ ด ถื อ ขั น ธ ๕ นี่ แ หละค ะ เดี๋ ย วนี้ คุ ณ

ก็ กํ าลั งเป น ทุ กข แบกขั นธ ๕ อยู อย างนั้ นหรื อ ก็ ขณะนี้ กํ าลั งยกตั วอย างสภาวะความ


เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม

๔๒๑

เป นจริ งขณะนี้ ลมพั ดมา ก็ รู สึ กหนาว นี่ ก็ รู สึ กว าจะมี อาการที่ ว ายั งไม ปกติ นั่ นแหละเดี๋ ยวนี้ จึ ง

จะพู ด ถึ ง จะพู ด ให รู ว า เรามี ค วามยึ ด ถื อ หรื อ แบก หรื อ ถื อ อยู ต ลอดเวลาอย างนั้ น หรือ ? ขอตอบด วยสภาวะความเป นจริงว าไม ตลอดเวลา คนที่ มาทั้ งหมดนี้ ก็ คงจะไม มี ใครได แ บกอะไรอยู ต ลอดเวลา จะยึ ด ถื อ แล ว ก็ แ บกอยู แ ต เพี ย งบางเวลา เท า นั้ น ใช ไหม ? ขอประทานโทษบางท านที่ นั่ งอยู นี้ อาจจะตอบดี กว าดิ ฉั นก็ ได โอ ย, ไม ได ดอก เวลา ไมพ อที ่จ ะโยกโยค นนั ้น ทีนี ้ท ี แลว คุณ ก็เ ปน นัก ซัก ที ่ด ี เอามาคนเดีย วก็พ อ. ว า คนเราไม ไ ด ยึ ด ถื อ อยู ต ลอดเวลาใช ไ หม ? ยั ง มี เวลาที่ ว า ง ที่ ไ ม ยึ ด ถื อ ใช ไ หม ? ใช, ความจริงเปนอยางนั้นไมไดยึดถืออยูตลอดเวลา. เช นว า ลมพั ดอย างนี้ หรื อว าหนาวนี้ ถ าเราไม ได ยึ ดถื อเราก็ ไม เป นทุ กข , เพี ยงแต รู สึ ก ว า หนาว ๆ; แต ก็ ไ ม ยึ ด ถื อ เป น ความหาว เป นโมโหโทโส จนมี อุ ป าทาน, ก็ แ ปลว า แม ล มพั ด บางที ก็ ยึ ด ถื อ บางที ก็ ไ ม ยึ ด ถื อ . แต ป ระเด็ น สํ า คั ญ จะตอ งการใหเห็น ในขอ ที ่วา เมื ่อ ยึด ถือ จะตอ งเปน ทุก ข แตวา โชคดีที ่วา คนเรา มิ ได ยึ ด ถื อ อยู ต ลอดเวลา จริ งใช ไหม ใช ค ะ ถ ายึ ด ถื อ อยู ต ลอดเวลา ทุ ก ครั้ งหายใจ เข าออกทั้ งวั น ทั้ งคื น ทั้ งหลั บ ทั้ งตื่ นมั นจะเป นอย างไร ? ก็ จะต องมี ความทุ กข เรารอน อ ยู  ต ล อ ด ทั ้ ง วั น ม า ก ก ว า นั ้ น มั น จ ะ บ  า ต า ย ไ ม ไ ด ม า นั ่ ง อ ยู  ที ่ นี ่ ล อ ง ไปคิดดูทุกคนซิ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ ายึ ด มั่ น ถื อ มั่ น อยู ในขั น ธ ใดขั น ธ ห นึ่ ง ตั วกู - ของกู อย างใดอยู ตลอดเวลา ทั้งวันทั้งคืน แลวมันเปนบานานแลว มันตายนานแลว ; ถึงอยาก จะใหคํานวณดูใหมวา เวลาของเรา ๒๔ ชั่วโมงหรือเทาไรก็ตาม เวลาที่เรายึดถือ กับเวลาที่เราไมยึดถือนั้น เวลาไหนมากกวา ? เวลาที่จิตของเรายึดมั่นถือมั่นขันธ


๔๒๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

มี อุ ป าทานกั บ เวลาที่ จิ ต ไม ได ยึ ด มั่ น ขั น ธ อุ ป าทานนี้ เวลาไหนมั นมากกว า ? เวลา ที่ ยึ ดถื อมากกว า หรื อเวลาที่ ไม ยึ ดถื อมากกว า ? อั นนี้ ท านจะให เฉพาะตั วดิ ฉั นตอบใช ไหม ? ที่ คุ ย ก อ นซิ ตอบแทนคนอื่ น . ก็ ห มายถึ งว า เวลาที่ ยึ ด ถื อ มากกว า เวลาที่ ยึ ด ถื อ ฉะนั้ น จึ ง เป น คนอยู ไ ด ไม เช น นั้ น บ า แล ว ตายแล ว ไม ม าเป น อย า งนี้ อ ยู ไ ด . คนอื่ น ก็ เหมื อ นกั น แหละ คิ ด ดู ใ ห ดี เถอะ เวลาที่ เรากลั ด กลุ ม เป น ตั ว กู - ของกู นั้ น มั น มี เป น ครั้ ง คราว เหมื อ นกั บ เราหิ้ ว ก อ นหิ น หนั ก ๆ นี้ เราจะหิ้ ว อยู ต ลอดเวลาไม ไ ด มื อ มั น หลุ ด แน , แขนมั น หลุ ด แน , มั น ต อ งมี เวลาที่ ทิ้ ง ที่ ว างที่ อ ะไรบ า ง มั น จึ ง จะ หยิบขึ้นมาหิ้วชั่วขณะ. ฉะนั้ น การที่ จะถื อเบญขันธ รูป เวทนา สัญญา สั งขาร วิญญาณ ดวย อุปาทานวา เรา - ของเรานั้ น มั นมี เป นบางเวลา; เวลาที่อวิชชาเขามาประสมโรง เราก็จะมี ตัณ หาอุปาทานยึดถือ ; ถ าอวิช ชามิ ได ม าประสบโรงแล วก็ ไม มี ก ารยึ ด ถื อ. ก็ไลมาโดยลํ าดั บวา เมื่ อยึ ดถื อก็ มี ความหนั กและทุ กข, เมื่ อไม ยึดถื อก็ไม มี ความ หนั ก และทุ ก ข แล ว เราไม ได ยึ ด ถื อ อยู ต ลอดเวลา และว า เวลาที่ ยึ ด ถื อ นั้ น มี น อ ย กว า มาก น อ ยมากกว า เวลาที่ ยึ ด ถื อ . เพราะฉะนั้ น เราจึ งเป น คนปกติ อ ย า งนี้ อ ยู ได คื อมี ความทุ กข พอที่ จะไม ตาย, มี ความทุ กข พอที่ จะให ได มี โอกาสหยุ ดพั กผ อนศึ กษา ค นคว าหาความดั บทุ กข ต อไปได . ถ ามี ความยึ ดถื ออยู ตลอดเวลา เป นทุ กข อยู ตลอด เวลานี้ ไมมีระยะเวลาวางเวน เราก็ไมมีระยะที่จะมาศึกษาสนทนาอยางนี้อยูได.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เอา , สรุป วา ตอ เมื ่อ ยึด ถือ จึง จะเปน ทุก ข. นี ้เ ราไมพ ูด ตามพระ พุ ท ธเจ า เพราะว า พระพุ ท ธเจ า ท า นทรงประสงค ว า ให ทุ ก คนมองเห็ น เอง ด ว ยตน เอง; เช น ว า ความยึ ด ถื อ เป น ความทุ ก ข อ ย า งนี้ ก็ จ ะมองเห็ น เองว า จิ ต เมื่ อ ยึ ด ถื อ อะไรอยู มั น เป น ความทุ ก ข , เมื่ อ จิ ต ไม ยึ ด ถื อ อะไรก็ เป น ความทุ ก ข . ถ า พู ด ตาม


เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม

๔๒๓

พระพุ ทธเจาก็ตรงกันพอดี ทานวา ภาราทานํ ทุ กฺขํ โลเก - การถือของหนั กเป น ทุกข, ภารนิกฺเขปนํ สุขํ - สลัดของหนักทิ้งไป ไมเปนทุกข. ที นี้ อะไรเล า ที่ เ ป น ของหนั ก ที่ ม นุ ษ ย เ รายึ ด ถื อ กั น อยู ? ตอบว า อย างไร ? ถามว า มี อ ะไร มนุ ษ ย เรามี อ ะไรที่ เป น ของหนั ก ที่ ยึ ด ถื อ กั น อยู . มนุ ษ ย ยึ ด ถื อ เป น ข อ งห นั ก จึ ง ได ม ี ค ว าม ทุ ก ข . ค น ทั ่ ว ไป รว ม ทั ้ ง คุ ณ เอ ง ด ว ย ยั งยึ ดถื ออะไรอยู มั นจึ งได เกิ ดเป นของหนั กที่ เป นทุ กข ? หมายถึ งจะเอาเรื่องตั ว หรื อ เอาภายนอกที่ วั ต ถุ ก็ ได เป น คํ า ถามที่ ก ลางที่ สุ ด ว า คนเรายึ ด ถื อ อะไรอยู จึ งได เปนทุกข หรืออะไรเปนเรื่องที่เขายึดถือกัน. คําถามนี้ ก็ตอบไปเมื่อกี้นี้แลววา หมายความวายึดขันธ ๕ ยึดตัวเอง.

จะเรี ย กว า ยึ ด ขั น ธ ๕ ยึ ด ตั ว เองก็ ไ ด จะเรี ย กว า ยึ ด ขั น ธ ๕ ก็ ไ ด มั น เล็งถึงสิ่งเดียวกัน. ขันธ ๕ มีอะไรบาง ? มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ลู ก เด็ ก ๆ เหล า นี้ จํ า ไว ใ ห ดี บางที ไ ม เคยได ยิ น ว า ขั น ธ ๕ นี้ มี รู ป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ, แลวก็เรียกวาขันธ ๕.

ขั น ธ ที่ ๑ คื อ รู ป ขั น ธ ขั น ธ ที่ ๒ คื อ เว ท น า ขั น ธ ขั น ธ ที่ ๓ คื อ สั ญ ญาขั น ธ ขั น ธ ที่ ๔ คื อ สั ง ขารขั น ธ ขั น ธ ที่ ๕ คื อ วิ ญ ญาณขั น ธ แล ว ยั ง ไม รู ว า อะไรใช ไหม ? เท า ที่ พู ด จ อ มานี่ ลู ก เด็ ก เหล านี้ ยั งไม รู ว าอะไร. คุ ณ พอจะอธิ บ ายให เขาฟงไดไหมวา รูปขันธ เวทนาขันธ เปนตนนี้ คืออยางไร ?


๔๒๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ท านจะให อธิ บายหรือคะ บางขณะบางที ดิ ฉั น อธิ บาย ท านอาจจะไม เข าใจ ก็ลองวาไปซิ ถาทานอนุญาต ถาผิดพลาดทานก็ชวยเสริมดวย.

อยาเสียเวลาในเรื่องอยางนี้ซิวาไปก็แลวกัน. คื ออย างนี้ ที่ ได ศึ กษา คื อว า รู ปเป นสิ่ งที่ เราจั บต องได จั บได หมายถึ งว า ความ รู สึ ก เรี ย กว า รู ป เช น ว า เย็ น ร อ น อ อ นแข็ ง ในร า งกายเรานี่ ที่ สั ม ผั ส ได เรี ย กว า รู ป แล ว เวทนา ก็ คื อความรู สึ ก เช น ว าความรู สึ ก ในร างกาย จะยกตั วอย างบางครั้ งก็ ต อ งยกตั วอย าง เหมื อ นกั น เช น อย างนั ก ศึ ก ษานี่ ขณะที่ เรารู สึ ก ว า เราหนาว ขณะนี้ เราก็ เกิ ด เวทนาขึ้ น หรื อ เราจะไปเหยี ย บก อ นดิ น ร อ น ๆ เราก็ เรี ย กว า เวทนา แล ว เช น ว า เราถู ก น้ํ า ร อ นลวก มั น ก็ เกิ ด เวทนาขึ้น. สั ญญาในที่ นี้ ก็ หมายถึ งว า จํ าได หมายรู เช นว า นั กศึ กษานี่ อาจจะอยู กั นคนละต าง จั งหวั ด แล วก็ ม าพบกั นที่ สวนโมกข นี่ เคยรู จั กกั นมาก อน แล วก็ ม าพบกั น นี่ แหละการทํ างาน ที่ เรี ยกว า จํ าได หมายรู ว าเพื่ อนคนนี้ ชื่ อแดงนะ นี่ คื อสั ญ ญา ว าเพื่ อนคนนี้ ชื่ อแดง พอมาเจอกั น อี ก ครั้ ง หนึ่ ง ที่ นั่ น อาจป ที่ แ ล ว พบกั น ที่ ก รุ ง เทพฯ ป นี้ เรามาพบกั น ที่ ส วนโมกข เราก็ จํ า ได หมายรูนี้เรียกวาสัญญา

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ สั งขารในที่ นี้ หมายถึ งว า ความนึ กคิ ด เช นว านั กศึ กษานี้ จะมี ความต องนึ กคิ ด คิ ดจะทํ าอะไร จะทํ าอย างไร นี่ ยั งไม พู ดถึ งทุ กข พู ดถึ งขั นธ ห าที่ ยั งไม มี ทุ กข สั งขารตอนนี้ ที่ เรา มี ความนึ กคิ ดนี่ เรี ยกว าสั งขาร คนเราจะต องทํ าอย างไร และจะต องมี ความนึ กคิ ดว า เราจะทํ าอะไร นี่เรียกวา สังขาร.

แล ววิ ญ ญาณในที่ นี้ ก็ หมายถึ งว า จะเรียกว าจิ ตหรือความรูสึ กวิ ญ ญาณในที่ นี้ ก็ เปรี ยบง ายเหมื อนกั บ ว า การทํ างานของจิ ตที่ เราไปรั บ ความรู เช นว า ตาเราไปเห็ นรู ป ลั กษณะ


เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม

๔๒๕

อะไรต าง ๆ นี้ คื อ ว าจิ ต เข าไปรั บ รู หรื อ จะเรี ย กว าวิ ญ ญาณ ๖ ก็ ได ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ จิตนี่เขาไปรับรู.

นี่ คื อ เรีย น ก ข ก กา มาอยางไม เป น ลํ าดั บ ไม ถู ก ต อ ง ไม เรีย บ รอย, แลวก็ไปเอาฝอย เอายอดอะไรไมรูมาพูดใหมันมากเรื่อง. เมื่ อ ตะกี้ บ อกแล ว นะว า วั น นี้ เราจะสอน ก ข ก กา กั น ที เดี ย ว, ตั้ ง ต น ด ว ย ก ข ก กาเรี ย น ก ข ก กา อย า งแบบใหม ให ส มกั บ ป ใหม . ให มี ค วามรู เรื่ อ ง ก ข ก กา อยางชัดเจนถูกตองเต็มที่ตามที่เปนจริง. คุ ณ ไม ได เรียน ก ข ก กา มา อยา งถูก ตอ งตามลํ า ดับ ๆ, เรีย นพรวดพราด เรีย นอยา งผู ใ หญ เรีย นหนัง สือ หรือวาแบบเบสิค ที่มันไมมีรากฐาน, จึงพูดยกตัวอยางมากเกินไป หรือออมคอม. สิ่ งที่ เรี ย กว า ขั น ธ แล ว ก็ สิ่ งที่ เรี ย กว า อายตนะ และสิ่ งที่ เรี ย กว า ธาตุ สามอย า งนี้ คื อ ก ข ก กา เดี๋ ย วนี้ เรากํ า ลั ง เรี ย นมาจากข า งบน คื อ เรี ย นขั น ธ ว า รู ป เวทนา สั ญ ญา สั ง ขาร วิ ญ ญาณ; เพระว า ขั น ธ นี้ เป น ของหนั ก ถ า เราเอามา ถื อ เมื่ อ ไรเป น หนั ก เมื่ อ นั้ น เป น มี ค วามทุ ก ข เมื่ อ นั้ น มั น กลายเป น ป ญ จุ ป าทานขั น ธ ไป, มั น เป น ของหนั ก และเป น ทุ ก ข , ถ า ยั ง เป น ขั น ธ เ ฉย ๆ อย า งขั น ธ ๕ นี้ ยั ง ไม เป นทุกข. ไม มี เลยที่ พ ระพุ ท ธเจาจะตรัสวา ขัน ธ ๕ เป น ทุ กข ; แตจ ะตรัส วา ขัน ธ ๕ ที ่ย ึด มั ่น ดว ยอุป าทาน จึง จะเปน ทุก ข. ถา ตรัส วา ขัน ธ ๕ เปน ของ หนั ก มั น ก็ ห นั ก อยู ต รงนี้ เหมื อ นก อ นหิ น นี้ มั น ยั งไม ม าเป น ความทุ ก ข แ ก เรา เพราะ เราไมไดถือ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


๔๒๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

เราต อ งรู จั ก ขั น ธ นี้ เ ป น ๒ ชนิ ด คื อ ขั น ธ ที่ เ รามิ ไ ด ถื อ เหมื อ นก อ นหิ น ก อ น นี ้ ที ่ เ รามิ ไ ดแ บ ก , อี ก ช นิ ด กอ น หิน ก อ น นี ้ที ่เ ราเอ าม า แบ ก ไวบ น บา . มัน เปน ๒ ชนิด กอ นหิน ที ่ม ิไ ดแ บก เปน ขัน ธเ ฉย ๆ เปน เบ็ญ จขัน ธเ ฉย ๆ, กอ นหิน ที่แบกอยูเรียกวา ปญจุปาทานักขันธ คือขันธที่ ๕ ที่มีอุปาทานแบกเอาไว.

ถา เปน รูป เรีย กวา รูป ขัน ธ ยัง ไมเ ปน ทุก ข, ถา ไปแบกรูป ขัน ธไ ว มันกลายเปนรูปูปาทานขันธ; ขันธนี้แบกแลว หนักแลว, เปนทุกขอยูที่การแบก. เวท น าขัน ธ ก็เ ห มือ น กัน ไมเ ปน ทุก ข; แตถ า ไป ยึด เอ าเวท น า เป น เวทนาของกู เ ข า เมื่ อ ไร ก็ ก ลายเป น เวทนู ป าทานขั น ธ ขึ้ น มาที เดี ย วแล ว ก็ เป น ทุกข. สั ญ ญาก็ เหมื อนกั น ถ าใครมี สั ญ ญาว ของกู เอาสั ญ ญาเป นของกู แล วก็ เปนทุกข.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สั ง ขาร ก็ เ หมื อ นกั น อี ก ถ า สั ง ขารเฉย ๆ มั น ก็ ไ ม ไ ด แ บกมั น ก็ ไ ม เ ป น ทุกข; แตพอเอามาแบกมาถือเขา เปนสังขารูปาทานขันธ มันก็ทุกขอีก.

วิ ญ ญาณเฉย ๆ ก็ ไม เป น ทุ ก ข ; แต พ อคนเอามาถื อ เป น วิ ญ ญาณของกู เปนตัวกูเขาเทานั้น ก็เปนวิญญาณูปาทานขันธ ก็เปนทุกข. คุณจะชวยอธิบายความแตกตางระหวางคําวาขันธ กับ อุปาทานขันธ ทีไดไหม ? ไปทีละอยาง เชนรูปขันธกับรูปูปาทานขันธนี้มันตางกันอยางไร ?


เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม

๔๒๗

เมื่ อตะกี้ ท านบอกว าให อธิ บ ายเรื่ องขั นธ ๕ แต ท านไม ได ห มายว า ให ช วยอธิ บ าย เรื่องขันธ ๕ ที่เปนทุกข.

นั ่น แหละเดี ๋ย วนี ้จ ะใหช ว ยเปรีย บเทีย บใหเ ขาฟง วา ขัน ธ ๕ ที ่ถ ูก ยึ ด ถื อ กั บ ขั น ธ ๕ ที่ ไ ม ถู ก ยึ ด ถื อ นี้ มั น ต า งกั น อย า งไร ? ให นั ก ศึ ก ษาโดยเฉพาะ พวกลู ก เด็ ก ๆ นี่ ได ฟ ง ว า รู ป ที่ ถู ก ยึ ด ถื อ กั บ รู ป ที่ ไม ถู ก ยึ ด ถื อ นี้ มั น ต า งกั น อย า งไร ? จะได รู ว า ต อ เมื่ อ ยึ ด ถื อ จึ งมี ค วามทุ ก ข . ยกตั ว อย างร างกายนี้ ที่ ยึ ด ถื อ กั บ ไม ยึ ด ถื อ มันตางกันอยางไร ? รูปที่ไมมีอุปาทาน ก็เมื่อกี้ก็อยูในประเด็นที่ทานอธิบายแลวไมใชหรือ

ศึกษาใหเขาใจคําวาทุกข. ใหย กตัว อยา งที ่เ ห็น ชัด ในวัน หนึ ่ง ๆ ของคนทุก คนวา สว นที ่เ ปน รางกายก็ ดี , ส วนที่ เป นจิ ตใจก็ ดี , ส วนที่ เป นความรูสึ กก็ ดี , ที่ มั นมี อยู ตามธรรมชาติ นั ้น มัน ไมไ ดม ีค วามทุก ขแ กเ รา หรือ แกจ ิต ของเรา. แตม ัน มีค วามทุก ขใ น ความหมายอื ่น ; เพราะคํ า วา ทุก ขม ัน มี ๒ ความหมาย. พูด เสีย เลยกอ นก็ไ ด นี่ มั น จะเป น ก ข ก กา อั น หนึ่ ง ที่ ยั ง ไม ค อ ยจะเรี ย นกั น ให ดี เพราะว า ไม เคยเรี ย น บาลี ; แมแตคนที่เรียนบาลี ก็ยังสะพรา ไมรูวาตัวไหนมีความหมายอยางไร.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ยกตัว อยา ง กอ นหิน กอ นนี ้ เปน ทุก ขแ กบ ุค คลผู แ บก ; ถา เปน ทุ ก ข แ ก บุ ค คลผู แ บก คํ า ว า ทุ ก ข นั้ น มั น หมายถึ ง ทํ าให เขาเจ็ บ ปวดรวดรา วทนอยู ไม ไหว. คํ าว าทุ ก ข นั้ น หมายความว าทนยากเหลื อ เกิ น ทนไม ไหว มั นจะตายอยู แล ว นี่ก็ทุกขเพราะแบกกอนหินอันนี้ การแบกนั้นทําใหเปนทุกข.


๔๒๘

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ทีนี้ม ีค วามทุก ขอ ยูอ ีก หนึ ่ง ที่วา ถา สังขารใดไมเที ่ย ง สัง ขารนั ้น เป น ทุ ก ข คุ ณ เคยได ยิ น ไหม ? สิ่ งใดไม เที่ ย งสิ่ งนั้ น เป น ทุ ก ข ก อ นหิ น นี้ เที่ ย งไหม ? ไมเที่ยง ถาไมเที่ยงกอนหินนี้ตองเปนทุกขใชไหม ? อันนี้ที่ทานหมายถึงจะให... ที่ทานถามหมายถึงจะเอา ทุกขภาวะ หรือปกิณณกะ.

อั น นั้ น เพราะฟ ง ไม ถู ก . ถามว า เมื่ อ สิ่ ง ใดไม เที่ ย ง สิ่ ง นั้ น เป น ทุ ก ข . เดี ๋ย วนี ้ก อ นหิน นี ้ไ มเ ที ่ย ง กอ นหิน นี ้ต อ งเปน ทุก ขไ หม ? เปน ถา เปน ทุก ขนี้ ความหมายอย างอื่ น , เป นทุ กขเพราะวาดู แล วน าเกลี ยดน าชัง น าอิ ดหนาระอาใจ คือ มัน มีล ัก ษณะแหง ความทุก ข. ถา พูด วา กอ นหิน นี ้เ ปน ทุก ข คํ า วา ทุก ขคํ า นี้ ตองแปลวามีลักษณะแหงความทุกข ซึ่งดูแลวนาระอาใจ. ถ า เรามองเห็ น ความไม เ ที่ ย งของก อ นหิ น ก อ นนี้ เราจะนึ ก ระอาใจ สั ง เวชไหม ? ว า แม แ ต ก อ นหิ น ยั ง รู จั ก ไม เที่ ย ง เราก็ สั ง เวช เพราะมั น มี ลั ก ษณะ แหง ความทุก ข. นี ่คํ า วา ทุก ขัง นี ้แ ปลวา เปน ตัว ทุก ขก ็ม ี คํ า วา ทุก ขัง แปลวา มีล ัก ษณะแหง ความทุก ขก็ม ี. ทีนี้คํา วา ทุก ขัง แปลวา นํ า มาซึ่ง ความทุก ข ก็มี นี้อยางนอยสามอยาง อยางนี้คําวาทุกขัง.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถาไมเรียน ก ข ก กา นี้ กันเสียใหดีแลว ทุกคนจะฟงไมถูก เพราะทุกขัง แปลวา เปนทุกขไปเสียหมด; ไมถูก. ทุกขัง แปลวา เปนทุกข; ถาอยางนี้ ละก็ตองหมายความวา ทุกขทรมานเพราะเราไปแบกอะไร ถืออะไรเขาไว ถาวา สิ่งใดไมเที่ยง สิ่งนั้นเปนทุกข นี้มีลักษณะแหงความเปนทุกข ดูแลวสังเวชใจ


เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม

๔๒๙

ทีนี้วา นํามาซึ่งความทุกข เชนวา ทุกฺโข ปาป จ อุจฺจโย อะไรก็ตาม การทําบาปนั้นเปน ทุกข คือนํามาซึ่งทุกข. คําวาทุกข แปลวา นํามาซึ่งทุกข. ฉะนั้ นขอให ทุ กคนโดยเฉพาะนั กศึ กษาเด็ ก ๆ ให รูว าคํ าว า ทุ กขั ง นี้ อย าง น อ ยมี ๓ ความหมาย : ๑. แปลว า เป น ทุ ก ข ท รมาน แก ผู ที่ เข า ไปยึ ด ถื อ . ๒. แปลวา มี ลั ก ษณะแห งความทุ ก ข ส องแสดงอยู ที่ นั่ น, ทั้ งที่ เราไม ได ไปยึ ดถื อมั นเลย ไม ไ ด ไ ปแบกมั น เลย, มั น มี ลั ก ษณะแห ง ความทุ ก ข . เช น ก อ นหิ น ก อ นนี้ มี ลั ก ษณะ แหง ความทุก ข เพราะมัน ไมเ ที ่ย งมัน เปลี ่ย นแปลงเรื ่อ ย, มัน มีแ ลว มัน ไมม ี, มัน มีล ัก ษณะแหง ความทุก ข นี ้ก ็เ รีย กวา ทุก ขเ หมือ นกัน . ๓. ทีนี ้ก ารกระทํ า บางอย างเป น ทุ ก ข เพราะวามั น นํ ามาซึ่ งทุ ก ข คื อ ทํ าชั่ ว เป น ทุ ก ข เพราะวามั น นํ า มาซึ่ ง ทุ ก ข . ทุ ก ขั ง อย า งนี้ หรื อ ว า ทุ ก โข ทุ ก ขา อะไรก็ ต าม มั น นํ า มาซึ่ ง ทุกข. และยังมีความหมายอยางอื่นอีก.

ขันธประกอบดวยอุปาทาน เปนทุกข.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ ใน ๓ ความหมายนี้ ที่ ว า ขั น ธ ที่ ป ระกอบอยู ด วยอุ ป าทาน ที่ เป น ตัว ปญ หานั ้น มัน หมายถึง เปน ทุก ข. มัน เกิด เปน ปญ หา เพราะมัน เปน ทุก ข. ถ ามั นไม เป นทุ กข มั นไม มี ป ญ หา, ถ ามั นเป นทุ กข อยู แต มั น มั นไม มาเนื่ องกั นกั บเรา มัน ก็ไ มเ ปน ปญ หาแกเ รา. ฉะนั ้น เราไมต อ งสนใจก็ไ ด, เราสนใจแตใ นแงที ่ม ัน มาบี บ คั้ น เรา ทรมานแก เรา เพราะว า เราไปยึ ด ถื อ มั น . ในเรื่ อ งของอริ ย สั จ จ ๔ ทรงแสดงการยึดเบญจขันธทั้ง ๕ เปนตัวตนนี้วาเปนตัวความทุกข.


ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

๔๓๐

นี้ เราควรจะขยายแจกลู ก กะ กา กิ กี กึ กื ต อไปอี กว า เมื่ อไรมี เบญจขั นธ เกิ ด ขึ้ น ? แล วเมื่ อ เบญจขั น ธ เกิ ด ขึ้ น แล ว ในกรณี อ ย างไรเรี ย กว า ยึ ด ถื อ ? ในกรณี อยางไรเรียกวาไมไดยึดถือ ?

ขันธ ๕ มิไดเกิดตลอดเวลาและเกิดคราวละอยาง. เดี๋ ย วก อ น จะถามให ชั ด กว า นี้ ว า คุ ณ ถื อ เบญ จขั น ธ เ กิ ด อยู ต ลอด เวลาไหม! ไม . เบญจขั นธจะเกิ ดขึ้ นอยู เป นบางครั้งบางคราว. เมื่ อไรเบญจขั นธเกิ ด ขึ้น ? เมื่ อไรสิ่งที่เรียกวาเบญจขั น ธล วน ๆ ยั งไม เกิ ด อุ ป าทาน ? เมื่ อไรเบญจ ขั น ธ ทั้ ง ๕ นี้ เกิ ด ขึ้ น คุ ณ จะถื อ ว าเกิ ด พรึ บ เดี ยวทั้ ง ๕ หรื อ ว าเกิ ด มาที ละอย าง ๆ ? เกิดทีละอยาง.

นี่ ช ว ยจํ า ไว ด ว ย ตรงนี้ แ หละเป น ก ข ก กา ที่ ถ า จํ า ผิ ด แล ว ผิ ด หมด ถ าใครถื อ ว าเบญจขั น ธ เกิ ด ที เดี ยวพรึ่ บ ทั้ ง ๕ อย างนี่ เขาว าเอาเอง. แล วไม อ าจจะ มองเห็นได, แลวก็ผิดหลักพระบาลีอะไรไปหมดเลย.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เบญจขั น ธ ขัน ธ ๕ นี้ ไม เกิ ด อยูต ลอดเวลา, จะเกิ ด แต บ างครั้งเ มื่อมีเหตุปจจัยพอ, และการเกิดของมันนั้นไมอาจจะเกิดพรึ่บเดียวทั้ง ๕ จะตอง เกิดมาตามลําดับ, หรือวาตามที่มันจะเปนปจจัยแกกันและกัน.

ที นี้ ต ามที่ ใ ครจะพู ด ว า เบญจขั น ธ เกิ ด อยู ต ลอดเวลา มั น ก็ เป น เรื่ อ งที่ พู ดกั น ไม รู เ รื่ อ งแน ต อ งเลิ ก พู ดกั น ; เพ ราะบางคนพู ดมากไปถึ ง กั บ ว า แม


เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม

๔๓๑

เขานอนหลั บ อยู เขาก็ มี เบญจขั น ธ อ ย างนี้ . แม เขานอนหลั บ อยู เขาก็ มี เบญจขั น ธ ครบทั้ ง ๕ ขั น ธ อ ย า งนี้ ก็ ไ ม ต อ งพู ด กั น , มั น ไม มี ท างจะพู ด กั น รู เรื่ อ ง ; เพราะว า เบญจขันธนี้จะเกิดขึ้นอยูแตบางเวลา แลวก็เกิดขึ้นมาตามลําดับ. คุณยกตัวอยาง วาเบญจขันธทั้ง ๕ เกิดขึ้นมาโดยอาศัยรูปทางตาเปนอารมณสักตัวอยางไดไหม ? จะขอตอบ ไม ท ราบว า จะถู ก หรื อ จะผิ ด . ว า ไปเลยไม ต อ งออกตั ว ให เสี ย เวลา. หมายถึ งว า เช นว า ตาเห็ นรู ป เบญจขั นธ ที่ จะเกิ ดขึ้ นแต ละครั้ งๆ จะต องถู กผั สสะ หมายถึ งว า ผัสสะเหลานี้ไมใชผัสสะพรอมกันทีละครั้งเชน เมื่อตาเห็นรูป รูปนั้นก็เกิดขึ้น.

นี่จะไม กะ กา กิ กี กึ กื เสียแลว มั นจะแจกกลับถอยหลั งไป ต องตั้ งต น ดว ยตา แลว อาศัย รูป , ตานี ้อ ยู ข า งใน เรีย กวา ตา, แลว รูป อยู ข า งนอก ปฏิจฺจ แปลวา มาถึงกันเขา, แลวอุปฺปชฺชติ จกฺขุวิฺาณํ จะเกิดการเห็นทางตา ยอ นไปไหม ? พระพุท ธเจา ทา นยอมให นี ้เ ปน พระพุท ธภาษิต ; จะยอ นก็ไ ด ตากั บ รู ป อาศั ย กั น แล ว เกิ ด จั ก ษุ ว ิ ญ ญาณ คื อ การเห็ น ทางตา. ทุ ก คน เขา ใจไหม ระวัง ใหด ี ๆ นะ ตอนนี ้ม ัน เปน ตอนที ่จ ะเปน เรื ่อ งเปน ราว. ทางตา ทางหู ทางจมู ก ทางลิ้ น ทางกาย ทางใจ มั น ๖ ทาง. นี้ ยกตั วอย างทางแรกคื อทางตา ตาเห็ นรูป ก็ เกิ ดการเห็ นทางตา, คื อจั กษุ วิ ญ ญาณ นี่ เพี ยงเท านี้ เท านั้ น. ขั น ธ อะไร เกิดแลว รูปขันธเกิดหรือยัง ? ขณะนี้พอตาเห็นรูป ก็รูปขันธเกิดขึ้น.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org รู ป ขั น ธ เกิ ด แล ว ก็ วิ ญ ญาณขั น ธ เกิ ด หรื อ ยั ง ? อย า งน อ ยก็ วิ ญ ญาณ ขัน ธใ นชั ้น หนึ ่ง ชั้น เล็ก ๆ ชั้น ตน ๆ นี ้ ไดเ กิด แลว คือ วิญ ญาณทางตา คือ การเห็ น รู ป ทางตา, แล ว รูป ขั น ธ ก็ เกิ ด แล ว , กลุ ม ของรู ป ก็ เกิ ด แล ว คื อ กลุ ม รูป ข า ง


๔๓๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ในคื อ ตา. กลุ ม รูป ข างนอกคื อธาตุ ต าง ๆ นั้ น ก็ เรี ยกว ารูป , มั น คุ ม กั น เข าเป น กลุ ม แล ว ก็ เรี ย กว า รู ป ขั น ธ . มั น ติ ด แป ป ๆ ๆ ๆ เป น ไปแต ไม ใ ช ค ราวเดี ย วกั น ได , มั น ก็ เกิดวิญญาณขันธ. ถา ๓ ประการนี่เกิดขึ้นแลว ก็เรียกวาผัสสะ แลว, ผัสสะ นี้จะเรียกวาสังขารขันธ โดยออมก็ได. ที นี้ ถ า เกิ ด ผั ส สะแล ว ต อ งเกิ ด เวทนา คื อ ความรู สึ ก สบายไม ส บาย สุ ขทุ ก ข อ ะไรต าง ๆ นี้ เรี ย กว า เวทนาขั น ธ จึ งเกิ ด หลั งจากเกิ ด การเห็ น ทางตา, คื อ จั ก ษุ วิ ญ ญาณแล ว , จึ ง จะเกิ ด ผั ส สะ แล ว จึ ง เกิ ด เวทนาขั น ธ , หรื อ ว า จะแทรก สัญ ญาที่ ตรงนี้ . ตาเห็ นรูป จํ าได วารูปอะไรก็เรียกวา สั ญ ญาขั นธ เกิ ดแล ว ; แต ที่ จริงสั ญ ญาขัน ธ ตั วนี้ ไม สํ าคั ญ , สั ญ ญาขั น ธ ตั ว หลั งสํ าคั ญ กว า คื อ เมื่ อ มี เวทนา ขึ้นแลว เวทนาเกิดแลว มันไมสัญ ญาวาเวทนาของฉัน, สัญ ญานี้ตัวรายกาจ มาก. หรือวาเวทนาเกิดแลว เกิดสังขารขันธ คือความคิดจะทําอยางไรเกี่ยวกับ เวทนานี ้. ถา เวทนานา รัก ก็ค ิด จะเอา, เวทนานา เกลีย ดก็ค ิด จะทํ า ลาย. นี ่ก็ เรียกวา ความคิดอันนี้เปนสังขารขันธเกิดแลว.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทีนี้เมื่อ เกิด เปน เวทนา ขึ้น มาแลว สุข ทุก ข ขึ้น ในจิต แลว มัน ยัง มีวิญ ญาณขัน ธ อัน อื่น ที่เ ปน มโนวิญ ญาณ, เปน มโนวิญ ญาณเขา มาสัม ผัส ลงไปบนสุ ข หรือ ทุ ก ขเวทนา ที่ เกิด มาทางตานี้ ที ห นึ่ ง. นี่ วิญ ญาณตั ว การ ที่ จ ะ ตอ งใหม ีเ รื ่อ งเปน อวิช ชา ตัณ ห าไดง า ย. มัน เปน มโนสัม ผัส , เปน มโน สัมผัสสชาเวทนา เปนตัวกิเลสไดงาย.


เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม

๔๓๓

ทบทวนอุปาทานขันธ ๕, และขันธลวน. ทบทวนกั น อี ก หน อ ย ว า พอตาทํ า หน า ที่ ขึ้ น มาในการเห็ น รู ป เรี ย กว า รูป ขัน ธเกิด แลว , วิญ ญาณขัน ธท างตาก็เกิด แลว , เวทนาที่ม าจากการสัม ผัส ของตากั บรูปนั้ นก็ เกิ ดแล ว และสั ญญา สํ าคั ญมั่ นหมายวาเวทนา เป นสุ ข สุ ขสั ญญา ทุกขสัญญา อัตตสัญญา มมสัญญา. สัญญาอะไรที่เนื่องจากเวทนา นี่สัญญาที่ รา ยที ่ส ุด ที ่ทํ า ใหเ กิด ทุก ข ไดเ กิด ขึ ้น แลว , แลว ก็เ กิด ความคิด เปน สัง ขาร ขันธ จะทําดีทําชั่วก็เกิดแลว แลววิญญาณ มโนวิญญาณ มารวบรัดเอาทั้งหมด นั้น เปนตัวกู - ของกู : รูปของกู เวทนาของกู สัญญาของกู. นี่มโนวิญญาณทําใหเกิด เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ประเภทที่ ปน ความยึด มั ่น ถือ มั ่น . นี ่ใ นกรณีที ่ย ึด มั ่น ถือ มั ่น จะเปน อยา งนี ้; ถา ในกรณีที่ ไม ยึ ด มั่ น มั น ก็ ไม ม าถึ งอย า งนี้ . เช น เห็ น รูป ทางตาพอรู ว า สวยไม ส วย แล ว ก็ เลิ ก กัน อยา งนี ้, หรือ วา คิด นิด หนอ ยก็ไ ดแ ตไ มต อ งยึด ถือ ก็เ ลิก กัน อยา งนี ้ ; นี้ เปนขันธ ๕ เฉย ๆ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เดี๋ ย วนี้ ใคร ๆ ก็ ลื ม ตาอยู ทุ ก คน ใครจะหลั บ ตา นั่ งหลั บ ตาอยู ได มั น ก็ ลื ม ตาอยู ทุ ก คน. ตามั น ก็ เห็ น รูป ต น ไม ต น ไล อ ย า งนี้ มั น ก็ เรีย กว า ตาเห็ น รูป ก็ เกิ ด การเห็นทางตา; เมื่อมันไมมีปจจัยพอ ที่จะทําใหเกิดเวทนาชนิดที่รักหรือ เกลียดแลวก็เฉยได.

เหมื อ นเราเห็ น ก อ นหิ น ก อ นนี้ ต น ไม ต น นี้ เราก็ ไม มี ค วามรู สึ ก รั ก หรื อ ไม รั ก , ไม ยิ น ดี ยิ น ร า ย แต มั น ก็ เป น เวทนา. นี้ ค วามคิ ด จะเกิ ด บ า งก็ ไ ด หรื อ


๔๓๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ไม เกิ ด ก็ ได , แม เกิ ด ก็ ไม เกิ ด ไปในทางยึ ด ถื อ แม จ ะคิ ด ว าต น ไม นี้ มั น เกิ ด มาเพราะ มั น มี น้ํ า มี ดิ น มี อ ะไร มั น จึ ง เกิ ด ได . นี้ มั น เป น ความคิ ด แต ไม ใ ช สั ง ขาร ที่ เป น ความยึ ด ถื อ . วิ ญ ญาณก็ เห็ น อยู แ ล ว อย า งนี้ . มั น เป น ขั น ธ ๕ ล ว น ๆ ไม ถู ก อุปาทานยึดถือ ไมเกิดกับอวิชชา. นี้ ตั ว อย า งของขั น ธ ๕ ล ว น ๆ : รูป ขั น ธ เวทนาขั น ธ สั ญ ญาขั น ธ สั งขารขั นธ วิ ญ ญาณขั นธ ล วน ๆ ไม เกิ ดอุ ปาทาน เกิ ดทางตา แล วก็ ดั บไป. รูปขั นธ เกิ ด ขึ้ น ทํ า หน า ที่ เสร็ จ เป น วิ ญ ญาณขั น ธ แ ล ว ทํ า หน า ที่ เป น เวทนา เป น สั ญ ญา เป นสั งขารอะไรก็ ตาม. เพราะว าจิ ตมั นดวงเดี ยว มั นทํ าหน าที่ หลายอย างพรอมกั น ไมไ ด, เพราะวา จิต มัน ดวงเดีย ว. ฉะนั ้น ตอ งมีอ ะไร ๆ ปรุง แตง จิต ใหทํ า หนา ที่ ทีละอยาง ๆ เพราะฉะนั้นขันธมันจึงเกิดขึ้นทีละอยาง ๆ นี่เกิดขันธลวน ๆ ซึ่ง วันหนึ่ งเกิ ดอยู มากมาย. นี่ ลื มตาอย างนี้ ก็ เห็ น. บางที มั นไปครึ่งท อนไม ครบ ๕ ก็ มี , แม แ ต ไปครบทั้ ง ๕ มั น ไม เป น ทุ ก ข ก็ มี . เดี๋ ย วได ยิ น เสี ย งลมพั ด ทางหู เดี๋ ย วได ยิ น นกร อ งทางหู , เดี๋ ย วได ก ลิ่ น มาทางจมู ก , นี่ ที่ จ ะเป น ง า ย ๆ ที่ สุ ด ก็ ส ามอย า งนี้ : ตา หู จมู ก นี้ , ส ว นเรื่ อ งลิ้ น จะต อ งมี สั ม ผั ส อะไรเข า ก อ น ส ว นทางจิ ต ทางมโน นี้ เป น ได ม าก ได ง า ย ได พ ร อ ม ได ไ ว ในทุ ก ๆ อย า ง; แต ถ า ไม ยึ ด ถื อ ไม เกิ ด ความรูสึกวาอะไรของกู หรือตัวกูแลว มันไมมีความทุกข.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ ย กตั ว อย างให ฟ ง แล ว ว า ขั น ธ ทั้ ง ๕ นี้ เกิ ด ขึ้ น อย า งไร. ทบทวนอี ก ที ก็ ได เดี๋ ยวลู กเด็ก ๆ เหล านี้จะลื ม วาตานี้เป นพวกรูปอยู ขางใน ยังไม เกิดจนกวาจะ ได มี ภ าพข า งนอกเข า มาเนื่ อ งด ว ย จึ ง จะเรี ย กว า ตาเกิ ด . รู ป ข า งในก็ เกิ ด , รูป ข า ง นอกก็ เกิ ด, ตาอาศั ยรูปแล วเกิ ดจั กษุ วิญญาณ คื อการเห็ นทางตาได เป น ๓ อย างแล ว คือตา ๑ รูป ๑ จักษุวิญญาณ ๑ ได ๓ อยางแลว แลวก็มีพระบาลีวา ติณฺณํ ธมฺมานํ


เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม

๔๓๕

สงฺคติ ผสฺโส - การมาพรอมกันแหงสิ่งทั้ง ๓ นี้ เรียกวาผัสสะ, ผัสสะเกิดแลว. เมื่อ ๓ อยางนี้มาพรอมกันแลวก็เรียกวาผัสสะแลว. เพราะผัส สะนี ้เปน ตน เหตุ จึง มีค วามรู ส ึก ที ่เรีย กวา เวทนา, เมื ่อ ตาเห็ นสวยไม สวย ยิ นดี ยิ นร าย นี้ เรียกว าเป นเวทนา, เวทนาเกิ ดแล ว เพราะผั สสะ นั้นเปนตนเหตุ. ทีนี้เวทนานี้จะเปนอารมณ ใหสัญญายึดมั่น อยางนั้น อยางนี้ วาสวย วางาม ว าเราว าของเรา เป นอั ตตสั ญ ญา สุ ขสั ญ ญาอะไรขึ้ นมา สํ าคั ญ มั่ น หมาย ว าเป น อะไร, แล วโดยมากก็ มั กจะสั ญ ญาว าเวทนานี้ ของเรา, เวทนานี้ เป น ของเรา. ถา ไมสํ า คัญ ถึง ขนาดนี ้ก ็ย ัง ไมเ ปน ทุก ข สว นที ่จํา ไดวา รูป อะไร เสีย งอะไร, นี้ สัญญาอยางนั้นยังไมทําพิษทําเรื่องอะไร ก็เรียกวา สัญญาเหมือนกัน. ฉะนั้ น สั ญ ญ ามี อ ยู ๒ ความหมาย สั ญ ญาจํ า ได ว า อะไรเป น อะไร คืออะไร. เรียกอะไรนี้สัญญาหนึ่ง นี้ไมรายกาจ. ทีนี้สัญญาอีกประเภทหนึ่ง สัญญาวาสุข, สุ ข สั ญ ญานี้ ระวั งให ดี . สั ญ ญาว าทุ ก ข , ทุ ก ขสั ญ ญา นี้ ระวั งให ดี , อั ต ตสั ญ ญา สั ญ ญาว าตั ว กู นี้ ยิ่ งรา ยแล ว , พอไปยึ ด ถื อ เป น แบบนี้ เข า แล ว ก็ จ ะต อ งไปเป น ทาง แหงความทุกขแน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แต เดี๋ ยวนี้ เอาเป นว า เราไม ได พู ดถึ งกรณี ที่ มี ความทุ กข เอาแต สั ญ ญา จํา ไดวา อะไร. แลว เกิด ความพอใจ ในสิ่ง ที่เ ราเคยจํา ไดวา นี้ดี นี้ไ มอัน ตราย นี้ น า รัก เกิ ด ความคิ ด เล น ๆ ไปอย า งนั้ น , แล ว ก็ เกิ ด วิ ญ ญาณซั บ ซ อ นในรูป บ า ง ;


๔๓๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

วิ ญ ญาณในเวทนานั้ น บ า ง มั น เป น มโนวิ ญ ญาณ ชี วิ ต วั น หนึ่ ง ๆ ของเราเป น อยู อยางนี้เกือบตลอดเวลา แตยังไมเปนทุกข.

ลักษณะของอุปาทานขันธ. เอาละที นี้ จะยกตั วอย างคู ที่ เรียกว า อุ ป าทานขั น ธ ทั้ ง ๕ ว ามั นจะเกิ ด ขึ ้น มาอยา งไร ? ก็ตั ้ง ตน ดว ยตาเห็น รูป , ตานี ้เ ปน รูป ขา งใน รูป ขา งนอก พอเห็ น กั น เข า แล ว มั น ก็ มี ก ารเห็ น ทางตา คื อ ตาของเราเห็ น คนที่ เราเกลี ย ดน้ํ า หน า ที่ สุ ด เลย, ตาของเรา เห็ น ภาพคนที่ เราเกลี ย ดน้ํ า หน า ที่ สุ ด เลย. พอเกิ ด การ เห็ น ทางตา เกิ ด จั ก ษุ วิ ญ ญาณแล ว , ๓ ประการนี้ เรี ย กว า ผั ส สะ. ผั ส สะนี้ มั น ไม ใช ผั ส สะตามปกติ เหมื อ นที่ ว า เมื่ อ ตะกี้ เสี ย แล ว , มั น เป น ผั ส สะที่ ม าจากการเกลี ย ด ของเรา ในคนที ่เราเห็น นั ่น . อยา งนี ้เ ขาเรีย กวา มัน เปน ผัส สะที ่ม าจากอวิช ชา มาจากกิ เลส, มั น เป น โอกาสให อ วิ ช ชาเกิ ด ขึ้ น ผสมโรงตรงที่ ผั ส สะนั้ น มั น จึ ง เป น การสัมผัสดวยอวิชชาเสียแลว ไมเหมือนตัวอยางแรกซึ่งเปนขันธลวน ๆ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เดี๋ ย วนี้ ขั น ธ ที่ จ ะเกิ ด อุ ป าทาน เพราะว า เรามั น โง ไ ปเที่ ย วได รั ก คน นั้ น , เที่ ยวได เกลี ย ดคนนี้ อ ยู , มี ค วามมั่ น หมายอยู ในสั ญ ญามั่ น หมาย พอตาเห็ น รูป คนที่ เราเกลี ย ดมา, สั ญ ญาก็ วิ่ งปร าดทั น ที เลย ว านี่ คื อ ศั ต รูของกู . นั้ นคื อ ความโง นั ้น คือ กิเ ลส เปน ตัว อวิช ชา. ฉะนั ้น ผัส สะของเขาเปน อวิช ชาสัม ผัส , สัม ผัส ลง ไปด ว ยอวิ ช ชา. ดั ง นั้ น เวทนาของเขาจึ ง เป น เวทนาที่ เ กิ ด มาจากอวิ ช ชาสั ม ผั ส ; ฉะนั้ น จึ ง เป น เวทนาที่ รุ น แรงมาก คื อ เดื อ ดร อ นเป น ทุ ก ข . คื อ ว า ตั ว สั่ น เลย, เพี ย ง


เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม

๔๓๗

แต ได เห็ นคนที่ เราเกลี ยด นี่ มั นเป นทุ กขเวทนา; ฉะนั้ นจึ งเป นเวทนาเหมื อนที แรกไมไ ด. เดี ๋ย วนี ้เ ปน เวทนาที ่เ กิด มาจากอวิช ชาสัม ผัส หรือ วา ถา เห็น คู ร ัก เห็ น แฟนอะไรอย า งนี้ มั น ก็ เ กิ ด ตรงกั น ข า ม, มั น เป น เวทนาที่ เกิ ด มาจากอวิ ช ชา สั ม ผั ส อี ก ชนิ ด หนึ่ ง . แต มั น เป น ไปในทางสุ ข เวทนา นี้ ก็ ยึ ด ถื อ เหมื อ นกั น , นี้ สั ญ ญา มั นก็ มั่ นหมายว าเป นข าศึ กของกู มั นก็ เกลี ยด, สั ญ ญาก็ มั่ นหมายว าเป นแฟนของเรา เราก็รักอยางนี้. ที นี้ สั ง ขารที่ เ กิ ด ขึ้ น มั น ก็ เ ข า รู ป กั น พอดี , มั น ก็ คิ ด ไปตามความเกลี ย ด หรื อ ตามความรั ก , มโนวิ ญ ญาณก็ ค อยสั ม ผั ส อยู ทุ ก ๆ ตอนที่ มั น จะสั ม ผั ส ได พอ เห็ น เสร็ จ เรี ย บร อ ย เราก็ มี ค วามทุ ก ข เหมื อ นกั บ ไฟเผา, หรื อ ว า เราสบายใจ ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น แบกของหนั ก ยิ่ ง กว า ก อ นหิ น เราก็ ยั ง ไม รู สึ ก . เหมื อ นคุ ณ ว า เมื่ อ ตะกี้ นี้ แบก กอ นเพชรกอ นพลอย แบกเทา ไร กอ นใหญ  ๆ มัน ก็ไ มห นัก เพราะมัน ไปรวม กับเวทนาที่ตองการ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ ใ ห รู จั ก เปรี ย บเที ย บเบญจขั น ธ ล ว น ๆ กั บ เบญจขั น ธ ที่ ป ระกอบอยู ด ว ยอุ ป าทาน ว า ต า งกั น อย า งนี้ เบญจขั น ธ ล ว น ๆ ยั ง ไม ถู ก ยึ ด ถื อ ก็ ไ ม เป น ทุ ก ข , พอถูกยึดเขาก็เปนทุกข.

สรุป ความวา ใน ก ข ก กา ตอนนี ้ เราตอ งมีข ัน ธ หรือ เบญ จ ขันธ ขันธ ๕ นี้ เปน ๒ ชนิด คือ ชนิดที่ไมถูกจับฉวยดวยอุปาทาน นี้อยาง หนึ ่ง , และชนิด ที ่ถ ูก จับ ฉวยอยู ด ว ยอุป าทาน นี ้อ ีก อยา งหนึ ่ง เปน ๒ ชนิด . อย า งนี้ คุ ณ เห็ น ด ว ยไหม ? เห็ น . มี อ ะไรอี ก ก็ ให ว า ให มั น เสร็ จ เป น ตอน ๆ ไป อย า ใหตองพูดทีหลังอีก.


๔๓๘

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ป ญ หาที่ จะถามอี กสั กข อหนึ่ งคื อ ที่ อธิ บายเมื่ อตะกี้ นี้ ว า ตาเห็ นรู ปในขณะช วงนี้ ที่ เรายั งไม มี ค วามทุ ก ข จะยกตั วอย าง เช น เราเห็ น รู ป เป น ผู ห ญิง, ตาเห็ น หรื อ คนเห็ น ? หมาย ถึ งว าตั วดิ ฉั นเป นคนเห็ น ที นี้ จะยกตั วอย างเป นผู หญิ งเห็ นผู ชาย เช นว าเห็ นเป นผู ชายนี้ อยาก เรียนถามทานวา อุปาทานนั้นเกิดแลวหรือยัง ขณะที่เห็น แตยังไมมีความเรารอน.

อ าว, นี้ แสดงว า คุ ณไม เข าใจคํ าพู ดที่ อาตมาพู ดเป นวรรคเป นเวร, ป ญหา นี้เปนปญหาทั่วไปที่สงสัย แลวก็อยากจะถามทานใหตอบสั้น ๆ.

เข าใจป ญ หาแล ว ตอบเลย ว าผู ห ญิ งเห็ น ผู ชายก็ ได , ผู ชายเห็ น ผู ห ญิ ง ก็ไ ด, มัน ก็แ ลว แตวา การเห็น นั้น มัน เปด โอกาสใหอ วิช ชาเกิด ขึ้น หรือ ไม ? ถ าผู ชายเห็ น ผู ห ญิ ง เป ด โอกาสให อ วิ ชชาเกิ ด ขึ้ น มั น ก็ ต อ งมี ค วามกํ าหนั ด อย างนี้ เปน ตน . แตถา มัน ไมเ ปด โอกาสใหอ วิช ชาเกิด ขึ้น มัน มีส ติ, หรือ วา ศึก ษา มาดี มั น ก็ ไ ม เกิ ด . หรื อ ว า ถ า เห็ น คนที่ เกลี ย ด, ผู ห ญิ ง เห็ น ผู ช ายที่ เกลี ย ด หรื อ ผู ชายเห็ น ผู ห ญิ งที่ เกลี ย ด, มั น ก็ ไม เกิ ด อย างนั้ น , แต ก็ เกิ ด อวิ ชชาทางที่ จะให เกลี ยด. ฉะนั้ น เราเอาแน ไม ได ; เราต อ งเอาจิ ต เป น หลั ก เอาอายตนะเป น หลั ก มี ค วาม สัมผัสแล วในขณะสั มผั สนั้ น เป นโอกาสแห งอวิชชาอย างใดอย างหนึ่ งหรือไม ? ที่ จะ เกิด ขึ ้น มาผสม. ฉะนั ้น เราเลยพูด ไดว า มัน เปน อวิช ชาสัม ผัส หรือ วา เปน วิ ช ชาสั ม ผั ส คื อ มี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะ. ถ า สั ม ผั ส ใดมี อ วิ ช ชาเข า มาเกี่ ย วข อ งเป น อวิช ชาสัม ผัส ตอ งไปในรูป ของปฏิจ จสมุป บาทและเปน ทุก ข. ถา สัม ผัส ใด มัน ไมเ สีย หลัก มัน มีส ติส ัม ปชัญ ญะเกิด ขึ ้น , สัม ผัส นั ้น มัน เปน วิช ชาสัม ผัส หรือ วา สติสัม ปชัญ ญะสัม ผัส มัน จะไมเ ปน ไปในรูป ของปฏิจ สมุป บาทที่จ ะ ทําใหเกิดทุกขขึ้น. มีอะไรอีก ?

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม

๔๓๙

ที่ ถ ามนี่ หมายถึ ง ว า เราหยุ ด แค เห็ น ผู ช าย ยกตั ว อย า งเช น ว า ขั น ธ ๕ เป น อพยากฤต เป นกลาง ๆ ยั งไม ใช สั ตว ไม ใช บุ คคล. ป ญ หาสงสั ยว า ที่ ผั สสะ เห็ นเป นผู ชายและ หยุ ดแค ผู ชาย. เรื่ องนี้ ถามท านว า ช วยอธิ บายให เข าใจด วยว า ขณะนี้ อุ ปาทานเกิ ดแล วหรื อยั ง ? ก็ตอบมาเมื่อกี้นี้. หมายถึงวา ยังไมเกิดสายปฏิจจสมุปบาท.

นั่ น แหละยั งไม เกิ ด อุ ป าทาน. นี่ ข อให ถื อ เป น หลั ก เถอะถ า มี อุ ป าทาน แลวเปนปฏิ จจสมุ ปบาท. ทีนี้เปนผูชายนี่ยังไมเกิดหรือ ? ก็แลวแตจิตใจของการเห็นซิ มั น จะรู สึ ก อย างไรบ าง, มั น สํ าคั ญ อยู ที่ นั่ น . เมื่ อ เห็ น เพศตรงกั น ข ามอย างนี้ มั น เห็ น ด ว ยความรู สึ ก ของอวิ ช ชา หรื อ เห็ น ด ว ยความรู สึ ก ของวิ ช ชา คื อ สติ สั ม ปชั ญ ญะ. ถ าเห็ นด วยอวิ ชชาแล ว ไม พ นที่ จะเกิ ดเวทนา ตั ณ หา อุ ปาทาน, เป นปฏิ จจสมุ ปบาท และเปนทุกข. เป นข อ ถกเถี ย ง หมายถึ งผู ที่ ศึ ก ษา หมายถึ งที่ กรุ งเทพฯ เขาบอกว า ถ าเห็นเป น ปรมัตถนี้ ยังไมใชผูชาย ถาเห็นเปนผูชายเมื่อไร เมื่อนั้นแหละอุปาทานเกิดแลว.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อ า ว, นั้ น ก็ ถู ก , พู ด อย า งนี้ ก็ ถู ก , แล ว คนธรรมดาอย า งนี้ เห็ น เป น ปรมัต ถไ ดห รือ ? คนเหลา นี ้จ ะเห็น ปรมัต ถไ ด ทั ้ง ที ่ไ มรู ว า ปรมัต ถค ือ อะไร ? มั นก็ ต องเล็ งเห็ นตามปกรติ วิ สั ยของคนธรรมดา ไม ต องรูว าปรมั ตถ ละ, ในบางกรณี มั น เปลี่ ย นรู ป เป น อย า งอื่ น , หรื อ ว า เขาไม ช อบ เขาเกลี ย ด เขาเฉยได เพราะเหตุ อื่ น ก็ม ีไ ดเ หมือ นกัน , การที ่เ ห็น เปน ขัน ธ เปน ธาตุ เปน อายตนะ มัน ตอ งคน เล า เรี ย น, คนธรรมดาเหล า นี้ เ ห็ น ไม ไ ด . ฉะนั้ น เราจึ ง ต อ งพู ด ว า เมื่ อ มี ก ารเห็ น ทางตา หรือ ไดย ิน ทางหูเ ปน ตน นั ้น ในขณ ะแหง สัม ผัส นั ้น , มัน สัม ผัส ดว ย ความโง หรือ สัม ผัส ดวยความฉลาดตางหาก. ถาสัม ผัส ดว ยความโงม ัน ก็ห ลง ไป, ถาสัมผัสดวยความฉลาด มันก็เหนี่ยวรั้งไวได, เรื่องมีเทานั้น.


ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

๔๔๐ ที่ถามนี้ หมายถึงวายังไมศึกษาธรรม.

นี่ ก็ ต อ งเป น อย า งนี้ ผู ที่ ยั ง ไม ไ ด ศึ ก ษาธรรม ต อ งใช คํ า อย า งนี้ ว า พอ สั ม ผั ส ทางตา ทางหู ทางจมู ก เป น ต น นั้ น , สั ม ผั ส ด วยความฉลาดหรือ สั ม ผั ส ด วย ความโง, ถา สัม ผัส ดว ยความโง เปน อวิช ชาสัม ผัส ตอ งเกิด กิเ ลส ไปตาม วิถีทางของปฏิจจสมุปบาทที่จะเกิดทุกข. แตถาเขามีความฉลาดเสีย เขารูทัน ดว ยเหตุใ ดเหตุห นึ ่ง ก็ต าม มัน ก็ไ มม ีก ิเ ลสเกิด ได, มัน ก็ไ มม ีป ฏิจ จสมุป บาท เกิ ด ขึ้ น , มั น ก็ ห ยุ ด ชะงั ก แค นั้ น , หรื อ ว า ต อ ไปอี ก นิ ด มั น ก็ ช ะงั ก ก็ ก ลายเป น การ ศึ ก ษา เป น วิ ช ชาความรู, รูเรื่อ งคนนี่ มั น หลอกลวง, คนนี่ มั น มาทํ า ให เราหลงใหล นี่มัน ก็รูไปเสียอยางนี้, เปน การศึก ษาไปเสีย ไมเปน ปฏิจ จสมุป บาท ที่จ ะทํา ใหเกิดทุกข. นี่ ขอให ช วยจํ าให ดี ๆ ว า ทุ ก ๆ คนไม ว าเด็ ก ผู ใหญ นี้ ในวั นหนึ่ ง ๆ มั นมี ก ข ก กา อยู อย างนี้ คื อจะมี ทางตาบ าง ทางหู บ าง ทางจมู กบ าง ทางลิ้ นบ าง ฯลฯ หกทางนั่ น แหละ มี การถึ งกั น เข าแล วก็ เกิ ด ความรู สึ ก ทางตา เป น ต น ก็ เกิ ด ผั ส สะ, แลว ก็เ กิด เวทนา ตัณ หา อุป าทาน. ถา เผลอไปมัน จะเปน ทุก ข แลว แตส ติม ัน จะมาทั น ที่ ต รงไหน สติ ม าทั น ที่ ต รงไหนมั น จะชะงัก ได ที่ ต รงนั้ น , บางที เป น เวทนา แลว มัน ก็ย ัง ชะงัก ไปได, เปลี ่ย นกลับ ไมร ัก ไมโ กรธ, หรือ บางทีเ ปน ตัณ หา เป น ทุ ก ข เข า ไปแล ว ตั้ ง ครึ่ ง หนึ่ ง แล ว มั น ก็ เกิ ด บ า ง เอ า มั น หยุ ด กระแสตั ณ หาได ดวยอํานาจของสตินั้น อยางนี้ก็มี.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม

๔๔๑

อุปาทานขันธหรือขันธ ๕ เปนเรื่องชีวิตประจําวัน. นี่ เรื่ อ ง ก ข ก กา แท ๆ, แล วเรื่ อ งชี วิ ต ประจํ า วั น ของคนทุ ก คน คื อ ว า มั น เกิ ด ขั น ธ ก็ ต อ งเมื่ อ มี ก ารกระทบทางตา หู จมู ก ลิ้ น เป น ต น แล ว ก็ เกิ ด ขั น ธ แล วเมื่ อ เราเกิ ด ป ญ จุ ป าทานขั น ธ ขณะนั้ น เมื่ อ มี การกระทบแล ว อวิ ช ชาเข าพลอย ผสมโรงด วย ความโง เข าไปพลอยผสมโรงด วย มั น จะเกิ ด อุ ป าทานขั น ธ ถ ามั น ยั ง ไม โง คื อ ว า มั น ยั งมี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะ หรือ ว า มั น ไม โง ด ว ยเหตุ ใดก็ ต ามเถอะ มั น จะ เป น เพี ย งขั น ธ ล ว น ๆ เหมื อ นที่ เดี๋ ย วนี้ ต าเราก็ เห็ น อะไร หู เราก็ ไ ด ยิ น อะไร จมู ก เราก็ไ ดก ลิ ่น อะไรแตเ รายัง ไมเ ปน ทุก ข เพราะมัน เปน เพีย งขัน ธล ว น ๆ แตม ัน เป น ของหนั ก อยู ใ นตั ว เหมื อ นก อ นหิ น ก อ นนี้ ถ า เราไม ไ ด ไ ปแบกมั น มั น จะทํ า อะไรเราได ขั นธ ล วน ๆ นี้ ก็ เหมื อนกั น ถ าเราไม ได ไปแบกมั น คื อไม เข าไปเอามาเป น ของเรา มันก็ทําอะไรเราไมได เพราะฉะนั้น พระพุทธเจาทานจึงตรัสวา การถือของ หนัก เปน ทุก ข ; ถา ไมถ ือ ก็ไ มเปน ทุก ข, ของหนัก ก็ห นัก ไป เมื ่อ ฉัน ไมถ ือ ฉัน ก็ ไมเปนทุกข, หรือวา สงฺขิตฺเตน ปฺจุปาทานกฺขนฺธา ทุกฺขา - เบญจขันธที่ประ กอบอยูดวยอุปาทาน คือมีคนถือ มีอุปาทานถือ มันจึงจะมีทุกขแกจิตนั้นตาง หาก.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org คนทุ ก คนจะต อ งตอบได ว า เมื่ อ ไรเกิ ด เบญจขั น ธ ล ว น ๆ นี้ อ ย า งหนึ่ ง , เมื่อไรเกิดอุปาทานขันธ ซึ่งเปนทุกขนี้อยางหนึ่ง ? อยางหลังเปนปฏิจจสมุปบาท ; อยา งแรกไมเ ปน . เมื ่อ ไรเกิด ขัน ธ ? ก็เ มื ่อ มีก ระทบทางอายตนะ. ดัง นั ้น เรามิไ ดม ีขัน ธอ ยูต ลอดเวลา หรือ วา ถา มีเ ราก็ต อ งมีขัน ธที ่ส ับ เปลี ่ย นกัน . เมื่ อ ตาเราไม ทํ าหน าที่ เห็ น , หู เราไม ทํ าหน าที่ ได ยิ น , เช น ว าเราหลั บ อยู , อย างนี้ มั น ก็ไ มม ีข ัน ธไ ด ; เวน ไวแ ตเ ราจะฝน หรือ ละเมอ มัน ก็ม ีแ บบอื ่น . บางทีเ รา


ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

๔๔๒

ลื ม ตาไปนั่ ง เหม อ มั น ก็ เ หมื อ นกั บ เรามิ ไ ด เ ห็ น อะไร, อย า งนี้ ก็ ไ ม เ กิ ด ขั น ธ ไ ด . นี้ เปนการพักผอน ตรงที่ไมเกิดขันธ, และไมเกิดอุปาทานขันธ.

ขันธเกิดไดตองอาศัยอายตนะและธาตุ. ที นี้ จ ะมาถึ ง ก ข ค ฆ ง ที่ มั น ต่ํ า ลงไปอี ก ที่ เข า ใจผิ ด กั น อยู นอนฟ ง อยูรูสึกวา นี้เรียน ก ข มาผิดแลว. ขัน ธจ ะตอ งไดอ าศัย อะไรจึง จะเกิด ขัน ธ ? จะตอ งอาศัย อายตนะ. อายตนะจะตองไดอาศัยอะไร ? ก็จะตองอาศัยธาตุ. พู ดไปแตตนที่สุดก็ตองพู ดถึงธาตุ. คุณวา ธาตุ มี กี่ อย าง ? ธาตุ มี ๔ อย าง. ถู กนิ ดเดี ยว คุ ณ หมายถึ งดิ น น้ํ า ลม ไฟ ใช ไหม ? มีธาตุรูอีกอยางหนึ่ง. เอ า , ย ัง เห ล ือ อ ีก ม ัน ม ีตั ้ง ๖ ก อ น ถ า อ ย า งนั ้น ด ิน น้ํ า ล ม ไฟ อากาศ วิ ญ ญ าณ . ธาตุ ๖ ปถวี ธ าตุ อาโปธาตุ วาโยธาตุ เตโชธาตุ อากาสธาตุ วิญญาณธาตุ ธาตุทั้ง ๖ กอน อยางนี้ก็ถูก แตไมเกง คือมันยังเหลือธาตุอยูอีก.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ า ตอบอย า งที่ เล า เรี ย นมาแล ว ศึ ก ษามาแล ว ขนาดเป น ครู บ าอาจารย แล ว ต อ งต อ บ ว า ธาตุ ม ี ส อ ง, ส อ งคื อ อ ะไร ก็ ม ี ส ั ง ขต ธาตุ อ สั ง ขต ธาตุ . นั่นแหละถูกที่สุด.


เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม

๔๔๓

ถาถามวา ธาตุมีกี่อยาง แลวตอบอยางที่รูที่สุดก็ตองตอบวามี ๒ ธาตุ : ประเภทหนึ่งเปนสังขตะ คือ ธาตุ ที่ เปลี่ย นแปลงได ปรุงแตงได เปลี่ยนแปลงได เป น สั ง ขตธาตุ , มี ม ากนั บ ไม ไ หว ไม รู ว า กี่ ร อ ยชนิ ด . อี ก ธาตุ ห นึ่ ง เป น อสั ง ขต ธาตุ อะไรทําไมได อะไรเปลี่ยนแปลงไมได ; มี ๒ ธาตุ. ที นี้ อสั ง ขตธาตุ นี้ ยั ง รู ย าก อย า เพ อ พู ด ถึ ง ดี ก ว า หยุ ด เอาไว ก อ น ฝากเอาไว ก  อ น. พู ด ถึ ง สั ง ขตธาตุ คื อ ธาตุ ที ่ ป  จ จั ย กระทํ า ขึ ้ น ปรุ ง ขึ ้ น , นี้ จ ะเรี ย กว า มี ๖ ธาตุ ก็ ไ ด . มี ดิ น น้ํ า ลม ไฟ อากาศ วิ ญ ญาณ ก็ ไ ด หรื อ ถ า ไม เรียกอย างนั้ น ยั งมี เรียกอย างอื่ นได , เช นเรียกว า ธาตุ ตา ธาตุ หู ธาตุ จมู ก ธาตุ ลิ้ น ธาตุ กาย ธาตุ ใจ. คุ ณ เคยได ยิ นไหม ? ๖ อย างอย างนี้ คุ ณ เคยได ยิ นไหม ? นี่ มั นมี อยางนี้. ในพุทธภาษิต มันมีอยางนี้ ธาตุ ๖ คือ ธาตุตา ธาตุหู ธาตุจมูก ธาตุลิ้น ธาตุกาย ธาตุใจ, แลวธาตุ ๖ อีกพวกก็คือวา ธาตุรูป ธาตุเสียง ธาตุกลิ่น ธาตุรส ธาตุโผฏฐัพพะ และธาตุธัมมารมณ นี้ก็ธาตุขางนอก.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทีนี้ธาตุขางใน มีธาตุจากความหมายของกิเลสวา กามธาตุ - ธาตุที่ทําใหเรา เกิ ด ความรู สึ ก ทางกาม, แล ว ก็ รู ป ธาตุ – ธาตุ ที่ ทํา ให เ ราเกิ ด ความรู สึ ก พอใจ รูป บริสุท ธิ์, แลว อรูป ธาตุ - ธาตุที ่ทํา ใหเ ราเกิด ความรูสึก พอใจในสิ่ง ที่ไ มมีรูป , แลวนิโรธธาตุ - ธาตุที่ทําใหเกิดความดับ, ดับกิเลสทั้งหลายดับ ความพอใจทั้งหลาย ในสิ ่ง เหลา นั ้น เสีย ได. อัน นี ้ก ็เ ปน ธาตุ ๔ นะ : ธาตุ ๔ คือ กามธาตุ รูป ธาตุ อรูปธาตุ นิโรธธาตุ.

ถาบรรดาสั ตวที่ ยั งต่ํ าอยู พอใจในกาม ก็เพราะวามี กามธาตุ เป นตั ว การปรุ ง แต ง อยู ในนั้ น , ทํ า ให จิ ต เกิ ด ความรูสึ ก พอใจในกาม. ถ า จะให สู ง ขึ้ น ไปถึ ง


๔๔๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

รูป ธาตุ มัน ก็ไ มพ อใจในกาม แตจ ะพอใจในสิ ่ง ที ่บ ริสุท ธิ์, เชน การเขา ฌาน ในรูป ฌานอยา งนี ้. ถา สูง ขึ ้น ไปอีก ก็เ ปน อรูป ฌาน อรูป ธาตุ, ทั ้ง ๓ อยา งนี้ มัน บา ทั ้ง นั ้น เลย, ทั ้ง กาม ทั ้ง รูป ทั ้ง อรูป นี ้. ถา จิต นอ ม ไป เพื ่อ ค วาม ดับ เปน นิ โรธธาตุ ก็ เป น ไปเพื่ อ นิ พ พาน. นี้ ก็ ธ าตุ ๔ ที่ มี อ ยู ในตั ว เรา, หรื อ บางเวลา เราชอบกาม เพราะกามธาตุ เ ข า มาเป น เจ า เรื อ น. คน ๆ เดี ย วบางเวลามั น ก็ ไ ม ชอบกามเบื่ อ กาม อยากอยู นิ่ ง ๆ; นี้ ก็ เพราะว า รู ป ธาตุ ห รื อ อรู ป ธาตุ แ ทรกเข า มา, หรื อบางที อยากจะอยู นิ่ งยิ่ งกว านั้ นอี ก อยากจะไม ยุ งกั บอะไรหมด ก็ เพราะนิ โรธธาตุ เล็ ก ๆ น อ ย ๆ ชั่ ว คราว มั น แทรกเข า มา. แต ถ า พู ด กั น อย า งไม เ ปลี่ ย นแปลง ก็ ต อ งเป น อย างพระอริยเจ าไปเลย หรือ ว าเป นอย าง พวกชั้ น สู งกว าธรรมดา พวกที่ เขาฌานสมาบัติ หรือเปนพระอริยเจา เปนพระอรหันตไปเลย. ฉะนั้ น โดยพื้ น ฐานแล ว เราอาจจะพู ด ได ว า เรามี ธ าตุ อ ยู ต ลอดเวลา แมห ลับ และตื ่น , แตว า จะพูด วา เรามีข ัน ธอ ยู ต ลอดเวลา พูด ไมไ ด. เรามี ธาตุ อยู ต ลอดเวลา เช น ว าเรามี ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ล ม ธาตุ อากาศ ธาตุ วิญ ญาณ ก็เ ปน สัก แตว า ธาตุน ะ; จํ า ดี ๆ นะ อยา เอาไปปนกัน นะ. ที ่เ ปน ธาตุ นี ้เ ราอาจจะมีอ ยู ไ ดต ลอดเวลา; แตที ่เ ปน ขัน ธ ธาตุที ่ไ ปปรุง เปน ขัน ธนั ้น เรา ไม มี อ ยู ไ ด ต ลอดเวลา, มั น มี ต อ เมื่ อ มั น ปรุ ง เป น ขั น ธ , แล ว ธาตุ นี้ มั น ทํ า อะไรไม ไ ด มันตองปรุงเปนอายตนะเสียกอน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เช น ว าเรามี ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ล ม ธาตุ อากาศ ธาตุ วิ ญ ญาณ อะไรก็ต ามเถอะปรุง ปรุง แลว เปน ลูก ตา เปน กอ นลูก ตา, รวมทั ้ง ประสาท สํ า หรั บ ลู ก ตา, แล ว เราก็ ต อ งมี ธ าตุ ต า หรื อ จั ก ษุ ธ าตุ สํ า หรั บ ที่ จ ะประจํ า อยู ใ นนี้ , ตานี้ จึ ง พร อ มที่ จ ะเป น อายตนะทางตา เมื่ อ ได ก ระทบรู ป ข า งนอก. มิ ฉ ะนั้ น มั น


เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม

๔๔๕

จะเป น ธาตุ ต า ที่ ป ระกอบอยู ด ว ย ดิ น น้ํ า ลม ไฟ ที่ เป น ดวงตาลู ก ตา อยู เฉย ๆ เท า นั้ น ; แต พ อเห็ น รู ป ข า งนอก มั น เปลี่ ย นจากความเป น ธาตุ ไปสู ค วามเป น อายตนะ, แล ว จึ ง จะเรี ย กว า อายตนะทางตา, กลายเป น จั ก ขุ อ ายตนะไป. มั น จะ เปน จัก ขุอ ายตนะได ก็ต อ เมื ่อ ไดร ูป ขา งนอก ที ่เ ปลี ่ย นจากรูป ธาตุ มาเปน รู ป ายตนะแล ว และรู ป ายตนะข า งนอกกั บ จั ก ขุ อ ายตนะข า งในถึ ง กั น เข า จึ ง จะเกิ ด จัก ขุว ิญ ญ าณ แลว จึง เปน ขัน ธขึ ้น มาได. ฉะนั ้น ธาตุต อ งปรุง เปน อายตนะ กอน, อายตนะทําหนาที่แลว จึงจะเกิดเปนขันธขึ้นมา. สามคํ า นี้ จํ า ให ดี เป น ก ข ก กา ถ า เรี ย นผิ ด แล ว เป น ผิ ด หมด, จะทํ า ให เข า ใจว า กิ เลสเกิ ด อยู ต ลอดเวลาบ า ง, อวิ ช ชาเกิ ด อยู ต ลอดเวลาบ า ง, มั น เกิ ด ไม ไ ด . ไม มี สิ่ ง ใดที่ จ ะเกิ ด อยู ไ ด ต ลอดเวลา โดยที่ ไ ม ต อ งดั บ ; เว น แต อ สั ง ขต ธาตุพ วกเดีย ว. ในบรรดาสัง ขตธาตุ แลว จะตอ งมีเ กิด - ดับ , อสัง ขตธาตุ เท า นั้ น ที่ จ ะไม มี เ กิ ด และไม มี ดั บ , อาจจะเป น รู ป เป น นาม เป น กิ เ ลส ตั ณ หา อุ ป าทาน อวิ ช ชาอะไรก็ ต าม อะไรก็ ต าม มั น เป น สั ง ขตธาตุ มั น ต อ งมี ก ารเกิ ด ดั บ . มันไดโอกาสมันจึงเกิด , หมดเหตุหมดปจจัย หรือไมไดโอกาสมันก็เกิดไมได, หรือมันตองดับไป อยางนี้.

www.buddhadasa.in.th ศึกษาใหรูจักคุณลักษณะหนาที่ของธาตุ. www.buddhadasa.org นี้ ศึ ก ษาเรื่ อ งธาตุ ให ดี ๆ แล วให รูว ามั น ปรุงเป นอายตนะขึ้ น มาอย างไร เมื่อไร, แลวมันจะปรุงเปนขันธขึ้นมาอยางไร, และเมื่อไร.


๔๔๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

นี่ ทบทวนสํ าหรับลู กเด็ ก ๆ นี้ อี กที หนึ่ งก็ ได วาเรามี ธาตุ ดิ น น้ํ า ลม ไฟ อากาสธาตุ วิญ ญาณธาตุ อยูเป น พื้ น ฐานในที่ ทั่ วไป ทุกหนทุกแหง. ที่สวนหนึ่ง มั นมาประกอบกั นเข าเป นลู กตาของเราในลู กตาของเรา, ในลู กตาของเรานี้ มี ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไ ฟ ธาตุ ล ม คื อ ในเนื้ อ หนั ง ของเรานี้ มั น จะต อ งมี ธ าตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุไฟ ธาตุลม. สว นที่ แ ข็ง กิน เนื้ อ ที่ นี้ เรียกวา ธาตุ ดิ น , สว นความเหลว ที่ มี การเกาะกุ มกั นอยู เป นความเหลวก็ เรียกวา ธาตุ น้ํ า, ในเนื้ อนี้ ก็ มี เลื อดมี น้ํ า, ในเนื้ อ นี้ ก็ มี ธาตุ ไฟ คื อ อุ ณ หภู มิ , เดี่ ย วนี้ เป น ไข น อ ย ๆ มี อุ ณ หภู มิ ตั้ ง ๙๙o ฟาเรนไฮด อย างนี้ เป นต น, มั นต องมี อุณ หภู มิ , แล วก็ มี ธาตุ ลม คื อส วนที่ ระเหยไปมาอยู เรื่อย. ๔ ธาตุ นี้ อย างน อยทํ าเป นเนื้ อก อนลู กตาขึ้ นมาได แล วมี ธาตุ วาง คื อเป นอากาสธาตุ เป น พื้ น รองรับ ให สิ่ ง เหล า นี้ มั น มี ที่ ตั้ ง อยู ได . แล ว ยั ง จะต อ งมี ธ าตุ ที่ สํ า คั ญ กว า นั้ น คื อจั กขุ ธาตุ หรือ ธาตุ ตา มาสิ งอยู ในลู กตานี้ ด วยในก อนลู กตานี้ ด วย. แต เราเรียก วามั นยั งไม มา มั นยั งไม เกิ ดจนกวาจะมี การเห็ นทางตา เป นจั กขุ ธาตุ ซึ่ งมาทํ าหน าที่ เปนจักขุอายตนะ ฉะนั้นเราจึงมีการเห็นไดทางตา.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org รู ป ธาตุ ข า งนอก รู ป อะไรก็ ต ามที่ เห็ น นี้ ต น ไม ใ บไม อ ะไรก็ ต ามมั น ก็ เป น ธาตุ ดิ น น้ํ า ลม ไฟ อากาสธาตุ คุ ม กั น อยู เป น อย า งนั้ น ; ถ ายั งไม ม ากระทบ ตาเรา มั นก็ ไม มี ความหมายแก เรา, มั นยังไม เกิ ด. พอมั นมา กระทบเรา เรียกว า มั น เกิ ด . ก็ เรี ย กว า รู ป ธาตุ ข า งนอกนี่ มั น กลายเป น รู ป ายตนะขึ้ น มา, เป น อายตนะคือ รูป ขึ ้น มา. ครั้น พอมากระทบกับ จัก ขุอ ายตนะขา งใน มัน ก็เ กิด จักขุวิญ ญาณขึ้น มา, เปนขัน ธขึ้น มา, เปน จัก ขุวิญ ญาณ เปนรูป ขัน ธ ที่ทํา ใหเ กิด วิญ ญาณขัน ธขึ ้น มา ; มัน เปน อัน เดีย วกัน ไมไ ด, ธาตุก ็ด ี อายตนะก็ดี ขัน ธก ็ด ี เปน อัน เดีย วกัน ไมไ ด, แลว ขัน ธก ็ด ี อุป าทานขัน ธก ็ด ี เปน อัน เดีย ว กันไมได.


เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม

๔๔๗

การปรุงตั้งแตอวิชชาสัมผัสจนเปนทุกขเรียกวาปฏิจจสมุปบาท. ฉะนั ้น ในขณะที ่ด วงตาเห็น รูป เกิด อยู นี ้ ยัง ไมม ีก ิเ ลส, ยัง ไมใ ช กิ เ ลส ยั ง ไม มี กิ เ ลส. ต อ งโง ใ นขณ ะนั้ น ต อ งเผลอในขณะนั้ น ต อ งมี เ หตุ ป จ จั ย อย า งใดอย า งหนึ่ งในขณะนั้ น , คื อ ในขณะที่ ต ากระทบรู ป หู ก ระทบเสี ย ง เป น ต น นี้ ถ า ได โ อกาสของความโง อวิ ช ชา เข า มาผสมโรงด ว ยแล ว , สั ม ผั ส อั น นั้ น จะเป น การสั ม ผั ส ด ว ยอวิ ช ชา, แล ว มั น ก็ จ ะมี เวทนา ที่ เกิ ด จากอวิ ช ชาสั ม ผั ส แล ว มั น ตอ งเกิด ตัณ หาแนๆ , แลว มัน จะเกิด อุป าทานยึด มั่น ไปตามกระแสแหง ตัณ หา ก็ จ ะเกิ ด ภพ คื อ ปรุ ง เป น การกระทํ า มโนกรรมที่ จ ะให เกิ ด เกิ ด เป น อุ ป าทาน, เกิ ด เปน ตัณ หาแลว เกิด เปน อุป าทาน กิเ ลสที ่ทํ า หนา ที ่ย ึด มั ่น เปน ตัว กู - ของกู, แลวมันจะเกิดชาติ เกิดภพ เกิดทุกข. นี่เรียกวา ปฏิจจสมุปบาท มันจะมาตาม ลํ า ดับ อยา งนี ้, เปน อยา งอื ่น ไมไ ด. นี ้เ รีย กวา อุป ทานขัน ธ วัน หนึ ่ง มีไ มกี ่ค รั ้ง และบางวั น อาจจะไม มี ก็ ได . ถ า เราไม มี ค วามทุ ก ข เกี่ ย วกั บ เรื่อ งเหล า นี้ แ ล ว วั น นั้ น ไม ได เกิ ด อุ ป าทานขั น ธ . ถ าวั น นั้ น เกิ ด ความทุ ก ข กี่ อ ย า ง แล ว ก็ แ ปลวา วัน นั้ น มันเกิดอุปาทานขันธเทานั้นอยาง, หรือเกิดปฏิจจสมุปบาทเทานั้นรอบ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ ก ข ก กา นี่ ถ าเข าใจแล ว จะรู ธ รรมะแล ว จะพู ด ไม ผิ ด จะสอนไม ผิด, จะเป นครูบาอาจารยที่ ไม ต องพู ดผิ ด. ที นี้ ก็ต องพู ดมาจากข างใน. พระพุ ทธ เจาทานตองการนัก ตองการหนาวาสาวกทั้งหลายจงพูดออกมาตามที่รูสึกโดยประจักษ อยูขางใน. อยาพู ดตามคําของตถาคตเลย ; สาวกที่แทจริงเขาจะไมพูดตามคําของ พระศาสดาของตน ; แต ส าวกนั้ น เขาจะพู ด ตามความรู ป ระจั ก ษ ชั ด ที่ เขารู ป ระจั ก ษ ชั ดอยู ข างใน, แล วเขาพู ดออกมา, แล วมั นจะไปเหมื อนกั บคํ าที่ ว าพระศาสดาตรัสด วย กันทุกคํา ทุกอักษร.


๔๔๘

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

เดี๋ ยวนี้ เราไปเที่ ยวจํ าคํ าเขามาพู ด บางที ก็ จํ าขี้ ป ากของเขามาด วยซ้ํ าไป, ไม ใช คํ าที่ ถู กต อง, มั นก็ พู ดกั นมาก แล วก็ เปะ ๆ ปะ ๆ ไปหมด เพราะว าไม ได เรี ยน ก ข ก กา ให รู อ ย า งถู ก ต อ งว า อะไรคื อ ธาตุ อยู ที่ ไหน เมื่ อ ไร กี่ อ ย า ง ๆ, แล ว เมื่ อ ไรธาตุ นี้ ป ระกอบกั น เข า แล ว เกิ ด ขึ้ น เป น อายตนะ อายตนะภายนอกก็ ต าม และอายตนะภายในก็ตาม แลวเมื่อไรเกิดผัสสะ เกิดเวทนาตามธรรมดา เปนขันธ ล วน ๆ, แล วเมื่ อ ไรเลยไปถึ งอุ ป าทานขั น ธ ; คื อ เกิ ด ตั ณ หา อุ ป าทาน ภพ ชาติ และเปน ทุก ข. สว นนี ้เ ขาเรีย กวา ปฏิจ จสมุป บาท คือ อาการที ่ม ัน เกิด ขึ ้น จน เปนทุกข กระแสสายอันนี้เขาเรียกวาปฏิจจสมุปบาท. ฟ งให ดี ว า คํ า ว า ปฏิ จ จสมุ ป บาท นี้ เขาใช แ ก เรื่ อ งจิ ต ใจเกี่ ย วกั บ ความทุก ขเทานั้น . ถาเปน เรื่อ งของตน ไม กอ นหิน กอ นดิน อยางนี้ไมเรีย ก วา ปฏิ จ จสมุ ป บาท แต เรีย กว าอิ ทั ป ป จ จยตา ทั้ งหมดเลย. แต ถ า เป น เรื่อ งเกี่ ย ว กับ คนสัต วที ่ม ีค วามรู ส ึก . จิต ใจสูง อยางนี ้ จะมีค วามทุก ขอ ยา งนี ้ ตอ งเรีย กวา อิท ัป ปจ จยตาสมุป ป าโท ชื ่อ มัน ยาวออกไปวา อิท ัป ปจ จยตาชนิด ปฏิจ จ สมุป บาทนี ้เ กี ่ย วกับ เรื ่อ งในใจคน. ถา อิท ัป ปจ จตาเฉย ๆ อะไรก็ไ ด กอ นหิน กอนดินตนไมอะไรก็ได มันเปนกระแสแหงอิทัปปจจตาไปทั้งสิ้น.

www.buddhadasa.in.th ลักษณะของกิเลสและสั่งสมเปนอนุสัย. www.buddhadasa.org ที นี้ ก็ ม าถึ ง กิ เลส ที่ เป น ตั ว ให ยึ ด ถื อ สั ก ที แ ล ว ก็ จ ะหมดเรื่ อ ง ก็ ไ ด ก ล า ว มาแล ว ว า ความทุ ก ข เ กิ ด ขึ้ น เมื่ อ มี ค วามยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ซึ่ ง เป น กิ เ ลส ก็ ตั้ ง ต น ว า


เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม

๔๔๙

ตาเห็น รูป อาศัย รูป เกิด การเห็น ทางตา คือ จัก ษุว ิญ ญ าณ จกฺข ุ ฺจ ป ฏิจ ฺจ รูเป จอุปฺปชฺชติ จกฺขุวิญญาณํ เพราะอาศัยตาดวยรูปดวยจึงเกิดจักษุวิญญาณ, ติณฺณํ ธมฺ มานํ สงฺคติ ผสฺโส - ความมาพรอมกันแห งธรรม ๓ ประการนี้ เรียกวา ผัสสะ, ผสฺสปจฺจยา เวทนา - เพราะผัสสะเป นป จจัยจึงเกิดเวทนา, เวทนาปจฺจยา ตณฺ หา เพราะเวทนาเป นปจจัยจึงเกิดตัณหา, ตฺ หาปจฺจยา อุปาทานํ -เพราะตัณหาเป น ปจจัยจึงเกิดอุปาทาน, อุปาทานปจฺจยา ภโว - เพราะอุปาทานเปนปจจัยจึงเกิดภพ, ภวปจฺจยา ชาติ - เพราะภพเป นป จจัยจึงเกิดชาติ , ชาติปจฺจยา ชรามรณํ โสกปริ เทวทุก ขโทมนสสุป ายาสา ฯลฯ (เรื ่อ ยไปจน) ...สมุท โย โหติ - ทุก ขทั ้ง ปวง เกิดขึ้นเพราะชาติเปนปจจัย. จํ า ให ดี ๆ ว า ตากระทบรู ป เกิ ด การเห็ น ทางตา, ทั้ ง หมดนี้ เ รี ย กว า ผั ส สะ. ตอนผั ส สะนี้ เ ราต อ งระวั ง ให ดี ถ า เป ด โอกาสให อ วิ ช ชาเข า มาครอบงํ า ผสมโรง แลวมันจะเปลี่ยนรูปเปนอุปาทานเปนเบญจขันธที่มีอุปาทาน. ที นี้ คุ ณ จะถามว า อวิ ช ชามาจากไหนใช ไ หม ? คุ ณ จะถามอย า งนั้ น ใชไหม ? ไมไดถามอยางนั้น, คุณเอาอวิชชามาแตไหน ?

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ระหว า งมี ก าร ป ระจวบ แห งธรรม ๓ ป ระการ ที่ เ รี ย กว า ผั ส สะนี้ ผั ส สะนี้ ก็ จ ะต อ งมี ผั ส สะที่ ป ระกอบอยู ด ว ยอวิ ช ชา หรื อ ผั ส สะที่ ป ระกอบด ว ย อวิ ชชา, อวิ ชชานี้ อย าไปเรียกมั นวากิ เลส ถ าไปเรียกอวิ ชชาวากิ เลส แล วมั นสะเพรา, มัน ทํ า อยา งสะเพรา . อวิช ชามัน เปน อาสวะ เปน อนุส ัย , กิเ ลสนั ้น เรีย กวา โลภะ โทสะ โมหะ หรื อ ราคะ โทสะ โมหะ สามอย า งนี้ เป น แม บ ท เรี ย กว า กิ เลส.


๔๕๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

โลภะหรื อ ราคะ นี้ อ ย างหนึ่ ง เป น กิ เลสประเภทลากเข ามาหาตั ว , เอาเข า มา ๆ ๆ ราคะก็ ต าม โลภะก็ ต าม มั น ลากเข า มาหาฉั น . โกธะหรื อ โทสะ มัน เปน กิเลสที่ผ ลัก ออกไปและอยากจะตีใหต ายดว ย มัน ผลัก ออกไป. ถา โมหะ นี ้ม ัน โงม ัน มืด มัน ไมรู ว า จะทํ า อยา งไรดี, มัน อาจจะวิ ่ง อยู ร อบ ๆ ก็ไ ด. ไมรูว า จะรักดีหรือจะเกลียดดี. ถ าราคะหรื อโลภะละก็ มั นรั ก ถ าโทสะหรื อโกธะแล วมั น เกลี ยด, ถ าโมหะ แล ว มั น ยั ง โง ยั ง มื ด ยั ง ไม รู ว า จะทํ า อย า งไรดี มั น จึ ง ได แ ต พั ว พั น หลงใหลอยู ร อบ ๆ. นี้ คื อ ตั ว กิ เลส ฉะนั้ น กิ เลสมี อ ย า งเดี ย ว, ไม ข อร อ งให พู ด ว า กิ เลสมี ๓ ชั้ น หรื อ มี กิ เลสอย างหยาบ กิ เลสอย างกลาง กิ เลสอย างละเอี ย ด, แล วเอาโลภะ โทสะ โมหะ เป นกิ เลสอย าง กลาง นี้ ว าเอาเอง. ผู ใดพู ดอย างนี้ ผู นั้ นว าเอาเอง, แล วก็ ว าตาม ๆ ๆ กัน มา เพราะกิเ ลสจะมีแ ต โลภะ โทสะ โมหะ ๓ อยา งนี ้, ถา มัน ออกมา เปน การฆา การลัก ขโมยการอะไรตา ง ๆ นี ้ม ัน อาการของกิเ ลส. ชั ้น หยาบ ชั ้น นอก. ทีนี ้ที ่เ ปน ชั ้น ในลึก เขา ไป ถา วา มัน มีค วามโลภ หรือ ราคะทีห นึ ่ง , มั น จะสร า งราคานุ สั ย เข า ไว คื อ ความเคยชิ น ที่ จ ะราคะ จะกํ า หนั ด นั่ น แหละเข าไว ครั้งหนึ่ งแล วราคะหลายครั้ง ๆ มั นก็ จะสรางความเคยชิ นหรืองายสะดวกดายที่ จะราคะ เข าไว . ส ว นนี้ ก็ เรี ย กว า อนุ สั ย คื อ ความเคยชิ น ที่ จิ ต จะราคะ, แล ว เมื่ อ โกรธโทสะ หรือโกรธที หนึ่ งมั นจะสรางปฏิ ฆ านุ สั ย เขาไวที หนึ่ ง, โกรธอี กที หนึ่ งก็ เพิ่ มปฏิ ฆานุ สั ย ไว ที หนึ่ ง, โกรธอี กที หนึ่ งเพิ่ มปฏิ ฆ านุ สั ยไว อี ก มั นก็ มี ความเคยชิ นที่ จะโกรธจะปฏิ ฆ ะ จะโทสะ นี้เรียกวา ปฏิฆานุสัย ทีนี้ถาวา มันมีโมหะ มันก็จะไปสราง อวิชชานุสัย.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org หรือ ถา พูด อีก ทีม ัน ใกลเ ขา มาอีก ก็ว า อารมณที ่น า รัก เกิด ทีห นึ ่ง ก็สรางราคานุสัย, อารมณ ที่นาเกลียด นาโกรธเกิดทีหนึ่ง ก็เกิดปฏิฆานุสัย, อารมณ


เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม

๔๕๑

ที่เปน อทุกขมสุข ทีหนึ่ง ก็ จะเปนอวิชชานุสัย, อวิชชานุสัยเปนเพียงความเคยชิน ที่ จะลุ กขึ้ นมาทํ าหน าที่ คราว ๆ หนึ่ งเท านั้ น ไม ได มี อยู ตายตั วตลอดเวลา. นี่ ราคา นุสัยก็ดี ปฏิฆ านุสัย ก็ดี อวิชชานุสัย มิใชมีอยูตลอดเวลา ; เพราะวาบรรดา สังขตะธาตุทั้งหลายนี้ ไมมีสังขตธาตุอันใดจะมีอยูไดตลอดเวลาโดยไมเกิดดับ ฉะนั้ น อวิ ชชาก็ ดี , พวกกิ เลสคื อ โลภะ โทสะ โมหะ ก็ ดี , พวกอนุ สั ย คื อ ราคานุ สั ย ปฏิ ฆานุ สั ย ก็ ดี , อวิชชานุ สั ย ก็ ดี , จะต องมี การเกิ ดดั บ ตามเหตุ ตามป จจั ยตามกาล ตามเวลา, ไม มี สิ่ ง ใดที่ จ ะเที่ ย งตายตั ว อยู ได นอกจากพวกอสั ง ขตธาตุ พ วกเดี ย ว เทา นั ้น . ทีนี ้สว นความทุก ข สว นกิเ ลส สว นรูป สว นนามนี ้ มัน เปน สัง ขต ธาตุทั้งนั้น, แลวมันตองมีการเกิดดับตลอดเวลา. ทีนี้เราเอาอวิชชามาจากไหน ? พอตาเห็นรูปเกิดการเห็นทางตา สาม อยา งนี้เรีย กวา ผัส สะ ผัส สะจะไดอ วิช ชามาจากไหน ? ก็ไดม าจากความเคยชิน นี้ จะความเคยชิ นมาทางไหน มั นก็ จะชิ นมาทางนั้ นคื อชิ นที่ จะรัก, หรือชิ นที่ จะโกรธ จะเกลี ย ด, ที่ จ ะโง จ ะหลง. ถ า ชิ น อั น ไหนมา ก็ เรี ย กว า อาศั ย อนุ สั ย อั น นั้ น ; แต ทุก อัน นี ้จ ะเรีย กไดว า มัน เปน ความไมรู  เปน ความโง ; ฉะนั ้น จึง เรีย กวา อวิชชาได ดวยกันทั้งนั้น.

www.buddhadasa.in.th อวิชชาสั่งสมมาจากอนุสัยและอาสวะ. www.buddhadasa.org ที นี้ ถ าถามวาเอาอวิ ชชามาจากไหน ? เมื่ อตาเห็ นรูป มี การสั มผั สแล ว เอาอวิช ชามาแตไ หนมาผสมเขา มาในสัม ผัส ก็ค ือ ความเคยชิน . ความเคย ชิน นี ้ส ะสมไวตั ้ง แตเ มื ่อ ไร ? ตั ้ง แตเ มื ่อ เปน เด็ก ๆ แตอ อ นแตอ อกมาทีเ ดีย ว.


๔๕๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

มั น ไวที่ จะเกิ ด ความโลภ ไวที่ จะเกิ ด ความโกรธ ไวที่ จะเกิ ด ความหลง ไวมากจนดู ไม ออกว า มั นเกิ ดขึ้ นมา, คล าย ๆ กั บวามั นเกิ ดอยู แล ว นี่ เรียกว าอนุ สั ย อนุ สั ยแปลว า ติ ดตาม, ผู ติ ดตาม, เรียกอี กชื่อหนึ่ งวา อาสวะ เชน อวิชชาสวะ. อวิชชาในฐานะ เปน อาสวะนั ้น คือ ความเคยชิน ที ่จ ะสะสมอยา งยิ ่ง ; ฉะนั ้น จึง ไวป บ ที ่จ ะโง. พอตาเห็ น รู ป ก็ โ ง , หู ฟ ง เสี ย งก็ โ ง , จมู ก ได ก ลิ่ น ก็ โ ง , ด ว ยอํ า นาจของอวิ ช ชาสวะ บ า ง อวิ ช ชานุ สั ย บ า ง. นี่ ผั ส สะจึ ง มี ท างที่ จ ะแยกกั น เดิ น เป น ๒ ทาง : เป น อวิ ช ชาสั ม ผั ส ; เพราะว าอนุ สั ย อย างนี้ มั น เข าผสมโรงเกิ ด ขึ้ น แล วเข าผสมโรงได ใน ทุกกรณี ; เพราะพระพุทธเจาทานไดตรัสวา สพฺเพสุ ธมฺเมสุ อวิชฺชา อนุปติตา อวิชชายอมตกตามไดในธรรมทั้งหลายทั้งปวง. สพฺเพสุ ธมฺเมสุ - ในธรรมทั้งหลาย ทั้งปวง, อวิชฺชา คือ อวิชชา, อนุปติตา - ตกตามได. อวิชขานี้คลาย ๆ กับวามันอยู ไปเสีย ทุก หนทุก แหง จะตกอยู ใ นที ่ไ หนเมื ่อ ไรก็ไ ด; เหมือ นกับ วา บา นของเรา นี้ พ อเจาะรู เข าที่ ต รงไหน ที่ ฝ า แสงสว างจะเข ามาทั น ที เพราะแสงนี้ มี อ ยู รอบพร อ ม อยู ข า งนอกแล ว , เจาะรู ต รงไหนก็ เ ข า มาทั น ที . จิ ต นี้ ก็ เ หมื อ นกั น ในขณ ะแห ง สัม ผัส นั ้น เผลอมีรูเขา อวิช ชาจะเขา ผสมเปน อวิช ชาสัม ผัส , แลว ตอ งเดิน ไป ตามกระแสแห งปฏิ จ จสมุ ป บาทฝายสมุ ท ยวาร คือ เกิ ด ทุ กข ขึ้นมาจนได. ฉะนั้ น จึงสอนใหมีสติ. พุ ทธศาสนาสอนอยางยิ่งกวาสิ่งใดหมดก็คือใหมี สติ, สติ ระลึ ก ทัน ทว งที, ปอ งกัน ทัน ทว งที, คุ ม ครองทัน ทว งที, ปด กั ้น ทัน ทว งที, อยา งนี้ แล วอวิชชาไม มี ทางที่ จะเข ามาผสมในการสั มผั ส ทางตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ, ก็ เลยเป นเบญจขั นธ ล วน ๆ ชั่ วขณะ. แล วก็ ดั บไปตามเหตุ ป จจั ย ไม เกิ ดทุ กข . นี่ เบญจ ขั น ธ ล วน ๆ มั นจะเป น อย างไรก็ ต ามใจ มั น ไม เกิ ด กิ เลสเข าไปยึ ด ถื อ แล วมั น ก็ ไม เป น ทุ ก ข . ที นี ้ ม ั น มี รู รั่ ว อวิ ช ชานุ ส ั ย โผล ขึ ้ น มาได ผสมในสั ม ผั ส นั ้ น , สั ม ผั ส นั ้ น ก็ ใ ห เ กิ ด เวทนา ชนิ ด ที ่ จ ะเป น เหยื ่ อ ของตั ณ หา, ตั ณ หาก็ ส  ง ให เ กิ ด อุปาทาน, อุปทานก็ใหเกิดภพ ภพก็ใหเกิดชาติ, ชาติก็ใหเกิดทุกขทั้งหลาย.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม

๔๕๓

ทุกสิ่งเพิ่งเกิดเมื่อผัสสะถามีสติทันจิตก็ประภัสสร. นี้ ก็ จ ะเห็ น ว า มั น เพิ่ ง เกิ ด ทั้ ง นั้ น , ไม มี อ ะไรที่ จ ะเกิ ด เป น ตายตั ว อยู ไ ด . ถ า ใครเห็ น ว า สิ่ ง ใดเกิ ด อยู ต ายตั ว ได ค นนั้ น ก็ เป น สั ส สตทิ ฏ ฐิ , คนนั้ น มี มิ จ ฉาทิ ฏ ฐิ ประเภทสั ส สตทิ ฏ ฐิ โดยถื อ ว า มี สิ่ ง ใดสิ่ ง หนึ่ ง อยู ต ลอดเวลา โดยที่ ไ ม ต อ งเกิ ด ดับ . แตว า เปน พุท ธศาสนาแลว จะเปน สัส สตทิฏ ฐิไ มไ ด, จะตอ งมีสิ ่ง ทั ้ง หลาย ที่เป นไปตามเหตุตามป จจัย ตามโอกาส. นี่ป ฏิ จจสมุ ป บาทจะเกิ ดขึ้น ได ก็ต อเมื่ อ เผลอสติ ; ถ า ไม มี สิ่ ง เหล า นี้ เกิ ด ขึ้ น ไม เป น ปฏิ จ จสมุ ป บาท ไม เป น อุ ป าทานขั น ธ . ดั ง นั้ น จิ ต ย อ มผ อ งใส เป น ปภั ส สร; นี่ ถื อ ว า ตลอดเวลากิ เลสมิ ได เกิ ด ขึ้ น จิ ต ย อ ม ผ อ งใสเป น ประภั ส สร. แม ว า เราจะนั่ งนอนยื น เดิ น กิ น อาหาร ทํ า อะไรอยู ก็ ต าม ถ า กิเ ลสมิไ ดเ กิด ขึ้น เพราะสัม ผัส , มีส ติป อ งกัน ไวเ ปน อยา งดีแ ลว จิต นั ้น จะยัง คงเปนประภัสสร. นี่ ถ า ถามว า จะหาดู จิ ต ประภั ส สรที่ ไหน ? ก็ ต อ งหาดู ที่ จิ ต ในขณะที่ มั น มิไ ดม ีก ิเ ลสเกิด ขึ ้น , ที ่นี ่ก็ไ ด, ที ่ไ หนก็ไ ด, เพราะวา ตามธรรมชาติข องจิต นั ้น มี ประภา, ประภา แปลว า กาววาว แสงสว างกาววาว, ส - ร แปลว าวิ่ งไป, ประภั สสร แปลวามีประเภทที่แลนออก วิ่งออกมา, คือรัศมี, พูดงาย ๆ ก็คือรัศมี เพราะวาไม มี กิ เลสมาหุ ม ห อป ด บั ง ; เหมื อ นกั บของเรา ถ าไม มี โคลนมาป ด เพชรก็ ส งแสงประ ภั ส สร เดี๋ ย วนี้ เพชรที่ ยั งมิ ได เจื อ ระไน มั น มี อ ะไรป ด อยู เพชรมั น ส งประภั ส สรไม ได . นี่ เปรี ย บเที ย บทางวั ต ถุ เหมื อ นอย า งเพชรมั น มี ค วามเป น ประภั ส สรอยู ในนั้ น ถ า มี อะไรขรุ ข ระหุ ม เสี ย ออกไม ไ ด ฉะนั้ น เจี ย ระไนเสี ย มั น ก็ ป ระภั ส สร. ที นี้ เจี ย ระไน แล ว ถ า เอาโคลนไปปะเข า อี ก มั น ก็ ไ ม ป ระภั ส สร, ก็ ต อ งเอาออกไปเสี ย ที ห นึ่ ง .

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


๔๕๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

จิ ต นี้ ก็ เหมื อ นกั น ธรรมดามั น มี ค วามเป น ประภั ส สร แต ว า มั น สู ญ ความประภั ส สร เพราะมั น มี อ ะไรมาห อ หุ ม . เมื่ อ ใดไม มี ป ฏิ จ จสมุ ป บาทเกิ ด ขึ้ น ในจิ ต เมื่ อ นั้ น จิ ต เป น ประภั ส สร เมื่ อ ใดกิ เลสมิ ได เกิ ด ขึ้ น ในจิ ต นั้ น เมื่ อ นั้ น จิ ต เป น ประภั ส สร. ดั ง นั้ น จิตที่ไมเปนประภัสสรก็คือเปนทุกข มันมีความทุกข มันมีกิเลส.

จิตประภัสสรกลับเศราหมองไดเพราะกิเลส. ถาจิตประภัสสรแลวทําไมจะตองกลับเศราหมองอีก ? เพราะวามันยัง ไมม ีค ุณ สมบัต ิอ ยา งหนึ ่ง ซึ ่ง จะปอ งกัน กิเ ลส ; เพราะเหตุนั ้น เราจึง มีก าร อบรมจิ ต อี ก ส วนหนึ่ งต างหาก ที่ จ ะป อ งกั น มิ ให เกิ ด กิ เลส จิ ต ก็ ป ระภั ส สรตลอดกาล คือเปนพระอริยเจา, เปนพระอรหันตไปเลย, จิตไมกลับเศราหมองอีก. เรื่ องนี้ มี คํ าอยู ๒ คํ า กุ ปปธรรม กั บ อกุ ปปธรรม. ความเป นประภั สสร ของจิตของพวกเราตามธรรมดานี้เปนกุปปธรรม คือกลับเศราหมองเพราะกิเลส ไดอ ีก ; แตค วามเปน ประภัส สรของพระอรหัน ตนั้น เปน อกุป ปธรรม, กลับ เศร าหมองอี ก ไม ได . แต ถ าในขณะที่ มั น ว างจากกิ เลสแล วมั น พอ ๆ กั น คื อ มี ค วาม เป น ประภั ส สรพอ ๆ กั น ; แต มั น มี ได น อ ย, ได แ วบเดี ย ว; ได ชั่ ว ขณะ, ได บ างเวลา มันมี อะไรมาแตะต องอยูเรื่อยไม มากก็น อย. พระพุ ทธภาษิ ตมี อยู วา จิ ตนี้ เป นประ ภัส สร, ปภสฺส รมิท ํ ภิก ฺข เว จิต ฺต ํ - จิต นี ้ม ีป กติเ ปน ประภัส สร. แตถ า ถือ เอา ตามคํ าของพระสารี บุ ต ร ในคั ม ภี ร ป ฏิ สั ม ภิ ท ามั ค ค ท านพู ด คล าย ๆ กั บ ว าพู ด แทน พระพุ ท ธเจ า ว า ภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย, ปกติ ป ริ สุ ทฺ ธ มิ ทํ ภิ กฺ ข เว จิ ตฺ ตํ - จิ ต นี้ มี ค วาม บริ สุ ท ธิ์ อ ยู เ ป น ปรกติ ; ใช คํ า แปลอย า งนี้ จิ ต นี้ มี ค วามบริ สุ ท ธิ์ อ ยู เ ป น ปรกติ

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม

๔๕๕

ปกติป ริส ุท ฺธ มิท ํ ภิก ฺข เว จิต ฺต ํ อาคนฺต ุเ กหิ อุป กิเ ลเสหิ อุป กิล ิฏ ํ, ตอนนี้ เหมือ นกัน . ที ่เ ปน พ ระพุท ธภ าษิต ตรัส วา จิต นี ้เ ปน ป ระภัส สร แตภ าษิต พระสารีบ ุต ร ที ่พ ูด อยู ใ นรูป คลา ยกับ รูป พระพุท ธภาสิต วา จิต นี ้ม ีค วามบริส ุท ธิ์ อยูเปนปรกติ. ฉะนั้ น ระวั งเท านั้ น แหละ ไม ต องทํ าอะไรมาก หรือ ว าอยู ให ดี ๆอย าให เกิด โอกาสที่จ ะใหอ วิช ชาเกิด ขึ้น ผสมผัส สะ, หัด สติใหม าก; เพราะวา ทํา ผิด มาเป น ๑๐ ป ๒๐ ป กว าจะโตเท านี้ หลาย ๑๐ ป ชิ นแต ให เกิ ดอวิ ชชา, จะมาตั้ งต น ป องกั นอี กฝ กเอาในระยะอั นสั้ น มั นก็ ลํ าบากหน อย, แต ก็ ทํ าได . ก็ ทํ าให ดี ทํ าให มาก ด วยการปฏิ บั ติ ธรรมในพระพุ ทธศาสนา มั นก็ จะมี ความสามารถที่ จะมี สติ ป องกั นการ มาแหงอวิชชา.

ปองกันไมใหอวิชชาเกิด อนุสัย, อาสวะจะออนกําลัง.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ เมื่ อ อวิ ช ชาถู ก ป อ งกั น มิ ใ ห เกิ ด ได ความเคยชิ น นั้ น ก็ ค อ ยสลายไป จางไป. ความเคยชิ น ที่ จะเกิ ดจากโลภะ โทสะ โมหะ มั นจึ งค อ ย ๆ สลายไป, มั นจึ ง เกิ ดยาก จนกระทั่ งไม เกิ ดเลยในที่ สุ ด. นี่ เรี ยกว าสิ้ นราคะ โทสะ โมหะ เพราะว าคอย กัน ไมใ หม ัน เกิด ได, จนมัน สูญ เสีย ธรรมชาติที ่จ ะเกิด หรือ ความเคยชิน ที ่จ ะเกิด นี่ คื อ การทํ าลายอาสวะ ทํ าลายอนุ สั ย อยูเรื่อยไปทุ กคราวที่ มี การเห็ น รูป ฟ งเสีย ง ดมกลิ่นลิ้มรส ฯลฯ. ฉะนั้ นขอให จํ า ก ข ก ก า กะ กา กิ กี บทสุ ดท ายให ดี ๆ ว า ทุ กคราวที่ ตากระทบรูป หรือ หู ก ระทบเสี ย งก็ ต าม จงกระทํ าอย าให อ วิ ช ชาเกิ ด มาได . ระวั ง


ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

๔๕๖

อย า ให อ วิ ช ชาเกิ ด ได ข อ นี้ จ ะเป น การบั่ น ทอนอวิ ช ชานุ สั ย , และอวิ ช ชาสวะลงไป เรื่ อ ย ๆ เรื่ อ ย ๆ จนอ อ นกํ า ลั ง จนหมดไป ; เหมื อ นกั บ เรา ไม ใ ห มั น ได กิ น อาหาร ไมเพิ ่ม อาหาร มัน ก็ผ อม, ผอมก็ต าย นี ่ป อ งกัน อยา ใหก ิเ ลสอยา ไดก ิน อาหาร นั่นคือการปฏิบัติธรรมะที่ถูกตอง เรียกวา มัชฌิมาปฏิปทา. พระพุท ธเจา ทา นจึง ตรัส ไว ฟง ดูแ ลว มัน งา ยเหลือ เกิน วา ถา ภิก ษุ ทั ้ง หลายเหลา นี ้จ ัก เปน อยู โ ดยชอบไซร โลกนี ้จ ะไมว า งจากพระอรหัน ต. ทานจะปรินิ พพานอยูหยก ๆ แลวทานยังอุตสาหตรัสประโยคนี้ อิ เม เจ ภิ กฺ ขเว ภิ กฺ ขู สมฺม าวิห าเรยฺยุ  อสุฺโ  โลโก อรหนฺเ ตหิ อสฺส - ดูก อ นภิก ษุทั ้ง หลายถา ภิกษุเหลานี้จักเปนอยูโดยชอบไซร โลกนี้จะไมวางจากพระอรหันต. เปนอยูโดย ชอบ ในที่ นี้ ไม มี อ ะไร คื อ เราทํ า อย า ให กิ เลสได โอกาสเกิ ด , มั น ก็ ค อ ย ๆ หมด อนุส ัย , หมดอาสวะไปเอง, ก็ค ือ ระวัง ทุก คราวที ่ต าเห็น รูป ไมใ หก ิเ ลสเกิด หรื อ ว า ได ฟ ง เสี ย งไม ใ ห กิ เลสเกิ ด จมู ก ได ก ลิ่ น ไม ใ ห กิ เ ลสเกิ ด ฯลฯ. ให เ ป น แต เบญจขัน ธล ว น ๆ ธรรมดา, อยา ใหเปน ปญ จุป าทานขัน ธ. นี ่เรีย กวา เปน อยู ชอบ กิ เลสก็ ผ อมลง, อาสวะก็ ผ อมลง, อนุ สั ย ก็ จ างลง, มั น ก็ ห มดไปวั น หนึ่ ง เป น การประภัสสรที่ตายตัว.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ....

....

....

....

ทั้ งหมดนี้ อาตมาเรี ย กว า ก ข ก กา ในการศึ ก ษาธรรมะของพระพุ ท ธ เจาเปน ก ข ก กา ของธรรมะ.

คุ ณ กั ญ ญาว าอย างไร จริ งไหม ? ตอนนี้ ดิ ฉั นที่ ศึ กษาและติ ดตามหนั งสื อที่ ศึ กษา มาก็เขาใจวา ที่ทานอธิบายมานี้ก็เห็นดวย วาจิตนี้ประภัสสร.


เรียน ก ข ก กา ในวันปใหม

๔๕๗

ไม ใช , นี้ เป น ก ข ก กา หรื อไม ? อ อ , ใช ค ะ คุ ณ เรี ยน ก ข ก กา มา ผิดใชไหม ? ก็ผิดบาง ถูกบาง ก็ถูกแลวผิดบางถูกบาง. นี่ ขอเตื อนครู บาอาจารย ทั้ งหลาย และผู ฟ งทั้ งหลาย ว าป ใหม นี้ จงปรั บปรุ ง กั นเสี ยใหม , เรียน ก ข ก กา กั นเสี ยใหม , ถ ายั งมี ผิ ดอยู บ าง ก็ เรียนเสี ยใหม ให ถู ก ใหหมด. นี่ เรื่องป ใหม ที่ อุ ตส าห ตั้ งใจจะพู ดป นี้ มั นมี อย างนี้ ป ใหม นี้ เรียน ก ข ก กา กั นใหม , ป ใหม นี้ ปรับปรุงการเรียน ก ข ก กา ที่ ยั งผิ ด ๆ อยู นี้ ให มั นถู กต องเสี ยใหม , แลวมันจะสมกับปใหม. แลวก็พอกันทีใชไหม ? ที นี้ ป ญหายั งมี อยู อี ก จะถามท านอี กสั กคํ าหนึ่ ง อี กสั กข อหนึ่ งให ท านอธิ บาย แต ว า ส ว นตั ว ดิ ฉั น ไม มี ป ญ หา. อ า วก็ ไม ต อ งถาม. ที นี้ ก็ ยั ง ลั ง เลสงสั ย อยู คื อ ป ญ หาถกเถี ย งกั น ว า ขณะที่ จิ ตที่ ทํ างานอยู เฉย ๆ เช นยกตั วอย างว า ขณะที่ ตั วดิ ฉั นกํ าลั งพิ มพ ดี ดอยู เฉย ๆ นี้ ขณะนี้ ดิ ฉั นก็ ว า นี่ แหละจิ ตประภั สสร ที นี้ ก็ ยั งลั งเลสงสั ยอยู เพราะอี กท านหนึ่ งบอกว า ขณะนั้ นแหละ จิตมีโมหะ อยากจะใหทานชี้ลงไป.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ไม มี ใครจะไปชี้ ในจิ ต ใจของใครได . เมื่ อ เราพิ ม พ ดี ด อยู เรามี ค วามรู สึ ก ประเภทอุ ปาทานตั วกู - ของกู จะได จะเสี ย จะดี จะเด นอะไรหรื อเปล า ? เฉย ๆ ค ะ ก็ เป น ประภั ส สร แต ถ า เราพิ ม พ ดี ด เราจะเอาดี , พอทํ า ผิ ด แล ว โกรธหั ว ป น ว า มั น มี แต เสี ย อย า งนี้ มั น ไม ป ระภั ส สร. ฉะนั้ น การที่ จ ะถามว า เมื่ อ กํ า ลั ง พิ ม พ ดี ด อยู นั้ น จิ ตประภั สสรหรื อไม ? มั นก็ ต องว าแล วแต จิ ตใจของคนนั้ น, ว าทํ าอยู ด วยอุ ปาทาน หรือทํ าอยูด วยสติ สั มปชัญญะ ; ถ าเกิ ดกิ เลสอย างใดอยางหนึ่ งก็ จิตไม ประภั สสร, ถ า ไม เกิ ดกิ เลสก็ จิ ตประภั สสร. นี้ เป นหลั กที่ จะไปใช กั บอะไรก็ ได ; แม แต จะรับประทาน อาหาร จะอาบน้ํ า จะไปถาน จะอะไรต าง ๆ ก็ ระวั งจิ ตให ปรกติ ก็ ประภั สสร. นี่ แหละ


๔๕๘

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

เปน อยู ช อบ อยา งนี ้ กิเ ลสก็คอ ยขาดอาหารตายไป ๆ, ยากที ่อ วิช ชาจะมาเกิด ขึ้นในขณะแหงผัสสะ. ก ข ก กา มีอยูเทานี้ :เริ่ ม ด ว ยธาตุ มี อ ยู ทั่ ว ๆ ไป หลาย ๆ ธาตุ ดิ น น้ํ า ไฟ ลม อากาสธาตุ วิ ญ ญาณธาตุ จั ก ขุ ธ าตุ โสตธาตุ สั ท ทธาตุ อะไรกระทั่ ง กามธาตุ รู ป ธาตุ อรู ป ธาตุ มากมาย, ทั ้ง หมดนี ้เ ปน สัง ขตธาตุ; เหมือ นกับ ดิน เหนีย ว จะป น เปน รูป อะไรก็ไ ด. สว นอีก ธาตุห นึ ่ง เรีย กวา อสัง ขตะ ซึ ่ง สว นใหญเ ล็ง ถึง พระนิพ พาน ห รื อ นิ โ รธ ธ าตุ เป น ที ่ ด ั บ แ ห ง ทุ ก ข ทั ้ ง ป วง; นี ้ ไ ม เ ห มื อ น ดิ น เห นี ย ว ป  น เป น อะไรไมไ ดม ัน อยู ต ามลัก ษณ ะของมัน เองโดยเฉพาะ, รู จ ัก ธาตุทั ้ง หมดนี ้แ ลว ก็ เรี ย กว า รู ห มด. ถ า ไม รู ก ข ก กา ที่ มั น เปาะ ๆ ปะ ๆ ยุ งอยู ที่ ต า หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ของเราวันหนึ่ง ๆ, เรียนเสียใหถูก.

เอาละ, ไมมีแรงจะพูดแลว, หยุดกันที. __________________

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


อบรมนักศึกษา จากมหาวิทยาลัยรามคําแหง ๗ มกราคม ๒๕๒๒ ณ โรงเรียนหินธรรมชาติ โมกขพลาราม ไชยา.

ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นักศึกษา ผูสนใจในธรรม ทั้งหลาย,

การบรรยายครั้งนี้ จะกล า วโดยหั ว ข อ ว า ก ข ก กา สํ า หรั บ พุ ท ธ -

ศาสนา

อะไรเป น ก ข ก กา ก็หมายความวา สิ่ งนั้ นเป นสิ่ งที่ ต องเรียนก อน, เรียนก อนสิ่ งใดหมด เหมื อนกั บคนเขาเรียน ก ข ก กา เมื่ อเรียนหนั งสื อ. เมื่ อถามว า อะไรเป น ก ข ก กา ก็คงจะตอบกันไม ไดนัก แมที่เป นนักศึกษานี้ เพราะยังไม เคย ศึ กษาพุ ทธศาสนามาอย างเพี ยงพอ, ก็ ถื อเอาได ตามที่ เขาพู ด ๆ กั นก็ แล วกั น ; อย าง เมื่อคุณจะมาศึกษาพุทธศาสนานี้ เรียนเรื่องอะไรกอน, หรือวาอานเรื่องอะไรกอน, ๔๕๙


๔๖๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

เขาแนะให อ า นเรื่ อ งอะไรก อ น ? บางที ก็ จ ะเป น เรื่ อ งพระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ ก อ น. มั น ก็ ถู ก อย า งยิ่ ง , ถ า พู ด อย า งนั้ น ก็ ถู ก อย า งยิ่ ง ; แต ว า ความหมายมั น ยั ง มี อะไรซอ นอยู  วา อะไรเปน พระพุท ธ พระธรรมพระสงฆ ที ่เ ราจะรู จ ะถึง ได หรือ จะมี หรือถึงกับวา เราก็จะเปนเสียเอง.

เรียน ก ข ก กา ของพุทธศาสนาตองเรียนที่ ตา - ใจ. เรื่ อ ง ก ข ก กา ของพุ ท ธศาสนานี้ มั น ก็ มี ค วามลํ าบากอยู ที่ จ ะต อ ง ถามกั น ขึ้ น ว า สํ า หรั บ จะเรี ย นโดยวิ ธี ไหนกั น ? ถ า เรี ย นอย างวิ ช าทั่ ว ๆ ไป ก็ เรี ย น เรื่ อ งแรก ๆ สํ า หรั บ จํ า ; แต ถ า เรี ย นสํ า หรั บ ปฏิ บั ติ มั น ก็ ก ลายเป น เรื่ อ งสิ่ ง ที่ เ รา มองข า มอยู ทุ ก วั น , เราไม ส นใจกั บ สิ่ ง นั้ น ว า มั น สํ า คั ญ , นั่ น แหละเราจึ ง ไม รู ก ข ก กา ของพุทธศาสนา ในแงของการปฏิบัติ. ลองตั้ ง ป ญ หาถามตั ว เองดู ว า เพี ย งแต เ รี ย นมั น จะได ป ระโยชน อ ะไร? นอกจากจะรู ห รื อ ท อ งจํ า ไว มั นก็ ไ ม พ อ ที่ จ ะขจั ด ป ญ หาของเราได , มั น ต อ ง สามารถขจัด ปญ หาของเราได เราจึง จะเรีย กวา เรารู  หรือ เรามี. เดี ๋ย วนี ้อ ะไร เป นป ญ หาของเรา เราก็ ยั งไม รู เสี ยอี ก, ก็ เลยไม รู ว าจะต องเรี ยนอะไร, จะต องทํ าอะไร, จะตองตั้งตนที่จุดไหน ?

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อย า งเมื่ อ วานก็ ไ ด พู ด กั น ที ห นึ่ ง แล ว ว า จะเรี ย นพุ ท ธศาสนาไปทํ า ไม? และเรี ย นเพื่ อ ให มี ค วามรู , หรื อ ว า จะเรี ย นสํ า หรั บ เอาไปใช ป ฏิ บั ติ ให เ รามี ค วาม


ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา

๔๖๑

เหมาะสมที่ จ ะทํ าการงานของเรา. เช น ทํ าให เราสามารถศึ ก ษาประจํ าวั น ของเรานั้ น ดี ขึ้ น , หรื อ ว า เราจะอยู ใ นโลกในสั ง คมนี้ อย า งที่ ไ ม มี ป ญ หา คื อ ไม เดื อ ดร อ นไม มี ความทุ ก ข , หรื อ ว า จะเรี ย นเพื่ อ รู จั ก ขจั ด ความโลภ, ความโกรธ, ความหลง ที่ ม า รบกวนเรา, หรือถึงกับทําความทุกขรอนใหแกเรานั้น ใหมันออกไปเสีย. นี ่ค วรจะมุ ง หมายเรีย นอยา งนี ้แ หละ ซึ ่ง มัน ยิ ่ง กวา เรีย นขีด เขีย น ทอ งจํ า คือ มัน เรีย นอยา งรู จ ัก ตัว จริง เรีย นดว ยการสัม ผัส เรีย นดว ยการ เขาใจอยางซึมซาบ หรือเรียนดวยการใชใหเปนประโยชนอยู. นี่ เราจะเรี ย นเพี ย งเพื่ อ รู ก็ ดี เพื่ อ เอาไปช ว ยให เราทํ า การงานหน า ที่ ข อง เราดี ขึ้ น ดี , หรื อ ว า จะเพื่ อ ป อ งกั น กํ า จั ด กิ เลสก็ ดี มั น ก็ ต อ งรู สิ่ ง ที่ เรี ย กว า ก ข ก กา นี่ เป น ต น ไป. ขอให ส นใจให สํ าเร็ จ ประโยชน จ ะได คุ ม ค าที่ ม าลํ าบากและหมดเปลื อ ง เราควรจะพูด ถึง เรื ่อ งนี ้ก ัน เปน เรื ่อ งแรก; แตบ างทีม ัน ก็ไ มส ะดวก มัน ดึง เขา มา หาจุ ด นี้ ยั ง ไม ไ ด . เดี๋ ย วนี้ เข า ใจว า พอจะเข า ใจกั น ได , พอจะพู ด กั น ได ว า จะเรี ย น พุท ธศาสนานี้ ตอ งตั้ง ตน เรีย นเปน ก ข ก กา นี้ ลงที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org คนทุกคนมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แตเขาก็ไมรูจักมันวาคืออะไร. นอกจากปลอ ยไปตามเรื ่อ งของมัน เอง; ก็ม ีต าไวด ู มีห ูไ วฟ ง มีจ มูก ไวด ม ฯลฯ, ก็ ทํ า ไปอย า งไม ต อ งรู อ ะไร นอกจากรู เพี ย งเท า นั้ น . ที นี้ มั น ก็ เกิ ด ความเข า ใจผิ ด , เกิ ด ความหลงใหลในตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ และในเรื่ อ งต า ง ๆ ที่ มั น เกี่ ย วกั น อยู กับตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.


๔๖๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

พอเอ ยชื่ อเรื่ อง ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ บางคนก็ ไม อ ยากจะฟ ง, มั น ก็ ง ว งขึ้ น มาทั น ที . นี่ ห มายความว า มั น ลํ า บากแหละที่ จ ะเรี ย น ก ข ก กา ของพุ ท ธ ศาสนา, หรื อ คิ ด เสี ย ว า รู แ ล ว . ฉะนั้ น ขอให ท นฟ ง , ถ า ไม ค อ ยจะสนใจก็ ข อให ท น ฟงตอไปวา :ป ญ หาต า ง ๆ ของมนุ ษ ย มั น ตั้ ง ต น ที่ ต า หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ; นี่ ถา กลา วตามหลัก พุท ธศาสนาก็ถ ึง กับ กลา ววา โลกนี ้ม ัน ขึ ้น มาได ก็เ พราะ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ. นี่ ก ล า วอย า งภาษาธรรมะในพุ ท ธศาสนา, มั น ต า ง จากที่ เราเคยได ยิ น ได ฟ ง หรื อ ได เล าได เรี ย นมา ว าโลกนี้ มั น มาจากอะไรก็ แล วแต ค รู เขาจะสอน : มาจากดวงอาทิ ต ย ก็ มี , มาจากการรวมตั ว ของหมอกเพลิ ง เหล า นั้ น ก็ม ี. เราก็เ ขา ใจแตอ ยา งนั ้น , ก็เ ปน เรื ่อ งโลกที ่เ ปน วัต ถุ. แตป ญ หาเรื ่อ งความ ทุก ขข องเรา มัน ไมใ ชเ รื ่อ งวัต ถุ มัน เปน เรื ่อ งจิต ใจ รู ส ึก ไดด ว ยจิต ใจ. ฉะนั ้น ก็ตองเรียนโลกในแงของจิตใจกันบาง.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เรียนโลกในแงของจิตใจ.

เรื่ อ งทางวั ต ถุ เขาก็ ว า โลกมั น มี ม าไม รู กี่ ล า น ๆ ป แ ล ว ; แต ถ า เรี ย น ทางพุท ธศาสนา หรือ กลา วอยา งพุท ธศาสนา ก็โ ลกนี ้ม ัน เพิ ่ง มี, แลว ก็ม ัน มี ๆ คือ เกิด ๆ ดับ ๆ ไปตามครั ้ง ตามคราว ที ่เ ราสัม ผัส ดว ยตา หู จมูก ลิ ้น กาย ใจ. นี ่ข อใหเ ขา ใจตอนนี ้แ หละ ที ่เ ปน เรื ่อ งที ่สํ า คัญ คือ สมมติว า ถา เรา ไม มี ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ, ขอให ทํ าในใจตามไปให ถู กต องด วยว า ถ าเราไม มี ตา หู


ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา

๔๖๓

จมู ก ลิ้ น กาย ใจ มั นจะเป นอย างไร ? โลกนี้ มั นก็ มี ไม ได นี่ ถ าเข าใจคํ านี้ แล วก็ จะ เข า ใจได ต ลอดไป; มั น เพราะเรามี ต า หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ต า งหาก โลกมั น จึ ง มี ขึ้ น มาได . ถ าเราไม มี ต า เราก็ ไม เห็ น ว ามั น มี อ ะไร, ไม มี หู ก็ ไม ได ยิ น เสี ย งอะไร ; ในสิ่งทั้ง ๖ นั้น คือรูปที่จะเห็นดวยตา, เสียงที่จะไดยินดวยหู, กลิ่นที่จะรูไดดวย จมูก , รสที ่จ ะรูด วยลิ้น , สิ่งที่ม ากระทบผิว หนังที ่จ ะรูไดด ว ยผิวหนัง, กระทั่ง ความคิ ด ที่ เกิ ด ขึ้ น ในจิ ต ที่ เราจะรู สึ ก ได ด ว ยจิ ต . นี่ มั น มี อ ยู ๖ อย า ง อย า งนี้ . ฉะนั้ น ถ ามั น ไม มี ต า หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ เราก็ ไม รู สึ ก อะไรเลย เราไม มี อ ะไรเลย ทั ้ง ที ่ม ัน มีอ ยู อ ยา งนี ้. นี ้ล อง สมมุต ิด ู ทุก อยา งมัน มีอ ยู อ ยา งนี ้; แตเราคนเดีย ว นี้ ไ ม มี ต า หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ มั น ก็ มี ไ ม ไ ด , มั น เป น สิ่ ง ที่ มี ไ ม ไ ด , มั น ก็ มี ชี วิ ต อยู ไม ได ด วย, โดยแท จริงมั นจะมี ชี วิ ตอยู ไม ได , เพราะมั นไม สามารถจะปฏิ บั ติ อะไร ในตัว มัน เองได. แตถา เราไมม ีต า หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แลว โลกนี้ม ัน ก็ เทากับไมมี.

โลกมีเมื่อสิ่งทั้ง ๖ ทําหนาที่.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทีนี้เมื่อไรตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันทําหนาที่ตามเรื่องของมัน ; เชน ตาเห็น รูป , หูฟ ง เสีย ง เปน ตน ; เมื ่อ นั ้น แหละโลก ในสว นนั ้น มัน ก็ม ี : เมื่ อตาเห็ นรูป โลกในส วนที่ เป นรูปมั น ก็ มี , เมื่ อหู ได ยิ นเสี ยง โลกในส วนที่ เป น เสี ยง มัน ก็ม ี, หรือ มัน ไดก ลิ ่น โลกในสว นที ่เ ปน กลิ ่น มัน ก็ม ี, อยา งนี ้เ รื ่อ ยไปจนครบ ทั ้ง ๖ อยา ง. นี ้ม ัน เปน ขอ เท็จ จริง ที ่ยิ ่ง กวา จริง ซึ ่ง ตอ งมองใหเ ห็น เสีย กอ น ถามองไมเห็นก็จะเขาใจตอไปไมได.


๔๖๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

พู ด อย า งภาษาธรรมะ เขาไม พู ด เหมื อ นกั บ ที่ ภ าษาชาวบ า นพู ด เช น ใน กรณี นี้ ชาวบ า นเขาพู ด ว า โลกมี อ ยู ต ลอดเวลา ล า น ๆ ป ม าแล ว . ส ว นภาษา ธรรมะนี้ โลกมีเ มื่อ ผัส สะดว ยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ; พอไมสัม ผัส มัน ก็ เท า กั บ ไม มี คื อ ดั บ ไป, พอสั ม ผั ส อี ก มั น ก็ มี ขึ้ น มา แล ว แต ใ นด า นไหน คื อ ตา หู หรื อ จมู ก ลิ้ น กาย ใจ. ฉะนั้ น เขาจึ ง เรี ย กว า โลกนี้ มี เ กิ ด ดั บ อยู เ รื่ อ ย. นี่ เป น ภาษาอะไร บ าหรื อ ดี ? ลองพยายามคิ ด ดู ที่ ว าโลกนี้ เกิ ด - ดั บ อยู เรื่ อ ย ตามขณะที่ เรารูสึกมัน. หรือไมรูสึกมัน. ที นี้ มั น หนั ก ยิ่ ง ไปกว า นั้ น อี ก ซึ่ ง คนทั่ ว ไปก็ ชั ก จะสั่ น หั ว ที่ พู ด ว า แม แ ต ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนั ้น มัน ก็ม ิไ ดม ีอ ยูต ลอดเวลา, มัน มีก ารเกิด ขึ้น แลว ดับ ไป. ทุก คนจะสงสัย หรือ ไมเ ชื ่อ : ฉัน มีต าอยู ต ลอดเวลา, มีห ูอ ยู ต ลอดเวลา, มีจมูกอยูตลอดเวลา, ฯลฯ ทํ าไมจึงเรียกวา มั นเกิดขึ้น แลวดั บไป, เกิด ๆ ดับ ๆ อยู . นี ่เ ปน ภาษาธรรมะเขาพูด อยา งนี ้; หมายความวา เมื ่อ ตาทํ า หนา ที ่ข องตา ก็ เรียกว าตามั นเกิ ดขึ้ น, พอเสร็ จหน าที่ ของตา ไม ทํ าหน าที่ ทางตา ก็ เรียกว าตาดั บไป หูก ็เ หมือ นกัน . หูทํ า หนา ที ่ท างหู ก็ห ูเ กิด ขึ ้น , เสร็จ เรื ่อ งแลว ไมทํ า แลว ก็ด ับ ไป. มัน จึง เปน เรื ่อ งที ่ผ ลัด กัน เกิด ผลัด กัน ดับ ระหวา งตา หู จมูก ลิ ้น กาย ใจ, มัน ละเอีย ดขนาดนี ้แ หละ; จะนา สนใจหรือ ไมน า สนใจ ก็ไ ปลองคิด ดู. แต ถา จะเขา ใจธรรมะแลว ก็ตอ งเขา ใจเรื่อ งนี้, คือ เรื่อ ง ก ข ก กา ของธรรมะ, เรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เมื่ อ คุ ณ พู ด ว า อยากจะศึ ก ษาธรรมะ อยากจะรู ธ รรมะ ก็ เป น หน า ที่ ข อง อาตมาที ่ จ ะช ว ยให รู ธ รรมะ. แต พ อจะช ว ยให รู  ธ รรมะ มั น ก็ ต  อ งช ว ยให รู ก ข ก กา ของธรรมะ คือ เรื่อ งตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ; ถาไมอ ยา งนั้น ก็


ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา

๔๖๕

ไม มี ท างที่ จ ะรู ถึ ง ธรรมะที่ แ ท จ ริ ง . ทุ ก เรื่ อ งมั น มารวมอยู ที่ ต า หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ซึ่ ง ควรจะฟ งกั น ต อ ไป, แล ว ควรจะจํ าไว ด ว ย. ถ า จะมี ค วามรู ข นาดที่ เรี ย กว า พอตั ว หรื อมี ความรู ที่ จะพู ดกั บคนต างชาติ ต างศาสนา ฝรั่ งมั งค าอะไรก็ ตาม, เมื่ อเขาให เรา อธิบายพุทธศาสนา เราก็ตองพูดจาใหมันถูกตอง.

อายตนะ ๖ คูกระทบกันทําใหเกิดวิญญาณและผัสสะ. เรื่องต อไปนี้ ก็ คื อวา เรามี ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ เรียกวา อายตนะ ภายใน เพราะมัน มีอ ยู ใ นตัว เรา. ทีนี ้ก ็ม ีรูป เสีย ง กลิ ่น รส โผฏฐัพ พะ ธัมมารมณ, อีก ๖ อยางอยูขางนอก ที่จะเปนคูกับตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ. คํ า ว า รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส. แต คํ า ว า โผฏฐั พ พะ นี้ มั น เป น คํ า ภาษาธรรมะอาจจะ ไมเคยไดยิน; อะไรที่มากระทบผิวหนังใหเกิดความรูสึกทางผิวหนัง สิ่งนั้นเรียกวา โผฏฐัพพะ คือสิ่งที่มากระทบทางผิวหนัง. ทีนี้ธัมมารมณนั้นคือสิ่งที่มากระทบใจ คือความรูสึกตาง ๆ ที่เกิดขึ้นในใจ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ช ว ยเข า ใจไว ใ ห ดี ๆ ว า ๖ คู : ตา คู กั บ รู ป , ตาสํ า หรั บ เห็ น รู ป , รู ป สํ า หรับ ใหต าเห็น . หูคู ก ับ เสีย ง, เสีย งสํ า หรับ หูไ ดย ิน , หรือ มีห ูไ วสํ า หรับ ได ยิ น เสี ย ง ฟ ง เสี ย ง . จ มู ก มี ไ ว รู  จ ั ก ก ลิ ่ น . ลิ ้ น มี ไ ว รู  จ ั ก ร ส . ผิ ว ห นั ง ทั ่ ว ไป ระบบประสาทที ่ผ ิว หนัง ทั ่ว ไป มีไ วสํ า หรับ รูสิ ่ง ที ่จ ะมากระทบผิว หนัง ทั ่ว ทั ้ง เนื้อทั้งตัวทีนี้ก็ใจมีไวสําหรับรูสึกความคิดนึกที่จะเกิดขึ้นในใจ.


๔๖๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

นี้ เป น เรื่ อ งจริ ง เกิ น กว า จริ ง , เป น เรื่ อ งที่ เราจะต อ งรู จั ก มั น จริ ง ๆ. เมื่ อ ก อ นนี้ เ ราไม ส นใจ เราก็ ไ ม รู จั ก , เราก็ คิ ด ว า รู จั ก . เดี๋ ย วนี้ เ รารู จั ก ไปตามลํ า ดั บ ตามที่มีกลาวไวในพระพุทธวจนะ คือ ตา ถึงกัน เขากับ รูป ก็เกิดการเห็น ทาง ตา ; นี่พูดเรื่องตา เปนตัวอยางกอน. ตา มาถึงกันเขากับรูป ก็เกิดการเห็นทางตา เรียกวา จักษุวิญญาณ หรือ วิญ ญาณทางตา. นี่วิญ ญาณก็เ พิ ่ง เกิด เดี ๋ย วนี ้, เมื ่อ ตามาถึง เขา กับ รูป ก็เกิดวิญญาณทางตา. เมื่อหูถึงเขากับเสียง ก็เกิดวิญญาณทางหู. กลิ่นถึงเขากับจมูกก็เกิดวิญญาณทางจมูก. ลิ้นถึงกันเขากับรสก็เกิดวิญญาณทางลิ้น. ผิวหนังสัมผัสกันกับสิ่งที่มาสัมผัสผิวหนังก็เกิดวิญญาณทางผิวหนัง ซึ่งเรียกวา กายวิญญาณ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ความรูสึกเกิดขึ้นในจิตกระทบจิต รูสึกได ก็เรียกวา วิญญาณทางจิต แตเขาใชคําวา มโน วิญญาณทางมโน.

ฉะนั้ นเราจึ งมี จั กษุ วิ ญญาณทางตา, โสตวิ ญญาณทางหู , ฆานวิ ญญาณ ทางจมู ก, ชิ วหาวิ ญ ญาณทางลิ้ น, กายวิญ ญาณทางผิ วหนั ง, มโนวิญ ญาณในทาง จิตใจ.

อย า รูสึ ก หรือ อย า เห็ น ว า เป น เรื่อ งเหลวไหลครึค ระบ า ๆ บอ ๆ. ถ า จะ รูจักพุ ทธศาสนาแล วก็รีบรูจักสิ่ งเหล านี้ เสีย ; ที่ วา อายตนะภายใน ตา หู จมู ก ลิ้ น


ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา

๔๖๗

กาย ใจ, อายตนะภายนอก คือ รูป เสีย ง กลิ ่น รส โผฏฐัพ พะธัม มารมณ มาถึ งกั น เข าตามคู ของมั น แล วก็ เกิ ด วิญ ญาณ คื อ จั ก ษุ วิ ญ ญาณ โสตวิ ญ ญาณ ฆานวิ ญ ญาณ ชิ วหาวิ ญ ญาณ กายวิ ญ ญาณ มโนวิ ญ ญาณ ก็ เลยได เป น ๓ เรื่อง ขึ้นมาแลว. นี้ ย กตั ว อย า งด ว ยเรื่ อ งทางตาต อ ไปอี ก ตา ถึ ง เข า กั บ รู ป เกิ ด จั ก ษุ วิ ญ ญาณการเห็ น ทางตา, เป น ๓ สิ่ ง ขึ้ น มา : คื อ ตา สิ่ ง หนึ่ ง , รู ป สิ่ ง หนึ่ ง , จั ก ษุ วิ ญ ญาณ อี ก สิ่ ง หนึ่ ง . การมาถึ ง กั น เข า อย า งเต็ ม ที่ ข องสิ่ ง ทั้ ง ๓ นี้ ก็ เรี ย กว า ผัส สะ ; ในกรณีนี ้ก ็เ รีย กวา จัก ษุส ัม ผัส คือ สัม ผัส ทางตา ; ถา มัน เปน เรื ่อ ง ทางหู หู ถึ งเข ากั บ เสี ยง เกิ ด วิ ญ ญาณทางหู ๓ สิ่ งนี้ ม าถึ งกั น เข า ทํ างานร วมกั น เข า ก็ เรี ย กว า สั ม ผั ส ทางหู . กลิ่ น กั บ จมู ก ถึ งกั น เข า เกิ ด วิ ญ ญาณทางจมู ก , แล ว ก็ เลย เรีย กวา สัม ผัส ทางจมูก เรีย กวา ฆานสัม ผัส . ทางลิ ้น ก็เ หมือ นกัน อีก ลิ ้น กับ รส ชิ ว หาวิ ญ ญาณ รวมกั น ก็ เรี ย กว า ชิ ว หาสั ม ผั ส . แล ว ก็ เรี ย กว า กายสั ม ผั ส มโนสัมผัส จนไปตลอดเรื่องทั้ง ๖.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สัมผัสขาดสติปญญาก็เกิดเวทนา, ตัณหา. นี่ รู จั ก สิ่ ง ที่ เ รี ย กว า สั ม ผั ส ; ทุ ก ค น มี สิ่ ง เห ล านี้ ที่ ทํ าห น าที่ เป น วิญญาณหรือเปนสัมผัสอยูตลอดเวลา.

ที นี้ เ มื่ อ เราสั ม ผั ส เราก็ ไ ม รู สึ ก หรื อ สนใจที่ จ ะควบคุ ม เรื่ อ งสั ม ผั ส ก็ ปล อ ยไปตามเรื่ อ ง. ฉะนั้ น สั ม ผั ส ของเราก็ เ ป น สั ม ผั ส ที่ ป ล อ ยไปตามเรื่ อ ง ไม


๔๖๘

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ประกอบไปด ว ยป ญ ญา, ไม ป ระกอบไปด ว ยสติ , เรี ย กว า สั ม ผั ส ของผู ที่ ไม มี ปญญาไมมีสติ มันก็เกิดเวทนา. เมื ่อ มีส ัม ผัส แลว มัน ก็เกิด เวทนา เราจะมีส ติห รือ ไมม ีส ติใ นสัม ผัส นั ้น มัน ก็ม ีเวทนาเกิด ขึ ้น แปลวา ความรูส ึก ใหรูส ึก เปน สุข คือ ถูก ใจก็ม ี, เปน ทุกขไมถูกใจ ก็มี, หรือไมพูดไดวา ถูกใจหรือไมถูกใจก็มี นี้เขาเรียกกลาง ๆ นี้ก็มี. ที ่เ ราสัม ผัส สิ ่ง นั ้น ๆ แลว เกิด เวทนา. ทีนี ้เกิด เวทนาแลว นี ้ ถา ยัง ไมม ีป ญ ญา ไม มี ส ติ อยู ต อ ไป ก็ จ ะเกิ ด ตั ณ หา. อย างคนธรรมดานี้ พอมี สั ม ผั ส แล วมี เวทนา แลวก็ตองมีตัณหา; อยางสั มผั สทางตา ก็ เกิ ดเวทนาทางตา สวยหรือไม สวย แล วจะเกิ ด ตั ณ หาคื อความอยาก ไปตามความหมายของการที่ มั นสวยหรือ ไม สวย. ถ าสวยถึ ง ขนาดที่จ ับ อกจับ ใจ มัน ก็เกิด ตัณ หาชนิด ที ่จ ะเอา, เกิด ความอยากได. ถา ไม สวยไมถูกใจ ก็อยากจะใหไมมี, อยากใหผานพนไปเสีย หรืออยากจะทําลายเสีย, หรือบางทีความอยากมันก็เอียงไปในแงที่อยากจะเปน เปนอยางสวยนั้นบางก็ได.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้ น ความอยากหรื อ ตั ณ หามั น ก็ เกิ ด ขึ้ น เพราะเวทนาของบุ ค คลที่ ไมม ีป ญ ญา ไมม ีส ติ ไมม ีค วามรู ท างธรรมะ ก็ค ือ คนทั ่ว ไป. ทุก คนในโลก พอเกิดสัมผัสเกิดเวทนา, แลวก็เกิดตัณหา ไปตามการยั่วยุของเวทนา.

นี่ มั น ออกจะซั บ ซ อ น ถ า ไม จํ า ให ดี ก็ เลอะหมด, แล ว ก็ ว นเวี ย นหมด แล ว จะไม ไ ด เ รื่ อ งอะไรก็ ไ ด ; ฉะนั้ น ช ว ยจํ า ให มั น แม น ยํ า . เดี๋ ย วนี้ มั น มาถึ ง เกิ ด ตัณ หา คือ ความอยากแลว , ตัณ หาที ่เ ปน เหตุใ หเ กิด ทุก ขนั ่น แหละ มัน ก็ เกิดขึ้นมาแลว.


ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา

๔๖๙

ตัณหาเกิดแลว อุปาทาน, ภพก็เกิด. ที นี้ เมื่ อ เกิ ด ตั ณ หา มั น ก็ จ ะเกิ ด สิ่ งที่ เรี ย กว า อุ ป าทาน คื อ ความยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ในสิ่ ง ที่ มั น อยาก, มั น อยากในอะไร มั น ก็ จ ะยึ ด มั่ น ในสิ่ ง นั้ น ที่ มั น อยาก ; เช น รู สึ กสบายตาเพราะรู ป สวย มั น ก็ อ ยากที่ จะยึ ด ครองความสวยนั้ น , มั น มี อยาก ไดขึ้น มากอ น เรีย กวา ตัณ หา แลว หลัง จากนั ้น มัน จะเกิด ความรูส ึก วา กูม ีอ ยู, กูอ ยาก, อยากไดม าเปน ของกู; แตม ัน เปน เรื่อ งที ่ไ วยิ ่ง กวา สายฟา แลบ ที่ มัน จะเกิด ความรูสึก อยาก, แลว ก็เกิด ยึด ถือ วา มีกูเปน ผูอ ยาก, อยากไดม า เปน ของกู; นี ่เ รีย กวา อุป าทาน. ความรู ส ึก เปน ตัว ฉัน เปน ของฉัน ตัว กู เป นของกู มั นก็ เกิ ดขึ้ นมา พระพุ ทธเจ าท านทรงแสดงให มั นละเอี ยด, ให เห็ นอย าง ละเอียด ซึ่งไมมีใครแสดงกันอยางละเอียดกันอยางนี้. นี้ เกิ ด อุ ป าทาน รู สึ ก เป น กู เป น ของกู แล ว ก็ เรี ย กว า เกิ ด ภพ แหละ, มีภ วะ มีภ พ คือ มีค วามเปน แหง บุค คล. ความอยาก, ความยึด มั ่น ถื อ มั่ น แล ว ความรู สึ ก เป น ตั ว ฉั น เป น ตั ว กู นั่ น แหละเขาเรี ย กว า ภพ คื อ มี ขึ้ น แหง บุค คล. กอ นนี ้บ ุค คลไมม ี เพราะมัน ไมรู ส ึก วา กูม ี. เดี ๋ย วนี ้ม ัน เกิด รู ส ึก วากูมี กูเปน กูอยู กูอยากได ขึ้นมา ก็เรียกวาภพ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ ภ พเพิ่ ง มี เดี๋ ย วนี้ , นี่ ภ าษาธรรมเป น อย า งนี้ , ภพเพิ่ ง มี เดี๋ ย วนี้ , ไม ใ ช มี อ ยู ตลอดเวลาตั้ งแต คลอดออกมาจากท องแม , แล วมี อ ยู ตลอดเวลากว าจะเข าโลง. นั้ น ภาษาชาวบ าน ไม ใช ภ าษาพระพุ ท ธเจ า หรื อ ภาษาทั่ วไปที่ พ ระพุ ท ธเจ าท านก็ ใช เหมื อ นกั น ; แต เมื่ อ ถึ งคราวที่ ท า นจะแสดงเรื่ อ งของท า น ท า นมี ค วามหมายอย างนี้ ก็มีภพขึ้นมา.


๔๗๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

นี้ ก็ มี ภ พขึ้ น มา ที่ เขาเรี ย กว า existence คื อ ความมี อ ยู แ ห ง บุ ค คล, ค วาม ห ม าย แ ห งบุ ค ค ล เป น individuality ที่ เรี ย ก ว า ภ าษ าจิ ต วิ ท ย า เป น individuality ไดเกิดขึ้น หลังจากความรูสึกยึดถือเปนตัวกู - ของกูแลว มันก็ มีตัวตนที่ตรงนี้. นี่ค วามสําคั ญ มั น ก็อ ยูต รงที่ วา ตั ว ตนนั้ น มั น เพิ่ งเกิ ด , เพิ่ งเกิด เดี๋ยวนี้ เพราะสํ าคั ญ ว าตั วตน; และเพราะเกิ ดมาจากสํ าคั ญ มั่ นหมาย เพราะฉะนั้ น ตั วตน ไมใชของจริง, ไมใชของมีอยูจริง เปนเพี ยงความรูสึกหมายมั่นดวยความไมรู, สํ า คั ญ เป น ตั ว ตน มั น ก็ มี ตั ว ตน นี่ ตั ว ตนมั น จึ ง มี แล ว ก็ มี อ ย า งมายา ; มี ภ พ นี่ เรียกวามีภพ.

ตอจากภพก็เกิดชาติ มีตัวตนและทุกข. แล ว ก็ มี อั น สุ ด ท า ย คื อ ชาติ คลอดหรื อ เกิ ด ออกมาโดยสมบู ร ณ อย า งกั บ เขาคลอดลู ก ออกมา, อย า งมารดาคลอดบุ ต รออกมาทางกํ า เนิ ด นั้ น มั น คลอดชนิด นั ้น . แตเ ดี ๋ย วนี ้ม ัน คลอดชนิด นี ้ มัน คลอดชนิด นามธรรม, มัน เกิด เปน ตัว กู ขึ้น มาในความรูส ึก ทั ้ง เนื ้อ ทั ้ง ตัว , เปน ตัว ฉัน ตัว กู ขึ้น มา. ก็มี ตัวตนโดยสมบูรณนั่นแหละ พูดอยางนั้นดีกวา; เรามีภพ มีชาติขึ้นมาแลว.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ตามหลั กของพระพุ ทธภาษิ ตเป นอยางนี้ ภพ หรือชาติ นี้ มี บ อย ๆ คื อ มีท ุก คราวที ่ม ัน มีอ ุป าทาน มีต ัณ หา มีเ วทนา ที ่ส ัม ผัส ดว ยความไมรู . ฉะนั้ น เราจึ ง มี ภ พ มี ช าติ เป น ตั ว กู โ ดยไม รู สึ ก ตั ว , เราไม รู สึ ก ตั ว . แต ต ามความ


ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา

๔๗๑

จริง หรือ ธรรมชาตินั ้น มัน เปน อยา งนั ้น . ฉะนั ้น เราจึง มีต ัว กู ตัว ฉัน นี ่ วัน หนึ ่ง หลาย ๆ ครั้ ง หลาย ๆ สิ บ ครั้ ง ก็ ไ ด , หลายสิ บ ครั้ ง ก็ ไ ด ; เพราะเดี๋ ย วทางตา เดี๋ ย วทางหู เดี๋ ย วทางจมู ก ฯลฯ คื อ ใน ๖ ทางนั้ น เราก็ ยั ง มี ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย และผิ ว หนั ง อยู นี้ ก็ มี สั ม ผั ส ทางตา หู จมู ก ลิ้ น และผิ ว หนั ง อยู วั น หนึ่ ง ก็ สลับ กัน ไปไดเ รื่อ ย. นี้แ มวา ไมไ ดส ัม ผัส ทางตา หู จมูก ลิ ้น และผิว หนัง มั น ก็ นึ ก ได ท างจิ ต ใจ; เช น กลางคื น ค่ํ า ๆ มื ด ๆ ก็ อ าศั ย จิ ต คิ ด นึ ก เอาได มั น ก็ รูสึ ก ได ; ฉะนั้นเราจึงมีตัวตนชนิดนี้, ตัวตนที่เปนอนัตตา ตัวตนที่มิใชตัวตนอยู. แล วทุ ก คราวที่ เรารูสึ ก เป น ตั ว ตนชนิ ด นี้ เราจะต อ งรู สึ ก เป น ทุ ก ข เพราะมัน เกิด เปน ภาระขึ้นมาทัน ที จะตอ งทําตามความตอ งการของตัว ตน ; ความไดความเสีย ความแพความชนะ ความเจ็บความไข ความตายอะไร มันก็ เปน ของตัว ตนขึ้น มา. ถาไมมีค วามรูสึก วา ตัว ตน แลวเราจะรูสึก เปน ทุก ข ไมไ ด หรือ เปน สุข ก็ไ มไ ด. สุข หรือ ทุก ขนี ้ม ัน หลอกเทา กัน แหละ ; ถา มีต ัว ตน ถูกใจตัวตน มันก็เรียกวา เปนสุข, ไมถูกใจตัวตน มันก็วาเปนทุกข.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ า เราสอบไล ต ก เราเสี ย ใจอยู ก็ เพราะว า เรามี ค วามรู สึ ก เป น ตั ว ตน, ตัว เรา ตัว ตน ที ่ส อบไล, แลว มัน ก็ต ก; ถา เราไมม ีค วามรู ส ึก เปน ตัว ตน มัน ก็ ไมม ีใ ครสอบไล, แลว มัน ก็ไ มม ีไ ดห รือ ตก. นี ้ถ า เราจะมีต ัว ตน ชนิด ที ่เ รา รูเ ทา รูท ัน ไมต อ งใหเ ปน ภาระหนัก คือ ไมตอ งยิน ดียิน รา ยไปตามไดห รือ ตก, นี้มันสบายกวา.

ถึ งเรื่ องอื่ น ก็ เหมื อ นกั น เรื่ อ งได เงิ น ได ของ ได ของถู กใจ หรื อ ว าสู ญ เสี ย ของถู ก ใจ หรื อ ว าอะไรก็ ต าม มั น จะเป น สุ ขหรื อ เป น ทุ ก ข ห รื อ ไม , จะมี ความหมาย หรื อ ไม ก็ เพราะมั น มี ค วามรู สึ ก กว า ตั ว ตนหรื อ ไม . ถ า มี ค วามรู สึ ก ว า เป น ตั ว ตน


๔๗๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

แลว มัน ตองมีค วามหมายแหละ ซึ ่ง เปน สุข หรือ ทุก ข : วา ไดห รือ เสีย , วา แพ ห รือ ชนะ เป น คู ๆ คู ๆ กั น ไป, แล วทั้ งหมดนั้ น เป น ภาระหนั ก แก จิ ต ใจ และ เปนความทุกข. ได ค วามสุ ข มั น ก็ตองยึดถือ หนั กขึ้น ไปอีก มั น ก็มี ค วามรูสึ ก เป น ห วง หวงและห วง, แล วมั นก็ มี ความทุ กขเพราะหวงและห วง, วิตกกั งวลในสิ่ งที่ เรารูสึ กวา เป น สุ ข เพราะว า มั น มี ตั ว ตน. ถ า ไม มี ค วามรู สึ ก ที่ เป น ตั ว ตน จะไม มี ค วามรู สึ ก หวงหรื อ ห ว ง หรื อ วิ ต กกั ง วล, จิ ต มั น เป น อิ ส ระ ก็ ส บายดี . เดี ๋ ย วนี ้ เ รามี ความรูส ึก ไปในทางที ่จ ะใหห นัก อึ ้ง ; ผิด หวัง ก็ห นัก อึ ้ง ไปแบบหนึ ่ง , สมหวัง ก็หนักอึ้งไปอีกแบบหนึ่ง. ถาไม เขาใจตรงนี้ แล วไม เขาใจธรรมะ; เพราะคนไรธรรมะจะรูสึกวา ถ าสมหวั งแล วก็ ส บายไปเลย เป น สุ ข ไปเลย, ไม ม องเห็ น ความหนั ก อึ้ งเพราะความ สมหวัง . เชน เรื่อ งของความรัก ที่เ ขา ใจกัน ผิด ๆ แลว ก็บูช ากัน นัก เพราะไม มองเห็น เปน ความหนัก อึ ้ง , หรือ ความวิต กกัง วล หรือ ความทนทรมาน ที ่เกิด ขึ้ น มาจากสิ่ ง ที่ เรี ย กว า ความรั ก . มั น มี แ บบของมั น อย า งนั้ น . ความไม รั ก มั น ก็ มี แบบของมัน อีก อยา งหนึ ่ง ; แตแ ลว มัน ก็เ ปน เรื ่อ งของความหนัก อึ ้ง เหมือ นกัน มันหนักอึ้งเพราะมันมีตัวตน มีความหมายเปนตัวตนและของตน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ มั น ละเอี ย ดกว า กั น สั ก กี่ ม ากน อ ย ช ว ยคิ ด กั น ตรงข อ นี้ , คนธรรมดา เขาว า ถ า ได แ ล ว ก็ ดี เขาไม มี ค วามทุ ก ข . แต ท างธรรมะนี้ ถ า ยึ ด ถื อ แล ว เป น ทุ ก ข ทั้ ง นั้ น ได ก็ เป น ทุ ก ข , เสี ย ก็ เป น ทุ ก ข . ได อ ย า งใจก็ เป น ทุ ก ข ไม ไ ด อ ย า งใจก็ เป น ทุ ก ข ; เพราะว า มั น ยึ ด ถื อ มี ค วามหนั ก อึ้ ง บนจิ ต ใจ. ฉะนั้ น เราจึ ง เห็ น คนเป น


ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา

๔๗๓

ทุก ขเ พราะได, หรือ คนที ่ย ึด มั ่น ในเรื่อ งดีเ รื่อ งชั ่ว , ยึด มั ่น ในเรื ่อ งของความดี จนเป น ทุ ก ข จนฆ า ตั ว ตายเพราะความยึ ด มั่ น ในความดี นี้ ก็ มี อ ยู ม าก, ก็ เป น เรื่อ ง ของความทุก ข. นี ่ฟ ง เรื ่อ งนี ้อ อกหรือ ไมอ อก มัน เปน เรื ่อ งตั ้ง ตน มาแต ก ข ก กา ทีเ ดีย ว, แลว ก็ขึ ้น มาจนถึง เปน เรื ่อ งตัว เรื ่อ ง, แลว ขึ ้น มาจนถึง เปน ตัว ความทุกข เปนตัวปญหา. นี้ถาวามันกลับตรงกันขาม มันก็เปนเรื่องไมมีทุกข.

ตองมีสติสัมปชัญญะเมื่อสัมผัส. ที นี้ จ ะต อ งฟ ง ให ดี ว า เราจะอยู กั น อย า งไรในโลกนี้ ; เพราะเรามี ตา หู จมูก ลิ ้น กาย ใจ แลว รูป เสีย ง กลิ ่น รส โผฏ ฐัพ พ ะ ธัม ม ารม ณ  ก็ คอยมาสั ม ผั ส อยู เสมอ ; นี้ เมื่ อ สั ม ผั ส นั่ น แหละ เมื่ อ ตาเห็ น รู ป เมื่ อ หู ฟ งเสี ย ง จมู ก ไดก ลิ ่น ฯลฯ นั ่น เรีย กวา สัม ผัส ; เมื ่อ สัม ผัส นั ่น แหละ จะตอ งมีธ รรมะ, คือ จะต อ งเป น ลู ก ศิ ษ ย ข องพระพุ ท ธเจ า และมี ธ รรมะ มี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะ มี ป ญ ญา เมื่อมีการสัมผัส.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ตะกี้ บ อกไปแล ว ว า เป น คนโง น ะ, ไม ใ ช ลู ก ศิ ษ ย พ ระพุ ท ธเจ า , เป น ปุ ถุ ช นคนธรรมดา ไม รูธรรมะไม ใชลู ก ศิ ษ ย ของพระพุ ท ธเจา. พอสั ม ผั ส เกิ ด เวทนา สุข หรือ ทุก ข มัน ก็ม ีต ัณ หา มีค วามอยากไปตามเรื ่อ งของไดห รือ เสีย สุข หรือ ทุ ก ข สวยหรื อไม สวย อร อ ยหรื อ ไม อ ร อยก็ สุ ดแท , มั น ก็ เกิ ด อุ ป าทาน เป น ยึ ด มั่ น ถื อ มั่น เปนตัวเปนตน เปนของตน มีความหนักอกหนักใจตลอดสาย.


๔๗๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

เดี๋ ย วนี้ ค นเป น ลู ก ศิ ษ ย ข องพระพุ ท ธเจ า ได รั บ คํ า สั่ ง สอนมาเพี ย งพอ รูเรื่องของสติสัมปชัญ ญะและปญ ญา. ฉะนั้นพอมีการสัม ผัส ทางตา ทางหู ฯลฯ ก็ ต าม สติ สั ม ปชั ญ ญะ ป ญ ญามั น มาทั น ที บอกว า นี่ มั น สั ม ผั ส เกิ ด เวทนาขึ้ น สบายตาไม ส บายตา สบายหู ไม ส บายหู หอมแก จ มู ก เหม็ น แก จ มู ก ฯลฯ อะไรก็ ตามเปนคู ๆ กันไป ก็เรียกวาเวทนาเกิด มีสติปญ ญาตามแบบของพระพุทธเจา วา นี่มันสักวาเวทนาเทานั้น. คํานี้ ฟ งยาก แต สํ าคั ญ มากกวา สั ก แต วาเวทนาเท านั้ น ; เวทนาทาง ตาสวยเหลื อประมาณ ได เกิ ดขึ้ นสบายตาที่ สุ ด. คนที่ มี ธรรมะก็ บอกว า นี่ มั นสั กแต ว า เวทนาเท านั้ น , สั กแต ว าความรู สึ ก เท านั้ น , สั ก แต ว าความรู สึ ก ว าสวยเท านั้ น ; ถ า ไม ส วย ถ า น า เกลี ย ด มั น ก็ อ ย า งเดี ย วกั น อี ก แหละ. นี้ มั น สั ก ว า เวทนาเท า นั้ น คื อ ไมสบายตา มันเปนเพียงความรูสึกไมสบายตา. ที นี้ เ สี ย ง ไพเราะหรื อ ไม ไ พเราะ มั น สั ม ผั ส เข า เป น เวทนา ไพเราะ หรือไมไพเราะ จิตใจที่มันฉลาดมันก็วา โอย มันสักวาเวทนาเทานั้น.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org คุ ณ ช ว ยจํ า ข อ นี้ ไว เถอะ จะเป น ลู ก ศิ ษ ย ข องพระพุ ท ธเจ า ทั น ที ตั้ ง ครึ่ ง ตั้งคอนทีเดียว, คือสามารถที่จะรูสึกทันทวงทีวา นี่มันสักแตวาเวทนาเทานั้น . เมื่ อทางตารูสึ กสวยไม สวย, ทางหู รูสึ กไพเราะหรือไม ไพเราะ, ทางจมู กรูสึ กหอมหรือ เหม็ น , ทางลิ้ น รูสึ ก อรอ ยหรือ ไม อ รอ ย, ทางผิ ว หนั ง รูสึ ก นิ่ ม นวลหรือ กระด า ง ทาง จิตรูสึกวาระคายใจหรือไมระคายใจนี้, ความรูสึกทั้ง ๖ คูนี้ มีปญญามองเห็นวา มันสักวาเวทนาเทานั้น; พระพุทธเจาทานสอน.


ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา

๔๗๕

สัก วา เวทนา คือ มัน สัก วา ความรู ส ึก ที ่เ กิด ขึ ้น ตามธรรมชาติ ธรรมดาเทา นั ้น . เมื ่อ ตามัน กระทบรูป สวย ๆ มัน ก็รู ส ึก สวย, สัก วา ความรู ส ึก ที ่เ กิด ขึ ้น ตามธรรมชาติ ที ่จ ะตอ งเกิด ขึ ้น อยา งนั ้น เทา นั ้น . นี ้เ มื ่อ มัน กระทบรูป ที่ ไม ส วย มั น ก็ รูสึ ก ไม ส วย, มั น รูสึ ก เกลี ย ดชั งขึ้ น มา มั น ก็ สั ก ว าความรู สึ ก เท า นั้ น . อย าไปเอาอะไรกั บ มั น นั ก, หรื อไม เอาอะไรกั บ มั น เลยเสี ย ดี กว า, แล วเราก็ จะไม ห ลง รักและไมหลงเกลียด. เดี๋ย วนี้เ รามัน อยูดว ยความหลงรัก ในที่นา รัก , แลว หลงเกลีย ดใน ที่ เ รารู สึ ก ว า น า เกลี ย ด, เรามั น โง ทั้ ง ขึ้ น ทั้ ง ล อ ง, ฉะนั้ น อยู ด ว ยจิ ต ใจที่ ไ ม ห ลงรั ก และหลงเกลียด นั่นแหละคือความมุงหมายของธรรมะของศาสนา. ทีนี้ ในขณะที่ สั ม ผัส และมี เวทนา เรามี ส ติ ป ญ ญา อยางนี้ แลว มั น ก็ ไม เ กิ ด ตั ณ หา ซึ่ ง เป น เหตุ ใ ห เ กิ ด ทุ ก ข ไม เ กิ ด อุ ป าทาน ไม เ กิ ด ภพ ไม เ กิ ด ชาติ อยา งที ่ว า เมื ่อ ตะกี ้นี ้ ซึ ่ง มัน เปน ทุก ข มัน กลับ มาเปน ความรู  ความฉลาด วา โอ นี ่ ม ั น สั ก ว า เวทนาเท า นั ้ น . แล ว ดู ต  อ ไปอี ก เอ า , ไม เ ที ่ ย งโว ย ทรมานใจ ผู เ ขา ไปมองโวย แลว ไมม ีต ัว ไมม ีต นโวย มัน กลายเปน เรื ่อ งการศึก ษาชั ้น สูง สุด ไปเสีย.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ รู จั ก แยกทางกั น ตรงนี้ เมื่ อ อารมณ มากระท บ เกิ ด เวทนาแล ว ปุ ถุ ช นคนไม มี ค วามรู มั น ก็ เกิ ด ตั ณ หา เกิ ด อุ ป าทาน เกิ ด ภพ เกิ ด ชาติ เป น ทุ ก ข ไปทางโน น . ส ว นฝ า ยนี้ ผั ส สะ มี เ วทนา แล ว มั น ก็ เ กิ ด การศึ ก ษา, รู ว า นี้ สั ก ว า เวทนา หรือ วา มัน เปน ตามธรรมชาติอ ยา งนี ้ แลว ไมเ ที ่ย ง คือ หลอกลวงที ่ส ุด . เมื่ อ ตะกี้ ไ ม มี เดี๋ ย วนี้ มี มี แ ล ว ก็ เ ปลี่ ย นอยู เ รื่ อ ย, แล ว ดู แ ล ว น า เกลี ย ดน า ชั ง ;


๔๗๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

นั่ น แหละเขาเรี ย กว าความทุ ก ข ไม ส บายแก ก ารดู เรี ย กว ามั น เป น ทุ ก ข ถึ งมั น ไม ได ทํ า อะไรเรา มั น ก็ มี ลั ก ษณะที่ ดู แ ล ว น า ชั ง คื อ หลอกลวง, แล ว มั น มี ค วามเป น อนัต ตา ไมใ ชตัว ตนที่ไ หน, เพิ่งเกิด มาดว ยความรูสึก เทา นั้น , สัก วา ความ รูสึกเทานั้น เพราะมันเปนสักวาความรูสึกเทานั้น ก็เรียกวามันเปนอนัตตา. นี้ คื อ ความรู สู ง สุ ด สุ ด ยอดในพุ ท ธศาสนา หรื อ สุ ด ยอดในโลก. คุ ณ ไม ช อบก็ ได , คุ ณ อาจจะไม ช อบมั น ก็ ได ความรู ช นิ ด นี้ . นี้ ค วามยากลํ า บาก มั น จะอยู ที่ ต รงนี้ . คุ ณ ว า อยากจะเรี ย นธรรมะของพระพุ ท ธเจ า ; แต ธ รรมะของ พระพุ ทธเจาท านเป นอยางนี้ จะชอบหรือ ไม ชอบ ? ถ าต องการจะไม ให เป น ทุ ก ข มัน ก็ม ีท างนี ้เ ทา นั ้น แหละ คือ รูจ ัก สิ ่ง ทั ้ง หลายทั ้ง ปวง ตามที ่ม ัน ปรุง แตง กัน ขึ้นมาอยางไร, แลวก็ไมมีตัวตนอันแทจริง นอกจากความรูสึกเทานั้น.

ความรูสึกทุกรูปแบบก็เปนสักวาความรูสึกเทานั้น.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เวทนา สั ก ว า ความรู สึ ก เท า นั้ น , เวทนาที่ รู สึ ก เป น สุ ข คื อ พอใจ เป น ทุกขคือไมพอใจ หรืออยูระหวางกลาง ไมสุขไมทุกขนี้ มันสักวาความรูสึกเทานั้ น, ไมเ อาตัว ตนอะไรที ่ไ หนได. แตเ ราก็ห ลงรัก จนยอมพลีช ีว ิต ; คนหนุ ม คนสาว ที ่บ รมโง จะหลงรัก สิ ่ง นี ้จ นยอมพลีช ีว ิต คิด ดูก ็แ ลว กัน มัน จะเปน อยา งไร นี่เรียกวาเวทนาเทานั้น.

ถ า มั น เป น เรื่ อ งของความสํ า คั ญ มั่ น หมายต อ ไปอี ก ; สํ า คั ญ ว า สวย สํ า คัญ วา ดี แลว แตจ ะสํ า คัญ วา อะไร ก็เ รีย กวา สัญ ญา. นี ้ก ็ส ัก วา ความรู ส ึก เทานั้น เรียกวาสัญญา.


ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา

๔๗๗

พอรู สึ ก หลงใหลอย า งนี้ แ ล ว มั น ก็ เกิ ด ความคิ ด จะทํ า อย า งนั้ น จะทํ า อยา งนี ้, มีต ัว กูต อ งการจะทํ า อยา งนั ้น อยา งนี ้ ก็เ รีย กวา สัง ขาร. สัง ขารนี ้มี ความหมายพิ เศษ หมายถึ ง ความคิ ด . แต เราจะรู สึ ก ว า เรา กู คิ ด นั่ น แหละเป น ตั ว กู คิ ด เช น โกรธ เช น เกลี ย ด เช น จะฆ า มั น หรื อ ว า รั ก จะเอามั น อะไรนี้ ก็ เรี ย กว า ความคิด เขาเรีย กวา สัง ขาร มัน ก็สัก วา ความรูสึก เทา นั ้น ไมใ ชต ัว ตนอะไร ที่แทจริง. ฉะนั ้น ความรูส ึก ทุก รูป แบบ จะเปน เวทนาก็ด ี สัญ ญาก็ด ี สัง ขาร ก็ด ี มัน เปน สัก วา ความรู ส ึก เทา นั ้น ก็เลยไมม ีอ ะไรที ่จ ะตอ งหลงใหล ถึง กับ ไป รัก ไปโกรธ ไปเกลีย ด ไปกลัว ไปเปน ทุก ขเ ปน รอ น ใจคอปรกติอ ยู ต ามเดิม . นี้ทํา อะไรก็ไ ด เปน คนมีใ จคอปรกติเ ปน อิส ระอยูต ามเดิม . ลองไปเทีย บดูซิ มัน ไมเ สีย เวลาเปลา , มัน คุ ม คา ที ่ส ุด ไปเทีย บกัน ดู ของเราเองก็ไ ด. เวลาที ่เ รา โงไ ป มัน เปน อยา งไร เวล าที ่เ ราไมโ งม ัน เปน อยา งไร, เวล าที ่เ รารัก มัน เปน อย า งไร, เวลาที่ เราหลงเกลี ย ดมั น เป น อย า งไร, เวลาที่ เราหลงอย า งใดอย า งหนึ่ ง กั บ ไม หลงอย างใดอย างหนึ่ ง มั นเป นอย างไร มั น ต างกั น มาก, เวลาไหนสบาย เวลา ไหนจิตเปนอิสระ เวลาไหนจิตหลุดพน เวลาไหนจิตถูกกักขัง ถูกจับกุม.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เมื่ อ เรารู สึ ก รั ก หรื อ ไม รั ก คื อ เกลี ย ด รั ก หรื อ เกลี ย ด หรื อ สนใจอยู อย า งยิ่ ง ก็ เรีย กว า ถู ก จั บ กุ ม , จิ ต นี้ ถู ก จั บ กุ ม ถู ก ผู ก พั น ด ว ยกิ เลส ไม เป น อิ ส ระ มัน เปน อยางไรบา ง. เมื่อ ใดจิต ของเราเปน อิส ระ, ไมถูกความรูสึก อะไรจับ กุม , ไม ห ลงรั ก ไม ห ลงเกลี ย ด ไม ห ลงโกรธ ไม ห ลงกลั ว ไม ห ลงเศร า ไม ห ลงอะไรต าง ๆ นี้มันเปนอิสระอยางไร ?


๔๗๘

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ศึกษาธรรมะสูงสุดเพียงทําจิตใหเปนอิสระ. ถ าเราไม ต อ งการจิ ต ชนิ ด นี้ ก็ ไม รูว า จะศึ ก ษาธรรมะไปทํ าไม! ธรรมะ มัน สูง สุด เพีย งแคทํ า จิต ใหเปน อิส ระเทา นั ้น บางทีเขาเรีย กอีก คํ า หนึ ่ง วา หลุด พน , วิม ุต ติ - หลุด พน คือ หลุด พน จากโลก จากสิ่ง ตา ง ๆ ในโลก ที ่ม ัน คอย จั บ กุ ม เรา. สิ่ ง ต า ง ๆ ในโลกที่ มั น คอยจั บ เรา คื อ รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธัมมารมณ ทั้ งที่ สวยและไม สวย ทั้ งที่ ถู กใจและไม ถู กใจนี้ มั นคอยจับกุ มเรา, จั บกุ ม เราให รัก ก็ มี , จั บ กุ ม เราให เกลี ย ดก็ มี , คื อ ให เราถู ก ใจหรื อ ไม ถู ก ใจ เป นสุ ขหรื อเป น ทุ ก ข เรี ย กว า จั บ กุ ม ทั้ ง นั้ น , ไม เป น อิ ส ระ, แต เราไม รู สึ ก ว า นี้ ถู ก จั บ กุ ม , ความโง ของเราทําใหเรารูสึกสบายเสียอีก เมื่อมันถูกจับกุม. ฉะนั้น คนที่ต กหลุม ของความรัก หรือตกหลุม ของของความเกลีย ด ก็ต าม มัน ไมรูส ึก ดอก วา เราถูก ทํ า รา ย ถูก ทรมาน, มัน รูส ึก สบายไปเสีย อีก . มั นอยากจะหมกจม อยู ในกิ เลสแห งความรั กหรื อความโกรธ ความอาฆาตอะไรก็ ตาม เถอะ มัน สบายไปเสีย อีก . ถา มัน รูส ึก สบายไปเสีย อีก ก็ไ มต อ งพูด กัน คือ มันเปนปุถุชนมากเกินไป คือ พอใจในความทุกข.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ไปสั ง เกตดู ใ ห ดี ในกรุ ง เทพฯ นั่ น จะมองดู ได ทั่ ว ทุ ก หั ว ระแหง ที่ พ วก อันธพาลทั้งหลายเขาพอใจในการตกอยูใตอํานาจของกิเลส, แลวก็ทําสิ่งที่ไม ควรทํา มีความทุกข แตเขากลับตองการ.

นี่ พู ด อย า งที่ เ รี ย กว า คุ ณ ตั้ ง ใจจะศึ ก ษาธรรมะ ถ า คุ ณ ยั ง ยื น อยู ว า อยากจะศึกษาธรรมะ แลวก็ มัน ก็ตอ งทนฟงเรื่องอยางนี้ มันจึงจะเปนธรรมะ


ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา

๔๗๙

จริง . เรื ่อ งอื ่น เปน ธรรมะเลน หมด. ใหรู ค วามจริง วา ตัว เรา คนเรา ที ่ย ัง โงอ ยู นั้ น เป น อย า งไร, ที่ ว า มั น ลื ม ตาแล ว เป น พุ ท ธะ เป น สาวกของพระพุ ท ธเจ า ขึ้ น มา แล ว นี่ มั น เป น อย า งไร, มั น รู ไ ด ต รงที่ เมื่ อ อารมณ ม ากระทบ, เป น เวทนา เป น ผั ส สะเป น เวทนา นั่ น แหละเรามี จิ ต ใจอย า งไร. ถ า เราโง มี ตั ว เราก็ ห ลงรั ก หลงชั ง เกิด ตัณ หา อุป าทาน จนเปน ทุก ขไ ปในที ่ส ุด . นี ่ค ือ คนทั ่ว ไป แตถ า เราเปน สาวกของพระพุ ท ธเจ า เป น พุ ท ธมามกะสมชื่ อ เราก็ มี ค วามรู มี ส ติ สั ม ปชัญ ญะ มีปญ ญาเมื่อ สัม ผัส และมีเ วทนา. เอา , นี้สัก วา ความรูสึก เทา นั้น เวย จะมาหลอกเราไมได, จะมาหลอกเราใหหลงรักหลงเกลียดไมได. นี่คือ ขอ ที่พูด วา จํา เปน แมแ กน ัก เรีย นนัก ศึก ษา ที ่จ ะไมต กหลุม ของความรัก ความโกรธ ความเกลีย ด ความกลัว อะไรตา ง ๆ , แลวเขาก็จ ะ เรีย นได ดี , แล ว ต อ ไปข า งหน า เมื่ อ ไปมี สั งคมกว า งออกไป เขาก็ จ ะรูจั ก ทํ า จิ ต ไม ให ตกไปในทางความทุก ข ใหท รงตัว อยู ไ ดเ ปน อิส ระ. สัง คมไมทํ า ใหเ ขารอ นใจ ได , กระทั่ งว า กิ เลสภายในของเขา คื อ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ของเขา ก็ไมไดทําใหเขาเปนทุกขได.

www.buddhadasa.in.th พุทธบริษัทตองมีชีวิตอยูดวยสติปญญา. www.buddhadasa.org นี้ คื อ ก ข ก กา รู เรื่ อ งตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ แล ว รู เรื่ อ งคู partner ของมั น คื อ รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ มั น มาถึ งกั น เข า ที ไร มั น จับ คู ก ัน ทีไ ร แลว เปน เกิด เรื ่อ ง, คือ จะมีผ ัส สะ มีเ วทนา. ถา คนนั ้น โง มัน ก็ ไปตามสายของความทุ ก ข , ถ า คนนั้ น ฉลาด มั น ก็ ม าอี ก ฝ ายหนึ่ งตรงกั น ข าม ไม มี


๔๘๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ความทุก ข เลยไดค วามรู  ความฉลาด ในสิ ่ง ทั ้ง ปวงขึ ้น มา. ฉะนั ้น ถา เปน พุ ท ธบริ ษั ท วั น คื น มั น เจริ ญ ด ว ยความรู ค วามแจ ม แจ ง ความสว า งไสว ; ถาเปนปุถุชนคนโงคนเขลา วันคืนมันก็เจริญไปดวยกิเลสตัณหาและความทุกข. นี้ คื อ เรื่ อ งที่ เราจะเรี ย นธรรมะกั น เพื่ อ ให รู ธ รรมะและเป น พุ ท ธบริ ษั ท มี ชี วิ ต อยู ด ว ยสติ ป ญ ญา; เหมื อ นกั บ ลื ม ตา คํ า ว า พุ ท ธะ แปลว า ผู ตื่ น คื อ ลื ม ตา ไม ใช หลั บอยู คนที่ ไม ใช พุ ทธะมั นหลั บอยู , หลั บอยู ด วยกิ เลส, หลั บอยู ด วยอวิชชา หลั บ อยู ด ว ยความโง . ฉะนั้ น ถ า พุ ท ธะ มั น ตื่ น อยู ด ว ยป ญ ญา ไม มี อ วิ ช ชาแต มี วิช ชา ; ปุถ ุช นหลับ อยู ด ว ยอวิช ชา ; อริย บุค คลตื ่น อยู ด ว ยวิช ชา คือ ความรู . การที่เ รามาศึก ษาธรรมะกัน นี้ ก็เ พื่อ ใหม ีวิช ชา สํา หรับ จะไดเ ปน ผูตื่น อยู ตอไป. นี่ โ ดยย อ ก ข ก กา มั น มี อ ยู อ ย า งนี้ ขอร อ งว า ไปช ว ยจํ า ให แ ม น ยํ า . อย า เห็ น เป น เรื่ อ งไร ส าระ, แล ว มั น เป น ที่ ร วมของทุ ก เรื่ อ งในธรรมะ. เรื่ อ ง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เปน ที่ร วมของทุก เรื่อ งในทางธรรมะ แลว นี้ก็คือ เรื่อ ง ปฏิ จจสมุ ป บาท คื อเรื่องการเกิ ดขึ้ น แห งความทุ กข และการดั บลงแห งความทุ กข . ต อ งศึ ก ษาให เข า ใจว า เกิ ด ขึ้ น แห ง ความทุ ก ข อ ย า งไร, แล ว ดั บ ลงแห ง ความทุ ก ข อยางไร.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทบทวนเพื่อใหเขาใจถูกตอง.

เอ า, ทบทวนอี ก ที ฟ งให ดี เมื่ อ ตะกี้ อ าจจะยั งฟ งไม ถ นั ด . ยกตั วอย าง เรื่ อ งตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ มั น เหมื อ นกั น แหละ เข า ใจเรื่ อ งหนึ่ ง ก็ เ ข า ใจ


ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา

๔๘๑

ทุ ก เรื่ อ ง: ตา มั น จั บ คู ข องมั น คื อ รู ป แล ว เกิ ด วิ ญ ญาณทางตา คื อ การเห็ น รู ป ทางตา, ทั้ ง ๓ อย า งนี้ ทํ า งานร ว มกั น เรี ย กว า ผั ส สะ. ขณะแห ง ผั ส สะ นี้ สํ า คั ญ มาก ถา มีธ รรมะ มีส ติป ญ ญ า มัน ก็ไ มโ งไ มห ลงลืม ตัว ไมเ ผลอตัว , รู ส ึก อยู นี้สักวาผัสสะ เทานั้น. ที นี้ พ อผั ส สะแล ว มั น ก็ ต องเกิ ด เวทนา คื อสบายแก ตา ไม สบายแก ตา ถ า โง มั น ก็ ห ลงรั ก หรือ หลงเกลี ย ด แล ว แต ว า เวทนานั้ น จะเป น อย า งไร. ถ า มี ธ รรมะ มัน ไมโ ง มัน ก็ว า โอย ! นี ้ส ัก วา เวทนาเทา นั ้น , สัก วา ความรู ส ึก เทา นั ้น ตรงนี้ จ ะแยกกั น แหละ ฝ า ยโน น มั น หลงรั ก เวทนา มั น เกิ ด ตั ณ หา คื อ อยากไปตาม เวทนา, เกิ ด อุ ป าทาน ยึ ด มั่ น ในเวทนา, เกิ ด ภพ มี ตั ว กู ผู ยึ ด มั่ น ผู เป น อยู , เกิ ด ชาติสมบูรณแหงตัวกู มีความทุกข นั่นไปสายของความทุกข. ทีนี ้ฝ า ยนี ้ม ัน จะดับ ทุก ข ก็ค ือ พอมีผ ัส สะ มัน รู ส ึก ตัว มีเ วทนา มั น ก็ รู สึ ก ตั ว ตั ณ หามั น ก็ เกิ ด ไม ได ตั ณ หามั น ดั บ แหละ. ตั ณ หามั น ดั บ , อุ ป าทาน มั น ก็ เ กิ ด ไม ไ ด ภพเกิ ด ไม ไ ด ชาติ เ กิ ด ไม ไ ด ความทุ ก ข ไ ม เ ป น ของใครได ไม มี ความทุ ก ข ; นี่ ฝ า ยดั บ ทุ ก ข . วั น หนึ่ ง ๆ มั น จะเกิ ด ทุ ก ข หรื อ มั น จะดั บ ทุ ก ข ก็ เพราะอาการ ๒ อยางนี้.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ เป น เรื่ อ งพู ด ตั ว จริ ง ก็ ต อ งไปกํ า หนดเอาเอง; ฉะนั้ น จะต อ งปฏิ บั ติ ธรรม ที ่ใ ชคํ า วา ปฏิบ ัต ิธ รรม มาอยู ส วนโมกขจ ะปฏิบ ัต ิธ รรม ก็ค ือ ตอ งกํ า หนด ตั ้ง สติอ ารมณใ หด ี เพื ่อ คอยจับ สิ ่ง เหลา นี ้, หรือ วา กลับ ไปจากสวนโมกข ไปถึง ที ่อ ยู เ ดิม ก็เ หมือ นกัน ; ถา จะปฏิบ ัต ิธ รรม ตอ งสํ า รวมใหเ กิด ความสงบ พอที่ จะคอยจับ สิ ่ง เหลา นี ้ ; จับ ความเกิด ขึ ้น แหง ผัส สะ แหง เวทนา แหง ตัณ หา


๔๘๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

อุ ป าทาน เหล า นี้ , เพราะมั น เกิ ด อยู เป น ประจํ า . แต ถ า เราไม ค อยสั ง เกต ไม ค อย จั บ เราก็ ไม เห็ น เราก็ ป ล อ ยไปตามเรื่ อ งของมั น ก็ ห ลงใหลไปตามเรื่ อ งของกิ เลส ตัณหา,แลวก็เปนทุกขโดยไมรูสึกตัว บางทีก็รูสึกตัว บางทีก็นั่งรองไหอยู. ถ าเรามาอยู กั บธรรมชาติ สงบเย็ นอย างนี้ อย ามากระโดดโลดเต น หั วเราะ หยอกล อ กั น เสี ย ก็ จ ะมี จิ ต ใจเหมาะสมที่ จ ะจั บ สิ่ ง เหล า นี้ ได . ฉะนั้ น การที่ ม าอยู กับ ธรรมชาติอ ัน สงบ มัน มีโ อกาส อยา งนี ้; แตถ า เรามาเลน หัว กัน เสีย หยอก ลอ กัน เสีย อะไรกัน เสีย มัน ก็เ หมือ นกัน อีก แหละ มัน จับ ไมไ ด ; เพราะจิต ใจ มั น ไปหลงอยู ใ นอารมณ เ หล า นั้ น เสี ย แล ว ไม มี เ วลาสํ า หรั บ จะมากํ า หนดคอยรู คอยจับ. ฉะนั้ นที่ วาจะมาอยู สวนโมกข จะปฏิ บั ติ ธรรม กั นบ าง ก็ จงดํ ารงตนให ดี , ใหม ีค วามสงบทางกายเขา ไป สงบทางวาจา สงบทางจิต , แลว ก็พ รอ มที ่จ ะ คอยจับความรูสึกคิดนึกที่จะเกิดขึ้นในจิต ก็จะเห็นธรรมะ เขาใจธรรม.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี ้เ รีย กวา ปฏิบ ัต ิธ รรมะขั ้น สูง แลว แหละ ไมใ ชเ พีย งแตถ ือ ศีล ; ๘ แต ป ฏิ บั ติ ใ นเรื่ อ งทางจิ ต ทางสมาธิ ท างป ญ ญาแล ว ก็ จ ะได ค วามรู เช น ในระดั บ สู ง . ฉะนั ้น จึง บอกใหรู ว า ก ข ก กา มัน มีอ ยู อ ยา งนี ้, แลว เราก็ใ ชใ หม ัน เปน เรื ่อ ง อา นเรื่อ งเขีย นอะไรขึ ้น มา, จนรู เ รื ่อ งความทุก ขแ ละรู เ รื ่อ งความดับ ทุก ข จน มองเห็ นชั ดว าความทุ กข เกิ ดขึ้ นมาอย างนี้ ๆ เลย แล วก็ เข าใจแม นยํ าไม ต องถามใคร, ไม ต อ งจดไว ใ นสมุ ด จดไว ใ นสมุ ด นั้ น มั น ไว ต อบสอบไล . แต ถ า ปฏิ บั ติ ธ รรมะแล ว จดไวในสมุดไมสําเร็จประโยชนอะไร ตองจดอยูในใจ.


ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา

๔๘๓

ฉะนั้ นก็ ไปทํ าความเข าใจเสี ยให ดี ว าอายตนะข างใน คื อตา อายตนะ ขา งนอก คือ รูป พอถึง กัน เขา เกิด วิญ ญาณทางตา ๓ อยา งนี ้ทํ า งานรว ม กั น เรี ย กว าผั ส สะ, คื อสั ม ผั ส ทางตา. พอมี สั ม ผั ส ทางตา มั น ก็ จะเกิ ด เวทนาทางตา สวยหรือ ไมส วย. พอเวทนาเกิด แลว มัน ก็จ ะเกิด ตัณ หา อยากไปตามความที่ มั น สวยหรื อ ไม ส วย, เกิ ด ตั ณ หาอยากเต็ ม ที่ นี้ แ ล ว จะเกิ ด ความรู สึ ก อี ก อั น หนึ่ งแซง เข า มาว า ฉั น ฉั น ฉั น อยาก ฉั น ต อ งการ เอามาเป น ของฉั น , สํ า หรั บ ที่ มั น สวย ; หรื อ ฉั น อยากจะขยี้ มั น ให แ หลกไปในเรื่ อ งที่ มั น ไม ส วย. มั น มี ฉั น อย า งนี้ ก็ เกิ ด อุ ป าทาน แล ว ก็ เกิ ด ภพ คื อ ความมี แ ห ง ตั ว ฉั น เต็ ม ที่ ขึ้ น มา, แล ว มั น ก็ ส มบู ร ณ เป น ชาติ ชาติ แ ห ง คนชนิ ด นั้ น ที่ มั น กํ า ลั ง โง อ ยู หรื อ อะไรอยู ก็ ต าม, มั น เป น ชาติ แหงคนคนนั้นในขณะนั้น. เมื่ อ มั น มี ตั ว ตนสมบู ร ณ อย า งนี้ แ ล ว อะไร ๆ ต า ง ๆ มั น ก็ จ ะเป น ป ญ หาของคนคนนั้ น ; ความเจ็ บ ของเขา ความแก ข องเขา ความตายของเขา เขามี ค วามหวนระลึ ก ไปถึ ง ทุ ก สิ่ ง , แล ว มั น ก็ จ ะเป น ป ญ หาของเขาเป น ความทุ ก ข ของเขา, ความทุกขเกิดขึ้นอยางนี้.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้ น เราอย า มาสร า งตั ว ตนอย า งนี้ ; ทํ า จิ ต ให เป น อิ ส ระ แล ว ก็ ตั้ งหน า ตั้ ง ตาเรี ย นอย า งดี ที่ สุ ด , อย า มาตกอยู ใต อํ า นาจของกิ เลสตั ณ หา เรื่ อ งรั ก เรื่ อ งชั ง เรื่องอะไรเหลานี้.

เรื ่ อ งนี ้ เ รี ย กว า ป ฏิ จ จสมุ ป บ าท ถ า มั น มาในทางให เ กิ ด ทุ ก ข ก็ เรี ย กว า ฝ า ยเกิ ด ทุ ก ข ; ถ ามั น มาในทางฝ ายตรงกั น ข า ม คื อ มั น ไม เกิ ด ทุ ก ข ก็ เรี ย ก ว า ฝ ายดั บ ทุ ก ข . เรารู จั กไว ทั้ ง ๒ ฝ าย, รู จั ก ควบคุ ม ให มั น เป น ไปแต ในฝ ายดั บ ทุ กข .


๔๘๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

พระพุทธ - ธรรม - สงฆ เปน ก ข ก กา ของพุทธศาสนา. ทีนี้ก็จะพูดใหฟงตอไป วา ทําไมเขาจึงถือวา เรื่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ นี้เปน ก ข ก กา ของธรรมะ ของพุทธศาสนา. เราจะมี พ ระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ จริ ง ไม ใ ช สั ก ว า มี สั ก ว า พู ด หรือ สัก วา พุท ฺธ ํ สรณํ คจฺฉ ามิ แลว ก็ม ีพ ระพุท ธ อยา งนั ้น ไมพ อ, คือ ใหรู ว า เมื่อ ใดจิตมันมีสติปญ ญา สัม ปชัญ ญะ รูแจงชัด ในขณะที่มีสัมผัส มีเวทนา เมื ่อ นั ้น จิต ที ่รู แ จง ที ่ตื ่น ที ่เ ปน อิส ระนั ่น แหละเปน พระพุท ธ. จิต นั ้น เปน พระพุท ธเสีย เอง จิต ที ่รู แ จง ถึง ที ่ส ุด นั ่น แหละเปน พระพุท ธ; ถา เราจะถือ วา จิต ของเราเปนพระพุทธ หรือถาเราเปนผูรูแจง เราก็เปนพระพุทธเสียเอง. นี่ เราจะมี พ ระพุ ท ธจริ ง ๆ ในเรา หรื อ ถึ งกั บ ว า เรานี่ เป น พระพุ ท ธเจ าเสี ย เอง. ถา จิต นี ้ม ัน รู แ จง นี ้ จนความทุก ขเ กิด ไมไ ด เวลานั ้น อยา งนอ ยที ่ส ุด เรามี พ ระพุ ทธเจาจริงอยูในเรา, คือในจิตของเรา, หรือเราอาจจะมาเรียกรองมาก กว า นั้ น ว า เวลานั้ น เราเป น พระพุ ท ธเจ า เสี ย เอง, คื อ จิ ต นั้ น มั น เป น พระพุ ท ธเจ า เสียเอง. นี่จะมีพระพุทธเจาจริงกวาอยางนี้ ไมตองรองวา พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี ้ ค วาม รู  นั ้ น แห ล ะ ที ่ ป ฏิ บ ั ต ิ อ ยู  อ ย า งนั ้ น ที ่ ค วาม ทุ ก ข เ กิ ด ไมไดที่ปฏิจจสมุปบาทมันปรุงกันไมได นั่นคือตัวพระธรรม, ตัวความรูอยู จนความ ทุก ขเ กิด ไมไ ด นี ้เ ปน ตัว พระธรรม. เราก็ม ีพ ระธรรมจริง อยู ใ นจิต , หรือ จิต เป น พระธรรมเสี ย เอง เกิ ด มี พ ระธรรม โดยไม ต อ งรอ งว า ธมฺ มํ สรณํ คจฺ ฉ ามิ .


ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา

๔๘๕

ความที่ มั น มี ค วามดั บ แห ง ทุ ก ข อยู ใ นการปฏิ บั ติ ค วบคุ ม ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ไวไ ด ความทุก ขไ มเ กิด นั ้น เรีย กวา พระธรรมจริง , เราก็ม ีพ ระธรรมจริง หรือ กลา พูด วา เราก็เ ปน พระธรรมเสีย เองเลย. นี ่เ ราก็ม ีพ ระธรรมจริง โดยไม ตองรองวา ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ. ทีนี ้จ ิต อีก สว นหนึ ่ง ซึ ่ง จะเรีย กวา ตัว เดีย วกัน นั ่น แหละมัน ปฏิบ ัต ิอ ยู , มั นปฏิ บั ติ อยู พยายามอยู รักษาสติ สั มปชั ญ ญะใช ป ญ ญาอยู ; นี้ เรียกว า ปฏิ บั ติ อยู นี ้เ ปน ตัว พ ระส งฆ. ฉะนั ้น จิต นั ้น มีพ ระสงฆ หรือ เปน ตัว พ ระสงฆเ สีย เอง แลวเราก็มีพ ระสงฆ หรือเปน พระสงฆ โดยไมตอ งรอ งวา สงฺฆ ํ สรณํ คจฺฉ ามิ ก็ได, แตมันเปนเสียจริง ๆ. นี่ ค วามที่ จ ะมี พ ระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ เสี ย จริ ง ๆ มั น มี ได อ ย า งนี้ เพราะรู เ รื ่อ งนี ้. เรื ่อ งนี ้สํ า คัญ มาก ที ่เ รีย กวา เรื ่อ งปฏิจ จสมุป บาทนี ่ ถา เรารู เรื่อ งนี้เราเปน พระพุท ธ เรามีพ ระธรรม เราเปน พระสงฆ เพราะเราปฏิบัติ ไมใหเกิดทุกขได.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เรื ่อ งนี ้ม ัน สํ า คัญ มากจนถึง กับ วา แมแ ตพ ระพุท ธเจา เอง ทํ า เปน พระพุ ท ธเจ า แล ว ท า นยั ง เอาเรื่ อ งนี้ ม าสาธยาย, มั น สาธยายคื อ มาพู ด ตามลํ า พั ง พระองค เหมือ นกับ ทอ งเลน อยา งนั ้น แหละ; เหมือ นกับ พวกคุณ รอ งเพลงเลน คนเดีย ว เพลงไหนที ่ช อบ ชอบเอามารอ งเลน คนเดีย วอยา งนี ้. พระพุท ธเจา ท า นก็ ท รงกระทํ า กั บ เรื่ อ งนี้ อ ย า งนั้ น , คื อ เอาข อ ความนี้ มากล า วอยู โ ดยพระองค เอง พระองค เดี ย ว ไม ต อ งมี ใครอยู ถ าเป น บาลี ก็ จะมี ว า จกฺ ขุ ญ จ ปฏิ จฺ จ รู เป จ อุป ฺป ชฺช ติ จกฺข ุวิฺาณํ ติณ ฺณ ํ ธมฺม านํ สงฺค ติ ผสฺโ ส ผสฺส ปจฺจ ยา เวทนา


๔๘๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

เวทนาปจฺจยา ตณฺหา, ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานํ, อุปาทานปจฺจยา ภโว, ภวปจฺจยา ชาติ, ชาติปจฺจยา ขรามรณํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสสุปายาสา สมฺภวนฺติฯ นี่ เรื่ อ งตาจบแล ว ก็ ว า เรื่ อ งหู อี ก จมู ก อี ก ฯลฯ ไปจนกระทั่ ง ทั้ ง ๖ เรื่ อ ง. นี่ ถ า ว า เป น ภาษาบาลีคืออยางนี้.

ปฏิจจสมุปบาทเปนอาทิพรหมจรรย. ไม มี เรื่ อ งไหน ที่ พ ระพุ ท ธเจ า ท า นทรงเอามาร อ งเล น อย า งนี้ , หรื อ นอก จากเรื่อ งนี้ คื อ เรื่อ งปฏิ จ จสมุ ป บาทนี้ . ในพระไตรป ฏ กเราสํ ารวจดู ห มดแล ว ไม มี เรื่องไหนที่มีเกียรติสูง ถึงกับพระพุทธเจาทรงเอามาทองเลน นอกจากเรื่องนี้. ที นี้ วั น หนึ่ ง ท า นท อ งโดยพระองค เองอยู อ ย า งนี้ มี พ ระองค ห นึ่ ง เองมา ข า งหลั ง มาแอบฟ ง อยู ด วยเจตนาอะไรก็ ต ามใจเถอะ ที นี้ พ ระพุ ท ธเจ า เผอิ ญ ท า น ทรงเหลี ย วไปเห็ น พระองค นั้ น เข า ก็ ว า เอ า , นี่ ดี แ ล ว . นี่ ดี แ ล ว , มา, นี่ เ รื่ อ ง สํ า คั ญ ที่ สุ ด . ท า นตรั ส บอกภิ ก ษุ นั้ น ว า เอ า, นี่ เรื่ อ งสํ าคั ญ ที่ สุ ด เรี ย กว า อาทิ พรหมจรรย แปลวา เงื่อนตนของพรหมจรรย. อาตมาเลยเอามาเรียกใหคุณฟงวา ก ข ก กา ของพระพุ ท ธศาสนา ถาพระพุ ท ธเจาท านเรียกท านเรียกวา อาทิ พรหมจรรย แปลวา เงื่อนตนของพรหมจรรย ของพระศาสนา นั่นแหละ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เรื่ อ ง ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ คู กั บ รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ ถึ ง กั น เข า เกิ ด วิ ญ ญาณ – แล ว เกิ ด ผั ส สะ - เกิ ด เวทนา - เกิ ด ตั ณ หา – อุ ป าทาน – ภพ – ชาติ - จนเป น ทุ ก ข . นี่ คื อ เรื่ อ งอาทิ พ พรหมจรรย เรื่ อ งเงื่ อ น


ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา

๔๘๗

ตนของพรหมจรรย เราเรียกวา ก ข ก กา ของพุทธศาสนา. แตมันไมหยุดอยู เพียงความเปน ก ข, มันกลายเปนตัวแทตัวจริง แลวกลายเปนดับทุกขได, เปน ตัวหัว ใจของพุท ธศาสนาไปเลย. นี้ป ระหยัด มาก เปน ก ข ก กา แลว ก็เปน ตัวแท, แลวเปนตัวปลาย ตัวผล ตัวผลสุดทายไปเลย. ควรจะสนใจอยางยิ่ง. ฉะนั้ น เราต อ งการจะศึ ก ษาธรรมะ ก็ จั บ ตั ว ธรรมะให ถู ก ต อ ง ตั้ ง แต ตัว ก. ตัว ข. ตัว ง. ไปเลย, แลว เขา ไปตามลํ า ดับ ถูก ตัว ถูก หัว ใจ ได รับ ผลไดรับ ประโยชน จนดับ ทุก ขไ ด จนกระทั่ง วา มีพ ระพุท ธ มีพ ระธรรม มี พ ระสงฆ , หรื อ จนกระทั่ ง ว า เป น พระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ เ สี ย เอง นี่ มั น วิเศษถึงอยางนี้. นี่ มั น จะต อ งลงทุ น ด ว ยการตั้ ง อกตั้ ง ใจระมั ด ระวั ง สํ า รวม ; ถ า เราจะ มั วแต ป ล อ ยตามอารมณ ก ระโดดโลดเต น สรวลเสเฮฮา ไปตามอารมณ แล วจิ ต นั้ น หยาบมาก ไมอ าจจะเขา ใจเรื ่อ งอัน ละเอีย ดประณีต นี ้ไ ด. ฉะนั ้น ขอใหล งทุน ดว ยการสํา รวมระวัง ดํา รงการเปน อยูใ หถูก ตอ ง การกิน การนุง การหม การอยูอาศัย การอะไรตาง ๆ แหละ ใหมันสงบรํางับ, แลวจิตมันก็จะประณีต ละเอียดพอที่จะเขาใจเรื่องนี้ได มีเหลือวิสัย.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เรียนพุทธศาสนาตองเรียนอยางวิทยาศาสตร. ขอร อ งให สั ง เกตดู ใ ห ดี ในฐานะที่ เ ป น นั ก ศึ ก ษา ว า เราเรี ย นเรื่ อ งจริ ง ไม ใช เรื่อ งสมมติ , คนโง ๆ ว า ธรรมะเป น เรื่อ งสมมติ ; แต เดี๋ ย วนี้ มั น เป น เรื่ อ งจริ ง


๔๘๘

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

จริงยิ่งกวาวิทยาศาสตร : มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ, มีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพ พะ ธัม มารมณ มาถึงกัน เขา เกิดความเปลี่ย นแปลงรูสึกเปน ลําดับ เป น ในภายใน ซึ่ งเรารู สึ ก ได เป น เรื่ อ งที่ ไม ต อ งคํ านวณ, ไม ต อ งคาดคะเน ไม ต อ ง สมมติ มันเปนเรื่องจริง มีอยู ปรากฏอยู. นี้ เราจะถื อ ว า พุ ท ธศาสนาที่ แ ท นี้ มั น เป น เรื่ อ งจริ ง ถ า เปรี ย บกั บ วิ ช า สมั ยป จจุ บั น พุ ทธศาสนาก็ เป นวิ ทยาศาสตร ไม เป นปรัชญา, ปรัชญาเรื่องคํ านวณ ต อ งสมมติ ใ นเบื้ อ งต น , ต อ งตั้ ง สมมติ ฐ านว า เราจะเอากั น อย า งไร. แล ว ค อ ยหา เหตุผลคํานวณไปตามนั้น ใหไดผลอยางนั้น ๆ เรื่องปรัชญา เอามาใชกับพุท ธ ศาสนาไมได ทํากับพุทธศาสนา ตองทําอยางกับวาเปนวิทยาศาสตร : มอง เห็น อยู อ ยา งนี ้, แลว มัน เปลี ่ย นไปอยา งนี ้, แลว มัน เปลี ่ย นไปอยา งนี ้ โดยการ ระทํ า ของเราแท ๆ เราควบคุ ม ได จนเราได ผ ลตามที่ เ ราต อ งการ เหมื อ นกั บ วิทยาศาสตร. ฉะนั้น ธรรมะ จึงเปนวิทยาศาสตร ไมใชปรัชญา.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แต ถ า คนไหนยั งไม เข า ใจ มั น ก็ ต อ งเป น ปรั ช ญาไปก อ น คนไหนไม เข า ถึ งตั วธรรมะ, จะเห็ นธรรมะเป นปรัชญาไปพลาง, อาศั ยการคาดคะเนคํ านึ งคํ านวณ ไปพลาง. ฉะนั้ น คนโดยมาก พวกฝรั่ง ก็ เถอะ เขาเรี ย นพุ ท ธศาสนาอย า งคํ า นวณ ไปพลางเปนปรัชญาไปพลาง. เรียนเรื่องนี้คือเรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้ ฝรั่งเขาเรียน อย า งเป น ปรั ช ญา ; ถ า อย า งนี้ ไ ม ถู ก ตั ว พุ ท ธศาสนา จนกว า เมื ่ อ ไร จะ มองเห็น จริง ชัด อยา งเปน วิท ยาศาสตร; เมื่อ นั้น เขาก็จ ะเขา ถึง ตัว พุท ธ ศาสนา.


ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา

๔๘๙

เรื่ อ งปรั ช ญานี้ มั น เป น เรื่ อ งคํ า นวณ จะพู ด ง า ย ๆ ก็ ว า เป น เรื่ อ งลม ๆ แล ง ๆ, เอาจริงอะไรกั น มั น ไม ได . แต ถ าเป น วิ ท ยาศาสตรนี้ เอาจริงกั น มั น ได ทํ าให ได ผ ลตามที่ เราต อ งการได , หากแต ว ามั น เป น เรื่ อ งทางจิ ต ใจ. เดี๋ ย วนี้ ในโลกนี้ เขารู วิทยาศาสตรกันแตในเรื่องทางวัตถุ เรื่องทางจิตใจเขาไมไดสนใจ. นี้พ ระพุท ธเจา ทา นมีเ รื่อ งวิท ยาศาสตร ทั้ง ทางวัต ถุแ ละทั้ง ทาง จิต ใจ และยกเอาเรื่อ งจิต ใจเปน เรื่อ งสํา คัญ กวา ; เพราะวา ความทุก ขมัน เกิด ที ่จิ ต ที่ จิ ต ใจ มั น เป น ความรูสึ ก ของจิ ต ใจ ; ฉะนั้ น เราจะต อ งทํ า ให มั น เป น เรื่อ งของ จิตใจ อยาใหความทุกขมันเกิดได. นี่ ท านออกบวชขวนขวายจนตรัส รูม าตามลํ าดั บ วาความทุ กขนี้ ม า จากอะไร ? มาจากชาติ . ชาติ มาจากอะไร ? มาจากภพ. ภพมาจากอะไร ? มาจาก อุ ป าทาน. อุ ป าทานมาจากอะไร ? ก็ ม าจากตั ณ หา. ตั ณ หามาจากอะไร ? มาจาก เวทนา. เวทนามาจากอะไร ? มาจากผั ส สะ. ผั ส สะมาจากอะไร ? ก็ ม าจากการ ทํ างานรวมกั นของตากั บรู ป และวิ ญ ญาณ คื อมาจากการทํ างานร วมกั นของอายตนะ ภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖ และวิญญาณ ๖ นี่เปนเรื่องวิทยาศาสตร ตรงนี้.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เอาละเป นอั นว า วั นนี้ มี ความตั้ งใจที่ จะให คุ ณ รูจั กตั วแท ของพุ ทธศาสนา เริ่ ม ต น ด ว ย ก ข ก กา อั น ถู ก ต อ ง. ฉะนั้ น ขอให ส นใจ เหมื อ นกั บ ที่ เราสนใจ เรี ย น ก ข ก กา สมั ย เด็ ก , เราก็ รู ม าตามลํ า ดั บ จนรู ห นั ง สื อ ดี . นี้ ข อให ทุ ก คน สนใจเรื่ อง ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ให ดี สนใจเรื่ องรู ป เสี ยง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธัมมารมณ ให ดี , สนใจมั นที่ มั นเกิ ดเป นวิญ ญาณ ผั สสะ เวทนา ตั ณ หา อุ ปาทาน ภพ ชาติ และความทุ ก ข ใ ห ดี ก็ เป น อั น ว า เข า ถึ ง หั ว ใจของพุ ท ธศาสนา จนมี


๔๙๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

พระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ จริ ง , หรื อ จนกระทั่ ง อาจจะกล า วได โ ดยไม มี ใ คร ค า นได ว า เราก็ เ ป น พระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ อยู ส ว นหนึ่ ง เหมื อ นกั น โดย แท จ ริ ง ด ว ย, ก็ เรี ย กว า ไม เสี ย ที ที่ ตั้ ง ใจจะศึ ก ษา จะปฏิ บั ติ เพื่ อ ให ได รั บ ประโยชน อั น สูงสุดจากพระพุทธศาสนาเปนแนนอน. ฉะนั้ นจึ งอยากจะกล าวว า ถ าเข าใจเรื่ องนี้ แล วคุ มค าไปจนตาย, มี ประโยชน ไปจนตาย, ไม ต อ งเรี ย นเรื่ อ งอะไรอื่ น อี ก ก็ ได . เรื่ อ งนี้ จ ะมี ป ระโยชน คุ ม ค า คุ ม ครอง ไปจนตลอดชี วิ ต . ถ า ไม เข า ใจละเอี ย ด ก็ ไ ปศึ ก ษาส ว นที่ ยั ง ไม เข า ใจให มั น ละเอี ย ด, เนื้อแทมันมีเพียงเทานี้. เอาละ, การบรรยายมั น พอสมควรแก เวลาแล ว ต อ ไปนี้ ก็ ให เป น การ ถามตอบ เอา ใครมีปญหาอะไรก็ถาม. …. …. …. ….

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถาม: ขอเรี ย นถามหลวงพ อว า การที่ เรากําหนดรู ก ารกระทบของอิ นทรี ย ทั้ ง ๖ ทั้ งวั น วั น หนึ่ ง ๆ เราจะได ยิ นได ฟ ง ได พบได เห็ นสิ่ งต าง ๆ เหล านั้ น อารมณ เหล านั้ นมากมาย เหลื อเกิ น. ผมเกรงว า เราจะไม มี สติ ป ญ ญ าที่ จะมากํ าหนดรู สิ่ งเหล านั้ นเท าทั น เพราะ บางที เราก็ ได ยิ น ได เห็ น ได อยู กั บสิ่ งเหล านั้ น คื อรู สึ กกั บสิ่ งเหล านั้ นพร อ มกั นทุ ก อายต - นะอยางนี้ มันจะมีสติที่ไหน กําลังอะไรมากําหนดได จนใหทั่วถึงสิ่งเหลานั้น.

ตอบ: เอา, ปญหานี้ดี ปญหานี้เปนปญหาที่ดี คือเปนปญหาที่มันเกี่ยวกับความ จริ ง เป น practical จริ ง ๆ คื อ เขาถามว า แต ล ะวั น ๆ เรื่ อ งมั นมาก ทาง ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ เราจะเอาความสามารถที่ ไหนมาควบคุ ม มั น นี่ ทุ ก คนคง จะรูสึกวาเปนปญหา แลวมันก็เปนปญหาจริง ๆ ดวย.


ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา

๔๙๑

นี้ มั น ต องรู ถึ งข อเท็ จจริ งอั น อื่ น ต อ ไปอี ก ลึ ก ลงไปอี ก คื อ ว าเราฝ ก ฝนอยู เป น ประจํ า คื อ ฝ ก ฝนในการให มี ส ติ ห รื อ สมาธิ อ ยู แล ว ก็ ฝ ก ฝนให ร อบรู ใ นทาง ของป ญญาอยู ในทางป ญญานั้ นให รูเรื่องที่ ว ามั นเป นอนิ จจั ง ทุ กขั ง อนั ตตา. เราคิ ด นึ ก ทบทวนอยู ศึ ก ษาอยู ทํ า วิ ป ส สนาในส ว นนี้ อ ยู เรามี ค วามเข า ใจเรื่ อ งความจริ ง ของสิ่งทั้งปวงอยู นี้สวนหนึ่ง ฝกอยูจนทําได. อี กส วนหนึ่ ง ฝ กทางสมถะ ทางสติ เราฝ กให เป นคนที่ มี สติ สมบู รณ และ ว อ งไว, ให มี สติ ว องไวในการที่ จะเอาป ญ ญา เอาความรู เรื่ องอนิ จจั ง ทุ กขั ง อนั ต ตา มาใช ใ ห ทั น ท ว งที , แล ว เราฝ ก ชํ า นาญในแง ที่ ว า มั น มี ส ติ จ ะไม ใ ห เ กิ ด ความคิ ด ความนึก ความรูสึก หรือการตัดสินใจอะไรลงไป กอนแตที่จะมีสติเสียกอน. นี้ เมื่ อ ทํ า ได อ ย า งนี้ เป น นิ สั ย แล ว มั น ก็ ค วบคุ ม สิ่ ง ต า ง ๆ ได คื อ ความ คิ ด มั น จะไม เกิ ด ขึ้ น หรื อ จะไม ตั ด สิ น ตั้ ง ใจลงไป เจตนาลงไป ว า จะทํ า อะไร โดย ที่ ไม รู สึ ก ตั ว เสี ย ก อ น มั น เป น อย า งนั้ น ฉะนั้ น ถ า มั น เกิ ด ขึ้ น มั น ไม เข าไปถึ งในจิ ต ใจ ก็ ไ ม เป น ไร. เช น ตาเห็ น รู ป อยู นี้ มั น ไม ไ ด เข า ไปถึ ง จิ ต ใจมั น ก็ ไ ม เป น ไร; แต ถ า มั น เป น เรื่ อ งที่ เข า ไปในจิ ต ใจ เรามี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะพอที่ จ ะรั บ หน า กั บ มั น มั น เคยชิ น ที่ จะมองเห็นเปน สักวาเวทนาเทานั้น สักวาผัสสะเทานั้น ไมเกิดตัณหา ไมเกิดอุปาทาน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ เ ขาเรี ย กว า ฝ ก วิ ป ส สนาในส ว นที่ มี ส ติ เรี ย กว า สติ ป ฏ ฐาน ถ า ใคร ฝ ก ในส ว นสติ ป ฏ ฐานจนเสร็ จ สํ า เร็ จ ไปแล ว เขาก็ จ ะมี อั น นี้ : มี ส ติ พ อที่ จ ะรั บ อารมณ ส ะกั ด กั้ น อารมณ ห รื อ กี ด กั น อารมณ หรื อ กลั่ น กรองอารมณ ไม ใ ห มั น ไป ในทางใหเกิดกิเลสได. ฉะนั้นเราจึงสามารถอยูไดในโลกที่เต็มไปดวยอารมณ.


๔๙๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

เดี๋ ย วนี้ มั น มี ป ญ หาที่ เราเหล า นี้ เราไม มี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะไม มี ป ญ ญาพอ เพราะไม ไ ด ฝ ก สติ ป ฏ ฐาน ไม ไ ด ฝ ก วิ ป ส สนาในส ว นอนิ จ จั ง ทุ ก ขั ง อนั ต ตา ไม ชํ านาญเชี่ ยวชาญในการที่ จะควบคุ มความรู สึ ก. ฉะนั้ นไม ต องกลั วค อย ๆ ทํ าค อย ๆ ไป ถามีโอกาสก็ทํามากเปนพิเศษ ที่จะฝกสติปฏฐาน ฝกวิปสสนาตามโอกาส. แล วก็ มี จิ ตใจอั นใหม ที่ เข มแข็ ง ที่ ว องไว ที่ รวดเร็ ว คื อมี สมาธิ มี ป ญ ญา รั บ อารมณ เหล า นั้ น มั น จะไม ผ า เข า ไปได เพราะความที่ เรามี ส ติ มี ป ญ ญา มั น อยู ข า งนอก ก็ ไ ม เ ป น ไร; หมายความว า มั น ไม ทํ า อะไรแก จิ ต ใจของเรา ก็ ใ ช ไ ด . มั น เต็ ม ไปด ว ยเรื่ อ งน า รั ก น า เกลี ย ด น า อะไรก็ ต ามใจมั น มั น ก็ อ ยู ที่ นั่ น แหละ, มั น ก็ เกลื่ อ นอยู ใ นโลก ไม เข า มาในจิ ต ใจของเราได . ถ า มั น จะเข า มาได เล็ ด ลอด เข า มาได ก็ ล ว นแต เ ป น สิ่ ง ที่ ทํ า ให เราเกิ ด ความรู ความฉลาด เห็ น อนิ จ จั ง ทุ ก ขั ง อนั ต ตา ยิ่ ง ๆ ขึ้ น ไป. เรื่ อ งที่ มั น ยั ง ไม เคยรู มั น ละเอี ย ดเกิ น ไป มั น ก็ จ ะได รู ขึ้ น มา แตที่จะเขามาใหเรารูสึกรัก รูสึกชัง เกิดตัณหา อุปาทานนี้ไมได เปนไปไมได.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้ น ไม ต อ งกลั ว จะอยู ที่ ก รุ ง เทพฯ หรื อ ยิ่ ง กว า ที่ ก รุ ง เทพฯ ถ า มี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะพอแล วมั น ก็ ป อ งกั น ได สติ มั น กั้ น ไว ไม ให เข ามาในจิ ต ใจได . ถ าอั น ไหน จํ า เป น จะต อ งรู รั บ รู ที่ จ ะต อ งจั ด การ จะต อ งเกี่ ย วข อ ง มั น ก็ ป ล อ ยเข า มา, แล ว มั น ก็ รู แล ว ก็ ทํ า ถู ก ต อ งหมด. ถ า เป น เรื่ อ งที่ ต อ งทํ า ที่ ต อ งจั ด เป น ป ญ หาที่ ต อ ง แก หรื อ มั น เป น หน า ที่ ก ารงานของเรา, เราต อ งทํ า เราต อ งจั ด ให ถู ก ต อ ง ก็ จั ด ด ว ย จิ ต ที่ เป น อย า งนี้ . จิ ต ที่ เฉลี ย วฉลาดมี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะ ไม มี ค วามทุ ก ข เลย ทํ า สิ่ ง ต า ง ๆ ให ลุ ล ว งไปด ว ยดี ตามที่ ค วรจะทํ า . สิ่ ง นอกนั้ น ก็ ไ ม ต อ งทํ า ไม ต อ งสนใจ, นี่ เ ป น อุ บ ายอย า งยิ่ ง เป น ศิ ล ปะอย า งยิ่ ง ที่ จ ะมี ชี วิ ต อยู ใ นโลกอั น แสนวุ น วายนี้ แลวก็ไมวุนวาย.


ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา

๔๙๓

สรุ ป ความว า มั น ป อ งกั น ได หรื อ ทํ า ได แก ป ญ หาได ด ว ยการปรั บ ปรุ ง ตนเอง ให มี คุ ณ สมบั ติ สู งขึ้ น ไป คื อ มี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะมี ป ญ ญาที่ เพี ยงพอ มี ส มาธิ อ ยู ในคําวาสติ, เอา, มีอะไรอีก. ถาม : ในเมื่ อ จิ ต เราตามรั ก ษา หรื อ ตามดู อ ารมณ ที่ ม ากระทบอยู รู อ ยู อ ย า งนั้ น ขณ ะนั้ น เวลานั้ น, แล วสมมติ ว าถ าเกิ ดเหตุ การณ ภายนอก เหตุ การณ เลวร าย, เหตุ การณ ที่ ไม น า พึ งเกิ ด เหตุ ก ารณ ที่ ไมพึ งปรารถนา ของหมู ของสั ง คมขึ้ น มาในขณ ะนั้ น แล ว ก็ ใกล ตั ว เรา, เราจะใช จิ ต ระดั บ นี้ จิ ต ที่ ต ามรู อ ารมณ รู เหตุ ก ารณ แก ป ญหาที่ มั น เกิ ด ขึ้ น นั้ น การแก ของเรานั้ นเราจะเชื่ อ มั่ นได ไหมว า จิ ต เราในขณะนั้ นจะแก ป ญหาอย างนั้ นได ถู ก ตอง.

ตอบ : เราจะต อ งเชื่ อ มั่ น ทํ า ไมเล า เราทํ า ให มั น ถู ก ต อ ง มั น ก็ แ ก ไ ด . หรื อ จะถาม เดี๋ยวนี้วา เราจะเชื่อไดไหมวา เราจะสามารถใหมันแกไขไดถูกตองมัน ตองเชื่อวาเรามันทําถูกตองหรือไม ถาทําถูกตองแลวมันก็แกปญหาได.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เรื่ อ งสั บ สนวุ น วายนั้ น มั น เป น เรื่ อ งที่ ทํ า ยากแหละ ถ า เรามั น อ อ นแอ, จิ ต ใจมั น อ อ นแอ คื อ มั น ไปรั บ อารมณ จ นรู สึ ก กลั ว รู สึ ก โกรธ รู สึ ก เกลี ย ด หรื อ รู สึ ก ต อ งการเสี ย อย า งใดอย า งหนึ่ ง แล ว มั น ทํ า ไม ไ ด . เราต อ งควบคุ ม ให มั น มี อิ ส ระ มั น จะคิ ด ถู ก ตั ด สิ น ถู ก ทํ า ถู ก ต อ สู ถู ก ป อ งกั น ถู ก อะไรถู ก ได , ก็ ไ ม ต อ งกลั ว ให ป ญ ญาอยู กั บ เนื้ อ กั บ ตั ว ตลอดเวลาที่ มั น มี ป ญ หา, หมายถึ ง มี ส ติ ด ว ย มี ส มาธิ ด ว ย มี ส ว นที่ จ ะต อ งประกอบกั น ด ว ย. มี ป ญ ญา, มี ป ฏิ ภ าณ มี ส ติ มี สั ม ปชั ญ ญะ เหล า นี้ สํ า คั ญ มาก. ที นี้ มั น จะช า หรื อ เร็ ว อยู ที่ ฝ ก ถ า ฝ ก ให ดี เ ข า มั น ก็ เ ร็ ว สติ มั น ก็ เ ร็ ว สมาธิมันก็คลองแคลว ปญญามันก็คลองแคลว.


๔๙๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ถาม : การฝ ก อาการของจิ ต หรื อ ว า การฝ ก ทางจิ ต อย า งนี้ วิ ธี ก ารฝ ก วิ ธี ก ารทํ า ของเรา นี่ มั น ใช ฝ ก อยู ใ นขณะเวลาการทํ า การทํ า งานเท า นั้ น หรื อ หรื อ ว า เราจะต อ งมา ใชเวลาฝกเปนอยูในที่สงัด ?

ตอบ : นั่ น ควรจะเห็ น ได แ ล ว มั น เป น หลั ก ทั่ ว ไป เราควรจะเห็ น ได มองเห็ น ได โดยไม ต องถามก็ ได ; เหมื อนกั บ เราซื้ อป นมา จะใช ป องกั นตั วต อสู ข าศึ ก ถ าซื้ อมา เก็บ ไวเ ฉย ๆ ไมฝ ก การใชป น ใหถ ึง ที ่ส ุด แลว มัน จะใชไ ดห รือ ? ฉะนั ้น เราก็ต อ ง ฝกการใชปนใหถึงที่สุด เมื่อถึงเวลาที่จะตองใช ก็ใชไดทันทวงที. เดี๋ ย วนี้ จ ะเป น พระ เป น เณร เป น ชาวบ า นก็ ดี ถ า มี เ วลา จะฝ ก จิ ต เตรี ย มไว ก็ ต อ งฝ ก เตรี ย มไว พอถึ ง เวลามั น จะได ใ ช , ก็ แ ปลว า เวลาที่ จ ะต อ งฝ ก มั น ก็ มี อ ยู ส ว นหนึ่ ง เวลาที่ จ ะใช มั น ให ทั น ท ว งที มั น ก็ มี ส ว นหนึ่ ง . ฉะนั้ น ขอ ให ทุ ก คนพยายามสละเวลาที่ จ ะไปโรงอาบอบนวด ไปบางแสน ไปอะไร สละเสี ย บ า ง, แล ว เอามาฝ ก จิ ต ให มั น อยู ในอํ า นาจของเรา ให ใช มั น ได ทั น ท ว งที อะไรเกิ ด ขึ้ น ก็ จ ะได ใ ช . นี่ เ ขาเรี ย กว า การฝ ก เราฝ ก แล ว มั น ก็ ใ ช ก็ ใ ช ไ ด ต ามที่ ต อ งการ, เครื่องมื อทุ กอย างต องฝ กการใช ทั้ งนั้ นแหละ แม จะมี รถยนต มั น ก็ ต องฝ กขั บ รถยนต มั น จึ ง จะใช ร ถยนต ไ ด อาวุ ธ ก็ เหมื อ นกั น เครื่ อ งใช ไ ม ส อยอย า งอื่ น ก็ เหมื อ นกั น ตองการฝกการใชใหถึงที่สุด.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถาม : ทําไมศาสนาจึงเกี่ยวของกับชีวิตนอยเหลือเกิน มีปญหาที่เพื่อน ๆ ถามมา

ตอบ : ทํ าไมศาสนาจึ งเกี่ ยวข องกั บชี วิตน อยเหลื อเกิ น เพราะเจ าของชี วิตมั นโงตอบ สั้น ๆ อยางนี้. เอา อะไรอีก. ถาม : โปรดอธิบายวัตถุวิภาษกับจิตนิยม ใหเขาใจวาอันไหนมีความสําคัญมากกวากัน ?


ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา

๔๙๕

ตอบ : คนนี้เอาศัพทการเมืองปจจุบันมาถาม คนเขียนควรจะรูแลวนา เขา จึง เขีย นได ไมอ ยา งนั ้น มัน จะเขีย นไดอ ยา งไร วัต ถุว ิภ าษคือ อะไร, แลว จิ ตตนิ ยมคื ออะไร. เขาควรจะใช คํ าว า วั ตถุ นิ ยม วั ตถุ นิ ยมที่ ประกอบไปด วยเหตุ ผ ล ทางปรั ชญาเขาเรี ย กว า dialectic materialism วั ต ถุ นิ ย มวิ ภ าษ คื อ เขาพยายามจะ โน ม น า วความคิ ด ของคน ให ไปนิ ย มวั ต ถุ ด ว ยเหตุ ผ ลที่ ล ะเอี ย ดลออทางปรั ช ญา ทางชี ววิ ทยา ทางอะไรอี กหลาย ๆ ทาง เพื่ อจะให เกิ ดเป นพวกที่ นิ ยมวั ตถุ ไปยุ งกั น แต เรื่ อ งวั ต ถุ พั ฒ นาวั ต ถุ ใ ห ถึ ง ที่ สุ ด ; เพราะคนพวกนี้ เขาถื อ ว า เราจะแก ป ญ หา ของโลก โดยการพั ฒ นาวัตถุ ให ถึ งที่ สุ ด พวกวั ตถุ นิ ยมเขาถื อว า เราจะทํ าสั นติ ภ าพ ในโลกนี้ ได ด วยการทํ าวั ต ถุ ให มั น ถึ งที่ สุ ด ก็ เกิ ด ปรั ชญาทางวั ต ถุ นี้ ขึ้ น มา เรี ย กว า วัตถุนิยมวิภาษ. ที นี้ ทางจิ ตตนิ ยม ก็ ควรจะมี วิ ภาษด วยเหมื อนกั นแหละ คื อเขาถื อว าไม ได เราต องมาศึ กษาและพั ฒ นาเรื่องจิ ต ; เราจึ งจะทํ าโลกนี้ ให มี สั นติ ภาพได ก็ มุ งกั น แตเรื่องจิต โดยไมคํานึงถึงวัตถุ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ส วนพุ ทธศาสนานั้ นไม เอาอย างนั้ น เอาความพอดี ความถู กต อง ทั้ งจิ ต และวั ตถุ จึ งไม เรี ยกว าวั ต ถุ นิ ย มหรื อ จิ ต ตนิ ยม, จะเรี ยกว าความถู กต อ งนิ ยม นิ ย ม ความถู ก ต อ ง คื อ ธรรมเนี ย ม หรื อ อะไรก็ แ ล ว แต จ ะเรี ย ก ให มั น เป น ความถู ก ต อ ง ระหว า งวั ต ถุ กั บ จิ ต ก็ แ ล ว กั น . นี่ คื อ ความมุ ง หมายของพุ ท ธศาสนา เป น ธรรมนิ ย ม ดีกวา.

วั ตถุ นิ ยมมั น ก็ เหวี่ ย งไปสุ ด โต งฝ ายหนึ่ ง จิ ต ตนิ ยมมั น ก็ เหวี่ ย งไปสุ ด โต ง ฝา ยหนึ ่ง ; แตค นเรายัง มีทั ้ง กายและทั ้ง จิต . ฉะนั ้น เราตอ งอยู ที ่ค วามถูก ตอ ง


๔๙๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ระหว า งกายกั บ จิ ต ดี ก ว า . พระพุ ท ธศาสนาก็ อ ยู ที่ ต รงนี้ สนใจความถู ก ต อ งทั้ ง ทาง ฝายวัตถุและทั้งทางฝายจิต คือทั้งทางฝายรางกายและทั้งทางฝายจิต ไมแยก. นี่ เรี ย กว า จะต า งกั น อย า งไรก็ ไ ปดู เอาเอง แล ว เราก็ ไ ม ต อ งการจะเอา ประโยชน จ ากความต า งของมั น . เราจะเอาประโยชน จ ากการที่ เราทํ า ให มั น ถู ก ต อ ง เกี่ ย วกั บ สิ่ ง ทั้ ง ๒ นี้ , อย า ทํ า ผิ ด พลาด, อย า ให เกิ น ในทางวั ต ถุ . เดี๋ ย วนี้ ท างวั ต ถุ มั น จะเกิ น โลกนี้ จนทํ า ให โ ลกเต็ ม ไปด ว ยกิ เ ลส ส ว นทางจิ ต นั้ น ไม ค อ ยมี เพราะ มั น ไม ส นุ ก . คนที่ เ กิ ด มาในโลกยุ ค ป จ จุ บั น นี้ ไม ค อ ยชอบทางจิ ต เพราะมั น ไม สนุ ก ไม อ ร อ ย ไม ส นุ ก สนาน ก็ เ ลยหั น ไปทางวั ต ถุ กั น หมด, จนทางวั ต ถุ มั น เกิ น มันก็เปนที่ตั้งแหงกิเลสมันก็เกิดปญหาทางจิตขึ้นมาอีก. เอามีปญหาอยางไรอีก. ถาม : ผมหมดป ญ หาแล วครั บ เพื่ อ น ๆ มี ป ญ หาอะไรก็ เชิ ญ เข ามาถามหลวงพ อ ได เลยครั บ มีเพื่อน ฝากถามมาวา มังสวิรัตนั้นอยูในธรรมะประเภทไหน ?

ตอบ :เรื่องมังสวิรัติไมไดเปนปญหาทางธรรม หรือไมใชเรื่องที่จะเปนปญหาใน พุท ธศาสนา ควรจะถือ วา เปน เรื ่อ งทั ่ว ไป, เปน เรื ่อ งความจริง ทั ่ว ๆ ไป พระพุ ท ธเจ า ท า นไม ท รงบั ญ ญั ติ ใ ห ถื อ มั ง สวิ รั ต ก็ ห มายความว า ไม ได บั ญ ญั ติ เรื่ อ งนี้ . ถ า ใครเห็ น ว า มี ป ระโยชน ก็ ถื อ ได ท า นก็ ไ ม ห า ม ถ า มั น พิ สู จ น ค วามมี ประโยชนแลวก็ถือได มังสวิรัติ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แต สํ า หรั บ ภิ ก ษุ นั้ น เป น บุ ค คลประเภทหนึ่ ง มี ชี วิ ต อยู ใ นโลก เนื่ อ ง ด ว ยอาหารหรื อ วั ต ถุ ป จ จั ย ที่ ผู อื่ น ให แล ว ก็ ไ ม มี สิ ท ธิ ที่ จ ะเรี ย กร อ งว า เอาอย า งนั้ น เอาอย า งนี้ ไม มี สิ ท ธิ . ฉะนั้ น จึ ง ได ป ล อ ยไปตามที่ เขาจะให แล ว เมื่ อ เขาให ม าแล ว


ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา

๔๙๗

ก็ อ ย า ไปทํ า ความสํ า คั ญ มั่ น หมายว า เนื้ อ หรื อ ว า ผั ก ไม ถู ก ทั้ ง นั้ น . ให ม องดู ใ น ลักษณะที่เปนสิ่งที่เปนอาหารที่มีประโยชน ที่ควรจะบริโภคก็แลวกัน. การไปทํ าความหมายว าเนื้ อหรื อผั กนั้ น มั นเป นเรื่ องเพื่ อกิ เลส เพื่ ออร อย หรือ เพื ่อ ไมอ รอ ย เพื ่อ ดีห รือ เพื ่อ ไมด ี อะไรไปทํ า นองนั ้น เสีย . อยา ไปสรา งความ รูสึ ก อย า งนั้ น ขึ้ น มา หมายมั่ น เป น การกิ น เนื้ อ ก็ ไม ถู ก หมายมั่ น เป น การกิ น ผั ก ก็ ไม ถู ก . ควรจะหมายมั่ น เพี ย งการกิ น อาหารที่ บ ริ สุ ท ธิ์ . แต เดี๋ ย วนี้ ถ า ใครสามารถจะ จั ด อาหารให ตั วเองได และรูสึ ก ว า มั น มี ป ระโยชน ก็ จั ด ได เขาอยากจะเว น อาหาร สวนที่เปนโทษเสีย เชนถือวาเนื้อเปนโทษ เขาก็เวนเสียสิ เขาก็กินแตผัก. ฉะนั้ น ก็ ไ ปหาความจริ ง เอาเอง ไปพิ สู จ น ท ดลองเอาเอง ว า กิ น เนื้ อ มี ประโยชน ท างจิ ต ใจทางร า งกาย ทางอะไรก็ กิ น ถ า ไม มี ป ระโยชน ใ ห โ ทษก็ ไ ม กิ น กิ น ผั ก มี ป ระโยชน ก็ กิ น ผั ก แต อ ย า ใช คํ า ว า เนื้ อ ว า ผั ก ด ว ยความยึ ด ถื อ หมายมั่ น เลย ใหมองไปในแงที่วา เปนอาหารที่เหมาะสมสําหรับเราก็แลวกัน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถาม : คื อ กระผมนะครั บ อยากจะถามเรื่ อ งเกี่ ย วกั บ ชาติ ห น า หรื อ ว ากรรมเก า คื อ หลั งจาก ตาย ไปแล วนะครั บ ที่ ถ ามี ผู ถามพระพุ ทธเจ าท านไม ตอบ อยากทราบว ามั นมี จริ งหรื อ เปลา ? ถา มีจริงอยากใหอธิบายครับ ใหเขาใจ ขอบคุณมากครับ.

ตอบ : เรื่อ งนี้ มี อ ะไร ๆ ที่ ยั ง ไขวกั น อยู ม าก เช น ว าพระพุ ท ธเจ า บางคนเข าใจเอา เองวา พระพุทธเจาปฏิเสธเรื่องนี้ ที่จริงทานไมไดปฏิเสธ เรื่องชาติหนา เรื่อ งนรก สวรรค อะไรอย างที่ เขาพู ด กั น อยู ก อ น ๆ นั้ น ท านไม ได ป ฏิ เสธ, ก็ ทิ้ งไว . ถา ใครมาชวนคุย เรื ่อ งนี ้ ทา นบอกวา รอไวก อ นยัง ไมจํ า เปน มาพูด กัน วา เดี ๋ย ว


๔๙๘

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

นี ้ม ีค วามทุก ขห รือ ไม เดี ๋ย วนี ้แ กม ีค วามทุก ขห รือ ไม ? แลว ก็พ ูด เรื่อ งนี ้ก ัน กอ นซิ. ทีนี ้ถ า ดับ ทุก ขที ่นี ่ไ ด ชาติห นา ก็ไ มต อ งก ลัว ฉ ะนั ้น เราไมพ ูด ถึง ชาติห นา เพราะว าเราไปทํ าอะไรกั บมั นไม ได . ยิ่ งชาติ ที่ แล วมาด วยแล ว เรายิ่ งทํ าอะไรกั บ มั น ไมไ ด เราจะไปพูด ใหเ สีย เวลาทํ า ไม. เราก็พ ูด ที ่นี ่แ ละเดี ๋ย วนี ้ ที ่เ ราจะทํ า ได ที่ เราจะควบคุ ม ได จะจั ดจะทํ าได แล วเราก็ ทํ าให ถู ก . ที นี้ เรื่อ งชาติ ห น าถ ามั น มี มั น ก็ถูกไปหมดแหละ เพราะวามันไดทําไวถูก เปนเหตุเปนปจจัยของความถูก. ฉะนั้ น อย า เข า ใจว า พระพุ ท ธเจ า ท า นปฏิ เสธสิ่ ง เหล า นี้ ท า นไม ได พู ด ปฏิเ สธหรือ ยอมรับ , แตท า นวา ยัง ไมใ ชเ รื ่อ งดว นที ่จ ะพูด กัน , มาพูด เรื ่อ งดว นที่ จะพู ดกัน แล วทํ าให เสี ยให ถู ก. ถาที่ นี่ ทํ าถู กแล วชาติ หน าก็ ถู ก เรื่องนรกก็เหมื อนกั น อย า ตกนรกกั น ในมหาวิ ท ยาลั ย ก็ แ ล ว กั น . แล ว มั น ไม ต กนรกโลกหน า โลกไหนอี ก แหละ. ที ่นี ่อ ยา ตกนรก อยา ทํ า ใหม ัน มีค วามหมายแหง นรก ถา ตอ งการสวรรค ก็ ทํ าให มั น มี ความหมายแห งสวรรค ที่ นี่ เดี๋ ยวนี้ ต ลอดเวลาไป, ตายแล วไม ต อ งกลั ว จะต อ งได ส วรรค อย า ทํ า ผิ ด ที่ มั น เป น ความทุ ก ข ค วามร อ นใจที่ นี่ ทํ า แต ที่ ถู ก ที่ สบายใจ ที่ ย กมื อ ไหว ตั ว เองได อยู ต ลอดเวลา ตายแล ว ไม ต อ งกลั ว . ถ า สวรรค มี เป น ไปสวรรค แ น ถ า ไม มี ก็ จ ะทํ า อย า งไรได ; ท า นไม ได ป ฏิ เสธว า ไม มี ห รื อ รั บ ว า มี แต มั น ขึ้ น อยู กั บ เหตุ ป จ จั ย ที่ เราจะทํ า กั น เดี๋ ย วนี้ , แล ว ป ญ หาที่ สํ า คั ญ ที่ สุ ด นั้ น ก็ คื อ ความทุ ก ข , ความทุ ก ข เดี๋ ย วนี้ มี ค วามทุ ก ข ห รือ ไม ? ไฟกํ า ลั ง ไหม หั ว อยู ห รือ ไม ? นี่มาจัดเรื่องนี้กันกอน เมื่อจัดเรื่องนี้ไดเรื่องอื่นก็หมดปญหา.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทานไมไดปฏิเสธเรื่องนรกเรื่องสวรรคเรื่องอะไร อยางที่เขาพูด ๆ กั น อยู ใ นเวลานั้ น . แต บ างที ท า นก็ ผ สมโรงเลยไปกั บ เขาด ว ยเหมื อ นกั น ว า ถ า ต องการจะมี ค วามสุ ขในชาติ ห น า ก็ ขอให ป ฏิ บั ติ อ ย างนี้ ๆ นี้ ก็ มี ; เพราะถื อ เสี ย ว า


ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา

๔๙๙

คนเหล า นั้ น เขาชอบชาติ ห น า มี ค วามสุ ข . ท า นก็ แ นะได ว า ต อ งทํ า อย า งนี้ สิ เพื่ อ มี ความสุ ข ในชาติ ห น า แต ท า นไม ได ยื น ยั น มั่ น หมาย อย า งที่ ค นธรรมดาเขายื น ยั น กั น ว า มี แ น ว า ไม มี แ น , ว า ตายแล ว เกิ ด ตายแล ว ไม เกิ ด ท า นไม ยื น ยั น , แล ว ไม ชวนพู ด เรื่ อ งอย า งนั้ น . ชวนพู ด แต ว า เดี๋ ย วนี้ มี ค วามทุ ก ข ห รื อ ไม ไหนเอามาดู จ ะ ไดชวยกันแกไข. ฉะนั้ นเราอย าไปเสี ยเวลากั บเรื่องที่ เรายั งทํ าอะไรไม ได เรามาใช เวลากั บ เรื่ อ งที่ เราจะทํ า มั น ได จะจั ด มั น ได จะควบคุ ม มั น ได กั น ก อ น คื อ ร า งกาย จิ ต ใจ ความคิ ด ความเห็ น ความรู ค วามเชื่ อ นี้ เรารี บ ทํ าให มั น ถู ก เสี ย ก อ นเถอะ แล วมั น จะรับประกันตลอดไปเลย. ถาม : คือวาสัตวเปนสิ่งที่มีชีวิตนะครับ ตนไมก็เปนสิ่งที่มีชีวิต กระผมอยากทราบวา ตนไม นี่มีจิต และวิญญาณหรือไมครับ ?

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ตอบ : นี่ ถ ามว า ต น ไม มี จิ ต มี วิ ญ ญาณหรื อ ไม ? ก็ ต อบว า ป ญ หานี้ ไ ม ใ ช ป ญ หา ทางธรรม ไมใ ชป ญ หาทางพุท ธศาสนา, และไมม ีก ารบัญ ญัต ิไ วโ ดยตรง. แต ถ า อาศั ย ศึ ก ษาสั ง เกตประมวลมาดู เราก็ พ อจะพู ด ได เหมื อ นกั น . แต ถ า ถาม อย างนี้ มั นเป นป ญ หาทางวั ตถุ หรื อทางชี ววิ ทยามากกว า. คุ ณ ไปติ ดตามความรู ท าง ชีว วิท ยา โดยเฉพาะสมัย ปจ จุบ ัน นี ้ เขาก็อ ธิบ ายกัน ไดม าก พอที ่จ ะทํ า ใหเ รา เขาใจได. สํ าหรั บ อาตมานั้ น เท าที่ ศึ ก ษาค น คว าทดลอง เท าที่ อ ะไรมาเรื่ อ ย ๆ นี้ อยากจะพู ดว า มั น ก็ มี หากแต วามั นคนระดั บ สิ่ งใดมี ชี วิ ต สิ่ งนั้ นจะต อ งมี จิ ตหรือ มี


๕๐๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

วิ ญ ญ าณ เป น แน น อน. หากแต ว า มั น เป น ระดั บ ที่ น อ ยมาก หรื อ อะไรมากก็ ไ ด เพราะมั น มี ค วามรู สึ ก , เพราะมั น มี ค วามรู สึ ก . ไปศึ ก ษาทางชี ว วิ ท ยา จะมี ผ ล ให รูไดวาตนไมก็มีความรูสึก. ไปศึกษาทางชีววิทยา จะมีผลใหรูไดวาตนไมก็มีความรูสึก. เดี๋ ยวนี้ เขาตั้ งสมาคมค น คว าเรื่ อ งนี้ กั น ขึ้ น มามาก สถาบั น บางแห งทํ าแต เรื่ อ งนี้ เ รื่ อ งเดี ย ว : พิ สู จ น ถึ ง เรื่ อ งต น ไม มี ค วามรู สึ ก หรื อ ไม ? พิ สู จ น กั น ถึ ง ว า มี ความรู ส ึก รัก รู ส ึก กลัว รู ส ึก ตอ สู  อะไรนี ่ มีร ายละเอีย ดพอใชท ีเ ดีย ว. แตว า เราไม ได เป น สมาชิ ก หรื อ เราไม ได ติ ด ต อ เพื่ อ จะรั บ ความรู อั น นี้ ม า ต อ งไปติ ด ต อ กั บ พวกนั ้น พิส ูจ นไ ดว า ตน ไมนี ้ม ีก ลัว ตายเหมือ นกัน . เขามีเ ครื ่อ งวัด ความรู ส ึก ของตน ไม คนที ่เ กลีย ดตน ไมเ ขา มาในหอ งนั ้น แลว เครื ่อ งวัด มัน ก็แ สดงทีเ ดีย ว คนที่รักตนไมเขามาในหองนั้น เครื่องวัดนั้นก็แสดงทีเดียว. หรื อ ทดลองให เด็ ก ๆ แบ ง เป น ๒ พวก ให ป ลู ก เมล็ ด พื ช ลงไปในจาน แล ว พวกหนึ่ ง ให ไ ปเยี่ ย ม ให ก ล า วคํ า ไพเราะอ อ นหวาน เหมื อ นกั บ น อ งเหมื อ นกั บ เพื่ อ นอะไรทุ ก วั น แล ว อี ก พวกหนึ่ ง ให ไ ปด า ให ไ ปสาปแช ง อะไรทุ ก วั น ปรากฏว า เมล็ ด พื ช นี้ อ อกหน อ มาไม เ หมื อ นกั น ; ฝ า ยหนึ่ ง มั น เจริ ญ ดี , ฝ า ยหนึ่ ง มั น เหมื อ น มันเกือบตาย หรือมันตาย.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ดู ต น ไม สิ เราดู ด ว ยความรู ธ รรมดาชาวบ า นธรรมดาเถอะ ต น ไม นี้ มั น ตอ สู เ พื ่อ รอด อยู ร อดทั ้ง นั ้น ; พอเราไปทํ า ใหม ัน ตกใจแลว มัน ก็จ ะตอ สู  แลว มัน ก็ จ ะเริ่ ม ออกดอกออกผลเพื่ อ การตาย เพื่ อ จะทิ้ ง พื ช พั น ธุ ไ ว . นี้ ช าวสวนเขารู ดี ทุ ก คนแหละ ถ าต นไม นี้ มั นไม ออกลู ก เขาก็ พ ยายามไปทํ าเหมื อนกั บจะแกล งให มั นตาย เอามี ด ไปสั บ บ า ง เอาไฟไปลนบ า ง อะไร มั น ก็ อ อกผลมา แล ว บางที ก็ ต ายไปเลย.


ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา

๕๐๑

มัน รู จ ัก ตอ สู  มัน รู จ ัก จะสืบ พัน ธุ ใ หเ ห ลือ ไว ก็ด ูส ิ มัน รู จ ัก ห ากิน รู จ ัก โนม เงื ้อ มไปหาแสงแดด รู จ ัก แขง ขัน รู จ ัก อะไรกัน , แลว ยิ ่ง ตน ไมบ างชนิด พวกที ่ม ัน มี ค วามรู สึ ก ไว มั น ก็ รู สึ ก ได เช น มั น รู สึ ก หุ บ รู สึ ก เบิ ก บาน รู สึ ก อะไรอย า งหญ า ไมยราพ หรือ วา ตน ไมช นิด ที ่ม ัน กิน แมลงอยา งนี ้ พอแมลงตกลงไปในหลุม ในดอกของมั น มั น ก็ หุ บ แล วมั น ก็ ล ะลายน้ํ า ย อ ยนี้ . นี้ แ สดงว า มั น มี ค วามรู สึ ก ต อ ง ใชว า อยา งนั ้น มัน มีค วามรู ส ึก มีค วามหมายกับ คิด นึก และรู ส ึก มัน มีช ีว ิต แล ว มั น รู สึ ก คิ ด นึ ก มั น รู สึ ก สั ม ผั ส ว า มั น มี อ ะไรมาถู ก หรื อ ไม . นี้ ก็ เรี ย กว า มั น รู สึ ก มีวิญญาณที่เปนสัมผัส. ถาม : ปญหาตอไป การที่มีคนไปกราบไหวพระพุทธรูปนั้น เปนการประพฤติผิดหลัก ธรรมหรือไม ?

ตอบ : ถามเอาเปรี ย บ คื อ ไม ไ ด บ อกว า ไปกราบไหว พ ระพุ ท ธรู ป ด ว ยความรู สึ ก อยางไร นี่ไมไดบอกนี่. การที่ใครจะไปกราบไหวพระพุทธรูปนั้น มีความหมายหลายอยาง แลวแตความรูสึก.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ าเขาไปกราบไหว สั ญ ญลั ก ษณ ของพระพุ ท ธเจ า ไปขอบคุ ณ พระพุ ท ธ เจา , ไปหาความรู ส ึก อะไรที ่เ กี ่ย วกับ ธรรมะ นี ้ม ัน ก็ไ มผ ิด . ถา ถือ พระพุท ธเจา เป น รู ป เคารพ แล ว ก็ ไปไหว พ ระพุ ท ธรู ป อย า งรู ป เคารพ อย า งนี้ ไม เป น พุ ท ธศาสนา. แต ถ า ไปกระทํ า อย า งวั ต ถุ สั ญ ญลั ก ษณ ข องพระพุ ท ธเจ า เพื่ อ ให เรามี จิ ต ใจใกล ชิ ด หรื อ ดี หรื อ ยิ่ ง หรื อ สู ง ขึ้ น ไป มั น ก็ เป น พุ ท ธศาสนา. ไหว รู ป เคารพนั่ น เขาเลิ ก กั น ไปนานแล ว , เลิ ก กั น ไปเสี ย หลายพั น ป แ ล ว . เขาประณามว า มั น โง เ ขลา. ฉะนั้ น คุ ณ อย า จั ด การไหว พ ระพุ ท ธรู ป นี้ ว า เป น การไหว รู ป เคารพ มั น จะเสี ย หายแก พ ระ พุทธศาสนา หรือพุทธบริษัทนั่นเอง.


๕๐๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

เราไปกราบไหวพ ระพุท ธรูป ใหถ ือ วา เปน การแสดงความเคารพ พระพุ ท ธเจ า ทางสั ญ ญลั ก ษณ ข องพระองค ถึ ง เมื่ อ พระองค ยั งมี ชี วิ ต อยู ร า งกาย ของพระพุ ท ธเจ า ก็ เป น เพี ย งสั ญ ญลั ก ษณ เท า นั้ น แหละ; เพราะว า พระพุ ท ธเจ า ตั ว จริง อยู ข า งใน. เห็น ธรรมะจึง จะเห็น พระพุท ธเจา เห็น พระพุท ธเจา คือ เห็น ธรรมะ. ฉะนั้ น เราจะไหว ที่ นั่ น ที่ นี้ สํ า หรั บ คนที่ ทํ า อย า งนั้ น ไม ไ ด ก็ ไ หว ผ า นทาง สั ญ ญลั กษณ . เมื่ อพระพุ ทธเจ าท านยั งมี ชี วิ ต อยู ร างกายของท านเป น สั ญ ญลั กษณ ของพระพุ ท ธเจ า เราก็ ไ หว . ต อ มาท า นปริ นิ พ พานไป พระธาตุ นี้ ก็ เ ป น สั ญ ญ ลั ก ษณ, แลว ตอ มาเขาเอาพระพุท ธรูป หรือ พระเจดีย  พระอะไรเปน สัญ ลัก ษณ ก็ไหวไดเหมือนกัน ; แตอยามองไปในแงของรูปเคารพ. ถาม : ป ญ หาต อ ไปที่ เพื่ อ น ๆ ถามมาครั บ การที่ พ ระพุ ท ธเจ าตรั ส ว า ความสุ ข ในโลกนี้ ไม มี มีแต ทุกข นอยกั บ ทุกข ม าก หมายความว าอย างไร ช วยอธิ บ ายให เข าใจแจ ม แจ งด วย ครับ ?

ตอบ : คื อ เขาต อ งการให ม องให ลึ ก จนเห็ น ว า สิ่ ง ที่ เรี ย กว า ความสุ ข นั้ น มั น เป น เรื่องความสําคัญผิด, เรามีความทุกขเปนเรื่องจริง, แลวก็ทุกขนั้นก็ ลดลง ๆ จนไมม ีท ุก ขเ หลือ นั ้น มัน ก็เ ปน เรื ่อ งจริง . ถา จะใหเ ปน เรื ่อ งสุข มัน ก็ ต อ งเรี ย กว า สวมลงไปที่ ค วามมี ทุ ก ข น อ ยหรื อ ไม มี ทุ ก ข เลย, ความที่ ไ ม มี ทุ ก ข เลย เราสมมติบัญญัติเรียกวาเปนความสุข.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที นี้ คํ า ว า สุ ข หรื อ ทุ ก ข นี้ มั น มี อี ก คู ห นึ่ ง มี อี ก คํ า หนึ่ ง เป น เพี ยง เวทนา สุ ข เวทนา ได อ ย า งใจเอร็ ด อร อ ย, นี้ เราเรี ย กกั น ว า ความสุ ข , เป น เวทนา เท า นั้ น . เวทนานั้ น เป น ทุ ก ข ผู มี ป ญ ญาเขาชี้ ใ ห เห็ น ว า สุ ข เวทนา เวทนาที่ กํ า ลั ง


ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา

๕๐๓

เปน สุข นั ้น มัน ก็เ ปน ทุก ข คือ ดูแ ลว มัน นา เกลีย ดนา ชัง มัน ไมเ ปน ความสบายใจ ที่ จ ะไปดู สิ่ ง ที่ ห ลอกลวงเปลี่ ย นแปลง. สุ ข เวทนานั้ น หลอกลวงและเปลี่ ย นแปลง แล ว ก็ ค รอบงํ า จิ ต ของใครแล ว คนนั้ น มั น จะยึ ด หนั ก อยู ด ว ยอุ ป าทาน. ฉะนั้ น สุ ข เวทนาก็เ ปน สัก วา เวทนาที ่ห ลอกลวง, ไมค วรจะเรีย กวา ความสุข ที ่แ ทจ ริง . ถ าจะมี ค วามสุ ขที่ แท จริ งกั น แล ว ก็ ขอให ไปเอาที่ ค วามหมดทุ ก ข สิ้ น ทุ กข ดั บ ทุ ก ข หมดความรู สึ ก ว า ตั ว ตน หมดความรู สึ ก ว า ตั ว ตน, ทุ ก ข เกิ ด ไม ไ ด . เอานั้ น เป น ความสุขได. ที นี้ ถ าว าเป นภาษาต่ํ าลงมา เป นภาษาชาวบ านชาวโลก ก็ เอาที่ ว า ไม มี ใครเจ็ บ ปวดเดื อ ดร อ นรํ า คาญนั้ น แหละ เป น ความสงบสุ ข อย า งภาษาโลก ๆ. ทุ ก คนอยู ด ว ยกั น ด ว ยความสงบ จั ด เป น สุ ข . แต อ ย า ไปพู ด ถึ ง ความต อ งเกิ ด ต อ งแก ต อ งเจ็ บ ต อ งตาย นี้ อ ย า ไปพู ด ขึ้ น . เอาความสุ ข เพี ย งภาษาชาวบ า น มี กิ น มี ใ ช สบายกั น ไปได ก็ เรีย กว า ความสุ ข อย า งชาวบ า น แต ไม ใช ค วามสุ ข ในความหมาย ที่แทจริง.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้ นถ าว าพู ดกั นในความหมายที่ แท จริงแล ว มั นก็ จะพู ดกั นอย างที่ ว า แหละ มี ทุ ก ข กั บ ไม มี ทุ ก ข . มี ค วามทุ ก ข มั น ก็ เ ป น ทุ ก ข , แล ว น อ ยลง ๆ จนไม มี เหลื อ ก็ เป น ความสิ้ น สุ ด แห ง ความทุ ก ข . ให ส มมติ ห รื อ บั ญ ญั ติ อั น นี้ ว า เป น ความ สุขดีกวา พระนิพพานคือสิ้นสุดแหงความทุกข.

ถาม : ปญ หามีว า ตามหลั ก ศาสนาพุ ทธว า การฆ าสั ต ว เป นการบาปใช ไหมครั บ ? แล ว ทํ าไมมี พ ระ บางองค หรื อ คนบางกลุ ม ว าการฆ าคอมมิ วนิ ส ต ไม บ าป กระผมอยาก ทราบวา มันเปนความจริงมากนอยแคไหนครับ ?


๕๐๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ตอบ : โอ ตอบแทนคนเหลานี้เราไมตอบ ไปถามเขาเถอะ, ไมตอบแทนใหเขา, แล ว คํ า พู ด มั น กํ า กวม เจ า ของคํ า พู ด นี้ เขาก็ เปลี่ ย น, เขาก็ เปลี่ ย นว า ฆ า ลัทธิคอมมิวนิสตตางหาก ไมใชฆาคน มันเลนตลก ตองไปถามเจาของคําพูด. แต เรามี วิ ธี นะ ฆ าคอมมิ วนิ สต แล วไม บาป คื อว าเราชวนกั นปฏิ บั ติ ธรรม ศี ล ธรรม ให มี เต็ ม ไปในโลก แล ว คอมมิ ว นิ ส ต ต ายหมดเอง, มั น เลิ ก ความเป น คอมมิว นิส ตก ัน เอง. นี ่ไ มบ าปดว ย, แลว คอมมิว นิต สก ็ไ มม ีด ว ย, พวกนายทุน นั่ น แหละกลายเป น ใจบุ ญ เอื้ อ เฟ อ ให เต็ ม ที่ เถอะ คอมมิ ว นิ ส ต ก็ ต ายหมดเอง คื อ ไมมีใครเปนคอมมิวนิสต. ถาม : ขอโทษนะครับ คือมีเพื่อนถามวา พระพุทธเจารูปรางอยางไร ? เปนเจาชายสิทธิธัตถะ หรือเปลา ?

ตอบ : พระพุทธเจามีรูปรางอยางไร เปนเจาชายสิทธิธัตถะหรือเปลา ก็แปลกดี พ ระพุท ธเจา ไมม ีร ูป รา ง คุณ ฟง ถูก ไหม ? พ ระพุท ธเจา จะมีร ูป รา ง อยา งไรไมไ ด ; เพราะวา เปน นามธรรม ไมม ีม ิต ิ คือ ไมม ี dimension. ฉะนั ้น พระพุ ทธเจ าที่ แท จริ งไม มี รู ปร าง ส วนรางกายของท านนั้ น มั นเป นเพี ยงเปลื อกนอก ของทาน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org พระพุท ธเจา ทา นไดต รัส วา ผูใ ดเห็น ธรรม ผูนั้น เห็น เรา, ผูใ ด เห็น เราผูนั้น เห็น ธรรม ผูใ ดเห็น ปฏิจ จสมุป บาท ผูนั้น เห็น ธรรม, ผูใ ดเห็น ธรรม ผูนั้น เห็น ปฏิจ จสมุป บาท, เรื่อ งปฏิจ จสมุป บาทก็คือ เรื่อ งที่พูด เมื่อ อตะกี้ นี้ แ หละเรื่ อ งปฎิ จ จสมุ ป บาท, ท า นตรั ส ว า ผู ใ ดเห็ น ปฏิ จ จสมุ ป บาท ผู นั้ น


ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา

๕๐๕

เห็น ธรรม ผู ใ ดเห็น ธรรม ผู นั ้น เห็น เรา. ฉะนั ้น พระพุท ธเจา แทจ ริง มีรูป รา ง ไม ไ ด ไม มี dimension ก็ เรี ย กว า ไม มี รู ป ร า งอย า งไร. ถ า ว า จะมี รู ป ร า งก็ มี รู ป ร า ง อย า งธรรม. พระธรรมมี รู ป ร า งอย า งไร ก็ ไ ม มี ใ ครบอกได คื อ ไม มี รู ป ร า ง เพราะ ไมใชสิ่งที่มีรูปราง. ทีนี ้พ ระสิต ธัต ถะ เปน ชื ่อ สมมติ สํ า หรับ เปลือ กของทา น เมื ่อ ยัง ไมทันจะเปนพระพุทธเจา นี้ ข อเรี ย กว ามั น เกี่ ย วกั บ ภาษา ถ า เราพู ด กั น ภาษาคน ภาษาเด็ ก ๆ เรา ก็ ว า พระพุ ท ธเจ า ประสู ติ แต เมื่ อ พระพุ ท ธเจ า ประสู ติ นั้ น ยั ง ไม เป น พระพุ ท ธเจ า , จะเรี ยกว าพระพุ ทธเจ าประสู ติ ได อย างไร แต ถ าเราพู ดอย างภาษาชาวบ าน ภาษาคน ธรรมดา ก็เ รีย กวา พระพุท ธเจา ตั ้ง แตย ัง อยู ใ นทอ ง ตั ้ง แตจ ุต ิม า, ไมถ ูก . ขอ ใหยึด หลัก ที่วา ผูใดเห็นธรรม ผูนั้น เห็น พระพุท ธเจา ผูใดเห็น พระพุท ธเจา ผู นั ้น เห็น ธรรม ฉะนั ้น พระพุท ธเจา ยัง อยู ก ระทั ่ง เดี ๋ย วนี ้, ยัง อยู ก ระทั ่ง เดี ๋ย วนี้ แตคุณก็มองไมเห็นพระพุทธเจา.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถาม : ขอกราบเรียนครับ วาผูที่มีจิตวางแลว แตวามีภรรยา และอารมณที่ผูนั้นกระทําตอ ภรรยาถือวาเปนกิเลสหรือเปลา ?

ตอบ : มันจะขัดกันอยูในตัวเอง ถามีจิตวางมีภรรยาไมได คือไมมีตัวตนที่จะมี ภรรยา.


๔๐๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ถาม : ถ า อย า งนั้ น ศาสนาพุ ท ธก็ ไ ม ส ง เสริ ม ให มี ค รอบครั ว สิ ค รั บ ?

ตอบ : จะไมพูดถึงเรื่องวา มีครอบครัวหรือไมมีครอบครัว อยางไหนไมเปนทุกข แล วก็ เอาอย างนั้ น แหละ. มี ค รอบครั วนั้ น มั น ก็ จํ าเป น จะต อ งมี สํ าหรั บ ผู ที่ จะตอ งมี, ถา ไมม ีค รอบครัว แลว มัน เดือ ดรอ นเปน ทุก ข; หรือ ไปทํ า ชั ่ว อยา งอื ่น ก็ม ีค รอบครัว เสีย ดีก วา ทั ้ง ที ่ว า ครอบครัว มัน ก็ม ีเ รื ่อ งยุ ง ยาก มีเ รื ่อ งเปน ทุก ข. ถ า แนะนํ า เขาก็ แ นะนํ า ว า ไม มี ค รอบครั ว ดี ก ว า , แต ถ า มั น ทํ า ไม ไ ด ก็ มี , แล ว ก็ มี ใหม ัน ถูก วิธ ี ที ่ใ หม ีค วามทุก ขน อ ย, คือ ใหม ีอ ยา งเพื ่อ น ที ่จ ะศึก ษาปฏิบ ัต ิธ รรม ดับทุกขกันดีกวา, อยาไปมีเพื่อสนองกิเลสหรือวาสงเสริมกิเลส. ถาม : สมมติ ว า ถ า หากว า ทุ ก คนกระทํ าในจิ ต ว า งได ห มด ในโลกนี้ หรื อ ว า ในประเทศไทย นี้ก็ไม มีผูที่สืบทายาทตอสิครับ ?

ตอบ : นั่นแหละมันก็ควรจะถามได แตขอเท็จจริงไมเปนอยางนั้น. ขอเท็จจริง คือไมมีใครสามารถจะมีจิตวางไดทุกคน ในโลกนี้. มันเปนไปไมได. นี้เราพูดกัน ถึงวาอยาเปนทุกข เพื่ออยาใหเปนทุกข ใหรูจักทําจิตใหวาง, แลวก็ไมไดหมายความวา ทุกคนมันจะทําไดกันทั้งโลก, เพียงแตบวชกันทุกคนนี้ก็ทําไมไดเสียแลว แลวบวชแลวยัง ทําจิตใหวางไมไดอีกละ, เพียงแตจะบวชกันทุกคนมันก็ยังทําไมไดแลวเอาสิมีอะไร ?

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถาม : ผมขอถามวา อานิสสงสของการสรางพระพุทธรูปมีอะไรบาง ?

ตอบ : พวกที ่ห ลอ พระพุท ธรูป ขายจะตอบไดด ี, เราที ่ม ีอ ยู ก ัน เดี ๋ย วนี ้ เราทํ า พระพุ ท ธรู ป ขึ้ น เป น พระพุ ท ธรู ป องค ใ หญ องค น อ ย องค เ ล็ ก พระเครื่ อ ง


ก ข ก กา สําหรับพุทธศาสนา

๕๐๗

พระอะไรก็ตาม เรียกวา สรางขึ้ น มาเพื่ อ สะดวกแก การเคารพบู ชา แกการทําใน ใจถึ ง พระพุ ท ธเจ า เพื่ อ พุ ท ธานุ ส สติ . ถ า เขาใช กั น อย า งนี้ ก็ มี ป ระโยชน อ ย า งนี้ เพื่ อ ส ง เสริ ม ความมี พุ ท ธานุ ส สติ ใ ห ง า ยให ส ะดวก ก็ เป น บุ ญ เป น กุ ศ ล จิ ต น อ มไป ตามทางของพระพุ ท ธเจ า . ถ า เป น พระเครื่ อ งรางก็ ช ว ยทํ า ให บ างคนที่ ขี้ ข ลาดหาย ขลาด. นี้ ค งจะไม เ ป น ป ญ หา เพราะเราก็ ไ ม ไ ด คิ ด จะสร า ง เขาสร า งกั น มาก เหลื อ เกิ น . มองในแง ดี ก็ จ ะใช เ ป น พุ ท ธานุ ส สติ โดยเฉพาะสํ า หรั บ ผู ตั้ ง ต น ผู เริ่ ม ตั้ ง ต น ที่ จ ะต อ งใช สิ่ ง เหล า นี้ เป น เครื่ อ งช ว ยประกอบ. ถ า ผู ที่ สู ง ไปด ว ยธรรมะแล ว เขาก็ ใ ช ธ รรมะเป น พระพุ ท ธเจ า เป น พระพุ ท ธรู ป . ถามแต เ พี ย งว า มี ป ระโยชน อย างไรบ างใช ไหม ? ก็ แปลว า ผู ถ ามก็ ย อมรั บ ว ามั น มี ป ระโยชน แล วใช ไหม แล วจึ ง ถามวาอะไรบาง ? ถาม : ถามว า อานิ ส สงส อย า งชาติ ห น า อะไรอย า งนี้ .

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ตอบ : เกี่ ย วกั บ พระพุ ท ธรู ป เกี่ ย วกั บ สร า งพระพุ ท ธรู ป หรื อ ? เอ าถ าจิ ต เป น บุ ญ มั น ก็ มี ป ระโยชน เรื่ อ งชาติ ห น า เมื่ อ ชาติ ห น ามั น มี เรา ก็มีบุญที่ทําไวแลว มันก็มีประโยชน ชาติหนามันก็จะดี. ทํ า ไมชอบไปถามถึง ชาติห นา นัก เลา ถา ชาตินี ้ด ีใ หม ัน ถึง ที ่ส ุด มี พระพุ ท ธรู ป ก็ ใ ช ใ ห เป น ประโยชน ที่ นี่ เดี๋ ย วนี้ ชาติ นี้ ใ ห เต็ ม ที่ ชาติ ห น า ไม ต อ งห ว ง มันดีเอง. ถาม : ขอนมัสการถามอีกขอวา การที่มีผูนั่งแลวเห็นพระพุทธรูปอะไรนี้ใชพระพุทธเจาหรือ เปลา ?


๕๐๘

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ตอบ : เขาเห็ น ว า อย า งไร ถาม : เห็นรูปเปนคลายพระพุทธรูป นั่นใชพระพุทธเจาตัวจริงหรือเปลา ?

ตอบ : อาว เมื่อตะกี้บอกแลว พระพุทธเจาตัวจริงไมมีรูป. เมื่อกี้บอกแลว ถา เขาหลั บ ตาเห็ น เขา ก็ เห็ น อย า งที่ เขาคิ ด ที่ เขาสร า งขึ้ น เอาพระพุ ท ธรู ป มาเพ ง เพ ง ๆ ๆ เดี๋ ยวก็ ติ ดตาก็ เห็ น หลั บ ก็ เห็ น เพราะเขาเคยเห็ น พระพุ ทธรู ป มานม นานแล ว . เขาก็ ห ลั บ ตาให เห็ น พระพุ ท ธรู ป ได โดยง า ย เพี ย งจิ ต น อ มไปนิ ด เดี ย วก็ เห็ น. แต มั นแปลกอยู ที่ ว า ต างคนต างเห็ นเป นไปตามแบบของตั ว อาซิ้ ม ก็ จ ะ เห็ นพระพุ ทธเจ าเป นรู ป แบบอย างจี น, คนอิ นเดี ยก็ จะเห็ นพระพุ ทธเจ าอย างรู ป แบบ อิ น เดี ย , เราก็ เห็ น พระพุ ทธเจ า เป นรู ป แบบอย า งพระพุ ทธรู ป ไทย ๆ. คุ ณ คิ ด ว า อะไรสร างขึ้ นมาอย างนี้ มโนภาพสร างขึ้ นมาตามสั ญ ญา, ความสํ าคั ญ มั่ นหมายว าเป น อย างไร. อาตมายื น ยั น ว า พระพุ ท ธเจ า ไม มี รู ป ถ า เป น พระพุ ท ธเจ าที่ แ ท จ ริ ง ไม มี รูปไมมีภาพ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถาม : ท า นครั บ อยากจะทราบเรื่ อ งเกี่ ย วกั บ พลั งจิ ต คื อ พลั งจิ ต นี่ เกี่ ย วข อ งกั บ ศาสนาพุ ท ธ หรื อ ไม ค รั บ ? ถ า สมมติ ว า มี ค นคนหนึ่ งเกลี ย ดชั งอี ก คนหนึ่ งมาก สาปแช งทุ ก วั น ๆ แบบนี้ แลวจะมีผลถึงคนที่เขาเกลียดชังไหมครับ ?

ตอบ : เรื่องจิต, กําลังจิต อะไรจิต นี้มันก็เปนเรื่องจิต ไมใชเรื่องธรรมะ เรื ่อ งธรรมะก็จ ะดับ กิเ ลสดับ ทุก ข เรื ่อ งธรรมะ. ถา เปน เรื ่อ งจิต มัน ก็ เป น เรื่ อ งวิ ช าอี ก อั น หนึ่ งเกี่ ย วกั บ เรื่ อ งจิ ต . ถ า เขาสามารถค น คว า รู เอามาประพฤติ กระทํ า มั น ก็ ได ผ ล คื อ มี จิ ต ที่ มี กํ าลั ง จิ ต นี้ มี กํ าลั งแล วก็ เป น เรื่ อ งทางจิ ต ไม ใช ท าง ธรรม. เขาถื อ ว า มั นส งไปบั งคั บให เบี ยดเบี ยน ไปอะไรกั น ได . วิ ช านี้ เขาค นเขา พบ เขาสนใจกั น ก อ นพุ ท ธกาล ก อ นพระพุ ท ธเจ า , ความรู เรื่ อ งจิ ต ใช กํ า ลั งจิ ต ให ไปทําใหคนตาย ใหคนอะไรก็สุดแท, มันมีอยูกอนพุทธกาล ไมใชเรื่องธรรมะ.


อบรมคณะนักศึกษา จากวิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช ๒๑ มกราคม ๒๕๒๒ ณ โรงเรียนหินธรรมชาติ สวนโมกขพลาราม ไชยา

เคาโครงของพุทธศาสนา. นักศึกษา ผูสนใจในธรรม ทั้งหลาย, ชั่ วเวลาเล็ กน อยนี้ เราอาจจะพู ดกั นได แต เรื่องที่ มั นเป นเค าโครงใหญ ๆ ของพระพุ ท ธศาสนา, แล ว ก็ เป น ความจํ า เป น ด ว ย ที่ เราจะต อ งจั บ เค า โครงของ พุ ท ธศาสนาให ได รายละเอี ยดนั้ นอาจจะศึ ก ษาได เอง ค น คว าได เอง จากหนั งสื อ ต า ง ๆ เรื่ อ งเค าโครงนั้ น สํ าคั ญ มาก มั น เหมื อ นกั บ การทํ าบ านเรื อ น แม ว า เราจะมี ไม ม ากพอ; แต ถ า เราไม มี ค วามรู ที่ จ ะเอามาชนกั น ให เป น บ า นเป น เรื อ นได ก็ ไ ม สํ า เร็ จ ประโยชน . ฉะนั้ น การที่ ท า นทั้ ง หลายตั้ ง ใจมา ว า จะหาความรู ท างพุ ท ธ ศาสนาในวันนี้ เห็นวาเราควรจะพูดกันถึงเรื่องเคาโครง.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org พระพุทธเจาทานไดตรัสวา แตกอนก็ดี เดี๋ยวนี้ก็ดี ฉันบัญญัติเฉพาะ เรื่องทุกขกับความดับทุกขเทานั้น. คําวา บัญญัติ ในที่นี้ หมายถึงเรื่องที่ทรง เอามาพูด มากลาว มาทํา ใหมันเปนเรื่อง หรือเปดเผยใหเปนที่เขาใจแกคนทั่ว

๕๐๙


๕๑๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ไป, ก็ ห มายความว า เอามาสอนนั่ น เอง. ท า นทรงยื น ยั น ว า จะพู ด กั น แต เรื่ อ ง ทุก ขก ับ ความดับ ทุก ข; ฉะนั ้น เราจงถือ เปน หลัก วา ถา เรื ่อ งนี ้น อกไปจากนี้ ยังไมตองพูดก็ได, จะตองจับเรื่องความทุกขกับความดับทุกขใหได.

เรื่องตนของเรื่องความทุกข. นี้ อ ะไรเป น เงื่ อ นต น ของเรื่ อ งความทุ ก ข จะต อ งเข า ใจกั น เสี ย ก อ น, แล ว จึงทําในเรื่องที่ตรงกันขาม มันก็จะดับทุกข. ถาจะถามขึ้นวา เราจะตั้งตนเรียนเรื่องความทุกข รวมทั้งความดับทุกข ด วยนี้ กั น ที่ ไหน ? ท านทั้ งหลายจงรูไว และมี ความเข าใจหรือ เห็ นอย างแจ ม แจ งว า เราจะตองตั้งตนกันที่เรื่อง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ, ใหถือวานี่เปน ก ข ก กา ของพระพุ ท ธศาสนา ที่ เราจะเรี ย นก อ นสิ่ ง ใด ๆ หรื อ ถ า เราจะเรี ย นภาษาอั ง กฤษ เราก็ ตั้ งต น ที่ A B C D, เรี ย นภาษาไทยก็ ตั้ ง ต น ที่ ก ข ก กา. ถ า เรี ย นพุ ท ธศาสนา ทํ า นองนั้ น ก็ ตั้ ง ต น ที่ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ แล ว ก็ ไ ม ใ ช เรี ย นจากหนั ง สื อ หรื อ เรี ย นที ่ ห นั ง สื อ ต อ งเรี ย นที ่ ต ั ว จริ ง ของมั น . ตั ว จริ ง ของมั น อยู  ที ่ ค นทุ ก คน. คนทุ ก คนมี ต า หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ แล ว ก็ พ อที่ จ ะรู ไ ด เ องว า มั น ทํ า หน า ที่ อ ะไร; ถาใครไมรูไดในขอนี้ ก็ดูจะวิปริตมาก.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ตามปรกติ ทุ ก คนจะรู ไ ด ว า ตา สํ า หรั บ เห็ น รู ป คื อ ทํ า หน า ที่ ก ารเห็ น ภาพ เห็ น รู ป , หู ทํ า หน า ที่ ไ ด ยิ น เสี ย ง, จมู ก ทํ า หน า ที่ รู สึ ก กลิ่ น , ลิ้ น สํ า หรั บ รู สึ ก


เคาโครงของพุทธศาสนา

๕๑๑

รส, กายคื อ ผิ วกายทั่ วไป สํ าหรั บ จะรู สึ ก ต อ สิ่ งที่ จ ะมากระทบกาย คื อ มากระทบผิ ว หนั ง , ใจ มี ห น า ที่ จ ะรู สึ ก เรื่ อ งที่ จ ะเกิ ด รู สึ ก ขึ้ น มาในทางใจ เป น ความคิ ด นึ ก ความ รูสึก. เราก็ จ ะมองให เห็ น ละเอี ย ดลงไปว า เมื่ อ ตาเห็ น รู ป มั น ก็ เกิ ด ผลขึ้ น มา ว า เห็ น รู ป ที่ ถู ก ใจหรื อ ไม ถู ก ใจ, หู ไ ด ยิ น เสี ย ง ก็ ไ ด ยิ น เสี ย งที่ ถู ก ใจ หรื อ ไม ถู ก ใจ, จมูก ที ่ไ ดก ลิ ่น ก็เ หมือ นกัน . นี ่รู เ อาเองไดทั ้ง ๖ ใหรู เ รื ่อ งทั ้ง ๖ นี ้ว า เปน สิ ่ง ที่ สําคัญที่สุดสําหรับมนุษย. ถ ามนุ ษ ย ไม มี ต า หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ มั น จะเป น อย างไรบ าง ? ก็ ล อง คิ ด ดู เอง มั น ก็ เท า กั บ ไม มี เรื่ อ งอะไร หรื อ ว า ไม มี อ ะไรทั้ งหมดเลยก็ ได , คื อ ไม มี โลก ทั้ ง โลกเลยก็ ได ; เพราะถ า เราไม มี ต า หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ สํ า หรั บ รู สึ ก สิ่ ง เหล า นี้ แลว มัน ก็เ หมือ นกับ ไมม ี. ลองคํ า นวณดูบ า ง ใหเ ห็น ชัด ลงไปวา . อะไร ๆ มัน มีสําหรับเราทั้ง ๖ ทางนี้ ก็เพราะมันมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่เองทานจึง เรียกตาหูจมูกลิ้นกายใจนี้วา อินทรีย - อินทรียะ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org คําวา อินทรีย นี้มันแปลวา สิ่งที่สําคัญ. เรามีสิ่งที่สําคัญ ๖ อยาง คื อ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ; ถ า ไม มี สิ่ งทั้ ง ๖ นี้ แ ล ว อะไร ๆ มั น ก็ ไม มี ไปหมด, หรื อ ถ า เรื่ อ งมั น จะเกิ ด ก็ เพราะเกี่ ย วกั บ สิ่ ง ๖ อย า งนี้ . เรื่ อ งไม เกิ ด ก็ เพราะควบคุ ม สิ่ งทั้ ง ๖ นี้ ไว ได ; ฉะนั้ น จึ ง จั ด ทั้ ง ๖ นี้ ว า เป น สิ่ ง สํ า คั ญ เลยเรี ย กว า อิ น ทรี ย ๖ ในฐานะเปนเรื่องสําคัญ.


๕๑๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

อี ก ทางหนึ่ ง เราเรี ย กสิ่ ง ทั้ ง ๖ นี้ ว า อายตนะภายใน คื อ สิ่ ง สํ า หรั บ ทํ า หน า ที่ สื บ ต อ หรื อ กระทบ ที่ อ ยู ใ นภายใน. ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ นี้ ห มาย ความว า มั น อยู ใ นตั ว เรา, อยู ภ ายในตั ว เรา, แล ว มั น ก็ คู กั น กั บ สิ่ ง ภายนอก ซึ่ ง จะ เรี ยกว าอายตนะภายนอกอี ก ๖ ก็ คื อรู ป เสี ยง กลิ่ น รส โผฏฐั พพะ และธั มมารมณ . รู ป สํ า หรั บ ตาเห็ น , เสี ย งสํ า หรั บ หู ไ ด ยิ น , กลิ่ น สํ า หรั บ จมู ก รู สึ ก , รสสํ า หรั บ ลิ้ น รู สึ ก ที่ สํ าหรับผิ วหนั งจะรูสึ ก นั้ น เขาเรียกแปลกไปหน อย ไม ค อยคุ นหู กั บภาษาไทย เรียก ว า โผฏฐั พ พะ, ช ว ยจํ า ไว ด ว ย เขี ย นให อ า นได ว า โผฏฐั พ พะ แล ว ส ว นที่ ใ จจะรู สึ ก นั้ น เขาเรี ย กว า ธั ม มารมณ มั น แปลกอยู ๒ คํ า , รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส นี้ เ ราเข า ใจกั น ดี แ ล ว เป น ภาษาไทยธรรมดา, โผฏฐั พ พะ กั บ ธั ม มารมณ นี้ เอาคํ า บาลี เดิ ม มาใช. นี ้สิ ่ง ที ่อ ยู ข า งนอก เรีย กวา อายตนะภายนอก จะมากระทบกับ สิ ่ง ที่ อ ยู ภ ายใน ที่ เรี ย กว า อายตนะภายใน คื อ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ที่ เป น สิ่ ง ภายนอก อายตนะภายนอกนั้ น ก็ เ รี ย กอี ก อย า งหนึ่ ง ว า อารมณ , อารมณะ, อารมณ ในภาษาไทยเราเอาคํ าว า อารมณ ไปใช หมายถึ งความรู สึ กในใจเป น อารมณ ดี อารมณเสีย นั้นก็คําหนึ่ง, เปนภาษาไทย ไมเอามาปนกับคําวา อารมณ ๖ นี้.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ นี้ บ างที เราก็ เ รี ย กว า อารมณ ๖ แปลวา เปน ที ่ห นว งเอา, คํ า วา อารมณ นี ้แ ปลวา เปน ที ่ห นว งเอา; รู ป ารมณ คื อ รู ป เป น ที่ ห น ว งเอาแห ง ตา, สั ท ธารมณ เสี ย งเป น ที่ ห น ว งเอาแห ง หู , กลิ ่น คัน ธารมณ  นี ้เ ปน ที ่ห นว งเอาแหง จมูก , แลว ก็ รส นี ่เ รีย กวา รสารมณ เป น ที่ ห น ว งเอาแห ง ลิ้ น , สั ม ผั ส ผิ ว หนั ง โผฏฐั พ พารมณ นี้ เป น ที่ ห น ว งเอาแห ง กาย แหงผิวกาย, แลวธัมมารมณ ความรูสึกภายในนั้นเปนที่หนวงเอาแหงใจ.


เคาโครงของพุทธศาสนา

๕๑๓

นี่ ก ข ก กา มี อยู ๖ คู : ข างใน กั บข างนอก เป นคู กั น, ข างใน ๖ คือ ตา หู จมูกลิ้น กาย ใจ เรียกวาอินทรีย ก็ได, เรียกวาอายตนะภายใน ๖ ก็ไ ด. ขา งน อกมีอ ยู  ๖ คือ รูป เสีย งกลิ ่น รส โผฏฐัพ พะ ธัม มารมณ  นี้ เรียกวา อารมณ ๖ ก็ได, เรียกวา อายตนะภายนอก ๖ ก็ได. เราไดสิ่งเหลานี้ มา ๑๒ สิ่ง ขางใน ๖ ขางนอก ๖ ก็ตองรูจักมันจริง ๆ อยาเพียงแตจําชื่อได, หรือจดไวในกระดาษ, ก็ตองรูจักมันจริง ๆ ซึ่งเราก็ใชมันอยูตลอดเวลา. เอาละ, ที นี้ เรื่ องก็ จะเดิ นต อไป ซึ่ งเรี ยกว า ก ข ก กา แล วก็ จะต องมี การ แจกลูกไปเรื่อย ๆ จนกวามันจะผันเปนเสียงตาง ๆ.

อายตนะใน - นอกกระทบกันเกิดวิญญาณและผัสสะ. ที่ เราจะต อ งรูต อ ไปก็ คื อ ว า อายตนะภายใน กั บ อายตนะภายนอก มาถึง กัน เขา แลว ก็จ ะเกิด สิ ่ง ที ่เรีย กวา วิญ ญาณ. คู แ รก คือ ตา มาถึง กัน เขา กับรูป ก็เกิดจักษุวิญญาณ คือวิญญาณทางตา, หูถึงกันเขากับเสียง ก็เกิดวิญญาณ ทางหู เรียกวา โสตวิญญาณ, จมูกถึงกันเขากับกลิ่น ก็เกิดวิญญาณทางจมูกเรียก ว า ฆานวิ ญ ญาณ, ลิ้ น ถึ ง กั น เข า กั บ รส ก็ เกิ ด วิ ญ ญาณทางลิ้ น เรี ย กว า ชิ ว หา วิญญาณ, กายสัมผัสกันเขากับสิ่งที่มาถูกกาย ก็เกิดวิญญาณทางผิวหนัง เรียกวา กายวิญญาณ, ความรูสึกในใจมาถูกกันเขากับ ใจ หรือใจมาถูกกันเขากับอารมณ ของใจ เกิดอารมณทางใจ เรียกวา มโนวิญญาณ

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


๕๑๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

เราก็ ไ ด วิ ญ ญาณ ๖ ขึ้ น มา. ดู ใ ห ดี จดไว ถู ก ไหม ? มั น จะเกิ ด จั ก ษุ วิ ญ ญ า ณ โส ต วิ ญ ญ าณ ฆ า น วิ ญ ญ า ณ ก า ย วิ ญ ญ า ณ ม โน วิ ญ ญ า ณ ขึ้ นมาอี ก ๖ ชนิ ด ตามจํ านวนของอายตนะ. อย างที่ สรุปความสั้ น ๆ ได ว า อายตนะ ภายใน ถึงกัน เขากับ อายตนะภายนอก มัน ก็เกิด วิญ ญาณ, อายตนะภายใน มี ๖ อายตนะภายนอกมี ๖ ถึงกันเขาก็เกิดวิญญาณ ๖. เอ า, ที นี้ เรื่องต อไปมั นก็ มี ว า เกิ ดวิ ญ ญาณแล ว ทํ าหน าที่ ทางวิ ญ ญาณ. ของสิ่ งทั้ ง ๓ นี้ , ของสิ่ งทั้ ง ๓ นี้ ที่ จ ดลงไปแล ว วา อายตนะภายใน อายตนะ ภายนอก แลว ก็วิญ ญาณ ๓ อยา งนี ้ทํ า งานรว มกัน , ทํา งานดว ยกัน ก็เรีย ก ว า ผั ส สะ, เราก็ เลยมี ผั ส สะ ๖ อี ก : ผั ส สะทางตา เรี ย กว า จั ก ษุ สั ม ผั ส , ผั ส สะ ทางหู ก็เ รีย กวา โสตสัม ผัส , ผัส สะทางจมูก เรีย กวา ฆานสัม ผัส , ผัส สะทางลิ ้น ก็ เรียกว าชิ วหาสั มผั ส, สั มผั สผิ วหนั ง ก็ เรียกว ากายสั มผั สะ, สั มผั สทางใจ ก็ เรียกว า มโนสัมผัส, ก็ไดมาอีก ๖ อยางที่เรียกวา สัมผัส.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ดู ให ดี ว า จดถู ก ไหม ? ตั้ ง แต แ รกมาก็ มี อายตนะภายใน ๖ อายตนะ ภายนอก ๖ ถึงกันเขาเรียกวา วิญญาณ ๖. ๓ อยางนี้ทํางานรวมกันเมื่อไร ก็เรียกวา ผัสสะ แลวก็มีผัสสะ ๖.

นี้ จ ะเรี ย นจากของจริ ง ก็ คื อ เมื่ อ เราตาเห็ น รู ป เมื่ อ หู ได ยิ น เสี ย ง ก็ เรี ย น จากสิ่ งนั้ น แหละ ไม ใช เรี ย นจากหนั งสื อ ดอก. ให รู จั ก ตั วสิ่ งที่ เรีย กว า ผั ส สะ, สิ่ งที่ เรีย กวา ผัส สะ นั ้น แหละมีค วามสํ า คัญ , เปน จุด ที ่สํ า คัญ ที ่จ ะตอ งควบคุม ให ได. ถา ควบคุม ผัส สะไมไ ด แลว ก็จ ะตอ งเกิด เรื ่อ งเปน ความทุก ข, ถา รู เ ทา ทัน ควบคุ ม ผั ส สะได ก็ ไ ม เ กิ ด เรื่ อ งเป น ทุ ก ข . ผั ส สะจะให เ กิ ด เรื่ อ งเป น ความ


เคาโครงของพุทธศาสนา

๕๑๕

ทุกข ก็ตอเมื่อขณะแหงผัสสะนั้นเรามันโง เราปราศจากสติ เราปราศจากวิชชา ปราศจากปญญา.

จากผัสสะโงจะเกิดสิ่งอื่นตอไป กระทั่งเปนทุกข. เมื่ อตาเห็ นรูป เกิ ดจั กษุ วิญ ญาณ ๓ ประการนี้ เรียกวาผั สสะทางตา; เวลานี้เป น เวลาที่ สําคั ญ ที่ สุด ถ าเราโงไป ผัสสะทางตามั นก็จะทํ าให เกิด เวทนา. แตเปน เวทนาที ่จ ะทํ า ใหเ กิด ความรู ส ึก เปน ทุก ข; ถา มัน สวยก็เปน เวทนาที ่เ ปน สุ ข , ถ า มั น ไม ส วยก็ เป น เวทนาที่ เป น ทุ ก ข , และเวทนาคื อ ความรู สึ ก ที่ เกิ ด มาจาก สั ม ผั ส ทางตา เวทนาก็ เลยมี ๖ ด วยเหมื อ นกั น . เวทนาที่ เกิ ด มาจากสั ม ผั ส ทางตา เวทนาที่ เกิ ดมาจากสั มผั สทางหู เวทนาที่ เกิ ดมาจากสั มผั สทางจมู ก ทางลิ้ น ทางกาย ทางใจ ตอไป เมื่ อ รู ป ที่ เห็ น นั้ น มั น สวย มั น ก็ เกิ ด ความรั ก ถ า รู ป ที่ เห็ น นั้ น มั น ไม ส วย มัน ก็เ กิด ความเกลีย ด. นี ่ก ิเ ลสมัน จะตั ้ง ตน ที ่ค วามรัก หรือ ความเกลีย ด ; อธิ บ ายต อ ไปก็ คื อ ว า เมื่ อ เกิ ด เวทนา รู สึ ก พอใจหรื อ ไม พ อใจแล ว มั น ก็ จ ะเกิ ด ตั ณ หา, ตั ณ หาไปตามลํ าดั บ จากเวทนา. ถ า เวทนาเป น ที่ ถู ก ใจ มั น ก็ เกิ ด ตั ณ หา ในทางที่ จะเอา จะได จะมี จะเป น , ถ าเวทนานั้ น ไม ถู ก ใจ มั น ก็ เกิ ด ตั ณ หาในทาง ที่จะไม เอา ไม เป น ไม ได หรือจะตีเสี ยใหตายอยางนี้ . ตั ณ หาแปลวา ความอยาก แตวามันเปนความอยากโดยความโง.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


๕๑๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

นี่ตัณ หาก็พลอยมี ๖ ไปตามจํานวน ๖ ของอายตนะอีกเหมือนกัน คื อตั ณ หาในรู ป, ตั ณ หาในเสี ยง, ตั ณ หาในกลิ่ น, ตั ณ หาในรส, ตั ณ หาในโผฏฐั พพะ, ตั ณ หาในธั ม มารมณ . ถ า จดอยู แ ต ใ นหนั ง สื อ ก็ ไ ม มี ป ระโยชน อ ะไร, แต ถ า คอย เอามาทํ า ไวใ นใจ เราเกิด ตัณ หาอะไร เมื ่อ ไร ใหรู เ ทา ทัน ทว งที นั ่น แหละ จะมีประโยชน. นี้ จ ะพู ด ต อ ไปให จ บเสี ย ก อ น พอเกิ ด ตั ณ หา คื อ ความอยาก อยากเอา อยากได อยากเป น ในเมื่ อ มั น พอใจ อยากไม ได ไม เอา ไม เป น อยากจะทํ า ลาย เสี ย , เมื่ อ มั น ไม พ อใจ นี้ ก็ เกิ ด ตั ณ หาแล ว, เป น ความอยากอย างโง แล ว ก็ จะเกิ ด ยึ ด มั่นถือมั่น เกิดความรูสึกวากู วาฉัน ขึ้นมาทีเดียว ซึ่งเปนผูอยาก. เรื่ อ งนี้ มั น ออกจะแปลก นั ก เรี ย นที่ เ คยมาตามหลั ก วิ ช าสามั ญ ทั่ ว ไป เขาก็ จะถื อว า มั นต องเกิ ดมี ผู อยากก อนซิ จึ งจะเกิ ดมี ความอยากได . แต ในทางธรรมะ ทางจิ ต ใจนี้ มั น ไม เป น อย า งนั้ น , มั น เกิ ด การปรุ ง แต ง จนเกิ ด ความอยาก รู สึ ก อยากกอ น; พอความรู ส ึก อยากเกิด แลว มัน จึง คอ ยเกิด ความรู ส ึก วา ฉัน , กู ซึ่งเป น ผู อ ยาก ผู จ ะได ผู จะเอาขึ้ น มา. อย างนั้ น ก็ จ ะเรี ย กว าอุ ป าทาน, อุ ป าทาน เกิด มาจากตัณ หา, ความยึด มั ่น ถือ มั ่น เปน ตัว ตน เปน ของตน, เปน ตัว กู ตัวฉัน ขึ้นมา คือเปนผูอยากนั่นเอง.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ าเรี ยนอย าง logic มั นก็ ขั ดกั บ logic ว า ผู อยากมาที หลั งความอยาก ; เหตุ ผ ลธรรมดาว า มี ไ ม ไ ด มั น ต อ งมี ผู อ ยากก อ นแล ว จึ ง จะมี ค วามอยาก. แต นี้ ธรรมะนี้ มั น เป น ธรรมชาติ ที่ แ ท จ ริ ง ก็ จ ะบอกให รู ว า ตั ว ผู อ ยากนั้ น มั น ไม ไ ด มี


เคาโครงของพุทธศาสนา

๕๑๗

จริง มัน หลอก ๆ มัน เปน เพีย งความรู ส ึก เทา นั ้น เอง, มัน เปน ความรูส ึก วา ตัว กู ไมใชมีตัวกูจริง ไมใชมีตัวตนจริง แตมันก็รูสึกมีตัวกูที่อยาก นี่ เรารูกั นไวเสี ยเดี๋ ยวนี้ เป นการล วงหน าวา ตั วกู ผู อยากนั้ นมิ ใช ตั วจริ ง เป น ความคิ ด ผิ ด สํ า คั ญ ผิ ด เข า ใจผิ ด ของอวิ ช ชา ของความโง ซึ่ ง จะต อ งเกิ ด ขึ้ น ตามหลั ก ความอยาก. ความอยากเรี ย กว า ตั ณ หา, มี ค วามอยากหรื อ ตั ณ หา แลว ก็จะเกิดอุปาทาน - ยึดถือตัวกูผูอยาก. นี ่ก ็เ รีย กวา มัน มี ตัว กู ขึ ้น มาแลว . พอมีอ ุป าทานเปน ผู อ ยากแลว ก็เ รีย กวา ภพแหละ คือ ความมีอ ยู แ หง ตัว กู เกิด ตัว กู แลว เกิด ความมีอ ยู แ หง ตัวกู เรียกวาภพ. อุปาทานก็ใหเกิดภพคือความมีอยูแหงสิ่งที่ยึดถือนั้น. ภพนี ้เ ปน ไปเต็ม ที ่แ ลว ก็เ รีย กวา เกิด ชาติ โดยสมบูร ณขึ ้น มา คือ เปนตัวตนที่เต็มที่ เต็มขนาด เต็มระดับ เปนตัวฉันที่คิดนึกอะไรในแบบตัวฉันเต็มที่.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org พอมี ตั ว ฉั น แล ว อะไร ๆ มั น ก็ จ ะเป น ป ญ หาล อ มตั ว ฉั น ซึ่ ง จะทํ า ให ตัว ฉัน เปน ทุก ข; ถา ไมม ีต ัว ฉัน สิ ่ง เหลา นี ้ก ็ไ มม ี; เพ ราะมีต ัว ฉัน สิ ่ง ที ่ม ัน เกี ่ย วขอ งกับ ตัว ฉัน มัน ก็ม ีป ญ หาขึ ้น มา; เชน วา ความเกิด ของฉัน ความแก ของฉัน ความตายของฉัน ความไดอยางใจ ความไมไดอยางใจ อะไรก็เกิดขึ้นมา เกาะอยูที่ความรูสึกวาตัวฉันที่สมบูรณนั่นเอง.


๕๑๘

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

นี่เรา เปนทุกขกันตอนนี้ : มีตัณหาความอยาก ใหเกิดอุปาทาน ผูอยาก, เกิดความมีอยูแหงบุคคลผูอยาก, เกิดความเต็มเปยมแหงความเปน บุ ค คลผูอ ยาก, แล วก็ต องเป น ทุ กข ดวยสิ่งตาง ๆ ที่เขามาพั วพั นอยูกับ บุคคลผู อยาก. เราจึ งมี ค วามเกิ ด ความแก ความเจ็ บ ความตาย ความรู สึ ก ต า ง ๆ ที่ ทํ า ใหเปนทุกข. ความทุกขทั้งหลายเกิดขึ้นไดเพราะเหตุอยางนี้ นี่พระพุทธเจาทาน ตรัส. ขอให รู จั ก สิ่ ง นี้ เรื่ อ งนี้ เป น เรื่ อ งแรก. อย า จดไปเฉย ๆ เอาไปทํ า ความเข าใจอยู ตลอดเวลานาน ๆ หน อย, แล วจะเข าใจพุ ทธศาสนาตั วจริง คื อพุ ทธ ศาสนาที่ แท จริง ที่ เรียกวาความทุ กขมี อยู อย างไร, เกิ ดขึ้นอย างไร, นี่ เรียกวาเรื่ อง ความทุกข

ความดับทุกขมีไดโดยทางตรงขามกับขางตน

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ อี ก เรื่ อ งหนึ่ งเป น เรื่ อ งความดั บ ทุ ก ข คื อ ตรงกั น ข า ม ก็ ตั้ งต น มาอย า ง ตะกี้ อี ก และ. ดู ท บทวน ที่ จ ดมาแล ว ว า อายตนะภายใน กั บ อายตนะภายนอกถึ ง กัน เขา ก็เ กิด วิญ ญาณ ๖ ของ ๓ สิ ่ง นี ้ทํ า งานรว มกัน เรีย กวา ผัส สะ ๖. ทีนี้ ในขณะแห งผั ส สะนี้ มั น เกิ ด มี ส ติ ป ญ ญา, มี ส ติ และมี ป ญ ญาขึ้น มา ก็ เป น ผั ส สะ คนละชนิด กับ ชุด แรกที ่เ ปน ผัส สะโง ผัส สะไปสัม ผัส อะไรดว ยความโง นั ้น เรียกวาอวิชชาเขาไปเกิดอยูในผัสสะ. ทีนี้ในกรณี นี้ กรณี หลัง ที่จะไมเกิดทุ กข นั ่น มัน มีผ ัส สะฉลาด คือ เมื ่อ ตาเห็น รูป ก็ฉ ลาด, เมื ่อ หูไ ดย ิน ก็ฉ ลาด, เมื ่อ จมู ก ได ก ลิ่ น ก็ ฉ ลาด, เมื่ อ ลิ้ น รูสึ ก รสก็ ฉ ลาด, เมื่ อ สั ม ผั ส ผิ ว หนั งก็ ฉ ลาด เมื่ อ จิ ต คิ ด


เคาโครงของพุทธศาสนา

๕๑๙

อะไรก็ ฉลาด, มั นฉลาดในขณะแห งผั สสะ, ก็ เป น วิ ชชาสั ม ผั ส สั มผั สอะไร ๆ ด วย ความรูสึกตัวและฉลาด. อยางนี้มันก็เกิดเวทนา ดวยเหมือนกัน แตเป น เวทนาที่ ความฉลาด ของเราควบคุ ม อยู มั นจึงไมทํ าใหเกิดตัณ หา คือ ความรัก หรือความเกลียด ไป ตามอํ า นาจของเวทนา; เพราะเวทนานี้ ถู ก ความฉลาดของเราควบคุ ม อยู , ควบ คุมมาแลวตั้งแตผัสสะโนน. เมื่ อมีผัสสะสัมผัสมีความฉลาด คือ สติ ม าทั น ท วงที , เวทนานั ้น ไมทํ า ใหเกิด ตัณ หา รัก หรือ ตัณ หาเกลีย ดได, มัน ก็ไมเกิด ตัณ หา. นี่ เขาเรียกวา ตั ณ หาดั บ , ตั ณ หาไม เกิ ด , หรือ ถามั น เก งมากกวานั้ น ก็ เวทนามั น ก็ ดั บ เวทนามั น ไม เกิ ด เพราะผั ส สะมั น ฉลาด แต ต ามปรกติ เราฉลาดไม ค อ ยจะทั น ในขณะแหงผัสสะ. นี่ ทุ ก คนไปย อ นระลึ ก ถึ ง สิ่ ง ที่ เป น มาแล ว หรื อ จะเป น ต อ ไปก็ ได ว า เมื ่อ ตาเราเห็น รูป นั ่น เราโงห รือ เราฉลาด, เมื ่อ หูไ ดฟ ง เสีย ง เราโงห รือ ฉลาด, เมื่อจมูกไดกลิ่น ฯลฯ ไปจนถึงอันสุดทาย เราโงหรือเราฉลาด.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เมื่ อ ตาเห็ น รู ป ที่ น า รัก เราไปรั ก เข า แล ว หรือ เห็ น รูป ที่ ไม น า รัก เห็ น รูป ศัต รูเ ห็น อะไรนี ้ เราก็ไ ปโกรธเขา แลว เห็น รูป คู ร ัก มัน ก็ไ ปรัก เสีย แลว มัน ไม มีอะไรที่จะยับยั้งได.

หรือ ฟง เสีย งที ่ไ พเราะ เชน เสีย งเพลงที ่เ ราชอบ เราลุก ขึ ้น ไปเตน ตามเพลงนั้ น เสี ย แล ว ไม รู ตั้ ง แต เ มื่ อ ไร. นี่ มั น ไม มี ส ติ มั น ไม มี เ ครื่ อ งควบคุ ม


๕๒๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

มั น ไม มี ก ารยั บ ยั้ ง เมื่ อ เสี ย งน า เกลี ย ดน า ชั ง , เสี ย งของคู ศั ต รู คู อ าฆาต เราก็ โ กรธ เราก็เกลียดเสียแลว. กลิ ่น ก็เ หมือ นกัน เมื ่อ กลิ ่น หอม ก็ย ิน ดีเ สีย แลว , เมื ่อ กลิ ่น เหม็น มัน ก็ข ัด ใจเสีย แลว . นี ่ม ัน เปน เรื ่อ งที ่ใ หเ กิด เวทนา แลว ก็เ กิด ตัณ หาเกิด ความ ทุกข เสียแลว. เดี๋ ย วนี้ ม าเอากั น ใหม มาเป น ลู ก ศิ ษ ย ข องพระพุ ท ธเจ า มาฝ ก ตนให เป น คนที่ มี ส ติ เมื่ อ ตาเห็ น รูป เมื่ อ หู ฟ งเสี ย ง เมื่ อ จมู ก ได ก ลิ่ น ฯลฯ ทั้ ง ๖ อย า ง; มีส ติ พอเห็น รูป สวย มีส ติพ อที ่จ ะไมไ ปรัก มัน , เห็น รูป ไมส วย ก็ม ีส ติพ อที ่จ ะ ไม ไปเกลี ยดมั น รองด ามั น ว า โอ ย สั ก ว ารู ป เท านั้ น โว ย, สั ก ว ารูป เท านั้ น โว ย จะ ไมใ หม ัน มีค วามหมายเปน สวยหรือ ไมส วย. พอไดย ิน เสีย งก็เ หมือ นกัน แหละ มั น สั ก ว าเสี ยงเท านั้ น โว ย จะไม ยอมให ม าครอบงําใจของกู วาเพราะหรือ ไม ไพเราะ, กลิ ่น ก็เ หมือ นกัน สัก วา ก ลิ ่น เทา นั ้น แหละ, จะหอมห รือ จะเหม็น ก็ส ัก วา กลิ่ น เท า นั้ น แหละ, รสที่ ลิ้ น ก็ เหมื อ นกั น อร อ ยหรื อ ไม อ รอ ยก็ มั น สั ก ว า รส เท า นั้ น , สัม ผัส ผิว หนัง นิ ่ม นวลหรือ กระดา ง อะไรก็ต าม ก็ม ัน สัก วา สัม ผัส ผิว หนัง เท านั้ น . ทีนี้สัมผัสในใจ ก็โอ สักวาสัมผัสรูสึกในใจเทานั้นแหละ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ อย างนี้ มั นจะเรียกว า มี ส ติ สั ม ผั ส ทุ ก อย างในโลก เป น สั ม ผั สที่ ฉลาด คื อ มี ค วามรู ที่ ถู ก ต อ ง, มี ส ติ ร ะลึ ก ในความรู อ ย า งถู ก ต อ งนั้ น ได ในขณะที่ สั ม ผั ส . สัม ผัส อะไร อัน นั้น มัน มากลายเปน สิ่ง ที่เ ราจะศึก ษาหรือ เรีย นรูไ ปหมด ไม ให เ กิ ด เวทนา ไม ใ ห เ กิ ด ตั ณ หา; เช น เห็ น รู ป อย า งนี้ มั น ก็ รู สึ ก ว า รู ป เราจะ


เคาโครงของพุทธศาสนา

๕๒๑

ต อ งทํ า อะไรกั บ รู ป นี้ ไ หม ? เราจะต อ งจั ด การกั บ รู ป ที่ เราเห็ น นี้ ไ หม ? ถ า มั น ไม มี เรื่องที่เกี่ยวของกันก็เลิกกัน, ไมตองไปสนใจ. ถา มัน มีเ รื ่อ งที ่จ ะตอ งเกี ่ย วขอ งกัน ก็ทํ า ไปสิ, รูป อะไรที ่ม ัน เห็น อยู จะต อ งทํ า อะไรกั บ รู ป ที่ เห็ น อยู นี้ , กั บ เสี ย งที่ ไ ด ยิ น นี้ , กั บ กลิ่ น ที่ ได รั บ สั ม ผั ส อยู นี้ . สว นมากมัน ไมต อ งทํ า อะไรดอก คือ อยา ไปยิน ดีย ิน รา ยกับ มัน มัน ก็ห ายไป ตามเรื ่อ งของมัน เอง. แตถ า มัน เปน เรื่อ งที ่เ ราตอ งทํ า ก็ทํ า สิ แลว ตอ งทํ า ดว ยสติ ดว ยปญ ญา อยา ไปหลงใหเกิด ตัณ หา ใหเ กิด อุป าทาน. นี ่ผ ัส สะ อย างนี้ เรายั งไม เคยมี เรามี แต จะยิ นดี หรือยิ นราย เกิ ดเวทนาต อผั สสะ, เราก็ ตกเป น ทาสของเวทนา, เป น ทาสของตั ณ หา ก็ ไ ด เป น ทุ ก ข . เดี๋ ย วนี้ มั น จะกลั บ ตรงกั น ขา ม คือ จะไมต กเปน ทาสของเวทนา ไมเ ปน ทาสของตัณ หา เพราะรูเ ทา ทันในขณะแหงผัสสะ. พระพุทธเจาทานไดตรัสไววา ผัสสะนั่นแหละเปนเรื่องสําคัญทั้งหมด ของทุ ก เรื่ อ งแหละ : ที่ จ ะได เสี ย จะเป น ทุ ก ข หรื อ จะเป น สั ม มาทิ ฏ ฐิ มิ จ ฉาทิ ฏ ฐิ อะไรก็อยูตรงที่ผัสสะนั่นแหละ. ใหรูเรื่องผัสสะ ใหควบคุมผัสสะใหได.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่คือ รูพุท ธศาสนาจริง ๆ มารูที่ต รงนี้ : รูเรื่อ งผัส สะ และควบ คุ ม ผั ส สะได , ก็ ไม เกิ ด เวทนาที่ จ ะหลอกให เรารัก หรือ เกลี ย ด, แล วมั น ก็ เกิ ด ตั ณ หา ไมไ ด คือ ตัณ หาดับ . ตัณ หาดับ อุป าทาน ตัว กูผู อ ยาก มัน ก็ไ มเ กิด คือ ดั บ ภพ คื อ ความเป น แห งตั วกู มั น ก็ ดั บ , ชาติ ความสมบู รณ แห งตั วกู มั น ก็ ดั บ , ความทุ กข ทั้งหลายมันก็ เกิดไมได, มันไมมีอะไรมาเปนเกิด แก เจ็บ ตาย ของกู หรือ ไมมีอะไรที่เปนทุกขมาเปนของกู ทุกขมันก็ดับ.


๕๒๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ฉะนั้ น เราเหลื อ บตาดู ให ดี ว า มั น ตั้ ง ต น มาจากจุ ด เดี ย วกั น แล ว มาแยก ทางกันตรงกลาง อันหนึ่งไปทางที่จะเปนทุกข, อันหนึ่งมาในทางที่จะไมเปนทุกข.

ทบทวนซ้ําเพื่อใหรูจักดับทุกข. อย าเพิ่ งเบื่ อ นะ จะขอซ้ํ าอี กที ว า ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ นี้ อ ยู ข างใน, แล ว ก็ รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ อยู ข า งนอก มั น มาเนื่ อ งกั น เข า แล ว ก็ จะเกิ ดวิ ญ ญาณทางตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ. นี้ เรื่อ ง ข างใน กั บ เรื่อ ง ข าง นอกวิญญาณ มาทํางานพรอมกันเขาเรียกวาผัสสะ. ตรงนี้ เ ป น จุ ด แยก เป น ทาง ๒ แพร ง ; ถ า ตรงนี้ ไ ม มี ส ติ ไ ม มี ป ญ ญ า มั น ก็ ไ ปทางเวทนาที่ จ ะให เกิ ด ตั ณ หาอุ ป าทาน ภพ ชาติ และเป น ทุ ก ข แต ถ า ตรง จุ ด ผั ส สะนั้ น เกิ ด มี ส ติ แ ละป ญ ญา มั น ก็ ไม เกิ ด เวทนาที่ จ ะให เกิ ด ตั ณ หา หรือ อุ ป าทาน หรื อ ภพ หรื อ ชาติ ที่ จ ะเป น ทุ ก ข , มั น แยกมาเสี ย ในทางที่ ไม เป น ทุ ก ข , แล ว เราก็ ทํ า อะไร ๆ ได ทุ ก อย า ง ตามที่ เ ราควรจะทํ า ในเรื่ อ งนี้ มั น ก็ ไ ม เ ป น ทุ ก ข เพราะรู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ . บางเรื่ อ งนั้ น เราต อ งไปเกี่ ย ว ข อ ง เราต อ งทํ า ต อ งจั ด กั บ มั น ตามที่ มั น จะต อ งทํ า สํ า หรั บ มนุ ษ ย เราก็ ทํ า ด ว ย สติและปญญา มันก็ไมเกิดความทุกข.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ขอให ห ลั บ ตามองเห็ น ภาพ ว า มั น ตั้ ง ต น มาจากจุ ด เดี ย วกั น ; พอมา ถึ ง ระดั บ แห ง ผั ส สะมั น เกิ ด แยกทางกั น ฝ า ยหนึ่ ง มั น สํ า หรั บ คนโง , ไม มี ส ติ ไม


เคาโครงของพุทธศาสนา

๕๒๓

มี ป ญ ญา ก็ เป น เวทนา ตั ณ หา อุ ป าทาน ภพ ชาติ และเป น ทุ ก ข . ส ว นฝ า ยนี้ มั น สํ า หรั บ คนฉลาด มั น ก็ ไม เกิ ด เวทนา ตั ณ หา อุ ป าทาน ภพ ชาติ และเป น ทุ ก ข ; แม ว ามั นจะเกิ ดเวทนา ก็ เกิ ดเวทนาสํ าหรั บ ให เรารูจั ก ว าจะต อ งทํ าอย างไร, ไม เกิ ด เวทนาใหเราหลงรัก หลงชัง เหมือนฝายโนน. นี่ คื อตั วความทุ กข กั บ ความดั บ ทุ กข มั น มี อยู อ ย างนี้ พระพุ ท ธเจ าท าน ตรั ส ว า ฉั น พู ด แต เ รื่ อ งความทุ ก ข กั บ ความดั บ ทุ ก ข ; เรื่ อ งอื่ น ชวนพู ด ด ว ยไม เอา เชนมีคนมาชวนพูดวา ตายแลวเกิดหรือตายแลวไมเกิด พระพุทธเจาทานวายัง ไม จํ าเป น ยั งไม พู ด , มาพู ด เรื่ อ งความทุ ก ข กั น เถอะ, แกมี ค วามทุ ก ข อ ย างไรว ามา แล ว ฉัน ก็จ ะบอกวิธ ีที ่จ ะไมใ หเ ปน ทุก ขไ ด แลว มัน ก็ห มดเรื ่อ งกัน ไป. ไมต อ ง ไปเสียเวลา เรื่องตายแลวเกิดหรือตายแลวไมเกิด. มี เรื่ องอี กมากมาย ที่ พระพุ ทธเจ าท านจะไม ตรั สตอบหรื อไม คุ ยด วยที่ ท าน วา ไมจํ า เปน . ไมจํ า เปน แตเ รื ่อ งนี ้ คือ เรื ่อ งที ่จํ า เปน เรีย กวา เรื ่อ งปฏิจ จสมุ ป บาท ชื่ อ นี้ จํ า ยากหน อ ย, เขี ย นก็ ดี เหมื อ นกั น ปฏิ จ จสมุ ป บาท คื อ เรื่ อ งที่ พู ด เมื่อ ตะกี้นี้. ปฏิจ จสมุป บาทฝา ยเกิด ทุก ข ก็เ ปน ทุก ข, ปฏิจ จสมุป บาทฝา ย ดับทุกข ก็ไมมีทุกข, จําคําวา ปฏิจจสมุปบาท ไวใหดี ๆ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ควรศึกษาปฏิจจสมุปบาททั้งฝายทุกขและไมทุกข. แปลกไหม ? คํ าว า ปฏิ จ จสมุ ป บาท คํ านี้ มั น แปลว า อาศั ย กั น แล ว เกิ ด ขึ้ น . คํ า ว า ปฏิ จ จสมุ ป บาทนี้ แ ปลว า อาศั ย แล ว เกิ ด ขึ้ น , คื อ ทุ ก สิ่ ง ที่ มั น ต อ ง อาศั ย เหตุ ป จ จั ย อะไรอั น หนึ่ ง แล ว จึ ง เกิ ด ขึ้ น ทั้ ง นั้ น ; เป น เรื่ อ งของสิ่ ง อื่ น ๆ


๕๒๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ที ่ม ิใ ชม นุษ ยก ็ไ ด. แตเ ดี ๋ย วนี ้เ ราพูด สํ า หรับ เรื ่อ งมนุษ ยใ นใจ. เชน วา ตา กับ รูป อาศัยกันแลวเกิดวิญญาณ, ๓ ประการ นี้อาศัยกันแลวเกิดผัสสะ เพราะมี ผั ส สะจึ งมี เวทนา เพราะอาศั ย เวทนาจึ งเกิ ด ตั ณ หา เพราะอาศั ย ตั ณ หาจึ งเกิ ด อุ ป าทาน เพราะอาศั ย อุ ป าทานจึ ง เกิ ด ภพ เพราะอาศั ย ภพจึ ง เกิ ด ชาติ เพราะ อาศัย ชาติจ ึง เกิด ทุก ข ทั ้ง ปวง, แปลวา เพราะอาศัย กัน จึง เกิด ขึ้น , หรือ อาศัย กันแลวเกิดขึ้น เรียกวาเรื่องปฏิจจสมุปบาท ที่จะเกิดความทุกข. ทีนี ้ ปฏิจ จสมุป บาทที ่จ ะไมเ กิด ทุก ข คือ จะเกิด สิ ่ง ที ่ไ มเ ปน ทุก ข มั น ก็ อ าศั ย กั น แล ว เกิ ด ขึ้ น เหมื อ นกั น พอมาถึ ง ผั ส สะแล ว ก็ มั น อาศั ย สติ แ ละ ป ญ ญานี้ แล ว ก็ เกิ ด เวทนาที่ จ ะไม เป น ตั ณ หา, เวทนาที่ จ ะไม เกิ ด ตั ณ หา, แล ว มั น ก็อาศั ยอั นนี้ ไม เกิ ดตั ณ หา ไม เกิ ดอุ ปาทาน ไม เกิดภพ ไม เกิดชาติ , มั นได อาศั ยสิ่ งนี้ มันก็มีความดับลงแหงสิ่งนั้น ก็ไมเปนทุกข นี้เปนเรื่องสําหรับสิ่งที่มีชีวิต. ถ า สํ า หรั บ สิ่ ง ที่ ไ ม มี ชี วิ ต เช น ก อ น ดิ น หิ น ทราย เหล า นี้ ก็ เหมื อ นกั น แหละ, มั นต องมี เหตุ ป จจั ยอย างใดอย างหนึ่ ง มั นจึ งเกิ ดขึ้ นมาในโลกนี้ ; เพราะแม แต โลกนี้ ทั้ งโลก อย า งที่ เราเรี ย นมาในวิ ท ยาศาสตร นั้ น มั น ก็ มี เหตุ ป จ จั ย อั น ใดอั น หนึ่ ง ที่ ทํ า ให โ ลกนี้ เกิ ด ขึ้ น มา; พระจั น ทร เกิ ด ขึ้ น มา, อะไร ๆเกิ ด ขึ้ น มา, แล ว สิ่ ง ต า ง ๆ เกิ ด ขึ้ น มาในโลก จนมี สั ต ว มี ค น มี อ ะไรเต็ ม ไปหมด กระทั่ ง สิ่ ง ที่ ม นุ ษ ย ส ร า งขึ้ น มาเพราะมนุ ษ ย มั นสร างขึ้ นมา ตึ กรามอะไรต าง ๆ เหล านี้ , มั นมี เหตุ ป จจั ย อาศั ย เหตุปจจัยแลวมันจึงเกิดขึ้นมา.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ขอ ที่อ าศัย เหตุปจ จัย แลว จึงเกิด ขึ้น มานี้เรีย กวา ปฏิจ จสมุป บาท. มีความสําคัญถึงกับมีคํากลาวไววา ผูใดเห็นปฏิจจสมุปบาทผูนั้นเห็นธรรม, ผูใด


เคาโครงของพุทธศาสนา

๕๒๕

เห็นธรรมผูนั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท, ผูใดเห็นปฏิจจสมุปบาทผูนั้นเห็นธรรม. แลว ก็ มี ต อ ไปว า ผู ใดเห็ น ธรรมผู นั้ น เห็ น ตถาคต, ผู ใดเห็ น ตถาคตผู นั้ น เห็ น ธรรม. ตถาคตในที ่นี ้ห มายถึง พระพุท ธเจา ; ผู ใ ดเห็น พระพุท ธเจา ผู นั ้น เห็น ธรรม, ผูใดเห็นธรรมผูนั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท. เห็ น ปฏิ จ จสมุ ป บาทนี้ คื อ เห็ น ด วยป ญ ญาภายในตามเรื่อ งที่ ได พู ด มา แล ว ที่ เรี ย กว า ก ข ก กา : เห็ น ข า งใน ๖ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ, เห็ น ข า ง นอก ๖ รูป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธัม มารมณ , แล ว เห็ น วิ ญ ญาณที่ เกิ ด มา จากการเนื ่อ งกัน ของอายตนะนั ้น , แลว เห็น ผัส สะ ๖, เห็น เวทนา ๖, เห็น ตั ณ หา ๖, กระทั่ ง เห็ น อุ ป าทาน ภพ ชาติ นั่ น แหละเห็ น ว า มั น เกิ ด ทุ ก ข ขึ้ น มา อยา งนี ้. นี ้เ รีย กวา เห็น ปฏิจ จสมุป บาท, เห็น ความจริง ฝา ยเกิด ทุก ขแ ลว ก็เ ห็น ฝ า ยตรงกั น ข า ม คื อ ไม เกิ ด ทุ ก ข เห็ น ชั ด อยู รู สึ ก อยู ไ ม ใ ช เขี ย นตั ว หนั ง สื อ แล ว อ า น เห็น ดว ยความรู ส ึก ดว ยปญ ญาของเรา; นี ้เ รีย กวา เห็น ปฏิจ จสมุป บาท. อยางนี้เรียกวาเห็นธรรม, เห็นธรรมอยางนี้เรียกวาเห็นพระพุทธเจา.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org มั น จะมากไปกว า เห็ น พระพุ ท ธเจ า ก็ ไ ด คื อ เมื่ อ เรารู อ ย า งนี้ เรารู เหมือ นที ่พ ระพุท ธเจา ทา นรู ; นี ่เ ราจะเปน พระพุท ธเจา เสีย เองก็ไ ด ถา เราเห็น อัน นี ้ช ัด ลงไปจริง ๆ เหมือ นกับ ที ่พ ระพุท ธเจา ทา นเห็น , คือ ตรัส รู แ ลว เปน พระพุท ธเจา เพราะทา นเห็น เรื ่อ งนี ้. ฉะนั ้น จิต ของเราที ่เ ห็น เรื ่อ งนี ้เ ปน พระ พุท ธเจา สํ า หรับ เรา เรีย กวา เห็น พระพุท ธเจา , หรือ มีพ ระพุท ธเจา หรือ เปน พระพุท ธเจา ใหก ับ เรา. จิต ที ่เ ห็น ปฏิจ จสมุป บาทชัด ๆ นี ้ค ือ เปน พระพุท ธเจา จิตนั้นเปนพระพุทธเจานอย ๆ.


๕๒๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ทีนี้ธรรมะที่เห็นนี้เปนพระธรรม พระธรรมก็อยูกับเรา มีกับเรา. ทีนี ้จ ะมาถึง พระสงฆ, เราตอ งปฏิบ ัต ิเ พื ่อ มีส ติ มีป ญ ญ า ในขณ ะ แห ง ผั ส สะ, ถ า เราปฏิ บั ติ ถู ก ต อ งในขณ ะแห ง ผั ส สะ ไม โ ง ไ ม ห ลง เป น ผั ส สะที่ ลืมหูลืมตา มีปญญา แลวนี่คือพระสงฆแหละ คือปฏิบัติได. นี้จ ิต ของเราเปน พระพุท ธจริง เปน พระธรรมจริง เปน พระสงฆ จริง อยูก ับ เรา มีใ นเรา. เรามีพ ระพุท ธ พระธรรม พระสงฆจ ริง ไมใ ช มั ว ต ะ โ ก น ว า พุ ท ธํ ส ร ณ ํ ค จฺ ฉ า มิ , ส งฺ ฆํ ส ร ณ ํ ค จฺ ฉ า มิ , นั้ น มั น เป น พิ ธี มี พ ระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ อย า งเป น พิ ธี , ก็ ดี ก ว า ไม มี เ สี ย เลย. แต ถ า มี กั น จริ ง ๆ ก็ ต อ งมี ที่ จิ ต ที่ เห็ น อยู อ ย า งนี้ รู อ ยู อ ย า งนี้ , แล ว ก็ ส ามารถ ที่จะหยุดกระแสแหงปฏิจจสมุปบาทเสียได.

พระพุทธเจาตรัสรูเพราะเห็นปฏิจจสมุปบาท.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ จะพู ดความสํ าคั ญของเรื่ องปฏิ จจสมุ ปบาทนี้ ให ฟ งอี กเรื่ องหนึ่ งว า ว าแม วา พระพุท ธเจา ทา นตรัส รู เ รื ่อ งนี ้, และเปน พระพุท ธเจา เพราะรูเ รื ่อ งนี ้. นี ่ช ว ย ฟ ง จํ า ไว ด ว ย ว า เป น พระพุ ท ธเจ า เพราะรู เรื่ อ งนี้ . นี่ ต ามที่ พ ระพุ ท ธเจ า ท า นตรั ส เอง, ท า นตรั ส รู เ พราะมองเห็ น ปฏิ จ จสมุ ป บาท. ตรั ส รู เ ป น พระพุ ท ธเจ า . นี้ แ ม ว า เป น พระพุ ท ธเจ า มานานแล ว ท า นก็ ยั ง ทรงชอบธรรมะเรื่ อ งปฏิ จ จสมุ ป บาท นี้ ม ากที่ สุ ด จนท า นเอามาท อ งเล น , ต อ งใช คํ า ว า ท อ งเล น ; ถ า เรี ย นกเป น บาลี ก็ เรียกว า มาทรงสาธยายอยู ไม มี เรื่อ งอื่ น ในพระไตรป ฎ กเท าที่ เราจะสํ ารวจดู ห มด


เคาโครงของพุทธศาสนา

๕๒๗

พระไตรป ฎ ก ไม เห็ น มี เรื่ อ งไหนที่ มี เกี ย รติ ม าก จนถึ ง กั บ พระพุ ท ธเจ า ทรงนํ า มา สาธยายเลน นอกจากเรื่องนี้. วั น หนึ่ งท า นประทั บ อยู พ ระองค เดี ย ว เป น อารมณ ที่ ส บาย ท า นที่ ท อ ง เรื่ อ งนี้ เรื่ อ งปฏิ จ จสมุ ป บาทนี้ เล น อยู ต ามลํ า พั ง ; เหมื อ นกั บ พวกคนสมั ย นี้ เขา จะร อ งเพลงอะไรที่ เขาชอบที่ สุ ด ร อ งเพลงที่ เขาชอบที่ สุ ด ฮึ ม ฮั ม ๆ อยู ต ามลํ าพั ง . พระพุทธเจาทานก็ทรงสาธยายเรื่องปฏิจจสมุปบาท แตก็วาเปนภาษาบาลี แลว ก็ ว า ไปที ล ะหมวด ๆ, คื อ หมวดตาจบ แล ว ก็ ห มวดหู แล ว ก็ ห มวดจมู ก หมวดลิ้ น หมวดกาย หมวดใจ แล วก็ ห มวดฝ ายเกิ ดขึ้ น มาเป น ทุ กข , แล วก็ ห มวดดั บ ลงจนไม มีท ุก ข แลว เกิด ขึ ้น แลว ดับ ลง.นี ้ม ัน มี ๖ หมวด หมวดละ ๒ มัน ก็ม ีถ ึง ๑๒ เที่ ย วแหละ, ๖ เที่ ย วอย า งเกิ ด ขึ้ น , ๖ เที่ ย วอย า งดั บ ลงแต ไ ม ใ ช ท อ งอย า งท อ ง สู ต รคู ณ สู ต รคู ณ นั้ น กลั ว จะลื ม แล ว เด็ ก ก็ ท อ งสู ต รคู ณ . นี้ พ ระพุ ท ธเจ า ท า นไม ต อ งลื ม ดอก ไม มี เรื่ อ งลื ม ไม มี เรื่ อ งหลงอะไรอี ก แล ว แต ท า นก็ ยั ง อุ ต ส า ห เอามา สาธยายเลน.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถาวาเปนภาษาบาลี ก็จะวา จกฺขุฺจ ปฏิจฺจ รูเป จ อุปฺปชฺชติ จกฺขุวิฺญาณํ ติณฺณํ ธมฺมมานํ สงฺคติ ผสฺโส ผสฺสปจฺจยจา เวทนา เวทนาปจฺจยา ตณฺหา ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานํ อุปาทานปจฺจยา ภโว ภวปจฺจยา ชาติ ชาติ ปจฺจ ยาชรามรณํ โสกปริเทวทุกฺข โทมนสฺส สุป ายาสา สมฺภ วนฺต ิ เอวเมสสฺส เกวลสฺส ทุกฺข กฺข นฺธสฺส สมุท โย โหติ. นี่วาเรื่อ งตา แลวก็วาเรื่อ งหู ฯลฯ นี่ถา วาเปนบาลีก็วาอยางนี้.


๕๒๘

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

เพื่ อ ให ม องเห็ น ว า เป น เรื่ อ งที่ สํ า คั ญ ที่ สุ ด เป น ตั ว พุ ท ธศาสนา, ตรั ส รู เป น พระพุ ท ธเจ าก็ เพราะตรัส รู เรื่ อ งนี้ , ตรั ส รู เรื่ อ งนี้ แล วยั งมาท อ งเล น อยู บ อ ย ๆ. นี่ เรื่องทุกขกับเรื่องดับทุกข คือเรื่องปฏิจจสมุปบาท. ฉะนั้นขอใหจําไวเปนหลัก. ถาทานเคยเรีนยเรื่องอริยสั จจ ๔ ก็เรียกวา ทุกขคืออยางนั้น ๆ คือชาติ ชรา มรณะ, แล วเหตุ ให เกิ ดทุ กข คื อตั ณ หา, ดั บทุ กข คื อไม มี ตั ณ หา มรรคมี องค ๘ ทํ า ใหเ กิด ความดับ ทุก ข. นั ้น มัน ก็เ รื ่อ งเดีย วกัน แหละ แตนั ้น พูด อยา งสั ้น วา ตั ณ หาให เกิ ด ทุ ก ข . นี้ ท รงแสดงละเอี ย ดว า ทํ า อย างไรจึ ง จะเกิ ด ตั ณ หา ? พอเกิ ด ตั ณ หาแล วเกิ ด อุ ป าทาน เกิ ด ภพ เกิ ดชาติ ซอยโดยละเอี ย ดจนกว าจะเกิ ด ทุ ก ข , ก็ แปลว า กล า วให มั น ละเอี ย ดถี่ ยิ บ เลย. เรื่ อ งเป น ปฏิ จ จสมุ ป บาทนั่ น คื อ เรื่ อ ง อริยสัจจ แตกลาวอยางถี่ยิบ. อริจยสัจจธรรมดาสั้น ๆ ลุน ๆ ก็วา ตัณหาใหเกิด ทุก ข; แตถา เรื่อ งปฏิจ จสมุป บาทใหเ กิด ทุก ขอ ยา งละเอีย ดถี่ยิบ ก็ตอ งวา มี อายตนะภายใน อายตนะภายนอก วิ ญ ญาณ เกิ ดผั สสะ เกิ ดเวทนา เกิ ดตั ณ หา ตรงนี้ ; พอเกิ ด ตั ณ หาแล ว ลํ า ดั บ ของมั น จะเกิ ด อุ ป าทาน เกิ ด ภพเกิ ด ชาติ เกิ ด ทุกข นี้มีรายละเอียดถี่ยิบไปอยางนั้น แตมันเรื่องเดียวกัน.

www.buddhadasa.in.th ฝกมีสติตรงผัสสะและเดินใหถูกทาง. www.buddhadasa.org ทีนี้ก็มาดูตรงที่วา ทางสองแพรง คือตรงผัสสะ. ตรงจุดของผัสสะ มีอายตนะภายใน อายตนะภายนอก เกิดวิญญาณ แลวเกิดผัสสะ, ตรงนี้เปน จุ ดทาง ๒ แพรง จะไปฝ ายความโงก็ เกิ ดทุ กข , จะมาฝ ายความฉลาดก็ ไม เกิ ดทุ กข .


เคาโครงของพุทธศาสนา

๕๒๙

นี้ เราก็ ต อ งมาทํ า ตนให เป น คนฉลาด ก็ ทํ า ให เป น คนฉลาดนี้ โดย เฉพาะใจความของเรื่อ งนี้ ก็ คื อ ทํ า ให มี ส ติ แ ละป ญ ญา. ฉะนั้ น เขาจึ ง มี ร ะเบี ย บ สอนใหทํ า สมถะและวิป ส สนา; ชาวบา นเขาเรีย กกัน ทั ่ว ๆ ไปวา ทํ า วิป ส สนา คื อ ทํ า ให เกิ ด สมาธิ ให เกิ ด ป ญ ญา. นี้ มั น มี ส ติ แ ละป ญ ญามาก และคล อ งแคล ว ว อ งไว, สํ า หรั บ สติ ป  ญ ญ านี ้ ม าเกิ ด ทั น ใน ขณ ะแห ง ผั ส สะ. พอมี ผ ั ส สะ กับอารมณแลวก็ จิตนี้วองไวมากที่จะมีสติปญญาเขามาควบคุมผัสสะทันที. ถ าเราต อ งการอย างนี้ เราก็ ต อ งไปลงทุ น หน อ ย ฝ ก สติ ที่ เรีย กว า สติ ปฎ ฐาน; ฝก ใหม ีส ติ, ฝก วิป ส สนาชนิด ที ่ทํ า ใหม ีส ติ, แลว ก็ม ีป ญ ญาพรอ มกัน อยู ใ นตัว นั ้น มัน เปน อีก เรื ่อ งหนึ ่ง . ถา เราฝก จนมีส ติแ ลว ผัส สะของเราก็ จะถูกควบคุมดวยสติปญญา ก็เดินมาในทางแพรงนี้, แพรงที่จะไมเกิดทุกข; ถา เราไมม ีส ติป ญ ญา มัน ก็ไ ปในทางแพรง ที ่จ ะเกิด ทุก ข. ฉะนั ้น การฝก สติ, สติป ฏ ฐาน นั ้น มีป ระโยชนม าก สํ า หรับ จะดับ ทุก ขโ ดยตรงในกระแสแหง ปฏิ จ จสมุ ป บาท. นี้ ว เจาะจงว า จะจะตั ด กระแสแห ง ความทุ ก ข ในสายของ ปฏิจจสมุปบาทนั้น เราตองมีสติ ที่เรียกวาสติปฏฐาน.

www.buddhadasa.in.th ดํารงชีวิตอยูในมรรคมีองค ๘ ก็ดับทุกขได. www.buddhadasa.org แต ที นี้ ท า นยั ง ตรั ส ไว อี ก รู ป แบบหนึ่ ง ว า ถ า อยู กั น โดยทั่ ว ๆ ไปสํ า หรั บ ทุ ก คนนี้ ก็ ใ ห มี อ ริ ย มรรคมี อ งค ๘. อริ ย มรรคมี อ งค ๘ นี้ เข า ใจว า ทุ ก คนคงจะ เคยได ยิ น มาแล ว ได ฟ งมาแล ว, ได ฟ งมาแล ว, และบางคนคงจะจํ าได : สั ม มา -


๕๓๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสติ สั มมาสมาธิ. นี่ ไปหารายละเอียดเอาจากหนังสือเรื่องนั้น ๆ โดยสมบู รณ ในที่ นี้ จะบอกแต หลั กที่ เป นใจความสํ าคั ญ วาเราจะดํ ารงชี วิตของเรา อย างที่ เรียกว า อยูในรูปแบบของมรรคมีองค ๘. องคที ่ ๑ คือ เราจะตอ งมีค วามเห็น ความรู  ความเขา ใจ ความ เชื ่อ ถือ อะไรอยา งถูก ตอ ง ก็เ รีย กวา สัม มาทิฏ ฐิ มีค วามเห็น ชอบ ในชีว ิต ป ระ จํ า วั น ข อ งเรา ต ล อ ด เว ล า นี ้ ข อ ให ม ี ส ั ม ม าทิ ฏ ฐิ ค ื อ ค วา ม เห็ น ค วา ม เชื่อ ความเขาใจ อยางถูกตอง เรียกสั้น ๆ วามีความเห็นถูกตอง. แล ว ๒ มี สั ม มาสั งกั ป โป คื อมี ความหวั ง ความดํ าริ ความใฝ ฝ นอย าง ถูกตอง คือมีความประสงคที่ถูกตอง. ขอที่ ๓ มีสัมมาวาจา มีการพูดจาที่ถูกตอง. ขอที่ ๔ มีสัมมากัมมันโต มีการทําการงานที่ถูกตอง. ขอที่ ๕ มีสัมมาอาชีโว ดํารงชีวิตเลี้ยงชีวิตอยางถูกตอง. ขอที่ ๖ มีสัมมาวายาโม พากเพียรพยายามอยูอยางถูกตอง. ขอที่ ๗ สัมมาสติ นี่คือตัวนี้ที่วาเมื่อตะกี้นี้ สัมมาสติ มีสติอยางถูกตอง. ขอที่ ๘ สุดทาย สัมมาสมาธิ มีสมาธิอยางถูกตอง.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org มั น มาสํ าคั ญ อยู ที่ ว ามี สติ สั ม มาสติ อย างถู กต อ ง นั้ น แหละมั น จะไป ควบคุมผัสสะ ใหมันเปนผัสสะที่ฉลาด, อยาเปนผัสสะที่โง, แลวปฏิจจสมุปบาท นั้น ก็จะไมเปนไปเพื่อความทุกข, มันจะยอนกลับมาหาความดับทุกข.


เคาโครงของพุทธศาสนา

๕๓๑

ทํ า อย า งไรจะมี ส ติ เ พี ย งพอ มี ส มาธิ เ พี ย งพอ ? เราก็ ต อ งฝ ก ซิ เรา อุต สา หฝ ก เรื ่อ งสติ เรื ่อ งสมาธิ จนมัน ทํ า ไดถ นัด มามีป ระจํ า อยู ก ับ เรา ตลอดชีวิตของเรา, เปนผูมีสติเปนผูมีสมาธิ อยางเพียงพอสําหรับควบคุมผัสสะ. แต อ ย างไรก็ ต าม จะต อ งมี ค รบทั้ ง ๘ นะ ไปศึ ก ษาให ล ะเอี ย ดเถอะ จะมี ประโยชน ที่ สุ ด , แล ว ก็ ท อ งเป น บาลี ไ ว ใ ห ไ ด ด ว ย, รู ค วามหมายรู อ ะไรหมด แล ว ก็ ปฏิบ ัต ิใ หม ัน มีสิ ่ง นั ้น จริง ๆ. ถา อยู ด ว ยอริย มรรคมีอ งค ๘ อยา งนี ้แ ลว ผัส สะ จะโงไมได, ไมวาจะไปสัมผัสอะไรทางไหน ก็เลยไมเกิดความทุกข. นี้ เ ป น เรื่ อ งตั้ ง ๘ เรื่ อ ง เอามารวมกั น เป น เรื่ อ งเดี ย ว เรี ย กว า มรรค คื อ หนทางที่ จะดั บ ทุ กข แต ถ าจะพู ดเฉพาะเจาะจง ที่ ต องการโดยด วน โดยจํ าเป น แลว ก็ค ือ สติ มีส ติใ นขณะแหง ผัส สะ แลว ความทุก ขก ็เ กิด ไมไ ด. แตนี ้เ พื ่อ จะเปนอยูใหสมบูรณแบบ ก็จะตองมีครบทั้ง ๘ ประการ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ช ว ยจํ า ไว ว า นี้ เป น สิ่ ง ประเสริ ฐ ที่ สุ ด ที่ พ ระพุ ท ธเจ า ท า นประทานให แ ก เรา ซึ่ ง เราจะต อ งศึ ก ษาให เข า ใจ และปฏิ บั ติ อ ยู เ ป น ประจํ า ตลอดชี วิ ต , คุ ม ครอง ไม ใ ห เ ป น ทุ ก ข เรี ย กว า มั ช ฌิ ม าปฏิ ป ทา - หนทางที่ จ ะเป น สายกลาง มี อ งค ประกอบ ๘ องค เรี ย กว า มรรคมี อ งค ๘, เรี ย กอย างอริ ย สั จ จ ก็ เรีย กว า ทุ ก ขนิโรธคามินีปฏิปทา - ปฏิปทาเปนเครื่องยังสัตวใหถึงความดับแหงทุกข. มรรค มี อ งค ๘ นี้ บ างที ก็ เรีย กวาพรหมจรรย , ขอ ปฏิ บั ติ ๘ อยางบางที เรีย กวาพรหม จรรย. ถา ประพฤติใ นองค ๘ นี ้อ ยู  ก็เ รีย กวา ประพฤติพ รหมจรรยแ ลว จะทํา ลายกิเ ลสที่เ ปน ตน เหตุแ หง ความทุก ข, หรือ ปอ งกัน ไมใ หเ กิด ขึ้น มาได มันก็เลยไดบรรลุมรรคผลในพระพุทธศาสนา รวมความวา ไมตองเปนทุกข.


๕๓๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

แม เราจะเป น นั ก เรี ย นนั ก ศึ ก ษา ก็ ล องประพฤติ ธ รรมะ ๘ ประการนี้ ดู เถอะ เราก็ จ ะรั บ ผลดี ทุ ก อย า งแหละ. เรื่ อ งการเรี ย นก็ ดี การเป น อยู ที่ ดี อะไร ก็ ดี มั น จะมี ผ ลดี ถ า ตั้ ง อยู ในมรรคมี อ งค ๘, และถ า เราสามารถมี ส ติ เพี ย งพอ ใช ส ติ ทั น แก เ วลาทั น ท ว งที แล ว เราจะไม เ กิ ด ความทุ ก ข เลย เราจะไม โ ง , จะไม มั ว โง เที่ ย วหั ว เราะในบางกรณี มาร อ งไห อ ยู ใ นบางกรณี . เรื่ อ งโง มี อ ยู ๒ เรื่อง : ชอบใจก็หัวเราะรวนเหมือนกันคนบา, ไมชอบใจก็มานั่งรองไหอยู; มัน มีอยู ๒ อยาง อยางนี้, เราไมตองเปนใน ๒ อยางนี้ เราก็ปรกติ มีความปรกติ. ฉะนั้น หั ด ให มี สติ เร็ว ๆ เพี ยงพอ, มี ป ญ ญาอยู ในสติ นั้ น มาทั น ในขณะที่ ผั ส สะ. ที่ มี ผั ส สะทางตา ทางหู ทางจมู ก ทางลิ้ น ทางกาย ทางใจ ซึ่ ง เราต อ งมี อ ยู เสมอ; อย า งน อ ยที่ สุ ด เราก็ ต อ งหั ด ยั บ ยั้ ง , อย า ทํ า อะไรผลุ น ผลันลงไปตามเรื่องที่มากระทบ. อะไรกระทบตา ก็ยับยั้ง พอที่จะรูสึกวามันคืออะไร อยาไปหลงรัก หลงเกลี ย ดมั น , อะไรมากระทบหู ก็ ยั บ ยั้ งความรู สึ ก ไว ได ก อ น อย าไปหลงรั ก หลง เกลี ยดมั น, อะไรมากระทบจมู กก็ เหมื อนกั น, กระทบลิ้ น กระทบผิ วกาย กระทบจิ ต ก็ เหมื อนกั น ยั บยั้ งไว ก อน, ยั งไม ไปพลุ งพล านที่ จะไปรักมั น หรือเกลี ยดมั น คื อ ไม ยิน ดีไ มยิน รา ย. ควบคุม ความยิน ดีย ิน รา ยใหไ ด ใหใ จคอปรกติ, แลว มาดู อีก ที วาเรื่อ งนี้ จะตอ งทํ าอยางไร. ถารูเห็นวา จะตอ งทํ าอยางไรก็ทํ าไปตามที่ ควรจะทํ า เปน ผลดี. ถา เห็น วา เรื ่อ งนี ้ไ มต อ งทํ า อะไร ไมเ กี ่ย วขอ งกัน ก็ไ ด ก็เลิก ก็ไมตองสนใจมันก็ได.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org


เคาโครงของพุทธศาสนา

๕๓๓

นี่ คื อ การเป น อยู มี ชี วิ ต อยู อย า งถู ก ต อ งตามแบบของพระพุ ท ธศาสนา แล ว เราก็ จ ะไม เป น ทุ ก ข เลย, มั น ก็ จ ะจบเรื่ อ งพระพุ ท ธศาสนา อย า งที่ พระพุทธเจาทานตรัสวา ฉันพูดแตเรื่องความทุกขกับเรื่องความดับทุกขเทานัน้ มัน มีเทานี้. ป ญ หาของมนุ ษ ย เรา ก็ มี เรื่อ งความทุ ก ข , แล วเราจะต อ งดั บ ทุ ก ข ให ไ ด แล ว เราก็ ต อ งรู ว า ความทุ ก ข นั้ น เป น อย า งไร, ความทุ ก ข นั้ น เกิ ด มาจากอะไร แลวเราจะทําอยางไรสิ่งนั้นจึงจะไมเกิด. เหตุใหเกิดทุกขจะไมเกิด แลวความทุกข ก็ไมเกิด. บอกแล ว ว า วั น นี้ จ ะพู ด กั น ได แ ต เค า โครงของเรื่ อ ง หรื อ หั ว ข อ ของเรื่ อ ง โดยรายละเอี ย ดไปหาเอาเองเถอะ. ความทุ ก ข มี อ ะไรบ า ง แจกลู ก ได ม ากมาย หลายสิ บ หลายร อ ยชนิ ด เรื่ อ งของรู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ นี้ ก็ มี ม าก ราย ละเอียดมันมีมาก แตใจความมันมีเทานี้.

เรื่องที่ควรทราบอีกก็คือทํากรรมฐาน. www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้ ถ า จะพู ด กั น อี ก มั น ก็ ต อ งพู ด เรื่ อ งทํ า สติ ที่ เรี ย กว า ทํ า กรรมฐานเพื่ อ จะไดม ีส ติท ัน ทว งทีใ นขณ ะแหง ผัส สะ, ถา ผู นั ้น มีส ติท ัน ทว งที ในขณ ะแหง ผั ส สะ แล ว เป น อั น ว า รอดตั ว จะไม มี ค วามทุ ก ข เ ลย. เรื่ อ งทํ า สติ อ ย า งไร ก็ มี ห นั ง สื อ หนั ง หา ตํ า รั บ ตํ า รา ที่ ล ะเอี ย ดลออมากเหมื อ นกั น ไปหาอ า นดู , เดี ๋ย วนี ้ก ็จ ะพูด ไดเ ฉพาะเคา โครงอีก เหมือ นกัน , ที ่ว า ทํ า สตินั ้น เขาฝก อยา งที่


๕๓๔

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

เรี ย กว า ฝ ก สมาธิ ; ถ า ฝ ก สมาธิ สํ า เร็ จ มั น ก็ มี ส ติ อ ยู ด ว ย รวมอยู ใ นคํ า ว า สมาธิ นั้ น . มั น มี ห ลั ก ว า เราจะฝ ก ให เ ป น คนรู ตั ว รู สึ ก ตั ว ก อ น จึ ง จะคิ ด จะพู ด จะทํ า อะไรลงไป, เราหั ด บทเรี ย นบทนี้ ว า เราจะเป น ผู รู สึ ก ตั ว ให ดี เ สี ย ก อ น แลวจึงจะพู ดจะคิดจะทําอะไรลงไป, คือเราจะต องรูสึ กตั วทั น ควัน กับ เมื่ อ มี เรื่อ ง มากระทบซึ่ ง มั น เร็ ว อย า งสายฟ า แลบ. ความรู สึ ก เกิ ด ขึ้ น เป น ความชอบ เป น ค วาม ไม ช อ บ มั น เร็ ว เหมื อ นกั บ สายฟ าแลบ ; ฉะนั้ น ก็ ฝ ก ส ติ ให เร็ ว เหมื อ นกั บ สายฟ าแลบ คื อ จะไม คิ ด ไม พู ด ไม ทํ า อะไรลงไปโดยปราศจากสติ . นี้ เราก็ ม าฝ ก ตนให มี ส ติ ในสิ่ ง ใดสิ่ ง หนึ่ ง อยู จ นสํ า เร็ จ , ฝ ก ให มี ส ติ ใ นสิ่ ง ใดสิ่ ง หนึ่งอยู แลวก็มีการฝกเมื่อมันจะเปลี่ยนจากสิ่งหนึ่งไปยังสิ่งหนึ่ง มันก็มีสติ. ที่นิยมกัน โดยมากนั้นก็ฝกกําหนดลมหายใจ เมื่อเราหายใจมีสติกําหนดลมหายใจอยูตลอด เวลา นี้เปนบทเรียนทีแรก. คนธรรมดาเขาทํ าไม ได ที่ จะให สติ นั้ นไปกํ าหนดอยู ที่ สิ่ งใดสิ่ งหนึ่ งตลอด เวลา เขาทํ า ไม ได มั น ก็ ห นี ไปเสี ย , เอามากํ า หนดลมหายใจเข า ออก ๆอยู นี่ มั น ก็ หนี ไปเสี ย, มั นไปมั วติ ดอยู กั บลมหายใจเข าออก ๆ เป นเวลานาน ๆ ได นี้ เรียกวาเรา บั ง คั บ จิ ต ไม ไ ด บั ง คั บ สติ ไ ม ไ ด . เราก็ ต อ งฝ ก ในขั้ น ต น ที่ สุ ด ว า เราจะบั ง คั บ มันใหไดเสียกอน ก็กําหนดสติที่ลมหายใจ, ลมหายใจ หายใจออก - เขาอยูออก เข า อยู กํ า หนดลมหายใจด ว ยสติ นี้ หรื อ มี ส ติ กํ า หนดลมหายใจนี้ เข า - ออก ๆ อยู. ลองไปทําดู มันก็มีบทเรียนเทานี้แหละขอแรก.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทีนี้กําหนดลมหายใจ ใหมันละเอียด ๆ ละเอียด, ลมหายใจที่ละเอียด เขา ละเอียดเขารางกายมั นก็รํางับ ลงด วย ก็เรียกวามีความสุขในทางความรูสึก ; เพราะรา งกายมั น สงบรํา งั บ , พรอ มกั น ทั้ ง จิ ต มั น ก็ มี ส มาธิ กํ า หนดอยู ที่ ล มหายใจ


เคาโครงของพุทธศาสนา

๕๓๕

หรือจะให กํ าหนดอย างอื่ นแทนลมหายใจ นั้ น มั นเป น เรื่อ งเป นราวไปตามวิ ธี ฝ กซึ่ งมี อยู ถึ ง ๑๖ ขั้ น ๑๖ ตอน, มั น พู ด กั น ที่ นี่ ไ ม ไ ด ด อก เพราะมั น ละเอี ย ดอย า งนั้ น . ถาพูดตองพูดกันคราวอื่น หรือไปหาหนังสือหนังหามาอานดู หรือวาจะใหเปดเทป ให ฟ งเมื่ อ เวลามี . การบรรยายเรื่ อ งนี้ มี บั น ทึ ก อยู ในเทป ที่ เรีย กวาสมบู รณ ก็ มี , ถาสนใจก็ขอใหทานเปดเทปฟง. นี้ จ ะพู ด แต หั ว ใจของมั น ว า กํ า หนดที่ สิ่ ง ใดสิ่ ง หนึ่ ง จนกํ า หนด ได ; หมายความว า เราบั ง คั บ จิ ต ได . พอเราบั ง คั บ จิ ต ได เราก็ บั ง คั บ จิ ต ให มี ส ติ เมื่ อ มี สั ม ผั ส , เราก็ ค วบคุ ม สั ม ผั ส ได , มั น ก็ ไ ม เกิ ด เวทนา ตั ณ หา และเป น ทุกข. ฝ ก วิป ส สนานี้ วิเศษมาก ดี ม าก ไม ใช เรื่ อ งบ า ๆ บอ ๆ เหมื อ นที่ เขาพู ด กั น , คื อ เราฝ ก ที่ จ ะเป น ผู บั งคั บ จิ ต ได , แล ว ก็ ส ามารถบั งคั บ จิ ต ให มี ส ติ ในขณะแห ง ผั ส สะ ในชี วิ ต ประจํ า วั น ของเราตลอดวั น ตลอดเดื อ นตลอดป นี้ . เรา ไม สั ม ผั ส อะไรด ว ยความโง หรื อ เผลอสติ ; ฉะนั้ น เราจึ ง ควบคุ ม สติ ไ ด เมื่ อ กระทบอารมณทุกอยางทุกชนิด กิเลสเกิดไมได ไมมีการทําผิดพลาดใหเสียหาย อย างคนที่ ไม มี สติ . แล วก็ ทํ าการงานก็ จะดี ที่ สุ ด, จะศึ กษาเล าเรียนก็ จะดี ที่ สุ ด, จะ พั ก ผ อ นก็ ส บายที่ สุ ด , จะมี ชี วิ ต อยู เ ป น คน จนกว า จะตายนี้ มั น ก็ เ ป น ไปใน ลักษณะที่ดีที่สุด เพราะอํานาจของสิ่งที่เรียกวาสติ.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เราควบคุ ม โลภะ โทสะ โมหะ ได เพราะสติ , เราควบคุ ม ความรัก ความโกรธ ความเกลี ย ด ความกลั ว ความวิ ต กกั งวล ความโศกเศร า อะไรได ด ว ย


๕๓๖

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

อํ า นาจของความมี ส ติ , อย า งที่ ว า มาแล ว . ฉะนั้ น ควรจะสนใจเป น เรื่ อ งคู กั น กับเรื่องปฏิจจสมุปบาท. ปฏิจจสมุป บาท บอกใหรูวาความทุกขเกิดขึ้นอยางไร, ความทุกข จะดั บ ไปอย า งไร; แต ค วามทุ ก ข จ ะดั บ ลงไปได นั้ น ต อ งด ว ยอํ า นาจของ ความ มี สติ .ฉะนั้ น ไป ฝ ก สติ เราก็ จ ะมี พ ระพุ ทธ พ ระธรรม พ ระสงฆ อยู ใ น ใจเรา หรื อ จิ ต ใจของเรานั้ น จะเป น พระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ น อ ย ๆ ขึ้ น มา เสียเอง ดวยการมีสติอยางที่กลาวนี้. ข อ ที่ เ รารู นั้ น เป น พระพุ ท ธเจ า , สิ่ ง ที่ เ รารู นั้ น เป น พระธรรม, สิ่ ง ที่ เ ราปฏิ บั ติ ห รื อ การปฏิ บั ติ นั้ น เป น พระสงฆ . เรามี จิ ต ที่ รู เรามี สิ่ ง ที่ สํ า หรั บ จิ ต รู , แล ว มี ก ารปฏิ บั ติ จิ ต นั้ น ให ถู ก ต อ ง. นี่ คื อ การมี พ ระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ ที่แทจริง เราเรียกวา ก ข ก กา ของพุทธศาสนาที่แทจริง มีอยูอยางนี้.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ วั น นี้ ก็ ตั้ ง ใจว า จะพู ด แต เค า โครงของพระพุ ท ธศาสนา ก็ พู ด ได เท า นี้ โดยรายละเอี ย ดไว แสวงหาทางอื่ น คราวอื่ น , หรื อ ถ าจะพู ด ก็ พู ด กั น คราวอื่ น นี้ เป น จุดตั้งตนที่จะมีไวเปนหลักพื้นฐาน สําหรับศึกษาตอไป.

ขอให ทุ ก คน รั ก ษาหลั ก พื้ น ฐานนี้ ไ ว ใ ห ดี ให ชั ด เจนแจ ม แจ ง อยู ใ นใจ เสมอ, แล ว จะศึ ก ษาพุ ท ธศาสนาเรื่ อ งอะไรต อ ไปก็ ไ ด . แม จ ะมี ศี ล มี ศี ล ธรรม มี อ ะไร มั น ก็ เพราะควบคุ ม ความรู สึ ก เหล า นี้ ไ ว ไ ด . ทุ ก เรื่ อ งมั น จะมาขึ้ น อยู กั บ การมี ส ติ ใ นขณะแห ง ผั ส สะ; ถ า เราไม มี ส ติ ใ นขณะแห ง ผั ส สะ แล ว จะไม มี อะไร เหลื อ เป น ความถู ก ต อ งอยู ได เลย. ธรรมะจะมี อี ก กี่ ร อ ยกี่ พั น อย า ง มั น สํ า เร็ จ


เคาโครงของพุทธศาสนา

๕๓๗

อยู ต รงที่ วามี ส ติ ในขณะแห งผั ส สะ. ขอให จํ าไวให ดี เป น ผู มี ส ติ ในขณะแห งผั ส สะ ให ม ากที่ สุ ด เท า ที่ เราจะมี ม ากได , แล ว เราเพิ่ ม ให ม ากขึ้ น ด ว ยการฝ ก สติ ต อ ๆ ไป อี ก . เดี๋ ย วนี้ เรายั งมี ก ารฝ กส ติ น อ ย ก็ ใ ช ต าม น อ ย ก อ น , มี ส ติ ใน ข ณ ะ แห ง ผั ส สะให ทั น แก เวลา ก็ จ ะคุ ม ครองได ม าก, แล ว ต อ ไปฝ ก สติ ใ ห ส มบู ร ณ ยิ่งขึ้น, ก็คุมครองไดมากยิ่งขึ้น กวาจะถึงที่สุด คือความทุกขเกิดไมไดโดยแทจริง. เอาละ, การบรรยายนี่รูสึกวาพอแลวสําหรับวันนี้ เวลาเหลืออยูบาง ตอไปนี้ก็เปนเวลาสําหรับตอบคําถาม ถาใครมีความสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ถามได แลวก็จะตอบให. ....

....

....

....

พระพุ ทธเจ าท านประสู ติ กลางดิ น สอนสาวกกลางดิ น นิ พพานกลางดิ น. พระไตรป ฎ กตั้ ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขั น ธ นั้ น เกิ ด ขึ้ น เพราะการนั่ ง สอนกั น กลางดิ น . นี่ เราเรี ย กว า โรงเรี ย นของพระพุ ท ธเจ า , แล ว แผ น ดิ น นี้ เป น ที่ ป ระสู ติ เป น ที่ ต รั ส รู เป น ที่ ป ริ นิ พ พาน. พระพุ ท ธเจ า ท า นเกิ ด กลางดิ น ตรั ส รู ก ลางดิ น ตายกลางดิ น นี่พูดกันธรรมดา, กุฏิของทานตลอดเวลาก็พื้นดิน; ฉะนั้นขอใหชอบพื้นดินกันบาง พอได นั่ ง ก ล า ง ดิ น ที ไร แ ล ว ก็ ข อ ใ ห จิ ต นึ ก ถึ ง พ ร ะ พุ ท ธ เจ า ทั น ที เรี ย ก ว า พุทธานุสสติ ไดบุญ ไดกุศล จะมีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธเจาไดยิ่งขึ้น.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ โ รงเรี ย นกลางดิ น มั น มี อ ะไรพิ เ ศษกว า โรงเรี ย นที่ เ ป น ตึ ก เป น อะไร แบบที่ เ ขามี กั น ทั่ ว ไปในโลก. ฉะนั้ น ขอให ถื อ ว า เรานั่ ง หรื อ เราใช โ รงเรี ย นอย า ง พระพุ ท ธเจ า ก็ แ ล ว กั น , มั น มี จิ ต ใจแปลกกั น กว า ที่ จ ะไปใช โ รงเรี ย นอย า งธรรมดา.


ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

๕๓๘

สามัญ ; ฉะนั้น ชว ยจํา ความรูสึก ในใจที่เ กิด ขึ้น ในขณะที ่เ รานั ่ง อยูต รงนี้ วามันมีอยางไร, อยางนอยมันก็มีลักษณะที่สะอาด สวาง และสงบ บางตาม สมควร. ถา ความรู ส ึก อัน นี ้ไ ดเ กิด ขึ ้น แลว ขอใหจํ า ไวใ หแ มน รัก ษาไวใ หด ี ๆ ให อ ยู กั บ เราตลอดไปนาน ๆ, แล วเพิ่ ม เติ ม ไว เรื่ อ ย ให มั น ติ ด กั น ไว เรื่ อ ย ว ามี ค วาม สะอาด มี ค วามสว าง มี ค วามสงบ แห งจิ ต ใจ, ก็ จ ะได รั บ ประโยชน ได รั บ กํ าไรใน ชีวิต คือมีธรรมะเปนเครื่องทําความเยือกเย็นแกจิตใจตลอดไป. เอาละ, ถาไมมีปญหาอะไรก็ปดประชุมได. ....

....

....

....

ถาม : ขอกราบเรี ยน มี นั กศึ กษาถามว า ตามธรรมดามนุ ษ ย เราทุ ก คนเมื่ ออยู ในครรภ ม ารดา นั้ น จิ ตย อมว าง, แต พ อลื มตาขึ้ นมองโลก ย อมมี ๓ ตั วคื อ โลภโกรธ หลง เข ามาอยู ทั้ ง สิ้ น . แต เมื่ อ เรารู จั ก ตั ว เอง กํ า จั ด ได ๑ ตั ว ผลต อ มาจะกํ า จั ด ได ห มดหรื อ ไม ? ขอให ท านจง ช วยอธิ บ ายให เพื่ อ น ๆ นั ก ศึ ก ษาได ฟ งด วย ว ามี วิ ธี กํ าจั ด ๓ ตั วนี้ ได อยางไร ?

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ตอบ : คือ วา เมื ่อ อยู ใ นทอ งมารดา มัน ไมม ีท างที ่จ ะเกิด กิเลส; กิเ ลสจะเกิด ก็ ตอเมื่อคลอดออกมา แลว แลวก็มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่ทํางานได แลว . ฉะนั ้น ทารกนั ้น จะตอ งเติบ โตพอสมควร จะเติบ โตพอที ่จ ะรู ว า อรอ ย หรื อไม อร อย พอใจหรื อไม พ อใจ ก็ เรี ยกว า ต องมี ผั สสะเป น แล ว, แล วก็ มี เวทนา เพราะว า ทารกนี้ ยั งไม มี ส ติ ยั งไม มี ป ญ ญา ยั งไม มี ความรู . ฉะนั้ น เขาก็ มี ผั ส สะ ตามแบบของความไม รู มั นก็ เกิ ดความรู สึ กที่ เป นกิ เลส ประเภทใดประเภท


เคาโครงของพุทธศาสนา

๕๓๙

หนึ่ ง , รั ก หรื อ ต อ งการความโง ก็ เ กิ ด ความโลภ. เมื่ อ ไม ไ ด อ ย า งใจด ว ยความโง ก็เกิดความโกรธ อยูดวยความโง ก็เรียกวาความหลง. นี้ เด็ กโตขึ้ นมาก็ ค อย ๆ มี ความโลภ ควาาโกรธ ความหลง เติ บโตขึ้ นมาตาม ที่ ผั ส สะมั น ขยายตั ว กว า งขวางอย า งไร. เวทนากว า งขวางอย า งไร, ก็ เ กิ ด กิ เ ลส กวางขวางเรื่อยขึ้นมา จนกวาจะเปนผูใหญ มันก็มีกิเลสเกิดขึ้นเต็มที่และสมบูรณ. ทีนี้ที่ถามวา จะกําจัดมันอยางไร ? ก็เรื่องเดียวกับเมื่อตะกี้นี้พูดไปแลววามีผัสสะ เ มื่ อ ไ ร ก็ มี ส ติ เ มื่ อ นั้ น , มี ส ติ ค ว บ คุ ม ผั ส ส ะ กิ เล ส ก็ ไ ม เกิ ด . เร า ศึ ก ษาจนรูว าความทุ ก ข เป น อย างนี้ , กิ เลสเป น เหตุ ให เกิ ด ทุ ก ข เป น อย างนี้ , แล วเราก็ ไม ป ระ ส งค . ก็ มี ส ติ ค ว บ คุ ม ผั ส ส ะ กิ เล ส ก็ ไม เกิ ด . กิ เล ส ไม เกิ ด มั น ก็ ไม มี ความชินที่จะเกิด มันก็งายดาย เปนอยูอยางที่ไมมีกิเลส. ขอให จํ า ไว ว า มั น เรื่ อ งเดี ย วกั น คื อ ควบคุ ม ผั ส สะไว ใ ห ไ ด กิ เ ลสก็ ไ ม เกิ ด มี ส ติ มี ป ญ ญ าพอ ก็ ค วบคุ ม ผั ส สะไว ไ ด . ขอให ไ ปเพิ่ ม พู น สติ ห รื อ ป ญ ญ า ฝกฝนใหมีมากและเร็ว พอที่จะควบคุมผัสสะ ใจความมันมีเทานี้.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถาม : ขอเรี ย นถามอี ก ข อ กระผมได อ า นหนั ง สื อ มา คํ า ว า ชาติ ป ทุ กฺ ข า ชราป ทุ กฺ ข า และมรณมฺ ป ทุ กฺ ขํ ในหนั งสื อ บางเล ม ของเขาอธิ บ ายว า หมายถึ งว าการเกิ ด จากท อ ง แม จากครรภ ของมารดา การตีความหมายอย า งนี้ กระผมคิ ดว า ไม คอยน าจะถู ก นั ก ไมทราบวาถูกตองเปนอยางไรครับ ?

ตอบ : มันก็ถูกตองทั้ง ๒ อยางแหละ จะตีความหมายธรรมดาภาษาคน วาเกิด จากท อ งแม แล ว ก็ ช ราไปตามเรื่ อ ง นั้ น ก็ ถู ก เหมื อ นกั น , มั น ก็ เ ป น ทุ ก ข เหมือนกัน.


๕๔๐

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

แต ว าที่ มั นเป นทุ กข กว านั้ น, มั นเป นทุ กข เมื่ อมี ความยึ ดถื อว าความเกิ ด ของเรา ความแก ข องเรา ความตายของเรา. นี่ เป น ความเกิ ด อี ก ความหมายหนึ่ ง ซึ่ ง เป น ทุ ก ข ว า เป น ทุ ก ข จ ริ ง กว า . ถ า เราไม ถื อ ว า ความเกิ ด ของเรา ความแก ของเรา ความตายของเรา มั น ก็ ไม เป น ทุ ก ข ทั้ ง ที่ มั น เกิ ด แก ตาย อยู นั่ น แหละ. ผู ที่ เป น พระอรหั น ต แ ล ว ก็ ยั ง มี ร า งกายที่ เรี ย กว า แก เจ็ บ ตาย อยู นั่ น แหละ; แต ท า นก็ ไม เป น ทุ ก ข ความเกิ ด แก เจ็ บ ตาย ของท า นมั น ก็ ไม เป น ทุ ก ข เพราะว า ท า นไม ไ ด ถื อ ว า ความเกิ ด แก เจ็ บ ตาย ของเรา. นี่ เ ขาเรี ย กว า ความ ปล อ ยวางหรื อ ความหลุ ด พ น . แต ถ าใครไปถื อ วา ความเกิ ด แก เจ็ บ ตาย ของ เรา คนนั้นจะเปนทุกขทันที และทุกทีที่มีความยึดถืออยางนั้น. ที นี้ ความเกิ ดจากท องแม นั้ น ยั งไม มี ความหมายอะไรนั ก จนกว าเมื่ อไร มัน ถู กยึด ถือวาความเกิด ของเรา มัน จึงจะแสดงบทบาท แสดงฤทธิ์ให เห็ น ; เกิ ดจากท องแม มั นก็ แล วไปแล ว, แต ถ าเอามายึ ดถื อวาความเกิ ดของเราเมื่ อไร ก็ จะ เป น ทุ ก ข เมื่ อ นั้ น . ฉะนั้ น ความเกิ ด จากท อ งแม ไม มี ค วามหมายที่ ส มบู ร ณ จนกว า เมื่ อ ไรจิ ต ใจจะเกิ ด ความยึ ด ถื อ ว า ความเกิ ด ของเรา. เกิ ด มาจากท อ งแม มั น ก็ เป น เรื่องครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไม สมบู รณ จนกว าจะมี ความยึ ดถื อความเกิ ดนั้ น วาความเกิ ด ของเรา, เมื่ อ นั้ น แหละสมบู ร ณ . ยึ ด ถื อ เมื่ อ ไรมี ก ารเกิ ด เมื่ อ นั้ น , ยึ ด ถื อ เมื่ อ ไร มีการเกิดเมื่อนั้น, และเปนทุกขเมื่อนั้น และเปนทุกขทุกที.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org จะเรี ยกว าถู ก มั นก็ ถู กทั้ ง ๒ ความหมายแหละ แต ว ามั นไม เท ากั น ความหมายเล็ ก ๆ ความหมายอย างภาษาเนื้ อหนั งวัตถุ มั นก็ เป นอย างหนึ่ ง, ความ หมายทางจิ ต ใจ คื อ ความยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น นั้ น มั น เป น อี ก เรื่ อ งหนึ่ ง , แล ว สํ า คั ญ ว า ,


เคาโครงของพุทธศาสนา

๕๔๑

แล ว ก็ เป น ทุ ก ข ก ว า . ความเจ็ บ ปวดที่ ไม โง ไ ปหลงยึ ด ถื อ ว า ความเจ็ บ ปวดของเรา นั้นมันเจ็บนอยกวา. ช ว ยจํ า กั น ไปด ว ย ว า เจ็ บ อะไรก็ ต ามเถอะ เจ็ บ แผล เจ็ บ อะไรก็ ต าม ตามธรรมดาจะมี ค วามทุ ก ข ต ามแบบนั้ น อยู แ ล ว ; แต ถ า ไปยึ ด ถื อ ว า ความ เจ็บ ของเราเขาไปอี ก จะเจ็บ มากกวานั้ น เขาไปอี ก , จะเจ็บ จนถึงกับจะเป นบ า หรือวาทรมานถึงสวนลึกสุดของจิตใจ. ความเกิ ด เป น ทุ ก ข ความแก เป น ทุ ก ข ต อ เมื่ อ มั น มี ค วามหมายว า เป น ของเรา ถ าไม ถู ก ยึ ด ถื อ ว าเป น ของเรา มั น ก็ จะเรียกว าไม เป น ทุ ก ข ก็ ได หรือ มั น เป น ทุ กข ชนิ ดเดี ย ว ถ ามั น มี เวทนา ถ ามั น มี เวทนาเช น ความแก ความเจ็ บ มั น มี เวทนา ก็ เป น ทุ ก ข ช นิ ด เดี ย ว แต ถ าไปยึ ด ถื อ ว า ความแก ของเราความเจ็ บ ของเรา จะทุ ก ข มากกว านั้ น หรือว าทุ กข ชนิ ดเดี ยวความรูสึ กธรรมดานี้ ถ าไปยึ ดถื อเข าอี ก มั นจะมี ความรูสึกเปนทุกขมากกวานั้นอีก.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี่ เรีย กว า ตั ว จริ ง ของมั น อยู ที่ ต รงยึ ด ถื อ ; เมื่ อ ใดไปยึ ด ถื อ เมื่ อ นั้ น จะมี สิ่ งนั้ นเกิ ด ขึ้ น โดยความเป นของเรา, แล วก็ จะมี ความทุ กข มี ห วง มี วิ ต กกั งวล เกี่ยวกับความเกิด แก เจ็บ ตาย นั้นมาก กวาที่จะปลอยมันไปตามเรื่อง.

ตะกี้ ถ ามว า อั น ไหนจะถู ก กว า มั น ก็ ถู ก กั น ทั้ ง ๒ แหละ แต มั น ถู ก กั น คนละระดั บ , แล วระดั บ ที่ มี ป ญ หาเกี่ ยวกั บ พุ ทธศาสนาคื ออย างหลั ง อย างที่ มั นถู ก ยึ ด ถื อ ว า เป น ความเกิ ด แก เจ็ บ ตาย ของเรา. ท า นสอนให มี ป ญ ญารู สลั ด ออกไปโดยความไม ใช เป น ของเรา ให เป น ของธรรมชาติ . เอ า , มี ป ญ หาอะไรอี ก ?


๕๔๒

ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา

ถาม: มีปญหาอีกขอหนึ่ง ถามวา ผมมีความทุกขอยู ๒ อยาง คือ ๑ ผมกลัวผีหลอก ทํา อย า งไรจึ ง จะหายกลั ว ผี ? อี ก ข อ หนึ่ ง ถามว า ผมกลั ว โจรผู ร า ย แล ว ทํ า อย า งไรจึ ง จะ หายกลัวโจร?

ตอบ: ถามีสติมีปญญาพอ ก็ไมมีความกลัว ไปฝกใหมันมีสติปญญาพอ ไดเห็น ไดรูสึกอะไร ก็อยาไปเขาใจวาเปนผี, แลวเรายึดมั่นถือมันใหมันเปนผีขึ้น มา. ให ศึ ก ษาให รู ว า กลั ว มั น ก็ เป น ทุ ก ข เปล า ๆ ไม ก ลั ว ดี ก ว า , หรื อ ว า ถ า จะต อ ง ทํ า อยา งไรก็ทํ า ไป จะปอ งกัน หรือ หลีก หนีโ จรผู ร า ยอยา งไร ก็ห ลีก หนีไ ปโดยที่ จิ ตใจไม ต องกลั ว จะได ไม เป นทุ กข , มี สติ มี ป ญ ญาสํ าหรับที่ จะไม กลั ว แล วก็ ไม เป น ทุกข. เอา, มีอะไรอีก? ถาม : ยังมีอีก แตวารูสึกวาตรงกับคําอธิบายที่ทานไดอธิบายไปแลวเมื่อกี้ เชนเขาถามวา วิญ ญาณที่พ ระพุท ธเจาไดก ลาวไวนั้น หมายความวา อยางไร ก็รูสึก วาก็ตรงกับ ที่ทา น ไดอธิบายผานมาแลว.

ตอบ : เมื่ ออายตนะภายนอก กั บอายตนะภายในเนื่ องกั น มั นจะเกิ ดวิ ญ ญาณขึ้ น ทางอายตนะนั้น ๆ คือทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ; นี่วิญญาณที่ พระพุ ทธเจ าท านสอนเป นอย างนี้ . ส วนวิ ญ ญาณเจตภู ติ ที่ ชาวบ านพู ด ลอยไปเกิ ด ลอยมาเกิ ด นั้ น อี ก ความหมายหนึ่ ง พระพุ ท ธเจ า ท า นไม ไ ด ต รั ส ถึ ง เรื่ อ งนี้ เราก็ ไมพูด. แต ถ าเราเชื่ อว ามี วิ ญ ญาณที่ เป นผี อย างนั้ นอยู , แล วเราก็ จะแก ป ญ หา นั้น ได ดว ยมีส ติมีปญ ญา เมื่อ เกิด การกระทบชนิด ที่ใ หเ กิด ความรูสึก วา ผี, มีส ติมีปญ ญาใหพ อ แลวจะไมเกิด ความรูสึกวาผี, หรือ ถามัน เกิด ความรูสึก วาผี ก็ข อใหถือ วา มัน เปน เพีย งผลแหง การกระทบทางอายตนะทา นั้น ไมใ ชผี จริง ๆ. ถา ศึก ษาใหถ ึง ที ่ส ุด มัน เปน เรื่อ งไมม ีต ัว ไมม ีต น ศึก ษาเรื่อ งอนัต ตา เรื่องสุญญตา แลวจะไมมีผีเหลืออยูเลย.

www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org

_____________


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.