บันทึก หนังสือชุด “ธรรโฆษณของพุทธทาส” เทาที่ไดจัดพิมพขึ้นไวในพระพุทธศาสนา มาจนถึงวันนี้ มีรายชื่อ และเลขหมายประจําเลม ดังนี้ :ลําดับพิมพออก ( ๑ ) ( ๒ ) ( ๓ ) ( ๔ ) ( ๕ ) ( ๖ ) ( ๗ ) ( ๘ ) ( ๙ ) ( ๑๐ ) ( ๑๑ ) ( ๑๒ ) ( ๑๓ ) ( ๑๔ ) ( ๑๕ ) ( ๑๖ ) ( ๑๗ ) ( ๑๘ ) ( ๑๙ ) ( ๒๐ ) ( ๒๑ ) ( ๒๒ ) ( ๒๓ ) ( ๒๔ ) ( ๒๕ ) ( ๒๖ ) ( ๒๗ ) ( ๒๘ ) ( ๒๙ ) ( ๓๐ )
ชือ่ หนังสือ พุทธประวัติจากพระโอษฐ อิทปั ปจจยตา สันทัสเสตัพพธรรม ธรรมบรรยายระดับมหาวิทยาลัย เลม ๑ พุทธิกจริยธรรม ขุมทรัพยจากพระโอษฐ โอสาเรตัพพธรรม พุทธจริยา ตุลาการิกธรรม มหิดลธรรม บรมธรรม ภาคตน บรมธรรม ภาคปลาย อานาปานสติภาวนา ธรรมปาฏิโมกข เลม ๑ สุญญตาปริทรรศน เลม ๑ คายธรรมบุตร ฆราวาสธรรม ปรมัตถสภาวธรรม ปฏิปทาปริทรรศน ธรรมบรรยายระดับมหาวิทยาลัย เลม ๒ สุญญตาปริทรรศน เลม ๒ เตกิจฉกธรรม โมกขธรรมประยุกต ศารทกาลิกเทศนา ศีลธรรม กับ มนุษยโลก๒ อริยศีลธรรม การกลับมาแหงศีลธรรม ธรรมสัจจสงเคราะห ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ ธรรมะกับการเมือง
เลขประจําเลม ๑ [พิมพถึงครั้งที่ ๑๑] ๑๒ [พิมพถึงครั้งที่ ๓] ๑๓ [พิมพถึงครั้งที่ ๒] ๓๖ ๑๘ ๓ [พิมพถึงครั้งที่ ๖] ๑๓ . ก [พิมพถึงครั้งที่ ๒] ๑๑ ๑๖ ๑๗ . ข ๑๙ [พิมพถึงครั้งที่ ๒] ๑๙ . ก [พิมพถึงครั้งที่ ๒] ๒๐ . ก [พิมพถึงครั้งที่ ๔] ๓๑ ๓๘ ๓๗ ๑๗ . ก [พิมพถึงครั้งที่ ๓] ๑๔ . ก ๑๔ ๓๖ . ก ๓๘ . ก ๑๗ . ง ๑๗ . ค ๒๖ ๑๘ . ข ๑๘ . ค ๑๘ . ก ๑๘ . ช ๔ [พิมพถึงครั้งที่ ๒] ๑๘ . จ
เยาวชนกับศีลธรรม
๑๘ . ง
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
( ๓๑ )
www.buddhadasa.in.th
ลําดับพิมพออก ( ๓๒ ) ( ๓๓ ) ( ๓๔ ) ( ๓๕ ) ( ๓๖ ) ( ๓๗ ) ( ๓๘ ) ( ๓๙ ) ( ๔๐ ) ( ๔๑ ) ( ๔๒ ) ( ๔๓ ) ( ๔๔ ) ( ๔๕ ) ( ๔๖ ) ( ๔๗ )
ชื่อหนังสือ เมื่อธรรมครองโลก ไกวัลยธรรม อาสาฬหบูชาเทศนา เลม ๑ มาฆบูชาเทศนา เลม ๑ พระพุทธคุณบรรยาย วิสาขบูชาเทศนา เลม ๑ ชุมนุมลออายุ เลม ๑ ธรรมบรรยายตอหางสุนัข เทคนิคของการมีธรรมะ อะไรคืออะไร ? ใครคือใคร ? อริยสัจจากพระโอษฐ ราชภโฏวาท กข กกา ของการศึกษาพุทธศาสนา ธรรมะเลมนอย ใจความแหงคริสตธรรมเทาที่พุทธบริษัทควรทราบ ธรรมปาฏิโมกข เลม ๒ หัวขอธรรมในคํากลอน และ บทประพันธ ของ “สิริวยาส” ฟาสางระหวาง ๕๐ ปที่มีสวนโมกข ตอน ๑ ฟาสางระหวาง ๕๐ ปที่มีสวนโมกข ตอน ๒ ชุมนุมปาฐกถาชุด “พุทธธรรม” สมถวิปสสนาแหงยุคปรมาณู นวกานุสาสน (เลม ๑) สันติภาพของโลก ธรรมะกับสัญชาตญาณ ธรรมศาสตรา (เลม ๑) อตัมมยตาประยุกต
เลขประจําเลม ๑๘ . ฉ ๑๒ . ก ๒๔ ๒๒ ๑๑ . ก ๒๓ ๔๒ . ก ๓๙ . ค ๓๗ . ก ๓๗ . ค ๓๗ . ข ๒ [พิมพถึงครั้งที่ ๒] ๓๙ . ง ๓๔ . ค ๔๐ ๔๔ . ก ๓๑ . ก
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ( ๔๘ ) ( ๔๙ )
( ๕๐ ) ( ๕๑ ) ( ๕๒ ) ( ๕๓ ) ( ๕๔ ) ( ๕๕ ) ( ๕๖ ) ( ๕๗ ) ( ๕๘ )
๔๒ . ค ๔๖ . ค ๔๖ . ง ๓๒ ๑๔ . ข ๓๙ ๑๘ . ซ ๑๕ ๔๐ . ก ๑๒ . ข
ผูบริจาคทรัพยในการพิมพ และผูรวมมือชวยเหลือทุกทาน ขออุทิศสวนกุศลแกสรรพสัตว ๓๑ สิงหาคม ๒๕๓๓ (โปรดชวยคาพิมพ อานาปานสติภาวนา เลมละ ๒๐๐ บาท)
www.buddhadasa.in.th
อานาปานสติภาวนา
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
อานาปานสติภาวนา พุทธทาสภิกขุ อบรมภิกษุ ณ สวนโมกข ฯ ในพรรษาป ๒๕๐๒
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ธรรมทานมูลนิธิ จัดพิมพดวยดอกผลทุน “ธรรมทานปริวรรตน” เปนอันดับที่สามแหงทุนนี้ เปนการพิมพครั้งที่ ๔ ของหนังสือชุดธรรมโฆษณ อันดับที่ ๒๐ ก. บนพื้นแถบสีแดง จํานวน ๒,๐๐๐ เลม พ.ศ. ๒๕๓๓ (ลิขสิทธิ์ไมสงวนสําหรับการพิมพแจกเปนธรรมทาน, สงวนเฉพาะการพิมพจําหนาย)
www.buddhadasa.in.th
คณะธรรมทานไชยา จัดพิมพ พิมพครั้งที่แรก พิมพครั้งที่สอง พิมพครั้งที่สาม พิมพครั้งที่สี่ พิมพครั้งที่หา พิมพครั้งที่หก พิมพครั้งที่เจ็ด พิมพครั้งที่แปด พิมพครั้งที่เกา พิมพครั้งที่สิบ
พ.ศ. พ.ศ. พ.ศ. พ.ศ. พ.ศ. พ.ศ. พ.ศ. พ.ศ. พ.ศ. พ.ศ.
๒๕๐๓ ๒๕๐๖ ๒๕๐๗ ๒๕๑๐ ๒๕๑๕ ๒๕๑๖ ๒๕๑๘ ๒๕๒๓ ๒๕๒๘ ๒๕๓๓
๑,๐๐๐ เลม ๕๐๐ เลม ๑,๐๐๐ เลม ๘๐๐ เลม ๑,๐๐๐ เลม ๕๐๐ เลม ๑,๕๐๐ เลม (ชุดธรรมโฆษณ) ๑,๕๐๐ เลม (ชุดธรรมโฆษณ) ๑,๕๐๐ เลม (ชุดธรรมโฆษณ) ๒,๐๐๐ เลม (ชุดธรรมโฆษณ)
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
คํานํา (พิมพครั้งที่ ๘)
หนังสือ อานาปานสติภาวนา นี้ ไดจัดพิมพขึ้นดวยเงินทุนธรรมทานปริวรรตน ซึ่งเปนคําบรรยายของ “พุทธทาสภิกขุ”; จัดเปนหนังสือ ชุดธรรมโฆษณ หมายเลข ๒๐ ก. บนพื้นแถบสีแดง. คําบรรยายในเลมประกอบเปน ๓ ภาค : ภาคแรก เปนบุพพกิจ ขั้นตระเตรียมตัวเองและสิ่งแวดลอม กอนเริ่มภาวนา; ภาคที่สอง เปน ภาคภาวนา กลาวถึงการปฏิบัติโดยเลือกแนวจากอานาปานสติสูตร ซึ่งเปน พระสูตรที่พระพุทธเจากลาวถึงเรื่องนี้ไวอยางสมบูรณ ครบถวนมากกวา สูตรอื่นใดในพระไตรปฎก; ภาคที่สาม เปนบทผนวก ยกเอาหลักความรู และหลักฐานอางอิงเพื่อความแนใจ และเปนกําลังใจใหแกผูปฏิบัติ. หวังวาหนังสือนี้ จะเปนประโยชนในแงความรูที่ใชลงมือปฏิบัติ การงานทางจิต ชนิดที่เปนสัปปายะแกบุคคลทุก ๆ ประเภทของจริต.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ธรรมทานมูลนิธิ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๒๓
www.buddhadasa.in.th
สารบาญ เคาโครงตลอดสาย ภาคนํา ตอน ๑ การมีศีล และธุดงค …. …. …. …. …. …. …. …. …. ตอน ๒ บุพพภาคทั่วไป ของการเจริญสมาธิ …. …. …. …. …. …. ตอน ๓ ความมุง หมายอันแทจริงของบุพพกิจ …. …. …. …. ….
๑ ๕ ๑๗
…. …. …. ….
๒๘
ตอน ๔ บุพพกิจโดยเฉพาะของการเจริญสมาธิ
๖๖ ภาคอานาปานสติภาวนา จตุกกะที่ ๑ กายานุปสสนา ตอน ๕ อานาปานสติ ขั้นที่หนึ่ง การกําหนดลมหายใจยาว …. …. ๖๗ ตอน ๖ อานาปานสติ ขั้นที่สอง การกําหนดลมหายใจสั้น …. …. ๗๗ ตอน ๗ อานาปานสติ ขั้นที่สาม การกําหนดลมหายใจทั้งปวง …. …. ๘๑ ตอน ๘ อานาปานสติ ขั้นที่สี่ การทํากายสังขารใหรํางับ …. …. ๙๐ จตุกกะที่ ๒ เวทนานุปสสนา ๒๓๙ ตอน ๙ อานาปานสติ ขั้นที่หา การกําหนดปติ …. …. …. …. ๒๔๐ ตอน ๑๐ อานาปานสติ ขั้นที่หก การกําหนดสุข …. …. …. …. ๓๐๗ ตอน ๑๑ อานาปานสติ ขั้นที่เจ็ด การกําหนดจิตตสังขาร …. …. …. ๓๑๓ ตอน ๑๒ อานาปานสติ ขั้นที่แปด การทําจิตสังขารใหรํางับ…. …. …. ๓๒๑ จตุกกะที่ ๓ จิตตานุปสสนา ๓๒๕ ตอน ๑๓ อานาปานสติ ขั้นที่เกา การรูพรอมซึ่งจิต …. …. …. …. ๓๒๖ ตอน ๑๔ อานาปานสติ ขั้นที่สิบ การทําจิตใหปราโมทย …. …. …. ๓๓๒ ตอน ๑๕ อานาปานสติ ขั้นที่สิบเอ็ด การทําจิตใหตั้งมั่น …. …. …. ๓๔๐ ตอน ๑๖ อานาปานสติ ขั้นที่สิบสอง การทําจิตใหปลอย …. …. …. ๓๔๙ จตุกกะที่ ๔ ธัมมานุปสสนา ๓๖๓ ตอน ๑๗ อานาปานสติ ขั้นที่สิบสาม การเห็นความไมเที่ยง …. …. …. ๓๖๕ ตอน ๑๘ อานาปานสติ ขั้นที่สิบสี่ การเห็นความจางคลาย …. …. ๓๙๒ ตอน ๑๙ อานาปานสติ ขั้นที่สิบหา การเห็นความดับไมเหลือ …. …. ๓๙๘ ตอน ๒๐ อานาปานสติ ขั้นที่สิบหก การเห็นความสลัดคืน …. …. ๔๐๘ ภาคผนวก ตอน ๒๑ ผนวก หนึ่ง ญาณเนื่องดวยอานาปานสติ ๑๑ หมวด …. …. ๔๒๑ ตอน ๒๒ ผนวก สอง การตัดสัญโญชน ของอริยมรรคทั้งสี่ …. …. …. ๔๕๑ ตอน ๒๓ ผนวก สาม พระพุทธวจนะ เนื่องดวยอานาปานสติ …. …. ๔๙๙ ตอน ๒๔ ผนวก สี่ บทสวด อานาปานสติปาฐะ แปล …. …. …. ๕๔๒ [๑]
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
สารบาญละเอียด อานาปานสติภาวนา ภาคนํา - วาดวยบุพพกิจของสมาธิภาวนา ตอน ๑ การมีศีล และการธุดงค แนวปฏิบัติธรรม มีหลักทั่วไป กับ หลักสําหรับปฏิบัติเฉพาะ …. ๑ หลักทั่วไป มีเพื่อใหเปนอยูโดยชอบ และเนื่องกันกับเหลักเฉพาะ ๑ ศีลและธุดงคนี้ ยอมมีมาแลว พอที่จะเปนบาทฐานสมาธิภาวนาได ๒ ศีล มีหลักอยูที่สํารวมในปาริสุทธิศีลสี่ หรือกิจวัตรสิบ …. …. ๒ ธุดงค มีหลักใหสันโดษมักนอยในการเปนอยู เพื่อจิตและกายเขมแข็ง ๓ ตอน ๒ บุพพภาคทั่วไป ของการเจริญสมาธิ ขอที่ตองทํากอนเหลานี้ จะเกิดประโยชนตอเมื่อพิจารณาเลือกเฟน ๖ ตกมาสมัยนี้ อาจประมวลบุพพภาคได ๑๒ เรื่อง ซึ่งลวนตองใชปญญา ๖ ตอน ๓ ความมุงหมายอันแทจริงของบุพพกิจ บุพพกิจ ๑๒ เรื่อง ที่มุงหมายนั้น ไมใชพิธีรีตอง แตเปนเทคนิค ๑๗ ตอน ๔ บุพพกิจโดยเฉพาะของการเจริญสมาธิ ก. อุปมาประจําใจ : คนมีปญญา ยืนบนแผนดิน ลับอาวุธคม ถางปา. ๒๘ ข. ตัดปลิโพธ ๑๐ อยาง มีอาวาสปลิโพธ เปนตน …. …. ๓๑ ค. การเลือกสิ่งแวดลอม - ตองรูจริต เพื่อหาใหตรงกับจริตเฉพาะ ๆ ๓๗ -ธรรมชาติเปนที่สัปปายะ ในการปฏิบัติ ๔๑ ฆ. ตระเตรียมทางหลักวิชาเกี่ยวกับสมาธิ ที่ตองทราบลวงหนา …. ๔๖ ตระเตรียมทางปฏิบัติ เพื่อทฤษฎี-ปฏิบัติจะสัมพันธกัน …. ๕๐
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
[๒]
www.buddhadasa.in.th
[๓]
ทําไมเลือกอานาปานสติ มาเปนกัมมัฏฐานหลัก ? …. …. ๕๕ ใครที่จะเปนผูเจริญอานาปานสติ ? …. …. …. …. ๕๘ วิธีเจริญอานาปานสติ มีอยูอยางไร ? …. …. …. …. ๕๙ ภาคอานาปานสติภาวนา - วาดวยวิธีเจริญอานาปานสติ จตุกกะที่ ๑ - กายานุปสสนาสติปฏฐาน ตอน ๕ อานาปานสติ ขั้นที่หนึ่ง การกําหนดลมหายใจยาว …. …. ๖๗ ใหรูจักที่วายานั้นอยางไร ? สังเกตความแตกตางที่ไหน ? เมื่อไร ? ๖๘ วิธีการกําหนดลมหายใจ ในลักษณะที่ตาง ๆ กัน มีอยางไร ? …. ๗๐ กรรมวิธี ๑๐ ระยะในขณะแหงการกําหนดลม …. …. …. ๗๔ ตอน ๖ อานาปานสติ ขั้นที่สอง การกําหนดลมหายใจสั้น …. …. ๗๗ การฝกขั้นนี้ก็เพื่อรูจักเปรียบเทียบยาว-สั้น จะทําใหรูลมตามปรกติได …. …. …. ๗๙ อุปมาเหมือนไกวเปล ชาหรือเร็ว สั้นหรือยาว สติไมผละไปไหน ๗๙ ตอน ๗ อานาปานสติ ขั้นที่สาม การกําหนดลมหายใจทั้งปวง …. ….๘๑ เริ่ม สิกขติ-ทําในบทศึกษา คือตั้งแตขั้นนี้ไป เริ่มมีญาณเจือเขามา ๘๒ ขั้นนี้เปลี่ยนจาก ปชานาติ เปน ปฏิสํเวที คือรูพรอมเฉพาะ …. ๘๓ กําหนดรูกายทั้งปวง ก็คอื การกําหนดรูลมหายใจโดยประการทั้งปวง ๘๔ วิธีการกําหนดรูลมหายใจทั้งปวง …. …. …. …. …. ๘๕ เมื่อรูพรอมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวงจริงแลว ก็นําไปสูสมาธิแนวแนตอไป ๘๘ ตอน ๘ อานาปานสติ ขั้นที่สี่ การทํากายสังขารใหรํางับ …. …. …. ๙๐ “กายสังขาร” หมายถึงลมหายใจทําหนาที่ปรุงแตงรางกาย …. ๙๐ การทํากายสังขารใหรํางับ …. …. …. …. …. …. ๙๑ - ทําใหรํางับดวยการกําหนด …. …. …. …. ๙๓ - ทําใหรํางับดวยการพิจารณา …. …. …. …. ๙๓
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
[๔]
ลําดับแหงกรรมวิธีของอานาปานสติ ๔ ระยะแรก เปนขั้นสมถะ ๙๗ ๔ ระยะหลัง เปนขั้นวิปสสนา ๙๗ ระยะที่หนึ่ง คณนา – นับดวยสังขยา …. …. …. …. ๙๙ - นับโดยคํานวณสั้นยาว …. …. …. ๑๐๐ ระยะที่สอง อนุพันธนา การติดตามลมละเอียดอยางใกลชิด…. ๑๐๔ ระยะที่สาม ผุสนา กําหนดฐานที่ลมถูกตอง …. …. …. ๑๐๖ ระยะที่สี่ ฐปนา กํานหดฐานแหงนิมิต จนเกิดปฏิภาคนิมิต ๑๐๗ กฎเกณฑเกี่ยวกับนิมิต บริกรรมนิมิต อุคคหนิมิต ปฏิภาคนิมิต ….๑๐๘ - ตัวอยาง กรณีเจริญกสิณ …. …. …. …. …. ๑๐๙ กรณีเจริญอสุภกัมมัฏฐาน …. …. …. …. ๑๑๐ กรณีเจริญอานาปานสติ …. …. …. …. ๑๑๑ - นิมิตตางกัน มีผลแกจิตตางกัน …. …. …. …. …. ๑๑๓ - กัมมัฏฐานพวกที่ไมมีปฏิภาคนิมิต เชนอนุสสติ ไมเกิดฌาน ๑๑๔ - อุปสรรคการเกิดปฏิภาคนิมิตและฌาน - อุปสรรคตอนแรก ๑๑๖ - อุปสรรคทั่วไป ๙ คู ๑๑๙ - จิตถึงความเปนเอก มีเปน ๔ ชั้น …. …. …. …. ๑๓๖ ความเปนเอก เพราะสมถนิมิต มีองค ๓ - จิตผองใส …. …. ๑๓๗ - จิตงอกงาม …. …. ๑๓๗ - จิตอาจหาญ …. …. ๑๓๘ นิวรณ และ องคแหงฌาน - นิวรณ กับคูปรับ นิวรณ หา เอกัตตะ หา …. …. …. …. ๑๓๙ - นิวรณ มีไดไมจํากัดจํานวน แตก็อาจสงเคราะหลงนิวรณหาได ๑๔๓ - เหตุที่ไดชื่อวานิวรณ คือบังธรรมจากจิต, บังจิตจากธรรม …. ๑๔๓ - ละนิวรณได มีทั้งรํางับเอง, รํางับดวยสมาธิ, รํางับโดยรื้อรากเหงา ๑๔๔
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
[๕]
- การละนิวรณ เฉพาะที่เปนหนาที่ของสมาธิ …. …. …. ๑๔๖ - องคแหงฌาน : วิตก วิจาร ปติ สุข เอกัคคตา …. …. ๑๔๗ - องคฌานทั้งหา ทําใหเกิดฌานได นับแตปฐมฌาน …. …. ๑๕๐ - องคฌานองคหนึ่ง ๆ เปลี่ยนความหมายไปไดตามขั้น …. ๑๕๓ - องคฌาน กําจัดนิวรณไดอยางไร …. …. …. …. ๑๕๕ - องคฌาน กําจัดนิวรณเมื่อไร ? …. …. …. …. …. ๑๕๖ สมาธิ ๒ อยาง โดยเปรียบเทียบระหวาง อุปจาระ กับ อัปปนา …. ๑๕๗ - การอาศัยปฏิภาคนิมิต เพื่อหนวงเอาฌาน …. …. …. ๑๖๐ - การรักษาปฏิภาคนิมิต ที่เพิ่งไดใหม ๆ …. …. …. …. ๑๖๒ - เรงใหเกิดอัปปนาสมาธิ ดวย อัปปนาโกศล ความฉลาด ๑๐ อยาง ๑๖๓ ๑. จัดวัตถุอุปกรณที่แวดลอมใหเหมาะสมยิ่งขึ้น …. …. ๑๖๔ ๒. ปรับปรุงอินทรียทั้งหาใหมีกําลังเทากัน …. …. …. ๑๖๔ ๓. มีความฉลาดในเรื่องของนิมิต …. …. …. …. ๑๖๘ ๔. การประคองจิต โดยสมัย (ธัมมวิจยะ วิริยะ ปติ) …. ๑๗๑ ก. อุบาย ๗ ประการเปนทางใหเกิดธัมมวิจยะสัมโพชฌงค ๑๗๓ ข. อุบาย ๑๑ ประการ ทางใหเกิด วิริยะสัมโพชฌงค ๑๗๔ ค. อุบาย ๘ ประการ ทางใหเกิด ปติสัมโพชฌงค …. ๑๗๖ ๕. การขมจิต โดยสมัย (ปสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา) …. …. ๑๗๘ ก. อุบาย ๑๐ ประการ ทางใหเกิด ปสสัทธิทั้งสอง …. ๑๗๘ ข. อุบาย ๕ ประการ ทางใหเกิด สมาธิสัมโพชฌงค ๑๘๐ ค. อุบาย ๕ ประการ ทางใหเกิด อุเบกขาสัมโพชฌงค ๑๘๑ ๖. การปลอบจิต โดยสมัย มีทั้งขู และ ลอชักจูง …. …. ๑๘๒ ๗. การคุมจิต โดยสมัย …. …. …. …. …. …. ๑๘๔ ๘. การเวนคนโลเล …. …. …. …. …. …. ๑๘๔
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
[๖]
๙. การเสพคบคนที่มั่นคง …. …. …. …. …. …. ๑๘๖ ๑๐. สามารถนอมจิตไปอยางเหมาะสม …. …. …. …. ๑๘๖ การบรรลุฌาน นับแตปฏิภาคจะปรากฏ ปรากฏแลว รักษาและหนวงจนลุ ๑๘๙ - ปฐมฌาน ปรากฏ (ลักษณะเบื้องตน ทามกลาง ในที่สุด) ๑๙๐ - ลักษณะ ๒๐ ประการ ของปฐมฌาน …. …. …. …. ๑๙๒ - ภาวะของจิตในขณะแหงฌาน …. …. …. …. …. ๒๐๐ - ฌานถัดไป ปรากฏ : ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ๒๑๑ - ลักษณะสมบูรณของฌานทั้งสี่ …. …. …. …. …. ๒๒๓ - วสี ๕ ประการ …. …. …. …. …. …. …. …. ๒๒๕ สรุปใจความของอานาปานสติ ขั้นที่สี่ …. …. …. …. ๒๓๔ กลาวสรุป จตุกกะที่หนึ่ง กายานุปสสนาสติปฏฐาน …. …. ๒๓๖
*
*
*
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org จตุกกะที่ ๒ - เวทนานุปสสนาสติปฏฐาน ตอน ๙ อานาปานสติ ขั้นที่หา การกําหนดปติ …. …. …. ….๒๔๐ สิกฺขติ - ในขั้นนี้มีการคุมความรูสึกตอปติ เปนบทศึกษา ๒๔๐ ปติปฏิสํเวที - เปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งปติ กลาวคือความอิ่มใจ ๒๔๒ การเกิดแหงปติ นับแตขั้นตนไปตามลําดับ ๑๖ ขั้น …. …. ๒๔๒ การดําเนินการปฏิบัติ ก. รูพรอมเฉพาะซึ่งปติ …. …. …. ๒๔๘ ข. ทําอนุปสสนาในปติ ๗ ขั้น …. …. ๒๕๐ ที่ไดชื่อวา ภาวนา เพราะมีความหมาย ๔ : - ภาวนาไดผล เพราะมุงตรงจุดไดถูกและเหมาะ …. …. ๒๖๒ - ภาวนาไดผล เพราะประมวลใหธรรมทําหนาที่รวมกัน …. ๒๖๓
www.buddhadasa.in.th
[๗]
- ภาวนาไดผล เพราะสามารถใชความเพียรไปตามนั้นได …. ๒๖๔ - ภาวนาไดผล เพราะสามารถทําไดมาก ไดสมบูรณ …. …. ๒๖๔ เมื่อภาวนาถึงที่สุด ก็สามารถเรียกเปนชื่อคุณธรรมขั้นนั้น-ขอนี้ได : - ชื่อวามี อินทรียหา ครบในขณะแหงภาวนา …. …. …. ๒๖๗ - ชื่อวามี พละหา ครบในขณะแหงภาวนา …. …. …. ๒๗๒ - ชื่อวามี โพชฌงคเจ็ด ครบในขณะแหงภาวนา …. …. ๒๗๕ - ชื่อวามี มรรคมีองคแปด ครบในขณะแหงภาวนา …. …. ๒๗๘ - ชื่อวามีธรรมะขออื่น ๒๙ ประการในขณะแหงภาวนา …. ๒๘๓ อุบายวิธีพิจารณาเวทนา ก็คือรูจักแยกเปน เวทนา สัญญา วิตก ๒๙๕ - เพงการเกิด ตั้งอยู ดับ ของเวทนา อันมี ผัสสะ เปนปจจัยที่สี่ ๒๙๗ - เพงการเกิด ตั้งอยู ดับ ของสัญญา อันมี เวทนา เปนปจจัยที่สี่ ๓๐๔ - เพงการเกิด ตั้งอยู ดับ ของวิตก อันมี สัญญา เปนปจจัยที่สี่ ๓๐๕ ตอน ๑๐ อานาปานสติ ขั้นที่หก การกําหนดสุข …. …. …. ….๓๐๗ วิธีปฏิบัติ พึงยอนกําหนดองคฌาน ที่เกี่ยวกับสุข ๑๐ หัวขอ ๓๐๘ ตอน ๑๑ อานาปานสติ ขั้นที่เจ็ด การกําหนดจิตตสังขาร …. ….๓๑๓ จิตตสังขาร คืออะไร ? …. …. …. …. …. …. …. ๓๑๓ จิตตสังขาร ปรากฏแกใคร ? ในขณะไหน ? …. …. …. ๓๑๖ รูพรอมเฉพาะดวยอาการอยางไร ? …. …. …. …. …. ๓๑๙ ตอน ๑๒ อานาปานสติ ขั้นที่แปด การทําจิตตสังขารใหรํางับ …. ….๓๒๑ ทีแรกพึงทํากายสังขารใหราํ งับ จิตตสังขารจะพลอยเปนของรํางับ ๓๒๑ เลื่อนมากําหนด สัญญา เวทนา ที่คอย ๆ รํางับลง ๆ …. …. ๓๒๒ แลวพิจารณาไตรลักษณของสัญญาเวทนา จึงเปนทั้งญาณและรํางับ ๓๒๒ สรุปใจความของอานาปานสติ ขั้นที่แปด …. …. …. …. ๓๒๓ กลาวสรุป จตุกกะที่สอง เวทนานุปสสนาสติปฏฐาน …. …. ๓๒๔
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
*
*
*
www.buddhadasa.in.th
[๘]
จตุกกะที่ ๓ - จิตตานุปสสนาสติปฏฐาน ตอน ๑๓ อานาปานสติ ขั้นที่เกา การรูพรอมซึ่งจิต …. …. …. ๓๒๖ สิกฺขติ – ในขั้นนี้ มีการคุมความรูสึกตอพฤติของจิตเปนบทศึกษา ๓๒๖ จิตฺตปฏิสํเวที – เปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งจิต โดยเอาจิตเปนอารมณ ๓๒๗ รูพรอมเฉพาะซึ่งจิตในทุกขั้นของการยอนปฏิบัติมาแตตน ๘ ขั้น ๓๒๘ ก. พิจารณายิ่งขึ้น ๆ โดยอาการ ๑๖ เห็นความที่จิตเปนสังขารธรรม๓๒๘ ข. พิจารณาโดยทุกลักษณะของจิต เชน จิตมีราคะ-ไมมีราคะ ฯลฯ ๓๒๙ เมื่อรูพรอมซึ่งจิตแลว ญาณ สติ ธรรมสโมธาน ก็เกิดตามสวน ๓๓๐ สรุปเปนขอสังเกตวา จตุกกะนี้คือดูและฝกควบคุมจิต ในลักษณะตาง ๆ …. …. …. …. ๓๓๑ ตอน ๑๔ อานาปานสติ ขั้นที่สิบ การทําจิตใหปราโมทยอยู …. …. ๓๓๒ ทําใหปราโมทยขณะไหน ? ทําใหเกิดไดในทุกขั้นที่ฝกมาแตตน ๓๓๒ ความปราโมทยมีอยูอยางไร ? ปราโมทยในที่นี้เอาแตที่ อาศัยธรรม ๒ …. …. …. …. …. …. ๓๓๖ - ปราโมทยเกิดดวยอํานาจสมาธิ ๓๓๗ - ปราโมทยเกิดดวยอํานาจปญญา ๓๓๗ ประคองปราโมทยทุกขั้น สติ ญาณ ธรรมสโมธานก็มีทุกลมหายใจ ๓๓๙ ตอน ๑๕ อานาปานสติ ขั้นที่สิบเอ็ด การทําจิตใหตั้งมั่นอยู …. ….๓๔๐ การสํารวมจิตอยูในเรื่องใด ชื่อวามีไตรสิกขาครบมาตั้งแตขั้นตน ๆ ๓๔๐ ที่วาทําจิตใหตั้งมั่นนั้น ๑. ความตั้งมั่นเปนอยางไร ? …. …. ๓๔๒ ๒. ความตั้งมั่นมีไดเมื่อไร ? …. …. ๓๔๔ - ตั้งมั่นในระยะเริ่มแรกแหงการกําหนดอารมณ …. ๓๔๕ - ตั้งมั่นในขณะที่จิตอยูในฌาน (อัปปนาสมาธิ) ๓๔๕ - ตั้งมั่นในขณะอนันตริกสมาธิ …. …. ….
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๓๔๖
www.buddhadasa.in.th
[๙]
วิธีปฏิบัติขั้นนี้คือยอนทํามาแตตน กําหนดศึกษาจําเพาะความตั้งมั่น๓๔๗ สรุปการฝกในขั้นที่ ๑๑ ทําใหเกิดสติ ญาณ ธรรมสโมธาน ตามสวน ๓๔๘ ตอน ๑๖ อานาปานสติ ขั้นที่สบิ สอง การทําจิตใหปลอย …. …. ….๓๔๙ ที่วาทําจิตใหลอยอยูนั้น ปลอยอยางไร ? …. …. …. ๓๕๐ - ทําจิตใหปลอยสิ่งที่เกิดขึ้นในจิต (ขั้นสมถะ) …. …. ๓๕๐ - ทําจิตใหปลอยสิ่งที่จิตยึดไวเอง (ขั้นวิปสสนา) …. …. ๓๕๑ ที่วาทําจิตใหปลอย ๆ นั้น ปลอยอะไร ? …. …. …. …. ๓๕๓ ที่วาทําจิตใหปลอยนั้น อาศัยอะไรเปนเครื่องมือ ? …. …. ๓๕๔ เมื่อเปลือ้ งจากอกุศลธรรมแลว สติ ญาณ และธรรมสโมธานก็มี ๓๖๑ กลาวสรุป จตุกกะที่สาม จิตตานุปสสนาสติปฏฐาน …. …. ๓๖๒
*
*
*
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org จตุกกะที่ ๔ - ธัมมานุปสสนาสติปฏฐาน ตอน ๑๗ อานาปานสติ ขั้นที่สิบสาม การตามเห็นความไมเที่ยง ….๓๖๖ อะไรคือสิง่ ไมเที่ยง ? - สิ่งที่ถูกสัมผัส (อายตนะภายนอก) ๓๖๖ - สิ่งทําหนาที่สัมผัส (อายตนะภายใน) ๓๖๗ - อาการที่เนื่องกันในการสัมผัส …. …. ๓๖๘ ภาวะความไมเที่ยงเปนอยางไร ? …. …. …. …. …. ๓๗๐ วิธีการตามเห็นไมเที่ยงนั้น ทําอยางไร ? …. …. …. …. ๓๗๐ - มองที่กลุมสังขาร เชนวัยเปลี่ยนไปทุกขณะ …. …. ๓๗๐ - มองที่รูปนาม ลวนขึ้นอยูกับจิตที่เกิดดับ …. …. …. ๓๗๑ - มองที่สิ่งตาง ๆ มีเหตุปจจัยที่เปลี่ยนไป ๆ …. …. …. ๓๗๒ - มองที่อาการปรุงของทุกสิ่งมันไมใชตายตัว …. …. …. ๓๗๓
www.buddhadasa.in.th
[๑๐]
อุบายเขาถึงความไมเที่ยง ตองเอาอารมณตัวจริงมาเพงพิจารณา ๓๗๔ ทั้งขันธ อายตนะและอาการปรุง ตองดูขณะมันกําลังทําหนาที่อยู ๓๗๖ เห็นอนิจจังไดจริง ยอมเปนการเห็นทุกขภาวะทั้ง ๓ …. …. ๓๘๑ เห็นอนิจจังไดจริง ยอมเปนการเห็นอนัตตาพรอมกันไป …. ๓๘๗ สรุปใจความของอานาปานสติ ขั้นที่สิบสาม – อนิจจานุปสสี ๓๙๐ ตอน ๑๘ อานาปานสติ ขั้นที่สิบสี่ การตามเห็นความจางคลาย …. ๓๙๒ วิราคะ ความจางคลายนั้นคืออะไร ? …. …. …. …. ๓๙๒ วิราคะ ความจางคลายเกิดขึ้นไดอยางไร ? …. …. …. ๓๙๓ วิราคะ ความจางคลายเกิดขึ้นในสิ่งใด ? …. …. …. ๓๙๔ วิธีปฏิบัติ เพื่อเปนผูตามเห็นซึ่งความจางคลาย …. …. ๓๙๔ สรุปใจความของอานาปานสติ ขั้นที่สิบสี่ – วิราคานุปสสี …. ๓๙๖ ตอน ๑๙ อานาปานสติ ขั้นที่สิบหา การตามเห็นความดับไมเหลือ ….๓๙๘ ความดับไมเหลือ นั้นคืออะไร ? …. …. …. …. …. ๓๙๘ ความดับไมเหลือ ของอะไร ? …. …. …. …. …. ๓๙๙ ดับไมเหลือไดโดยวิธีใด ? …. …. …. …. …. …. ๔๐๐ สรุปใจความของอานาปานสติ ขั้นที่สิบหา – นิโรธานุปสสี …. ๔๐๗ ตอน ๒๐ อานาปานสติ ขั้นที่สิบหก การตามเห็นความสลัดคืน …. ๔๐๘ ทําอยางไรเรียกวาเปนการสลัดคืน ? …. …. …. …. ๔๐๙ ทําอยางไรจึงจะชื่อวาเปนผูตามเห็นความสลัดคืนอยู ? …. ๔๑๗ กลาวสรุป จตุกกะที่สี่ ธัมมานุปสสนาสติปฏฐาน …. …. ๔๑๘ ประมวลความ ของอานาปานสติ ทั้ง ๔ จตุกกะ …. …. ๔๒๐
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
***
www.buddhadasa.in.th
[๑๑]
ภาคผนวก ตอน ๒๑ ผนวก ๑ - วาดวยญาณเนื่องดวยอานาปานสติภาวนา มี ๑๑ หมวด ๔๒๑ หมวด ๑ - ๒ ญาณรูอะไรเปนอันตราย – เปนคุณตอสมาธิ ๘ ๔๒๓ หมวด ๓ ญาณรูอะไรทําความเศราหมองของสมาธิ ๘ …. ๔๒๔ หมวด ๔ญาณรูอะไรทําความผองแผวของสมาธิ ๑๘ …. …. ๔๒๕ หมวด ๕ญาณ ๓๒ ประการ ของผูมีสติปฏฐาน …. …. ๔๒๘ หมวด ๖ ญาณรูเพราะอํานาจสมาธิ ๒๔ …. …. …. ๔๓๐ หมวด ๗ ญาณรูเพราะอํานาจวิปสสนา ๗๒ …. …. …. ๔๓๓ หมวด ๘ ญาณเนื่องจากนิพพิทา ความหนาย ๘ …. …. ๔๓๙ หมวด ๙ ญาณอนุโลมตอนิพพิทา ๘ …. …. …. …. ๔๔๑ หมวด ๑๐ ญาณเปนที่ระงับเสียซึ่งนิพพิทา ๘ …. …. …. ๔๔๓ หมวด ๑๑ ญาณในสุขอันเกิดจากวิมุตติ ๒๑ …. …. …. ๔๔๖ ตอน ๒๒ ผนวก ๒ - วาดวยการตัดสัญโญชนของอริยมรรคทั้งสี่ …. ๔๕๑ ตอน ๒๓ ผนวก ๓ - วาดวยพุทธวจนะเนื่องดวยอานาปานสติ …. …. ๔๙๙ ตอน ๒๔ ผนวก ๔ - วาดวยบทสวดแปล อานาปานสติปาฐะ …. …. ๕๔๒
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
คําชี้แจง (ในการพิมพ ครั้งแรก)
มีฆราวาสและบรรพชิต ผูสนใจปฏิบัติธรรม เดินทางไปสอบถามศึกษาถึงสวน โมกขกันเรื่อย ๆ. ในบรรดาสิ่งตองประสงคของทานเหลานี้ มักไดแกวิธี ทํากัมมัฏฐาน. ดังนั้น เพื่อไมตองมาคอยตอบคอยแนะ ใหแกผูไปถึงใหมทุกครั้งทุกราย แลว ๆ เลา ๆ จึง ปรารภวาหากมีตําราที่เปนหลักเกณฑถูกตอง สามารถใหความแนใจเพียงพอ แกผูตองการ ตระเตรียมจิตในขั้นนี้ เขาก็ควรหาศึกษาดูไดกอนไมจําเปนตองไปจนถึงสวนโมกข ตอเมื่อได ลองทําบางแลว เกิดมีปญหาที่สมควรจึงคอยไปใหถึงยังตนตอที่โนน ทั้งนี้ เพื่อไมใหเปนการ ลําบาก และสิ้นเปลืองกันทุกฝาย. ฉะนั้น ระหวางพรรษาที่แลวไปนี้ (๒๕๐๒) ไดมีการขอรองให ทานพุทธทาส ภิกขุ เริ่มบรรยายเกี่ยวกับเรื่องนี้ ภิกษุสามเณรไดชวยกันบันทึก และไดสอบทานกันจน พอใจ ผลจึงไดเกิดเปนเลมหนังสือที่เห็นอยูนี้ ถาแบงเปนภาคก็จะได ๓ ภาค : ภาคนํา วาดวยบุพพกิจ เรือ่ งตองรูกอนภาวนา ภาคภาวนา วาดวยวิธีในอานาปานสติ ตั้งแตตน จนถึงขั้นสูงสุด ภาคผนวก วาดวยบทผนวกหลักฐานที่ใหทําตามนั้น สําหรับภาคภาวนา แบงเปน ๔ จตุกกะ นับแตตอนที่เปนการฝกสมาธิลวนแลวก็ ถึงตอนที่เริ่มมีปญญาเจือเขามา ตอนตอไป เปนเรื่องปญญามากขึ้นจนตอนสุดทายเปนการ ทําทางปญญาลวน เฉพาะเลมนี้มีโอกาสรวบรวมใหเรียบรอยไดกอน ไดมอบให “สุวิชานน” จัดพิมพขึ้นเปนครั้งแรก. หนังสือเรื่องนี้คงจะสําเร็จประโยชนตามปรารถนาของผูใฝใจ ในทางนี้โดยทั่วหนากัน. ผูรวบรวม ๕ เม.ย. ๒๕๐๓
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org [๑๒]
www.buddhadasa.in.th
อานาปานสติภาวนา ภาคนํา วาดวยบุพพกิจของสมาธิภาวนา
ตอน หนึง่ การมีศีล และธุดงค๑
วันนี้ จะไดพูดถึงเรื่อง แนวการปฏิบัติธรรม ในสวนโมกขพลาราม ภาคสอง อันวาดวยหลักปฏิบัติเฉพาะเรื่องหรือเฉพาะคน ตอจากภาคที่หนึ่ง ซึ่งกลาว ถึงหลักปฏิบัติทั่วไป อันไดบรรยายแลวเมื่อปกอน (ในพรรษาป ๒๕๐๑).
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ขอซ อ มความเข า ใจอี ก ครั้ ง หนึ่ ง ว า ในภาคหนึ่ ง ที่ เ รี ย กว า หลั ก ปฏิ บั ติ ธ รรม ทั่ ว ไปนั้ น หมายถึ ง การปฏิ บั ติ ที่ เ ป น แนวทั่ ว ๆ ไป สํ า หรั บ ทํ า ให เ กิ ด “การเป น อยู โดยชอบ” คือเปนพื้นฐาน สําหรับการเปนอยูที่เหมาะสําหรับการปฏิบัติเฉพาะเรื่อง เช น การทํ า สมาธิ ข อ ใดข อ หนึ่ ง เป น ต น ซึ่ ง จะได ก ล า วในภาคหลั ง นี้ เพราะฉะนั้ น จึงเห็นไดวา เปนเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกันโดยแท.
๑
การบรรยายครั้งที่ ๑/๑๓ สิงหาคม ๒๕๐๒
www.buddhadasa.in.th
๒
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑
เมื่ อบุ คคลได เป นอยู ตามหลั กปฏิ บั ติ ในภาคหนึ่ งแล ว ย อมชื่ อ ว าเป นผู มีศีล มีธุดงค อยูในตัว และมากพอที่จะเปนบาทฐานของการปฏิบัติที่สูงขึ้นไป โดยเฉพาะคือ สมาธิภาวนา. อีกประการหนึ่ง หลักปฏิบัติตามที่กลาวไวในภาค หนึ่งนั้น ยอมเปนการอธิบายหลักปฏิบัติในภาคหลังเฉพาะสวนที่เปนทฤษฎีทั่วไป เกี่ ย วกั บ เรื่ อ งนั้ น ซึ่ ง ไม ค วรจะเอามาปนกั บ หลั ก ปฏิ บั ติ โ ดยตรง เพราะจะทํ า ให ฟนเฝอหรือตาลาย เพราะตัวหนังสือมากเกินไป; จึงมีไวเพียงสําหรับใหศึกษา เปนพื้นฐานทั่ว ๆ ไปเทานั้น. แตเมื่อเกิดมีปญหาเกี่ยวกับเรื่องนั้นขึ้นมา ผูปฏิบัติ ก็ จํ า เป น จะต อ งย อ นไปหาคํ า ตอบจากเรื่ อ งฝ า ยทฤษฎี เ หล า นั้ น ด ว ยตนเองตาม กรณีที่เกิดขึ้น. ขอใหทําความเขาใจไววา หลักทั่วไปในภาคหนึ่ง ก็ตองเปนสิ่งที่ คล อ งแคล ว หรื อ คุ น เคย แก ก ารคิ ด นึ ก ของผู ป ฏิ บั ติ อ ยู เ ป น ประจํ า จึ ง จะสํ า เร็ จ ประโยชนเต็มที่. ที่ ก ล า วว า เมื่ อ ปฏิ บั ติ ต ามหลั ก ทั่ ว ไปในภาคหนึ่ ง อยู เ ป น ประจํ า แล ว ไดชื ่อ วา เปน ผู ม ีศ ีล และธุด งคอ ยู แ ลว อยา งเพีย งพอนั ้น ขอใหส ัง เกตวา ตามหลัก ในภาคหนึ่ง เราไดถือเอาใจความของกิจวัตร ๑๐ ประการมาเปนหลักหรือรูปโครงของ การปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติครบตามนั้น ก็ยอมจะเห็นไดวา กิจวัตรขอที่ ๓, ๖, ๗, ๘, ๙, ๑๐ เปนเรื่องเกี่ยวกับศีล, และกิจวัตร ขอที่ ๑ - ๒, ๔ - ๕ และ ๑๐ เปนเรื่อง เกี่ยวกับธุดงค, และมีอยูอีกบางขอที่เปนทั้งศีลและธุดงคพรอมกันอยูในตัว.เมื่อบุคคล ศึกษาและปฏิบัติอยูอยางถูกตรงตามความหมายของกิจวัตรเหลานั้นจริง ๆ แลว ก็ยอม ทําใหผูมีศีลและธุดงคมากพอจริง ๆ ดวยเหมือนกัน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เกี่ยวกับศีล ทานวางหลักใหญ ๆ ไววา สํารวมในสิกขาบททั้งใน ปาฏิโมกขและนอก ปาฏิโมกขอยางหนึ่ง, สํารวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไมใหรูสึก ยินดียินรายในเมื่อตาเห็นรูป หูไดยินเสียง เปนตนอยางหนึ่ง, หาเลี้ยงชีวิตและ
www.buddhadasa.in.th
การมีศีลและธุดงค
๓
ทําการเลี้ยงชีวิตในลักษณะที่ชอบที่ควรอยางหนึ่ง, และอีกอยางหนึ่งซึ่งเปนขอ สุดทาย ก็คือการบริโภคปจจัยสี่ ดวยสติสัมปชัญญะ ที่สูงสุดหรือสมบูรณ. โดย นัยนี้เราจะสังเกตเห็นไดวา คําวา ศีล ที่ทานวางหลักไวเชนนี้นั้น มันมากเกินกวา ขอบเขตของศีลปรกติอยูแลว. แมวาหลัก ๔ อยางนี้ จะเปนหลักปฏิบัติที่บัญญัติ ขึ้นในชั้นหลังก็จริง แตก็ไมขัดขวางกันกับหลักของพระพุทธภาษิตทั่ว ๆ ไปในทาง ปฏิบัติ จึงถือเอาเปนเกณฑได. และจะเห็นไดตอไปอีกวา ในกิจวัตรทั้ง ๑๐ ขอนั้นได ครอบคลุมเอาความหมายของศีลทั้ง ๔ ประการนี้ไวแลวอยางสมบูรณ ผูป ฏิบัติ พึงถือเอาความหมายเหลานี้ใหได ก็จะเปนอันกลาวไดวา เปนผูมีศีลอันเพียงพอ แมวาจะไมสามารถจดจําสิกขาบทหรือรายละเอียดตาง ๆ ไดทั้งหมด ซึ่งเปนการ เหลือวิสัยที่คนแก หรือแมคนหนุมแตเปนคนเพิ่งบวช จะทําอยางนั้นได. นี้คือ ใจความสําคัญของคําวา ศีล. สําหรับสิ่งที่เรียกวาธุดงค ก็มิไดมีความหมายอะไรมากไปกวา ความ สันโดษมักนอยในเรื่องการเปนอยู หรือ การบริโภคปจจัยสี่ กลาวคือ อาหาร เครื่องนุงหม ที่อยูอาศัย และยาบําบัดโรค และความเปนผูมีความเขมแข็งอดทนมี รางกายแข็งแกรงพอที่จะทนทานตอการปฏิบัติไดตามสมควร. ตัวอยางที่ทาน แสดงไวในเรื่องอาหาร มีดังนี้ :-
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ในเรือ่ งอาหาร ก็คือการไดมาโดยวิธีงาย ๆ ที่เรียกวา เที่ยวบิณฑบาต การไมเที่ยวเลือกเอาแตที่ดี ๆ แตรับไปตามลําดับที่จะถึงเขา, การบริโภคในภาชนะ แตใบเดียววันหนึ่งเพียงครั้งเดียว, ลงมือฉันแลวมีอะไรมาใหมก็ไมสนใจ ดังนี้ เปนตน ; แตทั้งนี้ไมไดหมายความวาจะมีเทาที่ระบุไว ถาการกระทําอยางใด มีผลทําใหมีเรื่องนอย ลําบากนอย มีแตความเบาสบายและเปนการสงเสริมการ ปฏิบัติแลว เราถือเอาเปนหลักสําหรับปฏิบัติของตนเองไดทั้งนั้น.
www.buddhadasa.in.th
๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑
สําหรับ เครื่องนุงหุม นั้น ทานแนะตัวอยางไววา ใหใชผาที่คนอื่น ไมใช สําหรับภิกษุก็ไดแก ผาที่เขาทิ้ง ไปรวบรวมเอามาทําเปนจีวรใช ซึ่งเรียกวา ผา “บังสุกุล” และการใชเครื่องนุงหมมีจํานวนเทาความจําเปนจริง ๆ ซึ่งสําหรับ ภิกษุก็มีเพียงผานุงตอนลาง. ผาหมตอนบน และผาคลุมทั่ว ๆ ไปอีกผืนหนึ่ง ซึ่ง รวมกันแลวเรียกวา “ไตรจีวร” อนุญาตใหมีผาอาบน้ําฝนอีกผืนหนึ่งในฤดูฝน ถา ไมมีจริง ๆ ก็ผอนผันใหเปลือยกายอาบน้ําได นี้เปนการแสดงใหเห็นวาทานตองการ ใหเปนผูสันโดษมักนอยเพียงไร ในเรื่องเครื่องนุงหม. สวนเรื่อง ที่อยูอาศัย นั้น ทานระบุ ปา โคนไม ที่โลง ปาชา และ สถานที่เทาที่ผูอื่นจะอํานวยให ในเมื่อจะตองอาศัยสถานที่เชนนั้น โดยเฉพาะ อยางยิ่ง ก็คือในฤดูจําพรรษา. ความเปนธุดงคในเรื่องนี้ อยูตรงที่เปนผูไมมีที่อยูเปน ของตัวเองอยางหนึ่ง, แลวยังเปนผูสันโดษมักนอยอยางยิ่งอยางหนึ่ง, และมีความแข็งแกรงตานทานตอดินฟาอากาศอีกอยางหนึ่ง ซึง่ เปนใจความสําคัญ.ขอ ปฏิบัติอื่นที่ไมไดระบุไว แตทําใหเกิดผลอยางเดียวกัน ยอมใชปฏิบัติได เชนเดียวกับที่กลาวมาแลว ในขอที่วาดวยอาหารหรือเครื่องนุงหมก็ตาม.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สําหรับ ยาแกโรค นั้น ทานไมบัญญัติไวในเรื่องธุดงคโดยตรง เพราะ ยาแกโรคไมเปนที่ตั้งของความมักมาก เพราะใคร ๆ ก็ไมอยากจะกินยาตามปรกติ อยูแลว. แตตกมาถึงสมัยนี้มีความเปลี่ยนแปลงบางอยางเกิดขึ้น เชนมียาประเภท สําอาง หมายถึงยากินเลน หรือที่กินจริง ก็มีใหเลือก ทั้งที่อรอยและไมอรอย. ผูปฏิบัติจะตองมีหลักปฏิบัติที่เหมาะแกสมัย คือใหมีความสันโดษมักนอย และมี ความอดกลั้นอดทน ในการใชหยูกยาใหสมเกียรติของผูปฏิบัติดวย.
www.buddhadasa.in.th
การมีศีลและธุดงค
๕
ธุดงคอีกขอหนึ่งทานระบุไวเกี่ยวกับการฝกฝนตัวเอง ใหแข็งแกรง โดยเฉพาะ และมุงหมายที่จะขจัดการแสงหาความสุขจากการนอนโดยตรง จึงแนะนํา ใหมีการปฏิบัติธุดงคขอนี้ดวยการไมใหนอนเลยเปนครั้งคราว เทาที่ควรจะทํา. ทั้งหมดนี้เมื่อ สรุปโดยใจความ ก็พอจะเห็นไดชัดเจนวา นอกจาก การ ปฏิบัติในสวนศีลแลว ทานยังไดผนวกการปฏิบัติเรื่องธุดงคเพิ่มขึ้นมาสวนหนึ่ง เพื่อความเขมแข็งในทางจิตใจ และรางกาย ซึ่งอยูนอกขอบเขตของความหมายของ คําวา “ศีล” แตแลวก็เปนเพียงเครื่องผนวกของศีล หรือเปนอุปกรณของสมาธิ ไมจําเปนจะตองแยกออกไวเปนหลักอีกสวนหนึ่งตางหากจากศีลหรือสมาธิ. ในกรณีที่เกี่ยวกับกิจวัตร ๑๐ ประการ ยอมมีศีลและธุดงคเต็มพรอม อยูในตัวและถือเอาเปนบาทฐานหรือรากฐานอันสําคัญสําหรับการปฏิบัติที่กาวหนา สืบไป. เรื่องศีลและธุดงค มีใจความที่สําคัญเพียงเทานี้ จึงในการบรรยายนี้ ไมแยกออกเปนเรื่องหนึ่งตางหาก และถือวารวมอยูในหลักแหงการปฏิบัติทั่วไป หรือการเปนอยูโดยชอบตามที่กลาวแลวในภาค ๑. จึง ในภาค ๒ นี้ จะกลาวแต เรื่อง สมาธิภาวนา ประเภทเดียว ทั้งหมดนี้คือ สิ่งที่ตองปรับความเขาใจกัน เปนขอแรก.
www.buddhadasa.in.th * * * www.buddhadasa.org ตอน สอง
บุพพภาคทั่วไปของการเจริญสมาธิ ตอไปนี้จะไดกลาวถึงเรื่อง สมาธิภาวนา แตในทางปฏิบัติโดยเฉพาะ. สิ่งแรกที่สุดที่อยากจะกลาว ก็คือ สิง่ ที่เรียกวา บุพพภาคของสมาธิภาวนา ที่เกิดขึ้นในชั้นหลัง. สิ่งที่เรียกวาบุพพภาคก็คือสิ่งที่ตองทํากอน ซึ่งในที่นี้ ก็ได แกสิ่งที่ตองทํากอนการเจริญสมาธินั้นเอง. ที่เรียกวา “ในชั้นหลัง”ในที่นี้นั้น
www.buddhadasa.in.th
๖
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒
ยอมบงชัดอยูในตัวแลววาเปนสิ่งที่เพิ่งเกิดมีธรรมเนียมอันนี้กันขึ้นในชั้นหลัง ไมเคย มีในครั้งพุทธกาลเลย แตก็ยึดถือกันมาอยางแนนแฟนเอาเสียทีเดียว. แตเนื่องจาก สิ่งที่กลาวนี้มิใชวาจะเปนสิ่งที่ไมมีประโยชนเอาเสียทีเดียว เพราะฉะนั้น จึงเปนสิ่ง ที่ควรจะไดรับการพิจารณาโดยสมควร แลวถือเปนหลักเฉพาะคน หรือเฉพาะกรณี เทาที่ควรอีกเหมือนกัน แตอยาทําไปดวยความยึดมั่นถืออยางงมงาย ดังที่ทํากัน อยูโดยทั่ว ๆ ไปเลย. สิ่งที่เรียกวาบุพพภาค ดังกลาวนั้น ที่นิยมทํากันอยูในสมัยนี้ และบาง แหงก็ถือเปนสิ่งที่เขมงวดกวดขัน อยางที่จะไมยอมใหใครละเวนนั้น ก็มีอยูมาก ซึ่งอาจจะ ประมวลมาได ดังตอไปนี้ :๑. การนําเครื่องสักการะแดเจาของสํานัก หรือผูเปนประธานของ สํานัก. ขอนี้เปนสิ่งจะมีไมไดในครั้งพุทธกาล คือไมมีผูเปนประธาน หรือเจาของ หรือผูอุปถัมภสํานักเชนนั้น และแถมจะไมมีสํานักเชนนั้นดวยซ้ําไป เพราะผูปฏิบัติ แตละคน ๆ ก็ลวนแตเปนผูที่อยูกับอุปชฌายอาจารยของตน. เปนหนาที่ที่อุปชฌาย อาจารยเหลานั้น จะตองบอกตองสอนอยูแลวเปนประจําวัน. แมจะเขาประจําสํานัก อื่น ก็ไมมีสํานักไหนที่จะมีอยูในลักษณะที่จะตองทําเชนนั้น, เนื่องจากการกระทํา ในสมัยนั้นไมมีหลักในทางพิธีรีตองเหมือนสมัยนี้. ครั้นตกมาถึงสมัยนี้ผูปฏิบัติจะ ตองรูจักความพอเหมาะพอดี หรือความควรไมควรในขอนี้ดวยตนเอง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๒. การถวายสักการะตออาจารยผูใหกัมมัฏฐาน. ขอนี้ตางจากขอหนึ่ง ซึ่งกระทําแกผูมีหนาที่ในทางปกครองหรือเจาของสํานัก สวนขอหลังนี้กระทําแก อาจารยผูสอนโดยตรง และเฉพาะเวลาที่จะทําการสอนเทานั้น เปนการแสดงความ เคารพ หรือเปนการแวดลอมจิตใจใหมีความเคารพในบุคคลที่จะสอน. ในครั้ง
www.buddhadasa.in.th
บุพพภาคทั่วไปของการเจริญสมาธิ
๗
พุทธกาลไมถือวาสิ่งเหลานี้เปนพิธี หรือพิธีเชนนี้จะชวยใหสําเร็จประโยชน ความ หมายวามีความเคารพหรือไวใจในครูบาอาจารยของตัวอยูเปนปรกติ ถาไมไวใจหรือ ไมเคารพก็ถือวาเปนสิ่งที่ไมควรกระทํา จึงไมมัวเสียเวลาดวยเรื่องพิธี. นี้แสดงวา มีจิตใจสูงต่ํากวากันอยูในตัว ผูที่ปฏิบัติกัมมัฏฐานภาวนา ควรจะมีจิตใจสูงจนอยู เหนือความหมายของพิธีรีตองมาแลว จึงจะมีจิตใจเหมาะสมที่จะปฏิบัติเพื่อจะรู อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ซึ่งเปนของละเอียดอยางยิ่ง, แตเนื่องจากบัดนี้ระเบียบการ ทํากัมมัฏฐาน ไดลดลงมาเปนเรื่องของคนทั่วไป ดวยอํานาจความยึดมั่นถือมั่นบาง อยาง เชนอยางในสมัยนี้ ระเบียบพิธีเชนนี้ ก็กลายเปนสิ่งที่จําเปนสําหรับคนสมัยนี้ อยูเอง. ผูปฏิบัติจะตองเขาใจในความหมายอันนี้ แลวทําไปในลักษณะที่ควร อัน เปนสวนของตน แตมิใชดวยความรูสึกวาเปนพิธีรีตอง ; แลวพรอมกันนั้นก็ไม นึกดูถูกดูหมิ่น ผูที่ยังตองทําไปอยางพิธีรีตองหรือแมดวยความงมงาย เพราะเราตอง ยอมรับวา ในสมัยนี้ โดยเฉพาะในที่บางแหง สิ่งเหลานี้ไดเลือนไปจากความเปน การกระทําของบุคคลผูมีปญญา ไปสูการกระทําของบุคคลผูมีเพียงแตศรัทธามาก ยิ่งขึ้นทุกที จนกระทั่งมีสํานักกัมมัฏฐาน ที่ตั้งขึ้นเพื่อเปนสถานบริการอยางใด อยางหนึ่งไปแลว.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org การไววางใจ หรือความเคารพตอบุคคลผูเปนครูบาอาจารยนั้นเปนสิ่งที่ ตองการ แตมิใชอยูในรูปของพิธี. สิ่งที่ตองการอันแทจริง อยูตรงที่ความอยาก ปฏิบัติ หรืออยากพนทุกขอยางแทจริง อันไมเกี่ยวกับพิธีตางหาก. ตัวอยางที่นา นึกของพวกอื่น นิกายอื่น เพื่อนํามาเปนเครื่องเปรียบเทียบเพื่อการพิจารณา เชน ในนิกายเซ็น มีขอความกลาวไววา ภิกษุรูปหนึ่ง กวาจะไดรับคําสั่งสอนจากทาน โพธิธรรมโดยตรงนั้น ถึงกับตองตัดมือของตนเองขางหนึ่ง แลวนําไปแสดงแกทาน โพธิธรรม พรอมกับบอกวา นี้คือความตองการที่อยากจะรูของผม ทานโพธิธรรม จึงไดยอมพูดดวย และใหการสั่งสอน หลังจากที่ไมยอมพูดดวยโดยหันหนาเขา
www.buddhadasa.in.th
๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒
ผนังถ้ํา ไมเหลียวมาดูเปนเวลาหลายสิบครั้งของการออนวอนมาแลว. นี้เปนเรื่อง ๑,๐๐๐ กวาปมาแลว แตเรื่องของนิกายนี้ในสมัยนี้ เฉพาะในสมัยปจจุบันนี้ก็ยังมีอยู ในลักษณะที่คลายกัน คือผูมาขอรับคําสั่งสอนนั้น จะตองถูกทดสอบดวยวิธีการ อยางใดอยางหนึ่งตามแบบของสํานักนั้น ๆ เชนใหนั่งอยูตรงบันไดนั่นเอง ๒ วัน ๒ คืนบาง ๓ วัน ๓ วัน ๓ คืนบาง ตลอดถึง ๗ วัน ๗ คืนบาง ติดตอกันไปก็ยังมี. เขาใหนั่งอยูทาเดียว เชนนั่งเอาศีรษะซุกหัวเขาอยูตลอดเวลาจนกวาเจาหนาที่ หรือ อาจารยจะยอมรับคําขอรองใหเขาเปนนักศึกษาได. นี้เปนการเปรียบเทียบความแตก ตางวา เขาไดยึดหลักที่แตกตางกันอยางไร จากผูที่เพียงแตเอาดอกไมธูปเทียนไป ถวายแลว ก็เปนการเพียงพอแลว. ผูปฏิบัติพึงรูความหมายของระเบียบ หรือพิธี รีตองเหลานี้ใหถูกตอง แลวถือเอาการกระทําที่สําเร็จประโยชนแกตนใหมากที่สุด เทาที่จะมากได. ๓. การจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย ที่หนาที่บูชา ในขณะเริ่มตน เพื่อจะรับกัมมัฏฐานหรือเพื่อปฏิบัติกัมมัฏฐานก็ตาม. ขอนี้เปนเหตุใหจัดที่บูชา หรือเตรียมเครื่องสักการะบูชาไวอีกสวนหนึ่ง คลายกับวาถาไมจุดธูปเทียนแลว สิ่งตาง ๆ ก็จะลมเหลวหมด นับวาโรคติดพิธียังคงมีมากอยูนั่นเอง. แมแตเรื่อง มุงหมายไปในทางของโลกุตตรปญญา ก็ยังตองใชธูปเทียนอยูนั่นเอง ; แตเหตุผล ก็มีอยูเชนเดียวกับที่กลาวมาแลวในขอ ๑ ขอ ๒ ผิดกันแตเพียงวาในขอนี้กระทําแก พระรัตนตรัย และมีอาการของบุคคลผูยึดถือพระรัตนตรัยดวยอุปาทานหรือทางวัตถุ เสียเปนสวนใหญ ทางที่ถูกที่ควรจะเปนอยางไรนั้น จะกลาวในตอนหลัง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๔. ถาเปนพระใหแสดงอาบัติกอน ถาเปนฆราวาสใหรับศีลกอน ขอนี้คลายกับวา พระเหลานั้นตองอาบัติอยูเสมอ ถาไมตองอาบัติ แตตอง
www.buddhadasa.in.th
บุพพภาคทั่วไปของการเจริญสมาธิ
๙
ทําตามพิธีกลายเปนเรื่องของพิธีอีกนั่นเอง. คิดดูเถิดวา ถาตองอาบัติ ที่ตอง อยูกรรมเลา จะทําอยางไร เรื่องมิเปนอันวา ใหแสดงอาบัติพอเปนพิธีมากยิ่งขึ้นไป อีกหรือ. ทุกคนควรเปนผูไมมีอาบัติมากอน และเปนผูอยูในเหตุผลเพียงพอ ที่จะไมตองมาทําพิธีแสดงอาบัติกันในที่นี้อีก ดูเปนเรื่องอวดเครงหรือเปนเรื่อง อวดพิธี ชนิดที่ไมเคยมีในครั้งพุทธกาลมากอนเลย ; ซึ่งเปนการเสียเวลา หรือ ทําความฟุงซานเหนื่อยออนโดยไมจําเปนก็ได. ขอที่อุบาสกอุบาสิกาตองทําพิธี รับศีลที่ตรงนั้นอีก ก็มีคําอธิบายอยางเดียวกัน. พิธีเชนนี้หาไมพบในหนังสือ แมชั้นหลัง ๆ เชนหนังสือวิสุทธิมรรค ฉะนั้นจึงไมตองกลาวถึงในครั้งพุทธกาล. ๕. การมอบตัวตอพระรัตนตรัย. ไดเกิดมีพิธีมอบตัวตอพระพุทธเจา หรือตอพระรัตนตรัย โดยกลาวคําเปนภาษาบาลี เชนที่ใชอยูในบางสํานักวา “อิมาหํ ภควา อตฺตภาวํ ตุมฺหากํ ปริจฺจชามิ” ซึ่งแปลวา ขาแตพระผูมีพระภาคเจา ขาพระองคของสละอัตตภาพนี้มอบถวายแดพระองค ดังนี้เปนตัวอยาง. พิธีที่เปน ไปในทางยึดถือตัวตนมากเชนนี้ เปนสิ่งที่มีไมไดในครั้งพุทธกาลโดยแนนอน. แตตกมาถึงสมัยนี้ จะมีคุณประโยชนอยางไรบางนั้น ก็เปนสิ่งที่นาพิจารณาอยู ผูที่ทําจะมีความรูสึกอยางไร ก็เปนสิ่งที่รูกันไมได แตถาเปนการเลียนแบบดวย อํานาจความยึดถือตัวตน หรือของตน ในทํานองประจบประแจง เพื่อขออะไร อยางใดอยางหนึ่งแลว ก็จะเปนแตเพียงการพอกพูนศรัทธา ใหหนาแนนมากขึ้น เทานั้น เอง เปนอุปสรรคตอความเจริญในทางโลกุตตรปญญาอยางยิ่ง. ผลไดผลเสีย มีอยูอยางไร ควรจะศึกษากันใหแนนอนเสียกอน. การมอบชีวิตจิตใจที่เปนเรื่อง ของปญญานั้น อยูตรงที่มองเห็นความประเสริฐอันแทจริงของพระธรรม โดยไมเห็น วาสิ่งใดประเสริฐไปกวา แลวก็อยากปฏิบัติอยางเต็มที่จริง ๆ. นี่เปนการมอบตัว อยางแทจริง โดยไมเกี่ยวกับพิธี หรือรูปแบบของพิธีแตประการใดเลย.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๑๐
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒
๖. การมอบตัวตออาจารย. บางสํานักมีระเบียบโดยเครงครัด ใน การที่จะตองมอบตัวตออาจารยเปนกิจจะลักษณะ หรือตอหนาธารกํานัล และยังมี คํากลาวเปนภาษาบาลี สําหรับใชในกรณีนั้น ๆ เชนที่ใชกันอยูวา “อิมาหํ อาจริย อตฺตภาวํ ตุมฺหากํ ปริจฺจชามิ” แปลวา ขาแตอาจารย ขาพเจาขอสละอัตตภาพนี้ มอบถวายแดทาน ดังนี้เปนตน. การทําเชนนี้ดวยความมีใจบริสุทธิ์ ก็มีความ หมายเพียง มีศรัทธา มีความไววางใจ และมีการยินยอมทุกอยาง ซึ่งก็เปนผลดี บางอยางสําหรับคนมีศรัทธา. สําหรับทางฝายอาจารย นาจะเพงเล็งถึงขอเท็จจริง อยางอื่น ซึ่งแสดงลักษณะอาการ หรืออุปนิสัยของบุคคลนั้น ๆ โดยแทจริง ยิ่งกวา ที่จะถือเอาเพียงคําพูดเปนประกัน. ในที่บางแหง การกระทําอยางนี้ปรากฏไป ในทางผูกพันกันเปนหมูคณะ เพื่อประโยชนแกหมูคณะ ในทางวัตถุก็มี จนถึงกับ ถูกกลาวหาวาระเบียบพิธีที่คิดกันขึ้นในชั้นหลังเชนนี้ มีเจตนาจะทํานาบนหลังลูกศิษย อะไรบางอยางไปแลวก็ยังมี, นับวาอาจารยในยุคแรก ๆ มีโชคดีอยูมากที่ไมตอง ถูกกลาวหาเชนนี้ เพราะทานไมใชระเบียบอันนี้ เพราะทานถือตามหลักของพระพุทธเจา วานิพพานเปนของใหเปลา และไมใชนิพพานเปนของใคร เปนนิพพานของ ธรรมชาติ จึงไมตั้งระเบียบพิธีที่เปนการผูกพันบุคคล ซึ่งลวนแตมีความหมายเปน ขาศึกตอความหมายของคําวานิพพานเปนอยางยิ่ง และผิดหลักที่มีอยูวาตนเปนที่พึ่ง ของตนมากเกินไป.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๗. การกลาวคําขอกัมมัฏฐาน. มีระเบียบใหกลาวคําขอกัมมัฏฐาน ออกมาวา นิพฺพานสฺส เม ภนฺเต สจฺฉิกรณตฺถาย กมฺมฏานํ เทหิ, แปล ตามตัววา ขาแตทานผูเจริญ ขอทานจงใหกัมมัฏฐานแกกระผม เพื่อประโยชนแก การกระทําพระนิพพานใหแจงดังนี้ ซึ่งมีรูปลักษณะเชนเดียวกันแทกับพิธีการขอศีล พิจารณาดูก็เห็นไดวาเปนพิธีขอกัมมัฏฐานเชนเดียวกับการขอศีล เปนการลดน้ําหนัก
www.buddhadasa.in.th
บุพพภาคทั่วไปของการเจริญสมาธิ
๑๑
ของกัมมัฏฐานลงมาเทากันกับเรื่องของศีล จึงเปนเรื่องพิธีปลุกปลอบใจของบุคคล ผูหนักในศรัทธาอีกอยางเดียวกัน. ผูที่หนักในทางปญญายอมรูสึกวาเปนการฝน ความรูสึกอยางยิ่งที่จะตองทําพิธีเชนนี้บอย ๆ แลวก็มีแตพิธีเสียเรื่อยไป ไมกลาย เปนเรื่องของปญญาไปได. จริงอยูที่คงจะมีการขอ การบอก การถาม การ ตอบ ในเรื่องอันเกี่ยวกับกัมมัฏฐาน แตไมนาจะมีระเบียบวิธีการบอก การกลาว การฝก ใหมากกวาที่จําเปน สําหรับบุคคลที่เขาใจวา อะไรเปนอยางไรมาแลว อยางพอเพียง. เมื่อประสบพิธีมากเขา ก็จะเกิดความเบื่อหนายเพราะพิธีนั่นเอง ; การแตกแยกของนิกายก็มีมูลมาจากการที่ฝายหนึ่งทําอะไรลงไปอยางนาหัวเราะเยาะ หรือดูหมิ่นสําหรับอีกฝายหนึ่ง. ฉะนั้น นาพิจารณาดูกันเสียใหมใหละเอียดลออ วาควรทําพิธีกันสักเทาไร ในกรณีชนิดไหนหรือบุคคลประเภทใด อยาไดยึดมั่น ถือแลวทําอยางงมงายดายไป จนเปนที่หัวเราะเยาะของบุคคลผูมีปญญา แลว ตัวเองก็ไมไดอะไรมากไปกวาการไดทําพิธีลวน ๆ. และอยาลืมวาความมุงหมายของ การทํากัมมัฏฐานภาวนานั้น มุงที่จะทําลายยึดถือในพิธี ดวยอํานาจสีลัพพัตตปรามาสโดยตรง ไมมีอยางอื่นเลย.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๘. การเชื้อเชิญกัมมัฏฐาน. บางสํานักหรือบางบุคคลไดยึดมั่นใน พิธีมากเกินไปจนลืมตัว กลายเปนเรื่องของบุคคลตัวตนไปหมด. มีการสอน กันใหเชื่อวา กัมมัฏฐานองคหนึ่ง ๆ ก็เปนพระหรือเปนพระเจาองคหนึ่ง ๆ หรือ แมแตความรูสึกที่เกิดขึ้น เชน ปติ ก็เปนพะองคหนึ่ง ๆ ใหชื่อวาพระอานาปา ฯ บาง ; พระปติบาง, ระบุชื่อเฉพาะเปนพระอุเพงคาปติบาง, พระผรณาปติบาง. แลวกลาคําเชื้อเชิญออกมาโดยตรงวา ขอใหพระองคนั้นพระองคนี้ ตามที่ตัว ตองการจงมาโปรดบาง จึงเกิดคําอาราธนาที่ยึดยาวออกไป เปนการพรรณนาถึง ลักษณะของ “พระองคนั้น ๆ” แลวก็ตอทายดวยคําอาราธนาออนวอนขอใหมาโปรด
www.buddhadasa.in.th
๑๒
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒
มีลักษณะเอียงไปในทางลัทธิวิญญาณ, หรือภูตผีปศาจของลัทธิ “ตันตริก” มากขึ้น ทุกที ซึ่งเปนเหตุใหเกิดแตกแยกนิกาย ถึงขนาดที่มิอาจสมาคมกันได ดังนี้ ก็ยังมีทํากันอยู แมในดินแดนของพวกพุทธบริษัทฝายเถรวาท ที่อางวามีพุทธศาสนา เจริญหรือบริสุทธิ์ ไมตองกลาวถึงพวกมหายาน ซึ่งแตกแยกเตลิดเปดเปงปนกับลัทธิ อื่นจนเขารกเขาพงไป ไปมีชื่อแปลก ๆ ออกไปจนกระทั่งจําไปไมไดวาเปนพุทธศาสนา. พิ จ ารณาดู แ ล ว ก็ รู สึ ก ว า การใช ห ลั ก เกณฑ เ ช น นี้ เป น การได ที่ น อ ย เกินไป ไมคุมเสีย คือไดมาแตผลในขั้นที่ยังถูกกิเลสตัณหาอุปาทานลูบคลํามากเกินไป ใหความสบายใจไดบาง ก็เปนเรื่องของศรัทธาลวน ๆ ไมเกี่ยวกับปญญาเลย จึงกลาย เปนอีกแบบหนึ่งตางหาก จากแบบที่มีอยูเปนอยู ในครั้งพุทธกาล ซึ่งเปนเรื่องของ ปญญา ในระดับที่กิเลสตัณหาไมมีทางลูบคลําได. เราตองพิจารณาใหเห็นความแตกตางระหวางลัทธิที่อาศัยศรัทธา และ ลัทธิอาศัยปญญา อยางชัดแจง แลวควบคุมมันไปในทางของปญญา และยอม ใหวาลัทธิใหม ๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นนั้น มุงหมายสําหรับบุคคลพวกหนึ่ง ซึ่งออกมาทํา สมาธิภาวนา ดวยหวังวาจะไดความสุขที่เปนวิมุตติสุขอยางใดอยางหนึ่ง ตามเขา เลาลือกัน วาเปนสิ่งวิเศษเหนือคนธรรมดา. เขายังมองไมเห็นวี่แววแหงใจความ ของอริยสัจจ แลวทํากัมมัฏฐานเพื่อจะดับความทุกขตามหลักของอริยสัจจ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สรุปความวา คนพวกหนึ่งตื่นขาวเลาลือ ออกมาทํากัมมัฏฐาน เพื่อ จะไดอะไรที่วิเศษตามเขาลือ. สวนอีกพวกหนึ่งออกมาทํากัมมัฏฐาน เพื่อปลอย วางสิ่งทั้งปวง ; ซึ่งเปนสิ่งที่ตรงกันขามอยางสิ้นเชิง.
www.buddhadasa.in.th
บุพพภาคทั่วไปของการเจริญสมาธิ
๑๓
๙. การแผเมตตา.๑ ธรรมเนียมการแผเมตตาใหสัตวทั้งหลาย กอน ทํากัมมัฏฐานมีที่มาหลายทาง ที่เปนเหตุผลหรือเปนปญญาก็มี, ที่เปนศรัทธาหรือ ความงมงายก็มี, แตก็มีวิธีแผหรือคําสําหรับวาเหมือน ๆ กันหมด. สวนมากก็คือบทวา “สพฺเพ สตฺตา สพฺเพ ปาณา สพฺเพ ภูตา อเวรา อพฺยาปชชฌา อนีฆา โหนฺตุ สุขี อตฺตานํ ปริหรนฺตุ” ซึ่งเปนบทแผเมตตาทั่วไป และมีคําแปลวา สัตวทั้งหลายทั้งปวงจงเปนผูไมมีเวร ไมมีความลําบาก ไมมีความ ทุกข จงเปนผูมีความสุขบริหารตนเถิด. สวนผูทําไปดวยความงมงาย หรือดวยความหวาดกลัว มีความมุงหมาย พิเศษออกไปกวาธรรมดา โดยไดรับคําแนะนําวาพวกภูตผีปศาจชอบรบกวนบาง พวกเปรตจะขอสวนบุญบาง พวกเทวดาจะไมชวยสนับสนุนบาง ดังนั้นเปนตน ก็มีคํากลาวแผเมตตาที่นอกหลักเกณฑ หรือนอกแบบแผนของการแผเมตตาตามปกติ เชนออกชื่อมนุษยเหลานั้นบาง ออกชื่อเทวดาหรือพระเจาเปนตนบาง แลวแผ เมตตาใหสัตวเหลานั้น เพื่อชวยตนอีกตอหนึ่ง กลายเปนการบวงสรวงออนวอน ไปโดยใชเมตตาหรือสวนบุญที่จะไดรับนั้นเอง เปนการติดสินบนสินจางแกผูที่จะ มาชวยตนไปก็มี เพราะอํานาจความกลัว และวางแบบแผนขึ้นเพราะความกลัวนั้น จนเสียความมุงหมายเดิม.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org บทแผเมตตาบางแบบอยูในลักษณะที่นาขบขัน เชนบทวา “อหํ สุขิโต โหมิ, นิทฺทุกฺโข โหมิ, อเวโร โหมิ, อพฺยาปชฺโฌ โหมิ, อนีโฆ โหมิ, สุขี อตฺตานํ ปริหรามิ” ซึ่งแปลวา ขอเราจงเปนผูมีสุขเถิด, เปนผูไมมีความทุกขเถิด, เปนผูไมมีเวรเถิด, เปนผูไมมีความลําบากเถิด, เปนผูไมถูกเบียดเบียนเถิด, เปน
๑
การบรรยายครั้งที่ ๒ / ๑๔ สิงหาคม ๒๕๐๒
www.buddhadasa.in.th
๑๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒
ผูมีสุขบริหารตนเถิดดังนี้ ยอมสอใหเห็นความหวาดกลัว หรือความเห็นแกตัวอยางยิ่ง โดยแท ชวนใหคิดวา ผูมีจิตใจออนแอเชนนี้จะสามารถทําความเพียรเพื่อเห็นแจง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺต า ไดอ ยา งไรกัน ดู ๆ จะเปน เรื่อ งรบกวนเสน ประสาท ของตนเองมากยิ่งขึ้นไปเสียอีก. การที่มีบุคคลบางคน ไดเห็นภาพที่นาสะดุงหวาด เสียว จนจิตใจวิปริตไมอาจจะทํากัมมัฏฐานไดตอไป หรือถึงกับวิกลจริต ก็นาจะมี มูลมาจากการขัดกันในขอนี้ คือขอที่บุคคลผูนั้นมีหลักเกณฑที่ผิด หรือถูกชักนําไป ผิด จนมีความกลัวเกินประมาณไรเหตุผล แลวก็ไปฝนทํากัมมัฏฐาน ซึ่งเปน การขัดขวางกันอยางยิ่งอยูในตัว. ผูปฏิบัติจะตองเขาใจความหมายของการแผเมตตา กอนหนาทํากัมมัฏฐานใหถูกตองจริง ๆ จึงจะสําเร็จประโยชน ไมเปนการเนิ่นชา และไมมีโทษที่เกิดมาจากการขัดขวางกันขึ้นในใจ เชนที่กลาวมา. ขอนี้เปนพิธี รีตองที่เดินเลยเกินขอบขีดไปจากพิธีที่พอเหมาะพอดี เปนการทําสิ่งที่ถูกที่ควร ให กลายเปนสิ่งที่เกินถูกเกินควรไปเสีย เปนสิ่งที่พึงสังวรไววาทําดีเกินไปหรือถูกเกินไป ก็ใชไมไดเหมือนกัน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๑๐. การสวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ กอนทํากัมมัฏฐาน. บางแบบหรือบางสํานักมีระเบียบใหสวดพระคุณเหลานี้ กอนการทํากัมมัฏฐาน โดยเฉพาะคือสวดอิติปโส, สวากขาโต, และสุปฏิปนโน จนจบทั้ง ๓ บท โดย ไมตองคํานึงถึงความหมาย ; บางคนก็ไมทราบคําแปล วามีอยูอยางไรดวยซ้ําไป ; เลยกลายเปนเพียงธรรมเนียม หรือยิ่งกวานั้นก็กลายเปนของงมงาย ในฐานะที่ อางคุณพระรัตนตรัย มาเปนเครื่องคุมครองตนใหปลอดภัยตลอดเวลาที่ทํากัมมัฏฐาน อยางมีความขลังความศักดิ์สิทธิ์ไปเสียอีก. ถาเปนการเจริญอนุสสติ ก็ไมใชการ สวด ๆ ทอง ๆ แตตองเปนการทําในใจ ถึงคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ จริง ๆ เพื่อใหเกิดปติปราโมทยในการที่จะทํา ดวยอํานาจความเลื่อมใสอยางแรงกลา, ดังนี้ก็ควรอยู. ผูปฏิบัติที่ประสงคจะทําในขอนี้จะตองระมัดระวังอยาใหกลายเปนไป
www.buddhadasa.in.th
บุพพภาคทั่วไปของการเจริญสมาธิ
๑๕
สวดพระพุท ธคุณ กั นภู ต กันผี อยา งที่ เปน กันอยูโ ดยมากเลย จะไปเข ากลุ มกั บ ความงมงาย อยางที่กลาวมาแลวขางตนไปเสียอีก. ๑๑. การอธิษฐานจิต ตอธรรมะที่ตนปฏิบัติ. ขอนี้ไดแกระเบียบ วิธี ที่เปนเครื่องเพิ่มกําลังใจใหแกตน เพื่อความมั่นใจ หรือพากเพียรขยันขันแข็ง ยิ่งขึ้น โดยทําความแนใจวาทางที่พระอริยเจาทั้งหลายตลอดถึงพระพุทธเจาของเรา ดวย ไดดําเนินไปแลว ในหนทางที่ตนกําลังดําเนินอยูนี้จริง ๆ เชนมีบทใหบริกรรม หรือบอกกลาวขึ้นแกตัวเองวา “เยเนว ยนฺติ นิพฺพานํ พุทฺธา จ เตสฺจ สาวกา เอกายเนน มคฺเคน สติปฏานฺสฺินา” ซึ่งมีใจความวา พระพุทธเจาทั้งหลายดวย พระสาวกทั้งหลายของพระพุทธเจาทั้งหลายเหลานั้นดวย ยอมถึงซึ่งพระนิพพาน ดวยขอปฏิบัติใด ขอปฏิบัตินั้นรูกันอยูแลววาไดแก สติปฏฐานทั้ง ๔ ซึ่งเปน หนทางอันเอกของบุคคลผูเดียว ดังนี้. ขอนี้เปนการย้ําความแนใจหรืออธิษฐานจิต ในสติปฏฐานที่ตนกําลังกระทําอยู หรือกําลังจะกระทําลงไปก็ตาม. ความมุงหมาย อันแทจริง ก็เพื่อจะใหเกิดความมั่นใจยิ่งขึ้นนั่นเอง แตพวกที่ยึดถือในความขลัง หรือความศักดิ์สิทธิ์ ก็อดไมไดที่จะดัดแปลงความหมายใหกลายเปนการปฏิญญาณตน หรือการมอบกายถวายตน อยางใดอยางหนึ่งไปไมได ทั้ง ๆ ที่ไมนาจะทําเชนนั้น เลย. นี้เราจะเห็นไดวาการดัดแปลงพิธี หรือการเปลี่ยนแปลงความหมายของสิ่ง เหลานี้ มีไดอยางไมนาจะมี ในเมื่อมันตกมาอยูในมือของคนขี้ขลาด หรือมีความเชื่อ อยางงมงาย. นับวาเปนตัวอยางที่ดีของคําวา ความเชื่อที่ถูกตัณหาและทิฏฐิลูบคลํา ไมมีทางที่จะดําเนินไปสูปญญาสูงสุดไดเลย.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เท า ที่ ก ล า วมาแล ว เป น ตั ว อย า งระเบี ย บวิ ธี ต า ง ๆ ที่ นิ ย มกระทํ า กั น กอนการเจริญกัมมัฏฐาน นํามากลาวไวเทาที่ควร แตก็มิไดหมายความวามีเพียง
www.buddhadasa.in.th
๑๖
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒
เท า นี้ ยั ง มี ม ากกว า นี้ และมี ที่ เ ดิ น หน า ไปในทางงมงายมากเกิ น ไป จนน า รั ง เกี ย จ ก็ยังมี. ๑๒. การบูชาพระพุทธองคดวยการปฏิบัติบูชา. ระเบียบขอนี้เปน ระเบียบที่วางไวใหทําหลังจากการเลิกทํากัมมัฏฐาน ในคราวหนึ่ง ๆ หรือวันหนึ่ง ๆ โดยผูทํามุงเอาการปฏิบัติที่ไดทําไปในวันนั้น เปนเครื่องบูชาพระพุทธองค หรือ พระรัตนตรัยก็ตาม ในฐานะที่เปนปฏิบัติบูชา อันคูกับอามิสบูชา ถือวาเปนสิ่งที่ สูงสุดยิ่งกวาอามิสบูชา เพราะฉะนั้น จึงมีการอางถึงความเปนปฏิบัติบูชา อยูใน บทสําหรับกลาว เชนบทวา “อิมาย ธมฺมานุธมฺมปฏิปตฺติยา พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ ปูเชมิ” ซึ่งแปลวา ขาพเจาขอบูชา พระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ ดวย การปฏิบัติธรรมสมควรแกธรรมอันนี้ ซึ่งก็นิยมวา ๓ ครั้งเปนธรรมดา. ขอนี้ มีรองรอยที่แสดงใหเห็นวา เปนระเบียบที่จัดขึ้นใหสมคลอยกันกับพระพุทธภาษิต ที่ตรัสสรรเสริญผูบูชาพระองคดวยปฏิบัติบูชา แทนการบูชาดวยอามิสบูชา. การ ทํากัมมัฏฐานถือกันวาเปนการปฏิบัติอยางสูงสุด ฉะนั้นจึงยกขึ้นเปนเครื่องบูชาแก พระพุทธเจาทุกครั้งไป นับวาเปนการกระทําที่ดี มีเหตุผล และนาเลื่อมใสอยู ; เวนไวเสียแตวาผูทําจะหลับหูหลับตาทําไป ตามธรรมเนียมหรือระเบียบเสียเทานั้น. แมวาระเบียบอันสุดทายนี้ เปนสิ่งที่ตองทําหลังจากการทํากัมมัฏฐานแลวก็จริง แตนํามากลาวไวเสียกอนเพื่อใหสินเรื่องสิ้นราวไป สําหรับเรื่องเบ็ดเตล็ดตาง ๆ ที่ เ พิ่ ง งอกขึ้ น ใหม ในชั้ น หลั ง . ส ว นระเบี ย บเบ็ ด เตล็ ด ซึ่ ง ขยายตั ว มาก ออกไปจนกลืนไมลงนั้นไดงดเสีย ไมไดนํามากลาวไวในที่นี้เพื่อเปนการวินิจฉัยแต อยางใด.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ระเบี ยบวิ ธี และพิ ธี รี ตองต าง ๆ เท า ที่ กล าวมาแล ว นี้ เราจะเห็ นได ว า บางอย า งเป น ไปเพราะกิ เ ลสตั ณ หาลู บ คลํ า โดยแท ถ า ไม ฝ า ยศิ ษ ย ก็ ฝ า ยอาจารย
www.buddhadasa.in.th
ความมุงหมายอันแทจริงของบุพพกิจ
๑๗
ผูบัญญัติระเบียบพิธีตาง ๆ ขึ้นใหม หรือเปลี่ยนแปลงความหมายของของที่มีอยูเดิม ไปตามความเชื่อหรือความตองการของตน ๆ. ผูปฏิบัติจะตองวินิจฉัยดูดวยเหตุผล หรือดวยหลักดวยเกณฑ ที่เปนประธานของหลักเกณฑทั้งหลาย ใหเปนไป ตรงตามความมุงหมายของการทํากัมมัฏฐาน หรือสนับสนุนแกการทํากัมมัฏฐาน ของตนจริง ๆ เรื่องจึงจะดําเนินตามทางของโลกุตตรปญญา ไมวกไปเปนเรื่องของ ศรัทธาหรือความงมงาย แลวกลับมาตีกันกับเรื่องของปญญา จนเกิดความยุงยาก หรือเกิดผลรายขึ้นในที่สุด, เชนเปนที่ตั้งแหงการหัวเราะเยาะ ของสังคมที่เปน บัณฑิต หรือถึงกับตนเองมีสติฟนเฟอนไปในที่สุด. ขอนี้ไมเปนเพียงแตความ เสียหายสวนตัว แตเปนผลรายแกพระศาสนา หรือการเผยแผพระศาสนา เปน สวนรวมอีกดวย นับวาเปนการเสียหายอยางยิ่ง.
*
*
ตอน สาม
*
ความมุงหมายอันแทจริงของบุพพกิจ
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org บุพพกิจตาง ๆ เหลานี้ ถาอยากจะทํา ก็จะ ขอแนะนํา หรือชี้ความ มุงหมายอันแทจริง ของกิจเหลานั้นไวพอเปนตัวอยาง ดังตอไปนี้ :(๑) การทําความเคารพสักการะ แกทานผูเปนประธานหรือเจาของ สํานัก นั้น เปนธรรมเนียมของสังคมทั่วไป. สวนที่สําคัญกวานั้น อยูตรงที่จะ ตองทําความเขาใจกับทานใหถึงที่สุด คือใหทานเกิดความเขาใจในเราวาเราเปนคน อยางไร มีกิเลส มีนิสัยสันดานอยางไร ตองการความสะดวกเพื่อการปฏิบัติ ในสวนไหน ดังนี้เปนตน. เพื่อทานจะไดไวใจเราและใหความชวยเหลือแกเรา อยางถูกตองและเต็มที่ไดโดยงายดาย เปนการปรารภธรรมะเปนใหญ มิใชปรารภ วัต ถุห รือ พิธีรีต อง ดัง กลา วแลว . ถา เปน เรื่อ งที่ไ มอ าจทํา ความเขา ใจกัน ได ก็อยาเขาไปสูสํานักนั้นเลย ขอนี้เปนกิจที่ตองทําในขั้นแรกที่สุด และก็ทําเพียง
www.buddhadasa.in.th
๑๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๓
ครั้งเดียวเปนธรรมดา หลังจากนั้นก็มีแตการประพฤติปฏิบัติใหตรงตามขอสัญญา หรือขอตกลงตาง ๆ ที่มุงหมายจะชวยเหลือซึ่งกันและกัน ดวยอาศัยความเมตตา กรุณาเปนที่ตั้งอยางแทจริง (๒) การถวายสักการะตออาจารยผูสอนโดยตรง นั้น เหมือนกับ การเคารพ หรือการปฏิบัติอื่น ๆ ตอครูประจําชั้นของนักเรียน ในเมื่อการกระทํา ขอ ๑ เปนเรื่องที่จะตองปฏิบัติตออาจารยใหญ หรืออาจารยผูปกครอง หรือเจาของ โรงเรียนอยางในสมัยนี้. ผูปฏิบัติจะตองมีความเคารพและไววางใจในอาจารยผูสอน ของตนมากพอที่จะไมละเลยตอการที่จะฟง หรือการนําไปคิด ไปพิจารณาดวยความ สนใจอยางยิ่ง. ถาความเคารพหรือความไววางใจมีไมพอ ก็จะทําใหเกิดการฟง อยางลวก ๆ การพิจารณาอยางลวก ๆ และอะไรก็ลวก ๆ ไปเสียหมด. ซึ่งเปน มูลเหตุอันสําคัญของความลมเหลว ตั้งแตระยะแรกไปทีเดียว การทําความเขาใจ ตอกันและกันใหถึงที่สุด นับวาเปนสิ่งสําคัญในขอนี้ มิใชวาสักแตวาถวายเครื่อง สักการะ ไหว ๆ กราบ ๆ แลวจะเปนการเพียงพอ. จะตองมีการซักไซสอบสวน อยางละเอียด เหมือนกับการตรวจโรคของหมอ ที่จะพึงกระทําตอคนปวยที่มาขอ ใหรักษาทุกแงทุกมุมทีเดียว. ความเคารพและความไววางใจ เปนมูลเหตุใหมี การเปดเผยถึงโรค คือ กิเลส หรือกรรมอันเปนบาปของตนเอง เฉพาะเรื่อง เฉพาะรายไปทีเดียว. เมื่อเกิดความเคารพและความรักใครฉันบิดากับบุตร หรือ ฉันอาจารยกับศิษยแลว สิ่งตาง ๆ ก็ดําเนินไปดวยดี เพราะฉะนั้นสิ่งที่ศิษยจะพึง ถวายแกอาจารยนั้น จึงไมไดเปนแตเพียงธูปเทียนเปนตน แตตองเปนความเชื่อฟง ความซื่อตรงเป ดเผยและความไว วางใจเป นต น มากกวาระเบียบการถวายดอกไม ธูปเทียน ซึ่งเปนเพียงวัตถุภายนอก ; ยอมมีความมุงหมายถึงความรูสึกภายในใจ อยางแทจริง ดังที่ไดกลาวมาแลว. ความใกลชิดสนิทสนมสืบตอไปในกาลภายหนา จะชวยใหสิ่งเหลานี้ เปนไปในทางเจริญ หรือกาวหนายิ่งขึ้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
ความมุงหมายอันแทจริงของบุพพกิจ
๑๙
(๓) การจุดธูป เทีย นที่ที่บูช า นั้น เปนเรื่อ งของพิธี ถา ตอ งทํา ก็ทําเพราะเห็นแกพิธี หรือตามธรรมเนียมของสังคม. ผูที่มีหัวใจอุทิศบูชาตอ พระรัตนตรัยอยางเต็มเปยมอยูแลว จะจุดหรือไมจุดก็ได. แตถาจุดหรือมีการจุด ก็ตองไมเปนเรื่องที่ฟุงซานรําคาญ หรือเปนการทําลายเวลาใหเนิ่นชา, สิ่งซึ่งเปน เพี ย งพิ ธี เ ช น นี้ เป น เรื่ อ งเกี่ ย วกั บ สั ง คม เพื่ อ ความพร อ มเพรี ย งสามั ค คี กั น ยิ่ ง กว า ที่จะเปนเรื่องจําเปนสําหรับการปฏิบัติ. ผูปฏิบัติในครั้งพุทธกาล โดยเฉพาะ พระสาวกของพระพุ ท ธองค นั้ น ไม เ คยรู จั ก ธู ป เที ย นเหล า นี้ ไม เ คยจุ ด ธู ป เที ย น เหล านี้ ในขณะเช นนี้ หรื อจะพกติ ดตั วไปสํ าหรั บไปจุ ดในป า หรื อในที่ สงั ดทุ กครั้ ง ที่จะลงมือทํากัมมัฏฐานเลย. ผูปฏิบัติพึงวินิจฉัย แลวทําความแนใจอยางใด อย า งหนึ่ ง ลงไป เพื่ อ ความสะดวกและไม ฟุ ง ซ า นในส ว นตั ว และทั้ ง ไม ขั ด ขวางใน ทางสัง คม ในเมื่อ ตอ งรว มกัน ทํา เปน หมูใ หญ. การซื้อ หาธูป เทีย นไวจุด ทุก คราวทุ ก ครั้ ง ที่ จ ะลงมื อ ทํ า กั ม มั ฏ ฐานนั้ น ย อ มแสดงอยู ใ นตั ว แล ว ว า เป น การทํ า ของบุคคลประเภทสมัครเลนเปนครั้งคราวเทานั้นเอง. ผูปฏิบัติที่แทจริงตองทํา อยู ทุ ก ลมหายใจเข า ออก คื อ ทุ ก อิ ริ ย าบถ ทั้ ง กลางวั น และกลางคื น ทั้ ง หลั บ และ ตื่ น แล วจะเอาเวลาไหนมาเป นเวลาตั้ งต นสํ าหรั บจุ ดธู ปเที ยนเป นประจํ าวั นได เล า. เขาควรพยายามจุ ด ธู ป เที ย นในใจของตน ให ลุ ก โพลงอยู เ สมอทั้ ง กลางวั น และ กลางคื น ทั้ งเวลาตื่ นและเวลาหลั บ อย าต องลํ าบากด วยการซื้ อหาหอบหิ้ วสิ่ งเหล านี้ ให มาเป นการเพิ่ มความลํ าบากให แก ตนเลย ในเมื่ อการปฏิ บั ติ ได ดํ าเนิ นมาถึ งขั้ นนี้ แลวจริง ๆ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org (๔) ครั้งแรก
การแสดงอาบัติ หรือการรับศีล ในขณะที่จะรับกัมมัฏฐาน หรือกอนแตที่จะลงมือปฏิบัติเปนประจําวันก็ตาม เปนสิ่งที่นาขบขัน.
www.buddhadasa.in.th
๒๐
อานาปานสติภาวนา ตอน ๓
ความหมายอันแทจริงมีอยูโดยหลักวา ผูที่เจริญกัมมัฏฐาน ซึ่งเปนเรื่องทางใจ โดยตรงนั้น ตองมีกาย วาจาที่สะอาดเปนพื้นฐาน ไมมีความรังเกียจกินแหนง ตัวเองอยางใดอยางหนึ่งติดอยูในใจ ถามีความรูสึกรังเกียจตัวเองอยูในใจ ใจก็จะ ฟุงซานไมมีทางที่จะทําสมาธิใหใจสงบได เพราะฉะนั้น เราจะตองรูจักปรับปรุง ตัวเองในทางจิตใจ ใหมีจิตใจเรียบรอย สงบราบคาบมาเสียกอน เชนมีบาปกรรม อยางไรติดตัวอยู หรือไปทําความชั่วอันใดไว ที่กําลังรบกวนกลุมรุมอยูในใจ เขาต องใช สติ ป ญญาหรื ออํ านาจของสติ ป ญญาในทางที่ จะสํ านึ กบาปกรรมอั นนั้ นด วย สติปญญาจริง ๆ ไมใชเพียงแตมาแสดงอาบัติเดี๋ยวนี้ หรือรับศีลกันเดี๋ยวนี้ ซึ่งดู เปนการเลนตลกมากกวา. ทางที่ถูกเขาจะตองสะสางปญหาขอนี้ใหเด็ดขาดลงไป วาบาปกรรมที่มีอยูนั้นจะไปพักไวที่ไหน จะไปเก็บไวอยางไร จึงจะไมมารบกวน จิตใจในขณะที่ตนกําลังจะทํากัมมัฏฐานอยูในขณะนี้ ถาเปนเรื่องของพวกที่ถือ ความเชื่อเปนหลัก เชนพวกที่ถือพระเปนเจา ก็จะมีการแสดงบาป หรือแสดง อาบัติ ใหแกพระที่ทําหนาที่รับอาบัติแทนพระเปนเจาใหแกตนได แลวตนก็มี จิตใจสะอาดทํากัมมัฏฐาน, แตก็ไมรูวาจะทํากัมมัฏฐานไปทําไมอีก ในเมื่อ บาปกรรมนั้นหมดไปได ดวยการทําเพียงเทานั้น. นี่แหละเปนทางที่ทําใหมอง เห็นไดวา การทํากัมมัฏฐานของเรา เปนเรื่องของสติปญญา และจะตองทําเพื่อ เอาชนะบาปกรรมาดวยสติปญญา ไมใชดวยอาศัยพิธี หรืออาศัยความเชื่อแต อยางเดียว. การสํานึกบาปของเราตองเปนการสํานึกดวยปญญา รูวาบาปกรรม มันเกิดขึ้นมาจากอะไร จะสิ้นสุดไปไดดวยอะไร เราจึงจะมีจิตใจผองใสสงบรํางับ พอที่จะทํากัมมัฏฐาน. เราตองมีความรูแจงที่เปนการแสดงอาบัติของเราอยูตลอด เวลา คือสํานึกผิดในความผิด เล็งเห็นโทษของกรรมชั่ว ปกใจแนวแนในการที่ จะทําเสียใหมใหถูกใหดีอยูเปนประจํา ดวยอํานาจของสติปญญาหรือความรู.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
ความมุงหมายอันแทจริงของบุพพกิจ
๒๑
ครั้นมาถึงโอกาสที่จะทํากัมมัฏฐาน เพื่อใหสําเร็จประโยชนตามความมุงหมายนั้น จิตก็อาจหาญรางเริงเหมาะสมที่จะทํากัมมัฏฐานอยูในตัวเอง ไมมีความรังเกียจ กินแหนง หรือวิปปฏิสารอันใด มาครอบงําใจใหเศราหมอง หรือเกิดความทอแท ฟุงซานขึ้นในขณะนั้นได เราก็จะทําสมาธิไดสําเร็จ เปนสมาธิจริง ๆ และเปน ปญญาจริง ๆ ยิ่งขึ้นไป ดวยเหตุนี้แหละจึงเห็นวา พิธีแสดงอาบัติหรือการรับศีล กันในขณะที่เปนการคับขัน หรือเขาดายเขาเข็มเชนนี้ เปนการเลนตลกหรือ นาขันไปเสีย. ฉะนั้น ผูปฏิบัติผูใดยึดมั่นในการทําเชนนั้น ก็กลายเปนผูปฏิบัติ ชนิดสมัครเลนไปตามเคย. แตถาเราจะตองทํา ก็ควรจะทําได พอเปนพิธีเพื่อ ไมใหขัดใจคนอื่น แตโดยเนื้อแทแลวเราจะตองสํานึกบาปอยูตลอดเวลา มีกําลัง แกลวกลาเพียงพอในการที่จะทํางาน ที่จะเอาชนะบาปเหลานั้นใหไดอยูเปนประจํา ตลอดวันตลอดคืน และเปนผูเพียบพรอมที่จะทํากัมมัฏฐานอยูทุกลมหายใจเขาออก. (๕) การมอบตัวตอพระรัตนตรัย นั้น เปนสิ่งที่ควรมีอยูตลอดกาล ไมใชเพิ่งมามอบกันเมื่อจะทํากัมมัฏฐาน ดวยอาการของคนจนตรอกเชนนี้. ถาไป ทําเขา มันก็กลายเปนเพียงพิธีรีตองลวน ๆ ไปตามเดิม ถามากไปกวานั้นก็เปน เรื่องหนาไหวหลังหลอกตอพระรัตนตรัยไปโดยไมรูสึกตัว. หรือถามากไปกวานั้นอีก คือเพิ่งมามอบเพื่อเห็นแกใครคนใดคนหนึ่ง หรือหมูคณะใดคณะหนึ่ง, ซึ่งเปน การแสดงวาบุคคลนั้นมีความสําคัญยิ่งกวาพระรัตนตรัย ดูอะไร ๆ มันขลุกขลัก เหมือนกับคนเตรียมไมพรอมไปเสียทุกสิ่งทุกอยาง มีพื้นฐานไมเหมาะสมที่จะ กอสรางสิ่งที่ประณีตหรือสูงสุดเอาเสียเลย. ขอย้ําวาเราจะตองมีการมอบตัว คือ การไววางใจในพระรัตนตรัยถึงที่สุดแลว มากอนหนานั้น จึงมีปติปราโมทยอันแท จริง ที่จะเกิดกําลังสงเสริมกัมมัฏฐาน อยางมั่นคงและเพียงพอ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๒๒
อานาปานสติภาวนา ตอน ๓
(๖) การมอบตัวตออาจารย ก็อยางเดียวกัน คือเปนเรื่องของเหตุผล และสติปญญา มิใชพิธีรีตอง ถาใจไมเชื่อ หรือสติปญญาไมยอมรับวาอาจารยผูนั้น จะเปนประโยชนอะไรแกตนแลว ก็ไมควรจะมีความลําบากเรื่องการมอบตัวอะไร กันใหเสียเวลา ใจความสําคัญอยูตรงที่จะตองศึกษาซึ่งกันและกันใหเขาใจซึ่งกัน และกันจริง ๆ แลว จะทําพิธีหรือไมทําพิธีนั้น ยอมมีเหตุผลอยูอีกสวนหนึ่งตางหาก, ถาทําดีกวา ก็ทํา, ถาไมทําดีกวา ก็ไมควรทํา ชนิดที่สักวาพอเปนพิธี. ขอให คิดดูใหดีเถิดยอมจะเห็นไดดวยตนเองวา พิธีเชนนี้แหละจะทําใหคนตางศาสนา ที่จะเขามาสูศาสนานี้ เกิดความรังเกียจไมไววางใจ หรือเลยไปกวานั้นจนถึงกับ ประณามวา มันเปนแบบแผนของคนปาเถื่อน สมัยโบรมโบราณกอนประวัติศาสตร หรืออยางดีที่สุดก็กลายเปนเรื่องของพวกที่ถือพระเจา ดวยอํานาจศรัทธาและภักดี มากกวาที่จะเปนของพุทธศาสนา ซึ่งมากไปดวยปญญา และมุงหมายจะทําลาย ความยึดถือตัวเองอยางแทจริง; ฉะนั้นถาตองทําก็ทําเพียงเพื่อพิธี หรือไมให เปนที่ขัดใจของสังคมที่ยังติดในพิธี หรือเปนการแสดงออกถึงความรูสึกในใจให เต็มรูปของพิธีเทานั้นเอง อยาไดถือวาขอนี้เปนหลักสําคัญของพุทธศาสนา ซึ่งไม มีความประสงคจะผูกพัน หรือทําใหเกิดความผูกพันโดยไมมีเหตุผล. ความผูกพัน อันนี้มุงหมายเปนการเปดโอกาสใหอาจารยวากลาวดุดา หรือเรียกรองสิ่งใดไดตาม ความพอใจเทานั้นเอง แตเมื่อเรื่องนี้เปนเรื่องที่สูงไปกวานั้น คือเปนเรื่องที่ตอง ทําดวยความเมตตากรุณา และสติปญญาจริง ๆ แลว ทั้งฝายอาจารยและฝายศิษย ไมควรยึดมั่นดวยอุปาทาน หรือความไมไววางใจตัวเอง ของตน ๆ ใหมากไปเลย มันจะกลายเปนอุปสรรค ที่จะขัดกันตอหลักการทั่ว ๆ ไปก็ได. มันเปนเรื่องที่ ติดเนื่องมาจากเรื่องที่ต่ํากวานี้ คือเรื่องขั้นตน ๆ ของบุคคลที่เพิ่งถูกชักจูงเขามาสู ศาสนานี้เทานั้น. ในครั้งพุทธกาลไมปรากฏการณทําเชนนี้ในอริยวินัย. เปนสิ่ง ที่เพิ่งเกิดขึ้น ในเมื่อตองการจะใหสิ่งตาง ๆ รัดกุมยิ่งขึ้นในยุคหลัง ๆ เทานั้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
ความมุงหมายอันแทจริงของบุพพกิจ
๒๓
(๗) การขอกัมมัฏฐาน ดวยบทสําหรับกลาวขอวา “นิพฺพานสฺส เม ภนฺเต สจฺฉิกรณตฺถาย กมฺมฏานํ เทหิ” นี้เห็นไดชัดวา ถอดแบบมาจากการขอ บรรพชาอุปสมบทตามแบบลังกาโดยแท. ไมมีลักษณะสํานวนของสมัยพุทธกาล เลย : แตนับวา เปนสิ่งที่นาสรรเสริญและถูกตองตามความหมายของเรื่องจริง ๆ เปนการปองกันที่ดี ที่จะไมใหคนขอกัมมัฏฐาน เพื่อประโยชนอยางอื่นซึ่งเปน เรื่องเห็นแกตัว เชน ทํากัมมัฏฐาน เพื่อเกิดนั่นเกิดนี่ มีนั่นมีนี่ เปนคนวิเศษ เหนือคนอื่น สําหรับโออวดกัน หาประโยชนหรือชื่อเสียงมาใหตัว. แมการ กระทําเพื่อไดญาณทัสสนะอันวิเศษ เชน มีหูทิพย ตาทิพย เปนตน ก็ไมยกเวน คือเปนสิ่งที่ยังไมตรงตอความมุงหมาย อยูนั่นเอง. พระพุทธองคทรงยืนยันหรือทรงกําชับวา พรหมจรรยนี้ตองเปนไป เพื่อวิมุตติ หลุดพนจากความทุกขอยางเดียวเทานั้น มิใชเปนไปเพื่อสิ่งซึ่งมีคุณคา ต่ํากวานั้น หรือผิดแผกแตกตางไปจากนั้น เชนวาประพฤติพรหมจรรย เพื่อความ เปนคนมีศีล หรือเปนคนมีสมาธิ หรือเพื่อความเปนคนมีญาณทัสสนะวิเศษ ตาง ๆ ก็หาไม. นั่นเปนเพียงกระพี้ของพรหมจรรย ผลอันแทจริงของพรหมจรรย คือ นิพพาน อยางเดียว. ถาผูปฏิบัติกัมมัฏฐานทุกคนถือตามหลักพระพุทธองค ขอนี้กันอยางแนนแฟนแลว สิ่งที่ไมงดงามตาง ๆ ก็จะไมเกิดขึ้นในหมูบุคคล ผูปฏิบัติกัมมัฏฐานไปไดเลย. ผูปฏิบัติควรจะศึกษาเรื่องราวอันแทจริงของพระ นิพพาน แมแตในทางทฤษฎีมาใหเพียงพอเสียกอน ก็ยังเปนการดีอยูมากมาย เพราะจะไดมุง เข็ม ตรงไปยัง พระนิพ พานไดโ ดยงา ย. สว นที่แ นน อนที่สุด และ ดีที่สุดนั้น อยูตรงที่จะตองมองเห็นความทุกขอยางชัดเจน และอยากพนทุกขอยาง แรงกลา เหมือนกับบุคคลที่ถูกจับศีรษะกดลงไปใตผิวน้ํา มีความตองการอยาก
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๒๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๓
จะขึ้นมาหายใจบนผิวน้ํา ฉันใดก็ฉันนั้น. นั่นแหละเปนความปลอดภัยสําหรับ ความมุงหมายที่จะเขาทํากัมมัฏฐานในพระศาสนานี้. เพราฉะนั้น เมื่อนักปฏิบัติผูใดไดกลาวคําขอกัมมัฏฐานออกไปวา “นิพฺพานสฺส เม ภนฺเต สจฺฉิกรณตฺถาย กมฺมฏานํ เทหิ” เปนตน ดังนี้แลว ก็ขอใหมีความรูสึกในใจอันถูกตองโดยนัยดังกลาวมาแลวนั้นจริง ๆ ก็จะเปนการ ไมเสียหายในการทําพิธีอันนี้ ซึ่งเปนเหมือนการเตือนย้ําอยูเสมอวากัมมัฏฐานนี้ ตองเพื่อนิพพานเทานั้น หรือขยายออกไปมากกวานั้น ก็วา เพื่อมรรค ผล นิพพาน เทานั้น และขออยาใหเขาใจคําวา “มรรคผล” ผิดตอไปอีก เพราะเปนคําพูดที่อาจ จะเขาใจเฉไฉเลือนออกไปไดยิ่งกวาคําวา นิพพาน ; อยางที่เรามักจะไดยินกันวา เงินทองเปนมรรคผลอยางหนึ่งดวยเหมือนกัน. นี่ถูกเอามาใชเปนภาษาพูดของ คนทั่วไป ในความหมายอันต่ํากวาเดิมมากมาย ผลจงเกิดมีขึ้นวาคนแหกันไปทํา กัมมัฏฐานที่นั่นที่นี่ เพราะอยากบรรลุมรรคผล แตแลวมรรคผลนั้นก็เปนแตเพียง สีลัพพัตตปรามาสอยางใดอยางหนึ่งไปเสีย ความวุนวายตาง ๆ จึงเกิดขึ้นในหมู บุคคลผูแหกันไปทํากัมมัฏฐานนั่นเองอยางนาเวียนหัว.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ขอใหพิจารณาดูเถิดวา ความเขาใจถูก หรือเขาใจผิด ตอความมุงหมาย ของการทํากัมมัฏฐานนั้น มีความสําคัญอยางไร. เพราะฉะนั้น ถานักปฏิบัติผูใด มีความประสงคตอกัมมัฏฐานก็ดี หรือออกปากขอกัมมัฏฐานก็ดี ควรจะเปน ผูที่มีการศึกษาเรื่องของพระนิพพาน หรือมองเห็นความทุกขในวัฏฏสงสารอยาง ประจักษชัดแกใจตนอยางเพียงพอ จึงจะมีความปลอดภัยในการที่นําตนเขามา เกี่ยวของกับกัมมัฏฐาน ไมมีทางที่จะตกเปนเหยื่อของบุคคลหรือของกิเลสไดเลย.
www.buddhadasa.in.th
ความมุงหมายอันแทจริงของบุพพกิจ
๒๕
(๘) การเชื้อเชิญกัมมัฏฐาน๑ ที่ทํากันราวกะวาเปนพระเจา หรือ เทพเจาองคหนึ่งนั้น เปนสิ่งที่ไมควรกระทํา ควรจะถือเอาความหมายแตเพียงวา ตั้งใจจะทํากัมมัฏฐานขอใดขอหนึ่ง หรือสวนใดสวนหนึ่ง ใหสําเร็จลุลวงไป วันหนึ่ง ๆ อยางเต็มความสามารถ. ถาจะใหมีการเชื้อเชิญ ก็ควรจะเปนการเชื้อเชิญตนเองหรือปลุกปลอบ ใจตนเอง ใหมีความอาจหาญราเริง มีความขยันขันแข็ง สุขุมรอบคอบ โดยเฉพาะ อยางยิ่งก็คือ ใหเต็มไปดวยอิทธิบาท ๔ ประการ คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ และ วิมังสานั้นเอง จะเปนการถูกกวาหรือดีกวา. เมื่อเชื้อเชิญตนเองในลักษณะเชนนี้ ไดแลว สิ่งที่ทําก็จะประสบความสําเร็จเทากับสามารถเชื้อเชิญองคพระกัมมัฏฐาน ใหมาโปรดไดเหมือนกัน. การที่นักปฏิบัติในกาลกอน เกิดสมมติธรรมะใหเปนบุคคลขึ้นมาเชนนี้ เขาใจวาเปนเพียงความเหมาะสมเฉพาะถิ่น เฉพาะยุค หรือเฉพาะกลุมชนที่ตาม ปรกติ มีความยึดมั่นถือมั่นในความขลังและความศักดิ์สิทธิ์เทานั้นเอง. นับวา เปนการพนสมัยแลวในการที่จะทําเชนนั้นอีก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org (๙) การแผเมตตาใหตนเอง ควรจะหมายถึงความรักตัวเอง ความ เคารพนั บ ถื อ ตั ว เอง ในทางที่ จ ะสนั บ สนุ น กํ า ลั ง ใจของตั ว เอง ให มี ค วามพอใจ หรือความเพลิดเพลินในการกระทํามากยิ่งขึ้นเปนสวนใหญ. สวนการแผเมตตา ใหสัตวทั้งหลายตลอดจนถึงผูมีเวรนั้น ควรถือเอาความหมายอยางสั้น ๆ ไปในทาง
๑
การบรรยายครั้งที่ ๓ / ๑๕ สิงหาคม ๒๕๐๒
www.buddhadasa.in.th
๒๖
อานาปานสติภาวนา ตอน ๓
ที ่ว า บัด นี ้เ ราไมม ีเ วรตอ ใครหมด ยิน ดีล ะเวร แมจ ะตกเปน ผู ถ ูก เขาทํ า แต ฝ ายเดี ยว จนกระทั่ งเสี ยชี วิ ตก็ ยอม เพื่ อจิ ตจะไม ระแวงภั ยโดยสิ้ นเชิ ง ในการที่ ตั ว ไปนั่งในที่เปลี่ยวปราศจากการคุมครองแตอยางใดทั้งสิ้น. และอีกทางหนึ่งก็คือ ทํ า จิ ต ให เ ป น มิ ต รแก ทุ ก คน หรื อ ราวกะว า ทุ ก คนมี หุ น ส ว นในการกระทํ า ของตน เพราะการกระทํ านี้ ทํ าเพื่ อความดั บทุ กข ของสั ตว ทั้ งหลายในโลกด วย และทํ าในใจ เหมื อ นกั บ ชี วิ ต ทุ ก ชี วิ ต ที่ แ วดล อ มอยู ร อบข า งนั้ น เป น ญาติ มิ ต รที่ ส นั บ สนุ น การ กระทําของเราอยูอยางเต็มที่. (๑๐) การสวดพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ดวยเสียงนั้น ควรจะ เวนเสียในขณะนี้ หรือกรณีเชนนี้ แตควรจะทําในใจใหเปนอยางยิ่ง ในการที่จะ รําลึกวา คุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ กําลังคุมครองสัตวโลกทั้งปวง อยูอยางแทจริง แมเราเองที่รอดมาไดจนถึงทุกวันนี้ และมาอยูในสถานที่กําลัง จะปฏิบัติเพื่อคุณธรรมอันสูงยิ่งขึ้นไปในขณะนี้ ก็ดวยอํานาจคุณของพระรัตนตรัย และจะดําเนินตอไปในคลองของพระรัตนตรัย จนถึงที่สุดดวยการอุทิศชีวิตจิตใจ ทั้งหมดสิ้นจริง ๆ. ควรจะรําลึกจนเกิดความปติปราโมทย ความพอใจ และ ความกลาหาญ ในการที่จะปฏิบัติตอไปจริง ๆ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org (๑๑) การอธิษฐานจิต ตอธรรมที่ตนกําลังปฏิบัตินั้น เปนอุบายที่ ควรกระทําโดยแท เพื่อความเชื่อมั่นหรือความพอใจ ในสิ่งที่ตนกําลังกระทํา อยางสูงสุด. ถาปฏิบัติกัมมัฏฐานขอใด ควรจะไดรับการแนะนํา ใหมีความเขาใจ ในเรื่องของกัมมัฏฐานขอนั้น อยางนอยที่สุดก็ใหเปนที่แนใจวาเหมาะแกกิเลส หรือความดับทุกขของตน สามารถขจัดปญหาตาง ๆ ไดจริง จึงจะสําเร็จประโยชน ในการอธิษฐาน. อุบายที่เปนการเพิ่มกําลังใจหรือรักษากําลังใจ ในการทําจิต ของตนเชนนี้ มิใชมีความจําเปนแตในวงการทํากัมมัฏฐานแตจําเปนในการ
www.buddhadasa.in.th
ความมุงหมายอันแทจริงของบุพพกิจ
๒๗
ปฏิบัติหนาที่ หรือทํากิจทั่วไปทุกอยาง หากแตวาในการปฏิบัติกัมมัฏฐานนี้มีหลัก เกณฑรัดกุม มีหลักฐานแนนอน ยิ่งเรียน ยิ่งคิด ยิ่งพิจารณา ก็ยิ่งมีความแนใจ จึงเปนการงายอยูสวนหนึ่ง ในการที่จะรักษาความแนใจอันนี้เอาไวไดตลอดเวลา และโดยเฉพาะอยางยิ่ง ในขณะที่กําลังจะทํากัมมัฏฐานนั่นเอง. ถาไปทําให เปนเรื่องบุคลาธิษฐาน ไปอางวิญญาณของพระพุทธเจา หรือพระสาวกขึ้นมาอีก มันก็วกกลับไป เปนเรื่องพิธีรีตองของพวกที่มัวเมาอยูดวยศรัทธา อีกนั่นเอง. ควรระวังใหกาวหนาไปใหได ไมยอนไปสูภูมิของบุคคลที่ยังงมงายอยูดวยความ ยึดมั่นถือมั่นในทางขลังหรือศักดิ์สิทธิ์เปนอันขาด แตใหเปนการอยูในอํานาจของ สติปญญา หรืออํานาจของเหตุผล ที่เนื่องมาแตความรูแจงเห็นจริงดวยตนเอง เสมอไป เทาที่จะทําได. (๑๒) สําหรับ การอุทิศการปฏิบัติ ในวันหนึ่ง ๆ หรือแมแตความ ตั้งใจแนวแน ในการที่จะปฏิบัติตอไป เพื่อบูชาคุณพระพุทธองคนั้น เปนสิ่งที่ควร กระทําโดยแท ; แตก็ตองระวังอยาใหเปนเพียงพิธีเชนเดียวกัน ตองใหเปน ความสํานึกตนอยูอยางเต็มที่วา การกระทํานี้ ถูกพระหฤทัยหรือตรงตามพระพุทธ ประสงคอยางยิ่ง และสมควรที่จะใชเปนเครื่องบูชาพระพุทธองคไดจริง ๆ ไมมี การหนาไหวหลังหลอกตอพระพุทธองค หรือตอตัวเองแมแตอยางใด. นับวา เปนกิจสุดทายประจําวัน วันหนึ่ง ๆ ที่จะตองทําเพื่อเปนเครื่องตั้งตนไว ในคลอง ของธรรมอยางแนนแฟน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สรุปความวา สิ่งที่ตองทําไปในฐานะที่เปนบุพพภาคของการเจริญ กัมมัฏฐานนั้น ไมมีอะไรที่จะเปนพิธีรีตองไปได เพราะไมใชเรื่องของพิธีรีตอง แมแตนอย. มันเปนหนาที่โดยตรงบาง เปนเทคนิคของการแวดลอมจิตใจใหมี กําลัง และใหเดินตรงแนวแนไปในหนทางอันลึกซึ้งบาง ลวนแตมีเหตุผลของ
www.buddhadasa.in.th
อานาปานสติภาวนา ตอน ๓
๒๘
มันเองโดยเฉพาะ. ขอใหทุกคนระมัดระวังตั้งใจทําใหดีที่สุด หมายอันแทจริงของเรื่องนั้น ๆ.
ใหตรงตามความ
สําหรับการใชอุบายแวดลอมจิตใจ ใหเกิดกําลังโดยเฉพาะเปนตนนั้น ขอใหสังเกตอุปนิสสัยใจคอของตนเองใหมากเปนพิเศษ จึงจะทําไดสําเร็จเต็มที่. แมการกระทําอยางอื่น ซึ่งมิไดระบุไวในที่นี้ก็อาจนํามาใชได เชน การรําลึกถึง ความตายก็ดี รําลึกถึงระยะเวลาอันสั้น ที่มีอยูสําหรับเราผูประสงคจะไดรับสิ่งที่ดี ที่สุดที่มนุษยควรจะไดนี้ก็ดี รําลึกถึงบุญคุณของผูมีพระคุณ เชน บิดามารดา เปนตนก็ดี หรือแมที่สุดแตการสํานึกในหนาที่ ที่จะชวยกันเผยแผพระศาสนา โดยการปฏิบัติใหดู หรือรับผลของการปฏิบัติใหเขาดูก็ดี ทั้งหมดนี้ลวนแตเปน สิ่งที่ควรนํามากระตุนจิตใจ ในโอกาสที่จะทําการปรับปรุงจิตชนิดนี้ ไดดวยกัน ทั้งนั้น. ใจความสําคัญอยูตรงที่มีความรูสึกวา เรากําลังกระทําถูกตอสิ่งที่ควร กระทําเปนอยางยิ่งแลวนั่นเอง. ทั้งหมดนี้ ใหถือวาเปนบุพพกิจทั่วไป สําหรับบุคคลผูเตรียมตัวปฏิบัติกัมมัฏฐาน.
www.buddhadasa.in.th * * * www.buddhadasa.org ตอน สี่
บุพพกิจโดยเฉพาะของการเจริญสมาธิ
ตอไปนี้ จะไดกลาวถึง บุพพกิจที่ใกลชิด หรือเฉพาะเจาะจง ตอ การทํากัมมัฏฐาน ยิ่งขึ้นไปอีก ดังตอไปนี้ :-
(ก) การทําอุปมาเปนหลักประจําใจ เกี่ยวกับการทํากัมมัฏฐานนี้ ทุกคนควรจะมีความแจมแจงในอุปมาของ การทํากัมมัฏฐานทั้งหมด ไวเปนแนวสังเขป กันความฟนเฝอ. การที่ตองใช
www.buddhadasa.in.th
บุพพกิจโดยเฉพาะของการเจริญสมาธิ
๒๙
ฝากไว กั บ อุ ป มา ก็ เ พราะเป น การง า ยแก ก ารกระทํ า ไว ใ นใจ ในลั ก ษณะที่ เ ป น การ เห็นแจง มิใชเปนเพียงความจําหรือความเขาใจ. เกี่ยวกับเรื่องนี้ พระอาจารย ในกาลก อ น เช น อาจารย ผู ร จนาคั ม ภี ร วิ สุ ท ธิ ม รรคโดยเฉพาะ ได ถื อ เอาอุ ป มานี้ เปนหลัก มีใจความวา “คนมีปญญา ยืน หยัดมั่นคงอยูบนแผนดิน ฉวยอาวุธ ที่คมดวยมือ ลับที่หินแลว มีความเพียรถางปารกใหเตียนไปได”. คําอธิบายของทานมีวา คนมีปญญา หมายถึงปญญาเดิม ๆ ที่ติดมากับตัว ที่เรียกวา “สหชาตปฺา” หรือที่เรียกในสมัยนี้วา Intellect หมายความวา เป น ป ญ ญาที่ ยั ง ดิ บ อยู จะต อ งได รั บ การทํ า ให ง อกงาม เป น ป ญ ญาที่ แ ท จ ริ ง โดย สมบูรณ ซึ่งเรียกวา “วิปสสนาปญญา” หรือที่เรียกในบัดนี้วา Intuitive wisdom. ข อนี้ หมายความว า คนที่ จะทํ ากั มมั ฏฐานต องมี แววฉลาดอยู ตามสมควร เพื่ อเป น พื้นฐานสําหรับเพาะปลูกปญญาตอไป. ถาเปนคนโงเงา ก็ไมมีทางที่จะทําได ตามแนวนี้ จั ก ต อ งไปกระทํ า ตามแนวของพวกศรั ท ธา หรื อ พิ ธี รี ต องต า ง ๆ ไป กอนเปนธรรมดา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org คนแมมีปญญา ก็ยังตอง ยืนใหมั่นคงบนแผนดิน. แผนดินในที่นี้ ไดแกศีล หรือความสมบูรณดวยศีล ซึ่งเปนรากฐานของการเปนอยูประจําวัน เพื่ อ ไม ใ ห มี ทุ ก ข มี โ ทษ ที่ เ ป น ชั้ น หยาบ ๆ หรื อ ที่ เ ป น ภายนอกซึ่ ง แวดล อ มบุ ค คล นั้ น อยู เกิ ด เป น สิ่ ง รบกวนขึ้ น มาได ศี ล จึ ง ถู ก เปรี ย บด ว ยแผ น ดิ น ที่ แ น น หนา สามารถที ่จ ะยืน หยัด ได ไมใ ชที ่เ ปน หลม เปน โคลน หรือ เปน เลน เปน ตน . ผู ป ฏิ บั ติ จ ะต อ งชํ า ระแผ น ดิ น คื อ ศี ล ของตน ให เ หมาะสมสํ า หรั บ ที่ จ ะยื น ไม ว า จะเปนบรรพชิตหรือฆราวาส. จับอาวุธที่คมขึ้นมาเพื่อจะลับ : คําวา “อาวุธที่คม” ในที่นี้ไดแก โลกิ ย ป ญ ญาหรื อ สั ม มาทิ ฏ ฐิ ต า ง ๆ ที่ ไ ด ม าจากการศึ ก ษาเล า เรี ย นเพื่ อ การนี้ โ ดย
www.buddhadasa.in.th
๓๐
อานาปานสติภาวนา ตอน ๔
เฉพาะเอามาลั บ ให ค ม หรื อ กลายเป น โลกุ ต ตรป ญ ญาไปด ว ยการลั บ คื อ การทํ า กัมมัฏฐานนั่นเอง จนกวามันจะคม ถึงขนาดตัดสัญโญชนหรือตัดอนุสัยได. จับดวยมือ คําวา “มือ” ในที่นี้ หมายถึง ปาริหาริกปฺา หมายถึง ปญญาสวนที่รูหรือ ทําใหแน ใจ ว าสิ่งนี้เป นสิ่งที่ตอ งทํา หรือ จําเปนจะตอ งทํา โดย เด็ดขาด สําหรับสัตวที่เวียนวายอยูในวัฏฏสงสาร. หรือหมายถึงปญญาเดิม ๆ ที่ ได รั บ การเพาะหว า นให รู สึ ก ในหน า ที่ ข องตนอย า งแท จ ริ ง รวมทั้ ง รู จั ก เลื อ กหน า ที่ ที่ควรเอามาเปนหนาที่อยางสูงสุดดวย. ลับอาวุธนั้นที่หิน คําวา “หิน” หมายถึง สมาธิ สมาธิเปนสิ่งที่ ตองทําใหไดกอน ในฐานะที่เปนบาทฐานของปญญาที่เปนตัววิปสสนา ; จะเปน สมาธิที่เกิดเองตามธรรมชาติพรอมกับปญญาเดิม ๆ หรือจะเปนสมาธิที่เพิ่งทําให เจริญขึ้นมาใหมในขณะนี้ก็ตาม ลวนแตเรียกวาหินสําหรับลับในที่นี้ดวยกันทั้งนั้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org คําวา “มีความเพียรเขมแข็งในการที่ใชศาสตรา” นั้น หมายถึง อิทธิบาททั้ง ๔ คือ ความพอใจในสิ่งที่จะทําจริง ๆ, ความกลาหรือความเขมแข็ง ในการที่จะทําจริง ๆ, ความเอาใจใสในเรื่องนั้นจริง ๆ หมายถึงความมีจิตจดจอ อยูตั้ง แตตน ปลาย ไมมีก ารเปลี่ย นแปลง, และมีค วามพินิจ พิจ ารณาดว ย สติ ป ญ ญาในการที่ จ ะแก ไ ขข อ ขั ด ข อ งด ว ยปฏิ ภ าณที่ เ ฉลี ย วฉลาด และทั น ท ว งที อยูเสมอ. เรียกเปนบาลีวา ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา อันเปนปจจัยสําคัญ ของการบรรลุความสําเร็จ. คําวา “ยอมถางปารกได” หมายถึง สามารถถางสิ่งทีรกรุงรังอยาง ยุง เหยิ ง เช น ซุ ม เซิ ง ของกอไผ ที่ เ กี่ ยวกั น อย า งหนาแน น และเต็ ม ไปด ว ยหนามได .
www.buddhadasa.in.th
บุพพกิจโดยเฉพาะของการเจริญสมาธิ
๓๑
ป า รกเช น นี้ ห มายถึ ง กิ เ ลสที่ มี อ ยู ใ นสั น ดานของสั ต ว เพราะมี ลั ก ษณะเช น เดี ย วกั น กับเชิงหนามดังที่กลาวแลว. อุ ปมาที่ กล าวนี้ ย อมให ความกระจ างในลู ทางของการปฏิ บั ติ ตลอดถึ ง ความเกี่ ย วพั น กั น ของกุ ศ ลธรรมเหล า นั้ น ว า มี อ ยู อ ย า งไร เป น เครื่ อ งประกั น ความ ฟนเฝอ และใหความแนใ จในทางปฏิบัติพ รอ มกันไปในตัว นับ วาเปนสูตรที่ค วร เดนชัดอยูในสายตา ทั้งตานอกและตาใน ของผูปฏิบัติอยูเสมอ. สรุปเปน ประโยคสั้น ๆ อีกครั้งหนึ่งวา “คนมีปญญา ยืนหยัดบนแผนดิน ฉวยศาสตราอันคม ดวยมือ ลับที่หิน มีเพียรแลว ยอมถางรกชัฏได” ดังนี้.
(ข) การตัดปลิโพธ เมื ่อ แนใ จในการทํ า กัม มัฏ ฐานแลว มีก ิจ ที ่จ ะตอ งตัด ปลิโ พธคือ สิ ่ง ที่ เ ป น กั ง วล อั น จะเกาะเกี่ ย วหรื อ รบกวนใจต า ง ๆ ทั้ ง ที่ เ ป น เรื่ อ งใหญ แ ละเรื่ อ ง หยุมหยิม ซึ่งทานยกมาแสดงไวใหสังเกตเปนตัวอยาง ๑๐ อยาง คือ :-
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๑. อาวาสปลิโพธ ความกังวลใจเนื่องดวยที่อยูอาศัยไดแกหวงเรื่อง ที ่อ ยู นับ ตั ้ง แตห ว งวัด หว งกุฏ ิ ที ่ต นตอ งทิ ้ง ไป เพื ่อ ไปทํ า กัม มัฏ ฐานในปา หรือ ที่อื่น. แมที่สุดแตความหวงในหนาที่ที่จะตองทํา เกี่ยวกับกระตอบเล็ก ๆ ที่นั่งทํา กัมมั ฏฐานนั่นเอง เชน ถายังมี หวงว าสัตว เชน ปลวกจะรบกวน หรื อหลังคาจะรั่ ว หรื อ อะไรบางอย า งจะเกิ ด ขึ้ น ซึ่ ง จะต อ งดู แ ลระวั ง รั ก ษาแล ว เรี ย กว า เป น ปลิ โ พธ เปนอุปสรรคในการทํากัมมัฏฐานโดยตรง. เขาจะตองสะสางปญหาเหลานั้น ใหเ สร็จ เสีย กอ นทุก สิ ่ง ทุก อยา งจริง ๆ และเมื ่อ ไดล งมือ ทํ า กัม มัฏ ฐานแลว ตอ ง ไม มี ห ว งว า มั น จะเป น อย า งไรหมด แม แ ต ก ระต อ บที่ ต นกํ า ลั ง นั่ ง กั ม มั ฏ ฐานอยู . โดยนัยนี้จะเห็นไดทันทีวา การที่ผูเริ่มฝก ไปทํากัมมัฏฐานเสียในถิ่นอื่น ซึ่งไม
www.buddhadasa.in.th
๓๒
อานาปานสติภาวนา ตอน ๔
มีอะไรเปนตัวนั้น ดีกวาทําในถิ่นของตัวเอง, และทําที่โคนไมดีกวาทําที่กุฏิ เปน ตน . แมไ ปนั่ง ทํา ที่โ คนไม ก็ค วรจะเปน โคนไมที่ไ มทํา ใหเ กิด การระแวง วา จะมีใ ครมายืน ดู. ถา หาโคนไมอ ยา งนั้น ไมไ ด ก็ตอ งตัด ใจลงไปวา ใครจะ มายื น ดู ก็ ช า งหั ว มั น ดั ง นี้ เ ป น ต น จึ ง จะเป น อั น ว า มี ก ารตั ด ปลิ โ พธข อ นี้ แ ล ว โดย สิ้นเชิง. ๒. กุลปลิโพธ หมายถึงความหวงสกุลอุปฏฐาก หรือบุคคลผูชวย เหลื อ สนั บ สนุ นตน เช น ห ว งว าเขาเหล า นั้น จะเจ็ บ ไข เ ป นต น บา ง เขาจะเหิน ห า ง จากเรา เพราะไมไดพบกันทุกวัน ดังนี้บาง. ขอนี้หมายถึงความรักใครเปนหวง อาลัยอาวรณ ในบุคคลผูทําหนาที่สนับสนุนตนทุกชนิด. ผูปฏิบัติจะตองทําจิต ใจใหม ในลักษณะที่อาจจะสรุปได วาเดี๋ยวนี้บุคคลเหลานั่นไมมีอยูในโลกแลว. ๓. ลาภปลิโพธ ความหวงใยในลาภสักการะ ที่เคยมีอยู หรือกําลัง มีอยูวาจะขาดไป หรือแมแตความรูสึกวา เมื่อทํากัมมัฏฐานสําเร็จแลว ลาภ สั ก การะสรรเสริ ญ และชื่ อ เสี ย งจะมี ม ากขึ้ น กว า เดิ ม ดั ง นี้ เ ป น ต น ก็ ดี รวมเรี ย กว า ความหวงใยในลาภสักการะดวยกันทั้งนั้น. ผูปฏิบัติจะตองทําในใจใหมีความเห็น อยางแจมแจงวา ลาภสักการะเปนสิ่งที่นาขยะแขยง ในฐานะที่เปนอันตรายโดยตรง ตอ การปฏิบ ัต ิเ พื ่อ บรรลุน ิพ พานทุก ชนิด รวมความวา จะตอ งสละทรัพ ยส มบัติ ทั ้ง ที ่เ ปน อดีต ปจ จุบ ัน และอนาคตโดยสิ ้น เชิง ยอมตนเปน ผู สิ ้น เนื ้อ ประดาตัว ในขณะนี้. ถามีเรื่องจะตองใชสอยอะไรกันใหมไวพูดกันใหมทีหลัง ไมใชเวลานี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๔. คณปลิโพธ ความหวงใยในหมูคณะที่อยูภายใตบังคับบัญชาดูแล หรือ ความรับ ผิด ชอบของตน ก็เ ปน สิ ่ง ที ่ต อ งสลัด ออกไปแลว โดยสิ ้น เชิง มีก าร ปกใจในการเปนบุคคลผูโดดเดี่ยวโดยแทจริง. แมวาจะตองกลับไปอยูในหมูคณะ อีก ตองไมมีเรื่องที่จะกังวลในขณะนี้.
www.buddhadasa.in.th
บุพพกิจโดยเฉพาะของการเจริญสมาธิ
๓๓
๕. กัมมปลิโพธ หมายถึงการงานตาง ๆ ที่กําลังคาราคาซังอยูในมือ หรือโดยการรับผิดชอบก็ตาม นี้เปนสวนหนึ่ง. อีกสวนหนึ่งคือนิสัยที่ชอบทํานั่น ทํานี่ไมหยุด หรือความรูที่จะทํานั่นทํานี่เสียเรื่อยไป. ทั้ง ๒ ประเภทนี้จัดเปน ปลิโพธโดยเทากัน. ผูปฏิบัติจะตองทําในใจจนกระทั่งมองเห็นชัด วาไมมีการงาน ที่ ไ หนอี ก แล ว ที่ จ ะเสมอเหมื อ นการงานคื อ การทํ า กั ม มั ฏ ฐาน ที่ เ รากํ า ลั ง ทํ า อยู นี้ . เราต องไม ทํ าให การงานที่ ไม มี ค าอะไรมากมาย มาทํ าให การงานอั นมี ค าสู งสุ ดต อ ง เสียหายไป. หรือถาหากมีทางที่จะสะสางเครื่องกังวลอันนี้ไดโดยวิธีใด เชน มอบหมายให ผู ที่ ควรได รั บมอบหมายไปทํ าเสี ยได ก็ เป นอุ บายที่ ควรทํ าให เสร็ จเสี ย กอนเปนการลวงหนา ดังนี้เปนตน. ๖. อัทธานปลิโพธ ความกังวลเนื่องดวยการเดินทาง. ขอนี้มีความ หมายเป น ๒ สถานคื อ สํ า หรั บ ผู ที่ เ ดิ น ท อ งเที่ ย วไปพลาง ทํ า กั ม มั ฏ ฐานไปพลาง นี้ จะต อ งไม กั ง วลถึ งการเดิ นทางที่ จะมี ใ นวั นต อ ไป ว าจะมี ด วยอาการอย างไร เช น ไม คํ า นึ ง ถึ ง ที่ พั ก หรื อ อาคารข า งหน า เป น ต น จะต อ งทํ า ในใจเหมื อ นกั บ ไม มี ก าร เดินทางไกล นี้พวกหนึ่ง . อีกพวกหนึ่ง ซึ่งไดแกพวกปฏิบัติอยูกับที่ แตนิสัย รัก การทอ งเที ่ย วเดิน ทางไกล เขาจะตอ งระงับ ความรู ส ึก ขอ นั ้น เสีย โดยสิ ้น เชิง ไม มี การระลึ กว าเวลานี้ ฤดู อ ะไร ที่ โน นที่ นี่ มี อ ะไรน าดู หรื อ น าอยู อ ย างสบายเป นต น ตลอดจนถึ งกั บไม คิ ดถึ งความสนุ กสนานเพลิ ดเพลิ น ที่ ตนเคยพอใจ ในการเดิ นทาง ทุกสิ่งทุกอยางดวย. แมที่สุดแตการกะแผนวา เสร็จการปฏิบัติออกพรรษาแลว เราจะเดินทางไปไหนกันใหสนุก ดังนี้ก็ไมควรจะมี.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๗. ญาติปลิโพธ หมายถึงความกังวลหวงใยในญาติโดยตรง นับ ตั ้ง แตบ ิด า มารดา เปน ตน ลงไป ที ่อ ยู ใ กลห รือ อยู ไ กลก็ต าม กํ า ลัง เดือ ดรอ น หรือกําลังเปนสุขก็ตาม สิ่งนี้จะไมตองมารบกวนอยูในใจของผูปฏิบัติ เขามีความ
www.buddhadasa.in.th
๓๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๔
ฉลาดในการที่ จ ะตั ด สิ น ใจ หรื อ ระงั บ ความห ว งใยเหล า นั้ น โดยวิ ธี ใ ดวิ ธี ห นึ่ ง ให จนได. ถาเปนบรรพชิต ก็คือการระลึกถึงความจริงที่วา การบรรพชาเปนการ สละญาติแ ลว โดยสิ ้น เชิง และโดยเฉพาะอยา งยิ ่ง ก็ใ นเวลาที ่จ ะปฏิบ ัต ิธ รรม. ถาเป นคฤหั สถ ก็ มี ทางที่จะคิ ดว า เราจะไปแสวงหาสิ่ งที่ ดีที่ สุ ด ที่ ญาติควรจะได รั บ มาใหญาติ ดังนี้เปนตน. ที่เปนเรื่องรวม ๆ อาจจะคิดไปไดถึงวา การเวียนวาย อยู ใ นวั ฏ ฏสงสารนั้ น ไม มี ญ าติ ค นไหนที่ จ ะช ว ยกั น ได แม แ ต บิ ด ามารดา แม แ ต บุตรธิดาโดยตรง. ทุกคนตองชวยตัวเอง และควรจะมีสิทธิ์ในการชวยตัวเอง โดยสมบูรณ. เมื่อใครพนจากวัฏฏสงสารขึ้นมาไดสักคนหนึ่ง คนนั้นแหละจะ กลับกลายเปนคนที่สามารถชวยญาติ ที่กําลังเวียนวายอยูในวัฏฏสงสารได. คนที่ เวียนวาย ไมอาจจะชวยคนที่เวียนวายดวยกันไดเลย ดังนี้. ๘. อาพาปลิโพธ คือความหวงใยเกี่ยวกับการเจ็บไข. ผูปฏิบัติ ต อ งไม ก ลั ว ล ว งหน า ว า การปฏิ บั ติ ใ นข อ ที่ ไ ม เ คยปฏิ บั ติ นั้ น จะทํ า ให เ กิ ด การเจ็ บ ไข ขึ้นนี้อยางหนึ่ง. อีกอยางหนึ่งก็คือ แมจะเกิดการเจ็บไขขึ้นเพราะการปฏิบัติอยาง ไมมีทางหลีกเลี่ยง ก็ยินดีสูตาย รวมความวา ไมหวงใยในการเจ็บไขในอนาคต ว า จะเป น อย า งไร จะได รั บ การรั ก ษาหรื อ ไม หรื อ จะเอายาที่ ไ หนมากิ น ก็ ไ ม เ ห็ น เปน เรื ่อ งสํ า คัญ เพราะถือ เสีย วา การปฏิบ ัต ินั ้น เปน การทํ า ใหไ ดก ิน ยาอมตะ ซึ่ ง อาจรั ก ษาโรคกิ เ ลส หรื อ โรคทุ ก ข อั น เป น โรคที่ น า กลั ว กว า โรคใด ๆ ทั้ ง สิ้ น . และเมื่อกินยานั้นแลว จิตใจจะลุถึงความเปนผูไมมีความตายอีกตอไป. อีกทางหนึ่ง ถา เป น ผู เจ็ บ ๆ ไข ๆ อยู ก อ น ก็ ใ ห รี บ รัก ษาเสี ย อย า ให มี ค วามกั ง วลในการรั ก ษา โรค ในขณะที่ปฏิบัติอยูอีก. และถาไดพยายามรักษาแลวรักษาอีก จนถึงที่สุด ของความสามารถแล ว โรคก็ ยั ง ไม ห าย ดั ง นี้ ไ ซร ก็ จ งหยุ ด การรั ก ษา สลั ด ความ กังวลในโรค แลวทําความเพียรปฏิบัติเอาชนะความตาย ดวยการปฏิบัตินั่นเอง
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
บุพพกิจโดยเฉพาะของการเจริญสมาธิ
๓๕
ด ว ยการตั ด สิ น ใจในวิ ธี เ ดี ย วกั น กั บ ที่ ก ล า วมาแล ว ข า งต น เป น ผู มี จิ ต ใจเข ม แข็ ง เฉี ย บขาดเหนื อ ความกลั ว โรค และความกลั ว ตายจริ ง ๆ แล ว ทํ า การปฏิ บั ติ ไ ป ตามที่ทางออกของชีวิตมันมีใหเพียงเทานั้น. ๙. คันถปลิโพธ หมายถึงความหวงใยในการศึกษาเลาเรียน. การ เลาเรียนพลางและเจริญภาวนาในขั้นสูงพลาง เปนสิ่งที่ทําไมได. เมื่อสมัคร ปฏิบ ัต ิใ นทางจิต โดยตรง ก็ต อ งพัก การศึก ษาเลา เรีย นไวก อ น จึง จะไดผ ลเต็ม ที ่. นี้หมายถึงการเรียนทางวิชา หรือทางตํารา. ส ว นการศึ ก ษาที่ เ ป น การไต ถ ามจากกั ล ยาณมิ ต ร หรื อ อาจารย ผู ส อน กัมมัฏฏฐานโดยตรง และเทาที่จําเปนนั้น ไมรวมอยูในขอนี้. อีกทางหนึ่งพึง ทราบว า นั กศึ กษาที่ หลงใหลในการศึ กษา ย อมติ ดการอ านหนั งสื อเหมื อนกั บติ ดฝ น. แมสิ่งนี้ก็ตองไมมีโดยเด็ดขาด. ผูปฏิบัติที่เปนครูสอนเขาอยู ก็ตองถือหลักเกณฑ อยางเดียวกัน ในการที่จะตัดปลิโพธขอนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๑๐. อิทธิปลิโพธ คือความกังวลหวงใยเกี่ยวกับการไดฤทธิ์ หรือ การได อิ ทธิ ปาฏิ หาริ ย ซึ่ งนั บ ว าเป น สิ่ ง ที่ ยั่ วยวนใจอย างยิ่ ง ทั้ ง แก ผู ปฏิ บั ติ และผู ไ ม ปฏิบัติ. ผูที่หลงใหลในการไดฤทธิ์แลวมาทํากัมมัฏฐานนั้น มีทางที่จะวิกลจริต ไดโดยงาย. เขาจะตองตัดความหวงใยในการที่จะไดฤทธิ์เสียแลวโดยเด็ดขาด การปฏิบัติจึงจะดําเนินไปตามคลองของการบรรลุมรรคผลนิพพาน นี้อยางหนึ่ง.
อี กอย างหนึ่ ง ก็ คื อบุ คคลที่ ปฏิ บั ติ มาด วยความบริ สุ ทธิ์ ใจ ครั้ นลุ ถึ งขั้ น ที่จิตสามารถทําอิทธิปาฏิหารยบางอยางได ความสนใจก็เริ่มเบนมาทางฤทธิ์นี้ และ
www.buddhadasa.in.th
๓๖
อานาปานสติภาวนา ตอน ๔
อยากจะให ดํ า เนิ น ต อ ไปในทางนี้ จ นถึ ง ที่ สุ ด นี้ จั ด เป น ปลิ โ พธอย า งยิ่ ง ต อ การ ปฏิบัติที่จะดําเนินตอไปในทางของ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือความไมมีตัวตน ซึ่งเปนทางธรรมแท. การทําพรอมกันทั้งสองอยาง ไมมีทางที่จะทําไดดวยเจตนา แต เป นไปได ในทางที่ เ มื่ อปฏิ บั ติ ถึ งที่ สุ ดในทางธรรมแล ว บางคนก็ ยั งมี ความสํ าเร็ จ ทางฝายอิทธิปาฏิหารยเปนของผนวก อีกสวนหนึ่งดวย. แตมิไดหมายความวา จะเปนอยางนั้นทุกคนไป เปนไดเฉพาะคน และเฉพาะเหตุการณ. สํ า หรั บ การปฏิ บั ติ ฝ ก ฝนเพื่ อ ได อิ ท ธิ ป าฏิ ห ารย โ ดยตรงนั้ น เป น อี ก เรื่องหนึ่งตางหาก ไมตองเอามาปนกับเรื่องนี้. ผูปฏิบัติธรรมจะตองทําจิตใหเปน ธรรมาธิป ไตยลว น ไมมุ ง หวัง อิท ธิป าฏิห าริย ซึ ่ง เปน ทางแหง ลาภสัก การะและ อื่น ๆ ไมเกี่ยวกับการตัดกิเลสเลย. สิ่ งทั้ ง ๑๐ เท าที่ ท านยกมาแสดงเป นตั วอย างนี้ เป นปลิ โพธโดยเสมอ กัน เปนเครื่องกีดขวางทางเดินของจิต ที่จะเดินไปตามทางภาวนา. ถาจะ เปรี ยบดั งในอุ ปมาข างต น ก็ เท ากั บทํ าให แสวงหาก อนหิ น ที่ อาจจะใช ลั บมี ดไม พบ นั่นเอง. ไมไดลับมีดแลวไปถางปานั้น เรื่องจะเปนอยางไรลองคิดดู. เพราะฉะนั้น เปนอันวา การตัดปลิโพธเหลานี้ยอมเปนบุพพกิจโดยแทจริง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
บุพพกิจโดยเฉพาะของการเจริญสมาธิ
๓๗
(ค) การเลือกสิ่งแวดลอม๑ ผูจะปฏิบัติจะตองรูจักเลือกสถานที่ และสิ่งแวดลอมอื่น ๆ ที่สนับสนุน แกการปฏิบัติของตนใหดีเทาที่จะทําได. เพื่อรูจักเลือกสิ่งแวดลอมไดดี ก็จําเปน จะต อ งรู จั ก ตั ว เองให ดี เ สี ย ก อ น ว า ตนเป น อย า งไร เข า กั น ได ห รื อ เข า กั น ไม ไ ด กั บ สิ่งใด โดยธรรมชาติ. แมวาการทํากัมมัฏฐาน จะมีความมุงหมายถึงการหลุดพนเพื่ออยูเหนือ ความยินดียิ นร าย หรื อเหนื อการครอบงําของธรรมชาติ ก็จริง แต ในขั้นเตรียมตั วนี้ ผูปฏิบัติจะตองหลีกเลี่ยงจากการครอบงําของธรรมชาติ ใหมากที่สุดเทาที่จะทําได. เพราะฉะนั้น จึงจําเปนที่จะตองรูจักอิทธิพลของ ธรรมชาติภายนอก ซึ่งเปนสิ่งแวด ลอม และรูจัก ธรรมชาติภายใน คือจริตนิสัยของตนเอง วามันจะขัดกันหรือจะ เขากันไดอยางไรและเพียงไรเสียกอน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ธรรมชาติภายในของตน ในที่นี้ เรียกสั้น ๆ วา “จริต” หมายถึง
สิ่งที่จิตเคยประพฤติมาจนเคยชินเปนนิสัย. เมื่อรูจักจริตของตนแลว ยอม สามารถจะจัด จะทํ า จะแสวงหรือ หลีก เลี ่ย งไดต รงตามที ่ค วรจะเปน ในสิ ่ง แวดลอ มทุก ประการ. เกี่ย วกับ จริต นี้ ทา นจํา แนกไวเ ปน ๖ คือ ราคจริต โทสจริต โมหจริต สัทธาจริต พุทธิจริต และวิตกจริต, แตละอยาง ๆ มี ลักษณะอาการอยางไร เขากันไดหรือเขากันไมไดกับสิ่งใด จะไดวินิจฉัยกันทีละขอ ดังตอไปนี้ :
๑
การบรรยายครั้งที่ ๔ / ๑๖ สิงหาคม ๒๕๐๒
www.buddhadasa.in.th
๓๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๔
(๑) ราคจริต. หมายถึงนิสัยสันดานที่หนักไปในทางกําหนัด ยินดี หรื อ ละโมบ รั ก สวยรั ก งาม ยึ ด มั่ น อย า งรุ น แรงในความเป น ระเบี ย บเรี ย บร อ ย ตลอดถึง การอยู ด ีก ิน ดี ดัง นี ้เ ปน ตน มากเกิน ไป เกี ่ย วกับ จริต นี ้ ทา นแนะให เลือกสิ่งแวดลอมตนเองดวยสิ่งที่เปนของปอน เชนที่อยูอาศัยอยางปอน ๆ ไมนาดู. จีวรก็เนื้อเลว แลวยังแถมมีการปะชุนหรือขาดกระรุงกระริ่ง. แมบาตรก็เปน อยางเลว ตะปุมตะปาเต็มไปดวยรอยตอ หรือการซอม. เลือกทางบิณฑบาต ที่สกปรกโสมม ไมมีสิ่งที่เจริญตาเจริญใจ. รับอาหารบิณฑบาตของคนยากจน ชนิ ด ที่ ดู แ ล ว น า ขยะแขยง และเลื อ กไปในหมู บ า น ที่ มี ค นรู ป ร า งขี้ ริ้ ว ขี้ เ หร กิ ริ ย า อาการก็ใหหยาบคาย ดังนี้เปนตน. สําหรับอิริยาบถประจําวัน ก็ใหมากไปดวย อิ ริ ย าบถยื น และอิ ริ ย าบถเดิ น หลี ก เลี่ ย งการนั่ ง หรื อ การนอนให ม ากที่ สุ ด เท า ที่ จะมากได. แมสิ่งอื่น ๆ ก็ควรระมัดระวังโดยหลักเกณฑขอเดียวกัน ; ยกตัวอยาง เชน สีของสิ่งที่จะใชสอย ก็ควรจะเปนสีเขียว หรือสีเขียวแกมดํา. แมที่สุดแต การเลือกสี ที่จะใชในการทําวงของกสิณ ในเมื่อ จะเจริญกสิ ณภาวนา ก็ควรเลือ ก สีเขียว. สรุปความวา สิ่งตาง ๆ สําหรับคนราคจริตนั้น จะตองเปนไปในทาง ปอนหรือ คล้ํ า ไมส ดใสฉูด ฉาด จึง จะเปน ไปในทางสบายตอ จริต หรือ สง เสริม แกการปฏิบัติ, มิฉะนั้นจะเกิดความยุงยากขึ้นไมมากก็นอยโดยไมจําเปนเกี่ยวกับ สิ่งที่ขัดกันกับจริตของตน ในความมุงหมายที่จะเจริญกัมมัฏฐานภาวนา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org (๒) โทสจริต. หมายถึงจริตนิสัยที่ขี้โกรธ ฉุนเฉียว หงุดหงิดงาย ท า นแนะสิ่ ง ที่ ส บายสํ า หรั บ ผู มี โ ทสจริ ต ไว ใ นลั ก ษณะที่ อ าจกล า วได ว า ตรงกั น ข า ม จากสิ่ ง ที่ ส บายของราคจริ ต คื อ ท า นแนะให ทํ า หรื อ มี หรื อ ไปสู แ ต สิ่ ง แวดล อ มที่ เปนระเบียบเรียบรอย สุภาพ และ สวยงาม นาเจริญตาเจริญใจ เชน ที่อยูอาศัย ควรสะอาดหมดจด เปนระเบียบเรียบรอย ไมมีอะไรที่เราใจใหเกิดความหงุดหงิด
www.buddhadasa.in.th
บุพพกิจโดยเฉพาะของการเจริญสมาธิ
๓๙
จีวรก็เปนผาเนื้อออนเนื้อดีเนื้อเกลี้ยง สีดีไมมีกลิ่น ดังนี้เปนตน. เลือกไป บิ ณ ฑบาตในหมู บ า นที่ เ จริ ญ แล ว ในความเป น ระเบี ย บเรี ย บร อ ย ความสะอาด ประณี ต ความมี ร สนิ ย มสู ง และความพอเหมาะพอดี อื่ น ๆ เป น หมู ช นที่ มี วั ฒ นธรรมดี มีกิริยามารยาทดี ดังนี้เปนตน. รวมความก็คือ ใหถูกแวดลอมอยูดวย สิ่งที่ไมปอน แตความสะอาดและความเปนระเบียบเรียบรอยตามที่ควร. แมใน ส ว นอิ ริ ย าบถ ก็ อ ยู ใ นอิ ริ ย าบถที่ เ ป น การพั ก ผ อ น เช น อิ ริ ย าบถนั่ ง หรื อ อิ ริ ย าบถ นอน มากกวาอิริยาบถยืนหรือเดิน. เรื่องเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ ก็พึงเทียบเคียงโดยนัย อันเดียวกัน เชน เรื่องสีก็เป นสีเขียวแก ซึ่งถือว าเปนสิ่งที่ ยั่วอารมณน อยกวาสีอื่ น ดังนี้เปนตน. (๓) โมหจริต. หมายถึงจริตนิสัยเปนไปในทางที่งวงซึมมึนชา ไม คอยมีความโปรงใจอยูเปนปรกติ. สิ่งสบายสําหรับบุคคลประเภทนี้ ทานแนะ ไวว า ตอ งเปน สิ ่ง ที ่โ ลง โถงสวา งไสว เชน เสนาสสนะที ่อ ยู ก็ค วรจะเปด โลง เห็น ไดใ นระยะไกล ไมมีอ ะไรกีด ขวาง และมีแ สงสวา งมาก. เกี่ย วกับ จีว ร มีหลักเกณฑอยางเดียวกัน คือสะอาดเรียบรอยและมีสีสันดี (เทาที่ควรแกสมณะ). แมในเรื่องบิณฑบาต ก็มีหลักเกณฑไปในทางที่เจริญตาเจริญใจอยางเดียวกัน และ ทานแนะนําให ใชวัตถุ เครื่องใชสอยที่มีขนาดใหญ แม ที่สุดแต ดวงกสิ ณ ก็ต องเป น ขนาดใหญมากที่สุดเทาที่จะทําได. ชอบอิริยาบถอยางเดียวกันกับคนที่มีราคจริต.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org (๔) สัทธาจริต. หมายถึงนิสัยเชื่องายเชื่อดาย หรือหนักไปแต ในทางความเชื่อโดยสวนเดียว สิ่ งที่สบายสําหรับบุคคลประเภทนี้ ตามที่ท านแนะ ไวเ ปน อยา งเดีย วกัน กับ สํ า หรับ บุค คลที ่ม ีโ ทสจริต แตค วรจะเขา ใจไวว า ผู มี สัทธาจริต ควรจะไดรับสิ่งแวดลอมที่เปนไปในทางชวนใหขยันคิดนึกเสียบาง ก็จะ เปนการดี และควรอยูใกลกับบุคคลที่สามารถใหคําแนะนํา ที่ชวนใหคิดนึกอยาง ถูกตอง.
www.buddhadasa.in.th
๔๐
อานาปานสติภาวนา ตอน ๔
(๕) พุทธิจริต. หมายถึงจริตนิสัยที่ชอบเรียนชอบรู คิดนึกไปใน ทางศึกษา ไปในทางสติปญญา เกี่ยวกับบุคคลประเภทนี้ไมสูจะมีปญหา อัน เนื่ อ งด ว ยสิ่ ง แวดล อ ม ท า นถื อ ว า ผู เ ป น พุ ท ธิ จ ริ ต จะเป น อยู ไ ด ส บาย ได ทุ ก แบบ ของจริตอื่น ๆ ทั้งหมด. สรุปความวา ไมมีอะไรที่จะจํากัดรัดกุม เหมือนกับ บุคคลที่เปนราคจริต หรือโทสจริตโดยเฉพาะ. (๖) วิตกจริต. หมายถึงสิ่งที่ฟุงซานงาย แตมิไดหมายความวา ฟุ ง ซา นไปในทางสติป ญ ญา เปน แตเ พีย งการนึก คิด ที ่ฟุ ง ซา น หาทิศ ทางและ หลักเกณฑไมคอยได. สิ่งที่สบายสําหรับบุคคลผูมีจริตอยางนี้ ตองเปนสิ่งที่ไม ยั ่ว ใหค ิด ไมส นับ สนุน ใหค ิด ไมช วนใหฉ งน หรือ ไมม ัก กอ ใหเ กิด ปญ หาใด ๆ ควรอยู ใ นที ่แ คบ แตเ กลี ้ย งเกลาสะอาด อยู ใ นที ่ม ีแ สงสวา งพอสมควร มีเ ครื ่อ ง ใช สอยแต นอยที่ สุด และง ายที่ สุ ด ไมสมาคมกั บบุคคลที่ชวนให เพ อเจ อ มี อิ ริยาบถ ที่สบายอยางเดียวกับ ผูเปนราคจริต แมสีเปนตนก็อยางเดียวกัน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สรุปความวา ราคาจริต คือ ขี้มักกําหนัด ใหใชของปอนแก. โทสจริต ขี้มักโกรธ ใหใชของเรียบรอยสวยงามแก. โมหจริต ขี้มักมืดมัว ใหใชสภาพของความโลงโถงสวางไสวแก. สัทธาจริต ขี้มักเชื่อดายไป ใชความมี หลักเกณฑมีระเบียบที่แนนอนแก. พุทธจริต หนักไปในทางความรู ใชความ ฉลาดของตัวเองแก. และ วิตกจริต ใชสภาพของสิ่งแวดลอม ที่ไมยั่วใหเกิด ความนึกคิดแก. เมื่อผูปฏิบัติไดสํารวจตัวเอง จนรูจักจริตนิสัยของตนอยางถูก ตอง ย อมสามารถเลื อกสิ่ งแวดล อมได โดยไม ยาก สามารถสนั บสนุ นการปฏิบั ติ ของ ตนได ด ว ยตนเองอย า งมากมายที เ ดี ย ว แม ก ารเลื อ กบทกั ม มั ฏ ฐานบทใดบทหนึ่ ง โดยเฉพาะ เพื ่อ ใหถ ูก จริต นิส ัย ของตน ก็ถ ือ หลัก เกณฑอ ยา งเดีย วกัน นี ้ เชน ราคจริต เลือกกัมมัฏฐานพวกอสุภกัมมัฏฐาน พวกโทสจริต เลือกกัมมัฏฐาน
www.buddhadasa.in.th
บุพพกิจโดยเฉพาะของการเจริญสมาธิ
๔๑
พวกพรหมวิหาร หรืออัปปมัญญา. โมหจริต เลือกกัมมัฏฐาน พวกปจจเวกขณ เชน ธาตุปจจเวกขณ, พวก สัทธาจริต เลือกกัมมัฏฐานพวก อนุสสติ เชน ธัมมานุสติ, พวก พุทธจริต ไมสูจะมีการจํากัด, พวก วิตกจริต เลือก กั ม มั ฏ ฐาน พวกที่ ส งบรํ า งั บ เช น อานาปานสติ หรื อ กั ม มั ฏ ฐานที่ อ าศั ย นิ มิ ต เป น รูปธรรมลวน ๆ เชนกสิณเปนตน แตพระผูมีพระภาคเจาไดตรัสวา อานาปานสติ ยอมเปนธรรมที่สบายแกจริตทั้งปวง. ในกรณี ที่ บุ ค คลคนหนึ่ ง มี จ ริ ต แสดงออกหลายจริ ต ให ถื อ เอาจริ ต ที่ ออกหนา หรือ แกก ลา กวา จริต อื ่น เปน หลัก สํ า หรับ การเลือ กกอ น แลว จึง ถึง จริต ที่ถัดไปเทาที่จะผอนผันกันได. เมื่ อ ได ก ล า ถึ ง ธรรมชาติ ภ ายใน คื อ จริ ต นิ สั ย แล ว ก็ ค วรจะกล า วถึ ง ธรรมชาติภายนอก ซึ่งเปนที่ตั้งแหงการเลือกเฟนสืบตอไป.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ธรรมชาติภายนอก ที่จะตองเลือกเฟนในที่นี้เรียกวา “สัปปายธรรม” แปลวา สิ่งเปนที่สบายสําหรับบุคคลผูปฏิบัติ ทานจําแนกไวเปน ๗ คือ :(๑) อาวาสสัปปายะ ที่อยูสบาย, (๒) โคจรสัปปายะ ที่หาอาหารสบาย, (๓) กถาสัปปายะ ถอยคําสบาย, (๔) ปุคคลสัปปายะ บุคคลสบาย, (๕) อาหารสัปปายะ อาหารสบาย, (๖) อุต ุส ัป ปายะ ฤดูส บาย. (๗) อิ ริ ย าบถสั ป ปายะ อิ ริ ย าบถสบาย. แตละอยาง ๆ มีทางวินิจฉัย เกี่ยวกับการเลือก ดังตอไปนี้ :
๑. อาวาสสัปปายะ หมายถึงที่อยูสบาย นอกจากเปนการถูกกับจริต ดัง กลา วไวใ นเรื ่อ งของจริต ๖ ประการขา งตน แลว ทา นยัง แนะใหเ ลือ กที ่อ ยู ที่ประกอบไปดวยลักษณะเหลานี้คือ ไมใหญเกินไป เพราะทําใหมีการดูแลรักษามาก เปนตน, ไมใหมเกินไป เพราะมีเรื่องที่จะตองทํามาก, ไมคร่ําคราเกินไป
www.buddhadasa.in.th
๔๒
อานาปานสติภาวนา ตอน ๔
เพราะมีอันตรายจากตัววัตถุนั้นเอง หรือจากสัตวเลื้อยคลานตาง ๆ. ไมอยู ใกลทางเดิน เพราะจะถูกรบกวนดวยบุคคลและเสียงของบุคคลผูเดิน , ไมอ ยู ใกล บ อ น้ํ า สาธารณะ เพราะจะถู ก รบกวนจากบุ ค คล หรื อ จากการตั ก น้ํ า ของบุ ค คล โดยเฉพาะเพศตรงกัน ขา ม, ไมอ ยูใ นที่ที่มีใ บไม หรือ ผัก หญา เปน ตน ที่ใ ช เป น อาหารได เพราะจะถู ก รบกวนจากคนหาผั ก โดยเฉพาะที่ เ ป น เพศตรงกั น ข า ม, ไม อ ยู ใ นที่ ที่ มี ด อกไม ห รื อ ผลไม เป น ต น ที่ ใ ช ป ระโยชน ไ ด เพราะจะถู ก รบกวน จากสัตวบุคคลที่เนื่องจากดอกไม หรือผลไม, ไมอยูในที่ที่คนมุงหมายจะได เพราะ กอ ใหเ กิด ศัต รู แลว ไดร ับ ความรบกวนจากศัต รูนั ้น ไมอ ยู ใ นสถานที ่ศ ัก ดิ ์ส ิท ธิ์ ที่เปนที่บูชาของประชาชน เพราะจะทําใหรําคาญ ; ไมอยูใกลตัวเมือง เพราะ ตัวเมืองยอมเปนทางมาแหงการรบกวนทุกประการ, ไมอยูใกลแหลงหาฟน หรือ ที่ ทํ า นาเป น ต น เพราะเป น การยากที่ จ ะไม ถู ก รบกวนด ว ยเสี ย ง หรื อ จากบุ ค คล โดยตรง, ไมอ ยูใ กลสิ่ง หรือบุค คลที่เ ปน วิส ภาค แปลวา เขา กัน ไมไ ด เชน คนโกรธกัน หรือ เพศตรงกัน ขา เปน ตน , ไมอ ยูใ กลทา น้ํา เพราะเปน ที่ไ ปมา ไมหยุด, ไมอยูบานนอกปลายแดนเกินไป, เพราะคนเหลานั้นไมศรัทธาที่จะ สนับสนุน ไมเขาใจแลวยังจะทําตนเปนปฏิปกษอีกดวย, ไมอยูที่พรมแดนของ ประเทศ เพราะเป น ถิ่ น ที่ ต อ งระวั ง รั ก ษาอย า งกวดขั น ของเจ า หน า ที่ ผู รั ก ษา และมี ทางที่จะกระทบกระเทือน ในเมื่อเกิดปญหาพรมแดนหรือชายแดนขึ้น, ไมอยูในที่ ไม มี สั ป ปายะ ๗ ประการข า งต น ดั ง กล า วแล ว และไม อ ยู ใ นที่ ที่ ไ ม อ าจจะติ ด ต อ กั บ กัลยาณมิตร เชนอาจารยผูสอนกัมมัฏฐาน. ทั้งหมดนี้เปนตัวอยางของที่อยูที่ควร หรื อ ไม ค วรอยู ซึ่ ง เป น หลั ก เกณฑ สํ า หรั บ วิ นิ จ ฉั ย ในป ญ หาอั น เกี่ ย วกั บ สถานที่ บําเพ็ญสมณธรรมโดยตรง. เมื่อไดสถานที่ที่ปราศจากโทษเหลานั้นแลว ก็เรียก วามี อาวาสสัปปายะ ซึ่งอาจจะหมายถึงสถานที่ทั้งหมูบาน ทั้งปา หรือทั้งวัด หรื อ ส ว นแห ง วั ด หรื อ แม แ ต เ พี ย งกุ ฏิ กระต อ บ กระท อ ม หรื อ ถ้ํ า หรื อ โคนไม หรือ หุบเหว ที่อยู เปนสวนตัว โดยเฉพาะจริง ๆ ก็ตาม รวมความแลว ก็คือ ไมมีอะไรรบกวนและสะดวกสําหรับการปฏิบัติกัมมัฏฐาน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
บุพพกิจโดยเฉพาะของการเจริญสมาธิ
๔๓
๒. โคจรสัปปายะ หมายถึงที่แสวงหาอาหารสบายโดยตรง และ หมายถึ ง ที่ แ สวงหาสิ่ ง ที่ ต อ งการอื่ น ๆ โดยอ อ ม ตลอดถึ ง การคมนาคม ที่ จํ า เป น ตองใชเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมโดยเฉพาะ. เกี่ยวกับโคจรสบายนี้ มีหลักสําคัญ อยู ว า พอที่ จ ะแสวงหาอาหารได โ ดยไม ย าก หรื อ ยากเกิ น ไป และในที่ นั้ น ๆ ไม มี วิ ส ภาคารมณ โดยเฉพาะก็ คื อ สิ่ ง ที่ เ ป น ข า ศึ ก แก จิ ต ใจ ทํ า จิ ต ใจให ต กไปฝ า ยต่ํ า หรือใหยอนระลึกนึกถึงความหลัง ซึ่งทําใหอยากกลับไปสูเพศต่ํา ดังนี้เปนตัวอยาง. ท า นได อุ ป มาไว ว า เหมื อ นกั บโคต อ งได ทุ ง หญ า ที่ ดี ไม มี โ จร ไม มี เ สื อ ไมมีโรค หรืออุปทวะอื่น ๆ. ถาที่โคจรไมดี ก็ไดรับอันตรายถึงตาย ซึ่งเปน โวหารอุปมาของการสึก. ๓. กถาสัปปายะ คําพูดสบาย หมายถึงการไดยินไดฟงสิ่งที่ดีมี ประโยชน ขจั ด ข อ สงสั ย ต า ง ๆ ได สนั บ สนุ น แก ก ารปฏิ บั ติ มี ค วามไพเราะงดงาม และถู ก แก จ ริ ต นิ สั ย ของบุ ค คลนั้ น โดยเฉพาะ แม แ ต เ สี ย งสั ต ว บ างอย า ง สบายก็ มี ไมสบายก็มี ไมตองกลาวถึงเสียงของมนุษยเลย. ฉะนั้นเสียงที่อึกทึกครึกโครม หรือสิ่งยั่วยวนตาง ๆ ที่ดังมาจากระยะไกลนั้น ก็ถูกจัดไวในฐานะเปน อสัปปายะ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ในทํานองตรงกันขาม ถาหากวาผูปฏิบัติไดฟงถอยคําที่ชักจูงจิตใจ หรื อ ประเล า ประโลมใจ ให อ าจหาญร า งเริ ง และมี ค วามรู ค วามเข า ใจเพิ่ ม ขึ้ น ใน หนาที่ของตัวแลว จัดวาเปน สัปปายะ ในขอนี้ โดยเฉพาะอยางยิ่งก็คือ ถอยคํา ของกัลยาณมิตรที่พร่ําแนะอยูนั่นเอง. ๔. ปุคคลสัปปายะ หมายถึงบุคคลที่แวดลอมอยู ในฐานะเปน อาจารยหรือกัลยาณมิตรก็ดี เพื่อรวมการปฏิบัติดวยกันก็ดี และผูสนับสนุน
www.buddhadasa.in.th
๔๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๔
เชน ทายกทายิกาก็ดี ลวนแตเปน สภาค (ตรงกันขามกับวิสภาค) บุคคลผูปฏิบัตินั้นอยางถูกฝาถูกตัว.
คือเขากันไดกับ
อาจารยอยูในฐานะชวยดึงขึ้นไป, เพื่อสหธรรมิกอยูในฐานแวดลอม ใหปลอดภัย และเปนเพื่อนเดินทาง, ผูสนับ สนุนอยูในฐานที่ชวยผลักดันให กาวไปเร็วหรือโดยสะดวก, เหลานี้ คือใจความสําคัญของปุคคลสัปปายะ. ๕. อาหารสัปปายะ หมายถึงอาหารที่ถูกแกจริตนิสัย ของบุคคล ผู ปฏิ บั ติ ตามหลั กเกณฑ ดั งกล าวแล ว ในเรื่ องของจริ ต และทั้ งยั งเป นอาหารที่ สบาย แก ร า งกาย มี คุ ณ สมบั ติ เ พี ย งพอที่ จ ะหล อ เลี้ ย งร า งกาย และป อ งกั น โรคเต็ ม ตาม ความหมายของอาหารที่ ดี และเป น อาหารที่ บุ ค คลนั้ น บริ โ ภคด ว ยป จ จเวกณ พิจารณา และดวยกิริยาอาการที่สมควรแกผูปฏิบัติ ตามหลักเกณฑที่มีอยู. ส ว นที่ จ ะเป น อาหารเนื้ อ หรื อ อาหารผั ก ผลไม แป ง ข า ว หรื อ อะไร อื่ น นั้ น เป น เรื่ อ งเฉพาะคน เฉพาะสถาน หรื อ เฉพาะกาลเวลาและเหตุ ผ ลส ว นตั ว อื่น ๆ ซึ่งไมอาจจะกลาวไวเป นสวนรวม แตถาไดมาตรงตามที่รางกาย หรือจิตใจของ ผูปฏิบัติสมณธรรม ตองการจริง ๆ แลว ก็นับวาเปนอาหารสัปปายะ อยางยิ่ง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๖. อุตุสัปปายะ คือฤดูสบาย คําวาอุตุ หรือฤดูในที่นี้ ทานหมายถึง กาลเวลาที่ เหมาะสม คื อเป นกาลเวลาที่ อํ านวยให เกิ ดสิ่ งแวดล อมที่ ดี คื อทิ วทั ศน ดี อากาศดี อุ ณ หภู มิ ดี และอะไรอื่ น ที่ เ นื่ อ งกั น ทุ ก อย า งดี ซึ่ ง เราอาจรวมเรี ย กได ว า ดินฟาอากาศดีนั่นเอง.
www.buddhadasa.in.th
บุพพกิจโดยเฉพาะของการเจริญสมาธิ
๔๕
เกี่ ย วกั บ เรื่ อ งนี้ มี ท างเลื อ กเป น ๒ สถาน คื อ ถ าเป น การปฏิ บั ติ ธ รรม ชั่วระยะ หรื อเป นการกํ าหนดจะต องลงมื อริ เริ่ ม จะตั้ งต นลงมือแรกเริ่ มก็ ดี ท านให เลือกฤดูที่ เหมาะสมที่สุดเทาที่จะเลือกได และเปนโอกาสที่จะเลื อกเวลาหรือสถานที่ ไดตรงตามความมุงหมายยิ่งขึ้น. ถา เปน การปฏิบ ัต ิธ รรมอยู ต ลอดกาลแลว ก็ม ีท างเลือ กไดน อ ยลง แตก ็ย ัง มีท างที ่จ ะเลือ กไดว า จะทํ า กัม มัฏ ฐานขอ ไหน ตอนไหน หรือ ระยะไหน ใหเครงครัดเปนพิเศษในเวลาไหน ในฤดูไหนอยูนั่นเอง ; รวมทั้งอาจจะโยกยาย สถานที่หรือประเทศ ใหไดรับดินฟาอากาศ ที่รวมเรียกกันวา ฤดู ในที่นี้ตรงตาม ความประสงค ด ว ย เช น ฤดู ร อ นจะควรอยู ที่ ไ หน ฤดู ห นาวจะควรอยู ที่ ไ หน ฤดู ฝ น จะควรอยู ที่ ไ หน หรื อ ว า ถ า เคลื่ อ นย า ยไม ไ ด เราจะดั ด แปลงสถานที่ นั้ น อย า งไร เพื่อใหไดรับผลอยางเดียวกัน. ทั้งหมดนี้ลวนแตรวมเรียกวา อุตุสัปปายะ. ๗. อิริยาปถสัปปายะ คือ ทานั่ง นอน ยืน เดิน ในลักษณะใดเปน ที่สบายแกผูใด ควรใชอิริยาบถไหนใหมาก สําหรับเขา. ถึงรูไดดวยการทดลอง สั งเกตดู ด วยตนเอง โดยถื อหลั กว า ในอิ ริ ยาบถใด จิ ตเป นสมาธิ ได ง าย และตั้ งมั่ น อยูไดนานแลว ใหถือวา นั่นเปนอิริยาปถสัปปายะแกผูนั้น, เพื่อทําใหมากเปน พิเศษ แลวจึงทําใหเปนที่ทําไดทั่วไป แกอิริยาบถที่เหลือตอภายหลัง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สรุปความวา สัปปายะ ๗ ประการนี้ หมายถึงความเหมาะสม ของสิ่งที่สัมพันธ กับตน อยางใกลชิด หรือไมมีทางจะหลีกเลี่ยงได คือที่อยู ที่เที่ยว เสี ย งที่ ไ ด ยิ น คนเกี่ ย วข อ งด ว ย ป จ จั ย ที่ เ ลี้ ย งชี วิ ต และดิ น ฟ า อากาศ ที่ ห ม หุ ม ถ า เลื อ กให เ หมาะสมที่ สุ ด เพี ย งไร ผู นั้ น จะมี จิ ต ใจแช ม ชื่ น ผอ งใส ไมรู จ ัก เหน็ด เหนื ่อ ย ในการบํ า เพ็ญ สมณธรรมของตน ทานจึงจัดไวในฐานะเปนสิ่งที่ตองศึกษา และระมัดระวังเทาที่จะทําได.
www.buddhadasa.in.th
อานาปานสติภาวนา ตอน ๔
๔๖
(ฆ) การเตรี ย มตั ว ทั้ ง ทางหลั ก วิ ช า และทางปฏิ บั ติ ๑ การเตรี ยมตั วเพื่ อการเจริ ญภาวนา หรื อการปฏิ บั ติ กั มมั ฏฐาน เกี่ ยวกั บ เรื่องนี้ มีขอควรสังเกตอยู ๒ ประเภท : ประการแรกคื อ หลั ก วิ ช า หรื อ แนวทาง ทางฝ า ยทฤษฎี ที่ มี อ ยู อย า งเพี ย งพอที่ ทํ า ให ส ามารถดํ า เนิ น การฝ า ยปฏิ บั ติ ใ ห ต รงจุ ด ซึ่ ง จะต อ งมี ก าร ตระเตรี ยมด วยการศึ กษามาแล ว แล วนํ ามาวิ นิ จฉั ยว าตนจะต องตระเตรี ยมในทาง ปฏิบัติอยางไรและเทาไร : สวนอีกประเภทหนึ่ง ก็คือการตระเตรียมในทาง ปฏิบัติโดยตรง. การเตรียมทางหลักวิชา เกี่ ยวกั บหลั กทั่ ว ๆ ไป ทางฝ ายทฤษฎี ที่ ต องทราบเป นการล วงหน านั้ น ทานใหหัวขอไว ดังตอไปนี้ :
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๑. สมาธิคืออะไร ? คําตอบขอนี้มีไดตาง ๆ กัน อาจจะมุงหมายถึง การทํ า กิร ิย าที ่ทํ า หรือ สิ ่ง ที ่ถ ูก ทํ า และผลที ่เ กิด ขึ ้น จากการกระทํ า ลว นแต เรียกวา สมาธิไปหมด. สวนความมุงหมายอันแทจริง ทานใหคําจํากัดความไววา สมาธิค ือ กุศ ลจิต ที ่ม ีอ ารมณแ นว แน ดัง นี ้ นี ่เ ปน การแสดงวา ทา นเพง เล็ง ถึง ผลที่เกิดขึ้น โดยตรง. สวน การทํา ก็พลอยมีความหมายไปตามนั้น กลาวคือ การทําใหเกิดมีกุศลจิต ที่มีอารมณแนวแนนั่นเอง. ขอควรสังเกตอยางยิ่งอยูตรง คําที่วากุศลจิตมิไดอยูตรงคําที่วาแนวแนแตอยางเดียว เพราะเปนอกุศลจิต แมมี
๑
การบรรยายครั้งที่ ๕ / ๑๗ สิงหาคม ๒๕๐๒
www.buddhadasa.in.th
บุพพกิจโดยเฉพาะของการเจริญสมาธิ
๔๗
อารมณแนวแนก็กลายเปนมิจฉาสมาธิไป. ดวยเหตุนี้แหละสิ่งที่จะใชเปนอารมณ ของสมาธินั ้น ตอ งเปน อารมณซึ ่ง เปน ที ่ตั ้ง แหง กุศ ลจิต เสมอไป ทั ้ง เจตนาในการ ที่ จ ะทํ า สมาธิ ก็ ต อ งเป น สิ่ ง ที่ บ ริ สุ ท ธิ์ ม าแต เ ดิ ม หรื อ ประกอบด ว ยป ญ ญา หรื อ สัมมาทิฏฐิ ดังที่กลาวมาแลวขางตน. ๒. ไดชื่อวาสมาธิ เพราะมีอรรถ (ความหมาย) วาอยางไร ? อธิบายวา อรรถวาตั้งมั่น ทั้งสวนจิตและเจตสิก. จิตตั้งมั่นเพราะมีเจตสิกธรรม ซึ่ ง เป น ความตั้ ง มั่ น เกิ ด อยู กั บ จิ ต ซึ่ ง กํ า ลั ง เป น กุ ศ ลจิ ต โดยนั ย ที่ ก ล า แล ว ในข อ หนึ่ง. คําวา ตั้งมั่น หมายความวา ตั้งมั่นอยูในอารมณอันเดียว อันอารมณอื่น แทรกแซงเขามาไมได อันนิวรณหรือกิเลสครอบงําไมได. ๓. อะไรเปนลักษณะ รส เครื่องปรากฏ และปทัฏฐานของสมาธิ ? ตอบวา ลักษณะของสมาธิ คือความไมฟุงซาน. รสของสมาธิ คือ การกําจัด ความฟุงซาน แลวมีความรูสึกสงบ. เครื่องปรากฏ หรือ เครื่องสังเกตของสมาธิ คือความไมหวั่นไหว และ ปทัฏฐานของสมาธิ คือ ความสุข. เกี่ยวกับปทัฏฐานนี้ มีข อ ที ่ค วรระลึก ไวเ สมอวา ตอ มีค วามพอใจ สบายใจ อาจหาญ รา งเริง หรือ ป ติ ป ราโมทย ซึ่ ง เป น ลั ก ษณะอาการของความสุ ข อยู ต ลอดเวลา เป น สิ่ ง ที่ สั ง เกต ไดไมยาก และจะตองควบคุมใหคงมีอยูตลอดเวลา จึงจะไดชื่อวา เปนปทัฏฐาน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๔. สมาธินี้มีกี่อยาง ? ขอนี้เปนทางทฤษฎีลวน และเลยไปเปนเรื่อง ของการบั ญ ญั ติ ท างภาษา หรื อ ทางตรรก ซึ่ ง ไม ต อ งสนใจก็ ไ ด เพราะมี ม ากมาย เกิ น ไป ทราบแต ห ลั ก เกณฑ ย อ ๆ ไว บ า งก็ พ อ คื อ จะตอบว า สมาธิ อ ย า งเดี ย วก็ ไ ด หมายถึงอาการที่จิตตั้งมั่น. จะตอบวามีสองอยางก็ได โดยแบงเปนโลกิยสมาธิ และโลกุตตรสมาธิ. หรือแบงเปนสมาธิเฉียด ๆ หรือสมาธิพื้นฐานที่เรียกวา
www.buddhadasa.in.th
๔๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๔
อุปจารสมาธิ ; และสมาธิแนวแน ที่เรียกวา อัปปนาสมาธิ ดังนี้ก็ได ; และมี ทางจําแนกโดยชื่ออื่น ๆ อีกเปนคู ๆ ไป. ทีจําแนกเปนสามอยางนั้น ก็คือสมาธิ อยางหยาบ อยางกลาง อยางละเอียด เปนตน. ที่จําแยกเปนสี่ ก็จําแนกตามที่ สัมปยุตกับอิทธิบาทสี่ เปนตน. ที่จําแนกเปนหา ก็จําแนกตามองคแหงฌาน ดังนี้เปนตน ; ซึ่งเกี่ยวกับหลักวิชาอยางเดียวกัน. ๕. อะไรเปนเครื่องมัวหมองของสมาธิ ? ทานระบุความที่จิตกลับ ตกลงสู กามและอกุศลธรรม เปนเครื่องมัวหมองของสมาธิ. ขอนี้เห็นไดวา หมายถึงจิต ที่เปนสมาธิแลว ในประเภทโลกิยสมาธิ ที่ยั งกลับ กําเริบได เกี่ ยวกั บ การรักษาไมดี หรือมีเหตุการณอยางอื่นมาแทรกแซง. ๖. อะไรเปน ความผอ งแผว ของสมาธิ ? คํา ตอบก็คือ อาการ ที่ ต รงกั น ข า มจากอาการในข อ ห า หมายถึ ง จิ ต ที่ ไ ม มี วิ ต กอย า งอื่ น กํ า ลั ง รุ ง เรื อ ง อยูเสมอ เพราะ สหรคตะ อยูดวยเจตสิกธรรมประเภทปญญา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๗. เจริญสมาธิอยางไร ? ขอนี้เปนทางปฏิบัติลวน ๆ จะยกไวกลาว โดยละเอี ย ด ในตอนอั น กล า วด ว ยการตระเตรี ย มประเภทที่ ส องข า งหน า รวม ความสั้น ๆ ก็ไดเปนหัวขอวา การเจริญโลกิยสมาธิเชนนี้ การเตรียมก็คือชําระศีล ใหบริสุทธิ์ ตัดปลิโพธตาง ๆ ดังที่กลาวแลวในเรื่องอันวาดวยปลิโพธ, ติดตอ กับอาจารยใหถูกวิธี, ศึกษาและรับเอากัมมัฏฐาน, ไปอยูในสถานที่อันสมควร แกการเจริญกัมมัฏฐาน. ตัดปลิโพธหยุมหยิมแลวทําการเจริญกัมมัฏฐานตามวิธี ที่จะไดแยกไวกลาวขางหนาเปนอีกแผนกหนึ่งตางหาก.
www.buddhadasa.in.th
บุพพกิจโดยเฉพาะของการเจริญสมาธิ
๔๙
๘. อะไรเปนอานิสงสของสมาธิ ? การทาราบอานิสงสหรือผลที่จะ ได จ ากสิ่ ง ที่ ต นทํ า เป น การล ว งหน า นั้ น นอกจากเป น เครื่ อ งสนั บ สนุ น กํ า ลั ง ใจ อย า งแรงกล า แล ว ยั ง เป น หลั ก เกณฑ ที่ จ ะช ว ยให มี ก ารจั ด เตรี ย ม อย า งถู ก ต อ ง ตรงตามที่ตนตองการจริง ๆ อีกดวย. เนื่องจากมีสมาธิหลายอยางหลายประเภท อานิ สงส จึ งมี หลายอย างหลายประเภทไปตาม ท านแสดงอานิ สงส ของสมาธิ ไว เป น หาอยางดวยกัน คือ ๑. ทิฏฐธรรมสุข คือ สุขทันตาเห็น ของบุคคลที่กําลัง อยู ใ นสมาธิ แต โ ดยเฉพาะอย า งยิ่ ง นั้ น คื อ ของพระอรหั น ต ที่ กํ า ลั ง เข า อยู ใ นสมาธิ เพื่อการพักผอน ๒. มีวิปสสนาเปนอานิสงส หมายถึงสมาธินั้น ๆ เปนบาทฐาน ให เกิ ดวิ ป สสนาต อไป คื อการเห็ นอนิ จจั ง ทุ กขั ง อนั ตตา จนถึ งขนาดที่ จิ ตหลุ ดพ น และปลอยวาง ๓. มีอภิญญาเปนอานิสงส ขอนี้แตกตางไปจากขอที่สอง โดย ใจความสํ า คั ญ ก็ คื อ ว า แม จ ะได วิ ป ส สนา ก็ มิ ไ ด ห มายความว า จะต อ งมี อ ภิ ญ ญา เสมอไป จะต อ งมี ก ารทํ า สมาธิ ใ ห ยิ่ ง ไปกว า นั้ น หรื อ พิ เ ศษออกไปจากนั้ น จึ ง จะ ทําอภิญญาใหเกิดได การตระเตรียมจึงมากกวากัน. อภิญญาในที่นี้หมายถึงอิทธิวิธี มีประการตาง ๆ ที่เปนฝายกุศล ๔. มีภพอันวิเศษเปนอานิสงส ขอนี้เล็งถึง พรหมโลกเปนสวนใหญ ภพที่ต่ํากวานั้นไมเรียกวาภพอันวิเศษ. สมาธิทั้งปวง ย อ มเป น ป จ จั ย นํ า ไปสู ภ พที่ สู ง กว า กามภพด ว ยกั น ทั้ ง นั้ น ท า นจึ ง ได ก ล า วอย า งนี้ . อย างไรก็ ตาม คํ ากล าวข อนี้ แสดงร องรอยให เห็ นว า เป นการกล าวที่ กว างออกไป นอกวงของพุ ท ธศาสนา ซึ่ ง ต อ งการจะออกจากภพ หรื อ กํ า จั ด ภพเสี ย โดยสิ้ น เชิ ง จึ ง เป น การแสดงอยู ใ นตั ว ว า ได ร วมเอาเรื่ อ งของสมาธิ ก อ นพุ ท ธศาสนา หรื อ นอก พุทธศาสนาเขามารวมดวยกัน. นี่เปนสิ่งที่ตองเขาใจไวใหถูกตอง เพราะเปน ทางเกิด แหง ตัณ หา อุป าทานได โดยไมรู ส ึก ตัว ยิ ่ง ไปกวา อานิส งสข อ ที ่ส าม ๕. มีนิโรธสมาบัติเปนอานิสงส นิโรธสมาบัติ ไดรับการยกยอง วาเปนสมาบัติ สู ง สุ ด ในบรรดาอุ ต ริ ม นุ ษ ยธรรมที่ แ สดงออกให ผู อื่ น ทราบได ในฐานะเป น อาการ
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
อานาปานสติภาวนา ตอน ๔
๕๐
ของการเสวยวิ มุ ต ติ สุ ข ที่ ต นได รั บ และเป น คุ ณ สมบั ติ ที่ จั ด ไว เ ฉพาะพระอนาคามี และพระอรหั น ต บ างประเภทเท า นั้ น ไม อ ยู ใ นฐานะเป น วั ต ถุ ที่ ป ระสงค ทั่ ว ไป เพราะเป น สิ่ ง ที่ ไ ม ส าธารณะแก ค นทั่ ว ไป แม ที่ เ ป น พระอริ ย เจ า ไม จํ า เป น ต อ ง วินิจฉัยกันในที่นี้ : อานิสงสทั้งหาอยางนี้ เปนการบัญญัติของอาจารยชั้นหลัง ก็ จ ริ ง แต เ ป น ทางพิ จ ารณาให เ ห็ น ลู ท างแห ง การเตรี ย มตั ว เพื่ อ ทํ า สมาธิ อ ย า งใด อยางหนึ่ง ตามความประสงคของตน ไดงายขึ้น. เรื่ อ งที่ ต อ งเตรี ย มรู ใ นฝ า ยทฤษฎี มี อ ยู โ ดยย อ เพี ย งเท า นี้ ต อ ไปนี้ เปนเรื่องการเตรียมประเภทที่เปนตัวการปฏิบัติ.
การเตรียมทางปฏิบัติ. การตระเตรี ย มฝ า ยปฏิ บั ติ สํ า หรั บ โลกิ ย สมาธิ กล า วคื อ สมาธิ ข อง บุ ค คลที่ มิ ใ ช พ ระอริ ย เจ า และหมายตลอดลงมาถึ ง การริ เ ริ่ ม ในระยะแรกของการทํ า สมาธินั้น มีหัวขอที่ทานนิยมวางไวเปนหลักดังตอไปนี้ คือ :-
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๑. การชําระศีลใหบริสุทธิ์ หมายถึงการทําตน ใหเปนผูที่ไมมีอะไร เปน เครื ่อ งตะขิด ตะขวงใจ หรือ รัง เกีย จตัว เอง ในเรื ่อ งอัน เกี ่ย วกับ ศีล ของตน. การวิ นิ จ ฉั ย ในประเด็ น นี้ ไ ด ก ล า วแล ว ในตอนต น อั น กล า วถึ ง บุ พ พภาคข อ ที่ ว า ด ว ย การแสดงอาบัติ ไมวินิจฉัยกันในที่นี้อีก. ๒. การตัดปลิโพธตาง ๆ ปลิโพธ สิบประการ ขางตน.
ขอนี้ไดวินิจฉัยแลวในตอนอันกลาวถึง
www.buddhadasa.in.th
บุพพกิจโดยเฉพาะของการเจริญสมาธิ
๕๑
๓. การติดตอกับกัลยาณมิตร หรืออาจารยผูสอนกัมมัฏฐานนั้น ทาน พรรณนาไว ยื ด ยาว แต ก็ เ ป น เรื่ อ งเฉพาะถิ่ น เฉพาะยุ ค และอนุ โ ลมตามวั ฒ นธรรม ของประเทศที่ แต งคั มภีร นั้ น ในยุ คสมั ยนั้ น ๆ ฉะนั้ นจึ งไม อาจจะนํ ามาใช ได โดยตรง ตามตั ว หนั ง สื อ ที่ ก ล า วไว ขื น ทํ า ตามนั้ น ก็ รั ง แต จ ะเกิ ด ความงมงาย หรื อ เรื่ อ ง ขบขันหลายอยางหลายประเภท ดังที่ไดนําวินิจฉัยไวบางแลวขางตน. ในที่นี้จะ สรุ ปไว แต ใจความว าให รู จั กกาละเทศะ ในการเข าไปติ ดต อกั บอาจารย สร างความ เคารพนับถือ หรื อความไว วางใจใหเกิ ดขึ้นอยางมั่นคงเสี ยกอน แลวแจงความจํานง ตาง ๆ ซึ่งทานใหใชความอดทน แมเปนเวลานานตั้งเดือน ๆ เพื่อใหสิ่งตาง ๆ เป นไปในลั ก ษณะที่ สุ ขุ ม รอบคอบ ทั้ งฝ ายศิ ษ ย แ ละฝ า ยอาจารย ไม มี อ าการอย า ง รวบหั ว รวบหาง เหมื อ นดั ง ที่ ทํ า กั น อยู ใ นบั ด นี้ สั ง เกตดู ก็ พ อจะเข า ใจได เช น กว า อาจารยจะรูจั กนิ สั ยของศิ ษย ก็ กิ นเวลานานไม นอย และตองการอยู ปฏิ บั ติวั ตรฐาก ที่อยูใกลชิดพอสมควรจึงรูไดดังนี้ เปนตน. อีกทางหนึ่งซึ่งจะตองตระเตรียมก็คือ ขอที่วา ตนจะมีโอกาสติดตอกับอาจารยไดมากนอยเพียงไรตอไป. ถาอยูปฏิบัติ ในสํานักของอาจารยก็ไมมีปญหาอะไรนัก สงสัยเมื่อไรก็ถามได ; แตถาตองอยู ในถิ ่น ที ่ไ กลออกไป ก็ต อ งมีก ารเตรีย ม วา จะรับ คํ า สั ่ง สอนขอ ไหน เพีย งไร เพื่ อระยะเวลานานเท าไร ซึ่ งเป นหน าที่ ฝ ายอาจารย จะต องกํ าหนดให อย างเหมาะสม ท านแนะไว อย างละเอี ยด ตามลั กษณะของการเป นอยู ในครั้ งโบราณว า บิ ณฑบาต แลว เลยมาสูสํา นัก อาจารย สองวัน ครั้ง หนึ่ง บา ง สามวัน ครั้ง หนึ่ง บา ง หรือ เจ็ดวันครั้งหนึ่งบาง. ในตอนกลับ ออกบิณฑบาตจากสํานักอาจารย ฉันแลว จึ ง เลยไปสํ า นั ก ของตน ดั ง นี้ ก็ ยั ง มี ซึ่ ง เป น หลั ก เกณฑ ที่ เ หมาะสมแก ค วามเป น อยู ของสมัยโบราณโดยตรง แตก็ควรนํามาพิจารณา หรือดัดแปลงแกไข นํามาใช ใหเปนประโยชนในสมัยนี้ ใหมากเทาที่จะมากได. การเตรียมก็ไดแกการ ตระเตรียมใหเขารูปกันกับการเปนอยูนั้น ๆ นั่นเอง. ในกรณีที่ตองออกไปอยูใน ที่ ไ กลออกไปจนถึ ง กั บ เรี ย กว า อยู ต า งเมื อ ง ต า งจั ง หวั ด กั น นั้ น ท า นก็ ไ ด แ นะนํ า
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๕๒
อานาปานสติภาวนา ตอน ๔
ให มี ก ารตระเตรี ย มรั บ กั ม มั ฏ ฐานในครั้ ง แรก และการติ ด ต อ ในครั้ ง หลั ง โดยวิ ธี ที่ เหมาะสม เฉพาะเรื่องยิ่งขึ้นไปอีก ก็คือเปนหนาที่ที่เราจะตองนําหลักเกณฑเหลานั้น มาดัดแปลงใหเหมาะสมแกเรื่องชนิดที่เปนเรื่องพิเศษเหลานี้ใหไดจริง ๆ. ถาจัด ไมเ หมาะสมแลว จัก ตอ งเกิด ความฟุ ง ซา นขึ ้น แทรกแซง อยา งที ่จ ะขจัด ปด เปา ไมไหวเอาทีเดียว. เราควรพิจารณาดู ถึงขอที่ทานแนะไวในบางกรณีที่อาจารยกับ ศิ ษ ย จ ะพู ด จากั น หรื อ ซั ก ถามกั น นั้ น ท า นแนะให นั่ ง คนละฝ า ยโคนไม หั น หลั ง เขาหากัน ; หลับตาพูดกันดวยความระมัดระวังใหถูกตองรัดกุมตรงไปตรงมา เทาที่ จําเปนจะตองพูด ; เสร็จแลวตางคนตางลุกไปจากที่ของตนไมตองดูหนากันเลย ทั้งนี้ ก็เพราะประสงค จะตั ดทางมาแห งความฟุ งซ านให มากที่ สุดเทาที่ จะทํ าได นั่ นเอง. เมื่อเราไดทราบถึงความมุงหมายตาง ๆ เหลานี้แลว เราก็สามารถที่จะเตรียมสิ่งตาง ๆ ในการติด ต อ กั บ อาจารยทุ ก ๆ ระยะ ได อ ยา งเหมาะสม นั บ ตั้ ง แต ก ารมาติ ด ต อ , สรา งความคุน เคย, รับ คํา สั่ง สอนแนะนํา นํา ไปปฏิบัติ ; แลว ยัง ตอ งติด ตอ เพื่อแกไขขอขัดของและการทําใหกาวหนาสืบไปตามลําดับไมมีที่สิ้นสุด ดังนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๔. การศึกษากัมมัฏฐาน ทานแนะนําใหทํา ๒ แผนก กัมมัฏฐาน ประเภทหนึ ่ง เรีย กวา กัม มัฏ ฐานทั ่ว ไป หรือ ตายตัว คงที ่ ไมต อ งเปลี ่ย นแปลง และกัมมัฏฐานอีกประเภทหนึ่งคือ กัมมัฏฐานเฉพาะ ไดแกกัมมัฏฐานที่มุงหมายจะ ทําใหไดโดยเร็วที่สุดในฐานะเปนวัตถุที่ประสงค. กัมมัฏฐานอยางแรกที่เรียกวา ทั่ ว ไปนั้ น ท า นหมายถึ ง กั ม มั ฏ ฐานที่ ต อ งทํ า ทุ ก วั น ให เ หมาะแก นิ สั ย ของผู ป ฏิ บั ติ เช นเปนคนขลาดก็ ตอ งเจริ ญ กัม มัฏ ฐานเมตตาทุ กวั นเป นต น หรือ เปนคนราคจริ ต จะต อ งเจริ ญ อสุ ภ กั ม มั ฏ ฐาน เป น ต น เป น ประจํ า ทุ ก วั น หรื อ คนมี นิ สั ย ประมาท เฉื่อยชา จะตองเจริญมรณสติเปนประจําทุกวัน กอนแตที่จะลงมือเจริญกัมมัฏฐาน ตั ว จริ ง ที่ จ ะต อ งทํ า ให ก า วหน า ไปทุ ก วั น ๆ แล ว แต ว า ตนกํ า ลั ง ปฏิ บั ติ กั ม มั ฏ ฐาน
www.buddhadasa.in.th
บุพพกิจโดยเฉพาะของการเจริญสมาธิ
๕๓
ขอใดอยู. การเจริญเมตตาก็ดี อสุภกัมมัฏฐานก็ดี มรณสติก็ดี ตองไดรับการ แนะนํ า เป น พิ เ ศษต า งหาก ตามที่ อ าจารย จ ะเห็ น สมควร ว า บุ ค คลนั้ น ควรจะมี กั ม มั ฏ ฐานอะไรเป น กั ม มั ฏ ฐานเพื่ อ ตั ว หรื อ คุ ม ครองตั ว หรื อ ตั ก เตื อ นตั ว เป น ประจํ าวั น ต างหากไปจากกั มมั ฏฐานหลั ก หรื อ กั มมั ฏฐานที่ เป นตั วความมุ งหมาย จริ ง ๆ ทุ กคนต องได รั บกั มมั ฏฐานเป น ๒ แผนกอย างนี้ ตามที่ เหมาะสมด วยการ พิจารณาอยางรอบคอบของอาจารยดังที่กลาวแลว. ๕. การอยูในวิหารที่สมควร ไดกลาวแลวอยางละเอียดขางตน ไม จําเปนตองวินิจฉัยกันอีก. ๖. การตัดปลิโพธหยุมหยิม หมายถึงเรื่องเล็ก ๆ นอย ๆ ที่จะตอง ทํ า ใหเ สร็จ สิ ้น ไปเสีย กอ นจะลงมือ ทํ า กัม มัฏ ฐาน เพื ่อ ไมเ ปน เรื ่อ งกัง วลในขณะ ที่ทํากัมมัฏฐานใหดีที่สุดเทาที่จะทําได สิ่งเหลานี้ไดแกการปลงผม, โกนหนวด, ปุชุนซักยอมจีวร, การรมบาตร, การถายยา, และของเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ เทาที่จะ ทํ า ให เ สร็ จ ไป โดยสมควรแก บุ ค คลนั้ น ไม ต อ งห ว ง ไม ต อ งกั ง วลเป น ระยะเท า ที่ จะกําหนดได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๗. การเจริญสมาธิภาวนาโดยตรง ขอนี้ไดแกการลงมือทําการเจริญ สมาธิ ตามหลักเกณฑที่ไดรั บไป จนกวาจะถึงที่ สุด มี รายละเอี ยดดังที่ จะไดบรรยาย ตอไปขางหนา. ทั้ ง หมดนี้ เ ป น การตระเตรี ย มที่ จ ะสั ม พั น ธ กั น ทั้ ง ฝ า ยทฤษฎี และทาง ฝายปฏิบัติ ซึ่งจะตองทําใหดีที่สุดเทาที่จะทําได. (จบตอนอันวาดวยบุพพกิจเบื้องตน)
www.buddhadasa.in.th
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
ทําไมจึงเจริญอานาปานสติ๑ ? ก อ นแต ที่ เ ราจะได ท ราบว า เราจะเจริ ญ อานาปานสติ กั น อย า งไรนั้ น ควรจะได วิ นิ จ ฉั ย ในป ญ หาที่ ว า ทํ า ไมเราจึ ง เลื อ กเอาอานาปานสติ มาเป น กัม มัฏ ฐานหลัก ในที่นี้กัน เสีย กอ น ซึ่ง เมื่อ ทราบแลว จะชว ยใหก ารเจริญ อานาปานสติเปนไปไดงายขึ้น. พึงทราบวา อานาปานสติ เปนชื่อของกัมมัฏฐานอยางหนึ่ง ในบรรดา กัมมัฏฐาน ๔๐ อยาง. กัมมัฏฐาน ๔๐ นั้น แบงเปนหมวด ๆ คือ ก. การ เจริญกสิณ ๑๐ อยาง ไดแกปฐวีกสิณ (ดิน), อาโปกสิณ (น้ํา), เตโชกสิณ (ไฟ), วาโยกสิณ (ลม), นีลกสิณ (สีเขียว), ปตกสิณ (สีเหลือง), โลหิตกสิณ (สีแดง), โอทาตกสิณ (สีขาว), อาโลกกสิณ (แสงสวางจากดวงอาทิตย) และปริจฉินนกสิณ (ชองหรือรู) ; ซึ่งทั้งหมดนี้ เปนกัมมัฏฐานที่หนักไปใน ทางฝายรูป และมุงหมายที่จะฝกฝนจิตไปในทางอิทธิวิธีมาแตเดิม ; ข. การเจริญ อสุภ ๑๐ อยา ง คือ ศพแรกพอง, ศพขึ้นเขีย ว, ศพหนองไหล, ศพขาด เปน ทอ น, ศพถูก สัต วกัด กัน , ศพหลุด ออกเปน สว น, ศพแหลกละเอีย ด, ศพอาบไปดว ยเลือ ด, ศพเต็ม ไปดว ยหนอง และศพเหลือ แตก ระดูก , ซึ่ง มี ความมุงหมายหนักไปในทางกําจัดกามฉันทะเปนสวนใหญ ;และ ค. การเจริญ อนุสสติ ๑๐ อยาง คือ พุทธานุสสติ, ธัมมานุสสติ, สังฆานุสสติ, สีลานุสสติ, จาคานุสสติ, เทวตานุสสติ (ระลึกถึงธรรมที่ทําความเปนเทวดา), มรณานุสสติ,
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๑
การบรรยายครั้งที่ ๖ / ๒๑ สิงหาคม ๒๕๐๒
๕๕
www.buddhadasa.in.th
๕๖
อานาปานสติภาวนา ตอน ๔
กายคตาสติ, อานาปานสติ และ อุปสมานุสสติ (ระลึกถึงคุณพระนิพพาน), ควรจะสังเกตไวดวยวา อานาปานสติ ที่เรากําลังจะกลาวถึงอยูนี้ มีชื่อรวมอยูใน หมวดนี้ ; ง. การเจริญพรหมวิหาร ๔ อยาง คือเมตตาพรหมวิหาร, กรุณาพรหมวิหาร, มุทิตาพรหมวิหาร, อุเบกขาพรหมวิหาร ;จ. การเจริญอรูปฌาน ๔ อย า ง คื อ อากาสานั ญ จายตนะ (กํ า หนดความไม มี ที่ สิ้ น สุ ด ของอากาศเป น อารมณ), วิญญาณัญจายตนะ (กําหนดความไมมีที่สิ้นสุดของวิญญาณธาตุเปน อารมณ), อากิญจัญญายตนะ (กําหนดความไมมีอะไรเปนอารมณ) และ เนวสั ญญานาสั ญญายตนะ (กํ าหนดความมี สัญญาก็ไมใช และความไมมีสั ญญาก็ ไมใชเปนอารมณ), ซึ่งทั้งหมดนี้ เปนอรูปฌาน เปนสมาธิ เพื่อสมาบัติชั้นสูง แตไมเปนไปเพื่อวิปสสนา. สวนอีก ๒ อยางที่เหลือ คือ ฉ. อาหาเรปฏิกูลสัญญา (กําหนดความเปนปฏิกูลแหงอาหาร) และ ช. จตุธาตุววัฏฐานะ (การกําหนด พิจารณาโดยความเปนธาตุสี่). สองอยางหลังนี้ เปนการพิจารณาคอนไปทาง ปญญา. รวมทั้งหมดเปน ๔๐ อยางดวยกัน, การที่เลือกเอาเพียงอยางหนึ่งจาก ๔๐ อยางนั้น มีเหตุผลดังที่จะไดกลาวตอไปนี้ :-
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ในบรรดาสมาธิภ าวนา ซึ ่ง มีอ ยู ทั ้ง หมดดว ยกัน ถึง ๔ ประเภทนั ้น อานาปานสติกัมมัฏฐาน สามารถเปนสมาธิภาวนาไดทั้ง ๓ ประเภท. สมาธิภาวนา ๔ ประเภทเหลานั้น คือ : ๑. สมาธิภาวนาเปนไปเพื่อทิฏฐธรรมสุขวิหาร การอยูเปนสุขทัน ตาเห็น. ๒. สมาธิภาวนาเปนไปเพื่อญาณทัสสนะ (อันเปนทิพย หมายถึงความ มีหูทิพย, ตาทิพย, ฯลฯ), ๓. สมาธิภาวนาเปนไปเพื่อความสมบูรณของสติสัมปชัญญะ, และ ๔. สมาธิภาวนาเปนไปเพื่อความสิ้นอาสวะโดยตรง,
www.buddhadasa.in.th
ทําไมจึงเจริญอานาปานสติ ?
๕๗
สํ าหรั บอานาปานสติ ภาวนา หรื อการเจริ ญอานาปานสติ นั้ น ย อมเป น ไปในสมาธิ ภ าวนาประเภทที่ ห นึ่ ง ประเภทที่ ส าม ประเภทที่ สี่ โดยสมบู ร ณ เว น ประเภทที่สองซึ่งไมเกี่ยวกับความดับทุกขแตประการใด. อานาปานสติ ยอมเปน ไปในสมาธิ ภ าวนา ๓ ประเภท ดั ง ที่ ไ ด ร ะบุ แ ล ว อย า งไรนั้ น จะชี้ ใ ห เ ห็ น โดย ละเอีย ดขา งหนา หรือ อาจเห็น ไดแ มด ว ยตนเอง ในเมื ่อ ไดศ ึก ษาหรือ ปฏิบ ัต ิเ รื ่อ ง อานาปานสติ จ บไปแล ว ส ว นกั ม มั ฏ ฐานอื่ น ไม สํ า เร็ จ ประโยชน ก ว า งขวางดั ง เช น อานาปานสตินี้. ยิ่งกวางนั้น, อานาปานสติ เปนกัมมัฏฐานประเภทที่สงบ และ ประณีตทั้งโดยอารมณ และ ทั้งโดยการกําจัดกิเลส. กัมมัฏฐานอื่นโดยเฉพาะ กายคตาสติ แม เ ป น ของคู เ คี ย งกั น กั บ อานาปานสติ ก็ ห าเป น เช น นั ้ น ไม คื อ สงบและประณี ต แต โ ดยการกํ า จั ด กิ เ ลส แต ไ ม ส งบและประณี ต ทางอารมณ . สว นอานาปานสติส งบประณีต โดยทางอารมณ คือ เปน อารมณข องกัม มัฏ ฐาน ที่ เ ยื อ กเย็ น สบาย ไม น า หวาดเสี ย ว ไม น า ขยะแขยง ไม ลํ า บากแก ก ารทํ า แล ว ยั ง กํา จัด กิเ ลสไดถึง ที่สุด ดว ย. อานาปานสติเ ปน เชน นี้ ; สว นกายคตาสตินั้น มี อ ารมณน า หวาดเสีย ว นา ขยะแขยงเปน ตน และโดยเฉพาะอยา งยิ ่ง คือ อสุภกัมมัฏฐานแลว ยอมมีความหมายเปนอยางนี้มากขึ้นถึงที่สุด. เนื่องจาก อานาปานสติ มีคุ ณสมบั ติดั งกล าวนี้ จึ งปรากฏว าถู กแนะนําโดยพระผู มีพระภาคเจ า เอง ว าเหมาะแก ทุ กคน และทรงสรรเสริ ญว าเป นกั มมั ฏฐานที่ พระอริ ยเจ าทั้ งหลาย รวมทั ้ง พระองคด ว ย ไดเ คยประสบความสํ า เร็จ มาแลว และยัง คงใชเ ปน “วิหารธรรม” อยูเปนประจําอีกดวย.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ยิ่งไปกวานั้นอีก, การเจริญอานาปานสติ เปนการเจริญที่สามารถ ทําติดตอกันไปไดโดยไมตองเปลี่ยนเรื่อง หรือไมตองเปลี่ยนอารมณตั้งแตตน จนปลาย คือ สามารถเจริญเพื่อใหเ กิดสมาธิในระยะแรก และสมาธิที่เจือ ป ญญาในระยะกลาง และเกิ ดป ญญาอั นสู งสุ ดที่ ทํ าให สิ้ นอาสวะได ในระยะสุ ดท าย
www.buddhadasa.in.th
๕๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๔
ดว ยการเจริญ อานาปานสตินั่น เอง จนตลอดสาย. ถา เปน กัม มัฏ ฐานอื่น โดยเฉพาะเชน กสิณ ก็จ ะไปตายดา นอยู แ คเ พีย งสมาธิ แลว ก็ต อ งเปลี ่ย นเปน เรื่อ งอื่น เพื่อ เปน ขั้น วิปส สนาตอ ไป. สว นอานาปานสตินั้น เมื่อ เจริญ ครบ ทั ้ง ๔ จตุก กะ หรือ ทั ้ง ๑๖ ระยะแลว ยอ มสมบูร ณอ ยู ใ นตัว ทั ้ง โดยสมาธิ และโดยวิปสสนา. ดั ง ที่ ไ ด ก ล า วแล ว ข า งต น ว า อานาปานสติ เ พี ย งอย า งเดี ย ว เป น สมาธิ ภ าวนาได ถึ ง ๓ ประเภท ไม มี กั ม มั ฏ ฐานข อ ใดที่ ส ะดวกเช น นี้ สบายเช น นี้ และไดรับ การยกยอ งสรรเสริญ มากเชน นี้ ; เพราะเหตุนี้เ อง เราจึง เลือ กเอา อานาปานสติเปนกัมมัฏฐานหลัก เพื่อการศึกษาและปฏิบัติโดยตลอด. ทั้งหมดนี้ คือเหตุผลที่วาเจริญอานาปานสติทําไม.
ใครจะเปนผูเจริญอานาปานสติ ? ต อไปนี้ จะได วิ นิ จฉั ยกั นเป นพิ เศษอี กหน อยหนึ่ ง ในป ญหาที่ ว า ใครจะ เปนผูเจริญอานาปานสติ. เกี่ ยวกั บคํ าตอบข อนี้ เราจะได พบว าในสู ตรนั้ นเอง พระผู มี พระภาคเจ า ไดท รงใชคํา วา “ภิก ษุใ นธรรมวินัย นี้” ซึ่ง ความหมายวา ไดแ ก บุค คลผู ศึกษาในศาสนานี้ เห็นโลกเห็นทุกขอยางนี้แลว ตองการจะดับทุกขตามวิธีนี้ คือตามวิธีแหงธรรมวินัยที่เราเรียกกันในบัดนี้วา “พุทธศาสนา” พระพุทธองค ได ตรั สว า สมณะที่ หนึ่ ง สมณะที่ สอง สมณะที่ สาม สมณะที่ สี่ มี แต ในธรรมวินั ยนี้ เท า นั้ น หมายความว า ผู พ น ทุ ก ข ต ามแบบแห ง ธรรมวิ นั ย นี้ ที่ เ ราเรี ย กกั น ว า พระโสดาบัน พระสกิท าคามี พระอนาคามี และพระอรหัน ตนั ้น มีแ ตใ นธรรมวิน ัย ที่มีการปฏิบัติอยางนี้เทานั้น. ธรรมวินัยอื่น หรือลัทธิอื่น ยอมวางจากสมณะ เหลานี้ ดังนี้เปนตน. ขอนี้บงความวา ผูที่มุงหมายจะดับทุกขตามแบบแหงธรรม
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
วิธีเจริญอานาปานสติ
๕๙
วินัยนี้นั่นแหละ คือผูที่จะเจริญอานาปานสติ ; เพราะฉะนั้น เขาจะตองทําตน ให เ ป น ผู เ หมาะสม ทั้ ง ในทางที่ จ ะศึ ก ษาและในทางที่ จ ะปฏิ บั ติ ดั ง ที่ จ ะได ก ล า ว สืบไป.
วิธีเจริญอานาปานสติ. บั ด นี้ จั ก ได วิ นิ จ ฉั ย กั น ถึ ง ข อ ที่ ว า จะเจริ ญ อานาปานสิ ต อย า งไร สื บ ไป ตามลําดับ โดยหัวขอดังตอไปนี้ :
ที่มาของเรื่อง เกี่ ย วกั บ เรื่ อ งนี้ มี บ าลี พ ระพุ ท ธภาษิ ต เป น หลั ก อยู โ ดยตรง เรี ย กว า อานาปานสติสูตร ปรากฏอยูในคัมภีรมัชฌิมนิกาย ตอนอุปริปณณาสก (พระไตร ปฎกบาลีฉบับสยามรัฐ เลม ๑๔ หนา ๑๙๐ ขอ ๒๘๒) และมีที่กลาวถึงอยูในที่อื่น อี ก มากแห ง ในพระไตรป ฎ ก ข อ ความที่ เ ป น ตั ว ใจความสํ า คั ญ นั้ น มี อ ยู ต รงกั น หมด ทุกแหง. สวนบทประกอบเรื่องเบ็ดเตล็ดนั้น ตางกันบางตามกรณี. สําหรับสวน ที่ เ ราจั ก ได ถื อ เอาเป น หลั ก นั้ น คื อ ตั ว สู ต รซึ่ ง มี ข อ ความที่ ท รงแสดงถึ ง วิ ธี ก ารเจริ ญ อานาปานสติโดยตรง จนกระทั่งถึงผลที่เกิดอานาปานสตินั้น เปนที่สุด.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org หัวขอหรือใจความของเรื่อง. พระพุ ทธภาษิ ตที่ เป นอุ เทศแห งเรื่ องนี้ เริ่ มขึ้ นด วยคํ าว า “ภิ กษุ ทั้ งหลาย ! ภิก ษุใ นธรรมวิน ัย นี ้ ไปแลว สู ป า ก็ต าม ไปแลว สู โ คนไมก ็ต าม ไปแลว สู เ รือ นวา ง ก็ตามนั่งคูขาเขามาโดยรอบแลว ตั้งกายตรง ดํารงสติมั่น. ภิกษุนั้นเปนผูมีสติ
www.buddhadasa.in.th
๖๐
อานาปานสติภาวนา ตอน ๔
อยูนั่นเทียว หายใจเขา, มีสติอยู หายใจออก” ดังนี้. ตอนตอจากนี้ไดตรัสถึง วิธีกําหนดลมหายใจเขาออกอยางไร และ การพิจารณาสิ่งใดอยูทุกลมหายใจ เขาออก จนครบ ๑๖ ระยะ ; จัดเปนหมวด ๆ ได ๔ หมวด หมวดละ ๔ ระยะ ตอนต อจากนั้ น ก็ ได ตรั สถึ งผลที่ เกิ ดขึ้ นว า การทํ าเช นนั้ นได ทํ าให เกิ ดมี สติ ป ฏฐาน ทั้ ง ๔ และโพชฌงค ทั้ ง ๗ ขึ้ นมาโดยสมบู รณ ไ ด อ ย างไร แล วเกิ ดวิ ชชาและวิ มุ ต ติ ซึ่งเปนความดับทุกขสิ้นเชิงไดอยางไร ในที่สุด. เพื่ อ สะดวกในการทํ า ความเข า ใจ และเพื่ อ เป น ไปอย า งถู ก ต อ งตาม หลั กเกณฑ นั้ น ๆ โดยตรง จะได ยกเอาพระพุ ทธภาษิ ตเหล านั้ นมาอธิ บายที ละตอน ตามลํ า ดับ และในตอนหนึ ่ง ๆ ก็จ ะอธิบ ายทีล ะขอ หรือ ทีล ะคํ า ตามที ่เ ห็น วา จําเปน.
การทําความเขาใจในเบื้องตน สํ า หรับ ตอนแรกนี ้ เริ ่ม ดว ยขอ พุท ธภาษิต วา “ภิก ษุใ นธรรมวิน ัย นี้ ไปแลวสูปาก็ตาม ไปแลวสูโคนไมก็ตาม ฯลฯ หายใจเขา – ออก” ดังนี้ มีคํา อธิบายเปนลําดับขอ ดังนี้ : (ก) คําวา “ภิกษุในธรรมวินัยนี้”ไดวินิจฉัยแลวขางตน ในขอที่วา ใครเปนผูเจริญอานาปานสติ. ในที่นี้ สรุปแลวก็ไดแกพระสาวกผูที่จะปฏิบัติตาม คําสั่งสอนของพระผูมีพระภาคเจาโดยเครงครัดนั่นเอง. (ข) คําวา “ไปแลวสูปาก็ตาม” มีขอที่ตองวินิจฉัยวา ทําไมจึงตอง ไปสูปา ? และปานั้นคืออะไร ? ที่แนะนําใหไปสูปา มีความหมายสําคัญอยูตรงที่ ตองการใหพราก ตัวเองจากสิ่งแวดลอมที่เคยชินจนเปนนิสัย.. อุปมาขอหนึ่ง ทานแนะนํา
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
วิธีเจริญอานาปานสติ
๖๑
ให สั งเกตว า เมื่อชาวนาเห็ นว าลูกวั วตั วนี้ โตพอสมควรที่ จะแยกไปฝกได แล ว ก็ ต อง แยกจากแมข องมัน นํ า ไปผูก ไวที ่ใ ดที ่ห นึ ่ง จนกวา มัน จะลืม แม หรือ ลืม ความ เคยชินที่เคยติอยูกับแมเสียกอน แลวจึงฝกหรือจัดการอยางอื่นตามประสงค. ลูก วัว เมื ่อ ถูก ผูก อยู ใ นที ่อื ่น หา งจากแม ก็ย อ มรอ งและดิ ้น รนตา ง ๆ นานา แต นานเข า ในที่ สุ ดก็ หยุ ดดิ้ น เพราะดิ้ นไม ไหว และลงนอนอยู ข างเสาหลั กนั่ นเอง มีจิตใจเปลี่ยนเปนวัวอีกตัวหนึ่ง ซึ่งอาจจะรับการฝกอยางใดอยางหนึ่งได. ความ ติด หรือความเคยชินในโลกิยารมณของคนเรานั่นแหละ คือแมวัว ; จิตคือลูกวัว. หรือ ถา กลา วโดยบุค ลาธิษ ฐานอีก อยา งหนึ ่ง ก็ค ือ สถานที ่ที ่เ ต็ม ไปดว ยอารมณ ยั่ว ยวนนั่น แหละ คือ แมวัว , ภิก ษุใ หมนั่น แหละ คือ ลูก วัว ; เพราะเหตุนี้ จึงตองมีการไปสูปา ซึ่งเปนการแยกลูกวัวจากแมวัวนั่นเอง. อีกอุปมาหนึ่ง ก็คือ พระศาสดาเป น ผู ที่ เ ปรี ย บได กั บ บุ ค คลผู ฉ ลาดในการดู พื้ น ที่ หรื อ เป น หมอดู พื้ น ที่ ให แ ก ค นอื่ น พระองค ไ ด ท รงแนะพื้ น ที่ ว า ป า นั่ น แหละ เป น ที่ เ หมาะสม สํ า หรั บ บุคคลผูที่จะบําเพ็ญความเพียรในทางจิตทุกชนิด. และยังตรัสไวเปนอุปมาอีก อยา งหนึ ่ง ในที ่อื ่น วา เปน เสือ ตอ งไปคอยซุ ม จับ เนื ้อ ในปา ซิ จึง จะมีเ นื ้อ ใหจ ับ และจับไดงาย ดังนี้. เนื้อในที่นี้ หมายถึงมรรคผล และเสือก็คือภิกษุผูมีตนอัน สงไปแลวสูความเพียร ที่จะประกอบการงานทางจิตอยางแทจริงนั่นเอง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org คําวา ปา ตามวินัย หมายถึงที่ที่อยูหางไกลจากเขตบานชั่ว ๕๐๐ ธนู (ประมาณ ๑๐๐๐ เมตร) ขึ้นไป. แต คําวา ปา ตามทางธรรมะ หรือฝายการ ปฏิบัติธรรมนั้น หมายความเปนอยางอื่นไดตามกรณีที่สมควร ; แตอยางนอย ไมควรจะใกลบานนอยกวา ๕๐๐ ชั่วธนูอยูนั่นเอง. สิ่งที่เรียกวา ปา ในพระบาลีสูตรนี้ มีความหมายรวม ๆ ถึงปาโปรง ตามปรกติ หรื อ ป า ละเมาะก็ ไ ด ซึ่ ง ในป า นั้ น จะมี โ คนไม ห รื อ มี ถ า หรื อ อื่ น ๆ
www.buddhadasa.in.th
๖๒
อานาปานสติภาวนา ตอน ๔
ก็ไ ด. พระอาจารยใ นชั้น หลัง ไดใ หขอ สัง เกตวา ถา เปน ฤดูรอ นควรไปสูปา หรือที่โลง ถาเปนฤดูหนาว ควรไปสูโคนไมหรือดงทึบ. ถาเปนฤดูฝน ควรไป สู สุ ญ ญาคารอย า งอื่ น นอกจากป า และโคนไม ซึ่ ง ท า นได ร ะบุ ไ ว เ ป น ถ้ํ า เป น ภู เ ขา ที่มีเงื้อมกันฝนได ริมลําธารที่ตลิ่งกันฝนได และใตลอมฟาง ดังนี้เปนตน. ใน บาลี บางแห ง แสดงให เ ห็ น ละเอี ย ดไปอี กว า ถ าในฤดู ร อ น กลางวั น อยู ในป า สบาย กลางคืนอยูในที่โลงสบาย, แตถาเปนฤดูหนาว กลางวันอยูที่โลงสบาย กลางคืน อยูในปาสบาย ดังนี้ก็มี. แตเทาที่ปรากฏอยูในพระพุทธภาษิตทั่ว ๆ ไปก็มีอยูสั้น ๆ เปน ๓ อยา ง โดยมีเ ปน บทบาลีวา ไปแลว สูปา ก็ต าม ไปแลว สูโ คนไมก็ต าม ไปแลวสูเรือนวางก็ตาม ดังนี้. ชะรอยพระอาจารยเหลานั้นจะเห็นวา เมื่อมีอยู ๓ อย า ง ก็ เ ลยบั ญ ญั ติ ใ ห เ ป น สํ า หรั บ ๓ ฤดู เ สี ย เลยก็ เ ป น ได ผู ป ฏิ บั ติ ค วรสั ง เกต ความเหมาะสมเอาด วยตนเอง ว าควรจะเป นสถานที่ เช นไร ขอแต ให ได ความหมาย อั น แท จ ริ ง ของคํ า ว า ป า คื อ เป น ที่ ส งั ด จากการรบกวนของโลกิ ย ารมณ ทํ า ให เ กิ ด ความวิเวกหรือควาสงัดในทางกายกอนก็เปนการเพียงพอ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org (ค) คําวา “นั่งคูขาเขามาโดยรอบ” มีขอที่ตองวินิจฉัยวาทําไมจะตอง ใชอิริยาบถนั่ง ? และนั่งคูขาเขามาโดยรอบนั้น คือนั่งอยางไร ?
อิริยาบถนั่ง เปนอิริยาบถที่เหมาะสมที่สุด สําหรับการเจริญภาวนา คื อทํ าให สามารถคิ ดนึ กอะไรได อย างแน วแน โดยไม ต องห วงว าจะเซ หรื อล มอย าง ในอิริยาบถยืน ; และไมกอใหเกิดอาการอยากหลับ หรือความหลงใหลอยางอื่น เหมือนอิริยาบถนอน ; จึงมีธรรมเนียมหรือประเพณีที่ใชอิริยาบถนี้มาแลวแต โบราณกาล นานจนทราบไมไดวามีตั้งแตเมื่อไร. เหตุผลอยางอื่นบางประการ ไดมีก ลา วไวแ ลว ขา งตน ในตอนอัน วา ดว ยจริต . แตทั้ง นี้มิไ ดห มายความวา ผู นั้ น จะต อ งนั่ ง ไปเสี ย งตลอดเวลา โดยไม มี ก ารเปลี่ ย นไปสู อิ ริ ย าบถอื่ น หรื อ ว า ใน อิริยาบถอื่นไมสามารถเจริญสมาธิได ก็หามิได.
www.buddhadasa.in.th
วิธีเจริญอานาปานสติ
๖๓
คําวา “คูขาเขามาโดยรอบ” หรือที่เรียกวา บัลลังก นั้น มีความหมาย อยู ต รงที่ จ ะได ท า นั่ ง ที่ มั่ น คงและสมดุ ล ทรงตั ว อยู ไ ด โ ดยง า ยและสะดวกสบายแก รางกาย หรือแกการไหลเวียนของเลือดลมในรางกายตามสมควร. ถาอยากจะ เข า ใจว า การนั่ ง เช น นี้ คื อ การนั่ ง โดยท า ไร ก็ มี ท างทํ า ได โ ดยการหย อ นตั ว นั่ ง ลง แล วเหยี ยดขาออกไปตรง ๆ ข างหน า ทั้ งสองข าง แล วงอเข าซ ายเข ามาจนฝ าเท า อยูใตขาขวา แลวยกเท าขวาขึ้นทับเขาซาย มือ วางซอนกันไวบนตัก ; อยางนี้ เรียกวา ปทมาสนะ ซึ่งแปลวา ทานั่งอยางดอกบัว. แตถาหากวานั่งอยางนั้นแลว ยั ง ได ย กเท า ซ า ยขึ้ น มาขั ด บนขาขวาอี ก ที ห นึ่ ง ก็ จ ะกลายเป น ท า นั่ ง ที่ มั่ น คงยิ่ ง ขึ้ น ไปอี ก และเรี ย กว า สิ ท ธาสนะ แปล า ท า นั่ ง ของพวกสิ ท ธา หรื อ ท า นั่ ง ที่ จ ะให สํ า เร็จ ประโยชนจ ริง ๆ ถึง ที ่ส ุด ซึ ่ง เรีย กกัน ในเมือ งไทยวา นั ่ง ขัด สมาธิเ พชร นั่นเอง. คําวา “บัลลังก” หมายถึงการนั่งดวยการคูขาอยางนี้. ผูนั่งจะตองหัด นั่ งด วยความลํ าบากมากหรื อน อย ย อมแล วแต กรณี ที่ ตนเกิ ดมาภายใต สิ่ งแวดล อ ม เชน วัฒนธรรมเปนตน. แตอยางไรก็ตาม ควรจะพยายามหัดนั่งใหไดมากกวา ที่ จ ะดั ด แปลงแก ไ ขระเบี ย บอั น นี้ ไ ปเป น อย า งอื่ น ซึ่ ง จะไม ไ ด รั บ ผลเท า กั น เว น ไว เสี ย แต ใ นกรณี ที่ จํ า เป น จริ ง ๆ เช น คนเจ็ บ หรื อ คนขาพิ ก าร เป น ต น เท า นั้ น . สํ าหรั บคนธรรมดาแล ว แม จะต องหั ดอยู เป นเวลานาน ก็ ควรพยายามเป นอย างยิ่ ง. ทานั่งชนิดนี้ ชาวจีนเรียกวา “ทานั่งของชาวอินเดีย” เพราะชาวจีนก็นั่งเกาอี้ หรือนั่งอยางอื่น. แตถึงกระนั้น เมื่อถึงคราวจําเปนที่ตองทําสมาธิ ก็ยังถูกสั่ง ให นั่ ง ด ว ยท า นั่ ง ของชาวอิ น เดี ย อยู นั่ น เอง ปรากฏอยู ใ นวรรณคดี ท างพุ ท ธศาสนา ของจีนอยูเปนหลักฐาน ตั้งพันกวาปมาแลว ; เพราะฉะนั้น ไมควรจะมีใครไป เปลี่ ย นแปลงท า นั่ ง ของการทํ า สมาธิ ใ ห เ ป น อย า งอื่ น เพราะได พิ สู จ น แ ล ว ว า มิ ใ ช เปนสิ่งที่เหลือวิสัยเลย.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
วิธีเจริญอานาปานสติ
๕๙
(ง) คําวา “ตั้งกายตรง” หมายความวา ใหนั่งตัวตรงนั่นเอง. คําวา ตรง ในที่ นี้ หมายถึ ง กระดู สั น หลั ง ตั้ ง ตรงราวกะว า เอาแกนเหล็ ก ตรง ๆ เข า ไป สอดไวในกระดูกสันหลัง. ทั้งนี้เพราะทานตองการจะใหขอกระดูกสันหลังทุก ๆ ขอ จดกันสนิทเต็มหนาตัดของมัน ดวยความมุงหมายวาการทําอยางนี้ จะมีผลคือโลหิต และลมหายใจ เปนไปอยางถูกตองตามธรรมชาติ ซึ่งเปนสิ่งที่พึงประสงคมากที่สุด ในกรณีนี้. อีกอยางหนึ่งก็คือ ทุกขเวทนาตาง ๆ ที่เกิดขึ้นจากเลือดลมในกาย เดินไมสะดวกนั้น จะเกิดขึ้นไดโดยยากหรือมีแตนอยที่สุด นี้เปน ความมุงหมาย ทางรูปธรรม ในทางนามธรรม มุงหมายถึงการทําจิตใหตรงแนว ไมเอียงซาย หรื อ เอี ย งขวา หรื อ เอี ย งหน า เอี ย งหลั ง ด ว ยความน อ มไปสู ก ามสุ ขั ล ลิ ก านุ โ ยค หรืออัตตกิลมถานุโยคเปนตน. พึงทราบวาผูที่ทําไดดี จะมีตัวตรงอยูไดตลอดเวลา ทั้งในขณะลืมตาและหลับตา หรือแมแตเมื่อจิตเขาสูสมาธิ ไรสํานึกในการควบคุม แลวก็ตาม. (จ) คําวา “ดํารงสติมั่น” ที่เรียกวา “ปริมุข” นั้น หมายถึงสติที่ ตั้งมั่นในอารมณที่จะกําหนด ซึ่งในที่นี้ไดแกลมหายใจโดยตรง. ทานจํากัดความ ไววา ทําจิตใหเปนเอกัคคตาตอลมหายใจ คือมีลมหายใจอยางเดียว ที่จิตกําลัง รูสึก อยู หรือ กํา หนดอยู. คํา วา สติ ในที่นี้ เปน เพีย งการกํา หนดลว น ๆ ยั ง ไม เ กี่ ย วกั บ ความรู หรื อ การพิ จ ารณาแต อ ย า งใด เพราะเป น เพี ย งขึ้ น ที่ เ พิ่ ง เริ่ ม กําหนดเทานั้น. โดยพฤตินัย ก็คือ นั่งตัวตรงแลวก็เริ่มระดมความสังเกตหรือ ความรูสึกทั้งหมด ตรงไปยังลมหายใจ ที่ตนกําลังหายใจอยูนั่นเอง ผูกระทํา ไมจําเปนตองหลับตาเสมอไป กลาวคือสามารถทําไดทั้งลืมตา โดยทําใหตาของตน จองจับอยูที่ปลายจมูกของตน จนกระทั่งไมเห็นสิ่งอื่นใด. อาศัยกําลังใจที่เขมแข็ง แลวยอมจะทําไดโดยไมยาก. ตามลืมอยู และมองอยูที่ปลายจมูกก็จริง แตจิตไมได มามองดวย คงมุงอยูที่การจะกําหนดลม หรือติดตามลมแตอยางเดียว. การทํา
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
วิธีเจริญอานาปานสติ
๖๕
อยางลืมตา ยากกวาการหลับตา, ตองใชความพยายามมากในเบื้องตน แตแลว ก็ไดผลคุมกัน คืองวงยาก และมีกําลังจิตเขมแข็งกวา ในตอนหลัง ; หรือกลาว อีกอยางหนึ่งก็คือ เปนผูที่สามารถดํารงสติไดมั่นคงกวานั่นเอง. พวกที่ตั้งใจจะทํา อย า งเข ม แข็ ง ถึ ง ขนาดเป น โยคี ที ส มบู ร ณ แ บบ ย อ มได รั บ การแนะนํ า ให เ ริ่ ม ฝ ก อยางลืมตาทั้งนั้น. (ฉ) คําวา “ภิกษุนั้นเปนผูมีสติอยูนั่นเทียว” มีสิ่งที่ตองวินิจฉัยตรง คําวา “มีสติ” ถาถามวามีสติในอะไรขึ้นมากอน ก็ตองตอบวามีสติไปตั้งแตการ หายใจ คือ มีส ติห ายใจเขา มีส ติห ายใจออก. เมื่อ การหายใจเขา และออก ถูกกําหนดอยูเพียงใด ภิกษุนั้นก็ไดชื่อวา สโตการี คือผูทําสติอยูเพียงนั้น. ฉะนั้น จะพูดกลับกันวา “มีสติหายใจ” หรือ “หายใจมีสติ” ก็ยอม มีความหายเทากัน. ลมหายใจเขาเรียกวา อาปานะ, ลมหายใจออกเรียกวา อานะ รวม ๒ คํ า เข า ด ว ยกั น โดยวิ ธี ส นธิ ตั ว หนั ง สื อ หรื อ สนธิ ท างเสี ย งก็ ต าม ยอมไดเปนคําเดียววา “อานาปานะ” ; แปลวา ลมหายใจเขาและออก. สติ ที่กําหนดลมทั้งเขาและออก นั้น ชื่อ วา อานาปานสติ. ผูกระทํา สติเชน นี้ ชื่อวา สโตการี ในที่นี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
ภาคอานาปานสติภาวนา จตุกกะที่ ๑ - กายานุปสสนาสติปฏฐาน๑ (ตั้งแตการเริ่มกําหนดลม จนถึงการบรรลุฌาน)
เมื่อพระผูมีพระภาคเจาไดตรัสขอความอันปรารภถึงลักษณะ และกิริยา อาการของบุคคลผูเริ่มทําสติดังนี้แลว ไดตรัสถึงลําดับหรือระยะแหงการกําหนด ลมหายใจ และสิ่งที่เนื่องกับการกําหนดลมหายใจสืบไปวา : (๑) ภิกษุนั้น เมื่อหายใจเขายาว ก็รูสึกตัวทั่วถึง วาหายใจเขายาว ดังนี้ ; เมื่อหายใจออกยาว ก็รูสึกตัวทั่วถึง วาหายใจออกยาวดังนี้, (๒) ภิกษุนั้น เมื่อหายใจเขาสั้น ก็รูสึกตัวทั่วถึง วาหายใจเขาสั้น ดังนี้ ; เมื่อหายใจออกสั้น ก็รูสึกตัวทั่วถึง วาหายใจออกสั้น ดังนี้. (๓) ภิกษุนั้น ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งกาย ทั้งปวง จักหายใจเขา ดังนี้ ; ยอมทําในบทศึกษาวา เรา เปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง จักหายใจออก ดังนี้. (๔) ภิกษุนั้น ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูทํากายสังขารใหรํางับ อยู จักหายใจเขา ดังนี้ ; ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูทํา กายสังขารใหรํางับอยู จักหายใจออก ดังนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๑
การบรรยายครั้งที่ ๗ / ๒๒ สิงหาคม ๒๕๐๒
๖๖
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑ การกําหนดลมหายใจยาว
๖๗
ทั้ ง ๔ ข อ นี้ เรี ย กว า จตุ ก กะที่ ห นึ่ ง หรื อ อานาปานสติ ห มวดที่ ห นึ่ ง ซึ่ ง ควรจะได รั บ คํ า อธิ บ ายอย า งละเอี ย ดทั่ ว ถึ ง เสี ย ก อ นแต ที่ จ ะได ก ล า วถึ ง จตุ ก กะที่ สองที่สาม เปนลําดับไป. แมเพียงแตจตุกกะที่หนึ่งนี้ ก็มีคําอธิบายและเรื่องที่ ต อ งปฏิ บั ติ อ ย า งยื ด ยาว และทั้ ง เป น การปฏิ บั ติ ที่ ส มบู ร ณ ขั้ น หนึ่ ง อยู ใ นตั ว เอง หรื อผู ปฏิ บั ติ อาจจะยั กไปสู การปฏิ บั ติ ที่ เป นวิ ป สสนาโดยตรงต อไป โดยไม ต องผ าน จตุกกะที่สอง ที่สาม ก็เปนสิ่งที่กระทําได ; ฉะนั้น จึงเปนการสมควรที่จะได วินิจฉัยในจตุกกะที่หนึ่งนี้ โดยละเอียดเสียชั้นหนึ่งกอน. อานาปาสติ หมวดที่หนึ่งนี้ มีชื่อวา “กายานุปสสนา” อีกชื่อหนึ่ง เพราะเหตุวามีกาย กลาวคือลมหายใจเขา – ออก เปนอารมณของการกําหนดและ พิจ ารณา และจัด เปน สติป ฏ ฐานขอ แรก แหง สติป ฏ ฐานทั ้ง สี ่ อัน มีอ ธิบ าย ดังตอไปนี้ :
*
*
*
ตอน หา
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อานาปานสติ ขั้นที่ หนึ่ง (การกํา หนดลมหายใจยาว)
อานาปานสติขั้นที่หนึ่งนี้ มีหัวขอวา “ภิกษุนั้น เมื่อหายใจเขายาว ก็รูสึกตัวทั่วถึง วาหายใจเขายาว ดังนี้ ; เมื่อหายใจออกยาว ก็รูสึกตัวทั่วถึง วาหายใจ ออกยาว ดังนี้”.๑
๑
บาลีวา ทีฆํ วา อสฺสสนฺโต ทีฆํ อสฺสสามีติ ปชานาติ ; ทีฆํ วา ปสฺสสนฺโต ทีฆํ ปสฺสสามีติ ปชานาติ.
www.buddhadasa.in.th
๖๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๕
อานาปานสติ ข อนี้ กล าวถึ งการหายใจเข า – ออก ยาว เป นส วนสํ าคั ญ ฉะนั้น สิ่งที่ควรทําความเขาใจก็คือ คําที่วา หายใจยาว นั่นเอง. เพื่อใหเปนการ เขาใจงายแกผูปฏิบัติ ผูปฏิบัติควรจะตองฝกหัด และสังเกตการหายใจเขา – ออก ให ย าวกว า ธรรมดาให ม ากที่ สุ ด เท า ที่ จ ะทํ า ได เพื่ อ จะให ท ราบว า ยาวที่ สุ ด นั้ น เปนอยางไรเสียกอน, แลวจะไดนําไปเปรียบเทียบกับการหายใจตามปรกติธรรมดา วามันยาวสั้นกวากันอยางไร, แลวนําไปเปรียบเทียบกับการหายใจที่สั้นกวา ธรรมดา เช น การหายใจในเวลาเหนื่ อ ย เป น ต น ว า มั น ยาวสั้ น กว า กั น อย า งไร ตอไปอีก. และในที่สุด ควรจะมีการทดลองหายใจอยางสั้นที่สุด เทาที่จะใหสั้น ได ด ว ยการบั ง คั บ ของเราเอง เพื่ อ เปรี ย บเที ย บกั น อี ก ครั้ ง หนึ่ ง ในที่ สุ ด ก็ จ ะ ทราบได ว า คํ า ว า หายใจยาว หรื อ หายใจสั้ น นั้ น มี ค วามหมายต า งกั น อย า งไร หรื อ มี ตั ว จริ ง อยู อ ย า งไร และจะเป น ผู ส ามารถกํ า หนดลมหายใจที่ ย าวหรื อ สั้ น ได ถู ก ตรงตามที่ตองการ. ขอที่วาใหพยายามหายใจใหยาวที่สุด เทาที่จะหายใจไดนั้น มีขอที่ตอง ควรกําหนดคือ จะกินเวลานานประมาณ ๓๐ - ๔๐ วินาที ในระยะหนึ่ง ๆ เทาที่ เราจะผอนใหยาวได ทั้งเขาและออก : และใหสังเกตวา จะตองนั่งตัวตรงจริง ๆ จึงจะหายใจไดยาวถึงที่สุดจริง ๆ และ เมื่อหายใจเขาถึงที่สุดจริง ๆ นั้นจะมี อาการปรากฏวาสวนทองแฟบถึงที่สุด สวนโครงอกพองออกถึงที่สุด, และโดยนัย ตรงกันขาม เมื่อหายใจออกถึงที่สุด ก็จะปรากฏวาทองปองออกไป สวนโครงอก แฟบ อยางนี้จึงเรียกวายาวถึงที่สุดจริง ๆ มีความหมายอยูตรงที่วามีการหายใจ ทั้งยาว ทั้งนาน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เพื่อเขาใจเรื่องนี้ไดถึงที่สุด ถึงการหายใจสั้น. คําวา“หายใจสั้น”
ควรพิจารณาเพื่อการเปรียบเทียบ เลยไป จะมีอาการตรงกันขาม คือเมื่อหายใจเขา
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑ การกําหนดลมหายใจยาว
๖๙
ทองปอ งออกไป, เมื่อหายใจออก ทองแฟบเขามา พอเปนทางสัง เกตไดวา ที่ เ ป น ดั ง นี้ เป น เพราะหายใจเข า น อ ย จนไม ถึ ง กั บ ทํา ให โ ครงอกตอนบน พองออกไปมาก หรือหายใจออกนอย จนไมทําใหโครงอกตอนบนแฟบเขาไปมาก อาการที่ปรากฏที่ทองจึงแตกตางกันอยางตรงกันขาม ซึ่งผูฝกหัดจะตองรูจักสังเกต ใหดี มิฉะนั้นจะเขาใจผิดและสับสนกันไปหมด. เกี่ยวกับเรื่องนี้ อาจจะยุติเปน หลักที่เรียกวา “หายใจเขาสั้น” ก็คือ สั้นเพียงเทาที่ทําใหโครงอกขยายออก หนอยหนึ่ง แตไมถึงกับทําใหทองแฟบ. ถาถึงกับทําใหทองแฟบ ก็เรียกวา หายใจเขา ยาว. ที่เ รีย กวา “หายใจออกสั้น ” ก็คือ หายใจออกหนอ ยหนึ่ง เพียงที่ทําใหโครงอกแฟบลงหนอยหนึ่ง แตไมถึงกับทําใหทองปองออก. ถาถึง กับทําใหทองปองออก ก็เรียกวาเปนการหายใจออกยาว. ขอเท็จจริงอยูตรงที่วา โครงอกแฟบมากหรือนอยนั่นเอง ; สวนทองนั้นจะมีอาการตรงกันขามกับโครงอก เสมอไป ในเมื่อมีการหายใจอยางยาวที่สุด ทั้งเขาและออก. ผูมีการศึกษา เกี่ยวดวยอวัยวะเครื่องหายใจ มีปอดเปนตน มาแลวเปนอยางดี ยอมอาจจะ เขาใจเรื่องนี้ไดดี.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org คําวา “หายใจนาน” พระอรรถกถาจารยแนะใหสังเกตการหายใจของ สัตว ๒ ประเภท. สัตวประเภทแรก เชนชาง มีระยะหายใจนานกวาสัตวประเภท หลัง เชนหนู หรือกระตาย. การกําหนดเอาเวลาเปนหลักเชนนี้ แมจะเรียกวา หายใจชาหรือเร็วก็ตาม ผลยอมเปนอยางเดียวกันกับคําวาหายใจยาวหรือสั้น. นี้กลาวเฉพาะในการปฏิบัติการกําหนดลมหายใจ ; สวนขอเท็จจริงที่วา ลมจะเขา ไปมากหรือนอยกวากันอยางไรนั้น เปนอีกเรื่องหนึ่งตางหาก. สิ่งที่ตองการความสังเกตในความแตกตางอีกอยางหนึ่ง ก็คือ “การ หายใจเบา”หรือ “หนัก” “หยาบ” หรือ “ละเอียด”. ถาหากลมกระทบ
www.buddhadasa.in.th
๗๐
อานาปานสติภาวนา ตอน ๕
พื ้น ผิว แหง ชอ งหายใจรุน แรง ก็เ รีย กวา หายใจหนัก หรือ หยาบ ถา หากกระทบ พื้ น ผิ ว เหล า นั้ น ไม รุ น แรง หรื อ ถึ ง กั บ ว า ไม รู สึ ก ว า กระทบ ก็ เ รี ย กว า หายใจเบาหรื อ ละเอียด. อาการทั้งสองอยางนี้ เปนสิ่งที่ควรศึกษาใหเขาใจอยางยิ่งไวอยางเดียวกัน เพราะมีเรื่องที่จะตองปฏิบัติในขอตอไปขางหนาเกี่ยวกับเรื่องนี้.
การกําหนดลมหายใจ. บัดนี้ มาถึง วิธีการกําหนดลมหายใจ ในลักษณะที่ตาง ๆ กัน เปนลําดับไป, ดังจะไดแยกวินิจฉัยทีละบท : บทวา “เมื่อหายใจเขายาว ก็รูวาหายใจเขายาว” หรือ “เมื่อหายใจ ออกยาว ก็รูวาหายใจออกยาว” นั้น มีหลักแหงการปฏิบัติคือ หลังจากการที่ ไดซักซอมอวัยวะเครื่องหายใจตาง ๆ มีชองจมูก เพดาน หลอดลมและปอดเปนตน ใหอยูในสภาพที่ปรกติและเหมาะสมดีแลว ก็ปลอยใหมีการหายใจตามปรกติ ธรรมดาบาง บังคับใหยาวกวาธรรมดาบาง ใหสั้นกวาธรรมดาบาง เปนการซัก ซอมทางรางกายโดยตรง วาควรจะมีอัตราปรกติอยางไร ที่เปนอัตราปรกติถาวร ไมยาวไมสั้นเสียกอน แลวจึงเริ่มกําหนดวามันยาวหรือสั้นเทาไร.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ลมหายใจที่สั้นหรือยาว นี้ ยอมขึ้นอยูกับอารมณทางจิตและความ ผันแปรทางรางกาย หรือแมที่สุด เพียงแตการไปสนใจมันเขาเทานั้น มันก็ทําให การหายใจนั้น สั้นหรือยาว ออกไปไดกวาธรรมดา. เพราะฉะนั้น ในขั้นแรกเราจะ ตองสังเกตความสั้นยาว ที่มันเปลี่ยนแปลงไปตามสิ่งแวดลอม ซึ่งกําลังแวดลอม อยูในขณะนั้น เชนถาอารมณปรกติดี การหายใจก็ยาวกวา เมื่อมีอารมณราย เชน ความโกรธเปนตนเขาครอบงํา. หรือเมื่อรางกายสบายดี ลมหายใจก็ยาวกวา
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑ การกําหนดลมหายใจยาว
๗๑
เมื่อ รางกายกําลังผิดปรกติ เพราะความเหน็ดเหนื่อ ย เปนตน. แมลมหายใจ จะมี อ าการอยู อ ย า งนั้ น อย า งใดอย า งหนึ่ ง แต พ อเราไปตั้ ง ใจทํ า การกํ า หนดมั น เข า มันก็จะตองยาวกวานั้นอีกเปนธรรมดา. เพราะฉะนั้น ผูปฏิบัติจะตองรูจักสังเกต ความพลิ ก แพลงของลมหายใจในลั ก ษณะอย า งนี้ ด ว ย จึ ง จะกํ า หนดความยาวหรื อ สั้ น ได โ ดยถู ก ต อ ง หรื อ อย า งน อ ยที่ สุ ด ก็ กํ า หนดได ว า มั น ยาวกว า กั น เท า ไร แล ว
.ทําการกําหนดไปเปนเวลานานพอสมควร ก็จะรูจักความสั้นยาวที่แนนอนยิ่งขึ้น. ในขั้นแรก ๆ ควรจะหัดหายใจใหหยาบที่สุด ใหยาวที่สุด เพื่อให กําหนดไดโดยงาย วาลมหายใจเองเปนอยางไร ? ทางที่มันกระทบนั้น ถูกมัน กระทบอยางไร ? กําลังกระทบอยูที่ตรงไหน ? มีอาการเหมือนกับวามันไปสุดลง ที่ตรงไหน ? หยุดอยูที่ตรงไหน ? นานเทาไร ? แลวจึงหายใจกลับออกมา หรือกลับเขาไปก็ตาม แลวแตกรณี. ถาหายใจเบาหรือละเอียดไปตั้งแตทีแรก ก็ไมมีทางที่จะสังเกตสิ่งเหลานั้นได ทําใหกําหนดลมหายใจไดโดยยาก หรือถึงกับ ลมเหลวไปก็ได. ทางที่ดียิ่งไปอีก คือควรจะหายใจใหหยาบหรือหนัก จนกระทั่ง เกิดมีเสียงไดยินทางหู ขึ้นมาดวยสวนหนึ่ง หูก็เปนประโยชนในการชวยใหสติ กําหนดลมหายใจไดงายขึ้นอีกแรงหนึ่ง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org โดยที่แทแลว คําวา “การกําหนดลมหายใจ” นั้น เปนการกําหนด ที่พื้นผิวที่ลมกระทบ นั้น มากกวาที่จะกําหนดที่ตัวลม เพราะลมเปนสิ่งที่ละเอียด ออน กําหนดยาก. แตเมื่อมันกระทบพื้นผิวซึ่งเต็มไปดวยเสนประสาทเขาที่ ตรงไหน ก็เปนการงายที่จะกําหนดวาลมกําลังอยูที่นั่น หรือเดินไปถึงไหน. และ ยิ่งเมื่อมีเสียงที่ไดยินทางหูเขามาชวยดวย ก็เปนการชวยใหกําหนดไดงายขึ้นอีกวา หายใจครั้งหนึ่ง ยาวหรือนานเทาไร. การหายใจหนัก ๆ ในขั้นแรก จึงเปน สิ่งที่มีประโยชน ดังนี้. แมในขั้นตอไป การหายใจยาวหรือหนัก จนเคยชิน
www.buddhadasa.in.th
๗๒
อานาปานสติภาวนา ตอน ๕
เปนนิสัย ก็ยังมีประโยชนอยูนั่นเอง เพราะนอกจากจะเปนประโยชนทางอนามัย แกรางกายโดยเฉพาะแลว ยังเปนประโยชนในทางที่จะทําใหเราฝกหัดในบทฝกหัด ขั้นตอ ๆ ไป ไดอยางงายดายเสมอไป จึงขอแนะนําใหฝกในการหายใจใหยาว และหนักอยูเปนปรกติ ตามโอกาสที่จะพึงกระทําได.
การกําหนดลมหายใจดวยสติ ตอไปนี้ ก็มาถึงระยะแหงการฝกในการกําหนดลมหายใจ ซึ่งยาวอยูเอง แลว เพราะการที่เราไปกําหนดมันเขา. อาการที่เรียกวา “กําหนด” ในที่นี้ ถากลาวอยางโวหารธรรมดาก็คือ การที่เราตั้งจิตกําหนดลมหายใจ ที่กําลังแลนเขาแลนออกอยูตามเรื่องตามราวของ มันเอง จะเรียกวาเปนการสังเกตลมหายใจวากําลังเปนอยูอยางไร ดังนี้ก็ได แต เราไมนิยมเรียกเชนนั้น นิยมเรียกใหแนชัดลงไปเปนภาษากัมมัฏฐาน หรือภาษา ที่ใชในการสอนอภิธรรมวา เปนการผูกจิตไวที่ลมหายใจ ดวยเครื่องผูกคือสติ เลยทําใหเกิดมีสิ่งที่จะตองศึกษาขึ้นมาถึง ๓ เรื่องเปนอยางนอย คือลมหายใจ ๑ จิต ๑ สติ ๑ รวมเปน ๓ แลว ยังจะตองศึกษาเรื่องผลที่เกิดขึ้นเพราะการทํา เชนนั้น วามีอยูอยางไร กี่อยาง ตามลําดับไป.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ลมหายใจ มีเรื่องราวอยางไร เปนเรื่องที่กลาวถึงแลวขางตน. สวน เรื่องจิตนั้น หมายความวาเมื่อกอนนี้ สาละวนอยูกับโลกิยารมณตาง ๆ เดี๋ยวนี้ ถูกพรากหรือถูกเปลี่ยนมาใหเปนจิตที่ติดอยูกับลมหายใจ ดวยเครื่องผูก คือสติ ไมใหเปนจิตที่ไปคลุกคลีอยูกับโลกิยารมณดังเชนเคย. สําหรับสตินั้น หมาย ถึงเจตสิกธรรมซึ่งเปนสมบัติของจิตอยางหนึ่ง ในบรรดาสมบัติทั้งหลายของจิต. เจตสิกธรรมขอนี้เปนฝายกุศล ทําหนาที่ยกจิตขึ้น หรือดึงจิตมาผูกไวกับลมหายใจ
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑ การกําหนดลมหายใจยาว
๗๓
ซึ่ ง ในที่ นี้ เ ป น รู ป ธรรมบริ สุ ท ธิ์ ไม เ ป น ที่ ตั้ ง แห ง อกุ ศ ล จิ ต จึ ง พ น จากความเป น อกุศลมาสูความเปนกุศล ดวยอํานาจแหงเจตสิกธรรม อันมีชื่อวา สติ นั้น. อาการที่จิตถูกสติผูกไวกับอารมณ คือลมหายใจในที่นี้ แมเพียงเทานี้ ก็เรียกไดวาการกําหนด คือการกําหนดของจิตที่ลมหายใจดวยอํานาจสติ. ใน ขั้นนี้ยังเปนเพียงการกําหนดลวน ๆ ไมเปนการพิจารณาแตประการใด และยัง ไมเกี่ยวกับความรูหรือญาณ จึงเรียกแตเพียงวา การกําหนด หรือตรงกับคําอีก คําหนึ่งวา “บริกรรม” ลวน ๆ จัดเปนอาการอยางหนึ่ง ซึ่งตอไปขางหนา จะถูก จัดเปนองคของฌาน ที่เรียกวา “วิตก”. ผูศึกษาถึงเขาใจไวเสียดวยวา คําวา “วิตก” ในที่นี้ มีความหมายอยางนี้ มิไดหมายอยางโวหารพูดทั่วไป ซึ่งหมายถึง การคิดนึกตรึกตรองเปนเรื่องราวไป แตประการใดเลย. ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่จะตอง ทําความเขาใจเกี่ยวกับคําวา “กําหนด”.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org การเกิดของความรู.
เมื่อมีการกําหนดในลักษณะเชนที่กลาวนี้ ก็แสดงอยูในตัวแลววา ยอม เปนทางใหเกิดความรู หรือความรูสึกแกจิต ขึ้นมาไดเอง วาลมหายใจนั้นยาวหรือ สั้นเปนตน. ขอนี้อธิบายวา เมื่อลมหายใจก็แลนไปแลนมาอยู และจิตก็ถูก สติผูกติดไวกับลมหายใจ จิตจึงมีอาการเหมือนกับพลอยแลนไปแลนมา ตามไป ดวยกัน จึงเกิด “ความรู” ขึ้นได โดยไมตองมีการคิดหรือการพิจารณาเลย. ความรูเชนนี้ยังไมควรเรียกวา “ญาณ” เปนเพียงสัมปชัญญะ คือความรูสึกตัว ทั่วถึงวามันเปนอยางไรในขณะนั้น. แตถึงอยางนั้นก็ตาม บางทีทานก็ใชคําวา “ญ า ณ ”แ ก อ า ก า ร รู เช น นี้ ใ น บา ง คั ม ภี ร บ า ง เ ห มื อ นกั น , ค ว ร จ ะ ท ร า บ ไ ว
www.buddhadasa.in.th
๗๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๕
กันความสับสน. ทั้งนี้ เพราะคําวา ญาณ นั้น มีความหมายกวางขวาง เอาไปใช กับความรูชนิดไหนก็ได แตความหมายที่แทนั้น ตองเปนความรูทางสติปญญา โดยตรง. เมื่อคําวา “ญาณ” หรือความรู ใชไดกวางขวางอยางนี้ รวมกับ การที่ทานไมอยากใชคําอื่นเพิ่มเขามาใหมากมายและสับสนโดยไมจําเปน อาจารย บางพวกจึงกลาววา แมความรูสึกที่เกิดขึ้นวา เรากําลังหายใจยาว ดังนี้เปนตน ก็จัดเปนญาณอันหนึ่งดวยเหมือนกัน ทําใหมีการกลาวไดวา ญาณไดปรากฏแลว แมแตในขณะที่เริ่มทําอานาปานสติ พอสักวา เมื่อหายใจเขายาว ก็รูสึกตัว ทั่วพรอมวา เราหายใจเขายาว ดังนี้.
กรรมวิธีในขณะแหงการกําหนดลม. กรรมวิธีทางจิต ที่เปนไปในขณะแหงการกําหนดลมหายใจในขั้นที่ กลาวนี้ มีอยูเปนลําดับดังนี้ :๑. เมื่อเขากําหนดลมหายใจนาน ๆ เขา ก็จะประสบความสําเร็จแหง การกําหนด จึง “เกิด ฉันทะ” คือความพอใจ อันเปนกุศลเจตสิกอันใหมขึ้นมา เนื่องจากการกําหนดลมหายใจนั้นแลว มีปฏิกิริยาสืบไป คือ :๒. เมื่อฉันทะเปนอยู ลมหายใจก็ปรากฏวา ยาวไปกวาเดิมดวย มีความละเอียดยิ่งกวาเดิมดวย. แมจะไมมีความละเอียดแหงลมในระยะแรกแหง การเกิดของฉันทะ ก็จะตองมีในระยะตอมา. ผูปฏิบัติอาศัยกําลังแหงฉันทะนั้น ทําการกําหนดลมหายใจที่ยาวกวาเดิม หรือละเอียดกวาเดิมขึ้นไปอีก นานเขา ปฏิกิริยาขึ้นสืบไป คือ :๓. ปราโมทยไดเกิดขึ้น. คําวาปราโมทยในที่นี้ ตรงกับภาษาบาลี วา ปามุชฺช ไดแกปติอยางออน ซึ่งที่แทไดแกเจตสิกธรรมที่เปนกุศลอีกอันหนึ่ง ซึ่งตอไปจะตั้งอยูในฐานะเปนองคสําคัญแหงฌานองคหนึ่ง , ดวยอํานาจ
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑ การกําหนดลมหายใจยาว
๗๕
แห ง ปราโมทย นั่ น เอง ลมหายใจก็ ย าวไปกว า เดิ ม ละเอี ย ดไปกว า เดิ ม , การกําหนดลมหายใจของผูปฏิบัตินั้น ก็ตั้งอยูไดอยางแนนแฟน จนกระทั่งกลาว ไดวาไมละจากอารมณ จิตนี้จึงไดสมมตินามใหม วา… (อานตอไปยังบรรทัดลาง) ๔. “จิตที่เกิดจากลม” เพราะมีลมหายใจหรือการกําหนดลมหายใจ เปนสิ่งที่ปรุงจิตอยูอยางเต็มที่. ขอนี้มิไดมีความหมายอะไรอื่น นอกจากจะ แสดงวา เดี๋ยวนี้จิตเริ่มมีความเปน “เอกัคคตา, คือความมีอารมณอยางเดียว เกิดขึ้นแลวแกจิตนั้น กลายเปน เอกัคคตาจิต เนื่องมาจากลมหายใจนั้นมีผล ทําใหเกิดขึ้น. ตอจากนั้น ก็มีอาการแหง… ๕. อุเบกขา หรือความวางเฉยตอโลกิยารมณ ไมถูกนิวรณตาง ๆ รบกวนไดอีกตอไป ปรากฏชัดอยู สวน… ๖. ภาวะแหงความที่ลมหายใจนั้น เปลี่ยนรูปปรากฏเดนเปนนิมิต แหงกัมมัฏฐาน มีอุคคหนิมิตเปนตน เห็นอยูชัดดวยตาอันเปนภายใน ในรูปนิมิต ใหม อยางใดอยางหนึ่งนั้น ยอมแปลกกัน แลวแตลักษณะของบุคคล. เมื่อนิมิต นั้นปรากฏชัด ก็เปนเหตุใหกลาวไดวา… ๗. สติเปนธรรมชาติปรากฏชัด ปรากฏทั้งในฐานะที่เปนตัวเจตสิกธรรมดวย ปรากฏทั้งในฐานะที่เปนการทําหนาที่ของมัน คือการกําหนดดวย และเนื่องจากสติเปนไปดังนี้ไมขาดตอน สิ่งที่เรียกวา สัมปชัญญะ คือความรูสึกตัว ทั่วพรอมก็ปรากฏ แตเราไปเรียกชื่อมันเสียใหมวา แม… ๘. ญาณก็ปรากฏ คําวา “ญาณก็ปรากฏ” ในที่นี้ มีความหมาย ตาง ๆ กัน แลวแตวามันจะปรากฏในขั้นไหนแหงการกระทําอานาปานสติ สําหรับ ในขั้นนี้ ซึ่งเปนขั้นแรกที่สุดนั้น ญาณในที่นี้ ก็เปนเพียงสัมปชัญญะที่กําลังรูสึก วา “เราหายใจออกยาว หรือหายใจเขายาว” เทานั้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๗๖
อานาปานสติภาวนา ตอน ๕
๙. แมกายก็ปรากฏ ลมหายใจชื่อวากาย ในฝายรูปธรรม หรือเรียก อีกอยางหนึ่งวา รูปกาย. แมจะกลาวเลยไปถึงวา แมนามกายก็ปรากฏ ดังนี้ ก็ยังได เพราะวาจิตก็ดี หรือเจตสิกธรรม กลาวคือฉันทะและปราโมทยเปนตน ก็ดี เหลานี้เปนนามกาย ซึ่งลวนแตปรากฏดวยเหมือนกัน หากแตวาการปฏิบัติ ในขั้นนี้ เปนเพียงขั้นริเริ่ม มุงหมายกําหนดแตเพียงลมหายใจซึ่งเปนรูปกาย ฉะนั้น คําวากาย ในอานาปานสติระยะที่หนึ่งนี้ จึงหมายถึงแตเพียงรูปกาย และ โดยเฉพาะเพียงลมหายใจเทานั้น. คําวา “กายานุปสสนาสติปฏฐาน” กลาวคือ การ ตั้งไว ซึ่งสติเปนเครื่องตามเห็นซึ่งกาย ในขั้นที่หนึ่งนี้ ยอมเพงเล็งเอาลม หายใจเปนความหมายของคําวา กาย แหงวลีนั้น. เมื่อลมคือกายก็ปรากฏ สติก็ ปรากฏ และ ญาณก็ปรากฏ ครบถวนทั้ง ๓ ประการแลว ผูปฏิบัติ หรือกลาว โดยเฉพาะ ก็คือจิตแหงผูปฏิบัตินั้น เปนอันวาไดลุถึง… ๑๐. กายานุปสสนาสติปฏฐาน แลวโดยสมบูรณ แมในระยะเริ่มแรก ซึ่งเปนเพียงการกําหนดลมหายใจที่ยาวอยางเดียว.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org จากกรรมวิธีทั้ง ๑๐ ระยะที่กลาวขางตนเราจะเห็นไดจากระยะที่ ๑ - ๒ ๓ วา ความยาวแหงลมหายใจนั้นมีอยู ๓ ลักษณะ ดวยกัน คือยาวหรือนานตาม ปรกติของลมหายใจนั้นอยางหนึ่ง, ยาวออกไปอีกเพราะอํานาจของฉันทะที่เกิดขึ้น อยางหนึ่ง, และยาวออกไปอีกเพราะอํานาจของปราโมทยเกิดสืบตอจากฉันทะอีก อยางหนึ่ง, จึงเปน ๓ ลักษณะดวยกัน. เมื่อลมหายใจออกก็ยาว ลมหายใจเขาก็ยาว และรวมกันทั้งออกทั้งเขา ก็ยาว เปนลมยาว๓ ชนิดดวยกันดังนี้แลว เอาไปคูณกันเขากับความยาวที่มี
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๒ การกําหนดลมหายใจสั้น
๗๗
ลักษณะ ๓ ดังที่กลาวมาแลว ก็กลายเปน ๙ เรียกวา ความยาวมีอาการ ๙ เปน หลักสําหรับการศึกษาในบทวาหายใจยาว แหงอานาปานสติขอที่หนึ่งนี้ โดยตรง. (จบอานาปานสติขั้นที่หนึ่งอันวาดวยการกําหนดลมหายใจยาว)
*
* * ตอน หก อานาปานสติ ขั้นที่ สอง. (การกําหนดลมหายใจสั้น)
อานาปานสติขั้นที่สองนี้ มีหัวขอวา “ภิกษุนั้น เมื่อหายใจเขาสั้น ก็รูสึกตัวทั่วถึง วาหายใจเขาสั้น ดังนี้ ; เมื่อหายใจออกสั้น ก็รูสึกตัวทั่วถึง วาหายใจ ออกสั้น ดังนี้”.๑
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อานาปานสติ ข อ นี้ มี ค วามหมายแตกต า งจากขั้ น ที่ ห นึ่ ง เพี ย งที่ ก ล า ว ถึงลมหายใจที่สั้น. ลมหายใจสั้นในที่นี้ เปนเพียงชั่วขณะ คือชั่วที่มีการฝกให หายใจสั้นแทรกแซงเขามา. เมื่อบุคคลผูปฏิบัติรูความที่ลมหายใจสั้นเปนอยางไร อย างทั่ วถึ งแล ว ระงั บความสนใจต ออาการแห งการหายใจชนิ ดที่ เรี ยกว าสั้ นนั้ นเสี ย ไปหายใจอยู ด ว ยลมหายใจที ่เ ปน ปรกติ ซึ ่ง จะเรีย กวา สั ้น หรือ ยาวก็ไ ด แลว แต จะเอาหลั ก เกณฑ อ ย า งใดเป น ประมาณ ป ญ หาก็ ห มดไป ไม มี สิ่ ง ที่ จ ะต อ งอธิ บ าย เปนพิเศษ สําหรับกรณีที่มีการหายใจสั้น.
๑
บาลีวา รสฺสํ วา อสฺสสนฺโต รสฺสํ อสฺสสิสฺสามีติ ปชานาติ ; รสฺสํ วา ปฺสสสนฺโต รสฺสํ ปสฺสสิสฺสามีติ ปชานาติ ;
www.buddhadasa.in.th
๗๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๖
แต ถ า หากว า บุ ค คลผู นั้ น มารู สึ ก ตั ว ว า ตนเป น ผู มี ก ารหายใจสั้ น กว า คนธรรมดาอยู เ ป น ปรกติ วิ สั ย ก็ พึ ง ถื อ ว า ระยะหายใจเพี ย งเท า นั้ น ของบุ ค คลนั้ น เปนการหายใจที่เปนปรกติอยูแลว. และเมื่อไดปรับปรุงการหายใจใหเปนปรกติ แล ว ก็ ถื อ เอาเป น อั ต ราปรกติ สํ า หรั บ ทํ า การกํ า หนดในยะระเริ่ ม แรก เป น ลํ า ดั บ ไป จนกว าจะเกิ ดฉั นทะและปราโมทย ซึ่ งมีความยาวแหงลมหายใจเพิ่มขึ้นเป นลําดับ ๆ และมี ก รรมวิ ธี ต า ง ๆ ดํ า เนิ น ไปจนครบทั้ ง ๑๐ ขั้ น ตามที่ ก ล า วมาแล ว ในอานาปานสติขั้นที่หนึ่ง อันวาดวยการหายใจยาว ฉันใดก็ฉันนั้น. ในกรณี ที่ มี ก ารหายใจสั้ น เป น พิ เ ศษ เพราะเหน็ ด เหนื่ อ ย การตกใจ หรือ โรคภัย ไขเ จ็บ เบีย ดเบีย นนั ้น ยอ มมีก ารกํ า หนดใหรู ว า สั ้น เพีย งในขณะนั ้น เท านั้ น เมื่ อสิ่ งเหล านั้ นผ านไปแล ว การหายใจก็ เป นปรกติ และดํ าเนิ นการปฏิ บั ติ ไปโดยนัย แหง การหายใจปรกติ เพราะการหายใจสั ้น ชนิด นั ้น ไดผ า นไปแลว โดย ไมตองคํานึง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ในกรณีที ่ม ีก ารหายใจสั ้น แทรกแซงเขา มา เพราะอุบ ัต ิเ หตุอ ยา งอื ่น ก็ ตาม เพราะความสั บสนแห งการฝ กในขั้ นที่ ยั งไม ลงรู ปลงรอยก็ ตาม การหายใจสั้ น เหลานั้นถูกกําหนดรูวาสั้น แลวก็ผานไป ไมกลับมาอีก ปญหาก็หมดไป.
ในกรณีที่เราฝกใหลมหายใจสั้น เพื่อการทดลองในการศึกษานั้น ยอม หมดปญหาไปในขณะที่การทดลองสิ้นสุดลง. สําหรับความมุงหมายอันแทจริง แห งการฝ กลมหายใจสั้ นนั้ น มี อยู ว า เมื่ อฝ กจิ ตให เป นสมาธิ ได ด วยลมหายใจอย าง ยาวแลว ก็ค วรฝก ใหเ ปน สมาธิด ว ยลมหายใจสั ้น ซึ ่ง เปน ของยากขึ ้น ไปกวา ให ได ด วย เพื่ อความสามารถและคล องแคล วถึ งที่ สุ ด ในการฝ กสมาธิ ด วยลมหายใจ ทุกชนิดนั่นเอง.
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๒ การกําหนดลมหายใจสั้น
๗๙
สรุปความวา การหายใจสั้นในอานาปานสติขั้นที่สองนี้ กลาวไว สําหรับการหายใจสั้นที่จะพึงมีแทรกแซงเขามาเอง เปนครั้งคราว และที่เปน ในการฝกเพื่อการสังเกตเปรียบเทียบใหเรารูจักลักษะแหงการหายใจยาว – สั้น และมีอะไรแตกตางกันอยางไรตามธรรมชาติเทานั้น. เมื่อไดกําหนดจนเขาใจดี ทั้งสองอยางแลว การกําหนดก็ดําเนินไปในการหายใจที่เปนไปตามปรกติหรือใน อัตราที่เราถือวาเปนปรกติ และสามารถเปนสมาธิอยูทั้งในขณะที่มีลมหายใจสั้น หรือยาว ไมหวั่นไหว.
การหายใจตามธรรมชาติ ยอมเปลี่ยนไปตามอํานาจสิ่งแวดลอม เชน ฉันทะเปนตน สั้น ๆ ยาว ๆ แทรกแซงกันบาง แตก็ไมมากมายนัก ซึ่งจะตอง ไดรับการแกไขตามกรณีที่เกิดขึ้น เชนเมื่อมีความหงุดหงิดเกิดขึ้น ก็สังเกตไดดวย ลมหายใจที่สั้นเขา แลวก็แกไขดวยการนอมจิตไปสูความปราโมทย ซึ่งจะทําให ลมหายใจกลับยาวไปตามเดิม. ความรูสึกตัวทั่วพรอมของบุคคลผูปฏิบัตินั่นเอง ทําใหกําหนดไดทั้งลมหายใจที่ยาวและสั้น ไมวามันจะเกิดขึ้นสลับซับซอนอยางไร และสามารถกํา หนดใหเ ปน สมาธิไ ด ไมวา มัน จะอยูใ นสภาพที่เ รีย กกัน วา ยาว หรือสั้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เมื่อการปฏิบัติไดดําเนินมาถึงขั้นที่สองนี้แลว เราอาจจะเขาใจหลักการ ปฏิบัติไดดวยการอุปมากับการไกวเปล :
การไกวเปลในที่นี้ เปนการไกวเปลของคนเลี้ยงเด็ก. เมื่อคนเลี้ยงเด็ก จับเด็กใสเปลลงไปใหม ๆ เด็กก็ยังไมหลับ และพยายามที่จะลงจากเปล ซึ่งอาจจะ ตกจากเปลเมื่อไรก็ได เขาจะตองระวังดวยการจับตาดู ไมวาเปลนั้นจะแกวงไป
www.buddhadasa.in.th
๘๐
อานาปานสติภาวนา ตอน ๖
ทางไหน จะแกวงสั้นหรือแกวงยาว จะแกวงเร็วหรือแกวงชา ตามการตอสู ของเด็กก็ตาม, หรือการชักอันไมสม่ําเสมอของตนเองก็ตาม, หมายความวา เขาจะตองจับตาดูอยูทุกครั้งที่แกวง และทุกทิศทาง ที่มันแกวงไป. ครั้งไหน แกวงไปสั้น ครั้งไหนแกวงไปยาวอยางไร เขายอมรูไดดี การกําหนดลมหายใจ ในขั้ น นี้ ก็ มี อุ ป มั ย ฉั น นั้ น . ด ว ยอํา นาจที่ ส ติ ห รื อ จิ ต ก็ ต าม กํา หนดอยู ที่ ลมหายใจนั้น จึงทราบความที่ลมหายใจแลนไปชาหรือเร็ว สั้นหรือยาว ไดอยู ตลอดเวลา เพราะความที่สติไมผละจากลมนั้น และดําเนินไปโดยทํานองนี้ จนกวาจะสม่ําเสมอเปนระเบียบดี จึงเริ่มกําหนดในขั้นละเอียดยิ่งขึ้นไป คือ ในอานาปานสติขั้นที่สาม. กรรมวิธีแหงการเกิดขึ้น ของฉันทะ ปราโมทย และอื่น ๆ มีสติ ญาณ และลมหายใจเป น ต น ในการหายใจสั้ นนี้ ย อ มเป น ไปโดยทํ า นองเดี ย วกั น กั บ ที่ เกิดจากการหายใจยาว โดยประการทั้งปวง.
www.buddhadasa.in.th * * * www.buddhadasa.org (จบอานาปานสติขั้นที่สอง อันวาดวยการกําหนดลมหายใจสั้น)
www.buddhadasa.in.th
ตอน เจ็ด อานาปานสติ ขั้นที่ สาม๑ (การกําหนดลมหายใจทั้งปวง)
อานาปานสติ ขั้ นที่ สามนี้ มีหั วขอว า “ภิ กษุนั้ น ย อมทํ าในบทศึกษาวาเรา เปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง จักหายใจเขา ดังนี้ ; ยอมทําในบทศึกษาวาเราเปน ผูรูพรอมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง จักหายใจออก ดังนี้”.๒ อานาปานสติ ข อ นี้ มี ข อ ที่ จ ะต อ งวิ นิ จ ฉั ย ก็ คื อ คํ า ว า “ย อ มทํ า ในบท ศึกษา”, คําวา “รูพรอมเฉพาะ”, คําวา “กายทั้งปวง”, และ การที่อานาปานสติ ไดดําเนินถึงขั้นที่เรียกวา ญาณ โดยสมบูรณไดแลวตั้งแตขอนี้ไป : คําวา “ยอมทําในบทศึกษา” หมายถึงการประพฤติปฏิบัติ ในบท ที ่ท า นวางไวสํ า หรับ การปฏิบ ัต ิที ่เ รีย กวา สิก ขานั ่น เอง และมีก ารจํ า แนกไวเ ปน ๓ สิกขา คือ สีลสิกขา, สมาธิสิกขา,หรือ จิตตสิกขา, และ ปญญาสิกขา. เกี่ยวกับการที่จะทําในบทสิกขาใหครบทั้ง ๓ อยางไดอยางไรนั้น ทาน แนะใหพิจารณาวา เมื่อผูนั้นมีการกําหนดลมหายใจเปนตนอยู ชื่อวายอมมีการ สํารวม. เมื่อมีการสํารวม ชื่อวายอมศีล. นี้จัดเปนสีลสิกขาของภิกษุนั้น
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๑ ๒
การบรรยายครั้งที่ ๘ / ๒๙ สิงหาคม ๒๕๐๒ บาลีวา สพฺพกายปฏิสํเวที อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ; สพฺพกายปฏิสํเวที ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ;
๘๑
www.buddhadasa.in.th
๘๒
อานาปานสติภาวนา ตอน ๗
ในขณะนั้ น โดยสมบู ร ณ เ พราะว า เธอไม ส ามารถล ว งสิ ก ขาบทใด ๆ ได ในขณะนั้ น . นี้ชื่อวาเธอยอมทําอยูในบทสิกขาคือศีล ๑. และเมื่อสติของเธอนั้น ไมละจาก อารมณ ไม ปราศจากอารมณ ไม ทิ้ งอารมณ กล าวคื อลมหายใจเป นต นนั้ น ย อมชื่ อ ว าเธอมี สมาธิ คื อความที่ จิ ตมี อารมณ อยู ที่ อารมณ ใดอารมณ หนึ่ ง เพี ยงอารมณ เดี ยว และตั้ ง มั่ น อยู ใ นอารมณ นั้ น ภิ ก ษุ นั้ น ชื่ อ ว า ย อ มทํ า ในบทศึ ก ษา คื อ สมาธิ อ ยู ใ น ขณะนั้น. นี้จัดวาเปนสมาธิสิกขาของภิกษุนั้น ๑. ถัดจากนั้นก็คือการเห็นซึ่ง อารมณนั ้น ๆ หรือ ในอารมณนั ้น ๆ วา มีล ัก ษณะแหง ธรรมเปน อาทิอ ยู อ ยา งไร และเห็นความที่สติเปนตนปรากฏชัดเกี่ยวกับอารมณนั้น ๆ๑ ก็ดี นี้ชื่อวาญาณหรือ ปญญาของภิกษุนั้น ในขณะนั้น. เปนอันวาในขณะนั้น เธอนั้นยอมทําในบท ศึกษา คือปญญาหรือปญญาสิกขา ๑. ดังนั้น ภิกษุนั้น จึงเปนผูปฏิบัติอยูในบท แหงสิกขาทั้งสามโดยครบถวน, และเปนที่นาสนใจอยางยิ่งในขอที่วา ดวยขอ ปฏิบัติเพียงอยางเดียวไดทําใหเกิดมีสิกขา ขึ้นพรอมกันทั้ง ๓ สิกขา อันเปนเครื่องรับ ประกั น ว า แม ด ว ยการทํ า อยู เ พี ย งเท า นี้ ก็ ย อ มทํ า ให เ ป น ที่ ส มบู ร ณ ไ ด ด ว ย ศี ล สมาธิ และป ญ ญา เป น การชี้ ใ ห เ ห็ น ความน า อั ศ จรรย ข องสิ่ ง ที่ เ รี ย กว า ศี ล สมาธิ ปญญา. และเปนคําตอบของปญหาที่วาคนที่ไมไดเลาเรียนปริยัติมาอยางสมบูรณนั้น จะสามารถปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปญญา ใหสมบูรณไดโดยวิธีไร พรอมกันไปในตัว. สิ่งที่พึงสังเกตอีกอยางหนึ่ง คือขอที่วา ในบรรดาอานาปานสติทั้ง ๑๖ ขั้นนั้น พระองคไดทรงเริ่มใชคําวา “ยอมทําในบทศึกษา” ตั้งแตขั้นที่สามนี้ เปนตนไป ตลอดจนถึงขั้นสุดทาย ซึ่งมีความหมายวา ตั้งแตขั้นที่ ๓ ถึงขั้นที่ ๑๖ นั ้น เปน ตัว การปฏิบ ัต ิที ่เ รีย กไดว า เปน ตัว สิก ขาแท และยัง แถมมีค รบทั ้ง ๓ สิกขาอีกดวย. สวนขั้นที่ ๑ และขั้นที่ ๒ เปนเพียงขั้นริเริ่ม คือเริ่ม
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๑
คําวา “อารมณนั้น ๆ” คือหมายถึงอารมณของอานาปานสติในขั้นที่ตนกําลังปฏิบัติ ใน เวลานั้น ขั้นใดขั้นหนึ่ง ใน ๑๖ ขั้นนั่นเอง.
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๓ การกําหนดลมหายใจทั้งปวง
๘๓
ฝกหัดกําหนดอารมณ จะมีบางก็เพียงการสํารวม ซึ่งเปนศีล ; สวนที่เปนสมาธิ และป ญ ญายั ง ไม ป รากฏเต็ ม ตามความหมาย จึ ง ยั ง ไม ถื อ ว า มี ก ารทํ า ในบทศึ ก ษา ที่สมบู รณ ในขั้ นที่ ๑ และขั้ นที่ ๒ นั้ น ซึ่ งเป นเพี ยงการกํ าหนดลมเป นส วนใหญ ; เพิ่งมาสมบูรณในขั้นที่ ๓ นี้เอง จึงกลาวไดวาเปนขั้นที่เริ่มมีญาณแลวโดยสมบูรณ ตามความหมาย. คําวา “รูพรอมเฉพาะ” ในที่นี้ หมายถึงความรูที่สมบูรณ สูงขึ้น ไปกวาความรูที่เปนเพียงสัมปชัญญะอยางในขั้นที่หนึ่งและขั้นที่สอง. คําวา รูพรอม คือรูหมดทุกอยาง. คําวา รูเฉพาะ คือรูอยางละเอียดชัดเจนไปทุกอยาง. รวม ความว า รู อ ย า งสมบู ร ณ ใ นกรณี นั้ น ๆ และในอั น ดั บ นั้ น ๆ อย า งชั ด เจน ซึ่ ง ในที่ นี้ ไดแกรูจัดสิ่งที่เรียกวา กาย กลาวคือลมหายใจนั้นเอง วามีลักษณะอยางไร มีพฤติ อยางไร มีเหตุและมีผลอยางไร เปนตน. เมื่อคําวา กาย ในที่นี้ ไดแกลมหายใจ การรูก็คือรูลักษณะสั้นยาวของลมหายใจ, อาการแหงการเคลื่อนไหวของลมหายใจ, สมุฏฐานแหงลมหายใจ คือความที่มีชีวิตยังเปนไปอยู, และผลจากลมหายใจ คื อ ความที่ ล มหายใจนี้ กํ า ลั ง ทํ า หน า ที่ เ ป น กายสั ง ขาร หรื อ เป น ป จ จั ย แก ชี วิ ต ส ว นที่ เปนรูปธรรมโดยตรงนี้อยู ดังนี้เ ปนตน. เมื่อกลาวโดยสรุปก็คือ รูเรื่องทั้งปวง ของลมหายใจโดยตรงนั้นเอง. และใจความสําคัญที่ตองรูนั้น ตองไปสิ้นสุดลง ที่ รู ค วามเป น อนิ จ จั ง ทุ ก ขั ง อนั ต ตา ของสิ่ ง หรื อ ภาวะเหล า นี้ ทั้ ง หมด ซึ่ ง จะได กลาวถึงในขั้นที่สูงขึ้นไปตามลําดับ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org คําวา “กายทั้งปวง” ควรจะไดรับการวินิจฉัยเฉพาะคําวา “กาย” ตรงเสียกอน จะทําใหเขาใจไดงายขึ้น.
โดย
คําวา “กาย” แปลวา หมู, และแบงออกเปน ๒ ประเภท คือ นามกายและรูปกาย. นามกาย คือหมูนามหรือกลุมนามธรรม ไดแกความรูสึก คิ ด นึ ก ของจิ ต รวมทั้ ง จิ ต เอง ที่ เ รี ย กโดยทั่ ว ไปว า เวทนา สั ญ ญา สั ง ขาร และ
www.buddhadasa.in.th
๘๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๗
วิญญาณเปนวงกวาง. แตโดยเฉพาะในที่นี่นั้นไดแกความรูสึกตาง ๆ ที่เกิดขึ้น ในขณะที่มีการกําหนดลมหายใจ เชนฉั นทะเกิดขึ้ น ปราโมทยเกิ ดขึ้น สติเ กิดขึ้ น ความรู สึ ก ตั ว ทั่ ว พร อ มเกิ ด ขึ้ น เหล า นี้ ล ว นแต เ ป น กลุ ม นามกาย ซึ่ ง จั ด เป น กาย ประเภทหนึ่ง. สวน รูปกาย นั้น โดยทั่วไปหมายถึงมหาภูตรูป คือ ดิน น้ํา ลม ไฟ ที่เปนสวนประกอบสวนใหญของรางกาย. แตในที่นี้ คําวา รูปกาย หมายถึงลมหายใจที่เนื่องกันอยูกับมหาภูตรูปทั้งสี่ นั้นโดยเฉพาะ ในฐานะ เปนสิ่ง ที่ทําใหมหาภูตรูป นั้นดํารงอยู ได มีคาหรือ มีความหมายอยูได และทั้งเป น ที่ตั้งแหงนามกาย มีเวทนาเปนตน สืบไปได. กลาวโดยสรุปก็คือ กาย กลาวคือลม หายใจทําหนาที่เปนกายสังขาร คือปรุงแตงรูปกายใหเปนที่ตั้งแหงนามกายไดสืบไป นั่นเอง, เมื่อผูพิจารณาไดพิจารณาเห็นความที่กายทั้งปวง (คือทั้งรูปกายและ นามกาย) มีอยูอยางไร และสัมพันธกันอยางไรแลว ก็ยอมพิจารณาเห็นความ สํ า คั ญ ของกาย คื อ ลมหายใจโดยเฉพาะได ในฐานะที่ ค วรเพ ง เล็ ง เพี ย งสิ่ ง เดี ย ว ในที่นี้. เมื่อ เปน ดัง นี้ ยอ มเปน การเพีย งพอแลว ที่จ ะกลา ววา “ภิก ษุนั้น เปนผูมีปรกติตามเห็นซึ่งกายในกายทั้งหลาย” (กาเยกายานุปสสี) คือเธอไดมอง เห็นกายอยางใดอยางหนึ่งในบรรดากายทั้งหลายโดยประจักษ ซึ่งในที่นี้หมายถึ ง การเห็นดวยปญญา ซึ่งกายคือลมหายใจ ในระหวางกายทั้งหลายอยางอื่น ๆ ทั้งที่ เปน รูป กายและนามกาย. อาศัย เหตุขอ นี้เ องเปน ใจความสํา คัญ จึง ทํา ให อานาปานสติจตุกกะที่หนึ่ง พลอยไดชื่อวา กายานุปสสนาสติปฏฐาน ซึ่งมีหลัก สําคัญวา ภิกษุเปนผูมีปรกติตามเห็นซึ่ง กายในกายทั้งหลาย อยูเปนประจํา ซึ่งในที่นี้ ไดแกรูอยูทุกลมหายใจเขาออกดังนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org คําวา “ทั้งปวง” แมจะกินความไปถึงวากายทุกชนิด ก็จริงอยู แต ในที่ นี้ หมายความแต เพี ยงว า กายคื อลมหายใจทั้ งหมด หรือเรื่ องทั้ งหมดที่ เกี่ ยว
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๓ การกําหนดลมหายใจทั้งปวง
๘๕
กับกายนั้น. เมื่อคําวา กาย ในที่นี้ไดแกลมหายใจ เรื่องที่จะตองรู ก็คือเรื่อง ทุ กเรื่ องเกี่ ยวกั บลมหายใจนั้ นโดยตรง คื อว าลมหายใจนั้ น มี ลั กษณะอาการเป นต น อยางไร ? และมีอะไร เกิดขึ้นเนื่องจาก ลมหายใจนั้น ? อนึ่งสําหรับ อานาปานสติขั้นที่สามนี้ ยังอยูในกลุมของเรื่องที่เปนสมาธิ โดยสวนใหญ คําวา กายทั้งปวง จึงมี ความหมายสวนใหญ เทาที่เกี่ยวกับความเปนสมาธิ ที่ทําใหเกิด ขึ้นได เนื่ องจากลมหายใจนั้ น เพราะฉะนั้ น จึ งกล าวได โดยเจาะจงว ากายทั้ งปวงก็ คื อ ลมหายใจทั้งปวงนั่นเอง. การกําหนดรูกายทั้งปวง ก็คือการกําหนดรูลมหายใจ โดยประการทั้งปวง นั้นเอง. วิธีการกําหนดรูลมหายใจทั้งปวง ทานแนะวิธีกําหนดอยางงายไวดวย การแบง แยกเปน เบื ้อ งตน ทา มกลาง และที ่ส ุด ของลมหายใจเสีย กอ น ขอ นี้ ถื อ เอาความรู สึ ก ของบุ ค คลนั้ น เองเป น ประมาณ ว า ตนรู สึ ก ว า ลมหายใจเริ่ ม ตั้ ง ต น ที่ ต รงไหน แล ว เคลื่ อ นไปอย า งไร แล ว ไปสุ ด ที่ ต รงไหน จึ ง กลั บ ออกหรื อ กลั บ เข า แลวแตกรณี. ในการหายใจเขายอมกลาวโดยสมมติไดวา ลมหายใจมีการตั้งตน จากข า งนอก ซึ่ ง จะต อ งเป น ที่ ช อ งจมู ก หรื อ จุ ด ใดจุ ด หนึ่ ง ในบริ เ วณนั้ น อั น เป น จุ ด ที่เรารูสึกวา ลมไดกระทบในเมื่อไดมีการผานเขาไปจากภายนอกสูภายใน. ในกรณี ของคนปรกติ ก็อ ยู ที ่ป ลายจะงอยจมูก เปน ธรรมดา แตใ นกรณีข องบุค คลที ่มี ริ ม ฝ ป ากสู ง เชิ ด เกิ น ไป ก็ จ ะมี ค วามรู สึ ก ที่ ริ ม ฝ ป ากบน ดั ง นี้ เ ป น ต น แล ว ก็ ถื อ เอา โดยสมมติ หรือโดยบัญญัติก็ตาม วานี้เปน จุดเบื้องตน ของลมหายใจเขา. สวนคําวา ทา มกลาง นั ้น หมายถึง ระยะตั ้ง แตจ ุด เบื ้อ งตน เปน ตน ไป จนถึง ที ่ส ุด หรือ เบื ้อ งปลาย เพาะฉะนั ้น เราจะตอ งพิจ ารณาถึง จุด ที ่ส ุด หรือ จุด เบื ้อ งปลาย กันเสียกอน. ลมหายใจเขา ไดเขาไปจนถึงที่สุดที่ไหน แลวจึงกลับออกมานั้น ไม จํ า เป น จะต อ งยึ ด ถื อ ในข อ เท็ จ จริ ง อะไรให ม ากมายเกิ น ไป เอาแต ค วามรู สึ ก อย า งใดอย า งหนึ่ ง ที่ ป รากฏชั ด กว า อย า งอื่ น และสะดวกแก ก ารกํ า หนด ยิ่ ง กว า
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๘๖
อานาปานสติภาวนา ตอน ๗
อยางอื่นก็พอแลว. เมื่อเราลองหายใจเขา เขาไปใหมากที่สุด แลวถือเอาความ รู สึ ก ของเราเอง ว า ความกระเพื่ อ มหรื อ ความเคลื่ อ นดั น ของลมหายใจนั้ น ได แ สดง อาการระยะสุด ทา ยของมัน ที่ต รงไหน เราก็เ อาตรงนั้น เปน ที่สุด . ขอ นี้ ทา น ถื อ กั น เป น หลั ก ทั่ ว ไปว า ไปสุ ด อยู ที่ บ ริ เ วณสะดื อ และจั ด เอาจุ ด สะดื อ นั้ น เป น ที่ สุ ด หรือเปนเบื้องปลายของการหายใจเขา. ผูศึกษาจะตองทําความสําเหนียกไวดวยวา ในที ่นี ้ม ิไ ดเ ปน การเรีย นกายวิภ าควิท ยา หรือ สรีร วิท ยา แตเ ปน เรื ่อ งของการ ฝกหัดสมาธิ ; ขอเท็จจริงของลมหายใจ จะเปนอยางไร ไมใชของสําคัญ ขอ สําคัญอยูตรงที่เราจะกําหนดมันใหไดอยางไรตางหาก ; จึงเปนอันใหยุติไดวาที่สุด ของลมหายใจที่เปนภายในนั้น อยูตรงที่สะดือก็พอแลว. เมื่อ เปนดังนี้ ก็เปน อันกลาวไดวา สําหรับการหายใจเขานั้น ลมหายใจมีเบื้องตนอยูที่ปลายจะงอย จมู ก และมี เ บื้ อ งปลายอยู ต รงที่ ส ะดื อ และมี ท า มกลางอยู ต รงบริ เ วณกึ่ ง กลาง ระหวางนั้น. แตสําหรับการกําหนดนั้น จะตองถือเอาทั้งหมดคือตั้งแตปลายจมูก จนถึงสะดือวาเปนสวนทามกลาง. สวนการหายใจออกนั้น มีการบัญญัติในทาง กลั บ ตรงกั น ข า ม คื อ เอาที่ ส ะดื อ เป น เบื้ อ งต น และที่ ป ลายจะงอยจมู ก เป น เบื้ อ ง ปลาย โดยความที่กลับกัน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org การเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งกาย (คือลมหายใจ) ทั้งปวง มีขึ้นมาได ในเมื่อมีการกําหนดลมนั้น ตลอดตั้งแตเบื้องตน ทามกลาง และที่สุด โดยไมมี ระยะวางเวน ทั้งขณะหายใจเขาและหายใจออก. โดยที่แทตามธรรมชาตินั้น จิ ต เป น ของกลั บ กลอกได เ ร็ ว ในชั่ ว ระยะการหายใจเข า หรื อ ออกครั้ ง หนึ่ ง นั้ น ถ า ไม กํ า หนดกั น ให ทั่ ว ถึ ง จริ ง ๆ จิ ต อาจจะผละจากการกํ า หนดลมหนี ไ ปคิ ด เรื่ อ งอื่ น ได ตั้ ง หลายแวบ ในชั่วระยะการหายใจเขาและออกเพียงครั้งเดียว. ตัวอยางเชน
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๓ การกําหนดลมหายใจทั้งปวง
๘๗
ในขณะตั้งตนหายใจเขา จิตกําหนดอยูที่ลม เมื่อหายใจเขาถึงที่สุด จิตก็กําหนด อยูที่ลมได แตในระยะที่เปนระหวางตรงกลางนั้น จิตอาจจะหนีไปคิดถึงสิ่งอื่นใด เสี ย แวบหนึ่ ง หรื อ สองสามแวบก็ ยั ง ได ถ า หากว า มิ ไ ด มี ก ารกํ า หนดในระยะที่ เรียกวาทามกลางนั้นไวอยางมั่นคงจริง ๆ. ด ว ยเหตุ ดั ง กล า วมานี้ แ หละ ท า นจึ ง ตั ก เตื อ นว า ระยะที่ เ รี ย กว า ทามกลางนั่นเอง เปนระยะที่ตองระมัดระวังอยูอยางเขมงวดกวดขัน ดวย อุบายตาง ๆ กัน เชน อุบายอยางหยาบ ๆ มีการสอนใหนับชา ๆ ๑ - ๒ - ๓ - ๔ - ๕ หรือกระทั่งถึง ๑๐ ตลอดเวลาที่ทําการหายใจเขาหรือออกครั้งหนึ่ง แลวแตความ เหมาะสมของบุคคลหนึ่ง ๆ เปนคน ๆ ไป. เมื่อตองกําหนดในการนับอยูตลอด เวลา จนกว าจะสิ้ นสุดการหายใจครั้ งหนึ่ ง ๆ จิตก็ไม มีโอกาสจะผละหนีไปไหนได . และทั้งเปนการทําใหสามารถควบคุมความสั้นยาวของการหายใจไดเปนอยางดี ดวย การนั บ จํ า นวนให ม ากขึ้ น หรื อ น อ ยลง แล ว แต ต นจะต อ งการลมหายใจสั้ น ยาว เพียงไร. รายละเอียดเรื่องนี้ จะกลาวถึงในขั้นที่สี่ขางหนา ในตอนอันวาดวย คณนา สวนที่เปน อุบายอยางละเอียด นั้น อยากจะแนะวาใหทําอุบายในการ กําหนดเสมือนหนึ่งวา จิตนั้นถูกผูกติดอยูกับลม ถูกลมลากพาไปมา ตลอดระยะ การหายใจทั้งเขาและออก. และดวยเหตุนี้เอง เขาจะตองมีการหายใจชนิดที่เพียง พอที ่จ ะทํ า ใหรู ส ึก ไดว า เดี ๋ย วนี ้ล มกํ า ลัง เคลื ่อ นหรือ เดิน ไปถึง ไหนแลว ทั ้ง เขา และออก. เขาจะตองทําความรูสึกคลายกับวาทางลมเดินนั้น ออนหรือไว ตอ ความรูสึกอยางยิ่ง, ลมเหมือนกับสิ่งสิ่งหนึ่งหรือกอนอะไรกอนหนึ่ง ซึ่งวิ่งถูไป ถูมา อยูบนทางนั้น อยางที่จะกําหนดไดโดยงาย. ดวยอุบายนี้เอง ทําใหเรา สามารถกํ าหนดลมหายใจได ติดตอกั นทุ กระยะ ว ามั นเริ่ มต นที่ ตรงไหน เคลื่ อนไป อยา งไร ไปสิ ้น สุด ที ่ต รงไหน หยุด อยู ที ่ต รงไหน นานเทา ไร แลว มัน จึง กลับ ออกมา หรือกลับเขาไป แลวแตกรณี. เขาทําดุจประหนึ่งวาลมหายใจนั้น เปน
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๘๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๗
ดวงมณีว ิเ ศษดวงหนึ ่ง ซึ ่ง วิ ่ง ไปวิ ่ง มา อยู บ นเสน ทางทางหนึ ่ง ซึ ่ง จะไมย อมให ละไปจากสายตาไดแมชั่วขณะจิตเดียว หรือกระพริบตาเดียว. ถ า เปรี ย บด ว ยอุ ป มาอี ก อั น หนึ่ ง ที่ แ ล ว มา ก็ คื อ ว า เมื่ อ เขาเป น คนใช ที่ เ ลี้ ย งลู ก ของนาย และจะต อ งระมั ด ระวั ง เด็ ก ไม ใ ห ต กจากเปลแล ว ตลอดเวลาที่ เด็กยังไมหลับ หรือถึ งกับพยายามลงจากเปล เขาจะตองจับตาของเขาอยูที่เด็กไมให ว า งเว น ได ไม ว า เปลนั้ น กํ า ลั ง ไกวไปถึ ง ที่ สุ ด ข า งโน น หรื อ กลั บ มาถึ ง ที่ สุ ด ข า งนี้ หรื อยั งอยู ตรงกลางในขณะใดขณะหนึ่ งก็ ตาม ล วนแต เป นขณะที่ เด็ กจะลุ ก ออกมา จากเปลได ทั้ ง นั้ น สายตาของเขาจึ ง ต อ งจั บ อยู ที่ เ ด็ ก นั้ น ตลอดเวลามิ ไ ด มี ร ะยะว า ง เว น ซึ่ ง กล า วได ว า เขาได เ ห็ น เด็ ก อยู โ ดยประการทั้ ง ปวง และตลอดเวลาทั้ ง ปวง เหลา นั้น ไมวา สิ่ง ใด ๆ จะเกิด ขึ้น แกเ ด็ก เขายอ มรูเ ห็น โดยสิ้น เชิง ; ขอ นี้มี อุปมาฉันใด ผูปฏิบัติก็ใชสติเปนเครื่องกําหนดลมหายใจ ใหจิตกําหนดอยูตรง ที่ล มหายใจโดยประการทั้งปวง และตลอดเวลาทั้งปวง โดยไมมีร ะยะเวลา วางเวน ฉันนั้น, ในที่สุด ผูปฏิบัติเชนนั้น ก็สามารถเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งกาย คื อ ลมหายใจทั้ ง ปวง ด ว ยการกํ า หนดเบื้ อ งต น ท า มกลาง และเบื้ อ งปลาย อย า ง ติดตอกันไมขาดสายดวยอาการอยางนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เมื่ อ มี ก ารกระทํ า อยู ดั ง นี้ อย า งถู ก ต อ งตามระเบี ย บวิ ธี แ ล ว กาย คื อ ลมหายใจก็ ปรากฏชั ด สติ ก็ ปรากฏชั ด ญาณหรื อความรู สึ กต าง ๆ ตามควรแก กรณี ก็ปรากฏชัด, สติปรากฏโดยความเปนสติ, ญาณก็ปรากฏโดยความเปนญาณ, กายก็ ป รากฏโดยความเป น กาย,ไม ป รากฏในฐานะอั น จะเป น ที่ ตั้ ง แห ง ความยึ ด มั่ น
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๓ การกําหนดลมหายใจทั้งปวง
๘๙
ถือมั่น วาเปนสัตวหรือบุคคล วาเปนตัวตนหรือเปนเราเปนเขา. เมื่อเปนดังนี้ ก็ ก ล า วได ว า เขาเป น ผู รู พ ร อ มเฉพาะซึ่ ง กายทั้ ง ปวงจริ ง ๆ เห็ น กายคื อ ลมหายใจ ในบรรดาในกายทั้งหลายทั้งปวงอยูเปนปรกติ, จนไมมีโอกาสสําหรับการเกิดขึ้น แหงอภิชฌาและโทมนัส หรือกิเลสอื่นใด. อุเบกขาชื่อวาตั้งมั่นดวยดีอยูตลอดเวลา เปนทางนําไปสูความเกิดขึ้นแหงสมาธิที่แนวแนในลําดับตอไป ดังนี้. (จบอานาปาสติขึ้นที่สาม อันวาดวยการกําหนดลมหายใจทั้งปวง)
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
ตอน แปด อานาปานสติ ขั้นที่ สี๑่ (การทํากายสังขาร ใหรํางับ)
อานาปานสติ ขั้ น ที่ สี่ นี้ มี หั ว ข อ ว า “ภิ ก ษุ นั้ น ย อ มทํ า ในบทศึ ก ษาว า เราเปนผูทํากายสังขาร ใหรํางับอยู จักหายใจเขา ดังนี้ ; ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูทํากายสังขาร ใหรํางับอยู จักหายใจออก ดังนี้”.๒ อานาปานสติขอนี้ มีสิ่งที่ตองศึกษาและวินิจฉัย อยูตรงคําที่วา “กาย สังขาร” และคําวา “ทํากายสังขารใหรํางับอยู” ซึ่งจะไดกลาวเปนลําดับไป : คําวา “กายสังขาร” หมายถึงลมหายใจในเมื่อทําหนาที่ปรุงแตง มหาภูตรูป อันเปนที่ตั้งแหงเวทนาเปนตน ดังที่ไดกลาวมาแลวขางตน ไมจําเปน ต อ งวิ นิ จ ฉั ย อี ก ในที่ นี้ แต ค วรจะเข า ใจสื บ ไปว า ลมหายใจ เป น สิ่ ง ที่ เ นื่ อ งกั น อยู กั บ ร า งกายอย า งใกล ชิ ด ในฐานะเป น สิ่ ง ที่ ป รุ ง สิ่ ง ต า ง ๆ ที่ เ นื่ อ งกั บ ร า งกาย เช น ความรอนหนาวในรางกาย การเคลื่ อนไหวของร างกาย ตลอดถึงความอ อนสลวย และความแข็ ง กระด า งเป น ต น ของร า งกาย เพราะฉะนั้ น จึ ง เป น อั น กล า วได ว า รางกายกับลมหายใจนี้ มีความสัมพันธกัน ในทางที่จะหยาบหรือละเอียด ในทาง
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๑ ๒
การบรรยายครั้งที่ ๙ / ๓๐ สิงหาคม ๒๕๐๒ บาลีวา ปสฺสมฺภยํ กายสงฺขารํ อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ; ปสฺสมฺภยํ กายสงฺขารํ ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ
๙๐
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๔ การทํากายสังขารใหรํางับ
๙๑
ที ่จ ะระส่ํ า ระสายหรือ สงบรํ า งับ ดัง นี ้เ ปน ตน ไดพ รอ มกัน ไปในตัว ซึ ่ง เปน เหตุ ให เ ราสั ง เกตได ว า เมื่ อ ร า งกายหยาบหรื อ ระส่ํ า ระสายเป น ต น ลมหายใจก็ ห ยาบ หรือระส่ําระสายไปตาม ; เมื่อลมหายใจละเอียดหรือรํางับ รางกายก็สุขุมหรือรํางับ ไปตาม ; ฉะนั้น การบังคับรางกาย ก็คือการบังคับลมหายใจ ; การบังคับ ลมหายใจ ก็คือการบังคับรางกายพรอมกันไปในตัว. เมื่อลมหายใจละเอียด หรือ อยู ใ นภาวะที ่ล ะเอีย ด รา งกายก็ส ุข ุม ละเอีย ดไมก ระดา ง ไมเ มื ่อ ยขบ และ ไม ร ะส่ํ า ระสายอย า งอื่ น ๆ จึ ง เป น อั น ว า นอกจากจะเป น เครื่ อ งสั ง เกตว า เป น ไป ด ว ยกั น หรื อ เสมอกั น ทุ ก ลั ก ษณะและอาการแล ว ยั ง เป น สิ่ ง ที่ ต อ งได รั บ การกํ า หนด หรือ การฝก ฝนพรอ มกัน ไปในคราวเดีย วกัน ในฐานะเปน เครื ่อ งสง เสริม ซึ ่ง กัน และกัน ดังที่กลาวแลว. สิ่งที่จะพึงสําเหนียกศึกษาตอไป ก็คือขอที่วาลมหายใจยอมมีลักษณะ หยาบหรือ ละเอีย ด สงบรํ า งับ หรือ ไมส งบรํ า งับ อยู ร ะดับ หนึ ่ง ตามธรรมชาติ ของมันเอง สุดแลวแตรางกายนั้น กําลังเปนอยูอ ยางไร. แตแมวามันจะเปน อยางไรอยูแลวก็ตาม ลักษณะที่เปนอยูตามธรรมชาตินี้ เรายอมบัญญัติวาเปน ของหยาบ หรืออยูในขั้นหยาบ ซึ่งเราจักไดกระทําใหกลายเปนของละเอีย ด หรือสงบรํางับยิ่งขึ้นไปตามลําดับ ดวยอํานาจของกัมมัฏฐาน กลาวคืออานาปานสติในขั้นที่สี่นี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org การทํากายสังขารใหรํางับ. คําวา “การทํากายสังขารใหรํางับ” ที่เรียกวา “รํางับ” ใหเปนที่เขาใจแจมแจงกันเสียกอน.
นั้น ควรจะไดวินิจฉัยถึงกิริยา
www.buddhadasa.in.th
๙๒
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
ดั ง ที่ ไ ด ก ล า วมาแล ว ข า งต น ว า ลมหายใจที่ เ ป น อยู ต ามธรรมชาติ นั้ น จัดเปนของหยาบหรือบัญญัติวาหยาบ แตวาไมปรากฏเพราะมิไดกําหนด ครั้น พอสักวาไปกําหนดเขาเทานั้น ความหยาบก็จะปรากฏขึ้นมาทันทีอยางรุนแรง แลวก็จะเริ่มเปลี่ยนไปในทางที่จะละเอียดหรือสงบรํางับลง. ถายิ่งไปพิจารณา จริง ๆ เขาดวยแลว ก็ยิ่งละเอียดรํางับลงอีกตามลําดับ ดังนี้. ขอนี้อุปมาเพื่อ จะให เข าใจง ายขึ้ น โดยเปรี ยบกั บเสี ยงฆ องเมื่ อ มี การตี ฆ อ ง ย อ มเกิ ดเสี ยงดั งที่ สุ ด ของฆองขึ้น. เมื่อเสียงดังที่สุด สิ้นสุดไปแลว ยอมเหลือ แตเสียงกังวานเปน ระยะยาว. เสียงกังวานในระยะแรก ยอมดังมากเกือบเทากับเสียงที่ตีโดยตรง แต แ ล ว เสี ย งกั ง วานนั้ น ย อ มค อ ย ๆ น อ ยลง หรื อ จางลง ๆ จนถึ ง ขนาดจะไม ไ ด ยินเสียง และเงียบหายไปในที่สุด. เปรียบเทียบกันไดกับลมหายใจ ที่มีลักษณะ อาการละเอี ย ดหรื อ รํ า งั บ ลง ๆ เช น เดี ย วกั บ เสี ย งกั ง วานของฆ อ ง ฉั น ใดก็ ฉั น นั้ น . ขณะที่ ยั ง ไม มี ก ารตี ฆ อ งเสี ย งก็ ไ ม ป รากฏ นี้ ย อ มเหมื อ นกั บ ขณะที่ ยั ง ไม ไ ด กํ า หนด ลมหายใจ รูสึ กว าสิ่ งต าง ๆ เงี ยบไปหมด หรื อราวกะว ามิ ได มี การหายใจเลย ทั้ ง ๆ ที่มีการหายใจอยูเปนปรกติ นี้เปนเพราะยังไมไดกําหนด. พอสักวาไปกําหนดเขา ก็ รู ทั นที ว ามี การหายใจ และอยู ในระดั บที่ หยาบ เช นเดี ยวกั บเอาไม ไปตี ฆ อง ก็ เกิ ด เสียงชนิดที่ดังมากหรือหยาบมากขึ้นมาทันที. ครั้นมีการกําหนดลมหายใจแลว มั นก็ เริ่ มละเอี ยดไปตามลํ าดั บของการกํ าหนด หรื อการพิ จารณาที่ ยิ่ งละเอี ยดลงตาม ลําดับ รํางับลงตามลําดับ เหมือนเสียงกังวานของฆองฉันนั้น, ทั้งหมดนี้ เพื่อจะชี้ ให เห็ นใจความสํ าคั ญ ๒ ประการ คื อถ าไม มี การกํ าหนด ก็ เป นของหยาบ หยาบ อยูตามปกติ แตเรามิรูสึก, และเมื่อไปกําหนดเขา ยอมเปลี่ยนเปนของละเอียด ยิ่งขึ้นไปตามลําดับ. แตการละเอียดโดยอัตโนมัติเชนนี้ ยังไมเปนการเพียงพอ
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๔ การทํากายสังขารใหรํางับ
๙๓
เราจักตองทําใหละเอียดใหถึงที่สุดจริง ๆ โดยวิธีแหงอานาปานสติขั้นที่สี่นี้. นี้คือ ความหมายของคําวา “รํางับ” ในบทบาลีที่มีอยูวา “เราเปนผูทํากายสังขารใหรํางับ อยู” ดังนี้. สิ่งที่ตองวินิจฉัยสืบไป ก็คือทําใหรํางับ ดวยอาการอยางไร ? การทําใหรํางับในที่นี้ อาจจะแบงไดเปน ๒ ประเภท คือ รํางับดวย การกําหนด อยางหนึ่ง และ รํางับดวยการพิจารณา อีกอยางหนึ่ง. การกํ าหนด ในที่ นี้ เป นอาการที่ ทํ าให เป นสมาธิ ได แก การกํ าหนดสติ เขาที่ลมหายใจ โดยอาการที่กลาวในขั้นที่สาม. ยิ่งกําหนดมากขึ้นเพียงไร ลมก็ ยิ ่ง ละเอีย ดมากเขา กระทั ่ง ละเอีย ดถึง ที ่ส ุด ถึง กับ กํ า หนดไมไ ด ตอ งรื ้อ ขึ ้น มา ตั้ ง ต น ใหม ดั ง ที่ จ ะกล า วต อ ไปข า งหน า ก็ ดี หรื อ ละเอี ย ดไปในทางที่ ถู ก จนกระทั่ ง เกิ ด ปฏิ ภ าคนิ มิ ต กลายเป น อั ป ปนาสมาธิ หรื อ ฌานก็ ดี ทั้ ง สองอย า งนี้ ล ว นแต เปนการสงบรํางับดวยการกําหนด และเปนแนวของฝายสมาธิโดยตรง. สวนคําวา “การพิจารณา” นั้น เปนแนวทางฝายปญญา หรือการ ปฏิบัติที่ลัดตรงไปทางวิปสสนา โดยไมประสงคการทําสมาธิถึงที่สุด, หรืออีก อย า งหนึ่ ง ก็ เ ป น แนวปฏิ บั ติ ข องบุ ค คลผู ป ระสงค จ ะทํ า ให ค วบคู กั น ไปทั้ ง ๒ อย า ง การพิ จ ารณาในที่ นี้ จะเป น การพิ จ ารณาตั ว ลมหายใจนั่ น เองก็ ไ ด หรื อ พิ จ ารณา สั จ จะของธรรมชาติ อั น อื่ น ซึ่ ง เรี ย กว า ธรรมะอย า งใดอย า งหนึ่ ง อยู ต ลอดเวลาที่ หายใจเขา-ออก อยูก็ได. ถาสิ่งที่นํามาพิจารณาอยูนั้น เปนของละเอียดยิ่งขึ้น เพียงไร การพิจารณาก็ยิ่งละเอียดมากยิ่งขึ้นเพียงนั้น และลมหายใจก็ยิ่งละเอียด ขึ้ น เพี ย งนั้ น ฉะนั้ น จึ ง เป น อั น กล า วได ว า ผู ที่ ทํ า อานาปานสติ ถึ ง ขั้ น นี้ ย อ มได ชื่ อ ว า เป นผู ทํ ากายสั งขารให รํ างั บอยู ทั้ งในทางของสมาธิ และทั้ งในทางของป ญญา คื อว า เขาจะทําสมาธิใหสูงยิ่งขึ้นไปตามลําดับก็ตาม หรือวาจะยักไปในทางของวิปสสนา คื อพิ จารณาเพื่ อความรู ก็ ตาม ย อมได ชื่ อ ว าเป นผู ทํ ากายสั งขารให รํ างั บอยู ด วยกั น ทั้งนั้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๙๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
สําหรับ การทําการพิจารณา ที่สามารถทํากายสังขารใหรํางับลง ใน ที่ นี้ มี ลํ า ดั บแห ง ความรํ า งั บ ลงตามลํ า ดั บ แห ง ความหยาบละเอี ย ด ของสิ่ ง ที่ นํ า มา พิจารณา คือ : ในขั้นแรก เมื่อยังไมไดพิจารณาหรือกําหนดอะไร ลมหายใจก็หยาบ อยู ตามปรกติ เมื่ อกํ าหนดพิ จารณาอยู ที่ลมหายใจนั้ นว าเปนอย างไรเปนตน ลมหายใจ ก็ยอมสงบรํางับลงทันที ; เมื่อกําหนดพิจารณามหาภูตรูป (คือ ดิน น้ํา ลม ไฟ) ซึ่งเปนของ เนื่องดวยลมหายใจอยู ลมหายใจก็ยิ่งรํางับลงไปกวานั้น ; เมื่อกําหนดพิจารณาอุปทายรูป กลาวคือลักษณะและภาวะตาง ๆ ซึ่ง อาศัยอยูกับมหาภูตรูป ซึ่งเปนของละเอียดยิ่งไปกวามหาภูตรูป ลมหายใจก็ยิ่งรํางับลง ไปกวานั้น ; เมื่อกําหนดพรอมกันทั้งสองอยาง เชนกําหนดพิจารณาอาการที่ อุปาทายรูปเนื่องอยูกับมหาภูตรูปอยางไร เปนตน ลมหายใจก็ยิ่งรํางับลงไปกวานั้น ; เมื่อกําหนดอรูป คือสิ่งที่ไมมีรูปเลย มีอากาศและวิญญาณ เปนตน ลมหายใจก็ยิ่งรํางับลงไปกวานั้น ; เมื่อกําหนดพรอมกันทั้งสองอยาง คือทั้งรูปและอรูป เชนกําหนด ความที่สิ่งทั้งสองอยางนี้แตกตางกันอยางไร และเนื่องกันอยางไรเปนตน ลมหายใจ ก็ยิ่งละเอียดหรือรํางับลงไปยิ่งกวานั้น ; เมื่อกําหนดละเอียดลงไปถึงสิ่งซึ่งเปนปจจัยของรูปและอรูป ซึ่งเรียก อี ก อย า งหนึ่ ง ว า นามรู ป อี ก ต อ หนึ่ ง จนกระทั่ ง เห็ น ว า นามรู ป มี อ ะไรเป น ป จ จั ย และป จ จั ย นั้ น ๆ กํ า ลั ง ปรุ ง แต ง นามรู ป นั้ น อยู อ ย า งไร ดั ง นี้ เ ป น ต น ลมหายใจก็ ยิ่ ง ละเอียดและรํางับลงไปยิ่งกวานั้น ;
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๔ การทํากายสังขารใหรํางับ
๙๕
และ เมื่อไดกําหนดพิจารณาไป กระทั่งถึงลักษณะแหงนามรูป หรือ ความที่ น ามรู ป ประกอบอยู ด ว ยไตรลั ก ษณะ คื อ ความไม เ ที่ ย ง เป น ทุ ก ข เป น อนัตตา ดังนี้เปนตนแลว ลมหายใจก็ละเอียดหรือรํางับลงไปยิ่งกวานั้น. สวนที่ เป นการกํ าหนดแล วพิ จารณา ทั้ งหมดนี้ ย อมแสดงให เห็ นอาการของความสงบรํ างั บ ที่ เ ป น ไปด ว ยอํ า นาจของการพิ จารณาตามแนวของวิ ป ส สนา ซึ่ ง เป นทางของป ญ ญา อั น แตกต า งจากการกํ า หนดอย า งไม พิ จ ารณา ซึ่ ง เป น อาการของสมถะ และเป น แนวของสมาธิ อยางแจงชัด. มี สิ่ง สํา คัญ ที่ค วรจะทราบเสีย ดว ยเลยในที่นี้ วา เมื่อ การเจริญ อานาปานสติ ดํ า เนิ น มาจนถึ ง ขั้ น ที่ สี่ นี้ ผู ป ระสงค จ ะทํ า อานาปานสติ ต อ ไป ตาม ลําดับที่มีอยูใหครบทั้ง ๑๖ ขั้นนั้น ก็ตองทําไปตามแนวของการกําหนดเพื่อความ เปนสมาธิโดยตรงไปกอน จนกระทั่งถึงเกิดจตุตถฌานเปนอยางสูงสุด ดวยอํานาจ ของการทําอานาปานสติขอที่สี่นี้ แลวจึงทําขั้นที่ ๕ ที่ ๖ ตามลําดับไป และไป กํ า หนดความไมเ ที ่ย งเปน ทุก ข เปน อนัต ตาเปน ตน ใหถ ึง ที ่ส ุด เอาในขั ้น แหง อานาปานสติหมวดสุดทาย คือตั้งแตขั้นที่ ๑๓-๑๔ และเปนลําดับไป.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ส ว นบุ ค คลผู ไ ม ป ระสงค จ ะทํ า ให เ ต็ ม ที่ ในฝ า ยสมถะ แต มี ค วาม ประสงค จ ะลดตรงไปสู วิ ป ส สนาโดยด ว น ก็ ส ามารถที่ จ ะยั ก หรื อ เปลี่ ย นการ กําหนด ใหกลายเปนการพิจารณา และ พิจารณารูปนาม โดยความเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อยางยิ่ง ไปเสียตั้งแตอานาปานสติขั้นที่สี่นี้ แลวดําเนินขามเลย ไปยังขั้นที่ ๑๓ – ๑๔ - ๑๕ - ๑๖ ดวยอํานาจของการพิจารณาดิ่งไปในทาง ของปญญาอยางเดียว ดังที่จะไดกลาวในขั้นนั้น ๆ โดยไมหวงหรือไมตองการ
www.buddhadasa.in.th
๙๖
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
บรรลุ ฌานเป นต นไป แต อย างใด ซึ่ งหมายความว าไม ต องการสมาธิ ถึ งขนาดบรรลุ ฌานนั้ น เอง ต อ งการสมาธิ เ พี ย งเท า ที่ จ ะเป น บาทฐานของวิ ป ส สนาเท า นั้ น โดย เพ งเล็ งเอาความดั บทุ กข เป นที่ มุ งหมาย แต ไม ประสงค สมรรถภาพ หรื อ คุ ณสมบั ติ พิเศษ เชนอภิญญาเปนตน. การพิ จ ารณาตามแนวแห ง วิ ป ส สนาในเรื่ อ งนี้ มี ร ายละเอี ย ดอย า งไร จะกลาวขางหนาในเรื่องที่ถึงเขา คือในขั้นที่ ๑๓ ๑๔. ในที่นี้มุงหมายจะ วินิจฉัยกันเฉพาะ การทํากายสังขารใหสงบรํางับ ตามหลักของฝายสมาธิอยาง เดียว แมจะมีการระงับความมีสัตว บุคคล ตัวตน เราเขา ในขั้นเหลานี้บาง ก็ เ ป น เพี ย งการเห็ น ความไม เ ป น สั ต ว บุ ค คล ตั ว ตน เราเขา เพราะสั ก ว า เป น กาย บ า ง เป น ลมหายใจบ า ง เป น สติ บ า ง เป น จิ ต ที่ มี ส ติ กํ า หนดลมหายใจบ า ง เป น สัมปชัญญะคือเปนเพียงญาณในขั้นตน ๆ รูอยูวาอะไรเปนอะไรดังนี้บาง. การเห็น เปน แตธ รรมชาติ ไมเ ห็น ความเปน สัต ว บุค คล ตัว ตน เราเขา ซึ ่ง นา ยึด ถือ หรื อ เป น ที่ ตั้ ง แห ง ความรั ก และความชั ง แต อ ย า งใดทํ า นองนี้ ก็ เ ป น อั น กล า วได ว า เปน การนําอภิชฌาและโทมนัสออกเสียไดระดับหนึ่ง เชนเดียวกัน. โดยใจความ ก็คือวา แมยังเปนเพียงเรื่องของสมาธิ ก็ยังสามารถกําจัดความยึดถือวาสัตว บุคคล ตัวตน เราเขา ไดตามสวนของสมาธินั้น ในเมื่อการกระทํานั้นมีสัมมาทิฏฐิ เปนมูลฐานมาแตเดิม แมจะนอยเพียงไรก็ตาม. ฉะนั้น เราจะไดพิจารณากันถึง การทํ ากายสั งขารให รํ างั บ โดยวิ ถี ทางแห งการกํ าหนดลมหายใจตามแนวสมาธิ โดย ตรงอยางเดียวเปนลําดับไป จนกระทั่งเกิดฌาน ใหเสร็จสิ้นไปเสียกอน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
ลําดับแหงกรรมวิธีของอานาปานสติ๑ เมื่ อ มาถึ ง ขั้ น นี้ ควรจะได ท ราบอย า งทั่ ว ถึ ง กว า งขวางออกไป รวมทั้ ง เรื่ อ งที่ แ ล ว มา และเรื่ อ งที่ จ ะกล า วต อ ไปข า งหน า ที่ ติ ด ต อ เป น สายเดี ย วกั น ว า ลําดับแหงกรรมวิธีของการเจริญอานาปานสติตั้งแตตน จนถึงที่สุด กลาวคือการ บรรลุมรรคผล นั้น อาจจะแบงออกไดโดยหลักใหญเปน ๘ ระยะ คือ : ๑. คณนา การคํานวณหรือการนับ เพื่อทราบความสั้นยาวของ ลมหายใจ หรื อเพื่ อควบคุ มการหายใจอย างมี ระยะ มี เบื้ องต น ท ามกลาง ที่ สุ ดก็ ตาม เปนการกําหนดลมหายใจอยางหยาบ. (มีไดในอานาปานสติ ขั้นที่ ๑ - ๒ - ๓). ๒. อนุพันธนา การติดตามลมหายใจอยางละเอียด ดวยสติที่สงไปตามอยาง ไมทิ้งระยะวาง โดยไมตองนับ ไมตองกําหนดเบื้องตน ทามกลาง ที่สุดเปนตน. (มีไดใน อานาปานสติ ขั้นที่ ๓).
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๓. ผุสนา การกําหนดฐานที่ลมถูกตอง แตเพียงแหงใดแหงหนึ่ง เพียงจุดเดียว เพื่อการเกิดขึ้นแหงอุคคหนิมิต ณ ที่นั้น. (มีไดในอานาปานสติ ขั้นที่ ๔).
๔. ฐปนา ความแนนแฟนมั่นคง แหงการกําหนด ที่พื้นฐานอันเปน ที ่ตั ้ง แหง อุค คหนิม ิต นั ้น จนกระทั ่ง เปลี ่ย นรูป เปน ปฏิภ าคนิม ิต ปรากฏขึ ้น อยา ง ชัด เจนมั ่น คงแนน แฟน เพื ่อ เปน ที ่ห นว งใหเ กิด อัป ปนาสมาธิ หรือ ฌานตอ ไป. (มีไดในอานาปานสติ ขั้นที่ ๔).
๑
การบรรยายครั้งที่ ๑๐ / ๓๑ สิงหาคม ๒๕๐๒
๙๗
www.buddhadasa.in.th
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
๙๘
(ทั้ง ๔ ระยะนี้เปนระยะเนื่องดวยสมาธิโดยตรง.
ตอจากนี้ไป เปนระยะที่
เนื่องดวยวิปสสนา หรือการพิจารณา).
๕. สัลลักขณา การกําหนดพิจารณานามรูป ตามทางของวิปสสนา เพื่อความเห็นแจงลักษณะแหงความไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตา โดยเฉพาะ. (มีไดตั้งแตอานาปานสติ ขั้นที่ ๕ เปนตนไป จนถึงที่สุด). ๖. วิวัฏฏนา อาการตัดกิเลสของมรรค นับตั้งแตวิราคะเปนตนไป จนกระทั่งถึงขณะแหงมรรคโดยตรง. (ยอมมีในจตุกกะที่สี่ ขั้นใดขั้นหนึ่ง). ๗. ปริสุทธิ การบรรลุผลของการตัดกิเลส ที่เรียกโดยตรงวาวิมุตติ ในขั้นที่เปนสมุจเฉทวิมุตติ. (เปนผลแหงการเจริญอานาปานสติในขั้นสุดทาย ที่กําหนด อยูทุกลมหายใจเขา – ออก).
๘. ปฏิปสสนา ไดแกญาณเปนเครื่องพิจารณา ในความสิ้นไปแหง กิเลส และผลแหงความสิ้นไปแหงกิเลส ที่เกิดขึ้นแลว. (เปนการพิจารณาผลอยู
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทุกลมหายใจเขา – ออก).
( ๔ ขั้น ตอนหลังนี้ เปนระยะแหงวิปสสนาและมรรคผล).
เกี่ยวกับการทํากายสังขารใหรํางับนั้น ยอมมีในระยะที่ ๓ และที่ ๔ คือผุสนาและฐปนาโดยตรง. สําหรับระยะที่หนึ่ง คือคณนานั้น เปนเพียงการ กําหนดลมหายใจเขา – ออก ตามที่กลาวมาแลวในอานาปานสติขั้นที่หนึ่งและ ที่สอง. สวนอนุพันธนาระยะที่สองนั้น เปนการกําหนดติดตามลมอยางละเอียด ถี ่ย ิบ และวกไปวกมา ตามอาการที ่ล มแลน ไป ดัง ที ่ก ลา วแลว ในอานาปานสติ ขั้นที่สาม เปนสวนใหญ. แตถึงกระนั้นก็ตาม การมีความรูความเขาใจ และ
www.buddhadasa.in.th
ลําดับแหงกรรมวิธี
๙๙
การกระทํามาอยางถูกตอง ตั้งแตระยะที่หนึ่ง ที่สองนั้น ยอมสงเสริมความสําเร็จ ในระยะที่สาม ที่สี่นี้เปนอยางยิ่ง จึงควรมีการพิจารณามาใหม ตั้งแตระยะที่หนึ่ง ถึงที่สี่ ในลักษณะที่สัมพันธกันอีกครั้งหนึ่ง, ดังตอไปนี้ :
ระยะที่ ห นึ่ ง คื อ คณนา ได แ ก ก ารคํ า นวณหรื อ การนั บ มี ค วาม หมายเปน ๒ อยางคือ คํานวณเพื่อใหรูความสั้นยาวของลมหายใจ อยางหนึ่ง และ เพื่อวาเมื่อคํานวณอยู จิตจะไมมีโอกาสละจากลมหายใจ นี้อีกอยางหนึ่ง. เมื่อมี ความมุ ง หมายอย า งนี้ อาการที่ นั บ หรื อ คํ า นวณนั้ น ต อ งมี ค วามสั ม พั น ธ กั น ด ว ยดี คือการนับหรือคํานวณก็สําเร็จ การปองกันจิตละจากอารมณก็สําเร็จ. การคํานวณ หรื อ การนั บ นั้ น ถ า นั บ ด ว ยสั ง ขยา ก็ นั บ ไม น อ ยกว า ๕ และไม ม ากเกิ น กว า ๑๐. ถาไมนับดวยสังขยาก็คือเพียงแตคํานวณเอาวา สั้นยาวเทาไร, อยางไร ดังที่กลาว แลวในตอนที่วาดวยลมหายใจสั้นหรือยาวนั่นเอง. ทั้งหมดนี้ ตองทําดวยความ ตั้งใจที่มีกําลังพอเหมาะสม ไมเนือยเกินไป และไมขะมักเขมนเกินไป.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org การการหนดนับดวยสังขยานั้น เปนอุบายที่ทําใหการกําหนดเปนไป ในลักษณะที่งายขึ้น แตก็หยาบกวาการคํานวณโดยไมตองนับ.
วิธ ีน ับ ดว ยสัง ขยา คือ ชั ่ว ระยะที ่ห ายใจเขา หรือ หายใจออกครั ้ง หนึ ่ง มีการนับวา ๑ - ๒ - ๓– ๔ - ๕ ใหจบลงพอเหมาะพอดีกันทุกครั้ง ที่หายใจเขา หรือออก. แมจะยืดการนับออกไปถึง ๑๐ คือนับ ๑ - ๒ - ๓ - ๔ - ๕ - ๖ - ๗ - ๘ - ๙ - ๑๐ ก็ตองกะใหจบลงพอดี กับการสิ้นสุดของการหายใจระยะหนึ่ง ๆ. แมจะนับชนิด ๑ ถึง ๖, ๑ ถึง ๗, ๑ ถึง ๘, ๑ ถึง ๙ ก็ตาม ยอมมีวิธีแหง การนับใหลงจังหวะพอเหมาะพอดีอยางเดียวกัน หากแตวาไมนิยม, สูนับถึง ๕
www.buddhadasa.in.th
๑๐๐
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
หรือ ถึง ๑๐ ไมได. การนับอยางนี้จะเห็นไดวา เปนการนับเมื่อมีการหายใจยาว เปน ปรกติเ ทา นั ้น และทั ้ง ยัง เปน ระยะแหง การกํ า หนดเปน เบื ้อ ตน ทา มกลาง ที่ สุ ด หรื อ การกํ า หนดเป น ระยะ ๆ อยู นั่ น เอง และยั ง เป น เหตุ ผ ลเกี่ ย วกั บ ข อ ที่ ว า ไมใ หนอ ยกวา ๕ และไมใ หเ กิน ๑๐, เพราะถา นับ นอ ยกวา ๕ ก็ทิ้ง ระยะ แห ง การนั บ ห า งกั น มาก จนนานพอที่ จ ะทํ า ให จิ ต ผละหนี ไ ปได จ ากอารมณ หรื อ จัดวาเปนอาการนับที่หยาบเกินไป, และมีผลไมตางอะไรกับการกําหนดแตเพียงวา เบื้อ งตน ทา มกลาง ที่สุด. แตถา นับเกินกวา ๑๐ ซึ่ง เปน ระยะที่ติดกันมาก เกิ น ไป ก็ จ ะทํ า ให เ กิ ด อาการลุ ก ลนเมื่ อ นั บ หรื อ ความระหกระเหิ น ในการนั บ ขึ้ น แกจิต . รวมความก็คือ ชา เกิน ไปก็ไ มดี เร็ว เกิน ไปก็ไ มดี หา งเกิน ไปก็ไ มดี ถี่ เ กิ น ไปก็ ไ ม ดี ล ว นแต เ ป น ทางมาแห ง การกระทบกระเทื อ น และความฟุ ง ซ า น แหง จิต ไดดว ยกัน ทั้ง นั้น . นี้คือ การนับ ดว ยวิธีแ หง สัง ขยา ซึ่ง ควรจะทดลอง ฝก ฝนดูใ หค รบถว นทุก แบบ เพราะเปน อุบ ายวิธ ีที ่เ ปน ทั ้ง การฝก ฝน และการ ปรั บ ปรุ ง ให จิ ต อยู ใ นสภาพที่ ค ล อ งแคล ว ทั้ ง ให จิ ต นั้ น รู จั ก ตั ว มั น เองอย า งชั ด เจน ยิ่งขึ้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org วิธีนับโดยการคํานวณความสั้นยาว โดยไมตองมีการนับดวยสังขยา นั้ น มี วิ ธี ก ารดั ง ได ก ล า วแล ว ข า งต น อั น ว า ด ว ยความสั้ น ยาวแห ง ลมหายใจ และ การกํ าหนดความสั้ นยาวนั้ น ในอานาปานสติ ขั้ นที่ ๑ ขั้ นที่ ๒ มาแล วอย างเพี ยงพอ. ในที่นี้ขอสรุปใจความสําคัญแตเพียงวา การคํานวณความสั้นยาวนั้น ก็ตองทํา ดวยความรูสึกที่พอเหมาะพอดี คือไมทําดวยความรอนรน หรือกระหายเกินไป กล า วคื อ มี ค วามตั้ ง ใจรุ น แรงเกิ น ไป หรื อ ทํ า ด ว ยความเฉื่ อ ยชา เนื อ ย ๆ เลื อ น ๆ กลาวคือมีความตั้งใจนอยเกินไป. การทําอยางแรก ทําใหจิตฟุงซาน ซึ่งกําหนด
www.buddhadasa.in.th
ลําดับแหงกรรมวิธี
๑๐๑
อารมณไมได. การทําอยางหลัง ทําใหจิตมีโอกาสผละหนีจากอารมณ โดย ลั กษณะอาการเช นเดี ยวกั บโทษที่ เกิ ด ขึ้ นจากการนั บที่ ม ากหรื อ น อยเกิ น ไป ช าหรื อ เร็วเกินไปนั่นเอง. อุปมาขอนี้เปรียบไดกับการจับนกตัวเล็ก ๆ ถาทํามือหลวม ๆ นกก็หนีไปตามชองมือได ; ถาจับแนนเกินไปนกก็ตายในมือ ไมสําเร็จประโยชน อะไรแกบุคคลผูหวังจะไดนกเปน ๆ ฉันใดก็ฉันนั้น. การนับดวยสังขยาก็ดี การคํานวณโดยไมตองนับสังขยาก็ดี ลวน แตเรียกวา คณนา ในที่นี้ดวยกันทั้งนั้น เปนสิ่งที่ตองทําในขณะที่มีการกําหนด อยู ตลอดระยะสั้นหรื อระยะยาวของลม กล าวคื อตลอดเวลาที่ สติเริ่ มกําหนดไปตามลม ครั้นถัดมาถึงระยะที่ลมหายใจเปนระเบียบแลว มีความรํางั บลงบ างแลว การกําหนด ยางหยาบเชนนั้นก็กลายเปนสิ่งที่ไมควร แตจะตองมีวิธีการกําหนดที่ละเอียดยิ่ง ขึ้นไป กลาวคือการกําหนดเฉพาะแหง อันจะไดกลาวถึงไดโดยสมบูรณขางหนาใน ขั้น ผุสนา, สําหรับในที่นี้ จะกลาวแตพอสังเขปเทาที่ยังคาบเกี่ยวกันอยูบางอยางกับ การนับหรือ คณนา เทานั้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org การกําหนดลมเฉพาะแหง คือเมื่อเห็นวาไมจําเปนจะมีการกําหนดวิ่ง ไปตามลมอยู ต ลอดเวลา เพราะจิ ต รํ า งั บ พอสมควรแล ว ก็ เ ลื อ กกํ า หนดเฉพาะที่ จุ ด ใดจุ ด หนึ่ ง ซึ่ ง ลมจะผ า นไปหรื อ ผ า นมาเท า นั้ น แล ว คอยกํ า หนดนั บ หรื อ คํ า นวณ ณ ที่ นั้ น เพื่ อความเข าใจง าย ก็ ควรย อนระลึ กไปถึ งอุ ปมาเรื่ องคนใช ที่ ไกวเปลเด็ ก อีกตามเคย : เขานั่งอยูที่ตรงเสาเปลซึ่งตั้งอยูกึ่งกลางของการไกวไปและการไกวมา. เมื่ อ เด็ ก ยั ง ไม ห ลั บ หรื อ ไม ง ว ง ยั ง จะดิ้ น ลงจากเปลอยู เขาก็ ต อ งเหลี ย วหน า ไป เหลี ย วหน า มา ซ า ยที ขวาที อยู ต ลอดเวลา จั บ ตาดู เ พื่ อ ไม ใ ห เ ด็ ก นั้ น มี โ อกาสลง จากเปล. แตครั้นเด็กนั้นยอมนอน หรืองวงนอนลงบางแลวเขาก็ไมจําเปน
www.buddhadasa.in.th
๑๐๒
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
ที่ จ ะต อ งทํ า เช น นั้ น คงจั บ ตาอยู เ ฉพาะตรงหน า ชั่ ว ขณะที่ เ ปลผ า นมาเพี ย งแว็ บ หนึ่งเทานั้นก็พอแลว. เขาไมตองเหลียวซายเหลียวขวาอีกตอไป เพราะไมมี ความจําเปนและยังแถมจะเหนื่อยเปลา ขอนี้ฉันใด ; เมื่อลมหายใจเริ่มรํางับลง อยางที่เรียกวา “กายรํางับลง” การปฏิบัติก็เลื่อนไปสูขั้นที่ละเอียดกวาเดิม คือ ไม กํ า หนดด ว ยการวิ่ ง ตามลมเข า ออก แต ไ ปหยุ ด คอยกํ า หนดอยู ต รงจุ ด ใดจุ ด หนึ่ ง ซึ่งเปนการไดเปรียบหรือเหมาะสมที่สุด ฉันนั้น. จุดที่กลาวนี้ ควรที่จะไดรับ การพิจารณาวาจะเปนที่ตรงไหน และเพราะเหตุอะไร. ได ก ล า วมาแล ว ข า งต น ว า เราได แ บ ง พื้ น ฐานของทางลมหายใจสั ม ผั ส ออกเป น ๓ ส ว น คื อ ที่ ต รงปลายจมู ก ที่ ก ลางอก และที่ ส ะดื อ ฉะนั้ น ควรจะ พิจารณาตอไปวา การคอยเฝากําหนดที่จุดไหนจะไดผลอยางไร : สมมติวา ถา กํ า หนดที่ ก ลางอก พื้ น ฐานก็ จ ะใหญ ห รื อ ยาวเกิ น ไป จนยากแก ก ารที่ จ ะกํ า หนดให เปนจุดเล็ก ๆ จุดหนึ่งได : ถากําหนดที่สะดือ ก็ยังเปนการเลื่อนลอย เพราะ เป น เพี ย งการอนุ ม านเอาตามความรู สึ ก ที่ รู สึ ก เป น วงกว า ง ๆ ไม มี จุ ด เล็ ก ๆ ที่ จ ะ สามารถกําหนดไดอยางเดียวกัน : เพราะฉะนั้นจึงเหลืออยูแตที่ชองจมูก ซึ่งเปน จุ ด เล็ ก ๆ จุ ด หนึ่ ง ที่ ล มหายใจจะต อ งผ า นอยู เ สมอ ทั้ ง ออกและเข า และแรงพอที่ จะกํ า หนดได โ ดยง า ย จึ ง เกิ ด ความนิ ย มตรงเป น อั น เดี ย วกั น หมดทุ ก พวก ว า จะตั้ ง จุดแหงการกําหนดที่ตรงนี้ สําหรับการปฏิบัติในขั้นนี้. อุปมาที่ชวยใหเขาใจงาย ยิ่งขึ้นไปอีก ก็ไดแกการเฝาเมือง (สมัยโบราณ) ทั้งเมือง ที่ตรงประตูเมืองแหง เดียว. คนเฝาประตูเมืองไมจําเปนจะตองตรวจคนคนที่ยังไมไดเขาประตูเมือง หรือคนที่ไดเขาเลยประตูเมืองไปจนอยูในเมืองแลว. เขาจะตรวจคนแตบุคคล ที่กําลังจะผานชองประตูเมืองก็แลวกัน. เขายอมเหนื่อยนอย เปลืองเวลานอย แตไดผลมาก นี้ฉันใด ; การกําหนดลมหายใจในขั้นนี้ ก็มีความมุงหมายฉันนั้น
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
ลําดับแหงกรรมวิธี
๑๐๓
คื อการกํ าหนดเฉพาะต อเมื่ อลมผ านช องจมู ก โดยเฉพาะที่ ปลายจะงอยจมู กด านใน. ให ป ฏิ บั ติ ทํ า ความรู สึ ก ราวกะว า ที่ ต รงนั้ น เป นเนื้ อ อ อ นมากหรื อ กํ า ลั ง เป นแผล ซึ่ ง มี อาการไวต อ ความรู สึ กอย างยิ่ ง ถึ ง กั บว า เมื่ อ ลมผ านแม เ พี ยงเล็ กน อ ย ก็ ยั งอาจที่ จะรูสึกได. สติคอยกําหนดอยูที่จุดนี้จุดเดียว ก็เปนการเพียงพอสําหรับการปฏิบัติ ในขั้นนี้ และพึงทราบลวงหนาไวเสียดวยวา ณ จุด ๆ นี้เอง ซึ่งจะไดนามวา ผุสนา อันเป นระยะที่ สาม ของกรรมวิธีของการกําหนดซึ่งจะตองพิจารณากันอยางละเอียด ขางหนา. สําหรับคนธรรมดาเรา ๆ ก็มีทางที่จะกําหนดจุด ๆ นี้ไดโดยงาย และ จะงายยิ่งขึ้นไปอีก สําหรับคนประเภทที่มีจมูกโงงเปนขอ. สําหรับคนประเภทที่มี จมู ก สั้ น และหั ก หงาย เช น จมู ก ของชนเผ า พั น ธุ นิ โ กร ทํ า ให มี ก ารกํ า หนดที่ สุ ด ช อ ง จมู กได ยากกว าคนธรรมดา เพราะลมหายใจจะพุ งไปกระทบที่ ริ มฝ ปากบน ทํ าให มี ความรูสึกที่ตรงนั้นมากกวาที่ปลายจมูก. ถาเปนอยางนี้ ทานแนะใหเปลี่ยน ตํ า แหน ง จุ ด ที่ ป ระสงค นั้ น ไปที่ จ ะงอยฝ ป ากบน แทนที่ จ ะเป น ที่ ป ลายจะงอยจมู ก ซึ่งเรื่องนี้เจาตัวทุกคน ยอมรูไดดีดวยตนเอง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เป นอั นว าในบั ดนี้ การกํ าหนดลมหายใจได เปลี่ ยนการกํ าหนดนั บตลอด สาย มาเป นการกํ าหนดนั บเมื่ อลมผ าน เฉพาะที่ จุ ดใดจุ ดหนึ่ ง ด วยอาการดั งกล าว แลว ; ฉะนั้น ในกรณีนี้ การนับหรือการคํานวณยอมเปลี่ยนไปตาม กลาวคือ สํ า หรับ การนับ อยา งวิธ ีส ัง ขยา ทา นแนะใหน ับ คราวละ ๕ คือ เริ ่ม นับ เปน ๕ เปน ๑๐ เปน ๑๕ - ๒๐ - ๒๕ เรื่อยไป ทุกคราวที่ลมผานจุด ๆ นี้. หรือจะนับ เปนคราวละสิบ, เปน ๑๐ - ๒๐ - ๓๐ - ๔๐ - ๕๐ แทนก็ได : ไมตองมีการแจก โดยรายละเอียดเปน ๑ - ๒ - ๓ - ๔ - ๕ อีกตอไป ก็จะเขารูปกันได กับการฝก ในระยะที่แลวมา และดําเนินไปไดโดยสะดวกในตัวมันเอง. สวนการคํานวณ
www.buddhadasa.in.th
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
๑๐๔
โดยไมต อ งนับ นั ้น ก็ก ลายเปน การคํ า นวณเอาตรงจุด นั ้น เพื ่อ ใหรู ล มสั ้น หรือ ยาว หนักหรือเบา หยาบหรือละเอียดเปนตน ไดผานเขาหรือ ผานออก ก็รูไดที่ตรงนั้ น เอง. นี่เปนเรื่องทั้งหมดของคณนา หรือการคํานวณ. ไดแกการติดตามลมอยางละเอียด ใกล ช ิ ด ถึ ง ที ่ ส ุ ด โดยทุ ก วิ ถ ี ท างนั ้ น ส ว นใหญ เ ป น ลั ก ษณะของปฏิ บ ั ต ิ แ ห ง อานาปานสติขั้ นที่ ๓ โดยตรง กล าวคื อการกําหนดรู ซึ่งลมหายใจทั้ งปวง หายใจ เขาอยู หายใจออกอยู. สําหรับวิธีปฏิบัติในขั้นนี้ ก็ยังเปนการกําหนดลมหายใจ อยู นั่ น เอง หากแต ว า เป น ขั้ น ที่ ล ะเอี ย ดยิ่ ง ขึ้ น ไป โดย การขจั ด อาการหรื อ วิ ธี ก าร ตาง ๆ ที่เปนภาระในการกําหนดใหนอยลง เทาที่จะใหนอยได. อธิบายวา เมื่อมี การกํา หนดชนิด ที่ เป น การนั บ หรื อ ชนิ ด ที่ กํา หนดเปน เบื้ อ งต น ท า มกลาง ที่ สุ ด อยู เ พี ย งใด การกํ า หนดก็ ต อ งยั ง หยาบอยู เ พี ย งนั้ น คื อ ต อ งมี ค วามรู สึ ก ที่ เ กิ ด ดั บ เกิดดับ ทุกคราวที่กําหนดวาเบื้องตน หรือทามกลาง หรือที่สุด. การกําหนด ขนาดที่เรียกวาวิตก ซึ่งจะเปนองคฌานขางหนาก็ยังหยาบอยู หรือมีวิตกไปในทาง ความหมายของคํานั้น ๆ : แทนที่จะมีวิตกอยูที่ลมหายใจเพียงจุดเดียว ก็ไปมีวิตก เปนเบื้องตนบาง ตรงกลางบาง ที่สุดบาง เปนการรบกวนจิตอยางหยาบอยู. การ ละการกําหนดเช นนั้นเสี ย สง สติ ไปตามโดยไม ตอ งมี การกําหนดเป นระยะเช นนั้ น เลย ยอมเปนการกําหนดที่เขาถึงตัวลมอยางประณีตกวา หรือละเอียดกวา ไมวา จะเปนการกําหนดตลอดสาย หรือเปนการกําหนดเฉพาะจุดก็ตาม. ยิ่งสําหรับ การนับดวยแลว นับวายิ่งหยาบไปกวานั้นอีก จึงควรเวนเสียโดยสิ้นเชิงในขั้นนี้.
ระยะที่สอง คือ อนุพันธนา
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เนื่องจากการเจริญอานาปานสติขั้นที่สาม ซึ่งเปนการกําหนดลมหายใจ โดยประการทั้ ง ปวงนั้ น ก็ ยั ง สามารถปฏิ บั ติ ใ ห เ ขยิ บ สู ง ขึ้ น มา จนถึ ง ขั้ น ที่ ไ ม มี ก าร
www.buddhadasa.in.th
ลําดับแหงกรรมวิธี
๑๐๕
กําหนดวาเปนเบื้องตน ทามกลาง หรือที่สดุ ภายหลังไดทําการกําหนดโดยอาการ เชนนั้นมาแลวอยางเพียงพอ : ดวยเหตุนี้ แม การกําหนดลมเฉพาะที่ผานตรง ชองจมูก ก็ยังเปนสิ่งที่กลาวไดวาเปนการกําหนดกายสังขาร หรือลมหายใจ “ทั้งปวง” อยูนั่นเอง ทั้งที่สติไมไดวิ่งตามลมหายใจเขาออก คงกําหนดอยู เฉพาะที่ตรงนั้น เหมือนนายประตูที่ตรวจตราอยูตรงที่ประตูแหงเดียว ก็เปนอันชื่อวา ตรวจคนทั้งหมด ทั่วทั้งในเมืองและนอกเมือง ไมวาคนเหลานั้นจะเขาหรือออก หรือเดินวกไปวนมา ชนิดใดก็ตาม ฉันใดก็ฉันนั้น. การกําหนดอยู ณ จุด ๆ เดียว โดยหลักเกณฑเชนนี้ มีผลเทากับเปนการกําหนดวกกลับไป กลับมา, เทากับเปน การกําหนดเปนวงกลม และเทากับเปนการกําหนดอยางถี่ยิบ ไมมีระยะวางเวน โดยประการทั้งปวง อยางนี้. โดยความหมายอยางนี้เอง จึงไดชื่อวา อนุพนั ธนา คือการติดตามอยางใกลชิดถึงที่สุด และไมมีระยะวางเวน และจัดเปนระยะที่สอง ของกรรมวิธีแหงมนสิการอานาปานสติกัมมัฏฐาน ซึ่งผูปฏิบัติจะตองสังเกตให เขาใจอยางแจงชัดจริง ๆ เปนพื้นฐานเสียกอน จึงจะสามารถปฏิบัติกาวหนาใน อันดับตอไปไดโดยสะดวก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org หลั กสํ าคั ญมี อยู ว า ยิ่ งกํ าหนดลมที่ ละเอี ยดยิ่ งขึ้ นไปเพี ยงใด หรื อโดยวิ ธี เข า ถึ ง ตั ว ลมโดยละเอี ย ดประณี ต ยิ่ ง ขึ้ น ไปเพี ย งใด จิ ต ก็ จ ะยิ่ ง กลายเป น ของละเอี ย ด หรือ สงบรํ า งับ ประณีต ยิ ่ง ขึ ้น ไปเพีย งนั ้น โดยอาการแหง อัต โนมัต ิ คือ เปน ไปใน ตัวเอง ; เพราะฉะนั้น ผูปฏิบัติจะตองสนใจในลม หรือในการกําหนดลม โดย วิธีที่เรียกวา ละเอียดแยบคาย ยิ่งขึ้นไปทุกที ใหเพียงพอกัน.
www.buddhadasa.in.th
๑๐๖
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
ระยะที่สาม๑ คือ ผุสนา ไดแกฐานที่ลมถูกตอง. ระยะนี้ตอง ศึก ษาพรอ มกัน ไปกับ ระยะที ่สี ่ คือ ฐปนา ซึ ่ง หมายถึง การที ่จ ิต กํ า หนด หรื อ ตั้ ง ลงอย า งมั่ น คง จึ ง จะเข า ใจได โ ดยง า ย เพราะเป น สิ่ ง ที่ เ นื่ อ งกั น อย า งใกล ชิ ด และทั้งยังคาบเกี่ยวไปถึงระยะที่ ๒ กลาวคือ อนุพันธนา โดยปริยายอีกดวย. ผุสนา หมายถึง ฐานที่ ลมถูกตอง ก็ได หมายถึง การถู กตอง ก็ไ ด โดยใจความหรือ โดยพฤติน ัย ยอ มเปน อยา งเดีย วกัน เพราะถา ไมม ีก ารถูก ตอ ง ก็ยอมไมมีฐานที่ถูกตอง : และอีกประการหนึ่งก็คือ ถาไมมีการกําหนดแลว ยอม ไม มี ทั้ ง การถู ก ต อ งและฐานที่ ถู ก ต อ ง เพราะฉะนั้ น เป น อั น กล า วได ว า มี ก ารกํ า หนด เมื่อไร และที่ไหน ผุสนาก็จะมีเมื่อนั้น และที่นั่น. ในระยะแรกแห งการปฏิ บั ติ ย อมมี การกํ าหนดลมหายใจตลอดสาย คื อ จากเบื ้อ งตน ถึง ที ่ส ุด ดัง ที ่ก ลา วแลว ในอานาปานสติขั ้น ที ่ ๑ ที ่ ๒ และที ่ ๓, ผุ ส นา ชื่ อ ว า มี ต ลอดสายอยู แ ล ว หากแต ว า การฝ ก ในระยะนั้ น ยั ง ไม มี เ รื่ อ งที่ จ ะต อ ง กล า วถึ ง ผุ ส นา เพี ย งแต เ ป น การฝ ก ให ส ติ กํ า หนดอยู ที่ ล ม โดยเอาลมนั้ น เป น นิ มิ ต ของการกําหนด และเรียกวา “บริกรรมนิมิต” ยังเปนของหยาบอยู. สวนในบัดนี้ จะกํ า หนดเอาจุ ด ใดจุ ด หนึ่ ง แห ง พื้ น ที่ ห รื อ ฐานที่ ล มถู ก ต อ งมาเป น นิ มิ ต เพื่ อ การ ปฏิบ ัต ิที ่ล ะเอีย ดยิ ่ง ขึ ้น ไป จึง ตอ งเริ ่ม สนใจไปยัง พื ้น ฐานที ่ล มถูก ตอ ง ซึ ่ง ในที ่ส ุด ก็ไดแกจุด ๆ หนึ่ง ที่ปลายจะงอยจมูก ดังที่ไดกลาวแลวขางตน. การกําหนด นิมิตจึงเปลี่ยนจากลมที่เคลื่อนไปเคลื่อนมา แตไปกําหนดลงที่ตรงพื้นฐานจุดนี้และ
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๑
การบรรยายครั้งที่ ๑๑ / ๔ กันยายน ๒๕๐๒
www.buddhadasa.in.th
ลําดับแหงกรรมวิธี
๑๐๗
ทํ า พื้ น ฐานจุ ด นี้ ใ ห เ ป น ที่ ตั้ ง ของนิ มิ ต อั น ใหม ใ นขั้ น ที่ ป ระณี ต ยิ่ ง ขึ้ น และเมื่ อ ทํ า ได สําเร็จยอมไดนามวา “อุคคหนิมิต” ซึ่งจะตองกําหนดเรื่อยไปและฝกฝนเรื่อยไป แกไขอุปสรรคตาง ๆ ใหลุลวงไปดวยดี มีรายละเอียดตาง ๆ ดังที่จะไดกลาวขางหนา จนกระทั่งนิมิตนั้นตั้งลงแนนแฟนมั่นคง กลายเปน ฐปนา จนกระทั่งทําใหเกิด “ปฏิภาคนิมิต” ขึ้นไดในที่สุด ซึ่งจะไดอาศัยเปนที่หนวงใหเกิดฌานสืบไป. พึ ง สั ง เ ก ต ใ น ที่ นี้ อี ก ค รั้ ง ห นึ่ ง ว า ผุ ส น า กั บ ฐ ป น า เ ป น สิ่ ง ที่ เ นื่ อ ง กั น อยางที่ไมแยกจากกันได. มีการกําหนดลมที่ถูกตองพื้นฐานสําหรับการกําหนด ที ่ต รงไหน ก็เ ปน ผุส นาที ่ต รงนั ้น และฐปนาก็ม ีอ ยู ใ นนั ้น หากแตย ัง ไมเ รีย กวา ฐปนาแท จนกว า เมื่ อ ไร การกํ า หนดผุ ส นาเป น ไปด ว ยดี เป น ระยะยาวได ต ามที่ ตอ งประสงค ฐปนาจึง จะตั้ง ลงเองโดยสมบูร ณ เกิด เปน การกํา หนดโดย ไมต อ งมี ก ารกํ า หนด ขึ้ น มาในขณะนั้ น โดยจะเรี ย กว า เป น การหยุ ด กํ า หนด เพราะการกําหนดไดตั้งมั่นถึงที่สุดแลว ดังนี้ก็ยังได. ขอนี้อาจจะเปรียบเทียบดวย อุปมางาย ๆ เชนการจับของบุคคลที่เอามือไปจับเขาที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ; กิริยาที่จับ นั้นเอง เรียกวาจับ, ครั้นเอามือไปจับเสร็จแลว แมมือยังหยุดอยูที่นั้น แตการ จับ ก็สิ ้น สุด ลงไปแลว เหลือ อยู เ ปน การกุม อยู ที ่นั ่น ไดแ กอ าการที ่ม ือ หยุด หรือ ตั้งแนนแฟนอยูที่นั่น : ฉะนั้นจึงเปรียบ การจับ ไดกับ ผุสนา และเปรียบ การกุม อยูเฉย ๆ อยางมั่นคง ไดกับ ฐปนา ฉันใดก็ฉันนั้น. อยาลืมวา ถาไมสังเกตดู ใหละเอียดแลว จะไมเห็นความแตกตางระหวาง “การจับ” กับ “การกุม” หรือ ระหวาง ผุสนา กับ ฐปนา : ดวยเหตุนี้แหละ ผูปฏิบัติจึงตองทําการสําเหนียกศึกษา และสัง เกตกําหนดอยา งใกลชิดที่สุด วา ฐานที่ถูก ตอ งคือ อะไร, การถูก ตอ ง คือ อะไร, ความหยุด อยูแ หง การถูก ตอ ง ที่เ ปน ไปอยา งมั่น คงดีแ ลว นั้น คือ อะไร ; ก็จะสามารถกําหนดนิมิตที่ละเอียดยิ่งขึ้นไป และจิตที่สงบยิ่งขึ้นไปได โดยไมยาก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๑๐๘
เทาที่กลาวมาแลวเพียงเทานี้ ยอมชี้ใหเห็นไดวา คณนา และ อนุพันธนา เป น เรื่ อ งของบริ ก รรมนิ มิ ต ผุ ส นาเป น เรื่ อ งของอุ ค คหนิ มิ ต และ ฐปนาเป น เรื่ อ ง ของปฏิภาคนิมิต ซึ่งเราจะไดศึกษาเรื่องนิมิตทั้งสามนี้ เพื่อความเขาใจการปฏิบัติ ในขั้ น นี้ ให ล ะเอี ย ดยิ่ ง ขึ้ นไปอี ก ส วนหนึ่ ง ซึ่ ง จะเป น การทํ า ให เ ข าใจผุ ส นาและฐปนา ยิ่งขี้นไปตามลําดับ.
กฎเกณฑเกี่ยวกับนิมิต สิ่งที่เรียกวา นิมิต นั้น ทานนิยมจัดไวเปน ๓ เสมอไปในทุกกัมมัฏฐาน, หากแตวากัมมัฏฐานบางอยาง มีนิมิตครบทั้งสามประการไมไดเสียเอง. กัมมัฏฐาน ใดเปนเชนนั้น กัมมัฏฐานนั้นก็ไมสําเร็จประโยชนจนกระทั่งถึงเกิดฌาน : สวน กัมมัฏฐานใดอาจทําใหนิมิ ตเกิดขึ้นทั้ง ๓ ขั้น กัมมัฏฐานนั้ นก็ใหสําเร็จประโยชนได จนกระทั่งเกิดฌานเปนธรรมดา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นิมิตในขั้นที่หนึ่ง เรียกวา บริกรรมนิมิต. ขอนี้ไดแกตัวสิ่งนั้น ๆ โดยตรง ซึ่ ง เราไปจั บ หรื อ ไปทํ า หรื อ ไปเอามา สํ า หรั บ เป น วั ต ถุ เ พื่ อ การเพ ง หรื อ กํา หนดในระยะแรกที่สุด . นิมิต นี้ใ นกรณีอ านาปานสติ ก็คือ ตัว ลมหายใจ ที่เ คลื่อ นไป-เคลื่อ นมา อยูนั่น เอง. นิมิต ขั้น ที่ส อง เรีย กวา อุค คหนิมิต หมายถึ ง นิ มิ ต ที่ เ ข า ไปติ ด อยู ที่ ต าภายใน หรื อ ในใจ กลายเป น มโนภาพภายในอี ก ส ว นหนึ่ ง ต า งหาก จากตั ว วั ต ถุ โ ดยตรง ที่ เ ราเอามากํ า หนดในครั้ ง แรกไปเสี ย แล ว . นิ มิ ต นี้ ในกรณี ข องอานาปานสติ ก็ ไ ด แ ก จุ ด หรื อ ดวงขาว ๆ ที่ ส ามารถทํ า ให ปรากฏเป น มโนภาพเด น ชั ด อยู ไ ด ที่ ต รงจุ ด ของผุ ส นา กล า วคื อ ที่ ป ลายจะงอยจมู ก นั่นเอง. สวนนิมิตขั้นที่สามตอไปที่เรียกวา ปฏิภาคนิมิต นั้น หมายถึงอุคคหนิมิต ในภายนั่ น เอง หากแต ว า ได เ ปลี่ ย นรู ป เป น อย า งอื่ น ไป เปลี่ ย นสี เ ป น อย า งอื่ น ไป
www.buddhadasa.in.th
กฎเกณฑนิมิต
๑๐๙
เปลี่ ย นขนาดเป น อย า งอื่ น ไป และเปลี่ ย นอะไร ๆ อี ก บางอย า ง กระทั่ ง ถึ ง ให เคลื่ อ นที่ ไ ปมา หรื อ ขึ้ น ลงได ต ามควรแก ก ารน อ มจิ ต ไป โดยความรู สึ ก ที่ เ ป น สมาธิ กึ่ ง สํ า นึ ก แล ว สามารถทํ า ให แ น ว แน อ ยู ใ นลั ก ษณะใดลั ก ษณะหนึ่ ง โดยสมควรแก อุป นิส ัย ของตน และหยุด นิ ่ง และแนว แนอ ยู อ ยา งนั ้น เพื ่อ เปน นิม ิต คือ เปน ที ่เ กาะแหง จิต อยา งประณีต ที ่ส ุด จึง มีค วามตั ้ง มั ่น ถึง ที ่ส ุด ชนิด ที ่เ รีย กวา ฌาน เกิดขึ้นโดยสมควรแกการกระทํา. เพื่ อ ความเข า ใจง า ยขึ้ น ควรเปรี ย บเที ย บกั น ดู กั บ กั ม มั ฏ ฐานที่ ใ ช วั ต ถุ ที่มีรูปรางชัดเจนเปนอารมณ เพื่อเปนตัวอยาง : เชนในการเจริญกสิณ วงสีเขียว หรือวงสีแดง ที่เราทําขึ้นแลว วางไวตรงหนาเพื่อเพงตาดู, วงสีเขียวหรือสีแดง ที่วางอยูตรงหนานั่นแหละคือ บริกรรมนิมิต. การเพงตาดู เรียกวาการทําบริกรรม ในนิมิตนั้น. ครั้นเพงตาดูบริกรรมนิมิตนั้นหนักเขา ๆ จนสําเร็จประโยชนคือนิมิต นั้นติดตามในภายใน แมจะหลับตาเสีย ก็ยังเห็นชัดเหมือนเมื่อลืมตาแลว. นิมิตที่ ติดตาในภายใน อยางนั้นแหละ เรียกวา อุคคหนิมิต. การหลับตาเสีย แลวเพง ดูนิมิต ในเชน นี้อ ยู เรีย กวา การเพง ตอ อุค คหนิมิต . เพีย งเทา นี้เ ราก็เ ห็น ได แลววาบริกรรมนิมิต กับอุคคหนิมิตนั้น ไมใชของอันเดียวกันแลว : อยางแรก เปนวัตถุขางนอก ; อยางหลังเปนมโนภาพที่เราสรางขึ้นจนสําเร็จภายในใจ โดย เลียนมาจากของภายนอก หรือเนื่องมาจากภายนอกเปนตนเหตุ. ครั้นกําหนด อุ คคหนิ มิ ตที่ เป นภายในได แน วแน ในรู ปเดิ มของมั นตามสมควรแล ว การฝ กอาจจะ เลื ่อ นไปถึง ขั ้น ที ่บ ัง คับ จิต ใหน อ มนึก เพื ่อ เปลี ่ย นแปลงอุค คหนิม ิต ที ่เ ห็น ในภาย ในนั้ นให เปลี่ ยนรู ปไปต าง ๆ เปลี่ ยนขนาดไปต าง ๆ เช นดวงกสิ ณที่ เคยเห็ นกลม ๆ เล็ก ๆ มีเสนผาศูนยกลางเพียง ๖นิ้ว (เทาที่ใชกันโดยมาก) ก็กลายเปนดวงใหญ
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๑๑๐
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
เท าที่ ดวงอาทิ ตย ดวงจั นทร หรื อเล็ กลงมาในขนาดที่ เป นเพี ยงจุ ด ๆ เดี ยว หรื อ จะ เปลี่ ยนแปลงไปอย างอื่ นอี กกี่ อย างก็ ได จนกระทั่ งไปหยุ ดอยู ในลั กษณะใดลั กษณะ หนึ่ ง ซึ่ ง เป น ที่ พอใจที่ สุ ด หรื อ เหมาะสมที่ สุ ด ที่ จ ะทํ า ให จิ ต กํ าหนดแน วแน ว อยู ใ น นิม ิต นั ้น โดยไมม ีก ารเปลี ่ย นแปลงอีก ตอ ไป เพราะแนน แฟน มั ่น คงถึง ที ่ส ุด เรียกไดวาเปนการหยุดลงหรือตั้งมั่นลงไดจริง ๆ. นี้คือขณะแหงฐปนา ที่จะเปน ไปจนกวา จะถึง ที่สุด คือ การบบรลุฌ าน. นิมิต ที่เ ปลี่ย นแปลงได และตั้ง มั่น ลงในรูปอื่นจากอุคคหนิมิตนี้ เรียกวา ปฏิภาคนิมิต. ตัวอยางที่สอง : ในกรณีแหงการเจริญอสุภกัมมัฏฐาน อันเปน กั มมั ฏฐานประเภทที่ น าหวาดเสี ยว และวุ นวายกว าประเภทกสิ ณ นั้ น สิ่ ง ที่ เ รี ยกว า บริ กรรมนิ มิ ต คื อ ตั วซากศพชนิ ด ใดชนิ ดหนึ่ ง ซึ่ ง ผู ปฏิ บั ติ จะใช เ ป นสิ่ งที่ ถู กกํ าหนด. เพราะฉะนั้ น ผู นั้ น จะต อ งมี ซ ากศพชนิ ด หนึ่ ง นั้ น วางอยู ต รงหน า แล ว ก็ เ พ ง ตาดู เพื่ อกํ าหนดทุ กส วนสั ดของซากศพอย างแม นยํ า นี้ เรี ยกว ากํ าลั งเพ งต อบริ กรรมนิ มิ ต คือซากศพนั้น. ระยะตอมาก็คือการเพงจนติดตาแลว แมหลับตาเสียก็ยังเห็น เชนเดียวกับเมื่อลืมตา หรือชัดแจวยิ่งไปกวาเมื่อลืมตาเสียอีก. ภาพแหงซากศพ ที ่เ ปน มโนภาพ คือ เห็น ไดโ ดยไมต อ งลืม ตานั ้น เรีย กวา อุค คหนิม ิต ในกรณีนี ้. การเพงซากศพในมโนภาพนั้น เรียกวาการเพงอุคคหนิมิต ในกรณีนี้. ระยะตอไป ก็ คื อการเพ งที่ ประณี ตละเอี ยดยิ่ งขึ้ นไป และคล องแคล วในการน อมนึ กยิ่ ง ๆ ขึ้ นไป จนสามารถเปลี่ ย นมโนภาพนั้ น ให เ ป น ไปอย า งซาบซึ้ ง ตามที่ ต นปรารถนา โดย ประการที่ จ ะทํ า ให เ กิ ด ความเบื่ อ หน า ยคลายกํ า หนั ด หรื อ ความสลดสั ง เวชอย า ง ซาบซึ้งตรึ งใจให มากที่ สุ ดเท าที่จะมากได แล วไปหยุ ดเป นมโนภาพอยางใดอย างหนึ่ ง อยู อย าง เหมาะสมและมั่ นคง แล วไม มี การเปลี่ ยนแปลงอี กตอไป เป นอารมณ ทําให เกิดสมาธิที่มีผลในการรํางับความกําหนัด ไดเปนพิเศษ. มโนภาพในระยะหลังนี้ เรียกวา “ปฏิภาคนิมิต” ในกรณีนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
กฎเกณฑนิมิต
๑๑๑
สวนใน กรณีที่เปนการเจริญอานาปานสติ ที่เรากําลังศึกษากันอยูนี้ ก็ม ีห ลัก เกณฑอ ยา งเดีย วกัน ทั ้ง ๆ ที ่ว ัต ถุที ่นํ า มาใชกํ า หนดนั ้น แตกตา งกัน : ลมหายใจที ่เ ปน ตามธรรมชาติ ซึ ่ง เราไปกํ า หนดเขา นั ่น แหละ คือ บริก รรมนิม ิต ในกรณีนี้. การกําหนดที่ตัวลมหายใจอยางนี้ ก็เรียกวาการเพงตอบริกรรมนิมิต อยางเดียวกัน. ระยะถัดไป ไมกําหนดที่ตัวลม แตไปกําหนดที่จุดใดจุดหนึ่ง ที่ ล มกระทบเพี ย งจุ ด เดี ย ว และเป น จุ ด ที่ ตั้ ง อยู อ ย า งเหมาะสมที่ สุ ด สํ า หรั บ การ กําหนด ; และมีการทําในใจ ประหนึ่งวาจุดนั้นเปนแผลออน ที่ไวตอการรูสึก หรื อ ราวกะว า มี อ ะไรอย า งหนึ่ ง ได ถู ไ ป-ถู ม า ที่ จุ ด นั้ น อย า งรุ น แรง โดยไม ต อ ง คํ า นึ ง ว า เป น การหายใจ หรื อ ลมหายใจ หรื อ การผ า นไป-ผ า นมา ขอลมหายใจ หรืออะไร ๆ ทั้งสิ้น ทั้งที่เปนภายนอกและภายใน. กําหนดแนวแนอยูแต ณ จุด ที่ เ ป น ที่ เ กิ ด ของความรู สึ ก ทํ า ให เ ป น ราวกะว า เป น จุ ด ในมโนภาพ อย า งใดอย า ง หนึ่ง อยูอ ยา งแนว แน, นี้เ ปน อุค คหนิมิต ในกรณีนี้. นิมิต ในขั้น สุด ทา ยนั้น ได แ ก ป ฏิ ภ าคนิ มิ ต กล า วคื อ นิ มิ ต ที่ เ ปลี่ ย นรู ป ไปเป น อย า งอื่ น จากอุ ค คหนิ มิ ต คื อ จากความรูสึกที่เปนเพียงวามีจุดอยูจุดหนึ่ง. มันไดเปลี่ยนไปดวยอํานาจของความ ที่ สิ่ ง ต า ง ๆ ที่ เ นื่ อ งกั น อยู มี ล มหายใจเป น ต น เป น ของละเอี ย ดยิ่ ง ขึ้ น ไปกว า เดิ ม พร อ มกั บ อาศั ย อดี ต สั ญ ญาอย า งใดอย า งหนึ่ ง ในอุ ป นิ สั ย ของบุ ค คลนั้ น เข า ช ว ย ปรุงแตงดวย. สิ่งที่เรียกวาปฏิภาคนิมิตนี้จะเกิดขึ้นผิดแผกกันบาง เปนคน ๆ ไป คือจะปรากฏแกคนบางคนที่ตรงจุด ๆ นั้น หรือใกล ๆ กับจุดนั้น ออกไปขางนอก ก็ต าม เขา มาขา งในก็ต าม ราวกะวา มีป ุย นุ น กระจุก หนึ ่ง มาติด อยู ต รงนั ้น หรือมีหมอกกลุมหนึ่งปรากฏอยูที่นั้น นี้พวกหนึ่ง. บางพวกจะมีนิมิตปรากฏชัด ยิ ่ง ขึ ้น ไปกวา นั ้น คือ เปน ดวงขาวลอยเดน อยู หรือ เปน ดวงแกว ดวงหนึ ่ง หรือ เป น ไข มุ ก เม็ ด หนึ่ ง หรื อ เป น เพี ย งสิ่ ง ที่ รู ป ร า งอย า งเมล็ ด ฝ า ยเมล็ ด หนึ่ ง ดั ง นี้ ก็ มี .
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๑๑๒
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
ที่นอยลงไปอีกก็คือ คนบางพวกจะมีนิมิตปรากฏเปนรูปสะเก็ดไมชิ้นหนึ่ง หรือ พวกดอกไมพ วงหนึ ่ง หรือ สายสรอ ยพวงหนึ ่ง หรือ สายแหง ควัน ไฟเกลีย วหนึ ่ง ดัง นี้ ก็มีอ ยูป ระเภทหนึ่ง . และประเภทที่นอ ยไปกวา นั้น อีก คือ มีไ ดย ากไป กวา นั ้น อีก ก็ค ือ บางจํ า พวกจะมีน ิม ิต ปรากฏเหมือ นใยแมงมุม รัง หนึ ่ง เมฆที่ ซั บ ซ อ นกั น หมู ห นึ่ ง ดอกบั ว ที่ บ านออกเป น แฉก ๆ ดอกหนึ่ ง หรื อ ล อ รถที่ มี ซี่ กํ า ออกไปจากดุ ม เป น ซี่ ๆ วงหนึ่ ง จนกระทั่ ง ถึ ง บางพวกมี นิ มิ ต เป น ดวงจั น ทร หรื อ ดวงอาทิตยดวงใหญเกินประมาณดวงหนึ่ง ๆ ก็ได แลวแตกรณี. ทั้งหมดนี้เรียกวา ปฏิภาคนิมิตในกรณีนี้. แมจะตางกันอยางไร ก็ลวนแตเปนสิ่งที่ตั้งอยูอยางแนน แฟ น หยุ ด อยู อ ย า งมั่ น คง เป น ที่ ยึ ด หน ว งของจิ ต อั น สงบรํ า งั บ จนถึ ง ขนาดที่ เ ป น ฌานไดดวยกันทั้งนั้น. ขอที่ปฏิภาคนิมิตมีลักษณะแตกตางกันมากชนิด เชนนี้ ในกรณี ที่ เกี่ ยวกั บอานาปานสติ นี้ เห็ นได ว ามี มากชนิ ดกว าที่ จะเป นไปในกรณี ของกั มมั ฏฐาน ประเภทอื่น เชนกสิณหรืออสุภเปนตน : ทั้งนี้เพราะเหตุวาลมหายใจเปนสิ่งที่ ละเอี ย ดหรื อ ไม มี ดุ น หรื อ ชิ้ น ให เ ห็ น ชั ด เหมื อ นวงกสิ ณ หรื อ ท อ นอสุ ภ นี้ อ ย า งหนึ่ ง . และอี กอย างหนึ่ ง ซึ่ งเป นเหตุ ผลที่ ใกล ชิ ดไปกว านั้ น ก็ คื อความที่ คนเราแต ละคน ๆ มีสัญญาหรื อความรู สึกหรื อความกํ าหนดจดจําตาง ๆ ที่ เราไดสะสมมาตั้ งแตเกิดและ ฝงไวในอุปนิสัยสันดานของเราเองนั้น ตางกันอยางที่จะเปรียบกันไมได. เมื่อ ถึ ง คราวที่ สิ่ ง เหล า นี้ มี โ อกาสแสดงตั ว ออกมา ก็ แ สดงออกมาในรู ป แห ง การปรุ ง ที่ มี ลักษณะต าง ๆ กัน ในขณะที่ จิ ตกําลั งอยู ในภาวะกึ่งสํ านึ ก หรื อเกือบไร สํ านึ ก เช น ในขณะแหงปฏิภาคนิมิตนี้ เปนตน. สรุปไดสั้น ๆ วา จิตปรุงปฏิภาคนิมิตขึ้นมา ในลั กษณะที่ แตกต างกั น เพราะความมี สั ญญาในอุ ปนิ สั ยมี อ ยู ผิ ดแผกกั น นั่ นเอง. ผู ป ฏิ บั ติ ไ ม ค วรไปทํ า ความฉงนในความไม ค งเส น คงวา หรื อ ความพิ สู จ น ไ ม ไ ด
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
กฎเกณฑนิมิต
๑๑๓
เหลานี้ : เพราจะทําใหเกิดกังวลและเปนอันตรายแกการเจริญสมาธินั้น เปลา ๆ. ขืนไปคนควาเขา ก็กลายเปนเรื่องจิตวิทยาแขนงหนึ่งไป หาใชการทําสมาธิไม.
นิมิตตางกัน มีผลแกจิตตางกัน เมื่ อ ได ก ล า วถึ ง ความแตกต า งของนิ มิ ต เช น นี้ แ ล ว อยากจะถื อ โอกาส แนะให สั ง เกตเสี ย เลยที เ ดี ย วว า กั ม มั ฏ ฐานต า ง ๆ นั้ น มิ ใ ช ว า เพี ย งแต จ ะให เ กิ ด นิ มิ ต ต า ง ๆ กั น อย า งเดี ย ว มั น ยั ง ทํ า ให มี ผ ลเป น ปฏิ กิ ริ ย าต อ อุ ป นิ สั ย หรื อ จิ ต ใจ หรือจริตของบุคคลผูปฏิบัติ ตาง ๆ กันไปดวย. เราควรจะเปรียบเทียบกันดูเพื่อ ความเขาใจในเรื่องนี้ใหชัด. ถาเราเอาสิ่ งไม มี ชี วิ ต หรื อไม ค อยจะมี ความหมายอะไร เช นดิ นสี เหลื อง ก อนหนึ่ งมาทํ าเป นวงกสิ ณแล วเพ ง แม เป นสมาธิ แล ว ทํ าปฏิ กิ ริ ยาให แก จิ ตในทาง ที่ผิดแผกแตกตางจากการที่เราจะไปนํ าเอาศพเน าศพหนึ่ งมาทํ าเปนวั ตถุ สําหรั บเพง. แม ว าสิ่ งทั้ งสองนี้ จะให เกิ ดสมาธิ ได อ ย างเดี ยวกั น แต ก็ ทํ าให เกิ ดปฏิ กิ ริ ยาอย างอื่ น ผิ ด แผกแตกต า งจากกั น มาก เช น มี ผ ลที่ จ ะระงั บ ความกํ า หนั ด หรื อ ส ง เสริ ม ความ กํ า หนั ด เป น ต น หรื อ ไม ต า งกั น ทํ า ให เ กิ ด ความยากง า ย หรื อ เกิ ด อั น ตรายทาง ประสาทเปน ตน แกผู ป ฏิบ ัต ิต า งกัน เทา กับ ที ่เ ราอาจจะพิจ ารณาเห็น ไดเ องวา ดิน กอ นหนึ ่ง กอ ใหเ กิด ความรู ส ึก เฉย ๆ งา ย ๆ เงีย บ ๆ เปน นิม ิต ที ่ไ มโ ลดโผน ไมกระทบกระเทือนประสาท สมกับเปนสิ่งที่ไมเคยมีชีวิตอะไรเลย. สวนซากศพ ซากหนึ่ ง นั้ น มี ค วามหมายมาก หรื อ อาจจะมี ค วามหมายมากกว า ชี วิ ต ธรรมดา สําหรับคนที่กลัวผีเปนพิเศษ หรือคนทั่วไปก็ตาม. นี่เปนเพราะวามันมีความหมาย มากเกินไป หรือมีชีวิตมากเกินไปนั่นเอง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๑๑๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
ส วนการเจริ ญอานาปานาสติ ซึ่ งยึ ดเอาลมหายใจมาเป นอารมณ สํ าหรั บ กําหนดนั้น ยอมตั้งอยูในระดับกลาง. ไมสุดโตงไปในทางเนือย ๆ เหมือนกับกอน ดิ น ก อ นหนึ่ ง และก็ ไ ม สุ ด โต ง ไปในทางรุ น แรงเหมื อ นกั บ ศพเน า ศพหนึ่ ง ฉะนั้ น นิ มิ ต ทุ ก ระยะจึ ง ต า งกั น ไปหมด ซึ่ ง จะต อ งไม ลื ม ว า แม มั น จะทํ า ให เ กิ ด มี บ ริ ก รรม นิ มิ ต อุ ค คหนิ มิ ต และปฏิ ภ าคนิ มิ ต จนกระทั่ ง เป น ฌานได ด ว ยกั น ก็ จ ริ ง แต ผ ล ยอมแตกตางกันในทางอื่นบางอยางอยูอยางมากมาย ดังกลาวแลวนั่นเอง. ทั้งนี้ ก็ เพราะว ากั มมั ฏฐานบางประเภท หรื อบางกลุ ม ย อมมี ความมุ งหมายเฉพาะประเภท ของตนเป นกลุ ม ๆ ไป เพื่ อแก ป ญหาปลี กย อยของกิ เลสเฉพาะคนในระยะแรกเสี ย กอน แลวจึงนอมไปสูผลอยางเดียวกันในเบื้องปลาย. ส วนกั มมั ฏฐานกลุ มกลาง ๆ หรื อซึ่ งอยากจะเรี ยกในที่ นี้ ว า “กลุ มทั่ วไป ที่สุด” กลาวคืออานาปานสตินี้ ยอมใหนิมิตที่สงบประณีตราบรื่นไปตั้งแตตนจน ปลายทีเดียว เหมาะแกคนทุกประเภท ไมวาจะเปนผูครองเรือน หรือผูออกจาก เรื อน ผู หญิ ง หรื อผู ชาย คนกล า หรื อ คนขลาด ฯลฯ เพราะความตั้ งอยู ในระดั บ กลางนั่นเอง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org กัมมัฏฐานพวกที่ไมมปี ฏิภาคนิมิต ไมเกิดฌาน
กั ม มั ฏ ฐานบางอย า งที่ ก ล า วว า ไม ส ามารถทํ า ให เ กิ ด ปฏิ ภ าคนิ มิ ต นั้ น คื อ กั ม มั ฏ ฐาพวกที่ ไ ปกํ า หนดเอานามธรรม มาเป น อารมณ เ สี ย ตั้ ง แต ต น มื อ เช น การกําหนดพุทธานุสสติเปนตน. กัมมัฏฐานเหลานี้ จะกําหนดไดก็แตเพียงในขั้น บริ กรรมนิ มิ ต เพราะสิ่ งที่ เรี ยกว าพุ ทธคุ ณนั้ นเป นเพี ยงนามธรรม หรื อความหมายรู อย า งหนึ่ ง เท า นั้ น ไม เ ป น วั ต ถุ ธ าตุ แ ละไม เ นื่ อ งด ว ยวั ต ถุ ธ าตุ โ ดยตรง เหมื อ นกสิ ณ หรืออสุภ หรืออานาปานสติ. อุคคหนิมิตไมมี เพราะไมอาจทําพุทธคุณเหลานั้น ใหเปนมโนภาพอยางใดอยางหนึ่งขึ้นมาได. ขืนไปทําใหไดก็กลายเปนเรื่องอื่นไป
www.buddhadasa.in.th
กฎเกณฑนิมิต
๑๑๕
หรื อ ถึ ง กั บ ทํ า ให ฟ น เฝ อ เลอะเลื อ น เป น ความเสี ย หาย เป น อั น ตรายขึ้ น มาแทน ฉะนั ้น การเจริญ กัม มัฏ ฐาน เชน ประเภทพุท ธานุส สติเ ปน ตน นี ้ จึง ไมส ามารถ ทํ า ให เ กิ ด อุ ค คหนิ มิ ต ได จึ ง ไม เ ป น ไปเพื่ อ ฌาน แต ก็ เ ป น ไปเพื่ อ ประโยชน อ ย า งอื่ น เชน เป นปจจั ยแห งการบมอิ นทรีย ใหแกกลาเปนตน หรือใชเป นกัมมัฏฐานแวดลอม เพื่อชวยใหจิตใจหรือการเปนอยูเหมาะสม ในการที่จะปฏิบัติกัมมัฏฐานหลักเปนตน. เมื่ อ เปรี ย บเที ย บโดยนั ย นี้ เราจะเห็ น ได ทั น ที ว า พุ ท ธานุ ส สติ หรื อ การ กํ า หนดพุ ท ธคุ ณ นั้ น ไม ส ามารถจะทํ า ให แ น น แฟ น ได แม ใ นขณะแห ง คณนาและ อนุพันธนา แลวจะทําอยางไรจึงจะใหดําเนินไปไดถึงผุสนา และฐปนาไดเลา. ทั ้ง หมดนี ้แ สดงใหเ ห็น ความสัม พัน ธก ัน ระวา งวัต ถุที ่ใ ชเ ปน นิม ิต กับการเกิดแหงนิมิตและการกําหนดนิมิตนั้น ๆ. ถาอยางใดอยางหนึ่งมีกําลังไม เพี ย งพอ หรื อ ไม เ หมาะสมกั น แล ว กั ม มั ฏ ฐานนั้ น ก็ ไ ม อ าจดํ า เนิ น ไปจนถึ ง ปฏิ ภ าค นิมิต หรือการกําหนดในขั้นผุสนา และฐปนาไปไดเลย.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ผู ศึ ก ษาอานาปานสติ พึ ง ศึ ก ษาลั ก ษณะของนิ มิ ต การกํ า หนดนิ มิ ต การเกิ ด แห ง นิ มิ ต การเปลี่ ย นไปแห ง นิ มิ ต และการตั้ ง มั่ น หรื อ การหยุ ด แห ง นิ มิ ต โดยนั ย ดั ง ที่ ก ล า วมานี้ ด ว ยการศึ ก ษาเปรี ย บเที ย บดั ง ที่ ก ล า วมาแล ว ก็ จ ะประสบ ความสํ า เร็ จ ในการกํ า หนดนิ มิ ต เป น ต น ได เ ป น อย า งดี คื อ จะประสบความสํ า เร็ จ ในการกําหนดลมหายใจ การทําลมหายใจใหละเอียด การตั้งสติในลมหายใจและสมาธิ ที่ยึดลมหายใจเปนหลักทุกขั้น ไดโดยไมยากเลย.
www.buddhadasa.in.th
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
๑๑๖
อุปสรรคของการเกิดปฏิภาคนิมิตและฌาน๑ ต อ ไปนี้ จะได วิ นิ จ ฉั ย กั น ถึ ง อุ ป สรรคหรื อ อั น ตราย ของการทํ า สมาธิ ในอานาปานสติ ขั้นที่สี่ โดยละเอียด. อุปสรรคเฉพาะตอนแรก ดั ง ที่ ไ ด ก ล า วมาแล ว ข า งต น ว า อานาปานสติ ขั้ น ที่ สี่ มี ใ จความสํ า คั ญ อยู ต รงที่ ก ารกํ า หนดลมหายใจที่ ล ะเอี ย ด หรื อ กล า วอี ก อย า งหนึ่ ง ก็ คื อ กายสั ง ขาร ที่รํางับลง ๆ จนถึงที่สุด. อุปสรรคอาจจะเกิดขึ้นไดในตอนแรก คือ จากการที่ ลมหายใจละเอียดจนถึงกับกําหนดไมได หรือรูสึกราวกะวาหายไปเสียเฉย ๆ. นี ้ก ็เ ปน อุป สรรคอยา งหนึ ่ง ซึ ่ง ทํ า ใหเ กิด ความระส่ํ า ระสายขึ ้น ในใจของผู ป ฏิบ ัติ ซึ่งประสบเขาเปนครั้งแรก. ในกรณีเชนนี้ เขาอาจจะระงับความสงสัยหรือความ กระวนกระวายใจนั้นเสียได โดย ๒ วิธี คือ :-
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org (๑) การเริ่มตั้งตนหายใจเสียใหมใหรุนแรง แลวตั้งตนทําไปใหม ตามลํ าดั บตั้ งแต ต นไปอี ก ซึ่ งถ าหากสิ่ งต าง ๆ ได ถู กปรั บปรุ งให เป นไปอย างเหมาะสม กวาคราวกอน ก็จักผานอุปสรรคอันนี้ไปไดโดยอัตโนมัติ. (๒) ถาหากวาการทําอยางนั้นยังไมไดผลก็ดี หรือวาผูปฏิบัติไดปฏิบัติ มาจนถึงขั้นที่ละเอียดเชนนี้แลว ไมอยากจะยอนกลับไปสูขั้นปฏิบัติที่ยังหยาบอยูก็ดี
๑
การบรรยายครั้งที่ ๑๒ / ๕ กันยายน ๒๕๐๒
www.buddhadasa.in.th
กฎเกณฑนิมิต
๑๑๗
เขาอาจจะผา นอุป สรรคอัน นี ้ไ ปได โดยวิธ ีแ หง การปลอบใจตัว เอง หรือ ชัก นํ า จิ ต ใจของตั ว เอง ให เ กิ ด ความแน ใ จหรื อ กํ า ลั ง อย า งเพี ย งพอขึ้ น มาใหม โอกาสก็ จ ะ อํ า นวยให สํ า หรั บ การกํ า หนดได โ ดยง า ย โดยลมหายใจนั้ น ค อ ย ๆ ปรากฏชั ด ขึ้ น มา ใหม โ ดยสมควรแก ก ารกระทํ า ในการประคั บ ประคองจิ ต หรื อ การชั ก นํ า จิ ต ของตน ไปในทางที่ จะให เ กิ ด ปฏิ กิ ริ ย าต อ ร า งกาย อย า งพอเพี ย งที่ จะทํ า ให ล มหายใจค อ ย ๆ กลับปรากฏชัดเจนขึ้นมาใหม. ตั ว อย า ง เช น เมื่ อ ได ทํ า มาจนถึ ง ขั้ น ที่ จ ะทํ า ลมหายใจให ล ะเอี ย ดแล ว ลมหายใจไม ปรากฏ หรื อมี อาการราวกะว าแกล งหายไปเสี ยเฉย ๆ ดั งนี้ แล ว เขาจะ ต อ งถอนหายใจยาว ๆ หลายครั้ ง แล ว อธิ ษ ฐานจิ ต ในการที่ พิ จ ารณาอย า งจริ ง จั ง ว า ตนไม ไ ด อ ยู ใ นสภาพอย า งใดอย า งหนึ่ ง ในพวกบุ ค คลผู มี ล มหายใจไม ป รากฏ แตประการใดเลย. เขาพิจารณาเพื่อใหเกิดความแนใจสืบไปวา คนที่ไมหายใจนั้น ใคร ๆ ก็รูวามีอยู แตคนเหลานี้คือ คนที่ยังอยูในครรภมารดา. คนที่กําลังดําน้ํา, พวกอสัญญีสัตว, คนตายแลว, คนที่กําลังอยูในจตุตถฌาน, คนที่กําลังอยูใน รูปสมาบัติหรืออรูปสมาบัติ, และคนที่กําลังอยูในนิโรธสมาบัติเทานั้น ; ก็เรานี้ มิ ไ ด อ ยู ใ นสภาพใดสภาพหนึ่ ง ของบุ ค คลเหล า นั้ น แล ว ไฉนเราจึ ง ต อ งเป น บุ ค คลที่ มีลมหายใจไมปรากฏดวยเลา. เมื่อเขาอธิษฐานจิตอยางแนวแน ในการที่จะตอง เป น บุ ค คลที่ ยั ง มี ล มหายใจอยู เ ช น นั้ น ลมหายใจก็ ย อ มปรากฏแม ใ นขั้ น ที่ ล ะเอี ย ด และในลั ก ษณะที่ ล ะเอี ย ดได โ ดยอั ต โนมั ติ โดยไม สู ญ เสี ย ผลแห ง การปฏิ บั ติ ที่ ไ ด ปฏิบัติมาแลวจนถึงขั้นนี้. ญาณ คือความรูที่จะเกิดขึ้นแกเขาวา เพราะลมหายใจ ละเอียดเกินไปบาง, เพราะลมหายใจถูกแปรสภาพเปนละเอียดเร็วเกินไปบาง, เพราะ การกําหนดผุสนาไมถูกที่อันเหมาะสม บาง, หรือเพราะ กําหนดฐปนา โดยอาการที่พรวดพลาดผลุนผลัน บาง, ลมหายใจจึงไมปรากฏเพื่อประโยชนแก
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๑๑๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
การกํา หนดนั้น ๆ ขอ นี้เ ปน ทางแหง การปรับ ปรุง ขยับ ขยายสิ่ง ตา ง ๆ ที่เ กี่ย ว ของกันใหเหมาะสมเสียใหม ลมหายใจก็จะกลับปรากฏในลักษณะที่เหมาะสมยิ่งขึ้น ไปอีก. อุปสรรคเกี่ยวกับการที่ลมหายใจไมปรากฏก็จะหมดไป เขาจะสามารถกําหนด ลมหายใจได ดี ทั้ ง ในขณะแห ง คณนา อนุ พั น ธนา ผุ ส นาและฐปนา แล ว แต ว า อุปสรรคและปญหาจะเกิดขึ้นระยะไหน. ตามปรกติทั่วไปในกรณีของอานาปานสติ มักจะเปนปญหายุงยากขอนี้ขึ้น ในขณะแหงผุสนานั่นเอง. อุคคหนิมิตไมปรากฏ เพราะไมมีความรูสึกวาลมมากระทบที่ฐานแหงผุสนา ทําใหกําหนดจุด ๆ นั้นไมได ; นี่เรียกวาลมหายใจหายไปในระยะแหงผุสนา. เขาจะตองแกไขดวยอุบายดังที่กลาว มาแลว. สําหรับในขณะแหงปฏิภาคนิมิตนั้น สติกําหนดนิมิตที่เปนมโนภาพที่ ปรากฏขึ้นมาใหม ไมเนื่องดวยลมหายใจโดยตรงก็จริง แตก็ยังเนื่องกันอยูโดยออม คือถาลมหายใจไมเปนไปตามปรกติตามที่ตองประสงคขั้นนี้ ปฏิ ภาคนิมิตก็ไมอาจ จะเกิด ขึ ้น หรือ เกิด ขึ ้น แลว ก็ก ลับ ลม เหลวไป เพราะฐปนาไมอ าจเปน ไปดว ยดี นั่นเอง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อี กประการหนึ่ ง พึ งทราบไว อี กชั้ นหนึ่ งในที่ นี้ ว า ปฏิ ภาคนิ มิ ตนั้ นเป น สิ่งที่สามารถเคลื่อนยายจากจุดที่ลมกระทบ คือจุดผุสนา ไปไดตามการนอมไปของ จิต เชนสามารถจะยายปฏิภาคนิมิตจากที่เคยตั้งอยูที่จะงอยจมูก ใหออกไปภายนอก เช น ไปลอยอยู ต รงหน า ห า งออกไปจากตั ว หรื อ ย า ยเข า ไปในภายใน ไปเด น อยู ที่ ทรวงอกหรือที่สะดือก็ตาม แลวแตกรณี. เมื่อจุดแหงผุสนาเปนสิ่งที่เคลื่อนยายไป สูตําแหนงใหมไดโดยมโนภาพ จุดแหงฐปนาก็เปนอันยายตามไปไดอยางเดียวกัน. ในกรณี เ ช น นี้ การกํ า หนดผุ ส นาและฐปนา จะต อ งเป น ไปอย า งพลิ ก แพลงและ ละเอี ยดสุ ขุ มยิ่ ง ขึ้นไปตั้ ง แต ต น ลมหายใจก็ จะต อ งมี อ ยู ไ ดเ อง เป น ระเบีย บอยู ไ ด เอง โดยอั ต โนมั ติ โดยไม ต อ งมี ค วามสํ า นึ ก มากขึ้ น ไปตามส ว น. นี้ เ องเป น การ
www.buddhadasa.in.th
กฎเกณฑนิมิต
๑๑๙
แสดงวา ลมหายใจ มีอยูไดโดยไมทําความรูสึกวามีแตอยางใด ; เพราะฉะนั้น การกํ า หนดลมหายใจจะต อ งเป น การกํ า หนดที่ ชั ด เจนที่ สุ ด และเป น ระเบี ย บที่ สุ ด และด ว ยความแน ใ จปราศจากความสงสั ย ที่ สุ ด ในการที่ จ ะไปสงสั ย และทํ า ให เ กิ ด ความเข าใจผิ ดไปว า ลมหายใจมิ ไ ดมี อ ยู ซึ่ ง ที่ แท มั นเป น สิ่ ง ที่ มีอ ยู ไ ดโ ดยไม ต อ งมี ความสํานึก และเปนระเบียบสม่ําเสมออยูได โดยไมตองมีเจตนาควบคุม เพราะ ผลแหงการฝกมาแลวเปนอยางดี และอยางเพียงพอนั่นเอง. สรุปความไดวา การหายไปแหงลมหายใจจริง ๆ นั้น ตองไมมีอยางแนนอน, ถามีก็ตองเปนความ สําคัญผิด ตองขจัดใหหายไปดวยอุบายดังที่กลาวแลว ; ผูนั้นจึงจะสามารถกําหนด ลมหายใจ หรือกายสังขาร ในขั้นที่รํางับลงอยางละเอียดที่สุดได. นี ้ค ือ อุป สรรค และวิธ ีข จัด อุป สรรคชนิด ที ่ม ัก เกิด ในขั ้น แรก แหง อานาปานสติขั้นที่สี่นี้. อุปสรรคทั่วไป
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ส ว นอุ ป สรรคในขั้ น ต อ ไปและมี ไ ด ทั่ ว ๆ ไปนั้ น อาจมี ไ ด แ ทบทุ ก ระยะ แห งการปฏิ บั ติ และการเลื่ อนลํ าดั บของการปฏิ บั ติ หากแต ว าเป นป ญหาที่ อาจจะเกิ ด เฉพาะคน เพราะอุปนิสัยแตกตางกัน ดังที่ไดเคยกลาวแลวขางตน. ถาจะประมวล มาใหห มด หรือ เผื ่อ ไวสํ า หรับ ทุก คน ก็จ ะไดเ ปน หัว ขอ ดัง ตอ ไปนี ้ ซึ ่ง เปน หัว ขอ ที่ควรสําเนียกศึกษาไวอยางคลองแคลวและแมนยําที่สุด. ก. เมื่อสติกําหนดลมหายใจออก จิตฟุงอยูในภายใน. คือเมื่อ บุ ค คลส ง จิ ต ไปตามลมที่ กํ า ลั ง ออกไปในขณะแห ง ลมหายใจออก โดยจะกํ า หนด เป น เบื้ อ งต น ท า มกลาง ที่ สุ ด หรื อ ไม ก็ ต าม เกิ ด ความห ว งว า มั น จะหายใจกลั บ
www.buddhadasa.in.th
๑๒๐
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
เข า ไปเมื่ อ ไร หรื อ เกิ ด ความกั ง วลว า มั น จะขาดตอน หรื อ มั น จะหายไปเลยไม ก ลั บ เข า หรื อ เข า ไม พ อ หรื อ เข า อย า งไม มี ร ะเบี ย บ ดั ง นี้ แ ล ว ย อ มเป น อุ ป สรรคหรื อ อันตรายตอความเปนสมาธิ แมในชั้นหยาบ. เขาจะตองมีหลักในการที่จะไมให เกิดความระแวงหรือกลัวหรือหวงเชนนั้น. ความรูสึกฟุงซานที่กลาวนี้จะปรากฏ แกบุคคลผูแรกฝกเปนธรรมดา. ถาไมไดรับการแนะนําลวงหนา ยอมเกิดการ เสียประโยชน หรือเสียเวลามากกวาที่ควร โดยไมจําเปน. ข. ในกรณีแหงการหายใจเขา. ก็มีอุปสรรคในทํานองเดียวกัน คือ เมื่อสติกําหนดลมหายใจเขาถึงที่สุดแลว จิตแลนออกไปภายนอก คือไปหวงอยูวา เมื่ อ ไรลมจะกลั บ ออกไป เมื่ อ ไรมั น จะกระทบฐานที่ ก ระทบสํ า หรั บ ขาออก ดั ง นี้ เปนตน. นี้เรียกวา จิตฟุงออกไปภายนอก มีอาการกลับกันกับขอ ก. เมื่อนํา มาเข า คู กั น ก็ อ าจจะสรุ ป ได ว า เมื่ อ กํ า หนดลมหายใจออก จิ ต ฟุ ง ไปข า งใน คื อ ไป กังวลอยูขางใน : เมื่อกําหนดลมหายใจเขา จิตฟุงไปขางนอก คือไปกังวลอยูขาง นอก. ทั้ง นี้ เปน กฎธรรมดาที่วา เมื่อ สํา เร็จ เรื่อ งขา งนอกแลว ก็ไ ปหว งขา ง ใน เมื่อสําเร็จเรื่องขางในแลวก็ไปหวงขางนอก. อาการเชนนี้ จะเกิดขึ้นเอง โดยอํานาจสัญชาตญาณอยางหนึ่ง, และผูปฏิบัติมีความรอนรน หรือมีความตั้งใจ รุนแรงเกินไปในการปฏิบัติอีกอยางหนึ่ง. การศึกษามาแลวอยางเพียงพอ กับ การสํ ารวจจิ ตอย างประณี ตสุ ขุ ม หรื อพอเหมาะพอสม และ การไม คิ ดอะไรล วงหน า ไวมาก ๆ เปนตน ยอมแกอุปสรรคคูนี้ได อุปสรรคคูถัดไปก็คือ :
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ค. ความหวังอยูก็ดี ความพอใจอยูก็ดี ความอยากก็ดี ซึ่งมีอยูใน ลมหายใจออก. ง. ความหวังอยูก็ดี ความพอใจอยูก็ดี ความอยากก็ดี ซึ่งมีอยูใน ลมหายใจเขา.
www.buddhadasa.in.th
กฎเกณฑนิมิต
๑๒๑
ทั้ง คู นี้ ล วนแต เ ป น อัน ตรายต อ ความเป น สมาธิ . ความหวั ง ในลม หายใจออกหรื อ เข า ก็ ต าม เกิ ด มาแต ค วามกลั ว ว า ลมจะหายไป ซึ่ ง จะทํ า ให ก ารปฏิ บั ติ ของตัวตองชะงัก หรือไมเปนผลดีทันตามตองการ. ผูที่ปฏิบัติดวยตัณหาอุปาทาน ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ในตั ว การปฏิ บั ติ เ ต็ ม ที่ ยิ่ ง ต อ งรั บ เคราะห ก รรมข อ นี้ ม าก ส ว นผู ที่ ปฏิ บั ติ ด ว ยป ญ ญา หรื อ สั ม มาทิ ฏ ฐิ พร อ มด ว ยคํ า แนะนํ า ที่ ดี ก็ แ ทบจะไม พ บ อุปสรรคอันนี้. ความพอใจในลมหายใจออกหรือเขา ที่เกิดมาจากความรูสึกสบายในขณะ ที่หายใจออกหรือเขา หรือที่เกิดมาจากความรูสึกที่เปนการยึดมั่นถือมั่นก็ตาม ยอมเปนสิ่ง ที่มีอํานาจมากเพียงพอ ที่จะใหเกิดความฟุงซานแหงจิต หรือเกิดความหยาบแหงลมหายใจ จนไมมีทางที่จะระงับลงได. มันจูงไปในทางแหงความตื่นเตนเสียตลอดเวลา จึงจัด เปน อุป สรรคหรือ อัน ตรายในปริย ายหนึ่ง . สว นความอยากหรือ ความหวัง นั้น เนื่องมาจากความพอใจจึงมีความกระหายตอการหายใจเขาหรือออกก็ตาม. แมขอนี้ ก็ เ ป น สิ่ ง ที่ ทํ า ให มี จิ ต หยาบ มี ล มหายใจหยาบ ไม อ าจจะระงั บ ลงได จึ ง ถื อ ว า ทั้ ง คู เปน อัน ตรายตอ ความเปน สมาธิ เชน เดีย วกับ ความฟุ ง แหง จิต ที ่ก ลา วแลว ใน ขอ ก. และ ข. คูถัดไปอีก คือ :
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org จ. เมื่อลมหายใจออกครอบงํา เกิดการลืมตอการหายใจเขา.
ฉ. เมื่อลมหายใจออกครอบงํา เกิดการลืมตอการหายใจออก.
ทั้ง ๒ อยางนี้ เปนอันตรายแหงการทําสมาธิ. คําวา ถูกลมหายใจ ครอบงํา นั้น หมายความวาเขาไปสนใจตอลมหายใจนั้นรุนแรงเกินไปก็ดี ; หรือ การหายใจออก มี อ ะไรที่ ทํ า ให เ กิ ด ความสนใจมากโดยส ว นเดี ย ว ส ว นขณะที่ ห ายใจ เข า ไม มี อ าการอย า งนั้ น ดั ง นี้ เ ป น ต น ก็ ดี ; หรื อ ว า อวั ย วะเครื่ อ งทํ า การหายใจ
www.buddhadasa.in.th
๑๒๒
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
ไมเปนปรกติ สะดวกแตการหายใจออก ไมสะดวกในเมื่อหายใจเขา, หรือสะดวก แตเมื่อหายใจเขา ไมสะดวกในเมื่อหายใจออกก็ดี : ยอมมีอาการที่เปนอุปสรรค ในขอนี้เกิดขึ้น. โดยใจความก็คือไดมีอะไรมาทําใหเขาสนใจ หรือกําหนดลมหายใจ ไดแตเพียงฝายใดฝายหนึ่ง เพราะความไมรูเทาถึงการณ, ลักษณะที่เปนไดงาย แกผูปฏิบัตินั้น ก็อยูตรงที่เขาไปสนใจอยางรุนแรงและยืดยาว ในสิ่งซึ่งเปนสิ่งแรก ที่เขาประสบเขา, และขอถัดไปก็เนื่องมาจากอวัยวะซึ่งเปนฐานที่ตั้งแหงการกําหนด ไมสามารถที่จะทําหนาที่ไดเทากัน ในขณะหายใจเขาและออก จนทําใหเกิดความ ยุงยากขึ้น โดยที่ไมสามารถจะใชจุด ๆ เดียวกัน ใหเปนที่ตั้งของผุสนาไดอยาง สม่ําเสมอ ทั้งเมื่อหายใจออกและหายใจเขา คูถัดไปอีกคือ : ช. เมื่อกําหนดนิมิต จิตในลมหายใจออกหวั่นไหว. ซ. เมื่อกําหนดลมหายใจออก จิตในนิมิตหวั่นไหว. ทั้งสองอยางนี้ เปนอันตรายตอความเปนสมาธิ. คําวา นิมิต ในที่นี้ ก็หมายถึงนิมิตในขั้นผุสนา หรืออุคคหนิมิต. เมื่อจิตไปกําหนดอยูที่อุคคหนิมิต คือฐานที่ลมกระทบ จิตที่กําหนดตัวลมก็หวั่นไหว หรือ สายไป. อีกทางหนึ่ง ซึ่ง ตรงกั น ข ามก็ คื อ เมื่อ กํ า หนดที่ ตัว ลมหายใจมากเกิ น ไป หรือ ด ว ยความตั้ ง ใจ เต็ ม ที่ จิ ต ที่ จ ะกํ า หนดในนิ มิ ต คื อ ฐานที่ ล มกระทบ หรื อ ที่ เ รี ย กว า ผุ ส นานั้ น ก็ เปนจิตหวั่นไหวหรือสายไป. อุปสรรคขอนี้เกิดมาจากการกระทําที่สับสน หรือ ผิด ลํา ดับ เพราะการศึก ษาไมเ พีย งพอ หรือ ทํา ไปตามความเขา ใจของตนเอง. เมื่อการปฏิบัติยังอยูในขั้นแรก อุปสรรคหรือปญหานี้ยังไมเกิด เพราะตัวลมหายใจ
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
กฎเกณฑนิมิต
๑๒๓
นั้นเองเปนตัวนิมิต. ถาปญหาจะเกิด ก็เนื่องมาจากการที่ผูนั้นไดไปทําการ กํ า หนดแบ ง แยกให เ ป น นิ มิ ต อย า งหนึ่ ง ให ล มหายใจอย า งหนึ่ ง แล ว เขาก็ กํ า หนด ในฐานะที่เปนนิมิตนั้นอยางหนึ่ง ในฐานะที่เปนลมหายใจนั้นอีกอยางหนึ่ง ; เมื่อ กําหนดอยางใดมากไป จิตที่กําหนดทางอีกฝายหนึ่งก็หวั่นไหว ดู ๆ คลายกับวาเปน การรูมาก ยากนาน. ถ าหากกระทํ าแต เพี ยงว าสติ กํ าหนดลมอย างแน วแน แล ว ถื อเอาลมนั้ น เป น นิ มิ ต พร อ มกั น ไปในตั ว ก็ ไ ม มี ท างที่ จ ะกํ า หนดหนั ก ไปในทางใดทางหนึ่ ง อุ ป สรรคหรื อ ป ญ หาที่ ก ล า วก็ จ ะไม เ กิ ด ขึ้ น ในขั้ น ที่ กํ า หนดลมหายใจให เ ป น นิ มิ ต ทั้งนี้ เปนปญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับลมหายใจออก. สวนปญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับ ลมหายใจเขา ก็เปนไปในทํานองอยางเดียวกันคือ : ฌ. เมื่อกําหนดนิมิต จิตในลมหายใจเขาหวั่นไหว.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ญ. เมื่อกําหนดลมหายใจเขา จิตในนิมิตหวั่นไหว.
ทั้ง ๒ อยางนี้ เปนอันตรายตอความเปนสมาธิ. คําอธิบายและการ แกไขอุปสรรคครั้งนี้ เปนอยางเดียวกับคูกอน คือ ช. กับ ซ. จึงสามารถวินิจฉัย รวมกั นไปในคราวเดี ยวกั น และอาจจะสรุ ปความประมวลเป นใจความสํ าคั ญ ที่ ใช ไดทั่วไปทั้ง ๒ คู วา ในเมื่อยังใชลมหายใจเปนนิมิต ก็ควรใชอุบายในการ กํา หนดควบคูไ ปดวยกัน คือ ไมทําในใจในทางที่จะแบง แยกกัน . ครั้น ลว งมา ขณะแหง อุค คหนิม ิต ก็กํา หนดเอาฐาน ที่ตั้ง เปน ตัว นิมิต ไมใ สใ จถึง ลมหายใจ ใส ใ จแต ค วามรู สึ ก ที่ เ กิ ด ขึ้ น ที่ ต รงจุ ด นั้ น เท า นั้ น ซึ่ ง ย อ มเป น การกํ า หนดลมหายใจ ไปในตัว โดยไมรูสึกตัว ดวยอุบายที่แยบคาย. ครั้นตกมาถึงระยะแหงปฏิภาค นิมิต ซึ่งเปนการถือเอาดวงแหงมโนภาพที่เกิดขึ้น มาเปนตัวนิมิต การกําหนด
www.buddhadasa.in.th
๑๒๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
ลมหายใจก็ กลายเป นสิ่ ง ที่ ระงั บไปแล วโดยสิ้ นเชิ ง โดยถื อ ว าลมหายใจเป น สิ่ งที่ มี อ ยู เป นระเบี ยบโดยไม รู สึ ก เมื่ อ การกํ าหนดปฏิ ภาคนิ มิ ต ยั ง เป น ไปได ดี อ ยู คื อ ปรกติ อ ยู ก็ เ ป น อั น ถื อ ว า ลมหายใจนั้ น ยั ง เป น ระเบี ย บอยู โ ดยไร สํ า นึ ก ในขั้ น นี้ จึ ง มี แ ต ก าร กําหนดนิมิตแตออยางเดียวโดยตรง ไมตองทําในใจใหเปนหวงถึงการกําหนดลมเลย. ทั้งหมดนี้อาจจะสรุปความสั้น ๆ ไดอีกครั้งหนึ่งวา : (๑) ในขณะแหงบริกรรมนิมิต กําหนดลมและนิมิตพรอมกันไปในตัว (๒) ในขณะแหง อุค คหนิมิต กํา หนดแตนิมิต ที่ต รงจุด แหง ผุส นา ให ก ารกํ า หนดลมเป น แต เ พี ย งของฝาก หรื อ ของพลอยได ซึ่ ง ไม ต อ งสนใจเท า กั บ การกํ า หนดนิ มิ ต แต ผุ ส นาย อ มเกิ ด ขึ้ น เมื่ อ ลมกระทบเทานั้น ฉะนั้นจึงเปนการกําหนด ๒ อยางพรอมกันไป ในตัวโดยอีกปริยายหนึ่ง. (๓) สวนในขณะแหงปฏิภาคนิมิต กําหนดแตนิมิตโดยตรงเพียง อย างเดี ยว ทิ้ งลมหายใจไว ในฐานะที่ เป นสิ่ ง ดํ าเนิ นไปได เอง โดย ไมตองมีการกําหนดแมโดยปริยาย. อุปสรรคหรืออันตราย ๒ คูนี้ ย อ มหมดไปโดยอุ บ ายอั น แยบคาย แห ง การปฏิ บั ติ อั น ถู ก ต อ งใน ขณะแหงนิมิต ๓ ระยะ ดังกลาวนี้. คูถัดไปอีก คือ :-
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
กฎเกณฑนิมิต
๑๒๕
ด. เมื่อกําหนดลมหายใจออก จิตในลมหายใจเขาหวั่นไหว.๑ ต. เมื่อกําหนดลมหายใจเขา จิตในลมหายใจออกหวั่นไหว. ทั้ง ๒ อยางนี้ เปนอันตรายตอความเปนสมาธิ. อุปสรรคคูนี้เปนไป ในระยะแรก ๆ. ความหมายโดยตรงหมายถึงอาการของบุคคลที่ไมทําในใจโดย แยบคาย คือ ไมม ีก ารทํ า ในใจมากพอ ถึง กับ ไมส ามารถทํ า ของ ๒ อยา งนี้ ใหสม่ําเสมอกันดวยความรูสึกที่เทากัน. ทั้งนี้เปนเพราะความไมรูบาง เพราะ ความตั้ ง ใจมากเกิ น ไปบ า ง ผู ป ฏิ บั ติ พึ ง สั ง เกตให เ ห็ น ว า อุ ป สรรคในคู นี้ มี อ าการ คลายกันกับขอ ก. และ ข. หากแต มีความมุงหมายแตกตางกันบางในขอที่วา ในขั้นนี้ หมายถึงจิตที่ไมไดรับการกระทําที่สม่ําเสมอกันในคูหนึ่ง ๆ มีอาการ ผิดปรกติเปนพิเศษกวา หรือเล็กนอยกวา หรือเฉพาะคนกวา ยิ่งกวาในขั้นตน คือในขอ ก. และ ข. ; และยังหมายถึงวาจิตหวั่นไหวในระยะหลังนี้ อาจจะมีมูล เหตุ ม าจากทางอื่ น โดยไม เ นื่ อ งกั บ การหายใจที่ คู กั น ในระยะเดี ย วกั น ก็ ไ ด เพราะ เหตุที่โยนิโสมนสิการในลมหายใจไมเทากันทั้ง ๒ ระยะ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ผู ป ระสบอุ ป สรรคข อ นี้ จ ะต อ งหาทางแก ไ ขเฉพาะส ว นที่ ห วั่ น ไหว หรื อ เทาที่เปนมูลเหตุของความหวั่นไหวเฉพาะสวน. นํามากลาวไวในฐานะเปนสิ่งที่ อาจจะเกิดขึ้นเทานั้น. สวนคูตอไปนั้นเปนเรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งแทรกแซง คือ :
๑
การบรรยายครั้งที่ ๑๓ / ๖ กันยายน ๒๕๐๒
www.buddhadasa.in.th
๑๒๖
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
ถ. จิตแลนไปตามอารมณในอดีต เปนจิตตกไปบางกระสับกระสาย (วิกเขปะ). ท. จิตหวังอารมณในอนาคต เกิดเปนจิตหวั่นไหว (วิกัมปตะ). ทั้ง ๒ อยางนี้ เปนอันตรายตอการทําสมาธิ. ขอที่ตองสังเกตมีอยูวา อารมณ ใ นอดี ต เป น เหตุ ใ ห ก ระสั บ กระส า ย อารมณ ใ นอนาคตเป น เหตุ ใ ห ห วั่ น ไหว; อาการทั้งสองนี้ มีความแตกตางกันอยางไร ? อาการกระสับกระสายหรือวิกเขปะ นั้นหมายถึงมากเรื่อง หรือหลายทิศหลายทาง, สวนอาการหวั่นไหวหมายถึงเฉพาะ เรื่อง และมีที่มุงหมายทางใดทางหนึ่ง. การแกไขอุปสรรคคูนี้ มีอาการคลายกัน ในระยะแรก คือ ตอ งละเวน หรือ รํา งับ จิต ที่เ ปน อยา งนั้น เสีย กอ น แลว จึง (๑) ทําการ “ตั้งจิตใหม” ในอารมณหรือในฐานอันเดียวกัน โดยเฉพาะอยางยิ่ง ก็คือ ผุสนา สําหรับจิตที่แลนไปในอารมณอดีต ; และ (๒) ทําการ “นอมจิตไป” ในอารมณหรือฐานอันเดียวอยางเดียวกัน สําหรับจิตที่หวังอารมณในอนาคต. ความแตกตางระหวางคําวา “ตั้งจิตใหม” (สําหรับขอ ถ.) และคําวา “นอมจิตไป” (สําหรับขอ ท.) มีอยูอยางไรนั้น เปนสิ่งที่ตองพิจารณาดูอยางละเอียด จึงจะเขาใจ และปฏิบัติไปจนแกอุปสรรคนั้นได. คําวา “ตั้ง” หมายความวา ตั้งขึ้นใหม สําหรับ กรณีที ่ไ มไ ดตั ้ง ขึ ้น มากอ น หรือ ตั ้ง ขึ ้น ไมสํ า เร็จ ก็ต าม หรือ วา ไมรู จ ะตั ้ง ตรงไหน ก็ตาม ; ฉะนั้น ตองมีการตั้งหรือการกําหนดโดยเฉพาะขึ้นมาใหม. สวนคําวา “นอม” จิตไปนั้น หมายถึงจิตไปตั้งอยู ผิดที่ หรือเปนการตั้งแลวอยางผิดที่ หรือ กํ า หนดผิด ที ่ จะตอ งนอ มไปใหถ ูก ที ่ หรือ ดึง ไปใหถ ูก ที ่ อาการจึง ตา งกัน . โดยหลั ก การอั น นี้ ทํ า ให เ ห็ น ได เ องว า ความกระสั บ กระส า ยหรื อ วิ ก เขปะนั้ น ไม มี ที่ ตั้ ง และอาศั ย มู ล เหตุ ม าจากอารมณ ใ นอดี ต ซึ่ ง มี อ ยู ม ากมายด ว ยกั น แต ก็ ล ว น
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
กฎเกณฑนิมิต
๑๒๗
แตไมเปนที่ตั้งแหงความหวัง. สวนอาการที่เรียกวาหวั่นไหว หรือวิกัมปตะนั้น หมายถึ ง อาการตั้ ง อยู แ ล ว ในอารมณ ที่ มุ ง หวั ง และเกี่ ย วกั บ อารมณ อ นาคตโดย เฉพาะเทานั้น. ถารูจักการตั้งและอาการนอมไปทั้ง ๒ อยางนี้ไดดี ก็ยอมจะแก ปญหาขอนี้ได. เมื่ อสั งเกตความหมายของคํ าเหล านี้ ได ถึ งที่ สุ ดแล ว ย อมได ความรู กว าง ออกไป แม ใ นทางจิ ต วิ ท ยาล ว น ๆ ว า อารมณ ใ นอดี ต กั บ อารมณ ใ นอนาคตนั้ น นําใหเกิดปฏิกิริยาแกจิตใจแตกตางกันในแงที่ละเอียดอยางนี้ ; ไมควรจะเหมา ๆ เอาเสียวาผิดกันแตเปนอดีตหรืออนาคต หรือโดยสักวาชื่อ, สวนโดยผลหรือโดย ปฏิกิริยานั้นเหมือนกัน ดังนี้เปนตน. อารมณในอดีตตั้งอยูไดดวยอาศัยสัญญา ; อารมณในอนาคตตั้งอยูไดดวยอาศัยเวทนาและวิตก แลวมันจะเหมือนกันได อยางไร. อีกทางหนึ่งก็คือการศึกษาใหรูเรื่องสัญญา เวทนาและวิตก นั่นเอง จะ เป น ประโยชน แ ก ก ารตั้ ง จิ ต และการน อ มจิ ต ไป ดั ง ที่ ก ล า วแล ว ข า งต น ได ต าม ความประสงค.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สําหรับคําวา “ละเวนจิตนั้น ๆ เสีย” แลวจึงตั้งใหม หรือนอมไปใหม นั้น มีท างที่จ ะละเวน เสีย ดว ยการขม อยางหนึ่ง ; และดว ยการพิจ ารณา อี ก อย า งหนึ่ ง ในเมื่ อ การข ม ทํา ไปไม สํา เร็ จ . อธิ บ ายว า เมื่ อ เราต อ งการ จะละสั ญ ญาในอดี ต เรื่ อ งใดเสี ย ด ว ยการข ม ใจไม ใ ห ร ะลึ ก ถึ ง โดยให ไ ปกํ า หนดอยู ในนิมิตของสมาธิ, แตทําอยางไร ๆ ก็ไมสําเร็จ เพราะสัญญาในอดีตมีกําลังมาก เกิ น ไปจนไม อ าจจะข ม ได จะต อ งอาศั ย การละด ว ยพิ จ ารณาด ว ยป ญ ญา คื อ เพ ง พิ จ ารณาดู ถึ ง อารมณ แ ห ง สั ญ ญาในอดี ต ว า อารมณ นั้ น ก็ ดี สั ญ ญานั้ น ก็ ดี เป น แต เพี ย งสิ่ ง ที่ ถู ก ปรุ ง ขึ้ น มา และเป น อนิ จ จั ง ทุ ก ขั ง อนั ต ตา หรื อ ปราศจากตั ว ตน
www.buddhadasa.in.th
๑๒๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
โดยสิ้นเชิง. เมื่อเห็นชัดแจงดังนี้ การละเวนจิตที่แลนไปตามอารมณแหงสัญญา ในอดีต ก็เปนสิ่งที่เปนไปได คือทําลายเสียได. สําหรับอารมณในอนาคต ก็มี หลักเกณฑ อยางเดี ยวกัน หากแตวาถาเปนการพิจารณาจะตองพิ จารณาลงไปยังตั ว เวทนาหรือวิตก : เวทนาคือเวทนาที่หวังจะไดมาเปนความถูกอกถูกใจ เปนตน จากอารมณในอนาคต. วิตกคือการตริตรึกไปสูอารมณในอนาคต. เมื่อทั้ง เวทนาและวิต กเปน เพีย งมายา คือ เปน เพีย งสิ ่ง ที ่ป รุง มัน ขึ ้น ในใจ ไมม ีต ัว ตนที่ แท จ ริ ง ไม เ ที่ ย ง เป น ทุ ก ข เป น อนั ต ตา ดั ง ที่ ก ล า วแล ว ก็ ทํ า ลายเวทนาและวิ ต ก เสียได อารมณในอนาคตก็ถูกทําลายไป นี้เรียกวา “ละเวนจิตนั้น ๆ” เสียได แลว ตั้ ง จิ ต ใหม ห รื อ น อ มจิ ต ไปสู อ ารมณ ใ หม คื อ ไปสู นิ มิ ต ของสมาธิ ร ะยะใดระยะหนึ่ ง นั่นเอง. อุ ปสรรคคู นี้ อาจจะเกิ ดขึ้ นได ทุ กขณะ และโดยเฉพาะอย างยิ่ งคื อระยะ เริ ่ม แรก ไดแ กใ นขณะแหง คณนาหรือ อนุพ ัน ธนาของบริก รรมนิม ิต โดยเฉพาะ และอาจกาวกายขึ้นไปถึงระยะผุสนาแหงอุคคหนิมิตในบางสวนหรือบางโอกาส. แต ถา หากวา ไดแ กไ ขอุป สรรคอัน นี ้ไ ปดว ยดีตั ้ง แตร ะยะแหง บริก รรมนิม ิต แลว การ รบกวนในระยะแหงอุคคหนิมิตก็ยากที่จะมีได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อี ก ทางหนึ่ ง ซึ่ ง จะต อ งสํ า เหนี ย กไว ก็ คื อ ว า บุ พ พกิ จ เบื้ อ งต น ต า ง ๆ ในระยะตระเตรี ย มตั ว เพื่ อ ทํ า กั ม มั ฏ ฐาน ตลอดถึ ง การละปลิ โ พธ ดั ง ที่ ก ล า วแล ว ข า งต น ก็ เ ป น สิ่ ง ที่ มี ค วามสํ า คั ญ เกี่ ย วกั บ การเกิ ด ของอุ ป สรรคคู นี้ หรื อ การไม เ กิ ด ของอุปสรรคคูนี้อยางไมนอยทีเดียว. อีกสิ่งหนึ่งซึ่งควรระลึกดวยก็คือ กัมมัฏฐาน อุปกรณ ที่ใชทําอยูเปนประจําวันสําหรับสนับสนุน กัมมัฏฐานหลัก ดังที่กลาวแลว ขางตน. สิ่งนี้มีความสัมพันธกันอยูมาก ในการปองกันมิใหเกิดอุปสรรคคูนี้ขึ้น มาไดงาย ๆ. อุปสรรคคูถัดไปคือ :
www.buddhadasa.in.th
กฎเกณฑนิมิต
๑๒๙
ธ. จิตหดหู เปนจิตตกไปขางฝายเกียจคราน. น. จิตเพียรจัดเกินไป เปนจิตตกไปขางฝายฟุงซาน. ทั้ง ๒ อยางนี้ เปนอันตรายตอความเปนสมาธิ. อุปสรรคทั้งคูนี้อาจ จะเกิ ดขึ้ นได ทุ กขณะ หากแต ว ามาในทางที่ แตกต างกั น เพราะฉะนั้ นจึ งไม มาด วยกั น อยางเคียงคูกันเหมือนคูอื่นบางคู. อุปสรรคอยางแรก คําวา “หดหู” โดยใจความ หมายถึงความออน กําลัง หรือไรกําลัง เพราะปฏิบัติผิดก็ดี เพราะเนื่องดวยโรคภัยก็ดี เพราะเนื่อง ด ว ยร า งกายไม ส มประกอบก็ ดี หรื อ เพราะกํ า ลั ง ในทางจิ ต คื อ อิ น ทรี ย ต า ง ๆ (มี สั ท ธา วิริยะ สติ สมาธิ ปญญา) ออนเกินไปก็ดี ลวนแตนํามาซึ่งผลอยางเดียวกัน คือความถอยกําลัง แลวตกไปเปนฝายเกียจคราน. ความซึมเซา งวงเหงาหาวนอน มึ นชา สลั ว ท อแท อิ ดโรย และอื่ น ๆ ซึ่ งมี ลั กษณะแห ง การถอยกํ าลั งอย างเดี ยวกั น ยอมจัดเขาไวในขอ นี้ ; หรือแมที่สุดแตความคิดที่เปลี่ยนแปลงไป จนกระทั่ง เกิด ความไมพ อใจ หรือ ไมเ ลื ่อ มใสตอ วัต ถุป ระสงคอ ัน นี ้โ ดยแทจ ริง ก็น ับ รวม เขาไวในขอนี้. รวมความวากิริยาที่จิตถอยกําลังลงไป เรียกวาความหดหูในที่นี้ ทุกอยาง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org การระงั บ อุ ป สรรค หรื อ อั น ตรายคื อ ความหดหู นี้ มี ห ลั ก อยู ว า “เธอ ประคองจิตนั้นขึ้น แลวยอมละความเกียจครานเสียได”. สิ่งที่ตองศึกษา คือการ ที่จะประคองจิตนั้นขึ้นโดยวิธีไร. ผูปฏิบัติจะตองประคองจิตดวยอุบายที่แยบคาย เริ่มดวยการแกไขมูลเหตุตาง ๆ ของความหดหูดังที่กลาวมาแลวขางตน เทาที่จะทํา ใหไดดีในภายนอก หรือ ในทางกายอยางไรเสียกอน แลวจึงยกจิตในภายใน ขึ้ น :เช น ถ า ร า งกายไม ดี อาหารไม เ หมาะหรื อ สั ป ปายธรรมอย า งอื่ น ไม เ พี ย งพอ
www.buddhadasa.in.th
๑๓๐
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
ก็ตอ งแกไ ขสว นนั้น กอ น แลว จึง แกไ ขสว นที่เ ปน เรื่อ งของจิต โดยตรง. การ แกไขทางจิตโดยเฉพาะอยางยิ่ง ก็คือปลูกฉันทะ ในการเจริญภาวนาใหมากขึ้น ดวยอุบายที่แยบคาย ซึ่งมีอยูมากมายดวยกัน แลวแตความเหมาะสม. ถาเหลือ วิสัยของตนเอง ผูเปนกัลยาณมิตรหรืออาจารย ก็อาจจะชวยเหลือไดดี. อุบาย ปลูกฉันทะนั้นที่เปนภายนอก ก็คือระลึกถึงบุคคลภายนอกอันเปนที่ตั้งแหงศรัทธา เช น ระลึ ก ในพระพุ ท ธคุ ณ เกิ ด ความเลื่ อ มใสแล ว ก็ เ กิ ด ความอยากหรื อ ความพอใจใน การปฏิบัติยิ่ง ๆ ขึ้นไปดังนี้ก็ดี ; หรือระลึกถึงบุคคลคนใดคนหนึ่ง ซึ่งเปนที่ตั้งแหง มานะ ว า เราก็ ค นเขาก็ ค น เมื่ อ เขาปฏิ บั ติ ไ ด เราก็ ต อ งปฏิ บั ติ ไ ด ดั ง นี้ เ ป น ต น ก็ ดี เรียกวาอาศัยเหตุปจจัยภายนอก. อีกทางหนึ่งก็คือ อุบายปลูกฉันทะอาศัยเหตุ ป จ จั ย ภายใน ของตั ว เองโดยตรง ว า ความทุ กข เ ป น อย า งนี้ วั ฏ ฏสงสารเป น อย า งนี้ ความดับทุกขเปนอยางนี้ ความหยุดเวียนวายเปนอยางนี้ ไมมีทางอื่น : ยิ่ง พิ จ ารณาไปก็ ยิ่ ง เห็ น คุ ณ แห ง พระธรรม และเห็ น ความจํ า เป น ที่ ต นต อ งพึ่ ง พระธรรม ไมมีทางอื่นที่จะเปนทางรอดของตนได ดังนี้เปนตนก็ดี : นี้เรียกวาอาศัยเหตุที่ เปนภายใน เปนอุบายประคองจิต เปนการเพิ่มกําลังใหแกอินทรียของตน ไดดวย กันทั้งนั้น. ประคองจิตขึ้นมาไดเทาไร ก็ยอมมีกําลังละความหดหู หรือความ เกียจครานเสียไดเทานั้น. ผูมีความเฉลียวฉลาดมากเทาไร ก็ยอมคิดหาอุบาย ประคองจิตของตนได เปนวงกวางขึ้นไปเทานั้น. รวมความแลว ก็เปนทางให เกิ ด ฉั น ทะ วิ ริ ย ะ จิ ต ตะ วิ มั ง สา ด ว ยกั น ทั้ ง นั้ น และล ว นแต เ ป น ความหวั ง หรื อ เห็นแกสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งตนหวังดวยกันทั้งนั้น จึงอาจจะนํามาใชเปนอุบายได : นับ ตั้ ง แต เ ห็ น แก บิ ด ามารดา เห็ น แก บุ ค คลที่ ต นประสงค จ ะให เ ขาได รั บ ความพอใจ เห็ น แกพ ระพุท ธเจา เห็น แกพ ระศาสนา กระทั ่ง เห็น แกค วามหลุด พน ของตัว เอง เปนที่สุด. สวน การเห็นแกทรัพย หรือชื่อเสียงเปนตนนั้น เปนของต่ําเกินไป กวาที่จะนํามาใชเปนอุบายสําหรับปลูกฉันทะในกรณีเชนนี้ได. สรุปความวา ถาจิตหดหูตองแกไขดวยอุบายที่เปนการประคับประคอง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
กฎเกณฑนิมิต
๑๓๑
ส ว นอุ ป สรรคเกิ ด จากการที่ จิ ต มี ความเพี ย รจั ด เกิ นไป จนตกไปข างฝ า ย ฟุงซานนั้น เปนสิ่งที่กลับตรงกันขามกับจิตที่หดหูโดยประการทั้งปวง. อุบาย สํ า หรับ แกไ ขอุป สรรคขอ นี ้ จึง มีอ ยู ใ นรูป ตรงกัน ขา ม วา “เธอขม จิต นั ้น เสีย ยอมละความฟุงซานได” ดังนี้. จิตเพียรจัดเกินไป หมายถึงมีความขะมักเขมน เกินขอบเขต. กลาวโดยที่ถูกแลว จิตไมควรจะมีความขะมักเขมนหรืออะไร ๆ ที่มีความหมายมากมายเกินกวาความพอดี ทุกชนิดทีเดียว. แมแตสิ่งที่เรียกวา ความเพี ยร ก็ ควรจะทราบว าเป นความเพี ยรที่ ทํ าไปในลั กษณะที่ พอดี มิ ใช พากเพี ยร ดวยตัณหามานะ เหมือนกรณีของชาวโลกที่ประกอบการงาน. ความเพี ย รที่ จั ด เกิ น ไปนั้ น ย อ มมี มู ล มาจากตั ณ หามานะทิ ฏ ฐิ กระทั่ ง ถึงอวิชชาเปนที่สุด ; เพราะฉะนั้น จะตองมีการศึกษาเกี่ยวกับความเพียรที่พอ เหมาะพอดีมาเปนพื้นฐานเสียกอน. อี ก ทางหนึ่ ง ความเพี ย รอาจจะพุ ง จั ด เกิ น ไปได ด ว ยความเคยชิ น ที่ เ ลื่ อ น ลอย ในการกระทํ าทางกายและทางจิ ต เช น มี ค วามขยั น ขั นแข็ งในการนั่ ง หรื อ การ ยืน หรือการจงกรมเปนตน มากเกินไป. จนเกิดความผิดปรกติขึ้นในรางกายแลว จิตก็ตองฟุงซานไปตาม : หรือในระยะแหงวิปสสนา ขยันพิจารณาอยางมุมานะ มากเกิ น ไป กว า การเพ ง ดู ค วามจริ ง อย า งแน ว แน แ ล ว จิ ต ก็ ต กไปเป น ฝ า ยฟุ ง ซ า น ไดอยางใหญหลวงโดยงาย เพราะความเคยชินอันเลื่อนลอยนั้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เมื่ อเสี ยความเป นปรกติ ทั้ งทางฝ ายกาย และฝ ายจิ ตรวมเข าด วยกั นแล ว เขายอ มไมส ามารถจะขม จิต ได กระทั ่ง ถึง แมจ ะนอนหลับ ก็ห ลับ ไมไ ด โดยที ่จ ิต ใฝ ฝ น เลื่ อ นลอยไป ไม ย อมหยุ ด ทั้ ง ที่ ก ายนอนหลั บ ตานิ่ ง จนกระทั่ ง เป น อั น ตราย ในที่สุด.
www.buddhadasa.in.th
๑๓๒
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
การข มจิ ตในที่ นี้ จะสํ าเร็ จได ด วยการป องกั น และการกํ าจั ดมู ลเหตุ แห ง ความฟุง ซา นโดยตรงนั้น เอง. เมื่อ ไดบ รรเทามูล เหตุชั้น หยาบ ๆ หรือ ที่เ ปน ภายนอกออกไปเสี ยได แล ว ก็ สามารถขจั ดความฟุ งซ านที่ เป นชั้ นละเอี ยดหรื อภายใน ไดตามลําดับ. ในบางกรณี ต อ งเป น ไปในทางพั ก ผ อ นเสี ย ชั่ ว คราว ทั้ ง ทางกายและ ทางใจ พักผอนทางกาย คือการหยุดทําความเพียรชั่วคราว ; พักผอนทางจิต คือหยุดใชการพิจารณา แลวมาสงบอยูดวยสมาธิเสียชั่วคราว ดังนี้ก็ดี, หรือหยุด สมาธิ ชั้ นละเอี ยดชนิ ดที่ มี อารมณ ละเอียด ไปเป นสมาธิ อย างอื่ นที่อารมณ หยาบกว า กลาวคือเปลี่ยนสมาธิเสียนั่นเอง ดังนี้ก็ดี. เปนการชั่วคราวแลว ยอมเปนอุบาย ที่กําจัดความเพียรที่พุงจัดเกินไปไดดวยกันทั้งนั้น. สรุปความวา การขมจิตนั้น ไมไดหมายความอยางขมเขาวัวใหกิน หญา หรือหักดามพรากับหัวเขา : หากแตวาเปนการใชอุบายที่แยบคายอยางใด อยางหนึ่ง จนระงับความฟุงซานไดนั่นเอง. อยางไรก็ตาม อุปสรรคคูนี้เปน อุ ป สรรคที่ ย ากลํ า บากต อ การที่ จ ะขจั ด ยิ่ ง ไปกว า คู ที่ แ ล ว ๆ มา และเป น อุ ป สรรคที่ อาจจะเกิ ดขึ้ นได โดยง ายกว าอุ ปสรรคที่ แล ว ๆ มา กระทั่ งมี ขอบเขตที่ จะต องศึ กษา เพื ่อ การควบคุม และแกไ ขที ่ก วา งขวางยิ ่ง กวา อุป สรรคอื ่น ๆ ที ่ก ลา วขา งตน . สวนอุปสรรคคูสุดทายคือ :-
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
กฎเกณฑนิมิต
๑๓๓
บ. จิตไวตอความรูสึกเกินไป เปนจิตตกไปขางฝายกําหนัด.๑ ป. จิตไมแจมใส เปนจิตติกไปขางฝายพยาบาท. ทั้ง ๒ อยางนี้ เปนอันตรายตอความเปนสมาธิ. ที่วาจิตไวตอความ รู ส ึก เกิน ไป เปน จิต ตกไปขา งฝา ยกํ า หนัด นั ้น หมายถึง ไวในการรู ส ึก ตอ อารมณ ที ่ม ากระทบ เปน เหตุใ หรู ส ึก ไดม ากกวา ที ่ค วรจะเปน และละเอีย ดลออมากกวา ที่ ควรจะเป น และขยายความรู สึ ก ออกไปได เ องมากกว า ที่ เ ป นจริ ง แม ที่ สุ ดแต ก าร คิดฝนเกง ไมมีที่สิ้นสุด ก็นับเนื่องเขาในขอนี้. ว า โดยที่ แ ท แ ล ว ก็ เ ป น ความไหวพริ บ หรื อ ความเฉลี ย วฉลาดชนิ ด หนึ่ ง หากแตวาไวจนควบคุมไมได และกลับเปนผลรายแกความเปนสมาธิ. ที่เห็นได งาย ๆ เชนความรูสึกของพวกศิลปนที่ชางคิดชางฝนในทางจิตรกรรมตาง ๆ ที่ขยายตัว ไปในทางงดงาม หรื อ แปลกประหลาดได ไ ม มี ที่ สิ้ น สุ ด . ในทางจิ ต รกรรม หรื อ สิ่ ง อื่ น มั น เป น ผลดี ใ นกรณี นั้ น ๆ แต ก ลั บ เป น อุ ป สรรคในทางฝ า ยสมาธิ ห รื อ สมถะเชนนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org การที่ จิ ตไวต อความรู สึ กเกิ นไปเช นนี้ ทํ าความยุ งยากลํ าบากให แก ผู ปฏิ บั ติ เหลือ ประมาณ, โดยที่แ ทแ ลว ความกํา หนัด ในอารมณนั้น ก็เปน อาการของ สั ญชาตญาณอยู ตามธรรมดาแล ว ครั้ นมี ความเฉลี ยวฉลาด หรื อความไวต อ ความ รู สึ กเพิ่ มขึ้ น มาอี ก อาการดั ง กล าวแล ว นั้ นก็ เ ป น ไปอย างแรงกล า กว า ธรรมดา เป น การส ง เสริ ม นิ ว รณ คื อ กามฉั น ทะให มี กํ า ลั ง ยิ่ ง ขึ้ น ไป และเกิ ด ได ง า ย หรื อ เกิ ด ได บอยยิ่งขึ้น.
๑
การบรรยายครั้งที่ ๑๔ / ๗ กันยายน ๒๕๐๒
www.buddhadasa.in.th
๑๓๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
อุ บ ายสํ า หรั บ กํ า จั ด อุ ป สรรคข อ นี้ มี อ ยู ว า “เธอเป น ผู รู สึ ก ตั ว ทั่ ว พร อ ม (สัมปชาโน) ตอจิตนั้น ยอมละความกําหนัดได” ดังนี้. เพื่อความเขาใจชัดเจน ในอุ บ ายอั น นี้ ควรจะถื อ เอาความหมายแห ง รู ป ศั พ ท นั้ น ๆ เป น หลั ก สิ่ ง ที่ เ ป น อุปสรรคนั้นทานเรียกวา อภิฺาต, แปลตามตัวหนังสือ วา รูยิ่งหรือ รูเฉพาะ คือพุงดิ่งไป. สวนอุบายเครื่องกําจัดอุปสรรคนั้นทานเรียกวา สมฺปชานะ ซึ่ง ตามตัวหนังสือก็แปลวา ความรูทั่วพรอม (สํ = พรอม + ป = ทั่ว + ชาน = รูอยู). เมื่ อ พิ จ ารณาตามตั ว หนั ง สื อ ก็ ทํ า ให เ ข า ใจได ทั น ที ว า สิ่ ง ทั้ ง สองนี้ เ ป น ข า ศึ ก กั น อย า งไร คื อ อั น หนึ่ ง เป น สิ่ ง ที่ รู อ ย า งพุ ง หรื อ ไหลเชี่ ย วเป น เกลี ย วไปอย า งหลั บ หู หลับตา ; สวนอีกอันหนึ่งเปนความรูอยางรอบคอบและทั่วถึง ดวยอํานาจของ สติสัมปชัญญะ ; จึงเห็นไดชัดสืบไปวา สติสัมปชัญญะอีกนั่นเอง ที่จะเปน เครื่ องมื อกํ าจั ดเสี ยซึ่ งความที่ จิ ตไวต อความรู สึ กเกิ นไป ในที่ สุ ดก็ ตั ดทางมาแห งความ กําหนัดในกรณีที่กลาวนี้เสียได. สติ สั ม ปชั ญ ญะในกรณี ที่ ก ล า วนี้ พอที่ จ ะกล า วได ว า มี เ ป น ๒ ระยะ คือ : (๑) จะระวังไมใหเอา รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส จากภายนอกเขามา ในลักษณะที่เปนเหตุใหเกิดความรูสึกทางอารมณ และ (๒) อีกทางหนึ่งเปนความรูสึก ภายใน ก็ จะไม ปล อยให จิ ตถื อเอาธรรมารมณ ป จจุ บั น หรื อสั ญญาในอดี ตมาคิ ดฝ น. แม ที่ สุ ดแต ความเป นผู ฉลาด หรื อไว ในการแปลความหมายของสิ่ งต าง ๆ ก็ จะต อ ง ถู ก ควบคุ ม ไว เ ป น อย า งดี เช น เมื่ อ ได เ ห็ น วั ต ถุ สิ่ ง ใดสิ่ ง หนึ่ ง ซึ่ ง สั ณ ฐานหรื อ ลวดลาย อย างใดอย างหนึ่ ง ก็ มี การแปลความหมายให วิ จิ ตรพิ สดารในทํ านองตี ปริ ศนา ที่ เป น ไปในทางที่ ก อ ให เ กิ ด ความกํ า หนั ด เพราะอํ า นาจความเคยชิ น ของตั ว ในการที่ จ ะ มองเห็นอะไรกลายเปนนิมิตอันเปนที่ตั้งแหงความกําหนัดไปเสียทั้งนั้น. ความ เคยชิ น เช น นี้ ยิ่ ง ต อ งการสติ สั ม ปชั ญ ญะหรื อ ความรู สึ ก ตั ว ทั่ ว พร อ มที่ มี กํ า ลั ง แก ก ล า และมากยิ่งขึ้นไปอีก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
กฎเกณฑนิมิต
๑๓๕
สรุปรวมความก็คือวา ความที่จิตเลื่อนลอย คอยแตจะตกไปสูความ กํา หนัด นั้น ตอ งกัน และแก ดว ยสติสัม ปชัญ ญะ หรือ ความรูสึก ตัว ทั่ว พรอ ม. พึงสังเกตโดยเฉพาะในข อที่ วา ในที่นี้ ไม ได แนะใหแกด วยอสุ ภกั มมั ฏฐาน เพราะเป น คนละเรื่องกัน : ในที่นี้ โทษเปนแตเพียงความไวของจิต ที่มักผลุนผลันไปใน ทางใดทางหนึ่ง ซึ่งมันถนัดหรือเคยชิน จึงตองแกดวยสัมปชัญญะ ; หากแกดวย อสุ ภกั มมั ฏฐาน ก็ จะกลายเป นเรื่ องอื่ นไป ซึ่ งจะยื ดยาดโดยไม จํ าเป น และในที่ สุ ด ก็แกไมไดเลย. สวนอุปสรรคขอที่วา จิตไมแจมใส เปนจิตตกไปขางฝายพยาบาท นั้น โดยใจความก็คือเปนฝายตรงกันขาม. คําวา ไมแจมใส ในที่นี้ หมายถึง ปราศจากความรู ที่ทําใหจิตแจมใสหรือผองใส : หรือปราศจากความรูสึกที่ปรุง จิตใหปติปราโมทย หรือสงบเสงี่ยม, แตเปนจิตที่สลัวอยูดวยความไมรูนั่นเอง ในที่ สุดก็ ตกไปขางฝายพยาบาท คํ าว า พยาบาท ในที่นี้ มิได หมายถึ งความอาฆาต จองเวรโดยตรง หากแต หมายถึ งความไม พอใจทุ กชนิ ด โดยเฉพาะหมายถึ งปฏิ ฆะ คือ ความกลุ ม หงุด หงิด อยู ใ นอารมณอ ยา งใดอยา งหนึ ่ง นับ ตั ้ง แตโ กรธผู อื ่น โกรธตัว เอง โกรธสิ ่ง ของ และโกรธกระทั ่ง สิ ่ง ที ่ต นไมรู ว า อะไร จนถึง ความรู ส ึก ที่เปนความรําคาญใจ หรือความไมสบายใจอยูตามลําพังตนในที่สุด.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อุ บ ายเป น เครื่ อ งขจั ด อุ ป สรรคอั น นี้ ก็ เ ป น อย า งเดี ย วกั น อี ก คื อ ท า น ไม ไ ด แ นะให แ ก ด ว ยการเจริ ญ เมตตา แต ไ ด แ นะให แ ก ด ว ยความเป น ผู รู สึ ก ตั ว ทั่ ว พรอมเชนเดียวกับขอกอน. อธิบายวา เมื่อมีสติสัมปชัญญะเพียงพอแลว ความ มืดสลัวไมผองแผวแหงจิตก็มีขึ้นไมได. การควบคุมสติสัมปชัญญะใหปรากฏ อยูเสมอ เปนสิ่งที่พึงประสงคอยางยิ่งในกรณีแหงอุปสรรคทั้ง ๒ ขอนี้. ลําพัง การเจริญเมตตา ไมสามารถจะกําจัดความสลัวแหงจิตได. อุปสรรคขอนี้มีชื่อ โดยบาลีวา อปฺาตํ แปลวา ไมแจมใส ไมผองแผว ไมชัดเจนหรือไมแจมใส
www.buddhadasa.in.th
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
๑๓๖
โดยใจความก็ คื อ มั ว หรื อ สลั ว ทํ า ให เ ห็ น ได ว า เป น สิ่ ง ที่ อ าจระงั บ ไปได ด ว ยความ รูสึกตัวทั่วพรอม. อุ ป สรรคทั้ ง ๙ คู หรื อ นั บ เรี ย งอย า งได ๑๘ อย า งเหล า นี้ บางที ก็ เรียกวา อุปกิเลสของสมาธิ บาง ในฐานะที่เปนเครื่องเศราหมองของสมาธิ : เรียกวา อันตรายของสมาธิ บาง ในฐานะที่เปนสิ่งที่ทําอันตรายตอสมาธิโดยตรง : เมื่ อเกิ ดอาการเหล านี้ อย างใดอย างหนึ่ งขึ้ นแล ว กายก็ ดี จิ ตก็ ดี ย อมกระวนกระวาย ยอมหวั่นไหว ยอมดิ้นรนไปตามกัน. เมื่อจิตหมดจดจากอุปสรรคเหลานี้ การ เจริญสมาธิทุกขั้นยอมเปนไปไดโดยหลักใหญ ๆ. สวนขอปลีกยอยหรือรายละเอียด นั้ น จะไม มี ความสํ าคั ญจนถึ งกั บจะแก ไขไม ได ในเมื่ อตั วอุ ปสรรคอั นแท จริ งเหล านี้ ไดถูกขจัดไปหมดสิ้นแลว. จิตที่ปลอดจากอุปสรรคเหลานี้ ชื่อวาเปนจิตขาวรอบ หรือเปน จิตถึงซึ่งความเปนเอก (เอกตฺต) ความเปนเอกในที่นี้ มีความหมายทั้ง ความเปนหนึ่ง ไมมีสอง และความเปนเอก คือประเสริฐ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org จิตถึงความเปนเอก
เมื่ อ กล า วถึ ง ความเป น เอก พึ ง ทราบเสี ย ด ว ยว า ท า นบั ญ ญั ติ ไ ว เ ป น ขั้น ๆ ตางกันคือ : ๑. ความเปนเอกในดานการเสียสละ หรือการใหทานของพวกที่พอใจ ในการใหทาน ๒. ความเปนเอกเพราะสมถนิมิตปรากฏชัดแลวของพวกที่มีสมาธิ. ๓. ความเปนเอกเพราะอนิจจังทุกขังอนัตตา ปรากฏแลว ของพวก ที่เจริญวิปสสนา.
www.buddhadasa.in.th
กฎเกณฑนิมิต
๑๓๗
๔.
ความเปนเอกเพราะความดับทุกขปรากฏแลว ของพระอริยบุคคล
ทั้งหลาย. รวมเป น ๔ อย า งด ว ยกั น เช น นี้ เมื่ อ เป น ดั ง นี้ เราจะเห็ น ได ว า ความ เปนเอกที่เราประสงคในที่นี้ ไดแกความเปนเอกในขอที่ ๒ คือความเปนเอก เพราะสมาธินิมิตเปนไปสําเร็จ หรือปรากฏชัดในการเจริญสมาธินั่นเอง. ทานได กําหนดองคแหงความเปนเอกของสมาธิในกรณีนี้ไววา : ๑. จิตผองใส เพราะความหมดจดแหงขอปฏิบัติ. ๒. จิตเจริญงอกงาม ดวยอุเบกขา. ๓. จิตอาจหาญราเริง ดวยญาณ. ทั้ ง ๓ ประการนี้ เป น ลั ก ษณะเครื่ อ งหมายของจิ ต ที่ ลุ ถึ ง ปฐมฌาน โดยตรง ซึ่ ง เป น การแสดงถึ ง ความสํ า เร็ จ แห ง การเจริ ญ สมาธิ ใ นขั้ น แรก ซึ่ ง เราจะ พิจารณากันตอไปโดยละเอียด ดังตอไปนี้ :-
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ขอที่วา “จิตผองใส เพราะความบริสุทธิ์หมดจดแหงขอปฏิบัติ” นั้น หมายความว าเมื่ อจิ ตผ านอุ ปสรรคทั้ ง ๑๘ อย างดั งที่ กล าวแล ว มาได โดยเรี ยบร อ ย เชน นี ้ ก็เ ปน อัน วา ขอ ปฏิบ ัต ิห รือ ปฏิท านั ้น ไดดํ า เนิน มาดว ยความหมดจด จิ ต จึ ง ได ผ อ งใส เพราะความที่ ไ ม มี อุ ป สรรคหรื อ นิ ว รณ อ ย า งใดรบกวน ความที่ จิ ต ผองใสในลักษณะเชนนี้ เปนองคอันแรกหรือเปนลักษณะอันแรกของปฐมฌาน. ขอที่วา “จิตเจริญงอกงามดวยอุเบกขา” นั้น เล็งถึงความที่บัดนี้ จิ ตวางเฉยอยู ได ด วยความวางเฉย ที่ เป นองค แห งฌาน ซึ่ งจะได กล าวต อไปข างหน า. เมื่ อ จิ ต วางเฉยได โ ดยไม มี อ ะไรมารบกวน ท า นเรี ย กว า เป น จิ ต ที่ เ จริ ญ งอกงามตาม
www.buddhadasa.in.th
๑๓๘
ความหมายของภาษาฝ ายกั มมั ฏฐานหรื อโยคปฏิ บั ติ นี้ เปนองค ที่ สอง หรือลั กษณะ ที่สอง หรือกลาวอีกอยางหนึ่ง คือลักษณะทามกลางของปฐมฌาน. ขอที่วา “จิตมีความอาจหาญราเริงอยูดวยญาณ” นั้น อธิบายวา จิ ต ที่ เ ป น มาแล ว โดยลั ก ษณะอาการแห ง ข อ ที่ ห นึ่ ง ข อ ที่ ส องนั้ น ย อ มร า เริ ง อยู ด ว ย ความรู คือรู ความที่นิวรณหมดไป รูความที่จิตเปนสมาธิประกอบดวยองคแหงฌาน อยางมั่นคงไมหวั่นไหว แลวมีปติและสุข อันเกิดแตวิเวกแลอยู จิตจึงอาจหาญ ร า เริ ง ข อ นี ้ เ ป น องค ที ่ ส าม หรื อ ลั ก ษณะที ่ ส าม หรื อ ลั ก ษณะในที ่ ส ุ ด ของ ปฐมฌาน. ทั้ งหมดนี้ ทํ าให กล าวได อี กนั ยหนึ่ งว า ปฐมฌานมี ความงามในเบื้ องต น มีความงามในทามกลาง มีความงามในที่สุด. งามในเบื้องตน เพราะจิตผองใส ดวยอํานาจขอปฏิบัติที่หมดจดถึงที่สุด, งามในทามกลาง เพราะจิตเจริญรุงเรือง อยูดวยอุเบกขา คือความวางเฉย, และ งามในที่สุด เพราะจิตกําลังราเริงอยูดวย ญาณนั้น. การที่จะเขาใจในลักษณะทั้งสามนี้ ของปฐมฌานนั้นขึ้นอยู กับความเขาใจ ในเรื่องนิวรณและองคแหงฌาน เปนสวนสําคัญ.
www.buddhadasa.in.th นิวรณ และ องคแหงฌาน www.buddhadasa.org เพื่ อให เขาใจ ถึ งข อที่จิ ตผานอุคคหนิมิ ต และปฏิภาคนิมิ ต มาโดยลํ าดั บ จนลุ ถึ ง อั ป ปนาสมาธิ ใ นขั้ น ที่ เ ป น ปฐมฌานได อ ย า งไรโดยแจ ม แจ ง นั้ น จะต อ งมี ความเข า ใจในเรื่ อ งอั น เกี่ ย วกั บ นิ ว รณ และองค แ ห ง ฌานเป น หลั ก สํ า คั ญ เสี ย ก อ น.
www.buddhadasa.in.th
นิวรณและองคฌาน
๑๓๙
นิวรณ กับ คูปรับ สิ่ ง ที่ เ รี ย กว า นิ ว รณ ตามตั ว หนั ง สื อ แปลว า เครื่ อ งกางกั้ น แต ค วาม หมาย หมายถึงสิ่งที่ทําความเสียหายใหแกความดีงามของจิต. ความดีงามของจิต ในที่นี้ เรียกวาความเปนเอก หรือ เอกัตตะ ดังที่กลาวมาแลวขางตน : ดังนั้น นิวรณจึงเปนอุปสรรคหรือเปนคูปรับกันกับเอกัตตะ ในฐานะที่เปนปฏิปกษตอกัน ซึ่งจะไดยกมากลาวเปนคู ๆ พรอมกันไปดังนี้ : ๑. กามฉันทะ เปนนิวรณ. เนกขัมมะ เปนเอกัตตะ. กามฉันทะ คือ ความพอใจในกาม ความหมกหมุ น อาลัย ในกาม หรือ ความใครใ นทางกาม ที่กลุมรุมรบกวนจิตอยู ทําจิตใหไมแจมใสหรือเปนประภัสสร : เชนเดียวกับน้ําที่ ใสสะอาด เมื ่อ บุค คลเอาสีแ ดงเปน ตน ใสล งไปในน้ํ า แลว ยอ มหมดความเปน น้ําใส ไมอาจจะมองเห็นสิ่งตาง ๆ ที่อยูภายใตน้ํานั้นไดอีกตอไป ฉันใดก็ฉันนั้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เนกขัมมะ กระทําใหมืดมัวไป. เอกัตตะขอที่หนึ่ง.
คือความที่จิตปราศจากกาม ไมถูกกามรบกวน ไมถูกกาม เมื่อใดจิตมีลักษณะเชนนั้น เรียกวาจิตมีเนกขัมมะ หรือเปน
๒. พยาบาท เปนนิวรณ. อัพยาบาท เปนเอกัตตะ. พยาบาท หมายถึ ง ความที่ จิ ต ถู ก ประทุ ษ ร า ยด ว ยโทสะหรื อ โกธะ กล า วคื อ ความขั ด ใจ ความ ไม พ อใจ ความโกรธเคื อ ง ความกระทบกระทั่ ง แห ง จิ ต ทุ ก ชนิ ด ที่ เ ป น ไปในทางที่ จะเบียดเบียนตนเอง ผูอื่น หรือวัตถุอื่น. สวน อัพยาบาท เปนไปในทางตรงกันขาม หมายถึงจิตเยือกเย็นไมมี ความกระทบกระทั่ ง หรื อ หงุ ด หงิ ด แต ป ระการใด. เมื่ อ พยาบาทเกิ ด ขึ้ น กลุ ม รุ ม จิ ต
www.buddhadasa.in.th
๑๔๐
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
แล ว ในขณะนั้ น จิ ต ย อ มพลุ ง พล า น เสี ย ความเป น ประภั ส สร หรื อ ความผ อ งใส เหมื อ นน้ํ า ที่ ใ สสะอาด แต ถู ก ความร อ นทํ า ให เ ดื อ ดพล า นอยู ย อ มสู ญ เสี ย ความ ผองใส ไมอาจจะมองเห็นสิ่งตาง ๆ ที่มีอยูใตพื้นน้ํานั้น ฉันใดก็ฉันนั้น. ๓. ถีนมิทธ เปนนิวรณ. อาโลกสัญญา เปนเอกัตตะ. ถีนมิทธะ ในที่ นี้ ได แ ก ค วามเศร า ซึ ม ความมึ น ชา ง ว งเหงาหาวนอน เป น ต น แม ที่ สุ ด แต ความละเหี่ยทอแท ก็นับรวมอยูในขอนี้. เมื่อครอบงําจิตแลว จิตสูญเสียความ ผ อ งใส เช น เดี ย วกั บ น้ํ า ที่ ใ สสะอาด แต ถ า มี เ มื อ กหรื อ ตะไคร หรื อ สาหร า ยเป น ต น ลอยอยู ในน้ํ านั้ น น้ํ าก็ สู ญเสี ยความผ องใส ไม สามารถจะมองเห็ นสิ่ งต าง ๆ มี กรวด ทรายเป น ต น ที่ มี อ ยู ใ ต พื้ น น้ํ า นั้ น จึ ง จั ด เป น นิ ว รณ เพราะทํ า ความเสื่ อ มเสี ย ให แกจิต คือทําจิตใหใชการไมได. อาโลกสัญญา คือการทําในใจใหเปนแสงสวาง ราวกะวามีแสงอาทิตย สอ งอยูโ ดยประจัก ษต ลอดเวลา. ขอ นี้เ กี่ย วกับ อุปนิสัย ดว ย เกี่ย วกับ การฝก ดวย ที่จะทําใหบุคคลนั้นมีจิตแจมจาราวกะวาไดรับแสงแดดอยูตลอดเวลา, คือ ไมมีการงวงซึม มึนชา ซบเซา. ถาหลับก็หลับโดยสนิท ถาตื่นก็ตื่นโดยแจมใส. อาโลกสัญ ญา เปน ความเปน เอก หรือ ความเปน เลิศ ชนิด หนึ ่ง ของจิต และเปน คูปรับโดยตรงของถีนมิทธะ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๔. อุทธัจจกุกกุจจะ เปนนิวรณ. อวิกเขปะ เปนเอกัตตะ อุทธัจจ-กุกกุจจะ คือ ความฟุงซานและรําคาญ ความแตกตางกันของอุทธัจจะ กับกุกกุจจะ พึงถือเอาตามความหมาย รูปศัพท. อุทธัจจะ หมายถึงความพลุง ขึ ้น หรือ ฟุ ง ขึ ้น เชน ความคิด ฟุ ง ขึ ้น เพราะความทึ ่ง หรือ ความสนใจที ่ม าก เกินไป : สวน กุกกุจจะ เปนความรูสึกที่แผซานระส่ําระสาย เพราะความไมรูวา
www.buddhadasa.in.th
นิวรณและองคฌาน
๑๔๑
จะทําอยางไรดี ที่ไหนดี, หรือทําอยางไร ๆ ก็ไมเปนที่พอใจหรือเปนสุข. เกิดขึ้น เพราะมี สิ่ ง อื่ น มายั่ ว บ า ง เพราะความเคยชิ น บ า ง เพราะการกระทํ า ที่ เ กิ น ขอบเขต เกินเวลาบาง จนพราไปหมด. ครั้นสิ่งทั้ง ๒ นี้เกิดขึ้นครอบงําจิตแลว ก็ทําจิต ใหสูญเสียความเปนประภัสสรไปในอีกทางหนึ่ง : เปรียบเหมือนน้ําที่ใสสะอาด แต ถ า ถู ก เป า ให เ ป น ระลอก หรื อ เป น คลื่ น อยู เ สมอแล ว ย อ มสู ญ เสี ย ความผ อ งใส ไมอํ านวยความสําเร็ จแก การมองเห็นสิ่ งหนึ่งสิ่ งใดภายใตพื้นน้ํานั้น ฉั นใดก็ฉั นนั้น ; จึงจัดเปนสิ่งที่ทําความเสื่อมเสียแกจิต. อวิกเขปะ แปลวาไมซัดไป หรือไมสายไป คือไมพลุงขึ้นขางบน หรือไมสายไปรอบตัว, เมื่อเปนลักษณะของจิต ไดแกความที่จิตมีความคงที่ หรือ คงตั ว ทนได ต อ สิ่ ง รบกวน ไม ห วั่ น ไหวไปตามสิ่ ง รบกวน มี ค วามเป น ปรกติ ข อง ตั ว เองอยู ไ ด จึ ง จั ด ว า เป น ความเป น เอก หรื อ ความเป น เลิ ศ ของจิ ต อี ก ชนิ ด หนึ่ ง อาศั ย การศึ ก ษาฝ ก ฝนอย า งเดี ย วเท า นั้ น จึ ง จะมี คุ ณ ธรรมข อ นี้ ขึ้ น มาได เพราะ ธรรมชาติของจิตยอมกลับกลอกและหวั่นไหว.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๕. วิจิกิจฉา เปนนิวรณ. ธัมมววัตถานะ เปนเอกัตตะ. วิจิกิจฉา หมายถึ ง ความลั ง เล หรื อ โลเลแห ง จิ ต ไม มี ค วามแน ใ จในตั ว เอง ในวิ ธี ก ารหรื อ หลัก การ ที่ต นกํา ลัง ยึด ถือ เปน หลัก ปฏิบัติ. ไมแ นใ จในพระพุท ธ พระธรรม พระสงฆ ในการตรั สรู ของพระพุ ทธเจ า หรื อในปฏิ ปทาทางปฏิ บั ติ เพื่ อความดั บทุ กข ทางพระศาสนา. มีความเชื่อครึ่งหนึ่ง มีความสงสัยครึ่งหนึ่ง ในสิ่งนั้น ๆ และ โดยเฉพาะอยางยิ่งในสิ่งที่ตนกําลังกระทําอยู.
www.buddhadasa.in.th
๑๔๒
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
ความลั งเลเช นนี้ ครอบงํ าจิ ตแล ว ทํ าให จิ ตสู ญเสี ยความเป นประภั สสร หรื อความผ อ งใส หมดสมรรถภาพในตั วมั น เอง ในทางที่ จ ะรู แจ งสิ่ งต าง ๆ ตามที่ เปน จริง เหมือ นกับ น้ํ า ที ่ใ สสะอาดแตม ีอ ยู ใ นที ่ม ืด สนิท ยอ มไมสํ า เร็จ ประโยชน ในการที่มองเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่มีอยูที่พื้นภายใตน้ํานั้น ฉันใดก็ฉันนั้น. ธัมมววัตถานะ ไดแกการกําหนดที่แนนอนชัดเจนลงไปยังธรรมะหรือ หลักเกณฑขอใดขอหนึ่ง โดยกระจางชัดไมมีการสงสัยหรือลังเล. สิ่งที่เราตอง ประสงค โดยตรงในที่ นี้ หมายถึ งการที่ บุ คคลแต ละคน จะต องมี หลั กเกณฑ อย างใด อยางหนึ่ง ที่จํ าเปนแก การครองชีวิ ตของตนหรื อการประกอบอาชี พการงานในหนาที่ ของตน ทั้ งทางกายและทางจิ ต โดยเฉพาะอย างยิ่ ง ก็ คือหลักเกณฑ ในเรื่องความดี ความชั่ ว บุ ญบาป สุ ขทุ กข ทางแห งความเสื่ อมและความเจริ ญ ตลอดถึ งทางแห ง มรรค ผล นิพพานเปนที่สุด. ธั ม มววั ต ถานะนี้ มี ท างมาจากการศึ ก ษาโดยตรง ซึ่ ง หมายถึ ง การฟ ง หรือ การอา น การคิด การถาม การซัก ไซส อบสวน การกํ า หนดจดจํ า จนมี หลั ก เกณฑ ที่ ชั ด เจนแจ ม แจ ง เป น ที่ แ น ใ จตั ว เองอยู ต ลอดเวลา ไม ส งสั ย หรื อ ลั ง เล ในสิ่งที่ตนจะตองทําหรือกําลังทําอยู. ความสงสัยเปนสิ่งที่รวมกวนหรือทรมาน จิตใจอยางลึกซึ้ง ; สวนธัมมววัตถานะนั้นตรงกันขาม, จึงจัดเปนความเปนเอก หรือความเปนเลิศของจิตอีกอยางหนึ่ง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
นิวรณและองคฌาน
๑๔๓
นิวรณ มีไดไมจํากัดจํานวน๑ โดยทั่ ว ไป ท านกล าวนิ วรณ ไว เ พี ย ง ๕ อย างเท า นั้ น แต ใ นที่ บางแห ง โดยเฉพาะเช น ในคั ม ภี ร ป ฏิ สั ม ภิ ท ามรรค ได เ พิ่ ม นิ ว รณ ขึ้ น อี ก ๓ อย า ง คื อ : อวิชชาหรืออัญญาณ เปนนิวรณ, ญาณเปนเอกัตตะ นี้คูหนึ่ง ; อรติ เปน นิวรณ, ปามุชชะเปนเอกัตตะ นี้คูหนึ่ง ; และอกุศลธรรมทั้งปวง เปนนิวรณ, กุศลธรรมทั้งปวงเปนเอกัตตะ นี้คูหนึ่ง. แตเมื่อพิจารณาดูแลวจะเห็นไดวา อัญญาณ หรืออวิชชา ในที่นี้อาจสงเคราะหเขาไดในวิจิกิจฉา, อรติ คือความไมยินดี หรือความขัดใจนั้น อาจสงเคราะหเขาไดกับพยาบาท. สวนอกุศลธรรมทั้งปวงนั้น เป น อั น กล า วเผื่ อ ไว สํ า หรั บ อุ ป กิ เ ลสที่ ไ ม ไ ด อ อกชื่ อ แต ก็ อ าจจะสงเคราะห เ ข า ได ใ น ขอใดขอหนึ่งของนิวรณ ๕ ขางตนนั่นเอง. โดยนั ยนี้ จะเห็ นได ว า สิ่ งที่ เรี ยกว านิ วรณ นั้ น โดยที่ แท ไม จํ ากั ดจํ านวน คือจะเปนอุปกิเลสชื่อไรก็ได. การกําหนดไวเพียง ๕ อยาง เปนบาลีพุทธภาษิต ดั้งเดิม. ไดรับความนิยมทั่วไป เพราะฉะนั้นจึงไดพิจารณากันแต๕ อยางเทานั้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เหตุที่ไดชื่อวา นิวรณ
เหตุที่ไดชื่อวานิวรณ เพราะมีความหมายวา เปนเครื่องปดกั้น. เมื่อ ถามวาปดกั้นอะไร ? มีคําตอบตาง ๆ กัน เชนปดกั้นความดี ปดกั้นทางแหงพระ นิพพาน ดังนี้เปนตน. แตในกรณีที่เกี่ยวกับการเจริญสมาธินี้ ทานจํากัดความ
๑
การบรรยายครั้งที่ ๑๕ / ๘ กันยายน ๒๕๐๒
www.buddhadasa.in.th
๑๔๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
กันลงไปวา โดยบุคลาธิษฐาน ก็คือปดบังสัตว หรือจิตของสัตวไมใหรูธรรม ; สวน โดยธรรมาธิ ษฐานนั้ น หมายถึ งป ดบั ง นิ ยยานิ กธรรม กล าวคื อธรรมเครื่ องนํ าสั ตว ออก จากทุกข หรือกลาวโดยนิตินัย ก็กลาวไดวาปดบังเอกัตตะนั่นเอง : ยกตัวอยาง เช น เนกขั ม มะ หรื อ ความที่ จิ ต ว า งจากกาม เป น นิ ย ยานะอั ห นึ่ ง ของพระอริ ย เจ า หมายความวาพระอริยเจามีจิตออกจากทุกขดวยเนกชัมมะนั้น, สวนกามฉันทะเปน เครื ่อ งปด กั ้น เนกขัม มะ คือ กั ้น หรือ กีด กัน เนกขัม มะออกไป แลว มีก ามฉัน ทะ เขามาอยูแทน กามฉันทะจึงไดชื่อวาเปนนิวรณ หรือเปนนิยยานาวรณา ซึ่งมี ความหมายอย า งเดี ย วกั น กล า วคื อ เป น เครื่ อ งป ด กั้ น ธรรม ซึ่ ง เป น เครื่ อ งนํ า สั ต ว ออกจากทุ ก ข ข องพระอริ ย เจ า ทั้ ง หลาย ปุ ถุ ช นไม รู ว า เนกขั ม มะนั้ น เป น ธรรม เครื่องออกจากทุกขของพระอริยเจา เพราะถูกกามฉันทะหุมหอปดบังจิต. โดย นัยนี้ จึงได ความหมายเป น ๒ ทาง คื อป ดบั งธรรมฝ ายเอกั ตตะไม ให ปรากฏแก จิ ต หรือปดบังจิตไมใหลุถึงธรรมที่เปนฝายเอกัตตะ. แตโดยผลแลวเปนอยางเดียวกัน คือจิตถูกหุมหอดวยนิวรณอยูตลอดเวลา, เมื่อถือเอาโดยพฤตินัย จึงไดแก สิ่งที่ เกิดขึ้นหุมหอจิตอยูเปนปรกติ นั่นเอง : จิตเศราหมอง จิตไมมีวิเวก จิตไมมีสุขเปนตน ดวยอํานาจแหงนิวรณนั้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org การละนิวรณ มีหลายประเภท
การทํ า จิ ต ให ป ราศจากนิ ว รณ นั้ น คื อ ความมุ ง หมายโดยตรงของการ ทําสมาธิ ฉะนั้น การที่จิตปราศจากนิวรณ กับการที่จิตเปนสมาธิ จึงเปนของอันเดียว กัน. เมื่อใดจิตปราศจากนิวรณอยูโดยธรรมชาติ ซึ่งเปนไดเองในบางขณะ ก็เปน สมาธิธรรมชาติ ; เมื่อใดจิตปราศจากนิวรณโดยอาศัยการปฏิบัติ จิตก็มีสมาธิ ชนิดที่เรากําลังศึกษากันอยูนี้. สมาธิตามธรรมชาติ ทําใหจิตพนจากนิวรณ
www.buddhadasa.in.th
นิวรณและองคฌาน
๑๔๕
ไดโดยบั งเอิญ เรียกวา ตทังควิมุตติ แปลวาหลุดพนเพราะประจวบเหมาะ หรื อ บังเอิญประจวบเหมาะกับสิ่งที่เปนเครื่องระงับนิวรณ, สวนในสมาธิที่เกิดขึ้นจาก การปฏิบัตินั้น นิวรณถูกละไปดวยอํานาจของสมาธินั้น. การปราศจากนิวรณ ดวยอาการเชนนี้ เรียกวา วิกขัมภนวิมุตติ. แตตลอดเวลาที่กิเลสยังไมหมดสิ้นไป นิวรณยอมกลับเกิดขึ้นใหม ในเมื่อวางจากสมาธิ ฉะนั้น จึงตองมีการปฏิบัติอีก ชั้นหนึ่ง ซึ่งเปนการทําลายรากเหงา หรือตนตอแหงนิวรณเสีย, สิ่งนั้นคือวิปสสนา. จิต ที่ ไ ม ถูก นิ ว รณห รื อ กิ เลสรบกวนอี ก ตอ ไป ได ชื่ อ ว ามี สมุจ เฉทวิมุ ต ติ คื อ ความ หลุดพน เพราะความขาดสูญของกิเลส เปนความหลุดพนอยางเด็ดขาด. โดยนัย ที่กลาวมานี้ จะเห็นไดอยางชัดเจนวา สิ่งที่เรียกวานิวรณนั้น รํางับเองไดโดยบังเอิญ อยางหนึ่ง, รํางับอยูไดดวยอํานาจของสมาธิ อยางหนึ่ง, และมีรากเหงาอัน ขาดสูญ ไปไดดวยอํานาจของวิปสสนา อีกอยางหนึ่ง. สองอยางแรกเปนการชั่วคราว อยางหลัง เปนการถาวร. ผู ปฏิ บั ติ ต องไม เพี ยงแต ศึ กษาหรื อจดจํ าเรื่ องราวอั นเกี่ ยวกั บนิ วรณ อย าง เดียว. แตตองรูจักหรือหยั่งทราบชัด ตอสิ่งที่เรียกวานิวรณดวยใจของตนเอง จริง ๆ วามีอยูอยางไร เพียงไร และเมื่อไรเปนตน, และรูจักลักษณะที่นิวรณนั้น ๆ กํ าลั งรบกวนตนเองอยู อ ยา งไร ทั ้ง นี ้ เพื ่อ จะไดเ ห็น โทษแหง นิว รณนั ้น ไดจ ริง ๆ จนมี ค วามพอใจและแน ใ จ ในการที่ จ ะกํ า จั ด นิ ว รณ นั้ น เสี ย แม เ พื่ อ ประโยชน แ ห ง ความอยู เ ป น สุ ข ในป จ จุ บั น ทั น ตาเห็ น ได ทุ ก ขณะที่ ต นต อ งการ กล า วคื อ แม ยั ง จะ ไมหมดกิเลสสิ้นเชิง . แตก็จะมีชีวิตอยูไดดวยอุบายชนิดที่นิวรณรบกวนไมได เรื่อย ๆ ไป จนกวาจะหมดกิเลสสิ้นเชิง. โดยนัยนี้จะเห็นไดวา ความปราศจาก นิวรณนั้น เปนความสงบสุขอยางยิ่งอยูในตัวของมันเอง ชั้นหนึ่งกอน แลวยังเปนโอกาส หรือเปนฐานที่ตั้งสําหรับการปฏิบัติ เพื่อกําจัดกิเลสอันเปนรากเหงาของนิวรณนั้นใหหมด
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๑๔๖
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
สิ้นไปอีกตอหนึ่ง ซึ่งเปนการทําลายนิวรณในขั้นเด็ดขาด และเปนความดับทุกขใน ขั้นที่ไมเปลี่ยนแปลงอีกตอไป.
การละนิวรณ คือหนาที่ของสมาธิ สํ า หรั บ การปฏิ บั ติ ใ นขั้ น นี้ เป น เพี ย งขั้ น สมาธิ ยั ง ไม ใ ช ขั้ น วิ ป ส สนา หน า ที่ ข องเราอั น เกี่ ย วกั บ นิ ว รณ จึ ง เป น เพี ย งการทํ า สมาธิ ห รื อ อุ บ ายอั น เป น เครื่ อ ง กีดกั นนิ วรณ ออกไปเสี ยจากจิ ต ดวยการนํ าเอาสิ่งที่ เป นปฏิ ป กษต อนิวรณ เข ามาสู จิ ต จนกระทั่ง นิว รณตา ง ๆ ระงับ ไป. สิ่ง ที่กีด กัน นิว รณอ อกไปจากจิต ในที่นี้คือ ตัวสติที่เกิดขึ้นในการกําหนดลมหายใจ โดยวิธีที่ไดกลาวมาแลวขางตน. โดยกรรมวิธีก็ คือเป น การนํ าจิ ตเข าไปผู กไว กั บลมหายใจ จนกระทั่ งเกิ ดเอกั ตตธรรมต าง ๆ ซึ่ งล วน แตเ ปน ปฏิปก ษตอ นิว รณ นิว รณจึง หมดโอกาสที่จ ะครอบงํา จิต . ตลอดเวลา ที่สติยังไมละไป. จิตยังกําหนดอยูที่ลมหายใจหรือนิมิตแหงสมาธิไดอยู เมื่อนั้น ชื่อวาไมมีนิวรณ มีแตเอกัตตธรรมอยูแทนที่ดังที่กลาวแลว. ผูปฏิบัติจะตองมอง ใหเห็นชัดเจนทีเดียววา เอกัตตธรรมเหลานี้มีอยูอยางไร : ยกตัวอยางเชน เนกขั ม มะ หรื อ การหลี ก ออกจากกามนั้ น เป น สิ่ ง ที่ อ าจกล า วได ว า ได เ ริ่ ม มี แ ล ว ตั้ ง แต ข ณะหลี ก ออกไปสู ที่ ส งั ด และมี ม ากขึ้ น หรื อ มั่ น คงขึ้ น นั บ ตั้ ง แต ข ณะแห ง คณนา คือการกําหนดนิมิต หรือลมหายใจเปนตนไป กระทั่งถึงขณะแหงปฏิภาค นิ มิ ต ซึ่ ง เป น อั น กล า วได ว า เป น เนกขั ม มะในที่ นี้ แ ล ว อย า งสมบู ร ณ เอกั ต ตธรรม ขอ อื ่น เชน อัพ ยาบาทเปน ตน ก็ดํ า เนิน ไปในแนวเดีย วกัน . แตทั ้ง หมดนี ้จ ะ เห็น ไดช ัด เจนยิ ่ง ขึ ้น ก็ต อ เมื่ อ ได ศึ ก ษาจนทราบว า องค ฌ านนั้ น ๆ มี อ ะไรบ า ง และองคแหงฌานนั้น ๆ เปนตัวเอกัตตธรรมขอไหน, ฉะนั้น จะไดวินิจฉัยกันถึง องคแหงฌานสืบไป.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
นิวรณและองคฌาน
๑๔๗
องคแหงฌาน หมายความวา สวนประกอบสวนหนึ่ง ๆ ของฌาน. เมื่อประกอบรวมกันหลายอยาง จึงสําเร็จเปนฌานขั้นหนึ่ง. เชนอาจ จะกล า วได ว า ปฐมฌานมี อ งค ห า ทุ ติ ย ฌานมี อ งค ส าม ตติ ย ฌานมี อ งค ส อง จตุตถฌานมีองคสอง ดังนี้เปนตน. ทั้งนี้เปนการแสดงชัดอยูแลววาองคแหง ฌานนั้น ไมใชตัวฌาน เปนแตเพียงสวนประกอบสวนหนึ่ง ๆ ของฌาน. องค แหงฌาน มี ๕ องค คือ ๑ วิตก, ๒ วิจาร, ๓ ปติ, ๔ สุข, ๕ เอกัคคตา, มีอธิบายดังตอไปนี้ :-
คําวา “องคแหงฌาน”
๑. วิตก คําคํานี้ โดยทั่วไปแปลวา ความตริหรือความตรึก. แต ในภาษาสมาธิ คําวา วิตกนี้ หาใชความคิดนึกตริตรึกอยางใดไม. ถาจะเรียกวา เปนความคิด ก็เปนเพียงการกําหนดนิ่ง ๆ แนบแนนอยูในสิ่ง ๆ เดียว, ไมมีความ หมายที่เปนเรื่องเปนราวอะไร. อาการแหงจิตจะมีปรากฏอยูในขณะแหงคณนาและ อนุพันธนาโดยออม. และในขณะแหงผุสนาและฐปนาโดยตรง ดังที่กลาวแลว (ควรยอ นไปดูตอนอัน วา ดว ยคณนาเปน ตน ขางตนนั่นเอง คือสิ่งที่เรียกวาวิตกในที่นี้. ใหเขาใจจริง ๆ อีกครั้งหนึ่ง) และจะเขาใจอาการของวิตกไดดี ก็ตอเมื่อถูกนําไปเปรียบ เทียบ กับสิ่งที่เรียกวาวิจาร และกลาวบรรยายลักษณะควบคูกันไป.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๒. วิจาร คําคํานี้ โดยทั่วไป หมายถึงการตรึกตรอง หรือสอดสอง หรื อ วิ นิ จ ฉั ย แต ใ นทางภาษาสมาธิ หาได มี ค วามหายอย า งนั้ น ไม เป น แต เ พี ย ง อาการที่จิตรูตออารมณที่กําหนดอยูนั้น, ซึ่งในที่นี้ ไดแกลมหายใจ, อยูอยางทั่วถึง โดยเฉพาะอยา งยิ ่ง ก็ค ือ อาการที ่เ กิด ขึ ้น ในขณะของอนุพ ัน ธนาเปน ตน ไป .
www.buddhadasa.in.th
๑๔๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
และจะเขาใจ สิ่ ง นี้ ไ ด ดี ด ว ยการนํ า อุ ป มาเปรี ย บเที ย บ ซึ่ ง จะดี ยิ่ ง กว า บรรยายด ว ยคํ า พู ด ตรง ๆ ยกตัวอยางเชน เปรียบเทียบกับการดู : เมื่อสายตาทอดไปจับที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง นี้เปรียบกันไดกับอาการของวิตก, เมื่อเห็นสิ่งนั้นทั่วหมด เปรียบกันไดกับอาการ ของวิจาร. หรือเปรียบดวยการสาดน้ํา : เมื่อน้ํากระทบกับสิ่งที่ถูกสาด ก็เปรียบ ไดดวยอาการของวิตก, เมื่อน้ําเปยกซึมไปทั่ว ก็เปรียบไดดวยอาการของวิจาร. หรือถา เปรียบกับการฝกลูกวัว ซึ่งมักถูกใชเปนอุทาหรณในการฝกจิตทั่ว ๆ ไป ก็ อ าจจะเปรี ย บได ว า เมื่ อ ลู ก วั ว ถู ก แยกไปจากแม เอาไปผู ก ไว ที่ เ สาหลั ก แห ง หนึ่ ง ดวยเชือก เสาหลักเปรียบดวยลมหายใจ เชือกนั้นเปรียบดวยสติ ลูกวัวนั้น เปรีย บดว ยจิต การที ่ม ัน ถูก ผูก ติด อยู ก ับ เสา เปรีย บดว ยอาการของวิต ก และ การที่ มั นดิ้ นไปดิ้ นมา วนเวี ยนอยู รอบ ๆ เสา รอบแล ว รอบอี ก เปรี ยบด วยอาการ ของวิจาร. (ควรยอ นไปดูเ รื่อ งตอนอนุพัน ธนาเปน ตน ดัง ที่แ นะไวแ ลว ในกรณีข องวิตก)
ผูศึกษาจะตองรูจักสังเกต ความแตกตางระหวางคําวา วิตก กับคําวา วิจาร และรู จั ก ความที่ สิ่ ง ทั้ ง สองนี้ มี อ ยู พ ร อ มกั น กล าวคื อ การที่ ลู ก วั ว ถู กผู ก ติ ด อยู กั บเสา ก็เ ปน สิ่ง ที่มีอ ยูใ นขณะที่มัน วนเวีย นอยูร อบ ๆ เสา, หรือ อาการที่มัน วนเวีย น อยูรอบ ๆ เสา ก็มีอยูในขณะที่มันยังถูกผูกติดอยูกับเสา, แตอาการทั้ง สอง อยางนี้ไมใชเปนของสิ่งเดียวกันเลย ทั้งที่มีอยูพรอมกันหรือในขณะเดียวกัน. ความ เขา ใจอัน นี ้ เปน เหตุใ หเ ขา ใจไปถึง วา ในขณะแหง ปฐมฌานนั ้น วิต กกับ วิจ าร มีอ ยูใ นขณะเดีย วกัน ไดอ ยา งไร. สําหรับ อาการอัน นี้โ ดยเฉพาะ จะเห็น ไดชัด ในกรณีข องคนขัด หมอ ซึ ่ง มือ ซา ยจับ หมอ มือ ขวาจับ เครื ่อ งขัด หมอ แลว ถูไ ป ทั่ว ๆ ตัวหมอ ในขณะเดียวกัน ; มือซาย คือวิตก มือขวา คือวิจาร, ฉันใด ก็ฉันนั้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
นิวรณและองคฌาน
๑๔๙
สรุปความวา วิตก คือ อาการที่จิตกําหนดนิมิต, วิจาร คือ อาการที่จิต เคลาเคลียกันอยูกับนิมิตอยางทั่วถึง นั่นเอง และ เปนสิ่งที่มีอยูพรอมกัน. ๓. ปติ. คํานี้ ตามปรกติแปลวาความอิ่มใจ. ในภาษาของสมาธิ หมายถึ งความอิ่ มใจด วยเหมื อนกั น แต จํ ากั ดความเฉพาะความอิ่ มใจที่ ไม เนื่ องด วย กาม และต องเป นความอิ่ ม ใจที่ เ กิ ดมาจากความรู สึ ก ว าตนทํ าอะไรสํ าเร็ จ หรื อ ตน ไดทําสิ่งที่ควรทําเสร็จแลว หรือตองเสร็จแน ๆ ดังนี้เปนตนเทานั้น. ปตินี้อาศัย เนกขัมมะ ไมอาศัยกาม, ฉะนั้น จึงอาจจํากัดความลงไปวา ปติ คือ ความอิ่มใจ ที่เกิดมาจากการที่ตนเอาชนะกามไดสําเร็จ ดวยนั่นเอง. ปติ ในกรณีนี้จัดเปนกุศล เจตสิกประเภทสังขารขันธ คือความคิดชนิ ดหนึ่ง กลาวคือ การทําความอิ่มใจยังไม จัดเปน เวทนาขันธ ผูศึกษาพึงรูจัดสังเกตความแตกตางระหวางปติกับสุขในขอนี้, คือขอที่ปติเปนสังขารขันธ และสุขเปนเวทนาขันธ, เพื่อกันความสับสนกันโดย สิ้นเชิง แลวพึงทราบ ความที่ปติเปนแดนเกิดของความสุข.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๔. สุข. คําวาสุขในที่นี้ หมายถึงสุขอันเกิดจากการที่จิตไมถูก นิว รณร บกวน รวมกัน กับ กํ า ลัง ของปต ิห รือ ปราโมทย ที ่ไ ดส ง เสริม ใหเ กิด ความ รูสึกอันเปนสุขนี้ขึ้น. ตามธรรมดาคนเรา เมื่อมีปติ ก็ยอมรูสึกเปนสุขอยางที่ ไม มี ท างหลี ก เลี่ ย งได แต สุ ข โดยอาการอย า งนี้ ย อ มตั้ ง อยู ชั่ ว ขณะ ส ว นสุ ข ที่ เ กิ ด มาจากที่นิวรณไมรบกวนนั้น ยอมตั้งอยูถาวรและมั่นคงกวา. เมื่อผูศึกษาเขาใจ พฤติอันนี้ดี ก็จะเห็นชัดแจงไดโดยตนเองวา ปติกั บสุขนั้นไมใชของอยางเดียวกันเลย แตก็มีอยูพรอมกันไดในขณะเดียวกัน เหมือนกับการที่วิตกและวิจาร มีอยูพรอม กันได ฉันใดก็ฉันนั้น.
www.buddhadasa.in.th
๑๕๐
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
๕. เอกัคคตา. เปนคําที่ยอมาจากคําวา จิตเตกัคคตา (จิตต + เอกัคคตา) แปลวาความที่จิตเปนสิ่งซึ่งมียอดสุดเพียงอันเดียว. โดยใจความก็คือ ความที่จิตมีที่กําหนดหรือที่จด-ที่ตั้งเพียงแหงเดียว. อธิบายวา ตามธรรมดา จิต นั ้น ยอ มดิ ้น รนกลับ กลอก เปลี ่ย นแปลงอยู เ สมอ เพราะเปน ของเบาหวิว . ต อ เมื่ อ ได รั บ การฝ ก ฝนโดยสมควรแก ก รณี แ ล ว จึ ง จะเป น จิ ต ที่ ตั้ ง มั่ น มี อ ารมณ อยางเดียวอยูไดเปนเวลานาน. ในกรณีแหงสมาธินี้ เอกัคคตาหมายถึงความที่จิต กํ า หนดแน ว แน อ ยู ไ ด ใ นขณะแห ง ฐปนา หรื อ ในระยะแห ง ปฏิ ภ าคนิ มิ ต เป น ต น ไป (สวนระยะที่ต่ํากวานั้น ยังลมลุกคลุกคลาน คือเปนไปชั่วขณะ) และ อาการแหงเอกัคคตา นี้เอง เปนอาการที่เปนความหมายอันแทจริง ของคําวา สมาธิ หรือเปนตัวสมาธิแท เอกัคคตานี้ ในที่บางแหงเรียกวา “อธิษฐาน” ก็มี.
องคฌาน ทําใหเกิดฌานไดอยางไร สิ่ งที่ ต องพิ จารณาหรื อวิ นิ จฉั ยต อไปก็ คื อ องค ฌานทั้ ง ๕ องค นี้ มี อ ยู อยางไร และสัมพันธกันในหนาที่อยางไร ในขณะแหงปฐมฌาน เปนตน ?
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ดังที่ไดกลาวมาแลวขางตน ปฐมฌาน มีองค ๕ คือมีวิตก วิจาร ปติ สุข และเอกัคคตา. ขอนี้ยอมหมายความวา ในขณะแหงปฐมฌานนั้น สิ่งทั้ง ๕ นี้ ยอมมีอยู และสัมพันธเปนสิ่งเดียวกัน คือปฐมฌาน. ปญหาอาจจะเกิด ขึ้นแกคนทั่วไป วา ถาจิตที่เปนสมาธิ เปนสิ่งที่มีอารมณอันเดียวและมียอดสุด อัน เดีย วคือ เปน เอกัค คตา ทั ้ง ไมม ีค วามนึก ตรึก ตรองอะไรแลว จะมีค วามรู ส ึก ถึง ๕ อยางพรอมกันไดอยางไร ? ปญหานี้ เปนปญหาที่ถาสางไมออกแลวก็ไมมี ทางที่จะเขาใจสิ่งที่เรียกวาสมาธิในขั้นปฐมฌานไดเลย.
www.buddhadasa.in.th
นิวรณและองคฌาน
๑๕๑
ในขั้ น แรกจะต อ งเข า ใจเสี ย ก อ นว า สิ่ ง ที่ เ รี ย กว า องค -องค นั้ น เป น เพี ย งส ว นประกอบหรื อ องค ป ระกอบ คื อ เป น สิ่ ง ที่ ร วมกั น ปรุ ง ให เ กิ ด สิ่ ง ใดสิ่ ง หนึ่ ง ขึ้นมา ในฐานะเปนสิ่ง ๆ เดียว เชนเชือกเสนหนึ่งมี ๕ เกลียว เราเรียกวาเชือ ก เสนเดียว ; หรือขนมบางอยาง ประกอบดวยเครื่องปรุง ๕ อยาง เราเรียกวาขนม อย า งเดี ย ว, นี้ คื อ ความหมายของคํา ว า องค หรื อ องค ป ระกอบ. สํา หรั บ ในกรณีของปฐมฌานนั้น หมายความวา เมื่อจิตกําลังเปนสมาธิถึงขั้นนี้ จิตยอมมี สัมปยุตตธรรม คือสิ่งที่เกิดขึ้นพรอมกันแกจิต ถึง ๕ อยาง, แตละอยาง ๆ ก็เปน ความมั ่น คงในตัว ของมัน เองดว ย สนับ สนุน ซึ ่ง กัน และกัน ดว ย จึง ตั ้ง อยู อ ยา ง มั่นคงยิ่งขึ้นไปอีก. เปรียบเหมือนไม ๕ อัน แตละอัน ๆ ก็ปกอยูอยางแนนแฟน แลวยังมารวมกลุมกันในตอนยอดหรือตอนบน เปนอันเดียวกัน ก็ยิ่งมีความมั่นคง มากยิ่งขึ้นไปอีก, ขอนี้ฉันใด ; ในขณะที่ปฏิภาคนิมิตปรากฏแลวตั้งอยูอยางมั่นคง จิ ต หน ว งเอาความเป น อั ป ปนา คื อ ความแน ว แน ไ ด องค ทั้ ง ๕ นี้ ซึ่ ง มี ค วาม สําคัญแตละองคก็รวมกันเปนจุดเดียว เปนสิ่งที่เรียกวา “ฌาน” หรือสมาธิที่แนวแน ขึ้นมาได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ในขณะที่ ป ฏิ ภ าคนิ มิ ต ปรากฏนั้ น วิ ต กมิ ไ ด มี อ ยู ใ นลั ก ษณะแห ง การ กําหนดลมหายใจเขาหรือออก แตเปลี่ยนมาเปนการกําหนดวา “ลม” อยูในจุด หรือในดวงแหงปฏิภาคนิมิตนั้ น ฉะนั้น เปนอั นกลาวได วา สิ่งที่เรียกวาวิตกในขั้ น ริเริ่มตาง ๆ นั้น มิไดรํางับไปเสียในขณะแหงคณนา หรืออนุพันธนาหรือผุสนาเลย แตได กลายมาเปนวิตกที่ละเอียดสุขุมสงบรํางับ เหลืออยูจนกระทั่งถึงขณะแหงฐปนาหรือปฏิภาค นิมิตนั้น. สําหรับองคที่เรียกวาวิจารก็เปนอยางเดียวกัน คือมีเหลืออยูในลักษณะ สุ ขุ ม มาตั้ ง แต แ รก จนกระทั่ ง ถึ ง ขณะแห ง ฐปนา ก็ ทํ า หน า ที่ รู สึ ก อย า งทั่ ว ถึ ง ใน
www.buddhadasa.in.th
๑๕๒
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
ปฏิภาคนิมิต : ทําหนาที่พรอมกันกับวิตกดังที่เปนมาแตตน : แหงปฏิภาคนิมิต ก็ยังมีวิจารเหลืออยูเต็มสัดเต็มสวน.
เปนอันวาในขณะ
ป ติ นั้ นเป นสิ่ ง ที่ เกิ ด ขึ้ น ได โ ดยอั ต โนมั ติ ในฐานะที่ เ ป นปฏิ กิ ริ ย าอั น ออก มาจากวิตกและวิจารอยางประปราย ลมลุกคลุกคลานมาตั้งแตระยะเริ่มแรก แมใน ขณะแหงอนุพันธนา หรือผุสนาก็ตาม. เมื่อวิตกวิจารเปนสิ่งที่มั่นคงอยางละเอียด สุ ขุ มยิ่ งขึ้ นทุ กที ป ติ ก็ ยั งคงมี อยู อย างละเอี ยดสุ ขุ มยิ่ งขึ้ น ในฐานะที่ เป นปฏิ กิ ริ ยามา จากวิตกและวิจารไปตามเดิม : ฉะนั้นปติจึงมีออยูดวย แมในขณะแหงฐปนา หรือ ปฏิภาคนิมิต. สําหรับความสุขนั้น เปนสิ่งที่ไมเคยละจากปติ ปญหาจึงไมมี ความที่ จิ ต เป น ฐปนาหรื อ กํ า หนดอยู ใ นปฏิ ภ าคนิ มิ ต ได ถึ ง ที่ สุ ด แน ว แน ไ ม ห วั่ น ไหว นั่นเอง จัดเปนเอกัคคตา. จึงเปนวาสิ่งทั้ง ๕ นี้ ไดเริ่มกอตัวขึ้นแลว ในขณะ แหงปฏิภาคนิมิตโดยสมบูรณ. เมื่ อจิ ตได อาศั ยปฏิ ภาคนิ มิ ตแล วหน วงเอาอั ปปนาสมาธิ ได อย างสมบู รณ ถึงขั้นฌานแลว สิ่งทั้ง ๕ นี้ จึงตั้งอยูในฐานะเปนองคแหงฌานดวยกันและกัน ในคราว เดี ย วกั น โดยไม ต อ งทํ า การกํ า หนดนิ มิ ต อี ก แต ป ระการใด เพราะองค แ ห ง ฌาน เขาไปตั้งอยูแทนที่ของนิมิต : คงเหลืออยูแตการควบคุมแนวแนไวเฉย ๆ ดวย อํานาจขององคทั้งหาที่สมังคีกันดีแลว. เหมือนนายสารถีที่เพียงแตนั่งถือบังเหียน เฉย ๆ ในเมื ่อ มา ที ่ล ากรถไดห มดพยศแลว และวิ ่ง ไปตามถนนอัน ราบรื ่น ฉัน ใด ก็ฉันนั้น. ผูศึกษาไมพึงเขาใจวาองคทั้ง ๕ นี้ เปน ความคิดนึกที่ตองทําอยูดวย เจตนา แตละอยาง ๆ : โดยที่แทมันเปนเพียงผลของการปฏิบัติ ที่ไดทํามา อย า งถู ก ต อ งจนเข า รู ป แล ว ก็ ย อ มเป น ไปได เ องโดยไม มี เ จตนา เหมื อ นการกระทํ า ของนายสารถี ที่ กุมบั งเหียนอยู เฉย ๆ แม ไม มี เจตนาในขณะนั้ น สิ่ งตาง ๆ ก็ เป นไป ดวยดี ครบถวนเต็มตามความประสงค.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
นิวรณและองคฌาน
๑๕๓
องคฌาน องคหนึ่ง ๆ เปลี่ยนความหมายไดหลายชั้น อี กอย างหนึ่ งพึ งทราบว า ชื่ อต าง ๆ ขององค ฌานทั้ ง ๕ ชื่ อนี้ ย อมเป น เช นเดี ยวกั บชื่ อแปลก ๆ ของอาการต าง ๆ หลายอย าง ที่ เกิ ดอยู กั บสิ่ ง ๆ เดี ยว แล ว แตวาเราจะมองในแงไหน เฉพาะในความหมายที่สําคัญเปนแง ๆ ไป. ชื่อ ๆ เดี ยวกั น อาจหมายความถึ งกิ ริ ยาอาการที่ ต างกั นในเมื่ อเวลาได ล วงไป พร อมกั บความ สําเร็จของงานที่ทําเปนขั้น ๆ ไป. ความแจมแจงในขอนี้จักมีไดดวยการอุปมาในเรื่อง การฝกลูกวัวอีกตามเคย. สมมติ ว า ในขณะนี้ ลู ก วั ว ได ห มดพยศ มี ค วามเชื่ อ ฟ ง เจ า ของถึ ง ที่ สุ ด และลงนอนสบาย ติด อยู ก ับ โคนเสาหลัก นั ้น แลว ลองพิจ ารณาดูก ัน ใหมว า มี อาการที่ เป นองค สํ าคั ญ ๆ อะไรบ าง ที่ ยั งเหลื ออยู นั บตั้ งแต ต นมาจนกระทั่ งถึ งใน ขณะนี้. อาการของลูก วัว ที่เ ปรีย บกัน ไดกับ คํา วา วิต กและวิจ ารในขั้น แรก จริ ง ๆ นั้ น อยู ใ นลั ก ษณะที่ มั น ถู ก ผู ก แล ว กระโจนไปกระโจนมา ดิ้ น รนวนเวี ย น อยูรอบ ๆ เสา ; แตบัดนี้อาการของลูกวัว สวนที่จะเปรียบกันไดกับวิตกวิจารนั้น ไดเปลี่ยนมาอยูในลักษณะนอนเบียดอยูโคนเสาอยางสบาย. อาการถูกผูกซึ่ง เปรียบกันไดกับวิตก ก็ยังมีอยู ; อาการเคลาเคลียกับเสา ซึ่งเปรียบกันไดกับ วิ จ ารก็ ยั ง คงมี อ ยู หากแต ว า เปลี่ ย นรู ป ไปในทางสุ ภ าพเท า นั้ น ส ว นความหมาย ยังคงอยูตามเดิม.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org กอ นนี ้ล ูก วัว ดื ้อ ดึง ไมช อบเจา ของ ยิน ดีใ นการไมทํ า อะไรตามใจ เจาของเสียเลย บัดนี้ลูกวัวพอใจในความเปนเชนนี้ คืออาการที่มีความคุนเคย กั บ เจ า ของ ยิ น ดี ที่ จ ะทํ า ตามเจ า ของด ว ยความพอใจ ย อ มเปรี ย บกั น ได กั บ ป ติ
www.buddhadasa.in.th
๑๕๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
อาการที ่ล ูก วัว นอนเปน สุข ไมถ ูก เบีย ดเบีย นดว ยการเฆี ่ย นตี หรือ ดว ยการดึง ของเชือกเมื่อตัวเองดิ้น เปนตน เปรียบกันไดกับสุข. ข อ ที่ ลู ก วั ว ไม ล ะไปจากเสา กลั บ ยึ ด เอาเสาเป น หลั ก แหล ง นี้ ก็ เ ปรี ย บ กันไดกับเอกัคคตา, เปนอันวาลักษณะทั้ง ๕ ของลูกวัวนั้น เปนองคสําคัญ แห ง ความสํ า เร็ จ ในการที่ ไ ด รั บ การฝ ก จากเจ า ของ และอาจเปรี ย บกั น ได กั บ องค ทั ้ง ๕ แหง ปฐมฌาน ซึ ่ง เปน ความสํ า เร็จ แหง การเจริญ สมาธิใ นขั ้น นี ้ ฉัน ใด ก็ฉันนั้น. อีกอยางหนึ่ง ผูศึกษาพึงสังเกตใหเห็นวา องคแหงฌานทั้ง ๕ นี้ ไมใช ตัวการปฏิบัติ ที่จะตองแยกทําดวยเจตนาทีละอย าง ๆ หากเป นเพี ยงผลของการปฏิบั ติ อันหนึ่ง กล าวคื อฌานที่ มี ลักษณะอาการให เห็ นในเหลี่ ยมที่ ต าง ๆ กัน เป น ๕ อย าง ดังนี้เปนตน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ด วยเหตุ นี้ เอง องค แห งฌานซึ่ งเป นความรู สึ ก ๕ ประการ โดยลั กษณะ ที ่ก ลา วแลว จึง เปน สิ ่ง ที ่ม ีไ ดใ นจิต ดวงเดีย วพรอ มกัน และไมต อ งมีก ารคิด นึก หรือเจตนาแตอยางใด เปนการตัดปญหาที่วา ความคิดนึกทั้ง ๕ อยางจะมีอยูใน ฌานไดอยางไร ใหสิ้นไป. ต อแต นี้ ไปจะได วิ นิ จฉั ยในข อที่ ว า องค แห งฌานแต ละองค ๆ ได ทํ างาน ในหน า ที่ ข องตน มี ผ ลในทางกํ า จั ด นิ ว รณ ทั้ ง ๕ ให ห มดไปได อ ย า งไร สื บ ไป.
www.buddhadasa.in.th
นิวรณและองคฌาน
๑๕๕
องคฌาน กําจัดนิวรณไดอยางไร๑ ในการที่ จะเข าใจว าองค ฌานองค หนึ่ ง ๆ จะสามารถกํ าจั ดนิ วรณ แต ละ อย าง ๆ ได อย างไรนั้ น จํ าเป นจะต องศึกษาให ทราบว า องค ฌานองค ไหนมี ลั กษณะ ตรงกันขามกับนิวรณขอไหน. ขอนี้อาจจะพิจารณาดูไดดวยเหตุผลธรรมดา คือ : สิ่งที่เรียกวา วิตก ไดแกการกําหนดอารมณอันใดอันหนึ่งอยู : ถาสิ่งนี้ มีอ ยู นิว รณที ่ม ีอ าการตรงกัน ขา ม เชน อุท ธัจ จะกุก กุจ จะ ก็ย อ มมีขึ ้น ไมไ ด แมที่สุดแตกามฉันทะ ก็ยังมีขึ้นไมได เพราะจิตกําลังติดอยูกับอารมณของสมาธิ. สิ่งที่เรียกวา วิจาร ก็เปนอยางเดียวกัน : เมื่อวิจารมีอยู ก็หมายถึง มีการทํางานอยางใดอยางหนึ่งอยูในตัวมันเอง ไมลังเลในการทํา, สิ่งที่เรียกวา วิจิกิจฉายอมระงับไปโดยตรง, แมสิ่งที่เรียกวากามฉันทะหรืออื่น ๆ ก็ยอมระงับไป โดยออม.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สิ่งที่เรียกวา ปติ และ สุข นั้น เปนขาศึกตอพยาบาทและถีนมิทธะ อยู แ ลว โดยธรรมชาติ และยัง สามารถระงับ กามฉัน ทะ เพราะเหตุที ่ม ีอ ารมณ ต า งกั น แม ว า อาการจะคล า ยกั น คื อ ป ติ แ ละสุ ข นั้ น ปรารภธรรมหรื อ อาศั ย ธรรม เปนกําลัง ; สวนกามฉันทะ อาศัยวัตถุกามเปนอารมณ หรือเปนกําลัง. สําหรับสิ่งที่เรียกวา เอกัคคตา นั้น ยอมเปนที่ระงับของนิวรณทั่วไป.
๑
การบรรยายครั้งที่ ๑๖ / ๑๒ กันยายน ๒๕๐๒
www.buddhadasa.in.th
๑๕๖
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
ทั้ ง หมดนี้ เป น เครื่ อ งแสดงให เ ห็ น สื บ ไปอี ก กว า องค แ ห ง ฌานแต ล ะ องค ๆ นอกจากจะเป น ข า ศึ ก ต อ นิ ว รณ อ ย า งหนึ่ ง ๆ โดยเฉพาะแล ว ยั ง เป น ข า ศึ ก ตอนิวรณโดยสวนรวม ตามมากตามนอย เพราะฉะนั้น ทั้งสองฝาย จึงมีอยูพรอมกัน ไมไ ด เหมือ นความมืด กับ แสงสวา ง มีอ ยู พ รอ มกัน ไมไ ดโ ดยธรรมชาติ ฉัน ใด ก็ฉันนั้น.
องคฌาน กําจัดนิวรณเมื่อไร สําหรับทางพฤตินัยนั้น นิวรณเริ่มระงับไป ตั้งแตขณะแหงอุปจาร สมาธิ คือตั้งแตฌานยังไมปรากฏ. ครั้นถึงขณะแหงฌานหรืออัปปนาสมาธิ องคแหงฌานทั้ง ๕ จึงปรากฏขึ้นโดยสมบูรณทั้ง ๕ องค : นี้เปนการแสดงอยู ในตั วแล วว า องค แห งฌานองค หนึ่ ง ๆ หาจํ าต องทํ าหน าที่ ปราบนิ วรณ ที่ เป นคู ปรั บ อยางหนึ่ง ๆ เปนคู ๆ ไปโดยเฉพาะไม ; หรือวา องคแหงฌานตองพรอมกัน ทุกองค คือเปนอัปปนาสมาธิเสียกอน จึงอาจจะละนิวรณได ก็หาไม. ตาม พฤตินัยที่เปนจริงนั้น นิวรณทั้งหลายเริ่มถอยหลัง ตั้งแตขณะแหงการกําหนด บริก รรมนิม ิต และไมป รากฏใหเ ห็น ตั ้ง แตใ นขณะอุค คหนิม ิต เพราะถา นิว รณ มีอยูสิ่งที่เรียกวาอุคคหนิมิตก็เกิดขึ้นไมได. ครั้นตกมาถึงขณะแหงปฏิภาคนิมิต นิวรณก็กลายเปนสิ่งที่หมดกําลัง ทั้งที่องคแหงฌานยังไมปรากฏอยางชัดแจงครบ ทั้ง ๕ องค และสมาธิก็ยังเปนเพียงอุปจารสมาธิอยู. ครั้นองคแหงฌานปรากฏ ชัดแจงมั่นคงทั้ง ๕ องค คือเปนอัปปนาสมาธิหรือฌานแลว นิวรณก็เปนอันวา ขาดสูญไป ตลอดเวลาที่อํานาจของฌานยังคงมีอยู หรือเหลืออยูแตรองรอย กลาวคือสุขอันเกิดจากฌาน. ฉะนั้น สิ่งที่ควรกําหนดสําหรับการศึกษาตอไป ก็คือความเปนสมาธิ ๒ อยาง ;
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
สมาธิ ๒ อยาง
๑๕๗
สมาธิ ๒ อยาง สิ่ง ที่เรียกวา สมาธิ ที่แท จ ริง นั้น พอที่จะแบ งได เป น ๒ อย าง คือ อุปจารสมาธิและอัปปนาสมาธิ. อุปจารสมาธิ แปลวาสมาธิขั้นที่เขาไปใกล กลาวคือสมาธิที่เฉียดความเปนฌาน. อัปปมนาสมาธิ แปลวาสมาธิแนวแน คือสมาธิขั้นที่เปนฌาน. สวนสมาธิในขณะเริ่มแรก เชนในขณะแหงคณนาและ อนุพันธนาเปนตน ยังไมใชสมาธิแท. อยางจะเรียกไดก็เรียกไดวา บริกรรมสมาธิ คือ เปน เพีย งสมาธิใ นขณะแหง บริก รรม หรือ การเริ ่ม กระทํ า ยัง ไมใ หผ ลอัน ใด ตามความมุงหมายของคําวา สมาธิ ในที่นี้จึงเวนเสีย : คงนับแตเปนสมาธิเพียง ๒ อยาง ดังกลาวแลว.
เปรียบเทียบสมาธิสอง การเปรียบเทียบระหวางอุปจารสมาธิ กับ อัปปนาสมาธิ จะชวยให เข า ใจสมาธิ ทั้ ง สองดี ขึ้ น คื อ เมื่ อ กล า วโดยผล อุ ป จารสมาธิ เ ป น อุ ป จารภู มิ ตั้ ง อยู ในขั้นที่เฉียดตอฌาน ไมขึ้นไปถึงฌาน ไมเขาไปถึงฌาน ตั้งอยูไดเพียงเขตอุปจาระ ของฌาน คือรอบ ๆ.สวนอัปปนาสมาธินั้น ตั้งอยูในฐานะเปนปฏิลาภภูมิ คือ การไดเฉพาะซึ่ง ความเปนฌาน. ถาเปรียบกับการไปถึงหมูบาน : อยางแรก ก็ถึงเขตบาน, อยางหลังก็ถึงใจกลางบาน ; แตก็เรียกวาถึงบานดวยกันทั้งนั้น นี้อยางหนึ่ง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๑๕๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
อี ก อย า งหนึ่ ง เมื่ อ กล า วโดยการกระทํ า หรื อ กรรมวิ ธี อุ จ ารสมาธิ เ กิ ด ในขณะที่พอสักวานิวรณไมปรากฏ หรือในขณะที่จิตละจากนิวรณเทานั้น ; สวน อั ป ปนาสมาธิ จ ะเกิ ด ต อ เมื่ อ องค แ ห ง ฌานปรากฏชั ด ครบถ ว นทุ ก ๆ องค จ ริ ง ๆ โดย เฉพาะอยางยิ่ง คือ องคเ อกัคคตา. นี้เปนเครื่อ งแสดงวา การละไปแหงนิวรณ กับการปรากฏแหงองคทั้งหาของฌานนั้น ไมจําเปนตองมีขณะเดียวกันแท. ขอแตกตางอีกอยางหนึ่ง ก็คือ อุปจารสมาธิ หรือสมาธิเฉียดฌานนั้น มี ก ารล ม ๆ ลุ ก ๆ เหมื อ นเด็ ก ส อ นเ ดิ น เ พ ร า ะ อ ง ค แ ห ง ฌานปรากฏ บ า ง ไมปรากฏบาง, ปรากฏแลวกลับหายไปบาง, แลวกลับมาใหม แลวกลับหายไปอีกบาง, ดังนี้ เรื่อย ๆ ไป. สวนในขณะแหงอัปปนาสมาธินั้น องคแหงฌานปรากฏครบถวน อย า งมั่ น คง สมาธิ จึ ง มั่ น คงเหมื อ นการยื น หรื อ การเดิ น ของคนที่ โ ตแล ว ย อ มไม ลม ๆ ลุก ๆ เหมือนเด็กที่สอนเดิน ฉันใดก็ฉันนั้น. ถาจะระบุใหชัดแจงลงไปอีก ก็กลาวไดวา เมื่อการเจริญอานาปานสติ ดํ า เนิ น มาถึ ง ขั้ น ที่ ป ฏิ ภ าคนิ มิ ต ปรากฏแล ว ความเป น สมาธิ ใ นขณะนั้ น เรี ย กว า อุ ป จารสมาธิ อ ย า งสมบู ร ณ ในขณะนี้ จิ ต มี ป ฏิ ภ าคนิ มิ ต นั้ น เอง สํ า หรั บ กํ า หนด เปนอารมณ. องคแหงฌานยังไมปรากฏครบทั้งหา หรือปรากฏอยางลม ๆ ลุก ๆ จิ ต จึ ง ยั ง ไม อ าจจะเลื่ อ นจากปฏิ ภ าคนิ มิ ต ไปกํ า หนดที่ อ งค แ ห ง ฌานได เรี ย กว า ยั ง ไม สามารถจิตขึ้นสูองคแหงฌาน จึงยังไมแนวแนถึงขนาดที่เปนอัปปนาสมาธิ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
สมาธิ ๒ อยาง
๑๕๙
ครั้ น การปฏิ บั ติ ดํ า เนิ น ไป จนกระทั่ ง ผู ป ฏิ บั ติ ส ามารถหน ว งความรู สึ ก ในองค ฌ านทั้ งห า ให ปรากฏชั ด อยู มี อ งค ฌานทั้ ง ห า กํ าหนดเป นอารมณ แทนการ กํ าหนดปฏิ ภาคนิ มิ ตโดยแน นอนแล ว สิ่ งที่ เรี ยกว าอั ปปนาสมาธิ ก็ เกิ ดขึ้ นและสํ าเร็ จ เป นฌาน มี ความรู สึ กอยู ในองค ทั้ งห าพร อมกั นไปในคราวเดี ยวกั น โดยไม มี ความ คิดนึกอยางอื่นใด ดังที่กลาวมาแลวขางตน. ขอสํ าคั ญ มีอยู ตรงที่ จะต องรั กษาปฏิ ภาคนิ มิ ตนั้นไว อย างมั่น จนกว า จิต จะหนว งไปสูอ งคฌ านไดสํา เร็จ . ถา ปฏิภ าคนิมิต เลือ นลับ ไป จิต ก็ไ ม สามารถจะอาศั ย เพื่ อ หน ว งองค ฌ านหรื อ ความรู สึ ก ทั้ ง ๕ ประการนั้ น ให เ กิ ด ขึ้น ได. กลา วอีกทางหนึ่ง ก็คือ จะหนว งเอาองคฌ านทั้งหาได ก็ใ นขณะที่ ปฏิภาคนิมิตยังคงปรากฏอยูอยางมั่นคง. หรือกลาวอีกอยางหนึ่งก็คือ จะทําจิต ให เป นอั ปปนาสมาธิได ก็ ด วยการหนวงในองค ฌานทั้ งห า ทํ าให ปรากฏขึ้ นในขณะ ที่จิตกําลังเปนอุปจารสมาธิ อยางมั่นคงอยูนั่นเอง ; เพราะฉะนั้น ปฏิภาคนิมิตจึง เปนสิ่งสําคัญที่ตองประคับประคองเอาไวในขณะแหงอุปจารสมาธิตลอดไป แมจะ เปนเวลากี่วัน กี่เดือน หรือแมกี่ป : ถาตองประสงคจะไดฌาน ก็ตองพยายาม ประคั บ ประคองด ว ยความพยายาม ไม ห มดมานะ จนกว า จะลุ ถึ ง อั ป ปนาสมาธิ หรือฌานนั้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทา นสอนใหทํ า ในใจในระยะนี ้ใ หเ ปน พิเ ศษ โดยใหก ารอุป มาวา ผู ปฏิ บั ติ จะต องรั กษาปฏิ ภาคนิ มิ ตให เป นไปจนตลอดรอดฝ ง เหมื อนนางแก วที่ อุ มครรภ บุคคลที่จะเกิดมาเปนพระเจาจักรพรรดิ ฉันใดก็ฉันนั้น.
www.buddhadasa.in.th
๑๖๐
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
เราจะสัง เกตเห็น ไดว า ยัง ไมเ คยมีก ารกํ า ชับ อยา งหนึ ่ง อยา งใด
ใ น ก า ร ทํ า ส ม า ธิ ห รื อ กํ า ชั บ ม า ก อ ย า ง จ ริ ง จั ง เ ห มื อ น กั บ ก า ร กําชับกันในตอนนี้. ปฏิภาคนิมิตเหมือนกับการตั้งครรภ และจะคลอดออก เปนฌาน. ถาทํา ไมดี ก็ตายในครรภ จะตองรอจนกวาจะตั้งครรภใหมยอ ม เสี ยเวลา หรื อ ถ าถึ ง กั บ ตายกั น ทั้ ง แม ทั้ ง ลู ก คื อ เลิ กการทํ า สมาธิ เ สี ยเลย ก็ เ ป น อั น ลมเหลวหมด. เพราะฉะนั้ น ปฏิ ภ าคนิ ม ติ จึ ง เป น สิ่ ง ที่ ต อ งประคั บ ประคองไว ใ ห ดี เพื่ อให เป นที่ มั่ น เป นบาทฐาน เพื่ อหน วงเอาองค ฌาน จนกว าองค แห งฌานทั้ งห า จะตั้งลงอยางมั่นคง หรือปรากฏอยูอยางแจมชัด เปนอัปปนาสมาธิ คือฌาน.
การอาศัยปฏิภาคนิมิต เพื่อหนวงเอาฌาน การหนวงองคแหงฌานใหปรากฏขึ้นโดยสมบูรณ โดยมีปฏิภาคนิมิต เป นบาทฐานนั้ น เป นงานที่ ประณี ตที่ สุ ด หรื อเป น กรรมวิ ธี ตอนที่ ประณี ตสุ ขุ มที่ สุ ด ของการทํากัมมัฏฐานทั้งหมด คือรวมทั้งฝายสมถะและวิปสสนา. มันเหมือนกับงาน ฝมือที่ละเอียด : จะทําแรงไปก็ไมได เบาไปก็ไมได แนนไปก็ไมได หลวมไป ก็ไ มไ ด ชา เกิน ไปก็ไ มไ ด เร็ว เกิน ไปก็ไ มไ ด ดว ยเจตนาที ่ร ุน แรงก็ไ มไ ด ดวยเจตนาที่เฉื่อยชาก็ไมได จะวาเต็มสํานึกก็ไมใช ไรสํานึกก็ไมใช และอะไร ๆ ก็ ล ว นแต จ ะต อ งพอเหมาะพอดี และออกจะเป น อั ต โนมั ติ คื อ ดํ า เนิ น ไปได ง า ย
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
สมาธิ ๒ อยาง
๑๖๑
โดยตัวมันเอง ในเมื่อสิ่งตาง ๆ ไดดําเนินไปโดยถูกวิธี ; และจะติดตันหรือลมเหลว ไมมีทางที่เปนไปไดในเมื่อสิ่งตาง ๆ ไมเปนไปอยางเหมาะสม หรือไมถูกวิธีเชนกัน. ผูปฏิบัติจะตองทํางาน ๒ อยางพรอมกัน คือ การตั้งอยูในปฏิภาคนิมิต และ การหนวงใหความรูสึกที่เปนองคฌานทั้งหาปรากฏ และเดนขึ้นมา ๆ จนสมบูรณ และมั่ น คง สํ า หรั บ การตั้ ง อยู ใ นปฏิ ภ าคนิ มิ ต นั้ น สํ า เร็ จ ได ด ว ยการที่ ไ ด ทํ า มาอย า ง เคยชิน ในการคุม ปฏิภ าคนิม ิต ใหตั ้ง อยู อ ยา งแนว แนม าแลว จริง ๆ ซึ ่ง จะตอ ง กิ น เวลาเป น สั ป ดาห ๆ มาแล ว จึ ง จะอยู ใ นลั ก ษณะที่ มั่ น คงพอที่ จ ะใช เ ป น บาทฐาน ใหจิตหนวงเหนี่ยวเอาองคฌานใหบริบูรณได. บางคนอาจจะเปนเดือน ๆ เปนป ๆ หรือ ลม เหลวในที ่ส ุด คือ ทํ า สมาธิไ มสํ า เร็จ เปน อัป ปนาสมาธิ เพราะเหตุที่ อุ ปนิ สั ยไม อํ านวยหรื อเพราะเหตุ ใดก็ ตาม เขาจะต องผละจากการทํ าสมาธิ ไปสู การ ทําวิปสสนาตามลําดับไป เพื่อการบรรลุผลประเภทที่ไมตองเกี่ยวกับอัปปนาสมาธิ. ส วนบุ คคลผู มี อุ ปนิ สั ยหรื อความเหมาะสมนั้ น อาจจะประสบความสํ าเร็ จ ต า งกั น ไปตามลํ า ดั บ ๆ คื อ หน ว งเอาองค แ ห ง ฌานให เ กิ ด ขึ้ น ได เ ป น ฌานตามลํ า ดั บ แล ว จึ ง ทํ า วิ ป ส สนาด ว ยสมาธิ ที่ เ ข ม แข็ ง และสมบู ร ณ เช น นั้ น ได ผ ลเป น เจโตวิ มุ ต ติ ในขณะที่พวกโนนไดรับผลเปนปญญาวิมุตติลวน ๆ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้ น ผู สนใจในอั ปปนาสมาธิ จะต องมี ความพยายามมากเป นพิ เศษ. ตลอดเวลาที่ ปฏิ ภ าคนิ มิ ต ยั ง ไม เป น อุ ป การะแก อั ปปนาสมาธิ อ ยู เ พี ยงใด เขาจะต อ ง ประคั บ ประคองมั น อย า งยิ่ ง อยู เ พี ย งนั้ น โดยไม ย อมท อ ถอย นี้ เ รี ย กว า การรั ก ษา ปฏิภาคนิมิตในระยะแหงอุปจารสมาธิ จนกวาจะเกิดอัปปนาสมาธิ.
www.buddhadasa.in.th
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
๑๖๒
การรักษาปฏิภาคนิมติ๑ ในระยะแหงการรักษาปฏิภาคนิมิต ที่เพิ่งไดมาใหม ๆ เพื่อการเกิด อั ป ปนาสมาธิ นี้ ในทางภายนอก มี ก ารแนะให ใ ช วั ต ถุ อุ ป กรณ ต า ง ๆ เพื่ อ สะดวก ในการปฏิ บั ติ ยิ่ ง ขึ้ น เช น ใช ร องเท า เพื่ อ อย า ให เ สี ย เวลาชั ก ช า หรื อ ฟุ ง ซ า นในการ ที่ จ ะต อ งมั ว นั่ ง ล า งเท า ในเมื่ อ เท า เป อ น หรื อ เท า เป น อะไรขึ้ น มาในขณะนั้ น ซึ่ ง ลว นแตทํ า จิต ใหฟุ ง ซา น ไมส ามารถประคับ คองปฏิภ าคนิม ิต ใหป ระณีต สุข ุม ติดตอกัน. ในบางกรณีแนะใหใชไมเทา เพื่อใหมีการยืนที่สบาย เพื่อใหมีการ เดิ น ที่ ส ะดวกและมั่ น คง ซึ่ ง ล ว นแต อํ า นวยความสะดวกแก ก ารประคั บ ประคอง ปฏิภาคนิมิตดวยกันทั้งนั้น ดังนี้เปนตัวอยาง. พรอ มกัน นั ้น ก็ค วรจะมีก ารสํ า รวจ หรือ ปรับ ปรุง หรือ ระมัด ระวัง ให สั ป ปยาธรรมทั้ ง เจ็ ด ได เ ป น ไปอย า งดี ที่ สุ ด อี ก ครั้ ง หนึ่ ง คื อ ความสะดวกสบาย เหมาะสมเนื่องด วย อาวาส โคจร กถา บุคคล อาหาร ฤดูและอิริ ยาบถ ดังที่กลาว มาแลวขางตนนั่นเอง เพื่อความเหมาะสมในการเปนอยูของบุคคลผูประคับประคอง ปฏิภาคนิมิตใหถึงที่สุดจริง ๆ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org การรักษาปฏิภาคนิมิต เปนสิ่งที่จะตองทําเรื่อยไปในฐานะที่ เปนตัว การปฏิบัติโดยตรงในขณะนี้ และดูเปนกิจที่นาเบื่อหนาย. เพื่อปลูกฉันทะ คือ ความพอใจ หรื อ เพิ่ ม กํ า ลั ง ใจในเรื่ อ งนี้ ควรทํ า ความเข า ใจในเรื่ อ งนี้ ใ ห เ พี ย งพอ อยู เ สมอ โดยเฉพาะในข อ ที่ สิ่ ง เหล า นี้ ต อ งสั ม พั น ธ กั น อย า งไร จึ ง จะเกิ ด มี ค วาม สําเร็จในการบรรลุฌานโดยเฉพาะ.
๑
การบรรยายครั้งที่ ๑๗ / ๑๓ กันยายน ๒๕๐๒
www.buddhadasa.in.th
สมาธิ ๒ อยาง
๑๖๓
ความสัมพันธกันในระหวางธรรมเหลานี้ คือ : ก. ปฏิภาคนิมิตปรากฏขึ้น ทําใหนิวรณรํางับไป สวนอัปปนาสมาธิยัง ลม ๆ ลุก ๆ อยูจนกวาจะหนวงเอาองคฌานไดโดยสมบูรณ. ข. เมื่อนิวรณรํางับไป องคแหงฌานจึงปรากฏขึ้น และจะตองทําใหชัดขึ้น จนสมบูรณทั้ง ๕ องค โดยอาศัยปฏิภาคนิมิตเปนหลัก และมีองคฌานที่จะเกิดขึ้นเปน อารมณ. ค. เมื่อองคแหงฌานปรากฏโดยสมบูรณ อัปปนาสมาธิตั้งลงอยางสมบูรณ คือบรรลุถึงฌานขั้นแรก. นี้ ทํ า ให เ ห็ น ได ว า กิ จ ที่ จ ะต อ งทํ า อย า งยิ่ ง ในขณะนี้ ก็ คื อ การรั ก ษาหรื อ การประคั บ ประคองปฏิ ภ าคนิ มิ ต นั้ น ให มั่ น คงอยู ต ลอดเวลา พร อ ม ๆ กั น กั บ การ หนวงเอาองคฌานมา เพื่อใหเกิดอัปปนาสมาธิ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org การเรงใหเกิดอัปปนาสมาธิ
อุ บ ายวิ ธี ที่ เ ป น การสนั บ สนุ น ให เ กิ ด อั ป ปนาสมาธิ โ ดยเร็ ว ในระยะแห ง การรักษาปฏิภาคนิมิตนั้น เรียกกันดวยคําที่ไพเราะวาอัปปนาโกศล แปลวา ฉลาด ในการสรางอัปปนาสมาธิ. ทานแนะไวเปน ๑๐ อยาง คือ :๑. ทําวัตถุอุปกรณที่แวดลอมใหเหมาะสมยิ่งขึ้น, ๒. ปรับปรุงอินทรียทั้งหา ใหมีกําลังเทากัน,
www.buddhadasa.in.th
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
๑๖๔
๓. ฉลาดในเรื่องของนิมิต, ๔. ประคองจิตโดยสมัยที่ควรประคอง, ๕. ขมจิตโดยสมัยที่ควรขม, ๖. ปลอบจิตโดยสมัยที่ควรปลอบ, ๗. คุมจิตโดยสมัยควรคุม, ๘. เวนคนและสิ่งที่โลเล, ๙. คบคนมั่นคง, ๑๐. การคอยนอมจิตไปตามความเหมาะสมแกจังหวะ ; มีอธิบายดังตอไปนี้ :-
(๑) การทําวัตถุอุปกรณที่แวดลอมใหเหมาะสมยิ่งขึ้น หมายถึงการ ปรับปรุงทางรางกาย หรือสิ่งเนื่องดวยรางกาย ใหเหมาะสมที่สุด. วัตถุที่เปน ภายใน เช น ผม ขน เล็บ ฟน เนื้ อ ตัว และอื่น ๆ ต อ งได รับ การปรั บปรุ ง ให เ ป น ที่ ส บาย ไม ทํ า ความรํ า คาญอย างใดอย างหนึ่ ง ให เกิ ดขึ้ น เช น ผมยาว หนวดยาว มีอาการคันเกิดขึ้น. เล็บยาวมีความสกปรกมากขึ้น ก็ทําความรําคาญใหเกิดขึ้น. ปากฟนสกปรกหรือเนื้อตัวสกปรก ก็ลวนแตใหผลเปนอยางเดียวกัน. การทําสิ่ง เหล า นี้ ใ ห อ ยู ใ นสภาพที่ เ รี ย บร อ ยสะอาดหมดจด เป น สิ่ ง ที่ ต อ งการในการที่ จ ะเริ่ ม ความเปนสมาธิของจิต. วัตถุภายนอกคือจีวร และเสนาสนะเปนตน ก็ตองไดรับ การปรั บปรุงพอเหมาะอย างเดี ยวกั น คื อ สะอาดหมดจด เกลี้ ยงเกลาเท าที่ จะทําได . ทั้ ง หมดนี้ ร วมเรี ย กว า การปรั บ ปรุ ง วั ต ถุ อุ ป กรณ ที่ แ วดล อ มให เ หมาะสมยิ่ ง ขึ้ น ซึ่ ง ทุกคนพอจะเขาใจไดดวยความหมายตามธรรมดา. ความมุงหมายอยูที่ ความผาสุก ทางกายพอสมควร.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
สมาธิ ๒ อยาง
๑๖๕
(๒) การปรับปรุงอินทรียทั้งหาใหมีกําลังเทากัน. คําวา “อินทรีย” ในที่ นี้ หมายถึ ง คุ ณ ธรรมที่ เ ป น ใหญ เ ป น ประธานในหน า ที่ ต า ง ๆ กั น ตามที่ จํ า เป น สําหรับการปฏิบัติในทางจิต ทานจําแนกไวเปน ๕ คือ สัทธา มีหนาที่ในทาง ทําความเชื่อ, วิริยะ มีหนาที่ในทางทําความขะมักเขมน, สติ มีหนาที่ในทาง ทําการกําหนด, สมาธิ มีหนาที่ในทางทําความมั่นคง, และ ปญญา มีหนาที่ ในการทําความสอดสอง. อิน ทรียทั้ง หา นี้ เรีย กชื่อ เต็ม วา สัท ธิท รีย วิริยิน ทรีย เปน ตน ตามลําดับไป. สิ่งที่เรียกวาสมาธิหรือปญญาก็ตาม ในฐานะที่เปนอินทรียในที่นี้นั้น มิไดหมายถึงสมาธิหรือปญญาที่เรากําลังจะทําใหเกิดขึ้นใหมอยางเดียว ; แตหมาย ถึ ง ส ว นที่ เ ป น คุ ณ ธรรมประจํ า ตั ว มาแต เ ดิ ม หรื อ มี อ ยู เ ป น อุ ป นิ สั ย และเพิ่ ม มากขึ้ น ด ว ยการศึ ก ษา ตามที่ เ คยได ยิ น ได ฟ ง มาแล ว แต ก อ น รวมกั น แล ว ตั้ ง อยู ใ นฐานะ เป น พื้ น ฐานแห ง อุ ป นิ สั ย ของเราในบั ด นี้ สิ่ ง เหล า นี้ จ ะเป น ตั ว การอั น สํ า คั ญ ยิ่ ง ประเภทหนึ่ง ซึ่งจะทําใหการปฏิบัติในทางจิตเปนผลสําเร็จหรือไมสําเร็จ. โดย อาการก็ คล าย ๆ กั นกั บจริ ต ๖ ที่ กล าวมาแล วข างต น หากแต ในที่ นี้ มี ความมุ งหมาย ในการที่ จ ะนํ า สิ่ ง เหล า นั้ น มาปรั บ ปรุ ง เสี ย ใหม ให ก ลายเป น สิ่ ง ที่ มี ป ระโยชน โ ดย สวนเดียว ; แทนที่จะเปนอุปสรรค กลับกลายเปนตัวกําลังสําคัญ ที่จะทําให ประสบความสําเร็จ, ทั้งนี้ ยอมขึ้นอยูกับการปรับปรุง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org คํ าว าปรั บปรุ งในที่ นี้ หมายถึ งการทํ าให เหมาะสม ซึ่ งมี ใจความสํ าคั ญ สัทธาตองพอเหมาะกับปญญา : วิริยะตองพอเหมาะกับสมาธิ ; และ สมาธิตองพอเหมาะ
www.buddhadasa.in.th
สมาธิ ๒ อยาง
๑๖๕
(๒) การปรับปรุงอินทรียทั้งหาใหมีกําลังเทากัน. คําวา “อินทรีย” ในที่ นี้ หมายถึ ง คุ ณ ธรรมที่ เ ป น ใหญ เ ป น ประธานในหน า ที่ ต า ง ๆ กั น ตามที่ จํ า เป น สําหรับการปฏิบัติในทางจิต ทานจําแนกไวเปน ๕ คือ สัทธา มีหนาที่ในทาง ทําความเชื่อ, วิริยะ มีหนาที่ในทางทําความขะมักเขมน, สติ มีหนาที่ในทาง ทําการกําหนด, สมาธิ มีหนาที่ในทางทําความมั่นคง, และ ปญญา มีหนาที่ ในการทําความสอดสอง. อิน ทรียทั้ง หา นี้ เรีย กชื่อ เต็ม วา สัท ธิท รีย วิริยิน ทรีย เปน ตน ตามลําดับไป. สิ่งที่เรียกวาสมาธิหรือปญญาก็ตาม ในฐานะที่เปนอินทรียในที่นี้นั้น มิไดหมายถึงสมาธิหรือปญญาที่เรากําลังจะทําใหเกิดขึ้นใหมอยางเดียว ; แตหมาย ถึ ง ส ว นที่ เ ป น คุ ณ ธรรมประจํ า ตั ว มาแต เ ดิ ม หรื อ มี อ ยู เ ป น อุ ป นิ สั ย และเพิ่ ม มากขึ้ น ด ว ยการศึ ก ษา ตามที่ เ คยได ยิ น ได ฟ ง มาแล ว แต ก อ น รวมกั น แล ว ตั้ ง อยู ใ นฐานะ เป น พื้ น ฐานแห ง อุ ป นิ สั ย ของเราในบั ด นี้ สิ่ ง เหล า นี้ จ ะเป น ตั ว การอั น สํ า คั ญ ยิ่ ง ประเภทหนึ่ง ซึ่งจะทําใหการปฏิบัติในทางจิตเปนผลสําเร็จหรือไมสําเร็จ. โดย อาการก็ คล าย ๆ กั นกั บจริ ต ๖ ที่ กล าวมาแล วข างต น หากแต ในที่ นี้ มี ความมุ งหมาย ในการที่ จ ะนํ า สิ่ ง เหล า นั้ น มาปรั บ ปรุ ง เสี ย ใหม ให ก ลายเป น สิ่ ง ที่ มี ป ระโยชน โ ดย สวนเดียว ; แทนที่จะเปนอุปสรรค กลับกลายเปนตัวกําลังสําคัญ ที่จะทําให ประสบความสําเร็จ, ทั้งนี้ ยอมขึ้นอยูกับการปรับปรุง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org คํ าว าปรั บปรุ งในที่ นี้ หมายถึ งการทํ าให เหมาะสม ซึ่ งมี ใจความสํ าคั ญ สัทธาตองพอเหมาะกับปญญา : วิริยะตองพอเหมาะกับสมาธิ ; และ สมาธิตองพอเหมาะ
www.buddhadasa.in.th
สมาธิ ๒ อยาง
๑๖๗
นี้คือการที่เรียกวาสัทธา เสมอกันกับปญญา. ผูปฏิบัติจะตองสํานึกในขอ นี้ สอบสวนตั ว เองในข อ นี้ เพื่ อ ปรั บ ปรุ ง สิ่ ง ทั้ ง สองนี้ ให เ หมาะสมกลมเกลี ย วกั น : อย า ให มี ฝ า ยใดฝา ยหนึ ่ง มีกํ า ลัง ล้ํ า หนา อีก ฝา ยหนึ ่ง ซึ ่ง ทํ า ใหเ กิด การเฉออก นอกทาง. ที่วา วิริยะเสมอกันกับสมาธิ นั้น เปรียบใหเห็นไดงาย ๆ คือวิริยะ เปนความแลนไป สวนสมาธิเปนตัวกําลังสําหรับทําใหแลนไป. ถาสิ่งทั้งสองนี้ ไมเสมอกันแลว ผลจะเกิดขึ้นอยางไร ลองคิดดู. หรือกลาวกลับกันอีกอยาง หนึ่ง สมาธิเหมือนกับน้ําหนักของลูกกระสุนปน, วิริยะ เหมือนแรงของดิน ระเบิด ที่จ ะสง ลูก กระสุน ปน ออกไป ; ถา สิ่ง ทั้ง สองไมสัม พัน ธกัน แลว ผล จะเปนอยางไร : ถาวิริยะมากเกินกวาสมาธิ วิริยะก็กวัดแกวงหรือเฉออกไป นอกทาง หรือลุม ๆ ดอน ๆ ไมสม่ําเสมอ, ถาสมาธิมากกวาวิริยะ ก็เนิบนาบ และเฉื่อยชา หรือถึงกับกาวหนาไปไมไดเอาเสียทีเดียว. ฉะนั้น จึงจําเปนตอง ประคองจิ ต ให มี ค วามขะมั ก เขม น พอสมส ว นกั บ ความมั่ น คง เคี ย งคู กั น ไปตาม ลําดับอีกคูหนึ่ง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สวนขอที่วา สมาธิตองเสมอกันกับปญญา นั้น เปนสิ่งที่คอนขางจะ เป น ไปได เ องตามธรรมชาติ กล า วคื อ เมื่ อ บุ ค คลผู นั้ น เป น ผู มี ป รกติ สํ า รวมใน การคิ ด หรื อ การพิ จ ารณา คื อ ทํ า ใจให ห นั ก แน น มั่ น คงเสี ย ก อ น แล ว จึ ง คิ ด หรื อ พิจารณาสื บไป เขาทําป ญหาที่ต องคิ ดให เป นอารมณเฉพาะหน าไว กอนแล ว ทํ าจิ ต ใหเ ปน สมาธิแ ลว จึง นอ มไปสู ป ญ หานั ้น ยอ มเกิด ความเห็น แจง ตามที ่เ ปน จริง ไดอยางงายในขณะนั้น. นี้คือการสอดสองอยางมั่นคง หรือมีความมั่นคงใน การสอดสอง แลวแตจะเรียก.
www.buddhadasa.in.th
๑๖๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
ที่วา อิน ทรียคือสติ จําตองปรารถนาในทุกกรณี นั้น เปนเพราะ ตั้ ง อยู ใ นฐานะเหมื อ นเจ า หน า ที่ จั ด ทํ า สิ่ ง เหล า นี้ ใ ห เ หมาะสมกั น เป น คู ๆ ให รู จั ก ทํ า หนาที่ของตนอยางถูกตอง และสม่ําเสมอ ตั้งแตตนจนปลาย : ทําใหสัทธารูจัก เลือกเชื่อหรือทําใหสัทธารูจักเกี่ยวของกับปญญา. หรือควบคุมสัทธาและปญญา ใหอยูในรองรอยของกันและกัน ดังนี้เปนตัวอยาง. สรุปความก็คือวาใหสติเปน เครื่ อ งเหนี่ ย วรั้ ง หรื อ ควบคุ ม สิ่ ง ต า ง ๆ โดยเฉพาะก็ คื อ อิ น ทรี ย ทั้ ง สี่ ให เ ป น ไป อยางถูกตองมั่นคงและสม่ําเสมอ ซึ่งเรียกวา สมบูรณดวยความไมประมาท เมื่อสิ่งที่ เรีย กวา อิน ทรีย ไดทํ า หนา ที ่ข องตน ๆ อยา งเหมาะสมแลว จิต ยอ มอยู ใ นสภาพ ที่มั่นคงและมี กัมมนียภาวะ คือ ความคลองแคลววองไวในหนาที่โดยตรงของตน จึง สามารถทํางานละเอียดไดยิ่ง ๆ ขึ้นไป. นี้เรียกวาการปรับอินทรียใหเขากัน : ความมุงหมายอยูที่ การใชเครื่องมือใหสัมพันธกันเปนอยางดี. (๓) มีความฉลาดในเรื่องของนิมิต. เมื่ออินทรียทั้งหาเปนไปเหมาะสม แลว ความฉลาดในเรื ่อ งของนิม ิต ยอ มเกิด ขึ ้น ไดโ ดยงา ย คือ ผู นั ้น มีส ติใ นการที่ จะตั้ งข อสั งเกตสิ่ งต าง ๆ ว าเมื่ อมีอะไรเป นอย างไร แล วอะไรจะเกิ ดขึ้ นเป นลํ าดั บ ๆ มา, ควรกําหนดอะไร ไมควรกําหนดอะไร ควรเรงอะไร หรือควรหยอนอะไร, สิ่งตาง ๆ จึงจะเปนไปดวยดีในการที่จะ ๑. ทํานิมิตใหเกิด, ๒. ทํานิมิตใหเจริญ และ ๓. รักษานิมิตนั้นไวไดตลอดเวลาที่ตนประสงค.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เมื่ อ การปฏิ บั ติ ดํ า เนิ น มาถึ ง ขั้ น นี้ แ ล ว สิ่ ง ที่ เ รี ย กว า นิ มิ ต ในที่ นี้ ได แ ก จิตเตกัคคตานิมิต กลาวคือ นิมิตที่ทําใหจิตถึงความเปนจิตมีอารมณอันเดียวในขั้นยอด โดยเฉพาะเจาะจงก็ ไ ด แ ก สิ่ ง ที่ เ รี ย กว า เอกั ค คตาซึ่ ง เป น องค แ ห ง ฌานองค ที่ ห า
www.buddhadasa.in.th
สมาธิ ๒ อยาง
๑๖๙
ดัง ที่ไ ดก ลา วมาแลว ในตอนอัน วา ดว ยองคแ หง ฌาน. แตถึง กระนั้น ก็ต าม ความสํ าเร็ จที่ สมบู รณ ย อมสื บเนื่ องมาจากความเป นผู ฉลาดในการปฏิ บั ติ ต อ นิ มิ ต ขั้นตน ๆ กลาวคืออุคคหนิมิต และปฏิภาคนิมิต มาแลวเหมือนกัน. แมในขณะ แห งอุ คคหนิ มิต และปฏิ ภาคนิ มิต ตองการความฉลาดทั้ ง ๓ ประการนี้ อย างเต็ มที่ จนความฉลาดในการทําอยางนี้เกิดเปนความคลองแคลวขึ้นมา จนกระทั่งกลายเปนความเคยชิน เปนนิสัย ของผูปฏิบัติ. ฉลาดทํ า ให นิ มิ ต เกิ ด นั้ น หมายถึ ง ฉลาดในการกํ า หนดอารมณ ข อง สมาธิ ใ นขั้ น แรก และการหน ว งน อ มไปสู นิ มิ ต อั น ใหม หรื อ เพื่ อ สร า งนิ มิ ต อั น ใหม ในขั้นที่สูงขึ้นไป. สําหรับในขั้นอัปปนาโกสลนี้ หมายถึง การทําจิตใหดํารงอยูได ดวยปฏิภาคนิมิตอยางแนนแฟนจนนิวรณรํางับไป แลวหนวงนอมใหเกิดความรูสึกที่เปน องคฌานครบเต็มขึ้นมาทั้ง ๕ องค และมีองคสุดทายคือเอกัคคตา เปนองคสําคัญอยางยิ่ง เพราะตั้งอยูในฐานะเปนนิมิตอันใหมแทนปฏิภาคนิมิตนั่นเอง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที่วา ฉลาดในการทํานิมิตใหเจริ ญ นั้น หมายถึงวานิมิตปรากฏแต ออ น ๆ ก็ทํา ใหป รากฏชัด ขึ้น ๆ ; หรือ ความรูสึก ที่เ ปน วิต ก วิจ าร ปติ สุข เอกัค คตา อยา งใดอยา งหนึ ่ง ยัง ออ นอยู คือ ไมแ จม ชัด เต็ม ที ่ หรือ ลม ๆ ลุก ๆ ก็ตาม ก็หนวงนอมทําใหปรากฏอยูอยางมั่นคงและเต็มที่.
สวนขอที่วา เปนผูฉลาดในการรักษานิมิตที่ไดแลว นั้น หมายความ วานิมิตทุกชนิด ตองมีการรักษาอยูทุกขณะ, ไมวาจะเปนขณะแรกได แรกถึง หรื อ ขณะที่ ไ ด แ ล ว อย า งสมบู ร ณ .นิ มิ ต แรกได ก็ จ ะกลั บ เสื่ อ มไปอย า งของแรกได
www.buddhadasa.in.th
๑๗๐
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
เปรียบเหมือนงานฝมือที่ละเอียดประณีตอยางใดอยางหนึ่ง ที่เพิ่งทําไดเปนครั้งแรก ถาไมทําซ้ํา ๆ ใหชํานาญจริง ๆ ก็จะไมคงตัวหรืออยูตัว จะลืมเลือนไปในระยะอันเร็ว ส ว นนิ มิ ต ที่ ไ ด แ ล ว อย า งสมบู ร ณ นั้ น ถ า ไม รั ก ษาไว อ ย า งมั่ น คง ก็ มี โ อกาสให เ กิ ด สิ่งแทรกแซง นานเขาก็เสื่อมไปไมมีเหลืออยู, เปรียบเหมือนงานฝมือที่ทําได อยางแมนยําอยางใดอยางหนึ่ง ที่ถูกทอดทิ้งนานเกินไป ดวยการเปลี่ยนไปทํางาน อย า งอื่ น เสี ย ก็ อ าจจะเลอะเลื อ นได แม ว า จะเป น สิ่ ง ที่ เ คยทํ า ได อ ย า งแม น ยํ า . เพราะฉะนั้นสิ่งที่เรียกวานิมิตทุกชนิด จึงจําเปนจะตองรักษา นับตั้งแตอุคคหนิมิต เป น ต นมา จนถึ ง ปฏิ ภ าคนิ มิ ต จะต อ งได รับ การรัก ษาโดยวิ ธีดั ง กล าวแล วข า งต น จนกวาจะหมดความจําเปน ในเมื่อฌานคลองแคลวแลว. สําหรับองคแหงฌานทั้งหลาย และโดยเฉพาะเอกัคคตา อันเปน องค สุ ด ท า ยนั้ น จะต อ งรั ก ษาด ว ยหลั ก เกณฑ ที่ ค ล า ย ๆ กั น แต เ ป น การกระทํ า ที่ ประณีตยิ่งขึ้นไปกวา โดยใจความสําคัญก็คือ การทําใหคลองแคลวอยูเสมอ โดย อาการที่เรียกวา วสี ทั้งหา ดังที่จะกลาวตอไปขางหนา, และโดยอาการที่เปนการ เพิ่มความพอใจเปนตน ในการกระทํานี้ใหมากยิ่งขึ้นทุกที โดยวิธีปฏิบัติที่เรียกวา อิทธิบาท ๔ ดังที่ทราบกันแลวทั่ว ๆ ไป ซึ่งไมจําเปนจะตองนํามากลาวไวในที่นี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สรุปความวา ความฉลาดในเรื่องของนิมิตนั้น คือความรูเทาทันในการ ที่จะทําใหนิมิตปรากฏ การทําใหนิมิตแจมชัดถึงที่สุด และ การคงสภาพเชนนั้น ไวใหนาน ไดตามที่ตนตองการ โดยความไมประมาทนั้นเอง. ผูขาดความสังเกตยอมไมประสบ ความสําเร็ จในเรื่ อ งนี้ จะเกิ ดการลม ลุ กคลุก คลาน จนต อ งลม ความตั้ งใจในที่ สุ ด โดยยอมลดตัวเองวา เปนผูมีอุปนิสัยไมเพียงพอ. นี้เรียกวาความเปนผูฉลาด ในนิมิต : ความมุงหมายอยูที่ ฉลาดควบคุมสิ่งที่พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงไดไว นั่นเอง.
www.buddhadasa.in.th
สมาธิ ๒ อยาง
๑๗๑
(๔) การประคองจิตโดยสมัย.๑ คําวา “โดยสมัย” เปนสํานวน บาลี เป นคํ าพู ดสั้ น ๆ เพี ยงสองคํ า แต มี ความหมายชั ดเจนพอ ว าต องทํ าสิ่ งที่ กล าว นั้ น ให เ หมาะสมหรื อ ให ต รงต อ เวลาที่ ต อ งทํ า หรื อ ควรทํ า ก็ ต าม อย า ให ผิ ด เวลา หรือแมแตเพียงชาไปเปนอันขาด. ผูปฏิบัติจะตองสังเกตใหรูทันทีวา มีอะไรเกิด ขึ้ น และต อ งทํ า อย า งไร และจะต อ งมี ค วามรู ว า เมื่ อ มี อ าการอย า งนี้ เ กิ ด ขึ้ น จะต อ ง ประคองจิต หรือขมจิต หรือปลอบโยนจิต ดังนี้เปนตน. ในกรณี ข องอั ป ปนาโกสลนั้ น เมื่ อ สั ง เกตเห็ น ว า จิ ต ตกต่ํ า คื อ มี อ าการ ถอยกํ า ลั ง หรื อ กํ า ลั ง น อ ยไม พ อเพื่ อ การเพ ง ต อ อั ป ปนาสมาธิ ก็ ต าม จะต อ งทํ า การ เพิ่มกําลังใหแกจิต ซึ่งเรียกวาการประคองจิตในที่นี้. การปฏิบัติในการประคองจิตนี้ ผูปฏิบัติจะตองศึกษาถึงสิ่งที่เรียกกันวาสัมโพชฌงค จะเปนการงายแกการเขาใจและ การปฏิบัติ. คําวา สัมโพชฌงค แปลวา องคแหงการตรัสรูหรือการรูพรอม ซึ่ง หมายถึง การที่ปญญาดําเนินไปถึง ที่สุดนั่นเอง. ที่เ รียกวา องคแหงการตรัสรู ก็เพราะวาการตรัสรูตองประกอบดวยองคทั้ง ๗ นี้จริง ๆ. องคทั้ง ๗ นี้ คือ สติ, ธัมมวิจยะ (การเลือกเฟนหรือสอดสองธรรม), วิริยะ, ปติ, ปสสัทธิ (ความรํางับแหงจิต), สมาธิ และ อุเบกขา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๑
การบรรยายครั้งที่ ๑๘ / ๑๙ กันยายน ๒๕๐๒
www.buddhadasa.in.th
๑๗๒
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
ขอให รู จั ก สัง เกตให เห็ น ชั ด ว า ในโพชฌงค ๗ อย า งนั้ น เมื่ อ กั น เอา สติออกเสียอยางหนึ่ง เหลือเพียง ๖ อยาง ก็จะแบงไดเปน ๒ พวก, พวกละ ๓ อยา ง. สามอยา งแรก คือ ธัม มวิจ ยะ วิริย ะ และปติ เปน พวกที่มี คุณสมบัติประคองจิตใหสูงขึ้น หรือเพิ่มกําลังใหแกจิต. สวนสามอยางหลัง คือ ปสสัทธิ สมาธิ และ อุเบกขา นั้น เปนพวกที่มีคุณสมบัติขมจิตที่ฟุงซาน หรือ ลดกําลังของจิตที่มีมากจนลน ; เพราะเหตุนี้ อุบายเปนเครื่องประคองจิตในที่นี้ ก็ค ือ ธัม มวิจ ยสัม โพชฌงค วิร ิย สัม โพชฌงค และ ปต ิส ัม โพชฌงค นั ่น เอง. ผู ปฏิ บั ติ จะต องใช สั มโพชฌงค ทั้ ง ๓ นี้ ในขณะที่ จิ ตหดหู หรื อถอยกํ าลั ง แม ในขณะ แหงการเจริญสมาธิ ซึ่งนับวาเปนภาคตนของการเจริญกัมมัฏฐานภาวนา. สวน สติส ัม โพชฌงค นั ้น เปน สิ ่ง ที ่ต อ งมีห รือ ตอ งใช ในกรณีทั ่ว ไปหรือ ทุก ๆ กรณี อี ก ตามเคย นั บ ตั้ ง แต เ ป น ผู รู ว า เดี๋ ย วนี้ จิ ต หดหู เ สี ย แล ว จะต อ งแก ไ ขด ว ยธรรมะ ข อ ไหน จะดํ า รงธรรมะข อ นั้ น ไว ไ ด อ ย า งไร จนกระทั่ ง เป น ผู รู ว า จิ ต พ น จากความ หดหูแลว ดังนี้เปนตน. โพชฌงคแตละอยาง ๆ มีเรื่องที่จะตองศึกษา และนํา ไปใชแกปญหาที่เกิดขึ้น ดังตอไปนี้ :
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ก. ธัมมวิจยสัมโพชฌงค ธัมมวิจัยในที่นี้ ตามตัวหนังสือแปลวา การเลื อกเฟ นธรรมอย างดี ที่ สุ ด เปรี ยบเหมื อนกั บคนฉลาดสามารถเลื อกเก็ บ ดอกไม ในสวนที่ ก ว า งใหญ ไ พศาล และมี ม ากจนลานตา จนไม รู ว า เก็ บ ดอกไม อ ะไรดี สําหรับผูที่ไมมีความฉลาด ; ตอเมื่อเปนผูฉลาดเทานั้น จึงจะสามารถทํางานนี้ ใหสําเร็จประโยชนได.
คําวา “เลือกเฟน” ยอมกินความไปถึงคําวา “สอดสอง” ถาไมสอดสอง ให ทั่ ว ถึ ง แล ว ก็ ไ ม รู จ ะเลื อ กได อ ย า งไร หรื อ ควรเลื อ กหยิ บ เอาอะไรขึ้ น มา ;
www.buddhadasa.in.th
สมาธิ ๒ อยาง
๑๗๓
ฉะนั้น เมื่อกลาวโดยวิธีปฏิบัติ ก็ไดแก การแยกแยะออกดูอยางละเอียด แลวกันเอามา เฉพาะสวนที่จําเปนจะตองใช ใหถูกตรงตามเรื่องตามราวของมันโดยเฉพาะ. ในกรณีที่จิต หดหู ยอมจะมีมูลเหตุมาไดหลายอยาง หลายทาง จําเปนที่จะตองสอดสองใหพบ มูลเหตุที่แทจริง และเลือกของแกที่เหมาะสมมาแก. บางอยางก็อาจจะตองอาศัย สติ ป ญ ญาของผู อื่ น เข า ประกอบ บางอย า งก็ ไ ม อ าจทํ า เช น นั้ น ได จํ า เป น จะต อ ง สอดสองแกไขดวยตนเองเปนระยะยาว จนกระทั่งประสบความสําเร็จ. อยางไร ก็ตาม ทานไดแนะทางมาแหงธัมมวิจยะ ไวเปนหลักทั่วไป กลาวคือ : ๑. การสอบถาม ในกรณีที่ควรสอบถาม จากกัลยาณมิตรผูสามารถ เพื่อประกอบความคิดเห็นของตัว. ๒. ทําสิ่งแวดลอมใหเหมาะสม ดังที่กลาวแลวในอัปปนาโกสลขอหนึ่ง ซึ่ง ในที่นี้ หมายถึ ง การเปน อยูด วยรางกายที่ เยื อ กเย็น และจิต ใจที่ ปลอดโปร งที่ สุ ด นั่นเอง. ๓. ปรับปรุงอินทรียทั้งหา ใหมีกําลังเหมาะสวนแกกัน ดังที่กลาวแลว ในอั ปปนาโกสลข อสอง ซึ่ งหมายความวาอิ นทรี ย ที่ เหมาะส วนแก กั นนั้น นอกจาก จะเปนการเรงอัปปนาสมาธิแล ว ยัง อาจจะเปนทางของธัม มวิจยสัมโพชฌงคก็ไ ด อีก ในเมื่อการเรงอัปปนาสมาธิโดยตรงไมประสบความสําเร็จ. ๔. อยาของแวะกับคนโง แมโดยประการใด. ๕. คบคาแตกับคนที่ฉลาด. ฉลาดในที่นี้ หมายถึงฉลาดในธรรมะ โดยเฉพาะอยางยิ่ง คือ ในการปฏิบัติธรรม. ๖. พิจารณาธรรมนั้น ๆ อยูโดยอุบายที่แยบคายที่สุด จนมีความแจมแจง ในเรื่องนั้น ๆ หรือยางนอยก็พบลูทางที่จะแกปญหานั้นเสีย.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๑๗๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
๗. ในกรณีที่ตองทําเปนระยะยาว ก็คือ การเพาะนิสัย ของตนเองให มากขึ้นไป ในการสอดสองและเลือกเฟนธรรมนั่นเอง. เมื่อประพฤติ อยูครบถวนทั้ง ๗ ประการนี้ แลว สิ่ งที่เรียกวาธัมมวิจย สั ม โพชฌงค ก็ ตั้ ง ขึ้ น อย า งมั่ น คง สํ า เร็ จ เป น องค ๆ หนึ่ ง ได โ ดยแน แ ท แล ว ทํ า หนาที่ประคองจิตดวยการทําใหมองเห็นลูทางอันราบรื่น กอใหเกิดกําลังใจในการ ปฏิบัติขึ้นมาทันที ความหดหูก็หายไปตามสวน เพราะอํานาจของธัมมวิจยะนี้. ข. วิริยสัมโพชฌงค คําวา วิริยะ แปลวา ความพากเพียร แตรวมอยู ดวยลักษณะแหงความเขมแข็งและกลาหาญ. ในที่นี้ หมายถึงสมรรถภาพของจิต ที่เป นความเขมแข็ง กลาหาญ รุดหนา อย างมั่ นคง ไมยอมถอยหลั ง เปน สิ่งที่ ตรง กันขามกับความหดหูอีกปริยายหนึ่ง. ถาหดหูก็ไมมีวิริยะ ถามีวิริยะก็ไมอาจหดหู เพราะฉะนั้น หนาที่จึงมีแตเพียงสรางวิริยะขึ้นมาใหไดก็พอ โดยใจความก็คือ การ ปลุกกําลังใจดวยการพิจารณาที่เหมาะสม หรือที่เปนอุบายอันแยบคาย. วิธีที่ทาน นิยมกระทํากัน แลวแนะนําไวนั้น มีอยูดังตอไปนี้ :-
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๑. พิจารณาใหเห็นโทษ ของการที่เราไมมีสิ่งนี้ แลวตองตกจมอยูใน กองทุกข หรือตองเวียนวายอยูในกองทุกขอยางซ้ํา ๆ ซาก ๆ ไมมีสิ้นสุด เรียกว า มองเห็นภัยในวัฏฏสงสาร.
๒. พิจารณาใหเห็นอานิสงส ของการที่เรามีสิ่งนี้อยางแจมชัด วาเมื่อ มีแลว จักพนไปจากความทุกขดวยอาการฉะนี้ ๆ จนเกิดกําลังใจขึ้นมา. ๓. พิจารณาเห็นทาง วาทางที่พระองคทรงแสดงไวนี้ หรือทางที่เรา กําลังปฏิบัติอยูนี้ เปนทางที่ถูกตองที่สุดแลว ทางอื่นไมมี หรือ มีก็ไมดีไปกวานี้ :
www.buddhadasa.in.th
สมาธิ ๒ อยาง
๑๗๕
๔. พิจารณาถึงหนี้ หมายความวา ผูปฏิบัติธรรมนั้น ไมมีทางที่จะไป ประกอบอาชี พใด ๆ ด วยตนเอง ตองอาศั ยปจจั ยสี่ จากบุ คคลอื่ นเป นอยู กํ า ลัง เป น หนี้ เขา จะหลุ ดจากหนี้ ต อเมื่ อประสบความสํ าเร็ จในการปฏิ บั ติ เมื่ อ พิ จารณาอยู ดังนี้ ก็เกิดความขะมักเขมนในการปฏิบัติขึ้นมาทันที. ๕. พิจารณาถึงพระศาสดา วาเราไดศาสดาที่ดีที่สุดของโลก ควรจะมี ความภาคภูมิใจในขอนี้ : และธรรมะที่พระองคทรงแสดงนั้น ดีสมกัน ไมมีผิด พลาด เราควรจะเดินตามทานโดยแทจริง. ๖. พิจารณาในฐานะผูรับมรดก หรือเปนธรรมทายาท วาตัวไดมีโชค มี เ กี ย รติ ในฐานะเป น ธรรมทายาทของพระศาสดาผู เ ลิ ศ เห็ น ปานนี้ แ ล ว จะเอา อยางไรกันอีกเลา ในเมื่อไมมีมรดกอันไหน จะสูงยิ่งไปกวามรดกอันนี้แลว ดังนี้ เปนตน ก็เกิดความภาคภูมิใจขึ้นมาอีกปริยายหนึ่ง. ๗. อาโลกสัญญา การทําความสําคัญในแสงสวาง หรือทําความสําคัญ ว า มี แ สงสว า ง ได แ ก ก ารทํ า ใจให เ ป ด โล ง แจ ม แจ ง ราวกะว า มี แ สงสว า งแรงกล า ปรากฏชั ด อยู แม ว า จะเป น เวลากลางคื น มื ด ๆ หรื อ ว า ตนกํ า ลั ง หลั บ ตาอยู ก็ ต าม. การเคยเจริญอาโลกกสิณมากอน ยอมชวยไดมากในขอนี้. สิ่งนี้เปนปฏิปกษตอ ความหดหู ข องจิต โดยตรง ทํ า จิต ไมใ หซ บเซาหรือ มืด มัว จึง จะมีกํ า ลัง ใจที ่จ ะ กาวหนาและกาวหนาอยูเสมอ. ๘. ไมของแวะกับคนเกียจคราน หรือนิมิตแหงความเกียจคราน. ๙. คบแตคนขยัน หรือสัญลักษณแหงความขยัน. ๑๐. พิจารณาถึงคุณแหงธรรมะขอนี้อยูเปนประจํา โดยปริยายตาง ๆ กัน ทุกแงทุกมุม.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๑๗๖
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
๑๑. ในกรณีที่ตองทําเปนระยะยาว ก็คือ การเพาะนิสัย ของตัวเอง ใหเกิดความเลื่อมใสและเคยชินตอคุณธรรมขอนี้อยูตลอดเวลา. เมื่ อ ทํ า อยู ดั ง นี้ สิ่ ง ที่ เ รี ย กว า วิ ริ ย สั ม โพชฌงค ก็ เ กิ ด ขึ้ น และตั้ ง อยู อ ย า ง มั่น คง กํา จัด ความหดหูแ หง จิต เสีย ได. ธัม มวิจ ยสัม โพชฌงค เปน อุบ าย ประคองจิ ต ด ว ยการทํ า จิ ต ให ม องเห็ น ลู ท างด ว ยความหวั ง พร อ มกั น นั้ น วิ ริ ย สั ม โพชฌงค ก็ ป ระคองจิ ต ให รี บ เดิ น ไปตามลู ท างอั น นั้ น ด ว ยการกระทํ า ที่ สั ม พั น ธ กันดังนี้. ค. ปติสัมโพชฌงค คําวา ปติ หมายถึงความอิ่มใจ คือความยินดี ที่ เ กิ ด มาจากการกระทํ า ของตั ว เอง หรื อ ความเคารพตั ว เอง ว า กํ า ลั ง ทํ า หรื อ กํ า ลั ง ไดสิ่งที่ควรจะได ; เปนกําลังใจอีกปริยายหนึ่ง ที่ตรงกันขามกับความหดหู และ เปนตัวธรรมะที่สนับสนุนวิริยะโดยตรง ไมใหเกิดความเหนื่อยลา. อุบายใหเกิด ปตินั้น ทานนิยมปฏิบัติและแนะนํากันไวดังตอไปนี้ : ๑. การเจริญพุทธานุสสติ, ๒. การเจริญธัมมานุสสติ, ๓. การเจริญ สังฆานุสสติ, ทั้ง ๓ อยางนี้ เมื่อทําลงไปจริง ๆ แลว ยอมเกิดปติในคุณของ พระรัตนตรัย และมีกําลังแหงปติ ยอนมาสนับสนุนความพากเพียรของตน. แตถา เป น การเจริ ญ แต ป าก คื อ ไม ซึ ม ทราบในคุ ณ ของ พระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ จริง ๆ แลว ก็ไมเกิดผลเชนกลาวนั้น. ๔. สีลานุสสติ การพิจารณาถึงศีลของตน โดยเฉพาะวาตนเปนคน มี ศี ล บริ สุ ท ธิ์ ย อ มเกิ ด กํ า ลั ง เป น อย า งยิ่ ง ในการที่ จ ะนิ ย มชมชอบตั ว เอง หรื อ มี ป ติ ในตัวเอง ซึ่งจะสงเสริมกําลังแหงความพากเพียรยิ่งขึ้นไปตามลําดับ. ๕. จาคานุสสติ ระลึกถึงการบริจาคโดยเฉพาะอยางยิ่งที่ตนเคยบริจาค จริง ๆ แลว ก็เ กิด ความภาคภูม ิใ จและปต ิใ นตัว เอง อยา งเดีย วกับ ที ่ก ลา วแลว ในเรื่องของสีลานุสสติ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
สมาธิ ๒ อยาง
๑๗๗
๖. เทวตานุสสติ ระลึกถึงธรรมะที่ทําความเปนเทวดา โดยเฉพาะ อยางยิ่งคือ หิริ และโอตตัปปะ ที่ทําบุ คคลให งามหรือเปนสุข ราวกะเทวดา หรือยิ่ ง ไปกวาเทวดา, เมื่อมองเห็นความเปนไปไดอยางนาอัศจรรยที่สุดของธรรมะเหลานี้ ก็คือ เกิดปติในธรรม มีผลเปนเครื่องสนับสนุนกําลังใจอยางเดียวกัน. ๗. อุปสมานุสสติ ระลึกในคุณของความสงบ หรือธรรมเปนเครื่อง ทํ าความสงบ ตลอดถึ งคุ ณค าของความสงบอั น สู ง สุ ด ที่ เ ป น ขั้ นนิ พพาน จนเห็ นชั ด ว า เป น สิ่ ง ที่ มี ไ ด โ ดยประการใด ดั ง นี้ แ ล ว ก็ เ กิ ด ป ติ ที่ เ ป น กํ า ลั ง อย า งยิ่ ง และทํ า หนาที่ของมัน โดยทํานองเดียวกันกับพุทธานุสสติ เปนตน. ๘. ในกรณีที่ตองทําเปนระยะยาว ตองขยันใน การเพาะนิสัย ของตน ให มี ความเคยชิ นในคุ ณธรรมข อนี้ คื อ ความเป นคนแจ มใส อาจหาญ ร างเริ ง มี กําลังใจ มีความหวังที่เพียบพรอมอยูเสมอ. เมื่ อ ทํ า ได อ ย า งนี้ สิ่ ง ที่ เ รี ย กว า ป ติ สั ม โพชฌงค ก็ เ กิ ด ขึ้ น และตั้ ง อยู อยางมั่นคง กําจัดความหดหูของจิตไดในที่สุด.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org รวมความวาธัมมวิจยสัมโพชฌงค ประคองจิตดวยการทําใหเห็น ลูทางหรือความหวัง, วิริยสัมโพชฌงค ประคองจิตใหมีกําลังดวยการเดินไป ตามลูท างนั้น , และ ปติสัม โพชฌงค ประคองจิต ดว ยการเพิ่ม กํา ลัง ใหแ ก วิร ิย สัม โพชฌงคอ ยา งไมม ีร ะยะวา งเวน ดว ยการสัม พัน ธก ัน ในลัก ษณะเชน นี้ การประคองจิ ตโดยสมั ยก็ เป นไปโดยสะดวก และสมบู รณ พอที่ จะทํ าให เกิ ดความ แนวแนในขั้นอัปปนาสืบไป.
www.buddhadasa.in.th
๑๗๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
(๕) การขมจิตโดยสมัย๑ ในบางคราวหรือบางกรณี จิตมีอาการ ฟุงซานจนกระทั่งมีการกําเริบในทางกาย ซึ่งเปนของเนื่องถึงกัน. การรํางับความ กํ าเริ บทั้ งทางกายและทางจิ ต ก็ ตกเป นหน าที่ ของโพชฌงค ทั้ งสามที่ เหลื อ กล าวคื อ ปสสัทธิสัมโพชฌงค สมาธิสัมโพชฌงค และอุเบกขาสัมโพชฌงค. สัมโพชฌงค ทั้ งสามนี้ ล วนแต เป นไปในทางสงบรํ างั บ และตั้ งมั่ นแน วแน และวางเฉย โดยการ สัม พัน ธก ัน อยา งใกลช ิด และเปน เหตุผ ลของกัน และกัน อยู ใ นตัว แตถ ึง กระนั ้น ก็ยังมีทางที่จะทําใหเต็มที่ในโพชฌงคองคหนึ่ง ๆ โดยเฉพาะ อยูนั่นเอง. ก. ปสสัทธิสัมโพชฌงค. คําวา ปสสัทธิ แปลวา รํางับ โดยอาการ ก็ คื อ ความสงบลง ๆ ของความพลุ ง พล า นหรื อ ความกระสั บ กระส า ย ซึ่ ง ท า นแบ ง ออกเปน ๒ ประเภท คือทางกาย และทางจิตซึ่งเปนของเนื่องกัน ; เพราะฉะนั้น ปสสัทธิ จึงเกิดมีเปน ๒ อยางขึ้น เชนเดียวกัน กลาวคือ กายปสสัทธิ รํางับ ทางกาย และ จิตตปสสัทธิ รํางับทางจิต. ทางมาแหงปสสัทธิสัมโพชฌงคนั้น ทานแนะไวไดแก :
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๑. ภาวนา, ๒. พหุลีกตา, ๓. โยนิโสมนสิการ ซึ่งทั้ง ๓ อยางนี้ ก็เ ปน สิ่ง ที่เ ปน ไปในปส สัท ธิทั้ง สองนั้น เอง. ภาวนา หมายถึง การทํา ใหมีขึ้น , พหุลีกตา หมายถึง ทําใหมากขึ้น คือ ทําซ้ํา ๆ, โยนิโสมนสิการ หมายถึง การทํ า ไว ใ นใจโดยแยบคาย ทุ ก ขั้ น ทุ ก ลํ า ดั บ ที่ ไ ด ก ระทํ า มา ให มี ค วามเข า ใจ แจมแจงในสิ่งนั้น ๆ ยิ่งขึ้นเสมอไป,ทั้งนี้เปนสิ่งที่เนื่องกันทั้ง ๓ อยาง ทุกระยะ
๑
การบรรยายครั้งที่ ๑๙ / ๒๐ กันยายน ๒๕๐๒
www.buddhadasa.in.th
สมาธิ ๒ อยาง
๑๗๙
แหงการกาวหนา. ในที่นี้ไดแกการพยายามกําหนดสังเกตในความกระสับกระสาย มู ล เหตุ ข องความกระสั บ กระส า ย และลู ท างที่ จ ะให เ กิ ด ความสงบรํ า งั บ ขึ้ น ที ล ะ นอย ๆ ตามลําดับ ; เกิดขึ้นเทาไร ก็รักษาไวใหไดดวยการทําซ้ํา ๆ อยางระมัด ระวังนั่นเอง ; และพรอมกันนั้น ทานแนะใหมีการจัด การทํา ที่จะสนับสนุน ความสงบรํางับนั้นอีกทางหนึ่ง คือ :๔. อาหาร อาหารที่ชวยทําใหเกิดความรํางับทางกายและทางจิต เชน อาหารผั ก ให ความสงบรํ างั บยิ่ งกว าอาหารเนื้ อ เป นต น ตลอดถึ งอุ บายวิ ธี บริ โภค อยางไร ซึ่งสนับสนุนแกความสงบรํางับนั้นดวย. ๕. ดินฟาอากาศ กลาวคือ ธรรมชาติที่แวดลอมเชนความรอน ความ หนาว ความทึบ ความโลง ตลอดถึง ทิว ทัศ นที ่ง ดงามหรือ ไมง ดงาม ซึ ่ง เปน สิ ่ง ที่ เ กี่ ย วข อ งกั บ ความสงบรํ า งั บ แห ง จิ ต อยู ม ากเหมื อ นกั น โดยเฉพาะอย า งยิ่ ง สิ่ ง หนวกหู หรื อ รบกวนทางตา ทางจมู ก เป น ต น เป น สิ่ ง ที่ ไ ม อํ า นวยแก ค วามสงบ รํางับ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๖. อิริยาบถ ที่เหมาะสมตอความสงบรํางับ กลาวคือ อิริยาบถที่ไม สงเสริมแกความฟุงซาน อิริยาบถนอน ยอมสงเสริมความฟุงซาน. อิริยาบถ เดิน เปนสิ่งที่ตรงกันขาม ดังนี้เปนตน. ผูปฏิบัติจะตองรูจักสังเกตในสวนที่เปน กรณีของตนโดยเฉพาะ.
๗. ความพากเพียรที่พอเหมาะ คือไมพากเพียรทั้งทางกายและทางจิต จนเกินกําลัง หรือไมเหมาะแกเวลาเปนตน. โดยใจความ หมายถึงความที่ไม เครียดจนเกินไป หรือไมถึงขนาดที่เรียกวาเครียด แตก็ไมเฉื่อยชา. นี้เรียกวา ความเพียรที่พอเหมาะ และมีสิ่งที่ตองสังเกตเฉพาะคน ๆ ดวยเหมือนกัน.
www.buddhadasa.in.th
๑๘๐
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
๘. ไมของแวะกับคนฟุงซาน. ๙. คบคาแตกับบุคคลที่มีความสงบรํางับ. ๑๐. ในเมื่อจะตองทําเปนระยะยาว จะตองมี การเพาะนิสัย ใหเปลี่ยนไปในทางสงบรํางับยิ่ง ๆ ขึ้นไป จนกระทั่งเปนนิสัย.
ของตนเอง
เมื่ อปฏิ บั ติ อยู ครบถ วนทั้ ง ๑๐ ประการนี้ ย อมเกิ ดความรํ างั บทางกาย และทางจิต ตามลําดับอยางเปนระเบียบ. ขอสําคัญอยูตรงที่ตองมีความระมัด ระวัง และความแนใ จในความอดกลั ้น อดทน ทํ า มัน อยา งประณีต และรอคอย ไดอยางเยือกเย็น. ข. สมาธิสัมโพชฌงค. คําวา สมาธิ ในคําวาสมาธิสัมโพชฌงคแหง อั ป ปนาโกสลนี้ มิ ไ ด ห มายถึ ง สมาธิ ส ว นใหญ ที่ กํ า ลั ง กระทํ า อยู โ ดยตรง เพราะว า การทําสมาธิสวนนั้นมาติดตันอยูตรงนี้. สมาธิสวนที่เปนสัมโพชฌงคนี้หมายถึง คุ ณ ธรรมส ว นที่ จ ะใช เ ป น เครื่ อ งมื อ เพื่ อ จะแก ไ ขอุ ป สรรคข อ นี้ เ อง และข อ อื่ น ๆ ตลอดไปในกาลข า งหน า แต ถึ ง อย า งนั้ น ก็ ยั ง เป น ของที่ แ นบเนื่ อ งกั น อยู อ ย า งไม อ าจ จะแยกกัน ได คือ จะตอ งปฏิบ ัต ิเ นื ่อ งกัน หรือ คราวเดีย วกัน ไปในตัว เชน การ ที่ ยั ง คงรั ก ษานิ มิ ต ที่ ป รากฏแล ว นั่ น เองไปเรื่ อ ย ๆ ตามหลั ก การที่ ไ ด ก ล า วมาแล ว เปนแตเราแยกเรียกสิ่งนี้ออกมาเสียสวนหนึ่งวา สวนที่เปนสมาธิสัมโพชฌงค. สิ่งที่ตองปฏิบัติในกรณีนี้ ไดกลาวไวเปนกลาง ๆ อยางเดียวกัน คือ :
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๑. ภาวนา, ๒. พหุลีกตา. ๓. โยนิโสมนสิการ. ทั้งสามนี้เปนไป ในนิม ิต แหง สมถภาวนา หรือ วิป ส สนาภาวนาแลว แตก รณี ใจความสํ า คัญ ก็ คื อ การทํ า อย า งระมั ด ระวั ง ในกรณี ที่ เ กี่ ย วกั บ นิ มิ ต ทุ ก ระยะ ด ว ยการทํ า ให เ กิ ด ก า ร ทํ า ซ้ํ า แ ล ะ ทํ า ไ ว ใ น ใ จ โ ด ย แ ย บ ค า ย เ ช น เ ดี ย ว กั บ ที่ ก ล า ว แ ล ว ใ น ข อ ก .
www.buddhadasa.in.th
สมาธิ ๒ อยาง
อันวาดวยปสสัทธิสัมโพชฌงค นั่นเอง. ทั่วไป ทานใหถือวา …
๑๘๑
ยิ่งกวานั้น ในกรณีที่กลาวไวอยางกวาง ๆ
๔. อัปปนาโกสล หมดทั้ง ๑๐ ประการนั้นแหละ เปนกิจที่จะตองทําอยู ตลอดเวลา ในการเจริญสมาธิสัมโพชฌงค และ ๕. ขอสุดทาย ก็คือการเพาะนิสัย ในความเปนสมาธิในฐานะที่เปนกฎ ทั่วไปของการปฏิบัติระยะยาว. ค. อุเบกขาสัมโพชฌงค อุเบกขานี้หมายถึงความวางเฉย และมีมูล มาแตค วามรู ที ่ถ ูก ตอ ง วา สิ ่ง ทั ้ง หลายทั ้ง ปวง อัน ใคร ๆ ไมค วรยึด มั ่น ถือ มั ่น (สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย) อันเปนปญญา หรือสวนสัมมาทิฏฐิที่เปนพื้นฐาน ทั ่ว ไป ของการปฏิบ ัต ิธ รรม อัน เปน เครื ่อ งสนับ สนุน ใหม ีค วามวางเฉย ในสิ ่ง ทั้ ง ปวงได โ ดยง า ย แล ว เป น เครื่ อ งสนั บ สนุ น ความเป น สมาธิ โ ดยตรงอยู ใ นตั ว เพื่ อ พอกพูนอุเบกขาสัมโพชฌงคใหเจริญยิ่งขึ้น ทานแนะนําไวดังตอไปนี้ :
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๑. ทําความวางเฉยในสัตว คือสิ่งที่มีชีวิตไมวาสัตวมนุษยหรือสัตวเดรัจฉาน. ๒. ทําความวางเฉยในสังขาร ซึ่งในที่นี้ไดแกสิ่งตาง ๆ ที่นอกไปจากสัตว.
ทั้ ง สองอย า งนี้ หมายถึ ง สิ่ ง ที่ ต นกํ า ลั ง ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ว า มั น เป น อะไร หรื อ เป น ของใคร ซึ่ ง ทํ า ให เ กิ ด ความรู สึ ก ว า ดี ก ว า หรื อ เลวกว า เป น ต น อั น เป น เหตุ ให เกิ ดความรูสึ กยึ ดถื ออย างอื่นอีกต อ ๆ ไป กระทั่ งยึดถือวาเป นของเรา หรือเกี่ ยว ข อ งกั น อยู กั บ เรา ในลั ก ษณะใดลั ก ษณะหนึ่ ง ซึ่ งทํ า ให เ กิ ด ป ญ หาต า ง ๆ ขึ้ นอย า ง ไมมีที่สิ้นสุด.
www.buddhadasa.in.th
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
๑๘๒
๓.
ไมของแวะกับคนยึดมั่นถือมั่น
หรือสัญลักษณของความยึดมั่น
ถือมั่น. ๔. คบคาสมาคมแตกับบุคคล หรือสัญลักษณ แหงความไมยึดมั่นถือมั่น โดยเฉพาะอย างยิ่ งก็ คื อบุ คคลที่ วางแล ว หรื อหลุ ดพ นแล ว จากความยึ ดมั่ น ถื อ มั่ น ในสิ่งทั้งปวง. ๕. มีการเพาะนิสัย แหงความเปนคนไมยึดมั่นถือมั่นอยูเปนปรกติ ด วยการพิ จารณาถึ งคุ ณ ของสิ่ งนั้ น ทํ าความพอใจในสิ่ งนั้ นอย างยิ่ ง สรรเสริ ญคุ ณ ของสิ่ ง นั้ น และชั ก ชวนผู อื่ น ในการทํ า อย า งนั้ น อยู เ สมอไป นี้ เ ป น ใจความสํ า คั ญ ของคําวา เพาะนิสัย. สรุปความแหงความสัมพันธกัน ระหวางโพชฌงคทั้ง ๓ นี้วา ปสสัทธิ ทําใหเกิดความรํางับทางกายและทางจิต ; เมื่อรํางับก็ตั้งมั่นเปน สมาธิ; เมื่อ ตั้ ง มั่ น เป น สมาธิ ก็ คุ ม ให ห ยุ ด อยู ห รื อ เฉยอยู ในความเป น อย า งนั้ น ซึ่ ง เรี ย กว า อุเบกขา. นี้คือการทําหนาที่อยางสัมพันธกันของสัมโพชฌงคทั้ง ๓ นี้. เมื่อทํา ได จิตก็ไมมีทางที่จะฟุงซานหรือเลื่อนลอยแตประการใด. ที่กําลังฟุงซานอยูก็ รํางับไปเพราะอํานาจของปสสิทธินั่นเอง. การทําอยางนี้ทุกคราวที่ความฟุงซานเกิดขึ้น เรียกวาการขมจิตโดยสมัย.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org (๖) การปลอดจิตโดยสมัย ในกรณีที่ไมเกี่ยวกับการยกหรือการขม ทานแนะใหใชวิธี “ปลอบจิตโดยสมัย” คือการจูงไปทางใดทางหนึ่ง ซึ่งเปนวัตถุ ที่ประสงคอยางยิ่ง, ในกรณีเชนนี้ ทานแบงออกเปน ๒ ระยะ คือ การขูใหกลัว สิ่งที่นากลัว แลว ลอหรือจูงไปยังสิ่งที่พึงปรารถนา.
www.buddhadasa.in.th
สมาธิ ๒ อยาง
๑๘๓
สิ่งที่ควรนํามาขู คือ ความทุกขนานาประการ ที่ปรากฏอยูอยางชัดแจง. ทานจําแนกไวเปน ๘ ชนิดคือ ๑. ทุกขเพาะเกิด. ๒. ทุกขเพราะแก. ๓. ทุกข เพราะเจ็บไข, ๔. ทุกขเพราะความตาย, ๕. ทุกขเพราะความเสื่อมเสีย ซึ่งเรียก วาอบายทุกชนิด, ๖. ทุกขในวัฏฏสงสารสวนที่เปนอดีตที่เคยประสบมาแลว, ๗. ทุกขในวัฏฏสงสารสวนที่เปนอนาคต ที่ตนมองเห็นไดโดยประจักษ, และ ๘. ทุกขเนื่องดวยการเสาะแสวงหาปจจัยเครื่องยังชีวิตใหเปนไป ตลอดถึงการหา อาหารทางตา ทางหู ทางจมู ก ทางลิ้ น ทางกาย อั น ไม รู สิ้ น สุ ด และมี ป ระจํ า อยูในความมี ความเปน ทุกชนิด. การทําการพิจารณาใหเห็นแจงชัดในความ ทุ กข เหล านี้ อยู เสมอ จั กเป นอุ บายเครื่ องขู จิ ตให เกิ ดความกลั วต อการที่ จะนอนจมอยู ในความเป น อย า งนี้ แล วเกิ ดความเชื่ อ ความกล า หรื อ ความพอใจในการที่ จะไป เสียใหพนจากสิ่งเหลานี้. อุบายเปนเครื่องลอหรือจูง ใหจิตเปนไปในทางสูงนั้น ไดแกการ ทํ า ความปลื้ ม ใจอยู ใ นคุ ณ ของสิ่ ง หรื อ บุ ค คล อั น เป น ที่ ตั้ ง แห ง ความปลื้ ม ใจ หรื อ ความนายึ ดถือเอาเปนตัวอยาง โดยเฉพาะอยางยิ่งก็คือคุ ณของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ อี กนั่ นเอง แต ต องเป นการกระทํ าที่ สมบู รณ คื อปรากฏเป นความปลื้ มใจ ไดจริง ๆ วา บุคคลนี้พนจากทุกขจริง ๆ ; วาสิ่งนี้เปนหนทางพนจากทุกขไดจริง; และบุคคลเหลานี้เปนตัวอยางแหงบุคคลผูพนจากทุกขไดจริง ; ทั้ง ๓ อยางนี้ลวน แตเปนเครื่องประกันความสําเร็จ ดังนี้เปนตน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เมื่ อการขู และการล อโดยประการ ๒ อย าง เป นไปด วยดี แล ว เรี ยกว า เป น การปลอบหรื อ ประเล า ประโลมจิ ต ที่ ไ ม ทํ า ความก า วหน า ให ทํ า ความก า วหน า ทําจิตที่หยุดใหเคลื่อนไปสูคุณเบื้องสูงไดดวยอุบายอันหนึ่ง.
www.buddhadasa.in.th
๑๘๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
(๗) การคุมจิตโดยสมัย. เมื่อจิตไมหดหู หรือจิตไมฟุงซาน แต เป น จิ ต ที่ ดํ า เนิ น ไปอย า งสม่ํ า เสมอ เรี ย กว า จิ ต ย า งขึ้ น สู ค วามเหมาะสมในเบื้ อ งต น เปน จิที ่เ ริ ่ม ไดที ่แ ลว หนา ที ่ที ่จ ะตอ งทํ า ในขณะนั ้น ก็ค ือ การคุม ความเปน อยางนั้นไวเรื่อยไป จนกวาจะถึงวัตถุที่ประสงค ซึ่งในที่นี้ ไดแกการดําเนินเขาสู สมถะหรือความเปนอัปปนาอันแทจริง. ขอนี้โดยใจความ ก็เพียงแตควบคุม ความรู สึ ก ที่ ต อ งประสงค นั้ น อยู เ ฉย ๆ กล า วคื อ เมื่ อ ได ป รั บ ปรุ ง ขยั บ ขยายการ กํ าหนดหรื อความรู สึ กสิ่ งต าง ๆ โดยแยบคาย จนถึ งที่ สุ ดแห งการปฏิ บั ติ ส วนนั้ นแล ว ก็หนวงเอาความเปนอยางนั้นไวอยางสม่ําเสมอใหตลอดเวลา. ในที่นี้ก็ไดแ ก การหนวงจิตตอความรูสึกที่เปนองคฌานอยูอยางสม่ําเสมอเปนระยะยาว นั่นเอง เรียกวา การคุม.
เราอาจจะเข าใจความหมายข อนี้ ได ง าย ด วยการเปรี ยบเที ยบกั บสารถี ที ่ฉ ลาด คุม มา ที ่บ ัง คับ ไดที ่แ ลว ใหล ากรถไปตามถนนที ่ร าบรื ่น ดว ยอาการ เพียงถือสายบังเหียนอยูเฉย ๆ ก็ถึงที่สุดปลายทางได ฉันใดก็ฉันนั้น. ขอนี้ อธิ บ ายว า วิ ถี แ ห ง สมถะในขั้ น อั ป ปนานั้ น ก็ มี ห ลั ก เกณฑ ที่ ต ายตั ว ของมั น อยู ต าม ธรรมชาติ เมื่ อ ดํ า เนิ น มาถึ ง หลั ก เกณฑ อั น นั้ น แล ว ก็ เ กิ ด อาการส ว นที่ เ ป น ไปเอง ไดตามกฎเกณฑของมัน. ความยากลําบากของการคุม ยอมอยูตรงที่จะตอง ไม ทํ าอะไรใหม ๆ ให เกิ ดขึ้ นมาเป นสิ่ งแทรกแซงอั นใหม หรื อเกิ ดเป นป ญหาอั นใหม ขึ้นมาอีก ; สิ่งที่ประสงคอยางยิ่งในอุบายขอนี้จึงไดแกสติสัมปชัญญะที่มีอยางพอ เพี ยงนั่ นเอง จึ งควรกล าวว า สติ สั มโพชฌงค เป นสิ่ งที่ จํ าปรารถนามากเป นพิ เศษใน กรณีแหงการคุมจิตนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
สมาธิ ๒ อยาง
๑๘๕
(๘) การเวน คนโลเล คํา วา โลเล ในกรณีนี้ ทา นระบุไ วเ ปน ๓ ลักษณะคือ :๑. คนไมเคยหรือไมชอบตอเนกขัมมะ กลาวคือ ภาวะที่ปราศจาก กาม. ที่วาไมเคยตอเนกขัมมะนั้น หมายความวาไมเคยมีจิตที่ปราศจากกาม ไมเคยมีจิตวางเวนจากความปรารถนากาม หรือความพัวพันอยูในกาม ; กลาวอีก อยา งหนึ ่ง ก็ค ือ ไมเ คยพบความสงบจากการรบกวนของกาม จนไมท ราบวา รสของเนกขัมมะนั้นมีอยูอยางไร. สวนผูไมชอบเนกขัมมะนั้น หมายความวา เปน คนหมกมุ น อยู แ ตใ นกาม เมื ่อ มีใ ครมาพูด ถึง ภาวะที ่ต รงกัน ขา มก็ไ มช อบ ทั้ ง ที่ ต นไม เ คยเข า ถึ ง ภาวะอั น นั้ น เลย แต ถื อ เอาโดยอนุ ม านว า เป น สิ่ ง ที่ ต นไม ค วร ปรารถนาเป น อย า งยิ่ ง คนชนิ ด นี้ ย อ มโลเลต อ ความสงบ คื อ ส า ยหนี จ ากความ สงบอยูเปนปกติ. ๒. คนมีเรื่องมาก หรือคนจับจด. คนมีเรื่องมากไมสามารถทํา อะไรเปนชิ้นเปนอัน หรือถึงที่สุดได. การที่เขาชอบมากเรื่องยอมแสดงอยูในตัว วาเปนคนสา ย. คนจับจด หมายถึง คนเปลี่ยนความคิดเร็ว กอนแตที่จ ะทํา อะไรไปจนถึ ง ที่ สุ ด แม มี เ รื่ อ งเพี ย งเรื่ อ งเดี ย ว เขาก็ เ ปลี่ ย นเรื่ อ งเรื่ อ ย จนไม เ คย ประสบความสําเร็จสักเรื่องเดียว. ๓. คนใจฟุงซานเลื่อนลอย ไมมีอะไรเปนจุดหมายที่แนนอน มี จิตใจปราศจากการควบคุมอยูเสมอ. ทั้ง ๓ พวกนี้เรียกวาเปนคนโลเล. ทานแนะใหตั้งขอรังเกียจถึงขนาด ที่ ต อ งไม เ กี่ ย วข อ งด ว ย ในทํ า นองราวกะว า เป น เชื้ อ โรคร า ย ที่ อ าจจะติ ด ต อ กั น ไดงา ย แมโ ดยทางกระแสจิต. ผูหวัง อยูใ นอัปปนา หรือ กํา ลัง ปฏิบัติในขั้น หนว งเอาอัป ปนา ควรเวน หา งไกลจากบุค คลประเภทนี้อ ยูเ สมอ. การทํา เช น นั้ น อย า งน อ ยเป น การย อ มจิ ต ใจไปในทางของอั ป ปนาอยู เ สมอโดยไม รู สึ ก ตั ว .
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๑๘๖
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
(๙) การเสพคบคนมั่นคง. ขอนี้รูไดโดยนัยอันละเอียด ในทํานอง ที่ตรงกันขามจากขอ ๘ ไมจําเปนตอ งอธิบายอะไรอีก . สิ่งที่ควรสําเหนียกไว ก็คือการถายทอดนิสัยทางกระแสจิต เปนสิ่งที่ทานรับรองกันอยูทั่วไป. สวนผล อีก อยา งหนึ ่ง ในการคบคนมั ่น คงนั ้น เปน โอกาสใหไ ดซ ัก ไซส อบถามสิ ่ง ตา ง ๆ ซึ่งเปนประโยชนแกอัปปนา โดยตรงอีกดวย. (๑๐) การสามารถนอมจิตไปอยางเหมาะสม. ความเหมาะสมในที่นี้ หมายถึ งความเหมาะสมกั บพฤติ ของจิ ต คื อ ความเป นไปต าง ๆ ของจิ ตในขณะที่ จะ เปนสมาธิอยางแนวแน ใหพอเหมาะพอดีแกจังหวะ หรือความหนักเบาเปนตน ซึ่ ง ยากที่ จ ะกล า วเป น รายละเอี ย ดได ใจความสํ า คั ญ ของเรื่ อ งอยู ต รงที่ เ ป น ผู ฉ ลาด สามารถโอนเอน หรือ คลอ ย หรือ โนม ไปใหพ อเหมาะแกค วามตอ งการของจิต ที่จะเปนอัปปนา ในขณะนั้นเปนสวนใหญ. ความพอเหมาะพอดี ในที่ นี้ ไม อาจจะอธิ บายด วยถ อยคํ าอย างอื่ นที่ จะดี ไปกวาการแสดงดวยอุทาหรณ : ผูที่เคยหัดขี่รถจักรยานมาแลว ยอมทราบไดดีวา ผู ห ัด ขี ่ต อ งทํ า ใหพ อเหมาะพอดี ในการหมุน ตัว เลี ้ย งตัว หรือ โยถ ว งน้ํ า หนัก ใหเ หมาะแกจัง หวะ จริง ๆ มิฉ ะนั้น แลว มัน จะไมเ รีย บ มัน จะคดไปคดมา เพราะการถื อ คนบั ง คั บ หรื อ การเอี ย งถ ว งน้ํ า หนั ก ของตั ว เอง ที่ ไ ม พ อเหมาะพอดี แกจังหวะหรือความตองการ ตามกฎศูนยถวงในขณะนั้นนั่นเอง ; ขอนี้มีอุปมา ฉั น ใด การโอน การคล อ ย หรื อ การน อ มไป ให พ อเหมาะพอดี แ ก จั ง หวะของการ ที่จิตนอมไปสูความเปนอัปปนาสมาธิ ก็มีอุปมัยฉันนั้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ที่ เ กี่ ย วกั บ ไม ช า หรื อ เร็ ว เกิ น ไปนั้ น ท า นเปรี ย บเหมื อ นแมลงผึ้ ง ที่ อ อก เสาะหาเกสร :เช า หรื อ สายเกิ น ไป ก็ ไ ม ไ ด เ กสรสมประสงค ;เร็ ว ไป ยั ง มื ด
www.buddhadasa.in.th
สมาธิ ๒ อยาง
๑๘๗
หรือดึกอยู ดอกไมยังไมบานบาง หรือมีอันตรายอยางอื่นบาง ; สายไป ก็ไมทัน ตัวอื่น เพราะเกสรหมดแลว. ที่ เ กี่ ย วกั บ ความไม ห นั ก หรื อ เบาเกิ น ไป นั้ น ท า นเปรี ย บเหมื อ นการ เอามี ดกรี ดใบบั วที่ ล อยอยู บนผิ ว น้ํ าของคนที่ มี ฝ มื อ หรื อพวกแสดงกลประเภทหนึ่ ง ซึ่ ง มี ก ติ ก าว า จะกรี ด ให เ กิ ด รอยในใบบั ว นั้ น ตามที่ ต อ งการ แต ไ ม ใ ห ใ บบั ว ขาด ดวยการกรีดเพียงครั้งเดียว. ถากรีดเบาเกินไป ก็ไมมีรอย. ถากรีดหนักเกินไป ใบบัวก็ขาด : เขาตองกรีดพอเหมาะ ไมหนัก ไมเบาจริง ๆ จึงจะสําเร็จประโยชน. ความไมคอยเกินไปและความไมผลุนผลันเกินไป นั้น ทานเปรียบ ด ว ยการกระทํ า ของบุ ค คลที่ ไ ด รั บ คํ า สั่ ง ให ส าวใยแมงมุ ม ออกมาจากรั ง แมงมุ ม๑ จนกระทั่ งมี ความยาว ๓๐–๔๐ ศอก ถ าทํ าค อยเกิ นไป ก็ ไม อาจจะดึ งออกมาได : ถาทําผลุนผลันเกินไป ก็ขาดหมด. ความไม ม ากหรื อ ความไม น อ ย นั้ น เปรี ย บได กั บ การกางใบเรื อ มาก หรือนอย พอเหมาะแกกําลังลม : ลมแรง กางใบเต็มที่ เรือก็ลม : ลมไมคอยมี กางใบนอยนิดเดียว เรือก็ไมอาจแลนไปได. ความกลาเกินไปหรือความขลาดเกินไป นั้น ใหดูที่การกรอกน้ํามัน ลงในขวด โดยไมใหน้ํามันหกแมแตหยดเดียว : เมื่อน้ํามันมีมาก และขวดมี ปากเล็กมาก ทําดวยใจกลาเกินไป ไมมีทางที่จะสําเร็จ. ความตึงเครียดเกินไป หรือความหลวมเกินไป นั้น ดูไดที่การจับ นกตัวเล็ก ๆ : จับหนักมือเกินไป นกก็ตายในมือ ; จับหลวมมือเกินไป นกก็ ลอดหนีไปตามชองมือ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๑
หมายถึงแมงมุมชนิดพิเศษชนิดใดชนิดหนึ่ง โดยเฉพาะ
www.buddhadasa.in.th
๑๘๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
ความตึ งมากเกิ นไป หรื อความหย อนให มากเกิ นไป ให ดู ที่ การชั กว า ว สําหรับ ความหยอนเกินไปหรือตึงเกินไป ใหดูที่ผลของการขึงสายเครื่องดนตรี ดังนี้เปนตน. ทั้งหมดนี้ เปน คําอธิบายของความพอเหมาะพอดี และความตรง ตามจังหวะ ดังที่ไดกลาวมาแลวขางตน ในเรื่องของบุคคลที่บังคับรถจักรยาน เปนตน. ในระยะแรก ฝกหัดการหนวงนอมจิตไปสูความรูสึกที่เปนองคฌาน ตองการความพอเหมาะพอดี และความตรงตามจังหวะ โดยความหมายดังกลาวนี้. เมื่ อ ทํ า ได เ ช น นี้ การน อ มจิ ต ให ถึ ง จุ ด แห ง ความเป น อั ป ปนา ก็ เ ป น สิ่ ง ที่ เ ป น ไปได . ผู มี อุ ป นิ สั ย หรื อ มี อิ น ทรี ย เ หมาะสมอยู โ ดยอุ ป นิ สั ย ย อ มง า ยแก ก ารทํ า เช น นี้ และ ประสบความสําเร็จในเวลาอันสั้น ; สวนผูออนดวยอุปนิสัย ก็มีแตจะตอง พากเพี ย รเรื่ อ ยไป ไม ย อมท อ ถอย แม ต อ งพากเพี ย รไปจนตลอดชี วิ ต จนกว า การ ปฏิ บั ติ ใ นขั้ นประณี ต สุ ขุ ม นี้ จะเป น ไปได อ ย า งที่ เ รี ยกว าเพี ยรจนตายก็ ย อม เพราะ ไมมีทางอื่นจริง ๆ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อุบายวิธีทั้ง ๑๐ ประการนี้ รวมเรียกวา อัปปนาโกสล เพราะมีความ มุ ง หมายตรงกั น หมด คื อ เป น อุ บ ายหรื อ ความฉลาดในการเร ง รั ด จิ ต ให ก า วไปสู ความเปน อัป ปนา เปน การบม นิส ัย หรือ อิน ทรีย ใ หแ กก ลา ถึง ที ่ส ุด พรอ มกัน ไป ในตัว. อัปปนาโกสลนี้ มีผลนอกจากทําความสําเร็จในการทําสมาธิแลว ยังมีผล เพื่ อการปฏิ บั ติ อย างอื่ นทั่ ว ๆ ไป แมกระทั่งในขั้ นแหงวิ ปสสนาอั นเป นระยะสุดท าย เมื่ อ อั ป ปนาโกสลในขั้ น รั ก ษาปฏิ ภ าคนิ มิ ต และการหน ว งเอาองค ฌ านเป น ไปด ว ย ดีแลว ผลที่เกิดขึ้น ก็คืออัปปนาสมาธิ หรือการบรรลุฌาน.
www.buddhadasa.in.th
การบรรลุฌาน
๑๘๙
การบรรลุฌาน๑ ลํ าดั บของการปฏิ บั ติ ในขั้ นที่ เป นการบรรลุ ถึ งฌาน นี้ ควรจะได ย อนไป ทํ า ความเข า ใจ ตั้ ง แต ขั้ น ที่ ป ฏิ ภ าคนิ มิ ต ปรากฏขึ้ น มาตามลํ า ดั บ อี ก ครั้ ง หนึ่ ง เพื่ อ ความเขาใจงายในขั้นนี้ : เมื่อปฏิภาคนิมิตจะปรากฏ มีสิ่ งใหสังเกตลวงหน าได คือ อุ คคหนิมิ ต ในขณะนั้นแจมใสยิ่งขึ้น ; จิตรูสึกสงบยิ่งขึ้น ; รูสึกสบายใจหรือพอใจในการกระทํานั้น มากยิ่งขึ้น ; ความเพียรเปนไปโดยสะดวก แทบจะไมตองใชความพยายามอะไรเลย ; ลักษณะเหลานี้แสดงวาปฏิภาคนิมิตจะปรากฏ. ครั้นปฏิภาคนิมิตปรากฏแลว ตองระมัดระวังในการรักษาปฏิภาคนิมิต โดยนัยดังที่กลาวมาแลวขางตน เปนระยะยาวตามสมควร. แมวาในขณะนี้นิวรณ จะระงั บไปไม ปรากฏก็ จริ ง แต อั ปปนาสมาธิ ยั งล ม ๆ ลุ ก ๆ อยู เพราะองค ฌานยั ง ไมปรากฏแนนแฟนโดยสมบูรณ. ผูปฏิบัติจะตองดํารงตนอยูอยางสม่ําเสมอ ใน ลักษณะแหงอัปปนาโกสล ๑๐ ประการ ดังที่กลาวแลวเพื่อเปนการเรงรัดอัปปนา สมาธิใหปรากฏตอไป.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ผูปฏิบัติหนวงจิตใหลุถึงอัปปนาสมาธิได ดวยการหนวงความรูสึกที่ เป น องค ฌ านทั้ ง ๕ ประการ ให ป รากฏขึ้ น ในความรู สึ ก แจ ม ชั ด สมบู ร ณ และตั้ ง อยูอยางแนนแฟน. เมื่อองคฌานตั้งมั่นทั้ง ๕ องคแลว ชื่อวาลุถึงอัปปนาสมาธิ หรือกลาวอีกนัยหนึ่งก็คือการไดฌานในอันดับแรก ซึ่งเรียกวา ปฐมฌาน.
๑
การบรรยายครั้งที่ ๒๐ / ๒๑ กันยายน ๒๕๐๒
www.buddhadasa.in.th
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
๑๙๐
ปฐมฌาน ปรากฏ ลักษณะสังเกตความสมบูรณของปฐมฌาน ยอมมีอยู คือ ในขณะนั้น จิตประกอบอยูดวยลักษณะ ๑๐ ประการ. ประกอบอยูดวยองคแหงฌาน ๕ ประการ และการประกอบดวยอินทรีย ๕ ประการ ไมยอหยอน, รวมเปนสิ่งที่จะตองกําหนด เพื ่อ การศึก ษา หรือ เพื ่อ การสอบสวนเปน ๒๐ ประการดว ยกัน มีร ายละเอีย ด ดังตอไปนี้ : ลักษณะ ๑๐ ประการ นั้น แบงเปน ๓ สวน คือ ก. สวนที่เปน เบื้องตน ข. สวนที่เปนทามกลาง และ ค. สวนที่เปนที่สุด ของปฐมฌานนั้น มีอธิบายดังตอไปนี้ : ก. ลักษณะที่เปนเบื้องตนของปฐมฌาน เรียกวา ความสมบูรณ ดว ยปฏิป ทาวิส ุท ธิ คือ ความบริส ุท ธิ ์ห มดจดของขอ ปฏิบ ัต ิใ นขั ้น นั ้น ๆ ซึ ่ง ใน ที่นี้ไดแกปฐมฌานนั่นเอง. ความสมบูรณที่กลาวนี้ ประกอบอยูดวยลักษณะ ๓ อยาง คือ :
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org (๑) จิตหมดจดจากโทษทั้งปวง ที่เปนอันตรายตอปฐมฌานนั้น ; (๒) เพราะความหมดจดเชนนั้น จิตยางขึ้นสูสมถนิมิต ซึ่งในที่นี้ ไดแกองคฌาน : (๓) เพราะยางขึ้นสูสมถนิมิต จิตยอมแลนไปในสมถนิมิตนั้น ; ลักษณะทั้งสามนี้ ทําให ปฐมฌานไดชื่อวา มีความงามในเบื้องตน
www.buddhadasa.in.th
การบรรลุฌาน
๑๙๑
ข. ลักษณะที่เปนทามกลางของปฐมฌาน เรียกวา อุเบกขาพรูหนา กลาวคือ ความหนาแนไปดวยอุเบกขา หรือความเพงดูเฉยอยู ; ประกอบอยู ดวยลักษณะ ๓ อยางคือ :(๑) เพงจิตอันหมดจดแลว จากโทษที่เปนอันตราย ตอปฐมฌานนั้น (คือขอหนึ่งแหงหมวดที่กลาวถึงเบื้องตน ขางบน)
(๒)
เพงดูจิตที่แลนเขาสูสมถนิมิตแลว(ดังที่กลาวมาแลวในขอ ๓ ใน
หมวดตน)
(๓) เพงดูจิตที่มีเอกัตตะปรากฏแลว. เอกัตตะในที่นี้ ไดแกความ เป น ฌานโดยสมบู ร ณ ประกอบอยู ด ว ยลั ก ษณะต า ง ๆ ที่ ต รงกั น ข า มจากนิ ว รณ โดยประการทั้ ง ปวง ดั ง ที่ ก ล า วมาแล ว ข า งต น (เป ด ย อ นไปดู ต อนที่ ก ล า วเรื่ อ งเอกั ต ตะ) ลักษณะทั้งสามนี้ทําให ปฐมฌานไดชื่อวา มีความงามในทามกลาง ค. ลักษณะที่เปนที่สุด ของปฐมฌาน เรียกวา สัมปหังสนา แปลวา ความราเริง ; ประกอบอยูดวยลักษณะ ๔ ประการ คือ : (๑) รา เริง เพราะธรรมทั้ง ปวงที่เ กิด หรือ ที่เ กี่ย วกับ ปฐมฌานนั้น (โดยเฉพาะเชนองคฌานเปนตน) ไมก้ําเกินกัน แตสมสวนกัน ซึ่งเรียกไดวา มี “ความ เปนสมังคีในหนาที่ของตน ๆ”. (๒) ราเริงเพราะอินทรียทั้งหลายมีกิจเปนอันเดียวกัน รวมกันทําให เกิดผลอยางเดียวกัน. (๓) ราเริงเพราะสามารถเปนพาหนะนําไปไดซึ่งความเพียรจนกระทั่ง ลุถ ึง ฌานนั ้น ๆ ที ่ไ มก้ํ า เกิน กัน และลุถ ึง ความสมบูร ณแ หง อิน ทรีย ที ่ม ีก ิจ เปน อันเดียวกัน. (๔) ราเริงเพราะเปนที่สองเสพมากของจิต. ลั กษณะทั้ ง ๔ ประการนี้ ทํ าให ปฐมฌานได ชื่ อว า มี ความงามในที่ สุ ด.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๑๙๒
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
เมื่ อรวมเข าด วยกั นทั้ ง ๓ หมวด ย อมเป นลั กษณะ ๑๐ ประการเป น เครื่ อ งแสดงถึ ง เบื้ อ งต น ท า มกลาง และที่ สุ ด ของปฐมฌาน พร อ มทั้ ง เป น เครื่ อ ง แสดงความงาม กล า วคื อ ความน า เลื่ อ มใสหรื อ เป น ที่ พ อใจของบั ณ ฑิ ต ผู ส นใจ ในการศึกษาและปฏิบัตในทางจิต. สําหรับ องคแหงฌาน ๕ องค และ อินทรีย ๕ ประการ นั้นเปนสิ่ง ที่ ได กล าวมาแล วอย างละเอี ยดข างต น ว ามี ลั กษณะอย างไรเป นต น ไม จํ าเป นต อ ง กลาวถึงในที่นี้อีก. หากแตวาจะตองพิจารณากันในที่นี้เฉพาะขอที่ ธรรมทั้ง ๒๐ ประการนี้ ป ระกอบพร อ มกั น อยู ใ นขณะแห ง ปฐมฌานด ว ยอาการอย า งไรเท า นั้ น ; เพราะธรรมทั้ง ๒๐ นี้ เปนลักษณะแหงความสมบูรณของฌานนั่นเอง.
ปฐมฌานประกอบดวยลักษณะยี่สิบ ดวยอาการอยางไร
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org จากลั กษณะ ๑๐ ประการที่ กล าวนั้ นเอง มี ทางที่ ผู ศึ กษาจะพิ จารณาให เห็ น ชั ด ถึ ง ลั ก ษณะความเป น ฌาน นั บ ตั้ ง แต การลุ ถึ ง ฌาน การตั้ ง อยู ใ นฌาน และการเสวยสุขอยูในฌาน พรอมกันไปในตัว. การที่แบงเปน ๓ ระยะ เปน เบื้ อ งต น ท า มกลาง และที่ สุ ด เช น นั้ น เป น เพี ย งนิ ติ นั ย คื อ เป น เพี ย งหลั ก สําหรับศึกษา ; โดยพฤตินัยยอมมีพรอมกัน คือเปนเพียงของอยางหนึ่ง ซึ่ง ประกอบอยู ด ว ยลั ก ษณะอาการหลายอย า ง แล ว แต จ ะมองกั น ในแง ไ หน และจั ด ลํ า ดั บ สิ่ ง เหล า นั้ น อย า งไร เพื่ อ ความสะดวกในการศึ ก ษา และการทํ า ความเข า ใจ ในเรื่องนั้น ๆ นั่นเอง. ตอไปนี้จะไดพิจารณากันทีละอยาง คือ :
www.buddhadasa.in.th
การบรรลุฌาน
๑๙๓
ลักษณะที่ ๑ : ในขณะแหงปฐมฌานนั้น เปน ขณะที่จิตปราศจาก สิ่งที่เปนปฏิปกษตอปฐมฌานโดยประการทั้งปวง ถึงขนาดที่แนวแนจริง ๆ. ลักษณะ ที่ก ลา วนี้ จึง ยัง ไมมีโ ดยสมบูร ณ ในขณะที่ป ฏิภ าคนิมิต ยัง ปรากฏอยู ; แต มีตอเมื่อสมถนิมิต คือองคแหงฌานปรากฏแลว. ฉะนั้น ความระงับไปแหง นิว รณด ว ยลํ า พัง อํ า นาจของปฏิภ าคนิม ิต นั ้น ยัง หาใชเ ปน ฌานไม หาใชเ ปน อัปปนาสมาธิไม เปนแตเพียงอุปจารสมาธิอยูนั่นเอง. ขอนี้เปนสิ่งที่ไมควรจะ กล าวอย างหละหลวมวา พอสั กว านิ วรณทั้ งหาระงับไป ก็ เป นการบรรลุฌานโดยทั นที เวนไวแตจะเปนการกลาวอยางกวาง ๆ โดยโวหารพูดทั่วไปสําหรับชาวบาน ; และ พึ งจํ ากั ดความให แม นยํ าอยู เสมอไปว า ในที่ นี้ ท านหมายถึ ง การที่ จิ ตหมดจดจากโทษ ที่เปนอันตรายตอปฐมฌานนั้น. ลักษณะที่ ๒ : ในขอนี้ แสดงถึง อาการที่จิตผละจากปฏิภาคนิมิต ไปสู สมถนิมิตหรือองคฌานได เพราะจิตหมดจดจากโทษที่เปนอันตรายตอปฐมฌาน จริง ๆ ; ถา ไมหมดจดในลัก ษณะอยา งนี้ ก็ไ มส ามารถผละจากปฏิภ าคนิมิต ไปสูองคแหงฌานได. ในขณะแหงปฏิภาคนิมิต ยังไมถือวาเปนความหมดจด เพราะยั ง มี ก ารกํ า หนดสิ่ ง ซึ่ ง ยั ง เป น ภายนอกอยู ยั ง เนื่ อ งอยู กั บ สิ่ ง ที่ เ ป น ภายนอก ซึ่งหมายความวายังไมเปนที่ตั้งแหงความแนวแน, ยังโงนเงน เพราะไมประกอบ ที ่อ งค อัน เปน เหมือ นรากฐานที ่ส มบูร ณ และยัง เปน โอกาสแหง การกลับ มารบกวนของนิวรณ. แตถึงอยางไรก็ตาม ก็ยังไดชื่อวา การหนวงจิตขึ้นสู ฌาน เปนสิ่งที่ตองทําในขณะที่ไมมีนิวรณรบกวนอยูนั่นเอง จึงจะสามารถหนวง ความรู ส ึก จากความรู ส ึก ที ่เ ปน ปฏิภ าคนิม ิต ใหไ ปเปน ความรู ส ึก ที ่เ ปน องค แหงฌานได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๑๙๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
ลักษณะที่ ๓ : เพราะจิตผละจากปฏิภาคนิมิตได และยางขึ้นสูสมถนิมิตได จิตจึงแลนไปในสมถนิมิตนั้นโดยทั่วถึง. ขอนี้ หมายถึงการที่ ภาวะของจิตในขณะนี้ ปราศจากรองรอยของปฏิภาคนิมิตแลว ซึมซาบอยูดวยความรูสึกที่เปนองคแหง ฌานทั้ง ๕ องคอยางทั่วถึง ไมเพียงสักแตวากําหนดองคนั้น ๆ เทานั้น แตองค นั้น ๆ ไดเปนความรูสึกที่อาบยอมจิตอยูอยางซึมซาบทีเดียว. การที่ทานจัดลักษณะทั้ง ๓ นี้ไว วาเปนลักษณะเบื้องตนของปฐมฌาน ก็ เ พราะเป น การแสดงถึ ง ลั ก ษณะหรื อ เครื่ อ งปรากฏของฌานชนิ ด ที่ ค วรสั ง เกตหรื อ เขาใจ กอนลักษณะอยางอื่นทั้งหมด ; ตอจากนั้นไปจึงคอยสังเกตใหละเอียด ลงไปวา ในขณะที ่ม ัน มีภ าวะอยา งนั ้น ๆ มัน ไดม ีก ิจ หรือ กํ า ลัง ทํ า อะไรอยู บ า ง สืบตอไป คือ :ลักษณะที่ ๔ : จิตยอมประจักษ ไดดวยตัวมันเอง ตอความที่จิตเอง เปนธรรมชาติหมดจดจากโทษแลว ; เปรียบเหมือนกับเมื่อเราอาบน้ําชําระรางกาย จนสะอาดหมดจดแล ว จะดู ห รื อ ไม ดู ก็ ต าม เราก็ ย อ มประจั ก ษ ต อ ความที่ ร า งกาย เปนสิ่งที่หมดจดแลว. แตในกรณีของจิตนั้น มันเพงอยูตรงที่องคฌานตลอด เวลา มั น จึ ง ประจั ก ษ ต อ ความที่ ตั ว มั น เองเป น สิ่ ง ที่ ส ะอาดหมดจดแล ว พร อ มกั น ไปในตัว. ยิ่งเพงตอองคฌานเทาไร ก็เทากับยิ่งเพงตอความสะอาดหมดจด ของตัวเทานั้น. สรุปความวา มันไดเห็นความหมดจดจากโทษของตัวมันเองอยูอยาง แน วแนพร อมกั บอาการอื่ น ๆ ที่ เนื่ องกั น. เปรี ยบเหมือนเมื่อเราเดิ นดู อะไรสักอย าง
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
การบรรลุฌาน
๑๙๕
หนึ่ง : การเดิน ก็ดี การดูก็ดี การเห็น ก็ดี ความรูสึก ตอ สิ่ง นั้น ๆ ก็ดี เหลา นี ้เ ปน สิ ่ง ที ่ม ีไ ดพ รอ มกัน ดว ยเจตนาเพีย งอัน เดีย ว และโดยอัต โนมัต ิ ฉัน ใด ก็ฉันนั้น. ลักษณะที่ ๕ : จิตยอมประจักษตอการที่ตัวมันเองไดแลนเขาไปในสมถนิมิต หรือ ในองคแ หง ฌาน ที ่กํ า ลัง ประกอบกัน อยู เ ปน ฌานโดยสมบูร ณเ พราะความ ที่ตัวมันเองหมดจดแลวจากโทษทั้งปวง. กลาวใหชัดลงไปอีกก็คือเห็นความที่ตัว มันเองเปนอยางนี้ได อยางหนึ่ง, และเห็นความที่มันเปนอยางนี้ไดเพราะอาศัย เหตุปจจัยอะไร อีกอยางหนึ่ง, อยางประจักษชัดพรอมกัน ; แลวยังประจักษ ตอภาวะหรือความเปนอีกอยางหนึ่ง คือ : ลักษณะที่ ๖ : จิตยอมประจักษตอความดีหรือความประเสริฐชนิดหนึ่ง ที่ปรากฏอยูกับจิต ซึ่งเรียกโดยบาลีวา เอกัตตะ (ความเปนเอก) อันเนื่องมาจาก การที่จิตไดทํากิจ ๒ อยางขางตนเสร็จไปแลว. เราจะเห็นไดทันทีวา ลักษณะ แหงความประจักษทั้ง ๓ อยางนี้ (คือ ขอ ๔ ขอ ๕ ขอ ๖) เปนสิ่งที่เนื่องกัน. ความหมายอั นลึ กข อนี้ จะต นขึ้ นมาได ด วยการเปรี ยบเที ยบ ด วยการอุ ปมา คื อ เรา เปนคนบริสุทธิ์ เขาจึงใหเกียรติแกเราโดยยอมใหเขาไปในบาน ; เราเดินเขาไป ในบ า นเขาด ว ยความภาคภู มิ ใ จในความบริ สุ ท ธิ์ ข องตั ว เราที่ มี อ ยู จนถึ ง กั บ เขายอม ใหเ ขา บา น เมื ่อ เปน เชน นี ้ เราอาจจะมองดูสิ ่ง เหลา นี ้ไ ดพ รอ มกัน คือ ดูค วาม ที่ เ ราเป น คนบริ สุ ท ธิ์ ก็ ไ ด ดู ก ารที่ เ ราเดิ น เข า ไปในบ า นเขาก็ ไ ด ดู ค วามดี ห รื อ เกี ย รติ ข องเรา ที่ กํ า ลั ง ได รั บ อยู ใ นขณะนั้ น ก็ ไ ด ซึ่ ง แม จ ะแยกดู กั น อย า งไร มั น ก็ ตองดูที่ตัวเราเองทั้งนั้น ; ขอนี้ฉันใด จิตก็เพงดูตัวเองโดยประจักษ โดยลักษณะ
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๑๙๖
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
๓ ประการที่กลาวมาแลว และ เห็นอยูอยางแนวแนมั่นคง มีกําลังแหงการดู กําลังแหง ความพอใจขและกําลังแหงความรูสึกเปนสุขเพราะความพอใจอยูอยางเพียงพอซึ่งเปนเหตุให แนวแน ยากที่จะเปลี่ยนแปลง เหตุนั้นจึงไดชื่อวาอัปปนา ; และเรียกลักษณะทั้งหมด นี้ ว า อุ เ บกขาพรู ห นา หรื อ ความหนาแน น ไปด ว ยอุ เ บกขา กล า วคื อ การเพ ง เฉยอยู อยางมั่นคง. ลั ก ษณะทั้ ง สาม ซึ่ ง จั ด เป น ท า มกลางของปฐมฌานนี้ เราสรุ ป ไว ใ น ฐานะเปนกิจหรือเปนหนาที่ของจิตที่ลุถึงฌาน ; สวนลักษณะตอไป เปนลักษณะ ประเภทที่แ สดงถึง รส หรือ อานิส งส ที่จิต จะไดรับ เรีย กวา “ความรา เริง ” กลาวคือ : ลักษณะที่ ๗ : จิตราเริงอยูได เพราะธรรมทั้งปวงที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ไมก้ําเกิน กาวกาย แกงแยงกัน แตสามัคคีประนีประนอมกัน ทําหนาที่ของตัวอยูอยาง ขยันขันแข็ง . คํา วา “ธรรมทั้ง ปวง” ในที่นี้ โดยตรงเล็งถึง องคฌ านทั้ง หา และอินทรียทั้งหา และยังหมายถึงธรรมะชื่ออื่นซึ่งไมระบุบางอยางดวย. อินทรีย ได รั บ การปรั บ ปรุ ง อย า งไร จึ ง ไม ก้ํ า เกิ น กั น ได ก ล า วไว แ ล ว ข า งต น เช น ในข อ สอง แหงอัปปนาโกสล. ในที่นี้ มุงหมายจะชี้แตเพียงการที่ธรรมะทั้งหานั้นประกอบ กั น ทํ า หน า ที่ อ ย า งเหมาะสม ไม มี ส ว นใดที่ มี กํ า ลั ง มากกว า ส ว นอื่ น แล ว ไปครอบงํ า สวนอื่นใหรวนเรในการทําหนาที่ของตน. สําหรับองคฌานทั้งหานั้น ในขณะนี้ หมายถึง การที ่แ ตล ะองค ๆ ปรากฏเต็ม ที ่ต ามสว นสัด ของตน จึง ตั ้ง อยู อ ยา ง แนวแน. ในขณะอื่นจากนี้ ในตอนตน ๆ โดยเฉพาะในขณะแหงคณนา และ
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
การบรรลุฌาน
๑๙๗
อนุ พั น ธนานั้ น พึ ง สั ง เกตดู เ ถิ ด ว า มี แ ต วิ ต กบ า ง มี วิ ต กวิ จ ารที่ ยิ่ ง หย อ นกว า กั น บาง ; ปติ สุข เอกัคคตา นั้นยังไมเคยมีเลย. แมในขณะแหงผุสนา และฐปนา ก็มีปติและสุข ที่ยังลม ๆ ลุก ๆ, เอกัคคตายังไมอยูในลักษณะที่เรียกวา เอกัคคตา เลย ; ดัง นี้เ ปน ตน . แตใ นบัด นี้สิ่ง เหลา นี้ไ ดเ กิด ขึ้น เต็ม สัด สว นและครบ ทุ ก ส ว น ราวกะว า ได ผ า นการชั่ ง ตวงวั ด ของคนฉลาดและมี อํ า นาจมาแล ว มั น จึ ง อยู ใ นลัก ษณะที่เ หมื อ นกั บ ไม ๕ ขา หรื อ ๑๐ ขา ที่ ปก อยู อ ย า งมั่ นคง แล ว รวม กําลัง เปน อัน เดีย วกัน ในเบื้อ งบน : มีก ารรับ น้ํา หนัก เทา กัน มีโ อกาสเทา กัน ในการที่จะทําหนาที่ของตน ๆ ฉันใดก็ฉันนั้น ; ฉะนั้น จึงไมเปนการยากที่ บุ ค คลนั้ น จะมี ค วามรู สึ ก ในองค แ ห ง ฌาน ทั้ ง ๕ องค อยู ไ ด อ ย า งแน ว แน ใน ลักษณะที่เปนอัปปนา. ลักษณะที่ ๘ : รูสึกราเริงเพราะอินทรียทั้งหา รวมกันทําอยางเดียวกัน โดยมุ งหมายจะได รสอั นเดี ยวกั น ทั้ ง ๆ ที่ ธรรมะนี้ แต ละอย าง ๆ ต างก็ มี ความเป น ใหญ หรื อ มี ห น า ที่ ข องตนโดยเฉพาะ ราวกะว า จะไม ส ามารถลดตั ว ลงมาประนี ประนอมกัน ได. เมื่อ อิน ทรียทั้ง หา คือ สัท ธา วิริย ะ สติ สมาธิ ปญ ญา ได ร ว มกั น ทํ า กิ จ เพื่ อ รสอั น เดี ย วกั น สํ า เร็ จ ไปได เ ช น นี้ ความร า เริ ง ของจิ ต ย อ ม เกิดเองโดยธรรมชาติ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ลักษณะที่ ๙ : รางเริงเพราะจิตนี้ สามารถนําธรรมะอันเปนตัวกําลังทุก อยางเขาไปสูจุที่หมายได. ถากลาวอยางคน ก็คือ ราเริงเพราะตนสามารถนําคนอื่น ทั้งหมดไปได ตามที่ตนตองการ. สําหรับเรื่องของจิตในที่นี้ หมายถึงการที่ สามารถควบคุ มธรรมนั้ น ๆ ไม ให ก้ํ าเกิ น ก าวก ายกั น และให อิ นทรี ย นั้ น ๆ ร วมกั น ทํากิจอยางเดียวกัน และเพื่อรสอันเดียวกันเปนสวนใหญ. เมื่อจิตอยูในสภาพ เชนนี้ ความราเริงยอมผุดขึ้นมาเอง โดยไรเจตนาอีกอยางเดียวกัน.
www.buddhadasa.in.th
๑๙๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
ลักษณะที่ ๑๐ : ราเริงเพราะความที่ฌานนั้น เปนที่พอใจของจิต เปนรส ที่จิตรูสึกพอใจ และเสวยอยูเปนปรกติมากกวาอยางอื่น. ทั้งนี้ เปนดวยอํานาจของปติ และความสุ ข เป น ต น ซึ่ ง เป น องค ฌ าน เป น เครื่ อ งดึ ง ดู ด และเพราะอํ า นาจของ วิตกวิจารและอุเบกขา เปนเครื่องทําความตั้งมั่น ; ฌานจึงมีอาการราวกะวาเปน นิพพานของจิต เปนที่พอใจแหงจิต จนไมอยากจะละไป. รวมความวา ความ รางเริงเกิดขึ้น เพราะความพอใจในรสของฌานนั้น. ความร า เริ ง เหล า นี้ เป น ได เ องโดยไร เ จตนา จึ ง ไม เ ป น อุ ป สรรคใด ๆ ต อ ฌาน และรวมอยู ใ นองค แ ห ง ฌาน หรื อ กล า วให ยิ่ ง ไปกว า นั้ น ก็ คื อ ความร า เริ ง นั้น เปนลักษณะอาการบางอยางขององคแหงฌานในตัวมันเองนั่นเอง. สําหรับ ความรา เริง ในที ่นี ้ จัด เปน อาการของปต ิแ ละสุข โดยตรง แตเ ราแยกมองกัน ในอาการของความร า เริ ง และแยกสอดส อ งลงไปดู ถึ ง ลั ก ษณะต า ง ๆ ที่ เ ป น ต น เหตุ ของความร า เริ ง ต า ง ๆ กั น ที่ มี อ ยู ใ นส ว นลึ ก ของความรู สึ ก ที่ เ ป น องค แ ห ง ฌาน องคนั้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทั้งหมดนี้มิใชเพื่อการศึกษาที่เยิ่นเยอ แตเปนแนวทางที่จะสอบสวน ข อ เท็ จ จริ ง ของความเป น ฌาน และของการแก ไ ขอุ ป สรรคบางประการ อั น อาจจะ เกิดขึ้นแกการปฏิบัติในขั้นนี้.
ลักษณะทั้ง ๑๐ ประการนี้ เปนกฎเกณฑที่ตายตัว ที่อาจใชไดทั่วไป ทุกลําดับของธรรมะที่จะบรรลุในโอกาสขางหนา กลาวคือ รูปฌานที่เหลือจากนี้ก็ดี อรู ป ฌานก็ ดี วิ ป ส สนาทั้ ง หมดก็ ดี การบรรลุ ม รรคผลก็ ดี ย อ มอาศั ย กฎเกณฑ แห ง ลั ก ษณะ ๑๐ ประการนี้ เป น เครื่ อ งตรวจสอบ ด ว ยกั น ทั้ ง นั้ น . ทั้ ง หมดนั้ น
www.buddhadasa.in.th
การบรรลุฌาน
๑๙๙
มี หลั กการ หรื อวิ ชาการ แห งการปฏิ บั ติ และการตรวจสอบโดยทํ านองเดี ยวกั นทั้ งนั้ น ผิดกันแตสักวาชื่อตาง ๆ ที่จะเขามาเกี่ยวของกับลักษณะเหลานี้ ; ฉะนั้น จึงเปน สิ่งที่จะตองสนใจเปนพิเศษ เพื่อเปนผลอันใหญหลวงขางหนา. ถาผูปฏิบัติไมสามารถ ศึกษา และไม สามารถทํ าความรู สึ กด วยใจจริ ง ๆ ในลั กษณะเหล านี้ แล ว การปฏิ บั ติ โดยวิธ ีนี ้ ยอ มยากที ่จ ะเปน ไปไดสํ า หรับ บุค คลนั ้น ซึ ่ง จะทํ า ใหเ ขาตอ งหัน ไปหา วิธีปญญาวิมุตติ ซึ่งเปนวิธีงาย ๆ ตามธรรมชาติอีกตามเคย. นี้เปน ใจความสําคัญ ของลักษณะทั้ง ๑๐ นี้. การที่เรียกลักษณะทั้ง ๑๐ นี้วา ความงาม แลวจําแนกเปนความงาม ในเบื้ อ งต น ความงามในท า มกลาง ความงามในที่ สุ ด นั้ น เป น เพี ย งผลพลอยได ในแง ข องการจู ง ใจ หรื อ ถ า เรี ย กอย า งสมั ย ใหม ก็ เ รี ย กว า โฆษณาชวนเชื่ อ เพื่ อ ชักชวนบุคคลใหเกิดความสนใจหรือขะมักเขมน. ขอนี้ ไมเกี่ยวกับแงของการ ปฏิบ ัต ิ แตก ็เ ปน ธรรมเนีย มที ่ท า นแนะใหร ะลึก นึก ถึง เพื ่อ ใหเ กิด สัท ธาปสาทะ ในเบื ้อ งตน และยิ ่ง ๆ ขึ ้น ไป จนถึง กับ ใหห ลัก ไวเ ปน ทํ า นองวา อะไร ๆ ใน พระพุทธศาสนาที่เปนความสําเร็จขั้นหนึ่ง ๆ แลว จักตองมีความงาม ๓ ประการนี้ และจะ ต อ งหั ด มองให เ ห็ น ความแยบคายหรื อ ความน า อั ศ จรรย ที่ จั ด เป น ความงามในที่ นี้ ดวยทุกครั้งไป.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เมื ่อ ไดชี ้ใ หเ ห็น ความสัม พัน ธซึ ่ง กัน และกัน ของธรรมะในกลุ ม หนึ ่ง ๆ ทั้ง ๓ กลุมดังนี้แลว จะไดชี้ใหเห็นความสัมพันธระหวางกลุมทั้ง ๓ นี้สืบไป.
www.buddhadasa.in.th
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
๒๐๐
ภาวะของจิตในขณะแหงฌาน๑ ความสัมพันธเปนอันเดียวกันแหงธรรมทั้ง ๓ กลุม ตลอดถึงลักษณะ อื่ น ๆ อี ก ที่ เ กี่ ย วข อ งกั น อยู กั บ สิ่ ง เหล า นี้ จะเป น สิ่ ง ที่ เ ข า ใจได ง า ย ต อ เมื่ อ เราได วิ นิ จ ฉั ย กั น ดู ถึ ง ภาวะของจิ ต ในขณะแห ง การบรรลุ ฌ าน โดยเฉพาะอย า งยิ่ ง ใน ปญหาขอที่วา อะไรเปนอารมณของจิตในขณะนั้น และ จิตในขณะนั้น มีการ กําหนดอารมณอยางไร. ถอยคําตาง ๆ บางคํา เปลี่ยนความหมาย, และกิริยา อาการบางอย างก็ เป นไปในลั กษณะที่ เข าใจได ยาก ราวกะว าเป นเคล็ ดลั บ จึ งต อ ง ทํ าความเข าใจกั นใหม ในความหมายของคํ าบางคํ า และกิ ริ ยาอาการบางอย างในขั้ นนี้ กันอีกครั้งหนึ่ง. เปน ที ่ท ราบกัน แลว วา จิต เปน ธรรมชาติที ่ต อ งกํ า หนดอยู ที ่สิ ่ง หนึ ่ง สิ่งใดเปนอารมณ แลวอะไรเลาเปน อารมณในขณะที่จิตบรรลุฌาน ? เพื่อความ เขาใจงาย ควรจะแยกเปน ๒ ระยะ คือ ขณะที่จิตจะบรรลุฌาน อยางหนึ่ง ขณะที่จิต ตั้งอยูแลวในฌาน อยางหนึ่ง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สําหรับ จิตในขณะที่จะบรรลุฌานโดยแนนอน ซึ่งเรียกวา “โคตรภูจิตในฝายสมถะ” นั้น พอที่จะกลาวไดวา มีความเปนอัปปนาหรือฌาน ซึ่งจะลุถึง ขางหนาเปนอารมณ.
๑
การบรรยายครั้งที่ ๒๑ / ๒๒ กันยายน ๒๕๐๒
www.buddhadasa.in.th
การบรรลุฌาน
๒๐๑
ส ว นจิ ต ที่ ตั้ ง อยู แ ล ว ในฌานนั้ น อยู ใ นสภาพที่ ไ ม ค วรจะกล า วว า มี อะไรเป นอารมณ แต ถ าจะกล าวก็ กล าวว า มี องค แห งฌานที่ ปรากฏชั ดเจนโดยสมบู รณ แลวนั้นเองเปนอารมณ เพราะมีความรูสึกที่เปนองคแหงฌานนั้นปรากฏอยู. แต ขอนี้ยังมิใชปญหาสําคัญในการการปฏิบัติ เพราะวามันเปนสิ่งที่เปนไปไดเอง. ปญหา สําคัญของเราอยูตรงที่วา :ในขณะที่จิตลุถึงฌานนั้น มีอะไรเปนอารมณ และมีการเกี่ยวของกับ อารมณนั้น ในลักษณะอยางไร ? ซึ่งจะไดวินิจฉัยสืบไป. ดั ง ที่ ไ ด ก ล า วแล ว ว า จิ ต ในขณะที่ กํ า ลั ง จะลุ ถึ ง ฌานนี้ มี ก ารหน ว งต อ อัปปนาสมาธิ จึงมี ความเปนอัปปนานั่นเอง เปนอารมณของการหนวง. นี้ทําให เห็น ไดวา มิไ ดมีก ารกํา หนดอารมณนั้น ในฐานะที่เ ปน นิมิต ดัง ที่เ คยกระทํา กั น มาแล ว แต ก าลก อ น กล า วคื อ ในขณะแห ง บริ ก รรมนิ มิ ต อุ ค คหนิ มิ ต และแม ปฏิภาคนิมิต ; ฉะนั้น จึงถือเปนหลักอันสําคัญสําหรับการศึกษาในขั้นนี้วาธรรม ๓ คือ นิมิต ลมหายใจออก และลมหายใจเขา ทั้งสามนี้มิไดตั้งอยูในฐานะเปน อารมณแหงเอกัคคตาจิต หรือแมจิตที่กําลังจะเปนเอกัคคตา ; แตถึงกระนั้น ธรรมทั้งสามนี้ ก็ยังคงปรากฏดว ยอํา นาจของสติอยูนั่น เอง ทั้งจิตก็ไมฟุง ซา น ทั้งความเพียรก็ปรากฏหรือเปนไปอยู และผูปฏิบัติก็สามารถทําประโยคใหสําเร็จ จนลุถ ึง คุณ พิเ ศษที ่ต นประสงค และนี ้ค ือ หัว ขอ ที ่ต อ งทํ า ความเขา ใจ หรือ ที ่อ ยู ในลักษณะที่พอจะเรียกไดวา เปน “กลเม็ดที่เกี่ยวกับการบรรลุฌาน”
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๒๐๒
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
ผูศึกษาพึงสังเกตใหเห็น ใจความสําคัญของหลักที่กลาวแลว ซึ่งมีอยู ว า ในขณะนี้ นิ มิ ต ก็ ต าม ลมหายใจออกก็ ต าม ลมหายใจเข า ก็ ต าม มิ ไ ด เ ป น อารมณของจิต แตก็ยังคงปรากฏอยูนี้ ขอหนึ่ง ; และอีกขอหนึ่งคือ แมมิไดมี การกําหนดสิ่งเหลานั้นเปนอารมณ จิตก็ไมฟุงซาน. ความพยายามทําก็ปรากฏอยู. ตัว ประโยค กลา วคือ ตัว การกระทํ า ก็ดํ า เนิน ไปอยู จนกระทั ่ง เปน สมาธิ ดัง นี ้. นึกดูแลว มันจะเปนไปไดอยางไรกัน ? ปญหายอมจะเกิดขึ้นวา นิมิตและลมหายใจ จะปรากฏแกจ ิต ไดอ ยา งไร ในเมื ่อ ไมไ ดตั ้ง อยู ใ นฐานะเปน อารมณข องจิต ? ความพยายามและความดํ า เนิน ไปของภาวนา จะมีไ ดอ ยา งไร ในเมื ่อ จิต สงบ ไมมีพฤติหรือความหวั่นไหวแตอยางใด ? นี่แหละ คือความหมายของคําที่กลาววา ถาเปนไปได ก็ตองเปนไปในลักษณะที่เปนกลเม็ดหรือเปนเคล็ดลับ. แตที่แท จริ งนั้ น หาได เป นกลเม็ ดหรื อเคล็ ดลั บอย างใดไม มั นเพี ยงอาการของการกระทํ าที่ แยบคายที่สุด ตามแบบของจิตที่ฝกแลวถึงที่สุด และเปนไปไดโดยกฎธรรมดา หรือตาม ธรรมชาตินั่นเอง. ถาไมมีการสังเกตหรือการศึกษาที่เพียงพอ ก็ดูคลายกับวาเปน สิ่ง ที่เ ปน ไปไมไ ด. การอธิบ ายสิ่ง ที่อ ธิบ ายดว ยคํา พูด ตรง ๆ ไมไ ด หรือ ได ก็ม ีค วามยากลํ า บากเกิน ไปนั ้น ทา นนิย มใหทํ า การอธิบ ายดว ยการทํ า อุป มา ; พอผู ฟงเข าใจความหมายของอุปมาแล ว ก็ เข าใจความหมายของตัวเรื่ อง ซึ่งเป นตั ว อุปมัยไดทันที. ในที่นี้ก็จําเปนจะตองใชวิธีการอันนั้น กลาวคือ การทําอุปมา ดวยการเลื่อยไมอีกตามเคย :-
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อยู.
คน ๆ หนึ่ ง กํ าลั งเลื่ อยไม อยู ซึ่ งหมายความว าฟ นเลื่ อยกํ าลั งกิ นเนื้ อไม สิ่งที่จะตองสังเกตเพื่อทําความเขาใจก็คือ เขามิไดมองตรงไปที่ฟนเลื่อย
www.buddhadasa.in.th
การบรรลุฌาน
๒๐๓
กินเนื้อไมเลย เขามิไดสนใจที่ตรงนั้น แตสติก็ปรากฏอยูชัดเจน วาเขากําลังเลื่อย ไมอยู ; ทั้งนี้ก็มิใชอะไรอื่น แตเปนเพราะ อํานาจของฟนเลื่อยที่กําลังกินเนื้อไม นั่นเองใหความรูสึกแกเขา. พึงสังเกตวา :๑. ทําไมเขาจึงรูสึกตัวอยูวาเขากําลังเลื่อยไม ทั้ง ๆ ที่เขามิไดสนใจ ตรงที่ฟนเลื่อยกําลังกินเนื้อไมอยูโดยเฉพาะ ; ๒. ขอถัดไปก็คือ ฟนเลื่อยยอมเดินไปเดินมาตามการชักของบุคคล ผูเลื่อย แตสิ่งที่เรียกวา “ความแนวแน” ในการเลื่อยก็ยังมีอยู ทั้งที่เลื่อยมีอาการ วิ่งไปวิ่งมา. ขอนี้พึงตั้งขอสังเกตวา “ความแนวแน” มันปรากฏไดอยางไร ในเมื่อ การเคลื่อนไหวไปเคลื่อนไหวมา ก็ปรากฏอยู ; ๓. ขอถัดไปก็คือ ความพยายามกระทําของบุคคลนั้น ก็มีอยูโดยมิได มี ค วามสนใจตรงที่ ฟ น เลื่ อ ยกิ น ไม หรื อ มิ ไ ด ส นใจแม แ ต ใ นความพยายามที่ ต น กําลังพยายามอยู, แมสติก็มิไดปรากฏอยางเดนชัดรุนแรงในการควบคุมความ พยายาม ; ความพยายามนั้นก็ยังเปนไปไดเต็มตามความตองการ และ
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๔. ขอสุดทายที่ควรสังเกตก็คือ แมวาเขาจะหลับตาเสียในขณะนั้น ไม ก็ ค งขาดไปเรื่ อ ย ๆ จนกระทั่ ง ขาดออกจากกั น ในที่ สุ ด ซึ่ ง ทํ า ให ก ล า วได ว า ประโยคไดเ ปน ไปเอง โดยที ่บ ุค คลนั ้น มิไ ดส นใจฟน เลื ่อ ย ในการแนว แน ตอการเลื่อย ในความพยายามของตน หรือในอะไรอื่น คงมีแตสติที่คุมสิ่งตาง ๆ อยู ตามสมควรเท า นั้ น ;สิ่ ง ต า ง ๆ ซึ่ ง ชํ า นิ ชํ า นาญ และถู ก ปรั บ ปรุ ง มาดี แ ล ว ถึ ง
www.buddhadasa.in.th
๒๐๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
ขั้น นี้ ก็ดํา เนิน ไปไดถึง ที่สุด เอง. ทั้ง ๔ ขอ นี้ มีอุป มาฉัน ใด ภาวะแหง จิต ในการบรรลุฌาน ก็มีอุปมัยฉันนั้น : ตนไมเทากับสิ่งที่เรียกวานิมิต หรือ อารมณ ; ฟนเลื่อย เทากับการหายใจเขาและออก กลาวคือ การที่ลมหายใจ เขาออก ไดผานนิมิตหรือที่กําหนดผุสนานั่นเอง ; การที่บุรุษนั้นไมดูที่ฟน เลื ่อ ยก็ย ัง มีส ติอ ยู ไ ด เปรีย บเหมือ นผู ป ฏิบ ัต ิใ นขั ้น นี ้ แมจ ะไมกํ า หนดลม หายใจหรือ กํา หนดนิมิต อีก ตอ ไป ก็ยัง คงมีส ติอ ยูไ ด หรือ จะยิ่ง มีส ติใ นขั้น ที่ประณีตสูงสุดขึ้นไปอีก : ฟนเลื่อยที่เคลื่อนไปเคลื่อนมาก็ปรากฏชัดอยู แตเขา ไมไดสนใจเลย. นี้เทากับขอที่ผูปฏิบัติก็ยังมีการหายใจอยู นิมิตแมในลักษณะ แหงปฏิภาคนิมิก็ปรากฏอยู แตเขาไมมีความสนใจเลย คงมีแตสติที่ควบคุมความ เพียร และประโยคในการหนวงเอาองคฌาน หรืออัปปนาอยูอยางเรนลับหรือ โดยไมมีเจตนา ที่เปนขั้นสํานึก. คนเลื่อยไมไมสนใจฟนเลื่อยเลยวามันจะกิน นอยหรือกินมากอยางไร ความเพียรของเขาก็เปนสิ่งที่มีอยูได, เลื่อยก็ยังกินไม ได. นี่เทากับการที่ผูปฏิบัติในขั้นนี้ ไมสนใจในลมหรือในนิมิตเลย ไมตั้งใจ ทําความพยายามอะไรเลย ความเพียรก็ยังเปนไปได ประโยคคือการบรรลุถึง ฌานก็ยังดําเนินไปเองได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทั้ ง หมดนี้ เพื่ อ ที่ จ ะแสดงให เ ห็ น ความสํ า คั ญ ของคํ า ว า “นิ มิ ต และ ลมหายใจออกเขา มิไดเปนอารมณแหงจิต แตยังคงปรากฏอยู” ซึ่งเมื่อมี ความเขา ใจขอ นี ้ถ ูก ตอ งแลว ก็อ าจเขา ใจไดด ว ยตนเองทัน ทีว า จิต ในขณะนั ้น ไม ส นใจต อ ปฏิ ภ าคนิ มิ ต ไม ส นใจต อ ลมออกเข า ไม กํ าหนดสิ่ ง ใดเป นนิ มิ ต สติ ก็ ยั ง คงเป น ไปได เ องและคุ ม สิ่ ง ต า ง ๆ ให เ ป น ไปตามวิ ถี ท างที่ ถู ก ต อ ง จนถึ ง ขณะ
www.buddhadasa.in.th
การบรรลุฌาน
๒๐๕
แหงอัปปนาคือการบรรลุฌาน. ถากลาวอยางโวหารพูดตามธรรมดาของสมัยนี้ ก็กลาวไดวาเพียงแตสติคุมสิ่งตาง ๆ ที่ไดปรับปรุงดีแลวเทานั้น คุมอยูเฉย ๆ เทานั้น สิ่ ง ต า ง ๆ ก็ เ ป น ไปได เ องโดยอั ต โนมั ติ ซึ่ ง ในที่ นี้ ห มายถึ ง เป น ไปในการหน ว งต อ อัปปนาหรือการปรากฏชัดแหงองคฌานทั้งหา. ธรรมะตาง ๆ ไมกีดขวางกาวกาย กั น นั้ น เป น เพราะได ฝ ก ฝนและปรั บ ปรุ ง มาดี แ ล ว แต ห นหลั ง จนกระทั่ ง อยู ใ น ภาวะที่ ถู ก ต อ งและเหมาะสม จะกล า วได ว า ไม ต อ งห ว งต อ การที่ จ ะมี อ ะไรเกิ ด ขึ้ น กีดขวางกาวกายกัน ; สติจึงตั้งอยูในฐานะเหมือนกับนายสารถี ที่เพียงแตถือสาย บังเหียนไวเฉย ๆ รถก็แลนไปจนถึงที่สุด ดังที่ไดกลาวแลวขางตน. สิ่ ง ที่ ค วรสั ง เกตอย า งยิ่ ง ก็ คื อ ก อ นหน า นี้ ตั้ ง แต เ ริ่ ม ต น มาที เ ดี ย ว ลมหายใจอยูในฐานะที่ตองกําหนดหรือทําใหเปนอารมณ, นิมิตอยูในฐานะที่ ตองเพง ดังที่ไดกลาวแลวอยางละเอียดในตอนตน ๆ นั้น ; บัดนี้กลายเปนวา ลมหายใจก็ไมตองกําหนด, นิมิตก็ไมตองกําหนด, แตมันก็ยังมีผลเทากับมีการ กําหนด กลาวคือ ความที่สติคุมสิ่งตาง ๆ ไปไดตามวิถีทางของสมถะ. เพราะ ฉะนั้ น การรู เ ท า ทั น สิ่ ง ทั้ ง สาม กล า วคื อ นิ มิ ต ลมหายใจออก ลมหายใจเข า อยู ทุ ก ๆ ระยะแห งการปฏิ บั ติ นั่ นแหละ นั บว าเป นใจความสํ าคั ญของการเจริ ญสมาธิ ในขั้นหนึ่งกอน. เรากระทํามันอยางหนึ่งเรื่อย ๆ มา จนกระทั่งเปลี่ยนมาอยู ในลั ก ษณะที่ ก ลั บ กั น และประสบความสํ า เร็ จ ขั้ น สุ ด ท า ย ซึ่ ง ในขั้ น นี้ อาจจะ กลาวไดวา :-
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
๒๐๖
๑. ไมกําหนดอะไร ๆ เปนนิมิตเลย. ๒.
ในทํานองตรงกันขาม อะไร ๆ ก็ปรากฏอยูเองโดยไมตอง
กําหนด. ๓. ความรูสึกในธรรมตาง ๆ มีองคฌานเปนตน รูสึกอยูไดเองโดย ไมตองเจตนา, (ถาเจตนาก็เปนการกําหนด ซึ่งผิดไปจากความรูสึก). ทั้ งหมดนี้ เป นใจความสํ าคั ญ ที่ แสดงลั กษณะแห งภาวะของจิ ตในขณะ ที่บรรลุฌาน. ต อ ไปนี้ เราจะได วิ นิ จ ฉั ย กั น ถึ ง ป ญ หาข อ ที่ ว า ในขณะแห ง ฌานนั้ น ธรรมกลุมใหญ ๆ ๓ กลุม กลาวคือ ลักษณะ ๑๐, องคฌาน ๕, และอินทรีย ๕, ที่กลาวแลวขางตน ; มี ความสัมพันธกันโดยตรง อยางไร หรือมีอยูพรอมกัน ไดอยางไรสืบไป.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ในขณะที่ จิ ต ลุ ถึ ง ฌาน สติ ย อ มหน ว งต อ ความปรากฏ ขององค ฌ าน ทั้ง ๕ อยูแลวอยางสมบูรณ. ครั้นถึงขณะแหงการบรรลุฌานหรือลุถึงอัปปนานั้น องคแหงฌานปรากฏชัด. ในขณะนั้นแหละ เปนอันกลาวไดวา ธรรมะ ๒๐ ประการ ซึ่งจัดเปน ๓ กลุม ไดปรากฏแลวอยางสมบูรณ. กลุมที่หนึ่ง คือลักษณะ ๑๐
นั้น ไดกลาวแลววา ไดจัดเปน ๓
หมวด คือ : หมวดแรก คือการที่จิตบริสุทธิ์หมดจด จนเพียงพอที่จะแลนเขาไปสู วิถีของสมถะจนกระทั่งเขาถึงตัวสมถะ. ขอนี้ก็ไดแกการที่จิตในบัดนี้หมดจด
www.buddhadasa.in.th
การบรรลุฌาน
๒๐๗
จากนิวรณ และมีความพรอมมูลดวยคุณธรรม. ภายใตการควบคุมของสติ ผละ จากนิ มิ ตและอารมณ ทั้ ง ปวงแล ว เลื่ อนเข าไปสู ความเป นอั ปปนา ด วยอาการดั ง ที่ ไดกลาวแลวขางตน. หมวดที่ ส อง เป น การเพ ง เฉยต อ การที่ ตั ว มั น เองหมดจดแล ว เข า ถึ ง ความเปนจิตประเสริฐ สงบรํางับอยู. ขอ นี้ไดแกสติ รูสึกตอความที่จิตเปน อย า งนั้ น อยู ต ลอดเวลา โดยไม ต อ งมี เ จตนาอะไรเลย จนกระทั่ ง ลุ ถึ ง อั ป ปนา เหมื อ นกั บ คนเลื่ อ ยไม รู สึ ก ในความที่ ไ ม ข าดไป ๆ ตามลํ า ดั บ จนกระทั่ ง ขาดออก จากกัน ; กลาวคือ การละจากจิตที่ไมเปนสมาธิ หรือจิตของคนธรรมดา ไปสู จิตขั้นสูงสุดที่ประกอบดวยคุณอันใหญที่เรียกวา “มหัคคตาจิต” เพราะอยูเหนือกาม โดยประการทั้งปวง เปนตน. หมวดที่สาม มีใจความสําคัญอยูตรงราเริง ในการประสบความสําเร็จ โดยไมตองเจตนา. เมื่อการประสบความสําเร็จเปนสิ่งที่มีไดโดยไมตองเจตนา ความรางเริงก็เปนสิ่งที่มีไดโดยไมตองเจตนา. ขอนี้ หมายถึงการที่ความรูสึก อั นเป นองค ฌาน เช น ป ติ และสุ ข เป นสิ่ งที่ ปรากฏออกมาได โดยไม ต องมี เจตนา. เปนอันวา ธรรมทั้งสิบที่แบงเปน ๓ หมวดนี้ ไดเริ่มมีแลวตั้งแตขณะแหง สมถโคตรภู คือ ขณะที ่จ ิต ยา งขึ ้น สู ก ารบรรลุฌ าน แลว ก็ม ีเ รื ่อ ยติด ตอ อัน ไปโดยไมม ีร ะยะ วางเวน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org กลุมที่สอง คือองคฌานทั้ง ๕ องค นั้น บัดนี้แมมิใชเปนธรรมที่เปน อารมณ โ ดยตรง ก็ ตั้ ง อยู ใ นฐานะที่ เ ป น อารมณ โ ดยอ อ ม,คื อ ไม ใ ช เ ป น อารมณ
www.buddhadasa.in.th
๒๐๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
สํ า หรั บ การเพ ง หรื อ การกํ า หนดก็ จ ริ ง แต ก็ ตั้ ง อยู ใ นฐานะที่ เ ป น อารมณ สํ า หรั บ การ หนวงเอาเปนวัตถุที่มุงหมาย เพื่อทําความรูสึกอันเปนองคฌานนั้น ๆ ใหเกิดขึ้น; ทํานองเดียวกันกับนิพพานธาตุ : แมไมอาจจะจัดวาเปนอารมณ แตก็ยังตองตั้ง อยู ใ นฐานะเป น อารมณ หรื อ วั ต ถุ ที่ ป ระสงค เป น ที่ ห น ว งของจิ ต ในขณะแห ง วิปสสนาโคตรภู เพื่อการเขาถึงในที่สุด ฉันใดก็ฉันนั้น. ฉะนั้น เปนอันกลาว ได ว า ผู ป ฏิ บั ติ ที่ มี ป ฏิ ภ าคนิ มิ ต ปรากฏชั ด ถึ ง ที่ สุ ด แล ว รั ก ษาไว เ ป น อย า งดี แ ล ว กําลังมุงตอการเกิดของอัปปนาสมาธิ. ก็คือ ผูที่กําลังหนวงตอ ความรูสึกที่เปน องคฌานอยูนั่นเอง. ขณะที่จิตจะลุถึงฌาน ก็คือขณะที่องคเหลานี้จะปรากฏออกมาอยาง สมบูรณ ; และ ขณะที่จิตตั้งอยูในฌาน ก็คือขณะที่องคเหลานี้ไดปรากฏแกจิตอยูอยาง สมบูรณนั่นเอง. เปนอันกลาวไดวา สิ่งที่เรียกวา “องคแหงฌาน” นี้ไดเขามา เกี ่ย วขอ งอยู ใ นสมถวิถ ี นับ ตั ้ง แตข ณะที ่ห นว งตอ ฌาน ขณะที ่ย า งเขา สู ฌ าน และขณะที่ตั้งอยูในฌานในที่สุด ทีเดียว. กลุ มที่สาม คื ออิ นทรี ย หา นั้น กล าวได วาเปนสิ่ งที่ มี กระจายอยูทั่ วไป ทุก ขั้น ของการปฏิบัติธ รรมะ ในที่ทุก หนทุก แหง และตลอดทุก เวลา. สํา หรับ ในขณะที่จิตจะลุถึงฌานโดยเฉพาะนั้น มีอาการยิ่งแกกลา แตวายิ่งประณีตสุขุม ราวกะวาจะหาตัวไมพบ. ตอเมื่อไดศึกษาและสังเกตโดยแยบคาย จึงจะพบวา เปนเชนนั้น เชน ในกรณีของสัทธินทรีย : ยิ่งปฏิบัติประสบความสําเร็จผานมา เทาไร ก็ยิ่งกําลังของความเชื่อมากเพิ่มขึ้นเทานั้น. เมื่อเครื่องหมายแหงความ สําเร็จปรากฏออกมาใหเห็นเมื่อใด สัทธาก็กาวหนาไปเมื่อนั้น ทุกชั้นทุกลําดับไป ทีเดียว. สวนที่เห็นไดงายในขณะนี้ก็คือ ในขณะที่รองรอยของปฏิภาคนิมิต
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
การบรรลุฌาน
๒๐๙
ปรากฏชัด, หรือในขณะที่จิตวาจากนิวรณ มีความหมดจดพอที่จะแลนไปสูสมถะ หรือความเปนเอกัตตะ เปนตน. สํ าหรั บความพากเพี ยร หรื อวิ ริ ยิ นทรี ย นั้ น เป นไปอย างมี เจตนาเรื่ อย ๆ มา จนกระทั่ ง ถึ ง ขณะแห ง การบรรลุ ฌ าน กลายเป น ของละเอี ย ดประณี ต และ ดําเนินไปไดเองโดยไมมีเจตนา แตก็ปรากฏชัดอยูในลักษณะที่สมบูรณที่สุด. สําหรับสติหรือสติทรีย นั้น เปนที่ทราบกันอยูแลววา ไดเขาไป แทรกแซงหรือควบคุมอยูในที่ทั้งปวง ; แตในขณะนี้โดยเฉพาะนั้น สติไดขึ้น ถึ ง ขี ด สู ง สุ ด ของธรรมะชื่ อ นี้ กล า วคื อ มี อ ยู ไ ด โ ดยไม ต อ งอาศั ย นิ มิ ต หรื อ อารมณ โดยอาการดังที่กลาวมาแลวอยางละเอียด. สําหรับสมาธิหรือสมาธินทรีย นั้น กลาวก็ไดวา มีอยูโดยปริยายหรือ โดยอ อ ม มาตั้ ง แต ข ณะแห ง ปฏิ ภ าคนิ มิ ต แต บั ด นี้ ไ ด เ กิ ด ขึ้ น เต็ ม รู ป ในขณะที่ องคแหงฌานปรากฏ. โดยหลักทั่วไปนั้น เราอาจจะกลาวไดวา เมื่อจิตไมถึง ความฟุ ง ซ า นในที่ ใ ด สมาธิ ก็ ชื่ อ ว า มี อ ยู ใ นที่ นั้ น หากแต เ ป น เพี ย งขั้ น ที่ ยั ง เป น เพียงเครื่องมือ. ครั้นมาถึงขั้นนี้ยอมตั้งอยูในฐานะเปนผลสําเร็จขั้นหนึ่งโดย สมบูรณ คือ ขั้นสมถภาวนา ; แตตอจากนี้ไป ก็จะกลายเปนเครื่องมือเพื่อการ ปฏิบัติในขั้นสูงขึ้นไปอีก กลาวคือขั้นวิปสสนาภาวนา. ฉะนั้น เปนอันกลาวไดวา แมสมาธิในขั้นที่เปนฌานแลว ก็ยังจัดเปนสมาธินทรียไดอยูนั่นเอง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สํ า หรั บ ป ญ ญาหรื อ ป ญ ญิ น ทรี ย นั้ น มี ห น า ที่ ก ว า งขวางตั้ ง แต ต น จน ปลาย :การทํ า ในใจโดยแยบคายทุ ก ระยะ ไม ว า ใหญ น อ ยเพี ย งไร และไม ว า จะ
www.buddhadasa.in.th
๒๑๐
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
เปนกรณีแกไขอุปสรรค หรือกรณีทําความกาวหนาตอไป โดยตรงก็ตาม ยอมจัด เปนปญญินทรียทั้งสิ้น. อนึ่ง อยาไดเขาใจผิดวา ในเรื่องของสมาธินั้นไมเกี่ยว กั บ ป ญ ญาเลย แต ไ ด เ กี่ ย วอยู อ ย า งเต็ ม ที่ สมตามที่ พ ระพุ ท ธองค ไ ด ต รั ส ไว หรื อ ทรงยื นยั นในทํ านองว า ในเรื่ องของสมาธิ นั้ น นตฺ ถิ ฌานํ อปฺสฺ ส ซึ่ งแปลว า “ฌานยอมไมมีแกคนที่ไมมีปญญา” เราจะเห็นไดชัดวา แมในขณะที่ทําการ กําหนดอารมณหรือนิมิต เราก็ตองมีปญญาจึงจะทําการกําหนดได, และแมเมื่อ สู ง ขึ้ น มาจนถึ ง ขั้ น ที่ จิ ต กํ า ลั ง ตั้ ง อยู ใ นฌาน ป ญ ญาก็ ยั ง ซ อ นตั ว อยู ใ นที่ นั้ น เอง อยา งเต็ม ที ่ คือ มีค วามรอบรู ใ นการที ่จ ะเขา ฌาน ในการที ่จ ะหยุด อยู ใ นฌาน ตั ้ง อยู ใ นฌาน การพิจ ารณาองคแ หง ฌาน และการออกมาจากฌานนั ้น เปน ที่สุด. อีกทางหนึ่ง ปญญาเปนสิ่งที่เนื่องกันอยูกับสติ หรือสนับสนุนสติอยูใน ที ่ท ุก หนทุก แหง เปน อัน วา ปญ ญิน ทรีย ม ีอ ยู แมใ นขณะแหง การบรรลุฌ าน ดวยอาการดังกลาวนี้. ทั้ ง นี้ เ ป น การแสดงว า ด ว ยอํ า นาจของความเป น อิ น ทรี ย นั่ น เอง ที่ ทํ า ให ธ รรม เช น สมาธิ และป ญ ญา ซึ่ ง ถู ก จั ด เป น ภาวนาคนละพวก ได ก ลายมา เปนสิ่งที่มีอยูอยางไมมีทางที่จะแยกจากกัน เพื่อทําหนาที่แมในขั้นสมถภาวนาเห็น ปานนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สรุ ปความว า ในบรรดาธรรมทั้ ง ๒๐ ประการนี้ หมวดที่ เป นอิ นทรี ย ๕ ประการนั้น เปนเหมือนกับมือที่ทํางาน สวนองคฌานทั้งหานั้น เปนเหมือนกับสิ่งที่ถูกทํา สวนลักษณะทั้ง ๑๐ ประการนั้น เปนเหมือนกับอาการที่กระทําในอันดับตาง ๆ กัน. นี้คือ ความสั มพันธ กั นระหว างธรรมทั้ ง ๓ กลุ ม และโดยเฉพาะอยางยิ่ งในขณะที่ มี การ บรรลุฌาน.
www.buddhadasa.in.th
การบรรลุฌาน
๒๑๑
ฌานถัดไป ปรากฏ๑ คือ ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน เปนตน ภาวะของจิต ในขณะแหงทุติยฌาน เมื่ อ ได ก ล า วถึ ง ภาวะแห ง จิ ต ในขณะที่ ลุ ถึ ง ปฐมฌานแล ว จะได ก ล า วถึ ง ภาวะของจิ ตในขณะแห งฌานที่ สู งขึ้ นเป นลํ าดั บไป กล าวคื อ ในขณะแห ง ทุ ติ ยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน.
ความแตกตางระหวางฌาน ความแตกต า งระหว า งฌานหนึ่ ง ๆ อยู ที่ มี ก ารมี อ งค ฌ านมากน อ ย กว า กั น ก็ จ ริ ง แต ใ จความสํ า คั ญ นั้ น อยู ที่ มั น สงบรํ า งั บ หรื อ ประณี ต ยิ่ ง กว า กั น ตาม ลําดับ เปนลําดับไป ตั้งแตปฐมฌานจนกระทั่งถึงจตุตถฌาน. ขอที่ฌานสูงขึ้นไป ย อมมี จํ านวนองค แห งฌานน อยลง ๆ กว าฌานที่ ต่ํ ากว า นั่ นแหละคื อความที่ สงบกว า หรื อ ประณีตกวา ; โดยเหตุนี้จะเห็นไดวา ปฐมฌานมีองคแหงฌานมากกวาฌานอื่น และฌานตอไปก็มีองคแหงฌานนอยลงไปตามลําดับดังนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org องค แ ห ง ฌานคื อ อะไร มี ลั ก ษณะอย า งไร ได ก ล า วแล ว ข า งต น พึ ง ย อ น ไปดูในที่นั้น ๆ. ในที่นี้ จะกลาวแตเฉพาะ อาการที่องคฌานนั้น ๆ จะละไปได อยางไร สืบไป. แตในขั้นตนนี้ ควรจะทําการกําหนดกันเสียกอน วาฌานไหน มีองคเทาไร.
๑
การบรรยายครั้งที่ ๒๒ / ๒๓ กันยายน ๒๕๐๒
www.buddhadasa.in.th
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
๒๑๒
ตามหลักในบาลีทั่วไป ที่อาจสรุปได ปรากฏชัดอยู ดังนี้ :
และที่เปนพุทธภาษิตโดยตรงนั้น มีหลักเกณฑ
๑. ปฐมฌานประกอบดวยองคหา คือ วิตก วิจาร ปติ สุข และ เอกัคคตา. ๒. ทุติยฌานประกอบดวยองคสาม คือ ปติ สุข และ เอกัคคตา. ๓. ตติยฌานประกอบดวยองคสองคือ สุข และ เอกัคคตา. ๔. จตุตถฌาน ประกอบดวยองคสองคือ อุเบกขา และ เอกัคคตา. สวนหลักเกณฑฝายอภิธรรม ตลอดถึง คัมภีรชั้นหลังที่อิงอาศัยคัมภีร อภิ ธ รรม ได กํ า หนดองค แ ห ง ฌานไว แ ตกต า งกั น บ า งบางอย า ง คื อ ปฐมฌาน ประกอบดวยองคหา และมีรายชื่อเหมือนกัน ; สวน ทุติยฌาน มีองคสี่โดย เวนวิตกเสียเพียงอยางเดียว ; ตติยฌาน มีองคสาม คือ เวนวิตกและวิจารเสีย; จตุต ถฌาน มีอ งคส อง คือ เวน วิต ก วิจ าร และปต ิเ สีย สว นสุข กลาย เปนอุเบกขา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org โดยนั ย นี้ จ ะเห็ นได ว า มี ก ารลดหลั่ นกั น ลงมาตามลํ า ดั บตั วเลข คื อ ๕, ๔, ๓, ๒, ตามลําดับ ; ชะรอยทานจะเห็นวาความเปนลําดับนี้จะเปนความเหมาะ สมกวา. ความแตกตางกัน แมโดยทั้งนิตินัยและพฤตินัยเชนนี้ หาไดทําให
www.buddhadasa.in.th
การบรรลุฌาน
๒๑๓
ฝายใดฝายหนึ่งกลายเปนของผิดไปได ; หากแตเปนการบัญญัติวางกฎเกณฑตาง กันดวยการขยับโนนนิด รนนี้หนอยเทานั้น. คงมีความเปนสมาธิที่อาจใชเปน บาทฐานแหงวิปสสนาไดเทากัน. อีกนัยหนึ่ง ทางฝายอภิธรรม ไดขยายฌานออกไปเปนหา คือ แทนที่ จ ะมี เ พี ย งสี่ ดั ง ที่ ก ล า วแล ว ได เ พิ่ ม เข า อี ก ขั้ น หนึ่ ง เป น ฌานที่ ห า เรี ย กว า ปญจมฌาน. เมื่อแบงฌานออกเปนหาดังนี้ การกําหนดองคแหงฌานก็ตอง เปลี่ยนไปตาม กลาวคือ ปฐมฌานมีองคครบทั้งหา ; ทุติยฌาน เหลือสี่ คือ เวนวิตกเสีย ; ตติยฌาน เหลือสาม คือ เวนวิตก วิจารเสีย ; จตุตถฌาน เหลือสอง คือเวน วิตก วิจาร และปติ เสีย ; ปญจมฌานเหลือสอง คือ เวนวิตก วิจาร และปติเสีย สวนสุขนั้นกลายเปนอุเบกขา ดังนี้. การแบงฌานในทํานองนี้ (ซึ่งกําลังเถียงกันอยูวา ไมเคยพบในพระสูตรที่เปนพุทธภาษิต มีอยูแตในอภิธรรม เปนพุทธภาษิต หรือไมใชพุทธภาษิต) ; ฉะนั้น จะเวนเสีย ไมทําการวินิจฉัยในที่นี้. แม ก ารจั ด องค แ ห ง ฌานทั้ ง สี่ ช นิ ด แตกต า งไปจากพุ ท ธภาษิ ต ที่ ก ล า วแล ว ก อ นหน า แตนี้ ก็จะไดเวนเสียดุจกัน. ทั้งนี้ มิใชวาเปนเพราะไมเชื่อถือกฎเกณฑหรือการ บั ญ ญั ติ นั้ น ๆ หากแต เ ป น เพราะว า แม จ ะจั ด อย า งไร เรื่ อ งก็ ยั ง เป น อย า งเดี ย วกั น นั่ นเอง คื อ องค ฌานทั้ ง หมด ยั ง คงมี อ ยู เพี ยงห าองค ใครจะไปบั ญญั ติ การละองค ไหนไปได กี่ อ งค ๆ แล ว จั ด ความประณี ต ของจิ ต ในขั้ น นั้ น ๆ ว า จะเรี ย กชื่ อ ว า อะไร
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๒๑๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
ก็แลวแตใจ จะแบงสักกี่ชั้นก็ตามใจ, ชั้นหนึ่ง ๆ จะละองคฌานอะไรบาง หรือ จะเหลื อ องค อ ะไรไว ก็ ต ามใจ แต ขั้ น สุ ด ท า ยหรื อ ขั้ น สู ง สุ ด ก็ ต อ งยั ง เหลื อ อยู แ ต อุเบกขากับเอกัคคตาโดยเทากันหมดทุกพวก. โดยนั ย นี้ ผู ศึ ก ษาจะสั ง เกตเห็ น ได ว า การแบ ง ฌานออกไปเท า ไร หรื อ กํ า หนดองค ฌ านอย า งไรนั้ น ไม สู สํ า คั ญ ข อ สํ า คั ญ มั น อยู ต รงที่ จ ะปฏิ บั ติ มั น อยางไร จึงจะเกิดองคฌานขึ้นมาครบถวน แลวละมันออกไปเสียทีละองค – สององค ตามแต ถนั ด จนกว าจะเหลืออยู เท าที่ จําเปนในลักษณะที่ สงบและประณี ตที่ สุ ดเท านั้ น เอง. ฉะนั้น ในที่นี้จึงถือเอาแตแนวที่อยูในรูปของพระพุทธภาษิตเปนหลักเพียง แนวเดีย ว ดัง ที ่ไ ดย กมากลา วไวเ ปน อัน ดับ แรก และไดว ิน ิจ ฉัย กัน สืบ ไปถึง ความแตกต า งของฌานทั้ ง สี่ ซึ่ ง จะทํ า ให เ ห็ น ลั ก ษณะของฌานนั้ น อย า งชั ด แจ ง พรอมกันไปในตัว ดังตอไปนี้ :ปฐมฌาน ประกอบดวยองคหา คือ วิตก วิจาร ปติ สุข เอกัคคตา. ข อ นี้ ห มายความว า จิ ต ในขณะแห ง ปฐมฌานนั้ น มี ค วามรู สึ ก ปรากฏอยู ที่ จิ ต หรื อ ภายในความเพงของจิต อยูถึง ๕ อยางดวยกัน. แมจะไมใชความคิดที่เปน ตัว เจตนา เปน เพีย งตัว ความรู ส ึก ที ่รู ส ึก เฉย ๆ แตก ารที ่ม ีอ ยู ถ ึง ๕ อยา งนั ้น นับวายังอยูในชั้นที่ไมประณีต เพราะยังมีทางที่ทําใหประณีตยิ่งขึ้นไปอีก : นับวา ยังไมสงบรํางับถึงที่สุด เพราะยังมีทางที่จะทําใหสงบยิ่งขึ้นไปอีก ; นับวายัง หยาบอยู เพราะยังตองคุมถึง ๕ อยาง ; ยังหนักเกินไป ยังอาจจะยอนหลังไป
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
การบรรลุฌาน
๒๑๕
สูความกําเริบไดงายอยู ; ความรูสึกจึงอาจเกิดขึ้นไดโดยสามัญสํานึก ในใจของ ผู ปฏิ บั ติ โดยทํ านองนี้ ว า ถ าอย างไร เราจะละความรู สึ กที่ เป นองค ฌานบางองค เสี ย เพื่อความสงบรํางับยิ่งขึ้นไปอีก เพื่อมีความประณีตยิ่งขึ้นไปอีก เพื่อความตั้งอยูอยางแนน แฟนมั่นคงยิ่งขึ้นไปอีก เพื่อมีความหนักในการกระทําที่นอยลงไปอีก เพื่อความไวใจไดวาจะ ไมกลับกําเริบยอนหลังยิ่งขึ้นไป ; ดังนั้น เขาจึงพิจารณาหาลูทางที่จะละความรูสึก ที่ เป นองค ฌานบางองค ออกไปเสี ย ให เหลื อ น อยลงทุ กที จนกระทั่ งถึ งฌานสุ ดท าย. สํ าหรั บปฐมฌานนั้ น ประกอบอยู ด วยองค ห า ถ ามองดู ด วยสายตาของคนธรรมดา ก็จ ะรู ส ึก วา สงบรํ า งับ อยา งยิ ่ง เพราะเปน ฌานขั ้น หนึ ่ง จริง ๆ ประณีต และสุข ุม จนยากที่คนธรรมดาจะทําได ; แตเมื่อมองดวยตาของพระโยคาวจรชั้นสูง หรือ สายตาของพระอริ ย เจ า กลั บ เห็ น เป น ของที่ ยั ง หยาบอยู ยั ง ไม สู จ ะประณี ต และ ยั ง ง อ นแง น ไม น า ไว ใ จ จึ ง ปรารถนาชั้ น สู ง ขึ้ น ไป โดยเหตุ นี้ เ อง จึ ง มี ก ารปฏิ บั ติ เพื่อทุติยฌานเปนตน สืบไป.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทุติยฌาน ประกอบดวยองคสาม เพราะละ วิตก วิจาร เสียได หมายความว า ผู ปฏิ บั ติ ได พิ จารณาสอดส องดู องค ฌานทั้ งห า แต ละองค ๆ อย าง ทั ่ว ถึง แลว รู ส ึก วา วิต ก และวิจ าร เปน ความรู ส ึก ที ่ย ัง หยาบ หรือ ยัง กระดา ง กว า เขาทั้ ง หมด จึ ง เริ่ ม กํ า หนดองค ฌ านโดยวิ ธี อื่ น คื อ ละความสนใจในความรู สึ ก ที่เรียกวาวิตกวิจารนั้นเสีย. ยิ่งผละความรูสึกไปเสียจากวิตกและวิจารไดเทาไร
www.buddhadasa.in.th
๒๑๖
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
ก็ยิ่งรูสึกตอองคฌานที่เหลือมากขึ้นเทานั้น ; ยกตัวอยางเหมือนกับวา เราดูของ ๕ อย าง หรื อ ๕ ชิ้ นพร อมกั น ต อมาละความสนใจในชิ้ นที่ หยาบที่ สุ ด หรื อหยาบ กวา ชิ ้น อื ่น ๆ เสีย สัก สองชิ ้น ใหเ หลือ เพีย ง ๓ ชิ ้น การเพง นั ้น ก็อ ยู ใ นลัก ษณะ ที่เรียกไดวาละเอียดกวา ประณีตกวา หรือสูงกวา เปนตน. วิธีปฏิบัติเกี่ยวกับ การละวิ ต ก และวิ จ าร ก็ มี อุ ป มั ย อย า งเดี ย วกั น คื อ ผู ป ฏิ บั ติ จ ะต อ งออกจาก ปฐมฌานเสีย กอ น แลว ยอ นกลับ ไปตั้ง ตน อานาปานสติม าใหม ตั้ง แตข ณะ แหงคณนาและอนุพันธนา เพื่อกําหนดสี่งที่เรียกวา วิตก วิจาร อยางหยาบ ๆ มาใหม ทั้งนี้เพื่อกําหนดความหยาบ หรือลักษณะเฉพาะของความวิตก วิจาร ใหแจมชัดเปนพิเศษ เพื่อการกําหนดในอันที่จะละเสียวา “ความรูสึก ๒ อยางนี้ เราจักไมใหมาของแวะอีกตอไป จักไมใหเหลืออยูในความรูสึก”. ดังนี้, ก็สามารถ ทําความรูสึกที่เปน วิตก วิจาร ใหระงับไปไดดวยการเปลี่ยนไปเพิ่มกําลังแหง การกํา หนดใหแ กค วามรูสึก ที่เ ปน ปติ และสุข นั่น เอง ฌานที่เ กิด ขึ้น จึง มี องคเพียงสาม ; และเหตุนั้นเอง จึงจัดเปนการกาวหนาขั้นหนึ่ง ในระบบของ รูปฌาน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ตติยฌาน ประกอบดวยองคสอง เพราะปติถูกละเพิ่มขึ้นอีกองคหนึ่ง จากที่ทุติยฌานเคยละมากอน. ขอนี้ก็หมายความอยางเดียวกันกับเรื่องของการละ ในขั้ นทุ ติ ยฌาน กล าวคื อ เมื่ อผู ปฏิ บั ติ ได เข าอยู ในทุ ติ ยฌาน และพิ จารณาองค แห ง ทุ ติ ย ฌานจนถึ ง ที่ สุ ด อยู บ อ ย ๆ แล ว นานเข า ก็ เ กิ ด สั ง เกตและมี ค วามรู สึ ก ขึ้ น มา
www.buddhadasa.in.th
การบรรลุฌาน
๒๑๗
ได เ องว า แม ป ติ ก็ ยั ง เป น องค ฌ านที่ ห ยาบ ถ า ละออกไปเสี ย ได ก็ จ ะเกิ ด ความ รํ า งั บ ยิ่ ง ไปกว า ที่ จ ะยั ง คงไว เ ป น แน น อน จึ ง มี ค วามตั้ ง ใจหรื อ อธิ ษ ฐานใจในการที่ จ ะ ละความรู สึ ก ส ว นที่ เ ป น ป ติ นั้ น เสี ย ให ยั ง คงมี แ ต ค วามสุ ข ไม ต อ งมี ค วามซาบซ า น. คือมีแตความสุขที่สงบรํางับดวยอํานาจของสติสัมปชัญญะที่ถึงที่สุด ; ในที่สุดก็ละ ไดโดยวิธีอยางเดียวกับการละวิตกและวิจาร. จตุ ต ถฌาน ประกอบด ว ยองค ส องก็ จ ริ ง แต สิ่ ง ที่ เ รี ย กว า ความสุ ข นั้ น ไดถูกเปลี่ยนเปนอุเบกขา. ทั้งนี้ ก็ดวยเหตุผลอยางเดียวกันกับที่ไดกลาวมาแลว ข า งต น คื อ เมื่ อ พิ จ ารณาสอดส อ งอยู เ สมอ จนเห็ น เป น ของที่ ยั ง หยาบหรื อ เป น ของ ที ่ย ัง รุน แรงอยู ยัง กวัด แกวง ไดง า ยอยู ยัง ทํ า ใหรํ า งับ ยิ ่ง ขึ ้น ไปกวา นั ้น ไดอ ีก จึ งพยายามรํ างั บความรู สึ กที่ เป นสุ ขนั้ นเสี ย เหลื ออยู แต ความเพ งในสิ่ งที่ สั กว าเป นเวทนา เฉย ๆ ไมเปนที่ตั้งแหงความยินดีวาความสุขอีกตอไป. ความเพงในระยะนี้เปนความ เพง แนว แนถ ึง ที ่ส ุด สงบรํ า งับ ถึง ที ่ส ุด จืด สนิท ถึง ที ่ส ุด หรือ ขาวผอ งถึง ที ่ส ุด คื อ เหลื อ อยู แ ต ค วามรู สึ ก ที่ เ ป น ความเพ ง เฉย ๆ กั บ ความที่ จิ ต มี อ ารมณ เ พี ย งอย า ง เดียว คือในสิ่งที่ใจเพงเฉยนั่นเอง. ถาถามวามันเพงอะไร ก็ตอบไดวามันเพง อยู ที่ ค วามรู สึ ก อย า งหนึ่ ง ของจิ ต ซึ่ ง เป น เพี ย งความรู สึ ก เฉย ๆ ถ า จะเรี ย กโดยชื่ อ ภาษาบาลี ก็ เ รี ย กว า อุ เ บกขาเวทนา หรื อ อทุ ก ขมสุ ข เวทนา นั่ น เอง อิ ง อาศั ย อยู กั บ ลมหายใจออกเข า มี มู ล มาจากลมหายใจออกเข า แต มิ ใ ช ตั ว ลมหายใจออกเข า มิใ ชต ัว การหายใจออกเขา เปน แตเ พีย งความรู ส ึก อัน ใดอัน หนึ ่ง ซึ ่ง เกิด ขึ ้น ใหม หรื อ ถู ก สร า งขึ้ น ใหม จ ากการกํ า หนดลมหายใจ หรื อ มี ล มหายใจเป น มู ล ฐาน สํ า หรั บ ในกรณีนี้ ; นับวาเปนขั้นสุดทายของรูปฌาน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๒๑๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
ความแตกตางที่แสดงไดดวยพุทธภาษิต ต อนี้ ไป จะได วิ นิ จฉั ยกั น ถึ ง ความแตกต างระหว างฌานทั้ งสี่ โดยอาศั ย แงของบาลีพระพุทธภาษิตที่ปรากฏอยูเปนหลัก :สําหรับปฐมฌาน มีหลักอยูวา ๑. มีขึ้น เพราะความสงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งปวง, ๒. ยังเต็มอยูดวยวิตกและวิจาร, ๓. มีปติและสุขชนิดที่ยังหยาบ คือชนิดที่เกิดมาจากวิเวก, ๔. จัดเปนขั้นที่หนึ่ง คือระดับที่หนึ่งของรูปฌาน. สวนทุติยฌาน นั้น ๑. มีขึ้นเพราะวิตก วิจาร รํางับไป, ๒. เต็มอยูดวยความแนวแนและความพอใจของจิตภายใน, ๓. มีปติและสุขชนิดที่สงบรํางับ เพราะเกิดมาจากสมาธิ, ๔. จัดเปนระดับที่สองของรูปฌาน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สวนตติยฌาน นั้น ๑. มีขึ้นเพราะปติจางไปหมด โดยการแยกออกจากความสุข, ๒. มีการเพงดวยสติสัมปชัญญะถึงที่สุด, ๓. เสวยสุขทางนามธรรมที่ละเอียดไปกวา, ๔. จัดเปนระดับที่สามของรูปฌาน.
สวนจตุตถฌาน อันเปนอันดับสุดทายนั้น ๑. มีขึ้นเพราะดับความรูสึกที่เปนสุข ทุกข โสมนัส และโทมนัส ที่ มีมาแลวในกาลกอน (ในฌานขั้นตน ๆ) เสียไดอยางสิ้นเชิง,
www.buddhadasa.in.th
การบรรลุฌาน
๒๑๙
๒.
ไมทุกข
มีความบริสุทธิ์ของสติ เพราะการกําหนดสิ่งที่ไมสุข – อยูอยางเต็มที่, ๓. มีเวทนาที่เปนอุเบกขา แทนที่ของเวทนาที่เปนสุข, ๔. จัดเปนลําดับที่สี่ของรูปฌาน.
ทั้ ง หมดนั้ น เมื่ อ เปรี ย บเที ย บกั น ดู ใ นระหว า งฌานทั้ ง สี่ โดยพฤติ นั ย ต า ง ๆ อย า งละเอี ย ดแล ว จะเห็ น ได ว า มี ค วามแตกต า งกั น อย า งชั ด แจ ง ดั ง ต อ ไปนี้ : ๑. เกี่ยวกับที่ตั้ง หรือมูลเหตุอันเปนที่ตั้ง, ถาเอามูลเหตุหรือที่ตั้ง ของฌานนั้น ๆ เปนเกณฑกันแลว เราจะเห็นไดวา :ปฐมฌาน เกิดมาจากความสงัด (วิเวก) จากกามและอกุศล, ทุติยฌาน เกิดมาจากความสงัดจากวิตก วิจาร, ตติยฌาน เกิดมาจากความสงัดจากปติ, จตุตถฌาน เกิดมาจากความสงัดจากสุขและทุกขโดยประการทั้งปวง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อาจจะมี ผู สงสั ย ว า เมื่ อปฐมฌานสงั ดจากกามและอกุ ศลแล ว ฌานที่ ถัดไปไมไดสงัดจากกามหรืออกุศลหรือ ดังนี้เปนตน. ขอนี้พึงเขาใจวา สิ่งที่ถูก ละไปแล ว ในฌานขั้ น ต น ๆ ก็ เ ป น อั น ไม เ หลื อ อยู ใ นฌานขั้ น ต อ ไป ฉะนั้ น จึ ง ไม กลาวถึงสิ่งนั้นอีก จะกลาวถึงแตสิ่งที่ยังเหลืออยูหรือที่เปนปญหาใหตองละตอไปอีก ในขั้นตอไปตามลําดับเทานั้น : เชนในขั้นปฐมฌาน ความรูสึกที่เปนกามและ อกุศ ลธรรมอยา งอื ่น ในระดับ เดีย วกัน ไมร บกวนหรือ ไมม าใหเ ห็น หนา อีก ตอ ไป แต มี ค วามรู สึ ก ที่ เ ป น วิ ต กวิ จ าร ตั้ ง อยู ใ นฐานะที่ จ ะเป น ป ญ หาสํ า หรั บ ให ล ะต อ ไป,
www.buddhadasa.in.th
๒๒๐
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
ในขั้นทุติยฌาน จึงไมกลาวถึงกามและอกุศลวาเปนสิ่งที่ตองละ แตกลาววิตกวิจาร วาเปนสิ่งที่ตองละขึ้นมาแทน แลวเปนอยูดวยปติและสุข. ครั้นถึงขั้นตติยฌาน ปรากฏวาปติเปนสิ่งที่ตองละตอไปอีก เหลืออยูแตสุขซึ่งสูงขึ้นระดับหนึ่ง. ครั้นไป ถึงจตุตถฌาน สุขแมประณีตถึงระดับนั้นแลว ก็ยังตองละโดยสิ้นเชิง แลวยังแถม กลา วกวา งไปถึง กับ วา ละเสีย ทั ้ง สุข ทั ้ง ทุก ข ทั ้ง โสมนัส โทมนัส โดยประสงค จะใหเหลืออยูแตอุเบกขาจริง ๆ ซึ่งเราอาจจะสรุปความไดวา :ตอเมื่อกามและอกุศลไมรบกวน จึงจะมีปฐมฌาน. ตอเมื่อวิตก วิจาร แมในรูปธรรมที่บริสุทธิ์ไมรบกวน จึงจะมีทุติยฌาน. ตอเมื่อปติ แมจะเปนปติในธรรม ไมรบกวน จึงจะมีตติยฌาน, และ ตอเมื่อสุขเวทนา แมที่บริสุทธิ์ในทางนามธรรมไมรบกวน (ซึ่งไมตองกลาว ถึงความทุกขรบกวน) จึงจะมีจตุตถฌาน. ทั้งหมดนี้ เปนเครื่องแสดงใหเห็นความแตกตางอยางยิ่ง ของมูลเหตุ อันเปนที่ตั้งของฌานนั้น ๆ พรอมทั้งความสูงต่ํากวากันอยางไร.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๒. เมื่อพิจารณาดูกันถึงสิ่งที่กําลังมีอยู อยางเดนที่สุด ในฐานะเปน เครื่องสังเกตเฉพาะแหงฌานนั้น ๆ เราจะเห็นไดวา :ในปฐมฌาน มี วิตกวิจาร เปนตัวการ ตั้งเดนอยู, สวนในทุติยฌานสิ่งสองนั้นหายหนาไป แตมี ปติและสุข เดนอยูแทน, สวนในตติยฌาน ปติหายหนาไป แมสุขก็ไมปรากฏเดน แตมีลักษณะ ของ การเพงดวยสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ ที่สุด มาเดนอยูแทน,
www.buddhadasa.in.th
การบรรลุฌาน
๒๒๑
ครั้ นถึ งขั้ นจตุ ตถฌาน มี ความบริ สุ ทธิ์ ของสติ ด วยอํ านาจอุ เบกขา ตั้ ง อยูแทน. นี้ คื อความแตกต างของลั กษณะที่ ปรากฏเด น ๆ ในขณะแห ง ฌานทั้ ง ที่ วามีอยูอยางแตกตางกันอยางไร. ๓.
เมื่อกลาวถึงรส หรือความสุขอันเนื่องดวยฌานนั้น ก็จะเห็นไดวา ปฐมฌาน มี ปติและสุขอันเกิดแตวิเวก, ทุติยฌาน มี ปติและสุขอันเกิดแตสมาธิ, ตติยฌาน มีแต ความสุขทางนามกายขั้นที่ประณีต ที่สุด, จตุตถฌาน มีแต อุเบกขาคือไมมีทั้งปติและสุข ไมมีขั้นไหนหมด.
ย อ นกลั บ ไปดู อี ก ที ห นึ่ ง เพื่ อ พิ จ ารณาให เ ห็ น ข อ เท็ จ จริ ง ต า ง ๆ ว า ใน ปฐมฌาน ปติและสุขที่เกิดมาจากวิเวก นั้น หยาบหรือต่ํากวาปติและสุขที่เกิดจากสมาธิ ทั้ ง นี้ เ พราะว า ในขณะแห ง ปฐมฌานนั้ น สุ ข นั้ น ก็ ยั ง ต อ งอาศั ย วิ ต กวิ จ าร และเพี ย ง แตสงัดจากความรบกวนของนิวรณเทานั้น : ความเปนสมาธิยังหยาบอยู ไมถึง ขนาดที่จะใหเกิดความสุขโดยตรง ที่เต็มตามความหมายได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ครั้ นมาถึ งทุ ติ ยฌาน ความเป นสมาธิ มี กํ าลั งมากพอที่ จะให เกิ ดความ สุขอันใหม จึงเกิดมี ป ติและสุขที่เกิ ดจากสมาธิ แทนที่จะเรี ยกวา ปติและสุขอันเกิ ด จากวิเวก ดังแตกอน.
www.buddhadasa.in.th
๒๒๒
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
ครั้ น ถึ งขณะแห ง ตติ ย ฌาน ความสุ ขประณี ตขึ้ น ไป ถึ งขนาดที่ สลั ดป ติ ทิ้ ง เสี ย เหลื อ แต ค วามสุ ข ทางนามธรรมชั้ น สู ง ของผู ที่ ส มบู ร ณ ด ว ยสติ สั ม ปชั ญ ญะ จริง ๆ คือเปน ความสุขขั้นที่พระอริยเจาก็ยอมรับนับถือวาเปนความสุข. ครั้นตกไปถึงขึ้น จตุตถฌาน มีเหลืออยูแต รสอันจืดสนิท ไมเรียกวา เปนสุขหรือทุกข ไมเปนโสมนัสหรือโทมนัสอีกตอไป. นี้คือความแตกตางของสิ่ง ที่เรียกวารสแหงฌาน อันแสดงใหเห็นความสูงต่ํากวากันอยางชัดแจง. ๔. สําหรับลําดับแหงฌาน ที่กลาวไววา ฌานที่หนึ่ง ฌานที่สอง ฌานที่ สาม ฌานที่ สี่ นั้ น เป นเพี ยงการบั ญญั ติ ตามกฎเกณฑ ที่ เห็ นว าควรบั ญญั ติ เพื่อสะดวกแกการศึกษาและการพูดจา. เมื่อการบัญญัติไดบัญญัติไปตามความ สูงต่ํา คําที่บัญญัติขึ้นก็ยอมแสดงความสูงต่ําอยูในตัว เปนการทําความเขาใจกัน ไดโดยงาย ในขณะที่พอสักแตวาไดยินชื่อ ; แตทั้งนี้เปนไปไดเฉพาะหมูบุคคล ผูมีการศึกษาในเรื่องนี้มาแลวเทานั้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ าผู ปฏิ บั ติ ได ศึ กษาและพิ จารณา ให เห็ นความแตกต างกั น ในแง ต าง ๆ ของสิ่ งที่ เรี ยกว าฌาน ตามที่ กล าวมานี้ อย างทั่ วถึ งแล ว ก็ เป นการง ายแก การปฏิ บั ติ ยิ่ ง ไปกว า การที่ จ ะรอไว ถ ามต อ เมื่ อ สิ่ ง เหล า นั้ น เกิ ด ขึ้ น ว า นั้ น คื อ อะไร หรื อ จะทํ า อยางไรตอไป ดังนี้เปนตน. สําหรับนักศึกษาทั่ว ๆ ไปนั้น เมื่อมีความเขาใจใน เรื่ องนี้ แล ว ย อมเป นหนทางที่ จะอนุ มานเพื่ อทราบถึ ง ภาวะแห งจิ ตในขณะที่ ลุ ถึ งฌาน ได เ ป น อย า งดี และพอที่ จ ะทํ า ให เ กิ ด ความสนใจในการศึ ก ษาถึ ง สิ่ ง เหล า นี้ แทนที่ จะดู ถู ก ดู ห มิ่ น หรื อ เข า ใจว า เรื่ อ งเหล า นี้ ไ ม มี ค วามหมายอะไรสํ า หรั บ คนในยุ ค ปจจุบันนี้.
www.buddhadasa.in.th
การบรรลุฌาน
๒๒๓
ลักษณะสมบูรณ ของฌานทั้งสี๑่ เมื่ อกล าวตามหลั กวิ ชา อาจจะกล าวได เป นหลั กจํ ากั ดลงไปได ว า ฌาน หนึ่ ง ๆ นั้ น ต อ งประกอบด ว ยองค ป ระกอบเท า ไร จึ ง จะเป น เครื่ อ งตั ด สิ น ว า เป น ความสมบูรณของฌานนั้น. โดยหัวขอ ก็คือปฐมฌาน มีองคประกอบ ๒๐, ทุติยฌาน มี ๑๘, ตติยฌาน มี ๑๗, จตุตถฌาน มี ๑๗, อธิบายดังตอไปนี้ : ปฐมฌาน มีองคประกอบ ๒๐ ประการ คือประกอบดวยลักษณะ ๑๐ ประการดั ง ที่ ก ล า วแล ว ข า งต น ที่ ร วมเป น ความงามในเบื้ อ งต น ความงามใน ทามกลาง ความงามในที่สุด นี้ประเภทหนึ่ง ; และประกอบดวยองคฌาน ๕ และธรรมเป น อิ น ทรี ย อี ก ๕ รวมกั น จึ ง เป น ๒๐ ซึ่ ง ทํ า ให ก ล า วได ว า ปฐมฌาน สมบูรณดวยองคประกอบ ๒๐; หรือเรียกงาย ๆ ก็วาประกอบดวยลักษณะ ๑๐ ดวยองคฌาน ๕ ดวยอินทรีย ๕ ดังนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org การที่ ท านระบุ ธรรมถึ ง ๒๐ ประการว าเป นองค ประกอบของปฐมฌาน ดังนี้ ก็เพื่อการรัดกุมของสิ่งที่เรียกวาฌานนั่นเอง ; มีความประสงคอยางยิ่งที่จะ ไม ให ผู ปฏิ บั ติ มองข ามสิ่ งเหล านี้ ไปเสี ย หรื อมองไปอย างลวก ๆ สนใจอย างลวก ๆ วาปฐมฌานประกอบดวยองคหาเทานั้น ก็พอแลว ; ทางที่ถูก เขาก็ตองเพงเล็ง ถึงอินทรียทั้งหา ที่สมบูรณ และเขามาเกี่ยวของกับองคของฌานทั้งหมด ใน
๑
การบรรยายครั้งที่ ๒๓ / ๒๗ กันยายน ๒๕๐๒
www.buddhadasa.in.th
๒๒๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
ลั ก ษณะที่ ถู ก ต อ งที่ สุ ด คื อ ถู ก ต อ งตามลั ก ษณะ ๑๐ ประการ ที่ ก ล า วแล ว อย า ง ละเอียดนั่นเอง. ใหเอาลักษณะ ๑๐ ประการนั้นเปนเครื่องพิสูจนที่เด็ดขาดและ แนนอน วาปฐมฌานเปนไปถึงที่สุดหรือไม ; อยาถือเอาเพียงลวก ๆ วาปฐมฌาน ประกอบดวยองคหาเทานี้ก็พอแลว. นี้คือประโยชนของการบัญญัติองคประกอบ ๒๐ ประการ ของปฐมฌาน. ทุติยฌาน มีองคประกอบ ๑๘ ประการ. ขอนี้มีหลักเกณฑทํานอง เดียวกันกับหลักเกณฑตาง ๆ ในกรณีของปฐมฌาน, หากแตวาในที่นี้องคแหง ฌานขาดไปสององค กลาวคือวิตกวิจารที่ถูกระงับไปเสียแลว. องคแหงฌาน เหลือเพียงสาม คือ ปติ สุข และ เอกัคคตา ; ดังนั้น องคประกอบทั้งหมด ของทุติยฌานจึงเหลืออยู ๑๘ กลาวคือลักษณะ ๑๐, องคแหงฌาน ๓, และ อินทรีย ๕ ดังนี้, ความสัมพันธกันระหวางองคประกอบ ๓ กลุมนี้ มีนัยอยาง เดียวกันกับที่กลาวแลวขางตน ในกรณีของปฐมฌาน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ตติยฌาน มีองคประกอบ ๑๗ ประการ มีหลักเกณฑทํานองเดียวกัน กั บ ฌานที่ ก ล า วแล ว ข า งต น หากแต ว า องค แ ห ง ฌานในที่ นี้ ลดลงไปอี ก ๑ รวม เปนลดไป ๓, เหลืออยูแตเพียง ๒ คือ สุขและเอกัคคตา ; องคประกอบทั้ง หมดของตติ ยฌานจึ งเหลื ออยู เพี ยง ๑๗ กล าวคื อ ลั กษณะ ๑๐ องค แ ห งฌาน ๒ อินทรีย ๕ ดังนี้. วินิจฉัยอื่น ๆ ก็เหมือนกันฌานขางตน.
จตุตถฌาน มีองคประกอบ ๑๗ ประการ มีหลักเกณฑอยางเดียวกัน คือจตุ ตถฌานมีองค ฌาน ๒ แมว าสุ ขจะได เปลี่ ยนเป นอุ เบกขา ก็ ยั งคงนั บอุเบกขา นั ้น เอง วา เปน องคฌ านองคห นึ ่ง ,รวมเปน มีอ งคฌ าน๒ ทั ้ง เอกัค คตา : โดยนั ย นี้ ก็ ก ล า วได ว า จตุ ต ถฌานก็ มี อ งค ป ระกอบ ๑๗ เท า กั บ ตติ ย ฌาน โดย จํานวน, แตตางกันอยูหนอยหนึ่ง ตรงที่องคฌานที่เปลี่ยนเปนอุเบกขานั่นเอง.
www.buddhadasa.in.th
การบรรลุฌาน
๒๒๕
สรุปความวา ปฐมฌานมีองคประกอบ ๒๐, ทุติยฌานมี ๑๘, ตติยฌาน มี ๑๗, จตุตถฌานมี ๑๗, เปนองคประกอบสําหรับการกําหนด การศึกษา หรือ การพิจารณา ใหหยั่งทราบถึงความสมบูรณแหงฌานนั้น ๆ จริง ๆ. ขอที่ตองสังเกตอยางยิ่ง มีอยูวาจํานวนองคฌานเปลี่ยนไปไดตามความ สูงต่ําของฌาน ; สวนลักษณะ ๑๐ ประการ และอินทรีย ๕ อยางนั้น ไมมี การเปลี่ยนแปลงเลย. โดยนัยนี้เปนอันวา ปฐมฌานก็ดี ทุติยฌานก็ดี ตติยฌาน ก็ดี และจตุ ตถฌานก็ดี ล วนแตมีความงามในเบื้อ งต น มีความงามในท ามกลาง และมีความงามในที่สุด ดวยหลักเกณฑอันเดียวกันแท. ทั้งนี้ เพราะมีลักษณะ ๑๐ ประการ ดังที่ไดแยกไวเปนความงาม ๓ ประการ ปรากฏอยูแลวในขอความ ขางตนดวยกันทั้งนั้น. สวนอินทรียทั้งหานั้น พึงทราบไววาเปนสิ่งที่มีกําลังเพิ่ม ขึ้นตามสวน แหงความสูงของฌานไปทุกลําดับ ; แมวาจะยังคงทําหนาที่อยาง เดี ย วกั น หรื อ ตรงกั น แต กํ า ลั ง ของมั น ได เ พิ่ ม ขึ้ น ทุ ก อย า ง โดยสมส ว นกั น กั บ ความสูงยิ่ง ๆ ขึ้นไปของฌานนั้น ๆ ; กลาวโดยสรุปก็คือ สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปญญา แตละอยาง ๆ ตองมี ความประณีต และมี กําลังเพิ่ มขึ้นตามความตองการ ของการที่จะกาวขึ้นไปสูฌานนั้น ๆ ตามลําดับ. โดยนัยนี้ทําใหกลาวไดวา อินทรีย นั้นๆไมเปลี่ยนแปลงโดยจํานวนก็จริง แตเปลี่ยนแปลงเปนอยางมากในทางคุณคาหรือในทาง กําลัง ดังที่กลาวแลว. ผูศึกษาไดสังเกตเห็นความแตกตางในขอนี้จริง ๆ แลว ยอม เขาใจความแตกตางระหวางฌานหนึ่ง ๆ ไดดียิ่งขึ้นไปอีก. ในที่สุดเราก็มาถึงสิ่งที่ เรียกวา วสี.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org วสี ๕ ประการ สิ่งที่เรียกวา วสี หมายถึงความชํานาญแคลวคลองวองไวในสิ่งที่จะ ตองทํา และทําไดอยางใจที่สุด. จนกลาวไดวา เปนผูมีอํานาจเหนือสิ่งนั้นโดย เด็ดขาด.
www.buddhadasa.in.th
๒๒๖
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
คํ า ว า วสี โดยพยั ญ ชนะ แปลว า ผู มี อํ า นาจ ซึ่ ง ในที่ นี้ ไ ด แ ก ค วาม มี อํ า นาจอยู เ หนื อ การกระทํ า สามารถทํ า อะไรได อ ย า งผู มี อํ า นาจ คื อ แคล ว คล อ ง วองไวไมติดขัด ไดอยางใจ. อํานาจในกรณีของการฝกสมาธินี้ มีทางมาจาก ความชํ า นาญในการฝ ก ฝน ยิ่ ง ชํ า นาญเท า ไร ก็ ยิ่ ง มี อํ า นาจมากขึ้ น เท า นั้ น ฉะนั้ น ใจความของคําวา วสี โดยสั้น ๆ ก็คือ ผูมีอํานาจแหงความชํานาญ นั่นเอง เขาเปน ผูมีความชํานาญเกี่ยวกับฌาน ในกรณีดังตอไปนี้ คือ ๑. ชํานาญในการกําหนด, ๒. ชํานาญในการเขาฌาน, ๓. ชํานาญในการหยุดอยูในฌาน, ๔. ชํานาญในการ ออกจากฌาน, และ ๕. ชํานาญในการพิจารณาฌาน ; รวมเปน ๕ ประการ ดวยกัน มีอธิบายดังนี้ :๑. ชํานาญในการกําหนด เรียกวา อาวัชชนวสี ขอนี้ไดแกความ เชี่ ย วชาญในการกํ า หนดอารมณ นิ มิ ต และองค ฌ าน ได เ ร็ ว ขึ้ น กว า แต ก าลก อ น และเร็วทันใจยิ่งขึ้นไปทุกที. วิธีฝก คือเมื่อไดปฏิบัติจนทําปฐมฌานใหเกิดขึ้นได โดยนั ย ดั ง ที่ ก ล า วแล ว ข า งต น ก็ คํ า นวณดู ว า การกํ า หนดอารมณ แ ละนิ มิ ต ต า ง ๆ กระทั่ ง ถึ ง องค ฌ านทั้ ง ๕ ของตนในหนหลั ง นั้ น ได เ ป น มาอย า งไร ใช เ วลานาน เท า ใดในการกํ า หนดอย า งหนึ่ ง ๆ และในขั้ น หนึ่ ง ๆ บั ด นี้ เ ราจะทํ า ให ดี ก ว า นั้ น และเร็ ว กว า นั้ น เพราะฉะนั้ น จะต อ งย อ นไปหั ด กํ า หนดทุ ก สิ่ ง ที่ จ ะต อ งกํ า หนดใน ลักษณะที่รวดเร็วกวาเดิม กลาวคือกําหนดลมหายใจ อยางยาว อยางสั้น ไดดี และเร็วกวาเดิ ม กําหนดผุ สนาและฐปนาทําให เกิดอุคคหนิ มิตได เร็ วกว าเดิม กํ าหนด อุ คคหนิ มิ ตให เปลี่ ยนรู ปเป นปฏิ ภาคนิ มิ ตได เร็ วกว าเดิ ม และในที่ สุ ดก็ คื อการอาศั ย ปฏิ ภาคนิ มิ ตนั้ น หน วงเอาองค ฌานทั้ งห า ให ปรากฏออกมาได ในลั กษณะที่ รวดเร็ ว กวาเดิมยิ่งขึ้นทุกที. กลาวสรุปใหสั้นที่สุดก็คือ การซอมความเร็ว ในการกําหนด อารมณ นิมิต และองคฌานนั่นเอง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
การบรรลุฌาน
๒๒๗
ในการกํ า หนดเพื่ อ ทํ า ความเร็ ว หรื อ เร ง อั ต ราความเร็ ว อย า งหนึ่ ง ๆ ในที่นี้ เมื่อเรงเร็วขึ้นมาไดอยางใด ในขั้นแรก ๆ ตองมีการกําหนดในสิ่งที่ปรากฏแลวนั้น ใหนานพอสมควร คือนานพอที่จะเห็นชัด แลวจึงคอยเลื่อนไปกําหนดสิ่งที่ถัดไป. ทั้งนี้เพื่อความมั่นคงของสิ่งที่กําหนดไดในอัตราความเร็วใหม ทําดังนี้เปนลําดับไป และเพิ่ ม ความเร็ ว ให ม ากขึ้ น ทุ ก ที จนมี ค วามชํ า นาญที่ ก ล า วได ว า รวดเดี ย วถึ ง นั บ ตั้ ง แต ก ารกํ า หนดอารมณ ทุ ก ขั้ น กํ า หนดนิ มิ ต ทุ ก ตอน จนกระทั่ ง ถึ ง องค ฌ าน ทุกองค มีผลทําใหการเจริญสมาธิในครั้งหลัง ๆ มีการกําหนดสิ่งตาง ๆ ลุลวงไป เร็วกวาเดิม และมั่นคงกวาเดิม. อุปมาที่จะชวยใหเขาใจไดงาย เชนผูฝกในการปรุงอาหาร เตรียมหา สวนประกอบตาง ๆ ที่จะเอามาปรุงกันขึ้นเปนอาหารอยางหนึ่ง : ในการทําได ครั้ ง แรกย อ มงุ ม ง า มและชั ก ช า กว า จะได ม าครบทุ ก อย า ง กว า จะทํ า ให มี ส ว นสั ด ที่ถูกตองไดทุกอยาง ก็กินเวลานาน ; แตในการปรุงอาหารอยางเดียวกันนั้น เปน ครั ้ง ที ่ ๒ ครั ้ง ที ๓ ที ่ ๔ เขาอาจจะทํ า ใหเ ร็ว ยิ ่ง ขึ ้น ทุก ที จนกระทั ่ง ครั ้ง สุดทายจริง ๆ ก็ทําไดเร็วเปนวาเลน. ทั้งนี้ มีผลเนื่องมาจากฝกกําหนดในสิ่งที่ ได ทํ า ไปแล ว ว า มี อ ะไรกี่ อ ย า ง และอย า งละเท า ไร เป น ต น นั่ น เอง จนมี ค วาม ชํานาญถึงที่สุด ก็ทําไปไดเปนวาเลน โดยปราศจากความยากลําบากหรือหนักอก หนักใจแตประการใด, ขอนี้อุปมาฉันใด การฝกกําหนด อารมณแตละตอน นิ มิ ต แต ล ะขั้ น และองค ฌ านแต ล ะองค ของบุ ค คลผู ทํ า ปฐมฌานให เ กิ ด ขึ้ น ได เปน ครั้ง แรก เพื่อ ความเชี่ย วชาญในขั้น ตอ ไป ก็มีอุป มัย ฉัน นั้น . นี้เ รีย กวา มีอํานาจในการกําหนด.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๒. ชํานาญในการเขาฌาน เรียกวา สมาปชชวสี. คําวา “เขาฌาน” ในที่ นี้ ห มายถึ ง กิ ริ ย าที่ อ าศั ย ปฏิ ภ าคนิ มิ ต แล ว หน ว งเอาองค ฌ านทั้ ง ห า ทํ า ให เกิ ด ขึ้ น โดยครบถ ว นและสมบู ร ณ ปรากฏอยู เ ป น ฌานโดยนั ย ดั ง ที่ ก ล า วข า งต น
www.buddhadasa.in.th
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
๒๒๘
อยางละเอียด. หากแตวาการทําไดในครั้งแรกนั้น เปนมาอยางชักชาและงุมงาม ฉะนั้ นจะต องฝ กให เร็ วเข าโดยอาการอย างเดี ยวกั นนั่ นเอง คื อสามารถทํ าปฏิ ภาคนิ มิ ต ใหปรากฏขึ้นฉับพลัน หนวงความรูสึกที่เปนองคฌานใหปรากฏขึ้นฉับพลัน ยิ่งกวาเดิมยิ่งขึ้น ทุ ก ที ด ว ยการขยั น ฝ ก จนกระทั่ ง ว า พอสั ก ว า คิ ด จะเข า สู ฌ านก็ เ ข า ฌานได ดั ง นี้ . เรื่ อ งที่ แ ท ก็ ไ ม มี อ ะไรมากไปกว า การทํ าของอย า งเดี ย วกั นและอย า งเดิ ม นั่ น เอง แต วาทําไดเร็วยิ่งขึ้นจนถึงอัตราเร็วสูงสุด. เมื่อเรื่องนี้เปนเรื่องทางฝายจิต ความเร็ว ก็ มี ได ถึ งขนาดชั่ วเวลาดี ดนิ้ วมื อครั้ งเดี ยวหรื อกระพริ บตาเดี ยว ก็ เข าอยู ในฌานแล ว ดังนี้เปนตน. อุ ปมาในชั้ นนี้ เปรี ยบเหมื อ นผู ปรุ งอาหารคนเดี ยวกั น ที่ เคยใช เวลาใน การปรุ ง อาหารอย า งนั้ น นานเป น ชั่ ว โมง บั ด นี้ อาจจะปรุ ง ให เ สร็ จ ได ภ ายใน ๕๐ นาที หรื อ ๔๐ นาที ๓๐ นาที ร น เข า ตามลํ า ดั บ จนถึ ง อั ต ราเร็ ว สู ง สุ ด ของการ ปรุงอาหารอยางนั้น เชนภายใน ๑๐ นาทีเปนตน. เมื่อการจัดหาเครื่องปรุงก็เร็ว และการปรุ ง ก็ เ ร็ ว ความเร็ ว ก็ เ พิ่ ม ขึ้ น ตามส ว นในการที่ จ ะได อ าหารมารั บ ประทาน; ขอนี้มีอุปมาฉันใด อาวัชชนวสี ซึ่งเปรียบเหมือนการจัดหาเครื่องปรุง และ สมาปชชวสี ซึ่งเปรียบเทียบการปรุง ก็มีอุปมัยฉันนั้น. ความสามารถเขาฌานไดเร็วทันความ ตอ งการ ในอัต ราที ่เ รีย กวา ชั ่ว เวลากระพริบ ตาเดีย วนั ้น เปน ขีด สูง สุด ของ สมาปชชสี หรือผูมีอํานาจในการเขาฌานนั้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ชํานาญในการหยุดอยูในฌาน เรียกวา อธิฏฐานวสี. คําวา “อธิษฐาน” โดยพยัญชนะแปลวา การตั้งทับ : โดยใจความ ก็คือการตั้งทับ ฌานหรือหยุดอยูในฌานนั่นเอง. ความชํานาญในการหยุดอยูในฌานนั้น หมาย ความวาสามารถหยุดอยูในฌานไดนานตามที่ตนตองการจริง ๆ. ในชั้นแรก ๆ ผูเขา ฌานไม ส ามารถจะหยุ ดอยู ในฌานได นานตามที่ ตนต อ งการ หรื อ ถึ งกั บไม สามารถ ๓.
www.buddhadasa.in.th
การบรรลุฌาน
๒๒๙
อยูไดนานดวยซ้ํา ไป : เขาจะตอ งฝกใหอ ยูใ นฌานไดนานยิ่ง ขึ้น นับ ตั้ง แต ไมกี่นาที จนถึงเปนชั่วโมง ๆ กระทั่งถึงเปนวัน ๆ มี ๗ วันเปนที่สุด : และ พรอ มกั นนั้ น ตอ งฝ กใหไ ดตามที่ ตอ งการอยา งเฉียบขาดจริง ๆ ดวย เช นจะอยู ในฌานเพี ยง ๕ นาที ก็ ใ หเ ปนเพี ย ง ๕ นาที จริ ง ๆ ไม ขาดไม เกิ นแม แต เพี ย ง วินาทีเดียวเปนตน จึงจะเรียกวามีความชํานาญไดถึงที่สุดในกรณีแหงอธิฏฐานวสี. ขอสําคัญอยูที่การกําหนดในการเขาและการออก มีความชํานาญในการเขาและ การออก. สิ่งที่เรียกวาอธิฏฐานหรือการหยุดอยูในฌานนั้น ไดแก ระยะที่มีอยู ในระหวางการเขาและการออก เพราะฉะนั้น เขาจะตองฝกใหมีความชํานาญทั้งในการ เข า และการออก จึ ง จะสามารถควบคุ ม การหยุ ด ในฌานให เ ป น ไปได ต ามที่ ต น ตองการจริง ๆ. เมื่อมีความชํานาญในการหยุดอยูในฌาน ก็ยอมหมายถึงเปน ผูชํ านาญในการเข า และการออกจากฌานอยา งยิ่ง อยู ดว ยในตัวเป นธรรมดา. การฝกในการนอนหลับชั่ วเวลาที่กําหนดไว แลวตื่นขึ้นมาไดตรงตามเวลาจริง ๆ ก็น ับ วา เปน สิ ่ง ที ่น า อัศ จรรยอ ยู แ ลว แตก ารฝก ในอธิฏ ฐานวสีห รือ การหยุด อยู ในฌานนั้น สามารถทําได เฉียบขาดกวา นั้น และนา อัศจรรยยิ่งไปกวานั้น ทั้ง นี้ เปนเพราะอํานาจของการฝกอยางเฉียบขาด จนมีความชํานาญขนาดที่เรียกวา วสี หรือผูมีอํานาจนั่นเอง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อุปมาในขอนี้ เปรียบเหมือนการบริโภคอาหาร หรือการเก็บอาหาร ไว บ ริ โ ภคอย า งไรตามที่ ต นต อ งการ ด ว ยความชํ า นาญอี ก ชั้ น หนึ่ ง หลั ง จากที่ มี ความชํานาญในการจัดหาเครื่องปรุงอาหาร และความชํานาญในการปรุง ดังที่ กลาวแลวขางตน. การหยุดอยูในฌานนานเทาใดนั้น ยอมแลวแตความมุงหมาย ซึ่งมีอยูมากมายหลายอยางดวยกัน เชนเขาฌานเพื่อแสวงหาความสุขอยูในฌาน ก็ใชเวลาที่หยุดอยูในฌานนาน หรือนานมาก ตามที่ตนตองการ, แตถาเปน การเขาฌานขั้นตนเพื่อเปลี่ยนเปนฌานขั้นสูงขึ้นไป การหยุดอยูในฌานขั้นตน ๆ
www.buddhadasa.in.th
๒๓๐
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
ขั ้น หนึ ่ง ๆ ก็ม ีเ วลานอ ยลงไปเปน ธรรมดา ยิ ่ง ถา เปน การเขา ฌานอัน เนื ่อ ง ดวยการแสดงอิทธิ ปาฏิหาริย อยางใดอยางหนึ่งดวยแลว การเปลี่ยนฌาน จะตอง เปนไปอยางรวดเร็วยิ่งขึ้นไปกวานั้นอีก. ผูที่สามารถเขาฌาน หยุดอยูในฌาน และออกจากฌานไดเร็วดังประสงค ในกรณีอยางนี้เรียกวา ผูมีอํานาจในอธิฏฐานวสี ถึงที่สุด. ๔. ชํานาญในการออกจากฌาน เรียกวา วุฏฐานวสี. ขอนี้มี พฤติก รรมตรงกัน ขา มตอ สมาปช ชวสี กลา วคือ สมาปช ชวสีเ ขา ไดเ ร็ว สว น วุฏฐานวสี ออกมาได เร็ว โดยอาการที่ กลาวไดว า ถอยหลัง กลับออกมาในทํ านอง ที่ตรงกันขามตอกันนั้นเอง. ผูที่ไมมีความชํานาญในการออก ยอมออกไดชา หรือออกไมคอยจะไดตามที่ตนตองการ จากความรูสึกที่เปนการอยูในฌาน มาสู ความรูสึกปรกติอยางสามัญธรรมดา ฉะนั้น เขาจะตองฝกในการถอยหลังกลับออก มาอยา งรวดเดีย วถึง เชน เดีย วกัน ซึ ่ง โดยพฤติน ัย ก็ไ ดแ กก ารถอยจากความรู ส ึก ที่เปนฌาน มาสูความรูสึกที่เปนองคฌาน มาเปนปฏิภาคนิมิต มาเปนอุคคหนิมิต กระทั ่ง มาเปน การบริก รรม กลา วคือ การกํ า หนดลมหายใจในขั ้น ละเอีย ด และ ขั้นปรกติธรรมดาเปนที่สุด. หากแตวาการกระทําทางจิตนี้ เมื่อฝกถึงที่สุดแลว ยอมเปนไปไดเร็วอยางสายฟาแลบ จึงเปนสิ่งที่ยากจะสังเกตวามีลําดับมาอยางไร โดยแทจริง. ทางที่ดีที่สุดนั้น ควรจะฝกมาอยางชา ๆ ทีละขั้น ๆ และอยางเปน ระเบียบดังที่กลาวแลวนั่นเอง : จากฌานสูองคฌาน จากองคฌานสูปฏิภาคนิมิต จากปฏิภาคนิมิตสูอุคคหนิมิต จากอุคคหนิมิตสูฐปนาและผุสสนาชั้นตน ๆ จากฐปนาและ ผุสนาสูการกําหนดลมหายใจสั้นยาวในขณะแหงการบริกรรม. เมื่อฝกไดอยางเปน ระเบี ย บแล ว จึ ง เร ง ให เ ร็ ว เข า ทุ ก ที จ นถึ ง เร็ ว ที่ สุ ด ที่ เ รี ย กว า แว็ บ เดี ย วถึ ง ดั ง ที่ กลาวแลว. การทําไดอยางนี้เรียกวา ผูมีอํานาจถึงที่สุดในการออกจากฌาน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
การบรรลุฌาน
อุปมาในกรณีนี้ และเปนผลดีถึงที่สุด.
๒๓๑
เหมือนกับการเลิกกินอาหารอยางมีระเบียบและรวดเร็ว
๕. ชํานาญในการพิจารณา เรียกวา ปจจเวกขณวสี ขอนี้หมายถึง ความชํานาญในการที่จะพิจารณาดูสิ่งตาง ๆ เชนลักษณะอาการ พฤติและความ สัมพันธเปนตน ที่เกี่ยวกับฌานนั้นโดยทั่วถึงอีกครั้งหนึ่ง เพื่อใหมีความแจมแจง แคลวคลองวองไวในสิ่งนั้น โดยตลอดสาย อยางทบทวนไป ทบทวนมา วิธีปฏิบัติ คือ เมื ่อ ออกจากฌานนั ้น แลว อยา เพอ ลุก จากที ่นั ่ง อยา เพอ สง ใจไปเรื ่อ งอื ่น หรือคิดเรื่องใด ๆ แตจะกําหนดพิจารณาดูสิ่งตาง ๆ ที่เกี่ยวกับฌานนั้นอยางทบทวน ไปมา คือลําดับตาง ๆ แหงการเขาฌานและการออกจากฌาน ทั้งขึ้นทั้งลองอยาง ทั่วถึงอีกครั้งหนึ่ง ; ทั้งนี้ กระทําโดยทํานองของการพิจารณาในขั้นอาวัชชนวสี นั่น เอง เป น เที่ย วขึ้ นจนถึ ง ที่ สุ ดคื อ ความเป นฌาน การหยุ ด อยูใ นฌาน หรื อ แม การเสวยสุข เนื่อ งดว ยฌานนั้น ในลัก ษณะแหง วิก ขัม ภนวิมุต ติจ นเพีย งพอแลว จึงยอนกลับลงไปตามลําดับ โดยทํานองของอาวัชชนวสีเที่ยวถอยกลับ จนกระทั่ง ถึงขณะแหงบริกรรมเปนที่สุด. การกระทําทั้งนี้ยอมเปน การตรวจดูสมาธิของ ตนเองตั้งแตตนจนปลาย ทั้งขาขึ้นและขาลง หรือทั้งเที่ยวเขาเที่ยวออกอยางละเอียด ทุก ๆ ขั้นไป เพื่อความแจมแจงยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพื่อความชํานาญยิ่ง ๆ ขึ้นไปในโอกาสหนา และมี ผ ลพิ เ ศษ เพื่ อ ความพอใจในการที่ จ ะบ ม อิ ท ธิ บ าท และอิ น ทรี ย ข องตนให แกกลายิ่ง ๆ ขึ้นไป ในการปฏิบัติธรรมขางหนาดวยอีกโสดหนึ่ง. ถาไมเชี่ยวชาญ ในวสีขอนี้ ยอมไมเปนผูคลองแคลวถึงที่สุดในวสีขออื่น ; ดังนั้น วสีขอนี้จึง เป น เหมื อ นการประมวลไว ซึ่ ง ความรู และความชํ า นาญแห ง วสี ข อ อื่ น ไว ทั้ ง หมด อยางเปนระเบียบและมั่นคงนั่นเอง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๒๓๒
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
อุปมาในกรณีนี้ เปรียบเหมือนบุคคลที่เสาะแสวงหาเครื่องปรุงอาหาร อย า งชํ า นาญ แล ว มาปรุ ง อย า ชํ า นาญ แล ว บริ โ ภคอย า งชํ า นาญ แล ว เลิ ก บริ โ ภค หรื อ ถ า ยออกอย า งชํ า นาญ และสามารถพิ จ ารณาเห็ น คุ ณ และโทษของอาหารนั้ น อยางชํานาญ ดวยการพิจารณาทบทวนไปมา จากตนไปยังปลาย จากปลาย ไปยั ง ต น ก็ ย อ มมี ค วามรู ค วามชํ า นาญในเรื่ อ งของอาหารได ถึ ง ที่ สุ ด ข อ นี้ มี อุ ป มา ฉั น ใด การกระทํ า ในขั้ น แห ง ป จ จเวกขณสี ซึ่ ง เป น ความชํ า นาญขั้ น สุ ด ยอด ก็ มี อุปมัยฉันนั้น. ทั้ งหมดนี้ เป นการฝ กในวสี ทั้ งห า ส วนที่ เกี่ ยวกั บปฐมฌาน เมื่ อ ทํ าได ถึง ที ่ส ุด แลว ก็เ รีย กวา เปน ผู ม ีค วามคลอ งแคลว ในปฐมฌาน หรือ มีป ฐมฌาน อยูในอํานาจของตัวโดยแทจริง. หลังจากนั้นก็มี การปฏิบัติในวสี ที่เปนการเลื่อนขึ้นไปสูฌานที่สูง ขึ้นไปตามลําดับ กลาวคือทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน โดยวิธีการดังที่ กลา วแลว ขา งตน ในตอนอัน วา ดว ยฌานนั้น ๆ โดยละเอีย ดแลว . วิธีฝก คื อ เมื่ อ ได ฌ านใหม ม าอี ก ขั้ น หนึ่ ง ก็ พึ ง ฝ ก ในวสี ทั้ ง ห า โดยอาการทํ า นองเดี ย วกั บ การฝ ก วสี ใ นขั้ น ปฐมฌาน ไม มี อ ะไรที่ ผิ ด กั น เลย หากแต ว า สู ง ขึ้ น หรื อ ไกลออกไป ทุก ที ๆ เทา นั ้น เมื ่อ การฝก วสีใ นปฐมฌานถึง ที ่ส ุด แลว ก็เ ริ ่ม การปฏิบ ัต ิเ พื ่อ การลุถึงทุติยฌาน ; ครั้นทําทุติยฌานใหเกิดขึ้นไดแลว ก็ฝกวสีทั้งหาในสวน ทุติยฌานสืบไป. แตวาในการฝกนั้น ตองยอนไปตั้งตนมาตั้งแตระยะตนของ ปฐมฌานด วยทุ กคราวไป กล าวคื อให มี ความชํ านาญมาตั้ งแต ต นจนปลาย เนื่ องกั น ไปตลอดสายเสมอ. อยาไดมีความประมาท ตัดลัดฝกแตตอนปลายเปนขั้น ๆ ตอน ๆ เลย เพราะเปนเรื่องของจิตเปนของเบาหวิว อาจสูญหายไปไดงาย ไมวาตอนไหน ฉะนั้น จะตองฝกไวตลอดสาย ทุกคราวไป. แมการปฏิบัติของผูใดจะไดดําเนินไปโดย
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
การบรรลุฌาน
๒๓๓
ทํ า นองนี้ จนขึ้ น ถึ ง ขั้ น จตุ ต ถฌานแล ว ก็ ต าม การปฏิ บั ติ ใ นวสี ใ นจตุ ต ถฌานนั้ น คราวหนึ่ ง ๆ ก็ จ ะต อ งย อ นไปตั้ ง ต น มาตั้ ง แต ร ะยะต น ของปฐมฌานอยู นั่ น เอง เพื่ อ “ความชํานาญตลอดสาย” และเพื่อ “ความชํานาญในการเปลี่ยนฌานที่สัมพันธกันอยู เปนลําดับ” การทําอยางนี้ นอกจากมีประโยชน ในความแตกฉานและมั่นคงในเรื่อง ของฌานแล ว ยั ง มี ป ระโยชน อ ย า งยิ่ ง ในการที่ จ ะดํ า เนิ น เข า สู ลํ า ดั บ ของสมาบั ติ ในขั้นสูง อันหากจะพึงมีขางหนาในเมื่อตองประสงค. สรุปความแหงวสีทั้งหา วา การฝกในวสีทั้งหาลําดับนี้ เปนการฝก เพื่อ ๑. ใหเกิดความชํานาญ, ๒. ใหเกิดความเร็วไว, และ ๓. ใหเกิดความได อยางใจ ; ซึ่งเมื่อรวมกันแลว ก็คือ ความมีอํานาจเหนือสิ่งนั้น หรือ ความมีสิ่งนั้น อยูในอํานาจของตน นั่นเอง ซึ่งเปนความหมายโดยตรงของคําวา “วสี”. การฝกนี้ เป น สิ่ ง ที่ จํ า เป น อย า งยิ่ ง จนถึ ง กั บ ถ า ปราศจากการฝ ก ในระบอบแห ง วสี นี้ แ ล ว สิ่ ง ตาง ๆ จะติดตันอยูพักหนึ่ง แลวกลับลมเหลวในที่สุด. ผูปฏิบัติพึงสังเกตใหเห็นความ จําเปนของการที่ตองซักซอมใหเกิดความชํานาญ ไมวาในกิจการใด ๆ. ตัวอยาง เชน ผู ฝ ก ดนตรี ฝก เพลงไดเ ปน ครั ้ง แรก เพลงหนึ ่ง หรือ เพีย งตอนหนึ ่ง ก็ต าม ถาไมขยันซอมใหชํานาญจริง ๆ แลว ไมกี่วันก็ลืม ; ยิ่งกระโดดขามไปฝกเพลง ใหมอื่นอีก ก็จะตองเลอะดวยกันทั้งสองเพลง ; ฉะนั้น นับวาเปนการฝกใหเกิด ความชํ านาญเสี ยตอนหนึ่ ง ๆ ก อน ทุ กตอน ๆ นั้ น เป นความจํ าเป นสํ าหรั บกิ จการ ทั้ ง ปวง และโดยเฉพาะอย า งยิ่ ง สํ า หรั บ การฝ ก ทางฝ า ยจิ ต โดยตรง เช น การฝ ก ฌานนี้เ ปน ตน . แมที่สุด แตเ ด็ก ๆ ที่กํา ลัง เรีย นเลขก็ยัง ตอ งซอ มการทอ ง สูต รคูณ เปน ตน ใหเ ชี ่ย วชาญไปทุก ๆ ชั ้น จึง จะเรีย นเรื ่อ ยไปได มิฉ ะนั ้น ก็ เลอะเทอะรวนเรกัน ไปหมด. นี่คือ ความชํา นาญ พรอ มกัน นั้น ก็มีผ ลเกิด ขึ้น คื อ ความไวกว า เดิ ม ยิ่ ง ขึ้ น ทุ ก ที จนถึ ง ขนาดที่ ใ ช ป ระโยชน ไ ด สํ า เร็ จ อย า งน า อั ศ จรรย
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๒๓๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
เหมือ นกับ คนงานที ่ชํ า นาญ ซึ ่ง ป น อิฐ ป น หมอ ไดไ ว จนคนธรรมดาเห็น แลว ตองตกตะลึง เพราะเขาทําไดเร็วกวาเราตั้ง ๒๐ เทา ดังนี้เปนตน. ในที่สุดจากความ ชํานาญและความไวนั้นเอง ยอมกอใหเกิดความไดอยางใจ คือ ตรงตามความประสงค อยางเต็มที่ไปเสียทุกอยางทุกทางในที่สุด ; นี้คือ ประโยชนของสิ่งที่เรียกวา วสี ๕ อยาง อันเปนสิ่งที่ผูฝกสมาธิทุกคนจะตองสนใจทําเปนพิเศษ แลวการเจริญ อานาปานสติในขั้นแหงการทํากายสังขารใหสงบรํางับ ก็จะอยูในกํามือของบุคคล นั้น ได ถึง ที่ สุด โดยไมต อ งสงสัย สามารถทํา อานาปานสติ ใ นขั้ น ที่สี่ ให ส มบู ร ณ ไดจริง ๆ ในเวลาอันรวดเร็วโดยแท.
สรุปใจความของอานาปานสติขั้นที่สี่. อานาปานสติขั้นที่สี่ มีหัวขอวา ทํากายสังขารใหรํางับอยู หายใจ เขา - ออก มีรายละเอียดดังกลาวแลวอยางยืดยาว แตก็อาจจะสรุปความเปนไป ทั้งหมดนั้นไดเปน ๔ ขั้น :-
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org (๑) ในระยะ ลมหายใจเขา - ออกอยางหยาบเปนไปอยูตลอดเวลา เพราะเธอถื อ เอาลมหายใจหยาบเป น นิ มิ ต ถื อ เอานิ มิ ต เป น อย า งดี ทํ า ไว ใ นใจ เปนอยางดี และใครครวญอยูอยางดี ในการที่จะทําใหลมหายใจอยางหยาบนั้น ดับไป. (๒) ระยะต อมา ครั้ นลมหายใจหยาบดั บไป ลมหายใจละเอี ยดตั้ งอยู แทน เพราะเธอถือ เอาเปน นิม ิต ถือ เอาอยา งดี ทํ า ไวใ นใจอยา งดี ใครค รวญ อยูอยางดี เพื่อความดับไปแหงลมอันละเอียด.
www.buddhadasa.in.th
การทํากายสังขารใหรํางับ
๒๓๕
(๓) ระยะตอมา ครั้นลมหายใจละเอียดดับไป กลาวคือไมปรากฏ ในการกํ าหนด เพราะเธอถื อเอาเพี ยงนิ มิ ตอั นเกิ ดจากลมอั นละเอี ยดไว เป นอารมณ จิตจึงไมถึงความฟุงซาน แตถึงความแนวแนถึงที่สุดดวยเหตุนั้น จนกระทั่ง… (๔) เมื่อ เปน อยูอ ยางนี้ เธอนั้นไดชื่อ วา มีภ าวนา (การเจริญ ) ถึงที่สุด ของสิ่งทั้งสี่ คือ : ๑. ของวาตุปลัทธิ, ๒. ของอัสสาสะปสสาสะ, ๓. ของอานาปานสติ, ๔. ของอานาปานสติสมาธิ ; ครบทั้ง ๔ ประการ. เมื่อเปนเชนนี้เปนอันกลาวไดวาความรํางับแหงกายสังขาร คือลมหายใจนั้น ชื่อวาปรากฏถึงที่สุดแลว. รวมความวา เมื่อยังไมไดสิ่งทั้งสี่นี้ ก็ยังไมชื่อวา เขาถึงความรํางับ แหงกายสังขารโดยแทจริง ; ตอเมื่อไดเขาถึงสิ่งทั้งสี่นี้ หรือสิ่งทั้งสี่นี้ตั้งอยู อยางสมบูรณแลว ก็จะไดชื่อวา เขาถึงความรํางับแหงกายสังขารถึงที่สุด. สําหรับ สิ่งทั้งสี่นั้น วาตุปลัทธิ คือการไดความรูเรื่องลมเพื่อทําการปฏิบัติกัมมัฏฐานภาวนา ขอนี้โดยสมบูรณ ; อัสสาสะ ปสสาสะ คือการไดลมหายใจเขา-ออกเปนไปตามที่ ต อ งการทุ ก ระยะโดยสมบู ร ณ ไม ว า จะเป น ชั้ น หยาบ หรื อ ชั้ น ละเอี ย ดประณี ต เพียงไร ; อานาปานสติ คือสติที่ไปในการกําหนดลมหายใจ เขา - ออก อยาง สมบูรณทุกขั้นทุกตอน ; อานาปานสติสมาธิ คือสมาธิที่เกิดขึ้นจากสติที่กําหนด ลมหายใจเข า -ออกอย า งสมบู ร ณ (หมายถึ ง ตั้ ง แต ป ฐมฌานขึ้ น ไป จนถึ ง จตุ ต ถ ฌาน), ถาจะเรียกอยางสั้น – ตรง ๆ ก็เรียกไดอีกอยางหนึ่งวา :
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
๒๓๖
ไดความเต็มที่ หรือเต็มเปยมของเรื่องที่จะกระทํา ๑. [ความรูเรื่องนี้] ; ไดความเต็มเปยม ของสิ่งที่ถูกทํา ๑. [ลมหายใจ] ; ไดความเต็มเปยม ของเครื่องมือที่ใชในการกระทํา ๑. [สติ] ; ไดความเต็มเปยม ของผลที่เกิดขึ้นจากการกระทํา ๑. [สมาธิ] ; รวมเป น ๔ อย า งด ว ยกั น ดั ง นี้ ซึ่ ง เป น เครื่ อ งแสดงถึ ง ลั ก ษณะแห ง ความสมบู ร ณ ของการกระทํานั้น ๆ ซึ่งในที่นี้ ไดแกการกระทําความรํางับแหงกายสังขาร. (จบอานาปานสติขั้นที่สี่ อันวาดวยการทําลมหายใจใหรํางับ)
*
*
*
สรุปความ แหง จตุกกะที่หนึ่ง จตุกกะที่หนึ่ง แหงอานาปานสติ ดังที่กลาวมาแลวแตตนจนบัดนี้ เมื่อประมวลเขาเปนหลักใหญ ๆ โดยใจความแลว ก็มีอยูวา : อานาปานสติ
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ขั้นที่หนึ่ง กําหนดลมหายใจเขา – ออก ที่ยาว, ขั้นที่สอง กําหนดลมหายใจเขา – ออก ที่สั้น, ขั้นที่สาม กําหนดลมหายใจโดยประการทั้งปวง, ขั้นที่สี่ กําหนดลมหายใจที่สงบรํางับยิ่ง ๆ ขึ้นไป จนกระทั่งถึงการบรรลุฌาน.
ขั้นแรกที่สุด เปนการกําหนดลมหายใจโดยเฉพาะเจาะจง และตามที่ เปนอยูตามธรรมชาติ กระทั่งถึงไดรับการปรับปรุงดีแลว อยูทุกขณะ, ขั้นถัดมา ไมกํ า หนดโดยลัก ษณะเฉพาะ หรือ โดยรายละเอีย ดเชน นั ้น แตไ ดกํ า หนดสิ ่ง ที่
www.buddhadasa.in.th
การทํากายสังขารใหรํางับ
๒๓๗
เรี ย กว า นิ มิ ต กล า วคื อ มโนภาพที่ เ กิ ด จากความรู สึ ก อย า งใดอย า งหนึ่ ง ที่ เ กิ ด ขึ้ น มาแทน เนื่ อ งจากการที่ ไ ด กํ า หนดลมหายใจอย า งเป น ระเบี ย บหรื อ เคยชิ น จนถึ ง ที่สุด และ ขั้นตอมา ไดผละจากการกําหนดนิมิตนั้น ไปกําหนดที่ความรูสึกอีก ประเภทหนึ่ ง ซึ่ ง เป น ผลอั นเกิ ด มาจากการกํ า หนดที่ ล ะเอี ย ดยิ่ ง ขึ้ น ทุ กที จนกระทั่ ง เปนความรํางับชั้นสูงสุดแลวเพงเฉยอยู ซึ่งเรียกวา ฌาน ในที่นี้. ลมหายใจมีอยู ตลอดเวลา แตวาคอย ๆ เปลี่ยนจากหยาบที่สุด ไปจนถึงขั้นที่ประณีตหรือละเอียดที่สุด จนไมปรากฏแกความรูสึก ซึ่งเรียกโดยโวหารวา ดับหมด ในที่นี้ ซึ่งนับวาเปนระยะสุดทาย ของจตุกกะที่หนึ่ง. ความไดเปนอยางนี้ จัดวาเปนผลอันสมบูรณของการทําสมาธิ เพียงพอ ที่จะกลาวไดวาไดลุถึง ทิฏฐธรรมสุขวิหาร กลาวคือ การเสวยสุขที่มีรสอยางเดียวกัน กับสุขอันเกิดจากนิพพานทันตาเห็น หากแตวายังเปนของชั่วคราวและกลับเปลี่ยน แปลงได. ผูที่พอใจเพียงเทานี้ก็รักษาความเปนอยางนี้ไวจนตลอดชีวิตก็มี. กอน พุทธกาล เคยมีผูบัญญัติความเปนอยางนี้ ดวยความสําคัญผิดวาเปนนิพพานไปก็มี ; ส ว นผู ที่ มี ค วามเข า ใจถู ก ต อ ง ย อ มทราบได ว า ยั ง มี สิ่ ง ที่ จ ะต อ งทํ า ให ยิ่ ง ไปกว า นั้ น เพราะเหตุ ฉะนั้ น พระผู มี พระภาคเจ าจึ งได ตรั สข อปฏิ บั ติ ที่ สู งขึ้ นไปโดยจตุ กกะอั นมี อยูในลําดับตอไป.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อยางไรก็ดี ไมควรจะลืมวา การปฏิบัติอีกสายหนึ่ง ซึ่งดิ่งไปยังการ เห็ นแจ งแทงตลอดตามแบบของป ญญาวิ มุ ตติ นั้ น ไม จํ าเป นจะต องปฏิ บั ติ ในทางจิ ต หรื อ ทางสมาธิ อ ย า งลึ ก ซึ้ ง จนถึ ง ขั้ น นี้ เ สี ย ก อ น กล า วคื อ มี ก ารปฏิ บั ติ เ พี ย งขั้ น ที่
www.buddhadasa.in.th
๒๓๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๘
เรียกวา อุปจารสมาธิ แมที่เกิดอยูเองตามธรรมชาติ แลวก็ขามไปปฏิบัติในขั้น ที่เ ปน วิปส สนาได, เพื่อ เห็น อนิจ จัง ทุก ชัง อนัต ตา อยา งแจม แจง ได. เพราะฉะนั ้น ผู ที ่ป ฏิบ ัต ิม าจนถึง ขั ้น ที ่ส ุด แหง จตุก กะที ่ห นึ ่ง แลว ก็ย ัง อาจขา ม จตุก กะที่ส อง ที่ส าม เลยไปปฏิบ ัติใ นจตุก กะที่สี ่ อัน เปน ขั้น วิปส สนาโดยตรง ก็เปนสิ่งที่ทําไดดุจเดียวกัน แตเพื่อความสมบูรณของการปฏิบัติอานาปานสติตาม แบบนี้ เราจะไดวินิจฉัยกันตามลําดับ คือจตุกกะที่สอง ที่สาม สืบไป. สวนผูที่ ประสงค จ ะลั ด ข า มไปนั้ น พึ ง ข า มไปศึ ก ษาในข อ ปฏิ บั ติ อั น กล า วไว ใ นจตุ ก กะที่ สี่ โดยตรงเถิด. อานาปานสติ จตุกกะที่ ๑ จบ
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
จตุกกะที่ ๒ - เวทนานุปสสนาสติปฏฐาน๑ (ตั้งแตการกําหนดเวทนา จนถึงการเวทนา ไมใหปรุงแตงจิต)
บั ด นี้ มาถึ ง การปฏิ บั ติ ใ นอานาปานสติ จตุ ก กะที่ ส อง ซึ่ ง กล า วถึ ง อานาปานสติอีก ๔ ขั้นเปนลําดับไป คือ ; ขั้นที่ ๕ การเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งปติ หายใจเขา – ออก ๑, ขั้นที่ ๖ การเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งสุข หายใจเขา – ออก ๑, ขั้นที่ ๗ การเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร หายใจเขา – ออก ๑, ขั้นที่ ๘ การเปนผูทําจิตตสังขารใหรํางับอยู หายใจเขา – ออก ๑, รวมเปน ๔ ขั้นดวยกันดังนี้. ทั้ง ๔ ขั้นนี้ จัดเปนหมวดแหงการเจริญภาวนา ที่พิจารณาเวทนาเปนอารมณสําหรับการศึกษา แทนที่จะกําหนดพิจารณากาย คือ ลมหายใจ ดังที่กลาวแลวในจตุกกะที่หนึ่ง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๑
การบรรยายครั้งที่ ๒๔ / ๒๘ กันยายน ๒๕๐๒
๒๓๙
www.buddhadasa.in.th
ตอนเกา อานาปานสติ ขั้นที่หา (การกําหนดปติ)
อุทเทสหรือหัวขอแหงอานาปานสติขอที่หนึ่ง แหงจตุกกะที่สอง หรือ จัดเปนขั้นที่หาแหงอานาปานสติทั้งปวงนั้น มีอยูวา :“ภิกษุนั้น ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งปติ จักหายใจ เขา ดังนี้ ; ย อมทํ าในบทศึ กษาว า เราเป นผู รู พร อมเฉพาะซึ่ งป ติ จั กหายใจ ออก ดังนี้”๑ ใจความสําคัญที่จะตองศึกษา มีหัวขอใหญ ๆ คือ ๑. การทําใน บทศึกษา, ๒. การเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งปติ หายใจเขา – ออกอยู, และ ๓. ญาณ สติ และธรรมอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นโดยสมควรแกการปฏิบัติในขั้นนี้. บัดนี้ จะไดวินิจฉัยในหัวขอที่วา “ยอมทําในบทศึกษา” เปนขอ แรกกอน. คํา วา “บทศึก ษา” ในที่นี้ ก็จํา แนกเปน ศีล สมาธิ ปญ ญา อยา งเดีย วกัน กับ ที่ก ลา วมาแลว ในอานาปานสติขั้น กอ น ๆ . แตสํา หรับ ขอ นี้ มีใ จความแตกตา งออกไปก็ต รงที ่ใ นขั ้น นี ้ มีก ารกํ า หนดปต ิ แทนการกํ า หนด ลมหายใจ. เมื่ อทํ าป ติ ให เกิ ดขึ้ นได แล ว การควบคุ มสติ ให มี ความรู สึ กต อ ป ติ นั้ นอยู โดยประการที่กําหนดไว นั่นแหละคือสิ่งที่เรียกวา บทศึกษา ในที่นี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เมื่อมีการสํารวมดวยสติใหรูสึกในปติอยูไดตลอดเวลาเทาใด ก็เปน
๑
ป ติ ป ฏิ สํ เ วที อสฺ ส สิ สฺ ส ามี ติ สิ กฺ ข ติ ;
ป ติ ป ฏิ สํ เ วที ปสฺ ส สิ สฺ ส ามี ติ สิ กฺ ข ติ
๒๔๐
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๕ การกําหนดปติ
๒๔๑
เมื่ อมี ก ารสํา รวมดว ยสติใ ห รูสึ กในปติ อ ยู ได ต ลอดเวลาเท าใด ก็เ ป น อันวามี สีลสิกขา อยางยิ่ง อยูตลอดเวลาเทานั้น เพราะวาตลอดเวลานั้นมีความ ไมเบียดเบียน และมีแตความเปนปรกติของกายและวาจาอยูเต็มตามความหมายของ คําวา สีลสิกขา. และเมื่ อ มี ก ารกํ า หนดป ติ ใ นฐานะเป น อารมณ ข องจิ ต เพื่ อ ความไม ฟุงซานเปนตนแลว ก็ชื่อวามี สมาธิสิกขา อยูอยางเต็มที่ในขณะนั้น. เพราะ จิตนั้นสงบรํางับตั้งมั่น มีอารมณเดียว และเปนจิตที่ควรแกการทําวิปสสนาเต็ม ตามความหมายของคําวา สมาธิ. และเมื่อมีการพิจารณาซึ่งปตินั้นอยู โดยความเปนของไมเที่ยง เปน ทุกข เปนอนัตตา หรือสุญญตา. ในขั้นนี้เรียกวามี ปญญาสิกขา อยูอยาง สมบูรณ ;
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org จึงเปน อันวา มีสิกขาทั้งสาม ครบถวนอยูใ นการกําหนดพิจารณาป ติ ในขั้นตาง ๆ กัน แลวแตจะเล็งถึงความหมายของคําวา สิกขา ขอไหน.
พึงทราบเสียดวยวา ความหมายของคําวา “ยอมทําในบทศึกษา”ในอา นาปานสติ ขั้ น ต อ ๆ ไป ย อ มมี อ ยู เ หมื อ นกั น ดั ง นี้ ทุ ก ๆ ขั้ น ไป โดยใจความ ผิ ด กั น อยู ต รงที่ สิ่ ง ซึ่ ง เป น อารมณ สํ า หรั บ การกํ า หนดนั้ น จะต อ งเปลี่ ย นแปลงไป ตามกรณี เชนในขั้นนี้ กําหนดปติ, สวนขั้นตอไปกําหนดความสุข, หรือขั้น ถัดไปอีก ก็กําหนดจิตตสังขาร ดังนี้เปนตน ; นี้คือนัยที่ผูปฏิบัติจะตองทําความ เข า ใจให แ จ ม แจ ง ตั้ ง แต แ รก เพื่ อ ความรู สึ ก อั น มั่ น คงกว า ตนเป น ผู มี สี ล สิ ก ขา สมาธิสิกขา และปญญาสิกขา อยางเต็มที่ตลอดเวลาแหงอานาปานสติทุกขั้นใน อันดับตอไป.
www.buddhadasa.in.th
อานาปานสติภาวนา ตอน ๙
๒๔๒
ตอไปนี้ จะไดวินิจฉัยกันในขอที่วา “เปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งปติ” คําวา ปติ แปลวา ความอิ่มใจ และหมายรวมถึงความรูสึกอยางอื่น ซึ่ง มีอาการคลายกัน ดังที่ทานใหตัวอยางไวเชน ปามุชฺช ไดแกปราโมทย, อาโมทนา ไดแก ความเบิกบาน, ปโมทนา ไดแก ความบันเทิงใจ, หาโส ไดแก ความ ราเริงหรรษา, ปหาโส ไดแก ความราเริงเต็มที่, จิตฺตสฺส โอทคฺยํ ไดแก ความ ฟูใจ จิตฺตสฺส อตฺตมนตา ไดแก ความชอบใจ เหลานี้เปนตน ; สรุปรวมก็คือ ความอิ่มอกอิ่มใจที่เกิดขึ้นจากการที่รูสึกวาตนไดทําหรือไดรับสิ่งที่ดีที่สุด ที่ตนควรจะได. สํ า หรับ ในที ่นี ้ ไดแ กป ต ิใ นการเจริญ อานาปานสติไ ดร ับ ผลสํ า เร็จ ตามลํ า ดับ ๆ นั่นเอง นับตั้งแตลมหายใจเขา – ออกที่ยาวมาทีเดียว และสมบูรณเปนปติเต็มที่ ต อ เมื่ อ รู สึ ก ว า จิ ต ของตนไม ฟุ ง ซ า น มี ค วามสงบรํ า งั บ เป น อารมณ เ ดี ย วจริ ง ๆ ; ฉะนั้ น เป นอั นกล าวได อี กอย างหนึ่ งว า สิ่ งที่ เรี ยกว าป ติ นี้ ได เริ่ มมี มาแล ว แม ตั้ งแต อานาปานสติขอที่ ๑ แหงจตุกกะที่ ๑ และสูงขึ้นเปนลําดับมา จนกระทั่งถึงขั้นที่ ๕ (คือ ขอที่ ๑ แหงจตุกกะที่ ๒ นี้) ซึ่งผูปฏิบัติจะไดเริ่มกําหนดปติโดยตรง กันจริง ๆ ในขั้นนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org การเกิดแหงปติ
อาการที่ ป ติ จ ะเกิ ด ขึ้ น มี อ ยู อ ย า งสู ง ต่ํ า กว า กั น ตามลํ า ดั บ ของการ กํ าหนดหรื อสิ่ งที่ ถู กกํ าหนด อั นสู งต่ํ า หรื อหยาบละเอี ยดกว ากั นนั่ นเอง ซึ่ งอาจจะ แบงไดถึง ๑๖ ขั้น คือ :๑. เมื่อรูสึกอยู (ปชานโต) วาจิตไมฟุงซานและเปนเอกัคคตา พรอม ด วยอํ านาจของการกํ าหนดลมหายใจยาว หรื อลมหายใจสั้ น หรื อลมหายใจของผู รู พร อ มเฉพาะซึ่ ง กายทั้ ง ปวง หรื อ ลมหายใจของผู ยั ง กายสั ง ขารให รํ า งั บ อยู ดั ง นี้ ปติยอมเกิดขึ้น ;
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๕ การกําหนดปติ
๒๔๓
๒. เมื่อกําหนดอยู (อาวชฺชโต) ซึ่งความที่จิตไมฟุงซานและเปนเอกัคคตา ดวยอํ านาจของการกําหนดลมหายใจยาว หรือ ลมหายใจสั้ น หรื อ ลมหายใจของ ผูรูพรอมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หรือลมหายใจของผูยังกายสังขารใหรํางับอยู ดังนี้ ปติยอมเกิดขึ้น ; ๓. เมื่อรูชัดอยู (ชานโต) ซึ่งความที่จิตไมฟุงซานและเปนเอกัคคตา ดวยอํานาจของการกําหนดลมหายใจยาว หรือลมหายใจสั้น หรือลมหายใจของผูรู พรอมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หรือลมหายใจของผูยังกายสังขารใหรํางับอยูดังนี้ ปติ ยอมเกิดขึ้น ; ๔. เมื่อเห็นชัดอยู (ปสฺสโต) ซึ่งความที่จิตไมฟุงซาน และเปนเอกัคคตา ดวยอํานาจของการกําหนดลมหายใจยาว หรือลมหายใจสั้น หรือลมหายใจของ ผูรูพรอมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หรือลมหายใจของผูยังกายสังขารใหรํางับอยู ดังนี้ ปติยอมเกิดขึ้น ;
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๕. เมื่อพิจารณาอยู (ปจฺจเวกฺขโต) ซึ่งความที่จิตไมฟุงซานและเปน เอกัคคตา ดวยอํ านาจของการกําหนดลมหายใจยาว หรื อลมหายใจสั้น หรือ ลม หายใจของผูรูพรอมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หรือลมหายใจของผูยังกายสังขารใหรํางับ อยูดังนี้ ปติยอมเกิดขึ้น ;
๖. เมื่ออธิษฐานจิตอยู (จิตฺตํ อธิฏหโต) (ดวยอํานาจของลมทั้ง ๔ ประเภท และขยายออกไดเปน ๘ ชนิด ดวยนับการหายใจเขาและหายใจออกเปนสอง.
แลวคูณ ๔
เปน ๘ ชนิด, ดังกลาวแลวในขอ ๑ ถึง ขอ ๕) ดังนี้ ปติยอมเกิดขึ้น ;
www.buddhadasa.in.th
๒๔๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๙
๗. เมื่อปลงจิตลงดวยความเชื่อ (สทฺธาย อธิมุจฺจโต) (ดวยอํานาจลมทั้ง ๔ ประเภท ดังที่กลาวแลวขางตน) ดังนี้ ปติยอมเกิดขึ้น ; ๘. เมื่อประคองความเพียรอยู (วิริยํ ปคฺคณฺหโต) (ดวยอํานาจลมทั้ง ๔ ประเภท ดังที่กลาวแลวขางตน) ดังนี้ ปติยอมเกิดขึ้น ; ๙ เมื่อดํารงสติอยู (สตึ อุปฏายโต) (ดวยอํานาจลมทั้ง ๔ ประเภท ดังที่กลาวแลวขางตน) ดังนี้ ปติยอมเกิดขึ้น ; ๑๐. เมื่อจิตตั้งมั่นอยู (จิตฺตํ สมาหโต) (ดวยอํานาจลมทั้ง ๔ ประเภทดังที่ กลาวแลวขางตน) ดังนี้ ปติยอมเกิดขึ้น ; ๑๑. เมื่อรูชัดดวยปญญา (ปฺาย ปชานโต) (ดวยอํานาจลมทั้ง ๔ ประเภท ดังที่กลาวแลวขางตน) ดังนี้ ปติยอมเกิดขึ้น ; ๑๒. เมื่อรูยิ่งดวยปญญาเปนเครื่องรูยิ่งอยู(อภิฺาย อภิชานโต)(ดวย อํานาจลมทั้ง ๔ ประเภท ดังที่กลาวแลวขางตน) ดังนี้ ปติยอมเกิดขึ้น ; ๑๓. เมื่อรอบรูธรรมที่ควรรอบรูอยู (ปริฺเยฺยํ ปริชานโต) (ดวยอํานาจ ลมทั้ง ๔ ประเภท ดังที่กลาวแลวขางตน) ดังนี้ ปติยอมเกิดขึ้น ; ๑๔. เมื่อละธรรมที่ควรละอยู (ปหาตพฺพํ ปชหโต) (ดวยอํานาจลมทั้ง ๔ ประเภท ดังที่กลาวแลวขางตน) ดังนี้ ปติยอมเกิดขึ้น ; ๑๕. เมื่อเจริญธรรมที่ควรเจริญอยู (ภาเวตพฺพํ ภาวยโต) (ดวยอํานาจลม ทั้ง ๔ ประเภท ดังที่กลาวแลวขางตน) ดังนี้ ปติยอมเกิดขึ้น ; ๑๖ เมื่ อทํ าใหแจงซึ่งธรรมที่ ควรทํ าใหแจงอยู (สจฺฉิ กาตพฺ พํ สจฺฉิ กโรโต) (ดวยอํานาจลมทั้ง ๔ ประเภท ดังที่กลาวแลวขางตน) ดังนี้ ปติยอมเกิดขึ้น ;
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๕ การกําหนดปติ
๒๔๕
ทั้งหมดนี้ แตละอยาง ๆ ยอมแสดงถึ งตนเหตุ ที่ปติจะเกิดขึ้นด วยกันทั้ ง นั้น และมี อธิบายโดยสังเขป ดังตอไปนี้ :ขอ ๑ ถึงขอ ๕ ปติเกิดขึ้นเพราะอาศัยการกําหนดทําความรูสึก ที่ ความไมฟุ ง ซา น หรือ ความมีอ ารมณอ ัน เดีย วของจิต ซึ ่ง มีขึ ้น ดว ยอํ า นาจลม ๔ ประเภท หรือ ๘ ชนิด คือลมหายใจยาว ทั้งเขาและทั้งออก, ลมหายใจสั้น ทั้งเขาและทั้งออก, ลมหายใจในขณะที่เปนความรูสึกตัวทั่วพรอมซึ่งกายทั้งปวง ทั้งเขาและทั้งออก, และลมหายใจในขณะที่ทํากายสังขารใหรํางับอยู ทั้งเขา และทั้งออก. ขอนี้หมายความวา ในการกําหนดลมทั้ง ๔ ประเภทนั้น ปติ อาจจะเกิดขึ้นในขณะที่กําหนดลมประเภทไหนก็ได. สําหรับการกําหนดนั้นเลา ทานแบงออกเปน ๕ วิธี หรือ ๕ ลําดับดวยกัน ตามที่ระบุไวในขอ ๑ ถึงขอ ๕ มีอ าการสูง ต่ํ า หรือ หยาบประณีต ตา งกัน เปน ลํ า ดับ ขึ ้น ไปคือ กํ า หนดรวม ๆ ทั่ว ๆ ไป เรียกวา ปชานนํ ; ที่สูงไปกวานั้นก็คือ การกําหนดเจาะจงลงไป เรียกวา อาวชฺชนํ ; ที่สูงขึ้นไปอีก คือทําความรูแจง เรียกวา ชานนํ ; ที่เปน การเห็นแจง เรียกวา ปสฺสนํ ; และที่เปนการพิจารณาโดยละเอียดเฉพาะ เรียกวา ปจฺจเวกฺขณํ ; ตามลําดับ ๆ รวมเปน ๕ อยางดวยกันดังนี้. ทั้ง ๕ อยางนี้ ตอ งกําหนดเพงเล็ งไปยังความเปนสมาธิของจิตกอ น แลว จึงเกิดมีปติขึ้ น ไดดวยกันทั้ง ๕ ลําดับ แตมีคุณสมบัติสูงต่ํากวากัน ตามอาการที่กําหนด หยาบ หรือ ละเอียด กวากันนั่นเอง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ขอ ๖ อธิษฐานจิตอยู. ในที่นี้หมายถึงการทําจิตใหมุงเฉพาะตอ คุณ ธรรมเบื ้อ งสูง ดว ยการปก ใจแนว แนใ นธรรมนั ้น ๆ ขอ ใดขอ หนึ ่ง โดย ไปเปลี่ยนแปลง. ในที่นี้ไดแกมุงตอความสงบรํางับในขั้นสมาธินี้. ปติเกิดขึ้น เพราะการตั้งจิตสําเร็จในขณะนั้น.
www.buddhadasa.in.th
๒๔๖
อานาปานสติภาวนา ตอน ๙
ขอ ๗ ถึงขอ ๑๑ หมายถึง อาการของอินทรียทั้งหาแตละอยาง ๆ ดําเนินไป ไดเต็มตามความหมาย จึงเกิดปติขึ้น กลาวคือ ขอ ๗ หมายถึงการปลงความเชื่อลง ไปไดใ นการกระทํา ของตน วา เปน สิ่ง ที่เ ปน ที่พึ่ง ไดแ นน อน จึง เกิด ปติขึ้น ; ข อ ๘ หมายถึ ง เมื่ อ เกิ ดความกล าหาญพากเพี ยรยิ่ งขึ้ น เพราะอํ า นาจความพอใจ ในความเชื่ อ หรื อ พอใจในการปฏิ บั ติ หรื อ เพราะอํ า นาจของป ติ ใ นกาลก อ นแต นี้ นั่นเอง, ปติเกิดขึ้น ; ขอ ๙ หมายถึงเมื่อดํารงสิตของตัวไดเปนที่พอใจ คือ ควบคุม สติไ ดต ามที ่ต อ งการ ไมว า จะเปน การปฏิบ ัต ิใ นการกํ า หนดลมขั ้น ไหน, ปติเกิดขึ้น ; ขอ ๑๐ หมายถึงความรูสึกวาตนสามารถทําจิตใหเปนสมาธิได ทําให เกิดปติขึ้น ; ขอ ๑๑ หมายถึงปติที่เกิดมาจากความรูวาตนสามารถทําปญญาใหเกิด ขึ ้น ได และรู ช ัด ดว ยปญ ญานั ้น ถึง ลัก ษณะทุก ประการอัน เนื ่อ งดว ยลมหายใจ ๘ ชนิดนั้น. ทั้ง ๕ ขอนี้ ก็เปนไปโดยอาศัยลมทั้ง ๘ ชนิดนั้นเหมือนกัน แตวา เปนคุณธรรมที่สูงหรือประณีตยิ่งขึ้นมาตามลําดับ ๆ. ขอ ๑๒ หมายถึงความรูที่ยิ่งขึ้นไปกวาความรูที่กลาวแลวในขอ ๑๑ คื อ รู น อกเหนื อ ไปจากลั ก ษณะที่ เ กี่ ย วเนื่ อ งกั น อยู กั บ ลมหายใจ กล า วคื อ รู ธ รรมที่ เปนไปเพื่อความดับทุกขโดยตรงยิ่งขึ้น หรือกวางออกไป, ปติจึงเกิดขึ้น ;
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ขอ ๑๓ ถึงขอ ๑๖ ทั้ง ๔ ขอนี้ เปน ความรูที่แลนไปในทางของอริยสัจจ โดยตรง กลาวคือ ขอ ๑๓ เปนการรูแจงในเรื่องของความทุกขในฐานะที่เปนเรื่อง ที่ควรรูอยางชัดแจงวาเปนทุกขอยูอยางไร และเปนทุกขจริง ๆ ปติเกิดขึ้นเพราะ พบสิ่งที่เปนตัวการสําคัญ และมีหวังที่จะละ. ข อ ๑๔ เป น ความรู เ รื่ อ งเหตุ ใ ห เ กิ ด ทุ ก ข โดยเฉพาะคื อ กิ เ ลสทั้ ง ปวง ล วนแต เป นเหตุ ให เกิ ดทุ กข และเป นสิ่ งที่ ควรละ และตนกํ าลั งละอยู หรื อละได แล ว เช น ในขณะที่ กํ า ลั ง เจริ ญ อานาปานสติ อ ยู นี้ ก็ เ ป น การรู สิ่ ง ควรละ และเป น การ ละสิ่งที่ควรละนั้น พรอมกันอยูในตัว ปติจึงเกิดขึ้น.
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๕ การกําหนดปติ
๒๔๗
ขอ ๑๕ เปนการรูถึงสิ่งที่ควรทําใหเกิดมี ที่ตนกําลังทําใหมี หรือได ทําใหมีขึ้นแลว. สิ่งที่กลาวนี้ไดแกทางแหงความดับทุกข ซึ่งสามารถตัดตนเหตุ ของความทุกขนั้น ๆ ได เชนในขณะที่กําลังเจริญอานาปานสติขั้นนี้อยู กิเลสบาง ประการระงับไป หรือละไป ความทุกขบางอยางที่มาจากกิเลสนั้นโดยตรงก็ดับไป เปนตนเหตุใหรูวาการปฏิบัติอยางนี้เปนการดับทุกขไดจริง. เมื่อรูถึงความจริงขอ นั้น ปติยอมเกิดขึ้น. สวนขอ ๑๖ นั้น หมายถึงการรูสิ่งที่ควรกระทําใหแจง กลาวคือตัว ความดับทุกข หรือภาวะแหงความดับทุกขสิ้นเชิง ซึ่งมักเรียกกันวา นิโรธ หรือ นิพพาน หรืออื่น ๆ อีก เชนวิมุตติเปนตน. การปฏิบัติอยูนี้ หมายถึงการที่เมื่อ ปฏิบัติอยูอยางนี้ นิวรณไมรบกวน โดยประการทั้งปวง, กิเลสบางอยางถูกละไป, ภาวะแหงความไมมีทุกขเลยปรากฏขึ้นโดยสมควรแกการละไปของกิเลสอยางชัด แจง. เมื่อมีความรูสึกตอภาวะแหงความไมมีทุกขเลย แมเปนของชั่วขณะปติก็ เกิดขึ้น. การกําหนดรู แมทั้ง๔ ประการนี้ ก็ยังคงอิงอาศัยลมหายใจ ๘ ชนิด ดังที่กลาวแลวอีกนั่นเอง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สรุปความวา อาการที่ปติจะเกิดขึ้นทั้ง ๑๖ อาการนี้ แมจะมีความ สูงต่ํากวากันอยางมากเพียงไร ก็ลวนแตอิงอาศัยลมหายใจเขา – ออกดวยกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นทานจึงกลาวเปนหลักวา “รูพรอมเฉพาะซึ่งปติ หายใจเขา – หายใจออกอยู” ดังนี้. ปติทุกชนิดในที่นี้ลวนเปนอารมณของอานาปานสติในขั้นนี้. ผูปฏิบัติ พึงฝก พึงทําใหเกิดขึ้นตามลําดับ และสมบูรณ จักไดชื่อวาเปนผูทําเต็มที่ในบท แหงการศึกษา กลาวคือ อานาปานสติขั้นที่หานี้.
www.buddhadasa.in.th
อานาปานสติภาวนา ตอน ๙
๒๔๘
การดําเนินการปฏิบัติตอปติ๑ การดําเนินการปฏิบัติใหกาวหนาตอไป โดยอาศัยปติทั้งหลายที่เกิดขึ้น เปนอารมณนั้น มีกรรมวิธีดังตอไปนี้ :ก. การรูพรอมเฉพาะซึ่งปติ เมื่อผูปฏิบัติไดทําใหปติเกิดขึ้นโดย อาการอยางใดยอยางหนึ่ง ในบรรดาอาการทั้ง ๑๖ อยางดังกลาวแลว ปรากฏชัด อยูในใจ อยูทุกขณะลมหายใจเขา – ออก ดังนี้แลวไดชื่อวา ผูนั้นเปนผูรูพรอม เฉพาะซึ่ ง ปติ หรื อ กล า วอี ก อยา งหนึ่ ง ก็ วา ป ติ เป น สิ่ ง ซึ่ งผู ป ฏิ บั ติ รู พร อ มเฉพาะ แลว. แตใจความสําคัญที่จะตองวินิจฉัย นั้น มีอยูวา การรูพรอมเฉพาะตอปตินั้น มีการรูซึ่งอะไรอีกบาง ? และรูดวยอาการอยางไร ?และมีอะไรเกิดขึ้นสืบตอไปจากการรูนั้น ? ซึ่งจะมีผลเปนความดับทุกขอยางใดอยางหนึ่งในที่สุด เต็มตามความหมายของการ ปฏิบัติขั้นนี้. คําตอบยอมมีดังตอไปนี้ :เมื่อปติเปนสิ่งที่ปรากฏชัดแลว โดยอาการอยางใดอยางหนึ่ง ในบรรดา อาการ ๑๖ อยางดังที่กลาวแลวขางตนดวยอํานาจของลมหายใจเขา – ออกที่เปนไป อยู ยอมกลาวไดวา เวทนาปรากฏ. ปติที่ตั้งอยูนั้นเอง ชื่อวาเวทนาในที่นี้ เพราะเปนสิ่งที่ถูกรูสึกโดยบุคคล ในฐานะที่เปนความรูสึกอยางหนึ่ง. ชื่อของปติ ถูกยักไปสูคําวาเวทนา เพื่อประโยชนแกการบัญญัติในทางธรรมอันสะดวกแกการ สั่งสอนเปนตน และโดยเฉพาะก็คือ ไมใหคําที่เปนคําสําคัญสําหรับการบัญญัติ หมวดหมูแหงธรรมะ มีมากคําเกินไป. แมคําวา “สุข” ซึ่งกลาวถึงในอานาปานสติ ชั้นที่ ๖ เปนตน ก็จะถูกจัดรวมเขาในคําวาเวทนานี้. นี้คือความหมายของ คําวา เวทนา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๑
การบรรยายครั้งที่ ๒๕ / ๒๙ กันยายน ๒๕๐๒
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๕ การกําหนดปติ
เมื่อถามวาเวทนาในที่นี้ปรากฏจากอะไร ? ลมหายใจเขา – ออก.
๒๔๙
ยอมกลาวไดวาปรากฏจาก
เมื่อถามวาปรากฏดวยอะไร ? ยอมตอบไดวา ปรากฏดวยสติ ซึ่งเปน เครื่องกําหนด. เมื่อถามวาการกําหนดนั้นไดแกอาการเชนไร ? ยอมตอบไดวา การ กําหนดมีอยูเปน ๒ อยาง คือ กําหนดในฐานะเปนอารมณ หรือเปนนิมิต เพื่อให จิตรวมเปนจุดเดียว เพื่อความเปนสมาธินี้อยางหนึ่ง, สวนอีกอยางหนึ่งเปนการ กําหนดในฐานะเปนลักษณะ คือมองใหเห็นความจริงวาสิ่งนั้น ๆ เปนอยางไร เชนวา สิ ่ง นั ้น ๆ ไมเ ที ่ย ง เปน ทุก ข เปน อนัต ตา ดัง นี ้เ ปน ตน เพื ่อ ใหเ ห็น ลัก ษณะ ตามที่เปนจริงของเวทนานั้น อันเปนไปเพื่อปญญา ไมใชเพื่อสมาธิ เพราะฉะนั้น สติจึงทําหนาที่ของญาณไปดวยในตัว คือการกําหนดเพื่อใหรูลักษณะ เมื่อมีการ รูลักษณะก็เทากับมีญาณเกิดขึ้น ; เพราะฉะนั้น การปฏิบัติในขั้นนี้ จึงมีทั้งสติ และทั้งญาณ ซึ่งทําใหกลาวไดสืบไปวา การรูพรอมเฉพาะซึ่งปติ นั้น ก็คือรูทั้งดวยสติ และทั้งญาณที่มีตอเวทนานั่นเอง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สรุปความวา เวทนาอันเกิดจากการกําหนดลมหายใจ เปนสิ่งที่ ปรากฏ : สวนสติทําหนาที่เปนอนุปสสนาญาณ คือเปนตัวกําหนด เปนตัวรู และตัว รูสึก ไปดว ยเสร็จ . คํา วา เวทนา แมวา จะแปลวา รู หรือ รูสึก ก็ต าม หาใช เ ป น ตั ว สติ ไ ม เป น แต สิ่ ง ที่ ป รากฏเพื่ อ การได กํ า หนดสติ ซึ่ ง ทํ า หน า ที่ เ ป น
www.buddhadasa.in.th
๒๕๐
อานาปานสติภาวนา ตอน ๙
ญาณพรอมกันไปในตัว ผูปฏิบัติไดทําการ “ตามเห็น” ซึ่งเวทนานั้น ดวยสตินั้น ดวยญาณนั้น การกระทําอยางนี้เรียกวาภาวนาชนิด “สติปฏฐานภาวนา” ; และเนื่ อ งจากสติ ทํ า หน า ที่ พิ จ ารณาเวทนา จึ ง ได ชื่ อ เต็ ม ว า “เวทนานุ ป ส สนา สติปฏฐานภาวนา” ; และเนื่องจากภาวนานี้ เปนไปในปติตาง ๆ กัน ซึ่งเกิดขึ้น โดยอาการ ๑๖ ดังที่กลาวแลว ทานจึงเรียกชื่อการปฏิบัตินี้วา “เวทนานุปสสนา สติปฏฐานภาวนา ในเวทนาทั้งหลาย” ดังนี้. สิ่งที่จะตองพิจารณาตอไปก็คือ ผู ป ฏิบ ัต ินั ้น จะทํ า อนุป ส สนา กลา วคือ การตามเห็น ซึ ่ง ปต ิ หรือ เวทนานั ้น ดว ย สตินั้นหรือดวยญาณนั้น ดวยอาการอยางไร ? ข. การทําอนุปสสนาในปติ ในที่นี้ คือการตามเห็นซึ่งปติอันตั้งอยู ในฐานะเปนเวทนาอยางหนึ่งในที่นี้นั้นเอง. ขอนี้หมายถึง การพิจารณาใหเห็น ธรรมลักษณะ ของปตินั้น ไมใชพิจารณาอยางเปนองคฌานอยางในขั้นที่แลวมา ดังในอานาปานสติขั้นที่สี่. การพิจารณาใหเห็นธรรมลักษณะ หรือที่เรียกวา อนุปสสนา ในที่นี้ จําแนกเปน ๗ ระยะ ดวยกัน ดังจะไดพิจารณากันโดย ละเอี ย ด เพราะเป น สิ่ ง ที่ มุ ง หมายโดยตรงของการเจริ ญ อานาปานสติ นั บ ตั้ ง แต ขั้นนี้เปนตนไป คือ :-
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อนุปสสนาขั้นที่ ๑ คือการพิจารณาใหเห็นเวทนาหรือความรูสึกที่เปน ปตินั้น โดยความเปนของ ไมเที่ยง มิใชโดยความเปนของเที่ยง. เมื่อเห็นโดย ความเปนของไมเที่ยงอยู ยอมละนิจจสัญญา คือความสําคัญวาเที่ยงเสียได.
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๕ การกําหนดปติ
๒๕๑
อธิบายวา เมื่อผูปฏิบัติคอยเฝาติดตามกําหนดในเวทนาอยู ดวยการ กระทําในใจที่แยบคาย คืออยางละเอียดและถูกตอง ยอมสังเกตเห็นความ ไมเที่ยงโดยประการทั้งปวงของเวทนานั้น ไมมีทางที่จะเห็นวาเปนของเที่ยง ไปไดเลย ; แมจะเคยสําคัญวาเปนของเที่ยงมาแตกาลกอน ก็ยอมเกิดความ เขาใจถูกตองขึ้นในบัดนี้ วาเวทนาเปนสิ่งที่ไมเที่ยง จึงกลาววาจะละนิจจสัญญาได. สิ่งที่จะตองสังเกตไวเปนพิเศษ ตั้งแตบัดนี้ เพื่อความเขาใจการ ปฏิ บั ติ ธ รรมอย า งแจ ม แจ ง สื บ ไป ก็ คื อ ข อ ที่ จ ะต อ งสั ง เกตให เ ห็ น ว า เพี ย งคํ า ว า “เห็นความไมเที่ยง แลวละความสําคัญวาเที่ยงเสียได” เทานั้น มันหมายความกวาง ขวางไปถึงการเกิดของธรรมะเหลาอื่นซึ่งเกิดพรอมกันไปในตัว หรือเจริญงอกงาม ยิ่งขึ้นไปกวาเกา พรอมกันไปในขณะนั้น . ธรรมที่ก ลาวนั้น คือ สิ่งที่เรียกวา อิน ทรีย พละ โพชฌงค มรรคมีอ งคแ ปด และธรรมอื ่น ๆ อีก หลายหมวด ดวยกัน แลวแตจะมองกันในแงไหน ; ไมใชมีความหมายงาย ๆ สั้น ๆ ลุน ๆ แตเพียงวา “เห็นความไมเที่ยง แลวก็ละความสําคัญวาเที่ยงเสียได” ก็หามิได. ขอ นี้ จ ะวิ นิ จ ฉั ย กั นข า งหน า ว า อาการเพี ย งเท า นั้ น จะเรี ย กร อ งมาซึ่ ง การเกิ ด แห ง ธรรมทั้ ง หลาย ตั้ ง มากมายได อ ย า งไรกั น . การที่ นํา กล า วเพี ย งเท า นี้ ก อ น ก็ เ พื่ อ เป น เครื่ อ งช ว ยให ผู ศึ ก ษาทราบว า ความหมายของคํ า หรื อ ประโยคที่ สั้ น ๆ ลุ น ๆ นี้ มั น มิ ไ ด มี อ ยู อ ย า งสั้ น ๆ ลุ น ๆ เหมื อ นประโยคหรื อ คํ า ที่ สั้ น ๆ ลุ น ๆ เหลา นั ้น เลย แตม ัน มีค วามหมายลึก ซึ ้ง และคาบเกี ่ย วกัน กับ ธรรมอื ่น อยา ง กวางขวาง. ถายังเขาไมถึงความลึกซึ้ง หรือความกวางขวางขอนี้ ก็อยาเพอ
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๒๕๒
อานาปานสติภาวนา ตอน ๙
ถือวาเปนผูเห็นความไมเที่ยง หรือละความสําคัญวาเที่ยงเสียไดเลย. เราพา กัน ฉงนตอ การปฏิบัติ วา ทํา ไมมัน จึง มืด มนและตายดา น หรือ รูก็รูอ ยา งทอ งจํา ไมรูสึกดวยใจจริงวามีแสงสวาง หรือละกิเลสได ทั้งนี้ ก็เนื่องจากการที่เราไมทําการ ศึกษาพินิจพิจารณา และปฏิบัติอยางแยบคาย โดยนัยที่กลาวนี้. สรุปความเฉพาะขอนี้วา การเห็นความไมเที่ยงนั้น ตองเห็นในตัวเวทนา จริง ๆ จนกระทั่งเกิดความเบื่อหนาย คลายกําหนัดไดจริง จึงจะเรียกวาเห็นความไมเที่ยง หรือละความสําคัญวาเที่ยงเสียได. นัยแหงคําอธิบายในขอนี้ พึงนําไปใชกับ ขออื่นที่ถัดไปดวยทุกขอ. อนุปสสนาขั้นที่ ๒ คือการตามเห็นเวทนาเหลานั้น โดย ความเปน ทุกข ไมใชโดยความเปนสุข. เมื่อเห็นอยูโดยความเปนทุกขยอมละสุขสัญญา คือความสําคัญวาสุขเสียได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เกี่ย วกับ ขอ นี้ พวกที ่เ ปน นัก ศึก ษาลว น ๆ และโดยเฉพาะอยา งยิ ่ง ผูแรกศึกษาที่ยังไมเคยปฏิบัติจะเกิดความฉงนวา สิ่งที่เรียกวาปตินี้เปนความสุข จะใหมองเห็นเปนทุกขไดอยางไรกัน ก็เลยสงสัยและเขาใจไมได. สวนเปนผูที่ ปฏิบัติโดยตรง และปฏิบัติมาโดยลําดับ ๆ มาจนถึงขั้นนี้ จะไมประสบปญหาหรือ เกิดความฉงนเชนนั้น เพราะอํานาจของปญญาที่สองลงไปลึกซึ้งยิ่งกวาอํานาจของ ความรูที่เกิดมาจากการศึกษา : กลาวโดยยอก็คือ เมื่อพิจารณาเห็นความไมเที่ยง เปนมายาหลอกลวงของเวทนาแลว ย อมเกิดความสลดสั ง เวช ความเบื่อ หนา ย ตอ เวทนานั ้น อยา งยิ ่ง จึง เห็น ลัก ษณะแหง ความทุก ข ซึ ่ง มีอ ยู ใ นเวทนานั ้น หรือ เกิดจากเวทนานั้นไดพรอมกันไปในตัว ; เขาจึงเห็นชัดซึ่งความทุกขของ เวทนานั้นอยางชัดแจง คือเห็นดวยความรูสึกที่กําลังเกิดอยูในใจโดยแทจริง ไมใช รูเอาดวยความคิด ๆ นึก ๆ อยางพวกนักศึกษา.
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๕ การกําหนดปติ
๒๕๓
นี่ แ หละคื อ ข อ ที่ ก ล า วว า สิ่ ง ที่ ใ ห เ กิ ด ความฉงนและติ ด ตั น แก นั ก ศึ ก ษา นั้น หาไดเปนสิ่งที่ทําใหเกิดความฉงนและติดตันแกนักปฏิบัติไม. โดยสวนใหญ นั ก ปฏิ บั ติ ย อ มปฏิ บั ติ ไ ปได โ ดยไม ต อ งมี ก ารศึ ก ษามากมาย เพราะมั น ไม มี ป ญ หา นอกลูนอกทาง ชนิดที่อาจจะเกิดขึ้นแกนักศึกษาอยางไมมีที่สิ้นสุด ; ฉะนั้น คํ า ว า เห็ น สุ ข เวทนาโดยความเป น ทุ ก ข จึ ง เป น คํ า กล า วที่ ถู ก ต อ งและเข า ใจได เฉพาะในวงของนักปฏิบัติเทานั้น. เมื่อเห็นอยูดังนี้ สิ่งที่เรียกวาสุขสัญญายอม ละไปในตัวมันเอง. อนุ ป ส สนาขั้ น ที่ ๓ คื อ การตามเห็ น เวทนาเหล า นั้ น โดยความเป น อนัตตา หาใชโดยความเปนอัตตาไม. เมื่อเห็นอยูโดยความเปนอนัตตา ยอม ละอัตตสัญญา คือความสําคัญวาตัวตนเสียได. คํ าอธิ บายข อนี้ อธิ บายได โดยง ายในเมื่ อทํ าให เนื่ องกั นกั บ ๒ ข อข างต น กล า วคื อ เมื่ อ เวทนาได แ สดงอาการของความไม เ ที่ ย ง และความเป น ทุ ก ข อ อกมา อย า งชั ด แจ ง แล ว ความรู สึ ก ก็ เ ดิ น เลยหรื อ เดิ น ต อ ไปได เ องว า เมื่ อ มั น เป น อย า งนี้ แล ว จะไปยึ ดถื อไดที่ ตรงไหนกั น ว ามั นเป นของเราหรือวามันเปนตัวมันเองก็ ตาม : ถามันเปนตัวของมันเองจริง ๆ มันก็ตองไมเปลี่ยนแปลงไปตามความปรุงแตงของเหตุ ปจจัย ; และถามันเปนสิ่งที่สมควรจะเรียกวา “ของเรา” ได มันตองไมทําความ ทุ กข ให เกิ ดขึ้ นแก เรา หรื อไม ทํ าความสลดสั งเวชระอาใจให แก เราผู เข าไปพิ จารณา เห็นอยูอยางนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ขอย้ํ า อี ก ครั้ ง หนึ่ ง ว า การเห็ น อนั ต ตาในลั ก ษณะอย า งนี้ ยิ่ ง มี ไ ด ย าก แกผูที่เปนเพียงนักศึกษาลวน ๆ ยิ่งขึ้นไปอีก. ทั้งนี้ มีมูลมาจากการที่ไมสามารถ มองเห็น โดยความเปน ทุก ขม าแลว ในขั ้น กอ นนั ่น เอง ความรู ส ึก วา เปน อนัต ตา จะต อ งมาจากความรู สึ กว าเป นทุ กข จริ ง ๆ เช นเดี ยวกั บความรู สึ กว าเป นทุ กข จริ ง ๆ
www.buddhadasa.in.th
๒๕๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๙
จะต อ งมาจากความไม เ ที่ ย งจริ ง ๆ อย า งเดี ย วกั น ลํ า พั ง ความรู ที่ ม าจากการคิ ด ค น คํานวณตามเหตุผล เปนตนนั้น ไมทําใหเขาถึงสิ่งนั้นได กลาวคือ ไมอาจทําใหเกิด ความรูสึกเชนนี้ขึ้นมาได. โดยเหตุนี้ ยอมเปนการชี้ใหเห็นอยูในตัววา อยูเฉย ๆ ก็จะโผลออกมาศึกษาเรื่องอนัตตาโดยคิดเอา ๆ นั้น เปนสิ่งที่ไมไดผลในทางที่ จะทําลายกิเลส จะไดผลก็เพียงแตความรูสําหรับคิด หรือสําหรับพูดสําหรับสอน กันมาก ๆ เทานั้นเอง. จากการปฏิบ ัต ิเ ทา ที ่เ ราไดว ิน ิจ ฉัย กัน มาแลว ยอ มแสดงใหเ ห็น ชัด อยู แ ล ว ว า เขาจะต อ งมี จิ ต ที่ ไ ด รั บ การฝ ก ฝนมาก อ นแล ว เป น อย า งดี คื อ เป น สมาธิ หรื อ เป น ฌาน เป น จิ ต ที่ ไ วหรื อ คล อ งแคล ว ต อ การซึ ม ทราบและการรู แ จ ง แทงตลอด อยางนยิ่งมาแลว แลวจึงหยิบสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมาพิจารณา ; และสิ่งที่หยิบขึ้นมา พิจ ารณานั ้น ตอ งเปน สิ ่ง ที ่ป รากฏหรือ รู ส ึก แจม ชัด อยู ใ นใจจริง ๆ เชน สิ ่ง ที่เรียกวาปติ หรือเวทนาในที่นี้นั่นเอง ; จะใชวัตถุภายนอกหาไดไม. ฉะนั้น เขาจึงจําเปนอยางยิ่งที่จะตองทําปติ หรือ เวทนาชนิดนี้ ใหปรากฏอยูกับใจจริง ๆ ขึ้นมาใหได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทําไมจึงตองใชคําวา “เวทนาชนิดนี้” ดวยเลา ? ทั้งนี้ เพราะวาเวทนา ชนิด ที ่อ าศัย กามเปน ตน นั ้น ไมส ามารถนํ า มาใชเ ปน วัต ถุสํ า หรับ การพิจ ารณา ในทํ า นองนี ้ไ ด จะตอ งใชเ วทนาเชน ปต ิที ่อ าศัย ธรรมะ หรือ อาศัย เนกขัม มะ กลาวคือ ไมเกี่ยวกับกามเลย มาเปนตัวสิ่งที่จะถูกพิจารณา ; เพราะฉะนั้น เขาจึง จําเปนจะตองสราง “ปติชนิดนี้” ขึ้นมาใหไดเสียกอน ดวยการปฏิบัติอีกระบบหนึ่ง ให มั น เกิ ด ขึ้ น มาในใจได จ ริ ง ๆ ไม ใ ช พู ด เอาด ว ยปากของนั ก ศึ ก ษาว า ป ติ เ ป น อยางนั้นปติเปนอยางนี้ ซึ่งมันเปนปติลม ๆ แลง ๆ ไมใชปติตัวจริง. ปติชนิดนั้น ไม แ สดงลั ก ษณะแห ง อนิ จ จั ง ทุ ก ขั ง อนั ต ตา ที่ แ ท จ ริ ง ได เพราะมั น เป น เรื่ อ งที่
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๕ การกําหนดปติ
๒๕๕
พู ด กั น ข า งนอก มิ ไ ด เ ป น ตั ว ความรู สึ ก ที่ กํ า ลั ง เกิ ด อยู ใ นภายใน มั น จึ ง ไม ส ามารถ ทํ า ใหก รรมวิธ ีข องการเห็น อนิจ จัง ทุก ขัง อนัต ตา เปน ไปไดอ ยา งที ่เ ราตอ งการ ในที่นี้ คือใหเปน สิ่งที่รูสึก ดวยความรูสึก, ซึบซาบอยูดวยความรูสึก, เปลี่ยนแปลง ไปตามความรูสึก และเปลี่ยนความรูสึกหนึ่ง ๆ ใหเปนความรูสึกอยางอื่น ๆ ไปตามลําดับ จนกระทั่ งถึ งความเบื่ อหน ายคลายกํ าหนั ด ชนิ ดที่ นํ าไปสู การบรรลุ มรรคผลในที่ สุ ด. ทั้ งหมดนี้ เป นสิ่ งที่ ต องทํ าความเข าใจ เพื่ อให เห็ นความแตกต างระหว างคํ าว า การ ศึกษาลวน ๆ และคําวา การปฏิบัติอยางแทจริง วาทั้งสองอยางนี้มันมิใชสิ่งที่ใช แทนกันไดเลย. เมื่ อ รู สึ ก ในความเป น อนั ต ตาของเวทนาได อ ย า งแท จ ริ ง โดยนั ย ดั ง ที่ กล า วแล ว กิ เ ลสหรื อ สิ่ ง ที่ เ รี ย กว า อั ต ตสั ญ ญา ย อ มละไปในตั ว เอง โดยไม ต อ ง เจตนา. การที่จะละขาดเลยหรือละชั่วคราวนั้น ยอมแลวแตกําลังของความเห็น แจง วามีอยูมากนอยเพียงไร. ถาละขาดเลย ก็หมายถึงความเปนพระอรหันต. ในขณะแหงการปฏิบัติทั่ว ๆ ไป ยอมเปนการรํางับไปเพียงชั่วคราว แตก็ตั้งอยู ในฐานะเปนรากฐานสําหรับการปฏิบัติขั้นตอไปจนกวาจะถึงที่สุดนั่นเอง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้น ขอใหเขาใจความหมายของคําวา “การละอัตตสัญญา” เปนตน ในการปฏิบ ัต ิขั ้น นี ้ วา มีข อ เท็จ จริง หรือ ตั ้ง อยู ใ นฐานะเชน นี ้ หรือ เพีย งเทา นี ้ ; แตเรื่องอาจจะเปนไปไดถึงกับวา ถาสิ่งตาง ๆ เชนอินทรียเปนตน ของบุคคลผูปฏิบัติ เปนไปอยางเต็มที่ในขณะนั้น ความเห็นแจงแทงตลอดยอมดําเนินไปถึงขั้นของการบรรลุ อรหัตตผลได แมในลําดับแหงอานาปานสติขั้นที่หา นี้ ซึ่งเปนการเพียงพอแลว ที่จะ บรรลุถึงผลที่สุดในกรณีของบุคคลผูเปนเชนนั้น. แตขอความที่กลาวมาแลว และ จะกล า วต อ ไปนี้ กล า วสํ า หรั บ บุ ค คลในกรณี ธ รรมดา ๆ ทั่ ว ไปหรื อ เป น การกล า ว อยางละเอียดเพื่อใหครบถวนเปนสวนใหญ.
www.buddhadasa.in.th
๒๕๖
อานาปานสติภาวนา ตอน ๙
เธอยอมเกิด ความเบื่อหนาย (นิพพิทา) อนุปสสนาขั้นที่ ๔๑ ตอ เวทนานั ้น มิใ ชเ พลิด เพลิน .เมื ่อ เบื ่อ หนา ยอยู ยอ มละความเพลิด เพลิน เสียได. ขอ นี ้อ ธิบ ายวา เมื ่อ เห็น เวทนานั ้น โดยความไมเ ที ่ย ง เปน ทุก ข เปนอนัตตา ดังที่กลาวแลวในขั้น ๑ - ๒ - ๓ ความรูสึกยอมเกิดขึ้นเปนความ เบื ่อ หนา ย แมใ นสิ ่ง ซึ ่ง เรีย กวา ปต ินั ้น ไมม ีท างที ่จ ะรู ส ึก เพลิด เพลิน หรือ หลัง รัก หลงพอใจในเวทนาเชน นั้น . แมอ าการเชน นี้ก็เ รีย กวา “การรูพ รอ ม เฉพาะซึ่งปตินั้น” ดวยเหมือนกัน เพราะปติก็ปรากฏอยู, ลักษณะไมเที่ยง เปน ตน ของปติ ก็ป รากฏอยู. ความเบื่อ หนา ยอัน มีมูล มาจากการเห็น ความ ไมเที่ยงเปนตนของปตินั้น ก็กําลังปรากฏอยู หรือรูสึกอยู ; สิ่งที่จะตองสังเกต มีอยูวา สิ่งที่เรียกวาปติหรือเวทนานั้น ตองปรากฏอยูดวยเสมอไป มิฉะนั้นความเบื่อหนาย ยอมไมมีที่ตั้ง และไมเปนไปอยางมั่นคง แตจะเปนไปอยางหละหลวม เหมือนกับความ เบื่อหนายที่นักศึกษาคิดๆ นึก ๆ เอาดวยสิตปญญาตามแบบของตน. การฝกฝนจิตมาแลว ตามวิธีที่กลาวแลวขางตน ทําใหจิตมีสมรรถภาพ สามารถกําหนดปติ กําหนด ลักษณะไมเที่ยง เปนตนของปติ ใหตั้งอยูเปนพื้นฐานของความเบื่อหนายได ตลอดเวลา จึงเกิดมีความเบื่อหนายอยางแทจริง และเปนอยางมั่นคง จัดเปน ความเบื่ อ หน า ย ตามแบบของนั ก ปฏิ บั ติ ซึ่ ง แตกต า งจากความเบื่ อ หน า ยชนิ ด ที่ มาจากการคํานึงของพวกนักศึกษาอยางสิ้นเชิง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๑
การบรรยายครั้งที่ ๒๖ / ๓๐ กันยายน ๒๕๐๒
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๕ การกําหนดปติ
๒๕๗
สิ่งที่ตองทําความเขาใจอีกอยางหนึ่งก็คือ ความหมายของคําวาเบื่อหนาย ซึ่ ง มี อ ยู แ ตกต า งกั น เป น ชั้ น ๆ เช น เบื่ อ หน า ยเพราะซ้ํ า ซาก เหมื อ นกั บ กิ น อาหาร ซ้ําซากก็เกิดความเบื่อหนาย ดังนี้ก็มี ; หรือสิ่งบางสิ่งทําความรําคาญรบกวนให ไมมีที่สิ้นสุด ก็เกิดความเบื่อหนายตอสิ่งนั้นขึ้น ดังนี้เปนตนก็มี ; ความเบื่อหนาย ตามความหมายแหงภาษาไทยในตัวอยางที่ยกมานี้ ใชกันไมไดกับคําวา เบื่อหนาย (นิพพิทา) ตามความหมายในภาษาบาลี และโดยเฉพาะอยางยิ่งที่เปนภาษาฝาย ธรรมะ. ความเบื่อหนายตามทางธรรมนั้น ตองมีมูลมาจากการเห็นความไมเที่ยงเปนตน อยางชัดแจงกอนแลว จึงเกิดความระอา หรือความกลัว หรือความขยะแขยงเปนตน ตอ การที ่จ ะยึด ถือ สิ ่ง นั ้น วา เปน ตัว ตน หรือ เปน ของของตน หรือ แมที ่ส ุด แตก าร คิดวาจะรักหรือพอใจตอสิ่งเหลานั้น. นี้แสดงใหเห็นไดชัดแลววา ความเบื่อหนาย ตามแบบธรรมะนี้ ตองมีความสลดสังเวชเปนพื้นฐาน. เมื่อเบื่อหนายอยูดังนี้ ก็ละ ความเพลิดเพลินตอเวทนานั้น ๆ เสียได : แมปตินั้นจะมีรสชาติเปนความสุขหรือ เปนที่นาจับใจเพียงไร ก็ไมกอใหเกิดความเพลิดเพลิน (นันทิ) หรือความพอใจ ตอ ปต ินั ้น ได เชน เดีย วกับ บุค คลเห็น สิ ่ง ที ่ส วยงาม แตรู ว า เปน อัน ตรายตอ ชีว ิต ก็หาอาจพอใจในความงามนั้นไดไม ฉันใดก็ฉันนั้น. การเห็นความไมเที่ยง เป น ทุ ก ข เป น อนั ต ตานั้ น เอง เป น การเห็ น ส ว นที่ เ ป น อั น ตรายต อ ชี วิ ต ของสิ่ ง ที่ มี ความสวยงามเหลานั้น และทําใหความสวยงามเหลานั้นหมดอํานาจหรือหมดอิทธิพล ไปไดโ ดยสิ ้น เชิง ความเบื ่อ หนา ยจึง ตั ้ง อยู ไ ดโ ดยมั ่น คง ไมม ีท างที ่จ ะยอ นกลับ ไปสู ความเพลิ ดเพลินได อีก ตลอดเวลาที่ สามารถกํ าหนดเห็ นความไมเที่ ยงเป นต น ของเวทนานั้นอยูโดยประจักษชัด คือซึมซาบอยูในใจจริง ๆ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อนุปสสนาขั้นที่ ๕ เธอยอม คลายกําหนัด ตอเวทนานั้น หามีความ กําหนัดไม ; เมื่อคลายกําหนัดอยู ยอมละความกําหนัดนั้นเสียได.
www.buddhadasa.in.th
๒๕๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๙
สิ่งที่ตองทําความเขาใจในขอนี้ คือ ความหมายคําวา กําหนัด คําวากําหนัดในภาษาบาลี คือคําวา ราคะ หรือ สาราคะ ; หมายถึงความรักที่ติด แนนอยูเปนนิสัยในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยไมตองจํากัดวาเปนที่ตั้งแหงกามารมณหรือไม เพราะฉะนั ้น จึง ใชคํ า นี ้ แมแ ตแ กว แหวนเงิน ทอง ทรัพ ยส มบัต ิสิ ่ง ของทุก ชนิด ก็ไ ด, แมใ นสิ่ง ที่เ ปน นามธรรม เชนเกีย รติย ศ ชื่อ เสีย ง หรือ แมแ ตบุญ กุศ ล ก็ได ; ทําใหเห็นไดชัดวาแตกตางอยางที่จะเทียบกันไมได จากคําวากําหนัดใน ภาษาไทย ซึ่งหมายถึงความกําหนัดในทางกามารมณอ ยางเดียว ผูศึกษาจะตอ ง สั ง เกตให เ ห็ น ความกลั บ กลอกของภาษา ที่ ถ า ยทอดกั น ไปมาในลั ก ษณะเช น นี้ ใ ห เข า ใจไว อ ย า งชั ด แจ ง เพื่ อ ความสะดวก หรื อ เป น ผลดี ใ นการศึ ก ษาธรรมะ ซึ่ ง สว นมากมัก จะสับ สนอยา งนี้. สํา ในกรณีนี้ ความกํา หนัด หมายถึง กํา หนัด ในเวทนา คือในตัวปติ. ความกําหนัดในเวทนาเชนนี้ มีความหมายสูงขึ้นไป จนกระทั่งถึงความปติในธรรม แมที่สูงไปกวาปติในองคฌาน ทั้งนี้ เพราะวา ไมวา ปติชนิดไหนยอมลวนแตเปนที่ตั้งแหงความจับฉวยเอาดวยใจ ดวยอาการอันแนบเนียน แนแฟน เหมือนน้ําฝาดที่ยอมติดผา ยากที่จะหลุดออกไดดวยกันทั้งนั้น ; นี้สมตาม ความหมายของคําวา ราคะ ซึ่งมูลรากของศัพทแปลวา “ยอม” แตเรามาเรียกกัน ในภาษาไทยวา “กํา หนัด” สุข เวทนาทุก อยา งทุกชนิด เมื่อ ผูนั้น รูสึก วา เปน สุข เวทนาแลว ยอ มเปน ที ่ตั ้ง แหง ความกํ า หนัด เสมอกัน และตั ้ง อยู ใ นเกณฑ อันเดียวกัน ในการที่จะปฏิบัติเพื่อเอาชนะสิ่งเหลานี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ขอที่กลาววา “เมื่อเบื่อหนายก็คลายกําหนัดนั้น” แสดงอาการวา เปนเหตุผลของกันและกัน เมื่อเบื่อหนายในเวทนาโดยนัยที่กลาวมาแลวในขอสี่
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๕ การกําหนดปติ
๒๕๙
ก็ยอมเกิดอาการที่เปนการจางคลายออก ของความกําหนัดนั้น แตเปนสิ่งที่มีระยะ ติ ด ต อ กั น อย า งใกล ชิ ด เพราะเป น เรื่ อ งทางฝ า ยจิ ต ซึ่ ง มี ค วามรวดเร็ ว ชนิ ด ที่ ย าก จะหาอะไรมาเปรียบได. ตัวอยางเชนเมื่อคน ๆ หนึ่งจับไฟเขา พอรูสึกวาสิ่งที่จับ เปนไฟ ก็ยอมรูสึกกลัวไมอยากจับและปลอยมือ ; อาการที่อามือปลอยนั่นเอง เรียกวาคลาย หรือคาย จากความกําหนัด ซึ่งเปรียบไดกับการจับ สวนอาการของ ความกลัวตอไฟ ซึ่งเปรียบกันไดกับความเบื่อหนายนั้น แทบจะไมมีเวลารูสึกเลย แต ก็ เ ป น สิ่ ง ที่ มี อ ยู อ ย า งเต็ ม ที่ และทํ า หน า ที่ ข องมั น โดยอั ต โนมั ติ คื อ ทํ า ให ป ล อ ย มือจากการจับโดยเร็วที่สุดเทาที่จะเร็วได. เรื่องทางรางกายหรือทางประสาทนี้เปน อย างไร เรื่ องทางนามธรรมที่ เป นส วนลึ กทางจิ ตใจ หรื อทางวิ ญญาณ ก็ มี อาการ ที่เปนไปโดยทํานองเดียวกันอยางนั้น. อาการแหงอนุปสสนาหรือการตามเห็น ในระยะที่หานี้ ก็ตองมีหลักเกณฑอยางเดียวกันกับขอตน ๆ คือ เวทนาซึ่งประกอบ อยูดวยลักษณะแหงความไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตานั้น ตองเปนสิ่งที่ตองปรากฏชัดอยู ในฐานะที่เปนสิ่งที่ถูกวางออกไปแลว เหมือนกับบุคคลในตัวอยาง ที่วางดุนไฟออกไป แลว ดุ น ไฟนั ้น ก็ป รากฏชัด อยู ใ นฐานะเปน ดุ น ไฟที ่ว างแลว ฉัน ใดก็ฉ ัน นั ้น . ผูป ฏิบั ติใ นที่ นี้ เปน ผูรู พร อ มเฉพาะต อ ป ติใ นฐานะที่ เป นดุ นไฟที่ ปล อ ยออกไปแล ว เป น แต สั ก ว า ป ติ ซึ่ ง เป น ของธรรมชาติ ธ รรมดาอั น หนึ่ ง ซึ่ ง บั ด นี้ เ ขาไม มี ค วาม กําหนัดตอมันแลว ; นี้เรียกวาคลายกําหนัดตอเวทนานั้น. เมื่อเปนอยูอยางนี้ ชื่อ ว าย อ มละความกํ าหนั ดในเวทนานั้ นเสี ย ได เรี ยกว าเป นผู รู พร อ มเฉพาะตอ ป ติ ดวยเหมือนกัน แตเปนปติในระยะที่ถูกวาง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อนุปสสนาขั้นที่ ๖ เธอยอม ดับ เสียซึ่งเวทนานั้น หาใชยอมกอขึ้น ไม ; เมื่อดับอยู ยอมละการกอขึ้นเสียได.
www.buddhadasa.in.th
๒๖๐
อานาปานสติภาวนา ตอน ๙
คําวา “ดับเสียไดซึ่งเวทนา” นั้น มีความหมายเฉพาะของมันเอง โดย สรุปก็คือ ดับความหมาย หรือ ดับคุณคาของเวทนา ทําใหเวทนาหมดคา หมดความ หมาย หมดกําลัง หมดอํานาจ ในการที่จะกอใหเกิดความทุกขขึ้นไดอีกตอไป. นี้คือความหมายของ การดับที่แทจริงและยั่งยืน. ขอนี้หมายความวา แมจะมี สัมผัสหรือมีเวทนาอยางเดียวกันเกิดขึ้นอีก จิตก็ไมมีความรูสึกในทางที่จะกําหนัด หรือยึดถือ เหมือนในกาลกอน จะเกิดขึ้นมาอีกสักเทาไร ๆ ก็ไมถูกยึดถือ หรือถูกทําใหมีความหมาย สําหรับยึดถืออยางใดอยางหนึ่งขึ้นมาอีก ; ความทุกขก็ไมอาจเกิดขึ้นจากเวทนานั้น. นี้คือ ความหมายของคําพูดสั้น ๆ ที่วา “ยอมดับเวทนานั้นเสีย”. โดยใจความ หมายถึง การขจั ด อํ า นาจหรื อ อิ ท ธิ พ ลของเวทนานั้ น เสี ย ไม ใ ห ก อ ทุ ก ข ขึ้ น มาได จะเกิ ด ขึ้ น หรือมีอยูก็มีคาเทากับไมมี : ปติหรือเวทนานั้น ปรากฏชัดอยูตอหนา ในฐานะ ที ่เ ปน ดุ น ไฟที ่ด ับ เย็น สนิท แลว ไมม ีอ ัน ตรายอีก ตอ ไป และเธอก็รู พ รอ มเฉพาะ ตอปติ ซึ่งดับเย็นไปแลวนั้นอยูในระยะนี้. เมื่ อ ดั บ อยู อ ย า งนี้ ก็ ชื่ อ ว า เป น การละการก อ ขึ้ น เสี ย ได คื อ ละการก อ ทุ ก ข ขึ้ น เสี ย ได นั่ น เอง เหมื อ นกั บ ดุ น ไฟที่ ดั บ เย็ น สนิ ท แล ว ไม อ าจจะถู ก จุ ด ให ลุ ก เปนไฟขึ้นมาอีกได ดวยอํานาจของสติและญาณ ดังที่กลาวแลวขางตน. แมนี้ ก็เรียกวาเปนผูรูพรอมเฉพาะตอปติ แตเปนปติในระยะที่ดับเย็นสนิท.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อนุปสสนาขั้นที่ ๗ เธอยอม สละคืน ซึ่งเวทนานั้น หาใชยอมถือ เอาไม : เมื่อสละคืนอยูยอมละการถือเอาเสียได.
ข อ นี้ เ ป น อาการขั้ น สุ ด ท า ยของการกํ า หนดป ติ หรื อ รู พ ร อ มเฉพาะต อ ปตินั้น : กลาวอยางรวบรัดก็คือ บัดนี้ ดุนไฟที่ดับเย็นสนิทแลวนั้นถูกขวางทิ้งไป ไมมีการจับกุมมันอีกตอไป. ปติหรือเวทนานั้น ตั้งอยูในฐานะเปนสิ่งที่ถูกปฏิเสธ หรือถูกบอกปดโดยสิ้นเชิง ซึ่งเรียกโดยโวหารแหงภาษาบาลีวา การสลัดคืน หรือ
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๕ การกําหนดปติ
๒๖๑
การสละคืน ซึ่งถากลา วโดยสมมติ ก็คือ เปน การคืนใหธ รรมชาติไ ป ไมห ลง ยึดถือไวดวยความกําหนัดดังแตกอน. สิ่งที่เหลืออยูไดรวมตัวกลายเปนธรรมชาติ ไปหมด ดวยเหตุนั้น. สิ่งตาง ๆ ไมวาอะไรหมด มีคาหรือถูกยึดถือขึ้นมา ก็เพราะ มันอํานวยใหเกิดสุขเวทนานั่นเอง : เมื่อสิ่งที่เรียกวาสุขเวทนา ถูกทําใหหมดคา หรือ ถูก สละคืน ไปเพีย งสิ่ง เดีย วเทา นั้น สิ่ง ตา ง ๆ ทุก สิ่ง ซึ่ง จะมีอ ยูกี่สิ่ง ก็ต าม ก็เทากับหมดคา หรือถูกขวางทิ้งตามไปดวยกันจนหมดสิ้น, เพราะฉะนั้น คํากลาว ที่กลาวอยางสั้น ๆ วา “สลัดคืนซึ่งเวทนา” นั้น เปนคํากลาวที่มีความหมาย คลอบคลุมไปถึงสิ่งทุกสิ่งดวย. เมื่อผูปฏิบัติสามารถสละคืนไดดวยอาการ อยา งนี ้แ ลว เรื ่อ งก็ถ ึง ที ่ส ุด คือ เปน การสละคืน สิ ่ง ทั ้ง ปวงโดยสิ ้น เชิง และ จบกิจพรหมจรรยกันเพียงนี้. แตบัดนี้เนื่องจากการปฏิบัติในขั้นนี้ เปนการ ปฏิบัติของบุคคลผูมีคุณธรรม เชนอินทรียเปนตน ยังไมแกรอบ การเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เปนตน ตลอดจนถึงความเบื่อ หนายคลายกําหนัด ยังไมเปนไป ถึงที่สุด คือยังอยูในลักษณะที่ยังตองควบคุมอยูเสมอ การปฏิบัติจึงยังคงมีอยูตอไป ฉะนั้น ทานจึงกลาววา “เปนผูรูพรอมเฉพาะตอปติ” หรือ “เปนผูตามเห็น ซึ่งเวทนานั้น อยู” ดวยอาการอยางนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อนุปสสนา หรือการตามเห็นทั้ง ๗ ลําดับนี้ เปนอาการของการ ตามเห็นซึ่งเวทนา ดวยสตินั้น ดวยญาณนั้น ; หรือเรียกอีกอยางหนึ่งก็คือ เปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งปติ หายใจเขาอยู – หายใจออกอยู. การกระทําอยางนี้เรียกวา การเจริญภาวนา ซึ่งเราควรจะไดวินิจฉัยในคํา ๆ นี้กันบางตามควร เพื่อความ เขาใจในการกระทําที่เราจะตองทํานี้ ยิ่ง ๆ ขึ้นไป.
www.buddhadasa.in.th
๒๖๒
อานาปานสติภาวนา ตอน ๙
ความเปนภาวนา ความหมายของคําวา ภาวนา โดยตัวหนังสือนั้น แปลวา การทําให มีขึ้น หรือ การทําใหเจริญขึ้น ; แตในทางปฏิบัติในที่นั้น จะเรียกวา ภาวนา ได ก็ ต อ เมื่ อ ได ทํ า ให เ กิ ด ขึ้ น แล ว จริ ง ๆ หรื อ ได ทํ า ให เ จริ ญ ขึ้ น แล ว จริ ง ๆ เท า นั้ น ฉะนั้น ถอยคําเชนคําวา สติปฏฐานภาวนา จึงหมายถึงการทําการกําหนดดวยสติ ที ่ไ ดทํ า ไปแลว จริง ๆ เทา นั ้น ดัง เชน การตามเห็น ปต ิห รือ เวทนาอยู ดว ยอาการ ทั้งเจ็ ด ดั งที่ กล าวแล วข างต น จึ งจะเรี ยกว าภาวนาที่ ถู กต อง ตรงตามความหมาย. ในกรณีของอานาปานสตินี้ ทานจํากัดความของคําวาภาวนาไว ๔ อยาง คือ :๑. ชื่อวาภาวนา เพราะมีความหมายวา ความไมกาวกาย ก้ําเกิน ซึ ่ง กัน และกัน ของธรรมที ่เ กิด ขึ ้น แลว ในการกํ า หนดดว ยสตินี ้ เปน สิ ่ง ที ่ป รากฏ ชัดแลว จึงถือวาสติปฏฐานนี้ เกิดแลว หรือเจริญแลว ; ๒. ชื่อวาภาวนา เพราะธรรมทั้งหลายมีอินทรียเปนตน ซึ่งรวมกัน ทํากิจอันเดียวกัน เพื่อเกิดผลอยางเดียวกัน ปรากฏชัดแลว ; ๓. ชื่อภาวนา เพราะวาการกระทํานั้น นําใหเกิดความเพียงพอ เหมาะสมกับธรรมนั้น ๆ และอินทรียนั้น ๆ : และ ๔. ชื่อภาวนา เพราะเปนที่สองเสพอยางมากของจิต.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อธิ บายโดยโวหารธรรมดา ที่ สามารถใช ได ในกรณี ที่ เป นการทํ าความดี โดยทั่ ว ๆ ไป มี อ ยู ว า การประสบความสํ า เร็ จ ย อ มหมายถึ ง การกระทํ า ให เ กิ ด สิ ่ง ที ่ค วรทํ า ใหเ กิด เพราะการกระทํ า นั ้น พอเหมาะพอสม และมีข อบเขตจํ า กัด วา เทา ไรและเพีย งไร ไมใ ชเ ปด กวา งจนไมม ีที ่สิ ้น สุด ซึ ่ง ไมม ีท างที ่จ ะลุถ ึง ได. สิ่งที่ทําใหเกิดขึ้นมานั้น แตละสิ่งตองเขารูปเขารอยตอกัน คือประสานกันได
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๕ การกําหนดปติ
๒๖๓
ไม ก า วก า ยก้ํ า เกิ น กั น เช น การเห็ น อนิ จ จั ง พอเหมาะกั บ การทํ า ให เ ห็ น ทุ ก ข หรื อ เปน ไปในทางที่จะใหเ ห็น ทุก ข ; การเห็น ทุก ข ก็พ อเหมาะหรือ เปน ไปในทาง ที่จะใหเห็นอนัตตา ; เห็นอนัตตา ก็พอเหมาะหรือเปนไปในทางที่ใหเบื่อหนาย หรือคลายกําหนัดดังนี้ เปนตน จึงจะเรียกวา “ภาวนา” หรือความเจริญ. ยกตัวอยางงาย ๆ ดวยอุทาหรณในปจจุบัน : วิชาความรู หรือความ เจริ ญ ก า วหน า ไม เ หมาะส ว น ในทางที่ จ ะเป น ไปเพื่ อ สั น ติ จึ ง เป น ไปในทางที่ จ ะ วุนวาย มากกวาสวนที่จะเปนไปทางสันติ. นี้แสดงวาบางอยางนอยไป บางอยาง มากไป บางอย า งก า วก า ยกั น บางอย า งบี บ บั ง คั บ กดดั น ไปในทิ ศ ทางอื่ น ดั ง นี้ เปนตน จึงไมประสบสิ่งที่เรียกวาภาวนา หรือความเจริญ นี้อยางหนึ่ง. อยางที่ ถัดไป หมายถึงความกลมเกลียวของสิ่งที่เปนเครื่องมือ : เครื่องมือทุกชิ้นทุกชนิด หรื อ มื อ ทุ ก มื อ ต อ งร ว มกั น มุ ง ทํ า สิ่ ง ๆ เดี ย วกั น ถ า มิ ฉ ะนั้ น สิ่ ง ที่ เ รี ย กว า ภาวนา จักไมเกิดขั้น ; ตัวอยางเชนในโลกนี้ มีวิชาความรูมากมายหลายสิบหลายรอยแขนง แต ไม ถู กรวมกั นและนํ าไปใช เพื่ อสร างสิ่ ง ๆ เดี ยวกั น คื อสั นติ มี การแตกแยกกั นไป ตามทางที่ตัวตองการ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org การปฏิ บั ติ ธ รรมในทางจิ ต ธรรมะประเภทที่ เ ป น เครื่ อ งมื อ ทุ ก อย า ง ต อ งถู ก นํ า ไปใช ร ว มกั น เพื่ อ จุ ด ประสงค เ พี ย งอย า งเดี ย ว ตามที่ ต นต อ งการอยู ใ น ขณะนั้น : ถาผิดจากนี้ ยอมไมเกิดสิ่งที่เรียกวาภาวนา. พระพุทธภาษิตมีอยูวา ปฏิปทาอาศัยลาภก็อยางหนึ่ง, ปฏิปทาเปนไปเพื่อนิพพานก็อีกอยางหนึ่ง, (อฺา หิ ลาภูปนิสา อฺา นิพฺพานคามินี) : หมายความวา การกระทํา มีร ูป รา งเหมือ นกัน แตค วามมุ ง หมายอาจจะตา งกัน เชน รัก ษาศีล เครง ครัด เพื่อไดลาภก็ได รักษาศีลเครงครัดเพื่อทําลายความเห็นแกตัวก็ได ; อยางแรก เป น ไปเพื่ อ ลาภ อย า งหลั ง เป น ไปเพื่ อ นิ พ พาน ทั้ ง ที่ รู ป แห ง การกระทํ า เหมื อ นกั น .
www.buddhadasa.in.th
๒๖๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๙
ในการทํ าความเพี ยร หรื อการทํ าสมาธิ หรื อการทํ าวิ ปสสนาเป นต น ก็ มี คํ าอธิ บาย อยางเดียวกัน. เมื่อธรรมเหลานี้ไมสุจริตติดตอกัน ไมเสมอกัน ไมซื่อตรงตอกัน เพราะอํ า นาจตั ณ หาและทิ ฏ ฐิ เ ป น ต น ลู บ คลํ า อย า งใดอย า งหนึ่ ง แล ว ธรรมที่ เ ป น เหมื อ นยานพาหนะ หรื อ เครื่ อ งมื อ ทั้ ง ปวง ก็ ไ ม มี ร สหรื อ กิ จ เป น อั น เดี ย วกั น สิ่ ง ซึ่ ง เรียกวาภาวนาในขั้นนี้ก็ไมปรากฏ ; นี้อยางหนึ่ง. อย า งที่ ถั ด ไปอี ก คื อ การกระทํ า นั้ น ๆ ต อ งเป น การนํ า ความเพี ย รไป ตรงจุ ด ของสิ่ ง ที่ ต อ งการให เ กิ ด ขึ้ น รวมทั้ ง วั ต ถุ ป ระสงค ข องสิ่ ง ที่ จ ะต อ งใช เ ป น เครื่อ งมือ นั้น ดว ย. การกระทํา ใด ๆ ที่ไ มส ามารถประมวลกํา ลัง ความเพีย ร ทั ้ง หมดเขา ไปสู จ ุด นี ้แ ลว ไมอ าจจะเรีย กวา เปน ภาวนา หรือ ไมอ าจเปน ภาวนา ขึ้นมาไดนั่นเอง. ภาวนาในความหมายของการทําใหเกิดมีก็ดี ภาวนาในความหมายของ การทําใหเจริญยิ่งขึ้นก็ดี ตองเปนภาวนาที่สามารถควบคุมความเพียรหรือกําลัง ใหเปนไป ในลักษณะที่กลาวนี้เทานั้น. โดยเฉพาะอยางยิ่งในการปฏิบัติธรรมขั้นละเอียดนี้ ความเพี ย รเป น สิ่ ง ที่ ต อ งระมั ด ระวั ง อย า งแยบคายและรั ด กุ ม อย า งที่ สุ ด มิ ฉ ะนั้ น แลว การกระทํ า แตล ะขั ้น ๆ จะเปน ไปไมไ ด ตั ้ง แตขั ้น แรกทีเ ดีย ว เชน ปญ ญา ไมพอที่จะเห็นอนิจจัง ; หรือปญญามีพอ แตความเพียรไมนําปญญาเขาสูจุด ๆ นั้น หรื อ สติ ไ ม อ าจจะนํ า ความเพี ย รให ทํ า หน า ที่ นํ า ป ญ ญาเข า สู จุ ด ๆ นั้ น ดั ง นี้ เ ป น ต น ยอมเปนการติดตันหรือตายดานของภาวนา. ความรูที่เปนหลักเกณฑมีเพียงพอ แต ค วามรู ที่ จ ะนํ า หลั ก เกณฑ ไ ปใช ป ฏิ บั ติ มี ไ ม เ พี ย งพอ หรื อ ไม ถู ก ไม ต รงกั น ก็ ต าม, นี้เปนคําอธิบายความหมายขอนี้ของคําวาภาวนา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สวนขอสุดทายที่วา เปน ภาวนาเพราะเปนที่สองเสพมากจิต นั้น หมายความว ากระทํ าอย างมาก ทํ าจนชิ น ทํ าจนคุ นเคย และคล องแคล ว เป นต น ทั้ ง ในการทํ า และการเสวยผลการกระทํ า ขั้ น ต น เพื่ อ เป น มู ล ฐานสํ า หรั บ
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๕ การกําหนดปติ
๒๖๕
การกระทําขั้นตอไป. สรุปความก็คือ ความหมกมุนอยูแตในสิ่ง ๆ เดียวนั่นเอง การกระทํานั้นจึงจะถึงขั้นที่เรียกวาภาวนา. สําหรับการกระทําในทางจิตนี้ คําวา ” การกระทํา” ยอมกินความกวางขวาง คือทําในระยะเริ่มแรก, ทําในทามกลาง, ทําในที่สุด, นี้อยางหนึ่ง : ทําในระยะเริ่มแรกเพื่อความเกิดขึ้น ทั้งในขั้น ตระเตรี ยมและขั้ นทํ าจริ ง แล วทํ าการรั กษาสิ่ งซึ่ ง ทํ าขึ้ นได ไว ได อ ย างเต็ มที่ จนกว า จะถึงการทําขั้นสุดทาย. การเขา การออก การหยุด การพิจารณา ของจิตที่มีตอ อารมณนั้น ๆ ลวนแตเปนสิ่งที่ยากแกการกระทํา แตเปนสิ่งที่งายดายตอการลมเหลว จึงตองอาศัยการทํามาก ซึ่งหมายถึงมากกวาการทํางานทางวัตถุ หรือทางรางกายอยางที่ เปรียบกันไมไดทีเดียว. อีกทางหนึ่ง คําวา เปนที่สองเสพมากของจิต นั้น หมายความวา ถ า เป น ตั ว ภาวนาขึ้ น มาจริ ง ๆ แล ว ย อ มเป น ที่ พ อใจของจิ ต หรื อ จิ ต พอใจที่ จ ะ ส อ งเสพในสิ่ ง นั้ น จนเกิ ด ความเคยชิ น อั น เป น ป จ จั ย ที่ จ ะทํ า ให เ กิ ด การกระทํ า อั น ใหมไดโดยงายดาย.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สรุปความสั้น ๆ อีกครั้งหนึ่งวา ภาวนาคือการทําสําเร็จ ; เพราะ สามารถมุงไปยังสิ่งที่จะเกิดขึ้นไดอยางถูกตองและเหมาะสม ; เพราะประมวลเครื่องมือ ทั้งหมดใหรวมกันทําหนาที่เพียงอยางเดียว ; เพราะสามารถนํากําลังของความเพียรไปได ในทางของสิ่งทั้งสองนั้น (คือวัตถุประสงคและการควบคุมเครื่องมือ) ; และเพราะเปนสิ่งที่ กระทําอยางมากหรืออยางสมบูรณ. ผู ศึ ก ษาหรื อ ผู ป ฏิ บั ติ ก็ ต าม จะต อ งพยายามสั ง เกตให เ ห็ น ความหมาย ๔ ประการนี้ แล ว ระมั ด ระวั ง ให มั น มี อ ยู หรื อ ให มั น เป น ไปได จ ริ ง ๆ ทุ ก ขณะของ การปฏิบ ัต ิ โดยไมต อ งพูด วา ทุก ขั ้น หรือ ทุก ลํ า ดับ แตต อ งเปน ทุก ๆ ขณะของ ทุกขั้นหรือทุกลําดับนั่นเอง.
www.buddhadasa.in.th
อานาปานสติภาวนา ตอน ๙
๒๖๖
การสโมธานของธรรมในขณะแหงภาวนา๑ เมื่ อ ผู ป ฏิ บั ติ รู พ ร อ มเฉพาะ ซึ่ ง ป ติ อั น เกิ ด ขึ้ น โดยอาการทั้ ง ๑๖ อย า ง ดั งที่ กล าวแล วอยู และได ทํ าให ตั้ งอยู โดยอาการที่ เป นความหมายของคํ าว าภาวนา ตามที่ ก ล า วนั้ น ทั้ ง ๔ ประการแล ว ชื่ อ ว า ผู นั้ น มี ภ าวนาโดยสมบู ร ณ ในกรณี ของอานาปานสติขั ้น นี ้ และในขณะเดีย วกัน นั ้น ยอ มมีอ าการที ่เ รีย กวา “การสโมธานแหงธรรม” คําวา สโมธาน แปลวา ประมวล หรือ ประชุม : ในที่นี้ไดแกการ ประมวลซึ่งธรรมะตาง ๆ ดวยอํานาจของการปฏิบัตินั้น. โดยแทจริงแลวการ ปฏิบ ัต ิธ รรมที ่ทํ า ไปเสร็จ แลว อยา งถูก ตอ งนั ่น เอง เปน สิ ่ง ที ่ป ระมวลมาซึ ่ง ธรรม อันเปนผลของการปฏิบัติ ; แตเรามักกลาวกันเสียวา ผูปฏิบัตินั้นเองประมวลมา ซึ ่ง ธรรม หรือ เลยไปถึง กับ วา ผู นั ้น บรรลุธ รรมชื ่อ นั ้น ชื ่อ นี ้ ซึ ่ง ที ่แ ทเ ปน เพีย ง โวหารพูดอยางสมมติเทานั้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อีก อยา งหนึ ่ง พึง ทราบวา สิ ่ง ทีเ รีย กวา การสโมธานแหง ธรรมนี ่เ อง คื อ การบรรลุ ธ รรม หรื อ การทํ า ตั ว ธรรมนั้ น ๆ ให เ กิ ด มี ขึ้ น ในตนจริ ง ๆ ได นั บ ว า เป น สิ่ ง ที่ ต อ งเข า ใจให ถู ก ต อ ง เพื่ อ ความรู ที่ ถู ก ต อ ง ว า การบรรลุ ธ รรมนั้ น เป น อยางไร ; ถามิฉะนั้นแลวจะมีความเขาใจผิดหรือความเห็นผิด เขาใจไปวาการ บรรลุธ รรมนั ้น เปน การงานที ่ข ลัง ที ่ศ ัก ดิ ์ส ิท ธิ ์ หรือ ลึก ลับ อยา งใดอยา งหนึ ่ง ไป เลยเดิ น เข า ไป ในขอบเขตของสี ลั พ พตปรามาสชนิ ด ใดชนิ ด หนึ่ ง ไปเสี ย อี ก ซึ่ ง เป น
๑
การบรรยายครั้งที่ ๒๗ / ๓ ตุลาคม ๒๕๐๒
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๕ การกําหนดปติ
๒๖๗
ความล ม เหลว หรื อ เป นการหั นเหออกไปนอกทางของการปฏิ บั ติ เพราะตนไม รู ไ ม เห็ น ตั ว ธรรมนั้ น ๆ ได แ ท จ ริ ง แล ว ไปยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น เอาเองว า การบรรลุ ธ รรมนั้ น มั น เปนอยางนั้น อยางนี้ ดวยอํานาจทิฏฐิหรือ ตัณหาของตนเอง. ผูปฏิบัติพึง ศึ ก ษาสั ง เกตให เ ข า ใจชั ด ว า ปฏิ บั ติ ธ รรมอย า งไร แล ว ธรรมเกิ ด ขึ้ น อย า งไร ให ประจักษชัดแกใจตนเองทุกคราวไป. สิ่งที่สโมธานหรือประมวลมาได เมื่อบุคคลรูพรอมเฉพาะอยูซึ่งปติ โดยอาการที่ ก ล า วแล ว อย า งละเอี ย ดข า งต น นั้ น จริ ง ๆ ย อ มมี ผ ล คื อ การทํ า ธรรมะ ใหเกิดขึ้น หรือกลาวอีกอยางหนึ่งก็คือ การประมวลมาไดซึ่งธรรม. ธรรมที่ ประมวลมาได คือ อินทรีย ๕ พละ ๕ โพชฌงค ๗ มรรคมีองค ๘ และ ธรรมทั้งหลาย อื่นอีก ๒๙ ประการ. อนึ่ ง การที่ ประมวลมาได ซึ่ งธรรมหมวดหนึ่ ง ๆ นั้ น ย อมมี อาการอั นอื่ น ควบคูกันมาดวยอีก ๒ อยาง กลาวคือ การรูโคจรของธรรมนั้น ๆ และ การแทง ตลอดซึ่งสมัตถะ กลาวคือ ประโยชนอันสม่ําเสมอ ตอธรรมนั้นพรอมกันไปดวย ไมวาจะสโมธานมาไดซึ่งธรรมหมวดไหน ดังจะชี้ใหเห็นตัวอยาง :-
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org การประมวลมาซึ่งอินทรีย เมื่อผูปฏิบัติกําหนดอยูซึ่งเอกัคคตาจิตดวย อํานาจการหายใจเขา – ออกยาวเปนตนอยู จนกระทั่งปติเกิดขึ้นเปนเวทนา แล ว ตามเห็ น เวทนานั้ น อยู โ ดยอาการที่ เ ป น สิ่ ง ที่ ไ ม เ ที่ ย ง เป น ทุ ก ข เป น อนั ต ตา เปน ตน ตลอดถึง รู ธ รรมอัน เปน เหตุใ หเ กิด ขึ ้น อัน เปน เหตุใ หตั ้ง อยู อัน เปน เหตุใ หด ับ ไปของเวทนานั ้น ดัง นี ้แ ลว จงพิจ ารณาดูเ ถิด วา ไดม ีธ รรมะอะไร เกิดขึ้นกี่อยาง ในประเภทที่เราเรียกวาเปนอินทรีย. เมื่อจิตกําหนดรูอยูดังนี้นั้น
www.buddhadasa.in.th
๒๖๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๙
ชื่ อ ว า ผู ป ฏิ บั ติ ดึ ง มาได หรื อ ประชุ ม ลงได หรื อ ทํ า ให เ กิ ด ขึ้ น ได (แล ว แต จ ะเรี ย ก) ซึ่ง ธรรมอัน เปน อิน ทรีย ๕ อยา ง คือ สัท ธา วิริย ะ สติ สมาธิ ปญ ญา ดัง ที่ เราทราบกันอยูแลวโดยชื่อ แตไมรูหรือไมคอยจะรูถึงอาการที่เปนตัวจริงของมัน. อาการที่เปนตัวจริงของอินทรีย ในที่นี้ก็คือ เมื่อทําปติใหเกิดขึ้นได เชน นั ้น หรือ พิจ ารณาเห็น ความไมเ ที ่ย งเปน ตน ของปต ิอ ยู ความเชื ่อ ยอ มเกิด ขึ ้น เองอยา งมีร ากฐานมั ่น คง ในธรรมนั ้น เปน ผู เ ชื ่อ ดว ยตนเองไมต อ งเชื ่อ ตาม ผูอื่น และเปนความเชื่อที่เพิ่งเกิดเดี๋ยวนี้เอง เพราะไมอาจจะเกิดมากอนหนานี้ได ในเรื่องนี้. นี่แหละคือตัว “สัทธินทรีย” ที่แทจริง และที่ไดเกิดขึ้นจริง ๆ หรือเปน ตัวธรรมที่ไดลุถึงจริง ๆ หรือที่ไดดึง หรือไดประมวลเอามาได (แลวแตจะเรียก) ; แตเรียกในที่นี้วา สโมธานมาได, อุปมาเหมือนกับการเรียกตัวเอามาสูที่ประชุม นี้ได. แตถาการพิจารณาปตินั้น ๆ เปนไปไมถูกตอง อาการที่เปนสัทธินทรีย ก็ไมเกิดเหมือนกัน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เมื่อพิจารณาดูใหกวางขวางออกไปอีก ก็จะเห็นอาการอื่น ๆ อีกหลาย อย า ง เกิ ด อยู พ ร อ มกั น คื อ อาการที่ ท นทํ า อยู ไ ด ด ว ยจิ ต ใจที่ เ ข ม แข็ ง กล า หาญใน การพิจ ารณาปต ิห รือ เวทนานั ้น จนประสบความสํ า เร็จ นั ่น แหละเปน ตัว ธรรม ที่มีชื่อวา “วิริยินทรีย” ซึ่งมีอยูในขณะนั้นดวยตลอดเวลา. อาการที่เขาไปกําหนด พิจ ารณาปต ิห รือ เวทนานั ้น อยู ไ ดอ ยา งมั ่น คง จัด เปน คุณ สมบัต ิข องจิต อัน หนึ ่ง ซึ่งเรียกวา “สตินทรีย” ก็กําลังมีอยูในขณะนั้น. ความไมฟุงซานกวัดแกวง
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๕ การกําหนดปติ
๒๖๙
ซึ่งตองมีอยูอยางแนนอนในขณะนั้น นั่นคือตัว “สมาธินทรีย” และความรูที่เกิดขึ้น จากการกําหนดพิจารณาเห็นวาไมเที่ยงเปนตนนั้น คือตัว “ปญญินทรีย” สิ่ ง ทั้ ง ห า นี้ มี อ ยู ใ นขณะเดี ย วกั น สมส ว นกั น และกลมเกลี ย วกั น และมีมาจากการกําหนดปติหรือเวทนานั้น เพราะฉะนั้น จึงกลาววา “การกําหนด ปตินั้น ยอมประมวลมาซึ่งอินทรียทั้ง ๕“ หรือถากลาวอยางสมมติ ก็กลาววา ภิกษุผูรูพรอมเฉพาะซึ่งปติอยู ยอมประมวลมาซึ่งอินทรียทั้ง ๕ นั้น. การรูโคจรของอินทรีย การประมวลมาซึ่งอินทรียโดยสมบูรณนั้น ตองเปนการรูโคจรหรืออารมณของอินทรียนั้น ๆ รวมอยูดวย ; เพราะวาอินทรีย ตัวแทปรากฏ ตอเมื่อผูนั้นสามารถรูอารมณของอินทรียนั้นโดยประจักษอ ยูดวย. อารมณในที่นี้ ก็มิใชอะไรอื่นนอกไปจากปติหรือเวทนานั่นเอง สําหรับในกรณีนี้. ส ว นในกรณี อื่ น ก็ ห มายถึ ง สิ่ ง อื่ น ซึ่ ง ย อ มแล ว แต ว า อะไรเป น เหตุ ใ ห เกิดขึ้นแหงอินทรียนั้น ; เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นไดวาสิ่งที่เรียกวาโคจรในที่นี้ ก็ค ือ อารมณอ ัน เปน ที ่กํ า หนด หรือ เปน ที ่ตั ้ง หรือ เปน ที ่เ กิด ของอิน ทรีย นั ่น เอง แตยักไปเรียกวาโคจร เพื่อใหแสดงความหมายชัดเจนขึ้นมาอีกอยางหนึ่ง คือราว กะวาเปนที่เที่ยวเลนของจิตที่ประกอบอยูดวยเจตสิกธรรม คืออินทรียทั้ง ๕ นี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถามองเห็นอินทรียจริง ๆ ก็ตองมองเห็นวามันกําลังทองเที่ยวไปในอะไร โดยแนนอน ; เชนเดียวกันกับถาเรามองเห็นวัวกี่ตัวก็ตาม เราก็ตองเห็นที่ ที่มัน ยืนหรือมันเดิน หรือมันนอนอยูนั้นพรอมกันไปดวย ฉันใดก็ฉันนั้น. แมเพียง
www.buddhadasa.in.th
๒๗๐
อานาปานสติภาวนา ตอน ๙
เทานี้ก็ยอมแสดงใหเห็นวา การมองเห็นอินทรียอยางถึงตัวจริงนั้น เปนสิ่งที่เปนไปไมได ลําพังวิถีทางของปริยัติ ; เพราะปริยัติไมเปนสิ่งที่สามารถทําเวทนา เชนปติ เปนตน ใหปรากฏเดนอยูในใจได อินทรียตัวจริงจึงไมมีที่ตั้งอาศัย ; ทั้งเปนการชี้ใหเห็น ว า หน า ที่ ห รื อ การทํ า หน า ที่ ข องสิ่ ง ที่ เ รี ย กว า การปฏิ บั ติ อย า งเป น คนละเรื่ อ งกั บ ปริยัติทีเดียว. สําหรับการบรรลุธรรมจริง ๆ นั้น เปนเรื่องในขั้นของการปฏิบัติ โดยตรง. การแทงตลอดสมัตถะแหงอินทรีย เมื่อมีการทําอินทรียใหเกิดขึ้นมาได และรู แ จ ง ถึ ง สิ่ ง ที่ เ ป น โคจรของอิ น ทรี ย นั้ น แล ว ย อ มมี ก ารแทงตลอด คื อ ซึ ม ทราบ หรือเสวยผลของมันโดยตลอดอีกดวย เรียกวา “การแทงตลอดซึ่งสมัตถะ” กลาวคือ ผลหรือประโยชนอันเคียงคูกันอยูกับสโมธาน หรือการบรรลุธรรมนั้น. คําวา อัตถะ หรือประโยชนในที่นี้ มีใจความสําคัญอยูตรงที่วา มัน ไมมีโทษ ๑, ไมประกอบอยูดวยกิเลส ๑, เปนของผองแผว ๑, เปนของประเสริฐ ๑, สิ่งใดมีลักษณะอยางนี้ เรียกวา “ประโยชน” ตามภาษาแหงกัมมัฏฐานภาวนา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สวนที่เรียกวา สมะ คือสม่ําเสมอหรือสงบ มีความหมายที่เล็งถึง คือ เปนที่เขาไปตั้งมั่นแหงจิต ๑, ไมฟุงซาน ๑, เปนที่ปรากฏแหงอารมณ ๑, เปนที่ผองแผวแหงจิต ๑, เมื่อประโยชนใดประกอบดวยลักษณะทั้ง ๔ นี้ ประโยชนนั้นเรียกวา “สมัตถะ”. ในขณะที่ประมวลมาไดซึ่งอินทรียนั้น นอกจากจะรู โคจรของมั น แล ว จะต อ งแทงตลอดซึ่ ง สมั ต ถะอั น นี้ ด ว ย จึ ง จะเป น การประมวล
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๕ การกําหนดปติ
๒๗๑
มาได ซึ่ ง อิ นทรี ย โ ดยแท จริ ง ซึ่ ง เป น ความหมายของการปฏิ บั ติ ธ รรมที่ ป ระสบความ สํ า เร็ จ ในขั้ น ที่ เ กี่ ย วกั บ อิ น ทรี ย ถ า ผิ ด จากนี้ ก็ เ ป น อิ น ทรี ย แ ต สั ก ว า ชื่ อ ตามแบบ ของปริยัติไปตามเดิม หรือเทาเดิม. เท าที่ กล าวมาทั้ งหมดนี้ เป นตั วอย างของอาการที่ เรี ยกว า “ย อมประมวล มาไดซึ่งอินทรีย” ซึ่งมีใจความสําคัญอันสรุปไดวา :๑. อินทรียนั้น ๆ ไดทําหนาที่ของตน ๆ อยางสมบูรณปรากฏชัดอยู ; ๒. เห็นชัดอยูซึ่งอารมณหรือโคจรของอินทรียนั้น ๆ ; ๓. ซึมทราบประโยชนหรือผลอันเคียงคูกันอยู กับการประมวลมาได ซึ่งอินทรียนั้น ; อาการทั ้ง ๓ นี ้ เปน เครื ่อ งหมายของการที ่ไ ดป ระสบความสํ า เร็จ ในการบรรลุธรรมหมวดที่มีชื่ออยางนั้น ๆ ทุกชื่อไป. แมเราจะกลาวแตเพียงวา “ปฏิบัติธรรมจนอินทรียเกิดขึ้นได” หรือเพียงแตวา “ประมวลมาไดซึ่งอินทรีย” ดังนี้ก็ตาม ใหพึงถือวามีอาการทั้ง ๓ นี้ ครบถวนอยูในตัวดวยเสมอไป.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แมในคําวา ยอมประมวลมาไดซึ่งพละทั้งหลาย ; ยอมประมวลมาได ซึ่งโพชฌงคทั้งหลาย ; ยอมประมวลมาไดซึ่งมรรคมีองคแปด ; หรือยอมประมวล มาไดซึ่งธรรมอื่นอีก ๒๙ ประการ ; ก็มีนัยแหงคําอธิบายอยางเดียวกันนี้ กลาวคือ ทําตัวธรรมะนั้น ๆ ใหเกิดขึ้นได ; รูแจงอารมณ หรือโคจรของธรรมะนั้น ๆ อยู และแทง ตลอดสมัตถะของธรรมะนั้น ๆ อยู : โดยไมมีทางที่จะแตกตางเปนอยางอื่นไดเลย. ตอจากนี้ไป จะไดพิจารณากันถึงคําวา ยอมสโมธานซึ่งพละ พะละ) คือการประมวลมาซึ่งธรรมเปนกําลัง ๕ อยาง.
(อานวา
www.buddhadasa.in.th
๒๗๒
อานาปานสติภาวนา ตอน ๙
การประมวลซึ่งพละ๑ ธรรมเปนกําลัง ๕ อยาง มีชื่ออยางเดียว กันกับธรรมที่เปนอินทรีย ๕ อยาง กลาวคือ สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปญญา อีก นั่น เอง มีชื่อ วา พละ ; หากแตวา ทํา หนา ที่ตา งกัน . คํา วา อิน ทรีย แปลวา เปน ใหญ หรือ เปน ประธาน กลา วคือ เปน ประธานในการทํ า หนา ที่ ที่ตรงตามความหมายของชื่อนั้น ๆ เปนแผนก ๆ ไป ; สวนที่เรียกวา พละ นั้น หมายถึงความเปนกําลังที่ตอสูได หรือทนทานได. ยกตัวอยางเชนสัทธา เมื่อทํา หนาที่เปนใหญ หรือเปนประธานในการทําความเชื่อ เชนเชื่อใหถูกใหแนนแฟน เปน ตน ก็เ รีย กวา สัท ธิน ทรีย คือ เปน อิน ทรียขอ หนึ่ง : ครั้น ทํา หนา ที่ตอ สู หรือ ตอ ตา นกับ สิ ่ง ที ่ไ มค วรเชื ่อ หรือ สิ ่ง อัน ไมเ ปน ที ่ตั ้ง แหง สัท ธา ก็ก ลายเปน พละไป ก็เรียกวา สัทธาพละ. ผูปฏิบัติพึงมองใหเห็นความแตกตางระหวาง คําวา อินทรีย กับคําวา พละ โดยใจความสําคัญอยางนี้ดวย ; และพึงเห็น ความที่เมื่อบุคคลเจริญอานาปานสติขอนี้อยูโดยอาการอยางนี้ ชื่อวาทําอินทรียใหเกิดขึ้นดวย พรอมกันในตัวดวย. สวนวิริยะที่เรียกวาวิริยพละนั้น หมายถึงเมื่อทําหนาที่ตอสู ตานทานตอความเกียจคราน ; สติชื่อวาสติพละ เพราะตอสูตานทานความ ประมาท ; สมาธิชื่อวาสมาธิพละ เพราะตอสูตานทานอุทธัจจะ คือความฟุงซาน ได ; และปญญาชื่อวาปญญาพละ ก็เพราะตอสูตานทานอวิชชาได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ดังที่กลาวมานี้ จะเห็นไดชัดวา ที่เรียกวาพละนั้นมีความหมายตางจาก อินทรียโดยแทจริง เปรียบเหมือนบุคคลคนหนึ่งเปนกษัตริยดวย เปนผู
๑
การบรรยายครั้งที่ ๒๘ / ๔ ตุลาคม ๒๕๐๒
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๕ การกําหนดปติ
๒๗๓
สามารถในการปราบปรามขาศึกดวย. เมื่อเปนเชนนี้ ตองถือวาเขาประกอบ อยู ด ว ยธรรม ๒ อยา ง กลา วคือ ความเปน กษัต ริย ห รือ เปน ใหญเ หนือ คน ทั้ง หลายนั้น เปรีย บเหมือ นกับ อิน ทรีย ; ความที่เ ขาสามารถปราบขา ศึก ให พินาศลงไดทุกเมื่อนั้นเปรียบเหมือนกับพละ. ธรรมทั้งหา คือ สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปญญา ก็มีลักษณะเชนนั้น คือเปนอินทรียในเมื่อถูกมองดูโดยความเปนใหญ ในบรรดาธรรมชื่อนั้นหรือประเภทนั้น ; และชื่อวาพละ ตอเมื่อถูกมองดูโดย ความที่ เ ป น ธรรมสํ า หรั บ ต อ สู กิ เ ลสได คื อ ไม ห วั่ น ไหวต อ ความเชื่ อ งมงาย ความ เกียจคราน ความเผลอสติ ความฟุงซาน และความโงเขลาดังที่กลาแลว. ขอนี้ เปนเครื่องแสดงอีกอย างหนึ่ งวา ธรรมชื่อไรก็ตามที่เราที่ เรามี อยู จะตองเปนธรรม ที่มีกําลังถึงขนาดสามารถตอสู หรือทําลายสิ่งซึ่งเปนขาศึกศัตรูของมันไดเสมอไป. ประโยคที่กลาวกันวา มีความรูทวมหัวเอาตัวไมรอด แสดงวารูไมจริง คือไมเปน ทั้ง อิน ทรีย ไมเ ปน ทั้ง พละ. ถา หากเปน ไปไดถึง กับ วา รูจ ริง แลว ยัง เอาตัว ไมรอดอีก ก็หมายถึงมีอินทรีย แตไมมีพละนั่นเอง. ความรูที่ไมไดปฏิบัติ เพราะ ไมสามารถบังคับใจใหปฏิบัติ ถือวาไมมีทั้งอินทรีย ไมมีทั้งพละ เพราะความรูนั้น ยังไมเปนใหญเพียงพอที่จะทําใหเกิดการปฏิบัติ. บุคคลหนึ่งเขานอนพิจารณา เห็นโทษของความเกียจครานอยูอยางละเอียดลออ วันแลววันเลา แตก็ไมเคยลุกขึ้น ทํางานเลยจนแลวจนรอด ; อยางนี้จะเรียกวามีอินทรียแตไมมีพละก็หาไดไม แมแตอินทรี ยก็ยังไมมี ปญญาหรือความรู ของเขาก็ไมเปนอินทรียขึ้นมาได เพราะ ไมสามารถทําใหเกิดวิริยินทรีย. นี่เปนเพราะปญญาของเขาไมมีกําลังจึงไมมีทั้ง อินทรีย ไมมีพละ ทั้งที่เขามีความคิดแตกฉานราวกะวาเปนนักปราชญ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ผูปฏิบัติในทางโลกหรือในทางธรรมก็ตาม จงไดอุตสาหพยายามทําความ เขา ใจในเรื ่อ งอิน ทรีย แ ละพละนี ้ ใหถ ูก ตอ งจริง ๆ จึง จะเปน ผู เ จริญ งอกงาม ตามทางโลกและธรรมได ต ามที่ ต นต อ งการ โดยสรุ ป ก็ คื อ ว า จะต อ งมี ค วามเชื่ อ
www.buddhadasa.in.th
๒๗๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๙
ที่ถูกตองและเต็มที่ จนทําลายความเชื่องมงายเสียไดสิ้นเชิง ; จะตองมีความ กล า หาญพากเพี ย ร ซึ่ ง อยู ใ นร อ งรอยของเหตุ ผ ลหรื อ ความรอบรู ช นิ ด ที่ ส ามารถ ทําลายความเกียจคราน หรือความออนแอเสียไดโดยสิ้นเชิง ; จะตองมีส ติ คือ ระลึก ไดท ัน ทว งที ตอ หลัก เกณฑที ่ถ ูก ตอ ง เพื ่อ ปอ งกัน การพลัด ตกลงไป สูฐานะของบุคคลผูประมาทเสียได ; จะตองมีจิตมั่นคงสดชื่นแจมใสวองไว ถึง ขนาดที่จะทําลายความฟุงซานหงุดหงิดงัวเงียเสียได ; และจะตองมีความรอบรู ตอ สิ ่ง ที ่ค วรรู ตั ้ง อยู ใ นอํ า นาจของเหตุผ ล จนกระทั ่ง กลายเปน ความรู อ ัน ประจัก ษด ว ยใจของตน จนสามารถปอ งกัน หรือ ทํ า ลายความรู แ ละความรู ผ ิด เสีย ได จึง จะเรีย กวา เปน สาวกของพระพุท ธเจา ผู ม ีค วามยิ ่ง ใหญแ ละเขม แข็ง คือมีทั้งอินทรียและพละ ที่สามารถเอาชนะขาศึกไดโดยแทจริง. สําหรับในกรณีที่กําลังมีความรูสึกตัวทั่วพรอมตอปติหรือเวทนา โดย เห็นความไมเที่ยงเปนตน ของเวทนาอยูโดยประจักษนั้น เปนความมีอยูอยาง สมบูรณ ทั้งอินทรียและพละ : มีสัทธา ก็มีทั้งในลักษณะที่เปนธรรมมีอํานาจ และเป นธรรมมี กํ าลั งพอที่ จะทํ าลายความไม เชื่ อ ความไม อยากจะเชื่ อ ความเชื่ อผิ ด หรื อสิ่ งอั นไม น าเชื่ อ ไม ควรเชื่ อได จริ ง ๆ คื อ เมื่ อมองเห็ นความเป นอนิ จจั ง ทุ กขั ง อนัตตา ชัดแจงแลว ก็จะมีความเชื่อวพระพุทธเจาทานตรัสจริง สิ่งเหลานั้นมันเปน อยางนั้นจริง และเราเองก็มีความเชื่อเชนนี้แตอยางเดียว ไมอาจจะเชื่อเปนอยางอื่นไดอีก ไมมีการสงสัยตอการตรัสรูของพระพุทธเจาอีกตอไป และคนเราตองอาศัยความเชื่ออยางนี้ เทานั้น จึงจะทําใหสามารถเอาชนะความทุกขได ดังนี้เปนตน. แมในเรื่องของความ เพีย รก็เ ชน เดีย วกัน ; เมื่อ อนิจ จัง ทุก ขัง อนัต ตา แนชัด แลว ความเพีย ร ก็ เ ป น ไปอย า งรุ น แรงและเฉี ย บขาดยิ่ ง ขึ้ น มิ ใ ช เ พี ย งแต ว า การเห็ น อนิ จ จั ง ทุ ก ขั ง อนัตตา นั้น เปนการทําความเพียรอยูในตัวมันเองอยางเดียว. เมื่อกลาวถึงสติ ก็ เ ป น สติ ที่ มี กํ า ลั ง จนถึ ง กั บ ในขณะนั้ น ความมั ว เมาในรู ป เสี ย ง กลิ่ น รส สั ม ผั ส
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๕ การกําหนดปติ
๒๗๕
มัวเมาในชีวิต ในโลก ในวัฏฏสงสาร เปนที่สุด ก็มิไดเหลืออยูเลย. นี้แสดง ให เ ห็ น กํ า ลั ง ของสติ ที่ เ กิ ด มาจากการเห็ น ความไม เ ที่ ย งเป น ต น ของป ติ ห รื อ เวทนา แลวมีความรูสึกตัวทั่วถึงอยู. แมสมาธิและปญญาก็เปนไปในลักษณะที่มีกําลัง โดยทํานองเดียวกัน. อี ก อย า งหนึ่ ง ต อ งไม ลื ม ว า การประมวลมาได ซึ่ ง พละทั้ ง ๕ นี้ ต อ งมี การรูแจงโคจร และแทงตลอดสมัตถะของธรรมะเหลานี้ โดยนัยที่กลาวมาแลว อยางยืดยาว ในตอนอันกลาวดวยอินทรีย. ตอแตนี้ จะไดวินิจฉัยในคําวา ยอมสโมธานซึ่งสัมโพชฌงค. การประมวลซึ่ ง สั ม โพชฌงค พึ ง เข า ใจว า ด ว ยความเป น ผู รู พ ร อ ม เฉพาะซึ ่ง ปต ิห รือ เวทนา โดยนัย ดัง กลา วแลว อีก นั ่น เอง และในขณะนั ้น เอง ชื ่อ วา มีก ารสโมธานสัม โพชฌงค เชน เดีย วกับ การสโมธานอิน ทรีย แ ละพละ คือ ไดมีการทําใหสิ่งที่เรียกวาสัมโพชฌงคนั้นเต็มเปยมอยูในนั้นดวย. คําวา สัมโพชฌงค แปลวาองคแหงการตรัสรู มีอยู ๗ อยาง ดังที่ เคยกลาวมาแลวขางตน. ในที่นี้เราจะไดพบคําวา สติ วิริยะ และสมาธิอีก เหมือนกับที่เคยพบมาแลวในหมวดอันวาดวยอินทรียและพละ. สวนคําวาสัทธา กับปญญานั้น มามีอยูในรูปของคําอื่น คือคําวา “ธัมมวิจยะ”. เมื่อเปนดังนี้ ก็เ ปน อัน กลา วไดอีก วา ธรรมที่เ ปน โพชฌงคทั้ง ๗ ประการนี้ ก็ไ ดแ กธ รรม พวกเดี ย วกั น กั บ ธรรมะที่ มี ชื่ อ ว า อิ น ทรี ย ห รื อ พละอี ก นั่ น เอง หากแต ว า ได ทํ า หน า ที่ อี ก อย า งหนึ่ ง หรื อ ถู ก มองโดยลั ก ษณะอี ก อย า งหนึ่ ง กล า วคื อ ลั ก ษณะของการ เปนองคประกอบ ที่ทําใหเกิดการตรัสรูนั่นเอง. ขอ เท็ จ จริ งแห ง ความเป น สั ม โพชฌงค นั้ น มี อ ยู ว า จิต ใจขณะที่ มี การรูพรอมเฉพาะตอปติ ยอมประกอบอยูดวยอาการเหลานี้ คือ :
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๒๗๖
อานาปานสติภาวนา ตอน ๙
๑. การเขาไปกําหนดธรรมขอใดขอหนึ่ง (ซึ่งในที่นี้ไดแกปติ) เปน อารมณในขณะนั้น ๆ . นี้เรียกวาอาการแหงสติสัมโพชฌงค ; ๒. มีอาการเขาไปสอดสอง เลือกเฟนธรรมอยูอยางละเอียดโดย ประการต า ง ๆ เช น พิ จ ารณาโดยลั ก ษณะ มี ลั ก ษณะแห ง ความไม เ ที่ ย งเป น ต น , หรือพิจารณาโดยฐานะวาอะไรควรเชื่อ อะไรควรรู ดังนี้เปนตน. นี้คืออาการแหง ธัมมวิจยสัมโพชฌงค ; ๓. มีอาการประคับประคองความเพียร เพื่อใหทําหนาที่เชนนั้นอยู ตลอดเวลา และอยางแยบคายที่สุด, นี้คืออาการของวิริยสัมโพชฌงค ; ๔. มีความพอใจหรืออิ่มใจตอการไดทําอยางนั้น หรือความเปน อย า งนั้ น อย า งซาบซ า น เพื่ อ เสริ ม กํ า ลั ง แก ค วามเพี ย รบ า ง เพื่ อ ระงั บ ความกระวน กระวาย เปนตนบาง, เหลือนี้คืออาการของปติสัมโพชฌงค ; ๕. มีความสงบรํางับ หรือการทําความเขาไปสงบรํางับ ซึ่งความ ฟุ งซ าน ความกระวนกระวาย ความอยาก ความกระหาย ความหวาดกลั ว เป นต น ซึ่งเปนอุปสรรคตาง ๆ ในการบรรลุธรรม ไดอยางเรียบรอ ย. นี้คืออาการของ ปสสัทธิสัมโพชฌงค. ๖. เมื่อทําไดดังนั้น ก็มีความตั้งมั่น มีความสงบ มีความสะอาด ไม ฟุงซานหวั่นไหว, นี้คือการของสมาธิสัมโพชฌงค ; ๗. ในขณะนั้นมีการเพงพิจารณาเพื่อความตั้งมั่นอยูในความสมบูรณ แหงองคประกอบทั้งปวงนี้, นี้คืออาการของอุเบกขาสัมโพชฌงค ซึ่งจะมีอ ยู จนกระทั่งถึงการตรัสรู. ผู ที่ เ ป น นั ก ศึ ก ษาแท จ ริ ง ย อ มสั ง เกตเห็ น ได เ องว า แม ใ นการงานของ โลกเช น การศึ ก ษาค น คว า ทางโลก ก็ อ าจใช ห ลั ก เกณฑ เ หล า นี้ เพื่ อ ทํ า ความ
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๕ การกําหนดปติ
๒๗๗
สํา เร็จ ไดถึง ที่สุด . ขอ ที่อ าจนํา ไปใชโ ดยตรงก็คือ เปน หลัก เกณฑต บแตง กลอมเกลาจิต ใหสามารถทํางานทางจิตอยางสุขุมถึงที่สุดนั่นเอง. จิตนี้เมื่อไดรับ การตบแตงอบรมเปนตน อยางพอตัวของมันแลว ยอมทําสิ่งตาง ๆ ไดมาก เกินกวาที่คน ธรรมดาจะคาดหมายได ฉะนั้ นทุ กคนควรจะสนใจใน อุ บายเป นเครื่ องตกแต งอบรมจิ ต นี้ใหแยบคายที่สุด ทั้งเพื่อประโยชนทางโลกและทางธรรม. เมื่อเปรียบเทียบกันดูระหวางคําวาโพชฌงค กับคําวา อินทรียและพละ เราจะเห็น ไดว า ธรรมที ่เ รีย กวา โพชฌงคนี ้ มีค วามหมายดิ ่ง ไปยัง การตรัส รู ยิ่ ง ไปกว า เมื่ อ ถู ก เรี ย กว า อิ น ทรี ย ห รื อ พละ ซึ่ ง ทั้ ง สองอย า งนั้ น ยั ง มี ค วามหมายกว า ง หรือ ยัง เพง เล็ง ตอ การตรัส รูอ ยูใ นระยะไกลนั่น เอง. โดยแทจ ริง อาการของ สัมโพชฌงคก็คลายกับอินทรียและพละนั่นเอง หากแตวาอยูในระยะใกลชิดตอการตรัสรูยิ่งขึ้น ไปกวา ทานจึงเรียกวาสัมโพชฌงค และยังมีการแยกขอธรรมบางขอออกใหเห็นชัด แตกตางออกไป จึงกลายเปน ๗ อยาง ; สวนเนื้อแทของธรรมก็ไมมีอะไรมากไป กวาอินทรียหา แตวาอยูในขั้นที่ละเอียดกวากันเทานั้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อี ก อย า งหนึ่ ง ต อ งไม ลื ม ว า การสโมธานซึ่ ง สั ม โพชฌงค นี้ นอกจาก การหยั ่ง เห็น ตัว ธรรมที ่เ ปน สัม โพชฌงคแ ลว ตอ งรู แ จง ในธรรมที ่เ ปน โคจรและ แทงตลอดสมั ต ถะของธรรมที่ เ ป น สั ม โพชฌงค เ หล า นี้ ด ว ย ตามนั ย ที่ ก ล า วมาแล ว ในตอนอั นว าด วยอิ นทรี ย จึ งจะเป นการสโมธานสั มโพชฌงค เหล านี้ ด วย ควรย อนไป อ า นดู บ อ ย ๆ สํ า หรั บ นั ก ศึ ก ษา. ส ว นนั ก ปฏิ บั ติ นั้ น ย อ มเห็ น พร อ มกั น อยู ใ นตั ว เอง ในเมื่อการปฏิบัติไดเปนมาอยางถูกตองตลอดเวลา.
www.buddhadasa.in.th
๒๗๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๙
ตอแตนี้ จะไดวินิจฉัยในคําวา ยอมสโมธานซึ่งมรรคมีองคแปด :การประมวลมาซึ่งมรรคมีองคแปด เมื่อมีการรูพรอมเฉพาะซึ่งปติ โดยนัยดังกลาวแลวหายใจเขา – ออกอยู ชื่อวายอมมีการสโมธานซึ่งมรรคมีองคแปด มีสัมมาทิฏฐิเปนตน และมีสัมมาสมาธิเปนที่สุด ซึ่งทุกคนเคยไดยินไดฟงอยูแลว ในสว นชื่อ ขององคม รรค. ในที่นี้จ ะวินิจ ฉัย กัน เฉพาะขอ ที่วา มรรคนั้น มีอ ยู อยางไร ในขณะที่บุคคลนั้นกําหนดปติหรือเวทนาอยูอยางนี้. เมื่อบุคคลหายใจเขา – ออก อยู ดวยความรูอยางแจมแจงตอความ ไมเ ที ่ย ง เปน ทุก ข เปน อนัต ตาของเวทนา โดยนัย ดัง กลา วแลว อยา งละเอีย ด ในตอนที ่ก ลา วถึง เรื ่อ งนั ้น ทา นไดแ นะใหส ัง เกตถึง อาการหรือ ความหมายของ สิ่งเหลานั้น ที่มีอยูอยางพรอมมูลในขณะนั้นดวย กลาวคือ :สัมมาทิฏฐิ = ความเห็นชอบ ๑. ในขณะนั้น มีอาการเห็นหรือเขาใจ ในสิ่งซึ่งเปนตัวความเกิด, สิ่งซึ่ง เปนมูลเหตุของความเกิด สิ่งซึ่งเปนความดับ และสิ่งซึ่งเปนทางปฏิบัติใหเขาถึงความดับ ; อาการแหงการรู การเห็น การเขาใจเชนนี้ เรียกวา สัมมาทิฏฐิ โดยแทจริง. ใน ขั้นสูง ไดสรุปเรียกวา เห็นอริยสัจจสี่ หรืออยางนอยก็เห็นรองรอยของอริยสัจจสี่ กลาวคือ ทุกข เหตุของทุกข ความดับทุกข และทางดับทุกข นั่นเอง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สัมมาสังกัปโป = ความใฝฝนชอบ ๒. ในขณะนั้น มีความคิดที่เปนไปในทางสรางสรรค หรือการปลูกฝงคุณ อันยิ่งไปกวาวิสัยของมนุษยธรรมดา กลาวคือ ความคิดที่นอมไปในทางนิพพานเปน อยางสูงสุด. แมอยางต่ํา เพียงแตนอมเอียงไปในทางที่จะหลีกออกจากกาม
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๕ การกําหนดปติ
๒๗๙
ไม เ บี ย ดเบี ย นผู ใ ด และทํ า ตนเองให ลํ า บากโดยประการทั้ ง ปวง นี้ ก็ เ รี ย กว า ความ น อ มเอี ย งที่ สู ง ยิ่ ง ไปกว า วิ สั ย ธรรมดาของมนุ ษ ย คื อ น อ มเอี ย งไปในทางดั บ ทุ ก ข หรือนิพพานอีกนั่นเอง ไมมีทางที่จะแตกแยกออกไปเปนอยางอื่น. ความรูสึก หรืออาการชนิดนี้ของจิต เรียกวา สัมมาสังกัปโปในที่นี้. สัมมาวาจา = การพูดจาชอบ ๓. ในขณะนั้น เจตสิกธรรมในสวนที่เกี่ยวกับการปรุงแตงวาจา มีแตปรุง แตงการกลาววาจาชอบ : ถาพูดอะไรออกมาก็เปนวาจาชอบ ; ถานิ่งอยูก็เต็มอยู ดวยเจตสิกธรรมที่เปนเหตุใหกลาววาจาชอบ. อาการหรือความรูสึกอยางนี้ของจิต เรียกวา สัมมาวาจา ในที่นี้ ไมวาจะแสดงออกมาทางวาจาแลว หรือยังเก็บเงียบ อยูภายในก็ตาม. สัมมากัมมันโต = การกระทําชอบ ๔. ในขณะนั้น ยอมประกอบไปดวยเจตสิกธรรม ที่ทําใหมีการกระทําชอบ ทางกาย กลาวคือ กระทําแตการทําที่ถูกตอง ไมเบียดเบียนตนและอื่น. ถา แสดงออกมาทางภายนอก ก็ มี การกระทํ าชอบเป นความไม ทุ ศี ลโดยประการทั้ งปวง. อาการและความรูสึกอยางนี้ของจิต เรียกวา สัมมากัมมันโต ในที่นี้ เปนความ รูสึกที่ทําใหประกอบกรรมแตในทางที่ดีงามและยิ่ง ๆ ขึ้นไป.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สัมมาอาชีโว = การดํารงชีพชอบ ๕. ในขณะนั้น มีความผองใส หรือโวทานะ ของการดํารงชีพเปนอยู ; หรื อจะเรี ยกว าอาชี พ ก็ ยั งมี ความหมายอย างเดี ยวกั น กล าวคื อ การตั้ งอาศั ยอยู บน ปจจัยเครื่องดํารงชีวิตอยางบริสุทธิ์นั่นเอง. ความรูสึกของจิตเกี่ยวกับอาชีพเชนนี้
www.buddhadasa.in.th
๒๘๐
อานาปานสติภาวนา ตอน ๙
เป น ไปอย า งแรงกล า จนถึ ง ขนาดยอมตาย ไม ย อมมี ชี วิ ต อยู ด ว ยการอาศั ย ป จ จั ย เครื่องเลี้ยงชีวิตในทางที่ผิด หรือดวยอาการที่ผิด ที่เรียกวามิจฉาชีพ. เจตสิกธรรมหรือความรูสึกขอนี้ของจิต เรียกวา สัมมาอาชีโว ในที่นี้, กลาวคือ เปน ความรู สึ ก ที่ เ ป น เหตุ ใ ห ถื อ เอาแต อ าชี พ ชอบแต อ ย า งเดี ย ว จะแสดงออกมาถึ ง ภาย นอก หรือมีอยูแตภายในใจ ก็มีชื่ออยางเดียวกัน ; เพราะฉะนั้น แมเขาจะอยูนิ่ง ๆ ดวยอาการอยางนี้ ก็ยังชื่อวาเปนผูมีสัมมาอาชีโวอยางเต็มที่ อยูนั่นเอง. สัมมาวายาโม = ควมพยายามชอบ ๖. ในขณะนั้น มีอาการของการประคับประคองความเพียร ที่เปนไปตรง ทางหรือถูกทางอยางยิ่ง. ถาแสดงออกมาภายนอก ก็เปนการทําความเพียรชอบ เชน สัมมัปธานสี่ เปนตน ดังที่ทานแสดงไวตาง ๆ กัน ; แมไมแสดงออกมาทาง ภายนอกเลย ในภายในก็มีการทําอาการอยางนั้นอยูอยางเต็มที่ กลาวคือ การ ดิ้นรนไปในทางที่จะดับทุกขหรือพนทุกข. อาการหรือความรูสึกอยางนี้ของจิต มีชื่อวา สัมมาวายาโม ในที่นี้. จะแสดงใหผูอื่นเห็นได หรือไมมีการแสดงนั้น ไมเปนประมาณ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สัมมาสติ = ความดํารงสติชอบ ๗. ในขณะนั้น สติกําหนดมีอารมณเปนเวทนา เปนตน อยูอยางเต็มที่ และกําหนดธรรมที่เนื่องกัน มีความไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตา ไมนายึดมั่นถือมั่น เปนตน อยูอยางเต็มที่ แมจะจําแนกเปนสติปฏฐานสี่ เปนตน ก็ยังมีความหมาย อยางเดียวกันนั่นเอง. อาการหรือความรูสึกอยางนี้ของจิตเรียกวา สัมมาสติ ไดแกการดํารงสติชอบในที่นี้.
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๕ การกําหนดปติ
๒๘๑
สัมมาสมาธิ = ความตั้งจิตมั่นชอบ ๘. ในขณะนั้น จิตมีอาการแหงความไมฟุงซานเปนอยางอื่นเลย. แถมยังมี แตการกระทําหนาที่เปนอินทรีย เปนพละ เปนโพชฌงค เปนตน หรือเปนอาการแหง องคมรรค องคตน ๆ ก็ตาม อยูอยางแนวแนแนนแฟนที่สุด, ซึ่งลวนแต เรียกวา ความไมฟุงซานในที่นี้ดวยกันทั้งนั้น. อาการหรือความรูสึกอยา งนี้ของจิต ใน ขณะนี้เรียกวา สัมมาสมาธิ หรือความที่จิตตั้งมั่นชอบในที่นี้ แมเดินอยู ยืนอยู นอนอยู สิ่ ง ที่ เ รี ย กว า สั ม มาสมาธิ นี้ ก็ ยั ง คงอยู ในเมื่ อ จิ ต รู พ ร อ มเฉพาะต อ เวทนา กลาวคือ ปติโดยนัยดังที่กลาวแลว. สรุปความสั้น ๆ ในอาการแหงองคทั้ง ๘ ของมรรค อีกครั้งหนึ่งวา :อาการที่ เห็ น ที่ รู หรื อที่ เข าใจในธรรมทั้ งปวงอย างถู กต องนั้ น เรี ยกว า สัมมาทิฏฐิ, อาการที่ จิ ต เป น ไปในทางสร า งสรรค ป ลู ก ฝ ง คุ ณ ธรรมอั น ยิ่ ง เรี ย กว า สัมมาสังกัปโป, อาการที่กําหนดถือเอาแตการพูดชอบฝายเดียวเรียกวา สัมมาวาจา, อาการที่ ก อ ตั้ ง ขึ้ น ซึ่ ง กรรมอั น ทํ า ความเจริ ญ โดยส ว นเดี ย ว เรี ย กว า สัมมากัมมันโต, อาการผองแผวของอาชีพ เรียกวา สัมมาอาชีโว, อาการที่ประคองกําลังใหเปนไปตรงทาง เรียกวา สัมมาวายาโม, อาการเข าไปกํ าหนดสิ่ งที่ ควรเข าไปกํ าหนด เพื่ อไม ให เสี ยหลั ก เรี ยกว า สัมมาสติ, อาการที่ไมสาย ไมฟุงซาน เรียกวา สัมมาสมาธิ. ทั้ ง หมดนี้ มี อ ยู ใ นขณะที่ มี ค วามรู สึ ก ตั ว ทั่ ว พร อ มต อ ป ติ โดยนั ย ที่ กลาวแลว หายใจเขา – ออกอยู.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๒๘๒
อานาปานสติภาวนา ตอน ๙
อี ก อย า งหนึ่ ง ต อ งไม ลื ม ว า ในการสโมธานองค แ ห ง มรรคอยู ดั ง นี้ ต อ งมี ก ารรู แ จ ง โคจร และต อ งมี ก ารแทงตลอดสมั ต ถะของธรรมเหล า นี้ โดยหลั ก ที่กลาวแลวขางตนดวยเสมอไป. เมื่อพิจารณาดูถึงรายชื่อของธรรมในองคทั้ง ๘ แหงมรรค ก็จะพบได อี ก ว า มี ตั ว ธรรมที่ จั ด เป น อิ น ทรี ย ห รื อ พละ เป น ต น มาอยู ใ นองค ม รรคอย า งครบ ถวน : มีชื่อตรงกัน เชน สติ สมาธิ วิริยะ หรือวายามาะ : สิ่งที่เรียกวา ปญญาในอินทรีย มามีชื่อใหมวาสัมมาทิฏฐิและสัมมาสังกัปปะในที่นี้. และรวม สิ่งที่เรียกวาสัทธาไวในชื่อ ๒ ชื่อนี้ดวย. สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สามอยางนี้ ถาจะรวมลงในอินทรียก็คือวิริยะนั่นเอง ; เนื้อแทของธรรมจึงเปน อยา งเดีย วกัน ทั ้ง สิ ้น แตเ มื ่อ เพง ถึง หนา ที ่ หรือ อาการที ่ม ัน ทํ า งานเปน ตน ก็ทํ า ใหมีชื่อเรียกตาง ๆ กันไป. ในที่นี้เรียกวา “องคแหงมรรค” เพราะจําแนกเปน สว นประกอบสว นหนึ ่ง ๆ ที ่จ ะประกอบกัน เขา เปน หนทางอัน เอก เพื ่อ ความ ดั บ ทุ ก ข โ ดยตรงและโดยเร็ ว ฉะนั้ น จึ ง กล า วว า ธรรมที่ มี เ นื้ อ แท อั น เดี ย วกั น ย อ ม สามารถทําหนาที่ไดตาง ๆ กัน โดยความที่แลวแตเราจะมองกันในแงไหน. แตขอ สํ า คั ญ ที่ เ ราประสงค นั้ น อยู ที่ ว า อาการที่ เ ราประสงค ใ นที่ นั้ น หรื อ ในขณะนั้ น ๆ มันไดเกิดขึ้นอยางครบถวนหรือไมนั่นเอง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เท า ที่ ไ ด ก ล า วมาแล ว นี้ เป น การวิ นิ จ ฉั ย คํ า ว า “ในขณะนั้ น ย อ มเป น การสโมธาน อินทรียทั้งหลาย, ยอมมีการสโมธานพละทั้งหลาย, ยอมมีการ สโมธานสัมโพชฌงคทั้งหลาย, ยอมมีการสโมธานมรรคมีองคแปด โดยครบ ถว นแลว ”. บัด นี้จ ะไดวินิจ ฉัย กัน ถึง คํา วา “ยอ มสโมธานซึ่ง ธรรมทั้ง หลาย (๒๙)” อีกตอไป.
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๕ การกําหนดปติ
๒๘๓
ธรรมที่ลุถึง มีอยู ๒๙ อยาง๑ การประมวลมาซึ่งธรรม (๒๙ อยาง) ที่วา ยอมสโมธานธรรมทั้ง ๒๙ ในขณะแห ง การรู พ ร อ มอยู ซึ่ ง เวทนาคื อ ป ติ ใ นที่ นี้ นั้ น เป น การชี้ ใ ห เ ห็ น โดยวง กว า งที่ สุ ด ว า มี อ ะไรกี่ อ ย า งเกิ ด ขึ้ น ในขณะนั้ น แม เ ป น ส ว นน อ ยหรื อ แม เ ป น การ ชั่วคราว. ทั้งนี้ ทําใหเห็นไดวา แมการปฏิบัติในอานาปานสติขั้นที่ ๕ นี้ ถาเปน การปฏิบั ติถูกจริง ๆ แล ว ยอมมีผลเกิดขึ้นมากมาย หรื อกว างขวางอยางไม นาเชื่อ. ข อ สํ า คั ญ อยู ที่ ก ารปฏิ บั ติ ถู ก และมี ป ญ ญาในการพิ จ ารณาให เ ห็ น หรื อ รู จั ก มอง นั่น เอง ; แตก็เ ปน เรื่อ งทางปริยัติอีก ตามเคย. สํา หรับ ผูป ฏิบัตินั้น แทบจะ ไมทราบ และทั้งไมตองการจะทราบวามีธรรมตั้งมากมายหลายสิบชื่อที่อาจแยก แยะดูไดจากผลแหงการปฏิบัติของเรา. แตเพื่อความกาวหนาในการรูจักสังเกต สิ่ งต าง ๆ ที่ จะเกิ ดขึ้ นกั บจิ ต ซึ่ งนั บว าเป นสิ่ งสํ าคั ญและมี ประโยชน อ ย างยิ่ ง ทั้ งใน วงการปฏิ บั ติ และวงการศึ กษาทางปริ ยั ติ ที่ กว างขวาง จะได วิ นิ จฉั ยกั นโดยละเอี ยด อีกครั้งหนึ่ง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ขอแรกที่สุดตองไมลืมวา ในขณะนั้น ตองเปนขณะที่จิตมองเห็น ความเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา, หรือมองเห็นความเกิดขึ้น ตั้งอยู ดับไป ดวยอํานาจของความเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ปรากฏชัดอยูที่เวทนา ที่กําลัง รูสึกอยูในใจของตนจริง ๆ ; มีความชัดเจน แจมแจง ราวกะวาเปนนิมิต อันหนึ่งที่เคยปรากฏมาแลวแตหนหลัง ; เวทนานั้นจึงจะอยูในฐานะที่เปน
๑
การบรรยายครั้งที่ ๒๙ / ๕ ตุลาคม ๒๕๐๒
www.buddhadasa.in.th
๒๘๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๙
อารมณ เพื่ อการประมวลมาซึ่ งธรรมต าง ๆ เหล านี้ ได กล าวสั้ น ๆ ว า ในขณะที่ จิ ต กําลังแจมแจงเฉพาะตอเวทนาโดยลักษณะอาการตาง ๆ เชนนั้น จิตยอมเปนสิ่ง ที่อาจจะมองดูไดมากแงมากมุม วามีอะไรเกิดขึ้นหรือมีอะไรผันแปรไปในทางที่ จะเปนความดับทุกข. ในที่นี้ ทานชี้ไวเพื่อเปนทางพิจารณาถึง ๒๙ อยางคือ :๑. ในขณะนั้น ยอมมี อาการแหงธรรมพวกที่เปนใหญเปนประธาน ๕ ประการ ที่ เ รี ย กว า อิ น ทรี ย ดั ง ที่ ก ล า วแล ว ข า งต น โดยความหมายว า เป น ธรรมที่ เป น ใหญ หรื อ เป น หั ว หน า แห ง ธรรมทั้ ง ปวง. นี้ เ รี ย กว า ย อ มสโมธานมา ซึ่งอินทรีย, มีความหมายวา เปนสิ่งที่ตั้งอยูพรอมหนาในขณะนั้น จึงไดเรียกวา สโมธาน. ๒. ในขณะนั้น มี อาการแหงธรรมที่เปนกําลัง โดยความหมายที่วา สามารถตอ สูตานทานได หรือ ไมหวั่นไหวตอ สิ่งที่ตรงกันขาม, ดัง ที่ไดอ ธิบาย แลวโดยละเอียดขางตน. นี้เรียกวา สโมธานซึ่งพละ. ความหมายแหงคําวา สโมธาน มี ความหมายว าสามารถทํ าให เกิ ดขึ้ นพร อมกั นในขณะนั้ นได อ ย างเดี ยวกั บ ที่กลาวแลวขางตน ; และใหพึงเขาใจวาคํานี้ มีความหมายเชนนั้นตลอดไปทุกขอ จนกระทั่งขอสุดทาย.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๓. ในขณะนั้น มี อาการแหงธรรมที่ทําหนาที่เปนองคแหงการตรัสรู เพราะมี ความหมายว าแต ละอย าง ๆ นั้ น ล วนแต ทํ าหน าที่ เป นเครื่ องนํ าสั ตว ออกจาก ความหลับ กลาวคือกิเลส และออกจากวัฏฏสงสาร คือความทุกข. นี้เรียกวา ยอมสโมธานซึ่งสัมโพชฌงค.
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๕ การกําหนดปติ
๒๘๕
๔. ในขณะนั้น มี อาการแหงธรรมที่ทําหนาที่เปนหนทาง เครื่อง ดํ า เนิ น ออกไปจากทุ ก ข เพราะมี ค วามหมายในฐานะเป น ตั ว เหตุ ที่ ทํ า ให อ ริ ย มรรค เกิดขึ้น ทําใหความรูหรือแสงสวางเกิดขึ้น. นี้เรียกวา ยอมสโมธานซึ่งมรรค มีองคแปด. ๕. ในขณะนั้น มี อาการแหงธรรมที่เปนตัวการเขาไปตั้งไวซึ่งสติ โดยความหมายที่ ว า การเข า ไปกํ า หนดด ว ยสติ ใ นขณะนั้ น ได มี ขึ้ น แล ว ถึ ง ขี ด ที่ สมบูร ณแ ละกํา ลัง มีอ ยูต ลอดเวลาเหลา นั้น. นี้เรีย กวา ยอ มสโมธานซึ่ง สติปฏฐาน. ๖. ในขณะนั้น มี อาการแหงธรรมที่เปนการตั้งไวซึ่งความเพียร ชั ้น ที ่เ ปน ปธาน คือ มีบ ทอัน มั ่น คง เต็ม ตามความหมายของคํ า วา ความเพีย ร ทุ ก ประการ เช น ความหมายเป น ความกล า ความพยายาม ความไม ถ อยหลั ง ความกาวไปขางหนา ความหนักแนนมั่นคง ดังนี้เปนตน. นี้ยอมชื่อวา ยอม สโมธานซึ่งปธาน กลาวคือความเพียร.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๗. ในขณะนั้น มี อาการแหงธรรมที่เรียกวาอิทธิบาท กลาวคือ ฉั น ทะ วิ ริ ย ะ จิ ต ตะ วิ มั ง สา โดยความหมายว า เป น เครื่ อ งทํ า ให เ กิ ด ความสํ า เร็ จ กล าวคื อ ในขณะนี้ ธรรม ๔ อย างนี้ ได ทํ าหน าที่ ของมั นแล วในขั้ นหนึ่ ง และเจริ ญ งอกงามตั้งอยูในฐานะที่พรอมที่จะทําหนาที่ในขั้นตอไป. นี้ยอมเรียกวา ยอม สโมธานซึ่งอิทธิบาท.
๘. ในขณะนั้น มี อาการแหงธรรมที่เปนตัวความจริงหรือสัจจะ ปรากฏ อยู โ ดยความหมายว า เป น ตั ว สิ่ ง ที่ เ ป น ตั ว ความจริ ง หรื อ เป น ความแท ต ลอดกาล (ตถตา) กลาวคือ ในขณะนั้น ตัวสัจจธรรมปรากฏแกความรูสึกของบุคคลผูตาม เห็นเวทนาอยูดังนั้น. นี้เรียกวา ยอมสโมธานซึ่งสัจจะ.
www.buddhadasa.in.th
๒๘๖
อานาปานสติภาวนา ตอน ๙
๙. ในขณะนั้น มี อาการแหงธรรมที่ทําความสงบ ปรากฏออกมา ใหเห็น เรี ยกวา สมถธรรม โดยความหมายวาเปนสิ่งที่ไมฟุ งซ านไปตามความยั่วเย า กระทบกระทั่งของนิวรณหรือกิเลส. ขอนี้ มีอุปมาดวยโวหาร วา เหมือนหินกอน หนึ่ งจมอยู ในดิ น ๑๖ ศอก โผล อยู พ นดิ น ๑๖ ศอก เป นหิ นแท งเดี ยวกั น ย อมไม หวั่นไหวตอลมพายุทั้งสี่ทิศ ฉันใดก็ฉันนั้น. ขอนี้หมายถึงความที่จิตในขณะนั้น มีความมั่นคงถึงที่สุด. นี่เรียกวา ยอมสโมธานซึ่งสมถะ กลาวคือ ความสงบ หรือความตั้งอยูอยางไมหวั่นไหว. ๑๐. ในขณะนั้น มี อาการแหงการเห็นแจงดวยญาณ ดวยจักษุ ด ว ยป ญ ญา ด ว ยแสงสว า ง มองลงไปที่ อ ะไรก็ เ ห็ น ลั ก ษณะที่ เ ป น ตั ว ความจริ ง ของ สิ ่ง นั ้น โดยเฉพาะก็ค ือ ความเปน อนิจ จัง ทุก ขัง อนัต ตา ของสัง ขารทั ้ง ปวง และความไมนายึดมั่นถือมั่นของธรรมทั้งปวง. ความเห็นเหลานี้มีผลนําไปสูความ เบื่อหนายคลายกําหนัดโดยตรงเปนลําดับไป ไมมีทางที่จะเปนอยางอื่น. นี้เรียกวา ยอมสโมธานซึ่งวิปสสนา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๑๑. ในขณะนั้น มี อาการแหงการผนวกของธรรมที่ทําความสงบและ ของธรรมที่ทําความเห็นแจง เขาเปนของอยางเดียวกัน ; เพราะของ ๒ อยางนี้ เมื่อไมแยกกันจึง จะมีกําลังถึงที่สุด. เมื่อ ทํางานรวมกันดัง นี้ ทํา ใหตอ งเรีย ก ชื่อดวยคําใหมวา “สมถวิปสสนา” ในฐานะที่ไมเปนของแยกกัน ดังเชนในขอ ๙ ขอ ๑๐. นี้เรียกวา ยอมสโมธานซึ่งสมถวิปสสนา. ผูศึกษาพึงรูจักสังเกต ความหมาย หรื อ ความแตกต า งของคํ า ทั้ ง ๓ นี้ ว า มี ค วามหมายเฉพาะของมั น อย า งไร คื อ สมถะ คํ า หนึ่ ง วิ ป ส สนา คํ า หนึ่ ง และ สมถวิ ป ส สนา อี ก คํ า หนึ่ ง วาทั้ง ๓ อยางนี้ ไมใชของอันเดียวกันเลย.
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๕ การกําหนดปติ
๒๘๗
๑๒. ในขณะนั้น มี อาการแหงธรรมที่เขาจับคูกันเปนคู ๆ หรือ เนื่ อ งกั น เป น คู ๆ เพราะทํ า งานพร อ มกั น เช น สติ กั บ สั ม ปชั ญ ญะ หรื อ สมถะกั บ วิปสสนา ดังที่กลาวแลวใหเห็นเปนตัวอยางวาจะเขาเปนคูกันไดอยางไร. ใน ขณะนี้ มี ท างที่ สั ง เกตเห็ น ได ง า ยว า ธรรมบางข อ ที่ มี คู เช น สติ คู กั บ สั ม ปชั ญ ญะ หิ ริ คู กั บโอตตั ปปะ หรื อขั นติ กั บโสรั จจะ ฯลฯ เมื่ ออย างต่ํ า ก็ ยั งเป นการปฏิ บั ติ ควบคู กันไป ยิ่งถึงขั้นที่สุดการจับคูก็ถึงที่สุด. กอนหนานี้ไมสามารถจะทําหนาที่ของ มั นได ถึ งที่ สุ ด เพราะยั งไม เข าคู เช นนี้ มี การก าวก ายกั น มากน อยกว ากั นครอบงํ า กันดังนี้ เปนตน. ในขณะแหงวิปสสนายอมจับคูกัน คูที่จะเห็นไดชัดที่สุดก็คือ สัทธากั บป ญญา วิ ริ ยะกั บสมาธิ สติ กั บสั มปชั ญญะ อุ เบกขากั บเอกัคคตา เป นต น. นี้เรียกวา ยอมสโมธานซี่งยุคพัทธะ กลาวคือธรรมที่ผูกกันเปนคูเหมือนวัว ๒ ตัว ที่เทียมไถคันเดียวกัน. ๑๓. ในขณะนั้น มี อาการแหงธรรมที่ทําความหมดจดแหงศีล เรี ย กสั้ น ๆ ก็ คื อ มี ค วามบริ สุ ท ธิ์ แ ห ง ศี ล นั่ น เอง โดยความหมายที่ ว า การสํ า รวม หรือ การปด กั ้น ความเศรา หมองของศีล ไดเ ปน ไปอยา งถึง ที ่ส ุด ในขณะที ่มี การรูพ รอ มเฉพาะตอ เวทนาอยู ดัง นั้น . อธิบ ายวา ไมตอ งไปสํา รวมที่ไ หน เช น สํ า รวม ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ต อ รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส สั ม ผั ส หรื อ ธรรมารมณ, หรือสํารวมสิกขาบทในปาฏิโมกข นอกปาฏิโมกข, หรือสํารวม ในอาชีวะหรือปจจเวกขณอื่น ๆ ซึ่งรวมกันแลวก็มากมายเหลือที่จะนับจํานวนไหว ; แต ก ารกํ า หนดที่ เ วทนาโดยอาการอย า งนี้ อย า งเดี ย วเท า นั้ น กลั บ เป น การสํ า รวม ทั้ ง หมดทั้ ง สิ้ น จึ ง เกิ ด มี ธ รรมที่ ทํ า ความบริ สุ ท ธิ์ ห มดจดแห ง ศี ล ปรากฏอยู ถึ ง ที่ สุ ด ในขณะนั้นดวย. นี้เรียกวา ยอมสโมธานซึ่งสีลวิสุทธิ คือความบริสุทธิ์หมดจด แหงศีล.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๒๘๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๙
๑๔. ในขณะนั้น มี อาการแหงธรรมที่ทําความบริสุทธิ์หมดจดแหงจิต กลาวโดยเจาะจงก็คือ ในขณะนั้นมีความบริสุทธิ์หมดจดแหงจิตนั่นเอง. ขอนี้ ได แ ก ก ารที่ ใ นขณะนั้ น จิ ต ปราศจากิ เ ลสนิ ว รณ ด ว ยอํ า นาจของสมาธิ ห รื อ สมถะ โดยนัยดังที่กลาวแลวขางตน. คําวา จิตหมดจด มีความหมายอยางเดียวกับ ความ เปนสมาธิ คือไมหวั่นไหว หรือไมลมลุกคลุกคลาน ไปตามอํานาจกระทบกระทั่งของ นิวรณหรือกิเลส. ถากลาวอีกปริยายหนึ่ง ก็คือไมไหลซานไปตามอารมณที่เปน รูป เสีย ง กลิ่น รส สัม ผัส ดว ยอํา นาจกิเ ลสนั่น เอง. นี่เ รีย กวา ยอ ม สโมธานซึ่งจิตติวสุทธิ กลาวคือความบริสุทธิ์แหงจิต. ๑๕. ในขณะนั้น มี อาการแหงธรรมที่ทําความบริสุทธิ์หมดจดแหง ทิฏฐิ คือ ความเห็น ซึ่งหมายความตลอดถึงความเชื่อ. ทิฏฐิไมบริสุทธิ์หมดจด เพราะเห็นวาสิ่ง ตา ง ๆ ไมมีเหตุผ ล. เห็น วาเที่ย ง วาสุข วา ตัวตน วางาม วานารัก นายึดถือ. ความเห็นอยางนั้น จัดวาเปนความเศราหมองของทิฏฐิ เรีย กอี ก อย า งหนึ่ ง ว า มิ จ ฉาทิ ฏ ฐิ หรื อ ทิ ฏ ฐิ ว ปลาส และชื่ อ อื่ น ๆ อี ก ซึ่ ง ล ว นแต มีความหมายอยางเดียวกัน. สวนในขณะที่มีการกําหนดเวทนา โดยวิธีการดังที่ กล า วแล ว แม ใ นอานาปานสติ ขั้ น ที่ ๕ นี้ ในขณะนั้ น ย อ มเห็ น ชั ด ต อ ความเป น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ; เห็นความที่สิ่งตาง ๆ มีเหตุมีผล เปนเหตุเปนผล เป น ไปตามอํ า นาจแห ง เหตุ ผ ล ไม เ ป น ที่ ตั้ ง แห ง ความยึ ด ถื อ ว า สวยงาม ว า น า รั ก วาควรแกการยึดมั่นถือมั่น ดังนี้ เปนตน ; มีแตความเบื่อหนายคลายกําหนัด จนกระทั่งวางเฉยตอสิ่งทั้งปวงอยูแทน. นี้เรียกวาทิฏฐิ ไดรับการชําระชะลาง อยางบริสุทธิ์หมดจดเปนสัมมาทิฏฐิขึ้นมา. อาการอยางนี้มีในขณะนั้น ฉะนั้น จึงกลาววา ยอมสโมธานซึ่งทิฏฐิวิสุทธิ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org (ตอไปนี้ยอมมีอาการซึ่งลวนแตเปนผลของการปฏิบัติโดยตรงและยิ่งขึ้น.)
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๕ การกําหนดปติ
๒๘๙
๑๖. ในขณะนั้น มี อาการแหงธรรมที่ทําความเกลี้ยงเกลา ไมมีอะไร จั บ ฉวยห อ หุ ม แห ง จิ ต เพราะความที่ จิ ต ในขณะนั้ น ไม ถู ก แตะต อ งด ว ยวิ ว รณ แ ละ กิ เ ลส พ น แล ว จากความพั ว พั น ของนิ ว รณ แ ละกิ เ ลส ตลอดเวลาที่ ก ารปฏิ บั ติ เ ป น ไปอยู ดังนี้. อาการอยางนี้เรียกวาวิโมกขของจิต. อาการอยางนี้มีอยูในขณะนั้น ฉะนั้น จึงเรียกวา ยอมสโมธานซี่งวิโมกข. ๑๗. ในขณะนั้น มี อาการแหงธรรมที่ทําการเจาะแทง สิ่งปดบัง อันเปรียบประดุจมานหรือเมฆ เปนตน ใหทะลุหรือทําลายไป. สิ่งที่ทําหนาที่ อยา งนี้เ รีย กวา วิช ชา ; ในที่สุด สิ่ง ที่เ ปน ความไมรู หรือ รูไ มไ ด หรือ รูผิด ก็ปรากฏเปนความรูถูกขึ้นมาแทน ; ที่เปนความตามทางทฤษฎี กลายเปน ความรูทางการปฏิบัติ ; ที่เปนความรูจากการไดยินไดฟง กลายเปนความรู ด วยใจตนเองโดยไม ต องเชื่ อตามบุ คคลอื่ น หรื อแม เชื่ อตามเหตุ ผลที่ คํ านึ งคํ านวณ. นี้ เ รี ย กว า อาการแห ง การเจาะแทงทํ า ลายม า น คื อ อวิ ช ชา หรื อ โมหะ เกิ ด เป น วิชชาขึ้นมาแทน ; เปนความเห็นแจงเพราะไมมีมานบัง เปนตน อาการอยางนี้ มีในขณะนั้น ฉะนั้น จึงกลาววา ยอมสโมธานซึ่งวิชชา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๑๘. ในขณะนั้น มี อาการแหงธรรมซึ่งเปนการสละวาง การปลอย หรื อ การสลั ด ทิ้ ง ซึ่ ง สิ่ ง ที่ เ คยยึ ด ถื อ ด ว ยอุ ป าทาน เคยลู บ คลํ า ด ว ยตั ณ หาและทิ ฏ ฐิ อันเนื่องดวยเวทนา ทั้งหลาย ; ทําใหถูกจองจําอยูในอาการของอภิชฌาและโทมนัส ไมอ อกไปนอกวงนี้ได. แตจิตใจขณะนี้พนแลวจากความเปน อยา งนั้น โดย ความหมายที ่เ ปน การวางหรือ การปลอ ยนั ่น เอง ;มีธ รรมซึ ่ง ทํ า ความปลอ ย และมีอาการแหงความหลุด ; รวมเรียกดวยคํา ๆ เดียววา วิมุตติ ; ฉะนั้น จึงกลาววา ในขณะนั้น ยอมสโมธานซึ่งวิมุตติ.
www.buddhadasa.in.th
๒๙๐
อานาปานสติภาวนา ตอน ๙
๑๙. ในขณะนั้น มี อาการแหงธรรมเปนเครื่องรูเครื่องเห็น ซึ่งความ สิ ้น ไปเสื ่อ มไปของสัง ขารทั ้ง ปวง และโดยเฉพาะอยา งยิ ่ง ของเวทนาหรือ ปติ ในขณะนั้น นั่น เอง. มีขอ ที่ค วรกํา หนดไวอ ยา งแมน ยํา วา ตอ งเปน การเห็น อนิจ จัง ทุก ขัง อนัต ตา อยา งชัด แจง ดว ย จึง จะเห็น ความสิ ้น ไป เสื ่อ มไป ถึงขนาดที่เรียกวาญาณ. เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในสิ่งใดชื่อวาเห็นความ เสื ่อ มไปสิ ้น ไปในสิ ่ง นั ้น เพราะฉะนั ้น เมื ่อ สิ ่ง ทั ้ง หลายทั ้ง ปวง ลว นแตแ สดง ความเปน อนิจ จัง ทุก ขัง อนัต ตา การเห็น ความเสื ่อ มไปสิ ้น ไปของสิ ่ง ทั ้ง หลาย ทั้ง ปวง ยอ มมีไ ดเ สมอกัน หมด. อีก อยา งหนึ่ง คุณ คา หรือ ความหมาย ของสิ่ ง ทั้ ง ปวง ย อ มรวมอยู ที่ สุ ข เวทนา ซึ่ ง มี อ ยู เ ป น ขั้ น ๆ กระทั่ ง ถึ ง ขั้ น สู ง สุ ด ; เมื่ อสุ ขเวทนาถู กปฏิ เสธไปทุ กขั้ นแล ว สิ่ งทั้ งปวงก็ เป นอั นว าถู กปฏิ เสธด วยกั นหมด. ความมุ ง หมายของการเห็ น ความสิ้ น ไปและเสื่ อ มไปของสั ง ขารทั้ ง ปวงนั้ น อยู ที่ ตรงนี้. ความสิ้นไปเสื่อมไป มีคําจํากัดความวา มีการเกิดขึ้นและดับลงอยางเห็น ปรากฏชั ด และจะเกิ ด ขึ้ น ใหม แ ละดั บ ลงสลั บ กั น เช น นั้ น อี ก เรื่ อ ยไป ด ว ยอํ า นาจ การปรุงแตงของเหตุปจจัยที่ปรุงแตงในขณะนั้น. ความสิ้นไปเสื่อมไป ในกรณี ที่ เ กี่ ย วกั บ เวทนาอั น เป น สุ ข หรื อ ป ติ นี้ พึ ง เห็ น ว า ในขณะหนึ่ ง มั น เป น ราวกะว า เวทนาไมมีอยูในโลกนี้ ; แตขณะหนึ่งกําลังหลงใหลมัวเมาสยบซบเซาอยูใน เวทนานั้น ; แลวในขณะตอมาตกอยูในอาการที่เปนราวกะวาไมมีเวทนาอยูในโลก อีกตอไป, สลับกันไปทํานองนี้ไมมีที่สิ้นสุด แลวแตความหมุนเวียนเปลี่ยนแปลง ของปจ จัย อัน เปน เครื่อ งปรุง แตง ซึ่ง เวทนานั้น . ครั้น มาบัด นี้ ไดเ ห็น ความ เปลี่ ย นแปลงอย า งหลอกลวงของเวทนานั้ น อยู อ ย า งชั ด แจ ง โดยลั ก ษณะที่ ไ ม มี อะไรมากไปกว าสายหรื อ เกลี ยวแห ง ความเปลี่ ย นแปลง ของสั ง ขารธรรมทั้ ง หลาย. ธรรมที ่เ ปน เหตุใ หรู แ จง เห็น แจง โดยอาการเชน นี ้ มีอ ยู ใ นขณะนั ้น เพราะฉะนั ้น จึงกลาววา ยอมสโมธานซึ่งขยญาณ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๕ การกําหนดปติ
๒๙๑
๒๐. ในขณะนั้น๑ มี อาการตามเห็นเฉพาะซึ่งความดับ หรือความ ไมบังเกิดขึ้น กลาวคือความมิไดมีอยูจริง ของสังขารทั้งปวง. เนื่องมาจากการ เห็น ความเปน มายา ยอ มเห็น ความที่สิ่ง เหลา นี้มิไ ดมีอ ยูจ ริง ; ขอ นี้เ ปน เหตุ ใหดับความเห็นที่วาสิ่งเหลานั้นมีอยู เสียได ; ดับความเห็นวามีอะไรเกิดขึ้น เปนตัวเปนตนเสียได ; เปนการถอนความยึดถือวาตัวตนในสิ่งทั้งปวงเสียได ; นี้เรียกวา ยอมสโมธานซึ่งอนุปาทญาณ. ๒๑. ในขณะนั้น มี อาการแหงความพอใจในธรรม หรือความพอใจ ในนิพพาน เกิดขึ้นถึงที่สุด. ความพอใจนี้ เรียกวา ฉันทะ. นอกจากจะ หมายถึ ง ฉั นทะส วนที่ เป นรากเหง าของการปฏิ บั ติ ทั้ ง หมด หรื อ ในธรรมทั้ ง หมดแล ว ยั ง หมายถึ ง คํ า อื่ น ที่ ค ล า ยกั น เช น คํ า ว า นั น ทิ ที่ เ ป น ความเพลิ ด เพลิ น ในธรรม ; หรือแมคําวา ราคะ ซึ่งหมายความถึงความยินดีในธรรมเปนตนนั้นดวย ; โดย ใจความก็คือ ในขณะมีความพอใจในธรรมเปนไปถึงที่สุดนั่นเอง. นี้เรียกวา ยอมสโมธานซึ่งฉันทะ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๒๒. ในขณะนั้น มี อาการแหงมนสิการอยางสมบูรณ กลาวคือการ ทํ า ในใจซึ่ ง ธรรมอย า งแท จ ริ ง และถึ ง ที่ สุ ด เต็ ม ความหมายของคํ า ว า มนสิ ก าร จน เปนสมุฏฐาน เปนที่เกิดขึ้นตั้งขึ้นแหงธรรมทั้งปวง ; หรืออีกอยางหนึ่งก็เหมือน กับ การเพาะหวา นเลี ้ย งดูบํ า รุง รัก ษาธรรมะ ใหธ รรมะนั ้น เจริญ งอกงามขึ ้น . นี้เรียกวา ยอมสโมธานซึ่งมนสิการ.
๑
การบรรยายครั้งที่ ๓๐/๖ ตุลาคม ๒๕๐๒
www.buddhadasa.in.th
๒๙๒
อานาปานสติภาวนา ตอน ๙
๒๓. ในขณะนั้น มี อาการที่เปนการถูกตองธรรม สัมผัสธรรม ; หรือ เมื ่อ กลา วโดยกลับ กัน ก็ค ือ การที ่ธ รรมสัม ผัส จิต ถูก ตอ งจิต ซึ ่ง อาจ เรียกไดโดยโวหารสั้น ๆ วา “ธรรมสัมผัส ”. ความหมายของคํา ๆ นี้โดยสรุป ก็คือ ความที่ธ รรมทั้ง หลายเหลา นั้น ประชุม ตั้ง ลงพรอ มกัน ที่จิต. นี้เรียกวา ยอมสโมธานซึ่งผัสสะ. ๒๔. ในขณะนั้น มี อาการซึ่งเปรียบกันไดกับการดื่มกินรสของธรรมะ หรื อ ราวกะว า เป น การดื่ ม กิ น อาหารทางจิ ต ใจ จั ด เป น เวทนาชนิ ด หนึ่ ง ซึ่ ง เกิ ด มา แต ธ รรมะ หรื อ มี ธ รรมะเป น อารมณ ทั้ ง นี้ เนื่ อ งมาจากธรรมสั ม ผั ส ดั ง กล า วแล ว ในสโมธานขอ ๒๓. นี้เรียกวา ยอมสโมธานซึ่งเวทนา. ๒๕. ในขณะนั้น มี อาการแหงความตั้งมั่น อยางออกหนาออกตา ดว ยอํ า นาจของความเปน สมาธิ ที ่ป ระกอบกัน อยู ก ับ ปญ ญาอยา งไมแ ยกกัน . ข อ นี้ มิ ไ ด ห มายความถึ ง ความเป น สมาธิ ล ว น ๆ ดั ง ในกรณี อื่ น ซึ่ ง ไม มี ค วามเด น อยา งนี้. นี้ยอ มเปนการประมวลมาซึ่ง สมาธิ ชนิดที่มีความหมายของมัน เอง เป น พิ เ ศษ เช น เดี ย วกั บ คํ า ว า ผั ส สะหรื อ เวทนา เป น ต น ที่ ก ล า วแล ว ในข อ ๒๓, ๒๔, เพราะสมาธินี้ เปนสมาธิที่มีธรรมะเปนอารมณ หรือมีการเสวยรสแหง ธรรมเปนที่ตั้ง ซึ่งมีความหมายผิดไปจากคําวาสมาธิตามธรรมดา ; นี้เรียกวา ยอมสโมธานซึ่งสมาธิ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๒๖. ในขณะนั้น มี อาการแหงความเปนใหญเปนประธานของสติ ซึ่ ง เป น เสมื อ นผู บั ญ ชาการใหญ ทํ า หน า ที่ อ ยู บ นบั ล ลั ง ก สํ า หรั บ บั ญ ชาการงาน
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๕ การกําหนดปติ
๒๙๓
ทั้ง ปวง ควบคุม ดูแ ลรัก ษาสิ่ง ทั้ง ปวงอยูใ นมือ ของตนแตผูเ ดีย ว. ยอมสโมธานซึ่งสติ.
นี้เ รีย กวา
๒๗. ในขณะนั้น มี อาการแหงความที่สัมปชัญญะเขาควบคูกันกับสติ กลายเปนธรรมที่มีคุณคาหรือมีความวิเศษยิ่งไปกวาลําพังสติขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง. ขอนี้ แสดงถึงความสมบูรณในการทําหนาที่ของธรรม ซึ่งทําความหลุดพนอีกปริยายหนึ่ง ; และหมายถึ งความที่ เป นธรรมที่ สู งไปกว าสติ ล วน ๆ เพราะตั้ งอยู ได มั่ นคงกว า โดย ไมมีทางที่จะกลับหลัง หรือกลับกําเริบไดงาย. นี้เรียกวา ยอมสโมธานซี่งสติ สัมปชัญญะ. ๒๘. ในขณะนั้น มี อาการแหงการเขาถึงธรรมอันเปนสาระแหง พรหมจรรย ถึ ง ที่ สุ ด ในบรรดาธรรมที่ เ ป น สาระทั้ ง ปวง โดยอาศั ย คํ า ที่ ก ล า วว า ธรรมวิ นั ย นี้ หรื อ พรหมจรรย นี้ มี วิ มุ ต ติ เ ป น แก น สาร หาใช เ พี ย งแต มี ศี ล มี ส มาธิ มี ปญญา มีญานทัสสนะอันเปนทิพย เปนตน เปนแกนสารไม ; สิ่งเหลานั้นเปน เพี ย งเปลื อ ก และกระพี้ เป น ลํ า ดั บ เข า มา จนกว า จะถึ ง แก น แท คื อ วิ มุ ต ติ นี้ ; ฉะนั ้น คํ า วา วิม ุต ติใ นขั ้น ที ่ ๒๘ นี ้ จึง หมายถึง การเขา ถึง แกน ของพรหมจรรย. คําวาวิมุตติในขอ ๑๘. หมายถึงตัวความหลุดพน ; สวนวิมุตติในขอนี้ หมายถึง ตั ว แก น แท ข องพรหมจรรย มี ค วามหมายที่ เ พ ง เล็ ง ไปยั ง สิ่ ง คนละสิ่ ง ทั้ ง ที่ เ รี ย กชื่ อ เหมือนกัน. นี้เรียกวา ยอมสโมธานซึ่งวิมุตติ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๒๙. ในขณะนั้น มี อาการแหงการหยั่งลงสูสิ่งซึ่งเปนอมตะ ซึ่ง หมายถึ ง นิ พ พาน มี ค วามหมายโดยตรงเป น ความดั บ ทุ ก ข หรื อ ดั บ กิ เ ลส จะเป น เพี ย งเอกเทศ หรื อ สิ้ น เชิ ง ก็ ไ ด แต ค วามหมายนั้ น ย อ มเป น อย า งเดี ย วกั น
www.buddhadasa.in.th
๒๙๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๙
กลาวคือ การหยั่งลงสูธรรมที่ทําความไมตายนั่นเอง. ขอ นี้ถือ วาเปนอาการ ขั้ น สุ ด ท า ยของการปฏิ บั ติ ธ รรมที่ ป ระสบความสํ า เร็ จ แต ทํ า ให เ ห็ น ได ว า สิ่ ง ที่ เรีย กวา อมฤต หรือ อมตะ นั ้น ทา นยอมใหม ีค วามหมายลดลงมาถึง สิ ่ง ซึ ่ง จิต อาจประสบได แมใ นขณะที ่ม ีก ารเขา ถึง ธรรมขั ้น ตน ๆ ดัง เชน ในอานาปานสติขั้นที่หานี้. ทั้งนี้ ก็เพราะวารสชาติที่จิตไดรูสึกหรือไดเสวยในขณะนั้น เปน รสชาติอ ัน เดีย วกัน แทก ับ รสของนิพ พาน หากแตว า ในขณะนี ้ เปน นิพ พาน ชิ ม ลอง ยั ง ไม เ ป น การถาวร หรื อ เด็ ด ขาด. นี้ เ รี ย กว า ย อ มสโมธานซึ่ ง อมโตคธะ. สรุปความวา ในขณะที่ผูปฏิบัติมีลมหายใจเขา – ออกอยู ดวยความรูพรอม เฉพาะตอเวทนาโดยลักษณะแหงความไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตา อยูอยางแทจริงนั้น จิตยอมบรรลุธรรม เขาถึงอาการตาง ๆ ดังที่กลาวมาแลวทั้ง ๒๙ อยาง ; หรือกลาวอีก อยางหนึ่งวา อาจจะหาพบสิ่งเหลานี้ทั้งหมดที่จิตนั้นในขณะนั้น. ขอนี้เปนการแสดงให เห็ น อย า งชั ด แจ ง ว า การรู แ จ ง เห็ น แจ ง อย า งทั่ ว ถึ ง ต อ เวทนานั้ น เป น สิ่ ง ที่ น า สนใจ อยางยิ่ง ; ควรศึกษาดวยความพยายามอยางยิ่ง ; แมวาจะมีความยุงยากลําบาก มากมายสักเพียงใด.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ฉะนั้ น ขอให ผู ปฏิ บั ติ ทุ กคน มี ความสนใจในการที่ จะกํ าหนดพิ จารณา หรื อการตามเห็ นซึ่ งเวทนานั้นอย างใกล ชิ ดที่ สุ ด โดยอุ บายและวิ ธี ที่ ละเอี ยดยิ่งขึ้ นไป ดัง ที ่จ ะไดแ ยกกลา วเปน พิเ ศษอีก สว นหนึ ่ง เปน ลํ า ดับ ไป ในฐานที ่เ ปน ใจความ อันสําคัญของอานาปานสติขั้นนี้, และเรียกวา วิธีการแยกดําเนินการพิจารณา เวทนาอยางสมบูรณ.
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๕ การกําหนดปติ
๒๙๕
วิธีแยกพิจารณาเวทนาอยางสมบูรณ๑ การพิจารณาเวทนา หรืออีกนัยหนึ่ง คือการติดตามดูเวทนาอยูโดย ลัก ษณะอาการตา ง ๆ กัน นั ้น เทา ที ่ก ลา วมาแลว เปน การแสดงใหเ ห็น โดยแง ต า ง ๆ กั น คื อ ดู ใ ห เ ห็ น ว า ตั ว เวทนาซึ ่ ง ในที ่ นี ้ ไ ด แ ก ป ต ิ นั ้ น คื อ อะไร ? มีอาการอยางไร ? เกิดอยูที่ตรงไหน ? เนื่องดวยลมหายใจอยางไร ? เปน อารมณของอะไร ? และอะไรเปนเครื่องตามเห็นเวทนานั้น ? เห็นความจริงอะไร ที่เวทนานั้น ? ครั้นแลวมีผลอะไรเกิดขึ้นกี่อยาง เนื่องมาจากการเห็นเวทนานั้น ? ผูปฏิ บัติ จะต องมีความสนใจเปนพิ เศษตรงข อที่ว า จะตองพิจารณาเวทนานั้นอยางไร ผลจึ งจะเกิ ดขึ้ นตามนั้ นจริ ง ๆ กล าวคื อ เป นการสโมธานธรรมทั้ งหลาย ดั งที่ ได ระบุ มาแลวถึง ๒๙ อยางดวยกัน. ฉะนั้น ในที่นี้จะไดวินิจฉัยกัน เฉพาะ วิธีแยกพิจารณาเวทนา โดย สมบูรณและละเอียด โดยอาการที่อาจจะกลาวไดวาเปนอนุปสสนา คือการตาม เห็นเวทนานั้นโดยอาการที่จะทําความสําเร็จแกการสโมธานธรรม ดังที่กลาว แลว
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org โดยหลักทั่ว ๆ ไป พึงทราบวาการเห็นความจริงของสิ่งใดนั้น ใจความ โดยสว นใหญห มายถึง ความไมเ ที ่ย ง เปน ทุก ข เปน อนัต ตา ความวา งเปลา และความไม น ายึ ดถื อในสิ่ งนั้ น ๆ หรื อกล าวอย างสั้น ๆ ก็ คื อเห็ นไม เที่ ยง เป นทุ กข เปนอนัตตานั่นเอง.
๑
การบรรยาย ครั้งที่ ๓๑ / ๗ ตุลาคม ๒๕๐๒
www.buddhadasa.in.th
๒๙๖
อานาปานสติภาวนา ตอน ๙
แตเมื่อกลาวโดยละเอียด มีหลักที่จะตองพิจารณาแยกแยะออกไป ถึงการที่สิ่งนั้นเกิดขึ้น ตั้งอยู ดับไป เพื่อจะไดทราบตอไปวา ก. เมื่อเกิดมันเกิด มาจากอะไร ? ข. เมื่อตั้งอยูมันแสดงลักษณะอยางไร และมีผลใหเกิดอะไร เนื่องกันตอไป อีก? และ ค. เมื่อมันดับ มันดับไปไดเพราะเหตุไร ? ซึ่งตองไดรับการวินิจฉัยกัน ทุกขอไป นี้ทางหนึ่ง. และอีกทางหนึ่ง จะตองหยิบยกเอาสิ่งที่เนื่องกันอยูกับสิ่งนั้น มาพิจารณาโดยลักษณะเดียวกัน ตามที่เนื่องกันอยู. ความสัมพันธในกรณีแหง เวทนานั้น เวทนายอมเนื่องอยูดวยธรรม ๒ อยางคือ สัญญาและวิตก ฉะนั้น จึง จําเปนจะตองพิจารณาการเกิดขึ้น ตั้ งอยูและดับไปของสัญญาและวิตกตามกันไปดวย จึงเกิดมี สิ่ งที่ ต องพิ จารณาขึ้นถึ ง ๓ สิ่ ง และสิ่ งหนึ่ง ๆ ต องพิ จารณาถึ ง ๓ อาการ กลาวคือ การเกิดขึ้น ตั้งอยู ดับไป ดังที่กลาวแลว. เวทนาเนื่องอยูกับสัญญาและวิตก ในขั้นแรกจะไดพิจารณาถึงขอ ที่ เวทนาเนื่องกับ สัญญา และวิตก อยางไร. ขอนี้เปนเรื่องของจิตวิทยาโดยตรง และเปนไปตามธรรมชาติ หรือ ตามกฎของธรรมชาติ กลาวคือ เมื่อเวทนาหรือความรูสึกที่เปนสุขหรือทุกขเกิดขึ้นแลว การทําความสําคัญมั่นหมายตอเวทนา โดยความเปนเวทนาก็ดี โดยความเปนเวทนาของเรา ก็ดี ยอมเกิดขึ้น ; นี่เรียกวาสัญญาเกิดขึ้นเนื่องดวยเวทนา. เมื่อสัญญาเกิดขึ้นแลว โดยอาการอยางนั้น ความตริตรึกในการจะทําอะไรลงไป ในทางดี หรือทางชั่ว ก็ตาม เกี่ยวกับกรณีนั้นยอมเกิดขึ้น ; นี้เรียกวาวิตกยอมเกิดขึ้น เนื่องมาจากเวทนานั้นและ สัญญานั้น. จงพิจารณาดูเถิดวา เมื่อมันจับกลุมกัน หรือเนื่องกันเปน ๓ อยาง ขึ้ น มาดั ง นี้ แ ล ว มั น จะมี ค วามมั่ น คงสั ก เพี ย งไร มั น จะละได ย ากเพี ย งไร ถ า เราไม รู เท า ทั น ถึ ง การที่ มั น รวมกลุ ม กั น หรื อ รวมกํ า ลั ง กั น ต อ ต า นการพิ จ ารณา หรื อ การ
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๕ การกําหนดปติ
๒๙๗
ทําลายลางของเรา ; เพราะฉะนั้น ทางที่ดีที่สุดจึงมีอยูวา จะตองทอนกําลังมันดวยการ แยกมันให ออกจากกั นเปนส วน ๆ คือส วนที่เปนสัญญา เปนเวทนา เป นวิตกเพื่อทอน กํ าลั ง มั น ในการป ดบั ง ไม ใ ห เราเห็ นความจริ ง ลงเสี ยชั้ นหนึ่ งก อ น แล วจึ งพิ จารณา มันทีละอยาง ๆ กลาวคือ - - ๑. การพิจารณาเวทนา การพิจารณาในสวนที่เปนเวทนา นั้น มีทางที่จะพิจารณาวา เมื่อ รู สึ ก ต อ ความที่ จิ ต เป น สมาธิ มี อ ารมณ เ ดี ย ว ไม ฟุ ง ซ า น ด ว ยการทํ า ในใจโดย แยบคาย เนื่องดวยลมหายใจเขา – ออกแลว สิ่งที่เรียกวาปติ หรือเรียกโดย ทั่ ว ไปว า เวทนาในที่ นี้ ย อ มเป น สิ่ ง ที่ ป รากฏแล ว อย า งแจ ม แจ ง ดั ง ที่ ก ล า วแล ว อยางละเอียดในตอนอันวาดวยองคฌาน. เมื่อเวทนาปรากฏ พึงพิจารณาดู เพื่ อ ให เ ห็ น การเกิ ด ขึ้ น การตั้ ง อยู ชั่ ว ขณะหนึ่ ง และการดั บ ไปของเวทนานั้ น อย า ง แจมแจงดังตอไปนี้ :-
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ก. เกี่ยวกับการเกิดขึ้นของเวทนา จะตองตั้งปญหาวา เพราะ อะไรเกิดขึ้น เวทนาจึงเกิดขึ้น เวทนาจึงเกิดขึ้น หรือเพราะอะไรมีอยู เวทนามีอยู คําตอบ ที่มีใหสําหรับการพิจารณา คือ เพราะอวิชชา ตัณหา กรรม และผัสสะ เกิดขึ้น หรือมีอยู เวทนาจึงเกิดขึ้น. อวิ ช ชา คื อ ความไม รู ห รื อ รู ผิ ด เป น พื้ น ฐานของธรรมที่ มี ก ารเกิ ด ขึ้ น ทั่ วไป ไม ยกเว นอะไรหมด จนเรี ยกได ว าเป นรากเหง าของสั ง ขารทั้ งปวง ไม ยกเว น สิ่ ง ใดเลย ฉะนั้ น จึ ง ถื อ ว า เวทนามี มู ล มาจากสิ่ ง นี้ ด ว ยเป น ข อ แรกก อ น ที่ ค วร
www.buddhadasa.in.th
๒๙๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๙
พิ จารณาอย างใกล ชิ ดเข ามาอี กก็ คื อ เพราะอวิ ชชามี อ ยู จึ งทํ าให สิ่ งที่ เรี ยกว าเวทนา มี ค า ขึ ้น มา มีอํ า นาจขึ ้น มา เต็ม ตามหนา ที ่ข องมัน เชน ทํ า ใหส ัต วห ลงยึด ถือ เอาสิ่ ง ซึ่ ง เป น เพี ย งมายานี้ เป น ของมี จ ริ ง ขึ้ น มา นี้ คื อ ข อ ที่ เพราะอวิ ช ชามี อ ยู เวทนาจึงมีอยู. ส ว นข อ ที่ ว า เวทนาเกิ ด มาจากตั ณ หา นั้ น เป น การเล็ ง ถึ ง เงื่ อ นที่ ใกลชิด ฝา ยขา งตน , กลา วคือ เมื่อ มีค วามอยากไดเ วทนาชนิด ใด ก็มีก าร แสวงหรือ การกระทํา จนเกิดเวทนาชนิดนั้น ๆ ขึ้นมาจริง ๆ . โดยหลักทั่วไป ยอมกลาววาเวทนาเปนปจจัยใหเกิดตัณหา ; นั่นเล็งถึงขอที่วาเมื่อเวทนาเกิด ขึ้ น แล ว ย อ มมี ค วามอยากหลายอย า งเกิ ด ขึ้ น ในเวทนานั้ น เช น อยากที่ จ ะสงวน เวทนานั ้น ไวโ ดยความรัก หรือ ความหลงใหลตอ เวทนานั ้น ซึ ่ง มีอํ า นาจทํ า ใหเ กิด อุปานทานอีกตอหนึ่ง ; สวนในที่นี้เล็งถึงความหมายอีกอยางหนึ่งที่กลับกัน กลาว คือตัณหาเปนเหตุใหเกิดเวทนา. ผูศึกษาจะตองพิจารณาดูใหดี ๆ มิฉะนั้นจะเห็น เปนหลักที่ขัดขวางกัน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ส ว นข อ ที่ ว า เวทนาเกิ ด มาจากกรรม นั้ น หมายถึ ง วิ บ ากของกรรมใน กาลกอน ซึ่งมีสวนสําคัญอยูสวนหนึ่งในการที่จะอํานวยใหเกิดเวทนา. เวทนา ที่ เ กิ ด ขึ้ น ได จะเป น เวทนาที่ ต อ งการหรื อ ไม ต อ งการก็ ต าม กรรมเก า ย อ มมี ส ว น เขามาแทรกแซงอยูดวยสวนหนึ่งเสมอไป. ส ว นข อ สุ ด ท า ยที่ ว า เวทนาเกิ ด มาจากผั ส สะนั้ น เป น การชี้ ใ นแง ข อง กฎเกณฑท างจิต ถึง สิ ่ง ที ่ใ กลช ิด ที ่ส ุด และในระยะที ่ก ระชั ้น ชิด ที ่ส ุด ดัง ที่ ใคร ๆ ก็เคยศึกษามาแลว หรือทราบกันดีอยูแลววาผัสสะ กลาวคือ การกระทบกัน ระหวา งสิ ่ง ทั ้ง สาม คือ อายตนะภายใน อายตนะนอก และวิญ ญาณนั ้น ยอมมีผลทําใหเกิดเวทนาขึ้นโดยแท.
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๕ การกําหนดปติ
๒๙๙
เมื่ อพิ จารณาโดยรวบยอด คื อเนื่ องกั นทั้ ง ๔ อย า ง ก็ จะเห็ นได ชั ดว า เวทนาเกิดขึ้นมาจากสิ่งทั้งสี่นี้ โดย มีอวิชชาเปนรากฐานทั่วไป. มีตัณหาเปนตัวการ เฉพาะเรื่อง, มีกรรมเขาแทรกแซงหรือสนับสนุนอยูตามสวน, แลวมีผัสสะนั้นเอง เปนฐานที่ตั้งหรือที่เกิดของเวทนาโดยตรง, เมื่อใดมีการพิจารณาเห็นแจมแจงชัดเจน โดยทํานองที่กลาวนี้ เมื่อนั้นกลาวไดวา “เวทนาเกิดขึ้นก็แจมแจง” กลาวคือ ผู ปฏิ บั ติ นั้ นแจ มแจ งต อการเกิ ดขึ้ นของเวทนาอยู ด วยอาการดั งกล าวนี้ ทุ กลมหายใจ เขา – ออก. ข. เกี่ยวกับการตั้งอยูของเวทนา นั้น มีหลักที่จะพึงกําหนดใน การปฏิบั ติ วา จะต องพิ จารณาให เห็ นโดยความเป นอนิ จจั ง ทุ กขัง อนัตตา โดยนั ย ดังกลาวแลว อยางละเอียดขางตน ; แตสิ่งที่ประสงคสืบไป มีอยูวาการพิจารณา หรื อการเห็ นอยู โดยทํ านองนั้ น ต องเป นไปในขนาดที่ จะทํ าให มี ผลเกิ ดขึ้ น คื อ เมื่ อ เห็นอยูโดยความเปนอนิจจัง ความสิ้นไปเสื่อมไปปรากฏชัดอยูเฉพาะหนา ; เมื่อเห็นอยูโดย ความเปนทุกข ความนากลัวปรากฏชัดอยูเฉพาะหนา ; เมื่อเห็นอยูโดยความเปนอนัตตา ความวางโดยประการทั้งปวงก็ปรากฏชัดอยูเฉพาะหนา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เมื่ อทั้ ง ๓ คื อ ความเสื่ อมไปสิ้ นไป ความน ากลั ว และความว างโดย ประการทั้ งปวงนั้ น ไม อาจปรากฏแกผู ศึ กษาเรื่ อง อนิ จจั ง ทุ กขั ง อนั ตตา โดยนั ย แหงปริยัติแมแตนอย. สิ่งเหลานี้เปน ความรูสึกในใจจริง ๆ ไมใชเปนความรู ที่ไดรับจากการศึกษา. มันสูงไปอีกขั้นหนึ่ง, ความรูสึกทั้ง ๓ นี้ไมปรากฏแกผู คํ านึ งคํ านวณอยู โดยการใช เหตุ ผลตามวิ ถี ทางของปรั ชญา หรื อ ตรรกวิ ทยา เพราะ สิ่งเหลานี้ตั้งอยูเหนือเหตุผล ไมเกี่ยวกับเหตุผล ; อํานาจของเหตุผลเขาไปไมถึง. การเห็ นอนิ จจั ง ทุ กขั ง อนั ตตา โดยวิ ธี ใช เหตุ ผลนั้ นยั งไม เพี ยงพอที่ จะทํ าให กล าว
www.buddhadasa.in.th
๓๐๐
อานาปานสติภาวนา ตอน ๙
ไดวา เขาเปนผูแจมแจงตอการตั้งอยูของเวทนา. เพราะเหตุนี้เอง สิ่งทั้ง ๓ นี้ จะปรากฏก็ ตอเมื่อบุคคลนั้ นเพ งดูอยูที่ ตั วเวทนาอย างถู กต องมาตามลํ าดับ นั บตั้งแต การเห็นความไมเที่ยง เปนทุ กข เป นอนั ตตา ซึ่งดูออกมาจากอาการของการเกิดขึ้ น ตั้งอยู ดับไป นั่นเอง. คํ า ว า ความสิ้ น ไปเสื่ อ มไปปรากฏชั ด แจ ง นั้ น หมายถึ ง ความสลด สั ง เวชใจ อั น เกิ ด มาจากความรู สึ ก ที่ ว า สิ่ ง ทั้ ง หลายทั้ ง ปวงมี ค วามเปลี่ ย นแปลง อยางไหลเชี่ยวเปนเกลียวไป โดยไมฟงเสียงใครหรือเอ็นดูสงสารใคร. มันมิใช ความรู สึ ก ที่ เ กิ ด มาจากความรู ห รื อ การใช เ หตุ ผ ล แต มั น เป น ความรู สึ ก ที่ เ กิ ด มา จากการมองเห็ นของจริ ง หรื อได ผ านการรู รสและพิ ษสงของสิ่ งเหล านี้ มาแล วอย าง ประจักษแกใจ. สํ า หรั บ ความน า กลั ว ก็ มี คํ า อธิ บ ายทํ า นองเดี ย วกั น แต เ ป น สิ่ ง ที่ เ ห็ น ได ง า ยยิ่ ง ขึ้ น ไปกว า เพราะว า ความรู สึ ก ที่ แ ท จ ริ ง นั้ น มิ อ าจเกิ ด มาจากความรู ห รื อ การใช เหตุ ผลอยู แล ว มั นจะต องเกิ ดมาจากการประสบเข ากั บสิ่ งนั้ นจริ ง ๆ เท านั้ น ตั ว อย า งเช น ใคร ๆ ก็ มี ค วามรู ว า เสื อ เป น สั ต ว ที่ น า กลั ว และใคร ๆ ก็ อ าจจะคิ ด ด ว ยการใช เ หตุ ผ ลว า เสื อ เป น สั ต ว น า กลั ว แต แ ล ว ความกลั ว อั น แท จ ริ ง ก็ ยั ง ไม อ าจ จะเกิดขึ้น จนกวาเมื่อไรจะไดไปเผชิญหนากับเสือตัวตอตัวในที่เปลี่ยว. นี่คือ คํ า อธิ บ ายของคํ า ว า ความกลั ว ต อ ทุ ก ข ไ ม อ าจจะเกิ ด จากความรู ท างปริ ยั ติ หรื อ จากการใชเหตุผลตามทางปรัชญา เปนตน แตตองเกิดจากการดูโดยวิธีของการ ปฏิบัติธรรม ตรงลงไปยังสิ่งซึ่งมีอาการอันนากลัวปรากฏอยู ซึ่งในกรณีของเรานี้ ไดแกการดูลงไปยังปติหรือเวทนา. ขอนี้ อาจจะสรุปลงไปไดในคําสั้น ๆ วา ตองดู, ตองดูใหเห็น, ตองดูใหเปน, ดูใหเปนตามลําดับมา โดยวิธีเทคนิคของ มันเอง ซึ่งเขาถึงตัวธรรมชาติจริง ๆ ; เมื่อนั้นแหละจึงจะกลาวไดอยางเต็มปากวา
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๕ การกําหนดปติ
๓๐๑
เมื่อใดเห็นอยูโดยความเปนทุกข เมื่อนั้นความนากลัวยอมเปนสิ่งที่ปรากฏชัดแจง เฉพาะหนา ดังนี้. สํ าหรั บคํ าว า ความว า งโดยประการทั้ งปวง ที่ ปรากฏในขณะแห ง การ เห็ น อนั ต ตา หมายถึ ง ว า งจากความหมายต า ง ๆ อั นเกิ ด ขึ้ น จากการสมมติ หรื อ บัญญัติตอสิ่งนั้น ๆ . สมมติหรือบัญญัติทั้งหลาย ยอมเปนการบัญญัติไปตาม ความรูสึกที่ยังถูกครอบงําอยูดวยอวิชชาหรือตัณหาเปนตน. ความรูสึกดังกลาว นั ้น จะรู ส ึก ไปในทางของความวา งไมไ ดเ ลยโดยเด็ด ขาด มัน จึง แลน ไปในทาง ที่ จ ะเห็ น เป น ของไม ว า ง คื อ ต อ งเป น ตั ว ตนของมั น เองอย า งใดอย า งหนึ่ ง หรื อ ระดั บ ใดระดั บหนึ่ ง ซึ่ งล วนแต มี ความหมายหรื อ มี คุ ณค าอย างใดอย างหนึ่ ง ไปเสี ยทั้ งนั้ น . เพราะฉะนั ้น เราจึง รู ส ึก ตอ สิ ่ง ตา ง ๆ ในฐานะเปน สิ ่ง ที ่ไ มว า งเปลา แตรู ส ึก เปน สิ ่ง ที ่ม ีค วามหมาย หรือ คุณ คา แหง ความเปน ตัว เปน ตนของมัน เองไปเสีย ทุก สิ ่ง ทุ ก อย า งตามมากตามน อ ย ตามอํ า นาจของอวิ ช ชาที่ กํ า ลั ง อยู ใ นขณะนั้ น อย า งไร. สั ตว ทั้ งหลายตามปรกติ ถู กอวิ ชชาครอบงํ าอยู อ ย างเต็ มที่ ความรู สึ กตามปรกติ ของ สั ต ว ทั้ ง หลาย จึ ง ไม เ ป น ไปในทางที่ จ ะเห็ น ความว า ง แต ก ลั บ เป น ไปในทางตรงกั น ขาม คือเห็นอะไรมีความหมายเปนตัวตนไปหมด. เขาไมรูสึกวานี้เปนความ สํ า คั ญ ผิ ด แต ก ลั บ รู สึ ก ไปเสี ย ว า นี่ เ ป น สั จ ธรรม หรื อ นี่ คื อ ความจริ ง อย า งไม มี ทางที่เฉลียวใจวานี่เปนความสําคัญผิด.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ด วยเหตุ นี้ เอง ความรู ก็ ตาม การใช เหตุ ผลก็ ตาม ที่ เป นไปตามธรรมดา ของสามัญสัตวนั้น ไมมีทางที่จะเปนไปในการเห็นความวาง, มีแตทางที่จะดิ่งไป
www.buddhadasa.in.th
๓๐๒
อานาปานสติภาวนา ตอน ๙
ในทางตรงกันขามเสมอ. ขอ นี้เปนเหตุใหเราตองมาตั้งพิธีกันใหม และคนหา วิ ธี ก ารกั น ใหม ให มี อํ า นาจและกํ า ลั ง เพี ย งพอที่ จ ะต อ ต า น หรื อ เป น ไปอย า งทวน กระแสแหง ความยึด มั ่น ถือ มั ่น ของสัต ว เพื ่อ ใหเ ห็น ความวา งจากตัว ตนของสิ ่ง ทั้งหลายทั้งปวงขึ้นมาใหได. ความว างในที่ นี้ มิ ได หมายความว า ว างจากสสารหรื อว างจากวั ตถุ แต ประการใดเลย หรือแมแตวางจากนามธรรมโดยประการใดเลย. หากแตวาในวัตถุ หรื อ ในนามธรรมนั้ น มั น ว า งจากความหมายแห ง ความมี ตั ว ตน คื อ ว า งจากความ สมควรที่จะใชคําวา “ผู” ซึ่งหมายถึงผูทํา หรือผูถูกทําเปนตน ; หรือจะใชคําวา ‘ตัวตน’ ซึ่งจะเปนผูมีอยูในลักษณะที่เปนกลาง ๆ ก็ตาม ; ตอวัตถุหรือนามธรรม เหลานั้น. รวมความวาวัตถุก็มีอยู นามธรรมก็มีอยู มีอยูในฐานะเปนสิ่งที่ไหล เวีย นเปลี ่ย นแปลงอยา งนา กลัว แตถ ึง กระนั ้น ในสิ ่ง เหลา นั ้น ก็ย ัง วา งจากตัว ตน ที่ แ ท จ ริ ง มี อ ยู ก็ แ ต ตั ว ตนที่ เ ป น มายาด ว ยความสํ า คั ญ ผิ ด อั น เกิ ด มาจากอวิ ช ชา เปนตน ซึ่งปดบังความวางจากตัวตนไวอยางสนิทสนม. เมื่อใดเพิกถอนตัวตน ซึ ่ง เปน เพีย งมายาเสีย ไดด ว ยการปฏิบ ัต ิที ่ถ ูก ตอ ง เมื ่อ นั ้น ความวา งโดยประการ ทั ้ง ปวงจะปรากฏไมม ีใ ครหรือ อะไรที ่เ ปน ทุก ข หรือ เปน ของนา กลัว เปน ตน เหลืออยูอีกตอไป. ปญหาของการปฏิบัติหมดไปโดยกะทันหัน ก็เพราะเขาถึง ความจริงขอนี้ กลาวคือสุญญตาหรือความวางนั่นเอง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สรุปความอีกครั้งหนึ่งวา เมื่อปฏิบัติในการตามเห็นความตั้งอยูของ เวทนานั้น ตองตามดูใหเห็นอนิจจังจนกระทั่งความเสื่อมไปสิ้นไปปรากฏ; ตาม
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๕ การกําหนดปติ
๓๐๓
ดู ทุ ก ขั ง กํ า ลั ง เป น สั ญ ญาที่ เ ข า ไปยึ ด ถื อ อยู ใ นเวทนา โดยอาการเร น ลั บ อย า งไร. ทั้งหมดนี้ จนกระทั่งความนากลัวปรากฏ ; และตามดูอนัตตา จนกระทั่ง สุญญตาปรากฏโดยนัยที่กลาวแลวนี้. ค. เกี่ยวกับการดับไปของเวทนา นั้น มีหลักสําหรับการพิจารณาวา เพราะอวิชชาดับ เวทนาจึงดับ ; เพราะตัณหาดับ เวทนาจึงดับ ; เพราะ กรรมดั บ เวทนาจึ ง ดั บ ; เพราะผั ส สะดั บ เวทนาจึ ง ดั บ ดั ง นี้ . ข อ นี้ มีคําอธิบายทํานองเดียวกันกับขอ ก. หากแตวาเปนไปในทํานองตรงกันขาม เท า นั้ น แต มี ท างที่ จ ะพิ จ ารณาหรื อ วิ นิ จ ฉั ย อย า งละเอี ย ดพร อ มกั น ไปอี ก นั ย หนึ่ ง ว า เพราะอวิชชานั่นเองเปนตัวการใหสิ่งทั้งสามที่เหลือจากกนั้นเกิดขึ้นหรือดับไป. ถา อวิ ช ชายั ง มี อ ยู สิ่ ง ทั้ ง สามที่ เ หลื อ คื อ ตั ณ หา กรรม และสั ม ผั ส จะต อ งมี อ ยู เพราะ อวิ ชชานั่ นเองทํ าให สิ่ งต าง ๆ มี ความหมายในทางที่ น ารั ก น ายึ ดถื อ ตั ณหาจึ งเกิ ด กรรมจึงมี ผัสสะจึงเปนไป : เพียงแตอวิชชาไมมีเสียอยางเดียวเทานั้น สิ่งตาง ๆ ก็จะไรความหมายและหมดกําลังลงทันที, เพียงแตอวิชชามีอยูหรือพลุงขึ้นมา สิ่งทั้งสามก็มีอยู หรือพลุงขึ้นมาอยางสมสวนกัน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ยกตั ว อย า งเช น ถ า จิ ต ไม ถู ก อวิ ช ชาครอบงํ า แล ว แม ต าที่ ก ระทบรู ป หรื อ หู ที่ ก ระทบเสี ย ง เป น ต น ก็ จ ะมี ก ารกระทบที่ ไ ม มี ค วามหมาย คื อ เป น ผั ส สะ ชนิด ที ่ไ มม ีค วามหมาย ดัง นั ้น เวทนาที ่จ ะเปน ตัว การใหเ กิด ทุก ข ก็ไ มอ าจเกิด ขึ้นได. นี่เรียกไดวาเพราะอวิชชาดับ ผัสสะจึงดับ. เพราะผัสสะดับ เวทนา จึงดับ, ตัณหาไมมีขึ้นมาแทรกแซง กรรมก็ไมมีโอกาสที่จะเขามาแทรกแซง. เวทนาดับ ไป คือ ไมม ีค วามหมายไป เพราะสิ ่ง เหลา นั ้น นี ้ด ับ ไป คือ ไมเ ขา มา ปรุงแตงหรือแทรกแซงโดยนัยดังที่กลาวแลว.
www.buddhadasa.in.th
๓๐๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๙
เมื่ อ รู จั ก ตั ว เวทนา ลั ก ษณะอาการของเวทนา กฎเกณฑ ต า ง ๆ ที่ เกี่ ย วกั บ การเกิ ด ขึ้ น หรื อ ดั บ ไปของเวทนาอยู ดั ง นี้ ชื่ อ ว า ย อ มแจ ม แจ ง ต อ เวทนา โดยประการทั้งปวง : เวทนาเกิดขึ้นอยางไรก็แจมแจง เวททนาตั้งอยูอยางไร ก็แ จม แจง เวทนาดับ ไปอยา งไรก็แ จม แจง . เมื่อ เห็น แจม แจง อยูดัง นี้ ชื่อ วา เปนผูตามเห็นซึ่งเวทนาอยูทุกลมหายใจเขา – ออก. เมื่อเพงอยูอยางนี้ ธรรม ต า ง ๆ ย อ มปรากฏอยู ที่ ก ารเพ ง นั้ น และทนต อ การเพ ง อย า งแรงกล า ยิ่ ง ขึ้ น ทุ ก ที จนกระทั่ ง มี อํ า นาจกํ า จั ด กิ เ ลสอั น มี อ วิ ช ชาเป น ประธาน ให ร อ ยหรอเหื อ ดแห ง ไป ตามลํา ดับ . นี้คือ การตามเห็น เวทนาที่เ ปน ไปเต็ม ตามความหมายของคํา วา เวทนานุปสสนา. ๒. การพิจารณาสัญญา ส ว นที่ เ ป น สั ญ ญานี้ มี ท างที่ จ ะพิ จ ารณาเช น เดี ย วกั น กั บ กรณี ข อง เวทนาทุ ก ประการ หากแต มี ค วามแตกต า งอยู ห น อ ยหนึ่ ง ตรงที่ ว า ในกรณี ข อง สัญ ญานี ้ มีเ วทนาเขา มาแทนที ่ข องคํ า วา ผัส สะ ในฐานะเปน เหตุใ หเ กิด ขึ ้น กลาวคือ เวทนานั้น เกิดจากอวิชชา ตัณหา กรรม และผัสสะ, สวนสัญญานั้น เกิดมาจากอวิชชา ตัณหา กรรม และเวทนา, ฉะนั้น การดับไปแหงสัญญามีขึ้น เพราะการดับไปแหงอวิชชา ตัณหา กรรม และเวทนา อีกนั่นเอง. ขอใหสังเกต เฉพาะตรงที่ ว า มี คํ า ว า เวทนา มาแทนคํ า ว า ผั ส สะ นอกนั้ น เป น ไปโดยนั ย เดียวกันทั้งสิ้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org การพิ จ ารณาสั ญ ญาที่ ตั้ ง อยู ก็ คื อ พิ จ ารณาให เ ห็ น อนิ จ จั ง จนกระทั่ ง ความสิ้นไปเสื่อมไปปรากฏ, พิจารณาสัญญาโดยความเปนทุกข จนกระทั่ง ความนากลัวปรากฏ, พิจารณาสัญญาโดยความเปนอนัตตาจนกระทั่งสุญญตา ปรากฏ โดยทํานองเดียวกันทุกประการ. สิ่งที่ตองสังเกตเปนพิเศษมีตรงที่วา ความรูสึกในขณะนี้ กําลังเปนเวทนาหรือกําลังเปลี่ยนไปเปนสัญญา, หรือวา
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๕ การกําหนดปติ
๓๐๕
เปน สิ ่ง ที ่ต อ งมองใหเ ห็น โดยแจม แจง โดยแทจ ริง จนกระทั ่ง เปน ความแจม แจง ทั้งในเวทนาและสัญญาพรอมกัน. ๓. การพิจารณาวิตก สว นที ่เ ปน วิต กนี ้ ก็ม ีท างที ่จ ะตอ งพิจ ารณาโดยทํ า นองเดีย วกัน กับ ๒ ขอ แรก คือ เวทนาและสัญ ญา โดยประการทั้ง ปวง, ตา งกัน อยูเ พีย ง หนว ยเดีย ว กลา วคือ ปจ จัย แหง การเกิด และการดับ ขอ สุด ทา ยของวิต กนั ้น มี สั ญญาเข ามาแทนที่ ของเวทนาหรื อผั สสะ จึ งเป นอั นว า วิ ตกเกิ ดจากอวิ ชชา ตั ณหา กรรม และสั ญญา จะดั บไปก็ เพราะการดั บไปของอวิ ชชา ตั ณหา กรรม และสั ญญา ที่ เ ป น ดั ง นี้ ก็ เ พราะเหตุ ว า สั ญ ญาเป น เหตุ ใ ห เ กิ ด วิ ต กอยู โ ดยตรง ดั ง ที่ ไ ด อ ธิ บ าย มาแล วข างต นว า เพราะมี สั ญญาคื อความสํ าคั ญมั่ นหมายในสิ่ งใด วิ ตกก็ เกิ ดขึ้ นใน สิ่งนั้น เพราะความสําคัญมั่นหมายอันนั้น. สวนคําอธิบายสําหรับการที่อวิชชา ตั ณ หา กรรม จะเป น เหตุ ใ ห เ กิ ด วิ ต กได อ ย า งไรนั้ น มี คํ า อธิ บ ายอย า งเดี ย วกั น กั บ ที ่ก ลา วแลว ในขอ อัน วา ดว ยเวทนา และสัญ ญา คํ า อธิบ ายถึง การดับ ของวิต ก ก็มีนัยตรงกันขามกับการเกิดของวิตก, เปนอันวาไมตองกลาวซ้ํา, สวนการ พิ จ ารณาความตั้ ง อยู ข องวิ ต ก ย อ มเหมื อ นกั บ คํ า อธิ บ ายในข อ เวทนาและสั ญ ญา โดยประการทั้งปวง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สิ่ ง ที่ ไ ม ค วรจะลื ม ยั ง คงมี อ ยู โ ดยทํ า นองที่ ก ล า วแล ว ข า งต น ว า การตาม ดู สั ญ ญา ต อ งตามดู ที่ เ วทนา เพราะสั ญ ญาเกิ ด อยู ที่ เ วทนา ในเวทนา หรื อ เนื่ อ ง อยูกับเวทนา. ขอนี้ฉันใด, การตามดูวิตกก็ฉันนั้น, คือตองดูวิตกที่เวทนา เพราะวิตกเปนสิ่งที่เกิดขึ้นเนื่องดวยเวทนา จากเวทนา หรือในเวทนานั้น, ถา สามารถดู ไ ด โ ดยความเป น ของเนื่ อ งกั น อย า งนี้ แล ว เห็ น ชั ด ถึ ง ความแตกต า งกั น
www.buddhadasa.in.th
๓๐๖
อานาปานสติภาวนา ตอน ๙
ในส ว นไหนโดยเฉพาะ ตามนั ย ที่ ก ล า วแล ว ก็ เ ป น การตามเห็ น เวทนาถึ ง ที่ สุ ด และ สมบูรณ. สรุป เพื ่อ สัง เกตไดง า ย ๆ อีก ครั ้ง หนึ ่ง คือ ปจ จัย ที ่ห นึ ่ง ที ่ส อง และ ที่ สาม เหมื อนกั นหมดทั้ งของเวทนา สั ญญา และวิ ตก ได แก อวิ ชชา ตั ณหา และ กรรม ; สวนปจจัยที่สี่นั้นตางกันตามกรณีของตน ๆ คือเวทนามีผัสสะเปนปจจัย, สัญญามีเวทนาเปนปจจัย, และวิตกมีสัญญาเปนปจจัย, ทั้งนี้เพราะเหตุอยางเดียว คือความจริงที่วา ผัสสะเปนเหตุใหเกิดเวทนา, เวทนาเปนเหตุใหเกิดสัญญา, สัญญาเปนเหตุใหเกิดวิตก, ดังที่ไดกลาวแลวในตอนตนนั่นเอง. เมื่อเปนดังนี้ จึ ง ได มี ป จ จั ย ทั่ ว ไป และเกิ ด มี ป จ จั ย เฉพาะอย า งหรื อ เฉพาะตั ว แก สิ่ ง ทั้ ง สามขึ้ น ดังนี้. เมื่อผูปฏิบัติพิจารณาอยูโดยอาการที่อาจกลาวไดวา เมื่อเห็นสิ่งเหลานี้ ก็เห็นปจจัยแหงการเกิดของมัน, เมื่อสิ่งเหลานี้ดับไปเสื่อมไป ก็เห็นความนากลัว และความว างจากตั วตนของสิ่งเหลานี้ อยู โดยประจักษดั งนี้ แล ว เปนอันกล าวได ว า การปฏิ บั ติ ข องผู นั้ น เมื่ อ เวทนาเกิ ด ขึ้ น ก็ แ จ ม แจ ง เวทนาตั้ ง อยู ก็ แ จ ม แจ ง เวทนา ดั บ ไปก็ แ จ ม แจ ง เต็ ม ตามความหมายที่ ป ระสงค ใ นการทํ า อานาปานสติ ขั้ น ที่ ห า นี้ ซึ่งมีหัวขอวา “ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูรูพรอมซึ่งปติ จักหายใจเขา – ออก” ดังนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org การแยกพิ จารณาเวทนาโดยสมบู รณ สรุ ปลงได ในการเห็ นความเกิ ดขึ้ น ตั้งอยู ดับไป ดวยอํานาจปจจัยตาง ๆ กัน, ของเวทนาและสิ่งที่เนื่องดวยเวทนา คือ สัญญาและวิตก ดวยอาการอยางนี้. (จบอานาปานสติขั้นที่หา อันวาดวยการรูพรอมเฉพาะซึ่งปติ)
www.buddhadasa.in.th
ตอน สิบ อานาปานสติ ขั้นที่ หก๑ (การกําหนดสุข)
อุ เ ทส หรื อ หั ว ข อ แห ง อานาปานสติ ข อ ที่ ส องแห ง จตุ ก กะที่ ส อง หรื อ จัดเปนขั้นที่หก แหงอานาปานสติทั้งปวงนั้น มีอยูวา : “ภิกษุนั้น ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งสุข จักหายใจเขา ดังนี้ ; ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งสุข จักหายใจออก ดังนี้”.๒ คํ า อธิ บ ายของอานาปานสติ ขั้ น ที่ ห กนี้ เป น ไปในทํ า นองเดี ย วกั น กั บ อานาปานสติ ขั้ น ที่ ห า ทุ ก ประการ จนแทบจะกล า วได ว า เหมื อ นกั น ทุ ก ตั ว อั ก ษร แตตนจนปลาย. ผิดกันอยูหนอยเดียวตรงที่วา ในขั้นที่หานั้น เปนการเพง พิจารณาที่ปติ. สวนในขั้นที่หกนี้ เพงพิจารณาที่ตัวความสุข อันเปนสิ่งที่คูกัน อยูกับปติ. แตเนื่องจากสิ่งทั้งสองนี้จัดเปนเวทนาดวยกัน เมื่อกลาวโดยหลัก รวมจึง เปน สิ่ง ๆ เดีย วกัน คือ เปน เพีย งเวทนาดว ยกัน นั่น เอง. คํา อธิบ าย เกี่ยวกับเรื่องนี้จึงเหมือนกันโดยประการทั้งปวง, มีอยูแตวาจะตองทําการวินิจฉัย ในข อ ที่ ว า ป ติ กั บ ความสุ ข โดยลั ก ษณะเฉพาะ มี ค วามแตกต า งกั น อย า งไรบ า ง เทานั้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๑ ๒
การบรรยายครั้งที่ ๓๒ / ๑๐ ตุลาคม ๒๕๐๒ สุขปฏิสํเวที อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ; สุขปฏิสํเวที ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ.
๓๐๗
www.buddhadasa.in.th
๓๐๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑๐
คําวาสุข คําวา “สุข” โดยทั่วไป ทานจําแนกเปน ๒ คือสุขเปนไปในทางกาย และสุขเปนไปในทางจิต. สุขที่เปนไปในทางกาย เปนสิ่งที่มีมูลโดยตรงมาจากวัตถุ หรื อ รู ป ธรรม และอาการของความสุ ข แสดงออกมาทางกาย หรื อ เนื่ อ งด ว ยกาย เปนสวนใหญ. สวนความสุขที่เปนไปในทางจิต เปนสิ่งที่สูงหรือประณีตขึ้นไป กว านั้ น ฉะนั้ น จึ งมี มู ล มาจากนามธรรมเป น ส วนใหญ ปรารภธรรมะเป น ส ว นใหญ และเปน ไปในทางจิต คือ แสดงออกในทางจิต โดยเฉพาะ ; สว นที่เ ปน ผล เนื ่อ งมาถึง ทางกายดว ยนั ้น ยอ มมีเ ปน ธรรมดา แตถ ือ วา เปน สว นที ่พ ลอยได, คงเพงเล็งเอาสวนที่เนื่องอยูกับจิตเปนสวนใหญ. คําวา ความสุข ในการเจริญอานาปานสติ นั้น หมายถึงความสุข ที่ เ ป น ความรู สึ ก ขององค ฌ าน เช น เดี ย วกั บ ป ติ ซึ่ ง เป น องค ฌ านด ว ยกั น ฉะนั้ น จึ งหมายถึ งความสุ ขที่ เป นไปในทางใจโดยส วนเดี ยว และเป นสิ่ งที่ จะต องหยิ บขึ้ นมา เพ งพิ จารณาในฐานะเป นเวทนาอี กอย างหนึ่ ง เพื่ อการเจริ ญอานาปานสติ ขั้ นที่ หกนี้ , โดยวิธีอยางเดียวกันกับการพิจารณาปติ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org วิธีปฏิบัติ การปฏิ บั ติ อ านาปานสติ ขั้ น ที่ ห กนี้ ผู ป ฏิ บั ติ พึ ง ย อ นไปทํ า การกํ า หนด ศึ ก ษามาตั้ ง แต อ านาปานสติ ขั้ น ที่ สี่ พึ ง กํ า หนดองค ฌ านต า ง ๆ ให แ จ ม แจ ง อี ก ครั้ง หนึ่ง . เมื่อ แจม แจง ทั่ว ทุก องคแ ลว เพื่อ กํา หนดเจาะจงเอาเฉพาะองคที่ เรีย กวา “สุข” เพื่อการเพงพิจารณาหรือ การตามดู โดยนัยที่กลาวแลวโดย ละเอียดในอานาปานสติขั้นที่หาทุก ๆ ประการ โดยหัวขอดังตอไปนี้ คือ :๑. สิ่งที่เรียกวาความสุขนี้ คืออะไร ? มีลักษณะอยางไร ?
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๖ การกําหนดสุข
๓๐๙
๒. สิ่งที่เรียกวาความสุขนั้น เกิดขึ้นในขณะไหน เวลาใด ? ๓. เกิดขึ้นดวยอํานาจอะไร ? หรือดวยการทําอยางไร ? ๔. เกิดญาณและสติขึ้นในลําดับตอไปดวยอาการอยางไร ? ๕. ในขณะนั้นชื่อวาเธอยอมตามเห็นซึ่งเวทนา คือความสุขนั้น โดย ลักษณะอยางไรอยู ? แลวละอะไรเสียได ? ๖. การตามเห็นเวทนานั้น มีอาการแหงการเจริญสติปฏฐานภาวนา เกิดขึ้นดวยอาการอยางไร ? ๗. ในขณะที่สโมธานซึ่งธรรมยอมมีการสโมธานธรรม, ยอมรูโคจร และยอมแทงตลอดสมัตถะของธรรมนั้น ๆ อยางไร ? ๘. ยอมสโมธานธรรมที่เปนหมวดหมู โดยรายละเอียดอยางไร ? ๙. ยอมสโมธานธรรมโดยหลักใหญ หรือโดยกวางขวางมีจํานวน เทาไร ? และ ๑๐. มีวิธีการพิจารณาการเกิดขึ้น ตั้งอยู ดับไป ของสุขเวทนานั้น โดยละเอียดอยางไร ? รวมเป น ๑๐ ประการดั ง นี้ ซึ่ ง ควรจะกล า วแต ใ จความ เพื่ อ เป น เครื่องทบทวนความจําไดโดยสะดวกอีกครั้งหนึ่ง ดังตอไปนี้ :๑. ความสุขในที่นี้ คือสุขที่เปนไปทางจิตที่เรียกวา เจตสิกสุข มี ลักษณะเยือกเย็นเปนที่ตั้งแหงปสสัทธิหรือสมาธิโดยตรง. ในที่นี้เล็งถึงสุขซึ่งเปน องคฌาน องคหนึ่งนั่นเอง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑๐
๓๑๐
๒. สุข ที่เ ปน เวทนา เนื่อ งในการเจริญ อานาปานสตินี้ อาจจะ เกิ ด ขึ้ น ได ตั้ ง แต ข ณะแห ง อานาปานสติ ขั้ น ที่ ห นึ่ ง ขั้ น ที่ ส อง ที่ ส าม เป น ลํ า ดั บ มา และถึ ง ที่ สุ ด เป น สุ ข โดยสมบู ร ณ ใ นขั้ น ที่ สี่ ขั้ น ที่ ห า ที่ ห ก (มี ข อ ความโดยละเอี ย ด ดัง ที ่ก ลา วแลว ในคํ า อธิบ ายอานาปานสติขั ้น ที ่สี ่ อัน วา ดว ยองคฌ านเปน ลําดับมา). ๓. ความสุขในที่นี้ เกิดมาจากอุบายของการกระทําอันแยบคายเนื่อง ดวยลมหายใจเขา – ออก ดวยอาการ ๑๖ อยาง มีการรูทั่วถึงอยูซึ่งเอกัคคตาจิต เปน ตน และมีก ารทํ า ใหแ จง ซึ ่ง ธรรมที ่ค วรทํ า ใหแ จง ไดด ว ยการกํ า หนด ลมหายใจเขา – ออก เปนที่สุด (โดยอาการอยางเดียวกันกับที่กลาวแลวในอานาปานสติขั้นที่หา ในตอนที่กลาวถึงการเกิดแหงปติ ๑๖ ประการ). ๔. เมื่อ ความสุข เกิด ขึ้น ดว ยอาการ ๑๖ อยา งนั้น แลว สุข เปน สิ่ง ที่ผูป ฏิบัติรูพ รอ มเฉพาะดว ยอํา นาจการหายใจเขา – ออก สติเ กิด ขึ้น เปน อนุปสสนาญาณ, สุขปรากฏขึ้นในฐานะเปนอารมณ, สติปรากฏในฐานะเปน ผูกําหนดอารมณ, ผูปฏิบัติตามเห็นสุข ดวยสตินั้น ดวยญาณนั้น (ดังที่ได กลาวแลวโดยละเอียดในอานาปานสติขั้นที่หา).
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๕.
เธอตามเห็นความสุขนั้น โดยความเปนของไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตา. แลวละสัญญาวาเที่ยง วาสุข วาอัตตาเสียได, เมื่อเบื่อหนายอยู ละความเพลิ ด เพลิ น เสี ย ได เมื่ อ คลายความกํ า หนั ด อยู ละความกํ า หนั ด เสี ย ได ,
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๖ การกําหนดสุข
๓๑๑
เมื่อทําความดับอยู ละการกอเสียได. เมื่อทําการสละคืนอยู ละการยึดมั่นเสียได (ดังที่ไดกลาวแลวโดยละเอียดในอานาปานสติขั้นที่หา) ๖. เมื่อตามเห็นเวทนาอยู ดังนั้น ยอมเปนการเจริญสติปฏฐานภาวนา เพราะความหมายที ่ว า ไดทํ า ไมใ หเ กิด ความก้ํ า เกิน ของธรรมที ่เ กิด ขึ ้น ในขณะ ที่สติกําหนดเวทนา, ไดทําใหอินทรียเปนตน รวมกันทํากิจอันเดียว, สามารถ ทํ า ให มี ก ารนํ า ความเพี ย รเข า ไปเหมาะสมแก ธ รรมเหล า นั้ น และอิ น ทรี ย เ หล า นั้ น , และเพราะเปนสิ่งที่ทํามากและสองเสพมาก, ดวยเหตุ ๔ ประการนี้จึงไดชื่อวา ภาวนา (ดังที่ไดกลาวแลวโดยละเอียดในอานาปานสติขั้นที่หา). ๗. เมื่อภาวนาโดยทํานองนั้นเปนไปโดยสมบูรณ ยอมมีการสโมธาน ธรรม เชนอินทรียหา เปนตน, ในขณะนั้นมีการรูโคจร กลาวคือ อารมณของ ธรรม มีอ ิน ทรีย เ ปน ตน เหลา นั ้น และมีก ารแทงตลอดซึ ่ง สมัต ถะ คือ คุณ คา อั น สม่ํ า เสมอของธรรมเหล า นั้ น (ดั ง ที่ ไ ด ก ล า วแล ว โดยละเอี ย ดในอานาปานสติ ขั้นที่หา).
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๘. ยอมมีการสโมธานธรรม อันเปนหมวดหมูโดยละเอียด คือมี การสโมธานอิ น ทรี ย ทั้ ง ห า พละทั้ ง ห า โพชฌงค ทั้ ง เจ็ ด มรรคทั้ ง แปด โดยราย ละเอี ย ดที่ อ าจชี้ ใ ห เ ห็ น ได อ ย า งชั ด เจนว า เพราะประกอบด ว ยความหมายอย า งไร จึ ง ได ชื่ อ ว า สโมธานธรรมอั น มี ชื่ อ อย า งนั้ น (ดั ง ที่ ไ ด ก ล าวแล ว โดยละเอี ย ดในอานาปานสติขั้นที่หา).
www.buddhadasa.in.th
๓๑๒
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑๐
๙. ยอมสโมธานธรรมโดยกวางขวางถึง ๒๙ ประการ มีการสโมธาน อิ น ทรี ย ห า เป น ต น และสโมธาน อมโตคธะ กล า วคื อ นิ พ พานเป น ที่ สุ ด (ดั ง ที่ ไ ด กลาวแลวโดยละเอียดในอานาปานสติขั้นที่หา). ๑๐. การพิจารณาเวทนาโดยละเอียด ไดแกการพิจารณาตัวเวทนา และธรรมอื ่น ที ่เ กิด สืบ ตอ จากเวทนาคือ สัญ ญา และวิต ก วา แตล ะอยา ง ๆ เกิด ขึ้น ตั้ง อยู ดับ ไป อยา งไร, เมื่อ เกิด เกิด เพราะปจ จัย อะไร, เมื่อ ดับ ดับ เพราะปจ จัย อะไร และเมื ่อ ตั ้ง อยู มัน แสดงใหเ ห็น อะไร จนเกิด ความรู ส ึก ในจิ ต ใจของผู ป ฏิ บั ติ ขึ้ น มาอย า งไรตามลํ า ดั บ (ดั ง ที่ ไ ด ก ล า วแล ว โดยละเอี ย ดใน อานาปานสติขั้นที่หา). สรุ ป ความว า การเจริ ญ อานาปานสติ ขั้ น ที่ ห กนี้ มี ก ารปฏิ บั ติ ทุ ก อย า ง ทุก ตอน เปน อยา งเดีย วกัน กับ อานาปานสติขั ้น ที ่ห า ผิด กัน แตอ ารมณสํ า หรับ เพงพิจารณาไดเปลี่ยนจากเวทนา คือ ปติ มาเปนเวทนา คือ สุข. ทั้งนี้ เพื่อให สิ่ ง ที่ เ รี ย กว า ความสุ ข ได รั บ การพิ จ ารณาสื บ ต อ ไปจากป ติ ในฐานะที่ ค วามสุ ข เป น ที่ตั้งแหงความยึดถือมากยิ่งขึ้นไปกวาปติ, ผลของการพิจารณายอมสูงกวาปติ ตามขั้ น ไปเป น ธรรมดา เพื่ อ ว า ผู ป ฏิ บั ติ จั ก เป น ผู รู พ ร อ มเฉพาะซึ่ ง เวทนาทั้ ง ปวง อยางแทจริง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org (จบ อานาปานสติขั้นที่หก อันวาดวยการรูพรอมเฉพาะซึ่งสุข)
www.buddhadasa.in.th
ตอน สิบเอ็ด
อานาปานสติ ขั้นที่ เจ็ด๑ (การกําหนดจิตตสังขาร)
อุ ทเทสแห งอานาปานสติ ขั้ นที่ เจ็ ด มี หั วข อโดยบาลี พระพุ ทธภาษิ ตว า “ภิกษุนั้น ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร จักหายใจเขา ดังนี้ ; ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร จักหายใจออก ดังนี้”.๒ หัวขอที่ตองวินิจฉัย คือ จิตตสังขารคืออะไร ? ปรากฏแกใคร ? ในขณะไหน ? และรูพรอมเฉพาะดวยอาการอยางไร ? ซึ่งจะไดวินิจฉัยกัน ดังตอไปนี้ : “จิตตสังขาร” ในที่นี้ คือสัญญา และเวทนา ซึ่งเปนพวกเจตสิกธรรม. สั ญ ญาและเวทนาถู ก จั ด เป น จิ ต ตสั ง ขาร เพราะเป น สิ่ ง ที่ เ ป น ไปกั บ ด ว ยจิ ต เนื่ อ ง เฉพาะอยูกับ จิต และเปน สิ่ง ที่ป รุง แตง จิต . เหตุนั้น สิ่ง ทั้ง สองนี้จึง ไดชื่อ วา จิต ตสัง ขาร ซึ่ง แปลวา เครื่อ งปรุง แตง จิต . ผูมีค วามสัง เกต จะสัง เกตเห็น ได เ องว า ในอานาปานสติ ขั้ น ก อ น ได พู ด ถึ ง สิ่ ง ทั้ ง สาม คื อ เวทนา สั ญ ญา และ วิตก ในที่นี้กลาวถึงแตเพียงสอง คือ สัญญาและเวทนา สวนวิตกนั้นขาดหายไป. ขอ นี ้เ พราะเหตุว า สิ ่ง ที ่เ รีย กวา วิต กนั ้น ถูก จัด อยู ใ นฝา ยจิต มิไ ดอ ยู ใ นฝา ย เครื่องปรุง แตงจิต ฉะนั้น ทานจึงกลาวถึ งแตสัญญา กับเวทนา เพียง ๒ อยา ง ในฐานะที่เปนจิตตสังขาร, สวนวิตกนั้นเปนจิต.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๑ ๒
การบรรยายครั้งที่ ๓๓/๑๓ ตุลาคม ๒๕๐๒ จิตฺตสงฺขารปฏิสํเวที อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ; จิตฺตสงฺขารปฏิสํเวที ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ
๓๑๓
www.buddhadasa.in.th
๓๑๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑๐
ทํา ไมสิ่ง ทั้ง สองนี้ จึง ไดชื่อ วา เครื่อ งปรุง แตง จิต ? คํา ตอบมีไ ด อย า งง า ย ๆ ว า เพราะสั ญ ญาและเวทนาเป น เหตุ ใ ห เ กิ ด วิ ต ก กล า วคื อ ความคิ ด หรือที่เรียกวาจิตในที่นี้นั่นเอง : เวทนาและสัญญา รวมกันทําหนาที่ปรุงแตงจิต โดยไมแยกกัน. ดั งที่ ได กล าวมาแล วว า เมื่ อมี เวทนาเกิ ดขึ้ น ก็ เกิ ดสั ญญาขึ้ น ๒ ระยะ คื อ สั ญ ญาที่ เ ป น ตั ว สมปฤดี คื อ ความจํ า ได ห มายรู ว า เป น เวทนาชนิ ด ไหน นี้ อยางหนึ่ง, ถัดมา คือสัญญาชนิดที่เปนการทําความสําคัญมั่นหมายวาเวทนานั้น เปนตัวตน และเปนของของตนดวยความยึดมั่นถือมั่น. สัญญาอยางในระยะแรก เป น สั ญ ญาในเบญจขั น ธ เป น อาการที่ เ ป น ไปโดยอั ต โนมั ติ เป น ไปตามธรรมชาติ ยังไมเปนตัวเจตนา ยังไมจัดเปนกุศลหรืออกุศล. สวนสัญญาในระยะหลัง เปน อาการของกิเ ลสโดยตรง จัด เปน อกุศ ลเพราะมีโ มหะเปน มูล และเปน เหตุ ใหทํ า กรรมอยา งใดอยา งหนึ ่ง โดยเฉพาะก็ค ือ มโนกรรม ไดแ กค วามคิด ที ่จ ะ ทํ า อะไรลงไปดว ยเจตนา และไดชื ่อ วา เปน มโนกรรมเสร็จ แลว เมื ่อ ความคิด นั ้น ไดเปนไปแลว ; สวนที่จะออกมาเปนกายกรรมหรือวจีกรรมทีหลังนั้น เปนอีก กรณีห นึ่ง . เพีย งแตทํา ใหเ กิด มโนกรรมอยา งเดีย วเทา นั้น ก็ไ ดชื่อ วา มีก าร ปรุง แตง จิต ถึง ที่สุด เสีย แลว . ดว ยอาการอยา งนี้เ อง เวทนากับ สัญ ญาจึง ได ชื่อวาจิตตสังขาร ซึ่งแปลวาธรรมเปนเครื่องปรุงแตงจิต, ถาปราศจากเวทนา และสัญญาเสียแลว ความคิดตาง ๆ จะไมเกิดขึ้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อนึ่ ง พึ ง ทราบว า สั ญ ญาเวทนาที่ เ ป น อดี ต ก็ ส ามารถปรุ ง แต ง จิ ต ได โดยทํานองเดียวกับสัญญาและเวทนา ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นในขณะนั้น. นี้เรียกวาเปน ตั ว เหตุ โ ดยตรง ส ว นที่ เ ป น ตั ว เหตุ โ ดยอ อ ม หรื อ ที่ เ รี ย กว า เป น ป จ จั ย หรื อ เป น อุ ป กรณ นั้ น ก็ ยั ง มี อ ยู ได แ ก สั ญ ญาที่ ผ นวกเข า มาทางใดทางหนึ่ ง หรื อ ส ว นใด
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๗ การกําหนดจิตตสังขาร
๓๑๕
สวนหนึ่ง ซึ่งไดแกสัญญาที่มีอยูประจําสันดาน เชนนิจจสัญญา ความสําคัญวาเที่ยง, สุขสัญญา ความสําคัญวาสุข, และสุภสัญญา ความสําคัญวางาม. เหลานี้เปนตน. สั ญญาประเภทนี้ ย อมเข าผนวกกั บสั ญญาในรู ป เสี ยง กลิ่ น รส ที่ เป นไปในทาง สํ า คั ญ มั่ น หมายว า ตั ว ว า ตน ว า ตั ว เขา ตั ว เรา ว า ของเขา ของเรา ดั ง นี้ เ ป น ต น ความคิดตาง ๆ จึงเกิดขึ้น. ทั้งหมดนี้ ยอมแสดงใหเห็นไดวาสิ่งที่เรียกวาสัญญาทุก ชนิดยอมเปนจิตตสังขาร คือเปนสิ่งที่ปรุงแตงจิต. ข อ สั ง เกตพิ เ ศษอย า งหนึ่ ง ซึ่ ง ทุ ก คนควรจะสั ง เกต คื อ ข อ ที่ ใ นกรณี เชน นี ้ ทา นยกเอาสัญ ญามาไวข า งหนา เวทนา ซึ ่ง ในกรณีอื ่น หรือ กรณีทั ่ว ไป ทานจะเรียงลําดับไววา เวทนา สัญญา วิตก. การที่ยกเอาสัญญามาวางขางหนา เวทนาเช น นี้ เป น การแสดงอยู ใ นตั ว แล ว ว า สั ญ ญานั่ น เองเป น ตั ว การปรุ ง แต ง จิ ต . ถาเวทนาใดปราศจากการเกี่ยวข องกับสัญญา คือไม ทําหน าที่ กอให เกิ ดสั ญญาไดแล ว เวทนานั้นก็ไมอาจปรุงแตงจิต เชนเวทนาของพระอรหันต.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สรุ ปความได ว า เวทนาที่ เนื่ อ งอยู กั บสั ญญา หรื อ สั ญญาที่ เนื่ อ งอยู กั บ เวทนาเทานั้น ที่จะทําหนาที่ปรุงแตงจิตได. ถาไมมีเวทนา สัญญาก็ไมอาจจะเกิด จึงไมมีอะไรปรุงแตงจิต. เวทนาก็เหมือนกัน เกิดแลวถาไมปรุงแตงสัญญาขึ้น มาได ก็ไมปรุงแตงจิต, และเมื่อมันปรุงแตงสัญญาได ก็ปรุงแตงจิตตอไปโดย แนนอน. นี้คือสิ่งที่เรียกวาจิตตสังขาร และอาการที่มันปรุงแตงจิต. อานาปานสติ ข อนี้ มี การพิ จารณาเพ งไปยั งเวทนาที่ ปรุ งแต งจิ ตผิ ดจาก อานาปานสติข อ ที ่ห า และขอ ที ่ห ก ซึ ่ง เพง ไปยัง เวทนาในฐานะที ่เ ปน เวทนา : ขอ ที่หา เพง ไปยัง ปติ เปน การเพง ดูเ วทนาโดยเอกเทศ, ขอ ที่ห ก เพง ดูสุข เปนการเพงเวทนาโดยวงกวาง หรือครอบคลุมเวทนาทั้งหมด, สวนขอที่เจ็ดนี้
www.buddhadasa.in.th
๓๑๖
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑๐
เปน การเพง ดูเ วทนาในฐานะเปน สิ ่ง ที ่ป รุง แตง สัญ ญา แลว ปรุง แตง จิต ในที ่ส ุด , ดังที่กลาวแลว. ผูศึกษาจะตองสังเกตความแตกตางกันอยางนี้ ใหเขาใจชัดเจน เสี ย ก อ น มิ ฉ ะนั้ น จะต อ งมี ค วามฟ น เฝ อ เพราะชื่ อ เหมื อ น ๆ กั น และอธิ บ ายด ว ย หลักเกณฑอยางเดียวกัน. บั ด นี้ จะได วิ นิ จ ฉั ย ในข อ ที่ ว า จิ ต ตสั ง ขารที่ ก ล า วนี้ ปรากฏแก ใ คร ในขณะไหนตอไป. ผู ศึ ก ษาพึ ง สั ง เกตดู ใ ห ดี จนกระทั่ ง จั บ หลั ก สํ า คั ญ ได ว า สิ่ ง ที่ จ ะต อ ง เพง พิจ ารณานั ้น ตอ งเปน สิ ่ง ที ่กํ า ลัง เกิด แกบ ุค คลนั ้น เอง และตรงตามขณะ ที่ ท านระบุ ไว เป นระเบี ยบตายตั วในลํ าดั บของอานาปานสติ คื อให สั งเกตให เห็ นว า สิ่ ง นั้ น ๆ ได เ กิ ด อยู ต ลอดทุ ก ระยะ นั บ ตั้ ง แต ร ะยะเริ่ ม แรก จนกระทั่ ง ระยะสุ ด ท า ย ที่ตนกําลังปฏิบัติอยู. สําหรับสิ่งที่เรียกวาเวทนาที่มันมีอยูอยางที่จะทําใหเรามอง เห็นไดมาตั้งแตอานาปานสติขั้นที่หนึ่ง คือการกําหนดลมหายใจยาว, แตใน ขณะนั้ น เราไปทํ า ในใจ อยู ที่ ล มหายใจ จึ ง ไม ไ ด ม องดู เ วทนา ซึ่ ง ที่ แ ท ก็ เ กิ ด อยู ใ น ขณะนั้ น กล า วคื อ ความสุ ข อย า งผิ ว เผิ น ที่ เ ริ่ ม เกิ ด ขึ้ น จากการกํ า หนดลมหายใจ นั่นเอง : แมเปนเพียงเวทนาเล็ก ๆ นอย ๆ เพียงไรก็ยังคงเปนเวทนาอยูนั่นเอง. นี ้แ สดงใหเ ห็น ชัด ลงไปวา แมใ นขณะแหง อานาปานสติขั ้น ที ่ห นึ ่ง ก็ม ีเ วทนา เกิ ด อยู ใ นนั้ น แต เ ราไม ไ ด กํ า หนดมั น เพราะบทฝ ก หั ด ของเราในขณะนั้ น ได ต อ ง การใหเราฝกกําหนดที่ตัวลมหายใจยาว. ครั้นตกมาถึงอานาปานสติขั้นที่เจ็ดนี้ มีร ะเบีย บแนะใหย อ นกลับ ไปกํ า หนดเวทนามาใหมตั ้ง แตขั ้น ที ่ห นึ ่ง คือ ใหเ ริ ่ม ทํ าอานาปานสติ ขั้ นที่ หนึ่ งมาใหม พอทํ าแล วแทนที่ จะกํ าหนดที่ ลมหายใจ กลั บสอด สายไปกําหนดเวทนาเพื่อใหรูวาเวทนาในขั้นนี้เปนอยางไร, เมื่อพิจารณาเวทนา ที่ สั ง เกตได ใ นขั้ น นี้ เ สร็ จ แล ว ก็ เ ลื่ อ นมาพิ จ ารณาที่ เ วทนาอั น เกิ ด ขึ้ น ในขณะแห ง
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๗ การกําหนดจิตตสังขาร
๓๑๗
อานาปานสติ ขั้นที่สอง ที่สาม ที่ สี่ ที่ หา สืบไปตามลํ าดับ ซึ่งจะทําให เห็ นไดชั ดว า เวทนาที่ เ ป น ตั ว สุ ข นั้ น ได มี สู ง ยิ่ ง ขึ้ น ทุ ก ที จนถึ ง ขั้ น สู ง สุ ด ในอานาปานสติ ขั้ น ที่ สี่ และเราก็ กํ า หนดดู มั น รุ น แรงยิ่ ง ขึ้ น ทุ ก ที ในอานาปานสติ ขั้ น ที่ ห า ที่ ห ก ใน ลักษณะตาง ๆ กัน ตามที่ระบุไวในขั้นนั้น ๆ. ครั้ น มาถึ ง ขั้ น ที่ เ จ็ ด นี้ เรามองดู มั น ในฐานะเป น ตั ว การ ที่ ป รุ ง แต ง จิ ต หรือ ในฐานะที ่เ ปน ตัว มารรา ย ที ่ก อ ใหเ กิด ความยึด มั ่น ถือ มั ่น ติด พัน อยู ใ น วัฏฏสงสาร. ผู ศึ ก ษาอย า เผลอถึ ง กั บ ทํ า ให เ กิ ด ความสั บ สนขึ้ น แก ตั ว เอง โดยเมื่ อ ไดฟ ง อยา งนี ้ แลว เกิด เขา ใจไปวา มีก ารสอนใหกํ า หนดเวทนาทุก ขั ้น ของ อานาปานสติในเมื่อฝกการทําในขั้นนั้น ๆ. ในที่นี้ เพียงแตบอกใหทราบวา เวทนามัน มีอ ยู ท ุก ขั ้น จริง แตเ มื ่อ ฝก นั ้น เราฝก การกํ า หนดสิ ่ง อื ่น เปน ลํ า ดับ มา คือกําหนดลมหายใจยาว, กําหนดลมหายใจสั้น, กําหนดลมหายใจทั้งปวง, กําหนดลมหายใจที่คอยรํางับลง ๆ, กําหนดปติที่เกิดขึ้นเพราะเหตุนั้น, กําหนด ความสุขที่เปนวงกวางที่สุดของเวทนา, และในขั้นนี้เรากําหนดเวทนาที่ทําหนาที่ ปรุงแตงจิต.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ครั้ น มาถึ ง บทฝ ก ที่ จ ะต อ งกํ า หนดเป น ความไม เ ที่ ย ง เป น ทุ ก ข เป น อนั ต ตาของเวทนาในขั้ น ไหนก็ ต าม เราจะต อ งย อ นไปกํ า หนดมาตั้ ง แต เ วทนาใน ขั้ น ต น เป น ลํ า ดั บ มา จนถึ ง ขั้ น ป จ จุ บั น ที่ กํ า ลั ง ฝ ก อยู จนกระทั่ ง เห็ น ชั ด ว า แม ใ น เวทนาขั้ นที่ กํ าหนดลมหายใจยาว ก็ ไม เที่ ยง เป นทุ กข เป นอนั ตตา เวทนาในขณะที่ กําหนดลมหายใจสั้น ก็ไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตา, เวทนาในขณะที่กําหนด ลมหายใจทั้งปวง ก็ไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตา, กระทั่งเวทนาในขั้นที่กําหนด
www.buddhadasa.in.th
๓๑๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑๐
ลมหายใจที่ รํ า งั บ ลง ๆ แม จ ะเป น เวทนาที่ สู ง สุ ด และสมบู ร ณ เ พี ย งไร ก็ ยั ง เป น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา, และเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ที่นาสังเวชยิ่งขึ้น ตาม สวนของเวทนาที่สูงและสมบูรณยิ่งขึ้น. ครั้ น มาถึ ง อานาปานสติ ขั้ นที่ ห า ที่ หก เป นขณะที่ ตนกํ า ลั ง เอิ บ อาบอยู ด ว ยสุ ข เวทนาสู ง สุ ด ก็ ยิ่ ง เห็ น ความเป น อนิ จ จั ง ทุ ก ขั ง อนั ต ตา สู ง สุ ด ยิ่ ง ขึ้ น ไป ตามสว น เหลือ ที ่จ ะประมาณได ในเมื ่อ นํ า ไปเทีย บกัน กับ การเห็น แจง เวทนา ที่เกิดขึ้นในขั้นตน ๆ คือขั้นที่กําหนดลมหายใจยาวสั้น เปนตน. ฉะนั้ นเมื่ อถามขึ้ นว า จิ ตตสั งขารคื อสั ญญาและเวทนานี้ เกิ ดขึ้ นแก ใคร ? ในขณะไหน ? คําตอบจึงมีวา มันเกิดและแจมแจงแกผูปฏิบัติในขณะที่กําลังปฏิบัติ ในอานาปานสติทํา ๆ ชั้น ทุกขณะที่เขาหายใจเขา – ออกอยู ตั้งแตขั้นที่หนึ่งมาจน ถึงขั้นที่เจ็ดทีเดียว ; ในขั้นแรก ก็เห็นเวทนาที่ไมเปนล่ําเปนสันอะไร ครั้นผาน ขั ้น ที ่ส ามมาแลว ก็ถ ึง เวทนาที ่เ ปน ล่ํ า เปน สัน จนประกอบอยู ก ับ เอกัค คตาจิต คื อ ความเป น สมาธิ ชนิ ด ที่ มี สุ ข เป น องค ฌ านอยู ด ว ยองค ห นึ่ ง โดยเจาะจงก็ คื อ สู ง ขึ้ นมาได ถึ งองค ฌานในขั้ นตติ ยฌาน ที่ สามารถทํ าให เราแจ มแจ งต อเวทนา ที่ เรี ยก วาสุขนี้ไดเต็มที่. ยิ่งเห็นเวทนาชัดเทาไร ก็หมายความวาเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนั ต ตา ชั ด ยิ่ ง ขึ้ น ไปเท า นั้ น จึ ง จะเรี ย กว า แจ ม แจ ง ต อ เวทนาจริ ง ๆ หรื อ เวทนา เปนสิ่งที่แจมแจงตอผูนั้นจริง ๆ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สรุ ปความอย างสั้ น ๆ ที่ สุ ดอี กครั้ งหนึ่ งว า เวทนาโดยความหมายทั่ วไป ก็ ดี เวทนาโดยความหมายที่ เ ป นจิ ตตสั ง ขารก็ ดี ปรากฏแก บุ คคลผู ปฏิ บั ติ ได ในทุ ก ขั้ น ของอานาปานสติ จนกระทั่ ง ถึ ง ขั้ น ที่ เ จ็ ด นี้ และแม ใ นขณะที่ กํ า ลั ง แจ ม แจ ง อยู ดวยความเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ดังนี้.
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๗ การกําหนดจิตตสังขาร
๓๑๙
บัด นี ้ จะไดว ิน ิจ ฉัย ตอ ไปถึง ขอ ที ่ว า ผู ป ฏิบ ัต ิจ ะรู พ รอ มเฉพาะซึ ่ง จิตตสังขารดวยอาการอยางไรตอไป. คํ า ว า รู พ ร อ มเฉพาะซึ่ ง จิ ต ตสั ง ขาร ในที่ นี้ มี ห ลั ก เกณฑ ทํ า นอง เดีย วกัน กับ การรู พ รอ มเฉพาะตอ ปต ิแ ละสุข ดัง ที ่ก ลา วมาแลว ในอานาปานสติ ขั้ น ต น ๆ จนแทบจะกล า วได ว า เหมื อ นกั น ทุ ก ตั ว อั ก ษร กล า วคื อ สั ญ ญาและ เวทนาที ่ทํ า หนา ที ่เ ปน จิต ตสัง ขารในที ่นี ้ ปรากฏชัด แจง แกผู ป ฏิบ ัต ิ ในเมื ่อ เขา ไดพ ิจ ารณาเวทนานี ้อ ยู ดว ยอาการ ๑๖ อยา ง เปน ลํ า ดับ ไป คือ รู ทั ่ว อยู กํ า หนดอยู รู ช ัด อยู เห็น ชัด อยู พิจ ารณาอยู อธิษ ฐานอยู ปลงจิต ลงดว ย ความเชื ่อ อยู ประกอบความเพีย รอยู ดํ า รงสติอ ยู จิต ตั ้ง มั ่น อยู รู ช ัด ดว ย ป ญ ญาอยู รู ยิ่ ง ด ว ยป ญ ญาเป น เครื่ อ งรู ยิ่ ง อยู รอบรู สิ่ ง ที่ ค วรกํ า หนดรู อ ยู ละธรรม ที ่ ค ว ร ล ะ อ ยู เ จ ริ ญ ธ ร ร ม ที ่ ค ว ร เ จ ริ ญ อ ยู แ ล ะ ทํ า ใ ห แ จ ง ธ ร ร ม ใ น ธ ร ร ม ที่ควรใหแจงอยู ดวยอํานาจการหายใจเขา – ออกดวยตนเองผูเห็นชัดแจงอยูวา เวทนาที ่กํ า ลัง ปรากฏอยู ใ นการกํ า หนดของตนนั ่น เหละ เปน สิ ่ง ที ่ป รุง แตง จิต รวมกันกับสัญญา ดังที่กลาวแลว.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ข อ นี้ ห มายความว า ทุ ก ระยะแห ง การกํ า หนดทั้ ง ๑๖ ระยะ ต อ งรู แ จ ง เวทนาในฐานะที่ ปรุ งแต งจิ ต เช นเดี ยวกั บรู แจ งเวทนาในอานาปานสติ ขั้ นที่ ห า ที่ หก ในฐานะที่เปนเวทนาลวน ๆ แตรูอยูดวยอาการทั้ง ๑๖ อยางเดียวกัน.
สรุปความสั้นที่สุดก็คือวา ทุกลมหายใจเขา – ออก ตนกําลังปฏิบัติ อยู ใ นขั้ น ไหน ด ว ยอาการอย า งไร ก็ แ จ ม แจ ง ต อ เวทนาโดยความหมายที่ ว า เป น จิตตสังขารอยูตลอดเวลานั่นเอง, ลักษณะและอาการตาง ๆ ของเวทนามีรายละเอียด ปรากฏอยูแลว ในอานาปานสติขั้นที่หา.
www.buddhadasa.in.th
๓๒๐
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑๐
เรื่ อ งต อ ไปที่ เ หลื อ อยู คื อ เรื่ อ งการที่ ส ติ แ ละญาณเกิ ด ขึ้ น โดยสมบู ร ณ . การเห็นเวทนาในลักษณะที่เปนเวทนานุปสสนาสติปฏฐานถาวนา, การสโมธาน ซึ่งอินทรียรูพรอมทั้งรูโคจร และสมัตถะโดยรายละเอียดตาง ๆ, กระทั่งอาการ ของธรรมะที่ผูปฏิบัติ ยอมประมวลมาไดในขณะนั้นถึง ๒๙ อยางดวยกัน, มี รายละเอี ยดตรงเป นอย างเดี ยวกั นกั บที่ กล าวแล ว ในตอนท ายของอานาปานสติ ขั้ น ที่หา, ไมจําเปนตองนํามาวินิจฉัยอีกในที่นี้. สรุ ป ความแห ง อานาปานสติ ขั้ น ที่ เ จ็ ด นี้ ไ ด ว า มี ห ลั ก เกณฑ แ ห ง การ ปฏิ บั ติ อย างเดี ยวกั นกั บอานาปานสติ ขั้ นที่ ห า ที่ หก ทุ กประการ ผิ ดกั นอย างเดี ยว คื อ ในที่ นี้ เ ป น การพิ จ ารณาเวทนา ในฐานะที่ เ ป น เครื่ อ งปรุ ง แต ง จิ ต แทนที่ จ ะ พิจ ารณาแตเ พีย งวา เวทนาคือ อะไร หรือ เปน อยา งไร ซึ ่ง เปน การพิจ ารณาใน ขั้นที่หา ที่หก นั่นเอง. (จบอานาปานสติขั้นที่เจ็ด อันวาดวยการรูพรอมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร)
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
ตอน สิบสอง
อานาปานสติ ขั้นที่แปด๑ (การกําหนดจิตตสังขารใหรํางับ)
อุ ท เทสแห ง อานาปานสติ ขั้ น ที่ แ ปดนี้ มี หั ว ข อ ว า “ภิ ก ษุ นั้ น ย อ มทํ า ในบทศึกษาวา เราเปนผูทําจิตตสังขารใหรํางับอยู จักหายใจเขา ดังนี้ ; ยอมทําในบท ศึกษาวา เราเปนผูทําจิตตสังขารใหรํางับอยู จักหายใจออก ดังนี้”.๒ สิ่งที่ตองวินิจฉัย มีอยูเฉพาะคําวา “ทําจิตตสังขารใหรํางับอยู”. คํานอกนั้น มีคําอธิบายเชนเดียวกับคําอธิบายในอานาปานสติขออื่น ๆ ทุกประการ.
สวน
การทํ า จิ ต ตสั ง ขารให รํ า งั บ ย อ มเนื่ อ งกั น อยู กั บ การทํ า กายสั ง ขารให รํางับ, ฉะนั้น จึงมีการทําโดยแยบคาย ในสวนที่เปนการทํากายสังขารใหรํางับ รวมอยู ด ว ย กล า วคื อ เมื่ อ บุ ค คลผู ป ฏิ บั ติ กํ า ลั ง มี อํ า นาจของสั ญ ญาและเวทนา ครอบงํ าจิ ตอยู อย างรุ นแรง มี วิ ตกอย างใดอย างหนึ่ งอยู แม ในทางที่ เป นกุ ศลก็ ตาม เขาย อมสามารถบรรเทากํ าลั งหรื ออํ านาจของสั ญญาและเวทนาลงเสี ยได ด วยการทํ า ลมหายใจเขา – ออกที่กําลังเปนไปอยูอยางหยาบ ๆ นั้น ใหละเอียดลง ๆ ; เมื่อลม หายใจละเอี ยดลง ความรู สึ กที่ เป นสั ญญาและเวทนาก็ รํ างั บลง ซึ่ งมี ผลทํ าให วิ ตก พลอยรํางับลงไปตามกัน. นี่คือการทําจิตสังขารใหรํางับลงดวยอุบายอันแรก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๑ ๒
การบรรยายครั้งที่ ๓๔/๒๑ ตุลาคม ๒๕๐๒ ปสฺสมฺภยํ จิตฺตสงฺขารํ อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ; ปสฺสมฺภยํ จิตฺตสงฺขารํ ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ.
๓๒๑
www.buddhadasa.in.th
๓๒๒
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑๒
วิ ธี ป ฏิ บั ติ คื อ ผู ป ฏิ บั ติ ค อยกํ า หนดความรุ น แรงของสั ญ ญาและเวทนา เปนิมิต และเปน อารมณอ ยูใ นใจ. กํา หนดใหเ ห็น ชัด เจนจริง ๆ วา มัน รุน แรง อ ยู อ ยา ง ไ ร เ บื ้อ ง ตน แ ลว มัน คอ ย ๆ ร ะ งับ ห รือ คอ ย ออ น กํ า ลัง ล ง อ ยา ง ไ ร เปนลําดับมา ในเมื่อมีการควบคุมลมหายใจใหประณีต หรือละเอียดยิ่งขึ้นตาม ลํ า ดั บ พึ ง ถื อ เป น หลั ก ว า การควบคุ ม ลมหายใจ เป น การควบคุ ม สั ญ ญาและ เวทนาพรอมกันไปในตัว : เมื่อ ทําลมหายใจใหประณีตได ก็สามารถทําสัญญา และเวทนาใหออ นกํา ลัง ลงได. หากแตวา ในขั้น นี้ ไมกํา หนดนิมิต หรือ อารมณ ที่ ล มหายใจอั น ค อ ย ๆ รํ า งั บ ลง แต กํ า หนดตั ว สั ญ ญาและเวทนาที่ ค อ ย ๆ รํ า งั บ ลง ตามลมหายใจนั ้น เอง เปน นิม ิต หรือ อารมณข องสติ ฉะนั ้น จึง ไดชื ่อ วา ทํ า ใน บท ศึกษาวา เราเปนผูทําจิตตสังขารใหรํางับอยู ดังนี้. หลั ก สํ า คั ญ มี อ ยู ว า เมื่ อ ลมยิ่ ง ละเอี ย ดเท า ไร เวทนาและสั ญ ญาก็ รํ า งั บ ลงเทา นั้น จิต ถึง ความละเอีย ดไมฟุง ซา นยิ่ง ขึ้น เทา นั้น . เมื่อ ถือ เอาความที่จ ิต ไมฟุ ง ซา น เพราะมีค วามรํ า งับ ลงแหง สัญ ญาและเวทนา ก็ด ี และความที ่จ ิต ไม ฟุ ง ซ า น เพราะกํ า หนดเอาสั ญ ญาและเวทนาในขณะนั้ น เป น อารมณ อ ยู ก็ ดี มา เป น หลั ก ก็ เ ป น อั น กล า วได ว า ได มี ก ารถื อ เอาเวทนาที่ เ ป น ตั ว จิ ต ตสั ง ขารโดยตรง ที่กําลังรํางับอยู ๆ เปนอารมณแหงการกําหนดแลว ดังนี้. เปนอันวาในขณะนั้น มีความเต็มที่แหงการหายใจ : มีความเต็มที่แหงการหายใจเขา – ออก, มีความเต็มที่ แหงสติที่เขาไปกําหนดเวทนาที่รํางับลง ๆ ตามลมหายใจที่รํางับลง, และมีความ เต็ ม ที่ แ ห ง ความเป น สมาธิ คื อ ความที่ จิ ต แน ว แน ด ว ยอํ า นาจของสติ ที่ กํ า หนดเวทนา อัน รํา งับ ลงตามลมหายใจนั้น . ฉะนั้น จึง เปน อัน วา แมจ ะเปน การกํ า หนด จิ ต ตสั ง ขาร คื อ เวทนาและสั ญ ญาที่ รํ า งั บ อยู ก็ มี ค วามเป น สติ และความเป น สมาธิ โดยสมบูรณ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
ส ว นที่ จั ด เป น อ นุ ป ส สนาหรื อ เป น ญานในอานาปานสติ ขั้ น นี้ นั้ น ได แ ก ก า ร พิ จ า ร ณ า เ ห็ น เ ว ท น า ที่ กํ า ลั ง รํ า งั บ ล ง นั้ น เ อ ง ว า เ ป น จิ ต ต สั ง ข า ร ที่ ไ ม เ ที่ ย ง
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๘ การจิตตสังขารใหรํางับ
๓๒๓
เปนทุกข เปนอนัตตา จนกระทั่งละสัญญาวาเที่ยง วาสุข วาตัวตนเสียได, นี้เปน อนุปสสนาดวย เปนการรํางับสัญญาวาเที่ยง วาสุข วาอัตตาเสียดวย ; จึงเปน ทั้งญาณและเปนทั้งการรํางับจิตตสังขารอยางยิ่งพรอมกันไปในตัว. หลังจากนั้น ยอ มเกิด ความเบื ่อ หนา ย คลายกํ า หนัด ความดับ และความสละคืน ซึ ่ง ทํ า ให ละความเพลิน ความกําหนัด ความกอขึ้น และความยึดมั่นเสียได โดยนัยที่กลาว แลวโดยละเอียดในตอนทายของอานาปานสติขั้นที่หา. และอาการทั้งหมดนี้เปน อาการของเวทนานุ ป สสนาสติ ปฏ ฐานภาวนา ซึ่ งมี ค วามหมายเต็ม ตามอรรถแห ง คําวา ภาวนา โดยสมบูรณ จึงเปนการประมวลมาไดซึ่งธรรมทั้งปวง มีอินทรียหา เป น ต น และมี อมโตคธะ เป น ที่ สุ ด รวมกั น เป น ๒๙ อย า ง ดั ง ที่ ก ล า วแล ว ใน ตอนทายของอานาปานสติขั้นที่หา เชนเดียวกัน. คํ า ว า รํ า งั บ มี ค วามหมายตั้ ง แต ค วามค อ ย ๆ รํ า งั บ ลง กระทั่ ง ถึ ง ความดับสนิท และเปนความเขาไปสงบรํางับแลวโดยสิ้นเชิง. ขอนี้หมายถึง การที่เวทนามีกําลังออนลง ๆ จกระทั่งดับไปไมปรากฏ. ผลก็คือปรุงแตงจิต น อ ย ๆ ลงจนกระทั่ ง ไม มี ก ารปรุ ง แต ง จิ ต เลย ซึ่ ง เรี ย กว า ระงั บ จิ ต สั ง ขารเสี ย ได . อาการทั้ ง หมดนี้ เป น ไปได เ พราะการควบคุ ม กํ า ลั ง ของสั ญ ญาและเวทนา โดย อาศัยการควบคุมลมหายใจโดยนัยดังที่กลาวแลว. โดยอํานาจของสติเปนการ ทํ า ใหจ ิต ตสัง ขารรํ า งับ ลง,ดว ยอํ า นาจของสมาธิเ ปน การใหจ ิต ตสัง ขารรํ า งับ ไปไมป รากฏ.ดว ยอํ า นาจของอนุป ส สนาหรือ ญาณ ทํ า ใหจ ิต ตสัง ขารขาดเหตุ ขาดปจ จัย ที ่จ ะปรุง แตง คือ จะไมม ีส ัญ ญาหรือ เวทนาชนิด ที ่จ ะเปน จิต ตสัง ขาร ขึ้นมาได ตลอดเวลาที่อนุปสสนาหรือญาณนั้นยังมีอยู, กลาวคือ ยังเปนการ เจริญภาวนาอยู.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สรุ ป ความว า สติ ก็ ดี สมาธิ ก็ ดี อนุ ป ส สนา หรื อ ญาณก็ ดี ซึ่ ง รวม เรี ย กว า ภาวนาในที่ นี้ เป น ไปโดยอาศั ย ลมหายใจเข า หายใจออก และควบคุ ม
www.buddhadasa.in.th
๓๒๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑๒
ลมหายใจเขา – ออกโดยอาการที่สามารถควบคุมสัญญา และเวทนาไดอีกตอหนึ่ง. ภาวนานี้ ได ชื่ อว าอานาปานสติ เพราะมี การกํ าหนดที่ ลมหายใจ หรื อด วยลมหายใจ หรื อ โดยการเนื่ อ งด ว ยลมหายใจ เช นเดี ยวกั บ อานาปานสติใ นขั้ นต น ๆ ที่ แล ว มา และไดชื่อวาเวทนานุปสสนาสติปฏฐานภาวนา ก็เพราะเปนการเจริญภาวนา ที่มี การกํ า หนดสิต หรื อ การเขา ไปตั้ ง ไว ซึ่ ง สติ ดว ยการตามพิจ ารณาซึ่ ง เวทนานั้น เอง. และเนื่องจากภาวนานี้เปนไปทุกลมหายใจเขา – ออก จึงกลาววาเปนอานาปานสติ ดวย เปนสติปฏฐานภาวนาดวย ดวยอาการอยางนี้. การวินิ จฉั ยในอานาปานสติ ขั้ นที่แปด สิ้ นสุ ดลงเพี ยงแคนี้ ซึ่งเปนการ สิ้นสุดของจตุกกะที่สอง อันกลาวถึงภาวนาที่มีเวทนาเปนอารมณทั้ง ๔ ขั้น. (จบ อานาปานสติขั้นที่แปด อันวาดวยการทําจิตตสังขารใหรํางับ.) ในจตุ ก กะที่ ส องนี้ ท า นแนะให สั ง เกตว า การปฏิ บั ติ ที่ ดํ า เนิ น มาถึ ง จตุก กะที่ส องนี้ สิ่ง ที่เ รีย กวา ญาณในอนุปส สนา ก็มีอ ยูแ ปด. และอนุส สติ ซึ่งเปนเครื่องกําหนด ก็มีอยูแปด. ที่กลาววาแปดในที่นี้ หมายถึงญาณก็ตาม อนุ ส สติ ก็ ต าม ที่ ทํ า หน า ที่ เ ข า ไปรู และเข า ไปกํ า หนดตามลํ า ดั บ นั้ น ได กํ า หนด ปติหายใจเขา ๑ หายใจออก ๑, กําหนดสุขหายใจเขา ๑ หายใจออก ๑, กําหนดจิตตสังขารหายใจเขา ๑ หายใจออก ๑ และกําหนดความที่จิตตสังขารนั้น รํางับลง ๆ หายใจเขา ๑ หายใจออก ๑, รวมกันจึงเปนแปด. ขอนั้นเปนการ แสดงว า อนุ ป ส สนาคื อ การตามเห็ น ก็ ดี อนุ ส สติ คื อ การตามกํ า หนดก็ ดี ต อ งเป น ไปครบทั ้ง แปดจริง ๆ และสม่ํ า เสมอเทา กัน จริง ๆ จึง จะเปน การสมบูร ณแ หง จตุกกะที่สองนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
อานาปานสติ จตุกกะที่ ๒ จบ
www.buddhadasa.in.th
จตุกกะที่ ๓ - จิตตานุปสสนาสติปฏฐาน๑ (ตั้งแตการกําหนดลักษณะของจิต จนถึง การทําจิตใหปลอยสิ่งที่เกิดกับจิต)
บั ด นี้ ม าถึ ง การปฏิ บั ติ ใ นอานาปานสิ จ ตุ ก กะที่ ส าม ซึ่ ง กล า วถึ ง อานาปานสติอีก ๔ ขั้น เปนลําดับไปคือ :ขั้นที่ ๙ การเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งจิต ขั้นที่ ๑๐ การทําจิตใหปราโมทยยิ่งอยู ขั้นที่ ๑๑ การทําจิตใหตั้งมั่นอยู ขั้นที่ ๑๒ การทําจิตใหปลอยอยู
หายใจเขา – ออก ๑, หายใจเขา – ออก ๑, หายใจเขา – ออก ๑, หายใจเขา – ออก ๑,
รวมเปน ๔ ขั้นดวยกันดังนี้ ; ทั้ง ๔ ขั้นนี้ จัดเปนหมวดที่พิจารณาจิตเปนอารมณ สําหรับการศึกษา, แทนที่จะกําหนดพิจารณากายคือลมหายใจ และเวทนาดังที่ กลาวแลว ในจตุกกะที่หนึ่ง และที่สอง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๑
การบรรยายครั้งที่ ๓๕ / ๒๖ ตุลาคม ๒๕๐๒
๓๒๕
www.buddhadasa.in.th
ตอน สิบสาม
อานาปานสติ ขั้นที่ เกา (การรูพรอมซึ่งจิต)
อุทเทสแหงอานาปานสติขอที่หนึ่งแหงจตุกกะที่สาม หรือจัดเปน อานาปานสติขอที่เกาแหงอานาปานสติทั้งหมดนั้น มีวา “ภิกษุนั้นยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งจิต จักหายใจเขา ดังนี้ ; ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผู รูพรอมเฉพาะซึ่งจิต จักหายใจอออก ดังนี้”.๑ ใจความสําคัญ ที่จะตองศึกษามีอยูเปนหัวขอใหญ ๆ คือ ๑. คําวา ยอมทําในบทศึกษา ; ๒. คําวา เปนผูรูพรอ มเฉพาะซึ่งจิต ; ๓. ญาณ และสติพรอมทั้งธรรมอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นโดยสมควรแกการปฏิบัติ ; มีคําอธิบายโดย ละเอียดดังตอไปนี้ :-
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org คําวา “ยอมศึกษาในบทศึกษา”. คํานี้ มีคําอธิบายเหมือนกันทุกขั้น ของอานาปานสติ โดยใจความทั ่ว ไปก็ค ือ ขณะที ่กํ า หนดอารมณข องอานาปานสติ อ ย า งใดอย า งหนึ่ ง อยู ย อ มไม มี โ ทษเกิ ด ขึ้ น ทางกายหรื อ ทางวาจา และ เปนการสํารวมเปนอยางดี ชนิดที่เปนศีลอยูในตัว ; นี้ชื่อวาสีลสิกขาของผูนั้น ในขณะนั้น. ความไมฟุงซานแหงจิตในขณะที่ทําอานาปานสติอยู ชื่อวาจิตตสิกขาของผูนั้นในขณะนั้น. การพิจารณาอารมณของอานาปานสติ กลาวคือ กาย เวทนา และจิ ต เป น ต น โดยความเป น ของไม เ ที่ ย ง เป น ต น นั้ น ชื่ อ ว า เป น ปญญาสิกขาของผูนั้นในขณะนั้น. เมื่อเปนดังนี้ เปนอันกลาวไดวาในขณะนั้น ผูนั้นยอมทําสมบูรณในสิกขาทั้ง ๓ อยูแลวในตัว. สวนที่เปนเฉพาะกรณีนั้น
๑
จิตฺตปฏิสํเวที อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ; จิตฺตปฏิสํเวที ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ.
๓๒๖
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๙ การรูพรอมซึ่งจิต
๓๒๗
หมายถึ งการที่ ในขณะแห งอานาปานสติ ขั้ นหนึ่ ง ๆ นั้ น ผู นั้ นกํ าลั งปฏิ บั ติ อย างไรอยู คือกําลังพิจารณาอารมณอะไรอยู โดยอาการอยางใด ; แตถึงกระนั้นก็ตาม ยั งเป นอั นกล าวได ว าด วยการปฏิ บั ติ เพี ยงอย างเดี ยวนั้ น เขาก็ กํ าลั งทํ าในบทศึ กษา ครบทั้ง ๓ อยางในตัวอยูนั่นเอง ดังนี้. ความหมายของคําวา ยอมทําในบท ศึก ษา ยอ มเปน ดัง นี้เ หมือ นกัน ในที่ทุก แหง ซึ่ง ไมจํา เปน จะตอ งกลา วถึง อีก ในโอกาสขางหนาในบทตอ ๆ ไป. ที่วา “รูพรอมเฉพาะซึ่งจิต” นั้น มีสวนที่ตองทําความวินิจฉัยแยกกัน คือคําวา “รูพรอมเฉพาะ” และคําวา “จิต”. สําหรับคําวา “รูพรอมเฉพาะ” นั้น มีคําอธิบายเหมือนในบทที่แลว มา ซึ่ งอาจจะสรุ ปความได สั้ น ๆ ว า การที่ จะรู พร อมเฉพาะต อสิ่ งใดนั้ น หมายถึ ง การทํ า สิ ่ง นั ้น ใหเ กิด ขึ ้น เปน อารมณข องการกํ า หนด แลว พิจ ารณาโดยละเอีย ด ถี่ ถ ว นว า สิ่ ง นั้ น เป น อย า งไร ประกอบอยู ด ว ยลั ก ษณะอย า งไร จนกระทั่ ง เกิ ด ความ เบื่อหนายคลายกําหนัดจากสิ่งนั้นอยูทุกลมหายใจเขา – ออก, ชื่อวารูพรอมเฉพาะ ตอสิ่งนั้น. สําหรับในที่นี้ ก็คือ รูพรอมเฉพาะตอจิตโดยวิธีดังกลาวแลว ซึ่งจะ ไดวินิจฉัยในคําวาจิต โดยละเอียดสืบไป. คําวา “จิต” ทานจําแนกโดยละเอียดดวยคําตอไปนี้คือ มโน = ใจ มานสํ = มนัส, หทยํ = หัวใจ, ปณฺฑรํ = น้ําใจ (คํานี้แปลวาขาว), มนายตนํ= อายตนะ คือใจ, มนินฺทฺริยํ = อินทรีย คือใจ, วิฺาณํ = ธรรมชาติที่รูโดยวิเศษ วิฺาณกฺขนฺโธ = กองหรือสวนคือวิญญาณ, มโนวิฺาณธาตุ = ธาตุคือความรู วิเ ศษฝา ยใจ ทั ้ง หมดนี ้ล ว นแตห มายถึง จิต หรือ เปน คํ า ที ่ใ ชเ รีย กแทนคํ า วา จิต แมจะมีคําวา หทยํ รวมอยูดวย ก็ใหถือเอาความวา หมายถึงจิต มิไดหมายถึงกอน เนื้อหัวใจดังความหมายธรรมดา ; ฉะนั้น ขอใหถือเอา ความหายของคําเหลานี้ ทุกคํามารวมกันเปนความหมายของคําวา “จิต” ในที่นี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๓๒๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑๓
จิตนี้จะรูพรอมเฉพาะไดที่ไหน ? คําตอบในวงการทําอานาปานสติ ยอ มตอบวา รู พ รอ มเฉพาะไดที ่จ ิต ทุก ขั ้น ในทุก ขณะแหง การทํ า อานาปานสติ นั่นเอง ; เพราะฉะนั้น ผูที่ทําอานาปานสติขั้นที่ ๙ นี้ จะตองพิจารณาดูจิต ว า เป น อย า งไร มาทุ ก ขั้ น ของการทํ า อานาปานสติ ที่ แ ล ว มาทั้ ง ๘ ขั้ น เขาจะต อ ง เริ่ ม ทํ าอานาปานสติ มาตั้ ง แต ขั้ นต น ทุ กขั้ นตามลํ าดั บ และเพ ง พิ จารณาดู ลั ก ษณะ ของจิตมาตามลําดับตั้งแตขั้นที่หนึ่งจนถึงขั้นที่แปด จนกระทั่งเห็นชัดวา :๑. จิตในขณะกําหนดลมหายใจยาว นั้นเปนอยางไร ; ๒. จิตในขณะกําหนดลมหายใจสั้น นั้นเปนอยางไร ; ๓. จิตในขณะมีการกําหนดรูพรอมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง นั้นเปน อยางไร ; ๔. จิตในขณะที่กําลังทํากายสังขารใหรํางับ นั้นเปนอยางไร ; ๕. จิตในขณะที่กําลังรูพรอมเฉพาะตอปติอยู นั้นเปนอยางไร ; ๖. จิตในขณะที่กําลังรูพรอมเฉพาะตอสุขอยู นั้นเปนอยางไร ; ๗. จิตในขณะที่กําลังรูพรอมเฉพาะซึ่งจิตสังขารอยู นั้นเปนอยางไร ; ๘. จิตในขณะที่กําลังทําจิตตสังขารใหรํางับอยู นั้นเปนอยางไร ;
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ซึ่งจะพิจารณาเห็นไดวา มีลักษณะแตกตางกันอยางไรเปนลําดับมา จนกระทั่ง ถึงขณะนี้ ; ครั้นในที่สุดตองพิจารณาใหเห็นลักษณะแหงความไมเที่ยง เปนทุกข เป น อนั ต ตา เป น ต น ของจิ ต เหล า นั้ น ทุ ก ๆ ขั้ น เพื่ อ ถอนเสี ย ซึ่ ง ความสํ า คั ญ ผิ ด ว า เที่ ย ง ว า สุ ข ว า อั ต ตา จนกระทั่ ง มี ค วามเบื่ อ หน า ยคลายกํ า หนั ด ความดั บ และความสละคืนดังที่กลาวแลว. ทั้งหมดนี้ กระทําดวยการพิจารณาที่ละเอียด ยิ่งขึ้นเปนลําดับ โดยอาการ ๑๖ อยาง ดังที่กลาวแลวโดยละเอียดในอานาปานสติ ขั้นตน ๆ, ซึ่งโดยใจความก็คือ รูทั่วอยู, กําหนดอยู, รูอยู, เห็นอยู, พิจารณาอยู,
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๙ การรูพรอมซึ่งจิต
๓๒๙
อธิษฐานอยู, ปลงจิตลงโดยความเชื่ออยู, ประคองความเพียรอยู, ดํารงสติอยู, จิตตั้งมั่นอยู, รูชัดดวยปญญาอยู, รูยิ่งดวยปญญาเปนเครื่องรูยิ่งอยู, รอบรูใน ธรรมที่ควรกําหนดรูอยู, ละธรรมที่ควรละอยู, เจริญธรรมที่ควรเจริญอยู, และทํา ใหแจงธรรมที่ควรทําใหแจงอยู ; ทุก ๆ ขั้นทําดวยจิตที่ประกอบไปดวยเอกัคคตา ไมฟุงซานอยูทุกลมหายใจเขา – ออก จนกระทั่งเห็นอยางแจมแจงวา จิตทั้งหมด นั้นเปนสังขารธรรม มีความไมเที่ยง เปนทุกข? เปนอนัตตา เปนตน ดังกลาว แลว. ทั้งหมดนี้ คือคําอธิบายของคําวา “รูพรอมเฉพาะซึ่งจิต”. ในที่ อื่ นอี กบางแห ง มี บาลี แสดงลั กษณะต าง ๆ ของจิ ตไว อี กปริ ยายหนึ่ ง ซึ่ ง สามารถนํ า มาใช เ ป น หลั ก ในการพิ จ ารณาดู จิ ต ได เ พิ่ ม ขึ้ น อี ก ส ว นหนึ่ ง ในที่ นั้ น มีการแนะใหพิจารณาดูจิตโดยนัยดังตอไปนี้ :๑. จิตกําลังประกอบอยูดวยราคะ หรือไมประกอบดวยราคะ ; ๒. จิตกําลังประกอบอยูดวยโทสะ หรือไมประกอบดวยโทสะ ; ๓. จิตกําลังประกอบอยูดวยโมหะ หรือไมประกอบดวยโมหะ ; ๔. จิตกําลังหดหู หรือกําลังฟุงซาน ; ๕. จิตกําลังตั้งอยูในฌาน หรือไมตั้งอยูในฌาน ; ๖. จิตมีจิตอื่นเหนือ หรือไมมีจิตอื่นเหนือ; ๗. จิตมั่นคง หรือไมมั่นคง; ๘. จิตมีการปลอยสิ่งที่เกิดแกจิต หรือไมการปลอย;
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แต ใ นที่ สุ ด ก็ ย อ มนํ า ไปสู ก ารพิ จ ารณาว า แม จิ ต จะประกอบอยู ด ว ยลั ก ษณะเช น ไร ก็ยังคงประกอบอยูดวยความเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อยูนั่นเอง, ซึ่งทําใหมีผล แห ง การพิ จ ารณาเป น ไปในทํ า นองเดี ย วกั น กั บ การพิ จ ารณา ตามวิ ธี ที่ ก ล า วแล ว ขางบน ทั้งสิ้น.
www.buddhadasa.in.th
๓๓๐
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑๓
สวน ขอที่วาญาณและสติพรอมทั้งธรรมอื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นโดยสมควร แกการปฏิบัติ อยางไรนั้น ก็มีคําอธิบายเหมือนอยางที่กลาวแลว ในอานาปานสติ ขั้ น ต น แต นี้ ซึ่ ง ใคร จ ะขอซั ก ซ อ มความเข า ใจอี ก ครั้ ง หนึ่ ง คื อ เมื่ อ มี ก ารพิ จ ารณา และรู พ ร อ มเฉพาะซึ่ ง จิ ต อยู โ ดยอาการ ๑๖ อย า งดั ง ที่ ก ล า วแล ว จิ ต ก็ เ ป น สิ่ ง ที่ ปรากฏชัด ดวยอํานาจลมหายใจเขา – ออกของบุคคลผูรุพรอมเฉพาะอยูดวยอาการ อยา งนี้. การกํา หนดนั้น เปน สติ ; สตินั้น เปน อนุปส สนาญาณในที่สุด ; ผูปฏิบัติตามเห็นจิตนั้น ดวยสตินั้น ดวยญาณนั้น อยูทุกลมหายใจเขา – ออก จึง เกิดมีภาวนาที่เรียกวาจิตตานุปสสนาสติปฏฐานภาวนา ขึ้นโดยสมบูรณอยูในขณะนั้น เพราะว า สมบู ร ณ ไ ปด ว ยอรรถทั้ ง สี่ ข องภาวนา ดั ง ที่ ก ล า วแล ว ข า งต น โดยละเอี ย ด อรรถ ๔ โดยหัว ขอ คือ ๑. ความไมก้ํา เกิน กัน ของธรรมที่เ กิด ขึ้น ในสติปฏฐานนั้น ๒. อินทรียทั้งหลายมีรสหรือกิจเปนอันเดียวกัน ๓. นําความ เพียรเขาไปสมควรแกธรรมและอินทรีย ๔. เปนที่สองเสพมากแหงจิต. เมื่อ การปฏิ บั ติ เป นสติ ป ฏฐานาภาวนาโดยสมบู รณ เช นนี้ แล ว ย อมสโมธานธรรมต าง ๆ คื อ ก อ ให เ กิ ด ธรรมะชื่ อ นั้ น ๆ ขึ้ น โดยสมควรแก ก ารปฏิ บั ติ ใ นขณะนั้ น ดั ง ที่ ท า นให ตั วอย างไว เป น ๒๙ อย างด วยกั น มี การสโมธานซึ่ งอิ นทรี ย ห า พละห า โพชฌงค เจ็ ด มรรคมี อ งค แ ปด สติ ป ฏ ฐานสี่ ฯลฯ เป น ลํ า ดั บ ไป จนกระทั้ ง ถึ ง วิ มุ ต ติ แ ละ อมโตคธะ เป น ที่ สุ ด ดั ง ที่ ก ล า วแล ว โดยละเอี ย ดในคํ า อธิ บ ายของอานาปานสติ ขั้นที่หา. อนึ่ง จะตองเขาใจไวเสมอไปวา การสโมธานธรรมหมวดใดหมวดหนึ่ง ก็ต าม ยอ มมีก ารรู ซึ ่ง โคจร คือ สิ ่ง ที ่เ ปน อารมณข องธรรมนั ้น และยอ มมีก าร แทงตลอดสมั ต ถะเกี่ ย วกั บ ธรรมนั้ น ด ว ยเสมอไป มี ร ายละเอี ย ดดั ง ที่ ก ล า วแล ว ใน คําอธิบายเรื่องนั้นในอานาปานสติขั้นตน ๆ แตนี้. รวมความวา สติ คือการกําหนด ก็เกิดขึ้น, ญาณคือความรูก็เกิดขึ้น, การกระทําที่เรียกวาภาวนาก็เกิดขึ้น , ธรรมตาง ๆ ๒๙ อยางก็ประมวลมาได. ความเบื่อหนาย คลายกําหนัด ความดับ
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๙ การรูพรอมซึ่งจิต
๓๓๑
และความสลั ด คื อ ซึ่ ง เป น ผลของการกระทํ า ก็ เ กิ ด ขึ้ น โดยอาการต า ง ๆ ดั ง ที่ ก ล า ว แลวในเรื่องนั้น ๆ. นี้คือญาณและสติเปนตน ซึ่งเกิดขึ้นดวยอํานาจอานาปานสติ ขั้ น นี้ ซึ่ ง เป น ขั้ น ที่ เ พ ง ดู จิ ต ชนิ ด ต า ง ๆ หรื อ มี จิ ต ชนิ ด ต า ง ๆ เป น อารมณ เพื่ อ พิ จ ารณาให เ ห็ น ความจริ ง ในข อ ที่ ว า จิ ต ทั้ ง หมดนั้ น แม จ ะต า งกั น อย า งไร ก็ ต กอยู ในฐานะเปนเพียงสังขารธรรม อยูใตอํานาจของความไมเที่ยง เปนทุกข เปน อนัตตา โดยเสมอกันนั่นเอง. ขอสังเกตในระหวางจตุกกะทั้งสาม เพื่อใหเห็นความแตกตางอยาง ชั ด แจ ง ยิ่ ง ขึ้ น ไป ในตอนนี้ มี อ ยู ว า เมื่ อ เปรี ย บเที ย บกั น ดู ร ะหว า งจตุ ก กะทั้ ง สามนี้ แลว จะเห็น ไดว า จตุก กะที ่ห นึ ่ง มีก ารดูแ ละควบคุม ที ่ล มหายใจ ในลัก ษณะ ตาง ๆ กัน ; ใน จตุกกะที่สองมีการดูและควบคุมที่ความรูสึกอันเปนเวทนา ในลักษณะตาง ๆ กัน ; ใน จตุกกะที่สาม นี้จะไดดูและทําการฝกฝน ควบคุม จิ ต ในลั ก ษณะต า ง ๆ กั น สื บ ต อ ไป ทั้ ง หมดนี้ ต อ งไม ลื ม ว า คํ า ที่ ว า ดู ก็ คื อ ดู ให เ ห็ น ว า มี ลั ก ษณะอยู ใ นตั ว มั น เองอย า งไร ทํ า หน า ที่ อ ย า งไร เกิ ด มาจากอะไร จะดับไปอยางไร เปนตน ; และคําวาควบคุม ก็คือทําใหมันสงบรํางับลงจาก ความหยาบมาสูความละเอียด, จากการปรุงแตงมาก มาเปนการปรุงแตงนอย กระทั่งไมใหมีการปรุงแตงเลย, หรือจากความยึดถือเต็มที่ มาสูความยึดถือนอย กระทั่งไมมีความยึดถือเลย. ทั้งหมดนี้ คือความมุงหมายอันแทจริง ของการที่ เราทนสูความลําบากนานาประการ ในการปฏิบัติอานาปานสติกัมมัฏฐานตลอดมา. สรุปใจความสั้น ๆ อีกครั้งหนึ่ง วา คําวา รูพรอมเฉพาะซึ่งจิตทั้งปวงนั้น หมายถึงจิตทุกชนิด ในขณะแหงการปฏิบัติอานาปานสติทุกขั้น ไดรับการพิจารณาสอดสอง ดวยญาณและสติอยางทั่วถึง จนไมมีความยึดถือจิตวาเปนตัวตนแตประการใดนั่นเอง และมี ความเบื่อหนาย คลายกําหนัด จากความยึดถือจิตวาเปนตัวตนมาแตเดิมเสียได. การวินิจฉัยในอานาปานสติขั้นที่ ๙ สิ้นสุดลงเพียงเทานี้. ตอนี้ไป จะไดวินิจฉัยในขั้นที่ ๑๐
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
ตอน สิบสี่
อานาปานสติ ขั้นที่ สิบ๑ (การทําจิตใหปราโมทยยิ่งอยู)
อุทเทสแหงอานาปานสติขั้นที่สิบ หรือขอที่สองแหงจตุกกะที่สาม นั้น มีหัวขอวา “ภิกษุนั้น ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูทําจิตใหปราโมทยยิ่งอยู จักหายใจ เขา ดังนี้ ; ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูทําจิตใหปราโมทยยิ่งอยู จักหายใจออกดังนี๒้ มีอธิบายโดยละเอียดดังตอไปนี้ :คําว า ย อมทําในบทศึกษา มี อธิ บายอยางเดียวกัน กับที่อธิบายมาแล ว ในตอนกอน. คําวา ทําจิต ใหปราโมทย มีขอควรวินิจฉัยคือ ทําใหปราโมทย เกิดขึ้นในขณะไหน และความปราโมทยนั้นมีอยูอยางไร, ดังจะไดวินิจฉัยสืบไป ดังตอไปนี้ : ความปราโมทยโดยธรรม ในที่นี้ เมื่อกลาวโดยสรุปแลว ยอมทําให เกิดขึ้นไดในทุกขั้นแหงอานาปานสติเพราะฉะนั้น ผูที่ลงมือปฏิบัติในขั้นนี้จะตอง
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๑ ๒
การบรรยายครั้งที่ ๓๖ / ๒๗ ตุลาคม ๒๕๐๒ ปโมทยํ จิตฺตํ อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ; ปโมทยํ จิตฺตํ ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ.
๓๓๒
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑๐ การทําจิตใหปราโมทย
๓๓๓
พยายามทําใหเกิดความปราโมทยขึ้น ในทุกขั้นแหงอานาปานสติ. เขาจักตอง ยอนไปปฏิบัติมาตั้งแตอานาปานสติขั้นที่หนึ่งเปนลําดับมา. จนกระทั่งถึงขั้นที่ ๙ พยายามทํ า ความปราโมทย ใ ห เ กิ ด ขึ้ น ให ป รากฏชั ด ในทุ ก ขั้ น และให ป ระณี ต หรื อ สูงขึ้นมาตามลําดับดุจกัน คือ :๑. เมื่อรูชัดความที่จิตเปนเอกัคคตาไมฟุงซาน ดวยอํานาจลมหายใจ เขาและออกยาว ทําความปราโมทยใหเกิดขึ้น ; ๒. เมื่อรูชัดความที่จิตเปนเอกัคคตาไมฟุงซาน ดวยอํานาจลมหายใจ เขาและออกสั้น ทําความปราโมทยใหเกิดขึ้น ; ๓. เมื่อรูชัดความที่จิตเปนเอกัคคตาไมฟุงซาน ดวยอํานาจความรู พรอมเฉพาะซึ่งลมทั้งปวง ทําความปราโมทยใหเกิดขึ้น ; ๔. เมื่อรูชัดความที่จิตเปนเอกัคคตาไมฟุงซาน ดวยอํานาจการทํา กายสังขารใหรํางับอยู ทําความปราโมทยใหเกิดขึ้น ; ๕. เมื่อรูชัดความที่จิตเปนเอกัคคตาไมฟุงซาน เพราะการรูพรอม เฉพาะซึ่งปติ ทําความปราโมทยใหเกิดขึ้น ; ๖. เมื่อรูชัดความที่จิตเปนเอกัคคตาไมฟุงซาน เพราะการรูพรอม เฉพาะซึ่งสุข ทําความปราโมทยใหเกิดขึ้น ; ๗. เมื่อรูชัดความที่จิตเปนเอกัคคตาไมฟุงซาน เพราะการรูพรอม เฉพาะซึ่งจิตตสังขาร ทําความปราโมทยใหเกิดขึ้น ; ๘. เมื่อรูชัดความที่จิตเปนเอกัคคตาไมฟุงซาน เพราะการทําจิตตสังขารใหรํางับอยู ทําความปราโมทยใหเกิดขึ้น ; ๙. เมื่อรูชัดความที่จิตเปนเอกัคคตาไมฟุงซาน เพราะความเปนผูรู พรอมเฉพาะซึ่งจิต ทําความปราโมทยใหเกิดขึ้น ;
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๓๓๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑๔
เมื ่อ ทํ า อยู ด ัง นี ้ ไดชื ่อ วา เปน การปฏิบ ัต ิอ านาปานสติขั ้น ที ่ส ิบ ซึ ่ง มี ใจความสํ าคั ญ มุ งหมายถึ ง การรู จั ก ทํ า หรื อ สามารถทํ าจิ ต ให ป ราโมทย ขึ้ น มาได ใ น ทุ ก ๆ ขั้ น แล ว ถื อ เอาความรู สึ ก ปราโมทย นั้ น เป น อารมณ สํ า หรั บ พิ จ ารณา เพื่ อ เห็ น ลั ก ษณะแห ง ความไม เ ที่ ย ง ความเป น ทุ ก ข และความเป น อนั ต ตาแห ง จิ ต ที่ ปราโมทย นั้ นสื บต อไป เหมื อนดั งที่ ได กล าวแล วในการพิ จารณาป ติ ในอานาปานสติ ขั้นที่หา. สําหรับการเกิดแหงความปราโมทยนั้น มีทางที่จะเกิดไดตาง ๆ กัน ตามแตเหตุปจจัย ซึงเปนตนเหตุแหงปราโมทย. สําหรับในกรณีแหงการทําอานาปานสตินั้น อาจกลาวไดวา :ในอานาปานสติ ขั้ น ที่ ห นึ่ ง และขั้ น ที่ ส อง ปราโมทย เ กิ ด เพราะรู สึ ก พอใจในการกระทํ า หรื อ ในโอกาสที่ ไ ด ก ระทํ า ตามคํ า สอนอั น เป น นิ ย ยานิ ก ธรรม ของพระผูมีพระภาคเจาเปนเบื้องตน ; และสูงขึ้นมาก็คือ มีความปราโมทย เพราะประสบความสําเร็จ ในการกําหนดลมหายใจเขา – อออก ทั้งยาวและสั้น ดังนี้เปนตน. ในอานาปานสติ ขั้ น ที่ ส าม ย อ มเกิ ด ความปราโมทย ที่ สู ง ขึ้ น ไปกว า นั้ น แม ไม มากก็ นอย เพราะเหตุ ที่มี การกํ าหนดลมหายใจอย างแยยคายยิ่ งขึ้นไปกว าเก า ดัง ที ่ไ ดก ลา วแลว โดยละเอีย ด ในอานาปานสติขั ้น นั ้น ซึ ่ง ทํ า ใหส ัม ปยุต ตธรรม เช น ฉั น ทะเป น ต น เป น ไปแรงกล า ขึ้ น ปราโมทย ย อ มเกิ ด ขึ้ น ในลั ก ษณะที่ ป ระณี ต กวา หรือสูงกวาตามสมควรแกกรณี. ในอานาปานสติ ขั้ นที่ สี่ การปฏิ บั ติ ดํ าเนิ นไปจนถึ งขั้ นที่ เกิ ดฌาน ความ ปราโมทย ใ นการกระทํ า ของตน ก็ สู ง ขึ้ น ไปตาม ด ว ยอํ า นาจแห ง การที่ ไ ด เ สวยผล เปนทิฏฐธรรมสุข โดยเหตุที่จิตเปนเอกัคคตาไมถูกนิวรณรบกวนเลยเปนตน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑๐ การทําจิตใหปราโมทย
๓๓๕
ในอานาปานสติ ขั้ นที่ ห า มี การพิ จารณาถึ ง ป ติ ที่ เป นองค ฌานโดยตรง ซึ่ งหมายถึ งความปราโมทย โดยพฤติ นั ยอยู ในตั ว เป นการแยกเอาตั วความปราโมทย ออกมากํ า หนดและพิ จ ารณาไปโดยเฉพาะ เป น การเห็ น ตั ว ความปราโมทย โ ดยชั ด กว า ขั้ น อื่ น ๆ และกลายเป น ปราโมทย ที่ อิ ง อาศั ย ป ญ ญายิ่ ง ขึ้ น ในเมื่ อ มี ก าร พิจารณาเวทนานั้น ๆ โดยลักษณะแหงความไมเที่ยง เปนตน. ในอานาปานสติ ขั้ น ที่ ห ก มี อ าการคล า ยกั น กั บ ในขั้ น ที่ ห า เพราะเป น การพิจารณาองคฌานดวยกัน. ในอานาปานสติ ขั้ น ที่ เ จ็ ด ปราโมทย สู ง ขึ้ น ไป เพราะมี ค วามรู เ พิ่ ม ขึ้ น วาเวทนานั้น ๆ เปนเครื่องปรุงแตงจิต ; ทําใหสามารถรูเทาทันเวทนา ซึ่งเปน ทางมาแหง กิเ ลส คือ ตัณ หาและอุป ทาน เปน ตน จนเห็น ลู ท างที ่จ ะดับ ทุก ข ไดยิ่งขึ้นไป ปราโมทยในธรรมจึงสูงขึ้นไปตาม. ในอานาปานสติ ขั้ นที่ แปด ปราโมทย เกิ ดมาจากความรู สึ กว าตนสามารถ ทํ า จิต ตสัง ขารใหอ อ นกํ า ลัง ลงหรือ ใหรํ า งับ ไป ซึ ่ง เปน ความสามารถที ่ส ูง ยิ ่ง ขึ ้น ไปอีก ทํ า ใหเ กิด ความรู ส ึก วา การควบคุม กิเ ลสนั ้น จัก ตอ งอยู ใ นกํ า มือ ของตน โดยแนนอน. สํ า หรับ อานาปานสติขั ้น ที ่เ กา นั ้น ปราโมทยเ กิด ขึ ้น เพราะบัด นี ้เ ปน ผู ม ีค วามรู แ จม แจง ในเรื ่อ งจิต และลัก ษณะอาการตา ง ๆ ของจิต เชน ที ่เ กิด ที่ ดั บ ที่ ไปที่ มา ของจิ ต จนถึ งกั บรู สึ กว าการควบคุ มจิ ตนั้ นต อ งอยู ในกํ ามื อของตน โดยแท. ส ว นในอานาปานสติ ขั้ น ที่ สิ บ นี้ เป น การประมวลมาซึ่ ง ความปราโมทย ทั้ ง หมดทุ ก ชนิ ด มากํ า หนดพิ จ ารณาอยู และมี ค วามปราโมทย เ ฉพาะในข อ นี้
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๓๓๖
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑๔
ว า บั ด นี้ ต นเป น ผู ส ามารถบั ง คั บ จิ ต ได ต ามความต อ งการ ดั ง ที่ ส ามารถ บั ง คั บ ให เกิดความปราโมทย อยูในขณะนี้ อยางพลิกแพลงอยางไรก็ไดตามตองการและ กว างขวางถึ งที่ สุ ด จึ งเป นจิ ตที่ บั งเทิ งอยู ด วยความปราโมทย ที่ กว างขวางและสู งสุ ด ไปตามกัน. สวนขอที่วา ความปราโมทยมีอยูอยางไร นั้น มีทางที่จะวินิจฉัย คือ ความปราโมทยคืออะไร ? และมีทางที่จะแบงแยกปราโมทยไดกี่ทาง ? เมื่ อ กล า วโดยทางศั พ ทศาสตร ท า นระบุ ชื่ อ เหล า นี้ ว า เป น ชื่ อ ของ ความปราโมทย คือ อาโมทนา = ความเบิกบาน, ปโมทนา = ความบันเทิง หรือปราโมทย, หาโส = ความรางเริงหรือหรรษา, ปหาโส = ความรื่นเริงอยางยิ่ง หรือความรื่นรมยแหงใจ, โอทคฺยํ = ความโสมนัสหรือ ความเย็นใจ, และ อฺตตมนตา = ความปลื้มใจหรือความภูมิใจตอตัวเองเปนที่สุด ; อาการทั้งหมดนี้ รวมเรียกวาอาการของความปราโมทยในที่นี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เมื่ อ กล า วโดยเหตุ ทั่ ว ไป ก็ เ หมื อ นกั บ กรณี ข องป ติ แ ละสุ ข กล า วคื อ ปราโมทยนี้อ าจจะเปน เคหสิต คือ อาศัย เรือ นหรือ กามก็ไ ด ; หรือ จะเปน เนกขัมมสิต คืออาศัยธรรมโดยเฉพาะ คือความปราศจากกามก็ได. แตสําหรับ ในที ่นี ้นั ้น เปน ที ่เ ห็น ไดช ัด เจนอยู แ ลว วา เปน ปราโมทยที ่อ าศัย ธรรมแทท ุก ขั ้น แหงอานาปานสติทีเดียว. ผูศึกษาพึงสังเกตในขอที่ชื่อเหมือนกันวาปราโมทย ๆ แตต ัว จริง นั ้น อาจจะแตกตา งราวกับ ฟา และดิน เพราะวัต ถุห รือ อารมณแ หง การเกิดของปราโมทยนั้นตางกัน. ข อ ที่ ว า ปราโมทย ใ นทางธรรม มี ท างเกิ ด ได กี่ ท าง นั้ น เมื่ อ กล า ว ตามหลัก แหง อานาปานสตินี ้แ ลว ขอ เท็จ จริง ยอ มแสดงชัด อยู แ ลว วา มีท างมา
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑๐ การทําจิตใหปราโมทย
๓๓๗
๒ ทาง คือ ปราโมทยที่เกิดขึ้นดวยอํานาจของสมถะหรือสมาธิ นี้อยางหนึ่ง ; และ ปราโมทยที่เกิดขึ้นดวยอํานาจของวิปสสนาญาณหรือปญญา นี้อีกอยางหนึ่ง. ปราโมทยที ่เ กิด ขึ ้น ดว ยอํ า นาจของสมาธิ นั ้น ที ่เ ห็น ไดง า ย ๆ หรื อ โดยตรง ก็ คื อ ป ติ ที่ เ ป น องค ฌ านและความสุ ข ที่ เ ป น องค ฌ านโดยตรง หรื อ ความสุ ข ที่ ไ ด รั บ มาจากการที่ จิ ต เป น เอกั ค คตาไม ฟุ ง ซ า นโดยทั่ ว ไปทุ ก ขณะ เรี ย ก สั้น ๆ วา ความสุขที่เกิดจากฌาน นั่นเอง ; หรือแมที่สุดแตความพอใจอยาง ปราโมทย ที่ เ กิ ด ขึ้ น ด ว ยอํ า นาจของสมถะหรื อ สมาธิ เพราะมี ส มถะและสมาธิ เ ป น มูลฐาน. สวน ปราโมทยที่เกิดขึ้นดวยอํานาจของวิปสสนาหรือปญญา นั้น ละเอีย ดยิ่ง ขึ้น ไปกวา สูง ยิ่ง ขึ้น ไปกวา หรือ มีคุณ คา ยิ่ง กวา . ปราโมทยขอ นี้ ได แก ค วามปราโมทย ที่ เกิ ด ขึ้ น ในขณะที่ พิ จ ารณาปราโมทย อั นเป นตั วเวทนานั่ นเอง หรื อ พิ จ ารณาสั ง ขารทั้ ง หลายทั้ ง ปวงก็ ต าม โดยความไม เ ที่ ย ง เป น ทุ ก ข เป น อนัต ตา เห็น แจง ในความเปน อนิจ จัง ทุก ขัง อนัต ตา แลว เกิด ความปราโมทย ขึ้น มาเพราะเหตุที่รูวา ไดเ ห็น ธรรมลึก ซึ้ง ลงไป. จัดเปน ความปราโมทยใ น ธรรมแท. ขอยอนไปเปรียบเทียบดวยตัวอยางของปติใหเห็นไดงาย ๆ คือ ปติ ในองคฌานเปนปราโมทยดวยอํานาจสมาธิ. ครั้นปตินั้นถูกนํามาพิจารณาใหเห็น วาเปน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เชนเดียวกับเวทนาทั้งหลาย เกิดปติขึ้นมาใหม อีก ชนิด หนึ ่ง ดว ยอํ า นาจของปญ ญานั ้น เปน ปต ิต อ ธรรมหรือ ในธรรมแทยิ ่ง ขึ ้น ไปอีก ; นี่เรียกวาปติที่เกิดขึ้นดวยอํานาจของปญญา นับวามีอยูเปน ๒ อยาง ดวยกัน ดังนี้. สรุปใหสั้นที่สุด ก็ไดความวา ปราโมทยอยางที่หนึ่งเกิดอยูในขณะที่จิต เปนสมาธิ ; ปราโมทยอยางที่สองเกิดอยูในขณะที่จิตประกอบดวยปญญา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๓๓๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑๔
ปราโมทยทั้ง สองอยางนี้ มีอ ยูอ ยา งแรกซึม ปนเปกัน ไปในอานาปานสติทุกขั้น. ดังที่กลาวมาแลวขางตน อานปานสติในสวนใดหรือขณะใด เป น ส ว นแห ง สมาธิ ปราโมทย ที่ เ กิ ด ขึ้ น ในขณะนั้ น เป น ปราโมทย ที่ เ กิ ด มาจาก ความเปนสมาธิ ; อานาปานสติสวนใดหรือระดับใด ที่เปนสวนของปญญา หรือ กํ า ลั ง ดํ า เนิ น ไปด ว ยอํ า นาจของป ญ ญาอยู ปราโมทย ที่ เ กิ ด ขึ้ น ในขณะนั้ น ก็ จั ด เปนปราโมทยที่เกิดขึ้นดวยอํานาจของปญญา ; ฉะนั้นเปนอันกลาวไดวา ปราโมทย ที่ ผู ป ฏิ บั ติ ไ ด ทํ า ให เ กิ ด ขึ้ น โดยอาศั ย อานาปานสติ ที่ แ ล ว มาทั้ ง ๙ ขั้ น และกํ า ลั ง จัด เปน อานาปานสติขั ้น ที ่ส ิบ อยู ใ นขณะนี ้นั ้น ก็ไ ดแ กป ราโมทย ๒ ประเภทนี้ นั่นเอง หรือกล าวได อีกอย างหนึ่ งว า หมายถึงแต ปราโมทย ๒ ประเภทนี้ ซึ่ งเป น ปราโมทยอาศัยเนกขัมมะเทานั้น หาไดหมายถึงปราโมทยที่เปนเคหสิต คืออาศัยเรือน หรือกามแตประการใดไมเลย. สิ่งที่อยากจะแนะใหสังเกตอีกอยางหนึ่ง ก็คือ การฝกอานาปานสติ ในขั ้น ที ่ส ิบ นี ้ จัด วา เปน ที ่น า สนุก หรือ นา พอใจยิ ่ง กวา อื ่น ทั ้ง หมด เพราะ ถากลาวอยางสํานวนโวหารธรรมดาก็คือ การเลนกับความสุขนั่นเอง : เปนการ เล น ของบุ ค คลผู มี ค วามสุ ข ที่ เ ข า ไปสู ค วามสุ ข อย า งนั้ น อย า งนี้ ออกจากความสุ ข อย า งนี้ แ ล ว เข า ไปสู ค วามสุ ข อย า งโน น ออกจากความสุ ข อย า งโน น แล ว ก็ เ ข า ไปสู ความสุ ขอย างอื่ นอี กต อไป ไม มี ที่ สิ้ นสุ ดกั บความสุ ข จึ งถื อ ว าอานาปานสติ ในขั้ นนี้ เปนจุดเดนที่สุด, หรือเปนเหมือนจุดเดนที่สุดจุดหนึ่ง ในแถวแหงอานาปานสติ ทั้งหลาย, แมการปฏิบัติจะไดรับผลเพียงเทานี้ ก็ยังกลาวไดวาเขาถึงธรรมรัตนะ เปนผูร่ํารวยดวยเพชรพลอยของพระธรรม อยางประมาณมิไดอยูแลว : นับวาควร แกการสนใจและการปฏิบัติเปนอยางยิ่ง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑๐ การทําจิตใหปราโมทย
๓๓๙
สิ่งที่ จะต องวิ นิ จฉั ยข อสุ ดท าย คื อญาณและสติ ตลอดถึ งธรรมอื่ น ๆ จะเกิ ดขึ้ นได อย างไรนั้ น สวนใหญมี อธิ บายอย างเดี ยวกันกั บในขั้ นที่ แลวมา สํ าหรั บ สว นที ่จ ะตอ งทํ า ความเขา ใจเปน พิเ ศษเฉพาะในขั ้น นี ้ก ็ค ือ การกํ า หนดปราโมทย ที่ ต นได ทํ า ให เ กิ ด ขึ้ น ทุ ก ขั้ น ของอานาปานสติ โดยนั ย ดั ง ที่ ก ล า วแล ว ด ว ยอํ า นาจ ของเอกัคคตาจิตที่ไมฟุงซาน นี้เรียกวา สติ. การกําหนดติดตามดูปราโมทยนั้น ดว ยอํ า นาจของสติ จนเกิด การพิจ ารณาเห็น ความเปน อนิจ จัง ทุก ขัง อนัต ตา สติกลายเปนอนุปสสนาญาณไป ; นี้เรียกวา ญาณ. ผูปฏิบัติกําหนดและพิจารณาจิต ซึ่ ง ประกอบด ว ยปราโมทย ทั้ ง หลายด ว ยสติ นั้ น ด ว ยญาณนั้ น การกระทํ า นี้ ชื่ อ ว า จิตตานุป สสนาสติปฏฐานภาวนา ซึ่งจั ดเปนภาวนาที่ สมบู รณด วยอรรถทั้งสี่ดั งที่กลาว แลว. ในขณะนั้นเปนการสโมธานซึ่งธรรมทั้งหลาย ๒๙ ประการ พรอมทั้งการ รู โ คจรแทงตลอดสมัต ถะ แหง ธรรมทั ้ง หลายเหลา นั ้น ดว ยอํ า นาจของการ กระทําที่แยบคาย มีอาการสิบหก มีการรูทั่วอยู, กําหนดอยู, รูอยู, เห็นอยู, พิจารณาอยู, อธิษฐานจิตอยู ฯลฯ เปนลําดับ ๆ ไป จนกระทั่งถึงการทําใหแจง ซึ่งธรรมที่ควรทําใหแจงอยู ; แตละขั้น ๆ เกี่ยวกับปราโมทยนั้นโดยตรง ดวย จิตที่เปนเอกัคคตาไมฟุงซานอยูทุกลมหายใจเขา – ออก ดังที่ไดอธิบายแลวโดย ละเอียดในอานาปานสติขั้นที่หานั้นแลว ไมจําเปนจะตองกลาวซ้ําในที่นี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org การวินิจฉัยในอานาปานสติขั้นที่สิบ สิ้นสุดลงเพียงเทานี้. จะไดวินิจฉัยในอานาปานสติขั้นที่สิบเอ็ดสืบไป.
ตอไปนี้
www.buddhadasa.in.th
ตอน สิบหา
อานาปานสติ ขั้นที่ สิบเอ็ด๑ (การทําจิตใหตงั้ มั่นอยู)
อุทเทสแหงอานาปานสติขั้นที่สิบเอ็ด หรือขอที่สามแหงจตุกกะที่สาม นั้นมีวา “ภิกษุนั้น ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูทําจิตใหตั้งมั่นอยู จักหายใจเขา ดังนี้ ; ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูทําจิตใหตั้งมั่นอยู จักหายใจออก ดังนี้” ;๒ และ มีอธิบาย ดังตอไปนี้คือ :การวินิจฉัยในบทวา “ยอมทําในบทศึกษา” ยอมมีใจความเหมือนกับ ในขั้ นที่ แล วมาโดยประการทั้ งปวง มี อยู บ างที่ จะต องทํ าความเข าใจเป นพิ เศษเฉพาะ ขั้นนี้คือ:สว นที ่จ ะถือ วา เปน สีล สิก ขา นั ้น จะตอ งรู จ ัก สอดสอ งใหถ ูก ตรง ตามที่มีอยู ; โดยใจความใหญ ๆ นั้นเล็งถึง ขอที่มีการสํารวมหรือระวังจิตไมใหละ ไปจากอารมณ ที่กําลังกําหนดอยูในขั้นนั้น ๆ ; ตัวการสํารวมนั่นแหละจัดเปนศีล ในที่นี้. เพราะวาเมื่อมีการสํารวมในเวลาใด โทษทางกาย วาจา หรือการทุศีล อยางใด ๆ ก็มีขึ้นไมได.การชี้ใหเห็นเชนนี้เปนการปองกัน ไมใหเกิดความ
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๑
การบรรยายครั้งที่ ๓๗ / ๒๘ ตุลาคม ๒๕๐๒ ๒ สมาทหํ จิตฺตํ อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ; สมาทหํ จิตฺตํ ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ
๓๔๐
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑๑ การทําจิตใหตั้งมั่น
๓๔๑
เข า ใจผิ ด ไปว า เมื่ อการปฏิ บั ติ ดํ าเนิ นมาถึ งขั้ นสมาธิ ห รื อ ป ญ ญาอย างสู ง เช นนี้ แล ว มันจะยังคงมีการสํารวมศีลอยูไดอยางไรกัน ; ฉะนั้น ขอใหถือวา เมื่อมีการ สํ า รวมจิต ใด ๆ อยู ใ นเรื ่อ งใดก็ต าม ดว ยอํ า นาจของสติแ ลว การสํ า รวมนั ้น ยอมเปนการประมวลไวไดซึ่งสีลสิกขาอยูในตัวโดยสมบูรณ. เปนอันกลาวไดวา แม ในขณะที่ กํ าลั งปฏิ บั ติ หมกมุ นอยู ในอานาปานสติ ขั้ นสู งเหล านี้ การสํ ารวมในศี ล ก็ ยั ง สมบู ร ณ อ ยู ต ามเดิ ม จึ ง เป น การทํ า ให ไ ตรสิ ก ขา หรื อ สิ ก ขาทั้ ง สามยั ง คงเป น ธรรมสมังคีสมบูรณอยู ; ฉะนั้น คําวา “ยอมทําในบทศึกษา” ในอานาปานสติ ขอ นี ้ และในอานาปานสติข อ ตอ ไปทั ้ง หมด ก็ย ัง หมายความถึง การทํ า เต็ม ที่ ในสิกขาทั้งสามอยูนั่นเอง. สว นที่เ ปน สมาธิแ ละสว นที่เ ปน ปญ ญา นั้น เห็น ไดชัด อยู แ ลว วา มีการกําหนดสมาธิและการพิจารณาทางปญญาอยูทุกขั้น ; แตสวนที่เปนศีลนั้น เป น อยู อ ย า งไม เ ป ด เผย จะต อ งรู จั ก พิ จ ารณาจึ ง จะมองเห็ น ได ชั ด เจน กล า วคื อ ใน อานาปานสติ ขั้ น ที่ ห นึ่ ง ขั้ น ที่ ส อง ขั้ น ที่ ส าม มี ก ารสํ า รวมอยู ที่ ก ารระวั ง จิ ต ให ค อย กําหนดลมหายใจในวิธีตาง ๆ กัน. การสํารวมนั่นเองควบคุมเอาความมีศีลไวได. ในอานาปานสติ ขั้ น ที่ สี่ การสํ า รวมมี อ ยู ที่ ก ารพยายามทํ า ลมหายใจให รํ า งั บ ลง ๆ ซึ่งเปนการสํารวมที่ยากยิ่งไปกวาขั้นที่แลวมา ; การสํารวมในขั้นที่หาและที่หก มีอยูตรงที่คอยกําหนดปติและสุขอยางแรงกลา ; ในขั้นที่เจ็ด มีอยูที่การคอย กําหนดเวทนาหรือการที่เวทนาทําหนาที่ปรุงแตงจิต ; ในขั้นที่แปด การสํารวม มี อยู ในการที่ เฝ าพยายามป องกั น ไม ให เวทนาปรุ งแต งจิ ตได หรื อปรุ งแต งแต น อ ย ที่สุด ; ในขั้นที่เกา การสํารวมมีอยูในขณะที่ตั้งหนาตั้งตาคอยเฝากําหนด ลักษณะตาง ๆ ของจิต ; ในขั้นที่สิบ การสํารวมมีอยูที่การประคองจิตใหมี ปราโมทย และการกําหนดซึ่งความปราโมทยนั้น ๆ ; สําหรับขั้นที่สิบเอ็ดนี้ ความสํ ารวมมี อยู ตรงที่ ความพยายามประคองจิ ตให ตั้ งมั่ นในแบบต าง ๆ กั น.ความ
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๓๔๒
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑๕
สํารวมทุกอยางเหลานี้ลวนเปนแตตัวศีล หรือความควบคุมไวไดซึ่งสีลสิกขา ใหยัง คงมีอยูตลอดเวลา สําหรับในขั้นตอไปพึงถือเอาใจความอยางเดียวกัน จักไมกลาว ถึงอีกโดยละเอียด จักชี้ใหเห็นแตในแงที่จําเปนจะตองชี้เทานั้น. สิ่งที่ตองวินิจฉัยสืบไป คือขอที่วา “ทําจิตใหตั้งมั่นอยู” สิ่งที่ตอง วินิจฉัยมีอยู ๒ ประการคือ ความตั้งมั่นเปนอยางไร และความตั้งมั่นมีไดเมื่อไร ซึ่งจะไดวินิจฉัยกันสืบไป. คําวา “ความตั้งมั่น” ในที่นี้ โดยใจความก็คือความเปนสมาธินั่นเอง. เนื่องจากความเปนสมาธินี้ มีอาการที่อาจจะแยกพิจารณาใหเห็นไดในมุมหรือแง ตา ง ๆ กั น เพราะฉะนั้นในทางศั พทศาสตร เมื่อ ถามว าสมาธิคื อ อะไรแลว ยอ ม ตอบดวยการจําแนกชื่อตาง ๆ เหลานี้ใหฟงคือ ิติ = ความตั้งมั่น. สณฺิติ = ความหนักแนนหรือความตั้งมั่นดวยดี, อธิฏิติ = ความแข็งแรงหรือเขมแข็ง, อวิสาหาโร = ความมิไดมีอาการดุจอาหารเปนพิษ, อวิกฺเขโป = ความไมฟุงซาน, อวิสาหตมานสตา = ความมีใจที่พิษมิไดกระทบกรทั่ง, สมโถ = ความสงบ, สมาธินฺทฺรียํ = อินทรียคือความตั้งมั่น, สมาธิพลํ = กําลังคือความตั้งมั่น, สมฺมาสมาธิ = ความตั้งมั่นชอบ. ดังนี้เปนตน ; ซึ่งเปนการเพียงพอแลวที่ยกมาเปน ตัวอยาง ทั้งที่ยังมีคําอื่นอีกมาก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อธิบายความหมายแหงคําที่แสดงลักษณะแหงความตั้งมั่น เหลานี้ พอเปนทางเขาใจมีอยูดังนี้ : คําวา ตั้งมั่น หนักแนน หรือแข็งแรง เปนตนนี้ ลวนแตเปนอาการของจิต ซึ่งเรียกวาสมาธิ. คําวา ความตั้งมั่น หมายถึงความที่ อารมณหรือนิวรณกระทบไมหวั่นไหว ; คําวา หนักแนน หรือตั้งมั่นดวยดีนั้น หมายความวา เปน อยา งนั ้น ยิ ่ง ไปอีก คือ สามารถทนสู ต อ อารมณห รือ นิว รณ ที่มีกําลังมากไดจริง. คําวา แข็งแรง หมายถึงไมออนไปตามอารมณ ที่ยั่วเยา
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑๑ การทําจิตใหตั้งมั่น
๓๔๓
หรือขูเข็ญบังคับ. คําวา มิไดเปนดุจอาหารเปนพิษ นี้เปนการทําอุปมา : เหมือ นอยา งวา คนที ่เ กิด มีอ าหารเปน พิษ ขึ ้น ในกระเพาะ ยอ มมีอ าการกระสับ กระส า ยเหมื อ นคนจะตาย ไม ส ามารถประกอบการงานอั น ใดได ไม มี ค วามสดชื่ น เบิกบานแตประการใดเลย. จิตนี้ก็เหมือนกัน ถานิวรณเขาไปเปนพิษอยูในภายใน แล ว ย อ มตายจากความดี ไม ส ามารถประกอบกิ จ ใด ๆ ทางจิ ต ได ไม มี ค วามสดชื่ น เบิกบานแตประการใดเลย. เพราะฉะนั้น ทานจึงกลาววา ลักษณะของสมาธินั้น ตองเปนเหมือนกับความที่ไมมีอาหารเปนพิษอยูในกระเพาะ. คําวา ไมฟุงซาน หมายถึ ง มี อ ารมณ เ พี ย งอย า งเดี ย ว ไม แ ล น ไปสู อ ารมณ ใ ด ๆ กํ า หนดอยู แ ต อ ารมณ ที่ มี อ ยู สํ า หรั บ สมาธิ นั้ น เหมื อ นกั บ สั ต ว ที่ มี สิ่ ง ที่ ต อ งการอยู ใ นที่ นั้ น อย า งเพี ย งพอ แล ว ก็ ไ ม ลุ ก ลนไปในที่ อื่ น ๆ เหมื อ นลิ ง ที่ เ ที่ ย วแสวงหาผลไม ไ ปทั ่ว ๆ ปา ฉัน ใด ก็ฉันนั้น. คําวามีใจอันพิษมิไดกระทบกระทั่ง นั้น พิษในที่นี้ หมายถึงนิวรณ และกิเลสชื่ออื่นทุกชนิด ; เมื่อกิเลสไมกระทบจิต จิตมีความเปนปกติสงบอยูได. คํ า ว า กระทบจิ ต ในที่ นี้ หมายถึ ง ครอบงํ า จิ ต ดึ ง จิ ต ไปตามอํ า นาจของมั น เช น ความอยากดึ ง ไปสู สิ่ ง ที่ มั น อยาก ความโกรธดึ ง ไปสู สิ่ ง ที่ มั น โกรธ ดั ง นี้ เ ป น ต น ; เมื่ อ ไม มี สิ่ ง เหล า นี้ จิ ต ก็ ส งบ เป น สมาธิ คํ า ว า สมถะ หรื อ สงบ มี ค วามหมาย ตรงตามภาษาไทย คื อ หมายถึ ง ความระงั บ ไม มี ค วามดิ้ น รน ไม มี ค วามเร า ร อ น ไมมีความหมนหมอง ดังนี้เปนตน. คําวา สมาธินฺทฺริยํ ตองการใหหมายถึง สมาธิ ที่ แ ท จ ริ ง คื อ ขนาดที่ จ ะเป น ใหญ เปน ประธานไดอ ยา งหนึ ่ง ในบรรดา ธรรมที่เปนใหญเปนประธานทั้งหลาย, คําวา สมาธิพลํ ก็เปนอยางเดียวกัน หมายถึงสมาธิที่ถึงขนาดที่มีกําลังหรือใชเปนกําลังตอสูขาศึก คือนิวรณได. คําวา สัมมาสมาธิ ตองการใหหมายถึงแต สมาธิที่ถูกที่ชอบ หรือ สมาธิในทางพุทธศาสนา เพราะยังมีสมาธิที่เปนของนอกพุทธศาสนา หรือสมาธิที่เดินผิดทางเปน มิ จ ฉาสมาธิ อ ยู อี ก พวกหนึ่ ง . เมื่ อ ผู ศึ ก ษาได พิ จ ารณาดู ค วามหมายของคํ า เหล า นี้
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑๕
๓๔๔
ทุ กคํ าอย างละเอี ยดลออแล ว ก็ สามารถเข าใจถึ งความหมายของสิ่ งที่ เรี ยกว าสมาธิ ไดอยางทั่วถึง และเขาใจไดวาสมาธินั้นคืออะไร. แตอยางไรก็ดีทั้งหมดนี้เปน เพียงการอธิบายตามทางศัพทศาสตร หรือทางหนังสือเทานั้น. สวนในทางปฏิบัตินั้น ทานจํา กัดความไวสั้น ๆ ตามหลักแหงอานาปานสติ ว า ความที่ จิ ต มี อ ารมณ เ ป น หนึ่ ง ไม ฟุ ง ซ า น ด ว ยอํ า นาจการกํ า หนดลม หายใจยาว – สั้น ชื่อวา สมาธิ ; หรืออีกอยางหนึ่งวา จิตที่มีอารมณเปน อั น เดี ย วไม ฟุ ง ซ า น ด ว ยอํ า นาจจากการกํ า หนดลมหายใจ ของบุ ค คลผู มี จิ ต ตั้ ง มั่ น ชื่ อ ว า สมาธิ ดั ง นี้ ซึ่ ง ทั้ ง หมดนี้ อ าจจะสรุ ป ความได ว า เมื่ อ จิ ต มี อ ารมณ สํ า หรั บ กํ า หนดและจิต กํ า หนดอารมณนั ้น ได การกํ า หนดอารมณไ ดนั ้น ชื ่อ วา สมาธิ จะเปนอยางต่ํา อยางกลาง อยางสูง หรืออยางหยาบ อยางกลาง อยางประณีต นั้น ย อ มแล ว แต กรณี แต ไ ม ถื อ เอาเป น ประมาณ เพราะอาจจะเรี ย กได ว าเป นสมาธิ ไ ด ดวยกันทั้งนั้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นี้คือวินิจฉัยขอที่วา สมาธิคืออะไร ?
ส ว นข อ ที ่ ว า สมาธิ ห รื อ ความตั ้ ง มั ่ น มี ไ ด เ มื ่ อ ไรนั ้ น มี ว ิ น ิ จ ฉั ย ดังตอไปนี้ :-
ดั ง ที่ ก ล า วมาแล ว ข า งต น ว า สมาธิ มี ไ ด ทุ ก ขณะที่ จิ ต มี ก ารกํ า หนด อารมณ นี่ เ ป น หลั ก ทั่ ว ๆ ไป ; ที่ เ ป น อย า งพิ เ ศษนั้ น สมาธิ มี ไ ด ห รื อ ยั ง คงมี อ ยู ไ ด แ ม ใ นขณะที่ จิ ต กํ า หนดลั ก ษณะ มี ลั ก ษณะแห ง ความไม เ ที่ ย ง เป น ต น ในขณะแหงวิปสสนา ; ฉะนั้น เมื่อจะประมวลใหสิ้นกระแสความก็เปนอันกลาว ไดวา สมาธิไดโดยประเภทใหญ ๆ ใน ๓ กาล คือ :-
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑๑ การทําจิตใหตั้งมั่น
๓๔๕
๑. สมาธิในขณะระยะเริ่มแรกแหงการกําหนดอารมณ ซึ่งไดแกบริกรรมสมาธิและอุปจารสมาธิ. ๒.สมาธิในขณะที่จิตตั้งอยูในฌาน ไดแกอัปปนาสมาธิโดยตรง. ๓. สมาธิ ที่เปนอนันตริกสมาธิแนบเนื่องกันอยูกับปญญา ในขณะที่มีการ กําหนดและการพิจารณาลักษณะ มีลักษณะแหงความไมเที่ยง เปนตน. สมาธิ อ ย า งที่ ห นึ่ ง คื อ สมาธิ ใ นระยะเริ่ ม แรก แห ง การกํ า หนด อารมณนั ้น เปน สมาธิโ ดยออ มหรือ โดยปริย าย คือ เปน สมาธิที ่ย ัง ไมถ ึง ขนาด ที ่จ ะกลา วไดว า เปน สมาธิแ ท เหมือ นมนุษ ยย ัง เด็ก อยู ยัง ไมม ีค วามเปน มนุษ ย ที่เต็มที่ ฉันใดก็ฉันนั้น, แตถึงกระนั้นก็ยังดีกวาไมมีสมาธิเสียเลยเปนไหน ๆ. สรุป ความในขอ นี ้วา พอสัก วา ลงมือ ทํา สมาธิ ก็มีส มาธิโ ดยปริย ายนี้ไ ดเ รื่อ ย ๆ ไปเป น ลํ า ดั บ จนกระทั่ ง ถึ ง ขณะแห ง อุ ป จารสมาธิ คื อ นิ ว รณ ร ะงั บ ไปบ า ง กลั บ มี มาบา ง หรือ นิว รณถ อยกํ า ลัง ลงไปมาก แตไ มถ ึง ขนาดที ่จ ะระงับ หมดสิ ้น ไป ทั ้ง นี ้ เพราะเหตุที ่ว า องคฌ านยัง ไมค รบถว นและตั ้ง มั ่น จึง ตอ งจัด เปน สมาธิ โดยปริยายอยูนั่นเอง แตถึงกระนั้นก็ยังดีกวาไมมีสมาธิเสียเลย ดังกลาวแลว.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สมาธิ อ ย า งที่ ส อง คื อ อั ป ปนาสมาธิ นั้ น หมายถึ ง ความที่ จิ ต ตั้ ง มั่ น อยู ในฌาน นี้ คื อตั วสมาธิ แท และมี ความหมายเต็ มตามความหมายของคํ าว าสมาธิ ทุกประการ. เมื่อกลาววาจิตใหตั้งมั่นอยู และเปนความตั้งมั่นอยูอยางแทจริง ก็ ต อ งหมายถึ ง ความที่ จิ ต ตั้ ง อยู ใ นสมาธิ ขั้ นที่ เ ป นฌาน ขั้ นใดขั้ น หนึ่ ง เท านั้ น ไม ว า จะเปนรูปฌานหรืออรูปฌานก็ตาม. ถาผูปฏิบัติในอานาปานสติมีความมุงหมายที่จะ ฝกฝนในสวนอรูปฌาน ก็มีโอกาสที่จะฝกฝนไดในอานาปานสติขั้นที่สิบเอ็ดนี้ มีราย ละเอีย ดดัง ที ่ก ลา วไวใ นที ่อื ่น อีก สว นหนึ ่ง เพราะไมไ ดเ ปน สิ ่ง ที ่มุ ง หมายโดยตรง ในที่นี้. ในที่นี้มุงหมายโดยตรงแตเพียงรูปฌานทั้งสี่ แตประเภทเดียว.
www.buddhadasa.in.th
๓๔๖
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑๕
ส ว นสมาธิ อ ย า งที่ ส าม คื อ สมาธิ ที่ แ นบเนื่ อ งกั น อยู กั บ ป ญ ญาโดย ไม แ ยกกั น นั้ น จั ด เป น สมาธิ โ ดยปริ ย ายอี ก อย า งหนึ่ ง เพราะในขณะนี้ เ ป น ขณะที่ ปญญาจะทํา หนาที่ ของมันดวย กําลัง คือสมาธิ. เมื่อบุคคลกําหนดอารมณของ สมาธิจ นทํ า ฉานใหเ กิด ขึ ้น ได ดํ า รงอยู ใ นฌานนานพอสมควร คือ จิต มีกํ า ลัง เขม แข็ง และเขา รูป เขา รอยเพีย งพอแกค วามตอ งการแลว ก็อ อกจากฌานนั ้น ไปกํ า หนดอารมณ แ ห ง วิ ป ส สนา เช น เวทนาเป น ต น อย า งใดอย า งหนึ่ ง ขึ้ น มา พิจารณาโดยลักษณะ มีลักษณะแหงความไมเที่ยงเปนตนอยู. ในขณะนี้กําลัง แห ง สมาธิ ก็ ยั ง อยู ใ นการพิ จ ารณานั้ น คื อ แฝงตั ว หรื อ แนบเนื่ อ งกั น อยู กั บ ป ญ ญา โดยสัด สว นที่ส มควรกัน : ถา เพง ปญ ญาแรง กํา ลัง ของสมาธิก็แ รงขึ้น ตาม, ถาเพงปญญาหยอน กําลังของสมาธิก็หยอนลงตาม, และเปนไปในตัวเองไดเชนนี้ โดยไมตองเจตนา ดังนี้. สมาธิชนิดนี้เรียกวา สมาธิในขณะแหงวิปสสนา และ เพราะเหตุนั้นจึงไดชื่อวา สมาธิโดยปริยาย ; แตเปนปริยายที่มีคาสูง ไมเหมือนกับ สมาธิโดยปริยายดังที่กลาวแลวในขอที่หนึ่ง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org จากลั กษณะอาการแห งสมาธิ ทั้ ง ๓ ชนิ ด หรื อ ๓ ขั้ น ๓ ตอน ดั งที่ กลา วมาแลว นี ้ ทํ า ใหเ ราเห็น ไดว า สมาธิม ีอ ยู ใ นขณะไหนหรือ เมื ่อ ไร และสมาธิ ในขณะไหน มี ลั ก ษณะและหน า ที่ อ ย า งไร เป น การรอบรู ต อ ความที่ จิ ต เป น สมาธิ ไดโดยประการทั้งปวง.
สําหรับ การปฏิบัติอานาปานสติในขั้นที่สิบเอ็ดนี้๑ มีหลักสวนใหญ วาทําจิตใหตั้งมั่นอยูทุกลมหายใจเขา – ออก ฉะนั้น ผูปฏิบัติจะตองยอนกลับไป ปฏิบัติมาตั้งแตอานาปานสติขั้นที่หนึ่งอีกตามเคย เพื่อจะไดกําหนดความตั้งมั่น
๑
การบรรยายครั้งที่ ๓๘ / ๒๙ ตุลาคม ๒๕๐๒
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑๑ การทําจิตใหตั้งมั่น
๓๔๗
ของจิตซึ่งมีอยูในลักษณะตาง ๆ กัน เปนอารมณทุก ๆ ขั้น ทุก ๆ ลําดับ เทาที่จิต จะมี อ าการตั้ ง มั่ น อย า งไร. ในระยะนี้ ใจความสําคัญของการฝก มีอยูตรงที่ ให เ พง เล็ง ถึง ความตั ้ง มั ่น อยา งเดีย ว ไ มว า จะ ฝก ดว ยอ านาปานส ติข อ ไหน . จากคํ า อธิ บ ายในข อ ที่ แ ล ว มาทํ า ให เ ราเห็ น ได ว า ฝ ก อานาปานสติ อ ย า งเดี ย วกั น หรือ ชื ่อ เดีย วกัน หรือ ขอ เดีย วกัน ก็จ ริง แตก ารกํ า หนดนั ้น กํ า หนดตา งกัน หรือกําหนดคนละสิ่ง ดังจะยกตัวอยางใหเห็นไดงาย ๆ อีกครั้งหนึ่ง : เชน เมื่อ ฝ ก อยู ใ นอานาปานสติ ขั้ น ที่ ห นึ่ ง เรากํ า หนดลมหายใจนั่ น เอง อยู ทุ ก ลมหายใจ เขา – ออก ; ครั้น มาถึง การฝก ในขั้น ที่สิบ เอ็ด นี้ ซึ่ง จะตอ งยอ นกลับ ไป ทํ า มาตั ้ง แตขั ้น ที ่ห นึ ่ง อีก ก็ต าม แตเ ราก็ม ิไ ดกํ า หนดลมหายใจอยู ท ุก ลมหายใจ เขา – ออกโดยตรง เราเพียงแต กําหนดความที่จิตตั้งมั่นไดเทาไรหรืออยางไร ในขณะแห ง อานาปานสติ ขั้ น ที่ สิ บ เอ็ ด นั้ น อยู ทุ ก ลมหายใจเข า – ออก เพื่ อ กํ า หนดรู ค วามตั้ ง มั่ น หรื อ ศึ ก ษาความตั้ ง มั่ น ของจิ ต ในทุ ก ขั้ น แห ง อานาปานสติ โดยทํ า นอง ที ่จ ะทํ า ใหเ ห็น ไดว า มัน ตั ้ง มั ่น ในความหมายของสมาธิส ูง ขึ ้น มา เปนลําดับ ๆ เพียงไร ; แลวความตั้งมั่นนั้นเองคอย ๆ กลายเปนความตั้งมั่นตาม ความหมายของวิ ป ส สนาหรื อ ป ญ ญาขึ้ น มา ในขณะแห ง อานาปานสติ ขั้ น ไหนและ ดวยอาการอยางไร ; จนกระทั่งรูจักความตั้งมั่นทุกชนิดทุกแบบ ทุกแง ทุกมุม ทุก ขนาด ทุก แขนง เปน ตน จริง ๆ. ฉะนั้น จึง ทํา ใหเ ห็น ชัด ไดวา แมเ รา จะยอ นไปฝก ตั ้ง แตขั ้น ที ่ห นึ ่ง อีก แตก ็ม ีก ารกํ า หนดในการฝก ตา งกัน เชน เมื ่อ ฝ ก ขั้ น ที่ สิ บ เอ็ ด นี้ กํ า ลั ง ย อ นไปฝ ก ขั้ น ต น ๆ ขั้ น ไหนก็ ต าม การฝ ก ล ว นแต กํ า หนด อยูที่ค วามตั้ง มั่น ทุก ขั้น ไป. ถา ผูใ ดจับ ความสํา คัญ ขอ นี้ไ ด ก็จ ะเห็น ไดดว ย ตนเองว า การฝ ก ทุ ก ขั้ น ไม เ หมื อ นกั น เลย แม จ ะมี ก ารย อ นไปฝ ก ในขั้ น ต น ๆ มาอี ก กี่ขั้นก็ตาม.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๓๔๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑๕
สรุ ป ความว า การฝ ก ในขั้ น ที่ สิ บ เอ็ ด นี้ ฝ ก ในการกํ า หนดความตั้ ง มั่ น ทั ้ง ในแงข องสมถะ และทั ้ง ในแงข องวิป ส สนา จากอานาปานสติท ุก ขั ้น เทา ที ่มี ให กํ า หนดได ว า มี ค วามตั้ ง มั่ น อยู กี่ อ ย า ง จนกระทั่ ง ตนมี ค วามคล อ งแคล ว ในการ ทําจิตใหตั้งมั่นไดทุกอยาง ดวยความชํานิชํานาญสมตามความปรารถนา. ส ว นคํ า วิ นิ จ ฉั ย ในข อ ที่ ว า ญาณและสติ ตลอดถึ ง สั ม ปยุ ต ตธรรมอื่ น ๆ ซึ ่ง มีอ ยู ใ นขณะนั ้น มีขึ ้น ไดโ ดยวิธ ีไ รนั ้น พึง ทราบวา เมื ่อ จิต มีค วามตั ้ง มั ่น ไมว า ชนิดไหนอยูทุกลมหายใจเขา – ออก จิตที่ตั้งมั่นนั้นก็ปรากฏดวย สติทีกําหนด ความตั้ ง มั่ น นั้ น ก็ ป รากฏด ว ยจึ ง เกิ ด มี จิ ต รู แ จ ง คื อ วิ ญ ญาณจิ ต ซึ่ ง ได แ ก อนุป ส สนาญาณดัง ที ่ไ ดก ลา วแลว ในขอ กอ น.เมื ่อ เปน ดัง นี ้ก ็เ ปน อัน วา มีก าร ต า ม เ ห็ น ซึ ่ ง จิ ต ใ น จิ ต ด ว ย อํ า น า จ ข อ ง ส ติ นั ้ น จ น ก ร ะ ทั ่ ง เ ห็ น ค ว า ม ไ ม เ ที ่ ย ง เปน ทุก ข เปน อนัต ตาของจิต แมที่ตั้ง มั่น แลว ทุก ชนิด ; เมื่อ กระทํา อยูดัง นี้ ก็ เ รี ย กว า มี จิ ต ตานุ ป ส สนาสติ ป ฏ ฐานภาวนา อั น เป น ภาวนาที่ ส มบู ร ณ ด ว ยอรรถ ทั้งสี่ ดังที่ไดเคยอธิบายมาแลวอยางละเอียดในขอตน ๆ ; ในขณะนั้นยอมมีการ สโมธานมาได ซึ่ ง ธรรมทั้ ง หลาย ๒๙ อย า ง พร อ มทั้ ง รู โ คจรและแทงตลอดสมั ต ถะ ของธรรมนั้น ๆ ดังที่กลาวโดยละเอียด ในอานาปานสติขั้นที่หาอีกนั่นเอง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org การวิ นิ จ ฉั ย ในอานาปานสติ ขั้ น ที่ สิ บ เอ็ ด สิ้ น สุ ด ลงเพี ย งเท า นี้ ต อ ไปนี้ จะไดวินิจฉัยในอานาปานสติขั้นที่สิบสองสืบไป.
www.buddhadasa.in.th
ตอน สิบหก
อานาปานสติ ขั้นที่ สิบสอง (การทําจิตใหปลอย)
อุ ท เทสแห ง อานาปานสติ ขั้ น ที่ สิ บ สอง หรื อ ข อ ที่ สี่ แ ห ง จตุ ก กะที่ ส ามนี้ มี หั วข อว า “ภิ กษุ นั้ น ย อมทํ าในบทศึ กษาว า เราเป นผู ทํ าจิ ตให ปล อยอยู จั กหายใจเข า ดังนี้ ; ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูทําจิตใหปลอยอยู จักหายใจออก ดังนี้”๑ วินิจฉัยมีอยูดังตอไปนี้ :การทํ า ในบทศึ ก ษาทั้ ง สามในอานาปานสติ ขั้ น นี้ นั้ น ความสํ า รวมสติ ในการคอยกํ า หนดการปล อ ยชนิ ด ต า ง ๆ ของจิ ต หรื อ แม แ ต ก ารคอยกํ า หนดจิ ต ให ทํ า การปลดเปลื้ อ งสิ่ ง ต า ง ๆ จากจิ ต ซึ่ ง เป น ความสํ า รวมอย า งยิ่ ง และอย า ง ละเอี ย ดที่ สุ ด นั่ น แหละ คื อ ความสํ า รวมที่ ป ระมวลไว ไ ด ซึ่ ง สี ล สิ ก ขาในขณะนี้ . สํ าหรั บจิ ตตสิ กขาและป ญญาสิ กขานั้ น มี อ ยู ได โดยลั กษณะเดี ยวกั นกั บอานาปานสติ ขั้นอื่น ๆ ทุกขั้นดังที่กลาวแลว ไมจําเปนตองวินิจฉัยซ้ําในที่นี้อีก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สําหรับคําวา “ทําจิต ใหปลอ ยอยู” ๒ อยางคือ :-
นั้น มีสิ่งที่จะตองวินิจฉัยเปน
๑. ปลอยอยางไร ? ๒. ปลอยซึ่งอะไร ? ซึ่งจะไดวินิจฉัยตอไป.
๑
วิโมจยํ จิตฺตํ อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ; วิโมจยํ จิตฺตํ ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ.
๓๔๙
www.buddhadasa.in.th
๓๕๐
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑๖
การที่ ยกเอาป ญหาว าปล อ ยอย างไรมาวิ นิ จฉั ยก อนนั้ นเป นเพราะจะช วย ทํ าให เกิ ดความเข าใจได โดยง าย เพราะจะได อาศั ยข อความต าง ๆ ดั งที่ กล าวมาแล ว ข างต นเป นเครื่ องช วยทํ าให เกิ ดความเข าใจง าย โดยเฉพาะก็ คื อ เรื่ ององค แห งฌาน อั น กล า วแล ว ในอานปานสติ ขั้ น ที่ สี่ โ ดยละเอี ย ด และเรื่ อ งการละนิ จ จสั ญ ญาเสี ย ได ดวยอนิจจสัญญา เปนตน ดังที่กลาวแลวโดยละเอียดในอานาปานสติขั้นที่หา. คํ า ว า ทํ า จิ ต ให ป ล อ ย มี ค วามหมายโดยตรงว า ทํ า จิ ต ให ป ล อ ยสิ่ ง ที่ เกิดขึ้นในจิตหรือกลุมรุมหองลอมจิต อยางหนึ่ง และ สิ่งที่จิตยึดไวเองดวยอํานาจ ของอุปาทานอันเกิดจากอวิชชา อันนอนเนื่องอยูในสันดาน นี้อีกอยางหนึ่ง. ถ า กล า วกลั บ กั น อี ก อย า งหนึ่ ง ก็ คื อ แทนที่ จ ะกล า วว า ทํ า จิ ต ให ป ล อ ย ก็ ก ล า วกลั บ กันไดวา “เปลื้องจิตเสียจากสิ่งซึ่งควรปลดเปลื้อง” ดังนี้ก็ได ; ผลยอมเปนอยางเดียว กัน จะแตกตางกันก็แตวิธีพูด. ที่ ว า ทํ า จิ ต ให ป ล อ ยเสี ย หรื อ เปลื้ อ งจิ ต เสี ย จากสิ่ ง ที่ ม ากลุ ม รุ ม จิ ต นั้ น หมายถึ ง การเปลื้ อ งจิ ต จากนิ ว รณ ใ นขณะแห ง สมาธิ นั บ ตั้ ง แต ร ะยะเริ่ ม แรกขึ้ น มา จนกระทั่งถึงสมาธิที่เปนฌาน. สมาธิที่ยังไมเปนฌาน ก็เกียดกันนิวรณออกไป ไดเ ล็ก ๆ นอ ย ๆ ตามสัด สว น และลม ลุก คลุก คลานไปตามเรื ่อ งของมัน แต ถึงอยางนั้นก็ยังเปนการเปลื้องจิตจากนิวรณอยูนั่นเอง. เมื่อมีความตั้งอกตั้งใจ ทํ า อยู ใ นสมาธิขั ้น นี ้ ก็เ ปน การทํ า จิต ใหป ลอ ยอยู ซึ ่ง นิว รณใ นขั ้น นี ้ ซึ ่ง ทํ า ใหเ ห็น ได อี ก ว า ผู ป ฏิ บั ติ ใ นอานาปานสติ ขั้ น ที่ สิ บ สองนี้ ก็ จํ า เป น ที่ จ ะต อ งตี ว งกว า ง คื อ การย อ นมาฝ ก การกํ า หนดในการที่ จิ ต เปลื้ อ งจากนิ ว รณ อ อกไปได อ ย า งไร ไปตั้ ง แต อานาปานสติขั้นตน ๆ อีกนั่นเอง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑๒ การทําจิตใหปลอย
๓๕๑
แตโดยที่แทนั้น คําวา “ทําจิตใหเปลื้องอยู” นั้น อยางนอยหมายถึง การทํ าจิ ตให เปลื้ องนิ วรณ ออกไปไดจริ ง ๆ โดยตรง มิ ไดมุ งหมายถึ งการปลดเปลื้ อง เล็ก นอ ยโดยตัว มัน เองในระยะเริ ่ม แรกที ่ส ุด เชน นั ้น แตก ารที ่นํ า มากลา วนี ้ก ็เ พื ่อ จะชี ้ใ หเ ห็น ชัด วา การปลดเปลื ้อ งนิว รณนั ้น ยอ มมีใ หเ ห็น ไดตั ้ง แตเ มื ่อ ไร ฉะนั ้น ถ า ผู ใ ดประสงค จ ะย อ นกลั บ ไปฝ ก การกํ า หนดอาการอั น นี้ มาตั้ ง แต อ านาปานสติ ขั้ น ที่ ห นึ่ ง ก็ เ ป น สิ่ ง ที่ ค วรทํ า เพื่ อ เห็ น การปลดเปลื้ อ งนิ ว รณ “อย า งล ม ลุ ก คลุก คลาน” ดัง ที่ก ลา วแลว นั่น เอง ซึ่ง จะชว ยใหเ ขา ใจความหมายของคํา วา ”ทําจิตใหปลอยอยู” ไปไดตั้งแตตนทีเดียว. การทํ า จิต ใหป ลอ ยอยู ซึ ่ง นิว รณใ นขั ้น แหง สมถะ นั ้น ก็ค ือ การ กํ า จั ด นิ ว รณ ทั้ ง ห า เสี ย ได ด ว ยอํ า นาจของปฐมฌาน เรี ย กว า การปล อ ยนิ ว รณ ห า เสียไดจากจิต. สูงขึ้นมา คือการปลอยวิตก วิจาร เสียได ดวยอํานาจทุติยฌาน ; จิตจะเกลี้ยงเกลายิ่งขึ้นเพียงไร ขอใหลองคํานวณดุ. สูงขึ้นมาเปนการปลอ ย ปติเสียได ดวยอํานาจของตติยฌาน ; และการปลอยความรูสึกที่เปนสุขและ ทุกขเสียได ดวยอํานาจของจตุตถฌานในที่สุด. ผูปฏิบัติจะตองพยายามกําหนด ความที่ จิ ต ปล อ ยนิ ว รณ ห รื อ เปลื้ อ งตนเองจากนิ ว รณ ไ ด อ ย า งไร แล ว ความเกลี้ ย ง เกลาหรื อโวทาตะเกิ ดขึ้ นได อย างไร และจิ ตเปลื้ องจากองค ฌานต าง ๆ เป นลํ าดั บ ขึ้ น มาอย า งไร และจิ ต มี ค วามเกลี้ ย งเกลาตามขึ้ น ไปอย า งไร เป น การฝ ก ทํ า ซ้ํ า ๆ ซาก ๆ ให ชํ า นาญในการเปลื้ อ งและปล อ ยเหล า นี้ จนชํ า นิ ชํ า นาญเหมื อ นของเล น ก็ เ ป น อั น กล า วได ว า เป น ผู ป ระสบความสํ า เร็ จ ในการทํ า จิ ต ให ป ล อ ยอยู ใ นขั้ น ของ สมถะสําเร็จไปขั้นหนึ่ง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถัด ไปอีก ขั ้น หนึ ่ง ก็ค ือ การทํ า จิต ใหป ลอ ยจากสิ ่ง ที ่จ ิต ยึด ไวเ อง ด ว ยอํ า นาจของอุ ป าทาน. ข อ นี้ คื อ การทํ า จิ ต ให เ ปลื้ อ งปล อ ยอยู ใ นขั้ น ของ
www.buddhadasa.in.th
๓๕๒
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑๖
วิปสสนา. ขอนี้จะมีไดในณะแหงอานาปานสติที่ไดหยิบยกเอาธรรมไมวารูป หรื อ นามอย า งใดอย า งหนึ่ ง ขึ้ น มาพิ จ ารณาอยู โ ดยลั ก ษณะ คื อ โดยความไม เ ที่ ย ง เปนทุกข เปนอนัตตา เปนตน. ถาจะมีการยอนไปฝกมาตั้งแตอานาปานาสติ ขั้ น ที่ ห นึ่ ง ก็ กํ า หนดเอาลมหายใจยาวมาเป น วั ต ถุ สํ า หรั บ ดู ค วามไม เ ที่ ย ง เป น ทุ ก ข เปน อนัต ตา ของลมนั้น . อานาปานสติทุก ขั้น ในอานาปานสติจ ตุก กะที่ห นึ่ง นี้ มี ล มหายใจนั่ น เองในลั ก ษณะที่ ต า ง ๆ กั น เป น วั ต ถุ สํ า หรั บ พิ จ ารณาโดยลั ก ษณะ; อานาปานสติ ใ นจตุ ก กะที่ ส องทั้ ง หมด มี เ วทนาที่ อ ยู ใ นลั ก ษณะต า ง ๆ กั น นั่ น แหละ เปนวัตถุสําหรับการพิจารณาโดยลักษณะ ; อานาปานสติทุกขั้นในจตุกกะที่สาม มี จิ ต ซึ่ ง กํ า ลั ง เป น อยู ใ นลั ก ษณะที่ ต า ง ๆ กั น นั่ น แหละ เป น วั ต ถุ สํ า หรั บ พิ จ ารณา โดยลักษณะ. เปนอันวาในอานาปานสติทุกขั้น ลวนแตมีวัตถุอยางใดอยางหนึ่ง สํ า หรั บ ให พิ จ ารณาโดยลั ก ษณะ คื อ โดยความไม เ ที่ ย ง เป น ทุ ก ข เป น อนั ต ตา. เมื่ อ การพิ จ ารณามี อ ยู การเห็ น แจ ง โดยลั ก ษณะก็ ย อ มมี ฉะนั้ น เมื่ อ มี ก ารเห็ น ความไม เ ที่ ย งที่ ใ ด จิ ต ก็ ป ล อ ยนิ จ จสั ญ ญา คื อ ความเห็ น ว า เที่ ย งเสี ย ได เ มื่ อ นั้ น ; เมื่ อเห็ นโดยความเป นทุ กข เมื่ อใด จิ ตก็ ปล อยสุ ขสั ญญา คื อความสํ าคั ญว าสุ ขเสี ยได เมื่อนั้น ; เมื่อเห็นโดยความเปนอนัตตา จิตก็ปลอ ยอัตตสัญญา ความสําคัญ วาตนเสียได ; เมื่อจิตเบื่อหนายอยู ยอมปลอยนันทิ คือความเพลินเสียได ; เมื่อจิตคลายกําหนัดอยู ยอมปลอยราคะ คือความกําหนัดเสียได ; เมื่อจิตดับอยู คือไมมีอะไรปรุงแตง ยอมปลอยสมุทัย คือความกอเสียได ; เมื่อจิตสละคืนอยู ย อ มปล อ ยอุ ป าทาน คื อ ความถื อ มั่ น เสี ย ได มี ร ายละเอี ย ดดั ง กล า วแล ว ในคํ า อธิ บ าย สวนหนึ่งของอานาปานสติขั้นที่หา. นี้คือการทําจิตใหปลอยในขั้นของวิปสสนา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑๒ การทําจิตใหปลอย
๓๕๓
ในขั้นของสมาธิ จิตเปลื้องปลอยนิวรณและอกุศลธรรมต าง ๆ ตลอดถึงองคแหงฌาน ตาง ๆ ไดดวยอํานาจของฌานนั้น ๆ. สวนในขั้นของวิปสสนานี้จิตเปลื้องปลอย ความเห็น ผิด และกิเ ลสอัน ละเอียดตา ง ๆ ดว ยอํา นาจของปญ ญา. ทั้ง หมดนี้ คือคําตอบของคําถามที่วา จิตทําการเปลื้องปลอยโดยวิธีใด. ในที่นี้ไดยกเอา ตั ว อย า งการเปลื้ อ งปล อ ยนิ ว รณ ด ว ยสมาธิ และเปลื้ อ งปล อ ยนิ จ จสั ญ ญา เป น ต น ดวยปญญามาแสงดใหเห็นชัดวา มีอาการปลอยอยางไร. ตอไปนี้จะไดวินิจฉัย ขอที่วา จะตองปลอยอะไรบางกี่อยาง เมื่อถามวา จะตองทําจิตใหปลอย หรือใหเปลื้องจากอะไร ? โดย วงกว างท านจํ าแนกไว ว า จะต องเปลื้ องมาจากสิ่ งเหล านี้ คื อ เปลื้ องจากราคะ จาก โทสะ จากโมหะ จากตั ณ หา จากมานะ จากทิ ฏ ฐิ จากวิ จิ กิ จ ฉา จากถี น มิ ท ธะ จากอหิริกะ – บาปธรรมที่ทําจิตใหไมรูละอายบาป จากอโนตตัปปะ – บาปธรรม ที่ทําคนไมใหกลัวบาป.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อย า งไรก็ ดี พึ ง ถื อ ว า เท า ที่ ท า นนิ ย มตอบกั น อย า งนี้ ดั ง ปรากฏอยู ใ น พระคั ม ภี ร ต า ง ๆ นั้ น เป น เพี ย งตั ว อย า งเท า ที่ ย กมาพอสมควรอี ก นั่ น เอง และพึ ง สั งเกตให เห็ นว า ท านยกเอากิ เลสที่ มี อํ านาจรุ นแรงขึ้ นมากล าวก อนเป นลํ าดั บ แล ว จึ ง มาถึ ง อกุ ศ ลธรรมที่ มี ค วามรุ น แรงน อ ยกว า ลงมาตามลํ า ดั บ ซึ่ ง ผิ ด กั บ พวกเรา สมั ย นี้ ซึ่ ง ชอบกล า วถึ ง สิ่ ง เล็ ก ไปหาสิ่ ง ใหญ หรื อ สิ่ ง ที่ ไ ม สู สํ า คั ญ ขึ้ น ไปสู สิ่ ง ที่ มี ความสํา คัญ ที่สุด . การที่ทา นกลา วดัง นี้ ชะรอยเปน การมุง หรือ เตือ นใหรูสึก ในขั้ นแรกถึ งสิ่ งที่ น ากลั วที่ สุ ดก อน จะได เกิ ดความสนใจหรื อเกิ ดความพยายามมาก เพียงพอ แลวตั้งหนาตั้งตาเปลื้องปลอยสิ่งนั้นอยางเต็มที่ ; เมื่อทําอยางนั้นไมได จึงคอยลดลงมาตามลําดับ.
www.buddhadasa.in.th
๓๕๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑๖
อาจจะมีผูถามวาจะเปลื้องปลอยสิ่งเหลานี้ โดยอาศัยอะไรเปนเครื่อง มือ ? คําตอบมีงาย ๆ แมโดยสามัญสํานึก คือตอบวา โดยอาศัยกุศลธรรมที่ตรง กันขามตออกุศลธรรมเหลานั้น ดวยอุบายวิธีตาง ๆ ดังที่ไดกลาวแลวขางตน. ในขอ ที่จะเปลื้องปลอยดวยการเปลื้องปลอยมันอยางไร ? ตั้งแตราคะลงมาจนถึงทิฏฐิเปน สิ่งที่เห็นไดชัดวา ตองมีการเปลื้องปลอยดวยการการเปลื้องปลอย ในขั้นแหงวิปสสนา โดยตรง สว นอกุศ ลธรรมอัน มีชื่อ วิจิกิจ ฉา ถีน มิท ธะ อหิริก ะ อโนตตัป ปะ เหลานี้ ถ ายั งเปนขั้นที่เปนอกุศลธรรมต่ํ า ๆ ย อมเปลื้องเสี ยไดด วยการเปลื้ องปล อย ขั้นสมาธิ. ถาเปนขั้นที่เล็งถึงกิเลสอาสวะอันละเอียด ก็ตองอาศัยการเปลื้อง ปล อยแห งขั้ นวิ ป สสนาอี กอย างเดี ยวกั น ยกตั วอย างเช นอุ ทธั จจะตามปกติ หมายถึ ง นิว รณ และในที ่นี ้ก ็ห มายถึง นิว รณ แตคํ า วา อุท ธัจ จะนี ้ เปน ชื ่อ ของสัง โยชน หรื อ อนุ สั ย อย า งหนึ่ ง ในบรรดาสั ง โยชน สิ บ มั น เป น สิ่ ง ที่ ต อ งละหรื อ ตั ด ด ว ย อํานาจของปญญาหรือวิชชาโดยตรง. ถ าผู ปฏิ บั ติ มุ งหมายจะฝ กฝน การเปลื้ องจิ ตจากบาปธรรมเท าที่ จะพึ งทํ า ได ขณะแห งอานาปานสติ ขั้ นต าง ๆ ที่ ทํ าอยู ตามปกติ ก็ อาจจะได เท าที่ กล าวแล ว ในตั ว อย า งในตอนอั น ว า ด ว ยการปลดเปลื้ อ งอย า งไร ซึ่ ง ก็ นั บ ว า เป น การเพี ย งพอ เหมือนกัน. แตหากวามีความประสงคจะศึกษาและฝกฝนโดยนัยอันละเอียดยิ่งขึ้น ไปด วยการจํ าแนกการปลดเปลื้ องเป นรายอย าง แต ละอย าง โดยรายชื่ อ ดั งที่ กล าว แล ว นี้ ก็ จํ า เป น จะต อ งศึ ก ษาเกี่ ย วกั บ กุ ศ ลธรรม ที่ เ ป น ข า ศึ ก โดยตรงของอกุ ศ ล ธรรมเหลานี้เรียงอยางไปตามสมควร คือ :-
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑๒ การทําจิตใหปลอย
๓๕๕
ยอมตองทําในใจถึงสิ่งตรงกันขาม คือ เมื่อจะปลดเปลื้องเสียซึ่งราคะ๑ สามารถระงับราคะนั้นได เชนกายคตาสติซึ่งรวมอสุภสัญญาอยูดวย. กายคตาสติ โดยตรง ได แก การพิ จารณากายแยกออกเป นส วน ๆ โดยเฉพาะเป นธาตุ และพิ จารณา แตละสวนโดยความเปนของปฏิกูล. สวนอสุภสัญญานั้นเพงความไมงามโดยเฉพาะ ของซากศพ เพื่อใหเห็นวารางกายนี้มีความเปนอยางนี้รวมอยูดวย. เมื่อเห็นความ ปฏิ กู ลของร างกายที่ มี ชี วิ ต และร างกายที่ ไม มี ชี วิ ตอยู ดั งนี้ ย อมระงั บความกํ าหนั ด ในสิ่ ง อั น เป น ที่ ตั้ ง ของความกํ า หนั ด เสี ย ได ทั้ ง โดยส ว นย อ ย เช น ความสวยงาม เปนสวน ๆ และทั้งโดยสวนรวม คือความสวยงามทั้งหมด : อันนี้เปนสิ่งสําหรับ เปลื้อ งจิต จากราคะโดยตรง หรือ เปน การตอ สูโ ดยตรง. ที่เ ปน โดยออ มหรือ ทั่ ว ไป ก็ คื อ การทํ า จิ ต ให เ ป น สมาธิ โดยวิ ธี แ ห ง อานาปานสติ เป น ต น ซึ่ ง เมื่ อ จิ ต เปน สมาธิแ ลว ราคะหรือ อื ่น ๆ ยอ มระงับ ไปในตัว ดัง ที ่ก ลา วแลว ขา งตน ซึ ่ง จะ ไมตองกลาวอีกตอไป ; เพีย งแตส รุปเปนหลักไววา เมื่อ จิตเปนสมาธิดว ย อํานาจของอานาปานสติ แล ว ก็ เป นอั นปลดเปลื้ องอกุ ศลธรรมเหล านี้ ทุ กอย าง ดั งนี้ ก็พอ. สําหรับการปฏิบัติที่เปนการตอสูโดยตรง ผูปฏิบัติจะตองนอมจิตไป พิจารณาให เห็ นความเป นธาตุ หรื อความเป นปฏิ กู ลให ชั ดแจ งเสี ยก อน แลวนํ า มา ทําในใจอยูทุกลมหายใจเขา – ออก ก็เปนการปลดเปลื้องราคะนั้นดวยอานาปานสติ นี้ดวยเหมือนกัน. ถายิ่งไปกวานี้ หรือผิดไปจากนี้ ก็ตองเปนการทํากายคตาสติ หรื ออสุ ภสั ญญาโดยตรง ซึ่ งเป นเรื่ องหนึ่ งอี กต างหากไม เกี่ ยวกั บอานาปานสติ ในที่ นี้ และมีคําอธิบายอยูในเรื่องนั้น ๆ แลว.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๑
การบรรยายครั้งที่ ๓๙/๓ พฤศจิกายน ๒๕๐๒
www.buddhadasa.in.th
๓๕๖
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑๖
การปลดเปลื้อ งจิต จากโทสะโดยตรง เล็ง ถึง การเจริญ เมตตาคือ ทํ า ในใจถึง สัต วทั ้ง ปวง ในฐานะที ่เ ปน เพื ่อ นทุก ขด ว ยกัน ไมว า จะเปน สัต ว มนุษยหรือสัตวเดรัจฉาน ก็ระงับความโกรธหรือใหอภัยไดเปนตน. อีกทางหนึ่ง พิ จ ารณาถึ ง ความที่ สั ต ว ทั้ ง หลายล ว นแต ต กอยู ใ ต อํ า นาจของกิ เ ลสด ว ยกั น หรื อ ตกอยู ใต อํ านาจความไม เที่ ยง ซึ่ งล วนแต ไม สามารถบั งคั บได ด วยกั นทุ กคน จึ งเกิ ด ความเห็นใจกัน ระงับความโกรธหรือความประทุษรายเสียได. ยังมีวิธีเบ็ดเตล็ด นอกออกไปอีก เชน การพิจ ารณาถึง ความที ่ท ุก คนรัก สุข เกลีย ดทุก ขด ว ยกัน ตกอยู ใ ต อํ า นาจเวรกรรมด ว ยกั น ไม ป ระสงค จ ะสร า งเวรสร า งกรรมแก กั น ต อ ไปอี ก ดัง นี ้เ ปน ตน ก็ส ามารถปลดเปลื ้อ งจากโทสะได ถา ทํ า ในใจอยู เ ชน นั ้น อยู ท ุก ลมหายใจเขา – ออก. โมหะ ปลดเปลื้ อ งไปได ด ว ยความรู แ จ ง ที่ เ กิ ด มาจากการพิ จ ารณา ในสิ ่ง ที ่ต นกํ า ลัง หลงผิด อยู โดยสว นใหญห ลงสํ า คัญ ผิด แสวงหาความสุข ใน สิ่ ง ที่ เ ป น ทุ ก ข หรื อ จากสิ่ ง ที่ เ ป น ทุ ก ข การกระทํ า ต า ง ๆ ก็ ผิ ด กลั บ ตรงกั น ข า ม หมดทุกอยาง. เขาจะตองเห็นความทุกขโดยความเปนทุกขในทุก ๆ สิ่ง อันเปน ที่ตั้งของความทุกขซึ่งไดแกสังขารทั้งปวง ; แลวจะตองพิจารณาใหเห็นมูลเหตุ อันเปนที่เกิดของความทุกข ; ใหเห็นความดับสนิทของความทุกข เพราะมูลเหตุ นั้นดับไป ; และพิจารณาใหเห็นหนทางปฏิบัติ เพื่อดับมูลเหตุของความทุกข เสีย ไดโ ดยสิ้น เชิง ในที่สุด . เมื่อ เปน ดัง นี้ โมหะก็มิไ ดเ หลือ ยูเ ลย ถา บุค คลทํา ในใจถึงความเขาใจถูกดังนี้ทุกลมหายใจเขา – ออก ก็เปนอันปลดเปลื้องจิตจาก โมหะอยูทุกลมหายใจเขา – ออก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org มานะ ปลดเปลื้องไปได ดวยการทําในใจถึงอนัตตสัญญา คือการ พิ จ ารณาเห็ น ความไม มี ตั ว ตน ไม มี เ รามี เ ขาที่ แ ท จ ริ ง มี แ ต ตั ว ตนเราเขาที่ เ กิ ด มา จากความโง เ ขลา ความหลง หรื อ อวิ ช ชาเท า นั้ น ซึ่ ง เป น ตั ว ตนเราเขาของมายา
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑๒ การทําจิตใหปลอย
๓๕๗
เกิ ดความรู แจ งหรื อความละอายในการที่ จะถื อตนทํ านองนั้ นอี กต อไป จึ งหมดความ ถื อ ตั ว ว า มี อ ยู หรื อ ตั ว ดี ก ว า เขา ตั ว เสมอกั น กั บ เขา ตั ว เลวกว า เขาไปได โ ดยสิ้ น เชิ ง ไมมีมานะ คือความถือตัว ซึ่งที่แทเปนเพียงมายาอีกตอไป. ถามองเห็นมายา แหงความมีตัวตนอยูทุกลมหายใจเขา – ออก ก็ชื่อวาเปลื้องจิตจากมานะอยูทุกลม หายใจเขา – ออก. ทิฏฐิ หมายถึงมิจฉาทิฏฐิ ยอมระงับไปไดเพราะสัมมาทิฏฐิ. มิจฉาทิฏฐิ ว า สิ่ ง ทั้ ง ปวงเที่ ย ง ระงั บ ได ด ว ยความเห็ น ถู ก ว า สิ่ ง ทั้ ง ปวงเปลี่ ย นแปลงอยู เ ป น นิ จ เพราะมั น ตั้ ง อยู บ นเหตุ ป จ จั ย ที่ เ ปลี่ ย นแปลง จะมี เ ที่ ย งก็ เ พี ย งสิ่ ง เดี ย ว คื อ สิ่ ง ที่ ไ ม มี ปจจัยเทานั้น. มิจฉาทิฏฐิที่วาสิ่งทั้งปวงจะยังคงมีตัวอยูเสมอไมมีการสูญก็ดี หรือ ถึ ง กั บ ว า เป น ตั ว เดี ย วกั น เรื่ อ ยไปก็ ดี หรื อ มิ จ ฉาทิ ฏ ฐิ ว า สิ่ ง ทั้ ง หลายทั้ ง ปวงดั บ สู ญ อยูเนืองนิจก็ดี เหลานี้จะระงับไปไดดวยความเห็นถูกวา สิ่งตาง ๆ เหลานั้นมีเหตุ มี ป จ จั ย และเป น ไปตามเหตุ ต ามป จ จั ย เกิ ด ขึ้ น เพราะเหตุ ป จ จั ย ตั้ ง อยู เ พราะเหตุ ป จ จั ย ดั บ ไปเพราะเหตุ ป จ จั ย ไม ค วรกล า วว า เที่ ย งแท ห รื อ ขาดสู ญ โดยส ว นเดี ย ว. สํ า หรั บ มิ จ ฉาทิ ฏ ฐิ ที่ เ ตลิ ด ไปถึ ง ความไม มี อ ะไรเสี ย เลย ไม มี ผู ทํ า กรรม ไม มี ผู รั บ ผล ของกรรม ทํ า อะไรลงไปดี ห รื อ ชั่ ว ก็ ต าม ไม ชื่ อ ว า เป น อั น ทํ า นั้ น ระงั บ เสี ย ได ด ว ย ความเข าใจถู กต องเกี่ ยวกั บเรื่ องอั ตตา อนั ตตา ซึ่ งมี ใจความสํ าคั ญว าสั งขารทั้ งปวง เป น อนั ต ตาก็ จ ริ ง ถ า ทํ า อะไรลงไปด ว ยเจตนา ผลย อ มเกิ ด ขึ้ น แก สั ง ขารเหล า นั้ น โดยสมควรแก ก ารกระทํ า เสมอไป ทั้ ง ที่ ก ารกระทํ า ก็ เ ป น อนั ต ตา ผลของการกระทํ า ก็ เ ป น อนั ต ตา ความทุ ก ข ก็ เ ป น อนั ต ตา อะไร ๆ ก็ เ ป น อนั ต ตา แต มั น ก็ มี อ ยู ไ ด หรือ เปน ทุก ขไ ดทั ้ง ที ่เ ปน อนัต ตา มัน จึง เปน สิ ่ง ที ่ไ มค วรทํ า ในทางที ่เ ปน ทุก ข. และเราสมมติ บั ญ ญั ติ ว า มี ค น มี สั ต ว มี ผู ทํ า ก็ เ พื่ อ ให รู จั ก กลั ว ความทุ ก ข และ หลีกเลี่ยงความทุกข ไมใชเพื่อใหยึดถือ. สวนที่เราเพิกถอน สมมติบัญญัติ
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๓๕๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑๖
ไมใ หม ีอ ัต ตา ไมใ หม ีส ัต วบ ุค คลนั ่น นี ่ นั ้น ก็เ พีย งจะใหรู ค วามจริง เรื ่อ งอนัต ตา เพื่ อ ให ห มดความยึ ด ถื อ จะได ไ ม มี กิ เ ลสที่ เ ป น เหตุ ใ ห ทํ า กรรมอี ก ต อ ไป หาใช ใ ห เป นช องให เกิ ดการกระทํ าตามชอบใจตั ว แล วอ างว าไม มี ตั วตน ไม มี บุ ญ ไม มี บาป ดังนี้เปนตนก็หาไม. ส ว นมิ จ ฉาทิ ฏ ฐิ เ กี่ ย วกั บ เหตุ ผ ลนั้ น ระงั บ ไปได ด ว ยความอยู ใ นอํ า นาจ ของเหตุผล และการใช เหตุ ผลอยางถูกต อง เช น มิ จฉาทิ ฏฐิ ที่ วาสิ่งทั้ งปวงไม มีเหตุ ก็ ต อ งพิ จ ารณาจนเห็ น ว า มั น ต อ งมี เ หตุ ถ า ไม มี เ หตุ มั น จะเกิ ด ขึ้ น หรื อ เปลี่ ย นแปลง เคลื่อนไหวไปไดอยางไร. สวนมิจฉาทิฏฐิที่วาเหตุอยูขางนอก เชน ผีสางเทวดา เป น ต น นั้ น จะต อ งพิ จ ารณาจนเห็ น ถู ก ว า นั่ น ไม สํ า คั ญ เท า เหตุ ภ ายใน คื อ กรรม หรื อการกระทํ าของตั วเอง ซึ่ งมี มู ลเหตุ มาจากกิ เลสตั ณหา อั นมี อวิ ชชาเป นประธาน อีกตอหนึ่ง. แมหากภูตผีปศาจมีจริงและมีอํานาจรายกายเพียงไร นั่นก็ยังพายแพ แกเหตุภายใน (อวิชชาเปนประธานอีกตอหนึ่ง) คือกรรมและกิเลสของมันเอง อีกเชนเดียวกัน. ฉะนั้น จึงตองถือวาสิ่งทั้งปวงมีเหตุมีปจจัยหรือมีเหตุผล. เหตุ ปจจัยที่แทจริงคือกรรมและกิเลส. หมดเหตุหมดปจจัยแหงความทุกขจึงจะหมด ทุกข ภูตผีปศาจเปนตน ชวยทําใหไมไดเลย. การปลอยไปตามบุญตามกรรม ไมควรทํา เพราะไมนํามาซึ่งประโยชน ; ควรที่จะตองควบคุมกรรมใหเปนไป แตในทางที่ควร จนกระทั่งเลิกลางไดหมด คืออยูเหนือบุญเหนือบาป. ทั้งหมดนี้ สํ าเร็ จมาจากความมี เหตุ ผล และปฏิ บั ติ ถู กในการใช เหตุ ผล กระทํ าถู กต อเหตุ และ ปจจัยเหลานั้นเทานั้น. สรุปความวา การมีความเขาใจถูกตองอยูดังนี้ทุกลมหายใจ เขา – ออก ชื่วาเปลื้องจิตเสียจากมิจฉาทิฏฐิอยูทุกลมหายใจเขา – ออก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ต อ ไปนี้ เป น อกุ ศ ลธรรมประเภทที่ มี กํ า ลั ง เพลาลงไป และชื่ อ เดี ย ว มีความหมาย ๒ อยางก็มี กลาวคือ :-
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑๒ การทําจิตใหปลอย
๓๕๙
วิ จิ กิ จ ฉา ถ า เป น ชื่ อ ของนิ ว รณ เป น อกุ ศ ลธรรมชนิ ด ที่ ร ะงั บ ได ด ว ย อํานาจของฌาน ; ถาเปนชื่อของกิเลสประเภทอนุสัย ระงับไปไดดวยอํานาจ ข อ ง ค ว า ม รู ยิ ่ง เ ห็น จ ริง วา อ ะ ไ ร เ ปน อ ะ ไ ร แ ตทั ้ง ห ม ด นี ้ ค ว ร จ ะ เ ปน ไ ป เฉพาะในวงที ่ค วรรู คือ เรื ่อ งดับ ทุก ขเ สีย ใหไ ดโ ดยตรง หรือ กลา วอีก อยา งหนึ ่ง ก็คือ ดับ กิเ ลสเสีย ใหไ ด. ถา ยัง ลัง เลในในสว นใดของเรื่อ งนี้ ก็รีบ พิจ ารณา ในสวนนั้น ใหเชื่อ ดวยอํานาจแหงเหตุผ ลไดในที่สุด , ไมลัง เลในสวนใดของ เรื่องนี้. ไมลังเลในการตรัสรูของพระพุทธเจา ก็เพราะพิจารณาจนเห็นไดดวย ตนเองวา ถา ปฏิบ ัต ิต ามคํ า สอนของพระองคแ ลว ยอ มดับ ทุก ขไ ดจ ริง หาใช เชื่อเพราะตื่นขาวลือ หรือเชื่อเพราะทุกคนเขาเชื่อ กันมาก ก็หาไม. ไมลังเล ต อ พระธรรม โดยเฉพาะอย า งยิ่ ง คื อ การปฏิ บั ติ เ พื่ อ บรรลุ ถึ ง นิ พ พาน ก็ เ พราะ พิ จ ารณาเห็ น ชั ด ด ว ยตั ว เองว า ปฏิ บั ติ ต ามนั้ น แล ว ย อ มดั บ กิ เ ลส ดั บ ทุ ก ข ไ ด จ ริ ง . ไม ลั ง เลต อ พระสงฆ ก็ เ พราะเห็ น อยู ว า การปฏิ บั ติ อ ย า งท า นนั้ น ย อ มดั บ ทุ ก ข ไ ด จ ริ ง อยางเดียวกัน. ไมลังเลตอการละกิเลส ก็เพราะเห็นชัดวาเปนสิ่งที่ดับทุกขไดจริง เพียงสิ่งเดียวเทานั้น สิ่งอื่นไมมีเลยจริง ๆ. ไมลังเลตอกฎของกรรม ก็เพราะ พิจารณาจนเห็ นชัดแจ งว า ในฝายโลกิ ยะนี้ ทําดีก็ ดีจริง ทํ าชั่ วก็ ชั่วจริ ง เพราะเป น เรื่องของการบัญญัติอยูที่การกระทํานั้น ๆ; แตสวนที่เปนโลกุตตระนั้นตองเลิกทํา กรรมเสีย ทั ้ง สองยา ง คือ ทั ้ง ดี ทั ้ง ชั ่ว เพราะมัน นํ า ไปสู ค วามเวีย นวา ยอยู ใ น วัฏฏสงสารโดยเทากันทั้งสองอยาง ; จะนิพพานหรือดับทุกขสิ้นเชิง ก็ตอเมื่อพน จากอํานาจของกรรมดี กรรมชั่ว โดยประการทั้งปวงแลวเทานั้น. เมื่อมีความเห็น อยางแจมแจง ดังที่กลาวมานี้ทั้งหมด ก็ชื่อวาปลดเปลื้องจิตจากวิจิกิจฉาได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถีน มิท ธะ ที ่เ ปน ชื ่อ ของนิว รณ ระงับ ไดด ว ยอํ า นาจขององคฌ าน ที่มีปฏิกิริยาโดยตรงตอกัน เชนวิจารและปติเปนตน. คํานี้ไมเคยเปนชื่อของ กิเลสประเภทอนุสัย. ถามีก็เปนอยางเดียวกับโมหะ ยอมระงับไปไดอยางเดียว
www.buddhadasa.in.th
๓๖๐
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑๖
กับวิธีระงับโมหะ. ชะรอยกิเลสชื่อนี้มีอาการอยางนี้ แลวมีคําวาโมหะใชแทน อยูแลว จึงไมมีการบัญญัติชื่อ ๆ นี้ ใหเปนชื่อของอนุสัย หรือกิเลสชั้นละเอียดอีก ชื่อหนึ่ง ซึ่งจะเปนการซ้ํากันโดยไมเกิดประโยชนอยางใด. อุท ธัจ จะ คือ ความฟุ ง ซา น ที ่เ ปน ชื ่อ ของนิว รณ ระงับ ไดด ว ย องคฌ านที่มีป ฏิกิริย าตอ มัน โดยตรงคือ วิจ ารและสุข . สว นอุท ธัจ จะที่เ ปน ชื่ อ ของอนุ สั ย นั้ น หมายถึ ง ความกระเพื่ อ มแห ง จิ ต ในเมื่ อ มี ค วามรู สึ ก ต อ อารมณ ด ว ยอํ า นาจโมหะ ทํ า ให ส นใจหรื อ สงสั ย อยากรู อยากเข า ใจ ในสิ่ ง ที่ ยั่ ว ความรู หรือความสนใจ หรือยั่วความคิดนึกตาง ๆ. สิ่งนี้ระงับไดดวยอํานาจของปญญา ชนิดที่เปนอริยมรรคขั้นสูงสุด ที่สามารถตั ดความอยากรู อยากสนใจ อยางสงสั ย อยากคิด อยากนึก อยากวิตกหวาดกลัว เปนตน เสียไดหมดทุกอยาง. ฉะนั้น ถาหากวาญาณในอนัตตาหรือสุญญตาปรากฏแจมแจงอยูในใจ อุทธัจจะโดยทํานองนี้ ก็มีขึ้นไมได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อหิ ริ ก ะ ความรู สึ ก ที่ ทํ า ให ไ ม รู จั ก ละอายบาป ระงั บ ไปเพราะการ พิจารณาเห็นบาปเปน สิ่งเศราหมองต่ําทราม และทําใหมนุ ษยไ มอ ยู ในสภาพของ ความเป น มนุ ษ ย ก็ เ กิ ด ละอายหรื อ ความขยะแขยงเกลี ย ดชั ง ต อ บาปนั้ น ขึ้ น มาได เหมือนคนรักความสะอาดอยางโลก ๆ เกลียดของสกปรกตาง ๆ ; หรือความสะอาด อย า งธรรมก็ ป ลดเปลื้ อ งความไม ล ะอายต อ บาปหรื อ ความไม ส ะอาดอยู ไ ด ทุ ก ลม หายใจเขา – ออก เชนเดียวกัน. อโนตตัปปะ ความไมกลัวบาป ระงับไดเพราะการพิจารณาเห็นโทษ อัน นา กลัว ของบาป ว ามั น นากลั ว ยิ่ง กวา สิ่ง ที่ ตนกํ าลั ง กลั วอยู เป น อย างมาก เช น กลัวเสือ กลัวผี เปนตน จึงกลัวบาปและเวนจากบาปโดยสิ้นเชิง โดยทํานองเดียว กับบุคคลที่รักชีวิตไมอยากจะตาย ยอมกลัวและหลีกจากอันตรายที่จะทําใหตนตาย
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑๒ การทําจิตใหปลอย
๓๖๑
อยางหางไกลทีเดียว. เพื่อเปรียบเทียบใหเห็นความแตกตางระหวางหิริโอตตัปปะ ไดโ ดยงา ย ควรพิจ ารณาดูที ่ค วามเกลีย ดหรือ กลัว สัต วส กปรก เชน กิ ้ง กือ หรือ ตุ ก แก กั บ ความกลั ว ต อ เสื อ หรื อ ราชสี ห เ ป น ต น ว า มั น ต า งกั น อย า งไร แล ว ก็ จ ะ เขาใจคําวาเกลียดบาปและคําวากลัวบาปไดอยางเพียงพอ. เท าที่ กล าวมานี้ เป นการระบุ ถึ งสิ่ งที่ เป นปฏิ ป กษ โดยตรงต อ กุ ศลธรรม เหล า นั้ น ซึ่ ง อาจใช เ ป น เครื่ อ งเปลื้ อ งจิ ต จากอกุ ศ ลธรรมเหล า นั้ น ได โ ดยตรงอี ก อยางเดียวกัน. เมื่อลําพังการกําหนดลมหายใจอยางเดียว หรืออํานาจสมาธิ อย า งเดี ย วก็ ต าม ไม ส ามารถระงั บ อกุ ศ ลธรรมเหล า นี้ ก็ ต อ งอาศั ย ธรรมอั น เป น ขาศึกตออกุศลธรรมเหลานั้น โดยเฉพาะอยาง ๆ มาเปนเครื่องระงับมัน ; แลว กํ า หนดความที่ ต นสามารถปลดเปลื้ อ งอกุ ศ ลธรรมอย า งนั้ น ออกไปจากจิ ต ได อยางไร อยูทุกลมหายใจเขา – ออก ก็จักไดชื่อวาเปนการเจริญอานาปานสติขอนี้ อยูตลอดเวลา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เมื่ อ ทํ า อยู ดั ง นี้ วิ ญ ญาณจิ ต หรื อ จิ ต ที่ เ ป น ความรู ก็ มี อ ยู ญาณก็ มี อ ยู สติ กํ าหนดจิ ตหรื อ ญาณนั้ น ว าปลดเปลื้ องแล ว จากอกุ ศ ลธรรมมี ประการต า ง ๆ นั้ น ได อ ย า งไรก็ มี อ ยู สติ อั น กลายเป น อนุ ป ส สนาญาณตามความจริ ง ว า อกุ ศ ลธรรม ที ่หุ ม หอ จิต นั ้น ก็ด ี จิต ที ่ถ ูก หุ ม หอ ก็ด ี จิต ที ่ป ลดเปลื ้อ งแลว ก็ด ี ลว นแตเ ปน สัง ขารธรรม ที ่ม ีค วามไมเ ที ่ย ง เปน ทุก ข เปน อนัต ตา ดว ยกัน ทั ้ง นั ้น ยอ ม นํ า มาซึ่ ง ความเบื่ อ หน า ยคลายกํ า หนั ด ความไม ก อ กิ เ ลสและความสละคื น ซึ่ ง สังขารธรรมเหลานั้นอยูตามลําดับ. เมื่อทําอยูอยางนี้ยอมชื่อวาเปนการเจริญ จิต ตานุป ส สนาสติป ฏ ฐานภาวนา อัน เปน อานาปานสติข อ สุด ทา ยของจตุก กะ ที่ ส ามแห ง อานาปานสติ ทั้ ง หมด. เมื่ อ ภาวนานั้ น สมบู ร ณ อ ยู ด ว ยอรรถทั้ ง ๔ ของ
www.buddhadasa.in.th
๓๖๒
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑๖
ภาวนาดัง ที ่ก ลา วแลว ขา งตน ก็ย อ มเปน ภาวนาที ่ส โมธานมาไดใ นขณะนั ้น ซึ่งธรรมทั้งปวง ๒๙ ประการ ดังที่กลาวแลวโดยละเอียดในอานาปานสติขั้นที่หา ขางตน. วินิจฉัยในอานาปานสติขั้นที่สิบสองยุติลงเพียงเทานี้. สิ่ ง ที่ ค วรสนใจเป น พิ เ ศษอี ก อย า งหนึ่ ง ก็ คื อ ในจตุ ก กะที่ ส ามนี้ มี ก าร กํ า หนดจิต ที ่เ รีย กวา จิต ตานุป ส สนาโดยเทา กัน หรือ เสมอกัน ทุก ขั ้น แตอ าการ ที่กําหนดพิจารณานั้นตางกัน คือ ขั้นที่หนึ่งกําหนดจิตวามีลักษณะอยางไรในขณะ แหงอานาปานสติขั้นตาง ๆ ตั้งแตเริ่มทําอานาปานสติจนถึงการทําอานาปานสติขั้นนี้. ขั้ น ที่ ส องกํ า หนดจิ ต ที่ ถู ก ทํ า ให บั น เทิ ง อยู ใ นธรรม หรื อ มี ค วามบั น เทิ ง อยู ใ นธรรม โดยลักษณะที่สูงต่ําอยางไรขึ้นมาตามลําดับ. ขั้นที่สามกําหนดจิตที่ถูกทําใหตั้งมั่น และมี ค วามตั้ง มั่ นอยู อย า งไรตามลํา ดั บ นับ ตั้ ง แต ต่ํา ที่ สุด ถึ งสู ง ที่สุ ด อยา งหยาบ ที่สุดถึงอยางละเอียดที่สุด. และขั้นที่สี่ กําหนดจิตที่ถูกทําใหปลอย และมีความ ปลอยอยูซึ่งกุศลธรรมตาง ๆ ซึ่งทั้งหมดนี้เปนไปทุกขณะแหงลมหายใจเขา – ออก จนเปนสติปฏฐานภาวนาชนิดที่สามารถประมวลมาไดซึ่งคุณธรรมตาง ๆ โดยทํานอง เดียวกันและเสมอกัน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อานาปานสติ จตุกกะที่ ๓ จบ
www.buddhadasa.in.th
จตุกกะที่ ๔ - ธัมมานุปสสนาสติปฏฐาน๑ (ตั้งแตการเห็นอนิจจังโดยประจักษ จนถึง การเห็นความสลัดคืนสังขารออกไป)
บัดนี้มาถึงการปฏิบัติในอานาปานสติ จตุกกะที่สี่ ซึ่งกลาวถึงอานาปานสติ อีก ๔ ขั้น เปนลําดับไปคือ :ขั้นที่ ๑๓ การตามเห็น ความไมเที่ยง อยูเปนประจํา หายใจเขา – ออก ๑, ขั้นที่ ๑๔ การตามเห็น ความจางคลาย อยูเปนประจํา หายใจเขา – ออก ๑, ขั้นที่ ๑๕ การตามเห็น ความดับไมเหลือ อยูเปนประจํา หายใจเขา – ออก ๑, ขั้นที่ ๑๖ การตามเห็น ความสลัดคืน อยูเปนประจํา หายใจเขา – ออก ๑, รวมเปน ๔ ขั้นดวยกัน ดังนี้. ทั้ง ๔ ขั้นนี้ จัดเปนหมวดแหงการเจริญ ภาวนา ที ่พ ิจ ารณาธรรม คือ ความจริง ที ่ป รากฏออกมา เปน อารมณสํ า หรับ การศึ กษา แทนที่ จะกํ าหนดพิ จารณากายคื อลมหายใจ เวทนาคื อป ติ และสุ ข และ พิจารณาจิตในลักษณะตาง ๆ กัน ดังที่กลาวแลวในจตุกกะที่หนึ่ง สอง และสาม.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ในจตุ กกะที่ สี่ นี้ มี สิ่ งที่ จะต องสนใจเป นสิ่ งแรก คื อท านได กล าวถึ งธรรม ๔ อยาง คือ อนิจจัง วิราคะ นิโรธะ และปฏินิสสัคคะ ซึ่งเห็นไดวา ไมมี
๑
การบรรยายครั้งที่ ๔๐/๔ พฤศจิกายน ๒๕๐๒
๓๖๓
www.buddhadasa.in.th
๓๖๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑๗
การกล า วถึ ง ทุ ก ขั ง และอนั ต ตา ผู ที่ เ ป น นั ก คิ ด ย อ มสะดุ ด ตาในข อ นี้ และมี ความฉงนวาเรื่องทุกขและเรื่องอนัตตา ไมมีความสําคัญหรือยางไร. เกี่ยวกับ ข อ นี้ พึ ง เข า ใจว า เรื่ อ งความทุ ก ข แ ละความเป น อนั ต ตานั้ น มี ค วามสํ า คั ญ เต็ ม ที่ หากแต ในที่นี้ ท านกลาวรวมกันไว กั บเรื่ องอนิ จจัง เพราะความจริ งมีอยู วา ถ าเห็ น ความไม เ ที่ ย งถึ ง ที่ สุ ด แล ว ย อ มเห็ น ความเป น ทุ ก ข อ ยู ใ นตั ว ถ า เห็ น ความไม เ ที่ ย ง และความเป น ทุ ก ข จ ริ ง ๆ แล ว ย อ มเห็ น ความเป น อนั ต ตา คื อ ไม น า ยึ ด ถื อ ว า เป น ตัวตน หรือตัวตนของเราอยูในตัว. เหมือนอยางวาเมื่อเราเห็นน้ําไหล เราก็ยอม จะเห็ นความที่ มั นพั ดพาสิ่ งต าง ๆ ไปด วย หรื อเห็ นความที่ มั นไม เชื่ อฟ งใคร เอาแต จะไหลทาเดียว ดังนี้เปนตนดวย ; นี้ยอมแสดงใหเห็นวา มันเปนเรื่องที่เนื่องกัน อยางที่ไมแยกออกจากกัน. โดยใจความก็คือ เมื่อเห็นอยางใดอยางหนึ่งถึงที่สุด จริง ๆ แลว ยอมเห็นอีก ๒ อยางพรอมกันไปในตัว ดังนี้ ; เพราะเหตุนี้เอง พระพุ ท ธองค จึ ง ได ก ล า วถึ ง แต อ นิ จ จั ง และข า มไปกล า วิ ร าคะ และนิ โ รธะเป น ลําดั บไป โดยไม กลาวถึ งทุ กขังและอนั ตตา ในลั กษณะที่ แยกให เด นออกมาเป น อยางหนึ่ง ๆ ตางหาก. ในบาลีแหงอื่นมีพระพุทธภาษิตตรัสวา “ดูกอนเมธียะ, อนัตตสัญญา ยอมปรากฏแกบุคคลผูมีอนิจจสัญญา, ผูมีอนัตตสัญญายอมถึง ซึ่งการถอนเสียไดซึ่งอัสมิมานะ ประสบนิพพานอยูในทิฏฐธรรม” ดังนี้. ขอนี้ ย อมแสดงอยู แล วว า พระผู มี พระภาคเจ าทรงถื อว า เมื่ อมี อนิ จจสั ญญาก็ เป นอั นว า มี อ นั ต ตสั ญ ญา และเป น อั น ว า ละอั ส มิ ม านะเสี ย ได และลุ ถึ ง นิ พ พานอยู ใ นตั ว . กลา วใหสั้น ที่สุด ก็คือ ผูมีอ นิจ จสัญ ญา ยอ มลุถึง นิพ พานไดนั่น เอง. แตพึง เขาใจวาการเห็นอนิจจังในที่นี้ ไมใชเห็นอยางครึ่ง ๆ กลาง ๆ อยางที่มีกลาวอยูใน บาลีบางแหงวา. ลัทธิอื่นภายนอกพุทธศาสนาก็มีการเห็นอนิจจังอยางพิศดาร เชน ลัทธิ ของศาสดาชื่ อดารกะเป นต น การเห็นอนิ จจั งทํ านองนั้ น แม จะพิ ศดารอย างไร ก็มิใชเปนการเห็นอนิจจังดังกลาวถึงในที่นี้ คงยังเปนอนิจจังภายนอกพุทธศาสนา
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑๓ การเห็นความไมเที่ยง
๓๖๕
อยูนั่นเอง. ฉะนั้น เปนอันวา การเห็นอนิจจังแหงอานาปานสติขั้นที่สิบสามนี้ มีค วามหมายเฉพาะของมัน เอง ไมเ หมือ นกับ ใครในที่อื่น ๆ; กลา วคือ ในที่นี้ เห็นลึกไปถึงทุกขังและอนัตตาพรอมกันไปดวยในตัว. ถึงเขาใจไววายังมีการ เห็ น อนิ จ จั ง ที่ มี ค วามหมายทํ า นองนี้ ใ นบาลี อื่ น ๆ อี ก มากแห ง แม ว า โดยทั่ ว ไป คํา ๆ นี้จะหมายถึงการเห็นอนิจจังอยางเดียวก็ตาม, พึงถือเปนหลักวา ถาในที่ใด มีก ารแยกกลา วไวเ ปน ๓ อยา ง ในที ่นั ้น การเห็น อนิจ จัง ก็ก ิน ความแคบ คือเห็นอนิจจังอยางเดียวจริง ๆ ; แตถาในที่ใดมีการกลาวถึงแตอนิจจังอยางเดียว พึงทราบวาในที่นี้ พระพุทธองคทรงรวมทุกขังและอนัตตาเขาไวดวย; พระองค ทรงมีห ลัก ในการตรัส เรื ่อ งอยา งนี ้ ดัง เชน ในอานาปานสติขั ้น ที ่ส ิบ สามนี ้ เปน ตัวอยาง. อานาปานสติ จตุกกะที่สี่นี้ โดยใจความ เปนวิปสสนาหรือเปนปญญา ลวน ไมเหมือนกับทุกขอที่แลวมา ซึ่งเปนสมถะบาง เปนสมถะเจือกันกับวิปสสนา บาง. เพราะฉะนั้น การปฏิบัติอานาปานสติแหงจตุกกะนี้ จึงมีการกําหนดธรรม มี ความไม เที่ ยงเป นต น ทํ าให ได นามว าเป นหมวดธั มมานุ ป สสนาสติ ป ฏฐาน ดั งจะ ไดวินิจฉัยเปนขอ ๆ ตามลําดับไป.
www.buddhadasa.in.th ตอน สิบเจ็ด www.buddhadasa.org อานาปานสติ ขั้นที่ สิบสาม (การตามเห็นความไมเที่ยงอยูเปนประจํา)
อานาปานสติ ขั้ น ที่ สิ บ สาม หรื อ ข อ ที่ ห นึ่ ง แห ง จตุ ก กะที่ สี่ นี้ มี หั ว ข อ ว า “ภิกษุนั้น ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูตามเห็นซึ่งความไมเที่ยงอยูเปนประจํา (อนิจจา-
www.buddhadasa.in.th
๓๖๖
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑๗
นุปสสี) จักหายใจเขา ดังนี้ ; ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูตามเห็นซึ่งความไมเที่ยง อยูเปนประจํา จักหายใจออก ดังนี้”.๑ คําวา “ยอมทําในบทศึกษา” ในขอนี้ พึงวินิจฉัยวาเมื่อเห็นความ ไมเที่ ยงอยู ดังนั้ น ยอมไมมี โอกาสแตงเจตนาที่จะทุศี ล คือทํ าให ผิดศี ลขอใดข อหนึ่ ง ไมได จึงเปนสีลสิกขาอยูในตัว. และเมื่อเพงพิจารณาอยูดังนั้น ยอมมีสมาธิ ชนิ ด ที่ แ นบเนื่ อ งกั น อยู กั บ ป ญ ญา เท า เที ย มกั น กั บ กํ า ลั ง ของป ญ ญา จิ ต ตสิ ก ขา จึงมีอยูในตัวเชนเดียวกัน. การเพงอนิจจลักษณะ เปนปญญาสิกขาอยูแลว; จึงเปนอันวาเธอนั้นเปนผูสมบูรณแลวดวยไตรสิกขาในขณะนั้น. คําวา “ผูตามเห็นซึ่งความไมเที่ยงอยูเปนประจํา หรือ อนิจจานุปสสี” นั้นมีสิ่งที่ตองวินิจฉัยคือ : สิ่งที่ไมเที่ยงคืออะไร ? ภาวะแหงความไมเที่ยง เปนอยางไร ? การตามเห็นความไมเที่ยงคือทําอยางไร ? ผูตามเห็นความ ไมเที่ยง หรืออนิจจานุปสสีนั้นคือใคร ? คําตอบโดยสังเขปคือ สังขารทั้งปวง คือสิ่งที่ไมเที่ยง ; การเกิดขึ้น - ตั้งอยู๒ - ดับไป คือภาวะแหงความไมเที่ยง; การ ใช ส ติ ค อยตามกํ า หนดภาวะแห ง ความไม เ ที่ ย งนั้ น คื อ อนิ จ จานุ ป ส สนาหรื อ การ ตามเห็นซึ่งความไมเที่ยง ; บุคคลที่ทําเชนนั้นอยูทุกลมหายใจเขา – ออก ชื่อวา ”อนิจจานุปสสี” คือผูตามเห็นซึ่งความไมเที่ยงอยูเปนประจํา ดังนี้. บัดนี้จะได วินิจฉัยในสิ่งที่มีความไมเที่ยงสืบไป. ๑. เมื่อถามวา อะไรคือสิ่งที่ไมเที่ยง ? ก็ตอบไดอยางสั้น ๆ หรือคลุม ๆ เปนการรวบยอดวา สังขารทั้งปวงคือสิ่งที่ไมเที่ยง ; แตการตอบเชนนั้นยังไม สําเร็จประโยชนในการที่จะปฏิบัติเพื่อพิจารณาสิ่งที่ไมเที่ยง จะตองมีคําตอบที่ชัด
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๑
อนิจฺจานุปสฺสี อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ; อนิจฺจานุปสฺสี ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ. ๒ ปฏิสัม ไมมีคําวา ตั้งอยู.
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑๓ การเห็นความไมเที่ยง
๓๖๗
แจ งออกไปกว านี้ ฉะนั้ น ในวงการของการเจริ ญอานาปานสติ ขั้ นนี้ เมื่ อถู กถามว า อะไรคือ สิ ่ง ที ่ไ มเ ที ่ย ง ทา นนิย มตอบกัน เปน หลัก วา ขัน ธทั ้ง หา อายตนะ ภายในทั้งหก และ อาการสิบสองแหงปฏิจจสมุปบาท คือสิ่งที่ไมเที่ยง ; โดยที่ ทานมุงหมายจะให หยิ บเอาธรรมเหล านั้ น ขึ้ นมาพิ จารณาแต ละอย าง ๆ เป นหมวด ๆ ไป ทีละหมวดนั่นเอง. หมวดแรกคื อ ขั นธ ห า ไดแก รูป เวทนา สั ญญา สั งขาร วิ ญญาณ นั้ น เป นการพิ จารณาโดยทั่ วไปเป นวงกว างครอบคลุ มถึ งสิ่ งต าง ๆ หมดทั้ งโลก ซึ่ งอาจ จะสรุปไวดวยคํา ๒ คําสั้น ๆ วา นาม และ รูป แตกินความถึงสิ่งทุกสิ่งในโลก ทั้งทางฝายกายและฝายใจ. สิ่งทั้งหลายเหลานี้จัดเปนประเภทอารมณ คือ สิ่งที่ ถูก ดู ถูก เห็น ถูก ไดยิน ถูก ฟง ฯลฯ หรือ ถูก กระทํา นั่น เอง จะจํา แนกเปน กี่สิ บอยางกี่ รอยอยางก็ ได แต สรุ ปแลวมันรวมอยู ที่คํ าว าขั นธ หา หรื อคํ าว านามรูป ; นี้จัดเปนอารมณของวิปสสนาทั่วไป.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สวนหมวดที่เรียกวา อายตนะหก ไดแก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่ งรวมทั้ งวิ ญญาณที่ จะเกิ ดตามทวารทั้ ง ๖ เหล านั้ นด วย รวมทั้ งสิ่ งอื่ น ๆ ที่ จะทํ า หนา ที่ร วมกัน ดว ย. สิ่งเหลานี้ทั้ง หมดจัดเปนประเภท ฝา ยผูกระทํา คือ ผูดู ผู ฟ ง ผู ด ม ผู ช ิม หรือ ผู ทํ า การสัม ผัส ตา ง ๆ ตอ อารมณ ดัง ที ่ก ลา วมาแลว นั่น เอง. ฝา ยโนน เปน ฝา ยถูก ทํา ฝา ยนี้เ ปน ฝา ยผูทํา ทา นใหนํา มาพิจ ารณา กัน เสีย ทั ้ง สองฝา ย ก็เ พื ่อ จะใหห มดจนสิ ้น เชิง วา มัน ลว นแตไ มเ ที ่ย งดว ยกัน ทั้ ง ๒ ฝ า ย จะได ไ ม ยึ ด ถื อ ทั้ ง สองฝ า ย ฉะนั้ น เมื่ อ ตาเห็ น รู ป เป น ต น ก็ ใ ห พิ จ ารณาเสี ย ว า รู ป ซึ่ ง เป น ฝ า ยถู ก เห็ น ก็ ไ ม เ ที่ ย ง ตาซึ่ ง เป น ฝ า ยผู เ ห็ น ก็ ไ ม เ ที่ ย ง.
www.buddhadasa.in.th
๓๖๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑๗
ทีนี้หมวดตอไป คือ หมวดปฏิจจสมุปบาท ทั้ง ๑๒ อาการนั้น เล็งถึง อาการหรื อ ความเป น ไปของการปรุ ง แต ง ทุ ก ชนิ ด ที่ ทํ า การปรุ ง แต ง กั น ขึ้ น ในขณะที่ เห็นรูปเปนตนอีกนั่นเอง. ในขณะนั้นมันมีการปรุงแตงกันกี่ชั้น และดวยอาการ อย า งไรทุ ก ๆ อาการ ก็ เ อาอาการที่ มั น ปรุ ง แต ง นั้ น ทุ ก อาการมาพิ จ ารณาให เ ห็ น ความไม เ ที่ ย ง ในอาการเหล า นั้ น ทุ ก อาการไปที เ ดี ย ว คื อ อาการที่ อ วิ ช ชาปรุ ง แต ง สั ง ขาร สั ง ขารปรุ ง แต ง วิ ญ ญาณ วิ ญ ญาณปรุ ง แต ง นามรู ป นามรู ป ปรุ ง แต ง อายตนะ อายตนะปรุ ง แต ง ผั ส สะ ผั ส สะปรุ ง แต ง เวทนา เวทนาปรุ ง แต ง ตั ณ หา ตัณ หาปรุง แตง อุป าทาน อุป าทานปรุง แตง ภพ ภพปรุง แตง ชาติ ชาติป รุง แตง ชรา มรณะ โสกะ ปริ เ ทวะ ทุ ก ขะ โทมนั ส สะ เป น ต น ; ทั้ ง หมดนี้ เปน อาการปรุง แตง ฝา ยเกิด . สํา หรับ อาการปรุง แตง ฝา ยดับ ก็มีนัย เดีย วกัน หากแต เ ป น ไปในทางตรงกั น ข า ม คื อ เป น ไปในทางชวนดั บ กล า วคื อ การดั บ ของ อวิช ชาทํ า ใหม ีก ารดับ สัง ขาร การดับ ของสัง ขารทํ า ใหม ีก ารดับ ของวิญ ญาณ การดั บ ของวิ ญ ญาณทํ า ให มี ก ารดั บ ของนามรู ป ดั ง นี้ เ ป น ลํ า ดั บ ไป ๆ จนกระทั่ ง ถึง การดับ ของชาติทํ า ใหม ีก ารดับ ของชรา มรณะเปน ตน เปน อัน วา จบกัน , อาการปรุ ง แต ง ฝ า ยเกิ ด สิ บ สอง และอาการปรุ ง แต ง ฝ า ยดั บ สิ บ สอง ก็ ต อ งนํ า มา พิ จ ารณาให เห็ น ความไม เ ที่ ยงทุ ก อาการ เพื่ อ ว า เมื่ อ เห็ น อายตนะภายนอก เช น รู ป เปนตนก็ไมเที่ยง อายตนะภายใน เชนตาเปนตนก็ไมเที่ยง แลวอาการที่อายตนะ ทั้งสองเกี่ยวของกันทําใหเกิดอะไรขึ้นตาง ๆ นานา กี่อาการก็ตาม, อาการเหลานั้น ทุกอาการก็ไมเที่ยง, จึงเปนการทําใหเห็นความไมเที่ยงของสิ่งทุกสิ่งหมดจดสิ้นเชิง จริง ๆ คือหมดจดสิ้นเชิงยิ่งกวาที่จะพิจารณาโดยวิธีอื่นจริง ๆ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สรุปความ ใหเปนเปนตัวอยางสั้น ๆ อีกครั้งหนึ่งคือ เมื่อตาเห็นรูป เกิ ด ความรู สึ ก ต า ง ๆ ขึ้ น เป น ลํ า ดั บ ไปนั้ น ถ า แยกพิ จ ารณาเป น ๓ ฝ า ย คื อ
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑๓ การเห็นความไมเที่ยง
๓๖๙
(๑) ฝายอารมณหรืออายตนะภายนอกไดแกรูปที่แลเห็น (๒) ฝายผูสัมผัสอารมณ หรืออายตนะภายในไดแกตา หรือสิ่งที่เนื่องดวยตาทั้งหมด และ (๓) คืออาการ ต า ง ๆ ของการที่ มั น มาเกี่ ย วข อ งกั น เช น อาการที่ ต ากระทบกั บ รู ป อาการที่ ทํ า ให จั ก ขุ วิ ญ ญาณเกิ ด ขึ้ น อาการที่ สั ม ผั ส กั น ระหว า งสิ่ ง ทั้ ง ๓ นี้ ที่ เ รี ย กว า จั ก ขุ สั ม ผั ส และอาการที่จักขุสัมผัสทําใหเวทนาเกิดขึ้นเปนจักขุสัมผัสสชาเวทนา, และอาการที่ เวทนาปรุ งแต งให เกิ ดสั ญญา สั ญเจตนา วิ ตก วิ จาร เป นต น เป นลํ าดั บไปจนกระทั่ ง ถึง การทํ า กรรม และการรับ ผลของกรรม เปน ความทุก ขน านาชนิด เหลา นี้ ก็ จ ะต อ งพิ จ ารณาให เ ห็ น ว า ทุ ก ๆ อาการ ทุ ก ๆ ขั้ น ทุ ก ๆ ตอน ก็ ล ว นแต มี ค วาม ไมเ ที ่ย ง เชน เดีย วกับ อายตนะทั ้ง สองนั ้น เหมือ นกัน เปน อัน วา เราเห็น ความ ไมเ ที ่ย งสิ ้น เชิง จริง ๆ ซึ ่ง อาจสรุป ความไดว า เห็น ความไมเ ที ่ย งของอายตนะ ภายนอก ของอายตนะภาย ใน และของกิริยาอาการตาง ๆ ที่มันเกี่ยวของกัน ดังนี้. การเห็ น ความไม เ ที่ ย งของสิ่ ง เหล า นี้ และโดยทํ า นองนี้ เ ท า นั้ น ที่ จ ะทํ า ใหเห็นทะลุเลยไปถึงความเปนทุกข ความเปนอนัตตา หรือสุญญตา จนกระทั่ง เบื่อหนายคลายกําหนัดไดในที่สุด. ถาผิดไปจากนี้ ก็เปนการเห็นความไมเที่ยง อย า งครึ่ ง ๆ กลาง ๆ แล ว ติ ด ตั น อยู เ พี ย งแค นั้ น ดั ง เช น การเห็ น ความไม เ ที่ ย งของ พวกลัทธิอื่นภายนอกพระพุทธศาสนา ดังที่กลาวมาแลวขางตน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สรุป ความ ในการวิน ิจ ฉัย ขอ นี ้ว า เมื ่อ ถามวา อะไรคือ สิ ่ง ที ่ไ มเ ที ่ย ง ก็ตอบวา สิ่งที่ถูกสัมผัส สิ่งที่ทําหนาที่สัมผัส และ กิริยาอาการตาง ๆ ที่เนื่องกันอยู กั บ การสั ม ผั ส นั้ น รวมเป น ๓ ประเภทด ว ยกั น ดั ง นี้ คื อ ทั้ ง หมดของสิ่ ง ที่ ไ ม เ ที่ ย ง อันเรานิยมเรียกกันวาสังขารทั้งปวง. การที่จะจําแนกสิ่งเหลานี้ แตละประเภท ออกเปน กี ่ส ิบ อยา ง หรือ กี ่ร อ ยอยา งนั ้น ไมสํ า คัญ สํ า คัญ อยู แ ตที ่ใ หเ ห็น ความ ไมเที่ยงของมันจริง ๆ โดยนัยที่กลาวมาแลวเทานั้น.
www.buddhadasa.in.th
๓๗๐
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑๗
๒. ตอนี้ไปจะไดวินิจฉัยถึง ลักษณะหรือภาวะแหงความไมเที่ยง๑ พรอมทั้งแนวการพิจารณา : ลักษณะหรือภาวะแหงความไมเที่ยง มีใจความสําคัญ อยู ต รงที่ มี ความเกิ ด ขึ้ น ปรากฏ มี ความเสื่ อ มปรากฏ มี ความดั บ ลงปรากฏ รวมกันเปน ๓ อยาง ดังบาลีกลาววา “สิ่งทั้งหลายไมเที่ยง มีการเกิดขึ้นและเสื่อมไป เปนธรรมดา ครั้นเกิดขึ้นแลวก็ดับไป”๒ ดังนี้. ขอนี้ตรงตามความหมายของคําวา ไม เ ที่ ย ง คื อ ดู ไ ม ไ ด อ ยู ใ นภาวะอย า งใดอย า งหนึ่ ง แต อ ย า งเดี ย วตลอดไป แต มี ก าร เปลี่ยนแปลงเรื่อย. เมื่อมีการเปลี่ยนแปลง ก็ยอมหมายความวาตองมีการเกิด และการดับ. ถาไมมีการดับ การเปลี่ยนไปเกิดมีอยางใหม ก็มีไมได ฉะนั้นคําวา เปลี ่ย นแปลงจึง หมายถึง การเกิด แลว ดับ ลงเพื ่อ เกิด ใหมใ นรูป อื ่น ที ่ไ มสิ ้น สุด . โดยเหตุนี้คําวาไมเที่ยง จึงมีความหมายอยู ๒ ความหมาย คือ (๑) เกิดดับอยูเรื่อย (๒) เกิดครั้งหลังไมเหมือนครั้งกอ เพราะมีเหตุปจจัยใหม ๆ เขามาแทรกแซง อยูเรื่อย. ทั้ง ๒ นี้ เปนความหมายที่จักตองพิจารณาดูใหเห็นอยางชัดแจงจริง ๆ จึงจะเห็นความหมายของคําวาไมเที่ยง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๓. วิธีพิจารณาใหเห็นความไมเที่ยง นั้น มีทางที่จะทําไดเปนชั้น ๆ ตื้นลึกกวากันตามลําดับ : ในขั้นแรกที่สุดคืออยางงายที่สุด ที่คนธรรมดาสามัญ ทั่ วไปจะมองเห็ น ก็ คื อดู ความไม เที่ ยงของสั งขารทั้ งกลุ ม เป นกลุ ม ๆ เพราะดู ง าย เชนดูเบญจขันธที่คุกกันแลวถูกสมมติวาเปนสัตวหรือคน ๆ หนึ่งก็จะเห็นไดงาย ๆ
๑ ๒
การบรรยายครั้งที่ ๔๑ / ๕ พฤศจิกายน ๒๕๐๒ อนิจฺจา วต สงฺขารา อุปฺปาทวยธมฺมิโน อุปฺปชฺฌิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑๓ การเห็นความไมเที่ยง
๓๗๑
วามีการเกิดขึ้นมาเปนเด็ก แลคอยเจริญเติบโตจนชราและตายไป คือดับ. หรือให ยอยลงไปกวานั้นอีก ก็ดวยการแบงอายุของคนอออกเปน ๓ วัย คือปฐมวัย มัชฌิมวัย และปจฉิมวัย แลวพิจารณาดูเฉพาะวา แมในวัยหนึ่ง ๆ ก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงอยู อยางมากมาย. แตแมการพิจารณาดูอยางนี้แลว ก็ยังเปนการพิจารณาที่หยาบอยู จะตองรูจักพิจารณาใหละเอียดลงไปจนถึงวา สิ่งตาง ๆ เหลานั้นมิใชเพียงแตเปลี่ยน แปลงอยู ทุ ก วั น หรื อ ทุ ก ชั่ ว โมง หรื อ ทุ ก นาที หรื อ แม ทุ ก วิ น าที เ ท า นั้ น หากแต ว า มันไดเปลี่ยนแปลงอยูทุกขณะจิตทีเดียว. คําวา ขณะจิต เปนระยะเวลาที่ไมอาจจะ วัดไดดวยมาตราธรรมดาสามัญ ที่พูดกันอยูตามภาษาธรรมดา ; แตในภาษาธรรมะ ที่เรียกวาฝายปรมัตถนั้น หมายถึงระยะเวลาที่สั้นมาก จนเรารูสึกไมไดในการแบง ของมั น หรื อ ไม อ าจจะพู ด ให เ ข า ใจได ต รง ๆ แต ต อ งใช ก ารเปรี ย บเที ย บ เช น ว า เร็วกวาสายฟาแลบ อยางที่จะเปรียบเทียบกันไมได ดังนี้เปนตน. ขอนี้หมายความ วาสวนลึกที่สุด หรือสวนละเอียดที่สุดถึงกับดูดวยตาไมเห็นของสิ่งตาง ๆ ทั้งฝาย รูปธรรมและนามธรรม เปลี่ยนแปลงอยูทุกขณะจิตนั่นเอง คือ ทุก ๆ ปรมาณูของ รูปธรรมเปลี่ยนแปลงอยูอยางโกลาหล แตดูไมเห็นเพราะละเอียดเกินไป ; และ สวนที่ เป นนามธรรมหรื อ ธาตุจิ ต นั้น ยิ่ ง ละเอี ยดและยิ่ง เปลี่ ยนแปลงเร็ว ไปกวา นั้ น อีก. ทั้งหมดนี้เปนการพิจารณาดูความเปลี่ยนแปลงโดยแงของเวลา คือเอาเวลา เข า จั บ จึ ง เห็ น ความเปลี่ ย นแปลงไปตามแง ข องเวลา ซึ่ ง เกี่ ย วข อ งกั น อยู กั บ ขนาด ทําใหกลาวไดวาความเปลี่ยนแปลงนั้นมีอยูแมในสิ่งที่เล็กที่สุด จนแบงแยกไมไดอีก และในระยะเวลาที่สั้นที่สุดเทาที่จะคํานวณไดเพียงไร นี้อยางหนึ่ง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อีกอยางหนึ่ง เปนการพิจารณาเห็นความไมเที่ยง ที่แยบคายลง ไปอี ก คื อ พิ จ ารณาเห็ น ความที่ สิ่ ง ต า ง ๆ ทุ ก สิ่ ง ในโลก ไม ว า เป น รู ป ธรรมหรื อ
www.buddhadasa.in.th
๓๗๒
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑๗
นามธรรม ไมวานอกกายหรือในกาย ทั้งหมดนั้น ลวนขึ้นอยูกับจิตดวงใดดวงหนึ่ง เพียงดวงเดียว คือดวงที่กําลังทําหนาที่สัมผัสหรือรูสึกตอสิ่งนั้นอยู จะเปนทางตา หรือทางหูก็ ตาม หรือทางอื่น ๆ นอกจากนั้ นก็ตาม เรารูสึกวาสิ่ งเหลานั้นมี อยูในโลกนี้ ในลักษณะอยางไร ก็เพราะจิตไดรูสึกตอมัน ; ถาจิตไมมี สิ่งตาง ๆ ทั้งหมดก็เทากับ ไม มี จึ ง เป น อั น กล า วได ว า เพราะจิ ต มี สิ่ ง เหล า นั้ น จึ ง มี เพาะจิ ต เกิ ด (คื อ เกิ ด ความรูสึกตอสิ่งเหลานั้น) สิ่งเหลานั้นจึงเกิด (ปรากฏตอความรูสึก); พอจิตดับ สิ่งเหลานั้นก็ดั บ ก็ มีค าเท ากั บไมมี สําหรั บคน ๆ นั้น เพราะเหตุฉะนั้ นเองจึงกล าวว า ทุ ก สิ่ ง ทุ อ ย า งขึ้ น อยู ที่ จิ ต อยู ใ นอํ า นาจของจิ ต หรื อ มี ค วามสํ า คั ญ ที่ จิ ต เกิ ด ดั บ ไป ตามจิตอยูเสมอไป. เพราะฉะนั้น เมื่อจิตเปนสิ่งที่เกิดดับอยูเสมอเปนขณะ ๆ สิ่ง ทั้งหลายทั้ งปวงเหล านั้ น ก็ มี ความหมายเพี ยงสิ่งที่ เกิ ดดั บอยูทุ กขณะจิ ตดวย ซึ่ งต อง ไม ลื ม ว า ทั้ ง รู ป ธรรมและนามธรรม ทั้ ง ภายนอกและภายในกาย ดั ง ที่ ก ล า วแล ว ขางตน นี้คือการเห็นอนิจจลักษณะที่ประณีตยิ่งขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง. อีกอยางหนึ่ง มีทางที่จะเห็น ความเปนอนิจจังไดลึกลงไปเปนชั้น ๆ คื อ เห็ น ความที่ สิ่ ง ต า ง ๆ ประกอบอยู ด ว ยเหตุ ป จ จั ย เป น ชั้ น ๆ ความไม เ ที่ ย งหรื อ ความเปลี่ ย นแปลงนั้ น มิ ไ ด มี อ ยู ที่ สิ่ ง นั้ น ๆ โดยตรง แต มั น มี อ ยู ที่ เ หตุ ป จ จั ย ที่ ป รุ ง แตง สิ ่ง นั ้น ๆ ซึ ่ง ลว นแตไ มเ ที ่ย งเพราะมีเ หตุป จ จัย อื ่น ซึ ่ง ลว นแตไ มเ ที ่ย ง ดวยกัน ปรุงแตงมันอยูอีกชั้นหนึ่ง. ยกตัวอยางเชน ทําไมเนื้อ หนังของคนเรา จึงเปลี่ยนแปลง ? ทั้งนี้ก็เพราะวามันเกิดมาจากขาวปลาอาหาร ซึ่งเปนของไม เที่ยงและเปลี่ยนแปลง. ทําไมขาวปลาอาหารเหลานั้นจึงเปนของเปลี่ยนแปลง ? ทั้ งนี้ เพราะว าข าวปลาอาหารเหล านั้ น มี มู ลมาจากธาตุ หรื อ ดิ นฟ าอากาศที่ เป นของ เปลี่ยนแปลงอยูเสมอไปอีกนั่นเอง ; และดินฟาอากาศเหลานั้น ก็ลวนแตมีมูลมา จากเหตุปจจัยอื่น ๆ ที่เปลี่ยนแปลงอยูไมรูสิ้นสุดอีกอยางเดียวกัน. เมื่อทาง
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑๓ การเห็นความไมเที่ยง
๓๗๓
ฝ า ยรู ป ธรรมเป น อย า งนี้ ทางฝ า ยนามธรรมก็ ยิ่ ง เป น อย า งนี้ ม ากขึ้ น ไปอี ก เพราะ เปนของเบากวา ไวกวา. สรุปความ วาสิ่งตาง ๆ เปลี่ยนแปลง เพราะมันตั้งอยู บนสิ่ งอื่ น ๆ ที่ เปลี่ ยนแปลงเป นชั้ น ๆ กั นลงไปทุ กชั้ น การเห็ นอนิ จจั งโดยทํ านองนี้ มีความหมายกว างขวาง ถึงกั บทําให เห็นทุกขั ง และอนั ตตาได พรอมกันไปในตัว ; นี้ทางหนึ่ง. อี กทางหนึ่ ง เป นการพิ จารณาความไม เที่ ยงโดยความหมายที่ ว า สั งขาร แตละอยาง ๆ เปนสิ่งที่ประกอบขึ้นดวยของหลายสิ่ง ซึ่งแตละสิ่ง ๆ อาจจะแยกลง เปน สว นยอ ยไดเ รื ่อ ยไป จนกระทั ่ง เปน ของวา งเปลา หากแตว า ในขณะนั ้น ๆ มันมี การบั งเอิ ญหรื อการเกี่ยวข องกั นอย างเหมาะสมเท านั้ น มั นจึ งแสดงแสดงอาการ ออกมาราวกะวาเปนตัวเปนตน หรือเปนของนารักนาพอใจ. เมื่อใดอาการที่มัน เกี่ ย วข อ งกั น นั้ น แปรรู ป ไปในทางอื่ น การเผอิ ญ อย า งสบเหมาะที่ แ ล ว มาก็ ส ลายลง ทันที. ขอใหตั้งขอสังเกตตรงที่วา อาการที่ของหลายอยางเขามาเกี่ยวของกันนั้น มั น จะเป น สิ่ ง ที่ เ ที่ ย งแท ถ าวรไปไม ไ ด มั น ยิ่ ง แตกแยกเปลี่ ย นแปลงได ง า ยที่ สุ ด ยิ่ ง ขึ้นไปอี ก ทํ านองที่ เอาคนหลายคนมาทํ างานร วมกัน ความแตกตางกั นในทางความ คิดเห็ นย อมมี ได ง ายขึ้ น เท ากั บจํ านวนของคนที่ เอามาเกี่ ยวข องด วยกั นมากขึ้น ความ ไมเที่ยงของการเกี่ยวของกันนั้นก็ยิ่งมีมากขึ้นเปนเงาตามตัว. ความมุงหมายของ คํ าอธิ บายของข อนี้ มุ งหมายจะชี้ ความไม เที่ ยงของอาการที่ มั นเกี่ ยวข องกั น ผิ ดกั บ ขอที่แลวมา ที่ชี้ใหเห็นความไมเที่ยงที่ตัวมันเอง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เท า ที่ ย กมาพอเป น ตั ว อย า งนี้ เป น การชี้ ใ ห เ ห็ น ภาวะหรื อ ลั ก ษณะของ ความไมเที่ยงในรูปที่ตางกัน. ตอไปนี้จะไดวินิจฉัยถึงวิธีพิจารณาใหเห็นความไม เที่ยงสืบไป.
www.buddhadasa.in.th
๓๗๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑๗
การพิจารณาใหเห็นความไมเที่ยงโดยทั่ว ๆ ไปนั้น คือการพิจารณา ใหเห็นการเกิดขึ้น – ตั้งอยู – ดับไปของสิ่งทั้งปวง แตการที่จะสงจิตไปยังสิ่งทั้งปวง แลว ใครค รวญดูต ามเหตุผ ล หรือ เรื ่อ งราวตา ง ๆ ที ่เ กี ่ย วกัน อยู ก ับ สิ ่ง เหลา นั ้น แลวลงสันนิษฐานวา ไมเที่ยง ดังนี้ ไมเปนที่ประสงคในที่นี้ ; เพราะการทํา อย า งนั้ น เป น เรื่ อ งของนั ก คิ ด หรื อ นั ก ใช เ หตุ ผ ลต า งหาก ไม ใ ช เ ป น เรื่ อ งของการ เจริ ญ ภาวนา การทํ า อย า งนั้ น ได ผ ลเป น หลั ก วิ ช าหรื อ กฎเกณฑ อ ะไรต า ง ๆ ตามที่ จะบั ญ ญั ติ ขึ้ น ไม ไ ด ผ ลเป น ความรู แ จ ง เห็ น แจ ง หรื อ แทงตลอด ชนิ ด ที่ จ ะให เ กิ ด ความเบื่อหนายคลายกําหนัดเลย. การพิจารณาตามทางของการเจริญภาวนา นั้น ตองเปนการนอมเขา มาในภายใน คือการเพงดูสิ่งตาง ๆ ที่กําลังมีอยูในภายใน ซึ่งตนไดทําใหปรากฏ หรื อ ได ทํ า ให เ กิ ด ขึ้ น ภายในจริ ง ๆ แล ว จึ ง ดู ค วามผั น แปรที่ ป รากฏอยู ที่ สิ่ ง นั้ น ๆ และที่ ป รากฏอยู แ ก ใ จของตนเองพร อ มกั น ไปในตั ว ด ว ย และทั้ ง หมดต อ งเป น ป จ จุ บั น คื อ เป น สิ่ ง เฉพาะหน า ก อ น แล ว จึ ง ค อ ยกลายเป น อดี ต หรื อ น อ มไปเพื่ อ เที ยบเคี ยงอนาคต ด วยการมองให เห็ นว า ป จจุ บั นที่ กํ าลั งพิ จารณาอยู นี้ แหละคื อสิ่ ง ที่เคยเปนอนาคตมาหยก ๆ เมื่อตะกี้นี้เอง. เมื่อทําอยูดังนี้ ก็จะเขาถึงตัวความ ไมเที่ยง หรือซึมทราบตอความไมเที่ยงไดอยางแทจริงและสิ้นเชิง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ยกตัว อยา งเชน การพิจ ารณาเบญจขัน ธ ขัน ธใ ดขัน ธห นึ ่ง ก็ต อ ง ทํ า สิ่ ง นั้ น ให ป รากฏจริ ง ๆ เสี ย ก อ น เช น พิ จ ารณารู ป ขั น ธ ห รื อ ร า งกาย ก็ ใ ห เ จาะจง เอาสิ่ ง ใดสิ่ ง หนึ่ ง ซึ่ ง เป น ส ว นของร า งกายจริ ง ๆ หรื อ เป น ที่ ร วมไว ซึ่ ง ความมี อ ยู ข อง ร า งกายจริ ง ๆ ดั ง ที่ ท า นแนะให เ อาลมหายใจมาเป น ตั ว ร า งกายหรื อ เป น รู ป ขั น ธ
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑๓ การเห็นความไมเที่ยง
๓๗๕
ก็ ตาม ในการเจริ ญอานาปานสติ ขั้ นแรก ๆ นี่ ก็ เพื่ อจะให เรามี ความรู แจ งแทงตลอด ในเรื่ อ งของร า งกายนั้ น ว า มี ค วามไม เ ที่ ย งเป น ต น ได อ ย า งชั ด เจน จนเกิ ด ความ เบื่อหนายคลายกําหนัดไดจริง ; มันผิดกันลิบ กับการที่จะพิจารณาเอาดวยปาก ว า กาย ๆ หรื อ แจกเป น รายละเอี ย ดอย า งนั้ น อย า งนี้ ใ ห ยุ ง ไปหมดจนมี จํ า นวนนั บ ไมไหว ก็ไมสามารถเขาถึงตัวกาย หรือเห็นความไมเที่ยงของกายไดอยางแทจริง. ลมหายใจนั้ น เป น ธาตุ ล ม หรื อ เป น ธาตุ ๆ หนึ่ ง ในบรรดาธาตุ ทั้ ง สี่ ประกอบกั น ขึ้ น เป น กาย และยิ่ ง กว า นั้ น อี ก ก็ คื อ มั น เป น ป จ จั ย ส ว นสํ า คั ญ ที่ สุ ด ของ บรรดากายอื่น ๆ ทั้งหมด คือสวนที่เปนธาตุดิน ธาตุน้ํา ธาตุไฟ ; เพราะถามัน วิป ริต ไปเพีย งอยา งเดีย ว กายสว นอื ่น ๆ ก็ว ิป ริต หรือ ถึง กับ ทํ า ลายไปได. เพราะฉะนั ้น การเอากายสว นที ่เ ปน ลมหายใจขึ ้น มาพิจ ารณานี ้ นับ วา เหมาะสม ที่ สุ ด เป นการกระทํ าที่ ฉลาดที่ สุ ด เพราะได กายตั วจริ งมาเป นตั วสํ าคั ญที่ สุ ด แล ว ยังอาจพิจารณาไดโดยสะดวกที่สุดอีกดวย. เมื่อเรากําหนดลมหายใจอยูทุกลม หายใจเขา – ออก ก็เทากับกําหนดตัวกายโดยตรงอยางใกลชิดที่สุด และอาจ พิ จ ารณาเห็ น ความไม เ ที่ ย งเป น ต น ของมั นได ถึ ง ที่ สุ ด สื บ ไป โดยนั ย ดั ง กล า วแล ว ใน อานาปานสติขั้นตน ๆ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทั้ งหมดนี้ คื ออุ บายวิ ธี ที่ ทํ าให สามารถเข าถึ งตั วสิ่ งที่ เราจะพิ จารณาและ สามารถพิจ ารณไดจ ริง และเห็น ไดจ ริง ในที ่ส ุด ซึ ่ง ใคร ๆ ก็ย อ มเห็น ไดวา มัน ต า งจากการท อ งด ว ยปากหรื อ การคํ า นวณด ว ยการใช เ หตุ ผ ล อย า งที่ จ ะเปรี ย บกั น ไมไดเลย เพราะการทําเชนนั้นมันอยูไกลจากตัวสิ่งที่เรียกวา “กาย” มากเกินไป นั่นเอง.
www.buddhadasa.in.th
๓๗๖
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑๗
แมในกรณีของการพิจารณา ขันธที่เปนนามธรรม๑ เชนเวทนาเปนตน ก็ มี หลั กเกณฑ อย างเดี ยวกั น คื อจะต องทํ าเวทนาให ปรากฏแก ใจจริ ง ๆ ขึ้ นมาก อ น โดยเฉพาะอย างยิ่ งเช นทํ าสมาธิ จนเกิ ดป ติ และความสุ ขซึ่ งเป นตั วเวทนาขึ้ นมา แล ว จึงสอดส องพิ จารณาใหเห็ นลักษณะของความไม เที่ยงและมูลเหตุ ตาง ๆ ที่ทํ าให เกิ ด ความไมเ ที ่ย ง ตามนัย ที ่ก ลา วมาแลว ขา งตน ในตอนที ่ก ลา วถึง ภาวะของความ ไมเที่ยง. ทั้งหมดนี้เปนการชี้ใหเห็นใจความสําคัญของการที่ จะพิจารณาสิ่งใด ตองทําตัวสิ่งนั้นใหปรากฏขึ้นมาใหไดเสียกอน แลวจึงมองดูที่สิ่งนั้นดวยจิตอัน เปนสมาธิ ก็จะเห็นลักษณะหรือความจริงตาง ๆ ที่เกี่ยวกับสิ่ งนั้นไดโดยประจั กษ . การที ่เ พีย งแตน ึก ถึง ชื ่อ สิ ่ง นั ้น แลว นึก ตอ ไปวา มัน มีเ รื ่อ งราวอยา งไรบา งตามที่ เล า เรี ย นมาโดยละเอี ย ด แล ว ใช เ หตุ ผ ลของตนเองทั บ ลงไปอี ก ที ห นึ่ ง ว า มั น คงจะ เป น อย างนั้ นจริ ง ดั งนี้ นั้ น แม จ ะพิ จารณาอยู สั กเท าไรก็ ไม ทํ า ให เ ห็ นความจริ ง โดย ประจัก ษไ ด เหมือ นวิธ ีที ่ก ลา วแลว ขา งตน ซึ ่ง เปน วิธ ีข องการปฏิบ ัต ิโ ดยตรง ; สวนวิธีหลังนี้เปนวิธีของปริยัติ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แม จ ะได จํ า แนกสิ่ ง ที่ จ ะถู ก พิ จ ารณาไว เ ป น ๓ ประเภท และประเภท หนึ่ง ๆ ก็มีหลาย ๆ ขอ ดังที่กลาวมาแลวขางตนก็ตาม เรายังมี ทางที่จะปฏิบัติ ชนิดที่เขาถึงตัวสิ่งเหลานั้นโดยประจักษดวยกันทั้งนั้น คือ :ก. ประเภทเบญจขั น ธ เราเข า ถึ ง ตั ว รู ป ขั น ธ ไ ด ด ว ยการกํ า หนด พิจารณาลงไปที่ลมหายใจโดยนัยที่กลาวขางตน. เขาถึงตัวเวทนาไดดวยการ
๑
การบรรยายครั้งที่ ๔๒ / ๖ พฤศจิกายน ๒๕๐๒
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑๓ การเห็นความไมเที่ยง
๓๗๗
กํ า หนดพิ จ ารณาลงไปที่ ป ติ แ ละความสุ ข ที่ เ กิ ด ขึ้ น ในขณะที่ ทํ า สมาธิ หรื อ แม แ ต เวทนาอื่น ๆ ที่เกิดแกตนเองจริง ๆ ; คือกําลังปรากฏแกใจอยูจริง ๆ. เราเขา ถึ ง ตั ว สั ญ ญาได อ ย า งหยาบ ๆ ด ว ยการพิ จ ารณาถึ ง ความจํ า ได ห มายรู ข องเราเอง วามีความเปลี่ยนแปลงอยางไร ; และที่เปนอยางละเอียดนั้นไดแกการกําหนดถึงสิ่ง ที่ เ กิ ด ขึ้ น สื บ ต อ จากเวทนา คื อ ความรู สึ ก หรื อ ความสํ า คั ญ หรื อ ความหมายมั่ น ต อ เวทนานั้ น ว ามี อยู อย างไร คื อเกิ ดขึ้ นอย างไร เปลี่ ยนแปลงไปอย างไร แล วดั บไป อยางไร ดัง นี้เปนตน. การเขาถึงตัวสังขาร หรือ สังขารขันธใ นที่นี้ก็มีวิธีการ อย า งเดี ย วกั บ ในกรณี ข องสั ญ ญา กล า วคื อ โดยทั่ ว ๆ ไป ก็ ไ ด แ ก ก ารกํ า หนดจิ ต ที่ ประกอบอยู ด ว ยความคิ ด ซึ่ ง จะเป น ความคิ ด เรื่ อ งอะไรก็ ไ ด แล ว จึ ง พิ จ ารณาดู ว า ทํ า ไมจึ ง ต อ งคิ ด ความคิ ด เกิ ด ขึ้ น มาอย า งไร เปลี่ ย นไปอย า งไร ดํ า เนิ น ไปอย า งไร แลวสิ้นสุดหรือดับลงอยางไร. สวนที่เปนอยางประณีตนั้น ไดแกการทําเวทนา เช นเวทนาอั นเป นป ติ และสุ ขเกิ ดจากฌาน เป นต น ให เกิ ดขึ้ น แล วคอยเฝ าสั ง เกต สัญญาและวิ ตกที่เกิ ดขึ้ นจากเวทนานั้น ว ามันไม เที่ยงอย างไร โดยรายละเอี ยดดั งที่ กลาวแลวในอานาปานสติขั้นที่เจ็ด ที่แปด ; กลาวโดยระบุ สิ่งที่เรียกวาวิตก ก็คือ สิ่งที่เรียกวาสังขารขันธในที่นี้นั่นเอง. การพิจารณาถึงวิญญาณขันธโดยประจักษ เป น กรณี ทั่ ว ๆ ไปก็ คื อ พิ จ ารณาที่ ค วามเห็ น แจ ง หรื อ ความรู แ จ ง ต อ อารมณ ที่ ม า กระทบกั บ อายตนะภายใน ว า ความเห็ น แจ ง หรื อ รู แ จ ง ต อ อารมณ เ กิ ด ขึ้ น ได เ พราะ อะไร ด ว ยอาการอย า งไร ปรากฏอยู อ ย า งไร แล ว ดั บ ไปอย า งไร แต ทั้ ง หมดนี้ กระทําไดโดยยาก เพราะมันเปนไปในขณะที่ฉับไวเกินไป.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทางที่ ดี หรื อประณีตไปกว านั้ น ก็คื อการยายไปกํ าหนดพิ จารณาที่ ตัวจิ ตเอง เป นการสะดวกกว า คื อการกํ าหนดพิ จารณาจิ ตที่ ทํ าหน าที่ ต าง ๆ สั บสนกั นอยู คื อ เดี๋ ย วทํ า หน า ที่ รู อ ารมณ เดี๋ ย วทํ า หน า ที่ รู เ วทนา เดี๋ ย วทํ า หน า ที่ คิ ด นึ ก ไปต า ง ๆ
www.buddhadasa.in.th
๓๗๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑๗
เดี๋ ยวมี อาการถู กปรุ งต อไปในทางที่ ทํ าให เกิ ดมี ราคะ หรื อว างจากราคะ มี โทสะ หรื อ ว า งจากโทสะ มี โ มหะ หรื อ ว า งจากโมหะ ดั ง นี้ เ ป น ต น เป น การกํ า หนดติ ด ตามดู ซึ่ ง พฤติ คื อ การเคลื่ อ นไหวของจิ ต ทุ ก ชนิ ด ทุ ก ระยะ ในรู ป ที่ แ ตกต า งกั น อยู ทั้ ง หมด ก็จะเปนการกําหนดพิจารณาวิญญาณขันธ โดยประจักษไดถึงที่สุดจริง ๆ. สิ่งอื่น ๆ บรรดาที่ เ ป น อารมณ ด ว ยกั น เช น อายตนะภายนอกทั้ ง หกเหล า นั้ น เป น ต น ก็ ร วม อยู ใ นคํ า วา เบญจขัน ธนี ้ด ว ยกัน ทั ้ง นั ้น และจะตอ ง ไดร ับ การพิจ ารณาในขณะ ที่สิ่งเหลานั้นกําลังทําหนาที่ของมันโดยตรง คือเปนอารมณแหงสัมผัสอยูจริง ๆ นั่นเอง. ข. ประเภทอายตนะภายใน กลาวคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่ง จั ด เป น ฝ า ยทํ า หน า ที่ ผู รู อ ารมณ นั้ น ก็ มี ห ลั ก เกณฑ อ ย า งเดี ย วกั น อี ก คื อ พิ จ ารณา ในขณะที่ มั นทํ าหน าที่ รู อารมณ อยู ตามทวารต าง ๆ จริ ง ๆ เช น เมื่ อตากํ าลั งเห็ นรู ป รู สึ ก ต อ รู ป อยู จ ริ ง ๆ เป น ต น ว า ก อ นนี้ ใ นขณะที่ ต ายั ง ไม เ ห็ น รู ป ตาก็ เ ทากั บ ไม มี คือ ไมม ีค วามหมายอะไรเลย พอมีร ูป มาใหส ัม ผัส ตาก็เ ทา กับ เกิด มีขึ ้น มาทัน ที นี ้เ รีย กวา การเกิด ขึ ้น แหง ตา ตั ้ง อยู ชั ่ว ขณะการเห็น รูป เสร็จ จากการเห็น รูป แลว ก็ดับไป คือเทากับไมมีตาตามเดิมอีกตอไป จนกวาจะมีรูปมาใหสัมผัสใหม. เมื่อ เป น ดั ง นี้ เราก็ พิ จ ารณาเห็ นการเกิ ด ขึ้ น การตั้ ง อยู และการดั บ ไปของตาได ชั ด เจน, ในกรณี ข องหู จมู ก ลิ้ น กาย และใจในที่ สุ ด ก็ มี หลั ก เกณฑ อ ย า งเดี ยวกั น กั บ เรื่ อ ง ของตา ฉะนั้ น จึ งกล าวว า ต องเพ งพิ จารณาดู ในขณะที่ มั นกํ าลั งทํ าหน าที่ ของมั นอยู เทานั้น จึงจะเปนตัวมันจริง ๆ และเห็นความไมเที่ยงของมันจริง ๆ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ค. อาการตาง ๆ ที่เกี่ยวขอปรุงแตงกันในระหวางรูปธรรมนามธรรม ซึ่ งเราเรี ยกว าอาการแห งปฏิ จจสมุ ปบาทนั้ น ก็ มี หลั กเกณฑ อย างเดี ยวกั นอี ก ในการ
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑๓ การเห็นความไมเที่ยง
๓๗๙
ที่เราจะกําหนดใหถึงตัวมัน และเห็นความไมเที่ยงของมัน กลาวคือตองเพง พิจารณาดูในขณะที่มันกําลังทํางานกันอยูจริง ๆ เทานั้น, กลาวโดยสังเขป เชน เมื่ อ ตากระทบรู ป อวิ ช ชาของเรามี อ ยู อ ย า งไร ในขณะนั้ น และอวิ ช ชานั้ น ผลั ก ดั น ไปในทางใหเกิดความคิดปรุงแตง หรืออํานาจทีทําใหเกิดการคิดปรุงแตงขึ้นมา ไดอยางไร, แลวปรุงแตงใหวิญญาณปรากฏตัวขึ้นมาอยางไร, แลวปรุงแตงใหนาม รูปปรากฏออกมาอยางไร, แลวปรุงแตงใหอายตนะ ไดมีโอกาสทําหนาที่ของมัน อยางไร, แลวปรุงแตงใหผัสสะ ไดทําหนาที่ของมันไดสมบูรณอยางไร, แลว ปรุงแตงความรูสึกที่เปนเวทนาขึ้นมาไดอยางไร, แลวปรุงแตงใหเกิดวามประสงค หรือ เกิด ความตอ งการ อัน เกี่ย วกับ เวทนานั้น ขึ้น มาไดอ ยา งไร, แลว ทํา ให เกิดความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งเหลานั้นสําเร็จรูปลงไปอยางไร, ทําใหเรียกไดวาเปน เรื่ อ ง ๆ หนึ่ ง หรื อ เป น ชาติ คื อ ความเกิ ด ชาติ ห นึ่ ง ๆ ได อ ย า งไร แล ว ในที่ สุ ด จะ เปลี่ ย นเป น ความเสื่ อ มสลาย ซึ่ ง เรี ย กว า ความแก แ ละความตาย หรื อ เปลี่ ย นเป น ความทุ ก ข อ ย า งใดอย า งหนึ่ ง มี โ สกะ ปริ เ ทวะ เป น ต น ได อ ย า งไร ซึ่ ง เรี ย กได ว า เปนอาการแหงปฏิจจสมุปบาทฝายเกิดวงหนึ่งแลวโดยสมบูรณ. ทั้งหมดนี้เราจะตอง พิ จ ารณาดู ต รงอาการที่ มั น ทํ า การปรุ ง แต ง หรื อ เกี่ ย วข อ งกั น จริ ง ๆ เท า นั้ น จึ ง จะ เห็ น ตั ว มั น จริ ง ๆ คื อ เห็ น อวิ ช ชาตั ว จริ ง ในขณะที่ มั น ทํ า หน า ที่ ป รุ ง แต ง สั ง ขารด ว ย อํานาจความไมรู หรือความโงของมัน ; และเห็นสังขารตัวจริงในขณะที่มันทํา หนา ที ่ป รุง แตง วิญ ญาณ ดว ยอํ า นาจที ่ขึ ้น ชื ่อ วา สัง ขารแลว อยู นิ ่ง ไมไ ด ตอ ง ปรุงเสมอไป ; และจะเห็นวิญญาณตัวจริง ก็ตอเมื่อมันทําหนาที่ปรุงใหเกิดมี นามรู ปชนิ ดที่ สามารถทํ าหน าที่ เต็ มตามความหมายของมั นได (สมกั บคํ าว านามและ รูป) ดวยอํานาจวิญญาณธาตุนี้เปนธาตุที่มีอํานาจตามธรรมชาติเชนนั้นเอง. ถายัง เป นวิ ญญาณธาตุ ล วน ๆ ยั งไม ทํ าให เกิ ดเรื่ องเกิ ดราวอะไรได แต ถ าเข ามาเกี่ ยวข อ ง
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๓๘๐
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑๗
กับสิ่งที่เรียกวานามรูปแลว มันก็แสดงฤทธิ์อํานาจอันมหัศจรรยของมันไดทาง นามรูป นั้น . นามรูป นั้น ก็เ หมือ นกัน ถา ไมไ ดอ าศัย วิญ ญาณธาตุก็เ ปน นามรูป ขึ้นมาไมได เพราะไมมีความรูสึกใด ๆ ไดทั้งฝายรูปและฝายนาม ; และเราจะรูจัก นามรู ป ตั ว จริ ง ได ก็ ต อ เมื่ อ มั น ทํ า หน า ที่ ที่ เ ป น อายตนะ หรื อ เป น ความรู สึ ก ทาง อายตนะ คื อ ทางตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ให เป นที่ ตั้ งแห งความรู สึ กขึ้ นมาได ดั งนี้ เปนตัวอยาง. แมในกรณีผัสสะ, เวทนา, ตัณหา, อุปาทาน, ภพ, ชาติ และ ความทุ ก ข ต า ง ๆ มี ช รา มรณะ เป น ต น ก็ เ ป น สิ่ ง ที่ มี ค วามหมายและคํ า อธิ บ าย อย า งเดี ย วกั น กล า วคื อ เราจะรู จั ก ตั ว จริ ง ของสิ่ ง นั้ น ๆ ได ก็ ใ นเมื่ อ สิ่ ง นั้ น ๆ กํ า ลั ง ทํ า หน า ที่ ข องมั น อยู จ ริ ง ๆ ในการที่ ทํ า ให เ กิ ด ผลเป น สิ่ ง อื่ น ขึ้ น มา (ซึ่ ง เรา เรีย กวา ปรุง แตง สิ่ง อื่น ในที่นี้) เราจึง จะเห็น ตัว จริง มัน เห็น ความไมเ ที่ย ง ของมันไดโดยประจักษ. และทั้งหมดนี้ตองไมลืมวา ตองเปนการดูตามที่มันมีอยู ในใจ หรือ ในความรูสึก ของเราจริง ๆ เทา นั้น . ในการบํา เพ็ญ อานาปานสติ จตุก กะที ่ส าม จะชว ยไดม ากในเรื ่อ งนี ้ คือ ชว ยใหเ ห็น ความพลิก แพลง และ การปรุ ง แต ง ต า ง ๆ ของจิ ต ได โ ดยง า ย เพราะมี อ าการของปฏิ จ จสมุ ป บาทรวมอยู ดว ยไมนอ ยเลย. เมื่อ เราทํา อยูดัง กลา วแลว จะเห็น ไดชัด แจง วา ตัว อวิช ชาเอง ก็ ไ มเ ที ่ย ง ตัว อาการที ่ม ัน ปรุง แตง สัง ขารก็ไ มเ ที ่ย ง สัง ขารที ่ถ ูก ปรุง แตง ขึ ้น มาก็ ไม เ ที่ ย ง และจะเห็ น เป น ลํ า ดั บ ๆ ไป โดยทํ า นองนี้ จ นตลอดสายของปฏิ จ จสมุ ป บาท ทีเดียว, ซึ่งนี่ควรกลาววาเปนการเห็นอนิจจัง ที่ละเอียดประณีตสุขุมหรือแยบคาย ยิ่งกวาการเห็นในขอ ก. และ ข. ซึ่งเปนการดูที่อายตนะภายนอกลวน ๆ หรือ อายตนะภายในลวน ๆ ดังที่ไดกลาวมาแลว.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑๓ การเห็นความไมเที่ยง
๓๘๑
สรุป ความวา การพิจ ารณาใหเ ห็น ความไมเ ที ่ย งนั ้น ตอ งพิจ ารณา ดู ที่ ตั ว สิ่ ง นั้ น เอง ทํ า สิ่ ง นั้ น ให ป รากฏชั ด เสี ย ก อ น แล ว จึ ง ดู ว า มั น เกิ ด ขึ้ น มาอย า งไร จากอะไร มันตั้งอยูอยางไร. และในขณะนั้นมันทําหนาที่อะไรอยางไร และวา ในที่ สุ ดมั นดั บไปอย างไร เพราะเหตุ ใด และการพิ จารณาโดยนั ยแห งปฏิ จจสมุ ปบาท เป น วิ ธี ป ระณี ต ที่ สุ ด กว า วิ ธี ทั้ ง หลาย ทั้ ง หมดนี้ คื อ วิ ธี พิ จ ารณาเห็ น ความไม เ ที่ ย ง. ต อ นี้ ไ ปจะได วิ นิ จ ฉั ย ในข อ ที่ ว า การเห็ น ความไม เ ที่ ย งโดยแท จ ริ ง นั้ น ย อ มเป น การ เห็นความเปนทุกข และความเปนอนัตตารวมอยูดวยอยางไรสืบไป. การเห็ น ความไม เ ที่ ย งชนิ ด ที่ ลึ ก ซึ้ ง จนถึ ง กั บ มองเห็ น ความทุ ก ข พ ร อ ม กันไปในตัวนั้น อาจจําแนกไดตามความหมายของคําวา “ทุกข” ตาง ๆ กัน คือ :ก. ทุกขในความหมายวาทนทรมาน,๑ จะเห็นไดชัดตอเมื่อได พิจารณาเห็นวา ความไมเที่ยงนั่นเอง คือชาติ ชรา มรณะ หรือความเกิด ความแก ความตายโดยตรง ถาเที่ ยงคื อไม เปลี่ ยนแปลงแล ว ความเกิ ด ความแก ความตาย จะมีไดอยางไร, ความทุกขอันเนื่องมาจาก เกิด แก ตาย มันเนื่องมาจากความ ไมเที่ยงหรือความเปลี่ยนแปลงนั้นโดยตรง. ความทุกขที่ถัดไป อีก เชนโสกะ ปริ เทวะ โทมนัส อุ ปยาส เป นต น ทั้ งหมดนี้เกิ ดมาจากความที่ สิ่ งต าง ๆ ไม เป นไป ตามใจตน หรือ ปรารถนาสิ ่ง ใดแลว ไมไ ดต ามที ่ป รารถนา มีแ ตป ระสบกับ สิ่ ง ที่ ไ ม ป รารถนา พลั ด พรากจากสิ่ ง ที่ ป รารถนาอยู เ ป น ประจํ า ทั้ ง นี้ ก็ มี มู ล มาจาก ความที่ สั ต ว ห รื อ สั ง ขารทั้ ง ปวงนั้ น เปลี่ ย นแปลงไปตามเหตุ ต ามป จ จั ย ของมั น อยู เป น นิ จ นั่ น เอง. แม ความทุ ก ข ที่ เ บ็ ด เตล็ ด ประจํ า เป น เจ า เรื อ น เช น ความหนาว
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๑
การบรรยายครั้งที่ ๔๓ / ๙ พฤศจิกายน ๒๕๐๒
www.buddhadasa.in.th
๓๘๒
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑๗
ความร อ น ความหิ ว ความกระหาย ความต อ งกิ น ต อ งอาบ ต อ งถ า ยเหล า นี้ เปน ตน ทั ้ง หมดนี ้ก ็เ ปน เพราะความไมเ ที ่ย งของสัง ขารเหลา นั ้น ที ่ป ระกอบ กันเขาเปนรางกาย. มันเปลี่ยนแปลงอยูทุกขณะจิต มันจึงตองการนั่นตองการนี่ และต อ งการจะให เ ปลี่ ย นอย า งนั้ น อย า งนี้ อ ยู ต ลอดเวลา ทํ า ให เ กิ ด ภาวะในการ บริ ห ารร า งกายสารพั ด อย า งขึ้ น มาที เ ดี ย ว ทํ า ให เ ห็ น ชั ด ว า ความต อ งทนลํ า บาก เหลานี้ มีมูลมาจากความเปลี่ยนแปลงของรางกายนั้นโดยตรง. เมื่อพิจารณาถึง ความทุกขคือความเจ็บไขไดปวย ไมวาความเจ็บไขไดปวยของเด็ก หรือของคนแก ของคนมี ร า งกายสมบู ร ณ ห รื อ ไม ส มบู ร ณ ก็ ต าม นั้ น ก็ ม าจากความเปลี่ ย นแปลง ของสัง ขารที ่ป ระกอบกัน ขึ ้น เปน รา งกาย หรือ แวดลอ มรา งกายอยู อ ีก นั ้น เอง ; ถาไมมีอะไรเปลี่ยนแปลง ความเจ็บปวยไมอาจจะเกิดขึ้นได. เมื่อพิจารณาถึง ความ ทุกข ที่ คนเราตองกิ นอาหาร ต องนุ งห ม หรื อมี ที่ อยูอาศั ย แล วตองพยายามประกอบ อาชี พแสวงหา ด วยความยากลําบากตรากตรํ าอย างเหน็ ดเหนื่อย จนตลอดชี วิ ตก็ ดี หรื อ มี ก ารแข ง ขั น แย ง ชิ ง ต อ สู กั น ในระหว า งคู แ ข ง ขั น ด ว ยประการต า ง ๆ ตลอดจน ถึ งกั บวิ วาทหมายมั่ นจองเวรกั นก็ ดี แม ความทุ กข เหล านี้ ก็ มี มู ลมาจากความไม เที่ ยง หรื อ ความเปลี่ ย นแปลงไม ห ยุ ด ของร า งกาย ของจิ ต ใจ ของกิ เ ลสตั ณ หา หรื อ ของ วิ ชาความรู ซึ่ งก็ ล วนแต เป นสั งขารอย างเดี ยวกั นอี กเหมื อนกั น จึ งทํ าให กล าวได ว า แมความทุกขชนิดนี้ก็มีมูลมาจากความเปลี่ยนแปลงของสังขาร. เมื่อเราพิจารณา มองเห็ น ความเปลี่ ย นแปลงชั ด แจ ง ก็ ย อ มมองเห็ น ความทุ ก ข จั ก ต อ งเกิ ด ขึ้ น อย า ง นั้น ๆ อยางชัดแจงอยูในตัวความเปลี่ยนแปลงนั้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทีนี้ถาจะมองใหละเอียดไปในทางฝายนามธรรม คือ พิจารณาดูถึงความ ทุกขที่เกิดมาจากความแผดเผาของกิเลส มีราคะเปนตน ที่ทําสัตวใหดิ้นรน กระวนกระวาย หาความสงบสุ ขไม ได ก็ ยั งคงพบว าทั้ งหมดนี้ ก็ มี มู ลมาจากความ
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑๓ การเห็นความไมเที่ยง
๓๘๓
ไมเที่ยงโดยตรงอีกนั่นเอง : อันแรกที่สุดคือ ความเปลี่ยนแปลงทางรายกาย ที่จะ เห็นได งาย ๆ จากสัตวเลี้ยง เมื่อร างกายเจริญเติบโตขึ้นมาถึงระดั บนั้น หรือเวียนมา ถึ ง รอบนั้ น ก็ มี ป ญ หาต า ง ๆ ทางเพศ หรื อ ทางกิ เ ลสเกิ ด ขึ้ น เป น ธรรมดา อย า งที่ หลีกเลี่ยงไมได นี้มีมูลมาจากความเปลี่ยนแปลงของรางกายตามธรรมชาติ. สวน ที่ สู ง ไปกว า นั้ น คื อ ความเปลี่ ย นแปลงที่ น อกเหนื อ ไปจากธรรมชาติ คื อ การกิ น – การอยู ดี ขึ้ น มี วิ ชาความรู และการคิ ดนึ กกวางขวางยิ่ งขึ้ น ป ญหาเกี่ ยวกั บเรื่องเพศ เรื่ อ งกิ เ ลสก็ เ ปลี่ ย นแปลงไปตาม และเป น ไปในทางที่ ลึ ก ซึ้ ง ซั บ ซ อ นยิ่ ง ขึ้ น ความ ทุกขที่ มีมู ลมาจากสิ่งนี้ก็ ลึกซึ้งซับซอนยิ่ งขึ้ นไปตาม นี้คื อ ความเปลี่ ยนแปลงทางจิ ต. เมื่ อ รวมเข า ด ว ยกั น ทั้ ง ความเปลี่ ย นแปลงทางกายและทางจิ ต ก็ ย อ มเป น ที่ ตั้ ง แห ง ความทุ กข เพราะถู กไฟกิ เลสเผาได ทั้ งมากและทั้ งลึ กซึ้ ง แต ก็ พากั นมองข ามไปเสี ย ไม เ ห็ น ว า ที่ แ ท เ ป น เพราะความเปลี่ ย นแปลง และความหลอกลวงมายาของกิ เ ลส อันเนื่องมาจากความเปลี่ยนแปลงทายกายและทางจิต ดังที่กลาวแลว. ถาผูใด ตั้ งหน าตั้ งตาเฝ าสั งเกตความเปลี่ ยนแปลงทั้ งทางกายและทางจิ ตของตนเองในกรณี นี้ ก็ จะเห็ นความทุ กข ประเภทที่ กล าวนี้ ได อ ย างชั ดแจ ง ว าเป นผลของความเปลี่ ยน แปลงลว น ๆ หรือ เปน ความเปลี ่ย นแปลงอยา งหนึ ่ง อยู ใ นตัว มัน นั ่น เอง ก็จ ะไม ถู ก ลวงด ว ยมายาของความเปลี่ ย นแปลง จนถึ ง กั บ หลงไปเที่ ย วแก ไ ขในทางอื่ น หรือหนักเขาแกไขไมได ก็ทําลายตัวเอง ดังนี้เปนตน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ าพิ จารณาให ลึ กลงไปอี ก คื อ พิ จารณากั นถึ ง ความทุ กข ที่ เกิ ดมาจาก การตองรับผลกรรม หรือการเปนไปตามกรรมนานาชนิดของสัตวทั้งหลาย เราก็ยัง เห็นไดวาเปนเรื่องของความเปลี่ยนแปลงอีกนั่นเอง. กรรมก็เปนสิ่งที่ไมเที่ยงคือ เปลี่ ย นแปลงได ฉะนั้ นผลกรรมก็ เป นสิ่ ง ที่ ไ ม เที่ ยงคื อ เปลี่ ย นแปลงได เ ช น เดี ย วกั น ; ผู ทํ า กรรมก็ เ ป น สิ่ ง ที่ ไ ม เ ที่ ย ง การรั บ ผลกรรมก็ เ ป น สิ่ ง ที่ ไ ม เ ที่ ย ง ทุ ก อย า งเปลี่ ย น แปลงอยู เสมอ คนเราจึ งได รั บผลกรรมตามโอกาส ตามวาระของการเปลี่ ยนแปลง.
www.buddhadasa.in.th
๓๘๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑๗
เมื่อ รับ ผลของกรรมชั่ว ก็ท นทุก ขท รมานอยา งเปด เผย เมื่อ รับ ผลของกรรมดี ก็ทนทุกขทรมานอยางเรนลับที่สุด ถึงกับไมรูสึกวาเปนการทนทรมาน ; แตทั้ง ๒ อย า งนี้ คื อ จะเป น นรกหรื อ สวรรค ก็ ต าม ล ว นแต เ ป น การทนเวี ย นว า ยอยู ใ น กระแสของวัฏฏสงสารโดยเสมอกัน. ทั้งหมดนี้เราจะเรียกวาเปนตัวความไมเที่ยง เองก็ไ ด หรือ เปน ผลของความไมเ ที่ย งก็ไ ด ยอ มมีค า เทา กัน อยู นั่น เอง คือ เปน ตัวความทุกขที่เนื่องอยูกับความเปลี่ยนแปลง. ยิ่งพิจารณาก็ยิ่งจะเห็นวา ยิ่ง เปลี่ ย นแปลงมาก็ ยิ่ ง ทุ ก ข ม าก เพราะความเปลี่ ย นแปลงนั้ น เป น ความไม ส งบ. ความสุข ก็เ ปน ความเปลี ่ย นแปลงชนิด หนึ ่ง มัน จึง เปน ความสุข ไปไมไ ดอ ยา ง แทจริง เปนไดเพียงความทุกข ชนิดที่เปนมายาหลอกลวงมาก พอที่จะทําใหคนเรา เขาใจผิดเทานั้น. เมื่อพิจารณากันเปนขั้นสุดทาย ถึงความทุกขที่เปนขั้นสรุปรวบยอด คื อ ทุ ก ข ต ามที่ พ ระพุ ท ธองค ไ ด ต รั ส ว า “โดยสรุ ป แล ว เบญจขั น ธ ที่ ป ระกอบอยู ด ว ย อุปาทานเปนตัวทุกข” ดังนี้ ก็จะยิ่งเห็นไดวา มีมูลมาจากความไมเที่ยงโดยตรง อีกนั่นเอง. การยึดมั่นถือมั่นในเบญจขันธเปนความทุกข ก็เพราะเบญจขันธนี้ ไม เ ที่ ย ง ความไม เ ที่ย งของเบญจขัน ธ นั่ น แหละ เป น สิ่ ง ที่ทํ า ให ผูยึ ด มั่ น ถือ มั่ น เป น ทุกขโดยตรง. อีกอยางหนึ่งตองไมลืมวาตัวความยึดมั่นถือมั่นเองก็ไมเที่ยง หรือ ถากลาวโดยสมมติก็วา ตัวบุคคลผูยึดมั่นถือมั่นนั้นก็ไมเที่ยง. เมื่อสิ่งที่ถูกยึดมั่น ก็ไมเที่ยง และอะไร ๆ ที่เขาไปเกี่ยวของดวย ก็ลวนแตเปนสิ่งที่ไมเที่ยงไปดวยกัน ทั้งหมดดังนี้แลว อาการที่เปนทุกขก็เปนสิ่งที่หลีกเลี่ยงไมได. ทั้งหมดนี้เปนการ แสดงให เห็ นว า สิ่ งที่ ไม เที่ ยงย อมผลิ ตอาการที่ เป นความทรมานออกมาจากตั วมั น เอง และอยูในตัวมันเองอยูตลอดเวลา ทําใหเกิดความทุกขทรมานอยูในตัวมันเอง และแก บุ ค คลผู เ ข า ไปยึ ด ถื อ อย า งไม มี ท างหลี ก เลี่ ย งได คื อ ไม อ าจแยกกั น ได นี้ อยางหนึ่ง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑๓ การเห็นความไมเที่ยง
๓๘๕
ข. ทุกขในความหมาย วาดูแลวนาเกลียดอยางยิ่ง. ทุกขโดย ปริ ย ายนี้ มี ค วามหมายว า ยิ่ ง ดู ด ยิ่ ง น า เกลี ย ด ยิ่ ง เห็ น ลึ ก ซึ้ ง ก็ ยิ่ ง ขยะแขยง ไม ว า จะดู ที่ สั ง ขารฝ า ยไหน ก็ จ ะยิ่ ง ขยะแขยงเพิ่ ม ขึ้ น เท า ที่ เ ห็ น ลึ ก ลงไปในความไม เ ที่ ย ง หรือความเปนมายาของสังขารเหลานั้น. ความรูสึกเกลียดหรือความรูสึกขยะแขยง จั ด ว า เป น ความทุ ก ข อี ก ปริ ย ายหนึ่ ง เพราะคํ า ว า ทุ ก ข ซึ่ ง ประกอบด ว ยบท ๒ บท คือบทวา “ทุ” กับบทวา “ข” หรือ “ขํ” ก็ตาม ยอมตีความไดหลายปริยาย คือถาถือวา ทุ = ยาก ขม = ทน, ดังนี้แลว คําวาทุกขก็แปลวา ทนยาก คือ ภาวะที่เหลือทนตาง ๆ ดังที่ไดอธิบายมาแลวในขอ ก. สวนทุกขในปริยายหลัง คือขอ ข. นี้ ทุ = นาเกลียดหรือชั่ว ข = อิกฺข = ดู, ทุกขในปริยายนี้ไดความหมาย วา ดูแลวนาเกลียด หรือนาสะอิดสะเอียนดังที่กลาวแลว เมื่อพูดวาสังขารเปนทุกข ก็หมายความวาสังขารทั้งปวงดูแลว นาสะอิดสะเอียน. นาสะอิดสะเอียนที่ตรงไหน ? นา สะอิด สะเอีย นตรงที ่ไ มเ ปลี ่ย นแปลงอยา งรุน แรงอยู ท ุก ขณะจิต ในอาการ ที่ ห ลอกให สํ า คั ญ ผิ ด ว า เป น ของเที่ ย ง พร อ มกั น นั้ น ก็ มี อ าการทนทรมานอยู ใ นตั ว มั นเอง หรื อลาดและเทความทุ กข ใส ให แก บุ คคลผู เป นเจ าของสั งขารนั้ น อย างไม มี หยุดไมมีหยอนโดยประการตาง ๆ ดังที่กลาวแลวในขอ ก. ซึ่งควรจะยอนไปพิจารณา ดู อ ย า งละเอี ย ด ก็ จ ะเห็ น ได ว า สั ง ขารทั้ ง หลายทั้ ง ปวง มี ภ าวะที่ น า สะอิ ด สะเอี ย น เพียงไร ในเมื่อพิจารณาดูกันดวยสติปญญา ไมใชหลับหูหลับตาดูดวยกิเลสตัณหา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทั้งหมดนี้ สรุปความวา ภาวะแหงความไมเที่ยงหรือความเปนอนิจจัง นั่น เอง คื อ ภาวะที่ ดู แ ล ว น า เกลี ย ด ยิ่ ง ดู ยิ่ ง เห็ น ก็ ยิ่ ง น า ขยะแขยง สะอิ ด สะเอี ย น. ฉะนั้น จึงกลาววา ภาวะแหงความไมเที่ยง กับ ภาวะแหงความที่ดูแลวนาเกลียดนา ขยะแขยง นั้ น มี ร วมอยู ที่ สิ่ ง ๆ เดี ย วกั น คื อ ที่ สั ง ขารทั้ ง ปวงนั่ น เอง. เมื่ อ กล า วถึ ง
www.buddhadasa.in.th
๓๘๖
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑๗
ความไมเที่ยง ก็หมายถึงความนาขยะแขยง. เมื่อกลาวถึงความนาขยะแขยง ก็เปนอันกลาวถึงความไมเที่ยง. นี่แหละคือขอที่วาความทุกขโดยปริยายที่สองนี้ ก็คือความไมเที่ยงอีกเหมือนกัน. ค. ความทุกขโดยปริยายที่สามมีความหมายวาวางอยางนาเกลียด วางอยางชั่วชาที่สุด โดยการแยกศัพท ๆ นี้ ออกไปวา ทุ = นาเกลียด ขํ = วาง รวมกันแลวแปลวา วางอยางนาเกลียด, ภาวะที่เรียกวาวางอยางนาเกลียดนั้นหมาย ถึง ความที ่ส ัง ขารทั ้ง ปวงมีแ ตค วามไมเ ที ่ย ง คือ ความเปลี ่ย นแปลงที ่ไ หลเชี ่ย ว เป น เกลี ย วไปไม มี หยุ ด จนถึ ง กั บกล าวได ว าตั วมั นเองมี แ ต ความไม เที่ ยงหรื อ ความ เปลี่ ย นแปลง กระแสแห ง ความเปลี่ ย นแปลงนั่ น เอง คื อ ตั ว มั น เอง นอกจากนี้ แ ล ว หามีตัวตนอะไรที่ไหนไม ; สังขารทั้งปวงจึงมีแตภาวะที่วางอยางนาเกลียด ดังนี้. แตค วามทุก ขใ นความหายเชน นี ้ สอ งความเลยไปถึง ความเปน อนัต ตา ฉะนั ้น จะได วิ นิ จ ฉั ย กั น โดยละเอี ย ดตอนที่ ว า ถ า เห็ น ความไม เ ที่ ย ง ก็ เ ห็ น ความเป น อนัตตา อันจะกลาวถึงขางหนา. ในที่นี้เพียงแตมุงหมายจะชี้ใหเห็นวา แมใน ความทุ ก ข โ ดยปริ ย ายที่ ส ามนี้ คื อ ว า งอย า งน า เกลี ย ดนี้ ก็ ร วมอยู ใ นคํ า ว า ไม เ ที่ ย ง ด ว ยเหมื อ นกั น เพราะความไม เ ที่ ย งนั้ น เป น ความว า งอย า งยิ่ ง คื อ มี แ ต ค วาม เปลี่ยนแปลงไมมีหยุดอยางเดียว.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สรุปความวา ในความไมเที่ยงนั้น มีภาวะแหงความทนทรมาน ๑, ภาวะแหงความดูแลวนาเกลียด ๑, และภาวะแหงความวางอยางนาเกลียด ๑, รวมอยูพรอมกันในที่เดียวกัน ในขณะเดียวกัน อยางครบถวน. ผูใดสามารถ เห็นความไม เที่ ยงได จริ ง ๆ จั กต องเห็ นภาวะทั้ง ๓ นี้ อย างชัดแจ งพรอมกั นไปในตั ว โดยไมมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได เพราะฉะนั้นจึงกลาววาเ มื่อเห็นความไมเที่ยง ก็ตอง
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑๓ การเห็นความไมเที่ยง
๓๘๗
เห็ นความเป นทุ กข ด วย โดยไม ต องสงสั ยเลย และนี้ ย อมเป นการอธิ บายอยู แล วว า ทํ า ไมอานาปานสติ จ ตุ ก กะที่ สี่ นี้ พ ระพุ ท ธองค จึ ง ตรั ส ถึ ง แต ค วามไม เ ที่ ย งอย า ง เดียว ไมตรัสถึงความทุกข ; นั่นก็เพราะวาความทุกขรวมอยูในความไมเที่ยง โดยไมมีทางที่จะแยกกันไดนั่นเอง. บั ด นี้ จ ะได วิ นิ จ ฉั ย ในข อ ที่ ว า ถ า เห็ น ความไม เ ที่ ย ง ก็ จ ะเห็ น ความ เปนอนัตตาพรอมกันไปในตัวไดอยางไรสืบไป. ยอมสอ ลักษณะแหงความเปนอนัตตา ลักษณะแหงความไมเที่ยง๑ โดยสวนใหญก็คือลักษณะแหงความเปนมายา หรือความไมมีตัวจริงของสิ่งที่ไมเที่ยง นั่นเอง เพราะลักษณะเชนนั้น ยอมแสดงถึง ความวางจากตัวตน หรือที่เรียกวา สุญญตา อยูอยางเต็มที่แลว ; นี้นับวาเปนใจความสําคัญของการที่ ความไมเที่ยง ยอมแสดงถึง ความเปนอนัตตา อยูในตัวมันเอง โดยไมตองพูดวา เพราะไมเที่ยง จึ ง เป น อนั ต ตา ทั้ ง นี้ เ พราะความจริ ง มี อ ยู แ ล ว ว า สิ่ ง ที่ ไ ม เ ที่ ย งนั้ น ไม มี ตั ว ตนจริ ง มีแตกระแสแหงความเปลี่ยนแปลงนั้นแหละเปนตัวมันเอง นี้ประการหนึ่ง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นอกจากนี้ ก็ ยั งมี ทางที่ จะพิ จารณาให เห็ นโดยปริ ยายอื่ นอี กทุ กปริ ยาย โดยความหมายของคําวา อนัตตา ซึ่งมีอยูตาง ๆ กัน เชน :ก. เปนอนัตตา เพราะมีแตความเปนไปตามอํานาจของเหตุปจจัย ไม มี ต นเองที่ เ ป น อิ ส ระ ซึ่ ง หมายความว า สิ่ ง เหล า นี้ ขึ้ น อยู กั บ เหตุ ป จ จั ย ที่ ป รุ ง แต ง มัน ; หรือกลาวอีกปริยายหนึ่ง ตัวมันเองก็เปนเพียงเหตุปจจัย เพื่อปรุงแตง สิ่ ง อื่ น ต อ ไปในลํ า ดั บ ต อ มา ซึ่ ง เป น การแสดงว า ทุ ก สิ่ ง ตกอยู ภ ายใต อํ า นาจของกฎ
๑
การบรรยายครั้งที่ ๔๔ / ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๐๒
www.buddhadasa.in.th
๓๘๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑๗
ธรรมชาติอันนี้ จึงไดเปลี่ยนกันเปนเหตุปจจัยสลับกันไปไมมีที่สิ้นสุด. ความ เป นอนั ตตาโดยทํ านองนี้ ก็ คื อลั กษณะแห งความไม เที่ ยงโดยตรงอี กนั่ นเอง เพราะ เปนความเปลี่ยนแปลงเรื่อยไปตาม กฎแหงความเปลี่ยนแปลง ของสิ่งที่เปนเหตุ เปนปจจัย ซึ่งตองมีอาการเกิดขึ้น – ตั้งอยู – ดับไปอยูในตัวมันเองตลอดเวลา หยุด เปลี่ยนเมื่อใด ก็หมดความเปนตัวมันเองเมื่อนั้น ขอนี้ สรุปความ วาเปนอนัตตา เพราะมีแตความไมเที่ยงของสิ่งที่เปนเพียงเหตุปจจัย. ข. เปนอนัตตา เพราะบังคับไมได ขอนี้มุงหมายถึงความไมเที่ยง หรื อ ความเปลี่ ย นแปลงที่ ใ คร ๆ บั ง คั บ ไม ไ ด อี ก นั่ น เอง และยิ่ ง กว า นั้ น ยั ง กิ น ความ เลยไปถึ ง ความทุ ก ข มี ป ระการต า ง ๆ ที่ เ กิ ด มาจากความบั ง คั บ ไม ไ ด นั้ น อี ก ด ว ย เพราะตามธรรมดาคนเราต อ งการไม ใ ห มั น ทุ ก ข แต แ ล ว ก็ บั ง คั บ ไม ไ ด ความทุ ก ข ยอมเกิดมาจากความไมเที่ยง. ความที่บังคับไมได ก็เกิดมาจากความไมเที่ยง ความไม เที่ ยงจึ งเป นเหตุ ของความเป นอนั ตตาโดยสิ้ นเชิ งแต อ ย างเดี ยว โดยไม ต อ ง มีอะไรมาชวย. เมื่อมีความรูสึกตอความบังคับไมได ก็ยอมรูสึกตอความเปนทุกข และความไม เ ที่ ย งขึ้ น มาทั น ที เหมื อ นกั บ เมื่ อ ถู ก ไฟไหม รู สึ ก เจ็ บ ก็ ต อ งรู สึ ก ต อ ความรอนของไฟพรอมกันไปในตัว โดยไมมีทางที่จะแยกกัน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ค. ความเปนอนัตตา เพราะมีสภาพเปนสิ่งที่หาเจาขาองไมไดก็ตาม หรือเพราะใคร ๆ ไมสามารถเปนเจาของมันไดก็ตาม รวมความแลวก็เพราะ อํ า นาจความไมเ ที ่ย งอยา งที ่เ รีย กวา ไมเ ชื ่อ ฟง ใคร เอาแตเ ปลี ่ย นแปลงตะพึด อี ก นั่ น เอง มั น จึ ง อยู ใ นสภาพที่ ใ คร ๆ เข า ไปทํ า ตนเป น เจ า ของสิ่ ง นี้ ไ ม ไ ด แม ผู มี อํ า นาจถึ ง ขนาดที่ ส มมติ กั น ว า พระเป น เจ า ก็ ห าสามารถทํ า ตนเป น เจ า ของสิ่ ง นี้ ไดไ ม กลับ มีแ ตสิ ่ง นี ้อ ีก ที ่จ ะเขา ครอบงํ า พระเปน เจา ใหอ ยู ใ นอํ า นาจของตน
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑๓ การเห็นความไมเที่ยง
๓๘๙
กลาวคือเปนพระเจา ก็กลายเปนของไมเที่ยงไปดวย. ความไมเที่ยงเปนสิ่งที่ ทรงไวซึ่งสิทธิและอํานาจในความเปนอยางนี้ คือความที่ไมยอมใหใครเปนเจาของ ดัง นั ้น จึง เปน อัน เดีย วกัน กับ ความเปน อนัต ตา ตา งกัน เพีย งสัก วา ชื ่อ หรือ ความหมายตามตัวหนังสือ สวนความจริงนั้นหมายถึงสิ่ง ๆ เดียวกัน คือความที่ ไมยอมใหใครเปนเจาของนั่นเอง. ง. ความเปนอนัตตา โดยความหมายทั่ว ๆ ไป หมายถึงความ ที่มีลักษณะแยงหรือตรงกันขามกับอัตตา ซึ่งเปนความหมายที่รวมเอาความ หมายตาง ๆ ทั้งหมดเขามาเปนเครื่องพิสูจน. ความหมายเหลานี้ทั้งหมด ก็คือ ลัก ษณะแหง ความไมเ ที ่ย ง และความเปน ทุก ขท ุก ประการ ดัง ที ่ก ลา วมาแลว ขางตนทุกอยางนั้นเอง. เกี่ยวกับเรื่องนี้มีจํากัดความวา ถาเปนอัตตาก็คือ เปน ของเที ่ย งและเปน สุข ถา ทั ้ง ไมเ ที ่ย งและทั ้ง เปน ทุก ขก ็เ ปน อนัต ตา เมื ่อ เปน ดั ง นี้ ก็ เ ป น อั น รั บ รองชั ด อยู ใ นตั ว เองแล ว ว า ความเป น อนั ต ตาคื อ ความไม เ ที่ ย ง และเป น ทุ ก ข หรื อ การเป น อนั ต ตาก็ คื อ การเป น ความไม เ ที่ ย งและเป น ทุ ก ข นั่ น เอง เพราะฉะนั้ น สัง ขารทั้งหลายทั้ง ปวงซึ่ง ลวนแต ประกอบอยู ดวยความไมเ ที่ยงและ เปนทุกข จึงเปนอนัตตาเต็มที่. เมื่อมองเห็นอนัตตาของสังขารทั้งปวง ก็เทากับ มองเห็นความไมเที่ยงและเปนทุกขของสังขารทั้งปวง. และเมื่อกลาวกลับกัน คื อ เห็ น ความไม เ ที่ ย งของสั ง ขารทั้ ง ปวง ก็ ต อ งเห็ น ความเป น ทุ ก ข แ ละเป น อนั ต ตา ของสังขารทั้งปวง อยางไมมีทางหลีกเลี่ยงได. เพราะฉะนั้น การกลาวสั้น ๆ แตเพียงวา “เห็นความไมเที่ยง” เพียง ๒ คําเทานี้ มันยอมบงความหมายออกไป ได เ องว า เห็ น ความไม เ ที่ ย งของสั ง ขารทั้ ง ปวง และเห็ น โดยอาการที่ มั น เป น ทุ ก ข หรือเปนอนัตตารวมอยูดวย โดยไมมีทางที่จะหลีกเลี่ยงไดเลย.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๓๙๐
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑๗
สรุปความวา การที่พระผูมีพระภาคเจาตรัสแตเพียงวา “อนิจจานุปสสี” สั้น ๆ ลวน ๆ เพียงเทานี้ แตใจความบงออกไปไดเองวา เห็นความไมเที่ยงของ สังขารทั้งปวง เพราะวาในสิ่งที่มิใชสังขารนั้น ยอมไมมีความไมเที่ยงใหเราเห็น และวาเห็นความไมเที่ยงโดยความเปนทุกขและความเปนอนัตตา ซึ่งเปนอาการ ประจํ า ของสิ ่ง ที ่ไ มเ ที ่ย งนั ่น เอง โดยเหตุนี ้แ หละในอานาปานสติจ ตุก กะที ่สี่ พระองคจึงตรัสถึงแตความไมเที่ยง โดยไมจําเปนจะตองตรัสถึงความเปนทุกข เปน อนัตตาโดยชื่อแตประการใดเลย. ฉะนั้น พึงเขาใจวาอานาปานสติขั้นที่สิบสามนั้น ยอมเล็งถึงไตรลักษณะ หรือสามัญญลักษณะอยูอยางครบถวน โดยขอเท็จจริง ดังที่กลาวมาแลวนี้. ผู ป ฏิ บั ติ อ านาปานสติ มี ท างที่ จ ะปฏิ บั ติ ใ ห เ ห็ น ความไม เ ที่ ย งของ สังขารทั้ งปวง เทาที่จะปรากฏขึ้นในอานาปานสติทุกขั้น ตั้ง แตขั้นแรกที่สุดเป น ลําดับมา : ลมหายใจก็เปนสังขาร ; จิตหรือสติเปนตน ที่ทําหนาที่กําหนด ลมหายใจ ก็เปนสังขาร ; อารมณหรือนิมิตตาง ๆ ที่ปรากฏขึ้นสับเปลี่ยนกัน ไปตามลําดับ ก็เปนสังขาร ; เวทนาคือปติและสุขเปนตน ที่เกิดมาจากกําหนด ลมหายใจนั้น ก็เปนสังขาร ; นิวรณตาง ๆ ก็เปนสังขาร ; องคฌานตาง ๆ และ ฌานทุกขั้น ก็เปนสังขาร ; ธรรมะตาง ๆ ที่สโมธานมาไดในขณะนั้นก็เปน สังขาร ; แมที่สุดแตตัวการกําหนดเองก็เปนสังขาร ; อาการที่การกําหนดเปลี่ยน แปลงไปในรูปตาง ๆ การเปลี่ยนแปลงนั้นก็เปนสังขาร ; กระทั่งถึงตัวธรรม ที ่กํ า ลัง กํ า หนดอยู ในฐานะเปน อารมณข องการกํ า หนดทุก ขั ้น ตอน ก็ล ว นแต เปนสังขาร ; เพราะเหตุนี้เองเราจึงมีโอกาสที่จะกําหนดความไมเที่ยง (ซึ่งรวม ความเปนทุกข ความเปนอนัตตาอยูในตัวดวยเสร็จ) ไดจากอานาปานสติทุกขั้น และในขั้น หนึ่ง ๆ ก็มีท างที่กํา หนดไดห ลายแงห ลายมุม แลว แตเ ราจะกํา หนด แตอาจจะสรุปใหเปนประเภทไดวา กําหนดสังขารบางพวก ในฐานะเปนอารมณ คือเปน อายตนะภายนอก ; กําหนดสังขารบางพวกในฐานะเปนตัวรูอารมณ
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑๓ การเห็นความไมเที่ยง
๓๙๑
คือเปน อายตนะภายภายใน ; และกําหนดสังขารบางพวกในฐานะเปนอาการของการ ปรุ ง แต ง ทยอยกั น ให เ กิ ด สิ่ ง ใหม เช น การกํ า หนดนิ มิ ต ทํ า ให เ กิ ด องค ฌ านเป น ต น ในฐานะเปนการกําหนด ปฏิจจสมุปบาท ; รวมเปน ๓ ประเภทดวยกัน ดังนี้ก็จะ เปน การกํ า หนดสัง ขารทั ้ง หลายทั ้ง ปวงไดโ ดยสิ ้น เชิง และเมื ่อ เห็น ความไมเ ที ่ย ง ก็เ ปน การเห็น ความเปน ทุก ข และความเปน อนัต ตารวมอยู ด ว ยกัน โดยสมบูร ณ ดังที่กลาวมาแลวขางตน, การทําอยางนี้ทําใหไมตองเที่ยวกําหนดนั่นนี่พราออก ไปนอกวงของการเจริ ญ อานาปานสติ แต ก็ เ ป น การกํ า หนดที่ ค รบถ ว นต อ สั ง ขาร ทั้ ง ปวงได จ ริ ง เพราะเป น การกํ า หนดที่ ตั ว จริ ง ของธรรมนั้ น ๆ ไม ไ ด กํ า หนดสั ก ว า ชื่ อ เหมื อ นที่ ทํ า กั น อยู ใ นวงการศึ ก ษาเล า เรี ย น ซึ่ ง จะกํ า หนดให ม ากมายสัก เทา ไร ก็ไมเปนการเพียงพอ และมีผลเทา ๆ กับไมไดกําหนดอะไรเลยอยูนั่นเอง. เมื่ อผู ปฏิ บั ติ กํ าหนดความไม เที่ ยงของสั งขารธรรม ที่ ปรากฏในการเจริ ญ อานาปานสติ อ ย า งใดอย า งหนึ่ ง อยู ดั ง นี้ ย อ มมี อ าการซึ ม ซาบในความเป น อนิ จ จั ง ทุ ก ขั ง อนั ต ตา อย า งลึ ก ซึ้ ง ชนิ ด ที่ ทํ า ให เ กิ ด นิ พ พิ ท า วิ ร าคะ ในขั้ น ต อ ไปได จ ริ ง และเมื่ อ มี ค วามรู สึ ก ซึ ม ซาบอยู ดั ง นี้ ในลั ก ษณะที่ ก ล า วนี้ ซึ่ ง เป น การเห็ น อนิ จ จั ง อย างลึ กซึ้ งและชั ดแจ ง ยิ่ งกว าในอานาปานสติ ขั้ นที่ แล ว ๆ มา จึ งสามารถสโมธาน ธรรมทั้ ง ๒๙ ประการมาได ในอั ตราที่ สู ง กว า ประณี ตกว าขั้ นที่ แล ว ๆ มาดุ จกั น ทํ า ให ก ารเจริ ญ ภาวนาในขั้ น นี้ เป น ภาวนาที่ สู ง ยิ่ ง ขึ้ น ไปตามลํ า ดั บ และทํ า ให ไ ด นามวา ธรรมานุป ส สนาสติป ฏ ฐานภาวนา เพราะเหตุที ่ไ ดกํ า หนดเอาตัว ธรรม คื อตั วความไม เที่ ยงโดยตรงมาเป นอารมณ สํ าหรั บการกํ าหนด แทนที่ จะเอาลมหายใจ หรื อ เวทนา หรื อ จิ ต มาเป น อารมณ สํ า หรั บ การกํ า หนด ดั ง เช น ในอานาปานสติ ๓ จตุกกะขางตน. วิ นิ จฉั ยอานาปานสติ ขั้ นที่ สิ บสามสิ้ นสุ ดลงเพี ยงเท านี้ ต อแต นี้ ไปจะได วินิจฉัยในอานาปานสติขั้นที่สิบสี่ตอไป.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
ตอน สิบแปด
อานาปานสติ ขั้นที่ สิบสี๑่ (การตามเห็นความจางคลายอยูเปนประจํา)
อานาปานสติ ขั้ น ที่ สิ บ สี่ หรื อ ข อ ที่ ส องแห ง จตุ ก กะที่ สี่ นี้ มี หั ว ข อ ว า “ภิกษุนั้นยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูตามเห็นซึ่งความจางคลายอยูเปนประจํา จัก หายใจเขา ดังนี้ ; ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูตามเห็นซึ่งความจางคลายอยูเปนประจํา จักหายใจออก ดังนี้”.๒ สิ่งที่ตองวินิจฉัยในที่นี้คือ อะไรคือความจางคลาย : ความจางคลาย เกิดขึ้นไดอยางไร ; และ เกิดขึ้นในสิ่งใด ; ทําอยางไร ไดชื่อวา เปนผูตามเห็น ซึ่งความจางคลายนั้น. ความจางคลายเรี ยกโดยบาลี ว า วิ ราคะ โดยตั วพยั ญชนะแปลว าปราศจาก ราคะ คือปราศจากเครื่องยอม อันไดแกความกําหนัด. สวนโดยความหมายหรือ โดยอาการอั น แท จ ริ ง หมายถึ ง ความจางคลายของความยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น และความ
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๑ ๒
การบรรยายครั้งที่ ๔๕ / ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๐๒ วิราคานุปสฺสี อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ : วิราคานุปสฺสี ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ.
๓๙๒
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑๔ การเห็นความจางคลาย
๓๙๓
สํ าคั ญผิ ดอื่ น ๆ ที่ ทํ าให หลงรั กหลงพอใจอย างหนึ่ ง และหลงเกลี ยดชั งอี กอย างหนึ่ ง เป น อั น ว า วิ ร าคะในที่ นี้ หาได ห มายถึ ง อริ ย มรรคโดยตรงแต อ ย า งเดี ย ว เหมื อ นในที่ บางแห ง ไม แต ห มายความกว า ง ๆ ถึ ง การทํ า กิ เ ลสให ข าดออก หรื อ หน า ยออก โดยอาการอย า งเดี ย วกั น กั บ อริ ย มรรคทํ า ลายกิ เ ลสนั่ น เอง และมุ ง หมายถึ ง อาการ ที่จางคลาย ยิ่งกวาที่จะมุงหมายถึง ธรรมที่เปนเครื่องทําความจางคลาย. แตโดยนัยแหงการปฏิบั ตินั้น ยอมเห็น พรอ มกัน ไปทั้ง ๒ สิ่ง กลา ว คือ เมื่อเห็นความจางคลายอยูอยางชัดแจง ก็ยอมเห็นธรรมเปนเครื่องทําความ จางคลายดวยเปนธรรมดา เหมือนกับเมื่อเราเห็นเชือกที่ขมวดอยูคลายออก ก็ยอม เห็นสิ่งที่ทําใหขมวดนั้นคลายออกดวยกันเปนธรรมดา. ฉะนั้น ถึงถือวิราคะในขณะ แห งอานาปานสติ นี้ หมายถึ ง ความจางคลาย โดยตรง และ ธรรมที่ทํ าความจางคลาย โดยออ ม ในฐานะเปน ของผนวกอยูใ นความจางคลายนั้น . คํา วา จางคลาย มีความหมายตรงกันขามจากคําวา ยอมติด. ตามธรรมดาสั ต ว มี ใ จย อ มติ ด อยู ในสิ่ งทั้ งปวง โดยความเป น ของน าใคร อย า งหนึ่ ง และโดยความเป น ตั ว ตนอย า งนั้ น อย า งนี้ อี ก อย า งหนึ่ ง ด ว ยอํ า นาจ ความยึดมั่นถือมั่นหรือความสําคัญผิดอันมีมูลมาจากอวิชชา. เมื่อใดความยอมติด อันนี้ถูกทําใหหนายออก เมื่อนั้นชื่อวามีความจางคลายในที่นี้ ; โดยกิริยาอาการ ก็ค ือ คลายความรู ส ึก ที ่เ ปน ความใคร และความรู ส ึก วา เปน นั ่น เปน นี ่ เปน ตัว ตนอยางนั้นอยางนี้. ส ว นข อ ที่ ว า ความจางคลายเกิ ด ขึ้ น ได อ ย า งไร นั้ น ตอบได สั้ น ๆ ว า ความจางคลายเกิดขึ้นไดเพราะการเห็นอนิจจัง โดยวิธีกลาวแลวในอานาปานสติ ขั้นที่สิบสาม. การเห็ น ธรรมในลั ก ษณะเช น นั้ น เป น เหมื อ นการแก ห รื อ การชะล า งให จางคลายออก – คลายออก เพราะเปนการแสดงใหเห็นตามที่เปนจริง วาสิ่งเหลานั้น
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๓๙๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑๘
ไม ค วรยึ ด ติ ด ไม ค วรยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น เพราะมั น กํ า ลั ง เป น อนิ จ จั ง ทุ ก ขั ง อนั ต ตาอยู ตลอดเวลา และทํ าความทุ กขให เกิดขึ้ นแก บุ คคลผู เข าไปยึ ดมั่นถื อมั่นอยูตลอดเวลา หากแต ว าเขาไม มองเห็ นความจริ งในข อนี้ จึ งยึ ดมั่ นถื อมั่ นต อสิ่ งซึ่ งกํ าลั งทํ าความทุ กข ใหแ กต น เหมือ นคนที ่ไ มรู จ ัก โรค ไมรู จ ัก มูล เหตุข องโรค ก็ย อ มพอใจในการ คลุ กคลี อยู กั บสิ่ งเหล านั้ น เพื่ อความสนุ กสนาน ด วยอํ านาจความสํ าคั ญผิ ดได ตลอด ไป เมื่ อ ใดเห็ น โทษของสิ่ ง นั้ น ความจางคลายหน า ยหนี ต อ สิ่ ง นั้ น ก็ เ กิ ด ขึ้ น ฉะนั้ น จึงกลาววาความจางคลายเกิดขึ้น เพราะการเห็นความจริงของสิ่งที่ตนเขาไปยึดถือ. ส ว นข อ ที่ ว า ความจางคลายเกิ ด ขึ้ น ในสิ่ ง ใด นั้ น ตอบได ก ว า ง ๆ ว า เกิดขึ้นไดในทุกสิ่งที่มีความไมเที่ยง ดังที่กลาวแลวในอานาปานสติขั้นที่สิบสาม กล า วคื อ ในเบญจขั น ธ ในอายตนะภายใน และในอาการแห ง ปฏิ จ จสมุ ป บาท เมื่ อผู ปฏิ บั ติ พิ จารณาเห็ นความไม เที่ ยงในสิ่ งใด ก็ ย อมเห็ นความที่ จิ ตจางคลายจาก สิ่งนั้นในสิ่งนั้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ข อ ที่ ว า ทํ า อย า งไรจึ ง ได ชื่ อ ว า ผู ต ามเห็ น ซึ่ ง ความจางคลายอยู เ ป น ประจํ า อธิ บ ายว า เมื่ อ เห็ น ความไม เ ที่ ย งของสิ่ ง ใดสิ่ ง หนึ่ ง จนเกิ ด ความจางคลาย จากความยึดถืออยูทุกลมหายใจเขา – ออก การกระทําดังนั้น ชื่อวา วิราคานุปสสนา คือการตามเห็นความจางคลาย. บุคคลผูทําเชนนั้นอยูเรียกวา วิราคานุปสสี คือผูตามเห็นความจางคลายอยูเปนประจํา ซึ่งมีวินิจฉัยในทางปฏิบัติ ดังตอไปนี้ :-
ผูปฏิบัติที่ประสงคจําทําความจางคลายใหเกิดขึ้นในสิ่งใด จะตองพิจารณา ให เ ห็ น อาที น วะ คื อ โทษอั น ร า ยกาจของสิ่ ง นั้ น ก อ น ครั้ น เห็ น โทษของสิ่ ง นั้ น แล ว ความพอใจที่จะพรากหรือหยาขาดจากสิ่งนั้น จึงจะเกิดขึ้น ; มิฉะนั้นแลวทําอยางไร
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑๔ การเห็นความจางคลาย
๓๙๕
เสีย ก็ยอมไมพอใจที่จะหยาขาดจากสิ่งนั้น. ทานอุปมาความขอนี้ไววา เหมือน กับบุคคลที่สําคัญผิดเขาใจวางูคือปลา ยอมมีความพอใจในงูนั้น ในลักษณะที่เห็น กงจักรเปนดอกบัวอยูเรื่อยไป และจะไดรับอันตรายตายแลวตายอีก เพราะสิ่งนั้น อยูร่ําไป จนกวาเมื่อไรจะเห็นตามที่เปนจริงวานั่นเปนงู หาใชเปนปลาไม ดังนี้ คําวา เห็นโทษอันรายกาจ ในที่นี้ หมายถึงพิจารณาเห็นชัดแจงในความไมเที่ยงเปน ทุกขเปนอนัตตา ดังที่กลาวมาแลวโดยละเอียดขางตน จึงยินดีหรือสมัครใจที่จะ หยาขาดจากสิ่งนั้น มีความแนวแนขนาดที่ทานเรียกกันวา ปลงความเชื่อลงไปหมด (สทฺธาธิมุตฺต) ขอนี้หมายถึงความแนใจดวยอํานาจของปญญา และทั้งเปนไปใน ขณะที่จิตเปนสมาธิ คือมีกําลังของสมาธิรวมอยูดวยอยางเต็มที.่ อํานาจของสมาธิ ทําใหเห็นแจงถึงที่สุด อํานาจของความเห็นแจงถึงที่สุด ทําใหปลงความเชื่อลง ไปถึงที่สุด ในการที่จะไมยึดติดตอสิ่งนั้นอีกตอไป. ทั้งหมดนี้คือขณะแหงความ จางคลาย ทั้งหมดนี้เปนไปทุกขณะแหงการหายใจเขาและออก. ตามที่ ก ล า วมาแล ว ข า งต นว า สิ่ ง ที่ เรี ย กว า สั ง ขารธรรมทั้ ง ปวง ซึ่ ง เป น วั ตถุ สํ าหรั บการพิ จารณาให เ ห็ นความไม เ ที่ ยงเป น ต นนั้ น เมื่ อ จํ าแนกตามหลั ก วิ ช า จํ า แนกเป น พวกอารมณ ไ ด แ ก เ บญจขั น ธ เ ป น ต น นี้ พ วกหนึ่ ง เป น พวกที่ เ สวย อารมณ ได แกอายตนะภายในพวกหนึ่ง และอาการของสิ่ งต าง ๆ ปรุงแต งกันเกิดขึ้ น เปนลําดับ ๆ ไดแกอาการแหงปฏิจจสมุปบาทนี้อีกพวกหนึ่ง, ฉะนั้น ผูที่ประสงค จะทํ า อานาปานสติ ใ นขั้ นนี้ โ ดยกว า งขวาง ก็ ค วรทํ าการกํ าหนดเรี ยงอย า งไปทั้ ง ๓ พวก คื ออย างน อยก็ พิ จารณาขั นธ ห า อายตนะหก และอาการของปฏิ จจสมุ ปบาท ๑๒ อาการ ที ละอย าง ๆ โดยวิธี ทํ าให ปรากฏมี ขึ้ นในตน หรือมองให เห็ นชั ดตามที่ มั น มี อ ยู แ ล ว ในตน กํ า ลั ง แสดงอาการอยู ใ นตนอย า งนั้ น ๆ โดยประจั ก ษ แล ว จึ ง หยิ บขึ้ นมาพิ จารณาโดยความเป นของไม เที่ ยงเป นเบื้ องต นก อน จึ งจะมองเห็ นโทษ
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๓๙๖
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑๘
อันร ายกาจของสั งขารเหล านั้นมี รู ปเป นต น แล วเพ งดู โทษนั้ นอยู ทุ กลมหายใจเข า – ออก จนกระทั่ งเกิ ดความพอใจขึ้ นมาเอง ในการที่ จะแยกจากกั นด วยอาการที่ สมมติ เรียกวา “หยาขาดจากกัน” จากสิ่งนั้น ประคองความพอใจอันนี้ไวทุกลมหายใจ ออก – เขา จนกวาความเชื่อจะปลงลงไปโดยสิ้นเชิงดวยอํานาจของปญญา และ กํ าลั งของสมาธิ รวมกั น ขาดจากสิ่ งนั้ นแล วจริ ง ๆ คื อไม พอใจในทางกามว าเป นสิ่ ง ที่ น า รั ก น า ใคร และไม ยึ ด ถื อ ในทางภพว า เป น นั่ น เป น นี่ เป น ตั ว ตนหรื อ เป น ของ ของตนอยางนั้นอยางนี้ อยูทุกลมหายใจเขา – ออก จนกวาจะถึงที่สุด. เมื่อมีเวลา มากก็ แ ยกทํ า ได โ ดยละเอี ย ดและเรี ย งอย าง จนมี ค วามชํ า นาญคล อ งแคล ว แล ว ก็ จะประสบกั นเข าสั กอย างหนึ่ งหรื อสั กโอกาสหนึ่ ง ที่ ตนสามารถทํ าให เกิ ดความจาง คลายได เต็ มตามความหมาย เป นผู สร างคลายจากความเมาในกาม และสร างคลาย จากความยึดมั่นในภพไดจริง ราคะ โทสะ โมหะ กลายเปนสิ่งไมมีที่ตั้งที่อาศัยตอไป เพราะเหตุนั้น. เมื่ อ กล า วรวบรั ด ตามแบบของอานาปานสติ ท า นแนะให ห ยิ บ เอาลม หายใจซึ่ งเป นหมวดกาย ป ติ และสุ ขซึ่ งเป นหมวดเวทนา องค ฌานและความคิ ดนึ ก ตาง ๆ ซึ่ งเป นหมวดจิ ต ขึ้ นมาพิ จารณาเพื่ อเห็ นความไม เที่ ยง จนกระทั่ งเกิดความ จางคลายโดยอาการอยางเดียวกัน. โดยหลักเกณฑนี้ผูปฏิบัติจะตองทําอานาปานสติ ทุ ก ขั้ น เริ่ ม ต น มาใหม แล ว พิ จ ารณาทุ ก สิ่ ง ทุ ก อย า งที่ ป รากฏขึ้ น และอาจจะ พิ จารณาได เพื่ อเห็ นความไม เที่ ยง เพื่ อเกิ ดความจางคลายดั งที่ กล าวแล ว การหยิ บ เอาความสุ ขอั นสู งสุดมาพิ จารณา และไมต องมี การแยกแยะพิ จารณาไปเสี ยทุ กอย าง ทุกประเภท ซึ่งดูเปนการแจกลูกตามแบบปริยัติอยูอีกไมนอยเหมือนกัน. เหตุ ที ่ ก ารพิ จ ารณาอย า งเดี ย ว แต ไ ด ผ ลกว า งขวางครอบคลุ ม ไปทุ ก อย า งนั ้ น ก็เ พราะวา สิ ่ง อัน เปน ที ่ตั ้ง ของกิเ ลสทั ้ง หมดทั ้ง สิ ้น ยอ มรวมจุด อยู ที ่เ วทนา คือ สุ ขเวทนาที่ ทํ าให รั ก และทุ กขเวทนาที่ ทํ าให เกลี ยด สองอย างนี้ เป นป ญญาใหญ ของ
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑๔ การเห็นความจางคลาย
๓๙๗
ความมีทุกข : การแกปญหาที่จุดนี้จึงเปนการเพียงพอ. ถาเห็นวานอยไปหรือ ลุ น ไปก็ ค วรจะขยายออกไป อย า งมากเพี ย งสามคื อ เพิ่ ม พวกกาย อั น ได แ ก ล ม หายใจเป น ต น อย า งหนึ่ ง และพวกจิ ต เช น วิ ต กหรื อ ตั ว จิ ต เอง ที่ กํ า ลั ง อยู ใ นภาวะ อยางนั้นอยางนี้เปนตน อีกพวกหนึ่ง รวมเปน ๓ พวกดวยกัน. ขอสําคัญอยูตรงที่ ต อ งเป น การกระทํ า ด ว ยจิ ต ที่ เ ป น สมาธิ โดยการเพ ง ของป ญ ญาที่ เ พี ย งพอ คื อ เพ ง ไปในทางลักษณะ ที่เรียกวา ลักขณูปณิชฌาน จนลักษณะแหงอนิจจังปรากฏ มี อ าการของอุ ท ยั พ พยญาณ และภั ง คญาณเป น ต น ปรากฏขึ้ น ชั ด เจน จนกระทั่ ง เห็ น โทษอั น ร า ยกาจในขนาดที่ เ ป น อาที น วญาณ และปลงความเชื่ อ ทั้ ง หมดลงไป ไดดว ยอํา นาจของปญญา ดังที่กลาวแลว . ทั้ง หมดนี้ใ หเปนอยูทุก ลมหายใจ เขา – ออก ทุก ๆ ขั้นไปทีเดียว. เมื่ อทํ าอยู ดั งนี้ ย อมชื่ อว าเป นวิ ราคานุ ป สสี คื อผู ตามเห็ นความจางคลาย อยูเปนประจํา อยูทุกลมหายใจเขา – ออก เมื่อทําไดอยางนี้ถึงที่สุด การกระทํานี้ ชื่ อ ว า ธรรมานุ ป ส สนาสติ ป ฏ ฐานภาวนาที่ ส มบู ร ณ เป น ภาวนาที่ ส ามารถทํ า ให ประมวลมาได ซึ่งธรรมสโมธาน ๒๙ ประการ ในระดับที่สูงขึ้นไปอีก. สิ่ งที่ จะต องเข าใจไว ด วยอี กอย างหนึ่ งเป นพิ เศษ คื อในข อที่ ว า ในคํ าว า วิ ร าคะ หรื อ ความจางคลาย นี้ ย อ มรวมคํ า ว า นิ พ พิ ท า หรื อ ความเบื่ อ หน า ยไว ด ว ยเสร็ จ ในตั ว และรวมอยู ใ นระยะที่ เ รี ย กว า มี ก ารเห็ น โทษอั น ร า ยกาจ จนเกิ ด ความพอใจในการที่ จ ะหย า ขาดจากสิ่ ง เหล า นั้ น นั่ น เอง มิ ฉ ะนั้ น แล ว จะทํ า ให เ กิ ด ความฉงนว า นิ พ พิ ท าญาณซึ่ ง เป น ญาณที่ สํ า คั ญ อี ก ญานหนึ่ ง นั้ น ไปอยู ที่ ไ หนเสี ย . ขอให เ ข า ใจว า อานาปานสติ ขั้ น นี้ นิ พ พิ ท ารวมอยู ใ นคํ า ว า วิ ร าคะ ทํ า นองเดี ย วกั บ ที่ในอานาปานสติขั้นกอนหนานี้ ทุกขังกับอนัตตารวมอยูในคําวาอนิจจังนั่นเอง. วิ นิ จ ฉั ย ในอานาปานสติ ขั้ น ที่ สิ บ สี่ สิ้ น สุ ด ลงเพี ย งเท า นี้ ต อ แต นี้ จ ะได วินิจฉัยในอานาปานสติขั้นที่สิบหาสืบไป.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
ตอน สิบเกา
อานาปานสติ ขั้นที่ สิบหา๑ (การตามเห็นความดับไมเหลืออยูเปนประจํา)
อานาปานสติ ขั้ น ที่ สิ บ ห า หรื อ ข อ สามแห ง จตุ ก กะที่ สี่ มี หั ว ข อ ว า “ภิกษุนั้น ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูตามเห็นซึ่งความดับไมเหลืออยูเปนประจํา จักหายใจเขา ดังนี้ ; ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูตามเห็นซึ่งความดับไมเหลือ อยูเปนประจํา จักหายใจออก ดังนี้”.๒ สิ่งที่จะตอวินิจฉัยในที่นี้ คือ ความดับไมเหลือ นั้นคืออะไร ; ความ ดั บ ไม เ หลื อ ของอะไร ; ดั บ ไม เ หลื อ ได โ ดยวิ ธี ใ ด ; และทํา อย า งไรชื่ อ ว า นิ โรธานุปสสี คือตามเห็นความดับไมเหลืออยูเปนประจํา. คําวา ความดับไมเหลือ ในที่นี้ หมายถึงความตรงกันขามตอความมีอยู ยกตั วอย างเช นความมี อยู แห งรู ป กั บความไม มี อยู แห งรู ป นี้ เรี ยกว าภาวะที่ ตรงกั น ขาม ; อยางแรกเปนความมีอยู อยางหลังเปนความดับไมเหลือ. แตความหมาย
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๑ ๒
การบรรยายครั้งที่ ๔๖ / ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๐๒ นิโรธานุปสฺสี อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ; นิโรธานุปสฺสี ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ.
๓๙๘
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑๕ การเห็นความดับไมเหลือ
๓๙๙
ตามทางธรรมของคําวา “มีอยู” กับคําวา “ดับไมเหลือ” นี้ มิไดหมายถึงตัววัตถุ นั้นมีอยูหรือไมมีอยู หากแตหมายถึง “คุณ” หรือคุณลักษณะของสิ่งเหลานั้นที่มี ผลตอจิตใจหรือไมอีกตอหนึ่ง. ที่เห็นไดงาย ๆ เชนความมีอยูแหงรูป หมายถึง ความมี อ ยู แ ห ง ความไม เ ที่ ย ง ความเป น ทุ ก ข ท รมาน และสิ่ ง อื่ น ๆ ที่ เ นื่ อ งกั น อยู กับรูป ; ถาสิ่งเหลานี้ไมมี ก็มีคาเทากับรูปไมมี หรือเปนความดับไมเหลือของรูป. เพราะฉะนั้น คําวา “ดับไมเหลือ” จึงหมายถึงความดับทุกขที่เนื่องมาจากรูปนั้น โดยไมเหลือ นั่นเอง ; นี่เรียกสั้น ๆ วานิโรธ หรือความดับไมเหลือ ในกรณีที่ เกี่ยวกับรูป. ข อ ที่ ว า ดั บ ไม เ หลื อ แห ง อะไร นั้ น ถ า ตอบสั้ น ๆ ตรง ๆ ก็ ต อบว า ดั บ ไม เ หลื อ แห ง สิ่ ง ที่ เ ป น ทุ ก ข หรื อ แห ง สิ่ ง ที่ มี ก ารเกิ ด อั น เป น ที่ ตั้ ง ของความทุ ก ข แต ถ าจะจํ าแนกให ละเอี ยดออกไป ก็ อาจจะจํ าแนกได เปนประเภทใหญ ๆ ๓ ประเภท และมี ร ายละเอี ย ด เท า ที่ ย กมาเป น ตั ว อย า ง แต ล ะประเภทคื อ ขั น ธ ห า อายตนะ ภายในหก และอาการแห งปฏิ จจสมุ ปบาทสิ บ สอง ดั งที่ กล าวแล วในอานาปานสติ ขั้ น ต น แต นี้ ในฐานะที่ เ ป น วั ต ถุ แ ห ง ความไม เ ที่ ย ง และความจางคลายนั่ น เอง. ความมี อ ยู แ ห ง เบญจขั น ธ คื อ ความมี อ ยู แ ห ง อารมณ อั น เป น ที่ ตั้ ง การสั ม ผั ส และ เป น ความมี อ ยู ข องสิ่ ง เป น ที่ ตั้ ง แห ง ความยึ ด ถื อ โดยความเป น กามและโดยความ เปนภพดังที่กลาวแลว ; ดังนั้นยอมหมายความวา เปนความมีอยู ของสิ่งอันเปน ที่ตั้งแหงความทุกข. เมื่อสิ่งเหลานี้ไมมี หรือเรียกวาสิ่งเหลานี้ดับไปก็ตาม ยอม หมายความวา ไมมีสิ่งอันเปนที่ตั้งแหงความทุกข. หรือวาเปนความดับไมเหลือ แหงสิ่งอันเปนที่ตั้งของความทุกข. ถาอายตนะภายในมีอยู ก็หมายความวาสิ่งซึ่ง ทํ าหน าที่ เสวยอารมณ หรื อสิ่ งที่ จะทํ าหน าที่ สั มผั สกั บสิ่ งอั นเป นที่ ตั้ งแห งความทุ กข
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๔๐๐
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑๙
มีอยู ; ถาสิ่งเหลานี้ไมมี ก็ไมมีการสัมผัสกับสิ่งอันเปนสิ่งที่ตั้งแหงความทุกข. ความ ดับ ไมเ หลือ แหง สิ ่ง เหลา นี ้ ก็ค ือ การไมม ีก ารสัม ผัส ชนิด ที ่จ ะกอ ใหเ กิด ความทุก ข นั่นเอง. ความมี อ ยู แ ห ง อาการปฏิ จ จสมุ ป บาททุ ก ขั้ น ตอนเป น ความมี อ ยู แ ห ง การปรุ ง ของสั ง ขารธรรมต า ง ๆ ทุ ก ๆ ขั้ น ที่ อิ ง อาศั ย กั น แล ว ปรุ ง สิ่ ง ใหม ใ ห เ กิ ด ขึ้ น แล ว ไปอิ ง อาศั ย สิ่ ง อื่ น ปรุ ง สิ่ ง ใหม ใ ห เ กิ ด ขึ้ น เป น ลํ า ดั บ ไป จนกระทั่ ง ถึ ง เกิ ด อาการ ที่ เ ป น ตั ว ความทุ ก ข โ ดยตรงในที่ สุ ด และผลที่ เ ป น ทุ ก ข นั้ น ก็ ยั ง สามารถหล อ เลี้ ย ง หรื อ ปรุ ง ต น เหตุ เ ดิ ม ของมั น กล า วคื อ อวิ ช ชาให ยั ง คงมี อ ยู และให เ ปลี่ ย นรู ป ไปใน ลักษณะตาง ๆ. ถาหากอาการเหลานี้ไมมี คือไมเกิดขึ้น หรือไมเปนไป ความทุกข ก็กอรูปขึ้นในลักษณะตาง ๆ ไมได ; ฉะนั้น ความดับไปหรือความไมมีอยูของการ ปรุ ง แต ง เหล า นี้ จึ ง มี ค า เท า กั บ ความดั บ ทุ ก ข หรื อ ความไม มี อ ยู แ ห ง ทุ ก ข หรื อ ความที่ทุกขไมสามารถกอรูปขึ้นมาได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เท าที่ กล าวมาทั้ งหมดนี้ เป นการชี้ ให เห็ นว าความดั บนั้ นคื อความไม มี อยู หรือเทากับความที่สิ่งเหลานี้ ไมไดทําหนาที่ตามความหมายของมัน ; และสิ่งที่ เรี ยกว าความดั บนั้ นเป นความดั บของสิ่ งที่ ก อให เกิ ดทุ กข ซึ่ งจํ าแนกเป น ๓ ประเภท ดังที่กลาวแลวขางตน. การเห็นความดับก็คือการเห็นความดับไมเหลือของทุกข เพราะสิ่ ง เหล า นี้ ห ยุ ด ทํ า หน า ที่ ข องมั น และความดั บ ทุ ก ข นั้ น ก็ เ ป น สิ่ ง ที่ ม องเห็ น ได ในสิ่งเหลานี้ ที่ดับหรือหยุดทําหนาที่ของมันแลว. สวนขอที่วา จะทําการดับไดโดยวิธีใด นั้น มีอธิบายวา ผูปฏิบัติ จะต อ งพิ จ ารณาให เ ห็ น โทษของความมี อ ยู แ ห ง สิ่ ง เหล า นี้ ก อ นโดยประจั ก ษ แล ว จิตก็จะนอมไปพอใจในคุณของความที่ไมมีสิ่งเหลานี้ แลวเพงอยูที่ “คุณ” ของ
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑๕ การเห็นความดับไมเหลือ
๔๐๑
ความไมมีสิ่งเหลานี้อยูทุกลมหายใจ เขา – ออก จนกระทั่งจิตนอมไปสูความดับ ไม เ หลื อ ของสิ่ ง เหล า นี้ ไ ด โดยสิ้ น เชิ ง อย า งที่ เ รี ย กว า ปลงความเชื่ อ ลงไปได จ น หมดสิ้นในความเปนอยางนี้และทําไปดวยจิตที่เปนสมาธิเพีงพอ. คําวา เห็นโทษ ของสิ่งเหลานี้ หมายถึงเห็นดวยลักษณะ หรืออาการ ๕ อยางคือ สิ่งเหลานี้มีความไมเที่ยงหนึ่ง, มีความเปนทุกขหนึ่ง, มีความเปน อนัตตาหนึ่ง, มีความเผาผลาญ (อยูในตัวเอง) หนึ่ง, มีความแปรรูปอยูเสมอ หนึ่ง. สําหรับโทษ คือ ความไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตานั้น มีการวินิจฉัย แลวโดยละเอียดในอานาปานสติขั้นที่สิบสาม ไมจําตองวินิจฉัยอีกในที่นี้. สวน คํ าว ามี การเผาผลาญอยู เป นประจํ านั้ น หมายถึ งความที่ สิ่ งเหล านี้ มี การเผาผลาญ ตัว เองใหร อ ยหรอไป เหมือ นไฟที ่ก ิน ฟน และใหค วามรอ นแกผู เ ขา ไปใกล และทําความเผาผลาญใหแกผูที่สมัครเขาไปเปนฟนโดยไมมีสวนเหลือ ; นี่คือโทษ ของการเขาไปใกลสิ่งนี้ หรือการยึดมั่นถือมั่นอยูกับสิ่งนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สวน อาการที่เรียกวาแปรรูป อยูเสมอนั้น หมายความวา ความไมเที่ยง นั้ น แปรรู ป อยู เ สมอ จากความไม เ ที่ ย งอย า งนี้ ไ ปสู ค วามไม เ ที่ ย งอย า งอื่ น เรื่ อ ยไป ไม มี หยุ ด ฉะนั้ น สิ่ งที่ มี การแปรไปในรู ปที่ เผอิ ญไปตรงกั นเข ากั บความต องการของ บุ ค คลนั้ น ๆ เขาจึ ง เห็ น เป น ความดี ง าม ความสุ ข หรื อ แม แ ต เ ป น ความยุ ติ ธ รรม เปน ตน ; แลว ก็ยึด ถือ เอาความไมเ ที่ย งนั้น วา เปน สิ่ง ที่นา ยึด ถือ จนกระทั่ง มัน เปลี่ย นไปเปน อยา งอื่น ถึง กับ เขาตอ งนั่ง ลงรอ งไหอีก ครั้ง หนึ่ง . ความสุข หรือ ความทุก ข การหัว เราะหรือ รอ งไห การฟูขึ ้น หรือ การแฟบลง และอื ่น ๆ ซึ ่ง เปน คู ก ัน ทํ า นองนี ้ จึง มีอ ยู เ ปน เครื ่อ งหลอกลวงสัต วทั ้ง หลายไมม ีที ่สิ ้น สุด . ในรอบหนึ่ ง ๆ หรื อ คู ห นึ่ ง ๆ ย อ มมี อ ายุ ขั ย อั น จํ า กั ด ของมั น เอง มั น เปลี่ ย นแปลง
www.buddhadasa.in.th
๔๐๒
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑๙
ไปในวงจํ า กัด ของมัน เอง จนสิ ้น อายุข ัย วงหนึ ่ง หรือ รอบหนึ ่ง ของมัน แลว ก็แ ปร ไปสูวงอื่น หรือรอบอื่นในลักษณะอื่นตอไปอีก อยางไมมีที่สิ้นสุด. นี้เรียกวา ความไมเ ที ่ย งของความไมเ ที ่ย ง หรือ ความไมเ ที ่ย งซอ นความไมเ ที ่ย ง ซึ ่ง มีอ ยู เป นรู ปหรื อเป นรอบ ๆ เป นวง ๆ แปรผั นไปไม มีที่ สิ้ นสุ ด ซึ่ งเรียกว า วิ ปริ ณามธรรม ในที่นี้. ความไมเที่ยงก็ดี ความเปนทุกขก็ดี ความเปนอนัตตาก็ดี สันตาปธรรม คื อ ความเผาผลาญก็ ดี และวิ ป ริ ณ ามธรรม คื อ ความแปรรู ป อยู เ สมอก็ ดี เรี ย กว า โทษของสังขารธรรม และมีอยูเต็มอัดไปหมดในสังขารธรรมทั้งหลาย. ผูปฏิบัติจะตองเพงที่สังขารธรรมนั้น ๆ จนกระทั่ง เห็นโทษ เหลานี้ โดยประจั กษ ชั ดถึ งขนาดที่ เรี ยกว า อาที นวานุ ป สสนาญาณจิ รง ๆ แล วเท านั้ น จึ งจะ เกิ ด ความจางคลายจากความกํ า หนั ด ในสิ่ ง เหล า นั้ น แล ว น อ มมาพอใจต อ ความ ดั บ สนิ ท หรื อ ความไม มี อ ยู ข องสิ่ ง เหล า นั้ น ได จ ริ ง ๆ เมื่ อ พอใจในความดั บ แล ว การทําความดับหรือทําสิ่งเหลานั้นใหมีคาเทากับไมมี ก็เปนสิ่งที่ทําไดโดยงาย.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org นั้น จะตองทราบเสียกอนวาสิ่งนั้น ๆ จะดับไปดวย การทําความดับ๑ อํา นาจอะไร ซึ่ ง โดยหลัก ใหญแ ล ว สิ่ งนั้ น ๆ ยอ มดั บ ไปดว ยอํ านาจการดับ ของ เหตุปจจัย ซึ่งปรุงแตงสิ่งเหลานั้น และดวยอํานาจการเกิดขึ้นของสิ่งตรงกันขาม. สิ่งที่เรียกวาเหตุปจจัยนั้น แยกออกไดเปน ๖ อยางคือ :-
๑
การบรรยายครั้งที่ ๔๗ / ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๐๒
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑๕ การเห็นความดับไมเหลือ
๔๐๓
๑. เรียกวานิทาน มีความหมายวา เปนแดนมอบใหซึ่งผล คือเปนที่ ใหเกิดผลเปนสิ่งนั้น ๆ ขึ้นมา เหมือนกับตนไมเปนที่เกิดแหงผลไม ; ถาตนไมไมมี ผลไมจะมีไดอยางไร. ฉะนั้น การดับของตนไม จึงเปนการดับผลไมพรอมกันไป ในตัว. นี้อีกอยางหนึ่งซึ่งแสดงวา ถาจะดับสิ่งใดจะตองสืบหาแดนอันเปนที่มา ของสิ่งนั้น เพื่อทําการดับที่ตนตอของสิ่งนั้น. ๒. เรียกวาสมุทัย แปลวา แดนเปนที่ตั้งขึ้นพรอม. ขอนี้หมายถึง สิ่ ง ซึ่ ง เป น ที่ ตั้ ง อาศั ย ของสิ่ ง อื่ น เพื่ อ ความมี อ ยู ไ ด หรื อ ตั้ ง อยู ไ ด ของสิ่ ง นั้ น เช น แผ น ดิ น เป น ที่ ตั้ ง ที่ อ าศั ย ของต น ไม ซึ่ ง ใคร ๆ ย อ มเห็ น ได ทุ ก คน ว า ต น ไม ทุ ก ต น หรือ บรรดาสิ ่ง อื ่น ทุก สิ ่ง ที ่อ าศัย แผน ดิน ลว นแตง อกขึ ้น หรือ ตั ้ง ขึ ้น บนแผน ดิน ทั้ ง นั้ น ถ า แผ น ดิ น สลายลงหรื อ ดั บ ลงไป ต น ไม จ ะตั้ ง อยู ไ ด อ ย า งไร ย อ มจะต อ ง สลายหรือดับไป ตามอาการซึ่งเปนที่ตั้งที่อาศัย อยางนี้เรียกวาเปนสมุทัย ; ตาง กั บ อาการในข อ หนึ่ ง ซึ่ ง เป น แดนมอบให ซึ่ ง ผล ซึ่ ง ผู ศึ ก ษาจะต อ งสั ง เกตให เ ห็ น ความแตกตางกันใหชัดแจง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๓. เรียกวาชาติ แปลวา ความเกิดหรือการเกิด ถาเปนตนไมยอม หมายถึ ง การงอก ถ า มี แ ผ น ดิ น มี เ มล็ ด พื ช หรื อ มี เ หตุ ป จ จั ย อื่ น ก็ ต าม แต ถ า ไม มี การงอกหรือ การงอกงามแลว ตน ไมก ็ม ีขึ ้น ไมไ ด ฉะนั ้น การเกิด หรือ การงอก จึ ง เป น ตั ว การสํ า คั ญ อั น หนึ่ ง ด ว ยเหมื อ นกั น ในการที่ จ ะทํ า ให อ ะไร ๆ เกิ ด มี ขึ้ น มา. เราอาจจะทําลายตนไมตนหนึ่งได โดยไมตองทําลายแผนดิน ทําลายอาหารของมั น หรื อ ทํ า ลายสิ่ ง อื่ น ๆ แต ทํ า ลายที่ ค วามงอกของมั น เช น ทํ า ลายชี วิ ต ในเมล็ ด พื ช นั้ น ๆ เสี ย หรื อตั วหนทางที่ มั นจะงอกงามได โดยทางใดทางหนึ่ งเสี ย ดั งนี้ เรี ยกว า ทําลายที่ชาติของมัน.
www.buddhadasa.in.th
๔๐๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑๙
๔. เรียกวาอาหาร หมายถึง สิ่งที่นํามาซึ่งความเจริญเติบโต หรือ นํ า มาซึ ่ง ผลอยา งใดอยา งหนึ ่ง ซึ ่ง หมายถึง ความเจริญ งอกงามอีก นั ่น เอง. ตั วอย างเช นต นไม จะต องอาศั ยอาหาร โดยเฉพาะแร ธาตุ ต าง ๆ ซึ่ งมี อ ยู ในดิ นที่ ใช เป น อาหารได มั น จึ ง จะอยู ไ ด ไม ใ ช ว า เพี ย งแต มี แ ผ น ดิ น เป น ที่ ตั้ ง อาศั ย ให ง อก แล วมั นจะเจริ ญงอกงามไปได ถ าสมมติ ว าในดิ น นั้ นไม มี อ าหารเลย ต น ไม นั้ นก็ จ ะ ตองตายอยูดี. นี้เราจะเห็นได วาสิ่งที่เรียกวาอาหารก็เปนตัวการที่สําคัญอันหนึ่ง ของความมีอยูของสิ่งทั้งปวง. ๕. เรียกวาเหตุ อันนี้หมายถึง ตนเหตุโดยตรงของสิ่งนั้น ยกตัวอยาง เกี่ยวกับตนไมอีกตามเคย. สิ่งที่เรียกวาเหตุนั้นไดแกเจตนาของคนใดคนหนึ่ง ก็ ต าม ที่ ตั้ ง ใจจะปลู ก ต น ไม นั้ น ด ว ยการเอาเมล็ ด มาฝ ง ดิ น เป น ต น หรื อ ที่ สั ต ว นํ า ไปกิ น แล ว ถา ยโดยไมม ีเ จตนาปลูก ก็ต าม หรือ แมที ่ล มหรือ น้ํ า พัด พาไป หรือ ทํ า ใหห ลน ลงมาจากตน ก็ต ามเหลา นี ้เ รีย กวา เปน เหตุโ ดยตรงของความเกิด ขึ ้น แหง ตน ไมนั้น . ถา เหตุเ หลา นี้ไ มมี แมสิ่ง อื่น ๆ จะมี ตน ไมนั้น ก็ไ มมีโ อกาส จะงอกขึ้นมา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๖. เรียกวาปจจัย หมายถึง สิ่งที่ชวยเหลือในฐานะเปนเครื่องอุปกรณ ที่ตรงตามความตองการของสิ่งนั้น ๆ. ในตัวอยางที่เกี่ยวกับตนไมดังไดกลาวมา แลว ขา งตน นั ้น ยอ มหมายถึง การไดร ับ การพรวนดิน ดี ไดร ับ แสงแดด ไดร ับ การคุ ม ครองให ค ลาดแคล ว จากอั น ตรายที่ จ ะมี เช น สั ต ว ที่ ม ากั ด กิ น หรื อ เจาะไช เปน ตน ไดเ ปน อยา งดีแ ลว ก็เ รีย กวา ไดป จ จัย ดี มีค วามเจริญ งอกงามได เปน ลํา ดับ ๆ ไป. ถา ไมไ ดรับ ปจ จัย ในทํา นองนี้เ พีย งพอ มัน ก็จ ะไมง อกหรือ งอกขึ้นมาอยางแกน ๆ แลวก็เปนอันตรายไปโดยไมมีการเจริญเติบโตตอไปได.
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑๕ การเห็นความดับไมเหลือ
๔๐๕
ผู ปฏิ บั ติ จะต องศึ กษาให ทราบความแตกต าง ระหว างความหมายของคํ า ทั้ ง หมดนี้ ใ ห เ ป น อย า งดี คื อ คํ า ว า นิ ท าน สมุ ทั ย ชาติ อาหาร เหตุ และป จ จั ย โดยนั ย ที่ ก ล า วมาแล ว ข า งต น ด ว ยการทํ า ต น ไม ใ ห เ ป น อุ ป มา ว า จะต อ งประกอบ ด ว ยสิ่ ง ทั้ ง หกเหล า นี้ อ ย า งไร มั น จึ ง จะเกิ ด ขึ้ น หรื อ ตั้ ง อยู ไ ด แล ว นํ า ไปเปรี ย บเที ย บ กันดูกับคนเรา หรือ กลุมแหงขันธทั้งหา อันเปนที่ตั้งแหงอายตนะทั้งหก และ อาการ ๑๒ แหงปฏิจจสมุปบาท จนกระทั่งรูวาจะดับนิทาน ดับสมุทัย ดับชาติ ดับอาหาร ดับเหตุ และ ดับปจจัยของมัน ไดอยางไร. ทั้งหมดนี้ ทําใหมันดับไป ดวยการตัดตนเหตุตาง ๆ ของมัน. สวนที่ ดับไปดวยอํานาจของการเกิดขึ้นของสิ่งที่ตรงกันขามจากมัน นั้น เล็งถึงสิ่ง ๒ อยาง คือ :๑. การเกิดขึ้นของสิ่งที่เรียกวา ญาณ ไดแกความรูซึ่งเปนของตรง กันขามตออวิชชา. เมื่อญาณเกิดขึ้น อวิชชาก็ดับไปในตัวเอง. นามรูป กลาวคือ สังขารทั้งปวง ที่มีมูลมาจากอวิชชาก็ยอมดับไปก็ตาม ; นี้ก็เรียกวาดับไปเพราะการ เกิดขึ้นของญาณ. เชนคนดับไปเพราะความรูเกิดขึ้นวา คนไมมี มีแตขันธธาตุ อายตนะเปนตน. สําหรับในกรณีที่มีอุปมาดวยตนไมขางตนนั้น ก็อาจจะกลาวไดวา ผู ที่ จ ะทํ า ลายต น ไม ไ ด ก็ ต อ งมี ค วามรู ที่ ถู ก ต อ ง ในการที่ จ ะทํ า ลายมั น ซึ่ ง เป น เหตุ ให ก ล า วได ว า ทํ า ลายมั น ลงได ด ว ยความรู ซึ่ ง จะเป น ความรู ใ นการตั ด นิ ท านหรื อ ดับสมุทัยหรืออะไร ๆ ก็ตาม ที่เกี่ยวกับตนไมนั้น. หรือถาจะกลาวโดยโวหารธรรมะ ก็ ยั ง กล า วได ว า ต น ไม ไ ม มี หรื อ ดั บ ไปเพราะญาณหรื อ ความรู ที่ ถู ก ต อ ง ว า คํ า ว า ต นไม นั้ นเป นเพี ยงคํ าเรี ยกสมมติ ต นไม จริ ง ๆไม มี มี แต ธาตุ ต าง ๆ ที่ ประชุ มกั นอยู
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๔๐๖
อานาปานสติภาวนา ตอน ๑๙
กลุ ม หนึ่ ง ด ว ยกฎเกณฑ ต า ง ๆ ดั ง ที่ ก ล า วแล ว ข า งต น เท า นั้ น เอง ดั ง นี้ ความรู สึ ก วาตนไมก็ดับไป. แมโดยปริยายนี้ ก็เปนอันกลาวไดวาดับไปเพราะอํานาจแหง ความเกิดขึ้นของญาณหรือวิชชา ซึ่งเปนของตรงกันขามจากอวิชชาอีกนั่นเอง. ๒. ไดแกการปรากฏขึ้นของอาการแหงความดับสนิท หรือของธรรม อันเปนที่ดับของสิ่งนั้น ๆ. สิ่งนี้ตรงกันขามกับความเกิด เพราะสิ่งนี้ตรงกันขาม กับ นิทาน สมุทัย ชาติ อาหาร เหตุ ปจจัย. เมื่อสิ่งนี้มีเขามา สิ่งที่ตรงกันขาม ก็ตองดับ. กลาวโดยตรง สิ่งนี้ไดแกผลของขอปฏิบัติที่ถูกตองถึงที่สุด จนเปน อริยมรรคดับกิเลสและสังโยชนได ; โดยใจความคือ ดับอวิชชาไดอีกนั่นเอง ; เป น แต เ ล็ ง ถึ ง ตั ว ธรรม ที่ มี อํ า นาจในการทํ า ความดั บ หรื อ การตั ด หรื อ การล า ง หรื อ การเพิ ก ถอน หรื อ การแผดเผาก็ ต าม ซึ่ ง แล ว แต จ ะสมมติ เ รี ย ก แต มั น เป น ภาวะของธรรม ที่ทําการดับอวิชชาหรือกิเลสตัณหานั้น ๆ. ถาธรรมนี้ปรากฏออก มาให เ ห็ น แล ว ย อ มหมายความว า มี ก ารดั บ ไปแล ว แห ง สิ่ ง ตรงกั น ข า มก อ นหน า นั้ น เพราะวามีสิ่งซึ่งตรงกันขามกับสิ่งนั้นเหลือปรากฏอยู. สําหรับในกรณีที่ถือ เอา ต น ไม เ ป น อุ ป มานั้ น ก็ ก ล า วได อี ก ว า บั ด นี้ ต รงที่ ที่ ต น ไม เ คยอยู นั้ น เหลื อ อยู แ ต ขี้ เ ถ า ปรากฏอยู ดั งนี้ เป นต น ซึ่ งย อมเป นการแสดงว าได มี การเผาผลาญเกิ ดขึ้ นแล ว จะโดย น้ํ า มื อ ของมนุ ษ ย ห รื อ อํ า นาจของธรรมชาติ เช น ฟ า ผ า เป น ต น ก็ ต าม สิ่ ง ที่ ต รงกั น ข า ม คื อ สิ่ ง ที่ เ ป น ที่ ดั บ ของต น ไม นั้ น ได ป รากฏแล ว ความดั บ ของต น ไม นั้ น จึ ง มี นี้ เ รี ย กว า ดับไปเพราะการปรากฏของธรรมเปนแดนที่ดับสนิทของสิ่งนั้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org การบั ง เกิ ด ขึ้ น ของญาณก็ ดี หรื อ การปรากฏขึ้ น ของธรรมเป น ที่ ดั บ สนิ ท ก็ ดี นี้ ร วมเรี ย กว า สิ่ ง นั้ น ๆ ดั บ ไป เพราะการมี ม าของสิ่ ง ที่ ต รงกั น ข า ม ซึ่ ง เรา จํ า แนกได เป น ๒ อย า งและเมื่ อ นํ า เอาการตั ด ต น ตอ หรื อ ตั ด สิ่ ง แวดล อ มต า ง ๆ
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑๕ การเห็นความดับไมเหลือ
๔๐๗
รวม ๖ อยาง ดังทีกลาวมาแลวขางตน มารวมกันเข าก็เปน ๘ อยาง ซึ่งทําใหกลาว ไดวา สังขารธรรมนั้น ๆ ดับไปดวยอาการ ๘ อยางเหลานี้. ผู ป ฏิบ ัต ิอ านาปานสติขั ้น นี ้ จะไดน ามวา นิโ รธานุป ส สี คือ ผู ต าม เห็ น อยู ซึ่ ง ความดั บ อยู เ ป น ประจํ า ก็ โ ดยการกระทํ า ตนเป น ผู กํ า หนดสั ง ขารธรรม เหล า นั้ น อยู โ ดยประจั ก ษ ชั ด ด ว ยการเพ ง เห็น โทษ ๕ ประการแหง สัง ขารธรรม ดั ง ที่ ก ล า วแล ว ข า งต น อยู อ ย า งรุ น แรง จนถึ ง ขนาดเกิ ด ความพอใจในความไม มี อ ยู ของสั ง ขารธรรมเหล า นี ้ กล า วคื อ ดั บ สั ง ขารเหล า นี ้ เ สี ย แล ว โทษเหล า นั ้ น ก็จ ะไดดับ ไปตาม. เธอเพง พิจ ารณาอยูซึ่ง ความดับ ของสัง ขารธรรมเหลา นี้ โดยเห็นวามันดับไปดวยอาการ ๘ อยาง ดังที่กลาวแลวอยูทุกลมหายใจเขา – ออก ก็ จ ะได ชื่ อ ว า นิ โ รธานุ ป ส สี ซึ่ ง มี ใ จความสํ า คั ญ อยู ว า แม จ ะเพ ง ดู ค วามดั บ อยู เ ป น ส ว นใหญ ก็ ต าม แต ลั ก ษณะแห ง อนิ จ จั ง ทุ ก ขั ง อนั ต ตา ก็ ยั ง คงปรากฏอยู เ ป น พื้นฐานแหงการนอมจิตไปสูความดับอยูนั่นเอง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เกี่ยวกับสิ่งที่จะหยิบเอามาเปนอารมณ สําหรับการตามเห็นซึ่งความ ดั บ นั้ น จะถื อ เอาตามแบบฉบั บ ดั ง ที่ ก ล า วไว ว า ได แ ก ขั น ธ ห า อายตนะภายในหก และอาการแห ง ปฏิ จ จสมุ ป บาทสิ บ สอง ดั ง นี้ ก็ ไ ด แต เ ป น ภู มิ ข องนั ก ปฏิ บั ติ ที่ ผ า น การศึกษาทางปริยัติมาแลวอยางเพียงพอเทานั้น ; สวนผูที่ยึดมั่นในแนวของ อานาปานสติ ย อมยึ ดเอาสิ่ งต าง ๆ ที่ ปรากฏอยู ในการทํ าอานาปานสติ เช นตั วลม หายใจนั่ น เอง หรื อ ตั ว เวทนา อั น ได แ ก ป ติ แ ละสุ ข ซึ่ ง เป น องค ฌ านก็ ต าม หรื อ แม แ ต จิ ต ซึ่ ง กํ า ลั ง ผั น แปรอยู ใ นลั ก ษณะต า ง ๆ ในขณะนั้ น ก็ ต าม มาเป น อารมณ สําหรับเพงใหเห็นความดับโดยนัยดังที่ลาวแลวอยูทุกลมหายใจเขา – ออก ก็ยอม ไดชื่อวา นโรธานุปสสี อยางเต็มที่เชนเดียวกัน.
www.buddhadasa.in.th
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๐
๔๐๘
เมื่ อ ทํ า อยู ดั ง นี้ สิ ก ขาทั้ ง สามมี สี ล สิ ก ขาเป น ต น ย อ มสมบู ร ณ แ ก เ ธอ การกระทํ านั้ น ๆ ชื่ อว า ธรรมานุ ป ส สนาสติ ป ฏ ฐานภาวนา เป น ภาวนาที่ ส ามารถ สโมธานซึ่งธรรมทั้งหลาย ๒๙ ประการ ในอัตราที่สูงยิ่งขึ้นไปอีก ดังนี้. วิ นิ จ ฉั ย ในอานาปานสติ ขั้ น ที่ สิ บ ห า สิ้ น สุ ด ลงเพี ย งเท า นี้ ต อ แต นี้ จ ะได วินิจฉัยในอานาปานสติขั้นที่สิบหกสืบไป.
ตอน ยี่สิบ
อานาปานสติ ขั้นที่ สิบหก๑ (การตามเห็นความสลัดคืนอยูเปนประจํา)
อานาปานสติ ขั้ น ที่ สิ บ หก หรื อ ข อ ที่ สี่ แ ห ง จตุ ก กะที่ สี่ มี หั ว ข อ ว า “ภิกษุ นั้ น ย อมทํ าในบทศึ กษาว า เราเป นผู ตามเห็ นซึ่ งความสลั ดคื นอยู เป นประจํ า จักหายใจเขา ดังนี้ ; ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูตามเห็นซึ่งความสลัดคืนอยู
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เปนประจํา จักหายใจออก ดังนี้.”๒
สิ่ ง ที่ จ ะต อ งวิ นิ จ ฉั ย ในอานาปานสติ ขั้ น นี้ คื อ ทํ า อย า งไรเรี ย กว า เป น การสลัดคืน ;และทําอยางไรจึงจะเรียกวา ปฏินิสสัคคานุปสสี คือผูตามเห็น
๑ ๒
การบรรยายครั้งที่ ๔๘ / ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๐๒ ปฏินิสฺสคฺคานุปสฺสี อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ; ปฏินิสฺสคฺคานุปสฺสี ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ.
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑๖ การเห็นความสลัดคืน
๔๐๙
ความสลัดคือนอยูเปนประจํา. สําหรับสิ่งที่จะตองสลัดคืนก็หมายถึงทั้ง ๓ ประเภท กลาวคือ เบญจขันธ สฬายตนะ และ ปฏิจจสมุปบาทมีอาการสิบสอง เชนเดียว กับในอานาปานสติขั้นที่แลวมา. สวนการทําในบทศึกษาทั้งสามนั้น มีอาการ อยางเดียวกับที่กลาวแลวในอานาปานสติขั้นที่สิบสาม. คําวา สลัดคืน หรือปฏินิสสัคคะ นั้น มีลักษณะ ๒ อยาง คือ การสลัด คืนซึ่งสิ่งนั้นออกไปโดยตรง อยางหนึ่ง ; หรือมี จิตนอมไปในนิพพานอันเปนที่ดับ สนิทแหงสิ่งทั้งหลายเหลานั้น อีกอยางหนึ่ง. อยางแรกมีความหมายเปนการ สลัด สิ่ง เหลา นั้น ออกไปในทํา นองวา ผูส ลัด ยัง คงอยูใ นที่เ ดิม ; อยา งหลัง มี ความหมายไปในทํานองวา สิ่งเหลานั้นอยูในที่เดิม สวนผูสลัดผลหนีไปสูที่อื่น. ถ ากล าวอย างบุ คคลาธิ ษฐานก็ เหมื อนอย างว าเป นคนละอย าง แต ย อม มี ผ ลในทางธรรมาธิ ษ ฐานเป น อย า งเดี ย วกั น เปรี ย บเหมื อ นบุ ค คลที่ ส ลั ดสิ่ ง อั น เป น ที่ รั ก ที่ พ อใจ เขาจะกระทํ า โดยเอาสิ่ ง เหล า นั้ น ไปทิ้ ง เสี ย หรื อ จะกระทํ า โดยวิ ธี ห นี ไปให พ นจากสิ่ งเหล านั้ นก็ ตาม ผลย อมมี อยู เป นอย างเดี ยวกั น คื อความปราศจาก สิ่งเหลานั้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org การที่ ท านกล าวไว เป น ๒ อย างดั งนี้ เพื่ อการสะดวกในการที่ จะเข าใจ สํ า หรั บ บุ ค คลบางประเภทที่ มี ส ติ ป ญ ญาต า งกั น มี ค วามหมายในการใช คํ า พู ด จา ตางกันเทานั้น ; แตถาตองการความหมายที่แตกตางกันจริง ๆ แลว ก็พอที่จะ แบงออกไดเปน ๒ อยาง ดังนี้ คือ :(๑) สิ่งใดยึดถือไว โดยความเปนของ ของตน (อตฺตนียา) การ สลั ด คื น สิ่ ง นั้ น กระทํ า ได ด ว ยการสละสิ่ ง นั้ น เสี ย กล า วคื อ การพิ จ ารณาจนเห็ น ว า ไมควรจะถือวาเปนของของตน.
www.buddhadasa.in.th
๔๑๐
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๐
(๒) สิ่งใดที่ถูกยึดถือไวโดยความเปนตน (อตตา) การสละสิ่งนั้น ๆ นั้น กระทําไดดวยการนอมไปสูนิพพาน กลาวคือ ความดับสนิทแหงสิ่งนั้น ๆ เสีย. อย างไรก็ ดี เมื่ อพิ จารณาโดยละเอี ยดแล วจะเห็ นได ว า สิ่ งที่ ยึ ดถื อไว โดย ความเป น ของตนนั้ น สลั ด ได ง า ยกว า สิ่ ง ที่ ยึ ด ถื อ ไว โ ดยความเป น ตั ว ตน ทั้ ง นี้ เ พราะ ว า สิ่ ง ที่ ยึ ด ถื อ ไว โ ดยความเป น ของตน นั้ น เป น เพี ย งสิ่ ง เกาะอยู กั บ ตน หรื อ เป น บริว ารของตน จึง อยูใ นฐานะที่จ ะทํา การสลัด คืน ไดกอ น. ขอ นี้เ ปรีย บเทีย บ ไดงาย ๆ กับความรูสึกวา ตัวกูและของกู : สิ่งที่เปน “ของกู” อาจจะปลดทิ้งไป ไดโดยงาย กวาสิ่งที่เปน “ตัวกู” ซึ่งไมรูจะปลดอยางไร จะทิ้งอยางไร ขืนทําไป ก็เทากับเปนการเชือดคอตัวเองตาย ซึ่งยังไมสมัครจะทํา. แตสําหรับสิ่งที่เปน “ของกู” นั้น อยูในวิสัยที่จะสละได ดวยความจําใจก็ตาม ดวยความสมัครใจ เพื่ อ แลกเปลี่ ย นกั บ สิ่ ง อื่ น เปน ตน ก็ต าม หรือ แมเ พราะหลุด มือ ไปเองก็ย ัง เปน สิ ่ง ที่อาจจะมีได ; สวนสิ่งที่เรียกวาตัวกูนั้นยังเปนสิ่งที่มืดมนทตอการที่จะสลัดออกไป หรื อ หลุ ด ออกไปเอง ทั้ ง นี้ เ ป น เพราะมั น เป น ตั ว ๆ เดี ย วกั น กั บ ที่ ยื น โยงอยู ใ นฐานะ ที่เปนประธานของการกระทําทุกอยาง. ฉะนั้น การที่จะสลัดคืนเสียซึ่งตัวกู จัก ตองมีอุบายที่ฉลาดไปกวาการสละของกู. เมื่อกลาวโดยบุคคลาธิษฐานก็เปน การกล า วได ว า เมื่ อ ตั ว กู อ ยากสลั ด ตั ว เองขึ้ น มาจริ ง ๆ แล ว ก็ ต อ งวิ่ ง เข า หาสิ่ ง ใด สิ่ ง หนึ่ ง ซึ่ ง สามารถทํ า ลายตั ว กู ใ ห ห มดไปโดยไม มี ส ว นเหลื อ และข อ นี้ ก็ เ ป น การ แสดงใหเห็นความหมายที่แตกตางกันอยูเปน ๒ ประการ กลาวคือ “ตัวกู” ไดสลัด สิ่ ง ซึ่ ง เป น ของกู แ ล ว เหลื อ แต ตั ว กู จึ ง วิ่ ง เข า ไปสู สิ่ ง ซึ่ ง สามารถดั บ ตั ว กู ไ ด สิ้ น เชิ ง อีก ตอ หนึ่ง . ความแตกตา งในตัว อยา งนี้ ยอ มแสดงใหเ ห็น ความแตกตา ง ๒ อยา ง ดัง ที ่ก ลา วแลว ขา งตน ไดโ ดยชัด เจน คือ จิต สลัด สิ ่ง ทั ้ง หลายทั ้ง ปวง เป น การสลั ด คื น อย า งที่ ห นึ่ ง และจิ ต แล น ไปสู นิ พ พานอั น เป น ที่ ดั บ ของสิ่ ง ทั้ ง ปวง รวมทั้งจิตเองดวย นี้ก็อยางหนึ่ง เปน ๒ อยางดวยกัน ดังนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑๖ การเห็นความสลัดคืน
๔๑๑
ถึ ง กระนั้ น ก็ ต าม เมื่ อ กล า วในทางปฏิ บั ติ จ ริ ง ๆ แล ว ความแตกต า ง ทั้ ง ๒ อย า งนี้ ก็ ยั ง คงเป น เพี ย งความแตกต า งในทางนิ ติ นั ย ไปตามเดิ ม ส ว นทาง พฤตินัยนั้นยอมมีวิธีปฏิบัติ และผลแหงการปฏิบัติอยางเดียวกันแท. วิ ธี ปฏิ บั ติ เพื่ อความสลั ดเบญจขั นธ หรื ออายตนะออกไปนั้ น มิ ได หมาย ถึ ง การสลั ด อย า งวั ต ถุ เช น การโยนทิ้ ง ออกไปเป น ต น ได แต ห มายถึ ง การสลั ด ด ว ย การถอนอุปาทานหรือความยึดมั่นอยางใดอยางหนึ่งใหไดจริง ๆ เทานั้น. การถอน อุ ป าทานนั้ น ต อ งกระทํ า ดว ยการทํ า ความเห็น แจง ตอ อนิจ จัง ทุก ขัง อนัต ตา จนกระทั่ ง เห็ น ความว า งจากตั ว ตน ไม ว าจะเป นตนฝ ายที่ เ ป นเจ า ของ หรื อ เป น ตน ฝายที่ถูกยึดถือเอาเปนของของตน. เมื่อวางจากตนทั้งสองฝายดังนี้แลว จึงจะถอน อุป าทานได และมีผ ลเปน ความไมย ึด ถือ สิ ่ง ซึ ่ง เปน ตน เหตุแ หง ความทุก ขไ วอ ีก ตอไป. แมในการพิจารณา เพื่อ ถอนความยึดถือในเบญจขันธ หรืออายตนะ สว นใดสว นหนึ ่ง ซึ ่ง ถูก ยึด ถือ วา ตน ก็ต อ งทํ า โดยวิธ ีเ ดีย วกัน แท คือ พิจ ารณา เห็น อนิ จจัง ทุกขัง อนัตตา อีกนั่นเอง หากแตเลี่ ยงไปในทํ านองวา ทั้งหมดนี้เมื่ อ เป น อย า งนี้ มั น เป น ทุ ก ข เมื่ อ ไม อ ยากทุ ก ข ก็ น อ มจิ ต ไปเพื่ อ ความดั บ สนิ ท ไม มี เ หลื อ ของสิ่ ง เหล า นี้ เ สี ย จะได ไ ม มี อ ะไรทุ ก ข อี ก ต อ ไป เรี ย กว า เป น การน อ มไปสู นิ พ พาน หรื อ มี จิ ต แล น ไปสู นิ พ พาน แต ทั้ ง นี้ มิ ไ ด ห มายความว า ต อ งรอไปจนกว า ร า งกาย จะแตกดั บ หรื อว าจะต องรี บทํ าลายร างกายนี้ เสี ยด วยการฆ าตั วตาย ดั งนี้ ก็ หาไม . การฆ าตั วตายไม ได ทํ าให อุ ปาทานนั้ นหมดไป กลั บเป นอุ ปทานอี กอย างหนึ่ ง อย า ง เต็มที่อยูทีเดียว จึงจะฆาตัวตายได. สวนการรอไปจนรางกายแตกทําลายนั้น ไม ใ ช วิ ธี ข องการปฏิ บั ติ และการแตกทํ า ลายของร า งกายนั้ น มิ ไ ด ห มายความว า เป นการหมดอุ ปาทาน เพราะคนและสั ตว ตามธรรมดาสามั ญก็ มี การแตกตายทํ าลาย ขั น ธ อ ยู เ องแล ว เป น ประจํ า ทุ ก วั น ไม เ ป น การทํ า ลายอุ ป ทานได ด ว ยอาการสั ก ว า
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๔๑๒
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๐
รางกายแตกทําลายลง. เพราะฉะนั้นการฆาตัวเองตายก็ดี การรอไปจนแตกทําลาย เองก็ด ี ไมเ ปน การดับ อุป าทานที ่ย ึด ถือ วา ตัว ตนไดแ ตอ ยา งใดเลย จึง ไมแ ลน ไปสู นิ พ พานได ด ว ยการทํ า อย า งนั้ น ยั ง คงทํ า ได แ ต โ ดยวิ ธี ที่ ยั ง มี ชี วิ ต อยู นี่ แ หละ. เมื่ อพิ จารณาเห็นวา ถามีความยึดถือวาตัวตนอยู เพี ยงใดแลว ก็จะต องมีความทุ กข นานาชนิ ด อยู ที่ ต นเพี ย งนั้ น จึ ง น อ มจิ ต ไปในทางที่ จ ะไม ใ ห มี ต นเพื่ อ เป น ที่ ตั้ ง ของ ความทุ กข อีกต อไป นิ้ เรี ยกวามี จิ ตน อมไปเพื่ อความดั บสนิ ทของตน ซึ่ งเรี ยกได ว า น อ มไปเพื่ อ นิ พ พาน แล ว ก็ ตั้ ง หน า ตั้ ง ตาทํ า การปฏิ บั ติ เพื่ อ ให เ ห็ น อนิ จ จั ง ทุ ก ขั ง อนั ตตา ในระดั บสู งสุ ด ซึ่ งทํ าให ไม รู สึ กว ามี ตั วตนเหลื ออยู จริ ง ๆ มี แต สั งขารธรรม ลวน ๆ หมุนไปตามเหตุตามปจจัยของมัน. สิ่งที่เรียกวาความทุกข เชนความแก ความตาย เปน ตน ก็ร วมอยู ใ นกลุ ม นั ้น คือ เปน สัง ขารธรรมสว นหนึ ่ง ในบรรดา สัง ขารธรรมทั ้ง หมด ที ่ห มุน เวีย นไปตามเหตุต ามปจ จัย ของมัน ไมม ีส ว นไหน ที่ มี ความยึ ดถื อว าเป นตั วเราหรื อของเรา แม แต จิ ตที่ กํ าลั งรู สึ กนึ กคิ ดได หรื อ กํ าลั ง มองเห็ น ความเป น ไปของสั ง ขารธรรมเหล า นั้ น อยู จิ ต นั้ น ก็ มิ ไ ด ยึ ด ถื อ ตั ว มั น เองว า เปนตัวตน หรือยึดถือตัวมันวาเปนจิต – ผูรู ผูเห็น : แตกลับไปเห็นวาตัวจิตนั้น ก็ ดี การรู ก ารเห็ น นั้ น ก็ ดี เป น แต เ พี ย งสั ง ขารธรรมล ว น ๆ อี ก นั่ น เอง และเห็ น ว า สั ง ขารธรรมทั้ ง หมดทั้ ง สิ้ น นั้ น ก็ เ ป น สั ก ว า สั ง ขารธรรม คื อ เป น ธรรมชาติ ห รื อ ธรรมดาที่ เ ป น อยู อ ย า งนั้ น เอง หาใช เ ป น ตั ว เป น ตนเป น เราเป น เขา เป น ผู ยึ ด ครอง หรื อ ถู ก ยึ ด ครอง ดั ง นี้ เ ป น ต น แต ป ระการใด เมื่ อ จิ ต เข า ถึ ง ความว า งจากตั ว ตน อย า งแท จ ริ ง ดั ง นี้ แ ล ว ก็ เ ท า กั บ เป น การดั บ ตั ว เองโดยสิ้ น เชิ ง ซึ่ ง เรี ย กว า นิ พ พาน ในที่นี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เพราะฉะนั้ นปฏิ นิ สสั คคะ คื อการสลั ดคื นชนิ ดที่ ใช อุ บายด วยการทํ าจิ ต ให แ ล น ไปสู นิ พ พานนั้ น ก็ มี วิ ธี ป ฏิ บั ติ มี ค วามหมายแห ง การปฏิ บั ติ และมี ผ ลแห ง
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑๖ การเห็นความสลัดคืน
๔๑๓
การปฏิบัติเปนอยางเดียวกันกับปฏินิสสัคคะ ชนิดที่มีอุบายวาสลัดสิ่งทั้งปวงเสีย ; เพราะว า อุ บ ายทั้ ง ๒ วิ ธี นี้ ล ว นแต มี ค วามหมายอย า งเดี ย วกั น คื อ ทํ า ความว า งจาก ตั ว ตนหรื อ ที่ เ รี ย กว า สุ ญ ญตานั้ น ให ป รากฏขึ้ น มาให จ นได ถ า ไปเพ ง ความว า งของฝ า ย สิ่ ง ที่ ถู ก ยึ ด ถื อ ก็ เ รี ย กว า สลั ด สิ่ ง เหล า นั้ น ออกไป แต ถ า เพ ง ความว า งของฝ า ยที่ เ ป น ผู ยึ ด ถื อ กล า วคื อ จิ ต ก็ ก ลายเป น การทํ า จิ ต นั้ น ให เ ข า ถึ ง ความว า ง (คื อ เป น นิ พ พาน ไปเสียเอง) ความมุงหมายจึงเปนอยางเดียวกัน คือเปนการใหทั้ง ๒ ฝายเขาถึง ความวางโดยเสมอกัน ความทุกขก็เกิดขึ้นไมได : และโดยพฤตินัยทั้ง ๒ อยาง นั้ น เป น อย า งเดี ย วกั น คือ มีแ ตเ พีย งอยา งใดอยา งหนึ ่ง ถา ถึง ที ่ส ุด จริง ๆ แลว มัน ก็ดับ ทุก ขทั้ง ปวงไดดว ยกัน ทั้ง นั้น . และการที่ใ หสิ่ง ทั้ง หลายทั้ง ปวงวา งไป โ ด ย ที ่จ ิต ยัง เ ห ล ือ อ ยู เ ปน ตัว ต น ไ มต อ ง วา ง นั ้น เ ปน สิ ่ง ที ่ม ีไ มไ ดห รือ ทํ า ไ มไ ด เพราะวา สิ ่ง ที ่เ รีย กวา ความวา งนั ้น มัน มีเ พีย งอยา งเดีย วตัว เดีย วหรือ สิ ่ง เดีย ว ถ า ลงเข า ถึ ง จริ ง ๆ แล ว มั น จะทํ า ให ว า งหมด ทั้ ง ฝ า ยผู ยึ ด ถื อ และฝ า ยสิ่ ง ที่ ถู ก ยึ ด ถื อ ทั้ ง หลายทั้ ง ปวง ฉะนั้ น โดยพฤติ นั ย เมื่ อ ปฏิ บั ติ ถึ ง ที่ สุ ด แล ว ย อ มว า งไปทั้ ง สอง ฝายพรอมกันในทันใดนั้นเอง ; ถาผิดจากนี้มันเปนเพียงความวางชนิดอื่น คือ ความว า งที่ ไ ม จ ริ ง แท เป น ความว า งชั่ ว คราว และเพี ย งบางขั้ น บางตอนของการ ปฏิ บั ติ ที่ ยั ง ไม ถึ ง ที่ สุ ด มี ผ ลเพี ย งทํ า ให ป ล อ ยวางสิ่ ง นั้ น ๆ ได ชั่ ว คราว และก็ ป ล อ ย ได เ ฉพาะแต ฝ า ยที่ ป ล อ ยง า ย เช น ฝ า ยที่ ถู ก ยึ ด ถื อ ไว โ ดยความเป น ของของตน หรื อ ของกูบางสวนเทานั้น แตไมกระทบกระเทือนถึงตัวตนหรือตัวกูเลย. ตอเมื่อใด สุ ญ ญตาหรื อ ความว า งอั น แท จ ริ ง ปรากฏออกมา เมื่ อ นั้ น จึ ง จะว า งอย า งแท จ ริ ง และ ไม มี อ ะไรรอหน า เป น ตั ว ตนอยู ไ ด ตั ว ตนฝ า ยการกระทํ า ก็ ดี ตั ว ตนฝ า ยที่ ถู ก กระทํ า ก็ ดี ตั ว การกระทํ า นั้ น ๆ ก็ ดี ตั ว ผลแห ง การกระทํ า นั้ น ๆ ก็ ดี ไม ว า จะถู ก จั ด ไว เป น ฝ า ยกุ ศ ลหรื อ ฝ า ยอกุ ศ ล หรื อ ฝ า ยอั พ ย ากฤต คื อ มิ ใ ช ทั้ ง กุ ศ ลและอกุ ศ ลก็ ดี ยอมเขาถึงความวางไปดวยกันทั้งหมดทั้งสิ้น. อาการแหง การสลัดคืน กลาวคือ
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๔๑๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๐
ปฏิ นิ ส สัค คะมีขึ ้น ไดถ ึง ที ่ส ุด โดยไมต อ งมีใ ครเปน ตัว ผู ส ละคืน เพราะเปน ของวา ง ไปด ว ยกั น ทั้ ง หมด แม แ ต ตั ว การสลั ด คื น ตั ว สิ่ ง ที่ ถู ก สลั ด คื น ก็ ยั ง คงเป น ของว า ง กลาวคือเปนความดับสนิทแหงความมีตัวตนนั่นเอง. ฉะนั้น เมื่อกลาวโดยปรมัตถ หรื อโดยความจริ งอั นสู งสุ ดแล ว ย อมกล าวได ว าความว างอย างเดี ยวเท านั้ น เป นตั ว ความสลั ดคื นอย างแท จริ ง และมี เพี ยงอย างเดี ยว หามี เป น ๒ อย างหรื อหลายอย าง ดั ง ที่ ก ล า วโดยโวหารแห ง การพู ด จา ด ว ยการแยกเป น ฝ ก ฝ า ย ดั ง ที่ ก ล า วอย า ง บุคคลาธิษฐานขางตนนั้นไม. เบญจขั น ธ ก็ ดี อายตนะภายในทั้ ง หกก็ ดี อาการปรุ ง แต ง ซึ่ ง กั น และกั น ของสิ่ ง เหล า นั้ น อั น เรี ย กว า ปฏิ จ จสมุ ป บาทก็ ดี เป น สิ่ ง ที่ อ าจถู ก สลั ด คื น โดยสิ้ น เชิ ง ไดดวยการทําใหเขาถึงความวาง ดังที่กลาวแลวนั่นเอง. นั้น ยอมเปนการ การพิจารณาเบญจขันธโดยความเปนของวาง๑ สลั ด คื น ซึ่ ง เบญจขั น ธ อ ยู ใ นตั ว มั น เอง กล า วคื อ ก อ นหน า นี้ รั บ หรื อ ยึ ด ถื อ เบญจขั น ธ บางส ว นว า เป น ตั ว ตน บางส ว นว า เป น ของตน ด ว ยอํ า นาจของอุ ป าทาน บั ด นี้ เบญจขั น ธ นั้ น ถู ก พิ จ ารณาเห็ น ตามที่ เ ป น จริ ง คื อ เป น ของว า งไปหมดไม เ ป น ที่ ตั้ ง แหงอุปาทานอีกตอไป อุปาทานจึงดับลง. เมื่ออุปาทานดับก็ไมมีอะไรที่จะเปน เครื่อ งยึด ถือ และเบญจขัน ธก็เ ปน ของวา งไปแลว . เมื่อ ไมมีก ารยึด ถือ หรือ การรับ ไวเ ชน นี ้ ก็ม ีผ ลเทา กับ เปน การสลัด คืน ทั ้ง ที ่ไ มต อ งมีต ัว ผู ส ลัด คืน เพราะจิตและอุปาทานก็กลายเปนของวางจากตัวตนไป. สรุปความไดวา การ พิจารณาเบญขันธใหเปนของวางนั่นแหละ คือการสลัดเบญขันธทิ้งออกไป
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๑
. การบรรยายครั้งที่ ๔๙ / ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๐๒
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑๖ การเห็นความสลัดคืน
๔๑๕
ซึ่ง เรี ย กวา ปริ จ จาคปฏิ นิ สสั ค คะ ; และพิจ ารณาเห็น จิ ต เป นของว า งจากตั ว ตน นั่ น แหละคื อ การทํ า จิ ต ให แ ล น เข า ไปสู นิ พ พาน อั น เป น ที่ ดั บ ของเบญจขั น ธ ทั้ ง ปวง ซึ่งรวมทั้งจิตนั้นเองดวย อันนี้เรียกวา ปกขันทนปฏินิสสัคคะ. การพิจารณา เบญจขั น ธ เ ป น ของว า ง ก็ คื อ การพิ จ ารณาโดยความเป น อนิ จ จั ง ทุ ก ขั ง อนั ต ตา จนถึงที่สุด ตามนัยอันกลาวแลวโดยละเอียดขั้นที่สิบสามเปนตน. การพิจารณาอายตนะภายในทั้งหก โดยความเปนของวาง ก็มี ลั กษณะอย างเดี ยวกั นกั บเรื่ องของเบญจขั น ธ เพราะอายตนะภายในทั้ งหกนั้ นเป น สว นหนึ ่ง ของเบญจขัน ธไ ดแ กข ัน ธที ่ทํ า หนา ที ่รู อ ารมณที ่ม าสัม ผัส นั ่น เอง หรือ อี กอย างหนึ่ งก็ กล าวได ว าหมายถึ งกลุ มแห งเบญจขั นธ ในขณะที่ ทํ าหน าที่ รั บอารมณ ทางตา หู จมู ก ลิ้ น กาย และใจ นั่ นเอง การทํ าให สิ่ งทั้ งหกนี้ เป นของว าง ก็ คื อ การพิ จ ารณาโดยความเป น สั ง ขาร หรื อ ความเป น ธรรมชาติ ล ว น ๆ หามี ค วามเป น ตั วตนแต อย างใดไม แต มี ลั กษณะเป นเครื่ องกลไกตามธรรมชาติ ของมั นเอง ในการ ที่ จ ะรั บ อารมณ ไ ด ตามธรรมดาของรู ป ธรรมและนามธรรมที่ กํ า ลั ง จั บ กลุ ม กั น อยู ซึ่ ง สามารถทํ า อะไรได อ ย า งน า มหั ศ จรรย จนเกิ ด ความสํ า คั ญ ผิ ด ไปว า สิ่ ง เหล า นี้ เปนอัตตาหรือตัวตน หรือวามีอัตตาตัวตนอยูในสิ่งเหลานี้. การพิจารณาสิ่งเหลานี้ จนกระทั่งเห็นโดยความเปนของวางนั้น จัดเปนปกขันทนปฏินิสสัคคะโดยแท โดย ใจความก็คือแยกขันธสวนที่เปนจิตออกมาพิจารณาโดยความเปนของวางนั่นเอง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org การพิจ ารณาอาการแหง ปฏิจ จสมุป บาท โดยความเปน ของวา ง นั ้น เปน การพิจ ารณาใหเ ห็น วา กลไกโดยอัต โนมัต ิข องรูป ธรรมและนามธรรม กล า วคื อ การปรุ ง แต ง นั่ น นี่ สื บ กั น ไปเป น สายไม มี ห ยุ ด นั้ น ก็ เ ป น เพี ย งกลไกตาม
www.buddhadasa.in.th
๔๑๖
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๐
ธรรมชาติของรูป ธรรมนามธรรมที่ส ามารถทํา หนา ที่อ ยา งนั้น เองไดโ ดยอัต โนมัติ ในตัวธรรมชาติเองลวน ๆไมตองมีอัตตาหรือเจตภูตเปนตนอะไรที่ไหนเขาไปเปน ตัวการในการกระทําหรือใชใหทําแตอยางใดเลย มันเปนเพียงการเคลื่อนไหวของ ธรรมชาติลว น ๆ ปรุง แตง กัน เองในเมื่อ เขา มาเกี่ย วขอ งกัน มีก ารกระทํา ตอบแก กันและกัน ผลักดันเปนเหตุและผลแกกันและกั น จึงเกิดอาการปรุง แตงเรื่อ ยไป ไมมีหยุด. เพราะฉะนั้น รูปธรรมและนามธรรมเหลานั้น ในขณะที่กําลังเปนเหตุ เปน ปจ จัย ก็ดี หรือ ในขณะที ่กํ า ลัง เปน ผลหรือ เปน วิบ ากก็ด ีแ ละอาการตา ง ๆ ที่ มั น ปรุ ง แต ง กั น เพื่ อ ให เ กิ ด เป น ผลมาจากเหตุ แ ล ว ผลนั้ น กลายเป น เหตุ ต อ ไปใน ทํา นองนี้ อ ย า งไม มี หยุ ด หย อ นก็ ดี ล วนแต เ ป น อาการตามธรรมชาติ ข องรู ป ธรรม นามธรรมลวน ๆ ไมมีอัตตาหรือตัวตนอะไรที่ไหนที่มีสวนเขาไปเกี่ยวของดวยเลย ทุ ก ส ว นจึ ง ว า งจากความหมายแห ง ความเป น ตั ว ตน และความเป น ของของตน โดยสิ้นเชิง. นี้คืออาการสลัดคืนออกไปเสียไดซึ่งปฏิจจสมุปบาทธรรมทุก ๆ สวน ทั้งที่เปนสวนเหตุ และสวนผล และสวนที่กําลังเปนเพียงอาการปรุงแตง. ฉะนั้น จึง เปน อัน กลา วไดว า การสลัด คืน ซึ ่ง กลุ ม แหง ปฏิจ จสมุป บาทนี้ เปน ทั้ง บริจ าคปฏินิสสัคคะ และเปนทั้งปกขันทนปฏินิสสัคคะ กลาวคือ สลัดคืนเสียไดทั้งสวน ที่เปนเบญจขันธ คือสวนที่เปนผล และทั้งสวนที่ถูกสมมติวาเปนจิตเปนผูทํากิริยา อาการเหลานั้น อันเกิดขึ้นจากความไมรูจริง หรือความหลงผิดโดยสิ้นเชิง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เมื่อประมวลเขาดวยกันทั้ง ๓ อยาง ก็เปนอันกลาวไดวาเปนการสลัดคืน เสียซึ่งโลกในฐานะเปนอารมณและสลัดคืนเสียซึ่งจิตในฐานะเปนผูเสวยอารมณ คือโลก และสลัดเสียซึ่งการเกี่ยวของ หรือการปรุงแตงผลักดันกันตาง ๆ บรรดา ที่มีอ ยูใ นโลก ที่ป รุง แตง โลก หรือ ที ่เ กี่ย วพัน กัน ระหวา งโลกกับ จิต ซึ่ง เปน ผู รูส ึก ต อ โลก เมื่ อ สละคื น เสี ย ได ทั้ ง หมด ๓ ประเภทดั ง นี้ แ ล ว ก็ เ ป น อั น ว า ไม มี อ ะไร
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑๖ การเห็นความสลัดคืน
๔๑๗
เหลื อ อยู สํ า หรั บ เป น ที่ ตั้ ง ของความทุ ก ข ห รื อ ความยึ ด ถื อ ซึ่ ง เป น เหตุ แ ห ง ความทุ ก ข อี กเลยแม แต น อย มี อยู ก็ แต ความไม มี ทุ กข ความดั บเย็ น ความสงบรํ างั บ ความ หลุ ด พ น ความปล อยวาง ไม มี การแยกถื อ โดยประการทั้ งปวง หรื อ อะไรอื่ นก็ ตาม แล ว แต จ ะเรี ย ก แต ร วมความว า เป น ที่ สิ้ น สุ ด หรื อ เป น ที่ จ บลงโดยเด็ ด ขาดของ สั งสารวั ฏฏ กล าวคื อกระแสของความทุ กข ซึ่ งเรานิ ยมเรี ยกภาวะเช นนี้ ว าเป นการ ลุ ถ ึง นิพ พาน.ทั ้ง หมดนี ้เ ปน การแสดงใหเ ห็น ไดว า ปฏิน ิส สัค คะคือ การสลัด คืน นั ้น มีความเกี่ยวของกันอยางไรกับความหมายของคําวานิพพาน. สวน ปญหาที่วาทําอยางไรจึงจะไดชื่อวาปฏินัสสัคคานุปสสี กลาวคือ ผู ตามเห็ นซึ่ งความสลั ดคื นอยู เป นประจํ านั้ น อธิ บายว าผู ปฏิ บั ติ อานาปานสติ มาจน ถึ งขั้ นนี้ แล ว จะต องเปลี่ ยนกฎเกณฑ ในการกํ าหนดพิ จารณากั นเสี ยใหม คื อย ายให สูงขึ้นไป ใหเกิดมีความรูสึกชัดแจงในการสลัดคือนของตน. คือหลังจากเห็นความ เป น อนิ จจั ง ทุ ก ขั ง อนั ตตาแล ว เกิ ดความพอใจในการที่ คลายความยึ ดถื อ หรื อ ใน ความดั บแห งสั งขารทั้ งปวงแล ว ทํ าจิ ตให วางเฉยต อสั งขารทั้ งหลาย ที่ ได พิ จารณา เห็นโดยความเปนของวางอยางแทจริงอยูทุกลมหายใจเขา – ออก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทางที่ ดี ที่ สุ ดเขาจะต อ งย อ นไปเจริ ญอานาปานสติ ขึ้ นมาใหม ตั้ ง แต ขั้ น ที่หนึ่ง แล วคอยเพงพิจารณาทุกสิ่งทุกอยางที่ปรากฏ นับตั้งแต ลมหายใจ นิมิตและ องค ฌานขึ้ นมาจนถึ งธรรมที่ เป นที่ ตั้ ง แห งความยึ ดถื อโดยตรงเช นสุ ขเวทนาในฌาน และจิ ต ที่ กํ า หนดสิ่ ง ต า ง ๆ ให เ ห็ น โดยความเป น ของควรสลั ด คื น หรื อ ต อ งสลั ด คื น อย า งที่ ไ ม ค วรจะยึ ด ถื อ ไว แ ต ป ระการใดเลย ;แล ว เพ ง พิ จ ารณาไปในทํ า นองที่ สิ่ ง เหล า นั้ นเป น อนิ จ จั ง ทุ ก ขั ง อนั ตตา ยิ่ งขึ้ นไปตามลํ าดั บ จนจิ ตประกอบอยู ด ว ย ความเบื่ อ หน า ย คลายกํ า หนั ด ต อ สิ่ ง เหล า นั้ น ประกอบอยู ด ว ยธรรมเป น ที่ ดั บ
www.buddhadasa.in.th
๔๑๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๐
แห ง สิ่ ง เหล า นั้ น คื อ ความเห็ น แจ ม แจ ง ว า สิ่ ง เหล า นั้ น ไม ไ ด มี ตั ว ตนอยู จ ริ ง จน กระทั ่ง ไดป ลอ ยวาง หรือ วา งจากความยึด ถือ ในสิ ่ง เหลา นั ้น ยิ ่ง ขึ ้น ไปตามลํ า ดับ จนกวา จะถึง ที ่ส ุด แหง กิจ ที ่ต อ งทํ า คือ ปลอ ยวางดว ยสมุจ เฉทวิม ุต ติจ ริง ๆ. แม ใ นระยะต น ๆ ที่ ยั ง เป น เพี ย งตทั ง ควิ มุ ต ติ คื อ พอสั ก ว า มาทํ า อานาปานสติ จิ ต ปล อยวางเองก็ ดี และในขณะแห งวิ กขั มภนวิ มุ ตติ คื อจิ ตประกอบอยู ด วยฌานเต็ มที่ มี ก ารปล อ ยวางไปด ว ยอํ า นาจของฌานนั้ น จนตลอดเวลาแห ง ฌานก็ ดี ก็ ล ว นแต เป นสิ่ งที่ ต องพยายามกระทํ าด วยความระมั ดระวั ง อย างสุ ขุ มแยบคายที่ สุ ดอยู ทุ กลม หายใจเขา – ออกจริง ๆ. เมื่อกระทําอยูดังนี้ จะเปนการกระทําที่กําหนดอารมณ อะไรก็ต ามในระดับ ไหนก็ต าม ลว นแตไ ดชื ่อ วา เปน ปฏิน ิส สัค คานุป ส สีด ว ยกัน ทั้งนั้น. เมื่ อ กระทํ า อยู ดั ง นี้ ก็ ชื่ อ ว า เป น การเจริ ญ ธรรมานุ ป ส สนาสติ ป ฏ ฐานภาวนาขั้ นสุ ดท ายเป นภาวนาที่ แท จริ ง ประมวลมาได ซึ่ งสโมธานธรรม ๒๙ ประการ ในระดั บ สู ง สุ ด ของการปฏิ บั ติ บํ า เพ็ ญ อานาปานสติ ในขั้ น ที่ เ ป น วิ ป ส สนาภาวนา โดยสมบูรณ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org วินิจฉัยในอานาปานสติขั้นที่สิบหกสิ้นสุดลงเพียงเทานี้.
สํ า หรั บ จตุ ก กะที่ สี่ นี้ จั ด เป น ธรรมานุ ป ส สนาสติ ป ฏ ฐานภาวนาด ว ยกั น ทั้งนั้น. ขั้นแรกพิจารณาความเปน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ซึ่งสรุปรวมลงได เปนสุญญตา มีความหมายสํ าคัญอยู ตรงที่ว างอยางไมนายึดถือ ขืนยึดถือก็เป นทุกข . ขั้ นต อมากํ าหนดพิ จารณา ในการทํ าความจางคลายจากความยึ ดถื อ ต อสิ่ งเหล านั้ น เพราะเกลียดกลัวโทษ กลาวคือ ความทุกขอันเกิดมาจากความยึดถือ. ขั้นตอมาอีก กํ าหนดพิ จารณาไปในทํ านองที่ จะให เห็ นว า มั นมิ ได มี ตั วตนอยู จริ งไปทั้ งหมดทั้ งสิ้ น
www.buddhadasa.in.th
ขั้นที่ ๑๖ การเห็นความสลัดคืน
๔๑๙
หรื อ ทุ ก สิ่ ง ทุ ก อย า ง การยึ ด ถื อ เป น ยึ ด ถื อ ลม ๆ แล ง ๆ เพราะว า ตั ว ผู ยึ ด ถื อ ก็ ไ ม ไ ด มี ตั ว จริ ง สิ่ ง ที่ ถู ก ยึ ด ถื อ ก็ ไ ม ไ ด มี ตั ว จริ ง แล ว การยึ ด ถื อ มั น จะมี ตั ว จริ ง ได อ ย า งไร ; พิจารณาไปในทางที่จะดับตัวตนของสิ่งทั้งปวงเสียโดยสิ้นเชิง. สวนขั้นที่สี่อัน เป น ขั้ น สุ ด ท ายนั้ น กํ าหนดพิ จารณาไปในทางที่ ส มมติ เ รี ยกได ว า บั ดนี้ ได สลั ดทิ้ งสิ่ ง เหล า นั้ น ออกไปหมดแล ว ด ว ยการทํ า ให มั น ว า งลงไปได จ ริ ง ๆ คื อ สิ่ ง ทั้ ง ปวงเป น ของวางไปแลว และ จิตก็มีอาการที่สมมติเรียกวา “เขานิพพานเสียแลว” คือ สลายตั ว ไปในความว า งหรื อ สุ ญ ญตานั้ น ไม มี อ ะไรเหลื อ อยู เ ป น ตั ว ตน เพื่ อ ยึ ด ถื อ อะไร ๆ วาเปนของตนอีกตอไปเลย. การปฏิ บั ติ หมวดนี้ ได ชื่ อ ว า พิ จารณาธรรม ก็ เพราะพิ จารณาที่ ตั วธรรม ๔ ประการโดยตรง คื อพิ จารณาที่ อนิ จจตา วิ ราคะ นิ โรธะ และปฏิ นิ สสั คคะ โดยนั ย ดั ง ที่ ก ล า วแล ว ต า งจากจตุ ก กะที่ ห นึ่ ง เพราะในที่ นั้ น พิ จ ารณากายคื อ ลมหายใจ ; ตางจากจตุกกะที่สอง เพราะในที่นั้นพิจารณาเวทนาโดยประการตาง ๆ ; ตางจาก จตุกกะที่สาม เพราะในที่นั้นพิจารณาที่จิตโดยวิธีตาง ๆ ; สวนในที่นี้เปนการ พิ จารณาที่ ธรรม กล าวคื อ สภาวะธรรมดา ที่ เป นความจริ งของสิ่ งทั้ งปวง ที่ รู แล ว ใหจิตหลุดพนจากทุกขได ตางกันเปนชั้น ๆ ดังนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อานาปานสติ จตุกกะที่สี่จบ.
www.buddhadasa.in.th
ประมวลจตุกกะทั้งสี่ จตุ ก กะที่ ห นึ่ ง เป น สมถภาวนาล ว น ส ว นจตุ ก กะที่ ส องและที่ ส ามเป น สมถภาวนาที ่เ จือ กัน กับ วิป ส สนาภาวนาสว นจตุก กะที ่สี ่นี ้ เปน วิป ส สนาภาวนา ถึงที่สุด. สมถภาวนา คื อ การกํ า หนดโดยอารมณ ห รื อ นิ มิ ต เพื่ อ ความตั้ ง มั่ น แหงจิต มีผลถึงที่สุดเปนฌาน ; สวนวิปสสนาภาวนานั้น กําหนดโดยลักษณะ คือ ความไมเ ที ่ย ง เปน ทุก ข เปน อนัต ตา ทํ า จิต ใหรู แ จง เห็น แจง ในสิ ่ง ทั ้ง ปวง มีผลถึงที่สุดเปนญาณ : เปนอันวาอานาปานสติทั้ง ๑๖ วัตถุนี้ ตั้งตนขึ้นมาดวย การอบรมจิ ตให มี กํ าลั งแห งฌานด วยจตุ กกะที่ หนึ่ ง แล วอบรมกํ าลั งแห งญาณให เกิ ด ขึ้นผสมกําลังแหงฌานในจตุ กกะที่ สอง ที่สาม โดยทั ดเที ยมกัน และกํ าลั งแห งญาณ เดิ น ออกหน า กํ า ลั ง แห ง ฌาน ทวี ยิ่ ง ขึ้ น ไปจนถึ ง ที่ สุ ด ในจตุ ก กะที่ สี่ จนสามารถ ทําลายอวิชชาไดจริงในลําดับนั้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org วินิจฉัยในอานาปานสติ อันมีวัตถุสิบหก และมีจตุกกะสี่ สิ้นสุดลงเพียงเทานี้.
๔๒๐
www.buddhadasa.in.th
ภาคผนวก ตอน ยี่สิบเอ็ด ผนวก ๑ - วาดวยญาณเนื่องดวยอานาปานสติ๑ คําวา “ญาณ” มีความหมาย ๒ ความหมาย อยางแรกหมายถึงการรู สิ่ง ที่ ตอ งรู ซึ่ง อาจจะรูไ ด เมื่ อ กํา ลั งทํ า อยูพ ร อ มกั นไปในตั ว หรือ ว าด วยการศึ ก ษา มากอนถึงเรื่องนั้ น ๆ ตามสมควร แลวมารูแจง สิ่งนั้นอยางสมบูร ณ ในเมื่อ มีการ ปฏิบัติไปจนถึงที่สุด. ตัวอยางเชนเมื่อทําบานเรือนสําเร็จ คนคนนั้นก็มีความรู เรื่องการทําบานเรือน ; ความรูบางอยางก็มีมาแลวกอนทํา ความรูบางอยางก็เพิ่ง จะมีขึ้ นเมื่อ กํา ลัง ทํา และความรูทั้ ง หมดย อ มสมบูร ณเ มื่อ ทํา งานนั้น สําเร็ จไปแล ว จริง ๆ. ฉะนั้น คําวา ญาณในประเภทแรกนี้ หมายถึงสิ่งที่เราเรียกกันตามโวหาร ธรรมดาวา “ความรู” หมายถึงความรูที่ถูกตอง เพราะไดผานสิ่งนั้น ๆ มาแลว จริง ๆ. สวนความหมายของคําวา ญาณอยางที่สองนั้น เล็งถึงความรูแจงแทงตลอด เฉพาะเรื่อง และเปนการเห็นแจงภายในใจลวน เนื่องมาจากการเพงโดยลักษณะ มี ลั ก ษณะแห ง ความไม เ ที่ ย ง เป น ทุ ก ข เป น อนั ต ตา เป น ประธาน ซึ่ ง เรี ย กโดย โวหารธรรมดาวา “ความรูแจง” เห็นแจง หรือเลยไปถึงความแทงตลอด ซึ่งมี หนาที่เจาะแทงกิเลสโดยตรง ; ในเมื่อญาณตามความหมายทีแรก หมายถึงเพียง ความรูที่ทําใหเราสามารถทําสิ่งตาง ๆ ไดสําเร็จ และรูถึงที่สุดเมื่อทําสําเร็จเทานั้น. และเราจะไดวินิจฉัยกันในญาณตามความหมายประเภทแรกกอน ดังตอไปนี้ :-
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๑
การบรรยายครั้งที่ ๕๐ / ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๐๒
๔๒๑
www.buddhadasa.in.th
๔๒๒
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๑
เมื่ อ บุ ค คลเจริ ญ อานาปานสติ มี วั ต ถุ ๑๖ หรื อ มี จ ตุ ก กะสี่ ดั ง ที่ ก ล า วแล ว โดยละเอี ย ดถึ ง ที่ สุ ด ไปแล ว เขาย อ มมี ค วามรู เ กี่ ย วกั บ การทํ า อานาปานสติ ทั้ ง หมด หรื อ แม ว า ก อ นจะเจริ ญ อานาปานสติ อั น มี วั ต ถุ สิ บ หกนี้ ถ า เขาอยากจะศึ ก ษามาก อ น เขาก็ต อ งศึก ษาเรื ่อ งความรู เ หลา นี ้เ อง ซึ ่ง จะตอ งตรงเปน อัน เดีย วกัน เสมอไ ป ความรูที่กลาวนี้แบงเปน ๑๑ หมวด ดังตอไปนี้ :หมวดที่ ๑ ญาณ ในธรรมที่เปนอันตรายตอสมาธิ หมวดที่ ๒ ญาณ ในธรรมที่เปนอุปการะตอสมาธิ หมวดที่ ๓ ญาณ ในโทษที่เปนเครื่องเศราหมองของสมาธิ หมวดที่ ๔ ญาณ ในธรรมคือความผองแผวของสมาธิ หมวดที่ ๕ ญาณ ในการทําตนใหเปนผูมีสติปฏฐาน หมวดที่ ๖ ญาณ ที่เปนไปตามอํานาจของสมาธิ หมวดที่ ๗ ญาณ ที่เปนไปตามอํานาจของวิปสสนา หมวดที่ ๘ ญาณ ในนิพพิทา หมวดที่ ๙ ญาณ อันอนุโลมตอนิพพิทา หมวดที่ ๑๐ ญาณ เปนที่ระงับซึ่งนิพพิทา หมวดที่ ๑๑ ญาณ ในสุขอันเกิดแตวิมุตติ
๘ ประการ ๘ ประการ ๑๘ ประการ ๑๓ ประการ ๓๒ ประการ ๒๔ ประการ ๗๒ ประการ ๘ ประการ ๘ ประการ ๘ ประการ ๒๑ ประการ
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org รวมทั้งหมดเปน ๒๒๐ ประการ หรือ ๒๒๐ เรื่อง ดังนี้ :-
www.buddhadasa.in.th
ญาณเนื่องดวยอานาปานสติ
๔๒๓
หมวดที่ ๑ - ๒ ญาณในธรรมที่เปนอันตราย และ ในธรรมที่เปนอุปการะตอสมาธิ นั้นอาจจะกลาวเปนคู ๆ ในฐานะที่เปนของตรงกันขามตอกันและกันดังตอไปนี้:กามฉันทะ เปนอันตราย เนกขัมมะ เปนอุปการะ นี้คูหนึ่ง, พยาบาท เปนอันตราย อัพยาบาท เปนอุปการะ นี้คูหนึ่ง , ถีนมิทธะ เปนอันตราย อาโลกสัญญา เปนอุปการะ นี้คูหนึ่ง , อุทธัจจะ เปนอันตราย อวิกเขปะ เปนอุปการะ นี้คูหนึ่ง, วิจิกิจฉา เปนอันตราย ธัมมววัตถานะ เปนอุปการะ นี้คูหนึ่ง, อวิชชา เปนอันตราย วิชชาหรือญาณ เปนอุปการะ นี้คูหนึ่ง, อรติ เปนอันตราย ปามุชชะ เปนอุปการะ นี้คูหนึ่ง, อกุศลธรรมทั้งปวง เปนอันตราย กุศลธรรมทั้งปวง เปนอุปการะ นี้คูหนึ่ง ; รวมเปน ๘ คู จําแนกเรียงอยาง เปน ๑๖ อยางดวยกัน. ดังที่กลาวมาแลวบอย ๆ วา จะกําหนดรูสิ่งใดตองทําสิ่งนั้น ใหปรากฏแกใจจริง ๆ เสียกอน แลวจึงกําหนดรู ; ถาสิ่งนั้นปรากฏอยูเองแลว ก็มีการกําหนดรูสิ่งนั้นไปไดเลย. การกําหนดรูความเปนอันตราย และการกําหนด รูความเปนอุปการะ จะตองกําหนดรูที่ธรรม ๑๖ ประการนี้จริง ๆ จนกระทั่งรูจัก ตัว จริง ของสิ่ ง นั้ นจริ ง ๆ รูจั ก ความที่ สิ่ง นั้ นทํ า อั นตรายแก ส มาธิ หรื อ เป น อุ ป การะ แกสมาธิอยางประจักษชัดแกใจตน ในขณะที่ตนกําลังพยายามจะทําจิตใหเปนสมาธิ ซึ่งตองทําการตอสูหรือทําการประคับประคองอยางใดอยางหนึ่งอยูในขณะนั้นวามัน มีความจริงในการทําหนาที่ของมันอยางไร จึงจะเรียกวาญาณในที่นี้. รายละเอียด ตาง ๆ เกี่ยวกับธรรมทั้ง ๑๖ ประการนี้มีอยูแลวในวินิจฉัยแหงอานาปานสติขั้นที่สี่.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๑
๔๒๔
หมวดที่ ๓ ญาณในโทษเปน เครื่อ งเศรา หมองของสมาธิ นั้น หมายถึง ความ รู เ ท า ถึ ง การณ ใ นการพลิ ก แพลงของจิ ต ในขณะที่ มี ก ารกํ า หนดลมหายใจหรื อ นิ มิ ต ที่กระทําไปไมสําเร็จ ซึ่งมีอยู ๑๘ ชนิดดวยกันคือ :๑.
เมื่อกําหนดเบื้องตน ทามกลาง ที่สุด แหงลมหายใจเขา จิต ฟุงซานในภายใน. ๒. เมื่อกําหนดเบื้องตน ทามกลาง ที่สุด แหงลมหายใจออก จิต ฟุงซานในภายนอก. ๓. ความหวัง ความใคร ความพอใจ หรือความทะเยอทะยานอยาก ตอลมหายใจเขา. ๔. ความหวัง ความใคร ความพอใจ หรือความทะเยอทะยานอยาก ตอลมหายใจออก. ๕. เมื่อสนใจในลมหายใจเขามากเกินไป จนเรียกไดวาถูกลมหายใจ เขาครอบงํา ความเลือนก็เกิดขึ้นไปในการกําหนดลมหายใจออก. ๖. เมื่อสนใจในลมหายใจเขามากเกินไป จนเรียกไดวาถูกลมหายใจ ออกครอบงํา ความเลือนก็เกิดขึ้นไปในการกําหนดลมหายใจเขา. ๗. เมื่อกําหนดนิมิตอยู จิตที่กําหนดลมหายใจเขาหวั่นไหว. ๘. เมื่อกําหนดลมหายใจเขาอยู จิตที่กําหนดนิมิตหวั่นไหว. ๙. เมื่อกําหนดนิมิตอยู จิตที่กําหนดลมหายใจออกหวั่นไหว. ๑๐. เมื่อกําหนดลมหายใจออกอยู จิตที่กําหนดนิมิตหวั่นไหว. ๑๑. เมื่อกําหนดลมหายใจเขาอยู จิตที่กําหนดลมหายใจออกหวั่นไหว. ๑๒. เมื่อกําหนดลมหายใจออกอยู จิตที่กําหนดลมหายใจเขาหวั่นไหว.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
ญาณเนื่องดวยอานาปานสติ
๔๒๕
๑๓. จิตแลนไปตามอารมณในอดีต เปนจิตตกไปสูความกระสับกระสาย ๑๔. จิตหวังในอารมณอันเปนอนาคต เกิดเปนจิตกวัดแกวงขึ้น. ๑๕. จิตหดหูมีอาการแหงความเกียจครานหรือตกลงไปสูความเกียจคราน. ๑๖. จิตเพียรจัดเกินไป จนตกไปฝายความฟุงซาน. ๑๗. จิตไวตอความรูสึกอารมณเกินไป เปนจิตตกไปสูความกําหนัด. ๑๘. จิ ตไม แจ มใส ไม ผ องแผ ว เป นจิ ตตกไปสู ความขั ดเคื องหรื อความ ประทุษราย. รวมทั้ง ๑๘ ประการนี้ เรียกวาโทษ เป นเครื่ องทํ าความเศราหมองแก สมาธิ. ญาณ หรือความรู เกิดขึ้นในสิ่งเหลานี้ ในเมื่อสิ่งเหลานี้ปรากฏเปน อุปสรรค แลวตนสามารถแกไขใหลุลวงไปได จึงจะเรียกวา “ญาณ” ในที่นี้. ผูไมมีญาณขอนี้อาจจะไมรูแมแตเพียงวาเปนโทษ แมสิ่งเหลานี้เกิดอยูก็ไมสามารถ กําหนดได วาคืออะไรและจะตองจัดการอยางไร บางทีก็ไมสามารถแมแตจะแจง อาการเหลานี้แกกัลยาณมิตรหรืออาจารย. ฉะนั้น ควรไดรับการศึกษามากอนคือ กอนที่จะเจริญอานาปานสติอยางเพียงพอ หรือเต็มที่อยางที่จะสามารถทําได แลว มารูถึงที่สุดเอาเมื่อไดปฏิบัติเสร็จแลว. แมรายละเอียดเรื่องนี้ก็ไดวินิจฉัยแลว โดยละเอียดในอานาปานสติขั้นที่สี่ตอนตน ๆ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org หมวดที่ ๔ ญาณในธรรมที่เปนการผองแผวของสมาธิ มีอาการตรงกันขามหรือ เปนไปในทํานองที่ตรงกันขาม จากอาการที่กลาวมาแลวในเรื่องธรรมที่เปนเครื่อ ง ทําความเศราหมอง หากแตวาหมวดนี้มีเพียง ๑๓ อยางคือ :-
www.buddhadasa.in.th
๔๒๖
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๑
๑. เมื่อจิตแลนไปตามอารมณในอดีต จนตกไปสูความกระสับกระสาย เธอเว น จิ ต ดวงนั้ น เสี ย ตั้ ง จิ ต ไว ใ นฐานอั น เดี ย ว ย อ มระงั บ โทษคื อ ความกระสั บ กระสายนั้นได. ๒. จิตหวังตออารมณในอนาคต เปนจิตหวั่นไหวแลว เธอเวนจิต ดวงนั้ น เสี ย น อ มจิ ต ไปในฐานอั น เดี ย ว คื อ การเว น จิ ต ดวงนั้ น เสี ย นั่ น เอง ย อ ม ชําระความเศราหมองนั้นได. ๓. จิตหดหูตกไปขางฝายเกียจคราน เธอยอมทําการประคับประคอง ยกขึ้นซึ่งจิตนั้นดวยการปลอบดวยอุบายมีประการตาง ๆ ยอมละความเศราหมองได. ๔. จิตเพียรจัดเกินไป จนตกไปขางฝายฟุงซาน เธอยอมขมซึ่งจิตนั้น ดวยอุบายมีประการตาง ๆ ยอมละความเศราหมองได. ๕. จิตไวตอความรูสึกเกินไป จนตกไปสูความกําหนัด เธอเพิ่ม สั ม ปชั ญ ญะทํ า ความรู สึ ก ตั ว ทั่ ว พร อ ม หรื อ ความรู เ ท า ทั น ในการที่ จ ะหยดการไวต อ ความรูสึกนั้นเสีย ยอมละเวนความเศราหมองได. ๖. จิตไมแจมใส ตกไปฝายประทุษราย เธอเพิ่มสัมปชัญญะ มีความ รูสึกตัวทั่วพรอมและรูเทาทันในการทําจิตใหแจมใส ยอมละเวนความเศราหมองได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ตอไปนี้ เปนความผองใสของจิต โดยความเปนจิตเอก. ๗. ความเปนจิตเอก เพราะจิตมีการสละสิ่งทั้งปวงปรากฏชัด. ๘. ความเปนจิตเอก เพราะนิมิตแหงสมถะปรากฏชัด. ๙. ความเป น จิ ต เอก เพราะลั ก ษณะแห ง ความสิ้ น ไปและเสื่ อ มไป ปรากฏชัดแกจิต
www.buddhadasa.in.th
ญาณเนื่องดวยอานาปานสติ
๔๒๗
๑๐. ความเปนจิตเอก เพราะธรรมเปนที่ดับเสีย ซึ่งความรูสึกวาตัวตน หรือของตนปรากฏชัด. ความเปนเอกตาง ๆ กันนี้ มีไดตางกันแกหมูชน ที่มีพื้นเพอุปนิสัยเดิม ต า งกั น เช น ชอบให ท านเป น นิ สั ย ชอบทํ า สมาธิ เ ป น นิ สั ย ชอบพิ จ ารณาเพื่ อ วิปสสนาเปนนิสัย และพวกพระอริยเจาในที่สุด. ๑๑. ความผองใส เกิดแกจิตเพราะรูความหมดจดแหงการปฏิบัติของตน. ๑๒. จิตผองใส เพราะเจริญดวยอุเบกขา หรือพรั่งพรูดวยอุเบกขา. ๑๓. จิตราเริงดวยญาณ แลวเปนจิตผองใส ดังนี้. ความผองใสทั้ง ๑๓ ประการนี้ สําเร็จมาจากความรู อันเปนเครื่องทํ า ความผ อ งใส ในการแก ป ญ หาเฉพาะหน า เฉพาะกรณี และเฉพาะบุ ค คลก็ จ ริ ง แตบุ คคลผูผานการเจริญอานาปานสติไปจนถึงที่สุดแลว ย อมมี ญาณเหล านี้อยาง ครบถวน ดวยการประจักษบาง ดวยการหยั่งทราบบาง. รายละเอียดเกี่ยวกับการ ผองแผวทั้ง ๑๓ ประการนี้ มีวินิจฉัยอยูแลวในอานาปานสติขั้นที่สี่เชนเดียวกัน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๑
๔๒๘
หมวดที่ ๕ ญาณในความเปนผูมีสติปฏฐาน ๓๒ ประการ๑ นั้น หมายถึงความรู ที่ ประจั กษ ในขณะเจริ ญอานาปานสติ มี วั ตถุ ๑๖ หรื อ ๑๖ ขั้ น มี รายละเอี ยดดั งที่ กล า วมาแล ว แต ต น จนละเอี ย ดนั่ น เอง หากแต ว า วั ต ถุ ห นึ่ ง ๆ ถู ก แบ ง ออกเป น สอง ตามขณะแห ง การหายใจเข า และการหายใจออก เพราะมี ก ารกํ า หนดอย า งเดี ย วกั น และอยางเต็มที่ทุกครั้ง ที่หายใจเขาหรือ หายใจออก. ความรูใ นขณะหายใจเขา ก็ ถู ก จั ด เป น ญาณอั น หนึ่ ง ในขณะหายใจออก ก็ เ ป น ญาณอี ก อั น หนึ่ ง ไปทุ ก ๆ วั ต ถุ รวมทั้ง ๑๖ วัตถุ จึงเปน ๓๒ ญาณ มีชื่อตามอาการที่กําหนดแหงวัตถุนั้น ๆ คือ : ๑. ญาณเปนเครื่องรูลมหายใจเขายาว วาเราหายใจเขายาว. ๒. ญาณเปนเครื่องรูลมหายใจออกยาว วาเราหายใจออกยาว. ๓. ญาณเปนเครื่องรูลมหายใจเขาสั้น วาเราหายใจเขาสั้น. ๔. ญาณเปนเครื่องรูลมหายใจออกสั้นวาเราหายใจออกสั้น. ๕. ญาณเปนเครื่องรูพรอมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจเขา. ๖. ญาณเปนเครื่องรูพรอมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจออก. ๗. ญาณเปนเครื่องรูการทํากายสังขารใหรํางับอยู หายใจเขา. ๘. ญาณเปนเครื่องรูการทํากายสังขารใหรํางับอยู หายใจออก. ๙. ญาณเปนเครื่องรูพรอมเฉพาะซึ่งปติ หายใจเขา. ๑๐. ญาณเปนเครื่องรูพรอมเฉพาะซึ่งปติ หายใจออก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๑
การบรรยายครั้งที่ ๕๑ / ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๐๒
www.buddhadasa.in.th
ญาณเนื่องดวยอานาปานสติ
๔๒๙
๑๑. ญาณเปนเครื่องรูพรอมเฉพาะซึ่งสุข หายใจเขา. ๑๒. ญาณเปนเครื่องรูพรอมเฉพาะซึ่งสุข หายใจออก. ๑๓. ญาณเปนเครื่องรูพรอมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร หายใจเขา. ๑๔. ญาณเปนเครื่องรูพรอมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร หายใจออก. ๑๕. ญาณเปนเครื่องรูการทําจิตตสังขารใหรํางับอยู หายใจเขา. ๑๖. ญาณเปนเครื่องรูการทําจิตตสังขารใหรํางับอยู หายใจออก. ๑๗. ญาณเปนเครื่องรูพรอมเฉพาะซึ่งจิต หายใจเขา. ๑๘. ญาณเปนเครื่องรูพรอมเฉพาะซึ่งจิต หายใจออก. ๑๙. ญาณเปนเครื่องรูการทําจิตใหบันเทิงยิ่งอยู หายใจเขา. ๒๐. ญาณเปนเครื่องรูการทําจิตใหบันเทิงยิ่งอยู หายใจออก. ๒๑. ญาณเปนเครื่องรูการทําจิตใหตั้งมั่นอยู หายใจเขา. ๒๒. ญาณเปนเครื่องรูการทําจิตใหตั้งมั่นอยู หายใจออก. ๒๓. ญาณเปนเครื่องรูการทําจิตใหปลอยอยู หายใจเขา. ๒๔. ญาณเปนเครื่องรูการทําจิตใหปลอยอยู หายใจออก. ๒๕. ญาณเปนเครื่องตามเห็นความไมเที่ยงอยูเปนประจํา หายใจเขา. ๒๖. ญาณเปนเครื่องตามเห็นความไมเที่ยงอยูเปนประจํา หายใจออก. ๒๗. ญาณเปนเครื่องตามเห็นความจางคลายอยูเปนประจํา หายใจเขา. ๒๘. ญาณเปนเครื่องตามเห็นความจางคลายอยูเปนประจํา หายใจออก. ๒๙. ญาณเปนเครื่องตามเห็นธรรมเปนที่ดับอยูเปนประจํา หายใจเขา. ๓๐. ญาณเปนเครื่องตามเห็นธรรมเปนที่ดับอยูเปนประจํา หายใจออก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๑
๔๓๐
๓๑. ญาณเปนเครื่องตามเห็นความสลัดคืนอยูเปนประจํา หายใจเขา. ๓๒. ญาณเปนเครื่องตามเห็นความสลัดคืนอยูเปนประจํา หายใจออก. ญาณเหล านี้ มี ชื่ อเรี ยกสั้ น ๆ ว า สโตการี ญาณ มี ชื่ อตามลํ าดั บเลขว า สโตการีญาณ ที่หนึ่ง ที่สอง ตามลําดับไป. สโตการี แปลวา ผูกระทําซึ่งสติ ; สโตการี ญ าณ จึ ง แปลว า ญาณของผู ทํ า สติ จํ า แนกเป น ๓๒ ตามอาการที่ ทํ า ดังที่กลาวแลว.
หมวดที่ ๖ ญาณดวยอํานาจความเปนสมาธิ ๒๔ นั้น หมายถึงความรูในความเปน สมาธิ หรือเพราะมี ความเป นสมาธิ ปรากฏอยู อยางนั้ น ๆ แล วเกิ ดความรู ตอความเป น สมาธิ นั้ น จํ าแนกเป น ๒๔ ตามอาการของความเป นสมาธิ ที่ มี อยู ในอานาปานสติ เพียง ๓ จตุกกะขางตน คือ :-
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๑.
๒.
๓. ๔.
ญาณ คือ ความรูวา สมาธิ เพราะจิต เปน เอกคตาไมฟุง ซา น ดว ยอํา นาจ ลมหายใจเขายาว. ญาณ คือ ความรูวา สมาธิ เพราะจิต เปน เอกคตาไมฟุง ซา น ดว ยอํา นาจ ลมหายใจออกยาว. ญาณ คือ ความรูวา สมาธิ เพราะจิต เปน เอกคตาไมฟุง ซา น ดว ยอํา นาจ ลมหายใจเขาสั้น. ญาณ คือความรูวาสมาธิ เพราะจิตเปนเอกคตาไมฟุงซาน ดวยอํานาจ ลมหายใจออกสั้น.
www.buddhadasa.in.th
ญาณเนื่องดวยอานาปานสติ
๔๓๑
๕.
ญาณ คือความรูวาสมาธิ เพราะจิตเปนเอกคตาไมฟุงซาน ดวยอํานาจ ความเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจเขา. ๖. ญาณ คือความรูวาสมาธิ เพราะจิตเปนเอกคตาไมฟุงซาน ดวยอํานาจ ความเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจออก. ๗. ญาณ คือความรูวาสมาธิ เพราะจิตเปนเอกคตาไมฟุงซาน ดวยอํานาจ การทํากายสังขารใหรํางับอยู หายใจเขา. ๘. ญาณ คือความรูวาสมาธิ เพราะจิตเปนเอกคตาไมฟุงซาน ดวยอํานาจ การทํากายสังขารใหรํางับอยู หายใจออก. ๙. ญาณ คือความรูวาสมาธิ เพราะจิตเปนเอกคตาไมฟุงซาน ดวยอํานาจ ความเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งปติ หายใจเขา. ๑๐. ญาณ คือความรูวาสมาธิ เพราะจิตเปนเอกคตาไมฟุงซาน ดวยอํานาจ ความเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งปติ หายใจออก. ๑๑. ญาณ คือความรูวาสมาธิ เพราะจิตเปนเอกคตาไมฟุงซาน ดวยอํานาจ ความเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งสุข หายใจเขา. ๑๒. ญาณ คือความรูวาสมาธิ เพราะจิตเปนเอกคตาไมฟุงซาน ดวยอํานาจ ความเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งสุข หายใจออก. ๑๓. ญาณ คือความรูวาสมาธิ เพราะจิตเปนเอกคตาไมฟุงซาน ดวยอํานาจ ความเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร หายใจเขา. ๑๔. ญาณ คือความรูวาสมาธิ เพราะจิตเปนเอกคตาไมฟุงซาน ดวยอํานาจ ความเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร หายใจออก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๔๓๒
๑๕. ๑๖. ๑๗. ๑๘. ๑๙. ๒๐. ๒๑.
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๑
ญาณ คือความรูวาสมาธิ เพราะจิตเปนเอกคตาไมฟุงซาน ดวยอํานาจ การทําจิตตสังขารใหรํางับอยู หายใจเขา. ญาณ คือความรูวาสมาธิ เพราะจิตเปนเอกคตาไมฟุงซาน ดวยอํานาจ การทําจิตตสังขารใหรํางับอยู หายใจออก. ญาณ คือความรูวาสมาธิ เพราะจิตเปนเอกคตาไมฟุงซาน ดวยอํานาจ ความเปนรูพรอมเฉพาะซึ่งจิต หายใจเขา. ญาณ คือความรูวาสมาธิ เพราะจิตเปนเอกคตาไมฟุงซาน ดวยอํานาจ ความเปนรูพรอมเฉพาะซึ่งจิต หายใจออก. ญาณ คือความรูวาสมาธิ เพราะจิตเปนเอกคตาไมฟุงซาน ดวยอํานาจ การทําจิตใหบันเทิงอยู หายใจเขา. ญาณ คือความรูวาสมาธิ เพราะจิตเปนเอกคตาไมฟุงซาน ดวยอํานาจ การทําจิตใหบันเทิงอยู หายใจออก. ญาณ คือความรูวาสมาธิ เพราะจิตเปนเอกคตาไมฟุงซาน ดวยอํานาจ การทําจิตใหตั้งมั่นอยู หายใจเขา. ญาณ คือความรูวาสมาธิ เพราะจิตเปนเอกคตาไมฟุงซาน ดวยอํานาจ การทําจิตใหตั้งมั่นอยู หายใจออก. ญาณ คือความรูวาสมาธิ เพราะจิตเปนเอกคตาไมฟุงซาน ดวยอํานาจ การทําจิตใหตั้งปลอยอยู หายใจเขา. ญาณ คือความรูวาสมาธิ เพราะจิตเปนเอกคตาไมฟุงซาน ดวยอํานาจ การทําจิตใหตั้งปลอยอยู หายใจออก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๒๒.
๒๓.
๒๔.
ญาณด วยอํ านาจสมาธิ มี เพี ยง ๒๔ เพราะมี ใน ๓ จตุ กกะข างต น ส วน ในจตุ กกะที่ สี่ นั้ น เป นการกํ าหนดด วยอํ านาจวิ ป สสนา จึ งไม ถู กนั บรวมอยู ในญาณ ในประเภทนี้.
www.buddhadasa.in.th
ญาณเนื่องดวยอานาปานสติ
๔๓๓
หมวดที่ ๗ ญาณด ว ยอํ า นาจวิ ป ส สนา ๗๒ อย า ง จํ า แนกโดยทํ า นองของญาณด ว ย อํ า นาจสมาธิ ๒๔ อย า งดั ง ที่ ก ล า วมาแล ว ในหมวดก อ น หากแต ว า จํ า แนกออกไปอี ก อยางละสาม ดวยอํานาจลักษณะทั้งสามคือ อนิจจลักษณะ ๑, ทุกขลักษณะ ๑, อนัตตลักษณะ ๑, เป นการตรี คูณญาณทั้ ง ๒๔ ญาณ จึ งกลายเป น ๗๒ ญาณ มีชื่อแหงอาการตามการกําหนด เชนเดียวกันคือ :๑. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความไมเที่ยง เมื่อหายใจเขายาว. ๒. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนทุกข เมื่อหายใจเขายาว. ๓. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนอนัตตา เมื่อหายใจเขายาว. ๔. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความไมเที่ยง เมื่อหายใจออกยาว. ๕. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนทุกข เมื่อหายใจออกยาว. ๖. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนอนัตตา เมื่อหายใจออกยาว. ๗. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความไมเที่ยง เมื่อหายใจเขาสั้น. ๘. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนทุกข เมื่อหายใจเขาสั้น. ๙. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนอนัตตา เมื่อหายใจเขาสั้น. ๑๐. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความไมเที่ยง เมื่อหายใจออกสั้น. ๑๑. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนทุกข เมื่อหายใจออกสั้น. ๑๒. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนอนัตตา เมื่อหายใจออกสั้น. ๑๓. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความไมเที่ยง เมื่อรูพรอมเฉพาะ ซึ่งกายทั้งปวง หายใจเขา. ๑๔. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนทุกข เมื่อรูพรอมเฉพาะ ซึ่งกายทั้งปวง หายใจเขา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๔๓๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๑
๑๕. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนอนัตตา เมื่อรูพรอมเฉพาะ ซึ่งกายทั้งปวง หายใจเขา. ๑๖. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความไมเที่ยง เมื่อรูพรอมเฉพาะ ซึ่งกายทั้งปวง หายใจออก. ๑๗. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนทุกข เมื่อรูพรอมเฉพาะ ซึ่งกายทั้งปวง หายใจออก. ๑๘. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนอนัตตา เมื่อรูพรอมเฉพาะ ซึ่งกายทั้งปวง หายใจออก. ๑๙. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความไมเที่ยง เมื่อทํากายสังขาร ใหรํางับอยู หายใจเขา. ๒๐. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนทุกข เมื่อทํากายสังขาร ใหรํางับอยู หายใจเขา. ๒๑. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนอนัตตา เมื่อทํากายสังขาร ใหรํางับอยู หายใจเขา. ๒๒. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความไมเที่ยง เมื่อทํากายสังขาร ใหรํางับอยู หายใจออก. ๒๓. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนทุกข เมื่อทํากายสังขาร ใหรํางับอยู หายใจออก. ๒๔. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนอนัตตา เมื่อทํากายสังขาร ใหรํางับอยู หายใจออก. ๒๕. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความไมเที่ยง เมื่อเปนผูรูพรอมเฉพาะ ซึ่งปติ หายใจเขา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
ญาณเนื่องดวยอานาปานสติ
๔๓๕
๒๖. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนทุกข เปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งปติ หายใจเขา. ๒๗. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนอนัตตา เปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งปติ หายใจเขา. ๒๘. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความไมเที่ยง เปนผูรูพรอมเฉพาะซึง่ ปติ หายใจออก. ๒๙. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนทุกข เปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งปติ หายใจออก. ๓๐. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนอนัตตา เปนผูรูพรอมเฉพาะ ซึ่งปติ หายใจออก. ๓๑. วิปสสนาญาณเพราะการตามเห็นความไมเที่ยง เมื่อเปนผูรูพรอมเฉพาะ ซึ่งสุข หายใจเขา. ๓๒. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนทุกข เมื่อเปนผูรูพรอมเฉพาะ ซึ่งสุข หายใจเขา. ๓๓. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนอนัตตา เมื่อเปนผูรูพรอมเฉพาะ ซึ่งสุข หายใจเขา. ๓๔. วิปสสนาญาณเพราะการตามเห็นความไมเที่ยง เมื่อเปนผูรูพรอมเฉพาะ ซึ่งสุข หายใจออก. ๓๕. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนทุกขเมื่อเปนผูรูพรอมเฉพาะ ซึ่งสุข หายใจออก. ๓๖. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนอนัตตา มื่อเปนผูรูพรอมเฉพาะ ซึ่งสุข หายใจออก. ๓๗. วิปสสนาญาณเพราะการตามเห็นความไมเที่ยง เมื่อเปนผูรูพรอมเฉพาะ ซึ่งจิตตสังขาร หายใจเขา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๔๓๖
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๑
๓๘. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนทุกข เมื่อเปนผูรูพรอมเฉพาะ ซึ่งจิตตสังขาร หายใจเขา. ๓๙. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนอนัตตา เมื่อเปนผูรูพรอมเฉพาะ จิตตสังขาร หายใจเขา. ๔๐. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความไมเที่ยง เมื่อเปนผูรูพรอมเฉพาะ ซึ่งจิตตสังขาร หายใจออก. ๔๑. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนทุกข เมื่อเปนผูรูพรอมเฉพาะ ซึ่งจิตตสังขาร หายใจออก. ๔๒. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนอนัตตา เมื่อเปนผูรูพรอมเฉพาะ จิตตสังขาร หายใจออก. ๔๓. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความไมเที่ยง เมื่อทําจิตตสังขารให รํางับอยู หายใจเขา. ๔๔. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนทุกข เมื่อทําจิตตสังขารให รํางับอยู หายใจเขา. ๔๕. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนอนัตตา เมือ่ ทําจิตตสังขารให รํางับอยู หายใจเขา. ๔๖. วิปสสนาญาณเพราะการตามเห็นความไมเที่ยง เมื่อทําจิตตสังขารให รํางับอยู หายใจออก. ๔๗. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนทุกขเมื่อทําจิตตสังขารให รํางับอยู หายใจออก. ๔๘. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนอนัตตา เมื่อทําจิตตสังขารให รํางับอยู หายใจออก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
ญาณเนื่องดวยอานาปานสติ
๔๓๗
๔๙. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความไมเที่ยง เมื่อเปนผูรูพรอมเฉพาะ ซึ่งจิต หายใจเขา. ๕๐. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนทุกข เมื่อเปนผูรูพรอมเฉพาะ ซึ่งจิต หายใจเขา. ๕๑. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนอนัตตา เมื่อเปนผูรูพรอมเฉพาะ ซึ่งจิต หายใจเขา. ๕๒. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความไมเที่ยง เมื่อเปนผูรูพรอมเฉพาะ ซึ่งจิต หายใจออก. ๕๓. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนทุกข เมื่อเปนผูรูพรอมเฉพาะ ซึ่งจิต หายใจออก. ๕๔. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนอนัตตา เมื่อเปนผูรูพรอมเฉพาะ ซึ่งจิต หายใจออก. ๕๕. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความไมเที่ยง เมื่อทําจิตใหบันเทิงยิ่งอยู หายใจเขา. ๕๖. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนทุกข เมื่อทําจิตใหบันเทิงยิ่งอยู หายใจเขา. ๕๗. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนอนัตตา เมื่อทําจิตใหบันเทิง ยิ่งอยู หายใจเขา. ๕๘. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความไมเที่ยง เมื่อทําจิตใหบันเทิงยิ่งอยู หายใจออก. ๕๙. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนทุกข เมื่อทําจิตใหบันเทิงยิ่งอยู หายใจออก. ๖๐. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนอนัตตา เมื่อทําจิตใหบันเทิง ยิ่งอยู หายใจออก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๔๓๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๑
๖๑. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความไมเที่ยง เมื่อทําจิตใหตั้งมั่นอยู หายใจเขา. ๖๒. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนทุกข เมื่อทําจิตใหตั้งมั่นอยู หายใจเขา. ๖๓. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนอนัตตา เมื่อทําจิตใหตั้งมั่นอยู หายใจเขา. ๖๔. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความไมเที่ยง เมื่อทําจิตใหตั้งมั่นอยู หายใจออก. ๖๕. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนทุกข เมื่อทําจิตใหตั้งมั่นอยู หายใจออก. ๖๖. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนอนัตตา เมื่อทําจิตใหตั้งมั่นอยู หายใจออก. ๖๗. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความไมเที่ยง เมื่อทําจิตใหปลอยอยู หายใจเขา. ๖๘. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนทุกข เมื่อทําจิตใหปลอยอยู หายใจเขา. ๖๙. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนอนัตตา เมื่อทําจิตใหปลอยอยู หายใจเขา. ๗๐. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความไมเที่ยง เมื่อทําจิตใหปลอยอยู หายใจออก. ๗๑. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนทุกข เมื่อทําจิตใหปลอยอยู หายใจออก. ๗๒. วิปสสนาญาณ เพราะการตามเห็นความเปนอนัตตา เมื่อทําจิตใหปลอยอยู หายใจออก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
ญาณเนื่องดวยอานาปานสติ
๔๓๙
โดยนั ย เป น อั น กล า วได ว า วิ ป ส สนาญาณ ๗๒ ก็ คื อ ความเห็ น อนิ จ จั ง ทุ กขั ง อนั ตตา แต ละอย าง ๆ ในขณะที่ จิ ตมี ความเป นสมาธิ ๒๔ ขณะ แต ละขณะ ๆ นั ่น เอง และเปน วิธ ีก ารนับ ที ่ใ ชเ ฉพาะอยู ใ นวงการแหง การเจริญ อานาปานสติ โดยตรง.
หมวดที่ ๘ ญาณเนื่องจากความเบื่อหนายเรียกวา นิพพิทาญาณ จําแนกตาม อาการของการเห็ น ความไม เ ที่ ย ง เห็ น ความจางคลาย เห็ น ธรรมเป น ที่ ดั บ และ เห็ น ความสลั ด คื น แล ว แยกออกเป น สอง ๆ ตามขณะแห ง การหายใจเข า และการ หายใจออก จึง รวมกัน เปน ๘ อยา ง มีชื ่อ ตามอาการแหง การเห็น ธรรมนั ้น ๆ ดังตอไปนี้ :
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๑. นิพพิทาญาณ เมื่อตามเห็นความไมเที่ยง รูอยู เห็นอยู ตามที่ เปนจริง หายใจเขา. ๒. นิพพิทาญาณ เมื่อตามเห็นความไมเที่ยง รูอยู เห็นอยู ตามที่ เปนจริง หายใจออก. ๓. นิพพิทาญาณ เมื่อตามเห็นอยูซึ่งความจางคลาย รูอยู เห็นอยู ตามที่เปนจริง หายใจเขา. ๔. นิพพิทาญาณ เมื่อตามเห็นอยูซึ่งความจางคลาย รูอยู เห็นอยู ตามที่เปนจริง หายใจออก.
www.buddhadasa.in.th
๔๔๐
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๑
๕. นิพพิทาญาณ เมื่อตามเห็นอยูซึ่งธรรมเปนที่ดับ รูอยู เห็นอยู ตามที่เปนจริง หายใจเขา. ๖. นิพพิทาญาณ เมื่อตามเห็นอยูซึ่งธรรมเปนที่ดับ รูอยู เห็นอยู ตามที่เปนจริง หายใจออก. ๗. นิพพิทาญาณ เมื่อตามเห็นความสลัดคืน รูอยู เห็นอยู ตามที่ เปนจริง หายใจเขา. ๘. นิพพิทาญาณ เมื่อตามเห็นความสลัดคืน รูอยู เห็นอยู ตามที่ เปนจริง หายใจออก. โดยนั ยนี้ เป นอั นกล าวได ว า นิ พพิ ทาญาณโดยสมบู รณ ตามความหมาย ของญาณ ๆ นี ้ มีอ ยู ใ นอานาปานสติจ ตุก กะที ่สี ่ หรือ หมวดธรรมานุป ส สนาสติ ป ฏ ฐานภาวนาเท า นั้ น แม จ ะมี ก ารพิ จ ารณาโดยความเป น ของไม เ ที่ ย งเป น ทุ ก ข เป น อนั ต ตามาแล ว ตั้ ง แต จ ตุ ก กะที่ ส อง คื อ หมวดเวทนานุ ป ส สนาภาวนา ก็ ห าได มุงหมายที่จะทํานิพพิทาญาณใหเกิดขึ้นโดยสมบูรณและโดยตรงไม ; แตถาผูใดถือ เอาการเห็ น อนิ จ จั ง ทุ ก ขั ง อนั ต ตา ในขั้ น นั้ น แล ว ทํ า นิ พ พิ ท าให เ ป น ไปโดย สมบู ร ณ ไ ด เรื่ อ งก็ ก ลายเป น เรื่ อ งลั ด ตรงไปสู จ ตุ ก กะที่ สี่ หรื อ สู ธ รรมานุ ป ส สนาสติปฏ ฐานภาวนามาเสีย ตั้ง แตข ณะนั้น ดัง นี้ก็ไ ด. ดัง ที่ก ลา วแลว ขา งตน วา ไม มี ค วามจํ า เป น สํ า หรั บ ทุ ก คน ที่ จ ะต อ งทํ า อานาปานสติ ต ามลํ า ดั บ วั ต ถุ ทั้ ง ๑๖ ไปจนหมด ถ า สามารถทํ า วิ ป ส สนาญาณ และนิ พ พิ ท าญาณให เ กิ ด ขึ้ น ได ที่ วั ต ถุ ใ ด แล ว ทํ า จตุ ก กะที่ สี่ ใ ห ส มบู ร ณ ไ ด ด ว ยเหตุ นั้ น ก็ ย อ มเป น การลั ด สั้ น ของบุ ค คลนั้ น อยา งเปน ที่นา พอใจ. สํา หรับ ในที่นี้เ ปน การกลา ว ที่ก ลา วไปตามหลัก เกณฑ จึงไดกลาวนิพพิทาญาณไวในจตุกกะที่สี่โดยตรง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
ญาณเนื่องดวยอานาปานสติ
๔๔๑
หมวดที่ ๙๑ ญาณหมวดนี้ไดแก นิพพิทานุโลมญาณ ๘ อยาง คือ ๑. นิพพิทานุโลมญาณคือปญญาในความเขาไปปรากฏโดยความเปนภัย เมื่อตามเห็นความไมเที่ยง หายใจเขา. ๒. นิพพิทานุโลมญาณคือปญญาในความเขาไปปรากฏโดยความเปนภัย เมื่อตามเห็นความไมเที่ยง หายใจออก. ๓. นิพพิทานุโลมญาณคือปญญาในความเขาไปปรากฏโดยความเปนภัย เมื่อตามเห็นความจางคลาย หายใจเขา. ๔. นิพพิทานุโลมญาณคือปญญาในความเขาไปปรากฏโดยความเปนภัย เมื่อตามเห็นความจางคลาย หายใจออก. ๕. นิพพิทานุโลมญาณคือปญญาในความเขาไปปรากฏโดยความเปนภัย เมื่อตามเห็นธรรมเปนเครื่องดับ หายใจเขา. ๖. นิพพิทานุโลมญาณคือปญญาในความเขาไปปรากฏโดยความเปนภัย เมื่อตามเห็นธรรมเปนเครื่องดับ หายใจออก. ๗. นิพพิทานุโลมญาณคือปญญาในความเขาไปปรากฏโดยความเปนภัย เมื่อตามเห็นความสลัดคืน หายใจเขา. ๘. นิพพิทานุโลมญาณคือปญญาในความเขาไปปรากฏโดยความเปนภัย เมื่อตามเห็นความสลัดคืน หายใจออก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๑
การบรรยายครั้งที่ ๕๒ / ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๐๒
www.buddhadasa.in.th
๔๔๒
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๑
ญาณเหลานี้ชื่อวา อนุโลมตอนิพพิทา เพราะเปนเหตุใหเกิดนิพพิทา ขึ้ นได ในที่ สุ ด ญาณเหล านี้ มี มาก อนนิ พพิ ทาญาณ เท าที่ จะกํ าหนดได ว าจะสนั บสนุ น ให เ กิ ด นิ พ พิ ท าได โ ดยแน แ ท กล า วคื อ เมื่ อ ได เ ห็ น ความไม เ ที่ ย ง เป น ทุ ก ข เป น อนั ต ตาในรู ป ของการเกิ ด และการดั บ อย า งเพี ย งพอแล ว จึ ง เกิ ด ความรู สึ ก ที่ เ ป น ไป ในทํ า นองที่ ก ลั ว ต อ ภั ย อั น เกิ ด มาจากการที่ ต อ งเกิ ด ต อ งดั บ หรื อ การทนทุ ก ข ทรมานนั่นเอง. ความกลัวที่ปรากฏชัดเรียกวาการเขาไปปรากฏแหงภัย. ปญญาที่ รูเห็นความเปนอยางนี้ เรียกวาปญญาในความเขาไปปรากฏแหงภัย. มีอยูไดตลอด อานาปานสติ จ ตุ ก กะที่ สี่ นี้ เ รี ย กว า นิ พ พิ ท านุ โ ลมญาณ เป น ความรู ที่ นั บ เนื่ อ งอยู ใ น นิ พ พิ ท าญาณ ในกรณี ที่ มี ก ารแยกความรู ใ นระยะนี้ ใ ห ล ะเอี ย ดลงไปอี ก กล า วคื อ เมื่ อ เห็ น โดยความเป น ภั ย แล ว ก็ ย อ มเห็ น โดยความเป น โทษ ซึ่ ง เรี ย กการเห็ น นั้ น วา อาทีนวญาณ หรือ อาทีนวานุปสสนาญาณ นั้น : แมญาณนี้ ก็สงเคราะหเขาใน นิพพิทานุโลมญาณดวยอยางเดียวกัน. ฉะนั้ น เป น อั น ว า ภยตุ ป ฏ ฐานญาณก็ ดี อาที ว ญาณก็ ดี จั ด เป น พวก นิพพิทานโลมญาณดวยกันทั้งสิ้น ; จะถือวามีผลเปนนิพพิทาญาณ หรือวาเปน นิพพิทาญาณอยูในตัวมันเอง ก็ถูกทั้งสองอยาง เพราะไดผลเทากันโดยพฤตินัย.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ในวงแห ง การเจริ ญ อานาปานสติ จํ า แนกญาณเหล า นี้ ต ามธรรมสี่ มี อนิ จ จตา เป น ต น มี ป ฏิ นิ ส สั ค คะ เป น ที่ สุ ด และการจํ า แนกตามขณะที่ ห ายใจเข า และออก จึ ง ได จํ า นวนเป น ๘ อย า งด ว ยกั น ผิ ด จากในที่ อื่ น ซึ่ ง ระบุ ถึ ง แต สั ก ว า ชื่ อ ไม จํ า แนกตามวั ต ถุ ห รื อ ขณะเป น ต น เลย ซึ่ ง ทํ า ให มี จํ า นวนเพี ย งหนึ่ ง เพราะการ ไมจํ า แนกนั ่น เอง อีก อยา งหนึ ่ง การที ่ไ มจํ า แนกนั ้น เปน การปฏิบ ัต ิใ นแนวอื ่น ซึ่งไมใชการเจริญอานาปานสติ จึงไมรูที่จะจําแนกอยางไรนั่นเอง.
www.buddhadasa.in.th
ญาณเนื่องดวยอานาปานสติ
๔๔๓
หมวดที่ ๑๐ นิ พ พิ ท าปฏิ ป ส สั ท ธิ ญ าณ หมายถึ ง บรรดาญาณที่ รํ า งั บ อาการแห ง นิพ พิท าเสีย แลว ดํา เนิน หนา ที่ หรือ ทํา จิต ที่สูง ขึ้น ไปตามลํา ดับ จํา แนกเปน ๘ ตามวัตถุที่กําหนด และขณะที่กําหนดอยางเดียวกันอีก คือ :๑. นิพพิทาปฏิปสสัทธิญาณ คือปญญาที่ทําหนาที่การพิจารณาแลวตั้งมั่นอยูดว ยดี ในขณะเห็นความไมเที่ยง หายใจเขา. ๒. นิพพิทาปฏิปสสัทธิญาณ คือปญญาที่ทําหนาที่การพิจารณาแลวตั้งมั่นอยูดวยดี ในขณะเห็นความไมเที่ยง หายใจออก. ๓. นิพพิทาปฏิปสสัทธิญาณ คือปญญาที่ทําหนาที่การพิจารณาแลวตั้งมั่นอยูดวยดี ในขณะเห็นความจางคลาย หายใจเขา. ๔. นิพพิทาปฏิปสสัทธิญาณ คือปญญาที่ทําหนาที่การพิจารณาแลวตั้งมั่นอยูดวยดี ในขณะเห็นความจางคลาย หายใจออก. ๕. นิพพิทาปฏิปสสัทธิญาณ คือปญญาที่ทําหนาที่การพิจารณาแลวตั้งมั่นอยูดว ยดี ในขณะเห็นธรรมเปนเครื่องดับ หายใจเขา. ๖. นิพพิทาปฏิปสสัทธิญาณ คือปญญาที่ทําหนาที่การพิจารณาแลวตั้งมั่นอยูดวยดี ในขณะเห็นธรรมเปนเครื่องดับ หายใจออก. ๗. นิพพิทาปฏิปสสัทธิญาณ คือปญญาที่ทําหนาที่การพิจารณาแลวตั้งมั่นอยูดวยดี ในขณะเห็นความสลัดคืน หายใจเขา. ๘. นิพพิทาปฏิปสสัทธิญาณ คือปญญาที่ทําหนาที่การพิจารณาแลวตั้งมั่นอยูดวยดี ในขณะเห็นความสลัดคืน หายใจออก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๔๔๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๑
ญาณชื่ อ นี้ ร ะงั บ ซึ่ ง อาการแห ง นิ พ พิ ท า แล ว ดํ า เนิ น กิ จ ต อ ไปในการ พิจารณาหาทางพนเพราะอยากจะพน จนกระทั่งพบความหลุดพน. ถึงทราบวา ถ า กํ า ลั ง แห ง นิ พ พิ ท ายั ง คงอยู ก็ มี แ ต ค วามกลั ว ความหวาดเสี ย ว และความเบื่ อ หน า ย ซึ่ ง ล ว นเป น การถอยกํ า ลั ง หรื อ ทํ า ให ถ อยกํ า ลั ง และเป น ความทนทุ ก ข ทรมานอยู ใ นตั ว ฉะนั้ น จึ ง ต อ งรํ า งั บ กํ า ลั ง แห ง นิ พ พิ ท าเสี ย ด ว ยญาณอื่ น ที่ ถั ด ไป ; หรื อ กล า วอี ก อย า งหนึ่ ง ก็ คื อ เปลี่ ย นการใช กํ า ลั ง ของญาณไปในทางอื่ น นั่ น เอง โดยเฉพาะอย างยิ่ ง แทนที่ จะมั วเบื่ อ หน ายอยู ก็ กลายเป นความอยากพ นอย างแรง กล า แล ว แสดงหาความพ น หรื อ ทางพ น จนกระทั่ ง พบว า ความวางเฉยต อ สั ง ขาร ทั้งปวง เปนความพนที่แทจริง ; ฉะนั้นเปนอันวา ญาณที่มีชื่อวา มุญจิตุกัมยตาญาณ ก็ ดี ปฏิ สั ง ขานุ ป ส สนาญาณ ก็ ดี ตลอดถึ ง สั ง ขารุ เ บกขาญาณก็ ดี ย อ ม นับเนื่องอยูในนิพพิทาปฏิปสสัทธิญาดวยกันทั้งสิ้น. อีกอยางหนึ่งตองไมลืมวา แม ใ นญาณเหล า นี้ ใ นขณะนี้ ก็ ยั ง คงมี กํ า ลั ง แห ง การเห็ น อนิ จ จั ง ทุ ก ขั ง อนั ต ตา หนุนเนื่องอยูตามเคย และมีกําลังยิ่งขึ้นตามสวนดวย. กลาวไดวาญาณทุกญาณ ตั้งอาศัยอยูบนกําลังแหงการเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตลอดสาย ในรูปที่ตางกัน ตั ้ง แตต น มาทีเ ดีย ว ซึ ่ง มีใ จความสั ้น ๆ คือ ญาณที ่เ ห็น การเกิด ดับ ก็ค ือ การ เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ; ญาณที่ทําใหกลัวภัยในวัฏฏสงสาร ก็เพราะเห็น อยูวาในวัฏฏสงสารเต็มไปดวยความเปน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ; ญาณที่ทํา ให เห็นโทษ ก็ เพราะเห็ นวาโทษนั้ นเกิดมาจากความที่ เป น อนิ จจัง ทุกขั ง อนั ตตา ; ญาณที่ เป นความอยากพ น ก็ คื ออยากพ นจากความเป น อนิ จจั ง ทุ กขั ง อนั ตตา ; ราวกะวากําลังแหง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เปนเครื่องรุกเราใหหาทางพน. ญาณ ที่เปนเครื่องพิจารณาหาทาง ก็หมายถึงหาทางออกที่ความเปน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
ญาณเนื่องดวยอานาปานสติ
๔๔๕
จะทํ า อะไรแกต นไมไ ด. และในที ่ส ุด ญาณซึ ่ง เปน เครื ่อ งวางเฉยตอ สัง ขารธรรม ทั้ ง ปวงนั้ น ก็ ห มายถึ ง การวางเฉยโดยเด็ ด ขาดต อ สิ่ ง ที่ เ ป น อนิ จ จั ง ทุ ก ขั ง อนั ต ตา นั่น เอง. เปน อัน วา กํา ลัง แหง การเห็น อนิจ จัง ทุก ขัง อนัต ตา ยอ มมีอ ยูใ น ญาณเหล า นี้ แ ละมี ม ากยิ่ ง ขึ้ น เพื่ อ หนุ น กํ า ลั ง แห ง ญาณเหล า นั้ น ให ม ากยิ่ ง ขึ้ น จน กระทั่ ง ถึ ง ญาณประเภทที่ นั บ เนื่ อ งอยู ใ นอริ ย มรรคญาณ ก็ ทํ า การตั ด กิ เ ลสด ว ย อํ า นาจของการเห็ น อนิ จ จั ง ทุ ก ขั ง อนั ต ตา ที่ มี กํ า ลั ง ถึ ง ที่ สุ ด นั่ น เองง ทั้ ง หมดนี้ เปน การแสดงใหเ ห็น ชัด วา ญาณประเภทที ่อ นุโ ลมตอ นิพ พิท าญาณ หรือ เปน บุ รพภาคของนิ พพิ ทาญาณก็ ดี ตั วนิ พพิ ทาญาณเองก็ ดี ญาณทั้ งหลายที่ เกิ ดขึ้ นภาย หลังระงับอาการแหงนิพพิทาญาณ แลวทํากิจตอไปก็ดี ลวนแตตองอาศัยกําลัง แหงการเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ดวยกันทั้งนั้น. เมื่อเปนดังนั้นญาณเหลานั้น จึ ง มี ไ ด ทั้ ง ในขณะที่ ต ามเห็ น ความเป น อนิ จ จั ง ตามเห็ น ความจางคลาย ตาม เห็ น ธรรมเป น เครื่ อ งดั บ และตามเห็ น ความสลั ด คื น ดั ง ที่ ก ล า วมาแล ว ได ด ว ยกั น ทั้ ง สิ้ น และทุ ก ขณะแห ง การหายใจเข า และออก ดั ง นั้ น จึ ง สามารถจํ า แนกญาณ เหล า นี้ อ อกได เ ป น ๘ เสมอไป โดยอาศั ย วั ต ถุ ๔ คื อ อนิ จ จตา วิ ร าคะ นิ โ รธะ และปฏินิสสัคคะ ; และอาศัยขณะสอง คือขณะแหงการหายใจเขา และขณะ แหงการหายใจออก ดังที่กลาวแลวนั่นเอง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๑
๔๔๖
หมวดที่ ๑๑ วิมุตติสุขญาณ คือ ญาณในความสุขอันเกิดแกวิมุตติ๑ ไดแกความรู โดยประจั ก ษ ต อ ความสุ ข ที่ เ กิ ด ขึ้ น เพราะจิ ต หลุ ด พ น จากสั ญ โญชน และอนุ สั ย นั บ ว า เป น ความรู ผ ลของการปฏิ บั ติ เป น ญาณหมวดสุ ด ท า ย จํ า แนกตามสั ญ โญชน และอนุสัยที่อริยมรรคทั้งสี่จะพึงตัด จําแนกโดยละเอียดไดเปน ๒๑ อยาง คือ :๑. วิมุตติสุขญาณ เกิดขึ้นเพราะ สักกายทิฏฐิ ถูกละ ถูกตัดเสียได ดวย โสดาปตติมรรค. ๒. วิมุตติสุขญาณ เกิดขึ้นเพราะ วิจิกิจฉา ถูกละ ถูกตัดเสียได ดวย โสดาปตติมรรค. ๓. วิมุตติสุขญาณ เกิดขึ้นเพราะ สีลพั พตปรามาส ถูกละ ถูกตัดเสีย ได ดวย โสดาปตติมรรค. ๔. วิมุตติสุขญาณ เกิดขึ้นเพราะ ทิฏฐานุสัย ถูกละ ถูกตัดเสียได ดวย โสดาปตติมรรค. ๕. วิมุตติสุขญาณ เกิดขึ้นเพราะ วิจิกิจฉานุสัย ถูกละ ถูกตัดเสียได ดวย โสดาปตติมรรค. ๖. วิมุตติสุขญาณ เกิดขึ้นเพราะ กามราคะอยางหยาบ ถูกละ ถูกตัด เสียได ดวย สกิทาคามิมรรค. ๗. วิมุตติสุขญาณ เกิดขึ้นเพราะ ปฏิฆะอยางหยาบ ถูกละ ถูกตัด เสียได ดวย สกิทาคามิมรรค.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๑
การบรรยายครั้งที่ ๕๓ / ๒ ธันวาคม ๒๕๐๒
www.buddhadasa.in.th
ญาณเนื่องดวยอานาปานสติ
๔๔๗
๘. วิมุตติสุขญาณ เกิดขึ้นเพราะ กามราคานุสัยอยางหยาบ ถูกละ ถูกตัดเสียได ดวย สกิทาคามิมรรค. ๙. วิมุตติสุขญาณ เกิดขึ้นเพราะ ปฏิฆานุสัยอยางหยาบ ถูกละ ถูกตัด เสียได ดวย สกิทาคามิมรรค. ๑๐. วิมุตติสุขญาณ เกิดขึ้นเพราะ กามราคะอันละเอียด ถูกละ ถูกตัด เสียได ดวย อนาคามิมรรค. ๑๑. วิมุตติสุขญาณ เกิดขึ้นเพราะ ปฏิฆะอันละเอียด ถูกละ ถูกตัด เสียได ดวย อนาคามิมรรค. ๑๒. วิมุตติสุขญาณ เกิดขึ้นเพราะ กามราคานุสัยอันละเอียด ถูกละ ถูกตัดเสียได ดวย อนาคามิมรรค. ๑๓. วิมุตติสุขญาณ เกิดขึ้นเพราะ ปฏิฆานุสัยอันละเอียด ถูกละ ถูกตัด เสียได ดวย อนาคามิมรรค. ๑๔. วิมุตติสุขญาณ เกิดขึ้นเพราะ รูปราคะ ถูกละ ถูกตัดเสียได ดวย อรหัตตมรรค. ๑๕. วิมุตติสุขญาณ เกิดขึ้นเพราะ อรูปราคะ ถูกละ ถูกตัดเสียได ดวย อรหัตตมรรค. ๑๖. วิมุตติสุขญาณ เกิดขึ้นเพราะ มานะ ถูกละ ถูกตัดเสียได ดวย อรหัตตมรรค. ๑๗. วิมุตติสุขญาณ เกิดขึ้นเพราะ อุทธัจจะ ถูกละ ถูกตัดเสียได ดวย อรหัตตมรรค.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๔๔๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๑
๑๘. วิมุตติสุขญาณ เกิดขึ้นเพราะ อวิชชา ถูกละ ถูกตัดเสียได ดวย อรหัตตมรรค. ๑๙. วิมุตติสุขญาณ เกิดขึ้นเพราะ มานานุสัย ถูกละ ถูกตัดเสียได ดวย อรหัตตมรรค. ๒๐. วิมุตติสุขญาณ เกิดขึ้นเพราะ ภวราคานุสัย ถูกละ ถูกตัดเสียได ดวย อรหัตตมรรค. ๒๑. วิมุตติสุขญาณ เกิดขึ้นเพราะ อวิชชานุสัย ถูกละ ถูกตัดเสียได ดวย อรหัตตมรรค.
ทั้ ง หมดนี้ จะเห็ นได ว า ท านเรี ยงลํ าดั บเหล านี้ ตามอาการที่ ม รรคทั้ ง สี่ จะพึง ละ. สิ่ง ที่จ ะพึง จํา แนกเปน ๒ หมวด คือ หมวดสัญ โญชน และ หมวดอนุสัย. ใน ๒๑ ขอนั้น ขอที่ ๑ - ๒ - ๓ - ๖ - ๗ - ๑๐ - ๑๑ - ๑๔ - ๑๕ - ๑๖ ๑๗ - ๑๘ สิบสองขอนี้เปนพวกสัญโญชน ; ขอที่ ๔ - ๕ - ๘ - ๙ - ๑๒ - ๑๓ ๑๙ - ๒๐ - ๒๑ เกาขอนี้ เปนหมวดอนุสัย เมื่อเปนดังนี้เห็นไดสืบไปวา เปนการ จํ าแนกที่ ซ้ํ ากั นอยู คื อถ าถื อเอาสั ญโญชน ๑๐ เป นหลั ก ก็ มี อนุ สั ยซ้ํ าเข ามาถึ ง ๗. ถาถือเอาอนุสัย ๗ เปนหลัก ก็มีสัญโญชนซ้ําหรือเกินเขามา ๑๐. นอกจากนั้น. พึ ง สั ง เกตให เ ห็ น ว า ท า นได แ ยกสั ญ โญชน ห รื อ อนุ สั ย บางอย า ง ออกไปเป น ชั้ น หยาบและชั้ น ละเอี ย ดอี ก ตามควรแก อํ า นาจของอริ ย มรรคจะพึ ง ตั ด เช น จํ า แนก กามราคะและปฏิ ฆ ะ ว า มี เ ป น อย า งหยาบและอย า งละเอี ย ด ทั้ ง ที่ เ ป น สั ญ โญชน และอนุ สั ย ด ว ยการจํ า แนกออกไปเช น นี้ ด ว ย และด ว ยการรวมเข า ด ว ยกั น ทั้ ง สัญโญชนและอนุสัยดวย จึงไดจํานวนเปน ๒๑ ดังกลาว.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
ญาณเนื่องดวยอานาปานสติ
๔๔๙
สัญโญชน ๑๐ คือ ๑. สักกายทิฏฐิ ๒. วิจิกิจฉา ๓. สีลัพพตาปรามาส ๔. กามราคะ (มีทั้งอยางหยาบและอยางละเอียด) ๕. ปฏิฆะ (มีทั้งอยางหยาบและ อยางละเอียด) ๖. รูปราคะ ๗. อรูปราคะ ๘. มานุ ๙. อุทธัจจะ ๑๐. อวิชชา. โสดาปตติมรรคยอมตัด สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตาปรามาส ; สกิทาคามิมรรคย อมตั ดเพื่ อจากโสดาป ตติ มรรค คื อ ตั ดกามราคะอย างหยาบและปฏิ ฆะอย าง หยาบ ; อนาคามิมรรคยอมตัดเพิ่มจากสกิทาคามิมรรค คือ ตัดกามราคะอยาง ละเอี ยด และปฏิ ฆะอย างละเอี ยด เป นอั นว ากามราคะ และปฏิ ฆะ ถู กตั ดหมดไป ในขั้นอนาคามิมรรคนี้, สวนอรหัตตมรรค ยอมตัดเพิ่มจากอนาคามิมรรค คือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ และอวิชชา. เปนอันวาหมดสัญโญชน โดยประการทั้งปวง. เมื่อกลาวโดยยกเอาอนุสัยเปนหลัก ; พึงทราบวา อนุสัยมี ๗ คือ ๑. ทิฏ ฐานุสัย ๒. วิจิกิจ ฉานุสัย ๓. กามราคานุสัย (จําแนกอยา งหยาบ และอยางละเอียด) ๔. ปฏิฆานุสัย (จําแนกอยางหยาบและอยางละเอียด) ๕. มานานุสัย ๖. ภวราคานุสัย ๗. อวิชชานุสัย โสดาปตติมรรคยอมตัด ทิฏฐานุสัยและวิจิกิจฉานุสัย ; สกิทาคามิมรรค ยอมตัดกามราคานุสัยอยางหยาบ และปฏิฆานุสัยอยางหยาบเพิ่มขึ้น ; อนาคามิมรรค ยอมตัดกามราคานุสัยอยาง ละเอียด และปฏิฆานุสัยอยางละเอียดเพิ่มขึ้น ; สวนอรหัตตมรรค ยอมตัด มานานุสัย ภวราคานุสัย และอวิชชานุสัย.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เมื่ อ นํ า สั ญ โญชน ๑๐ และอนุ สั ย ๗ มาเปรี ย บเที ย บกั น ดู ย อ มจะ เห็ น ได ว า เพี ย งแต จํ า นวนต า งกั น เพราะเล็ ง ถึ ง กิ ริ ย าอาการ ที่ ทํ า หน า ที่ เ ป น กิ เ ลส ตางกัน คือสัญโญชนหมายถึงเครื่องผูกพัน และอนุสัยหมายถึงเครื่องนอนเนื่อง
www.buddhadasa.in.th
๔๕๐
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๑
อยูในสันดาน แตโดยเนื้อแทนั้นเปนของอยางเดียวกันได โดยการปรับใหเขากัน ดังตอไปนี้ คือ : เมื่อเอาอนุสัยเจ็ดเปนหลักยืน เอาสัญโญชนสิบมาทําการ สงเคราะห เ ข า ในอนุ สั ย เรื่ อ งก็ จ ะกลายเป น ว า สั ก กายทิ ฏ ฐิ แ ละสี ลั พ พตปรามาส ๒ อยางนี้ คือทิฏฐานุสัย. วิจิกิจฉา คือวิจิกิจฉานุสัย, กามราคะ คือกามราคานุสัย, รูปราคะและอรูปราคาะ ๒ อยางนี้ คือภวราคานุสัย, มานะและอุทธัจจะ ๒ อยางนี้ คือมานานุสัย, อวิชชา คืออวิชชานุสัย. สัญโญชน ๑๐ อยาง จึงลงตัวกันไดกับ อนุสัย ๗ อยาง ดวยอาการดังกลาวนี้. สั ญโญชน ๑๐ และอนุ สั ย ๗ รวมกั นเป น ๑๗ กามราคะและปฏิ ฆะ ทั้ ง ของสั ญ โญชน และของอนุ สั ย ถู ก แยกออกเป น อย า งหยาบและอย า งละเอี ย ด ทั้ง ๒ ชื่อ และทั้ง ๒ ประเภท จึงไดเพิ่มมาอีก ๔ เมื่อไปรวมกับ ๑๗ จึงเปน ๒๑ วิมุ ตติ สุ ขญาณ จํ าแนกโดยอาการอย างนี้ จึงมี ๒๑ ดั งกล าวแล ว ซึ่งแท จริ งอาจจะ กล าวได ว ามี เพี ยง ๑๐ เท ากั บจํ านวนแห งสั ญโญชน หรื อมี เพี ยง ๗ เท ากั บจํ านวน อนุ สั ย หรื อ แม ใ นที่ สุ ด มี เ พี ย ง ๔ เท า กั บ จํ า นวนแห ง อริ ย มรรค ก็ นั บ ว า เป น สิ่ ง ที่ อาจจะกลาวไดอยูนั่นเอง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
ตอน ยี่สิบสอง ผนวก ๒ - วาดวยการตัดสัญโญชน ของอริยมรรคทั้ง ๔ ทางที่สะดวกที่สุดสําหรับการศึกษา๑ นั้น ควรจะกําหนดมาจากการที่ อริ ย มรรคทั้ ง ๔ ตั ด สั ญ โญชน แ ละอนุ สั ย นั้ น โดยตรง แล ว พิ จ ารณากั น ถึ ง ลั ก ษณะ แห งสั ญโญชน และอนุ สั ยนั้ นโดยละเอี ยดจนเห็ นได ว า ถ าสิ่ งเหล านี้ ๆ หมดไปแล ว ผลอะไรจะเกิ ด ขึ้ น ก็ จ ะทราบคุ ณ สมบั ติ แ ห ง วิ มุ ต ติ สุ ข ญาณเหล า นั้ น ได เ ป น อย า งดี ดังตอไปนี้ คือ :-
๑. โสดาปตติมรรค โสดาป ต ติ ม รรค ย อ มตั ด สั ญ โญชน คื อ สั ก กายทิ ฏ ฐิ วิ จิ กิ จ ฉา และ สี ลั พ พตปรามาส และย อ มตั ด อนุ สั ย คื อ ทิ ฏ ฐานุ สั ย และวิ จิ กิ จ ฉานุ สั ย ถ า นั บ เรี ย ง อย า งก็ ถึ ง ๕ อย า ง หรื อ กล า วได ว า มี วิ มุ ต ติ สุข และวิ มุ ต ติ สุ ขญาณ เกิ ด ขึ้ น ได ถึ ง ๕ อย า ง ข อ นี้ เ ป น ไปได ใ นเมื่ อ ตี ค วามของคํ า ว า สั ญ โญชน แ ละอนุ สั ย ให ต า งกั น จนกระทั่ งเมื่ อละได แล ว ย อมเกิ ดผลเป นความสุ ขต างกั นจริ ง ๆ เช นสั ญโญชน หรื อ อนุ สั ย อั น มี น ามว า วิ จิ กิ จ ฉานั้ น ถื อ ว า มี ค วามหมายต า งกั น กล า วคื อ วิ จิ กิ จ ฉานุ สั ย หมายถึ ง วิ จิ กิ จ ฉาที่ น อนเนื่ อ งอยู ใ นสั น ดาน มี ผ ลทํ า ให สั น ดานเศร า หมอง ซึ่ ง เมื่ อ ละไดแลว ทําใหสันดานบริสุทธิ์. สวนวิจิกิจฉาที่เปนสัญโญชนนั้น หมายถึง วิจ ิก ิจ ฉาที ่ทํ า หนา ที ่ผ ูก พัน สัต วไ วใ นสัง สารวัฏ ฏ คือ การเวีย นวา ยอยู ใ นกองทุก ข ซึ่ งเมื่ อละได แล ว มี ผลเกิ ดขึ้ นคื อ สั ตว หลุ ดพ นจากความทุ กข หรื อจากวั ฏฏสงสาร. ที่ทํ าใหเห็นความแตกตางกันอยู คือ ตั ดอนุสั ยได ทําให สันดานบริ สุทธิ์ ตัดสัญโญชน
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๑
การบรรยายครั้งที่ ๕๔ / ๓ ธันวาคม ๒๕๐๒
๔๕๑
www.buddhadasa.in.th
๔๕๒
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๒
ไดทํ า ใหห ลุด พน จากความทุก ข แตค วามหมายอัน แทจ ริง ของผลทั ้ง ๒ อยา งนี้ ก็คือความไมมีทุกข หรือที่เรียกวาวิมุตติสุขอยางเดียวกันนั่นเอง. ฉะนั้น ถาจะ ถื อ เอาโดยนั ยอั น ละเอี ย ดเช น นี้ ก็ ทํ าให กล า วอาการของวิ มุ ตติ สุ ขในขั้ นโสดาป ต ติ มรรคนี้ ไ ด โ ดยเจาะจงลงไปวา วิ มุ ต ติ สุ ข เกิด ขึ้ น ๓ อยา งแรก เพราะเครื่ อ งผู ก พั น ถูกตัดออกไป ๓ อยางแลว คือสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส และวิมุตติสุข เกิดขึ้นอี ก ๒ อยาง เพราะสันดานของผูนั้นถูกชํ าระให หมดจดจากอนุ สัย ๒ อยาง คือ ทิฏฐานุสัย และวิจิกิจฉานุสัย. แต ถ า กล า วโดยตรงกั น ข า ม ก็ อ าจกล า วได อี ก เหมื อ นกั น ว า กิ เ ลสทั้ ง ๒ ประเภทนี้ เป นของอย างเดี ยวกั น ชื่ อเดี ยวกั น และสามารถทํ าหน าที่ พร อมกั นได ถึ ง ๒ อย างเป นอย างน อ ย เช น วิ จิ กิ จ ฉานั่ นเอง ในขณะที่ นอนเนื่ อ งอยู ใ นสั น ดาน ก็ ทํ า หน า ที่ ผู ก พั น สั ต ว ใ ห ติ ด อยู ใ นสั ง สารวั ฏ ฏ พร อ มกั น ไปในตั ว ในคราวเดี ย วกั น ไมใชนอนอยูเฉย ๆ โดยไมทําอะไร หรือไมไดเกิดผลอยางใดขึ้น. ถาเปนดังนี้ ก็ เ ป น อั น ว า กิ เ ลสสั ญ โญชน ห รื อ อนุ สั ย นั้ น เป น อกุ ศ ลธรรมอย า งเดี ย ว มี เ พี ย งอย า ง เดี ยว แล วทํ าหน าที่ ได หลาย ๆ อย าง จนเป นเหตุ ให ได ชื่ อแตกต างกั นออกไป เช น วิจิกิจฉาสัญโญชน วิจิกิจฉาอนุสัย และวิจิกิจฉานิวรณ ดังนี้เปนตน. ถาตัด วิ จิ กิ จ ฉาตั วแท ได เด็ ดขาดก็ เ ป น อั น ตั ด วิ จิ กิ จ ฉาได ทุ ก ชื่ อ วิ มุ ตติ สุ ขเนื่ อ งด วยการตั ด วิจิกิจฉาก็มีเพียงอยางเดียว ไมแยกเปนสองเหมือนที่กลาวโดยนัยแรก. นี่ คื อใจความสํ าคั ญ ที่ จะต องสั งเกตให เห็ นในคํ ากล าว ที่ อาจจะกล าวได ตาง ๆ กั น จนทําใหเกิดการฟ นเฝอขึ้ นได เพราะเพียงแต ใช หลักเกณฑในการกล าว ที่ตางกันเทานั้น ; เมื่อกลาวโดยนัยหลังนี้ สัญโญชนที่เหลืออีกสองคือ สักกายทิฏฐิ และสี ลั พพตปรามาส ย อ มถู กสงเคราะห เข า ในทิ ฏฐานุ สั ย เพราะทั้ ง ๒ อย า งนั้ น เปนตัวความเห็นผิด หรือเปนมิจฉาทิฏฐิประเภทเดียวกับทิฏฐานุสัยนั่นเอง. การ ตั ด ทิ ฏ ฐานุ สั ย เสี ย ได จึ ง ได แ ก ก ารตั ด สั ก กายทิ ฏ ฐิ และสี ลั พ พตปรามาสเสี ย ได
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
การตัดสัญโยชน ของอริยมรรคทั้งสี่
๔๕๓
เรื่อ งจึงสั้นเขามาทุกที ๆ กลาวคือโสดาปตติมรรค ตัดกิเลสเพียง ๒ ประเภท คื อ ตั ด สั ญ โญชน ส ามหรื อ อนุ สั ย สอง แล ว แต เ ราจะมุ ง หมายกล า วถึ ง กิ เ ลสประเภท ไหนนั้นตางหาก. และเมื่อสัญโญชนสามมีคาเทากับอนุสัยสอง ก็เปนอันกลาว ไดอีกวาสัญโญชนสามไมตองกลาวถึง ; โสดาปตติมรรคคงตัดเพียงอนุสัยสอง คื อ ทิฏ ฐานุส ัย ซึ ่ง เปน มิจ ฉาทิฏ ฐิก ลุ ม หนึ ่ง ในอัน ดับ แรก และวิจ ิก ิจ ฉานุส ัย ซึ ่ง ได แ ก ค วามลั ง เล ไม แ น ใ จในความรู ใ นสรณะและในทางปฏิ บั ติ ที่ ต นจะเลื อ กเอา ; ซึ่งสรุปความไดวา โสดาปตติมรรคคงตัดเพียงของ ๒ อยางคือ มิจฉาทิฏฐิขั้นตน กับวิจิกิจฉาเทานั้น ; และเมื่อกลาวใหสรุปยิ่งไปกวานั้นอีก ก็ยังกลาวไดสืบไปวา มิจฉาทิ ฏฐิ กั บวิ จิ กิ จฉา ๒ อย างนี้ รวมกั นเข าก็ คื อโมหะ ในขั้นที่ ทํ าให บุ คคลไม รู จั ก หนทางแหงพระนิพพานในเบื้องตนนั่นเอง. ฉะนั้น เปนอันกลาวไดในที่สุดวา โสดาป ต ติ ม รรคตั ด เพี ย งอย า งเดี ย ว คื อ ตั ด เสี ย ซึ่ ง โมหะในขั้ น ที่ ทํ า ให บุ ค คล ดํ า เนิน ไมถ ูก ทางแหง พระนิพ พาน ครั ้น ตัด ไดแ ลว ทํ า บุค คลนั ้น ใหดํ า เนิน ลงสู ตนทางของพระนิพพาน สมตามความหมายของคําวา โสดาบัน ซึ่งแปลวา ผูถึง กระแส คือถึงตนทางแหงพระนิพพาน นั่นเอง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org โดยนั ยที่ เปรี ยบเที ยบกั นมาแล วนี้ ทํ าให เห็ นได ว า ถ าเรามี ความมุ งหมาย ที่ จะจํ าแนกและทํ าการจํ าแนกออกไปแล วโสดาป ตติ มรรคก็ ตั ดสั ญโญชน และอนุ สั ย ไดถึง ๕ อยางและมีวิมุตติสุขเกิดขึ้นถึง ๕ ชนิด ; แตถาเรามีความมุงหมายจะทํา การสงเคราะห คือยนยอและทําการยนยอแลว พระโสดาบันก็ตัดกิเลสเพียงหนึ่ง คือ โมหะชนิดที่ทําใหคนเดินผิดทางของพระนิพพาน ดังที่กลาวมาแลวนั่นเอง และวิ มุ ตติ สุ ขก็ มี เพี ยงหนึ่ ง กล าวคื อ วิ มุ ตติ สุ ขที่ เกิ ดมาจากการเดิ นที่ ถู กทาง หรื อ กําลังดํารงตนอยูในทางของพระนิพพาน ดังนี้ก็พอแลว. ฉะนั้น พึงเขาใจวา
www.buddhadasa.in.th
๔๕๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๒
การที ่ท า นจํ า แนกเปน ๕ อยา งนั ้น เปน แตเ พีย งมุ ง หมายกลา วอยา งแยกแยะ ใหละเอียดออกไปในทุกแงทุกมุม จากของเพียงอยางเดียวเทานั้น. ถาเขาใจ ของท า นถู ก ก็ เ ป น เครื่ อ งเรื อ งป ญ ญา ถ า เข า ใจผิ ด หรื อ เข า ใจไม ไ ด ก็ ฟ น เฝ อ เป น ธรรมดา. สัญ โญชนแ ละอนุสัย ในขั้น ที่โ สดาปต ติม รรคจะพึง ตัด พรอ มทั้ง ผล ที่เกิดขึ้นจากการตัด มีวินิจฉัยดังตอไปนี้ คือ :ก. สักกายทิฏฐิ๑ คํานี้แปลวา ความเห็นวามีกายของตน หรือมีกาย ชนิด ที ่เ ปน ของเที ่ย งแทถ าวร ทํ า นองที ่เ ปน อาตมัน คือ เปน ตัว ตนที ่ไ มรู จ ัก สูญ และไม รู จั ก เปลี่ ย นแปลง ซึ่ ง เป น ความรู สึ ก ที่ เ กิ ด ขึ้ น ได โ ดยง า ยที่ สุ ด ถึ ง กั บ กลาย เปนสัญชาตญาณอันหนึ่งไป. จะถือวาตัวตนนี้ไมรูจักดับสูญ หรือเพียงแตถือวา ขณะนี้ ต นกํ า ลั ง มี ต นชนิ ด นั้ น อยู เ ป น ของตน จนตลอดชี วิ ต ก็ ต าม ล ว นแต จั ด ว า เปนสักกายทิฏฐิในที่นี้ทั้งนั้น. ความเห็ น ข อ นี้ โ ดยใจความสํ า คั ญ นั้ น ตรงกั น ข า มจากความเห็ น ที่ ว า สิ่ ง ทั้ ง ปวงมี เหตุ มี ป จจั ย และเป น ไปตามอํ านาจของเหตุ ป จ จั ย เช นเกิ ด ขึ้ น ก็ เ พราะ มีเหตุ และดับไปก็เพราะเหตุดับ. ถาถือวามีการของตนเปนของเที่ยงเสียแลว ก็ไ มม ีเ รื ่อ งอะไรเกี ่ย วกับ การดับ ทุก ข เพราะตนหรือ กายของตนเปน ของเที ่ย ง หรือของสุขอยูในตัวเองแลว จะตองไปปฏิบัติเพื่อนิพพานอีกทําไมกัน. ฉะนั้น ความเห็ น ว า มี ตั ว ตนเป น ของเที่ ย ง จึ ง เป น ปฏิ ป ก ษ ต อ การปฏิ บั ติ เ พื่ อ นิ พ พาน ซึ่ ง
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๑
การบรรยายครั้งที่ ๕๕ / ๔ ธันวาคม ๒๕๐๒
www.buddhadasa.in.th
การตัดสัญโยชน ของอริยมรรคทั้งสี่
๔๕๕
เปน การปฏิบ ัต ิใ หเ ห็น ความที ่สิ ่ง ทั ้ง ปวงวา งเปลา จากตัว ตน ไมม ีสิ ่ง ใดที ่ค วร กล า วว า ตั ว ตนหรื อ สั ก กายะก็ ต าม เพราะฉะนั้ น สั ก กายทิ ฏ ฐิ จึ ง เป น สิ่ ง ที่ ขั ด ขวาง ตอ เบื ้อ งตน ของพรหมจรรย กลา วคือ การปฏิบ ัต ิที ่เ ปน เพื ่อ นิพ พานโดยตรง ; ต อ เมื่ อ เพิ ก ถอนความเห็ น ผิ ด อั น นี้ เ สี ย ได ไปมี ค วามเห็ น ถู ก ในทํ า นองที่ ต รงกั น ข า ม คื อ เห็ น ว า ตั ว ตนไม มี มี แ ต ธ รรมชาติ ธ รรมดา ซึ่ ง ไม ใ ช ตั ว ตนทั ้ง นั ้น จึง จะเรีย กวา มีค วามเห็น ที ่อ ยู ใ นรอ งในรอย หรือ ในกระแสที ่เ องไปหาพระนิพ พาน ที ่เ ปน ของพุทธศาสนา. แมวายังละความยึดถือ ตัวตนหรือของตนไมไดโดยเด็ดขาด แต ก็ เ ห็ น ชั ด ว า สิ่ ง ทั้ ง ปวงไม ใ ช ตั ว ไม ใ ช ต นจริ ง ๆ และกํ า ลั ง พยายามทํ า ลายความ ยึ ด ถื อ อยู ต ลอดเวลา แม เ พี ย งเท า นี้ ก็ ชื่ อ ว า มี ก ารย า งเหยี ย บลงไปสู ต น ทางแห ง นิพพานได. ฉะนั้ น การละสั กกายทิ ฏฐิ จึ งเป นการละมิ จฉาทิ ฏฐิ หรื อละโมหะชนิ ด ที่ ทํ าให บุ คคลอย างเหยี ยบลงในร องรอยของหนทางแห งนิ พพานไม ได ประการหนึ่ ง ; ถ า ละเสี ย ได ก็ ถื อ ว า เป น ความดี ง ามหรื อ ความสุ ข หรื อ ความหลุ ด พ น ในทางที่ ถู ก ตามหลักแหงพุทธศาสนาไดประการหนึ่ง. เมื่อเรียกวาสักกายทิฏฐิ ก็จัดเปน สัญ โญชน ซึ ่ง แปลวา เครื ่อ งผูก พัน เมื ่อ เรีย กวา ทิฏ ฐานุส ัย ก็จ ัด เปน อนุส ัย ซึ่งแปลวา สิ่งเปนเครื่องนอนเนื่องในสันดาน : ตางกันสักวาชื่อเทานั้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ข. วิ จิ กิ จ ฉา แปลว า ความลั ง เล หมายถึ ง มิ จ ฉาทิ ฏ ฐิ ยั ง มี อ ยู ม าก เกิ น ไป สัม มาทิฏ ฐิย ัง มีไ มม ากพอ จึง ทํ า ใหไ มแ นใ จตอ การปฏิบ ัต ิที ่ถ ูก ตอ ง คือ ที่เปนไปเพื่อนิพพานโดยตรง ; และความลังเลนี้ ขยายตัวออกไปไดในทุก ๆ สิ่ง ที่เกี่ยวกับการปฏิบั ติ เพื่ อนิ พพาน ตามแตเราจะเพ งเล็ งไปยังอะไร หรื อเรี ยกว าอะไร เช น ลั ง เลต อ วิ ช ชาความรู ห รื อ สั จ จะความจริ ง ที่ เ รี ย กว า สั จ จธรรม หรื อ หลั ก ธรรม ที่ตนจะยึดถือวาเปนของจริงหรือของถูก ; หรือมีความลังเลในสิ่งที่ตนจะยึดถือ เอาเป น ที่ พึ่ ง เป น สรณะ เช น ลั ง เลต อ การถื อ พระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ
www.buddhadasa.in.th
๔๕๖
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๒
เพราะความไมไวใจวาจะเปนที่พึ่งไดจริง ทั้งที่เห็นเขาพากันถืออยู และตนได สมัครถือไปตามเขาแลวก็ตาม ; รวมทั้งการลังเลตอการตรัสรูของพระพุทธเจา ต อ สิ่ ง ซึ่ ง พระองค ท รงนํ า มาสอน ซึ่ ง เมื่ อ รวมใจความแล ว ก็ คื อ ลั ง เลต อ การปฏิ บั ติ เพื่อนิพพาน วาจะไมเปนทางดับทุกขไดจริง กลาวโดยเจาะจงก็คือลังเลวาอริยมรรคนั้น จักไมตัดกิเลสไดจริง จึงไมสมัครที่จะเดินตามทางแหงอริยมรรค. ถา ความรู ส ึก อยา งนี ้ย ัง มีอ ยู ก็เ ปน อนกลา วไดว า เจตสิก ธรรมที ่เ ปน อกุศ ลชนิด ที่ น อนเนื่ อ งอยู ใ นสั น ดานที่ บั ญ ญั ติ ชื่ อ เรี ย กว า วิ จิ กิ จ ฉานั้ น ยั ง คงมี อ ยู ใ นสั น ดาน พร อ มอยู เ สมอที่ จ ะปรุ ง แต ง จิ ต ให มี ค วามคิ ด ไปทางลั ง เล โดยอาการดั ง ที่ ก ล า วแล ว ขางตน. ความรูสึกตามสัญชาติญาณของสัตว ยอมเอียงไปในกามและภพ คือ ความเปน ตามที่ตนอยากจะเปนอยูเปนประจํา หรือเรียกวาเปนนิสัย ; เมื่อ ไดย ิน ไดฟ ง หรือ ไดร ับ ความรู ค วามคิด อัน ใหม ซึ ่ง เปน ไปในทางที ่จ ะไถถ อนเสีย ซึ่งกามและภพ ก็มีความลังเลยากที่จะยอมรับเอาขอปฏิบัติเหลานั้นได ; ฉะนั้น วิ จิ กิ จ ฉาจึ ง เป น มิ จ ฉาทิ ฏ ฐิ ห รื อ โมหะประเภทที่ กี ด กั น สั ต ว ไม ใ ห ย า งเหยี ย บลงสู รอ งรอยของหนทางแหง นิพ พาน อีก อยา งเดีย วกัน . เมื่อ ใดกํา ลัง แหง ความรู ที ่ถ ูก ตอ ง ที ่เ รีย กวา สัม มาทิฏ ฐิม ีม ากพอ จนตัด ความลัง เลนั ้น เสีย ได บุค คลนั ้น ก็ ไ ด ชื่ ว ว า เป น ผู ก า วลงสู ห นทางของนิ พ พานได แ ล ว โดยแน น อน และเราบั ญ ญั ติ เรีย กบุค คลอยา งนี้วา เปน พระโสดาบัน . อกุศ ลเจตสิก ที่เ รีย กวา วิจิกิจ ฉานี้ ถ า เพ ง ถึ ง อาการที่ มั น ผู ก พั น สั ต ว ไ ว ในการเดิ น ทางที่ ผิ ด ในการเป น อยู ที่ ผิ ด ความ หมกจมวายเวียนอยูกับความทุกขแลว ก็เรียกวา วิจิกิจฉาสัญโญชน ; และเมื่อเพง เล็งถึงอาการที่มันมีประจําอยูในสันดานของปุถุชนอยางเหนียวแนน และไมขาดสาย แลว ก็ถูกเรียกวา วิจิกิจฉานุสัย ตรงตามความหมายของคําวาสัญโญชนและคําวา อนุสัยดังที่วินิจฉัยแลวขางตน ; ละเสียไดเมื่อใด ก็ไมมีอะไรเปนเครื่องผูกพันสัตว ไมใหยางเหยียบลงในรองรอยแหงนิพพานอีกตอไป.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
การตัดสัญโยชน ของอริยมรรคทั้งสี่
๔๕๗
ค. สีลัพพตปรามาส คํานี้ แปลวา การลูบคลําซึ่งศีลและพรต หรือ การลูบคลําแหงศีลและพรต. อยางแรกหมายถึงความเขาใจผิดตอความหมายอัน แทจริงของคําวา ศีล และ พรต ; อยางหลังหมายถึงความที่ยังโงมากยังหลงมาก ถึงขนาดที่ใหศีลพรตประเภทที่ผิด ๆ หรืองมงายไรสาระครอบงําเอา. ทั้ง ๒ อยางนี้ นํ า ให เ กิ ด ความยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ต อ ศี ล และพรตผิ ด ไปหมดทุ ก อย า งทุ ก ทาง จนไม สามารถใช ศี ล และพรตใด ๆ ให เ ป น ประโยชน แ ก ก ารดํ า เนิ น ไปในทางของพระนิพ พานไดแ มแ ตน อ ย ทั ้ง ยัง หลับ หูห ลับ ตายึด มั ่น ถือ มั ่น ในศีล และพรต โดยวิธี ไรสาระอยูอยางไมรูสราง. ตามที่เปนอยูจริงในที่ทั่ว ๆ ไปนั้น เปน ไปโดยอาการ ๒ สถาน คื อ หลงใหลยึ ด ถื อ การถื อ สรณาคมณ การบํ า เพ็ ญ ทาน การรั ก ษาศี ล การเจริ ญสมาธิ และวิ ป สสนาที่ ถู กต อง ให เขวไปในทางขลั งทางศั กดิ์ สิ ทธิ์ อธิ บาย ไม ได ด วยเหตุ ผล ทํ าบุ คคลให กลายเป นบุ คคลศั กดิ์ สิ ทธวิ เศษไปอย างหลับหู หลั บตา เพราะจิตยึดมั่ นในความขลังความศั กดิ์สิทธิ์ แตอยางเดียวนั่นเอง นี้ทางหนึ่ง ซึ่งสรุ ป เรียกไดวา ทําของดีหรือของสะอาด ใหกลายเปนของสกปรกไป ; สวนอีกทางหนึ่ง ตรงกัน ขา ม คือ ไปเอาของปลอมหรือ ของสกปรกภายนอกพุท ธศาสนาเขา ถือ ไว ในฐานะเปนของดี ของสะอาด ในพุทธศาสนา. ขอนี้ไดแกการที่ไปหลงเอาขอ ปฏิบ ัต ิง มงายไรส าระ หรือ ถึง กับ สกปรกโสมม นอกพุท ธศาสนา หรือ กอ น พุ ท ธศาสนา มายึ ด ถื อ เป น ข อ ปฏิ บั ติ หรื อ ทํ า ที่ พึ่ ง ให แ ก ต นด ว ยความสํ า คั ญ ผิ ด หรือดวยอํานาจของโมหะอยางเดียวกัน. รวมใจความเขาดวยกันอยางสั้น ๆ ก็คือ โมหะหรื อ ความหลง ที่ ทํ า ให ไ ม ส ามารถจั บ ฉวยเอาศี ล และพรตที่ ถู ก ต อ งแท จ ริ ง มาประพฤติปฏิบัติใหสําเร็จประโยชนไดนั่นเอง. ถาโมหะในขั้นนี้ยังมีอยูในสันดาน อยู เ พีย งใดแลว ก็เ ปน ที ่เ ห็น ชัด อยู แ ลว วา ไมม ีช อ งทางที ่เ ขาจะยา งเหยีย บลง สู ร อ งรอยแห ง การปฏิ บั ติ เ พื่ อ นิ พ พานได เ ลย แต ถ า ชํ า ระล า งหรื อ เพิ ก ถอนเสี ย ได เมื่ อ ใด แนวทางแห ง นิ พ พานก็ จ ะเป ด เผยอย า งโล ง โถง และชั ด เจนแก บุ ค คลนั้ น
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๔๕๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๒
ทั น ที ทํ า ให เ ขาหมดความลั ง เล ที่ จ ะไม ป ฏิ บั ติ เ พื่ อ นิ พ พาน หรื อ ทํ า ให เ ขามี ค วาม เขาใจถูกตองในความจริงที่วา สิ่งทั้งปวงไมใชตัวตน ; เปนอันวาเขากําลังปฏิบัติถูก ปฏิ บั ติ ช อบ กํ า ลั ง มี ศี ล และพรตอย า งสมบู ร ณ ในทางที ่จ ะเปน ไปเพื ่อ นิพ พาน โดยสวนเดียว. พิจารณาดูแลวจะเห็นไดดวยตนเองวา ความเขาใจผิดตอศีลและ พรตโดยทํ า นองที่ ก ล า วนี้ มั น ผู ก พั น หรื อ ทํ า การกั ก กั น สั ต ว ไ ม ใ ห อ อกจากความเป น ปุ ถุ ชน ไปสู ความเป นพระอริ ยเจ าได อ ย างไร เพราะฉะนั้ น จึ งได นามว าสั ญโญชน แต ถ า เล็ ง ถึ ง ความที่ สั ต ว มี ค วามโง เ ขลาชนิ ด นี้ อ ยู เ ป น ของประจํ า ตั ว ด ว ยอํ า นาจ สั ญชาตญาณแห งการหลงใหลในสิ่ งที่ แปลกประหลาดอั ศจรรย ผิ ดธรรมดา อย างที่ เรีย กวา ความขลัง ความศัก ดิ ์ส ิท ธิ ์ไ มม ีส รา งแลว การถือ ศีล และพรตอยา งผิด ๆ ก็ได นามว าอนุ สั ย สงเคราะห ลงในคํ าวา ทิฏฐานุสั ย กล าวคื อการเห็ นผิ ดชนิดหนึ่ ง ที่มีประจําสันดานนั่นเอง ; ทํานองเดียวกับที่ไดสงเคราะหสักกายทิฏฐิสัญโญชน วาเปทิฏฐานุสัย ดังที่กลาวแลวขางตน. สัญโญชน สามก็ ดี อนุ สั ยสองก็ ดี ดั งที่กล าวมาแลวนี้ โดยใจความเล็ งถึ ง โมหะอย างเดี ยวกั นและเท ากั น สติ ป ญญาหรื อญาณที่ ถึ งขนาดที่ จะตั ดโมหะส วนนี้ ไดนั้น ถูกบัญญัติ ชื่อวาโสดาปตติ มรรคญาณหรือเรียกสั้น ๆ วา โสดาปตติมรรค ซึ่ ง แปลวามรรคหรือญาณเพื่อการถึงกระแส (โสต = กระแส) + (อาปตติ = การถึงทั่ว) + (มรรค = ทาง คือปญญา) ถามีการถามวาโสดาปตติมรรคญาณนี้ มีอํานาจหรือ กําลังเทาไร หรืออยางไร ? ก็ตอบไดแตเพียงวา มันมีอํานาจหรือกําลังเทาที่ หรื ออย างที่ จะสามารถทํ าลายสั ญโญชน สาม หรื ออนุ สั ยสองก็ ตาม ให หมดไปจาก สั น ดานได เ ท า นั้ น เอง ไม ต อ งการอะไรให ม ากไปกว า นั้ น ไม ห วั ง จะให ข ลั ง หรื อ ศั ก ดิ์ สิ ท ธิ์ อ ะไรนอกไปจากนั้ น กล า วคื อ ต อ งการแต เ พี ย งให ส ามารถย า งเท า ลงสู ร องรอยแห งหนทางของนิ พพานได เป นเบื้ องต นเท านั้ นเอง ป ญญาถึ งขนาดนี้ แหละ ที่เรียกวา โสดาปตติมรรคญาณ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
การตัดสัญโยชน ของอริยมรรคทั้งสี่
๔๕๙
เพื่ อความกระจ างยิ่งขึ้นไปอีก ควรพิจารณาใหทราบถึ งข อที่ว า การตั ด สัญโญชนสามหรืออนุสัยสองไดดวยโสดาปตติมรรคญาณนี้ ที่แทก็มาจากการเห็น อนิ จ จั ง ทุ ก ขั ง อนั ต ตา ในขณะแห ง อานาปานสติ ขั้ น ที่ ส มบู ร ณ คื อ เห็ น ว า เป น อนิจ จัง ทุก ขัง อนัต ตา ไมมีอ ะไรเปน ตัว ตน จนถึง กับ ละสัก กายทิฏ ฐิไ ด ; เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อยางแจมแจงวา เราเปนทุกขกันอยูก็เพราะไมเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แท ๆ จึงมีความแนใจไมลังเลในการที่จะปฏิบัติเพื่อใหเห็น อนิ จ จั ง ทุ ก ขั ง อนั ต ตา ยิ่ ง ขึ้ น ไป ตามแบบของพระพุ ท ธเจ า จึ ง ตั ด วิ จิ กิ จ ฉาได ไมลังเลในสรณะและการปฏิบัติของตนอีกตอไป ; และมีการเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนั ต ตา อย า งแจ ม แจ ง จนรู จั ก กฎเกณฑ ข องความเป น อนิ จ จั ง ทุ ก ขั ง อนั ต ตา เป น อย า งดี ไม ห ลงงมงายในศี ล และพรตชนิ ด ที่ ไ ม เ ป น ไปเพื่ อ ทํ า ให เ ห็ น อนิ จ จั ง ทุกขัง อนัตตา ไดอีกตอไป จึงตัดสีลัพพตปรามาสได ซึ่งหมายความถึงตัดอนุสัย ทั้ง ๒ อยางขางตนไดดวยอีกนั่นเอง. สรุปความ ไดวา การเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่ นแหละ คอย ๆ ไตขึ้นมาตามลําดั บ จนถึง ขนาดเห็นความจริง ของสิ่ ง ทั้งปวงในระดั บหนึ่ งได จึ งสามารถตัด สัญโญชนส าม หรื อ ตัด ตัวโมหะที่ส ะกัดกั้ น ไมใหสัตวเดินถูกทางแหงนิพพานไดอยางราบเตียน ดังนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๒
๔๖๐
๒. สกิทาคามิมรรค๑ สกิ ท าคามิ ม รรค ย อ มตั ด สั ญ โญชน ส องหรื อ อนุ สั ย สอง ซึ่ ง มี ชื่ อ อย า ง เดี ย วกั น เพิ่ ม ขึ้ น อี ก กล า วคื อ กามราคสั ญ โญชน ห รื อ กามราคานุ สั ย และปฏิ ฆ สัญ โญชนห รือ ปฏิฆ านุส ัย หากแตไ มส ามารถตัด ไดโ ดยสิ ้น เชิง คงตัด ไดเ ฉพาะ ที่ เ ป น ชั้ น หยาบหรื อ ที่ เ รี ย กว า โอฬาริ ก ะ คงเหลื อ อยู ที่ เ ป น ชั้ น ละเอี ย ด ซึ่ ง แทบไม ปรากฏอาการ. กามราคะ และ ปฏิฆะ มีชื่อตรงกันทั้งที่เปนสัญโญชนและเปนอนุสัย ข อ นี้ ย อ มแสดงว า เป น กิ เ ลสที่ มี ชื่ อ เป น ที่ รู จั ก กั น แพร ห ลายยิ่ ง กว า กิ เ ลสชื่ อ อื่ น . ความหมายของคํ าว าสัญโญชน และคํ าว าอนุ สัยต างกันอยางไรได กล าวแลวข างต น แตขอสําคัญที่จะตองไมลืมนั้นมีอยูวา มันเปนสิ่งที่แยกกันไมได กลาวคือ ถาตัด กามราคสั ญ โญชน ก็ ต อ งเป น อั น ตั ด กามราคานุ สั ย ด ว ย อย า งที่ จ ะหลี ก เลี่ ย งไม ไ ด เพราะเปนของสิ่งเดียวกั น แตทําหน าที่หลายอยาง และเราไปใหชื่อมันแปลก ๆ กั น ตามหน าที่ ที่ มั นกระทํ าดั ง ที่ กล าวแล ว ข างต น ซึ่ งจะต องกํ าหนดไว เป นหลั กเสมอไป มิฉะนั้นจะฟนเฝอ จึงไดกลาวย้ําอีกในที่นี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๑
การบรรยายครั้งที่ ๕๖ / ๕ ธันวาคม ๒๕๐๒
www.buddhadasa.in.th
การตัดสัญโยชน ของอริยมรรคทั้งสี่
๔๖๑
คํ าว า สกิ ทาคามิ มรรค แปลว า มรรคแห งบุ คคลผู มาอี กเพี ยงคราวเดี ยว (สกิ = คราวเดียว) + (อาคามี = ผูมีการมา) + (มรรค = ทาง คือปญญา) จากความ หมายของคํ า คํ า นี้ ทํ า ให เ ห็ น ได ชั ด อยู ใ นตั ว ว า เมื่ อ กล า วโดยบุ ค คลาธิ ษ ฐานแล ว พระอริ ย บุ ค คลในขั้ น นี้ เป น พวกที่ มี ก ารเดิ น ทางไปบ า งแล ว ผิ ด จากพระอริ ย บุ ค คล ในขั้นแรก กลาวคือ พระโสดาบัน ซึ่งเปนเพียงผูที่ยางเหยียบลงสูทางเทานั้น. ถ า กล า วโดยธรรมาธิ ษ ฐาน ก็ เ ป น อั นกล า วได ว า อริ ย มรรคในขั้ น ที่ ส องนี้ ได ตั ด กิ เ ลสประเภทอื่ น รุ ด หน า ต อ ไปอี ก จากที่ โ สดาป ต ติ ม รรคได ตั ด แล ว ดั ง ที่ ไ ด ระบุ ไ ว ข า งต น ว า ได ตั ด กามราคะและปฏิ ฆ ะ ส ว นที่ เ ป น โอฬาริ ก ะ คื อ ที่ แ สดง กิร ิย าอาการใหป รากฏไดสิ ้น เชิง จึง เปน เหมือ นกับ การรุด หนา ไปแลว ตอนหนึ ่ง แมจะยังไมถึงที่สุดก็ตาม และคําวา “มาอีกเพียงครั้งเดียว” นั่นเอง ยอมแสดง ถึ ง ความสู ง ต่ํ า ของอริ ม รรคขั้ น นี้ อ ยู ใ นตั ว หมายความว า มี จิ ต ใจสู ง ไปในทางของ โลกุ ตตระถึ งขนาดที่ ว า หากจะหวนย อนมาระลึ กถึ งโลกิ ยะด วยความอาลั ยอี ก ก็ มี ได เพี ยงครั้ งเดี ยวเท านั้ น ซึ่ งมั กจะใช โวหารพู ดกั นไปในทํ านองว า จะมาเกิ ดในกามภพ ได อี ก เพี ย งครั้ ง เดี ย ว หรื อ บางคนก็ มั ก จะระบุ ล งไปเลยว า มาเกิ ด ในมนุ ษ ย โ ลกอี ก เพียงครั้งเดียว ซึ่งเปนการกลาวอยางบุคคลาธิษฐานที่รุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ าจะกล าวสรุ ปสั้ น ๆ อย างธรรมาธิ ษฐานแท ก็ กล าวได ว าหากความคิ ด จะน อมมาในทางกาม หรื อในทางปฏิ ฆะอย างหยาบ ก็ จะน อมมาได เพี ยงครั้ งเดี ยว ; ซึ่ ง พู ด อย า งโวหารธรรมดาก็ ว า จะมี ค วามคิ ด น อ มมารู สึ ก รั ก หรื อ ชั ง อย า งปุ ถุ ช น ธรรมดาสามั ญ ได อี ก อย า งมาก ก็ เ พี ย งครั้ ง เดี ย วเท า นั้ น ไม ต อ งกล า วถึ ง การกระทํ า หรื อ กล า วถึ ง การเกิ ด ทางรู ป กายเป น หลั ก แต ป ระการใด นี้ คื อ ขอบเขตที่ เ ป น การ บัญญัติความแตกตาง ระหวางอริยมรรคขั้นที่หนึ่งและอริยมรรคขั้นที่สอง.
www.buddhadasa.in.th
๔๖๒
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๒
ถ า จะกล า วเปรี ย บเที ย บกั น อี ก ทางหนึ่ ง เพื่ อ ให เ ห็ น ชั ด โดยง า ยขึ้ น ไป อี กก็ อาจจะกล าวได ว า โสดาป ตติ มรรคละสั ญโญชน ประเภทโมหะได ๓ ชนิ ด หรื อ อนุสัยประเภทโมหะได ๒ ชนิดก็ตาม. สกิทาคามิมรรค ก็ละสัญโญชนหรืออนุสัย ประเภทราคะและโทสะได อี ก ตั้ ง ครึ่ ง ตั้ ง ค อ น ซึ่ ง เปรี ย บกั น ได กั บ การเดิ น ทางไปบ า ง แล ว เป น ส ว นมาก ในเมื่ อ โสดาป ต ติ ม รรคเป น แต เ พี ย งการคลํ า หาจนพบหนทางที่ ถูกและเริ่มลงมือเดินเทานั้น. จากขอเปรียบเทียบนี้ ยอมแสดงใหเห็นความจริงที่ สํ า คั ญ ได บ างอย า ง เช น ว า จะต อ งมี ก ารตั ด โมหะที่ จํ า เป น บางส ว นเสี ย ก อ น ก อ น การตัดราคะหรือโทสะโดยตรง. สมตามที่ไดทรงบัญญัติไววา มรรคมีองคแปด มี สั ม มาทิ ฏ ฐิ ห รื อ ป ญ ญานํ า หน า แล ว จึ ง มาถึ ง ศี ล หรื อ สมาธิ แต ค นทั่ ว ไปมั ก จะ หลงผิ ดไปตามลํ าดั บแห งการบั ญญั ติ ทางฝ ายหลั กวิ ชาหรื อฝ ายหลั กทฤษฎี กล าวคื อ เรีย งลํ า ดับ ราคะหรือ โลภะเปน ที ่ห นึ ่ง โทสะหรือ โกธะเปน ที ่ส อง และโมหะ เปนที่สาม หรือเรียงลําดับไตรสิกขาเปนศีล สมาธิ ปญญา ; สวนหลักในทาง ปฏิ บั ติ จ ริ ง ๆ นั้ น กลั บ ไขว กั น คื อ ยกเอาโมหะขึ้ น มาเป น สิ่ ง แรก ที่ จ ะต อ งตั ด ก อ น แล วจึ ง จะตั ดราคะหรื อ โทสะเป นลํ าดั บไป ดั งที่ ปรากฏอยู ในหน าที่ ที่ โสดาป ตติ มรรค และสกิ ทาคามิ มรรค จะพึ งตั ดสั ญโญชน ดั งกล าวแล ว และทํ าให ต อ งยกเอาป ญญา มาวางไว หน าศี ล และสมาธิ ดั ง ที่ ปรากฏในการจั ดลํ า ดั บแห ง องค ๘ ของมรรค ดั ง ที่ ใคร ๆ ก็ ทราบกั น อยู แ ล วว า สั มมาทิ ฏฐิ อ งค ที่ หนึ่ งและสั มมาสั งกั ปปะองค ที่ ส องนั้ น เปน ปญ ญา เหลือ จากนั้น จึง เปน ศีล และสมาธิไ ปตามลํา ดับ . ขอ นี้ทํา ให สรุปความไดวา ทางแหงการปฏิบัติเพื่อนิพพานนั้น ตองเริ่มผจญกันเขากับกิเลส ประเภทโมหะบางสวนกอน แลวจึงสามารถทําลายกิเลสประเภทราคะโทสะ และโมหะที ่เ หลือ รุด หนา ไปไดต ามลํ า ดับ ถา มิฉ ะนั ้น แลว ก็ม ัว แตห ลงอยู ไมรูวา จะทํา ลายราคะหรือ โทสะอยา งไรอยูนั่น เอง. จึง ควรตั้ง ขอ สัง เกตไว สั ก อย า งหนึ่ ง ว า ถ า เรี ย งลํ า ดั บ กิ เ ลสอย า งนั ก ปริ ยั ติ ก็ จ ะเรี ย กว า ราคะ โทสะ
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
การตัดสัญโยชน ของอริยมรรคทั้งสี่
๔๖๓
โมหะ แตถาเรียงอยางนักปฏิบัติที่แทจริง ก็จะกลายเปนเรียงวา โมหะ ราคะ โทสะ ตามลําดับที่จะตองตัดจริงกอนหลังดวยอํานาจอริยมรรคนั้นเอง. นักปริยัติ จะเรี ย งลํ าดั บไตรสิ ก ขาว า ศี ล สมาธิ ป ญญา ซึ่ ง เป นการเรี ยงตามลํ าดั บความสู งต่ํ า กวากัน. แตนักปฏิบัติจะเรียงวา ปญญา ศีล สมาธิ ตามลําดับเวลากอ น และหลัง ที ่อ ริย มรรคจะพึง ตัด กิเ ลสเหลา นั ้น ดัง ที ่ม ีห ลัก อัน ตายตัว และชัด แจง อยู แ ล ว ในลํ า ดั บ แห ง การตั ด สั ญ โญชน ข องอริ ย มรรค หรื อ ในลํ า ดั บ แห ง องค ข อง อริ ย มรรค ซึ่ ง มี สั ม มาทิ ฏ ฐิ เ ป น ข อ ต น ที่ สุ ด ดั ง ที่ เ ห็ น ๆ กั น อยู ถ า ถามว า เพาะเหตุ ใ ด จึงเปนดังนี้ ? ก็ตอบไดงาย ๆ วา การปฏิบัติในพุทธศาสนานั้น เปนการปฏิบัติ ที่ เ ปรี ย บกั น ได กั บ การทํ า งานในที่ ส ว า ง มั น จะต อ งจุ ด ตะเกี ย งขึ้ น เสี ย ก อ นจึ ง จะทํ า อะไรตอไปได ดวยอาศัยแสงสวางนั้น. ตามธรรมดาสามัญสัตวตกอยูในที่มืดคือ โมหะ หรื อ อวิ ช ชา คว า อะไรไม ถู ก จะต อ งขจั ด ความมื ด ออกไป ด ว ยอาศั ย แสง สว า งคื อ ป ญ ญา หรื อ สั ม มาทิ ฏ ฐิ เ ป น เบื้ อ งต น ก อ น จึ ง จะสามารถอาศั ย แสงสว า งนั้ น ทํ า กิ จ ที่ เ หลื อ ต อ ไปตามลํ า ดั บ จนถึ ง ที่ สุ ด เพราะเหตุ นี้ เ อง พระพุ ท ธองค จึ ง ตรั ส ว า มัช ฌิม าปฏิป ทาอัน ประกอบดว ยองคแ ปดนั ้น มีส ัม มาทิฏ ฐิเ ปน เหมือ นรุ ง อรุณ คือตองมากอน แลวสิ่งตาง ๆ จึงจะตามมาไดโดยสมบูรณ. แมโดยหลักทั่วไปก็ถือ กั น ว า ป ญ ญาเป น ตั ว นํ า มาซึ่ ง กุ ศ ลธรรมทั้ ง หลาย ตั้ ง แต ร ะยะแรกเริ่ ม ต น จนถึ ง ระยะ สุ ด ท า ย เช น ป ญ ญา ทํ า ให อ ยากรู อยากเรี ย น อยากปฏิ บั ติ ทํ า ให รู จั ก สงสั ย ใน ความไม ส มบู ร ณ ข องความรู ที่ มี อ ยู ก อ น ทํ า ให รู จั ก เลื อ กความรู หรื อ เปลี่ ย นแนวทาง ทํ า ให รู จั ก ถื อ สรณะเป น ขั้ น แรก แล ว รู จั ก ให ท าน รั ก ษาศี ล เจริ ญ สมาธิ และ วิ ป ส สนาเป น ลํ า ดั บ ไป ซึ่ ง อะไร ๆ ถ า เป น ไปในทางถู ก แล ว ก็ ล ว นแต มี ป ญ ญา เปนผูเบิกอรุณแลวจูงไปทั้งนั้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๔๖๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๒
การวิน ิจ ฉัย ในขอ นี ้อ ยา งยืด ยาวนั ้น เปน การปอ งกัน เสีย ซึ ่ง ความ หลงผิ ด ยึ ด ถื อ เอาตามตั ว หนั ง สื อ มากเกิ น ไป โดยไปเอาหลั ก ของนั ก ปริ ยั ติ ม าเป น หลั กของนั กปฏิ บั ติ ก็ จะเกิ ดการติ ดตั นขึ้ นมาอย างเส นผมบั งภู เขาที เดี ยว ดั งที่ เราจะ เห็ น กั น ได อ ยู ทั่ ว ไปในหมู บุ ค คลผู ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ด ว ยอุ ป าทานในความรู ต ามตั ว หนั ง สื อ ตามที่ตัวทองบนอยูเหลานั้น. ก็คือ การระบุชื่อสัญโญชนหรืออนุสัยที่ สิ่งที่ตองเขาใจอีกอยางหนึ่ง๑ อริยมรรคนั้น ๆ จะพึงตัด : ถาระบุเฉพาะชื่อที่อริยมรรคนั้น สามารถตัดไดขาดโดย ตรง และแม แ ต ตั ด เพี ย งครั้ ง เดี ย วส ว นเดี ย ว ก็ ยั ง เป น การตั ด ประเภทสมุ จ เฉทปหาน อยูนั่นเอง. ฉะนั้นพึงทราบวา แมจะไมมีการระบุวาโสดาปตติมรรคไดตัด กามราคะ หรื อ ปฏิ ฆ ะเลย ก็ มิ ไ ด ห มายความว า พระโสดาบั น เป น ผู ที่ ยั ง คงมี ก ามราคะหรื อ ปฏิ ฆ ะจั ด อย า งไม มี ก ารบรรเทาเบาบางเสี ย เลยก็ ห าไม หากแต ว า ยั ง ไม ส ามารถ ตัด ไดถึง ขนาดที่เ ปน สมุจ เฉทปหานไป เพีย งบางสว นเทา นั้น , ดัง นั้น ทา นจึง ไมก ลา วถึง การตัด กามราคะหรือ ปฏิฆ ะโดยตรง สํ า หรับ พระโสดาบัน คงกลา ว แต ก ารตั ด โมหะ ๓ ชนิ ด ประเภทที่ ทํ า ให ไ ม รู จั ก ทางหรื อ เดิ น ผิ ด ทางดั ง กล า วแล ว . และถ า มี ก ารบรรเทาแห ง กามราคะและปฏิ ฆ ะเกิ ด ขึ้ น บ า ง ก็ เ ป น เพี ย งผลพลอยได ตามสั ด ส ว นเท า นั้ น เอง หาใช เ ป น การตั ด ด ว ยสมุ จ เฉทปหานไม ฉะนั้ น ท า นจึ ง ไป กล า วถึ ง การตั ด กามราคะและปฏิ ฆ ะประเภทหยาบโดยสมบู ร ณ ในขั้ น สกิ ท าคามิ มรรค และตัดประเภทละเอียดโดยสมบูรณในขั้นอนาคามิมรรคโดยตรง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๑
การบรรยายครั้งที่ ๕๗ / ๖ ธันวาคม ๒๕๐๒
www.buddhadasa.in.th
การตัดสัญโยชน ของอริยมรรคทั้งสี่
๔๖๕
ฉะนั ้น ทํ า ใหเ ห็น พรอ มกัน ไปไดอ ีก ทาง หนึ ่ง วา การที ่ท า นระ บุ สกิ ทาคามิ มรรค ว ามี หน าที่ ตั ดกามราคะและปฏิ ฆะโดยตรงนั้ น ย อมหมายความว า การบรรเทาโมหะบางอย างบางประเภท ได เ พิ่ มขึ้ นอี กตามสั ดส วนอยู ด วยเหมื อนกั น หากแตวาไมถึงขนาดที่อาจจะนํามากลาวไดเทานั้น. ฉะนั้น จะตองถือเปนหลักวา อริ ย มรรคที่ สู ง ขึ้ น ไปนอกจากจะตั ด กิ เ ลสที่ มี ชื่ อ โดยตรงตามหน า ที่ ข องตนแล ว ก็ ยั ง สามารถบรรเทากิ เ ลสชื่ อ อื่ น ซึ่ ง ไม ถู ก ระบุ ชื่ อ ได ม ากไปกว า อริ ย มรรคที่ ต่ํ า กว า อยู เปนธรรมดาและเปนเรื่องของธรรมดา. คํ าว า กามราคะ ในภาษาไทยฟ งดู แล วคล ายกั บหมายถึ งแต ราคะที่ กํ าลั ง แกกลา หรือที่เปนไปอยางแรงกลาถึงที่สุดเทานั้น. สวนความหมายในภาษาบาลี นั้ น มี ค วามหมายชนิ ด ทั่ ว ไป คื อ หมายถึ ง ความกํ า หนั ด ยิ น ดี ใ นสิ่ ง ที่ เ รี ย กว า กาม ทุ ก ประเภท ส ว นที่ จ ะแบ ง แยกเป น อย า งหยาบอย า งละเอี ย ดเพี ย งไรนั้ น ย อ มมี ไ ด ตามควรแกก รณี แตไ มจํ า เปน ถึง กับ ตอ งเปลี ่ย นชื ่อ ก็ไ ด ดัง ที ่เ รีย กในที ่นี ้ว า กามราคะอยางหยาบและกามราคะอยางละเอียดเปนตน. ฉะนั้น เปนอันใหเขาใจ ว า การที่ ไ ม ไ ด จั ด กามราคะไว ใ นฐานะเป น สิ่ ง ที่ โ สดาป ต ติ ม รรคจะพึ ง ตั ด นั้ น มิ ไ ด หมายความว า พระโสดาบั น เป น บุ ค คลประเภทที่ ยั ง มี ก ามราคะจั ด แต ป ระการใด แต ต อ งเป น สิ่ ง ที่ บ รรเทาเบาบางไปแลว ตามสัด สว นที ่ส มควรแกโ มหะ ๓ อยา ง ที่ตัดแลวนั่นเอง. สรุปความวา ความหมายของคําคํานี้ จะถือเอาตามที่หมาย กั นอยู ในโวหารภาษาไทยทั่ ว ๆ ไปหาได ไม แต ให หมายกว าง ถึ ง ความพอใจในกาม ทุกประเภท ดังที่กลาวแลว.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สําหรับคําวา ปฏิฆะ ซึ่งแปลวา ความกระทบกระทั่งนั้น ในภาษาไทย กลั บ มี ความหมายที่ เบากว าความหมายเดิ มในภาษาบาลี กล าวคื อ คล ายกั บว าจะ
www.buddhadasa.in.th
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๒
๔๖๖
หมายถึงความขัดใจ หรือขุนของอยูในใจเพียงเล็กนอย ; สวนความหมายใน ภาษาบาลี เป นความหมายที่ กว างหรื อทั่ วไปอี กอย างเดี ยวกั น คื อหมายถึ งความโกรธ หรื อ โทสะนั่ น เอง จึ ง ต อ งแบ ง เป น อย า งหยาบและอย า งละเอี ย ด ดั ง ที่ ก ล า วแล ว ข า งต น และพึ ง เข า ใจอย า งเดี ย วกั น กั บ ที่ ก ล า วมาแล ว ในกรณี ข องกามราคะส ว น ที่ เ กี่ ย วกั บ โสดาป ต ติ ม รรค กล า วคื อ แม พ ระโสดาบั น ไม ส ามารถละปฏิ ฆ ะได โ ดย สมุจ เฉทปานสัก ประเภทเดีย ว แตก ็ม ิไ ดห มายความวา ทา นจะตอ งเปน คน มั ก โกรธอย า งเต็ ม ที่ เ หมื อ นปุ ถุ ช น ทั้ ง นี้ เพราะเหตุ ที่ ป ฏิ ฆ ะนั้ น บรรเทาไปแล ว ตาม สัดสวนดวยอริยมรรคนั้น แมไมมากก็นอย. ฉะนั้น การกลาวชื่อของวิมุตติสุขญาณไปตามชื่ อของสั ญญโญชน หรื ออนุ สั ยที่ อริ ยมรรคนั้ น ๆ สามารถตั ดได นั้ น เป น การกล าวที่ เหมาะสมอย างยิ่ ง กล าวคื อ ทํ าให มองเห็ นลั กษณะของวิ มุ ตติ สุ ขนั้ น ๆ ไดอยางชัดแจงจริง ๆ. สรุปความไดสั้น ๆ วา สกิทาคามิบุคคลสามารถบรรลุวิมุติสุขเพิ่มขึ้น อีก ๒ ชั้น กลาวคือ วิมุตติสุขที่เกิดขึ้นเพราะ การละกามราคะอยางหยาบ และ การละปฏิฆะอยางหยาบ เสียไดนั่นเอง หรือถาจะแยกเปน ๔ ชื่อ ก็อาจจะทําได ด ว ยการแยกกิ เ ลสทั้ ง ๒ ชื่ อ นี้ ให เ ป น สั ญ โญชน อ ย า งหนึ่ ง และให เ ป น อนุ สั ย อี ก อย า งหนึ่ ง ดั ง ที่ ป รากฏอยู ใ นรายชื่ อ ของวิ มุ ต ติ สุ ข ญาณ ๒๑ นั้ น แล ว กล า วสรุ ป ไดสั้ น ๆ ว า เมื่ อโสดาป ตติ มรรคละกิเลสประเภททํ าความมืดได ๓ อย าง สกิ ทาคามิ มรรค ก็ละกิเลสประเภททําความรอนไดเพิ่มขึ้นอีก ๒ อยาง โดยอัตราสวนที่ เหมาะกับกําลังของตน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ๓. อนาคามิมรรค อนาคามิ มรรค ย อมตั ดสั ญโญชน สองหรื ออนุ สั ยสอง ชื่ อเดี ยวกั นกั บที่ สกิ ทาคามิ มรรคตั ด แต เป นการตั ดส วนที่ ละเอี ยด (ที่ เหลื อวิ สั ยของสกิ ทาคามิ มรรค)
www.buddhadasa.in.th
การตัดสัญโยชน ของอริยมรรคทั้งสี่
๔๖๗
ได อ ย า งสิ้ น เชิ ง ซึ่ ง เป น มาตรฐานที่ ก ล า วกั น อยู ทั่ ว ๆ ไป ได ยิ น กั น อยู ทั่ ว ๆ ไป และถื อ เป น หลั ก กั น ได ง า ย ๆ ทั่ ว ๆ ไป พระอนาคามี ย อ มปราศจากกามราคะ และปฏิฆะโดยสิ้นเชิง คงเหลืออยูแตโมหะบางสวน ที่จะพึงตัดตอไปเทานั้น. เป น อั น ว า พระอนาคามี ไ ม มี ร าคะในกามโดยเด็ ด ขาดแล ว แต ไ ปมี ร าคะในภพคื อ ความเปนแหงบุคคลผูเสวยสุขอันไมเนื่องดวยกาม สวนปฏิฆะหรือโทสะนั้น เปน อั นหมดไปโดยประการทั้ งปวง โดยนั ยนี้ เป นอั นกล าวได สั้ น ๆ ว าอนาคามิ มรรคนั้ น ตัด โทสะไดสิ ้น เชิง ไมม ีส ว นเหลือ ตัด ราคะไดเ ฉพาะสว นที ่เ ปน กาม ยัง เหลือ อยู ในส ว นที่ เ ป น ภพ และตั ด โมหะเพิ่ ม ขึ้ น ได ต ามส ว น จนเหลื อ อยู แ ต ส ว นที่ เ ป น ชั้ น ละเอียดเกี่ยวกับอัตตวาทุปาทานโดยตรงเปนสวนใหญ. เพื่ อ เข า ใจความหมายของอนาคามิ ม รรค หรื อ ความเป น อนาคามี ไ ด อย า งชั ด เจน จํ า เป น จะต อ งทํ า การเปรี ย บเที ย บดู ทั้ ง ข า งหน า และข า งหลั ง คื อ เปรี ย บเที ย บกั น ดู กั บ สั ญ โญชน หรื อ อนุ สั ย ที่ โ สดาป ต ติ ม รรคและสกิ ท าคามิ ม รรค ได ตั ดมาแล วและสั ญโญชน บางอย า งที่ เ หลื อ อยู ให อ รหั ต ตมรรคตั ด ต อ ไปข า งหน า ก็จะทราบความหมายของคําวาอนาคามี ซึ่งอยูตรงกลางไดดี. ใจความสําคัญ ของข อ นี้ อ ยู ต รงที่ ว า คนธรรมดาสามั ญ เมื่ อ ได ยิ น คํ า ว า ราคะ ย อ มรู สึ ก ไปในทาง ราคะในกามอยา งเดีย วเทา นั ้น เมื ่อ ไดย ิน วา พระอนาคามีต ัด กามราคะไดสิ ้น เชิง ก็ ย อ มเข า ใจว า พระอนาคามี ป ราศจากราคะโดยสิ้ น เชิ ง เป น ธรรมดา แต เ มื่ อ เหลี ย ว ไปข างหน า ยั งมี ราคะเหลื ออยู อี ก ๒ ประเภท ที่ พระอนาคามี จะต องตั ดต อไปเพื่ อ ความเป น พระอรหั น ต ราคะ ๒ ประเภทนั้ น คื อ รู ป ราคะ อรู ป ราคะ หรื อ รวม เรียกเขาดวยกันเปนอยางเดียวกันวา ภวราคะ ดังนี้ก็ได. รูปราคะ คือความกําหนัด ยินดีในความสุขอันเกิดจากรูปฌาน, อรูปราคะ คือความกําหนัดยินดีในความสุข อั น เกิ ด จากอรู ป ฌาน รวมกั น เข า แล ว เรี ย กว า ภวราคะ หรื อ ความกํ า หนั ด ยิ น ดี
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๔๖๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๒
ในความเปนชนิดใดชนิดหนึ่งที่ไมเกี่ยวของกับกามเลย. ราคะเหลานี้ฟงดูแลว คนธรรมดาสามั ญ ทั่ ว ไปไม อ าจจะเข า ใจได ว า มั น จะเป น ราคะไปได อ ย า งไร เพราะ เคยเขา ใจหรือ รู ส ึก ซึม ทราบ แตใ นเรื ่อ งของกามราคะที ่เ ปน ของรอ นโดยเปด เผย จึงไมสามารถเขาใจไฟคือ ราคะชนิดเย็น กลาวคือ ความกําหนัดยินดีตอความสุขที่ เกิดจากฌาน นี้วาเปนราคะได. ถาพูดอยางบุคคลาธิษฐาน ก็พูดไดอยางสั้น ๆ น าขบขั น แต แสดงความหมายได ถู กต องที่ สุ ด ว า พระอนาคามี ละได แต ราคะร อ น แต ไม สามารถละราคะเย็ น กล าวคื อ ความยิ นดี ในสุ ขที่ เกิ ดจากฌานหรื ความยิ นดี ในความไดเปนบุคคลเชนนั้นไดเลย. เมื่อเขาใจความหมายขอนี้ดี ยอมเขาใจ ความหมายของความเป น พระอนาคามี ใ นส ว นที่ เ กี่ ย วกั บ ราคะได ดี และไม ห ลงไป ตามเขาวา วาพระอนาคามียอมละราคะไดโดยสิ้นเชิง ดังนี้เปนตน. ฉะนั้นเมื่อ จะวินิจฉัยในวิมุตติสุขของพระอนาคามีกันอยางถูกตองวามีอยูอยางสูงต่ําเพียงไร ก็ พึงพิจารณาถึงการละราคะ ๓ ประเภท คื อกามราคะ รูปราคะ อรูปราคะ นี้กันโดย ละเอียด ก็จะทราบความแตกตางของวิมุตติสุขญาณที่มีอยูเปนชั้น ๆ ไดเปนอยางดี.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org กล าวโดยแท จริ งแล ว รู ปราคะ และอรู ปราคะ ไม น าจะถู กจั ดเป นราคะ นา จะถูก จัด เปน โมหะชนิด ใดชนิด หนึ ่ง มากกวา เชน เดีย วกับ คํ า วา ธรรมราคะ ซึ่ งแปลว ากํ าหนั ดในธรรม ซึ่ งหมายถึ งธรรมซึ่ งมี นิ พพานเป นผล แต ท านก็ ยั งไม จั ด หรื อ ไม บั ญ ญั ติ ว า เป น โมหะ คงจั ด ว า ราคะอยู นั่ น เอง โดยประสงค เ อาใจความ สําคัญตรงที่ ใจไปกําหนัดรักยินดีเกี่ยวของติดพันอยู อยางแนนแฟนนั่นเอง. ฉะนั ้น ทุก คนควรจะจับ หลัก ใหไ ดว า ราคะก็ด ี โทสะก็ด ี โมหะก็ด ี แมจ ะมีม ูล มาจากอวิ ชชาด วยกั นทั้ งนั้ น ก็ ยั งมี ความมุ ง หมายในการกระทํ าที่ ต างกั น กล าวคื อ ราคะหมายถึงความกําหนัดหรือความพอใจ ที่จะเอาไวเปนของตน ; สวนโทสะ หมายถึ ง ความเดื อ ดพล า น ในสิ่ ง ที่ ไ ม เ ป น ที่ ตั้ ง แห ง ความกํ า หนั ด หรื อ พอใจ
www.buddhadasa.in.th
การตัดสัญโยชน ของอริยมรรคทั้งสี่
๔๖๙
กลาวคือ ความรูสึกที่เปนไปในทางที่จะไมเอาไวเปนของตน หรือผลักออกไป เสี ย จากความเป น ของตน เพราะรู สึ ก ว า เป น สิ่ ง ที่ เ ข า มาทํ า ลายหรื อ เป น อั น ตราย ตอสิ่งที่เปนของของตน ; สวนโมหะนั้นมีความหมายดิ่งไปในทางหลงผิด ที่ยึดถือ โดยความเป น ตั ว ตนเป น ส ว นใหญ ตลอดถึ ง แบ ง แยกว า เป น ตั ว ตนชนิ ด ไหน คื อ ดี หรือชั่ว นารักหรือนาชังเปนตน เปนคู ๆ ไป. สรุปความสั้น ๆ ที่สุดก็คือวา โมหะ ทํ า ให รู สึ ก ว า มี ตั ว ตนของสิ่ ง นั้ น สิ่ ง นี้ ที่ ทํ า ให ถู ก แบ ง แยกเป น น า รั ก น า ชั ง ขึ้ น มา ราคะ ก็ คื อ การเข า ไปติ ด ในส ว นที่ น า รั ก โทสะ ก็ คื อ การเข า ไปติ ด ในส ว นที่ น า ชั ง นั่ น เอง ไม มี อ ะไรมากไปกว า นี้ ตลอดเวลาที่ พ ระอนาคามี ยั ง ไม ส ามารถละโมหะ โดยสิ้นเชิงอยูเพียงใด ก็ยังมีความรูสึกวายังมีสิ่งที่นารักนาชังอยูเพียงนั้น ; แมจะ ละการเขาไปติดในสวนที่นาชังไดเด็ดขาด ก็ยังมีสวนที่นารักเหลืออยู ; แมจะละ การเข า ไปติ ด ในฝ า ยที่ น า รั ก เกี่ ย วกั บ กามได ก็ ยั ง เหลื อ ส ว นที่ น า รั ก ที่ ป ระณี ต หรื อ สุ ขุ ม ยิ่ ง ขึ้ น ไป กล า วคื อ ส ว นที่ ไ ม เ กี่ ย วกั บ กามเลย อั น ได แ ก ค วามสุ ข ที่ เ กิ ด จากธรรม ที่ มี รู ป และไม มี รู ป อั น หมดจดจากกามที่ ถู ก นํ า เอามาใช เ ป น อารมณ แ ห ง ฌาน หรื อ สมาบัตินั่นเอง. ฉะนั้น จึงยังเปนอันกลาวไดอยูวา ยังมีการติดอยูในสวนที่นารัก และถูกจัดวามีราคะที่เรียกวารูปราคะหรืออรูปราคะ ดังกลาวแลว. วิมุตติสุขของ ทา นมีเ พิ ่ม ขึ ้น กวา ที ่พ ระโสดาบัน พระสกิท าคามีไ ดร ับ ก็อ ยู ต รงที ่ล ะโทสะได เด็ด ขาด และละราคะที ่เ ราสมมติเ รีย กวา ราคะรอ นนั ้น เสีย ไดเ ทา นั ้น เอง คง เหลื อ ราคะเย็ น อยู สํ า หรั บ จะต อ งละอี ก ต อ ไป พร อ มกั บ โมหะส ว นที่ ทํ า ให สํ า คั ญ ว า มีตัวตนของสิ่งที่นารักและนาชังทั้งหมดจนกวาจะหมดสิ้นไปดวยกัน. จึงเปนอัน กล า วได สั้ น ๆ ตามชื่ อ ของวิ มุ ต ติ สุ ข ญาณนั้ น ๆ ว า พระอนาคามี ย อ มเสวยวิ มุ ต ติ สุ ข อั น เกิ ด จากความสิ้ น ไปแห ง กามราคะ และแห ง ความสิ้ น ไปของปฏิ ฆ ะโดยสิ้ น เชิ ง ดังนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๒
๔๗๐
๔. อรหัตตมรรค๑ อรหั ต ตมรรค ย อ มตั ด สั ญ โญชน ที่ เ หลื อ อยู อี ก ๕ และอนุ สั ย ที่ เ หลื อ อยู อี ก ๓ ซึ่ ง ที่ แ ท ก็ ไ ด แ ก กิ เ ลสอย า งเดี ย วกั น ในเมื่ อ นํ า มาเปรี ย บเที ย บกั น กล า วคื อ อนุสัย ๓ ไดแกมานานุสัย ภวราคานุสัย และอวิชชานุสัย ; สวนสัญโญชนอีก ๕ คือรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะและอวิชชา ; เมื่อสงเคราะหกันกับ อนุ สั ย จะลงกั นได คื อ รู ปราคะกั บอรู ปราคะ ก็ คื อภวราคานุ สั ยนั่ นเอง มานะและ อุทธัจจะก็คือมานุสัย สวนอวิชชา ก็คืออวิชชานุสัยโดยตรงอยูแลว . เปนอันวา อนุ สั ย ๓ ที่ เ หลื อ หรื อ สั ญ โญชน ๕ ที่ เ หลื อ สํ า หรั บ อรหั ต ตมรรคตั ด นั้ น มี ค วาม หมายเทากัน หากแตพวกหนึ่งไดจําแนกออกไปใหมากขึ้นโดยชื่อเทานั้นเอง. ที่ ว า รู ป ราคะและอรู ป ราคะ รวมกั น คื อ ภวราคะ หรื อ ภวราคานุ สั ย นั้ น อธิบายวา คําวา ภวราคะ แปลวา ราคะในภพ. คําวาภพในที่นี้หมายถึงรูปภพ และอรูปภพเทานั้น ไมหมายถึงกามภพ. เพราะคําวากามภพไดหมายถึงแลวใน กามราคะ ซึ่ ง อนาคามิ ม รรคได ตั ด ไปเสร็ จสิ้ นแล ว จึ ง เหลื อ อยู แ ต รู ปภพและอรู ป ภพ ซึ่ ง อนาคามิ ม รรคไม ส ามารถจะตั ด และเหลื อ อยู เ ป น ที่ ตั้ ง แห ง ราคะที่ อ รหั ต ตมรรค จะพึ ง ตั ด และรวมเข า ด ว ยกั น ทั้ ง ๒ อย า ง คื อ รู ป ราคะ และอรู ป ราคะ เป น เพี ย ง อย างเดี ยว คื อภวราคะ และเติ มคํ าว าอนุ สั ยต อท ายเข า จึ งเป นภาวราคานุ สั ย เป น อั นกล าวได ว าภวราคานุ สั ย อั นเป นอนุ สั ยที่ ๖ ก็ คื อรู ปราคสั ญโญชน และอรู ปราคสัญโญชน อันเปนสัญโญชนลําดับที่ ๖ และที่ ๗ ตามลําดับนั่นเอง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๑
การบรรยายครั้งที่ ๕๘ / ๒๕ ธันวาคม ๒๕๐๒
www.buddhadasa.in.th
การตัดสัญโยชน ของอริยมรรคทั้งสี่
๔๗๑
ที่ ว า มานะและอุ ท ธั จ จะ อั น เป น สั ญ โญชน ๒ ชื่ อ นี้ สงเคราะห เ ข า ได ในอนุ สั ย ชื่ อ มานานุ สั ย นั้ น อธิ บ ายว า มานสั ญ โญชน มี ชื่ อ ตรงกั บ มานานุ สั ย อยู อยางชัดแจงแลว ; สวนอุทธัจจะก็สงเคราะหเขามาในกิเลสประเภทมานะ เพราะ จิตฟุงขึ้นหรือกระเพื่อมขึ้น ดวยอํานาจความสนใจหรือความทึ่งก็ตาม นี้มีมูลมา จากความสําคัญวาตัวตนหรือวาของตน ซึ่งไดแกมานะนั่นเอง ถาไมมีอาการแหง มานะแล ว อาการแห ง อุ ท ธั จ จะก็ มี ไ ม ไ ด จึ ง ได ส งเคราะห อุ ท ธั จ ะ ที่ เ ป น สั ญ โญชน ข อนี้ เข าในมานานุ สั ย เพื่ อตั ดป ญหาหรื อทางที่ จะสงสั ยว า ทํ าไมจึ งละอนุ สั ยเพี ยง ๓ และละสั ญ โญชน ถึ ง ๕ ซึ่ ง จะเป น ที่ ฉ งนสํ า หรั บ ผู ที่ ม องไม เ ห็ น ว า สิ่ ง ทั้ ง ห า และสิ่ ง ทั้งสามนี้จะเทากันไดอยางไร. สํ า หรั บ อวิ ช ชานั้ น มี ชื่ อ ตรงต อ กั น และกั น อยู แ ล ว ไม ต อ งทํ า การ สงเคราะห สิ่ ง ที่ ต อ งวิ นิ จ ฉั ย ต อ ไปก็ คื อ รายละเอี ย ดของสั ญ โญชน เ รี ย งอย า งทั้ ง ๕ อย า ง ซึ่ ง เมื่ อ วิ นิ จ ฉั ย ครบถ ว นแล ว ก็ จ ะเป น อั น ว า วิ นิ จ ฉั ย อนุ สั ย ๓ ที่ เ หลื อ เสร็จสิ้นพรอมกันไปในตัว ดังตอไปนี้ :-
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ก. รูปราคะ คํานี้โดยพยัญชนะแปลวา ความกําหนัดในรูป (รูปะ = รูป, ราคะ = ความกําหนัด) คําวารูปในที่นี้ หมายถึงสิ่งที่มีรูป หรือสิ่งที่มีรูปเปนที่ตั้ง แต รู ป นั้ น ๆ ไม มี ค วามหมายของกามหรื อ เป น ไปในทางกาม กล า วคื อ ไม เ กี่ ย วกั บ กามเลย จึ ง ต อ งเรี ย กมั น แต เ พี ย งว า รู ป แม ว า กามตามปรกติ ก็ เ ป น สิ่ ง ที่ มี รู ป หรื อ เนื่ อ งอยู กั บ รู ป แต ถ า มี ค วามหมายทางกามเข า มาเป น ส ว นสํ า คั ญ เราเรี ย กสิ่ ง เหล า นั้ น ว า กาม ไม เ รี ย กว า รู ป โดยกั น เอาคํ า ว า รู ป มาใช กั บ รู ป ที่ บ ริ สุ ท ธิ์ จ ากกาม คือไมมีกามเขามาเกี่ยวของเลย.
www.buddhadasa.in.th
๔๗๒
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๒
คํ าว ารู ปในที่ นี้ ยั งมี ความหมายลึ กลงไปอี กชั้ นหนึ่ ง คื อหมายถึ งผลที่ เกิ ด มาจากรู ป เช น นํ า เอารู ป ธรรมอั น ใดอั น หนึ่ ง ดั ง เช น ลมหายใจ ในกรณี แ ห ง การ เจริ ญอานาปานสติ นี้ มาเป นอารมณ สํ าหรั บเจริ ญสมาธิ ภาวนามี ผลเกิ ดขึ้ นเป นฌาน อั น มี ล มหายใจเป น อารมณ ฌานนั้ น ทํ า ให เ กิ ด ความรู สึ ก ที่ เ ป น สุ ข ความสุ ข จึ ง เปนผลเกิดมาจากรูป กลาวคือ ลมหายใจ ; ถากําหนัดยินดีในความสุข ขอนี้ ก็เ รีย กวา กํา หนัด ในรูป ดว ยเหมือ นกัน . นี้เ ปน ตัว อยา งที่ชี้ใ หเ ห็น ชัด วา รูป ที่ไมเกี่ยวกับกามเปนรูปบริสุทธิ์ลวน ๆ ก็ยังเปนที่ตั้งแหงความกําหนัดได. หรือ กล า วกลั บ กั น อี ก อย า งหนึ่ ง ก็ ก ล า วได ว า ความกํ า หนั ด นั้ น มิ ไ ด มี เ ฉพาะแต ใ นกาม แตอ าจจะมีไ ดแ มใ นรูป ธรรมบริสุท ธิ์ ซึ่ง เรีย กสั้น ๆ วา “รูป ” ในที่นี้ หรือ ที่เรียกวา “ภพ” ในคําวา ภวราคานุสัย อนุสัยคือความกําหนัดในภพ ดังนี้เปนตน. ข อ นี้ เ ป น การชี้ ใ ห เ ห็ น พร อ มกั น ไปในตั ว ว า สิ่ ง ที่ เ รี ย กว า ราคะ หรื อ ความกํ า หนั ด นั้ น มี อ ยู ห ลายระดั บ ซึ่ ง ไม เ หมื อ นกั น เลย หรื อ สู ง ต่ํ า กว า กั น อย า งที่ ไ ม อาจจะเปรี ยบกั นได เช นกามราคะความกํ าหนั ดในกาม ที่ กล าวถึ งในกรณี ของพระ อนาคามี และรู ป ราคะที่ ก ล า วถึ ง ในที่ นี้ และอรู ป ราคะที่ จ ะกล า วถึ ง ข า งหน า ถ า พิจารณาดูแลวจะเห็นวาสูงต่ํากวากันคนละระดับจริง ๆ ; และเมื่อเขาใจไดทุก ระดับแลว จะสามารถเขาใจความหมายของวิมุตติสุขขั้นนั้น ๆ ไดเต็มที่.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org คํ าว ารู ปราคะโดยทั่ วไป มี ความหมายกว าง ๆ หมายถึ งความยิ นดี หรื อ กํ า หนั ด ในความสุ ข อั น เกิ ด แต รู ป ธรรม ที่ ไ ม เ กี่ ย วกั บ กามทุ ก ชนิ ด และอาจขยาย ความออกไปไดถึงความกําหนัดยินดี ใน ความที่ไดเปนอยางนั้น หรือ ความที่ ไดเ กิด ในโลกที่มีค วามเปน อยา งนั้น หากแตวา ความเปน อยา งนั้น หรือ ความ ได เ กิ ด ในโลกที่ มี ค วามเป น อย า งนั้ น นั้ น มี ค วามหมายอยู ต รงความสุ ข อั น บริ สุ ท ธิ์ ไมเกี่ยวกับกาม อันเกิดมาจากรูปธรรมที่มีใชกามนั่นเอง.
www.buddhadasa.in.th
การตัดสัญโยชน ของอริยมรรคทั้งสี่
๔๗๓
ถ า จะเข า ใจสิ่ ง ๆ นี้ ใ ห ชั ด แจ ง จริ ง ๆ จะต อ งนํ า ไปเปรี ย บเที ย บกั น กั บ ความสุขที่เกิดมาจากกามโดยตรง จึงจะเขาใจได คือเปรียบเทียบใหเห็นวาตางฝาย ตางมีอํานาจดึงดูดหรือยอมใจสัตว ไดอยางเต็มที่อยางไร. แตขอนี้ทํายากสําหรับ คนธรรมดาสามั ญ ซึ่ งมี จิ ตใจอยู ในระดั บกามาวจรภู มิ คื อ เข าใจซึ มทราบได เฉพาะ ความสุ ข ที่ เ กิ ด จากกาม เพราะเป น สิ่ ง ที่ มี ป ระจํ า อยู ใ นใจ แต ไ ม ส ามารถจะเข า ใจ ความสุ ข ที่ เ กิ ด มาจากรู ป เพราะยั ง ไม เ คยรู ร ส เพราะเหตุ ที่ เ ป น ของสํ า หรั บ สั ต ว ประเภทที่ ตั้ ง อยู ใ นรู ป าวจรภู มิ ฉะนั้ น มี ท างที่ จ ะทํ า ได โดยทางการศึ ก ษาเปรี ย บ เทียบจากบุคคลตัวอยางบางคนเทานั้น. ตั วอย างที่ กล าวนี้ ได แก บุ คคลที่ เสวยกามสุ ขในฐานะเป นกษั ตริ ย หรื อ เป น เศรษฐี เ ป น ต น อย า งเต็ ม ที่ แล ว ออกบวชเป น นั ก บวชแสวงหาความสุ ข จาก ความสงบหรื อ วิ เ วก ด ว ยความรู สึ ก ขยะแขยงต อ กามสุ ข ซึ่ ง เป น ความสุ ข ที่ อั ด แอ และวุนวายที่เคยผานมาแลวแตหนหลัง. ในกรณีนี้เราตองไมเล็งถึงพระพุทธเจา สิ ท ธั ต ถะโคตมะผู ซึ่ ง สละความสุ ข ออกบวชด ว ย เพราะว า ท า นออกบวชแล ว หรื อ ทิ้ ง กามสุ ข แล ว แล ว ไม ไ ปติ ด อยู แ ค รู ป สุ ข หรื อ อรู ป สุ ข ดั ง เช น ชฎิ ล หรื อ ฤษี ทั่ ว ไป แต ได ผ านเลยไปถึ งโลกุ ตตรภู มิ ซึ่ งอยู เหนื อสุ ขเหนื อทุ กข เราจะต องเจาะจงเอาเฉพาะ พวกดาบสหรื อฤษี ที่ ละจากกามสุ ขแล วมาติ ดอยู ในฌานสุ ข ซึ่ งจะเป นรู ปฌาน หรื อ อรู ปฌานก็ ตาม โดยการหยั่ ง ให ท ราบลงไปในจิ ต ใจของบุ ค คลเหล า นี้ ว า ความสุ ข เกิ ด แต ฌ านที่ เ ขากํ า ลั ง พอใจหลงใหลนั้ น มั น ต า งจากความสุ ข ที่ เ กิ ด จากกามที่ เ ขา ขยะแขยง หรือตองขยะแขยงมากนอยเพียงไร ก็จะเขาใจคําวารูปราคะไดงายขึ้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ า จะมี ผู ถ ามว า ถ า เป น บุ ค คลที่ อ ยู ใ นบ า นในเมื อ ง ไม อ อกบวชเป น ดาบสหรือฤษีเลา รูปราคะของเขาจะมีเปนอยางไร ? เพราะเราก็เคยไดยินวา พระอนาคามี ที่ เ ป น สามั ญ ชนอยู ใ นบ า นในเมื อ งก็ ยั ง มี และอยู ใ นเพศที่ เ รี ย กกั น ว า
www.buddhadasa.in.th
๔๗๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๒
เพศคฤหั สถ ด วยซ้ํ าไป ข อนี้ อธิ บายว า พระอนาคามี เหล านี้ ปราศจากการเกี่ ยวข อ ง ด ว ยกามทั้ ง ทางกายและทางจิ ต ความสงบเย็ น อั น ใดเกิ ด ขึ้ น เพราะความอยู ปราศจากกามทั้งทางกายและทางจิต ทานพอใจหลงใหลในความสงบเย็นนั้น หรือ ในความเปนอยางนั้นของทาน ซึ่งมีรสเชนเดียวกับรสแหงฌานขั้นใดขั้นหนึ่ง โดยไมรูตัว นี้เรียกวา รูปราคะ หรือภวราคะของทาน. ขอนี้ทําใหเห็นไดวา คําวา “คฤหัสถ” หรือ “ฆราวาส” ถาใหมีความ หมายว าบุ ค คลผู บริ โ ภคกามแล ว พระอนาคามี ในลั ก ษณะเช นนี้ หาได เ ป น ฆราวาส หรื อคฤหั สถ ไม แม จะอาศั ยอยู ในบ านในเรื อน กิ นอยู นุ งห มอย างคนธรรมดาสามั ญ และประกอบอาชี พ เช น ป น หม อ ขาย เพื่ อ เลี้ ย งบิ ด ามารดาดั ง ที่ มี ก ล า วอยู ใ นปกรณ นั้ น ๆ แม ที่ เป นชั้ นบาลี สั งคี ติ ทั้ งนี้ เพราะเหตุ ว าไม มี การบริ โภคกาม หรื อเกี่ ยวข อง กั บกามเลย ทั้ งโดยทางร างกายและจิ ตใจ มี ความยิ นดี อยู ในความได เป นอย างนั้ นอยู อย างเต็ มที่ คื อความเป นคนสงบเย็ นเพราะปราศจากกาม และมี ความยึดมั่ นถื อมั่ น ในตั ว ตนที ่เ ปน อยา งนั ้น เพราะยัง ถอนความยึด ถือ ตัว ตนไมไ ด ทั ้ง ๆ ที ่ม ีจ ิต ใจ อยูเหนือกามโดยเด็ดขาดแลวเชนนั้น. นี้เรียกวา มีรูปราคะหรือภวราคะที่เหลืออยู สําหรับจะตัดดวยอรหัตตมรรคตอไป.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ า จะเปรี ย บเที ยบด วยตั ว อย างที่ ต่ํ ากว า นั้ น ลงไปอี ก ก็ พึ งพิ จารณาดู ที่ จิต ใจของคนบางคนและในบางขณะ ที ่เ ขาไมย ิน ดีพ อใจในกาม ไมม ีค วามรู ส ึก ที่ เ ป น กาม หรื อ ความสุ ข อั น เกิ ด มาจากความพอใจในกาม แต มี ค วามยิ น ดี ใ น ความสุ ข ที่ เกิ ดมาจากอะไรบางอย า ง ที่ มิ ใช กาม แล ว หลงใหลติ ด ใจในรสชาติ ข อง ความเป นอย างนั้ นอย างยิ่ งอยู ก็ มี เป นความพอใจที่ เกิ ดมาจากการเดิ นเล นในที่ สงั ด หรือ อยู ใ นที ่ส งัด หรือ ยิน ดีใ นการปลูก ตน ไม การเลี ้ย งสัต วบ างชนิด หรือ การ มี วั ต ถุ สิ่ ง ของบางอย า งซึ่ ง เป น ที่ ติ ด ตาต อ งใจ แต ทุ ก สิ่ ง ไม ไ ด เ ป น ไปในทางกามเลย
www.buddhadasa.in.th
การตัดสัญโยชน ของอริยมรรคทั้งสี่
๔๗๕
ดัง นี้ก็มี หากแตมีเ พีย งบางขณะและยัง แถมนอ ยคนที่สุด . ถา เรากัน เอามา แต ค วามรู สึ ก ส ว นนี้ ใ นใจของเขา ออกมาพิ จ ารณาดู แ ล ว ก็ จ ะช ว ยให เ ข า ใจความ แตกตางระหวางคําวารูปราคะ และคําวากามราคะไดเปนอยางดี ; และจะทําให เห็ น ได ว ารู ปราคะนั้ นสู ง กว าหรื อสะอาดกว ากามราคะมากน อ ยเพี ยงไร ซึ่ ง เป นเหตุ ให เ ขา ใจความแตกตา งระหวา งอนาคามิม รรค และอรหัต ตมรรคไดพ รอ มกัน ไป ในตัว เพราะวาอนาคามิมรรคตัดไดเพียงกามราคะ ไมสามารถตัดรูปราคะ ; สวน อรหัตตมรรคซึ่งสามารถตัดรูปราคะไดนั้นจะสูงไปกวาอนาคามิมรรคเพียงไร. เมื่ อเข าใจคํ าว ารู ปราคะได ชั ดเจนโดยนั ยดั งที่ กล าวแล ว ก็ สามารถหยั่ ง ทราบความหมายของวิ มุ ต ติ สุ ข ที่ เ กิ ด มาจากการตั ด รู ป ราคะหรื อ ภวราคานุ สั ย ได อย า งชั ด แจ ง โดยการเปรี ย บเที ย บกั น ดู ว า คนเราเมื่ อ ตั ด ราคะร อ น คื อ กามราคะ ได แ ล ว ก็ มี ค วามสงบเย็ น เหลื อ ที่ จ ะประมาณได อ ยู แ ล ว เมื่ อ สามารถตั ด ราคะเย็ น เป น ต น นี้ ไ ด อี ก นั่ น จะยิ่ ง บริ สุ ท ธิ์ ส ะอาด ยิ่ ง สงบเย็ น ยิ่ ง ไปอี ก เพี ย งไร และญาณ คือความรูในวิมุตติสุขขอนี้ (ขอที่ ๑๔ และขอที่ ๒๐) จะเปนญาณที่สูงขึ้นไป เพียงไร.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๒
๔๗๖
ข. อรูปราคะ๑ คําวา อรูปราคะ แปลวา ความกําหนัดในอรูป คือ สิ่ ง ที่ ไ ม มี รู ป มี ลั ก ษณะอาการทํ า นองเดี ย วกั น กั บ ความกํ า หนั ด ในรู ป ผิ ด กั น เพี ย ง แตในที่นี้มีสิ่งที่เปนอรูปเขามาแทนและเปนสิ่งที่ประณีตยิ่งขึ้นไปกวา. ถากลาว อย างสมมติ ดั งที่ เราเคยกล าวกั นมาแล วว า รู ปราคะเป นราคะเย็ น อรู ปราคะก็ เป น ราคะเย็นยิ่งไปกวานั้นอีก เพราะความที่ประณีตกวานั่นเอง. คําวารูปในกรณี ของรู ป ราคะหมายถึ ง ความสุ ข ที่ เ กิ ด มาจากสมาธิ อั น มี รู ป ธรรมเป น อารมณ หรื อ ความไมเกิดในโลกที่มีความสุขเชนนั้น ฉันใด ; คําวา อรูปในที่นี้ยอมหมายถึง ความสุ ข ที่ เ กิ ดมาจากสมาธิ อั นมี อรู ปธรรมเป น อารมณ หรื อหมายถึ ง การได เกิ ดอยู ในโลกที่สมบูรณดวยความสุขชนิดนั้น ฉันนั้น. แตไมวาจะกลาวถึงความสุขหรือ กล า วถึ ง ภพที่ เ ต็ ม ไปด ว ยความสุ ข ชนิ ด นั้ น ก็ ต าม สิ่ ง อั น เป น ที่ ตั้ ง แห ง ความกํ า หนั ด ในกรณีหลังนี้ ยอมเปนสิ่งที่ประณีตกวาในกรณีแรกอยูนั่นเอง. ฉะนั้น เพื่อจะ ได ท ราบถึ ง ความที่ สั ญ โญชน ข อ นี้ เ ป น สั ญ โญชน ที่ ป ระณี ต หรื อ สู ง ยิ่ ง ขึ้ น ไป จะต อ ง มี ก ารวิ นิ จ ฉั ย ในสิ่ ง ที่ เ รี ย กว า อรู ป นั้ น ให เ ป น ที่ เ ข า ใจแจ ม แจ ง ตามสมควร โดยการ เปรี ย บเที ย บความแตกต า งระหว า ง คํ า ว า รู ป ฌาน กั บ อรู ป ฌาน และคํ า ว า รู ป ภพ กั บคํ าว า อรู ป ภพ หรื อ แม ที่ สุ ดแต คํ าว า รู ปาวจรกุ ศ ล กั บคํ าว าอรู ปาวจรกุ ศลก็ ตาม ดังตอไปนี้ :-
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เปนตน
๑
รูปฌาน กับ อรูปฌาน. รูปฌานหมายถึง ฌานทั้ง ๔ มี ปฐมฌาน มีจตุตถฌานเปนที่สุด ดังที่ไดกลาวแลวในอานาปานสติขั้นที่ ๕โดย
การบรรยายครั้งที่ ๕๙ / ๒๖ ธันวาคม ๒๕๐๒
www.buddhadasa.in.th
การตัดสัญโยชน ของอริยมรรคทั้งสี่
๔๗๗
ละเอีย ด สว นอรูป ฌานนั ้น เปน ฌานที ่ป ระณีต ยิ ่ง ขึ ้น ไป เพราะเกิด ขึ ้น จากความ รู ส ึก ทีว า สม า ธิที ่อ าศัย รูป ยัง เปน ของหยาบไมล ะ เ อีย ดเหมือ นอรูป หรือ น า ม ถ า อย า งไรเราจะละรู ป เสี ย ถื อ เอาอรู ป หรื อ นามเป น อารมณ ข องสมาธิ เ ถิ ด ดั ง นี้ ก็ ดี , หรื อ ความคิ ด ที่ ว า รู ป อั น ได แ ก ม หาภู ต เหล า นี้ เ ป น ของแตกทํ า ลายง า ย เพราะตั้ ง อยู ดว ยปจ จัย ที ่ห ยาบ หรือ ทํ า ลายงา ย ถา อยา งไรเราจะเวน รูป เสีย ถือ เอานาม ซึ่งเปนสิ่งที่มีปจจัยอันละเอียด และไมแตกทําลายงายเหมือนรูป มาเปนอารมณ ของสมาธิเ ถิด สมาธินั ้น จะละเอีย ดประณีต และสงบรํ า งับ ยิ ่ง ขึ ้น ไป ดัง นี ้ก ็ด ี ; ผู แ สวงหาความสุ ข ในฌานที่ ป ระณี ต ยิ่ ง ขึ้ น ไป จึ ง เว น รู ป ธรรมทั้ ง หลายเสี ย ถื อ เอา สิ่งที่ไมมีรูป มาเปนอารมณ สําหรับเพงฌานที่ประณีตยิ่งขึ้นไปคือ :๑. ถือเอาความวางหรืออากาศเปนอารมณเรียกวา อากาสานัญจายตนฌาน. ๒. ถือเอานามธาตุหรือวิญญาณเปนอารมณ เรียกวา วิญญาณัญจายตนฌาน. ๓. ถือเอาความไมมีอะไรเลยเปนอารมณ เรียกวา อากิญจัญญายตนฌาน. ๔. ถือเอาการดับความรูสึกเปนอารมณ เรียกวา เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ทั้ ง ๔ นี้ เรี ย กว า อรู ป ฌาน เพราะถื อ เอาสิ่ ง ที่ ไ ม มี รู ป เป น อารมณ ดั ง ที่ ก ล า วแล ว มี ค วามประณี ต ยิ่ ง กว า รู ป ฌานคื อ จิ ต ที่ กํ า หนดอยู กั บ ความว า งหรื อ อากาศ โดยทํ า ความรู ส ึก วา ความวา งเปน สิ ่ง ที ่ไ มม ีที ่ส ุด จิต เขา ถึง ความเปน อั น เดี ย วกั น กั บ ความว า งนั้ น ด ว ยอํ า นาจของการเพ ง ที่ ป ระณี ต ยิ่ ง ขึ้ น ไปกว า เดิ ม ความแน ว แน ห รื อ อั ป ปนาของจิ ต ก็ ป ระณี ต ไปกว า เดิ ม ฌานจึ ง จะประณี ต ยิ่ ง กว า เดิ ม ความสุ ข ที่ เ กิ ด จากฌานนั้ น จึ ง จะประณี ต น า พอใจ เป น ที่ ตั้ ง แห ง ความยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น อันประณีตสุขุมยิ่งไปกวาเดิม ความกําหนัดที่มีอยูในความสุขอันเกิดจากอรูปฌาน จึงเหนียวแนน อยางสุขุม ยิ่งขึ้นไปอี ก เพราะเหตุนั้น อากาสานัญจายตนฌานเป น สิ่งที่ประณีตกวาจตุตถฌาน อันเปนรูปฌานขั้นสูงสุดเห็นปานนี้.
www.buddhadasa.in.th
๔๗๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๒
วิ ญญาณั ญจายตนฌาน ยั งประณี ตไปกว านั้ นอี ก กล าวคื อ ผู ตั้ งอยู ใน อากาสานั ญจายตนะแล วพิ จารณาเห็ นว าอากาศนี้ ยั งหยาบอยู และยั งกระเดี ยดไป ในทางที่ จ ะเป น รู ป หรื อ ใกล ชิ ด ต อ รู ป อยู ม าก ถ า กระไรเราจะถื อ เอาวิ ญ ญาณธาตุ ซึ่ ง เป น นามธรรมที่ ล ะเอี ย ดไปกว า มาเป น อารมณ เ ถิ ด จึ ง ได เ พ ง ต อ วิ ญ ญาณ ว า วิ ญญาณเป นสิ่ งไม มี ที่ สิ้ นสุ ด ทํ าจิ ตให เข าถึ งความเป นอั นเดี ยวกั นกั บวิ ญญาณธาตุ อันเปนสิ่งที่ละเอียดยิ่งขึ้นไปดวยความเพงที่ละเอียดสุขุมยิ่งไปกวาที่แลวมา. วิญญาณั ญจายตนะซึ่ งเป นอรู ปฌานที่ สองจึ งมี ความละเอี ยดสุ ขุ มยิ่ งขึ้ นไปกว าอากาสานั ญจายตนะซึ ่ง เปน อรูป ฌานที ่ห นึ ่ง ฉะนั ้น ความสุข ที ่เ กิด จากฌานนี ้ ก็ยิ ่ง เปน ไป ในทางสงบรํ า งั บ จื ด ชื ด สนิ ท หรื อ บริ สุ ท ธิ์ ยิ่ ง ขึ้ น ไปอี ก แต พ ร อ มกั น นั้ น ยิ่ ง เป น การ ทํ าให เป นที่ ตั้ งแห งความยึ ดมั่ นถื อมั่ น ที่ ละเอี ยดยิ่ งขึ้ นไปตามส วนของความที่ ผู นั้ น ยิ่ ง มี ค วามสํ า คั ญ ว า นี่ เ ป น สิ่ ง ที่ วิ เ ศษสู ง สุ ด ยิ่ ง ขึ้ น ทุ ก ที และยิ่ ง จั บ ใจเขามากยิ่ ง ขึ้ น ทุกที. อรูปราคะในขั้นนี้ก็ยิ่งละเอียดขึ้นตามลําดับ. ถั ดจากนั้ นไปอี กก็ คื อผู ที่ ช่ํ าชองในวิ ญญาณั ญจายตนฌานเข า เกิ ดความ รู สึ ก ว า แม วิ ญ ญาณธาตุ ก็ ยั ง เป น ของหยาบ สู ค วามไม มี อ ะไรเสี ย เลยที เ ดี ย วไม ไ ด เขาจึ ง ละจากการเพ งต อวิ ญญาณ มาเพ งที่ ความไม มี อ ะไร ถื อเอาความไม มี อ ะไร เปน อารมณ วา ความไมม ีอ ะไรเปน สิ ่ง ที ่ไ มม ีที ่ส ุด ตามที ่เ ขามองเห็น วา ความ ไมมี อ ะไรนี่ แ หละยิ่ ง ประณี ต และยิ่ ง ไม มี ที่ สุ ด ยิ่ ง ไปกว า ๒ อย า งที่ แ ล ว มา ฉะนั้ น เขาตอ งเพง ดว ยการเพง หรือ วิธ ีเ พง ที ่ล ะเอีย ดสุข ุม ยิ ่ง ไปกวา เดิม ฌานที ่เ กิด ขึ ้น ก็ ยิ่ งเป นฌานที่ สุ ขุ มไปกว าเดิ ม ความสุ ขที่ เกิ ดจากฌานนั้ น ก็ ยิ่ งเป นที่ ตั้ งแห งความ ยึดมั่นถือมั่นไปกวาเดิม คือเปนอรูปราคะที่สุขุมยิ่งกวา ๒ ขั้นที่แลวมาอีกตามสวน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
การตัดสัญโยชน ของอริยมรรคทั้งสี่
๔๗๙
ถั ด ไปจากนั้ น อี ก ก็ คื อ ผู ที่ ช่ํ า ชองในอากิ ญ จั ญ ญายตนะมี ก ารพิ จ ารณา เห็ นว า แม ฌานนี้ จะละเอี ยดสุ ขุ มเพี ยงไร ก็ ยั งเป นสิ่ งที่ มี ความรู สึ กเหลื ออยู นั บว า ยั ง หยาบอยู นั่ น เอง ถ า อย า งไรเราจะเพ ง ต อ ความดั บ เสี ย ซึ่ ง ความรู สึ ก กล า วคื อ ปราศจากความรูสึกเปนอารมณ จักเปนของประณีตกวา ; เขาจึงเพงตอความไมมี ความรู สึ ก แต มิ ได หมายถึ งความตาย ฉะนั้ น จึ งเรี ยกว าเนวสั ญญานาสั ญญายตนะ คือมีความเพงซึ่ งในตั วมันเอง จะเรียกว ามีสั ญญา คือมี ความรูสึกก็ไมใช จะเรี ยกว า ไม มี สั ญ ญา คื อ ไม มี ค วามรู สึ ก ก็ ไ ม ใ ช ซึ่ ง ถื อ ว า เป น อรู ป ฌานขั้ น สุ ด ท า ย และเป น ที่ตั้งแหงความยึดถือ ของบุคคลผูหลงใหลในฌานสุข ยิ่งกวาฌานขั้นใด ๆ. ทั้ ง หมดนี้ ล องคํ า นวณดู หรื อ เปรี ย บเที ย บดู เถิ ด ว าเป น ความสุ ข ที่ ไ กล จากความสุ ขอั นเกิ ดจากรู ปฌานสั กเพียงไร และยิ่งไกลจากความสุขประเภทกามสุ ข อยางที่จะเปรียบเทียบกันไมไดเพียงไร ยิ่งขึ้นอีก. เมื่อเขาใจความหมายขอ นี้ ก็ย อมเข าใจความแตกต างและความสู งต่ําเป นลดหลั่ นของคํ าว า อรู ปราคะ รูปราคะ และกามราคะ ไปตามลํ าดับไดเป นอย างดี ซึ่ งทําใหเห็ นความจริ งในขอที่ วา ทํ าไม พระอนาคามี จึ ง ละได แ ต ก ามราคะ ไม ส ามารถละรู ป ราคะและอรู ป ราคะ ซึ่ ง ต อ ง ทิ้งไวใหเปนกิจของอรหัตตมรรคดังนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org รูปภพ กับ อรูปภพ หมายถึงความไดเปนหรือไดมี ในความสุขที่เกิด จากรู ป และอรู ป นั่ น เอง ถ า กล า วอย า งบุ ค คลาธิ ษ ฐาน ก็ ก ล า วเป น สถานที่ ห รื อ เป น โลกที่ มี ค วามเป น อย า งนั้ น ไป ตามธรรมดาของการกล า วโดยโวหารพู ด ของ
www.buddhadasa.in.th
๔๘๐
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๒
ชาวบาน ชาวเมืองตามธรรมดา ; แตถึงอยางนั้นก็ยังพอจะเขาใจไดวา ในโลกนั้น หรื อ ในสถานที่ นั้ น มั น มี ค วามสํ า คั ญ อยู ต รงที่ ค วามได ห รื อ ความมี ค วามสุ ข ที่ เ กิ ด จากรูปฌาน หรืออรูปฌานนั่นเอง. ถาปราศจากความไดหรือความมีสิ่งทั้ง ๒ นี้ แล ว โลกหรื อ สถานที่ นั้ น ก็ ไ ม มี ค วามหมายอะไรเลย ฉะนั้ น สิ่ ง ซึ่ ง เป น ที่ ตั้ ง แห ง ราคะทั้ง ๒ ชนิดนี้ จึงไดแกความไดหรือความมีสิ่งทั้ง ๒ นี้เอง และเราเรียกมันวา รูปภพ อรูปภพ ตามลําดับกัน. สรุปความสั้น ๆ อีกครั้งหนึ่งวา อรูปภพในที่นี้ ได แ ก ค วามมี ห รื อ ความได ซึ่ ง ความสุ ข ในขั้ น อรู ป ฌานดั ง ที่ ก ล า วแล ว ความยึ ด มั่ น ถือมั่ นในความมี หรื อความไดสิ่ ง ๆ นี้ เรี ยกวาอรู ปราคะ ในที่ นี้คื อมี ราคะในอรู ปภพ และเรียกวา อรูปราคะ. รูปาวจรกุศลและอรูปาจารกุศล ทั้ง ๒ คํานี้ เปนคําที่มีความหมาย ในทางที่จะเปนที่ตั้งแหงความยึดมั่นถือมั่นอยางเดียวกัน. ความหมายของคําวา กุ ศลนั่ นเอง เป น สิ่ งที่ ยั่ วความยึ ดมั่ น ถื อ มั่ นยิ่ งขึ้ นไป หรื อ เป นที่ ตั้ งแห ง ราคะได มาก กวาที่จะกลาววาภพหรือภูมิ. กามาวจรกุศลหมายถึงกุศลที่เปนไปในทางใหไดมา ซึ่งกามสุข จึงจัดเปนกุศลชั้นต่ํา ; รูปาวจรกุศล คือกุศลที่เปนไปในทางใหไดมา ซึ่งความสุขที่เกิดจากรูปฌาน ซึ่งหางไกลจากกามสุขโดยสิ้นเชิง ; อรูปาวจรกุศล เป นไปทํ า นองเดี ยวกั น หากแต ว าประณี ตหรื อ สู ง ยิ่ งขึ้ นไปกว า กล าวคื อ เป นกุ ศ ล ที่เปนไปในทางใหไดมาซึ่งความสุข ประเภทที่เปนอรูปนั่นเอง. รูปาวจรกุศล นั่ น แหละเป น ที่ ตั้ ง ของรู ป ราคะ และอรู ป าวจรกุ ศ ลนั่ น เอง เป น ที่ ตั้ ง ของอรู ป ราคะ โดยทํานองเดียวกันแท. ฉะนั้น แมเราจะกลาววาอรูปราคะมีที่ตั้งอยูที่ความสุข อั น เกิ ด จากอรู ป ฌานก็ ต าม หรื อ อยู ที่ อ รู ป ภพก็ ต าม หรื อ อยู ที่ อ รู ป าวจรกุ ศ ลก็ ต าม ยอมมีความหมายอยางเดียวกัน และเปนคํากลาวที่ถูกตองดวยกันทั้งนั้น.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
การตัดสัญโยชน ของอริยมรรคทั้งสี่
๔๘๑
รูปาวจรภูมิ และ อรูปาวจรภูมิ. เมื่อไดกลาวมาถึงเพียงนี้แลว ควร จะได กล าวถึ งภู มิทั้ ง ๒ นี้ ไปเสียดวยในคราวเดี ยวกั น เพื่อความเขาใจชั ดแจงในสิ่ ง ที่เรียกวารูปราคะและอรูปราคะยิ่งขึ้นไป คําวา “ภูมิ” แปลวา ชั้น หรือลําดับขั้น แตหมายถึงชั้นแหงจิตใจ หรือระดับแหงใจที่มีความสูงต่ําอยางไร. รูปาวจรภูมิ หมายถึ ง ระดั บ แห ง ใจ ที่ ไ ม ท อ งเที่ ย วไปในกาม แต ท อ งเที่ ย วไปในรู ป กล า วคื อ การแสวงหาความสุขในรูปฌาน. ถายังต่ําจนทองเที่ยวไปในกาม คือแสวงหาหรือ เกลื อกกลั้ วในความสุ ข ที่ เกิดมาจากกาม ก็ เรี ยกว ายั งตั้งอยู ในกามาวจรภู มิ คื อของ สามัญสัตวทั่วไป. สวนอรูปาวจรภูมินั้นหมายถึงระดับที่ทองเที่ยวไปในอรูป คือ แสวงหาความสุ ขจากรู ป ฉะนั้ นทํ าให จั บคู กั นได ว า พวกกามาวจรภู มิ ก็ คื อ พวกที่ แสวงหาความสุขจากกามภพ โดยอาศัยกามาวจรกุศล ; พวกที่ตั้งอยูในรูปาวจรภูมิ ก็ คื อ พวกที่ แ สวงหาความสุ ข จากรู ป ฌานในรู ป ภพ ด ว ยอาศั ย อํ า นาจของรู ป าวจรกุศล. พวกที่ตั้งอยูในอรูปาวจรภูมิ ก็คือพวกแสวงหาความสุขประเภทที่เกิด จากอรูปฌานในอรูปภพ โดยอาศัยอํานาจของอรูปาวจรกุศล. เมื่อเปรียบเทียบ กั น ดู ทั้ ง ๓ พวก จะเห็น ไดว า อรูป ราคะเปน อาการโดยตรงของสัต ว ที ่ตั ้ง อยู ใ น อรู ป าวจรภู มิ หรื อ แม สั ต ว ที่ ตั้ ง อยู ใ นขั้ น โลกุ ต ตรภู มิ ขั้ น ต น ๆ ที่ ยั ง ละราคะส ว นนี้ ไมไดนั่นเอง ; ซึ่งเปนการชี้ใหเห็นอยูในตัวแลววา อรูปราคะนี้ประณีตเพียงไร หรือกลาวอยางสมมติดังที่เคยกลาวแลว ก็วา เปนราคะเย็นที่หวาดเสียวเพียงไร และละไดย ากเพีย งไร ; และพรอ มกัน นั้น ก็แ สดงใหเ ห็น ไดดว ยวา ถา ละ อรู ป ราคะเสี ย ได วิ มุ ต ติ สุ ข ที่ เ กิ ด ขึ้ น ก็ ดี ญาณในวิ มุ ต ติ สุ ข นั้ น ก็ ดี จะเป น สิ่ ง ที่ สู ง ยิ่งขึ้นไปเพียงไรอยางเดียวกัน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org แม อรู ปราคสั ญโญชน นนี้ ก็ สงเคราะห รวมลงในภวราคานุ สั ย เช นเดี ยว กับรูปราคะ.
www.buddhadasa.in.th
๔๘๒
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๒
ค. มานะ๑ คําวามานะโดยพยัญชนะ แปลวาความสําคัญดวยความรู. โดยใจความได แ ก ค วามรู สึ ก ที่ เ ป น ไปในตั ว เอง จนทํ า ให เ กิ ด ความยึ ด ถื อ เกี่ ย วกั บ ตัวเองขึ้นมา และแบงไดเปน ๒ ชั้น ความสําคัญวาตนมีอยูหรือเปนอยู ซึ่งเรียก วา อัสมิมานะ โดยแทจริงนี้อยางหนึ่ง, อีกอยางหนึ่งเปนมานะที่ขยายออกไปวา ตนเปนอะไร และเมื่อนําไปเปรียบเทียบกับคนอื่นแลวดีกวา หรือเลวกวา หรือ เสมอกันอยางไร. ถามานะอยางแรกคืออัสมิมานะยังมีอยูเพียงใดแลว มานะ อยางหลังยอมมีอยูเพียงนั้น ; และมานะอยางหลังนี้เอง ที่เปนตัวการทําความ วุนวายจนกระทั่งเปนความทุกขอยางหยาบขึ้นมา. มานะนี้ จําแนกเปน ๓ หมวด คือ ๑. ตนดีกวาเขา มีความสําคัญวาตนดีกวาเขาบาง ตนเสมอกันกับ เขาบาง ตนเลวกวาเขาบาง. ๒. ตนเสมอกันกับเขา สําคัญวาตนดีกวาเขาบาง ตนเสมอกันกับ เขาบาง ตนเลวกวาเขาบาง. ๓. ตนเลวกวาเขา แตสําคัญวาตนดีกวาเขาบาง ตนเสมอกันกับ เขาบาง ตนเลวกวาเขาบาง ดังนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ถ านั บเป นหมวด มี อยู ๓ หมวด ถ านั บเรี ยงอย างก็ มี อยู ถึ ง ๙ อย าง แตทุกอยางยอมมาจากอัสมิมานะ คือความสําคัญวาตัวเรามีอยูดวยกันทั้งนั้น. โดย
๑
การบรรยายครั้งที่ ๖๐ / ๒๗ ธันวาคม ๒๕๐๒
www.buddhadasa.in.th
การตัดสัญโยชน ของอริยมรรคทั้งสี่
๔๘๓
นัยนี้จะเห็นไดวา สิ่งที่เรียกวา “มานะ” หรือคําวา มานะก็ตาม ในภาษาธรรมะนี้ มีความหมายกวาง กวา คําวา “มานะ” ในภาษาไทย ซึ่งมีความหมายไปในทาง ความถือตัวของผูที่มีอะไรดอยกวาต่ํากวาอยางเดียวเทานั้น, สวนในทางธรรมะนั้น คํ าว า มานะ มี ความหมายกว างครอบคลุ มไปหมด จนไม มี ช องทางที่ ใครจะรอดพ น ไปจากมานะได เช นคนที่ ต่ํ าต อยที่ สุ ด รู สึกตั วว าต่ํ าต อยอยู แท ๆ ก็ ยั งจัดเป นมานะ ที่ถึงที่สุดอยูนั่นเอง ; หรือแมจะรูสึกวามีอะไร ๆ เสมอกันก็ยังจัดเปนมานะถึงที่สุด. ทั้งนี้ เพราะเหตุว า ได เล็งถึงความรูสึ กสวนละเอียดหรือส วนลึ กเป นใหญ คือ ความ รูสึกที่วาเรามีตัวมีตนอยู และตัวตนของเรากําลังเปนอยางไรนั่นเอง ; สวนที่ จะดี ก ว า ใคร เสมอกั น กั บ ใคร หรื อ เลวกว า ใครนั้ น เป น การเปรี ย บเที ย บ คื อ เอา ลักษณะแหง “ความเปน” ของตน ๆ ไปวัดกัน แลวเกิดความสําคัญผิดไปตาม อํานาจของความลง. ถาหากทําลายความสําคัญวามีตัวตนเสียไดเพียงอยางเดียว เทานั้น ความสําคัญเอาเองทั้ง ๙ อยางก็หมดไป. ข อ นี้ จ ะเห็ น ได ว า สิ่ ง ที่ เ รี ย กว า มานะนั้ น มี ค วามเร น ลั บ ลึ ก ซึ้ ง และยาก แก การตั ดเพี ยงไร จนถึ งกั บอย าว าแต ปุ ถุ ชนคนธรรมดาเลยแม แต พระโสดาบั นก็ ละ มั น ไม ไ ด พระสกิ ท าคามี ก็ ล ะมั น ไม ไ ด แม พ ระอนาคามี ก็ ล ะมั น ไม ไ ด ต อ งเหลื อ ไวเปนหนาที่ของอรหัตตมรรคจะพึงตัด ดังนี้. ทั้งนี้ เพราะวาสิ่งที่เรียกวามานะนี้ เปนกิเลสประเภทโมหะชั้นที่ละเอียดที่สุด และเปนของธรรมชาติธรรมดาที่สุด ซึ่งถ ากล าวอย างโวหารสมั ยใหม ก็ เรี ยกวาเป น สั ญชาติ ญาณของสั ตวทั่ วไป และเป น สัญชาติญาณชั้นหัวหนา หรือชั้นประธานของสัญชาตญาณอื่น ๆ เชนสัญชาติญาณ แห ง การต อสู สั ญ ชาตญาณแห ง การหนี ภั ย สั ญ ชาตญาณแห ง การแสวงหาอาหาร และสัญ ชาตญาณแหง การสืบ พัน ธุ เปน ตน ซึ ่ง คนสมัย นี ้ถ ือ วา เปน สิ ่ง ที ่ไ มอ าจ ละไดเลยเปนอันขาด.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๔๘๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๒
อี กอย างหนึ่ ง หรื ออี กทางหนึ่ งซึ่ งพร อมกั นนั้ น เมื่ อมี ความรู สึ กว าตั วตน เปนอยางไรแลว ก็ยอม มีความรูสึกวาของของตนเปนอยางไรตามไปดวย เชน ของของตนดีก วา ของคนอื ่น เสมอกัน กับ ของคนอื ่น หรือ เลวกวา ของคนอื ่น ซึ่ งอาจจํ าแนกออกได เป น ๙ อย าง โดยนั ยเดี ยวกั บที่ กล าวมาแล วข างต น แม ความ สํ า คั ญ มั่ น หมายในของของตนเหล า นี้ ในทํ า นองนี้ ก็ จั ด เป น มานะในที่ นี้ ด ว ย เหมือ นกัน และเปน ที ่ตั ้ง แหง ความยึด ถือ ไดเ ทา กับ ตัว เอง หรือ ยิ ่ง กวา ตัว เอง ดังในกรณี ของสั ตว บางเหล ามี ความรั กในบุ ตรภรรยาเป นต น ยิ่ งกว าชี วิ ตของตั วเอง ก็ยังมี ฉะนั้น จึงจัดวาเปนมานะที่มีคาเทากัน และมีตนตออันเดียวกัน. จากมานะทั้ ง ที่ เ ป น ไปในตน และทั้ ง ที่ เ ป น ไปในของของตน โดยนั ย ดั งที่ กล าวมาแล วนี่ เอง ที่ ความเดื อดร อนระส่ํ าระสายต าง ๆ ได เกิ ดขึ้ นอย างแปลก ประหลาด หรื อ อย า งไร ค วามหมาย น า อเน็ จ อนาถที่ สุ ด แต ทั้ ง หมดนี้ ไ ม ใ ช เ พื่ อ วัตถุสิ่งของที่มีคาอันใด แตเปนเพราะความถือตัว หรือ เห็นแกเกียรติของตัว ซึ่งเรียกวามานะในที่นี้นิดเดียวเทานั้น ; และอีกทางหนึ่ง ซึ่งเปนการเบียดเบียน ตนเองลว น ๆ ไมเ กี ่ย วกับ บุค คลอื ่น มาเบีย ดเบีย นเลย ไดแ กก ารที ่ค นบางคน หรื อ สั ต ว บ างเหล า ยอมลํ า บากตรากตรํ า ทนทุ ก ข ท รมานอย า งเอาชี วิ ต เข า แลก เป น ระยะยาวนานได อย า งเหลื อ ที่ จ ะสมเพชเวทนา ก็ เ พราะอาศั ย สิ่ ง ที่ เ รี ย กว า มานะนี้อีกอยางเดียวกัน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เป นอั น ว าสั ตว เบี ยดเบี ยนซึ่ ง กั นและกั น และเบี ยดเบี ยนตนเองอยู ตาม ลําพั งในชั้ นที่ลึ กซึ้ งที่ สุด ที่ ไม นาจะเปนไปได ที่สุ ดก็เพราะอาศัยสิ่ งที่ เรี ยกวามานะนี้ ; ส ว นที่ อ าศั ย โลภะ หรื อ โทสะนั้ น เป น ชั้ น ตื้ น ๆ และเป น ชั้ น ธรรมดาสามั ญ เพราะ ฉะนั้ นพึ งพิ จารณาดู เถิ ดว า มานะนี้ เป นสิ่ งที่น าหวาดเสี ยวเพี ยงไร ละยากกว าโลภะ และโทสะเพียงไร จึงตกมาอยูในระยะรั้งทายของบรรดาสัญโญชนที่จะตองละ.
www.buddhadasa.in.th
การตัดสัญโยชน ของอริยมรรคทั้งสี่
๔๘๕
สิ่งที่จะตองศึกษาหรือระมัดระวังเปนพิ เศษอี กขอหนึ่งก็ คือ ตองไมเอา ความหมายของคําวา มานะ ไปปนกับความหมายของคําวา สักกายทิฏฐิ ซึ่งเปน สัญโญชนขอตน อันพระโสดาบันจะพึงละ เพราะมีความหมายคลายกันอยูบางอยาง แต มิ ใ ช เ ป น กิ เ ลสชั้ น เดี ย วกั น ดั ง ที่ เ ห็ น ได จ ากการที่ ถู ก จั ด ไว ค นละขั้ น คนละตอน อยางไกลกันมากทีเดียว. สักกายทิฏฐินั้นเปนความสําคัญวามีตัวตนชั้นหยาบที่สุด และเปนไปในทางกายหรือทางวัตถุ หรือทางรูปธรรมมากที่สุ ด ซึ่ งแมจะละไดแล ว ความสําคัญตนในชั้นมานะนี้ หรือที่เรียกวาอัสมิมานะนี้ ก็ยังเหลืออยูอยางเต็มที่ ดังที่ไดกลาวแลววา แมพระอนาคามีก็ยังไมสามารถละมานะในขั้นนี้ ทั้งนี้เพราะ วามานะนี้มิไดเปนเพียงความเขาใจผิดหรือเห็นผิด หากแตเปน ความรูสึกที่ลึกซึ้ง ของสัญชาตญาณ ชนิดที่มีอยูโดยไมรูสึกตัวเอาเสียทีเดียว. ควรจะสังเกตไวอีกอยางหนึ่งว า สิ่ งที่เรี ยกว ามานะนี้เป นกิเลสประเภท ที่มีความยึดถือตัวตน ในฝายความดีหรือความดียิ่ง ๆ ขึ้นไปโดยสวนเดียว ; ฉะนั้น แมจะไดทําดีถึงที่สุด จนไมรูวาจะทําดีอยางไรตอไปอีกแลว ก็ไมสามารถที่จะเอา ชนะกิเลสขอนี้ได และพนทุกขไมไดดวยความดีที่สุดที่ตนจะพึงกระทําดีได. การ เอาชนะความทุ ก ข ไ ด โ ดยสิ้ น เชิ ง จึ ง ต อ งเป น การละมานะเสี ย โดยสิ้ น เชิ ง หมาย ความวา ไมใหคุณคาหรืออํานาจของความดีมาครอบงําไดอีกตอไป. อุทาหรณ ในข อ นี้ จะเห็ น ได จ ากการค น คว า และการปฏิ บั ติ ใ นลั ท ธิ น อกพุ ท ธศาสนา หรื อ ก อ นพุ ท ธศาสนา ซึ่ ง มี ก ารค น คว า และการปฏิ บั ติ ช นิ ด ที่ ใ คร ๆ ก็ ต อ งยอมรั บ ว า กว า งขวางและลึ ก ซึ้ ง ไม น อ ยเลย แต ใ นที่ สุ ด ก็ เ อาชนะความทุ ก ข ไ ม ไ ด เนื่ อ งจาก ไมเปนไปเพื่อถอนเสียซึ่งความสําคัญวาตัวตน หรือความที่เปนตัวตนที่ดีวิเศษ
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๔๘๖
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๒
ยิ่ง ๆ ขึ้นไปนั่นเอง. เห็นไดจากการที่พระพุทธองคทรงยอมรับวาอุทกดาบส รามบุ ต ร ซึ่ ง เคยเป น อาจารย ข องพระองค ใ นขณะที่ ยั ง เที่ ย วศึ ก ษาค น คว า อยู นั้ น อยู ใ นประเภทบุ ค คลที่ ยั ง ไขว กั้ น อยู เ พี ย งนิ ด เดี ย ว มิ ฉ ะนั้ น ก็ จ ะตรั ส รู ซึ่ ง เป น เหตุ ให พ ระองค ท รงนึ ก ถึ ง ดาบสผู นี้ ก อ นบุ ค คลอื่ น ใด ภายหลั ง จากการตรั ส รู แ ล ว ดั ง นี้ เปนตน. สรุ ป ความว า สิ่ ง ที่ เ รี ย กว า มานะนี้ เป น กิ เ ลสประเภทที่ มี มู ล มาจาก ความยึดมั่นถือมั่น “ในตัวตนที่เต็มไปดวยความดี” ซึ่งจะเปน “ตนเอง” หรือ “ตนผูอื่น ” ก็ต าม หรือ “ตนสิ่ง อื่น ” ก็ต าม แลว มีค วามรูสึก ขยายออกไป ในทางที่จะเปรียบเทียบกัน ซึ่งทําใหกิเลสขอนี้มีพิษสงมากขึ้น. อริยมรรคญาณ ในขั้ นอรหั ตตมรรคเท านั้ น ที่ จะมี แสงสว างหรื อมี กํ าลั งมากพอที่ จะทํ าลายถ ายถอน สั ญ โญชน ข อ นี้ ไ ด เพราะการเห็ น อนิ จ จั ง ทุ ก ขั ง อนั ต ตา ในขั้ น อรหั ต ตมรรคนั้ น เป นไปอยางแรงกล า เพราะถึงที่สุ ดจริง ๆ สามารถทําลายเสียได ซึ่งความรูสึ กว าตน หรื อ มี ตั ว ตนชนิ ด ที่ เ ป น ที่ ตั้ ง แห ง ความยึ ด ถื อ ซึ่ ง เป น ช อ งทางที่ จ ะช ว ยให พิ จ ารณา เห็ น สื บ ไปว า วิ มุ ต ติ สุ ข ที่ เ กิ ด มาจากการถอนความสํ า คั ญ ว า มี ตั ว ตนอยู ใ นลั ก ษณะ อย างไร มั นจะนํ ามาซึ่ งความสงบสุ ขเพี ยงไร และวิ มุ ตติ สุ ขญาณในขั้ นนี้ มี ความสุ ข สูงยิ่งขึ้นไปอีกเทาไร.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org มานสั ญ โญชน ต รงเป น อั น เดี ย วกั น กั บ มานานุ สั ย ฉะนั้ น จึ ง ไม จํ า เป น จะตองวินิจฉัยในคําวามานานุสัยอีกประการใด.
www.buddhadasa.in.th
การตัดสัญโยชน ของอริยมรรคทั้งสี่
๔๘๗
ฆ. อุทธัจจะ๑ คํานี้ตามปกติแปลกันวาความฟุงซาน แตความหมาย อั นแท จริ งนั้ นมี อยู ลึ กกว านั้ น มิ ได หมายความเพี ยงความฟุ งซ านตามความหมายใน ภาษาไทย ซึ่งเปนเรื่องของนิวรณมากกวาที่จะเปนเรื่องของสัญโญชน. ถาคําวา ฟุ งซ านมี ความหมายไปในทางความคิ ดเลื่ อ นลอย เช นความคิ ด ทํ า นองสร างวิ มาน ในอากาศด ว ยแล ว จะยิ่ ง เป น การน า ขบขั น มากที เ ดี ย ว ถ า พระอนาคามี ก็ ยั ง ละ ความฟุงซานเชนนี้ไมได ; ฉะนั้น จะตองทําความเขาใจกันในเรื่องนี้ใหดี ๆ. โดยความหมายอั นแท จริ ง คํ าว า อุ ทธั จจะ ในที่ นี้ หมายถึ ง ความที่ จิตฟุงขึ้นกวาระดับปกติ เพราะอํานาจ ความสนใจ ความสงสัย ความหวัง ความระแวง หรือแมแต ความกลัว อยางใดอยางหนึ่ง ซึ่งพระอนาคามียังละ ไมไดนั่นเอง ; และโดยเฉพาะอยางยิ่ง ก็คือความสนใจดวยความสงสัย หรือ ความอยากรู ว า สิ่ ง นั้ น เป น อะไร หรื อ เพื่ อ อะไร หรื อ เพื่ อ ประโยชน อ ะไร เป น ต น . พระอรหัน ตจํ า พวกเดีย วเทา นั ้น ที ่ต ัด ความสงสัย ความหวัง ความกัง วล ความกลั วหรือกิเลสอันละเอี ยดประเภทเดี ยวกันชื่ออื่น ๆ เสี ยได จึ งไมมี ความสนใจ วานั่นมันนารู นาสนใจ หรือนากลัว เปนตน. ถายังละกิเลสอันละเอียดเหลานี้ ไมไ ด จิต จะตอ งฟุง ขึ้น ฟูขึ้น กระเพื่อ มขึ้น หรือ ถึง กับ ระรัว ขึ้น ในเมื่อ มี สิ่ ง ใดสิ่ ง หนึ่ ง ผ า นเข า มา และมี อ าการที่ น า สนใจ น า สงสั ย หรื อ น า หวาดเสี ย ว เปน ตน . ความฟุง ขึ้น แหงจิต ในทํา นองนี้เ อง เรียกวา อาการของอุท ธัจ จะ. กิ เ ลสที่ เ ป น เหตุ ใ ห ฟุ ง ขึ้ น อย า งนี้ เ อง เรี ย กว า อุ ท ธั จ จสั ญ โญชน ซึ่ ง เป น สิ่ ง ที่ เ หมื อ น นอนเนื่องอยูในสันดาน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๑
การบรรยายครั้งที่ ๖๑ / ๒๘ ธันวาคม ๒๕๐๒
www.buddhadasa.in.th
๔๘๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๒
พิ จารณาดู ให ละเอี ยดยิ่ งขึ้ นไป จะเห็ นได ว ากิ เลสที่ ทํ าหน าที่ ให จิ ตฟุ งขึ้ น ในลักษณะเชนนี้นั้น มีมูลมาจากความยึดถือในตัวตนอยางเดียวกัน คือ มีความ สํ า คั ญ ว า ตนมี อ ยู นั่ น เอง แต มิ ไ ด เ ป น ไปในทางที่ จ ะเปรี ย บเที ย บ ว า ดี ก ว า หรื อ เลว กว า หรื อ เสมอกั น ดั ง ที่ ก ล า วมาแล ว แต เ ป น ไปในทางเห็ น แก ต น ชนิ ด ที่ ล ะเอี ย ด จนถึงขนาดที่ไมรูสึกตัว และเคลื่อนไหวไปในทางที่จะแสวงหาประโยชนแกตัว หรือการปองกันชีวิตของตัวโดยไมรูสึกตัวอีกอยางเดียวกัน. เพราะความรูสึกวา มี ตั ว นั่ น เอง จึ ง มี ค วามรู สึ ก ในทางที่ จ ะหาผลประโยชน ใ ส ตั ว ฉะนั้ น พอมี อ ะไรผ า น เข า มาในลั ก ษณะที่ จ ะเป น ประโยชน แ ก ตั ว ก็ อ ดสนใจไม ไ ด หรื อ แม แ ต สิ่ ง ที่ ยั ง ไม แนว า จะเปน ประโยชนห รือ ไมเ ปน ประโยชนแ กต ัว ผา นเขา มา เชน สิ ่ง ที ่ต ัว ยัง ไม รู จั ก เลย แต ถ า แปลกประหลาดกว า ธรรมดา ก็ อ ดสนใจไม ไ ด ว า ชะรอยสิ่ ง นี้ จ ะเป น ประโยชนแ กต น เพราะจิต ยัง อยูใ นวิสัย ของการแสวงหาประโยชน เพราะมี ตนเปนที่รองรับประโยชนนั่นเอง. ความสนใจเหลานี้ลวนแตทําใหจิตกระเพื่อม หรือไหวตัวไปจากระดับปรกติ. อีกทางหนึ่งซึ่งตรงกันขาม ก็คือเมื่อสิ่งที่มีลักษณะ ตรงกั น ข า มผ า นมา ในทางที่ แ สดงว า ไม เ ป น ประโยชน แ ก ตั ว จะทํ า ลายประโยชน ของตัว หรือ ทํ า ลายชีว ิต ของตัว โดยตรง ความสนใจก็เ กิด ขึ ้น ในสิ ่ง นั ้น อยา ง รุ น แรง จนถึ ง กั บ เป น การสั่ น ระรั ว ไปด ว ยอํา นาจความกลั ว . อาการเช น นี้ มีไดแมในสิ่งที่ตนไมรูจักวามันเปนอะไร แตมันดูนากลัว : จะเปนของจริงตาม ธรรมชาติ หรื อ แม แ ต ข องที่ ม นุ ษ ย ทํ า เที ย มขึ้ น ก็ เ ป น ที่ ตั้ ง แห ง ความสนใจ หรื อ ความกลัว ไดโดยเทากัน ; เมื่อใจกระเพื่อมแลว ก็ลวนแตเรียกวาอุทธัจจะ ไดดวยกันทั้งนั้น. อาการเหลานี้มีอยูเปนประจํา ในจิตของสัตวที่ยังอยูในอํานาจ ของประโยชน ยั ง อยู ใ นวิ สั ย แห ง การแสวงหาประโยชน เพราะยั ง ละความยึ ด ถื อ ว า ตัวตน วาของตนไมไดนั่นเอง. นี่เปนเครื่องชี้ใหเห็นไดชัดอยูในตัวแลววา ทําไม พระอนาคามี จึงยังละอุทธัจจะไมได.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
การตัดสัญโยชน ของอริยมรรคทั้งสี่
๔๘๙
ความกระเพื่ อ มแห ง จิ ต เหล า นี้ แม มิ ไ ด เ ป น ไปอย า งรุ น แรงถึ ง ขนาดที่ ทํ า ใหเ พอ คลั ่ง เปน บา หรือ ถึง กับ ขาดใจตาย แตก ็เ ปน เครื ่อ งทํ า ลายความสงบสุข ชั้น ละเอีย ด จนถึง กับ วา ทํา ใหค วามดีตา ง ๆ เปน หมัน ไปทีเ ดีย ว กลา วคือ คนดี คนมี บุ ญ กุ ศ ล คนร่ํ า รวย มี อํ า นาจวาสนาเพี ย งไรก็ ต าม ถ า ยั ง มี ค วามเสี ย ว ความหวั่ น ระแวง และความวิ ต กกั ง วล เป น ต น กลุ ม รุ ม อยู ใ นใจแล ว ความดี ห รื อ บุญ กุศ ลเหลา นั้น จะมีป ระโยชนอ ะไร เพราะชว ยแกไ ขใหไ มไ ด : ทั้ง นี้ เปน เพราะ สิ่งเหลานี้ ตองแกไขดวยสิ่งที่ยิ่งไปกวาบุญกุศล นั่นเอง. เมื่อ แกไข สิ่ ง เหล า นี้ ไ ด ห มดจดแล ว สิ่ ง ต า ง ๆ ก็ พ ลอยเป น ประโยชน ไ ปตาม คื อ อํ า นวยความ สะดวกสบายใหตามหนาที่ของมัน. อรหัตตมรรคเทานั้นที่จะตัดสิ่งเหลานี้ใหขาด ไปได. ลองพิจารณาดูเถิดวา เมื่อตัดสิ่งรบกวนใจอันเปนขาศึกศัตรูชั้นละเอียด เหล า นี้ ไ ด ข าดแล ว จิ ต จะประสบความสงบเย็ น สั ก เพี ย งไร นั่ น แหละคื อ ค า หรื อ ความหมายของวิ มุ ต ติ สุ ข อั น เกิ ด มาจากการตั ด อุ ท ธั จ จสั ญ โญชน เ สี ย ได และ วิ มุ ต ติ สุ ข ญาณข อ นี้ มี ค วามหมายสมกั บ เป น สิ่ ง ที่ เ คี ย งคู กั น กั บ อรหั ต ตมรรคญาณ จริง ๆ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org อุ ท ธั จ จะ หรื อ ความกระเพื่ อ มแห ง จิ ต มี มู ล มาจากความสํ า คั ญ ว า มี ตั ว มีตน ฉะนั้น จึงสงเคราะหสัญโญชนขอนี้ลงในมานานุสัย. ง. อวิชชา สัญโญชนขอสุดทายนี้ แปลวาความไมรู. ถูกจัดไวเปน ข อ สุ ดท า ย เพราะเหตุ ใ ดนั้ น มี สิ่ ง ที่ ต อ งวิ นิ จ ฉั ยกั น อย า งละเอี ยด ซึ่ ง จะทํ า ให เข า ใจ คําวา อวิชชา ไดดี. ความจริ ง ที่ ใ คร ๆ ต อ งยอมรั บ มี อ ยู ว า กิ เ ลสทุ ก ชนิ ด และทุ ก ระดั บ ยอมมีมูลมาจากอวิชชาหรือเปนสวนใดสวนหนึ่งของอวิชชาดวยกันทั้งนั้น. เมื่อ
www.buddhadasa.in.th
๔๙๐
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๒
กล า วถึ ง กิ เ ลสชื่ อ ต า ง ๆ ไปหมดสิ้ น แล ว มากล า วถึ ง อวิ ช ชาอี ก มิ เ ป น การซ้ํ า กั น ไปหรือ นี่แหละคือปญหาที่ตองวินิจฉัยในที่นี้. หลั ก เกณฑ ใ นปฏิ จ จสมุ ป บาท มี อ ยู ว า ความทุ ก ข ห รื อ สั ง ขารทั้ ง ปวง รวมทั้งกิเลสดวย มีมูลมาจากอวิชชา ; ถาทําลายอวิชชาเสียเพียงอยางเดียวเทานั้น. สิ่ ง ต า ง ๆ ที่ เ ป น กิ เ ลสหรื อ ความทุ ก ข ก็ ดั บ ไปหมด และเรื่ อ งก็ สิ้ น สุ ด ลงเพี ย งเท า นั้ น . ส ว นในเรื่ อ งของสั ญ โญชน นี้ ได ร ะบุ ก ารละสั ญ โญชน เ ป น ลํ า ดั บ ๆ ไป กระทั่ ง ละ อวิ ช ชาเป น ขั้ นสุ ด ท า ยคื อ ขั้ นที่ ๑๐ คล าย ๆ กั บ ว า มี กิ เ ลสอี ก ตั้ ง ๙ อย าง ซึ่ ง อยู นอกเหนือไปจากอวิชชา ; ความจริงหาไดเปนไปโดยทํานองนั้นไม กิเลสและ สัญโญชนทั้งหลาย ที่มีชื่อตางกันเหลานั้น เปนสิ่งที่เกิดมาจากอวิชชา มีลักษณะ เปนอาการของอวิชชา ในรูปตาง ๆ กัน จึงไดชื่อแปลก ๆ ตามอาการที่มันแสดง. การเกิดมาจากอวิชชานั้น เกิดเสร็จเรียบรอยอยูในภายใน โดยอาการที่เรนลับเห็น ไดยากที่สุด จึงไมชวนใหคิดไปในทํานองวา มันเปนพวกอวิชชาดวยกัน ; แตถา พิ จารณาให ดี แล ว จะเห็ น ได ว าสั ญโญชน ทั้ ง ๙ มี มู ลมาจากอวิ ชชา มี อ ยู ไ ด เพราะ อวิช ชาอยู. เชน สัก กายทิฏ ฐิเ ห็น วา กายนี้เ ที่ย งแทเ ปน ของตนก็เ พราะอวิช ชา ครอบงํา ทําใหเห็นไปอยางนั้น. วิจิกิจฉา ลังเลตอขอปฏิบัติที่จะขามฟากจาก โลกิ ย ะไปสู โ ลกุ ต ระ เพราะยั ง อาลั ย ในโลกิ ย ะอยู นี้ เ พราะอํ า นาจครอบงํ า ของ อวิ ช ชาดึ ง เอาไว สี ลั พ พตปรามาส คื อ การจั บ ฉวยเอาสิ่ ง ต า ง ๆ ผิ ด จากความจริ ง หรื อ ผิ ด จากความหมายอั น แท จ ริ ง นั้ น เป น อาการของอวิ ช ชาอย า งชั ด แจ ง อยู แ ล ว . กามราคะมี ค วามกํ า หนั ด ในกาม เพราะไม รู จั ก สิ่ ง ที่ เ รี ย กว า กาม ตามที่ เ ป น จริ ง ปฏิ ฆะ ความกลั ดกลุ มด วยอํ านาจโทสะ ก็ เนื่ องมาจากความไม รู จั กสิ่ งที่ เป นมู ลเหตุ แหงความกลัดกลุมตามที่เปนจริง จึงไปกลัดกลุมเขา ; ความไมรูตามที่เปนจริงนี้ เปนอาการโดยตรงของอวิชชา ทั้งอยางหยาบและอยางละเอียด. สําหรับรูปราคะ
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
การตัดสัญโยชน ของอริยมรรคทั้งสี่
๔๙๑
หรืออรูปราคะนั้น เปนเรื่องของอวิชชาชั้นละเอียด คือไมรูจักความสุขอันเกิดมา จากรู ป และอรู ป ตามที่ เ ป น จริ ง หรื อ ถึ ง ที่ สุ ด จึ ง หลงยึ ด ถื อ เพราะหลงในความ ประณีตของความสุขประเภทนี้. มานะและอุทธัจจะนั้น คือความไมรูจริง และเปน เรื่องความรูผิดอันเกี่ยวกับตัวตนดังที่กลาวมาแลวขางตน. ทั้งหมดนี้แสดงใหเห็นวา สัญโญชนทั้ง ๙ นั้น หรืออนุสัยทั้ง ๖ ขางตนนั้น ลวนแตเปน “ลูก” ของอวิชชา โดยตรง อยา งที่ไมค วรจะถือ วาเปน พี่นอ งหรือ เพื่อ นฝูง ของอวิช ชาเลย. ฉะนั้น การฆ า ลู ก ๆ ให ต ายหมด หาได ห มายความว า เป น การฆ า แม ข องมั น ให ต ายด ว ยไม แม ข องมั น ยั ง เหลื อ อยู ในฐานะเป น สิ่ ง ที่ จ ะคลอดลู ก ทั้ ง หลายอีก ต อ ไปไม มี ห ยุ ด งานขั้นสุดทายจึงไดแกการฆาอวิชชา ซึ่งเปนเหมือนแมแหงกิเลสทั้งปวง. การที่ อรหั ต ตมรรคญาณตั ด สั ญ โญชน ใ นเบื้ อ งสู ง คราวเดี ย วทั้ ง ๕ อย า งนั้ น หมายความว า อรหั ต ตมรรคญาณ มี กํ า ลั ง มากพอที่ ไ ม จํ า เป น จะต อ งรอฆ า ลู ก ๆ ๔ คน ให ต ายไป ทีละคนกอน แลวจึงฆาแมเปนคนสุดทาย. อรหัตตมรรคญาณมีวิสัยหรืออํานาจ ที่ ส ามารถทํ า ลายสิ่ ง ทั้ ง ๕ นี้ ได พ ร อ มกั น ไปในตั ว ในคราวเดี ย วกั น แต ถึ ง กระนั้ น ก็ มิ ไ ด ห มายความว า อวิ ช ชาไม ไ ด เ ป น แดนเกิ ดของสั ญ โญชน ทั้ ง ๔ ที่ ถู ก ตั ด พร อ มกั น กับ อวิช ชานั้น . ขอ นี้เ ปรีย บเหมือ นกับ แมโ จรคนหนึ่ง ถูก ฆา พรอ มกัน ไปกับ ลูก ๔ คน ชั ้น ที ่เ ปน หัว หนา หรือ หัว ป ดว ยอํ า นาจอรหัต ตมรรค ในเมื ่อ ลูก ชั ้น เล็ ก ๆ หรื อน อง ๆ ถู กฆ าตายไปแล วโดยง าย ด วยอํ านาจโสดาป ตติ มรรค สกิ ทาคามิ มรรค และอนาคามิมรรคตามลําดับ. การกลาวดวยอุปมาอยางนี้ เรียกวาการ กล า วโดยภาพพจน หรื อ ที่ เ รี ย กโดยภาษาธรรมะว า การกล า วอย า งบุ ค คลาธิ ษ ฐาน ทั้ ง นี้ เพื่ อ ช ว ยให เ กิ ด ความเข า ใจได ง า ย เข า ใจได ทั น ที แล ว ลื ม ได ย าก จึ ง นํ า มาใช อธิบายธรรมะในขั้นที่ลึกซึ้งและสับสน.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๔๙๒
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๒
เมื่ อ ได พ บว า สั ญ โญชน ชื่ อ อื่ น ๆ เป น เพี ย งสิ่ ง ที่ ง อกงามไปจากอวิ ช ชา ดั งที่ กล าวแล ว ซึ่ งเป นการแสดงว าสั ญโญชน เหล านั้ นไม ใช ตั วอวิ ชชาโดยตรง ดั งนี้ แลว ปญหาก็เหลืออยูวา สิ่งที่เรียกวาอวิชชาโดยตรงนั้น คืออะไร ? อวิ ชชาคื อความไม รู ดั งที่ กล าวแล วข างต น แต มี สิ่ งที่ จะต องศึ กษาต อไป วา : สภาพแหงความไมรูนั้นเปนอยางไร ? และไมรูซึ่งอะไร ? และเกิดอะไรขึ้น เพราะความไมรูนั้น ? รวมกันเปน ๓ อยาง ซึ่งจะไดวินิจฉัยทีละอยางดังตอไปนี้ :สภาพแหงความไมรู นั้น หมายถึงภาวะแหงปราศจากความรูที่ควรจะรู ไมใ ชว า ไมรู อ ะไรเสีย เลย เพราะความรู ที ่ผ ิด ก็ย ัง มี รู อ ยา งถูก ครึ ่ง ผิด ครึ ่ง ก็ย ัง มี การที่ จ ะให ม นุ ษ ย ที่ มี ชี วิ ต อยู ไ ม มี ค วามรู อ ะไรเสี ย เลยนั้ น เป น สิ่ ง ที่ เ ป น ไปไม ไ ด เพราะเวลาที่ ล วง ๆ ไป ย อมสอนอยู ในตั วให เขามี ความรู อย างใดอย างหนึ่ งเพิ่ มขึ้ น แตความรูเหลานี้ ยังไมถึงขีดที่จะไดนามวา “สิ่งที่ควรรู” ตามความมุงหมายของ พุทธศาสนา ยังรูผิดบาง รูถูกแตมิไดเปนไปในทางที่มุงหมายบาง ความปราศจาก ความรูที่ควรรู เชนนี้เองเรียกวา อวิชชา. หมายความวาในความรูหรือภาวะแหง ความรูเหลานั้น ปราศจากความรูที่สามารถตัดสัญโญชนทั้ง ๑๐ ได. ภาวะอยาง ที ่เ รีย กวา อวิช ชาในที ่นี ้ จะถือ วา มีอ ยู ใ นที ่ทั ่ว ไป เปน อนัน ตะก็ไ ด หรือ จะถือ วา มี อ ยู ใ นจิ ต ของสั ต ว ก็ ไ ด เพราะว า ถ า มี อ ยู ใ นที่ ทั่ ว ไป ก็ ห มายถึ ง มี อ ยู ใ นจิ ต ใจของ สัต วด ว ย และเพราะวา มีอ ยู ใ นจิต ใจของสัต วนั ่น เอง จึง เกิด เปน เรื ่อ งเปน ราว ขึ้ นมา ความหมายอั นสํ าคั ญจึ งอยู ที่ ความมี อยู ในจิ ตใจของสั ตว เพราะสั ตว นั่ นเอง เป น ตั ว เจ า ทุ ก ข และกํ า ลั ง ศึ ก ษาปฏิ บั ติ ซึ่ ง เป น การดิ้ น รนเพื่ อ ความพ น จากทุ ก ข . สรุปความเฉพาะขอนี้วา อวิชชาคือภาวะแหงความปราศจาก ความรูที่ควรรู ซึ่งมี อยูในจิตใจของสัตวทั่วไป ในลักษณะที่ครอบคลุมไปทั้งโลก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
การตัดสัญโยชน ของอริยมรรคทั้งสี่
๔๙๓
สําหรับปญหาที่วา ไมรูซึ่งอะไร นั้น ตอบไดอยางกําปนทุบดินชั้นหนึ่ง กอนวา ไมรูสิ่งที่ควรรู ดังที่กลาวมาแลวขางตน. ครั้นถามตอไปวาสิ่งที่ควรรู คืออะไร ? คําตอบยอมมีโดยเฉพาะเจาะจงลงไปวา ไมรูสิ่งที่จะทําใหไมมีทุกข. สํ า หรั บ สิ่ ง ที่ จ ะทํ า ให ไ ม มี ทุ ก ข นี้ จํ า แนกออกไปสํ า หรั บ การศึ ก ษา และการปฏิ บั ติ ได โ ดยง า ยเป น ๔ อย า งคื อ ความจริ ง เรื่ อ งทุก ข ความจริง เรื ่อ งเหตุใ หเ กิด ทุก ข นี้คูหนึ่ง ; อีกคูหนึ่งคือ ความจริงเรื่องสภาพแหงความไมมีทุกขเลย และความจริง เรื่องหนทางปฏิบัติเพื่อเขาถึงความไมมีทุกขนั้น. ถาจําแนกออกไปก็เปน ๔ ดังที่ กล า วแล ว นี้ ถ า ย น เข า มาอี ก ก็ เ หลื อ เพี ย ง ๒ คื อ ความทุ ก ข กั บ ความดั บ ทุ ก ข ; ถายนลงอีกก็จะเหลือเพียง ๑ คือ ความดับทุกข นั่นเอง. การกลาวอยางยน ให เ หลื อ เพี ย ง ๑ เพี ย ง ๒ เช น นี้ ไม เ พี ย งพอแก ก ารศึ ก ษาของคนทั่ ว ไป คงใช ไ ด เฉพาะเพี ยงบาคน จึ ง ต อ งบั ญญั ติ ไว ในมาตรฐานที่ เหมาะแก คนทั่ วไป คื อ บั ญ ญั ติ เป น ๔ อยางดังที่ กล าวแล ว ซึ่งอาจจะย นเป นหนึ่ ง เปนสองไดด วยตนเอง ในเมื่ อ มีความเขาใจในเรื่องนี้อยางทั่วถึงแลว.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ความจริงเรื่องทุกข คือขอที่วา สิ่งทั้งปวงเปนทุกข แมแตสิ่งที่เรียก กันวาสุข วาบุญ วาสวรรค ก็เปนทุกข โดยไมตองพูดถึงความเกิด แก เจ็บ ตาย เปน ตน ขอ นี ้ห มายความวา สัง ขารทั ้ง ปวงเปน ทุก ข โดยไมย กเวน สิ ่ง ใดเลย แต สั ต ว มี อ วิ ช ชาครอบงํ า ย อ มเห็ น บางอย า งเป น สุ ข บางอย า งเป น ทุ ก ข จึ ง เลื อ ก ที่รั กผลั กที่ ชั ง โดยเป นสิ่งที่ นารัก น าชัง ขึ้ นมาหลอกตัวเอง ใหผละจากสิ่ งนี้ วิ่งไป หาสิ่ ง โน น จากสิ่ ง โน น มาหาสิ่ ง นี้ เรื่ อ ยไปไม มี ที่ สิ้ น สุ ด ตามอํ า นาจอวิ ช ชาของตั ว มันเอง ที่ไมรูวาสังขารทั้งปวงเปนทุกข เพราะความเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ; ถาทราบความจริงขอนี้ ก็เปนอันวาทราบความจริงเรื่องทุกข.
www.buddhadasa.in.th
๔๙๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๒
ความจริงเรื่องเหตุใหเกิดทุกข นั้น หมายความวา ทุกขไมไดเกิดขึ้นเอง ลอย ๆ แตมีเหตุมีปจจัยที่ทําใหเกิด. เหตุปจจัยที่ทําใหเกิดนั้น มิใชสิ่งภายนอก เชน ผีส างเทวดา เปน ตน แตเ ปน สิ ่ง ที ่ม ีอ ยู ใ นภายใน คือ กิเ ลสนานาชนิด รวมทั้งกิเลสที่เปนเหตุใหเชื่อในผีสางเทวดาเปนตนเหลานั้นดวย. สําหรับกิเลส ที่ ใ กล ชิ ด และเนื่ อ งกั น อยู โ ดยตรงกั บ ความทุ ก ข โ ดยประจั ก ษ นั้ น คื อ กิ เ ลสที่ เ รา เรี ยกกั นว าตั ณหา แปลว า ความอยาก หมายถึ ง ความอยากทุ กชนิ ด มี มากมาย เหลื อ ที่ จ ะประมาณได แต จั ด เป น หมวด ๆ ได เ พี ย ง ๓ หมวด คื อ อยากมี หรื อ อยากได ๑. อยากเปนอยางนั้นอยางนี้ ๑. อยากไมใหเปนอยางนั้นอยางนี้ ๑. ความอยากหรื อ ตั ณ หานี้ มี ผ ลมาจากอวิ ช ชา เพราะไม รู จึ ง ได อ ยากไปในสิ่ ง ต า ง ๆ ซึ่ ง ที่ แ ท ไ ม มี อ ะไรที่ น า อยากเลย เพราะสั ง ขารทั้ ง หลายทั้ ง ปวงเป น ทุ ก ข โ ดยเสมอกั น ดังที่กลาวแลวขางตน. ความไมรูทําใหอยากหรืออยากเพราะไมรู จึงกลาวไดวา ความอยากมีอยูตราบใด ความไมรูก็มีอยูตราบนั้น ; หรือความไมรูมีอยูตราบใด ก็ไมมีทางที่จะใหรูไดวา ความอยากเปนเหตุใหเกิดความทุกขอยูตราบนั้น. เมื่อใด รูวา ความอยากเปนเหตุใหเกิดทุกข ก็เปนอันรูความจริง เรื่องเหตุใหเกิดทุกข.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ความจริงเรื่องสภาพแหงความไมมีทุกข โดยประการทั้งปวง นี้หมายถึง ความจริงเรื่องนิพพาน. นิพพาน แปลวา ดับไมเหลือ เปนความดับไมเหลือ ของกิเลสและความทุกข เปนความวางจากกิเลสและความทุกข ถึงที่สุดจริง ๆ แต สั ต ว มิ ไ ด แ สวงหาความดั บ ทุ ก ข ใ นลั ก ษณะเช น นี้ แต ไ ปแสวงหาความดั บ ทุ ก ข จากกามคุ ณ บ า ง หรื อ สู ง ขึ้ น ไปก็ คื อ ความสุ ข อั น เกิ ด จาก รู ป และ อรู ป บ า ง ซึ่ ง ไม อ าจจะเป น ความดั บ ทุ ก ข อ ย า งแท จ ริ ง หรื อ ถึ ง ที่ สุ ด ไปได เ ลย นี้ คื อ อวิ ช ชาของ สัตวเหลานั้นในขอนี้. เมื่อใดทราบวา ดับกิเลสสิ้นเชิงเปนความดับทุกขสิ้นเชิง เมื่อนั้นกลาวไดวา รูความจริงเรื่องความดับทุกข.
www.buddhadasa.in.th
การตัดสัญโยชน ของอริยมรรคทั้งสี่
๔๙๕
ความจริงเรื่องหนทางใหถึงสภาพแหงความไมมีทุกขเลย นั้น คือ การปฏิ บั ติ ช นิ ด ที่ ถู ก ตรงตามกฎเกณฑ ข องธรรมชาติ ในลั ก ษณะที่ จ ะดั บ อวิ ช ชา และตัณหาเสียได ซึ่งเรี ยกว าการปฏิบั ติชอบ หรื อการปฏิบัติ สายกลาง คื อพอเหมาะ พอสม หมายถึ งการปฏิ บั ติ ต อชี วิ ต ไม ตึ ง เครี ยดเกิ นไป ไม ย อหย อนเกิ นไป แต ใ ห พอเหมาะพอสมเพื่ อ จะเป น อยู ชนิ ด ที่ เ ป น การละกิ เ ลสไปในตั ว ทั้ ง กลางวั น และ กลางคื น หรื อ เรี ย กว า ทั้ ง หลั บ ทั้ ง ตื่ น ไม มี ร ะยะว า งเว น แม จ ะหลั บ อยู ก็ ยั ง ใช เ ป น การควบคุมกิเลสหรือบรรเทากิเลสอยูเสมอไป. ขอปฏิบัติเหลานี้มีชื่อเรียกวามรรค บาง สติปฏฐานบาง โพชฌงคบาง และอื่น ๆ อีกหลายอยาง โดยใจความเปนอยาง เดียวดวยกันทั้งนั้น แตที่นิยมใชเรียกมากกวาอยางอื่นนั้น คือ มรรค. มรรค ในที่นี้แปลวา ทาง หมายถึง ทางปฏิบัติเพื่อทําลายตัณหา หรืออวิชชา โดยตรง. มรรคนี้ประกอบด วยองค ประกอบจํานวนหนึ่ง จะว ามี องค ๑๐ ก็ได องค ๘ ก็ ได มีองค ๓ ก็ได แลวแตจะยนหรือจะขยายตามตองการ ; แตที่ใชเปนหลักสําหรับ กล า วกั น ทั่ ว ไปนั้ น ถื อ ว า มี อ งค ๘ มี สั ม มาทิ ฏ ฐิ เ ป น ต น มี สั ม มาสมาธิ เ ป น ที่ สุ ด เพราะเปนพระพุทธภาษิตที่ตรัสมากกวาอยางอื่น. ถาจะขยายออกเปน ๑๐ ก็เพิ่ม สัมมาญาณะและสัมมาวิมุตติ ตอทายมรรคมีองค ๘. ถายนใหเหลือ ๓ ก็สงเคราะห สิ่งเหลานั้นใหเปนเพียง อธิสีล อธิจิต และ อธิปญญา ดังนี้เปนตน. แตโดย ใจความแล ว คื อขอปฏิบั ติที่ มี ผลดิ่ งไปในทางที่จะทํ าลายกิเลสตั ณหาโดยตรงเท านั้ น. ส ว นสั ต ว ผู ถู ก อวิ ช ชาครอบงํ า ไว ย อ มปฏิ บั ติ แ ต ใ นทางให ไ ด ม าซึ่ ง สวรรค อั น รวม ทั ้ง ความสนุก สนานเพลิด เพลิน ในโลกนี ้ หรือ อยา งมากที ่ส ุด ก็มุ ง ตอ ความสุข อันเกิดจากรูป หรืออรูป นี้คือ อวิชชาในเรื่องทางดับทุกข ของสัตวเหลานั้น. เมื่ อใดมี ความรู แจ งในข อปฏิ บั ติ ที่ เป นการทํ าลายกิ เลสโดยตรงอย างเดี ยว เมื่ อนั้ น เรียกวา มีวิชชา ในความจริงเรื่องหนทางแหงความดับทุกข.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๔๙๖
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๒
ความไม รู ค วามจริ ง ทั้ ง ๔ ข อ นั้ น เรี ย กว า อวิ ช ชาในที่ นี้ เมื่ อ มี อ วิ ช ชา เหล า นี้ แ ล ว นอกจากไม รู ค วามจริ ง ต า ง ๆ ดั ง ที่ ก ล า วมาแล ว ยั ง เป น เหตุ ใ ห รู ความเท็ จ กล า วคื อ มิ จ ฉาทิ ฏ ฐิ ต า ง ๆ ที่ อ ยู ใ นรู ป ของกิ เ ลสชื่ อ ต า ง ๆ สั ญ โญชน ชื ่อ ตา ง ๆ อนุส ัย ชื ่อ ตา ง ๆ นอกไปจากอวิช ชา ดัง ที ่ไ ดเ ห็น กัน อยู ทั ่ว ๆ ไป. นี ้เ ปน การแสดงใหเ ห็น วา อะไรเปน สิ ่ง ที ่ค วรรู อะไรเปน สิ ่ง ที ่แ มรู ก ็ย ัง ไมเ รีย กวา รูสิ่งที่ควรรู ; ซึ่งสรุปความไดเฉพาะในขอนี้วา อวิชชา คือความไมรู หรือ ปราศจากความรูชนิดที่ทําใหเดินถูกทางแหงความดับทุกขนั่นเอง. สวนขอที่วา อวิชชา จะทําใหเกิดผลอยางไรสืบไป นั้น ยอมเห็นได จากคํ า อธิ บ ายที่ ก ล า วมาแล ว ๒ ข อ ข า งต น คื อ เมื่ อ ไม รู ก็ เ ดิ น ผิ ด ทาง คํ า ว า เดิ น ผิ ด ทาง หมายถึ ง เป น ไปในลั ก ษณะที่ จ ะทํ า ให กิ เ ลสต า ง ๆ เกิ ด ขึ้ น มาใหม และมี ความทุ ก ข ต า ง ๆ เกิ ด ขึ้ น มาใหม แล ว หลงใหลอยู ใ นกิ เ ลสและความทุ ก ข นั้ น ใน ลั ก ษณะที่ เ รี ย กว า เห็ น กงจั ก รเป น ดอกบั ว คื อ ทํ า ไปด ว ยความสมั ค รใจในการที่ จ ะ เวี ย นว า ยอยู ใ นวั ฏ ฏสงสาร กล า วคื อ ความทุ ก ข ที่ ว นเวี ย นอยู ด ว ยกิ เ ลส และการ กระทํากรรมอยางซ้ําซากไมมีที่สิ้นสุด. นี้คือผลที่เกิดมาจากอวิชชา หรือกลาว ไดวา ขึ้นชื่อวาอวิชชาแลว ตองมีผลอยางนี้เสมอไป จึงจะไดนามวาอวิชชาสมชื่อ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เมื่อทราบวา ภาวะ แหงอวิชชา คืออะไร, อวิชชา ขาดความรู ในเรื่ อ งอะไร ย อมก อให เกิ ดผลอะไรขึ้ น ดั งนี้ แล ว ก็ พอจะกล าวได ว าเป นผู รู จั กตั ว อวิ ช ชาซึ่ ง เป น เหมื อ นแม ข องกิ เ ลสทั้ ง หลายอย า งหนึ่ ง ทํ า ให สั ต ว เ ดิ น ผิ ด ทางอย า ง หนึ่ ง เป น การช ว ยกั น ทั้ ง แม ทั้ ง ลู ก ในการที่ จ ะครอบงํ า สั ต ว กั ก ขั ง สั ต ว เบี ย ดเบี ย น ย่ํายีหรือทรมานสัตว. อรหัตตมรรค มีคุณสมบัติตรงกันขาม เพราะเกิดมา
www.buddhadasa.in.th
การตัดสัญโยชน ของอริยมรรคทั้งสี่
๔๙๗
จากสิ่ งที่ ตรงกั นข าม กล าวคื อ วิ ชชา ซึ่ งได บํ าเพ็ ญมาโดยประการต าง ๆ ในทุ กขั้ น ของอานาปานสติ ตั้ ง แต ขั้ น ที่ ห นึ่ ง จนถึ ง ขั้ น สุ ด ท า ย ล ว นแต เ ป น การส ง เสริ ม ให วิ ช ชาเกิ ด ขึ้ น จนกระทั่ ง สมบู ร ณ ทํ า ลายอวิ ช ชาให สู ญ สิ้ น ไป เหมื อ นแสงสว า ง เกิดขึ้น ยอมกําจัดความมืดใหหายไป ฉะนั้น. เมื่ออวิชชาหมดไปแลว เปนอันวา กิ เลสหรื อความดั บทุ กข ดั บไปโดยสิ้ นเชิ ง เป นทางที่ จะทราบได โดยง ายว า วิ มุ ตติ สุ ข ที่ เกิ ดขึ้ นจากการทํ าลายอวิ ชชาเสี ยได นี้ จะเป นสิ่ งสู งสุ ดเพี ยงไร และญาณวิ มุ ตติ สุ ข ขั้นนี้จะนํามาซึ่งความชื่นชมยินดี ในการชนะมารแกผูปฏิบัติเพียงไร. วินิจฉัยในวิมุตติสุขญาณ ๒๑ ประการ สิ้นสุดลงเพียงเทานี้. รวมเปน ๒๒๐ ประการ จัดเปนความรูที่ผูปฏิบัติ ญาณทั้ง ๑๑ หมวด๑ ในอานาปานสติ จะพึ งศึ กษามาก อน เพื่ อความสะดวกแก การปฏิ บั ติ แต จั ดเป นญาณ สํ า หรั บ บุ ค คลผู ป ฏิ บั ติ ถึ ง ที่ สุ ด แล ว คื อ เป น ความรู ที่ ไ ด เ กิ ด ขึ้ น จริ ง ๆ และสมบู ร ณ แลว ไมใ ชค วามรู ที ่จ ะศึก ษาหรือ กํ า ลัง ศึก ษาอยู เพื ่อ นํ า ไปปฏิบ ัต ิอ ีก ตอ หนึ ่ง . ผู ศึ กษาพึ งทราบความหมายของคํ าว าญาณ ๒๒๐ ประการ ว ามี ความหมายอยู เป น ๒ ความหมาย หรืออาจนําไปใชไดโดย ๒ ความหมายอยางนี้. สําหรับผูศึกษา เพื่ อ นํ า ไปปฏิ บั ติ จะต อ งพยายามศึ ก ษาให เข า ใจว าหมวดไหน กล าวด ว ยเรื่ อ งอะไร สั ม พั น ธ กั บ หมวดอื่ น ก อ นหลั ง กั น อย า งไร และตนจะต อ งปฏิ บั ติ ต อ หมวดไหน
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๑
การบรรยายครั้งที่ ๖๒ / ๔ มกราคม ๒๕๐๓
www.buddhadasa.in.th
๔๙๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๒
ในลั ก ษณะที่ เ ป น การละเว น อย า งไร และต อ หมวดไหนในลั ก ษณะที่ เ ป น การเจริ ญ คือทําใหเกิดมีขึ้นอยางไร ; ใหมีความเขาใจแจมแจง เพื่อความไมติดขัดในการ ปฏิบัติทุก ขั้น ตอน. สว นผูที่ไ ดป ฏิบัติจ นถึง ที่สุด แลว นั้น ยอ มเห็น ประจัก ษ ซึ่ง สิ่ง เหลา นี้ใ นฐานะที่เ ปน ตัว ความจริง หรือ เปน ของจริง โดยตรง. ความรู อย า งแรกเหมื อ นกั บ ความรู ที่ ไ ด ม าจากการดู แ ผนที่ ส ว นความรู อ ย า งหลั ง เหมื อ น กับ ความรู ใ นขณะที ่ไ ดไ ปถึง ที ่นั ้น ๆ แลว และดูข องจริง หรือ บา นเมือ งจริง ๆ ตามที่เคยแสดงอยูในแผนที่. พึงเปรียบเทียบดูดวยตนเองวา ความรู ๒ อยางนี้ ตางกันอยางไร. ดวยเหตุฉะนี้แหละ จึงไดเรียกอยางแรกวาความรู และเรียก อย างหลั งว าญาณ ซึ่ งเป นการแสดงให เห็ นอยู ในตั วแล วว า ความรู เรื่ องนั้ น ๆ มี ได ก อ นการบรรลุ ธ รรม แต ยั ง ไม ใ ช ญ าณ ส ว นญาณนั้ น มี ม าภายหลั ง การบรรลุ ธ รรม จึงเปนการรูอยางแทจริง และจากของจริงโดยตรงอยางที่กลาวแลว. ดังนั้น ทาน จึงกลาวไว เป นหลักว า เมื่ อปฏิบั ติในอานาปานสติ อั นมี วัตถุ ๑๖ โดยสมบู รณ แล ว ยอมเกิดญาณ ๒๒๐ ประการดังนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
ตอน ยี่สิบสาม ผนวก ๓ - วาดวยพระพุทธวจนะ เนื่องดวยอานาปานสติ ต อ ไปนี้ จะได ก ล า วถึ ง บาลี พ ระพุ ท ธภาษิ ต โดยตรง ที่ ไ ด ต รั ส ไว ใ นที่ ต า ง ๆ กั น ซึ่ ง ล ว นแต ก ล า วถึ ง อานาปานสติ ป ริ ย ายใดปริ ย ายหนึ่ ง ด ว ยกั น ทั้ ง นั้ น ประมวลมาไว ในที่ แห งเดี ยวกั น เพื่ อความสะดวกแก การศึ กษาจากพระพุ ทธภาษิ ตนั้ น ๆ โดยตรง เพื่ อความเข าใจยิ่ งขึ้ นจากข อความที่ กล าวมาแล วนี้ อย างหนึ่ ง อี กอย างหนึ่ ง เพื่ อ เป น เครื่ อ งช ว ยให เ กิ ด ความเชื่ อ ความพอใจ และความพากเพี ย รในการปฏิ บั ติ ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ดังตอไปนี้ :(ก) เกี่ยวกับอานิสงสแหงการเจริญอานาปานสติ นั้น มีพระพุทธภาษิตในเอกธัมมวัคค อานาปานสังยุตต สังยุตตนิกาย (๑๙ / ๓๙๗ / ๑๓๑๔) วา : “ภิกษุ ท. ! อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแลว ทําใหมากแลว ยอมมี ผลใหญ ยอมมีอานิสงสใหญ.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org “ภิกษุ ท. ! อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแลว ทําใหมากแลว อยางไรเลา ? จึงมีผลใหญ มีอานิสงสใหญ.
“ภิกษุ ท. ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไปแลวสูปาก็ตาม ไปแลวสูโคนไม ก็ ตาม ไปแล วสู เรื อนว างก็ ตาม นั่ งคู ขาเข ามาโดยรอบแล ว ตั้ งกายตรงดํ ารงสติ มั่ น. ภิกษุนั้นเปนผูมีสติอ ยูนั่นเทียว หายใจเขา, มีสติอ ยูนั่นเทียว หายใจออก ; ภิกษุนั้น - - - -
๔๙๙
www.buddhadasa.in.th
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๓
๕๐๐
(๑) เมื่อหายใจเขายาว ก็รูสึกตัวทั่วถึง วาเราหายใจเขายาว ดังนี้ ; เมื่อหายใจออกยาว ก็รูสึกตัวทั่วถึง วาเราหายใจออกยาว ดังนี้. (๒) เมื่อหายใจเขาสั้น ก็รูสึกตัวทั่วถึง วาเราหายใจเขาสั้น ดังนี้ ; เมื่อหายใจออกสั้น ก็รูสึกตัวทั่วถึง วาเราหายใจออกสั้น ดังนี้. (๓) ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง จักหายใจเขา ดังนี้ ; ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง จักหายใจออก ดังนี้. (๔) ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูทํากายสังขารใหรํางับอยู จัก หายใจเขา ดังนี้ ; ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูทํากายสังขารใหรํางับอยู จักหายใจออก ดังนี้. (จบจตุกกะที่ ๑) (๕)
ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งปติ จักหายใจ ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งปติ จักหายใจออก
(๖)
ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งสุข จักหายใจ ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งสุข จักหายใจออก
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เขา ดังนี้ ; ดังนี้.
เขา ดังนี้ ; ดังนี้.
www.buddhadasa.in.th
พระพุทธวจนะ เนื่องดวยอานาปานสติ
๕๐๑
(๗) ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร จักหายใจเขา ดังนี้ ; ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร จักหายใจออก ดังนี้. (๘) หายใจเขา ดัง นี้ ; จักหายใจออก ดังนี้.
ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูจิตตสังขารใหรํางับอยู จัก ยอ มทํา ในบทศึก ษาวา เราเปน ผูจิต ตสัง ขารใหรํา งับ อยู
(จบจตุกกะที่ ๒) (๙) เขา ดังนี้ ; ดังนี้.
ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งจิต จักหายใจ ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งจิต จักหายใจออก
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org (๑๐) หายใจเขา ดังนี้ ; จักหายใจออก ดังนี้.
ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูทําจิตใหปราโมทยยิ่งอยู จัก ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูทําจิตใหปราโมทยยิ่งอยู
(๑๑) ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูทําจิตใหตั้งมั่นอยู จักหายใจ เขาดังนี้ ; ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูทําจิตใหตั้งมั่นอยู จักหายใจออก ดังนี้.
www.buddhadasa.in.th
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๓
๕๐๒
(๑๒) ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูทําจิตใหปลอยอยู จักหายใจ เขาดังนี้ ; ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูทําจิตใหปลอยอยู จักหายใจออก ดังนี้. (จบจตุกกะที่ ๓) (๑๓) ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูตามเห็น ซึ่งความไมเที่ยงอยู เปนประจํา จักหายใจเขา ดังนี้ ; ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูตามเห็น ซึ่งความไมเที่ยงอยูเปนประจํา จักหายใจออก ดังนี้. (๑๔) ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูตามเห็นซึ่งความจางคลายอยู เปนประจํา จักหายใจเขา ดังนี้ ; ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูตามเห็น ซึ่งความจางคลายอยูเปนประจํา จักหายใจออก ดังนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org (๑๕) ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูตามเห็นซึ่งความดับไมเหลืออยู เปนประจํา จักหายใจเขา ดังนี้ ; ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูตามเห็นซึ่ง ความดับไมเหลืออยูเปนประจํา จักหายใจออก ดังนี้.
(๑๖) ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูตามเห็นซึ่งความสลัดคืนอยู เปนประจํา จักหายใจเขา ดังนี้ ; ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูตามเห็นซึ่ง ความสลัดคืนอยูเปนประจํา จักหายใจออก ดังนี้. (จบจตุกกะที่ ๔)
www.buddhadasa.in.th
พระพุทธวจนะ เนื่องดวยอานาปานสติ
๕๐๓
ภิกษุ ท. ! อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแลว ทําใหมากแลว อยางนี้แล ยอมมีผลใหญ ยอมมีอานิสงสใหญ. ภิกษุ ท. ! อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแลว ทําใหมากแลวอยู ผลอานิส งส ๗ ประการ ยอ มเปน สิ่ง ที่ห วัง ได. ผลอานิส งส ๗ ประการ เปนอยางไรเลา ? ผลอานิสงส ๗ ประการ คือ :๑. การบรรลุ อรหัตตผลทันที ในทิฏฐิธรรมนี้. ๒. ถาไมเชนนั้น ยอมบรรลุอรหัตตผล ในกาลแหงมรณะ. ๓. ถาไมเชนนั้น เพราะสิ้นโอรัมภาคิยสัญโญชน ๕ ยอมเปน อันตราปรินิพพายี. ๔. ถาไมเชนนั้น เพราะสิ้นโอรัมภาคิยสัญโญชน ๕ ยอมเปน อุปหัจจปรินิพพายี. ๕. ถาไมเชนนั้น เพราะสิ้นโอรัมภาคิยสัญโญชน ๕ ยอมเปน อสังขารปรินิพพายี. ๖. ถาไมเชนนั้น เพราะสิ้นโอรัมภาคิยสัญโญชน ๕ ยอมเปน สสังขารปรินิพพายี. ๗. ถา ไมเ ชน นั้น เพราะสิ้น โอรัม ภาคิย สัญ โญชน ๕ ยอ มเปน อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี. ภิกษุ ท. ! อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแลว ทําใหมากแลวอยางนี้แล ผลอานิสงส ๗ ประการ ยอมหวังได ดังนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๕๐๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๓
นี้ เ ป น การแสดงผลของการเจริ ญ อานาปานสติ ที่ ร ะบุ ไ ปยั ง ตั ว ผล คื อ อรหัตตผล และ อนาคามิผล. (ข) เกี่ยวกับอานิสงสพิเศษออกไป ซึ่งเปนอัจฉริยธรรม และเปน การแสดงถึ ง ผลพิ เ ศษ ที่ เ ป น ความสงบสุ ข อยู ใ นตั ว มี ต รั ส ไว ใ นสั ง ยุ ต ต เ ดี ย วกั น (๑๙ / ๓๙๙ / ๑๓๒๑) มีใจความวา ครั้งหนึ่งพระผูมีพระภาคเจา ไดทอดพระเนตร เห็นพระมหากัปปนะ ผูมีกายไมโยกโคลง แลวไดตรัสแกพระภิกษุทั้งหลายวา : “ภิกษุ ท. ! พวกเธอเห็นความหวั่นไหว หรือความโยกโคลงแหงกาย ของมหากัปปนะบางหรือไม ?” “ขาแตพระองคผูเจริญ ! เวลาใดที่ขาพระองคทั้งหลาย เห็นทานผูมีอายุนั่ง ในที่ทามกลางสงฆก็ดี นั่งในที่ลับคนเดียวก็ดี ในเวลานั้น ๆ ขาพระองคทั้งหลายไมไดเห็น ความหวั่นไหว หรือความโยกโคลงแหงกายของทานผูมีอายุรูปนั้นเลย พระเจาขา”
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org “ภิกษุ ท. ! ความหวั่นไหวโยกโคลงแหงกายก็ตาม ความหวั่นไหว โยกโคลงแหงจิตก็ตาม มีขึ้นไมไดเพราะการเจริญทําใหมากซึ่งสมาธิใด ; ภิกษุ มหากัปปนะนั้น เปนผูไดตามปรารถนา ไดไมยาก ไดไมลําบาก ซึ่งสมาธินั้น.
ภิกษุ ท. ! ความหวั่นไหวโยกโคลงแหงกายก็ตาม ความหวั่นไหว โยกโคลงแห งจิ ตก็ ตาม มี ขึ้ นไม ได เพราะการเจริ ญทํ าให มากซึ่ งสมาธิ เหล าไหนเล า ? ภิกษุ ท. ! ความหวั่นไหวโยกโคลงแหงกายก็ตาม ความหวั่นไหวโยกโคลงแหงจิต ก็ตาม ยอมมีไมไดเพราะการเจริญทําใหมากซึ่งอานาปานสติสมาธิ.
www.buddhadasa.in.th
พระพุทธวจนะ เนื่องดวยอานาปานสติ
๕๐๕
ภิกษุ ท. ! เมื่ออานาปานสติสมาธิ อันบุคคลเจริญทําใหมากแลว อย า งไรเล า ความหวั่ น ไหวโยกโคลงแห ง กายก็ ต าม ความหวั่ น ไหวโยกโคลงแห ง จิ ต ก็ตาม จึงไมมี ? ภิกษุ ท. ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไปแลวสูปาก็ตาม ไปแลวสูโคนไม ก็ตาม ไปแลวสูเรือนวางก็ตาม . . . . ฯลฯ . . . . (ตรัสอานาปานสติอันมีวัตถุ ๑๖ ดังที่ กลาวแลวขางตนในขอ ก.) . . . . เห็นความสลัดคืนอยูเปนประจํา จักหายใจออก ดังนี้. ภิกษุ ท. ! เมื่ออานาปานสติสมาธิ อันบุคคลเจริญทําใหมากแลวอยางนี้แล ความหวั่นไหวโยกโคลงแหงกายก็ตาม ความหวั่นไหวโยกโคลงแหงจิตก็ตาม ยอมมีไมได ดังนี้. ขอนี้เปนการแสดงอานิสงสพิเศษคือผูที่ทําอานาปานสติโดยสมบูรณ ยอม มีจิตมั่นคงซึ่งเปนเหตุใหกายมั่นคง ดํารงอยูไดนิ่ง ๆ แมเหมือนสิ่งที่ไมมี ชีวิต ซึ่งถือกันวาเปนสิ่งที่มีไดจากการเจริญอานาปานสติโดยตรงแตอยางเดียว.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๓
๕๐๖
(ค) เกี่ยวกับพระองคเอง ทรงไดรับประโยชนอยางใหญหลวง จากอานาปานสติ๑ แลวทรงแนะใหภิกษุทั้งหลายสนใจในอานาปานสติ โดยแสดง ประโยชนแ หอ านาปานสตินี ้ โดยนัย ตา ง ๆ กัน นับ ตั ้ง แตป ระโยชนทั ่ว ไป และประโยชนส ูง ขึ ้น ไปตามลํ า ดับ จนกระทั ่ง บรรลุอ รหัต ตผล ปรากฏอยู ใ น เอกธัมมวัคค อานาปานสังยุตต มหาวาร. สํ (๑๙ / ๔๐๐ / ๑๓๒๘) ดังตอไปนี้ :ภิกษุ ท. ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไปแลวสูปาก็ตาม ไปแลวสูโคนไม ก็ตาม ไปแล วสู เรื อนว างก็ ตาม นั่ งคู ขาเข ามาโดยรอบแล ว ตั้ งกายตรงดํ ารงสติ มั่ น. ภิกษุนั้น มีสติอยูนั่นเทียวหายใจเขา มีสติอยูนั่นเทียวหายใจออก. (๑)
เมื่อหายใจเขายาว ก็รูสึกตัวทั่วถึง วาหายใจเขายาว ดังนี้ ; . . . .ฯลฯ . . . . (เหมือนในขอ ก. ทุกประการ)
(๑๖) ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูตามเห็นซึ่งความสลัดคืนอยูเปน ประจํา จักหายใจเขา ดังนี้ ; ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูตามเห็นซึ่งความ สลัดคืนอยูเปนประจํา จักหายใจออก ดังนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ภิกษุ ท. ! เมื่ออานาปานสติ อันบุคคลเจริญแลว ทําใหมากแลวอยางนี้แล ยอมมีผลใหญ ยอมมีอานิสงสใหญ.
๑
การบรรยายครั้งที่ ๖๓ / ๘ มกราคม ๒๕๐๓
www.buddhadasa.in.th
พระพุทธวจนะ เนื่องดวยอานาปานสติ
๕๐๗
ภิกษุ ท. ! แมเราเอง เมื่อยังไมตรัสรู กอนกาลตรัสรูยังเปนโพธิสัตว อยู ยอมอยูดวยวิหารธรรมนี้เปนอันมาก. ภิกษุ ท. ! เมื่อเราอยูดวยวิหารธรรม นี้เป นอั นมาก กายก็ ไม ลํ าบาก ตาก็ ไม ลํ าบาก และจิ ตของเราก็ หลุ ดพ นจากอาสวะ ทั้งหลาย เพราะไมถือมั่นดวยอุปาทาน. ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ ถาภิกษุปรารถนาวา “กายของเรา ไม พึ งลํ าบาก ตาของเราไม พึงลํ าบาก และจิ ตของเราพึ งหลุ ดพนจากอาสวะทั้ งหลาย เพราะไมถือมั่นดวยอุปาทาน” ดังนี้แลวไซร ; อานาปานสตินี่แหละอันภิกษุ นั้นพึงทําไวในใจใหเปนอยางดี. (ข อนี้ หมายความว า การปฏิ บั ติ อานาปานสติ ไม ทํ าร างกายให ลํ าบากเหมื อนกั มมั ฏฐาน อื ่น บางอยา ง อยา งไมม ีค วามรบกวนทางตา ไมต อ งใชส ายตาเหมือ นการเพง กสิณ เปน ตน ; แลวยังสามารถทําจิตใหหลุดพนไดดวย.)
ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ ถาภิกษุปรารถนาวา “ความ ระลึ กและความดํ าริ อั นอาศั ยเรื อนเหล าใดของเรามี อ ยู ความระลึ กและความดํ าริ เหลา นั้น พึง สิ้น ไป” ดัง นี้แ ลว ไซร ;อานาปานสติส มาธินี่แ หละ อัน ภิก ษุนั้น พึงทําไวในใจใหเปนอยางดี.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org (ข อ นี้ ห มายความว า อานาปานสติ ป อ งกั น การดํ า ริ ที่ น อ มไปในทางกาม มี แ ต ที่ จ ะ ใหนอมไปในทางเนกขัมมะ ดังที่กลาวแลวโดยละเอียดในขั้นที่ ๕ และขั้นที่ ๑๐.)
ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ ถาภิกษุปรารถนาวา “เราพึง เปนผูมีสัญญาวาปฏิกูลในสิ่งที่ไมเปนปฏิกูลอยูเถิด” ดังนี้แลวไซร ; อานาปานสติสมาธินี่แหละ อันภิกษุนั้นพึงทําไวในใจใหเปนอยางดี.
(ข อนี้ หมายความว า การเจริ ญอานาปานสติ ช วยให พิ จารณาเห็ นสั งขารที่ ไม เป นปฏิ กู ล โดยสี แ ละกลิ่ น เป น ต น แต มี ค วามเป น ปฏิ กู ล โดยความเป น มายา ไม เ ที่ ย ง เป น ทุ ก ข เป น อนั ต ตา และปรุงแตงใหเกิดทุกข ดังนี้เปนตน.)
www.buddhadasa.in.th
๕๐๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๓
ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ ถาภิกษุปรารถนาวา “เราพึง เปนผูมีสัญญาวา ไมปฏิกูลในสิ่งที่ไมเปนปฏิกูลอยูเถิด” ดังนี้แลวไซร ; อานาปานสติสมาธิ นี่แหละ อันภิกษุนั้นพึงทําไวในใจใหเปนอยางดี. (ข อนี้ หมายความว า อานาปานสติ ทํ าให เกิ ดความรู ความเข าใจที่ ถู กต องว าการปฏิ กู ล นั ้น ที ่แ ทไ มใ ชป ฏิก ูล เพราะกลิ ่น และสีน า เกลีย ด หากแตว า เปน ปฏิก ูล ตรงที ่เ ปน มายา และทํ า ใหเกิดทุกข ฉะนั้น สิ่งที่มีสีและกลิ่น อันนาเกลียด ถามิไดเปนเหตุใหเกิดกิเลสหรือเกิดทุกขแลว ก็หาใชสิ่งที่ปฏิกูลไม.)
ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ ถาภิกษุปรารถนาวา “เราพึง เปน ผู ม ีส ัญ ญาวา ปฏิก ูล ทั ้ง ในสิ ่ง ที ่ไ มป ฏิก ูล และทั ้ง ในสิ ่ง ที ่ป ฏิก ูล อยู เ ถิด ” ดังนี้แลวไซร ; อานาปานสติสมาธินี้แหละ อันภิกษุนั้นพึงทําไวในใจใหเปน อยางดี. (ข อ นี้ ห มายความว า สติ แ ละญาณ ในอานาปานสติ ส ามารถทํ า ให เ ห็ น ความน า ขยะ แขยง เพราะทํ า ใหเ กิด ความทนทุก ขท รมาน วา มีอ ยู ทั ้ง ในสิ ่ง ที ่ต ามธรรมดาถือ กัน วา ปฏิก ูล และ ไมป ฏิก ูล หรือ กลา วอีก นัย หนึ ่ง ไดว า ไมค วรถือ วา เปน ตัว ตนหรือ ของตน ทั ้ง ในสิ ่ง ที ่ป ฏิก ูล และในสิ่งที่ไมปฏิกูล.)
ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ ถาภิกษุปรารถนาวา “เราพึง เปนผูมีสัญญาวา ไมปฏิกูลทั้งในสิ่งที่ไมปฏิกูลและในสิ่งที่ไมปฏิกูลอยูเถิด” ดังนี้แลว ไซร ; อานาปานสติสมาธินี้แหละ อันภิกษุนั้นพึงทําไวในใจใหเปนอยางดี.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org (ข อนี้ หมายความว า สติ และญาณในอานาปานสติ ขั้ นสู ง ที่ สามารถทํ าให เห็ นสุ ญญตา ยอมสามารถทําใหวางเฉยไดทั้งในสิ่งที่ปฏิกูล และสิ่งที่ไมปฏิกูลอยูโดยเสมอกัน.)
ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ ถาภิกษุปรารถนาวา “เราพึง เป น ผู เ ว นขาดจากความรู สึ กว าปฏิ กู ล และความรู สึ กว าไม เ ป นปฏิ กู ล ทั้ ง ๒ อย า ง
www.buddhadasa.in.th
พระพุทธวจนะ เนื่องดวยอานาปานสติ
๕๐๙
เสียโดยเด็ดขาดแลว เปนผูอยูอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยูเถิด” อานาปานสติสมาธินี้แหละ อันภิกษุนั้นพึงทําไวในใจใหเปนอยางดี.
ดังนี้แลวไซร ;
(ข อ นี้ ห มายความว า ในขั้ น ที่ มี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะสมบู รณ และอยู ด ว ยอุ เ บกขาจริ ง ๆ นั้ น ย อ มไม มี ค วามรู สึ ก ว า ปฏิ กู ล และไม ป ฏิ กู ล ทั้ ง ๒ อย า ง โดยเฉพาะอย า งยิ่ ง เป น ผลของอานาปานสติ ชั้ น สู ง กล า วคื อ จตุ ก กะที่ ๔ ที่ ทํ า ให เ ห็ น ความว า งจากตั ว ตน หรื อ ว า งจากความหมายอั น เป น ที่ ตั้ ง แหงความยึดถือ โดยประการทั้งปวงจริง ๆ แลว.)
ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ ถาภิกษุปรารถนาวา “เราพึงเปนผูมี สงั ดจากกามทั้ งหลาย สงั ดจากอกุ ศลธรรมทั้ งหลาย เข าถึ งปฐมฌานอั นมี วิ ตกวิ จาร มีปติและสุข อันเกิดจากวิเวกแลวแลอยูเถิด” ดังนี้แลวไซร ; อานาปานสติสมาธิ นั่นแหละ อันภิกษุนั้นพึงทําไวในใจใหเปนอยางดี. (ขอนี้หมายความวา อานาปานสติ สามารถชวยใหเกิดปฐมฌานไดสมตามความปรารถนา มีรายละเอียดดังกลาวแลว ในอานาปานสติขั้นที่ ๔.)
ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ ถาภิกษุปรารถนาวา “เพราะวิตก วิ จ ารระงั บ ไป เราถึ ง พึ ง เข า ถึ ง ทุ ติ ย ฌาน อั น เป น เครื่ อ งผ อ งใสแห ง จิ ต ในภายใน เพราะธรรมอั น เอก คื อ สมาธิ ผุ ด มี ขึ้ น ไม มี วิ ต กไม มี วิ จ าร มี แ ต ป ติ แ ละสุ ข อั น เกิ ด จากสมาธิแลวแลอยูเถิด” ดังนี้แลวไซร ; อานาปานสติสมาธินี้แหละ อันภิกษุนั้น พึงทําไวในใจใหเปนอยางดี.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org (ข อ นี้ ห มายความว า อานาปานสติ สามารถอํ า นวยให เ กิ ด ทุ ติ ย ฌานได ต ามความ ปรารถนา มีรายละเอียดแหงการปฏิบัติดังกลาวแลว ในอานาปานสติขั้นที่ ๔.)
ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ ถาภิกษุปรารถนาวา “เพราะความ จางคลายไปแห งป ติ เราพึ งเป นผู อยู อุ เบกขา มี สติ สั มปชั ญญะเสวยสุ ขด วยนามกาย ชนิ ด ที่ พ ระอริ ย เจ า กล า วว า ผู นั้ น เป น ผู อ ยู อุ เ บกขา มี ส ติ มี ก ารอยู เ ป น สุ ข เข า ถึ ง
www.buddhadasa.in.th
๕๑๐
ตติฌานแลวแลอยูเถิด” ดังนี้แลวไซร ; พึงทําไวในใจใหเปนอยางดี.
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๓
อานาปานสติสมาธินี่แหละ อันภิกษุนั้น
(ข อ นี้ ห มายความว า อานาปานสติ สามารถอํ า นวยให เ กิ ด ตติ ย ฌานได ต ามความ ปรารถนา มีรายละเอียดแหงการปฏิบัติดังกลาวแลว ในอานาปานสติขั้นที่ ๔.)
ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ ถาภิกษุปรารถนาวา “เพราะละสุข และทุ ก ข เ สี ย ได เพราะความดั บ ไปแห ง โสมนั ส และโทมนั ส ในกาลก อ น เราพึ ง เข า ใจถึ ง จตุ ต ถฌานอั น ไม มี ทุ ก ข ไ ม มี สุ ข มี แ ต ค วามบริ สุ ท ธิ์ แ ห ส ติ แ ละอุ เ บกขา แล ว แลอยูเถิด” ดังนี้แลวไซร ; อานาปานสติสมาธินี่แหละ อันภิกษุนั้นพึงทําไวในใจ ใหเปนอยางดี. (ข อ นี้ ห มายความว า อานาปานสติ สามารถอํ า นวยให เ กิ ด จตุ ต ถฌานได ต ามความ ปรารถนา มีรายละเอียดแหงการปฏิบัติดังกลาวแลว ในอานาปานสติขั้นที่ ๔.)
ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ ถาภิกษุปรารถนาวา “เพราะกาว ล ว งรู ป สั ญ ญาเสี ย โดยประการทั้ ง ปวง เพราะความดั บ ไปแห ง ปฏิ ฆ สั ญ ญาทั้ ง หลาย เพราะการไม กระทํ าในใจ ซึ่ งอั ตตสั ญญามี ประการต าง ๆ เราพึ งเข าถึ งอากาสานั ญจายตนะ วาอากาศไมมีที่สุด ดังนี้แลวแลอยูเถิด” ดังนี้แลวไซร ; อานาปานสติสมาธินี่แหละ อันภิกษุนั้นพึงทําไวในใจใหเปนอยางดี.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org (ข อ นี้ ห มายความว า อานาปานสติ สามารถอํ า นวยให เ กิ ด อากาสานั ญ จายตนะได โดยเมื ่อ ทํ า อรูป ฌานใหเ กิด ขึ ้น แลว กํ า หนดนิม ิต คือ ลมหายใจโดยประจัก ษแ ลว ทํ า การเพิก ถอน ลมหายใจออกไปเสี ย จากนิ มิ ต เหลื อ ความว า งอยู แ ทน และความว า งนั้ น ตั้ ง อยู ใ นฐานะเป น อารมณ อรูป ฌานขั ้น ที ่ห นึ ่ง ในที ่นี ้ แมทํ า อยา งนี ้ ก็ก ลา วไดว า อากาสานัญ จายตนะนั ้น สืบ เนื ่อ งมาจาก อานาปานสติโ ดยตรง. ถา จํา เปนจะตองสงเคราะหอรูปฌานเขาในอานาปานสติอันมีวัตถุ ๑๖ แลวพึงสงเคราะหเขาในอานาปานสติขั้นที่ ๔ คือการทํากายสังขารใหรํางับ. เทาที่กลาวมาแลว ขา งตน ไมม ีก ารกลา วถึง อรูป ฌาน ก็เ พราะไมเ ปน ที ่มุ ง หมายโดยตรงของการทํ า อานาปานสติ ที่เปนไปเพื่อความสิ้นอาสวะโดยเฉพาะ.)
www.buddhadasa.in.th
พระพุทธวจนะ เนื่องดวยอานาปานสติ
๕๑๑
ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ ถาภิกษุปรารถนาวา “เราพึงกาว ล วงอากาสานั ญจายตนะโดยประการทั้ งปวงเสี ยแล ว พึ งเข าถึ งวิ ญญาณั ญจายตนะว า วิญญาณไมมีที่สุด ดังนี้แลวแลอยูเถิด” ดังนี้แลวไซร ; อานาปานสติสมาธินี่แหละ อันภิกษุนั้นพึงทําไวในใจใหเปนอยางดี.๑ (ข อ นี้ ห มายความว า ต อ งมี ก ารทํ า อากาสานั ญ จายตนะ ดั ง ที่ ก ล า วแล ว ในข อ บนให เกิ ด ขึ้ น อย า งมั่ น คงเสี ย ก อ น แล ว จึ ง เพิ ก ถอนการกํ า หนดอากาศมากํ า หนดวิ ญ ญาณแทน หมายถึ ง วิ ญ ญาณธาตุ ที่ ไ ม มี รู ป ร า ง ซึ่ ง จั ด เป น นามธาตุ ห รื อ นามธรรม เนื่ อ งจากทํ า สื บ ต อ มาจากอานาปานสติ จึงกลาววาสําเร็จมาจากอานาปานสติ.)
ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ ถาภิกษุปรารถนาวา “เราพึงกาว ล วงวิ ญญาณั ญจายตนะโดยประการทั้ ง ปวง เข า ถึ ง อากิ ญจั ญญายตนะว าไม มี อ ะไร แลวแลอยูเถิด” ดังนี้แลวไซร ; อานาปานสติสมาธินี่แหละ อันภิกษุนั้นพึงทําไว ในใจใหเปนอยางดี.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org (ข อ นี้ ห มายความว า เมื่ อ ทํ า วิ ญ ญาณั ญ จายตนะให เ กิ ด ขึ้ น อย า งมั่ น คงแล ว เพิ ก ถอน การกําหนดอารมณวาวิญญาณไมมีที่สุดเสีย มากําหนดความไมมีอะไรเลยเปนอารมณ. เนื่องจาก มีอานาปานสติเปนมูล จึงกลาววาสําเร็จมาจากอานาปานสติ.)
ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ ถาภิกษุปรารถนาวา “เราพึง ก า วล ว งอากิ ญ จั ญ ญายตนะโดยประการทั้ ง ปวง เข า ถึ ง เนวสั ญ ญานาสั ญ ญายตนะ
๑
การบรรยายครั้งที่ ๖๔ / ๙ มกราคม ๒๕๐๓
www.buddhadasa.in.th
๕๑๒
แลวแลอยูเถิด” ดังนี้แลวไซร ; ไวในใจใหเปนอยางดี.
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๓
อานาปานสติสมาธินี่แหละ อันภิกษุนั้นพึงทํา
(ข อ นี้ ห มายความว า ได มี ก ารทํ า อากิ ญ จั ญ ญายตนะให เ กิ ด ขึ้ น แล ว อย า งมั่ น คง แล ว เพิ ก ถอนการกํ า หนดความไม มี อ ะไร เป น อารมณ นั้ น เสี ย หน ว งเอาความรํ า งั บ ที่ ป ระณี ต วยิ่ ง ขึ้ น ไป คื อ ความไม ทํ า ความรู สึ ก อะไรเลย แต ก็ ไ ม ใ ช ส ลบหรื อ ตาย จึ ง เรี ย กว า เนวสั ญ ญานาสั ญ ญายตนะซึ่ ง หมายความวา จะวามีสัญญาอยูก็ไมใช จะวาไมมีสัญญาเลยก็ไมใช. เพราะมีอานาปานสติเปนมูล ในขั้ น ต น ด ว ยกั น ทั้ ง ๔ ขั้ น จึ ง เรี ย กว า สํ า เร็ จ มาแต อ านาปานสติ อี ก อย า งหนึ่ ง อาจจะกล า วได ว า ในขณะแห ง รู ป ฌานแม ไ ม มี ก ารหายใจอยู โ ดยตรง ก็ ต อ งถื อ ว า มี ก ารหายใจอยู โ ดยอ อ มคื อ ไม รู สึ ก ฉะนั้ น เป น อั น กล า วสื บ ไปว า เพราะมี ค วามชํ า นาญ หรื อ มี ค วามเคยชิ น ในการกํ า หนดสิ่ ง ใดสิ่ ง หนึ่ ง อยูทุกลมหายใจเขา – ออกมาแลวแตในขั้นกอน ในขั้นนี้ ยอมมีการกําหนดอารมณแหงอรูปฌาน และความสงบอั น เกิ ด จากอรู ป ฌานตลอดถึ ง การพิ จ ารณาหรื อ ป จ จเวกขณ ในอาการทั้ ง หลายแห ง อรูปฌานอยูทุกลมหายใจเขา – ออก ทั้งโดยมีความรูสึกตัวและไมมีความรูสึกตัว คือทั้งโดยตรง และโดยออมอีกนั่นเอง.)
ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ ถาภิกษุปรารถนาวา “เรากาว ล ว งซึ่ ง เนวสั ญ ญานาสั ญ ญายตนะเสี ย ได โ ดยประการทั้ ง ปวง เข า ถึ ง สั ญ ญาเวทยิ ต นิโรธแลวแลอยูเถิด” ดังนี้แลวไซร ; อานาปานสติสมาธินี่แหละ อันภิกษุนั้น พึงทําไวในใจใหเปนอยางดี.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org (ข อ นี้ ห มายความว า มี ก ารทํ า เนวสั ญ ญานาสั ญ ญายตนะให เ กิ ด ขึ้ น ได อ ย า งมั่ น คง แล ว ละความรู สึ ก ที่ เ ป น เนวสั ญ ญานาสั ญ ญายตนะนั้ น เสี ย น อ มจิ ต ไปสู ค วามรํ า งั บ ที่ ยิ่ ง ไปกว า นั้ น อี ก คื อ การดั บ สั ญ ญาและเวทนาเสี ย ด ว ยการทํ า ไม ใ ห เ จตสิ ก ชื่ อ สั ญ ญาและเจตสิ ก ชื่ อ เวทนาได ทํ า หนาที่ของตนตามปรกติแตประการใดเลย. ความรูสึกที่เปนสัญญาและเวทนาตามปรกติธรรมดา จึ ง ไม ป รากฏ เรี ย กว า เป น สั ญ ญาเวทยิ ต นิ โ รธ คื อ ความดั บ ไปแห ง สั ญ ญาและเวทนา ตลอดเวลา เหลา นั ้น ซึ ่ง เรีย กกัน สั ้น ๆ วา เขา สู น ิโ รธสมาบัต ิ หรือ เรีย กสั ้น จนถึง กับ วา เขา นิโ รธเฉย ๆ. การกระทําอันนี้ตั้งตนขึ้นดวยอานาปานสติสมาธิ ดังนั้นจึงกลาววาสําเร็จมาจากอานาปานสติ.)
www.buddhadasa.in.th
พระพุทธวจนะ เนื่องดวยอานาปานสติ
๕๑๓
ทั้ ง หมดนี้ เ ป น การแสดงว า อานาปานสติ ภ าวนานั้ น นอกจากจะใช เป น เครื่ อ งมื อ สํ า หรั บ ปฏิ บั ติ เ พื่ อ ทํ า อาสวะให สิ้ น โดยตรงแล ว ยั ง สามารถใช เ ป น เครื ่อ งมือ เพื ่อ การปฏิบ ัต ิที ่ดํ า เนิน ไปในฝา ยจิต หรือ ฝา ยสมถะโดยสว นเดีย ว จนกระทั ่ง ถึง สัญ ญาเวทยิต นิโ รธไดด ว ยอาการอยา งนี ้ และพรอ มกัน นั ้น ซึ ่ง ไม จํ า เป น ต อ งกล า วว า เป น ไปในทางไหน แต เ ป น ประโยชน ทั่ ว ไป สํ า หรั บ การปฏิ บั ติ ทุก แนวก็ค ือ การอยู ด ว ยอานาปานสตินั ้น ไมลํ า บากกาย และไมลํ า บากตา ซึ่ ง นั บ ว า เป น การพั ก ผ อ นอยู ใ นตั ว เองเป น อย า งยิ่ ง อยู แ ล ว นั บ ว า เป น อานิ ส งส พิเศษสวนหนึ่งของอานาปานสติ. (ฆ) เกี่ยวกับอานิสงสพิเศษอีกอยางหนึ่ง ของอานาปานสติ นั้น ทรงแสดงไว ในฐานะเป นเครื่ องมื อ สํ าหรั บให รู เท า ทั นเวทนาต าง ๆ ที่ เกิ ดขึ้ น รู จั ก สั งเกตความผั นแปรของเวทนาชนิ ดต าง ๆ จนกระทั่ งสามารถทราบได ว า เวทนานี้ จักเปนเวทนาอันมีในที่สุดแหงชีวิตหรือไม พุทธภาษิตมีอยูใน มหาวาร.สํ. อยาง เดียวกัน (๑๙ / ๔๐๔ / ๑๓๔๖) ดังตอไปนี้ :-
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ภิกษุ ท.
!
เมื่ออานาปานสติสมาธิ อันภิกษุเจริญแลว ทําใหมากแลว
อยูอยางนี้ ;
ถ า ภิ ก ษุ เ สวยเวทนาอั น เป น สุ ข เธอย อ มรู ตั ว ว า เวทนานั้ น ไม เ ที่ ย ง เธอย อ มรู ตั ว ว า เวทนานั้ น อั น เราไม ส ยบมั ว เมาแล ว ย อ มรู ตั ว ว า เวทนานั้ น อั น เรา ไมเพลิดเพลินเฉพาะแลว ดังนี้. ถา ภิก ษุนั ้น เสวยเวทนาอัน เปน ทุก ข เธอยอ มรู ต ัว วา เวทนานั ้น ไม เ ที่ ย ง เธอย อ มรู ตั ว ว า เวทนานั้ น อั น เราไม ส ยบมั ว เมาแล ว ย อ มรู ตั ว ว า เวทนา นั้น อันเราไมเพลิดเพลินเฉพาะแลว ดังนี้.
www.buddhadasa.in.th
๕๑๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๓
ถา ภิก ษุเ สวยเวทนาอัน เปน อทุก ขมสุข เธอยอ มรู ต ัว วา เวทนา นั้ น ไม เ ที่ ย ง เธอย อ มรู ตั ว ว า เวทนานั้ น อั น เราไม ส ยบมั ว เมาแล ว ย อ มรู ตั ว ว า เวทนานั้น อันเราไมเพลิดเพลินเฉพาะแลว ดังนี้. ภิ ก ษุ นั้ น ถ า เสวยเวทนาอั น เป น สุ ข ก็ เ ป น ผู ไ ม ติ ด ใจพั ว พั น เสวย เวทนานั้น ; ถาเสวยเวทนาอันเปนทุกข ก็เปนผูไมติดใจพัวพันเสวยเวทนานั้น ; ถาภิกษุเสวยเวทนาอันเปนอทุกขมสุข ก็เปนผูไมติดใจพัวพันเสวยเวทนานั้น. ภิ ก ษุ นั้ น เมื่ อ เสวยเวทนาอั น เป น ที่ สุ ด รอบแห ง กาย เธอย อ มรู ตั ว ว า เราเสวยเวทนาอันเปนที่สุดรอบแหงกาย ดังนี้. เมื่อเสวยเวทนาอันเปนที่สุดรอบ แหง ชีว ิต เธอยอ มรู ต ัว วา เราเสวยเวทนา อัน เปน ที ่ส ุด รอบแหง ชีว ิต ดัง นี ้ ; จนกระทั่งการทําลายแหงกาย ในที่สุดแหงการถือเอารอบซึ่งชีวิต เธอยอมรูตัววา เวทนาทั้ ง ปวง อั น เราไม เ พลิ ด เพลิ น เฉพาะแล ว จั ก เป น ของดั บ เย็ น ในที่ นี้ นั่ น เที ย ว ดังนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ภิกษุ ท. ! ประทีปน้ํามันลุกอยูไดเพราะอาศัยน้ํามันดวย เพราะอาศัย ไสดว ย เมื่อ หมดน้ํา มัน หมดไส ก็เ ปนประทีป ที่ห มดเชื้อ ดับ ไป, ขอ นี้ฉันใด ; ภิ ก ษุ นั้ น ก็ ฉั น นั้ น กล า คื อ เมื่ อ เสวยเวทนาอั น เป น ที่ สุ ด รอบแห ง กาย ย อ มรู ตั ว ว า เราเสวยเวทนาอันเปนที่สุดรอบแหงกาย ; เมื่อเสวยเวทนาอันเปนที่สุดรอบแหง ชีวิต ยอมรูตัววาเราเสวยเวทนา อันเปนที่สุดรอบแหงชีวิต ; จนกระทั่งการ ทํ า ลายแห ง กาย ในที่ สุ ด แห ง การถื อ เอารอบซึ่ ง ชี วิ ต เธอย อ มรู ตั ว ว า เวทนาทั้ ง ปวง อันเราไมเพลิดเพลินเฉพาะแลว จักเปนของดับเย็นในที่นี้นั่นเทียว” ดังนี้.
www.buddhadasa.in.th
พระพุทธวจนะ เนื่องดวยอานาปานสติ
๕๑๕
อธิ บ ายว า การเจริ ญ อานาปานสติ นั้ น ทํ า ให เ กิ ด ความเคยชิ น ในการ กํ า หนดเวทนาอยู เ ป น ประจํ า มาตลอดเวลาแห ง การฝ ก เป น ระยะยาว จนรู เ ท า ทั น เวทนามากอนแลว ; มีเวทนาชนิดไหนแปลกประหลาดนาอัศจรรยเพียงไรผาน เข า มา ก็ ส ามารถที่ จ ะมี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะรู เ ท า ทั น เวทนานั้ น ว า เป น สั ก แต ว า เวทนา ที่ เ ป น อนิ จ จั ง ทุ ก ขั ง อนั ต ตา จึ ง ไม จั บ ฉวยเอาเวทนานั้ น ไม ติ ด ใจพั ว พั น มั ว เมา อยู ใ นเวทนานั้ น เพราะอํ า นาจของการที่ เ คยฝ ก อานาปานสติ ม าแล ว อย า งชํ า นาญ โดยเฉพาะคืออานาปานสติขั้นที่ ๕ ; จนกระทั่งกลาวไดวา เปนผูทรงไวซึ่งอํานาจ เหนือเวทนาทั้งปวง. สวนขอที่วา “เปนผูรูเทาทันเวทนา ซึ่งเปนที่สิ้นสุดแหงชีวิต” นั้น หมายความว าเนื่ องจากมี ความชํ านาญเชี่ ยวชาญในลั กษณะต าง ๆ ของเวทนาทุ กชนิ ด ทําใหทราบไดวาเวทนาที่กําลังเกิดนี้ เปนเวทนาที่ทําความสิ้นสุดแกชีวิต. และ ยิ่ ง ไปกว า นั้ น อี ก ยั ง สามารถทํ า ให ท ราบได ว า เวทนานั้ น จั ก ดํ า เนิ น ไปอี ก กี่ ชั่ ว ระยะลมหายใจเขา – ออก จึงจะทําความสิ้นสุดแกชีวิต. ขอนี้เปนเหตุใหผูนั้น มี ความสามารถทํ าการกํ าหนดได ว า ตนจั กดั บจริ มกจิ ตหรื อทํ าการหายใจครั้ งสุ ดท าย ในการหายใจครั้ งไหน กล าวโดยโวหารธรรมดา ก็ คื อ ว า ตนจั กสิ้ นชี วิ ตในการหายใจ ครั้งไหนนั่นเอง ดังที่มีตัวอยางกลาวไวในคัมภีรตาง ๆ เชน คัมภีรวิสุทธิมรรค เปน ตน วา พระเถระผู เ ชี ่ย วชาญในอานาปานสติร ูป หนึ ่ง เมื ่อ ทราบเวลาอัน เปน ที่ สุ ด รอบแห ง ชี วิ ต ว า จั ก มี ใ นการหายใจครั้ ง ไหนแล ว ก็ อ อกไปสู ล านเป น ที่ จ งกรม เรี ย กประชุ ม สั ท ธิ วิ ห าริ ก อั น เตวาสิ ก มาพร อ มกั น ในขณะนั้ น แล ว สั่ ง ให ค อยดู ว า เมื่ อ ท า นเดิ น จงกรม ไปถึ ง ที่ สุ ด แห ง ที่ จ งกรมข า งโน น แล ว เดิ น กลั บ มาจนถึ ง ที่ สุ ด แห ง ที่ จ งกรมข า งนี้ แล ว จั ก เดิ น กลั บ มา จนกระทั่ ง ถึ ง ที่ กึ่ ง กลางของที่ จ งกรมนั้ น แล ว จัก ทํ า กาละณที ่นั ้น พระเถระนั ้น ไดป ริน ิพ พานแลว ดว ยกิร ิย ายืน แหง กา ว
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๕๑๖
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๓
สุด ทา ยของการเดิน ที ่ต รงกึ ่ง กลางของที ่จ งกรมนั ้น ในมือ ของสัท ธิว ิห าริก ผู ป ระคั บ ประคองอยู ด ว ยอิ ริ ย าบถยื น ด ว ยกั น ทุ ก รู ป ข อ นี้ เ ป น การแสดงถึ ง ความ เชี่ ย วชาญในอานาปานสติ และความมี อํ า นาจเหนื อ เวทนาทั้ ง หลายของพระเถระ นั ้น ดว ย เปน การแสดงอานิส งสข องอานาปานสติข อ นี ้ด ว ย เปน การประกาศ พระศาสนาดวยความเปนธรรมะดี แหงพระธรรมดวย. ส วนพระบาลี ที่ ว า “เธอย อมรู ตั วว าเวทนาทั้ งปวง อั นเราไม เพลิ นเฉพาะแล ว จักเปนของดับเย็นในที่นี้นั่นเทียว” ดังนี้นั้น อธิบายวา เปนอํานาจของการพิจารณา โดยความเปน ของไมใ ชต น จึง ไมไ ดม ีต ัว ตนเหลือ อยู เปน ผู ที ่แ ตกดับ ในขณะนี ้. ในขณะนี้มีเหลืออยูแตเวทนาเทานั้น ซึ่งจักเปนของดับลงไป ; กลาวสั้น ๆ ก็คือ ไมมีใครตาย มีแตเวทนาดับ. สวนโวหารที่วา “จักเปนของดับเย็น” นั้น หมายความว า เวทนาที่ ยั ง มี ป จ จั ย ปรุ ง แต ง ยั ง เป น ของร อ น เวทนาที่ ห มดป จ จั ย ปรุ ง แต ง จั ก เป น ของดั บ เย็ น เหมื อ นไฟที่ ห มดเชื้ อ ดั บ ลง ฉะนั้ น โวหารที่ ว า เวทนา รอนดับเย็นลงนี้ ก็เปนโวหารที่แสดงความไมมีตัวไมใชตัวตน ยิ่งขึ้นไปอีก.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org สําหรับคําวา “ในที่นี้นั่นเทียว” นั้น หมายถึงรูขณะจิตที่เวทนานั้น จะดับลง วาจักมีในที่นี้ วาจักมีในเวลานี้ ซึ่งหมายถึงในขณะแหงการหายใจ ครั้ งไหนโดยเฉพาะ และจะมี ด วยอาการอย างไร คื อด วยอาการที่ สงบรํ างั บอย างไร. เพราะทราบอย า งเฉพาะเจาะจงว า ที่ ไ หน เมื่ อ ไร และอย า งไร โดยแน น อน และ ประจักษจริง ๆ จึงใชคําวา “นั่นเทียว”. ขอ นี้เปนการแสดงถึงความเชี่ยวชาญ ในการเจริ ญ อานาปานสติ จนรู เ ท า ทั น เวทนา จนอาจกล า วได ว า เป น ผู มี อํ า นาจ อยูเหนือเวทนา โดยประการทั้งปวงนั่นเอง.
www.buddhadasa.in.th
พระพุทธวจนะ เนื่องดวยอานาปานสติ
๕๑๗
ง. อานิสงสแหงอานาปานสติอีกประการหนึ่ง ทรงแสดงไวในฐานะ เป น เครื่ อ งมื อ สํ า หรั บ ทํ า จิ ต ให ส งบเย็ น เป น ความสุ ข เกิ ด แต ธ รรม จนเป น ที่ พ อใจ หรื อเป นที่ จั บใจแก บุ คคลผู ปฏิ บั ติ ได จริ ง ระงั บเสี ยซึ่ งความฟุ งซ านหรื อความรํ าคาญ ในการที่ มี ชี วิ ตอยู อย างน าสะอิ ดสะเอี ยน ต อความเป น อนิ จจั ง ทุ กขั ง อนั ตตา ของ สั ง ขารทั้ ง ปวง ที่ มี อ ยู ร อบตั ว หรื อ แม ที่ มี อ ยู ภ ายในตั ว ความฟุ ง ซ า นหรื อ ความ รํ า คาญนั้ น มี ไ ด ม ากแก บุ ค คลผู ป ฏิ บั ติ ใ นขั้ น ที่ เ ริ่ ม เห็ น ความเป น อนิ จ จั ง ทุ ก ขั ง อนั ต ตา แต ยั ง ไม ม ากพอที่ จ ะปล อ ยตั ว ตนเสี ย โดยประการทั้ ง ปวง ความรํ า คาญ ย อมเกิ ดขึ้ น ถ าไม มี สิ่ งใดเป นเครื่ องรํ างั บ นอกจากจะไม มี ความสงบสุ ขเสี ยเลยแล ว ยั ง เป น อั น ตรายต อ การปฏิ บั ติ ธ รรม ที่ จ ะพึ ง ข า งหน า สื บ ไปด ว ย หรื อ ถึ ง กั บ ทํ า ให เบื ่อ หนา ยตอ การที ่จ ะมีช ีว ิต อยู ด ว ยซ้ํ า ไป เปน เหตุใ หแ สวงหาโอกาส หรือ อุบ าย ที่คิดจะทําลายตัวเอง. มีเรื่องเลาวา ที่กูฎาคารศาลาปามหาวันใกลเมืองเวสาลี พระผู ม ีพ ระภาคเจา ทรงแสดงพระอสุภ กถาเปน อัน มาก แลว เสด็จ หลีก ออกไปสู ปฏิ สั ล ลี น ะ คื อ การอยู เ งี ย บพระองค เ ดี ย วเสี ย เป น เวลา ๒ สั ป ดาห ภิ ก ษุ บ างพวก อาศั ยอํ านาจแห งอสุ ภสั ญญา เกิ ดความเบื่ อ หน ายต อร างกายและชี วิ ตอย างแรงกล า หาความสงบสุ ขมิ ได ได แกล งปล อยให เหตุ การณ หรื ออั นตรายต าง ๆ ที่ มาถึ งเข าโดย บัง เอิญ ทํ า ลายชีว ิต ตนใหส ูญ สิ ้น ไปจํ า นวนมาก ตอ มาพระผู ม ีพ ระภาคเจา ทรงทราบเรื่ อ ง ได ท รงแสดงเรื่ อ งอานาปานสติ เพื่ อ ระงั บ ความฟุ ง ซ า นรํ า คาญนั้ น ปรากฏอยูใน มหาวาร.สํ. อยางเดียวกัน (๑๙ / ๔๐๕ / ๑๓๔๘) มีใจความวา :-
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org “ภิกษุ ท. ! อานาปานสติสมาธินี้แล อันบุคคลเจริญแลว ทําให มากแลว ยอ มเปน ของประณีต เปน ของรํ า งับ เปน ของเย็น เปน ของบริส ุท ธิ์ เปน สุข วิห าร และยอ มยัง อกุศ ลธรรมอัน ลามก อัน เกิด ขึ ้น แลว และเกิด ขึ ้น แลว ใหอันตรธานไป ใหรํางับไป โดยควรแกฐานะ.
www.buddhadasa.in.th
๕๑๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๓
ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนฝุนธุลีฟุงขึ้นแหงเดือนสุดทายของฤดูรอน ฝนหนั ก ที่ ผิ ด ฤดู ต กลงมา ย อ มทํ า ฝุ น ธุ ลี เ หล า นั้ น ให อั น ตรธานไป ให รํ า งั บ ไปได โดยควรแกฐานะ, ขอนี้ฉันใด ; “ภิกษุ ท. ! อานาปานสติสมาธิอันบุคคลเจริญแลว ทํ า ใหม ากแลว ก็เ ปน ของรํ า งับ เปน ของประณีต เปน ของเย็น เปน สุข วิห าร และย อ มยั ง อกุ ศ ลธรรมอั น ลามก ที่ เ กิ ด ขึ้ น แล ว และเกิ ด ขึ้ น แล ว ให อั น ตรธานไป โดยควรแกฐานะ ฉันนั้น. ภิกษุ ท. ! อานาปานสติสมาธิ อันบุคคลเจริญแลว ทําใหมากแลว อยา งไรเลา ? ที่เ ปน ของรํา งับ เปน ของประณีต เปน ของเย็น เปน สุข วิห าร และย อ มยั ง อกุ ศ ลธรรมอั น ลามก ที่ เ กิ ด ขึ้ น แล ว และเกิ ด ขึ้ น แล ว ให อั น ตรธานไป โดยควรแกฐานะได. ภิกษุ ท. ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไปแลวสูปาก็ตาม ไปแลวสูโคนไม ก็ ตาม ไปแล วสู เรื อนว างก็ ตาม นั่ งคู ขาเข ามาโดยรอบแล ว ตั้ งกายตรง ดํ ารงสติ มั่ น. ภิกษุนั้น……..ฯลฯ…….. (ขอความตอไปนี้ เหมือนขอความที่กลาวแลวในขอ ก. ทุกประการ เห็นความสลัดคืนอยูเปนประจําจักหายใจออก จนกระทั่งถึงคําวา)……..ฯลฯ…….. ดังนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ภิกษุ ท. ! อานาปานสติสมาธิ อันบุคคลเจริญแลว ทําใหมากแลว ด วยอาการอย างนี้ ย อมเป นของรํ างั บ เป นของประณี ต เป นของเย็ น เป นสุ ขวิ หาร และย อ มยั ง อกุ ศ ลธรรมอั น ลามก ที่ เ กิ ด ขึ้ น แล ว และเกิ ด ขึ้ น แล ว ให อั น ตรธานไป โดยควรแกฐานะ” ดังนี้ แล.
www.buddhadasa.in.th
พระพุทธวจนะ เนื่องดวยอานาปานสติ
๕๑๙
ข อ นี้ ส รุ ป ความว า อานาปานสติ เป น เครื่ อ งทํ า ให เ กิ ด ความเย็ น ใจหรื อ สุ ขวิ หาร สํ าหรั บบุ คคลผู มี ความกระวนกระวาย หรื อความฟุ งซ านรํ าคาญ ไม พอใจ ในการเป น อยู หรื อ ชี วิ ต ประจํ า วั น ของตน อั น เกิ ด มาแต ค วามเบื่ อ ระอาสิ่ ง ต า ง ๆ หรือความไมประสบความสําเร็จในสิ่งที่ตนกระทํา. อานาปานสตินี้ จักเปนธรรม อั น สุ ขุ ม และละเอี ย ด มี อ านุ ภ าพในทางทํ า ความสงบรํ า งั บ เป น ขั้ น ๆ ไปตามลํ า ดั บ ดั งที่ แ สดงอยู แล วในอานาปานสติ ทุ กขั้ น อั นทํ าให เ ห็ นได ว า สามารถทํ าความรํ างั บ ไดจริงอยางไร ในเมื่อผูศึกษาไดพิจารณาดูอยางละเอียด.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org (จ) เกี่ยวกับอานาปานสติ เปนสุขวิหาร๑ คือเปนเครื่องทําความ อยู เ ปน สุข ไมม ีธ รรมอื ่น เสมอเหมือ นเปน ประจํ า วัน แลว ยัง เปน การปฏิบ ัติ ที่ ดํ า เนิ น ไปในตั ว เองตามลํ า ดั บ จนกระทั่ ง ความสิ้ น อาสวะนั้ น มี พ ระพุ ท ธภาษิ ต ที่ตรัสที่ปาอิจฉานังคละ ปรากฏอยูที่ มหาวาร. สํ. ทุติยวรรค แหงอานาปานสังยุตต (๑๙ / ๔๑๒ / ๑๓๖๔) ดังตอไปนี้ :-
๑
การบรรยายครั้งที่ ๖๕ / ๑๐ มกราคม ๒๕๐๓
www.buddhadasa.in.th
๕๒๐
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๓
“ภิกษุ ท. ! ถาพวกปริพาชกเดียรถียลัทธิอื่นถามพวกเธอวา สมณโคดมอยู ตลอดพรรษากาลเป นอั นมาก ด วยวิ หารธรรมอย างไหน ดั งนี้ แล ว พวกเธอ พึงตอบวา ‘ดูกอนทานผูมีอายุ ! พระผูมีพระภาคเจา ทรงอยูตลอดพรรษากาล เปนอันมาก ดวยอานาปานสติสมาธิ.’ “ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้ เราเปนผูมีสติหายใจเขา มีสติหายใจออก : เมื่อหายใจเขายาว ก็รูวาหายใจเขายาว ; เมื่อหายใจออกยาว ก็รูวาหายใจ ออกยาว ……..ฯลฯ …….. (มีขอความแสดงในอานาปานสติ ๑๖ ขั้น เหมือนที่กลาวแลวในขอ ก. สิ้นสุดลงที่คําวา.)
ทุกประการ
ย อ มทํ า ในบทศึ ก ษาว า เราเป น ผู ต ามเห็ น ความสลั ด คื น อยู เ ป น ประจํ า จักหายใจออก ดังนี้. ภิกษุ ท. ! เมื่อใครผูใด จะกลาวสิ่งใดใหถูกตองชอบธรรม วาเปน อริ ย วิ ห ารก็ ดี ว า เป น พรหมวิ ห ารก็ ดี ว า เป น ตถาคตวิ ห ารก็ ดี เขาพึ ง กล า วอานาปานสติสมาธินี่แหละ วาเปนอริยวิหาร วาเปนพรหมวิหาร วาเปนตถาคตวิหาร.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ภิกษุ ท. ! ภิกษุเหลาใดยังเปนเสขะ ยังไมลุถึงธรรมที่ตองประสงค แห ง ใจ ปรารถนาอยู ซึ่ ง โยคเขมธรรมอั น ไม มี อ ะไรยิ่ ง กว า ภิ ก ษุ เ หล า นั้ น เมื่ อ เจริ ญ แล ว ทํ า ให ม ากแล ว ซึ่ ง อานาปานสติ ส มาธิ ย อ มเป น ไปเพื่ อ ความสิ้ น ไปแห ง อาสวะทั้งหลาย.
ส ว นภิ ก ษุ ทั้ ง หลายเหล า ใด เป น อรหั น ต สิ้ น อาสวะแล ว มี พ รหมจรรย อยู จ บแล ว มี สิ่ ง ที่ ต อ งทํ า อั น ตนทํ า เสร็ จ แล ว มี ภ าระอั น ปลงลงแล ว มี ป ระโยชน
www.buddhadasa.in.th
พระพุทธวจนะ เนื่องดวยอานาปานสติ
๕๒๑
ตนอัน ลุถ ึง แลว มีส ัญ โญชนใ นภพทั ้ง หลายสิ ้น รอบแลว เปน ผู ห ลุด พน แลว เพราะรูโ ดยชอบ ; ภิก ษุทั้ง หลายเหลา นั้น เมื่อ เจริญ ทํา ใหม ากแลว ซึ่ง อานาปานสติ สมาธิ ย อ มเป นสุ ขวิ หารในทิ ฏฐธรรมนี้ ด วย เพื่ อ ความสมบู ร ณ แห ง สติสัมปชัญญะดวย. ภิกษุ ท. ! ฉะนั้น เมื่อใครจะกลาวสิ่งใดใหถูกตองชอบธรรม วาเปน อริย วิห ารก็ด ี วา เปน พรหมวิห ารก็ด ี วา เปน ตถาคตวิห ารก็ด ี เขาพึง กลา ว อานาปานสติ ส มาธิ นี่ แ หละ ว า เป น อริ ย วิ ห าร ว า เป น พรหมวิ ห าร ว า เป น ตถาคตวิหาร” ดังนี้. ข อ ความทั้ ง หมดนี้ แ สดงให เ ห็ น ว า อานาปานสติ เป น วิ ห ารธรรมที่ พระผู มี พระภาคเจ าทรงอยู มากที่ สุ ด จนสมควรที่ จะได นามว าเป น “ตถาคตวิ หาร” คือเปนวิหารธรรมของพระตถาคต ; วาเปน “อริยวิหาร” คือเปนวิหารธรรม เครื่องอยูของพระอริยเจาทั้งหลาย ; และวาเปน “พรหมวิหาร” คือเปนวิหารธรรมเครื่องอยูของผูที่เปนพรหม. พึงสังเกตวาพรหมในที่นี้หมายถึงพระอรหันต ซึ่ ง เป น พรหมอี ก ประเภทหนึ่ ง ต า งหาก จากพรหมธรรมดา แม ที่ เ ป น ปุ ถุ ช นซึ่ ง มี พรหมวิหารเปนเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ดังที่ทราบกันอยูทั่วไป. สวน ที่สํ าคั ญไปกว านั้ น ยั งมี ต อไปอี ก คื อข อที่ว าอานาปานสติ นี้ ทํ าผู ที่ ยังไม สิ้ นอาสวะ ให สิ้ น อาสวะ ทํ า ผู ที่ สิ้ น อาสวะแล ว ให มี ค วามอยู เ ป น สุ ข ในทิ ฏ ฐธรรม และให เป น ผู ส มบู ร ณ ด ว ยสติ สั ม ปชั ญ ญะอยู ต ลอดเวลา ซึ่ ง เมื่ อ รวมเข า ด ว ยกั น ทั้ ง ๒ ประเภทแล ว ทํ า ได ก ล า วได ว า ในบรรดาสมาธิ ภ าวนา ซึ่ ง มี อ ยู ๔ ประเภทนั้ น อานาปานสติ เป นสมาธิ ภาวนาถึ ง ๓ ประเภทได จริ ง ๆ กล าวคื อเป นสมาธิ ภาวนา ประเภททํ า ให อ ยู เ ป น สุ ข ในทิ ฏ ฐธรรม,ประเภทที่ ทํ า ให ส มบู ร ณ ด ว ยสติ สั ม ปชั ญ ญะ,
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๕๒๒
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๓
และประเภทที่ ไ ด ทํ า อาสวะให สิ้ น ซึ่ ง จั ด เป น สมาธิ ภ าวนา ประเภทที่ ห นึ่ ง ที่ ส าม และที่สี่ตามลําดับ ; ยังขาดอยูแตประเภทที่สองคือ สมาธิภาวนา ที่เปนเหตุ ใหไดญาณทัสสนะอันเปนทิพย มี หูทิพย ตาทิพย เปนตน ซึ่งเราไมประสงคใน ที่นี้ เพราะไมเปนไปเพื่อความดับทุกขแตประการใด. นี่เปนการแสดงใหเห็นวา อานาปานสติ ส มาธิ เป นสิ่ งที่ มี คุ ณประโยชน อั นเพี ยงพอแก ความต องการของบุ ค คล ผูประสงคจะทําความดับทุกขโดยแทจริง. สรุปความสั้น ๆ วา อานาปานสติ เปนประโยชนถึงที่สุด ทั้งแกบุคคลที่ไมสิ้นอาสวะ และบุคคลที่สิ้นอาสวะแลว นับวาเปนสิ่งที่นาสนใจอยางนาอัศจรรยทีเดียว. (ฉ) อานิสงสของอานาปานสติที่ทรงแสดงไว อยางชัดเจน และ อย า งละเอี ย ดยิ่ ง ขึ้ น ไป เกี่ ย วกั บ การทํ า อาสวะให สิ้ น นั้ น อาจจะประมวลมาได อี ก เปนหมวดสุดทาย ที่แสดงไวใน มหาวาร. สํ. ทุติยวรรค อานาปานสังยุตต (๑๙ / ๔๒๔ / ๑๔๐๒) เนื่องกันไปหลายบรรพดวยกัน ซึ่งจะประมวลเอามาเฉพาะ ที่ทรงแสดงไวแปลกกัน อันมีอยูดังตอไปนี้ :-
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ภิกษุ ท. ! ธรรมอันเอกนั้นมีอยู ซึ่งเมื่อบุคคลเจริญแลว ทําใหมาก แลว ยอมทําธรรมทั้ง ๔ ใหบริบูรณ ; ครั้นธรรมทั้ง ๔ นั้น อันบุคคลเจริญแลว ทําใหมากแลว ยอมทําธรรมทั้ง ๗ ใหบริบูรณ ; ครั้นธรรมทั้ง ๗ นั้น อันบุคคล เจริญแลว ทําใหมากแลว ยอมทําธรรมทั้ง ๒ ใหบริบูรณได. ภิกษุ ท. ! อานาปานสติสมาธินี้แล เปนธรรมอันเอกซึ่งเมื่อบุคคล เจริญแลว ทําใหมากแลว ยอมทําสติปฏฐานทั้ง ๔ ใหบริบูรณ ; สติปฏฐาน ๔ อันบุคคลเจริญแลว ทําใหมากแลว ยอมทําโพชฌงคทั้ง ๗ ใหบริบูรณ ; โพชฌงค ทั้ ง ๗ อั น บุ ค คลเจริ ญ แล ว ทํ า ให ม ากแล ว ย อ มทํ า วิ ช ชาและวิ มุ ต ติ ใ ห บ ริ บู ร ณ ไ ด .
www.buddhadasa.in.th
พระพุทธวจนะ เนื่องดวยอานาปานสติ
๕๒๓
ภิกษุ ท. ! อานาปานสติสมาธิ อันบุคคลเจริญแลว ทําใหมากแลว ยอมเปนไปเพื่อการละ สัญโญชน ทั้งหลาย. (๑๔๐๖) ภิกษุ ท. ! อานาปานสติสมาธิ อันบุคคลเจริญแลว ทําใหมากแลว ยอมเปนอยางไรเลา จึงเปนไปเพื่อการละ สัญโญชน ทั้งหลาย ? ภิกษุ ท. ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไปแลวสูปาก็ตาม ไปแลวสูโคนไม ก็ต าม ไปแลว สู เ รือ นวา งก็ต าม นั ่ง คู ข าเขา มาโดยรอบแลว ตั ้ง กายตรง ดํ า รง สติมั่น ; ภิกษุนั้นมีสติอยูนั่นเทียว หายใจเขา มีสติอยูนั่นเทียว หายใจออก …. (มี ร ายละเอี ย ดแห ง อานาปานสติ ๑๖ ขั้ น ดั ง ที่ ก ล า วแล ว ในข อ หนึ่ ง ถึ ง ข อ สิ บ หกจนกระทั่ ง ถึ ง คํ า ว า )
……. ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูตามเห็นซึ่งความสลัดคืนอยูเปนประจํา จักหายใจออก ดังนี้. ภิกษุ ท. ! อานาปานสติสมาธิ อันบุคคลเจริญแลว ทําใหมากแลว อยางนี้แล ยอมเปนไปเพื่อการละ สัญโญชน ทั้งหลาย. ภิกษุ ท. ! อานาปานสติสมาธิ อันบุคคลเจริญแลว ทําใหมากแลว ยอมเปนไปเพื่อการกําจัดเสียซึ่ง อนุสัย. (๑๔๐๘) … (มีใจความเต็มเหมือนขอสัญโญชน). ภิกษุ ท. ! อานาปานสติสมาธิ อันบุคคลเจริญแลว ทําใหมากแลว ยอมเปนไปเพื่อความรอบรูซึ่ง ทางไกล (อวิชชา). (๑๔๐๙) … (มีใจความเต็มเหมือน ขอสัญโญชน). ภิกษุ ท. ! อานาปานสติสมาธิ อันบุคคลเจริญแลว ทําใหมากแลว ยอมเปนไปเพื่อความสิ้นไปแหง อาสวะ ทั้งหลาย (๑๔๑๐) … (มีใจความเต็มเหมือน ขอสัญโญชน). ข อ ความทั้ ง หมดนี้ แสดงให เ ห็ น โดยสรุ ป ว า อานาปานสติ มี ผ ลทํ า ให ละสั ญ โญชน ไ ด , ทํ า ให กํ า จั ด อนุ สั ย ได , ทํ า ให ร อบรู ท างไกล คื อ อวิ ช ชา เหตุ ใ ห
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๕๒๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๓
เกิ ด อวิ ช ชา ความดั บ ไม เ หลื อ แห ง อวิ ช ชา และทางปฏิ บั ติ ใ ห ถึ ง ความดั บ ไม เ หลื อ แหงอวิชชา, ในที่สุดยอมทําอาสวะใหสิ้นไป ; ซึ่งโดยใจความแลว ก็มีความหมาย อยางเดียวกัน คือการดับกิเลสสิ้นเชิงนั่นเอง. ทั้งนี้ เพราะอานาปานสติภาวนา ทําสติปฏฐาน ๔ ใหสมบูรณ ; สติปฏฐาน ๔ สมบูรณแลว ยอมทําใหโพชฌงค ๗ ใหสมบูรณ ; โพชฌงค ๗ ใหสมบูรณแลว ยอมทําวิชชาและวิมุตติใหสมบูรณ ; เพราะเหตุนั ้น จึง ถูก ยกขึ ้น เปน ธรรมอัน เอก หรือ ทางปฏิบ ัต ิส ายเอก ดัง นี ้. คําวา “เอก” ในที่นี้ หมายความวา เปนวิธีเดียว สําหรับบุคคลผูเดียว ดําเนิน ไปสูสิ่ง ๆ เดียว กลาวคือนิพพาน. (ช) การเจริญอานาปานสติ หมายถึงการเจริญภาวนาอยางใด อยางหนึ่งอยูทุกลมหายใจเขา - ออก๑ ฉะนั้น จึงมีไดหลายแบบ ถามีการกําหนด โดยใช ล มหายใจเป น หลั ก แล ว ก็ เ รี ย กว า อานาปานสติ ไ ด ด ว ยกั น ทุ ก แบบ แต แ บบ ที่ พ ระองค ใ ช เ ป น วิ ห ารธรรม ทรงสรรเสริ ญ และทรงแนะให บุ ค คลอื่ น ประพฤติ ปฏิบ ัต ินั ้น ไดแ กอ านาปานสติ แบบที ่ป ระกอบดว ยวัต ถุ ๑๖ หรือ ที ่เ รีย กกัน ในที่นี้วา อานาปานสติ ๑๖ ขั้น ดังที่กลาวแลวในขอ ก. และมีรายละเอียด แหงการปฏิบัติโดยพิสดาร ดังที่กลาวแลวขางตนทั้ง ๑๖ ขั้น. สําหรับอานาปานสติ อ ย า งอื่ น ซึ่ ง น า จะทราบไว เ ป น ตั ว อย า ง ก็ อ าจจะทราบได จ ากเรื่ อ งราวที่ ปรากฏอยูในมหาวาร. สํ.เอกธัมมวรรคอานาปานสังยุตต (๑๙ / ๓๙๘ / ๑๓๑๗).
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๑
การบรรยายครั้งที่ ๖๖ / ๑๑ มกราคม ๒๕๐๓
www.buddhadasa.in.th
พระพุทธวจนะ เนื่องดวยอานาปานสติ
๕๒๕
ในที ่นั ้น มีเ รื ่อ งกลา ววา พระผู ม ีพ ระภาคเจา ไดต รัส ถามขึ ้น ทา มกลางหมู ภ ิก ษุ ผู ป ระชุ ม กั น อยู ถึ ง เรื่ อ งอานาปานสติ ภิ ก ษุ ชื่ อ อริ ฏ ฐะได ทู ล ตอบสนอง และมี ก าร ซักไซไลเลียงกัน ดังตอไปนี้ :ภิกษุ ท. ! พวกเธอทั้งหลาย ยอมเจริญอานาปานสติกันหรือไม ? “ขาแตพระองคผูเจริญ ! ขาพระองคแล ยอมเจริญอานาปานสติ.” ดูกอนอริฏฐะ ! ก็เธอยอมเจริญอานาปานสติอยางไรเลา ? “ขาแตพระองคผูเจริญ ! ขาพระองคยอมเจริญอานาปานสติ ดวยอาการ อยางนี้วา ‘กามฉันทะ ในกามทั้งหลายอันเปนอดีต เราก็ละเสียแลว ; กามฉันทะ ในกาม ทั้งหลายอันเปนอนาคตของเราก็ไมมี ; ปฏิฆะสัญญาในธรรมทั้งหลาย ทั้งที่เปนภายในและ ภายนอก เราก็นําออกเสียไดดวยดีแลว ; เรานั้นมีสติอยูเทียวจักหายใจเขา มีสติอยูเทียว จักหายใจออก’ ดังนี้. ขาแตพระองคผูเจริญ ! ขาพระองคยอมเจริญอานาปานสติดวย อาการอยางนี้แล.”
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ดูกอนอริฏฐะ ! อานาปานสติเชนนั้นก็มีอยูเหมือนกัน ; เรามิได กลาววาอานาปานสติเชนนั้นไมมี ; ดูกอนอริฏฐะ ! แตวาอานาปานสติที่สมบูรณ โดยพิสดาร ยอมมีอยูอยางไร, เธอจงฟงซึ่งอานาปานสตินั้น ; เธอจงทําในใจ ใหดี ; เราจักกลาวบัดนี้.
ดูกอนอริฏฐะ ! อานาปานสติที่สมบูรณโดยพิสดารนั้นเปนอยางไรเลา ? ดู ก อ นอริ ฏ ฐะ ! ภิ ก ษุ ใ นธรรมวิ นั ย นี้ ไปแล ว สู ป า ก็ ต ามไ ปแล ว สู โ คนไม ก็ ต าม
www.buddhadasa.in.th
๕๒๖
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๓
ไปสู เ รือ นวา งก็ต าม นั ่ง คู ข าเขา มาโดยรอบแลว ตั ้ง กายตรง ดํ า รงสติมั ่น ; ภิ ก ษุ นั้ น มี ส ติ อ ยู นั่ น เที ย ว หายใจเข า สติ อ ยู นั่ น เที ย ว หายใจออก (มี ข อ ความ เราเปนผูตามเห็นซึ่งความสลัดคืนอยู เหมือนที่กลาวไวในขอ ก. จนกระทั่งถึงคําวา) เปนประจํา จักหายใจออก ดังนี้ ดูกอนอริฏฐะ ! อานาปานสติที่สมบูรณโดยพิสดาร มีอยูอยางนี้แล. ข อ ที่ พึ ง สั ง เกตมี อ ยู ว า พระองค มิ ไ ด ท รงปฏิ เ สธ ว า อานาปานสติ ส มาธิ อยา งของอริฏ ฐะภิก ษุนั ้น ใชไ มไ ด เปน แตต รัส วา ไมบ ริบ ูร ณ และไมพ ิส ดาร. คํ า ว า บริ บู ร ณ ในที่ นี้ หมายถึ ง สมบู ร ณ ห รื อ สิ้ น เชิ ง คื อ ตั้ ง แต ต น จนตลอดสาย จนถึงกับทําความสิ้นอาสวะได. คําวาพิสดารหมายถึงละเอียดลออ ชัดเจนแจมแจง. แม ว า อานาปานสติ อ ย า งของอริ ฏ ฐะภิ ก ษุ จะมิ ใ ช อ านาปานสติ ที่ ส มบู ร ณ ก็ ยั ง เป น สิ่ ง ที่ ค วรได รั บ การพิ จ ารณาดู อ ย า งละเอี ย ด เพื่ อ เข า ใจสิ่ ง ที่ เ รี ย กว า อานาปานสติ โดยสมบูรณอีกนั่นเอง. จากขอความที่ปรากฏอยูนั้น ทําใหเราเห็นไดวา การ เจริ ญ อานาปานสติ อ ย า งนั้ น เป น การกํ า หนดความที่ ต นเป น อยู โ ดยปราศจาก อกุ ศ ลวิ ต ก มี ความพอใจในการกระทํ า หรื อ ความเป น อยู ของตน แล ว มี ส ติ กํ าหนด ความเปนอยา งนั้น หายใจเขาอยู หายใจออกอยู. ถาจะเปรียบเทียบกัน กับ อานาปานสติมีวัตถุ ๑๖ ก็อาจสงเคราะหลงไดในอานาปานสติขั้นที่ ๕ ; แมกระนั้น แล ว ก็ ยั ง ไม ส มบู ร ณ อ ยู นั่ น เอง เพราะปราศจากการพิ จ ารณาป ติ นั้ น โดยความ เปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา. สวนขอ ที่จัดเปนอานาปานสติไดนั้น ก็เนื่องจาก มีการกําหนดธรรมปติ หรือธรรมนันทิอยูอยางระมัดระวังทุกลมหายใจเขา – ออก นั่นเอง. สรุปความวา ถามีการกําหนดอารมณอยางใดอยางหนึ่งอยู ทุกครั้ง ที่หายใจเขา – ออกแลว ยอมจัดเปนอานาปานสติไดดวยกันทั้งนั้น สวนที่จะจัด เปน ธรรมหรือ ไมเ ปน ธรรม บริบ ูร ณห รือ ไมบ ริบ ูร ณ พิส ดารหรือ ไมพ ิส ดารนั ้น เปนอีกเรื่องหนึ่ง.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
พระพุทธวจนะ เนื่องดวยอานาปานสติ
๕๒๗
อีก ทางหนึ ่ง เราอาจจะเห็น ไดพ รอ มกัน ไปในตัว วา อานาปานสติ ที่ ส มบู ร ณ ต ามแบบของพระผู มี พ ระภาคเจ า นั้ น มี แ ต อ านาปานสติ ที่ ป ระกอบด ว ย วัต ถุ ๑๖ อยา งเดีย วเทา นั ้น เพราะปรากฏวา ไมว า จะตรัส ไวใ นที ่ไ หน เมื ่อ ไร ก็ลว นแตต รัส อยา งนี้เ หมือ นกัน ทุก ตัว อัก ษร ; ฉะนั้น จึง ยุติเ ปน หลัก ไดวา อานาปานสติ ที่ สมบู รณ ถึ งที่ สุ ด คื อทํ าความสิ้ นอาสวะได ต องหมายถึ งอานาปานสติ มีว ัต ถุ ๑๖ นี ้ ซึ ่ง เราอาจจะวิน ิจ ฉัย ไดว า ทํ า ความสมบูร ณใ หไ ดอ ยา งไร ดว ย พระพุทธภาษิตที่ตรัสไวในที่อื่นสืบไป. (ช) ขอที่อานาปานสติมีวัตถุ ๑๖ มีความสมบูรณในการทําที่สุด แห ง ทุ ก ข นั้ น โดยหลั ก ใหญ ย อ มหมายถึ ง ข อ ที่ อ านาปานสติ มี วั ต ถุ ๑๖ นี้ เมื่ อ บุ ค คลเจริ ญ เต็ ม ที่ แ ล ว ย อ มเป น การทํ า สติ ป ฏ ฐาน ๔ โพชฌงค ๗ และวิ ช ชา และวิ มุ ต ติ ใ ห เ กิ ด ขึ้ น ได ด ว ยอาการดั ง ที่ ต รั ส ไว อ ย า งละเอี ย ดในอานาปานสติ สู ต ร อุปริปณณาสก มัชฌิมนิกาย (๑๔ / ๑๙๕ / ๒๘๙) และ มหาวาร. สํ. (๑๙๔ / ๐๙ / ๑๓๕๘) วา :
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org “ภิกษุ ท. ! ก็อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแลว ทําใหมากแลว อยางไรเลา จึงทําสติปฏฐานทั้ง ๔ ใหบริบูรณได ?
ภิกษุ ท. ! สมัยใด ภิกษุ (๑) เมื่อหายใจเขายาว ก็รูสึกตัวทั่วถึงวา เราหายใจเขายาว ; เมื่อหายใจออกยาว ก็รูสึกตัวทั่วถึง วาเราหายใจออกยาว ดัง นี้ก็ดี ; (๒) เมื่อ หายใจเขา สั้น ก็รูสึก ตัว ทั่ว ถึง วา เราหายใจเขา สั้น ; เมื่อหายใจออกสั้น ก็รูสึกตัวทั่วถึง วาเราหายใจออกสั้น ดังนี้ก็ดี ; (๓) ยอมทํา ในบทศึ ก ษาว า เราเป น ผู รู พ ร อ มเฉพาะซึ่ ง กายทั้ ง ปวง จั ก หายใจเข า จั ก หายใจ ออกดั ง นี้ ก็ ดี ; (๔) ย อ มทํ า ในบทศึ ก ษาว า เราเป น ผู ทํ า กายสั ง ขารให รํ า งั บ อยู
www.buddhadasa.in.th
๕๒๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๓
จักหายใจเขา จักหายใจออก ดังนี้ก็ดี ; ภิกษุ ท. ! สมัยนั้น ภิกษุนั้น ชื่อวา เป นผู ตามเห็ นกายในกายอยู เป นประจํ า เป นผู มี ความเพี ยรเผากิ เลส มี สั มปชั ญญะ มีสติ นําอภิชณาและโทมนัสในโลกออกเสียได. ภิกษุ ท. ! เรายอมกลาววา ลมหายใจเข า และลมหายใจออก ว าเป นกายอย างหนึ่ ง ๆ ในบรรดากายทั้ งหลาย. ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในกรณีนี้ ภิกษุนั้น ยอมชื่อวา เปนผูตามเห็นกายในกาย อยูเปนประจํา. (ข อ นี้ อ ธิ บ ายว า การกํ า หนดลมหายใจทั้ ง ๔ ขั้ น นั้ น ชื่ อ ว า การกํ า หนดกายในกาย เพราะพระองคทรงเรียกลมหายใจวากาย . . . เมื่อกําหนดและพิจารณาลมหายใจอยู ก็ชื่อวากําหนด และพิจ ารณากายอยู ในบรรดาทั ้ง หลาย อัน นี ้เ รีย กวา กายานุป ส สนาสติป ฏ ฐาน จัด เปน สติปฏฐานที่หนึ่ง.)
ภิกษุ ท. ! สมัยใด ภิกษุ (๕) ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผู รูพรอมเฉพาะซึ่งปติ จักหายใจเขา จักหายใจออก ดังนี้ก็ดี ; (๖) ยอมทําในบท ศึ ก ษาว า เราเป น ผู รู พ ร อ มเฉพาะซึ่ ง สุ ข จั ก หายใจเข า จั ก หายใจออก ดั ง นี้ ก็ ดี (๗) ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร จักหายใจเขา จักหายใจออก ดังนี้ก็ดี ; (๗) ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร ใหรํางับอยู จักหายใจเขา จักหายใจออก ดังนี้ก็ดี ; ภิกษุ ท. ! สมัยนั้น ภิกษุนั้น ชื่ อ ว า เป น ผู ต ามเห็ น เวทนาในเวทนาทั้ ง หลายอยู เ ป น ประจํ า เป น ผู มี ค วามเพี ย รเผา กิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นําอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได. ภิกษุ ท.! เราย อ มกล า วว า การทํ า ในใจเป น อย า งดี ถึ ง ลมหายใจเข า และลมหายใจออก วานั่นเปนเวทนาอยางหนึ่ง ๆ ในบรรดาเวทนาทั้งหลาย. ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้น ในกรณี นี้ ภิ ก ษุ นั้ น ย อ มชื่ อ ว า เป น ผู ต ามเห็ น เวทนาในเวทนาทั้ ง หลายอยู เ ป น ประจํา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
พระพุทธวจนะ เนื่องดวยอานาปานสติ
๕๒๙
(ขอ นี ้อ ธิบ ายวา ความรู ส ึก ในใจตา ง ๆ ที ่เ กิด ขึ ้น มาจากการกํ า หนดลมหายใจ นั ้น แหละเรีย กวา เวทนา ดัง ที ่พ ระผู ม ีพ ระภาคเจา ตรัส ไว ฉะนั ้น การกํ า หนดความรู ส ึก เหลา นั ้น ได ชื่ อ ว า เป นการกํ า หนดเวทนา และเรี ยกโดยบาลี ว า และเรี ยกโดยบาลี ว า เวทนานุ ป สสนาสติ ป ฏ ฐาน จัดเปนสติปฏฐานที่สอง.)
ภิกษุ ท. ! สมัยใด ภิกษุ (๙) ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูรูพรอม เฉพาะซึ่งปติ จักหายใจเขา จักหายใจออก ดังนี้ก็ดี ; (๑๐) ยอมทําในบทศึกษา ว า เราเป น ผู ทํ า จิ ต ให ป ราโมทย ยิ่ ง อยู จั ก หายใจเข า จั ก หายใจออก ดั ง นี้ ก็ ดี ; (๑๑) ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูทําจิตใหตั้งมั่นอยู จักหายใจเขา จักหายใจ ออก ดังนี้ก็ดี ; (๑๒) ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูทําจิตใหปลอยอยู จัก หายใจเขา จักหายใจออก ดังนี้ก็ดี ; ภิกษุ ท. ! สมัยนั้น ภิกษุนั้น ชื่อวาเปนผู ตามเห็ น จิ ต ในจิ ต อยู เ ป น ประจํ า เป น ผู มี ค วามเพี ย รเผากิ เ ลส มี สั ม ปชั ญ ญะ มี ส ติ นําอภิชฌา และโทมนัสในโลกออกเสียได ; ภิกษุ ท. ! เราไมกลาววาอานาปานสติ เปนสิ่งที่มีได แกบุคคลผูมีสติอันลืมหลงแลว ผูไมมีสัมปชัญญะ. ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในกรณีนี้ ภิกษุนั้น ยอมชื่อวา เปนผูตามเห็นจิตในจิตอยูเปนประจํา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org (ข อ นี้ อ ธิ บ ายว า ผู มี ส ติ ลื ม หลงหรื อ ไม มี สั ม ปชั ญ ญะนั้ น ชื่ อ ว า ไม มี จิ ต ย อ มไม ส ามารถ กํ า หนดอานาปานสติ ซึ่ ง เป น การกํ า หนดด ว ยสติ ห รื อ จิ ต ซึ่ ง เรี ย กเป น บาลี ว า จิ ต ตานุ ป ส สนาสติ ปฏฐาน จัดเปนสติปฏฐานที่สาม.)
ภิกษุ ท. ! สมัยใด ภิกษุ (๑๓) ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูตามเห็น ความไมเที่ยงอยูเปนประจํา จักหายใจเขา จักหายใจออก ดังนี้ก็ดี ; (๑๔) ยอม ทํ า ในบทศึ ก ษาว า เราเป น ผู ต ามเห็ น ความจางคลายอยู เ ป น ประจํ า จั ก หายใจเข า จั ก หายใจออก ดั ง นี้ ก็ ดี ; (๑๕)ย อ มทํ า ในบทศึ ก ษาว า เราเป น ผู ต ามเห็ น ซึ่ ง ความ
www.buddhadasa.in.th
๕๓๐
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๓
ดับไมเหลืออยูเปนประจํา จักหายใจเขา จักหายใจออก ดังนี้ก็ดี ; (๑๖) ยอมทํา ในบทศึ ก ษาว า เราเป น ผู ต ามเห็ น ซึ่ ง ความสลั ด คื น อยู เ ป น ประจํ า จั ก หายใจเข า จักหายใจออก ดังนี้ก็ดี ; ภิกษุ ท. ! สมัยนั้น ภิกษุนั้น ชื่อวาเปนผูตามเห็นธรรม ในธรรมทั้ ง หลายอยู เ ป น ประจํ า เป น ผู มี ค วามเพี ย รเผากิ เ ลส มี สั ม ปชั ญ ญะ มี ส ติ นําอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได ; ภิกษุ ท. ! ภิกษุนั้นเปนผูเขาไปเพง เฉพาะเปน อยา งดีแ ลว เพราะเธอเห็น การละอภิช าแลโทมนัส ทั ้ง หลายของเธอ นั้นดวยปญญา ; ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในกรณีนี้ ภิกษุนั้น ยอมชื่อวา เปนผูตามเห็นธรรมในธรรมอยูเปนประจํา. (ข อ นี้ อ ธิ บ ายว า ลั ก ษณะแห ง ความไม เ ที่ ย ง ความจางคลาย ความดั บ ไม เ หลื อ และ ความสลั ด คื น ก็ ดี ลั ก ษณะแห ง อนิ จ จั ง ทุ ก ขั ง อนั ต ตา หรื อ สุ ญ ญตาก็ ดี ตลอดถึ ง ลั ก ษณะแห ง ความหลุด พน จากกิเ ลส อัน เปน ผลสุด ทา ยที ่เ นื ่อ งมาจากเห็น ลัก ษณะทั ้ง หลายขา งตน ก็ด ี ลว น แตเรียกวาธรรมในกรณีนี้ดวยกันทั้งนั้น. พระผูมีพระภาคเจา ทรงเล็งถึงผลแหงการปฏิบัติหมวดนี้ ว า เป น ธรรม จึ ง ได ต รั ส เอาการละอภิ ช ฌาและโทมนั ส เสี ย ได ว า เป น สิ่ ง ที่ ภิ ก ษุ นั้ น ตามเห็ น อยู ใ น กรณีนี ้ และทรงบัญ ญัต ิว า นั ่น เปน การเห็น ธรรมในบรรดาธรรมทั ้ง หลาย ซึ ่ง เรีย กโดยบาลีว า ธัมมานุปสสนาสติปฏฐาน จัดเปนสติปฏฐานที่สี่.)
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ภิกษุ ท. ! อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแลว ทําใหมากแลว อยางนี้แล ยอมทําสติปฏฐานทั้ง ๔ ใหบริบูรณ.” ทั้ ง หมดนี้ เป น การแสดงให เ ห็ น ว า ในอานาปานสติ ทั้ ง ๑๖ วั ต ถุ นั้ น มี สติ ป ฏฐาน ๔ รวมอยู ด วยในตั ว หรื อว าเป นสติ ป ฏฐาน ๔ อยู ในตั ว พร อมกั นไป ในคราวเดียวกันโดยลักษณะอยา งไร. ตอ นี้ไ ป เปนพระพุทธภาษิตที่แสดงวา สติปฏฐานทั้ง ๔ นั้น จะกระทําโพชฌงคทั้ง ๗ ใหบริบูรณไดอยางไรสืบไป :ภิกษุ ท. ! ก็สติปฏฐานทั้ง ๔ อันบุคคลเจริญแลว ทําใหมากแลว อยางไรเลา จึงทําโพชฌงคทั้ง ๗ ใหบริบูรณได ?
www.buddhadasa.in.th
พระพุทธวจนะ เนื่องดวยอานาปานสติ
๕๓๑
ภิกษุ ท. ! สมัยใด๑ ภิกษุเปนผูตามเห็นกายในกายอยูเปนประจําก็ดี ; เปนผูตามเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยูเปนประจําก็ดี ; เปนผูตามเห็นจิตในจิต อยูเ ปน ประจํา ก็ดี ; เปน ผูต ามเห็น ธรรมในธรรมทั้ง หลายอยูเ ปน ประจํา ก็ดี ; มี ความเพี ยรเผากิ เลส มี สั มปชั ญญะ มี สติ นํ าอภิ ชฌาและโทมนั สในโลกออกเสี ยได ; สมัยนั้น สติที่ภิกษุเขาไปตั้งไวแลว ก็เปนธรรมชาติไมลืมหลง. ภิกษุ ท. ! สมัยใด สติที ่ภ ิก ษุเ ขา ไปตั ้ง ไวแ ลว เปน ธรรมชาติไ มล ืม หลง สมัย นั ้น สติส ัม โพชฌงค ก็เปนอันวาภิกษุนั้นปรารภแลว ; สมัยนั้น ภิกษุชื่อวา ยอมเจริญสติสัมโพชฌงค ; สมั ย นั้ น สติ สั ม โพชฌงค ข องภิ ก ษุ นั้ น ชื่ อ ว า ถึ ง ความเต็ ม รอบแห ง การเจริ ญ ; ภิ ก ษุ นั้ น เมื่ อ เป น ผู มี ส ติ เ ช น นั้ น อยู ชื่ อ ว า ย อ มทํ า การเลื อ ก ย อ มทํ า การเฟ น ย อ ม ทําการใครครวญ ซึ่งธรรมนั้นดวยปญญา. (ข อ นี้ อ ธิ บ ายว า เมื่ อ การตามเห็ น กาย ตามเห็ น เวทนา ตามเห็ น จิ ต ตามเห็ น ธรรม อยู โดยนั ย แห ง จตุ ก กะทั้ ง ๔ แล ว ก็ ย อ มมี ก ารกํ า หนดสติ ใ นสิ่ ง เหล า นั้ น อยู สติ ที่ เ ป น การกํ า หนด นั้น เอง ชื่อ วา สติสัม โพชฌงคใ นที่นี้. สรุป ความสั้น ๆ วา เมื่อ มีก ารเจริญ อานาปานสติมีวัต ถุ ๑๖ อยู ก็ยอ มมีสติสัมโพชฌงคหรือ เปนสติสัมโพชฌงคอ ยูในตัว . ถาการเจริญอานาปานสติถึง ที่สุด การเจริญ สัม โพชฌงค ก็เ ปน อัน วา ถึง ที่สุด ดว ย นี่อ ยา งหนึ่ง ; อีก อยา งหนึ่ง เมื่อ มีส ติสั ม โพชฌงค อ ยู ด ว ยอาการเช น นั้ น ย อ มชื่ อ ว า มี ก ารเลื อ กเฟ น ใคร ค รวญซึ่ ง ธรรรมนั้ น ด ว ยป ญ ญา ดั ง จะเห็ น ได ชั ด ในการพิ จ ารณาองค ฌ านขั้ น ป ติ แ ละสุ ข เป น ต น หรื อ พิจ ารณาในฐานะที ่เ ปน เวทนา ก็ต าม โดยความเปน อนิจ จัง ทุก ขัง อนัต ตาก็ด ี โดยที ่เ วทนานั ้น มีเ หตุป จ จัย อะไรปรุง แตง ก็ดี หรื อ โดยที่ เ วทนานั้ น ปรุ ง แต ง สิ่ ง อื่ น สื บ ไปก็ ดี หรื อ แม ที่ สุ ด แต ก ารสโมธานมาซึ่ ง ธรรมการรู โ คจร
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๑
การบรรยายครั้งที่ ๖๗ / ๑๒ มกราคม ๒๕๐๓
www.buddhadasa.in.th
๕๓๒
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๓
แหง ธรรมนั ้น ๆ และการแทงตลอดสมัต ถะแหง ธรรมนั ้น ๆ ก็ด ี มีร ายละเอีย ดดัง ที ่ก ลา วแลว ใน อานาปานสติขั ้น ที่ ๕ ; นั่น แหละ คือ การเลือ กเฟน ใครค รวญธรรม ซึ่ง เปน สิ่ง ที ่มีอ ยูโ ดย สมบู ร ณ แ ล ว ในการเจริ ญ อานาปานสติ หรื อ ในขณะที่ เ รี ย กว า มี ส ติ สั ม โพชฌงค ดั ง ที่ ก ล า วแล ว . สรุป ความวา เมื ่อ มีส ติส ัม โพชฌงคโ ดยอาการของอานาปานสติ ก็ย ม อมีก ารใครค รวญธรรม เพราะสติ ที่ สมบู รณ ย อ มทํ า การกํ า หนดในเบื้ อ งต น แล ว ทํ า การพิ จ ารณาในฐานะเป น อนุ ป สสนาญาณ ในลําดับ ถัดมา อยางที่เรียกวาเนื่องกันไปในตัว. การกําหนดชื่อว าสติ การพิจารณาชื่อวา การ เลือกเฟนใครครวญในที่นี้. เพราะฉะนั้น พระผูมีพระภาคเจาจึงตรัสวา “ภิกษุนั้น เมื่อเปนผูมีสติ เช น นั้ น อยู ย อ มทํ า การเลื อ ก ย อ มทํ า การเฟ น ย อ มทํ า การใคร ค รวญอยู ซึ่ ง ธรรมนั้ น ด ว ยป ญ ญา” ดังที่กลาวแลว.)
ภิกษุ ท. ! สมัยใด ภิกษุเปนผูมีสติเชนนั้นอยู ทําการเลือกเฟนทําการ ใคร ค รวญ ธรรมนั้ น อยู ด ว ยป ญ ญา สมั ย นั้ น ธรรมวิ จ ยสั ม โพชฌงค ก็ เ ป น อั น ว า ภิกษุนั้นปรารภแลว ; สมัยนั้น ภิกษุนั้น ชื่อวายอมเจริญธรรมวิจยสัมโพชฌงค; สมั ย นั้ น ธรรมวิ จ ยสั ม โพชฌงค ภิ ก ษุ นั้ น ชื่ อ ว า ถึ ง ความเต็ ม รอบแห ง การเจริ ญ . ภิ ก ษุ นั้ น เมื่ อ เลื อ กเฟ น ใคร ค รวญ ซึ่ ง ธรรมนั้ น ด ว ยป ญ ญาอยู ความเพี ย รอั น ไม ยอหยอน ก็ชื่อวาเปนธรรมอันภิกษุนั้นปรารภแลว. (ข อ นี้ อ ธิ บ ายว า เมื่ อ มี ก ารเจริ ญ อานาปานสติ วั ต ถุ ๑๖ อยู โดยลั ก ษณะที่ เ ป น สติ สั ม โพชฌงค และธรรมวิ จ ยสั ม โพชฌงค ดั ง ที่ ก ล า วแล ว ข า งต น ก็ ย อ มเห็ น ได ว า เป น สิ่ ง ที่ ต อ ง กระทําอยางขยันขันแข็ง ดวยความบากบั่นเต็มที่เพียงไร. ขอนี้ยอมคํานวณดูไดจากความเพียรที่ ใชไปในการเจริญอานาปานสติทั้ง ๑๖ วัตถุ ดังที่วินิจฉัยกันมาแลวขางตน. เพราะฉะนั้นพระผูมีพระภาคเจ า จึ ง ตรั ส ว า “ภิ ก ษุ นั้ น เมื่ อ เลื อ กเฟ น ใคร ค รวญซึ่ ง ธรรมนั้ น ด ว ยป ญ ญาอยู ความเพี ย ร อันไมยอหยอน ชื่อวาเปนธรรมอันภิกษุนั้นปรารภแลว” ดังนี้.)
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ภิกษุ ท. ! สมัยใด ความเพียรอันไมยอหยอน อันภิกษุผูเลือกเฟน ใครครวญธรรมดวยปญญา ไดปรารภแลว ; สมัยนั้น วิริยสัมโพชฌงคก็เปนอันวา ภิกษุนั้นปรารภแลว ; สมัยนั้น ภิกษุนั้น ยอมชื่อวาเจริญวิริยสัมโพชฌงค ; สมัยนั้น วิริยสัมโพชฌงคของภิกษุนั้นก็เต็มรอบแหงการเจริญ. ภิกษุนั้น เมื่อมีความเพียร อันปรารภแลวเชนนั้น ปติอันเปนนิรามิสก็เกิดขึ้น.
www.buddhadasa.in.th
พระพุทธวจนะ เนื่องดวยอานาปานสติ
๕๓๓
(ข อ นี้ อ ธิ บ ายว า ในการเจริ ญ อานาปานสติ มี วั ต ถุ ๑๖ ที่ เ ป น ไปด ว ยดี นั้ น ย อ มมี สติ สั ม โพชฌงค อ ยู ใ นตั ว โดยนั ย ดั ง ที่ ก ล า วแล ว จากวิ ริ ย สั ม โพชฌงค นั่ น เอง ป ติ ย อ มเกิ ด ขึ้ น ด ว ย อํา นาจธรรมฉัน ทะ ธรรมนัน ทิ กลา วคือ ความพอใจในการกระทํา ของตน หรือ ในการประสบ ความสํ า เร็ จ แห ง การปฏิ บั ติ ธ รรมขั้ น หนึ่ ง ๆ โดยอาการดั ง ที่ ก ล า ว ในตอนที่ ว า ด ว ยการเกิ ด ของป ติ ในอานาปานสติ ขั้นที่ ๕ เปนตน. ปติในที่นี้ชื่อวาเปนนิรามิส หมายความวาไมเจือดวยอามิส กล า วคื อ รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส สั ม ผั ส แต เ ป น ป ติ ที่ ป ระกอบด ว ยเนกขั ม มะ คื อ การเว น จากามโดย สิ้ น เชิ ง และเป น ป ติ อ าศั ย ธรรม หรื อ ความเป น ธรรมเกิ ด ขึ้ น เพราะเหตุ ฉ ะนั้ น พระผู มี พ ระภาคเจ า จึงตรัสวา “ภิกษุนั้น เมื่อมีความเพียรอันปรารภแลว ปติอันเปนนิรามิสก็เกิดขึ้น” ดังนี้.)
ภิกษุ ท. ! สมัยใด ปติอันเปนนิรามิส เกิดขึ้นแกภิกษุผูมีความเพียร อันปรารภแลว ; สมัยนั้น ปติสัมโพชฌงคก็เปนอันวาภิกษุนั้นปรารภแลว ; สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อวายอมเจริญปติสัมโพชฌงค ; สมัยนั้น ปติสัมโพชฌงคของ ภิกษุนั้น ชื่อวาถึงความเต็มรอบแหงการเจริญ. ภิกษุนั้นเมื่อมีใจประกอบดวยปติ แมกายก็รํางับ แมจิตก็รํางับ. (ข อนี้ อธิ บายว า การเจริ ญอานาปานสติ มี วั ตถุ ๑๖ เป นโพชฌงค อยู ในตั ว เป นลํ าดั บ มาตั้งแตสติสัมโพชฌงค ธรรมวิจยสัมโพชฌงค วิริยสัมโพชฌงค และปติสัมโพชฌงค. โดยนัย ดัง ที่ก ล า วแลว ด ว ยอํ า นาจของป ตินั่ น เอง ยอ มเกิ ด ความสงบรํ า งั บ ดัง ที่ กล า วแล ว ในอานาปานสติ ขั้นที่ ๔ โดยนั ยว าป ติ เกิ ดขึ้ น ลมหายใจยิ่ งละเอี ยดลง ซึ่ งหมายถึ งอาการแห งการรํ างั บโดยลั กษณะ แห ง สมถะนี้ อ ย า งหนึ่ ง และเมื่ อ มี ก ารพิ จ ารณาธรรม จนความเห็ น อนิ จ จั ง ทุ ก ขั ง อนั ต ตาปรากฏ ขึ ้น แลว ปต ิเ กิด ขึ ้น เพราะเหตุนั ้น ทํ า ลมหายใจใหล ะเอีย ดยิ ่ง ขึ ้น ซึ ่ง เปน อาการแหง ความรํ า งับ นั่น เอง แตเ ปน ความรํา งับ ตามนัย แหง วิปส สนา. เมื่อ รวมเขา ดว ยกัน ทั้ง ความรํา งับ โดยนัย แห ง สมถะและความรํ า งั บ โดยนั ย แห ง วิ ป ส สนา ย อ มชื่ อ ว า ความรํ า งั บ ถึ ง ที่ สุ ด และเป น ความรํ า งั บ ที่ เ กิ ด มาจากป ติ โ ดยตรง เพราะเหตุ นั้ น พระผู มี พ ระภาคเจ า จึ ง ตรั ส ไว ว า “ภิ ก ษุ นั้ น เมื่ อ มี ใ จ ประกอบดวยปติ แมกายก็รํางับ แมจิตก็รํางับ” ดังนี้.)
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ภิกษุ ท. ! สมัยใด ทั้งกายและทั้งจิตของภิกษุผูมีใจประกอบดวยปติ ยอมรํางับ ; สมัยนั้น ปสสัทธิสัมโพชฌงค ก็เปนอันวาภิกษุนั้นปรารภแลว ; สมัย นั ้น ภิก ษุนั ้น ยอ มชื ่อ วา เจริญ ปส สัท ธิส ัม โพชฌงค สมัย นั ้น ปส สัท ธิ สัมโพชฌงคของภิกษุนั้น ชื่อวาถึงความเต็มรอบแหงการเจริญ ; ภิกษุนั้น เมื่อมี การอันรํางับแลว มีความสุขอยู จิตยอมตั้งมั่นเปนสมาธิ.
www.buddhadasa.in.th
๕๓๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๓
(ข อ นี้ อ ธิ บ ายว า ในการเจริ ญ อานาปานสติ มี วั ต ถุ ๑๖ ย อ มประกอบอยู ด ว ยความเป น สั ม โพชฌงค ต า ง ๆ โดยนั ย ดั ง ที่ ก ล า วแล ว ข า งต น จนกระทั่ ง ถึ ง ป ส สั ท ธิ สั ม โพชฌงค กล า วคื อ ความ รํ า งั บ ทั้ ง กายและจิ ต สิ่ ง ที่ เ รี ย กว า ความสุ ข มี ร วมอยู ด ว ย ในความรํ า งั บ นั้ น ไม จํ า เป น จะต อ งแยก ออกมาเปนโพชฌงคอีกตางหาก. เมื่อกายรํางับ ก็สุขกาย เมื่อใจรํางับ ก็สุขใจ ฉะนั้น ความสุข จึง ถู กนับ รวมอยูด วย ในความรํา งับ ; ครั้น มีค วามรํา งับแล ว จิตยอ มมีความตั้ง มั่ น ซึ่ งเรี ยกวา สมาธิ. ความรํางับที่เปนองคฌาน หมายถึงปติและสุข ทําใหจิตตั้งมั่นอยางสมถะ, ความรํางับ ที่เกิดมาจากความเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ยอมทําใหจิตตั้งมั่น โดยนัยแหงวิปสสนา ; เมื่อ รวมกั น ทั้ ง ความตั้ ง มั่ น โดยนั ย แห ง สมถะ และโดยนั ย แห ง วิ ป ส สนา ย อ มเป น ความตั้ ง มั่ น ที่ ส มบู ร ณ ซึ่ง เรีย กวา ความตั้ง มั่น ในที่นี้. อานาปานสติขั้น ที่ห นึ่ง ถึง ที่สี่ มีค วามตั้ง มั่น โดยนัย แหง สมถะ อานาปานสติ ขั้ น ที่ ๕ ขึ้ น ไป มี ค วามตั้ ง มั่ น โดยนั ย แห ง วิ ป ส สนา เพราะทุ ก ขั้ น ทํ า ให เ กิ ด ความรํ า งั บ เพราะเหตุนั ้น พระผู ม ีพ ระภาคเจา จึง ตรัส วา “ภิก ษุนั ้น เมื ่อ มีก ายอัน รํ า งับ แลว มีค วามสุข อยู จิตยอมตั้งมั่น” ดังนี้.)
ภิกษุ ท. ! สมัยใด จิตของภิกษุผูมีกายอันรํางับแลว มีความสุขอยู ยอมเปนจิตตั้งมั่น ; สมัยนั้น สมาธิสัมโพชฌงค ก็เปนอันวาภิกษุนั้นปรารภแลว ; สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อวายอมเจริญสมาธิสัมโพชฌงค ; สมัยนั้น สมาธิสัมโพชฌงค ของภิกษุนั้น ชื่อวาถึงความเต็มรอบแหงการเจริญ ; ภิกษุนั้น ยอมเปนผูเขาไป เพงเฉพาะ ซึ่งจิตอันตั้งมั่นแลวอยางนั้น เปนอยางดี.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org (ข อ นี้ อ ธิ บ ายว า อานาปานสติ มี วั ต ถุ ๑๖ ย อ มทํ า ให เ กิ ด สั ม โพชงฌงค ต า ง ๆ กระทั่ ง สมาธิสัม โพชฌงค คือ ความที่จิต ตั้ง มั่น ทั้ง โดยนัย แหง สมถะและวิปส สนา. ความตั้ง มั่น โดยนัย แห ง สมถะเป น ความสงบรํ า งั บ ทํ า ให มี กํ า ลั ง หนุ น เนื่ อ งอยู ต ลอดไป ส ว นความตั้ ง มั่ น โดยนั ย แห ง วิปส สนานั้น เปน ความตั้ง มั่น ในการเห็น ธรรม ทํา ใหกิเ ลสรํา งับ ลง ดว ยอํ า นาจความรูแ จง เห็น แจง ซึ่งมีความตั้งมั่นดวยดีเหมือนกัน. การเพงตอความตั้งมั่นทั้ง ๒ อยางนี้ มีขึ้นตอเมื่อมีความ ตั ้ง มั ่น แลว จริง ๆ แลว คุม ความตั ้ง มั ่น ใหแ นว แนอ ยู ต ลอดเวลา จนกวา จะมีก ารบรรลุธ รรมใน เบื้อ งสูง . การคุม ความตั้ง มั่น ไวนั่น เอง เรีย กวา การเขา ไปเพง เฉพาะซึ่ง จิต อัน ตั้ง มั่น แลว โดย อุป มัย ที ่ไ ดก ลา วแลว หลายครั ้ง หลายหนวา เหมือ นนายสารถีที ่เ พีย งแตค ุม บัง เหีย นเฉยอยู ในเมื ่อ ม า และรถ และสิ่ ง ต า ง ๆ ได เ ป น ไปอย า งเรี ย บร อ ยแล ว ในอานาปานสติ ขั้ น ที่ ๕ และอานาปานสติ ขั้นที่ ๑๑ และขั้นอื่น ๆ อีกโดยปริยาย. เมื่อจิตตั้งมั่นแลวโดยนัยที่ ๒ คือทั้งโดยนัยแหงสมถะ และวิป ส สนา ผู ป ฏิบ ัต ิม ีห นา ที ่แ ตเ พีย งคุม ความตั ้ง มั ่น นั ้น ใหเ ปน ไปอยา งนั ้น อยู ต ลอดเวลา เปน การเผาลนกิเ ลสอยูใ นตัว เรื่อ ยไป จนกวา จะสิ้น สุด . เพราะฉะนั้น พระผูมีพ ระภาคเจา จึง ตรั ส ว า “ภิ ก ษุนั้ น ย อ มเป น ผู เข า ไปเพง เฉพาะซึ่ ง จิต อั น ตั้ ง มั่น แล ว อยา งนั้ น เปน อยา งดี” ดั ง นี้ .)
www.buddhadasa.in.th
พระพุทธวจนะ เนื่องดวยอานาปานสติ
๕๓๕
ภิกษุ ท. ! สมัยใด ภิกษุเปนผูเขาไปเพงเฉพาะ ซึ่งจิตตั้งมั่นแลว อยางนั้น เปนอยางดี ; สมัยนั้น อุเบกขาสัมโพชฌงค เปนอันวา ภิกษุนั้น ปรารภแลว ; สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อวา ยอมเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค ; สมัยนั้น อุเบกขาสัมโพชฌงคของภิกษุนั้น ชื่อวาถึงความเต็มรอบแหงการเจริญ. (ข อ นี้ อ ธิ บ ายว า อานาปานสติ มี วั ต ถุ ๑๖ สมบู ร ณ แ ล ว เมื่ อ มี ก ารเข า ไปเพ ง ซึ่ ง จิ ต อันเปน ขึ้นมาแลว ในรองรอยแหงสมถะและวิปสสนา แลวควบคุมความเปนอยางนั้นอยูตลอด เวลา เราเรีย กวา ความเพง ในที ่นี ้ หรือ เรีย กโดยบาลีว า อุเ บกขา ซึ ่ง แปลวา เขา ไปเพง หรือ เขา ไปดู อ ยู ต ลอดเวลา ที่ ค วามตั้ ง มั่ น นั้ น เผาลนกิ เ ลส และขณะที่ กิ เ ลสสู ญ สิ้ น ไปแล ว ในที่ สุ ด ก็ เ พ ง ความที ่ก ิเ ลสสิ ้น ไปนั ้น เอง เปน อารมณข องสติ ซึ ่ง มีใ นอานาปานสติจ ตุก กะที ่ ๔ ขั ้น ทา ย ๆ คือ ขั้นที่ ๑๔ - ๑๕ - ๑๖ อันเปนขั้นที่สัมโพชฌงคทั้งหลาย ไดเปนไปสมบูรณถึงที่สุดจริง ๆ. เพราะ เหตุ นั้ น พระผู มี พ ระภาคจึ ง ตรั ส เพี ย งการเต็ ม รอบ ของอุ เ บกขาสั ม โพชฌงค ในฐานะที่ เ ป น การ ปฏิบัติขั้นสุดทาย.)
ภิกษุ ท. ! สติปฏฐานทั้ง ๔ อันบุคคลเจริญแลว ทําใหมากแลว อยางนี้แล ยอมทําโพชฌงคทั้ง ๗ ใหบริบูรณได”. (ข อ นี้ อ ธิ บ ายว า เมื่ อ มี ก ารเจริ ญ อานาปานสติ มี วั ต ถุ ๑๖ อย า งเต็ ม ที่ ก็ ชื่ อ ว า มี ก าร เจริ ญ สติ ป ฏ ฐานทั้ ง ๔ อย า งเต็ ม ที่ เมื่ อ มี ก ารเจริ ญ สติ ป ฏ ฐานทั้ ง ๔ อย า งเต็ ม ที่ ก็ เ ป น การเจริ ญ โพชฌงค ทั้ ง ๗ อย า งเต็ ม ที่ เป น อั น ว า ในสิ่ ง ทั้ ง ๓ นี้ โดยพฤติ นั ย เมื่ อ กล า วถึ ง สิ่ ง ใด ก็ เ ป น อั น กลาวถึงสิ่งที่กลาวแลวทั้ง ๒ ที่เหลือดวย โดยไมมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได.)
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เมื่ อ โพชฌงค ทั้ ง ๗ บริ บู ร ณ แ ล ว ย อ มเป น การง า ย ที่ จ ะทํ า วิ ช ชาและ วิมุตติใหบริบูรณ ; หากแตวา การเจริญโพชฌงคนั้น จักตองเปนไปโดยถูกวิธี อย างยิ่ ง ซึ่ งท านจํ ากั ดความไว ว า โพชฌงค ที่ เจริ ญนั้ น ต องอาศั ยวิ เวก อาศั ยวิ ราคะ อาศั ย นิ โ รธ ซึ่ ง ทั้ ง ๓ อย า งนั้ น น อ มไปเพื่ อ โวสสั ค คะ กล า วคื อ การสละหรื อ การ สลัด สิ่งซึ่งเคยยึดถือไวดวยอุปาทานโดยประการทั้งปวงเทานั้น, อานาปาสติ ขั้ น ที่ ๑๖ เป น ไปเพื่ อ สิ่ ง เหล า นี้ โ ดยตรง เพราะฉะนั้ น โพชฌงค ต า ง ๆ ที่ เ กิ ด ขึ้ น ดวยการเจริญอานาปานสติ จึงเปนโพชฌงคที่ตรงตามวัตถุประสงค ในการที่จะ ทําวิชชาและวิมุตติใหบริบูรณ ดังที่พระพุทธภาษิตตรัสไวสืบไปวา ….
www.buddhadasa.in.th
๕๓๖
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๓
“ภิกษุ ท. ! โพชฌงคทั้ง ๗ อันบุคคลเจริญแลว ทําใหมากแลว อยางไรเลา จึงจะทําวิชชาและวิมุตติใหบริบูรณ ? ภิกษุ ท. ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้๑ ยอมเจริญสติสัมโพชฌงค อันอาศัย วิเวก อันอาศัยวิราคะ อันอาศัยนิโรธ อันนอมไปเพื่อโวสสัคคะ ; ย อ มเจริ ญ ธรรมวิ จ ยะสั ม โพชฌงค อั น อาศั ย วิ เ วก อั น อาศั ย วิ ร าคะ อันอาศัยนิโรธ อันนอมไปเพื่อโวสสัคคะ. ย อ มเจริ ญ วิ ริ ย สั ม โพชฌงค อั น อาศั ย วิ เ วก อั น อาศั ย วิ ร าคะ อั น อาศัยนิโรธ อันนอมไปเพื่อโวสสัคคะ. ย อ มเจริ ญ ป ติ สั ม โพชฌงค อั น อาศั ย วิ เ วก อั น อาศั ย วิ ร าคะ อั น อาศั ย นิโรธ อันนอมไปเพื่อโวสสัคคะ. ย อ มเจริ ญ ป ส สั ท ธิ สั ม โพชฌงค อั น อาศั ย วิ เ วก อั น อาศั ย วิ ร าคะ อั น อาศัยนิโรธ อันนอมไปเพื่อโวสสัคคะ. ย อมเจริ ญสมาธิ สั มโพชฌงค อั นอาศั ยวิ เวก อั นอาศั ยวิ ราคะ อั นอาศั ย นิโรธ อันนอมไปเพื่อโวสสัคคะ. ย อ มเจริ ญ อุ เ บกขาสั ม โพชฌงค อั น อาศั ย วิ เ วก อั น อาศั ย วิ ร าคะ อั น อาศัยนิโรธ อันนอมไปเพื่อโวสสัคคะ. ภิกษุ ท. ! โพชฌงคทั้ง ๗ อันบุคคลเจริญแลว ทําใหมากแลว อยางนี้ แล ยอมทําวิชชาและวิมุตติใหบริบูรณได” ดังนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๑
การบรรยายครั้งที่ ๖๘ / ๑๕ มกราคม ๒๕๐๓
www.buddhadasa.in.th
พระพุทธวจนะ เนื่องดวยอานาปานสติ
๕๓๗
ขอ นี ้อ ธิบ ายวา การเจริญ โพชฌงค ก็เ ปน เชน เดีย วกับ การเจริญ อานาปานสติ กล า วคื อ มี ห ลั ก เกณฑ อ ย า งหลายวิ ธี ต อ เมื่ อ เป น ไปอย า งถู ก ต อ ง ตามหลั ก เกณฑ เ ท า นั้ น จึ ง จะสํ า เร็ จ ประโยชน หรื อ ตรงตามที่ พ ระพุ ท ธองค ท รง ประสงค. อานาปานสติ อย า งของอริ ฏ ฐภิ ก ษุ ย อ มไม สํ า เร็ จ ประโยชน ต อ งเป น อานาปานสติที่มีวัต ถุ ๑๖ จึง จะสํา เร็จ ประโยชน. ขอ นี้ฉัน ใด กรณีข องการ เจริ ญ โพชฌงค ก็ ฉั น นั้ น กล า วคื อ การเจริ ญ โพชฌงค ใ นลั ก ษณะอย า งอื่ น ย อ ม ไม สํ า เร็ จ ประโยชน แต ต อ งเป น โพชฌงค ที่ อ าศั ย วิ เ วก ที่ อ าศั ย วิ ร าคะ ที่ อ าศั ย นิโรธ และที่นอมไปเพื่อโวสัคคะเทานั้น จึงจะสําเร็จประโยชน. คําวา อาศัยวิเวก หมายความวา การปฏิบัติของบุคคลนั้นปรารภวิเวก มีวิเวกเปนที่มุงหมาย. คําวา วิเวก โดยเฉพาะหมายถึงทั้งกายวิเวก จิตตวิเวก และอุปธิวิเวก. การเจริญอานาปานสติในที่สงัด ชื่อวาปรารภหรืออาศัยกายวิเวก อยูแลว ; การทําจิตใหสงบในอานาปานสติขั้นที่หนึ่งถึงขั้นที่สี่ เปนการปรารภ หรืออาศัยจิตตวิเวก ; อานาปานสติขั้นที่หาขึ้นไป จนถึงขั้นสุดทาย ยอมปรารภ หรืออาศัยอุปธิวิเวกโดยตรง และจัดเปนวิเวกอื่นโดยออม.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เพราะฉะนั้ น การเจรญิ สั ม โพชฌงค โดยอาศั ย อานาปานสติ เ ป น บาทฐาน จึงเปนการกระทําที่อาจกลาวไดวา อาศัยวิเวกโดยสมบูรณ. กายวิเวกแปลวา สงัดทางกาย คือกายไมถูกรบกวนดวยสิ่งแวดลอม. จิตตวิเวกแปลวาความสงัด ทางจิ ต หมายถึ ง จิ ต ที่ ไ ม ถู ก นิ ว รณ ร บกวน. อุ ป ธิ วิ เ วก แปลว า ความสงั ด จากอุ ป ธิ
www.buddhadasa.in.th
๕๓๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๓
หมายถึง สัน ดาน ไมม ีก ิเ ลสอัน ละเอีย ดประเภทสัญ โญชน อนุส ัย รบกวน ขอ นี้ ทําใหเห็นไดวา ขอปฏิบัติที่อาศัยวิเวก ยอมเปนขอปฏิบัติที่ถูกตรงถึงที่สุด. คํ าว า อาศั ยวิ ราคะ หมายความว า ปรารภหรื ออาศั ยความจางคลาย กล า วคื อ ความคลายออกของความกํ า หนั ด ซึ่ ง มี อ าการเหมื อ นกั บ การย อ มติ ด ของสิ่ งที่ ย อมผ า เป นต น ข อปฏิ บั ติ ที่ ทํ าให ราคะหน ายออก เรี ยกว าข อปฏิ บั ติ อาศั ย วิ ร าคะทั้ ง นั้ น การเจริ ญ อานาปานสติ ทํ า ให มี ก ารคลายออกจากอารมณ ท างกาม ไปตั ้ง แตต น จนปลาย แตใ นขั ้น ตน ๆ ยัง เปน ไปโดยออ มมากเกิน ไป จึง สัง เกต ได ย าก นั บ ตั้ ง แต อ านาปานสติ ขั้ น ที่ ห า เป น ต น ไป ย อ มเห็ น อาการที่ เ ป น ไปเพื่ อ วิราคะโดยชัดแจง และชัดแจงเปนพิเศษในอานาปานสติขั้นที่ ๑๔. เพราะฉะนั้น การเจริ ญ โพชฌงค ที่ ตั้ ง รากฐานอยู บ นอานาปานสติ จึ ง เป น โพชฌงค ที่ อ าศั ย วิราคะ. คําวา อาศัยนิโรธ หมายถึงปรารภหรืออาศัยความดับ หรือธรรม เป นที่ ดั บ ด วยความมุ งหมายจะไม ให มี การเกิ ดขึ้ น โดยนั ยแห งปฏิ จจสมุ ปบาทฝ าย สมุทยวาร ; แตประสงคจะใหมีการดับลง โดยอาการแหงปฏิจจนิโรธ ซึ่งมักชอบ เรียกกันวาปฏิจจสมุปบาทฝายนิโรธวาร. การเจริญอานาปานสติไมเปดโอกาส ให แ ก ก ารเกิ ด ขึ้ น ของปฏิ จ จสมุ ป บาทฝ า ยสมุ ท ยวาร โดยประการทั้ ง ปวง กล า วคื อ ไม มี ก ารปรุ ง แต ง ของสั ง ขารธรรม จนกระทั่ ง ความทุ ก ข เ กิ ด ขึ้ น โดยเฉพาะ เช น เวทนา จะถูก ทํ า ใหด ับ ไป ไมป รุง แตง สัญ ญาและวิต ก ดัง ที ่ก ลา วแลว ใน อานาปานสติขั้นที่แปดโดยละเอียด และในขั้นที่ ๑๕ อีกครั้งหนึ่งโดยงสรุป. การ ปฏิ บั ติ โ ดยทํ า นองนั้ น มี แ ต จ ะทํ า ให เ กิ ด ความดั บ มาเสี ย ตั้ ง แต ขั้ น ที่ ยั ง เป น เพี ย ง ผั ส สะด ว ยซ้ํ า ไป กล า วคื อ พอสั ก ว า กระทบผั ส สะ ก็ มี ส ติ ค วบคุ ม ไม ใ ห เ กิ ด เป น
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
พระพุทธวจนะ เนื่องดวยอานาปานสติ
๕๓๙
เวทนาขึ ้น มาได เรีย กวา ดับ ไปเสีย ตั ้ง แตใ นขั ้น ที ่เ ปน ผัส สะ ถา ดับ ไมไ ดใ นขั ้น ผั ส สะ คื อ เกิ ด เป น เวทนาขึ้ น เสี ย แล ว ก็ ใ ห ดั บ เสี ย เพี ย งขั้ น ที่ เ ป น เวทนา ไม ป ล อ ย ให ป รุ ง เป น สั ญ ญา คื อ ความสํ า คั ญ ว า เวทนาเป น ของเรา เป น ต น และไม ป ล อ ย ให สั ญ ญาปรุ ง จนเกิ ด วิ ต ก หรื อ ตั ณ หา อั น ได แ ก ค วามคิ ด อยากอย า งนั้ น อย า งนี้ จนกระทั่งเกิดทุกขตามควรแกตัณหานั้น. อานาปานสติ ยอมเปนไปเพื่อความ รํ า งั บ ความดั บ แห ง ปฏิ จ จสมุ ป บาทธรรมโดยอาการอย า งนี้ เ สมอไป เพราะฉะนั้ น การเจริ ญ โพชฌงค ที่ ตั้ ง รากฐานอยู บ นอานาปานสติ จึ ง เป น การปฏิ บั ติ ที่ อ าศั ย นิโรธโดยสมบูรณอีก อยางเดียวกัน. คําวา “นอมไปเพื่อโวสัคคะ” หมายความวา เปนไปเพื่อความสลัด หรื อ การปล อ ย การวาง ซึ่ ง สิ่ ง ที่ เ คยยึ ด ถื อ ไว โดยความเป น ตั ว ตน หรื อ โดยความ เปนของของตน. ตามปกติเบญจขันธที่เปนภายในทั้งหมด หรือสวนใดสวนหนึ่ง ถูกยึ ดถื อไว โดยความเป นตั วตน เบญจขั นธ ภายนอก หรื อเบญจขั นธ ที่ เหลื อจากนั้ น ถู กยึ ดถื อไว โดยความเป นของของตน เพราะฉะนั้ นสิ่ งที่ ถู กสละ จึ งได แก เบญจขั นธ ทั้งปวง ที่กําลังถูกยึดถืออยูดวยอุปาทานนั่นเอง. การเจริญอานาปานสติที่เปนไป อย างถู กต อง กล าวคื อ ที่ เป นสติ ป ฏฐานทั้ งสี่ อยู ในตั ว ดั งที่ กล าวมาแล วข างต นนั้ น ย อมสลั ดความยึ ดถื อว าตน หรื อของของตนมาแล วตั้ งแต ต นที เดี ยว กล าวคื อ เมื่ อ มี การพิ จารณาลมหายใจ โดยประการใดก็ ตาม ย อมกํ าหนดลมหายใจ หรื อกายนั้ น โดยความเปน ของไมใ ชต น หรือ ไมใ ชส ัต ว ไมใ ชบ ุค คล มาแลว โดยปริย าย ; ในการกํ า หนดเวทนาและจิ ต ก็ มี ก ารพิ จ ารณาโดยทํ า นองนั้ น เป น ลํ า ดั บ มาและสู ง ยิ่งขึ้น. ครั้นมาถึงอานาปานสติขั้นที่ ๑๖ มีการยอนกลับไปพิจารณาโดยความ ไมใ ชต นนี ้ ตั ้ง ตน มาใหมตั ้ง แตขั ้น ที ่ห นึ ่ง เปน ลํ า ดับ มาอีก ครั ้ง หนึ ่ง ฉะนั ้น ในการเจริ ญ อานาปานสติ ที่ ส มบู ร ณ ด ว ยวั ต ถุ ๑๖ จึ ง มี ก ารพิ จ ารณา ที่ เ ป น การ
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๕๔๐
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๓
สลั ด คื น สิ่ ง ทั้ ง ปวง โดยประการทั้ ง ปวง จากความเป น ตั ว ตนและเป น ของของตน อยา งสิ้น เชิง . โดยเหตุดัง กลา วมานี้ การเจริญ โพชฌงคที่ตั้ง รากฐานอยูบ น อานาปานสติ มีวัตถุ ๑๖ จึงไดชื่อวา “โวสสัคคปริณามี” คือนอมไปรอบเพื่อการ ปลอยลง หรือสลัดลงโดยสมบูรณ ดังนี้. เมื่ อ พิ จ ารณาดู อี ก ทางหนึ่ ง ย อ มพบว า ชื่ อ ทั้ ง ๔ นี้ คื อ วิ เ วกก็ ดี วิร าคะก็ด ี นิโ รธก็ด ี และโวสัค คะก็ด ี เปน คํ า แทนชื ่อ ของคํ า วา “นิพ พาน” เพราะวาอาการทั้ ง ๔ นั้ นเมื่ อเป นไปถึงที่ สุดแล ว ย อมหมายถึ งการบรรลุ ถึ งนิ พพาน : วิเวกเปนชื่อของนิพพาน เพราะสลัดจากกิเลสและความทุกข. วิราคะเปนชื่อของ นิพพาน เพราะความจางออกของกิเลส โดยไมมีสวนเหลือ. นิโรธเปนชื่อของ นิพาน เพราะการดับความปรุงแตงโดยสิ้นเชิง. โวสสัคคะ เปนชื่อของนิพพาน เพราะความไมมีอะไรเกี่ยวเกาะโดยประการทั้งปวง. ฉะนั้น เมื่อถือเอาโดยนัยนี้ เป นอั นกล าวได ว า การเจริ ญโพชฌงค ที่ ตั้ งรากฐานอยู บนอานาปานสติ มี วั ตถุ ๑๖ นั้ น ย อ มเป น การปฏิ บั ติ ที่ เ ป น ไปเพื่ อ นิ พ พานโดยตรง แล ว ทํ า ไมจะไม ทํ า ให วิ ช ชา และวิมุตติสมบูรณไดเลา.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org เมื่ อมี การแยกกล าวเป นวิ ชชาและวิ มุ ตติ ก็ หมายความว า กล าวถึ งความ รูกับความหลุดพน. ญาณตาง ๆ ในอานาปานสติทั้งหมด เรียกวาวิชชาในที่นี้, ผลของอานาปานสติ คื อความหลุ ดพ นจากิ เลสและความทุ กข เรี ยกว าวิ มุ ตติ ในที่ นี้ . เพราะฉะนั้น การเจริ ญโพชฌงค ที่ ตั้ งรากฐานอยู บนอานาปานสติ มี วัตถุ ๑๖ ย อม ทําวิชชาและวิมุตติใหบริบูรณได.
www.buddhadasa.in.th
พระพุทธวจนะ เนื่องดวยอานาปานสติ
๕๔๑
จากขอความทั้งหมดนี้ ทําใหสรุปความไดวา การเจริญอานาปานสติ ที่ มี ผลใหญ มี อานิ สงส ใหญ นั้ น ได แก การเจริ ญอานาปานสติ มี วั ตถุ ๑๖ ดั งที่ กล าว มาแล ว เพราะเป น อานาปานสติ ที่ ทํ า สติ ป ฏ ฐานทั้ ง ๔ ให บ ริ บู ร ณ และทํ า โพชฌงค ๗ ให บ ริ บู ร ณ และทํ า วิ ช ชาและวิ มุ ต ติ ใ ห บ ริ บู ร ณ ใ นที่ สุ ด หรื อ ถ า กล า ว กลั บ กั น ก็ ก ล า วได ว า การเจริ ญ สติ ป ฏ ฐานและการเจริ ญ โพชฌงค ที่ เ ป น ไปอย า ง สํา เร็ จ ประโยชน ถึ งที่ สุ ด นั้น ต อ งตั้ ง รากฐานอยู บ นอานาปานสติ หรื อ ประกอบ ด ว ยอานาปานสติ อ ยู ใ นตั ว สมดั ง พระพุ ท ธภาษิ ต ที่ ค วรอ า งถึ ง เป น ข อ สุ ด ท า ยจาก มหาวาร. สํ. (๑๙ / ๓๙๕ / ๑๓๐๘) อีกครั้งหนึ่งวา :“ภิกษุ ท. ! อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแลว ทําใหมากแลว อยางไรเลาจึงมีผลใหญ มีอานิสงสใหญ ? ภิกษุ ท. ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ยอมเจริญสติสัมโพชฌงค สหรคตะ ดวยอานาปานสติ (คือทําพรอมกับอานาปานสติ)…. ; ยอมเจริญธรรมวิจยสัมโพชฌงค สหรคตะดวยอานาปานสติ…. ; ยอมเจริญวิริยสัมโพชฌงค สหรคตะ ดวยอานาปานสติ…. ; ยอมเจริญปติสัมโพชฌงค สหรคตะดวยอานาปานสติ…. ; ยอมเจริญปสสัทธิสัมโพชฌงค สหรคตะดวยอานาปานสติ…. ; ยอมเจริญ สมาธิสัม โพชฌงค สหรคตะดว ยอานาปานสติ…. ; ยอ มเจริญ อุเ บกขา สัมโพชฌงค สหรคตะดวยอานาปานสติ…. ; เปนโพชฌงคที่อาศัยวิเวก เปน โพชฌงคที ่อ าศัย วิร าคะ เปน โพชฌงคที ่อ าศัย นิโ รธ เปน โพชฌงคที่น อ มไป เพื่อโวสสัคคะ. ภิกษุ ท. ! อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแลว ทําใหมากแลวอยางนี้แล ยอมมีผลใหญ มีอานิสงสใหญ” ดังนี้.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
ตอน ยี่สิบสี่ ผนวก ๔ - วาดวยบทสวดแปล หลักปฏิบัติ
อานาปานสติปาฐะ (หนฺท มยํ อานาปานสติปาฐํ ภณาม เสฯ) ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, อานาปานสติ อันบุคคลเจริญ ทําใหมากแลว. มหปฺผลา โหติ มหานิสํสา ฯ ยอมมีผลใหญ มีอานิสงสใหญ. อานาปานสติ ภิกฺขเว ภาวิตา พหุลีกตา, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, อานาปานสติ อันบุคคลเจริญ ทําใหมากแลว. จตฺตาโร สติปฏาเน ปริปูเรติฯ ยอมทําสติปฏฐานทั้งสี่ ใหบริบูรณ. จตฺตาโร สติปฏานา ภาวิตา พหุลกี ตา, สติปฏฐานทั้งสี่ อันบุคคลเจริญ ใหมากแลว. สตฺต โพชฺฌงฺเค ปริปูเรนฺติฯ ยอมทําโพชฌงคทั้งเจ็ดใหบริบูรณ. สตฺต โพชฺฌงฺคา ภาวิตา พหุลีกตา, โพชฌงคทั้งเจ็ด อันบุคคลเจริญ ทําใหมากแลว. วิชฺชาวิมุตฺตึ ปริปูเรนฺติฯ ยอมทําวิชชาและวิมุตติใหบริบูรณ. } กถํ ภาวิตา จ ภิกฺขเว อานาปานสติ, กถํ พหุลีกตา, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ก็อานาปานสติอันบุคคลเจริญ ทําใหมากแลว อยางไรเลา, มหปฺผลา โหติ มหานิสํสา ? จึงมีผลใหญ มีอานิสงสใหญ ? ฺ เว ภาวิตา พหุลีกตา, } อานาปานสติ ภิกข
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
๕๔๒
www.buddhadasa.in.th
บทสวดอานาปานสติปาฐะ แปล
๕๔๓
} อิธ ภิกฺขเว ภิกฺขุ,
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ภิกษุในธรรมวินัยนี้. อรฺคโต วา, ไปแลวสูปา ก็ตาม, รุกฺขมูลคโต วา, ไปแลวสูโคนตนไม ก็ตาม สฺุาคารคโต วา, ไปแลวสูโคนตนไม ก็ตาม ; นสีหติ ปลลลงฺกํ อาภุชิตฺวา ; นั่งคูขาเขามาโดยรอบแลว ; อุชํ กายํ ปณิธาย, ปริมุขํ สตึ อุปฏเปตฺวา ; ตั้งกายตรง ดํารงสติมั่น ; โส สโต ว อสฺสสติ สโต ปสฺสสติ ; ภิกษุนั้น เปนผูมีสติอยูนั่นเทียว หายใจเขา ; มีสติอยู หายใจออก ; } [๑] ทีฆํ วา อสฺสสนฺโต ทีฆํ อสฺสสามีติ ปชานาติ ; ภิกษุนั้น เมื่อหายใจเขายาว ก็รูสึกตัวทั่วถึง วาเราหายใจเขายาว ดังนี้ ; ทีฆํ วา ปสฺสสนฺโต ทีฆํ ปสฺสสามีติ ปชานาติ ; เมื่อหายใจออกยาว ก็รูสึกตัวทั่วถึง วาเราหายใจออกยาว ดังนี้ ; } [๒] รสฺสํ วา อสฺสสนฺโต รสฺสํ อสฺสสามีติ ปชานาติ ; ภิกษุนั้น เมื่อหายใจเขาสั้น ก็รูสึกตัวทั่วถึง วาเราหายใจเขาสั้น ดังนี้ ; รสฺสํ วา ปสฺสสนฺโต รสฺสํ ปสฺสสามีติ ปชานาติ ; เมือ่ หายใจออกสั้น ก็รูสึกตัวทั่วถึง วาเราหายใจออกสั้น ดังนี้ ;
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org
www.buddhadasa.in.th
๕๔๔
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๔
ฺ ามีติ สิกฺขติ ; } [๓] สพฺพกายปฏิสํเวที อสฺสสิสส ภิกษุนั้น ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งกาย ทั้งปวง จักหายใจเขา ดังนี้ ; สพฺพกายปฏิสํเวที ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ; ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง จัก หายใจออก ดังนี้ ; } [๔] ปสฺสมฺภยํ กายสงฺขารํ อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ;
ภิกษุนั้น ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูทํากายสังขารใหรํางับอยู จักหายใจเขา ดังนี้ ; ปสฺสมฺภยํ กายสงฺขารํ ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ; ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูทํากายสังขารใหรํางับอยู จักหายใจ ออก ดังนี้ (จบ จตุกกะที่หนึ่ง)
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org } [๕] ปติปฏิสํเวที อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ;
ภิกษุนั้น ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งปติ จักหายใจเขา ดังนี้ ; ปติปฏิสํเวที ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ; ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งปติ จักหายใจ ออก ดังนี้ ;
www.buddhadasa.in.th
บทสวดอานาปานสติปาฐะ แปล
๕๔๕
} [๖] สุขปฏิสํเวที อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ;
ภิกษุนั้น ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งสุข จักหายใจเขา ดังนี้ ; สุขปฏิสํเวที ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ; ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งสุข จักหายใจ ออก ดังนี้ ; ฺ สงฺขารปฏิสํเวที อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ; } [๗] จิตต ภิกษุนั้น ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งจิตต สังขาร จักหายใจเขา ดังนี้ ; จิตฺตสงฺขารปฏิสํเวที ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ; ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร จัก หายใจออก ดังนี้ ; } [๘] ปสฺสมฺภยํ จิตฺตสงฺขารํ
อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ; ภิกษุนั้น ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูทําจิตตสังขารใหรํางับ อยูจักหายใจเขา ดังนี้ ; ปสฺสมฺภยํ จิตฺตสงฺขารํ ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ; ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูทําจิตตสังขารใหรํางับอยู จักหายใจ ออก ดังนี้ ;
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org (จบ จตุกกะที่สอง)
www.buddhadasa.in.th
๕๔๖
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๔
} [๙] จิตฺตปฏิสํเวทึ อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ;
ภิกษุนั้น ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งจิต จัก หายใจเขา ดังนี้ ; จิตฺตปฏิสํเวทึ ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ; ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งจิต จักหายใจออก ดังนี้ ; } [๑๐] อภิปฺปโมทยํ จิตฺตํ อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ;
ภิกษุนั้น ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูทําจิตใหปราโมทยยิ่งอยู จักหายใจเขา ดังนี้ ; อภิปฺปโมทยํ จิตฺตํ ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ; ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูทําจิตใหปราโมทยยิ่งอยู จักหายใจ ออก ดังนี้ ; } [๑๑] สมาทหํ จิตฺตํ อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ;
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org ภิกษุนั้น ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูทําจิตใหตั้งมั่นอยู จัก หายใจเขา ดังนี้ ; สมาทหํ จิตตฺ ํ ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ; ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูทําจิตใหตั้งมั่นอยู จักหายใจออก ดังนี้
} [๑๒] วิโมจยํ จิตฺตํ อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ;
ภิกษุ นั้ น ยอมทําในบทศึ กษาว า เราเป นผู ทํา จิต ให ปลอ ยอยู จักหายใจเขา ดังนี้ ;
www.buddhadasa.in.th
บทสวดอานาปานสติปาฐะ แปล
๕๔๗
วิโมจยํ จิตฺตํ อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ; ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูทําจิตใหปลอยอยู จักหายใจออก ดังนี้. (จบ จตุกกะที่สาม) } [๑๓] อนิจฺจานุปสฺสี อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ;
ภิกษุนั้น ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูตามเห็นซึ่งความไม เที่ยงอยูเปนประจํา จักหายใจเขา ดังนี้ ; อนิจฺจานุปสฺสี ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ; ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูตามเห็นซึ่งความไมเที่ยงอยูเปน ประจํา จักหายใจออก ดังนี้ ; } [๑๔] วิราคานุปสฺสี อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ;
ภิกษุนั้น ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูตามเห็นซึ่งความจาง คลายอยูเปนประจํา จักหายใจเขา ดังนี้ ; วิราคานุปสฺสี ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ; ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูตามเห็นซึ่งความจางคลายอยู เปนประจํา จักหายใจออก ดังนี้ ;
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org } [๑๕] นิโรธานุปสฺสี อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ;
ภิกษุนั้น ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูตามเห็นซึ่งความดับ ไมเหลืออยูเปนประจํา จักหายใจเขา ดังนี้ ;
www.buddhadasa.in.th
๕๔๘
อานาปานสติภาวนา ตอน ๒๔ นิโรธานุปสฺสี ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ; ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูตามเห็นซึ่งความดับไมเหลืออยู เปนประจํา จักหายใจออก ดังนี้ ;
} [๑๖] ปฏินิสฺสคฺคานุปสฺสี อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ;
ภิกษุนั้น ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูตามเห็นซึ่งความ สลัดคืนอยูเปนประจํา จักหายใจเขา ดังนี้ ; ปฏินิสฺสคฺคานุปสฺสี ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ; ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปนผูตามเห็นซึ่งความสลัดคืนอยูเปน ประจํา จักหายใจออก ดังนี้ ; (จบ จตุกกะที่สี่) เอวํ ภาวิตา โข ภิกกขเว อานาปานสติ, เอวํ พหุลีกตา ; ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, อานาปานสติอันบุคคลเจริญแลว ทําใหมาก แลว อยางนี้แล ; มหปฺผลา โหติ มหานิสํสา ; ยอมมีผลใหญ มีอานิสงสใหญ ; อิติ ฯ ดวยประการฉะนี้แล.
www.buddhadasa.in.th www.buddhadasa.org พิมพที่ หจก. การพิมพพระนคร ๖๙ - ๗๑ ถนนบูรณศาสตร (แยกถนนบุญศิริ) กรุงเทพฯ ๑๐๒๐๐ นางอารี จุยทรัพยเปยม ผูพิมพและผูโฆษณา พ.ศ. ๒๕๓๓ โทร. ๒๒๑๒๓๓๗, ๒๒๒๑๖๗๔
www.buddhadasa.in.th