[Title will be auto-generated]

Page 1

อริยสัจ จาก

พระโอษฐ ภาคตน

www.buddhadasa.info


อริยสัจจากพระโอษฐ ภาคตน กองตําราคณะธรรมทาน แปลและรอยกรอง

www.buddhadasa.info ธรรมทานมูลนิธิ จัดพิมพดวยดอกผลทุนพระยาลัดพลีธรรม ประคัลภเปนหนังสืออันดับที่สอง ในหนังสือชุด “ลัดพลีธรรม ประคัลภอนุสรณ” เปนการพิมพครั้งที่ ๒ ของหนังสือนี้ จํานวน ๓,๐๐๐ ฉบับ

(ลิ ข สิ ท ธิ์ ไ ม ส งวนสํา หรั บ การพิ ม พ แ จกเป น ธรรมทาน, สงวนเฉพาะการพิ ม พ จํา หน า ย)


www.buddhadasa.info


www.buddhadasa.info


www.buddhadasa.info


www.buddhadasa.info


www.buddhadasa.info


www.buddhadasa.info


มูลนิธิสรรมทาน ไชยา จัดพิมพ พิ ม พ ค รั้ ง แรก ๒๓ พฤศจิ ก ายน ๒๕๑๒ จํา นวน ๑,๐๐๐ ฉบั บ พิ ม พ ค รั้ ง ที่ ส อง ๑ มี น าคม ๒๕๒๗ (ชุ ด ธรรมโฆษณ ) จํา นวน ๓,๐๐๐ ฉบั บ

www.buddhadasa.info


www.buddhadasa.info


www.buddhadasa.info


www.buddhadasa.info


การรอยกรองและจัดทําหนังสือเลมนี้

อุทิศ เปนถามพลีบูชาแดพระผูมีพระภาคเจา เพื่อความดํารงมั่นคงแหงพระพุทธศาสนา และ เพื่อสันติสุขแหงบุคคลและสันติภาพของสังคมนุษย

www.buddhadasa.info [๓]


ใจความสําคัญ เปนการรวบรวมเรื่องอริยสัจที่ตรัสเอง ไวอยางครบถวนที่สุด เพียงพอที่จะศึกษาเรื่องอริยสัจอยางชัดแจง ใหสมกับขอที่วา อริยสัจเปนหัวใจของพระพุทธศาสนา เปนที่รวบรวมแหงพระ พุทธ-วจนะทั้งปวง ซึ่งพระพุทธองคทรงประสงคใหชวยกันเผย แผ เพื่อประโยชนเกื้อกูลแกมหาชนทั้งเทวดาและมนุษย ผูรวบรวม

มีตัวอยางหลักธรรมล้ําลึก ๑๐๐ ขอ, มีวิธีใชใหเปนประโยชน ๑๑๔ วิธี, มีปทานุกรมคําสําคัญ ๖,๓๔๗ คํา, และลําดับหมวดธรรม ๖๙๘ หมวด อยูทายเลม.

www.buddhadasa.info

[๔]


อริยสัจจากพระโอษฐ ภาคตน

www.buddhadasa.info [๕]


อักษรยอ (เพื่อความสะดวกแกผูที่ยังไมเขาใจเรื่องอักษรยอที่ใชหมายแทนชื่อคัมภีร ซึ่งมีอยูโดยมาก)

มหาวิ. วิ. มหาวิภังค วินัยปฎก. ภิกขุนี. วิ. ภิกขุนีวิภังค ” มหา. วิ. มหาวัคค ” จุลฺล. วิ. จุลลวัคค ” ปริวาร.วิ. ปริวารวัคค ฑีฆนิกาย สี.ที. สีลขันธธวัคค ” มหา.ที มหวัคค ” ปา.ที. ปาฏิวัคค ” มู.ม. มูลปณณาสก มัชฌิมนิกาย ม.ม. มัชฌิมปณณาสก ” อุปริ.ม. อุปริปณณาสก ” สคา.สํ. สคาถวัคค สังยุตตนิกาย นิทาน.สํ. นิทานวัคค ” ขนฺธ.สํ. ขันธวารวัคค ” สฬา.สํ. สฬายตนวัคค ” มหาวาร.สํ. มหาวารวัคค ” เอก.อํ. เอกนิบาต อังคุตตรนิกาย ทุก.อํ. ทุกนิบาต ” ติก.อํ. ติกนิกาย ” จตุกฺก.อํ. จตุกกนิบาต ” ปฺจก.อํ ปญจกนิบาต ”

ฉกฺก.อํ. สตฺตก.อํ. อฏก. อํ. นวก. อํ. ทสก.อํ. เอกาทสก.อํ. ขุ.ขุ. ธ.ขุ. อุ.ขุ. อิติวุ.ขุ. สุ.ขุ. วิมาน.ขุ. เปต.ขุ. เถร.ขุ. เถรี.ขุ. ชา.ขุ. มหานิ.ขุ. จูฬนิ.ขุ. ปฏิสมฺ.ขุ. อปท.ขุ. พุทฺธว.ขุ. จริยา.ขุ.

ฉักกนิบาต อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต ” อัฏฐกนิบาต ” นวกนิบาต ” ทสกนิบาต ” เอกาทสกนิบาต ” ขุททกปาฐ ขุททกนิกาย ธัมมบท ” อุทาน ” อิติวุตตก ” สุตตนิบาต ” วิมานวัตถุ ” เปตวัตถุ ” เถรคาถา ” เถรีคาถา ” ชาดก ” มหานิทเทส ” จูฬนิทเทส ” ปฏิสัมภิทา ” อปทาน ” พุทธวงส ” จริยาปฎก ”

www.buddhadasa.info ตัวอยางคํายอ : ๑๔/๑๗๑/๒๕๕ ใหอานวา ไตรปฎก เลม ๑๔ หนา ๑๗๑ ขอที่ ๒๔๕ ไตรปฎก = ไตรปฎกฉบับบาลีสยามรัฐ ฉบับอนุสรณรัชกาลที่ ๗ ชุดพิมพครั้งแรก วิ. อภิ. = วิภังค อภิธรรมปฎก สุมงฺ. ภ. = สุมังคลวิลาสินี ภาค พุ. โอ. = พุทธประวัติจากพระโอษฐ ขุ. โอ. = ขุมทรัพยจากพระโอษฐ อริย. โอ = อริยสัจจากพระโอษฐ ปฏิจจ. โอ. = ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ [๖]


คําปรารภ เนื่องในการจัดพิมพหนังสือชุดธรรมโฆษณ เรื่องอริยสัจจากพระโอษฐ. หนั งสื อเรื่องนี้ ครั้งแรกจัดพิ มพ ขึ้นด วยเงินดอกผลของทุ นซึ่งตั้ งไวเป นอนุ สรณ แด สมเด็ จพระพุ ทธโฆสาจารย (ญาณวโร, เจริญ สุ ขบท ) ในคณะธรรมทานมู ลนิ ธิ. ส วนการ จัดพิมพครั้งนี้ จัดพิมพขึ้นดวยดอกผลของทุน “ลัดพลีธรรมประคัลภ ” และเงินที่ไดรับคืน มาจากการจําหนายหนังสือชุดพระโอษฐตาง ๆ ที่จัดจําหนายในรูปเอากุศลเปนกําไร เพื่อนํา มาจัดพิมพหนังสือชุดนั้นสืบตอไป ตามระเบียบที่วางไวเพื่อการนี้, เปนการสรางหนังสือชนิดนี้ ขึ้นไวในพระพุทธศาสนา ตามที่เห็นวายังขาดอยู, หวังวาจะเปนที่พอใจและไดรับการอนุโมทนา จากทานทั้งหลายโดยทั่วกัน. หนั งสื อเรื่องนี้ จั ดเข าในชุดพระไตรป ฎกแปลไทย เลขประจําเล มอั นดั บ ๒ เปนลําดับที่ ๔๓ แหงการพิมพออกในชุดธรรมโฆษณ . เนื่องจากหนังสือเรื่องนี้ มีความหนา เปน ๔ เทา ของหนังสือขนาดธรรมดา ราคาจําหนายของหนังสือสวนที่ตองจําหนายจึงเปน ๔ เทาของราคาหนังสือเลมขนาดธรรมดา ในชุดเดียวกัน. เนื่องจากความหนามากเกินไปนั่นเอง เรื่องอริยสัจจากพระโอษฐนี้ จึงตองทําเปน ๒ เลมจบ อยางที่ทานเห็นอยูแลว ; มีคํานํา, สารบั ญ , ปทานุ ก รม, สํ า ดั บ หมวดธรรม, และใบแก คํ า ผิ ด , บรรจุ ไว ในเล ม ตามที่ ควรจะบรรจุอยางไร.

www.buddhadasa.info ธรรมทานมูลนิธิ มุงหมายจะเผยแพรเรื่องอริยสัจอยางสมบูรณ มานานแลว เพิ่ ง มาสําเร็จตามความประสงคในครั้งนี้เอง รูสึกภาคภูมิใจวาไดเผยแพรที่สําคัญที่สุดแหงพระพุ ทธศาสนา ตามที่ เข าใจตรงกั นทั้ งโลก และต างพยายามเผยแพรให ดี ที่ สุ ดเท าที่ จะทํ าได สืบ ๆ กันมานานแลว.

หนั งสือเรื่องงนี้ พิ มพ ขึ้นดวยทุ น “ลัดพลีธรรมประคัลภ ” ดั งกลาวแลวขางต น, คณะผูจัดทําและจัดพิมพ ขออุทิศสวนกุศลแกพระยาลัดพลีธรรมประคัลภ ผูลวงลับไปแลวเปน พิเศษ ซึ่งผูที่ไดรับประโยชนจากหนังสือเลมนี้ คงจะรูสึกอนุโมทนา โดยทั่วกัน.

ธรรมทานมูลนิธิ มาฆบูชา ๑๖ กุมภาพันธ ๒๕๒๗

[๗]


แถลงการณคณะผูจัดทํา. หนัง สือ เรื ่อ งนี ้ มีข นาดใหญ ม าก พอที ่ใ หเ กิด ความสงสัย แกผู ที่ ได เห็ น ว า ทํ าไมมั น จึ ง มากถึ ง ขนาดนี้ และจั ด ทํ า ขึ้ น มาด ว ยความประสงค อ ย า งไร กัน, คณะผูจัดทําของแถลงใหทราบ ดังตอไปนี้ :ข อที่ ห นั งสื อเรื่องนี้ มี ขนาดใหญ มากชเช น นี้ ก็ เพราะเรื่อ งอริ ยสั จนี้ เป น เรื่องความทุ กข และความดั บทุ กข ทุ กระดั บ ทุ กขั้ นตอน ทุ กแง ทุ กมุ ม ในฐานะเป น เรื่ อ งเดี ย วที่ พ ระพุ ท ธองค ต รั ส ว า “ภิ ก ษุ ท. ! ก อ นแต นี้ ก็ ดี บั ด นี้ ก็ ดี ตถาคต บัญญัติ (เพื่อการสอน ) เฉพาะเรื่องความทุกขกับความดับทุกขเทานั้น”. แม พระองค จะตรั สว า สิ่ งที่ ทรงนํ ามาสิ นเท ากั บใบไม กํ ามื อเดี ยว เมื่ อเที ยบกั บใบไม ทั้ ง ป าคื อส วนที่ ไม ได นํ ามาสอน ผู อ านไม พึ งเข าใจไปว า ใบไม กํ ามื อเดี ยวทํ าไมจึ งมาก ถึง ขนาดนี ้. ขอ นั ้น ทา นจะไมป ระหลาดใจในเมื ่อ ทา นไดท ราบวา พระไตรปฎ ก ทั้ งหมดนั้ น มี ป ริ ม าณมากเท า กั บ ๓๐ - ๔๐ เท า ของหนั ง สื อ เล ม นี้ ซึ่ ง ทั้ ง หมดนั้ น ก็ ยั ง คงเท า กั บ ใบไม กํ า มื อ เดี ย วอยู อี ก นั่ น เอง ; ส ว นที่ ไม ได ท รงนํ า มาสอนนั้ น เรารู ไม ได ว ามี ม ากเท าไร เพราะพระพุ ท ธองค มิ ได ต รั ส จึ งไม มี ใครได จ ารึ ก ไว เราจึ งทํ า ได แต เพี ยงการคํ านวณว า ที่ ไม ได ท รงนํ ามาสอนนั้ นเท ากั บ ใบไม ทั้ งป า ที่ ท รงนํ ามา สอนเทา กับ ใบไมกํ า มือ เดีย ว ; ซึ ่ง พอจะเขา ใจไดว า เรื ่อ งอริย สัจ ทั ้ง หมดนี ้ก ็ม ิไ ด ซ้ํ า ซากหรื อ ขั ด แย ง กั น เลย เราจึ ง ต อ งใช ข อ ความแห ง หนั งสื อ เรื่ อ งนี้ ทุ ก ๆ ประเด็ น ในการที่ศึกษาเรื่องอริสัจ.

www.buddhadasa.info

[๘]


แถลงการณคณะผูจัดทํา

[๙]

อีกประการหนึ่ง พึงทราบวา เรื่องอริยสัจนี้ ถาขยายความออกไป ก็กลายเปนเรื่องปฏิจจสมุปบาท ซึ่งผูรูผูหนึ่งไดบัญญัตินามใหวาเรื่อง “อริสัจใหญ” และเรื่องอริยสัจทั่วไปนี้เปนเรื่อง “อริสัจนอย” ; ดังนั้น ผูศึกษาควรจะศึกษาเรื่อง นี้พรอมกันไปกับเรื่องปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ. แตแมจะเปนเรื่องอริยสัจ นอย ก็คํานวณดูเองเถิดวาที่วานอย ๆ นั้นมีปริมาณเทาไร. ผูจัดทําไดพยายาม รวบรวมนํามาไวในที่นี้ ใหครบถวนทุกประเด็นที่เนื่องกัน เพื่อใหสะดวกและ สมบูรณที่สุด สําหรับผูตั้งใจศึกษาเรื่องนี้จะประสพความสําเร็จไดในแงของปริยัติธรรมอันเปนรากฐานของการปฏิบัติธรรม. ถาทานสังเกตดูใหดีแลวจะพบวา ขอความทั้งหมดนี้ มิไดเปนเรื่องปริยัติธรรมไปเสียทั้งหมด แตเปนการบันทึกเรื่อง ของการปฏิบัติธรรม ที่เคยปฏิบัติเรื่องอริยสัจกันมาแลวแตครั้งพุทธกาล อยางมาก มายทีเดียว ; นับวาเปนอุปกรณแกการปฏิบัติแหงสมัยนี้เปนอยางมาก. ขอให นักปฏิบัติธรรมพิจารณาเลือกคัดเอามาเปนหลักปฏิบัติ ใหมากที่สุดเทาที่จะทําได. อนึ่ง ผูอานเคยไดยินไดฟงมากอน อริยสัจสี่เปนหลักธรรมที่พระองคตรัสรู หรือเนื้อแทของพุทธศาสนาก็คือเรื่องอริสัจสัจสี่ เปนหลักธรรมที่พุทธบริษัทตอง ปฏิบัติ ในปฏิบัติประจําวัน ดังนี้ แตพอมาเห็นหนังสืออริยสัจจากพระโอษฐเลมนี้ ซึ่งใหญโตเชนนี้ หากจะฉงนหรือทอใจขึ้นมาวา จะปฏิบัติอยางไรไหวเพราะดูมากมาย เหลือเกิน ดังนี้แลว คณะผูจัดทําขอชี้แจงใหทราบวา เรื่องอริยสัจแมจะมี ปริยายที่ตรัสไวมากก็ตาม แตโดยการปฏิบัติจริง ๆ นั้น ไมใชเรื่องมากมายอะไรเลย คือการปฏิบัติดวยการมีสติ – ปญญา เมื่อมีการกระทบกันทางอายตนะ หรือเมื่อมี การเรียนรูตามเปนจริงซึ่งอายตนิกธรรม ดังขอความในหนังสือนี้ที่หนา ๑๑๗๖,๗๙,๑๔๑๗ ฯลฯ หรือบางแหงก็ยังมีตรัสวา ผูใดเห็นอริสัจขอใด ก็จะเห็นอริยสัจอีก ๓ ขอ พรอมกันอยูในตัวดวย ดังขอความที่หนา ๑๒๐ แหงหนังสือนี้ ดังนั้น อริสัจที่ เปนตัวการปฏิบัติตรง ๆ นั้น จึงคือการปฏิบัติใหรูเห็นธรรม ในความรูสึกของ

www.buddhadasa.info


อริสัจจากพระโอษฐ

[๑๐]

จิต ในกรณีนั้น ๆ นั่นเอง ไมมีอะไรมากมาย ดังที่ฉงนหรือทอใจนั้นเลย. สรุป ความวา อริยสัจในรูปแหงการปฏิบัติโดยตรงนั้น ไมตองมีการรูหรือปฏิบัติมากมาย อะไร เพียงแตมีสติเมื่อกระทบทางอายตนะ มีปญญารูเห็นตามเปนจริงเทานั้น. ยิ่งอริสัจในรูปอริยธรรมมีองคแปดรวมตัวกันเปนมัคคสมังคีหรือมรรคญาณ ทํา หนาที่กําหนดรู – ละ – ทําใหแจง – เจริญเต็มรอบถึงที่สุด แทงตลอดสัจจะพรอม เปนอันเดียวกัน ดวยแลว ยิ่งเปนสิ่งที่มีหรือรูเห็นในขณะเดียวกันนั่นเอง ; สวน อริสัจในรูปแหงปริยัติ จะมีปริยายที่มากหลายแงหลายมุม ดังที่ปรากฏอยูใน หนังสือนี้. ประการสุ ดท าย ที่ ควรจะแถลงให ทราบก็ คื อข อที่ อาจจะมี ผู สงสั ยว างาน มหึ ม าชิ้ น นี้ ข า พเจ า ผู อ ยู ในวั ย ชราจะทํ า ให สํ า เร็ จ ได อ ย างไร. ขอแถลงให ท ราบว า ทํ าสํ าเร็จมาได ด วยความช วยเหลื อรวมมื อของเพื่ อนสพรหมจารีผู อยู ในวั ยหนุ มหลาย ท านด วยกั น ช วยเหลื อผ อนแรงในการสํ ารวจหน าพระไตรป ฎกอย างทั่ วถึ ง รวบรวม เอาเรื่อ งต าง ๆ ที่ เกี่ ยวกั บ เรื่อ งอริ สั จ มาให ข าพเจ าคั ด เลื อ กเอาตามที่ ต อ งการ, ช วย ยกร า งคํ า แปลในเบื้ อ งต น ให ข า พเจ า ตรวจแก ปรั บ ปรุ ง แล ว ร อ ยกรอง จนสํ า เร็ จ ประโยชนเ ปน หนัง สือ เรื ่อ งนี ้, ในตอนทา ยก็ไ ดช ว ยกัน ทํ า สารบัญ เก็บ คํ า ขึ ้น ทํ า ปทานุ กรม และเก็ บข อความขึ้นความขึ้ นทํ าเป นหมวดธรรม ตลอดถึ งการทํ าใบแก คํ าผิ ด, เหน็ ด เหนื่ อ ยในการคั ด พิ ม พ สอบทานกั น ทั้ ง กลางกั น กลางคื น ก็ ยั ง มี . ขอท า นผู ได รับ ประโยชน จ ากหนั ง สื อ นี้ จ งได อ นุ โมทนา และขอบคุ ณ ผู เหน็ ด เหนื่ อ ยเหล า นั้ น ซึ่ งถ าปราศจากความช วยเหลื อของท านเหล านี้ แล ว หนั งสื อ เรื่องนี้ ไม มี ท างที่ จะเกิ ด ขึ้ น มาในลั กษณะเช น ได เลย และพึ งทราบว า ข าพเจ าลงมื อ ทํ าหนั งสื อ พุ ท ธประวั ติ จากพระโอษฐ เล มนี้ มาตั้ งแต พ.ศ. ๒๕๐๐ และเพิ่ มเติ มเรื่ อยมาเป นเวลาถึ ง ๒๗ ป มาแลว มันจึงมีขนาดใหญโตมหึมาเชนนี้ จึงของแถลงไวใหทราบโดยทั่วกัน.

www.buddhadasa.info


แถลงการณคณะผูจัดทํา

[๑๑]

ข า พเจ า มี ป ณิ ธ านในการที่ จ ะทํ า หนั ง สื อ เรื่ อ งนี้ มาตั้ ง แต ได เห็ น หนั ง สื อ พุ ท ธประวั ติ จ ากประโอษฐ เล ม หนาเท า นิ้ ว ก อ ย ขนาด ๑๖ หน า ยก ของพระมหาเถระชาวเยอรมั น รู ป หนึ่ ง ผู อ าศั ย อยู ที่ เกาะแห ง หนึ่ ง ในประเทศลั ง กาได ทํ า ขึ้ น เมื่ อ ประมาณ ๖๐ ป ม าแลว และใหชื ่อ หนัง สือ เลม นั ้น วา “พ ระพุท ธวจนะ” ; ซึ ่ง ข าพเจ าอยากจะเรี ย กว าเป น เล ม แรกในโลกและเป น เครื่ อ งดลใจให ข าพเจ าและสหาย ช ว ยกั น ทํ า หนั ง สื อ เรื่ อ งนี้ ขึ้ น มา และได พิ ม พ อ อกเป น ครั้ ง แรกเมื่ อ พ.ศ. ๒๕๐๒ เป น เวลาล วงมาถึ ง ๒๖ ป แ ล ว, ข อ ความในภาคต น ๆ นั้ น พระมหาสํ าเริ ง สุ ท ธฺ วาสี ผู อ ยู ด ว ยกัน ที ่ส วนโมกขแ หง ในสมัย นั ้น ไดช ว ยเหลือ ในการคน และคัด ลอกมาก ที่สุด อยางเหน็ดเหนื่อย ซึ่งตองขอบันทึกไวในที่นี้ ในฐานะผูรวมงาน. ขาพเจามีปณิธานในที่สุดวา ขอใหเรื่องอริสัจจากพระโอษฐนี้ ตั้งอยู ในฐานะเปนเครื่องดลบันดาลใหเกิดองคพระธรรม ชนิดที่ตรัสวา “ผูใดเห็นธรรม ผูนั้นเห็นตถาคต, ผูใดเห็นตถาคต ผูนั้นเห็นธรรม ” เปนองคพระศาสดาที่ยังคง ประทับอยูกับพวกเรา หลักจากที่ทรงลวงลับไปแลวโดยพระวรกาย ตลอดกาลนาน.

www.buddhadasa.info อ.ป

(ในนามกองตําราคณะธรรมทาน)

โมกขพลาราม, ไชยา มาฆบูชา ๒๕๒๗


คํานํา (สําหรับการจัดพิมพครั้งนี้) ผู ร วบรวมเห็น วา มีเ รื ่อ งที ่ค วรแถลงใหท ราบกัน ทั ่ว ไปในครั ้ง นี ้ ดัง ตอไปนี้ .-

ความเปลี ่ ย นแปลงของการจั ด พิ ม พ : ~ การพิ ม พ ค รั้ ง แรก เมื ่อ พ.ศ. ๒๕๐๒ ซึ ่ง การรอ ยกรองยัง ไมจ บ มี ๓๐๘ หนา ; การพิม พค รั ้ง นี้ ซึ ่ง การรอ ยกรองสมบูร ณแ ลว มี ๑,๕๗๒ หนา . ในการพิม พค รั ้ง แรก ภาคนํ า มี ๕๒ หน า ครั้ ง นี้ มี ๑๔๐ หน า , ภาคทุ ก ขสั จ ครั้ ง แรกมี ๙๕ หน า ครั้ ง นี้ มี ๑๒๙ หน า , ภาคสมุ ท ยสั จ ครั้ ง แรกมี ๕๘ หน า ครั้ ง นี้ มี ๑๒๖ หน า , ภาคนิ โ รธสั จ ครั้ ง แรกมี ๙๕ หน า ครั้ ง นี้ มี ๔๐๙ หน า , ภาคมั ค คสั จ ไม เคยมี ใ นการพิ ม พ ค รั้ ง แรก เพิ่ ง มี ใ นการพิ ม พ ค รั้ ง นี้ มี ๖๗๑ หน า , และยั ง มี ภาคสรุ ป และภาคผนวก อี ก ๗๙ หน า ; รวมทั้ ง หมด ๗ ภาค มี ๑,๕๗๒ หน า มี ๙๖๒ หั ว ข อ , มี บั น ทึ ก พิเ ศษ ปทานุก รม และลํ า ดับ หมวดธรรม อีก ตา งหาก ; ซึ ่ง ทา นผู อ า นยอ ม ทราบไดเ องวา มีข อ ความเพิ ่ม เติม มากนอ ยเทา ไร จากการพิม พค รั ้ง แรก . ~ เรื ่อ งอริย สัจ มีข อ ความมาก จนถึง กับ ตอ งแบง เปน ๒ เลม หนัง สือ ขาดหนัก ๆ คงจะทํ า ความลํ า บากให แ ก ผู อ า นที่ จ ะถื อ อ า น หรือ ตรวจค น ขอให ผู อ า นค น หาวิ ธี ขจั ด ความลํ าบากนี้ ด วยตนเอง คื อ มี ที่ ว างที่ ส ะดวก โดยเฉพาะอย างยิ่ งในการที่ จะ ต อ งตรวจค น หาเรื่ อ งบางเรื่ อ ง จากหนั ง สื อ ๒ เล ม พร อ มกั น ในคราวเดี ย ว จาก สารบัญ หรือ ปทานุก รม แลว แตก รณี. ~ ในการจัด ทํ า หนัง สือ เรื ่อ งนี ้ มีก าร แถมพิเศษดวยการแนะนําในการที่จะเก็บหลักธรรมสําคัญ หรือชั้นที่เปนปรมัตถ

www.buddhadasa.info

[๑๒]


คํานําสําหรับการจัดพิมพครั้งนี้

[๑๓]

ซึ่ งได ทํ าให ดู ไว เป น ตั วอย างแล ว ๑๐๐ ตั วอย างหรื อ ๑๐๐ ข อ สํ าหรั บ ผู ศึ กษาจะได เที ย บเคี ย งเอาได ด ว ยตนเอง จนสามารถเก็ บ หลั ก ธรรมสํ า คั ญ ชนิ ด นี้ อ อกมาได ทุ ก ขอ ดว ยตนเอง เพื ่อ การศึก ษาตอ ไป. ~ นอกจากนี ้ ยัง ไดแ นะนํ า วิธ ีที ่จ ะศึก ษา ขอ ธรรมขอ ใดขอ หนึ ่ง อยา งลึก ซึ ้ง กวา งขวางออกไป เพื ่อ แกป ญ หาที ่เ กิด แก นั ก เรี ย น นั ก ศึ ก ษ า นั ก รวบรวมค น คว า นั ก เทศน และครู บ าอาจารย ผู ส อน ธรรมะ ตลอดถึง ผู กํ า ลัง ปฏิบ ัต ิธ รรม. ขอ นี ้ไ ดแ กข อ ความที ่เ ขา ใจไมต รงกัน กํ า ลั ง ถกเถี ย งเป น ป ญ หากั น อยู ก็ มี , ที่ ผิ ด จากพระบาลี ห รื อ จากความจริ ง จนใช ประโยชน อ ะไรไม ไ ด ก็ มี , ที่ พ วกหนึ่ ง พู ด ภาษาคน พวกหนึ่ ง พู ด ภาษาธรรม พวก หนึ่ ง พู ด ภาษาลึ ก พวกหนึ่ ง พู ด ภาษาตื้ น กํ า ลั ง ทะเลาะกั น อยู ก็ มี , ดั ง นี้ เ ป น ต น . ขอให ท า นผู อ า นจงใคร ค รวญให จ งดี ให ลึ ก ซึ้ ง และแจ ม แจ ง เพี ย งพอ คงจะสะสาง ป ญ หาต า ง ๆ ได อี ก เป น อั น มาก. ~ อี ก ทางหนึ่ ง ซึ่ ง จะต อ งขอแสดงความเสี ย ใจ และขออภั ย ต อ ท า นผู อ า น ในการที่ มี ก ารเขี ย นบั น ทึ ก เพิ่ ม เติ ม ต อ ท า ยเรื่ อ งอริ ย สั จ ทั้งหมด โดยใชชื่อวา “คํ าชี้ แ จงเพิ่ ม เติ ม เกี่ ย วกั บ ถ อ ยคํ าและอั ก ขรวิธี ฯลฯ ใน หนั ง สื อ เล ม นี้ ” ซึ่ ง ทํ า ความลํ า บากให แ ก ท า น และทํ า ให รู สึ ก ว า เขี ย นอย า งไม รู จั ก จบจั ก สิ้ น . ข อ นี้ เ ป น เพราะเหตุ ว า มั น เป น เรื่ อ งที่ ยึ ด ยาวเกิ น ไป จนถึ ง กั บ ทํ า ให เหลือ ขอ บกพรอ งหรือ ความกํ า กวมบางอยา งไวใ หส ัง เกตเห็น ในภายหลัง จึง ตอ ง มีการเขียนเพิ่มเติมเกี่ยวกับความบกพรองนั้น ๆ ซึ่งตองขออภัยไวในที่นี้.

www.buddhadasa.info การอ า งอิ ง ที ่ ต  อ งทํ า ความเข า ใจ หลายแง ม ุ ม : ~ พระไตร-

ป ฎ กที่ ใ ช อ า งอิ ง ในการทํ า หนั ง สื อ เล ม นี้ ใช พ ระไตรป ฎ กฉบั บ บาลี ส ยามรั ฐ (ปกสี เหลื อ ง มี ช า งแดง ) ฉบั บ พิ ม พ เ ป น อนุ ส รณ รั ช กาลที่ ๗ ; ดั ง นั้ น เลขบอกเล ม – หน า – บรรพ ที่ ใ ช อ า งอยู ใ นหนั ง สื อ เล ม นี้ หมายถึ ง เลขที่ มี อ ยู ใ นพระไตรป ฎ ก ฉบับ นั ้น ซึ ่ง อาจจะแตกตา งจากฉบับ อื ่น เปน ธรรมดา. แมพ ระไตรปฎ กชุด นี้ ฉบับพิมพซ้ําครั้งหลัง ๆ บางเลมเมื่อขาดคราวพิมพ อาจจะมีเลขหนาคลาดเคลื่อน


อริยสัจจากพระโอษฐ

[๑๔]

จากฉบั บ พิ ม พ ค รั้งแรก ; ถ า ป ญ หานี้ เกิ ด ขึ้ น ขอให ส อบสวนดู เอาเอง ซึ่ ง คงจะพบ ได ไม ย ากนั ก . ~ ข อ ความบางตอนจํ า เป น ต อ งอ า งให ดู จ ากหนั ง สื อ ชุ ด ธรรมโฆษณ เล ม อื่ น ๆ เช น ให ดู จ ากพุ ท ธประวั ติ จ ากพระโอษฐ หรื อ จากปฏิ จ จสมุ ป บาทจาก พระโอษฐเ ปน ตน ซึ ่ง เชื ่อ วา ทา นผู อ า นสว นมากมีห นัง สือ เหลา นั ้น กัน อยู แ ลว ; ทั้ ง นี้ เพื่ อ เป น การประยั ก เวลาที่ จ ะต อ งเขี ย นข อ ความอั น มากมายเหล า นั้ น ไว ใ น หนัง สือ เลม นี ้อ ีก . ~ แผน ใบชี ้แ จงไขความเกี ่ย วกับ อัก ษรยอ ชื ่อ พระคัม ภีร  ซึ ่ง มี ก ารแก ไ ขหรื อ เพิ่ ม เติ ม แปลกออกไป ไม ต รงกั น ทุ ก ฉบั บ นั้ น มิ ใ ช เ ป น เพราะมี ความผิ ด พลาด หากแต ต อ งการให มี ค วามชั ด เจนเป น ระเบี ย บมากขึ้ น หรื อ เพิ่ ม ขึ้ น ตาม ควรแก ก รณี ไม ค วรเป น ที ่ ฉ งน ส น เท ห  ข อ งผู  ใ ช แ ต ป ระการใด แม จ ะ ได พ บเห็ น ตั ว ย อ หรื อ คํ า ไขความที่ เปลี่ ย นไป ผู จั ด ทํ า กํ า ลั ง พยายามที่ จ ะทํ า ให เป น แบบสํ า เร็ จ รู ป ใช ไ ด ต ลอดกาล ในโอกาสข า งหน า . ~ การที ่ ห นั ง สื อ เรื ่ อ ง นี้ เป น หนั ง สื อ ชนิ ด ที่ ร วบรวมข อ ความจากพระโอษฐ แต มี ข อ ความที่ เป น ของพระ สาวกเถระเถรี มาใสไ วด ว ยนั ้น ไมไ ดป ระสงคจ ะใหท า นทั ้ง หลายถือ วา ขอ ความนั้ น เป น พระพุ ท ธภาษิ ต เพี ย งแต อ า งมาสํ า หรั บ เที ย บกั น หรื อ นํ า มาอธิ บ าย คํ า บางคํ า ที่ เป น พุ ท ธภาษิ ต ให ชั ด เจนยิ่ ง ขึ้ น , หรื อ มี เหตุ ผ ลที่ แ สดงอยู ว า ถ า พระพุ ท ธองค จ ะตรั ส เรื่ อ งนี้ ก็ จ ะตรั ส อย า งเดี ย วกั บ ที่ พ ระสาวกองค นี้ ก ล า ว; ทั้ ง นี้ ไ ม เปนการตบตากันแตประการใดเลย.

www.buddhadasa.info ขอบเขตของความหมายแห ง คํา ว า “จากพระโอษฐ ” : ~

ขอให ผู อ านพึ งทราบว า คํ าว าจากพระโอษฐ ในกรณี นี้ หมายความว า มี ทั้ งโดยตรง และโดยออ ม. โดยตรงก็ค ือ คํ า ที ่ต รัส ไวต รง เชน คํ า วา มรรคคือ อะไร ก็ท รง จํ า แนกไปจนครบองคแ ปด. โดยออ มเชน คํ า ที ่ต รัส เปน ใจความวา เมื ่อ มี สติอยูอยางถูกตองในทุกกรณี มรรคมีองคแปดก็ยอมสมบูรณอยูโดยอัตโนมัติ ; มรรคในลักษณะเชนนี้ ก็ขอใหถือวาเปนมรรคจากพระโอษฐดวยเหมือนกัน หาก


คํานําสําหรับการจัดพิมพครั้งนี้

[๑๕]

แต ว า เป น การกล า วโดยอ อ ม แม ก ระนั้ น ก็ มี ค วามหมายหรื อ น้ํ า หนั ก เท า กั น . ผู ศึก ษาพึง สัง เกตใหพ บถอ ยคํ า ทํ า นองนี ้ ซึ ่ง จะมีอ ยู โ ดยทั ่ว ไปในหนัง สือ เรื ่อ งนี ้. ~ ผู อ า นบางคนอาจจะสงสั ย ว า ทํ า ไมหนั ง สื อ เรื่ อ งนี้ ไม มี ก ารเอ ย ถึ ง นรก – สวรรค ในภาษาคน ตามธรรมดาที่ เ ขาพู ด กั น อยู ทั่ ว ไปเอาเสี ย เลย มั น ไม เ กี่ ย วกั บ เรื่ อ ง อริย สัจ หรือ อยา งไร. ขอ นี ้ข อใหเ ขา ใจวา เรื ่อ งอริย สัจ พูด ถึง แตเ รื ่อ งความทุก ข และความดับ ทุก ขเ ทา นั ้น ไมพ ูด ถึง เรื ่อ งความสุข หรือ สวรรค ; เรื ่อ ง สวรรค ยั งเนื่ อ งกั น อยู กั บ ความทุ ก ข เพราะยั ง ตกอยู ภ ายใต อํ า นาจของอุ ป าทาน จึ ง มี ต รั ส ไวแ ตเ รื ่อ งของสวรรคใ นลัก ษณะแหง กามและโทษของกาม ซึ ่ง ทา นจะหาพบได ในหั ว ข อ นั้ น ๆ ; ส ว นเรื่ อ ง นรก นั้ น พอจะกล า วได ว า เป น เรื่ อ งของความทุ ก ข โดยตรง. แต ก ารที จ ะพู ด เป น ภาษาคนหรื อ ทางวั ต ถุ จ นเป น บ า นเป น เมื อ งอยู ใ ต ดิ น นั้ น นอกขอบเขตของอริ ย สั จ ที่ ต อ งการจะชี้ ค วามทุ ก ข ที่ จิ ต ใจของคน, แต ถึ ง กระนั้ น เราก็ อ าจจะกล า วได ว า นรกก็ คื อ การทํ า ผิ ด ทางอายตนะแล ว จิ ต ใจร อ นเป น ไฟอยู ใ นขณะนั ้น นั ่น เอง, แมจ ะพูด กัน ถึง นรกใตด ิน แตค วามหมายอัน แทจ ริง มั น ก็ อ ยู ที่ จิ ต ใจอั น ทุ ก ข ร อ น ; ดั ง นั้ น ขอให เ ห็ น ว า เรื่ อ งนรก – สวรรค ใ นความ หมายที ่ถ ูก ตอ ง ไดก ลา วไวใ นเรื ่อ งอริย สัจ นี ้ด ว ยแลว อยา งสมบูร ณ . ~ เมื ่อ กํ า ลั ง รวบรวมร อ ยกรองเรื่ อ งอริ ย สั จ นี้ ผู ร วบรวมก็ รู สึ ก ว า ทํ า ไม คํ า อธิ บ ายเรื่ อ งสั ม มาวาจา – สั ม มากั ม มั น ตะ – สั ม มาอาชี ว ะจึ ง มี น อ ยเกิ น ไป และผู อ า นเรื่ อ งนี้ ใน เวลานี ้ก ็ค งจะรู ส ึก เชน นั ้น เหมือ นกัน ; ในที ่ส ุด ก็พ บวา เปน เพราะเรื ่อ งในระดับ ศีล เชน นี ้ เปน สิ ่ง ที ่รู แ ละปฏิบ ัต ิก ัน อยู แ ลว โดยทั ่ว ๆ ไป แมจ ะมีอ ยู โ ดยชื ่อ อื ่น เช น กายสุ จ ริ ต วจี สุ จ ริ ต เป น ต น ซึ่ ง บางที พ ระองค จ ะเว น กล า วถึ ง เสี ย เลยก็ ยั ง มี เพราะถื อ เสี ย ว า เป น สิ่ ง ที่ มี อ ยู แ ล ว โดยปกติ ใ นฐานะเป น ศี ล ธรรมสากลระดั บ พื้ น – ฐาน, แตไ ปกลา วถึง ใหม ากในเรื ่อ งที ่ย ัง ไมม ีใ ครรู  หรือ ไมค อ ยจะมีใ ครกลา วเสีย ดีกวา. หวังวาผูศึกษาคงจะมองเห็นความจริงขอนี้.

www.buddhadasa.info


อริยสัจจากพระโอษฐ

[๑๖]

คุณ คา ของอริย สัจ : ~ ผู ร วบรวมมีค วามหวัง อยา งยิ ่ง ในการที่ จะให ท า นผู อ า นมองเห็ น คุ ณ ค า อั น ลึ ก ซึ้ ง ใหญ ห ลวง กว า งขวาง ของเรื่อ งอริย สั จ ใหค รบถว นตามพระพุท ธประสงค ซึ ่ง จะเปน ประโยชนแ กท า นผู อ า นเอง. ~ ขอแรกก็คื อ ความมี ส าระของเรื่อ งอริย สั จ จนถึงกับจะกลาวดวยโวหารธรรมดา สามั ญ ได ว า เป น “เรื่ อ งที่ พ ระองค จ ะทรงยอมคุ ย ด ว ย” หมายความว า ถ า เป น เรื ่อ งอื ่น ๆ เชน ตายแลว เกิด หรือ ไมเ กิด โลกเที ่ย ง – ไมเที ่ย ง โลกมีที ่ส ุด – ไมมี ที่ สุ ด ฯลฯ เป น ต น แล ว จะไม ท รง “ยอมคุ ย ด ว ย” แม จ ะทู ล ถามก็ จ ะไม ท รง พยากรณ. นี ้เ ปน เครื ่อ งชี ้ใ หเ ห็น วา เรื ่อ งอริย สัจ เทา นั ้น เปน เรื ่อ งที ่ม ีแ กน สาร. เมื่ อ พู ด ถึ ง ความมี ค า มากค า น อ ย ก็ ย ากที่ จ ะกล า วลงไปตรงๆ ได ด ว ยถ อ ยคํ า เพราะมี ค า มากเหลื อ เกิ น จนต อ งกล า วด ว ยการอุ ป มาด ว ยเรื่อ งที่ ไม อ าจจะเป น ไป ได แต อาจจะเที ยบเคี ยงค าของมั นได ; เชนที่ ตรัสวา แม จะถู กเขาแทงด วยหอก เช า ๑๐๐ ครั้ง เที่ยง ๑๐๐ ครั้ง เย็น ๑๐๐ ครั้ง เปนเวลา ๑๐๐ ป เพื่อแลกเอา การรูอริยสัจ ดังนี้ ก็ควรจะยอม. ทานจงพิจารณาดูเองเถิดวา พระพุทธองคทรง ประเมิน คา ของเรื ่อ งนี ้ไ วอ ยา งไร. ~ เมื ่อ พูด ถึง “ความดว นจี ๋” ก็ต รัส อุป มา ไว ด ว ยเรื่ อ งที่ ต ามธรรมดาเป น ไปไม ได อี ก เช น เดี ย วกั น โดยทรงให เที ย บเคี ย งดู เอา เองวา แมไ ฟไหมอ ยู ที ่ศ รีษ ะหรือ ที ่เ สื ้อ ผา แลว , กํ า ลัง หรือ ความเพีย รที ่ม ีอ ยู ควรจะใช ไ ปในการทํ า ให รู อ ริย สั จ ก อ นแต ที่ จ ะนํ า มาใช ใ นการดั บ ไฟที่ กํ า ลั ง ไหม อ ยู ที ่เ นื ้อ ที ่ต ัว , ดัง นี ้เ ปน ตน . ~ เมื ่อ พูด ถึง เรื ่อ งที ่ค วรกระทํ า ในฐานะเปน “โยคะกรรม” คื อ การกระทํ า กั น อย า งจริ ง ๆ จั ง ๆ แล ว ไม มี เรื่ อ งอะไรควรกระทํ า ยิ่ ง ไป กว า เรื่ อ งการทํ า เพื่ อ ให รู อ ริ ย สั จ . เราไม เคยพบการที่ ท รงเน น ให ทํ า โยคกรรมใน เรื ่อ งใด ๆ มาก เทา กับ ทรงเนน ใหทํ า โยคกรรมเพื ่อ ใหรู อ ริย สัจ . นี ้ก ็เ ปน เครื ่อ ง วัด คา แหง การสมควรกระทํ า เกี ่ย วกับ เรื ่อ งอริย สัจ . ~ ทั ้ง ๔ เรื ่อ งนี ้ก ็พ อแลว ที่ จะแสดงใหเห็นคุณคาของอริยสัจ วามีมากนอยเพียงใด. ~ เมื่อพิจารณากัน

www.buddhadasa.info


คํานําสําหรับการจัดพิมพครั้งนี้

[๑๗]

ถึงการที่จะต องลงทุ นด วยความยากลําบากแล ว การณ กลับปรากฏวา การพยายาม เพื ่อ ใหรู อ ริย สัจ นั ้น เปน ความเบาสบาย ไมต อ งกระทํ า ดว ยการกระทํ า ชนิด ที่ เรียกวาทุ กขกิ ริยา, แต กลับจะมี ความสุ ขโสมนั สไปพลางเป นระยะ ๆ ตลอดเวลาที่ กระทํ า ด ว ยอํ า นาจแห ง การรู ธ รรมและธรรมป ติ ที่ ค อ ย ๆ เพิ่ ม ขึ้ น . ~ อี ก ประการ หนึ่ ง การรูอริยสั จไม ต องเกี่ ยวกั บ การศึ กษาอภิ ธรรมให ยุ งยากลํ าบาก เป น การทํ า ใหเสียเวลามากไปเปลา ๆ (ดูขอความในหนังสือนี้ที่หนา ๑๕๒๗ ) ; ควรจะสงวนเวลา ไว สํ า หรั บ ศึ ก ษาใจความของเรื่ อ งอริ ย สั จ โดยตรง ซึ่ ง ประหยั ด ความเนิ่ น ช า และ ความลํ า บากไดอ ีก มากมาย ซึ ่ง อยู ใ นวิส ัย ที ่ท ุก คนจะทํ า ได. ~ ถา ใครอยาก จะมี ป าฏิ ห าริ ย ชั้ น สู ง สุ ด ยิ่ ง กว า ปาฏิ ห าริ ย ทั้ ง ปวง ซึ่ ง รู กั น อยู ว า ได แ ก อ นุ ส าสนี ปาฏิ ห าริยแล ว ก็ จงแสดงด วยการทํ าผูอื่ น ให รูอ ริย สัจเถิด (ดู ขอ ความในหนั งสื อ นี้ ที ่ห นา ๑๕๒๒ ) แมนี ้ก ็แ สดงถึง คุณ คา ของการรู อ ริย สัจ ดว ยอีก เหมือ นกัน . ~ คุณ คา ชนิด พิเ ศษของการรูอ ริย สัจ ยัง มีต อ ไปอีก คือ ใชเ ปน เครื่อ งสงเคราะห ผูอื่นดวย “การสงเคราะหอันสูงสุด” ไมมีการสงเคราะหอื่นสูงสุดแลว ซึ่งอาจจะ กล า วได ว า ถ า จะสงเคราะห ใครด ว ยการสงเคราะห อั น สู ง สุ ด แล ว จงสงเคราะห เขาดวยการทําใหเขารูอริยสัจเถิด (ดูขอความในหนังสือนี้ ที่หนา ๔๘). ~ จากนั้ น ต อ ไปอี ก ให ถื อ เป น หลั ก ว า ผู มี พ ระคุ ณ สู งสุ ด ที่ ไม ค วรลื ม เป น อั น ขาดนั้ น คื อ ผู ที่ ช ว ยให เรารู อ ริ ย สั จ , เป น พระครู ที่ ต อบแทนไม พ อด ว ยการเคารพบู ช า หรื อ การ ตอบแทนด วยวัตถุ, หากแต ตอ งตอบแทนด วยการชวยทํ าให ผูอื่นรูอ ริยสัจสืบ ต อ ๆ กันไป (ดูขอความในหนังสือนี้ ที่หนา ๑๕๓๐).

www.buddhadasa.info ความเป น วิ ท ยาศาสตร ของเรื่ อ งอริ ย สั จ : ~ ถ า มองกั น ใน “แงข องตรรก” จะเห็น ไดว า หลัก อริย สัจ แสดงรูป โครงทางตรรกชั ้น เลิศ คือ การตั ้ง คํ า ถามอัน สมบูร ณขึ ้น มาในกรณีห นึ ่ง ๆ อัน เปน โครงแหง คํ า ถามที ่ว า ก. คืออะไร, ข. จากอะไร, ค. เพื่ออะไร, ง. โดยวิธีใด. ขอนี้หมายความวา


อริยสัจจากพระโอษฐ

[๑๘]

เรื่ อ งใดก็ ต ามที่ เราตั้ ง ใจจะรู ห รื อ จะกระทํ า ถ า หากตอบคํ า ถามทั้ ง ๔ ข อ นี้ ได ห มด แลว ก็จ ะเปน อัน วา หมดปญ หาทั ้ง ในการรู แ ละการกระทํ า . หลัก เกณฑอ ัน นี้ ใช ไ ด ทั่ ว ไปในทุ ก เรื่ อ ง หรื อ ทุ ก การงานในโลก ; รายละเอี ย ดต า ง ๆ ของคํ า ถาม แต ล ะข อ ๆ นั้ น อาจจะขยายออกไปได โ ดยไม จํ า กั ด . ~ ถ า ดู กั น ใน “แง ข อง วิท ยาศาสตร” เรื ่อ งอริย สัจ ทั ้ง ๔ เรื ่อ ง เปน ไปตามกฎอิท ัป ปจ จยตา ซึ ่ง เปน กฎแหง ธรรมชาติอ ัน สูง สุด ของสกลจัก รวาล โดยมีห ลัก วา สิ ่ง ทั ้ง ปวงมีเ หตุ มี ป จ จั ย เป น ไปตามอํ า นาจแห ง เหตุ แ ละป จ จั ย ดั บ เหตุ ดั บ ป จ จั ย ได ก็ คื อ ดั บ ผล ของมัน ดว ย โดยการกระทํ า ที ่ถ ูก ตอ งตามกฎแหง เหตุแ ละปจ จัย เหลา นั ้น โดย ไม ต อ งอาศั ย อํ า นาจสิ่ ง ศั ก ดิ์ สิ ท ธิ์ เช น เทพเจ า หรื อ พระเป น เจ า และเป น สิ่ ง ที่ สามารถพิ สู จ น ไ ด โ ดยหลั ก เกณฑ ท างวิ ท ยาศาสตร แ ห ง ยุ ค ป จ จุ บั น ; แม ว า เป น เรื่ อ งฝ า ยจิ ต วิ ญ ญาณ จนต อ งเรี ย กว า วิ ท ยาศาสตร ท างฝ า ยจิ ต ก็ ไ ม ขั ด กั น แต ประการใดกั บ วิ ท ยาศาสตร ท างฝ า ยวั ต ถุ เพราะเป น สั จ จธรรมของธรรมชาติ โดย ธรรมชาติ ตามธรรมชาติ, แตเ พื ่อ ประโยชนแ กม นุษ ย คือ สามารถแกป ญ หา ของมนุษ ยไ ดอ ยา งแทจ ริง และเพีย งพอ. ~ แมจ ะมีล ัก ษณะเปน “จิต วิท ยา” พุท ธศาสนาก็ห าใชจ ิต วิท ยาหาประโยชนอ ยา งจิต วิท ยายุค ปจ จุบ ัน ไม แตเ ปน จิ ตวิ ท ยาเพื่ อแก ป ญ หาทางจิ ต ใจของมนุ ษ ย ในรูป แบบของวิ ทยาศาสตรอี กนั่ น เอง, ไม มี ลั ก ษณะแห ง เทววิ ท ยา ( Theology ) แต ป ระการใด, ดั ง นั้ น พุ ท ธศาสนาจึ ง ไม ร วมอยู ใ นศาสนาที่ มี เทววิ ท ยาเป น หลั ก . ถ า จะให เรี ย กตามชอบใจเรา อยาก จะเรี ย กว า “วิ ท ยาศาสตร แ ห ง สั จ จะ” เสี ย มากกว า . ~ ถ า จะดู กั น ในแง ข อง ศาสนา หรื อ Religion ซึ่ ง มี ค วามหมายว า เป น “สิ่ ง ผู ก พั น มนุ ษ ย กั บ สิ่ ง สู ง สุ ด ”. แล ว สิ่ ง สู ง สุ ด ในพระพุ ท ธศาสนาก็ คื อ ภาวะสิ้ น สุ ด แห ง ความทุ ก ข เพราะปฏิ บั ติ ถู ก ต อ งตามหลั ก ของอริย สั จ ตามกฎเกณฑ ข องกฎอิ ทั ป ป จ จยตาซึ่ ง เป น กฎเกณฑ อยางวิทยาศาสตรอีกนั่นเอง. พุทธศาสนาจึงไมมีลักษณะเปน Creationist คือถือ

www.buddhadasa.info


คํานําสําหรับการจัดพิมพครั้งนี้

[๑๙]

วา สิ ่ง ตา ง ๆ มีพ ระเจา ผู ส รา ง, แตเ ปน Evolutionist คือ ถือ วา สิ ่ง ตา ง ๆ เกิด ขึ ้น และเปน ไปตามกฎของธรรมชาติ ที ่เ รีย กวา กฎแหง อิท ัป ปจ จยตา อัน เปน หลั ก สํ า คั ญ ของอริ ย สั จ จึ ง กล า วได ว า เรื่ อ งอริ ย สั จ นั่ น เองที่ ทํ า ให พุ ท ธศาสนาเป น “ศาสนาแห ง สกลจั ก รวาล” (Cosmic Religion ). นี้ คื อ ลั ก ษณะพิ เศษหรื อ เฉพาะ ของพุท ธศาสนา ที ่ค วรตั ้ง ขอ สัง เกตหรือ ตรากัน ไว ~ สิ ่ง สุด ทา ยที ่จ ะตอ งพูด กั น ในกรณี นี้ ก็ คื อ พุ ท ธศาสนามิ ไ ด เ ป น Philosophy (ซึ่ ง เป น วิ ธี ค น หาความจริ ง ด ว ยการคํ า นวณจากสิ่ ง ที่ ตั้ ง ขึ้ น ไว เ ป น สมมติ ฐ าน หรื อ Hypothesis ). แต พุ ท ธศาสนาเป น ปรั ช ญา (คื อ ป ญ ญาที่ เห็ น ความจริ ง ขั้ น สู ด ยอด โดยไม ต อ งอาศั ย การ คํ า นวณ ใด ๆ ) คื อ เป น การมองลงไปตรง ๆ ลงไปยั ง สิ่ ง ที่ กํ า ลั ง เป น ป ญ หา เช น ความทุ ก ข เป น ต น ตามหลั ก เกณฑ แ ห ง อริ ย สั จ , ราวกะว า มองดู สิ่ ง ที่ นํ า มาวางลง ในฝ า มื อ ; ไม มี ก ารคํ า นวณคาดคะเนตามวิ ธี แ ห ง Philosophy ( ซึ่ ง มี ผ ลเป น เพี ย ง “ทรรศนะ” หนึ่ ง ๆ อั น เป น ความเห็ น สุ ด ท า ยของการคํ า นวณครั้ ง หนึ่ ง ๆ ซึ่ ง จะ เป น เช น นั้ น สื บ ต อ ไปไม รู จั ก จบ ; หาใช ป รั ช ญ าหรื อ ป ญ ญ าอั น สู ง สุ ด ไม ). แม กระนั้ น ถ า หากว า ใครประสงค จ ะนํ า เอาพุ ท ธศาสนาไปพู ด เพ อ เจ อ อย า งวิ ธี Philosophy ก็ ทํ าได เห มื อน กั น เพ ราะพู ดกั น ใน รู ป แบ บ ของ Philosophy; แต ขอยืน ยัน วา นั ่น มัน ดับ ทุก ขไ มไ ด เพราะตัว แทข องพระพุท ธศาสนามิใ ชเ ปน Philosophy ; แต ต องเป น ปรั ชญา หรื อ ป ญ ญาที่ เกิ ด มาจากการมองลงไปที่ ตั วความจริ ง โดยประจั ก ษ อย างไม ต อ งมี ก ารคํ านวณ, เป น ป ญ ญาที่ ส ามารถเจาะแทงกิ เลส ซึ่ ง Philosophy ทํ า ไม ได . ป ญ หาอั น เลวร า ยเกิ ด ขึ้ น เพราะเราเอาคํ า ว า Philosophy (คํ า ตะวั น ตก) มาทํ า เป น สิ่ ง เดี ย วกั น กั บ คํ า ว า ปรั ช ญา (คํ า ตะวั น ออก) ไปเสี ย นั่ น เอง.เรื่ อ งอริ ย สั จ โดยเนื้ อ แท เ ป น Philosophy ไม ไ ด แต เป น ปรั ช ญาที่ ส มบู ร ณ มิ ใช เป น เพี ย ง “ทรรศนะ” ดั ง กล า วแล ว . ~ เมื่ อ ผู ศึ ก ษาได ศึ ก ษาหนั ง สื อ เรื่ องอริ ยสั จนี้ ดวยตนเอง จนตลอดแลว ก็จะเห็นไดดวยตนเองทันทีวา เรื่องอริยสัจที่กลาว

www.buddhadasa.info


อริยสัจจากพระโอษฐ

[๒๐]

ไว ใ นรู ป แบบสํ า หรั บ การดั บ ทุ ก ข นี้ ไม อ าจเป น Philosophy ที่ ต อ งอาศั ย การ คํ า นวณใด ๆ เลย แต เป น การบอกวิ ธี ใ ห ป ระพฤติ ห รื อ กระทํ า จนเกิ ด สิ่ ง ที่ เรี ย กว า ปรัชญา หรือธัมมสัจจะเปนกรณี ๆ ไปทีเดียว. ขอ ความดังกลาวมาทั้ งหมดนี้ เป น เรื่องที่ ป ระสงค ให ท านผูอ านได พิจารณาดูอยางละเอียด โดยไมตองกลัววาจะเสียเวลา, เพื่อผลอันสมบูรณ.

อ.ป. ในนามกองตําราแหงคณะธรรมทาน โมกขพลาราม, ไชยา มาฆบูชา ๒๕๒๗

www.buddhadasa.info


คํานําเมื่อพิมพครั้งแรก [พ.ศ. ๒๕๐๒] พระพุ ท ธศาสนาทั้ ง แท ง มี ย อดสุ ด คื อ อริ ย สั จ ๔. หลั ก ธรรมทุ ก ๆ อย า ง สงเคราะห ร วมลงได ใน อริ ย สั จ ๔. ข อ ปฏิ บั ติ ทุ ก ๆ ข อ ก็ มี เพื่ อ รู อริ ย สั จ ด ว ยป ญ ญา. ครั้ น รู อริย สั จ ด ว ยป ญ ญาถึ ง ที่ สุ ด แล ว ก็ ห ลุ ด พ น จากอาสวะกิ เลส เป น ผู ทํ า ที่ สุ ด แห ง ความทุ ก ข ให ป รากฏได และพ น ทุ ก ข อ ย า งเด็ ด ขาด ไม ก ลั บ เป น ทุกขอีกตอไป เพราะจิตหลุดพนจากสิ่งที่เคยยึดถือ. ผู ที ่รู อ ริย สัจ ได โดยตนเอง อยา งแตกฉาน และสอนผู อื ่น ใหรู ต าม ได ด วย เรียกวา พระสั มมาสั มมาพุ ทธเจ า. ผู ที่ รูเอง แตกฉานเฉพาะเท าที่ ทํ าตั วเอง ให ห ลุ ด พ น ได แต ส อนผู อื่ น ให รู ต ามไม ไ ด เพราะไม ส ามารถในการทรมานผู ฟ ง เรีย กว า พระป จ เจกพุ ท ธเจ า . ผู ที่ ได ฟ ง จากพระสั ม มาสั ม มาพุ ท ธเจ า แล ว รูต ามได เรี ย กว า พระอนุ พุ ท ธเจ า . ผู ที่ ไ ด ฟ ง จากพระสั ม มาสั ม มาพุ ท ธเจ า แล ว รู ต ามได เรี ย กว า พระอนุ พุ ท ธเจ า หรื อ พระอริ ย สาวก. ทั้ ง ๓ พวกนี้ ก็ ล ว นแต เพราะรู อริย สัจ ๔ ดว ยปญ ญ า. อริย สัจ จึง คือ ยอดธรรม . การรู  อริย สัจ ก็ค ือ ยอดแห ง พรหมจรรย . และการประพฤติ เ พื่ อ ให รู อ ริ ย สั จ ๔ ด ว ยป ญ ญา ก็ คื อ ยอดแหงการประพฤติทั้งหลาย.

www.buddhadasa.info ในโลกนี้ หรื อ ในโลกไหน ๆ กี่ พั นโลกก็ ต าม ไม มี อ ะไรดี ไ ปกว า “ความพน ทุก ข.” ความพน ทุก ข มีไ ด เพราะรู  อริย สัจ ทั ้ง ๔ อยา งสมบูร ณ คือรูจักทุกข เหตุใหเกิดทุกข ความดับไมเหลือของทุกข และทางดําเนินใหถึง

[๒๑]


[๒๒]

อริยสัจจากพระโอษฐ

ความดั บ ไม เ หลื อ ของทุ ก ข นั่ น เอง. อริ ย สั จ ทั้ ง ๔ อย า งนี้ จึ ง เป น ความรู ที่ ค วร ศึ ก ษาสํ า หรั บ การมี ชี วิ ต อยู ยิ่ ง กว า ความรู อื่ น ๆ ซึ่ ง เป น เพี ย งการหลอกล อ ให ชี วิ ต เพลิน ไปวัน หนึ ่ง ๆ หาไดสํ า รอกทุก ข พรอ มทั ้ง รากเชื ้อ ของมัน ออกจากดวงจิต ของมนุษยไดไม. เจ า หน า ที่ ก องตํ า ราของคณ ะธรรมทาน ได พ ยายามค น เรื่ อ งอริ ย สั จ มาเป น เวลานาน ด ว ยความลํ า บากอย า งยิ่ ง ในการค น และการนํ า มาจั ด เข า ลํ า ดั บ ให ถู ก ต อ งปะติ ด ปะต อ กั น จนตลอดเรื่ อ ง เป น เรื่ อ ง อริ ย สั จ จากพระโอษฐ ฉบั บ ที่ สมบูร ณ . คณ ะธรรมทาน ไดเ ริ ่ม พิม พห นัง สือ เรื ่อ งนี ้ ตั ้ง แตต น พ.ศ. ๒๕๐๐ จัด เย็บ เลม ภาค ๑– ๒ ไวต อนหนึ ่ง แลว . มาบัด นี ้ ภาค ๓ - นิโ รธอริย สัจ เสร็จ ลง จึง ไดจ ัด เย็บ เลม ไวอ ีก ตอนหนึ ่ง . สว นภ าค ๔ - ม รรคอริย สัจ และภ าค สรุปทาย จะไดจัดพิมพตอไป.

คณะธรรมทาน, ไชยา

www.buddhadasa.info ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๐๒


สารบาญยอ (ตามลําดับภาค ทุกภาค) ____________ ภาคนํา วาดวย ขอความที่ควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

หนา ๑ - ๑๔๐

ภาค ๑ วาดวย ทุกขอริยสัจความจริงอันประเสริฐคือทุกข

๑๔๕ - ๒๗๔

ภาค ๒ วาดวย สมุทยอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐคือเหตุใหเกิดทุกข

๒๗๗ - ๔๐๓

ภาค ๓ วาดวย นิโรธอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐคือความดับไมเหลือของทุกข

๔๐๗ - ๙๑๖

ภาค ๔ วาดวย มัคคอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐคือมรรค

๘๑๙ - ๑๔๙๐

ภาคสรุป วาดวย ขอความสรุปเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๑๔๙๓ - ๑๕๒๔

ภาคผนวก วาดวย เรื่องนํามาผนวกเพื่อความสะดวกแกการอางอิงฯ

๑๕๒๗ - ๑๕๗๒

www.buddhadasa.info

[๒๓]


สารบาญขยายความ (ตามลําดับนิเทศของภาค ทุกนิเทศ) ____________ หนา

ภาคนํา วาดวย ขอความที่ควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ ๑-๑๔๐ ตอน ๑ วาดวย สัตวโลกกับจตุราริยสัจ ตอน ๒ วาดวย ชีวิตมนุษยกับจตุราริยสัจ ตอน ๓ วาดวย พระพุทธองคกับจตุราริยสัจ ตอน ๔ วาดวย การรูอริยสัจไมเปนสิ่งสุดวิสัย ตอน ๕ วาดวย คุณคาของอริยสัจ ตอน ๖ วาดวย เคาโครงของอริยสัจ

๓ - ๑๘ ๑๙ - ๔๙ ๕๐ - ๗๑ ๗๒ - ๙๔ ๙๕ - ๑๑๐ ๑๑๑ - ๑๔๐

ภาค ๑ วาดวยทุกขอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐคือทุกข ๑๔๕ - ๒๗๔ นิทเทศ ๑ วาดวย ประเภทและอาการแหงทุกขตามหลักทั่วไป ๑๔๘ - ๑๕๓ นิทเทศ ๒ วาดวย ทุกขสรุปในปญจุปาทานขันธ ๑๕๔ - ๒๕๓ นิทเทศ ๓ วาดวย หลักเบ็ดเตล็ดเกี่ยวกับความทุกข ๒๕๔ - ๒๗๓ ภาค ๒ วาดวย สมุทยอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐคือเหตุใหเกิดทุกข ๒๗๗ - ๔๐๓ นิทเทศ ๔ วาดวย ลักษณะแหงตัณหา ๒๘๐ - ๓๑๙ นิทเทศ ๕ วาดวย ที่เกิดและการเกิดแหงตัณหา ๓๒๐ - ๓๒๗ นิทเทศ ๖ วาดวย อาการที่ตัณหาทําใหเกิดทุกข ๓๒๘ - ๓๖๙

www.buddhadasa.info

[๒๔]


สารบาญขยายความฯ

[๒๕] หนา

นิทเทศ ๗ วาดวย ทิฏฐิที่เกี่ยวกับตัณหา ๓๗๐ - ๓๘๐ นิทเทศ ๘ วาดวย กิเลสทั้งหลายในฐานะสมุทัย ๓๘๑ - ๔๐๒ ภาค ๓ วาดวย นิโรทอริยสัจความจริงอันประเสริฐคือความดับไมเหลือแหงทุกข ๔๐๗ - ๘๑๖ นิทเทศ ๙ วาดวย ความดับแหงตัณหา ๔๑๐ - ๔๓๖ นิทเทศ ๑๐ วาดวย ธรรมเปนที่ดับแหงตัณหา ๔๓๗ - ๕๕๐ นิทเทศ ๑๑ วาดวย ผูดับตัณหา ๕๕๑ - ๗๒๙ นิทเทศ ๑๒ วาดวย อาการดับแหงตัณหา ๗๓๐ - ๘๑๕ ภาค ๔ วาดวยมัคคอริยสัจความจริงอันประเสริฐคือมรรค๘๑๙ - ๑๔๙๐ นิทเทศ ๑๓ วาดวย ขอความนํามรรค ๘๒๒ - ๘๖๙ นิทเทศ ๑๔ วาดวย สัมมาทิฏฐิ ๘๗๓ - ๑๐๒๘ นิทเทศ ๑๕ วาดวย สัมมาสังกัปปะ ๑๐๒๙ - ๑๐๕๙ นิทเทศ ๑๖ วาดวย สัมมาวาจา ๑๐๖๐ - ๑๐๗๙ นิทเทศ ๑๗ วาดวย สัมมากัมมันตะ ๑๐๘๐ - ๑๐๘๙ นิทเทศ ๑๘ วาดวย สัมมาอาชีวะ ๑๐๙๐ - ๑๑๒๖ นิทเทศ ๑๙ วาดวย สัมมาวายามะ ๑๑๒๗ - ๑๑๗๕ นิทเทศ ๒๐ วาดวย สัมมาสติ ๑๑๗๖ - ๑๒๗๗ นิทเทศ ๒๑ วาดวย สัมมาสมาธิ ๑๒๗๘ - ๑๓๖๗ นิทเทศ ๒๒ วาดวย ขอความสรุปมรรค ๑๓๖๘ - ๑๔๘๙ ภาคสรุป วาดวย ขอความสรุปเกี่ยวกับจตุราริยสัจ ๑๔๙๓ - ๑๕๓๔ ภาคผนวก วาดวย เรื่องนํามาผนวกเพื่อความสะดวกแกการอางอิง ฯ ๑๕๓๗ - ๑๕๗๒

www.buddhadasa.info


สารบาญละเอียด (ตามลําดับเรื่อง ทุกเรื่อง) ____________ หนา คําปรารภ อักษรยอชื่อคัมภีร คําปรารภของธรรมทางมูลนิธิ แถลงการณคณะผูจัดทํา คํานําสําหรับการพิมพครั้งนี้ คํานําเมื่อพิมพครั้งแรก

(๑) (๖) (๗) (๘) (๑๒) (๒๑)

ภาคนํา วาดวยขอควาที่ควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ (มี ๖ ตอน ๙๑ หัวขอ) ตอน ๑ วาดวย สัตวโลกกับจตุราริยสัจ (๑๓ หัวขอ) ๓ - ๑๘ ตรัสรูแลว ทรงรําพึงถึงหมูสัตว ๓ การพนทุกขโดยไมรูอริยสัจนั้น เปนไปไมได ๕ เพราะไมรูอริยสัจ จึงตองแลนไปในสังสารวัฏ ๖ สัตวเกิดกลับมาเปนมนุษยมีนอย เพราะไมรูอริยสัจ ๗ ความมืดบอดของโลก มีตลอดเวลาที่พระตถาคตไมเกิดขึ้น ๙

www.buddhadasa.info

[๒๖]


สารบาญละเอียด ฯ หนา อริยสัจสี่ เปนสิ่งคงที่ไมรูจักเปลี่ยนตัว ๑๑ สุขที่สัตวโลกควรกลัว และไมควรกลัว ๑๑ ความรูสึกของบุถุชน ไขวกันอยูเสมอตอหลักแหงอริยสัจ ๑๒ ผูติดเหยื่อโลก ชอบฟงเรื่องกาม ไมฟง เรื่องสงบ ๑๓ การฟงอริสัจ เหมาะสําหรับจิตที่ฟอกแลวเทานั้น ๑๔ จิตที่ยังไมไดฟอก ยากนักที่จะเห็นนิโรธสัจ ๑๖ สัตวผูไมเปนไทตอความกําหนัด ยอมหลงกาม ๑๖ สัตวโลกรูจักสุขอันแทจริง ตอเมื่อปญญาเกิด ๑๗ ตอน ๒ วาดวย ชีวิตมนุษยกับจตุราริยสัจ (๒๐ หัวขอ) ๑๙ - ๔๙ มนุษยเปนอันมาก ไดยึดถือเอาที่พึ่งผิด ๆ ๑๙ ผูไมรูอริยสัจ ยอมหลงสรางเหวแหงความทุกขเพื่อตัวอยูร่ําไป ๑๙ ผูรูอริยสัจ หาหลงสรางทุกขขึ้นเพื่อตัวเองไม ๒๐ ทุกขประเภทใหญ ๆ ก็มีพอแลว สําหรับสัตวจะสํานึกตัวมารูอริยสัจ๒๑ พอรูอริยสัจ ทุกขเหลือนอยขนาดฝุนติดปลายเล็บเทีบกับปฐพี ๒๒ ผูไมรูอริยสัจ ชื่อวาตกอยูในที่มือ ๒๓ ผูไมรูอริยสัจ ชื่อวาตกอยูในหลุมเพลิงเปนนิจ ๒๕ กวามนุษยจะหลุดจากบวง (คือรูอริยสัจ) ๒๖ ๑. เมื่อจมกามตามปกติ ๒๖ ๒. เมื่อจมกามครั้งที่สอง ๒๗ ๓. เมื่อเฉไปติดบวงทิฏฐิ ๒๙ ๔. เมื่อพนจากบวง ๓๑ ยังมีพวกบริโภคกาม โดยไมจมกาม ๓๔

[๒๗]

www.buddhadasa.info


อริยสัจจากพระโอษฐ หนา ผูรูอริยสัจเปนหลักอยูในใจ ยอมไมมีอาการสั่นสะเทือนเพราะถูกยกวาทะ : ดุจเสาหิน ๓๖ ผูประกอบดวยอวิชชา คือผูไมมีความรูสี่อยาง ๓๗ อยาคิดเรื่องโลก แตจงคิดเรื่องอริยสัจ ๓๘ อยากลาวเรื่องทุมเถียงแกงแยงกัน แตจงกลาวเรื่องความพนทุกข ๔๐ อยากลาวเรื่องไมมีประโยชน แตจงกลาวเรื่องความพนทุกข ๔๑ จงบวชเพื่อรูความดับทุกข เหมือนเขาทั้งหลายผูบวชแลวโดยชอบ ๔๒ ไมรูอริยสัจ ก็ยังไมเปนสมณพราหมณที่แท ๔๒ ถามัวรอใหรูเรื่องที่ไมจําเปนเสียกอน ก็ตายเปลา ๔๔ อยายึดถือติดแนนในธรรม แตจงใชเพียงเปนเครื่องมือ ๔๖ เปรียบนักเรียนอริยสัจ ดวยหนูตางจําพวกกัน ๔๗ จงสงเคราะหผูอื่น ดวยการใหรูอริยสัจ ๔๘ ตอน ๓ วาดวย พระพุทธองคกับจตุราริยสัจ (๑๙ หัวขอ) ๕๐ - ๗๑ พระพุทธองค คือผูทรงชี้ใหรูจักทุกข ๕๐ มุมนอยมุมหนึ่งของความทุกข ที่พระองคไมมี ๕๑ ทรงแสวง ๕๒ ทรงพบ ๕๓ เมื่อยังไมทรงรูอริยสัจก็ยังไมชื่อวาไดตรัสรูอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ๕๔ ถาไมรูเบญจขันธ โดยนัยอริยสัจสี่ ก็ยังไมทรงปฏิญาเปนพระพุทธเจา ๕๕ พระพุทธองคทรงพระนามวาสัมมาสัมพุทธะ ก็เพราะไดตรัสรูอริยสัจสี่ ๕๗

[๒๘]

www.buddhadasa.info


สารบาญละเอียด ฯ

[๒๙] หนา

ทรงรอบรูโลก (อริยสัจ) ๕๗ ทรงบันลือสีหนาท ประกาศจตุราริยสัจ ๕๘ ทรงประกาศอนุตตรธรรมจักร ซึ่งใคร ๆ ประกาศไมได ๖๐ สิ่งที่ไมทรงนําสอน มีมากยิ่งกวามากนัก ๖๐ สิ่งที่ทรงนํามาสอน ก็เฉพาะเรื่องความพนทุกข ๖๑ ทรงพยากรณเฉพาะเรื่องอริยสัจสี่ ๖๒ ทรงบัญญัติสัจจะ ไมเขาใครออกใคร ๖๔ ตรัสถอยคําโดยโวหารโลก แตมิไดทรงยึดถือ ๖๕ สาวกมาอยูอาศัยพระองค เพราะทรงตอบปญหาอริยสัจได ๖๗ พระพุทธเจาทั้งในอดีต-อนาคต-ปจจุบัน ลวนแตตรัสรูอริยสัจสี่ ๖๘ เหตุที่ตองมีพระพุทธองคและธรรมวินัยอยูในโลก ๖๙ ผูชวยใหรูอริยสัจ นับเนื่องอยูในบุคคลผูมีอุปการะมาก ๗๐ ตอน ๔ วาดวย การรูอริยสัจไมเปนสิ่งสุดวิสัย (๑๐ หัวขอ) ๗๒ - ๙๔ ทั้งในอดีต-อนาคต-ปจจุบันลวนมีการประกาศอริยสัจตามเปนจริง ๗๒ มีบุคคลบวชแลวรูอริยสัจ ทั้งในอดีต-อนาคต-ปจจุบัน ๗๓ ทั้งอดีต-อนาคต-ปจจุบัน ลวนแตมีการรูอริยสัจ ๗๓ ตรัสวาจงหลีกเรน แลวจักรูอริยสัจ ๗๕ ตรัสวาจงเจริญสมาธิ จักรูอริยสัจตามเปนจริง ๗๕ จิตเปนสมาธิแลว รูอริยสัจไดแจมใส เหมือนเห็นของในน้ําอันใส ๗๖ เมื่อประพฤติถูกทาง กิริยาที่ไปนิพพานเบาสบายเหมือนไมลอยน้ํา ๗๗ การรูอันตคาหิกทิฏฐิ ไมเกี่ยวกับการรูอริยสัจและการประพฤติพรหมจรรย ๗๘

www.buddhadasa.info


อริยสัจจากพระโอษฐ หนา สัจจะ และหลักพึงปฏิบัติเกี่ยวกับการถึงสัจจะ ๘๓ (ก. ความจริงตามแบบของชาวโลกตามธรรมชาติ ๘๓ (ข. วิธีการตามรักษาไวซึ่งความจริง) ๘๕ (ค. การติดตามทําความกําหนดรูในความจริง) ๘๗ (ง. การตามบรรลุถึงซึ่งความจริง) ๘๙ (จ. ธรรมเปนอุปการะมากแกการตามบรรลุถึงซึ่งความจริง) ๙๐ การรูอริยสัจเปนของไมเหลือวิสัย พระอริยบุคคลจึงมีปริมาณมาก ๙๓ ตอน ๕ วาดวย คุณคาของอริยสัจ (๑๓ หัวขอ) ๙๕ - ๑๑๐ อริยสัจสี่ เปนเอกังสิกธรรมที่ทรงแสดง ๙๕ ทําที่สุดทุกขโดยไมรูอริยสัจนั้น เปนไปไมได ๙๖ สัตวตองเวียนวาย เพราะไมเห็นอริยสัจ ๙๗ การรูอริยสัจ รีบดวนกวาการดับไฟที่กําลังไหมอยูบนศรีษะ ๙๘ การรูอริยสัจ ควรแลกเอาแมดวยการถูกแทงดวยหอกวันละ๓๐๐ ครั้ง ๑๐๐ ป ๙๘ เมื่อยังไมรูอริยสัจ ก็ไมสามารถลงหลักแหงความรูของตน ๑๐๐ สัตวจําพวกวินิบาต กับการเห็นจตุราริยสัจ ๑๐๑ การรูอริยสัจ ทําใหมีตาครบสองตา ๑๐๓ การสิ้นอาสวะมีได เพราะการรูอริยสัจ ๑๐๔ เหตุที่ทําใหสัจจะเหลานี้ ไดนามวา “อริยะ” ๑๐๔ เหตุที่ทําใหสัจจะเหลานี้ ไดนามวา “อริยะ” (อีกนัยหนึ่ง) ๑๐๕ อริยสัจสี่ สําหรับความเปนอริยบุคคล ๑๐๖ อริยสัจจธรรมรวมอยูในหมูธรรมที่ใครคานไมได ๑๐๘

[๓๐]

www.buddhadasa.info


สารบาญละเอียด ฯ หนา ตอน ๖ วาดวย ประเภทหรือเคาโครงของอริยสัจ (๑๖ หัวขอ)๑๑๑-๑๔๐ หลักอริยสัจมีอยางเดียว แตคําอธิบายมีปริยายมากมาย ๑๑๑ อริยสัจสี่โดยสังเขป (นัยทั่วไป) ๑๑๑ อริยสัจสี่โดยสังเขป (อีกนัยหนึ่ง : ทรงแสดงดวยปญจุปา ทานขันธ) ๑๑๒ อริยสัจสี่โดยสังเขป (อีกนัยหนึ่ง : ทรงแสดงดวยอายตนะหก) ๑๑๔ ทรงวางลําดับแหงอริยสัจ อยางตายตัว ๑๑๖ อริยสัจสี่ ในรูปแบบพิเศษ ๑๑๖ การวางลําดับใหม ไมมีเหตุผลเลย ๑๑๗ หนาที่อันเกี่ยวกับอริยสัจ มี ๔ ชนิด ๑๑๘ อริยสัจสี่ มี ๓ รอบ มี ๑๒ อาการ ๑๑๙ อริยสัจสี่ เนื่องกันจนเห็นอริยสัจเดียวไมได ๑๒๐ ไวพจนหรือคําแทนชื่อ ของจตุราริยสัจ ๑๒๑ ไวพจน ของจตุราริยสัจ (อีกนัยหนึ่ง : ทรงแสดงดวยอันตะ) ๑๒๒ ไวพจน ของจตุราริยสัจ (อีกนัยหนึ่ง : ทรงแสดงดวยคําวาโลก) ๑๒๔ อริยสัจสี่ ที่ทรงแสดงโดยพิสดาร (นัยที่หนึ่ง) ๑๒๕ ๑. ทุกขอริยสัจ ๑๒๕ ๒. ทุกขสมุทยอริยสัจ ๑๒๙ ๓. ทุกขนิโรธอริยสัจ ๑๓๒ ๔. ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ๑๓๕ อริยสัจสี่ ที่ทรงแสดงโดยพิสดาร (นัยที่สอง) ๑๓๘

[๓๑]

www.buddhadasa.info


อริยสัจจากพระโอษฐ

[๓๒] หนา

อุทเทศแหงจตุราริยสัจ.

๑๔๓

ภาค ๑ วาดวยทุกขอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐคือทุกข (มี ๑ อุทเทศ ๓ นิทเทศ ๑๒๗ เรื่อง)

อุทเทศแหงทุกขอริยสัจ ๑๔๗ นิทเทศแหงทุกขอริยสัจ (๓ นิทเทศ : ๑-๓ รวมทั้งหมด ๑๒๕ เรื่อง) ๑๔๘ - ๒๗๓ นิทเทศ ๑ วาดวย ประเภทและอาการแหงทุกขตามหลักทั่วไป (๑๒ เรื่อง) ความเกิด ความแก ความตาย ความโศก ความร่ําไรรําพัน ความทุกขกาย ความทุกขใจ ความประสพดวยสิ่งไมเปนที่รัก ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ความปรารถนาอยางใดแลวไมไดอยางนั้น ปญจุปาทานักขันธ

๑๔๘ - ๑๕๓ ๑๔๘ ๑๔๘ ๑๔๘ ๑๔๙ ๑๔๙ ๑๔๙ ๑๕๐ ๑๕๐ ๑๕๐ ๑๕๐ ๑๕๓

www.buddhadasa.info


สารบาญละเอียด ฯ

[๓๓] หนา

นิทเทศ ๒ วาดวย ทุกขสรุปในปญจุปาทานขันธ (๒ ตอนรวมทั้งหมด ๙๕ เรื่อง) ๑๕๙ - ๒๕๓ ตอน ๑ วาดวย เบญจขันธโดยวิภาค ( ๒ วิภาค: (ก.)-(ข.) ๗๑ เรื่อง) ๑๕๔ - ๒๒๑ (ก.) วิภาคแหงเบญจขันธ (๕ วิภาค ๖๐ เรื่อง) ๑๕๔ -๒๐๘ ๑. วิภาคแหงรูปขันธ (๑๕ เรื่อง) ๑๕๕ - ๑๕๘ รูปและรูปอาศัย ๑๕๕ มหาภูตคือธาตุสี่ ๑๕๖ การเกิดขึ้นของธาตุสี่ เทากับการเกิดขึ้นของทุกข ๑๕๙ ความเพลินในธาตุสี่ เทากับความเพลินในทุกข ๑๕๖ รสอรอย - โทษ - อุบายเครื่องพนไป ของธาตุสี่ ๑๕๙ ความลับของธาตุสี่ ๑๖๐ ธาตุสี่ ไมเทีย่ ง เปนทุกข เปนอนัตตา ๑๖๑ ยังยินดีในธาตุสี่อยู เพราะไมรูจักธาตุสี่ ๑๖๒ ความหมายของคําวา “รูป” ๑๖๓ อุปมาแหงรูป ๑๖๓ อัสสาทะของรูป ๑๖๔ อําทีนพของรูป ๑๖๔ นิสสรณะของรูป ๑๖๘ ขอควรกําหนดเกี่ยวกับรูป ๑๖๘ รูปขันธ โดยนัยแหงอริยสัจสี่ ๑๖๘

www.buddhadasa.info


อริยสัจจากพระโอษฐ หนา ๒. วิภาคแหงเวทนาขันธ (๒๑ เรื่อง) ๑๖๙ - ๑๙๒ เวทนาหก ๑๖๙ ความหมายของคําวา “เวทนา” ๑๖๙ อุปมาแหงเวทนา ๑๗๐ ความหมายอันแทจริงของ “บาดาล” ๑๗๑ ธรรมลักษณะ ๘ ประการ แหงเวทนา ๑๗๑ หลักที่ควรรูเกี่ยวกับเวทนา ๑๗๒ ประมวลเรื่องนารูพิเศษ เกี่ยวกับเวทนา ๑๗๔ วิภาคแหงเวทนา ๑๗๖ “ธรรม” (คือเวทนา) เปนสิ่งที่บัญญติไดหลายปริยาย (อันเปนเหตุใหหลงทุมเถียงกัน) ๑๗๘ เวทนามีธรรมดาไมเที่ยง ๑๗๙ เวทนามีธรรมดาแปรปรวน ๑๘๐ เวทนาเปนทุกข เปนลูกศร เปนของไมเที่ยง ๑๘๑ เวทนาทุกชนิด สรุปลงในความหมายวา “ทุกข” ๑๘๒ เวทนา เปนทางมาแหงอนุสัย ๑๘๓ อัสสาทะชั้นเลิศ ของเวทนา ๑๘๔ เวทนา คือทางไปแหงจิตของสัตว ๑๘๖ การเกิดของเวทนา เทากับการเกิดของทุกข ๑๙๐ อาการเกิดดับแหงเวทนา ๑๙๐ ขอควรกําหนด เกี่ยวกับเวทนา ๑๙๑ เวทนาขันธ โดยนัยแหงอริยสัจสี่ ๑๙๒ ประมวลสิ่งที่ตองรู เกี่ยวกับเวทนา ๑๙๒

[๓๔]

www.buddhadasa.info


สารบาญละเอียด ฯ

[๓๕]

หนา ๓. วิภาคแหงสัญญาขันธ (๘ เรื่อง) ๑๙๓ - ๑๙๘ สัญญาหก ๑๙๓ ความหมายของคําวา “สัญญา” ๑๙๓ อุปมาแหงสัญญา ๑๙๔ หลักที่ควรรู เกี่ยวกับสัญญา ๑๙๕ สัญญามีธรรมดาแปรปรวน ๑๙๖ การเกิดของสัญญา เทากับการเกิดของุทกข ๑๙๖ ขอควรกําหนด เกี่ยวกับสัญญา ๑๙๗ สัญญาขันธ โดยนัยแหงอริยสัจสี่ ๑๙๘ ๔. วิภาคแหงสังขารขันธ (๗ เรื่อง) ๑๘๘ - ๒๐๒ สังขารหก ๑๙๘ ความหมายของคําวา “สังขาร” ๑๙๙ อุปมาแหงสังขาร ๑๙๙ สังขารมีธรรมดาแปรปรวน ๒๐๐ การเกิดของสังขาร เทากับการเกิดของทุกข ๒๐๑ ขอควรกําหนด เกี่ยวกับสังขาร ๒๐๑ สังขารขันธ โดยนัยแหงอริยสัจสี่ ๒๐๒

www.buddhadasa.info ๕. วิภาคแหงวิญญาขันธ (๘ เรื่อง) วิญญาณหก ความหมายของคําวา “วิญญาณ” อุปมาแหงวิญญาณ

๒๐๓ - ๒๐๘ ๒๐๓ ๒๐๓ ๒๐๔


อริยสัจจากพระโอษฐ วิญญาณมีธรรมดาแปรปรวน วิญญาณ เมื่อทําหนาที่เปนพืช การเกิดของวิญญาณ เทากับการเกิดของทุกข ขอควรกําหนด เกี่ยวกับวิญญาณ วิญญาณขันธ โดยนัยแหงอริยสัจสี่

[๓๖] หนา ๒๐๔ ๒๐๕ ๒๐๗ ๒๐๗ ๒๐๗

(ข.) วิภาคแหงปญจุปาทานขันธ (๑๑ เรื่อง) ๒๐๘ - ๒๒๑ อุปาทานสี่ ๒๑๐ รากเงาแหงอุปาทานขันธ ๒๑๒ อุปาทานกับอุปาทานขันธ มิใชอันเดียวกัน ๒๑๓ อุปาทานและที่ตั้งแหงอุปาทาน ๒๑๓ เบญจขันธ ไดนามวาสักกายะและสักกายันตะ ๒๑๔ ที่ติดของสัตว ๒๑๕ ผูติดบวง-ผูหลุดจากบวง ๒๑๖ ความสะดุงหวาดเสียวเพราะอุปทาน ๒๑๗ ความสะดุงหวาดเสียวเพราะอุปทาน (อีกนัยหนึ่ง) ๒๑๙ ลัทธิอื่น ไมรจู ักเรื่องอัตตวาทุปาทาน ๒๑๙

www.buddhadasa.info ตอน ๒ วาดวย เบญจขันธโดยสรุป (๒๓ เรื่อง) ๒๒๑ - ๒๕๓ เบญจขันธ เปนสิ่งที่ควรรอบรู มูลฐานแหงการบัญญัติเบญจขันธ (แตละขันธ) เบญจขันธ เปนที่บัญญัติกฎแหงสังขตะ การถูกตราหนา เพราะอนุสัยในเบญจ

๒๒๑ ๒๒๒ ๒๒๓ ๒๒๔


สารบาญละเอียด ฯ

[๓๗]

หนา การถูกตราหนา เพราะตายตามเบญจขันธ ๒๒๖ สัญโญชนและที่ตั้งแหงสัญโญชน ๒๒๗ ความลับของเบญจขันธ ๒๒๘ เบญจขันธ เนื่องดวยปจจัยแหงความเศราหมองและบริสุทธิ์ ๒๓๐ เบญจขันธ เปนธรรมฝายที่แตกสลายได ๒๓๒ เบญจขันธ ไมเที่ยง ๒๓๓ เหตุปจจัยของเบญจขันธ ก็ไมเที่ยง ๒๓๖ เบญจขันธเปนทุกข ๒๓๖ เหตุปจจัยของเบญจขันธ ก็เปนทุกข ๒๓๘ เบญจขันธ เปนอนัตตา ๒๓๙ เหตุปจจัยของเบญขันธ ก็เปนอนัตตา ๒๔๕ เบญจขันธ เปนภาระที่หนัก ๒๔๖ เบญจขันธ เปนทั้งผูฆาและผูตาย ๒๔๖ เบญจขันธ เปนกองถานเถารึง ๒๔๗ เบญจขันธ เปนเครื่องผูกพันสัตว ๒๔๘ เบญจขันธ “สัตว” เพราะติดเบญจขันธ ๒๔๙ ไมรูจักเบญจขันธ ชื่อวามีอวิชชา ๒๕๑ เพลินในเบญจขันธ เทากับเพลินในทุกข ๒๕๑ ตองละฉันทราคะในเบญจขันธ ๒๕๒

www.buddhadasa.info นิทเทศ ๓ วาดวย หลักเบ็ดเตล็ดเกี่ยวกับความทุกข(๑๘ เรื่อง) ๒๕๔ - ๒๗๓ หลักที่ควรรู เกี่ยวกับทุกข

๒๕๔


อริยสัจจากพระโอษฐ

[๓๘]

ปญจุปาทานขันธ เปนทุกขอริยสัจ ปญจุปาทานขันธ เปนทุกข ของแสดงลักษณะความทุกข (อีกปริยายหนึ่ง) ทรงแสดงลักษณะแหงความทุกข (อีกปริยายหนึ่ง) ความเปนทุกข ๓ ลักษณะ ความทุกขของเทวดาและมนุษย ตามธรรมชาติ เปนทุกข เพราะติดอยูในอายตนะ ทุกข เพราะยึดถือสิ่งที่ยึดถือไมได ทุกข คือกระแสการปรุงแตงทางจิต (ไมมีบุคคลผูท ุกข) ไมพนทุกข เพราะมัวเพลินในอายตนะ อายตนะหก เปนทุกขอริยสัจ กลุมอายตนะ เปนของรอน กลุมอายตนะ เปนของมืด พิษลูกศรแหงความทุกข ของปุถุชน สุขทุกข เนื่องจากการมีอยูแหงขันธ ประพฤติพรหมจรรยนี้ เพื่อรอบรูทุกข ทุกชนิดปลายแถว (ทรงแสดงโดยภาษาคน) (ทรงแสดงโดยภาษาธรรม) (คาถาผนวกทายพระสูตร)

หนา ๒๕๖ ๒๕๖ ๒๕๖ ๒๕๗ ๒๕๗ ๒๕๘ ๒๕๙ ๒๖๐ ๒๖๒ ๒๖๔ ๒๖๔ ๒๖๕ ๒๖๖ ๒๖๗ ๒๖๘ ๒๖๙ ๒๗๐ ๒๗๐ ๒๗๑ ๒๗๓

ทุกขอริยสัจ เปนสิ่งที่ควรรอบรู

๒๗๔

www.buddhadasa.info


สารบาญละเอียด ฯ

[๓๙]

ภาค ๒ วาดวยสมุทยอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐคือเหตุใหเกิดทุกข (มี ๑ อุทเทศ ๕ นิทเทศ ๑๐๒ เรื่อง)

อุทเทศแหงสมุทยอริยสัจ ๒๗๙ นิทเทศแหงสมุทยอริยสัจ (๕ นิทเทศ : ๔ - ๘, ๑๐๐ เรื่อง) ๒๘๐ - ๔๐๒ นิทเทศ ๔ วาดวย ลักษณะแหงตัณหา (๔๑ เรื่อง) ๒๘๐ - ๓๑๙ ลักษณาการแหงตัณหา สักกายสมุทัย ไวพจนแหงตัณหา เจาเหนือหัวของสัตวโลก สัญโญชนอยางเอก เครื่องจูงใจสูภพ พืชของภพ เชื้องอกของพืช ที่เกิดแหงอุปธิ ที่เกิดแหงอุปาทาน ที่เกิดแหงอาหาร ตัณหาโดยวิภาคแหงอารมณ ๖ อยาง ภพโดยวิภาค ๓ อยาง ตัณหาโดยวิภาค ๓ อยาง ลักษณะแหงกามตัณหา กามคุณหา คือบวง

๒๘๐ ๒๘๑ ๒๘๒ ๒๘๒ ๒๘๒ ๒๘๓ ๒๘๕ ๒๘๖ ๒๘๗ ๒๘๗ ๒๘๘ ๒๘๘ ๒๘๙ ๒๙๐ ๒๙๐

www.buddhadasa.info


อริยสัจจากพระโอษฐ กาม เปนเครื่องผูก กาม เปนมายา ไมมีความเย็นในกาม คนกลาวคําเท็จ เพราะกาม อิทธิพล ของกาม เขาไปหาความตาย เพราะกาม ความเพลิน เปนแดนเกิดแหงทุกข เพลินอยูกับอายตนะภายใน เทากับเพลินอยูในทุกข ความอรอยกลางกองทุกข (ความลวงของกาม) ความอรอยที่ไมคุมกับความทุกข กามเปรียบดวย ทอนกระดูก กามเปรียบดวย ชิ้นเนื้อคาปาก กามเปรียบดวย คบเพลิงทวนลม กามเปรียบดวย หลุมถานเพลิง กามเปรียบดวย ของในความฝน กามเปรียบดวย ของยืม กามเปรียบดวย ผลไม รายละเอียดที่ควรศึกษา เกี่ยวกับกาม ไวพจน ของกาม กามเปรียบดวยรูรั่วของเรือ ลักษณะแหงภวตัณหา ปจจัยแหงภวตัณหา วิภาคแหงภวตัณหา รอย

[๔๐] หนา ๒๙๑ ๒๙๒ ๒๙๒ ๒๙๓ ๒๙๔ ๒๙๕ ๒๙๖ ๒๙๖ ๒๙๗ ๒๙๘ ๓๐๐ ๓๐๑ ๓๐๒ ๓๐๓ ๓๐๔ ๓๐๔ ๓๐๕ ๓๐๗ ๓๐๙ ๓๑๒ ๓๑๒ ๓๑๓ ๓๑๔

www.buddhadasa.info


สารบาญละเอียด ฯ เหตุที่ทําใหฟงธรรมไมรูเรื่อง (เพราะภวตัณหา) ภพแมชั่วขณะติดนิ้วมือ ก็ยังนารังเกียจ วิภวตัณหา

[๔๑] หนา ๓๑๗ ๓๑๙ ๓๑๙

นิทเทศ ๕ วาดวย ที่เกิดและการเกิดแหงตัณหา(๕ เรื่อง) ๓๒๐-๓๒๗ การเกิดขึ้นแหงตัณหา ๓๒๐ ฐานที่เกิดแหงตัณหา (สี่อยาง) ๓๒๑ ที่ตั้งอาศัยเกิดแหงตัณหา ๓๒๒ สิ่งที่ตองรู ตองละ เพื่อความสิ้นทุกข ๓๒๖ ภาวะเปนที่รักที่ยินดี เปนหนามในอริยวินัย ๓๒๗

นิทเทศ ๖ วาดวย อาการที่ตัณหาทําใหเกิดทุกข(๓๑เรื่อง) ๓๒๘ - ๓๖๙ การเกิดขึ้นแหงกองทุกข ๓๒๘ อาการเกิดขึ้นแหงทุกขโดยสมบูรณ (สายแหงปฏิจจสมุปบาท) ๓๒๘ วิภาคแหงปฏิจจสมุปบาท ๓๒๙ ปจจัยแหงอวิชชา ๓๓๓ อาการเกิดแหงความทุกข ๓๓๕ อาการที่ทุกขเกิดขึ้น จากเบญจขันธ ๓๓๕ อาการที่ทุกขเกิดขึ้น เพราะยึดถือเบญจขันธ ๓๓๗ อาการเกิดขึ้นแหงความทุกข(อีกปริยายหนึ่ง : ทรงแสดงดวยผัสสะ) ๓๓๘ อาการเกิดขึ้นแหงความทุกข(อีกปริยายหนึ่ง : ทรงแสดงดวยนันทิ) ๓๓๙

www.buddhadasa.info


อริยสัจจากพระโอษฐ

[๔๒] หนา

อาการเกิดขึ้นแหงความทุกข (อีกปริยายหนึ่ง: ทรงแสดงดวยฉันทราคะ) ๓๓๙ อาการเกิดขึ้นแหงความทุกข (อีกปริยายหนึ่ง: ทรงแสดงดวยอารมณเปนที่ตั้งแหงภพใหม) ๓๔๑ อาการเกิดขึ้นแหงความทุกข (อีกปริยายหนึ่ง: ทรงแสดงดวยอารมณเปนที่กาลงแหงนามรูป) ๓๔๒ อาการเกิดขึ้นแหงความทุกข (อีกปริยายหนึ่ง: ทรงแสดงดวยอารมณเปนที่ตั้งแหงนติ) ๓๔๓ อาการเกิดแหงความทุกข โดยสังเขป ๓๔๔ อาการเกิดขึ้นแหงโลก ๓๔๕ ความเกิดขึ้นแหงอายตนะ นั้นคือความเกิดขึ้นแหงทุกข ๓๔๗ อาการที่ทุกขเกิดจากอาหาร ๓๔๘ อาการที่ทุกขเกิดขึ้น พราะตัณหาในอายตนะภายนอก ๓๔๙ อาการที่ทุกขเกิดจากตัณหา ๓๕๐ ตัณหา เปนเชื้อแหงการเกิด ๓๕๑ อาสวะทําหนาที่อยางเดียวกับตัณหา ๓๕๒ อาการที่สัตวเกิดตัณหาและเกิดทุกข ๓๕๓ อาการที่ตัณหา (เครื่องนําไปสูภพใหม) เจริญขึ้น ๓๕๕ เห็นแกเหยื่อจึงติดเบ็ด ๓๕๖ ผูแบกของหนัก ๓๕๗ จิตที่ตัณหา เรียกวาอยูสองคน ๓๕๘ จิตไมมีตัณหา เรียกวาอยูคนเดียว ๓๕๙ ทุกขโทษที่เกิดจากกาม ๓๖๑

www.buddhadasa.info


สารบาญละเอียด ฯ ปกิณณกทุกข ที่มีกามตัณหาเปนมูล ตัณหา เปนเหตุแหงความโศก ปจจัยแหงทุกข โดยอเนกปริยาย

[๔๓] หนา ๓๖๖ ๓๖๗ ๓๖๘

นิทเทศ ๗ วาดวย ทิฏฐิเกี่ยวกับตัณหา (๘ เรื่อง) ๓๗๑ - ๓๘๐ เพราะมิจฉาทิฏฐิ จึงเปนปลาติดอวน เกิดกิเลสและทุกข เพราะทิฏฐิบวก-ทิฏฐิลบ สักกายทิฏฐิ มีไดดวยอาการอยางไร สักกายสมุทยคามินีปฏิปทา เหตุใหเกิดอันตคาหิกทิฏฐิสิบ ทิฏฐิใหเกิดเวทนาชนิดที่ลวนแตเปนทุกขสมุทัย ความสําคัญผิด เปนเหตุใหเกิดนันทิ (อุปาทาน) ตัณหาเจริญ เพราะมิจฉาทิฏฐิในปยรูป-สาตรูป

๓๗๐ ๓๗๑ ๓๗๒ ๓๗๓ ๓๗๕ ๓๗๖ ๓๗๘ ๓๗๙

นิทเทศ ๘ วาดวย กิเลสทั้งหลายในฐานะสมุทัย(๑๕ เรื่อง)๓๘๑ - ๔๐๒

www.buddhadasa.info ละราคะโทสะดมหะ กอนและชาติชรามรณะ ๓๘๑ ทุกแงมุมที่เกี่ยวกับอกุศลมูล ๓๘๔ ขอควรทราบ เกี่ยวกับอกุศลมูล (หลายแงมุม) ๓๘๕ ไมอาจละราคะโทสะโมหะ ก็เพราะหลงในสัญโญชนิยธรรม ๓๖๗ สังโยชน เจ็ด ๓๘๘ (สังโยชนเจ็ด อีกนัยหนึ่ง) ๓๘๙ สังโยชน สิบ ๓๙๐


อริยสัจจากพระโอษฐ

[๔๔] หนา ๓๙๐ ๓๙๒ ๓๙๓ ๓๙๔ ๓๙๖ ๓๙๘ ๔๐๐ ๔๐๑ ๔๐๒ ๔๐๓

ลักษณะที่เปนโอรัมภาคิยสังโยชน อนุสัยสาม คูกับเวทนาสาม อนุสัย เนื่องอยูกับเวทนา อนุสัยทั้งสามเกิดได แมเมื่อเสวยทุกขเวทนา รายละเอียดที่ควรศึกษา เกี่ยวกับอาสวะ เหตุใหอาสวะเจริญและไมเจริญ เหตุใหไมปรินิพพานในทิฏฐธรรม บุคคลผูถึงซึ่งอวิชชา อวิชชา ของผูถึงซึ่งอวิชชา ทุกขสมุทยอริยสัจ เปนสิ่งที่ควรละ

ภาค ๓ วาดวยนิโรธอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐ คิอความดับไมเหลือแหงทุกข

www.buddhadasa.info นิทเทศแหงนิโรธอริยสัจ (๔ นิทเทศ : ๙-๑๒,(มี ๑ อุทเทศ ๔ นิทเทศ ๒๕๙ เรื่อง)

อุทเทศแหงนิโรธอริยสัจ

๔๐๙

๒๕๗ เรื่อง)

๔๑๐ - ๘๑๕

นิทเทศ ๙ วาดวย ความดับแหงตัณหา (๒๙ เรื่อง) ๔๑๐ - ๔๑๕ ที่ละไปดับไป แหงตัณหา

๔๑๐


สารบาญละเอียด ฯ ความดับทุกขมี เพราะความดับแหงนันทิ ลูกโซแหงความดับทุกข พนทุกข เพราะไมเพลินในธาตุ ความหมายของคําวา “ความดับ” ความดับของรูปขันธ คือความดับของทุกข ความดับของเวทนาขันธ คือความดับของทุกข ความดับของสัญญาขันธ คือความดับของทุกข ความดับของสังขารขันธ คือความดับของทุกข ความดับของวิญญาณขันธ คือความดับของทุกข ความดับของเบญจขันธ คือความดับของทุกข ดับตัณหา คือปลงภาระหนักลงได ละกิเลสตัณหาได คือละเบญจขันธได ละฉันทราคะแหงสิ่งใด ก็คือการละซึ่งสิ่งนั้น ความสิ้นตัณหา คือนิพพาน ความสิ้นตัณหา คือนิพพาน ที่สุดของพรหมจรรย คือนิพพาน ความไมเพลินในอายตนะ คือความหลุดพนจากทุกข หลุดพนจากทุกข เพราะไมเพลิดเพลินในเบญจขันธ ความดับของอายตนะ คือความดับของทุกข ความรูที่ถึงขั้นทําลายตัณหาแหงกามคุณในอดีต ความปลอดจากกามโยคะ ความปลอดจากภวโยคะ ความปลอดจากทิฏฐโยคะ

[๔๕] หนา ๔๑๓ ๔๑๔ ๔๑๔ ๔๑๕ ๔๑๖ ๔๑๖ ๔๑๖ ๔๑๗ ๔๑๗ ๓๑๘ ๔๑๘ ๔๑๙ ๔๒๐ ๔๒๑ ๔๒๑ ๔๒๒ ๔๒๔ ๔๒๔ ๔๒๕ ๔๒๖ ๔๒๗ ๔๒๗ ๔๒๘

www.buddhadasa.info


อริยสัจจากพระโอษฐ ความปลอดจากอวิชชาโยคะ เครื่องกีดขวางการละสังโยชน ประพฤติพรหมจรรย เพื่อละเพื่อตัดอนุสัยโดยเด็ดขาด เห็นโลก ก็เห็นเหมือนเห็นฟองน้ําและพยับแดด เห็นโลก ชนิดที่ความตายไมเห็นเรา การดับทุกขสิ้นเชิง ไมเนื่องดวยอิทธิวิธีแมกระทั่งวิโมกขที่ไมเกี่ยวกับการสิ้นอาสวะ

[๔๖] หนา ๔๒๘ ๔๓๐ ๔๓๑ ๔๓๓ ๔๓๓ ๔๓๓

นิทเทศ ๑๐ วาดวย ธรมเปนที่ดับแหงตัณหา(๖๑ เรื่อง) ๔๓๗ - ๕๕๐ ทิฏฐทัสสนะที่เปนไปเพื่อทุกขนิโรธ “ที่” ซึ่งนามรูปดับไมมีเหลือ “ที่” ซึ่งธาตสี่หยั่งลงไมถึง ที่เที่ยวนอกโลก สิ่งที่ไมปรุง “สิ่งนั้น” หาพบในกายนี้ อาณาจักรแหงโลกอุดร เมื่อ “เธอ” ไมมี! สิ่งที่ไมเต็มขึ้นหรือพรองลง ตรงกันขามไปเสียทุกอยาง ที่สุดแหงทุกข สิ่งนั้นมีแน! ธรรมที่ชื่อวา “นิพพาน

๔๓๗ ๔๓๘ ๔๓๘ ๔๓๙ ๔๓๙ ๔๔๐ ๔๔๐ ๔๔๑ ๔๔๑ ๔๔๒ ๔๔๒ ๔๔๓ ๔๔๓

www.buddhadasa.info


สารบาญละเอียด ฯ หนา นิพพานธาตุ ๔๔๔ ลักษณะแหงนิพพพานธาตุ ๒ ชนิด ๔๔๕ ก. สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ๔๔๕ ข. อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ๔๔๕ (คาถาผนวกทายพระสูตร) ๔๔๖ (ถอยคําในพากยบาลีกแหงคาถาผนวกทายพระสูตร) ๔๔๖ อสังขตลักษณะ ๓ อยาง ๔๔๘ ความดับเย็นของเวทนามีได แมในทิฏฐธรรมนี้ ๔๔๘ นิพพาน คือวิราคธรรม ๔๕๐ ไวพจนของนิพพาน (๓๒ คํา) ๔๕๑ นิพพานอธิวจนะ ๔๖๒ ยาถายและยาสํารอกความเกิด-แก-ตาย ๔๖๔ ธรรมเปนเครื่องถอนอัสมิมานะในปจจุบัน ๔๖๖ สมาธิที่มีผลเปนความไมมีอหังการะมมังการะมานานุสัย ๕๖๘ นิพพานเปนสุขอยางยิ่ง ๔๗๐ นิพพานเห็นไดยากยิ่ง ๔๗๐ พอนิพพานธรรมปรากฏ ก็หมดสงสัย ๔๗๐ นิพพาน เปนที่มุงแสวงของผูมองเห็นโทษในโลก ๔๗๑ เพราะมีสิ่งที่ไมตาย สิ่งที่ตาจึงมีทางออก ๔๗๒ ไมถึงนิพพาน เพราะพลัดออกนอกทางจนหลงทาง ๔๗๓ นิพพานของคนตาบอด (มิจฉาทิฏฐิ) ๔๗๕ ไมนิพพาน เพราะยึดถือธรรมที่ไดบรรลุ ๔๗๗ การทํารถใหแลนไปไดถึงนิพพาน ๔๗๘

[๔๗]

www.buddhadasa.info


อริยสัจจากพระโอษฐ ถายังมีเชื้อ ก็ยังไมปรินิพพาน ถาหมดเชื้อ ก็ปรินิพพาน นิพพานที่เห็นไดเอง (เมื่อบุคคลนั้นรูสึกตอความสิ้นราคะโทสะ-โมหะ) นิพพานที่เห็นไดเอง ตามคําของพระอานนท หมด “อาหาร” ก็นิพพาน อาสวักขยาญาณ เปนเครื่องใหพนจากอาสวะ ปริญญาที่แทจริง วิโมกข ๒ ระดับ : สมยวิโมกข - อสมยวิโมกข ก. สยมวิโมกข ข. อสมยวิโมกข ธรรมที่สมควรแกการหลุดพนจากทุกข นิสสารณิยธาตุ ที่ทําความงายใหแกการละตัณหา ธรรมธาตุตาง ๆ ที่เปนผลของสมถวิปสสนาอันดับสุดทาย (: อภิญญาหก) ปุพเพนิวาสานุสสติญาณที่แทจริง (ซึ่งไมเปนสัสสตทิฏฐิ) อริยวิโมกข คืออมตธรรม บริษัทเลิศ เพราะสนใจโลกุตตรสุญญตา (ทางแหงนิโรธ) นิพพาน เพราะไมยึดถือธรรมที่ไดบรรลุ ปรินิพพานในทิฏฐธรรม ดวยการตัดอกุศลมูล ปรินิพพานเฉพาะตน ผลแหงการถอนความมั่นหมายในธรรมทั้งปวงโดยความหมาย ๔ สถาน หยุดถือมั่น-หยุดหวั่นไหว

[๔๘] หนา ๔๗| ๔๗๙ ๔๘๐ ๔๘๒ ๔๘๔ ๔๘๖ ๔๘๗ ๔๘๗ ๔๘๗ ๔๘๘ ๔๙๐ ๔๙๒

www.buddhadasa.info ๔๙๕ ๔๙๘ ๕๐๔ ๕๐๕ ๕๐๗ ๕๐๘

๕๑๐ ๕๑๓


สารบาญละเอียด ฯ

[๔๙]

หนา ความไมสะดุงหวาดเสียว เพราะไมมีอุปาทาน ๕๑๔ ความไมสะดุงหวาดเสียว เพราะไมมีอุปาทาน (อีกนัยหนึ่ง) ๕๑๕ ลําดับแหงโลกิยสุข (ซึ่งยังไมถึงนิพพาน) ๕๑๖ ธรรมเปนที่ดับตามลําดับ (ซึ่งยังไมถึงนิพพาน) ( : อนุปุพพนิโรธ-อนุปุพพวิหารอนุปุพพวิหารสมาบัติ) ๕๒๒ ก. อนุปุพพนิโรธ เกา ๕๒๒ ข. อนุปุพพวิหาร เกา ๕๒๓ ค. อนุปุพพวิหารสมาบัติ เกา ๕๒๔ อนุปุพพวิหารอาพาธ ๕๓๐ ปญญาสติกบนามรูปดับ เพราะวิญญาณดับ ๕๔๑ เห็นโลกมีคาเทากับเศษหญาเศษไม ๕๔๑ หมดกลม-หยุดหมุน ๕๔๒ คนดําหรือคนขาว บวนมีหวังในนิพพาน ๕๔๒ วิมุตติ ไมมีความตางกันตามวรรณะของผูปฏิบัติ ๕๔๖ อริยโลกุตตรธรรม สําหรับคนทุกคนทุกวรรณะ ๕๔๘

www.buddhadasa.info นิทเทศ ๑๑ วาดวย ผูดับตัณหา (๑๐๖ เรื่อง)

๕๕๑ - ๗๒๙

ปุถุชน คือผูยึดถือเต็มที่ พระเสขะ คือผูกําลังจะไมยึดถือ ปุถุชน คือผูที่ยังไมรูจักนิพพาน พระเสขะ คือผูที่กําลังจะรูจักนิพพาน พระอเสขะ คือผูที่หมดความยึดถือในทุกสิ่ง

๕๕๑ ๕๕๑ ๕๕๒ ๕๕๓ ๕๕๓


อริยสัจจากพระโอษฐ

[๕๐] หนา ๕๕๔ ๕๕๕ ๕๕๕ ๕๕๖ ๕๕๗ ๕๕๗ ๕๕๙ ๕๖๐ ๕๖๔ ๕๖๗ ๕๖๘ ๕๖๙ ๕๗๑ ๕๗๑ ๕๗๗ ๕๘๐

พระอเสขะ คือผูที่ไมยึดถือแมในนิพพาน ไตรสิขา ของพระอเสขะ ธรรมขันธ ของพระอเสขะ สัมมัตตะสิบ ของพระอเสขะ องคแหงความเปนพระสขะและพระอเสขะ นิทเทศแหงไตรสิกขา เพื่อเปรียบเทียบ นิทเทศแหงไตรสิขา (อีกนัยหนึ่ง) เปรียบเทียบพระเสขะ-อเสขะ ความลดหลั่นแหงพระอริยบุคคลผูปฏิบัติอยางเดียวกัน การรูเบญจขันธ โดยหลักแหงอริยสัจสี่ การรูปญจุปาทานขันธ โดยธรรมลักษณะหา ผูละราคะ-โทสะ-โมหะ ระดับโสดาบัน พระโสดาบัน รูจักปญจุปาทานขันธ พระโสดาบัน เปนใครกัน? หลักเกณฑพยากรณภาวะโสดาบันของตนเอง แวนสองความเปนพระโสดาบัน ผูสมบูรณดวยทิฏฐิโดยธรรมชาติ (สิ่งที่ผูสมบูรณดวย ทิฏฐิ-ทําไมได โดยธรรมชาติ) ๕๘๑ ผูถึงพรอมดวยทิฏฐิ (อภัพพฐานสําหรับผูที่ถึงพรอมดวยทิฏฐิ) ๕๘๒ ผูถึงพรอมดวยทิฏฐิ (อภัพพฐานสําหรับผูที่ถึงพรอมดวยทิฏฐิ อีกนัยหนึ่ง) ๕๘๓ ผูถึงพรอมดวยทิฏฐิ (อภัพพฐานสําหรับผูที่ถึงพรอมดวยทิฏฐิ อีกนัยหนึ่) ๕๘๓

www.buddhadasa.info


สารบาญละเอียด ฯ หนา ผูสิ้นความสงสัย (พระโสดาบัน) ๕๘๔ ผูมีธรรมญาณและอันวยญาณ (พระโสดาบัน) ๕๘๗ พระโสดาบัน รูจักอินทรียหก ๕๘๖ พระโสดาบันกับพรอรหันตตางกัน ในการเห็นธรรม ๕๙๐ พระโสดาบันกับ พระอรหันตตางกัน ในการเห็นธรรม (อีกนัยหนึ่ง) ๕๙๑ ผูรวมอยูในกลุมโสดาบัน ๓ จําพวก ๕๙๒ ก. สัทธานุสารี ๕๙๒ ข. ธัมมานุสารี ๕๙๒ ค. โสตาปนนะ ๕๙๓ ความเปนพระโสดาบัน ไมอาจแปรปรวน ๕๙๔ ความเปนโสดาบัน ประเสริญกวาเปนพระเจาจักรพรรดิ ๕๙๔ ผลแหงความเปนโสดาบัน ๕๙๕ พระอริยบุคคล ละสังโยชนไดตางกัน ๕๙๖ พระอริยบุคคลผูตองใชสงั ขารธรรมตางกัน ๔ ประเภท ๕๙๗ ก. ผุทิฏเฐวธัมเมสสังขารปรินิพพายี ๕๙๗ ข. ผูกายัสสเภทาสสังขารปรินิพพายี ๕๙๘ ค. ผูทิฏเฐวธัมเมอสังขารปรินิพพายี ๕๙๙ ง. ผูกายัสสเภทาอสังขารปรินิพพายี ๖๐๐ อุปมาการฝกชางศึก ดวยการฝกตนของอริยสาวก ๖๐๐ บุคคลที่มีเชื้อเหลือ ๙ จําพวก ๖๐๓ พระอรหันต รูจักปญจุปาทานขันธชัดแจงแลวหลุดพน ๖๐๗ บุคคลผูบรรลุอนุปาทานปรินิพพาน ๖๐๘ พระอรหันต คือผูเปนอเสขะ ๖๐๙

[๕๑]

www.buddhadasa.info


อริยสัจจากพระโอษฐ

[๕๒] หนา ๖๐๙ ๖๑๑ ๖๑๕ ๖๑๖ ๖๑๘ ๖๑๘

ลักษณะทั่วไป ของความเปนพระอรหันต ธรรมเปนเครื่องอยูของพระอริยเจา (อริยวาส) ผูมีคุณลักษณะพิเศษของพระอรหันต พระอรหันต มีคุณลักษณะที่นาสนใจ พระอรหันต เลิศกวาภวัคคพรหม พระอรหันต เลิศกวาภวัคคพรหม ผูขามพนกามโลก-รูปโลก-อรูปโลก (จนกวาจะลุอนาสวสัญญาเวทยิตนิโรธ) ๖๑๙ พระอรหันต คือผูเปนเกพลี ๖๒๐ ผูเปนเกพลีบุคคล ในพุทธศาสนา ๖๒๒ มีศีลงาม-ธรรมงาม-ปญญางาม ก็เปนเกพลี ๖๒๗ ผูละอาสวะนานาแบบ ๖๒๙ ก. อาสวะสวนที่ละไดดวยการเห็น ๖๒๘ ข. อาสวะสวนที่ละไดดวยการสํารวม ๖๓๐ ค. อาสวะสวที่ละไดดวยการเสพ ๖๓๐ ง. อาสวะสวนที่ละไดดวยการอดกลั้น ๖๓๑ จ. อาสวะสวนที่ละไดดวยการเวน ๖๓๒ ฉ. อาสวะสวนที่ละไดดวยการบรรเทา ๖๓๓ ช. อาสวะสวนที่ละไดดวยการเจริญทําใหมาก ๖๓๓ ซ. ผลแหงการปดกั้นอาสวะทั้งปวงโดย ๗ วิธี ๖๓๔ ผูพนพิเศษ เพราะความสิ้นตัณหา ๖๓๔ ผูอาบแลวดวยเครื่องอาบ (หลุดพนไดเพราะการรูออกจากสัญญาคตะทั้งสาม) ๖๓๕ ผูไมเปนทั้งฝายรับและฝายคัดคาน (ดับกิเลสและทุกขเพราะออกเสียไดจากทิฏฐิบวก - ทิฏฐิลบ) ๖๓๖

www.buddhadasa.info


สารบาญละเอียด ฯ หนา ผูถอนรากแหงความรักและความเกลียดไดแลว (มีผล ๕ นัย) ๖๓๗ ก. ผูไมถือตัว (น อุสฺเสเนติ) ๖๓๙ ข. ผูไมตอบโต (น ปฎิสฺเสนเนติ) ๖๔๐ ค. ผูไมอัดควัน (น ธูปายติ) ๖๔๐ ฆ. ผูไมลุกโพลง (น ปชฺชลติ) ๖๔๑ ง. ผูไมไหมเรียม (น ปชฺญฌายติ) ๖๔๒ ผูลอกคราบทิ้งแลว ๖๔๒ ผูไมสําคัญมั่นหมายแลวไมเกิดนันทิ (อุปาทาน) ๖๔๕ ผูปฏิบัติ เปรียบดวยนักรบผูเชี่ยวชาญการยิงศร ๖๔๖ ผูหลุดพนแลว มีอุปมา ๕ อยาง ๖๔๗ ผูรอดไปได ไมตายกลางทาง ๖๔๘ ผูตายคาประตูนิพพาน ๖๕๑ ผูหลุดพนได เพราะไมยึดมั่นถือมั่น ๖๕๓ ผูกําลังโนมเอียงไปสูนิพพาน ๖๕๓ ผูปฏิบัติเพื่อความดับเย็นเปนนิพพาน ๖๕๔ ผูรูความลับของปยรูป-สาตรูป ๖๕๕ ผูมีจิตอันหาขอบเขตมิได ๖๕๖ ความรูสึกในใจของผูชนะตัณหาได ๖๕๗ พระอริยบุคคล มีอันดับเจ็ด ๖๕๘ ๑. ผูอุภโตภาควิมุตต ๖๕๘ ผูอุภโตภาควิมุตต โดยสมบูรณ ๖๕๙ ผูอุภโตภาควิมุตต (ตามคําของพระอานนท) ๖๖๑ ๒. ผูปญญาวิมุตต ๖๖๒

[๕๓]

www.buddhadasa.info


อริยสัจจากพระโอษฐ ผูปญญาวิมุตต (อีกนัยหนึ่ง) ผูปญญาวิมุตต (ตามคําของพรอานนท) ๓. ผูกายสักขี ผูกายสักขี (ตามคําของพรอานนท) ๔. ผูทิฏฐิปปตต ๕. ผูสัทธาวิมุตต ๖. ผูธัมมานุสารี ๗. ผูสัทธานุสารี ผูอนิมิตตวิหารี ผูมีสันทิฏฐิกธรรม ตามคําของพระอานนท ผุนิพพาน-ปรินิพพาน ตามคําของพระอานนท ผูมีทิฏฐธรรมนิพพาน ตามคําของพระอานนท ผูเขมัปปตต ตามคําของพระอานนท ตทังคนิพพุโต-ผูดับเย็นดวยองคนั้น ๆ ผูมีตทังคนิพพาน ตามคําของพระอานนท หมดตัวตน ก็หมดเครื่องผูกพัน หมดตัวตน ก็หมดอหังการ สัญญาที่เปนสวประกอบแหงวิชชา บุคคลผูถึงซึ่งวิชชา วิชชาของผูถึงซึ่งวิชชา ผูรับผลของการปฏิบัติเกี่ยวกับธาตุสี่ ผูไมกลืนเบ็ดของมาร ผูไมเขาไปหา ยอมหลุดพน

[๕๔] หนา ๖๖๓ ๖๖๕ ๖๖๖ ๖๖๗ ๖๖๘ ๖๖๙ ๖๗๐ ๖๗๑ ๖๗๒ ๖๗๓ ๖๗๔ ๖๗๔ ๖๗๕ ๖๗๖ ๖๗๗ ๖๗๘ ๖๗๙ ๖๘๐ ๖๘๑ ๖๘๑ ๖๘๒ ๖๘๓ ๖๘๓

www.buddhadasa.info


สารบาญละเอียด ฯ หนา ผูลวงมัจจุราชใหหลง ๖๘๕ วิมุตติตางกัน แตเปนผลของการปฏิบัติอยางเดียวกัน ๖๘๖ พระอริยบุคคลมีหลายระดับ เพราะอินทรียยิ่งหยอนหางกัน ๖๘๗ การเปนพระอริยเจา ไมใชสิ่งสุดวิสัย ๖๘๘ กายนครที่ปลอดภัย ๖๘๙ ผูไมมีหนามยอกตํา ๖๙๕ ผูอยูคนเดียว คือผูไมของติดอยูในธรรมทั้งปวง ๖๙๕ กายของผูที่สิ้นตัณหาแลวก็ยังตั้งอยูชั่วขณะ (นิโรธมิใชความตาย) ๖๙๕ พระอรหันตตายนแลวสูญหรือ? ๖๙๘ หลักการทดสอบตัวเอง วาเปนอรหันตหรือไม ๗๐๐ คําถามที่อาจใชทดสอบความเปนอรหันต (มี ๖ หมวด) ๗๐๒ (หมวด ๑ : โวหารสี่) ๗๐๒ (หมวด ๒ : ปญจุปาทานขันธ) ๗๐๓ (หมวด ๓ : ธาตุหก) ๗๐๔ (หมวด ๔-๕ : อายตนะใน-นอก) ๗๐๕ (หมวด ๖ : การถอนอนุสัย) ๗๐๖ สมณะสี่ประเภท ๗๑๑ สมณะสี่ประเภท (อีกนัยหนึ่ง) ๗๑๒ สมณะสี่ประเภท (อีกนัยหนึ่ง) ๗๑๔ สมณะสี่ประเภท (อีกนัยหนึ่ง) ๗๑๕ สมณะสี่ประเภท (อีกนัยหนึ่ง) ๗๑๗ สมณะแหงลัทธิหนึ่ง ๆ ตางจากสมณะแหงลัทธิอื่นระบบลัทธิพรหมจรรยจึงไมเหมือนกัน) ๗๑๙

[๕๕]

www.buddhadasa.info


อริยสัจจากพระโอษฐ

[๕๖] หนา

ไมอาจจะกลาวาใครดีกวาใคร เพราะอาศัยเหตุสักวาชื่อ(หมวดของอริยบุคคล) ผูบอกทางและผูเดินทาง มีการหลุดพนอยางเดียวกัน ฝเทาไว วัดดวยการรูรอริยสัจ ผูรูจักเลือกเอาฝายดับไมเหลือแหงภพ ผูอยูอยางคนมีสุข ก็ทําวิราคะใหปรากฎได ระดับตาง ๆ แหงบุคคลผูถอนตัวขึ้นจากทุกข

๗๑๙ ๗๒๑ ๗๒๒ ๗๒๓ ๗๒๕ ๗๒๗

นิทเทศ ๑๒ วาดวยอาการดับแหงตัณหา (๖๑ เรื่อง) ๗๓๐ - ๘๑๕ อาการดับแหงโลก อาการดับแหงความทุกข อาการดับแหงทุกข โดยสังเขปที่สุด อาการดับแหงทุกข โดยสังเขป อาการดับแหงทุกข โดยสมบูรณ อาการดับแหงความทุกข (อีกปริยายหนึ่ง) อาการดับแหงความทุกข (อีกปริยายหนึ่ง) อาการดับแหงความทุกข (อีกปริยายหนึ่ง) อาการดับแหงความทุกข (อีกปริยายหนึ่ง) อาการดับแหงความทุกข (อีกปริยายหนึ่ง) เหตุดับแหงทุกข ที่ตรัสไวโดยอเนกปริยาย ลักษณะการแหงการรูอริยสัจและการสิ้นอาสวะจบพรหมจรรย ลักษณะของการดับแหงทุกข ลักษณะของความดับแหงทุกข (อีกปริยายหนึ่ง)

๗๓๐ ๗๓๐ ๗๓๑ ๗๓๒ ๗๓๒ ๗๓๓ ๗๓๓ ๗๓๔ ๗๓๕ ๗๓๖ ๗๓๗ ๗๓๘ ๗๓๙ ๗๔๐

www.buddhadasa.info


สารบาญละเอียด ฯ ลักษณะของความดับแหงทุกข (อีกปริยายหนึ่ง) ลักษณะของความดับแหงทุกข (อีกปริยายหนึ่ง) อาการแหงบุคคลผูหลุดพน อาการดับแหงตัณหาในนามแหงนันทิ สักกายนิโรธ อาการแหงการละอวิชชา โดยยอ กระแสดากรปรุงแตงแหงการเกิดวิมุตติญาณทัสสนะ การปรินิพพานในทิฏฐธรรม การปรินิพพานในทิฏฐธรรม (อีกปริยายหนึ่ง) การปรินิพพานในทิฏฐธรรม (อีกปริยายหนึ่ง) ลักษณะแหงจิตที่หลุดพนดวยดี ลักษณะแหงจิตที่หลุดพนดวยดี (อีกนัยหนึ่ง) ลักษณะแหงจิตที่หลุดพนดวยดี (อีกนัยหนึ่ง) ลักษณะแหงจิตที่หลุดพนดวยดี (อีกนัยหนึ่ง) ลักษณะแหงจิตที่หลุดพนดวยดี (อีกนัยหนึ่ง) ลักษณะแหงจิตที่หลุดพนดวยดี (อีกนัยหนึ่ง) ลําดับการหลุดพนโดยละเอียด เมื่อเห็นอนัตตา ทางใหถึงความหลุดพน ๕ ทาง รูจักอุปาทาน ตอเมื่อหมดอุปาทาน อาสวะสิ้นไป เพราะการกําจัดสมารัมภะและอวิชชา พอรูเรื่องการรอยรัด ก็สามารถทําที่สุดทุกข ลักษณะแหงการถึงที่สุดทุกข

[๕๗] หนา ๗๔๑ ๗๔๑ ๗๔๒ ๗๔๓ ๗๔๔ ๗๔๔ ๗๔๖ ๗๔๙ ๗๕๐ ๗๕๐ ๗๕๑ ๗๕๒ ๗๕๒ ๗๕๓ ๗๕๓ ๗๕๔ ๗๕๔ ๗๕๕ ๗๕๙ ๗๖๐ ๗๖๒ ๗๖๓

www.buddhadasa.info


อริยสัจจากพระโอษฐ หนา ลําดับแหงการดับของสังขาร (อนุปุพพสังขารนิโรธ) ๗๖๖ จิตหยั่งลงสูอมตะ เมื่อประกอบดวยสัญญาอันเหมาะสม ๗๖๖ บรรอรหันต โดยละมัญญนะ ๖ ชนิด ๗๖๙ ขั้นตอนอันจํากัด แหงปจจัยของการละกาม-รูป-อรูปราคะ ๗๗๐ ละราคะ โทสะ โมหะได เพราะไมหลงในสัญโญชนิยธรรม ๗๗๑ ภาวะแหงความสิ้นตัวตนและสิ้นโลก ๗๗๑ สิ้นกิเลสก็แลกัน ไมตองรุว าสิ้นไปเทาไร ๗๗๔ เมื่อสังโยชนเหมือนเครื่องหวายสิ้นอายุ ๗๗๔ ฟองไขออกเปนตัว มิใชโดยเจตนาของแมไก(เหมือนอาสวะสิ้นเอง เมือ่ ปฏิบัติชอบ) ๗๗๕ ผลสูงต่ําแหงการปฺบัต ตามที่อาจทําใหเกิดขึ้น ๗๗๖ อานิสงส ตามลําดับการเกิดแหงธรรมโดยไมตองเจตนา(จากศีลถึงวิมุตติ) ๗๘๐ สัญญาในอุปาทานระงับไป เมื่ออารมณแหงสัญญานั้นเปนวิภูตะ ๗๘๒ อนุสัยทั้งสามไมเกิดแกอริสาวก แมเมื่อสวยทุกขเวทนา ๗๘๕ การไมเกิดอนุสัยสามเมื่อเสวยเวทนาสาม แลวดับเย็น ๗๖๗ อาการที่ตัณหาไมนําไปสูภ พใหม ใหเกิดผลพิเศษอีกนานาประการ ๗๙๐ การออกไปเสีย จากทางเดินแหงจิตของสัตวปุถุชน ๗๙๓ การละความผูกกันในความสุขทุกชั้น ๗๙๖ ก. สุขที่ควรกลัว ๗๙๖ ข. สุขที่ไมควรกลัว ๗๙๗ ค. สุขที่ยังหวั่นไหวและไมหวั่นไหว ๗๙๗ ง. การละความผูกพันในรูปฌานและอรูปฌาน ๗๙๙

[๕๘]

www.buddhadasa.info


สารบาญละเอียด ฯ

[๕๙]

หนา การละทิฏฐิดวยอนุปสสนาญาณในอารมณของทิฏฐินั้น ๆ ๘๐๒ อนุสัยเจ็ดสลาย เมื่อขาดความยึดมั่นในอารมณแหงปปญจสัญญา๘๐๒ ลําดับปจจัยแหงการกระทําใหแจงซึ่งนิพพาน ๘๐๓ วิธีการบมวิมุตติใหถึงที่สุด ๘๐๔ สิตปฏฐานบริบูรณ เพราะอานาปานสติบริบูรณ ๘๐๖ (หมวดกายานุปสสนา) ๘๐๖ (หมวดเวทนานุปสสนา) ๘๐๗ (หมวดจิตตานุปสัสสนา) ๘๐๗ (หมวดธัมมานุปสนา) ๘๐๘ โพชฌงคเจ็ดบริบูรณ เพราะสิตปฏฐานบริบูรณ ๘๐๙ (โพชฌงคเจ็ด หมวดกายาฯ) ๘๐๙ (โพชฌงคเจ็ด หมวดเวทนาฯ) ๘๑๑ (โพชฌงคเจ็ด หมวดจิตตาฯ) ๘๑๒ (โพ\ฌงคเจ็ด หมวดธัมมาฯ) ๘๑๓ วิชชา-วิมุตติบริบูรณ เพราโพชฌงคบริบูรณ ๘๑๓ นิโรธอริยสัจ (อีกนัยหนึ่ง) ๘๑๔

www.buddhadasa.info นิโรธอริยสัจ เปนสิ่งที่ควรทําใหแจง

๘๑๕

ภาค ๔ วาดวยมัคคอริยสัจ ควมจริงอันประเสริฐคือมรรค (มี ๑ อุทเทศ ๑๐ นิทเทส ๓๕๘ เรื่อง)

อุทเทศแหงมัคคอริยสัจ

๘๑๒


อริยสัจจากพระโอษฐ

[๖๐] หนา

นิทเทศแหมัคคอริยสัจ (๑๐ นิทเทศ : ๑๓-๒๒,๓๕๕ เรื่อง)๘๒๒ - ๑๔๘๙ นิทเทศ ๑๓ วาดวย ขอความนําเรื่องมรรค(๒๘ เรื่อง)๘๒๒ - ๘๖๙ หมวด ก. วาดวยทุอทเทศ-นิทเทศของมรรค อุทเทศแหงทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ๘๒๒ นิทเทศแหงทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ๘๒๒ หมวด ข. วาดวยอันตะ ๒ จากมรรค ขาศึกของมัชฌมาปฏิปทา (อัฏบังคิกมรรค) ๘๒๕ อีกนัยหนึ่ง (ตามบลีอรณวิภังคสูตรมัชฌมินิกาย) ๘๒๖ อีกนัยหนึ่ง (ตามลาลี ติก. อํ.) ๘๒๙ ลักษณะอีกปริยายหนึ่ง แหงกามสุขัลลิกานุโยค ๘๓๑ สิ่งที่เรียกวา กามคุณและกามสุข ๘๓๓ สุขัลลิกานุโยค ๒ แบบ ๘๓๔ ก. สุขัลลิกานุโยค ของมิฉาทิฏฐิ ๘๓๔ ข. สุขัลลิกานุโยค ของสัมมาทิฏฐิ ๘๓๕ ผลแหงสุขัลลิกานุโยคของสัมมาทิฏฐิ ๘๓๖ ตโปชิคุจฉิวัตร เปรีบเสมือนการขี่ขอนสุดทอนกลมขามแมน้ํา ๘๓๗ หมวด ค. วาดวยลักษณะของมรรค อัฏฐังคิกมรรค ในฐานะเปนทางแหงอมตะ ๘๓๙ อัฏฐัคิกมมรรค มีกระแสไหลไปสูนิพพาน ๘๓๙ อัฏฐังคิกมรรค ในฐานะหนทางใหถึงจุดหมาย ๘๔๐

www.buddhadasa.info


สารบาญละเอียด ฯ หนา อัฏฐังคิกมรรค ทําหนาทีเสมือนหนึ่งเสวียนรองกนหมอ ๘๔๒ อัฏฐังคิกมรรค เปนยอดแหงสังขตธรรมทั้งปวง ๘๔๒ อัฏฐังคิกมรรค คือหนทางเกาที่ทรงพบใหม ๘๔๒ อัฏฐังคิกมรรค ในฐานะเปนหนทางแหงการกําหนดรูทุกข ๘๔๔ มัชฌมาปฏิปทาในฐานะเหตุใหเกิดจักษุและญาณเพื่นพิ พาน ๘๔๕ มัชฌมาปฏิปทา ๓ ลําดับ ๘๔๖ ก. มัชฌิมาปฏิปทา (พื้นฐานทั่วไป) ๘๔๖ ข. มัชฌิมาปฏิปทา (ในความหมายชั้นกวาง) ๘๔๗ ค. มัชฌิมาปฏิปทา (ในความหมายชั้นลึก) ๘๔๙ ลักษณะหนทางแหงความหมดจด ๘๕๑ ลําดับการปฏิบัติ เพื่ออรหัตตผล ๘๕๒ หมวด ง. วาดวยเหตุปจจัยของมรรค ธรรมเปนรุงอรุณแหงอัฏฐังคิกมรรค ๘๕๔ อัฏฐังคิกมรรค สําเร็จไดดวยอัปปมาทยอดแหงกุศลธรรม ๘๕๕ หมวด จ. วาดวยอานิสงสของมรรค อัฏฐังคิกมรรค เปนปฏิปทาเพื่อความเปนอริยบุคคลสี่ ๘๕๗ อัฏฐังคติกมรรค ในฐานะะรรมเครื่องขามฝง ๘๕๙ อัฏฐังคิกมรรค ในฐานะพรหมจรรย ๘๕๙ อริยอัฏฐังคิกมรรค เปนกรรมอันเปนทีสิ้นกรรม ๘๖๐ อานิสงสพิเศษแหงอัฏฐังคิกมรรค(ทําใหรูจักพระศาสดาอยางถูกตอง) ๘๖๓ หมวด ฉ. วาดวยปกิณณกะ อัฏฐังคิกมรรค กับนิพพาน ๘๖๔ โพชฌงค ในฐานะเปนมรรค ๘๖๕

[๖๑]

www.buddhadasa.info


อริยสัจจากพระโอษฐ

[๖๒]

หนา ปรารภโพชฌงคแลว มรรคก็เปนอันปรารภดวย ๘๖๗ ปรารภสิตปฏฐานแลว มรรคก็เปนอันปรารภดวย ๘๖๘ อุทเทส และ นิทเทส แหงอัฏฐังคิกมรรคแตละองค ๘๗๑ - ๘๗๒

นิทเทศ ๑๔ วาดวย สัมมาทิฏฐิ (๗๗ เรื่อง)

๘๗๓ - ๑๐๒๘

หมวด ก. วาดวยอุทเทศ-วิภาค ของสัมมาทิฏฐิ อทุเทศแหงสัมมาทิฏฐิ ๘๗๓ สัมมาทิฏฐิ โดยปริยายสองอยาง (ลกิย-โลกุตตระ) ๘๗๓ หมวด ข. วาดวยลกัษณะ-อุปมา-ไวพจน ของสัมมาทิฏฐิ ลักษณะของสัมมาทิฏฐิ ๘๗๕ ลักษะของสัมมาทิฏฐิ (อีกปริยายหนึ่ง : ระดับสูงสุด) ๘๗๕ สัมมาทิฏฐิโลกุตตระ นานาแบบ (ตามคําพระสารีบุตร) ๘๗๗ ก. หมวดเนื่องดวยกุศล-อกุศล ๘๗๗ ข. หมวดเนื่องดวยอาหารสี่ ๘๗๘ ค. มหวดเนื่องดวยอริยสัจสี่ ๘๘๐ ง. หมวดเนื่องดวยปฏิจจสมุปปนนธรรมตามหบักปฏิจจสมุปบาท ๘๘๒ ง. ๑ เกี่ยกวับชรามรณะ ๘๘๒ ง. ๒ เกี่ยวกับชาติ ๘๘๓ ง. ๓ เกี่ยกวับภพ ๘๘๔ ง. ๔ เกี่ยวกับอุปาทาน ๘๘๕ ง. ๕ เกี่ยวกับตัณหา ๘๘๖ ง. ๖ เกี่ยวกับเวทนา ๘๘๗ ง. ๗ เกี่ยวกับผัสสะ ๘๘๘

www.buddhadasa.info


สารบาญละเอียด ฯ หนา ง. ๘ เกี่ยวกับสฬายตนะ ๘๘๖ ง. ๙ เกี่ยกวับนามรูป ๘๙๐ ง. ๑๐ เกี่ยวกับวิญญาณ ๘๙๑ ง. ๑๑ เกี่ยวกับสังขาร ๘๙๒ ง. ๑๒ เกี่ยวกับอวิชชา ๘๙๓ ง. ๑๓ เกี่ยวกับอาสวะ ๘๙๕ สัมมาทิฏฐิ เปนรุงอรุณแหงกุศลธรรม ๘๙๗ สัมมาทิฏฐิ เปนรุงอรุณแหงการรูอริยสัจสี่ ๘๙๗ สัมมาทิฏฐิ ควรจะรวมไปถึงการสํานึกบาป ๘๙๘ อริยสัจจญาณ เปนญาณประเภทยิงเร็ว ๘๙๙ ทิ้งเสียนั่นแหละ กลับจะเปนประโยชน ๙๐๑ ฆากิเลส อยาฆาคน ๙๐๒ วิชชา เปนตัวชักนํามาซึ่งองคแปดแหงสัมมามรรค ๙๐๓ หมวด ค. วาดวยอุปกรณ-เหตุปจจัย ของสัมมาทิฏฐิ ความกลัว เปนเหตุแหงสัมมาทิฏฐิ (ชนิดโลกิยะ) ๙๐๔ อริยสัจสี่ เปนอารมณแหงนิพเพธิกปญญา ๙๐๗ ธรรมเปนเครื่องเจริญแหงปญญา ฯลฯ ๙๐๙ เหตุที่ทําใหแสวงหานิพพาน ๙๑๐ ฌาน (ที่มีสัญญา) ใชเปนฐานแหงวิปนาไดลงตัวเอง ๙๑๑ เหตุใหเกิดและเจริญ แหงอาทิพรหมจริยิกปญญา ๙๑๖ ขั้นตอนจํากัด แหงปจจัยของปญญาขันธ ๙๑๙

[๖๓]

www.buddhadasa.info


อริยสัจจากพระโอษฐ หนา สิ่งสงเคราะหสัมมาทิฏฐิใหออกผล ๙๒๐ เหตุปจจัยแหงวิชชาและวิมุตติ ๙๒๑ สัญญาเกิดกอนญาณ ๙๒๒ การทําสมาธิ มีเคล็ดลับเหมือนแมโคเปนภูเขาลาดชัน ๙๒๓ อนิจจสัญญาเปนไปโดยสะดวก เมื่อผูเจริญมุงอานิสงส ๖ ประการ ๙๒๘ ทุกขสัญญาเปนไปโดยสะดวก เมื่อผูเจริญมุงอานิสงส ๖ ประการ ๙๒๙ อนัตตสัญญาเปนไปโดยสะดวก เมื่อผูเจริญมุงอานิสงส ๖ ประการ ๙๓๐ สิ่งทั้งปวงทีตองรูจัก เพื่อความิสนทุกข ๙๓๑ ตนเหตุแหงมิฉาทิฏฐิ-สัมมาทิฏฐิ ๙๓๒ หมวด ง. วาดวยหลักการปฏิบัติของสัมมาทิฏฐิ รูเวทนาเพื่อดับเสียได ดีกวารูเพื่อเปนปจจัยแกตัณหา ๙๓๒ อัสสาทะ-อาทีนวะ-นิสรณะ ของกาม ๙๓๓ อัสสาทะของกาม ๙๓๓ อาทีนวะของกาม ๙๓๔ นิสสรณะของกาม ๙๓๙ อัสสาทะ-อาทีนวะ-นิสสรณะ ของรูปกาย ๙๔๐ อัสสาทะของรูปกาย ๙๔๐ อาทีนวะของรูปกาย ๙๔๐ นิสสรณะของรุปกาย ๘๔๓ อัสสาทะ-อาทีนวะ-นิสสรณะ ของเวทนา ๙๔๔ อัสสาทะของเวทนา ๙๔๔ อาทีนวะของเวทนา ๙๔๖ นิสสรณะของเวทนา ๙๔๖

[๖๔]

www.buddhadasa.info


สารบาญละเอียด ฯ หนา การทําใหเกิดสัมมาทิฏฐิ เมื่อมีปญหาระหวางลัทธิ ๙๔๗ การเห็นกายและเวทนา ในระดับแหงผูหลุดพน ๗๕๔ สัมมาทิฏฐิในการเจริญธรรมสาม เพื่อละธรรมสาม(อีกนัยหนึ่ง) ๙๕๕ สัมมาทิฏฐิในการเจริญธรรมสาม เพื่อละธรรมสาม(อีกนัยหนึ่ง) ๙๕๖ สัมมาทิฏฐิในการเจริญธรรมสาม เพื่อละธรรมสาม(อีกนัยหนึ่ง) ๙๕๗ สัมมาทิฏฐิในการเจริญธรรมสาม เพื่อละธรรมสาม(อีกนัยหนึ่ง) ๙๕๗ ขอปฏิบัติเกี่ยวกับธาตุหา ๙๕๘ สัมมาทิฏฐิในอาเนญชสัปปายปฏิปทา ๙๖๓ ขอที่หนึ่ง ๘๖๓ ขอที่สอง ๘๖๔ ขอที่สาม ๘๖๔ สัมมาทิฏฐิในอากิญจัญญายตนะสัปปายปฏิปทา ๙๖๕ ขอที่หนึ่ง ๙๖๕ ขอที่สอง ๙๖๖ ขอที่สาม ๙๖๖ สัมมาทิฏฐิในเนวสัญญานาสัญญายตนะสัปปายปฏิปทา ๙๖๗ สัมมาทิฏฐิ ตอโอฆนิตถรณะ ๙๖๘ อริยวิโมกข หือโอฆนิตถรณะ ๙๖๙ วิธีพิจารณา เพื่อ “หมดปญหา” เกี่ยวกับอาหาร ๘๗๑ วิธีพิจารณาธรรมในภายใน เพื่อความสิ้นทุกข ๙๗๕ การพิจารณา เพื่อความสิ้นแหงแดนเกิดของทุกข ๙๗๗ หมวด จ. วาดวยอานิสงสของสัมมาทิฏฐิ การเห็นชนิดที่ละมิจฉาทิฏฐิได ๙๗๘

[๖๕]

www.buddhadasa.info


อริยสัจจากพระโอษฐ หนา การเห็นชนิดที่ละสักกายทิฏฐิได ๘๗๙ การเห็นชนิดที่ละอัตตานุทิฏฐิได ๙๘๐ การเห็นชนิดที่ละมิจฉาทิฏฐิที่ปรารภอัตตาและโลก ๙๘๑ การเห็นไตรลักษณ เปนทางแหงความหลุดพน ๙๘๑ ก. ตามนัยแหงอนัตตลักขณสูตร ๙๘๑ ข. ตามนัยแหงบาลีอนิจจวรรค สฬายตนสังยุตต ๙๘๒ ค. ตามนัยแหงธัมมปทบาลี ๙๘๒ ความสะดวกสบายแกการดับของกิเลส (นิพพาน) ๙๘๓ การรูจักแสวงหาของมนุษย ๙๙๖ ก. การแสวงหาที่ไมประเสริฐ ๙๘๖ ข. การแสวงหาที่ประเสริฐ ๙๘๙ อุบายเครื่องสิ้นตัณหา โดยสังเขป ๙๙๐ ความถูกตองเกี่ยวกับความรูนึกวาปฏิกูลหรือไมปฏิกูล ๙๙๑ ภิกษุมิไดเจริญภาวนา เพื่อไดรูปทิพยเสียทิพย ๙๙๓ การเห็นความปฏิกูลแหงยศ-อาหาร-ความรัก-สุภะผัสสะ-อุปาทาน ๙๙๕ โลกุตตรผลมีได จากการตั้งจิตไวถูก ๙๙๖ ความแนใจหลักจากการปฏิบัติ เปนเครื่องตัดสิ้นความผิด-ถูก ๙๙๗ สรุปานิสงสของสัมมาทิฏฐิ ๑๐๐๐ หมวด ฉ. วาดวยโทษของการขาดสัมมาทิฏฐิ โทษที่เกิดจากมิจฉาทิฏฐิในกากรพูด ๑๐๐๑ ทิฏฐิซึ่งเปนที่ตั้งแหงการวิวาท (๓ จําพวก) ๑๐๐๒ มิจฉาทิฏฐิที่วา วิญญาณเปนผูทองเที่ยว ๑๐๐๖

[๖๖]

www.buddhadasa.info


สารบาญละเอียด ฯ

[๖๗] หนา ๑๐๐๘ ๑๐๐๙

โทษแหงอัตคาหิกทิฏฐิสิบ อวิชชา เปนตัวชักนํามาซึ่งองคแปดแหงมิจฉามรรค หมวด ช. วาดวยปกิณณกะ สัสสตทิฏฐิก็อยากอยู อุจเฉททิฏฐิก็อยากไป สัมมาทิฏฐิก็อยากดับ๑๐๑๐ คนรวยก็มีธรรมะได (จติตนิยมและวัตถุนิยมก็อยูดวยกันได) ๑๐๑๒ การใชความทุกขใหเปนประโยชนแกบุถุชน ๑๐๑๓ ตรัสวา ถาจะมีตัวตนกันบาง เอารางกายเปนตัวตนดีกวาจิต ๑๐๑๔ การทําความรูจักกับกาย ซึ่งมิใชของเราหรือของใครอื่น ๑๐๑๖ อุปมาแหงการคํานวณความเปนอนิจจัง ๑๐๑๗ รูจักเลือก : “สังฆทานดีกวา !” ๑๐๒๐ อาการที่อวิชชาทําใหมีการเกิดดับแหงสังขาร ๑๐๒๒ รายละเอียดที่ควรเขาใจใหถูกตองเกี่ยวกับเรื่องกรรม ๑๐๒๕ เห็นผิดจากธรรมชาติ ก็ไมอาจทําใหแจงมรรคผล ๑๐๒๗

นิทเทศ ๑๕ วาดวย สัมมาสังกัปปะ (๑๙ เรื่อง) ๑๐๒๙ - ๑๘๕๙

www.buddhadasa.info หมวด ก. วาดวยอทุเทศ-วิภาคอขงสัมมาสังกัปปะ อุทเทศแหงสัมมาสังกัปปะ ๑๐๒๙ สัมมาสังกัปปะ โดยปริยายสองอยาง (โลกิย-โลกุตตระ) ๑๐๒๙ วิตกโดยปริยายสองอยาง (เพื่อนิพพาน-ไมเพื่อนิพพาน) ๑๐๓๐ บุคคลเกี่ยวกับเนกขัมมะ ๔ ประเภท ๑๐๓๑ หมวด ข. วาดวยลักษณะของสัมมาสังกัปปะ อริยสัจจวิตก ในฐานะสัมมาสังกัปปะ ๑๐๓๒ อริยสัจจจินตนา ในฐานะสัมมาสังกัปปะ ๑๐๓๓


อริยสัจจากพระโอษฐ

[๖๘] หนา

หมวด ค. วาดวยอุปกรณของสัมมาสังกัปปะ สิ่งที่ควรทราบ เกี่ยวกับอกุศลสังกัปปะ ๑๐๓๕ สิ่งควรทราบ เกี่ยวกับกุศลสังกัปปะ ๑๐๓๖ เนกขัมมะแทมีได เพราะไดรูของสิ่งที่ประเสริฐกวากามรส ๑๐๓๘ หมวด ง. วาดวยหลักการปฏิบัติของสัมมาสังกัปปะ วิธีพิจารณา เพื่อเกิดสัมมาสังกัปปะ ๑๐๓๘ ก. โทษแหงมิจฉาสังกัปปะ ๑๗๓๘ ข. คุณแหงสัมมาสังกัปปะ ๑๐๔๐ อาการเกิดแหงเนกขัมมสังกัปปะ ๑๐๔๑ วิธีพิจารณา เพื่อกําจักอกุศลวิตก ตามลําดับ ๑๐๔๒ ประการที่ ๑ ๑๐๔๒ ประการที่ ๒ ๑๐๔๓ ประการที่ ๓ ๑๐๔๔ ประการที่ ๔ ๑๐๔๕ ประการที่ ๕ ๑๐๔๕ ผลสําเร็จแหงการกําจัดอกุศลวิตก ๑๐๔๖ หนาที่ที่มนุษยพึงปฏิบัติตอ “กาม” (เพื่อกําจัดกามวิตก) ๑๐๔๘ หมวด จ. วาดวยอานิสงสของสัมมาสังกัปปะ การหลีกจากกาม เปนบุรพภาคของพรหมจรรย ๑๐๕๐ อาการเกิดแหงกุศลวิตก หรือสัมมาสังกัปปะ ๑๐๕๑ ก. กรณีเนกขัมมวิตก ๑๐๕๑ ข. กรณีอัพยาปาทวิตก ๑๐๕๑ ค. กรณีวิหิงสาวิตก ๑๐๕๒

www.buddhadasa.info


สารบาญละเอียด ฯ

[๖๙] หนา ๑๐๕๒

สัมมาสังกัปปะ ทําใหเกิดสังฆสามัคคี หมวด ฉ. วาดวยโทษของการขาดสัมมาสังกัปปะ อาการเกิดแหงอกุศลสังกัปปะ หรือมิจฉาสังกัปปะ ๑๐๕๔ ก. กรณีกามวิตก ๑๐๕๔ ข. กรณีทยาปาทวิตก ๑๐๕๕ ค. กรณีวิหิงสาวิตก ๑๐๕๕ หมวด ข. วาดวยปกิณณกะ ธรรมชาติของกามแหงกามวิตก ๑๐๕๖ ความไมมีเนกขัมมวิตก ในจิตของสามัญสัตว ๑๐๕๗

นิทเทศ ๑๖ วาดวย สัมมาวาจา (๑๓ เรื่อง)

๑๐๖๐ - ๑๐๗๙

หมวด ก. วาดวยอุทเทศ-วิภาคของสัมมาวาจา อุทเทศแหงสัมมาวาจา ๑๐๖๐ หลบักวิธีการพูดจาที่เปน อริยะและอนริยะ ๑๐๖๐ สัมมาวาจา โดยปริยายสองอยาง (โลกิยะ-โลกุตตระ) ๑๐๖๑ หลักวินิจฉัยวจีกรรม ๓ สถาน ๑๐๖๒ หมวดที่ ๑ : เมื่อจะกระทํา ๑๐๖๒ หมวดที่ ๒ : เมื่อกระทําอยู ๑๐๖๓ หมวดที่ ๓ : เมื่อกระทําแลว ๑๐๖๔ ขอควรสรรเสริญหรือควรติ เกี่ยวกับสัมมาวาจา ๑๐๖๔ หมวด ข. วาดวยลักษณะของสัมมาวาจา คําไปความของสัมมาวาจาสี่ ๑๐๖๖ สุภาษิตวาจา ในฐาระสัมมาวาจา ๑๐๖๗

www.buddhadasa.info


อริยสัจจากพระโอษฐ สุภาษิตวาจา ในฐานะสัมมาวาจา (อีกนัยหนึ่ง) วจาของสัตบุรุษและสัตบุรุษ ๑. วาจาของอสัตบุรุษ ๒. วาจาของสัตบุรุษ ๓. วาจาของสะไภใหม-สะไภเกา หลักเกณฑแหงสัมมาวาจาขั้สูงสุด สัมมาวาจาชั้นสูงสุด ระดับพระพุทธเจา) หมวด ค. วาดวยโทษของการขาดสัมมาวาจา ตัวอยางแหงสัผัปปลาปวาทระดับครูบาอาจารย ตัวอยาง ประการที่หนึ่ง ตัวอยาง ประการที่สอง ตัวอยาง ประการที่สาม ตัวอยาง ประการที่สี่ ตัวอยาง ประการที่หา วิบากแหงมิจฉาวาจา

[๗๐] หนา ๑๐๖๗ ๑๐๖๘ ๑๐๖๗ ๑๐๖๙ ๑๐๗๑ ๑๐๗๒ ๑๐๗๒ ๑๐๗๓ ๑๐๗๓ ๑๐๗๕ ๑๐๗๖ ๑๐๗๗ ๑๐๗๗

www.buddhadasa.info นิทเทศ ๑๗ วาดวย สัมมากัมมันตะ (๘ เรื่อง) ๑๐๘๑ - ๑๐๘๙ หมวด ก. วาดวยอุทเทศ-วิภาคของสัมมากัมมันตะ อุทเทศแหงสัมมากัมมันตะ ๑๐๘๑ หลักวินิจฉัยกายกรรม ๓สถาน ๑๐๘๑ หมวดที่ ๑ : เมื่อจะกระทํา ๑๐๘๑ หมวดที่ ๒ : เมื่อกระทําอยู ๑๐๘๑ หมวดที่ ๓ : เมื่อกระทําแลว ๑๐๘๒ สัมมากัมมันตะ โดยปริยายสองอยาง (โลกิยะ-โลกุตตระ) ๑๐๘๒


สารบาญละเอียด ฯ

[๗๑] หนา

ข. วาดวยลักษณะของสัมมากัมมันตะ คําไขความของสัมาากัมมันตะ ๑๐๘๓ ลักษณะแลวิบาก แหงสัมมากัมมันตะ ๑๐๘๔ หมวด ค. วาดวยโทษและอานิสงคของสัมมากัมมันตะ วิบากของมิจฉากัมมันตะ ๑๐๘๖ กรรมที่เปนเหตุใหไดรับผลเปนความไมกระเสือกกระสน ๑๐๘๘

นิทเทศ ๑๘ วาดวย สัมมาอาชีวะ (๑๖ เรื่อง)

๑๐๙๐ - ๑๑๒๖

หมวด ก. วาดวยอุทเทศ-วิภาคของสัมมาอาชีวะ อุทเทศแหงสัมมาอาชีวะ ๑๐๙๐ สัมมาอาชีวะ โดยปริยายสองอยาง (โลกิยะ-โลกุตตระ) ๑๐๙๐ หมวด ข. วาดวยลักษณะ-อุปมาของสัมมาอาชีวะ การดํารงชีพชอบ กินความไปถึงความสันโดษ ๑๐๙๑ แมอยูปา ก็ยังตางกันหลายความหมาย ๑๐๙๒ การดํารงชีพชอบโดยทิศหก ของฆราวาส ๑๐๙๓ (หนาที่ที่พึงปฏิบัติตอทิศเบื้องหนา) ๑๐๙๕ (หนาที่ที่พึงปฏิบัติตอทิศเบื้องขวา) ๑๐๘๕ (หนาที่ที่พึงปฏิบัติตอทิศเบื้องหลัง) ๑๐๙๖ (หนาที่ที่พึงปฏิบัติตอทิศเบื้องซาย) ๑๐๙๗ (หนาที่ที่พึงปฏิบัติตอทิศเบื้องต่ํา) ๑๐๙๗ (หนาที่ที่พึงปฏิบัติตอทิศเบื้องบน) ๑๐๙๘ (คาถาสรุปความ) ๑๐๙๙ การดํารงชีพชั้นเลิศ ของฆราวาส ๑๑๐๐

www.buddhadasa.info


อริยสัจจากพระโอษฐ หนา การดํารงชีพชั้นรองเลิศ ของฆราวาส ๑๑๐๐ การดํารงชีพชั้นธรรมดา ของฆราวาส ๑๑๐๑ หลักการดํารงชีพ เพื่อผลพรอมกันทั้สองโลก ๑๑๐๒ (หลักดํารงชีพเพื่อประโยชนสุขในทิฏฐธรรม) ๑๑๐๒ (อบายมุขและดายมุขที่เกี่ยวกับประโยชนในทิฏฐฏรรม) ๑๑๐๕ (หลักดํารงชีพเพื่อปรธดยชนสุขในสัมปรายะ) ๑๑๐๖ การดํารงชีพชอบ ตามหลักอริยวงศ ๑๑๐๗ การดํารงชีพชอบ โดยหลักแหงมหาปุริสวิตก (แปดอยาง) ๑๑๑๐ (อานิสงสแหงการดํารงชีพชอบโดยหลักแหงมหาปุริสวิตกแปด) ๑๑๑๑ (อานิสงคที่ครอบคลุมไปถึงความหมายแหงปจจัยสี่) ๑๑๑๒ การดํารงชีพชอบ คือการลงทุนเพื่อนิพพาน ๑๑๑๔ หมวด ค. วาดวยหลักการปฏิบัติของสัมมาอาชีวะ หลักการปฏิบัติเกี่ยวกับปจจัยสี่ ๑๑๒๐ ก. เกี่ยวกับจีวร ๑๑๒๐ ข. เกี่ยวกับบิณฑบาต ๑๑๒๑ ค. เกี่ยวกับเสนาสนะ ๑๑๒๑ ง. เกี่ยวกับคิลานเภสัช ๑๑๒๒ หมวด ง. วาดวยอานิสงสของสัมมาอาชีวะ ผลสืบตอของสัมมาอาชีวะ ๑๑๒๒ สัมมาอาชีวะสมบูรณแบบ สําหรับคฤหัสถ ๑๑๒๓ หมวด จ. วาดวยปกิณณกะ การดํารงชีพสุจริต มิไดมเี ฉพาะเรื่องปจจัยสี่ ๑๑๒๕

[๗๒]

www.buddhadasa.info

นิทเทศ ๑๙ วาดวย สัมมาวายามะ (๒๖ เรื่อง) ๑๑๒๗ - ๑๑๗๕


สารบาญละเอียด ฯ

[๗๓] หนา

หมวด ก. วาดวยอุทเทศ-วสิภาคของสัมมาวายามะ อุทเทศแหงสัมมาวายามะ ๑๑๒๗ ปธานสี่ ในฐานะแหสัมมาวายาโม ๑๑๒๗ หมวด ข. วาดวยลักษณะ-ไวพจน-อุปมาของสัมมาวายามะ ลักษณะของผูมีความเพียรสี่อิริยาบถ ๑๑๒๙ ลักษณะของผูมีความเพียรสี่อิริยาบถ (อีกนัยหนึ่ง) ๑๑๓๐ ไวพจนของสัมมาวายามะ คือสัมมัปปธาน ๑๑๓๒ ปธานสี่ ในฐานะสัมมัปปธาน ๑๓๓๒ การทําความเพียร ดุจผูบํารุงรักษาปา ๑๑๓๔ หมวด ค. วาดวยอุปกรณ - เหตุปจจัยของสัมมาวายามะ ความสังเวช เปนเหตุใหปรารภความเพียร ๑๑๓๕ บุพพภาคแหงการทําความเพียรเพื่อความสิ้นอาสวะ ๑๑๓๖ บุพพภาคแหงการทําความเพียรเพื่อความสิ้นอาสวะ(อีกนัยหนึ่ง) ๑๑๓๙ อินทรียสังวร เปนอุปกรณแกสัมมาวายามะ ๑๑๔๑ เวทนาสามเกี่ยวกับความเพียรละอกุศลและเจริญกุศล ๑๑๔๒ การเสพที่เปนอุปกรณและไมเปนอุปกรณแกความเพียรละอกุศลและเจริญกุศล ๑๑๔๓ ๑. การเสพกายสมาจาร ๑๑๔๓ ๒. การเสพวจีสมาจาร ๑๑๔๔ ๓. การเสพมโนสมาจาร ๑๑๔๖ ๔. การเสพจิตตุปบาท ๑๑๔๗ ๕. การเสพสัญญาปฏิลาภ ๑๑๔๘ ๗. การเสพอัตตภาวปฏิลาภ ๑๑๔๙

www.buddhadasa.info


อริยสัจจากพระโอษฐ

[๗๔] หนา ๑๑๔๙ ๑๑๕๐ ๑๑๕๐ ๑๑๕๐ ๑๑๔๑ ๑๑๕๑ ๑๑๕๕

๘. การเสพอารมณหก ๙. การเสพปจจัยสาม ๑๐.-๑๓. การเสพกาม-นิคม-นคร-ชนบท ๑๔. การเสพบุคคล ชาคริยานุโยค คือสวนประกอบของความเพียร ศิลปะแหงการปลุกเราความเพียร ผูมีลักษณะควรประกอบความเพียร หมวด ง. วาดวยหลักการปฏิบัติของสัมมาวายามะ เพียรละอกุศลแขงกับความตาย ๑๑๕๖ (สัญญา ๑๐) ๑๑๕๗ (สัญญา ๑๐ อีกปริยายหนึ่ง) ๑๑๕๘ การทําความเพียรแขงกับอนาคตภักย ๑๑๕๘ การทําความเพียรแขงกับอนาคตภัย (อีกนัยหนึ่ง) ๑๑๖๑ บทอธิษฐานจิต เพื่อทําความเพียร ๑๑๖๓ หมวด จ. วาดวยปกิณณกะ อุปสรรคของการประกอบสัมมาวายามะ ๑๑๖๔ ก. เครื่องตรึงจิต ๕ อยาง ๑๑๖๕ ข. เครื่องผูกพันจิต ๕ อยาง ๑๑๖๖ ขอแกตัว ของคนขี้เกียจ ๑๑๖๘ สมัยที่ไมเหมาะสมสําหรับกาทภความเพียร ๑๑๗๑ ผูอยูอยางคนมีทุกข ก็ทํากุศลธรรมใหเต็มเปยมได ๑๑๗๓ ในการละกิเลสแมชั้นสูง ก็ยังมีการอยูเปนสุข ๑๑๗๓ เพียงแตรูชัดอริยสัจ สัมมายามะยังไมใชถึงที่สุด ๑๑๗๔

www.buddhadasa.info


สารบาญละเอียด ฯ

[๗๕] หนา

นิทเทศ ๒๑ วาดวย สัมมาสติ (๔๑ เรื่อง)

๑๑๗๖ - ๑๒๗๗

หมวด ก. วาดวยอุทเทศ-วิภาคของสัมมาสติ อุทเทสแหงสัมมาสติ ๑๑๗๖ สติปฏฐานสี่ เปนเอกายนมรรค ๑๑๗๖ หมวด ข. วาดวยลักษณะ-อุปมาของสัมมาสติ ลักษณะแหงความมีสติสัมปชัญญะของภิกษุ ๑๑๗๗ ลักษณะสัมปชัญญะ ระดับสูงสุด ๑๑๗๘ สัมมาสติ ในฐานะเครื่องทําตนใหเปนที่พึ่ง ๑๑๗๘ สติปฏฐานสี่ เปนโคจรสําหรับสมณะ ๑๑๘๐ สติปฏฐานสี่ ที่สงผลถึงวิชชาและวิมุตติ ๑๑๘๐ แบบการเจริญอานาปานสติ ที่มีผลมาก ๑๑๘๑ (แบบที่ ๑) ๑๑๘๒ (แบบที่ ๒) ๑๑๘๔ การเจริญสติปฏฐาน ของคนฉลาด ๑๑๘๕ หมวด ค. วาดวยอุปกรณ-เหตุปจจัยโดยอัตโนมัติของสัมมาสติ ธรรมเปนที่ตั้งแหงการเจริญสติ ๑๑๘๖ ธรรมเปนอุปการะเฉพาะ แกอานาปานสติภาวนา ๑๑๘๗ (นัยที่หนึ่ง) ๑๑๘๗ (นัยที่สอง) ๑๑๘๘ (นัยที่สาม) ๑๑๘๙ ฐานที่ตั้งแหงความมีสัมปชัญญะ ๑๙ ฐาน ๑๑๙๐ สติปฏฐานสี่บริบูรณ เมื่ออานาปานสติบริบูรณ ๑๑๙๘ สติปฏฐานสี่บริบูรณ ยอมทําโพชฌงคใหบริบูรณ ๑๒๐๑

www.buddhadasa.info


อริยสัจจากพระโอษฐ โพชฌงคบริบูรณ ยอทําวิชชาและวิมุตติใหบริบูรณ หมวด ง. วาดวยหลักการปฏิบัติของสัมมาสติ การทําสติในรูปแหงกายานุปสสนา ๑. ตามนัยแหงอานาปานสติสูตร ๒. ตามนัยแหงมหาสติปฏฐานสูตร ก. หมวดลมหายใจเขา-ออก (คือกาย) ข. หมวดอริยาบถ (คือกาย) ค. หมวดสัมปชัญญะ (ในกาย) ง. หมวดมนสิการในสิ่งปฏิกูล (คือกาย) จ. หมวดมนสิการในธาตุ (ซึ่งเปนกาย) ฉ. หมวดนวสีวถิกา (คือกาย) การทําสติในรูปแหงเวทนานุปสนา ๑. ตามนัยแหงอานาปานสติสูตร ๒. ตามนัยแหงมหาสติปฏฐานสูตร การทําสติในรูปแหงจิตตานุปสสนา ๑. ตามนัยแหงอานาปานสติสูตร ๒. ตามนัยแหงสติปฏฐานสูตร การทําสติในรูปแหงธัมมานุปสสนา ๑. ตามนัยแหงอานาปานสติสูตร ๒. ตามนัยแหงมหาสติปฏฐานสูตร ก. หมวดนิวรณ (คือธรรม) ข. หมวดขันธ (คือธรรม) ค. หมวดอายตนะ (คือธรรม) ง. หมวดโพชฌงค (คือธรรม) จ. หมวดอริยสัจ (คือธรรม)

[๗๖] หนา ๑๒๐๗ ๑๒๐๘ ๑๒๐๘ ๑๒๐๙ ๑๒๐๙ ๑๒๐๙ ๑๒๑๑ ๑๒๑๒ ๑๒๑๓ ๑๒๑๔ ๑๒๑๘ ๑๒๑๘ ๑๒๑๙ ๑๒๒๐ ๑๒๒๐ ๑๒๒๑ ๑๒๒๓ ๑๒๒๓ ๑๒๒๔ ๑๒๒๔ ๑๒๒๕ ๑๒๒๖ ๑๒๒๗ ๑๒๒๘

www.buddhadasa.info


สารบาญละเอียด ฯ หนา จ.-๑ : ทุกขอริยสัจ ๑๒๒๘ จ.-๒ : ทุกขสมุทยอริยสัจก ๑๒๒๙ จ.-๓ : ทุกขนิโรธอริยสัจ ๑๒๒๙ จ.-๔ : ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ๑๒๒๙ อุบายแหงการดํารงจิตในสติปฏฐาน ๑๒๓๐ ขอควรระวัง ในการเจริญสติปฏฐานสี่ ๑๒๓๒ กายคตาสติ เปนอุปกรณแกอนิทรียสังวร ๑๒๓๔ ก. โทษของการไมมีกายคตาสติ ๑๒๓๔ ข. คุณของกายคตาสติ ๑๒๓๕ หลักสําคัญสําหรับผูหลีกออกเจริญสติปฏฐานอยูผูเดียว ๑๒๓๖ ตรัสใหมีสติคุกันไปกับสัมปชัญญะ ๑๒๓๘ การฝกเพื่อความสมบูรณแหงสิตสัมปชัญญ ๑๒๓๙ การฝกเพื่อมีสติสัมปชัญญะ โดยออมและโดยตรง ๑๒๓๙ โอวาทแหงการทําสติ เมื่อถูกติหรือถูกชม ๑๒๔๒ ก. ฝายถูกติ ๑๒๔๒ ข. ฝายถูกชม ๑๒๔๓ ความมีสติเมื่อถูกประทุษราย ๑๒๔๔ ทรงขอใหมีสติเร็วเหมือนมาอาชาไนย ๑๒๔๕ สติในการเผชิญโลกธรรม ของอริยสาวก ๑๒๔๕ หมวด จ. วาดวยอานิสงสของสัมมสติ อานิสงสตามปกติ แหงอานาปานสติ ๑๒๔๘ ก. อานิสงสอยางสังเขปที่สุด ๒ ประการ ๑๒๔๘ ข. อานิสงสตามปกติ ๗ ประการ ๑๒๔๘ ค. ทําสติปฏฐานสี่-โพชฌงคเจ็ด-วิชชาและวิมุตติใหบริบูรณ๑๒๔๙

[๗๗]

www.buddhadasa.info


อริยสัจจากพระโอษฐ หนา ง. อานิสงสตามที่เคยปรากฎแกพระองคเอง ๑๒๕๐ จ. ละความอันอาศัยเรือน ๑๒๕๐ ฉ. สามารถควบคุมความรูสึกเกี่ยวกับความปฏิกูล ๑๒๕๑ ช. เปนเหตุใหไดรูปฌานทั้งสี่ ๑๒๕๒ ญ. เปนเหตุใหไดอรูปฌานทั้งสี่ ๑๒๕๔ ฎ. เปนเหตุใหไดสัญญาเวทยิดนิโรธ ๑๒๕๖ ฏ. สามารถกําจัดบาปอกุศลทุกทิศทาง ๑๒๕๗ อานิสงสพิเศษ แหงอานาปานสติ ๑๒๕๗ ก. กายไมโยกโคลง ๑๒๕๗ ข. รูตอเวทนาทุกประการ ๑๒๕๙ ค. มีสุขวิหารอันสงบเย็น ๑๒๖๐ ง. เปนสุขแลวดําเนินไปในตัวเอง จนสิ้นอาสวะ ๑๒๖๒ จ. ควรแกนามวาอริยวิหาร-พรหมวิหาร-ตถาคตวิหาร ๑๒๖๓ ฉ. ทําสังโยชนใหสิ้น-กําจัดอนุสัย-รูทางไกลสิ้นอาสวะ ๑๒๖๓ ช. รูจักลมหายใจอันจักมีเปนครั้งสุดทายแลวดับจิต ๑๒๖๕ ญ. เหตุปจจัยที่พระศานาจะตั้งอยูนานภายหลังพุทธปรินพิ พาน ๑๒๖๖ อานิสงส แหงความไมประมาทคือสติ ๑๒๖๖ สติปฏฐานสี่ เปนเครื่อละปุพพันตอปรันตสหคตทิฏฐินิสสัย ๑๒๖๗ การเจริญสติปฏฐาน เปนการอารักขาทั้งตนเองและผูอื่น ๑๒๖๘ หมวด ฉ. วาดวยโทษของการขาดสัมมาสติ จิตที่ปราศจากสติ ยอมปรารถนาลาภไดทั้งที่ชอบอยูปา ๑๒๗๐ หมวด ช. วาดวยปกิณณกะ ลักษณะของผูอาจและไมอาจเจริญสติปฏฐานสี่ ๑๒๗๑

[๗๘]

www.buddhadasa.info


สารบาญละเอียด ฯ

[๗๙]

ทั้งนวกะ-เสขะ-อเสขะ ก็พึงเจริญสติปฏฐาน (ก. พวกนวกะ) (ข. สําหรับพระเสขะ) (ค. สําหรับพระอเสขะ) สติปฏฐานสี่ เหมาะสมทั้งแกอเสขะ-เสขะ-และคฤหัสถ กองอกุศลและกองกุศล ชนิดแทจริงก ธัมมสงเคราะหที่ทุกคนควรกระทํา

นิทเทศ ๒๑ วาดวย สัมมาสมาธิ (๕๑ เรื่อง)

หนา ๑๒๗๒ ๑๒๗๒ ๑๒๗๓ ๑๒๗๓ ๑๒๗๔ ๑๒๗๖ ๑๒๗๗

๑๒๗๘ - ๑๓๖๗

หมวด ก. วาดวอยุทเทศ-วิภาคของสัมมาสมาธิ อุเทสแหงสัมมาสมาธิ สมาธิภาวนา มีประเภทสี่ หมวด ข. วาดวยลักษณะ-อุปมาของสัมาสมาธิ ลักษณะแหงสัมมาสมาธิชั้นเลิศ ๕ ประการ อริยสัมมาสมาธิ มีบริขารเจ็ด การทําหนาที่สัมดันพธกัน ของบริขารเจ็ด ๑. กลุมสัมมาทิฏฐิ ๒. กลุมสัมมาสังกัปปะ ๓. กลุมสัมมาวาจาก ๔. กลุมสัมมากัมมันตะ ๕. กลุมสัมมาอาชีวะ สัมมาทิฏฐิ เปนผูนําในการละมิจฉัตตะ สัมมาสมาธิ ชนิดที่มีพรหมวิหารเปนอารมณ วิโมกขแปด

๑๒๗๘ ๑๒๗๘ ๑๒๘๑ ๑๒๘๖ ๑๒๘๖ ๑๒๘๖ ๑๒๘๘ ๑๒๙๐ ๑๒๙๒ ๑๒๙๓ ๑๒๙๕ ๑๒๙๘ ๑๒๙๙

www.buddhadasa.info


อริยสัจจากพระโอษฐ หนา รูปฌานและอรูปฌาน ยังมิใชธรรมชนที่เปนเครื่องขูดเกลา ๑๓๐๐ อุปมาแหงจิตทีปราศจากนิวรณหา ๑๓๐๓ การบรรลุปฐมฌาน พรอมทั้งอุปมา ๑๓๐๕ การบรรลุทุติยฌาน พรอมทั้งอุปมา ๑๓๐๖ การบรรลุตติยฌาน พรอมทั้งอุปมา ๑๓๐๗ การบรรลุจตุตถฌาน พรอมทั้งอุปมา ๑๓๐๘ อาการที่อยูในฌาน เรียกวาตถาคตไสยา ๑๓๐๘ หมวด ค. วาดวยอุปกรณ-เหตุปจจัยของสัมมาสมาธิ ความรูที่ทําใหมีการอบรมจิต ๑๓๑๐ บริขารเจ็ด ของอริยสัมมาสมาธิ ๑๓๑๑ ธรรมเครื่องทําความเต็มเปยมแหงกําลังของสมาธิ ๑๓๑๑ สมาธิจากการเดิน (จงกรม) ยอมตั้งอยูนาน ๑๓๑๒ ลักษณะของผูงายตอการเขาอยูในสมาธิ ๑๓๑๓ หมวด ง. วาดวยหลักการปฏิบัติของสัมมาสมาาธิ บุพพภาคแหงการเจริญสมาธิ ๕ ขั้น ๑๓๑๓ ขั้นตอนอันจํากัดแหงปจจัยของสัมมาสมาธิ ๑๓๑๔ การกระทําที่ถูกตองตามกาละ สําหรับสมาธินิมตปคคาหนิมิต-อุเบกขานิมิต ๑๓๑๖ สิ่งที่ตองย้ําวันละ ๓ หน ในวงการสมาธิ ๑๓๑๘ อนุสสติภาวนา เปนสิ่งที่เจริญไดในทุกอิริยาบถ ๑๓๑๙ สมาธิภาวนาแตละอยาง ๆ อาจทําไดถึง ๗ ระดับ ๑๓๒๐ (๑. หมวดตระเตรียม) ๑๓๒๑ (๒. หมวดพรหมวิหาร) ๑๓๒๑

[๘๐]

www.buddhadasa.info


สารบาญละเอียด ฯ หนา (๓. หมวดสติปฏฐาน) ๑๓๒๒ (หมวดอานิสงส) ๑๓๒๔ ญาณ เกิดจาสมาธิของผูที่มีสติปญญารักาาตน ๑๓๒๔ การดํารงสมาธิจิต เมื่อถูกเบียดเบียนทั้งทางวาจาและทางกาย ๑๓๒๖ (๑. อุปมาที่หนึ่ง) ๑๓๒๖ (๒. อุปมาที่สอง) ๑๓๒๗ (๓. อุปมาที่สาม) ๑๓๒๘ (๔. อุปมาที่สี่) ๑๓๒๙ (๕. อุปมาที่หา) ๑๓๓๐ สัญญาในสิ่งไมเปนที่ตึงแหงความยึดถือก็มีอยู (โลกุตตรสมาธิ) ๑๓๓๑ สมาธิที่เปนอสัขตมนสิการ ๑๓๓๓ จากรูปฌานไปสูอาสวักขยญาณโดยตรง ๑๓๓๕ หมวด จ. วาดวยอานิสงสของสัมมาสมาธิ ประโยชนของการเจริญสมาธิ ๑๓๓๖ นัยที่ ๑ : เห็นความไมเที่ยงของอายตนิกธรรม ๑๓๓๖ นัยที่ ๒ : เห็นความเกิดดับของเบญจขันธ ๑๓๓๗ อานุภาพแหงสมาธิ ๑๓๓๘ อานิสงสของการหลีกเรน ๑๓๔๐ แมเพียงปฐมฌาน ก็ชื่อวาเปนที่หลบพนภัยจากมาร ๑๓๔๑ แมเพียงปฐมฌาน ก็บําบัดกิเลสอันเปนเครื่องระคายใจได ๑๓๔๒ เจโตสมาธิ ที่สามารถเพิ่มความผาสุกทางกาย ๑๓๔๔ ที่นั่ง-นอน-ยืน-เดิน อันเปนทิพย ๑๓๔๕ ธรรมที่ทําความเปนผูมีอํานาจเหนือจิต ๑๓๔๖ ญานระงับความรัก-เกลียดที่มีอยูตามธรรมชาติ: ๑๓๔๗

[๘๑]

www.buddhadasa.info


อริยสัจจากพระโอษฐ

[๘๒]

หนา ญาณในตถาคตพลญาณ มีไดเฉพาะแกผุมีจิตตั้งมั่นเปนสมาธิ ๑๓๔๙ ธรรมสัญญา ในฐานะแหงธรรมโอสถโดยธรรมปติ ๑๓๕๐ หมวด ฉ. วาดวยโทษของการขาดสัมมาสมาธิ นิวรณ-ขาศึกแหงสมาธิ ๑๓๕๖ นิวรณ เปนเครื่องทํากระแสจิตไมใหรวมกําลัง ๑๓๕๗ จิตตระหนี่ เปนสิ่งที่ต่ําเกินไปสําหรับการบรรลุฌานและทําใหแจงมรรคผล ๑๓๕๘ หมวด ช. วาดวยปกิณณกะ สนิมจิต เทียบสนิมทอง ๑๓๕๙ ซึ่งที่เปนเสี้ยนหนามตอกันโดยธรรมชาติ ๑๓๕๙ การอยูปากับการเจริญสมาธิ สําหรับภิกษุบางรูป ๑๓๖๑ ลําดับพฤติจิต ของผูที่จะเปนอยูดวยความไมประมาท ๑๓๖๒ สัจจสัญญาอันสุขุมยิ่งขึ้นไปตามลําดับ ในรูปฌานสี่ ๑๓๖๓ [กรณีของปฐมฌาน] ๑๓๖๓ [กรณีของทุติยฌาน] ๑๓๖๓ [กรณีของตติยฌาน] ๑๓๖๔ [กรณีของจตุตถฌาน] ๑๓๖๔ เจโตวิมุตติชนิดที่ยังมีอุปสรรค ๑๓๖๕

www.buddhadasa.info นิทเทศ ๒๒ วาดวย ขอความสรุปเรื่องมรรค (๗๕ เรื่อง)๑๓๖๘ - ๑๔๘๗ หมวด ก. วาดวยไวพจน อริยอัฏฐังคิกมัคคอธิวจนะ (ไวพจนแหงอริยอัฏฐังคิกมรรค) ๑๓๖๘ อัภฐังคิกมรรค ในฐานะแหงธัมมยานอันประเสริฐ ๑๓๖๘


สารบาญละเอียด ฯ

[๘๓] หนา ๑๓๗๐ ๑๓๗๑ ๑๓๗๒ ๑๓๗๓ ๑๓๗๕

อัฏฐังคิมรรค เปนสัมมาปฏิปทา สัมมัตตะโนนามวา อริยมรรค ธรรมที่เปนนิพพานคามิมัคคะ ทางโลงอันแนนอนไปสูสัมมัตตนิยาม อริยมรรค ซึ่งมิใชอริยอัฏฐังคิกมรรค หมวด ข. วาดวยการสงเคราะหองคมรรค องคแปดแหงอริยมรรค สงเคราะหลงในสิกขาสาม ๑๓๗๕ ลักษณะแหงสิกขาสาม โดยละเอียด ๑๓๗๖ ๑. สีลขันธ โดยละเอียด ๑๓๗๖ ๒. สมาธิขันธ โดยละเอียด ๑๓๗๘ (บุรพภาคแหงการเจริญสมาธิ) ๑๓๗๘ (การเจริญสมาธิ) ๑๓๘๐ ๓. ปญญาขันธ โดยละเอียด ๑๓๘๐ สิกขาสาม เปนสิ่งที่สงเสริมกันตามลําดับ ๑๓๘๑ อธิสิกขา สาม ๑๓๘๒ อธิสิกขา สาม (อีกนัยหนึ่ง) ๑๓๘๒ ลักษณะความสมบูรณแหงศีล ๑๓๘๔ เมื่อตีความคําบัญญัติผิด แมทารกนอนเบาะก็มีศีลโดยอัตโนมัติ ๑๓๘๔ ธรรม-อธรรม-อรรถ-อนรรถ ที่ควรทราบ ๑๓๘๖ หมวด ค. วาดวยคุณคาของมรรค อัฏฐังคิกมรรค ในฐานะแหงตัวพรหมจรรย ๑๓๘๗ ระบบพรหมจรรย ทรงแบงไวเปน ๒ แผนก ๑๓๘๘ ก. สําหรับผูถึงที่สุดแหงทุกขแลว ๑๓๘๘

www.buddhadasa.info


อริยสัจจากพระโอษฐ

[๘๔] หนา ๑๓๘๘ ๑๓๘๙ ๑๓๘๙ ๑๓๙๑ ๑๓๙๒

ข. สําหรับผูยังไมถึงที่สุดแหงทุกข จุดมุงหมายแทจริง ของพรหมจรรย อัฏฐังคิกมรรค เปนพรหมจรรยเปนไปเพื่อนิพพาน มรรคมีองคแปด รวมอยูในพรหมจรรยจลอดสาย อัฏฐังคิดมัคคพรหมจรรย ใหผลอยางเครื่องจักร ความแตกตางระหวางคนเขลาและบัณฑิต ในการประพฤติพรหมจรรย ๑๓๙๓ อานุภาคแหงอัฏฐังคิกมรรค ในการทําใหเกิด : ก. เกิดความปรากฏแหงตถาคต ๑๓๙๔ ข. เกิดสุคตวินัย ๑๓๙๕ อัฏฐังคิกมรรค เพื่อการรูและการละซึ่งธรรมที่ควรรูและควรละ ๑๓๙๖ อัฏฐังคิกมรรค ชวยระงับภัยที่แมลูกก็ชวยกันไมได ๑๓๙๗ อัฏฐังคิกมรรค ในฐานะเปนกัมมนิโรธคามินีปฏิปทา ๑๓๙๙ อัฏฐังคิกมรรค เปนอิทธิปาทภาวนาคิมนีปฏิปทา ๑๔๐๐ อัฏฐังคิกมรรค เปนสัญญลักษณของพระศาสนาที่มีความหลุดพน ๑๔๐๑ อัฏฐังคิกมรรค ใชเปนหลักจําแนกความเปนสัตบุรุษอสัตบุรุษ ๑๔๐๒ อัฏฐังคิกมรรค ชนิดที่แนนอนวาปองกันการแสวงหาผิด ๑๔๐๔ มัชฌิมาปฏิปทา สําหรับธรรมกถึกแหงยุค ๑๔๐๖ (๑. พอตัวทั้งเพื่อตนและผูอื่น) ๑๔๐๖ (๒. พอตัวทั้งเพื่อตนและผูอื่น [อีกนัยหนึ่ง]) ๑๔๐๗ (๓. พอตัวเพื่อตน แตไมพอตัวเพื่อผูอื่น) ๑๔๐๗ (๔. พอตัวเพื่อผูอื่น แตไมพอตัวเพื่อตน) ๑๔๐๘ (๕. พอตัวเพื่อตน แตไมพอตัวเพื่อผูอื่น [อีกนัยหนึ่ง]) ๑๔๐๘ (๖. พอตัวเพื่อผูอื่น แตไมพอตัวเพื่อตน [อีกนัยหนึ่ง]) ๑๔๐๙

www.buddhadasa.info


สารบาญละเอียด ฯ หนา (๗. พอตัวเพื่อตน แตไมพอตัวเพื่อผูอื่น [อีกนัยหนึ่ง]) ๑๔๐๙ (๘. พอตัวเพื่อผูอื่น แตไมพอตัวเพื่อตน [อีกนัยหนึ่ง]) ๑๔๑๐ ธรรมอันเปนที่สุดของสมณปฏิบัติ ๑๔๑๑ ปฏิปทาเพื่อละโอรัมภาคิยสังโยชน ก็คือมรรค ๑๔๑๑ การเปนอยูที่นอมไปเพื่อนิพพานอยูในตัว (มัชฌิมาปฏิปทาโดยอัตโนมัติ) ๑๔๑๖ หมวด ง. วาดวย การทําหนาที่ของมรรค อัฏฐังคิกมรรคชนิดที่เจริญแลวทํากิจแหงอริยสัจสี่พรอมกันไปในตัว๑๔๑๗ อัฏฐังคิกมรรค ชนิดที่เจริญแลวทําใหโพธิปกขิยธรรมสมบูรณไปในตัว ๑๔๑๙ การทํากิจของอินทรีย ในขณะบรรลุธรรม ๑๔๒๑ สัมมัตตะ เปนเครื่องสิ้นอาสวะ ๑๔๒๓ หมวด จ. วาดวยธรรมชื่ออื่น (ความหมายเกี่ยวมรรค) บทธรรมเกาที่อยูในรูปขององคมรรค ๑๔๒๓ ขอปฏิบัติที่เปนสักกายนิโรธคามินีปฏิปทา ๑๔๒๕ อานิสงสแหงการปฏิบัติ โดยหลักพื้นฐาน (เชนเดียวกับอานิสงสแหงมรรค) ๑๔๒๖ ปฏิปทาเพื่อสิ้นอาสวะ ๔ แบบ ๑๔๒๗ ก. แบบปฏิบัติลําบาก ประสบผลชา ๑๔๒๗ ข. แบบปฏิบัติลําบาก ประสบผลเร็ว ๑๔๒๘ ค. แบบปฏิบัติสบาย ประสบผลชา ๑๔๒๘ ง. แบบปฏิบัติสบาย ประสบผลเร็ว ๑๔๒๙ ปฏิปทาการอบรมอินทรีย ๓ ระดับ ๑๔๓๐ ก. ลักษณะแหงอินทรียภาวนาชั้นเลิศ ๑๔๓๐

[๘๕]

www.buddhadasa.info


อริยสัจจากพระโอษฐ

[๘๖] หนา ๑๔๓๑ ๑๔๓๒ ๑๔๓๔

ข. ลักษณะแหงผูเปนเสขปาฏิบท ค. ลักษณะแหงผูเจริญอินทรียชั้นอริยะ ปฏิปทาเพื่อบรรลุอรหัตตผลของคนเจ็บไข องคสิบหา เพื่อการทําลายกระเปาะของอวิชชา (มุงผลอยางเดียวกับมัชฌิมาปฏิปทา) ๑๔๓๕ สุขโสมนัสที่เปนไปเพื่อสิ้นอาสวะ (มัชฌิมาปฏิปทาที่แสนสุข) ๑๔๓๖ ความเย็นที่ไมมีอะไรเย็นยิ่งไปกวา ๑๔๓๗ ก. พวกที่ไมทําความเย็น ๑๔๓๗ ข. พวกที่ทําความเย็น ๑๔๓๘ ปฏิปทา การบรรลุอรัหตตหรืออนาคามี ในภพปจจุบัน ๑๔๓๘ หมวด ฉ. วาดวยอุปมาธรรมของมรรค ระวังมัคคภาวนา : มีทั้งผิดและถูก ๑๔๓๙ (ฝายผิด) ๑๔๓๙ (ฝายถูก) ๑๔๔๐ ภาวะแหงความถูก-ผิด ๑๔๔๑ ภาวะแหงความเปนผิด-ถูก ๑๔๔๒ อเสขธรรมสิบ ในฐานะพิธีเครื่องชําระบาป ๑๔๔๒ อัฏฐังคิกมรรค มีความหมายแหงความเปนกัลยาณมิตร ๑๔๔๓ นาบุญหรือนาบาป เนื่องอยูกับองคแหงมรรค ๑๔๔๕ ก. นาบาป ๑๔๔๕ ข. นาบุญ ๑๔๔๖ พิธีลงบาป ดวยสัมมัตตปฏิปทา ๑๔๔๖ หมวด ช. วาดวยอุปกรณการปฏิบัติมรรค รายชื่อธรรมเปนที่ตั้งแหงการขูดเกลา ๑๔๔๘

www.buddhadasa.info


สารบาญละเอียด ฯ ก. จิตตุปปาทปริยาย ข. ปริกกมนปริยาย ค. อุปริภาวังคมนปริยาย ง. ปรินิพพานปริยาย องคคุณที่ทําใหเจริญงอกงามไพบูลยในพรหมจรรย(อุกรณแหงการปฏิบัติมรรค) พวกรูจักรูป พวกฉลาดในลักษณะ พวกคอยเขี่ยไขขาง พวกปดแผล พวกสุมควัน พวกรูจักทาที่ควรไป พวกที่รูจักน้ําที่ควรดื่ม พวกรูจักทางที่ควรเดิน พวกฉลาดในที่ที่ควรไป พวกรีด “นมโค” ใหมีสวนเหลือ พวกบูชาเผูเฒา๑๔๕๗ อัฏฐังคิกมัคคปฏิบัติ ตองอาศัยที่ตั้งคือศีล หลักเกณฑการเลือกสถานที่และบุคคลที่ควรเสพไมควรเสพ (อันเปนอุปกรณแหงมรรค) การเลือกที่อยูในปา (วนปตถ) อาการที่เรียกวา อัฏฐังคิกมรรคบริบูรณไดโดยวิธีลัด วิธีการสืบตอความไมประมาทของอริยสาวก พึงทําความสมดุลยของสมถะและวิปสสนา การปฏิบัติเพื่อความสมดุลยของสมถะและวิปสสนา

[๘๗] หนา ๑๔๕๐ ๑๔๕๑ ๑๔๕๑ ๑๔๕๒ ๑๔๕๒ ๑๔๕๓ ๑๔๕๔ ๑๔๕๔ ๑๔๕๔ ๑๔๕๕ ๑๔๕๕ ๑๔๕๕ ๑๔๕๖ ๑๔๕๖ ๑๔๕๖

www.buddhadasa.info ๑๔๕๗

๑๔๕๙ ๑๔๕๙ ๑๔๖๑ ๑๔๖๒ ๑๔๖๔ ๑๔๖๖


อริยสัจจากพระโอษฐ

[๘๘] หนา ๑๔๖๗ ๑๔๖๘

ความสมประสงคสูงสุด มีไดเพราะสัมมัตตะ การใหผลของมิจฉัตตะและสัมมัตตะ รีบปฏิบัติใหสุดเหวี่ยง แตไมตองรอนใจวาจงสําเร็จ(นั่นแหละคือมัชฌิมาปฏิปทา) ๑๔๖๙ ภาวะบริสุทธิ์แหงการประพฤติตบะพรหมจรรย โดย ๑๖ ประการ ๑๔๗๑ (ก. ภาวะไมบริสุทธิ์สําหรับเปรียบเทียบ) ๑๔๗๑ (ข. ภาวะบริสุทธิ์ที่สําหรับถือเปนหลัก) ๑๔๗๕ การตอสูของผูเกลียดกลัวความทุกข โดยละเอียด ๑๔๗๙ หมวด ช. วาดวยมรรคกับอาหุเนยยบุคคล สักวาดําเนินอยูในอัฏฐังคิกมรรค ก็เปนอาหุเนยยบุคคลฯ แลว ๑๔๘๑ องคแหงมรรคที่เปนเสขะของเสขบุคคล ๑๔๘๓ ประโยชนอันสูงสุด ของสัมมัตตะสิบ ๑๔๘๔ หมวด ฌ. วาดวยมรรคกับพระพุทธองค อริยอัฏฐังคิกมรรค คือมัชฌิมาปฏิปทาที่ตรัสรูเอง ๑๔๘๕ ทรงกําชัเบรืองการทําลายอหังการมมังการ ๑๔๘๖ อริยมรรค รวมอยูในพรหมจรรยที่ทรงฝากไวกับพวกเรา ๑๔๘๗ อัฏฐังคิกมรรค ในฐานกัลยณวัตรที่ทรงฝากไว ๑๔๘๘ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เปนสิ่งที่ควรทําใหเกิดมี ๑๔๘๙

www.buddhadasa.info ภาคสรุป วาดวยขอความสรุปทาย เกี่ยวกับจตุราริยสัจ (มี ๒๓ หัวขอ) ความรูที่ทําใหสิ้นอาสวะ

๑๔๘๖


สารบาญละเอียด ฯ หนา โอกาสแหงโยคกรรมในการเห็นอริยสัจ บัดนี้ถึงพรอมแลว ๑๔๙๖ การเรียนปริยัติ มิใชการูอริยสัจ ๑๔๙๗ เห็นพระรัตนตรัยแทจริง ก็ตอเมื่อเห็นอริยสัจและหลุดพนจากอาสวะแลว ๑๔๙๘ ปฏิบัติเพื่อรูอริยสัจ ตองเปนธัมมาธิปไตย ๑๕๐๐ การแทงตลอดอริยสัจ เปนงานละเอียดออนยิ่งกวาการแทงทะลุขนทรายดวยขนทราย ๑๕๐๑ การปฏิบัติอริยสัจ ไมมีทางที่จะขัดตอหลักกาลามสูตร ๑๕๐๒ (ก. ฝายอกุศล) ๑๕๐๓ (ข. ฝายกุศล) ๑๕๑๖ บริษัทที่เกี่ยวกับอริยสัจ ๑๕๑๑ เมื่ออริยสัจสี่ ถูกแยกออกเปนสองซีก ๑๕๑๒ หลักวิธีการศึกษาอริยสัจสี่ ใชไดกับหลักทั่วไป ๑๕๑๓ ตัวอยาง ก. เกี่ยวกับอกุศลศีล ๑๕๑๓ ตัวอยาง ข. เกี่ยวกับกุศลศีล ๑๕๑๔ ตัวอยาง ค. เกี่ยวกับอกุศลสังกัปปะ ๑๕๑๔ ตัวอยาง ง. เกี่ยวกับกุศลสังกัปปะ ๑๕๑๔ อริยสัจสี่ เปนที่ตั้งแหงการแสดงตัวของปญญินทรีย ๑๕๑๕ อริยสัจสี่ เปนวัตถุแหงกิจของปญญินทรีย ๑๕๑๖ เบญขพิธพรทีทรงระบุไวสําหรับภิกษุ (ไมเกี่ยวกับตัณหาเหมือนจตุพิธพรของชาวบาน) ๑๕๑๖ การทําบุคคลใหรูอริยสัจ จัดเปนอนุศาสนีปาฏิหาริย ๑๕๑๘ อริยสัจ (หรือโลกสัจ) ทรงบัญญัติไวในกายที่ยังมีสัญญาและใจ ๑๕๒๒ อริยสัจ ทรงบัญญัติสําหรับสัตวที่อาจมีเวทนา ๑๕๒๓

[๘๙]

www.buddhadasa.info


อริยสัจจากพระโอษฐ เวทนาโดยปจจัย ๔๑ ชนิด ผูรูอริยสัจ ไมจําเปนตองแตกฉานอภิธรรมและรวยลาภ จงกระทําเหตุทั้งภายในและภายนอก ก. เหตุภายใน ข. เหตุภายนอก อัฏฐังคิกมรรค ในฐานะเพชรพลอยเม็ดหนึ่งแหงพระศาสนา พระคุณของผูที่ทําใหรูแจงอริยสัจสี่ ประมวลปญหาอันจะพึงตอบเกี่ยวกับธรรมทั้งปวง(เกี่ยวกับใจความของอริยสัจโดยทั่วไป) การจบกิจแหงอริยสัจ กําหนดดวยความสมบูรณแหงญาณสาม

[๙๐] หนา ๑๕๒๔ ๑๕๒๖ ๑๕๒๘ ๑๕๒๘ ๑๕๒๙ ๑๕๓๐ ๑๕๓๐ ๑๕๓๑ ๑๕๓๒

ภาคผนวก วาดวยเรื่องนํามาผนวก เพื่อความสะดวกแกการอางอิง สําหรับเรื่องที่ตรัสซ้ํา ๆ บอย ๆ

www.buddhadasa.info (มี ๒ หัวขอ)

ประมวลพรหมจรรยตลอดสาย (ที่แสดงไวดวยขันธสาม) ๑๕๓๙ ๑. ศีลขันธ ๑๕๓๙ - ๑๕๕๑ ตถาคตเกิดขึ้นในโลก แสดงธรรม ๑๕๔๑ กุลบุตรฟงธรรม ออกบวช ๑๕๔๐ แนวปฏิบัติสําหรับผูบวชใหม ๑๕๔๑ ก. อาการที่ถึงพรอมดวยศีล (ขั้นจุลศีล) ๑๕๔๑ ข. อาการที่ถึงพรอมดวยศีล (ขั้นมัชฌิมศีล) ๑๕๔๓


สารบาญละเอียด ฯ หนา (หมวดพืชตามภูติคาม) ๑๕๔๓ (หวดการบริโภคสะสม) ๑๕๔๓ (หมวดดูการเลน) ๑๕๔๓ (หมวดการพนัน) ๑๕๔๔ (หมวดที่นั่งนอนสูงใหญ) ๑๕๔๔ (หมวดดิรัจฉานกถา) ๑๕๔๕ (หมวดชอบทําความขัดแยง) ๑๕๔๖ (หมวดการรับใชเปนทูต) ๑๕๔๖ (หมวดโกหกหลอกลวงเพื่อลาภ) ๑๕๔๖ ค. อาการที่ถึงพรอมดวยศีล (ขั้นมหาศีล) ๑๕๔๗ (หมวดการทําพิธีรีตอง) ๑๕๔๗ (หมวดทายลักษณะ) ๑๕๔๗ (หมวดทายฤกษการรบพุง) ๑๕๔๘ (หมวดทายโจรแหงนักษัตร) ๑๕๔๘ (หมวดทํานายขาวยากหมากแพง) ๑๕๔๙ (หมวดฤกษยามและเขาทรง) ๑๕๔๙ (หมวดหมอผีหมอยา) ๑๕๕๐ ๒. สมาธิขันธ ๑๕๕๑ - ๑๕๕๘ (หมวดอินทรียสังวร) ๑๕๕๑ (หมวดสติสัปชัญญะ) ๑๕๕๒ (หมวดสันโดษ) ๑๕๕๒ (หมวดเสนาสนะสงัด-ละนิวรณ) ๑๕๕๓ (หมวดปฐมฌาน) ๑๕๕๕ (หมวดทุติยฌาน) ๑๕๕๖

[๙๑]

www.buddhadasa.info


อริยสัจจากพระโอษฐ

[๙๒]

หนา (หมวดตติยฌาน) ๑๕๕๗ (หมวดจตุตถฌาน) ๑๕๕๗ ๓. ปญญาขันธ ๑๕๕๘ - ๑๕๖๔ (หมวดญาณทัสสนะ) ๑๕๕๘ (หมวดมโนมยิทธิ) ๑๕๕๙ (หมวดอิทธิวิธี) ๑๕๖๐ (หมวดทิพพโสต) ๑๕๖๐ (หมวดเจโตปริยญาณ) ๑๕๖๐ (หมวดปุพเพนิวาสานุสสติญาณ) ๑๕๒๒ (หมวดจุตูปปาตญาณ) ๑๕๖๓ (หมวดอาสวักขยญาณ) ๑๕๖๓ ลักษณะความสะอาด-ไมสะอาด ในอริยวินัย ๑๕๖๔ ก. ความไมสะอาด ๑๕๖๔ ข. ความสะอาด ๑๕๖๗ ผูไมสะอาด เปนผูที่เหมือนกับถูนําไปเก็บไวในนรก ๑๕๗๐ ผูสะอาด เปนผูที่เหมือนกับถูนําตัวไปเก็บไวในสวรรค ๑๕๗๐

www.buddhadasa.info คําชี้แจงเพิ่มเติมเกี่ยวกับถอยคําและอักขรวิธี ฯลฯ ในหนังสือเลมนี๑้ ๕๗๓ ตัวอยางหลักธรรมล้ําลึก ที่หาพบไดจากหนังสือเลมนี้ ๑๕๗๙ คําชี้แจงวิธีการใชหนังสือเลมนี้ ใหเปนประโยชนกวางขวางออกไป๑๕๘๕

ปทานุกรม เริ่มแตหนา ลําดับหมวดธรรม เริ่มแตหนา ____________________

๑๖๗๗ ๑๘๓๙


ภาคนํา วาดวย

ขอความที่ควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

www.buddhadasa.info


ภาคนํา มีเรื่อง:- ๑. สัตวโลก กับ จตุราริยสัจ ๒. ชีวิตมนุษย กับ จตุราริยสัจ ๓. พระพุทธองค กับ จตุราริยสัจ ๔. การรูอริยสัจ ไมเปนสิ่งสุดวิสัย ๕. คุณคาของอริยสัจ ๖. เคาโครงของอริยสัจ

๑๓ หัวขอ ๒๐ หัวขอ ๑๙ หัวขอ ๑๐ หัวขอ ๑๓ หัวขอ ๑๖ หัวขอ

www.buddhadasa.info


อริยสัจจากพระโอษฐ ภาคนํา วาดวย

ขอความที่ควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ (๖ ตอน) ____________

-๑สัตวโลก กับ จตุราริยสัจ ตรัสรูแลว ทรงรําถึงถึงหมูสัตว

www.buddhadasa.info สัตวโลกนี้ เกิดความเดือดรอนแลว มีผัสสะบังหนา๑ ยอมกลาวซึ่ง โรค (ความเสียดแทง) นั้นโดยความเปนตัวเปนตน เขาสําคัญสิ่งใด โดยความเปนประการใด โดยประการอื่นจากที่เขาสําคัญนั้น

แตสิ่งนั้นยอมเปน (ตามที่เปนจริง)

๑. คํ า วา "มีผ ัส สะบัง หนา (ผสฺส ปเรโต)" หมายความวา เมื ่อ เขาถูก ตอ งผัส สะใด จิต ทั ้ง หมด ของเขายึ ดมั่ น อยู ในผั สสะนั้ น จนไม ม องเห็ น สิ่ งอื่ น แม จะใหญ โตมากมายเพี ยงใด ทํ านองเส น ผมบั ง ภู เขา : เขาหลงใหลยึ ด มั่ น แต ใ นอั ส สาทะของผั ส สะนั้ น จนไม ม องเห็ น สิ่ ง อื่ น ; อย า งนี้ เรียกวา มีผัสสะบังหนา คือบังลูกตาของเขา ใหเห็นสิ่งตาง ๆ ผิดไปจากตามที่เปนจริง.


อริยสัจจากพระโอษฐ

สัตวโลกติดของอยูในภพ ถูกภพบังหนาแลว มีภพโดยความเปนอยางอื่น (จาก ที่มันเปนอยูจริง )จึงไดเพลิดเพลินยิ่งนักในภพนั้น. เขาเพลิดเพลินยิ่งนักในสิ่งใด สิ่งนั้นเปนภัย (ที่เขาไมรูจัก) : เขากลัวตอสิ่งใด สิ่งนั้นก็เปนทุกข. พรหมจรรยนี้ อันบุคคลยอมประพฤติ ก็เพื่อการละขาดซึ่งภพ. สมณะหรือพราหมณเหลาใด กลาวความหลุดพนจากภพวามีไดเพราะภพ เรา กลาววา สมณะหรือพราหมณทั้งปวงนั้น มิใชผูหลุดพนจากภพ. ถึงแมสมณะหรือพรามหณเหลาใด กลาวความออกไปไดจากภพ วามีไดเพราะ วิภพ๑ : เรากลาววา สมณะหรือพราหมณทั้งปวงนั้น ก็ยังสลัดภพออกไปไมได. ก็ทุกขนี้มีขึ้น เพราะอาศัยซึ่งอุปธิทั้งปวง. เพราะความสิ้นไปแหงอุปาทานทั้งปวง ความเกิดขึ้นแหงทุกขจึงไมมี. ทานจงดูโลกนี้เถิด (จะเห็นวา) สัตวทั้งหลายอันอวิชชาหนาแนนบังหนาแลว; และวา สัตวผูยินดีในภพอันเปนแลวนั้น ยอมไมเปนผูหลุดพนไปจากภพได. ก็ภพทั้งหลายเหลาหนึ่งเหลาใด อันเปนไปในที่หรือในเวลาทั้งปวง๒ เพื่อความมี

www.buddhadasa.info ๑. คําวา "วิภพ" ในที่นี้ ตรงกันขามกับคําวา "ภพ" คือไมมีภพตามอํานาจของนัตถิกทิฏฐิ หรืออุจเฉททิฏ ฐิโดยตรง คือ ไมเปน ไปตามกฏของอิทัป ปจจยตา; ดั ง นั้น แมเ ขาจะรูสึกวา ไมมีอะไร มันก็มีความไมมีอะไรนั้นเองตั้งอยูในฐานะเปนภพชนิดที่เรียกวา "วิภพ" เปนที่ตั้ง แหงวิภวตัณหา. ๒. คําวา "ในที่หรือในเวลาทั้งปวง" ตลอดถึงคําวา "เพื่อความมีแหงประโยชนโดยประการ ทั้งปวง" เปนคุณบทแหงคาอันเปนที่ตั้งแหงความยึดมั่นของภพ. ความมีความเปนอยางไร ก็ตาม ยอมเนื่องดวยเวลาที่พอเหมาะ เนื้อที่ที่พอดี ประโยชนที่นารัก มันจึงจะเปนที่ตั้งแหง ความยึดถือ หรือยั่วยวนใหยึดถือ; ดังนั้น ภพชนิดไหนก็ตาม ยอมเนื่องอยูดวยสิ่งทั้ง สามนี้ แตแลวในที่สุดมันก็เปนเพียงสิ่งที่ไมเที่ยง เปนทุกข มีความแปรปรวนเปนธรรมดา ดังที่กลาวแลวในพุทธอุทานนั้น.


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

www.buddhadasa.info


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ แหงประโยชนโดยประการทั้งปวง; ภพทั้งหลายทั้งหมดนั้น ไมเที่ยง ทุกข มีความแปรปรวนเปนธรรมดา. เมื่อบุคคลเห็นอยูซึ่งขอนั้น ดวยปญญาอันชอบตามที่เปนจริงอยางนี้อยู; ยอมละภวตัณหาได และไมเพลิดเพลินวิภวตัณหาดวย.

๕ เปน เขา

ความดับเพราะความสํารอกไมเหลือ (แหงภพทั้งหลาย) เพราะความสิ้นไปแหงตัณหา โดยประการทั้งปวง นั้นคือนิพพาน. ภพใหมยอมไมมีแกภิกษุนั้น ผูดับเย็นสนิทแลว เพราะไมมีความยึดมั่น ภิกษุนั้น เปนผูครอบงํามารไดแลว ชนะสงครามแลว กาวลวงภพทั้งหลาย ทั้งปวงไดแลว เปนผูคงที่ (คือไมเปลี่ยนแปลงอีกตอไป). ดังนี้แล - อุ.ขุ. ๒๕/๑๒๑/๘๔. (ขอความนี้ แลวได ๗ วัน).

เปนพระพุทธอุทานที่ทรงเปลงออก

ที่โคนตนโพธิ์เปนที่ตรัสรู

เมื่อตรัสรู

การพนทุกขโดยไมรูอริยสัจนั้น เปนไปไมได

www.buddhadasa.info ภิกษุ

เปรียบเหมือนผูใดผูหนึ่งจะพึงกลาววา "ฉันไมตองทําพื้นฐาน รากในเบื้องลางของเรือนดอก แตฉันจักทําตัวเรือนขางบนได" ดังนี้ : นี่ไมเปนฐานะที่ จักมีไดฉันใด; ขอนี้ก็ไมเปนฐานะที่จักมีได ฉันนั้น คือขอที่ผูใดผูหนึ่งจะ พึงกลาววา "ฉันไมตองรูจักความจริงอันเประเสริฐ คือ ความจริงเรื่องทุกข, เรื่องเหตุให เกิดทุกข;

ท.!

เรื่องความดับไมเหลือของทุกข,

และเรื่องทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของทุกข

นั้นดอก แตฉันจักทําความสิ้นสุดแหงทุกขได โดยถูกตอง;" ดังนี้


อริยสัจจากพระโอษฐ ภิกษุ

ท!

และเปรียบเหมือนผูใดผูหนึ่งจะพึงกลาววา "ฉันตองทําฐานรากของเรือนตอนลางเสียกอน จึงจักทําตัวเรือนขางบนได" ดังนี้ : นี่เปนฐานะที่จักมี ได ฉันใด ; ขอนี้ก็เปนฐานะที่จักมีได ฉันนั้น คือขอที่ผูใดผูหนึ่งจะพึงกลาววา "ฉั น ครั้ น รู ค วามจริ ง อั น ประเสริ ฐ คื อ ความจริ ง เรื่ อ งทุ ก ข , เรื่ อ งเหตุ ใ ห เ กิ ด ทุ ก ข , ดับไมเหลือของทุกข, และเรื่องทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของทุกขนั้นแลว

เรื่ อ งความ จึงจักทํา

ความสิ้นสุดแหงทุกขได โดยถูกตอง;" ดังนี้.

ภิกษุ ท.! เพราะเหตุนั้น ในกรณีนี้ พวกเธอพึงทําความเพียร เพื่อใหรูตามเปนจริงวา "นี้เปนทุกข. นี้เปนเหตุใหเกิดทุกข, นี้เปนความดับ ไมเหลือของทุกข, และนี้เปนทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของทุกข;" ดังนี้เถิด. - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๖๔/๑๗๓๕-๖.

เพราะไมรูอริยสัจ จึงตองแลนไปในสังสารวัฏ

www.buddhadasa.info ภิกษุท.! เพราะไมรูถึง ไมแทงตลอดซึ่งอริยสัจสี่อยาง, เราและ พวกเธอทั้งหลาย จึงไดทองเที่ยวไปแลวในสังสารวัฏ ตลอดกาลยืดยาวนานถึง เพียงนี้. ภิกษุ ท.! อริยสัจสี่อยาง เหลาไหนเลา ? ภิกษุ ท.!เพราะไมรูถึง ไมแทงตลอดซึ่งอริยสัจคือทุกข, อริยสัจคือเหตุใหเกิดทุกข, อริยสัจคือความดับ ไมเหลือของทุกข, และอริยสัจคือทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของทุกข; เราและพวกเธอทั้งหลาย จึงไดทองเที่ยวไปแลวในสังสารวัฏ ตลอดกาลยืดยาวนาน ถึงเพียงนี้


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

ภิกษุ ท.! เมื่ออริยสัจ คือทุกข, เหตุใหเกิดทุกข. ความดับไมเหลือ ของทุกข, และทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของทุกข,.เปนความจริงที่เราและ พวกเธอทั้งหลาย รูถึง และแทงตลอดแลว; ตัณหาในภพก็ถูกถอนขึ้นขาด ตัณหาที่จะนําไปสูภพ ก็สิ้นไปหมด บัดนี้ความตองเกิดขึ้นอีก มิไดมี; ดังนี้. - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๔๑/๑๖๙๘. (สูตรอื่นไดตรัสเหตุที่ทําให

ตองทองเที่ยวไปสังสารวัฏ

เพราะไมรูอริยธรรมสี่

ดังตอไปนี้ :-)

ภิกษุ ท.! เพราะไมรูตามลําดับ เพราะไมแทงตลอด ซึ่งธรรม ๔ ประการ เราและพวกเธอทั้งหลาย จึงไดทองเที่ยวไปแลวในสังสารวัฏ ตลอด กาลยืดยาวนานถึงเพีงนี้. ธรรม ๔ ประการอยางไหนเลา ? ภิกษุ ท.! เพราะไมรูตามลําดับ เพราะไมแทงตลอด ซึ่ง อริยศีล…. ซึ่งอริยสมาธิ…. ซึ่ง อริยปญญา….ซึ่ง อริยวิมุตติ…. เราและพวกเธอทั้งหลาย จึงไดทองเที่ยว ไปแลวในสังสารวัฏ ตลอดกาลยืดยาวนานถึงเพียงนี้.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! เมื่ออริยศีล, อริยสมาธิ, อริยปญญา, และอริยวิมุตติ เปนธรรมที่เราและเธอรูแลวตามลําดับ แทงตลอดแลว ; ตัณหาในภพก็ถูกถอน ขึ้นขาดตัณหาที่จะนําไปสูภพก็สิ้นไปหมด บัดนี้ความตองเกิดขึ้นอีกมิไดมี, ดังนี้.

- จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑/๑.

สัตวเกิดกลับมาเปนมนุษยมีนอย เพราะไมรูอริยสัจ ภิกษุ ท.! เธอทั้งหลายจะสําคัญความขอนี้วาอยางไร : ฝุนนิดหนึ่ง ที่เราชอนขึ้นดวยปลายเล็บนี้ กับมหาปฐพีนั้น ขางไหนจะมากกวากัน ?


อริยสัจจากพระโอษฐ

"ขาแตพระองคผูเจริญ ! มหาปฐพีนั่นแหละเปนดินที่มากกวา. ฝุนนิดหนึ่ง เทาที่ทรงชอนขึ้นดวยปลายพระนขานี้ เปนของมีประมาณนอย. ฝุนนั้น เมื่อนําเขาไปเทียบ กับมหาปฐพี ยอมไมถึงซึ่งการคํานวณได เปรียบเทียบได ไมเขาถึงแมซึ่งกะละภาค (สวนเลี้ยว)".

ภิกษุ ท.! อุปมานี้ฉันใด อุปไมยก็ฉันนั้น : สัตวที่เกิดกลับมาสู หมูมนุษย มีนอย; สัตวที่เกิดกลับเปนอยางอื่นจากหมูมนุษย มีมากกวา โดยแท. ขอนั้นเพราะเหตุไรเลา? ภิกษุ ท.! ขอนั้น เพราะความที่สัตวเหลานั้น ไมเห็นอริยสัจทั้งสี่. อริยสัจสี่ อยางไรเลา? สี่อยางคือ อริยสัจคือทุกข อริยสัจ คือเหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข อริยสัจคือความดับไมเหลือแหงทุกข อริยสัจคือทาง ดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข. ภิกษุ ท.! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ เธอพึงประกอบโยคกรรม๑ อันเปนเครื่องกระทําใหรูวา " ทุกข เปนอยางนี้, เหตุเกิดขึ้นแหงทุกข เปนอยางนี้, ความดับไมเหลือแหงทุกข เปนอยางนี้, ทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข เปนอยางนี้",. ดังนี้.

www.buddhadasa.info - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๗๘/๑๗๕๗.

โยคกรรม คือ การกระทํ า ความเพีย รอยา งมีร ะบบ อยา งแข็ง ขัน เต็ม ที ่ ในรูป แบบหนึ ่ง ๆ เพื่ อ ให สํ า เร็ จ ประโยชน ต ามความมุ ง หมาย เรี ย กกั น ทั่ ว ๆ ไปว า "โยคะ",. เป น คํ า กลางใช กั น ไดระหวางศาสนาทุกศาสนา.


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

(ในกรณีที่ไมเห็นอริยสัจนั้น ยังมีผลทําให : สัตวมาเกิดในมัชฌิมชนบท มีนอย (๑๙/๕๗๘/๑๗๕๘). สัตวมีปญญาจักษุ มีนอย (๑๙/๕๗๙/๑๗๕๙). สัตวไมเสพของเมา มีนอย (๑๙/๕๗๙/๑๗๖๐). สัตวเกิดเปนสัตวบก มีนอย (สัตวน้ํามาก) (๑๙/๕๗๙/๑๗๖๑). สัตวเอื้อเฟอมารดา มีนอย (๑๙/๕๗๙/๑๗๖๑). สัตวเอื้อเฟอบิดา มีนอย (๑๙/๕๗๙/๑๗๖๒). สัตวเอื้อเฟอสมณะ มีนอย (๑๙/๕๗๙/๑๗๖๓). สัตวเอื้อเฟอพราหมณ มีนอย (๑๙/๕๘๐/๑๗๖๔). สัตวออนนอมถอมตน มีนอย (๑๙/๕๘๐/๑๗๖๕). นอกจากนี้พระองคยังไดทรงแสดงภาวะแหงสัตวที่ไมพึงปรารถนา อีกมากอยางตาม ที่เรารูจักกันอยู เชน สัตวที่ไมตั้งอยูในกุศลกรรมบถ เปนตน, ผูรวบรวมเห็นวามากเกินความ จําเปน จึงไมนํามาใสไวในที่นี้.)

ความมืดบอดของโลก มีตลอดเวลาที่พระตถาคตไมเกิดขึ้น

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! ตลอดกาลเพียงใด ที่ดวงจันทรและดวงอาทิตยยังไม บังเกิดขึ้นในโลก; ความปรากฏแหงแสงสวางอันใหญหลวง ความสองสวาง อันใหญหลวง ก็ยังไมมี ตลอดกาลเพียงนั้น. ในกาลนั้น มีอยูแตความมืด เปนความมืดซึ่งกระทําความบอด. กลางคืนกลางวัน ก็ยังไมปรากฏ, เดือนหรือ กึ่งเดือน ก็ไมปรากฏ, ฤดูหรือ ป ก็ไมปรากฏ, กอ น. ภิกษุ ท.! แตวา ในกาลใด ดวงจันทรและดวงอาทิตยบังเกิดขึ้นในโลก; ในกาลนั้น ความปรากฏ แหงแสงสวางอันใหญหลวง ความสองสวางอันใหญหลวง ยอมมี. ในกาลนั้น ยอมไมมีความมืด อันเปนความมืดซึ่งกระทําความบอด.ลําดับนั้น กลางคืน


๑๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

กลางวัน ยอมปรากฏ. เดือนหรือกึ่งเดือน ยอมปรากฏ., ฤดูหรือป ยอมปรากฏ, นี้ฉันใด; ภิกษุ ท.! ขอนี้ ก็ฉันนั้น : ตลอดกาลเพียงใด ที่ตถาคตผูอรหันตสัมมาสัมพุทธะยังไมบังเกิดขึ้นในโลก; ความปรากฏแหงแสงสวางอันใหญหลวง ความสองสวางอันใหญหลวง ก็ยังไมมี ตลอดกาลเพียงนั้น. ในกาลนั้น มีอยู แตความมืด เปนความมืดซึ่งกระทําความบอด. การบอก การแสดง การบัญญัติ การแตงตั้ง การเปดเผย การจําแนกแจกแจง การกระทําใหเขาใจไดงาย ซึ่ง อริยสัจทั้งสี่ ก็ยังไมมีกอน. ภิกษุ ท.! แตวา ในกาลใดแล ตถาคตผูอรหันตสัมมาสัมพุทธะ บังเกิดขึ้นโลก; ในกาลนั้น ความปรากฏแหงแสงสวาง อันใหญหลวง ยอมมี. ในกาลนั้น ยอมไมมีความมืด อันเปนความมืดซึ่ง กระทําความบอด. ลําดับนั้น ยอมมีการบอก การแสดง การบัญญัติ การ แตงตั้ง การเปดเผย การจําแนกแจกแจง การกระทําใหเขาใจไดงาย ซึ่งอริยสัจ ทั้งสี่. ซึ่งอริยสัจทั้งสี่อยางไรเลา ? คือซึ่งทุกขอริยสัจ ทุกขสมุทยอริยสัจ ทุกขนิโรธอริยสัจ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! เพราะเหตุนั้น ในกรณีนี้ พวกเธอพึง กระทําโยคกรรม เพื่อใหรูวา "นี้ ทุกข, นี้ ทุกขสมุทัย, นี้ ทุกขนิโรธ, นี้ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา" ดังนี้เถิด.

- มหาวาร. ส. ๑๙/๕๕๓/๑๗๒๑.


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๑๑

อริยสัจสี่ เปนสิ่งที่คงที่ไมรูจักเปลี่ยนตัว ภิกษุ ท.! มีของสี่อยางซึ่งคงที่ ไมเปลี่ยนจากความคงที่ ไมไปสู ความมีความเปนโดยประการอื่น. ของสี่อยางนั้นเหลาไหนเลา ? ของสี่อยางนั้น คือ ความรูตามเปนจริงวา "นี้เปนทุกข, นี้เปนเหตุใหเกิดทุกข, นี้เปนความดับไม เหลือของทุกข, และนี้เปนทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของทุกข, (ทั้งสี่อยางนั้น) เปนของคงที่ ไมเปลี่ยนจากความคงที่ ไมไปสูความมีความเปนโดยประการอื่น;" ดังนี้. ภิกษุ ท.! นี่แล เปนของสี่อยาง ซึ่งคงที่ ไมเปลี่ยนจากความคงที่ ไมไปสูความมีความเปนโดยประการอื่น. ภิกษุ ท.! เพราะเหตุนั้น ในกรณีนี้ พวกเธอพึง ทําความเพียร เพื่อใหรูตามเปนจริงวา "นี้เปนทุกข, นี้เปนเหตุใหเกิดทุกข, นี้เปนความดับไม เหลือของทุกข, และนี้เปนทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของุทกข;" ดังนี้ เถิด.

www.buddhadasa.info สุขที่สัตวโลกควรกลัว และไมควรกลัว - มหาวาร.สํ. ๑๙/๕๓๙/๑๖๙๗.

…ก็ขอนั้น อันเรากลาวแลววา บุคคลควรรูจักการวินิจฉัย (ตัดสินใจ) ในความสุข เมื่อรูจักการวินิจฉัยความสุขแลว ควรประกอบความสุขชนิดที่เปน ภายใน, ขอนั้นเรากลาวเพราะอาศัยเหตุผลอะไรเลา ? ภิกษุ ท.! กามคุณมีหา อยางเหลานี้.หาอยางนั้นอะไรเลา ? หาอยางคือ รูปที่เห็นดวยตา, เสียง ที่ฟง ดวยหู, กลิ่นที่ดมดวยจมูก, รส ที่ลิ้มดวยลิ้น, และโผฏฐัพพะที่สัมผัสดวยกาย, (แตละอยางลวน) เปนสิ่งที่นาปรารถนา นารักใคร นาพอใจ เปนสิ่งที่ยวนตายวน


๑๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

ใจใหรัก เปนที่เขาไปตั้งอาศัยซึ่งความใคร เปนที่ตั้งแหงความกําหนัดยอมใจ ; ภิกษุ ท.! สุข โสมนัสอันใดเกิดขึ้น เพราะอาศัยกามคุณหาเหลานี้, สุข โสมนัส นั้น เราเรียกวา กามสุข อันเปนสุขบุถุชน เปนสุขทางเมถุน (มิฬหสุข) ไมใชสุขอันประเสริฐ. เรากลาววา สุขนั้น บุคคลไมควรเสพ ไมควรเจริญ ไมควรทําใหมาก, ควรกลัว. ภิกษุ ท.! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เขาถึงซึ่ง ปฐมฌาน…ทุติยฌาน ตติยฌาน…จตุตถฌาน…๑ แลวแลอยู. นี้ เราเรียกวา สุขอาศัยเนกขัมมะ เปนสุขเกิดแตความสงัดเงียบ สุขเกิดแตความเขาไปสงบรํางับ สุขเกิดแตความรู พรอม. เรากลาววา สุขนั้น บุคคลควรเสพใหทั่วถึง ควรทําใหเจริญ ควรทํา ใหมาก, ไมควรกลัว. คําใดที่เรากลาวแลววา บุคคลควรรูจักการวินิจฉัย (ตัดสินใจ) ในความ สุข เมื่อรูจักการวินิจฉัยความสุขแลว ควรประกอบความสุขชนิดที่เปนภายใน, นั้น; คํานั้น เรากลาวแลว เพราะอาศัยเหตุผลนี้.

www.buddhadasa.info - อุปริ. ม. ๑๔/๔๒๗/๖๕๙.

ความรูสึกของบุถุชน ไขวกันอยูเสมอตอหลักแหงอริยสัจ

คหบดี! หนาตาของทานแสดงวาทานกําลังไมมีจิตไมมีใจ, หนาตาของ ทานผิดปกติไปแลว.

๑. รายละเอียดเกี่ยวกับรูปฌานทั้งสี่นี้ หาดูไดจากหลายเรื่องในภาคถัด ๆ ไป หรือดูที่ภาคผนวก แหงหนังสือนี้ โดยหัวขอวา "ประมวลพรหมจรรยตลอดสาย" ตอนกลาวถึงเรื่องรูปฌานสี่.


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๑๓

"ทานผูเจริญ ! หนาตาของขาพเจาจะไมผิดปกติไดอยางไรเลา, เพราะวา บุตร นอยเปนที่รักที่พอใจคนเดียว ของขาพเจา ตายเสียแลว. เพราะการตายของบุตรนอยนั้น การงานก็มืดมน ขาวปลาอาหารก็มืดมน. ขาพเจาเอาแตไปสูที่เผาลูก แลวคร่ําครวญอยูวา ลูกนอยคนเดียวอยูไหน ๆ".

มันเปนอยางนั้นแหละ ๆ คหบดี! โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส และอุปายาสทั้งหลายนั้น เกิดจากของรัก มีของรักเปนแดนเกิด. "ทานผูเจริญ !

โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสและอุปายาสทั้งหลายนั้น

เกิดจากของ

เพราะวา ความเพลิดเพลินและโสมนัส ตางหากที่เกิดแตของรัก มีของรักเปนแดนเกิด."

รัก

มีของรักเปนแดนเกิด ไดอยางไรกัน ;

คหบดีนั้น ไมยอมรับไมคัดคานคําของพระผูมีพระภาคเจา ลุกจากอาสนะแลวหลีกไปเสีย.. เขาไดเขาไปหากลุมนักเลงสะกาที่เลนสะกากันอยู ในที่ใกล ๆ กันนั้น; เลาเรื่องใหฟงแลวก็ไดรับคํารับ สมอางจากพวกนักเลงสะกาเหลานั้นวา "ถูกแลว ๆ ทานคหบดี! ความเพลิดเพลินและโสมนัสเกิดแต

ของรัก มีของรักเปนแดนเกิดอยางแนนอน" ดังนี้; เขาก็พอใจวาความคิดของเขาตรงกันกับความคิด ของนักเลงสะกาทั้งหลาย ดังนี้แลวก็หลีกไป.

www.buddhadasa.info - ม.ม. ๑๓/๔๘๙/๕๓๖.

(ขอนี้แสดงวา กับความจริงที่เปนอริยสัจ).

ความคิดของพวกบุถุชนยอมตรงกันเสมอ

แตไมอาจจะลงรอยกันได

ผูติดเหยื่อโลก ชอบฟงเรื่องกาม ไมฟงเรื่องสงบ สุนักขัตตะ! กามคุณมีหาอยางเหลานี้. หาอยางนั้นอะไรเลา ? หาอยาง คือ รูปที่เห็นดวยตา, เสียงที่ฟงดวยหู, กลิ่นที่ดมดวยจมูก, รสที่ลิ้ม


๑๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

ดวยลิ้น, และโผฏฐัพพะที่สัมผัสดวยกาย ; (แตละอยางลวน) เปนสิ่งที่นา ปรารถนา, นารักใคร, นาพอใจ, เปนสิ่งที่ยวนตายวนใจใหรัก, เปนที่เขาไปตั้ง อาศัยซึ่งความใคร, เปนที่ตั้งแหงความกําหนัดยอมใจ. สุนักขัตตะ ! เหลานี้แล คือ กามคุณหาอยาง สุนักขัตตะ ! นี้เปนสิ่งที่มีไดเปนได คือขอที่บุรุษบุคคลางคนในโลกนี้ มีอัชฌาสัยนอมไปในเหยื่อของโลก (คือกามคุณหาอยาง), ถอยคําสําหรับสนทนา อัน พร่ําบนถึงเฉพาะตอกามคุณนั้น ๆ ยอมตั้งอยูไดสําหรับบุรุษบุคคลผูมีอัชฌาสัยนอมไปใน เหยื่อของโลก, เขายอมตรึกตามตรองตาม ถึงสิ่งอันอนุโลมตอกามคุณนั้น ๆ, สิ่ง นั้นยอมคบกับบุรุษนั้นดวย บุรุษนั้นยอมเอาใจใสตอสิ่งนั้นดวย. สวน เมื่อ ถอยคําที่ประกอบดวยสมาบัติเรื่องไมหวั่นไหว (ดวยกามคุณ) ที่ผานไปมาอยู เขายอม ไมฟง ไมเงี่ยหูฟง ไมกําหนดจิตเพื่อจะรู, ถอยคําชนิดนั้น ก็ไมคุนเคยกับบุรุษนั้น บุรุษนั้น ก็ไมสนใจดวยคําชนิดนั้น. สุนักขัตตะ! เปรียบเหมือนบุรุษผูจาก บานหรือนิคมของตนไปนมนาม ครั้นเห็นบุรุษผูหนึ่ง เพิ่งไปจากบานหรือนิคม ของตน เขายอมถามบุรุษนั้น ถึงความเกษม ความมีอาหารงาย ความปราศจาก โรค ของบานนั้น นิคมนั้น.บุรุษนั้นก็บอกให. สุนักขัตตะ ! เธอจะเขาใจวา อยางไร : เขายอมฟงดวยดี ยอมเงี่ยหูฟง ตอบุรุษนั้น ยอมกําหนดจิตเพื่อจะรู ยอมคบบุรุษนั้น ยอมสนใจดวยบุรุษนั้น มิใชหรือ ?

www.buddhadasa.info - อุปริ. ม. ๑๔/๖๒/๗๐ - ๗๑.

การฟงอริยสัจ เหมาะสําหรับจิตที่ฟอกแลวเทานั้น ภิกษุ ท.! ครั้งนั้นแล มหาชนชาวพันธุมดีราชธานี จํานวนแปด หมื่นสี่พันคน ออกจากเมือง เขาไปเฝาพระผูมีพระภาควิปสสีถึงที่ประทับ


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๑๕

ณ เขมมิคทายวัน ถวายอภิวาทแลวนั่งอยู ณ ที่ขางหนึ่ง. พระผูมีพระภาควิปสสี ไดตรัส อนุปุพพิกถา แกชนทั้งหลายเหลานั้น กลาวคือ ทานกถา สีลกถา สัคคกถา ทรงประกาศ โทษอันเศราหมองต่ําทรามของกามทั้งหลาย และ อานิสงสในการออก จากกาม. ครั้นทรงทราบวาชนเหลานั้นมีจิตเหมาะสม ออนโยน ปราศจาก นิวรณ ราเริง แจมใส แลว, ก็ไดตรัส ธรรมเทศนาซึ่งพระพุทธเจาทั้งหลายทรง ยกขึ้นแสดงเอง กลาวคือ เรื่องทุกข เรื่องสมุทัย เรื่องนิโรธ และ เรื่องมรรค. เปรียบเสมือนผาอันสะอาด ปราศจากสิ่งแปดเปอน ยอมรับเอาซึ่งน้ํายอมไดอยาง ดี ฉันใด; ธรรมจักษุ ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ไดเกิดขึ้นแกมหาชน แปดหมื่นสี่พันเหลานั้น ณ ที่นั่งนั้นเองวา "สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเปนธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเปนธรรมดา" ดังนี้, ฉันนั้นเหมือนกัน. ชนเหลานั้นมีธรรมอันเห็นแลว บรรลุแลว รูแจงแลว หยั่งเอาได ครบถวนแลว หมดความสงสัย ปราศจากความเคลือบแคลง ถึงความกลาหาญ ไมตองเชื่อตามบุคคลอื่นในคําสอนแหงศาสดาตน ไดกราบทูลกะพระผูมีพระภาค วิปสสีวา "ไพเราะนัก พระเจาขา ! ไพเราะนัก พระเจาขา ! เปรียบเหมือนการหงาย ของที่คว่ําอยู เปดของที่ปดอยู บอกทางใหแกคนหลงทาง หรือวาจุดประทีปไวในที่มืด เพื่อวาคนมีตาจักไดเห็นรูป, ฉันใดก็ฉันนั้น" ดังนี้.

www.buddhadasa.info - มหา. ที. ๑๐/๔๙/๔๙.


๑๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

จิตที่ยังไมไดฟอก ยากนักที่จะเห็นนิโรธสัจ ราชกุมาร ! …ก็สัตวเหลานี้ มีอาลัยเปนที่มายินดี ยินดีแลวใน อาลัย เพลิดเพลินแลวในอาลัย. สําหรับสัตวผูมีทีอาลัยเปนที่มายินดี ยินดีเพลิด เพลินในอาลัยนั้น ยากนักที่จะเห็นสิ่งนี้ คือ ปฏิจจสมุปบาท กลาวคือความที่สิ่งนี้ ๆ เปนปจจัยแกสิ่งนี้ ๆ (อิทปฺปจฺจยตาปฏิจฺจสมุปฺปาโท); และยากนักที่จะเห็นแมสิ่งนี้ คือ นิพพาน อันเปนธรรมเปนที่สงบระงับแหงสังขารทั้งปวง เปนธรรมอันสลัด คืนซึ่งอุปธิทั้งปวง เปนที่สิ้นไปแหงตัณหา เปนความจางคลาย เปนความดับ ไมเหลือแหงทุกข. หากเราพึงแสดงธรรมแลวสัตวอื่นไมพึงรูทั่วถึง ขอนั้นจัก เปนความเหนื่อยเปลาแกเรา, เปนความลําบากแกเรา. โอ,ราชกุมาร ! คาถา อันนาเศรา (อนจฺฉริยา) เหลานี้ ที่เราไมเคยฟงมาแตกอน ไดปรากฏแจมแจง แกเราวา : "กาลนี้ ไม ค วรประกาศธรรมที่ เ ราบรรลุ ไ ด แ ล ว โดยยาก. ธรรมนี้ สั ต ว ที่ ถูกราคะโทสะปดกั้นแลว ไมรูไดโดยงายเลย. สัตวผูกําหนัดแลวดวย ราคะอันความมืดหุมหอแลว จักไมเห็นธรรมอันไปทวนกระแส อันเปนธรรม ละเอียด ลึกซึ้ง เห็นไดยาก เปนอณู" ดังนี้.

www.buddhadasa.info - ม. ม. ๑๓/๔๖๑/๕๐๙.

สัตวผูไมเปนไทตอความกําหนัด ยอมหลงกาม มาคัณฑิยะ ! แมในกาลอันยืดยาวนานฝายอดีต กามทั้งหลาย ก็มี สัมผัสเปนทุกข มีความแผดเผาอันยิ่งใหญ มีความเรารอนอันยิ่งใหญ. แมใน กาลอันยืดยาวนานฝายอนาคต กามทั้งหลาย ก็มีสัมผัสเปนทุกข มีความแผดเผา


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๑๗

อันยิ่งใหญ มีความเรารอนอันยิ่งใหญ. แมในกาลเปนปจจุบันในบัดนี้ กาม ทั้งหลาย ก็มีสัมผัสเปนทุกข มีความแผดเผาอันยิ่งใหญ มีความเรารอนอันยิ่งใหญ. มาคัณฑิยะ ! แตวา สัตวทั้งหลายเหลานี้ ยังไมปราศจากความกําหนัดในกาม ทั้งหลาย ถูกกามตัณหาเคี้ยวกินอยู ถูกความเรารอนในกามแผดเผาอยู มีอินทรีย (คือความเปนใหญแกตน) อันกามกําจัดเสียหมดแลว จึงไดมีความสําคัญอันวิปริต วา "สุข" ในกามทั้งหลาย อันมีสัมผัสเปนทุกข นั่นเอง, ดังนี้. - ม. ม. ๑๓/๒๗๙/๒๘๔.

สัตวโลก รูจักสุขอันแทจริง ตอเมื่อปญญาเกิด มาคัณฑิยะ ! เปรียบเหมือนบุรุษตามืดมาแตกําเนิด เขาจะมองเห็น รูปทั้งหลาย ที่มีสีดําหรือขาว เขียวหรือเหลือง แดงหรือขาบ ก็หาไม, จะไดเห็น ที่อันเสมอหรือไมเสมอ ก็หาไม, จะไดเห็นดวงดาว หรือดวงจันทรและดวงอาทิตย ก็หาไม. เขาไดฟงคําบอกเลาจากบุรุษผูที่ตาดี วา "ทานผูเจริญ ! ผาขาวเนื้อดี นั้น เปนของงดงาม ปราศจากมลทิน เปนผาสะอาด", ดังนี้. เขาเที่ยวแสวงหา ผาขาวนั้น. บุรุษผูหนึ่งลวงเขาดวยผาเนื้อเลวเปอนเขมาวา "นี่แล เปนผาขาว เนื้อดี เปนของงดงาม ปราศจากมลทิน เปนผาสะอาด." ดังนี้ เขารับผานั้น แลวและหมผานั้น. ตอมา มิตรอมาตย ญาติสาโลหิตของเขา เชิญแพทยผาตัด ผูชํานาญมารักษา. แพทยพึงประกอบยาถายโทษในเบื้องบน ถายโทษในเบื้อง ต่ํา ยาหยอด ยาหยอดใหกัด และยานัตถุ. เพราะอาศัยยานั้นเอง เขากลับมี จักษุดี ละความรักใครพอใจในผาเนื้อเลวเปอนเขมาเสียได พรอมกับการเกิด ขึ้นแหงจักษุที่ดี เขาจะพึงเปนอมิตร เปนขาศึกหมายมั่น ตอบุรุษผูลวงเขานั้น หรือถึงกับเขาใจเลยไปวา ควรจะปลงชีวิตเสียดวยความแคน วา "ทานผูเจริญ เอย ! เราถูกบุรุษผูนี้ คดโกง ลอลวง ปลอมเทียมเอาดวยผาเนื้อเลวเปอนเขมา

www.buddhadasa.info


๑๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

วา "นี่ทานผูเจริญ !. นี้เปนผาขาวเนื้อดี เปนของงดงามปราศจากมลทิน เปนผา สะอาด, มานานนักแลว”, อุปมานี้ฉันใด; มาคัณฑิยะ! อุปไมยก็ฉันนั้น เหมือนกัน, คือเราแสดงธรรมแกทานวา "เชนนี้เปนความไมมีโรค, เชนนี้เปน นิพพาน" ดังนี้; ทานจะพึงรูจักความไมมีโรค จะพึงเห็นนิพพานได ก็ตอเมื่อทาน ละความเพลิดเพลินและความกําหนัด ในอุปาทานนักขันธทั้งหาเสียได พรอมกับการเกิด ขึ้นแหงธรรมจักษุของทาน; และความรูสึกจะพึงเกิดขึ้นแกทาน วา "ทานผูเจริญ เอย ! นานจริงหนอ, ที่เราถูกจิตนี้ คดโกง ลอลวง ปลิ้นปลอก จึงเราเมื่อจะ ยึดถือ ก็ยึดถือเอาแลวซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร และซึ่งวิญญาณ นั่นเอง. เพราะความยึดถือเปนตนเหตุ ภพจึงมีแกเรา, เพราะภพเปนตนเหตุ ชาติจึงมีแกเรา, เพราะชาติเปนตนเหตุ ชรา มรณะ โศก ปริเทวะ ทุกข โทมนัส และอุปายาส จึงเกิดขึ้นพรอมหนา. ความเกิดขึ้นแหงกองทุกขทั้งมวล นั้น ยอมมีไดดวยอาการอยางนี้." ดังนี้แล. - ม.ม. ๑๓/๒๘๔/๒๙๐.

www.buddhadasa.info


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๑๙

- ๒ -

ชีวิตมนุษย กับ จตุราริยสัจ มนุษยเปนอันมาก ไดยึดถือเอาที่พึ่งผิด ๆ มนุษยทั้งหลายเปนอันมาก ถูกความกลัวคุกคามเอาแลว ยอม ยึดถือเอาภูเขาบาง ปาไมที่ศักดิ์สิทธิ์บาง สวนศักดิ์สิทธิ์บาง รุกขเจดียบาง วา เปน ที่พึ่ง ของตน ๆ : นั่น ไมใชที่พึ่ง อัน ทํา ความเกษมใหไ ด เลย, นั่น ไม ใชที่พึ่งอันสูงสุด; ผูใดถือเอาสิ่งนั้น ๆ เปนที่พึ่งแลว ยอมไมหลุดพนไป จากทุกขทั้งปวง ได. สวนผูใด ที่ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ เปนที่พึ่งแลว เห็นอริยสัจทั้งสี่ ดวยปญญาอันถูกตอง คือ เห็นทุกข, เห็นเหตุเปนเครื่อง ใหเกิดขึ้นของทุกข. เห็นความกาวลวงเสียไดซึ่งทุกข, และเห็นมรรค ประกอบดวยองคแปด อันประเสริฐ ซึ่งเปนเครื่องใหถึงความเขาไปสงบ รํา งั บ แห ง ทุ ก ข : นั่ น แหละคื อ ที่ พึ่ ง อั น เกษม. นั่ น คื อ ที่ พึ่ ง อั น สู ง สุ ด ; ผูใดถือเอาที่พึ่งนั้นแลว ยอมหลุดพนไปจาทุกขทั้งปวง ไดแท.

www.buddhadasa.info ผูไมรูอริยสัจ - ธ. ขุ ๒๕/๔๐/๒๔.

ยอมหลงสรางเหวแหงควาทุกขเพื่อตัวเอง อยูร่ําไป

ภิกษุ ท.! บุคคลเหลาใด จะเปนมณะหรือพรามหมณ ก็ตาม ไมรู อยูตามเปนจริง วา "นี้เปนทุกข, นี้เปนเหตุใหเกิดทุกข นี้เปนความดับ


๒๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

ไมเหลือของทุกข, และนี้เปนทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของทุกข:" ดังนี้ แลว; เขาเหลานั้น ยอม ยินดีอยางยิ่ง ในเหตุปจจัยเครื่องปรุงแตงชนิดที่เปนไป พรอมเพื่อความเกิด ความแก ความตาย ความโศก ความร่ําไรรําพัน ความ ทุกขกาย ความทุกขใจ และความคับใจ. เขาผูยินดีในเหตุปจจัยเครื่องปรุงแตง ชนิดนั้น ๆ แลว ยอมกอสรางอยู ซึ่งเหตุปจจัยเครื่องปรุงแตงชนิดที่เปนไปพรอม เพื่อความเกิด เปนตน นั้น ๆ. ครั้นเขากอสรางเหตุปจจัยนั้น ๆ แลวเขาก็ตกลง ในเหวแหงความเกิด ความแก ความตาย ความโศก ความร่ําไรรําพัน ความ ทุกขกาย ความทุกขใจ และความคับใจ นั่นเอง. เรายอมกลาวบุคคลเหลานั้น วา "เขา ไมพนไปจากทุกข ทั้งหลาย คือความเกิด ความแก ความตาย ความโศก ความร่ําไรรําพัน ความทุกขกาย ความทุกขใจ และความคับใจ ไปได." ดังนี้. - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๖๐/๑๗๒๙.

ผูรูอริยสัจ หาหลงสรางทุกขขึ้นเพื่อตัวเองไม

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! สวนบุคคลเหลาใดแล จะเปนสมณะหรือพราหมรณ ก็ตาม รูอยูตามเปนจริง วา "นี้เปนทุกข, นี้เปนเหตุใหเกิดทุกข, นี้เปนความดับไมเหลือ ของทุกข, และนี้เปนทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของทุกข:" ดังนี้แลว; เขาเหลานั้น ยอม ไมยินดี ในเหตุปจจัยเครื่องปรุงแตงชนิดที่เปนไปพรอมเพื่อความ เกิด ความแก ความตาย ความโศก ความร่ําไรรําพัน ความทุกขกาย ความ ทุกขใจ และความคับใจเลย. เขาผูไมยินดีแลว ในเหตุปจจัยเครื่องปรุงแตง ชนิดนั้น ๆ ก็ ไมกอสรางขึ้น ซึ่งเหตุปจจัยเครื่องปรุงแตงชนิดที่เปนไปพรอมเพื่อ ความเกิด เปนตน นั้น ๆ. ครั้นเขาไมกอสรางเหตุปจจัยเครื่องปรุงแตงชนิดนั้น แลว ก็ ไมตกจมลงในเหว แหงความเกิด ความแก ความตาย ความโศก ความ


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๒๑

ร่ําไรรําพัน ความทุกขกาย ความทุกขใจ และความคับใจไดเลย. เรายอมกลาว บุคคลเหลานั้น วา "เขา พนไปจากทุกข ทั้งหลาย มีความเกิด ความแก เปนตน ไปได" ดังนี้. ภิกษุ ท.! เพราะเหตุนั้น ในกรณีนี้ พวกเธอพึง ทําความเพียร เพื่อใหรูตามเปนจริง วา "นี้เปนทุกข, นี้เปนเหตุใหเกิดทุกข. นี้เปนความดับ ไมเหลือของทุกข, และนี้เปนทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของทุกข:" ดังนี้. - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๖๑/๑๗๓๐.

ทุกขประเภทใหญ ๆ ก็มีพอแลวสําหรับสัตวจะสํานึกตัวมารู อริยสัจ (ไมจําเปนจะตองผานทุกขทุกชนิดทุกขนาด) ภิกษุ ท.! เปรียบเหมือนบุรุษ ตัดหญา ไม กิ่งไม และใบไม ใน ชมพูทวีปนี้ นํามารวมไวในที่เดียวกัน; ครั้นนํามารวมไวในที่เดียวกันแลว กระทําใหเปนเครื่องเสียบรอย; ครั้นกระทําใหเปนเครื่องเสียบรอยแลว ก็เสียบ สัตวใหญ ๆ ในมหาสมุทร ที่เครื่องเสียบขนาดใหญ, เสียบสัตวขนาดกลาง ๆ ใน มหาสมุทรที่เครื่องเสียบขนาดกลาง, เสียบสัตวขนาดเล็ก ๆ ในมหาสมุทร ที่เครื่อง เสียบขนาดเล็ก. ภิกษุ ท.! สัตวใหญ ๆ ในมหาสมุทรยังไมทันจะหมด แตหญา ไม กิ่งไม และใบไม ในชมพูทวีปนี้ก็หมดเสียแลว. ภิกษุ ท.! สัตวตัวเล็ก ในมหาสมุทรขนาดที่เสียบดวยเครื่องเสียบไดโดยยากนั้น มีมากกวานั้นมากนัก. ขอนี้เพราะเหตุไรเลา ? ภิกษุ ท.! เพราะมันมาก โดยตัวมันเล็ก, ขอนี้ฉันใด; ภิกษุ ท.! อบายก็กวางใหญอยางนั้นเหมือนกัน. จากอบายที่กวางใหญอยางนั้น

www.buddhadasa.info


๒๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

www.buddhadasa.info


๒๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

ก็มี ทิฏฐิสัมปนนบุคคล หลุดพนออกมาได เขารูตามเปนจริงวา "นี้ ควาทุกข, นี้เหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข, นี้ ความดับไมเหลือแหงทุกข, นี้ ทางดําเนินให ถึงความดับไมเหลือแหงทุกข" ดังนี้. ภิกษุ ท.! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ เธอพึงประกอบโยคกรรมอัน เปนเครื่องกระทําใหรูวา "ทุกข เปนอยางนี้, เหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข เปน อยางนี้, ความดับไมเหลือแหงทุกข เปนอยางนี้, ทางดําเนินใหถึงความดับไม เหลือแหงทุกข เปนอยางนี้" ดังนี้. .- มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๕๑/๑๗๑๙.

พอรูอริยสัจ ทุกขเหลือนอยขนาดฝุนติดปลายเล็บเทียบกับปฐพี ภิกษุ ท.! เธอทั้งหลายจะสําคัญความขอนี้วาอยางไร : ฝุนนิดหนึ่ง ที่เราชอนขึ้นดวยปลายเล็บนี้ กับมหาปฐพีนี้ ขางไหนจะมากกวากัน ?

www.buddhadasa.info " ขาแตพระองคผูเจริญ ! มหาปฐพีนั่นแหละ เปนดินที่มากกวา. ฝุนนิดหนึ่ง เทาที่ทรงชอนขึ้นดวยปลาพระนขานี้ เปนของมีประมาณนอย. ฝุนนั้น เมื่อนําไปเทียบกับ มหาปฐพี ยอมไมถึงซึ่งการคํานวณได เปรียบเทียบได ไมเขาถึงแมซึ่งกะละภาค"

ภิกษุ ท.! อุปมานี้ฉันใด อุปไมยก็ฉันนั้น : สําหรับอริยสาวกผูถึง พรอมดวย (สัมมา) ทิฏฐิ รูพรอมเฉพาะแลว, ความทุกขของทานสวนที่สิ้นไป แลว หมดไปแลว ยอมมากมากวา; ความทุกขที่ยังเหลืออยู มีประมาณนอย :


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๒๓

เมื่อนําเขาไปเทียบกับกองทุกขที่สิ้นไปแลว หมดไปแลว ในกาลกอน ยอมไมถึง ซึ่งการคํานวณไดเปรียบเทียบได ไมเขาถึงแมซึ่งกะละภาพ นั่นคือความทุกขของ โสดาบันผูสัตตักขัตตุปรมะ๑ ผูเห็นชัดตามเปนจริงวา "ทุกข เปนอยางนี้. เหตุ ใหเกิดทุกข เปนอยางนี้, ความดับไมเหลือแหงทุกข เปนอยางนี้. ทางดําเนินให ถึงความดับไมเหลือแหงทุกข เปนอยางนี้" ดังนี้. ภิกษุ ท.! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ เธอพึงประกอบโยคกรรมอัน เปนเครื่องกระทําใหรูวา "ทุกข เปนอยางนี้, เหตุเกิดขึ้นแหงทุกข เปนอยางนี้, คามดับไมเหลือแหงทุกข เปนอยางนี้, ทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข เปนอยางนี้". ดังนี้ - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๗๒/๑๗๔๗. (สูตรอื่นอุปมาเปรียบดวย เม็ดกรวดเทาเม็ดถั่วเขียว ๗ เม็ด กับขุนเขาหิมาลัย (๑๙/๕๖๙/๑๗๔๕-๖). อีกสูตรหนึ่งเปรียบ น้ําติดปลายใบหญาคา กับน้ําในสระกวาง ๕๐ โยชน (๑๙/๕๗๒/๑๗๔๘). อีกสูตรหนึ่งเปรียบ น้ํา ๒-๓ หยดกับน้ําในแมน้ํา ๕ สายรวมกัน (๑๙/๕๗๓/๑๗๔๙-๑๗๕๐). อีกสูตรหนึ่งเปรียบ เม็ดกระเบา ๗ เม็ด กับมหาปฐพี (๑๙/๕๗๔/๑๗๕๑-๒). อีกสูตรหนึ่งเปรียบ น้ํา ๒ - ๓ หยด กับน้ําทั้งมหาสมุทร (๑๙/๕๗๕/๑๗๕๓-๔). อีกสูตรหนึ่งเปรียบ เม็ดผักกาด ๒ - ๓ เม็ด กับขุนเขาหิมาลัย (๑๙/๕๗๖/๑๗๕๕-๖).]

www.buddhadasa.info ผูไมรูอริยสัจ ชื่อวาตกอยูในที่มืด ภิกษุ ท.! บุคคลเหลาใด จะเปนสมณะหรือพราหมณ ก็ตาม ไมรู อยูตามเปนจริง วา "นี้เปนทุกข, นี้เปนเหตุใหเกิดทุกข, นี้เปนความดับไมเหลือ

๑. คือพระโสดาบัน ที่ตองมีกําเนิดอีก ๗ ชาติ อันเปนพระอริยบุคคลชั้นตนนี่สุดของจําพวก โสดาบัน. แมกระนั้น ก็ตรัสวา ทุกขหมดไปมากกวาที่ยังเหลือ.


๒๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

ของทุกข, และนี้เปนทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของทุกข;" ดังนี้, เขา เหลานั้น ยอมยินดี ตอสิ่งอันเปนปจจัยปรุงแตงที่เปนไปพรอมเพื่อความเกิด เปนตน, เขายินดีแลว ก็ สรางปจจัยนั้น ๆ, ครั้นกอสรางแลว ก็ ตกจมลงสู หวงแหงความมืดอันกระทําใหเปนเหมือนตาบอด ไดแกความมืด คือความเกิด ความแก ความตาย ความโศก ความร่ําไรรําพัน ความทุกขกาย ความทุกขใจ และความคับใจ. ภิกษุ ท.! บุคคลเหลานั้น เรากลาวา เขาไมพนไปจาก ทุกข คือความเกิดเปนตน ไปไดเลย. ภิกษุ ท.! สวนบุคคลเหลาใด จะเปนสมณะหรือพรามหมณ ก็ตาม เมื่อรูชัดตามเปนจริงวา "นี้เปนทุกข, นี้เปนเหตุใหเกิดทุกข. นี้เปนความดับไม เหลือแหงทุกข, และนี้เปนทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข", ดังนี้; บุคคลเหลานั้น ยอมไมยินดี ตอสิ่งอันเปนปจจัยปรุงแตง ที่เปนไปพรอมเพื่อ ความเกิดเปนตน, เขาผูไมยินดีแลว ยอมกอสรางปจจัยนั้น ๆ ขึ้น (เพื่อตัวเอง), ครั้นไมกอสรางแลว ก็ไมตกจมลงสูหวงแหงความมืด อันกระทําใหเปนเหมือน ตาบอด ไดแกความมืดคือความเกิด ความแก ความตาย ความโศก ความร่ําไร รําพัน ความทุกขกาย ความทุกขใจ และความคับแคนใจ. ภิกษุ ท! เรา กลาววา เขาพนไปจากทุกข คือความเกิดเปนตนไปได ดังนี้.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ เธอพึงประกอบโยคกรรมอัน เปนเครื่องกระทําใหรูวา "ทุกข เปนอยางนี้, เหตุเกิดขึ้นแหงทุกข เปนอยางนี้, ความดับไมเหลือแหงทุกข เปนอยางนี้, ทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข เปนอยางนี้." ดังนี้.

- มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๖๗/๑๗๔๑-๑๗๔๒.


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๒๕

ผูไมรูอริยสัจ ชื่อวาตกอยูในหลุมเพลิงเปนนิจ ภิกษุ ท.! บุคคลเหลาใด จะเปนสมณะหรือพราหมณ ก็ตาม เมื่อ ไมรูอยูตามเปนจริง วา "นี้เปนทุกข, นี้เปนเหตุใหเกิดทุกข, นี้เปนความดับไมเหลือ ของทุกข, และนี้เปนทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของทุกข;" ดังนี้, เขา เหลานั้น ยอมยินดี ตอสิ่งอันเปนปจจัยปรุงแตง ที่เปนไปพรอมเพื่อความเกิด เปนตน, เขาผูยินดีแลว ยอมกอสรางปจจัยนั้น ๆ ขึ้น (เพื่อตัวเอง), ครั้นกอ สรางแลว ก็ เรารอนอยู เพราะความแผดเผา ของความเกิด ความแก ความตาย ความโศก ความร่ําไรรําพัน ความทุกขกาย ความทุกขใจ และความคับใจ. ภิกษุ ท.! บุคคลเหลานั้น เรากลาวา เขาไมพนไปจากทุกข คือความเกิด เปนตน ไปไดเลย. ภิกษุ ท.! สวนบุคคลเหลาใด จะเปนสมณะหรือพรามหมณ ก็ตาม เมื่อรูชัดตามเปนจริงวา "นี้เปนทุกข, นี้เปนเหตุใหเกิดทุกข. นี้เปนความดับ ไมเหลือแหงทุกข, และนี้เปนทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข", ดังนี้; บุคคลเหลานั้น ยอมไมยินดี ตอสิ่งอันเปนปจจัยปรุงแตง ที่เปนไปพรอมเพื่อ ความเกิดเปนตน, เขาผูไมยินดีแลว ยอมไมกอสรางปจจัยนั้น ๆ ขึ้น (เพื่อตัวเอง), ครั้นไมกอสรางแลว ก็ไมเรารอนอยู เพราะความแผดเผาของความเกิด ความ แก ความตาย ความโศก ความร่ําไรรําพัน ความทุกขกาย ความทุกขใจ และ ความคับแคนใจ. บุคคลเหลานั้น ยอมหลุดพนไปจากความเกิด ความแก ความ ตาย ความโศก ความร่ําไรรําพัน ความทุกขกาย ความทุกขใจ และความคับ แคนใจ. เรากลาววา เขาหลุดพนไปไดจากทุกข ดังนี้.

www.buddhadasa.info


๒๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิกษุ ท.! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ เธอพึงประกอบโยคกรรมอัน เปนเครื่องกระทําใหรูวา "ทุกข เปนอยางนี้, เหตุเกิดขึ้นแหงทุกข เปนอยางนี้, ความดับไมเหลือแหงทุกข เปนอยางนี้, ทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหง ทุกข เปนอยางนี้." ดังนี้. - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๖๓/๑๗๓๓-๑๗๓๔.

กวามนุษยจะหลุดจากบวง (คือรูอริยสัจ) (พระบาลีนี้ แสดงใหเห็นถึงการที่สามัญสัตวติดอยูในบวงของโลกอยางไรในขั้นตน แลวจะคอย ๆ รูสึกตัวขึ้นมาตามลําดับอบยางไร ดังตอไปนี้ :-)

๑. เมื่อจมกามตามปกติ ภิกษุ ท.! ชาวสวนผักมิไดปลูกผักดวยคิดวา "เนื้อในปาทั้งหลาย จะไดกินผักที่เราปลูกนี้แลว จะไดมีอายุยืน รูปรางสวยงาม มีชีวิตอยูไดยาวนาน" ดังนี้; แตไดคิดดังนี้วา "เนื้อในปาทั้งหลายจะเขามาสูสวนผักอันเราปลูกแลว กินอยูอยางลืมตัว ครั้นเขามากินอยูอยางลืมตัว จักถึงซึ่งความเลินเลอ ครั้นเลิน เลออยูจักถึงซึ่งความประมาท ครั้นประมาทแลวจักเปนสัตวที่เราพึงกระทําไดตาม ความพอใจในสวนผักนั้น" ดังนี้.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! บรรดาเนื้อทั้งหลาย ฝูงเนื้อพวกที่หนึ่งไดเขาไปสูสวนผัก ที่ชาวสวนผักปลูกไว กินอยูอยางลืมตัว เมื่อเขาไปกินอยูอยางลืมตัวก็ถึงซึ่งความ เลินเลอ ครั้นเลินเลอแลวก็ถึงซึ่งความประมาท ครั้นประมาทแลวก็เปนสัตวที่ เจาของสวนผักพึงกระทําไดตามความพอใจในสวนผักนั้น. ภิกษุ ท.! ดวยอาการ อยางนี้แล ฝูงเนื้อพวกที่หนึ่งเหลานั้นก็ไมพนไปจากกํามือแหงเจาของสวนผัก.


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ (พระผูมีพระภาคเจา เนื้อจําพวกที่หนึ่ง ดังตอไปนี้ : -

๒๗

ไดทรงยกเอาสมณพราหมณจําพวกที่หนึ่งมาเปรียบกันกับฝูง

ภิกษุ ท.! บรรดาสมณพราหมณทั้งหลาย สมณพราหมณพวกที่หนึ่ง ได เขาไปสูโลกามิส เหลาโนน ซึ่งเปนเหมือนกับสวนผักอันมาปลูกไว บริโภค อยูอยางลืมตัว ครั้นเขาไปบริโภคอยูอยางลืมตัวก็ถึงซึ่งความมัวเมาครั้นมัวเมาอยูก็ ถึงซึ่งความประมาท ครั้นประมาทอยูก็เปนผูที่มารพึงกระทําไดตามความพอใจ ใน โลกามิสซึ่งเปนเหมือนกับสวนผักแหงมารนั้น. ภิกษุ ท.! ดวยอาการอยางนี้แล สมณพราหมณพวกที่หนึ่งนี้ จึงไมพนไปจากอิทธานุภาพแหงมาร. ภิกษุ ท.! เรากลาวสมณพราหมณพวกที่หนึ่งนี้ วามีอุปมาเหมือนฝูงเนื้อพวกที่หนึ่งนั้น, ฉันใดก็ฉันนั้น. ภิกษุ ท. ! อุปมานี้มีเพื่อใหรูเนื้อความนั้น : คําวา "สวนผัก" นั้น เปนชื่อแหงกามคุณทั้งหา. คําวา "เจาของสวนผัก" นั้น เปนชื่อของมารผูมี บาป. คําวา "พวกพองของเจาของสวนผัก" นั้น เปนชื่อของบริษัทแหงมาร. คําวา "ฝูงเนื้อ" นั้น เปนชื่อของสมณพราหมณทั้งหลาย. (คําไขอุปมานี้ ตรัสไว

www.buddhadasa.info ตอนกลางของพระสูตรที่ตรัสเรื่องเนื้อพวกที่สี่จบลง แกการศึกษายิ่งขึ้น).

ในที่นี้ไดยกมาไวตอนตนเชนนี้

เพื่อสะดวก

๒. เมื่อจมกามครั้งที่สอง

(ตอไปนี้

ไดตรัสถึงฝูงเนื้อจําพวกที่สอง

ซึ่งเปรียบกันไดกับสมณพราหมณจําพวก

ที่สอง วา :-)

ภิกษุ ท.! เนื้อพวกที่สอง (รูความวินาศของเนื้อจําพวกที่หนึ่งโดย ประการทั้งปวงแลว) มาคิดกันวา "ถาอยางไร เราเวนการกินผักซึ่งเปนโภชนะ


๒๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

อันตรายเหลานี้โดยประการทั้งปวงเสีย เขาไปอยูในราวปากันเถิด" ดังนี้. เนื้อ เหลานั้น เวนการกินผัก ซึ่งเปนโภชนะอันตรายเหลานั้นโดยประการทั้งปวง แลว เขาไปอยูในราวปา แลว: ครั้งถึงเดือนสุดทายแหงฤดูรอนเปนเวลาที่หมดหญา และน้ํา รางกายก็ถึงซึ่งความซูบผอมอยางยิ่ง เมื่อมีรางกายซูบผอมอยางยิ่งกําลัง อันแกลวกลาก็หมดไป เมื่อกําลังอันแกลวกลาหมดไป ก็ ยอนกลับมาสูถิ่นแหง สวนผัก ที่เจาของสวนผักปลูกไวอีก. ฝูงเนื้อเหลานั้น ไดเขาไป กินผักในสวนผัก อยางลืมตัว เมื่อเขาไปกินอยูอยางลืมตัวก็ถึงซึ่งความเลินเลอ เมื่อเลินเลอก็ถึงซึ่ง ความประมาท เมื่อประมาทก็เปนสัตวที่เจาของสวนผักกระทําไดตามความพอใจใน สวนผักนั้น. ภิกษุ ท.! ดวยอาการอยางนี้แล ฝูงเนื้อพวกที่สองนั้นก็ไมพนไป จากกํามือแหงเจาของสวนผัก. (พระผูมีพระภาคเจา จําพวกที่สอง ดังนี้วา :-)

ไดทรงยกเอาสมณพราหมณจําพวกที่สองมาเปรียบกับฝูงเนื้อ

ภิกษุ ท.! บรรดาสมณพราหมณทั้งหลาย สมณพราหมณจําพวกที่ สอง (รูความวินาศของสมณพราหมณจําพวกที่หนึ่งโดยประการทั้งปวงแลว) มาคิด กันวา "ถากระไร เราเวนจากโลกามิสซึ่งเปนเสมือนการบริโภคเหยื่อโดยประการ ทั้งปวงเสีย เวนจากโภชนะอันตราย แลวเขาไปอาศัยอยูในราวปากันเถิด" ดังนี้. สมณพราหมณเหลานั้น เวนจากโลกามิส อันเปนเสมือนการบริโภคเหยื่อโดย ประการทั้งปวง เวนโภชนะอันตราย พากันเขาไปอยูในราวปา แลว. สมณพราหมณเหลานั้น เปนผูมีผักสากะเปนภักษาบาง มีผักสามากะเปนภักษาบาง มีลูกเดือยเปนภักษาบาง มีเปลือกไมเปนภักษาบาง มีสาหรายเปนภักษาบาง มีรําเปนภักษาบาง มีขาวตังเปนภักษาบาง มีเมล็ดผักกาดเปนภักษาบาง มีหญา เปนภักษาบาง มีโคมัยเปนภักษาบาง มีเงาไมและผลไมในปาเปนอาหาร ยัง

www.buddhadasa.info


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๒๙

อัตภาพใหเปนไป เปนผูบริโภคผลตามที่มีอยูโดยธรรมชาติ; ครั้นถึงเดือนสุดทาย แหงฤดูรอน เปนเวลาที่หมดผักหมดหญาหมดน้ํา รางกายก็ถึงซึ่งความซูบผอม อยางยิ่ง เมื่อมีรางกายซูบผอมอยางยิ่งกําลังเรี่ยวแรงก็หมดไป เมื่อกําลังเรี่ยวแรง หมดไปเจโตวิมุตติก็เสื่อม เมื่อเจโตวิมุตติเสื่อม ก็ ยอนกลับมาหาโลกามิส ซึ่งเปน เสมือนกับสวนผักอันมารปลูกไวเหลานั้นอีก. สมณพราหมณเหลานั้น เขาไป บริโภคอยูอยางลืมตัว ครั้นเขาไปบริโภคอยูอยางลืมตัวก็ถึงซึ่งความมัวเมา ครั้น มัวเมาอยูก็ถึงซึ่งความประมาท ครั้นประมาทแลวก็เปนผูที่มารพึงกระทําไดตาม ความพอใจ ในโลกามิสอันเปนเสมือนสวนผักของมารนั้น. ภิกษุ ท.! ดวย อาการอยางนี้แล สมณพราหมณแมพวกที่สองนี้ก็ไมพนไปจากอิทธานุภาพแหง มาร. ภิกษุ ท.! เรากลาวสมณพราหมณพวกที่สองนี้ วามีอุปมาเหมือนฝูง เนื้อพวกที่สองนั้น, ฉันใดก็ฉันนั้น. ๓. เมื่อเฉไปติดบวงทิฏฐิ (ตอไปนี้ไดตรัสถึงฝูงเนื้อพวกที่สาม

ซึ่งเปรียบกันไดกับสมณพราหมณจําพวกที่สาม

สืบไปวา :-)

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! ฝูงเนื้อพวกที่สาม (รูความวินาศของเนื้อจําพวกที่หนึ่ง และจําพวกที่สอง โดยประการทั้งปวงแลว) มาคิดกันวา "ถาอยางไร เรา อาศัย ที่ซุมซอนอยูใกล ๆ สวนผัก ของเจาของผักนั้น ครั้นอาศัยที่ซุมซอนอยูใกล ๆ สวนผักนั้นแลว ก็ ไมเขาไปกินผักนั้นอยางลืมตัว เมื่อไมเขาไปกินอยางลืมตัวอยูก็ ไมถึงซึ่งความเลินเลอ เมื่อไมเลินเลออยูก็ถึงซึ่งความไมประมาท เมื่อไมประมาท ก็ไมเปนสัตวที่ใคร ๆ จะพึงทําอะไร ๆ ไดตามความพอใจในสวนผักของเจาของผัก นั้น" ดังนี้. ฝูงเนื้อเหลานั้น (ก็ประพฤติกระทําความคิดนั้น). ภิกษุ ท.!


๓๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

ความคิดไดเกิดแกเจาของสวนผักกับบริวารเหลานั้นวา "ฝูงเนื้อพวกที่สามเหลานี้ คงจะมีเลหเหลี่ยมกลโกงเหมือนมีฤทธิ์เปนแน ฝูงเนื้อพวกที่สามนี้ คงจะเปนสัตว พิเศษชนิดอื่นเปนแน มันจึงมากินผักที่เราปลูกนี้ได. และเราก็ไมเขาใจการมา การไปของมัน. ถากระไรเราพึงลอมซึ่งที่นั้นโดยรอบ ดวยเครื่องลอมชนิด ทัณฑวาคุระใหญ ๆ ทั้งหลาย เราคงจะไดเห็นที่ซุมซอนของฝูงเนื้อพวกที่สาม อัน เปนที่ซึ่งมันแอบเขามากิน" ดังนี้ ชนเหลานั้นไดทําการลอมพื้นที่ปลูกผักนั้น โดยรอบดวยเครื่องลอมชนิดทัณฑวาคุระใหญ ๆ ทั้งหลายแลว. ภิกษุ ท.! เจา ของสวนผัก และบริวารก็หา พบที่ซุมซอนของฝูงเนื้อพวกที่สาม อันเปนที่ซึ่งมัน แอบเขามากิน. ภิกษุ ท.! ดวยอาการอยางนี้แล ฝูงเนื้อแมพวกที่สามนั้น ก็ไม พนไปจากกํามือของเจาของสวนผัก. (พระผูมีพระภาคเจาไดทรงยกเอาสมณพาหมณจําพวกที่สาม จําพวกที่สาม ดังนี้วา :-)

มาเปรียบกับฝูงเนื้อ

ภิกษุ ท.! บรรดาสมณพราหมณทั้งหลาย สมณพราหมณจําพวกที่ สาม (รูความวินาศของสมณพรามหมณจําพวกที่หนึ่งและที่สอง โดยประการ ทั้งปวงแลว) มาคิดกันวา "ถากระไร เราจะ อาศัยที่ซุมซอนอยูใกล ๆ โลกามิส ซึ่งเปรียบเสมือนสวนผักของมาร ครั้นอาศัยอยูในที่ซุมซอนนั้นแลว จัก ไมเขา ไปบริโภคโลกามิส อันเปนเสมือนสวนผักแหงมารนั้น อยางลืมตัว ครั้นไมเขาไป บริโภคอยางลืมตัวอยู ก็ไมถึงซึ่งความมัวเมา เมื่อไมมัวเมาอยูก็ไมถึงซึ่งความ ประมาท เมื่อไมประมาทอยูก็เปนผูที่มารจะพึงกระทําตามความพอใจไมได อยูใน โลกามิสอันเปนเสมือนสวนผักแหงมารนั้น" ดังนี้. สมณพราหมณเหลานั้ น (ก็ไดประพฤติกระทําตามความคิดนั้น;) ก็แตวาสมณพราหมณเหลานั้นไดเปนผู มีทิฏฐิ ขึ้นมาแลวอยางนี้วา "โลกเที่ยง" ดังนี้บาง; วา "โลกไมเที่ยง" ดังนี้บาง;

www.buddhadasa.info


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๓๑

วา "โลกมีที่สุด" ดังนี้บาง; วา "โลกไมมีที่สุด" ดังนี้บาง; วา "ชีวะก็อัน นั้น สรีระก็อันนั้น" ดังนี้บาง; วา "ชีวะก็อันอื่น สรีระก็อันอื่น" ดังนี้บาง; วา "ตถาคตภายหลังแตตายแลวยอมมีอีก" ดังนี้บาง; วา "ตถาคตภายหลังแต ตายแลว ยอมไมมีอีก" ดังนี้บาง; วา "ตถาคตภายหลังแตตายแลว ยอมมีอีก ก็มีไมมีอีกก็มี” ดังนี้บาง.; วา “ตถาคตภายหลังแตตายแลว ยอมมีอีกก็หามิได ไมมีอีกก็หามิได” ดังนี้บาง ภิกษุ ท.! ดวยอาการอยางนี้แล สมณพราหมณ แมพวกที่สามนี้ ก็ไมพนไปจากอิทธานุภาพแหงมาร. ภิกษุ ท.! เรากลาว สมณพราหมณพวกที่สามนี้วามีอุปมาเหมือนฝูงเนื้อพวกที่สามนั้น, ฉันใดก็ ฉันนั้น. ๔ เมื่อพนจากบวง (ตอไปนี้ไดตรัสถึงฝูงเนื้อพวกที่สี่

ซึ่งเปรียบกันไดกับสมณพราหมณจําพวกที่สี่

สืบ

ไปวา :-)

ภิกษุ ท.! ฝูงเนื้อพวกที่สี่ (รูความวินาศของเนื้อพวกที่หนึ่ง พวก ที่สอง และพวกที่สาม โดยประการทั้งปวงแลว) มาคิดกันวา "ถาอยางไร เรา อาศัยซุมซอนอยูในที่ซึ่งเจาของสวนผักและบริวารไปไมถึง ครั้นอาศัยที่ซุมซอน อยูในที่ซึ่งเจาของสวนผักและบริวารไปไมถึง จะ ไมลืมตัวเขาไปกินผัก ที่เจาของ สวนผักปลูก จะไมถึงซึ่งความเลินเลอ เมื่อไมเลินเลอจักไมถึงซึ่งความประมาท เมื่อไมประมาทแลวก็ไมเปนสัตวที่ใคร ๆ พึงทําอะไร ๆ ไดตามความพอใจ ในสวน ผักของเจาของผักนั้น. ฝูงเนื้อเหลานั้น (ก็ประพฤติกระทําตามความคิดนั้น). ภิกษุ ท.! ความคิดไดเกิดขึ้นแกเจาของสวนผักกับริวารเหลานั้นวา "ฝูงเนื้อ พวกที่สี่เหลานี้ คงจะมีเลหเหลี่ยมกลโกงเหมือนมีฤทธิ์เปนแน ฝูงเนื้อพวกที่สี่นี้

www.buddhadasa.info


๓๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

คงจะเปนสัตวพิเศษชนิดอื่นเปนแน มันจึงมากินผักที่เราปลูกนี้ได. และเราก็ไม เขาใจการมาการไปของมัน. ถากระไร เราพึงลอมซึ่งที่นั้นโดยรอบดวยเครื่อง ลอมชนิดทัณฑวาคุระใหญ ๆ ทั้งหลาย เราคงจะไดเห็นที่ซุมซอนของฝูงเนื้อพวก ที่สี่ อันเปนที่ซึ่งมันแอบเขามากิน" ดังนี้. ชนเหลานั้นไดทําการลอมพื้นที่ปลูก ผักนั้นโดยรอบ ดวยเครื่องลอมชนิดทัณฑวาคุระใหญ ๆ ทั้งหลายแลว.ภิกษุ ท.! เจาของสวนผักและบริวารไมไดพบที่ซุมซอนของฝูงเนื้อพวกที่สี่ อันเปนที่ซึ่งมัน แอบเขามากิน. ภิกษุ ท.! ความคิดไดเกิดขึ้นแกเจาของสวนผักและบริวารวา "ถาเราทําฝูงเนื้อพวกที่สี่ใหแตกตื่นแลว มันก็จะทําใหฝูงอื่นแตกตื่นดวย ดวยการ ทําอยางนี้ฝูงเนื้อทั้งปวงก็เริศรางไปจากผักที่เราปลูกไว ถากระไรเราพึงทําความ พยายามเจาะจง (ทําความแตกตื่น) แกเนื้อพวกที่สี่" ดังนี้ ภิกษุ ท.! เจาของ สวนผักและบริวารไดทําความพยายามาเจาะจง (ทําความแตกตื่น) แกฝูงเนื้อพวก ที่สี่แลว. ภิกษุ ท.! ดวยอาการอยางนี้แล ฝูงเนื้อพวกที่สี่นั้นก็พนไปจากกํามือ ของเจาของสวนผัก. (พระผูมีพระภาคเจาไดทรงยกเอาสมณพราหมณจําพวกที่สี่ จําพวกที่สี่ ดังนี้วา :-

มาเปรียบกับฝูงเนื้อ

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! บรรดาสมณพรหมณทั้งหลาย สมณพราหมณพวกที่สี่ (รูความวินาศของสมณพราหมณจําพวกที่หนึ่ง ที่สอง และที่สาม โดยประการ ทั้งปวงแลว) มาคิดกันวา "ถากระไร เรา อาศัยที่ซุมซอนอยูในที่ซึ่งมารและ บริวารของมารไปไมถึง ครั้นอาศัยซุมซอนอยูในที่นั้นแลว จะ ไมลืมตัวเขาไป บริโภคโลกามิส ซึ่งเปนเสมือนสวนผักที่มารปลูกไว เมื่อไมลืมตัวเขาไปกินก็ไม ถึงซึ่งความมัวเมา เมื่อไมมัวเมาก็ไมถึงซึ่งความประมาท เมื่อไมประมาทก็จักเปนผู ที่มารไมทําอะไร ๆ ไดตามความพอใจในโลกามิสซึ่งเปนเสมือนสวนผักที่มารปลูกไว"


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๓๓

ดังนี้. สมณพราหมณเหลานั้น (ก็ไดประพฤติกระทําตามความคิดนั้น). ภิกษุ ท.! ดวยอาการอยางนี้แล สมณพราหมณพวกที่สี่นี้ ก็พนไปจากอิทธานุภาพของมาร. ภิกษุ ท.! เรากลาวสมณพราหมณพวกที่สี่นี้ วามีอุปมาเหมือนฝูงเนื้อพวกที่สี่ นั้น. ฉันใดก็ฉันนั้น. ภิกษุ ท.! ที่ซึ่งมารและบริวารของมารไปไมถึงนั้น เปนอยางไร เลา ? ภิกษุ ท.! ในกรณีนี้คือ ภิกษุ เพราะสงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลาย จึงเขาถึง ปฐมฌาน อันมีวิตกวิจาร มีปติและสุขอันเกิดแตวิเวก แลวแลอยู ภิกษุ ท.! ภิกษุนี้ เรากลาววา ไดทํามารใหเปนผูตาบอดไมมีรองรอยมารกําจัดเสีย แลวซึ่งจักษุแหงมาร ไปแลวสูที่ซึ่งมารผูมีบาปมองไมเห็น. (ตอไปนี้ ไดตรัสถึงการบรรลุ ทุติยฌาน - ตติยฌาน - จตุตถฌาน - อากาสา -นัญจายตนะ - วิญญาณัญจายตนะ - อากิญจัญญายตนะ - เนวสัญญานาสัญญายตนะ .วา เปนที่ซึ่งมารไปไมถึง โดยนัยเดียวกันกับปฐมฌาน เปนลําดับไป, จนกระทั่งถึงสัญญาเวท ยิต-นิโรธโดยขอความสืบตอไปวา :-)

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! ยิ่งไปกวานั้นอีก : ภิกษุกาวลวงเนวสัญญานาสัญญายตนะ โดยประการทั้งปวง เขาถึงซึ่ง สัญญาเวทยิตนิโรธ แลวแลอยู, และเพราะเห็น แลวดวยปญญา อาสวะทั้งหลายของเธอก็สิ้นไปรอบ. ภิกษุ ท.! ภิกษุนี้เรากลาว วา ไดทํามารใหเปนผูตาบอดไมมีรองรอย กําจัดเสียแลวซึ่งจักษุแหงมาร ไปแลว สูที่ซึ่งมารผูมีบาปมองไมเห็น ไดขามแลวซึ่งตัณหาในโลก, ดังนี้แล. (คําวา "เห็นแลวดวยปญญา" ในที่นี้ คือเห็นทุกข, เหตุใหเกิดทุกข, ความดับไม เหลือแหงทุกข, ทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข, และเห็นอาสวะ, เหตุใหเกิดอาสวะ, ความดับไมเหลือแหงอาสวะ, ทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงอาสวะ, จนเปนผูสิ้นอาสวะ ซึ่งเรียกวา "การพนจากบวง".) - มู. ม. ๑๒/๒๙๘-๓๑๑/๓๐๑-๓๑๑.


๓๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

ยังมีพวกบริโภคกามโดยไมจมกาม ภิกษุ ท.! กามคุณเหลานี้มีหาอยาง. หาอยางเปนอยางไรเลา ? หาอยางคือ รูปที่เห็นดวยตา, เสียงที่ฟงดวยหู, กลิ่นที่ดมดวยจมูก, รสที่ลิ้มดวย ลิ้น, และโผฏฐัพพะที่สัมผัสดวยผิวกาย, อันเปนสิ่งที่นาปรารถนา นารักใคร นาพอใจ มีลักษณะนารัก เปนที่เขาไปตั้งอาศัยอยูแหงความใคร เปนที่ตั้งแหง ความกําหนัด. ภิกษุ ท.! กามคุณมีหาอยางเหลานี้แล ภิกษุ ท.! ชนเหลาใด จะเปนสมณะหรือพราหมณก็ตาม ติดอกติดใจ สยบอยู เมาหมกอยู ในกามคุณหาอยางเหลานี้แลว ไมมองเห็นสวนที่ เปนโทษ ไมเปนผูรูแจมแจงในอุบายเปนเครื่องออกไปจากทุกข ทําการบริโภค กามคุณทั้งหานั้นอยู; ชนเหลานั้น อันคนทั้งหลายพึงเขาใจเถิดวา เปนผูถึง ความพินาศยอยยับ แลวแตมารผูมีบาปตองการจะทําตามอําเภอใจอยางใด ดังนี้. ภิกษุ ท.! เปรียบไดดังเนื้อปาที่ติดบวง นอนจมอยูในกองบวง ในลักษณะที่ ใคร ๆ พึงเขาใจไดวา มันจะถึงซึ่งความพินาศยอยยับ เปนไปตามความประสงค ของพรานทุกประการ, เมื่อพรานมาถึงเขา มันจะหนีไปไหนไมพนเลย ดังนี้, ฉันใดก็ฉันนั้น.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! สวนชนเหลาใด จะเปนสมณะหรือพราหมณก็ตาม ไม ติดใจ ไมสยบอยู ไมเมาหมกอยู ในกามคุณหาเหลานี้แลว มองเห็นสวนที่เปน โทษอยู เปนผูรูแจมแจงในอุบายเปนเครื่องออกไปจากทุกข บริโภคกามคุณทั้งหา นั้นอยู; ชนเหลานั้น อันคนทั้งหลายพึงเขาใจไดอยางนี้วา เปนผูไมถึงความ พินาศยอยยับไปตามความประสงคของมารผูมีบาปแตอยางใด ดังนี้. ภิกษุ ท.!


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๓๕

เปรียบเหมือนเนื้อปาตัวที่ไมติดบวง แมนอนจมอยูบนกองบวง มันก็เปนสัตวที่ ใคร ๆ พึงเขาใจไดวา เปนสัตวที่ไมถึงความพินาศยอยยับไปตามความประสงคของ พรานแตอยางใด, เมื่อพรานมาถึงเขา มันจะหลีกหนีไปไดตามที่ตองการ ดังนี้, ฉันใดก็ฉันนั้น. ภิกษุ ท.! (อีกอยางหนึ่ง) เปรียบเหมือนเนื้อปา เที่ยวไปในปา กวาง เดินอยูก็สงางาม ยืนอยูก็สงางาม หมอบอยูก็สงางาม นอนอยูก็สงางาม. เพราะเหตุไรเลา ? ภิกษุ ท.! เพราะเหตุวาเนื้อปานั้นยังไมมาสูคลองแหงจักษุ ของพราน, ขอนี้ฉันใด; ภิกษุ ท.! ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน : สงัดแลว จากกามและอกุศลธรรมทั้งหลาย เขาถึงซึ่งปฐมฌาณ อันมีวิตกวิจาร มีปติและ สุขอันเกิดแตวิเวก แลวแลอยู. ภิกษุ ท.! ภิกษุนี้ เรากลาววา ไดทํามารให เปนผูตาบอดไมมีรองรอย กําจัดเสียแลวซึ่งจักษุแหงมาร ไปแลวสูที่ที่มารผูมีบาป มองไมเห็น. (ตอไปนี้ไดตรัสถึงการบรรลุ ทุติยฌาณ-ติตยฌาน-จตุตถฌาน-อากาสนัญจายตนะวิญญาณกัญจายตนะ-อากิญจัญญายตนะ-เนวสัญญานาสัญญายตนะ โดยนัยเดียวกันกับการบรรลุ ปฐมฌาน เปนลําดับไป. จนกระทั่งถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ โดยขอความสืบตอไปวา :-)

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! ยิ่งไปกวานั้นอีก : ภิกษุกาวลวงเนวสัญญานาสัญญายตนะ โดยประการทั้งปวง เขาถึงซึ่ง สัญญาเวทยิตนิโรธ แลวแลอยู. อนึ่ง เพราะเห็น แลวดวยปญญา อาสวะทั้งหลายของเธอก็สิ้นไปรอบ. ภิกษุ ท.! ภิกษุนี้เรา กลาววา ไดทํามารใหเปนผูตาบอดไมมีรองรอย กําจัดเสียแลวซึ่งจักษุแหงมาร ไปแลวสูที่ซึ่งมารผูมีบาปมองไมเห็น, ไดขามแลวซึ่งตัณหาในโลก. ภิกษุนั้น ยืนอยูก็สงางาม เดินอยูก็สงางาม นั่งอยูก็สงางาม นอนอยูก็สงางาม. เพราะ


๓๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

เหตุไรเลา ? ภิกษุ ท.! ของมารผูมีบาป. ดังนี้แล

เพราะเหตุวา

ภิกษุนั้นไมไดมาสูคลองแหงอํานาจ

- มู. ม. ๑๒/๓๓๓-๓๓๕/๓๒๗-๓๒๘.

ผูรูอริยสัจเปนหลักอยูในใจ ยอมไมมีอาการสั่นสะเทือนเพราะถูกยกวาทะ : ดุจเสาหิน ภิกษุ ท.! ภิกษุรูปใด รูอยูตามเปนจริงวา "นี้เปนทุกข, นี้เปน เหตุใหเกิดทุกข, นี้เปนความดับไมเหลือของทุกข, และนี้เปนทางดําเนินใหถึง ความดับไมเหลือของทุกข." ดังนี้นั้น. แมวาจะพึงมีบุคคลที่เปนสมณะหรือ พราหมณ ซึ่งเปนผูตองการจะโตวาทะ เที่ยวแสวงคูโตวาทะ มาจากทิศตะวันออก หรือทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต ก็ตาม โดยประกาศวา "เราจักยกวาทะของภิกษุ รูปนั้นเสีย" ดังนี้; ขอที่สมณะหรือพราหมณนั้น จักทําภิกษุนั้นใหหวั่นไหว สั่นสะเทือน หรือสั่นระรัวไป โดยถูกธรรมนั้น ไมเปนฐานะที่จะเปนไปไดเลย. ขอนี้เปนเพราะเหตุไรเลา ? เพราะเหตุที่อริยสัจสี่นนั้ เปนธรรมที่ภิกษุนั้นเห็นแลว ดวยดี.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! เปรียบเหมือนเสาหินยาว ๑๖ ศอก ฝงอยูในดิน ๘ ศอก โผลขึ้นพนดิน ๘ ศอก แมจะมีลมพายุฝนอยางแรงกลา มาจากทิศตะวันออก หรือทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต ก็ตาม ไมพึงทําเสาหินนั้นใหหวั่นไหว สั่นสะเทือน หรือสั่ นระรัวไปได เลย. ขอ นี้ เ ป นเพราะเหตุไรเลา ? เพราะ สวนที่ฝงนั้นลึก และฝงเปนอยางดี; ฉันใดก็ฉันนั้น.


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๓๗

ภิกษุ ท.! เพราะเหตุนั้นในกรณีนั้น ในกรณีนี้พวกเธอ พึงทําความเพียร เพื่อใหรูตามเปนจริง วา "นี้เปนทุกข. นี้เปนเหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกขนี้ เปนความ ดับไมเหลือแหงทุกข, นี้เปนทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข" ดังนี้เถิด. - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๕๕/๑๗๒๔

ผูประกอบดวยอวิชชา คือผูไมมีความรูสี่อยาง "พระองคผูเจริญ ! พระองคกลาววา "อวิชชา อวิชชา" ดังนี้.ก็อวิชชานั้น เปนอยางไร ? และดวยเหตุเทาไร บุคคลจึงชื่อวาเปนผูถึงแลวซึ่งอวิชชา ?" แนะภิกษุ ท! ความไมรูอันใด เปนความไมรูในทุกข, เปนความไมรู ในเหตุใหเกิดทุกข, เปนความไมรูในความดับไมเหลือของทุกข, และเปนความ ไมรูในทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของทุกข : นี้เราเรียกวา อวิชชา; และ บุคคลชื่อวาถึงแลวซึ่งอวิชชา ก็เพราะเหตุไมรูความจริงมีประมาณเทานี้แล.

www.buddhadasa.info "พระองคผูเจริญ ! พระองคกลาววา 'วิชชา วิชชา' ดังนี้. ก็วิชชานั้น เปนอยางไร? และดวยเหตุเทาไร บุคคลจึงชื่อวาเปนผูถึงแลวซึ่งวิชชา ?"

แนะภิกษุ! ความรูอันใด เปนความรูในทุกข, เปนความรูในเหตุ ใหเกิดทุกข, เปนความรูในความดับไมเหลือของทุกข, และเปนความรูในทาง ดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของทุกข : นี้เราเรียกวา วิชชา; และบุคคลชื่อวา ถึงแลวซึ่งวิชชา ก็เพราะเหตุรูความจริงมีประมาณเทานี้แล.


๓๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิกษุ ท.! เพราะเหตุนั้น ในกรณีนี้ พวกเธอพึง ทําความเพียร เพื่อใหรูตามเปนจริงวา "นี้เปนทุกข. นี้เปนเหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข, นี้เปนความ ดับไมเหลือแหงทุกข, นี้เปนทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข," ดังนี้เถิด. - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๓๘-๕๓๙/๑๖๙๔–๑๖๙๕.

อยาคิดเรื่องโลก แตจงคิดเรื่องอริยสัจ ภิกษุ ท.! มีเรื่องราวในกาลกอน : บุรุษผูหนึ่ง ตั้งใจวาจะคิด ซึ่ง ความคิดเรื่องโลก, จึงออกจากนครราชคฤหไปสูสระบัวชื่อ สุมาคธา แลวนั่งคิด อยูที่ริมฝงสระ. บุรุษนั้นไดเห็นแลว ซึ่งหมูเสนาประกอบดวยองคสี่ (คือชาง มา รถ พลเดินเทา) ที่ฝงสระสุมาคธานั้น เขาไปอยู ๆ สูเหงารากบัว. ครั้นเขาเห็นแลว เกิดความไมเชื่อตัวเองวา "เรานี้บาแลว เรานี้วิกลจริตแลว, สิ่งใดไมมีในโลก เราไดเห็นสิ่งนั้นแลว" ดังนี้. ภิกษุ ท.! บุรุษนั้นกลับเขาไปสูนครแลว ปาวรอง แกมหาชน วา "ทานผูเจริญ ! ขาพเจาเปนบาแลว ขาพเจาวิกลจริตแลว, เพราะวา สิ่งใดไมมีอยูในโลก ขาพเจามาเห็นแลวซึ่งสิ่งนั้น" ดังนี้. มีเสียงถามวา เห็นอะไรมา ? เขาบอกแลวตามที่เห็นทุกประการ. มีเสียงรับรองวา "ถูกแลว, ทานผูเจริญเอย ! ทานเปนบาแลว ทานวิกลจริตแลว".

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! แตวาบุรุษนั้น ไดเห็นสิ่งที่มีจริง เปนจริง หาใชเห็น สิ่งไมมีจริง ไมเปนจริงไม. ภิกษุ ท.! ในกาลกอนดึกดําบรรพ : สงคราม ระหวางพวกเทพกับอสูรไดตั้งประชิดกันแลว. ในสงครามครั้งนั้น พวกเทพ เปนฝายชนะ อสูรเปนฝายแพ. พวกอสูรกลัว แลวแอบหนีไปสูภพแหงอสูร โดยผานทางเหงารากบัว หลอกพวกเทพใหหลงคนอยู. (เรื่องของโลกยอมพิสดารไม


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๓๙

ภิกษุ ท.! เพราะเหตุนั้น ในกรณีนี้ พวกเธอทั้งหลาย จง อยาคิดเรื่องโลก โดยนัยวา "โลกเที่ยงหรือ ? โลกไมเที่ยงหรือ? โลกมีที่สุดหรือ โลกไมมีที่สุดหรือ? ชีพก็ดวงนั้น รางกายก็รางนั้นหรือ ? ชีพก็ดวงอื่น รางกายก็ รางอื่นหรือ ? ตถาคตตายแลวยอมเปนอยางที่เปนมาแลวนั้น อีกหรือ? ตถาคตตาย ไปแลว ไมเปนอยางที่เปนมาแลวนั้น อีกหรือ? ตถาคตตายไปแลว เปนอยางที่ เปนมาแลวอีกก็มี ไมเปนก็มี หรือ ? ตถาคตตายไปแลว เปนอยางที่เปนมาแลวอีก ก็ไมเชิง ไมเปนก็ไมเชิง หรือ ?" เพราะเหตุไรจึงไมควรคิดเลา ? ภิกษุ ท.! เพราะความคิดนั้น ไมประกอบดวยประโยชน ไมเปนเงื่อนตนแหงพรหมจรรย ไมเปนไปพรอมเพื่อความหนายทุกข ความคลายกําหนัด ความดับ ความรํางับ ความรูยิ่ง ความรูพรอม และนิพพาน เลย.

สิ้นสุดถึงเพียงนี้).

ภิกษุ ท.! เมื่อพวกเธอจะคิด จงคิดวา "เชนนี้ ๆ เปนทุกข, เชนนี้ ๆ เปนเหตุใหเกิดทุกข, เชนนี้ ๆ เปนความดับไมเหลือของทุกข, และเชน นี้ ๆ เปนทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของทุกข:" ดังนี้ เพราะเหตุไรจึงควร คิดเลา ? เพราะความคิดนี้ ยอมประกอบดวยประโยชน เปนเงื่อนตนของ พรหมจรรย เปนไปพรอมเพื่อความหนายทุกข ความคลายกําหนัด ความดับ ความรํางับ ความรูยิ่ง ความรูพรอม และนิพพาน.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! เพราะเหตุนั้น ในกรณีนี้ พวกเธอพึง ทําความเพียร เพื่อใหรูตามเปนจริง วา "นี้เปนทุกข, นี้เปนเหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข, นี้เปนความ ดับไมเหลือแหงทุกข, นี้เปนทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข" ดังนี้เถิด.

- มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๕๘ - ๕๕๙/๑๗๒๕ - ๑๗๒๗.


๔๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

อยากลาวเรื่องทุมเถียงแกงแยงกัน แตจงกลาวเรื่องความพนทุกข ภิกษุ ท.! พวกเธออยากลาวถอยคําที่ยึดถือเอาแตกตางกัน วา "ทาน ไมรูทั่วถึงธรรมวินัยนี้, ขาพเจารูทั่วถึงธรรมวินัยนี้, ทานจักรูทั่วถึงธรรมวินัยได อยางไร ทานปฏิบัติผิด, ขาพเจาซิปฏิบัติชอบ, คําควรกลาวกอน ทานกลาว ทีหลัง คําควรกลาวทีหลัง ทานมากลาวกอน คําพูดของทานจึงไมเปนประโยชน คําพูดของขาพเจาเปนประโยชน. ขอที่ทานเคยถนัด มาแปรปรวนไปเสียแลว. ขาพเจาแยงคําพูดของทานแหลกหมดแลว, ทานถูกขาพเจาขมแลว เพื่อใหถอน คําพูดผิด ๆ นั้นเสียหรือทานสามารถก็จงคานมาเถิด:" ดังนี้.พวกเธอไมพึง กลาวถอยคําเชนนั้นเพราะเหตุไรเลา? เพราะการกลาวนั้น ๆ ไมประกอบดวย ประโยชน ไมเปนเงื่อนตนของพรหมจรรย ไมเปนไปพรอมเพื่อความหนายทุกข ความคลายกําหนัด ความดับ ความรํางับ ความรูยิ่ง ความรูพรอม และนิพพาน. ภิกษุ ท.! เมื่อพวกเธอจะกลาว จงกลาววา "เชนนี้ ๆ เปนความ ทุกข, เชนนี้ ๆ เปนเหตุใหเกิดทุกข, เชนนี้ ๆ เปนความดับไมเหลือของทุกข, และเชนนี้ ๆ เปนทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของทุกข;" ดังนี้. เพราะ เหตุไรจึงควรกลาวเลา ? เพราะการกลาวนั้น ๆ ยอมประกอบดวยประโยชน เปนเงื่อนตนของพรหมจรรย เปนไปพรอมเพื่อความหนายทุกข ความคลาย กําหนัด ความดับ ความรํางับ ความรูยิ่ง ความรูพรอม และนิพพาน.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! เพราะเหตุนั้น ในกรณีนี้ พวกเธอพึง ทําความเพียร เพื่อใหรูตามเปนจริงวา "นี้เปนทุกข, นี้เปนเหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข, นี้เปนความ ดับไมเหลือแหงทุกข, นี้เปนทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข," ดังนี้เถิด. - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๒๕/๑๖๖๒.


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๔๑

อยากลาวเรื่องไมมีประโยชน แตจงกลาวเรื่องความพนทุกข ภิกษุ ท.! พวกเธอทั้งหลาย จง อยามัวสนทนาเรื่องขวางหนทางธรรม (ติรจฺฉานกถา) คือเรื่องพระราชา เรื่องโจร เรื่องอมาตย เรื่องทหาร เรื่องของ นากลัว เรื่องการรบพุง เรื่องขาว เรื่องน้ํา เรื่องผา เรื่องที่นอน เรื่องระเบียบ ดอกไม เรื่องของหอม เรื่องญาติ เรื่องยานพาหนะ เรื่องหมูบาน เรื่องจังหวัด เรื่องเมืองหลวง เรื่องบานนอก เรื่องหญิง เรื่องชาย เรื่องคนกลา เรื่องตรอก ทางเดิน เรื่องทาน้ํา เรื่องคนที่ตายไปแลว เรื่องตาง ๆ นานา เรื่องโลก เรื่อง มหาสมุทร เรื่องความรุงเรือง เรื่องความทรุดโทรม เหลานี้. เพราะเหตุไรจึง ไมควรกลาวเลา ? เพราะการกลาวนั้น ๆ ไมประกอบดวยประโยชน ไมเปนเงื่อน ตนของพรหมจรรย ไมเปนไปพรอมเพื่อความหนายทุกข ความคลายกําหนัด ความดับ ความรํางับ ความรูยิ่ง ความรูพรอม และนิพพาน เลย. ภิกษุ ท.! เมื่อพวกเธอจะกลาว จงกลาววา "เชนนี้ ๆ เปนทุกข, เชนนี้ ๆ เปนเหตุใหเกิดทุกข เชนนี้ ๆ เปนความดับไมเหลือของทุกข, และเชนนี้ ๆ เปนทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของทุกข;" ดังนี้ เพราะเหตุไรจึงควร กลาวเลา? เพราะการกลาวนั้นๆยอมประกอบดวยประโยชนเปนเงื่อนตนของ พรหมจรรย เปนไปพรอมเพื่อความหนายทุกข ความคลายกําหนัด ความดับ ความรํางับ ความรูยิ่ง ความรูพรอม และนิพพาน.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! เพราะเหตุนั้น ในกรณีนี้ พวกเธอพึง ทําความเพียร เพื่อใหรูตามเปนจริง วา "นี้เปนทุกข, นี้เปนเหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข, นี้เปนความ ดับไมเหลือแหงทุกข, นี้เปนทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข" ดังนี้เถิด

- มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๒๖/๑๖๖๓.


๔๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

จงบวชเพื่อรูความดับทุกข เหมือนเขาทั้งหลายผูบวชแลวโดยชอบ ภิกษุ ท.! กุลบุตรทั้งหลาย ในกาลยืดยาวนานฝายอดีต ไดออกจาก เรือน บวชแลว เปนผูไมเกี่ยวของดวยเรือน โดยชอบ, กุลบุตรทั้งหมดนั้น ไดบวชแลว เพื่อการรูยิ่งตามเปนจริง ซึ่งความจริงอันประเสริฐสี่อยาง. ภิกษุ ท.! กุลบุตรทั้งหลาย ในกาลยืดยาวนานฝายอนาคต จักออกจากเรือน บวชแลว เปนผูไมเกี่ยวของดวยเรือน โดยชอบ, กุลบุตรทั้งหมดนั้น ก็จักบวช เพื่อการ รูยิ่งตามเปนจริง ซึ่งความจริงอันประเสริฐสี่อยาง. ภิกษุ ท.! กุลบุตรทั้งหลาย ในกาลเปนปจจุบันนี้ ก็ออกจากเรือน บวชอยู เปนผูไมเกี่ยวของดวยเรือน โดยชอบ, กุลบุตรทั้งหมดนั้น บวชอยู เพื่อการรูยิ่งตามเปนจริง ซึ่งความจริง อันประเสริฐสี่อยาง. สี่อยาง เหลาไหนเลา ? สี่อยางคือ ความจริงอันประเสริฐ เรื่องทุกข, เรื่องเหตุใหเกิดทุกข, เรื่องความดับไมเหลือทุกข, และเรื่องทาง ดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของทุกข.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! เพราะเหตุนั้น ในกรณีนี้ พวกเธอพึง ทําความเพียร เพื่อใหรูตามเปนจริงวา "นี้เปนทุกข, นี้เปนเหตุใหเกิดทุกข, นี้เปนความดับไม เหลือของทุกข, และนี้เปนทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของทุกข;" ดังนี้เถิด.

- มหาวาร.สํ. ๑๙/๕๒๑/๑๖๕๖.

ไมรูอริยสัจ ก็ยังไมเปนสมณพราหมณที่แท ภิกษุ ท.!สมณะหรือพราหมณก็ตาม เหลาใดเหลาหนึ่ง ยอมไมรู ชัดตามเปนจริงวา "นี้ความทุกข, นี้ เหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข, นี้ ความดับไม


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๔๓

เหลือแหงทุกข, นี้ ทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข" ดังนี้; ภิกษุ ท.! สมณะหรือพราหมณเหลานั้น มิใชผูที่ควรไดรับการมสมมติวาเปนสมณะในหมู สมณะ มิใชผูที่ควรไดรับการสมมติวาเปนพราหมณในหมูพราหมณ. อีก อยางหนึ่ง บุคคลผูไมรูเหลานั้น จะไดทําใหแจงซึ่งประโยชนแหงความเปนสมณะ หรือประโยชนแหงความเปนพราหมณ ดวยปญญาอันยิ่งเอง ในทิฏฐธรรมนี้ เขาถึงแลวแลอยู หาไดไม ภิกษุ ท.! สวนสมณะหรือพราหมณก็ตาม เหลาใดเหลาหนึ่ง ยอม รูชัดตามเปนจริงวา "นี้ ความทุกข, นี้ เหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข, นี้ ความดับ ไมเหลือแหงทุกข, นี้ ทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข" ดังนี้; ภิกษุ ท.! สมณะหรือพราหมณเหลานั้นแล ยอมเปนผูควรไดรับการสมมติวา เปนสมณะในหมูสมณะ ยอมเปนผูควรไดรับการสมมติวาเปนพราหมณในหมู พราหมณ. อีกอยางหนึ่ง บุคคลผูรูชัดตามความเปนจริงเหลานั้น ยอมทําให แจงซึ่งประโยชนแหงความเปนสมณะ หรือประโยชนแหงความเปนพราหมณ ดวยปญญาอันยิ่งเอง ในทิฏฐธรรมนี้ เขาถึงแลวแลอยู ไดโดยแท.

www.buddhadasa.info (พระผูมีพระภาค คําประพันธตอไปอีกวา :-)

ไดตรัสไวยากรณภาษิตนี้แลว

พระองคผูสุคตศาสดา

ไดตรัส

"ชนเหลาใด ไมรูทั่วถึงซึ่งทุกข และเหตุเกิดแหงทุกขและ ธรรมเป น ที่ ดั บ แห ง ทุ ก ข ทั้ ง ปวงโดยไม เ หลื อ และหนทางเป น ที่ ถึ ง ซึ่ ง ความเข า ไปสงบแห ง ทุ ก ข ; ชนเหล า นั้ น พลาดแล ว จากเจโตวิ มุ ต ติ และป ญ ญาวิ มุ ต ติ ไม ส มควรที่ จ ะกระทํา ที่ สุ ด แห ง ทุ ก ข มี แ ต จ ะ เข า ถึ ง ซึ่ ง ชาติ แ ละชรา.


๔๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

สวนชนเหลาใด รูทั่วถึงซึ่งทุกข และเหตุเกิดแหงทุกข และ ธรรมเป น ที่ ดั บ แห ง ทุ ก ข ทั้ ง ปวงโดยไม เ หลื อ และหนทางเป น ที่ ถึ ง ซึ่ ง ความเข า ไปสงบแห ง ทุ ก ข ; ชนเหล า นั้ น ถึ ง พร อ มแล ว ด ว ยเจโตวิ มุ ต ติ และป ญ ญาวิมุต ติ สมควรที่จะกระทํา ที่สุด แหง ทุก ข ไมเ ขา ถึง ซึ่ง ชาติ และชรา". - มหาวาร.สํ. ๑๙/๕๔๒/๑๗๐๐ - ๑๗๐๒

ภิกษุ ท.! (เครื่องทํา)ความเปนสมณะ เปนอยาไรเลา ? อริยอัฏฐังคิกมรรคนี้นั่นเอง, ไดแก สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ : นี้เรียกวา (เครื่องทํา) ความเปนสมณะ. ภิกษุ ท.! ประโยชนแหงความเปนสมณะ เปนอยางไรเลา? ภิกษุ ท.! ความสิ้นไปแหงราคะ ความสิ้นไปแหงโทสะ ความสิ้นไปแหงโมหะ : นี้เรียกวา ประโยชนแหงความเปนสมณะ. - มหาวาร. สํ. ๑๙/๓๐/๑๐๒ - ๑๐๔. (สําหรับ เครื่องทําความเปนพราหมณ และ ประโยชนแหงความเปนพราหมณ ก็ตรัส ไว ด ว ยข อ ความเหมื อ นกั น กั บ ในกรณี แ ห ง เครื่ อ งทํ า ความเป น สมณะและประโยชน แ ห ง ความเป น สมณะนั้นทุกประการ.- ๑๙/๓๑/๑๐๘ - ๑๑๐.)

www.buddhadasa.info ถามัวรอใหรูเรื่องที่ไมจําเปนเสียกอน ก็ตายเปลา

มาลุงกยบุตร ! ตถาคตมิไดพูดกะทานวา ทานจงมาประพฤติพรหมจรรยในสํานักเรา เราจักพยากรณแกความเห็น ๑๐ ประการ๑ แกทาน และทั้ง

๑. ทิฏฐิ ที่เปนปญหาถกเถียงกันวา โลกเที่ยง, โลกไมเที่ยง, โลกมีที่สุด, โลกไมมีที่สุด ฯลฯ เปนตน รวม ๑๐ อยาง ซึ่งเปนปญหาดาดดื่นในยุคพุทธกาล.


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๔๕

ทานก็มิไดพูดไวกะเราวา ขาพระองคจักประพฤติพรหมจรรย ในสํานักพระผูมีพระภาคเจา, พระผูมีพระภาคเจาจักพยากรณแกทิฏฐิความเห็น ๑๐ ประการแก ขาพระองค. เมื่อเปนเชนนี้ ใครเลา โมฆบุรุษ! ที่จักบอกคืนพรหมจรรยแก ใคร. มาลุงกยบุตร ! ถึงใครกลาววา เราจักยังไมประพฤติพรหมจรรย ใน สํานักพระผูมีพระภาคเจา จนกวาพระองคจักแกปญหาทิฏฐิ ๑๐ แกเราเสียกอน ก็ตาม ตถาคตก็ไมพยากรณปญหาทิฏฐิ ๑๐ นั้นอยูนั่นเอง และเขาก็ตายเปลา โดยแท. มาลุงกยบุตร ! เปรียบเหมือนบุรุษผูหนึ่ง ถูกลูกศรอันกําซาบดวย ยาพิษอยางแรงกลา มิตรอมาตย ญาติสาโลหิต จัดการเรียกแพทยผาตัดผูชํานาญ. บุรุษนั้นกลาวเสียอยางนี้วา เรายังไมรูจักตัวบุรุษผูยิงเราวาเปนกษัตริย พราหมณ เวสส ศูทร ชื่อไร โคตรไหน ฯลฯ ธนูที่ใชยิงนั้นเปนชนิดหนาไม หรือ เกาฑัณฑ ฯลฯ (เปนตน) เสียกอนแลว เรายังไมตองการจะถอนลูกศรอยูเพียงนั้น. มาลุงกยบุตร! เขาไมอาจรูขอความที่เขาอยากรูนั้นไดเลย ตองตายเปนแท ! อุปมานี้ฉันใด; อุปไมยก็ฉันนั้นเหมือนกัน, บุคคลผูกลาววา เราจักยังไม ประพฤติพรหมจรรย ในสํานักพระผูมีพระภาคเจา จนกวาพระองคจักแกปญหา ทิฏฐิ ๑๐ แกเราเสียกอน, และตถาคตก็ไมพยากรณปญหานั้นแกเขา เขาก็ตาย เปลา โดยแท ...

www.buddhadasa.info มาลุงกยบุตร ! ทานจงซึมทราบสิ่งที่เราไมพยากรณไว โดยความเปน สิ่งที่เราไมพยากรณ. ซึมทราบสิ่งที่เราพยากรณไว โดยความเปนสิ่งที่เรา พยากรณ. อะไรเลาที่เราไมพยากรณ ? คือความเห็นสิบประการวา โลก เที่ยง ฯลฯ (เปนตน) เปนสิ่งที่เราไมพยากรณ ฯลฯ. มาลุงกยบุตร! อะไรเลา ที่เราพยากรณ ? คือสัจจะวา "นี้เปนทุกข, นี้เปนเหตุใหเกิดทุกข, นี้เปนความ


๔๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

ดับไมเหลือของทุกข, และนี้เปนทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของทุกข;" ดังนี้ : นี้เปนสิ่งที่เราพยากรณ. เหตุใดเราจึงพยากรณเลา ? เพราะสิ่ง ๆ นี้ ยอมประกอบดวยประโยชน เปนเงื่อนตนของพรหมจรรย เปนไปพรอมเพื่อความ หนายทุกข ความคลายกําหนัด ความดับ ความรํางับ ความรูยิ่ง ความรูพรอม และนิพพาน. - ม.ม. ๑๓/๑๔๗,๑๕๑/๑๔๙ - ๑๕๐,๑๕๒.

อยายึดถือติดแนนในธรรม แตจงใชเพียงเปนเครื่องมือ ภิกษุ ท.! เปรียบเหมือนบุรุษเดินทางไกล ไปพบแมน้ําใหญ : ฝง ขางนี้ก็เต็มไปดวยอันตรายนารังเกียจ นากลัว ฝงขางโนนปลอดภัย. แตเรือหรือ สะพานสําหรับขาม ไมมีเพื่อจะขามไป. เขาใครครวญเห็นเหตุนี้แลว คิดสืบไป วา "กระนั้นเราพึงรวบรวมหญาแหง ไมแหง กิ่งไม และใบไมมาผูกเปนแพ แลว พยายามเอาดวยมือและเทา ก็จะพึงขามไปโดยสวัสดี," บุรุษนั้น ครั้นทําดังนั้น และขามไปไดโดยสวัสดีแลว ลังเลวา "แพนี้ มีอุปการะแกเราเปนอันมาก ถาไฉน เราจักทูนไปดวยศีรษะ หรือแบกไปดวยบา พาไปดวยกัน" ดังนี้. ภิกษุ ท.! พวกทานจะสําคัญวาอยางไร : บุรุษนั้นจักทําอยางนั้น เจียวหรือ? "พระองค ผูเจริญ! ขอนั้นหามิได". ภิกษุ ท.! เขาพึงทําอยางไร : ถาไฉน เขาจะพึงครา มันขึ้นบก หรือปลอยใหลอยไปในน้ํา, สวนเขาเอง ก็หลีกไปตามปรารถนา เทานั้นเอง : นี้ฉันใด; ธรรมที่เราแสดงแลว ก็เพื่อรื้อถอนตนออกจากทุกข ไมใชเพื่อใหยึดถือเอาไว เปรียบไดกับพวงแพ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน. ภิกษุ ท.! ทานทั้งหลายผูไดฟงธรรมอันเราแสดงแลว อันเปรียบดวยพวงแพ ควรละธรรม ทั้งหลายเสีย และปวยกลาวทําไมถึงสิ่งไมใชธรรม.

www.buddhadasa.info

- มู. ม. ๑๒/๒๗๐/๒๘๐.


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๔๗

เปรียบนักเรียนอริยสัจ ดวยหนูตางจําพวกกัน ภิกษุ ท.! หนูเหลานี้มีสี่จําพวก คือ หนูที่ขุดรู แตไมอยู, หนูที่อยู แตไมขุดรู, หนูที่ไมขุดรู และทั้งไมอยู, หนูที่ทั้งขุดรู และทั้งอยู, บุคคลสี่ จําพวก เปรีบบดวยหนู ก็ฉันนั้นเหมือนกัน คือ คนปลูกเรือน แตไมอยู, คนอยู แตไมปลูกเรือน, คนไมปลูกเรือน และทั้งไมอยู, คนทั้งปลูกเรือน และ ทั้งอยู, สี่จําพวกเหลานี้ มีอยูพรอมในโลก. ภิกษุ ท.! คนที่ปลูกเรือนแตไมอยู เปนอยางไร? ภิกษุ ท.!คน บางคนเรียนปริยัติธรรม ที่เปนสูตร เคยยะ เวยยากรณ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ๑ แตเขา ไมรูตามเปนจริงวา "นี้เปนทุกข. นี้เปน เหตุใหเกิดทุกข, นี้เปนความดับไมเหลือของทุกข, และนี้เปนทางดําเนินใหถึง ความดับไมเหลือของทุกข;" ดังนี้ : เชนนี้แล เรียกวา ปลูกเรือนแตไมอยู; เรากลาววา เปรียบไดกับหนูที่ขุดรูแลวไมอยู.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! คนอยูแตไมปลูกเรือนนั้น เปนอยางไร ภิกษุ ท.! คน บางคน ไมไดเรียนปริยัติธรรม ที่เปนสูตร ฯลฯ เวทัลละ แตเขาเปนผูรูตาม เปนจริงวา "นี้เปนทุกข, นี้เปนเหตุใหเกิดทุกข, นี้เปนความดับไมเหลือของ ทุกข, และนี้เปนทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของทุกข:" ดังนี้ : เชนนี้แล เรียกวา อยูแตไมปลูกเรือน; เรากลาววา เปรียบกันไดกับหนูที่อยูแตไมขุดรู.

ภิกษุ ท.! คนไมปลูกเรือนและทั้งไมอยูนั้น เปนอยางไร ? ภิกษุ ท.! คนบางคน ไมไดเรียนทั้งปริยัติธรรม ที่เปนสูตร ฯลฯ เวทัลละ และทั้ง ไมรู

๑. เรียนปริยัติธรรม ครบ ๙ อยางเชนนี้ ไดแกเรียนจบพระปริยัติธรรม หรือพระไตรปฎกสมัยนี้.


๔๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

ตามเปนจริงวา "นี้เปนทุกข, นี้เปนเหตุใหเกิดทุกข นี้เปนความดับไมเหลือของ ทุกข, และนี้เปนทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของทุกข;" ดังนี้ : เชนนี้แล เรียกวา ไมปลูกเรือน และทั้งไมอยู; เรากลาววา เปรียบกันไดกับหนูที่ไม ขุดรู และทั้งไมอยู. ภิกษุ ท.! คนที่ปลูกเรือนทั้งอยูนั้น เปนอยางไร? ภิกษุ ท.! คนบางคนในโลกนี้ ทั้งเรียนปริยัติธรรม ที่เปนสูตร ฯลฯ เวทัลละดวย และ ทั้งรู ตามเปนจริงวา "นี้เปนทุกข, นี้เปนเหตุใหเกิดทุกข, นี้เปนความดับไมเหลือ ของทุกข, และนี้เปนทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของทุกข;" ดังนี้ดวย : เชนนี้แล เรียกวาทั้งปลูกเรือนและทั้งอยู; เรากลาววา เปรียบกันไดกับหนู มีทั้งขุดรูและทั้งอยู. ภิกษุ ท.! อันมีอยูพรอมในโลกนี้.

คนสี่จําพวกเหลานี้แล

เปรียบกันไดกับหนูสี่จําพวก,

www.buddhadasa.info จงสงเคราะหผูอื่นดวยการใหรูอริยสัจ - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๔๔/๑๐๗.

ภิกษุ ท.! พวกเธอเอ็นดูใคร และใครถือวาเธอเปนผูที่เขาควร เชื่อฟง เขาจะเปนมิตรก็ตาม อํามาตยก็ตาม ญาติหรือสายโลหิตก็ตาม; ชน เหลานั้น อันเธอพึง ชักชวนใหเขาไปตั้งมั่น ในความจริงอันประเสริฐสี่ ประการ ดวยปญญาอันรูเฉพาะตามที่เปนจริง. ความจริงอันประเสริฐสี่ประการ อะไรเลา ? สี่ประการคือ ความอันประเสริฐคือทุกข, ความจริงอันประเสริฐคือ


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๔๙

เหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข, ความจริงอันประเสริฐคือความดับไมเหลือแหงทุกข, ความ จริงอันประเสริฐคือทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข. ภิกษุ ท.! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ เธอพึงประกอบโยคกรรมอัน เปนเครื่องกระทําใหรูวา "ทุกข เปนอยางนี้, เหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข เปนอยางนี้, ความดับไมเหลือแหงทุกข เปนอยางนี้, ทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข เปนอยางนี้." ดังนี้. - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๔๔/๑๗๐๖.

www.buddhadasa.info


๕๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

- ๓ -

พระพุทธองค กับ จตุราริยสัจ พระพุทธเปนดุจดั่งผูชี้ทาง พระธรรมซึ่งมีอริยสัจเปนแกนเปนตัวทาง พระอริยสงฆ สาวก คือผูที่ไดเดินไปตามทางแลว แตสัตวโลกผูยังถูกอวิชชากดใหจมติดอยูในเปอกตมแหง โอฆะ กําลังตองการทางนั้นอยู, เมื่อใดเขาศึกษาจนรูจักพระพุทธองคอยางลึกซึ้งถึงที่สุด ดุจลูก ที่เขาใจบิดาดี เมื่อนั้นเขาจะพบทางนั้นดวย และเดินตามรอยทานผูประเสริฐ ที่เดินไปแลวนั้น ได. ถาเขาใจไมตรงพอ เชนเห็นพระพุทธองคเปนพระเปนเจาไป ก็จะมีความมุงหมายและ การตั้งหนาทําที่พลาดในที่สุดก็ปราศจากผล เพราะความจริงพระองคเปนแตผูชี้ทาง เทานั้น.

พระพุทธองค คือผูทรงชี้ใหรูจักทุกข ภิ ก ษุ ท.! เปรี ย บเหมื อ นบุ รุ ษ ผู ห นึ่ ง ว า ยล อ งกระแสแม น้ํ า ลงไป เพราะเหตุ สิ่ ง ที่ น า รั ก น า เพลิ น ใจ, บุ รุ ษ ผู มี จั ก ษุ ยื น อยู บ นฝ ง เห็ น บุ รุ ษ ผุ นั้ น แล ว รองบอกวา "บุรุษผูเจริญ ! ทานยอมวายลองตามกระแสแมน้ํา เพราะเหตุสิ่งที่นารักนา เพลินใจโดยแท แตวา ทางเบื้องลาง มีหวงน้ํา ประกอบดวยคลื่น ประกอบดวยน้ําวน. มี ยักษ มี รากษส ซึ่ งเมื่ อท านไปถึ งแลว จั กต องตาย หรือได รับทุ กขเจี ยนตาย." ภิ กษุ ท.! บุร ุษ ผู ว า ยลอ งตามกระแสนั ้น ครั ้น ไดฟ ง แลว ก็พ ยายามวา ยกลับ ทวนกระแส ทั้ ง ดว ยมือ และดว ยเทา ทั ้ง หลาย. ภิก ษุ ท.! คํ า อุป มานี ้ เราผูก ขึ ้น เพื ่อ ใหรู เนื้ อความ. นี้ เป นเนื้ อความ คื อ คํ าวา 'กระแสแม น้ํ า ' เป นชื่ อแห งตั ณ หา, คํ าว า 'สิ่งนารักนาเพลิน ใจ' เปน ชื่อแหงอายตนะหกในภายใน, คําวา 'ทางเบื้องลาง มี ห ว งน้ํ า ' เป น ชื่ อ แห ง โอรั ม ภาคิ ย สั ง โยชน ห า , คํ า ว า 'คลื่ น ' เป น ชื่ อ แห ง ความ โกรธและความคับแคน, คําวา 'น้ําวน' เปนชื่อแหงกามคุณหา, คําวา 'ยักษและ

www.buddhadasa.info


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๕๑

รากษส' เปนชื่อแหงมาตุคาม.- คําวา 'ทวนกระแส' เปนชื่อแหงเนกขัมมะ, คําวา 'พยายามดวยมือและเทา' เปนชื่อแหงการปรารถความเพียร, คําวา 'บุรุษ ผูมีจักษุยืนอยูบนฝง' เปนชื่อแหงตถาคตผูอรหันตสัมมาสัมพุทธะ; ดังนี้. - อิติวุ. ขุ. ๒๕/๓๑๖/๒๘๙. พระพุ ท ธองค ท รงชี้ ทุ ก ข แ ละทางดั บ ทุ ก ข ไ ด ก็ เ พราะพระองค ทรงรูจักดี จนถึงกับทําความหลุดพนใหพระองคเองได. ทุกขอันไมรูจักสิ้นสุด ของโลกนั้น พระองคหลุดพนไดสิ้นเชิง ทั้งอยางต่ํา อยางกลาง และอยาง ประณีต. ในทุกขอยางต่ํา ๆ ซึ่งเรามักจมกันอยูโดยสนิทใจ จะไดยกตัวอยางที่ พระองคทรงนําไปตรัสใหสติพราหมณผูหนึ่ง มาเปนเครื่องสาธกดังตอไปนี้ :-

มุมนอยมุมหนึ่งของความทุกข ที่พระองคไมมี พราหมณ ! วัว ๑๔ ตัว จะไดหายหาไมพบ ๖ วันมาแลวแกเรา ก็หา มิได, เพราะเหตุนั้นแหละพราหมณ ! เราจึงเปนผูมีความสุข. ตนงาในไร จะ ยับเยินมีใบเหลือเพียง ๒-๓ ใบ แกเราก็หามิได, เพราะเหตุนั้นแหละ พราหมณ ! เราจึงเปนผูมีความสุข. พวกหนู จะกระโดดโลดเตนในยุงเปลา แกเรา ก็หา มิได, เพราะเหตุนั้นแหละ พราหมณ ! เราจึงเปนผูมีความสุข. ที่นอน ซึ่ง ละเลยไวตั้ง ๗ เดือน (มิไดชําระเพราะไมมีเวลาวางพอ) เกลื่อนไปดวยตัวสัตว เล็ก ๆ จะมีแกเราก็หามิได, เพราะเหตุนั้นแหละ พราหมณ ! เราจึงเปนผูมี ความสุข. ลูกเล็กหญิงชาย ของลูกสาวที่เปนหมาย มีลูกติดคนหนึ่งบาง สอง คนบาง จะมีแกเรา ก็หามิได, เพราะเหตุนั้นแหละ พราหมณ ! เราจึงเปนผูมี ความสุข. โรคผมเหลืองตัวสะพรั่งดวยเมล็ดงา จะมีแกเรา ก็หามิได, เราจะ ถูกปลุกดวยการถีบเตะทั้งนอนหลับ ก็หามิได, เพราะเหตุนั้นแหละ พราหมณ !

www.buddhadasa.info


๕๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

เราจึงเปนผูมีความสุข, พวกเจาหนี้ที่มาทวงหนี้ แตเชาตรูวา 'จงใช, จงใช' จะมีแกเราก็หามิได, เพราะเหตุนั้นแหละ พราหมณ ! เราจึงเปนผูมีความสุข; ดังนี้. - สคา. สํ. ๑๕/๒๕๐/๖๖๙. การที่พระองคจะทรงชี้ทุกขและทางดับทุกขได ก็เพราะพระองคทรง คิดคนอยางจริงจัง มิใชมีไดดวยการนอนรอคอยใหมาปรากฏ หรือแมวาดวย การฟงหรือการเรียนอยางตื้น ๆ หยาบ ๆ. พระองคทรงหนายกาม จนขยะแขยง จนอึดอัด เนื่องจากมองเห็นความหลงทุกขเปนสุข แลวหมักจมอยู ซึ่งเปนการ ใชเวลาของชีวิตใหหมดเปลืองไปโดยไรประโยชน.

ทรงแสวง ราชกุมาร ! เมื่อเรายังเปนโพธิสัตว ยังไมไดตรัสรู กอนแตการ ตรัสรู ไดเกิดความรูสึกขึ้นภายในใจ วา "ชื่อวาความสุขแลว ใคร ๆ จะบรรลุได โดยงายเปนไมมี" ดังนี้. ครั้นสมัยอื่นอีก เรานั้น ทั้งที่ยังหนุม เกศายังดําจัด บริบูรณดวยเยาวอันเจริญ ในปฐมวัย, เมื่อมารดาบิดาไมปรารถนาดวย กําลัง พากันรองไห น้ําตานองหนาอยู, เราไดปลงผมและหนวด ครองผายอมฝาด ออกจากเรือน บวช เปนผูไมเกี่ยวของดวยเรือนแลว.

www.buddhadasa.info เรานั้น ครั้นบวชอยางนี้แลว แสวงหาอยูวา อะไรเปนกุศล คนหา แตสิ่งที่ประเสริฐ ชนิดที่ไมมีอะไรยิ่งไปกวา. ไดเขาไปหา อาฬารดาบส ผู กาลามโคตร….ไดเขาไปหา อุทกดาบส ผูรามบุตร….เลาเรียนธรรมนั้น ๆ ไดฉับไวไมนานเลย….ไดเกิดความรูสึกนี้ วา “ธรรมนี้ จะไดเปนไปพรอม


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๕๓

เพื่อความหนายทุกข ความคลายกําหนัด ความดับ ความรํางับ ความรูยิ่ง ความรู พรอม และนิพพาน ก็หาไม, แตเปนไปพรอมเพียงเพื่อการบังเกิดใน เนวสัญญานาสัญญายตนภพ เทานั้นเอง" เราไมทําการหยุดเสียเฉพาะแคธรรมนั้น ๆ เหนื่อยหนายจากธรรมนั้น ๆ แลวหลีกไปเสีย. เรานั้น เมื่อหลีกจากสํานักอุทกดาบสผูรามบุตรแลว แสวงหาอยูวา อะไรเปนกุศล คนหาแตสิ่งที่ประเสริฐอันไมมีอื่นยิ่งไปกวา สืบไป, เที่ยวจาริกไป ตามลําดับหลายตําบล ในมคธรัฐ จนลุถึงตําบลอุรุเวลาเสนานิคม พักแรมอยู ณ ที่นั้น ไดพบพื้นที่รมณียสถาน….ตกลงใจพักอยู ณ ที่นั้นเอง ดวยคิดวา 'ที่นี้ ควรแลว เพื่อการตั้งความเพียร' ดังนี้. - ม. ม. ๑๓/๔๔๓-๔๔๗/๔๘๙-๔๙๑; ๑๓/๖๗๐-๖๗๔/๗๓๘-๗๔๐. ตอไปนี้มีการตรัสเลาถึง การประพฤติอัตตกิลมถานุโยคจนอุปมา ปรากฏ และทรงทําทุกรกิริยา แลวทรงเลิกหมุนไปจับเอาการกระทําความเพียร ทางใจ ดั ง แสดงไว ใ นพระพุ ท ธประวั ติ ต า ง ๆ จนได "พบ" คื อ ตรั ส รู ความจริงอันประเสริฐ.

www.buddhadasa.info ทรงพบ

ภิกษุ ท.! เรานั้น, ครั้นเมื่อจิตตั้งมั่น บริสุทธิ์ผุดผอง ไมมีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส เปนธรรมชาติออนโยน ควรแกการงาน ตั้งอยูได ไมหวั่น ไหว เชนนี้แลว, ไดนอมจิตไปเฉพาะตอ ญาณเปนเครื่องสิ้นไปแหงอาสวะทั้งหลาย เรารูเฉพาะแลวตามเปนจริงวา "นี้เปนทุกข, นี้เปนเหตุใหเกิดทุกข, นี้เปนความ ดับไมเหลือของทุกข, และนี้เปนทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของทุกข;


๕๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

เหลานี้เปนอาสวะทั้งหลาย, นี้เปนเหตุใหเกิดอาสวะ, นี้เปนความดับไมเหลือของ อาสวะ, และนี้เปนทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของอาสวะ;" ดังนี้. เมื่อ เรารูอยูอยางนี้ เห็นอยูอยางนี้ จิตก็พนแลวจากอาสวะคือกาม อาสวะคือภพ อาสวะคืออวิชชา. ครั้นจิตพนแลว ก็เกิดญาณหยั่งรู วา "พนแลว" เรารู เฉพาะแลว วา "ชาติสิ้นแลว พรหมจรรยอยูจบแลว กิจที่ควรทําไดทําสําเร็จแลว กิจอื่นที่จะตองทําเพื่อความหลุดพนอยางนี้ มิไดมีอีก" ดังนี้. ภิกษุ ท.! นี้แล วิชชาที่สาม ที่เราไดบรรลุแลวในปจฉิมยามแหงราตรี. อวิชชาถูกกําจัดแลว วิชชาเกิดขึ้นแลว; ความมืดถูกกําจัดแลว ความสวางเกิดขึ้นแลวโดยประการ ที่เกิดขึ้นแกบุคคลผูไมประมาท มีความเพียรเผากิเลส มีตนสงไปแลวแลอยู. - มู. ม. ๑๒/๒๓๗/๒๕๓.

เมื่อยังไมทรงรูอริยสัจ ก็ยังไมชื่อวา ไดตรัสรูอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ภิกษุ ท.! ตลอดกาลเพียงใด ที่ปญญาเครื่องรูเห็น (ญาณทัสสนะ) ตามเปนจริงของเราในอริยสัจสี่เหลานี้ วามีปริวัฏสาม มีอาการสิบสอง เชนนี้ ๆ ยังไมเปนปญญาที่บริสุทธิ์สะอาดดวยดีแลว; ตลอดกาลเพียงนั้นนั่นเทียว เรายัง ไมปฏิญญา วาเปนผูตรัสรู รูพรอมเฉพาะแลว ซึ่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ใน โลก พรอมดวยเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมูสัตว พรอมทั้งสมณพราหมณ และเทวดาพรอมทั้งมนุษย. ภิกษุ ท.! ก็แตวา ในกาลใดแล, ปญญาเครื่องรู เห็นตามเปนจริงของเรา ในอริยสัจสี่เหลานี้ วามีปริวัฏสาม มีอาการสิบสอง เชนนี้ ๆ เปนปญญาที่บริสุทธิ์สะอาดดวยดีแลว; ในกาลนั้นเทียว เราก็ปฏิญญา วาเปนผูตรัสรู รูพรอมเฉพาะแลว ซึ่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในโลก พรอม

www.buddhadasa.info


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๕๕

ดวยเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมูสัตว พรอมทั้งสมณพราหมณ และ เทวดาพรอมทั้งมนุษย, ทั้งปญญาเครื่องรู และปญญาเครื่องเห็น ไดเกิดขึ้นแลว แกเรา วา "ความหลุดพนของเราไมกลับกําเริบ ชาตินี้เปนชาติสุดทาย บัดนี้ ภพที่เกิดใหมมิไดมีอีกตอไป" ดังนี้. - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๓๐/๑๖๗๐.

ถาไมรูเบญจขันธโดยนัยอริยสัจสี่ ก็ยังไมทรงปฏิญญาเปนพระพุทธเจา ภิกษุ ท.! ตลอดกาลเพียงใด, เรายังไมไดรูชัดแจงยิ่งแลว ซึ่ง อุปาทานขันธทั้งหาเหลานี้ โดยปริวัฏฏสี่ ตรงตามที่เปนจริง; เราก็ยังไมปฏิญญา อยูเพียงนั้นวา เปนผูรูพรอมเฉพาะแลว ซึ่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในโลก พรอมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก, ในหมูสัตว พรอมทั้งสมณพราหมณ พรอมทั้งเทวดาและมนุษย.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! เมื่อใดแล, เราไดรูชัดแจงยิ่งแลว ซึ่งอุปาทานขันธทั้งหา เหลานี้ โดยปริวัฏฏสี่ ตรงตามที่เปนจริง; เมื่อนั้นแหละ, เราจึงปฏิญญาไดวา เปนผูรูพรอมเฉพาะแลว ซึ่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในโลก พรอมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก, ในหมูสัตว พรอมทั้งสมณพราหมณ พรอมทั้งเทวดาและ มนุษย. ภิกษุ ท.! ปริวัฏฏสี่นั้น เปนอยางไรเลา ? ปริวัฎฎสี่นั้นคือ :-


๕๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

(๑) เราไดรูชัดแจงยิ่งแลว ซึ่ง รูป, ไดรูชัดแจงยิ่งแลว ซึ่งความ กอขึ้นของรูป, ไดรูชัดแจงยิ่งแลว ซึ่งความดับไมเหลือของรูป, ไดรูชัดแจง ยิ่งแลว ซึ่งทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของรูป. (๒) เราไดรูชัดแจงยิ่งแลว ซึ่ง เวทนา, ไดรูชัดแจงยิ่งแลว ซึ่งความ กอขึ้นของเวทนา, ไดรูชัดแจงยิ่งแลว ซึ่งความดับไมเหลือของเวทนา, ไดรูชัด แจงยิ่งแลว ซึ่งทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของเวทนา. (๓) เราไดรูชัดแจงยิ่งแลว ซึ่ง สัญญา, ไดรูชัดแจงยิ่งแลว ซึ่งความ กอขึ้นของสัญญา, ไดรูชัดแจงยิ่งแลว ซึ่งความไมเหลือของสัญญา, ไดรูชัด แจงยิ่งแลว ซึ่งทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของสัญญา. (๔) เราไดรูชัดแจงยิ่งแลว ซึ่ง สังขาร ทั้งหลาย, ไดรูชัดแจงยิ่งแลว ซึ่งความกอขึ้นของสังขารทั้งหลาย, ไดรูชัดแจงยิ่งแลว ซึ่งความดับไมเหลือของ สังขารทั้งหลาย, ไดรูชัดแจงยิ่งแลว ซึ่งทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของ สังขารทั้งหลาย.

www.buddhadasa.info (๕) เราไดรูชัดแจงยิ่งแลว ซึ่ง วิญญาณ, ไดรูชัดแจงยิ่งแลว ซึ่งความ กอขึ้นของวิญญาณ, ไดรูชัดแจงยิ่งแลว ซึ่งความดับไมเหลือของวิญญาณ, ไดรู ชัดแจงยิ่งแลว ซึ่งทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของวิญญาณ. ภิกษุ ท.! เหลานี้แหละ ชื่อวา ปริวัฏฏสี่อยางนั้น. (ขอความที่ละเอียดยิ่งไปกวานี้ ตลอดถึงผลของการรู จนทําใหเปนเกพลี จากหนังสือปฏิจจ. โอ. หนา.๓๓๘ ตั้งแตคําวา "ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ! ก็รูปเปนอยางไรเลา ?"

หาดูได


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๕๗

…เปนตนไป จึงถึงหนา ๓๔๒ จบลงที่คําวา… "วัฏฏยอมไมมี เพื่อจะบัญญัติ แกบุคคล เหลานั้น".). - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๗๒-๗๕/๑๑๒-๑๑๗.

พระพุทธองค ทรงพระนามวา สัมมาสัมพุทธะ ก็เพราะไดตรัสรูอริยสัจสี่ ภิกษุ ท.! ความจริงอันประเสริฐมีสี่อยางเหลานี้. สี่อยางเหลา ไหนเลา ? สี่อยางคือ ความจริงอันประเสริฐ คือความทุกข, ความจริงอัน ประเสริฐ คือเหตุใหเกิดทุกข, ความจริงอันประเสริฐ คือความดับไมเหลือของ ทุกข และความจริงอันประเสริฐ คือทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของทุกข : นี้แล ความจริงอันประเสริฐสี่อยาง. ภิกษุ ท.! เพราะไดตรัสรูตามเปนจริง ซึ่งความจริงอันประเสริฐสี่อยางเหลานี้ ตถาคต จึงมีนามอันบัณฑิตกลาววา "อรหันตสัมมาสัมพุทธะ".

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! เพราะเหตุนั้น ในกรณีนี้ พวกเธอพึง ทําความเพียร เพื่อใหรูตามเปนจริง วา "นี้เปนทุกข, นี้เปนเหตุใหเกิดทุกข, นี้เปนความดับ ไมเหลือของทุกข, และนี้เปนทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของทุกข;" ดังนี้ เถิด.

- มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๔๓/๑๗๐๓.

ทรงรอบรูโลก (อริยสัจ) ภิกษุ ท.! โลก (คือทุกข) เปนสิ่งที่ตถาคตรอบรูไดชัดเจนแลว ตถาคตถอนตัวออกไดแลวจากโลก; เหตุใหเกิดโลก เปนสิ่งที่ตถาคตรอบรูได


๕๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

ชัดเจนแลว อันตถาคตละไดขาดแลว; ความดับไมเหลือของโลก เปนสิ่งที่ ตถาคตรอบรูไดชัดเจนแลว อันตถาคตไดกระทําใหแจงแลว; และ ทางดําเนิน ใหถึงความดับไมเหลือของโลก เปนสิ่งที่ตถาคตรอบรูไดชัดเจนแลว อันตถาคต ไดทําใหมีขึ้นแลว. สิ่งใด ที่โลกพรอมดวยเทวโลก มารโลก พรหมโลก ที่หมู สัตว พรอมทั้งสมณพราหมณ และเทวดาพรอมทั้งมุนษย ไดเห็นแลว ฟงแลว ดม-ลิ้ม-สัมผัสแลว รูแลว ถึงแลว แสวงแลว เที่ยวไปตามแลวดวยใจ; สิ่งนั้น ตถาคตรอบรูไดชัดเจนแลวทั้งหมด เหตุนั้นจึงไดมีคํากลาววา "ตถาคต" ดังนี้. - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๓๐/๒๓.

ทรงบันลือสีหนาท ประกาศจตุราริยสัจ ภิกษุ ท.! พระยาสัตวชื่อสีหะ ออกจากถ้ําที่อาศัย ในเวลาเย็น เหยียดกายแลว เหลียวดูทิศทั้งสี่โดยรอบ บันลือสีหนาท ๓ ครั้ง แลวเที่ยวไป เพื่อหาอาหาร. บรรดาสัตวเดรัฉานเหลาใด ไดยินสีหนาท สัตวเหลานั้นก็ สะดุงกลัว เหี่ยวแหงใจ : พวกที่อาศัยโพรง ก็เขาโพรง, พวกที่อาศัยในน้ํา ก็ ลงน้ํา, พวกที่อยูปา ก็เขาปา, ฝูงนกก็โผบินขึ้นสูอากาศ, เหลาชางของ พระราชาในหมูบาน และนิคมและเมืองหลวง ที่ผูกลามไวดวยเชือกอันเหนียว (อุจจาระ) ก็พากันกลัว เหนี่ยวกระชากเชือกใหขาดแลว ถายมูตรและกรีส พลางแลนหนีไป โดยขางโนนขางนี้. ภิกษุ ท.! พระยาสัตวชื่อสีหะ เปนสัตว มีฤทธิ์มาก มีศักดิ์มาก มีอานุภาพมาก กวาบรรดาสัตวเดรัจฉานทั้งหลาย ดวย อาการอยางนี้แล.

www.buddhadasa.info


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๕๙

ภิกษุ ท.! ฉันใดก็ฉันนั้น, ในกาลใด ตถาคตอุบัติขึ้นในโลก เปน พระอรหันตผูตรัสรูชอบเอง ผูสมบูรณดวยวิชชาและขอปฏิบัติใหถึงวิชชา ผู ไปดี ผูรู โลกอยางแจมแจง เปนผูฝกบุรุษที่สมควรฝกได ไมมีใครยิ่งกวา เปน ครูผูสอนของเทวดาและมนุษยทั้งหลาย เปนผูปลุกใหตื่น เปนผูจําแนกธรรม สั่งสอนสัตว. ตถาคตนั้น แสดงธรรมวา สักกายะ (คือทุกข) เปนเชนนี้, สักกายสมุทัย เปนเชนนี้, สักกายนิโรธ เปนเชนนี้, สักกายนิโรธคามินีปฏิปทา เปนเชนนี้, พวกเทพเหลาใด เปนผูมีอายุยืนนาน มีวรรณะ มาก ไปดวยความสุข ดํารงอยูนมนามมาแลว ในวิมานชั้นสูง, พวกเทพนั้น ๆ ได ฟงธรรมเทศนาของตถาคตแลว โดยมาก ก็สะดุงกลัว เหี่ยวแหงใจ สํานึกได วา "ทานผูเจริญเอย ! พวกเรา เมื่อไมเที่ยง ก็มาสําคัญวา เราเปนผูเที่ยง, เมื่อไมยั่งยืน ก็มาสําคัญวา เราเปนผูยั่งยืน, เมื่อไมมั่นคง ก็มาสําคัญวา เราเปนผูมั่นคง. พวกเราทั้งหลาย เปนผูไมเที่ยง ไมยั่งยืน ไมมั่นคง และ ถึงทั่วแลว ซึ่ง สักกายะ (คือความทุกข)” ดังนี้. ภิกษุ ท.! ตถาคตเปนผูมีฤทธิ์ มาก มีศักดิ์มาก มีอานุภาพมาก กวาสัตวโลก พรอมทั้งเทวโลก ดวยอาการ อยางนี้แล.

www.buddhadasa.info - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๔๒/๓๓.

[ในสูตรขางบนนี้ ทรงบันลือสีหนาทดวยเรื่องสักกายะ. ในสูตรอื่น (๑๗/๑๐๓ / ๑๕๕ - ๖) ทรงบันลือดวยการประกาศลักษณะ ๓ อยางแหงขันธทั้ง ๕ โดยนัยวา มีลักษณะ อยางนี้ ๆ มีอาการเกิดขึ้นอยางนี้ ๆ มีอาการดับไปอยางนี้ ๆ ; ซึ่งเมื่อพวกเทพไดฟงแลว มี อาการสลดสังเวช หวั่นไหวไปตาม ๆ กัน เหมือนขอความขางตน.]


๖๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

ทรงประกาศ อนุตตรธรรมจักร ซึ่งใคร ๆ ประกาศไมได ภิกษุ ท.! ณ ปาอิสิปตนมิคทายวัน ใกลกรุงพาราณสี, เราตถาคต ผูอรหันตสัมมาสัมพุทธะ ไดประกาศใหเปนไปแลว ซึ่งอนุตตรธรรมจักรชนิดที่ ไมประกาศใหเปนไปได โดยสมณะ หรือพราหมณ หรือเทวดา มาร พรหม หรือ ใคร ๆ ในโลก. ภิกษุ ท.! การประกาศธรรมจักร นี้ คือการบอก การแสดง การบัญญัติ การแตงตั้ง การเปดเผย การจําแนก และการทําใหเขาใจได ซึ่ง อริยสัจ (ความจริงอันประเสริฐ) สี่อยาง. สี่อยางเหลาไหนเลา ? สี่อยางคือ การ บอก การแสดง ฯลฯ การทําใหเขาใจได ซึ่งความจริงอันประเสริฐ คือทุกข, -เหตุใหเกิดทุกข - ความดับไมเหลือของทุกข - และทางดําเนินใหถึงความดับ ไมเหลือของทุกข, ภิกษุ ท.! เราตถาคตผูอรหันตสัมมาสัมพุทธะ ไดประกาศ ใหเปนไปแลว ซึ่งอนุตตรธรรมจักร ฯลฯ ดังนี้แล. - อุปริ. ม. ๑๔/๔๔๐/๖๙๙.

www.buddhadasa.info สิ่งที่ไมทรงนํามาสอน มีมากยิ่งกวามากนัก

ครั้งหนึ่ง พระผูมีพระภาคเจา ทรงประทับอยูที่ สีสปาวัน ใกลกรุงโกสัมพี. ทรงกําใบสีสปา ขึ้นหนอยหนึ่ง แลวตรัสถามหมูภิกษุ วา ใบสีสปาที่ทรงกํานี้ กับ ที่อยูบนปาโนน, ไหนจะมากกวากัน. เมื่อ ภิกษุกราบทูลวา ที่อยูบนปาโนนมากกวามากแลว จึงตรัสวา :-

ภิกษุ ท.! ฉันใดก็ฉันนั้น, สิ่งที่ยังอยูมากกวามาก ก็คือสิ่งที่เรารู ยิ่งแลว แตไมนํามาสอนพวกเธอทั้งหลาย. เพราะเหตุไรเราจึงไมสอนสิ่งนั้น แกพวกเธอเลา ? เพราะวาสิ่ง ๆ นั้น ไมประกอบดวยประโยชน ไมเปนเงื่อนตน


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๖๑

ของพรหมจรรย ไมเปนไปพรอม เพื่อความหนายทุกข ความคลายกําหนัด ความดับ ความรํางับ ความรูยิ่ง ความรูพรอม และนิพพาน; เพราะเหตุนั้น เราจึงไมสอนสิ่งนั้น แกพวกเธอทั้งหลาย. - มหาวาร. สํ ๑๙/๕๔๘/๑๗๑๒.

สิ่งที่ทรงนํามาสอน ก็เฉพาะเรื่องความพนทุกข ภิกษุ ท.! ก็สิ่งไร ที่เราบอกสอนแกพวกเธอเลา ? สิ่งที่เราบอก สอนแกพวกเธอ คือ ความจริงอันประเสริฐ วา "นี้เปนทุกข, นี้เปนเหตุใหเกิด ทุกข, นี้เปนความดับไมเหลือของทุกข, และนี้เปนทางดําเนินใหถึงความดับ ไมเหลือของทุกข;” ดังนี้. เพราะเหตุไร เราจึงสอนสิ่งนี้แกพวกเธอเลา ? เพราะวาสิ่ง ๆ นี้ ยอมประกอบดวยประโยชน เปนเงื่อนตนของพรหมจรรย เปน ไปพรอมเพื่อความหนายทุกข ความคลายกําหนัด ความดับ ความรํางับ ความรู ยิ่ง ความรูพรอม และนิพพาน; เพราะเหตุนั้น เราจึงสอนสิ่งนี้แกพวกเธอ ทั้งหลาย.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! เพราะเหตุนั้น ในกรณีนี้ พวกเธอพึง ทําความเพียร เพื่อใหรูตามเปนจริงวา "นี้เปนทุกข. นี้เปนเหตุใหเกิดแหงทุกข, นี้เปนความ ดับไมเหลือแหงทุกข, นี้เปนทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข." ดังนี้เถิด.

- มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๔๘/๑๗๑๓.


๖๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

ทรงพยากรณเฉพาะเรื่องอริยสัจสี่ "….ขาแตพระองคผูเจริญ ! สัจจะที่วา โลกเที่ยง นี้เทานั้นเปนคําจริง คําอื่น เปนโมฆะ ดังนั้นหรือ พระเจาขา ?" โปฏฐปาทะ ! ขอที่วา "โลกเที่ยง นี้เทานั้นเปนคําจริง คําอื่นเปนโมฆะ" ดังนี้นั้น เปนขอที่ เราไมพยากรณ. "ขาแตพระองคผูเจริญ ! สัจจะที่วา โลกไมเที่ยง นี้เทานั้นเปนคําจริง คําอื่น เปนโมฆะ ดังนั้นหรือ ?” โปฏฐปาทะ! ขอที่วา "โลกไมเที่ยง นี้เทานั้นเปนคําจริง คําอื่นเปน โมฆะ" ดังนี้นั้น เปนขอที่ เราไมพยากรณ. "ขาแตพระองคผูเจริญ ! สัจจะที่วา โลกมีที่สิ้นสุด นี้เทานั้นเปนคําจริง คําอื่น เปนโมฆะ ดังนั้นหรือ ? โปฎฐปาทะ! ขอที่วา "โลกมีที่สิ้นสุด นี้เทานั้นเปนคําจริง คําอื่นเปน โมฆะ" ดังนี้นั้น เปนขอที่เราไมพยากรณ. "ขาแตพระองคผูเจริญ! สัจจะที่วา โลกไมมีที่สิ้นสุด นี้เทานั้นเปนคําจริง คํา อื่นเปนโมฆะ ดังนั้นหรือ?" โปฏฐปาทะ! ขอที่วา "โลกไมมีที่สิ้นสุด นี้เทานั้นเปนคําจริง คําอื่น เปนโมฆะ" ดังนี้นั้น เปนขอที่ เราไมพยากรณ. "ขาแตพระองคผูเจริญ ! สัจจะที่วา ชีวะก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น นี้เทานั้นเปน คําจริง คําอื่นเปนโมฆะ ดังนั้นหรือ ?"

www.buddhadasa.info


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๖๓

โปฏฐปาทะ ! ขอที่วา "ชีวะก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น นี้เทานั้นเปนคํา จริง คําอื่นเปนโมฆะ" ดังนี้นั้น เปนขอที่เราไมพยากรณ. "ขาแตพระองคผูเจริญ ! สัจจะที่วา ชีวะก็อันอื่น สรีระก็อันอื่น นี้เทานั้นเปน คําจริง คําอื่นเปนโมฆะ ดังนั้นหรือ ?” โปฏฐปาทะ ! ขอที่วา "ชีวะก็อันอื่น สรีระก็อันอื่น นี้เทานั้นเปนคําจริง คําอื่นเปนโมฆะ" ดังนี้นั้น เปนขอที่ เราไมพยากรณ. "ขาแตพระองคผูเจริญ ! สัจจะที่วา ตถาคตภายหลังแตตายแลว ยอมมีอีก นี้ เทานั้นเปนคําจริง คําอื่นเปนโมฆะ ดังนั้นหรือ?" โปฏฐปาทะ! ขอที่วา "ตถาคตภายหลังแตตายแลว ยอมมีอีก นี้เทานั้น เปนคําจริง คําอื่นเปนโมฆะ" ดังนั้นั้น เปนขอที่ เราไมพยากรณ. "ขาแตพระองคผูเจริญ ! สัจจะที่วา ตถาคตภายหลังแตตายแลว ยอมไมมีอีก นี้เทานั้นเปนคําจริง คําอื่นเปนโมฆะ ดังนั้นหรือ ?" โปฏฐปาทะ! ขอที่วา "ตถาคตภายหลังแตตายแลว ยอมไมมีอีก นี้ เทานั้นเปนคําจริง คําอื่นเปนโมฆะ" ดังนี้นั้น เปนขอที่ เราไมพยากรณ. "ขาแตพระองคผูเจริญ ! สัจจะที่วา ตถาคตภายหลังแตตายแลว ยอมมีอีกก็มี ไมมีอีกก็มี นี้เทานั้นเปนคําจริง คําอื่นเปนโมฆะ ดังนั้นหรือ ?" โปฏฐปาทะ ! ขอที่วา "ตถาคตภายหลังแตตายแลว ยอมมีอีกก็มี ไมมีอีกก็มี นี้เทานั้นเปนคําจริง คําอื่นเปนโมฆะ" ดังนี้นั้น เปนขอที่ เราไม พยากรณ. "ขาแตพระองคผูเจริญ ! สัจจะที่วา ตถาคตภายหลังแกตาย แลวยอมมีอีก ก็หามิได ไมมีอีกก็หามิได นี้เทานั้นเปนคําจริง คําอื่นเปนโมฆะ ดังนั้นหรือ ?"

www.buddhadasa.info


๖๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

โปฏฐปาทะ ! ขอที่วา "ตถาคตภายหลังแตตายแลว ยอมมีอีกก็หามิได ไมมีอีกก็หามิได นี้เทานั้นเปนคําจริง คําอื่นเปนโมฆะ" ดังนี้นั้น เปนขอที่ เราไม พยากรณ. "ขาแตพระองคผูเจริญ ! เพราะเหตุอะไรเลา ขอนั้น ๆ จึงเปนสิ่งที่ไมทรง พยากรณ? โปฏฐปาทะ ! เพราะเหตุวา นั่นไมประกอบดวยอรรถะ ไมประกอบ ดวยธรรมะ ไมเปนเบื้องตนของพรหมจรรย ไมเปนไปพรอมเพื่อความหนาย ความคลายกําหนัด ความดับ ความระงับ ความรูยิ่ง ความรูพรอม และนิพพาน, เหตุนั้นเราจึงไมพยากรณ. "ขาแตพระองคผูเจริญ! เพราะเหตุอะไรเลา เปนสิ่งที่พระองคทรงพยากรณ ?" โปฏฐปาทะ ! ขอที่เราพยากรณนั้นคือ นี้ทุกข, นี้เหตุใหเกิดทุกข, นี้ความ ดับไมเหลือแหงทุกข, นี้ทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข, ดังนี้ "ขาแตพระองคผูเจริญ! เพราะเหตุอะไรเลา จึงทรงพยากรณ?" โปฎฐปาทะ! เพราะเหตุวา นั่นประกอบดวยอรรถะ ประกอบดวย ธรรมะ เปนเบื้องตนของพรหมจรรย เปนไปพรอมเพื่อความหนาย ความคลายกําหนัด ความดับ ความระงับ ความรูยิ่ง ความรูพรอม และนิพพาน, เหตุนั้นเราจึงพยากรณ.

www.buddhadasa.info - สี. ที. ๙/๒๓๒-๒๓๓/๒๙๒-๒๙๓.

ทรงบัญญัติสัจจะ ไมเขาใคร ออกใคร

ภิกษุ ท.! ทั้งในกาลกอนและบัดนี้, เรายอมบัญญัติแต ความทุกข และความดับไมเหลือของทุกข เทานั้น. ภิกษุ ท.! ถาหากวา ในการบัญญัติ


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๖๕

นั้นจะมีชนเหลาอื่นมาดาทอ ตัดพอ เสียดสี กระทบกระทั่ง ตถาคต แลวไซร ความอาฆาต ความเกรี้ยวกราด ความไมยินดีแหงจิต จะมีแกตถาคตเพราะเหตุนั้น ก็หามิได. ภิกษุ ท.! ถาหากวา ในการบัญญัตนั้น จะมีชนเหลาอื่นมาสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ตถาคตไซร ความเพลิดเพลิน ความโสมนัส ความเหอเหิม แหงจิต จะมีแกตถาคต เพราะเหตุนั้น ก็หามิได. ภิกษุ ท.! ถาหากวา ใน การบัญญัตินั้น มีชนเหลาอื่น มาสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ตถาคตไซร ความรูสึกในเรื่องนั้น ยอมเกิดขึ้นแกตถาคต วา "สิ่งใดที่เรากําหนดรอบรูแลว ในกาลกอน เรายอมกระทําใหเหมือนกับที่เรารูในสิ่งนั้น" ดังนี้. - มู. ม. ๑๒/๒๗๘/๒๘๖.

ตรัสถอยคําโดยโวหารโลก แตมิไดทรงยึดถือ โปฏฐปาทะ ! การไดอัตตาเฉพาะอยาง ๓ อยางเหลานี้ มีอยู คือการ ไดอัตตาเฉพาะอยาง ชนิดหยาบ, การไดอัตตาเฉพาะอยาง ชนิดสําเร็จดวยใจ, การไดอัตตาเฉพาะอยาง ชนิดไมมีรูป.

www.buddhadasa.info โปฏฐาปาทะ ! การไดอัตตาเฉพาะอยาง ชนิดหยาบ เปนอยางไรเลา ? ชนิดหยาบคือ อัตตาที่มีรูป ประกอบดวยมหาภูตสี่ มีกวฬีการาหารเปนภักษา. การไดอัตตาเฉพาะอยาง ชนิดสําเร็จดวยใจ เปนอยางไรเลา? ชนิด สําเร็จดวยใจคือ อัตตาที่มีรูป สําเร็จดวยใจ มีอวัยวะนอยใหญครบถวน มีอินทรีย ไมบกพรอง.


๖๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

การไดอัตตาเฉพาะอยาง ชนิดไมมีรูป เปนอยางไรเลา ? ชนิดไมมี รูปคือ อัตตาอันหารูปมิได สําเร็จดวยสัญญา. (ตอจากนี้ไดทรงแสดงการละและอานิสงสแหงการละซึ่งอัตตาทั้งสามนั้น ในลักษณะ ที่นาสนใจอยางยิ่ง แลวทรงผันไปตรัสกะจิตตหัตถิสารีบุตรผูนั่งอยูดวยกันกับโปฏฐปาทะ วา :-)

จิตตะ !…สมัยใด การไดอัตตาเฉพาะอยางชนิดหยาบ สมัยนั้นไม ถึงซึ่งการนับวาไดอัตตาเฉพาะอยางชนิดสําเร็จดวยใจ และชนิดไมมีรูป. คงไดแต อัตตาชนิดหยาบอยางเดียวเทานั้น. จิตตะ ! สมัยใด มีการไดอัตตาเฉพาะอยาง ชนิดสําเร็จดวยใจ สมัยนั้น ไมถึงซึ่งการนับวาไดอัตตาเฉพาะอยางชนิดหยาบและ ชนิดไมมีรูป, คงไดแตอัตตาชนิดสําเร็จดวยใจอยางเดียวเทานั้น. จิตตะ ! สมัย ใด มีการไดอัตตาเฉพาะอยางชนิดไมมีรูป สมัยนั้น ไมถึงซึ่งการนับวาไดอัตตา เฉพาะอยางชนิดหยาบ และชนิดสําเร็จดวยใจ, คงไดแตอัตตาชนิดไมมีรูปอยาง เดียวเทานั้น. จิตตะ ! เปรียบเหมือน นมสดจากแมโค นมสมจากนมสด เนยขนจากนมสม เนยใสจากเนย หัวเนยใสจากเนยใส. สมัยใดเปนนมสด สมัยนั้นไมถึงซึ่งการนับวานมสม เนยขน เนยใส หัวเนยใส, คงนับวาเปนนม สดอยางเดียวเทานั้น. สมัยใดเปนนมสม สมัยนั้นไมถึงซึ่งการนับวาเปนนมสด เนยขน เนยใส หัวเนยใส, คงนับวาเปนนมสมอยางเดียวเทานั้น. สมัยใดเปน เนยขน สมัยนั้นไมถึงซึ่งการนับวาเปนนมสด นมสม เนยใส หัวเนยใส, คง นับวาเปนเนยขนอยางเดียวเทานั้น. สมัยใดเปนเนยใส สมัยนั้นไมถึงซึ่งการ นับวาเปนนมสด นมสม เนยขน หัวเนยใส. คงนับวาเปนเนยใสอยางเดียว เทานั้น. สมัยใดเปนหัวเนยใส สมัยนั้นไมถึงซึ่งการนับวาเปนนมสด นมสม เนยขน เนยใส, คงนับวาเปนหัวเนยใสอยางเดียวเทานั้น; ฉันใดก็ฉันนั้น.

www.buddhadasa.info


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๖๗

จิตตะ ! อัตตา ๓ ชนิดเหลานี้แล เปนโลกสมัญญา โลกนิรุติ โลกโวหาร โลกบัญญัติ ที่ตถาคตก็ กลาวอยูอยางชาวโลก แตมิไดยึดถือความหมาย อยางชาวโลก, ดังนี้. - สี. ที. ๙/๒๔๑, ๒๔๗/๓๐๒, ๓๑๒.

สาวกมาอยูอาศัยพระองค เพราะทรงตอบปญหาอริยสัจได อุทายิ! บางคราวเราบริโภคเสมอขอบปากบาตร บางคราว ยิ่งขึ้นไป, ถาสาวกทั้งหลาย สักการะเคารพนับถือบูชา และมาอยูอาศัยดวยเรา เพราะเขาใจวาเราเปนผูมีอาหารนอย และกลาวสรรเสริญความมีอาหารนอยแลว สาวกพวกที่ฉันอาหารเพียงจอกนอย ครึ่งจอกนอย เทาผลมะตูม กึ่งผลมะตูม ก็จะ หาสักการะเคารพนับถือบูชา แลวและอยูอาศัยดวยเรา เพราะเหตุนั้นไดไม. อุทายิ !…บางคราวเราครองคหบดีจีวร เนื้อแนนละเอียดดวยเสน ดายดุจขนน้ําเตา, ถาสาวกทั้งหลาย สักการะ ฯลฯ อยูอาศัยดวยเรา เพราะ เขาใจวา เราเปนผูสันโดษดวยจีวรตามมีตามไดแลว สาวกพวกที่ถือผาบังสุกุล ทรงจีวรเศราหมอง เสาะหาผาขาด ๆ จากปาชาบาง จากกองขยะมูลฝอยบาง จาก ใตรานตลาดบาง มาทําเปนสังฆาฏิครอง ก็จะหาสักการะ ฯลฯ อยูอาศัยดวยเรา เพราะเหตุนั้นไดไม.

www.buddhadasa.info อุทายิ!…บางคราวเราอยูเกลื่อนกลนดวยภิกษุทั้งหลาย ดวยภิกษุณี ทั้งหลาย ดวยอุบาสกทั้งหลาย ดวยอุบาสิกาทั้งหลาย ดวยพระราชาและอมาตย ของพระราชาทั้งหลาย ดวยเดียรถียและสาวกของเดียรถียทั้งหลาย, ถาวาสาวก


๖๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

ทั้งหลายสักการะ ฯลฯ อยูอาศัยดวยเรา เพราะเขาใจวา เราเปนผูเสพเสนาสนะ อันสงัดแลว สาวกพวกที่อยูปา ถือเสนาสนะสงัดในปา มาสูที่ประชุมสงฆ เฉพาะคราวมีปาติโมกขทุก ๆ กึ่งเดือน เทานั้น ก็จะหาสักการะ ฯลฯ อยูอาศัย ดวยเรา เพราะเหตุนั้นไดไม. ฯลฯ อุทายิ !…สาวกทั้งหลายของเรา ถูกความทุกขหยั่งลงแลว มีทุกข อยูตรงหนาแลว ดวยทุกขใด, เธอเหลานั้นเขาไปหาเราแลว ถาม ทุกขอริยสัจ กะเรา เราถูกถามแลว ก็พยากรณให เรายังจิตของเธอเหลานั้น ใหยินดีไดดวย การพยากรณปญหา…..เธอถาม ทุกขสมุทยอริยสัจ, ทุกขนิโรธอริยสัจ, และทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ กะเรา, เราถูกถามแลว ก็พยากรณให เรายังจิตของเธอเหลานั้น ใหยินดีไดดวยการพยากรณปญหา. อุทายิ ! นี่แล เปนเหตุใหสาวกทั้งหลายของเรา สักการะ เคารพ นับถือ บูชา แลวและอยูอาศัย ดวยเรา. - ม. ม. ๑๓/๓๑๘-๓๒๓/๓๒๔-๓๓๒.

www.buddhadasa.info พระพุทธเจา ทั้งในอดีต - อนาคต - ปจจุบัน ลวนแตตรัสรูอริยสัจสี่

ภิกษุ ท.! พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจาองคใด ๆ ไดตรัสรูตาม เปนจริงไปแลว ในกาลยืดยาวนานฝายอดีต, ทานทั้งหลายเหลานั้น ไดตรัสรู ตามเปนจริง ซึ่งความจริงอันประเสริฐสี่อยาง. ภิกษุ ท.! พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจาองคใด ๆ จักไดตรัสรูตามเปนจริง ตอกาลยืดยาวนานฝายอนาคต, ทานทั้งหลายเหลานั้น ก็จักไดตรัสรูตามเปนจริง ซึ่งความจริงอันประเสริฐสี่อยาง.


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๖๙

ภิกษุ ท.! แมพระอรหันตสัมมาสัมพุทธะ ผูตรัสรูตามเปนจริงอยู ในกาล เปนปจจุบันนี้ ก็ไดตรัสรูอยู ซึ่งความจริงอันประเสริฐสี่อยาง. ความจริงอัน ประเสริฐสี่อยางนั้น เหลาไหนเลา ? สี่อยางคือ ความจริงอันประเสริฐคือ ทุกข. ความจริงอันประเสริฐ คือ เหตุใหเกิดทุกข, ความจริงอันประเสริฐ คือ ความดับ ไมเหลือของทุกข, และความจริงอันประเสริฐ คือ ทางดําเนินใหถึงความดับไม เหลือของทุกข. ภิกษุ ท.! เพราะเหตุนั้น ในกรณีนี้ พวกเธอพึง ทําความเพียร เพื่อใหรูตามเปนจริง วา "นี้เปนทุกข, นี้เปนเหตุใหเกิดทุกข, นี้เปนความดับ ไมเหลือของทุกข. และนี้เปนทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของทุกข;" ดังนี้ เถิด. - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๔๓/๑๗๐๔.

เหตุที่ตองมีพระพุทธองคและธรรมวินัยอยูในโลก

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.!ถาธรรมชาติ ๓ อยางเหลานี้ ไมพึงมีอยูในโลกแลวไซร; ตถาคตก็ไมตองเกิดขึ้นในโลก เปนอรหันตสัมมาสัมพุทธะ, และธรรมวินัยที่ ตถาคตประกาศแลว ก็ไมตองรุงเรืองไปในโลก. ธรรมชาติ ๓ อยางนั้น คือ อะไรเลา ? คือ ชาติ ชรา และ มรณะ (ทุกขอริยสัจ).ภิกษุ ท.! ธรรมชาติ ๓ อยางเหลานี้แล ถาไมมีอยูในโลกแลวไซร, ตถาคตก็ไมตองเกิดขึ้นในโลกเปน อรหันตสัมมาสัมพุทธะ และธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแลวก็ไมตองรุงเรืองไป ในโลก.


๗๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิกษุ ท.! เพราะเหตุใดแล ที่ ธรรมชาติ ๓ อยางเหลานี้ มีอยูใน โลก, เพราะเหตุนั้น ตถาคตจึงตองเกิดขึ้นในโลก เปนอรหันตสัมมาสัมพุทธะ และ ธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแลวจึงตองรุงเรืองไปในโลก. - ทสก. อํ. ๒๔/๑๕๔/๗๖.

ผูชวยใหรูอริยสัจ นับเนื่องอยูในบุคคลผูมีอุปการะมาก ภิกษุ ท.! บุคคลมีอุปการะมากตอบุคคล สามจําพวกเหลานี้ มีอยู. สามจําพวกเหลาไหนเลา ? ภิกษุ ท.! บุคคลอาศัยบุคคลใดแลว ไดเปนผูถึงพระพุทธเจา เปนสรณะ ถึงพระธรรมเปนสรณะ ถึงพระสงฆเปนสรณะ. ภิกษุ ท.! บุคคลนี้ ชื่อวาเปนผูมีอุปการะมากตอบุคคลนี้. ภิกษุ ท.! ขออื่นอีก, บุคคลอาศัยบุคคลใดแลว ไดรูชัดตามเปนจริงวา "นี้ ทุกข, นี้ ทุกขสมุทัย, นี้ ทุกขนิโรธ, นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา" ดังนี้. ภิกษุ ท.! บุคคลนี้ ชื่อวามีอุปการะมากตอบุคคลนี้.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! ขออื่นอีก, บุคคลอาศัยบุคคลใดแลว ไดทําใหแจงซึ่ง เจโตวิมุตติปญญาวิมุตติอันหาอาสวะมิได เพราะความสิ้นไปแหงอาสวะทั้งหลาย ดวยปญญาอันยิ่งเอง ในทิฏฐธรรม เขาถึงแลวแลอยู. ภิกษุ ท.! บุคคลนี้ ชื่อวามีอุปการะมากตอบุคคลนี้.


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๗๑

ภิกษุ ท.! บุคคล ๓ จําพวกเหลานี้แล ชื่อวาบุคคลผูมีปุปการะมาก ตอบุคคล. ภิกษุ ท.! เรากลาววา ไมมีบุคคลอื่นที่มีอุปการะมากตอบุคคล ยิ่ง ไปกวาบุคคล ๓ จําพวกนี้. ภิกษุ ท.! สําหรับบุคคล ๓ จําพวกนั้น บุคคลจะกระทําปฏิการะได โดยงายหามิได แมดวยการอภิวาท การลุกขึ้นยืนรับ การทําอัญชลี การทําสามีจิกรรม และการตามถวายซึ่งจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปจจยเภสัชชบริขาร, แล. - ติก. อํ. ๒๐/๑๕๕/๔๖๓.

www.buddhadasa.info


๗๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

- ๔ -

การรูอริยสัจ ไมเปนสิ่งสุดวิสัย ทั้งในอดีต อนาคต ปจจุบัน ลวนมีการประกาศอริยสัจ ตามเปนจริง ภิกษุ ท.! ในกาลยืดยาวนานฝายอดีต, สมณะหรือพราหมณเหลา ใด ประกาศธรรมที่ตนรูดียิ่งแลวตามเปนจริง สมณะหรือพราหมณเหลานั้น ทุกทาน ประกาศแลว ซึ่งความจริงอันประเสริฐสี่อยาง, ในกาลยืดยาวนาน ฝายอนาคต, สมณะหรือพราหมณเหลาใด จักประกาศธรรมที่ตนรูดียิ่งแลว ตามเปนจริง สมณะหรือพราหมณเหลานั้นทุกทาน จักประกาศซึ่งความจริง อันประเสริฐสี่อยาง. ในกาลเปนปจจุบันนนี้, สมณะหรือพราหมณเหลาใด ประกาศอยูซึ่งธรรมที่ตนรูดียิ่งแลวตามเปนจริง สมณะหรือพราหมณเหลานั้น ทุกทาน ยอมประกาศอยู ซึ่งความจริงอันประเสริฐสี่อยาง. ความจริงอันประเสริฐสี่อยางนั้นเหลาไหนเลา ? สี่อยางคือความจริงอันประเสริฐ คือ ทุกข, เหตุใหเกิดทุกข, ความดับไมเหลือของทุกข, และทางดําเนินใหถึงความดับไม เหลือของทุกข.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! เพราะเหตุนั้น ในกรณีนี้ พวกเธอพึง ทําความเพียร เพื่อใหรูตามเปนจริง วา "นี้เปนทุกข, นี้เปนเหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข, นี้เปนความ ดับไมเหลือแหงทุกข, นี้เปนทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข," ดังนี้เถิด. - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๒๓/๑๖๕๙.


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๗๓

มีบุคคลบวชแลวรูอริยสัจ ทั้งในอดีต - อนาคต - ปจจุบัน ภิกษุ ท.! ในกาลยืดยาวนานฝายอดีต, กุลบุตรเหลาใด ออกจาก เรือนบวชแลว เปนผูไมเกี่ยวของดวยเรือน ไดรูพรอมยิ่งแลวตามเปนจริง, กุลบุตรทั้งหมดนั้น ไดรูพรอมยิ่งแลว ซึ่งความจริงอันประเสริฐสี่อยาง. ใน กาลยืดยาวนานฝายอนาคต, กุลบุตรเหลาใด จักออกจากเรือนบวช เปนผู ไมเกี่ยวของดวยเรือน จักรูพรอมยิ่งตามเปนจริง, กุลบุตรทั้งหมดนั้น ก็จัก รูพรอมยิ่งแลว ซึ่งความจริงอันประเสริฐสี่อยาง. และในกาลเปนปจจุบันนี้, กุลบุตรเหลาใด ออกจากเรือนบวชอยู เปนผูไมเกี่ยวของดวยเรือน รูพรอม ยิ่งอยูตามเปนจริง, กุลบุตรทั้งหมดนั้น ก็รูพรอมยิ่งอยู ซึ่งความจริงอันประเสริฐสี่อยาง. ความจริงอันประเสริฐสี่อยางนั้น เหลาไหนเลา ? สี่อยางคือ ความจริงอันประเสริฐ คือทุกข, เหตุใหเกิดทุกข, ความดับไมเหลือของทุกข, และทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของทุกข. ภิกษุ ท.! เพราะเหตุนั้น ในกรณีนี้ พวกเธอพึง ทําความเพียร เพื่อใหรูตามเปนจริง วา "นี้เปนทุกข, นี้เปนเหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข, นี้เปน ความดับไมเหลือแหงทุกข, นี้เปนทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข," ดังนี้เถิด.

www.buddhadasa.info - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๒๑/๑๖๕๗.

ทั้งอดีต-อนาคต-ปจจุบัน ลวนแตมีการรูอริยสัจ ภิกษุ ท.! บุคคลทั้งหลายเหลาใด จะเปนสมณะหรือพราหมณ ก็ตาม ใน กาลยืดยาวฝายอดีต ไดรูพรอมเฉพาะแลวตามคาวมเปนจริง, บุคคลเหลานั้น ทั้งหมด ก็ไดรูพรอมเฉพาะแลวตามความเปนจริง ซึ่งความจริงอันประเสริฐสี่อยาง.


๗๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิกษุ ท.! บุคคลทั้งหลายเหลาใด จะเปนสมณะหรือพราหมณก็ตาม ใน กาลยืดยาวฝายอนาคต จักรูพรอมเฉพาะตามความเปนจริง, บุคคลเหลานั้น ทั้งหมด ก็จักรูพรอมเฉพาะตามความเปนจริง ซึ่งความจริงอันประเสริฐสี่อยาง. ภิกษุ ท.! บุคคลทั้งหลายเหลาใด จะเปนสมณะหรือพราหมณก็ตาม ใน กาลนี้ รูพรอมเฉพาะตามความเปนจริงอยู, บุคคลเหลานั้นทั้งหมด ก็รู พรอมเฉพาะตามความเปนจริงอยู ซึ่งความจริงอันประเสริฐสี่อยาง. ภิกษุ ท.! ความจริงอันประเสริฐสี่อยาง เหลาไหนเลา ? สี่อยางคือ ความจริงอันประเสริฐเรื่องทุกข, ความจริงอันประเสริฐเรื่องเหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข, ความจริงอันประเสริฐเรื่องความดับไมเหลือแหงทุกข, และความจริงอันประเสริฐเรื่อง ทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข. ภิกษุ ท.! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ เธอพึงประกอบโยคกรรม๑ อัน เปนเครื่องทําใหรูวา "ทุกข เปนอยางนี้, เหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข เปนอยางนี้, ความดับไมเหลือแหงทุกข เปนอยางนี้, ทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหง ทุกข เปนอยางนี้," ดังนี้.

www.buddhadasa.info - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๒๒/๑๖๕๘.

๑. โยคกรรม คือ การกระทําความเพียรอยางมีระบบ อยางแข็งขันเต็มที่ เพื่อใหสํา เร็จ ประโยชนตามความมุง หมาย เรียกกัน ทั่ว ไปวา "โยคะ"; ไดระหวางศาสนาทุกศาสนา.

ในรูปแบบหนึ่ง ๆ เปน คํา กลางใช กั น


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๗๕

ตรัสวาจงหลีกเรน แลวจักรูอริยสัจ ภิกษุ ท.! พวกเธอทั้งหลาย จงประกอบความเพียรในการหลีกเรน เถิด. ภิกษุ ผูหลีกเรน ยอมรูไดตามเปนจริง, รูไดตามเปนจริงซึ่งอะไรเลา ? รูไดตามเปนจริง ซึ่ง ความจริงอันประเสริฐ วา "นี้เปนทุกข, นี้เปนเหตุใหเกิด ทุกข, นี้เปนความดับไมเหลือของทุกข, และนี้เปนทางดําเนินใหถึงความดับ ไมเหลือของทุกข;" ดังนี้. ภิกษุ ท.! พวกเธอทั้งหลาย จงประกอบความเพียร ในการหลีกเรนเถิด. ภิกษุผูหลีกเรน ยอมรูไดตามเปนจริง. ภิกษุ ท.! เพราะเหตุนั้น ในกรณีนี้ พวกเธอพึง ทําความเพียร เพื่อใหรูตามเปนจริง วา "นี้เปนทุกข, นี้เปนเหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข, นี้เปนความ ดับไมเหลือแหงทุกข, นี้เปนทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข," ดังนี้เถิด. - มหาวาร.สํ. ๑๙/๕๒๐/๑๖๕๕.

ตรัสวาจงเจริญสมาธิ จักรูอริยสัจตามเปนจริง

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! พวกเธอทั้งหลาย จงเจริญสมาธิเถิด. ภิกษุ ท.! ภิกษุ ผูมีจิตเปนสมาธิแลว ยอมรูไดตามเปนจริง. รูไดตามเปนจริงซึ่งอะไรเลา ? รูไดตามเปนจริง ซึ่ง ความจริงอันประเสริฐ วา "นี้เปนทุกข, นี้เปนเหตุใหเกิด ทุกข, นี้เปนความดับไมเหลือของทุกข, และนี้เปนทางดําเนินใหถึงความดับ ไมเหลือของทุกข;" ดังนี้. ภิกษุ ท.! พวกเธอทั้งหลาย จงเจริญสมาธิเถิด. ภิกษุ ท.! ภิกษุผูมีจิตเปนสมาธิแลว ยอมรูไดตามเปนจริง.


๗๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิกษุ ท.! เพราะเหตุนั้น ในกรณีนี้พวกเธอพึง ทําความเพียร เพื่อใหรูตามเปนจริง วา "นี้เปนทุกข, นี้เปนเหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข, นี้เปน ความดับไมเหลือแหงทุกข, นี้เปนทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข;" ดังนี้เถิด. - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๒๐/๑๖๕๔.

จิตเปนสมาธิแลว รูอริยสัจไดแจมใส เหมือนเห็นของในน้ําอันใส ...ครั้นจิตตั้งมั่น บริสุทธิ์ผุดผอง ไมมีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส เปนธรรมชาติออนโยน ความแกการงาน ตั้งอยูได ไมหวั่นไหว เชนนี้แลว, เธอก็นอมจิตไปเฉพาะตอ ญาณเปนเครื่องสิ้นไปแหงอาสวะทั้งหลาย.เธอยอม รูชัดตามเปนจริงวา "นี้เปนทุกข, นี้เปนเหตุใหเกิดทุกข, นี้เปนความดับไม เหลือของทุกข, และนี้เปนทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของทุกข; เหลานี้ เปนอาสวะทั้งหลาย, นี้เปนเหตุใหเกิดอาสวะ, นี้เปนความดับไมเหลือของ อาสวะ, และนี้เปนทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของอาสวะ;" ดังนี้. เมื่อ เธอรูอยูอยางนี้ เห็นอยูอยางนี้จิตก็พนแลว จาก อาสวะคือกาม อาสวะคือ ภพ อาสวะคืออวิชชา. ครั้นจิตพนแลวก็เกิดญาณหยั่งรูวา "พนแลว" เธอรูชัดวา "ชาติสิ้นแลวพรหมจรรยอยูจบแลวกิจที่ควรทําไดทําสําเร็จแลว กิจอื่นที่จะตองทําเพื่อความหลุดพนอยางนี้ มิไดมีอีก" ดังนี้. ภิกษุ ท.! เปรียบเหมือนหวงน้ําใส ที่ไหลเขา ไมขุนมัว, คนมีจักษุ (ไมบอด) ยืนอยูบนฝง ณ ที่นั้น : เขาจะเห็นหอยตาง ๆ บาง กรวดและหินบาง

www.buddhadasa.info


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๗๗

ฝูงปลาบาง อันหยุดอยูและวายไปในหวงน้ํานั้น. เขาจําจะสํานึกใจอยางนี้ วา "หวงน้ํานี้ใสไมขุนมัวเลย : หอย กอนกรวด ปลาทั้งหลายเหลานี้ หยุดอยู บาง วายไปบาง ในหวงน้ํานั้น" : อุปมานี้เปนฉันใด; ภิกษุ ท.! อุปไมย ก็ฉันนั้นเหมือนกัน, ภิกษุนั้น ยอมรูชัดตามเปนจริง วา "นี้เปนทุกข, นี้เปน เหตุใหเกิดทุกข. นี้เปนความดับไมเหลือของทุกข, และนี้เปนทางดําเนินใหถึง ความดับไมเหลือของทุกข; เหลานี้เปนอาสวะทั้งหลาย, นี้เปนเหตุใหเกิดอาสวะ, นี้เปนความดับไมเหลือของอาสวะ, และนี้เปนทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือ ของอาสวะ;" ดังนี้. เมื่อเธอรูอยูอยางนี้ เห็นอยูอยางนี้ จิตก็พนแลว จาก อาสวะคือกาม อาสวะคือภพ อาสวะคืออวิชชา. ครั้นจิตพนแลว ก็เกิดญาณ หยั่งรู วา "พนแลว" เธอนั้นรูชัดวา "ชาติสิ้นแลว พรหมจรรยอยูจบแลว กิจ ที่ควรทําไดทําสําเร็จแลว กิจอื่นที่จะตองทําเพื่อความหลุดพนอยางนี้ มิไดมีอีก" ดังนี้. - มู. ม. ๑๒/๕๐๙/๔๗๗.

เมื่อประพฤติถูกทาง กิริยาที่ไปนิพพาน เบาสบายเหมือนไมลอยตามน้ํา

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! พวกเธอไดเห็น ทอนไมใหญโนน ซึ่งลอยมาโดยกระแส แมน้ําคงคาหรือไม ? ภิกษุทั้งหลายกราบทูลวา "ไดเห็นแลว พระเจาขา !"

ภิกษุ ท.! ถาทอนไมนั้น จะไมเขาไปติดเสียที่ ฝงใน หรือฝงนอก, ไมจมเสียในกลางน้ํา, ไมขึ้นไปติดแหงอยูบนบก, ไมถูกมนุษยจับไว, ไมถูก อมนุษยจับไว, ไมถูกเกลียวน้ําวนวนไว, ไมผุเสียเองในภายใน ไซร, ทอนไมที่


๗๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

กลาวถึงนี้ จักลอยไหลพุงออกไปสูทะเล เพราะเหตุวา ลําแมน้ําคงคาโนมนอม ลุมลาด เอียงเทไปสูทะเล, อุปมานี้ฉันใด; ภิกษุ ท.! อุปไมยก็ฉันนั้น เหมือนกัน, แมพวกเธอทั้งหลาย : ถาพวกเธอไมเขาไปติดเสียที่ฝงใน, ไมเขา ไปติดเสียที่ฝงนอก, ไมจมเสียในทามกลาง, ไมติดแหงอยูบนบก, ไมถูกมนุษย จับไว, ไมถูกอมนุษยจับไว, ไมถูกเกลียวน้ําวนวนไว, ไมเนาเสียเองในภายใน ไซร, พวกเธอก็จะเลื่อนไหลไปสูนิพพาน เพราเหตุวา สัมมาทิฏฐิ มีธรรมดา ที่โนมนอม ลุมลาด เอียงเทไปสูนิพพาน. ฯลฯ. ภิกษุ ท.! คําวา 'ฝงใน' เปนชื่อของอายตนะภายใน ๖ อยาง คําวา 'ฝงนอก' เปนชื่อของอายตนะภายนอก ๖ อยาง. คําวา 'จมเสียในทามกลาง' เปนชื่อของนันทิราคะ. คําวา 'ขึ้นไปติดแหงอยูบนบก' เปนชื่อของอัสมิมานะ (ความสําคัญวาเรามีเราเปน). คําวา 'ถูกมนุษยจับไว' ไดแกภิกษุในกรณีนี้ เปนผู ระคนดวยคฤหัสถ เพลิดเพลินดวยกัน โศกเศราดวยกัน, มีสุข เมื่อคฤหัสถ เหลานั้นมีสุข, เปนทุกข เมื่อคฤหัสถเหลานั้นเปนทุกข, ประกอบการงานใน กิจการที่บังเกิดขึ้นแกคฤหัสถเหลานั้นดวยตน : ภิกษุนี้ เราเรียกวาผูถูกมนุษยจับ ไว. คําวา 'ถูกอมนุษยจับไว' ไดแก ภิกษุบางรูป ในกรณีนี้ ประพฤติพรหมจรรย โดยตั้งความปรารถนาเทพนิกายชั้นใดชั้นหนึ่ง วา ดวยศีลนี้ หรือดวยวัตรนี้ หรือวาดวยตบะนี้ เราจักไดเปนเทวดาผูมีศักดาใหญ หรือเปนเทวดาผูที่ศักดานอย อยางใดอยางหนึ่ง ดังนี้ : ภิกษุนี้ เราเรียกวาผูถูกอมนุษยจับไว คําวา 'ถูก เกลียวน้ําวนวนไว' เปนชื่อของกามคุณ ๕ ภิกษุเปนผูเนาเสียเองในภายใน คืออยางไรเลา ? คือ ภิกษุบางรูปในกรณีนี้ เปนคนทุศีล มีความเปนอยูลามก ไมสะอาด มีความประพฤติชนิดที่ตนเองนึกแลวก็กินแหนงตัวเอง มีการกระทํา ที่ตองปกปดซอนเรน ไมใชสมณก็ปฏิญญาวาเปนสมณะ ไมใชคนประพฤติ

www.buddhadasa.info


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ พรหมจรรยก็ปฏิญญาวาเปนคนประพฤติพรหมจรรย เปนคนเนาใน มีสัญชาติหมักหมมเหมือนบอที่เทขยะมูลฝอย; ภิกษุนี้ เราเรียกวา เองในภายใน แล.

๗๙ เปยกแฉะ ผูเนาเสีย

- สฬา. สํ. ๑๘/๒๒๓-๒๒๔/๓๒๒-๓๒๓.

การรูจักอันตคาหิกทิฏฐิไมเกี่ยวกับ การรูอริยสัจและการประพฤติพรหมจรรย มาลุงกยบุตร ! อะไรเลา เปนสิ่งที่เราไมพยากรณ? มาลุงกยบุตร ! ทิฏฐิวา "โลกเที่ยง" ดังนี้ เปนสิ่งที่เราไมพยากรณ. มาลุงกยบุตร ! ทิฏฐิวา "โลกไมเที่ยง" ดังนี้ เปนสิ่งที่เราไมพยากรณ. มาลุงกยบุตร ! ทิฏฐิวา "โลกมีที่สิ้นสุด" ดังนี้ เปนสิ่งที่เราไมพยากรณ. มาลุงกยบุตร ! ทิฏฐิวา "โลกไมมีที่สิ้นสุด" ดังนี้ เปนสิ่งที่เราไม พยากรณ. มาลุงกยบุตร ! ทิฏฐิวา "ชีวะก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น" ดังนี้ เปนสิ่ง ที่เราไมพยากรณ. มาลุงกยบุตร ! ทิฏฐิวา "ชีวะก็อันอื่น สรีระก็อันอื่น" ดังนี้ เปนสิ่งที่ เราไมพยากรณ. มาลุงกยบุตร ! ทิฏฐิวา "ตถาคตภายหลังแตตายแลว ยอมมีอีก" ดังนี้ เปนสิ่งที่เราไมพยากรณ. มาลุงกยบุตร ! ทิฏฐิวา "ตถาคตภายหลังแตตายแลว ยอมไมมีอีก" ดังนี้ เปนสิ่งที่เราไมพยากรณ.

www.buddhadasa.info


๘๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

มาลุงกยบุตร ! ทิฏฐิวา "ตถาคตภายหลังแตตายแลว ยอมมีอีกก็มี ไมมีอีกก็มี" ดังนี้ เปนสิ่งเราไมพยากรณ. มาลุงกยบุตร ! ทิฏฐิวา "ตถาคตภายหลังแตตายแลว ยอมมีอีกก็หา มิได ไมมีอีก็หามิได” ดังนี้ เปนสิ่งที่เราไมพยากรณ. มาลุงกยบุตร ! เพราะเหตุไร นั่นจึงเปนสิ่งที่เราไมพยากรณ ? เพราะ เหตุวา นั่นไมประกอบดวยประโยชน ไมเปนเบื้อตนแหงพรหมจรรย ไมเปน ไปพรอมเพื่อความหนาย ความคลายกําหนัด ความดับ ความระงับ ความรูยิ่ง ความรูพรอม และนิพพาน. เหตุนั้น นั่นจึงเปนสิ่งที่เราไมพยากรณ. มาลุงกยบุตร! อะไรเลา เปนสิ่งที่เราพยากรณ? มาลุงกยบุตร! สัจจะวา "นี้ ความทุกข" ดังนี้ เปนสิ่งที่เราพยากรณ. มาลุงกยบุตร! สัจจะวา "นี้ ความดับไมเหลือแหงทุกข" ดังนี้ เปนสิ่งที่ เราพยากรณ. มาลุงกยบุตร! “นี้ ทางเดินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข" ดังนี้ เปน สิ่งที่เราพยากรณ.

www.buddhadasa.info มาลุงกยบุตร! เพราะเหตุไร นั่นจึงเปนสิ่งที่เราพยากรณ ? เพราะ เหตุวา นั่น ประกอบดวยประโยชน นั่นเปนเบื้องตนแหงพรหมจรรย นั่น เปนไปพรอมเพื่อความหนาย ความคลายกําหนัด ความดับไมเหลือ ความระงับ ความรูยิ่ง ความรูพรอม และนิพพาน, เหตุนั้น นั่นเราจึงพยากรณ


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๘๑

มาลุงกยบุตร! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ เธอจึงถือเอาสิ่งที่เราไมพยากรณ โดยความเปนสิ่งที่เราไมพยากรณ และสิ่งที่เราพยากรณโดยความเปนสิ่งที่เราพยากรณ ดังนี้เถิด. มาลุงกยบุตร ! เมื่อทิฏฐิวา "โลกเที่ยง" ดังนี้ มีอยู, มันจะเปนการ ประพฤติพรหมจรรยขึ้นมาก็หามิได; เมื่อทิฏฐิวา "โลกไมเที่ยง" ดังนี้ มีอยู, มันจะเปนการประพฤติพรหมจรรยขึ้นมาก็หามิไดอีกนั่นเอง. มาลุงกยบุตร! เมื่อทิฏฐิวา โลกเที่ยง หรือวา โลกไมเที่ยง ก็ตาม มีอยู; ชาติก็ยังมี ชราก็ยังมี มรณะก็ยังมี, โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส ทั้งหลาย ก็ยังมี, อันเปน สิ่งที่เราบัญญัติการกําจัดมันเสียในทิฏฐธรรมนี้. มาลุงกยบุตร ! เมื่อทิฏฐิวา "โลกมีที่สิ้นสุด" ดังนี้ มีอยู, มันจะเปน การประพฤติพรหมจรรยขึ้นมาก็หามิได; เมื่อทิฏฐิวา "โลกไมมีที่สิ้นสุด" ดังนี้ มีอยู, มันจะเปนการประพฤติพรหมจรรยขึ้นมาก็หามิไดอีกนั่นเอง. มาลุงกบุตร ! เมื่อทิฏฐิวา โลกมีที่สิ้นสุด หรือวา โลกไมมีที่สิ้นสุด ก็ตามมีอยู; ชาติก็ยังมี ชราก็ยังมี มรณะก็ยังมี, โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส ทั้งหลายก็ยังมี, อันเปนสิ่งที่เราบัญญัติการกําจัดมันเสียในทิฏฐธรรมนี้.

www.buddhadasa.info มาลุงกยบุตร ! เมื่อทิฏฐิวา "ชีวะก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น" ดังนี้ มีอยู, มันจะเปนการประพฤติพรหมจรรยขึ้นมาก็หามิได; เมื่อทิฏฐิวา "ชีวะอันอื่น สรีระก็อันอื่น" ดังนี้ มีอยู, มันจะเปนการประพฤติพรหมจรรยขึ้นมาก็หามิไดอีก นั่นเอง. มาลุงกยบุตร ! เมื่อทิฏฐิวา ชีวะก็อันนั้นสรีระก็อันนั้น หรือวาชีวะก็ อันอื่น สรีระก็อันอื่น ก็ตาม มีอยู, ชาติก็ยังมี ชราก็ยังมี มรณะก็ยังมี, โสกะ


๘๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส ทั้งหลาย ก็ยังมี, อันเปนสิ่งที่เราบัญญัติการ กําจัดมันเสียในทิฏฐธรรมนี้. มาลุงกยบุตร ! เมื่อทิฏฐิวา "ตถาคตภายหลังแตตายแลวยอมมีอีก" ดังนี้ มีอยู, มันจะเปนการประพฤติพรหมจรรยขึ้นมาก็หามิได; เมื่อทิฏฐิวา "ตถาคตภายหลังแตตายแลว ยอมไมมีอีก" ดังนี้ มีอยู, มันจะเปนการประพฤติ พรหมจรรยขึ้นมาก็หามิไดอีกนั่นเอง. มาลุงกยบุตร ! เมื่อทิฏฐิวา ตถาคต ภายหลังแตตายแลวยอมมีอีก หรือวา ตถาคตภายหลังแตตายแลวยอมไมมีอีก ก็ตาม มีอยู; ชาติก็ยังมี ชราก็ยังมี มรณะก็ยังมี, โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส ทั้งหลาย ก็ยังมี, อันเปนสิ่งที่เราบัญญัติการกําจัดมันเสียในทิฏฐธรรมนี้. มาลุงกยบุตร ! เมื่อทิฏฐิวา "ตถาคตภายหลังแตตายแลว ยอมมีอีก ก็มีไมมีอีกก็มี" ดังนี้ มีอยู, มันจะเปนการประพฤติพรหมจรรยขึ้นมาก็หามิได; เมื่อทิฏฐิวา "ตถาคตภายหลังแตตายแลว ยอมมีอีกก็หามิไดไมมีอีกก็หามิได" ดังนี้ มีอยู, มันจะเปนการประพฤติพรหมจรรยขึ้นมาก็หามิไดอยูนั่นเอง. มาลุงกยบุตร ! เมื่อทิฏฐิวา ตถาคตภายหลังแตตายแลวยอมมีอีกก็มีไมมีอีกก็มี หรือวา ตถาคต ภายหลังแตตายแลวยอมมีอีกก็หามิไดไมมีอีกก็หามิได ก็ตาม มีอยู; ชาติก็ยังมี ชราก็ยังมี มรณะก็ยังมี, โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส ทั้งหลาย ก็ยังมี. อันเปนสิ่งที่เราบัญญัติการกําจัดมันเสียในทิฏฐธรรมนี้.

www.buddhadasa.info - ม. ม. ๑๓/๑๕๑, ๑๕๐/๑๕๒, ๑๕๑.


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๘๓

สัจจะและหลักถึงปฏิบัติเกี่ยวกับการถึงสัจจะ (ตามธรรมชาติมนุษยแตละคนมีสิ่งที่เราเรียกวาความจริง ที่เขาถือเปนหลักประจําตัว ของเขาอยูดวยกันทั้งนั้น แลวแตวาเขาไดทําใหมันเกิดขึ้นในใจของเขาอยางไร ซึ่งอยากที่จะ เปลี่ยนแปลงได. แตวาความจริงชนิดนี้ยังไมใชความจริงที่เด็ดขาด ยังไมสูงสุด ยังใชเปน ประโยชนในขั้นสูงสุดไมได. ดังนั้นความจริงนั้น จะตองถูกปรับปรุงใหชัดเจนแจมแจงยิ่งขึ้นไป จนกวาจะกลายเปนความจริงที่ใชใหสําเร็จประโยชนไดจริง โดยวิธีพระพุทธองคไดตรัสไวอยาง นาอัศจรรย; กลาวคือไมยึดมั่นถือมั่นความจริงอันดับแรกนั้น แตหลอเลี้ยงมันไวในลักษณะ ที่มันจะพิสูจนความเปนของจริงออกมาในตัวการปฏิบัตินั้นเอง. ในพระพุทธภาษิตที่ทรงแนะนําไวอยางยืดยาวนี้ จําเปนที่จะตองแบงออกเปน ๔ ตอน คือ ลักษณะของความจริง ที่ชาวโลกจะไดมาตามธรรมชาติ ซึ่งยังไมเปนความจริงแท ยัง จะตองเปลี่ยนไปตามเหตุตามปจจัย นี้ตอนหนึ่ง, การหลอเลี้ยงความจริงอันนั้นไว ใหมีโอกาส พิสูจนความจริงที่ยิ่งขึ้นไป นี้ตอนหนึ่ง, การแสวงหาความจริง จากบุคคลที่กําลังปฏิบัติความจริง ที่ตนประสงคจะรูใหแนชัด นี้ตอนหนึ่ง, เมื่อไดความแนชัดมาแลว ตนเองที่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ อันนั้น จนพบความจริงนั้นดวยตนเองโดยประจักษ ไมตองคาดคะเน ไมตองคํานวณ ไมตอง เชื่อตามผูอื่นอีกตอไป นับวาเปนการเขาถึงหัวใจแหงควมจริงในกรณีนั้น เปนตอนสุดทาย.

www.buddhadasa.info ตอไปนี้เปนพระพุทธภาษิตที่ตรัสปรารภ

ความจริงที่เปนไปตามภาษาชาวโลก

ตาม

ธรรมชาติ :-)

(ก. ความจริงตามแบบของชาวโลกตามธรรมชาติ)

ภารทวาชะ ! เมื่อกอนทานไดถึงความเชื่อ (อยางใดอยางหนึ่งลงไป แลว) มาบัดนี้ทานกลาวมันวา (เปนเพียง) สิ่งที่ไดยินไดฟงมา. ภารทวาชะ ! สิ่งทั้งหานี้ อยางที่เราเห็น ๆ กันอยูในบัดนี้ เปนสิ่งที่มีผลเปน ๒ ฝาย. สิ่งทั้ง หานั้น คืออะไรเลา ? คือ ความเชื่อ (วาจริง), ความชอบใจ (วาจริง), เรื่องที่


๘๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

ฟงตาม ๆ กันมา (วาจริง), ความตริตรึกไปตามเหตุผลที่แวดลอม (วาจริง), และ ขอยุตติที่ทนไดตอการเพงพินิจดวยความเห็นของเขา (วาจริง), ดังนี้ นี่แหละ คือสิ่งทั้งหาที่เราเห็น ๆ กันอยูในบัดนี้ ซึ่งเปนสิ่งที่มีผลเปน ๒ ฝาย. ภารทวาชะ ! สิ่งที่เชื่อ กันแลวเปนอยางดีนั่นแหละ ก็มีอยู, แตวาสิ่งนั้นเปนของเปลา เปนของ ไมจริง เปนของเท็จ อยูก็มี; แม สิ่งที่ไมเชื่อกัน แลวเปนอยางดี ก็มีอยู, แตวา สิ่งนั้นกลับเปนของจริง ของแท ของไมผิดเปนอยางอื่น อยูก็มี. ภารทวาชะ ! สิ่งที่ชอบใจ กันแลวเปนอยางดีนั่นแหละ ก็มีอยู, แตวาสิ่งนั้นเปนของเปลา เปน ของไมจริง เปนของเท็จ อยูก็มี; แม สิ่งที่ไมชอบใจ กันแลวเปนอยางดี ก็มีอยู, แตวาสิ่งนั้นกลับเปนของจริง ของแท ของไมผิดเปนอยางอื่น อยูก็มี. ภารทวาชะ ! สิ่งที่ไดฟงตามกันมาแลวเปนอยางดีนั่นแหละ ก็มีอยู, แตวาสิ่งนั้นเปนของเปลา เปนของไมจริง เปนของเท็จอยูก็มี; แม สิ่งที่ไมไดฟงตามกัน มาแลวเปนอยาง ดี ก็มีอยู, แตวาสิ่งนั้นกลับเปนของจริง ของแท ของไมผิดเปนอยางอื่น อยูก็มี. ภารทวาชะ! สิ่งที่ไดตริตรึก กันมาแลวเปนอยางดีนั่นแหละ ก็มีอยู, แตวาสิ่ง นั้นกลับเปนของเปลา เปนของไมจริง เปนของเท็จอ ยูก็มี; แม สิ่งที่ไมได ตริตรึก กันมาแลวเปนอยางดี ก็มีอยู, แตวาสิ่งนั้นกลับเปนของจริง ของแท ของไมผิดเปนอยางอื่น อยูก็มี. ภารทวาชะ! สิ่งที่ไดเพงพินิจ กันมาแลวเปน อยางดีนั่นแหละ ก็มีอยู, แตวาสิ่งนั้นกลับเปนของเปลา เปนของไมจริง เปน ของเท็จ อยูก็มี; แม สิ่งที่ไมไดเพงพินิจ กันมาแลวเปนอยางดี ก็มีอยู, แตวา สิ่งนั้นกลับเปนของจริง ของแท ของไมผิดเปนอยางอื่น อยูก็มี. ภารทวาชะ ! วิญูชนผูจะตามรักษาไวซึ่งความจริง อยาพึงถึงซึ่งการสันนิษฐานโดยสวนเดียว วา "อยางนี้เทานันจริง, อยางอื่นเปลา" ดังนี้

www.buddhadasa.info


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๘๕

"ขาแตพระโคดมผูเจริญ ! การตามรักษาไวซึ่งความจริง (สจฺจานุรกฺขณา) นั้น มีไดดวยการกระทําเพียงเทาไร ? บุคคลจะตามรักษาไวซึ่งความจริงนั้นได ดวยการ กระทําเพียงเทาไร ? ขาพเจาขอถามพระโคดมผูเจริญถึง วิธีการตามรักษาไวซึ่งความจริง." (ตอไปนี้พระผูมีพระภาคเจา ไดตรัสวิธี การตามรักษาไวซึ่งความจริง ในลักษณะ ที่ไมใหถือเอาดวยความยึดมั่นความที่ตนเชื่อ ตามที่ตนชอบใจ ตามที่ตนไดยินไดฟงมาเปนตน :-)

(ข. วิธีการตามรักษาไวซึ่งความจริง) ภารทวาชะ ! ถาแม ความเชื่อ ของบุรุษมีอยู และเขาก็ ตามรักษาไว ซึ่งความจริง กลาวอยูวา "ขาพเจามีความเชื่ออยางนี้" ดังนี้, เขาก็ อยาเพอถึงซึ่ง การสันนิษฐานโดยสวนเดียว วา "อยางนี้เทานั้นจริง, อยางอื่นเปลา" ดังนี้กอน .ภารทวาชะ ! ดวยการกระทําเพียงเทานี้แล การตามรักษาไวซึ่งความจริง ยอมมี, บุคคลชื่อวายอมตามรักษาไวซึ่งความจริง ดวยการกระทําเพียงเทานี้, และเรา บัญญัติการตามรักษาไวซึ่งความจริง ดวยการกระทําเพียงเทานี้; แตวา นั่น ยังไมเปนการตามรูซึ่งความจริง กอน.

www.buddhadasa.info ภารทวาชะ ! ถาแม ความชอบใจ ของบุรุษมีอยู และเขาก็ ตามรักษา ไวซึ่งความจริง กลาวอยูวา "ขาพเจามีความชอบใจอยางนี้" ดังนี้, เขาก็ อยา เพอถึงซึ่งการสันนิษฐานโดยสวนเดียว วา "อยางนี้เทานั้นจริง, อยางอื่นเปลา" ดังนี้กอน. ภารทวาชะ ! ดวยการกระทําเพียงเทานี้แล การตามรักษาไวซึ่ง ความจริง ยอมมี, บุคคลชื่อวายอมตามรักษาไวซึ่งความจริง ดวยการกระทําเพียง เทานี้, และเราบัญญัติการตามรักษาไวซึ่งความจริง ดวยการกระทําเพียงเทานี้; แตวา นั่นยังไมเปนการตามรูซึ่งความจริง กอน.


๘๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภารทวาชะ ! ถาแม เรื่องที่ฟงตาม ๆ กันมาของบุรุษมีอยู และเขาก็ ตามรักษาไวซึ่งความจริง กลาวอยูวา "ขาพเจามีเรื่องที่ฟงตาม ๆ กันมาอยางนี้" ดังนี้, เขาก็ อยาเพอถึงซึ่งการสันนิษฐานโดยสวนเดียว วา "อยางนี้เทานั้นจริง, อยางอื่นเปลา" ดังนี้กอน. ภารทวาชะ ! ดวยการกระทําเพียงเทานี้แล การ ตามรักษาไวซึ่งความจริง ยอมมี, บุคคลชื่อวายอมตามรักษาไวซึ่งความจริง ดวย การกระทําเพียงเทานี้. และเราบัญญัติการตามรักษาไวซึ่งความจริง ดวยการ กระทําเพียงเทานี้; แตวา นั่นยังไมเปนการตามรูซึ่งความจริง กอน. ภารทวาชะ ! ถาแม ความตริตรึกไปตามเหตุผลที่แวดลอม ของบุรุษ มีอยู และเขา ก็ตามรักษาไวซึ่งความจริง กลาวอยูวา "ขาพเจามีความตริตรึกไป ตามเหตุผลที่แวดลอมอยางนี้" ดังนี้, เขาก็ อยาเพอถึงการสันนิษฐานโดยสวน เดียววา "อยางนี้เทานั้นจริง, อยางอื่นเปลา" ดังนี้กอน. ภารทวาชะ ! ดวย การกระทําเพียงเทานี้แล การตามรักษาไวซึ่งความจริง ยอมมี, บุคคลชื่อวายอม ตามรักษาไวซึ่งความจริง ดวยการกะทําเพียงเทานี้, และเราบัญญัติการตาม รักษาไวซึ่งความจริง ดวยการกระทําเพียงเทานี้; แตวานั่นยังไมเปนการตามรู ซึ่งความจริง กอน.

www.buddhadasa.info ภารทวาชะ ! ถาแม ขอยุตติที่ทนไดตอการเพงพินิจดวยความเห็น ของบุรุษ มีอยู และเขาก็ตาม รักษาไวซึ่งความจริง กลาวอยูวา "ขาพเจามีขอ ยุติที่ทนไดตอการเพงพินิจดวยความเห็นอยางนี้" ดังนี้, เขาก็ อยาเพอถึงซึ่งการ สันนิษฐานโดยสวนเดียว วา "อยางนี้เทานั้นจริง. อยางอื่นเปลา" ดังนี้กอน. ภารทวาชะ ! ดวยการกระทําเพียงเทานี้แล การตามรักษาไวซึ่งความจริง ยอมมี, บุคคลชื่อวายอมตามรักษาไวซึ่งความจริง ดวยการกระทําเพียงเทานี้, และเรา


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ บัญญัติการตามรักษาไวซึ่งความจริง ไมเปนการตามรูซึ่งความจริง กอน.

ดวยการกระทําเพียงเทานี้;

๘๗ แตวา

นั่นยัง

"ขาแตพระโคดมผูเจริญ ! การตามรักษาไวซึ่งความจริง ยอมมีดวยการกระทํา เพียงเทานี้, บุคคลชื่อวายอมตามรักษาไวซึ่งความจริง ดวยการกระทําเพียงเทานี้, อนึ่ง ขาพเจาก็มุงหวังซึ่งการตามรักษาไวซึ่งความจริง ดวยการกระทําเพียงเทานี้, ขาแตพระโคดม ผูเจริญ ! การตามรูซึ่งความจริง (สจฺจานุโพโธ) มีได ดวยการกระทําเพียงเทาไร ? บุคคลชื่อวาตามรูซึ่งความจริง ดวยการกระทําเพียงเทาไร ? ขาพเจาขอถามพระโคดมผูเจริญ ถึงการตามรูความจริง". (ตอไปนี้พระผูมีพระภาคเจา สังเกตธรรมะที่มีอยูที่บุคคลผูปฏิบัติธรรมะ ใครครวญตอไป :-)

ไดตรัสวิธี การตามรูซึ่งความจริง ดวยการทรงแนะให เพื่อใหรูจักธรรมะซึ่งเปนตัวความจริงสําหรับจะนํามา

(ค. การติดตามทําความกําหนดรูในความจริง)

www.buddhadasa.info ภารทวาชะ ! ไดยินวา ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไดเขาไปอาศัยอยูในบาน หรือในนิคมแหงใดแหงหนึ่ง. คหบดีหรือคหบดีบุตร ไดเขาไปใกลภิกษุนั้นแลว ใครครวญดูอยูในใจเกี่ยวกับธรรม ๓ ประการ คือธรรมเปนที่ตั้งแหงโลภะ ธรรม เปนที่ตั้งแหงโทสะ ธรรมเปนที่ตั้งแหงโมหะ ทั้งหลาย (โดยนัยเปนตนวา) "ทานผู มีอายุผูนี้ จะมีธรรมอันเปนที่ตั้งแหงโลภะหรือไมหนอ อันเปนธรรมที่เมื่อครอบ งําจิตของทานแลว จะทําใหทานเปนุบคคลที่เมื่อไมรูก็กลาวรู เมื่อไมเห็นก็ กลาววาเห็น หรือวาจะชักชวนผูอื่นในธรรมอันเปนไปเพื่อความทุกข ไมเปน ประโยชนเกื้อกูล แกสัตวทั้งหลายเหลาอื่นตลอดกาลนาน" ดังนี้; เมื่อเขาใคร


๘๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

ครวญดู อ ยู ใ นใจซึ่ ง ภิ ก ษุ นั้ น ก็ รู ว า "ธรรมเป น ที่ ตั้ ง แห ง โลภะชนิ ด นั้ น มิ ไ ด มี แ ก ท า นผู มี อ ายุ นี้ , อนึ่ ง กายสมาจาร วจี ส มาจาร ของท า นผู มี อ ายุ ผู นี้ ก็ เป น ไปใน ลั ก ษณะแห ง สมาจารของบุ ค คลผู ไม โลภแล ว . อนึ่ ง ท า นผู มี อ ายุ นี้ แสดงซึ่ งธรรม ใด ธรรมนั้ น เป น ธรรมที่ ลึ ก เห็ น ได ย าก รู ต ามได ย าก เป น ธรรมที่ รํ า งั บ ประณี ต ไม เ ป น วิ สั ย ที่ จ ะหยั่ ง ลงง า ยแห ง ความตรึ ก เป น ธรรมละเอี ย ดอ อ น รู ไ ด เ ฉพาะ บั ณ ฑิ ต วิ สั ย , ธรรมนั้ น มิ ใ ช ธ รรมที่ ค นผู มี ค วามโลภจะแสดงให ถู ก ต อ งได " ดั ง นี้ . เมื่ อ เขาใคร ค รวญดู อ ยู ซึ่ งภิ ก ษุ นั้ น ย อ มเล็ งเห็ น ว า เป น ผู บ ริ สุ ท ธิ์ จ ากธรรมอั น เป น ที ่ตั ้ง แหง โล ภ ะ ตอ แตนั ้น เขาจะพิจ ารณ าใครค รวญ ภิก ษุนั ้น ใหยิ ่ง ขึ ้น ไป ในธรรมทั ้ง หลายอัน เปน ที ่ตั ้ง แหง โทสะ….ในธรรมทั ้ง หลายอัน เปน ที ่ตั ้ง แหง โมหะ…. (ก็ไ ดเห็น ประจัก ษใ นลัก ษณะอยา งเดีย วกัน กับ ในกรณีแ หง โลภะ ตรงเปน อัน เดีย ว กัน ทุก ตัว อัก ษรไปจนถึง คํ า วา "เมื ่อ เขาใครค รวญ ดูอ ยู ซึ ่ง ภิก ษุนั ้น ยอ มเล็ง เห็น วา เปนผูบริสุทธิ์จากธรรมอันเปนที่ตั้งแหงโมหะ".) ลําดับนั้น เขา (๑) ปลูกฝง ศรัทธา ลงไป ในภิกษุนั้น ครั้นมี สัทธาเกิดแลว (๒) ยอม เขาไปหา ครั้นเขาไปหาแลว (๓) ยอม เขาไปนั่งใกล ครั้นเขาไปนั่งใกลแลว (๔) ยอม เงี่ยโสตลง ครั้นเงี่ยโสตลง (๕) ยอม ฟง ซึ่งธรรม ครั้นฟงซึ่งธรรมแลว (๖) ยอม ทรงไวซึ่งธรรม (๗) ยอม ใครครวญ ซึ่งเนื้อความแหงธรรมทั้งหลาย อันตนทรงไวแลว เมื่อใครครวญซึ่งเนื้อความแหง ธรรมอยู (๘) ธรรมทั้งหลายยอมทนตอความเพงพินิจ, เมื่อการทนตอการเพง พินิจของธรรมมีอยู (๙) ฉันทะยอมเกิดขึ้น ผูมีฉันทะเกิดขึ้นแลว (๑๐) ยอม มีอุสสาหะ ครั้นมีอุสสาหะแลว (๑๑) ยอม พิจรณาหาความสมดุลยแหงธรรม ครั้นมีความสมดุลยแหงธรรมแลว (๑๒) ยอม ตั้งตนไวในธรรมนั้น; เขาผูมี ตนสงไปแลวอยางนี้อยู ยอมกระทําใหแจงซึ่งปรมัตถสัจจะ ดวยนามกาย ดวย,

www.buddhadasa.info


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๘๙

ยอม แทงตลอดซึ่งธรรมนั้น แลวเห็นอยูดวยปญญา ดวย. ภารทวาชะ ! การตาม รูซึ่งความจริง ยอมมี ดวยการกระทําเพียงเทานี้, บุคคลชื่อวายอมตามรูซึ่งความจริง ดวยการกระทําเพียงเทานี้, และเราบัญญัติการตามรูซึ่งความจริง ดวยการกระทํา เพียงเทานี้; แตวา นั่นยังไมเปนการตามบรรลุถึงซึ่งความจริง กอน. "ขาแตพระโคดมผูเจริญ ! การตามรูซึ่งความจริง ยอมมีดวยการกระทําเพียง เทานี้. บุคคลเชื่อวายอมตามรูซึ่งความจริง ดวยการกระทําเพียงเทานี้. อนึ่ง ขาพเจาก็ มุงหวังซึ่งการตามรูซึ่งความจริง ดวยการกระทําเพียงเทานี้. ขาแตพระโคดมผูเจริญ ! การตามบรรลุถึงซึ่งความจริง (สจฺจานุปตฺติ) มีได ดวยการกระทําเพียงเทาไร ? บุคคล ชื่อวายอมตามบรรลุถึงซึ่งความจริง ดวยการกระทําเพียงเทาไร ? ขาพเจาขอถามพระโคดม ผูเจริญถึงการตามบรรลุถึงซึ่งความจริง." (ตอไปนี้ พระผูมีพระภาคเจา ไดตรัสวิธี การตามบรรลุถึงซึ่งความจริง ดวยการ ประพฤติกระทําใหมากซึ่งธรรมทั้งหลาย ๑๒ ประการ ดังที่กลาวแลวใน ขอ ค.จนกระทั่งบรรลุ ถึงซึ่งความจริง :-)

www.buddhadasa.info (ง. การตามบรรลุถึงซึ่งความจริง)

ภารทวาชะ ! การเสพคบ การทําใหเจริญ การกระทําใหมาก ซึ่ง ธรรมทั้งหลายเหลานั้นแหละ เปนการตามบรรลุถึงซึ่งความจริง. ภารทวาชะ ! การตามบรรลุถึงซึ่งความจริง ยอมมี ดวยการกระทําเพียงเทานี้, บุคคลชื่อวายอม ตามบรรลุถึงซึ่งความจริง ดวยการกระทําเพียงเทานี้, และเราบัญญติการตาม บรรลุถึงซึ่งความจริง ดวยการกระทําเพียงเทานี้.


๙๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

"ขาแตพระโคดมผูเจริญ ! การตามบรรลุถึงซึ่งความจริง ยอมมีดวยการกระทํา เพียงเทานี้. บุคคลชื่อวายอมตามบรรลุถึงซึ่งความจริง ดวยการกระทําเพียงเทานี้. อนึ่ง ขาพเจาก็มุงหวังซึ่งการตามบรรลุซึ่งความจริง ดวยการกระทําเพียงเทานี้..." (ตอไปนี้ กาปทิกมาณพนั้น ไดทูลถามพระผูมีพระภาคเจาถึง ธรรมที่มีอุปการะมาก แกการตามบรรลุถึงซึ่งความจริง ดังที่พระองคไดตรัสตอบเปนลําดับไป :-)

(จ. ธรรมเปนอุปการะมากแกการตามบรรลุถึงซึ่งความจริง) ภารทวาชะ ! การตั้งตนไวในธรรม (ปธาน) เปนธรรมมีอุปการะ มากแกการตามบรรลุถึงซึ่งความจริง : ถาบุคคลไมตั้งตนไวในธรรมแลวไซร เขาก็ไมพึงตามบรรลุถึงซึ่งความจริงได. เพราะเหตุที่เขาตั้งตนไวในธรรม เขาจึง บรรลุถึงซึ่งความจริง, เพราะเหตุนั้น การตั้งตนไวในธรรม จึงชื่อวาเปน ธรรมมีอุปการะมากแกการตามบรรลุถึงซึ่งความจริง. ภารทวาชนะ ! การพิจารณาหาความสมดุลยแหงธรรม (ตุลนา) เปน ธรรมมีอุปการะมากแกการตั้งตนไวในธรรม : ถาบุคคลไมพบความสมดุลยแหง ธรรมนั้นแลวไซร เขาก็ไมพึงตั้งตนไวในธรรม. เพราะเหตุที่เขาพบซึ่งความ สมดุลยแหงธรรม เขาจึงตั้งตนไวในธรรม; เพราะเหตุนั้น การพิจารณาหา ความสมดุลยแหงธรรม จึงเปนธรรมมีอุปการะมากแกการตั้งตนไวในธรรม.

www.buddhadasa.info ภารทวาชะ ! อุสสาหะ เปนธรรมมีอุปการะมากแกการพิจารณาหา ความสมดุลยแหงธรรม : ถาบุคคลไมพึงมีอุสสาหะแลวไซร เขาก็ไมพึงพบซึ่ง ความสมดุลยแหงธรรม. เพราะเหตุที่เขามีอุสสาหะ เขาจึงพบความสมดุลยแหง


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ ธรรม; เพราะเหตุนั้น หาความสมดุลยแหงธรรม.

๙๑

อุสสาหะจึงเปนธรรมมีอุปการะมากแกการพิจารณา

ภารทวาชะ ! ฉันทะ เปนธรรมมีอุปการะมากแกอุสสาหะ : ถา บุคคลไมถึงยังฉันทะใหเกิดแลวไซร เขาก็ไมพึงมีอุสสาหะ. เพราะเหตุที่ฉันทะ เกิดขึ้น เขาจึงมีอุสสาหะ; เพราะเหุตนั้น ฉันทะจึงเปนธรรมมีอุปการะมาก แกอุสสาหะ. ภารทวาชะ ! ความที่ธรรมทั้งหลายทนไดตอการเพงพินิจ (ธมฺมนิชฺฌานกฺขนฺติ) เปนธรรมมีอุปการะมากแกฉันทะ : ถาธรรมทั้งหลายไมถึงทนตอ. การเพงพินิจแลวไซร ฉันทะก็ไมพึงเกิด. เพราะเหตุที่ธรรมทั้งหลายทนตอการ เพงพินิจ ฉันทะจึงเกิด; เพราะเหตุนั้น ความที่ธรรมทั้งหลายทนตอการเพง พินิจ จึงเปนธรรมมีอุปการะมากแกฉันทะ. ภารทวาชะ ! ความเขาไปใครครวญซึ่งอรรถะ (อตฺถุปปริกฺขา) เปน ธรรมมีอุปการะมากแกความที่ธรรมทั้งหลายทนตอการเพงพินิจ: ถาบุคคล ไมเขาไปใครครวญซึ่งอรรถะแลวไซร ธรรมทั้งหลายก็ไมพึงทนตอการเพงพินิจ. เพราะเหตุที่บุคคลเขาไปใครครวญซึ่งอรรถะ ธรรมทั้งหลายจึงทนตอการ เพงพินิจ; เพราะเหตุนั้น การเขาไปใครครวญซึ่งอรรถะ จึงเปนธรรมมี อุปการะมากแกความที่ธรรมทั้งหลายทนตอการเพิ่งพินิจ.

www.buddhadasa.info ภารทวาชะ ! การทรงไวซึ่งธรรม (ธมฺมธารณา) เปนธรรมมีอุปการะ มากแกความเขาไปใครครวญซึ่งอรรถะ. ถาบุคคลไมทรงไวซึ่งธรรมแลวไซร เขาก็ไมอาจเขาไปใครครวญซึ่งอรรถะได เพราะเหตุที่เขาทรงธรรมไวได เขาจึง


๙๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

เขาไปใครครวญซึ่งอรรถะได. เพราะเหตุนั้น อุปการะมากแกความเขาไปใครครวญซึ่งอรรถะ.

การทรงไวซึ่งธรรม

จึงเปนธรรมมี

ภารทวาชะ ! การฟงซึ่งธรรม (ธมฺมสฺสวน) เปนธรรมมีอุปการะ มากแกการทรงไวซึ่งธรรม. ถาบุคคลไมพึงฟงซึ่งธรรมแลวไซร เขาก็ไมพึงทรง ธรรมไวได เพราะเหตุที่เขาฟงซึ่งธรม เขาจึงทรงธรรมไวได. เพราะเหตุนั้น การฟงซึ่งธรรม จึงเปนธรรมมีอุปการะมากแกการทรงไวซึ่งธรรม. ภารทวาชะ ! การเงี่ยลงซึ่งโสตะ (โสตาวธาน) เปนธรรมมีอุปการะ มากแกการฟงซึ่งธรรม. ถาบุคคลไมเงี่ยลงซึ่งโสตะแลวไซร เขาก็ไมพึงฟงซึ่ง ธรรมได เพราะเหตุที่เขาเงี่ยลงซึ่งโสตะ เขาจึงฟงซึ่งธรรมได. เพราะเหตุนั้น การเงี่ยลงซึ่งโสตะ จึงเปนธรรมมีอุปการะมากแกการฟงซึ่งธรรม. ภารทวาชะ ! การเขาไปนั่งใกล (ปยิรุปาสนา) เปนธรรมมีอุปการะ มากแกการเงี่ยลงซึ่งโสตะ. ถาบุคคลไมพึงเขาไปนั่งใกลแลวไซร เขาก็ไมพึง เงี่ยลงซึ่งโสตะ เพราะเหตุที่เขาเขาไปนั่งใกล เขาจึงเงี่ยลงซึ่งโสตะได. เพราะ เหตุนั้น การเขาไปนั่งใกล จึงเปนธรรมมีอุปการะมากแกการเงี่ยลงซึ่งโสตะ.

www.buddhadasa.info ภารทวาชะ ! การเขาไปหา (อุปสงฺกมน) เปนธรรมมีอุปการะมาก แกการเขาไปนั่งใกล. ถาบุคคลไมเขาไปหาแลวไซร เขาก็ไมพึงเขาไปนั่งใกลได เพราะเหตุที่เขาเขาไปหา เขาจึงเขาไปนั่งใกลได. เพราะเหตุนั้น การเขาไปหา จึงเปนธรรมมีอุปการะมากแกการเขาไปนั่งใกล.


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๙๓

ภารทวาชะ ! สัทธา เปนธรรมมีอุปการะมากแกการเขาไปหา. ถา สัทธาไมพึงเกิดแลวไซร เขาก็จะไมเขาไปหา เพราะเหตุที่สัทธาเกิดขึ้น เขาจึง เขาไปหา. เพราะเหตุนั้น สัทธาจึงเปนธรรมมีอุปการะมากแกการไปหา. - ม. ม. ๑๓/๖๐๑-๖๐๘/๖๕๕-๖๕๙. (ขอผูศึกษาพึงสังเกตวา สิ่งที่เรียกวาความจริงในสูตรนี้ หมายถึงความจริงทั่วไป ไมมุงหมายเฉพาะจตุราริยสัจ แตอาจจะใชกับความจริงอันมีชื่อวาจตุราริยสัจได โดยประการ ทั้งปวง จึงไดนํามากลาวไวในหนังสือเลมนี้.)

การรูอริยสัจเปนของไมเหลือวิสัย พระอริยบุคคล จึงมีปริมาณมาก วัจฉะ ! ภิกษุผูสาวกของเรา บรรลุเจโตวิมุติ ปญญาวิมุติ อันไมมี อาสวะ เพราะความสิ้นไปแหงอาสวะทั้งหลาย ไดกระทําใหแจงแลว ดวยปญญา อันยิ่งเอง ในทิฏฐธรรมนี้ มีอยูไมใชรอยเดียว ไมใชสองรอย ไมใชสามรอย ไมใชสี่รอย ไมใชหารอย มีอยูมากกวามาก โดยแท

www.buddhadasa.info วัจฉะ! ภิกษุณีผูสาวิกาของเรา บรรลุเจโตวิมุติ ปญญาวิมุติ อันไม มีอาสวะ เพราะความสิ้นไปแหงอาสวะทั้งหลาย ไดกระทําใหแจงแลว ดวยปญญา อันยิ่งเอง ในทิฏฐธรรมนี้ มีอยูไมใชรอยเดียว ไมใชสองรอย ไมใชสามรอย ไมใชสี่รอย ไมใชหารอย มีอยูมากกวามาก โดยแท วัจฉะ ! อุบาสก ผูสาวกของเรา พวกเปนคฤหัสถนุงขาว อยูประพฤติ กับผูประพฤติพรหมจรรย, เปน โอปปาติกสัตว (พระอนาคามี) มีปรกติปรินิพพาน


๙๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

ในภพที่ไปเกิดนั้น ไมเวียนกลับจากภพนั้นเปนธรรมดา, เพราะความสิ้นไปแหง สัญโญชนมีสวนในเบื้องต่ําหาอยาง ก็ มีอยูไมใชรอยเดียว ฯลฯ ไมใชหารอย มีอยูมากกวามาก โดยแท. วัจฉะ ! อุบาสก ผูสาวกของเรา พวกเปนคฤหัสถนุงขาว ยังบริโภค กาม เปนผู ทําตามคําสอน เปนผู สนองโอวาท มีความสงสัยอันขามไดแลว ไมตอง กลาวดวยความสงสัยวา นี่อะไร ๆ เปนผูปราศจากความครั่นคราม ไมใชผูตอง เชื่อตามคําของผูอื่น อยูประพฤติพรหมจรรยในศาสนาของพระศาสดา ก็ มีอยู ไมใชรอยเดียว ฯลฯ ไมใชหารอย มีอยูมากกวามาก โดยแท. วัจฉะ ! อุบาสิกา ผูสาวิกาของเรา พวกเปนหญิงคฤหัสถนุงขาว อยู ประพฤติกับผูประพฤติพรหมจรรย เปน โอปปาติกสัตว (พระอนาคามี) มีปรกติ ปรินิพพานในภพที่ไปเกิดนั้น ไมเวียนกลับจากภพนั้นเปนธรรมดา, เพราะ ความสิ้นไปแหงสัญโญชนมีสวนในเบื้องต่ําหาอยาง ก็ มีอยูไมใชรอยเดียว ฯลฯ ไมใชหารอย มีอยูโดยมากกวามากเปนแท.

www.buddhadasa.info วัจฉะ ! อุบาสิกา ผูสาวิกาของเรา พวกเปนหญิงคฤหัสถนุงขาว ยัง บริโภคกาม เปนผู ทําตามคําสอน เปนผู สนองโอวาท มีความสงสัยอันขามไดแลว ไมตองกลาวดวยความสงสัยวานี่อะไร ๆ เปนปราศจากความครั่นคราม ไมตอง เชื่อตามคําของผูอื่น อยูประพฤติพรหมจรรยในศาสนาของพระศาสดา ก็ มีอยู ไมใชรอยเดียว ฯลฯ ไมใชหารอย มีอยูโดยมากกวามากเปนแท.

- ม. ม. ๑๓/๒๕๑-๒๕๓/๒๕๕-๒๕๖.


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๙๕

- ๕ -

คุณคาของอริยสัจ อริยสัจสี่เปนเอกังสิกธรรมที่ทรงแสดง (หลังจากที่ทรงปฏิเสธการแสดงอันตคาหิกทิฏฐิสิบ ในฐานะที่เปนอเนกังสิกธรรม ตอพระองคแลว, ไดทรงแสดง เอกังสิกธรรม ในธรรมวินัยของพระองค ดังตอไปนี้ :-)

โปฎฐปาทะ ! ธรรมที่เราแสดง บัญญัติ วาเปนเอกังสิกะนั้น เปน อยางไรเลา ? โปฏฐปาทะ ! ธรรมที่เราแสดง บัญญัติ วาเปนเอกังสิกะนั้น คือขอที่วา "นี้ เปนทุกข" ดังนี้บาง;…. "นี้ เปนเหตุใหเกิดทุกข" ดังนี้บาง;…. "นี้ เปนความดับไมเหลือแหงทุกข" ดังนี้บาง;…. "นี้ เปนขอปฏิบัติใหถึงความดับ ไมเหลือแหงทุกข" ดังนี้บาง.

www.buddhadasa.info โปฏฐปาทะ ! เพราะเหตุไรเลาเราจึงแสดงบัญญติธรรมเหลานั้น วา เปนเอกังสิกธรรม (ธรรมที่ควรแสดงบัญญัติโดยสวนเดียว) ? โปฏฐปาทะ ! ขอนี้ เพราะวาธรรมเหลานั้น ประกอบดวยอรรถะ ประกอบดวยธรรมะ เปนเบื้อง ตนแหงพรหมจรรย เปนไปเพื่อความหนาย เปนไปเพื่อความคลายกําหนัด เปนไปเพื่อความดับ เปนไปเพื่อความสงบรํางับ เปนไปเพื่อความรูยิ่ง เปนไป เพื่อความรูพรอม เปนไปเพื่อนิพพาน; เพราะเหตุนั้น ธรรมเหลานั้นเรา จึงแสดง บัญญัติ วาเปนเอกังสิกธรรม.

- สี. ที. ๙/๒๓๖/๒๙๘.


๙๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

ทําที่สุดทุกขโดยไมรูอริยสัจนั้นเปนไปไมได ภิกษุ ท.! ผูใด พึงกลาวอยางนี้วา "ขาพเจาไมรูเฉพาะตาม เปนจริง ซึ่งอริยสัจคือทุกข ซึ่งอริยสัจคือเหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข ซึ่งอริยสัจคือ ความดับไมเหลือแหงทุกข ซึ่งอริยสัจคือทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข แลวขาพเจาก็จักกระทําที่สุดแหงทุกขโดยชอบได" ดังนี้ : ขอนี้ไมเปนฐานะที่จะ มีได. ภิกษุ ท.! เปรียบเหมือนผูใดจะพึงกลาวอยางนี้วา "ขาพเจาจักทําหอดวย ใบแหงไมสีเสียด หรือใบแหงไมสรละ หรือใบแหงไมมะขามปอม แลวจักใสน้ําหรือน้ําตกจาก ตนตาล แลวนําไปได" ดังนี้ : ขอนี้ไมเปนฐานะที่จะมีได; ภิกษุ ท.! ฉันใด ก็ฉันนั้น ที่ผูใดจะพึงกลาวอยางนี้วา "ขาพเจาไมรูเพราะตามเปนจริง ซึ่งอริยสัจคือ ทุกข ซึ่งอริยสัจคือเหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข ซึ่งอริยสัจคือความดับไมเหลือแหงทุกข ซึ่ง อริยสัจคือทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข แลวขาพเจาก็จักกระทําที่สุดแหงทุกขโดย ชอบได" ดังนี้ : ขอนี้ไมเปนฐานะที่จะมีได. ภิกษุ ท.! สวนผูใดแลพึงกลาวอยางนี้วา "ขาพเจารูเฉพาะตามเปนจริง ซึ่งอริยสัจคือทุกข ซึ่งอริยสัจคือเหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข ซึ่งอริยสัจคือความดับไมเหลือแหงทุกข ซึ่งอริยสัจคือทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข แลวขาพเจาก็จักกระทําที่สุดแหงทุกข โดยชอบได" ดังนี้ : ขอนี้เปนฐานะที่มีได. ภิกษุ ท.! เปรียบเหมือนผูใดจะ พึงกลาวอยางนี้วา "ขาพเจาจักทําหอดวยใบบัว หรือใบปลาสะ หรือใบยางซาย แลวจัก ใสน้ํา หรือน้ําตกจากตนตาล แลวนําไปได" ดังนี้ : ขอนี้เปนฐานะที่จะมีได; ภิกษุ ท.! ฉันใดก็ฉันนั้น ที่ผูใดจะพึงกลาวอยางนี้วา "ขาพเจารูเฉพาะตามเปนจริง ซึ่งอริยสัจคือทุกข ซึ่งอริยสัจคือเหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข ซึ่งอริยจสัจคือความดับไมเหลือแหง ทุกข ซึ่งอริยสัจคือทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข แลวขาพเจาก็จักกระทําที่สุด แหงทุกขโดยชอบได" ดังนี้ : ขอนี้เปนฐานะที่มีได.

www.buddhadasa.info


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๙๗

ภิกษุ ท.! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ เธอพึงประกอบโยคกรรมอัน เปนเครื่องกระทําใหรูวา "ทุกข เปนอยางนี้, เหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข เปนอยางนี้, ความดับไมเหลือแหงทุกข เปนอยางนี้, ทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหง ทุกข เปนอยางนี้." ดังนี้. - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๔๙/๑๗๑๔-๑๗๑๕.

สัตวตองเวียนวายเพราะไมเห็นอริยสัจ ภิกษุ ท.! เปรียบเหมือนทอนไมอันบุคคลซัดขึ้นไปสูอากาศ บาง คราวตกเอาโคนลง บางคราวตกเอาตอนกลางลง บางคราวตกเอาปลายลง, ขอนี้ฉันใด; ภิกษุ ท.! สัตวที่มีอวิชชาเปนเครื่องกั้น มีตัณหาเปนเครื่องผูก แลน ไปอยูทองเที่ยวไปอยูในสังสารวัฏ ก็ทํานองเดียวกัน : บางคราวแลนไปจากโลกนี้ สูโลกอื่น บางคราวแลนจากโลกอื่นสูโลกนี้. ขอนั้นเพราะเหตุไรเลา ? ภิกษุ ท.! ขอนั้น เพราะความที่เขาเปนผูไมเห็นซึ่งอริยสัจทั้งสี่. อริยสัจสี่ อยางไรเลา ? สี่อยางคือ อริยสัจคือทุกข อริยสัจคือเหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข อริยสัจคือความดับ ไมเหลือแหงทุกข อริยสัจคือทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ เธอพึงประกอบโยคกรรมอัน เปนเครื่องกระทําใหรูวา "ทุกข เปนอยางนี้, เหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข เปนอยางนี้, ความดับไมเหลือแหงทุกข เปนอยางนี้, ทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหง ทุกข เปนอยางนี้." ดังนี้.

- มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๕๐/๑๗๑๖.


๙๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

การรูอริยสัจ รีบดวนกวาการดับไฟที่กําลังไหมอยูบนศรีษะ ภิกษุ ท.! เมื่อไฟลุกโพลง ๆ ควรจะทําอยางไร ?

อยูที่เสื้อผาก็ดีที่ศีรษะก็ดี

บุคคลนั้น

"ขาแตพระองคผูเจริญ ! เมื่อไฟลุกโพลง ๆ อยูที่เสื้อผาก็ดีที่ศีรษะก็ดี, เพื่อจะ ดับเสียซึ่งไฟ ที่เสื้อผาก็ดี ที่ศีรษะก็ดี สิ่งที่บุคคลนั้นพึงกระทําโดยยิ่งก็คือ ฉันทะ วายามะ อุสสาหะ อุสโสฬหี อัปปฏิวานี สติ และสัมปชัญญะ (เพื่อจะดับไฟนั้นเสีย)." ภิกษุ ท.! (แมกระนั้นก็ดี) วิญูชนจะไมใสใจ จะไมเอาใจใสกับ เสื้อผาก็ดีศีรษะก็ดีที่ไฟกําลังลุกโพลงอยู; แตจะรูสึกวา สิ่งที่ควรกระทําโดยยิ่ง ก็คือฉันทะ วายามะ อุสสาหะ อุสโสฬหี (ขะมักเขมน) อัปปฏิวานี (ไมถอยหลัง) สติ และสัมปชัญญะ เพื่อรูเฉพาะตามเปนจริง ซึ่งอริยสัจทั้งสี่ที่ตนยังไมรูเฉพาะ. อริยสัจสี่ อยางไรเลา ? สี่อยางคือ อริยสัจทุกข อริยสัจคือเหตุใหเกิดขึ้น แหงทุกข อริยสัจคือความดับไมเหลือแหงทุกข อริยสัจคือทางดําเนินใหถึงความ ดับไมเหลือแหงทุกข.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ เธอพึงประกอบโยคกรรมอัน เปนเครื่องกระทําใหรูวา "ทุกขเปนอยางนี้. เหตุใหเกิดแหงทุกข เปนอยางนี้, ความดับไมเหลือแหงทุกข เปนอยางนี้, ทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหง ทุกข เปนอยางนี้" ดังนี้.

- มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๕๐/๑๗๑๗.


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๙๙

การรูอริยสัจควรแลกเอา แมดวยการถูกแทงดวยหอกวันละ ๓๐๐ ครั้ง ๑๐๐ ป ภิกษุ ท.! เปรียบเหมือนบุรุษผูมีอายุรอยป พึงกลาวกะบุรุษผูมีชีวิต รอยป อยางนี้วา "เอาไหมละ ทานบุรุษผูเจริญ ! เขาจักแทงทานดวยหอกรอย เลมตลอดเวลาเชา รอยเลมตลอดเวลาเที่ยง รอยเลมตลอดเวลาเย็น. ทานบุรุษผูเจริญ ! เมื่อเขาแทงทานอยูดวยหอกสามรอยเลมทุกวัน ๆ จนมีอายุรอยป มีชีวิต อยูรอยป; โดยลวงไปแหงรอยปแลว ทานจักรูเฉพาะซึ่งอริยสัจทั้งสี่ที่ทานยังไมรู เฉพาะแลว" ดังนี้. ภิกษุ ท.! กุลบุตรผูซึ่งประโยชน ควรจะตกลง. ขอนั้นเพราะ เหตุไรเลา ? ภิกษุ ท.! เพราะเหตุวา สังสารวัฏนี้มีเบื้องตนและที่สุดอันบุคคล ไปตามอยูรูไมไดแลว ดังนั้นเบื้องตนและที่สุดแหงการประหารดวยหอกดวย ดาบดวยหลาวดวยขวาน ก็จะไมปรากฏ,. นี้ฉันใด; ภิกษุ ท.! ขอนี้ก็เปน ฉันนั้น : เรากลาวการรูเฉพาะซึ่งอริยสัจทั้งสี่ วาเปนไปกับดวยทุกขกับดวย โทมนัสก็หามิได; แต เรากลาวการรูเฉพาะซึ่งอริยสัจทั้งสี่ วาเปนไปกับดวยสุข กับดวยโสมนัสทีเดียว. อริยสัจสี่ อยางไรเลา? สี่อยางคือ อริยสัจคือทุกข อริยสัจคือเหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข, อริยสัจคือความดับไมเหลือแหงทุกข อริยสัจ คือทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! เปนเครื่องกระทําใหรูวา ความดับไมเหลือแหงทุกข ทุกข เปนอยางนี้" ดังนี้. - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๕๑/๑๗๑๘.

เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ เธอพึงประกอบโยคกรรมอัน "ทุกข เปนอยางนี้, เหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข เปนอยางนี้, เปนอยางนี้, ทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหง-


๑๐๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

เมื่อยังไมรูอริยสัจ ก็ไมสามารถลงหลักแหงความรูของตน ภิกษุ ท.! สมณพราหมณบางพวก ไมรูชัดตามที่เปนจริงวา "นี้ คือทุกข, นี้ คือเหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข, นี้ คือความดับไมเหลือแหงทุกข, นี้ คือทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข" ดังนี้; เขายอมมองสีหนาของ สมณพราหมณอื่น เพื่อใหรูวา "ทานผูเจริญนี้ เมื่อรูก็รูจริงหรือ, เมื่อเห็นก็เห็น จริงหรือ" ดังนี้. เปรียบเหมือนปุยนุนหรือปุยฝาย เปนของเบา ลมพาไปได, เมื่อวางอยูบนพื้นที่อันเสมอ ลมทิศตะวันออกก็พัดพามันไปทางทิศตะวันตก, ลม ทิศตะวันตกก็พัดพามันไปทางทิศตะวันออก, ลมทิศเหนือก็พัดพามันไปทิศใต, ลมทิศใตก็พัดพามันไปทางทิศเหนือ. ขอนั้นเพราะเหตไร ? ภิกษุ ท.! เพราะ ปุยฝายนั้นเปนของเบา; ภิกษุ ท.! ฉันใดก็ฉันนั้น ที่สมณพราหมณบางพวก ไมรูชัดตามที่เปนจริงวา “นี้ คือทุกข, นี้ คือเหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข, นี้ คือความ ดับไมเหลือแหงทุกข, นี้ คือทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข" ดังนี้; เขายอม มองสีหนาของสมณพราหมณอื่น เพื่อใหรูวา "ทานผูเจริญนี้ เมื่อรูก็รูจริง หรือ, เมื่อเห็นก็เห็นจริงหรือ" ดังนี้. ขอนั้นเพราะเหตุไรเลา ? ภิกษุ ท.! ขอนั้น เพราะความที่เขาเปนผูไมเห็นซึ่งอริยสัจทั้งสี่.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! สวนสมณพราหมณบางพวก รูชัดตามเปนจริงวา "นี้ คือทุกข, นี้คือเหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข, นี้คือความดับไมเหลือแหงทุกข, นี้คือ ทางดําเนินใหถึงซึ่งความดับไมเหลือแหงทุกข" ดังนี้; เขายอมไมมองสีหนาของ สมณพราหมณอื่น เพื่อใหรูวา "ทานผูเจริญนี้ เมื่อรูก็รูจริงหรือ, เมื่อเห็นก็เห็น จริงหรือ" ดังนี้. เปรียบเหมือนเสาเหล็กหรือเสาอินทขีล มีรากลึก เขาฝงไว


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๑๐๑

ดีแลว ไมหวั่นไหว ไมสั่นคลอน, แมพายุฝนอยางแรงพัดมาจากทิศตะวันออก…. จากทิศตะวันตก…จากทิศเหนือ…จากทิศใต, ก็ไมสั่นคลอน ไมสั่นสะเทือน ไมหวั่นไหว เพราะเหตุไรเลา ? เพราะมีรากลึก เพราะฝงไวดี, นี้ฉันใด; ภิกษุ ท.! ขอนี้ฉันนั้น ที่สมณพราหมณบางพวก รูชัดตามเปนจริงวา "นี้ คือทุกข. นี้คือเหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข, นี้คือความดับไมเหลือแหงทุกข, นี้คือ ทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข" ดังนี้; เขายอม ไมมองสีหนาของ สมณพราหมณอื่น เพื่อใหรูวา "ทานผูเจริญนี้เมื่อรูก็รูจริงหรือ, เมื่อเห็นก็เห็น จริงหรือ" ดังนี้. ขอนั้นเพราะเหตุไรเลา ? ภิกษุ ท.! ขอนั้น เพราะความที่เขา เปนผูเห็นซึ่งอริยสัจทั้งสี่ดวยดีแลว. อริยสัจสี่ อยางไรเลา ? สี่อยางคือ อริยสัจคือทุกข อริยสัจคือเหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข อริยสัจคือความดับไมเหลือ แหงทุกข อริยสัจคือทางดําเนินใหถึงความไมเหลือแหงทุกข. ภิกษุ ท.! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ เธอพึงประกอบโยคกรรมอัน เปนเครื่องกระทําใหรูวา "ทุกขเปนอยางนี้, เหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข เปนอยางนี้, ความดับไมเหลือแหงทุกข เปนอยางนี้, ทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหง ทุกข เปนอยางนี้" ดังนี้.

www.buddhadasa.info - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๕๔/๑๗๒๒-๑๗๒๓.

สัตวจําพวกวินิบาตกับการเห็นจตุราริยสัจ ภิกษุ ท.! เปรียบเหมือนบุรุษทิ้งแอก (ไมไผ ?) ซึ่งมีรูอยูเพียง รูเดียว ลงไปในมหาสมุทร. ในมหาสมุทรนั้น มีเตาตาบอดตัวหนึ่ง ลวงไป รอยป ๆ จะผุดขึ้นมาครั้งหนึ่ง ๆ. ภิกษุ ท.! เธอจะสําคัญความขอนี้วาอยางไร :


๑๐๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

จะเปนไปไดไหม ที่เตาตาบอดตัวนั้น ลวงไปรอยป ๆ จะพึงยื่นคอเขาไปในรูซึ่งมีอยูเพียงรูเดียวในแอกนั้น ?

จึงผุดขึ้นมาครั้งหนึ่ง ๆ

"ขาแตพระองคผูเจริญ ! ขอนั้นจะเปนไปไดบาง ก็ตอเมื่อลวงกาลนานยาวใน บางคราว". ภิกษุ ท.! ขอที่ เตาตาบอด ตัวนั้น ตอ ลวงไปรอยป ๆ จึงผุดขึ้นมา สักครั้งหนึ่ง ๆ จะพึง ยื่นคอเขาไปในรูซึ่งมีอยูเพียงรูเดียวในแอกนั้น ยังจะ เร็ว เสียกวาการที่คนพาลซึ่งเขาถึงการเกิดเปนวินิบาตแลว จักไดความเปนมนุษยสัก ครั้งหนึ่ง. ขอนั้นเพราะเหตุอะไรเลา ? ภิกษุ ท.! ขอนั้นเพราะเหตุวา ในหมู สัตวจําพวกวินิบาตนั้น ไมมีธัมมจริยา ไมมีสมจริยา ไมมีกุสลกิริยา ไมมีบุญญกิริยา, มีแตการเคี้ยวกินซึ่งกันและกัน. ภิกษุ ท.! การที่ สัตวมีกําลังมากกวา เคี้ยวกินสัตวที่มีกําลังนอยกวา ยอม เปนไปเปนธรรมดา ในหมูสัตวจําพวก วินิบาตนั้น. ขอนั้นเพราะเหตุไรเลา ? ภิกษุ ท.! ขอนั้น เพราะความที่ไมเห็น อริยสัจทั้งสี่. อริยสัจสี่ อยางไรเลา ? สี่อยางคือ อริยสัจคือทุกข อริยสัจคือ เหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข อริยสัจคือความดับไมเหลือแหงทุกข อริยสัจคือทาง ดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ เธอพึงประกอบโยคกรรมอัน เปนเครื่องกระทําใหรูวา "ทุกข เปนอยางนี้, เหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข เปนอยางนี้, ความดับไมเหลือแหงทุกขเปนอยางนี้, ทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหง ทุกข เปนอยางนี้" ดังนี้.

- มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๖๘/๑๗๔๓.


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๑๐๓

การรูอริยสัจทําใหมีตาครบสองตา ภิกษุ ท.! บุคคล ๓ จําพวกนี้ มีอยู หาไดอยูในโลก. สาม จําพวกอยางไรเลา ? สามจําพวกคือ คนตาบอด (อนฺโธ) คนมีตาขางเดียว (เอกจกฺขุ) คนมีตาสองขาง (ทฺวิจกฺขุ). ภิกษุ ท.! คนตาบอด เปนอยางไรเลา ? คือคนบางคนในโลกนี้ ไมมีตาที่เปนเหตุใหไดโภคทรัพยที่ยังไมได หรือทําโภคทรัพยที่ไดแลวใหทวีมาก ขึ้น นี้อยางหนึ่ง; และไมมีตาที่เปนเหตุใหรูธรรมที่เปนกุศลอกุศล - ธรรมมี โทษไมมีโทษ - ธรรมเลวและธรรมประณีต - ธรรมฝายดําและธรรมฝายขาว นี้อีกอยางหนึ่ง. ภิกษุ ท.! นี้แล คนตาบอด (ทั้งสองขาง). ภิกษุ ท.! คนมีตาขางเดียว เปนอยางไรเลา ? คือคนบางคนใน โลกนี้ มีตาที่เปนเหตุใหไดโภคทรัพยที่ยังไมได หรือทําโภคทรัพยที่ไดแลว ใหทวีมากขึ้น; แตไมมีตาที่เปนเหตุใหรูธรรมที่เปนกุศลอกุศล ธรรมมี โทษไมมีโทษ - ธรรมเลวและธรรมประณีต - ธรรมฝายดําและธรรมฝายขาว. ภิกษุ ท.! นี้แล คนมีตาขางเดียว.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! คนมีตาสองขาง เปนอยางไรเลา ? คือคนบางคน ในโลกนี้ มีตาที่เปนเหตุใหไดโภคทรัพยที่ยังไมได หรือ ทําโภคทรัพยที่ไดแลว ใหทวีมากขึ้น นี้อยางหนึ่ง; และ มีตาที่เปนเหตุใหรูธรรม ที่เปนกุศลอกุศล - ธรรมมีโทษไมมีโทษ - ธรรมเลวและธรรมประณีต - ธรรมฝายดําและธรรม ฝายขาว นี้อีกอยางหนึ่ง. ภิกษุ ท.! นี้แล คนมีตาสองขาง. …


๑๐๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิกษุ ท.! ภิกษุมีตาสมบูรณ (จกฺขุมา) เปนอยางไรเลา ? คือภิกษุ ในกรณีนี้ ยอม รูชัดตามเปนจริงวา "นี้ ความทุกข, นี้ เหตุใหเกิดทุกข, นี้ความดับไมเหลือแหงทุกข, นี้ ทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข" ดังนี้. ภิกษุ ท.! นี้แล ภิกษุมีตาสมบูรณ. - ติก. อํ. ๒๐/๑๖๒, ๑๔๗/๔๖๘, ๔๕๙.

การสิ้นอาสวะมีไดเพราะการรูอริยสัจ ภิกษุ ท.! เรากลาวความสิ้นไปแหงอาสวะทั้งหลาย วามีไดสําหรับ ผูรูอยูผูเห็นอยูเทานั้น, หาไดกลาววา มีไดสําหรับผูไมรูอยูผูไมเห็นอยู ไม. ภิกษุ ท.! ในกรณีนี้ สําหรับผูรูอยูผูเห็นอยู ซึ่งอะไรเลา ? ผูรูอยูผูเห็นอยูซึ่ง สัจจะวา "ทุกข เปนอยางนี้, เหตุเกิดขึ้นแหงทุกข เปนอยางนี้, ความดับ ไมเหลือแหงทุกขเปนอยางนี้, ทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของทุกข เปน อยางนี้" ดังนี้.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ เธอพึงประกอบโยคกรรมอัน เปนเครื่องทําใหรูวา "ทุกข เปนอยางนี้, เหตุเกิดขึ้นแหงทุกข เปนอยางนี้, ความดับไมเหลือแหงทุกข เปนอยางนี้. ทางดําเนินใหถึงความไมเหลือแหงทุกข เปนอยางนี้". ดังนี้.

- มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๔๔/๑๗๐๕.

เหตุที่ทําใหสัจจะเหลานี้ไดนามวา "อริยะ" ภิกษุ ท.! ความจริงอันประเสริฐเหลานี้ มีอยู ๔ อยาง. สี่อยาง เหลาไหนเลา ? สี่อยาง คือ ความจริงอันประเสริฐเรื่องทุกข ความจริงอัน


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๑๐๕

ประเสริฐเรื่องเหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข ความจริงอันประเสริฐเรื่องความดับไมเหลือ แหงทุกข ความจริงอันประเสริฐเรื่องทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข. ภิกษุ ท.! ความจริงอันประเสริฐ ๔ อยาง เหลานี้แล เปนตถา คือมีความเปนอยางนั้น, เปน อวิตถา คือไมผิดไปจากความเปนอยางนั้น, เปน อนัญญถา คือไมเปนไปโดยประการอื่นจากความเปนอยางนั้น; เพราะเหตุนั้น เรา จึงกลาวสัจจะเหลานั้นวาเปน "อริยะ (อันประเสริฐ)" ดังนี้. ภิกษุ ท.! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ เธอพึงประกอบโยคกรรมอัน เปนเครื่องกระทําใหรูวา "ทุกข เปนอยางนี้, เหตุเกิดขึ้นแหงทุกข เปนอยางนี้, ความดับไมเหลือแหงทุกข เปนอยางนี้, ทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข เปนอยางนี้", ดังนี้. - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๔๕/๑๗๐๗.

เหตุที่ทําใหสัจจะเหลานี้ไดนามวา "อริยะ" (อีกนัยหนึ่ง)

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! ความจริงอันประเสริฐ ๔ อยางเหลานี้ มีอยู. สี่อยาง เหลาไหนเลา ? สี่อยางคือ ความจริงอันประเสริฐเรื่องทุกข ความจริงอันประเสริฐ เรื่องเหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข ความจริงอันประเสริฐเรื่องความดับไมเหลือแหงทุกข ความจริงอันประเสริฐเรื่องทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข.


๑๐๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

ผูกลาวสัจจะเหลานั้นคือตถาคตผูเปนอริยะ ในโลก พรอมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมูสัตวพรอมทั้งสมณพราหมณ พรอมทั้งเทวดา และมนุษย; เพราะเหตุนั้น เรา จึงกลาวสัจจะเหลานั้น วาเปน "อริยะ" ดังนี้. เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ เธอพึงประกอบโยคกรรมอันเปนเครื่อง กระทําใหรูวา "ทุกข เปนอยางนี้, เหตุเกิดขึ้นแหงทุกข เปนอยางนี้, ความดับ ไมเหลือแหงทุกข เปนอยางนี้, ทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข เปน อยางนี้", ดังนี้. - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๔๕/๑๗๐๘.

อริยสัจสี่สําหรับความเปนอริยบุคคล ภิกษุ ท.! ภิกษุผูถึงความเปนเทพ เปนอยางไรเลา ? ภิกษุ ท.! ภิกษุในกรณีนี้ สงัดแลวจากกาม และสงัดแลวจากสิ่งอันเปนอกุศลทั้งหลาย บรรลุฌานที่หนึ่ง ซึ่งมีวิตกวิจาร มีปติและสุข อันเกิดแตวิเวก แลวแลอยู; เพราะสงบวิตกวิจารเสียได บรรลุฌานที่สอง อันเปนเครื่องผองใสแหงใจใน ภายใน ทําใหเกิดสมาธิมีอารมณอันเดียว ไมมีวิตกวิจาร มีแแตปติและสุข อัน เกิดแตสมาธิ แลวแลอยู; เพราะความจางไปแหงปติ ยอมอยูอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขดวยนามกาย บรรลุฌานที่สาม อันเปนฌานที่พระอริยเจา กลาววา "ผูไดฌานนี้ เปนผูอยูอุเบกขา มีสติ อยูเปนสุข" ดังนี้ แลวแลอยู; เพราะละสุขและละทุกขเสียได และเพราะความดับหายไปแหงโสมนัสและโทมนัส ในกาลกอน บรรลุฌานที่สี่ อันไมมีทุกขไมมีสุข มีแตความที่สติเปนธรรมชาติ บริสุทธิ์เพราะอุเบกขา แลวแลอยู. ภิกษุ ท.! ภิกษุ ผูถึงความเปนเทพ ยอมมีได ดวยอาการอยางนี้แล.

www.buddhadasa.info


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๑๐๗

ภิกษุ ท.! ภิกษุผูถึงความเปนพรหม เปนอยางไรเลา ? ภิกษุ ท.! ภิกษุในกรณีนี้ แผจิตอันประกอบดวยเมตตา, กรุณา, มุฑิตา, อุเบกขา สูทิศที่หนึ่ง ทิศที่สอง ที่สาม และที่สี่ โดยลักษณะอยางเดียวกันตลอดโลกทั้งสิ้น ในที่ทั้งปวง ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ํา และดานขวาง, ดวยจิตอันประกอบดวยเมตตา, กรุณา, มุทิตา, อุเบกขา อันไมมีเวร ไมมีพยาบาท เปนจิตกวางขวาง ประกอบดวยคุณ อันใหญหลวงหาประมาณมิได แลวแลอยู. ภิกษุ ท.! ภิกษุ ผูถึงความเปน พรหม ยอมมีได ดวยอาการอยางนี้แล. ภิกษุ ท.! ภิกษุผูถึงอาเนญชา เปนอยางไรเลา ? ภิกษุ ท.! ภิกษุ ในกรณีนี้, เพราะผานพนการกําหนดจดหมายในรูปเสียได โดยประการทั้งปวง, เพราะความดับแหงการกําหนดหมายในอารมณที่ขัดใจ. และเพราะการไมทําในใจ ซึ่งการกําหนดหมายในภาวะตาง ๆ เสียได เขาถึงอากาสานัญจายตนะ อันมีการ ทําในใจวา "อากาศไมมีที่สิ้นสุด" ดังนี้, แลวแลอยู; เพราะผานพนอากาสานัญจายตนะเสียไดโดยประการทั้งปวง เขาถึงวิญญาณัญจายตนะ อันมีการทําในใจ วา “วิญญาณไมมีที่สิ้นสุด” ดังนี้, แลวแลอยู; เพราะผานพนวิญญาณัญจายตนะเสียไดโดยประการทั้งปวง เขาถึงอากิญจัญญยตนะ อันมีการทําในใจวา "อะไร ๆ ไมมี" ดังนี้, แลวแลอยู; เพราะผานพนอากิญกัจจายตนะเสียได โดยประการทั้งปวง เขาถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ, แลวแลอยู, ภิกษุ ท.! ภิกษุ ผูถึงอาเนญชา ยอมมีได ดวยอาการอยางนี้แล.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! ภิกษุผูถึงความเปนอริยะ เปนอยางไรเลา ? ภิกษุ ท.!ภิกษุ ในกรณีนี้ ยอมรูชัดตามที่เปนจริงวา "ทุกข เปนเชนนี้ ๆ", ยอมรูชัดตามที่เปน จริงวา "เหตุใหเกิดทุกข เปนเชนนี้ ๆ". ยอมรูชัดตามที่เปนจริงวา "ความ


๑๐๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

ดับไมเหลือแหงทุกข เปนเชนนี้ ๆ", ยอมรูชัดตามที่เปนจริงวา "ขอปฏิบัติ เครื่องใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข เปนเชนนี้.ๆ" ดังนี้. ภิกษุ ท.! ภิกษุ ผูถึงความเปนอริยะ ยอมมีได ดวยอาการอยางนี้แล. - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๒๔๙/๑๙๐.

อริยสัจธรรมรวมอยูในหมูธรรมที่ใครคานไมได ภิกษุ ท.! ธรรมนี้นี่แล อันเราแสดงแลว เปนธรรมอันสมณพราหมณผูรูทั้งหลายขมขี่ไมได ทําใหเศราหมองไมได ติเตียนไมได คัดงาง ไมได. ภิกษุ ท.! ธรรมอันเราแสดงแลว เปนธรรมอันสมณพราหมณผูรู ทั้งหลายขมขี่ไมได ทําใหเศราหมองไมได ติเตียนไมได คัดงางไมได เปน อยางไรเลา ?

www.buddhadasa.info .... (ทรงแสดง ธาตุ หก) .... .... (ทรงแสดง ผัสสายตนะ หก) .... .... (ทรงแสดง มโนปวิจาร สิบแปด) ....

ภิกษุ ท.! ธรรมอันเราแสดงแลววา "เหลานี้ คือ อริยสัจทั้งหลาย ๔ ประการ" ดังนี้ เปนธรรมอันสมณพราหมณผูรูทั้งหลายขมขี่ไมได ทําใหเศรา หมองไมได ติเตียนไมได คัดงางไมได. ....ฯลฯ.... ....ฯลฯ....


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๑๐๙

ภิกษุ ท.! ธรรมอันเราแสดงแลววา "เหลานี้ คืออริยสัจทั้งหลาย ๔ ประการ" ดังนี้เปนธรรมอันสมณพราหมณผูรูทั้งหลายขมขี่ไมได ทําใหเศรา หมองไมได ติเตียนไมได คัดงางไมได. ขอนี้เปนธรรมที่เรากลาวแลวอยางนี้ เราอาศัยซึ่งอะไรเลา จึงกลาวแลวอยางนี้ ? ภิกษุ ท.! เพราะอาศัยซึ่งธาตุ ทั้งหลาย ๖ ประการ การกาวลงสูครรภยอมมี; เมื่อการกาวลงสูครรภ มีอยู, นามรู ป ย อ มมี ; เพราะมี น ามรู ป เป น ป จ จั ย จึ ง มี ส ฬายตนะ; เพราะมี สฬายตนะเปนปจจัย จึงมีผัสสะ; เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา ภิกษุ ท.! เรายอมบัญญัติวา "นี้ เปนความทุกข" ดังนี้; วา "นี้ เปนทุกขสมุทัย" ดังนี้; วา" นี้ เปนทุกขนิโรธ" ดังนี้; วา" นี้ เปนทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา" ดังนี้; แกสัตวผูสามารถเสวยเวทนา. ภิกษุ ท.! ทุกขอริยสัจ เปนอยางไรเลา ? แมความเกิด ก็เปน ทุกข, แมความแก ก็เปนทุกข, แมความตาย ก็เปนทุกข, แมโสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย ก็เปนทุกข, การประสบกับสิ่งไมเปนที่รัก เปน ทุกข ความพลัดพรากจากสิ่งเปนที่รัก เปนทุกข, ปรารถนาสิ่งใดแลวไมได สิ่งนั้น นั่นก็เปนทุกข : กลาวโดยยอ ปญจุปาทานขันธทั้งหลาย เปนทุกข. ภิกษุ ท.! นี้เรากลาววา ทุกขอริยสัจ.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! ทุกขสมุทยอริยสัจ เปนอยางไรเลา ? เพราะมีอวิชชา เปนปจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย; เพราะมีสังขารเปนปจจัย จึงมีวิญญาณ; เพราะมีวิญญาณเปนปจจัย จึงมีนามรูป; เพราะมีนามรูปเปนปจจัย จึงมี สฬายตนะ; เพราะมีสฬายตนะเปนปจจัย จึงมีผัสสะ; เรามีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา; เพราะมีเวทนาเปนปจจัย จึงมีตัณหา; เพราะมีตัณหาเปนปจจัย จึงมีอุปาทาน; เพราะมีอุปาทานเปนปจจัย จึงมีภพ; เพราะมีภพเปนปจจัย จึงมีชาติ; เพราะมีชาติเปนปจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัส-


๑๑๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

อุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถวน : ความเกิดขึ้นพรอมแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. ภิกษุ ท.! นี้เรากลาววา ทุกขสมุทยอริยสัจ. ภิกษุ ท.! ทุกขนิโรธอริยสัจ เปนอยางไรเลา? เพราะความ จางคลายดับไปโดยไมเหลือแหงอวิชชานั้นนั่นเทียว. จึงมีความดับแหงสังขาร; เพราะมีความดับแหงสังขาร จึงมีความดับแหงวิญญาณ; เพราะมีความดับแหง วิญญาณ จึงมีความดับแหงนามรูป; เพราะมีความดับแหงนามรูป จึงมีความ ดับแหงสฬายตนะ; เพราะมีความดับแหงสฬายตนะ จึงมีความดับแหงผัสสะ; เพราะมีความดับแหงผัสสะ จึงมีความดับแหงเวทนา; เพราะมีความดับแหง เวทนา จึงมีความดับแหงตัณหา; เพราะมีความดับแหงตัณหา จึงมีความดับ แหงอุปาทาน; เพราะมีความดับแหงแหงอุปาทาน จึงมีความดับแหงภพ; เพราะ มีความดับแหงภพ จึงความดับแหงชาติ; เพราะมีความดับแหงชาตินั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น : ความดับ ลงแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. ภิกษุ ท.! นี้เรากลาววา ทุกขนิโรธอริยสัจ.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ เปนอยางไรเลา ? มรรคอันประเสริฐ ประกอบดวยองค ๘ ประการ นี้นั่นเอง กลาวคือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ. ภิกษุ ท.! นี้เรากลาววา ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ.

ภิกษุ ท.! ขอที่วา "ธรรมอันเราแสดงแลววา 'เหลานี้ คืออริยสัจ ทั้งหลาย ๔ ประการ' ดังนี้ เปนธรรมอันสมณพราหมณผูรูทั้งหลายขมขี่ไมได ทําใหเศราหมองไมได ติเตียนไมได คัดงางไมได" ดังนี้อันใด อันเรากลาว แลว; ขอนั้น เรากลาวหมายถึงขอความดังกลาวมานี้ แล. - ติก. อํ. ๒๐/๒๒๕/๕๐๑.


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๑๑๑

- ๖ -

ประเภทหรือเคาโครงของอริยสัจ หลักอริยสัจมีอยางเดียว แตคําอธิบายมีปริยายมากมาย ภิกษุ ท.! ความจริงอันประเสริฐ วา "นี้เปน ทุกข, นี้เปน เหตุให เกิดทุกข, นี้เปน ความดับไมเหลือของทุกข, และนี้เปน ทางดําเนินใหถึงความ ดับไมเหลือของทุกข;" ดังนี้, เปนสิ่งที่เราไดบัญญัติแลว, แตในความจริงนั้น มีการพรรณาความ การลงอักษร และการจําแนกเพื่อพิสดาร มากจนประมาณ ไมได วาปริยายเชนนี้ ๆ เปนความจริงคือทุกข ถึงแมเชนนี้ ก็เปนความจริง คือทุกข ฯลฯ. ภิกษุ ท.! เพราะเหตุนั้นในกรณีนี้ พวกเธอพึง ทําความเพียร เพื่อใหรูตามเปนจริง วา "นี้เปนทุกข, นี้เปนเหตุใหเกิดทุกข, นี้เปนความดับไม เหลือของทุกข, และนี้เปนทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของทุกข;" ดังนี้ เถิด.

www.buddhadasa.info - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๓๙/๑๖๙๖.

อริยสัจสี่โดยสังเขป (นัยทั่วไป) ภิกษุ ท.! นี้แลคือ ความจริงอันประเสริฐ เรื่องความทุกข คือ ความเกิดเปนทุกข, ความแกก็เปนทุกข ความเจ็บไขก็เปนทุกข ความตาย ก็เปนทุกข, ความประจวบกับสิ่งที่ไมรัก เปนทุกข ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก


๑๑๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

เปนทุกข ความปราถนาสิ่งใดแลวไมไดสิ่งนั้น หาที่ประกอบดวยอุปาทาน เปนทุกข.

เปนทุกข,

กลาวโดยยอ

ขันธ

ภิกษุ ท.! นี้แลคือ ความจริงอันประเสริฐ เรื่องแดนเกิดของความ ทุกข คือตัณหา อันเปนเครื่องทําใหมีการเกิดอีก อันประกอบอยูดวยความ กําหนัดดวยอํานาจความเพลิน อันเปนเครื่องมือใหเพลิดเพลินอยางยิ่งในอารมณ นั้น ๆ, ไดแกตัณหาในกาม ตัณหาในความมีความเปน ตัณหาในความไมมี ไมเปน. ภิกษุ ท.! นี้แลคือ ความจริงอันประเสริฐ เรื่องความดับไมเหลือ ของความทุกข คือความดับสนิทเพราะจางไปโดยไมมีเหลือของตัณหานั้นนั่นเอง คือความสละทิ้ง ความสลัดคืน ความปลอย ความทําไมใหมีที่อาศัย ซึ่งตัณหา นั้น. ภิกษุ ท.! นี้แลคือ ความจริงอันประเสริฐ เรื่องขอปฏิบัติอันทําสัตว ใหลุถึงความดับไมเหลือของความทุกข คือขอปฏิบัติอันเปนหนทางอันประเสริฐ อันประกอบดวยองคแปดประการนี้ ไดแกความเห็นที่ถูกตอง ความดําริที่ถูกตอง การพูดจาที่ถูกตอง การทําการงานที่ถูกตอง การอาชีพที่ถูกตอง ความพากเพียร ที่ถูกตอง ความรําลึกที่ถูกตอง ความตั้งใจมั่นที่ถูกตอง.

www.buddhadasa.info - มหา.วิ. ๔/๑๘/๑๔.

อริยสัจสี่โดยสังเขป(อีกนัยหนึ่ง) (ทรงแสดงดวยปญจุปาทานขันธ) ภิกษุ ท.! ความจริงอันประเสริฐมีสี่อยางเหลานี้. สี่อยางเหลาไหนเลา ? สี่อยางคือ ความจริงอันประเสริฐ คือทุกข, ความจริงอันประเสริฐ


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ คือเหตุใหเกิดทุกข, ความจริงอันประเสริฐ คือความดับไมเหลือของทุกข, ความจริงอันประเสริฐ คือทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของทุกข.

๑๑๓ และ

ภิกษุ ท.! ความจริงอันประเสริฐ คือทุกข เปนอยางไรเลา ? คําตอบคือ ขันธอันเปนที่ตั้งแหงความยึดมั่นถือมั่นหาอยาง. หาอยางนั้น อะไร เลา ? หาอยางคือ ขันธอันเปนที่ตั้งแหงความยึดมั่นถือมั่น ไดแก รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ. ภิกษุ ท.! อันนี้ เรากลาววา ความจริง อันประเสริฐ คือทุกข. ภิกษุ ท.! ความจริงอันประเสริฐ คือเหตุใหเกิดทุกข เปนอยางไร เลา ? คือตัณหาอันใดนี้ ที่เปนเครื่องนําใหมีการเกิดอีก อันประกอบดวยความ กําหนัดเพราะอํานาจความเพลิน มักทําใหเพลิดเพลินยิ่งในอารมณนั้น ๆ ไดแก ตัณหาในกาม, ตัณหาในความมีความเปน, ตัณหาในความไมมีไมเปน. ภิกษุ ท.! อันนี้ เรากลาวา ความจริงอันประเสริฐ คือเหตุใหเกิดทุกข.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! ความจริงอันประเสริฐ คือความดับไมเหลือของทุกข เปนอยางไรเลา ? คือความดับสนิทเพราะความจางคลายไปโดยไมเหลือของตัณหา นั้น ความสละลงเสีย ความสลัดทิ้งไป ความปลอยวาง ความไมอาลัยถึง ซึ่งตัณหานั่นเอง อันใด. ภิกษุ ท.! อันนี้ เรากลาววา ความจริงอันประเสริฐ คือความดับไมเหลือของทุกข. ภิกษุ ท.! ความจริงอันประเสริฐ คือทางดําเนินใหถึงความดับไม เหลือของทุกข เปนอยางไรเลา ? คือหนทาง อันประเสริฐ ประกอบดวยองค


๑๑๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

๘ นี้นั่นเอง, ไดแกสิ่งเหลานี้คือ ความเห็นชอบ ความดําริชอบ; การพูดจา ชอบ การทําการงานชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบ; ความพากเพียรชอบ ความ ระลึ ก ชอบ ความตั้ ง ใจมั่ น ชอบ. ภิ ก ษุ ท.! อั น นี้ เรากล า วว า ความ จริงอันประเสริฐ คือทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของทุกข. ภิกษุ ท.! เหลานี้แลคือ ความจริงอันประเสริฐสี่อยาง. ภิกษุ ท.! เพราะเหตุนั้นใน กรณีนี้ พวกเธอพึง ทําความเพียร เพื่อใหรูตามเปนจริง วา "นี้เปนทุกข, นี้เปนเหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข, นี้เปน ความดับไมเหลือแหงทุกข, นี้เปนทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข," ดังนี้เถิด. - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๓๔-๕/๑๖๗๘-๑๖๘๓.

อริยสัจสี่โดยสังเขป (อีกนัยหนึ่ง) (ทรงแสดงดวยอายตนะหก)

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! อริยสัจมีสี่อยางเหลานี้ สี่อยางเหลาไหนเลา ? สี่อยาง คือ อริยสัจคือทุกข อริยสัจคือทุกขสมุทัย อริยสัจคือทุกขนิโรธ อริยสัจคือ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.

ภิกษุ ท.! อริยสัจคือทุกข เปนอยางไรเลา ? ควรจะกลาววาไดแก อายตนะภายในหก. อายตนะภายในหก เหลาไหนเลา? คือจักขุอายตนะ โสตะอายตนะ ฆานะอายตนะ ชิวหาอายตนะ กายะอายตนะ มนะอายตนะ. ภิกษุ ท.! นี้เราเรียกวา อริยสัจคือทุกข.


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๑๑๕

ภิกษุ ท.! อริยสัจคือทุกขสมุทัย เปนอยางไรเลา ? คือตัณหา อันใดนี้ ที่เปนเครื่องนําใหมีการเกิดอีก อันประกอบดวยความกําหนัดเพราะ อํานาจความเพลิน มักทําใหเพลิดเพลินยิ่งในอารมณนั้น ๆ; ไดแก กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา. ภิกษุ ท.! นี้เราเรียกวา อริยสัจคือทุกขสมุทัย. ภิกษุ ท.! อริยสัจคือทุกขนิโรธ เปนอยางไรเลา ? คือความดับ สนิทเพราะความจางคลายไปโดยไมเหลือของตัณหานั้น ความสละทิ้ง ความสลัด คืน ความปลอยวาง ความไมอาลัยถึง ซึ่งตัณหานั่นเอง. ภิกษุ ท.! นี้เรา เรียกวา อริยสัจคือทุกขนิโรธ. ภิกษุ ท.! อริยสัจคือทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เปนอยางไรเลา ? คือหนทางอันประเสริฐ ประกอบดวยองคแปดประการนี้นั่นเอง; ไดแกสิ่ง เหลานี้คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ. ภิกษุ ท.! นี้เราเรียกวา อริยสัจคือ ทุกขนิโรธคามินี-ปฏิปทา.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! เหลานี้แล อริยสัจ ๔ อยาง.

ภิกษุ ท.!เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ เธอพึงประกอบโยคกรรมอัน เปนเครื่องกระทําใหรูวา "ทุกข เปนอยางนี้, ทุกขสมุทัย เปนอยางนี้, ทุกขนิโรธ เปนอยางนี้, ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เปนอยางนี้" ดังนี้.

- มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๓๕/๑๖๘๔-๑๖๘๙.


๑๑๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

ทรงวางลําดับแหงอริยสัจ อยางตายตัว ….แน ะ ภิ ก ษุ ! ถู ก แล ว , ถู ก แล ว แน ะ ภิ ก ษุ ! เธอจํา อริ ย สั จ สี่ประการ อันเราแสดงไวแลวโดยถูกตอง คือ :เราแสดงอริยสัจคือทุกข ไวเปน ขอที่หนึ่ง, แสดงอริยสัจ คือเหตุใหเกิดทุกข ไวเปนขอที่สอง, แสดงอริยสัจ คือความดับไมเหลือของทุกข ไวเปนขอที่สาม, และแสดงอริยสัจ คือทางดําเนิน ใหถึงความดับไมเหลือของทุกข ไวเปนขอที่สี่. แนะภิกษุ ! เธอจงทรงจํา อริยสัจสี่ไวโดยประการที่เราแสดงนั้น ๆ เถิด. ภิกษุ ท.! เพราะเหตุนั้น ในกรณีนี้ พวกเธอพึง ทําความเพียร เพื่อใหรูตามเปนจริง วา "นี้เปนทุกข, นี้เปนเหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข, นี้เปน ความดับไมเหลือแหงทุกข, นี้เปนทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข." ดังนี้เถิด. - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๓๖/๑๖๙๑.

www.buddhadasa.info อริยสัจสี่ในรูปแบบพิเศษ

ภิกษุ ท.! ธรรม ๔ ประการเหลานี้ มีอยู. สี่ประการคืออะไรเลา ? สี่ประการคือ ธรรมที่ควรรอบรูดวยปญญาอันยิ่ง มีอยู; ธรรมที่ควรละดวย ปญญาอัน ยิ่งมีอยู; ธรรมที่ควรกระทําใหเจริญดวยปญญาอันยิ่ง มีอยู; ธรรม ที่ควรกระทําใหแจงดวยปญญาอันยิ่ง มีอยู.

ภิกษุ ท.! ธรรมที่ควรรอบรูดวยปญญาอันยิ่ง เปนอยางไรเลา ? อุปาทานขันธ ๕ เหลานี้เรากลาววา เปนธรรมที่ควรรอบรูดวยปญญาอันยิ่ง.


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๑๑๗

ภิกษุ ท.! ธรรมที่ควรละดวยปญญายิ่ง เปนอยางไรเลา ? อวิชชา และ ภวตัณหา เหลานี้เรากลาววา เปนธรรมที่ควรละดวยปญญาอันยิ่ง. ภิกษุ ท.! ธรรมที่ควรกระทําใหเจริญดวยปญญาอันยิ่ง เปนอยางไร เลา? สมถะ และ วิปสสนา เหลานี้เรากลาววา เปนธรรมที่ควรกระทําใหเจริญ ดวยปญญาอันยิ่ง. ภิกษุ ท.! ธรรมที่ควรกระทําใหแจงดวยปญญาอันยิ่ง เปนอยางไร เลา ? วิชชา และ วิมุตติ เหลานี้เรากลาววา เปนธรรมที่ควรกระทําใหแจง ดวยปญญาอันยิ่ง. ภิกษุ ท.! ธรรม ๔ ประการเหลานี้แล มีอยู. - จตุกฺก.อํ. ๒๑/๓๓๓/๒๕๔.

www.buddhadasa.info (ผูศึกษาพึงสังเกตใหเห็นวา โดยชื่อและโดยลําดับ.)

อริยสัจสี่ในรูปแบบนี้

มีแปลกจากแบบธรรมดาทั้ง

การวางลําดับใหม ไมมีเหตุผลเลย แนะภิกษุ ! การที่ผูใด จะเปนสมณะหรือพราหมณ ก็ตาม จะพึง กลาววา "อริยสัจที่พระสมณะโคดม แสดง ทุกข ไวเปนขอที่หนึ่ง, เหตุใหเกิด ทุกข ไวเปนขอที่สอง, ความดับไมเหลือของทุกข ไวเปนขอที่สาม, และทาง ดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของทุกข ไวเปนขอที่สี่ นั้น เปนไปไมได, เรา คัดคาน, เราบัญญัติเปนอยางอื่น" ดังนี้ จะเปนคํามีเหตุผลเปนหลักฐาน


๑๑๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

ไมไดเลย. แนะภิกษุ! เธอจงทรงจําอริยสัจสี่ ประการที่แสดงแลวอยางนั้น ๆ เถิด.

อันเราแสดงแลว

โดย

ภิกษุ ท.! เพราะเหตุนั้น ในกรณีนี้ พวกเธอพึง ทําความเพียร เพื่อใหรูตามเปนจริง วา "นี้เปนทุกข, นี้เปนเหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข, นี้เปน ความดับไมเหลือแหงทุกข, นี้เปนทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข." ดังนี้เถิด. - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๓๘/๑๖๙๓.

หนาที่อันเกี่ยวกับอริยสัจ มีสี่ชนิด ภิกษุ ท.! ความจริงอันประเสริฐมีสี่อยางเหลานี้. สี่อยางเหลาไหน เลา ? สี่อยางคือ ความจริงอันประเสริฐ คือทุกข, - เหตุใหเกิดทุกข, - ความ ดับไมเหลือของทุกข. และทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของทุกข. ภิกษุ ท.! เหลานี้แลคือ ความจริงอันประเสริฐสี่อยาง.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! ในความจริงอันประเสริฐสี่อยางเหลานี้, ความจริงอัน ประเสริฐ ที่ควรกําหนดรอบรู ก็มี, ความจริงอันประเสริฐ ที่ควรละเสีย ก็มี, ความจริงอันประเสริฐ ที่ควรทําใหแจง ก็มี, และความจริงอันประเสริฐ ที่ควร ทําใหเจริญ ก็มี.

ภิกษุ ท.! ความจริงอันประเสริฐ ที่ควรกําหนดรอบรู ไดแก ความ จริงอันประเสริฐ คือทุกข, ความจริงอันประเสริฐ ที่ควรละเสีย ไดแก ความ


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๑๑๙

จริงอันประเสริฐ คือเหตุใหเกิดทุกข, ความจริงอันประเสริฐ ที่ควรทําใหแจง ไดแก ความจริงอันประเสริฐ คือความดับไมเหลือของทุกข, และความจริง อันประเสริฐ ที่ควรทําใหเจริญ ไดแก ความจริงอันประเสริฐ คือ ทางดําเนิน ใหถึงความดับไมเหลือของทุกข. ภิกษุ ท.! เพราะเหตุนั้น ในกรณีนี้ พวกเธอพึง ทําความเพียร เพื่อใหรูตามเปนจริง วา "นี้เปนทุกข, นี้เปนเหตุใหเกิดทุกข, นี้เปนความดับ ไมเหลือแหงทุกข, นี้เปนทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข" ดังนี้เถิด. - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๔๖/๑๗๐๙.

อริยสัจสี่ มีสามรอบ มีสิบสองอาการ ๑. ภิกษุ ท.! ดวงตา, ญาณ, ปญญา, วิชชา, และแสงสวาง ของเราไดเกิดขึ้นแลว ในธรรมที่เราไมเคยไดยินไดฟงมาแตกอนวา ๑. นี้เปน ความจริงอันประเสริฐคือทุกข, ๒. ความจริงอันประเสริฐคือทุกขนี้ ควร กําหนดรอบรู, ๓. ความจริงอันประเสริฐคือทุกขนี้ เราไดกําหนดรอบรูแลว.

www.buddhadasa.info ๒. ภิกษุ ท.! ดวงตา, ฯลฯ แสงสวางของเรา ไดเกิดขึ้นแลว ในธรรมที่เราไมเคยไดยินไดฟงมาแตกอนวา ๑. นี้เปนความจริงอันประเสริฐคือ เหตุใหเกิดทุกข, ๒. ความจริงอันประเสริฐคือเหตุใหเกิดทุกขนี้ ควรละเสีย, ๓. ความจริงอันประเสริฐคือเหตุใหเกิดทุกขนี้ เราไดละเสียแลว.


๑๒๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

๓. ภิกษุ ท.! ดวงตา, ฯลฯ แสงสวางของเรา ไดเกิดขึ้นแลว ในธรรมที่เราไมเคยไดยินไดฟงมาแตกอนวา ๑. นี้เปน ความจริงอันประเสริฐคือ ความดับไมเหลือของทุกข, ๒ ความจริงอันประเสริฐคือ ความดับไมเหลือของ ทุกข นี้ ควรทําใหแจง, ๓. ความจริงอันประเสริฐคือ ความดับไมเหลือของทุกข นี้ เราไดทําใหแจงแลว. ๔. ภิกษุ ท.! ดวงตา, ฯลฯ แสงสวางของเรา ไดเกิดขึ้นแลว ในธรรมที่เราไมเคยไดยินไดฟงมาแตกอนวา ๑. นี้เปน ความจริงอันประเสริฐคือ ทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของทุกข, ๒. ความจริงอันประเสริฐคือ ทาง ดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของทุกข นี้ ควรทําใหเจริญ, ๓. ความจริงอัน ประเสริฐคือ ทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของทุกขนี้ เราได ทําใหเจริญแลว. ภิกษุ ท.! ตลอดเวลาที่ ปญญาเครื่องรูเห็นตามเปนจริง ในอริยสัจสี่ อันมีรอบสาม มีอาการสิบสอง เชนนี้ ยังไมบริสุทธิ์สะอาดดวยดี, เราก็ยังไม ปฏิญญา วา ไดตรัสรู รูพรอมเฉพาะ ซึ่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ อยูเพียง นั้น. เมื่อใด บริสุทธิ์สะอาดดวยดี, เมื่อนั้น เราก็ ปฏิญญาวา ได ต รั ส รู รูพรอมเฉพาะแลว ซึ่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ.

www.buddhadasa.info - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๒๙-๕๓๐/๑๖๖๖-๑๖๗๐.

อริยสัจสี่เนื่องกันจนเห็นแตอริยสัจเดียวไมได ท านผู มี อายุ ท.! ข าพเจ าได รับ ฟ งเรื่อ งนี้ มาเฉพาะพระพั กตรพ ระผู มี พ ระภาคเจ าว า

"ภ ิก ษ ุ ท .! ผู ใ ด เห ็น ท ุก ข , ผู นั ้น ย อ ม เห ็น แ ม ซึ ่ง เห ต ุใ ห เ ก ิด ขึ ้น แห ง ทุ ก ข ย อ มเห็ น แม ซึ่ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง ทุ ก ข ย อ มเห็ น แม ซึ่ ง ทางดํ า เนิ น ใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข.


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ ผูใดเห็น เหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข, ยอมเห็นแมซึ่งความดับไมเหลือแหงทุกข ความดับไมเหลือแหงทุกข.

๑๒๑

ผูนั้น ยอมเห็นแมซึ่งทุกข ยอมเห็นแมซึ่งทางดําเนินใหถึง

ผูใดเห็น ความดับไมเหลือแหงทุกข, ผูนั้น ยอมเห็นแมซึ่งทุกข ยอมเห็นแมซึ่งเหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข ยอมเห็นแมซึ่งทางดําเนินใหถึงความดับ ไมเหลือแหงทุกข. ผูใดเห็น ทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข, ผูนั้น ยอมเห็น แมซึ่งทุกข ยอมเห็นแมซึ่งเหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข ยอมเห็นแมซึ่งความดับไม เหลือแหงทุกข." ดับนี้ แล. - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๔๖/๑๗๑๑. (ความหมายของคําวา "จากพระโอษฐ” ในกรณีอยางนี้ กลาวเปนผูยืนยันในที่นี้ วาพระผูมีพระภาคเจาไดตรัสอยางนั้นจริง.)

หมายความวาทานผู

ไวพจน หรือคําแทนชื่อ ของจตุราริยสัจ www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! ธรรมเหลาไหนเลา ควรกําหนดรอบรู ดวยปญญา อันยิ่ง ? คําตอบคือ อุปาทานขันธหา ; ไดแกสิ่งเหลานี้คือ : รูปเปน อุปาทานขันธ, เวทนาเปนอุปาทานขันธ, สัญญาเปนอุปาทานขันธ, สังขาร เปนอุปาทานขันธ, และวิญญาณเปนอุปาทานขันธ. ภิกษุ ท.! ธรรมเหลาไหน เล า ควรละ ด ว ยป ญ ญาอั น ยิ่ ง ? คํา ตอบคื อ อวิ ช ชา และ ภวตั ณ หา,


๑๒๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิกษุ ท.! ธรรมเหลาไหนเลา ควรทําใหแจง ดวยปญญาอันยิ่ง ? คําตอบคือ วิชชา และ วิมุติ. ภิกษุ ท.! ธรรมเหลาไหนเลา ควรทําใหเจริญ ดวย ปญญาอันยิ่ง ? คําตอบคือ สมถะ และ วิปสสนา. - อุปริ. ม. ๑๔/๕๒๔/๘๒๙. - มหาวาร. สํ. ๑๙/๗๘/๒๙๑–๒๙๔. อุปาทานขันธ = ขันธอันเปนที่ตั้งแหงความยึดถือ โดยสรุปไดแก ทุกขสัจ; อวิชชา และ ภวตัณหา ไดแก สมุทัยสัจ; วิชชา คือความรูแจง วิมุติ คือความหลุดพน ไดแก นิโรธสัจ; สมถะ คืออุบายสงบใจเปนสมาธิ วิปสสนา คืออุบายใหเห็นแจงในธรรมทั้งปวง ไดแก มรรคสัจ; จึงกลาววา เปนไวพจนของจตุราริยสัจ ในที่นี้. - ผูรวบรวม.

ไวพจนของจตุราริยสัจ (อีกนัยหนึ่ง) (ทรงแสดงดวยคําวา อันตะ) ภิกษุ ท.! อันตะ ๔ อยางเหลานี้ มีอยู สี่อยางเหลาไหนเลา ? สี่อยางคือ อันตะคือสักกายะ อันตะคือสักกายสมุทัย อันตะคือสักกายนิโรธ อันตะคือสักกายนิโรธคามินีปฏิปทา.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! อันตะคือสักกายะ เปนอยางไรเลา ? ควรจะกลาววา ไดแก อุปาทานขันธหา. หาอยางไรเลา ? หาอยางคือ รูปูปาทานขันธ เวทนูปาทานขันธ สัญูปาทานขันธ สังขารูปาทานขันธ วิญญาณูปาทานขันธ ภิกษุ ท.! นี้เราเรียกวา อันตะคือสักกายะ.


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๑๒๓

ภิกษุ ท.! อันตะคือสักกายสมุทัย เปนอยางไรเลา ? คือตัณหา อันเปนเครื่องทําใหมีการเกิดอีก ประกอบดวยความกําหนัดดวยอํานาจความเพลิน มีปกติทําใหเพลิดเพลินในอารมณนั้น ๆ; ไดแกตัณหาเหลานี้คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา. ภิกษุ ท.! นี้เราเรียกวา อันตะคือสักกายสมุทัย. ภิกษุ ท.! อันตะคือสักกายนิโรธ เปนอยางไรเลา ? คือความจาง คลายดับไปโดยไมเหลือ ความสละทิ้ง ความสลัดคืน ความปลอย ความทําไมให มีที่อาศัย ซึ่งตัณหานั้นนั่นแหละ. ภิกษุ ท.! นี้เราเรียกวา อันตะคือสักกายนิโรธ. ภิกษุ ท.! อันตะคือสักกายนิโรธคามินีปฏิปทา เปนอยางไรเลา ? คือ หนทางอันประเสริฐ ซึ่งประกอบดวยองคแปดประการนี้เอง กลาวคือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ. ภิกษุ ท.! นี้เราเรียกวา อันตะคือ สักกายนิโรธคามินีปฏิปทา.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! อันตะ ๔ อยาง เหลานี้แล.

- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๙๒/๒๗๔-๒๗๘.

ไวพจนของจตุราริยสัจ (อีกนัยหนึ่ง) (ทรงแสดงดวยคําวา สักกายะ) ภิกษุ ท.! เราจะแสดง ซึ่งสักกกายะ สักกายสมุทัย สักกายนิโรธ และสักกายนิโรธคามินีปฏิปทา แกพวกเธอ. เธอทั้งหลาย จงฟงความขอนั้น.


๑๒๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิกษุ ท.! สักกายะ เปนอยางไรเลา ? ควรจะกลาววาไดแก อุปาทานขันธหา. อุปาทานขันธหาเหลาไหนเลา ? อุปาทานขันธหาคือ รูปูปาทานขันธ เวทนูปาทานขันธ สัญูปาทานขันธ สังขารูปาทานขันธ วิญญาณูปาทานขันธ. ภิกษุ ท.! นี้เราเรียกวา สักกายะ. ภิกษุ ท.! สักกายสมุทัย เปนอยางไรเลา ? คือ ตัณหาอันเปน เครื่องทําใหมีการเกิดอีก ประกอบดวยความกําหนัดเพราะอํานาจความเพลิน มีปกติทําใหเพลินอยางยิ่งในอารมณนั้น ๆ; ไดแกตัณหาเหลานี้ คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา. ภิกษุ ท.! นี้เราเรียกวา สักกายสมุทัย. ภิกษุ ท.! สักกายนิโรธ เปนอยางไรเลา? คือ ความจางคลาย ดับไปโดยไมเหลือ ความสละทิ้ง ความสลัดคืน ความปลอย ความทําไมใหมีที่ อาศัย ซึ่งตัณหานั้นนั่นแหละ ภิกษุ ท.! นี้เราเรียกวา สักกายนิโรธ. ภิกษุ ท.! สักกายนิโรธคามินีปฏิปทา เปนอยางไรเลา ? คือ หนทางอันประเสริฐ ซึ่งประกอบดวยองคแปดประการ กลาวคือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ. ภิกษุ ท.! นี้เราเรียกวา สักกายนิโรธคามินีปฏิปทา, ดังนี้แล.

www.buddhadasa.info - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๙๓/๒๘๔-๒๘๘.

ไวพจนของจตุราริยสัจ (อีกนัยหนึ่ง) (ทรงแสดงดวยคําวา โลก) ภิกษุ ท.! โลก เปนสิ่งที่ตถาคตไดรูพรอมเฉพาะแลว, ตถาคต เปนผูถอนตนจากโลกไดแลว. เหตุใหเกิดโลก เปนสิ่งที่ตถาคตไดรูพรอม


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๑๒๕

เฉพาะแลว. ตถาคต ละเหตุใหเกิดโลกไดแลว. ความดับไมเหลือแหงโลก เปนสิ่งที่ตถาคตรูพรอมเฉพาะแลว, ตถาคต ทําใหแจงความดับไมเหลือแหงโลก ไดแลว. ทางใหถึงความดับไมเหลือแหงโลก เปนสิ่งที่ตถาคตรูพรอมเฉพาะ แลว. ตถาคต ทําใหเกิดมีขึ้นไดแลวซึ่งทางใหถึงความดับไมเหลือแหงโลกนั้น. - อิติวุ. ขุ. ๒๕/๓๒๑/๒๙๓.

….แนะเธอ ! ในรางกายที่ยาววาหนึ่ง ซึ่งประกอบดวยสัญญา และใจนี่เอง เราไดบัญญัติ โลก, เหตุเกิดของโลก, ความดับไมเหลือของโลก, และทางใหถึงความดับไมเหลือของโลก ไว. - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๖๔/๔๖.

อริยสัจสี่ ที่ทรงแสดงโดยพิสดาร (นัยที่หนึ่ง) ภิกษุ ท.! ภิกษุเปนผูมีปรกติพิจารณาเห็นธรรมในธรรม ท. คือ อริยสัจ ๔ อยางอยูนั้น เปนอยางไรเลา ? ภิกษุ ท.! ภิกษุในกรณีนี้ ยอม รูแจงชัดตามเปนจริงวา "นี้คือทุกข." ยอมรูแจงชัดตามเปนจริงวา "นี้คือเหตุ ใหเกิดทุกข." ยอมรูแจงชัดตามเปนจริงวา "นี้คือความดับไมเหลือแหงทุกข." ยอมรูแจงชัดตามเปนจริงวา "นี้คือหนทางเปนเครื่องใหถึงความดับไมเหลือแหง ทุกข"

www.buddhadasa.info ๑. ทุกขอริยสัจ ภิกษุ ท.! ก็ อริยสัจคือทุกข นั้นเปนอยางไรเลา ? ความเกิดก็ เปนทุกข, ความแกก็เปนทุกข, ความตายก็เปนทุกข, ความโศก ความร่ําไร-


๑๒๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

รําพัน ความทุกขกาย ความทุกขใจ ความคับแคนใจ ก็เปนทุกข, ความระคน ดวยสิ่งไมเปนที่รัก ก็เปนทุกข, ความพลัดพรากจากสิ่งเปนที่รัก ก็เปนทุกข, ความที่ตนปรารถนาแลวไมไดสิ่งนั้นสมหวัง ก็เปนทุกข, กลาวโดยยอ ขันธอัน เปนที่ตั้งแหงความยึดถือทั้ง ๕ เปนทุกข. ภิกษุ ท.! ความเกิด เปนอยางไรเลา ? ภิกษุ ท.! การเกิด การกําเนิด การกาวลง (สูครรภ) การบังเกิด การบังเกิดโดยยิ่ง ภาวะแหง ความปรากฏของขันธทั้งหลาย การที่สัตวไดอายตนะทั้งหลาย ในจําพวกสัตว นั้น ๆ ของสัตวนั้น ๆ นี้เราเรียกวาความเกิด ภิกษุ ท.! ความแก เปนอยางไรเลา ? ภิกษุ ท.! ความแก ความคร่ําครา ความมีฟนหลุด ความมีผมหงอก ความมีหนังเหี่ยว ความสิ้นไป ๆ แหงอายุ ความแกรอบแหงอินทรียทั้งหลาย ในสัตวนิกายนั้น ๆ ของสัตว เหลานั้น ๆ, นี้เราเรียกวาความแก.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! ความตาย เปนอยางไรเลา ? ภิกษุ ท.! การจุติ ความเคลื่อน การแตกสลาย การหายไป การวายชีพ การตาย การทํากาละ การแตกแหงขันธ ท. การทอดทิ้งราง การขาดแหงอินทรียคือชีวิต จากจําพวก สัตวนั้น ๆ ของสัตวเหลานั้น ๆ, นี้เราเรียกวาความตาย.

ภิกษุ ท.! ความโศก เปนอยางไรเลา ? ภิกษุ ท.! ความโศก การโศก ภาวะแหงการโศก ความโศกในภายใน ความโศกทั่วในภายใน ของ บุคคลผูประกอบแลวดวยความฉิบหายอันใดอันหนึ่ง หรือของบุคคลผูอันความ ทุกขอยางใดอยางหนึ่งกระทบแลว, นี้เราเรียกวาความโศก


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๑๒๗

ภิกษุ ท.! ความร่ําไรรําพัน เปนอยางไรเลา ? ภิกษุ ท.! ความ คร่ําครวญ ความร่ําไรรําพัน การคร่ําครวญ การร่ําไรรําพัน ภาวะแหงผูคร่ําครวญ ภาวะแหงผูร่ําไรรําพัน ของบุคคลผูประกอบแลวดวยความฉิบหายอันใดอันหนึ่ง หรือของบุคคลผูอันความทุกขอยางใดอยางหนึ่งกระทบแลว. นี้เราเรียกวาความ ร่ําไรรําพัน. ภิกษุ ท.! ความทุกขกาย เปนอยาไรเลา ? ภิกษุ ท.! การทน ยากที่เปนไปทางใจ การไมดี (คือไมสบายเปนปรกติ) ที่เปนไปทางกาย การทนยากที่เกิดแตความกระทบทางกาย ความรูสึกที่ไมดีอันเกิดแตความกระทบ ทางกายใด ๆ, นี้เราเรียกวาความทุกขกาย. ภิกษุ ท.! ความทุกขใจ เปนอยางไรเลา ? ภิกษุ ท.! การทน ยากที่เปนไปทางใจ การไมดี (คือไมสบายเปนปรกติ) ที่เปนไปทางใจ การทน ยากที่เกิดแตความกระทบทางใจ ความรูสึกที่ไมดีอันเกิดแตความกระทบทางใจ ใด ๆ, นี้เราเรียกวาความทุกขใจ.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! ความคับแคนใจ เปนอยางไรเลา ? ภิกษุ ท.! ความ กลุมใจ ความคับแคนใจ ภาวะแหงผูกลุมใจ ภาวะแหงผูคับแคนใจ ของบุคคล ผูประกอบแลวดวยความฉิบหายอันใดอันหนึ่ง หรือของบุคคลผูอันทุกขอยางใด อยางหนึ่งกระทบแลว, นี้เราเรียกวาความคับแคนใจ.

ภิกษุ ท.! ความระคนดวยสิ่งไมเปนที่รักเปนทุกข เปนอยางไรเลา ? ภิ ก ษุ ท.! ในโลกนี้ อารมณ คื อ รู ป เสี ย ง รส โผฏฐั พ พะเหล า นั้ น อั น


๑๒๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

เปนที่ไมนาปรารถนารักใครพอใจ แกผูใด หรือวาชนเหลาใดเปนผูไมหวัง ประโยชน ไมหวังความเกื้อกูล ไมหวังความผาสุก ไมหวังความเกษมจากเครื่อง ผูกรัด ตอเขา. การที่ไปดวยกัน การมาดวยกัน การหยุดอยูรวมกัน ความ ปะปนกันกับดวยอารมณ หรือบุคคลเหลานั้น, นี้เราเรียกวา ความระคน ดวยสิ่งไมเปนที่รักเปนทุกข. ภิกษุ ท.! ความพลัดพรากจากสิ่งเปนที่รักเปนทุกข เปนอยางไรเลา ? ภิกษุ ท.! ในโลกนี้ อารมณคือรูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะเหลานั้น อัน เปนที่นาปรารถนารักใครพอใจ ของผูใด หรือวาชนเหลาใดเปนผูหวังประโยชน หวังความเกื้อกูล หวังความผาสุก หวังความเกษมจากเครื่องผูกรัดตอเขาคือมารดา บิดา พี่นองชาย พี่นองหญิง มิตร อมาตย ญาติสาโลหิตก็ตาม, การที่ไมได ไปรวม การที่ไมไดมารวม การไมไดหยุดอยูรวม ไมไดปะปนกับดวยอารมณ หรือบุคคลเหลานั้น, นี้เราเรียกวา ความพลัดพรากจากสิ่งเปนที่รักเปนทุกข. ภิกษุ ท.! ความที่สัตวปรารถนาแลวไมไดสิ่งนั้นสมหวังเปนทุกข เปนอยางไรเลา ? ภิกษุ ท.! ความปรารถนาเกิดขึ้นแกสัตวผูมีความเกิดเปน ธรรมดา อยางนี้วา "โอหนอ ! ขอเรา ท. ไมพึงเปนผูมีความเกิดเปนธรรมดา และความเกิดไมพึงมาถึงเรา ท. หนอ." ก็ขอนี้ไมใชสัตวจะบรรลุไดดวยความ ปรารถนา. แมนี้ก็ชื่อวา ปรารถนาสิ่งใดแลวไมไดสิ่งนั้นเปนทุกข. ภิกษุ ท.! ความปรารถนาเกิดขึ้นแกสัตวผูมีความแกเปนธรรมดา อยางนี้วา "โอหนอ ! ขอเรา ท.ไมถึงเปนผูมีความแกเปนธรรมดา และความแกไมพึงมาถึงเรา ท. หนอ." ก็ขอนี้ไมใชสัตวจะบรรลุไดดวยความปรารถนา. แมนี้ก็ชื่อวาปรารถนา สิ่งใดแลวไมไดสิ่งนั้น เปนทุกข. ภิกษุ ท.! ความปรารถนาเกิดขึ้นแกหมู

www.buddhadasa.info


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๑๒๙

สัตวผูมีความเจ็บปวยเปนธรรมดา….มีความตายเปนธรรมดา….มีความโศก ความร่ําไรรําพัน ความทุกขกาย ความทุกขใจ ความคับแคนใจ เปนธรรมดา…. (ความทํานองเดียวกันกับขางตน)….ก็ขอนี้ไมใชสัตวจะบรรลุไดดวยความปรารถนา. แมนี้ก็ชื่อวา ปรารถนาสิ่งใดแลวไมไดสิ่งนั้น เปนทุกข. ภิกษุ ท.! กลาวโดยยอ ขันธอันเปนที่ตั้งแหงความยึดถือทั้ง ๕ เปนทุกข เปนอยางไรเลา ? นี้คือ ขันธเปนที่ตั้งแหงความยึดถือไดแกรูป, ขันธ เปนที่ตั้งแหงความยึดถือไดแกเวทนา, ขันธเปนที่ตั้งแหงความยึดถือไดแกสัญญา, ขันธเปนที่ตั้งแหงความยึดถือไดแกสังขาร, ขันธเปนที่ตั้งแหงความยึดถือไดแก วิญญาณ. ภิกษุ ท.! เหลานี้ เราเรียกวา กลาวโดยยอขันธเปนที่ตั้งแหง ความยึดถือเปนทุกข. ภิกษุ ท.! นี้เราเรียกวาอริยสัจ คือ ทุกข. ๒. ทุกขสมุทยอริยสัจ

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! ก็อริยสัจคือเหตุใหเกิดทุกข นั้นเปนอยางไรเลา? ตัณหานี้ใด ทําความเกิดใหมเปนปรกติ เปนไปกับความกําหนัดเพราะความ เพลิน มักเพลินยิ่งในอารมณนั้น ๆ, นี้คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา.

ภิกษุ ท.! ก็ ตัณหานั้น เมื่อจะเกิด ยอมเกิดในที่ไหน ? เมื่อจะ เขาไปตั้งอยู ยอมเขาไปตั้งอยูในทีไ่ หน ? สิ่งใดในโลกมีภาวะเปนที่รักมีภาวะ เปนที่ยินดี (ปยรูปสาตรูป); ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดยอมเกิดในสิ่งนั้น, เมื่อ จะเขาไปตั้งอยูยอมเขาไปตั้งอยูในสิ่งนั้น. ก็อะไรเลา มีภาวะเปนที่รักมีภาวะ เปนที่ยินดีในโลก ?


๑๓๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

ตา…หู…จมูก…ลิ้น…กาย…ใจ…(แตละอยางทุกอยาง) มีภาวะ เปนที่รักมีภาวะเปนทิ่ยินดีในโลก; ตัณหานี้ เมื่อจะเกิด ยอมเกิดในที่นั้น, เมื่อจะเขาไปตั้งอยู ยอมเขาไปตั้งอยูในที่นั้น. รูป ทั้ งหลาย….เสี ยงทั้ งหลาย….กลิ่ น ทั้ งหลาย….รสทั้ งหลาย…. โผฏฐัพพะทั้งหลาย….ธรรมารมณทั้งหลาย…. (แตละอยางทุกอยาง) มีภาวะเปน ที่รักมีภ าวะเปน ยินดีในโลก; ตัณ หานี้เมื่อจะเกิด ยอ มเกิด ในที่นั้น, เมื่อ จะ เขาไปตั้งอยู ยอมเขาไปตั้งอยูในที่นั้น. ความรูแจงทางตา….ความรูแจงทางหู….ความรูแจงทางจมูก…. ความรูแจงทางลิ้น….ความรูแจงทางกาย….ความรูแจงทางใจ…. (แตละอยาง ทุกอยาง) มีภาวะเปนที่รักมีภาวะเปนที่ยินดีในโลก; ตัณ หานี้เมื่อจะเกิด ยอม เกิดในที่นั้น, เมื่อจะเขาไปตั้งอยู ยอมเขาไปตั้งอยูในที่นั้น. การกระทบทางตา...การกระทบทางหู…การทบทางจมูก ... การกระทบทางลิ้น …การกระทบทางกาย...การกระทบทางใจ ...(แตล ะอยา ง ทุกอยาง) มีภาวะเปนที่รักที่ภาวะเปนที่ยินดีในโลก; ตัณหานี้เมื่อจะเกิด ยอม เกิดในที่นั้น, เมื่อจะเขาไปตั้งอยู ยอมเขาไปตั้งอยูในที่นั้น.

www.buddhadasa.info ความรูนึกเกิดแตการกระทบทางตา…ความรูสึกเกิดแตการกระทบ ทางหู…ความรูสึก เกิด แตก ารกระทบทางจมูก …ความรูสึก เกิด แตก าร ทบ ทางลิ้น…ความรูสึกเกิดแตการกระทบทางกาย…ความรูสึกเกิดแตการกระทบ ทางใจ…(แตละอยางทุกอยาง) มีภาวะเปนที่รักมีภาวะเปนทิ่ยินดีในโลก; ตัณหา นี้เมื่อจะเกิด ยอมเกิดในที่นั้น, เมื่อจะเขาไปตั้งอยู ยอมเขาไปตั้งอยูในที่นั้น.


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๑๓๑

ความจําหมายในรูป…ความจําหมายในเสียง…ความจําหมายใน กลิ่น …ความจําหมายในรส…ความจําหมายในโผฏฐัพ พะ…ความจําหมาย ในธรรมารมณ…(แตละอยางทุกอยาง) มีภาวะเปนที่รักมีภาวะเปนที่ยินดีในโลก; ตัณหานี้เมื่อจะเกิด ยอมเกิดในที่นั้น, เมื่อจะเขาไปตั้งอยู ยอมเขาไปตั้งอยูใน ที่นั้น. ความนึก ถึง รูป …ความนึก ถึง เสีย ง…ความนึก ถึง กลิ่น …ความ นึก ถึง รส…ความนึก ถึง โผฏฐัพ พะ….ความนึก ถึง ธรรมารมณ….(แตล ะอยา ง ทุกอยาง) มีภาวะเปนที่รักมีภาวะเปนที่ยินดีในโลก; ตัณ หานี้เมื่อจะเกิด ยอม เกิดในที่นั้น, เมื่อจะเขาไปตั้งอยู ยอมเขาไปตั้งอยูในที่นั้น. ความอยากในรูป…ความอยากในเสียง…ความอยากในกลิ่น…. ความอยากในรส….ความอยากในโผฏฐัพพะ…ความอยากในธรรมารมณ… (แตล ะอยางทุกอยา ง) มีภ าวะเปน ที่รัก มีภ าวะเปน ที่ยิน ดีใ นโลก; ตัณ หานี้เมื่อ จะเกิด ยอมเกิดในที่นั้น, เมื่อจะเขาไปตั้งอยู ยอมเขาไปตั้งอยูในที่นั้น

www.buddhadasa.info ความตริห ารูป …ความตริห าเสีย ง…ความตริห ากลิ่น …ความ ตริ ห ารส…ความตริ ห าโผฏฐั พ พะ…ความตริ ห าธรรมารมณ … (แต ล ะอย า ง ทุกอยาง) มีภาวะเปนที่รักมีภาวะเปนที่ยินดีในโลก; ตัณ หานี้เมื่อจะเกิด ยอม เกิดในที่นั้น, เมื่อจะเขาไปตั้งอยู ยอมเขาไปตั้งอยูในที่นั้น.

ความไตรตรองตอรูป (ที่ตริหาไดแลว)…ความไตรตรองตอเสียง… ความไตรตรองตอกลิ่น…ความไตรตรองตอรส…ความไตรตรองตอโผฏฐัพพะ


๑๓๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

ความไตรต รองตอ ธรรมารมณ…(แตล ะอยา งทุก อยา ง) มีภ าวะเปน ที ่ร ัก มีภ าวะเปน ที ่ย ิน ดีใ น โลก ; ตัณ ห านี ้เ มื ่อ จะเกิด ยอ ม เกิด ใน ที ่นั ้น . เมื ่อ จะเขา ไป ตั ้ง อ ยู ยอมเขาไปตั้งอยูในที่นั้น. ภิกษุ ท.! นี้เราเรียกวาอริยสัจ คือ เหตุใหเกิดทุกข. ๓. ทุกขนิโรธอริยสัจ ภิ ก ษุ ท.! อริ ย สั จ คื อ ความดั บ ไม เหลื อ แห ง ทุ ก ข เป น อย า งไรเล า ? คื อ ความคลายคื น โดยไม มี เหลื อ และความดั บ ไม เหลื อ ความละวาง ความสละคื น ความผานพน ความไมอาลัย ซึ่งตัณหานั้นนั่นเทียว. ภิ ก ษุ ท.! ก็ ตั ณ หานั้ น เมื่ อ บุ ค คลจะละได ย อ มละได ใ นที่ ไ หน? เมื่ อ จะดั บ ย อ มดั บ ได ใ นที่ ไ หน ? สิ่ ง ใดมี ภ าวะเป น ที่ รั ก มี ภ าวะเป น ที่ ยิ น ดี ในโลก; ตัณ หานั ้น เมื ่อ บุค คลจะละ ยอ มละไดใ นสิ ่ง นั ้น , เมื ่อ จะดับ ยอ มดับ ได ในสิ่งนั้น. ก็อะไรเลา มีภาวะเปนที่รัก มีภาวะเปนที่ยินดี ในโลก ?

www.buddhadasa.info ต า ….ห ู…จ ม ูก …ลิ ้น …ก า ย …ใ จ …(แ ต ล ะ อ ย า ง ท ุก อ ย า ง ) ม ีภ า ว ะ เป น ที่ รั ก มี ภ าวะเป น ที่ ยิ น ดี ในโลก; ตั ณ หานี้ เมื่ อ จะละ ย อ มละได ในที่ นั่ น ,. เมื่อจะดับ ยอมดับไดในที่นั้น.

รูป ทั ้ง ห ล า ย …เส ีย ง ทั ้ง ห ล า ย …ก ลิ ่น ทั ้ง ห ล า ย …ร ส ทั ้ง ห ล า ย … โผฏฐัพ พะทั ้ง หลาย…ธรรมารมณทั ้ง หลาย …(แตล ะอยา งทุก อยา ง ) มีภ าวะเปน ที ่ร ัก มีภ าวะเปน ที ่ย ิน ดี ในโลก; ตัณ หานี ้ เมื ่อ จะละ ยอ มละได ในที ่นั ้น , เมื่อจะดับ ยอมดับไดในที่นั้น.


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๑๓๓

ความรูแ จ งทางตา…ความรูแ จ ง ทางหู …ความรูแ จ ง ทางจมู ก … ความรูแ จง ทางลิ้น …ความรูแ จง ทางกาย…ความรูแ จง ทางใจ …(แตล ะอยา ง ทุก อยา ง) มีภ าวะเปน ที ่รัก มีภ าวะเปน ที ่ย ิน ดี ในโลก; ตัณ หานี ้ เมื ่อ จะละ ยอมละไดในที่นั้น, เมื่อจะดับ ยอมดับไดในที่นั้น. การกระทบทางตา…การกระทบทางหู…การกระทบทางจมูก … การกระทบทางลิ้น …การกระทบทางกาย…การการะทบทางใจ…(แตละอยาง ทุก อยา ง) มีภ าวะเปน ที่รัก มีภ าวะเปน ที่ยิน ดี ในโลก; ตัณ หานี้ เมื่อ จะละ ยอมละไดในที่นั้น, เมื่อจะดับ ยอมดับไดในที่นั้น. ความรูสึกเกิดแตการกระทบทางตา…ความรูสึกเกิดแกการกระทบ ทางหู…ความรูสึกเกิดแตการกระทบทางจมูก…ความรูสึกเกิดแตการกระทบ ทางลิ้น…ความรูสึกเกิดแตการกระทบทางกาย…ความรูสึกเกิดแตการกระทบ ทางใจ …(แตล ะอยา งทุก อยา ง) มีภ าวะเปน ที่รัก มีภ าวะเปน ที่ยิน ดี ในโลก; ตัณหานี้ เมื่อจะละ ยอมละไดในที่นั้น, เมื่อจะดับ ยอมดับไดในที่นั้น.

www.buddhadasa.info ความจําหนายในรูป…ความจําหมายในเสียง…ความจําหมายใน กลิ่น …ความจําหมายในรส…ความจําหมายในโผฏฐัพ พะ…ความจําหมาย ในธรรมารมณ…(แตล ะอยา งทุก อยา ง) มีภ าวะเปน ที่รัก มีภ าวะเปน ที่ยิน ดี ในโลก; ตัณ หานี้ เมื่อ จะละ ยอมละไดในที่นั้น , เมื่อ จะดับ ยอ มดับไดใน ที่นั้น.


๑๓๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

ค วาม นึก ถึง รูป …ค วาม นึก ถึง เสีย ง…ค วาม นึก ถึง ก ลิ ่น …ค วาม นึก ถึง รส …ค วาม นึก ถึง โผ ฏ ฐัพ พ ะ…ค วาม นึก ถึง ธ รรม ารม ณ …(แ ตล ะ อ ยา ง ทุก อยา ง) มีภ าวะเปน ที ่ร ัก มีภ าวะเปน ที ่ย ิน ดี ในโลก; ตัณ หานี ้ เมื ่อ จะละ ยอมละไดในที่นั้น, เมื่อจะดับ ยอมดับไดในที่นั้น. ความอยากในรู ป …ความอยากในเสี ย ง…ความอยากในกลิ่ น …. ความอยากในรส…ความอยากในโผฏฐัพ พะ…ความอยากในธรรมารมณ … (แตล ะอยา งทุก อยา ง) มีภ าวะเปน ที ่ร ัก มีภ าวะเปน ที ่ย ิน ดี ในโลก; ตัณ หานี้ เมื่อจะละ ยอมละไดในที่นั้น. เมื่อจะดับ ยอมดังไดในที่นั้น. ค ว า ม ต ริห า รูป …ค ว า ม ต ริห า เสีย ง…ค ว า ม ต ริห า ก ลิ ่น …ค ว า ม ต ริ ห ารส …ค วาม ต ริ ห าโผ ฏ ฐั พ พ ะ …ค วาม ต ริ ห าธ รรม ารม ณ  … (แ ต ล ะ อ ย า ง ทุก อยา ง) มีภ าวะเปน ที ่ร ัก มีภ าวะเปน ที ่ย ิน ดี ในโลก; ตัณ หานี ้ เมื ่อ จะละ ยอมละไดในที่นั้น, เมื่อจะดับ ยอมดับไดในที่นั้น.

www.buddhadasa.info ความไตร ต รองต อ รู ป (ที่ ต ริ ห าได แ ล ว )…ความไตร ต รองต อ เสี ย ง… ความ ไตรต รอ งตอ กลิ ่น …ค วาม ไต รต รองตอ รส …ค วาม ไต รต รองตอ โผ ฏ ฐัพ พะ…ความไตรต รองตอ ธรรมารมณ …(แตล ะอยา งทุก อยา ง) มีภ าวะเปน ที่ รัก มีภ าวะเปน ที ่ย ิน ดี ใน โล ก ; ตัณ ห านี ้ เมื ่อ จะล ะ ยอ ม ล ะไดใ น ที ่นั ้น , เมื่อจะดับ ยอมดับไดในที่นั้น. ภิกษุ ท.! นี้เราเรียกวาอริยสัจคือ ความดับไมเหลือแหงทุกข.


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๑๓๕

๔. ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ภิกษุ ท.! ก็ อริยสัจ คือหนทางเปนเครื่องใหถึงความดับไมเหลือ แหง ทุก ข เปน อยา งไรเลา ? คือ หนทางอัน ประกอบดว ยองคแ ปดอัน ประเสริฐ นี้ เ อง. องค แ ปดคื อ ความเห็ น ชอบ ความดํ า ริ ช อบ วาจาชอบ การงานชอบ อาชีวะชอบ ความเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ. ภิก ษุ ท .! ค ว าม เห็น ช อ บ เปน อ ยา งไร ? ภิก ษุ ท .! ค ว าม รู ในทุ ก ข ความรู ใ นเหตุ ใ ห เกิ ด ทุ ก ข ความรู ใ นความดั บ ไม เหลื อ แห ง ทุ ก ข ความรู ในหนทางเปน เครื ่อ งใหถ ึง ความดับ ไมเ หลือ แหง ทุก ข อัน ใด, นี ้เ ราเรีย กวา ความเห็นชอบ. ภิก ษุ ท.! ความดํ า ริช อบ เปน อยา งไร ? ภิก ษุ ท.! ความดํ า ริ ในการออก (จากกาม) ความดํ า ริใ นการไมพ ยาบาท ความดํ า ริใ นการไม เบียดเบียน, นี้เราเรียกวา ความดําริชอบ.

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท .! ว า จ า ช อ บ เปน อ ยา งไร ? ภิก ษุ ท .! ก า รเวน จ า ก การพู ด เท็ จ การเว น จากการพู ด ยุ ใ ห แ ตกกั น การเว น จากการพู ด หยาบ การเว น จากการพูดเพอเจอ, นี้เราเรียกวา วาจาชอบ ภิก ษ ุ ท .! ก า ร ง า น ช อ บ เปน อ ยา ง ไร ? ภิก ษ ุ ท .! ก า ร เวน จากการฆ าสั ต ว การเว น จากการถื อ เอาสิ่ ง ของที่ เจ า ของไม ได ให การเว น จากการ ประพฤติผิดในกามทั้งหลาย, นี้เราเรียกวา การงานชอบ.


๑๓๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ ก ษุ ท .! อ า ชี ว ะ ช อ บ เป น อ ย า งไร? ภิ ก ษุ ท .! อ ริ ย ส า ว ก ในกรณี นี้ ละการหาเลี้ ย งชี พ ที่ ผิ ด เสี ย สํ า เร็ จ ความเป น อยู ด ว ยการหาเลี้ ย งชี พ ที่ ชอบ, นี้เราเรียกวา อาชีวะชอบ ภิ ก ษุ ท .! ค ว า ม เพี ย ร ช อ บ เป น อ ย า ง ไร ? ภิ ก ษุ ท .! ภิ ก ษุ ในกรณี นี้ ย อ มปลู ก ความพอใจ ย อ มพยายาม ย อ มปรารภความเพี ย ร ย อ ม ประคองจิ ต ย อ มตั้ ง จิ ต ไว เพื่ อ ความไม บั ง เกิ ด ขึ้ น แห ง อกุ ศ ลธรรมทั้ ง หลายอั น ลามก ที่ ยั ง ไม ไ ด บั ง เกิ ด ; ย อ มปลู ก ความพอใจ ย อ มพยายาม ย อ มปรารภ ความเพี ย ร ย อ มประคองจิ ต ย อ มตั้ งจิ ต ไว เพื่ อ การละเสี ย ซึ่ งอกุ ศ ลธรรมทั้ งหลาย อั น ลามกที่ บั ง เกิ ด ขึ้ น แล ว ; ย อ มปลู ก ความพอใจ ย อ มพยายาม ย อ มปรารภ ความเพีย ร ยอ มประคองจิต ยอ มตั ้ง จิต ไว เพื ่อ การบัง เกิด ขึ ้น แหง กุศ ลธรรม ทั้ ง หลาย ที่ ยั ง ไม ไ ด บั ง เกิ ด ; ย อ มปลู ก ความพอใจ ย อ มพยายาม ย อ มปรารภ ความเพี ย ร ย อ มประคองจิ ต ย อ มตั้ ง จิ ต ไว เพื่ อ ความยั่ ง ยื น ความไม เลอะเลื อ น ความงอกงามยิ่ ง ขึ้ น ความไพบู ล ย ความเจริ ญ ความเต็ ม รอบ แห ง กุ ศ ลธรรม ทั้งหลายที่บังเกิดขึ้นแลว. ภิกษุ ท.! นี้เราเรียกวา ความเพียรชอบ

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท .! ค ว า ม ร ะ ลึ ก ช อ บ เป น อ ย า ง ไร ? ภิ ก ษุ ท .! ภิ ก ษุ ในกรณี นี้ เป น ผู มี ป รกติ พิ จ ารณาเห็ น กายในกายอยู , มี ค วามเพี ย รเครื่ อ งเผาบาป มี ความรูสึ กตั วทั่ วพรอม มี ส ติ นํ าความพอใจและความไม พ อใจในโลกออกเสี ยได ; เป น ผู มี ป รกติ พิ จ ารณาเห็ น เวทนาในเวทนาทั้ ง หลายอยู , มี ค วามเพี ย รเครื่ อ งเผา บาป มี ค วามรู สึ ก ตั ว ทั่ วพร อ ม มี ส ติ นํ าความพอใจและความไม พ อใจในโลกออก เสีย ได; เปน ผู ม ีป รกติพ ิจ ารณาเห็น จิต ในจิต อยู , มีค วามเพีย รเครื ่อ งเผาบาป มีความรูสึกตัวทั่วพรอม มีสติ นําความพอใจและความไมพอใจในโลกออกเสียได;


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๑๓๗

เป น ผู มี ป รกติ พิ จ ารณาเห็ น ธรรมในธรรมทั้ ง หลายอยู , มี ค วามเพี ย รเครื่ อ งเผา บาป มี ความรูสึ กตั วทั่ วพร อม มี สติ นํ าความพอใจและความไม พอใจในโลกออก เสียได. ภิกษุ ท.! นี้เราเรียกวา ความระลึกชอบ. ภิก ษุ ท.! ความตั ้ง ใจมั ่น ชอบ เปน อยา งไร ? ภิก ษุ ท.! ภิก ษุ ในกรณี นี้ สงั ด แล ว จากกามทั้ ง หลาย สงั ด แล ว จากอกุ ศ ลธรรมทั้ ง หลาย เข า ถึ ง ฌานที่ ห นึ่ ง อั น มี วิ ต กวิ จ าร มี ป ติ แ ละสุ ข อั น เกิ ด แต วิ เ วก แล ว แลอยู . เพราะ วิ ต กวิ จ ารรํ า งั บ ลง, เธอเข า ถึ ง ฌานที่ ส อง อั น เป น เครื่อ งผ อ งใสแห ง ใจในภายใน ให ส มาธิ เป น ธรรมอั น เอกผุ ด ขึ้ น ไม มี วิ ต กไม มี วิ จ าร มี แ ต ป ติ แ ละสุ ข อั น เกิ ด แต สมาธิ แลว แลอยู , เพราะปต ิจ างหายไป, เธอเปน ผู เ พง เฉยอยู ไ ด มีส ติ มี ความรูสึ กตั วทั่ วพรอม และได เสวยสุ ขด วยนามกาย ย อมเข าถึ งฌานที่ สาม อั น เป น ฌานที่ พ ระอริ ย เจ า ทั้ ง หลาย กล า วสรรเสริ ญ ผู ได บ รรลุ ว า "เป น ผู เฉยอยู ได มี ส ติ มี ค วามรู สึ ก ตั ว ทั่ ว พร อ ม" แล ว แลอยู เพราะละสุ ข และทุ ก ข เสี ย ได และ เพราะความดั บ หายแห ง โสมนั ส และโทมนั ส ในกาลก อ น เธอย อ มเข า ถึ ง ฌานที่ สี่ อัน ไมท ุก ขแ ละไมส ุข มีแ ตส ติอ ัน บริส ุท ธิ ์เพราะอุเบกขา แลว แลอยู . ภิก ษุ ท.! นี้เราเรียกวา สัมมาสมาธิ.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! นี้ เราเรี ย กว า อริ ย สั จ คื อ หนทางเป น เครื่ อ งให ถึ ง ความดั บ ไมเหลือแหงทุกข. - มหา. ที. ๑๐/๓๔๐-๓๕๐/๒๙๔-๒๙๙.


๑๓๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

อริยสัจสี่ ที่ทรงแสดงโดยพิสดาร (นัยที่สอง) ภิ ก ษุ ท.! ธรรมอั น เราแสดงแล ว ว า "เหล า นี้ คื อ อริ ย สั จ ทั้ ง หลาย ๔ ประการ" ดั ง นี้ เป น ธรรมอั น สมณ พราหมณ ผู รู ทั้ ง หลายข ม ขี่ ไ ม ไ ด ทํ า ให เศร า หมองไม ไ ด ติ เ ตี ย นไม ไ ด คั ด ง า งไม ไ ด . ข อ นี้ เป น ธรรมที่ เ รากล า วแล ว อยา งนี ้ เราอาศัย ซึ ่ง อะไรเลา จึง กลา วแลว อยา งนี ้ ? ภิก ษุ ท.! เพราะอาศัย ซึ่ ง ธาตุ ทั้ ง หลาย ๖ ประการ การก า วลงสู ค รรภ ย อ มมี ; เมื่ อ การก า วลงสู ค รรภ มีอ ยู , นามรูป ยอ มมี; เพระมีน ามรูป เปน ปจ จัย จึง มีส ฬายตนะ; เพราะ มีส ฬายตนะเปน ปจ จัย จึง มีผ ัส สะ; เพราะมีผ ัส สะเปน ปจ จัย จึง มีเ วทนา. ภิก ษุ ท.! เรายอ มบัญ ญัต ิว า "นี ้ เปน ความทุก ข" ดัง นี ้; วา "นี ้ เปน ทุก ข สมุท ัย ) ดัง นี ้; วา "นี ้เ ปน ทุก ขนิโ รธ" ดัง นี ้; วา "นี ้เ ปน ทุก ขนิโ รธคามินี ปฏิปทา" ดังนี้; แกสัตวผูสามารถเสวยเวทนา. ภิ ก ษุ ท.! ทุ ก ข อ ริ ย สั จ เป น อย า งไรเล า ? แม ค วามเกิ ด ก็ เ ป น ทุก ข, แ มค ว า ม แ ก ก็เ ปน ทุก ข, แ มค ว า ม ต า ย ก็เ ปน ทุก ข, แ มโ ส ก ะ ปริท วะทุก ขะโทมนัส อุป ายาสทั ้ง หลาย ก็เ ปน ทุก ข, การประสบกับ สิ ่ง ไมเ ปน ที ่ร ัก เปน ทุก ข, ค วาม พ ลัด พ ราก จ าก สิ ่ง เปน ที ่ร ัก เปน ทุก ข, ป รารถ น า สิ่ ง ใดแล ว ไม ไ ด สิ่ ง นั้ น นั่ น ก็ เป น ทุ ก ข : กล า วโดยย อ ป ญ จุ ป าทานขั น ธ ทั้ ง หลาย เปนทุกข. ภิกษุ ท.! นี้เรากลาววา ทุกขอริยสัจ.

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท.! ทุก ขสมุท ยอริส ัจ เปน อยา งไรเลา ? เพราะมีอ วิช ชา เปนปจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย; เพราะมีสังขารเปนปจจัย จึงมีวิญญาณ;


ภาคนํา - เรื่องควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

๑๓๙

เพราะมีว ิญ ญ าณ เปน ปจ จัย จึง มีน ามรูป ; เพราะมีน ามรูป เปน ปจ จัย จึง มี สฬายตนะ; เพราะมีส ฬายตนะเปน ปจ จัย จึง มีผ ัส สะ; เพราะมีผ ัส สะเปน ปจ จัย จึง มีเ วทนา; เพราะมีเ วทนาเปน ปจ จัย จึง มีต ัณ หา; เพราะมีต ัณ หา เปน ปจ จัย จึง มีอ ุป าทาน; เพราะมีอ ุป าทานเปน ปจ จัย จึง มีภ พ; เพราะมี ภพเปน ปจ จัย จึง มีช าติ; เพราะมีช าติเ ปน ปจ จัย , ชรามรณะ โสกะปริเ ทวะทุ ก ขะโทมนั ส อุ ป ายาสทั้ งหลาย จึ งเกิ ด ขึ้ น ครบถ วน : ความเกิ ด ขึ้ น พร อ มแห งกอง ทุ ก ข ทั้ ง สิ้ น นี้ ย อ มมี ด ว ยอาการอย า งนี้ . ภิ ก ษุ ท.! นี้ เรากล า วว า ทุ ก ขสมุ ท ยอริยสัจ. ภิก ษุ ท .! ทุก ข นิโ รธอ ริย สัจ เปน อ ยา งไรเลา ? เพ ราะความ จางคลายดั บ ไปโดยไม เ หลื อ แห ง วิ ช ชานั้ น นั่ น เที ย ว, จึ ง มี ค วามดั บ แห ง สั ง ขาร; เพราะมี ค วามดั บ แห ง สั ง ขาร จึ ง มี ค วามดั บ แห ง วิ ญ ญาณ; เพราะมี ค วามดั บ แห ง วิ ญ ญาณ จึ ง มี ค วามดั บ แห ง นามรู ป ; เพราะมี ค วามดั บ แห ง นามรู ป จึ ง มี ค วาม ดั บ แห ง สฬายตนะ; เพราะมี ค วามดั บ สฬายตนะ จึ ง มี ค วามดั บ แห ง ผั ส สะ; เพราะมี ค วามดั บ แห ง ผั ส สะ จึ ง ความดั บ แห ง เวทนา; เพราะมี ค วามดั บ แห ง เวทนา จึ ง ความดั บ แห ง ตั ณ หา; เพราะมี ค วามดั บ แห ง ตั ณ หา จึ ง มี ค วามดั บ แหง อุป าทาน; เพราะมีค วามดับ แหง อุป าทาน จึง มีค วามดับ แหง ภพ; เพราะ มีค วามดับ แหง ภพ จึง ความดับ แหง ชาติ; เพราะมีค วามดับ แหง ชาตินั ่น แล, ชรามรณะ โสกะปริ เทวะทุ ก ขะโทมนั ส อุ ป ายาสทั้ งหลาย จึ งดั บ สิ้ น : ความดั บ ลง แหง กองทุก ขทั ้ง สิ ้น นี ้ ยอ มมีด ว ยอาการอยา งนี ้. ภิก ษุ ท.! นี ้เ รากลา ววา ทุกขนิโรธอริยสัจ.

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท.! ทุก ขนิโ รธคามิน ีป ฏิป ทาอริย สัจ เปน อยา งไรเลา ? มรรคอั น ประเสริ ฐ ประกอบด ว ยองค ๘ ประการ นี้ นั่ น เอง, กล า วคื อ


๑๔๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

ส ั ม ม า ท ิ ฏ ฐิ ส ั ม ม า ส ั ง ก ั ป ป ะ ส ั ม ม า ว า จ า ส ั ม ม า ก ั ม ม ั น ต ะ ส ั ม ม า อาชี วะ สั มมาวายามะ สั มมาสติ สั มมาสมาธิ . ภิ กษุ ท.! นี้ เรากล าวว า ทุ กขนิ โรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ. ภ ิก ษ ุ ท .! ธ รรม อัน เราแ ส ด งแ ลว วา "เห ลา นี ้ค ือ ริย สัจ ทั ้ง ห ล า ย ๔ ประการ" ดั ง นี้ เป น ธรรมอั น สมณ พราหมณ ผู รู ทั้ ง หลายข ม ขี่ ไ ม ไ ด ทํ า ให เศรา ห ม อ งไมไ ด ติเ ตีย น ไมไ ด คัด งา งไมไ ด ดัง นี ้อ ัน ใด อัน เรากลา วแลว ; ขอนั้น เรากลาวหมายถึงขอความดังกลาวมานี้, ดังนี้ แล. - ติก. อํ. ๒๐/๒๒๗-๒๒๘/๕๐๑.

ภาคนํา วาดวย ขอความที่ควรทราบกอนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ

www.buddhadasa.info จบ


คําชี้ชวนวิงวอน ___________

ภิกษุ ท.! โยคกรรม อันเธอพึงกระทํา เพื่อใหรูวา "นี้ทุกข นี้เหตุใหเกิดทุกข นี้ความดับสนิทแหงทุกข นี้ทางใหถึงความดับสนิทแหงทุกข." เทสิตํ โว มยา นิพฺพานํ เทสิโต นิพฺพานคามิมคฺโค นิพพาน เราไดแสดงแลว, ทางใหถึงนิพพาน เราก็ ไดแสดงแลว แกเธอทั้งหลาย. กิจใด ที่ศาสดาผูเอ็นดู แสวงหาประโยชนเกื้อกูล อาศัยความเอ็นดูแลว จะพึงทําแกสาวกทั้งหลาย, กิจนั้น เราไดทําแลวแกพวกเธอ.

www.buddhadasa.info นั่น โคนไม; นั่น เรือนวาง. พวกเธอจงเพียรเผากิเลส, อยาไดประมาท, อยาเปนผูที่ตองรอนใจ ในภายหลังเลย.

อยํ โว อมฺหากํ อนุสาสนี นี่แหละ วาจาเครื่องพร่ําสอนของเรา แกเธอทั้งหลาย. (มหาวาร. สํ. - สฬา.สํ.) ๑๔๑


www.buddhadasa.info


อุทเทศแหงจตุราริยสัจ ภิ กษุ ท .! ต ถาค ต ผู อ รหั น ตสั ม ม าสั ม พุ ท ธะ ได ป ระกาศ อนุ ต ต รธรรมจั ก รให เ ป น ไปแล ว ที่ ป า อิ สิ ป ตนมฤคทายวั น ใกล น ครพ าราณ สี , เป น ธรรมจัก ร ที ่ส มณ ะหรือ พราหมณ , เทพ มาร พรหม หรือ ใคร ๆ ในโลก จะ ต า นทานให ห มุ น กลั บ มิ ได ข อ นี้ คื อ การบอก การแสดง การบั ญ ญั ติ การแต ง ตั้ ง การเป ด เผย การจํ า แนก และการทํ า ให เข า ใจได ง า ย ซึ่ ง ความจริ ง อั น ประเสริ ฐ สี่ อย า ง. สี่ อ ย า งเหล า ไหนเหล า ? สี่ อ ย า งได แ ก ความจริ ง อั น ประเสริ ฐ คื อ ทุ ก ข , ความจริงอันประเสริฐคือ เหตุใหเกิดทุกข, ความจริงอันประเสริฐคือ ความดับไม เหลือของทุกข, และ ความอันจริงประเสริฐคือ ทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือ ของทุกข. ภิ ก ษุ ท.! ตถาคต ผู อ รหั น ตสั ม มาสั ม พุ ท ธะ ได ป ระกาศอนุ ต ตรธรรมจั ก รให เ ป น ไปแล ว ที่ ป า อิ สิ ป ตนมฤคทายวั น ใกล น ครพ าราณ สี , เป น ธรรมจั ก ร ที่ ส มณะหรื อ พราหมณ , เทพ มาร พรหม หรื อ ใคร ๆ ในโลก จะต า น ทานให ห มุ น กลั บ มิ ได ข อ นี้ คื อ การบอก การแสดง การบั ญ ญั ติ การแต ง ตั้ ง การ เป ด เผย การจํ า แนก และการทํ า ให เข า ใจได ง า ย ซึ่ ง ความจริ ง อั น ประเสริ ฐ สี่ อ ย า ง เหลานี้แล.

www.buddhadasa.info - อุปริ. ม. ๑๔/๔๔๙/๖๙๙.

๑๔๓


อุทเทศแหงจตุราริยสัจ ภิ กษุ ท .! ต ถาค ต ผู อ รหั น ตสั ม ม าสั ม พุ ท ธะ ได ป ระกาศ อนุ ต ต รธรรมจั ก รให เ ป น ไปแล ว ที่ ป า อิ สิ ป ตนมฤคทายวั น ใกล น ครพ าราณ สี , เป น ธรรมจัก ร ที ่ส มณ ะหรือ พราหมณ , เทพ มาร พรหม หรือ ใคร ๆ ในโลก จะ ต า นทานให ห มุ น กลั บ มิ ได ข อ นี้ คื อ การบอก การแสดง การบั ญ ญั ติ การแต ง ตั้ ง การเป ด เผย การจํ า แนก และการทํ า ให เข า ใจได ง า ย ซึ่ ง ความจริ ง อั น ประเสริ ฐ สี่ อย า ง. สี่ อ ย า งเหล า ไหนเหล า ? สี่ อ ย า งได แ ก ความจริ ง อั น ประเสริ ฐ คื อ ทุ ก ข , ความจริงอันประเสริฐคือ เหตุใหเกิดทุกข, ความจริงอันประเสริฐคือ ความดับไม เหลือของทุกข, และ ความอันจริงประเสริฐคือ ทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือ ของทุกข. ภิ ก ษุ ท.! ตถาคต ผู อ รหั น ตสั ม มาสั ม พุ ท ธะ ได ป ระกาศอนุ ต ตรธรรมจั ก รให เ ป น ไปแล ว ที่ ป า อิ สิ ป ตนมฤคทายวั น ใกล น ครพ าราณ สี , เป น ธรรมจั ก ร ที่ ส มณะหรื อ พราหมณ , เทพ มาร พรหม หรื อ ใคร ๆ ในโลก จะต า น ทานให ห มุ น กลั บ มิ ได ข อ นี้ คื อ การบอก การแสดง การบั ญ ญั ติ การแต ง ตั้ ง การ เป ด เผย การจํ า แนก และการทํ า ให เข า ใจได ง า ย ซึ่ ง ความจริ ง อั น ประเสริ ฐ สี่ อ ย า ง เหลานี้แล.

www.buddhadasa.info - อุปริ. ม. ๑๔/๔๔๙/๖๙๙.

๑๔๓


ภาค ๑ วาดวย ทุกขอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐคือทุกข

www.buddhadasa.info

๑๔๕


ภาค ๑

มีเรื่อง :- นิทเทศ ๑ วาดวยประเภทและอาการแหงทุกขตามหลักทั่วไป ๑๒ เรื่อง นิทเทศ ๒ วาดวยทุกขสรุปในปญจุปาทานักขันธ ๙๕ เรื่อง นิทเทศ ๓ วาดวยหลักเบ็ดเตล็ดเกี่ยวกับความทุกข ๑๘ เรื่อง

www.buddhadasa.info

๑๔๖


อริยสัจจากพระโอษฐ ภาค ๑ วาดวย

ทุกขอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐคือทุกข (มี ๓ นิทเทศ) ____________

อุทเทศแหงทุกขอริยสัจ ภิ ก ษุ ท.! ความจริ ง อั น ประเสริ ฐ คื อ ทุ ก ข เป น อย า งไรเล า ? ภิ ก ษุ ท.! ความเกิด เปนทุกข, ความแก เปนทุกข, ความตาย เปนทุกข, ความโศก ความร่ําไรรําพัน ความทุกขกาย ความทุกขใจ ความคับแคนใจ เปนทุกข, ความประสพดวยสิ่งไมเปนที่รัก เปนทุกข, ความพลัดพรากจากสิ่งเปนที่รัก เปน ทุก ข, ความปรารถนาอยา งใดแลว ไมไ ดอ ยา งนั ้น เปน ทุก ข; กลา ว โดยสรุป แล ว ป ญ จุ ป าทานั ก ขั น ธ (ขั น ธ ห า อั น เป น ที่ ตั้ ง แห งอุ ป าทาน) เป น ตั ว ทุกข; นี้ เรียกวา ความจริงอันประเสริฐคือทุกข.

www.buddhadasa.info - ติก. อํ. ๒๐/๒๒๗/๕๐๑.

๑๔๗


๑๔๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

นิทเทศแหงทุกขอริยสัจ ___________

นิทเทศ ๑ วาดวยประเภทและอาการแหงทุกขตามหลักทั่วไป (มี ๑๒ เรื่อง)

ความเกิด ภิ ก ษุ ท.! ความเกิ ด เป น อย า งไรเล า ? ภิ ก ษุ ท.! การเกิ ด การ กํ า เนิ ด การก า วลง (สู ค รรภ ) การบั ง เกิ ด การบั ง เกิ ด โดยยิ่ ง ความปรากฏของ ขั น ธ ทั้ ง หลาย การที่ สั ต ว ไ ด ซึ่ ง อายตนะทั้ ง หลาย ในสั ต วนิ ก ายนั้ น ๆ ของสั ต ว เหลานั้น ๆ; นี้ เรียกวา ความเกิด. - มหา. ที. ๑๐/๓๔๑/๒๙๕.

ความแก ภ ิก ษ ุ ท .! ค ว า ม แ ก  เป น อ ย า ง ไร เล า ? ภ ิก ษ ุ ท .! ค ว า ม แ ก ความคร่ํ า คร า ความมี ฟ น หลุ ด ความมี ผ มหงอก ความมี ห นั ง เหี่ ย ว ความเสื่ อ ม ไปแห ง อายุ ความแก ร อบแห ง อิ น ทรี ย ทั้ ง หลาย ในสั ต วนิ ก ายนั้ น ๆ ของสั ต ว เหลานั้น ๆ; นี้ เรียกวา ความแก.

www.buddhadasa.info - มหา. ที. ๑๐/๓๔๑/๒๙๕.

ความตาย ภ ิก ษ ุ ท .! ค ว า ม ต า ย เป น อ ย า ง ไร เล า ? ภ ิก ษ ุ ท .! ก า รจ ุติ ความเคลื่อน การแตกสลายไป การหายไป การวายชีพ การตาย การทํากาละ


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๑๔๙

การแตกแห ง ขั น ธ ทั้ ง หลาย การทอดทิ้ ง ร า ง การขาดแห ง อิ น ทรี ย คื อ ชี วิ ต จาก สัตวนิกายนั้น ๆ ของสัตวเหลานั้น ๆ; นี้ เรียกวา ความตาย. - มหา. ที. ๑๐/๓๔๑/๒๙๕

ความโศก ภิ ก ษุ ท.! ความโศก เป น อย า งไรเล า ? ภิ ก ษุ ท.! ความโศก ความเศร า ความเป น ผู เศร า ความโศกกลุ ม กลั ด ความโศกสุ ม กลุ ม กลั ด ของ บุ คคลผู เผชิ ญ แล วด วยความวิ บั ติ อย างใดอย างหนึ่ ง อั นความทุ กข ชนิ ดใดชนิ ดหนึ่ ง กระทบแลว; นี้ เรียกวา ความโศก. - มหา. ที. ๑๐/๓๔๑/๒๙๕.

ความร่ําไรรําพัน ภิก ษุ ท.! ความร่ํ า ไรรํ า พัน เปน อยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท.! ความ คร่ํ าครวญ ความร่ําไรรํ าพั น การคร่ํ าครวญ การร่ํ าไรรําพั น ความเป นผู คร่ํ าครวญ ความเป น ผู ร่ํ า ไรรํ า พั น ของบุ ค คลผู เผชิ ญ แล ว ด ว ยความวิ บั ติ อ ย า งใดอย า งหนึ่ ง อันความทุกขชนิดใดชนิดหนึ่งกระทบแลว; นี้ เรียกวา ความร่ําไรรําพัน.

www.buddhadasa.info - มหา. ที. ๑๐/๓๔๑/๒๙๕.

ความทุกขกาย ภิก ษุ ท.! ความทุก ขก าย เปน อยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท.! ความ ทนไดยากที่เปนไปทางกาย ความไมผาสุกที่เปนไปทางกาย ความทนไดยาก


๑๕๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

ความรู สึ ก อั น ไม ผ าสุ ก ที่ เกิ ด แต ค วามกระทบทางกาย; นี้ เรี ย กว า ความทุ ก ข กาย. - มหา. ที. ๑๐/๓๔๒/๒๙๕.

ความทุกขใจ ภิก ษุ ท.! ความทุก ขใ จ เปน อยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท.! ความ ทนได ย ากที่ เป น ไปทางใจ ความไม ผ าสุ ก ที่ เป น ไปทางใจ ความทนได ยาก ความ รูสึกอันไมผาสุก ที่เกิดแตความความกระทบทางใจ; นี้ เรียกวา ความทุกขใจ; - มหา. ที. ๑๐/๓๔๒/๒๙๕.

ความคับแคนใจ ภิ ก ษุ ท.! ความคั บ แค น ใจ เป น อย า งไรเล า ? ภิ ก ษุ ท.! ความ กลุ ม ใจ ความคั บ ใจ ความเป น ผู ก ลุ ม ใจ ความเป น ผู คั บ ใจ ของบุ ค คลผู เผชิ ญ แล วด วยความวิ บั ติ อย างใดอย างหนึ่ ง อั นความทุ กข ชนิ ดใดชนิ ดหนึ่ งกระทบแล ว; นี้ เรียกวา ความคับแคนใจ.

www.buddhadasa.info - มหา. ที. ๑๐/๓๔๒/๒๙๕๕.

ความประสพดวยสิ่งไมเปนที่รัก ภิกษุ ท.! ความประสพดวยสิ่งไมเปนที่รัก เปนทุกข เปนอยางไร เลา ? ภิก ษุ ท.! รูป เสีย ง กลิ ่น รส โผฏฐัพ พะ เหลา ใด ในโลกนี ้ ที ่ไ ม นาปรารถนา ไมนารักใคร ไมนาพอใจ มีแกผูนั้นหรือวา ชนเหลาใด เปนผู


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๑๕๑

ไม ห วั งประโยชน ไม ห วั งความเกื้ อ กู ล ไม หวั งความผาสุ ก ไม ห วั งความเกษมจาก เครื่อ งผู ก รัด ต อ เขา, การต อ งไปด ว ยกั น การต อ งมาด ว ยกั น การต อ งอยู รว มกั น ความระคนกั น กั บ ด ว ยอารมณ ห รื อ บุ ค คลเหล า นั้ น ; นี้ เรี ย กว า ความประสพ ดวยสิ่งไมเปนที่รัก เปนทุกข. - มหา. ที. ๑๐/๓๔๒/๒๙๕.

ความพลัดพรากจากสิ่งเปนที่รัก ภิกษุ ท.! ความพลัดพรากจากสิ่งเป นที่ รัก เปน ทุกขเปน อยางไร เล า ? ภิ กษุ ท.! รู ป เสี ย งกลิ่ น รส โผฏ ฐั พ พ ะ เหล า ใด ในโลกนี้ ที่ น า ปรารถนา น า รั ก ใคร น า พอใจ มี แ ก ผู นั้ น หรื อ ว า ชนเหล า ใด เป น ผู ห วั ง ประโยชน หวั ง ความเกื้ อ กู ล หวั ง ความผาสุ ก หวั ง ความเกษมจากเครื่ อ งผู ก รั ด ตอ เขา เชน มารดาบิด า พี ่น อ งชาย พี ่น อ งหญิง มิต รอมาตย ญาติส าโลหิต ก็ต าม, การไมไ ดไ ปรว มกัน การไมไ ดม ารว มกัน การไมไ ดอ ยู ร ว มกัน ความ ไมไ ดร ะค น กัน กับ ดว ยอ ารม ณ ห รือ บุค ค ล เห ลา นั ้น ; นี ้ เรีย กวา ค วาม พลัดพรากจากสิ่งเปนที่รัก เปนทุกข.

www.buddhadasa.info - มหา. ที. ๑๐/๓๔๒/๒๙๕.

ความปรารถนาอยางใดแลวไมไดอยางนั้น

ภิกษุ ท.! ความปรารถนาอยางใดแลวไมไดอยางนั้น เปนทุกข เปน อย า งไรเล า ? ภิ ก ษุ ท.! สั ต ว ทั้ ง หลาย ผู มี ค วามเกิ ด เป น ธรรมดา ย อ มเกิ ด ความปรารถนาขึ้น วา "โอหนอ ! ขอเราไมพึงเปนผูมีความเกิดเปนธรรมดา


๑๕๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

และความคิ ด เกิ ด เล า ก็ อ ย าพึ งมี ม าถึ งเราเลย" ดั งนี้ , ข อ นี้ ไม ใช สิ่ งที่ สั ต ว จะบรรลุ ได ด ว ยความปรารถนา; นี้ เรี ย กว า ความปรารถนาอย า งใดแล ว ไม ได อ ย า งนั้ น เปนทุกข. ภิ ก ษุ ท.! สั ต ว ทั้ ง หลาย ผู มี ค วามแก เป น ธรรมดา ย อ มเกิ ด ความ ปรารถนาขึ้ น ว า " โอหนอ! ขอเรา ไม พึ ง เป น ผู มี ค วามแก เ ป น ธรรมดา และ ความแก เ ล า ก็ อ ย า พึ ง มี ม าถึ ง เราเลย" ดั ง นี้ , ข อ นี้ ไม ใ ช สิ่ ง ที่ สั ต ว จ ะบรรลุ ไ ด ด ว ยความปรารถนา; แม นี้ เรี ย กว า ความปรารถนาอย า งใดแล ว ไม ไ ด อ ย า งนั้ น เปนทุกข. ภิ ก ษุ ท.! สั ต ว ทั้ ง หลาย ผู มี ค วามตายเป น ธรรมดา ย อ มเกิ ด ความ ปรารถนาขึ้ น ว า "โอหนอ ! ขอเรา ไม พึ ง เป น ผู มี ค วามตายเป น ธรรมดา และ ความตายเล า ก็ อ ย า พึ ง มี ม าถึ ง เราเลย" ดั ง นี้ , ข อ นี้ ไม ใ ช สิ่ ง ที่ สั ต ว จ ะบรรลุ ไ ด ด ว ยความปรารถนา; แม นี้ เรี ย กว า ความปรารถนาอย า งใดแล ว ไม ได อ ย า งนั้ น เปนทุกข.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! สั ต ว ทั้ ง หลาย ผู มี ค วามโศก ความร่ํ า ไรรํ า พั น ความ ทุ ก ข กาย ความทุ ก ข ใจ ความคั บ แค น ใจ เป น ธรรมดา ย อ มเกิ ด ความปรารถนา ขึ ้น วา "โอหนอ ! ขอเรา ไมพ ึง เปน ผู ม ีค วามโศก ความร่ํ า ไรรํ า พัน ความ ทุ ก ข ก าย ความทุ ก ข ใ จ ความคั บ แค น ใจ เป น ธรรมดา และความโศก ความ ร่ําไรรําพั น ความทุ ก ข ก าย ความทุ ก ข ใจ ความคั บแค น ใจ เล า ก็ อ ย าพึ งมี มาถึ ง เราเลย" ดัง นี ้, ขอ นี ้ไ มใ ชสิ ่ง ที ่ส ัต วจ ะบรรลุไ ดด ว ยความปรารถนา; แมนี้ เรียกวา ความปรารถนาอยางใดแลวไมไดอยางนั้น เปนทุกข. - มหา. ที. ๑๐/๓๔๓/๒๙๕.


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๑๕๓

ปญจุปาทานักขันธ ภิก ษุ ท.! กลา วโดยสรุป แลว ปญ จุป าทานัก ขัน ธ เปน ตัว ทุก ข เปน อยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท.! ปญ จุป าทานัก ขัน ธไ ดแ กสิ ่ง เหลา นี ้ค ือ ขัน ธ อั น เป น ที่ ตั้ ง แห ง ความยึ ด มั่ น คื อ รู ป , ขั น ธ อั น เป น ที่ ตั้ ง แห ง ความยึ ด มั่ น คื อ เวทนา, ขั น ธ อั น เป น ที่ ตั้ ง แห ง ความยึ ด มั่ น คื อ สั ญ ญา, ขั น ธ อั น เป น ที่ ตั้ ง แห ง ความยึ ด มั่ น คื อ สั ง ขาร, และขั น ธ อั น เป น ที่ ตั้ ง แห ง ความยึ ด มั่ น คื อ วิ ญ ญาณ; เหลานี้แล เรียกวา กลาวโดยสรุปแลว ปญจุปาทานักขันธ เปนตัวทุกข. - มหา. ที.๑๐/๓๔๓/๒๙๕.

นิทเทศ ๑ วาดวยประเภทและอาการแหงทุกขตามหลักทั่วไป

จบ

www.buddhadasa.info


๑๕๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

นิทเทศ ๒ วาดวยทุกขสรุปในปญจุปาทานักขันธ ( มี ๙๕ เรื่อง) ภิก ษุ ท.! กลา วโดยสรุป แลว ปญ จุป าทานัก ขัน ธ เปน ตัว ทุก ข นั ้น เปน อยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท.! ปญ จุป าทานัก ขัน ธนั ้น ไดแ กสิ ่ง เหลา นี้ คื อ ขั น ธ อั น เป น ที่ ตั้ ง แห ง ความยึ ด มั่ น คื อ รู ป , ขั น ธ อั น เป น ที่ ตั้ ง แห ง ความยึ ด มั่ น คื อ เวทนา, ขั น ธ อั น เป น ที่ ตั้ ง แห ง ความยึ ด มั่ น คื อ สั ญ ญ า, ขั น ธ อั น เป น ที่ ตั้ ง แห งความยึ ด มั่ น คื อ สั งขาร, และขั น ธ อั น เป น ที่ ตั้ งแห งความยึ ด มั่ น คื อ วิ ญ ญาณ. เหลานี้แล เรียกวา กลาวโดยสรุปแลว ปญจุปาทานักขันธ เปนตัวทุกข. - มหา. ที. ๑๐/๓๔๓/๒๙๕.

ตอน ๑ วาดวยเบญจขันธโดยวิภาค (ก.)วิภาคแหงเบญจขันธ (มี ๕ วิภาค)

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! เบญจขันธ เปนอยางไรเลา ?

ภิ ก ษุ ท .! รู ป ชนิ ด ใด ชนิ ด ห นึ่ ง มี อ ยู จะเป น อ ดี ต อ น าค ต ห รื อ ป จ จุ บั น ก็ ต าม เป น ภายในหรื อ ภายนอกก็ ต าม หยาบหรื อ ละเอี ย ดก็ ต าม เลวหรื อ ประณีตก็ตาม มีในที่ไกลหรือที่ใกลก็ตาม; นี้ เรียกวา รูปขันธ.

ภิ ก ษุ ท.! เวทนา ชนิ ด ใดชนิ ด หนึ่ ง มี อ ยู จะเป น อดี ต อนาคตหรื อ ป จ จุ บั น ก็ ต าม เป น ภายในหรื อ ภายนอกก็ ต าม หยาบหรื อ ละเอี ย ดก็ ต าม เลวหรื อ ประณีตก็ตาม มีในที่ไกลหรือที่ใกลก็ตาม; นี้ เรียกวา เวทนาขันธ


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๑๕๕

ภิ ก ษุ ท.! สั ญ ญา ชนิ ด ใดชนิ ด หนึ่ ง มี อ ยู จะเป น อดี ต อนาคตหรื อ ป จ จุ บั น ก็ ต าม เป น ภายในหรื อ ภายนอกก็ ต าม หยาบหรื อ ละเอี ย ดก็ ต าม เลวหรื อ ประณีตก็ตาม มีในที่ไกลหรือที่ใกลก็ตาม; นี้ เรียกวา สัญญาขันธ. ภิ กษุ ท .! สั ง ขารทั้ งห ล าย ชนิ ดใดชนิ ด หนึ่ ง มี อยู จะเป น อดี ต อนาคตหรื อป จจุ บั นก็ ตาม เป นภายในหรื อภายนอกก็ ตาม หยาบหรื อละเอี ยดก็ ตาม เลวหรือประณีตก็ตาม มีในที่ไกลหรือที่ใกลก็ตาม; นี้ เรียกวา สังขารขันธ. ภิ ก ษุ ท.! วิ ญ ญ าณ ชนิ ด ใดชนิ ด หนึ่ ง มี อ ยู จะเป น อดี ต อนาคต หรื อ ป จ จุ บั น ก็ ต าม เป น ภายในหรื อ ภายนอกก็ ต าม หยาบหรื อ ละเอี ย ดก็ ต าม เลว หรือประณีตก็ตาม มีในที่ไกลหรือที่ใกลก็ตาม; นี้ เรียกวา วิญญาณขันธ. ภิกษุ ท.! เหลานี้ เรียกวา เบญจขันธ. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๙/๙๕.

www.buddhadasa.info ๑. วิภาคแหงรูปขันธ รูปและรูปอาศัย

ภิ ก ษุ ท.! มหาภู ต (ธาตุ ) สี่ อ ย า ง และรู ป ที่ อ าศั ย มหาภู ต สี่ อ ย า ง เหลานั้นดวย; นี้ เรียกวา รูป. - นิทาน. สํ. ๑๖/๔/๑๔; และ ขนฺธ. สํ. ๑๗/๗๒/๑๑๓.


๑๕๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ชื่ อ ว า ผู  ไ ม รู จั ก รู ป เป น อย า งไรเล า ? ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ในกรณี นี้ ย อ มไม รู ต ามเป น จริ ง ว า "รู ป ชนิ ด ใดชนิ ด หนึ่ ง นั้ น คื อ มหาภู ต สี่ อ ย า ง และรู ป ที่ อ าศั ย มหาภู ต สี่ อ ย า งเหล า นั้ น ด ว ย" ดั ง นี้ . ภิ ก ษุ ท.! นี้แล เรียกวา ภิกษุ ผูไมรูจักรูป. - เอกาทสก. อํ. ๒๔/๓๗๘/๒๒๔.

ภ ิก ษ ุ ท .! ภ ิก ษ ุ ชื ่อ วา ผู รู จ ัก รูป เป น อ ย า ง ไรเล า ? ภ ิก ษ ุ ท .! ภิก ษุ ในกรณ ีนี ้ ยอ มรู ต ามเปน จริง วา "รูป ชนิด ใดชนิด หนึ ่ง นั ้น คือ มหาภูต สี่ อ ย า ง และรู ป ที่ อ าศั ย มหาภู ต สี่ อ ย า งเหล า นั้ น ด ว ย" ดั ง นี้ . ภิ ก ษุ ท.! นี้ แ ล เรียกวา ภิกษุ ผูรูจักรูป. - เอกาทสก. อํ. ๒๔/๓๘๑/๒๒๔.

มหาภูต คือ ธาตุสี่ ภิก ษุ ท .! ธาตุม ีสี ่อ ยา งเห ลา นี ้ สี ่อ ยา งเห ลา ไห น เลา ? สี ่อ ยา ง คื อ ปฐวี ธ าตุ (ธาตุ ดิ น ) อาโปธาตุ (ธาตุ น้ํ า ) เตโชธาตุ (ธาตุ ไ ฟ ) และวาโยธาตุ (ธาตุลม). ภิกษุ ท.! เหลานี้แล คือ ธาตุสี่อยาง.

www.buddhadasa.info - นิทาน. สํ. ๑๖/๒๐๓/๔๐๓.

ภิ ก ษุ .! ปฐวี ธ าตุ เป น อย า งไรเล า ? ปฐวี ธ าตุ ที่ เป น ไปในภายในก็ มี, ที่เปนภายนอก ก็มี. ภิ กษุ .! ปฐวี ธ าตุ ที่ เป นไป ในภ ายใน เป นอย า งไรเล า ? ภิ กษุ .! สวนใดเปนของแข็ง เปนของหยาบ อันวิญญาณธาตุอาศัยแลว ซึ่งมีอยูในตน


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๑๕๗

เฉพาะตน กล าวคื อ ผมทั้ งหลาย ขนทั้ งหลาย เล็ บ ทั้ งหลาย ฟ น ทั้ งหลาย หนั ง เนื้ อ เอ็ น ทั้ ง หลาย กระดู ก ทั้ ง หลาย เยื่ อ ในกระดู ก ไต หั ว ใจ ตั บ พั ง ผื ด ม า ม ปอด ลํ า ไส ลํ า ไสส ุด อาหารในกระเพาะ อุจ จาระ; หรือ แมส ว นอื ่น อีก ไร ๆ (ซึ่ ง มี ลั ก ษณะอย า งเดี ย วกั น ). ภิ ก ษุ ! นี้ เรี ย กว า ปฐวี ธ าตุ ที่ เป น ไปในภายใน. ภิ ก ษุ ท.! ปฐวี ธ าตุ ที่ เป น ไปในภายใน ก็ ต าม ที่ เป น ภายนอก ก็ ต าม; นี้ แ หละ เรียกวา ปฐวีธาตุ. - อุปริ. ม. ๑๔/๔๓๗/๖๘๔.

ภิ ก ษุ ท.! อาโปธาตุ เป น อย างไรเล า ? อาโปธาตุ ที่ เป น ไปในภายใน ก็มี, ที่เปนภายนอก ก็มี. ภิ ก ษุ ท.! อาโปธาตุ ที่ เป น ไปในภายใน เป น อย า งไรเล า ? ภิ ก ษุ ! ส ว นใดเอิ บ อาบ เป ย กชุ ม อั น วิ ญ ญาณธาตุ อ าศั ย แล ว ซึ่ งมี อ ยู ในตน เฉพาะตน กลา วคือ น้ํ า ดี เสลด หนอง โลหิต เหงื ่อ มัน น้ํ า ตา น้ํ า เหลือ ง น้ํ า ลาย น้ํ า เมื อ ก น้ํ า ลื่ น หล อ ข อ น้ํ า มู ต ร; หรื อ แม ส ว นอื่ น อี ก ไร ๆ (ซึ่ ง มี ลั ก ษณะอย า ง เดี ย วกั น ) ภิ ก ษุ ท .! นี้ เรี ย ก ว า อ าโป ธ าตุ ที่ เป น ไป ใน ภ าย ใน . ภิ ก ษุ ! อาโปธาตุ ที่ เป น ไปในภายใน ก็ ต าม ที่ เป น ภายนอก ก็ ต าม; นี้ แ หละ เรี ย กว า อาโปธาตุ.

www.buddhadasa.info - อุปริ. ม. ๑๔/๔๓๘/๖๘๕.

ภิ กษุ ท.! เตโชธาตุ เป น อย างไรเล า ? เตโชธาตุ ที่ เป น ไปในภายใน ก็มี, ที่เปนภายนอก ก็มี.


๑๕๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ ก ษุ ท.! เตโชธาตุ ที่ เ ป น ไปในภายใน เป น อย า งไรเล า ? ภิ ก ษุ .! ส ว นใดเป น ของเผา เป น ของไหม อั น วิ ญ ญาณธาตุ อ าศั ย แล ว ซึ่ ง มี อ ยู ใ นตน เฉพาะตน กล าวคื อ ธาตุ ไฟที่ ยั งกายให อ บอุ น อย างหนึ่ ง, ธาตุ ไฟที่ ยั งกายให ช ราทรุด โทรมอยา งหนึ ่ง , ธาตุไ ฟที ่ย ัง กายใหก ระวนกระวายอยา งหนึ ่ง , ธาตุไ ฟ ที่ ทํ า อาหารซึ่ ง กิ น แล ว ดื่ ม แล ว เคี้ ย วแล ว ลิ้ ม แล ว ให แ ปรไปด ว ยดี อ ย า งหนึ่ ง ; เตโชธาตุ ที ่เ ปน ไปในภายใน. ภิก ษุ ! เตโชธาตุ ที ่เ ปน ไปในภายใน ก็ต าม ที่เปนภายนอก ก็ตาม; นี้แหละ เรียกวา เตโชธาตุ. - อุปริ. ม. ๑๔/๔๓๘/๖๘๖.

ภิ ก ษุ .! วาโยธาตุ เป น อย า งไรเล า ? วาโยธาตุ ที่ เป น ไปในภายใน ก็มี, ที่เปนภายนอก ก็มี. ภิ ก ษุ .! วาโยธาตุ ที่ เ ป น ไปในภายใน เป น อย า งไรเล า ? ภิ ก ษุ ! สว นใดเปน ลม ไหวตัว ได อัน วิญ ญาณธาตุอ าศัย แลว ซึ ่ง มีอ ยู ใ นตน เฉพาะ ตน กล า วคื อ ลมพั ด ขึ้ น เบื้ อ งสู ง อย า งหนึ่ ง , ลมพั ด ลงเบื้ อ งต่ํ า อย า งหนึ่ ง , ลม นอนอยู ใ นทอ งอยา งหนึ ่ง , ลมนอนอยู ใ นลํ า ไสอ ยา งหนึ ่ง , ลมแลน ไปทั ่ว ทั ้ง ตัว อยา งหนึ ่ง , และลมหายใจเขา ออกอยา งหนึ ่ง ; หรือ แมส ว นอื ่น อีก ไร ๆ (ซึ ่ง มีล ัก ษณะอยา งเดีย วกัน ). ภิก ษุ ท.! นี ้ เรีย กวา วาโยธาตุ ที ่เ ปน ไปใน ภายใน. ภิ ก ษุ ! วาโยธาตุ ที่ เป น ไปในภายใน ก็ ต าม ที่ เป น ภายนอก ก็ ต าม; นี้แหละ เรียกวา วาโยธาตุ.

www.buddhadasa.info - อุปริ. ม. ๑๔/๔๓๙/๖๘๗.


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๑๕๙

การเกิดขึ้นของธาตุสี่เทากับการเกิดขึ้นของทุกข ภิ ก ษุ ท.! การเกิ ด ขึ้ น การตั้ ง อยู การเกิ ด โดยยิ่ ง และความปรากฏ ของปฐวี ธ าตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ใด ๆ นั่ น เท า กั บ เป น การ เกิด ขึ ้น ของทุก ข, เปน การตั ้ง อยู ข องสิ ่ง ซึ ่ง มีป รกติเ สีย ดแทงทั ้ง หลาย, และ เปนความปรากฏของชราและมรณะ. - นิทาน. สํ. ๑๖/๒๐๘/๔๑๔.

ความเพลินในธาตุสี่เทากับความเพลินในทุกข ภิ ก ษุ ท.! ผู ใ ด ย อ มเพลิ น โดยยิ่ ง ซึ่ ง ปฐวี ธ าตุ อาโปธาตุ เตโช ธาตุ แล ะวาโย ธาตุ , ผู นั้ น ย อ ม เพ ลิ น โด ย ยิ่ ง ซึ่ งสิ่ งเป น ทุ ก ข , เราย อ ม กลา ววา "ผู ใ ด ยอ มเพ ลิน โดยยิ ่ง ซึ ่ง สิ ่ง เปน ทุก ข, ผู นั ้น ยอ มไมห ลุด พ น ไปได จากทุกข" ดังนี้แล. - นิทาน. สํ. ๑๖/๒๐๘/๔๑๒.

www.buddhadasa.info รสอรอย - โทษ - อุบายเครื่องพนไปของธาตุสี่

ภิ ก ษุ ท.! ครั้ ง ก อ นแต ก ารตรั ส รู เมื่ อ เรายั ง ไม ไ ด ต รั ส รู ยั ง เป น โพธิส ัต วอ ยู , ความสงสัย ไดเ กิด ขึ ้น แกเ ราวา "อะไรหนอ เปน รสอรอ ยของ ปฐวี ธ าตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ? อะไร เป น โทษของปฐวี ธ าตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ? อะไร เป น อุ บ ายเครื่ อ งออกไปพ น ได จ าก ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ?"


๑๖๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ ก ษุ ท.! ความรู ข อ นี้ ได เกิ ด ขึ้ น แก เราว า "สุ ข โสมนั ส ใด ๆ ที่ อาศัย ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ แลวเกิดขึ้น, สุข และ โสมนัส นี้แล เปน รสอรอย ของปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ; ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ไมเที่ยง เปนทุกขมี ความแปรปรวนเปนธรรมดา ดวยอาการใด, อาการนี้แล เปน โทษ ของปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ; การนําออกเสียไดซึ่งความกําหนัดดวยอํานาจ ความพอใจ การละความกําหนัดดวยอํานาจความพอใจ ในปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ เสียได ดวยอุบายใด, อุบายนี้แล เปน อุบายเครื่อง ออกไปพนได จากปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ." ดังนี้แล. - นิทาน. สํ. ๑๖/๒๐๓/๔๐๔.

ความลับของธาตุสี่ ภิ ก ษุ ท.! ถ า หาก รสอร อ ย ในปฐวี ธ าตุ ก็ ดี อาโปธาตุ ก็ ดี เตโชธาตุ ก็ ดี และวาโยธาตุ ก็ ดี นี้ จั ก ไม ไ ด มี อ ยู แ ล ว ไซร , สั ต ว ทั้ ง หลาย ก็ จ ะไม กํ า หนั ด ยิน ดีน ัก ใน ป ฐ วีธ าตุ อ าโป ธ าตุ เต โช ธ าตุ แ ล ะ วาโย ธ าตุนี ้. ภิก ษุ ท .! แตเ พราะเหตุที ่ รสอรอ ย ในปฐวีธ าตุก ็ด ี อาโปธาตุก ็ด ี เตโชธาตุก ็ด ี และ วาโยธาตุ ก็ ดี มี อ ยู แ ล สั ต ว ทั้ ง หลาย จึ ง กํ า หนั ด ยิ น ดี นั ก ในปฐวี ธ าตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! ถ า หาก โทษ ในปฐวี ธ าตุ ก็ ดี อาโปธาตุ ก็ ดี เตโชธาตุ ก็ ดี และวาโยธาตุก ็ด ี นี ้ จัก ไมไ ดม ีอ ยู แ ลว ไซร, สัต วทั ้ง หลาย ก็จ ะไมเ บื ่อ หนา ย ในปฐวี ธ าตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ นี้ . ภิ ก ษุ ท.! แต


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๑๖๑

เพราะเหตุที ่ โทษในปฐวีธ าตุก ็ด ี อาโปธาตุก ็ด ี เตโชธาตุก ็ด ี และวาโยธาตุก ็ดี มี อ ยู แ ล สั ต ว ทั้ ง หลาย จึ ง เบื่ อ หน า ย ในปฐวี ธ าตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และ วาโยธาตุ. ภิกษุ ท.! ถาหาก อุบายเครื่องออกไปพนได จากปฐวีธาตุก็ดี อาโปธาตุ ก็ ดี เตโชธาตุ ก็ ดี และวาโยธาตุ ก็ ดี นี้ จั ก ไม ได มี อ ยู แ ล ว ไซร , สั ต ว ทั้ ง หลาย ก็จ ะไมอ อกไปพน ไดจ ากปฐวีธ าตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุนี ้. ภิ กษุ ท.! แต เพราะเหตุ ที่ อุ บายเครื่องออกไปพ นได จากปฐวี ธาตุ ก็ ดี อาโปธาตุ ก็ ดี เตโชธาตุก ็ด ี และวาโยธาตุก ็ด ี มีอ ยู แ ล สัต วทั ้ง หลาย จึง ออกไปพน ไดจ าก ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ. - นิทาน. สํ. ๑๖/๒๐๕/๔๐๘.

ธาตุสี่ไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตา ราหุ ล ! เธอเข า ใจความข อ นั้ น ว า อย า งไร ? ปฐวี ธ าตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ๑ เที่ยงหรือไมเที่ยง ? "ไมเที่ยง พระเจาขา !"

www.buddhadasa.info ก็สิ่งใด ไมเที่ยง, สิ่งนั้น เปนทุกข หรือเปนสุขเลา? "เปนทุกข พระเจาขา !"

๑. ตรัสถึงอากาสธาตุ และวิญญาณธาตุ ในที่นี้ดวย.


๑๖๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

ก็ สิ่ ง ใด ไม เที่ ย ง เป น ทุ ก ข มี ค วามแปรปรวนเป น ธรรมดา ควรแล หรือ ที ่จ ะตามเห็น สิ ่ง นั ้น วา "นั ่น เปน ของเรา, นั ่น เปน เรา นั ่น เปน ตัว ตน ของเรา." "ขอนั้น ไมควรเห็นเชนนั้น พระเจาขา !" - นิทาน.สํ. ๑๖/๒๙๑/๖๑๖.

ยังยินดีในธาตุสี่อยู เพราะไมรูจักธาตุสี่ ภิ ก ษุ ท.! ในโลกนี้ บุ ถุ ช น เป น ผู ไ ม ไ ด ยิ น ได ฟ ง ไม ไ ด เ ห็ น เหล า พระอริ ย เจ า ไม ฉ ลาดในธรรมของพระอริ ย เจ า ไม ถู ก แนะนํ า ในธรรมของพระ อริย เจา , ไมไ ดเ ห็น เหลา สัต บุร ุษ ไมฉ ลาดในธรรมของสัต บุร ุษ ไมถ ูก แนะ นํ า ในธรรมของสัต บุร ุษ ยอ มหมายรู ด ิน น้ํ า ไฟ ลม โดยความเปน ดิน น้ํ า ไฟ ล ม , ค รั ้น ห ม า ย รู ด ิน น้ํ า ไฟ ล ม โด ย ค ว า ม เปน ดิน น้ํ า ไฟ ล ม แลว ยอ มทํ า ความหมายมั ่น ซึ ่ง ดิน น้ํ า ไฟ ลม, ยอ มทํ า ความหมายมั ่น ใน ดิน น้ํ า ไฟ ล ม , ยอ ม ทํ า ความ ห ม าย มั ่น โด ยเปน ดิน น้ํ า ไฟ ล ม , ยอ มทํ า ความหมายมั ่น วา "ดิน น้ํ า ไฟ ลม เปน ของเรา" ดัง นี ้, และยอ ม เพลิน โดยยิ ่ง ซึ ่ง ดิน น้ํ า ไฟ ลม. ขอ นั ้น เพราะเหตุไ ร ? เรายอ มกลา ววา เพราะเหตุ ว า ดิ น น้ํ า ไฟ ลม เป น สิ่ ง ที่ บุ ถุ ช นนั้ น ยั ง ไม ไ ด กํ า หนดรู โ ดยทั่ ว ถึ ง แลว.

www.buddhadasa.info - มู. ม. ๑๒/๑/๒.


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๑๖๓

ความหมายของคําวา "รูป" ภิ กษุ ท .! ค น ทั่ วไป กล าวกั น ว า "รู ป " เพ ราะอ าศั ยค วาม ห ม าย อะไรเลา ? ภิก ษุ ท .! เพ รา ะ กิร ิย า ที ่แ ต ก ส ล า ย ได มีอ ยู  ใน สิ ่ง นั ้น (เชน นี้ แ ล) ดัง นั ้น สิ ่ง นั ้น จึง ถูก เรีย กวา รูป . สิ ่ง นั ้น แตกสลายได เพราะอะไร ? สิ่ ง นั้ น แตกสลายได เ พราะความเย็ น บ า ง, แตกสลายได เพราะความร อ นบ า ง, แตกสลายได เพราะความหิว บา ง, แตกสลายได เพราะความระหายบา ง, แตกสลายได เพราะถู ก ต อ งกั บ เหลื อ บ ยุ ง ลม แดด และสั ต ว เลื้ อ ยคลานบ า ง, (ดั ง นี ้ เ ป น ต น ) ภิ ก ษ ุ ท .! เพ ร า ะ กิ ร ิ ย า ที ่ แ ต ก ส ล า ย ไ ด มี อ ยู  ใ น สิ ่ ง นั ้ น (เชนนี้แล) ดังนั้น สิ่งนั้น จึงถูกเรียกวารูป - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๐๕/๑๕๙.

อุปมาแหงรูป ภิ ก ษุ ท.! แม น้ํ า คงคานี้ ไหลพาเอา ฟองน้ํ า ก อ นใหญ ก อ นหนึ่ ง มา, บุ รุ ษ ผู จั ก ษุ (ตามปกติ ) เห็ น ฟองน้ํ า ก อ นใหญ ก อ นนั้ น ก็ พึ ง เพ ง พิ นิ จ พิ จ ารณ า โด ย แ ย ก ค า ย เมื ่อ บุร ุษ ผู นั ้น เห็น อ ยู  เพง พิน ิจ พิจ ารณ า โด ย แ ย บ ค า ย อ ยู , กอนฟองน้ํานั้น ยอมปรากฏเปนของวางของเปลา และปรากฏเปนของหาแกนส ารม ิไ ด ไ ป . ภ ิก ษ ุ ท .! ก็แ กน ส ารใน กอ น ฟ อ งน้ํ า นั ้น จะพ ึง ม ีไ ดอ ยา งไร, อุปมานี้ฉันใด;

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! อุ ป ไมยก็ ฉั น นั้ น คื อ รู ป ชนิ ด ใดชนิ ด หนึ่ ง มี อ ยู จะเป น อดี ต อนาคตหรื อ ป จ จุ บั น ก็ ต าม เป น ภายในหรื อ ภายนอกก็ ต าม หยาบหรื อ ละเอี ย ด ก็ตาม เลวหรือประณีตก็ตาม มีในที่ไกลหรือที่ใกลก็ตาม. ภิกษุเห็นรูปนั้น


๑๖๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

ย อ มเพ ง พิ นิ จ พิ จ ารณ าโดยแยบคาย. เมื่ อ ภิ ก ษุ นั้ น เห็ น อยู เพ ง พิ นิ จ พิ จ ารณ า โดยแยบคายอยู , รูป นั้ น ย อ มปรากฏเป น ของว างของเปล า และปรากฏเป น ของหาแกนสารมิไดไป. ภิกษุ ท.! ก็แกนสารในรูปนั้น จะพึงมีไดอยางไร. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๗๑/๒๔๒ซ

อัสสาทะของรูป ภิกษุ ท.! อัสสาทะ (รสอรอย) ของรูป เปนอยางไรเลา ?

ภิ ก ษุ ท.! เปรี ย บเหมื อ นนางสาวน อ ยแห ง กษั ต ริ ย ก็ ดี นางสาวน อ ย แห ง พราหมณ ก็ ดี และนางสาวน อ ยแห ง คฤหบดี ก็ ดี ที่ มี วั ย อั น บุ ค คลพึ ง แสดงว า อายุส ิบ หา หรือ สิบ หก ไมส ูง นัก ไมต่ํ า นัก ไมผ อมนัก ไมอ ว นพีน ัก ไมดํ า นัก ไม ข า ว นั ก . ภิ ก ษุ ท .! เห ล า น า ง ส า ว น อ ย นั ้ น ๆ จั ก มี ส ี ส รรแ ห ง ว รรณ ะ อันงดงาม ในสมัยนั้น เปนอยางยิ่ง มิใชหรือ ? "ขอนั้น เปนเชนนั้นแล พระเจาขา !"

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! สุ ข โสมนั ส ใด ๆ ที่ อ าศั ย สี ส รรแห ง วรรณ ะอั น งดงาม แลวบังเกิดขึ้น. สุข โสมนัสนี้แล เปนอัสสาทะของรูป.

- มู. ม. ๑๒/๑๗๓/๒๐๑.

อาทีนพของรูป ภิกษุ ท.! อาทีนพ (โทษ) ของรูป เปนอยางไรเลา ? ภิ ก ษุ ท.! บุ ค คล จะได เห็ น น อ งหญิ ง ในกรณี นี้ นั่ น แหละ โดยกาล ตอมา มีอายุได ๘๐ ปก็ตาม ๙๐ ปก็ตาม ๑๐๐ ปก็ตาม ชราทรุดโทรมแลว มี


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๑๖๕

หลั งงอดุ จ ไม โคปาณสิ แห งหลั งคา มี ก ายคดไปคดมา มี ไม เท ายั งไป ในเบื้ องหน า เดิน ตัว สั ่น เทิ ้ม กระสับ กระสา ย ผา นวัย อัน แข็ง แรง ไปแลว มีฟ น หัก แลว มี ผมหงอกแล ว มี ผมตั ดสั้ นอย างลวก ๆ มี ผิ วหนั งหย อนยาน และมี ตั วเต็ มไปด วย จุ ด . ภิ ก ษุ ท.! พวกเธอเข า ใจความข อ นั้ น ว า อย า งไร ? สี ส รรแห ง วรรณะอั น งดงามที่ มี แ ต เดิ ม ใด ๆ สี ส รรแห ง วรรณะอั น งดงามนั้ น ย อ มอั น ตรธานหายไป, โทษ ยอมบังเกิดปรากฏ มิใชหรือ ? "ขอนั้น เปนเชนนั้น พระเจาขา!" ภิกษุ ท.! นี้แล เปนอาทีนพของรูป. ภิ ก ษุ ท.! โทษอย า งอื่ น ยั ง มี อี ก : บุ ค คล จะได เ ห็ น น อ งหญิ ง นั้ น แหละ อาพาธลง ได รั บ ทุ ก ข ท รมาน เป น ไข ห นั ก นอนกลิ้ ง เกลื อ กอยู ใ นมู ต ร และคูถของตนเอง อันบุคคลตองชวยพะยุพยุงใหลุกและใหนอน.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! พวกเธอเข า ใจความข อ นั้ น ว า อย า งไร ? สี ส รรแห ง วรรณะ อั น งดงามที่ มี แ ต เดิ ม ใด ๆ สี ส รรแห ง วรรณะอั น งดงามนั้ น ย อ มอั น ตรธานหาย ไป, โทษ ยอมบังเกิดปรากฏ มิใชหรือ ? "ขอนั้น เปนเชนนั้น พระเจาขา !" ภิกษุ ท.! แมนี้แล เปนอาทีนพของรูป. ภิ ก ษุ ท.! โทษอย า งอื่ น ยั ง มี อี ก : บุ ค คล จะได เ ห็ น น อ งหญิ ง นั้ น แหละ อันเขาทิ้งแลว ในปาชาเปนที่ทิ้งศพ ตายแลววันหนึ่ง ก็ตาม ตายแลว


๑๖๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

สองวั น ก็ ต าม ตายแล ว สามวัน ก็ ต าม หรือ กํ าลั งขึ้ น พอง มี สี เขี ย ว มี ห นองไหล. ภิก ษุ ท.! พวกเธอเขา ใจความขอ นั ้น วา อยา งไร ? สีส รรแหง วรรณะอัน งดงาม ที ่ม ีแ ตเ ดิม ใด ๆ สีส รรวรรณะอัน งดงามนั ้น ยอ มอัน ตรธานหายไป, โทษ ยอมบังเกิดปรากฏ มิใชหรือ? "ขอนั้น เปนเชนนั้น พระเจาขา !" ภิกษุ ท.! แมนี้แล เปนอาทีนพของรูป. ภิ ก ษุ ท.! โทษอย า งอื่ น ยั ง มี อี ก : บุ ค คล จะได เห็ น น อ งหญิ ง นั้ น แหละ อันเขาทิ้งแลว ในปาชาเปนที่ทิ้งศพ อันฝูงกาจิกกินอยู ก็ตาม อันฝูงแรง จัก กิน อยู ก ็ต าม อัน ฝูง นกตะกรุม จิก กิน อยู ก ็ต าม อัน ฝูง สุน ัข กัด กิน อยู ก ็ต าม อั น ฝู ง สุ นั ข จิ้ ง จอกกั ด กิ น อยู ก็ ต าม และอั น หมู ห นอนต า งชนิ ด บ อ นกิ น อยู ก็ ต าม ภิก ษุ ท.! พวกเธอเขา ใจความขอ นั ้น วา อยา งไร ? สีส รรแหง วรรณะอัน งดงาม ที ่ม ีแ ตเ ดิม ใด ๆ สีส รรวรรณะอัน งดงามนั ้น ยอ มอัน ตรธานหายไป, โทษ ยอมบังเกิดปรากฏ มิใชหรือ ?

www.buddhadasa.info "ขอนั้น เปนเชนนั้น พระเจาขา !"

ภิกษุ ท.! แมนี้แล เปนอาทีนพของรูป. ภิ ก ษุ ท.! โทษอย า งอื่ น ยั ง มี อี ก : บุ ค คล จะได เห็ น น อ งหญิ ง นั้ น แหละ อั น เขาทิ้ ง แล ว ในป า ช า เป น ที่ ศ พ เป น ร า งกระดู ก ยั ง มี เนื้ อ และเลื อ ด และยั งมี เอ็ น เป น เครื่อ งรึงรัด อยู ก็ ต าม เป น รางกระดู ก ที่ ป ราศจากเนื้ อ แต ยั งมี เลือดเปอนอยู และยังมีเอ็นเปนเครื่องรึงรัดไวก็ตาม เปนรางกระดูก ที่ปราศ-


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๑๖๗

จากเนื้ อ และเลื อ ด แต ยั ง มี เ อ็ น เป น เครื่ อ งรึ ง รั ด ไว ก็ ต าม เป น ท อ นกระดู ก ที่ ปราศจากเอ็น เปน เครื ่อ งรึง รัด กระจัด กระจายไปคนละทิศ ละทาง กระดูก มือ ไปทางหนึ ่ง กระดูก เทา ไปทางหนึ ่ง กระดูก แขง ไปทางหนึ ่ง กระดูก ขาไป ทางหนึ่ ง กระดู ก สะเอวไปทางหนึ่ ง กระดู ก ข อ สั น หลั ง ไปทางหนึ่ ง กระดู ก สี ข า ง ไปทางหนึ่ ง กระดู ก หน า อกไปทางหนึ่ ง กระดู ก แขนไปทางหนึ่ ง กระดู ก ไหล ไ ป ทางหนึ ่ง กระดูก คอไปทางหนึ ่ง กระดูก คางไปทางหนึ ่ง ฟน ไปทางหนึ ่ง กระ โหลกศีร ษะไปทางหนึ ่ง . ภิก ษุ ท.! พวกเธอเขา ใจความขอ นั ้น วา อยา งไร ? สีส รรแหง วรรณ ะอัน งดงามที ่ม ีแ ตเ ดิม ใด ๆ สีส รรแหง วรรณ ะอัน งดงาม นั้นยอมอันตรธานหายไป, โทษ ยอมบังเกิดปรากฏ มิใชหรือ ? "ขอนั้น เปนเชนนั้น พระเจาขา !" ภิกษุ ท.! แมนี้แล เปนอาทีนพของรูป. ภิ ก ษุ ท.! โทษอย า งอื่ น ยั ง มี อี ก : บุ ค คล จะได เ ห็ น น อ งหญิ ง นั้ น แหละ อัน เขาทิ ้ง แลว ในปา ชา เปน ที ่ทิ ้ง ศพ เปน ชิ ้น กระดูก มีส ีข าวดั ่ง สีส ัง ข ก็ ต าม เป น ชิ้ น กระดู ก กองเรี่ ย รายอยู น านเกิ น กว า ป ห นึ่ ง ไปแล ว ก็ ต าม เป น กระดู ก เป  อ ย ผ งล ะ เอี ย ดไป แล ว ก็ ต าม . ภิ ก ษุ ท .! พ วกเธอ เข า ค วาม ข อ นั ้ น วา อยา งไร : สีส รรแหง วรรณะอัน งดงามที ่ม ีแ ตเ ดิม ใด ๆ สีส รรแหง วรรณะ อันงดงามนั้น ยอมอันตรธานหายไป, โทษ ยอมบังเกิดปรากฏ มิใชหรือ ?

www.buddhadasa.info "ขอนั้น เปนเชนนั้น พระเจาขา !" ภิกษุ ท.! แมนี้แล ก็เปนอาทีนพของรูป. - มู. ม. ๑๒/๑๗๓/๒๐๒.


๑๖๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

นิสสรณะของรูป ภิ ก ษุ ท.! นิ ส สรณะ (อุ บ ายเครื่ อ งออกไปพ น ได ) ของรู ป เป น อยางไรเลา ? ภิ ก ษุ ท.! การนํ าออกเสี ย ได ซึ่ งความกํ า หนั ด ด ว ยอํ านาจความพอใจ ในรู ป การละเสี ย ได ซึ่ ง ความกํ า หนั ด ด ว ยอํ า นาจความพอใจในรู ป ด ว ยอุ บ าย ใด, อุบายนี้แล เปนอุบายเครื่องออกพนไปไดของรูป แล. - มู. ม. ๑๒/๑๗๕/๒๐๓, และ ขนฺธ. สํ. ๑๗/๗๗/๑๑๙.

ขอควรกําหนดเกี่ยวกับ รูป ภิ ก ษุ ท.! สุ ข โสมนั ส ใด ๆ ที่ อ าศั ย รู ป แล ว เกิ ด ขึ้ น . สุ ข โสมนั ส นี้ แ ล เป น รสอร อ ย (อั ส สาทะ) ของรู ป ; รู ป ไม เ ที่ ย ง เป น ทุ ก ข มี ค วาม แปรปรวนเปน ธรรมดา ดว ยอาการใด ๆ, อาการนี ้แ ล เปน โทษ (อาทีน พ) ของรูป ; การนํ า ออกเสีย ได ซึ ่ง ความกํ า หนัด ดว ยอํ า นาจความพอใจ ในรูป การละเสี ย ได ซึ่ ง ความกํ า หนั ด ด ว ยอํ า นาจความพอใจ ในรู ป ด ว ยอุ บ ายใด ๆ อุบายนี้แล เปน เครื่องออกพนไปได (นิสสรณะ) จาก รูป.

www.buddhadasa.info - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๓๔, ๗๗/๕๙,๑๑๙.

รูปขันธโดยนัยแหงอริยสัจสี่ ภ ิก ษ ุ ท .! รูป เป น อ ย า งไรเล า ? ภ ิก ษ ุ ท .! ม ห า ภ ูต สี ่อ ยา ง และรูปที่อาศัยมหาภูตสี่อยางเหลานั้นดวย : ภิกษุ ท.! นี้ เรียกวา รูป;


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๑๖๙

ความเกิ ด ขึ้ น แห ง รู ป มี ได เพราะความเกิ ด ขึ้ น แห ง อาหาร; ความดั บ ไม เหลื อ แหง รูป มีไ ด เพราะความดับ ไมเ หลือ แหง อาหาร; อริย มรรคมีอ งค ๘ นี้ นั ่น เอง เปน ทางดํ า เนิน ใหถ ึง ความดับ ไมเ หลือ แหง รูป , ไดแ ก ความเห็น ชอบ ความดํ า ริช อบ; การพูด จาชอบ การทํ า การงานชอบ การเลี ้ย งชีว ิต ชอบ; ความพากเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจชอบ. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๗๒/๑๑๓.

๒. วิภาคแหงเวทนาขันธ เวทนาหก ภิก ษุ ท .! เวท น า เปน อยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท .! ห มู แ หง เวท น า หกเหล า นี้ คื อ เวทนา อั น เกิ ด แต สั ม ผั ส ทางตา, เวทนา อั น เกิ ด แต สั ม ผั ส ทาง หู, เวท น า อัน เกิด แต ส ัม ผัส ท างจม ูก , เวท น า อัน เกิด แต ส ัม ผัส ท างลิ ้น , เวทน า อัน เกิด แตส ัม ผัส ทางกาย , และ เวท นา อัน เกิด แตส ัม ผัส ทางใจ. ภิกษุ ท.! .นี้เรียกวา เวทนา.

www.buddhadasa.info - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๗๓/๑๑๔.

ความหมายของคําวา "เวทนา"

ภิ ก ษุ ท.! คนทั่ ว ไป กล า วกั น ว า "เวทนา" เพราะอาศั ย ความหมาย อะไรเลา ? ภิก ษุ ท.! เพราะกิร ิย าที ่รู ส ึก (ตอ ผลอัน เกิด จากผัส สะ) ได มีอ ยู ใน สิ ่ง นั ้น (เชน นี ้แ ล ) ดัง นั ้น สิ ่ง นั ้น จึง ถูก เรีย กวา เวท น า. สิ ่ง นั ้น ยอ ม รู ส ึก ได ซึ ่ง อะไร ? สิ ่ง นั ้น ยอ มรู ส ึก ได ซึ ่ง ความรู ส ึก อัน เปน สุข บา ง, ยอ ม รูสึกได ซึ่งความรูสึกอันเปนทุกขบาง, และยอมรูสึกได ซึ่งความรูสึกอันไม


๑๗๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

ทุก ขไ มส ุข บา ง (ดัง นี ้เ ปน ตน ). ภิก ษุ ท .! เพ ราะกิร ิย าที ่รู ส ึก (ตอ ผลอัน เกิ ด จากผั ส สะ) ได มี อ ยู ในสิ่ ง นั้ น (เช น นี้ แ ล) ดั ง นั้ น สิ่ ง นั้ น จึ ง ถู ก เรี ย กว า เวทนา. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๐๕/๑๕๙.

อุปมาแหงเวทนา ภิ ก ษุ ท .! เมื่ อ ฝ น เม ล็ ด ห ย าบ ต ก ใน ส รท ส มั ย (ท าย ฤ ดู ฝ น ), ต อ มน้ํ า ย อ มเกิ ด ขึ้ น และแตกกระจายอยู บ นผิ ว น้ํ า . บุ รุ ษ ผู มี จั ก ษุ (ตามปรกติ ) เห็ น ต อ มน้ํ า นั้ น ก็ เ พ ง พิ นิ จ พิ จ ารณาโดยแยบคาย. เมื่ อ บุ รุ ษ นั้ น เห็ น อยู เพ ง พินิจพิจารณาโดยแยบคายอยู, ตอมน้ํานั้น ยอมปรากฏเปนของวางของเปลา และปรากฏเปน ของหาแกน สารมิไ ดไ ป. ภิก ษุ ท.! ก็แ กน สารในตอ มน้ํ า นั ้น จะพึงมีไดอยางไร, อุปมานี้ฉันใด; ภิ ก ษุ ท.! อุป ไมยก็ฉ ัน นั ้น คือ เวทนา ชนิด ใดชนิด หนึ ่ง มีอ ยู จะเป นอดี ตอนาคตหรือป จจุ บั น ก็ ตาม เป นภายในหรือภายนอกก็ ต าม หยาบหรื อ ละเอีย ดก็ต าม เลวหรือ ประณีต ก็ต าม มีใ นที ่ไ กลหรือ ที ่ใ กลก ็ต าม; ภิก ษุ รู ส ึก ในเวทนานั ้น ยอ มเพง พิน ิจ พิจ ารณาโดยแยบคาย. เมื ่อ ภิก ษุนั ้น รู ส ึก อยู เพงพินิจพิจารณาโดยแยบคายอยู, เวทนานั้น ยอมปรากฏเปนของวางของเปลา และปรากฏเปน ของหาแกน สารมิไ ดไ ภิก ษุ ท.! ก็แ กน สารในเวทนานั ้น จะพึงมีไดอยางไร.

www.buddhadasa.info - ขนธ. สํ. ๑๗/๑๗๑/๒๔๓.


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๑๗๑

ความหมายอันแทจริงของ "บาดาล" ภิ ก ษุ ท.! บุ ถุ ช นผู ไม มี ก ารสดั บ พู ด กั น ว าบาดาลมี อ ยู ใต ม หาสมุ ท ร. ภิก ษุ ท.! บุถ ุช นผู ไ มม ีก ารสดับ กลา วสิ ่ง นั ้น ซึ ่ง ไมม ีอ ยู ไ มเ ปน อยู  วา บาดาล มี อ ยู ใ ต ม หาสมุ ท ร. ภิ ก ษุ ท.! คํ า ว า "บาดาล" นั้ น เป น คํ า แทนชื่ อ ของ ทุ ก ขเวทนาอั น มี อ ยู ใ นสรี ร ะนี้ . ภิ ก ษุ ท.! บุ ถุ ช น ผู ไ ม มี ก ารสดั บ ถู ก ต อ ง ทุก ขเวทนาในสรีร ะนี ้อ ยู  ยอ มเศรา โศก ยอ มลํ า บากใจ ร่ํา ไรรํา พัน เปน ผู ทุบ อกร่ํ า ไห ยอ มถึง ความมีส ติฟ น เฟอ น. ภิก ษุ ท.! เรากลา ววา บุถ ุช นผู ไมมีการสดับนี้ จมลงแลวในบาดาล ไมมีที่ยืนเหยียบถึง. ภิก ษุ ท.! สว น อริย สาวก ผู ม ีก ารสดับ เมื ่อ ถูก ตอ งทุก ขเวทนา ที ่เ ปน ไปในสรีร ะ ยอ ม ไมเ ศรา โศก ยอ มไมลํ า บากใจ ไมร่ํา ไรรํา พัน ไมเ ปน ผู ท ุบ อกร่ํ า ไห ยอ มไมถ ึง ความเปน ผู ม ีส ติฟ น เฟอ น. ภิก ษุ ท.! เรากลา ววา อริยสาวกผูมีการสดับนี้ ไมจมลงแลวในบาดาล มีที่ยืนเหยียบถึง. - สฬา. สํ. ๑๘/๒๕๕/๓๖๕.

www.buddhadasa.info ธรรมลักษณะ ๘ ประการแหงเวทนา

ภิ กษุ ท.! เวทนา ๓ อย างเหล านี้ มี อ ยู คื อ สุ ข เวทนา ทุ ก ขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา : นี้เราเรียกวา เวทนา. เพราะความเกิ ด ขึ้ นแห งผั ส สะ จึ งมี ความเกิ ด ขึ้ น แห งเวทนา (: นี้ คื อ สมุทัยแหงเวทนา)


๑๗๒

อริยสัจจากพระโอษฐ ตั ณ หา เป น ปฏิ ปทาให ถึ งความเกิ ดขึ้ น แห งเวทนา๑ (: นี้ คื อสมุ ทยคามิ นี -

ปฏิปทาแหงเวทนา.)

เพราะความดั บ แห ง ผั ส สะ จึ ง มี ความดั บ แห ง เวทนา (: นี้ คื อ นิ โรธแห ง เวทนา).

อริ ย อั ฏ ฐั ง คิ ก มรรคนี้ เป น ปฏิ ป ทาให ถึ ง ความดั บ แห ง เวทนา; คื อ สั ม มาทิ ฎ ฐิ สั ม มาสั ง กั ป ปะ สั ม มาวาจา สั ม มากั ม มั น ตะ สั ม มาอาชี ว ะ สั ม มาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ (: นี้คือนิโรธคามินีปฏิปทาแหงเวทนา). สุ ข โสมนั ส อั น ใด อาศั ย เวทนาเกิ ด ขึ้ น : นี้ คื อ อั ส สาทะ (รสอร อ ย) แหงเวทนา. ความไม เ ที่ ย ง เป น ทุ ก ข มี ค วามแปรปรวนเป น ธรรมดา แห ง เวทนา : นี้คือ อาทีนวะ (โทษ) จากเวทนา.

www.buddhadasa.info การนํ า ออกเสี ย ได ซึ่ งฉั น ทราคะ การละเสี ย ได ซึ่ งฉั น ทราคะ ในเวทนา : นี้คือ นิสสรณะ (อุบายเครื่องออก) จากเวทนา - สฬา. สํ. ๑๘/๒๘๘/๔๓๘.

หลักที่ควรรูเกี่ยวกับ เวทนา ภิ กษุ ท .! ข อ ที่ เรากล า ว า "พึ งรู จั ก เวท นา, พึ งรู จั ก เห ตุ เป น แด น เกิดของเวทนา, พึงรูจักความเปนตางกันของเวทนา, พึงรูจักผลของเวทนา,

๑. ขอ นี ้ห มายความวา ตัณ หาเปน เหตุใ หเ กิด ความหมายหรือ คา ของเวทนา. ขอ นี ้ไ มข ัด กั บ หลั ก

ทั่วไปที่วา เวทนาใหเกิดตัณหา แตประการใด.


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๑๗๓

พึ ง รู จั ก ความดั บ ไม เ หลื อ ของเวทนา, และพึ ง รู จั ก ทางดํ า เนิ น ให ถึ ง ความดั บ ไม เหลือของเวทนา" ดังนี้นั้น. เรากลาวหมายถึงอะไรเลา ? ภิก ษุ ท .! ขอ นั ้น เรากลา วห ม าย ถึง เวท น าส าม เห ลา นี ้; คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา และอทุกขมสุขเวทนา. ภิ กษุ ท.! เหตุ เป น แดนเกิ ด ของเวทนา เป นอย างไรเล า ? ภิ กษุ ท.! ผั ส สะ (การประจวบกั น แห ง อายตนะภายใน และภายนอก และวิ ญ ญ าณ ) เป น เหตุ เ ป น แดนเกิดของเวทนา. ภิ ก ษุ ท.! ความเป น ต างกั น ของเวทนา เป น อย างไรเล า ? ภิ ก ษุ ท.! สุข เวทนา ที ่เ จือ ดว ยอามิส (กามคุณ ๕) ก็ม ี สุข เวทนา ที ่ไ มเ จือ ดว ยอามิส (ไมม ีก ามคุณ ๕) ก็ม ี; ทุก ขเวทนา ที ่เ จือ ดว ยอามิส ก็ม ี ทุก ขเวทนา ที ่ไ มเ จือ ดว ยอามิส ก็ม ี; อทุก ขมสุข เวทนา ที ่เ จือ ดว ยอามิส ก็ม ี อทุก ขมสุข เวทนา ที่ไมเจือดวยอามิสก็มี. ภิกษุ ท.! นี้ เรียกวา ความเปนตางกันของเวทนา.

www.buddhadasa.info ภิก ษ ุ ท .! ผ ล ข อ งเว ท น า เปน อ ยา งไรเลา ? ภ ิก ษ ุ ท .! เมื ่อ เสวยเวทนาใดอยู  ยัง อัต ตภาพซึ ่ง เกิด แตเ วทนานั ้น ๆ ใหเ กิด ขึ ้น เปน ฝา ยบุญ ก็ตาม เปนฝายมิใชบุญก็ตาม. ภิกษุ ท.! นี้ เรียกวา ผลของเวทนา.

ภิ กษุ ท.! ความดั บ ไม เหลื อ ของเวทนา เป นอย างไรเล า ? ภิ กษุ ท.! ความไมเหลือของเวทนา มีได เพราะความดับไมเหลือของผัสสะ.


๑๗๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ ก ษุ ท.! อริ ย ม รรคมี อ งค ๘ นี้ นั่ น เอง เป น ท างดํ าเนิ น ให ถึ ง ความดับ ไมเ หลือ ของเวทนา, ไดแ ก ความเห็น ชอบ ความดํ า ริช อบ; การ พูด จาชอบ การทํ า การงานชอบ การเลี ้ย งชีว ิต ชอบ; ความพากเพีย รชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ. .... ภ ิก ษ ุ ท .! คํ า ใด ที ่เ รา ก ล า ว วา "พ ึง รู จ ัก เว ท น า , พ ึง รู จ ัก เห ตุ เปน แดนเกิด ของเวทนา, พึง รู จ ัก ความเปน ตา งกัน ของเวทนา, พึง รู จ ัก ผล ของเวทนา, พึง รู จ ัก ความดับ ไมเ หลือ ของเวทนา, และพึง รู จ ัก ทางดํ า เนิน ใหถึงความดับไมเหลือของเวทนา" ดังนี้นั้น, เรากลาวหมายถึงความขอนี้แล. - ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๖๐/๓๓๔.

ประมวลเรื่องนารูพิเศษ เกี่ยวกับเวทนา พุ ท ธสาวก เป น ผู มี จิ ต ตั้ ง มั่ น มี ส ติ มี สั ม ปชั ญ ญะย อ มรู ชั ด ซึ่งเวทนา ซึ่งแดนเกิดแหงเวทนา ซึ่งธรรมเปนที่ดับแหงเวทนาซึ่งหนทาง ใหถึงความสิ้นไป (แหงฉันทราคะในเวทนา), ภิกษุ เพราะสิ้น(ฉันทราคะ) แหงเวทนาทั้งหลาย เปนผูหายหิว ดับเย็นสนิท.

www.buddhadasa.info เวทนาอยางใดอยางหนึ่ง มีอยู เป นสุขก็ตาม เป นทุกขก็ ตาม เป น อทุกขมสุขก็ตาม เปนภายในก็ตาม ภายนอกก็ตามบุ คคลรูวาสิ่ง เหลานี้เปนทุกข มีความหลอกลวงเปนธรรมดา มีการแตกสลายเปนธรรมดา เสวยแลว เสวยแลว เห็นอยูวาเปนสิ่งที่มีความสิ้นไปเปนธรรมดา : ดังนี้ ยอมปราศจากความกําหนัดในเวทนานั้น ๆ.


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๑๗๕

เมื่ อบุ คคลเสวยสุ ขเวทนาอยู , ไม รู จั กชั ดซึ่ งเวทนานั้ น ราคานุ สั ย ย อ มมี แ ก เขาผู ม องไม เ ห็ น ทางออกจากอํ า นาจของเวทนานั้ น . เมื่ อ บุ คคล เสวยทุ ก ขเวทนาอยู ไม รูจั ด ชั ด ซึ่ งเวทนานั้ น ปฏิ ฆ านุ สั ย ย อ ม มี แ ก เ ขา ผู ม องไมเ ห็น ทางออกจากอํ า นาของเวทนานั ้น . บุค คล เพลิด เพลิน แม ในอทุ กขมสุ ข อั นพระภู ริ ป ญ ญาพุ ทธเจ าทรงแสดงว า เปนธรรมอันรํางับ ก็หาพนจากทุกขไปไดไม. เมื่อใดภิ กษุมี ความเพี ยรเผากิเลส ไมทอดทิ้งสัมปชัญญะ ก็ เป น บัณฑิตรอบรูเวทนาทั้งปวง ภิกษุ นั้น เพราะรอบรูซึ่งเวทนา จึงเปนผูไมมี อาสวะในทิ ฐิ ธ รรม เป น ผู ตั้ ง อยู ใ นธรรมจนกระทั่ ง กายแตก จบเวท ไมเขาถึงซึ่งการนับวาเปนอะไร. บุ คคลใด ถู กทุ กขเวทนาอั นเกิ ดขึ้ นแล วในสรีระปานว าจะนํ าเสี ย ซึ่ ง ชี วิ ต อดกลั้ น ไม ไ ด ย อ มหวั่ น ไหว ย อ มคร่ํ า ครวญร่ํ า ไห ทุ พ พลภาพ หมดกลัง ; บุค คลนั ้น จมลงแลว ในบาดาล (แหง เวทนา) ซึ ่ง ไมมีที่ยืนเหยียบถึง. ส วนบุ คคลใด ถู กทุ กขเวทนาอั นเกิ ดขึ้ นแล วในสรี ระปานว าจะ นํ าเสี ย ซึ่งชี วิต ย อ มอดกลั้ น ได ไม ห วั่น ไหว; บุ ค คลนั้ น ไม จ มลงแล ว ในบาดาล เพราะมีที่ยืนเหยียบถึง.

www.buddhadasa.info ผูใด เห็นสุขโดยความเปนทุกข เห็นทุกขโดยความเป นลูกศร เห็ น อทุ ก ขมสุ ข อั น กํ า ลั ง มี อ ยู โดยความเป น ของไม เที่ ย ง; ผู นั้ น เป น ภิกษุ ผูรูเห็นโดยชอบ ยอมรอบรูซึ่งเวทนา เพราะรอบรูเวทนาจึงเปนผู


๑๗๖

อริยสัจจากพระโอษฐ ไมมีอาสวะในทิฎฐิธรรม เปนผูตั้งอยูในธรรมจนกระทั่งกายแตก จบเวท ไมเขาถึงซึ่งการนับวาเปนอะไร,

- สฬา. สํ. ๑๘/๒๕๔-๒๕๗/๓๖๐, ๓๖๒, ๓๖๔, ๓๖๖, ๓๖๘.

วิภาคแหงเวทนา ภิ ก ษุ ท.! เราจั ก แสดงธรรมปริ ย าย ซึ่ งมี ป ริ ย ายร อ ยแปด แก พ วก เธอทั้งหลาย, พวกเธอ จงฟงธรรมปริยายขอนี้. ภิกษุ ท.! ธรรมปริยาย ซึ่งมี ปริยายรอยแปดนั้ น เป นอย างไรเล า ? ภ ิก ษ ุ ท .! เวท น า แม ส อ งอ ยา ง เราไดก ลา วแลว โด ย ป ริย าย , เวท น า แม สามอย า ง เราก็ ไ ด ก ล า วแล ว โดยปริ ย าย, เวทนา แม ห า อย า ง เราก็ ไ ด ก ล า วแล ว โด ย ป ริย าย , เวท น า แมห ก อ ยา ง เราก็ไ ดก ลา วแลว โด ย ป ริย าย , เวท น า แมส ิบ แปดอยา ง เราก็ไ ดก ลา วแลว โดยปริย าย, เวทนา แมส ามสิบ หกอยา ง เราก็ไ ดก ลา วแลว โดยปริย าย, และเวทนา แมร อ ยแปดอยา ง เราก็ไ ดก ลา ว แลวโดยปริยาย.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! เวทนา สองอย า ง นั้ น เป น อย า งไรเล า ? เวทนา สอง อย า งนั้ น คื อ เวทนาที่ เ ป น ไปทางกาย และเวทนาที่ เ ป น ไปทางใจ. ภิ ก ษุ ท.! เหลานี้ เรียกวา เวทนาสองอยาง ภิก ษ ุ ท .! เว ท น า ส า ม อ ยา ง นั ้น เปน อ ยา ง ไรเลา ? เว ท น า สามอยางนั้น คือ สุขเวทนา (ความรูสึกอันเปนสุข) ทุกขเวทนา (ความรูสึกอัน


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๑๗๗

เปน ทุก ข) และอทุก ขมสุข เวทนา (ความรู ส ึก ก็ย ัง ไมอ าจกลา วไดว า เปน ทุก ขห รือ สุข ).

ภิกษุ ท.! เหลานี้ เรียกวา เวทนาสามอยาง. ภิก ษุ ท.! เวทนา หา อยา ง นั ้น เปน อยา งไรเลา ? เวทนา หา อย า งนั้ น คื อ อิ น ทรี ย คื อ สุ ข อิ น ทรี ย คื อ ทุ ก ข อิ น ทรี ย คื อ โสมนั ส อิ น ทรี ย คื อ โท ม นั ส แ ล ะ อิ น ท รี ย  ค ื อ อุ เ บ ก ข า . ภิ ก ษุ ท .! เห ล า นี ้ เรี ย ก ว า เวท น า หาอยาง. ภิก ษุ ท.! เวทนา หกอยา ง นั ้น เปน อยา งไรเลา ? เวทนา หก อยา งนั ้น คือ เวทนา อัน เกิด แตส ัม ผัส ทางตา, เวทนา อัน เกิด แตส ัม ผัส ทาง หู, เวทนา อัน เกิด แตส ัม ผัส ทางจมูก , เวทนา อัน เกิด แตส ัม ผัส ทางลิ ้น , เวทนา อั น เกิ ด แต สั ม ผั ส ทางกาย, และเวทนา อั น เกิ ด แต สั ม ผั ส ทางใจ. ภิ ก ษุ ท.! เหลานี้ เรียกวา เวทนาหกอยาง. ภิก ษุ ท.! เวทนา สิบ แปดอยา ง นั ้น เปน อยา งไรเลา ? เวทนา สิ บ แปดอย า งนั้ น คื อ ความรู สึ ก ของจิ ต ที่ มั่ ว สุ ม อยู ด ว ยโสมนั ส หกอย า ง, ความ รู สึ ก ของจิ ต ที่ มั่ ว สุ ม อยู ด ว ยโทมนั ส หกอย า ง, และความรู สึ ก ของจิ ต ที่ มั่ ว สุ ม อยู ดวยอุเบกขาหกอยาง. ภิกษุ ท.! เหลานี้ เรียกวา เวทนาสิบแปดอยาง.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! เวทนา สามสิ บ หกอย า ง นั้ น เป น อย างไรเล า ? เวทนา สามสิ บ หกอย า งนั้ น คื อ โสมนั ส เวทนาที่ เนื่ อ งด ว ยเหย า เรื อ น (กามคุ ณ ๕) หก อยา ง, โสมนัส เวทนาที ่เ นื ่อ งดว ยการหลีก ออกจากเหยา เรือ น (ไมเ กี ่ย วดว ย กามคุณ ๕) หกอยาง, โทมนัสเวทนาที่เนื่องดวยเหยาเรือนหกอยาง, โทมนัส-


๑๗๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

เวทนาที่ เ นื่ อ งด ว ยการหลี ก ออกจาเหย า เรื อ นหกอย า ง, อุ เ บกขาเวทนาที่ เ นื่ อ ง ด ว ยเหย า เรื อ นหกอย า ง, และอุ เบกขาเวทนาที่ เนื่ อ งด ว ยการหลี ก ออกจากเหย า เรือนหกอยาง. ภิกษุ ท.! เหลานี้ เรียกวา เวทนาสามสิบหกอยาง. ภิก ษุ ท.! เวทนา รอ ยแปดอยา ง นั ้น เปน อยา งไรเลา ? เวทนา ร อ ยแปดอย า งนั้ น คื อ เวทนาสามสิ บ หก (ดั ง ที่ ก ล า วแล ว ข า งต น ) ส ว นที่ เ ป น อดี ต , เวทนาสามสิ บ หกส ว นที่ เ ป น อนาคต, และเวทนาสามสิ บ หกส ว นที่ เ ป น ปจจุบัน. ภิกษุ ท.! เหลานี้ เรียกวา เวทนารอยแปดอยาง. ภิกษุ ท.! เหลานี้ ชื่อวาธรรมปริยาย ซึ่งมีปริยายรอยแปด แล. - สฬา. สํ. ๑๘/๒๘๖-๘/๔๓๐-๗.

"ธรรม" (คือเวทนา) เปนสิ่งที่บัญญัติไดหลายปริยาย (อันเปนเหตุใหหลงทุมเถียงกัน) ภิ ก ษุ ท.! เวทนาเรากล า วแล ว โดยปริ ย ายแม ส องอย า ง, โดย ปริยายแมสามอยาง, โดยปริยายแมหาอยาง, โดยปริยายแมหกอยาง, โดย ปริยายแมสิบแปดอยาง, โดยปริยายแมสามสิบหกอยาง, โดยปริยายแมรอย แปดอยาง.

www.buddhadasa.info ภ ิก ษ ุ ท .! โด ย ป ริย าย อ ยา งนี ้ ที ่เ ราแส ด งธรรม . เมื ่อ เราแส ด ง ธรรมอยู โ ดยปริย ายอยา งนี ้, ชนเหลา ใด จัก ไมสํ า คัญ รว ม จัก ไมรู ร ว ม จัก ไมพอใจรวม แกกันและกัน วาเปนธรรมที่เรากลาวดีแลว พูดไวดีแลว; เมื่อ


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๑๗๙

เปน อยา งนี ้ สิ ่ง ที ่เ ขาหวัง ได ก็ค ือ จัก บาดหมางกัน ทะเลาะกัน วิว าทกัน ทิ่มแทงกันและกันดวยหอกปาก อยู. ภิ ก ษุ ท.! โดยป ริ ย ายอย า งนั้ น ที่ เ ราแสดงธรรม . เมื่ อ เราแสดง ธรรมอยู โ ดยปริ ย ายอย า งนั้ น , ชนเหล า ใด จั ก สํ า คั ญ ร ว ม จั ก รู ร ว ม จั ก พอใจ รว ม แกก ัน แล ะกัน วา เปน ธรรม ที ่เ รากลา วดีแ ลว พูด ไวด ีแ ลว ; เมื ่อ เปน อย า งนี ้ สิ ่ง ที ่เ ขาหวัง ได ก็ค ือ จัก พรอ มเพรีย งกัน บัน เทิง ตอ กัน ไมว ิว าทกัน เขากันไดเหมือนน้ํานมกับน้ํา มองกันและกันดวยสายตาอันเปนที่รักอยู, ดังนี้แล. - สฬา. สํ. ๑๘/๒๘๓/๔๒๕.

เวทนามีธรรมดาไมเที่ยง อั ค คิ เวสสนะ ! เวทนามี ส ามอย า งเหล า นี้ . สามอย า งเหล า ไหนเล า ? สามอยางคือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา และอทุกขมสุขเวทนา.

www.buddhadasa.info อั ค คิ เวสสนะ ! สมั ย ใด เสวยสุ ข เวทนาอยู สมั ย นั้ น ไม ได เสวยทุ ก ขเวทนา และไมไดเสวยอทุกขมสุขเวทนา สมัยนั้น เสวยแตสุขเวทนาอยางเดียว.

อั ค คิเ ว ส ส น ะ ! ส ม ัย ใด เส ว ย ท ุก ข เว ท น า อ ยู  ส มัย นั ้น ไมไ ด เส ว ย ส ุข เว ท น า แ ล ะ ไม ไ ด เ ส ว ย อ ท ุก ข ม ส ุข เว ท น า ส ม ัย นั ้น เส ว ย แ ต ทุกขเวทนาอยางเดียว.


๑๘๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

อัค คิเ วสสนะ ! สมัย ใด เสวยอทุก ขมสุข เวทนาอยู สมัย นั้น ไมไดเสวยสุขเวทนา และไมไดเสวยทุกขเวทนา สมัยนั้น เสวยแตอ ทุกขมสุขเวทนาอยางเดียว. อัคคิเวสสนะ ! สุขเวทนา เปนของไมเที่ยง อันปจัยปรุงแตงแลว อาศัยเหตุเกิดขึ้นแลว มีความสิ้นไปเปนธรรมดา มีความเสื่อมไปเปนธรรมดา มีความจางคลายไปเปนธรรมดา มีความดับเปนธรรมดา. อัคคิเวสสนะ ! แม ทุกขเวทนา ก็เปนของไมเที่ยง อันปจจัยปรุงแตงแลว อาศัยเหตุเกิดขึ้นแลว มีความสิ้นไปเปนธรรมดา มีความเสื่อมไปเปนธรรมดา มีความจางคลายไป เปน ธรรมดา มีค วามดับ เปน ธรรมดา. อัค คิเ วสสนะ ! แม อทุก ขมสุข เวทนา เลา ก็เปนของไมเที่ยง อันปจจัยปรุงแตงแลว อาศัยเหตุเกิดขึ้นแลว มี ความสิ้นไปเปนธรรมดา มีความเสื่อมไปเปนธรรมดา มีความจางคลายไปเปน ธรรมดา มีความดับเปนธรรมดา แล. - ม. ม. ๑๓/๒๖๗/๒๗๓.

www.buddhadasa.info เวทนามีธรรมดาแปรปรวน

ภิกษุ ท.! เวทนา อันเกิดแตสัมผัสทางตา เปนของไมเที่ยง มีความ แปรปรวน มีความเปนโดยอยางอื่นได;

ภิกษุ ท.! เวทนา อันเกิดแตสัมผัสทางหู เปนของไมเที่ยง มีความ แปรปรวน มีความเปนโดยอยางอื่นได;


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๑๘๑

ภิ ก ษุ ท .! เวท น า อั น เกิ ด แ ต สั ม ผั ส ท างจ มู ก เป น ข อ งไม เที่ ย ง มี ความแปรปรวน มีความเปนโดยอยางอื่นได; ภิกษุ ท.! เวทนา อันเกิดแตสัมผัสทางลิ้น เปนของไมเที่ยง มีความแปรปรวน มี ความเปนโดยอยางอื่นได; ภิ ก ษุ ท .! เวท น า อั น เกิ ด แ ต สั ม ผั ส ท างก าย เป น ข อ งไม เที่ ย ง มี ความแปรปรวน มีความเปนโดยอางอื่นได; ภิ ก ษุ ท .! เว ท น า อั น เกิ ด แ ต สั ม ผั ส ท า ง ใจ เป น ข อ ง ไม เที่ ย ง มี ความแปรปรวน มีความเปนโดยอยางอื่นไดแล - ขนฺธ. สํ ๑๗/๒๘๐/๔๗๓.

เวทนาเปนทุกข เปนลูกศร เปนของไมเที่ยง

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท .! เวท น า มี ส าม อ ย างเห ล านี้ . ส าม อ ย างเห ล าไห น เล า ? สามอยางคือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา และอทุกขมสุขเวทนา. ภิก ษุ ท.! สุข เวทนา พึง เห็น โดยความเปน ทุก ข, ทุก ขเวทนา พึง เห็น โดยความเปน ลูก ศร, อทุก ขมสุข เวทนา พึง เห็น โดยความเปน ของ ไมเที่ยง.

ภิ ก ษุ ท .! แ ต ก า ล ใด แ ล สุ ข เว ท น า เป น สิ่ งที่ ภิ ก ษุ เห็ น แ ล ว โด ย ความเปนทุกข, ทุกขเวทนา เปนสิ่งที่ภิกษุเห็นแลว โดยความเปนลูกศร,


๑๘๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

อทุก ขมสุข เวทนา เปน สิ ่ง ที ่ภ ิก ษุเ ห็น แลว โดยความเปน ของไมเ ที ่ย ง; ภิก ษุ ท.! แตก าลนั ้น ภิก ษุนี ้เ ราเรีย กวา "ผู เ ห็น โดยถูก ตอ ง (สมฺม ทฺท โส) ได ตัดตัณ หาเสีย แลว รื้อ ถอนสัญ โญชนไดแลว ไดกระทําที่สุด แหงทุกขเพราะ รูจักหนาตาของมานะอยางถูกตองแลว." - สฬา. สํ. ๑๘/๒๕๖/๓๖๗.

เวทนาทุกชนิดสรุปลงในความหมายวา "ทุกข" ภิกษุองคหนึ่งกราบทูลวา :-

"ขาแต พระองค ผู เจริญ ! เมื่ อข าพระองค หลี กออกเรน อยู ได เกิ ดการใครครวญ ขึ้ นในใจว า 'พระผู มี พระภาคได ตรัสเวทนาไว ๓ อย าง คื อสุ ขเวทนา ทุ กขเวทนา อทุ กขมสุ ขเวทนา. ก็ พ ระผู มี พ ระภาคเจ าได ตรั สคํ านี้ ไว ว า 'เวทนาใด ๆ ก็ ตาม เวทนานั้ น ๆ ประมวลลงในความทุ ก ข ' ดั งนี้ ' ข อ ที่ พ ระองค ต รั ส ว า 'เวทนาใด ๆ ก็ ต าม เวทนา นั้น ๆ ประมวลลงในความทุกข' ดังนี้ ทรงหมายถึงอะไรหนอ ?" ภิ ก ษุ ! ดีแ ลว ดีแ ลว . เรากลา วเวทนาไว ๓ อยา ง เหลา นี ้ค ือ สุข เวทนา ทุก ขเวทนา อทุก ขมสุข เวทนา จริง ; และยัง ไดก ลา วา "เวทนา ใด ๆ ก็ตาม เวทนานั้ น ๆ ประมวลลงในความทุ กข ". ขอ นี้เรากลาวหมายถึง ความเป น ของไม เที่ ย งแห งสั ง ขารทั้ งหลายนั่ น เอง, และเรายั ง กล า วหมายถึ ง ความ เป น ของสิ้ น ไปเป น ธรรมดา ความเป น ของเสื่ อ มไปเป น ธรรมดา ความเป น ของ จางคลายไปเป น ธรรมดา ความเป น ของดั บ ไม เหลื อ เป น ธรรมดา ความเป น ของ แปรปรวนเปน ธรรมดา ของสัง ขารทั ้ง หลายนั ่น แหละ ที ่ไ ดก ลา ววา "เวทนา ใด ๆ ก็ตาม เวทนานั้น ๆ ประมวลลงในความทุกข" ดังนี้.

www.buddhadasa.info - สฬา. สํ. ๑๘/๒๖๘/๓๙๑.


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๑๘๓

เวทนาเปนทางมาแหงอนุสัย ภิ ก ษุ ท.! อาศั ย ตากั บ รู ป เกิ ด จั ก ขุ วิ ญ ญ าณ (ความรู แ จ ง ทางตา) ขึ้ น , อาศัย หูก ับ เสีย ง เกิด โส ตวิญ ญ าณ (ค วาม รู แ จง ท างหู) ขึ ้น , อาศัย จมูก กับ กลิ ่น เกิด ฆานวิญ ญ าณ (ความรู แ จง ทางจมูก ) ขึ ้น , อาศัย ลิ ้น กับ รส เกิด ชิว หาวิญ ญ าณ (ความรู แ จง ทางลิ ้น ) ขึ ้น , อาศัย กายกับ โผฏฐัพ พะ เกิด กายวิ ญ ญาณ (ความรู แ จ ง ทางกาย) ขึ้ น และอาศั ย ใจกั บ ธรรมารมณ เกิ ด มโนวิ ญ ญาณ (ความรู แ จ ง ทางใจ) ขึ้ น ; ความประจวบกั น แห ง สิ่ ง ทั้ ง สาม (เช น ตา รู ป จัก ขุว ิญ ญ าณ เปน ตน แตล ะหมวด) นั ้น ชื ่อ วา ผัส สะ เพราะผัส สะเปน ปจ จัย จึง เกิด มีเ วทนา อัน เปน สุข บา ง ทุก ขบ า ง ไมท ุก ขไ มส ุข บา . บุค คลนั ้น เมื ่อ สุข เวทนา ถูก ตอ งแลว ยอ มเพลิด เพลิน ยอ มพร่ํ า สรรเสริญ เมาหมกอยู , อนุส ัย คือ ราคะ ยอ มนอนเนือ งอยู ใ นสัน ดานของบุค คลนั ้น . เมื ่อ ทุก ขเวทนา ถูก ตอ งแลว ยอ มเศรา โศก ยอ มระทมใจ คร่ํ า ครวญ ตีอ กร่ํ า ไห ถึง ความ หลงใหลอยู , อนุส ัย คือ ปฏิฆ ะ ยอ มนอนเนื ่อ งอยู ใ นสัน ดานของบุค คลนั ้น . เมื่ อ เวทนาอั น ไม ทุ ก ข ไ ม สุ ข ถู ก ต อ งแล ว ย อ มไม รูต ามเป น จริง ซึ่ ง เหตุ ให เกิ ด เวทนานั้ น ด ว ย ซึ่ ง ความดั บ แห ง เวทนานั้ น ด ว ย ซึ่ ง อั ส สาทะ (รสอร อ ย) ของ เวทนานั้ น ด ว ย ซึ่ ง อาที น พ (โทษ) ของเวทนานั้ น ด ว ย ซึ่ ง นิ ส สรณะ (อุ บ ายเครื่ อ ง ออกพน ) ของเวทนานั ้น ดว ย, อนุส ัย คือ อวิช ชา ยอ มนอนเนื ่อ งอยู ใ นสัน ดาน ของบุคคลนั้น.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! บุ ค คลนั้ น หนอ ยั ง ละอนุ สั ย คื อ ราคะในเพราะสุ ข เวทนา ไมไ ด, ยัง บรรเทาอนุส ัย คือ ปฏิฆ ะในเพราะทุก ขเวทนาไมไ ด, ยัง ถอนอนุส ัย คืออวิชชาในเพราะอทุกขมสุขเวทนาไมได, ยังละอวิชชาไมได และยังทํา


๑๘๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

วิช ชาใหเ กิด ขึ ้น ไมไ ดแ ลว จัก ทํ า ที ่ส ุด แหง ทุก ข ใหท ิฏ ฐธรรม (ปจ จุบ ัน ) นี้ ดังนี้ : ขอนี้ไมใชฐานะที่จักมีไดเลย. - อุปริ. ม. ๑๔/๕๑๖/๘๒๒.

อัสสาทะชั้นเลิศของเวทนา ภิ ก ษุ ท.! อั ส าทะ (รสอร อ ย) ของเวทนาทั้ ง หลาย เป น อย า งไร เลา ? ภิก ษุ ท.! ภิก ษุใ นกรณีนี ้ เพราะสงัด จากกามและสงัด จาอกุศ ลธรรม ทั้ ง หลาย ย อ มบรรลุ ฌ านที่ ห นึ่ ง ซึ่ ง มี วิ ต กวิ จ าร มี ป ติ แ ละสุ ข อั น เกิ ด แต วิ เ วก แล ว แลอยู . ภิ ก ษุ ท.! ในสมั ย ใด ภิ ก ษุ . เพราะสงั ด จากกามและสงั ด จาก อกุ ศ ลธรรมทั้ ง หลาย ย อ ม บรรลุ ฌ านที่ ห นึ่ ง ซึ่ ง มี วิ ต กวิ จ าร มี ป ติ แ ละสุ ข อั น เกิ ด แต วิ เวก แล ว แลอยู , ในสมั ย นั้ น เธอย อ มไม คิ ด แม ใ นทางที่ จ ะให เกิ ด ความ เดื อ ดร อ นแก ต นเอง, ย อ มไม คิ ด แม ใ นทางที่ จ ะให เ กิ ด ความเดื อ ดร อ นแก ผู อื่ น , และย อ มไม คิ ด แม ในทางที่ จะให เกิ ด ความเดื อ ดร อนแก ตนเองและผู อื่ น ทั้ งสองฝ าย. ในสมัย นั ้น เธอยอ มเสวยเวทนา อัน ไมทํ า ความเดือ ดรอ นแตอ ยา งใดเลย. ภิ ก ษุ ท.! เรากล า ว อั ส สาทะ (รสอร อ ย) ของเวทนาทั้ ง หลาย ว า มี ก ารไม ทํ า ความเดือดรอนแกผูใดเปนอยางยิ่ง.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! ข อ อื่ น ยั ง มี อี ก , ภิ ก ษุ , เพราะสงบวิ ต กวิ จ ารเสี ย ได ย อ ม บรรลุฌ านที ่ส อง อัน เปน เครื ่อ งผอ งใสในภายใน นํ า ใหเ กิด สมาธิม ีอ ารมณ อั น เดี ย วแห ง ใจ ไม มี วิ ต กวิ จ าร มี แ ต ป ติ แ ละสุ ข อั น เกิ ด แต ส มาธิ แล ว แลอยู ภิก ษุ ท.! ในสมัย ใด, ภิก ษุ, เพราะสงบวิต กวิจ ารเสีย ได ยอ มบรรลุฌ าน ที่สอง อันเปนเครื่องผองใสในภายใน นําใหเกิดสมาธิมีอารมณอันเดียวแหงใจ


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๑๘๕

ไมม ีว ิต กวิจ าร มีแ ตป ต ิแ ล ะสุข อัน เกิด แตส ม าธิ แลว แล อ ยู , ใน ส มัย นั ้น เธอ ย อ มไม คิ ด แม ใ นทางที่ จ ะให เกิ ด ความเดื อ ดร อ นแก ต นเอง, ย อ มไม คิ ด แม ใ น ทางที่ จ ะให เ กิ ด ความเดื อ ดร อ นแก ผู อื่ น , และย อ มไม คิ ด แม ใ นทางที่ จ ะให เ กิ ด ค วาม เด ือ ด รอ น แ ก ต น เอ งแ ล ะ ผู อื ่น ทั ้ส อ งฝ า ย . ส ม ัย นั ้น เธ อ ยอ ม เส วย เวทนาอั น ไม ทํ า ความเดื อ ดร อ นแต อ ย า งใดเลย. ภิ ก ษุ ท.! เรากล า ว อั ส สาทะ (รสอรอย) ของเวทนาทั้งหลาย วา มีการไมทําความเดือดรอนแกผูใดเปนอยางยิ่ง. ภิ ก ษุ ท.! ข อ อื่ น ยั ง มี อี ก , ภิ ก ษุ , เพราะความจางคลายไปแห ง ป ติ เป น ผู อ ยู อุ เบกขา มี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะ เสวยสุ ข ด ว ยนามกาย ย อ ม บรรลุ ฌ านที่ สาม อั น เป น ฌานที่ พ ระอริ ย เจ า ทั้ ง หลายกล า วว า "ผู ไ ด บ รรลุ ฌ านนี้ เป น ผู อ ยู อุ เ บ ก ข า ม ี ส ติ อ ยู  เ ป  น ป ร ก ต ิ ส ุ ข " ด ั ง นี ้ แ ล ว แ ล อ ยู  . ภ ิ ก ษ ุ ท .! ใ น สมั ย ใด ภิ ก ษุ . เพราะความจางคลายไปแห ป ติ เป น ผู อ ยู อุ เ บกขา มี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะ เสวยสุ ข ด ว ยนามกาย ย อ มบรรลุ ฌ านที่ ส าม อั น เป น ฌานที่ พ ระอริ ย เจ า ทั้ ง หลายกล า วว า "ผู ไ ด บ รรลุ ฌ านนี้ เป น ผู อ ยู อุ เบกขา มี ส ติ อยู เป น ปรกติ สุ ข " ดั ง นี้ แล ว แลอยู . ในสมั ย นั้ น เธอ ย อ มไม คิ ด แม ใ นทางที่ จ ะให เ กิ ด ความ เดื อ ดร อ นแก ต นเอง, ย อ มไม คิ ด แม ใ นทางที่ จ ะให เ กิ ด ความเดื อ ดร อ นแก ผู อื่ น , และย อ มไม คิ ด แม ใ นทางที่ จ ะให เกิ ด ความเดื อ ดร อ นแก ต นเองและผู อื่ น ทั้ ง สอง ฝ าย. ในสมั ย นั้ น เธอ ย อ มเสวยเวทนา อั น ไม ทํ า ความเดื อ ดร อ นแต อ ย างใดเลย. ภิ ก ษุ ท.! เรากล า ว อั ส สาทะ (รสอร อ ย) ของเวทนาทั้ ง หลาย ว า มี ก ารไม ทํ า ความเดือดรอนแกผูใดเปนอยางยิ่ง.

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท.! ขอ อื ่น ยัง มีอ ีก , ภิก ษุ, เพราะละสุข เสีย ได และเพราะ ละทุกขเสียได, เพราะความดับหายไปแหงโสมนัสและโทมนัสในกาลกอน,


๑๘๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

ย อ ม บรรลุ ฌ านที่ สี่ อั น ไม ทุ ก ข ไ ม สุ ข มี แ ต ค วามที่ ส ติ เ ป น ธรรมชาติ บ ริ สุ ท ธิ์ เพราะอุเ บกขา แลว แลอยู . ภิก ษุ ท.! ในสมัย ใด ภิก ษุ, เพราะละสุข เสีย ได และเพราะละทุก ขเ สีย ได, bn เพราะความดับ หายไปแหง โสมนัส และ โทมนัส ในกาลกอ น, ยอ มบรรลุฌ านที ่สี ่ อัน ไมท ุก ขไ มส ุข มีแ ตค วามที ่ส ติ เปน ธรรมชาติบ ริส ุท ธิ์เ พราะอุเ บกขา แลว แลอยู . ในสมัย นั ้น เธอ ยอ มไมค ิด แมใ นทางที ่จ ะใหเ กิด ความเดือ ดรอ นแกต นเอง, ยอ มไมค ิด แมใ นทางที ่จ ะ ใหเ กิด ความเดือ ดรอ นแกผู อื ่น , และยอ มไมค ิด แมใ นทางที ่จ ะใหเ กิด ความ เดือ ดรอ นแกต นเองและผู อื ่น ทั ้ง สองฝา ย. ในสมัย นั ้น เธอ ยอ มเสวยเวทนา อัน ไมทํ า ความเดือ ดรอ นแตอ ยา งใดเลย. ภิก ษุ ท.! เรากลา ว อัส สาทะ (รสอรอ ย) ของเวทนาทั้ งหลาย ว า มี ก ารไม ทํ า ความเดื อ ดร อ นแก ผู ใดเป น อย า งยิ่ ง แล. - มู. ม. ๑๒/๑๗๖/๒๐๕.

เวทนาคือทางไปแหงจิตของสัตว

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! คํ า ที่ เรากล า วว า "พึ งรู จั ก ทางไป (แห ง จิ ต ) ของสั ต ว ๓๖ อยา ง" ดัง นี ้นั ้น , ขอ นั ้น เรากลา วอาศัย หลัก เกณ ฑอ ะไรเลา ? ภิก ษุ ท.! ข อนั้ น เรากล าวอาศั ยหลั กเกณฑ คื อ ความโสมนั สเนื่ อ งด วยเหย าเรือ น ๖ อย าง, ความโสมนั ส เนื่ อ งด ว ยการหลี ก ออกจากเหย า เรื อ น ๖ อย า ง, ความโทมนั ส เนื่ องด วยเหย าเรือน ๖ อย าง, ความโทมนั สเนื่ องด วยการหลี กออกจากเหย าเรือน ๖ อย า ง, อุ เบกขาเนื่ อ งด ว ยเหย า เรื อ น ๖ อย า ง, อุ เบกขาเนื่ อ งด ว ยการหลี ก ออกจากเหยาเรือน ๖ อยาง.


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๑๘๗

ภิ ก ษุ ท.! ในเวทนาทั้ ง หลายเหล า นั้ น , ความโสมนั ส เนื่ อ งด ว ย เหยา เรือ น ๖ อยา ง เปน อยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท.! เมื ่อ คนเรามองเห็น การได ซึ่ ง รู ป อั น น า ปรารถนา น า รั ก ใคร น า พอใจ น า รื่ น รมย ใ จ อั น เนื่ อ งในความ เป น เหยื่ อ โลก ในทางตา ว า เป น สิ่ ง ที่ ต นกํ า ลั ง ได อ ยู ก็ ต าม, หรื อ ว า เมื่ อ ระลึ ก ถึ ง รู ป เช น นั้ น อั น ตนเคยได แ ล ว แต ก าลก อ น ซึ่ ง ล ว งแล ว ดั บ สิ้ น แปรปรวนไป แลว ก็ต าม แลว เกิด ค วาม โส ม นัส ขึ ้น . ค วาม โส ม นัส ใด มีล ัก ษ ณ ะเชน นี้ ความโสมนัส นี ้ เรีย กวา ความโสมนัส เนื ่อ งดว ยเหยา เรือ น (เคหสิต โสมนัส ). (ในกรณี ที่ เ กี่ ย วกั บ เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ และธรรมารมณ อี ก ๕ อย า ง ก็ ต รั ส ทํ า นอง เดีย ว กับ ขอ วา รูป ผิด กัน แ ตชื ่อ เท า นั ้น ). ภ ิก ษ ุ ท .! เห ลา นี ้ค ือ ค วาม โส ม น ัส

เนื่องดวยเหยาเรือน ๖ อยาง. ภิก ษุ ท.! ในเวทนาทั ้ง หลายเหลา นั ้น , ความโสมนัส เนื ่อ งดว ย การหลีก ออกจากเหยา เรือ น ๖ อยา ง เปน อยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท.! เมื ่อ คน เรารู แจ งถึ งความเป นของไม เที่ ยงของรู ปทั้ งหลาย ความแปรปรวน ความจางคลายความกํ า หนั ด ยิ น ดี และความดั บ ไม เหลื อ ของรู ป ทั้ ง หลาย เห็ น อยู ด ว ยป ญ ญาอั น ชอบ ตรงตามที่ เป น จริ ง อย า งนี้ ว า "รู ป ทั้ ง หลาย ในกาลก อ นหรื อ ในบั ด นี้ ก็ ต าม รู ป ทั้ ง หมดเหล า นั้ น เป น ของไม เที่ ย ง เป น ทุ ก ข มี ค วามแปรปรวนเป น ธรรมดา" ดัง นี ้ แลว เกิด ความ โสม นัส ขึ ้น . ความ โส ม นัส ใด มีล ัก ษ ณ ะเชน นี ้ ค วาม โสมนั ส นี้ เรี ย กว า ความโสมนั ส เนื่ อ งด วยการหลี ก ออกจากเหย าเรื อ น ( เนกขั ม มสิ ต โสมนั ส ). (ในกรณี ที่ เกี่ ย วกั บ เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ และธรรมารมณ อี ก ๕ อย า ง ก็ ต รั ส ทํ า นองเดี ย วกั บ ข อ ว า รู ป ผิ ด กั น แต ชื่ อ เท านั้ น ). ภิ กษุ ท.! เหล า นี้ คื อ ความ โสมนัสเนื่องดวยการหลีกออกจากเหยาเรือน ๖ อยาง.

www.buddhadasa.info


๑๘๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ ก ษุ ท.! ในเวทนาทั้ ง หลายเหล า นั้ น , ค วาม โท ม นั ส เนื่ อ งด วย เหยา เรือ น ๖ อยา ง เปน อยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท.! เมื ่อ คนเรามองเห็น การ ไมไ ด ซึ ่ง รูป อัน นา ป รารถน า นา รัก ใคร นา พ อใจ นา รื ่น รม ยใ จ อัน เนื ่อ ง ในความเป นเหยื่ อ โลกในทางตา ว า เป นสิ่ ง ที่ ต นไม ไ ด ก็ ต าม , หรื อ ว า เมื่ อ ระ ล ึก ถ ึง รูป เชน นั ้น อ ัน ต น ย ัง ไม เ ค ย ได แ ต ก าล ก อ น ซึ ่ง ล ว งล ับ ด ับ สิ ้น แปรปรวนไปแล ว ก็ ต าม แล ว เกิ ด ความโทมนั ส ขึ้ น . ความโทมนั ส ใดมี ลั ก ษณ ะ เช น นี้ ความโทมนั ส นี้ เรี ย กว า ความโทมนั ส เนื่ อ งด ว ยเหย า เรื อ น (เคหสิ ต โทมนัส ). (ในกรณ ีที ่เ กี ่ย วกับ เสีย ง กลิ ่น รส โผฏ ฐัพ พ ะ และธรรมารมณ  อีก ๕ อยา ง ก็ ต รั ส ทํ าน อ งเดี ย วกั บ ข อ ว า รู ป ผิ ด กั น แต ชื่ อ เท านั้ น ). ภิ ก ษุ ท .! เห ล านี้ คื อ ค วาม โทมนัสเนื่องดวยเหยาเรือน ๖ อยาง. ภิก ษุ ท.! ในเวทนาทั ้ง หลายเหลา นั ้น , ความโท มนัส เนื ่อ งดว ย การหลีก ออกจากเหยา เรือ น ๖ อยา ง เปน อยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท.! เมื ่อ คน เรารู แจ งถึ งความเป น ของไม เที่ ย งของรู ป ทั้ งหลาย ความแปรปรวน ความจางคลายความกํ า หนั ด ยิ น ดี และความดั บ ไม เหลื อ ของรู ป ทั้ ง หลาย เห็ น อยู ด ว ยป ญ ญาอั น ชอบตรงตาที่ เ ป น จริ ง อย า งนี้ ว า "รู ป ทั้ ง หลาย ในกาลก อ นหรื อ ในบั ด นี้ ก็ ต าม รู ป ทั้ ง หมดเหล า นั้ น เป น ของไม เ ที่ ย ง เป น ทุ ก ข มี ค วามแปรปรวนเป น ธรรมดา" ดัง นี ้แ ลว เขา ยอ มเขา ไปตั ้ง ไว ซึ ่ง ความกระหยิ ่ม ในอนุต ตรวิโ มกขทั ้ง หลาย วา "เมื ่อ ไรห น อ ! เราจัก เขา ถึง อ าย ต น ะนั ้น แลว แล อ ยู  อัน เปน อ าย ต น ะ ที่ พ ระอริ ย เจ า ทั้ ง หลาย เข า ถึ ง ซึ่ ง อายตนะนั้ น แล ว แลอยู ในบั ด นี้ " ดั ง นี้ . เมื่ อ เขาเข า ไปตั้ ง ไว ซึ่ ง ความกระหยิ่ ม ในอนุ ต ตรวิ โ มข ทั้ ง หลาย อยู ดั ง นี้ ย อ มเกิ ด ค วาม โท ม นั ส ขึ้ น เพ ราะค วาม กระห ยิ่ ม นั้ น เป น ป จจั ย . ค วาม โท ม นั ส ใด มี ลักษณะเชนนี้ ความโทมนัสนี้ เรียกวาความโทมนัสเนื่องดวยการหลีกออกจาก

www.buddhadasa.info


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๑๘๙

เห ยา เรือ น (เน ก ขัม ม สิต โท ม นัส ) (ใน ก รณ ีที ่เ กี ่ย วกับ เสีย ง ก ลิ ่น รส โผ ฏ ฐัพ พ และธรรมารมณ อี ก ๕ อย า ง ก็ ต รั ส ทํ า นองเดี ย วกั บ ข อ ว า รู ป ผิ ด กั น แต ชื่ อ เท า นั้ น ). ภิ ก ษุ ท.! เหลานี้คือ ความโทมนัสเนื่องดวยการหลีกออกจาเหยาเรือน ๖ อยาง. ภิ กษุ ท.! ในเวทนาทั้ งหลายเหล านั้ น, อุ เบกขาเนื่ อ งด วยเหย าเรื อ น (เคหสิ ตอุ เบกขา) ๖ อย าง เป นอยางไรเลา ? ภิ กษุ ท.! เพราะเห็นรูปดวยตาแล ว อุเ บกขาก็เ กิด ขึ ้น แกค นพาล ผู ห ลง ผู เ ขลา ผู บ ุถ ุช น ผู ย ัง ไมช นะกิเ ลส ผู ย ัง ไมช นะวิบ าก ผู ไ มเ ห็น โทษ ผู ไ มไ ดย ิน ไดฟ ง . อุเ บกขาใด ซึ ่ง เปน อุเ บกขา ของบุถ ุช น อุเ บกขานั ้น ไมอ าจจะเปน ไปลว ง ซึ ่ง วิส ัย แหง รูป เพราะเหตุนั ้น เราเรี ย กอุ เ บกขานั้ น ว า อุ เ บกขาเนื่ อ งด ว ยเหย า เรื อ น. (ในกรณี ที่ เ กี่ ย วกั บ เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ และธรรมารมณ อี ก ๕ อย า ง ก็ ต รั ส ทํ า นองเดี ย วกั บ ข อ ว า รู ป ผิ ด กั น แต ชื่อเรียกเทานั้น). ภิกษุ ท.! เหลานี้คือ อุเบกขาเนื่องดวยเหยาเรือน ๖ อยาง.

ภิก ษุ ท.! ในเวทนาทั ้ง หลายเหลา นั ้น , อุเ บกขาเนื ่อ งดว ยการ หลีก ออกจาเหยา เรือ น ๖ อยา ง เปน อยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท.! เมื ่อ คนเรา รู แ จ ง ถึ ง ความเป น ของไม เที่ ย งขอรู ป ทั้ ง หลาย ความแปรปรวน ความจางคลายความกํ า หนดยิ น ดี และความดั บ ไม เหลื อ ของรู ป ทั้ งหลาย เห็ น อยู ด ว ยป ญ ญาอั น ชอบตรงตามที่ เป น จริ ง อย า งนี้ ว า "รู ป ทั้ ง หลาย ในกาลก อ น หรื อ ในบั ด นี้ ก็ ต าม รู ป ทั้ ง หมดเหล า นั้ น เป น ของไม เที่ ย ง เป น ทุ ก ข มี ค วามแปรปรวนเป น ธรรมดา" ดัง นี ้ แลว เกิด อุเ บ กขาขึ ้น . อุเ บ กขาใด มีล ัก ษ ณ ะเชน นี ้ อุเ บ กขานั ้น ไม อาจจะเป น ไป ล ว ง ซึ่ ง วิ สั ย แห ง รู ป เพ ราะเหตุ นั้ น เราเรี ย กอุ เ บกขานั้ น ว า อุเ บกขาเนื ่อ งดว ยการหลีก ออกจากเหยา เรือ น (เนกขัม มสิต อุเ บกขา). (ในกรณี

www.buddhadasa.info ที่เกี่ยวกับ เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ อีก ๕ อยาง ก็ตรัสทํานองเดียวกับ


๑๙๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

ขอ วา รูป ผิด กัน แตชื ่อ เรีย กเทา นั ้น ). ภิก ษุ ท.! เหลา นี ้ค ือ อุเ บกขาเนื ่อ งดว ย

การหลีกออกจากเหยาเรือน ๖ อยางแล. ภิ ก ษุ ท.! คํ า ใดที่ เรากล า วว า "พึ ง รู จั ก ทางไป (แห ง จิ ต ) ของสั ต ว ๓๖ อยาง" ดังนี้นั้น, คํานั้น เรากลาวอาศัยความขอนี้แล. - อุปริ. ม. ๑๔/๔๐๒-๔๐๕/๖๒๔-๖๓๐.

การเกิดของเวทนา เทากับ การเกิดของทุกข ภิ ก ษุ ท.! การเกิ ด ขึ้ น การตั้ ง อยู การเกิ ด โดยยิ่ ง และความปรากฏ ของเวทนา อั น เกิ ด แต สั ม ผั ส ทางตา ทางหู ทางจมู ก ทางลิ้ น ทางกาย และ ทางใจ ใด ๆ นั่ น เท า กั บ เป น การเกิ ด ขึ้ น ของทุ ก ข เป น การตั้ ง อยู ข องสิ่ ง ซึ่ ง มี ปรกติเสียดแทงทั้งหลาย และเปนความปรากฏของชราและมรณะแล. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๘๔/๔๘๗.

อาการเกิดดับแหงเวทนา

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท.! เวทนา ๓ อยา งเหลา นี ้ เกิด มาจากผัส สะ มีผ ัส สะ เป น มู ล มี ผั ส สะเป น เหตุ มี ผั ส สะเป น ป จ จั ย . สามอย า งเหล า ไหนเล า ? สาม อยางคือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา.

ภิกษุ ท.! เพราะ อาศัยผัสสอันเปนที่ตั้งแหงสุขเวทนา สุขเวทนา ยอมเกิดขึ้น; เพราะ ความดับแหงผัสสะอันเปนที่ตั้งแหงสุขเวทนานั้น สุข-


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๑๙๑

เวท น าอั น เกิ ด ขึ้ น เพ ราะอาศั ย ผั ส สะอั น เป น ที่ ตั้ ง แห ง สุ ข เวทนานั้ น ย อ ม ดั บ ไป ยอมระงับไป. (ในกรณี แห ง ทุ ก ขเวทนา และ อทุ ก ขมสุ ข เวทนา ก็ ไ ด ต รั ส ไว ด ว ยถ อ ยคํ า มี นั ย ะ อยางเดียวกัน).

ภิ กษุ ท .! เป รี ย บ เห มื อน เมื่ อไม สี ไ ฟ ส อ งอั น สี กั น ก็ เ กิ ด ค วาม ร อ น แล ะเกิ ด ไฟ , เมื่ อไม สี ไ ฟ ส อ งอั น แยกกั น ค วาม ร อ น ก็ ดั บ ไฟ สงบ ไป . ภิ กษุ ท .! ฉั น ใดก็ ฉั น นั้ น : เวท น าทั้ งส าม นี้ ซึ่ ง เกิ ด จากผั ส สะ มี ผั ส สะเป นมู ล มี ผั ส ส ะ เป น เห ตุ มี ผั ส ส ะเป น ป จจั ย อ าศั ย ผั ส ส ะแล วย อ ม เกิ ด ขึ้ น , ย อ ม ดั บ ไป เพ ราะ ผัสสะดับ, ดังนี้แล. - สฬา, สํ. ๑๘/๒๖๖/๓๘๙-๓๙๐.

ขอความกําหนดเกี่ยวกับ เวทนา ภิ ก ษุ ท .! สุ ข โส ม นั ส ใ ด ๆ ที่ อ า ศั ย เว ท น า แ ล ว เกิ ด ขึ้ น , สุ ข โส ม น ัส นี ้แ ล เป น ร ส อ รอ ย (อ ัส ส า ท ะ ) ข อ งเว ท น า ; เว ท น า ไม เ ที ่ย ง เป น ทุ กข มี ค วาม แป รป รวน เป น ธรรม ดา ด วยอาการใด ๆ, อาการนี้ แล เป น โท ษ (อ าทีน พ ) ขอ งเวท น า; ก ารนํ า อ อ ก เสีย ได ซึ ่ง ค วาม กํ า ห นัด ดว ย อํ า น าจค วาม พ อ ใจ ใน เวท น า ก ารล ะ เสี ย ได ซึ่ งค วาม กํ าห นั ด ด วย อํ าน าจ ค วาม พ อ ใจ ใน เวท น า ด วย อุ บ าย ใด ๆ , อุ บ าย นี้ แ ล เป น เค รื่ อ งอ อ ก พ น ไป ได (นิ ส ส รณ ะ ) จากเวทนา.

www.buddhadasa.info - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๓๕/๕๙.


๑๙๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

เวทนาขันธโดยนัยแหงอริยสัจสี่ ภิก ษุ ท.! เวท น า เปน อยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท.! หมู แ หง เวทนา หกเหลา นี ้ คือ เวทนา อัน เกิด แตส ัม ผัส ทางตา, เวทนา อัน เกิด แตส ัม ผัส ทางหู , เวทนา อั น เกิ ด แต สั ม ผั ส ทางจมู ก , เวทนา อั น เกิ ด แต สั ม ผั ส ทางลิ้ น , เวทนาอั น เกิ ด แต สั ม ผั ส ทางกาย, และเวทนา อั น เกิ ด แต สั ม ผั ส ทางใจ : ภิ ก ษุ ท.! นี ้ เรีย กวา เวทนา; ความเกิด ขึ ้น แหง เวทนา มีไ ด เพราะความเกิด ขึ ้น แหง ผัส สะ; ความดับ ไมเ หลือ แหง เวทนา มีไ ด เพราะความดับ ไมเ หลือ แห ง ผั ส สะ; อริ ย มรรคมี อ งค ๘ นี้ นั่ น เอง เป น ทางดํ า เนิ น ให ถึ ง ความดั บ ไม เหลือ แหง เวทนา, ไดแ ก ความเห็น ชอบ ความดํ า ริช อบ; การพูด จาชอบ การทํ า การงานชอบ การเลี ้ย งชีว ิต ชอบ; ความพากเพีย รชอบ ความระลึก ชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๗๓/๑๑๔.

ประมวลสิ่งที่ตองรูเกี่ยวกับเวทนา

www.buddhadasa.info พระอานนทไดกราบทูลถามวา :-

"ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! เวทนา เป นอย างไรหนอ ? ความเกิ ดขึ้ นแห งเวทนา เป น อย างไร? ความดั บ ไม เหลื อแห งเวทนา เป น อย างไร? ปฏิ ป ทาเครื่ องให ถึ งความดั บ ไม เ หลื อ แห ง เวทนา เป น อย า งไร ? อะไรเป น รสอร อ ยของเวทนา? อะไรเป น โทษ เลวทรามของเวทนา ? อะไรเปนอุบายเครื่องออกจากเวทนา ?"


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๑๙๓

อ าน น ท ! เวท น า มี ๓ อ ยา ง คือ สุข เว ท น า ท ุก ข เว ท น า อทุ ก ขม สุ ข เวทนา; อานนท ! นี้ เราเรี ย กว า เวทนา. ความเกิ ด ขึ้ น แห ง เวทนา ย อ มมี เพราะความเกิ ด ขึ้ น แห งผั ส สะ, ความดั บ ไม เหลื อ แห งเวทนา ย อ มมี เพราะ ความดับไมเหลือแหงผัสสะ. มรรคอันประเสริฐประกอบดวยองคแปดประการ นี้ เอง เป น ปฏิ ป ทาเครื่ อ งให ถึ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง เวทนา. ได แ ก สั ม มาทิ ฏ ฐิ สั ม มาสั ง กั ป ปะ สั ม มาวาจา สั ม มากั ม มั น ตะ สั ม มาอาชี ว ะ สั ม มาวายามะ สั ม มาสติ สัม มาสมาธิ สุข โสมนัส อัน ใดเกิด ขึ ้น เพราะอาศัย เวทนา นั ้น คือ รสอรอยของเวทนา. เวทนา ไมเที่ยง เปนทุกข มีความแปรปรวนเปนธรรมดา นั้นคือโทษเลวทรามของเวทนา. การกําจัด การละเสีย ซึ่งฉัน ทราคะในเวทนา นั้นคืออุบายเปนเครื่องออกจากเวทนา. - สฬา. สํ. ๑๘/๒๗๒/๓๙๙.

๓. วิภาคแหงสัญญขันธ

สัญญาหก

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! สัญ ญ า เปน อยา งไรเลา ? หมู แ หง สัญ ญ าหกเหลา นี้ คือ สัญ ญาในรูป , สัญ ญาในเสีย ง, สัญ ญาในกลิ ่น , สัญ ญาในรส, สัญ ญ า ในโผฏฐัพพะ, และสัญญาในธรรมารมณ. ภิกษุ ท.! นี้ เรียกวา สัญญา. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๗๔/๑๑๕.

ความหมายของคําวา "สัญญา" ภิ ก ษุ ท.! คนทั่ ว ไป กล า วกั น ว า "สั ญ ญา" เพราะอาศั ย ความหมาย อะไรเล า ? ภิ ก ษุ ท.! เพราะกิ ริ ย าที่ ห มายรู ไ ด พ ร อ ม มี อ ยู ในสิ่ ง นั้ น


๑๙๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

(เช น นี ้แ ล ) ด ัง นั ้น สิ ่ง นั ้น จ ึง ถ ูก เรีย ก ว า ส ัญ ญ า . สิ ่ง นั ้น ย อ ม ห ม า ย รู ไ ด พ รอ ม ซึ ่ง อ ะไร ? สิ ่ง นั ้น ยอ ม ห ม าย รู ไ ดพ รอ ม ซึ ่ง สีเ ขีย วบ า ง, ยอ ม ห ม าย รู ได พ รอ ม ซึ ่ง ส ีเ ห ล ือ งบ า ง , ย อ ม ห ม า ย รู ไ ด พ รอ ม ซึ ่ง ส ีแ ด ง บ า ง , แ ล ะ ย อ ม ห ม า ย รู ไ ด พ รอ ม ซึ ่ง ส ีข า ว บ า ง (ด ัง นี ้เ ป น ต น ). ภ ิก ษ ุ ท .! เพ ร า ะ ก ิร ิย า ที่ ห ม า ย รู ไ ด พ ร อ ม มี อ ยู ใน สิ่ ง นั้ น (เช น นี้ แ ล ) ดั ง นั้ น สิ่ ง นั้ น จึ ง ถู ก เรี ย ก ว า สัญญา. - ขนฺธฺ. สํ. ๑๗/๑๐๕/๑๕๙.

อุปมาแหงสัญญา ภิ ก ษุ ท .! เมื่ อ เดื อ น ท าย แ ห งฤ ดู ร อ น ยั งเห ลื อ ยู , ใน เวล าเที่ ย งวั น พ ย ับ แ ด ด ยอ ม ไห ว ยิบ ยับ . บ ุร ุษ ผู ม ีจ ัก ษ ุ (ต า ม ป ก ต ิ) เห็น พ ยับ แ ด ด นั ้น ก็ เพ งพิ นิ จพิ จารณ าโดยแยบ คาย . เมื่ อบุ คคลนั้ นเห็ นอยู เพ งพิ นิ จพิ จารณ าโดย แยบคายอยู , พยับ แดดนั ้น ยอ มปรากฏเปน ของว า งของเปล า และปรากฏ เป น ของห าแก น สารมิ ได ไป . ภิ กษุ ท.! ก็ แ ก น สารในพยั บ แ ด ด นั ้ น จ ะ พ ึ ง มี ไดอยางไร, อุปมานี้ฉันใด;

www.buddhadasa.info ภ ิก ษ ุ ท .! อ ุป ไม ย ก ็ฉ ัน นั ้น ค ือ ส ัญ ญ า ช น ิด ใด ช น ิด ห นึ ่ง ม ีอ ยู จะเป น อดี ต อนาคตหรื อ ป จจุ บั น ก็ ต าม เป นภ ายในหรื อ ภ ายนอกก็ ต าม หยาบ หรื อ ละเอี ย ดก็ ต าม เล วห รื อ ป ระณี ตก็ ต าม มี ใน ที่ ไ กลหรื อ ที่ ใกล ก็ ต าม ; ภิ กษุ สั ง เกตเห็ น (การบั ง เกิ ด ขึ้ น แห ง ) สั ญ ญานั้ น ย อ มเพ ง พิ นิ จ พิ จ ารณาโดยแยบคายเมื่อภิกษุนั้นสังเกตเห็นอยู เพงพินิจพิจารณาโดยแยบคายอยู, สัญญานั้นยอม


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๑๙๕

ปรากฏเปนของวางของเปลา และปรากฏเปนของหาแกนสารมิไดไป. ภิกษุ ท.! ก็แกนสารในสัญญานั้น จะพึงมีไดอยางไร. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๗๒/๒๔๔.

หลักที่ควรรูเกี่ยวกับ สัญญา ภิ ก ษุ ท.! ข อ ที่ เ รากล า วว า "พึ ง รู จั ก สั ญ ญ า, พึ ง รู จั ก เหตุ เ ป น แดน เกิ ด ของสั ญ ญ า, ถึ ง รู จั ก ความเป น ต า งกั น ของสั ญ ญ า, พึ ง รู จั ก ผลของสั ญ ญ า, พึ ง รู จั ก ความดั บ ไม เ หลื อ ของสั ญ ญ า, และพึ ง รู จั ก ทางดํ า เนิ น ให ถึ ง ความดั บ ไม เหลือของสัญญา" ดังนี้นั้น, เรากลาวหมายถึงอะไรเลา ? ภิ ก ษุ ท.! ข อ นั้ น เรากล า วหมายถึ ง สั ญ ญาหกเหล า นี้ คื อ สั ญ ญา ในรู ป สั ญ ญาในเสี ย ง สั ญ ญาในกลิ่ น สั ญ ญาในรส สั ญ ญาในโผฏฐั พ พะ และ สัญญาในธรรมารมณ.

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท.! เหตุเ ปน แดนเกิด ของสัญ ญ า เปน อยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท! ผั ส สะ (การประจวบกั น แห ง อายตนะภายใน และภายนอก และวิ ญ ญ าณ ) เป น เหตุ เปนแดนเกิดของสัญญา.

ภิ ก ษุ ท.! ความเป น ต า งกั น ของสั ญ ญ า เป น อย า งไรเล า ? ภิ ก ษุ ท.! สัญ ญ าในรูป ก็เ ปน อยา งหนึ ่ง , สัญ ญ าในเสีย งก็เ ปน อยา งหนึ ่ง , สัญ ญ า ในกลิ ่น ก็เ ปน อยา งหนึ ่ง , สัญ ญ าในรสก็เ ปน อยา งหนึ ่ง , สัญ ญ าในโผฏฐัพ พะ ก็เ ปน อ ยา งห นึ ่ง , แ ล ะ สัญ ญ าใน ธ รรม ารม ณ ก ็เ ปน อ ยา งห นึ ่ง , ภิก ษุ ท .! นี้ เรียกวา ความเปนตางกันของสัญญา.


๑๙๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภ ิก ษ ุ ท .! ผ ล ข อ ง ส ัญ ญ า เป น อ ย า ง ไรเล า ? ภ ิก ษ ุ ท .! เรา กล า วสั ญ ญา ว า มี ถ อ ยคํ า ที่ พู ด ออกมานั้ น แหละ เป น ผล, เพราะบุ ค คลย อ ม พูด ไปตามสัญ ญ า โดยรู ส ึก วา "เราไดม ีส ัญ ญ าอยา งนี ้ ๆ" ดัง นี ้. ภิก ษุ ท.! นี้ เรียกวา ผลของสัญญา. ภิ ก ษุ ท.! ความดั บ ไม เ หลื อ ของสั ญ ญา เป น อย า งไรเล า ? ภิ ก ษุ ท.! ความดับไมเหลือของสัญญา มีได เพราะความดับไมเหลือของผัสสะ. ภิก ษ ุ ท .! อริย ม รรคม ีอ งค ๘ นี ้นั ่น เอ ง เปน ท างดํ าเน ิน ให ถ ึง ความดับ ไมเ หลือ ของสัญ ญา, ไดแ ก ความเห็น ชอบ ความดํ า ริช อบ; การ พูด จาชอบ การทํ า การงานชอบ การเลี ้ย งชีว ิต ชอบ; ความพากเพีย รชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ. .... ภ ิก ษ ุ ท .! คํ า ใด ที ่เ รา ก ล า ว วา "พ ึง รู จ ัก ส ัญ ญ า , พ ึง รู จ ัก เห ตุ เปน แดนเกิด ของสัญ ญ า, พึง รู จ ัก ความเปน ตา งกัน ของสัญ ญ า, พึง รู จ ัก ผล ของสัญ ญ า, พึง รู จ ัก ความดับ ไมเ หลือ ของสัญ ญ า, และพึง รู จ ัก ทางดํ า เนิน ใหถึงความดับไมเหลือของสัญญา" ดังนี้นั้น, เรากลาวหมายถึงความขอนี้แล.

www.buddhadasa.info - ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๖๑/๓๓๔.

สัญญามีธรรมดาแปรปรวน ภิ ก ษุ ท.! สั ญ ญ าในรู ป เป น ของไม เ ที่ ย ง มี ค วามแปรปรวน มี ความเปนโดยอยางอื่นได;


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๑๙๗

ภิ ก ษุ ท.! สั ญ ญ าในเสี ย ง เป น ของไม เ ที่ ย ง มี ค วามแปรปรวน มี ความเปนโดยอยางอื่นได; ภิ ก ษุ ท.! สั ญ ญ าในกลิ่ น เป น ของไม เ ที่ ย ง มี ค วามแปรปรวน มี ความเปนโดยอยางอื่นได; ภิ ก ษุ ท.! สั ญ ญ าในรส เป นของไม เ ที่ ย ง มี ค วามแป รป รวน มี ความเปนโดยอยางอื่นได; ภิ ก ษุ ท.! สั ญ ญาในโผฎฐั พ พะ เป น ของไม เที่ ย ง มี ค วามแปรปรวน มีความเปนโดยอยางอื่นได; ภิ ก ษุ ท.! สั ญ ญ าในธรรมารมณ เป น ของไม เ ที่ ย ง มี ค วามแปรปรวน มีความเปนโดยอยางอื่นได แล. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๘๐/๔๗๔.

การเกิดของสัญญาเทากับการเกิดของทุกข ภิ ก ษุ ท.! การเกิ ด ขึ้ น การตั้ ง อยู การเกิ ด โดยยิ่ ง และความปรากฏ ของสัญ ญ าในรูป สัญ ญ าในเสีย ง สัญ ญ าในกลิ ่น สัญ ญ าในรส สัญ ญ าใน โผฏฐั พ พะ และสั ญ ญ าในธรรมารมณ ใด ๆ นั่ น เท า กั บ เป น การเกิ ด ขึ้ น ของ ทุก ข, เปน การตั ้ง อยู ข องสิ ่ง ซึ ่ง มีป รกติเ สีย ดแทงทั ้ง หลาย, และเปน ความ ปรากฏของชราและมรณะ แล.

www.buddhadasa.info - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๘๕/๔๘๙.

ขอควรกําหนดเกี่ยวกับ สัญญา ภิ ก ษุ ท.! สุ ข โสมนั ส ใด ๆ ที่ อ าศั ย สั ญ ญ า แล ว เกิ ด ขึ้ น , สุ ข โสมนัส นี้แล เปนรสอรอย (อัสสาทะ) ของสัญญา; สัญญาไมเที่ยง เปน


๑๙๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

ทุ ก ข มี ค วามแปรปรวนเป น ธรรมดา ด ว ยอาการใด ๆ, อาการนี้ แ ล เป น โทษ (อาทีน พ) ของสัญ ญา; การนํ า ออกเสีย ได ซึ ่ง ความกํ า หนัด ดว ยอํ า นาจความ พอใจ ในสั ญ ญา การละเสี ย ได ซึ่ ง ความกํ า หนั ด ด ว ยอํ า นาจความพอใจ ใน สัญ ญา ดว ยอุบ ายใด ๆ, อุบ ายนี ้แ ล เปน เครื ่อ งออกพน ไปได (นิส สรณะ) จากสัญญา. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๓๕, ๗๘/๕๙, ๑๒๑.

สัญญาขันธโดยนัยแหงอริยสัจสี่ ภ ิก ษ ุ ท .! ส ัญ ญ า เป น อ ย า ง ไร เล า ? ภ ิก ษ ุ ท .! ห มู แ ห ง สัญ ญ าหกเหลา นี ้ คือ สัญ ญ าในรูป , สัญ ญ าในเสีย ง, สัญ ญ าในกลิ ่น , สัญ ญ าในรส, สัญ ญ าในโผฏ ฐัพ พ ะ, และสัญ ญ าในธรรมารมณ . ภิก ษุ ท.! นี ้ เรีย กวา สัญ ญ า. ความเกิด ขึ ้น แหง สัญ ญ า มีไ ด เพราะความ เกิดขึ้นแห งผัส สะ; ความดั บ ไม เหลื อ แห งสั ญ ญา มี ได เพราะความดับ ไม เหลื อ แห ง ผั ส สะ; อริ ย มรรคมี อ งค ๘ นี้ นั่ น เอง เป น ทางดํ า เนิ น ให ถึ ง ความดั บ ไม เหลือ แหง สัญ ญา, ไดแ ก ความเห็น ชอบ ความดํ า ริช อบ; การพูด จาชอบ การทํ า การงานชอบ การเลี ้ย งชีว ิต ชอบ; ความพากเพีย รชอบ ความระลึก ชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ.

www.buddhadasa.info - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๗๔/๑๑๕.

๔. วิภาคแหงสังขารขันธ สังขารหก ภิก ษุ ท .! สัง ขารทั ้ง ห ล าย เปน อ ยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท .! ห มู แหงเจตนาหกเหลานี้ คือ สัญเจตนา (ความคิดนึก) ในเรื่องรูป, สัญเจตนา


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๑๙๙

ในเรื ่อ งเสีย ง, สัญ เจตนาในเรื ่อ งกลิ ่น , สัญ เจตนาในเรื ่อ งรส, สัญ เจตนา ใน เรื ่อ ง โผ ฎ ฐัพ พ ะ , แ ล ะ สัญ เจ ต น า ใน เรื ่อ ง ธ ร รม า ร ม ณ . ภิก ษ ุ ท .! นี้ เรียกวา สังขารทั้งหลาย. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๗๔/๑๑๖.

ความหมายของคําวา "สังขาร" ภิ ก ษุ ท.! คนทั่ ว ไป กล า วกั น ว า "สั ง ขารทั้ ง หลาย" เพราะอาศั ย ค วาม ห ม าย อ ะไรเลา ? ภิก ษุ ท .! เพ ราะกิร ิย าที ่ป รุง แตง ใหสํ า เร็จ รูป มี อ ยู  ใน สิ ่ง นั ้น (เชน นี ้แ ล ) ด ัง นั ้น สิ ่ง นั ้น จึง ถ ูก เรีย ก วา ส ัง ข า ร. สิ ่ง นั ้น ยอ มปรุง แตง อะไร ใหเ ปน ของสํ า เร็จ รูป ? สิ ่ง นั ้น ยอ มปรุง แตง รูป ใหสํ า เร็จ รูป เพื่ อ ความเป น รู ป , ย อ มปรุ ง แต ง เวทนา ให สํ า เร็ จ รู ป เพื่ อ ความเป น เวทนา, ย อ มปรุ ง แต ง สั ญ ญา ให สํ า เร็ จ รู ป เพื่ อ ความเป น สั ญ ญา, ย อ มปรุ ง แต ง สั ง ขาร ใหสํ า เร็จ รูป เพื ่อ ความเปน สัง ขาร, และยอ มปรุง แตง วิญ ญ าณ ใหสํ า เร็จ รูป เพื ่อ ความเปน วิญ ญ าณ . ภิก ษุ ท.! เพราะกิร ิย าที ่ป รุง แตง ใหสํ า เร็จ รูป มีอ ยู ในสิ่งนั้น (เชนนี้แล) ดังนั้น สิ่งนั้น จึงถูกเรียกวาสังขารทั้งหลาย.

www.buddhadasa.info - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๐๖/๑๕๙.

อุปมาแหงสังขาร ภิ ก ษุ ท.! บุ รุ ษ ผู ห นึ่ ง มี ค วามต อ งการด ว ยแก น ไม เสาะหาแก น ไม เที ่ย วหาแกน ไมอ ยู , เขาจึง ถือ เอาขวานอัน คมเขา ไปสู ป า . เขาเห็น ตน กลว ย ตนใหญ ในปานั้น ลําตนตรง ยังออนอยู ยังไมเกิดแกนไส. เขาตัดตนกลวย


๒๐๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

นั้ น ที่ โ คน แล ว ตั ด ปลาย แล ว จึ ง ปอกกาบออก. บุ รุ ษ นั้ น เมื่ อ ปอกกาบออกอยู ณ ที ่นั ้น ก็ไ ม พ บ แ ม แ ต ก ระพี ้ (ข อ งม ัน ) จัก พ บ แ กน ได อ ยา งไร. บ ุร ุษ ผู มี จั ก ษุ (ตามปรกติ ) เห็ น ต น กล ว ยนั้ น ก็ เ พ ง พิ นิ จ พิ จ ารณ าโดยแยบคาย. เมื่ อ บุ รุ ษ นั้ น เห็ น อยู เพ ง พิ นิ จ พิ จ ารณาโดยแยบคายอยู , ต น กล ว ยนั้ น ย อ มปรากฏ เปน ของวา ของเปลา และปรากฏเปน ของหาแกน สารมิไ ดไ ป. ภิก ษุ ท.! ก็แกนสารในตนกลวยนั้น จะพึงมีไดอยางไร, อุปมานี้ฉันใด; ภิก ษุ ท.! อุป ไมยก็ฉ ัน นั ้น คือ สัง ขารทั ้ง หลาย ชนิด ใดชนิด หนึ ่ง มี อ ยู จะเป น อดี ต อนาคตหรื อ ป จ จุ บั น ก็ ต าม เป น ภายในหรื อ ภายนอก็ ต าม หยาบ หรื อ ละเอี ย ดก็ ต าม เลวหรื อ ประณี ตก็ ต าม มี ใ นที่ ไ กลหรื อ ที่ ใ กล ก็ ต าม; ภิ ก ษุ สั ง เกตเห็ น (การเกิ ด ขึ้ น แห ง ) สั ง ขารทั้ ง หลายเหล า นั้ น ย อ มเพ ง พิ นิ จ พิ จ ารณ า โดยแยบคาย. เมื่ อ ภิ ก ษุ นั้ น สั ง เกตเห็ น อยู เพ ง พิ นิ จ พิ จ ารณ าโดยแยบคายอยู , สังขารทั้งหลาย ยอมปรากฏเปนของวางของเปลา และปรากฏเปนของหาแกน ส ารมิไ ดไ ป . ภิก ษุ ท .! ก็แ กน สารในสัง ขารทั ้ง ห ลายเห ลา นั ้น จะพึง มีไ ด อยางไร.

www.buddhadasa.info - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๗๒/๒๔๕.

สังขารมีธรรมดาแปรปรวน

ภิก ษุ ท .! สัญ เจต น า (ค วาม คิด นึก ) ใน เรื ่อ งรูป เปน ของไมเ ที ่ย ง มีความแปรปรวน มีความเปนโดยอยางอื่นได; ภิ ก ษุ ท.! สั ญ เจตนาในเรื่ อ งเสี ย ง เป น ของไม เ ที่ ย ง มี ค วามแปรปรวน มีความเปนโดยอยางอื่นได;


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๒๐๑

ภิ ก ษุ ท.! สั ญ เจตนาในเรื่ อ งกลิ่ น เป น ของไม เ ที่ ย ง มี ค วามแปรปรวน มีความเปนโดยอยางอื่นได; ภิ ก ษุ ท.! สั ญ เจตนาในเรื่ อ งรส เป น ของไม เ ที่ ย ง มี ค วามแปรปรวน มีความเปนโดยอยางอื่นได; ภิ ก ษุ ท.! สั ญ เจตนาในเรื่ อ งโผฏฐั พ พะ เป น ของไม เ ที่ ย ง มี ค วาม แปรปรวน มีความเปนโดยอยางอื่นได; ภิ ก ษุ ท.! สั ญ เจตนาในเรื่ อ งธรรมารมณ เป น ของไม เ ที่ ย ง มี ค วาม แปรปรวน มีความเปนโดยอยางอื่นได แล. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๘๐/๔๗๕.

การเกิดของสังขารเทากับการเกิดของทุกข ภิ ก ษุ ท.! การเกิ ด ขึ้ น การตั้ ง อยู และความปรากฏ ของสั ญ เจตนา ในเรื่ อ งรู ป สั ญ เจตนาในเรื่ อ งเสี ย ง สั ญ เจตนาในเรื่ อ งกลิ่ น สั ญ เจตนาในเรื่ อ ง รส สั ญ เจตนาในเรื่ อ งโผฏฐั พ พะ และสั ญ เจตนาในเรื่ อ งธรรมารมณ ใด ๆ นั่ น เทา กับ เปน การเกิด ขึ ้น ของทุก ข, เปน การตั ้ง อยู ข องสิ ่ง ซึ ่ง มีป รกติเ สีย ดแทง ทั้งหลาย, และเปนความปรากฏของชราและมรณะ แล.

www.buddhadasa.info - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๘๕/๔๙๑.

ขอควรกําหนดเกี่ยวกับ สังขาร ภิ ก ษุ ท.! สุ ข โสมนั ส ใด ๆ ที่ อ าศั ย สั ง ขารทั้ ง หลาย แล ว เกิ ด ขึ้ น , สุ ข โสมนั ส นี้ แ ล เป น รสอร อ ย (อั ส สาทะ) ของสั ง ขารทั้ ง หลาย; สั ง ขาร


๒๐๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

www.buddhadasa.info


๒๐๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

ทั ้ง หลาย ไมเ ที ่ย ง เปน ทุก ข มีค วาม แป รป รวนเปน ธรรม ดา ดว ยอาการ ใ ด ๆ , อ า ก า ร นี ้ แ ล เ ป น โ ท ษ (อ า ที น พ ) ข อ ง สั ง ข า ร ทั ้ ง ห ล า ย ; ก า ร นํ า ออกเสี ย ได ซึ่ ง ความกํ า หนั ด ด ว ยอํ า นาจความพอใจ ในสั ง ขารทั้ ง หลาย การ ละเสี ย ได ซึ่ งความกํ าหนั ด ด วยอํ านาจความพอใจ ในสั งขารทั้ งหลาย ด ว ยอุ บ าย ใด ๆ, อุบายนี้แล เปน เครื่องออกพนไปได (นิสสรณะ) จากสังขารทั้งหลาย. - ขนธ.สํ. ๑๗/๗๙/๑๒๒.

สังขารขันธโดยนัยแหงอริยสัจสี่ ภิ ก ษ ุ ท .! ส ั ง ข า ร ทั ้ ง ห ล า ย เป น อ ย า ง ไ ร เล า ? ภิ ก ษ ุ ท .! หมู แ ห ง เจตนาหกเหล า นี้ คื อ สั ญ เจตนา (ความคิ ด นึ ก ) ในเรื่ อ งรู ป , สั ญ เจตนา ในเรื ่อ งเสีย ง, สัญ เจตนาในเรื ่อ งกลิ ่น , สัญ เจตนาในเรื ่อ งรส, สัญ เจตนา ใน เรื ่ อ ง โผ ฏ ฐั พ พ ะ , แ ล ะ สั ญ เจ ต น า ใน เรื ่ อ ง ธ รรม า รม ณ  . ภิ ก ษุ ท .! นี้ เรี ย กว า สั ง ขารทั้ ง หลาย. ความเกิ ด ขึ้ น แห ง สั ง ขารทั้ ง หลาย มี ได เพราะความ เกิ ด ขึ้ น แห งผั ส สะ; ความดั บ ไม เหลื อ แห งสั งขารทั้ งหลาย มี ได เพราะความดั บ ไม เหลื อ แห ง ผั ส สะ; อริ ย มรรคมี อ งค ๘ นี้ นั่ น เอง เป น ทางดํ า เนิ น ให ถึ ง ความ ดับ ไมเ หลือ แหง สัง ขารทั ้ง หลาย, ไดแ ก ความเห็น ชอบ ความดํ า ริช อบ; การพู ด จาชอบ การทํ า การงานชอบ การเลี้ ย งชี วิ ต ชอบ; ความพากเพี ย รชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ.

www.buddhadasa.info - ขนฺธ.สํ. ๑๗/๗๔/๑๑๖.


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๒๐๓

๕. วิภาคแหงวิญญาณขันธ

วิญญาณหก ภิ ก ษุ ท .! วิ ญ ญ า ณ เป น อ ย า ง ไร เล า ? ภิ ก ษุ ท .! ห มู แ ห ง วิ ญ ญาณหกเหล า นี้ คื อ วิ ญ ญาณทางตา, วิ ญ ญาณทางหู , วิ ญ าณทางจมู ก , วิญ ญ าณ ทางลิ ้น . วิญ ญ าณ ทางกาย, และวิญ ญ าณ ทางใจ. ภิก ษุ ท.! นี้ เรียกวา วิญญาณ. - ขนฺธ. สํ ๑๗/๗๕/๑๑๗.

ความหมายของคําวา "วิญญาณ" ภิ ก ษุ ท.! คนทั่ ว ไป กล า วกั น ว า "วิ ญ ญ าณ " เพราะอาศั ย ความ หมายอะไรเลา ? ภิก ษุ ท.! เพราะกิร ิย าที ่รู แ จง (ตอ อารมณที ่ม ากระทบ) ได มีอ ยู  ใน สิ ่ง นั ้น (เชน นี ้แ ล ) ดัง นั ้น สิ ่ง นั ้น จึง ถูก เรีย ก วา วิญ ญ าณ . สิ ่ ง นั ้ น ย อ ม รู  แ จ ง ซึ ่ ง อ ะ ไ ร ? สิ ่ ง นั ้ น ย อ ม รู  แ จ ง ซึ ่ ง ค ว า ม เป รี ้ ย ว บ า ง , ย อ มรู แ จ ง ซึ่ ง ความขมบ า ง, ย อ มรู แ จ ง ซึ่ ง ความเผ็ ด ร อ นบ า ง, ย อ มรู แ จ ง ซึ่ ง ความหวานบ าง, ย อมรู แจ ง ซึ่ งความขื่ นบ าง, ย อมรู แจ ง ซึ่ งความความไม ขื่ นบ าง, ย อ มรู แ จ ง ซึ่ ง ความเค็ ม บ า ง, ย อ มรู แ จ ง ซึ่ ง ความไม เ ค็ ม บ า ง (ดั ง นี้ เ ป น ต น ) ภิก ษุ ท.! เพ ราะกิร ิย าที ่รู แ จง (ตอ อารมณ ที ่ม ากระทบ ) ได มีอ ยู ใ นสิ ่ง นั ้น (เชนนี้แล) ดังนั้น สิ่งนั้น จึงถูกเรียกวา วิญญาณ.

www.buddhadasa.info - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๐๖/๑๕๙.


๒๐๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

อุปมาแหงวิญญาณ ภิ ก ษุ ท.! นั ก แสดงกลก็ ต าม ลู ก มื อ ของนั ก แสดงกลก็ ต าม แสดง กล อยู ที่ ท างให ญ สี่ แยก . บุ รุ ษ ผู มี จั ก ษุ (ต าม ป รก ติ ) เห็ น กล นั้ น ก็ เ พ งพิ นิ จพิ จ ารณาโดยแยบคาย. เมื่ อ บุ รุ ษ ผู นั้ น เห็ น อยู เพ ง พิ นิ จ พิ จ ารณาโดยแยบคายอยู , กลนั้น ยอมปรากฏเปนของวางของเปลา และปรากฏเปนของหาแกนสารมิไดไป. ภิกษุ ท.! ก็แกนสาร ในกลนั้น จะพึงมีไดอยางไร, อุปมานี้ฉันใด; ภิ กษุ ท.! อุ ป ไม ยก็ ฉั น นั้ น คื อ วิ ญ ญ าณ ชนิ ดใดชนิ ด หนึ่ ง มี อยู จะเป น อดี ต อนาคตหรื อ ป จ จุ บั น ก็ ต าม เป น ภายในหรื อ ภายนอกก็ ต าม หยาบหรื อ ละเอี ย ดก็ ต าม เลวหรื อ ประณี ตก็ ต าม มี ใ นที่ ไ กลหรื อ ใกล ก็ ต าม; ภิ ก ษุ สั ง เกต เห็ น (การเกิ ด ขึ้ น แห ง ) วิ ญ ญ าณ นั้ น ย อ มเพ ง พิ นิ จ พิ จ ารณ าโดยแยบคาย เมื่ อ ภิ ก ษุ นั้ น สั ง เกตเห็ น อยู เพ ง พิ นิ จ พิ จ ารณาโดยแยบคายอยู , วิ ญ ญาณ นั้ น ย อ ม ปรากฏเปน ของวา งของเปลา และปรากฏเปน ของหาแกน สารมิไ ดไ ป. ภิก ษุ ท.! ก็แกนสารในวิญญาณนั้น จะพึงมีไดอยางไร.

www.buddhadasa.info - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๗๓/๒๔๖.

วิญญาณมีธรรมดาแปรปรวน

ภิ ก ษุ ท.! วิ ญ ญ าณ ทางตา เป น ของไม เ ที่ ย ง มี ค วามแปรปรวน มี ความเปนโดยอยางอื่นได; ภิ ก ษุ ท.! วิ ญ ญ าณ ทางหู เป นของไม เ ที่ ย ง มี ค วามแป รป รวน มี ความเปนโดยอยางอื่นได;


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๒๐๕

ภิ ก ษุ ท.! วิ ญ ญ าณ ทางจมู ก เป น ของไม เ ที่ ย ง มี ค วามแปรปรวน มีความเปนโดยอยางอื่นได; ภิก ษุ ท.! วิญ ญ าณ ทางลิ ้น เปน ของไมเ ที ่ย ง มีค วามแปรปรวน มีความเปนโดยอยางอื่นได; ภิก ษุ ท.! วิญ ญ าณ ทางกาย เปน ของไมเ ที ่ย ง มีค วามแปรปรวน มีความเปนโดยอยางอื่นได; ภิ ก ษุ ท.! วิ ญ ญาณทางใจ เป น ของไม เ ที่ ย ง มี ค วามแปรปรวน มี ความเปนโดยอยางอื่นได แล. - ขนฺธ. สํ ๑๗/๒๗๙/๔๗๑.

วิญญาณเมื่อทําหนาที่เปนพืช ภิก ษุ ท.! สิ ่ง ที ่ใ ชเ ปน พืช มีห า อยา งเหลา นี ้. หา อยา งเหลา ไหน เลา ? หา อ ยา ง คือ พ ืช จ า ก เห งา (ม ูล พ ืช ), พ ืช จ า ก ต น (ข น ฺธ พ ีช ), พ ืช จากตา (ผลุ พี ช ), พื ช จากยอด (อคฺ ค พี ช ), และพื ช จากเมล็ ด (เช น ข า วเป น ต น ) เปนคํารบหา (พีชพีช).

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท.! ถา สิ ่ง ที ่ใ ชเ ปน พืช หา อยา งเหลา นี ้ ที ่ไ มถ ูก ทํ า ลาย ยัง ไมเ นา เป อ ย ยัง ไมแ หง เพราะลมและแดด ยัง มีเ ชื ้อ งอกบริบ ูร ณ อ ยู  และอัน เจา ของเก็บ ไวด ว ยดี, แตด ิน น้ํ า ไมม ี. ภิก ษุ ท.! สิ ่ง ที ่ใ ชเ ปน พืช หา อยา ง เหลานั้น จะพึงเจริญงอกงามไพบูลย ไดแลหรือ ? "หาเปนเชนนั้นไม พระเจาขา !"


๒๐๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ ก ษุ ท.! ถ า สิ่ ง ที่ ใ ช เ ป น พื ช ห า อย า งเหล า นี้ แ หละ ที่ ไ ม ถู ก ทํ า ลาย ยั ง ไม น า เป อ ย ยั ง ไม แ ห ง เพราะลมและแดด ยั ง มี เ ชื้ อ งอกบริ บู ร ณ อ ยู และอั น เจา ข อ ง เก็บ ไวด ว ย ดี, ทั ้ง ดิน น้ํ า ก็ม ีด ว ย . ภิก ษ ุ ท .! สิ ่ง ที ่ใ ชเ ปน พ ืช หาอยางเหลานั้นจะพึงเจริญ งอกงาม ไพบูลย ไดมิใชหรือ ? "อยางนั้น พระเจาขา !" ภิ ก ษุ ท.! วิ ญ ญาณฐิ ติ สี่ อ ย าง (รู ป เวทนา สั ญ ญา สั งขาร) พึ งเห็ น ว า เห มื อ น กั บ ดิ น . ภิ ก ษุ ท .! นั น ทิ ร า ค ะ พึ ง เห็ น ว า เห มื อ น กั บ น้ํ า . ภิก ษุ ท.! วิญ ญ าณ ซึ ่ง ประกอบดว ยปจ จัย (คือ กรรม) พึง เห็น วา เหมือ นกับ พืชสด ทั้งหานั้น. ภิ กษุ ท .! วิ ญ ญ าณ ซึ่ ง เข า ถื อ เอา รู ป ตั้ งอยู ก็ ตั้ งอยู ไ ด , เป น วิญ ญาณที ่ม ีร ูป เปน อารมณ มีร ูป เปน ที ่ตั ้ง อาศัย มีน ัน ทิเ ปน ที ่เ ขา ไปสอ งเสพ ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย ได;

www.buddhadasa.info ภิ กษุ ท .! วิ ญ ญ าณ ซึ่ ง เข า ถื อ เอา เวท น า ตั้ ง อยู ก็ ตั้ งอยู ไ ด , เป น วิ ญ ญาณที่ มี เวทนาเป น อารมณ มี เวทนาเป น ที่ ตั้ ง อาศั ย มี นั น ทิ เป น ที่ เข า ไป สองเสพ ก็ถือความเจริญ งอกงาม ไพบูลย ได;

ภิ ก ษุ ท.! วิ ญ ญ าณ ซึ่ ง เข า ถื อ เอา สั ญ ญ า ตั้ ง อยู ก็ ตั้ ง อยู ไ ด , เป น วิ ญ ญาณที่ มี สั ญ ญาเป น อารมณ มี สั ญ ญาเป น ที่ ตั้ ง อาศั ย มี นั น ทิ เป น ที่ เข า ไปสองเสพ ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย ได;


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๒๐๗

ภ ิก ษ ุ ท .! วิญ ญ าณ ซึ ่ง เขา ถือ เอา สัง ข าร ตั ้ง อยู  ก็ตั ้ง อ ยู ไ ด, เป น วิ ญ ญาณที่ มี สั ง ขารเป น อารมณ มี สั ง ขารเป น ที่ ตั้ ง อาศั ย มี นั น ทิ เป น ที่ เข า ไป สองเสพ ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย ได. ภิ ก ษุ ท.! ผู ใ ด จะพึ ง กล า วอย า งนี้ ว า "เราจั ก บั ญ ญั ติ ซึ่ ง การมา การไป การจุ ติ การอุ บั ติ ความเจริ ญ ความงอกงาม และความไพบู ล ย ของ วิ ญ ญาณ โดยเว น จากรู ป เว น จากเวทนา เว น จากสั ญ ญา และเว น จากสั ง ขาร" ดังนี้นั้น, นี่ไมใชฐานะที่จักมีไดเลย. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๖๗/๑๐๖-๑๐๗.

การเกิดของวิญญาณเทากับการเกิดของทุกข ภิ ก ษุ ท.! การเกิ ด ขึ้ น การตั้ ง อยู การเกิ ด โดยยิ่ ง และความปรากฏ ของวิ ญ ญาณทางตา วิ ญ ญาณทางหู วิ ญ ญาณทางจมู ก วิ ญ ญาณทางลิ้ น วิ ญ ญาณ ท างก าย แ ล ะ วิ ญ ญ าณ ท างใด ๆ นั ่ น เท า กั บ เป น ก ารเกิ ด ขึ ้ น ข อ งทุ ก ข , เป น การตั้ งอยู ข องสิ่ งซึ่ งมี ป รกติ เสี ย ดแทงทั้ งหลาย, และเป น ความปรากฏของชรา และมรณะ แล.

www.buddhadasa.info - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๘๔/๔๘๓.

ขอควรกําหนดเกี่ยวกับ วิญญาณ ภิ ก ษุ ท! สุ ข โสมนั ส ใด ๆ ที่ อ าศั ย วิ ญ ญ าณ แล ว เกิ ด ขึ้ น , สุ ข โสมนัสนี้แล เปน รสอรอย (อัสสาทะ) ของวิญญาณ; วิญญาณ ไมเที่ยง เปน


๒๐๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

ทุ ก ข มี ค วามแปรปรวนเป น ธรรมดา ด ว ยอาการใด ๆ, อาการานี้ แ ล เป น โทษ (อาที น พ) ของวิ ญ ญาณ; การนํ า ออกเสี ย ได ซึ่ ง ความกํ า หนั ด ด ว ยอํ า นาจความ พ อใจในวิญ ญ าณ การละเสีย ได ซึ ่ง ความกํ า หนัด ดว ยอํ า นาจความพ อใจ ในวิ ญ ญาณ ด ว ยอุ บ ายใด ๆ, อุ บ ายนี้ แ ล เป น เครื่ อ งออกพ น ไปได (นิ ส สรณะ) จากวิญญาณ. - ธนฺธ. สํ. ๑๗/๘๐/๑๒๓.

วิญญาณขันธโดยนัยแหงอริยสัจสี่ ภิ ก ษุ ท .! วิ ญ ญ า ณ เป น อ ย า ง ไ ร เล า ? ภิ ก ษุ ท .! ห มู แ ห ง วิ ญ ญาณหกเหล า นี้ คื อ วิ ญ ญาณทางตา, วิ ญ ญาณทางหู , วิ ญ ญาณทางจมู ก , วิญ ญ าณ ท างลิ ้น , วิญ ญ าณ ท างกาย , แล ะวิญ ญ าณ ท างใจ. ภิก ษุ ท .! นี้ เรี ย กว า วิ ญ ญาณ. ความเกิ ด ขึ้ น แห ง วิ ญ ญาณ มี ไ ด เพราะความเกิ ด ขึ้ น แห ง นามรู ป ; ความดั บ ไม เหลื อ แห งวิ ญ ญาณ มี ได เพราะความดั บ ไม เหลื อ แห งนามรู ป ; อริ ย มรรคมี อ งค ๘ นี้ นั่ น เอง เป น ทางดํ า เนิ น ให ถึ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง วิญ ญ าณ , ไดแ ก ค วาม เห็น ช อ บ ค วาม ดํ า ริช อ บ ; ก ารพูด จ าช อ บ ก าร ทํ า การงานชอบ การเลี้ ย งชี วิ ต ชอบ; ความพากเพี ย รชอบ ความระลึ ก ชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ.

www.buddhadasa.info - ธนฺธ. สํ. ๑๗/๗๕/๑๑๗.

(ข.) วิภาคแหงปญจุปาทานักขันธ ภิกษุ ท.! ปญจุปาทานักขันธ เปนอยางไรเลา ? ภิ กษุ ท .! รู ป ชนิ ด ใด ชนิ ด ห นึ่ ง มี อ ยู จะเป น อ ดี ต อ น าค ต ห รื อ ป จ จุ บั น ก็ ต าม เป น ภายในหรื อ ภายนอกก็ ต าม หยาบหรื อ ละเอี ย ดก็ ต าม เลวหรื อ


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๒๐๙

ประณี ต ก็ ต าม มี ในที่ ไกลหรื อ ใกล ก็ ต าม ซึ่ ง ยั ง มี อ าสวะ เป น ที่ ตั้ ง อาศั ย อยู แ ห ง อุปาทาน, ภิกษุ ท.! นี้เรียกวา รูปขันธที่ยังมีอุปาทาน. ภ ิก ษ ุ ท .! เว ท น า ชน ิด ใด ชน ิด ห นึ ่ง ม ีอ ยู  จะเป น อ ด ีต อ น าค ต หรื อ ป จ จุ บั น ก็ ต าม เป น ภายในหรื อ ภายนอกก็ ต าม หยาบหรื อ ละเอี ย ดก็ ต าม เลว หรื อ ประณี ต ก็ ต าม มี ในที่ ไกลหรื อ ใกล ก็ ต าม ซึ่ ง ยั ง มี อ าสวะ เป น ที่ ตั้ ง อาศั ย อยู แหงอุปาทาน. ภิกษุ ท.! นี้เรียกวา เวทนาขันธที่ยังมีอุปาทาน. ภ ิก ษ ุ ท .! ส ัญ ญ า ชนิด ใด ชน ิด ห นึ ่ง ม ีอ ยู  จะเป น อ ด ีต อ น าค ต หรื อ ป จ จุ บั น ก็ ต าม เป น ภายในหรื อ ภายนอกก็ ต าม หยาบหรื อ ละเอี ย ดก็ ต าม เลว หรื อ ประณี ต ก็ ต าม มี ในที่ ไกลหรื อ ใกล ก็ ต าม ซึ่ ง ยั ง มี อ าสวะ เป น ที่ ตั้ ง อาศั ย อยู แหงอุปาทาน. ภิกษุ ท.! นี้เรียกวา สัญญาขันธที่ยังมีอุปาทาน. ภิ ก ษุ ท.! สั ง ขารทั้ งห ล าย ชนิ ด ใดชนิ ด หนึ่ ง มี อ ยู จะเป น อดี ต อนาคตหรือ ปจ จุบ ัน ก็ต าม เปน ภายในหรือ ภายนอกก็ต าม หยาบหรือ ละเอีย ด ก็ ต าม เลวหรื อ ประณี ต ก็ ต าม มี ใ นที่ ไ กลหรื อ ใกล ก็ ต าม ซึ่ ง ยั ง มี อ าสวะ เป น ที่ ตั้งอาศัยอยูแหงอุปาทาน, ภิกษุ ท.! นี้เรียกวา สังขารขันธที่ยังมีอุปาทาน.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! วิ ญ ญ าณ ชนิ ด ใดชนิ ด หนึ่ ง มี อ ยู จะเป น อดี ต อนาคต หรื อ ป จ จุ บั น ก็ ต าม เป น ภายในหรื อ ภายนอกก็ ต าม หยาบหรื อ ละเอี ย ดก็ ต าม เลว หรื อ ประณี ต ก็ ต าม มี ในที่ ไกลหรื อ ใกล ก็ ต าม ซึ่ ง ยั ง มี อ าสวะ เป น ที่ ตั้ ง อาศั ย อยู แหงอุปาทาน, ภิกษุ ท.! นี้เรียกวา วิญญาณขันธที่ยังมีอุปทาน.


๒๑๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิกษุ ท.! ขันธที่ยังมีอุปาทานหาขันธเหลานี้ เรียกวา ปญจุปาทานักขันธ แล. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๙/๙๖.

อุปาทานสี่ ภิ ก ษุ ท.! อุ ป าทานมี ๔ อย าง เหล านี้ . สี่ อ ย างเหล าไหนเล า ? สี่ อยางคือ :๑. กามุปาทาน ความถือมั่นใน กาม ๒. ทิฏุปาทาน ความถือมั่นใน ทิฎฐิ ๓. สีลัพพตุปาทาน ความถือมั่นใน ศีลพรต ๔. อัตตวาทุปาทาน ความถือมั่นใน วาทะวาตน. ภิกษุ ท.! เหลานี้แล คือ อุปาทานสี่อยาง.

www.buddhadasa.info - มหาวาร. สํ. ๑๙/๘๘/๓๓๗. (คําอธิบายตามนัยแหงคัมถีรธัมมังสังคณี อภิธัมมปฎก ๓๔/๓๐๖/๗๘๐ มีดังนี้:-)

ธ รรม ทั ้ ง ห ล าย ชื ่ อ อุ ป าท าน เป น อ ย า งไร? อุ ป าท าน สี ่ คื อ ก ามุ ป าท า น ทิ ฏ ุ ป าทาน สีลัพพตุปาทาน และอัตตวาทุปาทาน.

ในอุ ปาทานสี่ นั้ น, กามุ ปาทาน เป นอย างไร ? กามฉั นทะ (ความพอใจ ในกาม) กามราคะ (ความยิ นดี ในกาม) กามนั นทิ (ความเพลิ นในกาม) กามตั ณหา (ความทะยานอยากในกาม) กามสิเนหะ (ความเยื่อใยในกาม) กามปริฬาหะ (ความเรารอน ในกาม) กามมุ จฉา (ความสยบในกาม) กามั ชโฌสานะ (ความเมาหมกในกาม) ในกาม ทั้งหลายใด ๆ. นี้ เรียกวา กามุปาทาน


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๒๑๑

ในอุ ป าทานสี่ นั้ น , ทิ ฏ ุ ป าทาน เป น อย า งไร ? "ของที่ ใ ห แ ล ว ไม มี , ของที่ บู ชาแล วไม มี , ของที่ บ วงสรวงแล วไม มี , ผลวิ บ ากแห งกรรมที่ ทํ าดี ทํ าชั่ วไม มี , โลกนี้ ไม มี , โลกอื่ น ไม มี , มารดาไม มี , บิ ด าไม มี , สั ต ว ผู โอปปาติ ก ะไม มี , เหล า สมณพราหมณ ผูไปถูก ปฏิบัติถูก คือผูที่ทําใหแจงโลกนี้และโลกอื่น ดวยปญญาอันยิ่งเอง แล วจึ งประกาศให รู ไม มี ในโลก". ความเห็ น มี ลั กษณะดั งกล าวนี้ ใด ๆ เป น ทิ ฎ ฐิ , ไปแล ว ด ว ยทิ ฎ ฐิ , รกชั ฏ ด ว ยทิ ฏ ฐิ , กั น ดารด ว ยทิ ฎ ฐิ , เป น ข า ศึ ก ด ว ยทิ ฏ ฐิ , โยกโคลงด ว ยทิ ฎ ฐิ , รึ ง รั ด ไว ด ว ยทิ ฎ ฐิ , การจั บ , การจั บ ยึ ด ไว , การยึ ด ถื อ ไว อ ย า ง แน น หนา, การลู บ คลํ า , มรรคที่ ชั่ ว ช า , ทางที่ ผิ ด , ความเป น ที่ ผิ ด , การสื บ ต อ ลั ทธิ ที่ ผิ ด, ถื อการแสวงหาในด านที่ ผิ ด. นี้ เรียกว า ทิ ฎุ ปาทาน. ยกเว น สี ลั พพตุ ปาทาน และอัตตวาทุปาทานเสียแลว แมทั้งหมด เปนมิจฉาทิฎฐิสิ้น ชื่อทิฎุปาทาน. ในอุ ปาทานสี่นั้ น, สี ลั พพตุ ปาทาน เป นอย างไร ? "ความสะอาดด วยศี ล, ความสะอาดด วยวั ตร ความสะอาดด วยศี ลพรต ของเหล าสมณพราหมณ ในภายนอกแต ศาสนานี้ ". ความเห็ นมี ลั กษณะดั งกล าวนี้ ใด ๆ เป นทิ ฏฐิ , ไปแล วด วยทิ ฏฐิ , รกชั ฎ ด ว ยทิ ฎ ฐิ , กั น ดารด ว ยทิ ฎ ฐิ , เป น ข า ศึ ก ด ว ยทิ ฏ ฐิ , โยกโคลงด ว ยทิ ฏ ฐิ , รึ ง รั ด ไว ด ว ยทิ ฏ ฐิ , การจั บ , การจั บ ยึ ด ไว , การยึ ด ถื อ เอไว อ ย า งแน น หนา, การลู บ คลํ า , มรรคที่ ชั่ ว ช า , ทางที่ ผิ ด , ความเป น ที่ ผิ ด , การสื บ ต อ ลั ท ธิ ที่ ผิ ด , ถื อ การแสวงหา ในดานที่ผิด. นี้ เรียกวา สีลัพพตุปาทาน.

www.buddhadasa.info ในอุ ป าทานสี่ นั้ น , อั ต ตวาทุ ป าทาน เป น อย างไร ? บุ ถุ ชนผู ไม ได ยิ น ได ฟ งในโลกนี้ ไม ได เห็ นเหล าพระอริยเจ า ไม ฉลาดในธรรมของพระอริยเจ า ไม ถู กแนะนํ า ในธรรมของพระอริยเจ า, ไม ได เห็ นเหล าสั ตบุ รุษ ไม ฉลาดในธรรมของสั ตบุ รุษ ไม ถู ก แนะนํ าในธรรมของสั ตบุ รุษ; ย อมเห็ นเนื่ องอยู เสมอซึ่ งรูป เวทนา สั ญญา สั งขาร และ


๒๑๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

วิญญาณ วาเป นอั ตตาก็ ดี , ย อมเห็ นเนื่ องอยู เสมอ ซึ่ งอั ตตา เป นรูป เวทนา สั ญญา สังขาร และวิญญาณก็ดี, ยอมเห็นเนื่องอยูเสมอ ซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ วามีอยูในอัตตาก็ดี, หรือวา ยอมเห็นเนื่องอยูเสมอ ซึ่งอัตตาวามีอยู ในรูป เวทนา สั ญญา สั งขาร และวิญญาณก็ ดี . ความเห็ นมี ลั กษณะดั งกล าวนี้ ใด ๆ เป นทิ ฏฐิ, ไป แล ว ด ว ยทิ ฏ ฐิ , รกชั ฏ ด ว ยทิ ฏ ฐิ , กั น ดารด ว ยทิ ฏ ฐิ , เป น ข า ศึ ก ด ว ยทิ ฏ ฐิ , โยกโคลงด วยทิ ฏ ฐิ , รึงรัด ไว ด วยทิ ฏ ฐิ , การจั บ . การจั บ ยึ ด ไว, การยึ ด ถื อเอาไวอ ย าง แน น หนา, การลู บ คลํ า , มรรคที่ ชั่ ว ช า , ทางที่ ผิ ด , ความเป น ที่ ผิ ด , การสื บ ต อ ลัทธิที่ผิด, ถือการแสวงหาในดานที่ผิด. นี้เรียกวา อัตตวาทุปาทาน. เหลานี้ คือ ธรรมทั้งหลาย ชื่อ อุปาทาน.

รากเงาแหงอุปาทานขันธ “ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! อุ ปาทานขั นธ มี แต เพี ยงห าอย าง คื อ รู ปขั นธ ที่ ยั งมี อุ ปาทาน ๑ เวทนาขั นธ ที่ ยั งมี อุ ปาทาน ๑ สั ญ ญ าขั นธ ที่ ยั งมี อุ ปาทาน ๑ สั งขารขั นธ ที่ ยั งมี อุปาทาน ๑ และวิญญาณขันธที่ยังมีอุปาทาน ๑ เหลานี้ เทานั้นหรือ ?

ภิ ก ษุ ! อุ ป า ท า น ขั น ธ มี แ ต เพี ย ง ห า อ ย า ง คื อ รู ป ขั น ธ ที่ ยั ง มี อุ ป าทาน ๑ เวทนาขั น ธ ที่ ยั ง มี อุ ป าทาน ๑ สั ญ ญาขั น ธ ที่ ยั ง มี อุ ป าทาน ๑ สั ง ขารขันธที่ยังมีอุปาทาน ๑ และวิญญาณขันธที่ยังมีอุปาทาน ๑ เหลานี้ เทานั้น.

www.buddhadasa.info "ข าแต พ ระองค ผู เจริ ญ ! ก็ อุ ป าทานขั น ธ ห าเหล านี้ มี อ ะไรเป น รากเง าเล า พระเจาขา?" ภิกษุ ! อุปาทานขันธหาเหลานี้ มีฉันทะ (ความพอใจ) เปนรากเงาแล. - อุปริ. ม. ๑๔/๑๐๑/๑๒๑.


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๒๑๓

อุปาทานกับอุปาทานขันธมิใชอันเดียวกัน "ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! อุ ปาทานนั้ นเองหรื อ ชื่ อว า ป ญ จุ ปาทานนั กขั นธ เหลานั้น ? หรือวาอุปทาน เปนอื่นไปจาก ปญจุปาทานักขันธทั้งหลายเลา? พระเจาขา !" ภ ิก ษ ุ! ต ัว อ ุป า ท า น นั ้น ไ ม ใ ช ต ัว ป ญ จ ุป า ท า น ัก ข ัน ธ , แ ต อุป าท าน นั ้น ก็ม ิไ ด ม ีใ น ที ่อื ่น น อ ก ไป จ าก ป ญ จุป าท าน ัก ขัน ธทั ้ง ห ล าย ; เพราะว า ตั ว ฉั น ทราคะ ที่ มี อ ยู ในป ญ จุ ป าทานั ก ขั น ธ นั่ น แหละ คื อ ตั ว อุ ป าทาน ในที่นี้แล. - อุปริ. ม. ๑๔/๑๐๑/๑๒๑.

อุปาทานและที่ตั้งแหงอุปาทาน ภิ ก ษุ ท.! เราจั ก แสดงสิ่ งซึ่ งเป น ที่ ตั้ งแห งอุ ป าทาน (อุ ป าทานิ ย มธมฺ ม ) และตัวอุปาทาน. พวกเธอทั้งหลาย จงฟงขอนั้น.

www.buddhadasa.info ภ ิก ษ ุ ท .! สิ ่ง ซึ ่ง เป น ที ่ตั ้ง อ ุป า ท า น เป น อ ย า ง ไร ? แ ล ะ ต ัว อุปาทาน เปนอยางไรเลา ? ภิก ษุ ท.! รูป (กาย) เปน สิ่ง ซึ่ง เปน ที่ตั้ง แหง อุป าทาน, ฉัน ทราคะ (ความกํา หนั ด เพราะพอใจ) ใด เข า ไปมี อ ยู ใ นรู ป นั้ น นั่ น คื อ ตั ว อุ ป าทาน ในรู ป นั้น ;


๒๑๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิก ษุ ท.! เวท น า เปน สิ ่ง ซึ ่ง เปน ที ่ตั ้ง แหง อุป าทาน, ฉัน ทราคะ ใด เขาไปมีอยูในเวทนานั้น ฉันทราคะนั้น คือ ตัวอุปาทาน ในเวทนานั้น; ภิก ษุ ท .! สัญ ญ า เปน สิ ่ง เปน ที ่ตั ้ง แหง อุป าท าน , ฉัน ท ราค ะ ใด เขาไปมีอยูในสัญญานั้น ฉันทราคะนั้น คือตัวอุปาทาน ในสัญญานั้น; ภิก ษุ ท .! สัง ข าร ทั ้ง ห ล าย เปน สิ ่ง ซึ ่ง เปน ที ่ตั ้ง แหง อุป าท าน , ฉั น ทราคะใด เข า ไปมี อ ยู ใ นสั ง ขารทั้ ง หลายเหล า นั้ น ฉั น ทราคะนั้ น คื อ ตั ว อุปาทาน ในสังขารทั้งหลายเหลานั้น ภิ ก ษุ ท.! วิ ญ ญ าณ เป น สิ่ ง ซึ่ ง เป น ที่ ตั้ ง แห ง อุ ป าทาน, ฉั น ทราคะ ใด เขาไปมีอยูในวิญญาณนั้น ฉันทราคะนั้น คือ ตัวอุปาทาน ในวิญญาณนั้น. ภิก ษ ุ ท .! ขัน ธเ ห ลา นี ้ เรีย ก วา สิ ่ง ซึ ่ง เปน ที ่ตั ้ง แ หง อุป า ท า น , ฉันทราคะนี้ เรียกวา ตัวอุปาทาน แล.

www.buddhadasa.info - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๐๒/๓๐๙.

(ในสู ต รอื่ น ทรงแสดง อุ ป าทานิ ย ธรรม ด ว ยอายตนะภายในหก (๑๘/๑๑๐/๑๖๐) และอายตนะภายนอกหก (๑๘/๑๓๖/๑๙๐).

เบญจขันธไดนามวาสักกายะและสักกายันตะ ภิ ก ษุ ท .! สั ก ก า ย ะ เป น อ ย า งไรเล า ? ภิ ก ษุ ท .! คํ า ต อ บ คื อ อุปาทานขันธทั้งหา. หาเหลาไหนเลา? หาคือ รูปขันธที่ยังมีอุปาทาน ๑


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๒๑๕

เวทนาขั น ธ ที่ ยั ง มี อุ ป าทาน ๑ สั ญ ญ าขั น ธ ที่ ยั ง มี อุ ป าทาน ๑ สั ง ขารขั น ธ ที่ ยั ง มี อ ุป า ท า น ๑ แ ล ะ ว ิญ ญ า ณ ข ัน ธ ที ่ย ัง ม ีอ ุป า ท า น ๑ ภ ิก ษ ุ ท .! นี ้ เรีย ก ว า สักกายะ. ภ ิก ษ ุ ท .! ส ัก ก า ย ัน ต ะ เป น อ ย า ง ไ ร เล า ? ภ ิก ษ ุ ท .! คํ า ต อ บ คื อ อุ ป าท าน ขั น ธ ทั้ งห า. ห าเห ล า ไห น เล า ? ห าคื อ รู ป ขั น ธ ที่ ยั ง มี อุ ป าท าน ๑ เวทนาขั น ธ ที่ ยั ง มี อุ ป าทาน ๑ สั ญ ญ าขั น ธ ที่ ยั ง มี อุ ป าทาน ๑ สั ง ขารขั น ธ ที่ ยั ง มี อ ุป า ท า น ๑ แ ล ะ ว ิญ ญ า ณ ข ัน ธ ที ่ย ัง ม ีอ ุป า ท า น ๑. ภ ิก ษ ุ ท .! นี ้ เรีย ก ว า สักกายันตะ แล. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๙๓, ๑๙๒/๒๘๕, ๒๗๕.

ที่ติดของสัตว ภิก ษ ุ ท .! สัง ส ารวัฏ นี ้ เปน สิ ่ง ที ่ม ีเ บื ้อ งตน และเบื ้อ งป ล ายอัน บุค ค ล รู ไ ม ไ ด (เพ ราะเป นวงกลม ), เบื้ องต น เบื้ องป ลาย ไม ป รากฏ แก สั ต ว ทั้ งหลาย ซึ่งมีอวิชชาเปนเครื่องกั้นมีตัณหาเปนเครื่องผูกพัน กําลังแลนไปอยู ทองเที่ยวไปอยู.

www.buddhadasa.info ภ ิก ษ ุ ท .! เป รีย บ เห ม ือ น ส ุน ัข ถ ูก ผ ูก ด ว ย เค รื ่อ ง ผ ูก ส ุน ัข ซึ ่ง เข า ผู ก ไว ที่ ห ลั ก ห รื อ เสา อั น มั่ น ค ง : ถ า มั น จะเดิ น ก็ เ ดิ น เบี ยดห ลั ก ห รื อ เสานั้ นเอง, ถ า มั น จะยื น ก็ ยื น เบี ยดหลั ก หรื อ เสานั้ น เอง, ถ า มั น จะนั่ ง ก็ นั่ ง เบี ยดหลั ก หรื อ เสา นั้นเอง, ถามันจะนอนก็นอนเบียดหลักหรือเสานั้นเอง, อุปมานี้ฉันใด;


๒๑๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ ก ษุ ท.! อุ ป ไมยก็ ฉั น นั้ น คื อ บุ ถุ ช น ผู ไ ม ไ ด ยิ น ได ฟ ง ย อ มตาม เห็น พ รอ ม (คือ เห็น ดิ ่ง เปน ป ระจํ า ) ซึ ่ง รูป วา "นั ่น ขอ งเรา นั ่น เปน เรา นั ่น เปน ตัว ตนของเรา" ดัง นี ้; ยอ มตามเห็น พรอ ม ซึ ่ง เวทนา วา "นั ่น ของ เรา นั ่น เป น เรา นั ่น เป น ต ัว ต น ข อ งเรา " ด ัง นี ้; ยอ ม ต า ม เห ็น พ รอ ม ซึ ่ง สัญ ญ า วา "นั ่น ขอ งเรา นั ่น เปน เรา นั ่น เปน ตัว ต น ของเรา" ดัง นี ้; ยอ ม ตามเห็น พรอ ม ซึ ่ง สัง ขาร ทั ้ง หลาย วา "นั ่น ของเรา นั ่น เปน เรา นั ่น เปน ตั ว ตนของเรา" ดั ง นี้ ; และย อ มตามเห็ น พร อ ม ซึ่ ง วิ ญ ญาณ ว า "นั่ น ของเรา นั่ น เป น เรา นั่ น เป น ตั ว ตนของเรา" ดั ง นี้ . ถ า บุ ถุ ช นนั้ น เดิ น อยู ก็ เ ดิ น อยู ใ กล ๆ ป ญ จุ ป าทานนั ก ขั น ธ นี้ เอง, ถ าบุ ถุ ช นนั้ น ยื น อยู ก็ ยื น อยู ใกล ๆ ป ญ จุ ป าทานั ก ขั น ธ นี้ เอง, ถ า บุ ถุ ช นนั้ น นั่ ง อยู ก็ นั่ ง อยู ใ กล ๆ ป ญ จุ ป าทานั ก ขั น ธ นี้ เอง, ถ า บุ ถุ ช นนั้ น นอนอยูก็นอนอยูใกล ๆ ปญจุปาทานักขันธนี้เอง. ภิก ษุ ท.! เพราะฉะนั ้น ในเรื ่อ งนี ้ บุค คลควรพิจ ารณ าดูจ ิต ของ ตนอยู เสมอไป ว า "จิ ต นี้ เศร า หมองแล ว ด ว ยราคะ โทสะ และโมหะ ตลอด กาลนาน" ดังนี้เถิด.

www.buddhadasa.info - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๘๓/๒๕๘.

ผูติดบวง - ผูหลุดจากบวง

ภิก ษุ ท.! บุค คลผู ย ึด มั ่น อยู  เรีย กวา มีเ ครื ่อ งผูก แหง มาร. ผู ไ ม ยึดมั่นอยู เรียกวา พนแลวจาก (เครื่องผูกแหง) มาร. "ข า แต พ ระผู มี พ ระภาค! ข า พระองค เ ข า ใจซึ ม ซาบแล ว . ข า แต พ ระสุ ค ต ! ขาพระองคเขาใจซึมซาบแลว".


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๒๑๗

ภิ ก ษุ ! เธอ เข า ใจเนื้ อ ความแห ง คํ า ที่ เ รากล า วแล ว โดยย อ ได โ ดย พิสดาร วาอยางไร? "ข า แ ต พ ระ อ งค ผู เจ ริ ญ ! บุ ค ค ล ผู ยึ ด มั่ น อ ยู ซึ่ งรู ป ... ซึ่ งเว ท น า ... ซึ่ ง สัญ ญ า... ซึ ่ง สัง ขาร... ซึ ่ง วิญ ญ าณ ชื ่อ วา มีเ ครื ่อ งผูก แหง มาร; สว นผู ไ มย ึด มั ่น อยู ซึ ่ง รูป ... ซึ ่ง เว ท น า ... ซึ ่ง สัญ ญ า ... ซึ ่ง สัง ข า ร... ซึ ่ง วิญ ญ า ณ ชื ่อ วา พน แ ลว จ า ก (เครื่ อ งผู ก แห ง) มาร. ข า พระองค เข า ใจเนื้ อ ความแห ง คํ า อั น พระผู มี พ ระภาคตรั ส แล ว โดย ยอนี้ ไดโดยพิสดารอยางนี้ พระเจาขา!"

สาธุ สาธุ ภิ ก ษุ ! เธอ เข า ใจเนื้ อ ความแห ง คํ า ที่ เรากล า วแล ว โดยย อ ได โ ด ย พิ ส ด ารอ ย า งดี . ภิ ก ษุ ! เนื ้ อ ค วาม แ ห ง คํ า อั น เราก ล า วแล ว โด ย ย อ นี้บุคคลพึงเห็นโดยพิสดาร อยางนั้นแหละ. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๙๑/๑๓๘. [ในสูต รนี ้ ใชคํ า วา "ยึด มัน อยู " (อุป าทิย มาน) สํ า หรับ การติด บว ง; ในสูต ร อื ่น ใชคํ า วา "สํ า คัญ มั ่น ห ม ายอ ยู " (ม  ฺฌ ม าน ) ก็ม ี, ใชคํ า วา "ห ลงเพ ลิด เพ ลิน อ ยู  " (อภินนฺทมาน) ก็มี; ซึ่งเปนคําที่ใชแทนกันได. (๑๗/๙๒, ๙๓/๑๔๐, ๑๔๑)].

www.buddhadasa.info ความสะดุงหวาดเสียวเพราะอุปาทาน

ภิ ก ษุ ท.! เราจั ก แสดง ความสะดุ ง หวาดเสี ย วเพราะอุ ป าทาน.... แกพ วกเธอ. เธอทั ้ง หลาย จงฟง ขอ นั ้น กระทํ า ไวใ นใจใหสํ า เร็จ ประโยชน เราจักกลาวบัดนี้.


๒๑๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ กษุ ท.! ความสะดุ งหวาดเสี ยวเพราะอุ ปาทาน เป น อย างไรเล า ? ภิก ษุ ท.! ในโลกนี ้ บุถ ุช นผู ไ มไ ดย ิน ไดฟ ง ไมไ ดเ ห็น พระอริย เจา ไมฉ ลาด ในธรรมของพระอริย เจา ไมถ ูก แนะนํ า ในธรรมของพระอริย เจา , ไมไ ดเ ห็น สัต บุร ุษ ไมฉ ล าด ใน ธรรม ของสัต บุร ุษ ไมถ ูก แน ะนํ า ใน ธรรม ของสัต บุร ุษ , เขาย อม ตามเห็ นอยู เป น ประจํ า ซึ่ งรูป โดยความเป น ตน บ าง, ย อมตามเห็ นอยู เปน ประจํ า ซึ ่ง ตน วา มีร ูป บา ง, ยอ มตามเห็น อยู เ ปน ประจํ า ซึ ่ง รูป วา มีอ ยู ในตน บา ง, ยอ มตามเห็น อยู เ ปน ประจํ า ซึ ่ง ตน วา มีอ ยู ใ นรูป บา ง; แตร ูป นั้ น ย อ มแปรปรวน ย อ มเป น โดยประการอื่ น แก เ ขา, วิ ญ ญ าณ ของเขาก็ เ ป น วิ ญ ญาณที่ เปลี่ ย นแปลงไปตามความแปรปรวนของรู ป เพราะความแปรปรวนของ รู ป ได มี โ ดยประการอื่ น ; (เมื่ อ เป น เช น นั้ น ) ความเกิ ด ขึ้ น แห ง ธรรมเป น เครื่ อ ง สะดุ ง หวาดเสี ย ว อั น เกิ ด มาจากการเปลี่ ย นแปลงไปตามความแปรปรวนของรู ป ยอมครอบงําจิตของเขาตั้งอยู; เพราะความที่ จิ ตถู กครอบงําด วยธรรมเป นเครื่อง สะดุงหวาดเสียว เขาก็เปนผูหวาดสะดุง คับแคน พะวาพะวัง และสะดุงหวาด เสียวอยูดวยอุปาทาน.

www.buddhadasa.info (ในกรณี ที่ เกี่ ย วกั บ การตามเห็ น เวทนา สั ญ ญา สั งขาร และ วิ ญ ญาณ ก็ ได ต รั ส ไว ดวยขอความทํานองเดียวกันกับในกรณีแหงรูป).

ภิ ก ษุ ท.! ความสะดุ ง หวาดเสี ย วเพราะอุ ป าทาน ย อ มมี ไ ด ด ว ย อาการอยางนี้ แล. - ขนธ. สํ. ๑๗/๒๐/๓๑-๓๒.


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๒๑๙

ความสะดุงหวาดเสียวเพราะอุปาทาน (อีกนัยหนึ่ง) ภิ ก ษุ ท.! เราจั ก แสดง ความสะดุ ง หวาดเสี ย วเพราะอุ ป าทาน.... แกพ วกเธอ . เธอทั ้ง หลายจงฟง ความ ขอ นั ้น ทํ า ในใจใหสํ า เร็จ ป ระโยชน เราจักกลาวบัดนี้. ภิกษุ ท.! ความสะดุงหวาดเสียวเพราะอุปาทาน เปนอยางไรเลา ? ภิ ก ษุ ท.! ในกรณี นี้ บุ ถุ ช นผู ไ ม มี ก ารสดั บ ย อ ม ตามเห็ น อยู เ ป น ประจํา ซึ่ง รูป วา "นั ่น ของเรา นั ่น เปน เรา นั ่น เปน อัต ตาของเรา" ดัง นี ้. แตร ูป นั ้น ยอ มแป รปรวน ยอ มเปน โดยประการอื ่น แกเ ขา. เพ ราะความ แปรปรวนเปน โดยประการอื ่น แหง รูป โสกะปริเ ทวะทุก ขะโทมนัส สะอุป ายาส ทั้ งหลาย ย อ มเกิ ด ขึ้ น แก บุ ถุ ช นนั้ น. (ในกรณี แห ง เวทนา สั ญ ญา สั งขาร และ วิญ ญาณ ก็มีขอความที่ตรัสเหมือนกับในกรณีแหงรูป).

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! ความสะดุ ง หวาดเสี ย วเพราะอุ ป าทาน ย อ มมี ไ ด ด ว ย อาการอยางนี้ แล. - ขนฺธ. สํ /๑๗/๒๔/๓๔.

ลัทธิอื่นไมรูจักเรื่องอัตตวาทุปาทาน ภิ กษุ ท .! อุ ป าท าน มี สี่ อ ย า งเห ล า นี้ . สี่ อ ย า งเห ล า ไห น เล า ? สี่ อย า งคื อ ๑. กามุ ป าทาน ความถื อ มั่ น ในกาม; ๒. ทิ ฏ ุ ป าทาน ความถื อ มั่ น


๒๒๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

ใน ทิ ฏ ฐิ ; ๓. สี ลั พ พ ตุ ป า ท าน ค ว าม ถื อ มั่ น ใน ศี ล พ รต ; ๔. อั ต ต ว าทุ ป าท า น ความถือมั่นในวาทะวาตน. ภิ ก ษุ ท .! มี ส ม ณ พ ร า ห ม ณ  บ า ง พ ว ก ซึ ่ ง ป ฏิ ญ า ณ ตั ว ว า เป น ผู กล า วการรอบรู ซึ่ ง อุ ป าทานทั้ ง ปวง, แต ส มณพราหมณ เ หล า นั้ น หาได บั ญ ญั ติ การรอบรู ซึ่ ง อุ ป าทานทั้ ง ปวงโดยชอบไม คื อ เขาบั ญ ญั ติ ไ ด แ ต ก ารรอบรู ซึ่ ง กามุ ป าทาน แต ไ ม บั ญ ญั ติ ก ารรอบรู ซึ่ ง ทิ ฎ ุ ป าทาน ไม บั ญ ญั ติ ก ารรอบรู ซึ่ ง สี ลั พ พตุ ป าทาน และไม บ ั ญ ญั ติ ก ารรอบรู ซึ่ ง อั ต ตวาทุ ป าทาน. ข อ นั้ น เพราะ เห ตุ ไ ร ? เ พ ร า ะ ว า ส ม ณ พ ร า ห ม ณ เ ห ล า นั ้ น ย อ ม ไ ม รู จ ั ก ฐ า น ะ (อุ ป า ท า น ) ทั ้ ง ส า ม (น อ ก นั ้ น ) เห ล า นี ้ ต า ม ที ่ เ ป น จ ริ ง เพ รา ะ เห ตุ นั ้ น ส ม ณ พ รา ห ม ณ เหล า นั ้ น ทั ้ ง ที ่ ป ฏิ ญ าณตั ว ว า เป น ผู  ก ล า วการรอบรู ซึ ่ ง อุ ป าทานทั ้ ง ปวง ก็ ห าได บั ญ ญั ติ ก ารรอบรู ซึ่ ง อุ ป าทานทั้ ง ปวงโดยชอบไม คื อ เขาบั ญ ญั ติ ไ ด แ ต ก ารรอบรู ซึ่ ง ก า มุ ป าท า น , แ ต ไ ม บ ั ญ ญั ต ิ ก ารรอ บ รู ซึ ่ ง ทิ ฏ ุ ป า ท า น ไม บ ั ญ ญั ต ิ ก ารรอ บ รู ซึ่งสีลัพพตุปาทาน และไมบัญญัติการรอบรู ซึ่งอัตตวาทุปาทาน.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท .! มี ส ม ณ พ ราห ม ณ อี ก บ างพ วก ซึ่ งป ฏิ ญ าณ ตั วว า เป น ผู กล า วการรอบรู ซึ่ ง อุ ป าทานทั้ ง ปวง, แต ส มณ พราหมณ เหล า นั้ น หาได บั ญ ญั ติ การรอบรู ซึ่ ง อุ ป าทานทั้ ง ปวงโดยชอบไม คื อ เขาบั ญ ญั ติ ไ ด แ ต ก ารรอบรู ซึ่ ง กามุ ป าท าน และบั ญ ญั ติ ไ ด แ ต ก ารรอบรู ซึ่ ง ทิ ฏ ุ ป าท าน , แต ไ ม บั ญ ญั ติ ก าร รอบรู ซึ่ ง สี ลั พ พตุ ป าทาน และไม บั ญ ญั ติ ก ารรอบรู ซึ่ ง อั ต ตวาทุ ป าทาน. ข อ นั้ น เพราะเหตุ ไ ร ? เพราะว า สมณ พราหมณ เหล า นั้ น ย อ มไม รู จั ก ฐานะ (อุ ป าทาน) ทั ้ง ส อ ง (น อ ก นั ้น ) เห ล า นี ้! ต า ม ที ่เ ป น จ ริง เพ รา ะ เห ต ุนั ้น ส ม ณ พ ร า ห ม ณ เหล า นั้ น ทั้ ง ที่ ป ฏิ ญ าณ ตั ว ว า เป น ผู ก ล า วการรอบรู ซึ่ ง อุ ป าทานทั้ ง ปวง ก็ ห าได


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๒๒๑

บั ญ ญั ติ ก ารรอบรู ซึ่ งอุ ป าทานทั้ ง ปวงโดยชอบไม คื อ เขาบั ญ ญั ติ ได แ ต ก ารรอบรู ซึ่ ง กามุ ป าทาน และบั ญ ญติ ไ ด แ ต ก ารรอบรู ซึ่ ง ทิ ฏ ุ ป าทาน, แต ไ ม อ าจบั ญ ญั ติ การรอบรู ซึ่งสีลัพพตุปาทาน และไมอาจบัญญัติการรอบรู ซึ่งอัตตวาทุปาทาน. ภิ ก ษุ ท. มี ส มณ พราหมณ อี ก บางพวก ซึ่ ง ปฏิ ญ าณ ตั ว ว า เป น ผู กล า วการรอบรู ซึ่ ง อุ ป าทานทั้ ง ปวง, แต ส มณพราหมณ เหล า นั้ น หาได บั ญ ญั ติ การรอบรู ซึ่ ง อุ ป าทานทั้ ง ปวงโดยชอบไม คื อ เขาบั ญ ญั ติ ไ ด แ ต ก ารรอบรู ซึ่ ง กามุ ป าทาน, บั ญ ญั ติ ไ ด แ ต ก ารรอบรู ซึ่ ง ทิ ฏ ุ ป าทาน, และบั ญ ญั ติ ไ ด แ ต ก าร รอบรู ซึ่ ง สี ลั พ เพตุ ป าทาน; แต ไ ม อ าจบั ญ ญั ติ ก ารรอบรู ซึ่ ง อั ต ตวาทุ ป าทาน. ข อ นั้ น เพราะเหตุ ไ ร ? เพราะว า สมณ พราหมณ เหล า นั้ น ย อ มไม รู จั ก ฐานะ (อุป าทาน) หนึ ่ง อัน นี ้ ตามที ่เ ปน จริง เพราะเหตุนั ้น สมณพราหมณเ หลา นั ้น ทั้ งที่ ป ฏิ ญ าณตั ว ว า เป น ผู ก ล า วการรอบรู ซึ่ ง อุ ป าทานทั้ ง ปวง ก็ ห าได บั ญ ญั ติ ก าร รอบรู  ซึ ่ง อุป าทานทั ้ง ปวง โดยชอบไม คือ เขาบัญ ญ ัต ิไ ดแ ตก ารรอบรู  ซึ ่ง กามุ ป าทาน, บั ญ ญั ติ ไ ด แ ต ก ารรอบรู ซึ่ ง ทิ ฏ ุ ป าทาน, และบั ญ ญั ติ ไ ด แ ต ก าร รอบรู ซึ่งสีลัพพตุปาทาน; แตไมอาจบัญญัติการรอบรูซึ่งอัตตาทุปาทาน แล.

www.buddhadasa.info ตอน ๒ วาดวยเบญจขันธโดยสรุป - มู. ม. ๑๒/๑๓๒/๑๕๖.

เบญจขันธเปนสิ่งที่ควรรอบรู ภ ิก ษ ุ ท .! เราจัก แ ส ด งสิ ่ง ทั ้ง ห ล าย ซึ ่ง เป น สิ ่ง ที ่ค วรรอ บ รู  .... พวกเธอทั้งหลายจงฟงขอนั้น.


๒๒๒

อริยสัจจากพระโอษฐ ภิกษุ ท.! สิ่งทั้งหลาย ซึ่งเปนสิ่งที่ควรรอบรู เปนอยางไรเลา ?

ภิ ก ษุ ท .! รู ป เป น สิ่ ง ที่ ค ว รรอ บ รู , เว ท น า เป น สิ่ ง ที่ ค ว รรอ บ รู , สั ญ ญ าเป น สิ่ ง ที่ ค วรรอบรู , สั ง ขารทั้ ง หลาย เป น สิ่ ง ที่ ค วรรอบรู , และวิ ญ ญ าณ เปนสิ่งที่ควรรอบรู. ภิกษุ ท.! สิ่งทั้งหลายเหลานี้ เรียกวา สิ่งที่ควรรอบรูแล. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๓๓/๕๔.

มูลฐานแหงการบัญญัติเบญจขันธ (แตละขันธ) “ข า แต พ ระองค ผู เจริ ญ ! อะไรเป น เหตุ ป จ จั ย เพื่ อ การบั ญ ญั ติ รู ป ขั น ธ เวทนาขันธ สัญญาขันธ สังขารขันธ และวิญญาณขันธ เลา ? พระเจาขา !" ภิ ก ษุ ! มหาภู ต (ธาตุ )สี่ อ ย า ง เป น เหตุ เ ป น ป จ จั ย เพื่ อ การบั ญ ญั ติ

www.buddhadasa.info รูปขันธ;

ภิ ก ษุ ! ผั ส ส ะ (ก า ร ป ระ จ ว บ แ ห ง อ า ย ต น ะ ภ า ย ใน แ ล ะ ภ า ย น อ ก แ ล ะ วิญญาณ) เปนเหตุเปนปจจัย เพื่อการบัญญัติ เวทนาขันธ; ภิกษุ ! ผัสสะ เปนเหตุเปนปจจัย เพื่อการบัญญัติ สัญญาขันธ; ภิกษุ ! ผัสสะ เปนเหตุเปนปจจัย เพื่อการบัญญัติ สังขารขันธ; ภิกษุ ! นามรูป แล เปนเหตุปจจัย เพื่อการบัญญัติ วิญญาณ-ขันธ. - อุปริ. ม. ๑๔/๑๐๒/๑๒๔.


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๒๒๓

เบญจขันธเปนที่บัญญัติกฎแหงสังขตะ อานนท ! ถ า คนทั้ ง หลาย จะพึ ง ถามเธออย า งนี้ ว า "ท า นอานนท ! กฎแห งความบั งเกิ ดขึ้ นก็ ดี กฎแห งความเสื่ อมไปก็ ดี กฎแห งความเปลี่ ยนไปเป นอย างอื่ น จากที่เปนอยูแลวก็ดี ไดถูกบัญญั ติแลว จักถูกบัญญั ติ และยอมถูกบัญญั ติอยู แกธรรม เหลาไหนเลา ?" ดังนี้, อานนท! เธอถูกถามอยางนี้แลว จะตอบเขาวาอยางไร ? "ข าแต พระองค ผู เจริญ ! ถ าคนทั้ งหลาย จะพึ งถามข าพระองค เช นนั้ นแล ว ขาแตพระองคจะตอบแกเขาอยางนี้วา 'ผูมีอายุ' ! รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เหล า ใด ล ว งไปแล ว แปรปรวนไปแล ว ; กฎแห ง ความบั ง เกิ ด ขึ้ น ก็ ดี กฎแห ง ความเสื่อมไปก็ดี กฎแหงความเปลี่ยนไปเปนอยางอื่นจากที่เปนอยูแลวก็ดี ไดถูกบัญญั ติแลว แกหมูแหงธรรมเหลานั้น, ผูมีอายุ ! รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เหลาใด ยั งไม เกิ ด ยั งไม ปรากฏ; กฎแห งความบั งเกิ ดขึ้ นก็ ดี กฎแห งความเสื่ อมไปก็ ดี กฎแห ง ความเปลี่ยนไปเปนอยางอื่นจากที่เปนอยูแลวก็ดี จักถูกบั ญญั ติ แกหมูแหงธรรมเหลานั้น, ผูมี อายุ ! รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เหล าใด เป นสิ่ งเกิ ดอยู แลว ปรากฏ อยู แล ว; กฎแห งความบั งเกิ ดขึ้ นก็ ดี กฎแห งความเสื่ อมไปก็ ดี กฎแห งความเปลี่ ยนไปเป น อยางอื่นจากที่เปนอยูแลวก็ดี ยอมถูกบัญญั ติอยู แกหมูแหงธรรมเหลานั้ น' ดังนี้. ขาแต พระองคผูเจริญ ! ขาพระองค เมื่อถูกถามอยางนั้น จะพึงตอบแกเขาอยางนี้."

www.buddhadasa.info ถู ก แล ว อานนท ! ถู ก แล ว อานนท ! รู ป เวทนา สั ญ ญ า สั ง ขาร และวิ ญ ญ าณ เหล า ใด ล ว งไปแล ว ดั บ ไปแล ว แปรปรวนไปแล ว ; กฎแห ง ความบั งเกิ ด ขึ้ น ก็ ดี กฎแห งความเสื่ อ มไปก็ ดี กฎแห งความเปลี่ ย นไปเป น อย างอื่ น จากที ่เ ปน อยู แ ลว ก็ด ี ไดถ ูก บัญ ญัต ิแ ลว แกห มู แ หง ธรรมเหลา นั ้น . อานนท ! รู ป เวทนา สั ญ ญา สั ง ขาร และวิ ญ ญาณ เหล า ใด ยั ง ไม เ กิ ด ยั ง ไม ป รากฏ ;


๒๒๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

กฎแห ง ความบั งเกิ ด ขึ้ น ก็ ดี กฎแห ง ความเสื่ อ มไปก็ ดี กฎแห ง ความเปลี่ ย นไปเป น อย า งอื่ น จากที่ เป น อยู แ ล ว ก็ ดี จั ก ถู ก บั ญ ญั ติ แ ก ห มู แ ห ง ธรรมเหล า นั้ น , อานนท ! รูป เวทนา สัญ ญ า สัง ขาร และวิญ ญ าณ เหลา ใด เปน สิ ่ง เกิด อ ยู แ ลว ปรากฏอยู แ ล ว ; กฎแห ง ความบั ง เกิ ด ขึ้ น ก็ ดี ย อ มถู ก บั ญ ญั ติ อ ยู แก ห มู แ ห ง ธรรมเหล า นั้ น . อานนท ! เธอ เมื่ อ ถกถามอย า งนั้ น แล ว พึ ง ตอบแก เ ขาอย า ง นี้เถิด. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๔๗-๔๙/_๘๑-๘๒.

การถูกตราหนาเพราะอนุสัยในเบญจขันธ! ถู ก แล ว ภิ ก ษุ ! ถู ก แล ว ภิ ก ษุ ! ภิ ก ษุ ! เธอเข า ใจเนื้ อ ความแห ง คํ า ที่ เรากล า วโดยย อ (ว า ถ า มี อ นุ สั ย ในสิ่ ง ใด จะถู ก ตราหน า เพราะสิ่ ง นั้ น ), ได โดยพิสดารอยางถูกตองแลว.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ! ถ า บุ ค คลมี จิ ต เข า ไปมี อ นุ สั ย ใน รู ป , เขาย อ มถู ก ตราหน า เพราะอนุสัยซึ่งเขาไปมีใน รูป นั้น;๑

ภิ ก ษุ ! ถ า บุ ค คลมี จิ ต เข า ไปมี อ นุ สั ย ใน เวทนา, เขาย อ มถู ก ตราหน า เพราะอนุสัยซึ่งเขาไปมีใน เวทนา นั้น;

๑. อนุส ัย ในที ่นี ้ ไดแ ก กามราคานุส ัย ปฏิฆ านุส ัย และ อวิช ชานุส ัย เปน ตน , และเขา จะถู ก ตราหน า ว า เป น คนกํ า หนั ด แล ว ด ว ยกามราคานุ สั ย , หรื อ เป น คนโกรธแล ว ด ว ยปฏิ ฆ านุสัย, หรือวาเปนคนหลงแลวดวยอวิชชานุสัย ในเพราะรูปเปนตน ดังนี้.


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๒๒๕

ภิ ก ษุ ! ถ า บุ ค คลมี จิ ต เข า ไปมี อ นุ สั ย ในสั ญ ญา, เขาย อ มถู ก ตราหน า เพราะอนุสัยซึ่งเขาไปมีใน สัญญา นั้น; ภิ ก ษุ ! ถ า บุ ค คลมี จิ ต เข า ไปมี อ นุ สั ย ใน สั ง ขารทั้ ง หลาย, เขาย อ ม ถูกตราหนา เพราะอนุสัย ซึ่งเขาไปมีใน สังขารทั้งหลาย นั้น; ภิก ษุ ! ถา บุค คลมีจ ิต เขา ไปมีอ นุส ัย ใน วิญ ญ าณ , เขายอ มถูก ตราหนา เพราะอนุสัย ซึ่งเขาไปมีใน วิญญาณ นั้น. (ปฏิปกขนัย) ภ ิก ษ ุ ! ถา บ ุค ค ล ม ีจ ิต ไม เ ขา ไป ม ีอ น ุส ัย ใน รูป , เขายอ ม ไม ถ ูก ตราหนา เพราะอนุสัยซึ่งเขาไปมีใน รูป นั้น; ภิ ก ษุ ! ถ า บุ ค คลมี จิ ต ไม เ ข า ไปอนุ สั ย ใน เวทนา, เขาย อ มไม ถู ก ตราหนา เพราะอนุสัยซึ่งเขาไปมีใน เวทนา นั้น; ภิ ก ษุ ! ถ า บุ ค คลมี จิ ต ไม เ ข า ไปอนุ สั ย ใน สั ญ ญ า, เขาย อ มไม ถู ก ตราหนา เพราะอนุสัยซึ่งเขาไปมีใน สัญญา นั้น; ภิ ก ษุ ! ถ า บุ ค คลมี จิ ต ไม เ ข า ไปมี อ นุ สั ย ใน สั ง ขารทั้ ง หลาย, เขา ยอมไมถูกตราหนา เพราะอนุสัยซึ่งเขาไปมีใน สังขารทั้งหลาย นั้น; ภิ ก ษุ ! ถ า บุ ค คลมี จิ ต ไม เ ข า ไปมี อ นุ สั ย ใน วิ ญ ญ าณ , เขาย อ มไม ถูกตราหนา เพราะอนุสัยซึ่งเขาไปมีใน วิญญาณ นั้นเลย. ภิ ก ษุ ! เนื้ อ ความแห ง ภาษิ ต อั น เรากล า วแล ว โดยย อ นี้ ใคร ๆ พึ ง เห็นโดยพิสดาร ดังนี้เถิด.

www.buddhadasa.info

- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๔๔/๗๕.


๒๒๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

การถูกตราหนาเพราะตายตามเบญจขันธ ถู ก แล ว ภิ ก ษุ ! ถู ก แล ว ภิ ก ษุ ! เธอเข า ใจเนื้ อ ความแห ง คํ า ที่ เ รา กล า วโดยย อ (ว า ถ า มี อ นุ สั ย ในสิ่ ง ใด ย อ มตายไปตามสิ่ ง นั้ น ; ตายตามสิ่ ง ใดไป ยอมถูกตราหนา เพราะสิ่งนั้น), ได โดยพิสดาร อยางถูกตองแลว. ภิก ษุ ! ถา บุค คลมีจ ิต เขา ไปมีอ นุส ัย ใน รูป , เขายอ มตายไปตาม รูปนั้น, ตายตามสิ่งใดไป, เขายอมถูกตราหนา เพราะสิ่งนั้น; ภิ ก ษุ ! ถ า บุ ค คลมี จิ ต เข า ไปมี อ นุ สั ย ใน เวทนา, เขาย อ มตายไป ตามเวทนานั้น ตายตามสิ่งใดไป, เขายอมถูกตราหนา เพราะสิ่งนั้น; ภิ ก ษุ ! ถ า บุ ค คลมี จิ ต เข า ไปมี อ นุ สั ย ใน สั ญ ญา, เขาย อ มตายไปตาม สัญญานั้น ตายตามสิ่งใดไป, เขายอมถูกตราหนา เพราะสิ่งนั้น; ภิ ก ษุ ! ถ า บุ ค คลมี จิ ต เข า ไปมี อ นุ สั ย ใน สั ง ขารทั้ ง หลาย, เขาย อ ม ตายไปตามสังขารนั้น, ตายตามสิ่งใดไป, เขายอมถูกตราหนา เพราะสิ่งนั้น; ภิ ก ษุ ! ถ า บุ ค คลมี จิ ต เข า ไปมี อ นุ สั ย ใน วิ ญ ญาณ, เขาย อ มตายไป ตามวิญญาณนั้น, ตายตามสิ่งใดไป, เขายอมถูกตราหนา เพราะสิ่งนั้น.

www.buddhadasa.info (ปฏิปกขนัย)

ภิ ก ษุ ! ถ า บุ ค คลมี จิ ต ไม เ ข า ไปมี อ นุ สั ย ใน รู ป , เขาย อ มไม ต ายไป ตามรูปนั้น, ไมตายตามสิ่งใดไป, เขายอมไมถูกตราหนา เพราะสิ่งนั้น; ภิ ก ษุ ! ถ า บุ ค คลมี จิ ต ไม เ ข า ไปมี อ นุ สั ย ใน เวทนา, เขาย อ มไม ต าย ไปตามเวทนานั้ น , ไม ต ายตามสิ่ ง ใดไป, เขาย อ มไม ถู ก ตราหน า เพราะสิ่ ง นั้ น ;


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๒๒๗

ภิ ก ษุ ! ถ า บุ ค คลมี จิ ต ไม เ ข า ไปมี อ นุ สั ย ใน สั ญ ญา, เขาย อ มไม ต าย ไปตามสัญญานั้น, ไมตายตามสิ่งใดไป, เขายอมไมถูกตราหนา เพราะสิ่งนั้น; ภ ิก ษ ุ! ถา บุค ค ล ม ีจ ิต ไม เ ขา ไป อนุส ัย ใน สัง ขารทั ้ง ห ล าย , เขา ย อ มไม ต ายไปตามสั ง ขารนั้ น , ไม ต ายตามสิ่ ง ใดไป, เขาย อ มไม ถู ก ตราหน า เพราะสิ่งนั้น ภิ ก ษุ ! ถ า บุ ค คลมี จิ ต ไม เ ข า ไปมี อ นุ สั ย ใน วิ ญ ญ าณ , เขาย อ มไม ตายไปตามวิ ญ ญาณนั้ น , ไม ต ายตามสิ่ ง ใดไป, เขาย อ มไม ถู ก ตราหน า เพราะ สิ่งนั้น. ภิ ก ษุ ! เนื้ อ ความแห ง ภาษิ ต อั น เรากล า วแล ว โดยย อ นี้ ใคร ๆ พึ ง เห็นโดยพิสดาร ดังนี้เถิด. - ขนฺธ.สํ. ๑๗/๔๕/๗๘.

www.buddhadasa.info สัญโญชนและที่ตั้งแหงสัญโญชน

ภิ ก ษุ ท.! เราจั ก แสดงสิ่ งซึ่ งเป น ที่ ตั้ งแห งสั ญ โญชน (สฺ โญชนิ ย ธมฺ ม ) และตัวสัญโญชน. พวกเธอทั้งหลาย จงฟงขอนั้น. ภิ ก ษุ ท.! สิ่ ง ซึ่ ง เป น ที่ ตั้ ง แห ง สั ญ โญ ชน เป น อย า งไร ? และตั ว สัญโญชน เปนอยางไรเลา ? ภิ ก ษุ ท.! รู ป (กาย) เป น สิ่ ง ซึ่ ง เป น ที่ ตั้ ง แห ง สั ญ โญ ชน . ฉั น ท ราคะ (ความกํ า หนั ด เพราะพอใจ)ใด เข า ไปมี อ ยู ใ นรู ป นั้ น ฉั น ทราคะนั้ น คื อ ตัวสัญโญชน ในรูปนั้น ;


๒๒๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิก ษุ ท.! เวทนา เปน สิ ่ง ซึ ่ง เปน ที ่ตั ้ง แหง สัญ โญ ชน, ฉัน ทราคะ ใด เขาไปมีอยูในเวทนานั้น ฉันทราคะนั้น คือตัวสัญโญชน ในเวทนานั้น; ภิ ก ษุ ท.! สั ญ ญ า เป น สิ่ ง ซึ่ ง เป น ที่ ตั้ ง แห ง สั ญ โญ ชน , ฉั น ทราคะ ใด เขาไปมีอยูในสัญญานั้น ฉันทราคะนั้น คือ ตัวสัญโญชน ในสัญญานั้น; ภิ ก ษุ ท.! สั ง ขาร ทั้ ง หลาย เป น สิ่ ง ซึ่ ง เป น ที่ ตั้ ง แห ง สั ญ โญชน , ฉั น ทราคะใด เข า ไปมี อ ยู ใ นสั ง ขารทั้ ง หลายเหล า นั้ น ฉั น ทราคะนั้ น คื อ ตั ว สัญโญชน ในสังขารทั้งหลายเหลานั้น; ภิ ก ษุ ท.! วิ ญ ญาณ เป น สิ่ ง ซึ่ ง เป น ที่ ตั้ ง แห ง สั ญ โญชน , ฉั น ทราคะ ใดเขาไปมีอยูในวิญญาณนั้น ฉันทราคะนั้น คือตัวสัญโญชน ในวิญญาณนั้น. ภิก ษ ุ ท .! ขัน ธเ ห ลา นี ้ เรีย ก วา สิ ่ง ซึ ่ง เปน ที ่ตั ้ง แ หง สัญ โญ ช น; ฉันทราคะนี้เรียกวา ตัวสัญโญชน แล. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๐๒/๓๐๘. (ในสู ต รอื่ น ทรงแสดง สั ญ โญ ชนิ ย ธรรม ด ว ยอายตนะภายในหก (๑๘/๑๑๐/๑๕๙) และอายตนะภายนอกหก (๑๘/๑๓๕/๑๘๙).

ความลับของเบญจขันธ

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! ถ า หากอั ส ส าท ะ (รสอร อ ย) ของรู ป ก็ ดี ของเวทนาก็ ดี ของสั ญ ญาก็ ดี ของสั ง ขารทั้ ง หลายก็ ดี และของวิ ญ ญาณก็ ดี เหล า นี้ จั ก ไม ไ ด ม ีอ ยู แ ล ว ไซ ร, ส ัต วทั ้ง ห ล าย ก็จ ะ ไม กํ า ห น ัด ย ิน ด ีน ัก ใน รูป ใน เวท น า ใน สัญ ญ า ในสัง ขารทั ้ง หลาย และในวิญ ญ าณ เหลา นี ้. ภิก ษุ ท.! แตเ พราะ เหตุ ที่ อั ส สาทะของรู ป ก็ ดี ของเวทนาก็ ดี ของสั ญ ญาก็ ดี ของสั ง ขารทั้ ง หลาย


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๒๒๙

ก็ด ี และของวิญ ญ าณ ก็ด ี มีอ ยู , สัต วทั ้ง หลาย จึง กํ า หนัด ยิน ดีน ัก ในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขารทั้งหลาย และในวิญญาณ. ภิ ก ษุ ท.! ถ า หาก อาที น พ (โทษ) ของรู ป ก็ ดี ของเวทนาก็ ดี ของ สัญ ญาก็ด ี ของสัง ขารทั ้ง หลายก็ด ี และของวิญ ญาณก็ด ี เหลา นี ้ จัก ไมไ ดมี อยู แ ลว ไซร, สัต วทั ้ง หลาย ก็จ ะไมเ บื ่อ หนา ย ในรูป ในเวทนา ในสัญ ญ า ใน สั ง ขารทั้ งห ล าย แล ะใน วิ ญ ญ าณ เห ล านี้ . ภิ กษุ ท .! แต เพ ราะเห ตุ ที่ อาที น พของรู ป ก็ ดี ของเวทนาก็ ดี ของสั ญ ญาก็ ดี ของสั ง ขารทั้ ง หลายก็ ดี และ ของวิ ญ ญาณก็ ดี มี อ ยู , สั ต ว ทั้ ง หลาย จึ ง เบื่ อ หน า ยในรู ป ในเวทนา ในสั ญ ญา ในสังขารทั้งหลาย และในวิญญาณ. ภิ ก ษุ ท.! ถ า หาก นิ ส สรณ ะ (อุ บ ายเครื่ อ งออกพ น ไปได ) จากรู ป ก็ ดี จากเวทนาก็ ดี จากสั ญ ญาก็ ดี จากสั ง ขารทั้ ง หลายก็ ดี และจากวิ ญ ญาณก็ ดี เหลา นี ้ จัก ไมไ ดม ีอ ยู แ ลว ไซร, สัต วทั ้ง หลาย ก็จ ะไมอ อกไปพน ไดจ ากรูป จากเวทนา จากสั ญ ญ า จากสั ง ขารทั้ ง หลาย และจากวิ ญ ญ าณ เหล า นี้ . ภิก ษุ ท.! แตเ พราะเหตุที ่ นิส สรณ ะจากรูป ก็ด ี จากเวทนาก็ด ี จากสัญ ญ า ก็ด ี จากสัง ขารทั ้ง หลายก็ด ี และจากวิญ ญ าณ ก็ด ี มีอ ยู , สัต วทั ้ง หลาย จึง ออกไปพ น ได จ ากรู ป จากเวทนา จากสั ญ ญ า จากสั ง ขารทั้ ง หลาย และจาก วิญญาณ, ดังนี้ แล.

www.buddhadasa.info - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๓๗/๖๒.


๒๓๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

เบญจขันธเนื่องดวยปจจัยแหงความเศราหมองและบริสุทธิ์ "ข าแต พระองค ผู เจริญ ! ปู รณกั สสปะ ได กล าวอย างนี้ ว า 'เหตุ ไม มี ป จจั ย ไม มี เพื่ อความเศราหมองของสั ตว ทั้ งหลาย, สั ตวทั้ งหลาย จั กเศราหมอง โดยไม มี เหตุ ไมมีปจจัย; และเหตุไมมี ป จจัยไมมี เพื่ อความบริสุทธิ์ของสัตวทั้งหลาย, สัตวทั้งหลาย ยอมบริสุ ทธิ์ได โดยไม มี เหตุ ไม มี ป จจัย' ดังนี้ ; ในเรื่องนี้ พระผู มี พระภาคเจา กล าว อยางไร? พระเจาขา!" มหลิ ! เหตุ มี ป จ จั ย มี เพื่ อ ความเศร า หมองของสั ต ว ทั้ ง หลาย, สัตวทั้งหลายจักเศราหมอง เพราะมีเหตุมีปจจัย; มหลิ ! และเหตุมี ปจ จัย มี เพื่อความบริสุทธิ์ของสัตวทั้งหลาย, สัตวทั้งหลาย ยอมบริสุทธิ์ได เพราะ มีเหตุ มีปจจัย. "ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! เหตุ ป จจั ย เพื่ อความเศร าหมองของสั ตว ทั้ งหลาย เป นอย างไร? และสั ตว ทั้ งหลาย จั กเศราหมอง เพราะมี เหตุ มี ป จจั ย อย างไรเล า? พระเจาขา!"

www.buddhadasa.info มหลิ ! ถ า หากรู ป ก็ ดี เวทนาก็ ดี สั ญ ญ าก็ ดี สั ง ขารทั้ ง หลายก็ ดี และวิ ญ ญาณก็ ดี เหล า นี้ จั ก ได เป น ทุ ก ข โดยถ า ยเดี ย ว อั น ทุ ก ข ต ามสนอง หยั่ ง ล งสู ค วาม ท ุก ข ไม ห ยัง ล งสู ค วาม ส ุข เสีย เล ย ไซร, สัต วทั ้ง ห ล าย ก็จ ะไม กํ า หนั ด ยิ น ดี นั ก ในรู ป ในเวทนา ในสั ญ ญา ในสั ง ขารทั้ งหลาย และในวิ ญ ญาณ เหลา นี ้. มหลิ ! แตเ พราะเหตุที ่ (ตามความรู ส ึก ของสัต วผู ย ัง ไมรู ต ามเปน จริ ง ) รู ป ก็ ดี เวทนาก็ ดี สั ญ ญาก็ ดี สั ง ขารทั้ ง หลายก็ ดี และวิ ญ ญาณก็ ดี ยั ง นํ า มาซึ ่ง ความสุข อัน สุข ตามสนอง หยั ่ง ลงสู ค วามสุข ไมห ยั ่ง ลงสู ค วามทุก ข


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๒๓๑

ก็ม ีอ ยู , สัต วทั ้ง ห ล าย จึง กํ า ห น ัด ยิน ด ีน ัก ใน รูป ใน เวท น า ใน สัญ ญ า ใน สังขารทั้งหลาย และในวิญ ญาณ. เพราะความกํ าหนั ด ยิ น ดี จึ งพั วพั น อยู ในมั น เพราะความพั ว พั น จึ ง เศร า หมองรอบด า น. มหลิ ! สิ่ ง เหล า นี้ แ หละ เป น เหตุ เป น ป จ จั ย เพื่ อ ความเศร า หมองของสั ต ว ทั้ ง หลาย, สั ต ว ทั้ ง หลาย ย อ มเศร า หมอง เพราะมีเหตุ มีปจจัย โดยลักษณะเชนนี้. "ขา แตพ ระองคผู เ จริญ ! ก็เ หตุป จ จัย เพื ่อ ความบริส ุท ธิ ์ข องสัต วทั ้ง หลายเปน อ ย า ง ไ ร ? แ ล ะ สั ต ว ทั ้ ง ห ล า ย ย อ ม บ ริ ส ุ ท ธิ ์ ไ ด เพ ร า ะ มี เ ห ตุ มี ป  จ จั ย อ ย า ง ไ ร เล า ? พระเจาขา !"

ม หลิ ! ถ า ห ากรู ป ก็ ดี เวทน าก็ ดี สั ญ ญ าก็ ดี สั ง ขารทั้ งห ลายก็ ดี และวิ ญ ญ าณ ก็ ดี เหล า นี้ จั ก ได มี สุ ข โดยถ า ยเดี ย ว อั น สุ ข ตามสนอง หยั่ ง ลงสู ความสุข ไมห ยั ่ง ลงสู ค วามทุก ขเ สีย เลยไซร, สัต วทั ้ง หลาย ก็จ ะไมเ บื ่อ หนา ย ใน รู ป ใน เวทน า ในสั ญ ญ า ในสั ง ขารทั้ งหลาย แล ะใน วิ ญ ญ าณ เห ล า นี้ . ม ห ลิ ! แตเ พ ราะเห ตุที ่ รูป ก็ด ี เวท น าก็ด ี สัญ ญ าก็ด ี สัง ขารทั ้ง ห ล าย ก็ดี และวิ ญ ญาณก็ ดี เป น ทุ ก ข อั น ทุ ก ข ต ามสนอง หยั่ ง ลงสู ค วามทุ ก ข ไม ห ยั่ ง ลงสู ความสุ ข ก็ มี อ ยู , สั ต ว ทั้ ง หลายจึ ง เบื่ อ หน า ย ในรู ป ในเวทนา ในสั ญ ญ า ใน สั ง ขารทั้ ง หลาย และในวิ ญ ญาณ. เมื่ อ เบื่ อ หน า ย ย อ มคลายกํ า หนั ด เพราะ คลายกํ า หนัด ยอ มบริส ุท ธิ ์ไ ด. มหลิ ! สิ ่ง เหลา นี ้แ หละ เปน เหตุเ ปน ปจ จัย เพื ่อ ความบริส ุท ธิ ์ข องสัต วทั ้ง หลาย, สัต วทั ้ง หลาย ยอ มบริส ุท ธิ ์ไ ด เพราะมี เหตุมีปจจัย โดยลักษณะเชนนี้ แล.

www.buddhadasa.info - ขนธ. สํ. ๑๗/๘๕, ๘๗/๑๓๑, ๑๓๒.


๒๓๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

เบญจขันธเปนธรรมฝายที่แตกสลายได ภิ กษุ ท.! เราจั กแสดง สิ่ งซึ่ งแตกสลายได และ สิ่ งซึ่ งแตกสลายไม ได , พวกเธอทั้งหลายจงฟงขอนั้น. ภิก ษุ ท .! สิ ่ง ซึ ่ง แ ต ก ส ล ายได  เป น อ ยา งไร? และสิ ่ง ซึ ่ง แ ต ก สลายไมได เปนอยางไรเลา? ภิ ก ษุ ท.! รู ป เป น สิ่ ง ซึ่ ง แตกสลายได , ส ว นธรรมเป น ที่ ดั บ ไม เ หลื อ เป น ที่ ส งบระงั บ และเป น ที่ เ ข า ไปตั้ ง อยู ไ ม ไ ด ของรู ป นั้ น , นั่ น คื อ สิ่ ง ซึ่ ง แตก สลายไมได; ภิก ษุ ท.! เวทนา เปน สิ ่ง ซึ ่ง แตกสลายได, สว นธรรมเปน ที ่ด ับ ไม เหลื อ เป น ที่ ส งบระงั บ และเป น ที่ เ ข า ไปตั้ ง อยู ไ ม ไ ด ของเวทนานั้ น , นั่ น คื อ สิ่งซึ่งแตกสลายไมได;

www.buddhadasa.info ภิก ษ ุ ท .! สัญ ญ า เปน สิ ่ง ซึ ่ง แต กส ล ายได, สว น ธรรม เป น ที ่ด ับ ไม เ หลื อ เป น ที่ ส งบระงั บ และเป น ที่ เ ข า ไปตั้ ง อยู ไ ม ไ ด ของสั ญ ญานั้ น , นั ่น คือ สิ่ง ซึ่งแตกสลายไมได;

ภ ิก ษ ุ ท .! ส ัง ข ารทั ้ง ห ล าย เป น สิ ่ง ซึ ่ง แ ต ก ส ล าย ได , ส ว น ธ รรม เปน ที ่ด ับ ไมเ หลือ เปน ที ่ส งบระงับ และเปน ที ่เ ขา ไปตั ้ง อยู ไ มไ ด ของสัง ขาร ทั้งหลายเหลานั้น, นั่นคือสิ่งซึ่งแตกสลายไมได;


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๒๓๓

ภ ิก ษ ุ ท .! วิญ ญ าณ เป น สิ ่ง ซึ ่ง แ ต ก ส ล าย ได , ส ว น ธ รรม เป น ที่ ดับ ไมเ หลือ เปน สงบระงับ และเปน ที ่เ ขา ไปตั ้ง อยู ไ มไ ด ของวิญ ญ าณ นั ้น , นั่นคือ สิ่งซึ่งแตกสลายไมได; ดังนี้ แล. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๔๐/๗๐.

เบญจขันธไมเที่ยง ภ ิก ษ ุ ท .! รูป เป น ข อ งไม เ ที ่ย ง ม ีค วาม แป รป รวน ม ีค วาม เป น โดยอยางอื่นได; ภิ ก ษุ ท.! เวทนา เป น ของไม เ ที่ ย ง มี ค วามแปรปรวน มี ค วามเป น โดยอยางอื่นได; ภิ ก ษุ ท.! สั ญ ญ า เป น ของไม เ ที่ ย ง มี ค วามแปรปรวน มี ค วามเป น โดยอยางอื่นได; ภิ ก ษุ ท.! สั ง ขารทั้ ง หลาย เป น ของไม เ ที่ ย ง มี ค วามแปรปรวน มี ความเปนโดยอยางอื่นได; ภิ ก ษุ ท.! วิ ญ ญ าณ เป น ของไม เ ที่ ย ง มี ค วามแปรปรวน มี ค วาม เปนโดยอยางอื่นได แล.

www.buddhadasa.info - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๘๑/๔๗๘. "ข าแต พระองค ผู เจริญ ! คนกล าวกั นว า 'ส มุ ทยธรรม สมุ ทยธรรม (มี ความ กอขึ้นเปนธรรมดา) ดังนี้, ก็สมุทยธรรมนั้น เปนอยางไรเลา ? พระเจาขา !"


๒๓๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

ร า ธ ะ ! รูป เ ป น ส ม ุท ย ธ ร ร ม , เ ว ท น า เ ป น ส ม ุท ย ธ ร ร ม , สั ญ ญ า เป น สมุ ท ยธรรม, สั ง ขารทั้ ง หลาย เป น สมุ ท ยธรรม, และวิ ญ ญ าณ เปนสมุทยธรรม แล. "ข าแต พ ระองค ผู เจริญ ! คนกล าวกั นว า 'วยธรรม วยธรรม (มี ความเสื่ อม เปนธรรมดา)' ดังนี้, ก็วยธรรมนั้น เปนอยางไรเลา ? พระเจาขา !"

ร า ธ ะ ! รู ป เ ป น ว ย ธ ร ร ม , เ ว ท น า เ ป น ว ย ธ ร ร ม , สั ญ ญ า เปน วยธรรม , สัง ขารทั ้ง ห ลาย เปน วยธรรม , แล ะวิญ ญ าณ เปน วยธรรม แล. "ข า แต พ ระองค ผู เ จริ ญ ! คนกล า วกั น ว า 'นิ โ รธธรรม, นิ โ รธธรรม, (มี ค วาม ดับเปนธรรมดา)’ ดังนี้, ก็นิโรธธรรมนั้น เปนอยางไรเลา ? พระเจาขา !”

ราธ ะ ! รู ป เป น นิ โ รธ ธรรม , เวท น า เป น นิ โ รธ ธรรม , สั ญ ญ า เป น นิ โ ร ธ ธ ร ร ม , สั ง ข า ร ทั ้ ง ห ล า ย เป น นิ โ รธ ธ ร รม , แ ล ะ วิ ญ ญ า ณ เป น นิโรธธรรม แล

www.buddhadasa.info - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๔๑-๒/๓๘๗,๓๘๖,๓๘๘.

ภ ิก ษ ุ ท .! รูป ไ ม เ ที ่ย ง , สิ ่ง ใ ด ไ ม เ ที ่ย ง สิ ่ง นั ้น เป น ท ุก ข , สิ ่ง ใด เป น ท ุก ข สิ ่ง นั ้น เป น อ น ัน ต า , สิ ่ง ใด เป น อ น ัต ต า พ ึง เห ็น สิ ่ง นั ้น ดว ย ปญ ญ า อัน ช อ บ ต า ม ที ่เ ปน จ ริง อ ยา ง นี ้ว า "นั ่น ไมใ ชข อ ง เรา , นั ่น ไมใชเรา, นั่นไมใชตัวตนของเรา" ดังนี้;


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๒๓๕

ภ ิก ษ ุ ท .! เว ท น า ไม เ ที ่ย ง , สิ ่ง ใด ไม เ ที ่ย ง สิ ่ง นั ้น เป น ท ุก ข, สิ ่ง ใด เป น ท ุก ข สิ ่ง นั ้น เป น อ น ัต ต า , สิ ่ง ใด เป น อ น ัต ต า พ ึง เห ็น สิ ่ง นั ้น ดว ย ปญ ญ าอัน ช อ บ ต าม ที ่เ ปน จ ริง . อ ยา งนี ้ว า "นั ่น ไมใ ชข อ งเรา , นั ่น ไมใชเรา, นั่น ไมใชตัวตนของเรา" ดังนี้; ภ ิก ษ ุ ท .! สัญ ญ า ไม เ ที ่ย ง, สิ ่ง ใด ไม เ ที ่ย ง สิ ่ง นั ้น เป น ท ุก ข, สิ่ ง ใด เป น ทุ ก ข สิ่ ง นั้ น เป น อนั ต ตา, สิ่ ง ใด เป น อนั ต ตา พึ ง เห็ น สิ่ ง นั้ น ด ว ย ป ญ ญ าอั น ชอบ ตามที่ เ ป น จริ ง อย า งนี้ ว า "นั่ น ไม ใ ช ข องเรา, นั่ น ไม ใ ช เ รา, นั่น ไมใชตัวตนของเรา" ดังนี้; ภิ กษุ ท .! สั งขารทั้ งห ล าย ไม เที่ ยง, สิ่ งใด ไม เที่ ยง สิ่ ง นั้ น เป น ทุก ข, สิ ่ง ใด เปน ทุก ข สิ ่ง นั ้น เปน อ นัต ต า , สิ ่ง ใด เปน อ นัต ต า พึง เห็น สิ ่ง นั ้น ดว ย ปญ ญ าอัน ชอ บ ต าม ที ่เ ปน จริง อ ยา งนี ้ว า "นั ่น ไมใ ชข อ งเรา, นั่น ไมใชเรา, นั่น ไมใชตัวตนของเรา" ดังนี้;;

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท.! วิญ ญ าณ ไมเ ที ่ย ง, สิ ่ง ใด ไมเ ที ่ย ง สิ ่ง นั ้น เปน ทุก ข, สิ่ ง ใดเป น ทุ ก ข สิ่ ง นั้ น เป น อนั ต ตา, สิ่ ง ใด เป น อนั ต ตา พึ งเห็ น สิ่ ง นั้ น ด ว ย ปญ ญ าอัน ชอบ ตามที ่เ ปน จริง อยา งนี ้ว า "นั ่น ไมใ ชข องเรา, นั ่น ไมใ ชเ รา, นั่นไมใชตัวตนของเรา" ดังนี้ แล. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๘/๔๒.


๒๓๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

เหตุปจจัยของเบญจขันธก็ไมเที่ยง ภ ิก ษ ุ ท .! รูป ไมเ ที ่ย ง, ถึง แ มเ ห ตุ แ ม ป จ จัย เพื ่อ ก ารบ ัง เกิด ขึ้ น ของรู ป ก็ ไ ม เ ที่ ย ง, รู ป ที่ เ กิ ด จากเหตุ ป จ จั ย อั น ไม เ ที่ ย งแล ว จั ก เป น ของ เที่ยงไดอยางไร ; ภ ิก ษ ุ ท .! เว ท น า ไม เ ที ่ย ง , ถ ึง แ ม เ ห ต ุ แ ม ป จ จ ัย เพื ่อ ก า ร บั ง เกิ ด ขึ้ น ของเวทนา ก็ ไ ม เ ที่ ย ง, เวทนา ที่ เ กิ ด จากเหตุ ป จ จั ย อั น ไม เที่ ย งแล ว จักเปนของเที่ยงไดอยางไร ; ภ ิก ษ ุ ท .! ส ัญ ญ า ไม เ ที ่ย ง , ถ ึง แ ม เ ห ต ุ แ ม ป จ จ ัย เพื ่อ ก า ร บั ง เกิ ด ขึ้ น ของสั ญ ญาก็ ไ ม เที่ ย ง, สั ญ ญา ที่ เกิ ด จากเหตุ ป จ จั ย อั น ไม เที่ ย งแล ว จักเปนของเที่ยงไดอยางไร; ภิ ก ษุ ท.! สั ง ขารทั้ ง หลาย ไม เ ที่ ย ง, ถึ ง แม เหตุ แม ป จ จั ย เพื่ อ การ บัง เกิด ขึ้น ของสัง ขารทั ้ง หลาย ก็ไ มเที ่ย ง, สัง ขาร ที ่เกิด จากเหตุป จ จัย อันไมเที่ ยง แลว จักเปนของเที่ยงไดอยางไร ;

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท .! วิ ญ ญ าณ ไม เที่ ย ง, ถึ งแ ม เห ตุ แ ม ป จ จั ย เพื่ อ ก าร บั ง เกิ ด ขึ้ น ของวิ ญ ญาณ ก็ ไ ม เ ที่ ย ง, วิ ญ ญาณ ที่ เกิ ด จากเหตุ ป จ จั ย อั น ไม เที่ ย ง แลว จักเปนของเที่ยงไดอยางไร . - ขนฺธ. ส. ๑๗/๒๙/๔๕.

เบญจขันธเปนทุกข "ข าแต พ ระอ งค ผู เจ ริ ญ ! ค น ก ล าวกั น ว า 'ทุ ก ข ทุ ก ข ' ดั งนี้ , ทุ ก ข นั้ น เปนอยางไรเลา ? พระเจาขา !"


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๒๓๗

รา ธ ะ ! รูป เป น ท ุก ข , เว ท น า เป น ท ุก ข , ส ัญ ญ า เป น ท ุก ข , สังขารทั้งหลาย เปนทุกข, และวิญญาณ เปนทุกข แล. "ข าแต พ ระอ งค ผู เจริ ญ ! ค น ก ล าวกั น ว า 'ทุ กขธรรม ทุ กขธรรม (มี ทุ ก ข เปนธรรมดา)' ดังนี้, ก็ทุกขธรรมนั้น เปนอยางไรเลา? พระเจาขา!"

ร า ธ ะ ! รูป เป น ท ุก ข ธ ร ร ม , เว ท น า เป น ท ุก ข ธ ร ม , สัญ ญ า เปน ทุก ขธรรม , สัง ขารทั ้ง หลาย เปน ทุก ขธรรม , และวิญ ญ าณ เปน ทุก ขธรรม แล. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๔๐/๓๘๑-๓๘๒. ภ ิก ษ ุ ท .! รูป เป น ท ุก ข, สิ ่ง ใด เป น ท ุก ข สิ ่ง นั ้น เป น อ น ัต ต า , สิ่ ง ใด เป น อนั ต ตา พึ ง เห็ น สิ่ ง นั้ น ด ว ยป ญ ญาอั น ชอบ ตามที่ เป น จริ ง อย า งนี้ ว า " นั่น ไมใชของเรา, นั่น ไมใชเรา, นั่นไมใชตัวตนของเรา" ดังนี้;

www.buddhadasa.info ภิ ก ษ ุ ท .! เว ท น า เป น ท ุก ข , สิ ่ง ใ ด เป น ท ุก ข  สิ ่ง นั ้น เป น อนัต ตา, สิ ่ง ใด เปน อนัต ตา พึง เห็น สิ ่ง นั ้น ดว ยปญ ญ าอัน ชอบ ตามที ่เ ปน จ ริ ง อ ย า ง นี ้ ว  า "นี ่ ไ ม  ใ ช ข อ ง เร า , นั ่ น ไ ม  ใ ช เ ร า , นั ่ น ไ ม  ใ ช ต ั ว ต น ข อ ง เรา" ดังนี้;

ภิ ก ษุ ท .! สั ญ ญ า เป น ทุ ก ข , สิ่ ง ใ ด เป น ทุ ก ข สิ่ ง นั้ น เป น อนัต ตา, สิ ่ง ใด เปน อนัต ตา พึง เห็น สิ ่ง นั ้น ดว ยปญ ญ าอัน ชอบ ตามที ่เ ปน จ ริ ง อ ย  า ง นี ้ ว  า "นั ่ น ไ ม  ใ ช ข อ ง เ ร า , นั ่ น ไ ม  ใ ช เ ร า , นั ่ น ไ ม  ใ ช ต ั ว ต น ของเรา" ดังนี้;


๒๓๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภ ิก ษ ุ ท .! สัง ข ารทั ้ง ห ล าย เป น ท ุก ข, สิ ่ง ใด เป น ท ุก ข สิ ่ง นั ้น เปน อนัต ตา, สิ ่ง ใด เปน อนัต ตา พึง เห็น สิ ่ง นั ้น ดว ยปญ ญ าอัน ชอบ ตามที่ เปน จ ริง อ ยา ง นี ้ว า "นี ่ ไมใ ชข อ ง เร า , นั ่น ไมใ ชเ ร า , นั ่น ไมใ ชต ัว ต น ของเรา" ดังนี้; ภิ ก ษุ ท .! วิ ญ ญ า ณ เป น ทุ ก ข , สิ่ ง ใด เป น ทุ ก ข สิ่ งนั้ น เป น อนัต ตา, สิ ่ง ใด เปน อนัต ตา พึง เห็น สิ ่ง นั ้น ดว ยปญ ญ าอัน ชอบ ตามที ่เ ปน จ ริง อ ยา งนี ้ว า "นั ่น ไมใ ชข อ งเรา , นั ่น ไมใ ชเ รา , นั ่น ไมใ ชต ัว ต น ข อ ง เรา" ดังนี้ แล. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๘/๔๓.

เหตุปจจัยของเบญจขันธก็เปนทุกข ภิ ก ษ ุ ท .! รูป เปน ทุก ข, ถึง แมเ ห ตุ แมป จ จัย เพื ่อ ก ารบัง เกิด ขึ ้น ของรูป ก็เ ปน ทุก ข, รูป ที ่เ กิด จากเหตุป จ จัย อัน เปน ทุก ขแ ลว จัก เปน สุขไดอยางไร;

www.buddhadasa.info ภ ิก ษ ุ ท .! เว ท น า เป น ท ุก ข , ถ ึง แ ม เ ห ต ุ แ ม ป จ จ ัย เพื ่อ ก า ร บัง เกิด ขึ ้น ของเวทนา ก็เ ปน ทุก ข, เวทนา ที ่เ กิด จากเหตุป จ จัย อัน เปน ทุก ข แลว จักเปนสุขไดอยางไร ;

ภ ิก ษ ุ ท .! ส ัญ ญ า เป น ท ุก ข , ถ ึง แ ม เ ห ต ุ แ ม ป จ จ ัย เพื ่อ ก า ร บั ง เกิ ด ขึ้ น ของสั ญ ญา ก็ เ ป น ทุ ก ข , สั ญ ญา ที่ เ กิ ด จากเหตุ ป จ จั ย อั น เป น ทุ ก ข แลว จักเปนสุขไดอยางไร ;


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๒๓๙

ภิก ษ ุ ท .! สัง ข า รทั ้ง ห ล า ย เปน ทุก ข, ถึง แ มเ ห ตุ แ มป จ จัย เพื่ อ การบั ง เกิ ด ขึ้ น ของสั ง ขารทั้ ง หลาย ก็ เป น ทุ ก ข , สั ง ขาร ที่ เกิ ด จากเหตุ ป จ จั ย อันเปนทุกขแลว จักเปนสุขไดอยางไร; ภิ ก ษุ ท.! วิ ญ ญ าณ เป นทุ ก ข , ถึ ง แม เหตุ แม ป จจั ย เพื่ อการ บั งเกิ ด ขึ้ น ของวิ ญ ญาณ ก็ เป น ทุ ก ข , วิ ญ ญาณ ที่ เกิ ด จากเหตุ ป จ จั ย อั น เป น ทุ ก ข แลว จักเปนสุขไดอยางไร. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๙/๔๖.

เบญจขันธเปนอนัตตา ภิก ษุ ท.! รูป เปน อนัต ตา, บุค คล พึง เห็น รูป นั ้น ดว ยปญ ญ า อัน ชอบ ตามที ่เ ปน จริง อยา งนี ้ว า "นั ่น ไมใ ชข องเรา, นั ่น ไมใ ชเ รา, นั ่น ไมใชตัวตนของเรา" ดังนี้;

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! เวทนา เป น อนั ต ตา, บุ ค คล พึ ง เห็ น เวทนานั้ น ด ว ย ปญ ญาอัน ชอบ ตามที ่เ ปน จิร งอยา งนี ้ว า "นั ่น ไมใ ชข องเรา, นั ่น ไมใ ชเ รา, นั่น ไมใชตัวตนของเรา" ดังนี้ ;

ภิ ก ษุ ท.! สั ญ ญ า เป น อนั ต ตา, บุ ค คล พึ ง เห็ น สั ญ ญ านั้ น ด ว ย ปญ ญาอัน ชอบ ตามที ่เ ปน จริง อยา งนี ้ว า "นั ่น ไมใ ชข องเรา, นั ่น ไมใ ชเ รา, นั่น ไมใชตัวตนของเรา" ดังนี้ ;


๒๔๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิก ษุ ท.! สัง ขารทั ้ง หลาย เปน อนัต ตา, บุค คล พึง เห็น สัง ขาร ทั้ ง หลายเหล า นั้ น ด ว ยป ญ ญาอั น ชอบ ตามที่ เป น จริง อย า งนี้ ว า "นั่ น ไม ใช ข อง เรา. นั่น ไมใชเรา, นั่น ไมใชตัวตนของเรา" ดังนี้; ภิ ก ษุ ท.! วิ ญ ญ าณ เป น อนั ต ตา, บุ ค คล พึ ง เห็ น วิ ญ ญ าณ นั้ น ดว ยปญ ญาอัน ชอบ ตามที ่เ ปน จริง อยา งนี ้ วา "นั ่น ไมใ ชข องเรา, นั ่น ไม ใชเรา, นั่น ไมใชตัวตนของเรา" ดังนี้แล. - ขนฺธ สํ. ๑๗/๒๘/๔๔. ภิก ษ ุ ท .! รูป เปน อ นัต ต า . ภ ิก ษ ุ ท .! ถา รูป จัก เป น อัต ต า แลว ไซร รูป นี ้ ก็ไ มพ ึง เปน ไปเพื ่อ อาพาธ (ความถูก เบีย ดเบีย นดว ยโรคเปน ตน ); อนึ ่ง สัต ว จะพึง ไดใ นรูป ตามปรารถนาวา 'รูป ของเรา จงเปน อยา งนี ้เ ถิด , รูป ของเรา อยา ไดเ ปน อยา งนั ้น เลย' ดัง นี ้. ภิก ษุ ท.! แตเ พราะเหตุที ่ รูป เป น อ น ัต ต า รูป จึง เป น ไป เพื ่อ อ าพ าธ; อ นึ ่ง สัต วย อ ม ไม ไ ดใ น รูป ต าม ปรารถนาว า 'รู ป ของเราจงเป น อย า งนี้ เ ถิ ด . รู ป ของเรา อย า ได เ ป น อย า งนั้ น เลย' ดังนี้.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท .! เวท น า เป น อ นั ต ต า. ภิ ก ษุ ท .! ถ าเวท น า จั ก เป น อัต ต าแลว ไซร เวท น านี ้ ก็ไ มพ ึง เปน เพื ่อ อาพ าธ; อ นึ ่ง สัต วจ ะพ ึง ไดใ น เวทนาตามปรารถนาว า 'เวทนาของเรา จงเป น อย า งนี้ เถิ ด , เวทนาของเราอย า ได เ ป น อย า งนั้ น เลย ดั ง นี้ . ภิ ก ษุ ท.! แต เ พราะเหตุ ที่ เวทนา เป น อนั ต ตา เวทนา จึง เปน เพื ่อ อาพาธ; อนึ ่ง สัต ว ยอ มไมไ ดใ นเวทนาตามปรารถนา วา 'เวทนาของเรา จงเปน อยา งนี ้เ ถิด , เวทนาของเรา อยา ไดเ ปน อยา งนั ้น เลย' ดังนี้


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๒๔๑

ภิ กษุ ท .! สั ญ ญ า เป น อ นั ต ต า. ภิ กษุ ท .! ถ า สั ญ ญ า จั ก เป น อั ต ตาแล ว ไซร สั ญ ญ านี้ ก็ ไ ม พึ ง เป น ไปเพื่ อ อาพาธ; อนึ่ ง สั ต ว จะพึ ง ได ใ น สั ญ ญาตามปรารถนาว า 'สั ญ ญาของเรา จงเป น อย า งนี้ เ ถิ ด , สั ญ ญาของเรา อยา ไดเ ปน อยา งนั ้น เลย' ดัง นี ้. ภิก ษุ ท.! แตเ พ ราะเหตุที ่ สัญ ญ า เปน อนั ต า สั ญ ญ า จึ ง เป น ไปเพื่ ออาพาธ; อนึ่ ง สั ต ว ย อ มไม ไ ด ใ นสั ญ ญ าตาม ปรารถนาว า 'สั ญ ญาของเรา จงเป น อย า งนี้ เ ถิ ด , สั ญ ญาของเรา อย า ได เ ป น อยางนั้นเลย' ดังนี้. ภ ิก ษ ุ ท .! สัง ขารทั ้ง ห ล าย เป น อ นัต ต า. ภ ิก ษ ุ ท .! ถา สัง ขาร ทั้ ง หลาย จั ก เป น อั ต ตาแล ว ไซร สั ง ขารทั้ ง หลายเหล า นี้ ก็ ไ ม พึ ง เป น ไปเพื่ อ อาพ าธ; อนึ ่ง สัต ว จะพึง ไดใ นสัง ขารทั ้ง ห ลายตาม ป รารถน าวา 'สัง ขาร ทั้ ง หลายของเรา จงเป น อย า งนี้ เถิ ด , สั ง ขารทั้ ง หลายของเรา อย า ได เป น อย า ง นั ้น เลย'ดัง นี ้. ภิก ษุ ท.! แตเ พราะเหตุที ่ส ัง ขารทั ้ง หลายเปน อนัต ตา สัง ขาร ทั้ ง หลายจึ ง เป น ไปเพื่ อ อาพาธ; อนึ่ ง สั ต ว ย อ มไม ไ ด ใ นสั ง ขารทั้ ง หลายตาม ปรารถนาว า 'สั ง ขารทั้ ง หลายของเรา จงเป น อย า งนี้ เ ถิ ด , สั ง ขารทั้ ง หลายของ เรา อยาไดเปนอยางนั้นเลย' ดังนี้.

www.buddhadasa.info ภิ กษุ ท .! วิ ญ ญ าณ เป น อนั ต ต า. ภิ กษุ ท .! ถ า วิ ญ ญ าณ จั ก เปน อัต ตาแลว ไซร วิญ ญ าณ นี ้ก ็ไ มพ ึง เปน ไปเพื ่อ อาพาธ; อนึ ่ง สัต ว จะพึง ได ในวิ ญ ญาณตามปรารถนาว า 'วิ ญ ญาณของเรา จงเป น อย า งนี้ เถิ ด , วิ ญ ญาณ ของเรา อย า ได เ ป น อย า งนั้ น เลย' ดั ง นี้ ภิ ก ษุ ท.! แต เ พราะเหตุ ที่ วิ ญ ญ าณ เป น อ น ัต ต า วิญ ญ า ณ จ ึง เป น ไป เพื ่อ อ า พ า ธ ; อ นึ ่ง ส ัต ว ย อ ม ไม ไ ด ใ น วิ ญ ญาณตามปรารถนาว า 'วิ ญ ญาณของเรา จงเป น อย า งนี้ เถิ ด , วิ ญ ญาณของ เรา อยาไดเปนอยางนั้นเลย' ดังนี้. ....


๒๔๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ ก ษุ ท .! เพ ร า ะ ฉ ะ นั ้ น ใ น ก ร ณ ี นี ้ , รู ป ช นิ ด ใ ด ช นิ ด ห นึ ่ ง มี อยู จะเป นอดี ตอนาคตหรือป จจุ บั นก็ ตาม เป นภายในหรือภายนอกก็ ตาม หยาบ หรือ ละเอีย ดก็ต าม เลวหรือ ประณีต ก็ต าม มีใ นที ่ไ กลหรือ ใกลก ็ต าม, รูป ทั้ ง ปวงนั้ น อั น ใคร ๆ พึ ง เห็ น ด ว ยป ญ ญาอั น ชอบ ตามที่ เป น จริ ง อย า งนี้ ว า 'นั่ น ไมใชของเรา. นั่น ไมใชเรา, นั่น ไมใชตัวตนของเรา' ดังนี้. ภิ ก ษุ ท.! เวทนา ชนิ ด ใดชนิ ด หนึ่ ง มี อ ยู จะเป น อดี ต อนาคตหรื อ ป จจุ บั น ก็ ตาม เป น ภายในหรื อภายนอกก็ ตาม หยาบหรือละเอี ยดก็ ตาม เลวหรื อ ประณีต ก็ต าม มีใ นที ่ไ กลหรือ ใกลก ็ต าม, เวทนาทั ้ง ปวงนั ้น อัน ใคร ๆ พึง เห็น ดว ยปญ ญ าอัน ชอบ ตาที ่เ ปน จริง อยา งนี ้ว า 'นั ่น ไมใ ชข องเรา, นั ่น ไมใชเรา, นั่น ไมใชตัวตนของเรา' ดังนี้. ภิก ษุ ท! สัญ ญ า ชนิด ใดชนิด หนึ ่ง มีอ ยู  จะเปน อดีต อนาคต หรือป จจุ บั น ก็ ตาม เป นภายในหรือ ภายนอกก็ ตาม หยาบหรือละเอี ยดก็ ตาม เลว หรือประณี ตก็ ตาม มี ในที่ ไกลหรือใกล ก็ ตาม, สั ญญาทั้ งหลายทั้ งปวงเหล านั้ น อั นใคร ๆ พึง เห็น ดว ยปญ ญาอัน ชอบ ตามที ่เ ปน จิร งอยา งนี ้ว า 'นั ่น ไมใ ชข องเรา, นั ่น ไมใชเรา, นั่น ไมใชตัวตนของเรา' ดังนี้.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท! สั ง ขารทั้ ง หลาย ชนิ ด ใดชนิ ด หนึ่ ง มี อ ยู จะเป น อดี ต อนาคตหรือป จจุ บั นก็ ตาม เป นภายในหรือภายนอกก็ ตาม หยาบหรือละเอี ยดก็ ตาม เลวหรือ ประณ ีต ก็ต าม มีใ นที ่ไ กลหรือ ใกลก ็ต าม, สัง ขารทั ้ง หลายทั ้ง ปวง เหล า นั้ น อั น ใคร ๆ พึ ง เห็ น ด ว ยป ญ ญาอั น ชอบ ตาที่ เป น จิ รงอย า งนี้ ว า 'นั่ น ไม ใชของเรา, นั่น ไมใชเรา, นั่น ไมใชตัวตนของเรา' ดังนี้.


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๒๔๓

ภิ ก ษุ ท.! วิ ญ ญ าณ ชนิ ด ใดชนิ ด หนึ่ ง มี อ ยู จะเป น อดี ต อนาคต หรือ ป จจุ บั น ก็ ตาม เป นภายในหรือ ภายนอกก็ ตาม หยาบหรือละเอี ยดก็ ตาม เลว หรื อ ประณี ต ก็ ต าม มี ใ นที่ ไ กลหรื อ ใกล ก็ ต าม, วิ ญ ญาณทั้ ง ปวงนั้ น อั น ใคร ๆ พึง เห็น ดว ยปญ ญาอัน ชอบ ตามที ่เ ปน จริง อยา งนี ้ว า 'นั ่น ไมใ ชข องเรา, นั ่น ไมใชเรา, นั่น ไมใชตัวตนของเรา' ดังนี้ แล. - ขนฺธ. สํ ๑๗/๘๒-๘๔/๑๒๗-๑๒๙. ภิก ษุ ท.! เพราะฉะนั ้น ในกรณีนี ้, สิ ่ง ใดมิใ ชข องพวกเธอ, พวก เธอจงละสิ ่ง นั ้น เสีย , สิ ่ง นั ้น อัน พวกเธอละไดแ ลว จัก เปน ไปเพื ่อ ประโยชน สุ ข แ ก พ ว ก เธ อ เอ ง ต ล อ ด ก า ล น า น . ภิ ก ษุ ท .! ก็ สิ ่ ง ใด เล า มิ ใ ช ข อ ง พวกเธอ ? ภิก ษุ ท.! รูป มิใ ชข องพวกเธอ, พวกเธอจงละรูป นั ้น เสีย ; รูป นั้ น อั น พวกเธอละได แ ล ว จั ก เป น ไปเพื่ อ ประโยชน สุ ข แก พ วกเธอเอง ตลอด กาลนาน.

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท.! เวทนา มิใ ชข องพ วกเธอ, พ วกเธอจงละเวทนานั ้น เสีย ; เวทนานั ้น อัน พวกเธอละไดแ ลว จัก เปน ไปเพื ่อ ประโยชนส ุข แกพ วก เธอเอง ตลอดกาลนาน.

ภิ ก ษุ ท.! สั ญ ญ า มิ ใ ช ข องพวกเธอ, พวกเธอจงละสั ญ ญ านั้ น เสีย ; สัญ ญ านั ้น อัน พวกเธอละไดแ ลว จัก เปน ไปเพื ่อ ประโยชนส ุข แกพ วก เธอเอง ตลอดกาลนาน.


๒๔๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ ก ษุ ท.! สั ง ขารทั้ ง หลาย มิ ใ ช ข องพวกเธอ, พวกเธอจงละสั ง ขาร ทั้ ง หลายเหล า นั้ น เสี ย ; สั ง ขารทั้ ง หลายเหล า นั้ น อั น พวกเธอละได แ ล ว จั ก เป น ไปเพื่อประโยชนสุขแกพวกเธอเอง ตลอดกาลนาน. ภิก ษ ุ ท .! วิญ ญ าณ มิใ ชข องพ วกเธอ , พ วกเธอ จงล ะวิญ ญ าณ นั ้น เสีย ; วิญ ญ าณ นั ้น อัน พวกเธอละไดแ ลว จัก เปน ไปเพื ่อ ประโยชนส ุข แก พวกเธอเอง ตลอดกาลนาน. ภิ ก ษุ ท.! พวกเธอจะสํ า คั ญ ความข อ นี้ ว า อย า งไร ? คื อ ข อ ที่ ห ญ า ไม กิ ่ง ไมแ ละใบไม ใด ๆ มีอ ยู  ในเชตวัน นี ้, เมื ่อ คนเขาขนเอามัน ไปก็ต าม เผาเสี ย ก็ ต าม หรื อ กระทํ า ตามความต อ งการอย า งใดอย า งหนึ่ ง ก็ ต าม; พวกเธอ เคยเกิ ด ความคิ ด อย า งนี้ บ า งหรื อ ไม ว า "คนเขาขนเอาเราไปบ า ง เขาเผาเราบ า ง เขาทําแกเราตามความปรารถนาของเขาบาง" ดังนี้? "ข อ นั้ น หามิ ได พระเจ าข า !" ข อ นั้ น เพราะเหตุ ไรเล า ? "เพราะเหตุ ว า นั่น หาไดเปนตัวตน หรือของเนื่องดวยตัวตน ของขาพระองคไม พระเจาขา !"

www.buddhadasa.info ภ ิก ษ ุ ท .! ฉัน ใด ก็ฉ ัน นั ้น , ค ือ สิ ่ง ใด ม ิใ ชข อ ง พ ว ก เธ อ , พ ว ก เธอจงละสิ ่ง นั ้น เสีย ; สิ ่ง นั ้น อัน พวกเธอละไดแ ลว จัก เปน ไปเพื ่อ ประโยชน สุขแกพวกเธอเอง ตลอดกาลนาน แล. - มู. ม. ๑๒/๒๗๙/๒๘๗


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๒๔๕

เหตุปจจัยของเบญจขันธก็เปนอนัตตา ภิ ก ษ ุ ท .! รูป เป น อ น ัต ต า . ถ ึง แ ม เ ห ต ุ แ ม ป จ จ ัย เพื ่อ ก า ร บัง เกิด ขึ ้น ของรูป ก็เ ปน อนัต ตา, รูป ที ่เ กิด จากเหตุป จ จัย อัน เปน อนัต ตาแลว จักเปนอัตตาไดอยางไร ; ภิ ก ษุ ท .! เวท น า เป น อ นั ต ต า. ถึ งแม เห ตุ แม ป จจั ย เพื่ อ ก าร บั ง เกิ ด ขึ้ น ของเวทนา ก็ เ ป น อนั ต ตา, เวทนา ที่ เ กิ ด จากเหตุ ป จ จั ย อั น เป น อนัตตาแลว จักเปนอัตตาไดอยางไร ; ภิ กษุ ท .! สั ญ ญ า เป น อนั ตตา. ถึ ง แม เห ตุ แม ป จจั ย เพื่ อการ บั งเกิ ด ขึ้ น ของสั ญ ญา ก็ เป น อนั ต ตา, สั ญ ญา ที่ เกิ ด จากเหตุ ป จ จั ย อั น เป น อนั ต ตา แลว จักเปนอัตตาไดอยางไร ; ภ ิก ษ ุ ท .! สัง ขารทั ้ง ห ล าย เป น อ น ัต ต า. ถึง แม เ ห ต ุ แม ป จ จัย เพื่ อ การบั ง เกิ ด ขึ้ น ของสั ง ขารทั้ ง หลาย ก็ เ ป น อนั ต ตา, สั ง ขาร ที่ เ กิ ด จากเหตุ ปจจัยอันเปนอนัตตาแลว จักเปนอัตตาไดอยางไร ;

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! วิ ญ ญ าณ เป น อนั ต ตา. ถึ ง แม เ หตุ แม ป จ จั ย เพื่ อ การ บัง เกิด ขึ ้น ของวิญ ญ าณ ก็เ ปน อนัต ตา, วิญ ญ าณ ที ่เ กิด จากเหตุป จ จัย อัน เปนอนัตตาแลว จักเปนอัตตาไดอยางไร แล. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๓๐/๔๗.


๒๔๖

อริยสัจจากพระโอษฐ เบญจขันธเปนภาระที่หนัก

ภ ิ ก ษ ุ ท .! เร า จั ก แ ส ด ง ภ า ร ะ (ข อ ง ห นั ก )...แ ก พ ว ก เธ อ . เธ อ ทั้งหลายจงฟงขอนั้น. ภ ิก ษ ุ ท .! อ ะ ไรเลา เปน ข อ งห นัก ? ภ ิก ษ ุ ท .! อุป าท าน ขัน ธ ทั ้ง หา นั ้น แหละ เรากลา ววา เปน ของหนัก . หา อยา งเหลา ไหนเลา ? หา อยา ง คือ ขัน ธอ ัน เปน ที ่ตั ้ง แหง ความยึด มั ่น คือ รูป , ขัน ธอ ัน เปน ที ่ตั ้ง แหง ความ ยึด มั ่น คือ เวทนา, ขัน ธอ ัน เปน ที ่ตั ้ง แหง ความยึด มั ่น คือ สัญ ญ า, ขัน ธอ ัน เป น ที่ ตั้ ง แห ง ความยึ ด มั่ น คื อ สั ง ขาร, และขั น ธ อั น เป น ที่ ตั้ ง แห ง ความยึ ด มั่ น คื อ วิญญาณ. ภิกษุ ท.! นี้ เราเรียกวา ของหนัก แล. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๓๒/๔๙.

เบญจขันธเปนทั้งผูฆาและผูตาย

www.buddhadasa.info "ข าแต พระองค ผู เจริญ! คนกล าวกั นว า 'มาร มาร' ดั งนี้ , เขากล าวกั นว า 'มาร' เชนนี้ มีความหมายเพียงไร พระเจาขา ?" ราธะ ! เมื ่อ (ความยึด ถือ ใน) รูป มีอ ยู , มารก็จ ะมี ผู ใ หต าย ก็จะมี หรือผูตายก็จะมี. ราธะ ! เมื ่อ (ค วาม ยึด ถือ ใน ) เวท น า มีอ ยู , ม ารก็จ ะมี ผู ใ ห ตายก็จะมี หรือผูตายก็จะมี


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๒๔๗

ราธะ ! เมื ่อ (ความ ยึด ถือ ใน ) สัญ ญ า มีอ ยู , ม ารก็จ ะมี ผู ใ ห ตายก็จะมี หรือผูตายก็จะมี. ราธะ ! เมื ่อ (ค วาม ยึด ถือ ใน ) สัง ขารทั ้ง ห ล าย มีอ ยู , ม ารก็ จะมี ผูใหตายก็จะมี หรือผูตายก็จะมี. ราธะ ! เมื่ อ (ความยึ ด ถื อ ใน) วิ ญ ญ าณ มี อ ยู , มารก็ จ ะมี ผู ใ ห ตายก็จะมี หรือผูตายก็จะมี. ราธะ ! เพ ราะฉ ะนั้ น ใน ก รณี นี้ เธอ พึ งเห็ น รู ป ก็ ดี เวท น าก็ ดี สั ญ ญาก็ ดี สั ง ขารทั้ ง หลายก็ ดี และวิ ญ ญาณก็ ดี ว า เป น มาร, ว า เป น ผู ใ ห ต าย, ว า ผู ต าย, ว า โรค, ว า หั ว ฝ , ว า ลู ก ศร, ว า ทุ ก ข , และว า ทุ ก ข ที่ เกิ ด แล ว , บุ ค คล เหลาใดเห็นขันธทั้งหาในลักษณะเชนนี้ บุคคลเชนนั้นชื่อวาเห็นอยูโดยชอบ แล. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๓๑/๓๖๖.

www.buddhadasa.info เบญจขันธเปนกองถานเถารึง

ภิ ก ษุ ท.! รู ป เป น กองถ า นเถ า รึ ง .,๑ เวทนา เป น กองถ า นเถ า รึ ง , สั ญ ญา เป น กองถ า นเถ า รึ ง , สั งขารทั้ งหลาย เป น กองถ า นเถ า รึ ง , และวิ ญ ญาณ เปนกองถานเถารึง. ภิ ก ษุ ท.! สาวกของพระอริ ย เจ า ผู ไ ด ยิ น ได ฟ ง เมื่ อ เห็ น อยู อ ย า งนี้ ยอมเบื่อหนายแมในรูป, ยอมเบื่อหนายแมในเวทนา, ยอมเบื่อหนายแมใน

๑. ถานเถารึง คือ ไฟถานที่ซอนอยูใตขี้เถารอน.


๒๔๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

สั ญ ญ า, ย อ มเบื่ อหน า ยแม ใ นสั ง ขารทั้ ง หลาย. และย อ มเบื่ อหน า ยแม ใ น วิญญาณ แล. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๑๗/๓๓๔. เบญจขันธเปนเครื่องผูกพันสัตว ภ ิก ษ ุ ท .! ใน โล ก นี ้ บ ุถ ุช น ผู ไ ม ไ ด ย ิน ได ฟ ง ไม ไ ด เ ห ็น เห ล า พระอริ ย เจ า ไม ฉ ลาดในธรรมของพระอริ ย เจ า ไม ถู ก แนะนํ า ให ธ รรมของพระอริย เจา ไมไ ดเ ห็น เหลา สัต บุร ุษ ไมฉ ลาดในธรรมของสัต บุร ุษ ไมถ ูก แนะนํ า ในธรรมของสัตบุรุษ :ย อ มตามเห็ น พร อ ม (คื อเห็ นดิ่ งอยู เป นประจํ า) ซึ่ งรู ป โดยความเป น ตน หรือ ตามเห็น พรอ ม ซึ ่ง ตน วา มีร ูป หรือ ตามเห็น พรอ ม ซึ ่ง รูป วา มีอ ยู ใ นตน หรือตามเห็นพรอม ซึ่งตนวามีอยูในรูป บาง ;

www.buddhadasa.info ย อมตามเห็ นพรอม ซึ่ งเวทนา โดยความเป นตน หรือตามเห็ นพรอม ซึ่ ง ตน ว า มี เ วทนา หรื อ ตามเห็ น พร อ ม ซึ่ ง เวทนาว า มี อ ยู ใ นตน หรื อ ตามเห็ น พรอม ซึ่งตนวามีอยูในเวทนา บาง ;

ย อมตามเห็ นพร อม ซึ่ งสั ญ ญา โดยความเป นตน หรือตามเห็ นพรอม ซึ่ ง ตนว า มี สั ญ ญา หรื อ ตามเห็ น พร อ ม ซึ่ ง สั ญ ญ าว า มี อ ยู ใ นตน หรื อ ตามเห็ น พรอม ซึ่งตน วามีอยูในสัญญา บาง ;


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๒๔๙

ยอมตามเห็ นพรอม ซึ่งสั งขารทั้ งหลาย โดยความเป นตน หรือตาม เห็ น พร อ ม ซึ่ ง ตน ว า มี สั ง ขาร หรื อ ตามเห็ น พร อ ม ซึ่ ง สั ง ขารทั้ ง หลาย ว า มี อ ยู ในตน หรือตามเห็นพรอม ซึ่งตนวามีอยูในสังขารทั้งหลาย บาง; ย อ มตามเห็ น พร อ ม ซึ่ ง วิ ญ ญาณ โดยความเป น คน หรื อ ตามเห็ น พร อ ม ซึ่ ง ตน ว า มี วิ ญ ญ าณ หรื อ ตามเห็ น พร อ ม ซึ่ ง วิ ญ ญ าณ ว า มี อ ยู ใ นตน หรือตามเห็นพรอม ซึ่งตน วามีอยูในวิญญาณ บาง. ภิ ก ษุ ท.! บุ ถุ ช นผู ไ ม ไ ด ยิ น ได ฟ งนี้ เราเรี ย กว า ผู ถู ก ผู ก พั นด ว ย เครื่ อ งผู ก พั น คื อ รู ป บ า ง ผู ถู ก ผู ก พั น ด ว ยเครื่ อ งผู ก พั น คื อ เวทนาบ า ง ผู ถู ก ผู ก พั น ด ว ยเครื่ อ งผู ก พั น คื อ สั ญ ญาบ า ง ผู ถู ก ผู ก พั น ด ว ยเครื่ อ งผู ก พั น คื อ สั ง ขารทั้ ง หลาย บาง ผูถูกผูกพันดวยเครื่องผูกพันคือวิญญาณบาง ; เป น ผู ถู ก ผู ก พั น ด ว ยเครื่ อ งผู ก พั น ทั้ ง ภายในและภายนอก เป น ผู ไ ม เห็น ฝ ง นี ้ (คือ วัฏ ฏสงสาร ) เปน ผู ไ มเ ห็น ฝ ง โนน (คือ นิพ พาน), เกิด อยู อ ยา งผู มี เครื่อ งผูก พัน , แกอ ยูอ ยางผูม ีเครื่อ งผูก พัน , ตายอยูอ ยางผูม ีเครื่อ งผูก พัน , จากโลกนี้ไปสูโลกอื่นอยางผูมีเครื่องผูกพัน แล.

www.buddhadasa.info - ขนธ. สํ. ๑๗/๒๐๐/๓๐๔.

เรียกกันวา "สัตว" เพราะติดเบญจขันธ "ขาแต พระองค ผู เจริญ ! คนกล าวกั นวา 'สั ตว สั ตว' ดั งนี้ , เขากล าวกั นวา 'สัตว' เชนนี้ มีความหมายเพียงไร ? พระเจาขา !"


๒๕๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

ราธะ ! ฉั น ทะ (ความพอใจ) ราคะ (ความกํ า หนั ด ) นั น ทิ (ความเพลิ น ) ตัณ หา (ความทะยานอยาก) ใด ๆ มีอ ยู  ในรูป , สัต ว ยอ มเกี ่ย วขอ ง ยอ มติด ในรูป นั ้น ดว ยฉัน ทราคะเปน ตน นั ้น เพราะฉะนั ้น สัต วนั ้น จึง ถูก เรีย กวา "สัตว (ผูของติด)" ดังนี้ ; ราธะ ! ฉั น ทะ ราคะ นั น ทิ ตั ณ หา ใด ๆ มี อ ยู ใ นเวทนา, สั ต ว ย อ มเกี่ ย วข อ ง ย อ มติ ด ในเวทนานั้ น ด ว ยฉั น ทราคะเป น ต น นั้ น เพราะฉะนั้ น สัตวนั้น จึงถูกเรียกวา "สัตว" ดังนี้; ราธะ ! ฉั น ทะ ราคะ นั น ทิ ตั ณ หา ใด ๆ มี อ ยู ใ นสั ญ ญ า, สั ต ว ย อ มเกี่ ย วข อ ง ย อ มติ ด ในสั ญ ญานั้ น ด ว ยฉั น ทราคะเป น ต น นั้ น เพราะฉะนั้ น สัตวนั้น จึงถูกเรียกวา "สัตว" ดังนี้; ราธะ ! ฉั น ทะ ราคะ นั น ทิ ตั ณ หา ใด ๆ มี อ ยู ใ นสั ง ขารทั้ ง หลาย, สัต วยอ มเกี่ย วขอ ง ยอ มติด ในสัง ขารทั้ง หลายเหลา นั้น ดว ยฉัน ทราคะเปน ตน นั้น เพราะฉะนั้น สัตวนั้น จึงถูกเรียกวา "สัตว" ดังนี้ แล.;

www.buddhadasa.info ราธะ ! ฉั น ทะ ราคะ นั น ทิ ตั ณ หา ใด ๆ มี อ ยู ใ นวิ ญ ญาณ , สั ต ว ย อ มเกี่ ย วข อ ง ย อ มติ ด ในวิ ญ ญาณนั้ น ด ว ยฉั น ทราคะเป น ต น นั้ น เพราะฉะนั้ น สัตวนั้น จึงถูกเรียกวา "สัตว" ดังนี้ แล. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๓๒/๓๖๗.


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๒๕๑

ไมรูจักเบญจขันธชื่อวามีอวิชชา "ข า แต พ ระองค ผู เจริ ญ ! คนกล า วกั น ว า 'อวิ ช ชา อวิ ช ชา' ดั ง นี้ . ก็ อ วิ ช ชา นั้น เปนอยางไร ? และบุคคลชื่อวา มีอวิชชา ดวยเหตุเพียงไรเลา? พระเจาขา!"

ภิ ก ษุ ! ในโลกนี้ บุ ถุ ช น ผู ไ ม ไ ด ยิ น ได ฟ ง ย อ มไม รู จั ก รู ป , ไม รู จั ก เหตุ ใ ห เ กิ ด ของรู ป , ไม รู จั ก ความดั บ ไม เ หลื อ ของรู ป , ไม รู จั ก ทางดํ า เนิ น ให ถึ ง ความดั บ ไม เหลื อ ของรูป ; เขายอ ม ไม รูจั ก เวทนา, ไม รูจัก เหตุ ให เกิดของเวทนา, ไม รู จั ก ความดั บ ไม เหลื อ ของเวทนา, ไม รู จั ก ทางดํ า เนิ น ให ถึ ง ความดั บ ไม เหลื อ ของเวทนา; เขาย อ ม ไม รู จั ก สั ญ ญา, ไม รู จั ก เหตุ ใ ห เกิ ด ของสั ญ ญา, ไม รู จั ก ความดั บไม เหลื อของสั ญญา, ไม รูจักทางดํ าเนิ นให ถึ งความดั บไม เหลือของสั ญญา; เขายอ ม ไมรู จ ัก สัง ขารทั ้ง หลาย, ไมรูจัก เหตุใ หเ กิด ของสัง ขารทั ้ง หลาย, ไม รู จ ัก ความดับ ไมเ หลือ ของสัง ขารทั ้ง หลาย, ไมรู จ ัก ทางดํ า เนิน ใหถ ึง ความดับ ไมเ หลือ ของสัง ขารทั ้ง หลาย; และเขายอ ม ไมรู จ ัก วิญ ญาณ, ไมรู จ ัก เหตุใ ห เกิด ของวิญ ญาณ, ไมรู จ ัก ความดับ ไมเ หลือ ของวิญ ญาณ, ไมรู จ ัก ทางดํ า เนิน ใหถึงความดับไมเหลือของวิญ ญาณ. ภิกษุ ! ความไม รูนี้เราเรียกวา 'อวิชชา' และบุคคลชื่อวามีอวิชชาดวยเหตุมีประมาณเทานี้ แล.

www.buddhadasa.info - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๙๘/๓๐๐.

เพลินในเบญจขันธเทากับเพลินในทุกข ภ ิก ษ ุ ท .! ผู ใ ด เพ ล ิด เพ ล ิน อ ยู ใ น รูป , ผู นั ้น เท า ก ับ เพ ล ิด เพลิน อยู ใ นสิ ่ง ที ่เ ปน ทุก ข. เรากลา ววา "ผู ใ ด เพลิด เพลิน อยู  ในสิ ่ง ที ่เ ปน ทุกข, ผูนั้น ยอมไมหลุดพนไปไดจากทุกข" ดังนี้ ;


๒๕๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ ก ษุ ท .! ผู ใ ด เพ ลิ ด เพ ลิ น อ ยู ใ น เว ท น า , ผู นั้ น เท า กั บ เพลิด เพลิน อยู  ในสิ ่ง ที ่เ ปน ทุก ข. เรากลา ววา "ผู ใ ด เพลิด เพลิน อยู  ในสิ ่ง ที่เปนทุกข, ผูนั้น ยอมไมหลุดพนไปไดจากทุกข" ดังนี้ ; ภิ ก ษุ ท .! ผู ใ ด เพ ลิ ด เพ ลิ น อ ยู ใ น สั ญ ญ า , ผู นั้ น เท า กั บ เพลิด เพลิน อยู ใ นสิ ่ง ที ่เ ปน ทุก ข. เรากลา ววา "ผู ใ ด เพลิด เพลิน อยู  ในสิ ่ง ที่ เปนทุกข, ผูนั้น ยอมไมหลุดพนไปไดจากทุกข" ดังนี้; ภิ ก ษุ ท.! ผู ใ ด เพลิ ด เพลิ น อยู ใ นสั ง ขารทั้ ง หลาย, ผู นั้ น เท า กั บ เพลิด เพลิน อยู  ในสิ ่ง ที ่เ ปน ทุก ข. เรากลา ววา "ผู ใ ดเพลิด เพลิน อยู  ในสิ ่ง ที่ เปนทุกข, ผูนั้น ยอมไมหลุดพนไปไดจากทุกข" ดังนี้; ภิ ก ษุ ท .! ผู ใด เพ ลิ ด เพ ลิ น อ ยู ใน วิ ญ ญ า ณ , ผู นั้ น เท า กั บ เพลิด เพลิน อยู  ในสิ ่ง ทีเ ปน ทุก ข. เรากลา ววา "ผู ใ ด เพลิด เพลิน อยู ใ นสิ ่ง ที่ เปนทุกข, ผูนั้น ยอมไมหลุดพนไปไดจากทุกข" ดังนี้ แล.

www.buddhadasa.info - ขนฺธ สํ. ๑๗/๓๙/๖๔.

ตองละฉันทราคะในเบญจขันธ

ภิ ก ษุ ท.! สิ่ ง ใดไม เที่ ย ง, พวกเธอพึ ง ละฉั น ทราคะ (ความกํ าหนั ด เพราะ พ อใจ) ในสิ่ ง นั้ น . ภิ กษุ ท .! ก็ สิ่ ง ใดเล า ไม เที่ ย ง ? ภิ กษุ ท.! รู ป ไม เที่ ย ง, เวทนา ไมเ ที ่ย ง, สัญ ญา ไมเ ที ่ย ง, สัง ขารทั ้ง หลาย ไมเ ที ่ย ง, และวิญ ญาณ ไมเ ที ่ย ง , พ ว ก เธ อ พ ึง ล ะ ฉัน ท รา ค ะ ใน สิ ่ง นั ้น . ภิก ษ ุ ท .! คือ สิ ่ง ใด ที ่ไ ม เที่ยง พวกเธอพึงละฉันทราคะในสิ่งนั้นแหละ. - ขนฺธ. สํ ๑๗/๒๑๗/๓๓๗.


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๒๕๓

ภิ ก ษุ ท.! สิ่ ง ใดเป น ทุ ก ข , พวกเธอพึ ง ละฉั น ทราคะ (ความกํ า หนั ด เพ รา ะ พ อ ใจ ) ใน สิ ่ ง นั ้ น , ภิ ก ษุ ท .! ก็ สิ ่ ง ใด เล า เป น ทุ ก ข ? ภิ ก ษุ ท .! รู ป เปน ทุก ข, เวท น า เปน ทุก ข, สัญ ญ า เปน ทุก ข, สัง ขารทั ้ง ห ล าย เปน ทุ ก ข , และวิ ญ ญาณ เป น ทุ ก ข . พวกเธอพึ ง ละฉั น ทราคะในสิ่ ง นั้ น . ภิ ก ษุ ท.! คือสิ่งใด ที่เปนทุกข พวกเธอพึงละฉันทราคะในสิ่งนั้นแหละ. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๑๘/๓๓๘. ภิ ก ษุ ท .! สิ่ งใด เป น อ นั ต ต า, พ วก เธ อ พึ งล ะ ฉั น ท ราค ะ (ค วาม กํ า หนัด เพราะพอใจ) ในสิ ่ง นั ้น . ภิก ษุ ท.! ก็สิ ่ง ใดเลา เปน อนัต ตา ? ภิก ษุ ท.! รู ป เป น อ นั ต ต า , เว ท น า เป น อ นั ต ต า , สั ญ ญ า เป น อ นั ต ต า , สั ง ข า ร ทั ้ง หลาย เปน อนัต ตา, และวิญ ญ าณ เปน อนัต า, พวกเธอพึง ละฉัน ทราคะ ใน สิ ่ง นั ้น . ภิก ษุ ท .! คือ สิ ่ง ใด ที ่เ ปน อ นัต ต า พ วก เธ อ พึง ล ะ ฉัน ท ราค ะ ในสิ่งนั้นแหละ.

www.buddhadasa.info - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๑๘/๓๔๑.

นิทเทศ ๒ วาดวยทุกขสรุปในปญจุปาทานักขันธ จบ


๒๕๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

นิทเทศ ๓ วาดวยหลักเบ็ดเตล็ดเกี่ยวกับความทุกข (มี ๑๘ เรื่อง)

หลักที่ควรรูเกี่ยวกับทุกข ภิก ษ ุ ท .! ขอ ที ่เ รากลา ววา "พ ึง รู จ ัก ทุก ข. พ ึง รู จ ัก เห ตุเ ปน แด น เกิ ด ของทุ ก ข , พึ ง รู จั ก ความเป น ต า งกั น ของทุ ก ข , พึ ง รู จั ก ผลของทุ ก ข , พึ ง รู จั ก ความดั บ ไม เหลื อ ของทุ ก ข , และพึ ง รู จั ก ทางดํ า เนิ น ให ถึ ง ความดั บ ไม เ หลื อ ของ ทุกข" ดังนี้นั้น, ขอนั้น เรากลาวหมายถึงอะไรเลา ? ภิ ก ษุ ท.! ข อ นั้ น เรากล า วหมายถึ ง ความเกิ ด เป น ทุ ก ข , ความ แก เปน ทุก ข, ความเจ็บ ไข เปน ทุก ข, ความตาย เปน ทุก ข, ความโศก ความร่ํ า ไรร่ํ าพั น ความทุ ก ข ก าย ความทุ ก ข ใจ ความคั บ แค น ใจ เป น ทุ ก ข , ความปรารถนาอยา งใดแลว ไมไ ดอ ยา งนั ้น เปน ทุก ข; กลา วโดยสรุป แลว ปญจุปาทานักขันธ เปนทุกข.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! เหตุ เป น แดนเกิ ด ของทุ ก ข เป น อย า งไรเล า ? ภิ ก ษุ ท.! ตัณหา เปนเหตุเปนแดนเกิดของทุกข.

ภิ ก ษุ ท.! ความเป น ต า งกั น ของทุ ก ข เป น อย า งไรเล า ? ภิ ก ษุ ท.! ทุ ก ข ที่ มี ป ระมาณ ยิ่ ง มี อ ยู , ที่ มี ป ระมาณ เล็ ก น อ ย มี อ ยู , ที่ ค ลายช า มี อ ยู , และที่คลายเร็ว มีอยู. ภิกษุ ท.! นี้เรียกวา ความเปนตางกันของทุกข.


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๒๕๕

ภิก ษุ ท .! ผ ล ข อ งทุก ข เปน อ ยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท .! บุค ค ล บางคนในโลกนี้ ถู กความทุ กข ชนิ ดใดครอบงํ าแล ว มี จิ ตอั นความทุ กข รวบรัดแล ว ย อ มโศกเศร า ย อ มระทมใจ คร่ํ าครวญ ตี อ กร่ํ าไห ย อ มถึ งความหลงใหล; หรื อ วา ถูก ความทุก ขช นิด ใดครอบงํ า แลว มีจ ิต อัน ความทุก ขร วบรัด แลว ยอ ม ถึง การแสวงหาที่ พึ่ ง ภายนอก ว า "ใครหนอย อ มรู วิ ธี เพื่ อ ความดั บ ไม เหลื อ ของ ทุก ขนี ้ สัก วิธ ีห นึ ่ง หรือ สองวิธ ี" ดัง นี ้. ภิก ษุ ท.! เรากลา ววา ความทุก ข มี ค วามหลงไหลเป น ผล หรื อ มิ ฉ ะนั้ น ก็ มี ก ารแสวงหาที่ พึ่ ง ภายนอกเป น ผล. ภิกษุ ท.! นี้เรียกวา ผลของทุกข. ภิ ก ษุ ท.! ความดั บ ไม เหลื อ ของทุ ก ข เป น อย างไรเล า ? ภิ กษุ ท.! ความดับไมเหลือของทุกข มีได เพราะความดับไมเหลือของตัณหา. ภิ ก ษุ ท.! อริ ย มรรคมี องค ๘ นี้ นั่ น เอง เป น ทางดํ าเนิ น ให ถึ งความ ดั บ ไม เหลื อ ของทุ ก ข , ได แ ก ความเห็ น ชอบ ความดํ า ริ ช อบ; การพู ด จาชอบ การทํ า การงานชอบ การเลี้ ย งชี วิ ต ชอบ; ความพากเพี ย รชอบ ความระลึ ก ชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ. ....

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท.! คํ า ใด ที ่เ รากลา ววา "พึง รู จ ัก ทุก ข, พึง รู จ ัก เหตุเ ปน แดนเกิด ของทุก ข, พึง รู จ ัก ความเปน ตา งกัน ของทุก ข, พึง รู จ ัก ผลของทุก ข, พึ งรูจั กความดั บ ไม เหลื อ ของทุ ก ข , และพึ งรู จั กทางดํ าเนิ น ให ถึ งความดั บ ไม เหลื อ ของทุกข" ดังนี้นั้น, เรากลาวหมายถึงความขอนี้ แล. - ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๖๔/๓๓๔.


๒๕๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

ปญจุปาทานขันธ เปนทุกขอริยสัจ ภิก ษุ ท .! อ ริย สัจ คือ ท ุก ข เปน อ ยา งไรเลา ? ค ว รจ ะ ก ลา ว วา ไดแ ก อุป าทานขัน ธห า . อุป าทานขัน ธห า อยา งไรเลา ? อุป าทานขัน ธห า คือ รู ป ูป าท าน ขัน ธ เวท นูป าท าน ขัน ธ สัญ  ูป าท าน ขัน ธ สัง ข ารูป าท าน ขัน ธ วิญญาูปาทานขันธ. ภิกษุ ท.! นี้เราเรียกวา อริยสัจคือทุกข. - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๓๔/๑๖๗๙.

ปญจุปาทานักขันธ เปนทุกข ภ ิก ษ ุ ท .! ท ุก ข เ ป น อ ย า ง ไ ร เล า ? ภ ิก ษ ุ ท .! ป ญ จ ุป า ท า น ัก ขัน ธนั ้น แห ล ะ เราก ลา ววา เปน ทุก ข. อุป าท าน ขัน ธทั ้ง หา เห ลา ไห น เลา ? ห าคื อ อุ ป าท าน ขั น ธ คื อ รู ป , อุ ป าท าน ขั น ธ คื อ เวท น า, อุ ป าท าน ขั น ธ คื อ สัญ ญ า, อุป าท าน ขัน ธค ือ สัง ขาร, และอุป าท าน ขัน ธค ือ วิญ ญ าณ . ภิก ษุ ท.! นี้แล เรียกวา ทุกข.

www.buddhadasa.info - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๙๓/๒๘๐.

ทรงแสดงลักษณะความทุกข (อีกปริยายหนึ่ง) "ข าแต พ ระโคดมผู เจริ ญ ! คํ าว า 'ทุ กข ๆ' ดั งนี้ เป นคํ าที่ เขากล าวกั นอยู ทุกขนั้นเปนอยางไร พระเจาขา ?" ธ า ร ะ ! รู ป แ ล เป น ทุ ก ข , เว ท น า เป น ทุ ก ข , สั ญ ญ า เป น ทุกข, สังขาร ท. เปนทุกข, วิญญาณ เปนทุกข.


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๒๕๗

ธาระ ! อริ ย สาวกผู ไ ด ส ดั บ เห็ น อยู อ ย า งนี้ ย อ มเบื่ อ หน า ยแม ใ นรู ป แมในเวทนา แมในสัญญา แมในสังขาร ท. แมในวิญญาณ. .... - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๔๐/๓๘๑. (ใน สูต รอื ่น (๑๗/๒๔๐/๓๘๒) ไดต รัส เรีย กสิ ่ง ที ่เ รีย กวา ทุก ข วา ท ุก ขธรรม คือ มีทุกขเปนธรรมดา).

ทรงแสดงลักษณะแหงความทุกข (อีกปริยายหนึ่ง) "ขา แ ตพ ระโค ด ม ผู เ จ ริญ ! คํ า วา 'ท ุก ข ๆ ' ดัง นี ้ เป น คํ า ที ่เ ขาก ลา วกัน อ ยู . ทุกข หรือการบัญญัติวาทุกข พึงมีไดดวยเหตุมีประมาณเทาไร พระเจาขา ?"

สมิทธิ ! จักษุ รูป จักขุ วิญญาณ ธรรมที่ พึ งรูแจงด วยจักขุวิญ ญาณ มีอยูในที่ใด. ทุกข หรือการบัญญัติวาทุกข ยอมมีอยูในที่นั้น.

www.buddhadasa.info (ในกรณี แ ห ง โสตะ ฆานะ ชิ ว หา กายะ และ มนะ ก็ ไ ด ต รั ส ไว โ ดยข อ ความมี ลักษณะอยางเดียวกันกับกรณีแหงจักษุนี้).

- สฬา. สํ. ๑๘/๔๘/๗๔.

ความเปนทุกขสามลักษณะ ภิ กษุ ท .! ค วาม เป น ทุ กข มี ส าม ลั กษ ณ ะเห ล านี้ . ส าม ลั กษ ณ ะ เหลาไหนเลา ? สามลักษณะคือ :-


๒๕๘

อริยสัจจากพระโอษฐ ๑. ความเปนทุกข เพราะมีลักษณะทนไดยาก. ๒. ความเป น ทุ ก ข เพราะมี ลั ก ษณ ะเป น ของปรุ ง แต ง และปรุ ง แต ง สิ่งอื่นพรอมกันไปในตัว, ๓. ค วาม เป น ทุ กข เพ ราะมี ลั ก ษ ณ ะแห งความ แป รป รวน เป น ไป ตาง ๆ ภิกษุ ท.! เหลานี้แล คือ ความเปนทุกขสามลักษณะ.

- มหาวาร. สํ. ๑๙/๘๕/๓๑๔๙

ความทุกขของเทวดาและมนุษยตามธรรมชาติ ภิ ก ษุ ท.! เทวดาและมนุ ษ ย ทั้ ง หลาย มี รู ป เป น ที่ ม ายิ น ดี ยิ น ดี แ ล ว ในรูป บั นเทิงแลวในรูป ยอม อยูเป น ทุ กข เพราะความแปรปรวนจางคลายดั บ ไปแหงรูป. (ในกรณีแหง เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ และ ธรรมมารมณ ก็ตรัสอยางเดียวกัน).

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท .! ส วน ต ถ าค ต อ รหั น ต สั ม ม าสั ม พุ ท ธ ะ รู แ จ งค วาม เกิ ด ความตั้ ง อยู ไ ม ไ ด รสอร อ ย โทษ และอุ บ ายเครื่ อ งสลั ด ออก แห ง รู ป ตามเป น จริ ง ไม มี รู ป เป น ที่ ม ายิ น ดี ไม ยิ น ดี ใ นรู ป ไม บั น เทิ ง ในรู ป ยั ง คงอยู เ ป น สุ ข แม เพราะความแปรปรวนจางคลายดั บ ไปแห งรู ป . (ในกรณี แห ง เสี ยง กลิ่ น รส โผฎฐั พ พะ และ ธรรมารมณ ก็ตรัสอยางเดียวกัน). - สฬา. สํ. ๑๘/๑๕๙/๒๑๖.


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๒๕๙

เปนทุกขเพราะติดอยูในอายตนะ ภิ ก ษุ ท.! เทวดาและมนุ ษ ย ทั้ ง หลาย มี รู ป เป น ที่ รื่ น รมย ใ จ ยิ น ดี แลว ในรูป บัน เทิง ดว ยรูป . ภิก ษุ ท.! เวทดาและมนุษ ยทั ้ง หลาย ยอ มอยู เปนทุกขเพราะความเปลี่ยนแปลง เสื่อมสลาย และความดับไปของรูป; ภิก ษุ ท.! เทวดาและมนุษ ยทั ้ง หลาย มี เสีย ง เปน ที ่รื ่น รมยใ จ ยิน ดีแ ลว ในเสีย ง บัน เทิง ดว ยเสีย ง. ภิก ษุ ท.! เทวดาและมนุษ ยทั ้ง หลาย ย อ มอยู เป น ทุ ก ข เพราะความเปลี่ ย นแปลง เสื่ อ มสลาย และความดั บ ไปของ เสียง ; ภิก ษุ ท.! เทวดาและมนุษ ยทั ้ง หลาย มี กลิ ่น เปน ที ่รื ่น รมยใ จ ยิน ดีแ ลว ในกลิ ่น บัน เทิง ดว ยกลิ ่น . ภิก ษุ ท.! เทวดาและมนุษ ยทั ้ง หลาย ยอมอยูเปนทุกข เพราะความเปลี่ยนแปลง เสื่อมสลาย และความดับไปของกลิ่น;

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! เทวดาและมนุ ษ ย ทั้ ง หลาย มี รส เป น ที่ รื่ น รมย ใ จ ยิ น ดี แลว ในรส บัน เทิง ดว ยรส. ภิก ษุ ท.! เทวดาและมนุษ ยทั ้ง หลาย ยอ มอยู เปนทุกข เพราะความเปลี่ยนแปลง เสื่อมสลาย และความดับไปของรส;

ภิก ษุ ท.! เทวดาและมนุษ ยทั ้ง หลาย มี โผฎฐัพ พะ เปน ที ่รื ่น รมย ใจ ยิน ดีแ ลว โผ ฎ ฐัพ พ ะ บัน เทิง ดว ยโผ ฎ ฐัพ พ ะ. ภ ิก ษ ุ ท .! เท วด าแล ะ มนุ ษ ย ทั้ ง หลาย ย อ มอยู เป น ทุ ก ข เพราะความเปลี่ ย นแปลง เสื่ อ มสลาย และ ความดับไปของโผฏฐัพพะ ;


๒๖๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ ก ษุ ท.! เทวดาและมนุ ษ ย ทั้ ง หลาย มี ธรรมารมณ เป น ที่ รื่ น รมย ใจ ยิ น ดี แ ล ว ในธรรมารมณ บั น เทิ ง ด ว ยธรรมารมณ . ภิ ก ษุ ท.! เทวดาและ มนุษ ยทั ้ง หลาย ยอ มอยู เ ปน ทุก ข เพ ราะความเป ลี ่ย นแปลง เสื ่อ มสลาย และความดับไปของธรรมารมณ แล. - สฬา. สํ. ๑๘/๑๖๑/๒๑๘.

ทุกขเพราะยึดถือสิ่งที่ยึดถือไมได ภิ ก ษุ ท.! เปรี ย บเหมื อ นแม น้ํ า ซึ่ ง มี กํ า เนิ ด แต ภู เ ขา ไหลไปทางต่ํ า สิ้ น ระยะไกล มี ก ระแสเชี่ ย วจั ด . ถ า หากหญ า กาสะก็ ต าม หญ า กุ ส ะก็ ต าม หญ า ป พ พชะก็ ต าม หญ า วี รณะก็ ต าม หรื อ ต น ไม ก็ ต าม เกิ ด อยู ที่ ฝ ง ทั้ ง สองของแม น้ํ า นั้ น ไซร , หญ าหรื อ ต น ไม เ หล า นั้ น ก็ จ ะถึ ง ย อ ยลงปกฝ ง ทั้ ง สองของแม น้ํ า นั้ น . บุ รุ ษ ผู ห นึ่ ง ถู ก กระแสแห ง แม น้ํ า นั้ น พั ฒ นา ถ า จะจั บ หญ า กาสะก็ ต าม หญ า กุ ส ะ ก็ ต าม หญ า ป พ พชะก็ ต าม หญ า วี ร ณะก็ ต าม หรื อ ต น ไม ก็ ต าม สิ่ ง เหล า นั้ น ก็ จะพึ ง ขาดหลุ ด ไป (เพราะกระแสเชี่ ย วจั ด ของแม น้ํ า ). บุ รุ ษ ผู นั้ น ย อ มถึ ง การ พินาศเพราะการทําเชนนั้น., อุปมานี้ฉันใด;

www.buddhadasa.info ภ ิก ษ ุ ท .! อุป ไม ย ก็ฉ ัน นั ้น ค ือ บ ุถ ุช น ผู ไ ม ไ ด ย ิน ได ฟ ง ไม ไ ด เห็ น เหล า พระอริ ย เจ า ไม ฉ ลาดในธรรมของพระอริ ย เจ า ไม ถู ก แนะนํ า ในธรรม ของพระอริ ย เจ า , ไม ไ ด เห็ น เหล า สั ต บุ รุ ษ ไม ฉ ลาดในธรรมของสั ต บุ รุ ษ ไม ถู ก แนะนําในธรรมของสัตบุรุษ ยอม ตามเห็นพรอม (คือเห็นดิ่งอยูเปนประจํา) ซึ่ง รู ป โดยความเป น ตน หรื อ ตามเห็ น พร อ ม ซึ่ ง ตน ว า มี รู ป หรื อ ตามเห็ น พร อ ม ซึ ่ง รูป วา มีอ ยู ใ นตน หรือ ตามเห็น พรอ ม ซึ ่ง ตน วา มีอ ยู ใ นรูป , รูป นั ้น ยอ ม แตกสลายแกเขา เขายอมถึงการพินาศ เพราะขอนั้นเปนเหตุ บาง ;


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๒๖๑

บุ ถุ ช นนั้ น ย อ ม ตามเห็ น พร อ ม ซึ่ ง เวทนา โดยความเป น คน หรื อ ตามเห็น พรอ ม ซึ ่ง ตน วา มีเ วทนา หรือ ตามเห็น พรอ ม ซึ ่ง เวทนา วา มีอ ยู ใ น ตน หรือ ตามเห็น พรอ ม ซึ ่ง ตน วา มีอ ยู ใ นเวทนา, เวทนานั ้น ยอ มแตกสลาย แกเขา เขายอมถึงการพินาศ เพราะขอนั้นเปนเหตุ บาง; บุ ถุ ช นนั้ น ย อ ม ตามเห็ น พร อ ม ซึ่ ง สั ญ ญา โดยความเป น ตน หรื อ ตามเห็ น พร อ ม ซึ่ ง ตน ว า มี สั ญ ญา หรื อ ตามเห็ น พร อ ม ซึ่ ง สั ญ ญา ว า มี อ ยู ใ น ตน หรื อ ตามเห็ น พร อ ม ซึ่ ง ตน ว า มี อ ยู ใ นสั ญ ญา, สั ญ ญานั้ น ย อ มแตกสลาย แกเขา, เขายอมถึงการพินาศ เพราะขอนั้นเปนเหตุ บาง; บุ ถุ ช นนั้ น ย อ ม ตามเห็ น พร อ ม ซึ่ ง สั ง ขาร ทั้ ง หลาย โดยความเป น ตน หรือ ตามเห็น พรอ มซึ ่ง ตน วา มีส ัง ขาร หรือ ตามเห็น พรอ ม ซึ ่ง สัง ขาร ทั้ ง หลาย ว า มี อ ยู ใ นตน หรื อ ตามเห็ น พร อ ม ซึ่ ง ตนว า มี อ ยู ใ นสั ง ขารทั้ ง หลาย, สั ง ขารทั้ ง หลายเหล า นั้ น ย อ มแตกสลายแก เ ขา เขาย อ มถึ ง การพิ น าศ เพราะ ขอนั้นเปนเหตุ บาง;

www.buddhadasa.info บุ ถุ ชนนั้ น ย อม ตามเห็ น พร อ ม ซึ่ งวิ ญ ญาณ โดยความเป นตน หรื อ ตามเห็ น พร อ ม ซึ่ ง ตน ว า มี วิ ญ ญาณ หรื อ ตามเห็ น พร อ มซึ่ ง วิ ญ ญาณ ว า มี อ ยู ในตน หรือ ตามเห็น พรอ มซึ ่ง ตน วา มีอ ยู ใ นวิญ ญ าณ , วิญ ญ าณ นั ้น ยอ ม แตกสลายแกเขา เขายอมถึงการพินาศ เพราะขอนั้นเปนเหตุ แล.

- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๖๘/๒๓๗.


๒๖๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

ทุกขคือกระแสการปรุงแตงทางจิต (ไมมีบุคคลผูทุกข) กั ส ส ป ะ ! เมื ่ อ บุ ค ค ล มี ค ว า ม สํ า คั ญ มั ่ น ห ม า ย ม า แ ต ต  น ว า "ผู  นั ้ น ก ร ะ ทํ า ผู  นั ้ น เ ส ว ย (ผ ล )" ดั ง นี ้ เ สี ย แ ล ว เข า มี ว า ท ะ (คื อ ลั ท ธิ ย ื น ยั น อ ยู  ) ว า "ค ว า ม ทุ ก ข เป น สิ ่ ง ที ่ บ ุ ค ค ล ก ร ะ ทํ า เอ ง " ดั ง นี ้ : นั ้ น ย อ ม แ ล น ไป สู  (ค ล อ ง แ ห ง ) สั ส ส ต ะ (ทิ ฏ ฐิ ที ่ ถ ื อ ว า เ ที ่ ย ง ). กั ส ส ป ะ ! เ มื ่ อ บุ ค ค ล ถู ก เ ว ท น า ก ร ะ ท บ ใ ห ม ี ค ว า ม สํ า คั ญ มั ่ น ห ม า ย ว า "ผู  อื ่ น ก ร ะ ทํ า ผู  อื ่ น เ ส ว ย (ผ ล )" ดั ง นี ้ เ สี ย แ ล ว เข า มี ว า ท ะ (คื อ ลั ท ธิ ย ื น ยั น อ ยู  ) ว า "ค ว า ม ทุ ก ข เ ป น สิ ่ ง ที ่ บ ุ ค ค ล อื ่ น ก ร ะ ทํ า ใ ห " ดั ง นี ้ : นั ่ น ย อ ม แ ล น ไ ป สู  (ค ล อ ง แหง) อุจเฉทะ (ทิฏฐิที่ถือวาขาดสูญ).

กั ส สะปะ! ตถาคต ย อ ม แสดงธรรมโดยสายกลาง ไม เข า ไปหา ส วนสุ ดทั้ งสองนั้ น คื อ ตถาคตย อมแสดงดั งนี้ ว า "เพราะมี อวิ ชชาเป นป จจั ย จึ งมี สัง ข ารทั ้ง ห ล าย ; เพ ราะ ม ีส ัง ข ารเป น ป จ จัย จึง ม ีว ิญ ญ าณ : ....ฯ ล ฯ .... ฯล ฯ….ฯล ฯ.... เพ ราะมีช าติเ ปน ปจ จัย ชราม รณ ะ โส กะป ริเ ท วะทุก ขะ โทมนั ส สะอุ ป ายาสทั้ งหลาย จึ งเกิ ด ขึ้ น ครบถ วน : ความเกิ ด ขึ้ น พร อ มแห งกอง ทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมีดวยอาการอยางนี้.

www.buddhadasa.info เพราะความจางคลายดั บ ไปโดยไม เหลื อ แห ง อวิ ช ชานั้ น นั่ น เที ย ว, จึ ง มี ค วามดั บ แห งสั งขาร; เพราะมี ความดั บ แห งสั งขาร จึ งมี ค วามดั บ แห งวิ ญ ญาณ ; .... ฯ ล ฯ.... ฯล ฯ....ฯ ล ฯ ....เพ ราะมีค วาม ดับ แหง ช าตินั ่น แล , ชราม รณ ะ โสกะปริเทวะทุก ขะโทมนัส สะอุป ายาสทั ้ง หลาย จึง ดับ สิ ้น : ความดับ ลงแหง กองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมีดวยอาการอยางนี้." ดังนี้.

- นิทาน. สํ. ๑๖/๒๔/๕๐.


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๒๖๓

(พุ ทธศาสนามิ ได ถื อ ว า จิ ต เป นบุ คคล กระแสการปรุ ง แต ง ทางจิ ต เป นไปได เ องตาม ธรรมชาติ ผลที่ เ กิ ด ขึ้ น เป น ความทุ ก ข จึ ง มิ ใ ช ก ารกระทํ า ของบุ ค คลใด ; ดั ง นั้ น จึ ง มิ ใ ช ก ารกระทํ า ขอ งบ ุค ค ล ผู รู ส ึก เป น ท ุก ข ห รือ การกระทํ า ข อ งบ ุค ค ล อื ่น ใด ที ่ทํ า ให บ ุค ค ล อื ่น เป น ท ุก ข. นี ้เ ป น หลั ก สํ า คั ญ ของพุ ท ธศาสนาที่ ส อนเรื่ อ งอนั ต ตา ไม มี สั ต ว บุ ค คลที่ เป น ผู ก ระทํ า หรื อ ถู ก กระทํ า มี แ ต กระแสแห งอิ ทั ป ป จจยตาซึ่ ง จิ ต รู สึ ก ได เ ท านั้ น ; เป น เรื่ อ งสํ า คั ญ ที่ สุ ด ใน พุ ท ธศาสน า ที่ จะต อ ง ศึกษาใหเขาใจถึงที่สุด).

อุ ป วาณะ ! เรากล าวว า ความทุ ก ข เป น สิ่ งที่ อ าศั ยป จจั ย เกิ ด ขึ้ น (ปฏิ จ จ ส มุ ป ป น น ธ รรม ). ทุ ก ข นั้ น อ าศั ย ป จ จั ย อ ะ ไรเกิ ด ขึ้ น เล า? อุ ป วาณ ะ ! ทุ ก ข อาศัยปจจัยคือผัสสะเกิดขึ้น. .... ทุ ก ข ที่ ส มณพราหมณ พวกหนึ่ งบั ญ ญั ติ ว า ตนทํ า เอง ก็ เป น ทุ ก ข ที่ อ าศั ย ผัสสะเกิดขึ้น. ทุ ก ข ที่ ส มณพราหมณ พ วกหนึ่ งบั ญ ญั ติ ว า ผู อื่ น ทํ าให ก็ เป น ทุ ก ข ที่ อ าศั ย ผัสสะเกิดขึ้น.

www.buddhadasa.info ทุ ก ข ที่ ส มณพราหมณ พ วกหนึ่ ง บั ญ ญั ติ ว า ตนทํา เองด ว ยผู อื่ น ทํา ให ด ว ย ก็เปนทุกขที่อาศัยผัสสะเกิดขึ้น.

ทุกขที่สมณพราหมณพวกหนึ่งบัญญัติวาตนทําเองก็หามิไดผูอื่นทําใหก็ หามิได ก็เปนทุกขที่อาศัยผัสสะเกิดขึ้น. - นิทาน. สํ. ๑๖/๔๙/๘๗. (คํ า ว า ผั ส สะ ในที่ นี้ เป นส ว นหนึ่ ง แห ง ปฏิ จจสมุ ป บ าท หรื อ กระแสแห ง การปรุ ง แตง ใน ท างจิต , มิใ ชบ ุค ค ล ; ดัง นั ้น จึง กลา ววา ทุก ขนี ้ไ มม ีใ ค รทํ า ใหเ กิด ขึ ้น เป น เพ ีย งกระแส แหงการปรุงแตงทางจิต).


๒๖๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

ไมพนทุกขเพราะมัวเพลินในอายตนะ ภิ ก ษุ ท .! ผู ใ ด เพ ลิ ด เพ ลิ น อ ยู กั บ ต า , เพ ลิ ด เพ ลิ น อ ยู กั บ หู , เพลิ ด เพลิ น อยู กั บ จมู ก , เพลิ ด เพลิ น อยู กั บ ลิ้ น , เพลิ ด เพลิ น อยู กั บ กาย, และ เพ ลิด เพ ลิน อ ยู ก ับ ใจ ; ผู นั ้น ชื ่อ วา เพ ลิด เพ ลิน อ ยู  ใน สิ ่ง ที ่เ ปน ทุก ข. เรา ก ลา ว วา "ผู ใ ด เพ ลิด เพ ลิน อ ยู  ใน สิ ่ง ที ่เ ป น ทุก ข ผู นั ้น ยอ ม ไม ห ลุด พ น ไปไดจากทุกข" ดังนี้. ภิ ก ษุ ท .! ผู ใด เพ ลิ ด เพ ลิ น อ ยู กั บ รู ป , เพ ลิ ด เพ ลิ น อ ยู กั บ เสี ย ง, เพลิ ด เพลิ น อยู กั บ กลิ่ น , เพลิ ด เพลิ น อยู กั บ รส, เพลิ ด เพลิ น อยู กั บ โผฏฐั พ พะ, เพ ลิ ด เพ ลิ น อ ยู  ก ั บ ธ ร ร ม า ร ม ณ  ; ผู  นั ้ น ชื ่ อ ว า เพ ลิ ด เพ ลิ น อ ยู  ใ น สิ ่ ง ที่ เปน ทุก ข. เรา ก ลา วา "ผู ใ ด เพ ลิด เพ ลิน อ ยู  ใน สิ ่ง ที ่เ ปน ทุก ข ผู นั ้น ยอ ม ไมหลุดพนไปไดจากทุกข" ดังนี้แล. - สฬา.สํ. ๑๘/๑๖/๑๙, ๒๐.

www.buddhadasa.info อายตนะหกเปนทุกขอริยสัจ

ภิ ก ษุ ท.! อริ ย สั จ คื อ ทุ ก ข เป น อย า งไรเล า ? ควรจะกล า วว า ได แ ก อายตนะภายในหก. อายตนะภายในหกเหลา ไหนเลา ? หกคือ จัก ขุอ ายตนะ โสตะอายตนะ หานะอายตนะ ชิ ว หาอายตนะกายะอายตนะ มนะอายตนะ. ภิกษุ ท.! นี้เราเรียกวา อริยสัจคือ ทุกข.

- มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๓๕/๑๖๘๕.


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๒๖๕

กลุมอายตนะเปนของรอน ภิก ษุ ท.! สิ ่ง ทั ้ง ปวง เปน ของรอ น., ภิก ษุ ท.! ก็อ ะไรเลา ชื่อวาสิ่งทั้งปวง ซึ่งเปนของรอน? ภิก ษุ ท.! ตา เปน ของรอ น, รูป เปน ของรอ น, ความรู แ จง ทางตา เปน ของรอ น, สัม ผัส ทางตา เปน ของรอ น, เวทนาที ่เ กิด ขึ ้น เพราะสัม ผัส ทางตาเปน ปจ จัย เปน สุข ก็ต าม ทุก ขก็ต าม ไมใชสุข ไมใชทุก ข ก็ตาม ก็เปนของรอน. ภิ ก ษุ ท.! ร อ นเพราะอะไรเล า ? เรากล า วว า "ร อ นเพราะไฟคื อ ราคะ. รอ นเพราะไฟคือ โทสะ, รอ นเพราะไฟคือ โมหะ, รอ นเพราะความ เกิ ด เพราะความแก เพราะความตายเพราะความร่ําไรรําพั น เพราะความทุ ก ข กาย เพราะความทุกขใจ และเพราะความคับแคนใจ" ดังนี้.

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท.! หู เปน ของรอ น, เสีย ง เปน ของรอ น, ความรู แ จง ทางหู เปน ของรอ น, สัม ผัส ทางหู เปน ของรอ น, เวทนาที ่เ กิด ขึ ้น เพราะ สัม ผัส ทางหูเ ปน ปจ จัย เปน สุข ก็ต าม ทุก ขก ็ต ามไมใ ชส ุข ไมใ ชท ุก ขก็ต าม ก็เปนของรอน....

ภิ ก ษุ ท.! จมู ก เป น ของร อ น, กลิ่ น เป น ของร อ น, ความรู แ จ ง ทางจมูก เปนของรอน, สัมผัสทางจมูก เปนของรอน, เวทนาที่เกิดขึ้น เพราะ สัมผัสทางจมูกเปนปจจัย เปนสุขก็ตาม ทุกขก็ตาม ไมใชสุขไมใชทุกขก็ตาม ก็ เปนของรอน. ...


๒๖๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภ ิก ษ ุ ท .! ลิ ้น เป น ข อ ง รอ น , ร ส เป น ข อ ง รอ น , ค ว า ม รู แ จ ง ทางลิ้ น เป น ของร อ น, สั ม ผั ส ทางลิ้ น เป น ของร อ น, เวทนาที่ เ กิ ด ขึ้ น เพราะ สั ม ผั ส ทางลิ้ น เป น ป จ จั ย เป น สุ ข ก็ ต าม ทุ ก ข ก็ ต ามไม ใ ช สุ ข ไม ใ ช ทุ ก ข ก็ ต าม ก็ เปนของรอน.... ภิ ก ษุ ท.! กาย เป น ของร อ น, โผฏฐั พ พะ เป น ของร อ น, ความ รู แ จ ง ทั้ ง ทางกาย เป น ของร อ น, สั ม ผั ส ทางกาย เป น ของร อ น, เวทนาที่ เ กิ ด ขึ้ น เพราะสั ม ผั ส ทางกายเป น ป จ จั ย เป น สุ ข ทุ ก ข ก็ ต าม ไม ใ ช สุ ข ไม ใ ช ทุ ก ข ก็ ต าม ก็ เปนของรอน... ภิ กษุ ท.! ใจ เป นของร อ น, ธรรม ารม ณ เป นของร อ น, ค วาม รู แจ ง ทางใจ เป น ของร อ น, สั ม ผั ส ทางใจ เป น ของร อ น, เวทนาที่ เกิ ด ขึ้ น เพราะ สั ม ผั ส ทางใจเป น ป จ จั ย เป น สุ ข ก็ ต าม ทุ ก ข ก็ ต าม ไม ใ ช สุ ข ไม ใ ช ทุ ก ข ก็ ต าม ก็ เปนของรอน.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท .! ร อ น เพ รา ะ อ ะ ไรเล า ? เรา ก ล า ว ว า "ร อ น เพ รา ะ ไฟ คื อ ราคะ, ร อ นเพ ราะไฟ คื อ โทสะ, ร อ นเพ ราะไฟ คื อ โมหะ, ร อ นเพราะความเกิ ด เพ ราะค วาม แก เพ ราะค วาม ต าย เพ ราะค วาม โศ ก เพ ราะค วาม ร่ํ า ไรรํ า พั น เพราะความทุกขกาย เพราะความทุกขใจ และเพราะความคับแคนใจ" ดังนี้แล.

- สฬา. สํ. ๑๘/๒๓/๓๑.

กลุมอายตนะเปนของมืด ภ ิ ก ษ ุ ท . สิ ่ ง ทั ้ ง ป ว ง เ ป  น ข อ ง ม ื ด . ภ ิ ก ษ ุ ท .! ก ็ อ ะ ไ ร เ ล  า ชื่อวาสิ่งทั้งปวง ซึ่งเปนของมืด?


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๒๖๗

ภิ ก ษุ ท.! ตา เป น ของมื ด , รู ป เป น ของมื ด ความรู แ จ ง ทางตา เป นของมืด, สัมผั สทางตา เป นของมืด, เวทนาที่ เกิดขึ้นเพราะสั มผัสทางตาเป น ปจจัย เปนสุขก็ตาม ทุกขก็ตาม ไมใชสุขไมใชทุกขก็ตาม ก็เปนของมืด. ภิ ก ษุ ท.! มื ด เพราะอะไรเล า ? เรากล า วว า "มื ด เพราะความเกิ ด เพ ราะความ แก เ พ ราะความ ตาย เพ ราะความ โศก เพ ราะความ ร่ํ า ไรรํ า พั น เพราะความทุกขกาย เพราะความทุกขใจ และเพราะความคับแคนใจ" ดังนี้. (ในกรณี แห งหม วด หู จมู ก ลิ้ น กาย และใจ ก็ ไ ด ต รั ส เห มื อ นกั น กั บ ในกรณี แหงตา). - สฬา. สํ. ๑๘/๒๕/๓๒.

พิษลูกศรแหงความทุกขของบุถุชน ภิ ก ษุ ท.! ฐานะ ๕ ประการเหล า นี้ อั น สมณ ะ พ ราหมณ เทพ ม าร พ รห ม ห รื อ ใค ร ๆ ใน โล ก ไม พึ งได ต าม ป รารถน า มี อยู ห าป ระการ เห ลา ไห น เลา ? หา ป ระการคือ ส ม ณ ะ พ ราห ม ณ  เท พ ม าร พ รห ม ห รือ ใคร ๆ ในโลก ไมอาจไดตามปรารถนาวา "สิ่งที่ มี ความแกเป นธรรมดา อยาแกเลย, สิ่งที่มีความเจ็บไขเปนธรรมดา อยาเจ็บไขเลย, สิ่งที่มีความตายเปนธรรมดา อยาตาย เลย, สิ่งที่มีความสิ้นไปเปนธรรมดา อยาสิ้นไปเลย, สิ่งที่มีความวินาศเปนธรรมดา อยาวินาศเลย" ดังนี้.

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท.! สิ ่ง ที ่ม ีค วามแกเ ปน ธรรมดา ก็ย อ ม แกสํ า หรับ บุถ ุช นผู มิ ไ ด ส ดั บ . เมื่ อ สิ่ ง ที่ มี ค วามแก เป น ธรรมดาแก แ ล ว เขาก็ ไม พิ จ ารณาเห็ น โดย ประจั ก ษ ว า "ไม ใ ช สิ่ ง ที่ มี ค วามแก เ ป น ธรรมดา จะแก สํ า หรั บ เราผู เ ดี ย วเท า นั้ น ,


๒๖๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

โดยที ่แ ทแ ลว สิ ่ง ที ่ม ีค วามแกเ ปน ธรรมดา ยอ มแกสํ า หรับ สัต วทั ้ง หลายทั ้ง ปวง ที่ มี ก ารมา การไป การจุ ติ การอุ บั ติ , ก็ เ มื่ อ สิ่ ง ที่ มี ค วามแก เ ป น ธรรมดาแก แ ล ว เราจะมามั ว เศร า โสก กระวนกระวาย ร่ํ า ไรรํ า พั น ทุ บ อกร่ํ า ไห ถึ ง ความหลงใหล แมอ าหารก็ไ มย อ ย กายก็เ ศรา หมอง การงานก็ห ยุด ชงัก พ วกอมิต รก็ด ีใ จ มิ ต รสหายก็ เ ศร า ใจ" ดั ง นี้ . บุ ถุ ช นนั้ น เมื่ อ สิ่ ง ที่ มี ค วามแก เ ป น ธรรมดาแก แ ล ว ยอ มเศรา โศก กระวนกระวาย ร่ํ า ไรรํ า พัน เปน ผู ท ุบ อกร่ํ า ไห ยอ มถึง ความ หลงใหล. ภิก ษุ ท.! เรากลา วา บุถ ุช นผู ม ิไ ดส ดับ นี ้ ถูก ลูก ศรแหง ความโศก อันมีพิษเสียบแทงแลว ทําตนเองใหเดือดรอนอยู. (ในกรณี แ ห ง สิ่ ง ที่ มี ความเจ็ บ ไข เป น ธรรมดา มี ความตายเป น ธรรมดา มี ความ สิ ้น ไป เปน ธรรมดา มี ความวิน าศไปเปน ธรรมดา ก็ไ ดต รัส ไวด ว ยถอ ยคํ า อยา งเดีย วกัน กับ ใน กรณีแหงสิ่งที่มีความแกเปนธรรมดาขางบนนี้. และพระองค ยั ง ได ต รั ส ไว ในลั ก ษณะที่ ต รงกั น ข า มจากข อ ความนี้ สํ า หรั บ อริ ย สาวก ผูไดสดับ.) - ปฺจก. อํ. ๒๒/๕๙/๔๘.

www.buddhadasa.info สุขทุกขเนื่องจากการมีอยูแหงขันธ

ภ ิก ษ ุ ท .! เมื ่อ รูป ม ีอ ยู , ค ว า ม รู ส ึก ที ่เ ป น ส ุข ห รือ ท ุก ข ใ น ใ จ ยอมเกิดขึ้นเพราะอาศัยรูป;

ภิ ก ษุ ท .! เมื่ อ เวท น า มี อ ยู , ค วาม รู สึ ก ที่ เป น สุ ขห รื อ ทุ ก ข ใ น ใจ ยอมเกิดขึ้นเพราะอาศัยเวทนา; ภิก ษ ุ ท .! เมื ่อ สัญ ญ า มีอ ยู , ความ รู ส ึก ที ่เ ปน สุข ห รือ ทุก ขใ น ใจ ยอมเกิดขึ้นเพราะอาศัยสัญญา ;


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๒๖๙

ภิก ษุ ท.! เมื ่อ สัง ขารทั ้ง หลาย มีอ ยู . ความ รู ส ึก ที ่เ ปน สุข หรือ ทุกขในใจ ยอมเกิดขึ้นเพราะอาศัยสังขารทั้งหลาย; ภิ ก ษุ ท.! เมื่ อ วิ ญ ญาณ มี อ ยู , ความรู สึ ก ที เ ป น สุ ข หรื อ ทุ ก ข ใ นใจ ยอมเกิดขึ้น เพราะอาศัยวิญญาณ แล. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๒๑/๓๔๖.

ประพฤติพรหมจรรยนี้ เพื่อรอบรูทุกข ภิ ก ษุ ท.! ถ า พวกปริ พ าชกผู ถื อ ลั ท ธิ ศ าสนาอื่ น จะพึ ง ถามพวกเธอ อยางนี้วา "ผูมีอายุ ! ทานประพฤติพรหมจรรยในพระสมณโคดม เพื่อประโยชนอะไรเลา ? "ดัง นี ้. ภิก ษุ ท.! พวกเธอถูก ถามอยา งนี ้แ ลว จะตอ งตอบแกพ วกปริพ าชก เหลา นั ้น วา "ผู ม ีอ ายุ ! เราประพฤติพ รหมจรรยใ นพระผู ม ีพ ระภาค เพื ่อ รอบรูซึ่งทุกข" ดังนี้.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! ถ า พวกปริ พ าชกเหล า นั้ น จะพึ ง ถามต อ ไปว า "ผู มี อ ายุ ก็ทุกขซึ่งทานอยูประพฤติพรหมจรรยในพระสมณะโคดม เพื่ อจะรอบรูนั้น เปนอยางไรเลา?" ดัง นี ้. ภิก ษุ ท.! พวกเธอถูก ถามอยา งนี ้แ ลว จะตอ งตอบแกพ วกปริพ าชก เหลา นั ้น ตอ ไปวา "ผู ม ีอ ายุ ! ตา เปน ทุก ข. เราอยู ป ระพฤติพ รหมจรรยใ น พ ระ ผู  ม ี พ ระ ภ าค ก็ เ พื ่ อ รอ บ รู  ต า ซึ ่ ง เป น ทุ ก ข นั ้ น . รู ป เป น ทุ ก ข . เรา อยู ป ระพฤติ พ รหมจรรย ใ นพระผู มี พ ระภาค ก็ เ พื่ อ รอบรู รู ป ซึ่ ง เป น ทุ ก ข นั้ น . ความรู แ จง ทางตา เปน ทุก ข. เราอยู ป ระพฤติพ รหมจรรยใ นพระผู ม ีพ ระภาค ก็เ พื ่อ รอบรู ค วามรู แ จง ทางตา ซึ ่ง เปน ทุก ขนั ้น . สัม ผัส ทางตา เปน ทุก ข เรา อยู ป ระพฤติพ รหมจรรยใ นพระผู ม ีพ ระภาค ก็เ พื ่อ รอบรู ส ัม ผัส ทางตา ซึ ่ง เปน


๒๗๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

ทุกขนั้น, เวทนาที่เกิดขึ้น เพราะสัมผัสทางตาเปนปจจัย เปนสุขก็ตาม ทุกขก็ตาม ไมใ ชส ุข ไมใ ชท ุก ขก ็ต าม ก็เ ปน ทุก ข. เราอยู ป ระพฤติพ รหมจรรยใ นพระผู มี พ ระ ภ า ค ก ็เ พื ่อ รอ บ รู เ ว ท น า เช น นั ้น ซึ ่ง เป น ท ุก ขนั ้น . (ใน ก ร ณ ีที ่เ กี ่ย ว ก ับ อายตนะภายใน ภายนอก วิ ญ ญาณ สั ม ผั ส และ เวทนา อี ก ๕ หมวดนั้ น ก็ ต รั ส ทํ า นองเดี ย วกั บ ห ม ว ด แ ร ก นี ้ ) . ผู  ม ี อ ายุ ! เราอ ยู  ป ระพ ฤติ พ รห ม จรรย ใ น พ ระผู  ม ี พ ระภ าค นี้

ก็เพื่อรอบรูซึ่งทุกข" ดังนี้. ภิ ก ษุ ท .! ถ าพ วก เธอ ถู ก ถ าม อ ย างนี้ แล ว จะต อ งต อ บ แก พ วก ปริพาชกผูถือลัทธิศาสนาอื่นเหลานั้น ดวยอาการอยางนี้แล. - สฬา. สํ. ๑๘/๑๗๒/๒๓๘.

ทุกขชนิดปลายแถว (ทรงแสดงโดยภาษาคน) ภิกษุ ท.! ความยากจน เปนทุกขของคนผูบริโภคกามในโลก. "อยางนั้น พระเจาขา !"

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! คนจนเข็ ญ ใจไร ท รั พ ย ส มบั ติ ย อ มกู ห นี้ , การกู ห นี้ นั้ น เปนทุกขของคนบริโภคกามในโลก. "อยางนั้น พระเจาขา !"

ภิ ก ษุ ท.! คนจนเข็ ญ ใจไร ท รั พ ย ส มบั ติ กู ห นี้ แ ล ว ต อ งใช ด อกเบี้ ย , การตองใชดอกเบี้ย นั้น เปนทุกขของคนบริโภคกามในโลก.


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๒๗๑

"อยางนั้น พระเจาขา !" ภิ ก ษุ ท.! คนจนเข็ ญ ใจไร ท รั พ ย ส มบั ติ กู ห นี้ แ ล ว ต อ งใช ด อกเบี้ ย ไมอ าจใชด อกเบี ้ย ตามเวลา เจา หนี ้ก ็ท วง, การถูก ทวงหนี ้ นั ้น เปน ทุก ขข อง คนบริโภคกามในโลก. "อยางนั้น พระเจาขา !" ภิ ก ษุ ท.! คนจนเข็ ญ ใจไร ท รั พ ย ส มบั ติ ถู ก ทวงหนี้ อ ยู ไ ม อ าจจะใช ให เจาหนี้ยอมติดตาม, การถูกติดตาม นั้น เปนทุกขของคนบริโภคกามในโลก. "อยางนั้น พระเจาขา !"

ภิ ก ษุ ท.! คนจนเข็ ญ ใจไร ท รั พ ย ส มบั ติ ถู ก ติ ด ตามอยู ไ ม อ าจจะใช ให เจาหนี้ยอมจับกุม, การถูกจับกุม นั้น เปนทุกขของคนบริโภคกามในโลก. "อยางนั้น พระเจาขา !" ภิ กษุ ท.! ความยากจน ก็ ดี การกู ห นี้ ก็ ดี การต องใช ด อกเบี้ ย ก็ ดี การถูก ทวงหนี ้ ก็ด ี การถูก ติด ตาม ก็ด ี การถูก จับ กุม ก็ด ี, ทั ้ง หมดนี ้ เปน ทุกขของคนบริโภคกามในโลก.

www.buddhadasa.info (ทรงแสดงโดยภาษาธรรม) ภิ ก ษุ ท.! ฉั น ใดก็ ฉั น นั้ น : ความไม มี ศ รั ท ธา - หิ ริ - โอตตั ป ปะ วิร ิย ะ - ปญ ญ า,ในกุศ ลธรรม มีอ ยู แ กผู ใ ด; เรากลา วบุค คลผู นั ้น วา เปน คนจนเข็ญใจไรทรัพยสมบัติ ในอริยวินัย.


๒๗๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ ก ษุ ท .! ค น จ น ช นิ ด นั้ น เมื่ อ ไม ศ รั ท ธ า - หิ ริ - โอ ต ตั ป ป ะ วิ ริ ย ะ - ป ญ ญ า, ในกุ ศ ลธรรม เขาย อ มประพฤติ ก ายทุ ก จริ ต วจี ทุ จ ริ ต มโนทุจริต, เรากลาว การประพฤติทุจริต ของเขานี้ วาเปน การกูหนี้. เพื่ อจะป กป ดกายทุ จริ ต วจี ทุ จริ ต ม โน ทุ จริ ต ของเขา เขาตั้ ง ความ ปรารถนาลามก ปรารถนาไม ใ ห ใ ครรู จั ก เขา ดํ า ริ ไ ม ใ ห ใ ครรู จั ก เขา พู ดจาเพื่ อ ไมใ หใ ค รรู จ ัก เข า ข วน ข วาย ทุก อ ยา งเพื ่อ ไมใ หใ ค รรู จ ัก เข า, เราก ลา ว ก าร ปกปดความทุจริตอยางนี้ของเขานี้ วาเปน ดอกเบี้ยที่เขาตองใช. เพื ่อ น พ รห ม จ ารีผู ม ีศ ีล เป น ที ่ร ัก พ าก ัน ก ล า วป รารภ เขาอ ย า งนี ้ว า "ทา น ผู ม ีอ ายุนี ้ทํ าอะไร ๆ (น าเกลี ย ดน าชั ง ) อย า งนี้ มี ป รกติ ป ระพ ฤติ ก ระทํ า อะไร ๆ (น า เกลี ย ดน า ชั ง ) อย า งนี้ ", เรากล า ว การถู ก กล า วอย า งนี้ นี้ ว า เป น การถูกทวงหนี้. เขาจะไปอยู ป า ก็ ต าม อยู โ คนไม ก็ ต าม อยู เรื อ นว า ก็ ต าม อกุ ศ ลวิ ต ก อั น ลามกประกอบอยู ด ว ยความร อ นใจ ย อ ม เกิ ด ขึ้ น กลุ ม รุ ม จิ ต ใจเขา, เรากล า ว อาการอยางนี้ นี้ วาเปน การถูกติดตามเพื่อทวงหนี้.

www.buddhadasa.info ภิ กษุ ท.! คน จนชนิ ด นี้ ครั้ น ป ระพ ฤติ ก าย - วจี - ม โนทุ จริ ต แล ว ภายหลั ง แต ก ารตายเพราะการแตกทํ าลายแห งกาย ย อ ม ถู ก จองจํ า อยู ในนรก บ า ง ใน กําเนิดเดรัจฉาน บาง.


ภาค ๑ - ทุกขอริยสัจ

๒๗๓

ภิ ก ษุ ท.! เราไม ม องเห็ น การจองจํ า อื่ น แม อ ย า งเดี ย ว ที่ ท ารุ ณ อย า งนี้ เจ็ บ ปวดอย า งนี้ เป น อั น ตรายอย า งนี้ ต อ การบรรลุ โ ยคั ก เขมธรรมอั น ไม มี ธ รรม อื่นยิ่งกวา เหมือนการถูกจองจําในนรก หรือในกําเนิดเดรัจฉาน อยางนี้. (คาถาผนวกทายพระสูตร) ความยากจน และการกู ห นี้ ท า นกล า วว า เป น ความทุ ก ข ใ น โลก. คนจนกู ห นี้ ม าเลี้ ย งชี วิ ต ย อ มเดื อ ดร อ น เพราะเจ า หนี้ ติ ด ตาม บ า ง เพราะถู ก จั บ กุ ม บ า ง. การถู ก จั บ กุ ม นั้ น เป น ความทุ ก ข ข องคน บูชาการไดกาม. ถึ ง แม ใ นอริ ย วิ นั ย นี้ ก็ เ หมื อ นกั น : ผู ใ ด ไม มี ศ รั ท ธา ไม มี หิริ ไมมีโอตตัปปะ สั่งสมแตบาปกรรม กระทํากายทุจริต - วจีทุจริต มโนทุ จ ริ ต ปกป ด อยู ด ว ยการกระทํ า ทางกาย ทางวาจา ทางจิ ต เพื่ อ ไมใหผูใดรูจักเขา, ผูนั้น พอกพูนบาปกรรมอยูเนืองนิตย ในที่นั้น ๆ. คนชั่ วทํ าบาปกรรม รูสึกแตกรรมชั่วของตน เสมื อนคนยากจน กูหนี้มาบริโภคอยู ยอมเดือดรอน.

www.buddhadasa.info ความตริตรึกที่ เกิ ดจากวิปฏิ สาร อั นเป นเครื่องทรมานใจ ย อม ติดตามเขา ทั้งในบานและในปา. คนชั่ ว ทํ า บาปกรรม รู สึ ก แต ก รรมชั่ ว ของตน ไปสู กํ า เนิ ด เดรั จ ฉานบางอย า ง หรื อ ว า ถู ก จองจํ า อยู ใ นนรก. การถู ก จองจํ า นั้ น เปนทุกข ชนิดที่ธีรชนไมเคยประสบเลย.... - ฉกฺก. อํ. ๒๒/๓๙๒/๓๑๖.


๒๗๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

ทุกขอริยสัจเปนสิ่งที่ควรรอบรู ภิ ก ษุ ท.! อริ ย สั จ มี สี่ อ ย า งเหล า นี้ . สี่ อ ย า งเหล า ไหนเล า ? สี่ อ ย า ง คือ :- ทุก ขอริย สัจ ทุก ขสมุท ยอริย สัจ ทุก ขนิโ รธอริย สัจ และทุก ขนิโ รธคามินีปฏิปทาอริยสัจ. ภิกษุ ท.! เหลานี้แล คือ อริยสัจสี่อยาง. ภิ ก ษุ ท.! ในบรรดาอริ ย สั จ สี่ อ ย า งเหล า นี้ , อริ ย สั จ ที่ ใ คร ๆ ควร รอบรู  มีอ ยู . .... ภิก ษุ ท.! อริย สัจ ที ่ใ คร ๆ ควรรอบรู  เปน อยา งไรเลา ? ภิกษุ ท.! อริยสัจที่ใคร ๆ ควรรอบรูนั้น ไดแก อริยสัจคือ ทุกข. .... ภ ิก ษ ุ ท .! เพ รา ะ ฉ ะ นั ้น ใน ก รณ ีนี ้ พ ว ก เธ อ ทั ้ง ห ล า ย พ ึง ทํ า ความเพียรเพื่อใหรูตามที่เปนจริง วา 'ทุกข เปนเชนนี้ ๆ.....' ดังนี้เถิด. - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๔๖/๑๗๐๙.

นิทเทศ ๓

www.buddhadasa.info วาดวยหลักเบ็ดเตล็ดเกี่ยวกับความทุกข

จบ

ภาค ๑ วาดวยทุกขอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐคือทุกข จบ


คําชี้ชวนวิงวอน

____________ ภิกษุ ท.! โยคกรรม อันเธอพึงกระทํา เพื่อใหรูวา "นี้ทุกข นี้เหตุใหเกิดทุกข นี้ความดับสนิทแหงทุกข นี้ทางใหถึงความดับสนิทแหงทุกข." เทสิตํ โว มยา นิพฺพานํ เทสิโต นิพฺพานคามิมคฺโค

นิพพาน เราไดแสดงแลว ทางใหถึงนิพพาน เราก็ไดแสดงแลว แกเธอทั้งหลาย. กิจใด ที่ศาสดาผูเอ็นดู แสวงหาประโยชนเกื้อกูล อาศัยความเอ็นดูแลว จะพึงทําแกสาวกทั้งหลาย. กิจนั้น เราไดทําแลวแกพวกเธอ.

www.buddhadasa.info นั่น โคนไม; นั่น เรือนวาง.

พวกเธอจงเพียรเผากิเลส, อยาไดประมาท, อยาเปนผูที่ตองรอนใจ ในภายหลังเลย. อยํ โว อมฺหากํ อนุสาสนี

นี่แหละ วาจาเครื่องพร่ําสอนของเรา แกเธอทั้งหลาย. (มหาวาร.สํ. - สฬา.สํ.)

๒๗๕


๒๗๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

www.buddhadasa.info


ภาค ๒ วาดวย

สมุทยอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐ คือเหตุใหเกิดทุกข

www.buddhadasa.info ๒๗๗


ภาค ๒ มีเรื่อง :- นิทเทศ ๔ วาดวยลักษณะแหงตัณหา นิทเทศ ๕ วาดวยที่เกิดและการเกิดแหงตัณหา นิทเทศ ๖ วาดวยอาการที่ตัณหาทําใหเกิดทุกข นิทเทศ ๗ วาดวยทิฎฐิที่เกี่ยวกับตัณหา นิทเทศ ๘ วาดวยกิเลสทั้งหลายในฐานะสมุทัย

๔๑ เรื่อง ๕ เรื่อง ๓๑ เรื่อง ๘ เรื่อง ๑๕ เรื่อง

www.buddhadasa.info ๒๗๘


อริยสัจจากพระโอษฐ ภาค ๒ วาดวย

สมุทยอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐคือเหตุใหเกิดทุกข (มี ๕ นิทเทศ) ____________

อุทเทศแหงสมุทยอริยสัจ ภิ ก ษุ ท.! ความจริ ง อั น ประเสริ ฐ คื อ เหตุ ใ ห เ กิ ด ทุ ก ข เป น อย า งไร เล า ? ภิ ก ษุ ท.! ตั ณ หานี้ ใ ด ที่ ทํ า ให มี ก ารเกิ ด อี ก อั น ประกอบด ว ยความ กําหนัดเพราะอํานาจแหงความเพลิน ซึ่งมีปรกติทําใหความเพลิดเพลินในอารมณ นั้น ๆ, ไดแก ตัณหาในกาม ตัณหาในความมีความเปน ตัณหาในความไมมีไมเปน; นี้เรียกวา ความจริงอันประเสริฐคือเหตุใหเกิดทุกข.

www.buddhadasa.info - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๓๔/๑๖๘๐.

๒๗๙


๒๘๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

นิทเทศแหงสมุทยอริยสัจ ____________

นิทเทศ ๔ วาดวยลักษณะแหงตัณหา (มี ๔๑ เรื่อง)

ลักษณะการแตงตัณหา ภิ ก ษุ ท.! ตั ณ หานี้ ใ ด ทํ า ให มี ก ารเกิ ด อี ก ประกอบด ว ยความ กําหนัดเพราะอํานาจแหงความเพลิน มีปรกติทําใหเพลิดเพลินในอารมณนั้น ๆ. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๓๒/๕๑; และ ๑๙/๕๒๙/๑๖๖๕.

ตั ณ หา ย อ มปกคลุ ม บุ ค คล ผู ป ระพฤติ ต นเป น คนมั ว เมา เหมือนเครือเถามาลุวา (ใบดกขึ้นปกคลุมตนไมอยู) ฉะนั้น. เขาผูถูก ตัณหาปกคลุมแลว ยอมเรรอนไปสูภพนอยภพใหญ เหมือนวานรตองการ ผลไม เรรอนไปในปา ฉะนั้น.

www.buddhadasa.info ตัณ หา ซึ่งเปนของลามก สายซานไปไดทั่วโลกนี้ ครอบงํา ผูใดเขาแลว, ความโศกทั้งหลาย ยอมลุกลามแกบุคคลผูนั้น เหมือน หญาวีรณะ๑ ซึ่งงอกงาม แผกวางออกไปโดยเร็ว ฉะนั้น.

ต น ไม แม ถู ก ตั ด แล ว แต เมื่ อ รากยั ง มั่ น คง ไม มี อั น ตราย ยอมงอกงามขึ้นมาไดอีก ฉันใด; ความทุกขนี้ก็ฉันนั้น, เมื่อตัณหานุสัย (ซึ่งเปนรากเงาของมัน) ยังไมถูกถอนขึ้นแลว, มันยอมเกิดขึ้นร่ําไป.

๑. วีรณะ เปนชื่อซึ่งหมายถึงหญาที่ขึ้นรกแผกวางโดยเร็วชนิดหนึ่ง ยังไมทราบชื่อในภาษไทย.


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๒๘๑

ตั ณ หา ซึ่ งมี กระแสสามสิ บหกสาย มี กํ าลั งกล าแข็ ง ไหลไป ตามใจชอบ ของบุคคลใด มีอยู, ความดําริซึ่งอาศัยราคะ มีกระแสอัน ใหญหลวง ยอมพัดพาไป ซึ่งบุคคลนั้น อันมีทิฏฐิผิดเปนธรรมดา. กระแส (แห ง ตั ณ หา) ย อ มหลั่ ง ไหลไปในอารมณ ทั้ ง ปวง. เถาวัลย (คือตัณ หา) แตกขึ้นแลว ตั้งอยู. ทานทั้งหลาย เห็นเถาวัลย นั้นเกิดขึ้นแลว จงตัดรากมันเสีย ดวยปญญา. โสม นัส ซึ ่ง ซาบ ซา น และมีเ ยื ่อ ใย มีอ ยู แ กส ัต ว, สัต ว เหลานั้น จึงแสวงสุข เพราะอาศัยความยินดี, สัตวเหลานั้นแหละเปนผู เขาถึงชาติและชรา. หมู สั ต ว เผชิ ญ หน า ด ว ยตั ณ หา (เครื่ อ งให เกิ ด ความสะดุ ง ) ย อ มกระสั บ กระส า ย เหมื อ นกระต ายที่ ติ ด บ ว ง เผชิ ญ หน า นายพราน กระสั บ กระส า ยอยู ฉะนั้ น . สั ต ว ผู ข อ งแล ว ด ว ยสั ญ โญชน ก็ เข า ถึ ง ความทุกขอยูร่ําไป ตลอดกาลนาน แล. - ธ. ขุ. ๒๕/๖๐/๓๔.

สักกายสมุทัยไวพจนแหงตัณหา www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! สั ก กายสมุ ทั ย เป น อย า งไรเล า ? ตั ณ หานี้ ใ ด อั น เป น เครื่ อ งทํ า ให มี ก ารเกิ ด อี ก ประกอบอยู ด ว ยความกํ า หนดด ว ยอํ า นาจความเพลิ น ทํ า ให เพลิ น อย า งยิ่ ง ในอารมณ นั้ น ๆ ; ได แ ก การตั ณ หา ภวตั ณ หา วิ ภ วตั ณ หา ภิกษุ ท.! นี้เรากลาววา สักกายสมุทัย. - ขนฺธ. สํ ๑๗/๑๙๔/๒๘๖. (ในสู ต รอื่ น แทนที่ จ ะตรั ส ว า สั ก กายสมุ ทั ย แต ต รั ส เรี ย กว า สั ก กายสมุ ทั ย ยั น ตะ ก็มี. - ๑๗/๑๙๒/๒๗๖).


๒๘๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

เจาเหนือหัวของสัตวโลก "โล ก ถู ก อะไรชั ก นํ าไป ? โลก ถู ก อะไรฉุ ด ดึ งไป รอบ ๆ? สัตวโลกทั้งหมด ตกอยูในอํานาจของสิ่ง ๆ เดียวกันนั้น คืออะไร?" โลก ถู ก ตั ณ หาชั ก นํ า ไป, โลก ถู ก ตั ณ หาฉุ ด ดึ งไปรอบ ๆ. สัตวโลกทั้งหมด ตกอยูในอํานาจของสิ่ง ๆ เดียว สิ่งนั้น คือ ตัณหา. - สคา. สํ. ๑๕/๕๔/๑๘๒-๑๘๓.

สัญโญชนอยางเอก ภิ ก ษุ ท.! เราไม ม องเห็ น สั ญ โญ ชน อื่ น แม แ ต อ ย า งเดี ย ว ซึ่ ง เมื่ อ สั ต ว ทั้ ง หลาย ประกอบแล ว ย อ มแล น ไป ย อ มท อ งเที่ ย วไป ในวั ฏ ฏสงสาร ตลอดกาลนานอย า งนี้ เหมื อ นอย า ง ตั ณ หาสั ญ โญชน นี้ . ภิ ก ษุ ท.! เพราะว า สั ต ว ทั้ งหลายที่ ป ระกอบด วยตั ณ หาสั ญ โญชน แ ล ว ย อ มแล น ไป ย อ มท อ งเที่ ย วไป ในวัฏฏสงสาร ตลอดกาลนาน โดยแทจริง แล.

www.buddhadasa.info - อติวุ. ขุ. ๒๕/๒๓๖/๑๙๓.

เครื่องจูงใจสูภพ

"ข าแต พระองค ผู เจริญ! พระองค ตรัสอยู ว า 'เครื่องนํ าไปสู ภพ๑ เครื่องนํ า ไปสู ภพ' ดั งนี้ , ก็ เครื่ องนํ าไปสู ภพ เป นอย างไร? พระเจ าข า! และความดั บไม เหลื อ ของเครื่องนําไปสูภพนั้น เปนอยางไรเลา พระเจาขา?" ราธะ! ฉันทะ (ความพอใจ) ก็ดี ราคะ (ความกําหนัด) ก็ดี นันท ๑. อ รรถ ก ถ าแ กคํ า วา 'ภ วเน ตฺต ิ' ซึ ่ง ใน ที ่นี ้แ ป ล วา 'เค รื ่อ งนํ า ไป สู ภ พ ' วา 'ภ วรชฺข ุ' ซึ ่ง หมายถึง เชือก หรือบวงที่จะจูงสัตวไปสูภพ.


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๒๘๓

www.buddhadasa.info


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๒๘๓

ราธะ ! ฉั น ท ะ (ความ พ อใจ) ก็ ดี ราค ะ (ความ กํ าห นั ด ) ก็ ดี นั น ทิ (ความเพลิ น) ก็ ดี ตั ณ หาก็ ดี และอุ ปายะ (กิ เลสเป นเหตุ เข าไปสู ภพ) และอุ ปาทาน

อั น เป น เครื่ อ งตั้ ง ทั บ เครื่ อ งเข า ไปอาศั ย และเครื่ อ งนอนเนื่ อ งแห ง จิ ต ก็ ดี ใด ๆ ในรูป ในเวทนา ในสัญ ญ า ในสัง ขารทั ้ง หลาย และในวิญ ญ าณ ; กิเ ลส เหลานี้นี่เราเรียกวา 'เครื่องนําไปสูภพ.' ความดับไมเหลือของเครื่องนําไปสูภพ มีได เพราะความดับไมเหลือของกิเลสมีฉันทราคะเปนตนเหลานั้นเอง. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๓๓/๓๖๘.

พืชของภพ "ข า แต พ ระองค ผู เจริ ญ ! พระผู มี พ ระภาคเจ า กล า วอยู ว า 'ภพ - ภพ' ดั ง นี้ . ภพ ยอมมีได ดวยเหตุเพียงเทาไรเลา? พระเจาขา!"

อ าน น ท ! ถ าก รรม มี ก าม ธาตุ เป น วิ บ าก จั ก ไม ได มี แล วไซร . กามภพ จะพึงปรากฏไดแลหรือ? "หามิได พระเจาขา!"

www.buddhadasa.info อานนท ! ด ว ยเหตุ นี้ แ หละ กรรมจึ ง เป น เนื้ อ นา, วิ ญ ญ าณ เป น เมล็ด พืช , ตัณ หาเปน ยาง (สํ า หรับ หลอ เลี ้ย งเชื ้อ งอก) ของพืช . วิญ ญ าณ ของสั ต ว ทั้ ง หลาย มี อ วิ ช ชาเป น เครื่ อ งกั้ น มี ตั ณ หาเป น เครื่ อ งผู ก พั น ตั้ ง อยู แ ล ว ด ว ยธาตุ ชั้ น ทราม (กามธาตุ ), การบั ง เกิ ด ขึ้ น ในภพใหม ต อ ไป ย อ มมี ไ ด ด ว ย อาการอยางนี้.


๒๘๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

อานนท! ถา กรรม มีร ูป ธาตุเ ปน วิบ าก จัก ไมไ ดม ีแ ลว ไซร, รูป ภพ จะพึงปรากฏไดแลหรือ? "หามิได พระเจาขา!" อานน ท ! ด ว ยเห ตุ นี้ แ ห ละ กรรม จึ ง เป น เนื้ อน า, วิ ญ ญ าณ เป น เมล็ด พืช , ตัณ หาเปน ยาง (สํ า หรับ หลอ เลี ้ย งเชื ้อ งอก) ของพืช . วิญ ญ าณ ของสั ต ว ทั้ ง หลาย มี อ วิ ช ชาเป น เครื่ อ งกั้ น มี ตั ณ หาเป น เครื่ อ งผู ก พั น ตั้ ง อยู แ ล ว ด ว ยธาตุ ชั้ น กลาง (รู ป ธาตุ ). การบั ง เกิ ด ขึ้ น ในภพใหม ต อ ไป ย อ มมี ไ ด ด ว ย อาการอยางนี้. อ าน น ท! ถา ก รรม มีอ รูป ธ า ตุเ ป น วิบ าก จัก ไมไ ดม ีแ ลว ไซ ร, อรูปภพ จะพึงปรากฏไดแลหรือ? "หามิได พระเจาขา!" อานน ท ! ด ว ยเห ตุ นี้ แ ห ละ กรรม จึ ง เป น เนื้ อห า, วิ ญ ญ าณ เป น เมล็ด พืช , ตัณ หาเปน ยาง (สํ า หรับ หลอ เลี ้ย งเชื ้อ งอก) ของพืช . วิญ ญ าณ ของสั ต ว ทั้ ง หลาย มี อ วิ ช ชาเป น เครื่ อ งกั้ น มี ตั ณ หาเป น เครื่ อ งผู ก พั น ตั้ ง อยู แ ล ว ดว ยธาตุชั ้น ประณ ีต (อรูป ธาตุ), การบัง เกิด ขึ ้น ในภพใหมต อ ไป ยอ มมีไ ด ดวยอาการอยางนี้.

www.buddhadasa.info อานนท! ภพ ยอมมีได ดวยอาการอยางนี้แล. - ติก. อํ. ๒๐/๒๘๗/๕๑๖.


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๒๘๕

เชื้องอกของพืช "ข า แต พ ระองค ผู เจริ ญ พระผู มี พ ระภาคเจ า กล า วอยู ว า 'ภพ - ภพ' ดั ง นี้ . ภพ ยอมมีได ดวยเหตุเพียงเทาไรเลา? พระเจาขา "

อาน น ท! ถา กรรม มีก าม ธาตุเ ปน วิบ าก จัก ไมไ ดม ีแ ลว ไซร, ภามภพ จะพึงปรากฏไดแลหรือ? "หามิได พระเจาขา!" อานนท ! ด ว ยเหตุ นี้ แ หละ กรรมจึ ง เป น เนื้ อ นา, วิ ญ ญ าณ เป น เมล็ด พืช , ตัณ หาเปน ยาง (สํ า หรับ หลอ เลี ้ย งเชื ้อ งอก) ของพืช . ความเจตนา ก็ ดี ความปรารถนาก็ ดี ของสั ต ว ทั้ ง หลาย ที่ มี อ วิ ช ชาเป น เครื่ อ งกั้ น มี ตั ณ หา เปน เครื ่อ งผูก พัน ตั ้ง อยู แ ลว ดว ยธาตุชั ้น ทราม , การบัง เกิด ในภ พ ให ม ตอไป ยอมมีได ดวยอาการอยางนี้. อานนท! ถา กรรม มีร ูป ธาตุเ ปน วิบ าก จัก ไมไ ดม ีแ ลว ไซร, รูป ภพ จะพึงปรากฏไดแลหรือ? "หามิได พระเจาขา!"

www.buddhadasa.info อานนท ! ด ว ยเหตุ นี้ แ หละ กรรมจึ ง เป น เนื้ อ หนา, วิ ญ ญ าณ เป น เมล็ด พืช , ตัณ หาเปน ยาง (สํ า หรับ หลอ เลี ้ย งเชื ้อ งอก) ของพืช . ความเจตนา ก็ ดี ความปรารถนาก็ ดี ของสั ต ว ทั้ ง หลาย ที่ มี อ วิ ช ชาเป น เครื่ อ งกั้ น มี ตั ณ หา เปน เครื ่อ งผูก พัน ตั ้ง อยู แ ลว ดว ยธาตุชั ้น กลาง, การบัง เกิด ขึ ้น ในภพใหม ตอไป ยอมมีได ดวยอาการอยางนี้.


๒๘๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

อ าน น ท! ถา กรรม มีอ รูป ธาตุเ ปน วิบ าก จัก ไมไ ดม ีแ ลว ไซร. อรูปภพ จะพึงปรากฏไดแลหรือ? “หามิได พระเจาขา!" อานนท ! ด ว ยเหตุ นี้ แ หละ กรรมจึ ง เป น เนื้ อ นา, วิ ญ ญ าณ เป น เมล็ด พืช , ตัณ หาเปน ยาง (สํ า หรับ หลอ เลี ้ย งเชื ้อ งอก) ของพืช . ความเจตนา ก็ ดี ความปรารถนาก็ ดี ของสั ต ว ทั้ ง หลาย ที่ มี อ วิ ช ชาเป น เครื่ อ งกั้ น มี ตั ณ หา เปน เครื ่อ งผูก พัน ตั ้ง อยู แ ลว ดว ยธาตุชั ้น ประณีต . การบัง เกิด ขึ ้น ในภพใหม ตอไปยอมมีได ดวยอาการอยางนี้. อานนท! ภพ ยอมมีได ดวยอาการอยางนี้แล. - ติก. อํ. ๒๐/๒๘๘/๕๑๗.

ที่เกิดแหงอุปธิ

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท .! ภิ ก ษุ ใน ธ รรม วิ นั ย นี้ เมื่ อ พิ จ ารณ าสื บ ต อ ไป ย อ ม พิ จ ารณาลึ ก ลงไปอี ก ว า "อุ ป ธิ นี้ เล า มี อ ะไรเป น เหตุ ใ ห เกิ ด ? มี อ ะไรเป น เครื่ อ ง กอ ใหเ กิด ? มีอ ะ ไรเปน เค รื ่อ งกํ า เนิด ? แ ล ะ มีอ ะ ไรเปน แ ด น เกิด ? เมื ่อ อะไรมีอยู อุปธิก็มีอยู? เมื่ออะไรไมมี อุปธิก็ไมมี?" ดังนี้.

ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ นั้ น เมื่ อ พิ จ ารณาอยู ย อ มรู ไ ด ชั ด อย า งนี้ ว า "อุ ป ธิ มี ตั ณ หาเป น เหตุ ใ ห เ กิ ด , มี ตั ณ หาเป น เครื่ อ งก อ ให เกิ ด , มี ตั ณ หาเป น เครื่ อ ง กํ า เนิด , แล ะม ีต ัณ ห าเป น แด น เกิด ; เมื ่อ ตัณ ห ามีอ ยู  อุป ธิก ็ม ีอ ยู , เมื ่อ ตัณหาไมมี อุปธิก็ไมมี, ดังนี้แล. - นิทาน. สํ. ๑๖/๑๓๑/๒๕๗.


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๒๘๗

ที่เกิดแหงอุปาทาน ภ ิก ษ ุ ท .! อุป าท าน สี ่อ ยา งเห ล า นี ้ ม ีอ ะไรเป น เห ต ุใ ห เ ก ิด ? มี อะไรเปน เครื ่อ งกอ ใหเ กิด ? มีอ ะไรเปน เครื ่อ งกํ า เนิด ? และมีอ ะไรเปน แดน เกิดเลา? ภิ ก ษุ ท.! อุ ป าทานสี่ เหล า นี้ มี ตั ณ หาเป น เหตุ ใ ห เ กิ ด , มี ตั ณ หา เปนเครื่องกอใหเกิด, มีตัณหาเปนเครื่องกําเนิด, และมีตัณหาเปนแดนเกิด. ภิ ก ษุ ท.! ก็ ตั ณ หานี้ เล า มี อ ะไรเป น เหตุ ใ ห เกิ ด ? มี อ ะไรเป น เครื่ อ ง กอใหเกิด? มีอะไรเปนเครื่องกําเนิด? และมีอะไรเปนแดนเกิด? ภิ ก ษุ ท.! ตั ณ หานี้ มี เ วทนาเป น เหตุ ใ ห เ กิ ด , มี เ วทนาเป น เครื่ อ ง กอใหเกิด, มีเวทนาเปนเครื่องกําเนิด, และมีเวทนาเปนแดนเกิด แล.

www.buddhadasa.info ที่เกิดแหงอาหาร - มู. ม. ๑๒/๑๓๔/๑๕๘.

ภิ ก ษุ ท.! อาหารสี่ อ ย า งเหล า นี้ มี อ ยู เพื่ อ ความตั้ ง อยู ไ ด ข องสั ต ว ผู เกิ ด แล ว บ า ง เพื่ อ อนุ เคราะห สั ต ว ผู กํ า ลั ง แสวงหาที่ เกิ ด (สั ม ภเวสี )บ า ง. อาหาร สี่ อ ย า งอะไรเล า ? สี่ อ ย า งคื อ อาหารที่ ห นึ่ ง คื อ อาหารคํ า ข า ว หยาบก็ ต าม ละเอี ย ดก็ ต าม, อาหารที่ ส อง คื อ ผั ส สะ, อาหารที่ ส าม คื อ มโนสั ญ เจตนา (มโนกรรม), อาหารทีสี ่ คือ วิญ ญ าณ ; ภิก ษุ ท.! อาหารสี ่อ ยา งเหลา นี้ แล มี อ ยู เพื่ อ ความตั้ ง อยู ไ ด ข องสั ต ว ผู เกิ ด แล ว บ า ง เพื่ อ อนุ เคราะห สั ต ว ผู กํ า ลั ง แสวงหาที่เกิดบาง.


๒๘๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ ก ษุ ท.! ก็ อ าหารสี่ อ ย า งเหล า นี้ มี อ ะไรเป น เหตุ ใ ห เ กิ ด (นิ ท าน)? มีอ ะไรเป น เค รื ่อ งกอ ใหเ กิด (ส ม ุท ัย )? ม ีอ ะ ไรเป น เค รื ่อ งกํ า เน ิด (ช าติก ะ )? แ ล ะ ม ีอ ะ ไร เป น แ ด น เก ิด (ป ภ พ )? ภ ิก ษ ุ ท .! อ า ห า ร สี ่อ ย า ง เห ล า นี ้ มี ตั ณ ห าเป น เห ตุ ให เกิ ด , มี ตั ณ หาเป นเครื่ อ งก อ ให เ กิ ด , มี ตั ณ หาเป นเครื่ อ ง กําเนิด, และมีตัณหาเปนแดนเกิด แล. - นิทาน. สํง ๑๖/๑๔/๒๘-๒๙.

ตัณหาโดยวิภาคแหงอารมณหกอยาง ภิกษุ ท.! ตัณหา เปนอยางไรเลา? ภิ ก ษุ ท.! หมู แ ห ง ตั ณ หาหกอย า งเหล า นี้ คื อ ตั ณ หาในรู ป , ตั ณ หา ในเสี ย ง, ตั ณ หาในกลิ่ น , ตั ณ หาในรส, ตั ณ หาในโผฏฐั พ พะ, และตั ณ หาใน ธรรมารมณ.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! นี้ เรียกวา ตัณหา.

- นิทาน. สํ. ๑๖/๓/๑๐.

ภพโดยวิภาค สามอยาง ภิกษุ ท.! ภพ เปนอยางไรเลา? ภิกษุ ท.! ภพ มีสามอยางเหลานี้ คือ:-


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๒๘๙

๑. กามภพ ภพมีกาม; ๒. รูปภพ ภพมีรูป; ๓. อรูปภพ ภพไมมีรูป. ภิกษุ ท.! นี้เรียกวา ภพ. - นิทาน. สํ. ๑๖/๓/๘.

ตัณหาโดยวิภาค สามอยาง ภิ ก ษุ ท.! ตั ณ หามี ส ามอย า งเหล า นี้ , สามอย า งเหล า ไหนเล า ? สามอยางคือ :๑. กามตัณหา ตัณหาในกาม; ๒. ภวตัณหา ตัณหาในความมีความเปน; ๓. วิภวตัณหา ตัณหาในความไมมีไมเปน. ภิกษุ ท.! เหลานี้แล คือ ตัณหาสามอยาง.๑

www.buddhadasa.info -

มหาวาร. สํ. ๑๙/๘๖/๓๒๙.

๑. ตัณหาสามคือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา. ก า ม ตั ณ ห า เป น อ ย า ง ไ ร ? คื อ ร า ค ะ ส า ร า ค ะ ฯ ล ฯ ส า ร า ค ะ แ ห ง จิ ต ที ่ ป ร ะ ก อ บ ดวย กามธาตุ : นี้ เรียกวา กามตัณหา. ภ ว ตั ณ ห า เป น อ ย า ง ไ ร ? คื อ ร า ค ะ ส า ร า ค ะ ฯ ล ฯ ส า ร า ค ะ แ ห ง จิ ต ที ่ ป ร ะ ก อ บ ดวย ภาวทิฏฐิ : นี้ เรียกวา ภวตัณหา. วิ ภ วตั ณ หา เป น อย า งไร? คื อ ราคะ สาราคะ ฯลฯ สาราคะแห ง จิ ต ที่ ป ระกอบ ดวย อุจเฉททิฏฐิ : นี้ เรียกวา วิภวตัณหา. - นัย วิภงฺค. อภิมฺม. ๓๕/๔๙๕/๙๓๓-๔.


๒๙๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

ลักษณะแหงกามตัณหา ภิกษุ ท.! ภามโยคะ (การประกอบอยูดวยกาม) เปนอยางไรเลา? ภิก ษุ ท.! บุค คลบางคนในโลกนี ้ ยอ มไมรู แ จง ชัด ตามที ่เ ปน จริง ซึ ่ง ความ ก อ ขึ้ น แห ง กามทั้ ง หลาย ซึ่ ง ความดั บ ไปแห ง กามทั้ ง หลาย ซึ่ ง รสอร อ ยแห ง กาม ทั้ ง หลาย ซึ่ ง โทษแห ง กามทั้ ง หลาย และซึ่ ง อุ บ ายเครื่ อ งออกพ น ไปได จ ากกาม ทั้ ง หลาย. ภิ ก ษุ ท.! เมื่ อ เขาไม รู อ ยู อ ย า งนั้ น , ความกํ า หนั ด ในกาม ความ เพลินในกาม ความเสนหาในกาม ความสยบในกาม ความหิวกระหายในกาม ความเรารอนเพราะกาม ความเมาหมกในกาม และกามตัณหา ในกามทั้งหลาย ยอมนอนเนื่องอยูในบุคคลนั้น. ภิกษุ ท. นี้ เราเรียกวา กามโยคะ, ดังนี้แล. - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๓/๑๐.

กามคุณหาคือบวง ภิ ก ษุ ท.! กามคุ ณ มี ห า อย า งเหล า นี้ . ห า อย า งเหล า ไหนเล า ? ห า อยา งคือ รูป ที ่เ ห็น ดว ยตา, เสีย งที ่ฟ ง ดว ยหู, กลิ ่น ที ่ด มดว ยจมูก , รสที ่ลิ ้ม ดว ยลิ ้น , และโผฏฐัพ พะที ่ส ัม ผัส ดว ยกาย, อัน เปน สิ ่ง ที ่น า ปรารถนา นา รัก ใคร นา พอใจ ที ่ย วนตายวนใจใหร ัก เปน ที ่เ ขา ไปตั ้ง อาศัย อยู แ หง ความใคร เปนที่ตั้งแหงความกําหนัดยอมใจ. ภิกษุ ท.! เหลานี้แล คือกามคุณหาอยาง.

www.buddhadasa.info ภ ิก ษ ุ ท .! ส ม ณ ะห รือ พ ราห ม ณ พ วกใด พ วกห นึ ่ง ติด อ กติด ใจ สยบอยู เมาหมกอยู ในกามคุ ณ ห า อย า งเหล า นี้ แ ล ว ก็ ไม ม องเห็ น ส วนที่ เป น โทษ ไม เป น ผู รู แ จ ม แจ ง ในอุ บ ายเป น เครื่ อ งออกพ น ไปได จ ากทุ ก ข ทํ า การบริ โภคกาม-


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๒๙๑

คุ ณ ทั้ ง ห า นั้ น อยู ; สมณะหรื อ พราหมณ พ วกนั้ น อั น คนทั้ ง หลายพึ ง เข า ใจเถิ ด ว า เป นผู จะถึ งความพิ นาศย อยยั บ แล วแต มารผู ใจบาป ต องการจะทํ าตามอํ าเภอใจ อยางใด. ภิก ษุ ท.! เปรีย บไดดั ่ง เนื ้อ ปา ตัว ที ่ต ิด บว ง นอนจมอยู ใ นบว ง เมื ่อ น ายพ ราน ม าถึง เขา , มัน จะห น ีไ ป ไห น ไม พ น เล ย ฉัน ใด ; ภ ิก ษ ุ ท .! สมณะหรือ พราหมณเ หลา นั ้น ก็ฉ ัน นั ้น เหมือ นกัน , พวกเขา พากัน ติด อกติด ใจ สยบอยู เมาหมกอยู ในกามคุ ณ ห า อย า งเหล า นั้ น แล ว ก็ ไ ม ม องเห็ น ส ว นที่ เป น โทษ ไม เป น ผู รู แ จ ม แจ ง ในอุ บ ายเป น เครื่ อ งออกพ น ไปได จ ากทุ ก ข ทํ า การ บริ โภคกามคุ ณ ทั้ ง ห า นั้ น อยู ; สมณะหรื อ พราหมณ พ วกนั้ น อั น คนทั้ ง หลายพึ ง เข าใจเถิ ดว า เป นผู จะถึ งความพิ นาศย อยยั บ แล วแต มารผู ใจบาป ต องการจะทํ า ตามอําเภอใจอยางใด แล. - มู. ม. ๑๒/๓๓๓/๓๒๗-๘.

กามเปนเครื่องผูก

www.buddhadasa.info เครื ่อ งผูก อัน ใด เกิด แตเ หล็ก เกิด แตไ ม และเกิด แต หญาปพพชนะก็ตาม, ผูมีปญญาทั้งหลาย ไมกลาวเครื่องผูกอันนั้น วา เปนเครื่องผูกอันมั่นคงเลย. ส ว นความยิ น ดี ข องบุ ค คลผู ยิ น ดี แ ล ว ในตุ ม หู แ ก ว มณี เปน ตน ดว ย และความเยื่อ ใยในบุต รและภรรยาดว ย, ผูมีปญ ญา ทั้งหลาย กลาวความยินดีและเยื่อใยอันนั้น วาเปนเครื่องผูกอันมั่นคง ที่จะฉุดสัตวลงสูที่ต่ําไดโดยแท ซึ่งผูกไวหยอน ๆ แตแกไดยาก แล. - สคา. สํ. ๑๕/๑๑๒/๓๕๓.


๒๙๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

กามเปนมายา ภิ ก ษุ ท.! กามทั้ ง หลาย เป น ของไม เ ที่ ย ง เป น ของเปล า ๆ ปลี้ ๆ เป นของเท็ จ เป น สิ่ งที่ มี ก ารหลอกให ห ลงเป น ธรรมดา. ภิ ก ษุ ท.! กามนั้ น เป น เหมื อ นสิ่ ง ที่ ทํ า แล ว ด ว ยมายา เป น ที่ พ ร่ํ า บ น หาของคนพาล, ได แ ก กาม และ สั ญ ญาในกาม ทั้ ง ที่ เป น ไปในภพป จ จุ บั น นี้ และที่ เป น ไปในภพเบื้ อ งหน า . กาม และสั ญ ญาในกาม ทั้ งสองอย างนั้ น เป น อาณาจั กรของมาร เป น วิ สั ยของมาร เป น เยื่ อ ของมาร และเป น ที่ เที่ ย วหาอาหารของมาร. จิ ต อั น เป น บาปอกุ ศ ล เป น อภิ ช ฌาก็ ดี พยาบาทก็ ดี และสารั ม ภะ (การแข ง ดี ) ก็ ดี เหล า นี้ ย อ มเป น ไป ใน อ าณ าจัก รของม ารนั ้น . อ นึ ่ง อ กุศ ล ธรรม เห ลา นั ้น ยอ ม มีขึ ้น เพื ่อ เปน อันตราย แกพระอริยสาวก ผูตามศึกษาอยู ในธรรมวินัยนี้ได โดยแท แล. - อุปริ. ม. ๑๔/๗๔/๘๑.

ไมมีความเย็นในกาม

www.buddhadasa.info มาคั ณ ฑิ ย ะ? ท า นจะสํ า คั ญ ความข อ นี้ ว า อย า งไร คื อ ท า นเคยได เห็ น หรื อ เคยได ฟ ง บ า งหรื อ ไม ว า พระราชาก็ ดี อํ า มาตย ผู ใหญ ข องพระราชาก็ ดี ผู เอิ บ อิ่ ม เพี ย บพร อ มด ว ยกามคุ ณ ๕ ให เขาบํ า เรออยู , ยั ง ละกามตั ณ หาไม ไ ด ยั งบรรเทาความเร า ร อ นเพราะกามไม ได แล วจะเป น ผู ป ราศจากความกระหาย มี จิ ต สงบเย็ น อยู ณ ภายใน ในอดี ต ก็ ต าม กํ า ลั ง อยู ใ นป จ จุ บั น ก็ ต าม หรื อ จั ก อยู ในอนาคตก็ตาม นั้นมีอยูบางหรือ?" "ขอนั้น ไมเคยมีเลย ทานโคดม!"


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๒๙๓

ม าคัณ ฑ ิย ะ! ถูก แลว , แมเ ราเอ ง ก็ไ มเ คยใหเ ห็น ไมเ ค ยไดฟ ง เช น นั้ น เลยว า พระราชาก็ ดี อํ า มาตย ผู ใ หญ ข องพระราชาก็ ดี ผู เอิ บ อิ่ ม เพี ย บพร อ มด ว ยกามคุ ณ ๕ ให เขาบํ า เรออยู , ยั ง ละกามตั ณ หาไม ได ยั ง บรรเทาความ เร า ร อ นเพราะกามไม ไ ด แล ว จะเป น ผู ป ราศจากความกระหาย มี จิ ต สงบเย็ น อยู ณ ภายใน ในอดี ต ก็ ต าม กํ า ลั ง อยู ในป จ จุ บั น ก็ ต าม หรื อ จั ก อยู ในอนาคตก็ ต าม ดังนี้แล. - ม. ม. ๑๓/๒๘๐/๒๘๖.

คนกลาวคําเท็จเพราะกาม "ข าแต พระองค ผู เจริ ญ! หม อมฉั น นั่ งแล ว ในที่ วิ นิ จฉั ยอรรถคดี นั่ นแหละ ได เห็ นพวกกษั ตริย มหาศาลบ าง พวกพราหมณ มหาศาลบ าง พวกคฤหบดี มหาศาลบ าง ซึ่ ง เปนผูมั่งคั่ง มี ทรัพยมาก มี โภคะมาก มีทองเงินเพี ยงพอ มี อุปกรณ ในการหาทรัพยมาก มาย มี ขาวเปลื อกเป นหลั กทรัพย อยู มากมายทํ าการกล าวเท็ จทั้ งที่ รูวาเป นเท็ จ เพราะกาม เป นเหตุ เพราะกามเป นต นเหตุ เพราะกามเป นเครื่องทํ าให พู ดออกมา. ข าแต พระองค ผูเจริญ! ความคิดไดเกิดขึ้นแกหม อมฉัน วา 'บัดนี้พอแลว ในการวินิจฉัยอรรถคดี, บัดนี้ ภัทรมุข (วิฑูฑภะ) จักปรากฏตัว ในการวินิจฉัยอรรคดีสืบไป' ดังนี้."

www.buddhadasa.info ม ห าราช ! ขอ นั ้น เปน อ ยา งนั ้น , ม ห าราช ! ขอ นั ้น เปน อ ยา ง นั ้น ; มหาราช! คือ ขอ ที ่พ วกกษัต ริย ม หาศาลบา ง พวกพราหมณ ม หาศาล บ า ง พวกคฤหบดี ม หาศาลบ า ง ซึ่ ง เป น ผู มั่ ง คั่ ง มี ท รั พ ย ม ากมี โ ภคะมาก มี ท อง เงิ น เพี ย งพอ มี อุ ป กรณ ใ นการหาทรั พ ย ม ากมาย มี ข า วเปลื อ กเป น หลั ก ทรั พ ย อ ยู มากมายทํ า การกล า วเท็ จ ทั้ ง ที่ รู ว า เป น เท็ จ เพราะกามเป น เหตุ เพราะกามเป น


๒๙๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

ตน เห ตุ เพ รา ะ ก า ม เป น เค รื ่อ งทํ า ใหพ ูด อ อ ก ม า . ก า รทํ า เชน นี ้ ข อ งค น เห ลา นั ้น จัก เปน ไป เพื ่อ ค วาม ทุก ข อัน ไมเ ปน ป ระโย ช นเ กื ้อ กูล ต ล อ ด กาลนาน; ครั้นตรัสดังนี้แลว ไดตรัสตอไปซึ่งเปนคํารอยกรอง วา :-

"ผูย อมติ ดอยูในการบริโภคกาม พั วพั น เมาหมกอยู ในกาม ทั้งหลาย ยอมไมรูสึกความหลวมตัวของตัว ดั่งมัศยาชาติ พลัดเขาสู เครื ่อ งดัก ฉะนั ้น . ความเดือ ดรอ น ยอ มมีแ กเ ขา ในภายหลัง เพราะวา ผล ที่เขาสรางไว เปนความชั่ว" ดังนี้แล. - สคา. สํ. ๑๕/๑๐๗/๓๔๓-๓๔๕.

อิทธิพลของกาม "ข า แต พ ระองค ผู เจริ ญ ! ความคิ ด ในกรณี เช น นี้ ได เกิ ด ขึ้ น แล ว แก ห ม อ มฉั น ผู ไปสู ที ่เ รน ลับ วา 'สัต วเ หลา ใด ไดโ ภคะอัน มโหฬารแลว ไมเ มาอยู ด ว ย ไมม ัว เมาอยู ด ว ย ไม ถึ ง ความยิ น ดี ในกามทั้ ง หลายด ว ย และไม ป ฏิ บั ติ ผิ ด ในสั ต ว ทั้ ง หลายด ว ย, สั ต ว เหล า นั้ น มีน อ ยนัก ในโลก. อัน ที ่จ ริง สัต วเ หลา ใด ไดโ ภคะอัน มโหฬารแลว เมาอยู ด ว ย มัว เมา อยู ด วย ถึ งความยิ นดี ในกามทั้ งหลายด วย และปฏิ บั ติ ผิ ดในสั ตว ทั้ งหลายด วย, สั ตว เหล านั้ น มีอยูมากในโลก' ดังนี้."

www.buddhadasa.info ม ห า ร า ช ! ข อ นั ้น เป น อ ย า ง นั ้น , ม ห า ร า ช ! ข อ นั ้น เป น อย า งนั้ น ; มหาราช! คื อ ข อ ที่ สั ต ว เ หล า ใด ได โ ภคะอั น มโหฬารแล ว ไม เ มา อยู ด วย ไม มั วเมาอยู ด วย ไม ถึ งความยิ นดี ในกามทั้ งหลายด วย และไม ปฏิ บั ติ ผิ ดใน สัต วทั ้ง หลายดว ย, สัต วเ หลา นั ้น มีน อ ยนัก ในโลก. อัน ที ่จ ริง สัต วเ หลา ใด


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๒๙๕

ไดโ ภคะอัน มโหฬารแลว เมาอยู ด ว ย มัว เมาอยู ด ว ย ถึง ความยิน ดีใ นกาม ทั้ ง หลายด ว ย และปฏิ บั ติ ผิ ด ในสั ต ว ทั้ ง หลายด ว ย, สั ต ว เหล า นั้ น มี อ ยู ม ากใน โลก; ครั้นตรัสดังนี้แลว ไดตรัสตอไป ซึ่งเปนคํารอยกรอง วา :-

"ผูยอมติดอยูในการบริโภคกาม พัวพัน เมาหมกอยูในกาม ทั้ง หลาย ยอ มไมรูส ึก ความหลวมตัว ของตัว เหมือ นเนื ้อ หรือ นก พลัด เขา สูเครื่อ งดัก ฉะนั้น . ความเดือ ดรอ นยอ มมีแ กเขา ในกาล ภายหลัง เพราะวา ผล ที่เขาสรางไว เปนของชั่ว" ดังนี้ แล. - สคา. สํ. ๑๕/๑๐๖/๓๔๐-๓๔๒.

เขาไปหาความตายเพราะกาม เช าวันหนึ่ ง พระผู มี พระภาคเจา ทรงครองจีวร ถือบาตร เขาไปบิ ณฑบาต ในเมืองสาวัตถี, พระพุทธองค ไดทรงเห็นหมูมนุษยในเมืองสาวัตถีเหลานั้น ซึ่งกําลังของเกี่ยว ติดพัน อยูกะกาม กําหนัดใน กาม เมาหมกอยูในกาม เปนอยูโดยสวนมาก, จึงทรงเปลงพระอุทานนี้ วา :-

www.buddhadasa.info "สัตวทั้งหลาย ผูมืดมนธเพราะอํานาจแหงกาม ถูกตัณหา เป น ดุ จขายเครื่องดักสั ตวปกคลุมไว ถูกเครื่องมุ งคือตั ณ หาปดบังไว ถูกหมูมารซึ่งเปนเหมือนพวกพองของผูประมาทจองจําตัวไว ยอมไปสู ชราและมรณะ เหมือนปลาเขาไปสูปากแหงเครื่องดัก หรือเหมือน ลูกโคที่ยังดื่มนมเขาไปหาแม ฉะนั้น" ดังนี้ แล. - อุ. ขุ. ๒๕/๒๐๐/๑๕๐.


๒๙๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

ความเพลินเปนแดนเกิดแหงทุกข ปุณ ณ ะ ! รูป ที ่เ ห็น ดว ย ต าก็ด ี, เสีย ง ที ่ฟ ง ดว ย หูก ็ด ี, ก ลิ ่น ที่ ด มด ว ยจมู ก ก็ ดี , รสที่ ลิ้ ม ด ว ยลิ้ น ก็ ดี , โผฏฐั พ พะ ที่ สั ม ผั ส ด ว ยกายก็ ดี , และ ธรรมารมณ ที ่รู แ จง ดว ยใจก็ด ี, อัน เปน สิ ่ง ที ่น า ปรารถนา นา รัก ใคร นา พอใจ ที่ ย วนตายวนใจให รั ก เป น ที่ เข าไปตั้ งอาศั ย อยู แ ห งความใคร เป น ที่ ตั้ งแห งความ กํ า หนัด ยอ มใจ มีอ ยู , ถา ภิก ษุย อ มเพลิด เพลิน ยอ มพร่ํ า สรรเสริญ ยอ ม เมาหมกอยู ซึ่ ง อารมณ มี รู ป เป น ต น นั้ น ไซร . เมื่ อ ภิ ก ษุ นั้ น เพลิ ด เพลิ น พร่ํ า สรรเสริ ญ เมาหมกอยู ซึ่ ง อารมณ มี รู ป เป น ต น นั้ น อยู , นั น ทิ (ความเพลิ น ) ย อ ม บั ง เกิ ด ขึ้ น . เรากล า วว า เพราะความเพลิ น เป น สมุ ทั ย (เครื่อ งก อ ขึ้ น ) จึ ง เกิ ด มี ทุกขสมุทัย (ความกอขึ้นแหงทุกข), ดังนี้ แล. -อุปริ. ม. ๑๔/๔๘๑/๗๕๕.

เพลินอยูกับอายตนะภายใน เทากับ เพลินอยูในทุกข

www.buddhadasa.info ภ ิก ษ ุ ท .! ผู ใ ด เพ ล ิด เพ ล ิน อ ยู  ใ น จ ัก ษ ุ, ผู นั ้น เท า ก ับ เพลิด เพลิน อยู  ในสิ ่ง ที ่เ ปน ทุก ขเ รากลา วา "ผู ใ ด เพลิด เพลิน อยู  ในสิ ่ง ที่เปนทุกข, ผูนั้น ยอมไมหลุดพนไปไดจากทุกข" ดังนี้; ภ ิก ษ ุ ท .! ผู ใ ด เพ ล ิด เพ ล ิน อ ยู  ใน โส ต ะ , ผู นั ้น เท า ก ับ เพลิด เพลิน อยู ในสิ่ง ที ่เ ปน ทุก ข. เรากลา ววา "ผูใ ด เพลิด เพลิน อยู ในสิ่ง ที่เปนทุกข. ผูนั้น ยอมไมหลุดพนไปไดจากทุกข" ดังนี้;


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๒๙๗

ภิ ก ษุ ท .! ผู ใ ด เพ ลิ ด เพ ลิ น อ ยู ใ น ฆ า น ะ , ผู นั้ น เ ท า กั บ เพลิด เพลิน อยู  ในสิ ่ง ที ่เ ปน ทุก ข. เรากลา ววา "ผู ใ ด เพลิด เพลิน อยู  ในสิ ่ง ที่เปนทุกข, ผูนั้น ยอมไมหลุดพนไปไดจากทุกข" ดังนี้; ภิ ก ษุ ท .! ผู ใ ด เพ ลิ ด เพ ลิ น อ ยู ใ น ชิ ว ห า , ผู นั้ น เท า กั บ เพลิด เพลิน อยู  ในสิ ่ง ที ่เ ปน ทุก ข. เรากลา ววา "ผู ใ ด เพลิด เพลิน อยู  ในสิ ่ง ที่เปนทุกข, ผูนั้น ยอมไมหลุดพนไปไดจากทุกข" ดังนี้; ภิ ก ษุ ท .! ผู ใ ด เพ ลิ ด เพ ลิ น อ ยู ใ น ก า ย ะ , ผู นั้ น เท า กั บ เพลิด เพลิน อยู  ในสิ ่ง ที ่เ ปน ทุก ข. เรากลา ววา "ผู ใ ด เพลิด เพลิน อยู  ในสิ ่ง ที่เปนทุกข, ผูนั้น ยอมไมหลุดพนไปไดจากทุกข" ดังนี้; ภิ ก ษุ ท .! ผู ใ ด เพ ลิ ด เพ ลิ น อ ยู ใ น ม า น ะ , ผู นั้ น เท า กั บ เพ ลิด เพ ลิน อยู  ในสิ ่ง ที ่เ ปน ทุก ข. เรากลา ววา "ผู ใ ด เพ ลิด เพ ลิน อยู  ในสิ ่ง ที่ เปนทุกข, ผูนั้น ยอมไมหลุดพนไปไดจากทุกข" ดังนี้.

www.buddhadasa.info สฬา. สํ. ๑๘/๑๖/๑๙.

(ในสู ต รต อ ไป ได ต รั ส ถึ ง ในกรณี แห ง อายตนะภายนอกหก ซึ่ ง มี ข อ ความเหมื อ น ในกรณีแหงอายตนะภายในขางบนนี้ทุกประการ ตางแตชื่ออายตนะ).

ความอรอยกลางกองทุกข (ความลวงของกาม) มาคั ณ ฑิ ยะ! บุ รุ ษ โรคเรื้ อ น มี ตั ว เป นแผล สุ ก ปลั่ ง ถู ก ตั ว เชื้ อ โรค แทะกั ด อยู ใช เ ล็ บ เกาปากแผลอยู รมตั ว อยู ที่ ห ลุ ม ถ า นไฟ. มาคั ณ ฑิ ยะ! เขา ทํ า เช น นั้ น อยู เ พี ย งใด, ปากแผลของเขา ก็ ยิ่ ง ไม ส ะอาด ยิ่ ง มี ก ลิ่ น เหม็ น และ


๒๙๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

เป อ ยเน า มากยิ่ ง ขึ้ น อยู เพี ย งนั้ น , จะมี ค วามรู สึ ก สั ก ว า ความพอใจ และความ สบายเนื้ อ อยู บ า ง ก็ ต รงที่ แ ผลได รั บ การเกาหรื อ การอบอุ น เพราะไฟนั้ น เป น เหตุ ขอนี้มีอุปมาฉันใด; มาคั ณ ฑิ ยะ! อุ ป ไมยก็ ฉั น นั้ น คื อ สั ต ว ทั้ ง หลาย ยั ง เป น ผู ไ ม ไ ป ปราศจากความกํ าหนั ด ในกามทั้ งหลาย ถู กามตั ณ หาแทะกั ด อยู ถู ก ความเร าร อ น เพราะกามแผดเผาอยู ก็ ยั ง ขื น เสพกามทั้ ง หลายอยู นั่ น เอง. มาคั ณ ฑิ ย ะ! เขายั ง ทํ า เช น นั้ น อยู เ พี ย งใด, กามตั ณ หาของสั ต ว ทั้ ง หลายเหล า นั้ น ย อ มเจริ ญ ขึ้ น ด วย เขาถู ก ความเร าร อ นเพราะกามแผดเผาอยู ด วย และสั ต ว เหล านั้ น จะมี ความ รู สึ ก สั ก ว าความพอใจ และความสบายเนื้ อ อยู บ าง ก็ ต รงที่ รสอั น อาศั ย กามคุ ณ ๕ เปนเหตุอยูเพียงนั้น เทานั้นแล. - ม. ม. ๑๓/๒๗๔/๒๘๕

ความอรอยที่ไมคุมกับความทุกข

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! อริ ฏ ฐภิ ก ขุ คั น ธวาธิ ปุ พ พะ กล า วตู พ วกเราด ว ย ขุ ด ราก ตนเองด ว ย ประสพสิ่ ง มิ ใ ช บุ ญ เป น อั น มากด ว ย เพราะตั ว เองจั บ ฉวยเอาผิ ด ใน ธรรมที ่เ ราแสดงแลว อยา งไร, แมพ วกเธอทั ้ง หลาย ก็เ ขา ใจธรรมที ่เ ราแสดง แลว เหมือนอยางอริฎฐภิกขุนั้นหรือ?

"หามิ ได พระเจ าข า! ธรรมเหล าใด อั นพระผู มี พระภาคเจ า ตรัสแล วโดย หลายแงหลายมุ มแก พวกข าพระองค ทั้ งหลาย ว า เป นธรรมที่ ทํ าอั นตรายแก ผู ปฏิ บั ติ , ธรรมเหลานั้น ก็สามารถที่จะทําอันตราย แกผูปฏิบัติไดจริง. กามทั้งหลาย อันพระผูมี


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๒๙๙

พระภาคเจา ตรัสแลวา มีรสอรอยนอย มี ทุกขมาก มีเรื่องทําใหคับแคนใจมาก และมี โทษอยางยิ่ งเป นสิ่ งที่ ควรเปรียบเที ยบด วยท อนแห งกระดู ก, ควรเปรียบด วยชั้นเนื้ อ, ควร เปรียบด วยคบเพลิ งหญ า, ควรเปรียบด วยหลุ มถ านเพลิ ง, ควรเปรียบด วยความฝ น, ควรเปรีย บด วยของยื ม , ควรเปรีย บด วยผลไม , ควรเปรี ย บด วยเขี ย งสั บ เนื้ อ . ควร เปรียบดวยหอกและหลาว, และควรเปรียบดวยหัวงู, ดังนี้" ภิก ษุ ท.! ถูก แลว , ที ่พ วกเธอทั ้ง หลาย เขา ใจธรรมที ่เ ราแสดง แลวอยางนั้น. ภิก ษุ ท.! ธรรมเหลา ใด ที ่เ รากลา วแลว โดยหลายแงห ลายมุม แกพ วกเธอทั ้ง หลาย วา เปน ธรรมที ่ทํ า อัน ตรายแกผู ป ฏิบ ัต ิ ธรรมเหลา นั ้น ก็ส ามารถที ่จ ะทํ า อัน ตราย แกผู ป ฏิบ ัต ิไ ดจ ริง . กามทั ้ง หลาย เรากลา วแลว วา มีรสอรอยนอย มีทุกขมาก มีเรื่องทําใหคับแคนใจมาก และมีโทษอยางยิ่ง เปน สิ ่ง ที ่ ควรเปรีย บดว ยทอ นแหง กระดูก , ควรเปรีย บดว ยชิ ้น เนื ้อ , ควร เปรียบดวยคบเพลิงหญา, ควรเปรียบดวยหลุมถานเพลิง, ควรเปรียบดวยของ ในความฝน , ควรเปรีย บดว ยของยืม , ควรเปรีย บดว ยผลไม, ควรเปรีย บ ด วยเขี ย งสั บ เนื้ อ , ควรเปรียบด วยหอกและหลาว, และควรเปรียบด วยหั วงู ฉะนั ้น . ก็แ ตว า อริฎ ฐภิก ขุค ัน ธวาธิป ุพ พะนี ้ เพราะตัว เอง ถือ เอาธรรมที่ เราแสดงแล ว ผิ ด จึ ง กล า วตู พ วกเราด ว ย ขุ ด รากตนเองด ว ย และประสพสิ่ ง มิ ใ ช บุ ญ เป น อั น มากด ว ย, ข อ นั้ น จั ก เป น ไป เพื่ อความทุ ก ข อั น มิ ใ ช ป ระโยชน เกื้อกูล ตลอดกาลนาน แกโมฆบุรุษนั้นแล.

www.buddhadasa.info - มู. ม. ๑๒/๒๖๖/๒๗๗.


๓๐๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

กามเปรียบดวยทอนกระดูก คฤหบดี ! เปรี ย บเหมื อ นสุ นั ข ที่ ห มดกํ า ลั ง เพ ราะหิ ว จั ด จะพึ งเข า ไปยื น ชะเง อ อยู ในที่ ที่ ฆ า โค. คนฆ า โคหรื อ ลู ก มื อ ของเขา ผู เ ชี่ ย วชาญ ก็ จ ะพึ ง เอาท อ นกระดู ก ที่ ชํ า แหละเนื้ อ ออกหมดแล ว ไม มี ส ว นที่ ยั ง เป น เยื่ อ อ อ นเหลื อ อยู แมแตนอยเดียว เพียงแตเปอนเลือดอยูบาง โยนไปใหสุนัขตัวนั้นแทะ. ค ฤ ห บ ด ี! ท า น จ ะ สํ า ค ัญ ค ว า ม ข อ นั ้น วา อ ย า ง ไร ? ส ุน ัข ต ัว นั ้น แทะท อ นกระดู ก ที่ ชํ า แหละเนื้ อ ออกหมดแล ว ไม มี ส ว นที่ ยั ง เป น เยื่ อ อ อ นเหลื อ อยู แ ม แ ต น อ ยเดี ย ว เพี ยงแต เ ป อ นเลื อ ดอยู บ า ง นั้ น อยู , จะพึ งบรรเทาความ หมดกําลังเพราะหิวจัด ไดละหรือ? "หามิ ไ ด พ ระเจ า ข า !" ข อ นั้ น เพราะเหตุ ไ ร? "เพ ราะว า ท อ นกระดุ ก ที่ ชํ าแหละเนื้ อออกหมดแล วนั้ น ไม มี ส วนที่ ยั งเป นเยื่ ออ อนเหลื ออยู แม แต น อยเดี ยว เพี ยงแต เป อนเลื อดอยู บ างเท านั้ น. สุ นั ขตั วนั้ น ก็ จะได รั บแต ความเหนื่ อยใจ และความแค นใจ โดยแท พระเจาขา!"

www.buddhadasa.info คฤห บ ดี ! ด ว ยเห ตุ นี้ แ ห ละ สาวกของพ ระอริ ย เจ า ย อ ม พิ จารณ า เห็ น โดยประจั ก ษ ดั งนี้ วา "กามทั้ งหลาย อั น พระผู มี พ ระภาคเจ าตรัส แล ว ว า มี อุปมาดวยทอนกระดูก เปนสิ่งที่ใหเกิดทุกขมาก ทําใหคับแคนใจมาก และมีโทษ อย า งยิ่ ง " ดั ง นี้ , ครั้ น เห็ น กามนั้ น ด ว ยป ญ ญ าอั น ชอบ ตามที่ เ ป น จริ ง อย า งนี้ แล ว ก็ เ ว น เสี ย โดยเด็ ด ขาด ซึ่ ง ความเพ ง มี ป ระการต า ง ๆ อั น อาศั ย อารมณ ตา ง ๆ (ก าม คุณ หา ), แ ลว เจ ริญ ซึ ่ง ค วา ม เพง อัน เดีย ว อัน อ าศัย อ ารม ณ


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๐๑

อั น เดี ย ว (คื อ อุ เบกขาที่ เป น องค ข องจตุ ต ถฌาน) อั น เป น ที่ ดั บ สนิ ท ไม มี ส ว นเหลื อ ของอุปาทานอันมีอยูในเหยื่อโลก โดยประการทั้งปวงแล. - ม. ม. ๑๓/๔๑/๔๗.

กามเปรียบดวยชิ้นเนื้อคาปาก คฤหบดี! เปรีย บเหมือ นแรง หรือ เหยี ่ย ว หรือ นกตะกรุม ก็ต าม ตั ว หนึ่ ง คาบชิ้ น เนื้ อ พาบิ น ไป. ฝู ง แร ง บ า ง ฝู ง เหยี่ ย วบ า ง ฝู ง นกตะกรุ ม บ า ง ตามโฉบ ตอมโฉบ นกตัว นั ้น เพื ่อ ใหทิ ้ง ชิ ้น เนื ้อ นั ้น ยัง นกตัว นั ้น ใหป ลอ ย ใหคาย. ค ฤ ห บ ดี ! ท าน จะสํ าคั ญ ค วาม ข อ นั้ น ว า อ ย างไร! ถ า แร ง ห รื อ เหยี ่ย ว หรือ นกตะกรุม นั ้น ไมร ีบ สลัด ทิ ้ง ชิ ้น เนื ้อ นั ้น เสีย ไซร, มัน ก็จ ะถึง ซึ ่ง ความตายหรือไดรับทุกขเจียนตาย เพราะขอนั้นเปนเหตุ มิใชหรือ?

www.buddhadasa.info "อยางนั้น พระเจาขา!"

คฤหบดี ! ด ว ยเหตุ นี้ แ หละ สาวกของพระอริ ย เจ า ย อ มพิ จ ารณ า เห็นโดยประจักษดังนี้ วา "กามทั้งหลาย อันพระผูมีพระภาคเจาตรัสแลว วา มี อุปมาดวยชิ้นเนื้อ เปนสิ่งที่ใหเกิดทุกขมาก ทําใหคับแคนใจมาก และมีโทษ อย า งยิ่ ง " ดั ง นี้ , ครั้ น เห็ น กามนั้ น ด ว ยป ญ ญาอั น ชอบ ตามที่ เ ป น จริ ง อย า งนี้ แล ว ก็ เ ว น เสี ย โดยเด็ ด ขาด ซึ่ ง ความเพ ง มี ป ระการต า ง ๆ อั น อาศั ย อารมณ ตา ง ๆ (กามคุณ หา ), แลว เจริญ ซึ ่ง ความเพง อัน เดีย ว อัน อาศัย อารมณ


๓๐๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

อั น เดี ย ว (คื อ อาศั ย อุ เบกขาที่ เป น องค ข องจตุ ต ถฌาน) อั น เป น ที่ ดั บ สนิ ท ไม มี ส ว น เหลือของอุปาทานอันมีอยูในเหยื่อโลก โดยประการทั้งปวงแล. - ม. ม. ๑๓/๔๑/๔๘.

กามเปรียบดวยคบเพลิงทวนลม คฤหบ ดี ! เป รี ย บ เห มื อนบุ รุ ษ ผู ห นึ่ ง ถื อ เอาค บ หญ าแห ง ที่ ติ ด ไฟ โพลงอยู พาทวนลมไป. ค ฤ ห บ ด ี! ท า น จ ะ สํ า ค ัญ ค ว า ม ขอ นั ้น วา อ ยา งไร? ถา บ ุร ุษ ผู นั ้น ไม รี บ ทิ้ ง คบหญ าแห ง นั้ น เสี ย โดยเร็ ว ไซร , คบไฟ นั้ น ก็ จ ะพึ งลามไม มื อ ไหม แขน ห รื อ ไหม อวั ย วะน อยให ญ ส ว น ใด ส ว น ห นึ่ งของบุ รุ ษ นั้ น , เขาก็ จ ะถึ ง ซึ่ ง ความตาย หรือไดรับทุกขเจียนตาย เพราะขอนั้นเปนเหตุ มิใชหรือ?

www.buddhadasa.info "อยางนั้น พระเจาขา!"

คฤห บ ดี ! ด ว ยเห ตุ นี้ แ ห ละ สาวกของพ ระอริ ย เจ า ย อ ม พิ จารณ า เห็ น โดยประจั ก ษ ดั ง นี้ ว า "กามทั้ ง หลาย อั น พระผู มี พ ระภาคเจ า ตรั ส แล ว ว า มี อุปมาดวยคบหญาแหง เปนสิ่งที่ใหเกิดทุกขมากทําใหคับแคนใจมาก และมีโทษ อย า งยิ่ ง " ดั ง นี้ , ครั้ น เห็ น กามนั้ น ด ว ยป ญ ญ าอั น ชอบ ตามที่ เ ป น จริ ง อย า งนี้ แล ว ก็ เ ว น เสี ย โดยเด็ ด ขาด ซึ่ ง ความเพ ง มี ป ระการต า ง ๆ อั น อาศั ย อารมณ ต า ง ๆ (กามคุ ณ ห า ), แล ว เจริ ญ ซึ่ ง ความเพ ง อั น เดี ย ว อั น อาศั ย อารมณ อั น เดี ย ว (คือ อาศัย อุเ บกขาที ่เ ปน องคข องจตุต ฌ าน) อัน เปน ที ่ด ับ สนิท ไมม ีส ว นเหลือ ของอุปาทานอันมีอยูในเหยื่อโลก โดยประการทั้งปวงแล. - ม. ม. ๑๓/๔๒/๔๙.


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๐๓

กามเปรียบดวยหลุมถานเพลิง คฤหบดี ! เปรี ย บเหมื อ นหลุ ม ถ า นเพลิ ง ลึ ก ชั่ ว บุ รุ ษ หนึ่ ง เต็ ม ด ว ย ถ า นเพลิ ง ที่ ป ราศจากเปลวและปราศจากควั น . ครั้ ง นั้ น บุ รุ ษ ผู ห นึ่ ง ผู ต อ งการ เปน อยู  ไมอ ยากตาย รัก สุข เกลีย ดทุก ข มาสู ที ่นั ้น . และมีบ ุร ุษ ที ่ม ีกํ า ลัง กล า แข็ ง อี ก สองคน จั บ บุ รุ ษ นั้ น ที่ แ ขนแต ล ะข า ง แล ว ฉุ ด คร า พาไปยั ง หลุ ม ถ า น เพลิง. คฤหบดี ! ท า นจะสํ า คั ญ ความข อ นั้ น ว า อย า งไร? บุ รุ ษ นั้ น จะไม บิดตัวดิ้นไปทางโนนที ทางนี้ที บางแลหรือ? "หามิ ได พระเจ าข า !" เพราะเหตุ ไร? "เพราะเหตุ ว า บุ รุ ษ นั้ น รู อ ยู ว า ถ าเราจะตกลงไปสู หลุ มถ านเพลิ งนี้ ไซร, เราก็ จะถึ งซึ่ งความตาย หรือได รับทุ กข เจี ยนตาย เพราะขอนั้นเปนเหตุ พระเจาขา!" ดังนี้. คฤหบดี ! ด ว ยเหตุ นี้ แ หละ สาวกของพระอริ ย เจ า ย อ มพิ จ ารณ า เห็นโดยประจักษ ดังนี้วา "กามทั้ งหลาย อัน พระผูมีพ ระภาคเจาตรัสแลววา มี อุปมาดวยหลุมถานเพลิง เปนสิ่งที่ใหเกิดทุกขมาก ทําใหคับแคนใจมาก และ มี โ ทษอย า งยิ่ ง " ดั ง นี้ . ครั้ น เห็ น กามนั้ น ด ว ยป ญ ญาอั น ชอบ ตามที่ เ ป น จริ ง อย า งนี้ แ ล ว ก็ เ ว น เสี ย โดยเด็ ด ขาด ซึ่ ง ความเพ ง มี ป ระการต า ง ๆ อั น อาศั ย อารมณ ต า ง ๆ (กามคุ ณ ห า ) แล ว เจริ ญ ซึ่ ง ความเพ ง อั น เดี ย ว อั น อาศั ย อารมณ อั น เดี ย ว (คื อ อาศั ย อุ เบกขาที่ เป น องค ของจตุ ตุ ถฌาน.) อั น เป น ที่ ดั บ สนิ ท ไม มี ส วน เหลือของอุปาทานอันมีอยูในเหยื่อโลก โดยประการทั้งปวงแล.

www.buddhadasa.info - ม. ม. ๑๓/๔๓/๕๐.


๓๐๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

กามเปรียบดวยของในความฝน คฤหบ ดี! เป รีย บ เห มือ น บุร ุษ ผู ห นึ ่ง ฝน เห็น วน อัน รื ่น รม ยใ จ บา ง ปา ไม อัน รื ่น รมยใ จบา ง ภูม ิภ าคอัน รื ่น รมยใ จบา ง หรือ สระโบกขรณี อันรื่นรมยใจบาง, ครั้นบุรุษนั้นตื่นขึ้นมา ก็ไมไดพบเห็นอะไรเลย. คฤหบดี ! ด ว ยเหตุ นี้ แ หละ สาวกของพระอริ ย เจ า ย อ มพิ จ ารณ า เห็นโดยประจักษ ดังนี้วา "กามทั้ งหลาย อัน พระผูมีพ ระภาคเจาตรัสแลววา มี อุปมาดวยของในความฝน เปนสิ่งที่ใหเกิดทุกขมาก ทําใหคับแคนใจมาก และ มี โ ทษอย า งยิ่ ง " ดั ง นี้ . ครั้ น เห็ น กามนั้ น ด ว ยป ญ ญาอั น ชอบ ตามที่ เ ป น จริ ง อย า งนี้ แ ล ว ก็ เ ว น เสี ย โดยเด็ ด ขาด ซึ่ ง ความเพ ง มี ป ระการต า ง ๆ อั น อาศั ย อารมณ ต า ง ๆ (กามคุ ณ ห า ) แล ว เจริ ญ ซึ่ ง ความเพ ง อั น เดี ย ว อั น อาศั ย อารมณ อั น เดี ย ว (คื อ อาศั ย อุ เบกขาที่ เป น องค ข องจตุ ต ถฌาน) อั น เป น สิ่ ง ที่ ดั บ สนิ ท ไม มี สวนเหลือของอุปาทานอันมีอยูในเหยื่อโลก โดยประการทั้งปวงแล. - ม. ม. ๑๓/๔๓/๕๑.

กามเปรียบดวยของยืม www.buddhadasa.info คฤหบดี! เปรีย บเหมือ บุร ุษ ผู ห นึ ่ง ขอยืม ทรัพ ยจ ากผู อื ่น ไดแ ลว เอ าล งใสเ ก วีย น นอ ย มีตุ ม หูแ กว ม ณ ีอ ัน ล้ํ า คา เปน ตน . บุร ุษ ผู นั ้น วาง ของยื ม เหล า นั้ น ไว ข า งหน า ตั ว บ า ง รอบ ๆ ตั ว บ า ง ขั บ ผ า นไปตามหมู ช าวร า น. หมู ช นเห็ น บุ รุ ษ ผู นั้ น แล ว ก็ จ ะพึ ง กล า วกั น แซ ว า "ท า นผู เ จริ ญ ทั้ ง หลายเอ ย ! บุร ุษ ผู นี ้ร่ํ า รวยจริง หนอ! ดูซ ี, พวกคนรวย เขาใชส อยโภคะกัน อยา งนี ้เ อง"


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๐๕

ดัง นี ้, ครั ้น เจา ของทรัพ ย พบบุร ุษ ซึ ่ง ทํ า อยู ด ัง นั ้น ในที ่ใ ด ๆ เขาก็จ ะทวง เอาทรัพยของเขาคืนไปเสีย ณ ที่นั้น ๆ นั่นเอง. คฤหบ ดี ! ท า นจะสํ า คั ญ ความข อ นั้ น ว า อย า งไร? คื อ ควรจะทํ า อยางอื่นแกบุรุษนั้นไหมหนอ? "หามิ ได พระเจ า ข า !" เพราะเหตุ ไร? "เพราะเหตุ ว า ธรรมดาเจ า ของ ทรัพย ก็ตองทวงเอาทรัพยของเขาคืนไป" ดังนี้. คฤหบดี ! ด ว ยเหตุ นี้ แ หละ สาวกของพระอริ ย เจ า ย อ มพิ จ ารณ า เห็นโดยประจักษ ดังนี้วา "กามทั้ งหลาย อัน พระผูมีพ ระภาคเจาตรัสแลววา มี อุปมาดวยของยืม เปนสิ่งที่ใหเกิดทุกขมาก ทําใหคับแคนใจมาก และมีโทษ อย า งยิ่ ง " ดั ง นี้ , ครั้ น เห็ น กามนั้ น ด ว ยป ญ ญาอั น ชอบ ตามที่ เป น จริ ง อย า งนี้ แล ว ก็ เ ว น เสี ย โดยเด็ ด ขาด ซึ่ ง ความเพ ง มี ป ระการต า ง ๆ อั น อาศั ย อารมณ ต า ง ๆ (กามคุ ณ ห า ), แล ว เจริ ญ ซึ่ ง ความเพ ง อั น เดี ย ว อั น อาศั ย อารมณ อั น เดี ย ว (คื อ อาศั ย อุ เ บกขาที่ เป น องค ข องจตุ ตุ ถ ฌาน) อั น เป น ที่ ดั บ สนิ ท ไม มี ส ว นเหลื อ ของอุปาทานอันมีอยูในเหยื่อโลก โดยประการทั้งปวงแล.

www.buddhadasa.info - ม. ม. ๑๓/๔๓/๕๒.

กามเปรียบดวยผลไม! คฤหบดี ! เปรี ย บเหมื อ นป า ใหญ ตั้ ง อยู ไ ม ไ กลหมู บ า นหรื อ นิ ค มนั ก . ในปา ใหญ นั ้น มีต น ไม ซึ ่ง มีผ ลนา กิน ดว ย ดกดว ย, สว นผลที ่ห ลน อยู ต าม พื้นดินไมมีเลย. ครั้งนั้น มีบุรุษผูหนึ่งผานมา เปนผูตองการดวยผลไม เที่ยว


๓๐๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

แสวงหาผลไมอ ยู , เขาเขา ไปยัง ปา นั ้น แลว พบตน ไมต น นั ้น แลว คิด วา "ตน ไม นี้ มี ผ ลน า กิ น ด ว ย ดกด ว ย ส ว นผลที่ ห ล น อยู ต ามพื้ น ดิ น ไม มี เลย และเราก็ รู จั ก วิ ธี ขึ้ น ต น ไม อ ยู , ถ า ไฉน เราขึ้ น สู ต น ไม นี้ แ ล ว จะพึ ง กิ น ผลไม ต ามความพอใจ ด ว ย จะพึ ง ยั ง ห อ ให เต็ ม ด ว ย" ดั ง นี้ แ ล ว เขาก็ ขึ้ น สู ต น ไม นั้ น เก็ บ กิ น ตามความ พอใจด ว ย ห อ จนเต็ ม ห อ ด ว ย. ในลํ า ดั บ นั้ น เอง บุ รุ ษ คนที่ ส อง ซึ่ ง เป น ผู ต อ ง การด ว ยผลไม เที่ ย วแสวงหาผลไม อ ย า งเดี ย วกั น ถื อ ขวานคมผ า นมาที่ นั้ น , เขา เข า ไปยั ง ป า นั้ น แล ว ก็ พ บต น ไม ต น เดี ย วนั้ น ซึ่ ง มี ผ ลน า กิ น ด ว ย ดกด ว ย, เขาจึ ง คิ ด ว า "ต น ไม นี้ มี ผ ลน า กิ น ด ว ย ดกด ว ย ส ว นผลที่ ห ล น อยู ต ามพื้ น ดิ น ไม มี เลย แล ะเราก็ไ มรู จ ัก วิธ ีขึ ้น ตน ไม, ถา ไฉน เราจะโคน มัน ที ่โ คน แลว จะพึง กิน ผลไม ต ามความพอใจด วย จะพึ งยั งห อ ให เต็ ม ด วย" ดั งนี้ แล ว เขาจึ งโค น ต น ไม นั้ น ที่โคน. คฤหบดี ! ท า นจะสํ า คั ญ ความข อ นั้ น ว า อย า งไร? บุ รุ ษ ผู ขั้ น อยู บ น ตน ไมค นแรก, ถา เขาไมร ีบ ลงมาโดยเร็ว ไซร, เมื ่อ ตน ไมนั ้น ลม ลง, เขาก็ จะต อ งมื อ หั ก บ า ง เท า หั ก บ าง หรื อ อวั ย วะน อ ยใหญ ส ว นใดส ว นหนึ่ งหั ก บ า ง โดย แท. บุร ุษ ผู นั ้น ก็จ ะถึง ซึ ่ง ความตาย หรือ ไดร ับ ทุก ขเ จีย นตาย เพราะขอ นั ้น เปนเหตุ มิใชหรือ?

www.buddhadasa.info "อยางนั้น พระเจาขา!"

คฤหบดี ด ว ยเหตุ นี้ แ หละ สาวกของพระอริ ย เจ า ย อ มพิ จ ารณ า เห็นโดยประจักษดังนี้ วา "กามทั้งหลาย อันพระผูมีพระภาคเจาตรัสแลววา มี อุป มาดวยผลไม เป นสิ่งที่ ให เกิดทุ กขม าก ทําให คับ แคน ใจมาก และมีโทษ อยางยิ่ง" ดังนี้, ครั้นเห็นกามนั้น ดวยปญญาอันชอบ ตามที่เปนจริงอยางนี้


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๐๗

แล ว ก็ เว น เสี ย โดยเด็ ดขาด ซึ่ งความเพ ง มี ป ระการต าง ๆ อั น อาศั ย อารมณ ต าง ๆ (กามคุ ณ ห า ), แล ว เจริ ญ ซึ่ ง ความเพ ง อั น เดี ย ว อั น อาศั ย อารมณ อั น เดี ย ว (คื อ อาศั ย อุ เ บกขาที่ เ ป น องค อ งจตุ ต ถฌ าน) อั น เป น ที่ ดั บ สนิ ท ไม มี ส ว นเหลื อ ของ อุปาทานอันมีอยูในเหยื่อโลก โดยประการทั้งปวง แล. - ม. ม. ๑๓/๔๔/๕๓.

รายละเอียดที่ควรศึกษาเกี่ยวกับกาม ภิ ก ษุ ท.! ที่ เ รากล า ว า "กาม นิ ท านสั ม ภวะแห ง าม เวมั ต ตตา แหงกาม วิบากแหงกาม นิโรธแหงกาม ปฏิปทาใหถึงซึ่งนิโรธแหงกาม เปนสิ่ง ที่ ค วรรู แ จ ง " นั้ น เรากล า วหมายถึ ง กามไหนกั น เล า ? ภิ ก ษุ ท.! กามคุ ณ ๕ อยา งเหลา นี ้ คือ รูป ทั ้ง หลาย อัน จะพึง รู แ จง ไดด ว ยจัก ษุ.... เสีย งทั ้ง หลาย อัน จะถึง รู แ จง ไดด ว ยโสตะ.... กลิ ่น ทั ้ง หลาย อัน จะพึง รู แ จง ไดด ว ยฆานะ.... รสทั ้ง หลาย อัน จะพึง รู แ จง ไดด ว ยชิว หา.... โผฏฐัพ พะทั ้ง หลาย อัน จะพึง รู แจง ไดด ว ยกาย อัน เปน สิ ่ง ที ่น า ปรารถนา นา รัก ใคร นา พอใจ มีล ัก ษณะอัน น า รั ก เป น ที่ เ ข า ไปตั้ ง อาศั ย แห ง ความใคร เป น ที่ ตั้ ง แห ง ความกํ า หนั ด มี อ ยู , ภิก ษุ ท.! อารมณ ๕ อยา งเหลา นี ้ หาใชก ามไม; หา อยา งเหลา นี ้ เรีย กกัน ในอริยวินัย วา กามคุณ.

www.buddhadasa.info (คาถาจํากัดความตอนนี้)

ความกํ าหนั ดั ไปตามอํ านาจความติ ต รึก (สงฺก ปฺ ป ราค) นั ่น แหละคือ กามของคนเรา; อารมณอ ัน วิจ ิต รทั ้ง หลายในโลก นั ้น หาใชก ามไม; ความกํ า หนัด ไปตามอํ า นาจความตริต รึก นั่นแหละคือกามของคนเรา; อารมณอันวิจิตร ก็มีอยูในโลก


๓๐๘

อริยสัจจากพระโอษฐ ตามประสาของมั น เท า นั้ น ; ดั ง นั้ น ผู มี ป ญ ญาจึ งนํ า ออกเสี ย ซึ่ ง ฉันทะ ในอารมณอันวิจิตรเหลานั้น ดังนี้.

ภิ ก ษุ ท.! นิ ท านสั ม ภวะ (เหตุ เป น แดนเกิ ด ) แห ง กาม เป น อย า งไรเล า ? นิทานสัมภวะแหงกาม คือ ผัสสะ. ภิ กษุ ท .! เวมั ตตา (ป ระม าณ ต า ง ๆ) แห งกาม เป นอย า งไรเล า ? ภิ ก ษุ ท.! เวมั ต ตตาแห ง กาม คื อ ความใคร (กาม) ในรู ป ารมณ ก็ อ ย า งหนึ่ ง ๆ, ความใคร ในสั ท ทารมณ ก็ อ ย า งหนึ่ ง ๆ, ความใคร ในคั น ธารมณ ก็ อ ย า งหนึ่ ง ๆ, ความใครใ นรสารมณ ก็อ ยา งหนึ ่ง ๆ, ความใครใ นโผฏฐัพ พารมณ ก็อ ยา ง หนึ่ง ๆ; ภิกษุ ท.! นี้เราเรียกวา เวมัตตาแหงกาม. ภ ิก ษ ุ ท .! วิบ ากแหง กาม เป น อ ยา งไรเลา ? ภ ิก ษ ุ ท .! บ ุค ค ล ใคร อยู ซึ่ งอารมณ (แห งกาม) ใด เขากระทํ าอั ตตภาพอั นเกิ ดจากกามนั้ น ๆ ให เกิ ด ขึ ้น ๑ เปน อัต ต ภ าพ มีส ว น แหง บุญ ก็ด ี มีส ว น แหง อ บุญ ก็ด ี; ภิก ษุ ท .! นี้ เราเรียกวา วิบากแหงกาม.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! นิ โ รธ (ความดั บ ) แห ง กาม เป น อย า งไรเล า ? ภิ ก ษุ ท.! นิโรธแหงกามยอมมี เพราะนิโรธแหงผัสสะ. อริยอัฏฐังคิกมรรคนี้นั่นแล เปน

๑. ข อ ความนี้ ใ ช ไ ด ทั้ ง ภาษาคนและภาษาธรรม : ภาษาคนก็ คื อ เกิ ด ใหม ห ลั ง จากตายแล ว ดั ง ที่ ทราบกั น อยู ; ถ า เป น ภาษาธรรมก็ คื อ อั ต ตภาพป จ จุ บั น ของเขานั้ น เกิ ด เปลี่ ย นเป น บุ ญ หรื อ บาป ตามสมควรแกอ ุป าทานที ่เ กิด ขึ ้น จากความใครนั ้น ๆ โดยที ่ย ัง ไมต อ งตาย; ทั ้ง นี้ แลวแตผูศึกษาจะถือเอาความหมายไหน.


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๐๙

ปฏิ ป ทาให ถึ ง ซึ่ ง นิ โ รธแห ง กาม; ปฏิ ป ทานั้ น ได แ ก สั ม มาทิ ฏ ฐิ สั ม มาสั ง กั ป ปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ภิ ก ษุ ท.! ในกาลใดแล อริ ย สาวกย อ มรู ชั ด ซึ่ ง กาม อย า งนี้ , รู ชั ด ซึ ่ง นิท านสัม ภวะแหง กาม อยา งนี ้, รู ช ัด ซึ ่ง เวมัต ตตาแหง กาม อยา งนี ้, รู ช ัด ซึ ่ง วิบ ากแหง กาม อยา งนี ้, รู ช ัด ซึ ่ง นิโ รธแหง กาม อยา งนี ้, รู ช ัด ซึ ่ง ปฏิป ทา ให ถึ งซึ่ ง นิ โรธแห งก าม อ ย างนี้ ; ใน ก าล นั้ น อ ริ ย ส าวก นั้ น ย อ ม รู ชั ด ซึ่ ง พรหมจรรยนี้อันเปนเครื่องเจาะแทงกิเลส วาเปนนิโรธแหงกาม. - ฉกฺก. อ. ๒๒/๔๕๗-๔๖๐/๓๓๔.

ไวพจนของกาม ภิ ก ษุ ท.! คํ า ว า 'ภั ย ' ดั ง นี้ นั้ น เป น คํ า แทนชื่ อ ของ กามทั้ ง หลาย. ภิ ก ษุ ท.! คํ า ว า 'ทุ ก ข ' ดั ง นี้ นั้ น เป น คํ า แทนชื่ อ ของ กามทั้ ง หลาย. ภิ ก ษุ ท.! คํ า ว า 'โรค' ดั ง นี้ นั้ น เป น คํ า แทนชื่ อ ของ กามทั้ ง หลาย. ภิ ก ษุ ทุ .! คํ า ว า 'หั ว ฝ ' ดั ง นี้ นั้ น เป น คํ า แทนชื่ อ ของ กามทั้ ง หลาย. ภิ ก ษุ ท. คํ า ว า ‘ลู ก ศร’ ดั ง นี้ นั้ น เป น คํ า แทนชื่ อ ของ กามทั้ ง หลาย ภิ กษุ ท.! คํ าว า 'เครื่ องข อง' ดั งนี้ นั้ น เป นคํ าแทนชื่ อของกามทั้ งหลาย. ภิ กษุ ท.! คํ าว า 'เป อกตม' ดั งนี้ นั้ น เป นคํ าแทนชื่ อของกามทั้ งหลาย. ภิกษุ ท.! คําวา 'ครรภ' ดังนี้นั้น เปนคําแทนชื่อของกามทั้งหลาย.

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท.! เพราะเหตุไ ร คํ า วา 'ภัย ' จึง เปน คํ า แทนชื ่อ ของกาม ทั ้ง หลายเลา ? ภิก ษุ ท.! เพราะเหตุว า สัต วนี ้ เปน ผู กํ า หนัด แลว ดว ย กามราคะ ถูกผูกพันแลว ดวยฉันทราคะ ยอมไมหลุดพนไปได จากภัย ทั้งที่


๓๑๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

เปน ไป ใน ทิฏ ฐธรรม (ปจ จุบ ัน นี ้) แล ะที ่เ ปน ไป ใน กาล อ น าค ต เบื ้อ งห นา , เพราะฉะนั้น คําวา 'ภัย' จึงเปนคําแทนชื่อของ กามทั้งหลาย. ภิ ก ษุ ท.! เพราะเหตุ ไ ร คํ า ว า 'ทุ ก ข ' จึ ง เป น คํ า แทนชื่ อ ของกาม ทั ้ง หลายเลา ? ภิก ษุ ท.! เพราะเหตุว า สัต วนี ้ เปน ผู กํ า หนัด แลว ดว ย กามราคะ ถูกผูกพันแลว ดวยฉันทราคะ ยอมไมหลุดพนไปได จากทุกข ทั้งที่ เปน ไปในทิฏ ฐธรรม (ปจ จุบ ัน ) นี ้ และที ่เ ปน ไปในกาลอนาคตเบื ้อ งหนา . เพราะฉะนั้นคําวา 'ทุกข' จึงเปนคําแทนชื่อของ กามทั้งหลาย. ภิก ษุ ท! เพราะเหตุไ ร คํ า วา 'โรค' จึง เปน คํ า แทนชื ่อ ของกาม ทั้ ง หลายเล า ? ภิ ก ษุ ท.! เพราะเหตุ ว า สั ต ว นี้ เป น ผู กํ า หนั ด แล ว ด ว ยกามราคะ ถูกผูกพันแลว ดวยฉันทราคะ ยอมไมหลุดพนไปได จากโรค ทั้งที่เปน ไปในทิ ฏ ฐธรรม (ป จ จุ บั น ) นี้ และที่ เ ป น ไปในกาลอนาคตเบื้ อ งหน า , เพราะ ฉะนั้น คําวา 'โรค' จึงเปนคําแทนชื่อของ กามทั้งหลาย

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! เพราะเหตุ ไ ร คํ า ว า 'หั ว ฝ ' จึ ง เป น คํ า แทนชื่ อ ของกาม ทั้ ง หลายเล า ? ภิ ก ษุ ท.! เพราเหตุ ว า สั ต ว นี้ เป น ผู กํ า หนั ด แล ว ด ว ยกามราคะ ถูกผูกพันแลว ดวยฉันทราคะ ยอมไมหลุดพนไปได จากหัวฝ ทั้งที่เปน ไปในทิ ฏ ฐธรรม (ป จ จุ บั น ) นี้ และที่ เ ป น ไปในกาลอนาคตเบื้ อ งหน า , เพราะ ฉะนั้น คําวา 'หัวฝ' จึงเปนคําแทนชื่อของ กามทั้งหลาย. ภิก ษุ ท.! เพ ราะเหตุไ ร คํ า วา 'ลูก ศร' จึง เปน แทนชื ่อ ของกาม ทั้ ง หลายเล า ? ภิ ก ษุ ท.! เพราะเหตุ ว า สัต วนี ้ เปน ผู กํ า หนัด แลว ดว ยกาม-


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๑๑

ราคะ ถูกผูกพันแลว ดวยฉันทราคะ ยอมไมหลุดพนไปได จากลูกศร ทั้งที่เปน ไปในทิ ฏ ฐธรรม (ป จ จุ บั น ) นี้ และที่ เ ป น ไปในกาลอนาคตเบื้ อ งหน า , เพราะ ฉะนั้น คําวา 'ลูกศร' จึงเปนคําแทนชื่อของ กามทั้งหลาย. ภิ ก ษุ ท.! เพราเหตุ ไ ร คํ า ว า 'เครื่ อ งข อ ง' จึ ง เป น คํ า แทนชื่ อ ของ กามทั้ ง หลายเล า ? ภิ ก ษุ ท.! เพราะเหตุ ว า สั ต ว นี้ เป น ผู กํ า หนั ด แล ว ด ว ย กามราคะ ถูกผูกพันแลวดวยฉันทราคะ ยอมไมหลุดพนไปได จากเครื่องของ ทั้ ง ที่ เ ป น ไปในทิ ฏ ฐธรรม (ป จ จุ บั น ) นี้ และที่ เป น ไปในกาลอนาคตเบื้ อ งหน า , เพราะฉะนั้น คําวา 'เครื่องของ' จึงเปนคําแทนชื่อของ กามทั้งหลาย. ภิ ก ษุ ท.! เพราะเหตุ ไ ร คํ า ว า 'เป อ กตม' จึ ง เป น คํ า แทนชื่ อ ของ กามทั้ ง หลาย? ภิ ก ษุ ท.! เพราะเหตุ ว า สั ต ว นี้ เป น ผู กํ า หนั ด แล ว ด ว ยกามราคะ ถูก ผูก พัน แลว ดว ยฉัน ทราคะ ยอ มไมห ลุด พน ไปได จากเปอ กตม ทั้ ง ที่ เ ป น ไปทิ ฏ ฐธรรม (ป จ จุ บั น ) นี้ และที่ เ ป น ไปในกาลอนาคตเบื้ อ งหน า , เพราะฉะนั้น คําวา 'เปอกตม' จึงเปนคําแทนชื่อของ กามทั้งหลาย.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! เพราเหตุไ ร คํ า วา 'ครรภ' จึง เปน คํ า แทนชื ่อ ของกาม ทั้ ง หลายเล า ? ภิ ก ษุ ท.! เพราะเหตุ ว า สั ต ว นี้ เป น ผู กํ า หนั ด แล ว ด ว ยกามราคะ ถูก ผูก พัน แลว ดวยฉัน ทราคะ ยอ มไมห ลุด พน ไปได จากครรภ ทั้งที่ เปน ไป ใน ทิฏ ฐธรรม (ปจ จุบ ัน ) นี ้ และที ่เ ปน ไป ใน กาลอ น าค ต เบื ้อ งหนา , เพราะฉะนั้นคําวา 'ครรภ' จึงเปนคําแทนชื่อของ กามทั้งหลาย, ดังนี้แล.

- อฎฐก. อํ. ๒๓/๒๙๘/๑๔๖.


๓๑๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

กามเปรียบดวยรูรั่วของเรือ เมื่ อ สั ต ว มี ค วามใครใ นกามอยู , ถ า กามนั้ น สํ า เร็ จ แก เขา คือ เขาไดต ามปรารถนาแลว , เขา ยอ มมีป ต ิใ นใจ โดยแท. เมื ่อ สั ต ว ผู มี ค วามพอใจ กํ า ลั ง ใคร ใ นกามอยู , ถ า กามนั้ น สู ญ หายไป, เขา ยอมเดือดรอน เหมือนถูกแทงดวยศร ฉะนั้น. ผูใด เวนขาดจากกาม ดวยความเห็น วา เปนดุ จหั วงู ผูนั้ น เปนคนมีสติ ลวงพนตัณหาอันสายไปในโลกนี้เสียได. ผู ใด เข า ไปผู ก ใจอยู ในที่ น า ที่ ส วน เงิน โค ม า ทาสชาย และสตรี พวกพอ ง และกามทั ้ง หลายอื ่น ๆเปน อัน มาก กิเ ลสมาร ย อ มครอบงําบุ ค คลผู นั้ น ได , อั น ตรายรอบด า น ย อ มย่ํ ายี บุ ค คลผู นั้ น ; เพราะเหตุนั้น ความทุกข ยอมติดตามเขา เหมือนน้ําไหลเขาสูเรืออัน แตกแลว ฉะนั้น. เพราะฉะนั้ น บุ ค คล ควรเป น ผู มี ส ติ ทุ ก เมื่ อ , พึ ง เว น ขาด จากกาม, ละกามแล ว พึ งขามโอฆะเสี ย ได ดุ จ บุ ค คลอุ ด ยาเรือ ดี แล ว ก็พึงขามไปถึงฝงโนน (นิพพาน) ได ฉะนั้นแล.

www.buddhadasa.info - สุตฺต.ขุ.๒๕/๔๘๔/๔๐๘.

ลักษณะแหงภวตัณหา ภิ ก ษุ ท.! ภวโยคะ (การประกอบอยู ด ว ยภพ) เป น อย า งไรเล า ? ภิ ก ษุ ท.! บุ ค คลบางคนในโลกนี้ ย อ มไม รู ชั ด ตามที่ เ ป น จริ ง ซึ่ ง ความก อ ขึ้ น แห ง ภพทั้ ง หลาย ซึ่ ง ความดั บ ไปแห ง ภพทั้ ง หลาย ซึ่ ง รสอร อ ยแห ง ภพทั้ ง หลาย


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๑๓

ซึ ่ง โทษแหง ภพทั ้ง หลาย และซึ ่ง อุบ ายเครื ่อ งออกพน ไปไดจ ากภพทั ้ง หลาย ภิก ษุ ท.! เมื ่อ เขาไมรู อ ยู อ ยา งนั ้น , ความกํ า หนัด ในภพ ความเพลิด เพลิน ในภพ ความเสนหหาในภพ ความสยบในภพ ความหิวระหายในภพ ความ เรารอนเพราะภพ ความเมาหมกในภพ และภวตัณหาในภพทั้งหลาย ยอมนอน เนื ่อ งอยู ใ นบุค คลนั ้น . ภิก ษุ ท.! นี ้ เราเรีย กวา ภวโยคะ (การประกอบอยู ดวยภพ). ดังนี้แล. - จตุกฺก. อํ.๒๑/๑๓/๑๐.

ปจจัยแหงภวตัณหา ภิก ษุ ท.! ที ่ส ุด ในเบื ้อ งตน ของภวตัณ หา ยอ มไมป รากฏ; กอ น แต นี ้ ภวตั ณ หามิ ไ ด ม ี ; แต ว  า ภวตั ณ หาเพิ ่ ง มี ต  อ ภายหลั ง . ภิ ก ษุ ท.! คํ ากล าวอย างนี้ แหละเป น คํ าที่ ใคร ๆ ควรกล าว และควรกล าวด วยว า "ภวตั ณ หา ยอมปรากฏ เพราะมีสิ่งนี้สิ่งนี้เปนปจจัย" ดังนี้.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท .! เราก ล าวว า ถึ งแ ม ภ วตั ณ ห านั้ น ก็ เป น ธ รรม ช าติ มี อ าห าร ห าใช เ ป น ธรรม ชาติ ที่ ไม มี อ าห ารไม . ก็ อ ะไรเล า เป น อ าห ารขอ ง ภวตัณหา? คําตอบพึงมีวา "อวิชชา เปนอาหารของภวตัณหา" ดังนี้.

ภิก ษุ ท .! เรากลา ววา ถึง แมอ วิช ชา ก็เ ปน ธรรม ชาติม ีอ าหาร ห าใชเ ปน ธรรม ชาติที ่ไ มม ีอ าห ารไม. ก็อ ะไรเลา เปน อ าห รขอ งอ วิช ชา? คําตอบพึงมีวา "นิวรณทั้งหลาย ๕ ประการ เปนอาหารของอวิชชา" ดังนี้.


๓๑๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ กษุ ท .! เรากล า วว า ถึ ง แม นิ ว รณ ทั้ งหลาย ๕ ป ระการ ก็ เ ป น ธรรม ช าต ิม ีอ าห าร ห าใชเ ป น ธรรม ช าต ิที ่ไ ม ม ีอ าห ารไม . ก็อ ะไรเล า เป น อาหารของนิ ว รณ ทั้ ง หลาย ๕ ประการ? คํ า ตอบพึ ง มี ว า "ทุ ก จริ ต ทั้ ง หลาย ๓ ประการ" ดังนี้ ....ฯลฯ....

....ฯลฯ....

การไมสํารวมอินทรียบริบูรณแลว ยอมทําทุจริต ๓ ประการใหบริบูรณ; ทุจริต ๓ ประการบริบูรณแลว ยอมทํานิวรณ ๕ ประการใหบริบูรณ; นิวรณ ๕ ประการบริบูรณแลว ยอมทําอวิชชาใหบริบูรณ; อวิชชาบริบูรณแลว ยอมทําภวตัณหาใหบริบูรณ.

ภิ ก ษุ ท .! อ าห ารแห งภ วตั ณ ห านี้ ย อ ม มี ได ด วย อ าก ารอ ย างนี้ และบริบูรณแลวดวยอาการอยางนี้. - ทสก.อํ.๒๔/๑๒๔/๖๒.

วิภาคแหงภวตัณหารอยแปด www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! เราจั ก แสดงแก พ วกเธอ ถึ ง เรื่ อ ง ตั ณ หา อั น มี ธ รรมชาติ เหมือนขายเปนเครื่องดักสัตว มีธรรมชาติไหลนอง แผกวาง เปนเครื่องเกาะเกี่ยว ของสัต ว, ซึ ่ง ดว ยตัณ หานั ้น เอง สัต วโ ลกนี ้ ถูก ปกคลุม หุ ม หอ ไว ถูก ทํ า ให ยุงเหยิงเหมือนดายยุง ประสานกันสับสนดุจรังนก นุงนังเหมือนพงหญามุญชะและปพพชะ จึงไมลวงพนอบาย ทุคติ วินิบาต และสังสารวัฏไปได. พวกเธอ จงฟงขอความนั้น ทําในใจใหสําเร็จประโยชน เราจักกลาวบัดนี้.


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๑๕

ครั้งภิกษุทั้งหลายเหลานั้น ทูลสนองรับพระพุทธดํารัสแลว, พระผูมีพระภาคเจา จึงไดตรัส พระพุทธวจนะนี้วา :-

ภิ ก ษุ ท.! ตั ณ หานั้ น เป น อย า งไรเล า จึ ง ชื่ อ ว า มี ธ รรมชาติ เหมื อ น ข า ยเป น เครื่ อ งดั ก สั ต ว มี ธ รรมชาติ ไ หนนอง แผ ก ว า ง เป น เครื่ อ งเกาะเกี่ ย วของ สั ต ว , ซึ่ ง ด ว ยตั ณ หานั้ น เอง สั ต ว โ ลกนี้ ถู ก ปกคลุ ม หุ ม ห อ ไว ถู ก ทํ า ให ยุ ง เหยิ ง เหมื อ นด า ยยุ ง ประสานกั น สั บ สนดุ จ รั ง นก นุ ง นั ง เหมื อ นพงหญ า มุ ญ ชะและ ปพพชะ จึงไมลวงพนอบาย ทุคติ วินิบาต และสังสารวัฏไปได? ภิ กษุ ท.! ตั ณ หาวิ จริ ต (ความนึ กที่ ซ านไปด วยอํ านาจแห งตั ณ หา) ๑๘ อย าง ที่ เข าไปจั บยึ ดขั นธ อั นเป นภายใน และตั ณ หาวิ จริ ต ๑๘ อย าง ที่ เข าไปจั บยึ ดขั นธ อันเปนภายนอก เหลานี้ มีอยู. ภิกษุ ท.! ตัณหาวิจริต (ความนึกที่ซานไปดวยอํานาจแหงตัณหา) ๑๘ อยาง ที่เขาไปจับยึดขันธอันเปนภายใน เหลานั้น เปนอยางไรเลา?

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! ตั ณ หาวิ จ ริ ต ๑๘ อย า ง ที่ เ ข า ไปจั บ ยึ ด ขั น ธ อั น เป น ภายใน นั้ น คื อ เมื่ อ มี ค วามนึ ก ไปในทาง ที่ ว า "เรามี เราเป น " ดั ง นี้ ก็ เกิ ด ความนึ กที่ เป นไปตามอํ านาจแห งตั ณ หา ว า "เรามี อยู เป นอยู " ดั งนี้ ๑, ว า "เรา เป นอย างนี้ ๆ" ดั งนี้ ๑, ว า "เราเป นอย างนั้ น ๆ (คื ออย างเดี ยวกั นกั บคู เปรียบ)" ดั งนี้ ๑, วา "เราเป นอย างอื่ น (คื อแตกต างตรงกันขามจากคูเปรียบ)" ดั งนี้ ๑, ว า "เราเป นผู ไม เที่ ยง ไม ยั่ งยื น " ดั งนี้ ๑, ว า "เราเป น ผู เที่ ยงผู ยั่ งยื น " ดั งนี้ ๑, ว า “เราพึ งมี อ ยู พึ งเป น อยู ” ดัง นี ้ ๑ , วา “เราพึง เปน อยา งนี ้ ” ๆ ดัง นี ้ ๑ ,วา “เราพึง เปน อยา งนั ้น ๆ” ดั งนี้ ๑, ว า “เราพึ งเป นอย างอื่ น” ดั งนี้ ๑, ว า "เราพึ งมี อ ยู พึ งเป น อยู ดั ง นี้ ๑, วา "ขอใหเราเปนอยางนี้ ๆ" ดังนี้ ๑, วา "ขอใหเราเปนอยางนั้น ๆ" ดังนี้ ๑, วา


๓๑๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

"ขอให เราเป น อย า งอื่ น " ดั ง นี้ ๑, ว า "เราจั ก มี อ ยู จั ก เป น อยู " ดั ง นี้ ๑, ว า "เรา จั ก เป น อย า งนี้ ๆ" ดั ง นี้ ๑, ว า "เราจั ก เป น อย า งนั้ น ๆ" ดั ง นี้ ๑, ว า "เราจั ก เป น อยา งอื ่น " ดัง นี ้๑. ภิก ษุ ท.! เหลา นี ้แ ล ชื ่อ วา ตัณ หาวิจ ริต ๑๘ อยา ง ที่ เขาไปจับยึดขันธอันเปนภายใน. ภิกษุ ท.! ตัณ หาวิจริต (ความนึกที่ซานไปดวยอํานาจแหงตัณ หา) ๑๘ อย า ง ที่ เข า ไปจั บ ยึ ด ขั น ธ อั น เป น ภายนอก เป น อย า งไรเล า ? ภิ ก ษุ ท.! ตั ณ หาวิ จริ ต ๑๘ อย าง ที่ เข าไปจั บ ยึ ดขั นธ อั นเป นภายนอก คื อ เมื่ อมี ความนึ กไป ในทางที่ วา "เรามี เราเป น ด ว ยสิ่ ง (คือ ขัน ธอัน เป น ภายนอก) นี้ " ดั งนี้ ก็ เกิ ด ความ นึ กที่ เป นไปตามอํ านาจแห งตั ณหา วา "เรามี อยู เป นอยู ด วยสิ่ง (คือขันธอันเป นภายนอก) นี้ " ดั ง นี้ ๑, ว า "เราเป น อย า งนี้ ๆ ด ว ยสิ่ ง นี้ " ดั ง นี้ ๑, ว า "เราเป น อย า งนั้ น ๆ ด วยสิ่ งนี้ " ดั งนี้ ๑, ว า "เราเป น อย างอื่ น ด วยสิ่ งนี้ " ดั งนี้ ๑, ว า "เราเป น ผู ไม เที่ ย ง ไม ยั่ งยื น ด วยสิ่ งนี้ " ดั งนี้ ๑, ว า "เราเป น ผู เที่ ย ง ผู ยั่ งยื น ด วยสิ่ งนี้ " ดั งนี้ ๑, ว า "เราพึ ง มี อ ยู พึ ง เป น อยู ด ว ยสิ่ ง นี้ " ดั ง นี้ ๑, ว า "เราพึ ง เป น อย า งนี้ ๆ ด ว ยสิ่ ง นี้ " ดั ง นี้ ๑, ว า "เราพึ ง เป น อย า งนั้ น ๆ ด ว ยสิ่ ง นี้ " ดั ง นี้ ๑, ว า "เราพึ ง เป น อย า งอื่ น ด ว ยสิ่ ง นี้ " ดั ง นี้ ๑, ว า "ขอให เรามี อ ยู เป น อยู ด ว ยสิ่ ง นี้ " ดั ง นี้ ๑, ว า "ขอให เราเป นอย างนี้ ๆ ด วยสิ่ งนี้ " ดั งนี้ ๑, ว า "ขอให เราเป นอย างนั้ น ๆ ด วยสิ่ งนี้ " ดั งนี้ ๑, วา "ขอให เราเป นอย างอื่ น ด วยสิ่ งนี้ " ดั งนี้ ๑, ว า "เราจั กมี อยู จั กเป นอยู ด วยสิ่ งนี้ " ดั งนี้ ๑, ว า "เราจั ก เป น อย า งนี้ ๆ ด ว ยสิ่ งนี้ " ดั งนี้ ๑, ว า "เราจั ก เป น อย า งนั้ น ๆ ด ว ยสิ่ ง นี้ " ดั ง นี้ ๑, ว า "เราจั ก เป น อย า งอื่ น ด ว ยสิ่ ง นี้ " ดั ง นี้ ๑, ภิ ก ษุ ท.! เหลานี้แล ชื่อวา ตัณหาวิจริต ๑๘ อยาง ที่เขาไปจับยึดขันธอันเปนภายนอก.

www.buddhadasa.info


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๑๗

ภิ ก ษุ ท.! ด ว ยเหตุ นี้ แ หละ ตั ณ หาวิ จ ริ ต ๑๘ อย า ง ที่ เข า ไปจั บ ยึ ด ขั น ธ อั น เป น ภายในด ว ยและตั ณ หาวิ จ ริ ต ๑๘ อย า ง ที่ เข า ไปจั บ ยึ ด ขั น ธ อั น เป น ภายนอกดวย เหลานี้แล เรียกวา ตัณหาวิจริต๓๖ อยาง. ภิ ก ษุ ท.! ด ว ยเหตุ นี้ แ หละ ตั ณ หาวิ จ ริ ต อย า งนี้ แ ล เป น อดี ต ๓๖ อย า ง, เป น อนาคต๓๖ อย า ง, และป จ จุ บั น ๓๖ อย า ง, รวมเป น ตั ณ หาวิ จ ริ ต ๑๐๘ อยาง. ภิ ก ษุ ท .! นี่ แล คื อ ตั ณ ห านั้ น อั น มี ธรรม ชาติ เห มื อ น ข า ย เป น เครื ่อ งดัก สัต ว มีธ รรมชาติไ หลนอง แผก วา ง เปน เครื ่อ งเกาะเกี ่ย วของสัต ว ซึ่ ง ด ว ยตั ณ หานั้ น เอง สั ต ว โ ลกนี้ ถู ก ปกคลุ ม หุ ม ห อ ไว ถู ก ทํ า ให ยุ ง เหยิ ง เหมื อ น ด า ยยุ ง ประสานกั บ สั น สนดุ จ รั ง นก นุ ง นั ง เหมื อ นพงหญ า มุ ญ ชะและป พ พชะ๑ จึงไมลวงพนอบาย ทุคติ วินิบาต และสังสารวัฏไปได แล. - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๒๘๙/๑๙๙.

www.buddhadasa.info เหตุที่ทําใหฟงธรรมไมรูเรื่อง (เพราะภวตัณหา)

ภิ ก ษุ ท.! บุ ค คลประกอบอยู ด ว ยเหตุ ห า อย า ง แม ฟ ง ธรรมอยู ก็ ไม อ าจเพื่ อ จะก า วลงสู นิ ย าม คื อ ความถู ก ต อ งในกุ ศ ลธรรมทั้ ง หลาย. เหตุ ห า อยางอะไรเลา? หาอยางคือ สนใจแตคําพูด สนใจแตผูพูด สนใจแตตัวเอง

๑. หญ า สองชนิ ด นี้ เคยแปลกั น ว า หญ า มุ ง กระต า ยและหญ า ปล อ ง แต ไ ม มี ห ลั ก ฐานที่ แ น น อน. ในที่นี้จึงไมแปลไว.


๓๑๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

มี จิ ต ฟุ ง ซ า นไม มี เอกั ค คตาจิ ต ฟ งธรรม และทํ าในใจไม แ ยบคาย. ภิ ก ษุ ท.! บุ ค คลประกอบด วยเหตุ ห า อย างเหล านี้ แ ล แม ฟ งธรรมอยู ก็ ไม อ าจเพื่ อ จะก าวลง สูนิยาม คือความถูกตองในกุศลธรรมทั้งหลาย. - ปฺจก. อํ. ๒๒/๑๙๕/๑๕๑.

(อีกปริยายหนึ่ง) ภิ ก ษุ ท.! บุ ค คลประกอบอยู ด ว ยเหตุ ห า อย า ง แม ฟ ง ธรรมอยู ก็ ไม อ าจเพื่ อ จะก า วลงสู นิ ย าม คื อ ความถู ก ต อ งในกุ ศ ลธรรมทั้ ง หลาย. เหตุ ห า อย างอะไรเล า ? ห า อย า งคื อ สนใจแต คํ า พู ด สนใจแต ผู พู ด สนใจแต ตั ว เอง เป น คนโง เง า เงอะงะ มั ว แต สํ า คั ญ ตนว า รู ใ นสิ่ ง ที่ ต นไม รู . ภิ ก ษุ ท.! บุ ค คล ป ระ ก อ บ ด ว ย เห ตุ ห  า อ ย า งนี ้ แ ล แ ม ฟ  ง ธ รรม อ ยู  ก็ ไ ม อ าจ เพื ่ อ จ ะ ก า วล ง สูนิยาม คือความถูกตองในกุศลธรรมทั้งหลาย. - ปฺจก. อํ. ๒๒/๑๙๕/๑๕๒.

(อีกปริยายหนึ่ง)

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! บุ ค คลประกอบอยู ด ว ยเหตุ ห า อย า ง แม ฟ ง ธรรมอยู ก็ ไม อาจเพื่ อ จะก าวลงสู นิ ย าม คื อ ความถู ก ต อ งในกุ ศ ลธรรมทั้ งหลาย. เหตุ ห าอย าง อะไรเล า? ห าอย างคื อ เป น คนลบหลู ฟ งธรรม มี จิ ต มากไปด วยความลบหลู แขงดีฟงธรรม คอยจองจับความผิดพลาดในผูแสดงธรรมดวยจิตมุงรายแข็ง กระด าง เป น คนโงเงาเงอะงะ มั วแต สํ าคั ญ ตนวารูในสิ่ งที่ ต นไม รู. ภิกษุ ท.! บุ ค คลประกอบด วยเหตุ ห า อย างเหล านี้ แ ล แม ฟ งธรรมอยู ก็ ไม อ าจเพื่ อ จะก าวลง สูนิยาม คือความถูกตองในกุศลธรรมทั้งหลาย. - ปญจก. อํ. ๒๒/๑๙๖/๑๕๓.


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๑๙

(ในตอนท า ยของแต ล ะปริ ย าย ได ต รั ส ถึ ง บุ ค คลผู มี ธ รรมตรงกั น ข า ม คื อ สามารถฟ ง ธรรมสําเร็จประโยชน, ผูศึกษาพึงคํานวณเอาดวยตนเอง โดยปฏิปกขนัยจากขอความขางบนนี้)

ภพแมชั่วขณะดีดนิ้วมือก็ยังนารังเกียจ ภ ิก ษ ุ ท .! ค ูถ แ ม น ิด เด ีย ว ก็เ ป น ข อ ง ม ีก ลิ ่น เห ม ็น ฉัน ใด ; ภิ ก ษุ ท.! สิ่ ง ที่ เ รี ย กว า ภพ (ผลแห ง ภวตั ณ หา) ก็ ฉั น นั้ น เหมื อ นกั น , แม มี ประมาณนอยชั่วลัดนิ้วมือเดียว ก็ไมมีคุณอะไรที่พอจะกลาวได. - เอก. อํ. ๒๐/๔๖/๒๐๓. (ในสู ตรถั ดไป ได ตรัสอุ ป มาด วย มู ต ร ด วย น้ํ าลาย ด วย หนอง ด วย โลหิ ต โดย ทํานองเดียวกัน, - ๒๐/๔๖/๒๐๔).

วิภวตัณหา เรื่องของ วิภวตัณหา ที่เปนพุทธดํารัสโดยตรง ยังไมพบที่มา; ขอนักศึกษา จงทราบโดยเปนปฏิปกขนัยของ ภวตัณหา.

www.buddhadasa.info นิทเทศ ๔ วาดวยลักษณะแหงตัณหา จบ


๓๒๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

นิทเทศ ๕ วาดวยที่เกิดและการเกิดแหงตัณหา (มี ๕ เรื่อง)

การเกิดขึ้นแหงตัณหา ภิกษุ ท.! การกอขึ้นแหงทุกข เปนอยางไรเลา? ภิ กษุ ท.! เพ ราะอาศั ย ต าด ว ย รู ป ด ว ย จึ ง เกิ ด จั ก ขุ วิ ญ ญ าณ ขึ้ น , การประจวบพร อ ม (แห ง ตา+รู ป +จั ก ขุ วิ ญ ญาณ) ทั้ ง ๓ อย า งนั้ น จึ ง เกิ ด มี ผั ส สะ, เพ ราะผั ส ส ะเป น ป จจั ย จึ งเกิ ด มี เวท น า, เพ ราะเวท น าเป น ป จ จั ย จึ ง เกิ ด มี ตัณหา; นี้ คือ การกอขึ้นแหงทุกข ภิ ก ษุ ท.! เพ ราะอาศั ย หู ด ว ย เสี ย งด ว ย จึ ง เกิ ด โสตวิ ญ ญ าณ ขึ้ น . การป ระจวบ พ ร อ ม (แห งหู +เสี ย ง+โสตวิ ญ ญ าณ ) ทั้ ง ๓ อย า งนั้ น จึ ง เกิ ด มี ผัส ส ะ , เพ ราะ ผัส ส ะ เปน ปจ จัย จึง เกิด มีเ วท น า , เพ ราะ เวท น าเปน ปจ จัย จึงเกิดมีตัณหา; นี้ คือ การกอขึ้นแหงทุกข.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! เพราะอาศั ย จมู ก ด ว ย กลิ่ น ด ว ย จึ ง เกิ ด ฆานวิ ญ ญาณขึ้ น , การประจวบพร อ ม (แห ง จมู ก +กลิ่ น +ฆานวิ ญ ญ าณ ) ทั้ ง ๓ อย า งนั้ น จึ ง เกิ ด มี ผั ส สะ, เพ ราะผั ส สะเป น ป จ จั ย จึ ง เกิ ด มี เ วทนา, เพราะเวทนาเป น ป จ จั ย จึ ง เกิดมีตัณหา; นี้ คือ การกอขึ้นแหงทุกข

ภิ ก ษุ ท.! เพราะอาศั ย ลิ้ น ด ว ย รสด ว ย จึ ง เกิ ด ชิ ว หาวิ ญ ญ าณ ขึ้ น , การประจวบพรอม (แหงลิ้น+รส+ชิวหาวิญญาณ) ทั้ง ๓ อยางนั้น จึงเกิดมี


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๒๑

ผั ส สะ, เพราะผั ส สะเป น ป จ จั ย จึ ง เกิ ด มี เ วทนา, เพราะเวทนาเป น ป จ จั ย จึ ง เกิดมีตัณหา; นี้ คือ การกอขึ้นแหงทุกข. ภิ ก ษุ ท.! เพ ราะอาศั ย กายด ว ย โผฏ ฐั พ พ ะด ว ย จึ ง เกิ ด กายวิ ญ ญาณขึ้ น , การประจวบพร อ ม (แห งกาย+โผฏฐั พ พะ+กายวิ ญ ญาณ) ทั้ ง ๓ อย า งนั้ น จึ ง เกิ ด มี ผั ส สะ, เพราะผั ส สะเป น ป จ จั ย จึ ง เกิ ด มี เ วทนา, เพราะ เวทนาเปนปจจัย จึงเกิดมีตัณหา; นี้ คือ การกอขึ้นแหงทุกข ภิ กษุ ท .! เพ ราะอาศั ย ใจ ด วย ธรรม ารม ณ ด ว ย จึ ง เกิ ด ม โน วิ ญ ญาณขึ้ น , การประจวบพร อ ม (แห ง ใจ+ธรรมารมณ +มโนวิ ญ ญาณ) ทั้ ง ๓ อย า งนั้ น จึ ง เกิ ด มี ผั ส สะ, เพราะผั ส สะเป น ป จ จั ย จึ ง เกิ ด มี เ วทนา, เพราะ เวทนาเปนปจจัย จึงเกิดมีตัณหา; นี้ คือ การขึ้นแหงทุกข. ภิกษุ ท.! นี้แล คือ การกอขึ้นแหงทุกข. - สฬา. สํ. ๑๘/๑๐๖/๑๕๔.

www.buddhadasa.info ฐานที่เกิดแหงตัณหา (สี่อยาง)

ภิ ก ษุ ท.! การเกิ ด ขึ้ น แห ง ตั ณ หา เมื่ อ จะเกิ ด ย อ มเกิ ด ขึ้ น แก ภิ ก ษุ ในอารมณใด ๆ ก็ตามมีสี่อยางเหลานี้. สี่อยางเหลาไหนเลา? สี่อยางคือ :ภิ ก ษุ ท.! ตั ณ หา เมื่ อ จะเกิ ด ย อ มเกิ ด ขึ้ น แก ภิ ก ษุ เพราะจี ว ร เปนเหตุบาง;


๓๒๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ ก ษุ ท.! ตั ณ หา เมื่ อ จะเกิ ด ย อ มเกิ ด ขึ้ น แก ภิ ก ษุ เพราะอาหาร บิณฑบาตเปนเหตุบาง; ภิ ก ษุ ท.! ตั ณ หา เมื่ อ จะเกิ ด ย อ มเกิ ด ขึ้ น แก ภิ ก ษุ เพราะเสนา สนะเปนเหตุบาง; ภิ ก ษุ ท.! ตั ณ หา เมื่ อ จะเกิ ด ย อ มเกิ ด ขึ้ น แก ภิ ก ษุ เพราะความ ไดเปนหรือไมไดเปนอยางนั้นอยางนี้เปนเหตุบาง. ภ ิก ษ ุ ท .! เห ล า นี ้แ ล ค ือ ก า รเก ิด ขึ ้น แ ห ง ต ัณ ห า เมื ่อ จ ะ เก ิด ยอมเกิดขึ้น แกภิกษุ ในอารมณใด ๆ ก็ตาม มีสี่อยางแล. - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๒/๙; จตุกฺก. อํ. ๒๑/๓๓๕/๒๕๗.

ที่ตั้งอาศัยเกิดแหงตัณหา ภิ ก ษุ ท.! ตั ณ หานั้ น เมื่ อ จะเกิ ด ย อ มเกิ ด ขึ้ น ณ ที่ ไหน? เมื่ อ จะ ตั้งอยูยอมตั้งอยู ณ ที่ไหน? ภิก ษุ ท.! สิ ่ง ใด มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, ตัณ หานั ้น เมื ่อ จะเกิด ยอมเกิดขึ้น ในสิ่งนั้น, เมื่อจะตั้งอยู ยอมตั้งอยู ในสิ่งนั้น.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! ก็สิ่งใดเลา มีภาวะเปนที่รักที่ยินดีในโลก?

ภิก ษุ ท.! ตา มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, หู มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, จมูก มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, ลิ ้น มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที่ ยินดีในโลก, กาย มีภาวะเปนที่รักที่ยินดีในโลก, และ ใจ มีภาวะเปนที่รักที่


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๒๓

ยิน ดีใ นโลก; ตัณ หานั ้น เมื ่อ จะเกิด ยอ มเกิด ขึ ้น ในสิ ่ง นั ้น ๆ, เมื ่อ จะตั ้ง อยู ยอมตั้งอยู ในสิ่งนั้น ๆ. ภิก ษุ ท.! รูป ทั ้ง หลาย มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, เสีย ง ทั ้ง หลายมีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, กลิ ่น ทั ้ง หลาย มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดี ในโลก, รสทั ้ง หลาย มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, โผฏฐัพ พะทั ้ง หลาย มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, และธรรมารมณทั ้ง หลาย มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที่ ยิน ดีใ นโลก; ตัณ หานั ้น เมื ่อ จะเกิด ยอ มเกิด ขึ ้น ในสิ ่ง นั ้น ๆ, เมื ่อ จะตั ้ง อยู ยอมตั้งอยู ในสิ่งนั้น ๆ. ภิ กษุ ท.! วิ ญ ญาณทางตา มี ภาวะเป นที่ รักที่ ยิ นดี ในโลก, วิญ ญาณ ทางหู มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, วิญ ญาณทางจมูก มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที่ ยิ น ดี ใ นโลก, วิ ญ ญาณทางลิ้ น มี ภ าวะเป น ที่ รั ก ที่ ยิ น ดี ใ นโลก, วิ ญ ญาณทาง กาย มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, และวิญ ญาณทางใจ มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที่ ยิน ดีใ นโลก; ตัณ หานั ้น เมื ่อ จะเกิด ยอ มเกิด ขึ ้น ในสิ ่ง นั ้น ๆ, เมื ่อ จะตั ้ง อยู ยอมตั้งอยู ในสิ่งนั้น ๆ.

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท.! สัม ผัส ทางตา มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, สัม ผัส ทางหู มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, สัม ผัส ทางจมูก มีภ าวะเปน ที ่รัก ที ่ย ิน ดี ในโลก, สัม ผัส ทางลิ ้น มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, สัม ผัส ทางกาย มี ภาวะเป น ที่ รั ก ที่ ยิ น ดี ใ นโลก, และสั ม ผั ส ทางใจ มี ภ าวะเป น ที่ รั ก ที่ ยิ น ดี ใ นโลก; ตัณ หานั ้น เมื ่อ จะเกิด ยอ มเกิด ขึ ้น ในสิ ่ง นั ้น ๆ, เมื ่อ จะตั ้ง อยู  ยอ มตั ้ง อยู ในสิ่งนั้น ๆ.


๓๒๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ ก ษุ ท.! เวทนาเกิ ด แต สั ม ผั ส ทางตา มี ภ าวะเป น ที่ รั ก ที่ ยิ น ดี ใ น โลก, เวทนาเกิด แตส ัม ผัส ทางหู มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, เวทนาเกิด แตส ัม ผัส ทางจมูก มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, เวทนาเกิด แตส ัม ผัส ทางลิ ้น มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, เวทนาเกิด แตส ัม ผัส ทางกาย มีภ าวะเปน ที ่รั ก ที่ ยิ น ดี ใ นโลก, และเวทนาเกิ ด แต สั ม ผั ส ทางใจ มี ภ าวะเป น ที่ รั ก ที่ ยิ น ดี ใ นโลก; ตัณ ห านั ้น เมื ่อ จะเกิด ยอ ม เกิด ขึ ้น ใน สิ ่ง นั ้น ๆ, เมื ่อ จะตั ้ง อยู  ยอ ม ตั ้ง อ ยู ในสิ่งนั้น ๆ. ภิ กษุ ท.! ค วาม ห ม าย รู ใ น รู ป มี ภ าวะเป นที่ รั ก ที่ ยิ น ดี ใ น โลก, ความหมายรู ใ นเสี ย ง มี ภ าวะเป น ที่ รั ก ที่ ยิ น ดี ใ นโลก, ความหมายรู ใ นกลิ่ น มี ภาวะเป น ที่ รั ก ที่ ยิ น ดี ใ นโลก, ความหมายรู ใ นรสมี ภ าวะเป น ที่ รั ก ที่ ยิ น ดี ใ นโลก, ความหมายรู ใ นโผฏฐัพ พะ มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, และความหมายรู ในธรรมารมณ  มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก; ตัณ หานั ้น เมื ่อ จะเกิด ยอ ม เกิดขึ้น ในสิ่งนั้น ๆ, เมื่อจะตั้งอยู ยอมตั้งอยู ในสิ่งนั้น ๆ.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! ความคิ ด นึ ก ในรู ป มี ภ าวะเป น ที่ รั ก ที่ ยิ น ดี ใ นโลกความ คิด นึก ใน เสีย ง มีภ า ว ะ เปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ น โล ก , ค ว า ม คิด นึก ใน ก ลิ ่น มี ภาวะเป น ที่ รั ก ที่ ยิ น ดี ใ นโลก, ความคิ ด นึ ก ในรส มี ภ าวะเป น ที่ รั ก ที่ ยิ น ดี ใ นโลก, ความคิ ด นึ ก ในโผฏฐั พ พะ มี ภ าวะเป น ที่ รั ก ที่ ยิ น ดี ใ นโลก, และความคิ ด นึ ก ใน ธรรมารมณ มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก; ตัณ หานั ้น เมื ่อ จะเกิด ยอ มเกิด ขึ้น ในสิ่งนั้น ๆ, เมื่อจะตั้งอยู ยอมตั้งอยู ในสิ่งนั้น ๆ.


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๒๕

ภิก ษุ ท.! ตัณ หาใน รูป มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, ตัณ หา ในเสีย ง มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, ตัณ หาในกลิ ่น มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที่ ยิ น ดี ใ น โล ก , ตั ณ ห า ใ น ร ส มี ภ า ว ะ เป น ที ่ ร ั ก ที ่ ย ิ น ดี ใ น โล ก , ตั ณ ห า ใ น โผฏฐั พ พะ มี ภ าวะเป น ที่ รั ก ที่ ยิ น ดี ใ นโลก, และตั ณ หาในธรรมารมณ มี ภ าวะ เปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ น โล ก ; ตัณ ห านั ้น เมื ่อ จะเกิด ยอ ม เกิด ขึ ้น ใน สิ ่ง นั ้น ๆ, เมื่อจะตั้งอยู ยอมตั้งอยู ในสิ่งนั้น ๆ. ภิก ษุ ท.! ค วาม ต ริต รึก ใน รูป มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, ความตริต รึก ในเสีย ง มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, ความตริต รึก ในกลิ ่น มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, ความตริต รึก ในรส มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดี ในโลก, ความตริต รึก ใน โผ ฏ ฐัพ พ ะ มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, และ ความตริต รึก ในธรรมรมณ มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก; ตัณ หานั ้น เมื ่อ จะเกิด ยอมเกิดขึ้น ในสิ่งนั้น ๆ, เมื่อจะตั้งอยู ยอมตั้งอยู ในสิ่งนั้น ๆ. ภิ ก ษุ ท.! ความ ตริ ต รองใน รู ป มี ภ าวะเป น ที่ รั ก ที่ ยิ น ดี ใ นโลก, ความตริต รองในเสีย ง มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, ความตริต รองในกลิ ่น มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, ความตริต รองในรส มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดี ในโลก, ความตริต รองในโผฏฐัพ พ ะ มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, และ ความตริต รองในธรรมารมณ มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, ตัณ หานั ้น เมื ่อ จะเกิด ยอ ม เกิด ขึ ้น ใน สิ ่ง นั ้น ๆ, เมื ่อ จะตั ้ง อ ยู  ยอ ม ตั ้ง อ ยู  ใน สิ ่ง นั ้น ๆ. ดังนี้แล.

www.buddhadasa.info - มหา. ที. ๑๐/๓๔๓/๒๙๗.


๓๒๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

สิ่งที่ตองรู ตองละ เพื่อความสิ้นทุกข ภิก ษุ ท.! เมื ่อ ไมรู ยิ ่ง ไมรู ร อง ไมค ลายกํ า หนัด ไมล ะขาด ซึ ่ง สิ ่ง ทั ้ง ปวง ยอ มไมเ ปน ผู ส มควรเพื ่อ ความสิ ้น ไปแหง ทุก ข. สิ ่ง ทั ้ง ปวง อะไร กัน เลา ? สิ ่ง ทั ้ง ปวงคือ (ตอ ไปนี ้ท รงแสดง ธรรมที ่ค วรรู ค วรละ เปน หมวด ๆ ตามหลัก แหงอายตะหกประการ คือ:-) อายตนะภายใน หก ประการ (จักษุ ฯลฯ มโน): อายตนะภายนอก หก ประการ (รูป ฯลฯ ธรรมารมณ); วิญญาณ หกประการ (จักขุวิญญาณ ฯลฯ มโนวิญญาณ); สัมผัส หก ประการ (จักขุสัมผัส ฯลฯ มโนสัมผัส); เวทนา หก ประการ (จักขุสัมผัสสชาเวทนา ฯลฯ มโนสัมผัสสชาเวทนา) .

ภิ กษุ ท.! เห ล า นี้ แล คื อ สิ่ ง ทั้ งป วง ซึ่ ง เมื่ อไม รู ยิ่ ง ไม รู ร อบ ไม คลายกําหนัด ไมละขาดแลว ยอมเปนผูไมควรเพื่อความสิ้นไปแหงทุกข.

www.buddhadasa.info (ต อ ไปนี้ ทรงแสดงโดยปฏิ ป ก ขนั ย ถึ ง สิ่ ง ทั้ ง ปวงที่ เมื่ อ รู แ ละละแล ว เป น ผู ส มควร เพื่อความสิ้นไปแหงทุกข โดยนัยตรงกันขาม ซึ่งผูศึกษาอาจเทียบเคียงไดเอง).

- สฬา. สํ. ๑๘/๒๑/๒๗ -๒๘.

(อีกนัยหนึ่ง) ภิก ษุ ท.! เมื ่อ ไมรู ยิ ่ง ไมรู ร อบ ไมค ลายกํ า หนัด ไมล ะขาด ซึ ่ง สิ ่ง ทั ้ง ปวง ยอ มไมเ ปน ผู ส มควรเพื ่อ ความสิ ้น ไปแหง ทุก ข. สิ ่ง ทั ้ง ปวง อะไร กัน เลา ? สิ ่ง ทั ้ง ปวงคือ (ตอ ไปนี ้ ทรงแสดง ธรรมที ่ค วรรู ค วรละ เปน หมวด ๆ ตาม หลักแหงอายตนะหกประการ คือ :-)


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๒๗

อายตนะภายใน หก ประการ (จักษุ ฯลฯ มโน); อายตนะภายนอก หก ประการ (รูป ฯลฯ ธรรมารมณ); วิญญาณ หก ประการ (จักขุวิญญาณ ฯลฯ มโนวิญญาณ); วิ ญ ญาณวิ ญ ญาตั พพธรรม หก ประการ (จั กขุ วิ ญ ญาณวิ ญ ญาตั พพธรรม ฯลฯ มโนวิญญาณวิญญาตัพพธรรม).

ภิ กษุ ท .; เห ล า นี้ แล คื อ สิ่ ง ทั้ งป วง ซึ่ ง เมื่ อไม รู ยิ่ ง ไม รู ร อบ ไม คลายกําหนัด ไมละขาดแลว ยอมเปนผูไมควรเพื่อความสิ้นไปแหงทุกข. (ต อ ไปนี้ ทรงแสดงโดย ปฏิ ป ก ขนั ย ถึ ง สิ่ ง ทั้ ง ปวงที่ เมื่ อ รู แ ละละแล ว เป น ผู ส มควร เพื่อความสิ้นไปแหงทุกข โดยนัยตรงกันขาม ซึ่งผูศึกษาอาจเทียบเคียงไดเอง).

- สฬา.สํ. ๑๘/๒๒ -๒๓/๒๙ -๓๐.

ภาวะเปนที่รักที่ยินดี เปน หนามในอริยวินัยนี้ ภิ ก ษุ ท.! เปรี ย บเหมื อ นบุ รุ ษ ผู ห นึ่ ง จะพึ ง เข า ไปสู ป า ที่ มี ห นาม ม าก ; คือ ห น าม ขา งห นา ขอ งบุร ุษ นั ้น ก็ม ีอ ยู , ห น าม ขา งห ลัง ก็ม ีอ ยู , ห น า ม ขา ง เห นือ ก็ม ีอ ยู , ห น า ม ขา ง ใต ก็ม ีอ ยู , ห น า ม ขา ง ลา ง ก็ม ีอ ยู , หนามขา งบน ก็ม ีอ ยู , บุร ุษ นั ้น จะตอ งมีส ติ คอ ย ๆ กา วไปขา หนา มีส ติ คอย ๆ ถอยกลับหลัง ดวยคิดอยูวา "หนามอยายอก อยาตํา เราเลย" ดังนี้.

www.buddhadasa.info ภ ิก ษ ุ ท .! ฉัน ใ ด ก็ฉ ัน นั ้น , ภ า ว ะ เป น ที ่ร ัก ภ า ว ะ เป น ที ่ย ิน ดี (ปย รูป สาตรูป ซึ ่ง เปน ที ่เ กิด ที ่ด ับ แหง ตัณ หา) ในโลก ใด ๆ; ภิก ษุ ท.! ปย รูป สาตรูปนี้ เราเรียกวา "หนามในวินัยของพระอริยเจา" ดังนี้ แล.

- สฬา. สํ. ๑๘/๒๓๔/๓๓๔

นิทเทศ ๕ วาดวยที่เกิดและการเกิดแหงตัณหา จบ


๓๒๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

นิทเทศ ๖ วาดวยอาการที่ตัณหาทําใหเกิดทุกข (มี ๓๑ เรื่อง) การเกิดขึ้นแหงกองทุกข ภิกษุ ท.! อริยสัจคือความกอขึ้นแหงทุกข เปนอยางไรเลา? ภิ ก ษุ ท.! เพราะอวิ ช ชาเป น ป จ จั ย จึ ง เกิ ด มี สั ง ขาร; เพราะสั ง ขาร เป น ป จ จั ย จึ ง เกิ ด มี วิ ญ ญ าณ ; เพราะวิ ญ ญ าณ เป น ป จ จั ย จึ ง เกิ ด มี น ามรู ป ; เพราะนามรูป เปน ปจ จัย จึง เกิด มีอ ายตนะหก; เพราะอายตนะหกเปน ปจ จัย จึ ง เกิ ด มี ผั ส สะ; เพราะผั ส สะเป น ป จ จั ย จึ ง เกิ น มี เ วทนา; เพราะเวทนาเป น ป จ จั ย จึ ง เกิ ด มี ตั ณ หา; เพราะตั ณ หาเป น ป จ จั ย จึ ง เกิ ด มี อุ ป าทาน; เพราะ อุ ป าทานเป น ป จ จั ย จึ ง เกิ ด มี ภ พ; เพราะภพเป น ป จ จั ย จึ ง เกิ ด มี ช าติ ; เพราะ ชาติ เ ป น ป จ จั ย , ชรา มรณ ะ โศก ปริ เ ทวะ ทุ ก ข โทมนั ส และอุ ป ายาส จึ ง เกิดมีพรอม. ความกอขึ้นแหงกองทุกขทั้งสิ้นนั้น ยอมมีไดดวยอาการอยางนี้.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! นี้ เราเรียกวา อริยสัจคือความกอขึ้นแหงทุกข แล.

- ติก. อํ. ๒๐/๒๒๗/๕๐๑.

อาการเกิดขึ้นแหงทุกขโดยสมบูรณ (สายแหงปฏิจจสมุปบาท) ภิ ก ษุ ท.! ปฏิ จ จสมุ ป บาท (ธรรมที่ อ าศั ย กั น และกั น แล ว ทยอยกั น เกิ ด ขึ้ น ) เปนอยางไรเลา?


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๒๙

ภิกษุ ท.! เพราะอวิชชาเปนปจจัย จึงเกิดมี สังขาร; เพราะสังขารเปนปจจัย จึงเกิดมี วิญญาณ; เพราะวิญญาณเปนปจจัย จึงเกิดมี นามรูป; เพราะนามรูปเปนปจจัย จึงเกิดมี อายตนะหก; เพราะอายตนะหกเปนปจจัย จึงเกิดมี ผัสสะ; เพราะผัสสะเปนปจจัย จึงเกิดมี เวทนา; เพราะเวทนาเปนปจจัย จึงเกิดมี ตัณหา; เพราะตัณหาเปนปจจัย จึงเกิดมี อุปาทาน; เพราะอุปาทานเปนปจจัย จึงเกิดมี ภพ เพราะภพเปนปจจัย จึงเกิดมี ชาติ; เพ ราะชาติเ ปน ปจ จัย , ช รา ม รณ ะ โศ ก ป ริเ ท วะ ทุ ก ข โทมนั ส และอุ ป ายาส จึ ง เกิ ด มี พ ร อ ม. การก อ ขึ้ น แห ง กองทุ ก ข ทั้ ง สิ้ น นั้ น ยอมมีไดดวยอาการอยางนี้. ภิ ก ษุ ท.! นี้ เราเรี ย กว า ปฏิ จ จสมุ ป บาท (ธรรมที่ อ าศั ย กั น และกั น แล ว ทยอยกันเกิดขึ้น) ดังนี้ แล.

www.buddhadasa.info - นิทาน. สํ. ๑๖/๑/๒.

วิภาคแหงปฏิจจสมุปบาท

ภิกษุ ท.! ปฏิจจสมุปบาท เปนอยางไรเลา? ภิ ก ษุ ท.! เพราะอวิ ช ชาเป น ป จ จั ย จึ ง เกิ ด มี สั ง ขาร; เพราะสั ง ขาร เปนปจจัย จึงเกิดมีวิญญาณ; เพราะวิญญาณเปนปจจัย จึงเกิดมีนามรูป;


๓๓๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

เพราะนามรูปเปนปจจัย จึงเกิดมีอายตนะหก; เพราะอายตนะหกเปนปจจัย จึง เกิดมีผัสสะ; เพราะผัสสะเปนปจจัย จึงเกิดมีเวทนา; เพราะเวทนาเปนปจจัย จึงเกิดมีตัณหา; เพราะตัณ หาเปนปจจัย จึงเกิดมีอุปาทาน; เพราะอุปาทาน เปนปจจัย จึงเกิดมีภพ; เพราะภพเปนปจจัย จึงเกิดมีชาติ; เพราะชาติเปน ปจจัย, ชรา มรณะ โศก ปริเทวะ ทุกข โทมนัส และอุปายาส จึงเกิดมีพรอม. ความกอขึ้นแหงกองทุกขทั้งสิ้นนั้น ยอมมีได ดวยอาการอยางนี้. ภิก ษุ ท.! ชรา มรณะ เปน อยา งไรเลา ? ชรา คือ ความแก ความคร่ําครา ความมี ฟ น หลุ ด ความมี ผ มหงอก ความมี ห นั งเหี่ ยว ความ เสื่อมไปแหงอายุ ความแกรอบแหงอินทรียทั้งหลาย ในสัตวนิกายนั้น ๆ ของ สัตวเหลานั้น ๆ; นี้เรียกวา ชรา. ภิ ก ษุ ท.! มรณะ เป น อย า ไรเล า ? มรณะคื อ การจุ ติ ความ เคลื่อน การแตกสลาย การหายไป การวายชีพ การตาย การทํากาละ การแตก แหงขันธทั้งหลาย การทอดทิ้งราง การขาดแหงอินทรียคือชีวิต จากสัตวนิกาย นั้น ๆ ของสัต วเ หลา นั้น ๆ; นี้ เรีย กวา มรณะ; ดว ยเหตุนี้แ หละ ชรา อันนี้ดวย มรณะอันนี้ดวย. ภิกษุ ท.! นี้ เรียกวา ชรามรณะ.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! ชาติ เปนอยางไรเลา? ชาติคือ การเกิด การกําเนิด การกาวลง (สูครรภ) การบังเกิด การบังเกิดโดยยิ่ง ความปรากฏของขันธ ทั้งหลาย การที่สัตวไดซึ่งอายตนะทั้งหลาย ในสัตวนิกายนั้น ๆ ของสัตวเหลานั้น ๆ. ภิกษุ ท.! นี้ เรียกวา ชาติ.


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๓๑

ภิก ษุ ท .! ภ พ เปน อ ยา งไรเลา ? ภิก ษ ุ ท .! ภ พ มีส าม เห ลา นี้ คือ กามภพ รูปภพ และอรูปภพ. ภิกษุ ท.! นี้ เรียกวา ภพ. ภิก ษุ ท.! อุป าทาน เปน อยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท.! อุป าทานมี สี่ อ ย า งเหล า นี้ คื อ กามุ ป าทาน ทิ ฏ ฐปาทาน สี ลั พ พตุ ป าทาน และอั ต ตวาทุ ปาทาน. ภิกษุ ท.! นี้ เรียกวา อุปาทาน. ภิก ษุ ท.! ตัณ หา เปน อยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท.! หมู แ หง ตัณ หา มี ห กอย า งเหล า นี้ คื อ ตั ณ หาในรู ป ตั ณ หาในเสี ย ง ตั ณ หาในกลิ่ น ตั ณ หาในรส ตัณหาในโผฏฐัพพะ และตัณหาในธรรมารมณ. ภิกษุ ท.! นี้ เรียกวา ตัณหา. ภิก ษุ ท.! เวทนา เปน อยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท.! หมู แ หง เวทนา มี ห กอย า ง เหล า นี้ คื อ เวทนาเกิ ด แต สั ม ผั ส ทางตา เวทนาเกิ ด แต สั ม ผั ส ทางหู เวทนาเกิ ด แต สั ม ผั ส ทางจมู ก เวทนาเกิ ด แต สั ม ผั ส ทางลิ้ น เวทนาเกิ ด แต สั ม ผั ส ทางกาย และเวทนาเกิดแตสัมผัสทางใจ. ภิกษุ ท.! นี้ เรียกวา เวทนา.

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท.! ผัส สะ เปน อยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท.! หมู แ หง ผัส สะมี หกอย า ง เหล า นี้ คื อ สั ม ผั ส ทางตา สั ม ผั ส ทางหู สั ม ผั ส ทางจมู ก สั ม ผั ส ทางลิ้ น สัมผัสทางกาย และสัมผัสทางใจ. ภิกษุ ท.! นี้ เรียกวา ผัสสะ.

ภิ ก ษุ ท.! อ าย ต น ะห ก เป นอย า งไรเล า ? ภิ ก ษุ ท.! หมู แ ห ง อายตนะมี ห กอย า งเหล า นี้ คื อ อายตนะคื อ ตา อายตนะคื อ หู อายตนะคื อ จมู ก อายตนะคื อ ลิ้ น อายตนะคื อ กาย และอายตนะคื อ ใจ. ภิ ก ษุ ท.! นี้ เรี ย กว า อายตนะหก.


๓๓๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ ก ษุ ท .! น าม รู ป เป น อ ย า งไรเล า? น าม คื อ เวท น า สั ญ ญ า เจตน า ผัส ส ะ แล ะม น สิก าร. นี ้ เรีย กวา น าม . รูป คือ ม ห าภ ูต ทั ้ง สี ่ด ว ย และรูป ที ่อ าศัย มหาภูต ทั ้ง สี ่ด ว ย. นี ้ เรีย กวา รูป . ดว ยเหตุนี ้แ หละ นามอัน นี้ดวย รูปอันนี้ดวย. ภิกษุ ท.! นี้ เรียกวา นามรูป. ภิ ก ษุ ท .! วิ ญ ญ า ณ เป น อ ย า ง ไ ร เล า ? ภิ ก ษุ ท .! ห มู แ ห ง วิ ญ ญาณมี หกอย างเหล านี้ คื อ วิ ญ ญาณทางตา วิ ญ ญาณทางหู วิ ญ ญาณทางจมู ก วิ ญ ญาณทางลิ้ น วิ ญ ญาณทางกาย และวิ ญ ญาณทางใจ. ภิ ก ษุ ท.! นี้ เรี ย กว า วิญญาณ. ภิ ก ษุ ท.! สั ง ขาร ทั้ ง หลาย เป น อย า งไรเล า ? ภิ ก ษุ ท.! สั ง ขาร ทั ้ง ห ล าย เห ล า นี ้ ค ือ ก าย ส ัง ข าร วจีส ัง ข าร แ ล ะ จิต ต ส ัง ข าร. ภ ิก ษ ุ ท .! เหลานี้ เรียกวา สังขารทั้งหลาย ภิก ษ ุ ท .! อ วิช ช า เปน อ ยา งไรเลา ? ภิก ษ ุ ท .! ค วาม ไมรู อ ัน ใด เปน ความไมรู ใ นทุก ข, เปน ความไมรู ใ นเหตุใ หเ กิด ทุก ข, เปน ความไมรู ในความดับ ไมเ หลือ ของทุก ข, และเปน ไมรู ใ นทางดํ า เนิน ใหถ ึง ความดับ ไม เหลือของทุกข. ภิกษุ ท.! นี้ เรียกวา อวิชชา.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท .! ด วย เห ตุ นี้ แ ห ล ะ, เพ ราะอ วิ ช ช าเป น ป จ จั ย จึ งเกิ ด มี สัง ขาร; เพ ราะสัง ขารเป น ปจ จัย จึง เกิด ม ีว ิญ ญ าณ ; เพ ราะวิญ ญ าณ เป น ป จ จัย จึง เกิด ม ีน าม รูป ; เพ ราะ น าม รูป เป น ป จ จัย จึง เกิด ม ีอ าย ต น ะ ห ก ; เพราะอายตนะหกเป น ป จ จั ย จึ ง เกิ ด มี ผั ส สะ; เพราะผั ส สะเป น ป จ จั ย จึ ง เกิ ด มี เวทนา; เพราะเวทนาเปนปจจัย จึงเกิดมีตัณหา; เพราะตัณหาเปนปจจัย


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๓๓

จึ ง เกิ ด มี อุ ป าทาน; เพราะอุ ป าทานเป น ป จ จั ย จึ ง เกิ ด มี ภ พ; เพราะภพเป น ปจ จัย จึง เกิด ม ีช าติ; เพ ราะชาต ิเ ป น ป จ จัย , ชรา ม รณ ะ ป ริเ ท วะ ทุก ข โทมนัส และอุป ายาส จึง เกิด มีพ รอ ม. ความกอ ขึ ้น แหง กองทุก ขทั ้ง สิ ้น นั ้น ยอมมีได ดวยอาการอยางนี้ แล. - นิทาน. สํ. ๑๖/๒-๕/๕-๑๗.

ปจจัยแหงอวิชชา ภิก ษุ ท.! ที ่ส ุด ในเบื ้อ ตน ของอวิช ชา ยอ มไมป รากฏ; กอ น แ ต นี ้ อ วิ ช ช า มิ ไ ด ม ี ; แ ต ว  า อ วิ ช ช า เพิ ่ ง มี ต  อ ภ า ย ห ลั ง . ภิ ก ษุ ท .! คํ ากล าวอย างนี้ แ หละ เป น คํ าที่ ใคร ๆ๑ ควรกล าว และควรกล าวด วยว า "อวิ ช ชา ยอมปรากฏเพราะมีสิ่งนี้สิ่งนี้เปนปจจัย " ดังนี้. ภิ ก ษุ ท.! เรากล า วว า ถึ ง แม อ วิ ช ชานั้ น ก็ เ ป น ธรรมชาติ มี อ าหาร หาใชเ ปน ธรรมชาติที ่ไ มม ีอ าหารไม. ก็อ ะไรเลา เปน อาหารของอวิช ชา? คําตอบพึงมีวา "นิวรณทั้งหลาย ๕ ประการเปนอาหารของอวิชชา" ดังนี้.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! เรากล า วว า ถึ ง แม นิ ว รณ ทั้ ง หลาย ๕ ประการ ก็ เ ป น ธรรมชาติมีอาหาร หาใชเปนธรรมชาติที่ไมมีอาหารไม. ก็อะไรเลา เปน

๑. คํ า ว า วุ จฺ จ ติ คํ า นี้ เคยแปลกั น แต ว า อั น ตถาคตย อ มกล า ว กั น จนเป น ธรรมเนี ย มไปเสี ย . ใน ที ่นี ้ พิจ ารณ าดูแ ลว เห็น ไดว า ควรจะแปลวา ใคร ๆ ทุก คนที ่เ ปน ผู รู  รวมทั ้ง พระองคเ องดว ย ควรจะกลาว, หาใชเปนการผูกขาดเพราะไวแตพระองคผูเดียวไม.


๓๓๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

อาหารของนิ ว รณ ทั้ ง หลาย ๕ ประการ? คํ า ตอบพึ ง มี ว า "ทุ จ ริ ต ทั้ ง หลาย ๓ ประการ" ดังนี้. ภิ กษุ ท .! เรากล าวว า ถึ ง แม ทุ จริ ต ทั้ งห ล าย ๓ ป ระการ ก็ เ ป น ธรรม ช าต ิม ีอ าห าร ห าใชเ ป น ธ รรม ช าต ิที ่ไ ม ม ีอ าห ารไม . ก็อ ะไรเล า เป น อาหารของทุ จ ริต ทั้ ง หลาย ๓ ประการ? คํ า ตอบพึ ง มี ว า "การไม สํ า รวมอิ น ทรี ย " ดังนี้. ....ฯลฯ....

....ฯลฯ....

การไมสํารวมอินทรียบริบูรณ แลว ยอมทําทุจริตทั้งหลาย ๓ ประการ ใหบริบูรณ; ทุ จริตทั้ งหลาย ๓ ประการบริบู รณ แล ว ย อมทํ านิ วรณ ทั้ งหลาย ๕ ประการใหบริบูรณ;

www.buddhadasa.info นิวรณทั้งหลาย ๕ ประการบริบูรณแลว ยอมทําอวิชชาใหบริบูรณ.

ภิ ก ษุ ท.! อาหารแห ง อวิ ช ชานี้ ย อ มมี ไ ด ด ว ยอาการอย า งนี้ และ บริบูรณแลวดวยอาการอยางนี้. - ทสก. อํ. ๒๔/๑๒๐/๖๑.

[ตามปกติเ ราไดย ิน ไดฟ ง สั ่ง สอนกัน มาวา อวิช ชาอไมม ีป จ จัย ในที ่นี ้ไ ดต รัส วา มีสิ ่ง นี ้สิ ่ง นี ้เ ปน ปจ จัย ควรที ่น ัก ศึก ษ าจะไดพ ิจ ารณ าดูใ หเ ปน อยา งดี วา มีน ิว รณ เ ปน ปจ จัย ห รือ อ าห าร เพ ราะมีป ระโย ค วา "อิท ปฺป จฺจ ย า อ วิช ฺช า" (ท ส ก . อํ. ๒๔/๑๒๐/๖๑ บ รรทัด ที่สาม นับขึ้น)]


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๓๕

อาการเกิดแหงความทุกข เพราะอาศั ย ซึ่ ง จั ก ษุ ด ว ย ซึ่ ง รู ป ทั้ ง หลายด ว ย, จึ ง เกิ ด จั ก ขุ วิ ญ ญาณ; การประจวบพร อ มแห ง ธรรม ๓ ประการ (จั ก ษุ +รู ป +จั ก ขุ วิ ญ ญาณ) นั่ น คื อ ผั ส สะ; เพราะมี ผั ส สะเป น ป จ จั ย จึ ง มี เ วทนา; เพราะมี เ วทนาเป น ป จ จั ย จึ ง มี ตั ณ หา; เพราะมี ตั ณ หาเป น ป จ จั ย จึ ง มี อุ ป าทาน; เพราะมี อุ ป าทานเป น ป จ จั ย จึ ง มี ภ พ; เพราะมี ภ พเป น ป จ จั ย จึ ง มี ช าติ ; เพราะมี ช าติ เ ป น ป จ จั ย , ชรามรณ ะ โสกะปริ เทวะทุ ก ขะโทมนั ส สะอุ ป ายาสทั้ ง หลาย จึ ง เกิ ด ขึ้ น ครบถ ว น : ความเกิ ด ขึ้ น พรอมแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมีดวยอาการอยางนี้ (ในกรณี แ ห ง โสตะ มานะ ชิ ว หา กายะ และ มนะ ก็ ได ต รั ส ไว โดยนั ย อย า งเดี ย ว กันกับกรณีแหงจักษุ).

- สฬา. สํ. ๑๘/๑๑๑/๑๖๓.

อาการที่ทุกขเกิดขึ้นจากเบญจขันธ

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! ความเป น สมุ ทั ย แห ง รู ป เป น อย า งไรเล า ? ความเป น สมุ ทั ย แห ง เวทนาเป น อย า งไรเล า ? ความเป น สมุ ทั ย แห ง สั ญ ญ า เป น อย า งไร เล า ? ความเป น สมุ ทั ย แห ง สั ง ขารทั้ ง หลาย เป น อย า งไรเล า ? และความเป น สมุทัยแหงวิญญาณ เปนอยางไรเลา? ภิ ก ษุ ท.! บุ คคลในโลกนี้ ย อ มเพ ลิ ด เพ ลิ น ย อ ม พ ร่ํ า สรรเสริ ญ ยอมเมาหมกอยู. เขาเพลิดเพลิน พร่ําสรรเสริญ เมาหมกอยู ซึ่งอะไรเลา?


๓๓๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ ก ษุ ท.! เขา ย อ มเพลิ ด เพลิ น ย อ มพร่ํ า สรรเสริ ญ ย อ มเมาหมก อยู  ซึ ่ง รูป . เมื ่อ เขาเพ ลิด เพ ลิน พ ร่ํ า สรรเสริญ เมาหมกอยู  ซึ ่ง รูป , นัน ทิ (ค วาม เพ ลิ น ) ย อ ม บั งเกิ ด ขึ้ น . ค วาม เพ ลิ น ใด ใน รู ป ค วาม เพ ลิ น นั้ น เป น อุป าทาน. เพราะอุป าทานของเขานั ้น เปน ปจ จัย จึง เกิด มีภ พ ; เพราะภ พ เป น ป จ จั ย จึ ง เกิ ด มี ช าติ ; เพราะชาติ เ ป น ป จ จั ย , ชรา มรณ ะ โศก ปริ เ ทวะ ทุ ก ข โทมนั ส และอุ ป ายาส จึ ง เกิ ด มี พ ร อ ม. ความก อ ขึ้ น แห ง กองทุ ก ข ทั้ ง สิ้ น นั้น ยอมมีได ดวยอาการอยางนี้. ภิ ก ษุ ท.! เขา ย อ มเพลิ ด เพลิ น ย อ มพร่ํ า สรรเสริ ญ ย อ มเมาหมก อยู  ซึ ่ง เวทนา. เมื ่อ เขาเพลิด เพลิน พร่ํ า สรรเสริญ เมาหมกอยู  ซึ ่ง เวทนา, นัน ทิ (ความเพลิน ) ยอ มบัง เกิด ขึ ้น . ความเพลิน ใดในเวทนา ความเพลิน นั ้น เป น อุ ป าทาน. เพราะอุ ป าทานของเขานั้ น เป น ป จ จั ย จึ ง เกิ ด มี ภ พ; เพราะภพ เป น ป จ จั ย จึ ง เกิ ด มี ช าติ ; เพราะชาติ เ ป น ป จ จั ย . ชรา มรณ ะ โศก ปริ เ ทวะ ทุก ข โทมนัส และอุป ายาส จึง เกิด มีพ รอ ม. ความกอ ขึ ้น แหง กองทุก ขทั ้ง สิ ้น นั้น ยอมมีได ดวยอาการอยางนี้.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! เขา ย อ มเพลิ ด เพลิ น ย อ มพร่ํ า สรรเสริ ญ ย อ มเมาหมก อยู ซึ่ ง สั ญ ญ า. เมื่ อ เขาเพลิ ด เพลิ น พร่ํ า สรรเสริ ญ เมาหมกอยู ซึ่ ง สั ญ ญ า, นั น ทิ (ความเพลิ น ) ย อ มบั ง เกิ ด ขึ้ น . ความเพลิ น ใดในสั ญ ญา ความเพลิ น นั้ น เปน อุป าทาน. เพราะอุป าทานของเขานั ้น เปน ปจ จัย จึง เกิด มีภ พ; เพราะ ภพเป น ป จ จั ย จึ ง เกิ ด มี ช าติ ; เพราะชาติ เป น ป จ จั ย , ชรา มรณะ โศก ปริ เทวะ ทุก ข โทมนัส และอุป ายาส จึง เกิด มีพ รอ ม. ความกอ ขึ ้น แหง กองทุก ขทั ้ง สิ ้น นั้น ยอมมีได ดวยอาการอยางนี้.


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๓๗

ภิ ก ษุ ท.! เขา ย อ มเพลิ ด เพลิ น ย อ มพร่ํ า สรรเสริ ญ ย อ มเมาหมก อยู ซึ่ ง สั ง ขารทั้ ง หลาย. เมื่ อ เขาเพลิ ด เพลิ น พร่ํ า สรรเสริ ญ เมาหมกอยู ซึ่ ง สัง ขารทั ้ง หลายล นัน ทิ (ความเพลิน ) ยอ มบัง เกิด ขึ ้น , ความเพลิน ใดในสัง ขาร ทั้ ง หลาย ความเพลิ น นั้ น เป น อุ ป าทาน. เพราะอุ ป าทานของเขานั้ น เป น ป จ จั ย จึง เกิด มีภ พ; เพราะภพเปน ปจ จัย จึง เกิด มีช าติ; เพราะชาติเ ปน ปจ จัย , ชรา มรณะ โศกปริ เทวะ ทุ ก ข โทมนั ส และอุ ป ายาส จึ ง เกิ ด มี พ ร อ ม, ความ กอขึ้นแหงกองทุกขทั้งสิ้นนั้น ยอมมีได ดวยอาการอยางนี้. ภิ ก ษุ ท.! เขาย อ มเพลิ ด เพลิ น ย อ มพร่ํ า สรรเสริ ญ ย อ มเมาหมก อ ยู  ซึ ่ง วิญ ญ าณ . เมื ่อ เขาเพ ล ิด เพ ล ิน พ ร่ํ า ส รรเส ริญ เม าห ม ก อ ยู  ซึ ่ง วิญ ญ าณ , นัน ทิ (ความเพลิน ) ยอ มบัง เกิด ขึ ้น . ความเพลิน ใดในวิญ ญ าณ ความเพลิน นั ้น เปน อุป าทาน. เพราะอุป าทานของเขานั ้น เปน ปจ จัย จึง เกิด มีภ พ ; เพ ราะภ พ เปน ปจ จัย จึง เกิด มีช าติ; เพ ราะชาติเ ปน ปจ จัย , ชรา มรณะ โศก ปริ เทวะ ทุ ก ข โทมนั ส และอุ ป ายาส จึ ง เกิ ด มี พ ร อ ม. ความก อ ขึ้ น แหงกองทุกขทั้งสิ้นนั้น ยอมมีได ดวยอาการอยางนี้ แล.

www.buddhadasa.info อาการที่ทุกขเกิดขึ้นเพราะยึดถือเบญจขันธ - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๘/๒๘.

ภิก ษุ ท.! บุถ ุช นผู ไ มม ีก ารสดับ ในโลกนี ้ ยอ มตามเห็น ซึ ่ง รูป วา "นั ่ น ของเรา, นั ่ น เป น เรา, นั ่ น อั ต ตาของเรา" ดั ง นี ้ . รู ป นั ้ น ย อ ม แปรปรวนเปนอยางอื่นแกเขา; โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสสะอุปายาส ยอม


๓๓๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

ปรากฏแก เ ขา เพราะความแปรปรวนเป น อย า งอื่ น แห ง รู ป . (ในกรณี แห ง เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ก็ไดตรัสอยางเดียวกัน).

- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๔/๓๔.

อาการเกิดขึ้นแหงความทุกข (อีกปริยายหนึ่ง) (ทรงแสดงดวยผัสสะ) ถู ก แล ว ถู ก แล ว อานนท ! ตามที่ ส ารี บุ ต รเมื่ อ ตอบป ญ หาในลั ก ษณะ นั ้น เชน นั ้น , ชื ่อ วา ไดต อบโดยชอบ : อานนท! ความทุก ขนั ้น เรากลา ววา เป น สิ่ งที่ อาศั ยป จจั ยอย างใดอย างหนึ่ งแล วเกิ ด ขึ้ น (เรี ยกว าปฏิ จจสมุ ป ป น นธรรม). ความทุก ขนั ้น อาศัย ปจ จัย อะไรเลา ? ความทุก ขนั ้น อาศัย ปจ จัย คือ ผัส สะ, ผู ก ล า วอย า งนี้ แ ล ชื่ อ ว า กล า วตรงตามที่ เรากล า ว ไม เป น การกล า วตู เราด ว ยคํ า ไม จ ริ ง ; แต เ ป น การกล า วโดยถู ก ต อ ง และสหธรรมิ ก บางคนที่ ก ล า วตาม ก็ จ ะ ไมพลอยกลายเปนผูควรถูกติไป ดวย. อานนท ! ในบรรดาสมณ พ ราหมณ ที่ ก ล า วสอนเรื่ อ งกรรมทั้ ง สี่ พวกนั้ น : สมณพราหมณ ที่ ก ล า วสอนเรื่ อ งกรรมพวกใด ย อ มบั ญ ญั ติ ค วาม ทุก ข วา เปน สิ ่ง ที ่ต นทํ า เอาดว ยตนเอง, แมค วามทุก ขที ่พ วกเขาบัญ ญัต ินั ้น ก็ ยั ง ต อ งอาศั ย ผั ส สะเป น ป จ จั ย จึ งเกิ ด ได ; สมณพราหมณ ที่ ก ล า วสอนเรื่ อ งกรรม พวกใด ย อ มบั ญ ญั ติ ค วามทุ ก ข วา เป น สิ่ งที่ ผู อื่ น ทํ า ให , แม ค วามทุ ก ข ที่ พ วกเขา บั ญ ญั ติ นั้ น ก็ ยั ง ต อ งอาศั ย ผั ส สะเป น ป จ จั ย จึ ง เกิ ด มี ได ; สมณพราหมณ ที่ ก ล า ว สอนเรื่องกรรมพวกใด ยอมบั ญ ญั ติ ความทุกข วาเป น สิ่ งที่ ต นทํ าเอาด วยตนเอง ดวย ผูอื่นทําใหดวย แมความทุกขที่พวกเขาบัญญัตินั้น ก็ยังตองอาศัยผัสสะ

www.buddhadasa.info


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๓๙

เป น ป จ จั ย จึ ง เกิ ด มี ไ ด ; ถึ ง แม ส มณ พราหมณ ที่ ก ล า วสอนเรื่ อ งกรรมพวกใด ยอมบั ญ ญั ติความทุ กข วาเป นสิ่ งที่ ไม ใช ทํ าเองหรือใครทํ าให ก็ เกิ ดขึ้ นได ก็ ตาม. แม ค วามทุ ก ข ที่ พ วกเขาบั ญ ญั ติ นั้ น ก็ ยั ง ต อ งอาศั ย ผั ส สะเป น ป จ จั ย จึ ง เกิ ด มี ไ ด อยูนั่นเอง. - นิทาน. สํ. ๑๖/๔๐/๗๕.

อาการเกิดแหงความทุกข (อีกปริยายหนึ่ง) (ทรงแสดงดวยนันทิ) ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ นั้ น ย อ มเพลิ ด เพลิ น ย อ มพร่ํ า สรรเสริ ญ ย อ มเมาหมกอยู  ซึ ่ง รูป , เมื ่อ ภิก ษุนั ้น เพลิด เพลิน พร่ํ า สรรเสริญ เมาหมกอยู  ซึ ่ง รูป , นั น ทิ (ความเพลิ น ) ย อ มเกิ ด ขึ้ น . ความเพลิ น ใด ในรู ป , ความเพลิ น นั้ น คื อ อุ ป าทาน. เพราะอุ ป าทานของภิ ก ษุ นั้ น เป น ป จ จั ย จึ ง มี ภ พ; เพราะมี ภ พเป น ปจ จัย จึง มีช าติ; เพราะมีช าติเ ปน ปจ จัย , ชรามรณ ะ โสกะปริเ ทวะทุก ขะโทนัส สะอุป ายาสทั ้ง หลาย จึง เกิด ขึ ้น พรอ ม : ความเกิด ขึ ้น แหง กองทุก ข ทั้ ง สิ้ น นี้ ย อ มมี ด ว ยอาการอย า งนี้ .

www.buddhadasa.info (ในกรณี แ ห ง เวทนา สั ญ ญา สั ง ขาร และวิ ญ ญาณ ก็ มี ข อ ความที่ ต รั ส อย า งเดี ย ว กับในกรณีแหงรูป).

- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๘/๒๘.

อาการเกิดแหงความทุกข (อีกปริยายหนึ่ง) (ทรงแสดงดวยฉันทราคะ) "ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! ข าพระองค ขอโอกาส ขอพระผู มี พระภาค จงทรง แสดงซึ่งความเกิดและความดับไปแหงทุกข แกขาพระองคเถิด."


๓๔๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

คามณ ิ! ถา เราจะแสดงความเกิด และความดับ แหง ทุก ขแ กท า น ปรารถอดี ต กาลนานไกลว า มั น ได มี แ ล ว อย า งนี้ ใ นอดี ต กาล ดั ง นี้ ไ ซร , ความ สงสั ย เคลื อ บแคลงในข อ นั้ น ก็ จ ะพึ ง มี แ ก ท า น. ถ า เราจะแสดงความเกิ ด และ ความดั บ แห งทุ ก ข ปรารภอนาคตกาลนานไกล ว า มั น ได มี แ ล ว อย า งนี้ ในอนาคตก า ล ดั ง นี ้ ไ ซ ร . ค ว า ม ส ง สั ย เค ลื อ บ แ ค ล งแ ม ใ น ข อ นั ้ น ก็ จ ะ พึ ง แ ก ท  า น . เอาละ คามณิ ! เรานั่ ง อยู ที่ นี่ จะแสดงความเกิ ด และความดั บ แห ง ทุ ก ข แ ก ท า น ผูนั่งอยูที่นี่ดวยกัน, ทานจงฟง จงทําในใจใหดี, เราจะกลาว. คามณิ ! ท า นจะสํ า คั ญ ความข อ นี้ ว า อย า งไร : มี ไ หม มนุ ษ ย ใ น หมู บ า นอุ รุ เวลกั ป ปะนี้ ที่ ถู ก ฆ า ถู ก จองจํ า ถู ก ทํ า ให เสื่ อ มเสี ย ถู ก ติ เตี ย นแล ว โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาส จะเกิดขึ้นแกทาน? "มี พระเจาขา!" ค าม ณ ิ! มีไ ห ม ม นุษ ยใ น ห มู บ า น อุร ุเ วล กัป ป ะนี ้ ที ่ถ ูก ฆ า ถูก จองจํ า ถู ก ทํ า ให เสื่ อ มเสี ย ถู ก ติ เตี ย นแล ว โสกะปริ เทวะทุ ก ขะโทมนั ส อุ ป ายาส จะไมเกิดขึ้นแกทาน? "มี พระเจาขา!"

www.buddhadasa.info คามณิ! อะไรเปน เหตุ อะไรเปน ปจ จัย ที ่ค วามโศก (เปน ตน ) เกิ ด ขึ้ น แก ท า นเพราะมนุ ษ ย พ วกหนึ่ ง และไม เ กิ ด ขึ้ น แก ท า นเพราะมนุ ษ ย พ วก หนึ่ง?

"ขาแตพระองค ผูเจริญ! เพราะวาฉั นทราคะของข าพระองค มี อยู ในหมู มนุษยที่ทําใหความโศก (เปนตน) เกิดขึ้นแกขาพระองค และ ฉันทราคะของขาพระองค ไมมีอยูในหมูมนุษยที่ไมทําใหความโศก (เปนตน) เกิดขึ้นแกขาพระองค.


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๔๑

ค าม ณ ิ ! ดว ย ธรรม นี ้ อัน ทา น เห ็น แลว รู แ จง แลว บ รรลุแ ลว หยั ่ง ลงทั ่ว ถึง แลว อัน ไมขึ ้น อยู ก ับ เวลา ทา นจงนํ า ไปซึ ่ง นัย นี ้สู ธ รรมในอดีต และอนาคต ว า "ทุ ก ข ใด ๆ ที่ เกิ ด ขึ้ น แล ว ในอดี ต ทุ ก ข ทั้ งหมดนั้ น มี ฉั น ทะเป น มู ล มี ฉั น ทะเป น เหตุ เพราะว า ฉั น ทะเป น มู ล เหตุ แ ห ง ทุ ก ข ; และทุ ก ข ใ ด ๆ อั น จะ เกิ ด ขึ้ น ในอนาคต ทุ ก ข ทั้ ง หมดนั้ น ก็ มี ฉั น ทะเป น มู ล มี ฉั น ทะเป น เหตุ เพราะว า ฉันทะเปนมูลเหตุแหงทุกข." ดังนี้. - สฬา.สํ. ๑๘/๔๐๓/๖๒๗.

อาการเกิดขึ้นแหงความทุกข (อีกปริยายหนึ่ง) (ทรงแสดงดวยอารมณเปนที่ตั้งแหงภพใหม) ภ ิก ษ ุ ท .! ถา บ ุค ค ล ย อ ม ค ิด (เจ เต ต ิ) ถึง สิ ่ง ใด อ ยู . ยอ ม ดํ า ริ (ปกปฺเ ปติ) ถึง สิ ่ง ใดอยู , และยอ มมีจ ิต ฝง ลงไป (อนุเ สติ) ในสิ ่ง ใดอยู ; สิ ่ง นั ้น ย อ มเป น อารมณ เพื่ อ การตั้ ง อยู แ ห ง วิ ญ ญาณ. เมื่ อ อารมณ มี อ ยู , ความตั้ ง ขึ้ น เฉพาะแห ง วิ ญ ญ าณ ย อ มมี ; เมื่ อ วิ ญ ญ าณ นั้ น ตั้ ง ขึ้ น เฉพาะ เจริ ญ งอกงาม แลว , ความเกิด ขึ ้น แหง ภพใหมต อ ไป ยอ มมี; เมื ่อ ความเกิด ขึ ้น แหง ภพใหม ต อ ไป มี , ชาติ ช รามรณะ โสกะปริ เทวะทุ ก ขะโทมนั ส อุ ป ายาสทั้ ง หลาย จึ ง เกิ ด ขึ้ น ครบถ ว นต อ ไป : ความเกิ ด ขึ้ น พร อ มแห ง กอบทุ ก ข ทั้ ง สิ้ น นี้ ย อ มมี ด ว ย อาการอยางนี้.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! ถ า บุ ค คลย อ มไม คิ ด (โน เจเตติ ) ถึ ง สิ่ ง ใด, ย อ มไม ดํ า ริ (โน ปกปฺเ ปติ) ถึง สิ ่ง ใด, แตเ ขายัง มีใ จฝง ลงไป (อนุเ สติ) ในสิ ่ง ใดอยู ; สิ ่ง นั ้น ยอมเปนอารมณ เพื่อการตั้งอยูแหงวิญญาณ. เมื่ออารมณ มีอยู, ความตั้ง


๓๔๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

ขึ้ น เฉพาะแห ง วิ ญ ญ าณ ย อ มมี ; เมื่ อ วิ ญ ญ าณ นั้ น ตั้ ง ขึ้ น เฉพาะ เจริ ญ งอกงาม แลว , ความเกิด ขึ ้น แหง ภพใหมต อ ไป ยอ มมี; เมื ่อ ความเกิด ขึ ้น แหง ภพใหม ตอ ไป มี, ชาติช รามรณ ะ โสกะปริเ ทวะทุก ขะโทมนัส อุป ายาสทั ้ง หลาย ยอ ม เกิ ด ขึ้ น ครบถ ว นต อ ไป : ความเกิ ด ขึ้ น พร อ มแห ง กองทุ ก ข ทั้ ง สิ้ น นี้ ย อ มมี ด ว ย อาการอยางนี้. - นิทาน. สํ. ๑๖/๗๘/๑๔๕.

อาการเกิดขึ้นแหงความทุกข (อีกปริยายหนึ่ง) (ทรงแสดงดวยอารมณเปนที่กาวลงแหงนามรูป)

ภ ิก ษ ุ ท .! ถ า บ ุค ค ล ย อ ม ค ิด (เจ เต ต ิ) ถ ึง สิ ่ง ใด อ ยู , ย อ ม ดํ า ริ (ป กปฺเ ป ติ) ถึง สิ ่ง ใดอยู , และยอ ม มีจ ิต ปก ลงไป (อนุเ สติ) ในสิ ่ง ใดอยู ; สิ ่ง นั ้น ยอ มเปน อารมณ  เพื ่อ การตั ้ง อยู แ หง วิญ ญ าณ . เมื ่อ อารมณ  มีอ ยู , ความตั ้ง ขึ้ น เฉพาะแห ง วิ ญ ญ าณ ย อ มมี ; เมื่ อ วิ ญ ญ าณ นั้ น ตั้ ง ขึ้ น เฉพาะ เจริ ญ งอกงาม แลว , ก ารกา วล งแ ห ง น าม รูป ยอ ม ม ี; เพ ราะมีน าม รูป เปน ปจ จัย จึง มี ส ฬ าย ต น ะ ; เพ ราะม ีส ฬ าย ต น ะเป น ป จ จัย จึง ม ีผ ัส ส ะ; เพ ราะม ีผ ัส ส ะเป น ปจ จัย จึง มีเ วท นา; เพ ราะม ีเ วท น าเปน ปจ จัย จึง มีต ัณ หา; เพ ราะม ีต ัณ ห า เป น ป จ จัย จึง ม ีอ ุป าท าน ; เพ ราะม ีอ ุป าท าน เป น ป จ จัย จึง ม ีภ พ ; เพ ราะมี ภพเปน ปจ จัย จึง มีช าติ; เพราะมีช าติเ ปน ปจ จัย , ชรามรณ ะ โสกะปริเ ทวะทุ ก ขะโทมนั ส อุ ป ายาสทั้ ง หลาย จึ ง เกิ ด ขึ้ น ครบถ ว น : ความเกิ ด ขึ้ น พร อ มแห ง กอง ทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้

www.buddhadasa.info


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๔๓

ภิ ก ษุ ท.! ถ า บุ ค คลย อ มไม คิ ด ถึ ง สิ่ ง ใด, ย อ มไม ดํ า ริ ถึ ง สิ่ ง ใด, แต เขายั ง มี ใ จฝ ง ลงไป (คื อ มี อ นุ สั ย ) ในสิ่ ง ใดอยู ; สิ่ ง นั้ น ย อ มเป น อารมณ เพื่ อ การตั้ ง อยู แ ห ง วิ ญ ญาณ. เมื่ อ อารมณ มี อ ยู , ความตั้ ง ขึ้ น เฉพาะแห ง วิ ญ ญาณ ยอ มมี; เมื ่อ วิญ ญ าณ นั ้น ตั ้ง ขึ ้น เฉพาะ เจริญ งอกงามแลว , การกา วลง แห ง นามรู ป ย อ มมี ; เพราะมี น ามรู ป เป น ป จ จั ย จึ ง มี ส ฬายตนะ; เพราะมี สฬายตนะเปน ปจ จัย จึง มีผ ัส สะ; เพราะมีผ ัส สะเปน ปจ จัย จึง มีเ วทนา; เพราะมี เวทนาเป น ป จ จั ย จึ งมี ตั ณ หา; เพราะมี ตั ณ หาเป น ป จ จั ย จึ งมี อุ ป าทาน; เพ ราะมีอ ุป าทานเปน ปจ จัย จึง มีภ พ ; เพ ราะมีภ พ เปน ปจ จัย จึง มีช าติ; เพราะมี ช าติ เป น ป จจั ย, ชรามรณะ โสกะปริ เทวะทุ ก ขะโทมนั ส อุ ป ายาสทั้ งหลาย จึ ง เกิ ด ขึ้ น ครบถ ว น : ความเกิ ด ขึ้ น พร อ มแห ง กองทุ ก ข ทั้ ง สิ้ น นี้ ย อ มมี ด ว ย อาการอยางนี้. - นิทาน. สํ. ๑๖/๗๙/๑๔๗.

อาการเกิดขึ้นแหงความทุกข (อีกปริยายหนึ่ง) (ทรงแสดงดวยอารมณเปนที่ตั้งแหงนติ)

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท .! ถ า บุ ค ค ล ย อ ม คิ ด (เจ เต ติ ) ถึ ง สิ ่ ง ใด อ ยู  , ย อ ม ดํ า ริ (ปกปฺเ ปติ) ถึง สิ ่ง ใดอยู , และยอ มมีใ จฝง ลงไป (อนุเ สติ) ในสิ ่ง ใดอยู ; สิ ่ง นั ้น ยอ มเปน อามรณ เพื ่อ การตั ้ง อยู แ หง วิญ ญาณ. เมื ่อ อารมณ มีอ ยู , ความตั ้ง ขึ้ น เฉพาะแห ง วิ ญ ญาณ ย อ มมี ; เมื่ อ วิ ญ ญาณนั้ น ตั้ งขึ้ น เฉพาะ เจริญ งอกงาม แลว , เครื ่อ งนํ า ไปสู ภ พใหม (นติ - ตัณ หา) ยอ มมี; เมื ่อ เครื่อ งนํ า ไปสู ภ พ ใหม มี , การมาการไป (อาคติ ค ติ ) ย อ มมี ; เมื่ อ การมาการไป มี , การเคลื่ อ น และการบังเกิด (จุติ + อุปะปาตะ) ยอมมี; เมื่อมีการเคลื่อนและการบังเกิด มี,


๓๔๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

ชาติ ช รามรณะ โสกะปริ เทวะทุ ก ขะโทมนั ส อุ ป ายาสทั้ ง หลาย จึ ง เกิ ด ขึ้ น ครบถ ว น ตอไป : ความเกิดขึ้นพรอมแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. ภิ ก ษุ ท.! ถ า บุ ค คลย อ มไม คิ ด ถึ ง สิ่ ง ใด, ย อ มไม ดํ า ริ ถึ ง สิ่ ง ใด, แต เข ายัง มีใ จ ปก ล งไป ใน สิ ่ง ใด อ ยู ; สิ ่ง นั ้น ยอ ม เปน อ ารม ณ  เพื ่อ ก ารตั ้ง อ ยู แห ง วิ ญ ญ าณ . เมื่ อ อารมณ มี อ ยู , ความตั้ ง ขึ้ น เฉพาะแห ง วิ ญ ญ าณ ย อ มมี ; เมื ่อ วิญ ญ าณ นั ้น ตั ้ง ขึ ้น เฉพาะ เจริญ งอกงามแลว , เครื ่อ งนํ า ไปสู ภ พใหม (นติ - ตั ณ หา) ย อ มมี ; เมื่ อ เครื่ อ งนํ า ไปสู ภ พใหม มี , การมาการไป (อาคติ ค ติ ) ย อ มมี ; เมื่ อ การมาการไป มี , การเคลื่ อ นและการบั ง เกิ ด (จุ ติ +อุ ป ะปาตะ) ยอ มมี; เมื ่อ มีก ารเคลื ่อ นและการบัง เกิด มี, ชาติช รามรณ ะ โสกะปริเ ทวะทุ ก ขะโทมนั ส อุ ป ายาสทั้ ง หลาย จึ ง เกิ ด ขึ้ น ครบถ ว นต อ ไป : ความเกิ ด ขึ้ น พร อ ม แหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. - นิทาน. สํ. ๑๖/๖๘๐/๑๔๙

อาการเกิดแหงความทุกขโดยสังเขป

www.buddhadasa.info มิค ชาล ะ! รูป ทั ้ง ห ล าย ที ่เ ห็น ดว ย ต า อัน เป น รูป ที ่น า ป รารถ น า น า รั ก น า ใคร น า พอใจ เป น ที่ ยั่ ว ยวนชวนให รั ก เป น ที่ เ ข า ไปตั้ ง อาศั ย อยู แ ห ง ค วาม ใค ร เปน ที ่ตั ้ง แหง ค วาม กํ า ห นัด ยอ ม ใจ มีอ ยู . ถา ภิก ษ ุเ พ ลิด เพ ลิน พ ร่ํ า ส ร ร เส ริ ญ ส ย บ ม ั ว เม า ใ น รู ป นั ้ น ไ ซ ร ; เมื ่ อ ภ ิ ก ษ ุ นั ้ น เพ ล ิ ด เพ ล ิ น พ ร่ํ า ส รรเส ริญ ส ย บ มัว เม า ใน รูป นั ้น , นัน ทิ (ค ว า ม เพ ลิน ) ยอ ม เกิด ขึ ้น . มิ ค ชาละ! เรากล า วว า “ความเกิ ด ขึ้ น แห ง ทุ ก ข มี ได เพราะความเกิ ด ขึ้ น แห ง นันทิ” ดังนี้


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๔๕

(ในกรณี แ ห ง เสี ย ง ที่ ไ ด ยิ น ด ว ยหู กลิ่ น ที่ ด มด ว ยจมู ก รสที่ ลิ้ ม ด ว ยลิ้ น โผฏฐั พ พะ ที่ สั ม ผั ส ด ว ยผิ ด กาย และธั ม มารมณ ที่ รุ แ จ งด ว ยใจ ก็ ได ต รั ส ไว โดยทํ า นองเดี ย วกั น กั บ ในกรณี แ ห ง รูปที่เห็นดวยตา). - สฬา. สํ. ๑๘/๔๕/๖๘.

อาการเกิดขึ้นแหงโลก ภิกษุ ท.; การกอขึ้นแหงโลก (ปญจุปาทานขันธ) เปนอยางไรเลา? ภิ ก ษุ ท.! เพราะอาศั ย ตาด ว ย รู ป ด ว ย จึ ง เกิ ด จั ก ขุ วิ ญ ญ าณ ขึ้ น ; การประจวบพร อ ม (แห ง ตา+รู ป +จั ก ขุ วิ ญ ญ าณ ) ทั้ ง สามอย า งนั้ น จึ ง เกิ ด มี ผัส สะ; เพราะผัส สะเปน ปจ จัย จึง เกิด มี เวทนา; เพราะเวทนาเปน ปจ จัย จึ ง เกิ ด มี ตั ณ หา; เพราะตั ณ หาเป น ป จ จั ย จึ ง เกิ ด มี อุ ป าทาน; เพราะอุ ป าทาน เปน ปจ จัย จึง เกิด มีภ พ ; เพ ราะภ พ เปน ปจ จัย จึง เกิด มีช าติ; เพ ราะชาติ เปน ปจ จัย , ชรา ม รณ ะ โศ ก ป ริเ ท วะ ทุก ข โท ม นัส แล ะอุป าย าส จึง เกิดมีพรอม. นี่คือ การกอขึ้นแหงโลก.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! เพราะอาศั ย หู ด ว ย เสี ย งด ว ย จึ ง เกิ ด โสตวิ ญ ญาณขึ้ น ; การประจวบพร อ ม (แห ง หู +เสี ย ง+โสตวิ ญ ญ าณ ) ทั้ ง สามอย า งนั้ น จึ ง เกิ ด มี ผัส สะ; เพราะผัส สะเปน ปจ จัย จึง เกิด มีเ วทนา; เพราะเวทนาเปน ปจ จัย จึ ง เกิ ด มี ตั ณ หา; เพราะตั ณ หาเป น ป จ จั ย จึ ง เกิ ด มี อุ ป าทาน; เพราะอุ ป าทาน เป น ป จ จั ย จึ ง เกิ ด มี ภ พ; เพราะภพเป น ป จ จั ย จึ ง เกิ ด มี ช าติ ; เพราะชาติ เ ป น ป จ จั ย , ชรา มรณะ โศก ปริ เทวะ ทุ ก ข โทมนั ส และอุ ป ายาส จึ ง เกิ ด มี พ ร อ ม. นี่คือ การกอขึ้นแหงโลก.


๓๔๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ กษุ ท.! เพราะอาศั ย จมู ก ด วยกลิ่ น ด วย จึ งเกิ ด ฆานวิ ญ ญาณขึ้ น ; การประจวบพร อ ม (แห ง จมู ก +กลิ่ น +ฆานวิ ญ ญาณ) ทั้ ง สามอย า งนั้ น จึ ง เกิ ด มี ผัส สะ; เพราะผัส สะเปน ปจ จัย จึง เกิด มีเ วทนา; เพราะเวทนาเปน ปจ จัย จึ ง เกิ ด มี ตั ณ หา; เพราะตั ณ หาเป น ป จ จั ย จึ ง เกิ ด มี อุ ป าทาน; เพราะอุ ป าทาน เป น ป จ จั ย จึ ง เกิ ด มี ภ พ; เพราะภพเป น ป จ จั ย จึ ง เกิ ด มี ช าติ ; เพราะชาติ เ ป น ป จ จั ย , ชรา มรณะ โศก ปริ เทวะ ทุ ก ข โทมนั ส และอุ ป ายาส จึ ง เกิ ด มี พ ร อ ม. นี่คือ การกอขึ้นแหงโลก. ภิ ก ษุ ท.! เพราะอาศั ย ลิ้ น ด ว ย รสด ว ย จึ งคงเกิ ด ชิ ว หาวิ ญ ญาณขึ้ น ; การประจวบพร อ ม (แห ง ลิ้ น +รส+ชิ ว หาวิ ญ ญาณ ) ทั้ ง สามอย า งนั้ น จึ ง เกิ ด มี ผัส สะ; เพราะผัส สะเปน ปจ จัย จึง เกิด มีเ วทนา; เพราะเวทนาเปน ปจ จัย จึ ง เกิ ด มี ตั ณ หา; เพราะตั ณ หาเป น ป จ จั ย จึ ง เกิ ด มี อุ ป าทาน; เพราะอุ ป าทาน เปน ปจ จัย จึง เกิด มีภ พ ; เพ ราะภ พ เปน ปจ จัย จึง เกิด มีช าติ; เพ ราะชาติ เป น ป จ จั ย , ชรา มรณะ โศก ปริ เ ทวะ ทุ ก ข โทมนั ส และอุ ป ายาส จึ ง เกิ ด มี พรอม. นี่คือ การกอขึ้นแหงโลก.

www.buddhadasa.info ภิ กษุ ท.! เพราะอาศั ย กาย ด วย โผฏฐั พพะด วย จึ งเกิ ดกายวิ ญ ญาณ ขึ้ น ; การประจวบพร อ ม(แห ง กาย+โผฏฐั พ พะ+กายวิ ญ ญาณ) ทั้ ง สามอย า งนั้ น จึง เกิด มีผ ัส ส ะ; เพ ราะ ผัส ส ะเปน ปจ จัย จึง เกิด มีเ วท น า ; เพ ราะ เวท น า เป น ป จ จั ย จึ ง เกิ ด มี ตั ณ หา; เพราะตั ณ หาเป น ป จ จั ย จึ ง เกิ ด มี อุ ป าทาน; เพราะ อุ ป าทานเป น ป จ จั ย จึ ง เกิ ด มี ภ พ; เพราะภพเป น ป จ จั ย จึ ง เกิ ด มี ช าติ ; เพราะ ชาติ เ ป น ป จ จั ย , ชรา มรณ ะ โศก ปริ เ ทวะ ทุ ก ข โทมนั ส และอุ ป ายาส จึ ง เกิดมีพรอม. นี่คือ การกอขึ้นแหงโลก.


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๔๗

ภิ กษุ ท.; เพราะอาศั ย ใจ ด วย ธรรมารมณ ด วย จึ งเกิ ดมโนวิ ญ ญาณ ขึ ้น ; การประจวบพรอ ม (แหง ใจ+ธรรมารมณ+มโนวิญ ญาณ ) ทั ้ง สามอยา ง นั ้น จึง เกิด มีผ ัส สะ; เพราะผัส สะเปน ปจ จัย จึง เกิด มีเ วทนา; เพราะเวทนา เป น ป จ จั ย จึ ง เกิ ด มี ตั ณ หา; เพราะตั ณ หาเป น ป จ จั ย จึ ง เกิ ด มี อุ ป าทาน; เพราะ อุ ป าทานเป น ป จ จั ย จึ ง เกิ ด มี ภ พ; เพราะภพเป น ป จ จั ย จึ ง เกิ ด มี ช าติ ; เพราะ ชาติ เ ป น ป จ จั ย , ชรา มรณ ะ โศก ปริ เ ทวะ ทุ ก ข โทมนั ส และอุ ป ายาส จึ ง เกิดมีพรอม. นี่คือ การกอขึ้นแหงโลก. ภิกษุ ท.! นี่คือ การกอขึ้นแหงโลก แล.

- สฬา. สํ. ๑๘/๑๐๘/๑๕๖.

ความเกิดขึ้นแหงอายตนะ นั้นคือความเกิดขึ้นแหงทุกข ภ ิก ษ ุ ท .! การเกิด ขึ ้น ก ารตั ้ง อ ยู  ก ารเกิด โด ย ยิ ่ง ก ารป ราก ฏ แ ห  ง จั ก ษ ุ , อั น ใ ด ; อั น นั ้ น เป น ก า ร เกิ ด ขึ ้ น แ ห ง ทุ ก ข , เป น ก า ร ตั ้ ง อ ยู แหงโรค, เปนการปรากฏออกแหงชราและมรณะ.

www.buddhadasa.info (ในกรณี แ ห ง โสตะ มานะ ชิ ว หา กายะ และมนะ ก็ ต รั ส ไว โ ดยข อ ความอย า ง เดียวกันกับในกรณีแหงจักษุ.)

คํ า ว า เกิ ด ขึ้ น ในกรณี อย า งนี้ หมายความว า สิ่ ง นั้ น ๆ ทํ า หน า ที่ ข องฉั น ตาม อํานาจของอวิชชา. ในสู ต รอื่ น ๆ แทนที่ จ ะทรงแสดงด ว ยอายตนะภายในอย า งนี้ ได ท รงแสดงไว ด ว ย อายตนะภายนอกหก วิญญาณหก ผัสสะหก เวทนาหก สัญญาหก สัญเจตนาหก ตัณหาหก ธาตุ หก และขันธหา.


๓๔๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

นอกจากนั้ น ดั ง ได ท รงแสดงฝ า ยดั บ โดยปฏิ ป ก ขนั ย เป น ความดั บ ไม เหลื อ แห ง ทุ ก ข ความเข า ไปสงบแห งโรค ความตั้ ง อยู ไม ได แ ห งชรามรณะ ตรงกั น ข า มจากข อ ความฝ า ยเกิ ด ทุ ก ๆ ขอดวย ซึ่งผูศึกษาอาจกําหนดไดดวยตนเอง).

- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๘๓ - ๒๘๗/๔๗๙ - ๔๙๘.

อาการที่ทุกขเกิดจากอาหาร ภิ ก ษุ ท.! อาหารสี่ อ ย า งเหล า นี้ มี อ ยู เพื่ อ ความตั้ ง อยู ไ ด แ ห ง สั ต ว ผู เกิ ด แล ว หรื อ เพื่ อ อนุ เคราะห สั ต ว ผู แ สวงหาที่ เกิ ด . อาหารสี่ อ ย า งเหล า ไหนเล า ? สี่ อย างคื อ อาหารที่ หนึ่ งคื อ อาหารคื อคํ าข าว หยาบก็ ตาม ละเอี ยดก็ ตาม, อาหาร ที่ ส องคื อ ผั ส สะ, อาหารที่ ส ามคื อ มโนสั ญ เจตนา, อาหารที่ สี่ คื อ วิ ญ ญาณ. ภิ ก ษุ ท.! อาหารสี่ อ ย า งเหล า นี้ แ ล มี อ ยู เพื่ อ ความตั้ ง อยู ไ ด แ ห ง สั ต ว ผู เกิ ด แล ว หรือเพื่ออนุเคราะหสัตวผูแสวงหาที่เกิด. ภิ ก ษุ ท.! ถ า มี ร าคะ มี นั น ทิ มี ตั ณ หา ในอาหารคื อ คํ า ข า วไซร . วิ ญ ญ าณ ก็ เ ป น สิ่ ง ที่ ตั้ ง อยู ไ ด เจริ ญ งอกงามอยู ไ ด ในอาหารคื อ คํ า ข า วนั้ น ๆ. วิญ ญาณที ่ตั ้ง อยู ไ ด เจริญ งอกงามอยู ไ ด มีอ ยู ใ นที ่ใ ด, การกา วลงแหง นามรูป ก็ม ีอ ยู ใ นที ่นั ้น . การกา วลงแหง นามรูป มีอ ยู ใ นที ่ใ ด, ความเจริญ แหง สัง ขาร ทั ้ง ห ล าย ก็ม ีอ ยู ใ น ที ่นั ้น . ค วาม เจริญ แหง สัง ขารทั ้ง ห ล าย มีอ ยู ใ น ที ่ใ ด , การบัง เกิด ใน ภ พ ให มต อ ไป ก็ม ีอ ยู ใ น ที ่นั ้น . การบัง เกิด ใน ภ พ ให มต อ ไป มีอ ยู ใ น ที ่ใ ด , ช าติ ช รา แ ล ะ ม รณ ะ ตอ ไป ก็ม ีอ ยู  ใน ที ่นั ้น . ช า ติ ช รา และมรณ ะ ตอ ไป มีอ ยู  ในที ่ใ ด ; ภิก ษุ ท.! เราเรีย กที ่นั ้น วา "เปน ที ่มี โศก มีธ ุล ี และมีค วามคับ แคน " ดัง นี ้. (ในกรณีเ กี ่ย วกับ อาหารอีก ๓ อยา ง คือ

www.buddhadasa.info ผั ส สะ มโนสั ญ เจตนาและวิ ญ ญาณ ก็ ต รั ส โดยทํา นองเดี ย วกั บ อาหารคื อ คํา ข า ว).


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๔๙

ภิก ษุ ท.! เปรีย บเหมือ นชา งยอ ม หรือ ชา งเขีย น, เมื ่อ มีน้ํ า ยอ ม คื อ ครั่ ง ขมิ้ น ครามหรื อ สี แ ดงอ อ น ก็ จ ะพึ ง เขี ย นรู ป สตรี หรื อ รู ป บุ รุ ษ ลงที่ แผน กระดาน หรือ ฝาผนัง หรือ ผืน ผา ซึ ่ง เกลี ้ย งเกลา ไดค รบทุก สว น, อุป มา นี้ฉันใด; ภิ ก ษุ ท.! อุ ป ไมยก็ ฉั น นั้ น คื อ ถ า มี ร าคะ มี นั น ทิ มี ตั ณ หา ใน อาหารคื อ คํ า ข า วไซร , วิ ญ ญาณ ก็ เ ป น สิ่ ง ที่ ตั้ ง อยู ไ ด เจริ ญ งอกงามอยู ไ ด ใน อาหารคื อ คํ า ข า วนั้ น ๆ, วิ ญ ญาณ ที่ ตั้ ง อยู ไ ด เจริ ญ งอกงามอยู ไ ด มี อ ยู ใ นที่ ใ ด การก า วลงแห ง นามรู ป ก็ มี อ ยู ใ นที่ นั้ น . การก า วลงแห ง นามรู ป มี อ ยู ใ นที่ ใ ด, ความเจริ ญ แห งสั ง ขารทั้ งหลาย ก็ มี อ ยู ในที่ นั้ น . ความเจริ ญ แห งสั ง ขารทั้ งหลาย มี อ ยู ในที่ ใ ด. การบั ง เกิ ด ในภพใหม ต อ ไป ก็ มี อ ยู ใ นที่ นั้ น . การบั ง เกิ ด ในภพ ใหมต อ ไป มีอ ยู ใ นที ่ใ ด, ชาติ ชราและมรณ ะตอ ไป ก็ม ีอ ยู ใ นที ่นั ้น . ชาติ ชรา และมรณ ะ ตอ ไป มีอ ยู ใ นที ่ใ ด; ภิก ษุ ท.! เราเรีย กที ่นั ้น วา "เปน ที่ มี โ ศก มี ธุ ลี และมี ค วามคั บ แค น . (มี ข อ ความตรั ส ต อ ไปจนกระทั่ ง จบข อ ความในกรณี อาหารที่ สี่ คื อ วิ ญ ญ าณ ซึ่ ง อาหารอี ก ๓ อย า งที่ ต รั ส ต อ ไปนั้ น ก็ มี ข อ ความเหมื อ นกั บ ในกรณี อาหารคือคําขาวขางบนนี้ทุกประการ ตางแตชื่ออาหารเทานั้น)" ดังนี้ แล.

www.buddhadasa.info อาการที่ทุกขเกิดขึ้นเพราะตัณหาในอายตนะภายนอก - นิทาน. สํ. ๑๖/๑๒๒-๑๒๓/๒๔๕-๒๔๗.

ภิ ก ษุ ท.! การเกิ ด ขึ้ น การเกิ ด โดยยิ่ ง การตั้ ง อยู และความปรากฏ ของตั ณ หาในรู ป , ของตั ณ หาในเสี ย ง, ของตั ณ หาในกลิ่ น , ของตั ณ หาในรส, ของตัณหาในโผฏฐัพพะ, และของตัณหาในธรรมารมณ, อันใด; อันนั้น


๓๕๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

แหละ เปน การเกิด ขึ ้น ของทุก ข, อัน นั ้น แหละ เปน การตั ้ง อยู ข องสิ ่ง ซึ ่ง มี ปรกติเสียดแทงทั้งหลาย, อันนั้นแหละเปนความปรากฏของชราและมรณะแล. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๘๖/๔๙๓.

อาการที่ทุกขเกิดมาจากตัณหา ภิกษุ ท.! เมื่อภิกษุเปนผูมีปกติเห็นโดยความเปนอัสสาทะ (นารัก นายินดี) ในธรรมทั้งหลายอันเปนที่ตั้งแหงอุปาทาน (อุปาทานิยธรรม) อยู, ตั ณ หาย อ มเจริญ อย างทั่ วถึ ง, เพราะมี ตั ณ หาเป น ป จจัย จึงมี อุป าทาน; เพราะ มีอ ุป าทานเปน ปจ จัย จึง มีภ พ; เพราะมีภ พเปน ปจ จัย จึง มีช าติ; เพราะมี ชาติ เป น ป จ จั ย , ชรามรณะ โสกะปริ เทวะทุ ก ขะโทมนั ส อุ ป ายาสทั้ ง หลาย จึ ง เกิ ด ขึ้ น ครบถ ว น : ความเกิ ด ขึ้ น พร อ มแห ง กองทุ ก ข ทั้ ง สิ้ น นี้ ย อ มมี ด ว ยอาการ อยางนี้. ภิ ก ษุ ท.! เปรี ย บเหมื อ นไฟกองใหญ พึ ง ลุ ก โพลงด ว ยไม สิ บ เล ม เกวี ย นบ า ง ยี่ สิ บ เล ม เกวี ย นบ า ง สามสิ บ เล ม เกวี ย นบ า ง สี่ สิ บ เล ม เกวี ย นบ า ง. บุ รุษ พึ ง เติ ม หญ า แห ง บ า ง มู ล โคแห ง บ า งไม แ ห ง บ า ง ลงไปในกองไฟนั้ น ตลอด เวลาที ่ค วรเติม อยู เ ปน ระยะ ๆ. ภิก ษุ ท! ดว ยอาการอยา งนี ้แ ล ไฟกอง ใหญ ซึ่ ง มี เครื่ อ งหล อ เลี้ ย งอย า งนั้ น มี เชื้ อ เพลิ ง อย า งนั้ น ก็ จ ะพึ ง ลุ ก โพลงตลอด กาลยาวนาน, ขอ นี ้ฉ ัน ใด; ภิก ษุ ท.! เมื ่อ ภิก ษุเ ปน ผู ม ีป รกติเ ห็น โดยความ เป นอั สสาทะ (น ารักน ายิ นดี ) ในธรรมทั้ งหลายอั นเป นที่ ตั้ งแห งอุ ปาทานอยู , ตั ณ หา ย อ มเจริ ญ อย า งทั่ ว ถึ ง ฉั น นั้ น เหมื อ นกั น . เพราะมี ตั ณ หาเป น ป จ จั ย จึ ง มี อุปาทาน; เพราะมีอุปาทานเปนปจจัย จึงมีภพ; เพราะมีภพเปนปจจัย จึง

www.buddhadasa.info


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๕๑

มีช าติ; เพราะมีช าติเ ปน ปจ จัย , ชรามรณ ะ โสกะปริเ ทวะทุก ขะโทมนัส อุ ป ายาสทั้ งหลาย จึ งเกิ ด ขึ้ น ครบถ วน : ความเกิ ด ขึ้ น พรอ มแห งกองทุ ก ข ทั้ งสิ้ น นี้ ยอมมีดวยอาการอยางนี้ แล. - นิทาน. สํ. ๑๖/๑๐๒/๑๙๖-๑๙๗. (ในสูต รถัด ไปทรงแสดงสัญ โญ ชนิย ธรรม แทนคํ า วา อุป าทานิย ธรรม; และ ในตอนอุ ป มาทรงแสดงอุ ป มาด วยประที ป น้ํ ามั นลุ กโพลงอยู ได เพราะอาศั ยเชื้ อและมี ผู คอยเติ ม โดย นัยเดียวกับสูตรขางบน).

ตัณหาเปนเชื้อแหงการเกิด วั จฉะ! เราย อมบั ญ ญั ติ ความบั งเกิ ดขึ้ น สํ าหรับ สั ตว ผู ที่ ยั งมี อุ ปาทาน (เชื ้อ ) อยู , ไมใ ชสํ า หรับ สัต วผู ที ่ไ มม ีอ ุป ทาน. วัจ ฉะ! เปรีย บเหมือ นไฟ ที ่ม ีเ ชื ้อ ยอ ม โพ ล ง ขึ ้น ได, ที ่ไ มม ีเ ชื ้อ ก็โ พ ล งขึ ้น ไมไ ด, อุป ม า นี ้ฉ ัน ใด อุ ป ไมยก็ ฉั น นั้ น ; วั จ ฉะ! เราย อ มบั ญ ญั ติ ค วามบั ง เกิ ด ขึ้ น สํ า หรั บ สั ต ว ผู ที่ ยั ง มี อุปาทานอยู, ไมใชสําหรับสัตวผูที่ไมมีอุปทาน.

www.buddhadasa.info "พระโคมดมผู เจริญ! ถ าสมั ยใด เปลวไฟ ถู กลมพั ดหลุ ดปลิ วไปไกล, สมั ย นั้น พระโคดมยอมบัญญัติ ซึ่งอะไร วาเปนเชื้อแกเปลวไฟนั้น ถาถือวามันยังมีเชื้ออยู?"

วั จ ฉะ! สมั ย ใด เปลวไฟ ถู ก ลมพั ดหลุ ด ปลิ ว ไปไกล, เราย อ ม บัญ ญัต ิเ ปลวไฟนั ้น วา มีล มนั ่น แหละเปน เชื ้อ . วัจ ฉะ! เพราะวา สมัย นั ้น ลมยอมเปนเชื้อของเปลวไฟนั้น.


๓๕๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

"พระโคดมผู เจริ ญ ถ าสมั ยใด สั ตว ทอดทิ้ งกายนี้ และยั งไม บั งเกิ ดขึ้ นด วย การอื่ น, สมั ยนั้ นพระโคมดม ย อมบั ญญั ติ ซึ่งอะไร วาเป นเชื้อแก สั ตวนั้ น ถ าถื อวา มั น ยังมีเชื้อยู?" วั จ ฉะ! สมั ย ใด สั ต ว ท อดทิ้ ง กายนี้ และยั ง ไม บั ง เกิ ด ขึ้ น ด ว ยกายอื่ น , เรากลา ว สัต วนี ้ วา มีต ัณ หานั ่น แหละเปน เชื ้อ ; เพราะวา สมัย นั ้น ตัณ หา ยอมเปนเชื้อของสัตวนั้น แล. - สฬา. สํ. ๑๘/๔๘๕/๘๐๐.

อาสวะทําหนาที่อยางเดียวกับตัณหา อัคคิเวสสนะ! อยางไรเลา เรียกวาเปนคนหลงใหล? อั ค คิ เ วสสนะ! อาสวะ เหล า ใด อั น กระทํ า ให เ ศร า หมอง ทํ า ให เกิดในภพใหม ใหมีความกระวนกระวาย มีวิบากเปนทุกข ใหมีชาติชรามรณะ ต อ ไป เป น อาสวะที่ บุ ค คลใดละไม ไ ด เรากล า วบุ ค คลนั้ น ว า เป น คนหลงใหล. อัคคิเวสสนะ! เพราะละอาสวะไมไดจึงเปนคนหลงใหล.

www.buddhadasa.info อั ค คิ เ วสสนะ! อาสวะเหล า ใด อั น กระทํ า ให เ ศร า หมอง ทํ า ให เ กิ ด ในภพใหม ให มี ค วามกระวนกระวาย มี วิ บ ากเป น ทุ ก ข ให มี ช าติ ช รามรณะต อ ไป เปน อาสวะที ่บ ุค คลใดละไดแ ลว เรากลา วบุค คลนั ้น วา เปน คนไมห ลงใหล. อัคคิเวสสนะ! เพราะละอาสวะไดจึงเปนคนไมหลงใหล.


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๕๓

อั ค คิ เ วสสนะ! อาสวะเหล า ใด อั น กระทํ า ให เ ศร า หมอง ทํ า ให เ กิ ด ในภพใหม ใหม ีค วามกระวนกระวาย มีว ิบ ากเปน ทุก ข ใหม ีช าติช รามรณ ะ ต อ ไป;อาสวะเหล า นั้ น ตถาคตละได แ ล ว ทํ า ให มี ร ากขาดแล ว ทํ า ให เ หมื อ น ตาลไม มี ขั้ ว ยอดแล ว ถึ ง ความไม มี ไ ม เ ป น มี อั น ไม เ กิ ด ขึ้ น อี ก ต อ ไปเป น ธรรมดา เปรีย บเหมือ นตน ตาลมีขั ้ว ยอดขาดแลว ไมอ าจงอกงามไดอ ีก ตอ ไป ฉัน ใดก็ ฉันนั้น. - มู. ม. ๑๒/๔๖๑/๔๓๑. (ผู ศึ ก ษาพึ ง สั ง เกตให เห็ น ว า ตามพระบาลี นี้ อาสวะทํ า หน า ที่ อ ย า งเดี ย วกั บ ตั ณ หา คือสรางภพใหม หรือเปนเหตุใหเกิดทุกข).

อาการที่สัตวเกิดตัณหาและเกิดทุกข ภิ ก ษุ ท .! ก ารป ฏิ ส น ธิ ข อ งสั ต ว ใ น ค รรภ ย อ ม มี ได เพ ราะ ก าร ประชุม พ รอ มของสิ ่ง ๓ อยา ง. ในสัต วโ ลกนี ้ แมม ารดาและบิด าเปน ผู อ ยู รว มกัน แตม ารดายัง ไมผ า นการมีร ะดู และคัน ธัพ พะ (สัต วที ่จ ะเขา ไปปฏิส นธิ ในครรภนั ้น ) ก็ย ัง ไมเ ขา ไปตั ้ง อยู โ ดยเฉพาะดว ย, การปฏิส นธิข องสัต วใ นครรภ ก็ ยั ง มี ขึ้ น ไม ไ ด ก อ น. ในสั ต ว โ ลกนี้ แม ม ารดาและบิ ด าเป น ผู อ ยู ร ว มกั น และ มารดาก็ ผ า นการมี ร ะดู แต คั น ธั พ พะยั ง ไม เ ข า ไปตั้ ง อยู โ ดยเฉพาะ, การปฏิ ส นธิ ของสัต วใ นครรภก ็ย ัง มีขึ ้น ไมไ ดนั ่น เอง. ภิก ษุ ท.! แตเ มื ่อ ใด ม ารด าแล ะ บิด าเปน ผู อ ยู รว มกัน ดว ย มาดาก็ผ า นการมีร ะดูด ว ย คัน ธัพ พะก็เ ขา ไปตั ้ง อยู โ ดยเฉพาะด ว ย, การปฏิ ส นธิ ข องสั ต ว ใ นครรภ ย อ มสํ า เร็ จ ได เพราะการ ประชุมพรอมกัน ของสิ่ง ๓ อยาง ดวยอาการอยางนี้.

www.buddhadasa.info


๓๕๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ ก ษุ ท.! มารดา ย อ มบริ ห ารสั ต ว ที่ เ กิ ด ในครรภ นั้ น ด ว ยความ เปนหวงอยางใหญหลวง เปนภาระหนัก ตลอดเวลาเกาเดือนบาง สิบเดือนบาง. ภิ ก ษุ ท.! เมื่ อ ล ว งไปเก า เดื อ นหรื อ สิ บ เดื อ น, มารดา ย อ มคลอด บุ ต รนั้ น ด ว ยความเป น ห ว งอย า งใหญ ห ลวง เป น ภาระหนั ก ; ได เลี้ ย งซึ่ ง บุ ต รอั น เกิด แลว นั ้น ดว ยโลหิต ของตนเอง. ภิก ษุ ท.! ในวิน ัย ของพระอริย เจา คํา ว า "โลหิ ต " นี้ หมายถึ ง น้ํา นมของมารดา. ภิก ษุ ท.! ทารกนั ้น เจริญ วัย ขึ ้น มีอ ิน ทรีย อ ัน เจริญ เต็ม ที ่แ ล ว เลน ของเลน สํ า หรับ เด็ก เชน เลน ไถนอ ย ๆ เลน หมอ ขา วหมอ แกง เลน ของเล น ชื่ อ โมกขจิ ก ะ๑ เล น กั งหั น ลมน อ ย ๆ เล น ตวงของด วยเครื่ อ งตวงที่ ทํ าด วย ใบไม เลนรถนอย ๆ เลนธนูนอย ๆ. ภิ ก ษุ ท.! ทารกนั้ น ครั้ น เจริ ญ วั ย ขึ้ น แล ว มี อิ น ทรี ย อั น เจริ ญ เต็ ม ที่ แล ว เป นผู เอิ บ อิ่ มเพี ยบพรอมด วยกามคุ ณ ห า ให เขาบํ าเรออยู : ทางตาด วยรูป , ทางหูด ว ยเสีย ง, ทางจมูก ดว ยกลิ ่น , ทางลิ ้น ดว ยรส, และทางกายดว ย โผฏฐัพ พะ, ซึ ่ง ลว นแตเ ปน สิ ่ง ที ่ป รารถนา นา รัก ใคร นา พอใจ ที ่ย วนตา ยวนใจให รั ก เป น ที่ เข า ไปตั้ ง อาศั ย อยู แ ห ง ความใคร เป น ที่ ตั้ ง แห ง ความกํ า หนั ด ย อ มใจ และเปน ที ่ตั ้ง แหง ความรัก . ทารกนั ้น ครั ้น เห็น รูป ดว ยจัก ษุ เปน ตน แลว ยอ มกํ า หนัด ยิน ดี ในรูป เปน ตน ที ่ยั ่ว ยวนใหเ กิด ความรัก , ยอ มขัด ใจ ในรูป เปนตน ที่ไมเปนตั้งแหงความรัก ; ไมเปนผูตั้งไวซึ่งสติอันเปนไปใน

www.buddhadasa.info

๑. โมกขจิกะ เปนของเลนสําหรับเด็กชนิดหนึ่ง ที่ตอนบนหมุนได.


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๕๕

กาย มี ใ จเป น อกุ ศ ล ไม รู ต ามที่ เป น จริ ง ซึ่ ง เจโตวิ มุ ติ ป ญ ญาวิ มุ ติ อั น เป น ที่ ดั บ ไม เหลื อ แห ง ธรรมอั น เป น บาปอกุ ศ ลทั้ ง หลาย. กุ ม ารน อ ยนั้ น เมื่ อ ประกอบด ว ย ความยิน ดีแ ละความยิน รา ยอยู เ ชนนี ้แ ลว ,เสวยเฉพาะซึ ่ง เวทนาใด ๆ เปน สุข ก็ ต าม ทุ กข ก็ ต าม ไม ใช ทุ ก ข ไ ม ใช สุ ขก็ ต าม , เขา ย อ ม เพ ลิ ด เพ ลิ น พ ร่ํ า สรรเสริ ญ เม าห ม กอยู ซึ่ ง เวท น านั้ น ๆ. เมื่ อเป นอยู เ ช น นั้ น , ค วาม เพ ลิ น (นัน ทิ) ยอ มบัง เกิด ขึ ้น . ความเพ ลิน ใด ในเวทนาทั ้ง หลาย มีอ ยู , ความ เพลิ น อั น นั้ น เป น อุ ป าทาน. เพราะอุ ป าทานของเขานั้ น เป น ป จ จั ย จึ ง เกิ ด มี ภ พ; เพราะภพเป น ป จ จั ย จึ ง เกิ ด มี ช าติ ; เพราะชาติ เ ป น ป จ จั ย , ชรา มรณ ะ โศก ปริเ ทวะ ทุก ข โทมนัส และอุป ายาส จึง เกิด มีพ รอ ม. ความกอ ขึ ้น แหง กอง ทุกขทั้งสิ้นนั้น ยอมมีได ดวยอาการอยางนี้ แล. - มู. ม. ๑๒/๔๘๗-๔๘๘/๔๕๒-๔๕๓

อาการที่พัฒนา (เครื่องนําไปสูภพใหม) เจริญขึ้น ภิก ษุ ท.! บุค คล เมื ่อ ไมรู ไ มเ ห็น ซึ ่ง จัก ษุ ตามที ่เ ปน จริง , เมื่ อ ไม รู ไ ม เ ห็ น ซึ่ ง รู ป ทั้ ง หลาย ตามที่ เ ป น จริ ง , เมื่ อ ไม รู ไ ม เ ห็ น ซึ่ ง จั ก ขุ วิ ญ ญ าณ ตามที ่เ ปน จริง , เมื ่อ ไมรู ไ มเ ห็น ซึ ่ง จัก ขุส ัม ผัส ตามที ่เ ปน จริง , เมื ่อ ไมรู ไมเ ห็น ซึ ่ง เวทนา อัน เกิด ขึ ้น เพราะจัก ขุส ัม ผัส เปน ปจ จัย อัน เปน สุข ก็ต าม เป น ท ุก ขก ็ต าม ไม ใ ชท ุก ขไ ม ใ ชส ุข ก็ต าม ต าม ที ่เ ป น จริง แลว ; เขายอ ม กํ า หนัด ในจัก ษุ, กํ า หนัด ในรูป ทั ้ง หลาย, กํ า หนัด ในจัก ขุว ิญ ญ าณ , กํ า หนัด ในจัก ขุส ัม ผัส , และกํ า หนัด ในเวทนาอัน เกิด ขึ ้น เพราะจัก ขุส ัม ผัส เปน ปจ จัย อั น เป น สุ ข ก็ ต าม เป น ทุ ก ข ก็ ต าม ไม ใ ช ทุ ก ข ไ ม ใ ช สุ ข ก็ ต าม. เมื่ อ บุ ค คลนั้ น กําหนัดแลว ติดพนแลว ลุมหลงแลว จองมองตออัสสาทะอยู, ปญจุปาทาน-

www.buddhadasa.info


๓๕๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

ขั น ธ ทั้ ง หลาย ย อ มถึ ง ซึ่ ง ความก อ เกิ ด ต อ ไป; และตั ณ หาของเขาอั น เป น เครื่ อ ง นําไปสูภพใหม อันประกอบอยูดวยความกําหนัดดวยอํานาจความเพลิน เปน เครื่องทําใหเพลินอยางยิ่งในอารมณนั้น ๆ นั้นยอมเจริญถึงที่สุดแกเขา; ความ กระวนกระวาย (ทรถ) แม ท างกาย ย อ มเจริ ญ ถึ ง ที่ สุ ด แก เ ขา, ความกระวน กระวาย แมท างจิต ยอ มเจริญ ถึง ที ่ส ุด แกเ ขา; ความแผดเผา (สนฺต าป) แม ท างกาย ย อ มเจริ ญ ถึ ง ที่ สุ ด แก เ ขา, ความแผดเผา แม ท างจิ ต ย อ มเจริ ญ ถึง ที ่ส ุด แกเ ขา; ความเรา รอ น (ปริฬ าห) แมท างกาย ยอ มเจริญ ถึง ที ่ส ุด แกเ ขา, ค วาม เรา รอ น แมท างจิต ยอ ม เจริญ ถึง ที ่ส ุด แกเ ขา. บุค ค ล นั ้น ย อ มเสวยซึ่ ง ความทุ ก ข อั น เป น ไปทางกาย ด ว ย, ซึ่ ง ความทุ ก ข อั น เป น ไปทางจิ ต ดวย. (ในกรณี แ ห ง หมวด โสตะ มานะ ชิ ว หา กาย และมโน ก็ ไ ด ต รั ส ไว โ ดยทํ า นอง เดียวกัน). - อุปริ. ม. ๑๔/๕๒๑/๘๒๖-๘๒๗.

www.buddhadasa.info เห็นแกเหยื่อจึงติดเบ็ด

ภิ ก ษุ ท.! เปรี ย บเหมื อ นพรานเบ็ ด ซั ด เบ็ ด ที่ เ กี่ ย วเหยื่ อ ลงไปใน หว งน้ํ า ลึก . ปลาที ่เ ห็น แกเ หยื ่อ ตัว ใดตัว หนึ ่ง จะพึง กลืน เบ็ด นั ้น เขา ไป. ภิก ษุ ท.! ด ว ยอาการนี้ แ หละ ปลาที่ ก ลื น เบ็ ด ตั ว นั้ น ถึ ง แล ว ซึ่ ง ความพิ น าศ ถึ ง แล ว ซึ่ ง ความฉิ บ หาย เพราะพรานเบ็ ด แล ว แต พ รานเบ็ ด นั้ น ใคร จ ะทํ า ตามอํ า เภอใจ อยางใด.


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๕๗

ภิ ก ษุ ท .! ฉั น ใด ก็ ฉั น นั้ น , เบ็ ด ห กตั วเห ล านี้ มี อ ยู ใ น โล ก เพื่ อ ความฉิบ หายของสัต วทั ้ง หลาย เพื ่อ ฆา สัต วทั ้ง หลาย. เบ็ด หกตัว นั ้น เปน อย า งไรเล า ? เบ็ ด หกตั ว นั้ น คื อ รู ป ที่ เ ห็ น ด ว ยตาก็ ดี , เสี ย ง ที่ ฟ ง ด ว ยหู ก็ ดี , กลิ่ น ที่ ด มด ว ยจมู ก ก็ ดี , รส ที่ ลิ้ น ด ว ยลิ้ น ก็ ดี , โผฏฐั พ พะ ที่ สั ม ผั ส ด ว ยกายก็ ดี , และธรรมารมณ ที่ รู แ จ ง ด ว ยใจก็ ดี , มี อ ยู ซึ่ ง เป น สิ่ ง ที่ น า ปรารถนา น า รั ก ใคร น า พอใจ ที่ ย วนตายวนใจให รั ก เป น ที่ เข า ไปตั้ ง อาศั ย อยู แ ห ง ความใคร และเป น ที่ตั้งแหงความกําหนัดยอมใจ, ถาภิกษุเพลิดเพลิน พร่ําสรรเสริญ เมาหมกอยู ซึ่ ง อารมณ มี รู ป เป น ต น นั้ น ไซร ; ภิ กษุ ท.! ภิ ก ษุ นี้ เราเรีย กวา ผู ก ลื น เบ็ ด ของมาร ถึ งแลวซึ่งความ พินาศ ถึงแลวซึ่งความฉิบหาย แลวแตมารผูมีบาปใครจะทําประการใด แล. - สฬา. สํ. ๑๘/๑๙๗/๒๘๙.

ผูแบกของหนัก ภิก ษุ ท.! เราจัก แสดงของหนัก ผู แ บกของหนัก และการแบก ของหนัก.... แกพวกเธอ. เธอทั้งหลาย จงฟงขอความนั้น.

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท.! อะไรเลา ชื ่อ วา ของหนัก ? ภิก ษุ ท.! อุป าทานัก ขั น ธ ทั้ ง ห า นั้ น แหละ เรากล า วว า เป น ของหนั ก . อุ ป าทานนั ก ขั น ธ ทั้ ง ห า เหล า ไหน เลา ? หา คือ :- ขัน ธอ ัน เปน ที ่ตั ้ง แ หง ค วาม ยึด มั ่น คือ รูป , ขัน ธอ ัน เปน ที่ ตั้ ง แห ง ความยึ ด มั่ น คื อ เวทนา, ขั น ธ อั น เป น ที่ ตั้ ง แห ง ความยึ ด มั่ น คื อ สั ญ ญา, ขัน ธอ ัน เปน ที ่ตั ้ง แหง ความยึด มั ่น คือ สัง ขาร, และขัน ธอ ัน เปน ที ่ตั ้ง แหง ความ ยึดมั่นคือ วิญญาณ. ภิกษุ ท.! นี้ เราเรียกวาของหนัก.


๓๕๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ ก ษุ ท.! อะไรเล า ชื่ อ ว า ผู แ บกของหนั ก ? ภิ ก ษุ ท.! บุ ค คล (ต าม ส ม ม ต ิ) นั ้น แห ล ะ เราเรีย ก วา ผู แ บ กขอ งห น ัก . เขามีชื ่อ อ ยา งนี ้ มี โคตรอยางนั้น ตามที่รูกันอยู. ภิกษุ ท.! นี้ เราเรียกวา ผูแบกของหนัก. ภิก ษุ ท .! อ ะ ไร เลา ชื ่อ วา ก าร แ บ ก ข อ งห น ัก ? ภิก ษุ ท .! ตั ณ หานี้ ใด ที่ ทํ า ให มี ก ารเกิ ด อี ก อั น ประกอบด ว ยความกํ า หนั ด เพราะอํ า นาจแห ง ความเพลิน ซึ ่ง มีป รกติทํ า ใหเ พ ลิด เพลิน ในอารมณ นั ้น ๆ, ไดแ ก ตัณ หาใน กาม ตัณ หาในความมีค วามเปน ตัณ หาในความไมม ีไ มเ ปน . ภิก ษุ ท.! นี้ เราเรียกวา การแบกของหนัก. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๓๒/๔๙-๕๑.

จิตมีตัณหา เรียกวาอยูสองคน "ข าแต พระองค ผู เจริ ญ! ด วยเหตุ เพี ยงเท าไรหนอ ภิ กษุ จึ งชื่ อว า เป นผู มี การ อยูอยางมีเพื่อนสอง พระเจาขา?"

www.buddhadasa.info มิ ค ชาละ! รู ป ทั้ ง หลายอั น จะพึ ง เห็ น ได ด ว ยจั ก ษุ อั น เป น รู ป ที่ น า ปรารถนา น า รั ก ใคร น า พอใจ มี ลั ก ษณ ะน า รั ก เป น ที่ เ ข า ไปตั้ ง อาศั ย อยู แ ห ง ค วาม ใค ร เป น ที่ ตั้ งแห งค วาม กํ าห นั ด ย อ ม ใจ มี อ ยู . ถ าห าก ว า ภิ ก ษุ ย อ ม เพลิดเพลิน พร่ําสรรเสริญ สยบมัวเมา ซึ่งรูปนั้นไซร; แกภ ิก ษ ุผู เ พ ลิด เพ ลิน พ ร่ํ า ส รรเส ริญ ส ย บ ม ัว เม า ซึ ่ง รูป นั ้น อ ยู นั่นแหละ, นันทิ (ความเพลิดเพลิน) ยอมเกิดขึ้น.


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๕๙

เมื่อนันทิ มีอยู, สาราคะ (ความกําหนัดเกลา) ยอมมี; เมื่อสาราคะ มีอยู, สัญโญคะ (ความผูกจิตติดกับอารมณ) ยอมมี : มิ คชาละ! ภิ กษุ ผู ป ระกอบพร อ มแล ว ด วยการผู กจิ ต ติ ด กั บ อารมณ ดวยอํานาจแหงความเพลิน นั่นแล เราเรียกวา "ผูมีการอยูอยางมีเพื่อนสอง". (ในกรณี แห ง เสี ย งทั้ ง หลายอั น จะพึ ง ได ยิ น ดี ด ว ยหู ก็ ดี , กลิ่ น ทั้ ง หลายอั น จะพึ ง ดม ดว ยจมูก ก็ด ี, รสทั ้ง หลายอัน จะพึง ลิ ้ม ดว ยลิ ้น ก็ด ี, โผฏฐัพ พ ะทั ้ง หลายอัน จะพึง สัม ผัส ดว ย ผิว กายก็ด ี, และธรรมารมณทั ้ง หลายอัน จะพึง รู แ จง ดว ยใจก็ด ี, พระผู ม ีพ ระภาคเจา ไดต รัส ไว มีนัยะอยางเดียวกันกับในกรณีแหงรูปทั้งหลายอันจะพึงเห็นดวยจักษุ).

มิ ค ชาละ! ภิ ก ษุ ผู มี ก ารอยู ด ว ยอาการอย า งนี้ แม จ ะส อ งเสพเสนาสนะอั น เป นป าและป าชั ฏ ซึ่ ง เงี ย บ สงั ด มี เสี ย งรบ กวนน อ ย มี เ สี ย งกึ ก ก อ ง ครึ ก โครมน อ ย ปราศจากลมจากผิ ว กายคน เป น ที่ ทํ า การลั บ ของมนุ ษ ย เป น ที่ สมควรแก ก ารหลี ก เร น เช น นี้ แ ล ว ก็ ต าม, ถึ ง กระนั้ น ภิ ก ษุ นั้ น เราก็ ยั ง คงเรี ย กว า ผู ม ีก า รอ ยู อ ยา งม ีเ พื ่อ น ส อ งอ ยู นั ่น เอ ง . ขอ นั ้น เพ รา ะ เห ต ุไ รเลา ? ขอ นั ้น เพราะเหตุ ว า ตั ณ หานั่ น แล เป น เพื่ อ นสองของภิ ก ษุ นั้ น ; ตั ณ หานั้ น อั น ภิ ก ษุ นั้ น ยั ง ละไม ไ ด แ ล ว เพราะเหตุ นั้ น ภิ ก ษุ นั้ น เราจึ ง เรี ย กว า ผู มี ก ารอยู อ ย า งมี เพื่อนสอง ดังนี้.

www.buddhadasa.info - สฬา. สํ. ๑๘/๔๓/๖๖.

จิตไมมีตัณหา เรียกวาอยูคนเดียว "ข าแต พระองค ผู เจริ ญ! ด วยเหตุ เพี ยงเท าไรหนอแล ภิ กษุ จึ งชื่ อว า เป นผู มี การอยูอยางอยูผูเดียว พระเจาขา!"


๓๖๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

มิ ค ช าล ะ ! รู ป ทั้ งห ล าย อั น จ ะ พึ งเห็ น ได ด วย จั ก ษุ เป น รู ป ที่ น า ป รารถ น า นา รัก ใค ร นา พ อ ใจ มีล ัก ษ ณ ะนา รัก เปน ที ่เ ขา ไป ตั ้ง อ าศัย อ ยู แห ง ความใคร เป น ที่ ตั้ ง แห ง ความกํ า หนั ด ย อ มใจ มี อ ยู ,ถ า หากว า ภิ ก ษุ ย อ มไม เพลิดเพลิน ไมพร่ําสรรเสริญ ไมสยบมัวเมา ซึ่งรูปนั้นไซร, แก ภิ ก ษุ ผู ไ ม เพลิ ด เพลิ น ไม พ ร่ํ า สรรเสริ ญ ไม ส ยบมั ว เมา ซึ่ ง รู ป นั้ น นั่นแหละ, นันทิยอมดับ; เมื่อนันทิไมอยู, สาราคะ (ความกําหนัดกลา) ยอมไมมี; เมื่อสาราคะไมมีอยู, สัญโญคะ (ความผูกจิตติดกับอารมณ) ยอมไมมี: มิ ค ชาละ! ภิ ก ษุ ผู ไ ม ป ระกอบพร อ มแล ว ด ว ยการผู ก จิ ต ติ ด กั บ อารมณด ว ยอํ า นาจแหง ความเพลิน นั ่น แล เราเรีย กวา "ผู ม ีก ารอยู อ ยา งอยู ผูเดียว".

www.buddhadasa.info (ในกรณี แห ง เสี ย งทั้ ง หลายอั น จะพึ ง ได ยิ น ด ว ยหู ก็ ดี , กลิ่ น ทั้ ง หลายอั น จะพึ ง ดม ด ว ยจมู ก ก็ ดี , รสทั้ ง หลายอั น จะพึ ง ลิ้ น ด ว ยลิ้ น ก็ ดี , โผฏฐั พ พะทั้ ง หลายอั น จะพึ ง สั ม ผั ส ด ว ยผิ ว กาย ก็ด ี, และธรรมารมณทั ้ง หลายอัน จะพึง รู แ จง ดว ยใจก็ด ี, พระผู ม ีพ ระภาคเจา ไดต รัส ไวม ีน ัย ะ อยางเดียวกันกับในกรณีแหงรูปทั้งหลายอันจะพึงเห็นดวยจักษุ).

มิ ค ชาละ! ภิ ก ษุ ผู มี ก ารอยู ด ว ยอาการอย า งนี้ แม อ ยู ใ นหมู บ า น อั น เกลื ่อ นกลน ไปดว ยภิก ษุภ ิก ษุณ ี อุบ าสก อุบ าสิก าทั ้ง หลาย, ดว ยพระราชา มหาอํ า มาตย ข องพระราชาทั้ ง หลาย, ด ว ยเดี ย รถี ย สาวกของเดี ย รถี ย ทั้ ง หลาย ก็ตาม; ถึงกระนั้น ภิกษุนั้นเราก็เรียกวา ผูมีการอยูอยางอยูผูเดียวโดยแท.


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๖๑

ข อ นั้ น เพราะเหตุ ไ รเล า ? ข อ นั้ น เพราะเหตุ ว า ตั ณ หานั่ น แล เป น เพื่ อ นสองของ ภิก ษุนั ้น ; ตัณ หานั ้น อัน ภิก ษุนั ้น ละเสีย ไดแ ลว เพราะเหตุนั ้น ภิก ษุนั ้น เรา จึงเรียกวา ผูมีการอยูอยางอยูผูเดียว, ดังนี้ แล. - สฬา.สํ. ๑๘/๔๔/๖๗. (เรื ่อ งนี ้ค วรจะอยู ใ นหมวดนิโ รธ แตนํ า มาใสไ วต อ ทา ยเรื ่อ งนี ้ซึ ่ง เปน หมวดสมุท ัย ก็เพื่อความสะดวกแกการศึกษา คือศึกษาพรอมกัน อันจะเปนการงาย ไดผลดีกวาที่จะแยกกัน. แต ยั ง มี ลั ก ษณะแห ง จิ ต ของผู ที่ เรี ย กว า อยู ค นเดี ย วที่ ลึ ก ซึ้ ง กว า ประณี ต กว า เรื่ อ งนี้ ใน ห ม วด นิโ รธ ห รือ ภ าค ๓ ขอใหด ูจ ากที ่นั ้น ที ่ห นา ๖๙๕ โด ยหัว ขอ วา "ผู อ ยู ค น เดีย ว คือผูไมของติดอยูในธรรมทั้งปวง").

ทุกขโทษที่เกิดจากกาม ภิกษุ ท.! โทษของกามทั้งหลาย เปนอยางไรเลา?

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท.! กุล บุต รในโลกนี ้ สํ า เร็จ การเลี ้ย งชีว ิต ดว ยอาชีพ ศิล ปะ ใด ๆ เชน ศิล ปะแหง การใชส ัญ ญ าดว ยมือ , ศิล ปะแหง การคํ า นวณ , ศิล ปะ แห ง การพยากรณ , การทํ า กสิ ก รรม พาณิ ช ยกรรม และโครั ก ขกรรม, ศิ ล ปะ แห ง ศั ต ราวุ ธ , และการทํ า ราชการ และศิ ล ปะอย า งใดอย า งหนึ่ ง ; เพราะการ ประกอบอาชี พ นั้ น ๆ เขาต อ งเผชิ ญ หน า ต อ ความหนาว ความร อ น เผชิ ญ หน า ด ว ย เหลื อ บ ยุ ง ลม แดด และสั ม ผั ส ด ว ยสั ต ว เลื้ อ ยคลานทั้ ง หลาย ซู บ ผอมอยู หิว ระหายอยู  เพราะการไมไ ดบ ริโ ภคตามเวลา. ภิก ษุ ท.! นี ้ เปน โทษของ กามทั้ ง หลาย เป น กองทุ ก ข ที่ เห็ น ได เอง มี ก ามเป น เหตุ มี ก ามเป น เครื่ อ งก อ มี กามเปนเครื่องใหกระทํา เปนเหตุเพราะกามนั่นเทียว.


๓๖๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ ก ษุ ท .! เมื่ อ กุ ล บุ ต รนั้ น พ าก เพี ย ร ขวน ขวาย พ ย าย าม อ ยู อ ยา งนี ้, โภ ค ท รัพ ย ก็ย ัง ไมสํ า เร็จ แกเ ขา, เขา ยอ ม โศ ก เศ รา ระท ม ใจ คร่ํ า ครวญ ตี อ กร่ํ า ไห ถึ ง ความมื ด มั ว อยู ว า "ความขยั น ของเรา เป น หมั น หนอ, ความพยายามของเราไรผ ลหนอ" ดัง นี ้. ภิก ษุ ท.! แมนี ้ก ็เ ปน โทษของกาม ทั้ ง หลาย เป น กองทุ ก ข ที่ เห็ น ได เอง มี ก ามเป น เหตุ มี ก ามเป น เครื่ อ งก อ มี ก าม เปนเครื่องใหกระทํา เปนเหตุเพราะกามนั่นเทียว. ภิ กษุ ท .! เมื่ อกุ ล บุ ตรนั้ น พ ากเพี ยร ขวน ขวาย พ ยายาม อยู อยา งนี ้, โภ คทรัพ ย ก็สํ า เร็จ แกเ ขาดว ย เขา ก็จ ะตอ งเสวยทุก ข โทม นัส เพราะการอารัก ขาโภคทรัพ ยเ หลา นั ้น เปน เหตุ ดว ยหวัง อยู  วา "พระราชา จะไม ริ บ ทรั พ ย เ หล า นั้ น ไป, โจร จะไม ป ล น ทรั พ ย เ หล า นั้ น ไป, ไฟ จะไม ไ หม ทรัพ ยเ หลา นั ้น , น้ํ า จะไมท ว มทํ า ลายทรัพ ยเ หลา นั ้น ; ทายาทที ่ไ มพ อใจ จะ ไมยื ้อ แยง ทรัพ ยเ หลา นั ้น ไป" ดัง นี ้. เมื ่อ กุล บุต รนั ้น ทํ า การอารัก ขาคุ ม ครอง อยู อ ย า งนี้ พระราชา ริ บ เอาทรั พ ย เ หล า นั้ น ไปเสี ย ก็ ต าม, โจร ปล น เอาทรั พ ย เหล า นั้ น ไปเสี ย ก็ ต าม, ไฟ ไหม ท รั พ ย เ หล า นั้ น เสี ย ก็ ต าม, น้ํ า ท ว มทํ า ลาย ทรัพ ยเ หลา นั ้น เสีย ก็ต าม, หรือ ทายาที ่ไ มพ อใจ ยื ้อ แยง เอาทรัพ ยเ หลา นั ้น ไป ได ก็ ต าม, เขา ย อ มโศกเศร า ระทมใจ คร่ํ า ครวญ ตี อ กร่ํ า ไห ถึ ง ความมื ด มั ว รํ า พั น อยู ว า "ทรั พ ย ใ ดได มี แ ล ว แก เรา ทรั พ ย นั้ น ไม มี เสี ย แล ว " ดั ง นี้ . ภิ ก ษุ ท.! แม นี้ ก็ เป น โทษของกามทั้ งหลาย เป น กองทุ ก ข ที่ เห็ น ได เอง มี ก ามเป น เหตุ มี ก าม เปนเครื่องกอ มีกามเปนเครื่องใหกระทํา เปนเหตุเพราะกามนั่นเทียว.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! โทษอย า งอื่ น ยั ง มี อี ก : เพราะกามเป น เหตุ เพราะกาม เปนเครื่องกอ เพราะกามเปนเครื่องใหกระทํา เปนเหตุเพราะกามนั่นเทียว :


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๖๓

พ ระราชา ย อ ม วิ ว าท กั บ พ ระราชาบ าง, กษั ตริ ย ย อ ม วิ ว าท กั บ กษั ต ริ ย บ าง, พราหมณ ย อ มวิ ว าทกั บ พราหมณ บ า ง, คฤหบดี ย อ มวิ ว าทกั บ คฤหบดี บ า ง, มารดา ย อ มวิ ว าทกั บ บุ ต รบ า ง, บุ ต รย อ มวิ ว าทกั บ มารดาบ า ง, บิ ด าย อ มวิ ว าทกั บ บุ ต ร บา ง. บุต รยอ มวิว าทกับ บิด าบา ง, พี ่น อ งชายยอ มวิว าทกับ พี ่น อ งชายบา ง, พี่ น อ งชายย อ มวิ ว าทกั บ พี่ น อ งหญิ ง บ า ง, พี่ น อ งหญิ ง ย อ มวิ ว าทกั บ พี่ น อ งชายบ า ง, สหายย อ มวิ ว าทกั บ สหายบ า ง; คนเหล า นั้ น ทํ า การทะเลาะ วิ ว าท บาดหมางกั น แล ว ย อ มต อ สู กั น และกั น ด ว ยมื อ บ า ง. ย อ มต อ สู กั น และกั น ด ว ยก อ นดิ น บ า ง ย อ มต อ สู กั น และกั น ด ว ยท อ นไม บ า ง, ย อ มต อ สู กั น และกั น ด ว ยศาสตราบ า ง, อยู ในที ่นั ้น ๆ. เขาเหลา นั ้น ยอ มพึง ซึ ่ง ความตาย หรือ ไดร ับ ทุก ขเ จีย นตาย ใน ที ่นั ้น ๆ . ภิก ษุ ท .! แ มนี ้ก ็เ ปน โท ษ ข อ งก าม ทั ้ง ห ล าย เปน ก อ งทุก ขที ่เ ห็น ได เ อง มี ก ามเป น เหตุ มี ก ามเป น เครื่ อ งก อ มี ก ามเป น เครื่ อ งให ก ระทํ า เป น เหตุ เพราะกามนั่นเทียว. ภิ ก ษุ ท.! โทษอย า งอื่ น ยั ง มี อี ก : เพราะกามเป น เหตุ เพราะกาม เปน เครื ่อ งกอ เพราะกามเปน เครื ่อ งใหก ระทํ า เปน เหตุเ พราะกามนั ่น เทีย ว : คนทั ้ง หลาย ถือ ดาบและโล ผูก สอดธนูแ ลแลง ศร แบง กัน เปน สองกองทัพ พุ ง เขา ทํ า สงครามกัน . เมื ่อ ลูก ศรถูก ปลอ ยไป, เมื ่อ หอกถูก ซัด ไป, เมื ่อ ดาบ ถูก ก วัด แ ก วง อ ยู , ค น เห ลา นั ้น ยิง กัน ดว ย ลูก ศ รบ า ง , แ ท ง กัน ดว ย ห อ ก บา ง, ตัด ศีร ษ ะกัน ดว ยดาบ บา ง, ใน สงครามนั ้น ๆ, เขาเหลา นั ้น ยอ ม ถึง ซึ ่ง ความตายหรือ ไดร ับ ทุก ขเ จีย นตาย ในที ่นั ้น ๆ. ภิก ษุ ท.! แมนี ้ก ็เ ปน โทษ ของกามทั้ ง หลาย เป น กองทุ ก ข ที่ เห็ น ได เอง มี ก ามเป น เหตุ มี ก ามเป น เครื่ อ งก อ มีกามเปนเครื่องใหกระทํา เปนเหตุเพราะกามนั่นเทียว.

www.buddhadasa.info


๓๖๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ ก ษุ ท.! โทษอย า งอื่ น ยั ง มี อี ก : เพราะกามเป น เหตุ เพราะกาม เปน เครื ่อ งกอ เพราะกามเปน เครื ่อ งใหก ระทํ า เปน เหตุเ พราะกามนั ่น เทีย ว : คนทั้ ง หลาย ถื อ ดาบและโล ผู ก สอดธนู แ ละแล ง ศร วิ่ ง ขึ้ น เป น เชิ ง เทิ น (เพื่ อ ป ลน เอ าเมือ ง). เมื ่อ ลูก ศ รถูก ป ลอ ยไป , เมื ่อ ห อ ก ถูก ซัด ไป , เมื ่อ ด าบ ถูก กวัด แกวง อยู , คนเหลา นั ้น ยิ ่ง กัน ดว ยลูก ศรบา ง, แทงกัน ดว ยหอกบา ง, ราดกั น ด ว ยเถ า ถ า นโคมั ย อั น ร อ นบ า ง. ปล อ ยของหนั ก ให ต นลงทั บ ที เดี ย วตาย ทั ้ง ห มู บ า ง, ตัด ศีร ษ ะ กัน ดว ย ด าบ บา ง, ใน ส งค ราม นั ้น ๆ, เขาเห ลา นั ้น ย อ มถึ ง ซึ่ ง ความตาย หรื อ ได รั บ ทุ ก ข เ จี ย นตาย ในที่ นั้ น ๆ, ภิ ก ษุ ท.! แม นี้ ก็ เป น โทษของกามทั้ ง หลาย เป น กองทุ ก ข ที่ เห็ น ได เอง มี ก ามเป น เหตุ มี ก ามเป น เครื่องกอ มีกามเปนเครื่องใหกระทํา เปนเหตุเพราะกามนั่นเทียว. ภิ ก ษุ ท.! โทษอย า งอื่ น ยั ง มี อี ก : เพราะกามเป น เหตุ เพราะกาม เปน เครื ่อ งกอ เพราะกามเปน เครื ่อ งใหก ระทํ า เปน เหตุเ พราะกามนั ่น เทีย ว : คนทั้ ง หลาย ย อ มตั ด ช อ ง ย อ งเบา ปล น สะดมในเรื อ นหลั ง เดี ย ว คอยดั ก ทํ า ร า ย ในที่ เ ปลี่ ย ว และล ว งภรรยาผู อื่ น . พระราชา จั บ คนเหล า นั้ น มาแล ว ให ล ง กรรมกรณ ห ลายวิ ธี ด ว ยกั น เช น เฆี่ ย นด ว ยหวายบ า ง, หวดด ว ยเชื อ กหนั ง บ า ง, ทุ บ ด ว ยท อ นไม บ า ง, ตั ด มื อ เสี ย บ า ง, ตั ด เท า เสี ย บ า ง, ตั ด เสี ย ทั้ ง มื อ และเท า บ า ง, ตั ด หู บ า ง, ตั ด จมู ก บ า ง, ตั ด เสี ย ทั้ ง หู แ ละจมู ก บ า ง, ยอมทํ า โทษโดยวิ ธี หมอเคี่ยวน้ําสม๑ บาง, ยอมทําโทษโดยวิธี ขอดสังข๒ บาง. ยอมทําโทษโดย

www.buddhadasa.info

๑. หมอ เคี ่ย วน้ํ า สม คือ ตอ ยหัว ขมองแยกออก แลว ใชค ีม คีบ กอ นเหล็ก ที ่ล ุก แดงใสล งไปให มันสมองเดือดพลุงขึ้น เหมือนน้ําสมเดือดลนหมอ. ๒. ขอดสัง ข คือ ตัด หนัง ควั ่น ไปใหร อบจอนหูทั ้ง สองขา ง และหลุม คอ แลว รวบผมทั ้ง หมด ขมวดไว ใชไ มส อดหมุน ยกขึ ้น ใหห นัง หลุด ติด ขึ ้น มาพรอ มกับ ผมแลว ใชท รายหยาบขัด กระโหลกศีรษะลางใหขาว ดั่งสังข.


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๖๕

วิธ ี ปากราหู๓ บา ง, ยอ มทํ า โทษโดยวิธ ี มาลัย ไฟ ๔ บา ง. ยอ มทํ า โทษโดยวิธี คบ มื อ ๕ บ าง, ย อ มทํ าโทษ โดยวิ ธี ริ้ ว ส า ย ๖ บ าง, ย อ มทํ าโทษ โดยวิ ธี นุ ง เปลือ กไม ๗ บา ง, ยอ มทํ า โทษโดยวิธ ี ยืน กวาง ๘ บา ง, ยอ มทํ า โทษ โดยวิธี เกี ่ย วเหยื ่อ เบ็ด ๙ บา ง, ยอ มทํ า โทษโดยวิธ ี เหรีย ญ กษปณ๑๐ บา ง, ยอ มทํ า โทษโดยวิธ ี ทาเกลือ บา ง, ยอ มทํ า โทษโดยวิธ ี แปรงแสบ ๑๑ บา ง, ยอ มทํ า โทษ โดยวิธ ี กางเกวีย น ๑๒ บา ง, ยอ มทํ า โทษ โดยวิธ ี ตั ่ง ฟ าง ๑๓ บา ง, ยอ ม ราดดวยน้ํามันรอน ๆ บาง, ยอมปลอยใหสุนัขทึ้ง๑๔ บาง, ยอมใหนอนหงาย

_________________ ๓. ปากราหู คือ ใชข อเหล็ก งา งปากใหอ า แลว จุด ไฟในปาก. อีก อยา งหนึ ่ง ใชสิ ่ว ตอกเจาะ ตั้งแตจอนหูเขาไปจนถึงปาก ใหโลหิตไหลออกมาเต็มปาก ดูปากอา ดั่งปากราหู. ๔. มาลัยไฟ คือใชผาชุบน้ํามันพันจนทั่วตัวแลวจุดไฟ ๕. คบมือ คือใชผาชุบน้ําเย็นพันมือทั่วสองขางจนทั่ว แลวจุดไฟ. ๖. ริ้ ว ส า ย คื อ เชื อ ดหนั ง ลอกออกเป น ริ้ ว ๆ ตั้ ง แต ใ ต ค อไปจนถึ ง ข อ เท า แล ว เอาเชื อ กผู ก ฉุ ด คร า ไป นักโทษเดินเหยียบริ้วหนังของตัวลมลุกคลุกคลานไปกวาจะตาย ๗. นุ ง เปลือ กไม คือ เชือ ดหนัง เปน ริ ้ว ๆ อยา งบทกอ น แตทํ า เปน สองตอน ตั ้ง แตใ ตค อจน ถึ ง เอวตอนหนึ่ ง ตั้ ง แต เอวจนถึ ง ข อ เท า ตอนหนึ่ ง ริ้ ว หนั ง ตอนบนห อ ยคลุ ม ลงมาป ด กายตอน ลาง ดูดั่งนุงเปลือกไม ๘. ยื น กวาง คื อ ใช ห ว งเหล็ ก รั ด ศอกทั้ ง สอง และเข า ทั้ ง สอง ตรึ ง ติ ด ไว กั บ หลั ก เหล็ ก สี่ ห ลั ก บนพื้ น ดิน ดูดั่ง กวางถูกตรึง แลวกอไฟลอมลนไปกวาจะตาย. ๙. เกี่ยวเหยื่อเบ็ด คือใชเบ็ดมีเงี่ยงสองขาง เกี่ยวตัวดึงเอาหนังเนื้อและเอ็นออกมาใหหมด. ๑๐. เหรียญกษาปณ คือใชมีดคมเชือดเนื้อออกเปนแวน ๆ ขนาดเทาเงินเหรียญจนกวาจะตาย. ๑๑. แปรงแสบ คื อ ฟ น สั บ เสี ย ให ยั บ ทั่ ว กาย แล ว ใช แ ปรงชุ บ น้ํ า แสบ (มี น้ํ า เกลื อ เป น ต น ) ถู ค รู ด สีไปมาใหหนังเนื้อเอ็นขาดหลุดออกมาหมด เหลือแตกระดูก. ๑๒. กางเวี ย น คื อ ให น อนตะแคง แล ว ใช ห ลาวเหล็ ก ตอกเข า ช อ งหู ใ ห ท ะลุ ลงไปตรึ ง แน น อยู กับดิน แลวจับเทาทั้งสองยกเดินเวียน. ๑๓. ตั่ ง ฟาง คื อ ใช ลู ก หิ น บดทั บ ตั ว บดให ก ระดู ก แตกละเอี ย ด แต ไ ม ใ ห ห นั ง ขาด แล ว จั บ ผม รวบขึ้ น เขย า ๆ ให เนื้ อ รวมเข า เป น กอง แล ว ใช ผ มนั่ น แหละพั น ตะล อ มวางไว เหมื อ นดั่ ง ที่ ทํ า ดวยฟางสําหรับเช็ดเทา. ๑๔. ให สุ นั ข ทึ้ ง คื อ ขั ง ฝู ง สุ นั ข ให อ ดหิ ว โซหลายวั น แล ว ปล อ ยให อ อกมารุ ม ทึ้ ง พั ก เดี ย วเหลื อ แตกระดูก, -นัยอรรถกถาและพระไตรปฎกแปลของ ม.อําไพจริต.

www.buddhadasa.info


๓๖๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

บนหลาวทั ้ง เปน ๆ บา ง, ยอ มตัด ศีร ษะดว ยดาบบา ง. เขาเหลา นั ้น ยอ ม ถึง ซึ ่ง ความตาย หรือ ไดร ับ ทุก ขเ จีย นตาย ในที ่นั ้น ๆ. ภิก ษุ ท.! แมนี ้ก็ เป น โทษของกามทั้ ง หลาย เป น กองทุ ก ข ที่ เห็ น ได เอง มี ก ามเป น เหตุ มี ก ามเป น เครื่องกอ มีกามเปนเครื่องใหกระทํา เปนเหตุเพราะกามนั่นเทียว. ภิ ก ษุ ท.! โทษอย า งอื่ น ยั ง มี อี ก : เพราะกามเป น เหตุ เพราะกาม เปน เครื ่อ งกอ เพราะกามเปน เครื ่อ งใหก ระทํ า เปน เหตุเ พราะกามนั ่น เทีย ว : คนทั้ งหลาย ย อ มประพฤติ ทุ จริต ด วยกาย ด วยวาจา และด วยใจ. ครั้ น ประพฤติ ทุ จริต ด วยกาย ด วยวาจา และด วยใจแล ว, เขาเหล านั้ น ย อ มเข าถึ งอบาย ทุ ค ติ วิ นิ บ าต นรก เบื้ อ งหน า แต ก ารตาย เพราะกายแตกสลายแห ง กาย. ภิ ก ษุ ท.! แม นี้ ก็ เป น โทษของกามทั้ งหลาย เป น กองทุ ก ข ที่ เห็ น ได เอง มี กามเป น เหตุ มี ก าม เปนเครื่องกอ มีกามเปนเครื่องใหกระทํา เปนเหตุเพราะกามนั่นเทียว, ดังนี้แล. - มู. ม. ๑๒/๑๖๙/๑๙๘.

ปกิณณกทุกข ที่มีกามตัณหาเปนมูล

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! เราจั ก แสดงธรรม (เป น ฝ ก ฝ า ยแห ง ทุ ก ข ) ที่ มี (กาม) ตัณหาเปนมูล ๙ อยาง. เกาอยาง อยางไรเลา?

เพราะอาศัยตัณหา จึงมี การแสวงหา (ปริเยสนา); เพราะอาศัยการแสวงหา จึงมีการได (ลาโภ); เพราะอาศัยการได จึงมี ความปลงใจรัก (วินิจฺฉโย); เพราะอาศัยความปลงใจรัก จึงมี ความกําหนั ดดวยความพอใจ (ฉนฺทราโค);


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๖๗

เพราะอาศั ย ความกํ า หนั ด ด ว ยความพอใจ จึ ง มี ค วามสยบมั ว เมา (อชฺโฌสานํ); เพราะอาศัยความสยบมัวเมา จึงมีความจับอกจับใจ (ปริคฺคโห); เพราะอาศัยความจับอกจับใจ จึงมีความตระหนี่ (มจฺฉริยํ); เพราะอาศัยความตระหนี่ จึงการหวงกั้น (อารกฺโข); เพราะอาศั ยการหวงกั้ น จึ งมี เรื่องราวอั นเกิ ดจากการหวงกั้ น (อารกฺขาธิ ก รณํ ); กล า วคื อ การใช อ าวุ ธ ไม มี ค ม การใช อ าวุ ธ มี ค ม การทะเลาะ การ แก ง แย ง การวิ ว าทการกล า วคํ า หยาบว า "มึ ง ! มึ ง !" การพู ด คํ า ส อ เสี ย ด และ การพูดเท็จทั้งหลาย : ธรรมอันเปนบาปอกุศลเปนอเนก ยอมเกิดขึ้นพรอม. ภิ ก ษุ ท .! เห ล านี้ แ ล ชื่ อ ว า ธ รรม (เป น ฝ ก ฝ าย แ ห งทุ ก ข ) ที่ มี (กาม) ตัณหาเปนมูล ๙ อยาง. - นวก. อํ. ๒๓/๔๑๓/๒๒๗; (สอบทานดวย - มหา. ที. ๑๐/๖๙/๕๙).

ตัณหาเปนเหตุแหงความโศก

www.buddhadasa.info ความโศก ย อ มเกิ ด มาแต สิ่ ง อั น เป น ที่ รั ก , ความกลั ว ยอ มเกิด มาแตสิ ่ง อัน เปน ที ่ร ัก ; เมื ่อ พน แลว จากสิ ่ง เปน ที ่ร ัก , ความโศก ยอมไมมี แลวความกลัว จะมีมากแตไหนเลา. ความโศก ย อ มเกิ ด มาแต ค วามรั ก , ความกลั ว ย อ ม เกิด มาแตค วามรัก ; เมื ่อ พน แลว จากความรัก , ความโศก ยอมไมมี, แลวความกลัว จะมีมาแตไหนเลา.


๓๖๘

อริยสัจจากพระโอษฐ ความโศก ย อ มเกิ ด มาแต ค วามยิ น ดี , ความกลั ว ย อ ม เกิด มาแตค วามยิน ดี; เมื ่อ พน แลว จากความยิน ดี, ความโศก ยอมไมมี, แลวความกลัวจะมีมาแตไหนเลา. ความโศก ย อ มเกิ ด มาแต ค วามใคร , ความกลั ว ย อ ม เกิด มาแตค วามใคร; เมื ่อ พน แลว จากความใคร, ความโศก ยอมไมมี, แลวความกลัว จะมีมาแตไหนเลา. ความโศก ย อ มเกิ ด มาแต ตั ณ หา, ความกลั ว ย อ มเกิ ด ม าแตต ัณ ห า; เมื ่อ พน แลว ตัณ ห า, ค วาม โศก ยอ ม ไมม ี, แลวความกลัว จะมีมาแตไหนเลา. - ธ. ขุ. ๒๕/๔๓/๒๖.

ปจจัยแหงทุกขโดยอเนกปริยาย ....ทุกขอยางใดอยางหนึ่งเกิดขึ้น ทุกขทั้งปวงนั้นมีอุปธิเปนปจจัย.... ....ทุกขอยางใดอยางหนึ่งเกิดขึ้น ทุกขทั้งปวงนี้มีอวิชชาเปนปจจัย....

www.buddhadasa.info ....ทุกขอยางใดอยางหนึ่งเกิดขึ้น ทุกขทั้งปวงนี้มีสังขารเปนปจจัย....

....ทุกขอยางใดอยางหนึ่งเกิดขึ้น ทุกขทั้งปวงนั้นมีวิญญาณเปนปจจัย.... ....ทุกขอยางใดอยางหนึ่งเกิดขึ้น ทุกขทั้งปวงนั้นมีผัสสะเปนปจจัย.... ....ทุกขอยางใดอยางหนึ่งเกิดขึ้น ทุกขทั้งปวงนั้นมีเวทนาเปนปจจัย.... ....ทุกขอยางใดอยางหนึ่งเกิดขึ้น ทุกขทั้งปวงนั้นมีตัณหาเปนปจจัย.... ....ทุกขอยางใดอยางหนึ่งเกิดขึ้น ทุกขทั้งปวงนั้นมีอุปาทานเปนปจจัย.... ....ทุ กข อย างใดอย างหนึ่ งเกิ ด ขึ้ น ทุ กข ทั้ งปวงนั้ นมี อ ารั ม ภะ (ความเกาะเกี่ ยว) เปนปจจจัย....


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๖๙

....ทุกขอยางใดอยางหนึ่งเกิดขึ้น ทุกขทั้งปวงนั้นมีอาหารเปนปจจัย.... ....ทุ ก ข อ ย างใดอย างหนึ่ งเกิ ด ขึ้ น ทุ ก ข ทั้ งปวงนั้ น มี อิ ญ ชิ ต ะ (ความหวั่ นไหว) เปนปจจัย.... นี้เปนอนุปสสนาหนึ่ง ๆ. (อนุ ป ส สนา ๑๑ ประการนี้ เป น คู กั บ อนุ ป ส สนาอี ก ๑๑ ประการ อั น เป น ฝ า ยนิ โรธ ซึ่ งได แ ยกไปใส ไว ใ นหมวดทุ ก ขนิ โรธอริ ย สั จ โดยหั ว ข อ ว า "เหตุ ดั บ แห ง ทุ ก ข ที่ ต รั ส ไว โดยอเนกปริ ย าย". ผู ศึ ก ษาพึ ง สั ง เกตเห็ น ได เ องว า การแยกให เ ป น ปริ ย ายมากออกไป กระทํ า ได โ ดย ลักษณะเชนนี้). - สุตฺต. ขุ. ๒๕/๔๗๔-๔๗๙/๓๙๒-๔๐๒.

นิทเทศ ๖ วาดวยอาการที่ตัณหาทําใหเกิดทุกข จบ

www.buddhadasa.info


๓๗๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

นิทเทศ ๗ วาดวยทิฏฐิที่เกี่ยวกับตัณหา (มี ๘ เรื่อง)

เพราะมิจฉาทิฏฐิจึงเปนปลาติดอวน ภิ ก ษุ ท.! สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล าใดเหล าหนึ่ ง ที่ บั ญ ญั ติ ทิ ฏ ฐิ ปรารภปุพ พัน ตขัน ธบ า ง ปรารภอปรัน ตขัน ธบ า ง ปรารภทั ้ง ปุพ พัน ตะและ อปรั น ตขั น ธ บ า ง ล ว นแต เป น ผู มี ปุ พ พั น ตาปรั น ตานุ ทิ ฏ ฐิ ปรารภขั น ธ ทั้ ง ที่ เป น ปุพ พัน ตะและอปรัน ตะ ดัง นี ้แ ลว กลา วบัญ ญ ัต ิท ิฏ ฐิอ ัน เปน อธิม ุต ติบ ท (ทางแห ง ความหลุ ด พ น อย า งยิ่ ง ของสั ต ว ตามทิ ฏ ฐิ แ ห ง ตน ๆ) มี อ ย า งต า ง ๆ กั น เป น อเนก;สมณพราหมณ ทั้ ง หลายเหล า นั้ น ทั้ งหมด ถู ก กระทํ า แล ว ให ต กอยู ภ ายใน แห งข า ยด ว ยวั ต ถุ (ที่ ตั้ งแห งทิ ฏ ฐิ ) ทั้ ง หลาย ๖๒ ประการเหล า นั้ น เอง เมื่ อ โงหั ว อยูที่เดียวก็โงหัวอยูในขายนั้น เมื่อเที่ยวโงหัวอยูในที่ทั่ว ๆ ไป ก็โงหัวอยูในขาย นั้น.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! เปรี ย บเหมื อ นชาวประมงและลู ก มื อ ของชาวประมงผู เชี ่ย วชาญ ไดล อ มแหลง น้ํ า นอ ยไวด ว ยอวนตาถี ่ เมื ่อ เปน อยา งนี ้ สัต วม ีช ีว ิต ทั ้ง หลายเปน อัน มากเหลา หนึ ่ง เหลา ใด ในแหลง น้ํ า นี ้ สัต วทั ้ง หลายเหลา นั ้น แม ทั้ งหมด ชื่ อ ว าถู ก กระทํ า ไว แ ล วในภายในแห งอวน เมื่ อ ผุ ด อยู ที่ เดี ย ว ก็ ผุ ด อยู ในอวนนั ้น เมื ่อ เที ่ย วผุด อยู ใ นที ่ทั ่ว ๆ ไป ก็ย ัง คงผุด อยู ใ นอวนนั ้น นั ่น เอง, นี้ ฉั น ใด; ภิ ก ษุ ท.! ข อ นี้ ก็ ฉั น นั้ น กล า วคื อ สมณพราหมณ ทั้ ง หลายเหล า ใด เหล า หนึ่ ง ที่ บั ญ ญั ติ ทิ ฏ ฐิ ป รารภปุ พ พั น ตขั น ธ บ า ง ปรารภอปรั น ตขั น ธ บ า ง ปรารภทั ้ง ปุพ พัน ตะและอปรัน ตขัน ธบ า ง ลว นแตเ ปน ผู ม ีป ุพ พัน ตาปรัน ตานุทิ ฏ ฐิ ปรารภขั น ธ ทั้ ง ที่ เป น ปุ พ พั น ตะและอปรั น ตะ ดั ง นี้ แ ล ว กล า วบั ญ ญั ติ ทิ ฏ ฐิ อันเปนอธิมุตติบท (ทางแหงความหลุดพนอยางยิ่งของสัตว ตามทิฏฐิแหงตน ๆ) มีอยาง


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๗๑

ต า ง ๆ กั น เป น อเนก; สมณพราหมณ ทั้ ง หลายเหล า นั้ น ทั้ ง หมด ถู ก กระทํ า แล ว ให ต กอยู ภ ายในแห งข า ย ด ว ยวั ต ถุ (ที่ ตั้ งแห งทิ ฏ ฐิ ) ทั้ งหลาย ๖๒ ประการเหล า นั้ น เองเมื ่อ โงห ัว อยู ที ่เ ดีย ว ก็โ งหัว อยู ใ นขา ยนั ้น เมื ่อ เที ่ย วโงหัว อยู ใ นที ่ทั ่ว ๆ ไป ก็โงหัวอยูในขายนั้นนั่นเอง. - สี. ที. ๘/๕๘/๙๐.

เกิดกิเลสและทุกขเพราะทิฏฐิบวก - ทิฏฐิลบ ภิก ษุ ท.! ทิฏ ฐิส องอยา งนี ้ม ีอ ยู  คือ ภ วทิฏ ฐิ (ทิฏ ฐิฝ า ยบวก). วิภวทิฏฐิ (ทิฏฐิฝายลบ). ภิก ษุ ท.! สมณ ะหรือ พราหมณ เ หลา ใด แอบอิง ภวทิฏ ฐิ เขา ถึง ภวทิฏ ฐิ หยั ่ง ลงสู ภ วทิฏ ฐิ; สมณ ะหรือ พราหมณเ หลา นั ้น ยอ มคัด คา นตอ วิภวทิฏฐิ.

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท.! สมณะหรือ พราหมณเ หลา ใด แอบอิง วิภ วทิฏ ฐิ เขา ถึง วิภ วทิฏ ฐิ หยั ่ง ลงสู ว ิภ วทิฏ ฐิ; สมณะหรือ พราหมณเ หลา นั ้น ยอ มคัด คา นตอ ภวทิฏฐิ.

ภิ ก ษุ ท.! สมณะหรือ พราหมณ เหล า ใด ไม รู ชั ด ตามความเป น จริ ง ซึ่ ง ความเกิ ด ขึ้ น ความตั้ ง อยู ไม ได รสอร อ ย โทษต่ํ า ทราม และอุ บ ายเครื่ อ งออก แทง ทิฏ ฐิทั ้ง สองนี ้; สมณะหรือ พราหมณเ หลา นั ้น ชื ่อ วา ผู  มีร าคะ มีโ ทสะ มีโมหะ มีตัณหา มีอุปาทาน เปนผูไมรูแจง ประเดี๋ยวยอมรับประเดี๋ยวคัดคาน


๓๗๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

มี ค วามเนิ่ น ช า เป น ที่ ม ายิ น ดี มั ก ยิ น ดี ใ นความเนิ่ น ช า . เขาเหล า นั้ น ย อ มไม พ น จากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริ เทวะ ทุ ก ขะ โทมนั ส อุ ป ายาส, เรากล า วว า เขาเหลานั้น ไมพนจากทุกข. (ต อจากนี้ ได ตรั สสมณพราหมณ พ วกตรงกั นข าม ไม มี ทิ ฏ ฐิ บวก-ทิ ฏฐิ ลบ พ นจากทุ กข ได โดยนัยตรงกันขาม). - มู. ม. ๑๒/๑๓๑/๑๕๕.

สักกายทิฏฐิ มีไดดวยอาการอยางไร "ขาแตพระองคผูเจริญ! สักกายทิฏฐิ ยอมมีไดดวยอาการอยางไรหนอแล?" ภิก ษุ! ใน กรณ ีนี ้ บุถ ุช น ผู ไ มม ีก ารสดับ ไมไ ดเ ห็น พ ระอ ริย เจา ไม ฉ ลาดในธรรมของพระอริ ย เจ า ไม ไ ด รั บ การแนะนํ า ในธรรมของพระอริ ย เจ า ไมไ ดเ ห็น สัต บุร ุษ ไมฉ ลาดในธรรมของสัต บุร ุษ ไมไ ดร ับ การแนะนํ า ในธรรม ของสั ต บุ รุ ษ เขาย อ มตามเห็ น รู ป โดยความเป น ตนบ า ง ตามเห็ น ตนว า มี รู ป บ า ง ตามเห็ น รู ป ว า มี อ ยู ใ นตนบ า ง หรื อ ตามเห็ น ตนว า มี อ ยู ใ นรู ป บ า ง; ย อ มตามเห็ น เวทนาโดยความเป น ตนบ า ง ตามเห็ น ตนว า มี เวทนาบ า ง ตามเห็ น เวทนาว า มี อ ยู ในตนบ า ง หรื อ ตามเห็ น ตนว า มี อ ยู ใ นเวทนาบ า ง; ย อ มตามเห็ น สั ญ ญ าโดย ความเป น ตนบ าง ตามเห็ น ตนว ามี สั ญ ญาบ าง ตามเห็ น สั ญ ญาว ามี อ ยู ในตนบ า ง หรื อ ตามเห็ น ตนว า มี อ ยู ใ นสั ญ ญาบ า ง; ย อ มตามเห็ น สั ง ขารโดยความเป น ตน บ า ง ตามเห็ น ตนว า มี สั ง ขารบ า ง ตามเห็ น สั ง ขารว า มี อ ยู ในตนบ า ง หรื อ ตามเห็ น ตนวามีอยูในสังขารบาง; ยอมตามเห็นวิญญาณโดยความเปนตนบาง ตามเห็น

www.buddhadasa.info


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๗๓

ตนว ามี วิ ญ ญาณบ าง ตามเห็ นวิ ญ ญาณว ามี อยู ในตนบ าง หรื อตามเห็ นตนว ามี อยู ในวิญญาณบาง. ภิกษุ! สักกายทิฏฐิ ยอมมีไดดวยอาการอยางนี้ แล. (ตอไปนี้ ไดตรัสอาการที่สักกายทิฏฐิไมมี, โดยนัยตรงกันขาม). - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๒๔/๑๘๘-๑๘๙.

สักกายสมุทยคามินีปฏิปทา ภิกษุ ท.! สักกายสมุทยคามินีปฏิปทา (ทางดําเนินแหงจิตใหถึงซึ่ง การเกิดขึ้นแหงสักกายะ) เปนอยางไรเลา? ภิ ก ษุ ท.! ในกรณี นี้ บุ ถุ ช นผู ไ ม มี ก ารสดั บ ไม ไ ด เ ห็ น พระอริ ย เจ า ไม ฉ ลาดในธรรมของพระอริ ย เจ า ไม ถู ก แนะนํ า ในธรรมของพระอริ ย เจ า ไม ไ ด เห็ น สั ต บุ รุ ษ ไม ฉ ลาดในธรรมของสั ต บุ รุ ษ ไม ถู ก แนะนํ า ในธรรมของสั ต บุ รุ ษ ย อ มตามเห็ น พร อ ม (คื อ เห็ น ดิ่ ง อยู เป น ประจํ า ) ซึ่ ง รู ป โดยความเป น คน หรื อ ตาม เห็ น พร อ มซึ่ ง ตนว า มี รู ป หรื อ ตามเห็ น พร อ มซึ่ ง รู ป ว า มี อ ยู ใ นตน หรื อ ตามเห็ น พรอมซึ่งตนวามีอยูในรูป บาง;

www.buddhadasa.info ย อ มตามเห็ น พร อ มซึ่ ง เวทนา โดยความเป น ตน หรื อ ตามเห็ น พร อ ม ซึ่ ง ตนว า มี เวทนา หรื อ ตามเห็ น พร อ มซึ่ ง เวทนาว า มี อ ยู ใ นตน หรื อ ตามเห็ น พร อ ม ซึ่งตนวามีอยูในเวทนา บาง;

ย อ มตามเห็ น พร อ มซึ่ ง สั ญ ญา โดยความเป น ตน หรื อ ตามเห็ น พร อ ม ซึ่ งตนว ามี สั ญ ญา หรื อ ตามเห็ น พร อ มซึ่ งสั ญ ญาว ามี อ ยู ในตน หรื อ ตามเห็ น พร อ ม ซึ่งตนวามีอยูในสัญญา บาง;


๓๗๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

ย อ มตายเห็ น พร อ มซึ่ ง สั ง ขาร โดยความเป น ตน หรื อ ตามเห็ น พร อ ม ซึ ่ง ตนวา มีส ัง ขาร หรือ ตามเห็น พรอ มสัง ขารวา มีอ ยู ใ นตน หรือ ตามเห็น พรอ ม ซึ่งตนวามีอยูในสังขาร บาง; ย อ มตามเห็ น พร อ มซึ่ ง วิ ญ ญาณ โดยความเป น ตน หรื อ เห็ น พร อ ม ซึ่ ง ตนว า มี วิ ญ ญาณ หรื อ ตามเห็ น พร อ มซึ่ ง วิ ญ ญาณว า มี อ ยู ใ นตน หรื อ ตามเห็ น พรอมซึ่งตนวามีอยูในวิญญาณ บาง. ภิกษุ ท.! นี้เราเรียกวา สักกายสมุทยคามินีปฏิปทา ดังนี้. ภิ ก ษุ ท.! ข อ นี้ อ ธิ บ ายว า ข อ (ที่ ก ล า วมาทั้ ง หมด) นั้ น เรี ย กว า การตามเห็น อัน เปน เครื ่อ งใหถ ึง ซึ ่ง การเกิด ขึ ้น แหง ทุก ข, (ทุก ฺข สมุท ยคามินี สมนุปสฺสนา). - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๕/๘๙.

www.buddhadasa.info [ผู ศึ ก ษาพึ ง สั ง เกตให เห็ น ว า ทุ ก ขสมุ ท ยคามิ นี ส มนุ ป ส สนานั่ น แหละ คื อ สั ก กายสมุท ยคามิน ีป ฏิป ทา (ทางดํ า เนิน แหง จิต ใหถ ึง ซึ ่ง การเกิด ขึ ้น แหง สัก กายะ). คํ า วา ปฏิป ทา ในกรณ ีเ ชน นี ้ หมายถึง ทางดํ า เนิน แหง จิต มิใ ชก ารปฏิบ ัต ิด ว ยเจตนา ไดแ กค วามเห็น ผิด เหลานั้นนั่นเองเปนตัวปฏิปทา.

ในบาลี แ ห ง อื่ น (อุ ป ริ . ม. ๑๔/๕๑๕/๘๒๐) แทนที่ จ ะยกเอาเบญจขั น ธ ม าเป น วั ต ถุ แห งการเห็ น แต ได ตรั สยกเอาอายตนิ กธรรม ๖ หมวดคื อ อายตนะภายในหก อายตนะภายนอกหก วิ ญ ญาณหก ผั ส สะหก เวทนาหก ตั ณ หาหก มาเป น วั ต ถุ แ ห ง การตามเห็ น เกี่ ย วกั บ ตั ว ตน และ ทรงเรี ย กการตามเห็ น นั้ น ว า ทางดํ า เนิ น แห ง จิ ต ให ถึ ง ซึ่ ง การเกิ ด ขึ้ น แห ง สั ก กายะ อย า งเดี ย วกั บ สูตรขางบน].


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๗๕

เหตุใหเกิดอันตคาหิกทิฏฐิสิบ "ข าแต พระโคดมผู เจริญ! อะไรหนอ เป นเหตุ เป นป จจั ย ที่ ทํ าให เกิ ดทิ ฏฐิ มีอยางเปนอเนกเหลานี้ ขึ้นมาในโลก วา 'โลกเที่ ยง' บาง วา 'โลกไมเที่ ยง' บาง วา 'โลกมีที่สุด' บาง วา 'โลกไมมีที่สุด' บาง วา 'ชีวะก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น' บาง วา 'ชี วะก็ อั น อื่ น สรีระก็ อั น อื่ น ' บ าง วา 'ตถาคตภายหลั งแต ต ายแล ว ยอมมีอีก' บาง วา 'ตถาคตภายหลังแตตายแลว ยอมไมมีอีก' บาง วา 'ตถาคต ภายหลังแตตายแลว ยอมมีอีกก็มีไมมีอีกก็มี' บาง วา 'ตถาคตภายหลังแตตาย แลวยอมมีอีกก็หามิไดไมมีอีกก็หามิได' บาง?" วัจฉะ! เพราะความไม รู ในรู ป ในเหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห งรู ป ในความ ดับไมเหลือแหงรูป ในหนทางเครื่องใหถึงความดับไมเหลือแหงรูป ทิฏฐิมีอยาง เปนอเนกเหลานี้ จึงเกิดขึ้นมาในโลก วา "โลกเที่ยง" บาง วา "โลกไมเที่ยง" บา ง ....ฯลฯ.... วา "ตถาคตภายหลัง แตต ายแลว ยอ มมีอีก ก็ห ามิไดไ มม ีอ ีก ก็หามิได" บาง.

www.buddhadasa.info (ในกรณี แ ห งความไม รู ในเวทนา ในสั ญ ญา ในสั ง ขาร และในวิ ญ ญาณ แล ว จึ ง เกิดทิฏฐิตาง ๆ เหลานี้ ก็ไดตรัสไวโดยทํานองเดียวกันกับในกรณีแหงความไมรูในรูป.

สํ า หรั บ คํ า ว า "เพราะความไม รู " ในสู ต รข า งบนนี้ ในสู ต รอื่ น ๆ ได ต รั ส ไว ด ว ยคํ า ว า เพราะไมเ ห็น , เพราะไมถึง พรอ มเฉพาะ, เพราะไมรูโ ดยลํา ดั บ , เพราะไม แ ทงตลอด, เพราะไมกํ า หนดทั ่ว ถึง , เพราะไมเ ขา ไปกํ า หนด, เพราะความไมเพง พิน ิจ อยา งสม่ํ า เสมอ, เพราะความไมพิจารณาโดยเจาะจง, เพราะความไมเขาไปกําหนดโดยเฉพาะ และเพราะไม ทํา ให ป ระจั ก ษ , อีกถึง ๑๐ คํา ซึ่งก็มีใจความอยางเดียวกัน).

- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๓๑๙-๓๒๖/๕๕๔-๕๘๔.


๓๗๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

ทิฏฐิใหเกิดเวทนาชนิดที่ลวนแตเปนทุกขสมุทัย ภิ ก ษุ ท.! บรรดาสมณ พราหมณ ทั้ ง หลายเหล า นั้ น สมณ พราหมณ เหลา ใด เปน พวก สัส สตวาท ยอ มบัญ ญ ัต ิอ ัต ตาและโลกวา เที ่ย ง ดว ยวัต ถุ (ที่ตั้งแหงทิฏฐิ) ๔ ประการ ก็ดี, สมณพราหมณ เหล าใด เป นพวก เอกั จจสั สสติ กเอกั จจอสั สสติ กวาท (ย อมบั ญ ญั ตอั ตตาและโลกว าเที่ ยงบางอย างไม เที่ ยงบางอย าง ด วยวั ตถุ ๔ ประการ) ก็ดี, สมณพราหมณ เหล า ใด เป น พวกอั น ตานั น ติ ก วาท (ย อ มบั ญ ญั ติ ซึ่ ง โลกวามีที่สุดหรือไมมีที่สุด ดวยวัตถุ ๔ ประการ) ก็ดี, สมณพราหมณ เ หล า ใด เป น พวกอมราวิ ก เขป ก วาท (เมื่ อ ถู ก ถาม ป ญ หาในที่ นั้ น ๆ ย อ มถึ ง ความส า ยแห ง วาจาอั น ดิ้ น ได ไ ม ต ายตั ว ด ว ยวั ต ถุ ๔ ประการ) ก็ดี, สมณพราหมณ เหล าใด เป น พวกอธิ จ จสมุ ป ป น นิ ก วาท (ย อ มบั ญ ญั ติ อัตตาและโลกวาเกิดเองลอย ๆ ดวยวัตถุ ๒ ประการ) ก็ดี,

www.buddhadasa.info สมณพราหมณ เหล าใด เป นพวกปุ พ พั น ตกั ป ป ก วาท (มี ปุ พ พั นตนานุ ทิฏ ฐิ ป รารภ ขัน ธอ ัน มีแ ลว ใน ก าล กอ น ยอ ม ก ลา วบัญ ญ ัต ิซึ ่ง อ ธิม ุต ติบ ท (ทางแห ง ความหลุ ด พ น อย า งยิ่ ง ของสั ต ว ต ามทิ ฏ ฐิ แ ห ง ตน ๆ) มี อ ย า งเป น อเนก ด ว ยวั ต ถุ ๑๘ ปรการ) ก็ดี; สมณพราหมณ เหล าใด เป นพวกอุ ทธมาฆตนิ กสั ญ ญี วาท (ย อมบั ญ ญั ติ อัตตาหลังจากตายแลววามีสัญญา ดวยวัตถุ ๑๖ ประการ) ก็ดี.


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๗๗

สมณพราหมณ เหล าใด เป นพวกอุ ทธมาฆตนิ กอสั ญญี วาท (ย อมบั ญญั ติ อัตตาหลังจากตายแลววาไมมีสัญญา ดวยวัตถุ ๘ ประการ) ก็ดี, สมณพราหมณ เหลาใด เป นพวก อุ ทธมาฆตนิ กเนวสั ญญี นาสั ญญี วาท (ย อมบั ญญั ติ อั ตตาหลั งจากตายแล ว วามี สั ญญาก็ หามิ ได ไม มี สั ญญาก็ หามิ ได ด วย วัตถุ ๘ ประการ) ก็ดี, สมณพราหมณ เหล า ใด เป น พวกอุ จ เฉทวาท (ย อ มบั ญ ญั ติ ซึ่ ง ความ ขาดสูญ ความพินาศ ความไมมี แหงสัตวที่มีอยู ดวยวัตถุ ๗ ประการ) ก็ดี, สมณพราหมณ เหล าใด เป นพวกทิ ฏฐธั มมนิ พพานวาท (ย อมบั ญ ญั ติ ซึ่งปรมทิฏฐธัมมนิพพานวาท แกสัตวที่มีอยู ดวยวัตถุ ๕ ประการ) ก็ดี, สมณพราหมณ เหล าใด เป นพวกอปรั นตกั ปป กวาท (มื อปรั นตานุ ทิ ฏฐิ ปรารภขั น ธ มี ส ว นสุ ด ในเบื้ อ งหน า ย อ มกล า วบั ญ ญั ติ ซึ่ ง อธิ มุ ต ติ บ ท มี ป ระการ ตาง ๆ เปนอเนก ดวยวัตถุ ๔๔ ประการ) ก็ดี; แม สมณพราหมณ เหล าใด เป นพวก ปุ พพั นตกั ปป กวาท ก็ ดี อปรันตกัปปกวาท ก็ดี เปนพวก ปุพพันตาปรันตกัปปกวาท ก็ดี ลวนแตเปนผุมีปุพพันตาปรัน ตานุท ิฏ ฐิ ปรารภขัน ธทั ้ง ที ่ม ีแ ลว ในกาลกอ นและขัน ธอ ัน มีใ นเบื ้อ งหนา ยอมกลาวบัญญัติอธิมุตติบท มีอยางเปนอเนก ดวยวัตถุ ๖๒ ประการ; สมณพราหมณ ทั้ ง หลายเหล า นั้ น ทั้ ง หมด รู สึ ก ต อ เวทนาตามทิ ฏ ฐิ เฉพาะอยาง ๆ ของตน ๆ ขึ้นมา (ปฏิสํเวทเทนฺติ๑) เพราะการถูกตองแลวๆดวย

www.buddhadasa.info ๑. คํ า วา "รู ส ึก " (ป ฏิส ํเ วเท นฺต ิ) ในที ่นี ้ เปน ค วาม รู ส ึก ตอ ธัม ม ารม ณ ด ว ยม โน , เมื ่อ คน มี ทิ ฏ ฐิ อ ยู อ ย า งไร การเสวยเวทนาของเขา ย อ มทํ า ให เกิ ด ความรู สึ ก ชนิ ด ที่ เป น ไปตามอํ า นาจ แห ง ทิ ฏ ฐิ ที่ เขามี อ ยู ; ดั ง นั้ น เมื่ อ มี ทิ ฏ ฐิ ต า งกั น แม อ ารมณ ที่ มี ม ากระทบจะเป น อย า งเดี ย วกั น เขาย อ มเกิ ด ความรู สึ ก ต อ อารมณ ต า งกั น ไปตามทิ ฏ ฐิ ข องเขา; ดั ง นั้ น เวทนาที่ ม าจากอารมณ เดี ย วกั น จึ ง มี ค วามหมายต า งกั น ได เป น เหตุ ใ ห มี ทิ ฏ ฐิ ช นิ ด ที่ ห ล อ เลี้ ย งทิ ฏ ฐิ เดิ ม ให แ น น แฟ น อยู เ สมอไป : นี้ เ รี ย กได ว า ผั ส สะหรื อ เวทนาสร า งทิ ฏ ฐิ แล ว ก็ ห ล อ เลี้ ย งทิ ฏ ฐิ นั้ น ไว . ถ า ปราศจากผัสสะหรือเวทนาเสียอยางเดียวเทานั้น ยอมไมมีทางที่จะเกิดทิฏฐิได.


๓๗๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

ผัสสายตนะ ๖ ประการ, เพราะเวทนาแหงสมณราหมณทั้งหลายเหลานั้นเปน ป จ จัย จึง ม ีต ัณ ห า; เพ ราะม ีต ัณ ห าเปน ปจ จัย จึง มีอ ุป าทาน ; เพ ราะมี อุป าทานเปน ปจ จัย จึง มีภ พ ; เพ ราะมีภ พ เปน ปจ จัย จึง มีช าติ; เพ ราะมี ชาติเปนปจจัย จึงมีชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสสะอุปายาสทั้งหลาย - สี. ที. ๙/๕๗/๙๐. (รายละเอี ย ดเกี่ ย วกั บ สมณพราหมณ ทุ ก พวกข า บนนี้ หาดู ได จ ากหนั งสื อ ปฏิ จ จ. โอ. หนา ๗๓๓ เปนตนไป.)

ความสําคัญผิดเปนเหตุใหเกิดนันทิ (อุปาทาน) ภิก ษุ ท .! ใน โล กนี ้ บุถ ุช น ผู ไ มม ีก ารส ดับ ไมเ ห็น พ ระอริย เจา ไม ฉ ลาดในธรรมของพระอริ ย เจ า ไม ไ ด รั บ การแนะนํ า ในธรรมของพระอริ ย เจ า , ไม เ ห็ น สั ป บุ รุ ษ ไม ฉ ลาดในธรรมของสั ป บุ รุ ษ ไม ไ ด รั บ การแนะนํ า ในธรรมของ สัป บุร ุษ . บุถ ุช นนั ้น ยอ มรู ส ึก ซึ ่ง ดิน โดยความเปน ดิน ; ครั ้น รู ส ึก ซึ ่ง ดิน โดยความเป น ดิ น แล ว ย อ มสํ าคั ญ มั่ น หมายซึ่ ง ดิ น ; ย อ มสํ าคั ญ มั่ น หมายในดิ น ; ยอ มสํ า คัญ มั ่น หมายโดยความเปน ดิน ; ยอ มสํ า คัญ มั ่น หมายวา ดิน ของเรา; ยอ ม เพ ลิน อ ยา งยิ ่ง ซึ ่ง ดิน . ขอ นั ้น เพ ราะเห ตุไ รเลา ? ขอ นั ้น เรากลา ววา เพราะความไมกําหนดรอบรูซึ่งดิน.

www.buddhadasa.info (ในกรณีแหงธรรมอื่นอีก ๒๓ อยาง คือ น้ํา ไฟ ลม ภูติสัตว เทพ ปชาบดี พรหมอาภัสสรพรหม สุ ภ กิ ณ หพรหม เวหั ป ปผลพรหม อภิ ภู อากาสานั ญ จายตนะ วิ ญ ญาณั ญ จายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ รูปที่เห็นแลว เสียงที่ไดยินแลว สิ่งที่รูสึกแลวทาง จมูก, ลิ้น, ผิวกาย สิ่งที่รูแจงแลว เอกภาวะ นานาภาวะ สิ่งทั้งปวงและนิพพาน, แตละอยาง ๆ


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๗๙

พระผู มี พ ระภาคได ต รั ส ว า สั ต ว ย อ มสํ า คั ญ ผิ ด ในความเป น ของตนเป น ต น แล ว เพลิ ด เพลิ น เฉพาะ ตอสิ่งนั้น ๆ เพราะความไมรอบรูตอสิ่งนั้น ๆ จึงกลาวไดวา ความสําคัญผิดเปนเหตุใหเกิดนันทิ). - มู. ม. ๑๒/๑/๒.

ตัณหาเจริญเพราะมิจฉาทิฏฐิในปยรูป - สาตรูป ภิ กษุ ท .! ส ม ณ ะห รื อ พ ราห ม ณ พ วก ใด ใน กาล อ ดี ต ก็ ต าม , ใน กาลอนาคตก็ ต าม, ในกาลนี้ ก็ ต าม, ย อ มเห็ น สิ่ ง อั น เป น ที่ รั ก ที่ ส นิ ท ใจ (ป ย รู ป สาตรูป) ในโลก โดยความเปนของเที่ยง โดยความเปนสุข โดยความเปนตัวตน โดยความเป น ของไม เสียบแทง โดยความเป น ของเกษม; สมณะหรือพราหมณ พวกนั้ น ย อ มทํ า ตั ณ หาให เ จริ ญ . เมื่ อ ทํ า ตั ณ หาให เจริ ญ อยู ก็ ทํ า อุ ป ธิ ใ ห เจริ ญ . เมื่ อ ทํ า อุ ป ธิ ใ ห เ จริ ญ อยู ก็ ทํ า ทุ ก ข ใ ห เ จริ ญ . เมื่ อ ทํ า ทุ ก ข ใ ห เ จริ ญ อยู สมณะหรื อ พราหมณ พ วกนั้ น ย อ มไม ห ลุ ด พ น จากความเกิ ด ความแก ความตาย ความโศก ความร่ํ า ไรรํ า พั น ความทุ ก ข ก าย ความทุ ก ข ใ จ ความคั บ แค น ใจ; เราตถาคต ยอมกลาววา "พวกเหลานั้น ยอมไมหลุดพนจากทุกข" ดังนี้.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! เปรี ย บเหมื อ น ถ ว ยดื่ ม สํ า ริ ด มี เ ครื่ อ งดื่ ม ใส อ ยู แ ล ว ชนิ ด หนึ ่ง สมบูร ณ ด ว ยสี กลิ ่น และรส แตว า มีย าพิษ ปนติด อยู . ครั ้ง นั ้น มีบ ุร ุษ ผู ห นึ่ ง ซึ่ ง กํ า ลั ง ร อ นจั ด มี ค วามร อ นระอุ ไปทั้ ง ตั ว เหน็ ด เหนื่ อ ย คอแห ง ระหายน้ํ า มาถึง เขา . คนทั ้ง หลายบอกแกบ ุร ุษ นั ้น วา "นี ่แ นท า นผู เ จริญ ! ถว ยดื ่ม สํ า ริด ใบนี ้ มีเ ครื ่อ งดื ่ม สมบูร ณ ด ว ยสี กลิ ่น และรส สํ า หรับ ทา น, แตว า มีย าพิษ ปนติด อยู , ถา หากทา นตอ งการดื ่ม ก็ดื ่ม ได, เมื ่อ ทา นกํ า ลัง ดื ่ม จัก ติด ใจมัน ดวยสีของมันบาง ดวยกลิ่นของมันบาง ดวยรสของมันบาง; แตวา ครั้นดื่ม


๓๘๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

เข า ไปแล ว ท า นจั ก ถึ ง ความตาย หรื อ ได รั บ ทุ ก ข เจี ย นตายเพราะเหตุ นั้ น " ดั ง นี้ . บุ รุ ษ นั้ น ไม ทั น จะพิ จ ารณ าถ ว ยดื่ ม สํ า ริ ด อั น นั้ น (ว า จะควรดื่ ม หรื อ ไม ค วรดื่ ม อยา งไร เปน ตน ) รีบ ดื ่ม เอา ๆ ไมย อมวาง. บุร ุษ นั ้น ก็ถ ึง ความตาย หรือ ไดร ับ ทุก ขเ จีย นตาย เพราะเหตุนั ้น . ฉัน ใดก็ฉ ัน นั ้น ที ่ส มณ ะหรือ พราหมณ พวกใด ในกาลอดีต ก็ต าม. ในกาลอนาคตก็ต าม, ในกาลนี ้ก ็ต าม, ยอ ม เห็น สิ ่ง อัน เปน ที ่ร ัก ที ่ส นิท ใจในโลก โดยความเปน ของเที ่ย ง ....ฯลฯ.... ยอ ม ไมหลุดพนจากทุกข" ดังนี้. - นิทาน. สํ. ๑๖/๑๓๒-๑๓๓/๒๕๔-๒๖๐.

นิทเทศ ๗ วาดวยทิฏฐิเกี่ยวกับตัณหา จบ

www.buddhadasa.info


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๘๑

นิทเทศ ๙ วาดวยกิเลสทั้งหลายในฐานะสมุทัย (มี ๑๕ เรื่อง)

ละราคะโทสะโมหะกอนละชาติชรามรณะ ภิ ก ษุ ท .! บุ ค ค ล เมื่ อ ไม ล ะ ซึ่ งธ รรม ส าม คื อ ราค ๑ โท ส ะ ๑ โมหะ ๑ ก็ไมอาจเพื่อละซึ่งธรรมสาม คือ ชาติ ๑ ชรา ๑ มรณะ ๑. ภิ ก ษุ ท.! บุ ค คล เมื่ อ ไม ล ะซึ่ ง ธรรมสาม คื อ สั ก กายทิ ฏ ฐิ (ความ เห็ น ว า กายของตน) ๑ วิ จิ กิ จ ฉา (ความลั ง เลในธรรมที่ ไ ม ค วรลั ง เล) ๑ สี ลั พ พั ต ตปรามาส (การลู บ คลํ า ศี ล และวั ต รอย า งปราศจากเหตุ ผ ล) ๑ ก็ ไ ม อ าจเพื่ อ ละซึ่ ง ธรรมสาม คื อ ราคะ ๑ โทสะ ๑ โมหะ ๑. ภิ กษุ ท .! บุ ค ค ล เมื่ อ ไม ล ะซึ่ ง ธรรม ส าม คื อ อ โย นิ โส ม น สิ การ (ความทํ า ในใจไมแ ยบคาย) ๑ กุม มัค คเสวนา (การพัว พัน อยู ใ นทิฏ ฐิอ ัน ชั ่ว ) ๑ เจตโสลีน ัต ตา (ความมีจ ิต หดหู ) ๑ ก็ไ มอ าจเพื ่อ ละซึ ่ง ธรรมสาม คือ สัก กายทิฏ ฐิ ๑ จิกิจฉา ๑ สีลัพพัตตปรามาส ๑.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! บุ ค คล เมื่ อ ไม ล ะซึ่ ง ธรรมสาม คื อ มุ ฏ ฐสั จ จะ (ความมี สติ อั น ลื ม หลง) ๑ อสั ม ปชั ญ ญะ (ความปราศจากสั ป ชั ญ ญะ) ๑ เจตโสวิ ก เขปะ (ความ ส า ยแห ง จิ ต ) ๑ ก็ ไ ม อ าจเพื่ อ ละซึ่ ง ธรรมสาม คื อ อโยนิ โ สมนสิ ก าร ๑ กุ ม มั ค คเสวนา ๑ เจตโสลีนัตตา ๑.


๓๘๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ ก ษุ ท.! บุ ค คลเมื่ อ ไม ล ะซึ่ งธรรมสาม คื อ อริ ย านั งอทั ส สนกกั ม ยตา (ความไม อยากเห็ น พระอริ ยเจ า) ๑ อริ ย ธั ม มั งอโสตุ กั ม ยตา (ความไม อยากฟ งธรรมธรรมของ พระอริ ย เจ า ) ๑ อุ ป ารั ม ภจิ ต ตตา (ความมี จิ ต เที่ ย วเกาะเกี่ ย ว) ๑ ก็ ไ ม อ าจเพื่ อ ละซึ่ ง ธรรมสาม คือ มุฏฐสัจจะ ๑ อสัมปชัญญะ ๑ เจตโสวิกเขปะ ๑. ภิ ก ษุ ท.! บุ ค คล เมื่ อ ไม ล ะซึ่ ง ธรรมสาม คื อ อุ ท ธั จ จะ (ความฟุ งซ าน) ๑ อสั ง วระ (ความไม สํ า รวม) ๑ ทุ ส สี ล ยะ (ความทุ ศี ล ) ๑ ก็ ไ ม อ าจเพื่ อ ละซึ่ ง ธรรม สาม คือ อริยานังอทัสสนกัมยตา ๑ อริยธัมมังอโสตุกัมยตา ๑ อุปารัมภจิตตตา ๑. ภิ ก ษุ ท.! บุ ค คล เมื่ อ ไม ล ะซึ่ ง ธรรมสาม คื อ อสั ท ธิ ย ะ (ความไม มี สั ท ธา) ๑ อวทั ญ ุ ตา (ความเป น วทั ญ ู ) ๑ โกสั ช ชะ (ความเกี ย จคร า น) ๑ ก็ ไ ม อาจเพื่อละซึ่งธรรมสาม คือ อุทธัจจะ ๑ อสังวระ ๑ ทุสสีลยะ ๑. ภิ ก ษุ ท.! บุ ค คล เมื่ อ ไม ล ะซึ่ ง ธรรมสาม คื อ อนาทริ ย ะ (ความไม เอื้ อ เฟ อ ในบุ ค คลและธรรมอั น ควรเอื้ อ เฟ อ ) ๑ โทวจั ส สตา (ความเป น คนว า ยาก) ๑ ปาปมิ ตตตา (ความมี มิ ตรชั่ ว) ๑ ก็ ไม อาจเพื่ อละซึ่ งธรรมสาม คื อ อสั ทธิ ยะ ๑ อวทั ญ ุ ตา โกสัชชะ ๑.

www.buddhadasa.info ภิ กษุ ท .! บุ ค ค ล เมื่ อไม ล ะซึ่ ง ธรรม ส าม คื อ อหิ ริ ก ะ (ความ ไม ละอายในสิ่ ง ที่ ค วรละอาย) ๑ อโนตตั ป ปะ (ความไม ก ลั ง ในสิ่ ง ที่ ค วรกลั ว ) ๑ ปมาทะ (ความประมาท) ๑ ก็ ไ ม อ าจเพื่ อ ละซึ่ ง ธรรมสาม คื อ อนาทริ ย ะ ๑ โทวจั ส สตา ๑ ปาปมิตตตา ๑


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๘๓

ภิกษุ ท.! บุคคลนี้ เปนผูมี อหิริกะ มีอโนตตัปปะ มีปมาทะ แลว. เขาเมื่ อ เป น ผู มี ป มาทะอยู แ ล ว ก็ ไม อ าจเพื่ อ ละซึ่ งอนาทริ ย ะ ๑ โทวจัสสตา ๑ ปาป-มิตตา ๑; เขาเมื่ อเป นผู มี ปาปมิ ตตตา ก็ ไม อาจเพื่ อละซึ่ งอสั ทธิ ยะ ๑ อวทั ญ ุ ตา ๑ โกสัชชะ ๑; เขาเมื่ อ เป น ผู มี โ กสั ช ชะ ก็ ไ ม อ าจเพื่ อ ละซึ่ ง อุ ท ธั จ จะ ๑ อสั ง วระ ๑ ทุสสีลยะ ๑; เขาเมื่ อเป นผู มี ทุ สสี ลยะ ก็ ไม อาจเพื่ อละซึ่ งอริ ยานั งอทั สสนกั มยตา ๑ อริยธัมมังอโสตุ กัมยตา ๑ อุปารัมภจิตตตา ๑; เขาเมื่ อ เป น ผู มี อุ ป ารั ม ภจิ ต ตา ก็ ไ ม อ าจะเพื่ อ ละซึ่ ง มุ ฏ ฐสั จ จะ ๑ อสัมปชัญญะ ๑ เจต-โสวิกเขปะ ๑; เขาเมื่ อ เป น ผู มี เจตโสวิ ก เขปะ ก็ ไม อ าจเพื่ อ ละซึ่ งอโยนิ โสมนสิ การ ๑ กุมมัคคเสวนา ๑ เจตโสลีนัตตา ๑; เขาเมื่ อเป นผู มี เจตโสลี นั ตตา ก็ ไ ม อาจเพื่ อละซึ่ ง สั ก กายทิ ฏฐิ ๑ วิจิกิจฉา ๑ สีลัพพัตต-ปรามาส ๑; เขาเมื่อเปนผูมีวิจิกิจฉา ก็ไมอาจเพื่อละซึ่งราคะ ๑ โทสะ ๑ โมหะ ๑; เขาเมื่อไมละซึ่งราคะ ๑ โทสะ ๑ โมหะ ๑ ก็ไมอาจเพื่อละซึ่งชาติ ๑ ชรา ๑ มรณะ ๑.

www.buddhadasa.info (ต อ ไปได ต รั ส ข อ ความเกี่ ย วกั บ ปฏิ ป ก ขนั ย ฝ า ยตรงกั น ข า ม อั น เป น ฝ า ยที่ ทํ า ให ล ะ ชาติ-ชรา-มรณะ ได ผูอานสามารถเทียบเคียงไดเอง จึงมิไดนํามากลาวไวในที่นี้). - ทสก. อํ. ๒๔/๑๕๔-๑๕๗/๗๖.


๓๘๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

ทุกแงมุมที่เกี่ยวกับอกุศลมูล ภิ ก ษุ ท.! อกุ ศ ลมู ล ๓ อย า งเหล า นี้ มี อ ยู . สามอย า งเหล า ไหน เลา ? สามอยา งคือ โลภะ เปน อกุศ ลมูล โทสะเปน อกุศ ลมูล โมหะเปน อกุศลมูล. ภิก ษุ ท .! แ มโ ล ภ ะ นั ้น ก็เ ปน อ กุศ ล . ค น โล ภ แ ลว ป ระ ก อ บ กรรมใดทางกาย ทางวาจาทางใจ แมก รรมนั ้น ก็เ ปน อกุศ ล. คนโลภ ถู ก ความโลภครอบงํ า แล ว มี จิ ต อั น ความโลภกลุ ม รุ ม แล ว ทํ า ความทุ ก ข ใ ห แ ก ผู อื่ น โดยที่ ไม ค วรจะมี ด วยการฆ า บ า ง ด วยการจองจํ า บ า ง ด วยการให เสื่ อ มเสี ย บ า ง ด ว ยการติ เตี ย นบ าง ด ว ยการขั บ ไล บ าง โดยการถื อ ว า เรามี กํ าลั งเหนื อ กว า ดั งนี้ แมก รรมนี ้ก ็เ ปน อกุศ ล : อกุศ ลธรรมอัน ลามกเปน อเนก ที ่เ กิด จากความโลภ มี ค วามโลภเป น เหตุ มี ค วามโลภเป น สมุ ทั ย มี ค วามโลภเป น ป จ จั ย เหล า นี้ ย อ ม เกิดขึ้นแกเขา ดวยอาการอยางนี้. (ในกรณี แ ห ง โทสะและโมหะ ก็ ได ต รั ส ไว ด ว ยข อ ความทํ า นองเดี ย วกั น อย า งที่ ก ล า ว ไดวาทุกตัวอักษร ผิดกันแตชื่อเทานั้น).

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท.! บุค คลชนิด นี ้นั ้น ควรถูก เรีย กวา เปน อ ก าล วาท ีบ า ง อภูต วาทีบ า ง อนัต ถวาที บา ง อธัม มวาทีบ า ง อวิน ยวาทีบ า ง. เพราะเหตุไร จึง ควรถูก เรีย กอยา งนั ้น ? เพราะเหตุว า บุค คลนี ้ทํ า ความทุก ขใ หแ กผู อื ่น โดยที่ ไม ค วรจะมี ด วยการฆ า บ า ง ด ว ยการจองจํ า บ า ง ด วยการให เสื่ อ มเสี ย บ า ง ด ว ย การติ เ ตี ย นบ า ง ด ว ยการขั บ ไล บ า ง โดยการถื อ ว า เรามี กํ า ลั ง เหนื อ กว า ดั ง นี้ ; และเมื่อเขาถูกกลาวหาอยูดวยเรื่องที่เปนจริง ก็บิดพลิ้วไมยอมรับ; เมื่อถูก


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๘๕

กลาวหาอยูดวยเรื่องที่ไมเปนจริง ก็ไมพยายามที่จะทําใหแจงชัดออกไปวา นั่น ไมต รง นั ่น ไมจ ริง อยา งนี ้ ๆ. เพ ราะฉะนั ้น บุค คลชนิด นี ้ จึง ควรถูก เรีย กวา เปนอกาลวาทีบาง อภูติวาทีบาง อนัตถวาทีบาง อธัมมวาทีบาง อวินยวาทีบาง, ภิ ก ษุ ท.! บุ ค คลชนิ ด นี้ ถู ก อกุ ศ ลธรรมอั น ลามกซึ่ ง เกิ ด มาจาก ความโลภครอบงําแล ว มี จิ ต อั น อกุ ศ ลธรรมอั น ลามกที่ เกิ ด จากโลภะกลุ ม รุม แล ว ย อ มอยู เป น ทุ ก ข มี ค วามลํ าบาก มี ค วามคั บ แค น มี ความเรารอ น ในทิ ฏ ฐธรรม นั่ น เที ย ว, ภายหลั งแต ก ารตายเพราะการทํ าลายแห งกาย ย อ มหวั งได แ ต ทุ ค ติ . (ในกรณีแ หง ความโกรธและความหลง ก็ต รัส ไวโ ดยขอ ความทํ า นองเดีย วกัน อยา งที ่ก ลา ว ไดว า ทุก ตัว อัก ษ ร ผิด กัน แ ตชื ่อ เทา นั ้น ). ภิก ษุ ท .! เป รีย บ เห มือ นตน ไมใ ห ญ  ๆ

เช น ต น สาละ ตั น ธวะ หรื อ ต น ผั น ทนะก็ ดี ถู ก เครื อ เถามาลุ ว าสามชนิ ด ขึ้ น คลุ ม แลว รัดรึงแลว ยอมถึงความพินาศฉิบหาย, ฉันใดก็ฉันนั้น. ภิกษุ ท.! เหลานี้แล อกุศลมูล ๓ อยาง. (พระองค ยั ง ได ต รั ส ข อ ความเป น ปฏิ ป ก ขนั ย ฝ า ยตรงกั น ข า มอี ก ซึ่ ง ผู ศึ ก ษาหาดู ไ ด จากหัวขอวา "ปรินิพพานในทิฏฐธรรมดวยการตัดอกุศลมูล" ในภาค ๓ แหงหนังสือเลามนี้). - ติก. อํ. ๒๐/๒๕๘/๕๐๙.

www.buddhadasa.info ขอควรทราบเกี่ยวกับอกุศลมูล (หลายแงมุม)

ภิ ก ษุ ท.! ถ า พวกปริ พ พาชกเดี ย รถี ย เหล า อื่ น จะพึ ง ถามอย า งนี้ ว า "อาวุ โ ส! ธรรม ๓ อย า งเหล า นี้ มี อ ยู คื อ ราคะ ดทสะ โมหะ. อาวุ โส! อะไร เปนความผิดแปลก อะไรเปนความแตกตาง อะไรเปนเครื่องแสดงความตาง ระหวางธรรม


๓๘๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

๓ อ ย างเห ล านั้ น ?" ดั งนี้ .... ภิ ก ษุ ท .! พ วก เธ อ ถู ก ถ าม อ ย างนี้ แ ล ว พึ ง พยากรณแ กเ ขาวา "อาวุโ ส! ราคะมีโ ทษนอ ย คลายชา . โทสะมีโ ทษมาก คลายเร็ว. โมหะมีโทษมาก คลายเชา". ถ าเขาถามว า "อาวุ โส! อะไรเป นเหตุ อะไรเป นป จจั ย ที่ ทํ าให ราคะที่ ยั ง ไม เกิ ด เกิ ดขึ้ น, หรือราคะที่ เกิ ดขึ้ นแล ว เป นไปเพื่ อความเจริญโดยยิ่ ง เพื่ อความไพบู ลย ?" ดัง นี ้. คํ า ตอบพึง มีว า สุภ นิม ิต (สิ ่ง ที ่แ สดงใหรู ส ึก วา งาม ); คือ เมื ่อ เขาทํ า ในใจ ซึ่ ง สุ ภ นิ ม ตโดยไม แ ยบคาย ราคะที่ ยั ง ไม เ กิ ด ก็ เ กิ ด ขึ้ น และราคะที่ เ กิ ด อยู แ ล ว ก็ เป น ไปเพื่ อความเจริ ญ โดยยิ่ ง เพื่ อความไพ บู ล ย . อาวุ โ ส; นี้ คื อ เหตุ นี้ คื อ ปจจัย. ถ าเขาถามอี กว า "อาวุ โส! อะไรเป นเหตุ อะไรเป นป จจั ย ที่ ทํ าให โทสะที่ ยั งไม เกิ ด เกิ ด ขึ้ น , หรื อ โทสะที่ เกิ ด ขึ้ น แล ว เป น ไปเพื่ อ ความเจริ ญ โดยยิ่ ง เพื่ อ ความ ไพ บูล ย?" ดัง นี ้. คํ า ตอบ พ ึง มีว า ป ฏิฆ น ิม ิต (สิ ่ง ที ่แ สด งใหรู ส ึก กระท บ กระทั ่ง ); คื อ เมื่ อ เขาทํ า ในใจซึ่ ง ปฏิ ฆ นิ มิ ต โดยไม แ ยบคาย โทสะที่ ยั ง ไม เกิ ด ก็ เกิ ด ขึ้ น และ โทสะที ่เ กิด อยู แ ลว ก็เ ปน ไปเพื ่อ ความเจริญ โดยยิ ่ง เพื ่อ ความไพบูล ย. อาวุโ ส! นี้คือเหตุ นี้คือปจจัย.

www.buddhadasa.info ถ าเขาถามอี กว า "อาวุ โส! อะไรเป นเหตุ อะไรเป นป จจั ย ที่ ทํ าให โมหะที่ ยั งไม เกิ ด เกิ ด ขึ้ น , หรื อ โมหะที่ เกิ ด ขึ้ น แล ว เป น ไปเพื่ อ ความเจริ ญ โดยยิ่ ง เพื่ อ ความ ไพบู ล ย ?" ดั ง นี้ . คํ า ตอบพึ ง มี ว า อโยนิ โสมนสิ ก าร (การกระทํ าในใจโดยไม แ ยบคาย); คื อ เมื่ อ ทํ า ในใจโดยไม แ ยบคาย โมหะที่ ยั ง ไม เกิ ด ก็ เกิ ด ขึ้ น และโมหะที่ เกิ ด อยู แ ล ว ก็ เ ป น ไปเพื่ อ ความเจริ ญ โดยยิ่ ง เพื่ อ ความไพบู ล ย . อาวุ โ ส! นี้ คื อ เหตุ นี้ คื อ ปจจัย.


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๘๗

ถ าเขาถามอี กว า "อาวุ โส! อะไรเป นเหตุ อะไรเป นป จจั ย ที่ ทํ าให ราคะที่ ยั ง ไม เกิ ด เกิ ด ขึ้ น , หรื อ ราคะที่ เกิ ด ขึ้ น แล ว ละไป?"ดั ง นี้ . คํ า ตอบพึ ง มี ว า อสุ ภ นิ มิ ต (สิ่ ง ที่ แ สดงให รู สึ ก ว า ไม ง าม); คื อ เมื่ อ เขาทํ า ในใจซึ่ ง อสุ ภ นิ มิ ต โดยแยบคาย ราคะที่ ยั ง ไม เ กิ ด ก็ เ กิ ด ขึ ้ น แ ล ะ รา ค ะ ที ่ เ กิ ด อ ยู  แ ล ว ก็ ล ะ ไป . อ า วุ โ ส ! นี ้ ค ื อ เห ตุ นี้คือ ปจจัย. ถ าเขาถามอี กว า "อาวุ โส! อะไรเป นเหตุ อะไรเป นป จจั ย ที่ ทํ าให โทสะ ที่ ยั ง ไม เกิ ด ไม เกิ ด ขึ้ น , หรื อ โทสะที่ เกิ ด ขึ้ น แล ว ละไป?" ดั ง นี้ . คํ า ตอบพึ ง มี ว า เมตตาเจโตวิม ุต ติ (ความหลุด พน แหง จิต อัน ประกอบอยู ด ว ยเมตตา); คือ เมื ่อ เขาทํ า ในใจซึ่ ง เมตตาเจโตวิ มุ ต ติ โดยแยบคาย โทสะที่ ยั ง ไม เกิ ด ก็ ไม เกิ ด ขึ้ น และโทสะที่ เกิดอยูแลวก็ละไป. อาวุโส! นี้คือเหตุ นี้คือปจจัย. ถ าเขาถามอี กว า "อาวุ โส! อะไรเป นเหตุ อะไรเป นป จจั ย ที่ ทํ าให โมหะ ที ่ย ัง ไมเกิด ไมเ กิด ขึ ้น , หรือ โมหะที ่เ กิด ขึ ้น แลว ละไป? ดัง นี ้. คํ า ตอบพึง มีว า โยนิ โ สมนสิ ก าร คื อ เมื่ อ ทํ า ในใจโดยแยบคาย โมหะที่ ยั ง ไม เกิ ด ก็ เกิ ด ขึ้ น และ โมหะที่เกิดอยูแลวก็ละไป อาวุโส! นี้คือเหตุ นี้คือ ปจจัย.

www.buddhadasa.info - ติก. อํ. ๒๐/๒๕๖/๕๐๘.

ไมอาจละราคะโทสะโมหะ ก็เพราะหลงในสัญโญชนิยธรรม ภ ิก ษ ุ ท .! ธ รรม ๒ อ ย า งเห ล า นี ้ ม ีอ ยู . ส อ งอ ย า งอ ะ ไรเล า ? สองอยางคือ ความเปนผูมัวแตเห็นเปนของอรอยในสัญโญชนิยธรรมทั้งหลาย


๓๘๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

อย างหนึ่ ง และความเป น ผู ต ามเห็ น ความเป น ของน าเบื่ อ หน า ยในสั ญ โญชนิ ย ธรรม ทั้งหลาย นี้อีกอยางหนึ่ง. ภิ ก ษุ ท.! บุ ค คลผู มั ว แต เ ห็ น เป น ของอร อ ยในสั ญ โญชนิ ย ธรรม (กามคุณ หา ฯลฯ) ทั้งหลายอยู ยอ มละราคะไมได ละโทสะไมได ละโมหะ ไม ไ ด . เพราะละราคะโทสะโมหะไม ไ ด ย อ มไม พ น จากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส และอุปายาส; เรากลาววา ยอมพนจากทุกขได. ภิ ก ษุ ท.! บุ ค คลผู ต ามเห็ น ความเป น ของน า เบื่ อ หน า ยในสั ญ โญชนิ ย ธรรมทั ้ง หลายอยู  ยอ มละราคะได ยอ มละโทสะได ยอ มละโมหะได. เพราะ ละราคะโทสะโมหะได ย อ มพ น จากชาติ ชรา มรณ ะ โสกะ ปริ เ ทวะ ทุ ก ขะ โทมนัส และอุปายาส; เรากลาววา ยอมพนจากทุกขได. ภิกษุ ท.! นี้แหละ คือธรรม ๒ อยาง. - ทุก. อํ. ๒๐/๖๕/๒๕๒.

www.buddhadasa.info สังโยชนเจ็ด

ภิ ก ษุ ท.! สั ญ โญ ชน (สิ่ ง ผู ก พั น ) ๗ อย า งเหล า นี้ มี อ ยู . เจ็ ด อย า ง อย า งไรเล า ? เจ็ ด อย า ง คื อ อนุ น ยสั ญ โญชน (สั งโยชน คื อ กามราคะเป น เหตุ ให ติ ด ตาม) ๑ ปฏิฆ สัญ โญ ชน (สัง โยชนค ือ ความโกรธไมไ ดอ ยา งใจ) ๑ ทิฏ ฐิส ัญ โญ ชน(สัง โยชน คื อ ความเห็ น ผิ ด ) ๑ วิ จิ กิ จ ฉาสั ญ โญชน (สั งโยชน คื อ ความลั งเลสั งสั ย ) ๑ มานสั ญ โญชน (สั ง โยชน คื อ ความสํ า คั ญ ตน ) ๑ ภวราคสั ญ โญ ชน (สั ง โยชน คื อ ความกํ า หนั ด ในภพ) ๑ อวิ ช ชาสั ญ โญชน (สั ง โยชน คื อ อวิ ช ชา) ๑. ภิ ก ษุ ท.! เหล า นี้ แ ล คื อ สั ญ โญชน ๗ อยาง.


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๘๙

ภิกษุ ท.! พรหมจรรยที่ป ระพฤติกัน อยูนี้ เพื่ อละเพื่ อ ตัด ขาด ซึ่ ง สัญโญชน ๗ อยาง. เจ็ดอยางเหลาไหนเลา? ภิ ก ษุ ท.! พ รหมจรรย ที่ ป ระพ ฤติ กั น อยู เพื่ อละเพื่ อตั ด ขาด ซึ่ ง อนุ น ยสั ญ โญชน ๑ ปฏิ ฆ สั ญ โญชน ๑ ทิ ฏ ฐิ สั ญ โญชน ๑ วิ จิ กิ จ ฉาสั ญ โญชน ๑ ม าน สั ญ โญ ช น ๑ ภ วราค สั ญ โญ ช น ๑ อ วิ ช ช าสั ญ โญ ช น ๑. ภิ ก ษุ ท .! พรหมจรรยที่ประพฤติกันอยูนี้ เพื่อละเพื่อตัดขาด ซึ่งสัญโญชน ๗ อยางเหลานี้แล. ภิก ษุ ท .! เมื ่อ ใดแล, อนุน ยสัญ โญ ชนก ็ด ี ป ฏิฆ สัญ โญ ชนก ็ดี ทิ ฏฐิ สั ญ โญชน ก็ ดี วิ จิ กิ จฉาสั ญ โญชน ก็ ดี มานสั ญ โญชน ก็ ดี ภาวราคสั ญ โญชน ก็ ดี อวิ ช ชาสั ญ โญชน ก็ ดี เป น สิ่ ง ที่ ภิ ก ษุ ล ะได แ ล ว มี ร ากเง า อั น ตั ด ขาดแล ว ทํ า ให เหมือนตาลยอดเนา ทําใหมีไมได ทําใหเปนสิ่งที่เกิดขึ้นไมไดอีกตอไป; ภ ิก ษ ุ ท .! เมื ่อ นั ้น , ภ ิก ษ ุนี ้ เร า เรีย ก วา "ตัด ต ัณ ห า ไ ด แ ล ว รื้ อ ถอนสั ญ โญชน ไ ด แ ล ว ได ทํ า ที่ สุ ด แห ง ทุ ก ข เพราะรู จั ก หน า ตาของมานะอย า ง ถูกตองแลว" ดังนี้แล.

www.buddhadasa.info - สตฺตก. อํ. ๒๓/๗-๘/๘-๙.

(เกี่ ย วกั บ เรื่ อ งนี้ ควรดู หั ว ข อ ว า "ประพฤติ พ รหมจรรย เ พื่ อ ละเพื่ อ ตั ด อนุ สั ย โดย เด็ดขาด" ที่หนา ๔๓๑ แหงหนังสือนี้ ประกอบดวย).

(สังโยชนเจ็ด อีกนัยหนึ่ง) ภิ ก ษุ ท.! สั ญ โญ ชน ๗ อย า งเหล า นี้ มี อ ยู . เจ็ ด อย า ง อย า งไร เลา? เจ็ดอยางคือ อนุนยสัญโญชน ๑ ปฏิฆสัญโญชน ๑ ทิฏฐิสัญโญชน ๑


๓๙๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

วิ จิ กิ จ ฉาสั ญ โญชน ๓ มานสั ญ โญชน ๑ อิ ส สาสั ญ โญชน (สั ง โยชน คื อ ความริ ษ ยา) ๑ ม ัจ ฉ ริย ส ัญ โญ ช น  (ส ัง โย ช น ค ือ ค ว า ม ต ร ะ ห นี ่) ๑. ภ ิก ษ ุ ท .! เห ล า นี ้แ ล สัญโญชน ๗ อยาง - สตฺตก. อํ. ๒๓/๘/๑๐.

สังโยชนสิบ ภิ ก ษุ ท.! สั ง โยชน ๑๐ ประการเหล า นี้ มี อ ยู . สิ บ ประการอย า งไร เล า ? สิ บ ประการ คื อ โอรั ม ภาคิ ย สั ง โยชน ๕ ประการ อุ ท ธั ม ภาคิ ย สั ง โยชน ๕ ประการ. โอรั ม ภาคิ ยสั งโยชน ๕ ประการ เป นอย างไรเล า? คื อ สั ก กายทิ ฏ ฐิ วิ จิ กิ จ ฉา สี ลั พ พต-ปรามาส กามฉั น ทะ พยาบาท : เหล า นี้ คื อ โอรัม ภาคิ ย สังโยชน ๕ ประการ.

www.buddhadasa.info อุ ท ธั ม ภาคิ ย สั ง โยชน ๕ ประการ เป น อย า งไรเล า ? คื อ รู ป ราคะ อรู ป ราคะ มานะอุ ท ธั จ จะ อวิ ช ชา : เหล า นี้ คื อ อุ ท ธั ม ภาคิ ย สั ง โยชน ๕ ประการ. ภิกษุ ท.! เหลานี้แล สัญโยชน ๑๐ ประการ. - ทสก. อํ. ๒๔/๑๘-๑๙/๑๓.

ลักษณะที่เปนโอรัมภาคิยสังโยชน "ข าแต พระผู มี พระภาค! บั ดนี้ เป นการอั นสมควรที่ พระผุ มี พระภาคจะพึ ง ทรงแสดงโอรัมภาคิยสังโยชนหา. ภิกษุทั้งหลายไดฟงตอพระผูมีพระภาคแลวจักทรงจําไว."


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๙๑

อานนท ! ในกรณี นี้ บุ ถุ ช น ผู ไ ม มี ก ารสดั บ ไม เ ห็ น พระอริ ย เจ า ไม ฉ ลาดในธรรมของพระอริย เจา ไมไ ดร ับ การแนะนํ า ในธรรมของพระอริย เจา , ไมเ ห็น สัป บุร ุษ ไมฉ ลาดในธรรมของสัป บุร ุษ ไมไ ดร ับ การแนะนํ า ในธรรมของ สัปบุรุษ : เขามี จิ ตอั น สั กกายทิ ฏ ฐิ กลุ มรุ ม แล ว อั นสั กกายทิ ฏฐิ ห อหุ มแล ว อยู ; เขา ไมรูชัดตามเปนจริงซึ่งอุบายเปนเครื่องสลัดออกจากสักกายทิฏฐิอันเกิดขึ้น แล ว, สั กกายทิ ฏ ฐิ นั้ นก็ เป นของมี กํ าลั ง จนเขานํ าออกไปไม ได จึ งเป นโอรัม ภาคิ ยสัง โยชน. (ในกรณีแ หงวิจิกิจ ฉา สีลัพ พัต ตปรามาส กามราคะและพยาบาท (หรือ ปฏิฆ ะ) ก็มีขอความตรัสไวอยางเดียวกันกับในกรณีแหงสักกายทิฏฐิทุกประการ).

อานนท ! ส ว นอริ ย สาวกผู มี ก ารสดั บ ได เ ห็ น พระอริ ย เจ า เป น ผู ฉลาดในธรรมของพระ-อริ ย เจ า ได รั บ การแนะนํ า ในธรรมของพระอริ ย เจ า , ได เห็น สัป บุร ุษ เปน ผู ฉ ลาดในธรรมของสัป บุร ุษ ไดร ับ การแนะนํ า ในธรรมของ สัปบุรุษ :-

www.buddhadasa.info เธอมี จิ ต อั น สั ก กายทิ ฏ ฐิ ไ ม ก ลุ ม รุ ม อั น สั ก กายทิ ฏ ฐิ ไ ม ห อ หุ ม อยู . อริยสาวกนั้นยอมรูชัด ตามที่ เป น จริง ซึ่ งอุ บ ายเป น เครื่องสลั ด ออกจากสั กายทิ ฏ ฐิ อั น เกิ ด ขึ้ น แล ว , สั ก กายทิ ฏ ฐิ นั้ น อั น อริ ย สาวกนั้ น ย อ มละได พ ร อ มทั้ ง อนุส ัย . (ในกรณีแ หง วิจ ิก ิจ ฉา สีล ัพ พัต ตปรามาส กามราคะ และพยาบาท (หรือ ปฏิฆ ะ) ก็มีขอความตรัสไวอยางเดียวกันกับในกรณีแหงสักกายทิฏฐิทุกประการ).

- ม. ม. ๑๓/๑๕๖/๑๕๕.


๓๙๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

(การที่ บุ ค คลลั ก กายทิ ฏ ฐิ เป น ต น ไม ไ ด จนเป น ธรรมชาติ มี กํ า ลั ง ถึ ง กั บ เขานํ า ออก ไมไ ด นั ่น คือ ลัก ษณะแหง ความเปน โอรัม ภาคิย สัง โยชน. รายละเอีย ดของสัก กายทิฏ ฐิ ดูไ ดที่ หัวขอวา "สักกายทิฏฐิ มีไดดวยอาการอยางไร" แหงหนังสือเลมนี้ ที่หนา ๓๗๒).

อนุสัยสามคูกับเวทนาสาม ภิ ก ษุ ท .! เพ ราะอ าศั ย ต าด วย รู ป ทั้ งห ล าย ด วย จึ ง เกิ ด จั ก ขุ วิญ ญ าณ ; การประจวบพรอ มแหง ธรรม ๓ ประการ (ตา+รูป +จัก ขุว ิญ ญ าณ ) นั ่น คือ ผัส สะ; เพราะมีผ ัส สะเปน ปจ จัย จึง เกิด เวทนา อัน เปน สุข บา ง เปน ทุกขบาง ไมใชทุกขไมใชสุขบาง. บุ ค คลนั้ น เมื่ อ สุ ข เวทนาถู ก ต อ งอยู ย อ มเพลิ ด เพลิ น ย อ มพร่ํ า สรรเสริญ เมาหมกอยู ; อนุศ ัย คือ ราคะ ยอ มตามนอน (เพิ ่ม ความเคยชิน ให) แกบุคคลนั้น (ตสฺส ราคานุสโย อนุสติ); เมื่ อ ทุ ก ขเวทนาถู ก ต อ งอยู เขาย อ มเศร า โศก ย อ มระทมใจ ย อ ม คร่ํ า ครวญ ย อ มตี อ กร่ํ า ไห ย อ มถึ ง ความหลงใหลอยู ; อนุ สั ย คื อ ปฏิ ฆ ะ ย อ ม ตามนอน (เพิ่มความเคยชินให) แกบุคคลนั้น.

www.buddhadasa.info เมื่ อ เวทนาอั น ไม ใช ทุ ก ข ไม สุ ข ถู ก ต อ งอยู เขาย อ มไม รูต ามเป น จริง ซึ่ ง เหตุ ให เกิ ด เวทนานั้ น ด ว ย ซึ่ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง เวทนานั้ น ด ว ย ซึ่ ง อั ส สาทะ (อ ร อ ย ) ข อ งเวท น านั ้ น ด ว ย ซึ ่ ง อ าที น วะ (โท ษ ) ข อ งเว ท น านั ้ น ด ว ย ซึ ่ ง นิส สรณะ (อุบ ายเครื ่อ งออกพน ไป) ของเวทนานั ้น ดว ย; อนุส ัย คือ อวิช ชา ยอ ม ตามนอน (เพิ่มความเคยชินให) แกบุคคลนั้น.


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๙๓

ภิ ก ษุ ท.! บุ ค คลนั้ น หนอ ยั ง ละราคานุ สั ย อั น เกิ ด จากสุ ข เวทนาไม ได; ยัง บรรเทาปฏิฆ านุส ัย อัน เกิด จากทุก ขเวทนาไมไ ด; ยัง ถอนอวิช ชานุส ัย อั น เกิ ด จากอทุ ก ขมสุ ข เวทนาไม ไ ด ; เมื่ อ ยั ง ละอวิ ช ชาไม ไ ด และยั ง ทํ า วิ ช ชาให เกิด ขึ ้น ไมไ ดแ ลว , เขาจัก ทํ า ที ่ส ุด แหง ทุก ขใ นทิฏ ฐธรรม (ปจ จุบ ัน ) นี ้ไ ด นั ้น ; ขอนี้ไมเปนฐานะที่จักมีได. (ในกรณี แห ง หู จมู ก ลิ้ น กาย และใจ ก็ ไ ด ต รั ส โดยทํ า นองเดี ย วกั น ในกรณี แหงตา).

- อุปริ.ม. ๑๔/๕๑๖/๘๒๒.

อนุสัยเนื่องอยูกับเวทนา ภิ ก ษุ ท.! เวทนา ๓ อย า งเหล า นี้ มี อ ยู . สามอย า งเหล า ไหนเล า ? สามอยางคือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา. ภิก ษุ ท.! ราคานุส ัย อัน เกิด จากสุข เวทนา เปน สิ ่ง ที ่ค วรละเสีย ปฏิ ฆ านุ สั ย อั น เกิ ด จากทุ ก ขเวทนา เป น สิ่ ง ที่ ค วรละเสี ย . อวิ ช ชานุ สั ย อั น เกิ ด จากอทุกขมสุขเวทนา เปนสิ่งที่ควรละเสีย.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! เมื่ อ ใด ราคานุ สั ย อั น เกิ ด จากสุ ข เวทนา เป น สิ่ ง ที่ ภิ ก ษุ ล ะไดแ ลว , ป ฏ ิฆ านุส ัย อัน เกิด จาก ทุก ขเวท น า เปน สิ ่ง ที ่ภ ิก ษ ุล ะไดแ ลว . อวิ ช ชานุ สั ย อั น เกิ ด จากอทุ ก ขมสุ ข เวทนา เป น สิ่ ง ที่ ภิ ก ษุ ล ะได แ ล ว ; ภิ ก ษุ ท.! ภิก ษุนี ้ เรากลา ววา เปน ผู ไ มม ีอ นุส ัย เปน ผู เ ห็น ชอบ ตัด ตัณ หาไดข าดแลว รื ้อ ถอนสัง โยชนไ ดแ ลว กระทํ า ที ่ส ุด แหง ทุก ขไ ดแ ลว เพราะรู เ ฉพาะซึ ่ง มานะ โดยชอบ.


๓๙๔

อริยสัจจากพระโอษฐ (คาถาผนวกทายพระสูตร) เมื่ อ บุ ค ค ล เส วย สุ ข เวท น า อ ยู ไม รู จั ก ชั ด ซึ่ งเวท น านั้ น ราคานุ สั ย ย อ มมี แ ก เ ขาผู ม องไม เ ห็ น ทางออกจากอํ า นาจของเวทนา นั ้น . เมื ่อ บ ุค ค ล เส ว ย ท ุก ข เว ท น า อ ยู  ไม รู จ ัก ชัด ซึ ่ง เว ท น า นั ้น ปฏิ ฆ านุ สั ย ย อ มมี แ ก เขาผู ม องไม เห็ น ทางออกจากอํ า นาจของเวทนา นั ้น . บ ุค ค ล เพ ล ิด เพ ล ิน แ ม ใ น อ ท ุก ข ม ส ุข อ ัน พ ระ ภ ูร ิป ญ ญ า พุทธเจาทรงแสดงวาเปนธรรมอันรํางับ ก็หาพนจากทุกขไปไดไม. เมื่ อ ใดภิ ก ษุ มี ค วามเพี ย รเผากิ เลส ไม ท อดทิ้ ง สั ม ปชั ญ ญะ ก ็เ ป น บ ัญ ฑ ิต รอ บ รู เ ว ท น า ทั ้ง ป ว ง . ภ ิก ษ ุนั ้น เพ รา ะ รอ บ รู ซึ ่ง เวท น า จึง เป น ผู ไ ม ม ีอ าส วะ ใน ท ิฏ ฐ ธ รรม เป น ผู ตั ้ง อ ยู ใ น ธ รรม จนกระทั่งกายแตก จบเวท ไมเขาถึงซึ่งการนับ (วาเปนอะไร) แล.

- สฬา. สํ. ๑๘/๒๕๔/๓๖๓-๓๖๔.

อนุสัยทั้งสามเกิดได แมเมื่อเสวยทุกขเวทนา

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! บุ ถุ ช นผู ไ ม มี ก ารสดั บ ก็ เ สวยสุ ข เวทนาบ า ง ทุ ก ขเวทนา บ า ง อทุ ก ขมสุ ข เวทนาบ า ง. แม อ ริ ย สาวกผู มี ก ารสดั บ ก็ เ สวยสุ ข เวทนาบ า ง ท ุก ข เว ท น า บ า ง อ ท ุก ข ม ส ุข เว ท น า บ า ง . ภ ิก ษ ุ ท .! เมื ่อ เป น เช น นั ้น ใน ระหว า งอริ ย สาวกผู มี ก ารสดั บ กั บ บุ ถุ ช นผู ไ ม มี ก ารสดั บ ดั ง ที่ ก ล า วมานี้ อะไร เป น ความผิ ด แผกแตกต า งกั น อะไรเป น ความมุ ง หมายที่ แ ตกต า งกั น อะไรเป น เหตุที่แตกตางกัน ระหวางอริยสาวกผูมีการสดับ จากบุถุชนผูไมมีการสดับ?


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๙๕

ภิ กษุ ทั้ งหลายเหล านั้ น กราบทู ลวิ งวอนว า "ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! ธรรมทั้ งหลาย ของพวกข าพระองค มี พ ระผู มี พ ระภาคเป น มู ล มี พ ระผู มี พ ระภาคเป น ผู นํ า มี พ ระผู มี พ ระภาค เป น ที่ พึ่ ง . ข า แต พ ระองค ผู เ จริ ญ ! เป น การชอบแล ว หนอ ขอให อ รรถแห ง ภาษิ ต นั้ น จง แจ มแจ งกะพระผู มี พ ระภาคเองเถิ ด ภิ กษุ ทั้ งหลายได ฟ งจากพระผู มี พ ระภาคแล ว จั กทรงจํ าไว " ดังนี้.

ภิ ก ษุ ท.! บุ ถุ ช นผู ไ ม มี ก ารสดั บ อั น ทุ ก ขเวทนาถู ก ต อ งอยู ย อ ม เศร า โศก ย อ มกระวนกระวาย ย อ มร่ํ า ไรรํ า พั น เป น ผู ทุ บ อกร่ํ า ไห ถึ ง ความมี ส ติ ฟนเฟอน; เขายอมเสวยซึ่งเวทนาทั้ง ๒ ฝาย คือเวทนาทั้งทางกายและทางจิต ภิก ษุ ท.! เปรีย บเหมือ นบุร ุษ พึง ยิง บุร ุษ ดว ยลูก ศร แลว พึง ยิง ซ้ํ า ซึ่ ง บุ รุ ษ นั้ น ด ว ยลู ก ศรที่ ส องอี ก บุ รุ ษ ผู ถู ก ยิ ง ด ว ยลู ก ศรสองลู ก อย า งนี้ ย อ มเสวย เวทนาทางกายดว ย ทางจิต ดว ย, แมฉ ัน ใด; ภิก ษุ ท.! บุถ ุช นผู ไ มม ีก าร ส ด ับ ก ็เ ป น ฉ ัน นั ้น ค ือ เมื ่อ ท ุก ข เวท น าถ ูก ต อ งอ ยู  ยอ ม เศ รา โศ ก ยอ ม กระวนกระวาย ย อ มร่ํ า ไรรํ า พั น เป น ผู ทุ บ อกร่ํ า ไห ถึ ง ความมี สิ ติ ฟ น เฟ อ นอยู ; ชื่ อ ว า เขาย อ มเสวยซึ่ ง เวทนาทั้ ง สองอย า ง คื อ ทั้ ง ทางกายและทางจิ ต . เขาเป น ผู มีปฏิฆะเพราะทุกขเวทนานั้นนั่นเอง. ปฏิหานุสัยอันใด อันเกิดจากทุกขเวทนา, ปฏิฆานุสัยอันนั้น ก็ยอมนอนตามซึ่งบุถุชนนั้นผูมีปฏิฆะดวยทุกขเวทนา. บุถุชน นั ้น อัน ทุก ขเวทนาถูก ตอ งอยู  ยอ มจะ (นอ มนึก ) พ อใจซึ ่ง กามสุข . ขอ นั ้น เพ ราะเห ตุไ รเลา ? ภิก ษุ ท .! ขอ นั ้น เพ ราะเห ตุว า บุถ ุช น ผู ไ มม ีก ารส ดับ ย อ มไม รู ชั ด อุ บ ายเครื่ อ งปลดเปลื้ อ งซึ่ ง ทุ ก ขเวทนา อื่ น นอกไปจากกามสุ ข . เมื่ อ บุ ถ ุ ช นนั ้ น พอใจยิ ่ ง อยู  ซึ ่ ง กามสุ ข , ราคานุ ส ั ย อั น ใดอั น เกิ ด จาสุ ข เวทนา, ราคานุส ัย อัน นั ้น ยอ มนอนตามซึ ่ง บุถ ุช นนั ้น . บุถ ุช นนั ้น ยอ มไมรูช ัด ซึ ่ง เหตุ ใหเกิดขึ้นแหงเวทนา ซึ่งความตั้งอยูไมได ซึ่งรสอรอย ซึ่งโทษอันต่ําทราม

www.buddhadasa.info


๓๙๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

และซึ่ ง อุ บ ายเป น เครื่ อ งออกไปพ น แห ง เวทนาทั้ ง หลาเหล า นั้ น ตามที่ เ ป น จริ ง , เมื ่อ บุถ ุช นนั ้น ไมรู ช ัด อยู ซึ ่ง เหตุใ หเ กิด ขึ ้น ซึ ่ง ความตั ้ง อยู ไ มไ ด ซึ ่ง รสอรอ ย ซึ่ ง โทษอั น ต่ํ า ทราม และซึ่ ง อุ บ ายเป น เครื่ อ งออกไปพ น แห ง เวทนาทั้ ง หลาย เหล า นั้ น ตามที่ เป น จริงอยู . อวิ ช ชานุ สั ย อั น ใด อั น เกิ ด จากอทุ ก ขมสุ ข เวทนา, อวิ ช ชานุ สั ย อั น นั้ น ย อ มนอนตามซึ่ ง บุ ถุ ช นนั้ น . บุ ถุ ช นนั้ น ถ า เสวยสุ ข เวทนา ยอ มเปน ผู ต ิด พัน (ในเวทนา) เสวยเวทนานั ้น ; ถา เสวยทุก ขเวทนา ก็เ ปน ผู ติดพันเสวยเวทนานั้น; ถาเสวยอทุกขมสุขเวทนา ก็เปนผูติดพันเสวยเวทนานั้น. ภิ ก ษุ ท.! บุ ถุ ช นผู ไ ม มี ก ารสดั บ นี้ เรากล า วว า เป น ผู ติ ด พั นแล ว ด ว ยชาติ ช รามรณะ โสกะปริ เ ทวะทุ ก ขะโทมนั ส อุ ป ายาสทั้ ง หลาย; เรากล า วว า เปนผูติดพันแลวดวยทุกข ดังนี้. - สฬา. สํ. ๑๘/๒๕๗-๒๕๘/๓๖๙-๓๗๐.

รายละเอียดที่ควรศึกษาเกี่ยวกับอาสวะ

www.buddhadasa.info ภิ กษุ ท.! ที่ เรากล าวว า "อาสวะ นิ ท านสั ม ภวะแห งอาสวะ เวมั ต ตตาแหงอาสวะ วิบากแหงอาสวะ นิโรธแหงอาสวะ ปฏิปทาใหถึงซึ่งนิโรธแหง อาสวะ เป น สิ่ งที่ ค วรรู แ จ ง" นั้ น เรากล าวหมายถึ งอาสวะไหนกั น เล า? ภิ ก ษุ ท.! อาสวะ ๓ อยางเหลานี้ มีอยู คือกามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ. ภิ ก ษุ ท.! นิ ท านสั ม ภวะ (เหตุ เป น แดนเกิ ด ) แห ง อาสวะ เป น อย า งไร เลา? ภิกษุ ท.! อวิชชา เปนนิทานสัมภวะแหงอาสวะ.


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๙๗

ภิ ก ษุ ท.! เวมั ต ตตา (ประมาณ ต า ง ๆ) แห ง อาสวะ เป น อย า งไรเล า ? ภิก ษุ ท.! อาสวะนํ า ไปสู น รกก็ม ี อาสวะนํ า ไปสู กํ า เนิด เดรัจ ฉานก็ม ี อาสวะ นํ า ไปสู เ ปรตวิ สั ย ก็ มี อาสวะนํ า ไปสู มนุ ส สโลกก็ มี . อาสวะนํ า ไปสู เ ทวโลกก็ มี . ภิกษุ ท.! นี้เราเรียกวา เวมัตตตาแหงอาสวะ. ภิ ก ษุ ท .! วิ บ าก แห งอ าส วะ เป น อ ย างไรเล า? ภิ ก ษุ ท .! ข อ ที่ บุ ค คลถึ ง ซึ่ ง อวิ ช ชาแล ว เขากระทํ า อั ต ตภาพอั น เกิ ด จากอวิ ช ชานั้ น ๆ ให เ กิ ด ขึ้ น๑ เป น อั ต ตภาพมี ส ว นแห ง บุ ญ ก็ ดี มี ส ว นแห ง อบุ ญ ก็ ดี . ภิ ก ษุ ท.! นี้ เ ราเรี ย กว า วิบากแหงอาสวะ. ภิ ก ษุ ท .! นิ โรธ (ค วาม ดั บ ) แห งอ าส วะ เป น อ ย างไรเล า? ภิ ก ษุ ท.! ความดับ แหง อาสวะมี เพราะความดับ แหง อวิช ชา. อริย อัฏ ฐัง คิก มรรค นี้ นั่ น แล เป น ปฏิ ป ทาให ถึ ง ซึ่ ง นิ โ รธแห ง อาสวะ; ปฏิ ป ทานั้ น ได แ ก สั ม มาทิ ฏ ฐิ สั ม มาสั ง กั ป ปะ สั ม มาวาจา สั ม มากั ม มั น ตะ สั ม มาอาชี ว ะ สั ม มาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ.

www.buddhadasa.info ภิก ษ ุ ท .! ใน กาล ใด แล อ ริย ส าวก ยอ ม รู ช ัด ซึ ่ง อ าส วะ อ ยา งนี ้, รู ชั ด ซึ่ ง นิ ท านสั ม ภวะแห ง อาสวะ อย า งนี้ , รู ชั ด ซึ่ ง เวมั ต ตตาแห ง อาสวะ อย า งนี้ , รูชัดซึ่งวิบากแหงอาสวะ อยางนี้, รูชัดซึ่งนิโรธแหงอาสวะ อยางนี้, รูชัด

๑. ข อ ความนี้ ใ ช ไ ด ทั้ ง ภาษาคนและภาษาธรรม : ภาษาคนก็ คื อ เกิ ด ใหม ห ลั ง จากตายแล ว ดั ง ที่ ทราบกั น อยู ; ถ า เป น ภาษาธรรมก็ คื อ อั ต ตภาพป จ จุ บั น ของเขานั้ น เกิ ด เปลี่ ย นเป น บุ ญ หรื อ บาป ตามสมควรแกอ ุป าทานที ่เ กิด ขึ ้น จากความใครนั ้น ๆ โดยที ่ย ัง ไมต อ งตาย; ทั ้ง นี ้แ ลว แตผูศึกษาจะถือเอาความหมายไหน.


๓๙๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

ซึ ่ง ป ฏิป ท า ใหถ ึง ซึ ่ง นิโ รธ แ หง อ า ส ว ะ อ ยา งนี ้; ใน ก า ล นั ้น อ ริย ส า ว ก นั ้น ยอมรูชัดซึ่งพรหมจรรยนี้อันเปนเครื่องเจาะแทงกิเลส วา เปนนิโรธแหงอาสวะ. - ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๖๒-๔๖๓/๓๓๔.

เหตุใหอาสวะเจริญและไมเจริญ ภิ ก ษุ ท.! อาวะทั้ ง หลาย ย อ มเจริ ญ แก บุ ค คล ๒ จํ า พวก. บุ ค คล ๒ จํ า พวกเหล า ไหนเล า ? สองจํ า พวกคื อ บุ ค คลผู ขยะแขยงต อ สิ่ ง ที่ ไ ม ค วร ขยะแขยง บุคคลผูไมขยะแขยงตอสิ่งที่ควรขยะแขยง. .... - ทุก. อํ. ๒๐/๑๐๗/๓๕๓.

ภิ ก ษุ ท.! อาสวะทั้ ง หลาย ย อ มเจริ ญ แก บุ ค คล ๒ จํ า พวก. บุ ค คล ๒ จํ า พวกเหล า ไหนเล า ? สองจํ า พวกคื อ บุ ค คลผู สํ า คั ญ ว า ควรในสิ่ ง ที่ ไ ม ค วร บุคคลผู สําคัญวาไมควรในสิ่งที่ควร. .... - ทุก. อํ. ๒๐/๑๐๗/๓๕๕.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! อาสวะทั้ ง หลาย ย อ มเจริ ญ แก บุ ค คล ๒ จํ า พวก. บุ ค คล ๒ จํ า พวกเหล า ไหนเล า ? สองจํ า พวกคื อ บุ ค คลผู สํ า คั ญ ว า อาบั ติ ใ นสิ่ ง ที่ มิ ใ ช อาบัติ บุคคลผู สําคัญวาไมใชอาบัติในสิ่งทีเปนอาบัติ. .... - ทุก. อํ. ๒๐/๑๐๗/๓๕๗.

ภิ ก ษุ ท.! อาสวะทั้ ง หลาย ย อ มเจริ ญ แก บุ ค คล ๒ จํ า พวก. บุ ค คล ๒ จํ า พวกเหล า ไหนเล า ? สองจํ า พวกคื อ บุ ค คลผู สํ า คั ญ ว า ธรรมในสิ่ ง ที่ ไ ม ใ ช ธรรม บุคคลผู สําคัญวาไมใชธรรมในสิ่งที่เปนธรรม. .... - ทุก. อํ. ๒๐/๑๐๘/๓๕๙.


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๓๙๙

ภิ ก ษุ ท.! อาสวะทั้ ง หลาย ย อ มเจริ ญ แก บุ ค คล ๒ จํ า พวก. บุ ค คล ๒ จํ า พวกเหล า ไหนเล า ? สองจํ า พวกคื อ บุ ค คลผู สํ า คั ญ ว า วิ นั ย ในสิ่ ง ที่ ไ ม ใ ช วินัย บุคคลผู สําคัญวาไมใชวินัยในสิ่งที่เปนวินัย. ภิ ก ษุ ท.! อาสวะทั้ งหลาย ย อ มเจริ ญ แก บุ ค คล ๒ จํ า พวก ๆ เหล า นี้ แล. - ทุก. อํ. ๒๐/๑๐๘/๓๖๑.

ภิ ก ษุ ท.! อาสวะทั้ ง หลาย ย อ มไม เ จริ ญ แก บุ ค คล ๒ จํ า พวก. บุ ค คล ๒ จํ า พวกเหล า ไหนเล า ? สองจํ า พวกคื อ บุ ค คลผู ไม ข ยะแขยงต อ สิ่ ง ที่ ไมควรขยะแขยง บุคคลผูขยะแขยงสิ่งที่ควรขยะแขยง. .... - ทุก. อํ. ๒๐/๑๐๗/๓๕๔.

ภิ ก ษุ ท.! อาสวะทั้ ง หลาย ย อ มไม เ จริ ญ แก บุ คคล ๒ จํ า พ วก. บุ ค คล ๒ จํ าพวกเหล าไหนเล า? สองจํ าพวกคื อ บุ ค คลผู สํ าคั ญ ว าไม ค วรในสิ่ ง ที่ไมควร บุคคลผู สําคัญวาควรในสิ่งที่ควร.....

www.buddhadasa.info - ทุก. อํ. ๒๐/๑๐๗/๓๕๖.

ภิ ก ษุ ท.! อาสวะทั้ ง หลาย ย อ มไม เ จริ ญ แก บุ คคล ๒ จํ า พ วก. บุ ค คล ๒ จํ าพวกเหล า ไหนเล า? สองจํ าพวกคื อ บุ ค คลผู สํ าคั ญ ว าไม ใช อ าบั ติ ในสิ่งที่ไมใชอาบัติ บุคคลผู สําคัญวาอาบัติในสิ่งที่เปนอาบัติ. ... - ทุก. อํ. ๒๐/๑๐๗/๓๕๘.


๔๐๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ ก ษุ ท.! อาสวะทั้ ง หลาย ย อ มไม เ จริ ญ แก บุ ค คล ๒ จํ า พวก. บุ ค คล ๒ จํ า พวกเหล า ไหนเล า ? สองจํ า พวกคื อ บุ ค คลผู สํ า คั ญ ว า ไม ใ ช ธ รรม ในสงที่ไมใชธรรม บุคคลผู สําคัญกวาธรรมในสิ่งที่เปนธรรม. .... - ทุก. อํ. ๒๐/๑๐๘/๓๖๐.

ภิ กษุ ท .! อ าส วะทั้ งห ล าย ย อ ม ไม เจริ ญ แก บุ ค ค ล ๒ จํ า พ วก บุ ค คล ๒ จํ า พวกเหล า ไหนเล า ? สองจํ า พวกคื อ บุ ค คลผู สํ า คั ญ ว า ไม ใ ช วิ นั ย ในสิ่งที่ไมใชวินัย บุคคลผู สําคัญวาวินัยในสิ่งที่เปนวินัย. ภิ ก ษุ ท.! อาสวะทั้ ง หลาย ย อ มไม เ จริ ญ แก บุ ค คล ๒ จํ า พวก ๆ เหลานี้แล. -ทุก. อํ. ๒๐/๑๐๘/๓๖๒.

เหตุใหไมปรินิพพานในทิฏฐธรรม "ข าแต พระองค ผู เจริญ! อะไรหนอเป นเหตุ อะไรเป นป จจั ย ที่ ทํ าให สั ตวบาง พวกในโลกนี้ ไมปรินิพพานในทิฏฐธรรม?"

www.buddhadasa.info ท า นผู เ ป น จอมเทพ! รู ป ทั้ ง หลายที่ จ ะพึ ง รู ไ ด ด ว ยจั ก ษุ มี อ ยู , เป น รู ป ที่ น า ปรารถนา น า ใคร น า พอใจ มี ลั ก ษณ ะน า รั ก เป น ที่ เ ข า ไปอาศั ย แห ง ความใคร เป น ที่ ตั้ ง แห ง ความกํ า หนั ด . ถ า ว า ภิ ก ษุ ย อ มเพลิ ด เพลิ น พ ร่ํ า ส ร ร เส ริ ญ เม า ห ม ก อ ยู  ซึ ่ ง รู ป นั ้ น แ ล ว ไซ ร ; เมื ่ อ ภิ ก ษ ุ นั ้ น เพ ลิ ด เพ ลิ น พร่ําสรรเสริญ เมาหมกอยู กะรูปนั้น, วิญญาณนั้น เปนวิญญาณอันตัณหา


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๔๐๑

ในอารมณ คื อ รู ป อาศั ย แล ว วิ ญ ญ าณ นั้ น คื อ อุ ป าทาน.๑ ท า นผู เ ป น จอมเทพ! ภิกษุผูมีอุปาทาน ยอมไมปรินิพพาน. (ในกรณี แ ห งเสี ย งที่ จ ะพึ งรู สึ ก ด ว ยโสตะ กลิ่ น ที่ จ ะพึ งรู สึ ก ด ว ยฆานะ รสที่ จ ะพึ งรู สึ ก ด วยชิ วหา สั ม ผั สทางผิ วหนั งที่ จะพึ งรูสึ กด วยกายะ(ผิ วกายทั่ วไป) และธั ม มารมณ ที่ จะพึ งรู สึ กด วย มนะ ก็ไดตรัสไวดวยขอความทํานองเดียวกันกับในกรณีแหงรูปที่จะพึงรูไดดวยจักษุ ขางบนนั้น).

ท า นผู เ ป นจอมเทพ ! นี้ แ ล เป นเหตุ นี้ เ ป นป จจั ย ที่ ทํ า ให สั ต ว บางพวกในโลกนี้ ไมปรินิพพานในทิฏฐธรรม. - สฬา. สํ. ๑๘/๑๒๘/๑๗๘.

บุคคลผูถึงซึ่งอวิชชา "ข าแต พระองค ผู เจริญ! คนกล าวกั นว า 'อวิ ชชา-อวิ ชชา' ดั งนี้ . ก็ อวิ ชชา นั้น เปนอยางไร? และบุคคลชื่อวา มีอวิชชา ดวยเหตุเพียงเทาไร? พระเจาขา!"

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ! ใ น โ ล ก นี ้ บุ ถ ุ ช น ผู  ไ ม ไ ด ย ิ น ไ ด ฟ  ง ย อ ม ไ ม รู  จ ั ก รู ป , ไมรู จ ัก เหตุใ หเ กิด ของรูป , ไมรู จ ัก ความดับ ไมเ หลือ ของรูป , ไมรู จ ัก ทาง ดํ า เนิน ใหถ ึง ความดับ ไมเ หลือ ของรูป ; เขายอ มไมรูจ ัก เวทนา, ไมรูจ ัก เหตุ ใหเ กิด ของเวทนา, ไมรู จ ัก ความดับ ไมเ หลือ ของเวทนา, ไมรู จ ัก ทางดํ า เนิน ให ถึง ความดับ ไมเ หลือ ของเวทนา; เขายอ มไมรู จ ัก สัญ ญ า, ไมรู จ ัก เหตุใ หเ กิด ของสัญญา, ไมรูจักความดับไมเหลือของสัญญา, ไมรูจักทางดําเนินใหถึงความดับ

๑. วิญ ญาณในที ่นี ้ หมายถึง มโนวิญ ญาณที ่รู ส ึก ตอ ความเพลิน และความมัว เมาในรูป นั ้น ; ไม ใชจักขุวิญญาณ ที่เห็นรูปตามธรรมดา.


๔๐๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

ไมเ ห ลือ ขอ งสัญ ญ า; เขายอ ม ไมรู จ ัก สัง ข ารทั ้ง ห ล าย , ไมรู จ ัก เห ตุใ หเ กิด ของสั ง ขารทั้ ง หลาย, ไม รู จั ก ความดั บ ไม เ หลื อ ของสั ง ขารทั้ ง หลาย, ไม รู จั ก ทาง ดํ า เนิ น ให ถึ ง ความดั บ ไม เ หลื อ ของสั ง ขารทั้ ง หลาย; เขาย อ มไม รู จั ก วิ ญ ญาณ , ไม รู จั ก เหตุ ใ ห เกิ ด ของวิ ญ ญาณ, ไม รู จั ก ความดั บ ไม เหลื อ ของวิ ญ ญาณ, ไม รู จั ก ทางดํ า เนิ น ให ถึ ง ความดั บ ไม เหลื อ ของวิ ญ ญาณ, ภิ ก ษุ ! ความไม รู นี้ เราเรี ย กว า "อวิชชา" ; และบุคคลชื่อวา มีอวิชชาดวยเหตุมีประมาณเทานี้ แล. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๙๘/๓๐๐.

อวิชชา ของผูถึงซึ่งอวิชชา "ข า แต พ ระองค ผู เจริ ญ ! ที่ เรี ย กกั น ว า 'อวิ ช ชา-อวิ ช ชา' ดั ง นี้ นั้ น เป น อยางไร? และดวยเหตุเพียงเทาไร บุคคลจึงชื่อวา เปนผูถึงซึ่งอวิชชา? พระเจาขา!" ภิก ษุ! ในกรณ ีนี ้ บุถ ุช นผู ไ มม ีก ารสดับ ไมรู ช ัด แจง ตามเปน จริง ซึ่ งรูป เวทนา สั ญ ญา สั งขาร วิ ญ ญาณ อั น มี ความก อ ขึ้ น เป น ธรรมดา ว า "เป น สิ่ ง ที่ มี ค วามก อ ขึ้ น เป น ธรรมดา" ดั ง นี้ ; ไม รู ชั ด แจ ง ตามเป น จริ ง ซึ่ ง รู ป เวทนา สั ญ ญา สั งขาร วิ ญ ญาณ อั น มี ค วามเสื่ อ มไปเป น ธรรมดา ว า "เป น สิ่ งที่ มี ค วาม เสื่ อ มไปเป น ธรรมดา" ดั ง นี้ ; ไม รู ชั ด แจ ง ตามเป น จริ ง ซึ่ ง รู ป เวทนา สั ญ ญ า สังขาร วิญ ญาณ อั น มี ทั้ งความกอ ขึ้น และความเสื่อ มไปเป น ธรรมดา วา "เป น สิ ่ง ที ่ม ีค วามกอ ขึ ้น และความเสื ่อ มไปเปน ธรรมดา" ดัง นี ้. ภิก ษุ! ความไมรู นี้ เราเรี ย กว า อวิ ช ชา; และบุ ค คลชื่ อ ว า เป น ผู ถึ ง ซึ่ ง อวิ ช ชาย อ มมี ไ ด ด ว ยเหตุ มี ประมาณเทานี้ แล.

www.buddhadasa.info - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๐๙/๓๒๐.


ภาค ๒ - สมุทยอริยสัจ

๔๐๓

ทุกขสมุทยอริยสัจเปนสิ่งที่ควรละ ภิ ก ษุ ท.! อริ ย สั จ มี สี่ อ ย า งเหล า นี้ , สี่ อ ย า งเหล า ไหนเล า ? สี่ อ ย า ง คือ :- ทุก ขอริย สัจ ทุข ส ม ุท ยอ ริย สัจ ทุก ขน ิโ รธอ ริย สัจ ทุก ขน ิโ รธค าม ิน ีปฏิปทาอริยสัจ. ภิกษุ ท.! เหลานี้แล คือ อริยสัจสี่อยาง. ภิ ก ษุ ท.! ในบรรดาอริ ย สั จ สี่ อ ย า งเหล า นี้ , อริ ย สั จ ที่ ใคร ๆ ควรรอบรู ม ีอ ยู , อ ริย ส ัจ ที ่ใ ค ร ๆ ค ว ร ล ะ ม ีอ ยู , .... ภ ิก ษ ุ ท .! อ ริย ส ัจ ที ่ใ ค ร ๆ ค วรรอ บ รู นั ้น ไดแ ก อ ริย สัจ คือ ทุก ข; อริย สัจ ที ่ใ ค ร ๆ ค วรล ะนั ้น ไดแ ก อริยสัจคือ เหตุใหเกิดทุกข. .... ภิ ก ษุ ท.! เพราะฉะนั้ น ในกรณี นี้ พวกเธอทั้ ง หลาย พึ ง ทํ า ความ เพีย รเพื ่อ ใหรู ต าที ่เ ปน จริง วา 'ทุก ข เปน เชน นี ้ ๆ', ดัง นี ้; วา 'เหตุใ หเ กิด ทุกข เปนเชนนี้ ๆ'; .... ดังนี้เถิด

www.buddhadasa.info - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๔๖/๑๗๐๙

นิทเทศ ๘

วาดวยกิเลสทั้งหลายในฐานะสมุทัย จบ

ภาค ๒ วาดวยทุกขสมุทยอริยสัจ ความจริงดันประเสริฐคือเหตุใหเกิดทุกข

จบ


๔๐๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

www.buddhadasa.info


คําชี้ชวนวิงวอน ____________ ภิกษุ ท.! โยคกรรม อันเธอพึงกระทํา เพื่อใหรูวา "นี้ทุกข นี้เหตุใหเกิดทุกข นี้ความดับสนิทแหงทุกข นี้ทางใหถึงความดับสนิทแหงทุกข." เทสิตํ. โว มยา นิพฺพานํ เทสิโต นิพฺพานคามิมคฺโค

นิพพาน เราไดแสดงแลว, ทางใหถึงนิพพาน เราก็ไดแสดงแลว แกเธอทั้งหลาย. กิจใด ที่ศาสนาผูเอ็นดู แสวงหาประโยชนเกื้อกูล อาศัยความเอ็นดูแลว จะพึงทําแกสาวกทั้งหลาย, กิจนั้น เราไดทําแลวแกพวกเธอ. นั่น โคนไม; นั่น เรือนวาง. พวกเธอจงเพียรเผากิเลส. อยาไดประมาท, อยาเปนผูที่ตองรอนใจ ในภายหลังเลย.

www.buddhadasa.info อยํ โว อมฺหากํ อนุสาสนี นี่แหละ วาจาเครื่องพร่ําสอนของเรา แกเธอทั้งหลาย. (มหาวาร. สํ. - สฬา.สํ.)

๔๐๕


๔๐๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

www.buddhadasa.info


ภาค ๓ วาดวย

นิโรธอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐคือความดับไมเหลือของทุกข

www.buddhadasa.info

๔๐๗


ภาค ๓ มีเรื่อง :- นิทเทศ ๙ วาดวยเรื่องความดับแหงตัณหา ๒๙ เรื่อง นิทเทศ ๑๐ วาดวยธรรมเปนที่ดับตัณหา ๖๑ เรื่อง นิทเทศ ๑๑ วาดวยผูดับตัณหา ๑๐๖ เรื่อง นิทเทศ ๑๒ วาดวยอาการดับแหงตัณหา ๖๑ เรื่อง

www.buddhadasa.info

๔๐๘


อริยสัจจากพระโอษฐ ภาค ๓ วาดวย

นิโรธอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐ คือความดับไมเหลือของทุกข (มี ๔ นิทเทศ) ____________

อุทเทศแหงนิโรธอริยสัจ ภ ิก ษ ุ ท .! ค วาม จริง อัน ป ระเส ริฐ คือ ค วาม ด ับ ไม เ ห ลือ ขอ งท ุก ข เปน อยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท.! ความดับ สนิท เพราะความจางคลายไปโดย ไมเหลือของตัณหานั้นนั่นเทียว, ความละไปของตัณหานั้น, ความสลัดกลับคืน ของตัณหานั้น, ความหลุดออกไปของตัณหานั้น และความไมมีที่อาศัยอีกตอไป ของตัณ หานั ้น อัน ใด ; อัน นี ้ เราเรีย กวา ความจริง อัน ประเสริฐ คือ ความดับ ไมเหลือของทุกข. - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๓๔/๑๖๘๑.

www.buddhadasa.info

๔๐๙


๔๑๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

นิทเทศแหงนิโรธอริยสัจ _______________________ นิทเทศ ๙ วาดวยความดับแหงตัณหา (มี ๒๙ เรื่อง) ที่ละไปดับไป แหงตัณหา

ภิก ษุ ท.! ตัณ หานั ้น เมื ่อ จะละไป ยอ มละไปในที ่ไ หน ? เมื ่อ จะดับไป ยอมดับไป ในที่ไหน ? ภ ิก ษ ุ ท .! สิ ่ง ใ ด ม ีภ า ว ะ เป น ที ่ร ัก ที ่ย ิน ด ีใ น โล ก , ต ัณ ห า นั ้น เมื่อจะละไป ยอมละไป ในสิ่งนั้น ๆ, เมื่อจะดับไป ยอมดับไป ในสิ่งนั้น ๆ, ภิกษุ ท.! สิ่งใดเลา มีภาวะเปนที่รักที่ยินดีในโลก ?

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท.! ตา มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, หู มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, จมูก มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, ลิ ้น มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที่ ยิ น ดี ใ นโลก, กาย มี ภ าวะเป น ที่ รั ก ที่ ยิ น ดี ใ นโลก, ใจ มี ภ าวะเป น ที่ รั ก ที่ ยิ น ดี ใน โล ก ; ตัณ ห านั ้น เมื ่อ จะล ะไป ยอ ม ล ะไป ใน สิ ่ง นั ้น ๆ, เมื ่อ จะดับ ไป ยอมดับไป ในสิ่งนั้น ๆ.

ภิก ษุ ท .! รูป ทั ้ง ห ลาย มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ น โล ก, เสีย ง ทั้ ง หลายมี ภ าวะเป น ที่ รั ก ที่ ยิ น ดี ใ นโลก, กลิ่ น ทั้ ง หลาย มี ภ าวะเป น ที่ รั ก ที่ ยิ น ดี ในโลก, รส ทั ้ง หลาย มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, โผฏฐัพ พะ ทั ้ง หลาย มีภาวะเปนที่รักที่ยินดีในโลก, ธรรมารมณ ทั้งหลาย มีภาวะเปนที่รักที่ยินดี


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๔๑๑

ใน โล ก ; ตัณ ห านั ้น เมื ่อ จ ะ ล ะ ไป ยอ ม ล ะ ไป ใน สิ ่ง นั ้น ๆ , เมื ่อ จะ ดับ ไป ยอมดับไปในสิ่งนั้น ๆ. ภิ ก ษุ ท .! วิ ญ ญ า ณ ท า ง ต า มี ภ า ว ะ เป น ที่ รั ก ที่ ยิ น ดี ใน โล ก , วิ ญ ญาณ ทางหู มี ภ าวะเป น ที่ รั ก ที่ ยิ น ดี ในโลก, วิ ญ ญาณ ทางจมู ก มี ภ าวะเป น ที่ รั ก ที่ ยิ น ดี ใ นโลก, วิ ญ ญาณ ทางลิ้ น มี ภ าวะเป น ที่ รั ก ที่ ยิ น ดี ใ นโลก, วิ ญ ญาณ ทางกาย มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, วิญ ญาณ ทางใจ มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ น โล ก ; ตัณ ห านั ้น เมื ่อ จะล ะ ยอ ม ละไป ใน สิ ่ง นั ้น ๆ, เมื ่อ จะดับ ยอมดับไป ในสิ่งนั้น ๆ. ภิ ก ษุ ท.! สั ม ผั ส ทางตา มี ภ าวะเป น ที่ รั ก ที่ ยิ น ดี ใ นโลก, สั ม ผั ส ทางหู มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, สัม ผัส ทางจมูก มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดี ในโลก} สั ม ผั ส ท างลิ ้ น มี ภ าวะเป น ที ่ ร ั ก ที ่ ย ิ น ดี ใ นโล ก, สั ม ผั ส ท างก าย มี ภ าวะเป น ที่ รั ก ที่ ยิ น ดี ใ นโลก, สั ม ผั ส ทางใจ มี ภ าวะเป น ที่ รั ก ที่ ยิ น ดี ใ นโลก; ตัณ ห านั ้น เมื ่อ จะล ะไป ยอ ม ล ะไป ใน สิ ่ง นั ้น ๆ, เมื ่อ จะดับ ยอ ม ดับ ไป ในสิ่งนั้น ๆ.

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท.! เวทนาเกิด แตส ัม ผัส ทางตา มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดี ในโลก, เวทนาเกิด แตส ัม ผัส ทางหู มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, เวทนา เกิด แตส ัม ผัส ทางจมูก มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, เวทนาเกิด แตส ัม ผัส ทางลิ้ น มี ภ าวะเป น ที่ รั ก ที่ ยิ น ดี ใ นโลก, เวทนาเกิ ด แต สั ม ผั ส ทางกาย มี ภ าวะ เปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, เวทนาเกิด แตส ัม ผัส ทางใจ มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดี ใน โลก; ตัณ หานั ้น เมื ่อ จะละ ยอ ม ละไป ในสิ ่ง นั ้น ๆ, เมื ่อ จะดับ ยอ ม ดับไป ในสิ่งนั้น ๆ.


๔๑๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิก ษุ ท.! ความ ห ม ายรู ใ นรูป มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, ความหมายรู ในเสีย ง มีภ าวะเปน ที ่รัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, ความหมายรู ในกลิ ่น มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, ความหมายรู  ในรส มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดี ในโลก, ความหมายรู  ในโผฏฐัพ พะ มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, ความ หมายรู ในธรรมารมณ มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก; ตัณ หานั ้น เมื ่อ จะละ ยอมละไป ในสิ่งนั้น ๆ, เมื่อจะดับ ยอมดับไป ในสิ่งนั้น ๆ, ภิก ษุ ท.! ค วาม คิด นึก ใน รูป มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ น โลก, ความคิด นึก ในเสีย ง มีภ าวะเปน ที ่รัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, ความคิด นึก ในกลิ ่น มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, ความคิด นึก ในรส มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดี ในโลก, ความคิ ด นึ ก ในโผฏฐั พ พะ มี ภ าวะเป น ที่ รัก ที่ ยิ น ดี ในโลก, ความคิ ด นึ ก ในธรรมารมณ มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก; ตัณ หานั ้น เมื ่อ จะละ ยอ ม ละไป ในสิ่งนั้น ๆ, เมื่อจะดับไป ยอมดับไป ในสิ่งนั้น ๆ. ภิก ษุ ท.! ตัณ หาในรูป มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, ตัณ หา ในเสีย ง มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, ตัณ หา ในกลิ ่น มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, ตัณ หา ใน รส มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, ตัณ หาใน โผฏฐัพ พะ มีภ าวะเปน ที่รัก ที่ยิน ดีในโลก, ตัณ หา ในธรรมารมณ มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ น โลก ; ตัณ ห านั ้น เมื ่อ จะละ ยอ ม ละไป ใน สิ ่ง นั ้น ๆ, เมื ่อ จะดับ ยอมดับไปในสิ่งนั้น ๆ.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! ค วาม ต ริ ต รึ ก ใน รู ป มี ภ าวะเป น ที่ รั ก ที่ ยิ น ดี ใ นโลก, ความตริตรึก ในเสียง มีภาวะเปนที่รักที่ยินดีในโลก, ความตริตรึก ในกลิ่น


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๔๑๓

มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, ความตริต รึก ในรส มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดี ในโลก, ความตริต รึก ในโผฏฐัพ พะ มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, ความ ตริต รึก ในธรรมารมณ มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก; ตัณ หานั ้น เมื ่อ จะละ ยอมละไป ในสิ่งนั้นๆ, เมื่อจะดับ ยอมดับไป ในสิ่งนั้นๆ. ภิ ก ษุ ท.! ค วาม ต ริ ต รอ งใน รู ป มี ภ าวะเป น ที่ รั ก ที่ ยิ น ดี ใ นโลก, ความตริต รอง ในเสีย ง มีภ าวะเปน ที ่รัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, ความตริต รอง ในกลิ ่น มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, ความตริต รอง ในรส มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดี ในโลก, ความตริต รอง ในโผฏฐัพ พะ มีภ าวะเปน ที ่ร ัก ที ่ย ิน ดีใ นโลก, ความ ตริต รอง ในธรรมารมณ มี ภ าวะเป น ที่ รัก ที่ ยิ น ดี ในโลก; ตั ณ หานั้ น เมื่ อ จะละไป ยอมละไป ในสิ่งนั้น ๆ, เมื่อจะดับไป ยอมดับไป ในสิ่งนั้น ๆ, - มหา. ที. ๑๐/๓๔๖/๒๙๘.

ความดับทุกขมี เพราะความดับแหงนันทิ ปุ ณ ณะ ! รู ป ที่ เห็ น ด วยตาก็ ดี , เสี ยง ที่ ฟ งด วยหู ก็ ดี , กลิ่ น ที่ ด มด วย จมูก ก็ด ี, รส ที ่ลิ ้ม ดว ยลิ ้น ก็ด ี, โผฏฐัพ พะ ที ่ส ัม ผัส ดว ยกายก็ด ี ธรรมารมณ ที่ รู แ จ ง ด ว ยใจก็ ดี , อั น เป น สิ่ ง ที่ น า ปรารถนา น า รั ก ใคร น า พอใจ เป น ที่ ย วนตา ยวนใจให รั ก เป น ที่ เข า ไปตั้ ง อาศั ย อยู แ ห ง ความใคร เป น ที่ ตั้ ง แห ง ความกํ า หนั ด ย อ มใจ มี อ ยู ; ภิ ก ษุ ย อ มไม เ พ ลิ ด เพ ลิ น ไม พ ร่ํ า สรรเสริ ญ ไม เ มาหมก ซึ่ ง อ ารม ณ ม ีร ูป เปน ตน นั ้น . เมื ่อ ภิก ษุไ มเ พ ลิด เพ ลิน ไมพ ร่ํ า ส รรเส ริญ ไม เมาหมก ซึ่งอารมณมี รูปเปนตนนั้นอยู, นันทิ (ความเพลิน) ยอมดับไป.

www.buddhadasa.info


๔๑๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

ปุ ณ ณะ ! เรากล า วว า "ความดั บ ไม มี เ หลื อ ของทุ ก ข มี ไ ด เพราะ ความดับไมเหลือของความเพลิน" ดังนี้ แล. -

อุปริ. ม.๑๔/๔๘๒/๗๕๖.

ลูกโซแหงความดับทุกข ภิกษุ ท.! เพราะความจางคลาย จนดับไมเหลือแหงอวิชชา นั่นแหละ จึ งมี ค วามดั บ แห งสั งขาร; เพราะความดั บ แห งสั งขาร จึ งมี ค วามดั บ แห งวิ ญ ญาณ; เพราะความดั บ แห ง วิ ญ ญาณ จึ ง มี ค วามดั บ แห ง นามรู ป ; เพราะความดั บ แห ง นามรู ป จึ ง มี ค วามดั บ แห ง อายตนะหก ; เพราะความดั บ แห ง อายตนะหก จึ ง มี ความดั บ แห ง ผั ส สะ ; เพ ราะความดั บ แห ง ผั ส สะ จึ ง มี ค วามดั บ แห ง เวทนา; เพราะความดั บ แห ง เวทนา จึ ง มี ค วามดั บ แห ง ตั ณ หา; เพราะความดั บ แห ง ตั ณ หา จึ ง มี ค วามดั บ แห ง อุ ป าทาน ; เพราะความดั บ แห งอุ ป าทาน จึ งมี ค วามดั บ แห ง ภพ; เพราะความดั บ แห ง ภพ จึ ง มี ค วามดั บ แห ง ชาติ ; เพราะความดั บ แห ง ชาติ , ชรา มรณ ะ โสกะ ป ริเ ท วะ ทุก ขะ โท ม นัส อุป ายาส ยอ ม ดับ ไมเ ห ลือ . ความ ดับไมเหลือแหงกองทุกขทั้งสิ้นนั้น ยอมมีได ดวยอาการอยางนี้แล.

www.buddhadasa.info - นิทาน. สํ. ๑๖/๒/๓. -

พนทุกขเพราะไมเพลินในธาตุ

ภิ กษุ ท .! ผู ใด ย อ ม ไม เพ ลิ น ก ะธาตุ ดิ น (ป ฐวี ธ าตุ ) ก ะธาตุ น้ํ า (อาโปธาตุ) กะธาตุไฟ (เตโชธาตุ) กะธาตุลม (วาโยธาตุ), ผูนั้นยอมชื่อวา


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๔๑๕

ไมเ พ ลิน ใน สิ ่ง ที ่เ ปน ทุก ข. ผู ใ ด ยอ ม ไมเ พ ลิน ใน สิ ่ง ที ่เ ปน ทุก ข, เรากลา ว ผูนั้นวา เปน "ผูหลุดพนแลวจากทุกข" ดังนี้ แล. - นิทาน. สํ. ๑๖/๒๐๘/๔๑๓.

ความหมายของคําวา "ความดับ" "ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! พระองค กล าวอยู ว า 'ความดั บ ๆ' ดั งนี้ . อั นว า' ความดับ ๆ' ดังกลาวนี้ หมายถึงความดับแหงธรรมทั้งหลาย เหลาไหนเลา ? พระเจาขา!" อานนท ! รูปก็ดี เวทนาก็ดี สัญญาก็ดี สัญญาก็ ดี สังขารทั้งหลายก็ดี วิญญาณ ก็ด ี เปน ของไมเ ที ่ย ง อัน ปจ จัย ปรุง แตง แลว อาศัย กัน และกัน เกิด ขึ ้น มีค วาม สิ้ น ไปเป น ธรรมดา มี ค วามเสื่ อ มไปเป น ธรรมดา มี ค วามจางคลายไปเป น ธรรมดา มี ค วามดั บ ไปเป น ธรรมดา, คํ า อั น เรากล า วว า "ความดั บ ๆ" หมายถึ ง ความดั บ แหงขันธมีรูปเปนตนนั้น ๆ ดังนี้. อานนท ! คํ า อั น เรากล า วว า "ความดั บ ๆ" ดั ง นี้ หมายถึ ง ความ ดับแหงธรรมทั้งหลายเหลานี้แล.

www.buddhadasa.info - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๓๐/๔๘.

หมายเหตุ : ผู ศึ กษาพึ งทํ าความสั งเกตวา พระองค ตรัสความดั บของเบญจขั นธ หมายถึ งความ ดับ ทุก ขโ ดยตรง เพราะไดต รัส ไวใ นที ่ทั ่ว ไปวา ปญ จุป าทานัก ขัน ธ คือ ตัว ทุก ข โดยสรุป และ เมื่ อ ดั บ ป ญ จุ ป าทานั ก ขั น ธ เสี ย แล ว ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ ซึ่ ง เป น อาการแห ง ความทุ ก ข ก็ ดั บ ไปดวยกัน.


๔๑๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

ความดับของรูปขันธ คือ ความดับของทุกข ภิ ก ษุ ท.! ความดั บ ความเข า ไปสงบรํ า งั บ ความตั้ ง อยู ไ ม ไ ด ของ สิ ่ง ที ่เ รีย กวา ธาตุด ิน , . ของสิ ่ง ที ่เ รีย กวา ธาตุน้ํ า , ของสิ ่ง ที ่เ รีย กวา ธาตุไ ฟ, ของ สิ ่ง ที ่เ รีย กวา ธาตุล ม ใด ๆ ; อัน นั ้น แหละเปน ความดับ ของทุก ข, อัน นั ้น แหละ เป น ความเข า ไปสงบรํ า งั บ ของสิ่ ง ซึ่ ง มี ป รกติ เ สี ย บแทงทั้ ง หลาย, อั น นั้ น แหละ เปนความตั้งอยูไมไดของชราและมรณะ แล. - นิทาน. สํ. ๑๖/๒๐๙/๔๑๕. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๘๖/๔๙๕. ( ความดับในกรณีเชนนี้ ทุกแหง หมายถึงดับนันทิราคะในสิ่งนั้น ๆ เสีย ).

ความดับของเวทนาขันธ คือ ความดับของทุกข ภิ ก ษุ ท.! ความดั บ ความเข า ไปสงบรํ า งั บ ความตั้ ง อยู ไ ม ไ ด ของ เวทนาที ่เ กิด ขึ ้น แตส ัม ผัส ทางตา, ของเวทนาที ่เ กิด แตส ัม ผัส ทางหู, ของเวทนา ที ่เ กิด แตส ัม ผัส ทางจมูก , ของเวทนาที ่เ กิด แตส ัม ผัส ทางลิ ้น , ของเวทนาที ่เ กิด แต สั ม ผั ส ทางกาย และของเวทนาที่ เ กิ ด แต สั ม ผั ส ทางใจ ใด ๆ ; อั น นั้ น แหละ เป น ความดั บ ของทุ ก ข , อั น นั้ น แหละเป น ความเข า ไปสงบรํ า งั บ ของสิ่ ง ซึ่ ง มี ป รกติ เสียบแทงทั้งหลาย, อันนั้นแหละเปนความตั้งอยูไมไดของชราและมรณะ แล.

www.buddhadasa.info - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๘๕/๔๘๘.

ความดับของสัญญาขันธ คือ ความดับของทุกข ภ ิก ษ ุ ท .! ค วาม ดับ ค วาม เขา ไป ส งบ รํ า งับ ค วาม ตั ้ง อ ยู ไ ม ไ ด ของสัญญาในรูป ของสัญญาในเสียง ของสัญญาในกลิ่น ของสัญญาในรส ของ


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๔๑๗

สั ญ ญ าในโผฏฐั พ พะ และของสั ญ ญ าในธรรมารมณ ใด ๆ, อั น นั้ น แหละเป น ความ ดั บ ของทุ ก ข อั น นั้ น แหล ะเป น ความ เข า ไป ส งบ รํ า งั บ ของสิ่ ง ซึ่ ง มี ป รกติ เสียบแทง, อันนั้นแหละเปนความตั้งอยูไมไดของชราและมรณะ แล. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๘๕/๔๙๐.

ความดับของสังขารขันธ คือ ความดับของทุกข ภิ กษุ ท.! ความ ดั บ ความ เช า ไป สงรํ า งั บ ความตั้ ง อยู ไ ม ไ ด ของ สั ญ เจ ต น า ใน รู ป , ข อ งสั ญ เจ ต น า ใน เสี ย ง, ข อ งสั ญ เจ ต น า ใน ก ลิ่ น , ข อ ง สั ญ เจตนาในรส, ของสั ญ เจตนาในโผฏฐั พ พะ และของสั ญ เจตนาในธรรมารมณ ใด ๆ ; อัน นั ้น แหละเปน ความดับ ของทุก ข, อัน นั ้น แหละเปน วามเขา ไปสงบ รํ า งั บ ของสิ่ ง ซึ่ ง มี ป รกติ เ สี ย บแทงทั้ ง หลาย, อั น นั้ น แหละเป น ความตั้ ง อยู ไ ม ไ ด ของชราและมรณะแล. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๘๕/๔๙๒.

ความดับของวิญญาณขันธ คือ ความดับของทุกข

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! ความดั บ ความเข า ไปสงบรํ า งั บ ความตั้ ง อยู ไ ม ไ ด ของ วิ ญ ญ าณ ทางตา, ของวิ ญ ญ าณ ทางหู ของวิ ญ ญ าณ ทางจมู ก , ของวิ ญ ญ าณ ทางลิ้ น , ของวิ ญ ญ าณ ทางกาย และของวิ ญ ญ าณ ทางใจ ใด ๆ; อั น นั้ น แหละ เป น ความดั บ ของทุ ก ข , อั น นั้ น แหละเป น ความเข า ไปสงบรํ า งั บ ของสิ่ ง ซึ่ ง มี ป รกติ เสียบแทงทั้งหลาย. อันนั้นแหละเปนความตั้งอยูไมไดของชราและมรณะ แล. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๘๗/๔๙๘.


๔๑๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

ความดับของเบญจขันธ คือ ความดับของทุกข ภิ ก ษุ ท.! ความดั บ ความเข า ไปสงบรํ า งั บ ความตั้ ง อยู ไม ได ข องรู ป ของเวทนา ของสั ญ ญา ของสั ง ขาร และของวิ ญ ญาณ ใด ๆ, อั น นั้ น แหละเป น ความดั บ ของทุ ก ข , อั น นั้ น แหละเป น ความเข า ไปสงบรํ า งั บ ของสิ่ ง ซึ่ ง มี ป รกติ เสียบแทงทั้งหลาย, อันนั้นแหละเปนความตั้งอยูไมไดของชราและมรณะ แล. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๘๗/๔๙๘.

ดับตัณหา คือปลงภาระหนักลงได ภิกษุ ท.! การปลงภาระหนักลงเสียได เปนอยางไรเลา ? ภิ ก ษุ ท.! ความดั บ สนิ ท เพราะความจางคลายไปโดยไม เ หลื อ ของ ตั ณ หานั้ น นั่ น เที ย ว, ความละไปของตั ณ หานั้ น , ความสลั ด กลั บ คื น ของตั ณ หา นั้ น , ความหลุ ด ออกไปของตั ณ หานั้ น , และความไม มี ที่ อ าศั ย อี ก ต อ ไปของ ตัณ หานั ้น อัน ใด; ภิก ษุ ท.! อัน นี ้เ ราเรีย กวา การปลงภาระหนัก ลงเสีย ได ดังนี้.

www.buddhadasa.info พระผูมีพระภาคเจา ไดตรัสพุทธวจนะนี้ ซึ่งเปนคํารอยกรองสืบตอไป :-

"ขันธทั้งหาเปนของหนักเนอ! บุคคลแหละ เปนผูแบกของหนักพาไป. การแบกถือของหนัก เปนความทุกขในโลก. การปลงภาระหนักเสียไดเปนความสุข.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๔๑๙

พระอริยเจาปลงภาระหนักลงเสียแลว. ทั้งไมหยิบฉวยเอาของหนักอันอื่นขึ้นมาอีก. ก็เปนผูถอนตัณหาขึ้นไดกระทั่วราก (อวิชชา); เปนผูหมดสิ่งปรารถนา ดับสนิทไมมีสวนเหลือ" ดังนี้. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๓๒/๕๒-๕๓

ละกิเลสตัณหาได คือละเบญจขันธได ภิ ก ษุ ท.! ความพ อใจ (ฉั น ทะ) ก็ ดี ความกํ า หนั ด (ราคะ) ก็ ดี ความเพลิ น (นั น ทิ ) ก็ ดี ตั ณ หาก็ ดี มี อ ยู ใ นรู ป ในเวทนา ในสั ญ ญา ในสั ง ขาร ทั้ ง หลาย ในวิ ญ ญ าณ ใด ๆ, พวกเธอทั้ ง หลาย จงละกิ เ ลสนั้ น ๆ เสี ย . ด ว ย การทํ าอย างนี้ รู ป เวทนา สั ญ ญา สั งขารทั้ งหลาย วิ ญ ญาณ นั้ น ๆ จั ก เป น สิ่ งที่ พวกเธอละได แ ล ว เป น สิ่ ง ที่ มี มู ล รากอั น ตั ด เสี ย แล ว ทํ า ให เหมื อ นตาลยอดเน า ทําใหมีอยูไมไดทําใหเปนสิ่งที่เกิดขึ้นไมไดอีกตอไป. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๓๖/๓๗๕.

www.buddhadasa.info ราธะ ! ความพอใจก็ ดี ความกํ า หนั ด ก็ ดี ความเพลิ น ก็ ดี ตั ณ หาก็ ดี อุ ป ายะ (กิ เลสเป นเหตุ ให เข าไปสู ภพ) ก็ ดี และอุ ปาทานก็ ดี อั นเป นเครื่ องตั้ งทั บเครื่ อง เข า ไปอาศั ย และเครื่ อ งนอนเนื่ อ งแห ง จิ ต มี อ ยู ใ นรู ป ในเวทนา ในสั ญ ญา ใน สั ง ขาร ในวิ ญ ญาณ ใด ๆ; พวกเธอทั้ ง หลายจงละกิ เ ลสนั้ น ๆ เสี ย . ด ว ยการ ทําอยางนี้ รูป เวทนา สัญญา สังขารทั้งหลาย วิญญาณนั้น ๆ จักเปนสิ่งที่พวก


๔๒๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

เธอละได แ ล ว เป น สิ่ ง ที่ มี มู ล รากอั น ตั ด ขาดเสี ย แล ว ทํ า ให เหมื อ นตาลยอดเน า ทําใหมีอยูไมได ทําใหเปนสิ่งที่เกิดขึ้นไมไดอีกตอไป. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๓๗/๓๗๖.

ละฉันทราคะแหงสิ่งใด ก็คือการละซึ่งสิ่งนั้น ภิ ก ษุ ท.! เมื่ อ ไม รู ยิ่ ง ไม รู ร อบ ไม ค ลายกํ า หนั ด ไม ล ะขาด ซึ่ ง รูป .... เวทนา.... สัญ ญ า.... สัง ขาร.... วิญ ญ าณ ก็ไ มค วรแกค วามสิ ้น ไป แหงทุกข. ภิ ก ษุ ท.! เมื่ อ รู ยิ่ ง เมื่ อ รู รอบ เมื่ อ คลายกํ าหนั ด เมื่ อ ละขาด ซึ่ ง รู ป .... เวท น า .... สั ญ ญ า .... สั ง ข าร วิ ญ ญ าณ ก็ ค ว ร แ ก ค ว าม สิ ้ น ไป แหงทุกข. ภิก ษ ุ ท .! เธอทั ้ง ห ลายจ งล ะฉัน ท ราค ะใน รูป .... เวท น า.... สัญ ญ า ....สัง ขาร.... วิญ ญ าณ เสีย ; ดว ยการกระทํ า อยา งนี ้ เปน อัน วา รู ป .... เวทนา.... สั ญ ญ า.... สั ง ขาร.... วิ ญ ญ าณ นั ้ น เป น สิ ่ ง ที ่ เ ธอ ละขาดแลว มีร ากอัน ขาดแลว ทํ า ใหเ ปน เหมือ นตน ตาลมีขั ้ว ยอดอัน ขาดแลว ใหถึงความไมมีอยู มีอันไมเกิดขึ้นอีกตอไปเปนธรรมดา.

www.buddhadasa.info - ขนฺธ สํ. ๑๗/๓๓/๕๖-๕๘. (ข อ ความนี้ มี ป ระโยชน ม าก ที่ ทํ าให เราสามารถละสิ่ งที่ ควรละได เต็ ม ตามความหมาย; คือ ไมใ ชล ะตัว วัต ถุนั ้น แตล ะความกํ า หนัด พอใจในสิ ่ง นั ้น จึง จะเปน การละสิ ่ง นั ้น ไดเ ด็ด ขาด และเปนสิ่งที่ปฏิบัติไดยิ่งกวาการที่จะไปละวัตถุนั้น ๆ โดยตรง).


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๔๒๑

ความสิ้นตัณหา คือ นิพพาน "ข า แต พ ระองค ผู เจริ ญ ! ที่ เรี ย กว า 'สั ต ว สั ต ว ' ดั งนี้ , อั น ว า สั ต ว มี ได ดวยเหตุเพียงเทาไรเลา ? พระเจาขา !" ราธะ ! ความพอใจอัน ใด ราคะอัน ใด นัน ทิอ ัน ใด ตัณ หาอัน ใด มี อ ยู ใ นรู ป ในเวทนา ในสั ญ ญ า ในสั ง ขารทั้ ง หลาย และในวิ ญ ญาณ , เพราะ การติดแลว ของแลว ในสิ่งนั้น ๆ, เพราะฉะนั้นจึงเรียกวา 'สัตว' ดังนี้. ราธะ ! เปรี ย บเหมื อ นพวกกุ ม ารน อ ย ๆ หรื อ กุ ม ารี น อ ย ๆ เล น เรื อ น น อ ย ๆ ที่ ทํ า ด ว ยดิ น อยู , ตราบใดเขายั ง มี ร าคะ มี ฉั น ทะ มี ค วามรั ก มี ค วาม กระหายมี ความ เร า ร อ น และมี ตั ณ ห า ใน เรื อ นน อ ยที่ ทํ า ด ว ยดิ น เหล า นั้ น ; ตราบนั้ น พวกเด็ ก น อ ยนั้ น ๆ ย อ มอาลั ย เรื อ นน อ ยที ทํ า ด ว ยดิ น เหล า นั้ น ย อ ม อยากเลน ยอ มอยากมีเ รือ นนอ ย ที ่ทํ า ดว ยดิน เหลา นั ้น . ยอ มยึด ถือ เรือ นนอ ย ที่ทําดวยดินเหลานั้นวาเปนของเรา ดังนี้.

www.buddhadasa.info ราธะ ! แต เ มื่ อ ใดแล พวกกุ ม ารน อ ย ๆ หรื อ กุ ม ารี น อ ย ๆ เหล า นั้ น มี ราคะไปปราศแล ว มี ฉั น ทะไปปราศแล ว มี ค วามรั ก ไปปราศแล ว มี ค วามกระหาย ไปปราศแล ว มี ค วามเร า ร อ นไปปราศแล ว มี ตั ณ หาไปปราศแล ว ในเรื อ นน อ ยที่ ทํ า ดว ยดิน เหลา นั ้น , ในกาลนั ้น แหละพวกเขายอ มทํ า เรือ นนอ ย ๆ ที ่ทํ า ดว ย ดิ น เหล า นั้ น ให ก ระจั ด กระจายเรี่ ย รายเกลื่ อ นกล น ไป กระทํ า ให จ บการเล น เสี ย ดวยมือและเทาทั้งหลาย, อุปมานี้ฉันใด ;


๔๒๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

ราธะ ! อุ ป ไมยก็ ฉั น นั้ น คื อ แม พ วกเธอทั้ ง หลายจงเรี่ ย รายกระจาย ออก ซึ่ ง รู ป เวทนา สั ญ ญ า สั ง ขาร และวิ ญ ญ าณ . จงขจั ด เสี ย ให ถู ก วิ ธี , จง ทํ า ใหแ ห ล ก ล าญ โด ย ถ ูก วิธ ี, จ งทํ า ให จ บ ก ารเลน ใหถ ูก วิธ ี, จงป ฏ ิบ ัต ิเ พื ่อ ความสิ้นไปแหงตัณหาเถิด. ราธะ! เพราะวา ความสิ้นไปแหงตัณหานั้น คือนิพพาน ดังนี้ แล. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๓๒/๓๖๗.

ที่สุดของพรหมจรรย คือนิพพาน "ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! ที่ เรี ยกว า 'มาร มาร' ดั งนี้ , ด วยเหตุ เพี ยงเท าไร เลา จึงถูกเรียกวา มาร พระเจาขา !" ราธะ ! เมื่ อ รู ป เวทนา สั ญ ญ า สั ง ขาร และวิ ญ ญ าณ มี อ ยู , จะพึ ง มีมาร, มีผูใหตาย หรือวาผูตาย.

www.buddhadasa.info รา ธ ะ ! เพ รา ะ ฉ ะ นั ้น ใน เรื ่อ งนี ้ เธ อ จ งเห ็น รูป เว ท น า ส ัญ ญ า สั ง ขาร และวิ ญ ญ าณ ว า 'เป น มาร' เห็ น ว า เป น 'ผู ใ ห ต าย' เห็ น ว า 'ผู ต าย' เห็น วา 'เปน โรค' เห็น วา 'เปน หัว ฝ' เห็น วา 'เปน ลูก ศร' เห็น วา 'เปน ทุก ข' เห็ น ว า 'เป น ทุ ก ข ที่ เกิ ด แล ว ' ดั ง นี้ . พวกใดย อ มเห็ น รู ป เวทนา สั ญ ญา สั ง ขาร และวิญญาณนั้น ดวยอาการอยางนี้, พวกนั้น ชื่อวา ยอมเห็นโดยชอบ แล.

"ข า แต พ ระองค ผู เจริ ญ ! สั ม มาทั ส สนะ (การเห็ น โดยชอบ) มี อ ะไร เปนประโยชนที่มุงหมายเลา พระเจาขา !"


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๔๒๓

ราธะ ! สั ม มาทั ส สนะ มี นิ พ พิ ท า (ความเบื่ อ หน า ย) เป น ประโยชน ที่มุงหมาย. "ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! ก็ นิ พพิ ทา (ความเบื่ อหน าย) มี อะไรเป นประโยชน ที่มุงหมายเลา พระเจาขา !" ราธะ ! นิ พ พิ ท าแล มี วิ ร าคะ (ความจางคลายไป) เป น ประโยชน ที่ มุงหมาย. "ข าแต พ ระองค ผู เจริ ญ ! ก็ วิ ราคะ มี อ ะไรเป น ประโยชน ที่ มุ งหมายเล า พระเจาขา!" ราธะ ! วิราคะแล มีวิมุติ (ความหลุดพน) เปนประโยชนที่มุงหมาย "ข า แต พ ระองค ผู เจริ ญ ! ก็ วิ มุ ติ มี อ ะไรเป น ประโยชน ที่ มุ งหมายเล า พระเจาขา ?" ราธะ ! วิมุติแล มีนิพพานเปนประโยชนที่มุงหมาย. "ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! ก็ นิ พพาน มี อะไรเป นประโยชน ที่ มุ งหมายเล า

www.buddhadasa.info พระเจาขา?"

ราธะ ! เขาไดถ ามเลยปญ หาเสีย แลว , เธอไมอ าจจะจับ ฉวยเอา ที่สุดของปญหาได.

ราธะ ! ดว ยวา พรหมจรรย ที่ป ระพฤติกัน อยูนี ้แ ล ยอ มหยั่ง ลง สูนิพพาน มีนิพพานเปนที่สุดทาย. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๓๑/๓๖๖.


๔๒๔

อริยสัจจากพระโอษฐ ความไมเพลินในอายตนะ คือความหลุดพนจากทุกข

ภ ิก ษ ุ ท .! ส ว น ผู ใ ด ย อ ม ไม เ พ ล ิน ก ะ ต า , ไม เ พ ล ิน ก ะ ห ู, ไม เพลิน กะจมูก , ไมเ พลิน กะลิ ้น , ไมเ พลิน กะกาย, ไมเ พลิน กะใจ แลว ไซร ; ผู นั ้น ชื ่อ วา ยอ มเพ ลิด เพลิน กะสิ ่ง อัน เปน ทุก ข. ผู ใ ด ยอ มไมเ พลิด เพ ลิน กะสิ่งอันเปนทุกข ; เรากลาววา ผูนั้น ยอมหลุดพนจากทุกข ดังนี้. -

สฬา. สํ. ๑๘/๑๖/๑๙.

ภิ ก ษุ ท.! ส ว นผู ใ ดแล ย อ มไม เ พลิ ด เพลิ น กะรู ป , ไม เ พลิ ด เพลิ น ก ะ เสี ย ง, ไม เ พ ลิ ด เพ ลิ น ก ะ ก ลิ ่ น , ไม เ พ ลิ ด เพ ลิ น ก ะ รส , ไม เ พ ลิ ด เพ ลิ น กะโผฏฐัพ พะ, ไมเ พลิด เพลิน กะธรรมารมณ  แลว ไซร; ผู นั ้น ชื ่อ วา ยอ ม ไม เ พลิ ด เพลิ น กะสิ่ ง อั น เป น ทุ ก ข . ผู ใ ด ย อ มไม เ พลิ ด เพลิ น กะสิ่ ง อั น เป น ทุ ก ข . เรากลาวา ผูนั้นยอมหลุดพนจากทุกข ดังนี้แล. - สฬา. สํ. ๑๘/๑๖/๒๐.

www.buddhadasa.info หลุดพนจากทุกข เพราะไมเพลิดเพลินในเบญจขันธ

ภิ ก ษุ ท .! ผู ใด ไม เพ ลิ ด เพ ลิ น อ ยู ใน รู ป , ผู นั้ น เท ากั บ ไม เพลิด เพลิน อยู  ในสิ ่ง ที ่เ ปน ทุก ข. เรากลา ววา "ผู ใ ด ไมเ พลิด เพลิน อยู  ใน สิ่งที่เปนทุกข, ผูนั้น ยอมหลุดพนไปไดจากทุกข" ดังนี้;


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๔๒๕

ภิ ก ษุ ท .! ผู  ใ ด ไม เ พ ลิ ด เพ ลิ น อ ยู  ใ น เว ท น า , ผู  นั ้ น เท า กั บ ไมเ พลิด เพลิน อยู  ในสิ ่ง ที ่เ ปน ทุก ข, เรากลา ววา "ผู ใ ด ไมเ พลิด เพลิน อยู ในสิ่งที่เปนทุกข, ผูนั้น ยอมหลุดพนไปไดจากทุกข" ดังนี้ ; ภิก ษุ ท .! ผู ใ ด ไมเ พ ลิด เพ ลิน อ ยู ใ น สัญ ญ า , ผู นั ้น เทา กับ ไมเ พลิด เพลิน อยู  ในสิ ่ง ที ่เ ปน ทุก ข, เรากลา ววา "ผู ใ ด ไมเ พลิด เพลิน อยู ในสิ่งที่เปนทุกข, ผูนั้น ยอมหลุดพนไปไดจากทุกข ดังนี้ ; ภิก ษุ ท .! ผู ใ ด ไมเ พ ลิด เพ ลิน อ ยู ใ น สัง ข าร , ผู นั ้น เทา กับ ไมเ พลิด เพลิน อยู  ในสิ ่ง ที ่เ ปน ทุก ข, เรากลา ววา "ผู ใ ด ไมเ พลิด เพลิน อยู ในสิ่งที่เปนทุกข, ผูนั้น ยอมหลุดพนไปไดจากทุกข" ดังนี้ ; ภิก ษุ ท.! ผู ใ ด ไมเ พ ลิด เพ ลิน อ ยู ใ น วิญ ญ าณ , ผู นั ้น เทา กับ ไมเ พลิด เพลิน อยู  ในสิ ่ง ที ่เ ปน ทุก ข. เรากลา วา "ผู ใ ด ไมเ พลิด เพลิน อยู ในสิ่งที่เปนทุกข, ผูนั้น ยอมหลุดพนไปไดจากทุกข" ดังนี้.

www.buddhadasa.info - ขนฺธ. สฺ ๑๗/๓๙/๖๕.

ความดับของอายตนะ คือ ความดับของทุกข

ภิ ก ษุ ท.! ความดั บ ความเข า ไปสงบรํ า งั บ และความตั้ ง อยู ไ ม ไ ด แห ง ตา แห ง หู แห ง จมู ก แห ง ลิ้ น แห ง กาย แห ง ใจ ใด ๆ; อั น นั้ น แหละเป น ความ ดั บ แห ง ทุ ก ข , อั น นั้ น แหละเป น ความเข า ไปสงบรํ า งั บ แห ง สิ่ ง ซึ่ ง มี ป รกติ เสี ย บแทง ทั้งหลาย, อันนั้นแหละเปนความตั้งอยูไมไดแหงชราและมรณะ แล. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๘๓/๔๘๐. - สฬา. สํ. ๑๘/๑๗/๒๑.


๔๒๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ ก ษุ ท.! ความดั บ ความเข า ไปสงบรํ า งั บ และความตั้ ง อยู ไ ม ไ ด แห ง รู ป แห ง เสี ย ง แห ง กลิ่ น แห ง รส แห ง โผฏฐั พ พะ แห ง ธรรมารมณ ใด ๆ, อั น นั้ น แหละ เป น ความดั บ แห ง ทุ ก ข , อั น นั้ น แหละ เป น ความเข า ไปสงบรํ า งั บ แห ง สิ่ ง ซึ่ ง มี ป รกติ เ สี ย งแทงทั้ ง หลาย, อั น นั้ น แหละ เป น ความตั้ ง อยู ไ ม ไ ด แ ห ง ชราและมรณะ แล. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๘๔/๔๘๒. - สฬา. สํ. ๑๘/๑๗/๒๓.

ความรูที่ถึงขั้นทําลายตัณหาแหงกามคุณในอดีต มาคั ณ ฑิ ย ะ ! ท านจะสํ าคั ญ ความข อ นี้ ว าอย างไร : คนบางคนในโลก นี ้ เคยไดร ับ การบํ า รุง บํ า เรอดว ยรูป ทางตา อัน เปน รูป ที ่น า ปรารถนา นา ใคร น า พอใจ มี ลั ก ษณ ะน า รั ก เป น ที่ เ ข า ไปอาศั ย อยู แ ห ง ความใคร เป น ที่ ตั้ ง แห ง ความกําหนั ด มาแลว ; ครั้นสมัยอื่นอีก เขามารูแจงตามที่ เป นจริง ซึ่ งความเกิ ด ความดับ รสอรอย โทษต่ําทราม และอุบายเครื่องออก แหงรูปทั้งหลาย นั่นเทียว แล ว ละเสี ย ซึ่ ง ตั ณ หาในรู ป บรรเทาเสี ย ซึ่ ง ความเร า ร อ นในรู ป ปราศจากความ กระหาย เป น ผู มี จิ ต สงบแล ว ในภายใน อยู . มาคั ณ ฑิ ย ะ ! ท า นมี อ ะไรที่ จ ะ กลาวปรารภบุคคลคนนี้บางไหม ? "ไมมีเลย พระเจาขา !"

www.buddhadasa.info ( ต อ ไปนี้ ได มี ก ารถาม-ตอบ ในกรณี แ ห งเสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ โดยทํ า นอง เดียวกัน ). - ม. ม. ๑๓/๒๗๓/๒๘๐.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๔๒๗

ความปลอดจากกามโยคะ ภิ ก ษุ ท.! ความปลอดจากกิ เ ลส อั น เป น เครื่ อ งประกอบสั ต ว ไ ว ใ น ภพ มี ๔ อย า งเหล า นี้ . สี่ อ ย า งเหล า ไหนเล า ? สี่ อ ย า งคื อ ความปลอดจาก กามโยคะ, ความปลอดจากภวโยคะ, ความปลอดจากทิฏ ฐิโ ยคะ, ความ ปลอดจากอวิชชาโยคะ. ภิ ก ษุ ท.! ความปลอดจากกามโยคะ เป น อย า งไรเล า ? ภิ ก ษุ ท.! บุค คลบางคนในโลกนี ้ ยอ มรู แ จง ชัด ตามที ่เ ปน จริง ซึ ่ง ความกอ ขึ ้น แหง กาม ทั้ งหลายด ว ย ซึ่ ง ความดั บ ไปแห ง กามทั้ งหลายด ว ย ซึ่ งรสอร อ ยแห ง กามทั้ งหลาย ดว ย ซึ ่ง โทษแหง กามทั ้ง หลายดว ย ซึ ่ง อุบ ายเปน เครื ่อ งออกพน ไปไดจ ากกาม ทั ้ง ห ลายดว ย ; เมื ่อ เขารู ต าม ที ่เ ปน จริง อยู เ ชน นั ้น , ความ กํ า หนัด ใน กาม ความเพลิ ด เพลิ น ในกาม ความเสน ห าในกาม ความสยบอยู ใ นกาม ความหิ ว กระหายในกาม ความเร าร อ นเพราะกาม ความเมาหมกในกาม และกามตั ณ หา, ในกามทั ้ง หลาย เหลา นี ้ย อ มไมน อนเนื ่อ งอยู ใ นบุค คลนั ้น . ภิก ษุ ท.! นี ้เ รา เรียกวา ความปลอดจากกามโยคะ.

www.buddhadasa.info - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๔/๑๐.

ความปลอดจากภวโยคะ

ภิ ก ษุ ท.! ความปลอดจากภวโยคะ เป น อย า งไรเล า ? ภิ ก ษุ ท.! บุค คลบางคนในโลกนี ้ ยอ มรู แ จง ชัด ตามที ่เ ปน จริง ซึ ่ง ความกอ ขึ ้น แหง ภพ ทั้ ง หลายด ว ย ซึ่ ง ความดั บ ไปแห ง ภพทั้ ง หลายด ว ย ซึ่ ง รสอร อ ยแห ง ภพทั้ ง หลาย ดวย ซึ่งโทษแหงภพทั้งหลายดวย ซึ่งอุบายเครื่องออกพนไปจากภพทั้งหลายดวย ;


๔๒๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

เมื่ อ เขารู ต ามที่ เป น จริ ง อยู เช น นั้ น , ความกํ า หนั ด ในภพ ความเพลิ ด เพลิ น ในภพ ความเสน ห าในภพ ความสยบอยู ใ นภพ ความหิ ว กระหายในภพ ความเร า ร อ น เพราะภพ ความเมาหมกในภพ และภวตัณ หา, ในภพทั ้ง หลาย เหลา นี ้ย อ ม ไมนอนเนื่องอยูในบุคคลนั้น. ภิกษุ ท.! นี้เราเรียกวา ความปลอดจากภวโยคะ. - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๔/๑๐.

ความปลอดจากทิฏฐิโยคะ ภิ ก ษุ ท.! ความปลอดจากทิ ฏ ฐิ โยคะ เป น อย างไรเล า ? ภิ ก ษุ ท.! บุค คลบางคนในโลกนี ้ ยอ มรู แ จง ชัด ตามที ่เ ปน จริง ซึ ่ง ความกอ ขึ ้น แหง ทิฏ ฐิ ทั้ งหลายด วย ซึ่ งความดั บ ไปแห งทิ ฏ ฐิ ทั้ งหลายด วย ซึ่ งรสอร อ ยแห งทิ ฏ ฐิ ทั้ งหลาย ด ว ย; ซึ่ ง โทษแห ง ทิ ฏ ฐิ ทั้ ง หลายด ว ย ซึ่ งอุ บ ายเครื่ อ งออกพ น ไปจากทิ ฏ ฐิ ทั้ ง หลาย ด ว ย; เมื่ อ เขารู ต ามที่ เ ป น จริ ง อยู เ ช น นั้ น , ความกํ า หนั ด ในทิ ฏ ฐิ ความเพลิ ด เพลิ น ในทิ ฏ ฐิ ความเสน ห าในทิ ฏ ฐิ ความสยบอยู ใ นทิ ฏ ฐิ ความหิ ว กระหายใน ทิ ฏ ฐิ ความเร า ร อ นเพราะทิ ฏ ฐิ ความเมาหมกในทิ ฏ ฐิ และตั ณ หาทางทิ ฏ ฐิ , ใน ทิฏ ฐิทั ้ง ห ลาย เห ลา นี ้ย อ ม ไมน อ น เนื ่อ งอยู ใ น บุค คลนั ้น . ภิก ษุ ท .! นี ้เ รา เรียกวา ความปลอดจากทิฏฐิโยคะ.

www.buddhadasa.info - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๕/๑๐.

ความปลอดจากอวิชชาโยคะ ภิกษุ ท.! ความปลอดจากอวิชชาโยคะ เปนอยางไรเลา ? ภิ ก ษุ ท.! บุ ค คลบางคนในโลกนี้ ย อ มรู แ จ ง ชั ด ตามที่ เ ป น จริ ง ซึ่ ง ความกอขึ้นแหงผัสสายตนะหกดวย ซึ่งความดับไปแหงผัสสายตนะหกดวย ซึ่ง


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๔๒๙

รสอร อ ยแห งผั ส สายตนะหกด ว ย ซึ่ ง โทษแห งผั ส สายตนะหกด ว ย ซึ่ งอุ บ ายเครื ่อ ง พน ไปจากผัส สายตนะหกดว ย; เมื ่อ เขารู ช ัด ตามทีเ ปน จริง อยู เ ชน นั ้น , อวิช ชา และอั ญ ญาณใด ๆ ในผั ส สายตนะหก อวิ ชชาและอั ญ ญาณนั้ น ย อ มไม น อนเนื่ อ ง อยูในบุคคลนั้น. ภิกษุ ท.! นี้เราเรียกวา ความปลอดภัยจากอวิชชาโยคะ. ภิ ก ษุ ท.! ด ว ยเหตุ นี้ แ หละจึ ง รวมเป น การไม ป ระกอบอยู ด ว ยกามโยคะ ๑ ความไม ป ระกอบอยู ด วยภวโยคะ ๑ การไม ป ระกอบอยู ด วยทิ ฏ ฐิ โยคะ ๑ และการไมประกอบอยูดวยอวิชชาโยคะ ๑. ภิ ก ษุ ท.! บุ ค คลไม ป ระกอบด ว ยกิ เลสเป น เครื่ อ งประกอบสั ต ว ไ ว ใ น ภพโดยเด็ ด ขาด อั น เป น อกุ ศ ลธรรมอั น ลามกเศร า หมอง เป น เหตุ ใ ห มี ภ พใหม อัน กระสับ กระสา ย มีผ ลเปน ทุก ข มีช าติช ราและมรณะตอ ไป; เพราะฉะนั ้น เราจึงเรียกวา "ผูมีปรกติเกษมจากโคะ (โยคกฺเขมี)" ดังนี้. ภิ ก ษุ ท.! เหล า นี้ คื อ ความปลอดจากกิ เลสเป น เครื่ อ งประกอบสั ต ว ไวในภพ ๕ อยาง แล.

www.buddhadasa.info (คาถาผนวกทายพระสูตร)

สั ต ว ทั้ งหลาย ประกอบพร อ มแล ว ด ว ยกามโยคะ ด ว ย ภวโยคะ ดวยทิฏฐิโยคะ และถูกอวิชชากระทําในเบื้องหนาแลว, มีปรกติไปสูชาติและมรณะ; ยอมไปสูสังสารวัฏ. ส ว นสั ต ว เหล า ใดรอบรู แ ล ว ซึ่ ง กามและภวโยคะ โดย ประการทั้ ง ปวง, ถอนขึ้ น ได แ ล ว ซึ่ ง ทิ ฏ ฐิ โ ยคะ, และพราก


๔๓๐

อริยสัจจากพระโอษฐ ออกไดโ ดยเด็ด ขาดซึ ่ง อวิช ชา, สัต วเ หลา นั ้น แล ไมป ระกอบ แลว ดว ยกิเ ลสอัน ประกอบสัต วไ วใ นภพทั ้ง ปวง, เปน มุน ี ลว ง เสียไดซึ่งโยคะกิเลสเปนเครื่องประกอบสัตวไวในภพ ; ดังนี้แล.

- จตุกฺก. อํ ๒๑/๑๕/๑๐.

เครื่องกีดขวางการละสัญโญชน ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ใ ดหนอ ยั ง เป น ผู มี ค วามพอใจ ในความคลุ ก คลี กั น เป น ห มู ๆ, ยั ง มี ค วาม ยิ น ดี ใน การค ลุ ก คลี กั น เป น ห มู ๆ, ยั ง ต าม ป ระกอบ ซึ่ ง ความพอใจในความคลุ ก คลี กั น เป น หมู ๆ, ยั ง มี ค วามพอใจในคณ ะ ยั ง ยิ น ดี ใ น คณ ะ ยั ง ตามประกอบซึ่ ง ความพอใจในคณ ะ ; ภิ ก ษุ นั้ น จั ก มาเป น ผู อ ยู เ ดี่ ย ว โดด อภิร มยใ นความสงบสงัด ดัง นี ้, ขอ นี ้เ ปน ฐานะที ่ม ีไ มไ ดเ ปน ไมไ ด. เมื ่อ อยู เดี่ ย วโดดไม ได แ ละไม อ ภิ ร มย ในความสงั ด อยู ยั ง จั ก สามารถถื อ เอาซึ่ ง นิ มิ ต แห ง จิต ดัง นี ้, ขอ นี ้เ ปน ฐาน ะที ่ม ีไ มไ ดเ ปน ไมไ ด. เมื ่อ ไมอ าจถือ เอาซึ ่ง นิม ิต แหง จิต แตย ัง จัก ทํ า สัม มาทิฏ ฐิใ หบ ริบ ูร ณ ไ ด ดัง นี ้, ขอ นี ้ เปน ฐานะที ่ม ีไ มไ ดเ ปน ไม ได . เมื่ อ ไม ทํ า สั ม มาทิ ฏ ฐิ ให บ ริ บู รณ ได แ ล ว จั ก ทํ า สั ม มาสมาธิ ให บ ริ บู รณ ดั ง นี้ , ขอ นี ้ เปน ฐานะที ่ม ีไ มไ ดเ ปน ไมไ ด. เมื ่อ ไมทํ า สัม ม าสม าธิใ หบ ริบ ูร ณ ไ ดแ ลว จัก ละสัญ โญ ชนทั ้ง หลายได ดัง นี ้, ขอ นี ้เ ปน ฐานะที ่ม ีไ มไ ดเ ปน ไมไ ด. เมื ่อ ไม ละสัญ โญ ชนทั ้ง หลายแลว จัก ทํ า ใหแ จง ซึ ่ง พระนิพ พาน ดัง นี ้, ขอ นี ้เ ปน ฐานะ ที่มีไมไดเปนไมได,

www.buddhadasa.info - ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๗๑/๓๓๙.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๔๓๑

( ปฏิปกขนัย ) ภิก ษุ ท.! ภิก ษุนั ้น หนอ ไมเ ปน ผู ม ีค วามพอใจ ในความคลุก คลี กั น เป น หมู ๆ, ไม มี ค วามยิ น ดี ใ นการคลุ ก คลี กั น เป น หมู ๆ, ไม ต ามประกอบซึ่ ง ความพอใจในการคลุ ก คลี กั น เป น หมู ๆ, ไม มี ค วามพอใจในคณะ ไม ยิ น ดี ในคณะ ไม ต ามประกอบซึ่ ง ความพอใจในคณะ ; ผู เดี่ ย วโดดนั้ น จั ก อภิ รมย ในความสงบ สงัด อยู ไ ด ดัง นี ้, ขอ นี ้เ ปน ฐานะที ่ม ีไ ดเ ปน ได; ผู เ ดี ่ย วโดด เมื ่อ อภิร มยใ น ความสงบสงั ด อยู จั ก ถื อ เอาซึ่ ง นิ มิ ต แห ง จิ ต ได ดั ง นี้ , ข อ นี้ เป น ฐานะที่ มี ไ ด เ ป น ได; เมื ่อ ถือ เอาซึ ่ง นิม ิต แหง จิต ไดอ ยู จ ัก ทํ า สัม มาทิฏ ฐิใ หบ ริบ ูร ณไ ด ดัง นี ้, ข อ นี้ เ ป น ฐานะที่ มี ไ ด เ ป น ได ; เมื่ อ ทํ า สั ม มาทิ ฏ ฐิ ใ ห บ ริ บู ร ณ ได แ ล ว จั ก ทํ า สั ม มาสมาธิ ใ ห บ ริ บู ร ณ ได ดั ง นี้ , ข อ นี้ เ ป น ฐานะที่ มี ไ ด เ ป น ได ; เมื่ อ ทํ า สั ม มาสมาธิ ใ ห บ ริ บู ร ณ ไ ด แ ล ว จั ก ละสั ญ โญชน ทั้ ง หลายได ดั ง นี้ , ข อ นี้ เ ป น ฐานะที่ มี ไดเ ปน ได ; เมื ่อ ละสัญ โญชนทั ้ง หลายไดแ ลว จัก ทํ า ใหแ จง ซึ ่ง พระนิพ พานได ดังนี้, ขอนี้เปนฐานะที่มีไดเปนได แล. - ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๗๒/๓๓๙.

www.buddhadasa.info ประพฤติพรหมจรรยเพื่อละเพื่อตัดอนุสัยโดยเด็ดขาด

ภ ิก ษ ุ ท .! อ น ุส ัย ม ี ๗ อ ยา งเห ล า นี ้. เจ็ด อ ยา งเห ล า ไห น เล า ? เจ็ ด อย างคื อ อนุ สั ย คื อ กามราคะ ๑ อนุ สั ย คื อ ปฏิ ฆ ะ ๑ อนุ สั ย คื อ ทิ ฏ ฐิ ๑ อนุ สั ย คื อ วิ จิ กิ จ ฉา ๑ อนุ สั ย คื อ มานะ ๑ อนุ สั ย คื อ ภวราคะ ๑ อนุ สั ย คื อ อวิ ช ชา ๑. ภิกษุ ท.! เหลานี้แลคือ อนุสัย ๗ อยาง.


๔๓๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ ก ษุ ท.! พรหมจรรย ที่ ป ระพฤติ กั น อยู นี้ เพื่ อ ละเพื่ อ ตั ด ขาด ซึ่ ง อนุสัย ๗ อยาง. เจ็ดอยางเหลาไหนเลา ? ภิ ก ษุ ท .! พ รห ม จ รรย ที่ ป ระ พ ฤ ติ กั น อ ยู เพื่ อ ล ะ เพื่ อ ตั ด ข าด ซึ่ ง อนุ สั ย คื อ กามราคะ, เพื่ อ ละเพื่ อ ตั ด ขาด ซึ่ ง อนุ สั ย คื อ ปฏิ ฆ ะ, เพื่ อ ละเพื่ อ ตั ด ขาด ซึ่ ง อนุ สั ย คื อ ทิ ฏ ฐิ , เพื่ อ ละเพื่ อ ตั ด ขาด ซึ่ ง อนุ สั ย คื อ วิ จิ กิ จ ฉา, เพื่ อ ละเพื่ อ ตั ด ขาด ซึ่ ง อนุ สั ย คื อ มานะ, เพื่ อ ละเพื่ อ ตั ด ขาด ซึ่ ง อนุ สั ย คื อ ภวราคะ, เพื่ อ ละเพื่ อ ตั ด ขาด ซึ่ ง อนุ สั ย คื อ อวิ ช ชา, ภิ ก ษุ ท.! พ รหมจรรย ที่ ป ระพ ฤติ กั น อยู นี้ เพื่ อละ เพื่อตัดขาด ซึ่งอนุสัย ๗ อยางเหลานี้แล. ภิก ษุ ท.! เมื ่อ ใดแล อนุส ัย คือ กามราคะก็ด ี, อนุส ัย คือ ปฏิฆ ะ ก็ด ี, อนุส ัย คือ ทิฏ ฐิก ็ด ี, อนุส ัย คือ วิจ ิก ิจ ฉาก็ด ี, อนุส ัย คือ สมานะก็ด ี, อนุส ัย คื อ ภวราคะก็ ดี , และอนุ สั ย คื อ อวิช ชาก็ ดี , เป น สิ่ งที่ ภิ ก ษุ ละได แ ล ว มี ร ากเงา อันตัดขาดแลว ทําใหเหมือนตาลยอดเนา ทําใหมีอยูไมได ทําใหเปนสิ่งที่เกิดขึ้น ไมไดอีกตอไป ;

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! เมื่ อ นั้ น , ภิ ก ษุ นี้ เราเรี ย กว า "ตั ด ตั ณ หาได แ ล ว รื้ อ ถอนสัญโญชนแลว ไดทําที่สุดแหงทุกขเพราะรูจักหนาตาของมานะอยางถูกตอง แลว" ดังนี้ แล.

- สตฺตก. อํ. ๒๓/๘-๙/๑๑-๑๒. ( ความมุ ง หมายของการประพฤติ พ รหมจรรย ใ นสู ต รนี้ ทรงแสดงว า เพื่ อ ละเสี ย ซึ่ ง อนุส ัย เจ็ด ; ในสูต รอื ่น (๒๓/๗-๘/๘-๙) ทรงแสดงวา เพื ่อ ตัด เสีย ซึ ่ง สัง โยชนเ จ็ด ดูร ายละเอีย ด ที่หัวขอวา "สังโยชนเจ็ด" ที่หนา ๓๘๘ แหงหนังสือนี้. )


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๔๓๓

เห็นโลกก็เห็นเหมือนเห็นฟองน้ําและพยับแดด บุ ค คลพึ ง เห็ น ฟองน้ํ า ฉั น ใด. พึ ง เห็ น พยั บ แดด ฉั น ใด, พญามัจจุราช จักไมเห็นผูที่พิจารณาเห็นโลก ฉันนั้นอยู แล. - ธ. ขุ. ๒๕/๓๘/๒๓.

เห็นโลกชนิดที่ความตายไมเห็นเรา "ข าแต พระองค ผู เป นเทพฤษี ! .... ข าพระองค จะพิ จารณาเห็ นโลก อยางไร ความตายจึงไมแลเห็นขาพระองคเลา พระเจาขา!" ดู ก อ นโมฆราช! ท า นจงเป น คนมี ส ติ ถอนความตาม เห็ น วาเป น ตั วตนออกเสี ย พิ จารณาเห็ น โลก โดยความเป น ของ ว า งเปล า ทุ ก เมื่ อ เถิ ด . ท า นจะพึ ง ข า มความตายเสี ย ได ด ว ยข อ ปฏิบ ัติอ ยางนี ้, ความตายจะไมแ ลเห็น ทา น ผูพ ิจ ารณาเห็น โลก อยู โดยอาการอยางนี้ แล.

www.buddhadasa.info - สุตฺต. ขุ. ๒๕/๕๔๙/๔๓๙. - จูฬนิ. ขุ. ๓๐/๒๔๕/๔๙๙, ๕๐๔.

การดับทุกขสิ้นเชิง ไมเนื่องดวยอิทธิวิธี แมกระทั่งวิโมกขที่ไมเกี่ยวกับการสิ้นอาสวะ

(นั ก บวชเดี ย รถี ย อื่ น ชื่ อ สุ สิ ม ะ หาอุ บ ายเข า มาบวชในพุ ท ธศาสนา เพื่ อ จะบรรลุ คุ ณ วิ เศษสํ า หรั บ นํ า เอาไปทํ า ให ค ณะของตั ว เจริ ญ รุ ง เรื อ งด ว ยลาภยศสั ก การะ เหมื อ นสั ง ฆบริ ษั ท ของพระพุทธองค; ครั้นบวชแลว ไดเขาไปหาพวกภิกษุปญญาวิมุตต โดยคิดวาภิกษุพวกนี้


๔๓๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

มี อ ภิ ญ ญ าหก เมื่ อ ได ท ราบว า ภิ ก ษุ พ วกนี้ ไ ม ไ ด เ กี่ ย วข อ งกั บ อภิ ญ ญ าหก และได รั บ บอกเล า ว า ความเป น อริ ย ะบุ ค คลไม เนื่ อ งด ว ยอภิ ญ ญาหก ก็ เข า ไปเฝ า พระพุ ท ธเจ า ซั ก ไซ ถึ ง เรื่ อ งอภิ ญ ญาหก ว า เกี่ ย วข อ งกั น อย า งจํ า เป น กั บ ความสิ้ น อาสวะตามความเชื่ อ ของเขาหรื อ ไม , พระพุ ท ธองค ไ ด ท รง ใช วิ ธี ทํ า ให เขาเกิ ด ธั ม มฐิ ติ ญ าณและนิ พ พานญาณ โดยทรงนํ า เอาเรื่ อ งเบญจขั น ธ ไม เที่ ย งเป น ทุ ก ข เป น อนั ต ตา ไม ค วรเห็ น ว า เป น ของเรา เป น เรา เป น อั ต ตาของเรา จนเป น ธั ม มฐิ ติ ญ าณ ขึ้ น มา กอ น จนกระทั ่ง จิต เบื ่อ หนา ยคลายกํ า หนัด หลุด พน และรู ว า หลุด พน แลว อัน เปน นิพ พานญ าณ ตามนั ย แห ง อนั ต ตลั ก ขณ สู ต ร ซึ่ ง เป น ที่ ท ราบกั น ดี อ ยู แ ล ว หรื อ อาจจะหาอ า นดู ไ ด จ ากที่ ทั ่ว ไป จนกระทั ่ง นัก บวชชื ่อ สุส ิม ะนั ้น เขา ใจอยา งแจม แจง ในเรื ่อ งความดับ ทุก ขห รือ ความสิ ้น อาสวะนั้ น ว า เป น ไปได ต ามเหตุ ต ามป จ จั ย ของมั น เอง จนกระทั่ ง นั ก บวชชื่ อ สุ สิ ม ะเห็ น ชั ด ในความ จริงขอนี้แลว จึงตรัสแกเขาตอไปวา :-)

สุส ิม ะ! เธอ เห็น ไห ม วา ช ราม รณ ะ มี เพ ราะชาติเ ปน ปจ จัย ? "อยางนั้น พระเจาขา!" สุ สิ ม ะ เธอเห็ น ไหมว า ชาติ มี เพราะภพเป น ป จ จั ย ? "อย า งนั้ น พระเจาขา!" สุ สิ ม ะ! เธอเห็ น ไหมว า ภพ มี เพราะอุ ป าทานเป น ป จ จั ย ? "อย า ง นั้น พระเจาขา!" สุส ิม ะ! เธอเห็น ไหมวา อุป าท าน มี เพราะตัณ หาเปน ปจ จัย ? "อยางนั้น พระเจาขา!" สุส ิม ะ เธ อ เห็น ไห ม วา ตัณ ห า มี เพ ราะ เวท น าเปน ปจ จัย ? "อยางนั้น พระเจาขา!" สุส ิม ะ ! เธ อ เห็น ไห ม วา เว ท น า มี เพ ราะ ผัส ส ะ เปน ปจ จัย ? "อยางนั้น พระเจาขา !"

www.buddhadasa.info


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๔๓๕

สุส ิม ะ ! เธอเห็น ไหมวา ผัส สะ มี เพราะสฬายตนะเปน ปจ จัย ? "อยางนั้นพระเจาขา !" สุ สิ ม ะ ! เธอเห็ น ไหมว า สฬายตนะ มี เพราะนามรู ป เป น ป จ จั ย ? "อยางนั้น พระเจาขา !" สุส ิม ะ ! เธอเห็น ไหมวา นามรูป มี เพราะวิญ ญาณเปน ปจ จัย ? "อยางนั้น พระเจาขา !" สุส ิม ะ ! เธอเห็น ไหมวา วิญ ญ าณ มี เพราะสัง ขารเปน ปจ จัย ? "อยางนั้น พระเจาขา !" สุ สิ ม ะ ! เธอเห็ น ไหมว า สั ง ขาร ทั้ ง หลายมี เพ ราะอวิ ช ชาเป น ปจจัย? "อยางนั้นพระเจาขา !" (ต อ ไปได ต รั ส ชั ก นํ า ให เห็ น ปฏิ จ จสมุ ป บาทฝ า ยนิ โ รธวาร โดยรู ป แบบแห ง ถ อ ยคํ า อยางเดียวกับขอความขางบนนี้ ครบทั้ง ๑๑ อาการ แลวไดตรัสวา :-)

สุ สิ ม ะ ! เมื่ อ รู อ ยู อ ย า งนี้ เห็ น อยู อ ย า งนี้ เธอยั ง จํ า เป น ที่ จ ะต อ งทํ า ให มี อิ ท ธิ วิ ธี มี อ ย างต าง ๆ อยู อี ก หรื อ คื อ คนเดี ยวแปลงรู ป เป น หลายคน, หลาย ค น เปน ค น เดีย ว, ....ฯล ฯ....๑ และแส ด งอํ า น าจท างกาย เปน ไป ต ล อ ด ถึง พรหมโลกได ดังนี้. "ขอนั้น หามิได พระเจาขา !"

www.buddhadasa.info สุ สิ ม ะ ! เมื่ อ รู อ ยู อ ย า งนี้ เห็ น อยู อ ย า งนี้ เธอยั ง จํ า เป น ที่ จ ะต อ งทํ า ใหม ี ทิพ พ โส ต อยู อ ีก หรือ คือ มีโ สตธาตุอ ัน เปน ทิพ ย ....ฯลฯ....๑ ทั ้ง ที ่ไ กล และที่ใกล ดังนี้. "ขอนั้น หามิได พระเจาขา !"

๑. ลั ก ษณะแห ง อภิ ญ ญาแต ล ะอย า ง ๆ โดยละเอี ย ด ออกจะยื ด ยาว ในที่ นี้ นํ า มาใส ไว แ ต โดยย อ พอ เป น เครื่ อ งสั ง เกต ผู ป รารถนาจะทราบโดยละเอี ย ด พึ ง ดู ไ ด ที่ หั ว ข อ ว า "ธรรมธาตุ ต า ง ๆ ที่เปนผล ของสมถวิปสสนาอันดับสุดทาย" ที่หนา ๔๙๕ แหงหนังสือนี้.


๔๓๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

สุ สิ ม ะ ! เมื่ อ รู อ ยู อ ย า งนี้ เห็ น อยู อ ย า งนี้ เธอยั ง จํ า เป น ที่ จ ะต อ งทํ า ให มี เ จโตปริ ย ญ าณ อยู อี ก หรื อ คื อ กํ า หนดรู ใ จแห ง สั ต ว อื่ น ....ฯลฯ....๑ จิ ต ไม หลุดพนวาไมหลุดพน ดังนี้. "ขอนั้น หามิได พระเจาขา !" สุ ลิ ม ะ ! เมื่ อ รู อ ยู อ ย า งนี้ เห็ น อยู อ ย า งนี้ เธอยั ง จํ า เป น ที่ จ ะต อ งทํ า ให มี ปุ พเพนิ วาสานุ สสติ ญาณ อยู อี กหรือ คื อระลึ กได ถึงขันธที่ เคยอยู อาศั ยในภพ ก อ นมี อ ย า งต า ง ๆ ....ฯลฯ....๑ พร อ มทั้ ง อาการและอุ ท เทส ด ว ยอาการอย า งนี้ ดังนี้. "ขอนั้น หามิได พระเจาขา !" สุล ิม ะ ! เมื ่อ รู อ ยู อ ยา งนี ้ เห็น อยู อ ยา งนี ้เ ธอยัง จํ า เปน ที ่จ ะตอ งทํ า ให มี ทิ พ พจั ก ขุ ญ าณ อยู อี กหรือ คื อ มี จั กษุ อั น เป นทิ พ ย บริสุ ทธิ์ หมดจดล วงจั กษุ ของสามั ญ มนุ ษ ย ....ฯลฯ....๑ รู ชั ด หมู สั ต ว ผู เ ข า ถึ ง ตามกรรมได ดั ง นี้ . "ข อ นั้ น หามิได พระเจาขา!" สุ ลิ ม ะ! เมื่ อ รู อ ยู อ ย า งนี้ เห็ น อยู อ ย า งนี้ เธอยั ง จํ า เป น ที่ จ ะต อ งทํ า ให มี อารุ ป ปวิ โ มกข อ ยู อี ก หรื อ คื อ วิ โ มกข เ หล า ใด อั น สงบรํ า งั บ เป น อรู ป เพราะก า วล ว งรู ป เสี ย ได เธอถู ก ต อ งวิ โมกข เหล า นั้ น ด ว ยนามกายแล ว แลอยู ดั ง นี้ ."ขอนั้น หามิได พระเจาขา !"

www.buddhadasa.info สุส ิม ะ ! คราวนี ้, คํ า พูด อยา งโนน ของเธอกับ การที ่ ( เธอกลา ว บัด นี ้ว า ) ไมต อ งมีก ารบรรลุถ ึง อภิญ ญาธรรมทั ้ง หลายเหลา นี ้ ก็ไ ด, ในกรณีนี้ นี้เราจะวาอยางไรกัน. - นิทาน. สํ. ๑๖/๑๕๓-๑๕๕/๒๙๔-๓๐๒.

นิทเทศ ๙ วาดวยความดับแหงตัณหา

จบ


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๔๓๗

นิทเทศ ๑๐ วาดวยธรรมเปนที่ดับแหงตัณหา (มี ๖๑ เรื่อง)

ทิฏฐิทัสสนะที่เปนไปเพื่อทุกขนิโรธ "พระโคดมผูเจริญ ! ทิฏฐิคตะไร ๆ ของพระโคดม มีอยูหรือ ?" วั จ ฉะ ! สิ่ ง ที่ เ รี ย กว า "ทิ ฏ ฐิ ค ตะ" นั้ น ตถาคตนํ า ออกหมดสิ้ น แล ว . วัจ ฉะ ! สัจ จะที ่ต ถาคตเห็น แลว นั ่น มีอ ยู ว า "รูป เปน อยา งนี ้, การเกิด ขึ ้ น แห ง รู ป เป น อย า งนี ้ , การดั บ ไปแห ง รู ป เป น อย า งนี ้ ; เวทนา เป น อ ยา งนี ้, ก ารเกิด ขึ ้น แห ง เวท น า เป น อ ยา งนี ้. ก ารดับ ไป แหง เวท น า เป น อยา งนี ้; สัญ ญ า เปน อยา งนี ้ , การเกิด ขึ ้น แหง สัญ ญ า เปน อยา งนี ้, การ ดับ ไปแหง สัญ ญ า เปน อยา งนี ้ ; สัง ขาร เปน อยา งนี ้, การเกิด ขึ ้น แหง สัง ขาร เปน อ ยา งนี ้ , การดับ ไป แหง สัง ขาร เปน อ ยา งนี ้; วิญ ญ าณ เปน อ ยา งนี ้" ดัง นี ้ ; เพราะเหตุนั ้น เราจึง กลา ววา "ตถาคตเปน ผู พ น วิเ ศษแลว เพราะไม ยึดมั่นดวยอุปาทาน ทั้งนี้เปนเพราะความสิ้นไป ความจางคลาย ความดับไมเหลือ ความสละ ความสลั ด คื น ซึ่งความสําคั ญ หมายทั้ งปวง ความตอ งการทั้ งปวง อหังการมมังการมานานุสัยทั้งปวง" ดังนี้.

www.buddhadasa.info - ม. ม. ๑๓/๒๔๔/๒๔๗.


๔๓๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

"ที่" ซึ่งนามรูปดับไมมีเหลือ ภิก ษุ ! สํ า ห รับ ปญ ห าขอ งเธอ นั ้น เธอ ไมค วรตั ้ง คํ า ถาม ขึ ้น วา "มหาภูต สี ่ คือ ดิน น้ํ า ไฟ ลม เหลา นี ้ ยอ มดับ สนิท ไมม ีเ หลือ ในที ่ไ หน ? ดังนี้เลย; อันที่จริง เธอควรจะตั้งคําถามขึ้นอยางนี้วา :"ดิ น น้ํ า ไฟ ลม ไม หยั่ งลงได ในที่ ไหน? ความยาว ความสั้น ความเล็ ก ความใหญ ความงาม ความไม งาม ไม ห ยั่ ง ลงไดในที่ ไหน ? นามรูปดั บสนิ ทไมมี เหลือ ในที่ ไหน ?" ดัง นี้ ตางหาก. ภิกษุ! ในปญหานั้น คําตอบมีดังนี้ :"สิ่ง" สิ่งหนึ่งซึ่งบุคคลพึงรูแจง เปนสิ่งที่ไมมีปรากฏการณ ไมมีที่สุด มีทางปฏิบัติเขามาถึงไดโดยรอบ, นั้นมีอยู; ใน "สิ่ง" นั้นแหละ ดิน น้ํา ไฟ ลม ไมหยั่งลงได; ใน "สิ่ง" นั้นแหละ ความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ ความงาม ความ ไมงาม ไม หยั่ งลงได ; ใน "สิ่ ง" นั้ นแหละ นามรู ป ดั บสนิ ทไม มี เหลื อ ; นามรูป ดับสนิท ใน "สิ่ง" นี้ เพราะการดับสนิทของวิญญาณ; ดังนี้แล.

www.buddhadasa.info - สี. ที. ๙/๒๘๙/๓๔๘-๓๕๐.

"ที่" ซึ่งธาตุสี่หยั่งลงไมถึง "สระทั้ งหลาย จะไหลกลั บ จากที่ ไหน? วั ฏ ฏะ (วั งวน) ย อ ม ไมหมุนในที่ไหน ? นามและรูปยอมดับสนิทไมมีเหลือ ในที่ไหน?


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๔๓๙

ในที่ ใด, ดิ น น้ํ า ไฟ ลม ไม ห ยั่ งลงได , จากที่ นั้ น แหละ สระทั้ ง หลาย ย อ มไหลกลั บ ; ในที่ นั้ น แหละ วั ฎ ฎะย อ มไม ห มุ น ; ในที่นั้นแหละ นามและรูป ยอมดับไมเหลือ; ดังนี้ แล. - สคา. สํ. ๑๕/๒๒/๗๐-๗๑.

ที่เที่ยว นอกโลก พวกเทวดาทั้ งหลาย ทั้ งในชั้ นดาวดึ งส ชั้ นยามา ชั้ น ดุ สิ ต ชั้นนิมมานรดี และชั้นวสวัตตี ลวนแตถูกผูกมัดรัดรึงอยูดวยเครื่องผูก คื อ กามคุ ณ , ต อ งกลั บ ไปสู อํ า นาจของมารอี ก . โลกทั้ ง ปวงร อ นเปรี ้ย ง. โลกทั ้ง ปวงควัน กลุ ม . โลกทั ้ง ปวงลุก โพ ลง ๆ , โลก ทั ้ง ปวงไหวโยกเยกอยู . ที ่ใ ด มีม ารไปไมถ ึง ที ่นั ่น ไมห วั ่น ไหว ที ่นั ่น ไมโ ยกเยก ที ่นั ่น ไมใ ชที ่เ ที ่ย วของบุถ ุช น. มารเอย, ใจ เรายินดีในที่นั้นเสียแลว. - สคา. สํ. ๑๕/๑๙๕/๕๔๔. (ขอความนี้ เปนเถรีภาษิต นํามาขยายความพุทธภาษิต).

www.buddhadasa.info สิ่งที่ไมปรุง

ภิ ก ษุ ท.! เมื่ อ ใด อวิ ช ชาของภิ ก ษุ ล ะขาดไป วิ ช ชาเกิ ด ขึ้ น แล ว ; เธอนั้น เพราะอวิชชาจางหายไป เพราะวิชชาเกิดขึ้นแทน ยอมไมปรุงเครื่องปรุง อัน เปน บุญ นั ่น เทีย ว, ยอ มไมป รุง เครื ่อ งปรุง อัน มิใ ชบ ุญ , ยอ มไมป รุง เครื ่อ ง ปรุงอันเปนอเนญชา. เธอนั้น เมื่อไมปรุง เมื่อไมกอยอมไมถือมั่นสิ่งไร ๆ


๔๔๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

ในโลก. เมื ่อ ไมถ ือ มั ่น ยอ มไมเ สีย วสะดุ ง . เมื ่อ ไ มเ สีย วสะดุ ง ยอ ม ปริน ิพ พาน. เธอนั ้น ยอ มรู ช ัด วา "ชาติสิ ้น สุด แลว พรหมจรรยอ ยู จ บแลว กิ จ ที่ ต อ งทํ าได ทํ า สํ า เร็ จ แล ว กิ จ อื่ น ที่ จ ะต อ งทํ า เพื่ อ ความหลุ ด พ น เช น นี้ มิ ได มี อี ก " ดังนี้ แล. - นิทาน. สํ. ๑๖/๙๙/๑๙๒.

"สิ่งนั้น" หาพบในภายนี้ "แน ะ เธอ ! ที่ สุ ด โลก แห ง ใด อั น สั ต ว ไ ม เ กิ ด ไม แ ก ไม ต าย ไม จุ ติ ไม อุ บั ติ ; เราไม ก ล า วว า ใคร ๆ อาจรู อาจเห็ น อาจถึ ง ที่ สุ ด แห ง โลกนั้ น ด ว ย การไป. "แน ะ เธอ! ในร า งกายที่ ย าวประมาณวาหนึ่ งนี้ ที่ ยั งประกอบด ว ย สัญ ญาและใจนี่เ อง, เราไดบัญ ญัติโ ลก, เหตุใ หเ กิด โลก, ความดับ สนิท ไมเหลือ ของโลก, และทางดํา เนิน ใหถึงความดับ สนิท ไมเหลือ ของโลก ไว" ดังนี้แล.

www.buddhadasa.info - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๖๒/๔๕.

อาณาจักรแหงโลกอุดร

ดิน น้ํา ไฟ ลม ไมอาจเขาไปอยู ในที่ใด ; ในที่นั้นดาวศุกร ทั ้ง หลาย ยอ มไมส อ งแสง; ในที ่นั ้น , ดวงอาทิต ยก ็ไ มป รากฏ ; ในที ่นั ้น , ดวงจัน ทรก ็ไ มส อ งแสง ; แตค วามมืด ก็ม ิไ ดม ีอ ยู , ในที่นั้น.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๔๔๑

ในกาลใด, มุนี ผูตั้งหนาปฏิบัติ ไดรูแจมแจง (ในสิ่งที่ กลาวนี้) ดวยตนเอง ดวยความรู; ในกาลนั้น, มุนีนั้น ยอมพน ไปจากรูป ยอมพนไปจากอรูป, ยอมพนไปจากสุขและทุกข โดย สิ้นเชิง, ดังนี้แล. - อุ. ขุ. ๒๕/๘๕/๕๐.

เมื่อ "เธอ" ไมมี ! พ าหิย ะ ! เมื ่อ ใด เธ อ เห็น รูป แ ลว สัก วา เห็น , ไดฟ ง เสีย งแ ลว สั ก ว าฟ ง, ได ก ลิ่ น , ลิ้ ม รส, สั ม ผั ส ทางผิ วกาย, ก็ สั ก ว า ดม ลิ้ ม สั ม ผั ส , ได รู แ จ ง ธ ร ร ม า ร ม ณ  ก็ ส ั ก ว า ได รู  แ จ ง แ ล ว ; เมื ่ อ นั ้ น "เธ อ " จั ก ไม ม ี . เมื ่ อ ใ ด "เธอ" ไมม ี; เมื ่อ นั ้น เธอก็ไ มป รากฏในโลกนี ้, ไมป รากฏในโลกอื ่น , ไม ปรากฏในระหวางแหงโลกทั้งสอง : นั่นแหละ คือที่สุดแหงทุกข ละ. - อุ. ขุ. ๒๕/๘๓/๔๙.

สิ่งที่ไมเต็มขึ้นหรือพรองลง

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท .! แมน้ํ า ทั ้ง ห ล าย ยอ ม ไห ลไป ยัง ม ห าส มุท ร. น้ํ า ฝ น ที่ ต ก จาก อ าก าศ , ก็ ไห ล ไป ยั งม ห าส มุ ท ร, แต ค วาม ล ด ห รื อ ค วาม เต็ ม ขอ ง มหาสมุ ท ร ย อ มไม ป รากฏ (แก ต า) ฉั น ใด ; ภิ ก ษุ ทั้ ง หลายเป น อั น มากย อ ม ปริ นิ พ พาน ด ว ยอนุ ป าทิ เ สสนิ พ พานธาตุ แต ค วามลดหรื อ ความเต็ ม ขึ้ น ของ นิพพานธาตุนั้น ก็ไมปรากฏ เพราะเหตุนั้น ฉันนั้น.


๔๔๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ ก ษุ ท.! ข อ ที่ ความลดหรือ ความเต็ ม ของนิ พ พานชาติ ย อ มไม ปรากฏ เพราะเหตุนั ้น ๆ; นั ่น ก็เ ปน ความประหลาดมหัศ จรรยข อ หนึ ่ง ใน ธรรมวินัยนี้. - อุ. ขุ. ๒๕/๑๕๗/๑๑๘.

ตรงกันขามไปเสียทุกอยาง ภิก ษ ุ ท .! "สิ ่ง " สิ ่ง นั ้น มีอ ยู , เปน สิ ่ง ซึ ่ง ใน นั ้น ไมม ีด ิน ไมม ีน้ํ า ไมม ีไ ฟ ไมม ีล ม , ไมใ ชอ ากาสานัญ จายตนะ ไมใ ชว ิญ ญ าณัญ จายตน ะ ไม ใ ช อ ากิ ญ จั ญ ญายตนะ ไม ใ ช เนวสั ญ ญานาสั ญ ญายตนะ, ไม ใ ช โ ลกนี้ ไม ใ ช โลกอื่น, ไมใชดวงจันทร หรือดวงอาทิตยทั้งสองอยาง. ภิ ก ษุ ท.! ในกรณี อั น เดี ย วกั บ "สิ่ ง " สิ่ ง นั้ น เราไม ก ล า วว า มี ก ารมา, ไมก ลา ววา มีก ารไป, ไมก ลา ววา มีก ารหยุด , ไมก ลา ววา มีก ารจุต ิ, ไมก ลา ววา มีก ารเกิด ขึ ้น . สิ ่ง นั ้น มิไ ดตั ้ง อยู , สิ ่ง นั ้น มิไ ดเ ปน ไป และ สิ ่ง นั ้น มิใ ชอ ารมณ; นั่นแหละคือ ที่สุดแหงทุกข ละ.

www.buddhadasa.info - อุ. ขุ. ๒๕/๒๐๖/๑๕๘.

ที่สุดแหงทุกข

เมื่ อสั นดานยั งเป นสิ่ งที่ ตั ณ หาและทิ ฏฐิ อาศั ยอยู ได , ความหวั่ นไหวก็ ยั ง มีอ ยู . เมื ่อ สัน ดานเปน สิ ่ง ที ่ต ัณ หาและทิฏ ฐิไ มอ าศัย อยู ไ ด ความหวั ่น ไหวก็ ไมอาจมี. เมื่อความหวั่นไหวไมมี ความรํางับแหงจิตยอมมี ; เมื่อความรํางับ


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๔๔๓

แห งจิ ต มี ความน อ มไปทางใดทางหนึ่ งของจิ ต ย อ มไม มี ; เมื่ อ ความน อ มไปทางใด ทางหนึ่ ง ของจิ ต ไม มี การมาการไปก็ ไ ม มี ; เมื่ อ การมาการไปไม มี การจุ ติ แ ละ การเกิด ขึ ้น ใหมก ็ไ มม ี. เมื ่อ การจิต ุแ ละการเกิด ขึ ้น ใหมไ มม ี ก็ไ มม ีก ารปรากฏ ในโลกนี้ ไม มี ก ารปรากฏในโลกอื่ น ไม มี ก ารปรากฏในระหว า งแห ง โลกทั้ ง สอง : นั่นแหละคือที่สุดแหงทุกขละ. - อุ. ขุ. ๒๕/๒๐๘/๑๖๑.

สิ่งนั้นมีแน! ภ ิก ษ ุ ท .! สิ ่ง ซึ ่ง ม ิไ ด เ ก ิด ม ิไ ด เ ป น ม ิไ ด ถ ูก อ ะ ไร ทํ า ม ิไ ด ถ ูก อ ะ ไรป รุง นั ้น มีอ ยู . ภิก ษุ ท .! ถา ห า ก วา สิ ่ง ที ่ม ิไ ดเ กิด มิไ ดเ ปน มิไ ด ถูก อะไรทํ า มิไ ดถ ูก อะไรปรุง จัก ไมม ีอ ยู แ ลว ไซร, ความรอดออกไปไดข อง สิ่งที่เกิด ที่เปน ที่ถูกอะไรทํา ที่ถูกอะไรปรุง ก็จักไมปรากฏเลย. ภิก ษุ ท.! เพราะเหตุที ่ม ีสิ ่ง ซึ ่ง มิไ ดเ กิด มิไ ดเ ปน มิไ ดถ ูก กระทํ า มิไ ดถ ูก อะไรปรุง นั ่น เอง จึง ไดม ีค วามรอดออกไปได ของสิ ่ง ที ่เ กิด ที ่เ ปน ที่ ถูกอะไรทํา ที่ถูกอะไรปรุง, ปรากฏอยู.

www.buddhadasa.info - อุ. ขุ. ๒๕/๒๐๗/๑๖๐.

ธรรมที่ชื่อวา "นิพพาน" นั่น สงบจริง ! นั่น ประณีตจริง ! ที่ นี้ เอง เป น ที่ ส งบสั ง ขารทั้ ง ปวง, เป น ที่ ส ละคื น อุ ป ธิ ทั้ ง ปวง, เป น ที่ สิ้นตัณหา, เปนที่คลายความกําหนัด, เปนที่ดับกิเลส. นี่คือนิพพาน แล. - นวก. อํ. ๒๓/๔๓๙/๒๔๐. - เอกาทสก. อํ. ๒๔/๓๔๔/๒๑๔.


๔๔๔

อริยสัจจากพระโอษฐ ความไม กั งวล ความไม ถื อมั่ น นั่ นแล คื อ ธรรมอั นเป นเกาะ ไมมีธรรมอื่น อีก. เรากลาวธรรมนั้นวา "นิพ พาน" เปนที่หมดสิ้น แหงชราและมรณะ แล.

- สุคฺต. ขุ, ๒๕/๕๔๔/๔๓๔.

เพราะละตัณหาไดขาด ทานกลาววา "นิพพาน" - สุคฺต. ขุ. ๒๕/๕๔๗/๔๓๗. - จุฬนิ. ขุ. ๓๐/๒๑๖/๔๕๔.

ความดับดวยความจางคลายโดยไมเหลือ เพราะความสิ้นไป แหงตัณหาทั้งหลาย ดวยประการทั้งปวง เปนนิพพาน. - อุ. ขุ. ๒๕/๑๒๒/๘๔.

ผูรูทั้งหลายยอมกลาวนิพพานวาเปนธรรมยอดยิ่ง. - ธ. ขุ. ๒๕/๔๐/๒๔.

นิพพานธาตุ

www.buddhadasa.info "ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! ที่ พระองค ทรงเรี ยกอยู ว า 'ธรรมเป นที่ กํ าจั ดราคะ, เป นที่ กํ าจั ดโทสะ, เป นที่ กํ าจั ดโมหะ' ดั งนี้ , คํ าว า 'ธรรมเป นที่ กํ าจั ดราคะ, เป นที่ กํ าจั ด โทสะ, เปนที่กําจัดโมหะ' นี้ เปนคําที่ใชเรียกแทนชื่อของอะไรเลา ? พระเจาขา !"

ภิ ก ษุ ท. ! คํ า ว า "ธรรมเป น ที่ กํ า จั ด ราคะ (ราควิ น โย) เป นที่ กํ า จั ด โท ส ะ เป น ที ่กํ า จัด โม ห ะ " นี ้ เป น คํ า ที ่ใ ชเ รีย ก แ ท น ชื ่อ ข อ ง น ิพ พ า น ธ า ต ุ; เรียกวาเปนธรรมที่สิ้นไปแหงอาสวะทั้งหลาย แล. - มหาวาร. สํ. ๑๙/๑๐/๓๑.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๔๔๕

ลักษณะแหงนิพพานธาตุสองชนิด ภ ิก ษ ุ ท .! น ิพ พ าน ธ าต ุม ี ๒ อ ยา ง, ส อ งอ ยา งเห ล า ไห น เล า ? สองอยางคือ สองปาทิเสสนิพพานธาตุ และอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ. ก. สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ

ภิ ก ษุ ท.! สอุ ป าทิ เ สสนิ พ พานธาตุ เป น อย า งไรเล า ? ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ใ นธรรมวิ นั ย นี้ เป น พระอรหั น ต ผู มี อ าสวะสิ้ น แล ว อยู จ บพรหมจรรย แ ล ว ได ทํ า กิ จ ที่ ค วรทํ า เสร็ จ แล ว ปลงภาระลงได แ ล ว ได บ รรลุ ถึ งประโยชน ข องตนแล ว มีก ิเ ลสอัน เปน เครื ่อ งผูก ติด ใหอ ยู ก ับ ภพสิ ้น ไปรอบแลว หลุด พน แลว เพราะรู โดยชอบ. อิ น ทรี ย ห า ของเธอยั ง ตั้ ง อยู เพราะเป น อิ น ทรี ย ที่ ยั ง ไม ถู ก กํ า จั ด เธอ ยอ มเสวยอารมณ อ ัน เปน ที ่ช อบใจบา ง ไมเ ปน ที ่ช อบใจบา ง ใหรู ส ึก สุข และ ทุ ก ข บ า ง. ความสิ้ น ไปแห ง ราคะ ความสิ้ น ไปแห ง โทสะ ความสิ้ น ไปแห ง โมหะ ของเธอ อันใด,. ภิกษุ ท.! อันนั้นแหละ เราเรียกวา สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ.

www.buddhadasa.info ข. อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ

ภิ ก ษุ ท.! ก็ อนุ ป าทิ เสสนิ พ พานธาตุ เป น อย า งไรเล า ? ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ใ นธรรมวิ นั ย นี้ เป น พระอรหั น ต ผู มี อ าสวะสิ้ น แล ว อยู จ บพรหมจรรย แ ล ว ได ทํ า กิ จ ที่ ค วรทํ า เสร็ จ แล ว ปลงภาระลงได แ ล ว ได บ รรลุ ถึ งประโยชน ข องตนแล ว มี กิ เลสอั น เป น เครื่ อ งผู ก ติ ด อยู กั บ ภพสิ้ น ไปรอบแล ว หลุ ด พ น แล วเพราะรู โดยชอบ. ภิ ก ษุ ท.! เวทนาทั้ ง หลายทั้ ง ปวงของเธอ อั น เธอไม เพลิ ด เพลิ น แล ว จั ก ดั บ เย็ น ในโลกนี้เอง. ภิกษุ ท.! อยางนี้แล เราเรียกวา อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ.


๔๔๖

อริยสัจจากพระโอษฐ (คาถาผนวกทายพระสูตรนี้ มีวา :-)

นิพพานธาตุ อันพระผูมีพระภาคผูมีจักษุ ผูอันตัณหาและทิฏฐิ ไมอาศัยแลว ผูคงที่ ไดประกาศไวแลว มีอยู ๒ อยาง เหลานี้คือ นิพพานธาตุอยางหนึ่ง (มี) เพราะความสิ้นไปแหงภวเนตติ เปนไป ในทิฎฐธรรมนี้ (อิธ ทิฎฐธมฺมิกา) ยังมีอุปาทิเหลือ, และนิพพานธาตุ (อีกอยางหนึ่ง) ไมมีอุปาทิเหลือ เปนไปในกาลเบื้องหนา (สมฺปรายิกา) เปนที่ดับแหงภพทั้งหลายโดยประการทั้งปวง. บุ คคลเหล าใดรู ทั่ วถึ งแล วซึ่ งนิ พพานธาตุ สองอย างนั่ นอั นเป น อสังขตบท เป นผูมีจิตหลุดพ นพิ เศษแลวเพราะความสิ้นไปแหงภวเนตติ; บุคคลเหลานั้น ยินดีแลว ในความสิ้นไป (แหงทุกข) เพราะ การถึงทับซึ่งธรรมอันเปนสาระ เปนผูคงที่ ละแลวซึ่งภพทั้งปวง, ดังนี้. เนื้ อความแม นี้ เป นเนื้ อความอันพระผู มี พระภาคตรัสแล ว ขาพเจาได ฟ งมาแล ว อยางนี้, ดังนี้.

www.buddhadasa.info (ถอยคําในพากยบาลี มีดังตอไปนี้ :-) เทฺว อิมา จกฺขุมตา ปกาสิตา นิพฺพานธาตู อนิสฺสิเตน ตาทินา เอกา หิ ธาตุ อิธ ทิฏธมฺมิกา สอุปาทิเสสา ภวเนตฺติสงฺขยา อนุปาทิเสสา ปน สมฺปรายิกา ยมฺหิ นิรุชฺฌนฺติ ภวานิ สพฺพโส. เย เอตทฺาย ปทํ อสงฺขตํ วิมุตฺตจิตฺตา ภวเนตฺติสงฺขยา


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๔๔๗

เต ธมฺมสาราธิคมกฺขเย รตา ปหํสุ เต สพฺพภวานิ ตาทิโนติ. อยมฺป อตฺโถ วุตฺโต ภควตา อิติ เม สุตนฺติ. - อิติวุ. ขุ. ๒๕/๒๕๘-๒๕๙/๒๒๒. (นิ พ พานธาตุ ทั้ ง สองอย า งนี้ เป น นิ พ พานธาตุ สํ า หรั บ พระอรหั น ต ผู สิ้ น อาสวะกิ เ ลส แล ว ทั้ ง สองชนิ ด หากแต ผู บ รรลุ นิ พ พานธาตุ ช นิ ด สอุ ป าทิ เ สสะนั้ น ระบบแห ง ความรู สึ ก ทาง อิ น ทรี ย ห า คื อ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ของท า น ยั ง ไม ถู ก กํ า จั ด โดยสิ้ น เชิ ง ด ว ยอํ า นาจนิ พ พานธาตุ นั้ น ความเคยชิ น ในความรู สึ ก ต อ อารมณ สํ า หรั บ จะรู สึ ก เป น สุ ข หรื อ เป น ทุ ก ข ยั ง เหลื อ อยู จึ ง เรี ย กว า สอุป าทิเ สสะ - มีอ ุป าทิเ หลือ อยู  นั ่น คือ ดัง ขอ ความขอ ก.; สว นพระอรหัน ตจํ า พวกหลัง นั ้น ความเคยชิ น ในความรู สึ ก ต อ อารมณ ข องอิ น ทรี ย ทั้ ง ห า ถู ก นิ พ พานธาตุ อ ย า งที่ ส องกํ า จั ด แล ว สิ้ น เชิ ง เวทนาของท า นจึ ง เย็ น สนิ ท ไม รู สึ ก เป น สุ ข หรื อ เป น ทุ ก ข จึ ง เรี ย กว า อนุ ป าทิ เ สสะ - ไม มี อุ ป าทิ เหลื อ อยู ดั ง ข อ ความที่ ก ล า วแล ว ในข อ ข. หาใช ต อ งทํ า ลายขั น ธ ถึ ง มรณภาพไปไม เพราะบาลี มีอ ยู อ ยา งชัด เจนวา เวทนาเหลา นั ้น ดับ เย็น (คือ ไมเ ปน สุข หรือ เปน ทุก ข) ในอัต ภาพนี ้ห รือ ใน โลกนี้เอง. การที่ มี ผู เข า ใจไปว า นิ พ พานธาตุ อ ย า งแรกเป น ของพระอรหั น ต ผู ยั ง มี ชี วิ ต อยู และ นิ พ พานธาตุ อ ย า งหลั ง เป น ของพระอรหั น ต ผู ถึ ง แก ม รณภาพแล ว ดั ง นี้ นั้ น คงจะเนื่ อ งจากความเข า ใจผิด ตอ คํ า บาลีส องคํ า ในคาถาผนวกทา ยสูต รนั ่น เอง คือ คํ า วา สมฺป รายิก า ซึ ่ง แปลกัน วา โลกหนา หรือ ตอ ตายแลว ซึ ่ง ที ่แ ทแ ปลวา ในเวลาถัด ๆ ไป ก็ไ ด, สว นคํ า วา ทิฏ ฐธมฺม ิก า มี ค วามหมายว า ทั น ที ทั น ใดที่ เ หตุ ก ารณ นั้ น ๆ ได เ กิ ด ขึ้ น แล ว ไม จํ า เป น จะต อ งระบุ ว า ในชาติ นี้ ภพนี้เสมอไป.

www.buddhadasa.info ผู ร วบรวมมี ค วามเห็ น ว า นิ พ พานธาตุ ทั้ ง สองอย า งนี้ มี สํ า หรั บ พระอรหั น ต ที่ ยั ง มี ชี วิ ต อยู ด ว ยกั น ทั้ ง นั้ น ต า งกั น เพี ย งแต ว า พวกแรกนั้ น อิ น ทรี ย ยั ง รู สึ ก ต อ สุ ข และทุ ก ข แม จ ะไม มี ค วามยึ ด ถื อ ในเวทนานั้ น , , ส ว นพวกหลั ง นั้ น ไม มี ค วามรู สึ ก เป น สุ ข หรื อ ทุ ก ข จึ ง กล า วว า เวทนา เปนของเย็น ในอัตภาพนี้ หรือในโลกนี้. ขอนี้จะยุกติเปนอยางไร ผูศึกษาจงพิจารณาดูเองเถิด).


๔๔๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

อสังขตลักษณะ ๓ อยาง ภิ ก ษุ ท.! สั ง ขตลั ก ษณะแห ง สั ง ขตธรรม ๓ อย า ง เหล า นี้ มี อ ยู . สามอยางอยางไรเลา? สามอยางคือ :๑. มีการเกิดปรากฏ (อุปฺปาโท ปฺายติ); ๒. มีการเสื่อมปรากฏ (วโย ปฺายติ) ; ๓. เมื ่อ ตั ้ง อ ยู  ก็ม ีภ าวะอ ยา งอื ่น ป ราก ฏ (ต สฺส อ  ฺถตฺตํ ปฺายติ). ภิกษุ ท.! สามอยางเหลานี้แล คือสังขตลักษณะแหงสังขตธรรม. ภิ ก ษุ ท.! อสั ง ขตลั ก ษณ ะของอสั ง ขตธรรม ๓ อย า งเหล า นี้ มี อ ยู . สามอยางอยางไรเลา? สามอยางคือ :๑. ไมปรากฏมีการเกิด (น อุปฺปาโท ปฺายติ) ; ๒. ไมปรากฏมีการเสื่อม (น วโย ปฺายติ) ; ๓. เมื่ อ ตั้ ง อยู ก็ ไ ม มี ภ าวะอย า งอื่ น ปรากฏ (น ต สฺส อฺ ถตฺ ตํ ปฺายติ). ภิกษุ ท.! สามอยางเหลานี้แล คืออสังขตลักษณะของอสังขตธรรม.

www.buddhadasa.info - ติก. อํ. ๒๐/๑๙๒/๔๘๖-๔๘๗.

ความดับเย็นของเวทนามีได แมในทิฏฐธรรมนี้

วั ป ปะ! เมื่ อ ภิ ก ษุ มี จิ ต หลุ ด พ น โดยชอบอย า งนี้ แ ล ว สตตวิ ห ารธรรม๑ ทั้งหลาย ๖ ประการ ก็เปนอันวาภิกษุนั้นถึงทับแลว : ภิกษุนั้นเห็น

๑. สตตวิห ารธรรม ในที ่นี ้ หมายความวา มีส ติส ัม ปชัญ ญ ะติด ตอ กัน ไป ในการสัม ผัส ทางตา หู จ มู ก ลิ ้น ก า ย ใจ ไมเ กิด ยิน ดีย ิน รา ย ขึ ้น ม า ได อ ยา ง ติ ด ตอ กัน ไมม ี เ ว ล า เผ ล อ . เมื ่อ มีส ติค ว บ คุม สิ ่ง ทั ้ง ห ก นี ้ไ วไ ด อ ยา งติด ตอ กัน เชน นี ้ ก ารเปน อ ยู อ ยา งนี ้ ก็เ รีย ก ได วา "สตตวิหาร ธรรม ๖ ประการ".


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๔๔๙

รู ป ด วยจั ก ษุ แล ว ไม เป น ผู ดี ใจ ไม เป น ผู เสี ย ใจ เป น ผู อ ยู อุ เบกขา มี สิ ต สั ม ปชั ญ ญะ อ ยู  ; ฟ ง เสีย ง ด ว ย โส ต ะ แ ล ว ....; รู ส ึก ก ลิ ่น ด ว ย ม า น ะ แ ล ว ....; ลิ ้ม ร ส ด ว ย ช ิว ห า แ ล ว ....; ถ ูก ต อ ง ส ัม ผ ัส ผ ิว ห น ัง ด ว ย ผ ิว ก า ย แ ล ว ....; รู ส ึก ธรรมารมณ ด วยมโนแล ว ไม เป นผู ดี ใจ ไม เป นผู เสี ยใจ เป นผู อยู อุ เบกขา มี สติ สั มปชั ญญะอยู . ภิ ก ษุ นั้ น เมื่ อ เสวยซึ่ ง เวทนามี ก ายเป น สุ ด รอบอยู ย อ มรู ชั ด ว า เราเสวยซึ ่ง เวทนามีก ายเปน ที ่ส ุด รอบอยู  ; เมื ่อ เสวยซึ ่ง เวทนามีช ีว ิต เปน ที ่ส ุด รอบอยู  ยอ มรู ช ัด วา เราเสวยซึ ่ง เวทนามีช ีว ิต เปน ที ่ส ุด รอบอยู ; เธอยอ มรู ช ัด วา "เวทนาทั้งปวง อันเราไมเพลิดเพลินแลว จักเ ปนของเย็นในอัตตภาพนี้๑ นั่นเทียว จนกระทั่งถึงที่สุดรอบแหงชีวิต เพราะการแตกทําลายแหงกาย ดังนี้. วั ป ปะ ! เปรี ย บเหมื อ นเงาย อ มปรากฏเพราะอาศั ย เสาสดมภ (ถู ณ ะ). ลํ า ดับ นั ้น บุร ุษ ถือ เอามาซึ ่ง จอบและตะกรา เขาตัด ซึ ่ง เสานั ้น ที ่โ คน, ครั ้น ตัด ที ่โ คน แลว พึง ขุด , ค รั ้น ขุด แลว พึง รื ้อ ซึ ่ง รากทั ้ง ห ลาย ไมใ หเ หลือ แมที ่ส ุด สัก แตว า เทา ตน แฝก. บุร ุษ นั ้น พึง ตัด ซึ ่ง เสานั ้น ใหเ ปน ทอ นนอ ยทอ นใหญ  ; ครั ้น ตัด ซึ ่ง เสานั ้น ใหเ ปน ทอ นนอ ยทอ นใหญ แ ลว พึง ผา ; ครั ้น ผา แลว พึง จัก ให เ ป น ซี ก เล็ ก ๆ; ครั้ น จั ก ให เ ป น ซี ก เล็ ก ๆ แล ว พึ ง ผึ่ ง ให แ ห ง ในลมและแดด ; ครั้ น ผึ่ ง ให แ ห ง ในลมและแดดแล ว พึ ง เผาด ว ยไฟ ; ครั้ น เผาด ว ยไฟแล ว พึ ง ทํ า ให เปน ผงเถา ถา น; ครั ้น ทํ า ใหเ ปน ผงเถา ถา นแลว พึง โปรยไปในกระแสลมอัน พัด จัด หรือ วา พึง ใหล อยไปในกระแสอัน เชี ่ย วแหง แมน้ํ า . วัป ปะ! เงาอัน ใด ที่อาศัยเสาสดมภ, เงาอันนั้นยอมถึงซึ่งความมีมูลเหตุอันขาดแลว ถูกกระทําให

www.buddhadasa.info

๑. การดับ เย็น แหง เวท น าใน อัต ภ าพ นี ้ มีอ ธิบ ายอีก ใน หัว ขอ วา "การไมเ กิด อนุส ัย สาม เมื ่อ เสวย เวทนาสามแลวดับเย็น" ที่หนา ๗๘๗ แหงหนังสือนี้.


๔๕๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

เหมื อ นตาลมี ขั้ ว ยอดอั น ด ว น กระทํ า ให ถึ ง ความไม มี อ ยู มี อั น ไม บั ง เกิ ด ขึ้ น ต อ ไป เปนธรรมดา, นี้ฉันใด ; วัป ป ะ ! ขอ นี ้ก ็ฉ ัน นั ้น ก ล า วค ือ เมื ่อ ภ ิก ษ ุจ ิต ห ล ุด พ น โด ย ช อ บ อย า งนี้ แ ล ว สตตวิ ห ารธรรม ท. ๖ ประการ ก็ เ ป น อั น ว า ภิ ก ษุ นั้ น ถึ ง ทั บ แล ว : ภิก ษุนั ้น เห็น รูป ดว ยจัก ษุแ ลว ไมเ ปน ผู ด ีใ จ ไมเ ปน ผู เ สีย ใจ เปน ผู อ ยู อ ุเ บกขา มีส ติส ัป ชัญ ญ ะ อ ยู  ; ฟ ง เสีย งดว ย โส ต ะ แ ลว ....; รู ส ึก ก ลิ ่น ดว ย ฆ าน ะ แลว ....; ลิ ้ม รส ดว ย ชิว ห าแ ลว ....; ถูก ตอ งสัม ผัส ผิว ห นัง ดว ย ก าย ะ แ ลว ....; รู ส ึก ธัม มารมณด ว ยมโนแลว ไมเ ปน ผู ด ีใ จ ไมเ ปน ผู เ สีย ใจ เปน ผู อ ยู อ ุเ บกขา มีส ติส ัม ป ชัญ ญ ะอ ยู . ภ ิก ษ ุนั ้น เมื ่อ เส วย ซึ ่ง เวท น าม ีก าย เป น ที ่ส ุด รอ บ อ ยู ยอ มรู ช ัด วา เราเสวยซึ ่ง เวทนามีก ายเปน ที ่ส ุด รอบอยู ; เมื ่อ เสวยซึ ่ง เวทนามี ชี วิ ต เป น ที่ สุ ด รอบอยู ย อ มรู ชั ด ว า เราเสวยซึ่ ง เวทนามี ชี วิ ต เป น ที่ สุ ด รอบอยู ; เธอย อ มรู ชั ด ว า "เวทนาทั้ ง หลายทั้ ง ปวง อั น เราไม เ พลิ ด เพลิ น แล ว จั ก เป น ของ เย็ น ในอั ต ตภาพนี้ นั่ น เที ย ว จนกระทั่ ง ถึ ง ที่ สุ ด รอบแห ง ชี วิ ต เพราะการแตกทํ า ลาย แหงกาย" ดังนี้.

www.buddhadasa.info - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๒๖๙/๑๙๕.

นิพพานคือ วิราคธรรม

ภิก ษุ ท .! สัง ข ต ธ รรม ก็ด ี อ สัง ข ต ธ รรม ก็ด ี มีป ระ ม า ณ เทา ใด , วิราคธรรม เรากลาววา เปนยอดของสังขตธรรม และอสังขตธรรมเหลานั้นทั้งห ม ด . วิร าคธรรมนั ้น ไดแ ก ธรรมอัน เปน ที ่ส รา งแหง ความเมา, เปน ที ่ข จัด ความกระหาย, เป น ที่ ถ อนความอาลั ย , เป น ที่ ตั ด วั ฏ ฏะ (วน), เป น ที่ สิ้ น ตั ณ หา, เปนที่คลายความกําหนัด, เปนที่ดับกิเลส, นี่แลคือ นิพพาน. - อิติวุ. ขุ. ๒๕/๒๙๘/๒๗๐.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๔๕๑

ไวพจนของนิพพาน (๓๒ คํา) ภิก ษุ ท.! เราจัก แสดง ซึ ่ง น ิพ พ าน แกพ วกเธอทั ้ง หลาย, พ วก เธอทั้งหลาย จงฟงความขอนั้น. ภิกษุ ท.! นิพพาน เปนอยางไรเลา ? ภิก ษ ุ ท .! ความ สิ ้น ไป แหง ราคะ, ความ สิ ้น ไป แหง โทส ะ, ความ สิ้นไปแหงโมหะ, อันใด ; ภิกษุ ท.! อันนี้แล เราเรียกวา นิพพาน. - สฬา. สํ. ๑๘/๔๕๒/๗๔๑

ภ ิก ษ ุ ท .! เราจัก แ ส ด ง ซึ ่ง อ ส ัข ต ะ (สิ ่ง ที ่ไ ม ถ ูก อ ะ ไรป รุง แ ต ง ) แ ก พวกเธอทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลาย จงฟงความขอนั้น. ภิกษุ ท.! อสังขตะ เปนอยางไรเลา? ภิก ษ ุ ท .! ความ สิ ้น ไป แหง ราคะ, ความ สิ ้น ไป แหง โทส ะ, ความ สิ้นไปแหงโมหะ, อันใด; ภิกษุ ท.! อันนี้แล เราเรียกวา อสัขตะ.

www.buddhadasa.info - สฬา. สํ. ๑๘/๔๔๑/๖๗๔.

ภ ิก ษ ุ ท .! เรา จ ัก แ ส ด ง ซึ ่ง อ น ต ะ (สิ ่ง ซึ ่ง อ ะ ไร ๆ น อ ม ไป ได ) แ ก พวกเธอทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลาย จงฟงความขอนั้น. ภิกษุ ท.! อนตะ เปนอยางไรเลา ? ภิก ษุ ท.! ความ สิ ้น ไปแหง ราคะ, ความสิ ้น ไปแหง โทสะ, ความ สิ้นไปแหงโมหะ, อันใด ;


๔๕๒

อริยสัจจากพระโอษฐ ภิกษุ ท.! อันนี้แล เราเรียกวา อนตะ.

- สฬา. สํ. ๑๘/๔๕๐/๗๒๐.

ภิก ษุ ท.! เราจัก แสดง ซึ ่ง อ น าส วะ (สิ ่ง ที ่ไ มม ีอ าสวะ) แกพ วกเธอ ทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลาย จงฟงความขอนั้น. ภิกษุ ท.! อนาสวะ เปนอยางไรเลา ? ภิก ษ ุ ท .! ความ สิ ้น ไป แหง ราคะ, ความ สิ ้น ไป แหง โทส ะ, ความ สิ้นไปแหงโมหะ, อันใด ; ภิกษุ ท.! อันนี้แล เราเรียกวา อนาสวะ. - สฬา. สํ. ๑๘/๔๕๐/๗๒๑.

ภิ ก ษุ ท.! เราจั ก แสดง ซึ่ ง สั จ จะ (ของจริ ง ) แก พ วกเธอทั้ ง หลาย, พวกเธอทั้งหลาย จงฟงความขอนั้น. ภิกษุ ท.! สัจจะ เปนอยางไรเลา ? ภิก ษ ุ ท .! ความ สิ ้น ไป แหง ราคะ, ความ สิ ้น ไป แหง โทส ะ, ความ สิ้นไปแหงโมหะ, อันใด ; ภิกษุ ท.! อันนี้แล เราเรียกวา สัจจะ

www.buddhadasa.info - สฬา. สํ. ๑๘/๔๕๐/๗๒๒.

ภิ ก ษุ ท.! เราจั ก แสดง ซึ่ ง ป าระ (ฝ ง นอก) แก พ วกเธอทั้ ง หลาย, พวกเธอทั้งหลาย จงฟงความขอนั้น. ภิกษุ ท.! ปาระ เปนอยางไรเลา ? ภิก ษ ุ ท .! ความ สิ ้น ไป แหง ราคะ, ความ สิ ้น ไป แหง โทส ะ, ความ สิ้นไปแหงโมหะ, อันใด ;


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๔๕๓

ภิกษุ ท.! อันนี้แล เราเรียกวา ปาระ. - สฬา. สํ. ๑๘/๔๕๐/๗๒๓.

ภิ ก ษุ ท.! เราจั ก แสดงซึ่ ง นิ ปุ ณ ะ (ของละเอี ย ด) แก พ วกเธอทั้ ง หลาย, พวกเธอทั้งหลาย จงฟงความขอนั้น. ภิกษุ ท.! นิปุณะ เปนอยางไรเลา? ภิก ษ ุ ท .! ความ สิ ้น ไป แหง ราคะ, ความ สิ ้น ไป แหง โทส ะ, ความ สิ้นไปแหงโมหะ, อันใด; ภิกษุ ท.! อันนี้แล เราเรียกวา นิปุณะ. - สฬา. สํ. ๑๘/๔๕๐/๗๒๔.

ภิ ก ษุ ท.! เราจั ก แสดงซึ่ ง สุ ทุ ท ทสะ (ของเห็ น ได ย ากอย า งยิ่ ง ) แก พ วก เธอทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลาย จงฟงความขอนั้น. ภิกษุ ท.! สุทุททสะ เปนอยางไรเลา? ภิก ษ ุ ท .! ความ สิ ้น ไป แหง ราคะ, ความ สิ ้น ไป แหง โทส ะ, ความ สิ้นไปแหงโมหะ. อันใด; ภิกษุ ท.! อันนี้แล เราเรียกวา สุทุททสะ.

www.buddhadasa.info - สฬา. สํ. ๑๘/๔๕๐/๗๒๕.

ภิก ษุ ท.! เราจัก แสดงซึ ่ง อชัช ชระ (ของที ่ไ มค ร่ํ า ครา ) แกพ วกเธอ ทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลาย จงฟงความขอนั้น ภิกษุ ท.! อชัชชระ เปนอยางไรเลา ? ภิก ษ ุ ท .! ความ สิ ้น ไป แหง ราคะ, ความ สิ ้น ไป แหง โทส ะ, ความ สิ้นไปแหงโมหะ, อันใด ;


๔๕๔

อริยสัจจากพระโอษฐ ภิกษุ ท.! อันนี้แล เราเรียกวา อชัชชระ.

- สฬา. สํ. ๑๘/๔๕๐/๗๒๖.

ภิ ก ษุ ท.! เราจั ก แสดง ซึ่ ง ธุ ว ะ (ของยั่ ง ยื น ) แก พ วกเธอทั้ ง หลาย, พวกเธอทั้งหลาย จงฟงความขอนั้น. ภิกษุ ท.! ธุวะ เปนอยางไรเลา? ภิก ษ ุ ท .! ความ สิ ้น ไป แหง ราคะ, ความ สิ ้น ไป แหง โทส ะ, ความ สิ้นไปแหงโมหะ, อันใด; ภิกษุ ท.! อันนี้แล เราเรียกวา ธุวะ. - สฬา. สํ. ๑๘/๔๕๐/๗๒๗.

ภิก ษ ุ ท .! เราจัก แสดง ซึ ่ง อ ป โล กิน ะ (เปา ที ่ห ม าย) แกพ วกเธอ ทั้งหลาย. พวกเธอทั้งหลาย จงฟงความขอนั้น. ภิกษุ ท.! อปโลกินะ เปนอยางไรเลา? ภิก ษ ุ ท .! ความ สิ ้น ไป แหง ราคะ, ค วาม สิ ้น ไป แหง โท ส ะ, ความ สิ้นไปแหงโมหะ, อันใด; ภิกษุ ท.! อันนี้แล เราเรียกวา อปโลกินะ

www.buddhadasa.info - สฬา. สํ. ๑๘/๔๕๐/๗๒๘.

ภิ ก ษุ ท.! เราจั ก แสดงซึ่ ง อนิ ทั ส สนะ (สิ่ ง ที่ ไ ม แ สดงตั ว ) แก พ วกเธอ ทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลาย จงฟงความขอนั้น. ภิกษุ ท.! อนิทัสสนะ เปนอยางไรเลา? ภิก ษ ุ ท .! ความ สิ ้น ไป แหง ราคะ, ความ สิ ้น ไป แหง โทส ะ, ความ สิ้นไปแหงโมหะ, อันใด;


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๔๕๕

ภิกษุ ท.! อันนี้แล เราเรียกวา อนิทัสสนะ. - สฬา. สํ. ๑๘/๔๕๑/๗๒๙.

ภิ กษุ ท .! เราจั ก แสดงซึ่ ง นิ ป ป ป ญ จ ะ (สิ่ ง ที่ ไม ถ ว งไว ใ น โลกนี้ ) แก พวกเธอทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลาย จึงฟงความขอนั้น. ภิกษุ ท.! นิปปปญจะ เปนอยางไรเลา ? ภิก ษ ุ ท .! ความ สิ ้น ไป แหง ราคะ, ความ สิ ้น ไป แหง โทส ะ, ความ สิ้นไปแหงโมหะ, อันใด ; ภิกษุ ท.! อันนี้แล เราเรียกวา นิปปปญจะ. - สฬา. สํ. ๑๘/๔๕๑/๗๓๐.

ภิ ก ษุ ท.! เราจั ก แสดงซึ่ ง สั น ตะ (สิ่ ง สงบระงั บ ) แก พ วกเธอทั้ ง หลาย, พวกเธอทั้งหลาย จงฟงความขอนั้น. ภิกษุ ท.! สันตะ เปนอยางไรเลา ? ภิก ษ ุ ท .! ความ สิ ้น ไป แหง ราคะ, ความ สิ ้น ไป แหง โทส ะ, ความ สิ้นไปแหงโมหะ, อันใด ; ภิกษุ ท.! อันนี้แล เราเรียกวา สันตะ.

www.buddhadasa.info - สฬา. สํ. ๑๘/๔๕๑/๗๓๑.

ภิ ก ษุ ท.! เราจั ก แสดงซึ่ ง อมตะ (สิ่ ง ไม ต าย) แก พ วกเธอทั้ ง หลาย, พวกเธอทั้งหลาย จงฟงความขอนั้น. ภิกษุ ท.! อมตะ เปนอยางไรเลา? ภิก ษ ุ ท .! ความ สิ ้น ไป แหง ราคะ, ความ สิ ้น ไป แหง โทส ะ, ความ สิ้นไปแหงโมหะ, อันใด ;


๔๕๖

อริยสัจจากพระโอษฐ ภิกษุ ท.! อันนี้แล เราเรียกวา อมตะ

- สฬา. สํ. ๑๘/๔๕๑/๗๓๒.

ภิ ก ษุ ท.! เราจั ก แสดงซึ่ ง ปณี ต ะ (สิ่ ง ประณี ต ) แก พ วกเธอทั้ ง หลาย, พวกเธอทั้งหลาย จงฟงความขอนั้น. ภิกษุ ท.! ปณีตะ เปนอยางไรเลา ? ภิก ษุ ท.! ความสิ ้น ไปแหง ราคะ, ความสิ ้น ไปแหง โทสะ, ความ สิ้นไปแหงโมหะ, อันใด ; ภิกษุ ท.! อันนี้แล เราเรียกวา ปณีตะ. - สฬา. สํ. ๑๘/๔๕๑/๗๓๓.

ภิ ก ษุ ท.! เราจั ก แสดง ซึ่ ง สิ ว ะ (สิ่ ง ที่ เ ย็ น ) แก พ วกเธอทั้ ง หลาย, พวกเธอทั้งหลายจงฟงความขอนั้น. ภิกษุ ท.! สิวะ เปนอยางไรเลา ? ภิ ก ษุ ท.! ความสิ้ น ไปแห ง ราคะ, ความสิ้ น ไปแห ง โทสะ, ความ สิ้นไปแหงโมหะ, อันใด ; ภิกษุ ท.! อันนี้แล เราเรียกวา สิวะ.

www.buddhadasa.info - สฬา. สํ. ๑๘/๔๕๑/๗๓๔.

ภิ ก ษุ ท.! เราจั ก แสดง ซึ่ ง เขมะ (ที่ เ กษม) แก พ วกเธอทั้ ง หลาย, พวกเธอทั้งหลายจงฟงความขอนั้น. ภิกษุ ท.! เขมะ เปนอยางไรเลา? ภิก ษุ ท.! ความสิ ้น ไปแหง ราคะ, ความสิ ้น ไปแหง โทสะ, ความ สิ้นไปแหงโมหะ, อันใด ;


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๔๕๗

ภิกษุ ท.! อันนี้แล เราเรียกวา เขมะ - สฬา. สํ. ๑๘/๔๕๑/๗๓๕.

ภิก ษุ ท.! เราจัก แสดงซึ ่ง ตัณ หัก ขยะ (ที ่สิ ้น ตัณ หา) แกพ วกเธอ ทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลาย จงฟงความขอนั้น. ภิกษุ ท.! ตัณหักขยะ เปนอยางไรเลา ? ภิก ษุ ท.! ความสิ ้น ไปแหง ราคะ, ความสิ ้น ไปแหง โทสะ, ความ สิ้นไปแหงโมหะ, อันใด ; ภิกษุ ท.! อันนี้แล เราเรียกวา ตัณหักขยะ. - สฬา. สํ. ๑๘/๔๕๑/๗๓๖.

ภิก ษุ ท.! เราจัก แสดงซึ ่ง อัจ ฉ ริย ะ (สิ ่ง นา อัศ จรรย) แกพ วกเธอ ทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลาย จงฟงความขอนั้น. ภิกษุ ท.! อัจฉริยะ เปนอยางไรเลา ? ภิก ษุ ท.! ความสิ ้น ไปแหง ราคะ, ความสิ ้น ไปแหง โทสะ, ความ สิ้นไปแหงโมหะ, อันใด ; ภิกษุ ท.! อันนี้แล เราเรียกวา อัจฉริยะ.

www.buddhadasa.info - สฬา. สํ. ๑๘/๔๕๑/๗๓๗.

ภิก ษุ ท.! เราจัก แสดงซึ ่ง อัพ ภ ุต ะ (สิ ่ง ที ่ไ มม ีไ มเ ปน ) แกพ วกเธอ ทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลาย จงฟงความขอนั้น. ภิกษุ ท.! อัพภุตะ เปนอยางไรเลา ? ภิก ษุ ท.! ความสิ ้น ไปแหง ราคะ, ความสิ ้น ไปแหง โทสะ, ความ สิ้นไปแหงโมหะ, อันใด ;


๔๕๘

อริยสัจจากพระโอษฐ ภิกษุ ท.! อันนี้แล เราเรียกวา อัพภุตะ.

- สฬา. สํ. ๑๘/๔๕๑/๗๓๘.

ภิก ษุ ท.! เราจัก แสดงซึ ่ง อ นีต ิก ะ (สิ ่ง ที ่ไ มม ีเ สนีย ด) แกพ วกเธอ ทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลาย จงฟงความขอนั้น. ภิกษุ ท.! อนีติกะ เปนอยางไรเลา ? ภิก ษุ ท.! ความสิ ้น ไปแหง ราคะ, ความสิ ้น ไปแหง โทสะ, ความ สิ้นไปแหงโมหะ, อันใด ; ภิกษุ ท.! อันนี้แล เราเรียกวา อนีติกะ. - สฬา. สํ. ๑๘/๔๕๒/๗๓๙.

ภิ ก ษุ ท.! เราจั ก แสดงซึ่ ง อนี ติ ก ธั ม มะ (ธรรมที่ ไ ม เสนี ย ด) แก พ วก เธอทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลาย จงฟงความขอนั้น. ภิกษุ ท.! อนีติกธัมมะ เปนอยางไรเลา ? ภิก ษุ ท.! ความสิ ้น ไปแหง ราคะ, ความสิ ้น ไปแหง โทสะ, ความ สิ้นไปแหงโมหะ, อันใด ; ภิกษุ ท.! อันนี้แล เราเรียกวา อนีติกธัมมะ.

www.buddhadasa.info - สฬา. สํ. ๑๘/๔๕๒/๗๔๐.

ภิ ก ษุ ท.! เราจั ก แสดงซึ่ ง อั พ ยาป ช ฌ ะ (สิ่ ง ที่ ไ ม เบี ย ดเบี ย นสั ต ว ) แก พวกเธอทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลาย จงฟงความขอนั้น. ภิกษุ ท.! อัพยาปชฌะ เปนอยางไรเลา ? ภิก ษุ ท.! ความสิ ้น ไปแหง ราคะ, ความสิ ้น ไปแหง โทสะ, ความ สิ้นไปแหงโมหะ. อันใด ;


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๔๕๙

ภิกษุ ท.! อันนี้แล เราเรียกวา อัพยาปชฌะ. - สฬา. สํ. ๑๘/๔๕๒/๗๔๒.

ภิก ษ ุ ท .! เราจัก แ ส ด งซึ ่ง วิร า ค ะ (ที ่ค ล า ย กํ า ห นัด ) แ กพ วก เธ อ ทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลาย จงฟงความขอนั้น. ภิกษุ ท.! วิราคะ เปนอยางไรเลา ? ภิก ษ ุ ท .! ความ สิ ้น ไป แหง ราคะ, ความ สิ ้น ไป แหง โทส ะ, ความ สิ้นไปแหงโมหะ, อันใด ; ภิกษุ ท.! อันนี้แล เราเรียกวา วิราคะ. - สฬา. สํ. ๑๘/๔๕๒/๗๔๓.

ภิ ก ษุ ท.! เราจั ก แสดงซึ่ ง สุ ท ธิ (สิ่ ง บริ สุ ท ธิ์ ) แก พ วกเธอทั้ ง หลาย, พวกเธอทั้งหลายจงฟงความขอนั้น. ภิกษุ ท.! สุทธิ เปนอยางไรเลา ? ภิก ษ ุ ท .! ความ สิ ้น ไป แหง ราคะ, ความ สิ ้น ไป แหง โทส ะ, ความ สิ้นไปแหงโมหะ, อันใด ; ภิกษุ ท.! อันนี้แล เราเรียกวา สุทธิ.

www.buddhadasa.info - สฬา. สํ. ๑๘/๔๕๒/๗๔๔.

ภิ ก ษุ ท.! เราจั ก แสดงซึ่ ง มุ ต ติ (ความพ น ) แก พ วกเธอทั้ ง หลาย, พวกเธอทั้งหลาย จงฟงความขอนั้น. ภิกษุ ท.! มุตติ เปนอยางไรเลา ? ภิก ษ ุ ท .! ความ สิ ้น ไป แหง ราคะ, ความ สิ ้น ไป แหง โทส ะ, ความ สิ้นไปแหงโมหะ, อันใด ;


๔๖๐

อริยสัจจากพระโอษฐ ภิกษุ ท.! อันนี้แล เราเรียกวา มุตติ.

- สฬา. สํ. ๑๘/๔๕๒/๗๔๕.

ภิก ษ ุ ท .! เราจัก แส ด งซึ ่ง อ น าล ย ะ (สิ ่ง ที ่ไ มม ีอ าลัย ) แกพ วกเธอ ทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลาย จงฟงความขอนั้น. ภิกษุ ท.! อนาลยะ เปนอยางไรเลา ? ภิก ษ ุ ท .! ความ สิ ้น ไป แหง ราคะ, ความ สิ ้น ไป แหง โทส ะ, ความ สิ้นไปแหงโมหะ, อันใด ; ภิกษุ ท.! อันนี้แล เราเรียกวา อนาลยะ. - สฬา. สํ. ๑๘/๔๕๒/๗๔๖.

ภิ ก ษุ ท.! เราจั ก แสดงซึ่ ง ที ป ะ (เกาะที่ พ น น้ํ า ) แก พ วกเธอทั้ ง หลาย, พวกเธอทั้งหลาย จงฟงความขอนั้น. ภิกษุ ท.! ทีปะ เปนอยางไรเลา ? ภิก ษ ุ ท .! ความ สิ ้น ไป แหง ราคะ, ความ สิ ้น ไป แหง โทส ะ, ความ สิ้นไปแหงโมหะ, อันใด ; ภิกษุ ท.! อันนี้แล เราเรียกวา ทีปะ.

www.buddhadasa.info - สฬา. สํ. ๑๘/๔๕๒/๗๕๗.

ภิ กษุ ท .! เราจั ก แสดง ซึ่ ง เล ณ ะ (ที่ ซ อ น ) แก พ วกเธอทั้ งหล าย, พวกเธอทั้งหลาย จงฟงความขอนั้น. ภิกษุ ท.! เลณะ เปนอยางไรเลา ?


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๔๖๑

ภิก ษ ุ ท .! ความ สิ ้น ไป แหง ราคะ, ความ สิ ้น ไป แหง โทส ะ, ความ สิ้นไปแหงโมหะ, อันใด; ภิกษุ ท.! อันนี้แล เราเรียกวา เลณะ. - สฬา. สํ. ๑๘/๔๕๒/๗๔๘.

ภิ ก ษุ ท.! เราจั ก แสดงซึ่ ง ตาณ ะ (ที่ ป อ งกั น ) แก พ วกเธอทั้ ง หลาย, พวกเธอทั้งหลาย จงฟงความขอนั้น. ภิกษุ ท.! ตาณะ เปนอยางไรเลา ? ภิก ษ ุ ท .! ความ สิ ้น ไป แหง ราคะ, ความ สิ ้น ไป แหง โทส ะ, ความ สิ้นไปแหงโมหะ, อันใด ; ภิกษุ ท.! อันนี้แล เราเรียกวา ตาณะ. - สฬา. สํ. ๑๘/๔๕๓/๗๔๙.

ภ ิก ษ ุ ท .! เราจัก แ ส ด งซึ ่ง ส ร ณ ะ (ที ่พึ ่ง ) แ ก พ วก เธ อ ทั ้ง ห ล าย , พวกเธอทั้งหลายจงฟงความขอนั้น. ภิกษุ ท.! สรณะ เปนอยางไรเลา ? ภิก ษ ุ ท .! ความ สิ ้น ไป แหง ราคะ, ความ สิ ้น ไป แหง โทส ะ, ความ สิ้นไปแหงโมหะ, อันใด ; ภิกษุ ท.! อันนี้แล เราเรียกวา สรณะ.

www.buddhadasa.info - สฬา. สํ. ๑๘/๔๕๓/๗๕๐.

ภิ ก ษุ ท.! เราจั ก แสดงซึ่ ง ปรายนะ (ที่ สุ ด ทาง) แก พ วกเธอทั้ ง หลาย, พวกเธอทั้งหลาย จงฟงความขอนั้น.


๔๖๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิกษุ ท.! ปรานะ เปนอยางไรเลา ? ภิก ษุ ท.! ความสิ ้น ไปแหง ราคะ, ความสิ ้น ไปแหง โทสะ, ความ สิ้นไปแหงโมหะ, อันใด ; ภิกษุ ท.! อันนี้แล เราเรียกวา ปรายนะ. - สฬา. สํ. ๑๘/๔๕๓/๗๕๑.

นิพพานอธิวจนะ [ คํ า วา "นิพ พาน" ในขอ ความในสูต รอื ่น ๆ เปน อัน มาก ไดท รงแสดงไวด ว ย อธิ ว จนะคื อ คํ า แทนชื่ อ ต า ง ๆ กั น และมี เรื่ อ งที่ จ ะพึ ง ศึ ก ษาและปฏิ บั ติ อ ย า งเดี ย วกั น คื อ ทรงแสดง ไวดวยคําวา :-

อสังขตะ อนตะ อนาสวะ สัจจะ ปาระ นิปุณะ สุทุททสะ อชัชชระ ธุวะ อปโลกินะ อนิทัสสนะ นิปปปญจะ

(ธรรมที่ไมมีปจจัยปรุงแตง หรือปจจัยปรุงแตงไมได) (ธรรมที่ไมนอมไปในสิ่งใด หรือสิ่งใดนอมไปไมได) (ไมมีอาสวะอันเปนสิ่งเศราหมองโดยประการทั้งปวง) (ของจริงเพียงสิ่งเดียว ไมมีสิ่งที่สองเทียบ) (ฝงนอกที่กิเลสและทุกขตามไปไมถึง)

www.buddhadasa.info (สิ่งละเอียดออนสําหรับการศึกษาและปฏิบัติ ไมมีสิ่งใดยิ่งกวา) (อันผูไมสิ้นอาสวะเห็นไดยากที่สุด)

(ไมมีความคร่ําคราลงโดยประการทั้งปวง) (ยั่งยืนมั่นคงไมแปรผัน)

(เปนที่จองมองแหงสัตวเพื่อการบรรลุถึง) (ไมมีการแสดงออกทางวัตถุ หรือทางตา : ผูอื่นพลอยเห็นดวยไมได) (ไมมีเครื่องกีดกั้นใหเนินชาเพราะวางจากกิเลส)


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๔๖๓

สันตะ (สงบระงับจากการปรุงแตงเสียดแทงเผาลน) (ไมตายเพราะไมมีการเกิด เพราะไมอยูในอํานาจเหตุปจจัย) อมตะ ปณีตะ (ประณีตละเอียด เพราะพนไปจากความเปนรูปธรรมและนามธรรม) สิวะ (สงบเย็นเพราะไมมีไฟกิเลสและไฟทุกข) เขมะ (เกษมจากสิ่งรบกวนทุกชนิด) ตัณหักขยะ (เปนที่สิ้นไปแหงตัณหา หรือภาวะสิ้นสุดแหงตัณหา) อัจฉริยะ (นาอัศจรรย ไมมีสิ่งใดนาอัศจรรยเทา) อัพภุตะ (ประหลาดควรนํามาบอกกลาวในฐานะสิ่งที่ไมเคยบอกกลาว) (ไมมีเสนียดจัญไร เพราะพันดีพันชั่ว) อนีติกะ อนีติกธัมมะ (มีปรกติภาวะไมมีเสนียดจัญไรเปนธรรมดา) อัพยาปชฌะ (ไมมีความเบียดเบียนเปนสภาวะ) (ไมมีความยอมติดในสิ่งใด มีแตจะทําใหคลายออก) วิราคะ สุทธิ (บริสุทธิ์หมดจด เพราะไมมีที่ตั้งแหงความเศราหมอง) (เปนความปลอยความหลุดจากความยึดมั่นถือมั่นดวยอุปาทาน) มุตติ (ไมเปนที่ตั้งที่อาศัยแหงกิเลสและความทุกข) อนาลยะ ทีปะ (เปนดวงประทีปที่พึ่งของสัตวผูตกจมอยูในความมืดคืออวิชชา) เลณะ (เปนเสมือนที่หลบซอนจากภัยของสัตวผูหนีภัย) ตาณะ (เปนเสมือนที่ตานทานของสัตวผูแสวงหาที่ตานทานขาศึกศัตรู) สรณะ (เปนที่แลนไปสูแหงจิตที่รูสึกวามีภัยตองการที่พึ่ง) ปรายนะ (เปนเปาหมายในเบื้องหนาแหงสัตวผูเวียนวายอยูในวัฏฏะ).

www.buddhadasa.info คํ าแทนชื่ อกั นและกั นชนิ ดนี้ ในบาลี ท านเรี ยกว า อธิ วจนะ ในที่ นี้ เป นอธิ วจนะของ คําวานิพพาน ]. - สฬา. สํ. ๑๘/๔๔๑-๔๔๒, ๔๕๐-๔๕๓/๖๗๔-๖๘๔, ๗๒๐-๗๕๑.


๔๖๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

ยาถายและยาสํารอกความเกิด - แก - ตาย ภิ ก ษุ ท.! แพทย ทั้ ง หลาย ย อ มให ย าถ า ยเพื่ อ กํ า จั ด โรค ที่ มี ดี เ ป น สมุ ฏ ฐานบ า ง ที่ มี เสมหะเป น สมุ ฏ ฐานบ า ง ที่ มี ล มเป น สมุ ฏ ฐานบ า ง. ภิ ก ษุ ท.! เรากลา ววา ยาถา ยชนิด นั ้น มีอ ยู  มิใ ชไ มม ี แตว า ยาถา ยชนิด นั ้น บางที ก็มีผล บางทีก็ไมมีผล. ภิ ก ษุ ท.! เราจั ก แสดง ยาถ า ยอั น เป น อริ ย ะ (อริ ย วิ เรนจ) อั น เป น ยาถ ายมี ผ ลโดยส วนเดี ย ว ไม มี ที่ จะไม ให ผ ล อั น เป น ยาถ ายซึ่ งอาศั ยแล ว สั ต ว ที่ มี ความเกิ ด เป น ธรรมดาจะพ น จากความเกิ ด ที่ มี ค วามแก เป น ธรรมดาจะพ น จาก ความแก ที่ มี ค วามตายเป น ธรรมดาจะพ น จากความตาย สั ต ว ที่ มี โสกะปริ เทวะทุ ก ขะโทมนั ส อุ ป ายาสทั้ ง หลายเป น ธรรดาจะพ น จากโสกะปริ เทวะทุ ก ขะโทมนั ส อุปายาสทั้งหลาย. พวกเธอจงฟง จงทําในใจใหดี เราจักกลาว. ภิ ก ษุ ท.! ยาถ ายอั น เป น อริย ะ อั น ให ผ ลโดยส ว นเดี ย ว ไม มี เสี ย ผลเลย อันสัตวอาศัยแลว จักพนจากชาติ ฯลฯ ไดนั้น เปนอยางไรเลา ?

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! มิ จ ฉาทิ ฏ ฐิ อั น สั ม มาทิ ฏ ฐิ ก บุ ค คลระบายออกได แ ล ว ; กล า วคื อ บาปอกุ ศ ลธรรมเป น อเนกเกิ ด ขึ้ น เพราะมิ จ ฉาทิ ฏ ฐิ เป น ป จ จั ย เหล า ใด บาปอกุ ศ ลธรรมเหล า นั้ น เป น สิ่ ง ที่ เขาระบายออกได แ ล ว และกุ ศ ลธรรมเป น อเนก ที่มีสัมมาทิฏฐิเปนปจจัย ยอมถึงความเจริญบริบูรณ.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๔๖๕

ภิ ก ษุ ท.! มิ จฉาสั งกั ป ปะ อั น ผู มี สั ม มาสั งกั ป ปะระบายออกได แล ว .... ฯลฯ .... ภิก ษุ ท.! มิจ ฉาวาจาก อัน ผู ม ีส ัม มาวาจาระบายออกไดแ ลว .... ฯลฯ .... ภิ ก ษุ ท.! มิ จ ฉากั ม มั น ตะ อั น ผู มี สั ม มากั ม มั น ตะระบายออกได แลว .... ฯลฯ .... ภิก ษุ ท.! มิจ ฉาอาชีว ะ อัน ผู ม ีส ัม มาอาชีว ะระบายออกไดแ ลว .... ฯลฯ .... ภิ ก ษุ ท.! มิ จ ฉาวายามะ อั น ผู มี สั ม มาวายามะระบายออกได แ ล ว ....ฯลฯ .... ภิก ษุ ท .! มิจ ฉ าสติ อัน ผู ม ีส ัม ม าส ติร ะบ าย อ อ ก ไดแ ลว .... ฯลฯ .... ภิก ษุ ท.! มิจ ฉาสมาธิ อัน ผู ม ีส ัม มาสมาธิร ะบายออกไดแ ลว .... ฯลฯ .... ภิ ก ษุ ท.! มิ จ ฉาญาณะ อั น ผู มี สั ม มาญาณ ะระบายออกได แ ล ว .... ฯลฯ .... ภิ ก ษุ ท.! มิ จ ฉาวิ มุ ต ติ อั น ผู มี สั ม มาวิ มุ ต ติ ร ะบายออกได แ ล ว ; กล า วคื อ บาปอกุ ศ ลธรรมเป น อเนกเกิ ด ขึ้ น เพราะมิ จ ฉาวิ มุ ต ติ เป น ป จ จั ย เหล า ใด บาปอกุ ศ ลธรรมเหล า นั้ น เป น สิ่ ง ที่ เขาระบายออกได แ ล ว และกุ ศ ลธรรมเป น อเนก ที่มีสัมมาวิมุตติเปนปจจัย ยอมถึงความเจริญบริบูรณ.

www.buddhadasa.info


๔๖๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิก ษุ ท.! นี ้แ ล ยาถา ยอัน เปน อริย ะ (รวม ๑๐ ป ระการ) อัน เปน ยาถ า ยมี ผ ลโดยส ว นเดี ย ว ไม มี ที่ จ ะไม ใ ห ผ ล อั น เป น ยาถ า ยซึ่ ง อาศั ย แล ว สั ต ว ที่ มี ความเกิ ด เป น ธรรมดาจะพ น จากความเกิ ด ที่ มี ค วามแก เป น ธรรมดาจะพ น จาก ความแก ที่ มี ค วามตายเป น ธรรมดาจะพ น จากความตาย สั ต ว ที่ มี โสกะปริ เทวะทุ ก ขะโทมนั ส อุ ป ายาสทั้ ง หลายเป น ธรรมดาจะพ น จากโสกะปริ เทวะทุ ก ขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย. - ทสก. อํ. ๒๔/๒๓๓/๑๐๘. [ ธรรมสิบ ประการ ซึ ่ง ในสูต รขา งบนนี ้ต รัส เรีย กวา ยาถา ย (วิเ รจนํ) : สว นใน สูตรถัดไปทรงเรียกวา ยาสํารอกใหอาเจียน (วมนํ); มีขอความเหมือนกันทุกประการ. ในสู ต รถั ด ไปอี ก ตรั ส เรี ย กธรรมสิ บ ประการนั้ น ว า มนต เครื่ อ งป ด เป า (นิ ทฺ ธ มนํ ) สามารถป ด เป า บาปอกุ ศ ลให สิ้ น ไป และให ธ รรมที่ เป น กุ ศ ลถึ ง พร อ ม แต ไ ม มี ก ล า วถึ ง กั บ ว า สั ต ว ที่มีความเกิดเปนธรรมดาจะพนจากความเกิด เปนตน ; ผูทําการเสกเปาพึงพิจารณาดูเถิด. ในสู ต รอื่ น อี ก (๒๔/๒๓๑/๑๐๗) ตรั ส เรี ย กธรรมสิ บ ประการในข อ ความข า งบนนี้ วา น้ํ า ชํ า ระกระดู ก ให บ ริ สุ ท ธิ์ (โธวนํ ) ตามประเพณี ช าวบ า นที่ เขาทํ า กั น อยู อ ย า งเป น พิ ธีรีต องมา แต โ บราณ แต น้ํ า ชํ า ระที่ เป น อริ ย ะนี้ ส ามารถชํ า ระบาปอกุ ศ ลให สิ้ น ไป ทํ า กุ ศ ลให ถึ ง พร อ ม และ เปน ไปเพื ่อ รู ยิ ่ง รู พ รอ ม เพื ่อ นิพ พาน และเมื ่อ สัต วอ าศัย แลว สัต วที ่ม ีค วามเกิด เปน ธรรมดา จะพนจากความเกิดเปนตน].

www.buddhadasa.info ธรรมเปนเครื่องถอนอัสมิมานะในปจจุบัน ภิก ษุ ท.! นี้ เป น สิ่ งที่ ห วังได สํ าหรับ ภิ ก ษุ ผู มี มิ ต รดี (กลฺยาณมิ ตฺต ) มี ส หายดี (กลฺ ย าณสหาย) มี พ วกพ อ งดี (กลฺ ย าณสมฺ ป วงฺ ก ) คื อ จั ก เป น ผู มี ศี ล สํารวมดวยการสํารวมในปาติโมกข ถึงพรอมดวยมารยาทและโคจร มีปกติเห็น


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๔๖๗

เป น ภั ย ในโทษทั้ ง หลายแม มี ป ระมาณน อ ย สมาทานศึ ก ษาในสิ ก ขาบททั้ ง หลาย อยู ; ภิ ก ษุ ท .! นี้ เป น สิ่ งที่ ห วั ง ได สํ าห รั บ ภิ ก ษุ ผู มี มิ ต รดี มี ส ห าย ดี มี พวกพอ งดี; กลา วคือ กถาเปน เครื ่อ งขูด เกลาอยา งยิ ่ง เปน ธรรมเครื ่อ งสบาย แก ก ารเป ด โล ง แ ห ง จิต ได แ ก อ ัป ป จ ฉ ก ถ า (เรื ่อ งป รารถ น าน อ ย ) ส ัน ต ุฏ ฐิก ถ า (เรื่ อ งสั น โดษ ) ปวิ เ วกกถา (เรื่ อ งความสงั ด ) อสั ง สั ค คกถา (เรื่ อ งไม ค ลุ ก คลี ) วิ ริ ย ารั ม ภกถา (เรื่ อ งมี ค วามเพี ยร) สี ล กถา (เรื่ อ งศี ล ) สมาธิ ก ถา (เรื่ อ งสมาธิ ) ป ญ ญ ากถา (เรื่ อ งป ญ ญา) วิ มุ ต ติ ก ถา (เรื่ อ งวิ มุ ต ติ ) วิ มุ ต ติ ญ าณทั ส สนกถา (เรื่ อ งวิ มุ ต ติ ญ าณทัสสนะ), เธอ จักเปนผูไดโดยงาย ไดโดยไมยาก ไมลําบาก ซึ่งกถาเชนนี้ ; ภิ ก ษุ ท .! นี้ เป น สิ่ งที่ ห วั ง ได สํ าห รั บ ภิ ก ษุ ผู มี มิ ต รดี มี ส ห าย ดี มี พวกพ อ งดี ; กล าวคื อ จั ก เป น ผู มี ค วามเพี ย รอั น ปรารภแล ว เพื่ อ การละซึ่ งอกุ ศ ลธรรมทั้ ง หลาย เพื่ อ การถึ ง พร อ มแห ง กุ ศ ลธรรมทั้ ง หลาย มี กํ า ลั ง (จิ ต ) มี ค วาม บากบั่นมั่นคง ไมทอดธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท .! นี้ เป น สิ่ งที่ ห วั ง ได สํ าห รั บ ภิ ก ษุ ผู มี มิ ต รดี มี ส ห าย ดี มี พวกพ อ งดี ; กล า วคื อ จั ก เป น ผู มี ป ญ ญ า ประกอบด ว ยป ญ ญ าเครื่ อ งให รู ซึ่ ง ความเกิ ด และความดั บ (อุ ท ยตฺ ถ คามิ นี ) อั น เป น ป ญ ญ าที่ เ ป น อริ ย ะ เป น เครื่ อ ง เจาะแทงกิเลส ใหถึงซึ่งสิ้นทุกขโดยชอบ.


๔๖๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ ก ษุ ท .! ภิ ก ษุ ผู ตั้ งอ ยู ใน ธรรม ห าป ระก าร ๑ เห ล านี้ แล ว พึ ง เจริญธรรม ๔ ประการใหยิ่งขึ้นไป คือ :เจริญ อสุภะ เพื่อ ละ ราคะ ; เจริญ เมตตา เพื่อ ละ พยาบาท ; เจริญ อานาปานสติ เพื่อ ตัดเสียซึ่งวิตก ; เจริญ อนิจจสัญญา เพื่อ ถอน อัสมิมานะ. ภิก ษุ ท.! เมื ่อ ภิก ษุม ีอ นิจ จสัญ ญา, อนัต ตสัญ ญา ยอ มตั ้ง มั ่น ; ผูมีอนัตตสัญญา ยอมถึงการถอนเสียไดซึ่งอัสมิมานะ คือ นิพพาน ในทิฏฐธรรม เทียว. - นวก. อํ. ๒๓/๓๖๕/๒๐๕ ( เมื่ อ อ า นข อ ความตอนนี้ ผู ศึ ก ษาพึ ง ระลึ ก ถึ ง คํ า ที่ ต รั ส ว า "ความมี มิ ต รดี เ ป น ทั้ ง หมดแห ง พรหมจรรย " อั น เป น ข อ ความที่ ผ า นสายตากั น บ อ ย ๆ แต ไ ม ค อ ยจะรู ว า หมายความว า อยางไร ).

สมาธิที่มีผลเปนความไมมีอหังการะมมังการะมานานุสัย

www.buddhadasa.info พระอานนท ได ทู ลถามว า "มี อยู หรือหนอ พระเจ าข า ! การที่ ภิ กษุ ได สมาธิ ชนิดที่มีผลคือ ไมมีอหังการะมมังการะมานานุสัย ในกายอันมีวิญญาณนี้ ดวย, ไมมีอหังการะมมั งการะมานานุ สั ย ในนิ มิ ตทั้ งปวงในภายนอก ด วย, และเธอนั้ นเข าถึ งแล วแลอยู ซึ่ ง เจโตวิมุตติปญญาวิมุตติอันไมมีอหังการะมมังการะมานานุสัย ดวย, พระเจาขา ?"

๑. คํ า วา ๕ ประการ ในที ่นี ้ นับ รวมทั ้ง ความมีม ิต รดี พวกพอ งดี เขา ดว ยอีก ประการหนึ ่ง ; ดูขอ ความอันชัดเจนที่หัวขอวา "วิธีบมวิมุตติใหถึงที่สุด" ที่หนา ๘๐๔ แหงหนังสือนี้.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๔๖๙

อานนท ! สมาธิที่ภิกษุไดแลวมีผลเปนอยางนั้น มีอยู. "ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! สมาธิ ที่ ภิ กษุ ได แล วมี ผลเป นอย างนั้ น มี อยู เป น อยางไรเลา? พระเจาขา!" อานนท ! ความเพ งเฉพาะของภิ กษุ ในกรณี นี้ มี อยูอยางนี้ วา "นั่ นสงบระงับ นั่นประณีต : นั่นคือธรรมชาติเปนที่สงบระงับแหงสังขารทั้งปวง เปนที่สลัดคืน ซึ่งอุปธิทั้งปวง เปนที่สิ้นไปแหงตัณหา เปนความจางคลาย เปนความดับ เปนนิพพาน (เย็น)" ดังนี้. อานนท ! อย า งนี้ แ ล การที่ ภิ ก ษุ ไ ด ส มาธิ ช นิ ด ที่ มี ผ ล คื อ ไม มี อ หั ง การะมมั ง การะมานานุ สั ย ในกายอั น มี วิ ญ ญาณนี้ ด ว ย, ไม มี อ หั งการะมมั ง การะมามานุส ัย ในนิม ิต ทั ้ง ปวงในภายนอกดว ย, และเธอนั ้น เขา ถึง แลว แลอยู  ซึ ่ง เจโตวิมุตติปญญาวิมุตติอันไมมีอหังการะมมังการะมานานุสัย ดวย. อานนท ! ข อ นี้ เรากล า วอาศั ย คํ า กล า ว ในการตอบป ญ หาแก ปุ ณ ณกมาณพ ในปารายนสมาคม วา :-

www.buddhadasa.info "ท านผู ใด พิ จารณาเห็ นแล ว ซึ่ งสภาพยิ่ งและหย อนในโลก (วาเปนของวางเสมอกัน) ไมมีความหวั่นไหวไปในอารมณ ไหน ๆ ใน โลกเลย, เป น ผู รํางับ สงบแล ว ไม มี กิ เลสฟุ งกลุ ม เหมื อ นควัน ไม มี ความทุ กข ความคับแค นแล ว เป นผู ไม หวังอะไรแลว, เราตถาคตกลาว ผูนั้น วาเปนผูขามเสียไดซึ่งความเกิดและความแก" ดังนี้แล.

(ข อ ความแห ง คาถาข า งบนนี้ คื อ ความหมายแห ง คํ า ว า "ไม มี อ หั ง การะมมั ง การะมานานุสัย). - ติก. อํ. ๒๐/๑๖๘/๔๗๑.


๔๗๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

นิพพานเปนสุขอยางยิ่ง ไฟเสมอดวยราคะไมมี, โทษเสมอดวยโทสะไมมี, ทุกข ทั้งหลายเสมอดวยขันธไมมี, สุขอื่นนอกจาก ความสงบ (นิพพาน) ก็ไมมี. ความหิว เปนเครื่องเสียบแทงอยางยิ่ง, สังขารทั้งหลาย เปนทุกขอยางยิ่ง ; เมื่อรูความขอนั้น ตามที่เปนจริงแลว ดับเสีย ได เปนสุขอยางยิ่ง. ความไมมีโรค เปนลาภอยางยิ่ง, ความสันโดษ เปนทรัพย อย างยิ่ ง, ความคุ น เคยกั น เป น ญาติ อ ย างยิ่ ง, นิ พ พาน เป น สุ ข อยางยิ่ง - ธ. ขุ. ๒๕/๔๒/๒๕.

นิพพานเห็นไดยากยิ่ง ขึ้นชื่อวา นิพพาน อันบุคคลเห็นไดยาก, ไมมีตัณหาเครื่อง นอ มไป. เพราะวานิ พ พานนั้ น เป น ธรรมชาติ จริงแท , อัน บุ ค คล เห็ น ไมไดงายเลย. ตัณ หา อั น เราแทงตลอดแล ว เพราะเรารูอ ยู เห็นอยู จึงไมมีกิเลสเครื่องกังวล. ดังนี้แล.

www.buddhadasa.info - อุ. ขุ. ๒๕/๒๐๗/๑๕๙.

พอนิพพานธรรมปรากฏก็หมดสงสัย เมื่อใดแล ธรรมทั้งหลาย ยอมปรากฏ แกผูปฏิบัติเพื่อหมด บาป ผูเพียรเพงเผากิเลสอยู, เมื่อนั้น ความสงสัยทั้งปวงของผู


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๔๗๑

ปฏิบัติเพื่อหมดบาปนั้น ยอมสิ้นไป โดยที่รูแจงชัดแลวซึ่งธรรมพรอม ทั้งเหตุ แล. - อุ. ขุ. ๒๕/๗๔/๓๘

เมื่อใดแล ธรรมทั้งหลาย ยอมปรากฏ แกผูปฏิบัติเพื่อหมด บาป ผูเพียรแพงเผากิเลสอยู, เมื่อนั้น ความสงสัยทั้งปวงของผูปฏิบัติ เพื่อหมดบาปนั้น ยอมสิ้นไป โดยที่รูแจงชัดแลวซึ่งความสิ้นไปแหง ปจจัยทั้งหลาย แล. - อุ. ขุ. ๒๕/๗๔/๓๙.

เมื่อใดแล ธรรมทั้งหลาย ยอมปรากฏ แกผูปฏิบัติเพื่อหมด บาป ผูเพียรเพงเผากิเลสอยู เมื่อนั้น ผูปฏิบัติเพื่อหมดบาป ยอม กําจัดมารและเสนามารเสียได ตั้งอยู ดุจดวงอาทิตยอุทัยกําจัดมืด สอง อากาศใหสวาง ฉะนั้นแล. - อุ. ขุ. ๒๕/๗๖/๔๐.

นิพพานเปนที่มุงแสวงของผูมองเห็นโทษในโลก

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! การแสวงหาอยางประเสริฐ เปนอยางไรเลา? ภิ กษุ ท .! บุ คคลบ างคนใน โล กนี้ เมื่ อตนเองมี ค วาม เกิ ด เป น ธรรมดา ก็ รู แ จ ง ซึ่ ง โทษในข อ ที่ ต นมี ค วามเกิ ด เป น ธรรมดา แล ว ย อ มแสวงหาซึ่ ง นิพพาน อันไมเกิด อันเปนธรรมเกษมจากโยคะ ไมมีอื่นยิ่งกวา. เมื่ อ ตนเองมี ความแก เป น ธรรมดา ก็ รู แ จ ง ซึ่ ง โทษในข อ ที่ ต นมี ค วาม แกเ ปน ธรรมดา แลว ยอ มเสวงหาซึ ่ง นิพ พาน อัน ไมแ ก อัน เปน ธรรมเกษม จากโยคะ ไมมีอื่นยิ่งกวา.


๔๗๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

เมื่ อ ตนเองมี ความเจ็ บ ไข เป น ธรรมดา ก็ รู แ จ ง ซึ่ ง โทษในข อ ที่ ต นมี ความเจ็ บ ไข เป น ธรรมดา แล ว ย อ มแสวงหาซึ่ ง นิ พ พาน อั น ไม มี ค วามเจ็ บ ไข อั น เปนธรรมเกษมจากโยคะ ไมมีอื่นยิ่งกวา. เมื่ อ ตนเองมี ความตาย เป น ธรรมดา ก็ รู แจ งซึ่ งโทษในข อ ที่ ต นมี ค วาม ตายเป น ธรรมดา แล ว ย อ มแสวงหาซึ่ ง นิ พ พาน อั น ไม มี ค วามตาย อั น เป น ธรรม เกษมจากโยคะ ไมมีอื่นยิ่งกวา. เมื่ อ ตนเองมี ความโศก เป น ธรรมดา ก็ รู แ จ งซึ่ งโทษในข อ ที่ ต นมี ค วาม โศกเป น ธรรมดา แล ว ย อ มแสวงหาซึ่ ง นิ พ พาน อั น ไม มี ค วามโศก อั น เป น ธรรม เกษมจากโยคะ ไมมีอื่นยิ่งกวา. เมื่ อ ตนเองมี ความเศร า หมองรอบด า น เป น ธรรมดา ก็ รู แ จ ง ซึ่ ง โทษ ในข อ ที่ ต นมี ค วามเศร า หมองรอบด า นเป น ธรรมดา แล ว ย อ มแสวงหาซึ่ ง นิ พ พาน อันไมมีความเศราหมองรอบดาน อันเปนธรรมเกษมจากโยคะ ไมมีอื่นยิ่งกวา.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! แมนี้ชื่อวาเปนการแสวงหาอยางประเสริฐ แล.

- มู. ม. ๑๒/๓๑๖/๓๑๕.

เพราะมีสิ่งที่ไมตาย สิ่งที่ตายจึงมีทางออก ภ ิก ษ ุ ท .! สิ ่ง ซึ ่ง ม ิไ ด เ ก ิด (อ ช า ต ํ) ม ิไ ด เ ป น (อ ภ ูต ํ) ม ิไ ด ถ ูก อะไรทํา (อกตํ) มิไดถูกอะไรปรุง (อสงฺขตํ) นั้นมีอยู.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๔๗๓

ภ ิก ษ ุ ท .! ถ า ห า ก วา สิ ่ง ที ่ม ิไ ด เ ก ิด ม ิไ ด เ ป น ม ิไ ด ถ ูก อ ะ ไรทํ า มิ ไดถ ูก อะไรปรุง จัก ไมม ีอ ยู แ ลว ไซร การรอดออกไปไดสํ า หรับ สิ ่ง ที ่เ กิด ที ่เ ปน ที่ถูกอะไรทํา ที่ถูกอะไรปรุง ก็จักไมปรากฏ ภ ิก ษ ุ ท .! เพ ราะ เห ต ุที ่ม ีสิ ่ง ซึ ่ง ม ิไ ด เ ก ิด ม ิไ ด เ ป น ม ิไ ด ถ ูก อ ะ ไร ทํ า มิ ไ ด ถู ก อะไรปรุ ง นั่ น เอง การรอดออกไปได สํ า หรั บ สิ่ ง ที่ เ กิ ด ที่ เ ป น ที่ ถู ก อะไรทํา ที่ถูกอะไรปรุง จึงไดปรากฏอยู. (ตอไปนี้เปนคําอริบายที่ตรัสไวเปนคาถา:-) ใคร ๆ ไมควรเพลิดเพลิน ตอสิ่งซึ่งเกิดแลว เปนแลว เกิดขึ้น พร อ มแล ว อั น ป จ จั ย กระทํ า แล ว อั น ป จ จั ย ปรุงแต งแล ว ไม ยั่ งยื น ปรุงแต เพื่ อ ชราและมรณะ เป น รังโรค เป น ของผุ พั ง มี อ าหารและ เนตติ (ตัณหา) เปนแดนเกิด. สวนการออกไปเสียไดจากสิ่ ง (ซึ่ งเกิ ดแล วเป นต น) นั้ น เป น ธรรมชาติอันสงบ ไมเป นวิสัยแหงความตรึก เปนของยั่งยืน ไมเกิด ไมเกิดขึ้นพรอม ไมมีโศก ปราศจากธุลี เปนที่ควรไปถึง เปนที่ดับ แหงสิ่งที่มีความทุกขเปนธรรมดา เปนความเขาไปสงบรํางับแหงสังขาร เปนสุข. ดังนี้

www.buddhadasa.info - อติวุ. ขุ. ๒๕/๒๕๗/๒๒๑.

ไมถึงนิพพาน เพราะพลัดออกนอกทางจนหลงทาง "ก็ ส าวกของพระโคมผู เ จริ ญ เมื่ อ พระโคดมกล า วสอนพ ร่ํ า สอนอยู อ ย า งนี้ ทุ ก ๆ รูป ไดบ รรลุน ิพ พ าน อัน เปน ผ ลสํ า เร็จ ถึง ที ่ส ุด อ ยา งยิ ่ง ห รือ ? ห รือ วา ไมไ ดบ รรลุ?" พ ราห ม ณ ผูหนึ่งทูลถามพระผูมีพระภาค.


๔๗๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

พราหมณ ! สาวกของเรา แม เ รากล า วสอน พ ร่ํ า สอนอยู อ ย า งนี้ น อ ยพวกที่ ไ ด บ รรลุ นิ พ พาน อั น เป น ผลสํ า เร็ จ ถึ ง ที่ สุ ด อย า งยิ่ ง , บางพวกไม ไ ด บรรลุ. "พระโคดมผู เจริ ญ ! อะไรเล าเป นเหตุ อะไรเล าเป นป จจั ย, ที่ พระนิ พ พาน ก็ ยั งตั้ งอยู , หนทางที่ ยั งสั ตว ให ถึ งนิ พพาน ก็ ยั งตั้ งอยู , พระโคดมผู ชั กชวน (เพื่ อดํ าเนิ น ไป) ก็ยังตั้งอยู, ทําไมนอยพวก ที่บรรลุ และบางพวกไมบรรลุ?" พ ราหม ณ ! เราจั ก ย อ นถามท า นในเรื่ อ งนี้ , ท า จงตอบ ตามควร. ท า นเป น ผู ช่ํ า ชองในหนทางไปสู เ มื อ งราชคฤห มิ ใ ช ห รื อ ? มี บุ รุ ษ ผู จ ะไปเมื อ ง ราชคฤห เข า มาหาและกล า วกั บ ท า นว า "ท า นผู เจริ ญ ! ข า พเจ า ปรารถนาจะไป เมื อ งราชคฤห ขอท า นจงชี้ บ อกทางไปเมื อ งราชคฤห แก ข า พเจ า เถิ ด ". ดั ง นี้ ; ท า นก็ จ ะกล า วกะบุ รุ ษ ผู นั้ น ว า "มาซิ ท า น ทางนี้ ไ ปเมื อ งราชคฤห : ไปได ค รู หนึ่ ง จั ก พบบ า นชื่ อ โน น แล ว จั ก เห็ น นิ ค มชื่ อ โน น จั ก เห็ น สวนและป า อั น น า สนุ ก จั ก เห็ น ภู มิ ภ าคอั น น า สนุ ก สระโบกขรณี อั น น า สนุ ก ของเมื อ งราชคฤห " ดั ง นี้ . บุ รุ ษ นั้ น อั น ท า นพร่ํ า บอก พร่ํ า ชี้ ใ ห อ ย า งนี้ ก็ ยั ง ถื อ เอาทางผิ ด กลั บ หลั ง ตรงกั น ข า มไป, ส ว นบุ รุ ษ อี ก คนหนึ่ ง (อั น ท า นพร่ํ า บอกพร่ํ า ชี้ อ ย า งเดี ย วกั น ) ไปถึ ง เมื อ งราชคฤห ไ ด โ ดยสวั ส ดี . พราหมณ เอย ! อะไรเล า เป น เหตุ อะไรเล า เป น ป จ จั ย ที่ เ มื อ งราชคฤห ก็ ยั ง ตั้ ง อยู ท า นผู ชี้ บ อกก็ ยั ง ตั้ ง อยู แต ทํ า ไม บุ รุ ษ ผู ห นึ่ ง กลับหลงผิดทาง. สวนบุรุษอีกผูหนึ่งไปถึงเมืองราชคฤหไดโดยสวัสดี ?

www.buddhadasa.info "พระโคดมผู เจริ ญ ! ในเรื่ องนี้ ข าพเจ าจั กทํ าอย างไรได เล า, เพราะข าพเจ า เปนแตเพียงผูบอกทางเทานั้น"


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๔๗๕

พ ราหม ณ  ! ฉัน ใดก็ฉ ัน นั ้น แล, ที ่พ ระนิพ พ าน ก็ย ัง ตั ้ง อยู  ทาง เปน เครื ่อ งถึง พระนิพ พาน ก็ย ัง คงตั ้ง อยู  เราผู ช ัด ชวนก็ย ัง ตั ้ง อยู  ; แตส าวก แม เ รากล า วสอนพร่ํ า สอนอยู อ ย า งนี้ น อ ยพวก ที่ ไ ด บ รรลุ นิ พ พานอั น เป น ผล สํ า เร็จ ถึง ที ่ส ุด อยา งยิ ่ง , บ างพ วกไมไ ดบ รรลุ. พ ราห ม ณ ! ใน เรื ่อ งนี ้ เรา จักทําอยางไรไดเลา, เพราะ เราเปนแตผูบอกทาง เทานั้น. - อุปริ. ม. ๑๔/๘๕-๘๗/๑๐๑-๑๐๓.

นิพพานของคนตาบอก (มิจฉาทิฏฐิ) "ข าแต พระโคดมผู เจริญ! น าอั ศจรรย จริงไม เคยมี มาแต ก อน คื อข อที่ พระสมณโคดมได กล าวคํ านี้ ว า 'ลาภทั้ งหลายมี ความไม มี โรคเป นอย างยิ่ ง, นิ พพาน เป น สุ ข อย างยิ่ ง' ดั งนี้ . ข าแต พ ระโคดมผู เจริ ญ ! ข า พเจ า ก็ ได เคยฟ งคํ ากล าวนี้ ของ ปริพพาชกผู เป นอาจารยแห งอาจารยในกาลกอน กล าวอยูวา 'ลาภทั้ งหลาย มี ความไม มี โรคเปนอยางยิ่ง, นิพพาน เปนสุขอยางยิ่ง' ดังนี้ดวยเหมือนกัน. ขาแตพระโคดม ผูเจริญ ! ขอนี้ชางตรงกันแท".

www.buddhadasa.info มาคั ณ ฑิ ย ะ! ข อ นี้ ท านฟ งมาแต ป ริ พ พาชกผู เป น อาจารย แ ห งอาจารย ในกาลกอน ที่กลาวอยูวา "ลาภทั้ งหลาย มีความไม มีโรคเป นอยางยิ่ง, นิ พพาน เปน สุข อยา งยิ ่ง " ดัง นี ้นั ้น อะไรเลา คือ ความไมม ีโ รคนั ้น อะไรเลา คือ นิพ พาน นั้น ?

เมื่ อพระผู มี พระภาคตรัสอย างนี้ แล ว มาคั ณฑิ ยปริพพาชก ได ลู บรางกายของตน ดวยฝามือ แลวรองขึ้นวา "ขาแตพระโคดมผูเจริญ! นี่ยังไงละ ความไมมีโรค ! นี่ยังไงละ นิพพาน ! พระโคดมผูเจริญ ! เวลานี้ ขาพเจาเปนสุข ไมมีโรค ไมมีอาพาธไร ๆ".


๔๗๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

มาคั ณ ฑิ ย ะ ! ข อ นี้ เ ปรี ย บเหมื อ นบุ รุ ษ ตาบอดมาแต กํ า เนิ ด เขาไม อาจเปน รูป ดํ า ขาว รูป เขีย ว รูป เหลือ ง รูป แดง รูป สีส ม ไมอ าจเห็น ที ่ข รุข ระ ไมอ าจเห็น ดวงดาว ดวงจัน ทร ดวงอาทิต ย. เขาไดย ิน คนตาดีก ลา วอยู ว า "ท า นผู เจริ ญ ! ผ า ขาวผ อ ง สะอาด ไม มี ม ลทิ น งามนั ก หนอ". บุ รุ ษ ตาบอดนั้ น ก็เ ที ่ย วแสวงหาผา ขาว. บุร ุษ คนหนึ ่ง ลวงเขาดว ยผา เกา เป อ นเขมา น้ํ า มัน วา "บุ รุ ษ ผู เจริ ญ ! นี้ ผ า ขาวผ อ ง สะอาด ไม มี ม ลทิ น งามนั ก สํ า หรับ ท า น". บุ รุ ษ ตาบอดนั้ น รั บ ผ านั้ น ไปห ม แล วเที่ ย วประกาศความพอใจของตนว า "ท านผู เจริ ญ ทั้ งหลายเอ ย! นี่ ผ าขาวผ อง สะอาด ไม มี มลทิ น งามนั กหนอ" ดั งนี้ . มาคั ณ ทิ ยะ ! ท า นจะสํ า คั ญ ความข อ นี้ ว า อย างไร : บุ รุ ษ ตาบอดแต กํ า เนิ ด นั้ น รู อ ยู เห็ น อยู แล ว รับ เอาผ าเก าเป อ นเขม าน้ํ ามั นไปห ม แล วเที่ ยวคุ ยอวดอยู ว า "ท านผู เจริ ญ ทั้ งหลาย เอย ! นี ่ ผา ขาวผอ ง สะอาด ไมม ีม ลทิน งามนัก หนอ" ดัง นี ้ห รือ ? หรือ วา เขากลาวเชนนั้นเพราะเชื่อคนตาดีที่ลวงเขา ? "ขาแตพระโคดมผูเจริญ ! เขากลาวเชนนั้น เพราะเชื่อคนตาดีที่ลวงเขาเทานั้น"

www.buddhadasa.info มาคั ณ ฑิ ย ะ ! ฉั น ใดก็ ฉั น นั้ น ที่ ป ริ พ พาชกเดี ย รถี ย เ หล า อื่ น เป น คน บอดไม มี จั ก ษุ ไม รู จั ก ความไม มี โรค ไม เห็ น นิ พ พาน ก็ ยั ง มากล า วคํ า นี้ ว า "ลาภ ทั้งหลาย มีความไมมีโรคเปนอยางยิ่ง, นิพพานเปนสุขอยางยิ่ง" ดังนี้. มาคัณ ฑิย ะ ! คาถานี ้ เปน คาถาที ่พ ระหัน ตส ัม ม าสัม พุท ธเจา ทั้งหลายกลาวกันแลวในกาลกอน วา :"จากทั้งหลาย มีความไมมีโรคเปนอยางยิ่ง, นิพพานเปนสุขอยางยิ่ง, อัฎฐังคิกมรรค เปนทางอันเกษมกวาทางทั้งหลาย ซึ่งเปนเครื่องใหถึง อมตะ"


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๔๗๗

ดั ง นี้ นั้ น บั ด นี้ ได ม ากลายเป น คาถาของบุ ถุ ช นกล า วไปเสี ย แล ว . มาคั ณ ฑิ ย ะ ! กายนี้ น ะหรื อ เป น โรค เป น หั ว ผี เป น ลู ก ศร เป น ความลํ า บาก เป น อาพาธ, ทา น ก็ม าก ลา วมัน วา เปน ค วาม ไมม ีโ รค เปน นิพ พ าน . ม าคัณ ฑ ิย ะ เอย ! อริยจักษุสําหรับจะรูจักความไมมีโรค จะเห็นนิพพาน ของทานไมมี. - ม. ม. ๑๓/๒๘๑-๒๘๓/๒๘๗-๒๘๘. ( ปริ พ พาชกผู นี้ สํ า คั ญ ตั ว เขาเองว า เป น ความไม มี โ รคเป น นิ พ พาน ดั ง นั้ น จึ ง ต อ ง เรีย กวา นิพ พานของคนตาบอด, เชน เดีย วกับ คนตาบอดในอุป มานี ้ สํ า คัญ ผา สกปรกวา เปน ผาขาว ).

ไมนิพพานเพราะยึดถือธรรมที่ไดบรรลุ "ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! ภิ กษุ ในธรรมวิ นั ยนี้ เป นผู ปฏิ บั ติ (ในปฏิ ปทาอั น เป นที่ สบายแก เนวสั ญญานาสั ญญายตนะ) อย างนั้ นแล ว ย อมได เฉพาะซึ่ งอุ เบกขาว า 'ถ าไม ควรมี และไม พึ งมี แก เรา, ก็ ต องไม มี แก เรา; สิ่ งใดมี อยู สิ่ งใดมี แล ว เราจะละสิ่ งนั้ น เสี ย' ดั งนี้ . ข าแต พ ระองค ผู เจริ ญ ! ภิ กษุ นั้ นควรจะปริ นิ พ พานหรื อ ? หรื อว าไม ค วร จะปรินิพพานเลา? พระเจาขา !.

www.buddhadasa.info อานน ท ! ภิก ษ ุใ นกรณ ีเ ชน ที ่ก ลา วนี ้ บ างรูป จะป ริน ิพ พ าน , แต บางรูปจะไมปรินิพพาน.

"ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! อะไรเป นเหตุ เป นป จจั ย ที่ ภิ กษุ ในกรณี เช นที่ กล าวนี้ บางรูปจะปรินิพพาน แตบางรูปจะไมปรินิพพาน เลา ? พระเจาขา !"


๔๗๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

อานนท ! ภิก ษุใ นธรรมวิน ัย นี ้ เปน ผู ป ฏิบ ัต ิ (ในปฏิป ทาอัน เปน ที่ ส บายแก เนวสั ญ ญานาสั ญ ญายตนะ) อย างนั้ น แล ว ย อ มได เฉพาะซึ่ งอุ เบกขาว า "ถา ไมค วรมี และไมพ ึง มีแ กเ รา, ก็ต อ งไมม ีแ กเ รา; สิ ่ง ใดมีอ ยู , สิ ่ง ใดมีแ ลว เรา จ ะ ล ะ สิ ่ง นั ้น เส ีย " ด ัง นี ้; ภ ิก ษ ุ (บ า งรูป ) นั ้น ย อ ม เพ ล ิด เพ ล ิน พ ร่ํ า ส รรเส ริญ เม าห ม ก อ ยู  ซึ ่ง อุเ บ ก ขานั ้น . เมื ่อ เพ ลิด เพ ลิน พ ร่ํ า ส รรเส ริญ เมาหมกอยู ซึ่ ง อุ เ บกขานั้ น , วิ ญ ญ าณ ของเธอ ก็ เ ป น ธรรมชาติ อ าศั ย อยู ซึ่ ง อุเ บกขานั ้น มีอ ุเ บกขานั ้น เปน อุป าทาน. อานนท! ภิก ษุผู ย ัง มีอ ุป าทานอยู จะปรินิพพานไมได แล. - อุปริ. ม. ๑๔/๗๘/๘๙-๙๐.

การทํารถใหแลนไปไดถึงนิพพาน "สรี ร ยนต มี สี่ ล อ , มี ป ระตู เก า ประตู , เต็ ม ไปด ว ยของไม สะอาด ประกอบด วยโลภะเกิ ด แล วในเป อ กตม. ข าแต พ ระองค ม หาวีระ ! ทําอยางไร, จักถึงฝงโนนได ?"

www.buddhadasa.info ตัดความผูกโกรธดังเชือกหนังที่รึงรัดเสีย, ตัดทิฏฐิดังเชือกที่ ผูกลามเสีย, ตัดความอยากและความโลภอันลามกเสียแลว, ถอน ตัณหาพรอมทั้งราก (อวิชชา) เสีย, สรีรยนตก็จะแลนไปถึงฝงโนน ดวยการทําอยางนี้ แล.

- สคา. สํ. ๑๕/๒๓/๗๔-๗๕.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๔๗๙

ถายังมีเชื้อก็ยังไมปรินิพพาน "ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! อะไรเป นเหตุ เป นป จจั ยเล า ที่ สั ตว ทั้ งหลายบางเหล า ในโลกนี้ ยั งไม ปริ นิ พ พาน ในป จจุ บั นนี้ ? ข าแต พ ระองค ผู เจริ ญ ! อะไรเป นเหตุ เป น ปจจัยเลา ที่สัตวทั้งหลายบางเหลาในโลกนี้ ปรินิพพานในปจจุบันนี้ ? พระเจาขา !" คฤหบดี ! รู ป ทั้ งหลาย ที่ เห็ น ด วยตาก็ ดี , เสี ย งทั้ งหลาย ที่ ฟ งด วยหู ก็ ดี กลิ ่น ทั ้ง หลาย ที ่ด มดว ยจมูก ก็ด ี, รสทั ้ง หลาย ที ่ลิ ้ม ดว ยลิ ้น ก็ด ี, โผฏฐัพ พะ ทั ้ง หลาย ที ่ส ัม ผัส ดว ยกายก็ด ี, และธรรมารมณ ทั ้ง หลาย ที ่รู แ จง ดว ยใจก็ด ี ; อั น เป น สิ่ ง ที่ น า ปรารถนา น า รั ก ใคร น า พอใจ ที่ ย วนตายวนใจให รั ก เป น ที่ เ ข า ไปตั้ ง อาศั ย อยู แ ห ง ความใคร เป น ที่ ตั้ ง แห ง ความกํ า หนั ด ย อ มใจ มี อ ยู . และ ภิ ก ษุ ก็ เ พลิ ด เพลิ น พร่ํ า สรรเสริ ญ เมาหมกอยู ซึ่ ง อารมณ มี รู ป เป น ต น นั้ น . เมื่ อ เพลิ ด เพลิ น พร่ํ า สรรเสริ ญ เมาหมกอยู ซึ่ ง อารมณ มี รู ป เป น ต น นั้ น วิ ญ ญ าณ ของภิกษุนั้น ก็อาศัยซึ่งอารมณมีรูปเปนตนนั้นอยู มีสิ่งนั้นแหละเปนอุปาทาน.

www.buddhadasa.info คฤหบดี ! ภิกษุผูยังมีอุปาทานอยู ยอมไมปรินิพพาน.

คฤหบดี ! นี่ แ ลเป น เหตุ เป น ป จ จั ย ที่ สั ต ว ทั้ ง หลายบางเหล า ในโลกนี้ ยอมไมปรินิพพาน ในปจจุบันนี้.

- สฬา. สํ. ๑๘/๑๓๗/๑๙๑.

ถาหมดเชื้อก็ปรินิพพาน คฤหบดี ! รู ป ทั้ ง หลาย ที่ เ ห็ น ด ว ยตาก็ ดี , เสี ย งทั้ ง หลาย ที่ ฟ ง ด ว ย หูก็ดี, กลิ่นทั้งหลาย ที่ดมดวยจมูกก็ดี, รสทั้งหลาย ที่ลิ้มดวยลิ้นก็ดี.


๔๘๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

โผฏฐั พ พะทั้ งหลาย ที่ สั ม ผั ส ด วยกายก็ ดี และธรรมารมณ ทั้ งหลาย ที่ รู แจ งด วยใจ ก็ด ี ; อัน เปน สิ ่ง ที ่น า ปรารถนา นา รัก ใคร นา พอใจ ที ่ย วนตายวนใจใหร ัก เป น ที เข า ไปตั้ ง อาศั ย อยู แ ห ง ความใคร เป น ที่ ตั้ ง แห ง ความกํ า หนั ด ย อ มใจ มี อ ยู ; และภิ ก ษุ ก็ ไม เป น ผู เพลิ ด เพลิ น ไม พ ร่ํ า สรรเสริ ญ ไม เมาหมกอยู ซึ่ ง อารมณ มี รู ป เปน ตน นั ้น , เมื ่อ ไมเ พลิด เพลิน ไมพ ร่ํ า สรรเสริญ ไมเ มาหมกอยู  ซึ ่ง อารมณ มี รู ป เป น ต น นั้ น วิ ญ ญาณของภิ ก ษุ นั้ น ก็ ไ ม อ าศั ย ซึ่ ง อารมณ มี รู ป เป น ต น นั้ น ไม มีสิ่งนั้น ๆ เปนอุปาทาน. คฤหบดี ! ภิกษุผูหมดอุปาทาน ยอมปรินิพพาน. คฤหบดี ! นี ่แ ล เปน เหตุเ ปน ปจ จัย (ซึ ่ง ดว ยความหมดอุป าทาน นั่นแหละ) ที่สัตวทั้งหลายบางเหลาในโลกนี้ ยอมจักปรินิพพานในปจจุบันนี้ แล. - สฬา. สํ. ๑๘/๑๓๘/๑๙๒.

ภิ ก ษุ ท.! ถ า ภิ ก ษุ เป น ผู ห ลุ ด พ น แล ว ไม ถื อ มั่ น ด ว ยอุ ป าทาน ; เพราะความหนา ย เพราะคลายกํ า หนัด เพราะความดับ เย็น แลว ที ่ต า, ที ่ห ู, ที ่จ มูก , ที ่ลิ ้น , ที ่ก าย , ที ่ใ จ; ก็เ ปน การส ม ค วรที ่จ ะกลา ววา ภิก ษุ เปน ผู ถึงแลวซึ่ง นิพพานในทิฏฐธรรมนี้ นั่นแล.

www.buddhadasa.info - สฬา. สํ. ๑๘/๑๗๗/๒๔๔.

นิพพานที่เห็นไดเอง (เมื่อบุคคลนั้นรูสึกตอความสิ้นราคะ-โทสะ-โมหะ) "ข าแต พระโคดมผู เจริ ญ ! คํ าที่ พระโคดมกล าวว า "นิ พพานที่ เห็ นได เอง นิพพานที่เห็นไดเอง" ดังนี้. ขาแตพระโคดมผูเจริญ ! นิพพานที่เห็นไดเอง ไมประกอบ


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๔๘๑

ด วยกาล, เป นสิ่ งที่ กล าวกั บผู อื่ นวาท านจงมาดู เถิ ด เป นสิ่ งที่ ควรน อมเข ามาใส ใจ เป น สิ่งที่ผูรูไดเฉพาะตน นั้นมีไดดวยเหตุเพียงเทาไรเลา พระเจาขา !" พ ราหม ณ  ! บุค คลผู กํ า หนัด แลว อัน ราคะครอบงํ า แลว , มีจ ิต อัน ราคะรึง รัด แลว ยอ มคิด เพื ่อ เบีย ดเบีย นตนเองบา ง ยอ มคิด เพื ่อ เบีย ดเบีย น ผู อื่ น บ าง ย อ มคิ ด เพื่ อ เบี ย ดเบี ย นทั้ งตนเองและผู อื่ น ทั้ งสองบ าง, ย อ มเสวยเฉพาะ ซึ่ งทุ กขโทมนั ส อั น เป น ไปทางจิ ต บ าง. เมื่ อ ละราคะได แ ล ว , เขาย อ มไม คิ ดแม เพื่ อ เบี ยดเบี ยนตนเอง ย อมไม คิ ดแม เพื่ อเบี ยดเบี ยนผู อื่ น ย อมไม คิ ดแม เพื่ อเบี ยดเบี ยน ตนเองและผู อื ่น ทั ้ง สองอยา ง, และยอ มไมเ สวยเฉพาะ ซึ ่ง ทุก ขโทมนัส อัน เปน ไปทางจิต โดยแท. พราหมณ ! นิพ พานที ่เ ห็น ไดเ อง ไมป ระกอบดว ยกาล เป น สิ่ ง ที่ ค วรกล า วกะผู อื่ น ว า ท า นจงมาดู เถิ ด เป น สิ่ ง ที่ ค วรน อ มเข า มาใส ใ จ เป น สิ่งที่ผูรูก็รูไดเฉพาะตน ยอมมีได แมดวยอาการอยางนี้แล. พราหมณ  ! บุค คลผู เ กิด โทสะแลว , อัน โทสะครอบงํ า แลว มีจ ิต อั น โทสะรึ ง รั ด แล ว ย อ มคิ ด แม เพื่ อ เบี ย ดเบี ย นตนเองบ า ง ย อ มคิ ด แม เพื่ อ เบี ย ดเบี ย นผู อื่ น บ า ง ย อ มคิ ด แม เพื่ อ เบี ย ดเบี ย นทั้ ง ตนเองและผู อื่ น ทั้ ง สองบ า ง, ย อ ม เสวยเฉพาะซึ ่ง ทุก ขโทมนัส อัน เปน ไปทางจิต บา ง. เมื ่อ ละโทสะไดแ ลว , เขา ย อ มไม คิ ด แม เพื่ อ เบี ย ดเบี ย นตนเอง ย อ มไม คิ ด แม เพื่ อ เบี ยดเบี ยนผู อื่ น ย อ มไม คิ ด แม เพื่ อ เบี ย ดเบี ย นตนเองและผู อื่ น ทั้ ง สองอย า ง, และย อ มไม เสวยเฉพาะซึ่ งทุ ก ขโทมนั ส อั น เป น ไปทางจิ ต โดยแท . พราหมณ ! นิ พ พานที่ เห็ น ได เอง ไม ป ระกอบ ด ว ยกาล เป น สิ่ ง ที่ ค วรกล า วกะผู อื่ น ว า ท า นจงมาดู เถิ ด เป น สิ่ ง ที่ ค วรน อ มเข า มา ใสใจ เปนสิ่งที่ผูรูก็รูไดเฉพาะตน ยอมมีได แมดวยอาการอยางนี้แล.

www.buddhadasa.info


๔๘๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

พราหมณ ! บุ ค คลผู มี โ มหะแล ว , อั น โมหะครอบงํ า แล ว มี จิ ต อั น โมหะรึ ง รั ด แล ว ย อ มคิ ด แม เพื่ อ เบี ย ดเบี ย นตนเองบ า ง, ย อ มคิ ด แม เพื่ อ เบี ย ดเบี ย นผู อื่ น บ า ง, ย อ มคิ ด แม เพื่ อ เบี ย ดเบี ย นทั้ ง ตนเองและผู อื่ น บ า ง, ย อ มเสวย เฉพาะซึ่ง ทุก ขโทมนัส อัน เปน ไปทางจิต บา ง. เมื ่อ ละโมหะไดแ ลว , ยอ มไมค ิด แม เพื่ อ เบี ย ดเบี ย นตนเอง ย อ มไม คิ ด แม เพื่ อ เบี ย ดเบี ย นผู อื่ น ย อ มไม คิ ด แม เพื่ อ เบี ย ดเบี ย นตนเองและผู อื่ น ทั้ งสองอย า ง, และย อ มไม เสวยเฉพาะซึ่ ง ทุ ก ขโทมนั ส อัน เปน ไปในทางจิต โดยแท. พราหมณ! นิพ พานที ่เ ห็น ไดเ อง ไมป ระกอบ ดว ยกาล เปน สิ ่ง ที ่ค วรกลา วกะผู อื ่น วา ทา นจงมาดูเ ถิด เปน สิ ่ง ที ่ค วรนอ มเขา มาใสใจ เปนสิ่งที่ผูรูก็รูไดเฉพาะตน ยอมมีได แมดวยอาการอยางนี้แล. พราหมณ ! เมื่อไดแล, ผูนี้ ยอมเสวยเฉพาะ ซึ่งความสิ้น ไปแห ง ราคะ อันหาเศษเหลือมิได, ยอมเสวยเฉพาะซึ่งความสิ้นไปแหงโทสะ อันหา เศษเหลือมิได, ยอมเสวยเฉพาะซึ่งความสิ้นไปแหงโมหะ อันหาเศษเหลือมิได ; พราหมณเอย! เมื่อนั้น, นิพพานที่เห็นไดเอง ไมประกอบดวยกาล เปนสิ่งที่ ควรกลาวกะผูอื่นวาทานจงมาดูเถิด เปนสิ่งที่ควรนอมเขามาใสใจ เปนสิ่งที่ผูรู ก็รูไดเฉพาะตน ยอมมีได ดวยอาการอยางนี้แล.

www.buddhadasa.info - ติก. อํ. ๒๐/๒๐๒/๔๙๕.

นิพพานที่เห็นไดเอง ตามคําของพระอานนท

"อาวุโส ! มีคํากลาวกันอยูวา 'สันทิฏฐิกนิพพาน สันทิฏฐิกนิพพาน' ดังนี้. อาวุโส! สันทิฏฐิกนิพพานนี้ พระผูมีพระภาคตรัสไว ดวยเหตุมีประมาณเทาไรหนอแล ?" (พระอุทายีถามพระอานนท, พระอานนทเปนผูตอบ).


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๔๘๓

อาวุโส ! ภิกษุ ในกรณี นี้ สงัดแลวจากกาม สงัดแลวจากอกุศลธรรม เข า ถึ ง ปฐมฌาน อั น มี วิ ต กวิ จ าร มี ป ติ แ ละสุ ข อั น เกิ ด จากวิ เวก แล ว แลอยู อาวุโ ส ! สัน ทิฏ ฐิก นิพ พาน อัน พระผู ม ีพ ระภาคตรัส ไว ดว ยเหตุม ีป ระมาณ เทานี้แล เมื่อกลาว โดยปริยาย. (ผู ศึ ก ษาพึ ง สั ง เกตให เห็ น ว า คํ า ว า สั น ทิ ฏ ฐิ ก นิ พ พาน ในที่ นี่ ต อ งหมายถึ ง ความสุ ข อั น เป น ผลจากปฐมฌ านที่ บุ ค คลนั้ น รู สึ ก เสวยอยู นั่ น เอง, เป น เครื่ อ งแสดงให เ ห็ น ว า ความสุ ข อั น เกิ ด จากเนกขั ม มะ โดยเฉพาะคื อ ฌ านทุ ก ระดั บ มี ชื่ อ เรี ย กว า นิ พ พานได , ไม จํ า เป น จะต อ ง หมายถึ ง อนุ ป าทิ เสสนิ พ พานอย า งเดี ย วเท า นั้ น . จะยุ ติ เป น อย า งไร ขอให นั ก ศึ ก ษาพิ จ ารณาดู เอา เองเถิด. ในกรณี แหงทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน อากาสานั ญจายตนะ วิญญาณั ญจายตนะ อากิ ญ จั ญ ญายตนะ และ เนวสั ญ ญานาสั ญ ญายตนะ มี ข อความที่ กล าวไว โดยทํ านองเดี ยวกั น กั บ ข อ ความในกรณี แห ง ปฐมฌ าน ทุ ก ประการ และในฐานะเป น สั น ทิ ฏ ฐิ ก นิ พ พาน โดยปริ ย าย. ส ว นสั ญ ญาเวทยิ ต นิ โรธซึ่ งมี ก ารสิ้ น อาสวะนั้ น กล า วไว ในฐานะเป น สั น ทิ ฏ ฐิ ก นิ พ พานโดยนิ ป ปริ ย าย ดวยขอความดังตอไปนี้:-)

อาวุ โ ส ! นั ย อื่ น อี ก มี อ ยู : ภิ ก ษุ ก า วล ว งเสี ย ซึ่ ง เนวสั ญ ญานาสัญ ญายตนะโดยประการทั้ งปวง เขาถึงสัญ ญาเวทยิต นิ โรธ แลวแลอยู. อนึ่ ง เพราะเห็น ดว ยปญ ญา อาสวะทั ้ง หลายของเธอนั ้น ก็สิ ้น ไปรอบ. อาวุโ ส ! สันทิฏฐิกนิพพาน อันพระผูมีพระภาคตรัสไว ดวยเหตุมีประมาณเทานี้แล เมื่อ กลาวโดยนิปปริยาย.

www.buddhadasa.info - นวก. อํ. ๒๓/๔๗๕/๒๕๑.


๔๘๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

หมด "อาหาร" ก็นิพพาน ภิ ก ษุ ท.! ถ า ไม มี ร าคะ ไม มี นั น ทิ ไม มี ตั ณ หา ใน อาหารคื อ คํ า ข า ว ก็ ดี ใน อาหารคื อ ผั ส สะก็ ดี ใน อาหารคื อ มโนสั ญ เจตนา ก็ ดี ใน อาหารคื อ วิ ญ ญาณ ก็ ดี แล ว ไซร , วิ ญ ญาณก็ เป น สิ่ ง ที่ ตั้ ง อยู ไ ม ไ ด เจริ ญ งอกงามอยู ไ ม ไ ด ใน สิ ่ง นั ้น ๆ . วิญ ญ า ณ ตั ้ง อ ยู ไ มไ ด เจ ริญ งอ ก งา ม อ ยู ไ มไ ด ใน ที ่ใ ด . ก า ร ก า วลงแห ง นามรู ป ย อ มไม มี ในที่ นั้ น ; การก า วลงแห ง นามรู ป ไม มี ใ นที่ ใ ด, ความเจริญ แหง สัง ขารทั ้ง หลาย ยอ มไมม ีใ นที ่นั ้น ; ความเจริญ แหง สัง ขาร ทั้ ง หลาย ไม มี ใ นที่ ใ ด, การบั ง เกิ ด ในภพใหม ต อ ไป ย อ มไม มี ใ นที่ นั้ น ; การ บัง เกิด ในภพใหมต อ ไป ไมม ีใ นที ่ใ ด, ชาติช ราและมรณ ะตอ ไป ยอ มไมม ีใ น ที ่นั ้น ; ช า ติช รา แ ล ะ ม รณ ะ ตอ ไป ไมม ีใ น ที ่ใ ด , ภิก ษ ุ ท .! เรา เรีย ก "ที ่" นั้นวาเปน "ที่ไมโศก ไมมีธุลี และไมมีความคับแคน" ดังนี้. ภิ ก ษุ ท.! เปรี ย บเหมื อ นเรื อ นยอด หรื อ ศาลาเรื อ นยอด ที่ ตั้ ง อยู ทางทิ ศ เหนื อ หรื อ ใต ก็ ต าม เป น เรื อ นมี ห น า ต า งทางทิ ศ ตะวั น ออก. ครั้ น ดวง อาทิ ต ย ขึ้ น มา แสงสว า งแห ง ดวงอาทิ ต ย ส ง เข า ไปทางช อ งหน า ต า งแล ว จั ก ตั้ ง อยู ที่สวนไหนแหงเรือนนั่นเลา ?

www.buddhadasa.info ข าแต พ ระองค ผู เจริ ญ ! แสงสว างแห งดวงอาทิ ต ย จั กปรากฏที่ ฝาเรื อ น ขางในดานทิศตะวันตก พระเจาขา!"

ภิ ก ษุ ท.! ถ า ฝาเรื อ นทางทิ ศ ตะวั น ตกไม มี เล า แสงแห ง ดวงอาทิ ต ย นั้นจักปรากฏอยูที่ไหน ? "ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! แสงสว างแห งดวงอาทิ ตย นั้ น จั กปรากฏที่ พื้ นดิ น พระเจาขา !"


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๔๘๕

ภิ ก ษุ ท .! ถ าพื้ น ดิ น ไม มี เล า แส งส ว า งแห งด วงอ าทิ ต ย นั้ น จั ก ปรากฏที่ไหน ? "ข าแต พ ระองค ผู เจริ ญ ! แสงสว างแห งดวงอาทิ ต ย นั้ น จั ก ปรากฏในน้ํ า พระเจาขา !" ภ ิก ษ ุ ท .! ถ า น้ํ า ไม ม ีเ ล า แ ส ง ส ว า ง แ ห ง ด ว ง อ า ท ิต ย นั ้น จ ัก ปรากฏที่ไหนอีก ? "ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! แสงสว างแห งดวงอาทิ ตย นั้ น ย อมเป นสิ่ งที่ ไม ปรากฏ แลวพระเจาขา !" ภ ิก ษ ุ ท .! ฉ ัน ใด ก ็ฉ ัน นั ้น แ ล : ถ า ไม ม ีร า ค ะ ไม ม ีน ัน ท ิ ไม มี ตั ณ หา ในอาหารคื อ คํ าข าวก็ ดี ในอาหารคื อ ผั ส สะก็ ดี ในอาหารคื อ มโนสั ญ เจตนา ก็ ดี ในอาหารคื อ วิ ญ ญาณก็ ดี แล ว ไซร , วิ ญ ญาณก็ เ ป น สิ่ ง ที่ ตั้ ง อยู ไ ม ไ ด เจริ ญ งอกงาม อยู ไ มไ ด ใน อาหารคือ คํ า ขา ว เปน ตน นั ้น ๆ. วิญ ญ าณ ตั ้ง อยู ไ มไ ด เจริญ งอกงามอยู ไ มไ ด ในที ่ใ ด, การกา วลงแหง นามรูป ยอ มไมม ีใ นที ่นั ้น ; การก า วลงแห ง นามรู ป ไม มี ใ นที่ ใ ด, ความเจริ ญ แห ง สั ง ขารทั้ ง หลายย อ มไม มี ใ น ที ่นั ้น ; ความเจริญ แหง สัง ขารทั ้ง หลายไมม ีใ นที ่ใ ด, การบัง เกิด ในภพใหม ตอ ไป ยอ ม ไมม ีใ น ที ่นั ้น ; การบัง เกิด ใน ภ พ ให มต อ ไป ไมม ีใ น ที ่ใ ด , ชาติ ชราและมรณ ะต อ ไป ย อ มไม มี ใ นที่ นั้ น ; ชาติ ช รามรณ ะต อ ไป ไม มี ใ นที่ ใ ด, ภ ิก ษ ุ ท .! เร า เรีย ก "ที ่" นั ้น วา เป น "ที ่ไ มโ ศ ก ไม ม ีธ ุล ี แ ล ะ ไม ม ีค ว า ม คับแคน" ดังนี้.

www.buddhadasa.info - นิทาน. สํ. ๑๖/๑๒๔-๑๒๕/๒๔๘-๒๔๙.


๔๘๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

อาสวักขยญาณเปนเครื่องใหพนจากอาสวะ พ ราห ม ณ ! ภิ กษุ นั้ น ครั้ น จิ ต ตั้ ง มั่ น บ ริ สุ ท ธิ์ ผ อ งใส ไม มี กิ เ ล ส ปราศจากอุ ป กิ เลส เป น ธรรมชาติ อ อ นโยนควรแก ก ารงาน ถึ ง ความไม ห วั่ น ไหว ตั้งอยูเชนนี้แลว ก็นอมจิตไปเฉพาะตอ อาสวักขยญาณ : เธอนั้น ยอมรูชัดตามเปน จริงวา "นี่ ทุกข, นี่ เหตุแห งทุกข, นี่ ความดับไมเหลือแหงทุกข, นี่ ทางใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข" ; และรูชัด ตามเปน จริงวา "เหลา นี ้ เปน อาสวะ, นี ้ เหตุแ หงอาสวะ, นี ้ ความดับ ไมเหลือแหงอาสวะ, นี้ เปนทางใหถึงความดับไมเหลือแหงอาสวะ" เมื่อเธอรู อยูอยางนี้ เห็นอยูอยางนี้ จิตก็พ นจากกามาสวะ ภวาสวะ และอวิชชาสวะ ครั้นจิตพนวิเศษแลวก็เกิดญาณหยั่งรูวา จิตพนแลว. เธอยอมรูชัดวา "ชาติ สิ้นแลว พรหมจรรยอยูจบแลว กิจที่ตองทําไดทําสําเร็จแลว กิจอื่นที่จะตองทํา เพื่อความ (หลุดพน) เปนอยางนี้ มิไดมีอีก". พราหมณ ! วิ ช ชาที่ ส ามนี้ เป น ธรรมที่ ภิ ก ษุ นั้ น บรรลุ แ ล ว อวิ ช ชา ถู ก ทํ า ลายแล ว วิ ช ชาเกิ ด ขึ้ น แล ว ความมื ด ถู ก ทํ า ลายแล ว ความสว า งเกิ ด แทน แล ว , ตามที่ มั น จะเกิ ด แก บุ ค คลผู ไ ม ป ระมาท มี เ พี ย รเผาบาป มี ต นส ง ไปแล ว แลอยู.

www.buddhadasa.info - ติก. อํ. ๒๐/๒๑๐/๔๙๘


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๔๘๗

ปริญญาที่แทจริง ภิกษุ ท.! ปริญญา (ความรอบรู) เปนอยางไรเลา ? ภิ ก ษุ ท.! ความสิ้ น ราคะ ความสิ้ น โทสะ ความสิ้ น โมหะ, อั น ใด ; ภิก ษุ ท.! อัน นั ้น แหละเราเรีย กวา ปริญ ญา (ที ่เ กิด ขึ ้น ในขณะแหง การบรรลุน ิพ พาน ซึ่งจัดวาเปนความรูอันแทจริง) แล. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๓๓/๕๕.

วิโมข ๒ ระดับ : สมยวิโมกข - อสมยวิโมกข ก. สมยวิโมกข

ภิ ก ษุ ท.! ในกรณี นี้ กุ ล บุ ต รบางคน มี ศ รั ท ธา ออกบวชจากเรื อ น ไม เกี่ ย วข อ งด ว ยเรื อ น เพราะคิ ด เห็ น ว า "เราถู ก ความเกิ ด ความแก ความตาย ความโศก ความร่ํ าไรรํ าพั น ความทุ กข กาย ความทุ กข ใจ ความคั บแค นใจ ครอบงํ า เอาแล ว เป น คนตกอยู ใ นกองทุ ก ข มี ทุ ก ข อ ยู เ ฉพาะหน า แล ว ทํ า ไฉนการทํ า ที่ สุ ด แห ง กองทุ ก ข ทั้ ง สิ้ น นี้ จะปรากฏมี ไ ด " ดั ง นี้ . ครั้ น บวชแล ว เธอสามารถทํ า ลาภสัก การะและเสีย งเยิน ยอใหเ กิด ขึ ้น ได, เธอไมม ีใ จยิน ดีใ นลาภสัก การะ และเสี ย งเยิ น ยอฉั น นั้ น , ไม มี ค วามดํ า ริ เต็ ม รอบแล ว ในลาภสั ก การะและเสี ย ง เยิน ยออัน นั ้น , เธอไมท ะนงตัว เพราะลาภสัก การะและเสีย งเยิน ยออัน นั ้น , เธอไม เมาไม มั ว เมาในลาภสั ก การและเสี ย งเยิ น ยออั น นั้ น , ไม ถึ ง ความประมาท ในลาภสั ก การะและเสี ย งเยิ น ยออั น นั้ น ; เมื่ อ ไม ป ระมาทแล ว เธอให ค วามถึ ง พรอ มดว ยศีล เกิด ขึ ้น ได, เธอมีใ จยิน ดีใ นความถึง พรอ มดว ยศีล อัน นั ้น , แต ไมมีความดําริเต็มรอบแลวในความถึงพรอมดวยศีลอันนั้น" เธอไมทะนงตัว

www.buddhadasa.info


๔๘๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

เพราะความถึ งพร อ มด ว ยศี ล อั น นั้ น , เธอไม เมาไม มั ว เมาในความถึ งพร อ มด ว ยศี ล อั น นั้ น , ไม ถึ ง ความประมาทในความถึ ง พร อ มด ว ยศี ล อั น นั้ น ; เมื่ อ ไม ป ระมาท แลว เธอให ความถึ งพรอ มด วยสมาธิเกิ ด ขึ้น ได , เธอมี ใจยินดีในความถึงพรอ ม ดว ยสมาธิอ ัน นั ้น , แตไ มม ีค วามดํ า ริเ ต็ม รอบแลว ในความถึง พรอ มดว ยสมาธิ อัน นั ้น , เธอไมท ะนงตัว เพราะความถึง พรอ มดว ยสมาธิอ ัน นั ้น , เธอไมเ มา ไม มั ว เมาในความถึ ง พร อ มด ว ยสมาธิ อั น นั้ น , ไม ถึ ง ความประมาทในความถึ ง พร อ มด ว ยสมาธิ อั น นั้ น ; เมื่ อ ไม ป ระมาทแล ว เธอให ญ าณทั ส สนะ (ป ญ ญา เครื ่ อ งรู  เ ห็ น ) เกิ ด ขึ ้ น ได อ ี ก , เธอมี ใ จยิ น ดี ใ นญ าณ ทั ส สนะอั น นั ้ น , แต ไม มี ค วามดํ า ริ เต็ ม รอบแล ว ในญาณทั ส สนะอั น นั้ น , เธอไม ท ะนงตั ว เพราะญาณทั ส ส น ะอั น นั้ น , เธอ ไม เม าไม มั วเม าใน ญ าณ ทั ส ส น ะอั น นั้ น , ไม ถึ ง ค วาม ประมาทในญ าณ ทั ส สนะอั น นั้ น , เมื่ อ ไม ป ระมาทแล ว เธอให สมยวิ โ มกข (ความพนพิเศษโดยสมัย) เกิดขึ้นไดอีก. ภิ ก ษุ ท.! ข อ นี้ ย อ มเป น ไปได คื อ ข อ ที่ ภิ ก ษุ นั้ น จะพึ ง เสื่ อ มคลาย จาก สมยวิมุตติ อันนั้นก็ได.

www.buddhadasa.info ข. อสมยวิโมกข

ภิ ก ษุ ท.! เปรี ย บเหมื อ นบุ รุ ษ ผู ต อ งการด ว ยแก น ไม เสาะหาแก น ไม เที่ ย วค น หาแก น ไม จนถึ ง ต น ไม ใ หญ มี แ ก น แล ว ตั ด เอาแก น ถื อ ไปด ว ยมั่ น ใจว า "นี ่ เปน แกน แท" ดัง นี ้. บุร ุษ มีต าดี เห็น คนนั ้น เขา แลว ก็ก ลา ววา "ผู เ จริญ ค น นี ้ ชา ง รู จ ัก แ กน , รู จ ัก ก ระ พี ้, รู จ ัก เป ลือ ก ส ด , รู จ ัก ส ะ เก็ด แ หง ต า ม ผิ ว เปลื อ ก, รู จั ก ใบอ อ นที่ ป ลายกิ่ ง . จริ ง ดั ง ว า ผู เ จริ ญ คนนี้ ต อ งการแก น ไม เสาะหาแกนไม เที่ยวคนหาแกนไม จนถึงตนไมใหญแกนแลว ก็ตัดเอง


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๔๘๙

แกน แทถ ือ ไปดว ยมั ่น ใจวา 'นี ้ แกน แท' ดัง นี ้; สิ ่ง ที ่เ ขาจะตอ งทํ า ดว ยแกน ไม จักสําเร็จประโยชนเปนแท" ดังนี้, นี้ฉันใด ; ภิก ษุ ท.! ขอ นี ้ก ็ฉ ัน นั ้น กลา วคือ กุล บุต รบางคนในกรณ ีนี ้ เปน ผู มี ศ รั ท ธา ออกบวชจากเรื อ น ไม เ กี่ ย วข อ งด ว ยเรื อ น เพราะคิ ด เห็ น ว า "เราถู ก ความเกิด ความแก ความตาย ....(ขอ ความตอ ไป เหมือ นกับ ขอ ความตอนตน ของ ตอนสมยวิ โ มกข จนถึ ง ข อ ความที่ ว า ) .... เธอไม ท ะนงตั ว เพราะญาณทั ส สนะอั น นั้ น , เธอไม เมาไม มั ว เมาในญาณทั ส สนะอั น นั้ น , ไม ถึ ง ความประมาทในญาณทั ส สนะ อันนั้น; เมื่อไมประมาทแลว เธอให อสมยวิโมกขเกิดขึ้นได. ภ ิก ษ ุ ท .! ขอ นี ้ย อ ม เป น ไป ไม ไ ด ไมใ ชโ อ ก า ส ที ่จ ะ เป น ได ค ือ ขอที่ภิกษุนั้น จะพึงเสื่อมคลายจาก อสมยวิมุตติ (ความหลุดพนที่ไมมีสมัย) อันนั้นเลย. ภิ ก ษุ ท.! พรหมจรรย นี้ มิ ใ ช มี ล าภสั ก การะแลเสี ย งเยิ น ยอเป น อานิสงส, พรหมจรรยนี้ มิใชมีความถึงพรอมดวยศีลเปนอานิสงส, พรหมจรรย นี้ มิใชมีความถึงพรอมดวยสมาธิเป นอานิสงส, พรหมจรรยนี้ มิใชมี ความถึง พรอมดวยญาณทัสสนะเปนอานิสงส.

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท.! ก็ เจโตวิม ุต ติ ที ่ไ มกํ า เริบ อัน ใด มีอ ยู , พรหมจรรยนี้ มีเจโตวิมุตตินั่นแหละเปนประโยชนที่มุงหมาย มีเจโตวิมุตตินั่นแหละเปนแกนสาร มีเจโตวิมุตตินั่นแหละ เปนผลสุดทายของพรหมจรรย แล.

- มู. ม. ๑๒/๓๗๐-๓๗๓/๓๕๑-๓๕๒


๔๙๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

ธรรมที่สมควรแกการหลุดพนจากทุกข ภิก ษ ุ ท .! ธ รรม นี ้ เปน ธ รรม ที ่ส ม ค วรแ กภ ิก ษ ุ ผู ป ฏ ิบ ัต ิธ รรม สมควรแกธ รรม ธรรมนั ้น คือ ขอ ที ่ภ ิก ษุ เปน ผู  มากอยู ด ว ยความรูส ึก เบื ่อ หนา ย ในรู ป , เป น ผู ม ากอยู ด ว ยความรู สึ ก เบื่ อ หน า ย ในเวทนา, เป น ผู ม ากอยู ด ว ย ความรูสึ ก เบื่ อ หน ายในสั ญ ญา, เป น ผู ม ากอยู ด วยความรู สึ ก เบื่ อ หน ายในสั งขาร, เป น ผู ม ากอยู ด ว ยความรู สึ ก เบื่ อ หน า ย ในวิ ญ ญาณ; ภิ ก ษุ นั้ น เมื่ อ เป น ผู ม ากอยู ด วยความรู สึ ก เบื่ อ หน ายในรู ป ในเวทนา ในสั ญ ญา ในสั งขาร ในวิ ญ ญาณ, ย อ ม รู ร อบซึ่ ง รู ป ซึ่ ง เวทนา ซึ่ ง สั ญ ญา ซึ่ ง สั ง ขาร ซึ่ ง วิ ญ ญาณ : เมื่ อ เขารู ร อบอยู ซึ่ ง รูป เวท น า ซึ ่ง สัญ ญ า ซึ ่ง สัง ข าร ซึ ่ง วิญ ญ าณ แ ลว , ยอ ม ห ลุด พน จ าก รูป จากเวทนา จากสั ญ ญา จากสั ง ขาร จากวิ ญ ญาณ, ย อ มพ น ได จ าก ความเกิ ด ความแก ความเจ็ บ ความตาย ความโศก ความร่ํ าไรรํ าพั น ความทุ กข กายทุ กข ใจ ความคับแคนใจ ; เราตถาคตกลาววา เขายอมหลุดพนจากทุกข ดังนี้. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๐/๘๓.

www.buddhadasa.info ภ ิก ษ ุ ท .! ธ รรม นี ้เ ปน ธ รรม ที ่ส ม ค ว รแ กภ ิก ษ ุ ผู ป ฏ ิบ ัต ิธ รรม สมควรแก ธ รรม คื อ ข อ ที่ ภิ ก ษุ เป น ผู ตามเห็ น ความไม เที่ ย งในรู ป อยู เป น ประจํ า, เปน ผู ต ามเห็น ความไมเ ที ่ย ง ในเวทนา อยู เ ปน ประจํ า , เปน ผู ต ามเห็น ความ ไม เที่ ยง ในสั ญ ญา อยู เป นประจํ า, เป นผู ต ามเห็ นความไม เที่ ยง ในสั งขาร อยู เป น ประจํ า , เปน ผู ต ามเห็น ความไมเ ที ่ย ง ในวิญ ญ าณ อยู เ ปน ประจํ า ; ภิก ษุนั ้น เมื่ อ ตามเห็ น ความไม เที่ ย งในรู ป ในเวทนา ในสั ญ ญา ในสั งขาร ในวิ ญ ญาณ อยู เปน ประจํ า , ยอ มรู ร อบซึ ่ง รูป ซึ ่ง เวทนาซึ ่ง สัญ ญ า ซึ ่ง สัง ขาร ซึ ่ง วิญ ญ าณ . เมื่อเขารูรอบอยูซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ, ยอม


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๔๙๑

หลุ ด พ น จากรู ป จากเวทนา จากสั ญ ญา จากสั ง ขาร จากวิ ญ ญาณ, ย อ มพ น ได จากความเกิ ด ความแก ความเจ็ บ ความตาย ความโศก ความร่ํ าไรรํ าพั น ความทุ กข กาย ความทุ ก ข ใ จ ความคั บ แค น ใจ ; เราตถาคตกล า วว า เขาย อ มหลุ ด พ น จาก ทุกข ดังนี้. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๑/๘๔.

ภ ิก ษ ุ ท .! ธ รรม นี ้ เป น ธ รรม ที ่ส ม ค ว รแ ก ภ ิก ษ ุ ผู ป ฏ ิบ ัต ิธ รรม สมควรแก ธรรม คื อ ข อ ที่ ภิ ก ษุ เป น ผู ตามเห็ น ความเป น ทุ ก ข ในรู ป อยู เป น ประจํ า เปน ผู ต ามเห็น ความเปน ทุก ข ในเวทนา อยู เ ปน ประจํ า , เปน ผู ต ามเห็น ความ เปน ทุก ข ในสัญ ญ า อยู เ ปน ประจํ า , เปน ผู ต ามเห็น ความเปน ทุก ขใ นสัง ขาร อยู เ ปน ประจํ า , เปน ผู ต ามเห็น ความเปน ทุก ข ในวิญ ญ าณ อยู เ ปน ประจํ า ; ภิก ษุนั ้น เมื ่อ ตามเห็น ความเปน ทุก ข ในรูป ในเวทนา ในสัญ ญ า ในสัง ขาร ในวิ ญ ญาณ อยู เป น ประจํ า, ย อ มรู รอบ ซึ่ งรู ป ซึ่ งเวทนา ซึ่ งสั ญ ญา ซึ่ งสั งขาร ซึ่ ง วิ ญ ญาณ. เมื่ อ เขารู ร อบอยู ซึ่ ง รู ป ซึ่ ง เวทนา ซึ่ ง สั ญ ญา ซึ่ ง สั ง ขาร ซึ่ ง วิ ญ ญาณ, ย อ มหลุ ด พ น จากรู ป จาเวทนา จากสั ญ ญ า จากสั ง ขาร จากวิ ญ ญ าณ , ย อ ม พ น ได จ ากความเกิ ด ความแก ความเจ็ บ ความตาย ความโศก ความร่ํ า ไรรํ า พัน ความทุก ขก าย ความทุก ขใ จ ความคับ แคน ใจ ; เราตถาคตกลา ววา เขายอมหลุดพนไดจากทุกข ดังนี้.

www.buddhadasa.info - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๑/๘๕.

ภ ิก ษ ุ ท .! ธ รรม นี ้ เป น ธ รรม ที ่ส ม ค ว รแ ก ภ ิก ษ ุ ผู ป ฏ ิบ ัต ิธ รรม สมควรแก ธ รรม คื อ ข อ ที่ ภิ ก ษุ เป น ผู ตามเห็ น ความเป น อนั ต ตาในรู ป อยู เป น ประจํา, เปนผูตามเห็นความเปนอนัตตา ในเวทนา อยูเปนประจํา, เปนผู


๔๙๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

ตามเห็ น ความเป น อนั ต ตา ในสั ญ ญา อยู เป น ประจํ า , เป น ผู ต ามเห็ น ความเป น อนั ต ตา ในสั ง ขาร อยู เป น ประจํ า , เป น ตามเห็ น ความเป น อนั ต ตา ในวิ ญ ญาณ อยู เ ปน ประจํ า ; ภิก ษุนั ้น เมื ่อ ตามเห็น ความเปน อนัต ตา ในรูป ในเวทนา ในสัญ ญ า ในสัง ขาร ใน วิญ ญ าณ อยู เ ปน ป ระจํ า , ยอ ม รู ร อบ ซึ ่ง รูป ซึ ่ง เวท น า ซึ ่ง สัญ ญ า ซึ ่ง สัง ขาร ซึ ่ง วิญ ญ าณ , เมื ่อ เข ารู ร อ บ อ ยู  ซึ ่ง รูป ซึ ่ง เวทนา ซึ่ ง สั ญ ญ า ซึ่ ง สั ง ขาร ซึ่ ง วิ ญ ญ าณ , ย อ มหลุ ด พ น จากรู ป จากเวทนา จากสั ญ ญ า จากสั ง ขาร จากวิ ญ ญ าณ , ย อ มพ น ได จ ากความเกิ ด ความแก ความเจ็ บ ความตาย ความโศก ความร่ํ า ไรรํ า พั น ความทุ ก ข ก าย ความทุ ก ข ใจ ความคับแคนใจ ; เราตถาคตกลาววา เขายอมหลุดพนไดจากทุกข ดังนี้. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๒/๘๖.

นิสสารณิยธาตุที่ทําความงายใหแกการละตัณหา ภิ ก ษุ ท.! ธาตุ ที่ ส ามารถสลั ด ซึ่ ง สิ่ ง ที่ ค วรสลั ด (นิ สฺ ส ารณิ ย ธาตุ ) ๕ อยางเหลานี้ มีอยู. หาอยางอยางไรเลา ? หาอยางคือ :-

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! ในกรณี นี้ คื อ เมื่ อ ภิ ก ษุ กระทํ า ในใจอยู ซึ่ ง กามทั้ ง หลาย, จิ ต ก็ ไ ม แ ล น ไป ไม เลื่ อ มใส ไม ตั้ ง อยู ไม น อ มไป ในกามทั้ ง หลาย; แต เมื่ อ ภิ ก ษุ นั ้น กระทํ า ในใจอยู ซึ ่ง เนกขัม มะ, จิต ก็แ ลน ไป ก็เลื ่อ มใส ก็ตั ้ง อยู  ก็น อ มไป ใ น เน ก ข ัม ม ะ . จ ิต ข อ ง เธ อ นั ้น ชื ่อ ว า ถ ึง ด ี อ บ ร ม ด ี อ อ ก ด ี ห ล ุด พ น ดี ปราศจากกามทั ้ง หลายดว ยดี; และเธอนั ้น หลุด พน แลว จากอาสวะทั ้ง หลาย อั น ทํ า ความคั บ แค น และเร า ร อ น ที่ เกิ ด เพราะกามเป น ป จ จั ย ; เธอก็ ไ ม ต อ งเสวย เวทนานั ้น . อาการอยา งนี ้ นี ้ เรากลา ววา ธาตุเ ปน เครื ่อ งสลัด เสีย ซึ ่ง กาม ทั้งหลาย.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๔๙๓

ภิ กษุ ท.! ข ออื่ น ยั งมี อี ก, คื อ เมื่ อ ภิ กษุ กระทํ าในใจอยู ซึ่ งพยาบาท, จิต ก็ไ มแ ลน ไป ไมเ ลื ่อ มใส ไมตั ้ง อยู  ไมน อ มไป ในพยาบาท; แตเ มื ่อ ภิก ษุ นั ้น กระทํ า ในใจอยู ซึ ่ง อัพ ยาบาท. จิต ก็แ ลน ไป ก็เลื ่อ มใส ก็ตั ้ง อยู  ก็น อ มไป ในอั พ ยาบาท. จิ ต ของเธอนั้ น ชื่ อ ว า ถึ ง ดี อบรมดี ออกดี หลุ ด พ น ดี ปราศจาก พยาบาทด ว ยดี ; และเธอนั้ น หลุ ด พ น จากอาสวะทั้ ง หลายอั น ทํ า ความคั บ แค น และเร า ร อ น ที่ เ กิ ด เพราะพยาบาทเป น ป จ จั ย ; เธอก็ ไ ม ต อ งเสวยเวทนานั้ น . อาการอยางนี้ นี้ เรากลาววา ธาตุเปนเครื่องสลัดเสียซึ่งพยาบาท. ภิ ก ษุ ท.! ข อ อื่ น ยั ง มี อี ก , คื อ เมื่ อ ภิ ก ษุ กระทํ า ในใจอยู ซึ่ ง วิ หิ ง สา, จิ ต ก็ ไ ม แ ล น ไป ไม เ ลื่ อ มใส ไม ตั้ ง อยู ไม น อ มไป ในวิ หิ ง สา; แต เ มื่ อ ภิ ก ษุ นั้ น กระทํ า ในใจอยู ซึ ่ง อวิห ิง สา, จิต ก็แ ลน ไป ก็เ ลื ่อ มใส ก็ตั ้ง อยู  ก็น อ มไป ใน อวิ หิ ง สา, จิ ต ของเธอนั้ น ชื่ อ ว า ถึ ง ดี อบ รมดี ออกดี ห ลุ ด พ นดี ปราศจาก วิ หิ ง สาด ว ยดี ; และเธอนั้ น หลุ ด พ น แล ว จากอาสวะทั้ ง หลายอั น ทํ า ความคั บ แค น และเรา รอ น ทีเ กิด เพ ราะวิห ิง สาเปน ปจ จัย ; เธอก็ไ มต อ งเสวยเวทนานั ้น . อาการอยางนี้ นี้เรากลาววา ธาตุเปนเครื่องสลัดเสียซึ่งวิหิงสา.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! ข อ อื่ น ยั ง มี อี ก , คื อ เมื่ อ ภิ ก ษุ กระทํ า ในใจซึ่ ง รู ป ทั้ ง หลาย, จิต ก็ไ มแ ลน ไป ไมเ ลื ่อ ม ใส ไมตั ้ง อยู  ไมน อ ม ไป ในรูป ทั ้ง ห ลาย; แตเ มื ่อ ภิก ษุนั ้น กระทํ า ในใจอยู ซึ ่ง อรูป , จิต ก็แ ลน ไป ก็เ ลื ่อ มใส ก็ตั ้ง อยู  ก็น อ มไป ในอรูป . จิต ของเธอนั ้น ชื ่อ วา ถึง ดี อบรมดี ออกดี หลุด พน ดี ปราศจาก รู ป ทั้ ง หลายด ว ยดี ; และเธอนั้ น หลุ ด พ น แล ว จากอาสวะทั้ ง หลาย อั น ทํ า ความ คั บ แค น และเร า ร อ น ที่ เ กิ ด เพราะรู ป ทั้ ง หลายเป น ป จ จั ย ; เธอก็ ไ ม ต อ งเสวย เวทนานั ้น . อาการอยา งนี ้ นี ้เ รากลา ววา ธาตุเ ปน เครื ่อ งสลัด เสีย ซึ ่ง รูป ทั้งหลาย.


๔๙๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ ก ษุ ท.! ข อ อื่ น ยั งมี อี ก , คื อ เมื่ อ ภิ ก ษุ กระทํ าในใจอยู ซึ่ งสั ก กายะ (กายของตนกลา วคือ ขัน ธห า ), จิต ก็ไ มแ ลน ไป ไมเ ลื ่อ มใส ไมตั ้ง อยู  ไมน อ มไป ในสั ก กายะ; แต เมื่ อ ภิ ก ษุ นั้ น กระทํ า ในใจอยู ซึ่ ง ความดั บ แห ง สั ก กายะ, จิ ต ก็ แลน ไป ก็เ ลื ่อ มใส ก็ตั ้ง อยู  ก็น อ มไป ในความดับ แหง สัก กายะ, จิต ของเธอ นั ้น ชื ่อ วา ถึง ดี อบรมดี ออกดี หลุด พน ดี ปราศจากสัก กายะดว ยดี; และ เธอนั้ น หลุ ด พ น แล ว จากอาสวะทั้ ง หลายอั น ทํ า ความคั บ แค น และเร า ร อ น ที่ เกิ ด เพราะสัก กายะเปน ปจ จัย ; เธอก็ไ มต อ งเสวยเวทนานั ้น . อาการอยา งนี ้ นี้ เรากลาววา ธาตุเปนเครื่องสลัดเสียซึ่งสักกายะ. นัน ทิใ นกาม ก็ไ มน อนตาม (ในจิต ) ของเธอ ; นัน ทิใ นพยาบาท ก็ไ มน อนตาม (ในจิต ) ของเธอ ; นัน ทิใ นวิห ิง สา ก็ไ มน อนตาม (ในจิต ) ของเธอ; นัน ทิใ นรูป ก็ไ มน อนตาม (ในจิต ) ของเธอ ; นัน ทิใ นสัก กายะ ก็ไม นอนตาม (ในจิ ต) ของเธอ. เธอนั้ น เมื่ อกามนั นทิ ก็ ไม น อนตาม พยาปาทนันทิก็ไมนอนตาม วิหิงสานันทิก็ไมนอนตาม รูปนันทิก็ไมนอนตาม สักกายนั น ทิ ก็ ไ ม น อนตาม ดั ง นี้ แ ล ว ; ภิ ก ษุ ท.! เรากล า วภิ ก ษุ นี้ ว า ปราศจากอาลั ย ตัดตัณหาขาดแลว รื้อถอนสังโยชนไดแลว กระทําที่สุดแหงกองทุกขไดแลวเพราะ รู เฉพาะซึ่งมานะโดยชอบ.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! เหลานี้แล ธาตุที่สามารถสลัดซึ่งสิ่งที่ควรสลัด ๕ อยาง. - ปฺจก. อํ. ๒๒/๒๗๒/๒๐๐.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๔๙๕

ธรรมธาตุตาง ๆ ที่เปนผลของสมถวิปสสนาอันดับสุดทาย (: อภิญญาหก ) "ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! ผลเท าใด อั นบุ คคลพึ งบรรลุ ด วยเสขญาณ ด วย เสขวิ ช ชา ผลนั้ น ข า พระองค บ รรลุ แ ล ว ลํ า ดั บ ; ขอพระผู มี พ ระภาค จงทรงแสดง ธรรมที่ยิ่งขึ้นไปแกขาพระองคเถิด พระเจาขา !" วัจ ฉ ะ ! ถ า เช น นั ้น เธ อ จ ง เจ ริญ ธ รรม ทั ้ง ส อ ง ให ยิ ่ง ขึ ้น ไป ค ือ สมถะและวิป ส สนา, วัจ ฉะ ! ธรรมทั ้ง สองคือ สมถะและวิป ส สนา เหลา นี ้แ ล อันเธอเจริญใหยิ่งขึ้นไปแลว จักเปนไปเพื่อแทงตลอดซึ่งธาตุเปนอเนก๑ (กลาวคือ:-) ๑. วั จ ฉะ! เธอจั ก มี ได โดยเฉพาะซึ่ งอิ ท ธิ วิ ธี มี อ ย างต าง ๆ ตามที่ เธอ หวั ง เช น เธอหวั ง ว า เราผู เ ดี ย วแปลงรู ป เป น หลายคน, หลายคนเป น คนเดี ย ว, ทํ า ที่ กํ า ลั ง ให เ ป น ที่ แ จ ง , ทํ า ที่ แ จ ง ให เ ป น ที่ กํ า บั ง , ไปได ไ ม ขั ด ข อ ง ผ า นทะลุ ฝ า ทะลุ กํ า แพง ทะลุ ภู เ ขา ดุ จ ไปในอากาศว า ง ๆ, ผุ ด ขึ้ น และดํ า ลงในแผ น ดิ น ได เหมือ นในน้ํ า , เดิน ไดเ หนือ น้ํ า เหมือ นเดิน บนแผน ดิน , ทั ้ง ที ่ย ัง นั ่ง ขัด สมาธิ คู บั ล ลั ง ก ก็ ล อยไปได ใ นอากาศเหมื อ นนกมี ป ก , ลู บ คลํ า ดวงจั น ทร แ ละดวง อาทิ ต ย อั น มี ฤ ทธิ์ อ านุ ภ าพมากอย า งนี้ ไ ด ด ว ยฝ า มื อ , และแสดงอํ า นาจทาง กาย เป น ไปตลอดถึ ง พรหมโลกได , ดั ง นี้ . ในอิ ท ธิ วิ ธิ ญ าณธาตุ นั้ น ๆ นั่ น แหละ เธอก็จักถึงความสามารถทําไดจนเปนสักขีพยาน ในขณะที่อายตนะยังมีอยู ๆ.

www.buddhadasa.info

๑. คํ า ว า ธาตุ ใ นกรณี นี้ หมายถึ ง ธรรมธาตุ เช น นิ พ พานก็ เป น ธาตุ อ ย า งหนึ่ ง เป น ต น มิ ไ ด มี ค วาม หมาย อยางในภาษาไทย.


๔๙๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

๒. วั จ นะ! เธอจั ก มี ไ ด ต ามที่ เ ธอหวั ง คื อ มี โ สตธาตุ อั น เป น ทิ พ ย บริ สุ ท ธิ์ ห มดจดล ว งโสตแห ง สามั ญ มนุ ษ ย ได ยิ น เสี ย งทั้ งสองคื อ ทั้ งเสี ย งทิ พ ย แ ละ เสี ย งมนุ ษ ย ทั้ ง ที่ ไกลและที่ ใ กล ดั ง นี้ . ใน ทิ พ พโสตญาณธาตุ นั้ น ๆ นั่ น แหละ เธอก็จักถึงความสามารถทําไดจนเปนสักขีพยาน ในขณะที่อายตนะยังมีอยู ๆ. ๓. วั จ ฉะ ! เธอจั ก มี ได ต ามที่ เธอหวั ง คื อ กํ า หนดรู ใ จแห ง สั ต ว อื่ น บุ คคลอื่ นด วยใจของตน คือกําหนดรูจิตที่มี ราคะวามี ราคะ กําหนดรูจิตที่ ไมมี ราคะ ว า ไม มี ร าคะ มี โ ทสะว า มี โ ทสะ ไม มี โ ทสะว า ไม มี โ ทสะ มี โ มหะว า มี โ มหะ ไม มี โมหะว าไม มี โมหะ หดหู ว าหดหู ฟุ งซ า นว า ฟุ งซ าน ถึ งซึ่ งคุ ณ อั น ใหญ ว า ถึ งซึ่ งคุ ณ อั น ใหญ ไม ถึ งซึ่ งคุ ณ อั น ใหญ ว าไม ถึ งซึ่ งคุ ณ อั น ใหญ มี จิ ต อื่ น ยิ่ งกว าว ามี จิ ต อื่ น ยิ่ ง กว า ไม มี จิ ต อื่ น ยิ่ งกว า ว า ไม มี จิ ต อื่ น ยิ่ ง กว า ตั้ ง มั่ น ว า ตั้ งมั่ น ไม ตั้ งมั่ น ว า ไม ตั้ ง มั่ น หลุ ดพ นว าหลุ ดพ น ไม หลุ ดพ นวาไม หลุ ดพ น ดั งนี้ . ใน เจโตปริ ยญาณธาตุ นั้ น ๆ นั่ น แหละ เธอก็ จั ก ถึ ง ความสามารถทํ า ได จ นเป น สั ก ขี พ ยาน ในขณะที่ อ ายตนะ ยังมีอยู ๆ.

www.buddhadasa.info ๔. วั จ ฉะ ! เธอจั ก มี ได ต ามที่ เธอหวั ง คื อ ระลึ ก ได ถึ ง ขั น ธ ที่ เคยอยู อาศั ย ในภพก อ น มี อ ย างต าง ๆ คื อ ระลึ ก ได ช าติ ห นึ่ งบ า ง สองชาติ สามชาติ สี่ ชาติ ห า ชาติ บ า ง, สิ บ ชาติ ยี่ สิ บ ชาติ สามสิ บ ชาติ สี่ สิ บ ชาติ ห า สิ บ ชาติ บ า ง, ร อ ยชาติ พั น ชาติ แสนชาติ บ า ง, ตลอดหลายสั ง วั ฏ ฏกั ป ป หลายวิ วั ฏ ฏกั ป ป หลายสัง วัฏ ฏกัป ปแ ละวิว ัฏ ฏกัป ปบ า ง, วา เมื ่อ เราอยู ใ นภพโนน มีชื ่อ ยา งนั ้น มีโ คตร มีว รรณ ะ มีอ าหาร อยา งนั ้น ๆ. เสวยสุข และทุก ขเ ชน นั ้น ๆ มีอ ายุ ส ุด ล ง เท า นั ้น ; ค รั ้น จุต ิจ า ก ภ พ นั ้น แ ล ว ได เ ก ิด ใน ภ พ โน น ม ีชื ่อ โค ต ร วรรณะ อาหาร อยางนั้น ๆ, ไดเสวยสุขและทุกขเชนนั้น ๆ มีอายุสุดลง


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๔๙๗

เทา นั ้น ; ค รั ้น จุต ิจ าก ภ พ นั ้น ๆ ๆ ๆ แลว ม าเกิด ใน ภ พ นี ้ ดัง นี ้ : ระ ลึก ได ถึ ง ขั น ธ ที่ เคยอยู อ าศั ย ในภพก อ น มี อ ย า งต า ง ๆ พร อ มทั้ ง อาการและอุ ท เทส ด ว ยอาการอย า งนี้ ดั ง นี้ . ใน ปุ พ เพนิ ว าสานุ ส สติ ญ าณธาตุ ๑ นั้ น ๆ นั่ น แหละ เธอก็จักถึงความสามารถทําไดจนเปนสักขีพยาน ในขณะทีอายตนะยังมีอยู ๆ. ๕. วั จ ฉะ ! เธอจั ก มี ไ ด ต ามที่ เ ธอหวั ง คื อ มี จั ก ษุ อั น เป น ทิ พ ย บริ สุ ท ธิ์ ห มดจดล ว งจั ก ษุ ข องสามั ญ มนุ ษ ย เห็ น สั ต ว ทั้ ง หลายจุ ติ อ ยู บั ง เกิ ด อยู , เล วท ราม ป ระณ ีต , มีว รรณ ะดี มีว รรณ ะเลว, มีท ุก ข มีส ุข . รู แ จง ชัด หมู สั ต ว ผู เข าถึ งตามกรรมว า "ผู เจริ ญ ทั้ งหลาย! สั ต ว เหล านี้ ห นอ ประกอบกายทุ จ ริ ต วจี ทุ จ ริ ต มโนทุ จ ริ ต พู ด ติ เตี ย นพระอริ ย เจ า ทั้ ง หลาย เป น มิ จ ฉาทิ ฏ ฐิ ประกอบ การงานด ว ยอํ า นาจมิ จ ฉาทิ ฏ ฐิ , เบื้ อ งหน า แต ก ายแตกตายไป ย อ มพากั น เข า สู อบายทุ ค ติ วิ นิ บ าตนรก. ท า นผู เจริ ญ ทั้ ง หลาย! ส ว นสั ต ว เหล า นี้ ห นอ ประกอบ ก าย สุจ ริต วจีส ุจ ริต ม โน สุจ ริต ไม ต ิเ ตีย น พ ระอ ริย เจา , เป น สัม ม าท ิฏ ฐิ ประกอบการงานด วยอํ านาจสั ม มาทิ ฏ ฐิ , เบื้ อ งหน าแต กายแตกตายไป ย อ มพากั น เข า สู ส ุค ติโ ลกสวรรค," ดัง นี ้; มีจ ัก ษุท ิพ ย บริส ุท ธิ ์ห มดจดลว งจัก ษุส ามัญ มนุ ษ ย เห็ น เหล า สั ต ว ผู จุ ติ อ ยู บั ง เกิ ด อยู เลวประณี ต มี ว รรณะดี วรรณะทราม มีท ุก ข มีส ุข รู ช ัด หมู ส ัต วผู เ ขา ถึง ตามกรรมไดด ัง นี ้. ใน จุต ูป ปาตญาณธาตุ นั้ น ๆ นั่ น แหละ เธอก็ จั ก ถึ ง ความสามารทํ า ได จ นเป น สั ก ขี พ ยาน ในขณ ะที่ อายตนะยังมีอยู ๆ

www.buddhadasa.info

๑. มี คํ าอธิ บ ายเกี่ ยวกั บ ปุ พ เพนิ วาสสานุ สสติ ญ าณธาตุ ที่ ชั ดเจน อยู ในหั วข อที่ ถั ดไปจากหั วข อ นี้ คื อ หัวขอที่ วา "ปุพเพนิวาสานุสสติญาณที่แทจริง".


๔๙๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

๖. วั จ ฉะ ! เธอจั ก ได ต ามที่ เธอหวั ง คื อ กระทํ า ให แ จ ง ได ซึ่ ง เจโตวิ มุ ต ติ ป ญ ญาวิ มุ ต ติ อั น หาอาวสะมิ ได เพราะความสิ้ น ไปแห ง อาสวะทั้ ง หลาย ด ว ยป ญ ญาอั น ยิ่ ง เอง ในทิ ฏ ฐธรรมนี้ เข า ถึ ง แล ว แลอยู ดั ง นี้ . ใน อาสวั ก ขยญาณธาตุ นั้ น ๆ นั่ น แหละ เธอก็ จั ก ถึ งความสามารถทํ าได จ นเป น สั ก ขี พ ยาน ใน ขณะที่อายนตนะยังมีอยู ๆ. - ม. ม. ๑๓/๒๕๗-๒๖๑/๒๖๑-๒๖๖.

ปุพเพนิวาสานุสสติญาณที่แทจริง ( ซึ่งไมเปนสัสสตทิฎฐิ ) ภิ ก ษุ ท.! สมณะหรื อ พราหมณ เหล า ใด เมื่ อ ตามระลึ ก ย อ มตาม ระลึ ก ถึ ง บุ พ เพนิ ว าสมี อ ย า งเป น อเนก ; สมณะหรื อ พราหมณ เหล า นั้ น ทั้ ง หมด ยอมตามระลึกถึงซึ่งอุปาทานขันธทั้งหา หรือขันธใดขันธหนึ่ง แหงอุปาทานขันธ ทั้งหานั้น. หาอยางไรกันเลา ? หาคือ :ภิ ก ษุ ทุ .! เขาเมื่ อ ตามระลึ ก ย อ มตามระลึ ก ถึ ง ซึ่ ง รู ป นั่ น เที ย ว ว า "ในอดีตกาลนานไกล เราเปนผูมีรูปอยางนี้" ดังนี้บาง ;

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! เขาเมื่ อ ตามระลึ ก ย อ มตามระลึ ก ถึ ง ซึ่ ง เวทนา นั่ น เที ย ว วา "ในอดีตกาลนานไกล เราเปนผูมีเวทนาอยางนี้" ดังนี้บาง ;

ภิ ก ษุ ท.! เขาเมื่ อ ตามระลึ ก ย อ มตามระลึ ก ถึ ง ซึ่ ง สั ญ ญา นั่ น เที ย ว วา "ในอดีตกาลนานไกล เราเปนผูมีสัญญาอยางนี้" ดังนี้บาง ; ภิ ก ษุ ท.! เขาเมื่ อ ตามระลึ ก ย อ มตามระลึ ก ถึ ง ซึ่ ง สั ง ขาร นั่ น เที ย ว วา "ในอดีตกาลนานไกล เราเปนผูมีสังขารอยางนี้" ดังนี้บาง ;


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๔๙๙

ภิ ก ษุ ท.! เขาเมื่ อ ตามระลึ ก ย อ มตามระลึ ก ถึ งซึ่ ง วิ ญ ญาณ นั่ น เที ย ว วา "ในอดีตกาลนานไกล เราเปนผูมีวิญญาณอยางนี้" ดังนี้บาง. ภิก ษุ ท.! ทํ า ไมเขาจึง กลา วกัน วา รูป ? ภิก ษุ ท.! ธรรมชาติ นั้ น จน ย อ มสลาย (รุ ปฺ ป ติ ) เหตุ นั้ น จึ ง เรี ย กว า รู ป . สลายเพราะอะไร ? สลาย เพราะความเย็ น บ า ง เพราะความร อ นบ า ง เพราะความหิ ว บ า ง เพราะความ ระหายบ า ง เพราะการสั ม ผั ส กั บ เหลื อ บ ยุ ง ลม แดด และสั ต ว เลื้ อ ยคลานบ า ง. ภิกษุ ท.! ธรรมชาตินั้น ยอมสลาย เหตุนั้นจึงเรียกวา รูป. ภิ ก ษุ ท.! ทํ า ไมเขาจึ ง กล า วกั น ว า เวทนา ? ภิ ก ษุ ท.! ธรรมชาติ นั ้น อัน บุค คลรู ส ึก ได (เวทยติ) เหตุนั ้น จึง เรีย กวา เวท นา. รู ส ึก ซึ ่ง อะไร ? รู ส ึก ซึ ่ง สุข บา ง ซึ ่ง ทุก ขบ า ง ซึ ่ง อ ทุก ข ม สุข บา ง, ภ ิก ษ ุ ท .! ธ รรม ช าตินั ้น อันบุคคลรูสึกได เหตุนั้นจึงเรียกวา เวทนา. ภิ ก ษุ ท.! ทํ า ไมเขาจึ ง กล า วกั น ว า สั ญ ญา ? ภิ ก ษุ ท.! ธรรมชาติ นั้ น ย อ มหมายรู ไ ด พ ร อ ม (สฺ ช านาติ ) เหตุ นั้ น จึ ง เรี ย กว า สั ญ ญา. หมายรู ไ ด พรอ มซึ ่ง อะไร? หมายรู ไ ดพ รอ มซึ ่ง สีเ ขีย วบา ง ซึ ่ง สีเ หลือ งบา ง ซึ ่ง สีแ ดงบา ง ซึ ่ ง ส ี ข า ว บ  า ง ภ ิ ก ษ ุ ท ! ธ ร ร ม ช า ต ิ นั ้ น ย  อ ม ห ม า ย รู  ไ ด  พ ร อ ม เห ต ุ นั ้ น จึ ง เรียกวา สัญญา.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! ทํ า ไมเขาจึ ง กล า วกั น ว า สั ง ขาร ? ภิ ก ษุ ท.! ธรรมชาติ นั ้น ยอ ม ป รุง แ ต ง (อ ภ ิส งฺข โรน ฺต ิ) ให เ ป น ข อ งป รุง แ ต ง เห ต ุนั ้น จึง เรีย ก วา สังขาร. ปรุงแตงอะไรใหเปนของปรุงแตง ? ปรุงแตงรูปใหเปนของปรุงแตง


๕๐๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

โดยความเป น รู ป ปรุ ง แต ง เวทนาให เป น ของปรุ ง แต ง โดยความเป น เวทนา ปรุ ง แต ง สั ญ ญาให เป น ของปรุ งแต งโดยความเป น สั ญ ญา ปรุ งแต งสั งขารให เป น ของปรุ งแต ง โดยความเป น สั งขาร ปรุ งแต งวิ ญ ญาณให เป น ของปรุ งแต งโดยความเป น วิ ญ ญาณ. ภิ กษุ ท .! ธรรม ชาติ นั้ น ย อ ม ป รุ ง แต งให เป น ขอ งป รุ ง แต งเห ตุ นั้ น จึ ง เรี ย กว า สังขาร. ภิ ก ษุ ท.! ทํ า ไมเขาจึ ง กล า วกั น ว า วิ ญ ญาณ ? ภิ ก ษุ ท.! ธรรมชาติ นั ้น ยอ ม รู แ จง (วิช าน าติ) เห ตุนั ้น จึง เรีย ก วา วิญ ญ าณ . รู แ จง ซึ ่ง อ ะ ไร ? รู แ จ ง ซึ่ ง ความเปรี้ ย วบ า ง ซึ่ ง ความขมบ า ง ซึ่ ง ความเผ็ ด ร อ นบ า ง ซึ่ ง ความหวาน บ า ง ซึ่ ง ความขื่ น บ า ง ซึ่ ง ความไม ขื่ น บ า ง ซึ่ ง ความเค็ ม บ า ง ซึ่ ง ความไม เค็ ม บ า ง. ภิกษุ ท.! ธรรมชาตินั้น ยอมรูแจง เหตุนั้นจึงเรียกวา วิญญาณ. ภิ ก ษุ ท.! ในขั น ธ ทั้ ง ห า นั้ น อริ ย สาวกผู มี ก ารสดั บ ย อ มพิ จารณ า เห็ น โดยประจั ก ษ ชั ด ดั ง นี้ ว า "ในกาลนี้ เราถู ก รู ป เคี้ ย วกิ น อยู , แม ในอดี ต กาล นานไกล เราก็ ถู ก รู ป เคี้ ย วกิ น แล ว เหมื อ นกั บ ที่ ถู ก รู ป อั น เป น ป จ จุ บั น เคี้ ย วกิ น อยู ในกาลนี้ ฉั น ใดก็ ฉั น นั้ น . ถ า เราเพลิ ด เพลิ น รู ป ในอนาคต, แม ใ นอนาคตนาน ไกล เราก็ จ ะถู ก รู ป เคี้ ย วกิ น เหมื อ นกั บ ที่ เราถู ก รู ป อั น เป น ป จ จุ บั น เคี้ ย วกิ น อยู ใ น ก า ล นี ้ ฉัน ใด ก็ฉ ัน นั ้น ". อ ริย ส า ว ก นั ้น พิจ า รณ า เห็น ดัง นี ้แ ลว ยอ ม เปน ผู ไม เพ งต อ รูป อั น เป น อดี ต ไม เพลิ ด เพลิ น รูป อนาคต ย อ มเป น ผู ป ฏิ บั ติ เพื่ อ เบื่ อ หนาย คลายกําหนัด ดับไมเหลือ แหงรูปอันเปนปจจุบัน .

www.buddhadasa.info ( ในกรณี แ ห ง เวทนา สั ญ ญา สั ง ขาร และ วิ ญ ญาณ ก็ มี ข อ ความที่ ต รั ส ไว อ ย า ง เดียวกันกับในกรณีแหงรูปนี้ทุกประการ ตางกันแตชื่อขันธเทานั้น แลวตรัสตอไป วา:- )


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๐๑

ภิ ก ษุ ท.! เธอจะสํ าคั ญ ความสํ าคั ญ ข อ นี้ ว าอย างไร : รู ป เที่ ย ง หรื อ ไม เที่ ย ง ? "ไม เที่ ย ง พระเจ า ข า !" สิ่ ง ใดที่ ไม เที่ ย ง สิ่ ง นั้ น เป น ทุ ก ข หรื อ เป น สุ ข เล า ? "เป น ทุ ก ข พระเจ า ข า !" สิ่ ง ใดไม เ ที่ ย ง เป น ทุ ก ข มี ค วามแปรปรวนเป น ธรรมดา ควรหรือ หนอที ่จ ะตามเห็น สิ ่ง นั ้น วา "นั ่น ของเรา นั ่น เปน เรา นั ่น เปน อัต ตา ของเรา" ดังนี้. "ไมควรเห็นอยางนั้น พระเจาขา !" ( ในกรณี แห ง เวทนา สั ญ ญ า สั ง ขาร และ วิ ญ ญ าณ ก็ ไ ด ต รั ส ต รัส ถ าม แล ะภิก ษุท ูล ต อ บ อ ยา งเดีย วกัน กับ ใน ก รณ ีแ หง รูป ทุก ป ระก าร ตางแตชื่อขันธเทานั้น แลวตรัสตอไปวา :-) ภิ ก ษุ ท .! เพ ราะเห ตุ นั้ น ใน เรื่ อ งนี้ รู ป อ ย างใด อ ย างห นึ่ ง ทั้ งที่ เป น อดี ต อนาคตและป จ จุ บั น มี ใ นภายในหรื อ ภายนอกก็ ต าม หยาบหรื อ ละเอี ย ด ก็ ต าม เลวหรื อ ประณี ตก็ ต าม มี ใ นที่ ไ กลหรื อ ในที่ ใ กล ก็ ต าม รู ป ทั้ ง หมดนั้ น บุคคลควรเห็นดวยปญญาโดยชอบ ตามที่เปนจริงอยางนี้ วา "นั่นไมใชของเรา นั่นไมใชเป นเรา นั่นไมใชอัตตาของเรา" ดังนี้. ( ในกรณี แหง เวทนา สัญ ญา สังขาร

www.buddhadasa.info และวิญญาณ ก็มีขอความที่ตรัสอยางเดียวกับในกรณีแหงรูป แลวตรัสตอไปวา :-)

ภิ ก ษุ ท.! อริ ย สาวกนี้ เรากล า วว า เธอย อ มยุ บ - ย อ มไม ก อ ; ยอมขวางทิ้ง - ยอมไมถือเอา; ยอมทําใหกระจัดกระจาย - ยอมไมทําใหเปน กอง ; ยอมทําใหมอด - ยอมไมทําใหโพลง. อริย สาวกนั ้น ยอ มยุบ ยอ มไมก อ ซึ ่ง อะไร ? เธอยอ มยุบ ยอ ม ไมกอ ซึ่งรูป ซึ่งเวทนาซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ. อริ ย สาวกนั้ น ย อ มขว า งทิ้ ง ย อ มไม ถื อ เอา ซึ่ ง อะไร ? เธอย อ ม ขวางทิ้ง ยอมไมถือเอาซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ.


๕๐๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

อริยสาวกนั้ น ย อ มทํ า ให ก ระจั ด กระจาย ย อ ไม ทํ าให เป น กอง ซึ่ ง อะไร? เธอยอ มทํ า ใหก ระจัด กระจาย ยอ มไมทํ า ใหเ ปน กอง ซึ ่ง รูป ซึ ่ง เวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ. อริ ย สาวกนั้ น ย อ มทํ า ให ม อด ย อ มไม ทํ า ให ลุ ก โพลง ซึ่ ง อะไร ? เธอย อ มทํ า ให ม อด ย อ มไม ทํ า ให ลุ ก โพลง ซึ่ งรู ป ซึ่ ง เวทนา ซึ่ ง สั ญ ญา ซึ่ งสั ง ขาร ซึ่งวิญญาณ. ภิ กษุ ท.! อริยสาวกผู มี การสดั บ เมื่ อเห็ นอยู อย างนี้ ย อมเบื่ อหน าย แมในรูป แมในเวทนา แมในสัญญา แมในสังขาร แมในวิญญาณ. เมื่อเบื่อ หนา ย ยอ มคลายกํา หนัด , เพราะความคลายกํ า หนัด ยอ มหลุด พน , เมื ่อ หลุดพนแลว ยอมมีญาณหยั่งรูวาหลุดพนแลว. อริยสาวกนั้น ยอมทราบชัด วา "ชาติสิ้นแลว พรหมจรรยไดอยูจบแลว กิจที่ควรทําไดทําเสร็จแลว กิจอื่น ที่จะตองทําเพื่อความหลุดพนอยางนี้ มิไดมีอีก" ดังนี้. ภิก ษุ ท.! ภิก ษุนี้ เราเรีย กวา ไมกอ อยู ไมยุบ อยู แตเปน อัน วา ยุบ แลว ดํ า รงอยู ; ไมข วา งทิ ้ง อยู  ไมถ ือ เอาอยู แตเปน อัน วา ขวา งทิ ้ง แลว ดํา รงอยู; ไมทํา ใหก ระจัด กระจายอยู ไมทํา ใหเ ปน กองอยู แตเ ปน อัน วา ทําใหกระจัดกระจายแลว ดํารงอยู; ไมทําใหมอดอยู ไมทําใหโพลงอยู แต เปนอันวาทําใหมอดแลว ดํารงอยู.

www.buddhadasa.info ภิกษุ นั้น ไม กอ อยู ไม ยุบ อยู แต เป น อั น วายุบ ซึ่งอะไรแล ว ดํารง อยู  ? เธอไมก อ อยู  ไมย ุบ อยู  แตเ ปน อัน วา ยุบ ซึ ่ง รูป ซึ ่ง เวทนา ซึ ่ง สัญ ญ า ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ แลว ดํารงอยู.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๐๓

ภิ กษุ นั้ น ไม ข ว างทิ้ งอยู ไม ถื อ เอาอยู แต เป น อั น ว าขว างทิ้ งซึ่ งอะไร แลว ดํ า รงอยู  ? เธอไมข วา งทิ ้ง อยู  ไมถ ือ เอาอยู  แตเ ปน อัน วา ขวา งทิ ้ง ซึ ่ง รูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณแลว ดํารงอยู. ภิ ก ษุ นั้ น ไม ทํ า ให ก ระจั ด กระจายอยู ไม ทํ า ให เป น กองอยู แต เป น อั น ว า ทํ าให ก ระจั ด กระจายซึ่ งอะไรแล ว ดํ า รงอยู ? เธอไม ทํ า ให ก ระจั ด กระจาย อยู  ไมทํ า ใหเ ปน กองอยู  แตเ ปน อัน วา ทํ า ใหก ระจัด กระจายซึ ่ง รูป ซึ ่ง เวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ แลว ดํารงอยู. ภิ กษุ นั้ น ไม ทํ าให มอดอยู ไม ทํ าให โพลงอยู แต เป นอั นวาทํ าให มอด ซึ ่ง อะไรแลว ดํ า รงอยู ? เธอไมทํ า ใหม อดอยู  ไมทํ า ใหโ พลงอยู  แตเ ปน อัน วา ทําใหมอดซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ แลว ดํารงอยู. ภิ ก ษุ ท .! เท วด าทั้ งห ล าย พ ร อ ม ทั้ งอิ น ท ร พ รห ม แ ล ะ ป ช าบ ดี ยอมนมัสการภิกษุผูมีจิตหลุดพนแลวอยางนี้ มาจากที่ไกลเทียว กลาววา :-

www.buddhadasa.info "ข า แต ท า นบุ รุ ษ อาชาไนย ! ข า แต ท า นบุ รุ ษ ผู สู ง สุ ด ! ข า พเจ า ขอนมั ส การท า น เพราะข า พเจ า ไม อ าจจะทราบสิ่ ง ซึ่ งท า น อาศัยแลวเพง ของทาน" ดังนี้.

- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๐๕-๑๑๐/๑๕๘-๑๖๔. [ขอให ผู ศึ ก ษาสั ง เกตให เ ห็ น ว า ปุ พ เพนิ ว าสานุ ส สติ ญ าณ ตามนั ย นี้ ไม ขั ด ต อ หลั ก มหาปเทสแห ง มหาปริ นิ พ พานสู ต ร (สุ ตฺ เต โอสาเรตพฺ พํ วิ น เย สนฺ ท สฺ เสตพฺ พํ ), และไม มี ลั ก ษณ ะ แห ง สั ส สตทิ ฏ ฐิ ดั ง ที่ ก ล า วไว ใ นนิ ท เทสแห ง วิ ช ชาสามทั่ ว ไป ๆ ไป. ขอให นั ก ศึ ก ษาโปรดพิ จ ารณาดู เปนพิเศษดวย ].


๕๐๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

อริยวิโมกข คือ อมตธรรม "ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! อริ ยวิ โมกข (ความพ นพิ เศษอั นประเสริ ฐ) เป น อยางไรเลา ?" อานนท ! อริย สาวกในกรณ ีนี ้ ยอ มพิจ ารณ าเปน โดยประจัก ษ ดังนี้วา :๑. กามทั้ งหลาย ที่ เป นไป ในภพป จจุ บั นนี้ เหล าใดด วย, กามทั้ งหลาย ที่เปนไปในภพเบื้องหนา เหลาใดดวย ; ๒. กามสั ญ ญา ที่ เป นไป ในภพป จจุ บั นนี้ เหล าใดด วย, กามสั ญ ญา ที่เปนไปในภพเบื้องหนา เหลาใดดวย ; ๓. รูปทั้ งหลาย ที่ เป นไป ในภพป จจุ บั นนี้ เหลาใดด วย, รูปทั้ งหลาย ที่เปนไปในภพเบื้องหนา เหลาใดดวย ; ๔. รูปสั ญ ญาทั้ งหลาย ที่ เป นไป ในภพป จจุ บั นนี้ เหล าใดด วย, รูป ทั้งหลายที่เปนไปในภพเบื้องหนา เหลาใดดวย ; ๕. อาเนญชสัญญา เหลาใดดวย ; ๖. อากิญจัญญายตนสัญญา เหลาใดดวย ; ๗. เนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา เหลาใดดวย. (ธรรมทั้ ง หมดเจ็ ด หมู ) นั้ น (ล ว นแต ) เป น สั ก กายะ. สั ก กายะมี ประมาณเทาใด, อมตธรรมนั้น คือวิโมกขแหงจิต เพราะความไมยึดมั่นซึ่ง สักกายะมีประมาณเทานั้น.

www.buddhadasa.info อานนท ! ด วยอาการอย างนี้ แล เป นอั นวา อาเนญชสั ป ปายปฏิ ป ทา เราแสดงแลว, อากิญจัญญายตนสัปปายปฏิปทา เราแสดงแลว, เนวสัญญานาสัญญายตนสัปปายปฏิปทา เราแสดงแลว, การอาศัยแลว ๆ ซึ่งสัปปายปฏิปทา (ตามลํ า ดั บ ๆ) แล ว ข า มโอฆะเสี ย ได เราก็ แ สดงแล ว , นั่ น แหละคื อ อริ ย วิโมกข.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๐๕

อานนท ! กิ จ อั น ใด ที่ ศ าสดาผู เ อ็ น ดู แสวงหาประโยชน เ กื้ อ กู ล อาศัย ความเอ็น ดูแ ลว จะพึง ทํ า แกส าวกทั ้ง หาย, กิจ อัน นั ้น เราไดทํ า แลว แก พ ว ก เธ อ ทั ้ ง ห ล า ย . อ า น น ท ! นั ่ น โ ค น ไ ม , นั ่ น เรื อ น ว า . อ า น น ท ! พวกเธอทั้ ง หลายจงเพี ย รเผากิ เลส, อย า ได ป ระมาท. พวกเธอทั้ ง หลาย อย า ได เปน ผู ที ่ต อ งรอ นใจ ในภายหลัง เลย. นี ่แ หละ เปน วาจาเครื ่อ งพร่ํ า สอนแก พวกเธอทั้งหลายของเรา. - อุปริ. ม. ๑๔/๗๙/๙๑-๙๒.

บริษัทเลิศเพราะสนใจโลกุตตระสุญญตา (ทางแหงนิโรธ) ภ ิ ก ษ ุ ท .! บ ริ ษ ั ท ส อ ง จํ า พ ว ก เ ห ล  า นี ้ ม ี อ ยู  , ส อ ง จํ า พ ว ก เหล า ไหนเล า ? สองจํ า พวก คื อ อุ ก กาจิ ต วิ นี ต าปริ ส า (บริ ษั ท อาศั ย ความเชื่ อ จาก บุ ค คลภายนอกเป น เครื่ อ งนํ า ไป) โนปฏิ ปุ จ ฉาวิ นี ต า (ไม อ าศั ย การสอบสวนทบทวนกั น เอา เองเป น เครื่ อ งนํ า ไป) นี้ อ ย า งหนึ่ ง , และ ปฏิ ปุ จ ฉาวิ นี ต าปริ ส า (บริ ษั ท อาศั ย การสอบ สวนทบทวนกั นเอาเองเป น เครื่อ งนํ าไป) โนอุ ก กาจิ ต วิ นี ต า (ไม อาศั ยความเชื่ อจากบุ คคลภาย นอกเปนเครื่องนําไป) นี้อีกอยางหนึ่ง.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! บริษั ท ชื่ อ อุ ก กาจิต วินี ต าปริส าโนปฏิ ปุ จ ฉาวินี ต า เป น อ ย า งไรเล า ? ภ ิก ษ ุ ท .! ใน ก รณ ีนี ้ค ือ ภ ิก ษ ุทั ้ง ห ล าย ใน บ ริษ ัท ใด , เมื ่อ สุต ตัน ตะทั ้ง หลาย ตถาคตภาสิต า-อัน เปน ตถาคตภาษิต คมฺภ ีร า-อัน ลึก ซึ ้ง คมฺ ภี ร ตฺ ถ า-มี อ รรถอั น ลึ ก ซึ้ ง โลกุ ตฺ ต รา-เป น โลกุ ต ตระ สุ ฺ ตป ฏิ สํ ยุ ตฺ ต าประกอบด ว ยเรื่ อ งสุ ญ ญตา อั น บุ ค คลนํ า มากล า วอยู , ก็ ไม ฟ ง ด ว ยดี ไม เงี่ ย หู ฟ ง ไมเขาไปตั้งจิตเพื่อจะรูทั่วถึง และไมสําคัญวา เปนสิ่งที่ตนควรศึกษาเลาเรียน.


๕๐๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

สว นสุต ตัน ตะเหลา ใด ที ่ก วีแ ตง ขึ ้น ใหม เปน คํ า รอ ยกรองประเภทกาพยก ลอน มี อั ก ษรสละสลวย มี พ ยั ญ ชนะอั น วิ จิ ต ร เป น เรื่ อ งนอกแนว เป น คํ า กล า วของ สาวก, เมื่ อ มี ผู นํ า สุ ต ตั น ตะเหล า นี้ ม ากล า วอยู พวกเธอย อ มฟ ง ด ว ยดี เงี่ ย หู ฟ ง ตั้ ง จิ ต เพื่ อ จะรู ทั่ ว ถึ ง และสํ า คั ญ ไปว า เป น สิ่ ง ที่ ต นควรศึ ก ษาเล า เรี ย น. พวกเธอ เลา เรีย นธรรมอัน กวีแ ตง ใหมนั ้น แลว ก็ไ มส อบถามซึ ่ง กัน และกัน ไมทํ า ให เป ด เผยแจ ม แจ ง ออกมาว า ข อ นี้ พ ยั ญ ชนะเป น อย างไร อรรถะเป น อย า งไร ดั ง นี้ . เธอเหล า นั้ น เป ด เผยสิ่ งที่ ยั งไม เป ด เผยไม ได ไม ห งายของที่ ค ว่ํ า อยู ให ห งายขึ้ น ได ไมบ รรเทาความสงสัย ในธรรมทั ้ง หลายอัน เปน ที ่ตั ้ง แหง ความสงสัย มีอ ยา ง ตาง ๆ ได. ภิกษุ ท.! นี้เราเรียกวา อุกกาจิตวินีตาปริสาโนปฏิปุจฉาวินีตา. ภิกษุ ท.! บริษั ท ชื่ อ ปฏิ ปุ จ ฉาวินี ต าปริส าโนอุ ก กาจิต วินี ต า เป น อ ยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท.! ในกรณีนี ้ค ือ ภิก ษุทั ้ง หลายในบริษ ัท ใด, เมื ่อ สุต ตัน ตะทั ้ง หลาย ที ่ก วีแ ตง ขึ ้น ใหม เปน คํ า รอ ยกรองประเภทกาพยก ลอน มี อั ก ษรสละสลวย มี พ ยั ญ ชนะอั น วิ จิ ต ร เป น เรื่ อ งนอกแนว เป น คํ า กล า วของ สาวก อั น บุ ค คลนํ า มากล า วอยู , ก็ ไ ม ฟ ง ด ว ยดี ไม เงี่ ย หู ฟ ง ไม เข า ไปตั้ ง จิ ต เพื่ อ จะรู ทั ่ว ถึง และไมสํ า คัญ วา เปน สิ ่ง ที ่ต นควรศึก ษาเลา เรีย น. สว น สุต ตัน ตะ เหล า ใด อั น เป น ตถาคตภาษิ ต อั น ลึ ก ซึ้ ง มี อ รรถอั น ลึ ก ซึ้ ง เป น โลกุ ต ตระ ประกอบดวยเรื่องสุญ ญตา, เมื่อมีผูนําสุตตันตะเหลานี้มากลาวอยู พวกเธอ ยอมฟงดวยดี ยอมเงี่ยหูฟง ยอมเขาไปตั้งจิตเพื่อจะรูทั่วถึง และยอมสําคัญวา เปน สิ ่ง ที ่ค วรศึก ษาเลา เรีย น. พวกเธอเลา เรีย นธรรมที ่เ ปน ตถาคตภาษิต นั้นแลว ก็สอบถามซึ่งกันและกัน ทําใหเปดเผยแจมแจงออกมาวา ขอนี้พยัญชนะเปน อยางไร อรรถะเปนอยางไร ดังนี้. เธอเหลานั้น เปดเผยสิ่งที่ยังไมเปดเผยได หงาย ของที่คว่ําอยูใหหงายขึ้นได บรรเทาความสงสัยในธรรมทั้งหลาย

www.buddhadasa.info


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๐๗

อัน เปน ที ่ตั ้ง แ หง ค วาม ส งสัย มีอ ยา งตา ง ๆ ได. ภิก ษุ ท .! นี ้เ ราเรีย ก วา ปฏิปุจฉาวินีตาปริสาโนอุกกาจิตวินีตา. ภ ิก ษ ุ ท .! เ ห ล า นี ้แ ล บ ร ิษ ัท ๒ จํ า พ ว ก นั ้น . ภ ิก ษ ุ ท .! บริษัทที่เลิศในบรรดาบริษัททั้งสองพวกนั้น คือบริษัทปฏิปุจฉาวินีตาปริสาโนอุ ก กาจิ ต วิ นี ต า (บริ ษั ท ที่ อ าศั ย การสอบสวนทบทวนกั น เอาเองเป น เครื่ อ งนํ า ไป : ไมอาศัยความเชื่อจากบุคคลภายนอกเปนเครื่องนําไป) แล. - ทุก. อํ. ๒๐/๙๑/๒๙๒.

นิพพานเพราะไมยึดถือธรรมที่ไดบรรลุ อานนท ! ส ว นภิ ก ษุ บางรู ป ในธรรมวิ นั ย นี้ เป น ผู ป ฏิ บั ติ ( ในปฏิ ปทา อั น เป น ที่ ส บายแก เนวสั ญ ญานาสั ญ ญายตนะ ) อย างนั้ น แล ว ย อ มได เฉพาะ ซึ ่ง อุเ บกขา วา "ถา ไมค วรมี และไมพ ึง มีแ กเ รา, ก็ต อ งไมม ีแ กเ รา ; สิ ่ง ใด มี อ ยู สิ่ ง ใดมี แ ล ว , เราจะละสิ่ ง นั้ น เสี ย " ดั ง นี้ . ภิ ก ษุ (บางรู ป ) นั้ น ย อ มไม เพลิ ด เพลิ น ไม พ ร่ํ า สรรเสริ ญ ไม เมาหมกอยู ซึ่ ง อุ เบกขานั้ น , เมื่ อ ไม เ พลิ ด เพลิ น ไม พ ร่ํ า สรรเสริ ญ ไม เ มาหมกอยู ซึ่ ง อุ เ บกขานั้ น , วิ ญ ญ าณ ของเธอก็ ไ ม เ ป น ธรรมชาติ อ าศั ย ซึ่ ง อุ เ บกขานั้ น ไม มี อุ เ บกขานั้ น เป น อุ ป าทาน. อานนท ! ภิ ก ษุ ผูไมมีอุปาทาน ยอมปรินิพพาน แล.

www.buddhadasa.info - อุปริ. ม. ๑๔/๗๙/๙๑.


๕๐๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

ปรินิพพานในทิฏฐธรรม ดวยการตัดอกุศลมูล ภิ ก ษุ ท .! กุ ศ ล มู ล ๓ อ ย างเห ล านี้ มี อ ยู . ส าม อ ย างเห ล าไห น เล า ? สามอย า งคื อ อโลภะ เป น กุ ศ ลมู ล อโทสะ เป น กุ ศ ลมู ล อโมห ะ เปน กุศลมูล. ภ ิก ษ ุ ท .! แ ม  อ โล ภ ะ นั ้น ก ็เ ป น ก ุศ ล . บ ุค ค ล ผู ไ ม โ ล ภ แ ล ว ประกอบกรรมใดทางกาย ทางวาจา ทางใจ; แม กรรมนั้ น ก็ เป น กุ ศ ล. บุค คล ผู ไ ม โลภ ไม ถู ก ความโลภครอบงํ า มี จิ ต อั น ความโลภไม ก ลุ ม รุ ม แล ว ไม ทํ า ความ ทุ ก ข ใ ห แ ก ผู อื่ น โดยที่ ไ ม ค วรจะมี ด ว ยการฆ า บ า ง ด ว ยการจองจํ า บ า ง ด ว ยการ ให เ สื่ อ มเสี ย บ า ง ด ว ยการติ เ ตี ย นบ า ง ด ว ยการขั บ ไล บ า ง โดยการถื อ ว า เรามี กํ า ลัง เหนือ กวา ดัง นี ้; แม ก รรม นี ้ ก็เ ปน กุศ ล : กุศ ล ธรรม เปน อเนก ที่ เกิ ด จากความไม โ ลภ มี ค วามไม โ ลภเป น เหตุ มี ค วามไม โ ลภเป น สมุ ทั ย มี ค วาม ไมโลภเปนปจจัย เหลานี้ ยอมเกิดขึ้นแกบุคคลนั้น ดวยอาการอยางนี้.

www.buddhadasa.info (ในกรณี แ ห ง อโทสะ และ อโมหะ ก็ ไ ด ต รั ส ไว ด ว ยข อ ความทํ า นองเดี ย วกั น กั บ ใน กรณีแหง อโลภะ อยางที่กลาวไดวาทุกตัวอักษร ผิดกันแตชื่อเทานั้น).

ภ ิก ษ ุ ท .! บ ุค ค ล ช น ิด นี ้นั ้น ค วรถูก เรีย ก วา เป น ก าล ว าท ีบ า ง ภู ต วาที บ า ง อั ต ถวาที บ า ง ธั ม มวาที บ า ง วิ น ยวาที บ า ง. เพราะเหตุ ไรจึ ง ควร ถูก เรีย กอยา งนั ้น ? เพราะเหตุว า บุค คลนี ้ ไมทํ า ความทุก ขใ หแ กผู อื ่น โดยที่ ไม ค วรจะมี ด ว ยการฆ า บ า ง ด ว ยการจองจํ า บ า ง ด ว ยการให เสื่ อ มเสี ย บ า ง ด ว ย การติ เ ตี ย นบ า ง ด ว ยการขั บ ไล บ า ง โดยการถื อ ว า เรามี กํ า ลั ง เหนื อ กว า ดั ง นี้ ; และเมื่อ เขาถูกกลาวหาอยูดวยเรื่องที่เปนจริง ก็ยอมรับไมบิดพลิ้ว ; เมื่อ ถูก


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๐๙

กลาวหาอยูดวยเรื่องไมเปนจริง ก็พยายามที่จะทําใหแจงชัด ออกมาวา นั่นไมตรง นั่ น ไม จ ริ ง อย า งนี้ ๆ. เพราะเหตุ นั้ น บุ ค คลนี้ จึ ง ควรถู ก เรี ย กว า เป น กาลวาที บาง ภูตวาทีบาง อัตถวาทีบาง ธัมมวาทีบาง วินยวาทีบาง. ภิก ษุ ท! อกุศ ลธรรมอัน ลามกซึ ่ง เกิด แตค วามโลภ อัน บุค คลนี้ ละขาดแล ว โดยกระทํ า ให เหมื อ นต น ตาลมี ขั้ ว ยอดอั น ด ว น (ซึ่ งหมายความว ามี การตั ด ความโลภอั น เป น มู ล แห ง อกุ ศ ลธรรมนั้ น ด ว ย) ถึ ง ความไม มี ไ ม เ ป น มี อั น ไม เ กิ ด ขึ้ น ได อี ก ต อ ไปเป น ธรรมดา. เขาย อ มอยู เ ป น สุ ข ไม มี ค วามลํ า บากไม มี ค วามคั บ แค น ความเรา รอ น ใน ทิฏ ฐธรรม นี ้เทีย ว, ยอ ม ปริน ิพ พานในทิฏ ฐธรรม นั ่น เทีย ว (ทิฏ เ วธมฺเ ม ปริน ิพ ฺพ ายติ). (ในกรณีแ หง ความโกรธและความหลง ก็ไ ดต รัส ไวโ ดย ขอความทํานองเดียวกันกับในกรณีแหง ความโลภ ตางกันแตชื่อเทานั้น).

ภิ ก ษุ ท.! เปรี ย บเหมื อ นต น ไม ใ หญ ๆ เช น ต น สาละ ต น ธวะ หรื อ ต น ผั น ทนะก็ ดี ถู ก เครื อ เถามาลุ ว าสามชนิ ด ขึ้ น คลุ ม แล ว รึ ง รั ด แล ว . ลํ า ดั บ นั้ น บุ รุ ษ ถื อ เอาจอบและตะกร า มาแล ว ตั ด เครื อ เถามาลุ ว านั้ น ที่ โคน ครั้ น ตั ด ที่ โคนแล ว ก็ ขุ ด เซาะ ครั้ น ขุ ด เซาะแล ว ก็ รื้ อ ขึ้ น ซึ่ ง รากทั้ ง หลายแม ที่ สุ ด เพี ย งเท า ก า นแฝก. บุ รุ ษ นั้ น ตั ด เครื อ เถามาลุ ว านั้ น เป น ท อ นน อ ยท อ นใหญ ครั้ น ตั ด ดั ง นั้ น แล ว ก็ ผ า ครั้ น ผ า แล ว ก็ ก ระทํ า ให เป น ซี ก ๆ ครั้ น ทํ า ให เป น ซี ก ๆ แล ว ก็ ผึ่ ง ให แ ห ง ในลมและ แดด ครั้ น ผึ่ ง ให แ ห ง แล ว ก็ เ ผาด ว ยไฟ ครั้ น เผาแล ว ก็ ทํ า ให เ ป น ขี้ เ ถ า ครั้ น ทํ า ให เป น ขี้ เถ า แล ว ก็ โ ปรยไปตามลมอั น พั ด จั ด หรื อ ให ล อยไปในกระแสน้ํ า อั น เชี่ ย ว. ภิ กษุ ท .! เค รื อ เถาม าลุ ว าเห ล า นั้ น มี รากอั น ถอนขึ้ น แล ว ถู ก ระทํ าให เป น เหมื อ นต น ตาลมี ขั้ ว ยอดอั น ด ว น ถึ ง ความไม มี ไม มี เป น ไม เกิ ด ขึ้ น ได อี ก ต อ ไปเป น ธรรมดา, ขอนี้ฉันใด ;

www.buddhadasa.info


๕๑๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ ก ษุ ท.! ข อ นี้ ก็ ฉั น นั้ น เหมื อ นกั น : อกุ ศ ลธรรมอั น ลามกซึ่ ง เกิ ด แต ค วามโลภ อั น บุ ค คลนี้ ล ะขาดแล ว กระทํ า ให เหมื อ นต น ตาลมี ขั้ ว ยอดอั น ด ว น ถึ ง ความไม มี ไม เป น มี อั น ไม เกิ ด ขึ้ น ได อี ก ต อ ไปเป น ธรรมดา. เขาย อ มอยู เป น สุ ข ไม มี ค วามลํ า บาก ไม มี ค วามคั บ แค น ความเร า ร อ น ในทิ ฏ ฐธรรมนี้ เที ย ว, ย อ ม ปริน ิพ พานในทิฏ ฐธรรมนั ่น เทีย ว. (ในกรณีแ หง ความโกรธ และความหลง ก็ไ ดต รัส ไวโดยขอความทํานองเดียวกัน อยางที่กลาวไดวาทุกตัวอักษร ตางกันแตชื่อเทานั้น).

ภิกษุ ท.! เหลานี้แล กุศลมูล ๓ อยาง. - ติก. อํ. ๒๐/๒๖๐/๕๐๙.

ปรินิพพานเฉพาะตน ผลแหงการถอนความมั่นหมายในธรรมทั้งปวง โดยความหมายสี่สถาน ภิ กษุ ท.! เราจั กแสดง "ปฏิ ป ทาอั น สมควรแก ก ารเพิ ก ถอนความ มั่ น หมายทั้ ง ปวง" แก พ วกเธอ. พวกเธอจงฟ ง จงทํ า ในใจให ดี เราจั ก กล า ว. ปฏิ ป ทาอั น สมควรแก การเพิ ก ถอนความมั่ น หมายทั้ งปวง เป น อย างไรเล า? ภิ ก ษุ ท.! ภิกษุในกรณีนี้ :-

www.buddhadasa.info ไม มั่ น หมาย ซึ่ ง จั กษุ ไม มั่ นหมาย ในจักษุ ไม มั่ นหมาย โดย ความ เปนจักษุ ไมมั่นหมายจักษุ วาของเรา; ไม มั่ น หมาย ซึ่ ง รู ป ท. ไม มั่ น หมาย ใน รู ป ท.! ไม มั่ น หมาย โดย ความเปนรูป ท. ไมมั่นหมายรูป ท. วาของเรา;


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๑๑

ไม มั่ น หมาย ซึ่ ง จั ก ขุ วิ ญ ญาณ ไม มั่ น หมายในจั ก ขุ วิ ญ ญาณ ไม มั่ น หมาย โดย ความเปนจักขุวิญญาณไมมั่นหมายจักขุวิญญาณ วาของเรา; ไม มั่ น หมาย ซึ่ ง จั ก ขุ สั ม ผั ส ไม มั่ น หมาย ใน จั ก ขุ สั ม ผั ส ไม มั่ น หมาย โดย ความเปนจักขุสัมผัสไมมั่นหมายจักขุสัมผัส วาของเรา; ไม มั่ น หมาย ซึ่ ง เวท น า ไม มั่ น หมายใน เวทนา ไม มั่ น หมาย โด ย ความเป น เวทนาไม มั่ น หมายเวทนา ว า ของเรา ซึ่ ง เป น เวทนาอั น เกิ ด จากจั ก ขุ สัมผัสเปนปจจัย อันเปนสุขก็ตาม เปนทุกขก็ตาม อันเปนอทุกขมสุขก็ตาม. (ในกรณี แห ง หมวด โสตะ มานะ ชิ ว หา กายะ และ มนะ ก็ ไ ด ต รั ส ไว ด ว ยข อ ความทํ า นองเดีย วกัน กับ ขอ ความในกรณ ีแ หง หมวดจัก ษุข า งบนนี ้ ทุก ตัว อัก ษร ตา งกัน แตชื ่อ เทานั้น).

ไม มั่ น หมายซึ่ ง สิ่ ง ทั้ ง ปวง ไม มั่ น หมายในสิ่ ง ทั้ ง ปวง ไม มั่ น หมาย โดยความเปนสิ่งทั้งปวงไมมั่นหมายสิ่งทั้งปวง วาของเรา. ภิก ษุ นั ้น เมื ่อ ไมมั ่น หมายอยู อ ยา งนี ้ ก็ไ มถ ือ สิ ่ง ใด ๆ ในโลก, เมื ่อ ไมถ ือ มั ่น ก็ไ มส ะดุ ง , เมื ่อ ไมส ะดุ ง ก็ป ริน ิพ านเฉพาะตน (ปจฺจ ตฺต ํ ปรินิพ ฺพ ายติ) นั ่น เทีย ว. เธอนั ้น ยอ ม รู ช ัด วา "ชาติสิ ้น แลว พรหมจรรยอ ยู จบแลว กิจ ที่ค วรทํา ไดสํา เร็จ แลว กิจ อื่น ที่จ ะตอ งทํา เพื ่อ ความเปน อยา งนี้ มิไดมีอีก" ดังนี้.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! นี้ แ ล คื อ "ปฏิ ป ทาอั น สมควรแก ก ารเพิ ก ถอนความมั่ น หมายทั้งปวงนั้น". - สฬา. สํ. ๑๘/๒๖/๓๓.


๕๑๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

(ในสู ต รถั ด ไป เมื่ อ ได ต รั ส ข อ ความอย า งเดี ย วกั น กั บ ในสู ต รข า งบนนี้ ค รบทั้ ง หก อ าย ต น ะ แ ลว ซึ ่ง ใน ต อน ทา ยแ หง อาย ต ะห ม วด ห นึ ่ง ๆ นั ้น ได ต รั ส ขอ ค วาม เพิ ่ ม เติม ต อ ไปอีก ดั ง ข อ ความข า งล า งนี้ แ ละได ท รงเรี ย กชื่ อ ปฏิ ป ทานี้ เสี ย ใหม ว า "ปฏิ ป ทาเป น เครื่ อ งสะดวก แกการเพิกถอนเสียซึ่งความมั่นหมายทั้งปวง" :-)

ภิก ษุ ท.! ก็ภ ิก ษุย อ มมั ่น หมาย ซึ ่ง สิ ่ง ใด มั ่น หมาย ใน สิ ่ง ใด มั่ น หมาย โดย ความเป น สิ่ ง ใดมั่ น หมายสิ่ ง ใด ว า ของเรา, สิ่ ง ที่ เขามั่ น หมายนั้ น ยอมเปนโดยประการอื่นจากที่เขามั่นหมายนั้น. สัตวโลกผูของอยูในภพ เพลิดเพลิน อยู ใ นภพนั ่น แหละ จัก เปน ผู ม ีค วามเปน โดยประการอื ่น . (ขอ ความตอ ไปนี้ ไดตรัสหลังจากตรัสขอความในหมวดที่หก คือหมวดมนายตนะจบแลว :-)

ภ ิก ษ ุ ท .! ขัน ธ ธาตุ อ ายต น ะ มีอ ยู ม ีป ระม าณ เทา ใด ; ภ ิก ษุ ยอ ม ไม มั่ น หมายแม ซึ่ งขั น ธ ธาตุ อายตนะ นั้ น ไม มั่ นหมายแม ใน ขัน ธธาตุ อายตนะนั้ น ไม มั่ น หมายแม โดย ความเป น ขั น ธ ธ าตุ อ ายตนะนั้ น ไม มั่ น หมาย ขัน ธธ าตุอ ายตนะนั ้น วา ของเรา. ภิก ษุนั ้น เมื ่อ ไมมั ่น หมายอยู อ ยา งนี ้ ก็ไ ม ถื อ มั่ น สิ่ งใด ๆ ในโลก, เมื่ อ ไม ถื อ มั่ น ก็ ไม ส ะดุ ง, เมื่ อ ไม ส ะดุ งก็ ป รินิ พ พาน เฉพาะตนนั่ น เที ย ว, เธอนั้ น ย อ มรู ชั ด ว า "ชาติ สิ้ น แล ว พรหมจรรย อ ยู จ บแล ว กิ จ ที่ ค วรทํ า ได ทํ า สํ า เร็ จ แล ว กิ จ อื่ น ที่ จ ะต อ งทํ า เพื่ อ ความเป น อย า งนี้ มิ ไ ด มี อี ก " ดังนี้.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! นี้ แ ล คื อ "ปฏิ ป ทาเป น เครื่ อ งสะดวกแก ก ารเพิ กถอน ความมั่นหมายทั้งปวงนั้น. - สฬา. สํ. ๑๘/๒๘/๓๔.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๑๓

(คํ าว า ถอนความมั่ น หมายโดยความหมายสี่ สถาน นั้ น คื อ ๑ .ไม มั่ นหมายถึ งสิ่ งนั้ น ๒. ไมมั ่น ห ม ายใน สิ ่ง นั ้น ๓. ไมมั ่น ห ม ายโด ยเป น สิ ่ง นั ้น ๔. ไมมั ่น ห ม ายวา สิ ่ง นั ้น ของเรา ดังนี้. สํ าหรั บ ปฏิ ป ทาเป น เครื่ อ งสะดวกแก การเพิ ก ถอนความมั่ น หมายถึ งสิ่ งทั้ งปวงนี้ ในสู ต ร ถั ด ไป (๑๘/๒๙/๓๕) ทรงแสดงไว ด ว ยวิ ธี ป ฏิ บั ติ อ ย า งเดี ย วกั น กั บ ที่ ท รงแสดงในอนั ต ตลั ก ขณ สู ต ร อัน เปน สูต รที ่ศ ึก ษ ากัน อ ยู อ ยา งแ พ รห ล าย จึง ไมนํ า ม าแ ป ล ใสไ วใ น ที ่นี ้. โด ย ใจค วาม นั ้น คื อ พระองค ต รั ส เริ่ ม ด ว ยทรงสอบถาม แล ว พระภิ ก ษุ ทู ล ตอบ แล ว ตรั ส ว า อริ ย สาวกเห็ น อย า งนี้ แ ล ว ยอ มเบื ่อ หนา ย คลายกํ า หนัด หลุด พน และเปน อรหัน ตใ นที ่ส ุด ; ซึ ่ง ชื ่อ ธรรมแตล ะอยา ง ๆ ที่ ท รงยกขึ้ น สอบถามนั้ น คื อ อายตนะภายในหก อายตนะภายนอกหก วิ ญ ญาณหก สั ม ผั ส หก และเวทนาหก, รวมเป น ชื่ อ ธรรมที่ ท รงยกขึ้ น ถาม สามสิ บ ; และทรงเรี ย กการปฏิ บั ติ ร ะบบนี้ ว า (ปฏิปทาเปนเครื่องสะดวกแกการเพิกถอนความมั่นหมายถึงสิ่งทั้งปวง").

หยุดถือมั่น - หยุดหวั่นไหว ภิ กษุ ท .! ใน กาล ใด อ วิ ช ชาขอ งภิ กษุ ดั บ ไป วิ ช ชาเกิ ด ขึ้ น แล ว. เพราะอวิ ช ชาหายไป วิ ช ชาเกิ ด ขึ้ น นั้ น แหละ, ภิ ก ษุ นั้ น ย อ มไม ทํ า ความยึ ด มั่ น ในกามใหเ กิด ขึ ้น , ไมทํ า ความยึด มั ่น ดว ยทิฏ ฐิใ หเ กิด ขึ ้น , ไมทํ า ความยึด มั ่น ในศีลและวัตรใหเกิดขึ้น และไมทําความยึดมั่นวาตัวตนใหเกิดขึ้น.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! เมื่ อ ไม ทํ า ความยึ ด มั่ น ทั้ ง หลายให เกิ ด ขึ้ น ย อ มไม ห วั่ น ใจไปตามสิ่ง ใด ๆ, เมื่อ ไมห วั่น ใจ ยอ มดับ สนิท เฉพาะตนโดยแท. ภิก ษุนั้น ยอ มรู ช ัด วา "ชาติสิ ้น แลว , พรหมจรรยอ ยู จ บแลว , กิจ ที ่ต อ งทํ า ไดทํ า สํ า เร็จ แลว, กิจอื่นที่จะตองทําเพื่อการทําที่สุดทุกขเชนนี้ มีไดมีอีกตอไป ; ดังนี้แล.

- มู. ม. ๑๒/๑๓๕/๑๕๘.


๕๑๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

ความไมสะดุงหวาดเสียว เพราะไมมีอุปาทาน ภิ ก ษุ ท.! เราจั ก แสดง .... ความไม ส ะดุ ง หวาดเสี ย วเพราะไม มี อุ ป าทาน แก พ วกเธอ. เธอทั้ ง หลาย จงฟ ง ความข อ นั้ น จงทํ า ในใจให สํ า เร็ จ ประโยชน เราจักกลาวบัดนี้ .... ภิ ก ษุ ท.! ความไม ส ะดุ งหวาดเสี ยวเพราะไม มี อุ ป าทานนั้ น เป น อยางไรเลา ? ภิ ก ษุ ท.! ในกรณี นี้ อริ ย สาวกผู มี ก ารสดั บ ได เ ห็ น พระอริ ย เจ า เป น ผู ฉ ลาดในธรรมของพระอริ ย เจ า ได รั บ การแนะนํ า ในธรรมของพระอริ ย เจ า , ได เห็ น สั ต บุ รุ ษ เป น ผู ฉ ลาดในธรรมของสั ต บุ รุ ษ ได รั บ การแนะนํ า ในธรรมของ สัตบุรุษ, ยอม ไมต ามเห็ นอยูเป น ประจําซึ่งรูป โดยความเป น ตน บาง ยอมไม ตามเห็ น อยู เป น ประจํ า ซึ่ งตนว า มี รู ป บ า ง ย อ มไม ต ามเห็ น อยู เป น ประจํ า ซึ่ ง รูป ใน ตนบา ง ยอ มไมต ามเห็น อยู เ ปน ประจํ า ซึ ่ง ตนในรูป บา ง; แมร ูป นั ้น แปรปรวน ไป เปน ความมีโ ดยประการอื ่น แกอ ริย สาวกนั ้น วิญ ญาณของอริย สาวกนั ้น ก็ ไม เป น วิ ญ ญาณที่ เปลี่ ย นแปลงไปตามความแปรปรวนของรูป เพราะความแปรปรวนของรู ป ได มี โ ดยประการอื่ น ; (เมื่ อ เป น เช น นั้ น ) ความเกิ ด ขึ้ น แห ง ธรรม เป น เครื่ อ งสะดุ ง หวาดเสี ย ว ซึ่ ง เกิ ด มาจากควาเปลี่ ย นแปลงไปตามความแปรปรวนของรูป ย อ มไม ค รอบงํ าจิ ต ของอริย สาวกนั้ น ตั้ งอยู , เพราะความที่ จิ ต ไม ถู ก ครอบงําด วยธรรมเป น เครื่องสะดุ งหวาดเสี ย ว อริยสาวกนั้ น ก็ ไม เป น ผู ห วาดสะดุ ง ไมคับแคน ไมพะวาพะวัง และ ไมสะดุงหวาดเสียวอยูเพราะไมมีอุปาทาน.

www.buddhadasa.info (ในกรณี ที่ เกี่ ย วกั บ การตามเห็ น เวทนา สั ญ ญา สั งขาร และวิญ ญาณ ก็ ได ต รัส ไวดวยขอความทํานองเดียวกันกับในกรณีแหง รูป ขางบนนี้ทุกประการ ผิดกันแตชื่อขันธเทานั้น)


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๑๕

ภิ ก ษุ ท.! ความไม ส ะดุ ง หวาดเสี ย วเพราะไม มี อุ ป าทาน ย อ มมี ไ ด ดวยอาการอยางนี้ แล. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๐, ๒๒-๒๓/๓๑,๓๓.

ความไมสะดุงหวาดเสียวเพราะไมมีอุปาทาน (อีกนัยหนึ่ง) ภิ ก ษุ ท.! เราจั ก แสดง .... ความไม ส ะดุ ง หวาดเสี ย วเพราะไม มี อุ ป าทาน แก พ วกเธอ. เธอทั้ ง หลายจงฟ ง ความข อ นั้ น จงทํ า ในใจให สํ า เร็ จ ประโยชน เราจักกลาวบัดนี้. .... ภิ ก ษุ ท.! ความไม ส ะดุ ง หวาดเสี ย วเพราะไม มี อุ ป าทานนั้ น เป น อยางไรเลา ? ภิ ก ษุ ท.! ในกรณี นี้ อริ ย สาวกผู มี ก ารสดั บ ย อ ม ตามเห็ น อยู เ ป น ประจํา ซึ่ง รูป วา "นั ่น ไมใ ชข องเรา นั่น ไมใ ชเ รา นั่น ไมใ ชอ ัต ตาของเรา" ดั ง นี้ . แม รู ป นั้ น ย อ ม แป รป รวนย อ มเป นโดยประการอื่ น แก อ ริ ย สาวกนั้ น , เพราะความแปรปรวนเป น โดยประการอื่ น แห ง รู ป โสกะปริ เทวะ-ทุ ก ขะโทมนั ส สะ อุ ป ายาสทั้ ง หลาย ก็ ย อ มไม เ กิ ด ขึ้ น แก อ ริ ย สาวกนั้ น . (ในกรณี แ ห ง เวทนา สั ญ ญ า

www.buddhadasa.info สังขาร และวิญญาณ ก็มีขอความที่ตรัสเหมือนกับในกรณีแหง รูป).

ภิ ก ษุ ท.! ความไม ส ะดุ ง หวาดเสี ย วเพราะไม มี อุ ป าทาน ย อ มมี ไ ด ดวยอาการอยางนี้ แล. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๔/๓๔, ๓๕.


๕๑๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

ลําดับแหงโลกิยสุข (ซึ่งยังไมถึงนิพพาน) อานนท ! กามคุ ณ มี ๕ อย า ง, ห า อย า งเหล า ไหนเล า ? ห า อย า ง คือ รูป ทั ้ง หลายที ่เ ห็น ไดท างตาก็ด ี, เสีย งทั ้ง หลายที ่ฟ ง ไดท างหูก ็ด ี, กลิ ่น ทั้ ง หลายที่ ด มรู ไ ด ท างจมู ก ก็ ดี , รสทั้ ง หลายที่ ลิ้ ม ได ท างลิ้ น ก็ ดี , และโผฏฐั พ พะที่ สัม ผัส รู ท างผิว กายก็ด ี, อัน เปน สิ ่ง ที ่น า ปรารถนา นา รัก ใคร นา พอใจ ที ่ย วน ตายวนใจให รั ก เป น ที่ เข าไปตั้ งอาศั ย อยู แห งความใคร เป น ที่ ตั้ งแห งความกํ าหนั ด ยอมใจมีอยู. อานนท! เหลานี้แล คือ กามคุณ ๕ อยาง. อาน น ท ! สุ ข โส ม นั ส ใด อ าศั ยกาม คุ ณ ห าเห ล านี้ บั งเกิ ด ขึ้ น ; อานนท ! สุข โสมนัสนั้นเราเรียกวา "กามสุข". อานนท ! ชนเหลา ใดก็ต าม จะพึง กลา วอยา งนี ้ว า "สัต วทั ้ง หลาย ที่ ได เสวยเฉพาะซึ่ งกามสุ ข ย อมอยู ในฐานะได บรมสั นติ บรมสุ ข บรมโสมนั ส" ดั งนี้ . อานนท ! เรา ตถาคตไม ย อมรั บ รองคํ า กล า วเช น นั้ น ของชนเหล า นั้ น . ข อ นี้ เพราะเหตุไ ร ? อานนท! เพราะเหตุว า สุข อยา งอื ่น ที ่เ หนือ กวา ประณีต กวา กวากามสุขนั้นยังมีอยู.

www.buddhadasa.info อานนท ! สุ ข อย า งอื่ น ที่ เหนื อ กว า ประณี ต กว า กว า กามสุ ข นั้ น เปน อยา งไรเลา ? อานนท! ภิก ษุใ นธรรมวิน ัย นี ้ เพราะสงัด จากกาม และ สงัด จากอกุ ศ ลธรรมทั้ งหลาย จึ ง บรรลุ ฌ านที่ ห นึ่ ง ซึ่ งมี วิ ต กวิ จ าร มี ป ติ แ ละสุ ข อันเกิดแตวิเวกแลวแลอยู. อานนท ! นี้แลคือความสุขชนิดที่เปนอยางอื่น


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๑๗

ที ่เ หนือ กวา ประณ ีต กวา กวา กามสุข นั ้น . อานนท ! แตแ มก ระนั ้น ถา ชน เหล าใดจะพึ งกล าวอย างนี้ ว า "สั ตว ทั้ งหลายที่ ได เสวยเฉพาะซึ่ งสุ ขอั นเกิ ดแต ปฐมฌาน ย อ มอยู ใ นฐานะได บ รมสั น ติ บรมสุ ข บรมโสมนั ส " ดั ง นี้ . อานนท ! เราไม ย อม รับ รอ งคํ า ก ลา วเชน นั ้น ขอ งชน เห ลา นั ้น . ขอ นี ้ เพ ราะเห ตุไ ร ? อ าน น ท ! เพราะเหตุ ว า สุ ข อย า งอื่ น ที่ เหนื อ กว า ประณี ตกว า กว า ความสุ ข อั น เกิ ด แต ปฐมฌานนั้น ยังมีอยู. อานนท ! สุขอยางอื่น ที่เหนือกวา ประณี ตกวา กวาความสุขอัน เกิด แตป ฐม ฌ าน นั ้น เปน อยา งไรเลา ? อานนท ! ภิก ษุใ นธรรมวิน ัย นี้ เพราะวิต กวิจ ารรํ า งับ จึง บรรลุถ ึง ฌานที ่ส อง อัน เปน เครื ่อ งผอ งใสในภายใน ทํ าให เกิ ด สมาธิ มี อ ารมณ อั น เดี ยวแห งใจ ไม มี วิ ตกวิ จาร มี แต ป ติ และสุ ขอั น เกิ ดแต สมาธิแ ลว แลอยู . อานนท ! นี ่แ ลคือ ความสุข ชนิด ที ่เ ปน อยา งอื ่น ที ่เ หนือ กว า ประณี ตกว า กว า ความสุ ข อั น เกิ ด แต ป ฐมฌ านนั้ น . อานนท ! แต แ ม กระนั้ นถ าชนเหล าใดจะพึ งกล าวอย างนี้ ว า "สั ตว ทั้ งหลายที่ ได เสวยเฉพาะซึ่ งสุ ขอั นเกิ ด แต ทุ ติ ย ฌาน ย อ มอยู ในฐานะได บ รมสั น ติ บรมสุ ข บรมโสมนั ส " ดั งนี้ . อานนท ! เราไม ยอม รั บ รองคํ า กล า วเช น นั้ น ของชน เห ล า นั้ น . ข อ นี้ เพ ราะเห ตุ ไ ร ? อานนท ! เพราะเหตุว า สุข อยา งอื ่น ที ่เ หนือ กวา ประณีต กวา กวา ความสุข อันเกิดแตทุติฌานนั้น ยังมีอยู.

www.buddhadasa.info อานนท ! สุขอยางอื่น ที่เหนือกวา ประณี ตกวา กวาความสุขอัน เกิด แตท ุต ิย ฌ าน นั ้น เปน อยา งไรเลา ? อานนท ! ภิก ษุใ นธรรมวิน ัย นี้ เพราะความจางคลายไปแห งป ติ เป น ผู อ ยู อุ เบกขา มี สิ ต สั ม ปชั ญ ญะ เสวยสุ ข อยู ดวยนามกาย จึง บรรลุฌานที่สาม เปนฌานที่พระอริยเจาทั้งหลายกลาววาผูบรรลุ


๕๑๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

ฌ านนี ้ เปน ผู อ ยู อ ุเ บกขามีส ติอ ยู เ ปน ปรกติส ุข ดัง นี ้ แลว แลอยู . อานนท ! นี่ แ ลคื อ ความสุ ข ชนิ ด ที่ เ ป น อย า งอื่ น ที่ เหนื อ กว า ประณี ต กว า กว า ความสุ ข อั น เกิด แตท ุต ิย ฌ านนั ้น . อานนท ! แตแ มก ระนั ้น ถา ชนเหลา ใดจะพึง กลา วอยา ง นี้ วา "สั ตวทั้ งหลาย ที่ ได เสวยเฉพาะซึ่ งสุ ขอั นเกิ ดแต ตติ ยฌาน ย อยอยู ในฐานะได บรมสั นติ บ รม สุข บ รม โส ม นัส " ดัง นี ้. อานนท ! เราไมย อม รับ รอ งคํ า กลา วเชน นั ้น ข อ ง ช น เห ล  า นั ้ น . ข อ นี ้ เพ ร า ะ เห ต ุ ไ ร ? อ า น น ท  ! เพ ร า ะ เห ต ุ ว  า สุ ข อยางอื่น ที่เหนือกวา ประณีตกวากวาความสุขอันเกิดแตตติยฌานนั้น ยังมีอยู. อานนท ! สุ ข อย า งอื่ น ที่ เหนื อ กว า ประณี ต กว า กว า ความสุ ข อั น เกิด แ ต ต ติย ฌ าน นั ้น เปน อ ยา งไรเลา ? อ าน น ท! ภิก ษุใ น ธรรม วิน ัย นี้ เพ ราะละสุ ข เสี ย ได และเพ ราะละทุ กข เ สี ย ได , เพ ราะความ ดั บ หายไป แห ง โสมนัส และโทมนัส ในกาลกอ น, จึง บรรลุฌ านที ่สี ่ อัน ไมม ีท ุก ขไ มม ีส ุข มี แตค วามที ่ส ติเ ปน ธรรมชาติบ ริส ุท ธิ ์เ พราะอุเ บกขา แลว แลอยู . อานนท ! นี่ แล คื อ ความสุ ข ชนิ ด ที่ เ ป น อย า งอื่ น ที่ เหนื อ กว า ประณี ต กว า กว า ความสุ ข อั น เกิด แตต ติย ฌ าน นั ้น . อ าน น ท ! แตแ มก ระนั ้น ถา ชน เห ลา ใด จะพ ึง กลา ว อย างนี้ ว า "สั ตว ทั้ งหลาย ที่ ได เสวยเฉพาะซึ่ งสุ ขอั นเกิ ดแต จตุ ตถฌาน ย อมอยู ในฐานะได บรมสัน ติ บรมสุข บรมโสมนัส " ดัง นี ้. อานนท ! เราไมย อมรับ รองคํ า กลา ว เชน นั ้น ข อ งชน เห ลา นั ้น . ขอ นี ้ เพ ราะ เห ตุไ ร ? อ าน น ท ! เพ ราะ เห ตุว า สุขอยางอื่นที่เหนือกวา ประณีตกวา กวาความสุขอันเกิดแตจตุตถฌานนั้น ยังมีอยู.

www.buddhadasa.info อานนท ! สุ ข อย า งอื่ น ที่ เหนื อ กว า ประณี ต กว า กว า ความสุ ข อั น เกิดแตจตุตถฌาน นั้นเปนอยางไรเลา ? อานนท! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ,


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๑๙

เพราะผ า นพ น รู ป สั ญ ญ าเสี ย ได โดยประการทั้ ง ปวง, เพราะความตั้ ง อยู ไ ม ไ ด แหง ปฏิฆ สัญ ญ า, เพราะไมทํ า ในใจซึ ่ง นานัต ตสัญ ญ า จึง บรรลุอ ากาสานั ญ จายตนะ อั น มี ก ารทํ า ในใจว า "อากาศไม มี ที่ สิ้ น สุ ด ๆ" ดั ง นี้ แล ว แลอยู . อานนท ! นี่ แ ลคื อ ความสุ ข ชนิ ด ที่ เ ป น อย า งอื่ น ที่ เ หนื อ กว า ประณี ตกว า กว า ความสุข อัน เกิด แตจ ตุต ถฌ านนั ้น . อานนท ! แตแ มก ระนั ้น ถา ชนเหลา ใด จะพึ งกล าวอย างนี้ ว า "สั ตว ทั้ งหลายที่ ได เสวยเฉพาะซึ่ งสุ ขอั นเกิ ดแต อากาสานั ญจายตนฌาน ย อ มอยู ใ นฐานะได บ รมสั น ติ บรมสุ ข บรมโสมนั ส " ดั ง นี้ . อานนท ! เราไม ย อม รับ รอ งคํ า ก ลา วเชน นั ้น ข อ งช น เห ลา นั ้น . ขอ นี ้ เพ ราะ เห ต ุไ ร ? อ าน น ท  ! เพราะเหตุ ว า ความสุ ข อย า งอื่ น ที่ เหนื อ กว า ประณี ต กว า กว า ความสุ ข อั น เกิ ด แต อากาสานัญจายตนฌานนั้น ยังมีอยู. อานนท ! สุขอยางอื่นที่เหนือกวา ประณี ตกวา กวาความสุขอันเกิด แต อ ากาสานั ญ จายตนะฌาน นั้ น เป น อย า งไรเล า ? อานนท ! ภิ ก ษุ ใ นธรรมวิ นั ย นี้ , เพราะผ า นพ น อากาสานั ญ จายตนะเสี ย ได โ ดยประการทั้ ง ปวง จึ ง บรรลุ วิ ญ ญาณนั ญ จายตนะ อั น มี ก ารทํ าในใจว า "วิ ญ ญาณไม มี ที่ สิ้ น สุ ด ๆ" ดั งนี้ แล ว แลอยู . อานนท! นี ่แ ลคือ ความสุข ชนิด ที ่เ ปน อยา งอื ่น ที ่เ หนือ กวา ประณ ีต กว า กว า ความสุ ข อั น เกิ ด แต อ ากาสานั ญ จายตนะฌ านนั้ น . อานนท ! แต แ ม กระนั้ น ถ าชนเหล าใดจะพึ งกล าวอย างนี้ ว า "สั ต ว ทั้ งหลายที่ ได เสวยเฉพาะซึ่ งสุ ขอั น เกิ ดแต วิ ญญาณั ญจายตนฌาน ย อมอยู ในฐานะได บรมสั นติ บรมสุ ข บรมโสมนั ส" ดั งนี้ . อานนท ! เราไมย อมรับ รองคํ า กลา วเชน นั ้น ของชนเหลา นั ้น . ขอ นี ้ เพ ราะ เหตุไ ร ? อานนท ! เพราะเหตุว า ความสุข อยา งอื ่น ที ่เ หนือ กวา ประณ ีต กวา กวาความสุขอันเกิดแตวิญญาณนัญจายตนฌานนั้น ยังมีอยู.

www.buddhadasa.info


๕๒๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

อานนท ! สุขอยางอื่นที่เหนือกวา ประณีตกวา กวาความสุขอันเกิด แตว ิญ ยาณัญ จายตนฌาน นั ้น เปน อยา งไรเลา ? อานนท ! ภิก ษุใ นธรรมวิ นั ย นี้ , เพราะผ า นพ น วิ ญ ญาณั ญ จายตนะเสี ย ได โดยประการทั้ ง ปวง จึ ง บรรลุ อากิ ญ จั ญ ญ ายตนะ อั น มี ก ารทํ า ในใจว า "อะไร ๆ ไม มี ดั ง นี้ แล ว แลอยู . อานนท ! นี่ แ ลคื อ ความสุ ข ชนิ ด ที่ เป น อย า งอื่ น ที่ เหนื อ กว า ประณี ต กว า กว า ความสุ ข อั น เกิ ด แต วิ ญ ญาณนั ญ จายตนฌานนั้ น . อานนท ! แต แ ม ก ระนั้ น ถ า ชนเหลาใดจะพึงกลาวอยางนี้วา "สัตวทั้งหลายที่ไดเสวยเฉพาะซึ่งสุขอันเกิดแตอากิญจัญญายตนฌาน ยอมอยูในฐานะไดบรมสันติ บรมสุข บรมโสมนั ส" ดั งนี้. อานนท ! เราไม ย อมรั บ รองคํ า กล า วเช น นั้ น ของชนเหล า นั้ น ข อ นี้ เพ ราะเหตุ ไ ร ? อานนท ! เพราะเหตุ ว า สุ ข อย า งอื่ น ที่ เหนื อ กว า ประณี ต กว า กว า ความสุ ข อั น เกิดแตอากิญจัญายตนญาณนั้น ยังมีอยู. อานนท ! สุขอยางอื่นที่เหนือกวา ประณีตกวา กวาความสุขอันเกิด แต อ ากิ ญ จํ ญ ญายตนะฌาน นั้ น เป น อย า งไรเล า ? อานนท ! ภิ ก ษุ ใ นธรรมวินั ย นี้ , เพราะผ า นพ น อากิ ญ จั ญ ญายตนะเสี ย ได โดยประการทั้ งปวง จึ ง บรรลุ เนวสั ญ ญานาสั ญ ญายตนะ แล ว แลอยู อานนท ! นี่ แ ลคื อ ความสุ ข ชนิ ด ที่ เป น อย างอื่ น ที่ เหนื อกวา ประณี ตกวา กวาความสุ ขอั นเกิ ดแต อากิ ญจั ญญายนตนฌาน นั ้น . อานนท ! แตแ มก ระนั ้น ถา ชนเหลา ใดจะพึง กลา วอยา งนี ้ว า "สัต ว ทั้งหลายที่ไดเสวยเฉพาะซึ่งสุข อันเกิดแตเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ยอมอยูในฐานะได บรมสัน ติ บรมสุข บรมโสมนัส " ดัง นี ้. อานนท! เราไมย อมรับ รองคํ า กลา ว เช น นั ้ น ของชนเหล า นั ้ น . ข อ นี ้ เ พราะเหตุ ไ ร ? อานนท ! เพ ราะเหตุ ว  า สุ ข อย า งอื่ น ที่ เ หนื อ กว า ประณี ต กว า กว า ความสุ ข อั น เกิ ด แต เ นวสั ญ ญานาสัญญายตนฌานนั้น ยังมีอยู.

www.buddhadasa.info


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๒๑

อานนท ! สุขอยางอื่นที่เหนือกวา ประณีตกวา กวาความสุขอันเกิด แต เนวสั ญ ญานาสั ญ ญายตนะฌาน นั้ น เป น อย า งไรเล า ? อานนท ! ภิ ก ษุ ใน ธรรมวิน ัย นี ้, เพราะผา นพน เนวสัญ ญ านาสัญ ญ ายตนะเสีย ได โดยประการ ทั ้ง ปวง จึง บรรลุส ัญ ญาเวทยิต นิโ รธ แลว แลอยู . อานนท ! นี ่แ ลความสุข ที่ เป น อย า งอื่ น ที เหนื อ กว า ประณี ต กว า กว า ความสุ ข อั น เกิ ด แต เนวสั ญ ญานาสัญญายตนะฌานนั้น. อานนท ! สว นขอ นี ้ เปน ฐานะที ่จ ะมีไ ดค ือ ขอ ที ่พ วกปริพ าชก ทั้ งหลาย ผู ถื อลั ทธิ อื่ น จะพึ งกล าวอย างนี้ ว า "พระสมณะโคดม ได กล าวถึ งสั ญ ญาเวทยิ ตนิ โรธ, แล วจึ งบั ญญั ติ ซึ่ งสั ญญาเวทยิ ตนิ โรธนั้ น ในฐานะเป นความสุ ข. มั นจะ เป นความสุ ขชนิ ดไหนหนอ ? มั นจะเป นความสุ ขไปได อย างไรหนอ ?" อานนท ! พวก ปริ พ าชกผู ถื อ ลั ท ธิ อื่ น ซึ่ ง มี ป รกติ ก ล า วอย า งนี้ , เธอทั้ ง หลายจะพึ ง กล า วแก อย างนี้ วา "ผู มี อายุ ! พระผู มี พระภาค ไม ได หมายถึ งสุ ขเวทนา แล วบั ญญั ติ ในฐานะ เปนตัวความสุข. ผูมีอายุ ! แตวา ความสุข อันบุ คคลจะพึ งหาไดในธรรมใด ; พระตถาคตยอมบัญญัติซึ่งธรรมนั้น ในฐานะเปนความสุข" ดังนี้แล.

www.buddhadasa.info - สฬา. สํ. ๑๘/๒๗๘-๒๘๒/๔๑๓-๔๒๔.

หมายเหตุ :- การนํ าโลกิ ย สุ ข หรือ ความสุ ข ขั้ น ที่ ยั งต อ งมี เหตุ มี ป จ จั ย ทุ ก ระดั บ มาใส ไวในที่ นี้ ก็ เ พื่ อ เป น เครื่ อ งเปรี ย บเที ย บกั บ นิ พ พาน ซึ่ ง เป น ธรรมไม เ หตุ ไ ม มี ป จ จั ย และ อยู ใ นฐานยิ ่ง ไปกวา ความสุข , พระองคจ ึง ไดท รงนํ า มาเรีย บลํ า ดับ ไวใ นที ่นั ้น ในฐานะเปนความสุขชนิดหนึ่ง.


๕๒๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

ธรรมเปนที่ดับ ตามลําดับ (ซึ่งยังไมถึงนิพพาน) (: อนุปุพพนิโรธ - อนุปุพพวิหาร - อนุปุพพวิหารสมาบัติ) ก. อนุปุพพนิโรธ เกา

ภิ ก ษุ ท.! อนุ ปุ พ พนิ โ รธ ๙ ประการ เหล า นี้ มี อ ยู . เก า ประการ อยางไรเลา ? เกาประการ คือ:(๑) เมื่อเขาถึงปฐมฌาน อามิสส (กาม) สัญญา ยอมดับ ; (๒) เมื่อเขาถึงทุติยฌาน วิตกและวิจาร ยอมดับ ; (๓) เมื่อเขาถึงตติยฌาน ปติ ยอมดับ ; (๔) เมื่อเขาถึงจตุตถฌาน อัสสาสะและปสสาสะ ยอมกับ ; (๕) เมื่อเขาถึงกาสานัญจายตนะ รูปสัญญา ยอมดับ ; (๖) เมื่อเขาถึงวิญญาณัญจายตนะ อากาสานัญจายตนสัญญายอมดับ ; (๗) เมื่อเขาถึงอากิญจัญญายตนะ วิญญาณัญจายตนสัญญายอมดับ ; (๘) เมื่อเขาถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ อากิญจัญญายตน ยอมดับ ; (๙) เมื่อเขาถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ สัญญาและเวทนา ยอมดับ.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! เหลานี้แล อนุปุพพนิโรธ ๙ ประการ.

- นวก. อํ. ๒๓/๔๒๓/๒๓๕.

(ธรรมะหมวดนี้ แสดงถึ ง ธรรมที่ ต อ งดั บ ไปตามลํ า ดั บ ๆ แห ง การปฏิ บั ติ ร ะบบนี้ ดั ง นั้ น จึ ง ได ชื่ อ ว า อนุ ปุ พ พนิ โ รธเก า คื อ ธรรมที่ ดั บ ตามลํ า ดั บ ๙ ลํ า ดั บ , เป น หมวดธรรมที่ ต อ ง ศึก ษ ากอ น แ ต โ ด ย ยอ , ราย ล ะเอีย ด ห าด ูไ ดที ่ห ม วด ค .; ใน ที ่อื ่น (๒๓/๔๗๗/๒๖๓,๒๖๕) เป น คํ า ของพระอานนท แ สดงอนุ ปุ พ พป ส สั ท ธิ แ ละอนุ ปุ พ พนิ โ รธไว โดยความเป น รู ป ฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ ในฐานะเปนอนุปุพพปสสัทธิและอนุปุพพนิโรธโดยปริยาย, และแสดงสัญญา-


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๒๓

เวท ยิต นิโ รธอัน สิ ้ น อาสวะไว ในฐาน ะเปน อนุป ุพ พ ปส สั ท ธิแ ละอนุป ุ พ พ นิ โ รธโดยป ริย าย โดยไมแ สดงไวอ ยา งละเอีย ดวา ฌานชื ่อ ไรระงับ หรือ ดับ เสีย ซึ ่ง ธรรมชื ่อ อะไรเหมือ นกับ ในสูต ร ขางบนนี้). ข. อนุปุพพวิหาร เกา

ภิ ก ษุ ท.! อนุ ปุ พ พวิ ห าร ๙ ประการ เหล า นี้ มี อ ยู . เก า ประการ อยางไรเลา ? เกาประการ คือ :(๑) ปฐมฌาน (๒) ทุติยฌาน (๓) ตติยฌาน (๔) จตุตถฌาน (๕) อากาสานัญจายตนะ (๖) วิญญาณัญจายตนะ (๗) อากิญจัญญายตนะ (๘) เนวสัญญานาสัญญายตนะ (๙) สัญญาเวทยิตนิโรธ. ภิกษุ ท.! เหลานี้แล อนุปุพพวิหาร ๙ ประการ.

www.buddhadasa.info - นวก. อํ. ๒๓/๔๒๔/๒๓๖. (ธรรมเก า ประการนี้ เรี ย กว า วิ ห ารธรรม คื อ ธรรมเป น เครื่ อ งอยู แ ห ง จิ ต เก า ลํ า ดั บ จึง ไดชื ่อ วา อนุป ุพ พวิห ารเกา . ยัง มีข อ ประหลาดที ่ว า ในบาลีบ างแหง ถึง กับ กลา ววา เขา อยู ในวิห ารธรรมนี ้ไ ดแ มใ นขณ ะแหง อิร ิย าบถทั ้ง สี ่ คือ นั ่ง นอน ยืน เดิน สํ า หรับ ๔ ขอ ขา งตน คือตั้งแตปฐมฌาน ถึงจตุตถฌาน. ติก. อํ. ๒๐/๒๓๔/๕๐๓).


๕๒๔

อริยสัจจากพระโอษฐ ค. อนุปุพพวิหารสมาบัติ เกา

ภิ ก ษุ ท.! เราจั ก แสดงซึ่ ง อนุ ปุ พ พวิ ห ารสมาบั ติ ๙ ประการ เหล า นี้ . เธอทั ้ง หลายจงฟง . ภิก ษุ ท.! อนุป ุพ พ วิห ารสมาบัต ิ ๙ ประการนั ้น เปน อยางไรเลา ? (๑) กามทั้ ง หลาย ย อ มดั บ ไปในที่ สุ ด , และชนเหล า ใด ยั ง กาม ทั้ งหลาย ให ดั บ ไป ๆ ในที่ ใด แล วแลอยู ; เรากล าวว า ผู มี อ ายุ เหล านั้ น หายหิ ว ดั บ เย็ น ข า มแล ว ถึ ง ฝ ง แล ว ด ว ยองค นั้ น ๆ ในที่ นั้ น แน แ ท . ถ า ผู ใ ดจะพึ ง กล า วถามอย า งนี้ ว า "กามทั้ ง หลาย ดั บ ไปในที่ ไ หน ? และชนเหล า ไหนยั ง กามทั ้ง หลายใหด ับ ไป ๆ ในที ่ไ หน แลว แลอยู  ? ขา พเจา ไมรู ข อ นั ้น ไมเ ห็น ขอ นั ้น " ดัง นี ้ไ ซร; คํ า ตอบพึง มีแ กเ ขาวา "ผู ม ีอ ายุ! ภิก ษุใ นกรณีนี ้ สงัด แลว จากกามและอกุศลธรรมทั้งหลาย เขาถึงปฐมฌาน อันมีวิตกวิจาร มีปติและ สุข อัน เกิด จากวิเวก แลว แลอยู . กามทั ้ง หลายดับ ไปในปฐมฌานนั ้น , และ ชนเหล า นั้ น ยั ง กามทั้ ง หลาย ให ดั บ ไป ๆ ในปฐมฌานนั้ น แล ว แลอยู " ดั ง นี้ . ภิ ก ษุ ท.! ใคร ๆ ที่ ไ ม เ ป น ผู โ อ อ วด ไม เป น ผู มี ม ายา พึ ง เพลิ ด เพลิ น อนุ โ มทนา ดว ยคํ า วา ส าธุ ดัง นี ้; ค รั ้น เพ ลิด เพ ลิน อนุโ ม ทน าดว ยคํ า ส าธุ ดัง นี ้แ ลว นอบนอมอยู จะประคองอัญชลีเขาไปหา โดยแนแท.

www.buddhadasa.info (๒) วิต กและวิจ ารทั ้ง หลาย ยอ มดับ ไปในที ่ใ ด, และชนเหลา ใด ยั งวิ ต กและวิ จ ารทั้ งหลาย ให ดั บ ไป ๆ ในที่ ใด แล วแลอยู ; เรากล าวว า ผู มี อ ายุ เหล า นั้ น หายหิ ว ดั บ เย็ น ข า มแล ว ถึ ง ฝ ง แล ว ด ว ยองค นั้ น ๆ ในที่ นั้ น แน แ ท . ถ า ผู ใ ด จะพึ ง กล า วถามอย า งนี้ ว า "วิ ต กและวิ จ ารทั้ ง หลาย ดั บ ไปในที่ ไ หน? และชนเหลาไหน ยัง วิตกและวิจารทั้งหลาย ใหดับไป ๆ ในที่ไหน แลวแลอยู?


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๒๕

ขา พ เจา ไมรู ข อ นั ้น ไมเ ห็น ขอ นั ้น " ดัง นี ้ไ ซ ร ; คํ า ต อ บ พ ึง มีแ กเ ข าวา "ผู มี อายุ! ภิก ษุใ นกรณีนี ้ เพราะความที ่ว ิต กและวิจ ารทั ้ง หลายระงับ ลง เขา ถึง ทุติยฌาน อันเปนเครื่องผองใสแหงใจในภายใน นําใหเกิดสมาธิมีอารมณอันเดียว ไมมีวิตกและวิจาร มีแตปติและสุขอันเกิดแตสมาธิ แลวแลอยู, วิตกและวิจาร ทั้ ง หลาย ดั บ ไปใน ทุ ติ ย ฌาน นั้ น , และชนเหล า นั้ น ยั ง วิ ต กและวิ จ ารทั้ ง หลาย ใหด ับ ไป ๆ ในทุต ิย ฌ านนั ้น แลว แลอยู " ดัง นี ้. ภิก ษุ ท.! ใคร ๆ ที ่ไ มเ ปน ผู โอ อ วด ไม เ ป น ผู มี ม ายา พึ ง เพลิ ด เพลิ น อนุ โ มทนาด ว ยคํ า ว า สาธุ ดั ง นี้ ; ครั้ น เพลิ ด เพลิ น อนุ โมทนาด ว ยคํ า ว า สาธุ ดั ง นี้ แ ล ว นอบน อ มอยู จะประคองอั ญ ชลี เขาไปหา โดยแนแท. (๓) ป ติ ย อ มดั บ ไปในที่ ใ ด, และชนเหล า ใด ยั ง ป ติ ให ดั บ ไป ๆ ในที ่ใ ด แลว แลอยู ; เรากลา วา ผู ม ีอ ายุเ หลนั ้น หายหิว ดับ เย็น ขา มแลว ถึง ฝ ง แลว ดว ยองคนั ้น ๆ ในที ่นั ้น แนแ ท. ถา ผู ใ ด จะพึง กลา วถามอยา งนี้ วา "ป ต ิ ดับ ไป ใน ที ่ไ ห น ? แ ล ะ ช น เห ลา ไห น ยัง ปต ิใ หด ับ ไป ๆ ใน ที ่ไ ห น แลว แล อ ยู ? ขา พ เจา ไมรู ข อ นั ้น ไมเ ห็น ขอ นั ้น " ดัง นี ้ไ ซร; คํ า ต อ บ พึง มีแ ก เขาว า "ผู มี อ ายุ ! ภิ ก ษุ ในกรณี นี้ เพราะความจางคลายไปแห ง ป ติ อยู อุ เบกขา มีสติและสัมปชัญญะ และเสวยความสุขดวยนามกาย เขาถึงตติยฌาน อันเปน ฌานที่พระอริยเจากลาววา 'ผูไดฌานนี้เปนผูอยูอุเบกขา มีสติ อยูเปนสุข' ดังนี้ แลว แลอยู . ปต ิ ดับ ไปใน ตติย ฌาน นั ้น , และชนเหลา นั ้น ยัง ปต ิ ใหด ับ ไป ๆ ใน ต ติย ฌ าน นั ้น แลว แ ล อ ยู " ดัง นี ้. ภิก ษุ ท .! ใค ร ๆ ที ่ไ มเ ปน ผู โ ออ วด ไม เป น ผู มี ม า ย า พึ ง เพ ลิ ด เพ ลิ น อ นุ โม ท น า ด ว ย คํ า ว า ส า ธุ ดั ง นี้ ; ค รั้ น เพลิ ด เพลิ น อนุ โมทนาด ว ยคํ า ว า สาธุ ดั ง นี้ แ ล ว นอบน อ มอยู จะประคองอั ญ ชลี เขาไปหา โดยแนแท.

www.buddhadasa.info


๕๒๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

(๔) อ ุเ บ ก ข า ส ุข ย อ ม ด ับ ไ ป ใ น ที ่ส ุด , แ ล ะ ช น เห ล า ใ ด ย ัง อุเ บ ก ข าสุข ใหด ับ ไป ๆ ใน ที ่ใ ด แลว แลอยู ; เรากลา ววา ผู ม ีอ ายุเ หลา นั ้น หายหิ ว ดั บ เย็ น ข า มแล ว ถึ ง ฝ ง แล ว ด ว ยองค นั้ น ๆ ในที่ นั้ น แน แ ท . ถ า ผู ใ ด จะพึง กลา วถามอยา งนี ้ว า "อุเ บ กขาสุข ดับ ไปในที ่ไ หน? และชนเหลา ไหน ยัง อุเ บกขาสุข ใหด ับ ไป ๆ ในที ่ไ หน แลว แลอยู ? ขา พเจา ไมรู ข อ นั ้น ไมเ ห็น ขอ นั ้น " ดัง นี ้ไ ซร, คํ า ต อ บ พ ึง มีแ กเ ขาวา "ผู ม ีอ ายุ! ภิก ษ ุใ น กรณ ีนี ้ เพ ราะ ละสุขและทุกขเสียได เพราะความดับหายไปแหงโสมนัสและโทมนัสในกาลกอน เข า ถึ ง จตุ ต ถฌาน อั น ไม มี ทุ ก ข แ ละสุ ข มี แ ต ค วามที่ ส ติ เป น ธรรมชาติ บ ริ สุ ท ธิ์ เพราะอุเ บกขาแลว แลอยู . อุเ บกขาสุข ดับ ไปใน จตุต ถฌาน นั ้น , และชน เหลา นั ้น ยัง อุเ บ กขาสุข ใหด ับ ไป ๆ ใน จตุต ถฌ าน นั ้น แลว แลอยู " ดัง นี ้. ภิ ก ษุ ท.! ใคร ๆ ที่ ไ ม เ ป น ผู โ อ อ วด ไม เ ป น ผู มี ม ายา พึ ง เพลิ ด เพลิ น อนุ โ มทนา ด ว ย คํ า วา ส าธุ ด ัง นี ้; ค รั ้น เพ ลิด เพ ล ิน อ น ุโ ม ท น าด ว ย คํ าวา ส าธุ ด ัง นี ้แ ล ว นอบนอมอยูจะประคองอัญชลีเขาไปหา โดยแนแท. (๕) รู ป สั ญ ญ าทั้ งห ลาย ย อ มดั บ ไปในที่ ใ ด, และชนเหล า ใด ยั ง รู ป สั ญ ญาทั้ ง หลาย ให ดั บ ไป ๆ ในที่ ใด แล ว แลอยู ; เรากล า วว า ผู มี อ ายุ เหล า นั้ น หายหิ ว ดั บ เย็ น ข า มแล ว ถึ ง ฝ ง แล ว ด ว ยองค นั้ น ๆ ในที่ นั้ น แน แ ท . ถ า ผู ใ ด จ ะ พ ึง ก ลา วถ าม อ ยา งนี ้ วา "รูป ส ัญ ญ าทั ้ง ห ล าย ดับ ไป ที ่ไ ห น ? แ ล ะ ช น เหลา ไหน ยัง รูป สัญ ญ าทั ้ง หลาย ใหด ับ ไป ๆ ในที ่ไ หน แลว แลอยู ? ขา พเจา ไ ม รู ข อ นั ้น ไ ม เ ห ็น ข อ นั ้น " ด ัง นี ้ไ ซ ร, คํ า ต อ บ พ ึง ม ีแ ก เ ข า ว า "ผู ม ีอ า ย ุ! ภิกษุในกรณีนี้ เพราะการกาวลวงเสียซึ่งรูปสัญญาทั้งหลายโดยประการทั้งปวง เพราะ ความตั้งอยูไมไดแหงปฏิฆสัญญาทั้งหลาย เพราะไมไดทําไวในใจซึ่งความกําหนดหมาย ในภาวะตาง ๆ จึงเขาถึงอากาสานัญจายตนะ อันมีการทําในใจวา 'อากาศไมมีที่สุด'

www.buddhadasa.info


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๒๗

แลว แลอยู . รูป สัญ ญาทั ้ง หลาย ดับ ไปใน อากาสานัญ จายตนะ นั ้น , และชน เหล านั้ น ยั ง รูปสั ญญาทั้ งหลาย ให ดั บไป ๆ ใน อากาสานั ญจายตนะ นั้ น แล วแลอยู " ดั งนี้ . ภิ ก ษุ ท .! ใค ร ๆ ที่ ไม เป น ผู โอ อ วด ไม เป น ผู มี ม าย า พึ งเพ ลิ ด เพ ลิ น อนุโ มทนาดว ยคํ า วา สาธุ ดัง นี ้; ครั ้น เพลิด เพลิน อนุโ มทนาดว ยคํ า วา สาธุ ดังนี้แลว นอบนอมอยู จะประคองอัญชลีเขาไปหา โดยแนแท. (๖) อากาสานั ญ จายตนสั ญ ญา ย อ มดั บ ไปในที่ ใด, และชนเหล า ใด ยัง อากาสานัญ จายตนสัญ ญา ใหด ับ ไป ๆ ในที ่ใ ด แลว แลอยู  ; เรากลา ววา ผู มี อ ายุ เ หล า นั้ น หายหิ ว ดั บ เย็ น ข า มแล ว ถึ ง ฝ ง แล ว ด ว ยองค นั้ น ๆ ในที่ นั้ น แน แ ท . ถ า ผู ใด จะพึ งกล า วถามอย า งนี้ ว า "อากาสานั ญ จายตนสั ญ ญา ดั บ ไป ในที่ ไ หน? และชนเหล า ไหนยั ง อากาสานั ญ จายตนสั ญ ญา ให ดั บ ไป ๆ ในที่ ใ ด แ ลว แ ล อ ยู ? ขา พ เจา ไมรู ข อ นั ้น ไมเ ห็น ขอ นั ้น " ดัง นี ้ไ ซ ร; คํ า ต อ บ พ ึง มี แก เขาว า "ผู มี อ ายุ ! ภิ ก ษุ ใ นกรณี นี้ ก า วล ว งเสี ย ซึ่ ง อากาสานั ญ จายตนะโดย ประการทั้งปวง เขาถึงวิญญาณั ญจายตนะ อันมีการทําในใจวา 'วิญญาณไมมี ที่สุ ด' แลวแลอยู. อากาสานั ญจายตนสัญญา ดับไปใน วิญญาณั ญ จายตนะนั้น, และชนเหล านั้ น ยั ง อากาสานั ญ จายตนสั ญญา ให ดั บไป ๆ ในวิ ญญาณั ญจายตนะ นั ้น แ ล ว แ ล อ ยู " ด ัง นี ้. ภ ิก ษ ุ ท .! ใค ร ๆ ที ่ไ ม เ ป น ผู โ อ อ ว ด ไม เ ป น ผู มี ม าย า พึ งเพ ลิ ด เพ ลิ น อ นุ โม ท น าด วย คํ าว า ส าธุ ดั งนี้ ; ค รั้ น เพ ลิ ด เพ ลิ น อนุ โ มทนาด ว ยคํ า ว า สาธุ ดั ง นี้ แ ล ว นอนน อ มอยู จะประคองอั ญ ชลี เ ข า ไปหา โดยแนแท.

www.buddhadasa.info (๗) วิ ญ ญาณั ญ จายตนสั ญ ญา ย อ มดั บ ไปในที่ ใด, และชนเหล า ใด ยัง วิญญาณัญจายตนสัญญา ใหดับไป ๆ ในที่ใด แลวแลอยู; เรากลาววา ผูมี


๕๒๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

อายุเ หลา นั ้น หายหิว ดับ เย็น ขา มแลว ถึง ฝ ง แลว ดว ยองคนั ้น ๆ ในที ่นั ้น แน แ ท . ถ า ผู ใ ด จะพึ ง กล า วถามอย า งนี้ ว า "วิ ญ ญาณั ญ จายตนสั ญ ญา ดั บ ไป ในที่ ไ หน ? และชนเหล า ไหนยั ง วิ ญ ญาณั ญ จายตนสั ญ ญา ให ดั บ ไป ๆ ในที่ ใ ด แ ลว แ ล อ ยู  ? ขา พ เจา ไมรู ข อ นั ้น ไมเ ห็น ขอ นั ้น " ดัง นี ้ไ ซ ร; คํ า ต อ บ พึง มี แก เ ขาว า "ผู มี อ ายุ ! ภิ ก ษุ ใ นกรณี นี้ ก า วล ว งเสี ย ซึ่ ง วิ ญ ญาณั ญ จายตนะโดย ประการทั้งปวง เขาถึง อากิญจัญญายตนะ อันมีการทําในใจวา 'อะไร ๆ ไมมี' แล วแลอยู , วิญญาณั ญจายตนสั ญญา ดั บไปใน อากิ ญจั ญญายตนะ นั้ น และชนเหล า นั้ น ยั ง วิ ญ ญ าณั ญ จายตนสั ญ ยาให ดั บ ไป ๆ ในอากิ ญ จั ญ ญ ายตนะ นั้ น แล ว แ ล อ ยู " ด ั ง นี ้ . ภ ิ ก ษ ุ ท .! ใ ค ร ๆ ที ่ ไ ม  เ ป  น ผู  โ อ  อ ว ด ไ ม  เ ป  น ผู  มี ม า ย า พ ึง เพ ล ิด เพ ล ิน อ น ุโ ม ท น า ด ว ย คํ า วา ส า ธ ุ ด ัง นี ้; ค รั ้น เพ ล ิด เพ ล ิน อนุโ มทนา ด ว ยคํ า ว า สาธุ ดั ง นี้ แ ล ว นอบน อ มอยู จะประคองอั ญ ชลี เข า ไปหา โดยแนแท. (๘) อากิ ญ จั ญ ญายตนสั ญ ญา ย อ มดั บ ไปในที่ ใ ด, และชนเหล า ใด ยั ง อากิ ญ จั ญ ญายตนสั ญ ญา ให ดั บ ไป ๆ ในที่ ใ ด แล ว แลอยู ; เรากล า วว า ผู มี อายุเ หลา นั ้น หายหิว ดับ เย็น ขา มแลว ถึง ฝ ง แลว ดว ยองคนั ้น ๆ ในที ่นั ้น แน แ ท . ถ า ผู ใ ด จะพึ ง กล า วถามอย า งนี้ ว า "อากิ ญ จั ญ ญายตนสั ญ ญา ดั บ ไป ในที่ ไ หน ? และชนเหล า ไหนยั ง อากิ ญ จั ญ ญายตนสั ญ ญา ให ดั บ ไป ๆ ในที่ ใ ด แ ล ว แ ล อ ยู  ? ข า พ เจ า ไม รู  ข  อ นั ้ น ไ ม เ ห็ น ข อ นั ้ น " ดั ง นี ้ ไ ซ ร ; คํ า ต อ บ พึ ง มี แก เ ขาว า "ผู มี อ ายุ ! ภิ ก ษุ ใ นกรณี นี้ ก า วล ว งเสี ย ซึ่ ง อากิ ญ จั ญ ญายตนะโดย ประการทั้งปวง เขาถึงเนวสัญ ญานาสัญ ญายตนะ แลวแลอยู. อากิญ จัญ ญายตนสัญ ญา ดับ ไปใน เนวสัญ ญานาสัญ ญายตนะ นั ้น , และชนเหลา นั ้น ยัง อากิ ญจั ญญายตนสั ญญา ให ดั บไป ๆ ใน เนวสั ญญานาสั ญญายตนะ นั้ น แล วแลอยู " ดังนี้. ภิกษุ ท.! ใคร ๆ ที่ไมเปนผูโออวด ไมเปนผูมีมายา พึงเพลิดเพลิน

www.buddhadasa.info


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๒๙

อนุโ มทนาดว ยคํ า วา สาธุ ดัง นี ้ ; ครั ้น เพลิด เพลิน อนุโ มทนาดว ยคํ า วา สาธุ ดังนี้แลว นอบนอมอยู จะประคองอัญชลีเขาไปหา โดยแนแท. (๙) เนวสั ญ ญานาสั ญ ญายตนสั ญ ญา ย อ มดั บ ไปในที่ ใ ด และชน เหล า ใด ยั ง เนวสั ญ ญานาสั ญ ญายตนสั ญ ญา ให ดั บ ไป ๆ ในที่ ใด แล ว แลอยู ; เรากล า วว า ผู มี อ ายุ เ หล า นั้ น หายหิ ว ดั บ เย็ น ข า มแล ว ถึ ง ฝ ง แล ว ด ว ยองค นั้ น ๆ ในที่ นั้ น แน แ ท . ถ า ผู ใ ด จะพึ ง กล า ถามอย า งนี้ ว า "เนวสั ญ ญ านาสั ญ ญายตนสั ญ ญา ดั บไปในที่ ไหน? และชนเหล าไหนยั ง เนวสั ญ ญานาสั ญ ญาย ต น สัญ ญ า ใหด ับ ไป ๆ ในที ่ใ ดแลว แล อยู ? ขา พ เจา ไมรู ข อ นั ้น ไมเ ห็น ข อ นั ้ น " ดั ง นี ้ ไ ซ ร ; คํ า ต อ บ พ ึ ง ม ี แ ก เ ข า ว า "ผู  ม ี อ า ยุ ! ภ ิ ก ษ ุ ใ น ก ร ณ ี นี้ กาวลวงเสียซึ่งเนวสัญ ญานาสัญ ญายนะโดยประการทั้งปวง เขาถึง สัญ ญาเวทยิตนิ โรธ แลวแลอยู, เนวสัญ ญานาสัญ ญายตนสัญ ญา ดับ ไปใน สั ญ ญา เวทยิตนิโรธ นั้น, และชนเหลานั้น ยัง เนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา ใหดับไป ๆ ใน สัญ ญ าเวทยิต นิโ รธ นั ้น แลว แลอยู " ดัง นี ้. ภิก ษุ ท.! ใคร ๆ ที ่ไ มเ ปน ผู โ ออ วด ไมเ ปน ผู ม ีม ายา พึง เพลิด เพลิน อนุโ มทนาดว ยคํ า วา สาธุ ดัง นี ้; ครั้ น เพลิ ด เพลิ น อนุ โ มทนาด ว ยคํ า ว า สาธุ ดั ง นี้ แ ล ว นอบน อ มอยู จะประคอง อัญชลีเขาไปหา โดยแนแท.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! เหลานี้แล อนุปุพพวิหารสมาบัติ ๙ ประการ.

- นวก. อํ. ๒๓/๔๒๔/๒๓๗. (ธรรมเก า ข อ นี้ มี ชื่ อ แปลกออกไปว า อนุ ปุ พ พวิ ห ารสมาบั ติ แต ก็ ห มายถึ ง ธรรม เก า ประการ ดั ง ที่ ก ล า วมาแล ว ในหมวก ก. และหมวด ข. นั่ น เอง หากแต ว า ในหมวดนี้ ห มายถึ ง การที่ จิ ต เข า อยู ใ นธรรมเหล า นั้ น อย า งลึ ก ซึ้ ง และนาน พอที่ จ ะเกิ ด ความรู สึ ก ว า หายหิ ว ดั บ เย็ น ขามแลว ถึงฝงแลว. ฝงในที่นี้ หมายถึงฝงแหงพระนิพพานโดยปริยาย ; ถาเปนกรณีของผู


๕๓๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

ที่ ยั ง ไม บ รรลุ อ รหั น ผล ก็ เ ป น เสมื อ นการชิ ม รสพระนิ พ พานเป น การล ว งหน า ในระยะเวลาอั น จํากัดเทานั้น. ผู ศึ ก ษาพึ งสั ง เกตให เห็ น ว า คํ า บรรยายแห ง สมาบั ติ ทั้ ง เก า นี้ แต ล ะข อ ๆ ตรั ส ไว โดย ทํ า นองเดี ย วกั น ทุ ก สมาบั ติ ต า งกั น แต ชื่ อ แห ง ฌานและนิ ท เทศที่ บ รรยายลั ก ษณะแห ง ฌานนั้ น ๆ เทา นั ้น ซึ ่ง ไดเ นน ตัว หนัง สือ ไวด ว ยอัก ษรเสน หนาใหเ ปน ที ่ส ัง เกตงา ย ๆ ทุก แหง แลว ขอใหผู ศึกษาพยายามสังเกต ใหเปนที่เขาใจอยางแจมแจงดวย จะมีประโยชนมาก. สรุ ป ความว า หมวด ก. หมายถึ ง การดั บ ตามลํ า ดั บ ของสิ่ ง ที่ พึ ง ดั บ . หมวด ข. หมายถึ งลํ าดั บ แห งการเข าอยู ต ามลํ า ดั บ . หมวด ค. หมายถึ งลํ าดั บ แห ง การเสวยรสของการเข า อยู ทียิ่ง ๆ ขึ้นไปตามลําดับ).

อนุปุพพวิหารอาพาธ (อาการที่อารมณอันละไดดวยฌานใด จะมากลายเปน สัญญาที่ทําความอาพาธใหแกการเขาอยูในฌานนั้น) อาน น ท ! ค รั้ ง ก อ น แต การต รั ส รู เมื่ อ เรายั ง ไม ได ต รั ส รู ยั งเป น โพธิ สั ต ว อ ยู , ความรู ได เกิ ด ขึ้ น แก เราว า เนกขั ม มะ (ความหลี ก ออกจากกาม) เปนทางแหงความสําเร็จ, ปวิเวก (ความอยูสงัดจากกาม) เปนทางแหงความ สํ า เร็จ ดัง นี ้, แตแ มก ระนั ้น จิต ของเราก็ย ัง ไมแ ลน ไป ไมเ สื ่อ มใส ไมตั ้ง อยู ได ไมหลุดออกไป ในเนกขัมมะ ทั้งที่เราเห็นอยู วานั่นสงบ.

www.buddhadasa.info อานนท ! ความคิ ด ได เ กิ ด ขึ้ น แก เ ราสื บ ไปว า อะไรหนอ เป น เหตุ เปน ปจ จัย ที ่ทํ า ใหจ ิต ของเรา เปน เชน นั ้น . อานนท ! ความรู ส ึก ไดเ กิด ขึ ้น แก เราว า เพราะว า โทษในกามทั้ ง หลาย เป น สิ่ ง ที่ เรายั ง มองไม เห็ น ยั ง ไม ไ ด นํ า มาทําการคิดนึกใหมาก และทั้งอานิสงสแหงการออกจากกาม เราก็ยังไมเคย


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๓๑

ไดร ับ เลย ยัง ไมเ คยรู ร สเลย ; จิต ของเราจึง เปน เชน นั ้น . อานนท ! ความ คิ ด ได เกิ ด ขึ้ น แก เราสื บ ไปว า ถ า กระไร เราได เห็ น โทษในกามทั้ ง หลาย แล ว นํ า มา ทํ า การคิ ด นึ ก ในข อ นั้ น ให ม าก ได รั บ อานิ ส งส ใ นการหลี ก ออกจากกามแล ว พึ ง เสพในอานิส งสนั ้น อยา งทั ่ว ถึง ไซร, ขอ นั ้น แหละ จะเปน ฐานะที ่จ ะทํ า ใหจ ิต ของเราพึง แลน ไปพึง เลื ่อ มใส ตั ้ง อยู ไ ด หลุด ออกไป ในเนกขัม มะ โดยที ่เ ห็น อยู ว า นั ่น สงบ. อานนท ! โดยกาลตอ มา เราไดทํ า เชน นั ้น แลว อยา งทั ่ว ถึง จิ ต ของเราจึ ง แล น ไป จึ ง เลื่ อ มใส ตั้ ง อยู ไ ด หลุ ด ออกไป ในเนกขั ม มะ โดยที่ เห็น อ ยู ว า นั ่น ส งบ . อานน ท ! เมื ่อ เปน เชน นั ้น , เราแล เพ ราะส งัด จาก กามและอกุ ศ ลธรรมทั้ ง หลาย จึ ง บรรลุ ฌ านที่ ๑ อั น มี วิ ต กวิ จ าร มี ป ติ แ ละสุ ข อัน เกิด แตว ิเ วก แลว แลอยู . อานนท ! แมเ มื ่อ เราอยู ด ว ยวิห ารธรรม คือ ฌานที่ ๑ นี้ การทําในใจตามอํานาจแหงสัญ ญาที่เปน ไปในทางกามก็ยังเกิด แท รกแซงอ ยู . ขอ นั ้น ยัง เปน อาพาธ (ในทางจิต ) แกเ รา, เหมือ นผู ม ีส ุข แลวยังมีทุกขเกิดขึ้นขัดขวาง เพราะอาพาธ ฉันใดก็ฉันนั้น. อานนท ! ความคิด ไดเ กิด ขึ ้น แกเ ราสืบ ไปวา เพื ่อ กํ า จัด อาพาธ ขอ นั้ น เสี ย ถ ากระไรเรา เพราะสงบวิต กวิจ ารเสี ย ได พึ งบรรลุ ฌ านที่ ๒ เป น เครื่องผองใสแหงจิตในภายใน นําใหเกิดสมาธิมีอารมณอันเดียว ไมมีวิตกวิจาร มีแ ตป ต ิแ ละสุข อัน เกิด แตส มาธิแ ลว แลอยู เ ถิด ดัง นี ้. อานนท! แมก ระนั ้น จิ ต ของเราก็ ยั ง ไม แ ล น ไป ไม เลื่ อ มใส ไม ตั้ ง อยู ได ไม ห ลุ ด ออกไป ในอวิ ต กธรรม (คือฌานที่ ๒) นั้น ทั้งที่เราเห็นอยู วานั่นสงบ.

www.buddhadasa.info อานนท ! ความคิ ด ได เ กิ ด ขึ้ น แก เ ราสื บ ไปว า อะไรหนอ เป น เหตุ เปนปจจัย ที่ทําใหจิตของเราเปนเชนนั้น. อานนท ! ความรูสึกไดเกิดขึ้น


๕๓๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

แก เ ราว า เพราะว า โทษในวิ ต กธรรม เป น สิ่ ง ที่ เ รายั ง มองไม เ ห็ น ยั ง ไม ไ ด นํ า มา ทํ า การคิ ด นึ ก ให ม าก และทั้ ง อานิ ส งส แ ห ง อวิ ต กธรรม เราก็ ยั ง ไม เ คยได รั บ เลย ยัง ไมเ ค ย รู ร ส เล ย ; จิต ขอ งเราจึง เปน เชน นั ้น . อ าน น ท ! ค วาม คิด ไดเ กิด ขึ ้น แกเ ราสืบ ไปวา ถา หากเราไดเ ห็น โทษในวิต ก แลว นํ า มาทํ า การคิด นึก ใน ขอ นั ้น ใหม าก ไดร ับ อานิส งสใ นอวิต กธรรมแลว พึง เสพในอานิส งสนั ้น อยา ง ทั่ วถึ งไซ ร , ข อ นั้ น แ ห ล ะ จ ะ เป น ฐ าน ะ ที่ จ ะ ทํ าให จิ ต ข อ งเราพึ งแ ล น ไป พึ ง เลื่ อ ม ใส ตั้ งอ ยู ได ห ลุ ด อ อ ก ไป ใน อ วิ ต ก ธ รรม โด ย ที่ เห็ น อ ยู ว า นั่ น ส งบ . อานนท ! โดยกาลต อ มา เราได ทํ า เช น นั้ น แล ว อย า งทั่ ว ถึ ง จิ ต ของเราจึ ง แล น ไป จึ ง เลื่ อ มใส ตั้ ง อยู ไ ด หลุ ด ออกไป ในอวิ ต กธรรม (คื อ ฌ านที่ ๒) นั้ น โดยที่ เ ห ็ น อ ยู  ว  า นั ่ น ส ง บ .อ า น น ท  ! เ มื ่ อ เ ป  น เ ช น นั ้ น , เ ร า แ ล เ พ ร า ะ ส ง บ วิ ต กวิ จ ารเสี ย ได จึ ง บรรลุ ฌ านที่ ๒ เป น เครื่ อ งผ อ งใสแห ง จิ ต ในภายใน นํ า ให เกิ ด สมาธิ มี อ ารมณ อั น เดี ย ว ไม มี วิ ต กวิ จ าร มี แ ต ป ติ แ ละสุ ข อั น เกิ ด แต ส มาธิ แล ว แล อ ยู . อ าน น ท! แ มเ มื ่อ เราอ ยู ด ว ย วิห ารธ รรม คือ ฌ าน ที ่ ๒ นี ้ ก ารทํ า ในใจตามอํ า นาจแห ง สั ญ ญาที่ เป น ไปในวิ ต กก็ ยั ง เกิ ด แทรกแซงอยู . ข อ นั้ น ยั ง เป น อาพาธ (ในทางจิ ต ) แก เ รา, เหมื อ นผู มี สุ ข แล ว ยั ง มี ทุ ก ข เ กิ ด ขึ้ น ขั ด ขวาง เพราะอาพาธ ฉันใดก็ฉันนั้น.

www.buddhadasa.info อาน น ท ! ค วาม คิด ไดเ กิด ขึ ้น แกเ ราสืบ ไป วา เพื ่อ กํ า จัด อ าพ าธ ข อ นั้ น เสี ย ถ า กระไรเรา เพราะความจางไปแห ง ป ติ พึ ง อยู อุ เบกขา มี ส ติ แ ล สัมปชัญญะ และพึงเสวยสุขดวยนามกาย บรรลุฌานที่ ๓ อันเปนฌานที่พระ อริยเจากลาววา ผูไดฌานนี้เปนผูอยูอุเบกขา มีสติอยูเปนสุขแลวแลอยูเถิด ดังนี้. อานนท ! แมก ระนั ้น จิต ของเราก็ย ัง ไมแ ลน ไป ไมเ ลื ่อ มใส ไมตั ้ง อยู ไ ด ไม หลุดออกไป ในนิปปติกฌาน (คือฌานที่ ๓) นั้น ทั้งที่เราเห็นอยูวานั่น สงบ.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๓๓

อานนท ! ความคิ ด ได เ กิ ด ขึ้ น แก เ ราสื บ ไปว า อะไรหนอ เป น เหตุ เปน ปจ จัย ที ่ทํ า ใหจ ิต ขอ งเราเปน เชน นั ้น . อ าน น ท! ค วาม รู ส ึก ไดเ กิด ขึ ้น แก เราว า เพราะว า โทษในป ติ เป น สิ่ ง ที่ เรายั ง มองไม เห็ น ยั ง ไม ได นํ า มาทํ า การคิ ด นึ ก ให ม า และทั้ ง อานิ ส งส แ ห ง นิ ป ป ติ ก ฌาน เราก็ ยั ง ไม เคยได รั บ เลย ยั ง ไม เคย รู ร ส เล ย ; จิต ขอ งเราจึง เปน เชน นั ้น . อ าน น ท ! ค วาม คิด ไดเ กิด ขึ ้น แกเ รา สื บ ไปว า ถ า หากเราได เห็ น โทษในป ติ . แล ว นํ า มาทํ า การคิ ด นึ ก ในข อ นั้ น ให ม าก ได รั บ อานิ ส งส ใ นนิ ป ป ติ ก ฌ านแล ว พึ ง เสพในอานิ ส งส นั้ น อย า งทั่ ว ถึ ง ไซร . ข อ นั้ น แหละ จะเป น ฐานะที่ จ ะทํ า ให จิ ต ของเราพึ ง แล น ไป พึ ง เลื่ อ มใส ตั้ ง อยู ไ ด ห ลุด อ อ ก ไป ใน นิป ปต ิก ฌ าน โด ย ที ่เ ห็น อ ยู ว า นั ่น ส งบ . อ าน น ท ! โด ย กาลต อ มาเราได ทํ าเช น นั้ น แล ว อย างทั่ วถึ ง จิ ต ของเราจึ ง แล น ไป จึ งเลื่ อ มใส ตั้ งอยู ได หลุ ด ออกไป ในนิ ป ป ติ ก ฌาน (คื อ ฌานที่ ๓) นั้ น โดยที่ เห็ น อยู ว า นั่ น สงบ. อานนท! เมื ่อ เปน เชน นั ้น , เราแล เพราะความจางไปแหง ปต ิ จึง เกิด อุเ บกขา มี สติ และสั มปชั ญ ญะ และย อมเสวยสุ ขด วยนามกาย บรรลุ ฌ านที่ ๓ อั นเป นฌาน ที่ พ ระอริ ย เจ า กล า วว า ผู ไ ด ฌ านนี้ เป น ผู อ ยู อุ เ บกขา มี ส ติ อ ยู เ ป น สุ ข แล ว แลอยู . อานนท ! แม เมื่ อ เราอยู ด ว ยวิ ห ารธรรมคื อ ฌานที่ ๓ นี้ การทํ า ในใจตามอํ า นาจ แห งสั ญ ญาที่ เป น ไปในป ติ ก็ ยั งเกิ ด แทรกแซงอยู . ข อ นั้ น ยั งเป น อาพาธ (ในทาง จิต ) แกเ รา, เหมือ นผู ม ีส ุข แลว ยัง มีท ุก ขเ กิด ขึ ้น ขัด ขวาง เพราะอาพาธ ฉัน ใด ก็ฉันนั้น.

www.buddhadasa.info อานนท ! ความคิ ด ได เ กิ ด ขึ้ น แก เ ราสื บ ไปว า เพื่ อ กํ า จั ด อาพาธข อ นั้ น เสี ย ถ ากระไรเรา เพราะละสุ ข และทุ ก ข เสี ย ได เพราะความดั บ หายไปแห ง โสมนัสและโทมนัสในกาลกอน พึงบรรลุฌานที่ ๔ อันไมทุกขและสุข มีแตความ ที่สติเปนธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา แลวแลอยูเถิด ดังนี้. อานนท!


๕๓๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

แม ก ระนั้ น จิ ต ของเราก็ ยั ง ไม แ ล น ไป ไม เ ลื่ อ มใส ไม ตั้ ง อยู ไ ด ไม ห ลุ ด ออกไป ในอทุกขมสุข (คือฌานที่ ๔) นั้น ทั้งที่เราเห็นอยูวานั่น สงบ. อานนท ! ความคิ ด ได เ กิ ด ขึ้ น แก เ ราสื บ ไปว า อะไรหนอ เป น เหตุ เปน ปจ จัย ที ่ทํ า ใหจ ิต ของเราเปน เชน นั ้น . อานนท ! ความรู ส ึก ไดเ กิด ขึ ้น แก เราวา เพราะวา โทษในอุเ บกขาสุข เปน สิ ่ง ที ่เ รายัง มองไมเ ห็น ยัง ไมไ ดนํ า มา ทํ า การคิด นึก ใหม าก และทั ้ง อานิส งสแ หง อทุก ขมสุข เราก็ย ัง ไมเ คยไดร ับ เลย ยัง ไมเ คยรู ร สเลย; จิต ของเราจึง เปน เชน นั ้น . อานนท ! ความ คิด ไดเ กิด ขึ้ น แก เราสื บ ไปว า ถ า หากเราได เห็ น โทษในอุ เบกขาสุ ข แล ว นํ า มาทํ า การคิ ด นึ ก ในข อ นั้ น ให ม าก ได รั บ อานิ ส งส ใ นอทุ ก ขมสุ ข แล ว พึ ง เสพในอานิ ส งส นั้ น อย า ง ทั่ ว ถึ ง ไซร , ข อ นั้ น แหละ จะเป นฐาน ะที่ จ ะทํ า ให จิ ต ของเราพึ งแล น ไป พึ ง เลื่ อ ม ใส ตั้ งอ ยู ไ ด ห ลุ ด อ อ กไป ใน อ ทุ กขม สุ ข โด ยที่ เห็ น อ ยู ว า นั่ น ส งบ . อานนท ! โดยกาลต อ มา เราได ทํ า เช น นั้ น แล ว อย า งทั่ ว ถึ ง จิ ต ของเราจึ ง แล น ไป จึ ง เลื่ อ มใส ตั้ ง อยู ไ ด หลุ ด ออกไป ในอทุ ก ขม-สุ ข (คื อ ฌ านที่ ๔) นั้ น โดยที่ เห็ น อ ยู  ว  า นั ่ น ส ง บ . อ า น น ท ! เมื ่ อ เป น เช น นั ้ น , เรา แ ล เพ รา ะ ล ะ สุ ข และทุ ก ข เสี ย ได เพราะความดั บ หายไปแห ง โสมนั ส และโทมนั ส ในกาลก อ น จึ ง บรรลุ ฌ านที่ ๔ อั น ไม ทุ ก ข ไ ม สุ ข มี แ ต ค วามที่ ส ติ เป น ธรรมชาติ บ ริ สุ ท ธิ์ เพราะ อุเ บกขา แลว แลอยู . อานนท ! แมเ มื ่อ เราอยู ด ว ยวิห ารธรรมคือ ฌานที ่ ๔ นี้ การทําในใจตามอํานาจแหงสัญญาที่เปนไปในอุเบกขา ก็ยังเกิดแทรกแซงอยู. ข อ นั้ น ยั ง เป น การอาพาธ (ในทางจิ ต ) แก เ รา, เหมื อ นผู มี สุ ข แล ว ยั ง มี ทุ ก ข เกิดขึ้นขัดขวางเพราะอาหาร ฉันใดก็ฉันนั้น.

www.buddhadasa.info


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๓๕

อานนท ! ความคิ ด ได เ กิ ด ขึ้ น แก เ ราสื บ ไปว า เพื่ อ กํ า จั ด อาพาธข อ นั้นเสีย ถากระไรเรา เพราะผานพนรูปสัญญา (ความกําหนดหมายในรูป) โดย ประการทั้งปวงได, เพราะความตั้งอยูไมไดแหงปฏิฆสัญญา (ความกําหนดหมาย อารมณที่กระทบใจ), เพราะไมไดทําในใจซึ่งความกําหนหมายในภาวะตาง ๆ (นานัตตสัญญา) พึงบรรลุอากาสานัญจายตนะ อันมีการทําในใจวา "อากาศไมมี ที ่สิ ้น สุด " แลว แลอยู เ ถิด ดัง นี ้. อานนท ! แมก ระนั ้น จิต ของเราก็ย ัง ไม แลน ไป ไมเ ลื ่อ มใส ไมตั ้ง อยู ไ ด ไมห ลุด ออกไป ในอากาสานัญ จายตนะนั ้น ทั้งที่เราเห็นอยูวานั่น สงบ. อานนท ! ความคิ ด ได เ กิ ด ขึ้ น แก เ ราสื บ ไปว า อะไรหนอ เป น เหตุ เปน ปจ จัย ที ่ทํ า ใหจ ิต ของเราเปน เชน นั ้น . อานนท ! ความรู ส ึก ไดเ กิด ขึ ้น แก เราว า เพราะว า โทษในรู ป ทั้ ง หลาย เป น สิ่ ง ที่ เรายั ง มองไม เห็ น ยั ง ไม ไ ด นํ า มา ทํ า การคิ ด นึ ก ให ม าก และทั้ ง อานิ ส งส แ ห ง อากสานั ญ จายตนะ เราก็ ยั ง ไม เคยได รับ เลย ยัง ไมเ คยรู ร สเลย ; จิต ของเราจึง เปน เชน นั ้น . อานนท ! ความคิด ได เกิ ด ขึ้ น แก เราสื บ ไปว า ถ า หากเราได เห็ น โทษในรู ป ทั้ ง หลาย แล ว นํ า มาทํ า การ คิ ด นึ ก ในข อ นั้ น ให ม าก ได รั บ อานิ ส งส ใ นอากาสานั ญ จายตนะแล ว พึ ง เสพใน อานิส งสนั ้น อยา งทั ่ว ถึง ไซร, ขอ นั ้น แหละ จะเปน ฐานะที ่จ ะทํ า ใหจ ิต ของเรา พึ ง แล น ไป พึ ง เลื่ อ มใส ตั้ ง อยู ไ ด หลุ ด ออกไป ในอากาสานั ญ จายตนะ โดยที่ เห็น อยู ว า นั ่น สงบ. อานนท ! โดยกาลตอ มา เราไดทํ า เชน นั ้น แลว อยา ง ทั่ ว ถึ ง จิ ต ของเราจึ ง แล น ไป จึ ง เลื่ อ มใส ตั้ ง อยู ไ ด หลุ ด ออกไป ในอากาสานั ญ จายตนะนั ้น โดยที ่เ ห็น อยู ว า นั ่น สงบ. อานนท ! เมื ่อ เปน เชน นั ้น เราแล เพราะผ า นพ น รู ป สั ญ ญาโดยประการทั้ ง ปวงเสี ย ได เพราะความตั้ ง อยู ไ ม ได แ ห ง ปฏิฆสัญญา เพราะไมไดทําในใจซึ่งนานัตตสัญญา จึง บรรลุอากาานัญจายตนะ

www.buddhadasa.info


๕๓๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

อัน มีก ารทํ า ในใจวา "อากาศไมม ีที ่สิ ้น สุด " แลว แลอยู , อานนท ! แมเ มื ่อ เรา อยูดวยวิหารธรรม คือ อากาสานัญจายตนะนี้ การทําในใจตามอํานาจแหงสัญญา ที ่เ ปน ไปในรูป ทั ้ง หลาย ก็ย ัง เกิด แทรกแซงอยู . ขอ นั ้น ยัง เปน การอาพาธ (ในทางจิ ต ) แก เรา. เหมื อ นผู มี สุ ข แล ว ยั ง มี ทุ ก ข เกิ ด ขึ้ น ขั ด ขวางเพราะอาพาธ ฉันใดก็ฉันนั้น. อานนท ! ความคิ ด ได เกิ ด ขึ้ น แก เราว า เพื่ อ กํ า จั ด อาพาธขึ้ น นั้ น เสี ย ถากระไรเรา เพราะผานพนอากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวงเสียแลว พึง บรรลุวิญญาณัญจายตนะ อันมีการทําในใจวา "วิญญาณไมมีที่สิ้นสุด" แลว แลอยู เ ถิด ดัง นี ้. อานนท ! แมก ระนั ้น จิต ของเราก็ย ัง ไมแ ลน ไป ไมเลื ่อ มใส ไมตั้งอยูได ไมหลุดออกไป ในวิญญาณัญจายตนะนั้น ทั้งที่เราเห็นอยูนั่น สงบ. อานนท ! ความคิ ด ได เ กิ ด ขึ้ น แก เ ราสื บ ไปว า อะไรหนอ เป น เหตุ เปน ปจ จัย ที ่ทํ า ใหจ ิต ของเราเปน เชน นั ้น . อานนท ! ความรู ส ึก ไดเ กิด ขึ ้น แกเ ราวา เพราะวา โทษในอากาสานัญ จายตนะ เปน สิ ่ง ที ่เ รายัง มองไมเ ห็น ยั งไม ได นํ ามาทํ าการคิ ดนึ กให ม าก และทั้ งอานิ สงส แห งวิญ ญาณั ญ จายตนะ เรา ก็ ยั ง ไม เคยได รั บ เลย ยั ง ไม เคยรู ร สเลย ; จิ ต ของเราจึ ง เป น เช น นั้ น . อานนท ! ความคิ ด ได เกิ ด ขึ้ น แก เราสื บ ไปว า ถ าหากเราได เห็ น โทษในอากาสานั ญ จายตนะ แล วนํ ามาทํ าการคิ ดนึ กในข อนนั้ นให มาก ได รับอานิ สงส ในวิญญาณั ญจายตนะแล ว พึ ง เสพในอานิ ส งส นั้ น อย า งทั่ ว ถึ ง ไซร , ข อ นั้ น แหละ จะเป น ฐานะที่ จ ะทํ า ให จิ ต ของเราพึ ง แล น ไป พึ ง เลื่ อ มใส ตั้ ง อยู ไ ด หลุ ด ออกไป ในวิ ญ ญาณั ญ จายตนะ โดยที ่เ ห็น อยู ว า นั ่น สงบ. อานนท ! โดยกาลตอ มา เราไดทํ า เชน นั ้น แลว อยางทั่วถึง จิตของเราจึงแลนไป จึงเลื่อมใส ตั้งอยูได หลุดออกไป ในวิญญา-

www.buddhadasa.info


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๓๗

ณ ัญ จายต น ะนั ้น โดยที ่เ ห็น วา อยู ว า นั ่น ส งบ . อ าน น ท ! เราแล ผา น พน อากาสานั ญ จายตนะโดยประการทั้ ง ปวงเสี ย แล ว จึ ง บรรลุ วิ ญ ญาณั ญ จายตนะ อั น มี ก ารทํ า ในใจว า "วิ ญ ญาณไม มี ที่ สิ้ น สุ ด " แล ว แลอยู . อานนท ! แม เมื่ อ เรา อยู ด วยวิหารธรรมคื อวิญ ญาณั ญ จายตนะนี้ การทํ าในใจตามอํ านาจแห งสั ญ ญาที่ เปน ไปในอากาสานั ญ จายตนะ ก็ยังเกิดแทรกแซงอยู. ขอนั้นยังเปนการอาพาธ (ใน ท างจิต ) แกเ รา. เห ม ือ น ผู ม ีส ุข แลว ยัง ม ีท ุก ขเ กิด ขึ ้น ขัด ขวาง เพ ราะ อาพาธ ฉันใดก็ฉันนั้น. อาน น ท ! ค วาม คิด ไดเ กิด ขึ ้น แกเ ราสืบ ไป วา เพื ่อ กํ า จัด อ าพ าธ ข อ นั้ น เสี ย ถ า กระไรเรา เพราะผ า นพ น วิ ญ ญาณั ญ จายตนะโดยประการทั้ ง ปวง เสี ย แล ว พึ ง บรรลุ อ ากิ ญ จั ญ ญายตนะ อั น มี ก ารทํ า ในใจว า "อะไร ๆ ไม มี " แ ล ว แ ล อ ยู  เ ถิ ด ดั ง นี ้ . อ า น น ท ! แ ม ก ร ะ นั ้ น จิ ต ข อ ง เร า ก็ ย ั ง ไม แ ล น ไ ป ไม เลื่ อ มใส ไม ตั้ ง อยู ไ ด ไม ห ลุ ด ออกไป ในอากิ ญ จั ญ ญายตนะนั้ น ทั้ ง ที่ เราเห็ น อยูวานั่น สงบ.

www.buddhadasa.info อานนท ! ความคิ ด ได เ กิ ด ขึ้ น แก เ ราสื บ ไปว า อะไรหนอ เป น เหตุ เปน ปจ จัย ที ่ทํ า ใหจ ิต ของเราเปน เชน นั ้น . อ าน น ท ! ค วาม รู ส ึก ไดเ กิด ขึ ้น แก เราว า เพราะว า โทษในวิ ญ ญาณั ญ จายตนะ เป น สิ่ ง ที่ เรายั ง มองไม เห็ น ยั ง ไม ได นํ า มาทํ า การคิด นึก ใหม าก และทั ้ง อานิส งสแ หง อากิญ จัญ ญ ายตนะ เราก็ ยั ง ไม เคยได รั บ เลย ยั ง ไม เคยรู ร สเลย ; จิ ต ของเราจึ ง เป นเช น นั้ น. อานนท ! ความคิ ด ได เ กิ ด ขึ้ น แก เ ราสื บ ไปว า ถ า หากเราได เ ห็ น โทษวิ ญ ญ าณั ญ จายตนะ แล ว นํ ามาทํ า การคิ ด นึ ก ในข อ นั้ น ให ม าก ได รั บ อานิ ส งส ในอากิ ญ จั ญ ญายตนะแล ว พึงเสพในอานิสงสนั้นอยางทั่วถึงไซร, ขอนั้นแหละ จะเปนฐานะที่จะทําให


๕๓๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

จิ ต ของเราพึ ง แล น ไป พึ ง เลื่ อ มใส ตั้ ง อยู ได หลุ ด ออกไป ในอากิ ญ จั ญ ญายตนะ โดยที ่เ ห็น อยู ว า นั ่น สงบ. อานนท ! โดยกาลตอ มา เราไดทํ า เชน นั ้น แลว อย า งทั่ ว ถึ ง จิ ต ของเราจึ ง แล น ไป จึ ง เลื่ อ มใส ตั้ ง อยู ไ ด หลุ ด ออกไป ในอากิ ญ จัญ ญ าย ต น ะ นั ้น โด ย ที ่เ ห็น อ ยู ว า นั ่น ส งบ . อ าน น ท! เราแ ล ผา น พน วิ ญญาณั ญจายตนะโดยประการทั้ งปวงเสี ยแล ว จึ ง บรรลุ อากิ ญจั ญญายตนะ อั นมี การทํ า ใน ใจวา "อะไร ๆ ไมม ี" แลว แล อยู . อานนท ! แมเ มื ่อ เราอยู ด ว ย วิหารธรรมคืออากิญจัญญายตนะนี้ การทําในใจตามอํานาจแหงสัญญาที่เปนไปใน วิญ ญาณั ญ จายตนะ ก็ ยั งเกิ ด แทรกแซงอยู . ข อ นั้ น ยังเป น การอาพาธ (ในทาง จิต ) แกเ รา, เหมือ นผู ม ีส ุข แลว ยัง มีท ุก ขเ กิด ขึ ้น ขัด ขวาง เพ ราะอาพ าธ ฉันใดก็ฉันนั้น. อานนท ! ความคิด ไดเ กิด ขึ ้น แกเ ราสืบ ไปวา เพื ่อ กํ า จัด อาพาธ ขอนั้นเสีย ถากระไรเรา เพราะผานพ น อากิ ญ จัญ ญายตนะโดยประการทั้ งปวง เสียแลว พึงบรรลุเนวสัญ ญานาสัญ ญายตนะ แลวแลอยูเถิด ดังนี้. อานนท ! แมก ระนั ้น จิต ของเราก็ย ัง ไมแ ลน ไป ไมเ ลื ่อ มใส ไมตั ้ง อยู ไ ด ไมห ลุด ออกไป ในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ทั้งที่เราเห็นอยูวานั่น สงบ.

www.buddhadasa.info อานนท ! ความคิ ด ได เ กิ ด ขึ้ น แก เ ราสื บ ไปว า อะไรหนอ เป น เหตุ เปน ปจ จัย ที ่ทํ า ใหจ ิต ของเราเปน เชน นั ้น . อานนท ! ความรู ส ึก ไดเ กิด ขึ ้น แก เราว า เพราะว าโทษในอากิ ญ จั ญ ญายตนะ เป น สิ่ งที่ เรายั งมองไม เห็ น ยั งไม ได นํ ามาทํ าการคิ ด นึ ก ให ม าก และทั้ งอานิ ส งส แห งเนวสั ญ ญานาสั ญ ญายตนะ เราก็ ยั ง ไม เ คยได รั บ เลย ยั ง ไม เ คยรู ร สเลย ; จิ ต ของเราจึ ง เป น เช น นั้ น . อานนท ! ความคิดไดเกิดขึ้นแกเราสืบไปวา ถาหากเราไดเห็นโทษในอากิญจัญญยตนะ


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๓๙

แล ว นํ า มาทํ า การคิ ด นึ ก ในข อ นั้ น ให ม าก ได รั บ อานิ ส งส ในเนวสั ญ ญานาสั ญ ญายตนะแลว พึง เสพในอานิส งสนั ้น อยา งทั ่ว ถึง ไซร. ขอ นั ้น แหละ จะเปน ฐานะ ที่ จ ะทํ า ให จิ ต ของเราพึ ง แล น ไป พึ ง เลื่ อ มใส ตั้ ง อยู ไ ด หลุ ด ออกไป ในเนวสัญ ญานาสัญ ญายตนะ โดยที ่เ ห็น อยู ว า นั ่น สงบ. อานนท ! โดยกาลตอ มา เราไดทํ า เชน นั ้น แลว อยา งทั ่ว ถึง จิต ของเราจึง แลน ไป จึง เลื ่อ มใส ตั ้ง อยู ไ ด หลุ ด ออกไป ในเนวสั ญ ญ านาสั ญ ญ ายตนะนั้ น โดยที เ ห็ น อยู ว า นั้ น สงบ. อานนท ! เราแล ผ า นพ น อากิ ญ จั ญ ญายตนะโดยประการทั้ ง ปวงเสี ย แล ว จึ ง บรรลุ เนวสั ญ ญานาสั ญ ญายตนะ แล วแลอยู . อานนท ! แม เมื่ อเราอยู ด วยวิหารธรรมคือเนวสัญญานาสัญญายตนะนี้ การทําในใจตามอํานาจแหงสัญญาที่เปนไป ในอากิญ จัญ ญายตนะ ก็ย ัง เกิด แทรกแซงอยู . ขอ นั ้น ยัง เปน การอาพาธ (ในทางจิต ) แกเ รา. เหมือ นผู ม ีส ุข แลว ยัง มีท ุก ขเ กิด ขึ ้น ขัด ขวาง เพ ราะ อาพาธ ฉันใดก็ฉันนั้น. อานนท ! ความคิด ไดเ กิด ขึ ้น แกเ ราสืบ ไปวา เพื ่อ กํ า จัด อาพาธ ขอนั้นเสีย ถากระไรเรา เพราะผานพ นเนวสัญ ญานาสัญ ญายตนะโดยประการ ทั้งปวงเสียแลว พึ งบรรลุสัญ ญาเวทยิตนิโรธ แลวแลอยูเถิด ดังนี้. อานนท ! แมก ระนั ้น จิต ของเราก็ย ัง ไมแ ลน ไป ไมเ ลื ่อ มใส ไมตั ้ง อยู ไ ด ไมห ลุด ออก ไปในสัญญาเวทยิตนิโรธนั้น ทั้งที่เราเห็นอยูวานั่น สงบ

www.buddhadasa.info อานนท ! ความคิ ด ได เ กิ ด ขึ้ น แก เ ราสื บ ไปว า อะไรหนอ เป น เหตุ เปน ปจ จัย ที ่ทํ า ใหจ ิต ของเราเปน เชน นั ้น . อานนท ! ความรู ส ึก ไดเ กิด ขึ ้น แก เราว า เพราะว า โทษในเนวสั ญ ญานาสั ญ ญายตนะ เป น สิ่ ง ที่ เรายั งมองไม เห็ น ยังไมไดนํามาทําการคิดนึกใหมาก และทั้งอานิสงสแหงสัญญาเวทยิตนิโรธ เราก็


๕๔๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

ยั ง ไม เ คยได รั บ เลย ยั ง ไม เ คยรู ร สเลย ; จิ ต ของเราจึ ง เป น เช น นั้ น , อานนท ! ความคิ ด ได เกิ ด ขึ้ น แก เราสื บ ไปว า ถ าหากเราได เห็ น โทษในเนวสั ญ ญานาสั ญ ญายตนะ แล ว นํ า มาทํ า การคิ ด นึ ก ในข อ นั้ น ให ม าก ได รั บ อานิ ส งส ในสั ญ ญาเวทยิ ต นิโ รธแลว พึง เสพในอานิส งสนั ้น อยา งทั ่ว ถึง ไซร, ขอ นั ้น แหละ จะเปน ฐานะ ที่ จ ะทํ า ให จิ ต ของเราพึ ง แล น ไป พึ ง เลื่ อ มใส ตั้ ง อยู ไ ด หลุ ด ออกไป ในสั ญ ญาเวทยิต นิโ รธ โดยที ่เ ห็น อยู ว า นั ่น สงบ . อานนท ! โดยกาลตอ มา เราได ทํ าเช น นั้ น แล วอย างทั่ วถึ ง จิ ต ของเราจึ งแล น ไป จึ งเลื่ อ มใส ตั้ งอยู ได หลุ ด ออกไป ใน สัญ ญ า เว ท ยิต นิโ รธ นั ้น โด ย ที ่เ ห็น อ ยู ว า นั ่น ส ง บ . อ า น น ท! เรา แ ล ผ านพ นเนวสั ญ ญานาสั ญ ญายตนะโดยประการทั้ งปวงเสี ยแล ว จึ ง บรรลุ สั ญ ญาเวทยิ ต นิ โ รธ แล ว แลอยู (ไม มี อ าพาธอะไร ๆ อี ก ต อ ไป). อนึ่ ง อาสวะทั้ ง หลาย ไดถึงความสิ้นไปรอบ เพราะเราเห็น (อริยสัจสี่) ไดดวยปญญา. - นวก. อํ. ๒๓/๔๕๗/๒๔๕. (ขอความทั้งหมดนี้ สรุปความวา :-

๑. อดีตกามสัญญา ที่ปฐมฌานละแลว จะ มาคอยเปนอาพาธ แกการเขาอยุ ในปฐมฌาน, ๒. อดีตวิตักกธัมมสัญญา ที่ทุติยฌานละแลว จะ มาคอยเปนอาพาธ แกการเขาอยู ในทุติยฌาน. ๓. อดีตปติสัญญา ที่ตติยฌานละแลว จะ มาคอยเปนอาพาธ แกการเขาอยู ในตติยฌาน. ๔. อดีตอุเปขาสัญญา ที่จตุตถฌานละแลว จะ มาคอยเปนอาพาธ แกการเขาอยูใน จตุตถฌาน. ๕. อดี ตรู ปสั ญ ญา ที่ อากาสานั ญ จายตนะละแล ว จะ มาคอยเป นอาพาธ แก การเข าอยู ใน อากาสา นัญ- จายตนฌาน. ๖. อดีตอากาสานัญจายตนสัญญา ที่วิญญาณัญจายตนะละแลว จะ มาคอยเปนอาพาธ แกการเขาอยูใน วิญญาณัญจายตนฌาน. ๗. อดีตวิญญาณั ญจายตนสั ญญา ที่ อากิญจัญญายตนะละแล ว จะ มาคอยเป นอาพาธ แกการเขาอยู ใน อากิญจัญญายตนฌาน.

www.buddhadasa.info


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๔๑

๘. อดี ตอากิ ญจั ญญายตนสั ญญา ที่ เนวสั ญญานาสั ญญายตนะละแล ว จะ มาคอยเป นอาพาธ แก การ เขาอยูใน เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน. ๙. อดี ตเนวสั ญ ญาเนวสั ญ ญายตนสั ญ ญา ที่ ระงับไปแล วเพราะสั ญ ญาเวทยิ ตนิ โรธ ไม อาจมาเป น อาพาธ แกการเขาอยูใน สัญญาเวทยิตนิโรธ).

ปญญาสติกับนามรูปดับ เพราะวิญญาณดับ "ขาแตพระองคผูนิรทุกข! ขาพระองคกราบทูลถามแลว ขอพระ องคจงตรัสบอกธรรมนั้น คือปญญาและสติกับนามรูป แกขาพระองค เถิด;ปญญาและสติกับนามรูปนั้นจะดับไปในที่ไหน? ดูกอนอชิตะ! ทานถามปญหานั้นขอใด เราจะแกปญหา ขอนั้นแกทาน : นามและรูป ยอมดับไมเหลือ ในที่ใด, ปญญาและสติกับนามรูปนั้น ก็ยอมดับไปในที่นั้น, เพราะความ ดับไปแหงวิญญาณ แล. - สุตฺต. ขุ. ๒๕/๕๓๐/๔๒๕. - จูฬนิ. ขุ. ๓๐/๒๐-๒๑/๘๐,๗๕.

www.buddhadasa.info เห็นโลกมีคาเทากับเศษหญาเศษไม

เมื่อเห็นสิ่งทั้งปวงถูกตองตามเปนจริง วาเปนเพียง การเกิดขึ้นของธรรมชาติลวน ๆ วาเปนเพียงการสืบเนื่องกัน เปนสาย ของสิ่งที่มีปจจัยปรุงตอ ๆ กันมาลวน ๆ, แลวความ กลัวยอมไมมี.


๕๔๒

อริยสัจจากพระโอษฐ เมื่ อใดเห็ นด วยป ญญา วาโลกนี้ ไม มี ค าอะไรมากไปกวา เศษหญา เศษไม, เมื ่อ นั ้น เขายอ มไมป รารถนาสิ ่ง ใด ๆ นอก จาก "สิ่งที่ไมมีการเกิดใหมอีกตอไป" ดังนี้แล.

- จูฬนิ. ขุ. ๓๐/๒๕๓/๕๐๕. (ขอความทั้งสองตอนนี้เปนเถรภาษิต นํามาขยายความพุทธภาษิต)

หมดกลม - หยุดหมุน ตั ด "วงก ล ม " ข าด จ าก กั น ก็ ลุ ถึ งส ภ าพ แ ห งค วาม ไม มี อ ะไรเป น ที่ จํ า น งห วั ง . ตั ณ ห าที่ ไห ล ซ าน เมื่ อ ถู ก ทํ าให แห งส นิ ท แ ล ว ก็ไ ห ล ไ ม ไ ด . ว ง ก ล ม ถูก ต ัด แ ล ว (เชน นี ้) ก็หมุนไมได อีกตอไป. นั่นแหละ คือ ที่สุดแหงทุกข ละ. - อุ. ขุ. ๒๕/๑๙๙/๑๔๘.

คนดําหรือคนขาว ลวนมีหวังในนิพพาน

www.buddhadasa.info "ข าแต พระองค ผู เจริญ ! ปู รณกั สสปบั ญญั ติ ชาติ เฉพาะอย าง ๖ ชนิ ด คื อ ชาติดํา ชาติเขียว ชาติแดง ชาติเหลือง ชาติขาว และชาติขาวสุด. ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! ในการบั ญญั ติ ของปู รณกั สสปนั้ น เขาบั ญญั ติ คนฆ า แพะแกะ คนฆ าสุ กร ฆ านก ฆ าเนื้ อ ชาวประมง โจรปล น โจรฆ าคน เจ าหน าที่ เรื อนจํ า หรือคนมีการงานชั้นต่ําอยางอื่น ๆ วาเปน ชาติดํา. ข าแต พระองค ผู เจริ ญ! ปู รณกั สสปบั ญญั ติ ภิ กษุ พวกกั ณฑกพฤติ หรื อพวก กัมมวาทพวกกิริยวาทอื่น ๆ วาเปน ชาติเขียว.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๔๓

ขาแตพระองคผูเจริญ ! ปูรณกัสสปบัญญั ติพวกนิครนถมีผาผืนเดียว วาเปน ชาติแดง. ขาแตพระองคผูเจริญ ! ปูรณกัสสปบัญญั ติพวกคฤหัสถผูนุงขาวผูเปนสาวกอเจลก วาเปนชาติเหลือง. ข าแต พรองค ผู เจริญ ! ปู รณกั สสปบั ญ ญั ติ พ วกอาชี วก พวกอาชี วกิ นี (หญิง) วาเปนชาติขาว. ขาแตพระองคผูเจริญ! ปูรณกัสสปบัญญัติเจาลัทธิชื่อนันทวัจฉะ กิจจสังกิจจะ และมักขลิโคสาละ วาเปนชาติขาวสุด. ขาแตพระองคผูเจริญ ! ปูรณกัสสปบัญญัติชาติเฉพาะอยาง ๖ ชนิด เหลานี้แล พระเจาขา !" อานนท ! โลกทั้ ง ปวง ยอมรั บ รู ก ารบั ญ ญั ติ อภิ ช าติ ๖ ชนิ ด ของ ปูรณกัสสปนั้นหรือ ? "ขอนั้นหามิได พระเจาขา !"

www.buddhadasa.info อานนท ! ถ า อย า งนั้ น มั น ก็ เหมื อ นกั บ คนยากจนเข็ ญ ใจไม มี ท รั พ ย ติ ด ตั ว ทั้ งไม ป รารถนาจะได เนื้ อ ซึ่ งต อ งใช ค า เนื้ อ ตามสั ด ส ว น, เมื่ อ มี ค นมากล า ว วา "บุร ุษ ผู เ จริญ ! เนื ้อ นี ้น า กิน แตท า นตอ งใชค า เนื ้อ " ดัง นี ้แ ลว ; เขา ย อ มปฏิ เสธ; ฉั น เดี ย วกั บ ปู ร ณกั ส สป ไม ไ ด รั บ การรั บ รู จ ากสมณพราหมณ ทั้ ง หลาย แล วมาบั ญ ญั ติ อ ภิ ชาติ ๖ ชนิ ด นี้ มี ลั ก ษณะเป น คนโง คนไม เฉี ย บแหลม ไมรูจ ัก ขอบเขต ไมฉ ลาด ฉัน ใดก็ฉ ัน นั ้น . อานนท ! เราแหละจะบัญ ญัติ อภิ ช าติ ๖ ชนิ ด , เธอจงฟ ง จงทํ า ในใจให ด ี , เราจะกล า ว. อานนท ! อภิชาติ ๖ ชนิด เปนอยางไรเลา ?


๕๔๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

อานนท ! ในกรณี แ ห ง อภิ ช าติ หก นี้ คื อ คนบางคนมี ช าติ ดํ า ก อ ใหเ กิด ธรรมดํ า ๑, บางคนมีช าติดํ า กอ ใหเ กิด ธรรมขาว ๑, บางคนมีช าติ ดํ า ก อ ให เกิ ด นิ พ พาน (ความสิ้ น ราคะโทสะโมหะ) อั น เป น ธรรมไม ดํ าไม ข าว ๑, บางคนมีช าติข าว กอ ใหเ กิด ธรรมดํ า ๑, บางคนมีช าติข าว กอ ใหเ กิด ธรรม ขาว ๑, บางคนมีชาติขาว กอใหเกิดนิพพานอันเปนธรรมไมดําไมขาว ๑. อานนท ! คนมี ช าติ ดํ า ก อ ให เ กิ ด ธรรมดํ า เป น อย า งไรเล า ? อานนท ! คนบางคนในกรณ ีนี ้ เกิด ใน ต ระกูล ต่ํ า คือ ตระกูล จัณ ฑ าล ตระกูล พราน ตระกูล จัก สาน ตระกูล ทํ า รถ หรือ ตระกูล เทหยากเยื ่อ ซึ ่ง เปน คนยากจน มีข า วและน้ํ า นอ ย เปน อยู ฝ ด เคือ ง มีอ าหารและเครื ่อ งนุ ง หม หา ได โ ดยยาก เขาเป น ผู มี ผิ ว พรรณทราม ไม น า ดู เตี้ ย ค อ ม ขี้ โ รค ตาบอด ง อ ย กระจอก มี ตั ว ตะแคงข า ง ไม ค อ ยจะมี ข า ว น้ํ า เครื่ อ งนุ ง ห ม ยานพาหนะ ดอกไม ของหอม เครื่ อ งลู บ ไล ที่ น อน ที่ อ ยู และประที ป โคมไฟ แต เขาก็ ยั ง ประพฤติก ายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ครั้นประพฤติทุจริตแลว เบื้องหนา แต ก ารตายเพราะการทํ า ลายแห ง กาย ย อ มเข า ถึ ง อบายทุ ค ติ วิ บ าตนรก. อย า ง นี้แล อานนท ! เรียกวาคนมีชาติดํา กอใหเกิดธรรมดํา.

www.buddhadasa.info อานนท ! คนมี ช าติ ดํ า ก อ ให เกิ ด ธรรมขาว เป น อย า งไรเล า ? อานนท ! คนบางคนในกรณี นี้ เกิ ด ในตระกู ล ต่ํ า คื อ ตระกู ล จั ณ ฑาล ตระกู ล พราน ...ฯลฯ... มีอ าหารและเครื ่อ งนุ ง หม หาไดโ ดยยาก มีผ ิว พรรณทราม ไม น  า ดู ....ฯ ล ฯ .... ไม ค  อ ย จ ะ มี ข  า ว น้ํ า ....ฯ ล ฯ ,.... ป ร ะ ที ป โค ม ไฟ แตเ ขา ประพฤติก ายสุจ ริต วจีส ุจ ริต มโนสุจ ริต ครั้น ประพฤติส ุจ ริต แลว เบื้ อ งหน า แต ก ารตาย เพราะการทํ า ลายแห ง กาย ย อ มเข า ถึ ง สุ ค ติ โ ลกสวรรค . อยางนี้แล อานนท ! เรียกวา คนมีชาติดํา กอใหเกิดธรรมขาว.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๔๕

อานนท! คนมีช าติดํ า กอ ใหเ กิด นิพ พานอัน เปน ธรรมไมดํ า ไม ขาว เป น อย า งไรเล า ? อานนท ! คนบางคนในกรณี นี้ เกิ ด ในตระกู ล ต่ํ า คื อ ตระกุ ล จั ณ ฑาล ตระกู ล พราน ....ฯลฯ.... มี ผิ ว พรรณทราม ไม น า ดู เตี้ ย ค อ ม. เขาปลงผมและหนวด ครองผ า ย อ มฝาดออกจากเรื อ น บวชเป น ผู ไม มี ป ระโยชน เกี่ ย วข อ งด ว ยเรื อ น. เขานั้ น ครั้ น บวชแล ว อย า งนี้ ละนิ ว รณ ทั้ ง ห า อั น เป น เครื่องเศราหมองจิตทํ าป ญญาให ถอยกํ าลัง ได แล ว มี จิ ตตั้ งมั่ นดี ในสติ ป ฏฐานทั้ งสี่ ยังโพชฌงคเจ็ดให เจริญ แลวตามที่เปน จริง ชื่อวายอมกอใหเกิดนิพ พานอันเปน ธรรมไม ดํ า ไม ข าว. อย า งนี้ แ ล อานนท ! เรี ย กว า คนมี ช าติ ดํ า ก อ ให เ กิ ด นิพพานอันเปนธรรมไมดําไมขาว. อานนท ! คนมี ช าติ ข าว ก อ ให เ กิ ด ธรรมดํ า เป น อย า งไรเล า ? อานนท ! คนบางคนในกรณ ีนี ้ เกิด ในสกุล สูง คือ สกุล กษัต ริย ม หาศาล สกุ ล พราหมณ ม หาศาล หรื อ สกุ ล คหบดี ม หาศาล อั น มั่ งคั่ ง มี ท รั พ ย ม าก มี โภคะ มาก มี ท องและเงิ น พอตั ว มี อุ ป กรณ แ ห ง ทรั พ ย พ อตั ว มี ท รั พ ย แ ละข า วเปลื อ ก พอตัว เขามีร ูป งาม นา ดู นา เลื ่อ มใส ประกอบดว ยความเกลี ้ย งเกลาแหง ผิ ว พรรณอย า งยิ่ ง ร่ํ า รวยด ว ยข า วด ว ยน้ํ า เครื่ อ งนุ ง ห ม ยานพาหนะ ดอกไม ของหอม เครื ่อ งลูบ ไล ที ่น อน ที ่อ ยู  และประทีป โคมไฟ แตเ ขา ประพฤติ กายทุ จ ริต วจี ทุ จ ริต มโนทุ จ ริต ครั้น ประพฤติ ทุ จริตแล ว เบื้ องหน าแต การตาย เพราะการทํ า ลายแห ง กาย ย อ มเข า พึ ง อบายทุ ค ติ วิ นิ บ าตนรก. อย า งนี้ แ ล อานนท ! เรียกวา คนมีชาติขาว กอใหเกิดธรรมดํา.

www.buddhadasa.info อานนท ! คนมี ช าติ ข าว ก อ ให เกิ ด ธรรมขาว เป น อย า งไรเล า ? อานนท ! คนบางคนในกรณี นี้ เกิ ด ในสกุ ล สู ง คื อ สกุ ล กษั ต ริ ย ม หาศาล


๕๔๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

ส กุล พ ราห ม ณ ม ห าศ าล ....ฯล ฯ .... มีท รัพ ยแ ล ะขา วเป ลือ ก พ อ ตัว มีร ูป ง า ม ....ฯ ล ฯ .... ร่ํ า ร ว ย ด ว ย ข า ว น้ํ า ....ฯ ล ฯ .... ป ร ะ ที ป โ ค ม ไ ฟ ; เขา ประพฤติก ายสุจ ริต วจีส ุจ ริต มโนสุจ ริต ครั้น ประพฤติส ุจ ริต แลว เบื ้อ ง หน า แต ก ารตายเพราะการทํ า ลายแห ง กาย ย อ มเข า ถึ ง สุ ค ติ โลกสวรรค . อย า งนี้ แล อานนท ! เรียกวา คนมีชาติขาว กอใหเกิดธรรมขาว. อานนท ! คนชาติข าว กอ ใหเ กิด นิพ พานอัน เปน ธรรมไมดํ า ไม ขาว เป น อย า งไรเล า ? อานนท ! คนบางคนในกรณี นี ้ เกิ ด ในสกุ ล สู ง คื อ ส กุ ล ก ษั ต ริ ย  ม ห า ศ า ล ส กุ ล พ ร า ห ม ณ  ม ห า ศ า ล ....ฯ ล ฯ มี ท รั พ ย แ ล ะ ข า ว เป ล ื อ ก พ อ ต ั ว ม ี ร ู ป ง า ม ....ฯ ล ฯ .... ร่ํ า ร ว ย ด  ว ย ข า ว น้ํ า .... ฯลฯ.... ประที ป โคมไฟ. เขาปลงผมและหนวด ครองผ า กาสายะ ออกจาก เรือ น บ วชเปน ผู ไ มม ีป ระโยชนเ กี ่ย วขอ งดว ยเรือ น , เขานั ้น ค รั ้น บ วชแลว อย างนี้ ละนิ วรณ ทั้ งห า อั นเป นเครื่องเศราหมองใจทํ าป ญ ญาให ถอยกํ าลั งได แล ว มีจิตตั้งมั่นดี ในสติปฏฐานทั้งสี่ ยังโพชฌงคเจ็ดใหเจริญแลวตามที่เปนจริง ชื่ อ ว า ย อ มก อ ให เ กิ ด นิ พ พานอั น เป น ธรรมไม ดํ า ไม ข าว. อย า งนี้ แ ล อานนท ! เรียกวา คนมีชาติขาว กอใหเกิดนิพพานอันเปนธรรมไมดําไมขาว.

www.buddhadasa.info อานนท ! เหลานี้แล อภิชาติ ๖ ชนิด.

- ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๒๘/๓๒๙.

วิมุตติไมมีความตางกันตามวรรณะของผูปฏิบัติ "ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! วรรณะสี่ เหล านี้ คื อกษั ตริ ย พราหมณ แพศย ศูทร มีอยู, ถาชนในแตละวรรณะเหลานั้น ประกอบดวยองคแหงผูควรประกอบความเพียร


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๔๗

หา๑ เหลานี้แลว, ขาแตพระองคผูเจริญ ! ความผิดแปลกแตกตางกันแหงชนเหลานั้น จะพึง มีอยูในกรณีนี้อีกหรือ ?" มหาราช ! ในกรณี นี้ ตถาคตกล า วแต ค วามแตกต างกั น แห งความ เพีย รของชนเหลา นั ้น . มหาราช ! เปรีย บเหมือ นคู แ หง ชา งที ่ค วรฝก คู แ หง มา ที่ ค วรฝ ก หรื อ คู แ ห ง โคที่ ค วรฝ ก ก็ ดี ที่ เ ขาฝ ก ดี แ ล ว แนะนํ า ดี แ ล ว และคู แ ห ง ช า งที่ ค วรฝ ก คู แ ห ง ม า ที่ ค วรฝ ก หรื อ คู แ ห ง โคที่ ค วรฝ ก ก็ ดี ที่ เขาไม ได ฝ ก ไม ได แนะนํ า ก็ มี อ ยู , มหาราช ! มหาบพิ ต รจะสํ า คั ญ ความข อ นี้ ว า อย า งไร : คู แ ข ง สั ต ว ที่ ฝ ก ดี แ ล ว นั้ น จะพึ ง ถึ ง ซึ่ ง การณะแห ง สั ต ว ที่ ฝ ก แล ว พึ ง บรรลุ ถึ ง ซึ่ ง ภู มิ แ ห ง สั ต ว ที่ ฝ ก แล ว มิ ใ ช ห รื อ ? "ข อ นั้ น เป น อย า งนั้ น พระเจ า ข า !" ส ว นคู แ ห ง สั ต ว เหล าใดที่ ไม ถู ก ฝ กไม ถู กแนะนํ า สั ต ว เหล านั้ นจะพึ งถึ งซึ่ งการณะแห งสั ต ว ที่ ฝ ก แล ว พึง บรรลุถ ึง ซึ ่ง ภูม ิแ หง สัต วที ่ฝ ก แลว เชน เดีย วกับ คู แ หง สัต วที ่ฝ ก ดีแ ลว แนะนํ า ดีแ ลว เหลา โนน แลหรือ ? "ขอ นั ้น หามิไ ด พระเจา ขา !" มหาราช! ผลอัน ใด ที่ ผู มี สั ท ธา มี อ าพาธน อ ย ไม โ อ อ วด ไม มี ม ายา ปรารภความเพี ย ร มี ป ญ ญา จะพึ ง บรรลุ ไ ด นั้ น , ผู ที่ ไ ม มี สั ท ธา มี อ าพาธมาก โอ อ วด มี ม ายา ขี้ เ กี ย จ ไร ปญ ญ า จัก บรรลุซึ ่ง ผลอยา งเดีย วกัน นั ้น ไดห นอ ขอ นั ้น ไมเ ปน ฐานะที ่ม ีไ ด, ฉันใดก็ฉันนั้น.

www.buddhadasa.info "ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! พระผู มี พระภาคตรั สอย างมี เหตุ พระผู มี พระภาค ตรัสอย างมี ผล. ข าแต พระองค ผู เจริญ ! วรรณะสี่ เหล านี้ คื อ กษั ตริย พราหมณ แพศย ศูทร มีอยู. ถาชนในแตละวรรณะเหลานั้น ประกอบดวยองคแหงผูมีความเพียรหาเหลานี้

๑. ดูร ายละเอีย ดที ่ห ัว ขอ วา "ผู ม ีล ัก ษณ ะควรประกอบความเพีย ร" ที ่ห มวดสัม มาวายามะ ในภาค ๔ ; หรือดูโดยยอ ที่ตอนทายของยอหนาถัดไปจากยอหนานี้.


๕๔๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

แลว และเปนผูมีความเพียรโดยชอบอยู แลวยังจะมีความผิดแปลกแตกตางกันแหงชนเหลานั้น ในกรณีนี้ อยูอีกหรือ ?" มหาราช! ในกรณี นี้ ตถาคตไม กลาวความแตกต างไร ๆ ในระหวาง ชนเหล า นั้ น เลย ในเมื่ อ กล า วเปรี ย บเที ย บกั น ถึ ง วิ มุ ต ติ กั บ วิ มุ ต ติ . มหาราช! เปรี ย บเหมื อ นบุ รุ ษ ถื อ เอาดุ น ไม ส าละแห ง มาแล ว ทํ า ไฟให เกิ ด ขึ้ น ทํ า เตโชธาตุ ให ปรากฏ และบุ รุ ษ อี ก คนหนึ่ ง ถื อ เอาดุ น ไม ม ะม ว งแห ง มาแล ว ทํ า ให ไ ฟเกิ ด ขึ้ น ทํ า เตโชธาตุ ใ ห ป รากฏ และหรื อ บุ รุ ษ อี ก คนหนึ่ ง ถื อ เอาดุ น ไม ม ะเดื่ อ มาแล ว ทํ า ไฟ ใหเ กิด ขึ ้น ทํ า เต โช ธ าตุใ หป ราก ฏ . ม ห าราช ! ม ห าบ พิต ร จ ะ สํ า คัญ ความข อ นี้ ว าอย างไร : ความต างกั น ใด ๆ ของไฟเหล านั้ น ที่ เกิ ด จากไม ต าง ๆ กั น จะพึง มีแ ลหรือ เมื ่อ เปรีย บกัน ซึ ่ง เปลวดว ยเปลว ซึ ่ง สีด ว ยสี ซึ ่ง แสงดว ยแสง ? "ข อ นั้ น หามิ ไ ด พระเจ า ข า !" มหาราช! ข อ นี้ ก็ ฉั น นั้ น เหมื อ นกั น : เดช (แห ง ธรรม) อัน วิร ิย ะนฤมิต ขึ ้น อัน ปธานกระทํ า ใหเ กิด ขึ ้น ใด ๆ มีอ ยู , ตถาคต ไม ก ล า วความแตกต า งไร ๆ ในเดช (แห ง ธรรม) นั้ น เมื่ อ กล า วเที ย บกั น ถึ ง วิ มุ ต ติ กับวิมุตติ ดังนี้.

www.buddhadasa.info - ม. ม. ๑๓/๕๒๒-๕๒๓/๕๗๘-๕๗๙.

อริยโลกุตตรธรรมสําหรับคนทุกคนทุกวรรณะ

"พระโคดมผู เจริ ญ ! พราหมณ ทั้ งหลาย ย อมบั ญญั ติ ทรั พย สี่ ประการ คื อ บัญญั ติทรัพยประจําตัวของพราหมณ บัญญั ติทรัพยประจําตัวของกษัตริย บัญญั ติทรัพย ประจําตัวของแพศย บัญญัติทรัพยประจําตัวของศูทร.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๔๙

พระโคดมผู เจริ ญ ! ในทรั พย สี่ ประการนั้ น พวกพราหมณ บั ญ ญั ติ การ ภิกขาจารวาเปนทรัพยประจําตัวของพวกพราหมณ ถาพวกพราหมณดูหมิ่นการภิกขาจาร ซึ่งเป นทรัพย ประจํ าตั วของตนเสี ย ไปทํ ากิ จนอกหน าที่ ของตน เขาก็ จะเป นเหมื อนเด็ กเลี้ ยง วัวเที่ ยวขโมยของของผู อื่ นอยู . พระโคดมผู เจริญ ! นี่ แหละ พวกพราหมณ บั ญญั ติ ทรัพย ประจําตัวสําหรับพราหมณ. พระโคดมผูเจริญ ! ในทรัพย สี่ ประการนั้ น พวกพราหมณ บั ญญั ติ คั นศร และกําแหงลูกศรวาเปนทรัพยประจําตัวของพวกกษัตริย ถาพวกกษัตริยหมิ่นคันศรและ กําแหงลูกศรซึ่งเปนทรัพยประจําตัวของตนเสีย ไปทํากิจนอกหนาที่ของตน เขาก็จะเปนเหมือน เด็ กเลี้ ยงวัวเที่ ยวขโมยของผู อื่นอยู . พระโคดมผู เจริญ! นี่ แหละ พวกพราหมณ บั ญญั ติ ทรัพยประจําตัวสําหรับกษัตริย. พระโคดมผูเจริญ ! ในทรัพยสี่ประการนั้น พวกพราหมณ บั ญญั ติ กสิ กรรม และโครักขกรรมวาเปนทรัพยประจําตัวของพวกแพศย ถาพวกแพศยดูหมิ่นกสิกรรม และโครักขกรรมซึ่ งเป นทรัพย ประจํ าตั วของตนเสี ย ไปทํ ากิ จนอกหน าที่ ของตน เขาก็ จะเป น เหมื อนเด็ กเลี้ ยงวัวเที่ ยวขโมยของของผู อื่ นอยู , พระโคดมผู เจริญ ! นี่ แหละ พวกพราหมณ บัญญัติทรัพยประจําตัวสําหรับแพศย.

www.buddhadasa.info พระโคดมผูเจริญ ! ในทรัพยสี่ประการนั้น พวกพราหมณ บั ญญั ติเคี ยวและ ไมคานวาเปนทรัพยประจําตัวของพวกศูทร ถาพวกศูทรดูหมิ่นเดียวและไมคานซึ่งเปน ทรัพยประจําตั วของตนเสี ย ไปทํ ากิจนอกหน าที่ ของตน เขาก็จะเป นเหมื อนเด็ กเลี้ยงวัวเที่ ยว ขโมยของของผูอื่นอยู. พระโคดมผูเจริญ ! นี่แหละ พวกพราหมณ บัญญั ติทรัพยประจําตัว สําหรับศูทร.


๕๕๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

พวกพราหมณ บั ญญั ติ ทรัพย สี่ ประการเหล านี้ ; ในกรณี นี้ พระโคดมผู เจริญ กลาวอยางไร ? พราหมณ ! โลกทั้ ง ปวงยอมรั บ รู ก ารบั ญ ญั ติ เ ช น นั้ น ของพราหมณ ทั้ งหลาย ว าคนทั้ งหลายจงบั ญ ญั ติ ทรั พ ย ทั้ งสี่ อย างเหล านี้ เถอะ ดั งนี้ หรื อ? "ข อนั้ น หามิได พระโคดมผูเจริญ!" พราหมณ  ! ขอ นี ้เ ปรีย บเหมือ นคนยากจนเข็ญ ใจไรท รัพ ย มีอ ยู คนพวกหนึ่ ง แขวนเนื้ อ (ที่ ทํ า ไว เป น ชุ ด ๆ) แสดงแก เขาผู ไ ม ป รารถนา โดยกล า วว า "บุ รุ ษ ผู เ จริ ญ ! เนื้ อ นี้ น า กิ น แต ต อ งใช มู ล ค า " ดั ง นี้ นี้ ฉั น ใด ; พราหมณ เอย! พราหมณ ทั้ งหลาย ไม ได รั บการรั บรู ของสมณพราหมณ ทั้ งหลาย แล ว ก็ มาบั ญ ญั ติ ทรัพ ยทั ้ง หลายสี ่เ หลา นั ้น ก็ฉ ัน นั ้น . พราหมณ ! เราบัญ ญัต ิโ ลกุต ตรธรรม อันประเสริฐวาเปนทรัพยประจําตัวสําหรับคน. - ม. ม. ๑๓/๖๑๔-๖๑๕/๖๖๕-๖๖๖

www.buddhadasa.info นิทเทศ ๑๐ วาดวยธรรมเปนที่ดับแหงตัณหา จบ


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๕๑

นิทเทศ ๑๐ วาดวยผูดับตัณหา (มี ๑๐๖ เรื่อง)

ปุถุชน คือ ผูยึดถือเต็มที่

ภิก ษุ ท .! ปุถ ุช น ใน โล ก นี ้ ผู ไ มไ ดย ิน ไดฟ ง ไมไ ดเ ห็น บ รรด า พระอริ ย เจ า ไม ฉ ลาดในธรรมของพระอริ ย เจ า ไม ถู ก แนะนํ า ในธรรมของพระอริย เจา , ไมไ ดเ ห็น หมู ส ัต บุร ุษ ไมฉ ลาดในธรรมของสัต บุร ุษ ไมถ ูก แนะนํ า ในธรรมของสั ต บุ รุ ษ . ย อ ม เข า ใจ ดิ น น้ํ า ไฟ ลม โดยความเป น ดิ น น้ํ า ไฟ ลม; เมื่ อ เข า ใจ ดิ น น้ํ า ไฟ ลม โดยความเป น ดิ น น้ํ า ไฟ ลม แล ว , ย อ ม หมายมั่ น ดิ น น้ํ า ไฟ ลม ; ย อ มหมายมั่ น ใน ดิ น น้ํ า ไฟ ลม; ย อ มหมายมั่ น โดยความเป น ดิ น น้ํ า ไฟ ลม; ย อ มหมายมั่ น ว า 'ดิ น น้ํ า ไฟ ลม เป น ของเรา' ดัง นี ้; เขา ยอ มเพลิด เพลิน ยิ ่ง ตอ ดิน น้ํ า ไฟ ลม. ขอ นั ้น เพราะเหตุไ รเลา ? เราขอตอบวา "เพราะวา ดิน น้ํา ไฟ ลม เปนสิ่งที่ปุถุชนนั้น ยังไมไดรูรอบ." ดังนี้แล.

www.buddhadasa.info - ม. ม. ๑๒/๑/๒. (สิ่ ง ที่ ปุ ถุ ช นไม รู จั ก แล ว หมายมั่ น เพลิ ด เพลิ น นั้ น ยั ง ตรั ส ไว ต อ ไปอี ก ในสู ต รนี้ คื อ ภู ต สั ต ว เทพปชาบดี พรหม อาภั ส สรพรหม สุ ภ กิ ณ หพรหม เวหั ป ผลพรหม อภิ ภู อากาสานั ญ จายตนะ วิ ญ ญาณั ญ จายตนะ อากิ ญ จั ญ ญายตนะ เนวสั ญ ญานาสั ญ ญายตนะ สิ่ งที่ เห็ น แล ว สิ่ ง ที่ไดยินแลว สิ่งที่รูจักแลว สิ่งที่รูแจงแลว เอกภาวะ นานาภาวะ สิ่งทั้งปวง และนิพพาน).

พระเสขะ คือ ผูกําลังจะไมยึดถือ ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ใด แม ยั ง เป น พระเสขะ ยั ง ไม บ รรลุ ถึ ง อรหั ต ตมรรค ยังปรารถนาพระนิพพาน อันเปนที่เกษมจากโยคะ ไมมีอื่นยิ่งกวา อยู, ภิกษุ


๕๕๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

แมนั ้น ยอ ม รู ช ัด แจง ซึ ่ง ดิน น้ํ า ไฟ ลม โดยความเปน ดิน น้ํ า ไฟ ลม; เมื ่อ รู ชั ด แจ ง ซึ่ ง ดิ น น้ํ า ไฟ ลม โดยสั ก แต ว า เป น ดิ น น้ํ า ไฟ ลม แล ว , เป น ผู จะไมห มายมั ่น ๑ ซึ ่ง ดิน น้ํ า ไฟ ลม; จะไมห มายมั ่น ในดิน น้ํ า ไฟ ลม ; จะไม ห มายมั่ น โดยความเป น ดิ น น้ํ า ไฟ ลม; จะไม ห มายมั่ น ว า 'ดิ น น้ํ า ไฟ ลม เปน ของเรา' ดัง นี ้ ; จึง เปน ผู ไ มม ีป รกติเ พลิด เพลิน ยิ ่ง ซึ ่ง ดิน น้ํ า ไฟ ลม, ขอ นั ้น เพราะเหตุไ รเลา ? เราขอตอบวา "เพราะวา ดิน น้ํ า ไฟ ลม เปนสิ่งที่ภิกษุผูเสขะนั้น จะตองไดรูรอบ." ดังนี้แล. - มู. ม. ๑๒/๖/๒.

ปุถุชน คือ ผูที่ยังไมรูจักนิพพาน ภิก ษุ ท .! ปุถ ุช น ใน โล ก นี ้ ผู ไ มไ ดย ิน ไดฟ ง ไมไ ดเ ห็น บ รรด า พระอริ ย เจ า ไม ฉ ลาดในธรรมของพระอริ ย เจ า ไม ถู ก แนะนํ า ในธรรมของพระอริ ย เจ า , ไม ไ ด เ ห็ น หมู สั ต บุ รุ ษ ไม ฉ ลาดในธรรมของสั ต บุ รุ ษ ไม ถู ก แนะนํ า ใน ธรรมของสั ต บุ รุ ษ , ย อ ม เข า ใจ นิ พ พาน โดยความเป น นิ พ พาน; เมื่ อ เข า ใจ นิ พ พานโดยความเป น นิ พ พานแล ว , ย อ ม หมายมั่ น ซึ่ ง นิ พ พาน; ย อ มหมายมั่ น ใน นิ พ พ า น ; ย อ ม ห ม า ย มั ่ น โด ย ค ว า ม เป น นิ พ พ า น ; ย อ ม ห ม า ย มั ่ น ว า 'นิพพาน เปนของเรา' ดังนี้. เขา ยอมเพลิดเพลินยิ่ง ตอนิพพาน. ขอนั้น

www.buddhadasa.info

๑. ที ่ว า "จะไมห มายมั ่น " ในที ่นี ่นั ้น ใหเ ขา ใจวา หมายมั ่น ก็ไ มใ ช ไมห มายมั ่น เสีย เลยก็ไ มใ ช ยัง อยู ใ น ระหวา ง ๆ ในบาลีจ ึง ใชคํ า วา 'มามฺ' แทนที ่จ ะใชคํ า วา มฺ หรือ มมฺ เปนลักษณะของพระเสขะ ซึ่งอยูในระหวางปุถุชนกับพระอเสขะ. สํ า หรั บ วั ต ถุ เ ป น ที่ ตั้ ง แห ง ความยึ ด ถื อ ก็ ไ ด ต รั ส ไว เ ต็ ม จํ า นวนเหมื อ นที่ ก ล า วไว ใ น หัวขออันวาดวยปุถุชนขางบนนั่นเอง.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๕๓

เพราะเหตุไ รเลา ? เราขอตอบวา "เพราะวา นิพ พาน เปน สิ ่ง ที ่ป ุถ ุช นนั ้น ยัง ไมไดรูรอบ" ดังนี้แล. - มู. ม. ๑๒/๕/๒.

พระเสขะ คือ ผูที่กําลังจะรูจักนิพพาน ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ใด แม ยั งเป น พระเสขะ ยั งไม บ รรลุ ถึ งอรหั ต ตมรรค ยั งปรารถนาพระนิ พ พานอั น เป น ที่ เกษมจากโยคะ ไม มี อื่ น ยิ่ งกว า อยู , ภิ กษุ แม นั้ น ยอ ม รู ช ัด แจง ซึ ่ง นิพ พาน โดยความเปน นิพ พาน ; เมื ่อ รู ช ัด แจง ซึ ่ง นิพ พาน โดยสัก แตว า เปน นิพ พานแลว , ยอ มเปน ผู  จะไมห มายมั ่น ซึ ่ง นิพ พาน; จะ ไม ไ ม ห มายมั่ น ในนิ พ พาน; จะไม ห มายมั่ น โดยความเป น นิ พ พาน; จะไม หมายมั ่น วา 'นิพ พาน เปน ของเรา' ดัง นี ้; จึง เปน ผู  ไมม ีป รกติเ พลิด เพลิน ยิ ่ง ซึ ่ง นิพ พาน. ขอ นั ้น เพราะเหตุไ รเลา ? เราขอตอบวา "เพราะวา นิพ พ าน เปนสิ่งที่ภิกษุผูเสขะนั้น จะตองไดรูรอบ." ดังนี้แล. - มุ. ม. ๑๒/๖/๓.

www.buddhadasa.info พระอเสขะ คือ ผูที่หมดความยึดถือทุกสิ่ง

ภิ กษุ ท .! ภิ กษุ ใด เป น พ ระอ รหั น ต ผู สิ้ น อาสวะแล ว อยู จ บ พรหมจรรย ทํ า กิจ ที ่ต อ งทํ า สํ า เร็จ แลว มีภ าระอัน ปลงลงแลว มีป ระโยชน ของตนอั น ตามบรรลุ ถึ ง แล ว มี สั ง โยชน ใ นภพสิ้ น ไปหมดแล ว เป น ผู ห ลุ ด พ น แล ว เพราะรู โ ดยชอบ, ภิก ษุแ มนั ้น ก็ย อ ม รู ช ัด แจง ซึ ่ง ดิน น้ํ า ไฟ ลม โดย ความเปนดิน น้ํา ไฟ ลม; เมื่อรูชัดแจง ซึ่งดิน น้ํา ไฟ ลม โดยสักแตวา


๕๕๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

เป น ดิ น น้ํ า ไฟ ลม แล ว , ย อ ม ไม เ ป น ผู ห มายมั่ น ซึ่ ง ดิ น น้ํ า ไฟ ลม; ไม หมายมั ่น ในดิน น้ํ า ไฟ ลม; ไมห มายมั ่น โดยความเปน ดิน น้ํ า ไฟ ลม ; ไม ห มายมั่ น ว า 'ดิ น น้ํ า ไฟ ลม เป น ของเรา' ดั งนี้ ; จึ ง ไม เป น ผู เพลิ ด เพลิ น ยิ่ ง ซึ ่ง ดิน น้ํ า ไฟ ล ม . ขอ นั ้น เพ ราะ เห ตุไ รเลา ? เราขอ ต อ บ วา "เพ ราะ วา ดิน น้ํา ไฟ ลม เปนสิ่งที่ภิกษุผูอรหันตขีณาสพนั้น ไดรูรอบแลว" ดังนี้แล. - มู. ม. ๑๒/๖/๔. (ในสู ต รนี้ ได ต รั ส สิ่ ง เป น ที่ ตั้ ง แห ง ความยึ ด ถื อ นอกไปจากดิ น น้ํ า ไฟลมอี ก คื อ ภู ต สั ต ว เทพ ปชาบดี พรหม อาภั ส สรพรหม สุ ภ กิ น หพรหม เวหั ป ผลพรหม อภิ ภู อากาสานั ญ จายตนะ ฯลฯ เนวสั ญ ญานาสั ญ ญายตนะ สิ่ ง ที่ เห็ น แล ว -ฟ ง แล ว -รู สึ ก -รู แ จ ง แล ว เอกภาวะ นานาภาวะ สิ่งทั้งปวง และนิพพาน).

พระอเสขะ คือ ผูที่ไมยึดถือแมในนิพพาน ภิ กษุ ท .! ภิ กษุ ใด เป น พ ระอ รหั น ต ผู สิ้ น อาสวะแล ว อยู จ บ พรหมจรรย ทํ า กิ จ ที่ ต อ งทํ า สํ า เร็ จ แล ว มี ภ าระอั น ปลงลงแล ว มี ป ระโยชน ของตน อั น ตามบรรลุ ถึ ง แล ว มี สั ง โยชน ใ นภพสิ้ น ไปรอบแล ว เป น ผู ห ลุ ด พ น แล ว เพราะ รู โ ดยชอบ, ภิ ก ษุ แ ม นั้ น ก็ ย อ ม รู ชั ด แจ ง ซึ่ ง นิ พ พาน โดยความเป น นิ พ พาน; เมื ่อ รู ช ัด แจง ซึ ่ง นิพ พ าน โดยสัก แตว า เปน นิพ พ านแลว , ยอ ม ไมเ ปน ผู หมายมั ่น ซึ ่ง นิพ พาน; ไมห มายมั ่น ในนิพ พาน; ไมห มายมั ่น โดยความ เป น นิ พ พ าน ; ไม ห ม ายมั่ น ว า 'นิ พ พ าน เป นของเรา' ดั ง นี้ ; จึ ง ไม เป น ผู เพลิ ด เพลิ น ซึ่ ง นิ พ พาน. ข อ นั้ น เพราะเหตุ ไ รเล า ? เราขอตอบว า "เพราะว า นิพพาน เปนสิ่งที่ภิกษุผูอรหันตขีณาสพนั้นไดรูรอบแลว" ดังนี้แล.

www.buddhadasa.info - มู. ม. ๑๒/๗/๔.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๕๕

ไตรสิกของพระอเสขะ ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ป ระกอบด ว ยธรรมสามประการ ย อ มเป น ผู มี ค วาม สํ า เร็จ ถึง ที ่ส ุด มีโ ยคัก เขมธรรมถึง ที ่ส ุด มีพ รหมจรรยถ ึง ที ่ส ุด จบกิจ ถึง ที ่ส ุด เป น ผู ป ระเสริ ฐ กว า เทวดาและมนุ ษ ย ทั้ ง หลาย. ประกอบด ว ยธรรมสามประการ อยางไรเลา ? ประกอบดวยธรรมสามประการ คือ :ประกอบดวย สีลขันธ อันเปนอเสขะ ๑; ประกอบดวย สมาธิขันธ อันเปนอเสขะ ๑; ประกอบดวย ปญญาขันธ อันเปนอเสขะ ๑; ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ป ระกอบด ว ยธรรมสามประการเหล า นี้ แ ล ย อ มเป น ผู มี ค วามสํ า เร็ จ ถึ ง ที่ สุ ด มี โยคั ก เขมรธรรมถึ ง ที่ สุ ด มี พ รหมจรรย ถึ ง ที่ สุ ด จบกิ จ ถึ ง ที่สุด เปนผูประเสริฐกวาเทวดาและมนุษยทั้งหลาย. - ติก. อํ. ๒๐/๓๗๕/๕๘๓.

ธรรมขันธของพระอเสขะ

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ป ระกอบด ว ยธรรมห า ประการ ย อ มเป น อาหุ เนยโย ปาหุ เ นยโย ทั ก ขิ เ ณยโย อั ญ ชลิ ก รณี โ ย และเป น เนื้ อ นาบุ ญ ของโลก ไม มี น า บุญ อื ่น ยิ ่ง กวา . ประกอบดว ยธรรมหา ประการ อยา งไรเลา ? ประกอบดว ย ธรรมหาประการ คือ :ประกอบดวย สีลขันธ อันเปนอเสขะ ๑ ; ประกอบดวย สมาธิขันธ อันเปนอเสขะ ๑ ;


๕๕๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

ประกอบดวย ปญญาขันธ อันเปนอเสขะ ๑; ประกอบดวย วิมุตติขันธ อันเปนอเสขะ ๑; ประกอบดวย วิมุตติญาณทัสสนขันธ อันเปนอเสขะ ๑. ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ป ระกอบด ว ยธรรมห า ประการเหล า นี้ แ ล ย อ มเป น อาหุ เ นยโย ปาหุ เ นยโย ทั ก ขิ เ ณ ยโย อั ญ ชลิ ก รณี โย และเป น เนื้ อ นาบุ ญ ของ โลก ไมมีนาบุญอื่นยิ่งกวา. - ปฺจก. อํ. ๒๒/๑๕๒/๑๐๗.

สัมมัตตะสิบของพรอเสขะ ภิ ก ษุ ท.! ธรรมอั น เป นอเสขะสิ บ อย า งเหล า นี้ มี อ ยู . สิ บ อย า ง อยางไรเลา? สิบอยางคือ :สัมมาทิฏฐิ อันเปนอเสขะ ๑ ; สัมมาสังกัปปะ อันเปนอเสขะ ๑ ; สัมมาวาจา อันเปนอเสขะ ๑ ; สัมมากัมมันตะ อันเปนอเสขะ ๑ ; สัมมาอาชีวะ อันเปนอเสขะ ๑ ; สัมมาวายามะ อันเปนอเสขะ ๑ ; สัมมาสติ อันเปนอเสขะ ๑ ; สัมมาสมาธิ อันเปนอเสขะ ๑ ; สัมมาญาณะ อันเปนอเสขะ ๑ ; สัมมาวิมุตติ อันเปนอเสขะ ๑ ; ภิกษุ ท.! เหลานี้แล ธรรมอันเปนอเสขะสิบอยาง.

www.buddhadasa.info - ทสก. อํ. ๒๔/๒๓๗/๑๑๒.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๕๗

องคแหงความเปนพระเสขะและพระอเสขะ ภิ ก ษุ ท.! ในบริ ก ขารแห ง อริ ย สั ม มาสมาธิ นั้ น , สั ม มาทิ ฏ ฐิ ย อ ม เปนองคนําหนา ภิกษุ ท.! สัมมาทิฏฐิ เปนองคนําหนา อยางไรเลา ? ภิ ก ษุ ท.! เมื่ อ มี สั ม มาทิ ฏ ฐิ อ ยู , สั ม มาสั ง กั ป ปะ ย อ มมี เ พี ย งพอ. เมื่ อ มี สั ม มาสั ง กั ป ปะอยู , สั ม มาวาจา ย อ มมี เพี ย งพอ. เมื่ อ มี สั ม มาวาจาอยู , สัม มากัม มัน ตะ ยอ มมีเ พีย งพอ. เมื ่อ มีส ัม มากัม มัน ตะอยู , สัม มาอาชีว ะ ยอ มมีเพีย งพอ. เมื ่อ มีส ัม มาอาชีว ะอยู , สัม มาวายามะ ยอ มมีเพีย งพอ. เมื ่อ มี สั ม มาวายามะอยู , สั ม มาสติ ย อ มมี เพี ย งพอ. เมื่ อ มี สั ม มาสติ อ ยู , สั ม มาสมาธิ ย อ มมี เ พี ย งพอ. เมื่ อ มี สั ม มาสมาธิ อ ยู , สั ม มาญาณ ย อ มมี เ พี ย งพอ. เมื่ อ มี สัมมาญาณอยู, สัมมาวิมุตติ ยอมมีเพียงพอ.

www.buddhadasa.info ภิก ษ ุ ท .! ดว ย เห ตุนี ้แ ล , ภิก ษ ุ ผู ป รก อ บ พ รอ ม แ ลว ดว ย องค ทั้ ง ๘ ชื่ อ วา เป น พระเสขะ; และผู ป ระกอบพรอ มแล ว ด วย องค ทั้ ง ๑๐ (คื อเพิ่ มสั มมาญาณ และสั มมาวิมุ ตติ อี ก ๒ องค ) ชื่ อ ว า เป น พระอรหั น ต (พระอเสขะ) แล. - อุปริ. ม. ๑๔/๑๘๗/๒๗๙.

นิทเทสแหงไตรสิกขา เพื่อเปรียบเทียบ ภิ ก ษุ ท.! สิ ก ขา ๓ อย า งเหล า นี้ มี อ ยู . สามอย า ง อย า งไรเล า ? สามอยางคือ อธิสีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปญญาสิกขา.


๕๕๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิก ษุ ท.! อ ธิส ีล สิก ข า เปน อยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท.! ภิก ษุใ น กรณี นี้ เป น ผู มี ศี ล สํ า รวมด ว ยปาติ โ มกขสั ง วร สมบู ร ณ ด ว ยมรรยาทและโคจร มี ป กติ เห็ น เป น ภั ย ในโทษทั้ ง หลาย แม ว า เป น โทษเล็ ก น อ ย สมาทานศึ ก ษาอยู ในสิกขาบททั้งหลาย. ภิกษุ ท.! นี้เรากลาววา อธสีลสิกขา. ภิก ษุ ท .! อ ธิจ ิต ต สิก ข า เปน อ ยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท .! ภิก ษุ ในกรณี นี้ สงั ด จากกามทั้ งหลาย สงั ด จากอกุ ศ ลธรรมทั้ งหลาย เข า ถึ ง ปฐมฌาน อัน มีว ิต กมีว ิจ าร มีป ต ิแ ละสุข อัน เกิด จาวิเ วก แลว แลอยู ; เพ ราะความ ที่ วิ ต กวิ จ ารทั้ ง สองระงั บ ลง เข า ถึ ง ทุ ติ ย ฌาน เป น เครื่ อ งผ อ งใสแห ง ใจในภายใน ให ส มาธิ เ ป น ธรรมอั น เอกผุ ด มี ขึ้ น ไม มี วิ ต ก ไม มี วิ จ าร มี แ ต ป ติ แ ละสุ ข อั น เกิ ด จากสมาธิ แล ว แลอยู ; อนึ่ ง เพราะความจางคลายไปแห ง ป ติ ย อ มเป น ผู อ ยู อุ เบกขา มี ส ติ แ ละสั ม ปชั ญ ญะ และย อ มเสวยความสุ ข ด ว ยนามกาย ชนิ ด ที่ พ ระ อริ ย เจ า ทั้ ง หลายย อ มกล า วสรรเสริ ญ ผู นั้ น ว า "เป น ผู อ ยู อุ เ บกขา มี ส ติ อยู เ ป น ปกติ สุ ข " ดั ง นี้ เข า ถึ ง ตติ ย ฌาน แล ว แลอยู ; เพราะละสุ ข เสี ย ได และเพราะ ละทุ ก ข เ สี ย ได เพราะความดั บ ไปแห ง โสมนั ส และโทมนั ส ทั้ ง สอง ในกาลก อ น, เข า ถึ ง จตุ ต ถฌาน ไม มี ทุ ก ข ไม มี สุ ข มี แ ต ค วามที่ ส ติ เป น ธรรมชาติ บ ริ สุ ท ธิ์ เพราะ อุเบกขา แลวแลอยู. ภิกษุ ท.! นี้เรากลาววา อธิจิตตสิกขา.

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท.! อธิป ญ ญ าสิก ขา เปน อยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท.! ภิก ษุ ในกรณีนี ้ ยอ มรู  ชัด ตามเปน จริง วา "นี ้ ทุก ข, นี ้ เหตุใ หเ กิด ทุก ข, นี้ ความดับ ไมเหลือ แหงทุก ข, นี้ ทางใหถึงความดับ ไมเหลือ แหงทุก ข" ดังนี้. ภิกษุ ท.! นี้เรากลาววา อธิปญญาสิกขา. ภิกษุ ท.! เหลานี้แล สิกขา ๓ อยาง.

- ติก. อํ. ๒๐/๓๐๓/๕๒๙.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๕๙

นิทเทสแหงไตรสิกขา (อีกนัยหนึ่ง) ภิ ก ษุ ท.! สิ ก ขาสามอย า งเหล า นี้ มี อ ยู , สามอย า ง อย า งไรเล า ? สามอยาง คือ อธิสีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปญญาสิกขา. ภ ิก ษ ุ ท .! อ ธ ิส ีล ส ิก ข า เป น อ ย า ง ไรเล า ? ภ ิก ษ ุ ท .! ภ ิก ษ ุใ น ก ร ณ ีนี ้ เป น ผู ม ีศ ีล สํ า ร ว ม ด ว ย ป า ต ิโ ม ก ข ส ัง ว ร ....ฯ ล ฯ .... ส ม า ท า น ศึกษาอยูในสิกขาบททั้งหลาย. ภิกษุ ท.! นี้เรากลาววา อธิสีลสิกขา. ภ ิก ษ ุ ท .! อ ธ ิจ ิต ต ส ิก ข า เป น อ ยา ง ไ ร เล า ? ภ ิก ษ ุ ท .! ภ ิก ษุ ใน ก รณ ีนี ้ ส งัด จ า ก ก า ม ทั ้ง ห ล า ย .... เข า ถ ึง ป ฐ ม ฌ า น ....ฯ ล ฯ .... ท ุต ิย ฌ า น .... ฯ ล ฯ .... ต ต ิ ย ฌ า น .... ฯ ล ฯ .... จ ต ุ ต ถ ฌ า น .... แ ล  ว แลอยู. ภิกษุ ท.! นี้เรากลาววา อธิจิตตสิกขา. ภ ิก ษ ุ ท .! อ ธิป ญ ญ าส ิก ข า เป น อ ยา งไรเลา ? ภ ิก ษ ุ ท .! ภ ิก ษุ ในกรณี นี้ กระทํ าให แ จ งซึ่ ง เจโตวิ มุ ต ติ ป ญ ญาวิ มุ ต ติ อั น หาอาสวะมิ ได เพราะ ความสิ้ น ไปแห งอาสวะทั้ งหลาย ด ว ยป ญ ญาอั น ยิ่ งเอง ในทิ ฏ ฐธรรมนี้ เข าถึ ง แลวแลอยู. ภิกษุ ท.! นี้เรากลาววา อธิปญญาสิขา. ภิกษุ ท.! เหลานี้แล สิกขา ๓ อยาง.

www.buddhadasa.info (คาถาผนวกทายพระสูตร) พึ งเป นผู มี ความเพี ยร มี กํ าลั ง มี ความตั้ งมั่ น มี ความเพ ง มี สติ สํารวมอินทรีย ประพฤติอธิศีลอธิจิตและอธิปญญาเถิด พึงแผจิต ครอบงําทิศทั้งปวง ดวยสมาธิอันหาประมาณมิได เชนเดียวกันทั้งขาง หน าข างหลั ง ทั้ งข างหลั งข างหน า เช นเดี ยวกั นทั้ งเบื้ องต่ํ าเบื้ องสู ง ทั้ ง


๕๖๐

อริยสัจจากพระโอษฐ เบื้องสูงเบื้องต่ํา เชนเดียวกันทั้งกลางวันกลางคืน ทั้งกลางคืนกลางวัน. นั่นทานกลาวกันวาเปนเสขปฏิปทา หรือการประพฤติธรรมหมดจด ดวยดี. นั่นทานกลาวกันวาเปนผูรูพรอมในโลก มีปญญา ถึงที่สุด แหงการปฏิบัติ. วิโมกขแหงจิต ยอมมีแกบุคคลนั้นผูหลุดพนแลวเพราะสิ้น ตัณหา เพราะความดับสนิทแหงวิญญาณ เหมือนความดับสนิทแหงไฟ ฉะนั้น.

- ติก. อํ. ๒๐/๓๐๓/๕๓๐.

เปรียบเทียบพระเสขะ-อเสขะ "ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! คํ าอั นพระผู มี พระภาคตรั สว า "เสขะ เสขะ" ดั งนี้ มีอยู. บุคคล ชื่อวาเสขะ ดวยเหตุมีประมาณเทาไร พระเจาขา ?" ภิก ษุ ! บุค คลที ่ศ ึก ษ านั ่น แห ละ ชื ่อ วา เสขะ, ศึก ษ าอะไรกัน เล า ? ศ ึก ษ า ทั ้ง อ ธ ิศ ีล ทั ้ง อ ธ ิจ ิต ทั ้ง อ ธ ิป ญ ญ า . ภ ิก ษ ุ ท .! เพ ร า ะ เข า ศึ ก ษาเขาจึ ง ชื่ อ ว า เสขะ ดั ง นี้ .๑ (ต อ ไปนี้ มี คํ า ประพั น ธ เป น คาถาของพระสั ง คี ติ ก าจารย

www.buddhadasa.info แสดงการเชื่อมตอกันของพระเสขะและพระอเสขะวา :-)

"เมื่ อ เสขบุ ค คล แล น ไปตามหนทางอั น ตรง ศึ ก ษาอยู ขยาญาณยอมเกิดขึ้นกอน; ตอแตนั้น จึงเกิดอรหัตตผลญาณตาม ลําดับ ; ตอจากนั้น ญาณในความสิ้นแหงภวสังโยชน ยอมเกิด

๑ คํ า อธิ บ ายของคํ า ว า อเสขะ หาดู ไ ด ที่ หั ว ข อ ว า "พ ระอรหั น ต คื อ ผู เ ป นอเสขะ" ที่ ห น า ๖๐๙ แหงหนังสือเลมนี้.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๖๑

แก ท านผู หลุ ดพ นด วยอรหั ตตผลญาณ แล วเป นผู คงที่ อยู , ว า วิมุตติของเราไมกลับกําเริบ ดังนี้". - ติก. อํ. ๒๐/๒๙๗/๕๒๕.

ภิก ษุ ท.! สิก ขาบทรอ ยหา สิบ สิก ขาบทนี ้ ยอ มมาสู อ ุท เทส (การ ยกขึ้ น แสดงในท า งกลางสงฆ ) ทุ ก กึ่ ง แห ง เดื อ นตามลํ า ดั บ อั น กุ ล บุ ต รผู ป รารถนา ประโยชนพ ากัน ศึก ษาอยู ใ นสิก ขาบทเหลา นั ้น . ภิก ษุ ท.! สิก ขาสามอยา ง เหลานี้ มีอยู อันเปนที่ประชุมลงของสิกขาบททั้งปวงนั้น. สิกขาสามอยางนั้น เปน อยา งไรเลา ? คือ อธิส ีล สิก ขา อธิจ ิต ตสิก ขา อธิป ญ ญ าสิก ขา. ภิก ษุ ท.! เหลา นี ้แ ล สิก ขาสามอยา ง อัน เปน ที ่ป ระชุม ลงแหง สิก ขาบท ทั้งปวงนั้น. ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ใ นกรณี นี้ เป น ผู ทํ า ให บ ริ บู ร ณ ให ศี ล ทํ า พ อ ประมาณในสมาธิ ทําพอประมาณในปญญา. เธอยังลวงสิกขาบทเล็กนอยบาง และตอ งออกจากอาบัต ิเ ล็ก นอ ยเหลา นั ้น บา . ขอ นั ้น เพราะเหตุไ รเลา ? ขอ นั ้น เพราะเหตุว า ไมม ีผู รู ใ ด ๆ กลา วความอาภัพ ตอ การบรรลุโ ลกุต ตรธรรม จั ก เกิ ด ขึ้ น เพราะเหตุ สั ก ว า การล วงสิ ก ขาบทเล็ ก น อ ยและการต อ งออกจากอาบั ติ เล็ก นอ ยเหลา นี้. สว น สิก ขาบทเหลาใด ที ่เปน เบื ้อ งตน แหงพรหมจรรย ที่ เหมาะสมแกพรหมจรรย, เธอเปนผูมีศีลยั่งยืน มีศีลมั่นคง ในสิกขาบทเหลา นั ้น สมาทานศึก ษาอยู ใ นสิก ขาบททั ้ง หลาย. ภิก ษุนั ้น , เพราะความสิ ้น ไป รอบแหงสังโยชนสาม เปนโสดาบัน เปนผูมีอันไมตกต่ําเปนธรรมดา เปนผู เที ่ย งตอ พระนิพ พาน มีก ารตรัส รูพ รอ มในเบื ้อ งหนา . ....(ตอ ไปนี้เปน ขอ ความ

www.buddhadasa.info จาก บรรพ ๒๒๗ จนกระทั่งสิ้นขอความเรื่องพระโสดาบัน :-)


๕๖๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิก ษุนั ้น , เพราะความสิ ้น ไปรอบแหง สัง โยชนส าม เปน ผู  สัต ตัก ขั ต ตุ ป รมะ ยั ง ต อ งท อ งเที่ ย วไปในภพแห ง เทวดาและมนุ ษ ย อี ก เจ็ ด ครั้ ง เป น อยางมาก แลวยอมกระทําที่สุดแหงทุกขได. (หรือ วา ) ภิก ษุนั ้น , เพ ราะความ สิ ้น ไป รอบ แหง สัญ โญ ชนส าม เปน ผู  โกลัง โกละ จัก ตอ งทอ งเที ่ย วไปสู ส กุล สองหรือ สามครั้ง แลว ยอ มกระทํ า ที่สุดแหงทุกขได. (ห รือ วา ) ภ ิก ษ ุนั ้น . เพ ราะ ค วาม สิ ้น ไป รอ บ แ หง สัง โย ช นส าม เป น ผู เป น เอกพี ซี คื อ จั ก เกิ ด ในภพแห ง มนุ ษ ย ห นเดี ย วเท า นั้ น แล ว ย อ มกระทํ า ที่สุดแหงทุกขได. ภิ ก ษุ ท.! ภิ กษุ ในกรณี นี้ เป นผู ทํ าให บ ริ บู รณ ใน ศี ล ทํ าพ อ ประมาณในสมาธิ ทํ าพอประมาณในป ญ ญา, เธอยังลวงสิกขาบทเล็กนอยบาง และตอ งออกจากอาบัต ิเ ล็ก นอ ยเหลา นั ้น บา ง. ขอ นั ้น เพราะเหตุไ รเลา ? ขอ นั้ นเพราะเหตุ ว า ไม มี ผู รู ใด ๆ กล าวความอาภั พ ต อการบรรลุ โลกุ ต ตรธรรม จั กเกิ ด ขึ้ น เพราะเหตุ สั ก ว า การล วงสิ ก ขาบทเล็ ก น อ ยและการต อ งออกจากอาบั ติ เล็ ก น อ ย เหลานี้. สวน สิกขาบทเหลาใด ที่เปนเบื้องตนแหงพรหมจรรย ทีเหมาะสมแก พรหมจรรย, เธอเปนผูมีศีลยั่งยืน มีศีลมั่นคง ในสิกขาบทเหลานั้น สมาทาน ศึ ก ษาอยู ในสิ ก ขาบททั้ ง หลาย. ภิ ก ษุ นั้ น , เพราะความสิ้ น ไปรอบแห ง สั งโยชน สาม และเพราะความที่ราคะ โทสะ โมหะ ก็เบาบางนอยลง เปน สกทาคามี ยังจะมาสูโลกนี้อีกครั้งเดียวเทานั้น แลวยอมกระทําที่สุดแหงทุกขได.

www.buddhadasa.info ภิ กษุ ท.! ภิ กษุ ในกรณี นี้ เป นผู ทํ าให บ ริ บู รณ ในศี ล ทํ าให บ ริบู ร ณ ในสมาธิ ทําพอประมาณในปญญา. เธอยังลวงสิกขาบทเล็กนอยบาง และตอง


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๖๓

ออกจากอาบัต ิเ ล็ก นอ ยเหลา นั ้น บา ง. ขอ นั ้น เพราะเหตุไ รเลา ? ขอ นั ้น เพราะ เหตุ ว า ไม มี ผู รู ใ ด ๆ กล า วความอาภั พ ต อ การบรรลุ โ ลกุ ต ตรธรรม จั ก เกิ ด ขึ้ น เพราะเหตุ สั ก ว า การล ว งสิ ข าบทเล็ ก น อ ย และการต อ งออกจากอาบั ติ เ ล็ ก น อ ย เหลา นี้. สว น สิก ขาบทเหลา ใด ที่เ ปน เบื ้อ งตน แหง พรหมจรรยที ่เ หมาะสม แกพรหมจรรย, เธอเปนผูมีศีลยั่งยืน มีศีลมั่นคง ในสิกขาบทเหลานั้น สมาทาน ศึ ก ษาอยู ใ นสิ ก ขาบททั้ ง หลาย. ภิ ก ษุ นั้ น , เพราะความสิ้ น ไปรอบแห ง สั ง โยชน เบื้องต่ําหา เปน โอปปาติกอนาคามี ผูอุบัติขึ้นในทันที มีการปรินิพพานในภพ นั้ น ๆ ไม เ วี ย นกลั บ จากโลกนั้ น เป น ธรรมดา. ....(ต อ ไปนี้ เป น ข อ ความจาก บรรพ ๒๒๗ จนกระทั่งสิ้นขอความเรื่องพระอนาคามี :_)

ภิก ษุนั ้น , เพ ราะความสิ ้น ไปรอบแหง สัญ โญ ชนเ บื ้อ งต่ํ า หา เปน อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี ผูมีกระแสในเบื้องบนไปถึงอกนิฏฐภพ. (หรื อ ว า ) ภิ ก ษุ นั้ น . เพราะความสิ้ น ไปรอบแห ง สั ง โยชน เ บื้ อ งต่ํ า ห า เปน สสังขารปรินิพพายี ผูปรินิพพานดวยตองใชความเพียรเรี่ยวแรง. (หรื อ ว า ) ภิ ก ษุ นั้ น , เพราะความสิ้ น ไปรอบแห ง สั ง โยชน เ บื้ อ งต่ํ า ห า เปน อสังขารปรินิพพายี ผูปรินิพพานดวยไมตองใชความเพียรเรี่ยวแรง. (หรื อ ว า ) ภิ ก ษุ นั้ น , เพราะความสิ้ น ไปรอบแห ง สั ง โยชน เ บื้ อ งต่ํ า ห า เปน อุปหัจจปรินิพพายี ผูปรินิพพานเมื่ออายุพนกึ่งแลวจวนพึงที่สุด. (หรื อ ว า ) ภิ ก ษุ นั้ น , เพราะความสิ้ น ไปรอบแห ง สั ง โยชน เ บื้ อ งต่ํ า ห า เปน อันตราปรินิพพายี ผูปรินิพพานในระหวางอายุยังไมทันถึงกึ่ง.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ในกรณี นี้ เป น ผู ทํ าให บ ริ บู ร ณ ในศี ล ทํ าให บ ริ บู ร ณ ในสมาธิ ทําใหบริบูรณในปญญา. เธอยังลวงสิกขาบทเล็กนอยบาง และตอง


๕๖๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

ออกจากอาบัต ิเ ล็ก นอ ยเหลา นั ้น บา ง. ขอ นั ้น เพราะเหตุไ รเลา ? ขอ นั ้น เพราะ เห ต ุว า ไม ม ีผู ใ ด ๆ ก ลา ว อ า ภ ัพ ต อ ก า รบ รรล ุโ ล กุต ต รธ รรม จัก เกิด ขึ ้น เพราะเหตุ สั ก ว า การล ว งสิ ก ขาบทเล็ ก น อ ยและการต อ งออกจากอาบั ติ เล็ ก น อ ย เหลานี้. สวน สิกขาบทเหลาใดที่เปนเบื้องตนแหงพรหมจรรย ที่เหมาะสมแก พรหมจรรย, เธอเปนผูมีศีลยั่งยืน มีศีลมั่นคง ในสิกขาบทเหลานั้น สมาทาน ศึกษาอยูในสิกขาบททั้ งหลาย. ภิ กษุ นั้ น ได ก ระทํ าให แ จงซึ่ งเจโตวิมุ ต ติ ป ญ ญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได เพราะความสิ้นไปแหงอาสวะทั้งหลาย ดวยปญญาอัน ยิ่งเอง ในทิฏฐธรรมนี้ เขาถึงแลวแลอยู. ภิก ษุ ท.! ผู ก ระทํ า เพีย งบางสว น ยอ มทํ า ใหสํ า เร็จ ไดบ างสว น, ผู ก ระทํ า ให บ ริ บู ร ณ ก็ ย อ มทํ า ให สํ า เร็ จ ได บ ริ บู ร ณ ; ดั ง นั้ น เราจึ ง กล า วว า สิกขาบททั้งหลาย ยอมไมเปนหมันเลย, ดังนี้ แล. - ติก. อํ. ๒๐/๒๙๗/๕๒๖.

ความลดหลั่นแหงพระอริยบุคคลผูปฏิบัติอยางเดียวกัน

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! สิ ก ขาบทร อ ยห า สิ บ สิ ก ขาบทนี้ ย อ มมาสู อุ ท เทส ทุ ก กึ่ ง แห งเดื อ นตามลํ า ดั บ อั น กุ ล บุ ต รผู ป รารถนาประโยชน พ ากั น ศึ ก ษาอยู ในสิ ก ขาบท เหล า นั้ น . ภิ ก ษุ ท.! สิ ก ขาสามอย า งเหล า นี้ มี อ ยู อั น เป น ที่ ป ระชุ ม ลงของ สิ ก ขาบททั้ ง ปวงนั้ น . สิ ก ขาสามอย า งนั้ น เป น อย า งไรเล า ? คื อ อธิ สี ล สิ ก ขา อธิจ ิต ตสิก ขา อธิป ญ ญ าสิก ขา. ภิก ษุ ท.! เหลา นี ้แ ล สัก ขาสามอยา ง อัน เปนที่ประชุมลงแหงสิกขาบททั้งปวงนั้น.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๖๕

ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ในกรณี นี้ เป น ผู ทํ า ให บ ริ บู ร ณ ใ นศี ล ทํ า ให บ ริ บู ร ณ ในสมาธิ ทํ า ให บ ริ บู ร ณ ใ นป ญ ญา. เธอยั ง ล ว งสิ ข าบทเล็ ก น อ ยบ า ง และต อ ง ออกจากอาบัต ิเ ล็ก นอ ยเหลา นั ้น บา ง. ขอ นั ้น เพราะเหตุไ รเลา ? ขอ นั ้น เพราะ เหตุ ว า ไม มี ผู รู ใ ด ๆ กล า วความอาภั พ ต อ การบรรลุ โ ลกุ ต ตรธรรม จั ก เกิ ด ขึ้ น เพราะเหตุ สั ก ว า การล ว งสิ ก ขาบทเล็ ก น อ ยและการต อ งออกจาอาบั ติ เ ล็ ก น อ ย เหล านี้ . ส วน สิ ก ขาบทเหล า ใดที่ เป น เบื้ อ งต น แห งพรหมจรรย ที่ เหมาะสมแก พรหมจรรย, เธอเป นผูมี ศีลยั่งยืน มีศีลมั่ นคง ในสิกขาบทเหลานั้ น สมาทาน ศึ ก ษาอยู ในสิ ก ชาบททั้ ง หลาย. ภิ ก ษุ นั้ น ได ก ระทํ า ให แ จ ง ซึ่ ง เจโตวิ มุ ต ติ ป ญ ญาวิ มุ ต ติ อั น หาอาสวะมิ ไ ด เพราะความสิ้ น ไปแห ง อาสวะทั้ ง หลาย ด ว ยป ญ ญา อันยิ่งเอง ในทิฏฐธรรมนี้ เขาถึงแลวแลอยู. ห รือ วา (บ างพ วก ) ยัง ไม ไ ดทํ า ใหเ กิด ม ี ยัง ไมไ ดแ ท งต ล อด ซึ ่ง อนาสววิม ุต ติ แตเ พราะความสิ ้น ไปรอบแหง โอรัม ภาคิย สัง โยชนเ บื ้อ งต่ํ า หา จึ ง เปน อันตราปรินิพพายี ผูปรินิพพานในระหวางอายุยังไมทันถึงกึ่ง ห รือ วา (บ างพ วก ) ยัง ไม ไ ดทํ า ใหเ กิด ม ี ยัง ไมไ ดแ ท งต ล อด ซึ ่ง อนาสววิ มุ ต ติ , แต เพราะความสิ้ น ไปรอบแห ง โอรั ม ภาคิ ย สั ง โยชน เบื้ อ งต่ํ า ห า จึ ง เปน อุปหัจจปรินิพพานยี ผูปรินิพพานเมื่ออายุพนกึ่งแลวจวนถึงที่สุด. ห รื อ ว า (บ างพ วก ) ยั งไม ได ทํ าให เกิ ด มี ยั งไม ได แท งต ล อ ด ซึ่ ง อนาสววิม ุต ติ, แตเ พราะความสิ ้น ไปรอบแหง โอรัม ภาคิย สัง โยชนเ บื ้อ งต่ํ า หา จึงเปน อสังขารปรินิพพายี ผูปรินิพพานดวยไมตองใชความเพียรเรี่ยวแรง. ห รื อ ว า (บ างพ วก ) ยั งไม ได ทํ าให เกิ ด มี ยั งไม ได แท งต ล อ ด ซึ่ ง อนาสววิม ุต ติ, แตเ พราะความสิ ้น ไปรอบแหง โอรัม ภาคิย สัง โยชนเ บื ้อ งต่ํ า หา จึงเปน สสังขารปรินิพพายี ผูปรินิพพานดวยตองใชความเพียรเรี่ยวแรง.

www.buddhadasa.info


๕๖๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

หรื อ ว า (บางพวก) ยั ง ไม ไ ด ทํ า ให เ กิ ด มี ยั ง ไม ไ ด แ ทงตลอด ซึ่ ง อนาสววิ มุ ต ติ , แต เพราะความสิ้ น ไปรอบแห งโอรัม ภาคิ ย สั ง โยชน เบื้ อ งต่ํ า ห า จึ ง เปน อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี ผูมีกระแสในเบื้องบนไปถึงอกนิฏฐภพ. หรื อ ว า (บางพวก) ยั ง ไม ไ ด ทํ า ให เ กิ ด มี ยั ง ไม ไ ด แ ทงตลอด ซึ่ ง อนาสววิม ุต ติ, แตเพราะความสิ ้น ไปรอบแหง สัญ โญชนส าม และเพราะความ ที่ ราคะ โทสะ โมหะ ก็ เบาบางน อ ยลง เป น สกทาคามี ยั ง จะมาสู โลกนี้ อี ก ครั้ง เดียวเทานั้น แลวยอมกระทําที่สุดแหงทุกขได. หรื อ ว า (บางพวก) ยั ง ไม ไ ด ทํ า ให เ กิ ด มี ยั ง ไม ไ ด แ ทงตลอด ซึ่ ง อนาสววิม ุต ติ, แตเพราะความสิ ้น ไปรอบแหง สัง โยชนส าม เปน ผู เปน เอกพีซี คือจักเกิดในภพแหงมนุษยหนเดียวเทานั้น แลวยอมกระทําที่สุดแหงทุกขได. หรื อ ว า (บางพวก) ยั ง ไม ไ ด ทํ า ให เ กิ ด มี ยั ง ไม ไ ด แ ทงตลอด ซึ่ ง อนาสวิม ุต ติ, แตเ พราะความสิ ้น ไปรอบแหง สัง โยชนส าม เปน ผู  โกลัง โกละ จักตองทองเที่ยวไปสูสกุลสองหรือสามครั้ง แลวยอมกระทําที่สุดแหงทุกขได. หรือ วา (บางพวก) ยัง ไมไ ดทํ า ใหเ กิด มี ยัง ไมไ ดแ ทงตลอด ซึ ่ง อนาสววิม ุต ติ, แตเ พราะความสิ ้น ไปรอบแหง สัง โยชนส าม เปน ผู  สัต ตัก ขัต ตุ-ปรมะ ยั งต อ งท อ งเที่ ย วไปในภพแห ง เทวดาและมนุ ษ ย อี ก เจ็ ด ครั้ ง เป น อย า ง มากแลวยอมกระทําที่สุดแหงทุกขได. ภิ ก ษุ ท.! ผู ก ระทํ า ได เพี ย งบางส ว น ย อ มทํ า ให สํ า เร็ จ ได บ างส ว น. ผู ทํ า ให บ ริ บู ร ณ ก็ ย อ มทํ า ให สํ า เร็ จ ได บ ริ บู ร ณ ; ดั ง นั้ น เราจึ ง กล า วว า สิ ก ขาบท ทั้งหลาย ยอมไมเปนหมันเลย, ดังนี้แล

www.buddhadasa.info - ติก. อํ. ๒๐/๓๐๑/๕๒๘. (ผู ศึ กษาพึ งสั งเกตให เห็ น ว า ข อความในสู ตรนี้ แสดงให เห็ น ว า แม มี การปฏิ บั ติ อย าง เดียวกันแท ก็ยังไดรับผลลดหลั่นกันไมเทากัน เพราะเหตุปจจัยอยางอื่น).


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๖๗

การรูเบญจขันธ โดยหลักแหงอริยสัจสี่ โสณะ ! สมณะหรื อ พราหมณ เหล า ใดเหล า หนึ่ ง ไม รู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง รู ป ไม รู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง เหตุ ใ ห เกิ ด ขึ้ น แห ง รู ป ไม รู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง รู ป ไม รู ทั่ ว ถึ ง ซึ ่ง ทางดํ า เนิน ใหถ ึง ความดับ ไมเ หลือ แหง รูป , (ในกรณ ีแ หง เวทนา สัญ ญ า สัง ขาร และวิ ญ ญาณ ก็ มี ข อ ความที่ ต รั ส อย า งเดี ย วกั น ); โสณะ ! สมณะหรื อ พราหมณ เหล า นั้ น มิ ใช ผู ที่ ค วรได รั บ การสมมติ ว าเป นสมณะในหมู ส มณะ มิ ใช ผู ที่ ค วรได รับ การสมมติ วา เปน พราหมณใ นหมู พ ราหมณ. อีก อยา งหนึ ่ง บุค คลผู ไ มรู เ หลา นั ้น จะทํ า ให แ จ ง ซึ่ ง ประโยชน แ ห ง ความเป น สมณะ หรื อ ประโยชน แ ห ง ความเป น พราหมณ ดวยปญญาอันยิ่งเอง เขาถึงแลวแลอยู ในทิฏฐธรรมนี้ หาไดไม. โสณะ ! ส ว นสมณะหรื อ พราหมณ เหล า ใดเหล า หนึ่ ง รู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง รูป รูทั่วถึงซึ่งเหตุใหเกิดขึ้นแหงรูป รูทั่วถึงซึ่งความดับไมเหลือแหงรูป รูทั่วถึงซึ่ง ทางดํ าเนิ น ให ถึ งซึ่ งความดั บ ไม เหลื อ แห งรูป , (ในกรณี แหง เวทนา สัญ ญา สังขาร วิ ญ ญาณ ก็ มี ข อ ความที่ ต รั ส อย า งเดี ย วกั น ; ): โสณะ! สมณะหรื อ พราหมณ เ หล า นั้ น ยอมเปนผู ควรไดรับการสมมติวาเปนสมณะ ในหมูสมณะ ยอมเปนผู ควรไดรับ การสมมติว า เปน พราหมณใ นหมู พ ราหมณ, อีก อยา งหนึ ่ง บุค คลผู รู ทั ่ว ถึง เหล านั้ น ย อม ทํ าให แ จ งซึ่ งประโยชน แ ห งความเป น สมณะ หรือ ประโยชน แห ง ความ เป น พราหมณ ด ว ยป ญ ญาอั น ยิ่ งเอง เข า ถึ ง แล วอยู ในทิ ฏ ฐธรรมนี้ ได โดยแท.

www.buddhadasa.info - ขนฺธ.สํ. ๑๗/๖๒/๑๐๑.


๕๖๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

(ดู รายละเอี ยดเกี่ ยวกั บขั นธ ห า แต ละขั นธ โดยอริ ยสั จสี่ ที่ หน า ๑๖๙, ๑๙๒, ๑๙๘, ๒๐๒, ๒๐๙ แหงหนังสือเลมนี้. สู ต รข า งบนนี้ แ สดงวั ต ถุ แ ห งการรูด ว ยเบญจขั น ธ ; ในสู ต รอื่ น แสดงด ว ย อิ น ทรี ย ห า ค ือ ส ุข ิน ท รีย  ท ุก ข ิน ท รีย  โส ม น ัส ส ิน ท รีย  โท ม น ัส ส ิน ท รีย  อ ุเ ป ข ิน ท รีย , -๑๙/๒๒๖/ ๙๒๒-๙๒๓. มีสูตรอื่นแสดงดวย อายตนะภายในหก ก็มี, - ๑๙/๒๗๓/๘๑๒ และสู ตรอื่ นแสดงด วย ปฏิ จจสมุ ปป นนธรรม ๑๑ อย าง มี ชรามรณะ ชาติ ....จนถึ ง ....วิญญาณ สังขาร ก็มี, - ๑๖/๕๓/๙๔).

การรูปญจุปาทานักขันธโดยธรรมลักษณะหา ภิกษุ ท.! อุปาทานขันธ ๕ อยางนี้ มีอยู, หาอยางอะไรบางเลา? ภิ ก ษุ ท.! ป ญ จุ ป าทานั ก ขั น ธ นั้ น ได แ ก ขั น ธ คื อ รู ป ที่ ถู ก อุ ป าทาน ครองแล ว , ขั น ธ คื อ เวทนาที่ ถู ก อุ ป าทานครองแล ว , ขั น ธ คื อ สั ญ ญ าที่ ถู ก อุ ป าทานครองแล ว , ขั น ธ คื อ สั ง ขารที่ ถู ก อุ ป าทานครองแล ว , และขั น ธ คื อ วิญญาณที่ถูกอุปาทานครองแลว.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! สมณะหรื อ พราหมณ เหล าใดก็ ต าม ยั งไม รู จั ก ความก อ ขึ้ น แหง อุป าทานขัน ธห า นี ้, ไมรู จ ัก วามตั ้ง อยู ไ มไ ดข องอุป าทานขัน ธห า นี ้, ไม รู จ ัก อุป าทานขัน ธห า ในแงที ่ม ัน ใหร สอรอ ย, ไมรู จ ัก อุป าทาขัน ธห า ในแงที่ มั น ให แ ต โทษร า ยกาจ, ทั้ ง ไม รู จั ก อุ บ ายที่ ไ ปให พ น อุ ป าทานขั น ธ ห า นี้ ตามที่ ถู ก ที ่จ ริง แลว ; ภิก ษุ ท.! สมณ ะหรือ พราหมณ เ หลา นั ้น แมส มมติก ัน วา เปน สมณะผูหนึ่ง ๆ ในสมณะทั้งหลายก็ตาม แมสมมติกันวาเปนพราหมณผูหนึ่ง ๆ


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๖๙

ในบรรดาพราหมณ ทั้ ง หลายก็ ต าม ก็ ห าอาจะเป น สมณะ เป น พราหมณ ไ ด ไ ม . หาสามารถทํ า ให แ จ ง ซึ่ ง ประโยชน ที่ ต นมาเป น สมณะ หรื อ ประโยชน ที่ ต นมาเป น พราหมณ ดวยปญญาอันยิ่งเอง เขาถึงแลวแลอยู ในทิฏฐธรรมนี้ ไดไมเลย. (ปฏิปกขนัย)

ภิ ก ษุ ท.! สมณ ะหรื อ พราหมณ เหล า ใด ได รู จั ก ความก อ ขึ้ น แห ง อ ุป าท าน ข ัน ธห า นี ้, รู จ ัก ค วาม ตั ้ง อ ยู ไ ม ไ ด ข อ งอ ุป าท าน ข ัน ธห า นี ้, รู จ ัก อุ ป าทานขั น ธ ห า ในแง ที่ มั น ให ร สอร อ ย, รู จั ก อุ ป าทานขั น ธ ห า ในแง ที่ มั น ให แ ต โทษร า ยกาจ, ทั้ งได รู จั ก อุ บ ายที่ ไปให พ น อุ ป าทานขั น ธ ห า นี้ ตามที่ ถู ก ที่ จ ริ ง แล ว ; ภิก ษุ ท.! สมณ ะหรือ พราหมณ เ หลา นั ้น ที ่ส มมติก ัน แลว า เปน สมณ ะบา ง เปน พราหมณ บ า ง ก็เ ปน สมณ ะหรือ เปน พราหมณ ไ ดจ ริง และทํ า ใหแ จง ได ซึ่ ง ประโยชน ที่ ต นเข า มาเป น สมณะ หรื อ ประโยชน ที่ ต นมาเป น พราหมณ ด ว ย ปญญาอันยิ่งเอง เขาถึงแลวแลอยู ในทิฏฐธรรมนี้. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๙๕/๒๙๕. (สู ต รข างบนนี้ แ สดงวั ต ถุ แ ห งการรู ด ว ยอุ ป าทานขั น ธ ในสู ต รอื่ น แสดงด ว ยอิ น ทรี ย ห า คือ สุข ิน ท รีย  ทุก ข นิท รีย  โส ม นั ส สิน ท รีย  โท ม นัส สิ น ท รีย  อุ เ ป ก ขิน ท รีย  . - ๑๙/๒๗๕ ๒๗๖/๙๑๙-๙๒๑.)

www.buddhadasa.info ผูละราคะ-โทสะ-โมหะ ระดับโสดาบัน

ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ไ ม ล ะธรรม ๖ อย า งแล ว เป น ผู ไ ม ค วรเพื่ อ กระทํ า ให แ จ งซึ่ งทิ ฏ ฐิ สั ม ปทา (ความเป น โสดาบั น ). ไม ล ะธรรม ๖ อย าง เหล าไหนเล า ? ไมละธรรมหกอยางเหลานี้ คือ :-


๕๗๐

อริยสัจจากพระโอษฐ ไมละ สักกายทิฏฐิ (ความเห็นวากายของตน); ไมละ วิฉิกิจฉา (ความลังเลในปฏิปทาทางดับทุกข) ; ไมละ สีลัพพตปรามาส (การถื อ เอาศี ล และพรตผิ ด ความมุ ง หมายที่

แทจริง) ; ไมละ อปายคมนิยราคะ ไมละ อปายคมนิยโทสะ ไมละ อปายคมนิยโมหะ

(ราคะที่ควรแกการถึงซึ่งอบาย) ; (โทสะที่ควรแกการถึงซึ่งอบาย) ; (โมหะที่ควรแกการถึงซึ่งอบาย) .

ภิ ก ษุ ท .! ภิ ก ษุ ไม ล ะ ธ รรม ๖ อ ย าง เห ล านี้ แ ล เป น ผู ไม ค วร กระทําใหแจงซึ่งทิฏฐิสัมปทา. ภิกษุ ท.! ภิกษุละธรรม ๖ อยาง แลว เปนผูควรกระทําใหแจงซึ่ง ทิฏ ฐสัม ปทา. ละธรรม ๖ อยา งเหลา ไหนเลา ? ละธรรมหกอยา งเหลา นี้ คือ:ละ สักกายทิฏฐิ (ความเห็นวากายของตน); ละ วิจิกิจฉา (ความลังเลในปฏิปทาทางดับทุกข); ละ สีลัพพตปรามาส (การถื อ เอาศี ล และพรตผิ ด ความมุ งหมายที่ แท จริง) ; ละ อปายคมนิยราคะ (ราคะที่ควรแกการซึ่งอบาย) ; ละ อปายคมนิยโทสะ (โทสะที่ควรแกการถึงซึ่งอบาย) ; ละ อปายคมนิยโมหะ (โมหะที่ควรแกการถึงซึ่งอบาย) .

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท.! ภิก ษุล ะธรรม ๖ อยา งเหลา นี ้แ ลว เปน ผู ค วรกระทํ า ใหแจงซึ่งทิฏฐิสัมปทา, ดังนี้แล. - ฉกฺก.อํ. ๒๒/๔๘๗/๓๖๐.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๗๑

[ธรรม ๖ ป ระ ก ารแ ห ง สูต รนี ้ ใน สูต รถัด ไป ก ลา ววา เป น ธ รรม ที ่ผู ถ ึง พ รอ ม ดว ยทิฏ ฐิ ละไดแ ลว (๒๒/๔๘๗/๓๖๑); สูต รถัด ไปอีก กลา ววา เปน ธรรมที ่ไ มอ าจจะเกิด ขึ ้น แกผูที่ถึงพรอมดวยทิฏฐิ (๒๒/๔๘๗/๓๖๒)].

พระโสดาบัน รูจักปญจุปาทานักขันธ ภิ ก ษุ ท.! เมื่ อ ใดแล สาวกของพระอริ ย เจ า ในธรรมวิ นั ย นี้ มารู จั ก ความก อ ขึ้ น แห ง อุ ป าทานขั น ธ ห า . รู จั ก ความตั้ ง อยู ไ ม ไ ด ข องอุ ป าทานขั น ธ ห า นี้ . รู จ ัก อุป าทานขัน ธห า ในแงที ่ม ัน ใหร สอรอ ย, รู จ ัก อุป าทานขัน ธห า ในแงที ่ม ัน ใหแ ตโ ทษรา ยกาจ, ทั ้ง รู จ ัก อุบ ายที ่ไ ปใหพ น อุป าทานขัน ธห า นี ้เ สีย ตามที ่ถ ูก ที ่จ ริง ; ภิก ษุ ท.! เมื ่อ นั ้น แหละ สาวกของพ ระอริย เจา ผู นั ้น เราเรีย กวา เป น พระโสดาบั น ผู มี อั น ไม ต กต่ํ า เป น ธรรมดา เที่ ย งแท ต อ พระนิ พ พาน จั ก ตรั ส รู ธรรมไดในกาลเบื้องหนา. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๙๖/๒๙๖.

พระโสดาบันเปนใครกัน ?

www.buddhadasa.info ส า รีบ ุต ร ! ที ่ม ัก ก ล า ว ก ัน ว า 'โส ด า บ ัน -โส ด า บ ัน ด ัง นี ้ เป น อยางไรเลา สารีบุตร ?

"ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! ท านผู ใด เป นผู ประกอบพรอมแล ว ด วยอริยมรรค มี องค แปดนี้ อยู ผู เช านั้ นแล ข าพระองค เรียกว าเป นพระโสดาบั น ผู มี ชื่ ออย างนี้ ๆ มี โคตรอยางนี้ ๆ พระเจาขา !"


๕๗๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

สารี บุ ต ร ! ถู ก แล ว ถู ก แล ว ผู ที่ ป ระกอบพร อ มแล ว ด ว ยอริ ย มรรค มี อ งค แปดนี้ อยู ถึ งเราเองก็ เรียกผู เช นนั้ น วาเป น พระโสดาบั น ผู มี ชื่ ออย างนี้ ๆ มีโคตรอยางนี้ ๆ. - มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๓๕/๑๔๓๒-๑๔๓๓.

(อีกนัยหนึ่ง) ภิ ก ษุ ท.! สาวกของพระอริ ย เจ า ในธรรมวิ นั ย นี้ เป น ผู ถึ ง พร อ มแล ว ด ว ยธรรม ๔ ประการนี้ เอง จึ ง เป น พระโสดาบั น ผู มี อั น ไม ต กต่ํ า เป น ธรรมดา เที ่ย งแทต อ พระนิพ พาน เปน ผู ม ีอ ัน จะตรัส รู ธ รรมไดใ นกาลเบื ้อ งหนา . ธรรม ๔ ประการนั้นเปนอยางไร ? สี่ประการนั้นคือ :(๑) ภิ ก ษุ ท .! ส า ว ก ข อ งพ ระ อ ริ ย เจ า ใน ธ รรม วิ นั ย นี้ เป น ผู ประกอบพรอ มแลว ดวย ความเลื่อ มใสอัน หยั่ง ลงมั่น ไมห วั่น ไหว ในองคพระพุ ท ธเจ า ว า เพราะเหตุ อ ย า งนี้ ๆ พระผู มี พ ระภาคเจ า นั้ น เป น ผู ไ กลจาก กิ เลส ตรั ส รู ช อบได โ ดยพระองค เอง เป น ผู ถึ ง พร อ มด ว ยวิ ช ชาและข อ ปฏิ บั ติ ใ ห ถึ ง วิ ช ชา เป น ผู ไ ปแล ว ด ว ยดี เป น ผู รู โ ลกอย า งแจ ม แจ ง เป น ผู ส ามารถฝ ก คน ควรฝ ก อย างไม มี ใครยิ่ งกว า เป น ครูข องเทวดาและมนุ ษ ย ทั้ งหลาย เป น ผู รู ผู ตื่ น ผูเบิกบานดวยธรรม เปนผูมีความจําเริญ จําแนกธรรมสั่งสอนสัตว ดังนี้.

www.buddhadasa.info (๒) ภิ ก ษุ ท .! ส าวก ข อ งพ ระ อ ริ ย เจ า ใน ธ รรม วิ นั ย นี้ เป น ผู ประกอบพรอ มแลว ดวย ความเลื่อ มใสอัน หยั่ง ลงมั่น ไมห วั่น ไหว ในองคพระธรรม วา พระธรรม เปน สิ ่ง ที ่พ ระผู ม ีพ ระภาคเจา ตรัส ไวด ีแ ลว , เปน สิ ่ง ที่ผูศึกษาและปฏิบัติพึงเห็นไดดวยตนเอง, เปนสิ่งที่ปฏิบัติไดและใหผลได ไมจํากัด


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๗๓

กาล, เปน สิ ่ง ที ่ค วรกลา วกะผู อื ่น วา ทานจงมาดูเ ถิด , เปน สิ ่ง ที ่ค วรนอ มเขา มา ใสตัว, เปนสิ่งที่ผูรู ก็รูไดเฉพาะตน ดังนี้. (๓) ภิ ก ษุ ท .! ส า ว ก ข อ ง พ ระ อ ริ ย เจ า ใน ธ รรม วิ นั ย นี้ เป น ผู ประกอบพรอมแลว ดวย ความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่น ไมหวั่นไหว ในพระสงฆ ว า สงฆ ส าวกของพระผู มี พ ระภาคเจ า เป น ผู ป ฏิ บั ติ ดี แ ล ว เป น ผู ป ฏิ บั ติ ต รงแล ว เป น ผู ป ฏิ บั ติ ให รู ธ รรมเครื่ อ งออกจากทุ ก ข แ ล ว เป น ผู ป ฏิ บั ติ ส มควรแล ว อั น ได แ ก บุ ค คลเหล า นี้ คื อ คู แ ห ง บุ รุ ษ สี่ คู นั บ เรี ย งตั ว ได แ ปดบุ รุ ษ . นั่ น แหละคื อ สงฆ สาวกของพระผู มี พ ระภาคเจ า เป น สงฆ ค วรแก สั ก การะที่ เขานํ า มาบู ช า เป น สงฆ ควรแก สั ก การะที่ เ ขาจั ด ไว ต อ นั บ เป น สงฆ ควรรั บ ทั ก ษิ ณ าทาน เป น สงฆ ที่ บุ ค คลทั่ วไปจะพึ งทํ า อั ญ ชลี เป น สงฆ ที่ เป น นาบุ ญ ของโลก ไม มี น าบุ ญ อื่ น ยิ่ งกว า ดังนี้. (๔) ภิ ก ษุ ท .! ส า ว ก ข อ ง พ ระ อ ริ ย เจ า ใน ธ รรม วิ นั ย นี้ เป น ผู ประกอบพรอมแลว ดวย ศีลทั้งหลายชนิ ดเป น ที่พ อใจของเหลาอริยเจา : เปน ศี ล ที่ ไ ม ข าด ไม ท ะลุ ไม ด า ง ไม พ ร อ ย เป น ศี ล ที่ เป น ไทจากตั ณ หา เป น ศี ล ที่ ผู รู ทานสรรเสริญ เปนศีลที่ทิฏฐิไมลูบคลํา และเปนศีลที่เปนไปเพื่อสมาธิ ดังนี้.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! สาวกของพระอริ ย เจ า ผู ป ระกอบพร อ มแล ว ด ว ยธรรม ๔ ประการนี้ แ ล ชื่ อ ว า เป น พระโสดาบั น ผู มี อั น ไม ต กต่ํ า เป น ธรรมดา เที่ ย งแท ต อ พระนิพพาน เปนผูมีอันจะตรัสรูธรรมไดในกาลเบื้องหนา. เมื่อพระผูมีพระภาคเจาไดตรัสพระพุทธวจนะดังนี้แลว ไดตรัสเปนคํารอยกรองสืบตอไปวา :-


๕๗๔

อริยสัจจากพระโอษฐ ท า นผู ใ ดแล มี ศ รั ท ธา มี ศี ล มี ค วามเลื่ อ มใส ทั้ ง มี ก าร ไดเห็นธรรมดวย, ทานผูนั้นแหละเวย ที่จักเปนผูไดรับความสุข อันหยั่งลงสูพรหมจรรย ในกาลอันควรแล!

- มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๒๙-๔๓๐/๑๔๑๔-๑๔๑๕.

(อีกนัยหนึ่ง) อย า กลั ว เลย มหานาม ! อย า กลั ว เลย มหานาม ! ความตายของ ท า น จั ก ไ ม  ต่ํ า ท ร า ม ก า ล กิ ร ิ ย า ข อ ง ท  า น จั ก ไ ม  ต่ํ า ท ร า ม . ม ห า น า ม ! อริยสาวกผูประกอบดวยธรรม ๕ ประการ ยอมเปนผูมีปกตินอมไปในนิพพาน โน ม ไปสู นิ พ พาน เอนไปทางนิ พ พานโดยแท . ธรรมสี่ ป ระการ อย า งไรเล า ? ธรรมสี่ประการคือ :มหานาม ! อริ ย สาวกในกรณี นี้ (๑) เป น ผู ประกอบพร อ มแล ว ด ว ย ความเลื่ อ มใสอั น ไม ห วั่น ไหว ในพระพุ ท ธเจ า วา "เพราะเหตุอ ยางนี้ ๆ พระผู มี พระภาคเจ า นั้ น เป น ผู ไ กลจากกิ เ ลส ตรั ส รู ช อบได โ ดยพระองค เ อง เป น ผู ถึ ง พร อ มด ว ยวิ ช ชาและข อ ปฏิ บั ติ ใ ห ถึ ง วิ ช ชา เป น ผู ไ ปแล ว ด ว ยดี เป น ผู รู โ ลกอย า ง แจ ม แจ ง เป น ผู ส ามารถฝ ก คนควรฝ ก อย า งไม มี ใ ครยิ่ ง กว า เป น ครู ข องเทวดาและ มนุ ษ ย ทั้ ง หลาย เป น ผู รู ผู ตื่ น ผู เ บิ ก บานด ว ยธรรม เป น ผู มี ค วามจํ า เริ ญ จํ า แนก ธรรมสั่งสอนสัตว" ดังนี้.

www.buddhadasa.info (๒) เปนผู ประกอบพรอมแลว ดวยความเลื่อมใสอันไมหวั่นไหว ใน พระธรรม วา "พระธรรม เปน สิ ่ง ที ่พ ระผู ม ีพ ระภาคเจา ตรัส ไวด ีแ ลว เปน สิ ่ง ที่ ผูศึกษาและปฏิบัติพึงเห็นไดดวยตนเอง เปนสิ่งที่ปฏิบัติไดและใหผลไดไมจํากัด


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๗๕

กาล เป น สิ่ ง ที่ ค วรกล า วกะผู อื่ น ว า ท า นจงมาดู เถิ ด เป น สิ่ ง ที่ ค วรน อ มเข า มาใส ตั ว เปนสิ่งที่ผูรูก็รูไดเฉพาะตน" ดังนี้. (๓) เปน ผูป ระกอบพรอ มแลว ดว ยความเลื ่อ มใสอัน ไมห วั่น ไหว ในพระสงฆ ว า "สงฆ ส าวกของพระผู มี พ ระภาคเจ า เป น ผู ป ฏิ บั ติ ดี แ ล ว เป น ผู ปฏิ บั ติ ต รงแล ว เป น ผู ป ฏิ บั ติ ใ ห รู ธ รรมเป น เครื่ อ งออกจากทุ ก ข แ ล ว เป น ผู ป ฏิ บั ติ สมควรแล ว อั น ได แ ก บุ ค คลเหล า นี้ คื อ คู แ ห ง บุ รุ ษ สี่ คู นั บ เรี ย งตั ว ได แ ปดบุ รุ ษ นั่ น แหละสงฆ ส าวกของพระผู มี พ ระภาคเจ า เป น สงฆ ค วรแก สั ก การะที่ เขานํ า มา บู ช า เป น สงฆ ค วรแก สั ก การะที่ เขาจั ด ไว ต อ นรั บ เป น สงฆ ค วรรั บ ทั ก ษิ ณ าทาน เปน สงฆที ่บ ุค คลทั ่ว ไปจะพึง ทํ า อัญ ชลี เปน สงฆที ่เ ปน นาบุญ ของโลก ไมมี นาบุญอื่นยิ่งกวา" ดังนี้. (๔) เปนผู ประกอบพรอมแลว ดวยศีลทั้ งหลายชนิ ดเป นที่พอใจของ เหลา พระอริย เจา : เปน ศีล ที ่ไ มข าด ไมท ะลุ ไมด า ง ไมพ รอ ย เปน ศีล ที่ เป น ไทจากตั ณ หา เป น ศี ล ที่ ผู รู ท า นสรรเสริ ญ เป น ศี ล ที่ ทิ ฏ ฐิ ไ ม ลู บ คลํ า และ เปนศีลที่เปนไปพรอมเพื่อสมาธิ ดังนี้.

www.buddhadasa.info มหานาม ! เปรี ย บเหมื อ นต น ไม น อ มไปในทิ ศ ปราจี น โน ม ไปสู ทิ ศ ปราจี น เอนไปทางทิ ศ ปราจี น . ต น ไม นั้ น เมื่ อ เขาตั ด ที่ โ คนแล ว มั น จะล ม ไป ทางไหน ? "มั กจะล มไปทางทิ ศที่ มั นน อมไปโน มไป เอนไป พระเจ าข า !" มหานาม ! ฉั น ใดก็ ฉั น นั้ น : อริ ย สาวกประกอบแล ว ด ว ยธรรมสี่ ป ระการเหล า นี้ ย อ มเป น ผู มีปกตินอมไปในนิพพาน โนมไปสูนิพพาน เอนไปทางนิพพานโดยแท แล.

- มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๖๕-๔๖๖/๑๕๑๑-๑๕๑๒.


๕๗๖

อริยสัจจากพระโอษฐ (อีกนัยหนึ่ง)

ภิ ก ษุ ท.! สิ ก ขาบทร อ ยห า สิ บ สิ ก ขาบทนี้ ย อ มมาสู อุ ท เทส (การยกขึ้ น แสดงในท า มกลางสงฆ ) ทุ ก กึ่ ง แห ง เดื อ นตามลํ า ดั บ อั น กุ ล บุ ต รผู ป รารถนาประโยชน พ ากัน ศึก ษ าอยู ใ น สิก ขาบ ทเหลา นั ้น . ภิก ษุ ท .! สิก ขาส าม อยา งเห ลา นี้ มี อ ยู อั น เป น ที่ ป ระชุ ม ลงของสิ ก ขาบททั้ ง ปวงนั้ น . สิ ก ขาสามอย า งนั้ น เป น อยา งไรเลา ? คือ อธิส ีล สิก ขา อธิจ ิต สิก ขา อธิป ญ ญ าสิก ขา. ภิก ษุ ท .! เหลานี้แล สิกขาสามอยาง อันเปนที่ประชุมลงแหงสิกขาบททั้งปวงนั้น. ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ในกรณี นี้ เป น ผู ทํ าให บ ริ บู รณ ใน ศี ล ทํ าพ อ ประมาณในสมาธิ ทํ าพอประมาณในป ญ ญา. เธอยังลวงสิกขาบทเล็กนอยบาง และต อ งออกจากอาบั ติ เ ล็ ก น อ ยเหล า นั้ น บ า ง. ข อ นั้ น เพราะเหตุ ไ ร ? ข อ นั้ น เพราะเหตุ ว า ไม มี ผู รู ใด ๆ กล าวความอาภั พ ต อ การบรรลุ โลกุ ต ตรธรรม จั ก เกิ ด ขึ้ น เพราะเหตุ สั ก ว า การล ว งสิ ก ขาบทเล็ ก น อ ยและการต อ งออกจากอาบั ติ เล็ ก น อ ย เหลานี้. สวน สิก ขาบทเหลาใด ที่เปน เบื้อ งตน แหงพรหมจรรย ที่เหมาะสม แกพ รหมจรรย, เธอเปน ผู ม ีศ ีล ยั ่ง ยืน มีศ ีล มั ่น คง ในสิก ขาบทเหลา นั ้น สมาทานศึ ก ษาอยู ใ นสิ ก ขาบททั้ ง หลาย. ภิ ก ษุ นั้ น , เพราะความสิ้ น รอบแห ง สังโยชนสาม เปนโสดาบัน เปนผูมีอันไมตกต่ําเปนธรรมดา เปนผูเที่ยงตอ พระนิพพาน มีการตรัสรูพรอมในเบื้องหนา.

www.buddhadasa.info - ติก. อํ. ๒๐/๒๙๗/๕๒๖. (ดูร ายละเอีย ดเกี ่ย วกับ เรื ่อ ง พระโสดาบัน ไดอ ีก ที ่ห ัว ขอ วา "เปรีย บ เทีย บ พระเสขะ-อเสขะ" หนา ๕๖๐ แหงหนังสือเลมนี้).


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๗๗

หลักเกณฑพยากรณภาวะโสดาบันของตนเอง คหบดี ! ในกาลใด ภัยเวรหาประการ อันอริยสาวกทําใหสงบ รํางับไดแลว ดวย. อริยสาวกประกอบพรอมแลวดวยโสตาปตติยงคะสี่ ดวย. อริยญายธรรมเปนธรรมที่อริยสาวกเห็นแลวดวยดี แทงตลอดแลวดวยดี ดวย ปญญา ดวย; ในกาลนั้น อริยสาวกนั้น เมื่อหวังอยู ก็พยากรณตนดวยตน นั่นแหละ วา "เราเปนผูมีนรกสิ้นแลว มีกําเนิดเดรัจฉานสิ้นแลว มีเปรตวิสัยสิ้นแลว มีอบายทุคติวินิบาตสิ้นแลว, เราเปนผูถึงแลวซึ่งกระแส (แหง นิพพาน) มีความไมตกต่ําเปนธรรมดา เปนผูเที่ยงแทตอนิพพาน มีการตรัสรู พรอมเปนเบื้องหนา" ดังนี้. คหบดี ! ภัยเวร ๕ ประการ อันอริยสาวกทําใหสงบรํางับไดแลว เปนอยางไรเลา? คหบดี ! บุคคลผู ฆาสัตวอยูเปนปกติ ยอมประสพภัยเวร ใด ในทิฏฐธรรมบาง, ในสัมปรายะบาง ยอมเสวยทุกขโทมนัสทางใจบาง, เพราะปาณาติบาตเปนปจจัย; ผูเวนขาดแลวจากปาณาติบาต ยอมไมประสพ ภั ย เวรนั้ น ทั้ ง ในทิ ฏ ฐธรรมและสั ม ปรายะ ไม ต อ งเสวยทุ ก ขโทมนั ส ทางใจด ว ย, เมื่ อ อริ ย สาวกเว น ขาดแล ว จากปาณาติ บ าต ภั ย เวรนั้ น ย อ มเป น สิ่ ง สงบรํ า งั บ ไป ดวยอาการอยางนี้.

www.buddhadasa.info (ในกรณีแหง อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท และ สุราเมรยมัชชปาน ก็ไดตรัสขอความไวโดยทํานองเดียวกัน)

คหบดี ! ภัยเวรทั้งหาเหลานี้ เปนสิ่งที่สงบรํางับแลว.


๕๗๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

คหบดี ! อริยสาวก เปนผูประกอบพรอมแลว ดวยองคแหงการบรรลุ ซึ ่ง โสดา ๔ องคอ ยา งไรเลา ? (๑) คหบดี ! อริย สาวกในกรณ ีนี ้ เปน ผู ประกอบพรอ มแล ว ด ว ยความเลื่ อ มใสอั น หยั่ ง ลงมั่ น ไม ห วั่ น ไหว ใน พระพุ ท ธเจา วา "เพราะเหตุอ ยา งนี ้ ๆ พระผู ม ีพ ระภาคเจา นั ้น เปน ผู ไ กลจากกิเ ลส ตรั ส รู ช อบได โ ดยพระองค เอง เป น ผู ถึ ง พร อ มด ว ยวิ ช ชาและจรณะ เป น ผู ไ ปแล ว ด ว ยดี เป น ผู รู โลกอย า งแจ ม แจ ง เป น ผู ส ามารถฝ ก คนที่ ค วรฝ ก อย า งไม มี ใ ครยิ่ ง กว า เป น ครู ข องเทวดาและมนุ ษ ย ทั้ ง หลาย เป น ผู รู ผู ตื่ น ผู เบิ ก บาน ด ว ยธรรม เป น ผู มี ค วามจํ า เริ ญ จํ า แนกธรรม สั่ งสอนสั ต ว " ดั งนี้ (๒) คหบดี ! อริ ย สาวกใน กรณ ีนี ้ เปน ผู ป ระกอบพรอ มแลว ดว ยความเลื ่อ มใสอัน หยั ่ง ลงมั ่น ไมห วั ่น ไหวใน พระธรรม วา "พระธรรม เปน สิ ่ง ที ่พ ระผู ม ีพ ระภาคเจา ตรัส ไวด ีแ ลว เป น สิ่ ง ที่ ผู ศึ ก ษาและปฏิ บั ติ พึ ง เห็ น ได ด ว ยตนเอง เป น สิ่ ง ที่ ป ฏิ บั ติ ไ ด แ ละให ผ ลได ไม จํ ากั ด กาล เป น สิ่ งที่ ค วรกล าวกะผู อื่ น ว า ท านจงมาดู เถิ ด เป น สิ่ งที่ ค วรน อ มเข า ม าใสต ัว เปน สิ ่ง ที ่ผู รู ก ็รู ไ ดเ ฉ พ าะ ต น " ดัง นี ้. (๑) ค ห บ ดี! อ ริย ส าวก ใน กรณี นี้ เป น ผู ป ระกอบพร อ มแล ว ด ว ยความเลื่ อ มใสอั น หยั่ ง ลงมั่ น ไม ห วั่ น ไหว ในพระสงฆ ว า "สงฆ ส าวกของพระผู มี พ ระภาคเจ า เป น ผู ป ฏิ บั ติ ดี แ ล ว เป น ผู ปฏิ บั ติ ต รงแล ว เป น ผู ป ฏิ บั ติ เพื่ อ รู ธ รรมเป น เครื่ อ งออกจากทุ ก ข แ ล ว เป น ผู ป ฏิ บั ติ สมควรแล ว ได แ ก บุ ค คลเหล า นี้ คื อ คู แ ห ง บุ รุ ษ สี่ คู นั บ เรี ย งตั ว ได แ ปดบุ รุ ษ นั่ น แหละคื อ สงฆ ส าวกของพระผู มี พ ระภาคเจ า เป น สงฆ ค วรแก สั ก การะที่ เ ขามา บู ช า เป น สงฆ ค วรแก สั ก การะที่ เขาจั ด ไว ต อ นรั บ เป น สงฆ ค วรรั บ ทั ก ษิ ณ าทาน เป น สงฆ ที่ บุ ค คลทั่ ว ไปจะพึ ง ทํ า อั ญ ชลี เป น สงฆ ที่ เป น นาบุ ญ ของโลกไม มี น าบุ ญ อื ่น ยิ ่ง กวา " ดัง นี ้. (๔) คหบดี ! อริย สาวกในกรณ ีนี ้ เปน ผู ป ระกอบพรอ ม แลว ดวยศีลทั้งหลายในลักษณะเปนที่พอใจของพระอริยเจา : เปนศีลที่ไมขาด ไมท ะลุไ มด า ง ไมพ รอ ย เปน ศีล ที ่เ ปน ไทจากตัณ หา วิญ ูช นสรรเสริญ ไม ถูกตัณหาและทิฏฐิลูบคลํา เปนศีลที่เปนไปพรอมเพื่อสมาธิ ดังนี้.

www.buddhadasa.info


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๗๙

คหบดี ! อริ ย สาวก เป น ผู ป ระกอบพร อ มแล ว ด ว ยองค แ ห ง การ บรรลุซึ่งโสดา ๔ องค เหลานี้แล. คหบดี! อริยญายธรรม เปนธรรมที่อริยสาวกเห็นแลวดวยดี แทง ตลอดแลว ดว ยดี ดว ยปญ ญา นั ้น เปน อยา งไรเลา ? คหบดี! อริย สาวกใน กรณ ีนี ้ ยอ ม พิจ ารณ าเห็น โด ยป ระจัก ษ อยา งนี ้ว า "ดว ยอาการอยา งนี ้ : เมื ่อ สิ ่ง นี ้ม ี สิ ่ง นี ้ย อ มมี, เพราะความเกิด ขึ ้น แหง สิ ่ง นี ้ สิ ่ง นี ้จ ึง เกิด ขึ ้น . เมื ่อ สิ ่ง นี ้ไ มม ี สิ ่ง นี ้ย อ มไมม ี, เพราะความดับ ไปแหง สิ ่ง นี ้ สิ ่ง นี ้จ ึง ดัง ไป : ไดแ ก สิ่ ง เหล า นี้ คื อ เพราะมี อ วิ ช ชาเป น ป จ จั ย จึ ง มี สั ง ขาร ; เพราะมี สั ง ขารเป น ป จ จั ย จึง ม ีว ิญ ญ าณ .... ฯล ฯ .... ฯ ล ฯ .... เพ ราะม ีภ พ เป น ป จ จัย จึง ม ีช าต ิ ; เพราะมีช าติเ ปน ปจ จัย , ชรามรณ ะ โสกะปริเ ทวะทุก ขะโทมนัส สะอุป ายาส ทั้ ง หลาย จึ ง เกิ ด ขึ้ น ครบถ ว น. ความเกิ ด ขึ้ น พร อ มแห ง กองทุ ก ข ทั้ ง สิ้ น นี้ ย อ มมี ด ว ยอาการอย า งนี้ . เพราะความจางคลายดั บ ไปโดยไม มี เ หลื อ แห ง อวิ ช ชานั้ น นั่ น เที ย ว จึ ง มี ค วามดั บ แห ง สั ง ขาร ; เพราะมี ค วามดั บ แห ง สั ง ขาร จึ ง มี ค วามดั บ แหง วิญ ญ าณ .... ฯลฯ .... ฯลฯ .... เพราะมีค วามดับ แหง ภพ จึง มีค วาม ดับ แหง ชาติ ; เพราะมีค วามดับ แหง ชาตินั ้น แล, ชรามรณ ะ โสกะปริเ ทวะทุ ก ขะโทมนั ส สะอุ ป ายาสทั้ ง หลาย จึ ง ดั บ สิ้ น . ความดั บ ลงแห ง กอบทุ ก ข ทั้ ง สิ้ น นี้ ยอมมีดวยอาการอยางนี้."

www.buddhadasa.info คหบดี ! อริย ญ ายธรรมนี ้แ ล เปน ธรรมที ่อ ริย สาวกนั ้น เห็น แลว ดวยดี แทงตลอดแลวดวยดีดวยปญญา. คหบดี ! ในกาลใดแล ภั ย เวร ๕ ประการเหล า นี้ เป น สิ่ ง ที่ อ ริ ย สาวกทําใหสงบรํางับไดแลว ดวย, อริยสาวก เปนผูประกอบพรอมแลวดวย


๕๘๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

โสตาป ต ติ ยั ง คะสี่ เ หล า นี้ ด ว ย, อริ ย ญ ายธรรมนี้ เป น ธรรมอั น อริ ย สาวกเห็ น แล ว ด ว ยดี แทงตลอดแล ว ด ว ยดี ด ว ยป ญ ญา ด ว ย ; ในกาลนั้ น อริ ย สาวกนั้ น ปรารถนาอยู ก็ พ ยากรณ ตนด ว ยตนนั้ น แหละว า "เราเป น ผู มี น รกสิ้ น แล ว มี กํ า เนิ ด เดรั จ ฉานสิ้ น แล ว มี เปรตวิ สั ย สิ้ น แล ว มี อ บายทุ ค ติ วิ นิ บ าตสิ้ น แล ว , เรา เปน ผู ถ ึง แลว ซึ ่ง กระแส (แหง นิพ พาน) มีค วามไมต กต่ํ า เปน ธรรมดา เปน ผู เที่ยงแทตอนิพพาน มีการตรัสรูพรอมเปนเบื้องหนา" ดังนี้ - ทสก. อํ. ๒๔/๑๙๕/๙๒.

แวนสองความเปนพระโสดาบัน อานนท ! เราจัก แสดง ธรรมปริย ายอัน ชื ่อ วา แวน ธรรม ซึ ่ง หาก อริ ย สาวกผู ใ ด ได ป ระกอบพร อ มแล ว เมื่ อ จํ า นงจะพยากรณ ต นเอง ก็ พึ ง ทํ า ได ในขอ ที ่ต นเปน ผู ม ีน รกสิ ้น แลว มีกํ า เนิด เดรัจ ฉานสิ ้น แลว มีเ ปรตวิส ัย สิ ้น แลว มี อ บาย ทุ ค ติ วิ นิ บ าต สิ้ น แล ว , ในข อ ที่ ต นเป น พระโสดาบั น ผู มี อั น ไม ต กต่ํ า เปน ธรรม ดา เที ่ย งแทต อ พ ระนิพ พ าน เปน ผู ม ีอ ัน จะตรัส รู ธ รรมไดใ นกาล เบื้องหนา ดังนี้.

www.buddhadasa.info อานนท ! ก็ ธ รรมปริ ย ายอั น ชื่ อ ว า แว น ธรรม ในที่ นี้ เป น อย า งไร

เลา ?

อานนท ! อริย สาวกในธรรมวิน ัย นี ้ เปน ผู  ประกอบพรอ มแลว ดวยความเลื่อ มใสอัน หยั่งลงมั่น ไมหวั่น ไหว ในองคพ ระพุทธเจา....ในองค พระธรรม.... ในองค พ ระสงฆ . ... และอริ ย สาวกในธรรมวิ นั ย นี้ เป น ผู


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๘๑

ประกอบพรอมแลวดวยศีลทั้งหลายชนิดเปนที่พอใจของเหลาอริยเจา คือเปนศีล ที่ ไม ข าด ไม ท ะลุ ไม ด า ง ไม พ ร อ ย เป น ศี ล ที่ เป น ไทจากตั ณ หา เป น ศี ล ที่ ผู รู ท า น สรรเสริญ เปนศีลที่ทิฏฐิไมลูบคลํา และเปนศีลที่เปนไปเพื่อสมาธิ. อ า น น ท ! ธ รรม ป ริย า ย อัน นี ้แ ล ที ่ชื ่อ วา แ วน ธ รรม ซึ ่ง ห า ก อริ ย สาวกผู ใ ดได ป ระกอบพร อ มแล ว เมื่ อ จํ า นงจะพยากรณ ต นเอง ก็ พึ ง ทํ า ได , ดังนี้แล. - มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๕๐-๔๕๑-๑๔๗๙-๑๔๘๐.

ผูสมบูรณดวยทิฏฐิโดยธรรมชาติ (สิ่งที่ผูสมบูรณดวยทิฏฐิทําไมไดโดยธรรมชาติ) ภิ ก ษุ ท.! ฐานะที่ ไ ม อ าจเป น ไปได (โดยธรรมชาติ ) ๖ ประการ เหลานี้ มีอยู หกประการ เหลาไหนเลา? หกประการ คือ:ผูถึงพรอมดวยทิฏฐิ ไมอาจเขาถึงสังขารไร ๆ โดยความเปนของเที่ยง ; ผูถึงพรอมดวยทิฏฐิ ไมอาจเขาถึงสังขารไร ๆ โดยความเปนสุข ; ผูถึงพรอมดวยทิฏฐิ ไมอาจเขาถึงธรรมะไร ๆ โดยความเปนตัวตน ; ผูถึงพรอมดวยทิฏฐิ ไมอาจกระทําอนันตริยกรรม; ผูถึงพรอมดวยทิฏฐิ ไม อ าจหวั งการถึ งความบริ สุ ท ธิ์ โดยโกตุ ห ลมงคล; ผูถึงพรอมดวยทิฏฐิ ไม อาจแสวงหาทั กขิ เณยยบุ คคล ภายนอกจาก ศาสนานี้.

www.buddhadasa.info


๕๘๒

อริยสัจจากพระโอษฐ ภิกษุ ท.! เหลานี้แล ฐานะที่ไมอาจเปนไปได ๖ ประการ.

- ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๘๘/๓๖๔. (คํ า ว า "เข า ถึ ง " ในสู ต รนี้ มี ค วามหมายแห ง การถื อ เอาเช น เดี ย วกั บ คํ า ว า สรณํ คจฺฉ ามิ หมายความวา ถือ เอาเปน ที ่พึ ่ง . คํ า วา "โกตุห ลมงคล" หมายถึง การถือ ลัท ธิโ บราณ ท างไส ย ศ าส ต ร เชน วา ตื ่น น อ น ขึ ้น ม า ไดเ ห ็น ห รือ ไดย ิน ห รือ ไดส ัม ผัส สิ ่ง ใด สิ ่ง ห นึ ่ง ต าม ที่ บัญญัติไววาจะนํามาซึ่งความบริสุทธิ์ตามลัทธินั้น ๆ).

ผูถึงพรอมดวยทิฏฐิ (อภัพพฐานสําหรับผูที่ถึงพรอมดวยทิฏฐิ) ภิ ก ษุ ท.! ฐานะที่ ไ ม อ าจเป น ไปได ๖ ประการ เหล า นี้ มี อ ยู . หก ประการ เหลาไหนเลา? หกประการ คือ :ผูถึงพรอมดวยทิฏฐิ ไมอาจอยูอยางไมมีความเคารพยําเกรง ในพระศาสดา; ผูถึงพรอมดวยทิฏฐิ ไมอาจอยูอยางไมมีความเคารพยําเกรง ในพระธรรม; ผูถึงพรอมดวยทิฏฐิ ไมอาจอยูอยางไมมีความเคารพยําเกรง ในพระสงฆ; ผูถึงพรอมดวยทิฏฐิ ไมอาจอยูอยางไมมีความเคารพยําเกรง ในสิกขา; ผูถึงพรอมดวยทิฏฐิ ไมอาจมาสูอนาคมนียวัตถุ (วัตถุที่ไมควรเขาหา); ผูถึงพรอมดวยทิฏฐิ ไมอาจยังภพที่แปดใหเกิดขึ้น. ภิกษุ ท.! เหลานี้แล ฐานะที่ไมอาจเปนไปได ๖ ประการ.

www.buddhadasa.info - ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๘๘/๓๖๓. (คํ า ว า "วั ต ถุ ที่ ไ ม ค วรเข า หา" หมายถึ ง วั ต ถุ สิ่ ง ของ ก็ ไ ด การกระทํ า ที่ มี ผ ล ก็ ไ ด ทิฏ ฐิก ็ไ ด. คํ า วา "ภพที ่แ ปด" หมายความวา ไมอ าจจะมีแ กพ ระโสดาบัน พระโสดาบัน จะมี ภพหรือชาติตอไปไดอีกเพียงเจ็ดเทานั้น).


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๘๓

ผูถึงพรอมดวยทิฏฐิ (อภัพพฐานสําหรับผูที่ถึงพรอมดวยทิฏฐิ) (อีกนัยหนึ่ง) ภิ ก ษุ ท.! ฐานะที่ ไ ม อ าจเป น ไปได ๖ ประการเหล า นี้ มี อ ยู หก ประการ เหลาไหนเลา? หกประการ คือ :เปนไปไมได ที่ผูถึงพรอมดวยทิฏฐิ จะพึง ปลงชีวิตมารดา ; เปนไปไมได ที่ผูถึงพรอมดวยทิฏฐิ จะพึง ปลงชีวิตบิดา; เปนไปไมได ที่ผูถึงพรอมดวยทิฏฐิ จะพึง ปลงชีวิตพระอรหันต; เปนไปไมได ที่ผูถึงพรอมดวยทิฏฐิ จะพึง คิดประทุษรายตถาคต แม เพียงโลหิตใหหอ ; เปนไปไมได ที่ผูถึงพรอมดวยทิฏฐิ จะพึง ทําสงฆใหแตกกัน; เป น ไปไม ได ที่ ผู ถึ งพรอ มด ว ยทิ ฏ ฐิ จะพึ ง ถื อ ศาสดาอื่ น (นอกจาก พระสัมมาสัมพุทธเจา) ภิกษุ ท.! เหลานี้แล ฐานะที่ไมอาจเปนไปได ๖ ประการ. - ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๘๘/๓๖๕.

www.buddhadasa.info ผูถึงพรอมดวยทิฏฐิ

(อภัพพฐานสําหรับผูที่ถึงพรอมดวยทิฏฐิ) (อีกนัยหนึ่ง)

ภิ ก ษุ ท.! ฐานะที่ ไม อ าจเป น ไปได ๖ ประการ เหล า นี้ มี อ ยู . หก ประการ เหลาไหนเลา ? หกประการ คือ :-


๕๘๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

ผูถึงพรอมดวยทิฏฐิ ไมอาจมาสูทิฏฐิ วา "สุขและทุกข ตนทําเอง"; ผูถึงพรอมดวยทิฏฐิ ไมอาจมาสูทิฏฐิ วา "สุขและทุกข ผูอื่นทําให"; ผู ถึ งพร อ มด ว ยทิ ฏ ฐิ ไม อ าจมาสู ทิ ฏ ฐิ ว า "สุ ขและทุ ก ข ตนทํ าเองก็ มีผูอื่นทําใหก็มี"; ผู ถึ งพร อมด วยทิ ฏฐิ ไม อาจมาสู ทิ ฏฐิ ว า "สุ ขและทุ กข ไม ต องทํ าเอง เกิดขึ้นไดตามลําพัง"; ผู ถึ งพรอมด วยทิ ฏฐิ ไม อาจมาสู ทิ ฏฐิ วา "สุ ขและทุ กข ไม ต องใครอื่ น ทําให เกิดขึ้นไดตามลําพัง"; ผู ถึ ง พร อ มด ว ยทิ ฏ ฐิ ไม อ าจมาสู ทิ ฏ ฐิ ว า "สุ ข และทุ ก ข ไม ต อ งทํ า เองและไมตองใครอื่นทําให เกิดขึ้นไดตามลําพัง". ขอ นั ้น เพ ราะเห ต ุไ รเล า ? ภ ิก ษ ุ ท .! ขอ นั ้น เพ ราะเห ต ุว า เห ตุ (แหง สุข และทุก ข) อัน ผู ถ ึง พ รอ มดว ยทิฏ ฐิเ ห็น แลว โดยแทจ ริง และธรรม ทั้งหลาย ก็เปนสิ่งที่เกิดมาแตเหตุดวย.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! เหลานี้แล ฐานะที่ไมอาจเปนไปได ๖ ประการ.

- ฉกฺก. อํ. ๒๒/ /๓๖๖.

ผูสิ้นความสงสัย (พระโสดาบัน)

ภิก ษุ ท.! เมื ่อ รูป นั ้น แลมีอ ยู , เพราะเขา ไปยึด ถือ ซึ ่ง รูป เพราะ ป ก ใจเข า ไปสู รู ป ทิ ฏ ฐิ จึ ง เกิ ด ขึ้ น อย า งนี้ ว า "ลมก็ ไ ม พั ด แม น้ํ า ก็ ไ ม ไ หล สตรี มี ครรภก็ไมคลอด พระจันทรและพระอาทิตยก็ไมขึ้นไมตก แตละอยาง ๆ เปนของ ตั้งอยูอยางมั่นคงดุจการตั้งอยูของเสาระเนียด" ดังนี้. (ในกรณีแหงเวทนา สัญญา


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๘๕

สั ง ขาร วิ ญ ญาณ ก็ มี ถ อ ยคํ า ที่ ต รั ส อย า งเดี ย วกั น ทุ ก ตั ว อั ก ษรกั บ ในกรณี แ ห ง รู ป นี้ ต า งกั น แต เพี ย ง ชื่อแหงขันธแตละขันธ เทานั้น).

ภิ ก ษุ ท.! พวกเธอจะสํ า คั ญ ความข อ นี้ ว า อย า งไร : รู ป เที่ ย งหรื อ ไม เที่ ย ง? "ไม เที่ ย งพระเจ า ข า !" ก็ สิ่ ง ใดไม เที่ ย ง สิ่ ง นั้ น เป น ทุ ก ข ห รื อ เป น สุ ข เล า ? "เป น ทุ ก ข พระเจ า ข า !" แม สิ่ งใดไม เที่ ย ง เป น ทุ ก ข มี ค วามแปรปรวนเป น ธรรมดา แต ถ า ไม ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ซึ่ ง สิ่ ง นั้ น แล ว ทิ ฏ ฐิ อ ย า งนี้ จะเกิ ด ขึ้ น ได ไ หมว า "ลมก็ ไ ม พัด แมน้ําก็ไมไหล สตรีมีครรภก็ไมคลอด พระจันทรและพระอาทิตยก็ไมขึ้น ไมตก แตละอยาง ๆ เปนของตั้งอยูอยางมั่นคงดุจการตั้งอยูของสาระเนียด" ดังนี้ ?"ข อ นั้ น หามิ ไ ด พระเจ า ข า !" (ในกรณี แ ห ง เวทนา สั ญ ญา สั ง ขาร วิ ญ ญาณ ก็ มี ถ อ ยคํ า ที่ ต รั ส ถามและภิ ก ษุ เหล า นั้ น ทู ล ตอบ อย า งเดี ย วกั น ทุ ก ตั ว อั ก ษรกั บ กรณี แ ห ง รู ป นี้ ต า งกั น แต เพี ย ง ชื่อแหงขันธ แตละขันธเทานั้น).

ภิ กษุ ท .! แม สิ่ งใด ที่ บุ ค ค ล ได เห็ น แล ว ฟ งแล ว รู สึ กแล ว รู แ จ ง แลว บรรลุแ ลว แสวงหาแลว ครุ น คิด อยู ด ว ยใจแลว ; เหลา นี ้เ ปน ของเที ่ย ง หรือ ไมเ ที ่ย ง ? "ไมเ ที ่ย ง พระเจา ขา !" ก็สิ ่ง ใดไมเ ที ่ย ง สิ ่ง นั ้น เปน ทุก ขห รือ เปน สุข เลา ? "เปน ทุก ข พ ระเจา ขา !" แมสิ ่ง ใด ไม เ ที ่ย ง เปน ทุก ขม ีค วาม แปรปรวนเป น ธรรมดา แต ถ า ไม ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ซึ่ ง สิ่ ง นั้ น แล ว ทิ ฏ ฐิ อ ย า งนี้ จะเกิ ด ขึ้ น ได ไหมว า "ลมก็ ไม พั ด แม น้ํ า ก็ ไ ม ไหล สตรี มี ค รรภ ก็ ไม ค ลอด พระจั น ทร และพระอาทิตยก็ไมขึ้นไมตก แตละอยาง ๆ เปนของตั้งอยูอยางมั่นคงดุจการตั้งอยู ของเสาระเนียด" ดังนี้ ? "ขอนั้นหามิได พระเจาขา !"

www.buddhadasa.info


๕๘๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ ก ษุ ท.! ในกาลใดแล ความสงสั ย (กั ง ขา) ในฐานะทั้ ง หลาย ๖ ประการเหลานี้๑ เปนสิ่งที่อริยสาวกละขาดแลว; ในกาลนั้น ก็เปนอันวา ความ สงสัยแมในทุกข, แมในเหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข, แมในความดับไมเหลือแหงทุกข, แมในขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงทุกข, ก็เปนสิ่งที่อริยสาวก นั้น ละขาดแลว. ภิกษุ ท.! อริยสาวกนี้ เราเรียกวา เป นอริยสาวกผูเป นโสดาบั น มี อั น ไมตกต่ําเปนธรรมดา เปนผูเที่ยงแท (ตอนิพพาน) มีการตรัสรูพรอมในเบื้องหนา, ดังนี้ แล. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๔๘-๒๔๙/๔๑๗-๔๔๘.

๑. ฐานะหกประการ คื อ ขั น ธ ห า ประการ และอาการที่ ไ ด เ ห็ น แล ว เป น ต น ดั ง ที่ ก ล า วแล ว ข า งบน เจ็ดอยางรวมเปนหนึ่งประการ; รวมเปนหกประการ. สูตรขางบนนี้ แสดงฐานะหกประการนี้ วาเปนที่ตั้งแหง เอสิกัฏฐายิฎฐิตสัสสตทิฏฐิ. ใน สู ต รอื่ น (๑๗/๒๕๐/๔๑๙) แ ส ด งฐ า น ะ ห ก ป ระ ก า รนี้ ว า เป น ที่ ตั้ งแ ห งทิ ฏ ฐิ ว า ตน วาของตน. ใน สู ต รอื่ น อี ก (๑๗/๒๕๑/๔๒๒) แสดงฐาน ะห กป ระการนี้ ว า เป น ที่ ตั้ งแห งสั สสต ทิฏฐิทั่วไป. ในสู ตรอื่ นอี ก (๑๗/๒๕๓/๔๒๔) แสดงฐานะหกประการนี้ ว า เป นที่ ตั้ งแห ง อุ จเฉททิฏฐิทั่วไป. ใ น ส ูต ร อื ่น อ ีก (๑๗/๒๕๕/๔๒๖) แ ส ด ง ฐ า น ะ ห ก ป ร ะ ก า ร นี ้ ว า เป น ที ่ตั ้ง แ ห ง นัตถิกทิฏฐิ. ใน สู ต รอื่ น อี ก (๑๗/๒๕๗/๔๒๘) แ ส ด งฐ าน ะ ห ก ป ระ ก านี้ ว า เป น ที่ ตั้ งแ ห งอ กิ ริ ย ทิฏฐิ. ในสู ต รอื่ น อี ก (๑๗/๒๕๘/๔๓๐) แสดงฐานะหกประการนี้ ว า เป นที่ ตั้ งแห ง อเหตุ กทิฎฐิ. และฐานะทั้ ง หกประกานี้ ยั ง มี ก ล า วไว ว า เป น ที่ ตั้ ง แห ง ทิ ฏ ฐิ อื่ น ๆ อี ก หลายอย า ง เห็ น ว า มาก เกิน ไปจึง ไมนํ า มาใสไ วใ นที ่นี ้ ผู ศ ึก ษาพึง หาอา นดูไ ดจ ากหนัง สือ ปฏิจ จ. โอ. หมวดที ่ส ิบ เอ็ด .

www.buddhadasa.info


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๘๗

ผูมีธรรมญาณและอันวยญาณ (พระโสดาบัน) ภ ิก ษ ุ ท .! ก็ ช ร า ม ร ณ ะ เป น อ ยา ง ไร เลา ? ค ว า ม แ ก ค ว า ม คร่ํ า คร า ความมี ฟ น หลุ ด ความมี ผ มหงอก ความหนั ง เหี่ ย ว ความสิ้ น ไป ๆ แห ง อายุ ความแก รอบแห ง อิ น ทรี ย ทั้ งหลาย ในสั ต วนิ ก ายนั้ น ๆ ของสั ต ว ทั้ งหลาย เหล า นั้ น ๆ : นี้ เ รี ย กว า ชรา. การจุ ติ ความเคลื่ อ น การแตกสลาย การหายไป การวายชี พ กายตาย การทํ า กาละ การแตกแห ง ขั น ธ ทั้ ง หลาย การทอดทิ้ ง ร า ง การขาดแหง อิน ทรีย ค ือ ชีว ิต จากสัต วนิก ายนั ้น ๆ ของสัต วทั ้ง หลายเหลา นั ้น ๆ : นี ้เ รีย ก วา ม ร ณ ะ . ช ร า นี ้ด ว ย ม ร ณ ะ นี ้ด ว ย ยอ ม ม ีอ ยู ด ัง นี ้; ภ ิก ษุ ท.! นี้ เ รี ย กว า ชรามรณะ. ความก อ ขึ้ น พร อ มแห ง ชรามรณะ ย อ มมี เพราะ ความกอ ขึ ้น พรอ มแหง ชาติ ; ความดับ ไมเ หลือ แหง ชรามรณะ ยอ มมี เพราะ ความดั บ ไม เ หลื อ แห ง ชาติ ; มรรคอั น ประกอบด ว ยองค แ ปดอั น ประเสริ ฐ นั่ น เอง เป น ปฏิป ทาใหถ ึง ความดับ ไมเ ห ลือ แหง ชราม รณ ะ, ไดแ กสิ ่ง เหลา นี ้ค ือ ความ เห็ น ชอบ ความดํ า ริ ช อบ การพู ด จาชอบ การทํ า การงานชอบ การเลี้ ย ง ชีวิตชอบความพากเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ.

www.buddhadasa.info ภ ิก ษ ุ ท .! อ ริย ส า ว ก ย อ ม ม า รู ทั ่ว ถ ึง ซึ ่ง ช ร า ม ร ณ ะ ว า เป น อยา งนี ้ ๆ, มารู ทั ่ว ถึง ซึ ่ง เหตุใ หเ กิด ขึ ้น แหง ชรามรณ ะ วา เปน อยา ง ๆ, มารู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง ความดั บ ไม เ หลื อ แห ง ชรามรณ ะ ว า เป น อย า งนี้ ๆ, มารู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง ข อ ปฏิบ ัต ิเ ครื ่อ งทํ า สัต วใ หล ุถ ึง ความดับ ไมเ หลือ แหง ชรามรณ ะ วา เปน อยา ง ๆ, ในกาลใด ; ในกาลนั ้น ความรู นี ้ข องอริย สาวกนั ้น ชื ่อ วา ธัม มญาณ (ญ าณ ในธรรม). ด ว ยธรรมนี้ อั น อริ ย สาวกนั้ น เห็ น แล ว รู แ ล ว บรรลุ แ ล ว หยั่ ง ลงแล ว และเปน ธรรมอัน ใชไ ดไ มจํ า กัด กาล, อริย สาวกนั ้น ยอ มนํ า ความรู นั ้น ไปสู นัยะอันเปนอดีตและอนาคต (ตอไปอีก) วา "สมณะหรือพราหมณเหลาใด


๕๘๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

เหล า หนึ่ ง ในกาลยื ด ยาวนานฝ า ยอดี ต ได รู อ ย า งยิ่ ง แล ว ซึ่ ง ชรามรณ ะ, ได รู อยา งยิ ่ง แลว ซึ ่ง เหตุใ หเ กิด ขึ ้น แหง ชรามรณ ะ, ไดรู อ ยา งยิ ่ง แลว ซึ ่ง ความดับ ไม เ หลื อ แห ง ชรามรณ ะ, ได รู อ ย า งยิ่ ง แล ว ซึ่ ง ข อ ปฏิ บั ติ เ ครื่ อ งทํ า สั ต ว ใ ห ลุ ถึ ง ความดั บ ไม เ หลื อ แห ง ชรามรณะ ; สมณะหรื อ พราหมณ เ หล า นั้ น ทุ ก ท า น ก็ ไ ด รู อย า งยิ่ ง แล ว เหมื อ นอย า งที่ เ ราเองได รู อ ย า งยิ่ ง แล ว ในบั ด นี้ . ถึ ง แม ส มณ ะหรื อ พราหมณ เหล า ใดเหล า หนึ่ ง ในกาลยื ด ยาวนานฝ า ยอนาคต จั ก รู อ ย า งยิ่ ง ซึ่ ง ชราม รณ ะ , จัก รู อ ยา งยิ ่ง ซึ ่ง เห ตุใ หเ กิด ขึ ้น แหง ช ราม รณ ะ , จัก รู อ ยา งยิ ่ง ซึ ่ง ความดับ ไมเ หลือ แหง ชรามรณ ะ, จัก รู อ ยา งยิ ่ง ซึ ่ง ขอ ปฏิบ ัต ิเ ครื ่อ งทํ า สัต ว ให ลุ ถึ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง ชรามรณะ, ก็ ต าม; สมณะหรื อ พราหมณ เ หล า นั้ น ทุ ก ท า นก็ จั ก รู อ ย า งยิ่ ง เหมื อ นอย า งที่ เ ราเองได รู อ ย า งยิ่ ง แล ว ในบั ด นี้ " ดั ง นี้ . ความรูนี้ของอริยสาวกนั้น ชื่อวา อันวยญาณ (ญาณในการรูตาม). ภิ ก ษุ ท.! ญาณทั้ ง สอง คื อ ธั ม มญาณและอั น วยญาณเหล า นี้ ข อง อริย สาวก เปน ธรรมชาติบ ริสุท ธิ์ ผอ งใส ในกาลใด; ภิก ษุ ท.! ในกาลนั้น เราเรี ย ก อ ริ ย ส าวก นั ้ น ว า "ผู  ถ ึ ง พ ร อ ม แ ล ว ด ว ย ทิ ฏ ฐิ " , ดั ง นี ้ บ  า ง ; ว า "ผู ถ ึง พรอ มแลว ดว ยทัส สนะ", ดัง นี ้บ า ง; วา "ผู ม าถึง พระสัท ธรรมนี ้แ ลว ", ดัง นี ้บ า ง; วา "ไดเ ห็น อยู ซึ ่ง พระสัท ธรรมนี ้", ดัง นี ้บ า ง ; วา "ผู ป ระกอบ แลว ดว ยญาณอัน เปน เสขะ", ดัง นี ้บ า ง; วา "ผู ป ระกอบดว ยวิช ชาอัน เปน เ ส ข ะ ", ดั ง นี ้ บ  า ง ; ว า "ผู  ถ ึ ง ซึ ่ ง ก ร ะ แ ส แ ห ง ธ ร ร ม แ ล ว ", ดั ง นี ้ บ  า ง ; วา "ผู ป ระเสริฐ มีป ญ ญาเครื ่อ งชํ า แรกกิเ ลส", ดัง นี ้บ า ง ; วา "ยืน อยู จ ด ประตูแหงอมตะ", ดังนี้บาง, ดังนี้.

www.buddhadasa.info


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๘๙

(ข อ ความข า งบนนี้ เป น กรณี แห ง ปฏิ จ จสมุ ป ป น ธรรมคื อ ชราและมรณ ะ ที่ อ ริ ย สาวกมารู ทั่ ว ถึ ง โดยนั ย แห ง อริ ย สั จ สี่ แ ล ว ทํ า ให มี ธั ม มญาณและอั น วยญาณ และทํ า ให เป น ผู ถึ ง พ รอ ม แ ล ว ด ว ย ท ิฏ ฐ ิเ ป น ต น , ต อ ไป ได ต รัส ถ ึง ป ฏ ิจ จ ส ม ุป ป น น ธ รร ม ค ือ ช า ต ิ...ภ พ ... อุ ป า ท า น ...ตั ณ ห า ...เ ว ท น า ...ตั ส ส ะ ...ส ฬ า ย ต น ะ ...น า ม รู ป ...วิ ญ ญ า ณ ...สั ง ข า ร แต ล ะอย า ง ๆ ว าอริ ย สาวกมารู ทั่ วถึ งโดยนั ย แห งอริ ย สั จสี่ แ ล ว ก็ ทํ าให มี ธั ม มญาณและอั น วยญาณ เป น ต น ได อ ย า งเดี ย วกั น กั บ ในกรณี แ ห งปฏิ จ จสมุ ป ป น นธรรมคื อ ชราและมรณะนั้ น ; รายละเอี ย ด หาอ า นดู ไ ด จ ากกหนั ง สื อ ปฏิ จ จ. โอ. หมวดที่ ๖ หั ว ข อ ว า "ญาณวั ต ถุ ๔๔ ในปฏิ จ จสมุ ป บาท เพื่อความเปนโสดาบัน"). - นิทาน. สํ. ๑๖/๖๘-๗๑/๑๒๐-๑๒๕.

พระโสดาบัน รูจักอินทรียหก ภิก ษุ ท .! อิน ท รีย ห กอ ยา งเห ลา นี ้ มีอ ยู . ห ก อ ยา งอ ะไรเลา ? ห ก อ ยา งคือ จัก ขุน ท รีย  โส ติน ท รีย  ฆ า นิน ท รีย  ชิว หิน ท รีย  ก า ยิน ท รีย มนินทรีย. ภิก ษุ ท.! เมื ่อ ใดแล อริย สาวก มารู จ ัก ความกอ ขึ ้น แหง อิน ทรีย หกเหลานี้, รูจักความตั้งอยูไมไดแหงอิน ทรียห กเหลานี้, รูจักอิน ทรียทั้งหก เหลานี้ในแงที่มันใหรสอรอย, รูจักอินทรียทั้งหกเหลานี้ในแงที่มันใหแตโทษ รา ยกาจ, ทั ้ง รูจ ัก อุบ ายที ่ไ ปใหพ น อิน ทรีย ทั ้ง หกเหลา นี ้, ตามที ่ถ ูก ที ่จ ริง ; ภิก ษุ ท.! เมื ่อ นั ้น แหละ อริย สาวกนั ้น เราเรีย กวา เปน พระโสดาบัน มีอ ัน ไมต กต่ํ า เปน ธรรม ดา เที ่ย งแทต อ พ ระนิพ พ าน จัก ตรัส รู ธ รรมพ รอ มไดใ น เบื้องหนา.

www.buddhadasa.info - มหาวาร. สํ. ๑๙/๒๗๑/๙๐๒-๙๐๓.


๕๙๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

พระโสดาบันกับพรอรหันตตางกัน ในการเห็นธรรม ภิ ก ษุ ท.! อุ ป าทานขั น ธ ทั้ ง หลายเหล า นี้ มี อ ยู ห า อย า ง. ห า อย า ง อย า งไรเล า ? ห า อย า งคื อ รู ปู ป าทานขั น ธ เวทนู ป าทานขั น ธ สั ญ ู ปาทานขันธ สังขา รูปาทานขันธ วิญญาณูปาทานขันธ. ภิก ษุ ท.! เมื ่อ ใด อริย สาวก รู ช ัด แจง ตามเปน จริง ซึ ่ง ความ เกิด ขึ้น (สมุทัย) ซึ่งความตั้งอยูไมได (อัตถังคมะ) ซึ่งรสอรอย (อัส สาทะ) ซึ่ งโทษอั น ต่ํ า ทราม (อาที น วะ) และซึ่ งอุ บ ายเครื่ อ งออก (นิ ส สรณะ) แห ง อุป าทานขัน ธทั ้ง หา เหลา นี ้ ; ภิก ษุ ท.! อริย สาวกนี ้ เราเรีย กวา เปน โสดาบัน มี อั น ไม ต กต่ํ า เป น ธรรมดา เป น ผู เ ที่ ย งแท ต อ พระนิ พ พาน มี ก ารตรั ส รู พ ร อ มใน เบื้องหนา. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๙๖/๒๙๖.

ภ ิ ก ษ ุ ท .! อ ุ ป า ท า น ข ั น ธ  เ ห ล  นี ้ ม ี อ ยู  ห  า อ ย  า ง . ห  า อ ย  า ง อย า งไรเล า ? ห า อย า ง คื อ รู ปู ป าทานขั น ธ เวทนู ป าทานขั น ธ สั ญ ู ป าทานขันธ สังขารูปปาทานขันธ วิญญาณูปาทานขันธ.

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท.! เมื ่อ ใด ภิก ษุ รู ช ัด แจง ตามเปน จริง ซึ ่ง ความเกิด ขึ ้น ซึ่งความตั้งอยูไมได ซึ่งรสอรอย ซึ่งโทษอันต่ําทราม และซึ่งอุบายเครื่องออก แหงอุปาทานขันธทั้งหา เหลานี้ ดังนี้แลว เปนผูหลุดพนแลวเพราะไมมีความ ยึด มั ่น . ภิก ษุ ท.! ภิก ษุนี ้ เราเรีย กวา เปน พระอรหัน ต ผู ม ีอ าสวะสิ ้น แลว อยูจบพรหมจรรยแลว ทํากิจที่ควรทําสําเร็จแลว มีภาระอันปลงลงแลว มี


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๙๑

ประโยชนต นอัน ตามถึง แลว มีส ัง โยชนใ นภพสิ ้น ไปหมดแลว เปน ผู ห ลุด พน แลวเพราะรูโดยชอบ ดังนี้แล. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๙๖/๒๙๗.

พระโสดาบันกับพระอรหันตตางกันในการเห็นธรรม (อีกนัยหนึ่ง) ภิก ษ ุ ท .! อ ริท รีย ห ก เห ลา นี ้ มีอ ยู . ห ก เห ลา ไห น เลา ? ห ก คือ จักขุนทรีย โสติทรีย ฆานินทรีย ชิวหินทรีย กายินทรีย มนินทรีย. ภิ ก ษุ ท.! เมื่ อ ใด อริ ยสาวก รู ชั ด แจ งตามเป น จริ ง ซึ่ งความเกิ ด ขึ้ น (สมุทัย) ซึ่งความตั้งอยูไมได (อัตถังคมะ) ซึ่งรสอรอย (อัสสาทะ) ซึ่งโทษอัน ต่ําทราม (อาทีนวะ) และซึ่งอุบายเครื่องออก (นิสสรณะ) แหงอินทรียหกเหลานี้; ภิ ก ษุ ท.! อริ ย สาวกนี้ เราเรี ย กว า เป น โสดาบั น มี อั น ไม ต กต่ํ า เป น ธรรมดา เปนผูเที่ยงแทตอพระนิพพาน จักตรัสรูพรอมในเบื้องหนา. - มหาวาร. สํ. ๑๙/๒๗๑/๙๐๒

www.buddhadasa.info ภ ิก ษ ุ ท .! อิน ท รีย ห ก เห ล า นี ้ ม ีอ ยู . ห ก เห ลา ไห น เลา ? ห ก ค ือ จักขุนทรีย โสตินทรีย ฆานินทรีย ชิวหินทรีย กายินทรีย มนินทรีย.

ภิ ก ษุ ท.! เมื่ อ ใด ภิ ก ษุ รู ชั ด แจ งตามเป น จริ ง ซึ่ งความเกิ ด ขึ้ น ซึ่ ง ความตั้งอยูไมได ซึ่งรสอรอย ซึ่งโทษอันต่ําทราม และซึ่งอุบายเครื่องออก แหง อินทรียหกเหลานี้ ดังนี้แลว เปนผูหลุดพนแลวเพราะไมมีความยึดมั่น. ภิกษุ ท.!


๕๙๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ ก ษุ นี้ เราเรี ย กว า เป น พระอรหั น ต ผู มี อ าสวะสิ้ น แล ว อยู จ บพรหมจรรย แ ล ว ทํ า กิ จ ที่ ค วรทํ า สํ า เร็ จ แล ว มี ภ าระอั น ปลงลงแล ว มี ป ระโยชน ต นอั น ตามถึ ง แล ว มีสังโยชนในภพสิ้นไปหมดแลว เปนผูหลุดพนแลวเพราะรูโดยชอบ ดังนี้แล. - มหาวาร. สํ. ๑๙/๒๗๒/๙๐๔. (สู ตรข า งบนนี้ ทรงแสดงอิ นทรี ย โดยอายตนะภายในหก; ยั งมี สู ตรอื่ น (๑๙/๒๗๕/ ๔๑๔-๘๑๘) ท รงแ ส ด งอ ิน ท รีย โ ด ย เวท น า ห า คือ สุข ิน ท รีย  ท ุก ขิน ท รีย  โส ม น ัส สิน ท รีย โทมนัสสินทรียอุเปกขินทรีย, ดังนี้ก็มี.)

ผูรวมอยูในกลุมโสดาบัน ๓ จําพวก ก. สัทธานุสารี ภ ิ ก ษ ุ ท .! จ ั ก ษ ุ . ...โ ส ต ะ ....ฆ า น ะ ....ช ิ ว ห า ...ก า ย ะ ...ม น ะ เปน สิ ่ง ไมเ ที ่ย ง มีค วาม แป รป รวน เปน ป กติ มีค วาม เป ลี ่ย น เปน อ ยา งอื ่น เป น ปกติ . ภิ ก ษุ ท.! บุ ค คลใด มี ค วามเชื่ อ น อ มจิ ต ไป ในธรรม ๖ อย า งนี้ ด วยอาการอย างนี้ ; บุ คคลนี้ เราเรียกวาเป น สั ท ธานุ สารี หยั่ งลงสู สั มมั ตตนิ ยาม (ระบบแหง ความถูก ตอ ง) หยั ่ง ลงสู ส ัป ปุร ิส ภูม ิ (ภูม ิแ หง สัต บุร ุษ ) ลว งพน บุถ ุช นภูมิ ไมอ าจที ่จ ะกระทํ า กรรม อัน กระทํ า แลว จะเขา ถึง นรก กํ า เนิด ดิร ัจ ฉาน หรือ ปตติวิสัย และไมควรที่จะทํากาละกอนแตที่จะทําใหแจงซึ่งโสดาปตติผล.

www.buddhadasa.info ข. ธัมมานุสารี ภิกษุ ท.! ธรรม ๖ อยางเหลานี้ ทนตอการเพงโดยประมานอันยิ่ง แหงปญญาของบุคคลใด ดวยอาการอยางนี้ ; บุคคลนี้เราเรียกวา ธัมมานุสารี


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๙๓

หยั่ งลงสู สั ม มั ต ตนิ ย าม หยั่ งลงสู สั ป ปุ ริ ส ภู มิ ล ว งพ น บุ ถุ ช นภู มิ ไม อ าจที่ จ ะกระทํ า กรรม อัน กระทํ า แลว จะเขา ถึง น รก กํ า เนิด ดิร ัจ ฉาน ห รือ ปต ติว ิส ัย แล ะไม ควรที่จะกระทํากาละกอนแตที่จะทําใหแจงซึ่งโสดาปตติผล. ค. โสตาปนนะ ภิกษุ ท.! บุคคลใดยอมรูยอมเห็นในซึ่งธรรม ๖ อยางเหลานี้ ดวยอาการ อย า งนี้ (ตามที่ ก ล า วแล ว ในข อ บน มี ค วามเห็ น ความไม เที่ ย งเป น ต น ) ; บุ ค คลนี้ เราเรี ย กว า โสดาบั น (ผู ถึ ง แล ว ซึ่ ง กระแส) ผู มี อั น ไม ต กต่ํ า เป น ธรรมดา (อวิ นิ ป าตธมฺ ม ) เป น ผู เที่ยงแทตอพระนิพพาน (นิยต) มีสัมโพธิเปนเบื้องหนา (สมฺโพธิปรายน). - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๗๘/๔๖๙.

สารีบ ุต ร ! อริย อัฏ ฐัง คิก มรรคนี ้นั ่น แหละ ชื ่อ วา กระแส (โสต) ได แ ก สั ม มาทิ ฏ ฐิ สั ม มาสั ง กั ป ปะ สั ม มาวาจา สั ม มากั ม มั น ตะ สั ม มาอาชี ว ะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ. - มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๓๕/๑๔๓๑.

www.buddhadasa.info (ส ูต รข า ง บ น นี ้(:๑๗/๒๗๘/๔๖๙) ท รง แ ส ด ง อ า รม ณ แ ห ง อ น ิจ จ ัง เป น ต น ด ว ย ธรรม ๖ อย า ง คื อ อายตนะภายในหก ; ในสู ต รถั ด ไปทรงแสดงอารมณ นั้ น ด ว ยอายตนะภาย นอกหก คือ รูป เสีย ง กลิ ่น รส โผฏ ฐัพ พ ะ ธรรมารมณ  ก็ม ี, แสดงดว ยวิญ ญ าณ หก ก็ม ี, ดว ย สัม ผัส ห ก ก็ม ี, ดว ย เว ท น า ห ก ก็ม ี, ดว ย สัญ ญ า ห ก ก็ม ี, ดว ย สัญ เจ ต น า ห ก ก็ม ี, ดว ย ตัณ ห าห ก ก็ม ี, ดว ย ธ าต ุห ก ก็ม ี, แ ล ะ ดว ย ขัน ธห า ก็ม ี; ท รงแ ส ด งไวด ว ย ห ลัก ก าร ปฏิบัติอยางเดียวกัน).


๕๙๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

ความเปนพระโสดาบัน ไมอาจแปรปรวน ภิก ษุ ท .! แ มม ห าภูต รูป สี ่ ก ลา วคือ ธาตุด ิน น้ํ า ไฟ ล ม ก็ย ัง มี ค วาม แป รป รวน เป น อย างอื่ น ไป ได . แต เห ล า อ ริ ย ส าวกใน ธรรม วิ นั ยนี้ ผู ป ระกอ บ พ รอ ม แลว ดว ยค วาม เลื ่อ ม ใส อัน ห ยั ่ง ล งมั ่น ไมห วั ่น ไห ว ใน องค พระพุ ท ธเจ า ....ในองค พ ระธรรม...ในองค พ ระสงฆ ...ย อ มไม มี ค วามแปรปรวน เป น อย า งอื่ น เลย. ข อ ที่ ว า ผู ป ระกอบพร อ มแล ว ด ว ยความเลื่ อ มใสอั น หยั่ ง ลงมั่ น ไม ห วั่ น ไหว ในองค พ ระพุ ท ธเจ า เป น ต น นั้ น ยั ง จะมี ก ารปรวนแปรไปเป น เสี ย อยา งอื ่น จนเขา ถึง น รกก็ด ี กํ า เนิด เดรัจ ฉานก็ด ี วิส ัย แหง เป รตก็ด ี ดัง นี ้นั ้น ไมใชเปนฐานะที่จะมีไดเลย. ภิ กษุ ท .! แม ม ห าภู ต รู ป สี่ กล า วคื อ ธาตุ ดิ น น้ํ า ไฟ ล ม ก็ ยั ง มี ความแปรปรวนเป น อื่ น ไปได , แต เ หล า อริ ย สาวกในธรรมวิ นั ย นี้ ผู ป ระกอบ พร อ มแล ว ด ว ยศี ล ทั้ ง หลายชนิ ด เป น ที่ พ อใจของเหล า อริ ย เจ า ย อ มไม มี ค วาม แปรปรวนเป น อย า งอื่ น ได เ ลย. ข อ ที่ ว า ผู ป ระกอบพร อ มแล ว ด ว ยศี ล ทั้ ง หลาย ชนิ ด เป น ที่ พ อใจของเหล า อริ ย เจ า นั้ น ยั ง จะมี ก ารปรวนแปรไปเป น เสี ย อย า งอื่ น จนเขา ถึง นรกก็ด ี กํ า เนิด เดรัจ ฉานก็ด ี วิส ัย แหง เปรตก็ด ี ดัง นี ้นั ้น ไมใ ชเ ปน ฐานะที่จะมีไดเลย.

www.buddhadasa.info - มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๕๗/๑๔๙๕-๖.

ความเปนโสดาบัน ประเสริฐกกวาเปนพระเจาจักรพรรดิ ภิ ก ษุ ท.! แม พ ระเจ า จั ก รพรรดิ ได ค รองความเป น ใหญ ยิ่ ง แห ง ทวี ป ทั้งสี่ เบื้องหนาจากการตายเพราะรางกายแตกดัง อาจะไดเขาถึงสุคติโลกสวรรค


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๙๕

เป น สหายอยู ร ว มกั บ เหล า เทวดาชั้ น ดาวดึ ง ส ถู ก แวดล อ มอยู ด ว ยหมู น างอั ป ษร ในสวนนัน ทวัน ทา วเธอเปน ผู เ อิบ อิ ่ม เพีย บพรอ มดว ยกามคุณ ทั ้ง หา อัน เปน ของทิพ ยอ ยา งนี ้ก ็ต าม, แตก ระนั ้น ทา วเธอก็ย ัง รอดพน ไปไมไ ด จากนรก จากกําเนิดเดรัจฉาน จากวิสัยแหงเปรต และจากอบาย ทุคติ วินิบาต. ภิ ก ษุ ท.! ส ว นอริ ย สาวกในธรรมวิ นั ย นี้ แม เ ป น ผู ยั ง อั ต ตภาพให พอเป นไปด วยคํ าข าวที่ ได มาจากบิ ณ ฑบาตด วยปลี แข งของตนเอง พั นกายด วยการ นุ ง หม ผา ปอน ๆ ไมม ีช าย, หากแตว า เปน ผู ป ระกอบพรอ มแลว ดว ยธรรม ๔ ประการ เธอก็ย ัง สามารถ รอดพน เสีย ได จากนรก จากกํ า เนิด เดรัจ ฉาน จากวิสัยแหงเปรต และจากอบาย ทุคติ วินิบาต. ภิ ก ษุ ท.! ธรรม ๔ ประการนั้ น เป น ไฉน ? สี่ ป ระการคื อ อริ ย สาวก ในธรรมวิน ัย นี ้ เปน ผู ป ระกอบพรอ มแลว ดว ยความเลื ่อ มใสอัน หยั ่ง ลงมั ่น ไมห วั ่น ไห ว ใน อ งคพ ระพุท ธเจา ...ใน อ งคพ ระธ รรม ...ใน อ งคพ ระ ส งฆ... เปน ผู ป ระกอบพรอ มแลว ดว ยศีล ทั ้ง หลาย ชนิด เปน ที ่พ อใจเหลา อริย เจา ฯลฯ ดังนี้.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! ระหว า งการได ท วี ป ทั้ ง สี่ กั บ การได ธ รรม ๔ ประการนี้ นั้ น การไดทวีทั้งสี่มีคาไมถึงเสี้ยวที่สิบหก ของการไดธรรม ๔ ประการนี้ เลย.

- มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๒๘-๔๒๙/๑๔๑๑-๑๔๑๓.

ผลแหงความเปนโสดาบัน ภิ ก ษุ ท.! อานิ ส งส แ ห งการทํ า ให แ จ ง ซึ่ งโสดาป ต ติ ผ ล ๖ อย า ง เหลานี้ มีอยู, หกอยาง เหลาไหนเลา ? หกอยาง คือ :-


๕๙๖

อริยสัจจากพระโอษฐ เปนบุคคลผู เที่ยงแทตอสัทธรรม (สทฺธมฺมนิยโต) ; เปนบุคคลผู มีธรรมอันไมรูเสื่อม (อปริหานธมฺโม) ; ทุกขดับไปทุกขั้นตอนแหงการกระทําที่กระทําแลว; เปนบุคคลผู ประกอบดวยอสาธารณญาณ (ที่ไมทั่วไปแกพวกอื่น) ; เปนบุคคลผู เห็นธรรมที่เปนเหตุ; และ เห็นธรรมทั้งหลาย ที่เกิดมาแตเหตุ.

ภิ ก ษุ ท.! เหล า นี้ แ ล อานิ ส งส ๖ ประการแห ง การทํ า ให แ จ ง ซึ่ ง โสดาปตติผล. - ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๙๐/๓๖๘.

พระอริยบุคคลละสังโยชนไดตางกัน ภิก ษุ ท .! บุค ค ล ๔ จํ า พ ว ก เห ลา นี ้ มีอ ยู ใ น โล ก ห าไดโ ล ก . สี่จําพวกเหลาไหนบาง ? สี่จําพวก คือ :(๑) บุ ค คลบางคนในโลกนี้ มี สั ง โยชน ส ว นเบื้ อ งต่ํ า ทั้ ง หลายที่ จ ะไม ได, มีส ัง โยชนต ัว เหตุใ หต อ งเกิด อีก ที ่ย ัง ละไมไ ด, และมีส ัง โยชนต ัว เหตุใ ห ตองมีภพ ที่ยังละไมได. (๒) บุ ค คลบางคนในโลกนี้ ละสั ง โยชน ส ว นเบื้ อ งต่ํ า ทั้ ง หลายได แ ล ว แตม ีส ัง โยชนต ัว เหตุใ หต อ งเกิด อีก ที ่ย ัง ละไมไ ด, มีส ัง โยชนต ัว เหตุใ หต อ ง มีภพ ที่ยังละไมได. (๓) บุ ค คลบางคนในโลกนี้ ละสั ง โยชน ส ว นเบื้ อ งต่ํ า ทั้ ง หลายได แ ล ว ทั้ ง ยั ง ละสั ง โยชน ตั ว เหตุ ใ ห มี ก ารเกิ ด อี ก ได ด ว ย, แต มี สั ง โยชน ตั ว เหตุ ใ ห ต อ งมี ภ พ ที่ยังละไมได.

www.buddhadasa.info


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๙๗

(๔) บุ ค คลบางคนในโลกนี้ ละสั ง โยชน เบื้ อ งต่ํ า ทั้ ง หลายได แ ล ว ละ สั ง โยชน ตั ว เหตุ ใ ห ต อ งเกิ ด อี ก ได แ ล ว และยั ง ละสั ง โยชน ด ว ยเหตุ ใ ห ต อ งมี ภ พ ได อีกดวย. (ประเภที่ ๑) ภิ ก ษุ ท.! พ ระสกิ ท าคามี นี้ แ ล เป น ผู ยั ง ละสั ง โยชน

ส ว นเบื้ อ งต่ํ า ทั้ ง หลายไม ได ทั้ งหมด ละสั งโยชน ตั วเหตุ ให ต อ งเกิ ด อี ก ยั งไม ได และ ละสังโยชนตังเหตุใหตองมีภพ ยังไมได. (ประเภทที ่ ๒) ภิก ษุ ท.! พระอนาคามีพ วกที ่ม ีก ระแสในเบื ้อ งบน

ไปสู อกนิ ฏฐภพ นี้ แล เป นผู ละสั งโยชน เบื้ องต่ํ าทั้ งหลายได ทั้ งหมด แต ยังละสังโยชน ตัวเหตุใหตองเกิดอีกไมไดดวย และละสังโยชนตัวเหตุใหตองมีภพไมได. (ประเภทที่ ๓) ภิ กษุ ท.! พระอนาคามี พวกที่ จั ก ปริ นิ พ พานในระหว าง

นี ้แ ล เปน ผู ล ะสัง โยชนเ บื ้อ งต่ํ า ทั ้ง หลายไดด ว ย ละสัง โยชนต ัว เหตุใ หต อ งเกิด อีกไดดวย แตยังละสังโยชนตัวเหตุใหมีภพไมได.

www.buddhadasa.info (ป ระเภ ท ที่ ๔) ภิ กษุ ท .! พ ระอ รหั น ต ขี ณ าส พ นี้ แ ล เป น ผู ที่ ล ะ

สั ง โยชน เ บื้ อ งต่ํ า ทั้ ง หลายได ละสั ง โยชน ตั ว เหตุ ใ ห ต อ งเกิ ด อี ก ได และยั ง ละ สังโยชนตัวเหตุใหตองมีภพไดอีกดวย. ภิกษุ ท.! เหลานี้ คือบุคคล ๔ จําพวก มีอยูในโลก หาไดในโลก. - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๘๑/๑๓๑.

พระอริยบุคคลผูตองใชสังขารธรรมตางกัน สี่ประเภท ก. ผูทิฏเฐวธัมเมสสังขารปรินิพพายี ภิ ก ษุ ท.! บุ ค คลผู เ ป น ทิ ฏ เฐวธั ม เมสสั ง ขารปริ นิ พ พายี เป น อย า ง ไรเลา ?


๕๙๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ใ นกรณี นี้ เป น ผู มี ป กติ ต ามเห็ น ความไม ง ามในกาย เป น ผู มี สั ญ ญาว าปฏิ กู ล ในอาหาร มี สั ญ ญาว ามิ ใช สิ่ งน ายิ น ดี ในโลกทั้ งปวง มี ป กติ ตามเห็ น ว า ไม เที่ ย งในสั งขารทั้ ง ปวง และมี ม รณสั ญ ญาอั น ได ตั้ งไว ดี แ ล วในภายใน. เธออาศั ย ธรรมเป น กํ า ลั ง แห ง พระเสขะทั้ ง ห า เหล า นี้ อ ยู คื อ สั ท ธาพละ หิ รี พ ละ โอตตัปปพละ วิริยพละ ปญ ญาพละ. อิน ทรียทั้ งห าเหลานี้ ของเธอ ก็เป น ธรรม ม ีป ร ะ ม า ณ ยิ ่ง ป รา ก ฏ อ ยู , ก ลา ว คือ สัท ธิน ท รีย  วิร ิย ิน ท รีย  ส ติน ท รีย สมาธิ น ทรี ย ป ญ ญิ น ทรี ย . ภิ ก ษุ ผู นั้ น เพราะเหตุ ที่ อิ น ทรี ย ทั้ ง ห า เหล า นี้ เ ป น ธรรมมีประมาณอันยิ่ง จึงเปนผูทิฏเฐวธัมเมสสังขารปรินิพพายี. ภิ ก ษุ ท.! อย า งนี้ แ ล บุ ค คลผู เ ป น ทิ ฏ เฐวธั ม เมสสั ง ขารปริ นิ พ พายี (ผูมีสังขารธรรมสําหรับการปรินิพพานในทิฏฐธรรมนี้เทียว?). - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๒๐๙/๑๖๙.

ข. ผูกายัสสเภทาสสังขารปรินิพพายี ภิ ก ษุ ท.! บุ ค คลผู เ ป น กายั ส สเภทาสสั ง ขารปริ นิ พ พายี เป น อย า ง

www.buddhadasa.info ไรเลา ?

ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ใ นกรณี นี้ เป น ผู มี ป กติ ต ามเห็ น ความไม ง ามในกาย เป น ผู มี สั ญ ญาว าปฏิ กู ล ในอาหาร มี สั ญ ญาว ามิ ใช สิ่ งน ายิ น ดี ในโลกทั้ งปวง มี ป กติ ตามเห็ น ว า ไม เที่ ย งในสั ง ขารทั้ ง ปวง และมี ม รณสั ญ ญาอั น ตั้ ง ไว ดี แ ล ว ในภายใน. เธออาศั ย ธรรมเป น กํ า ลั ง เแห ง พระเสขะทั้ ง ห า เหล า นี้ อยู คื อ สั ท ธาพละ หิ รี พ ละ โอตตัป ปพละ วิริย พละ ปญ ญาพละ. อิน ทรีย ทั ้ง หา เหลา นี ้ข องเธอ เปน ธรรม มีกําลังออน ปรากฏอยู, กลาวคือ สัทธินทรีย วิริยินทรีย สตินทรีย สมาธิน-


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๕๙๙

ทรีย ปญ ญิน ทรีย. ภิก ษุนั้น เพราะเหตุที่อิน ทรียทั้งหาเหลานี้ เปน ธรรมมี กําลังออน จึงเปนผูกายัสสเภทาสสังขารปรินิพพายี. ภิ ก ษุ ท.! อย า งนี้ แ ล บุ ค คลผู เป น กายั ส สเภทาสสั ง ขารปริ นิ พ พายี (ผูมีสังขารธรรมสําหรับการปรินิพพานตอกายแตก ?). - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๒๑๐/๑๖๙.

ค. ผูทิฏเฐวธัมเมอสังขารปรินิพพายี ภิ ก ษุ ท.! บุ ค คลผู เ ป น ทิ ฏ เฐวธั ม เมอสั ง ขารปริ นิ พ พายี เป น อย า ง ไรเลา ? ภิก ษ ุ ท .! ภิก ษ ุใ น กรณ ีนี ้....เขา ถึง ป ฐม ฌ าน ....เขา ถึง ทุต ิย ฌ าน ....เขา ถึง ต ติย ฌ า น ....เขา ถึง จ ตุต ถ ฌ า น ....แ ลว แ ล อ ยู , เธ อ อ า ศัย ธ รรม เปน กํ า ลัง แหง พระเสขะทั ้ง หา เหลา นี ้อ ยู  คือ สัท ธาพละ หิร ีพ ละ โอตตัป ปพละ วิริยพละ ปญญาพละ. อินทรียทั้งหาเหลานี้ของเธอ ก็เปนธรรมมีประมาณยิ่ง ป ร า ก ฏ อ ยู  , ก ล า ว คื อ สั ท ธิ น ท รี ย  วิ ร ิ ย ิ น ท รี ย  ส ติ น ท รี ย  ส ม า ธิ น ท รี ย ปญญินทรีย. ภิกษุนั้น เพราะเหตุที่อินทรียทั้งหาเหลานี้ เปนธรรมมีประมาณยิ่ง จึ ง เป น ผู ทิ ฏ เฐวธั ม เมอสั ง ขารปริ นิ พ พายี .

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! อย า งนี้ แ ล บุ ค คลผู เ ป น ทิ ฏ เฐวธั ม เมอสั ง ขารปริ นิ พ พายี (ผูไมตองใชสังขารธรรมสําหรับการปรินิพพานในทิฏฐธรรมนี้เทียว ?). - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๒๑๐/๑๖๙.


๖๐๐

อริยสัจจากพระโอษฐ ง. ผูกายัสสเภทาอสังขารปรินิพพายี ภิ ก ษุ ท.! บุ ค คลผู เ ป น กายั ส สเภทาอสั ง ขารปริ นิ พ พายี เป น อย า ง

ไรเลา ? ภ ิก ษ ุ ท .! ภ ิก ษ ุใ น ก ร ณ ีนี ้ .... เข า ถ ึง ป ฐ ม ฌ า น .... เข า ถ ึง ท ุต ิย ฌ า น .... เขา ถึง ต ต ิย ฌ า น .... เขา ถึง จ ต ุต ถ ฌ า น .... แ ล ว แ ล อ ยู . เธออาศั ย ธรรมเป น กํ า ลั ง แห ง พระเสขะทั้ ง ห า เหล า นี้ อ ยู คื อ สั ท ธาพละ หิ รี พ ละ โอตตัปปพละ วิริยพละ ปญ ญาพละ. อิน ทรียทั้ งห าเหลานี้ของเธอ เป น ธรรมมี กํ า ลัง ออ น ปรากฏอยู , กลา วคือ สัท ธิน ทรีย  วิร ิย ิน ทรีย  สติน ทรีย  สมาธิน ทรีย  ปญ ญ ิน ทรีย . ภิก ษุนั ้น เพ ราะเห ตุที ่อ ิน ท รีย ทั ้ง หา เห ลา นี ้ เปน ธรรมมีกําลังออน จึงเปนผูกายัสสเภทาอสังขารปรินิพพายี. ภิ ก ษุ ท.! อย า งนี้ แ ล บุ ค คลผู เ ป น กายั ส สเภทาอสั ง ขารปริ นิ พ พายี (ผูไมตองใชสังขารธรรมสําหรับการปรินิพพานตอกายแตก ?). - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๒๑๑/๑๖๙.

www.buddhadasa.info อุปมาการฝกชางศึก ดวยการฝกตนของอริยสาวก

ภิ ก ษุ ท.! ช า งต น ประกอบด ว ยคุ ณ สมบั ติ สี่ สมควรแก พ ระราชา จะใช ส อย จั ด ได ว า เป น อั ง คาพยพ (ส ว นประกอบแห ง องค ) ของพระราชา. สี่ อ ยา ง อยา งไรเลา ? ในกรณ ีนี ้ สี ่อ ยา งคือ ชา งตน เปน ชา งรู ฟ ง รู ป ระหาร รู อ ดทน รูไป.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๐๑

ภิก ษุ ท .! ชา งตน ที ่รู ฟ ง เปน อ ยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท .! ชา ง ต น ในกรณี นี้ , ควาญช า งสั่ ง ให ทํ า การอั น ใดที่ เคยทํ า หรื อ ไม เคยทํ า ก็ ต าม, ย อ ม ทํ า ในใจอย า งทั่ ว ถึ ง รวบรวมจิ ต ทั้ ง หมดมาเงี่ ย โสตคอยสดั บ . อย า งนี้ แ ล เรี ย กว า ชางตนที่รูฟง. ภิก ษุ ท .! ชา งตน ที ่รู ป ระห าร เปน อ ยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท .! ช า งต น ในกรณี นี้ เข า สู ส งครามแล ว ย อ มประหารช า งบ า ง ผู อ ยู บ นหลั ง ช า งบ า ง ประหารม า บ า ง ประหารผู อ ยู บ นหลั ง ม า บ า ง ย อ มประหารรถบ า ง คนประจํ า รถ บาง ยอมประหารพลเดินเทาบาง, อยางนี้แล เรียกวา ชางตนที่รูประหาร. ภิ ก ษุ ท.! ช า งต น ที่ รู อ ดท น เป น อย า งไรเล า ? ภิ ก ษุ ท.! ช า ง ต น ในกรณีนี ้ เขา สู ส งครามแลว อดทนตอ การประหารดว ยหอก ดว ยดาบ ดว ย ลูก ศร อดทนตอ เสีย งกึก กอ งแหง กลอง บัณ เทาะว สัง ข และมหรทึก . อยา ง นี้แล เรียกวา ชางตนที่รูอดทน.

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท.! ชา งตน ที ่รู ไ ป เปน อยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท.! ชา งตน ในกรณีนี ้, ควาญ ชา งจะสง ไปสู ท ิศ ใดที ่เ คยไป หรือ ไมเ คยไปก็ต าม, ยอ ม ไปสูทิศนั้นไดโดยพลัน. อยางนี้แล เรียกวา ชางตนที่รูไป.

ภิก ษุ ท.! ชา งตน ประกอบดว ยคุณ สมบัต ิ ๔ อยา ง เหลา นี ้แ ล สมควรแกพระราชาจะใชสอย จัดไดวาเปนอังคาพยพของพระราชา. ภ ิก ษ ุ ท .! ฉ ัน ใด ก ็ฉ ัน นั ้น ที ่ภ ิก ษ ุป ร ะ ก อ บ ด ว ย ค ุณ ธ ร ร ม ๔ ประการ ยอมเปนอาหุเนยยบุคคล ปาหุเนยบุคคล ทักขิเณยบุคคล อัญชลี-


๖๐๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

กรณี ย บุ ค คล และเป น เนื้ อ นาบุ ญ ของโลกไม มี น าบุ ญ อื่ น ยิ่ ง กว า . คุ ณ ธรรม ๔ ประการ อยา งไรเลา ? สี ่ป ระการในกรณีนี ้ คือ ภิก ษุเ ปน ผู รู ฟ ง รู ป ระหาร รูอดทน และรูไป. ภิก ษุ ท .! ภิก ษ ุที ่รู ฟ ง เปน อ ยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท .! ภิก ษุใ น กรณีนี ้, เมื ่อ ธรรมวิน ัย อัน ตถาคตประกาศแลว อัน บุค คลแสดงอยู . ยอ มทํ า ในใจอย า งทั่ ว ถึ ง รวบรวมจิ ต ทั้ ง หมดมาเงี่ ย โสตคอยสดั บ ฟ ง ธรรมอยู . อย า งนี้ แล เรียกวา ภิกษุที่รูฟง. ภ ิก ษ ุ ท .! ภ ิก ษ ุที ่รู ป ร ะ ห า ร เป น อ ยา ง ไร เล า ? ภ ิก ษ ุ ท .! ภิก ษุใ นกรณ ีนี ้ ยอ มไมอ ยู เ ฉย ยอ มละ ยอ มบรรเทา ยอ มกระทํ า ใหสิ ้น ไป ยอ มกระทํ า ใหไ มม ี ซึ ่ง กามวิต ก …. พยาปาทวิต ก …. วิห ิง สาวิต ก อัน เกิด ขึ้ น แล ว ; ย อ มไม อ ยู เ ฉย ย อ มละ ย อ มบรรเทา ย อ มกระทํ า ให สิ้ น ไป ย อ ม กระทํ า ให ไ ม มี ซึ่ ง อกุ ศ ลธรรมอั น ลามกทั้ ง หลาย อั น เกิ ด ขึ้ น แล ว และเกิ ด ขึ้ น แล ว . อยางนี้แล เรียกวา ภิกษุที่รูประหาร.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ที่ รู อ ดทน เป น อย า งไรเล า ? ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ใ น กรณี นี้ เป น ผู อ ดทนต อ ความหนาว ความร อ น ความหิ ว ความระหาย ต อ สั ม ผั ส แห ง เหลื อ บ ยุ ง ลม แดด และสั ต ว เลื้ อ ยคลานทั้ ง หลาย ต อ คลองแห ง ถ อ ยคํ า อั น หยาบคาย ร ายกาจ เป น ผู มี ชาติ แ ห งบุ ค คลผู อ ดกลั้ น ต อ เวทนาทางกายอั น เกิ ด ขึ ้น แลว อยา งเปน ทุก ข กลา แข็ง เผ็ด รอ น ไมน า ยิน ดี ไมน า พอใจ ราวกะวา จะนําไปเสียซึ่งลมปราณ. อยางนี้แล เรียกวา ภิกษุที่รูอดทน.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๐๓

ภ ิ ก ษ ุ ท .! ภ ิ ก ษ ุ ที ่ รู  ไ ป เป  น อ ย า ง ไ ร เล  า ? ภ ิ ก ษ ุ ท .! ภ ิ ก ษุ ในกรณี นี้ , ทิ ศ ใดอั น เธอไม เคยไป ตลอดกาลยาวนานถึ ง เพี ย งนี้ กล า วคื อ นิ พ พาน อัน เปน ที ่ร ะงับ แหง สัง ขารทั ้ง ปวง เปน ที ่ส ลัด คืน ซึ ่ง อุป ธิทั ้ง ปวง เปน ที ่สิ ้น ไป แห ง ตั ณ หา ปราศจากความกํ า หนั ด เป น ที่ ดั บ โดยไม เ หลื อ , เธอเป น ผู ไ ปสู ทิ ศ นั้นไดโดยพลันนั่นเทียว. อยางนี้แล เรียกวา ภิกษุที่รูไป. ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ป ระกอบด ว ยคุ ณ ธรรม ๔ ประการเหล า นี้ แ ล ย อ ม เป น อาหุ เ นยยบุ ค คล ปาหุ เ นยยบุ ค คล ทั ก ขิ เ ณ ยยบุ ค คล อั ญ ชลี ก รณี ยบุ ค คล และเปนเนื้อนาบุญของโลกไมมีนาบุญอื่นยิ่งกวา. - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๕๖-๑๕๘/๑๑๔.

บุคคลที่มีเชื้อเหลือ ๙ จําพวก เช าวั นหนึ่ ง ท านพระสารี บุ ตรครองจี วร ถื อบาตร เข าไปบิ ณ ฑบาตในนครสาวั ตถี ท านเห็ นว าเวลายั งเช าเกิ นไปสํ าหรั บการบิ ณฑบาต จึ งแวะเข าไปในอารามของพวก ปริพาชกลั ทธิ อื่ น ได ทั กทายปราศรัยกั นตามธรรมเนี ยมแล ว นั่ งลง ณ ส วนข างหนึ่ ง. ก็ ใน เวลานั้ นแล พวกปริพาชกทั้ งหลายนั้ น กํ าลั งยกข อความขึ้ นกล าวโต เถี ยงกั นอยู ถึ งเรื่องบุ คคล ใดใครก็ ตาม ที่ ยั งมี เชื้อเหลื อ ถ าตายแล ว ย อมไม พ นเสี ยจากนรก จากกํ าเนิ ดเดรัจฉาน จากวิสั ยแห งเปรต จากอบาย ทุ คติ วินิ บาต ไปได เลยสั กคนเดี ยว ดั งนี้ . ท านพระสารีบุ ตร ไม แสดงว าเห็ นด วย และไม คั ดค าน ข อความของปริ พาชกเหล านั้ น, ลุ กจากที่ นั่ งไป โดย คิ ดว าทู ลถวายพระผู มี พระภาคเจ า แล วจั กได ทราบความข อนี้ . ครั้ นกลั บจากบิ ณฑบาต ภายหลั งอาหารแล ว จึ งเข าไปเฝ าพระผู มี พระภาคเจ า กราบทู ลถึ งเรื่องราวที่ เกิ ดขึ้ นในตอนเช า ทุกประการ. พระผูมีพระภาคเจาจึงตรัสวา :-

www.buddhadasa.info


๖๐๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

สารีบ ุต ร ! พวกปริพ าชกลัท ธิอื ่น ยัง ออ นความรู  ไมฉ ลาด จัก รู ไดอยางไรกันวา ใครมีเชื้อเหลือ ใครไมมีเชื้อเหลือ. สารี บุ ต ร ! บุ ค คลที่ มี เชื้ อ (อุ ป าทิ ) เหลื อ ๙ จํ า พวก ดั ง ที่ จ ะกล า ว ต อ ไปนี้ แม ต ายไป ก็ พ น แล ว จากนรก พ น แล ว จากกํ า เนิ ด เดรั จ ฉาน พ น แล ว จากวิ สั ย แห ง เปรต พ น แล ว จากอบาย ทุ ค ติ วิ นิ บ าต.บุ ค คลเก า จํ า พวกเหล า นั้ น เปนอยางไรเลา ? เกาจําพวกคือ:(๑) สารีบ ุต ร ! บุค คลบางคนในกรณีนี ้ เปน ผู  ทํ า ไดเ ต็ม ที ่ใ นสว น ศีล ทําไดเต็มที่ในสวนสมาธิ แตทําไดพอประมาณในสวนปญ ญา. เพราะทํา สั ง โยชน ๕ อย า งในเบื้ อ งต น ให สิ้ น ไป, บุ ค คลนั้ น เป น อนาคามี ผู จ ะปริ นิ พ พาน ในระหวา งอายุย ัง ไมท ัน ถึง กึ ่ง . สารีบ ุต ร ! นี ้เปน บุค คลผู ม ีเชื ้อ เหลือ พวกที ่ ๑ ที่ เ มื่ อ ตาย ก็ พ น แล ว จากนรก จากกํ า เนิ ด เดรั จ ฉาน จากวิ สั ย แห ง เปรต จาก อบาย ทุคติ วินิบาต.

www.buddhadasa.info (๒) สารี บุ ต ร ! บุ ค คลบางคนในกรณี นี้ เป น ผู ทํ าได เต็ ม ที่ ในส วนศี ล ทําไดเต็มที่ในสวนสมาธิ แตทําไดพอประมาณในสวนปญญา. เพราะทําสังโยชน ๕ อย า งในเบื้ อ งต น ให สิ้ น ไป, บุ ค คลนั้ น เป น อนาคามี ผู จ ะปริ นิ พ พานเมื่ อ อายุ พ น กึ่ ง แล ว จวนถึ ง ที่ สุ ด . สารี บุ ต ร! นี้ เ ป น บุ ค คลผู มี เ ชื้ อ เหลื อ พวกที่ ๒ ที่ เ มื่ อ ตาย ก็ พ น แล ว จากนรก จากกํ า เนิ ด เดรั จ ฉาน จากวิ สั ย แห ง เปรต จากอบาย ทุคติ วินิบาต.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๐๕

(๓) สารี บุ ต ร ! บุ ค คลบางคนในกรณี นี้ เป น ผู ทํ า ได เต็ ม ที่ ใ นส ว น ศีล ทําไดเต็มที่ในสวนสมาธิแตทําไดพอประมาณในสวนปญ ญา. เพราะทํา สังโยชน ๕ อย างในเบื้ อ งต น ให สิ้ น ไป, บุ ค คลนั้ น เป น อนาคามี ผู จ ะปรินิ พ พาน โดยไมตองใชความเพียรเรี่ยวแรง. สารีบุตร! นี้เปนบุคคลผูมีเชื้อเหลือพวกที่ ๓ ที่ เมื่ อตาย ก็ พ นแล วจากนรก จากกํ าเนิ ดเดรัจฉาน จากวิ สั ยแห งเปรต จากอบาย ทุคติ วินิบาต. (๔) สารี บุ ต ร ! บุ ค คลบางคนในกรณี นี้ เป น ผู ทํ า ได เต็ ม ที่ ใ นส ว น ศีล ทําไดเต็มที่ในสวนสมาธิ แตทําไดพอประมาณในสวนปญญา. เพราะทํา สังโยชน ๕ อย างในเบื้ อ งต น ให สิ้ น ไป, บุ ค คลนั้ น เป น อนาคามี ผู จ ะปรินิ พ พาน โดยตอ งใชค วามเพีย รเรี่ย วแรง. สารีบุต ร! นี้เปน บุค คลผูมีเชื้อ เหลือ พวกที่ ๔ ที่ เมื่ อตาย ก็ พ นแล วจากนรก จากกํ าเนิ ดเดรัจฉาน จากวิ สั ยแห งเปรต จากอบาย ทุคติ วินิบาต. (๕) สารี บุ ต ร ! บุ ค คลบางคนในกรณี นี้ เป น ผู ทํ า ได เต็ ม ที่ ใ นส ว น ศีล ทําไดเต็มที่ในสวนสมาธิแตทําไดพอประมาณในสวนปญ ญา. เพราะทํา สั งโยชน ๕ อย า ง ในเบื้ อ งต น ให สิ้ น ไป, บุ ค คลนั้ น เป น อนาคามี ผู มี ก ระแสใน เบื ้อ งบนไปถึง อกนิฏ ฐภพ. สารีบ ุต ร! นี ้เ ปน บุค คลผู ม ีเ ชื ้อ เหลือ พวกที ่ ๕ ที่ เ มื่ อ ตายก็ พ น แล ว จากนรก จากกํ า เนิ ด เดรั จ ฉาน จากวิ สั ย แห ง เปรต จาก อบาย ทุคติ วินิบาต.

www.buddhadasa.info (๖) สารีบุ ต ร ! บุ ค คลบางคนในกรณี นี้ เป น ผู ทํ า ได เต็ ม ที่ ใ นส ว น ศีล แตทําไดพอประมาณในสวนสมาธิ ทําไดพอประมาณในสวนปญญา. เพราะ


๖๐๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

ทํ า สั ง โยชน ๓ อย า งให สิ้ น ไป, และเพราะมี ร าคะ โทสะ โมหะเบาบางน อ ยลง, เป น สกทาคามี ยั ง จะมาสู โ ลกนี้ อี ก ครั้ ง เดี ย วเท า นั้ น แล ว กระทํ า ที่ สุ ด แห ง ทุ ก ข ได. ส ารีบ ุต ร! นี ้เ ปน บุค ค ล ผู ม ีเ ชื ้อ เห ลือ พ วก ที ่ ๖ ที ่เ มื ่อ ต าย ก็พ น แ ลว จากนรก จากกําเนิดเดรัจฉาน จากวิสัยแหงเปรต จากอบาย ทุคติ วินิบาต. (๗) สารี บุ ต ร ! บุ ค คลบางคนในกรณี นี้ เป น ผู ทํ า ได เ ต็ ม ที่ ใ นส ว น ศีล แตทําไดพอประมาณในสวนสมาธิ ทําไดพอประมาณในสวนปญญา. เพราะ ทํ า สัง โยชน ๓ อยา งใหสิ ้น ไป, บุค คลนั ้น เปน โสดาบัน ผู ม ีพ ืช หนเดีย ว คือ จัก เกิด ในภพแหง มนุษ ยห นเดีย วเทา นั ้น แลว กระทํ า ที ่ส ุด แหง ทุก ขไ ด. สารีบ ุต ร! นี้ เ ป น บุ ค คลผู มี เ ชื้ อ เหลื อ พวกที่ ๗ ที่ เ มื่ อ ตาย ก็ พ น แล ว จากนรก จากกํ า เนิ ด เดรัจฉาน จากวิสัยแหงเปรตจากอบาย ทุคติ วินิบาต. (๘) สารี บุ ต ร ! บุ ค คลบางคนในกรณี นี้ เป น ผู ทํ า ได เ ต็ ม ที่ ใ นส ว น ศีล แตทําไดพอประมาณในสวนสมาธิ ทําไดพอประมาณในสวนปญญา. เพราะ ทํ า สัง โยชน ๓ อยา งใหสิ ้น ไป, บุค คลผู นั ้น เปน โสดาบัน ผู ต อ งทอ งเที ่ย วไปสู สกุล ๒ หรือ ๓ ครั ้ง แลว กระทํ า ที ่ส ุด แหง ทุก ขไ ด. สารีบ ุต ร ! นี ้เ ปน บุค คล ผู ม ีเ ชื ้อ เหลือ พวกที ่ ๘ ที ่เ มื ่อ ตาย ก็พ น แลว จากนรก จากกํ า เนิด เดรัจ ฉาน จากวิสัยแหงเปรต จากอบายทุคติ วินิบาต.

www.buddhadasa.info (๙) สารี บุ ต ร ! บุ ค คลบางคนในกรณี นี้ เป น ผู ทํ า ได เ ต็ ม ที่ ใ นส ว น ศีล แตทําไดพอประมาณในสวนสมาธิ ทําไดพอประมาณในสวนปญญา. เพราะ ทํ า สั ง โยชน ๓ อย างให สิ้ น ไป, บุ ค คลนั้ น เป น โสดาบั น ผู ต อ งเที่ ย วไปในเทวดา และมนุษยอีก ๗ ครั้งเปนอยางมาก แลวกระทําที่สุดแหงทุกขได. สารีบุตร !


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๐๗

นี้ เ ป น บุ ค คลผู มี เ ชื้ อ เหลื อ พวกที่ ๙ ที่ เมื่ อ ตาย ก็ พ น แล ว จากนรก จากกํ า เนิ ด เดรัจฉาน จากวิสัยแหงเปรต จากอบาย ทุคติ วินิบาต. สารีบ ุต ร ! ปริพ าชกลัท ธิอื ่น ยัง ออ นความรู  ไมฉ ลาด จัก รู ไ ด อยา งไรกัน วา ใครมีเชื ้อ เหลือ ใครไมม ีเชื ้อ เหลือ . สารีบ ุต ร ! บุค คลเหลา นี ้แ ล ที่ มี เชื้ อ เหลื อ ๙ จํ า พวก เมื่ อ ตายไป ก็ พ น แล ว จากนรก จากกํ า เนิ ด เดรั จ ฉาน จากวิสัยแหงเปรต จากอบาย ทุคติ วินิบาต. สารี บุ ต ร ! ธรรมปริ ย ายข อ นี้ ยั งไม เคยแสดงให ป รากฏ แก ห มู ภิ ก ษุ ภิ ก ษุ ณี อุ บ าสก อุ บ าสิ ก าทั้ ง หลาย มาแต ก าลก อ น. ข อ นั้ น เพราะเหตุ ไ รเล า ? เพราะเราเห็น วา ถา เขาเหลา นั ้น ไดฟ ง ธรรมปริย ายขอ นี ้แ ลว จัก พากัน เกิด ความประมาท; อนึ ่ง เลา ธรรมปริย ายเชน นี ้ เปน ธรรมปริย ายที ่เ รากลา ว ตอเมื่อถูกถามเจาะจงเทานั้น; ดังนี้แล. - นวก. อํ. ๒๓/๓๙๓/๒๑๖.

www.buddhadasa.info พระอรหันตรูจักปญจุปาทานักขันธชัดแจงแลวหลุดพน

ภิ ก ษุ ท.! เมื่ อ ใดแล ภิ ก ษุ ม ารู ชั ด แจ ง ตามที่ เป น จริ ง แล ว ซึ่ ง ความ ก อขึ้ น แห งอุ ป าทานขั น ธ ห า, รู ชั ด แจ งตามที่ เป น จริงแล ว ซึ่ งความตั้ งอยู ไม ได ของ อุ ป าทานขั น ธ ห า , รู ชั ด แจ ง ตามที่ เป น จริ ง แล ว ซึ่ ง รสอร อ ยแห ง อุ ป าทานขั น ธ ห า , รู ช ัด แจง ตามที ่เ ปน จริง แลว ซึ ่ง โทษแหง อุป าทานขัน ธห า และรู ช ัด แจง ตามที่ เป น จริ ง แล ว ซึ่ ง อุ บ ายที่ ไ ปให พ น อุ ป าทานขั น ธ ห า ดั ง นี้ แ ล ว เป น ผู ห ลุ ด พ น แล ว เพราะไมมีความยึดมั่น ;


๖๐๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภ ิก ษ ุ ท .! เมื ่อ นั ้น ภ ิก ษ ุนี ้ เรา เรีย ก วา เปน พ ระ อ รห ัน ต ผู สิ ้น อาสวะแลว อยู จ บพรหมจรรยแ ลว ทํ า กิจ ที ่ค วรทํ า สํ า เร็จ แลว มีภ าระอัน ปลง ลงแลว มีป ระโยชนต นอัน ตามบรรลุแ ลว มีส ัง โยชนใ นภพสิ ้น ไปทั ้ง หมดแลว เปนผูหลุดพนแลวเพราะรูโดยชอบ ดังนี้แล. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๙๖/๒๙๗.

บุคคลผูบรรลุอนุปาทาปรินิพพาน ภิกษุ ท.! อนุปาทาปรินิพพาน เปนอยางไรเลา ? ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ใ นกรณี นี้ เป น ผู ป ฏิ บั ติ แ ล ว อย า งนี้ ได เ ฉพาะซึ่ ง ความเขา ไปเพง อยู ว า "ถา (ปจ จัย ) ไมเ คยมี, (ผล) ก็ต อ งไมม ีอ ยู แ กเ รา ; ถา (ปจ จัย เพื่อ อนาคต จัก ไมมีอ ยู, (ผลในอนาคต) ก็ตอ งไมมีแ กเรา. สิ่ง ใดมีอ ยู  สิ ่ง ใดมีแ ลว เรายอ มละไดซึ ่ง สิ ่ง นี ้." ดัง นี ้. ภิก ษุนั ้น ไมกํ า หนัด ใน ภพ ไม เกาะเกี่ ย วในสมภพ ย อ มเห็ น ซึ่ งบทอั น ยิ่ งขึ้ น ไปที่ มี อ ยู ด วยป ญ ญาอั น ชอบ วา เปน บทอัน สงบรํ า งับ ; และ บทนั ้น แล เปน บทอัน เธอกระทํ า ใหแ จง แลว หมดสิ้ น โดยประการทั้ งปวง ; มานานุ สั ย ก็ เป น อั น ภิ ก ษุ นั้ น ละขาดแล วทั้ งสิ้ น โดย ประการทั้ ง ปวง; ภวราคานุ สั ย ก็ เป น อั น ภิ ก ษุ นั้ น ละขาดแล ว ทั้ ง สิ้ น โดยประการ ทั ้ ง ป วง; อ วิ ช ช านุ ส ั ย ก็ เ ป น อั น ภิ ก ษุ นั ้ น ล ะ ข าด แล ว ทั ้ ง สิ ้ น โด ย ป ระ ก าร ทั ้ง ปวง; เธอนั ้น กระทํ า ใหแ จง ซึ ่ง เจโตวิม ุต ติป ญ ญาวิม ุต ติ อัน ไมม ีอ าสวะ เพราะความสิ้ น ไปแห ง อาสวะทั้ ง หลาย ด ว ยป ญ ญาอั น ยิ่ ง เอง ในทิ ฏ ฐธรรมนี้ เขาถึงแลวแลอยู.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! นี้เราเรียกวา อนุปาทานปรินิพพาน. - สตฺตก. อํ. ๒๓/๗๔/๕๒.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๐๙

พระอรหันตคือผูเปน อเสขะ "ข าแต พ ระองค ผู เจริ ญ ! ที่ กล าว ๆ กั นว า 'อเสขะ-อเสขะ' ดั งนี้ ภิ กษุ ชื่อวาเปนอเสขะ ดวยเหตุเพียงเทาไร ? พระเจาขา !" ภิก ษุ ! ภิก ษ ุใ น ธ รรม วิน ัย นี ้ เปน ผู ป ระ ก อ บ พ รอ ม แ ลว ดว ย สัม มาทิฏ ฐิช นิด เปน อเสขะ, สัม มาสัง กัป ปะชนิด เปน อเสขะ, สัม มาวาจา ชนิด เปน อเสขะ, สัม มากัม มัน ตะชนิด เปน อเสขะ, สัม มาอาชีว ะชนิด เปน อเสขะ, สั ม มาวายามะชนิ ด เป น อเสขะ, สั ม มาสติ ช นิ ด เป น อเสขะ, สั ม มาสมาธิ ช นิ ด เป น อเสขะ, สั ม มาญ าณ ะชนิ ด เป น อเสขะ และสั ม มาวิ มุ ต ติ ช นิ ด เปนอเสขะ ภิ ก ษุ ! ภิ ก ษุ ที่ ชื่ อ ว า เป น พระอเสขะ (อรหั น ต ) ย อ มมี ไ ด ด ว ยเหตุ เพียงเทานี้แล - ทสก. อํ. ๒๔/๒๓๗/๑๑๑.

ลักษณะทั่วไปของความเปนพระอรหันต

www.buddhadasa.info ความเรารอ น หมดความสุข ยอ มมีไมไดแ กทานผูเดิน สุด ทางสายไกลแลว, มีไมไดแ กผูไมรูจัก เศราโศก, มีไมไดแ กผูได พนแลวในทุก ๆ สิ่ง; และความเรารอนหมดความสุข ยอมมีไมได แกผูละกิเลสเครื่องรอยรัดไดแลวทุกกรณี. เหลาทานผูมีสติสมบูรณ ยอมสงตนไปเสียได ไมติดใจยินดีในถิ่นที่อยู ละอาลัยและสิ่งที่ทําใหอาลัยเสียได ดุจหงสโผบิน ละเปอกตมไปเสีย ฉะนั้น.


๖๑๐

อริยสัจจากพระโอษฐ ทานเหลาใด ไมมีการสั่งสม รูจักการกินการอยูไดดี มีความ พนอยางวางกิเลสเปนโคจร มีความพนอยางไมมีอะไรใหหมายไดเปน โคจร. คติที่จะไปขางหนาของเหลาทานผูเชนนั้น ยอมยากที่จะบอก ใหรูกันได เหมือนทิศทางไปในอากาศของเหลานกทั้งหลายฉะนั้น. ทานผูสิ้นอาสวะแลว ไมมีเรื่องยุงเกี่ยวกับอาหาร มีความพ น อยางวางกิเลสเปนโคจร มีความพนอยางไมมีอะไรใหหมายได เปน โคจร. เรื่องราวเกี่ยวกับตัวทานนั้น ยากที่จะบอกใหรูกันได เหมือน รองรอยของบินในอากาศ ฉะนั้น. อินทรียมีตาหูจมูกเปนตน ของทานผูใด ไมทําพิษ คือสงบ รํางับไดแลว เหมือนดั่งมาที่สารถีเขาฝกดีแลว แมปวงเทวาและมนุษย ก็ยังนิยมชมชอบตอทานผูนั้น ที่ทานไดละมานะแลว หาอาสวะกิเลส ไมได ทั้งเปนผูคงที่อยู. ท านเหล าใด ไม จํ าต องเชื่ อไปกั บ ผู อื่ น เขา รูแจ งนิ พ พาน อันอะไรปรุงแตงใหแปรเปลี่ยนไมได เปนผูตัดรอยตอคือกิเลสที่จะตอ ภพตอชาติ เปนผูยอมทําลายโอกาสที่จะมีเพื่อเอาอะไรอีก และเปน ผูสิ้นหวัง. เหลาทานผูเชนนั้นแล เปนอุดมบุรุษ.

www.buddhadasa.info - ธ. ขุ. ๒๕/๒๗/๑๗.

ทานผูใดเลิกของใจในเรื่องที่วา นี่ใชฝง หรือไมใชฝง หนอ ที่ วาฝงนั้ นอยางไร ไม ใชนั้ นอยางไร หนอ ดังนี้ , เป นผู ไม กระวน กระวายใจไดแลว เปนผูพรากมาเสียจากกิเลสาสวะไดหมด ทานผู เชนนั้นแล เราตถาคตเรียกวา พราหมณแท.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๑๑

ความอาลัยของทานผูใดไมมีเสียแลว รูทั่วถึง มีปกติไมตองถาม คนอื่นวาอะไรเปนอยางไรแลว, เปนผูหยั่งลงสูอมตะ มีประโยชนตน อันถึงโดยลําดับแลว, เราตถาคตเรียกผูนั้นวา พราหมณแท. - ธ. ขุ. ๒๕/๖๗-๗๐/๓๖.

ทานผูใดพิจารณาเห็นไดแลว ในสภาพที่มียิ่งและมีหยอนใน วิสั ย โลก ไม ได ไหวหวั่น ไปในอารมณ ไหน ๆ ในโลกเลย, เป น ผู รํางับสงบแลว ไมมีกิเลสฟุงกลุมเหมือนควัน ไมมีความทุกขความ คับแคนแลว เปนผูไมหวังอะไรแลว, เราตถาคตกลาวผูนั้น วาเปน ผูขามเสียไดซึ่งความเกิดความแก ดังนี้. - ติก. อํ. ๒๐/๑๖๙/๔๗๑.

ทานผูปฏิบัติจนเสร็จกิจในพรหมจรรยแลว ไมสะดุงหวาดเสียว แลว ปราศจากตัณหาแลว หมดกิเลสที่จะรั้นเพื่อรักษามานะเสียแลว ตัดรอนความทุกขเพียงดังลูกศรที่คอยทิ่มแทงในภพได ; สําหรับทานผู เชนนี้ รูปกายนี้ชื่อวาสิ้นสุดกันเพียงนี้ (เรือนรางนี้มีในที่สุด). - ธ. ขุ. ๒๕/๖๓ก/๓๔.

www.buddhadasa.info ธรรมเปนเครื่องอยูของพระอริยเจา (อริยวาส)

ภิก ษุ ท.! การอยู แ บบพระอริย เจา ซึ ่ง พระอริย เจา ทั ้ง หลาย ได อยู ม าแล ว ก็ ดี กํ า ลั ง อยู ในบั ด นี้ ก็ ดี จั ก อยู ต อ ไปก็ ดี มี เครื่ อ งอยู สิ บ ประการเหล า นี้ . สิบประการอะไรบางเลา ? สิบประการ คือ :-


๖๑๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ในกรณี นี้ เป น ผู ล ะองค ห า ได ข าด, ประกอบพร อ ม ดวยองคหก, มีอารักขาอยางเดียว, มีพนักพิงสี่ดาน, เปนผูถอนความเห็นวาจริง ดิ่งไปคนละทางขึ้นเสียแลว, เปนผูละการแสวงหาสิ้นเชิงแลว, เปนผูมีความดําริอัน ไมขุนมัว, เปนผูมีกายสังขารอันสงบรํางับแลว, เปนผูมีจิตหลุดพนดวยดี, เปนผูมี ปญญาในความหลุดพนดวยดี. ภิ กษุ ท .! (๑) ภิ กษุ เป น ผู ล ะอ งค ห าได ข าด เป น อ ย า งไรเล า ? ภิก ษุ ท.! ภิก ษุใ นกรณ ีนี ้ เปน ผู ล ะกามฉัน ทะ, ละพยาบาท, ละถิ ่น มิท ธะ, ละอุท ธัจ จกุก กุจ จะ และละวิจ ิก ิจ ฉาไดแ ลว . ภิก ษุ ท.! ภิก ษุอ ยา งนี ้ ชื ่อ วา เปนผูละองคหาไดขาด. ภิ ก ษุ ท.! (๒) ภิ ก ษุ เ ป น ผู ประกอบพร อ มด ว ยองค ห ก เป น อย า ง ไรเล า ? ภิ ก ษุ ท .! ภิ ก ษุ ใ น ก ร ณ ี นี ้ ไ ด เ ห็ น รู ป ด ว ย ต า , ได ฟ  ง เสี ย ง ด ว ย หู. ไดด ม ก ลิ ่น ดว ย จ มูก , ไดลิ ้ม รส ดว ย ลิ ้น , ไดส ัม ผัส โผ ฏ ฐัพ พ ะดว ย ก าย และได รู ธ รรมารมณ ด ว ยใจแล ว ก็ เป น ผู ไ ม ดี ใ จ ไม เสี ย ใจ มี อุ เบกขา มี ส ติ มี สั ม ปชัญญะอยูได. ภิกษุ ท.! ภิกษุอยางนี้ ชื่อวาเปนผูประกอบพรอมดวยองคหก.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! (๓) ภิ ก ษุ เป น ผู มี อ ารั ก ขาอย า งเดี ย ว เป น อย า งไรเล า ? ภ ิก ษ ุ ท .! ภ ิก ษ ุใ น กรณ ีนี ้ ป ระกอ บ การรัก ษ าจิต ดว ยส ติ. ภ ิก ษ ุ ท .! ภ ิก ษุ อยางนี้ ชื่อวามีอารักขาอยางเดียว. ภ ิก ษ ุ ท .! (๔) ภ ิก ษ ุเ ป น ผู  ม ีพ น ัก พ ิง สี ่ด า น เป น อ ยา งไรเลา ? ภิกษุ ท.! ภิกษุในกรณีนี้ พิจารณาแลวเสพของสิ่งหนึ่ง , พิจารณาแลว


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๑๓

อดกลั้ น ของสิ่ ง หนึ่ ง , พิ จ ารณาแล ว เว น ขาดของสิ่ ง หนึ่ ง , พิ จ ารณาแล ว บรรเทา ของสิ่งหนึ่ง, ภิกษุ ท.! ภิกษุอยางนี้ ชื่อวาเปนผูมีพนักพิงสี่ดาน๑. ภิ กษุ ท.! (๕) ภิ กษุ เป น ผู ถอนความเห็ น วาจริงดิ่ งไปคนละทาง ขึ ้ น เสี ย แล ว เป น อย า งไรเล า ? ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ใ นกรณี นี ้ เป น ผู  ถ อน สละ คาย ปลอ ย ละ ทิ ้ง เสีย แลว ซึ ่ง ความเห็น วา จริง ดิ ่ง ไปคนละทาง มากอยางของเหลาสมณพราหมณ มากผูดวยกัน ที่มีความเห็นวา "โลกเที่ยง บ าง, โล ก ไม เ ที ่ ย ง บ า ง, โล ก มี ที ่ ส ุ ด บ า ง, โล ก ไม ม ี ที ่ ส ุ ด บ า ง , ชี ว ะ ก็ อ ั น นั ้ น สรีร ะก็อ ัน นั ้น บา ง, ชีว ะก็อ ัน อื ่น สรีร ะก็อ ัน อื ่น บา ง, ตถาคตภายหลัง แต การตาย ย อ มมี อี ก บ า ง, ตถาคตภายหลั ง แต ก ารตาย ย อ มไม มี อี ก บ า ง, ตถาคตภายหลัง แตก ารตาย ยอ มมีอ ีก ก็ม ีไ มม ีอ ีก ก็ม ี บา ง, ตถาคตภายหลัง แต ก ารตาย ย อ มมี อี ก ก็ ห ามิ ไ ด ไม มี อี ก ก็ ห ามิ ได บ า ง. ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ อ ย า งนี้ ชื่อวาเปนผูถอนความเห็นวาจริงดิ่งไปคนละทาง (ปจเจกสัจจะ) ขึ้นเสียแลว. ภิก ษุ ท.! (๖) ภิก ษุเ ปน ผู  ละการแสวงห าสิ ้น เชิง แลว เปน อยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท.! ภิก ษุใ นกรณีนี ้ เปน ผู ล ะการแสวงหากามแลว , เปน ผู ล ะการแสวงหาภพแลว . และการแสวงหาพรหมจรรยข องเธอนั ้น ก็ร ะงับ ไปแลว. ภิกษุ .! ภิกษุอยางนี้ ชื่อวาเปนผูละการแสวงหาสิ้นเชิงแลว.

www.buddhadasa.info

๑. การพิจารณาแลวเสพ ใชกับ สิ่งของ บุคคล ธรรม ที่ควรเสพ. การพิจารณาแลวอดกลั้น ใชกับ เวทนา ถอยคํา อารมณ ที่ควรอดกลั้น. การพิจารณาแลวงดเวน ใชกับ สิ่งของ บุคคล ธรรม ที่ควรเวน. การพิจารณาแลวบรรเทา ใชกับ อกุศลวิตกทุกชนิด.


๖๑๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิก ษุ ท .! (๗) ภิก ษุเ ปน ผู  ม ีค วาม ดํ า ริไ มขุ น ม ัว เปน อยา งไร เลา ? ภิก ษุ ท.! ภิก ษุใ น กรณ ีนี ้ เปน ผู ล ะความ ดํ า ริใ น ทางกาม เสีย แลว , เปน ผู ล ะความดํ า ริใ นทางพยาบาทเสีย แลว , และเปน ผู ล ะความดํ า ริใ นทาง เบียดเบียนเสียแลว. ภิกษุ ท.! ภิกษุอยางนี้ ชื่อวาเปนผูมีความดําริไมขุนมัว. ภิ ก ษุ ท.! (๘) ภิ ก ษุ เ ป น ผู มี ก ายสั ง ขารอั น สงบรํ า งั บ แล ว เป น อยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท.! ภิก ษุใ นกรณีนี ้ เพราะละสุข เสีย ได เพราะละทุก ข เสี ย ได และเพราะความดั บ หายไปแห ง โสมนั ส และโทมนั ส ในกาลก อ น จึ ง บรรลุ ฌ านที่ ๔ อั น ไม มี ทุ ก ข แ ละสุ ข มี แ ต ค วามที่ ส ติ เ ป น ธรรมชาติ ที่ บ ริ สุ ท ธิ์ เ พราะ อุเ บ ก ข า แ ลว แล อ ยู . ภิก ษุ ท .! ภิก ษุอ ยา งนี ้ ชื ่อ วา เปน ผู ม ีก าย สัง ข าร อันสงบรํางับแลว. ภิ ก ษุ ท.! (๙) ภิ ก ษุ เ ป น ผู มี จิ ต หลุ ด พ น ด ว ยดี เป น อย า งไรเล า ? ภิก ษุ ท .! ภิก ษุใ น ก รณ ีนี ้ เปน ผู ม ีจ ิต ห ลุด พน แ ลว จ า ก รา ค ะ จ าก โท ส ะ จากโมหะ, ภิกษุ ท.! ภิกษุอยางนี้ชื่อวาเปนผูมีจิตหลุดพนดวยดี.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! (๑๐) ภิ ก ษุ เป น ผู มี ป ญ ญาในความหลุ ด พ น ด ว ยดี เป น อยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท.! ภิก ษุใ นกรณ ีนี ้ ยอ มรู ช ัด วา "เราละ ราคะ โทสะ โมหะ เสี ย แล ว ถอนขึ้ น ได ก ระทั่ ง ราก ทํ า ให เหมื อ นตาลยอดเน า ไม ใ ห มี ไ ม ใ ห เกิด ไดอ ีก ตอ ไป " ดัง นี ้. ภ ิก ษ ุ ท .! ภ ิก ษ ุอ ยา งนี ้ ชื ่อ วา เป น ผู ม ีป ญ ญ าใน ความหลุดพนดวยดี.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๑๕

ภิ ก ษุ ท.! ในกาลยื ด ยาวฝ า ย อดี ต พระอริ ย เจ า เหล า ใดเหล า หนึ่ ง ได เป น อยู แ ล ว อย า งพระอริ ย เจ า ; พระอริ ย เจ า ทั้ ง หมดเหล า นั้ น ก็ ไ ด เป น อยู แ ล ว ในการอยูอยางพระอริยเจา สิบประการนี้เหมือนกัน. ภิ ก ษุ ท.! ในกาลยื ด ยาวฝ า ย อนาคต พระอริ ย เจ าเหล า ใดเหล า หนึ่ ง จั ก เป น อยู อ ย า งพระอริ ย เจ า ; พระอริ ย เจ า ทั้ ง หมดเหล า นั้ น ก็ จั ก เป น อยู ใ นการ อยูอยางพระอริยเจา สิบประการนี้เหมือนกัน. ภิ ก ษุ ท.! ในกาล บั ด นี้ พระอริ ย เจ า เหล า ใดเหล า หนึ่ ง กํ า ลั ง เป น อยู อ ย า งพระอริ ย เจ า ; พระอริ ย เจ า ทั้ ง หมดเหล า นั้ น ก็ กํ า ลั ง เป น อยู ใ นการอยู อยางพระอริยเจา สิบประการนี้เหมือนกัน. ภิ ก ษุ ท.! การอยู แ บบพระอริ ย เจ า ซึ่ ง พระอริ ย เจ า ทั้ ง หลายได อ ยู มาแลวก็ดี กําลังอยูในบัดนี้ก็ดี จักอยูตอไปก็ดี มีเครื่องอยูสิบประการเหลานี้แล. - ทสก. อํ. ๒๔/๓๑-๓๔/๒๐.

www.buddhadasa.info ผูมีคุณลักษณะพิเศษของพระอรหันต

ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ผู มี ค วามสํ า เร็ จ ถึ ง ที่ สุ ด มี ค วามเกษมจากโยคะถึ ง ที่ สุ ด มี พ รหมจรรย ถึ ง ที่ สุ ด เป น ผู จ บกิ จ ถึ ง ที่ สุ ด ประเสริ ฐ กว า เทวดาและมนุ ษ ย ทั้ ง หลาย ย อ มประกอบด วยธรรม ๓ ประการ. ธรรมสามประการเหล า ไหนเล า ? สามประการคื อ ประกอบด วย สี ล ขั น ธ อั น เป น อเสขะ ด วย สมาธิ ขั น ธอั น เป น อเสขะ ดวย ปญญาขันธอันเปนอเสขะ. ภิกษุ ท.! ภิกษุผูมีความสําเร็จถึง


๖๑๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

ที่ สุ ด มี ค วามเกษมจากโยคะถึ ง ที่ สุ ด มี พ รหมจรรย ถึ ง ที่ สุ ด เป น ผู จ บกิ จ ถึ ง ที่ สุ ด ประเสริ ฐ กว า เทวดาและมนุ ษ ย ทั้ ง หลาย ย อ มประกอบด ว ยธรรม ๓ ประการ เหลานี้แล. ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ผู มี ค วามสํ า เร็ จ ถึ ง ที่ สุ ด มี ค วามเกษมจากโยคะถึ ง ที่ สุ ด มี พ รหมจรรย ถึ ง ที่ สุ ด เป น ผู จ บกิ จ ถึ ง ที่ สุ ด ประเสริ ฐ กว า เทวดาและมนุ ษ ย ทั ้ง หลาย ยอ มประกอบดว ยธรรมสามประการแมอื ่น อีก . ธรรมสามประการ แมอื ่น อีก เหลา ไหนเลา ? สามประการคือ ประกอบดว ย อิท ธิป าฏิห าริย  ดว ย อาเทสนาปาฏิ ห าริย ดวย อนุ ศ าสนี ป าฏิ ห าริย . ภิ กษุ ท.! ภิ กษุ ผูมีความสําเร็จ ถึ งที่ สุ ด มี ค วามเกษมจากโยคะถึ งที่ สุ ด มี พ รหมจรรย ถึ งที่ สุ ด เป น ผู จ บกิ จ ถึ งที่ สุ ด ประเสริ ฐ กว า เทวดาและมนุ ษ ย ทั้ ง หลาย ย อ มประกอบด ว ยธรรม ๓ ประการ เหลานี้แล. - เอกาทสก. อํ. ๒๔/๓๕๓/๒๑๗. (ยั ง มี คุ ณ ลั ก ษณะพิ เศษของพระอรหั น ต อย า งอื่ น นอกไปจากอเสขธรรมสามและ ปาฏิหาริยสามเหลานี้อีก แตเห็นวาไมจําเปนที่จะนํามาใสไวในที่นี้).

www.buddhadasa.info พระอรหันตมีคุณลักษณะที่นาสนใจ

(หลั ง จากที่ ไ ด ต รั ส ว า พระอรหั น ต เป น ผู เ ลิ ศ ในโลกทั้ ง ปวงยิ่ ง กว า สั ต ตาวาสและ ภวั คค-พรหมแล ว (ข อความนั้ นอยู ในหั วข อถั ดไปจากหั วข อนี้ ) ได ตรั สข อความที่ ประพั นธ เป นคาถา ดั ง ตอไปนี้ :-)

พระอรหันต ท. ทานมีความสุขหนอ. ตัณหาของทาน ไมมี, ทานถอนอัสมิมานะหมดสิ้นแลว, ทานทําลายขายแหงโมหะไดแลว, ทานถึงความไมหวั่นไหวแลว,


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๑๗

จิตของทานนั้นไมขุนมัว, ไมมีอะไรฉาบไลทานใหติดอยูในโลก, ทานเปนเสมือนพรหม๑ ผูไมมีอาสวะ, รอบรูซึ่งเบญจขันธ มี สั ท ธรรมเจ็ ด ๒ เป น ที่ โ คจร, เป น สั ป บุ รุ ษ ๓ ที่ ไ ด รั บ การยกย อ ง สรรเสริญ. เป น บุ ต รที่ เ กิ ด แต อ กพระพุ ท ธเจ า , ถึ ง พร อ มแล ว ด ว ยรั ต นะเจ็ ด ประการ๔, ผานการศึกษาในสิกขาทั้งสาม, เปนมหาวีระ๕ เที่ยวไปในที่ตาง ๆ, ปราศจากภัยเวรโดยสิ้นเชิง, ถึงพรอมแลวดวยองค (แหงสัมมัตตะ๖) ทั้งสิบ เปนมหานาคผูมีจิตตั้งมั่นแลว, นี่แหละคือผูประเสริฐในโลกละ, ตัณหาของทานไมมี, อเสขญาณ เกิดขึ้นแลวแกทาน ประชุมแหงกายนี้มีแกทานเปนครั้งสุดทาย,

www.buddhadasa.info ๑. "พรหม" เปนภาษาดึกดําบรรพในอินเดีย หมายถึงผูประเสริฐสูงสุดแหงสัตวทั้งหลาย. ๒. สัทธรรมเจ็ด ไดแก สัทธา หิริ โอตตัปปะ สุตะ วิริยะ สติ ปญญา (พุทธภาษิต ๒๓/๑๔๗/๘๔) ๓. คํ า วา "สัป บุร ุษ " คํ า นี ้ อาจจะเปน คํ า ประหลาดที ่ส ุด สํ า หรับ พวกเราสมัย นี ้ก ็ไ ด ที ่ท า นใช เปนคําเรียกพระอรหันต แมในศิลาจารึกยุคหลังพุทธกาลตอนตน ๆ. ๔. รัตนะเจ็ดประการ ในที่นี้ ทานหมายถึง โพชฌงครัตนเจ็ดประการ (พุทธภาษิต ๑๙/๑๓๙/๕๐๖) ๕. "มหาวีระ" คํานี้ ใชรวมกันในระหวางพุทธกับลัทธิอื่น เชนเดียวกับ คําวา ชินะ เปนตน. ๖. คํ า ว า "สั ม มั ต ตะสิ บ " หมายถึ ง ความถู ก ต อ งสิ บ ประการ ดู ร ายละเอี ย ดที่ หั ว ข อ ว า "สั ม มั ต ตะ สิบของพระอเสขะ" หนา ๕๕๖ และที่หนา ๕๕๗ แหงหนังสือเลมนี้.


๖๑๘

อริยสัจจากพระโอษฐ ไมตองอาศัยปจจัยจากใครอื่น ในสาระแหงพรหมจรรย. ไมหวั่นไหวในเพราะวิชา (ชั้นแหงมานะสาม) ทั้งหลาย, พนพิเศษแลวจากการตองมีภพใหม, บรรลุแลวตาม ลําดับซึ่งทันตภูมิ ๗, ทานชนะโลกแลวทั้งเบื้องบนเบื้องขวางและเบื้องลาง, นันทิของทานไมมี, ทานประกาศธรรมในลักษณะนับถือสีหนาท, ทานเปนผูรูในโลก อยางไมมีผูรูอื่นยิ่งกวา, ดังนี้แล.

- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๐๑/๑๕๓.

พระอรหันตเลิศกวาภวัคคพรหม ภ ิก ษ ุ ท .! รูป .... เว ท น า .... ส ัญ ญ า .... ส ัง ข าร .... วิญ ญาณ (แตล ะอยา ง) ไมเ ที่ย ง; สิ่ง ใดไมเ ที่ย ง สิ่ง นั้น เปน ทุก ข ; สิ่ง ใด เปน ทุก ข สิ ่ง นั ้น เปน อนัต ตา; สิ ่ง ใดเปน อนัต ตา สิ ่ง นั ้น อัน บุค คลพึง เห็น ดวยปญญาโดยชอบตามที่เปนจริง อยางนี้วา "นั่นไมใชของเรา นั่นไมใชเรา นั่นไมใชอัตตาของเรา" ดังนี้.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! อริยสาวกผูมีการสดับ เมื่อเห็นอยูอยางนี้ ยอมเบื่อหนาย แมในรูป แมในเวทนา แมในสัญญา แมในสังขาร แมในวิญญาณ. เมื่อ

๗. ภูมิแหงผูฝกตนถึงที่สุดแลว คือพระอรหันต.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๑๙

เบื ่อ หนา ย ยอ มคลายกํ า หนัด ; เพราะคลายกํ า หนัด ยอ มหลุด พน ; เมื ่อ หลุด พน แลว ยอ มมีญ าณ หยั ่ง รู ว า หลุด พน แลว . อริย สาวกนั ้น ยอ มรู ช ัด วา "ชาติสิ ้น แลว พรหมจรรยอ ยู จ บแลว กิจ ที ่ค วรทํ า ไดทํ า เสร็จ แลว กิจ อื ่น ที ่จ ะ ตองทําเพื่อความเปนอยางนี้ มิไดมีอีก" ดังนี้. ภิกษุ ท.! สัตตาวาสมีประมาณเทาใด ภวัคค (พรหม) มีประมาณ เทาใด พวกที่เลิศประเสริฐในโลก คือพวกพระอรหันต แล. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๐๑/๑๕๒.

ผูขามพนกามโลก-รูปโลก_อรูปโลก ยังไมชื่อวาขามพนโลก (จนกวาจะลุอนาสวสัญญาเวทยิตนิโรธ) พราหมณ ! กามคุ ณ ๕ อย างเหล านี้ ใน อริยวินั ยเรียกกั นวา โลก. หา อยา ง อยา งไรเลา ? หา อยา ง คือ รูป ที ่จ ะพึง รู แ จง ดว ยจัก ษุ .... เสีย งที่ จะพึ ง รู แ จ ง ด ว ยโสตะ .... กลิ่ น ที่ จ ะพึ ง รู แ จ ง ด ว ยมานะ .... รสที่ จ ะพึ ง รู แ จ ง ด ว ย ชิว หา .... โผฏฐัพ พะที ่จ ะพึง รู แ จง ดว ยผิว กาย อัน เปน สิ ่ง ที ่น า ปรารถนา นา รัก ใคร นา พอใจ มีล ัก ษณะนา รัก เปน ที ่เ ขา ไปอาศัย อยู แ หง ความใคร เปน ที่ ตั ้ง แหง ความกํ า หนัด . พราหมณ  ! กามคุณ หา อยา งเหลา นี ้แ ล ในอริย วิน ัย เรียกกันวา โลก.

www.buddhadasa.info พ ราห ม ณ  ! ภิก ษุใ น กรณ ีนี ้ ส งัด จากกาม ส งัด จากกุศ ล ธรรม เข า ถึ ง ปฐมฌ าน อั น มี วิ ต กวิ จ าร มี ป ติ แ ละสุ ข อั น เกิ ด จากวิ เ วก แล ว แลอยู . พราหมณ! ภิกษุนี้เขากลาวกันวา ไดถึงที่สุดแหงโลก อยูในที่สุดแหงโลก ;


๖๒๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

คนพวกอื่ น กล า วถึ ง ภิ ก ษุ นั้ น อย า งนี้ ว า "ภิ ก ษุ นี้ ยั ง เนื่ อ งอยู กั บ โลก ยั ง ไม อ อกจาก โลก" ดัง นี ้. พ ราหม ณ ! ถึง แมเ ราก็ก ลา วอยา งนี ้ว า "ภิก ษุนี ้ ยัง เนื ่อ งอยู กับโลก ยังไมออกจากโลก". (ในกรณี แ ห ง ทุ ติ ย ฌาน ตติ ย ฌาน จตุ ต ถฌาน อากาสานั ญ จายตนะ อากิ ญ จั ญ ญายตนะ และ เนวสั ญ ญานาสั ญ ญายตนะ ก็ มี ข อความที่ ตรัสไวอย างเดี ยวกั นกั บ ในกรณี แห ง ปฐมฌานขางบน)

พราหมณ ! ข ออื่ น ยั งมี อี ก : ภิ กษุ ก าวล วงเนวสั ญ ญานาสั ญ ญายตนะ เสีย ไดโดยประการทั ้ง ปวง เขา ถึง สัญ ญาเวทยิต นิโ รธ แลว แลอยู ; แม อาสวะ ทั ้ง หลายของเธอนั ้น ก็สิ ้น ไปรอบ เพราะเห็น ดว ยปญ ญา อยู . พราหมณ ! ภิก ษุนี้ อัน ใคร ๆ ยอ มกลาววา ไดถึงซึ่งที่สุด แหงโลก อยูในที่สุด แหงโลก ขามแลวซึ่งเครื่องของในโลก, ดังนี้แล. - นวก. อํ. ๒๓/๔๔๘/๒๔๒.

พระอรหันตคือผูเปนเกาพลี (จบพรหมจรรยแลว อยูโดยปราศจากธรรมหา แตถึงพรอมดวยธรรมหา)

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ มี อ งค ห า อั น ละขาดแล ว และมี อ งค ห า อั น ประกอบ พร อ มแล ว เรากล า วว า เป น เกพลี (มี ไ กวั ล ยธรรม) อยู จ บพรหมจรรย เป น อุดมบุรุษ ในธรรมวินัยนี้.

ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ เป น ผู มี อ งค ห า อั น ละขาดแล ว เป น อย า งไรเล า ? ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ใ นกรณี นี้ มี ก ามฉั น ทะขาดแล ว มี พ ยาบาทอั น ละขาด


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๒๑

แลว มีถ ีน มิท ธะอัน ละขาดแลว มีอ ุท ธัจ จกุก กุจ จะอัน ละขาดแลว มีว ิจ ิก ิจ ฉา อันละขาดแลว. ภิกษุ ท.! อยางนี้แล ภิกษุเปนผูมีองคหาอันละขาดแลว. ภิ กษุ ท.! ภิ ก ษุ เป น ผู มี อ งค ห าอั น ประกอบพรอ มแล ว เป น อย างไร เล า ? ภ ิก ษ ุ ท .! ภ ิก ษ ุใ น ก รณ ีนี ้ ป ระก อ บ พ รอ ม แล ว ด ว ย ส ีล ขัน ธอ ัน เป น อเสขะ ประกอบพร อ มแล ว ด ว ยสมาธิ ขั น ธ อั น เป น อเสขะ ประกอบพร อ มแล ว ด ว ยป ญ ญาขั น ธ อั น เป น อเสขะ ประกอบพร อ มแล ว ด ว ยวิ มุ ต ติ ขั น ธ อั น เป น อเสขะ ประกอบพร อ มแล ว ด ว ยวิ มุ ต ติ ญ าณทั ส สนขั น ธ อั น เป น อเสขะ. ภิ ก ษุ ท.! อย า ง นี้แล ภิกษุเปนผูมีองคหาอันประกอบพรอมแลว. ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ มี อ งค ห า อั น ละขาดแล ว และมี อ งค ห า อั น ประกอบ พ รอ ม แ ลว เราก ลา ววา เป น เก พ ลี อ ยู จ บ พ รห ม จ รรย เป น อุด ม บุร ุษ ใน ธรรมวินัยนี้ (คาถาผนวกทายพระสูตร)

www.buddhadasa.info กามฉั น ทะ พยาบาท ถี น มิ ท ธะ อุ ท ธั จ จกุ ก จจะ และวิ จิ กิจฉา ไมมีแกภิกษุโดยประการทั้งปวง; ภิกษุผูเชนนั้น สมบูรณดวย อเสขสีล อเสขสมาธิ อเสขปญญา อเสขวิมุตติ และอเสขญาณ. ภิ กษุ ผู เชนนั้ น สมบู รณ ด วยองค ห า เวนขาดจากองคห า. ภิ กษุ ผู เชนนั้น ทานกลาวาเปน "เกพลี" ในธรรมวินัยนี้.

- ทสก.อํ. ๒๔/๑๗/๑๒.


๖๒๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

ผูเปนเกพลีบุคคล ในพุทธศาสนา ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ผู ฉ ลาดในฐานะเจ็ ด ประการ (สตฺ ต ฏ ฐ านกุ ส โล) ผู พิจารณาใครครวญธรรมโดยวิธีสามประการ (ติวิธูปปริกฺขี) เราเรียกวา เกพลี๑ อยูจบ กิจแหงพรหมจรรย เปนอุดมบุรุษ ในธรรมวินัยนี้. ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ผู ฉ ลาดในฐานะเจ็ ด ประการ นั้ น เป น อย า งไรเล า ? ภ ิก ษ ุ ท .! ภ ิก ษ ุใ น ก รณ ีนี ้ ยอ ม รู ช ัด ซึ ่ง รูป รู ช ัด ซึ ่ง เห ต ุใ ห เ กิด ขึ ้น แ ห ง รูป รู ชั ด ซึ่ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง รู ป รู ชั ด ซึ่ ง ข อ ปฏิ บั ติ ใ ห ถึ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง รู ป รู ชัด ซึ ่ง อัส ส าท ะ (รส อ รอ ย ) แหง รูป รู ช ัด ซึ ่ง อ าทีน วะ (โท ษ อัน ต่ํ า ท ราม ) แหง รูป รู ชั ด ซึ่ ง นิ ส ส ร ณ ะ (อุ บ า ย เป น เค รื่ อ ง อ อ ก ไ ป พ น ) จ า ก รู ป (ร ว ม เจ็ ด ป ร ะ ก า ร ).

(ในกรณี แห ง เวท นา สั ญ ญ า สั ง ขาร และ วิ ญ ญ าณ ก็ ไ ด ต รั ส ไว ด ว ยข อ ความ อยางเดียวกันกับในกรณีแหงรูป ทุกประการ ตางกันแตเพียงชื่อแหงขันธ เทานั้น).

www.buddhadasa.info ภ ิก ษ ุ ท .! ร ูป เป น อ ย า ง ไร เล า ? ม ห า ภ ูต รูป สี ่อ ย า ง ด ว ย รูป ที่ อาศั ย มหาภู ต รู ป สี่ อ ย า งด ว ย : นี้ เ ราเรี ย กว า รู ป ; การเกิ ด ขึ้ น แห ง รู ป ย อ มมี เพราะความเกิดขึ้นแหงอาหาร; ความดับไมเหลือแหงรูป ยอมมี เพราะความ

๑. คํ า วา "เกพ ลี" ไมเ ปน ที ่แ จม แจง แกน ัก ศึก ษ าแหง ยุค ปจ จุบ ัน มัก จะแปลกัน วา ผู บ ริบ ูร ณ ด ว ยคุ ณ ทั้ ง ป วง ข า พ เจ า เข า ใจว า เป นคํ า ใช เ รี ย กพ ระอรหั น ต ในความหมายที่ ว า เข า ถึ ง ธรรมอั น เป น ไกวั ล ย ในระดั บ เดี ย วกั น กั บ ปรมาตมั น ของฝ า ยฮิ น ดู เป น คํ า สาธารณะที่ ใ ช ร ว มกั น ทุ ก ลั ท ธิ แ ห ง ยุ ค นั้ น เช น เดี ย ว กั บ คํ า ว า อรหั น ต นั่ น เอง จึ ง ควรใช ทั บ ศั พ ท ว า เกพลี ไม ค วร แปล จนกวา จะกลายเปน คํ า ที ่รู ก ัน ทั ่ว ไป. ควรจะยุต ิเ ปน อยา งไร ของทา นผู รู จ งวิน ิจ ฉัย ดู เองเถิด. -ผูรวบรวม.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๒๓

ดับ ไมเ หลือ แหง อาหาร ; มรรคอัน ประกอบดว ยองคแ ปดอัน ประเสริฐ นั ่น เอง เป น ข อ ปฏิ บั ติ ใ ห ถึ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง รู ป , ได แ ก สิ่ ง เหล า นี้ คื อ ความเห็ น ชอบ ความดํ า ริ ช อบ การพู ด จาชอบ การทํ า การงานชอบ การเลี้ ย งชี วิ ต ชอบ ความพยายามชอบ ความระลึ ก ชอบ ความตั้ ง ใจมั่ น ชอบ ; สุ ข โสมนั ส ที่ อ าศั ย รูป เกิด ขึ ้น อัน ใดๆ, นี ้เ ปน อัส สาทะแหง รูป ; ขอ ที ่ร ูป ไมเ ที ่ย ง เปน ทุก ข มีค วามแปรปรวนเปน ธรรมดา อัน ใด, นี ้ เปน อาทีน วะแหง รูป ; การนํ า ออกเสี ย ได ซึ่ งความกํ าหนั ด ด วยอํ านาจความพอใจ กล าวคื อ การละเสี ย ได ซึ่ งความ กํ าหนั ดด วยอํ านาจความพอใจ ในรูป อั นใด, นี้ เป น นิ สสรณะเครื่ องออกจากรู ป (รวมเปนสิ่งที่ตองรูชัดเจ็ดอยาง).

ภิ ก ษุ ท.! สมณะหรื อ พราหมณ เหล า ใด รู ด ว ยป ญ ญาอั น ยิ่ ง ซึ่ ง รู ป ว า อ ยา งนี ้ คือ รูป , อ ยา งนี ้ คือ เห ตุใ หเ กิด ขึ ้น แหง รูป , อ ยา งนี ้ คือ ค วาม ดับ ไม เ หลื อ แห ง รู ป , อย า งนี้ คื อ ข อ ปฏิ บั ติ ใ ห ถึ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง รู ป , อย า งนี้ คือ อัส สาทะแหง รูป , อยา งนี ้ คือ อาทีน วะแหง รูป , อยา งนี ้ คือ นิส สรณ ะ แห ง รู ป , ดั ง นี้ แ ล ว เป น ผู ป ฏิ บั ติ แ ล ว เพื่ อ ความเบื่ อ หน า ย เพื่ อ ความคลาย กํา หนัด เพื ่อ ความดับ ไมเหลือ แหง รูป ; สมณะหรือ พราหมณเหลา นั ้น เปน ผู ป ฏิบ ัต ิด ีแ ลว . บุค คลเหลา ใด เปน ผู ป ฏิบ ัต ิด ีแ ลว , บุค คลเหลา นั ้น ชื ่อ วา หยั่งในธรรมวินัยนี้.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! สมณะหรื อ พราหมณ เหล า ใด รู ด ว ยป ญ ญ าอั น ยิ่ ง ซึ่ ง รู ป วา อยา งนี ้ คือ รูป , อยา งนี ้ คือ เหตุใ หเ กิด ขึ ้น แหง รูป , อยา งนี ้ คือ ความดับ ไม เหลื อ แห ง รู ป , อย า งนี้ คื อ ข อ ปฏิ บั ติ ใ ห ถึ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง รู ป , อย า งนี้ คือ อัสสาทะแหงรูป, อยางนี้ คืออาทีนวะแหงรูป, อยางนี้ คือ นิสสรณะ


๖๒๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

แห งรู ป , ดั ง นี้ แ ล ว เป น ผู พ น วิ เศษแล ว เพราะความเบื่ อ หน า ย เพราะความ คลายกําหนัด เพราะความดับไมเหลือ เพราะความไมยึดมั่น ซึ่งรูป. สมณะ หรือพราหมณเหลานั้น เปนผูพนวิเศษแลวดวยดี (สุวิมุตฺตา). บุ ค คลเหล า ใด เป น ผู พ น วิ เ ศษแล ว ด ว ยดี , บุ ค คลเหล า นั้ น ชื่ อ ว า เปน เกพลี. บุค คลเหลา ใด เปน เกพลี, วัฏ ฏะของบุค คลเหลา นั ้น ยอ มไมมี เพื่อการบัญญัติ. ภิก ษุ ท.! เวท น า เปน อยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท.! หมู แ หง เวทนา หกหมู เหล า นี้ คื อ จั ก ขุ สั ม ผั ส สชาเวทนา โสตสั ม ผั ส สชาเวทนา ฆานสั ม ผั ส สชาเวทนา ชิว หาสัม ผัส สชาเวทนา กายสัม ผัส สชาเวทนา มโนสัม ผัส สชาเวทนา : นี้ เราเรี ย กว า เวทนา ; การเกิ ด ขึ้ น แห ง เวทนา ย อ มมี เพราะความเกิ ด ขึ้ น แห ง ผัสสะ; ความดั บไม เหลื อแห งเวทนา ยอมมี เพราะความดั บไม เหลื อแห งผั สสะ ; มรรคอั น ประกอบด ว ยองค แ ปดอั น ประเสริ ฐ นั่ น เอง เป น ข อ ปฏิ บั ติ ใ ห ถึ ง ความ ดับ ไมเ หลือ แหง เวทนา, ....ฯลฯ .... [ขอ ความตอ ไปนี ้ มีเ นื ้อ ความอยา งเดีย ว

www.buddhadasa.info กั บ ในกรณี แ ห ง รู ป ต า งกั น แต เพี ย งว า นี้ เป น กรณี แ ห ง เวทนาเท า นั้ น ไปจนถึ ง คํ า ว า .... สมณะ หรือพราหมณเหลานั้น เปนผูวิเศษแลวดวยดี (สุวิมุตฺตา.) ].

บุ ค คลเหล า ใด เป น ผู พ น วิ เ ศษแล ว ด ว ยดี , บุ ค คลเหล า นั้ น ชื่ อ ว า เปน เกพ ลี บุค คลเหลา ใดเปน เกพ ลี, วัฏ ฏะของบุค คลเหลา นั ้น ยอ มไมมี เพื่อการบัญญัติ. ภิก ษุ ท.! สัญ ญ า เปน อยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท.! หมู แ หง สัญ ญ า หกหมูเหลานี้ คือ รูปสัญญา สัททสัญญา คันธสัญญา รสสัญญา โผฏฐัพพ-


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๒๕

สั ญ ญา ธั ม มสั ญ ญา : นี้ เราเรีย กว า สั ญ ญา ; ความเกิ ด ขึ้ น แห ง สั ญ ญา ย อ มมี เพราะความเกิ ด ขึ้ น แห ง ผั ส สะ ; ความดั บ ไม เหลื อ แห ง สั ญ ญา ย อ มมี เพราะ ความดั บ ไม เหลื อ แห ง ผั ส สะ ; มรรคอั น ประกอบด ว ยองค แ ปดอั น ประเสริ ฐ นั่ น เอง เป น ข อ ปฏิ บ ั ต ิ ใ ห ถ ึ ง ความดั บ ไม เ หลื อ แห ง สั ญ ญ า, .... ฯลฯ .... [ข อ ความต อ ไปนี้ มี เนื้ อ ความอย า งเดี ย วกั บ ในกรณี แ ห ง รู ป ต า งกั น แต เ พี ย งว า นี้ เ ป น กรณี แ ห ง สัญ ญ า เทา นั ้น ไปจนถึง คํ า วา .... สมณ ะหรือ พราหมณเ หลา นั ้น เปน ผู พ น วิเ ศษแลว ดว ยดี (สุวิมุตฺตา).].

บุ ค คลเหล า ใด เป น ผู พ น วิ เ ศษแล ว ด ว ยดี , บุ ค คลเหล า นั้ น ชื่ อ ว า เปน เกพลี. บุค คลเหลา ใด เปน เกพลี, วัฏ ฏะของบุค คลเหลา นั ้น ยอ มไมมี เพื่อการบัญญัติ. ภิก ษุ ท .! สัง ข าร ทั ้ง หลาย เปน อยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท .! ห มู แห ง เจตนาหกหมู เ หล า นี้ คื อ รู ป สั ญ เจตนา สั ท ทสั ญ เจตนา คั น ธสั ญ เจตนา โผฏฐั พ พสั ญ เจตนา ธั ม มสั ญ เจตนา : นี้ เ ราเรี ย กว า สั ง ขารทั้ ง หลาย; ความ เกิดขึ้นแห งสังขาร ยอมมี เพราะความดับไมเหลือแหงผัสสะ ; ความดับไม เหลื อ แหง สัง ขาร ยอ มมี เพราะความดับ ไมเ หลือ แหง ผัส สะ ; มรรคอัน ประกอบ ด ว ยองค แ ปดอั น ประเสริ ฐ นั่ น เอง เป น ข อ ปฏิ บั ติ ใ ห ถึ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง สัง ข าร, .... ฯลฯ .... [ขอ ความ ตอ ไป นี ้ มีเ นื ้อ ค วาม อ ยา งเดีย วกับ ใน ก รณ ีแ หง รูป

www.buddhadasa.info ต า งกั น แต เพี ย งว า นี้ เป น กรณี แ ห ง สั ง ขารเท า นั้ น ไปจนถึ ง คํ า ว า ....สมณะหรื อ พราหมณ เหล า นั้ น เปนผูพนวิเศษแลวดวยดี (สุวิมุตฺตา).].

บุ ค คลเหล า ใด เป น ผู พ น วิ เ ศษแล ว ด ว ยดี , บุ ค คลเหล า นั้ น ชื่ อ ว า เปน เกพลี, บุค คลเหลา ใด เปน เกพลี, วัฏ ฏะของบุค คลเหลา นั ้น ยอ มไมมี เพื่อการบัญญัติ.


๖๒๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภ ิก ษ ุ ท .! ว ิญ ญ า ณ เป น อ ย า ง ไ ร เล า ? ภ ิก ษ ุ ท .! ห มู แ ห ง วิ ญ ญาณหกหมู เหล านี้ คื อจั กขุ วิ ญ ญาณ โสตวิ ญ ญาณ ฆานวิ ญ ญาณ ชิ วหาวิ ญ ญาณ กายวิญ ญาณ มโนวิญ ญาณ : นี้ เราเรีย กวาวิญ ญาณ; ความเกิ ด ขึ้ น แห งวิญ ญาณ ย อ มมี เพราะความเกิ ด ขึ้ น แห ง นามรู ป : ความดั บ ไม เ หลื อ แห ง วิ ญ ญาณ ย อ มมี เพราะความดั บ ไม เหลื อ แห ง นามรู ป ; มรรคอั น ประกอบด ว ยองค แ ปดอั น ประเสริ ฐ นั ่น เอง เปน ขอ ป ฏิบ ัต ิใ หถ ึง ความ ดับ ไมเ ห ลือ แหง วิญ ญ าณ ,.... ฯลฯ ... [ข อ ความต อ ไปนี้ มี เ นื้ อ ความอย า งเดี ย วกั บ ในกรณี แห ง รู ป ต า งกั น แต เ พี ย งว า นี้ เ ป น กรณี แห ง วิญ ญ าณ เทา นั ้น ไป จนถึง คํ า วา ....สม ณ ะหรือ พ ราหมณ เ หลา นั ้น เปน ผู พ น วิเ ศษ แลว ดว ยดี (สุวิมุตฺตา).].

บุ คคลเห ล า ใด เป นผู พ น วิ เ ศษ แล ว ด วยดี , บุ คคลเห ล า นั้ น ชื่ อ ว า เป น เกพลี . บุ ค คลเหล า ใด เป น เกพลี , วั ฏ ฏะของบุ ค คลเหล า นั้ น ย อ มไม มี เ พื่ อ การบัญญัติ. ภ ิ ก ษ ุ ท ! ภ ิ ก ษ ุ เ ป  น ผู  ฉ ล า ด ใ น ฐ า น ะ เ จ ็ ด ป ร ะ ก า ร ( ส ต ฺ ต ฏ  ฐ า น ก ุ ส โ ล ) ดวยอาการอยางนี้ แล

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ เป น ผู พิ จ ารณาใคร ค รวญธรรมโดยวิ ธี ส ามประการ (ติ วิ ธู ป ปริ กฺ ขี ) นั้ น เป น อย า งไรเล า ? ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ใ นกรณี นี้ ย อ มพิ จ ารณา ใคร ค รวญธรรม โดยความเป น ธาตุ ; ย อ มพิ จ ารณาใคร ค รวญ ธรรม โดยความ เป น อายตนะ; ย อ มพิ จ ารณาใคร ค รวญธรรม โดยความเป น ปฏิ จ จสมุ ป บาท. ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ เ ป น ผู พิ จ ารณ าใคร ค รวญ ธรรมโดยวิ ธี ส ามประการ ด ว ยอาการ อยางนี้ แล.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๒๗

ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ เ ป น ผู ฉ ลาดในฐานะเจ็ ด ประการด ว ย เป น ผู พิจารณาใครครวญธรรมโดยวิธีสามประการดวย เราเรียกวา เกพลี อยูจบกิจ แหงพรหมจรรย เปนอุดมบุรุษ ในธรรมวินัยนี้, ดังนี้แล. - ขนฺธ.สํ. ๑๗/๗๖-๘๐/๑๑๘-๑๒๔.

มีศีลงาม - ธรรมงาม - ปญญางาม ก็เปนเกพลี ! ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ผู มี กั ล ยาณศี ล มี กั ล ยาณธรรม มี กั ล ยาณป ญ ญา เรากลาววาเปน เกพลี อยูจบพรหมจรรย เปนอุตตมบุรุษ ในธรรมวินัยนี้. ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ เป น ผู มี กั ล ยาณศี ล เป น อย า งไรเล า ? ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ใ นกรณี นี้ เป น ผู มี ศี ล สํ า รวมด ว ยการสํ า รวมในปาติ โ มกข ถึ ง พร อ มด ว ย มรรยาทและโคจร มี ป กติ เ ห็ น เป น ภั ย ในโทษทั้ ง หลายแม มี ป ระมาณ เล็ ก น อ ย สมาทานศึก ษ าในสิก ขาบ ททั ้ง หลาย อยู . ภิก ษุ ท. ! อยา งนี ้แ ล เรีย กวา ภิกษุเปนผูมีกัลยาณศีล. ดวยอาการเพียงเทานี้แล ชื่อวามีกัลยาณศีล.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! ภิ ก ษุ เป น ผู มี กัล ยาณธรรม เป น อย างไรเล า ? ภิ กษุ ท.! ภิ ก ษุ ใ นกรณี นี้ เป น ผู ต ามประกอบซึ่ ง ความเพี ย รในการเจริ ญ โพธิ ป ก ขิ ย ธรรม ๓๗ ประการอยู . ภิ ก ษุ ท.! อย า งนี้ แ ล เรี ย กว า ภิ ก ษุ เ ป น ผู มี กั ล ยาณ ธรรม. ดวยอาการเพียงเทานี้แล ชื่อวามีกัลยาณศีล มีกัลยาณธรรม.

ภิกษุ ท.! ภิ กษุ เป นผูมี กัลยาณป ญญา เป นอยางไรเลา ? ภิกษุ ท.! ภิกษุในกรณีนี้ กระทําใหแจง ซึ่งเจโตวิมุตติปญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได


๖๒๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

เพราะความสิ้ น ไปแห ง อาสวะทั้ ง หลาย ด ว ยป ญ ญาอั น ยิ่ ง เอง ในทิ ฏ ฐธรรมนี้ เข า ถึ ง แล ว แลอยู . ภิ ก ษุ ท.! อย า งนี้ แ ล เรี ย กว า ภิ ก ษุ เป น ผู มี กั ล ยาณป ญ ญา. ด วยอาการอย างนี้ แล ภิ กษุ ชื่ อว ามี กั ลยาณศี ล มี กั ล ยาณธรรม มี กั ลยาณป ญ ญา; เราเรี ย กว า เป น เกพ ลี อยู จ บพ รหมจรรย เป น อุ ต ตมบุ รุ ษ ในธรรมวิ นั ย นี้ . - อิติวุ. ขุ. ๒๕/๓๐๓/๒๗๗. (คํ า ว า เกพลี เป น คํ า โบราณ มี ค วามสํ า คั ญ ใช พู ด กั น ทั่ ว ไป เช น เดี ย วกั บ คํ า ว า อรหั น ต ; มาบั ด นี้ เ ราไม ไ ด ยิ น คํ า นี้ เพราะไม นํ า มาใช ถ า นํ า มาใช ก็ แ ปลให มี ค วามหมายเป น อย า งใดอย า งหนึ่ ง ไป จนหมดความศั ก ดิ์ สิ ท ธิ์ ไม ใ ช คํ า ว า เกพลี จึ ง ไม ชิ น หู เหมื อ นคํ า ว า อรหั น ต . ขอให เราใช คํ า ว า เกพลี นี้ ใ ห ติ ด ปาก ให ชิ น หู ก็ จ ะได มี คํ า สํ า คั ญ ใช กั น มากขึ้ น กว า งขวางออกไป ในฐานะเปนเครื่องเตือนใจ. ผู รวบรวมมี ค วามเห็ น ว า ศี ล งาม - ธรรมงาม - ป ญ ญางาม ก็ คื อ อริ ย อั ฏ ฐั งคิ ก มรรค นั่นเอง ผลแหงอริยอัฏฐังคิกมรรคคือความเปนเกพลี จึงนําขอความนี้มารวมไวในหมวดนี้).

ผูละอาสวะนานาแบบ

www.buddhadasa.info ก. อาสวะสวนที่ละไดดวยการเห็น

ภิ ก ษุ ท.! อริ ย สาวกผู มี ก ารสดั บ ได เ ห็ น พ ระอริ ย เจ า ฉลาดใน ธรรมของพระอริ ย เจ า ได รั บ การแนะนํ า ในธรรมของพระอริ ย เจ า ได เห็ น สั ป บุ รุ ษ ฉลาดในธรรมของสัป บุร ุษ ไดร ับ การแนะนํ า ในธรรมของสัป บุร ุษ , ยอ มรู ช ัด ซึ ่ง ธรรมทั ้ง หลายที ่ค วรกระทํ า ไวใ นใจ และไมค วรกระทํ า ไวใ นใจ. อริย สาวก นั ้น รู ช ัด อยู ซึ ่ง ธรรมทั ้ง หลายที ่ค วรกระทํ า ไวใ นใจและไมค วรกระทํ า ไวใ นใจ, ทา นยอ มไมก ระไวใ นใจซึ ่ง ธรรมทั ้ง หลายที ่ไ มค วรกระทํ า ไวใ นใจ, จะกระทํ า ไวในใจแตธรรมทั้งหลายที่ควรทําไวในใจเทานั้น.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๒๙

ภิก ษุ ท.! ธรรมทั ้ง หลายอัน ไมค วรกระทํ า ไวใ นใจ ที ่อ ริย สาวก ทา นไมก ระทํ า ไวใ นใจนั ้น เปน อยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท.! เมื ่อ บุค คลกระทํ า ไวใ นใจซึ ่ง ธรรมเหลา ใด อยู , กามาสวะ ภวาสวะ หรือ อวิช ชาสวะก็ต าม ที ่ย ัง ไมเ กิด ยอ มเกิด ขึ ้น หรือ ที ่เ กิด ขึ ้น แลว ยอ มเจริญ ยิ ่ง ขึ ้น ; ธรรมเหลา นี ้แ ล เปนธรรมที่ไมควรกระทําไวในใจ ซึ่งอริยสาวกทานไมกระทําไวในใจ. ภิก ษ ุ ท .! ธรรม ทั ้ง หล าย อัน เปน ธรรม ที ่ค วรกระทํ า ไวใ น ใจ ที่ อริย สาวกทา นกระทํ า ไวใ นใจนั ้น เปน อยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท.! กามาสวะ ภวาสวะ หรือ อวิช ชาสวะก็ต าม ที ่ย ัง ไมเ กิด ยอ มไมเ กิด ขึ ้น หรือ ที ่เ กิด ขึ ้น แลว ยอ มละไป แกบ ุค คลผู ก ระทํ า ซึ ่ง ธรรมเหลา ใดไวใ นใจ อยู  ; ธรรมเหลา นี ้แ ล เปนธรรมที่ควรกระทําไวในใจ ซึ่งอริยสาวกทานกระทําไวในใจ. เพราะอริ ย สาวกนั้ น ไม ก ระทํ า ไว ใ จ ซึ่ ง ธรรมทั้ ง หลายที่ ไ ม ค วรกระทํ า ไวใ นใจ แตม ากระทํ า ไวใ นใจแตธ รรมทั ้ง หลายที ่ค วรกระทํ า ไวใ นใจเทา นั ้น , อาสวะทั้ งหลายที่ ยั งไม เกิ ด จึ งไม เกิ ด ขึ้ น และอาสวะทั้ งหลายที่ เกิ ด ขึ้ น แล ว ย อ ม ละไป. อริย สาวกนั ้น ยอ ม กระทํ า ไวใ นใจโดยแยบคาย วา "ทุก ขเ ปน อยา งนี ้, เหตุใ หเ กิด ทุก ข เปน อยา งนี ้, ความดับ ไมเ หลือ แหง ทุก ข เปน อยา งนี ้, ทางดํา เนิน ใหถึง ความดับ ไมเ หลือ แหง ทุก ข เปน อยา งนี้" ดัง นี้. เมื ่อ อริย สาวกนี ้ กระทํ า ไวใ นใจโดยแยบคายอยู อ ยา งนี ้, สัง โยชนส าม คือ สัก กายทิฏ ฐิ วิจ ิก ิจ ฉา สีล ัพ พัต ตปรามาส ยอ มละไป. ภิก ษุ ท.! นี ้เ รา กลาววา อาสวะทั้งหลายจะพึงละเสียดวยการเห็น.

www.buddhadasa.info - มู. ม. ๑๒/๑๕/๑๒.


๖๓๐

อริยสัจจากพระโอษฐ ข. อาสวะสวนที่ละไดดวยการสํารวม

ภ ิก ษ ุ ท .! อ าส วะทั ้ง ห ล าย สว น ที ่จ ะพ ึง ล ะเส ีย ด ว ย ก ารสํ า รวม เปน อยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท.! ภิก ษุใ นกรณีนี ้ พิจ ารณาโดยแยบคายแลว เปน ผูสํารวมดวยการสังวรในอินทรีย คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อันเปนอินทรีย ที่ เ มื่ อ ภิ ก ษุ ไ ม สํ า รวมแล ว , อาสวะ ท. อั น เป น เครื่ อ งทํ า ให คั บ แค น และเร า ร อ น จะพึง บัง เกิด ขึ ้น . แล ะเมื ่อ ภิก ษุเ ปน ผู สํ า รวม แลว เปน อยู , อาสวะทั ้ง ห ลาย อัน เปน เครื ่อ งทํ า ความคับ แคน และเรา รอ น จะไมพ ึง บัง เกิด ขึ ้น แกภ ิก ษุนั ้น . ภิก ษุ ท.! ขอ นี ้เ ปน เพ ราะเมื ่อ ภิก ษุไ มสํ า รวม ดว ยอาการอยา งนี ้, อาสวะ ทั้ ง หลายอั น เป น เครื่ อ งทํ า ความคั บ แค น และเร า ร อ นจะพึ ง บั ง เกิ ด ขึ้ น , และเมื่ อ ภิก ษุสํ า รวมแลว เปน อยู  อาสวะทั ้ง หลายอัน เปน เครื ่อ งทํ า ความคับ แคน และ เรา รอ น จ ะ ไมพ ึง บัง เกิด ขึ ้น แ กภ ิก ษุนั ้น . ภิก ษุ ท .! นี ้เ รา ก ลา วา อ า ส ว ะ ทั้งหลายสวนที่จะพึงละเสียดวยการสํารวม. - มู. ม. ๑๒/๑๖/๑๓.

ค. อาสวะสวนที่ละไดดวยการเสพ

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! อาสวะทั้ ง หลาย ส ว นที่ จ ะพึ ง ละเสี ย ด ว ยการเสพเฉพาะ สิ ่ ง ที ่ ค ว ร เส พ เป น อ ย า ง ไ ร เล า ? ภิ ก ษุ ใ น ก ร ณ ี นี ้ พิ จ า ร ณ า โ ด ย แ ย บ คายแล ว จึ ง นุ ง ห ม จี ว ร เพี ย งเพื่ อ บํ า บั ด ความหนาว เพื่ อ บํ า บั ด ความร อ น เพื่ อ บํ าบั ดสั มผั สทั้ งหลาย อั นเกิ ดจากเหลื อบ ยุ ง ลม แด และสั ตว เสื อกคลานทั้ งหลาย, เพี ย งเพื่ อ ปกป ด อวั ย วะอั น ให เกิ ด ความละอาย; เธอ พิ จ ารณาโดยแยบคายแล ว จึง บริโ ภคบิณ ฑบาต ไมใ ชเ พื ่อ เลน ไมใ ชเ พื ่อ มัว เมา.ไมใ ชเ พื ่อ ประดับ ไมใ ช เพื่ อ ตกแต ง , แต ฉั น เพี ย งเพื่ อ ให ก ายนี้ ตั้ ง อยู ไ ด เพื่ อ ให ชี วิ ต เป น ไป เพื่ อ ป อ งกั น ความลําบาก เพื่ออนุเคราะหพรหมจรรย, ดวยคิดวา เราจักกําจัดเวทนาเทาเสีย


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๓๑

แล ว ไม ทํ า เวทนาใหม ใ ห เกิ ด ขึ้ น . ความที่ อ ายุ ดํ า เนิ น ไปได ความไม มี โ ทษเพราะ อาหาร และความอยู ผ าสุ ก สํ า ราญ จั ก มี แ ก เรา ; เธอพิ จ ารณาโดยแยบคายแล ว จึ งใช ส อยเสนาสนะ เพี ย งเพื่ อ บํ า บั ด ความหนาว เพื่ อ บํ า บั ด ความร อ น เพื่ อ บํ า บั ด สั ม ผั สทั้ งหลายอั น เกิ ด จากเหลื อบ ยุ ง ลม แดด และสั ต ว เสื อ กคลานทั้ งหลาย, เพี ย ง เพื่ อ บรรเทาอั น ตรายอั น จะพึ ง มี จ ากดิ น ฟ า อากาศ และเพื่ อ ความเป น ผู ยิ น ดี อ ยู ไ ด ในที่ ห ลี ก เร น สํ า หรั บ ภาวนา; เธอ พิ จ ารณาโดยแยบคายแล ว จึ ง บริ โ ภคหยู ก ยา ซึ่ ง เป น ป จ จั ย เกื้ อ กู ล แก ค นไข เพี ย งเพื่ อ บํ า บั ด ทุ ก ขเวทนาอั น เกิ ด จาอาพาธต า ง ๆ แล ะเพี ย งเพื่ อ ค วาม เป น ผู ไม ต อ งท น ทุ ก ข เ ป น อ ย างยิ่ ง. ภิ ก ษุ ท .! ข อ นี้ เป น เพราะเมื่ อ ภิ ก ษุ ไ ม พิ จ ารณาแล ว เสพเฉพาะสิ่ ง ที่ ค วรเสพ อาสวะทั้ ง หลายอั น เป น เครื่ อ งทํ า ความคั บ แค น และเร า ร อ น จะพึ ง บั ง เกิ ด ขึ้ น , และเมื่ อ ภิ ก ษุ พิ จ ารณ า แล ว เสพเฉพาะสิ่ ง ควรเสพอยู อาสวะทั้ ง หลายอั น เป น เครื่ อ งทํ า ความคั บ แค น และเร า ร อ น จะไม พึ ง บั ง เกิ ด ขึ้ น แก ภิ ก ษุ นั้ น . ภิ ก ษุ ท.! นี้ เ รากล า วว า อาสวะ ทั้งหลายสวนที่จะละเสียดวยการเสพเฉพาะสิ่งที่ควรเสพ. - มู. ม. ๑๒/๑๗/๑๔.

www.buddhadasa.info ง. อาสวะสวนที่ละไดดวยการอดกลั้น

ภิ ก ษุ ท.! อาสวะทั้ ง หลาย ส ว นที่ จ ะพึ ง ละเสี ย ด ว ยการอดกลั้ น เป น อยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท.! ภิก ษุใ นกรณ ีนี ้ พิจ ารณ าโดยแยบ คายแลว เปน ผู อด ท น ตอ ค วาม ห น าว ตอ ค วาม รอ น , เปน ผู อ ดทนตอ ความหิว ตอ ความ ระหาย, เปน ผูอดทนตอ สั ม ผั ส อั น เกิด จากเหลื อ บ ยุ ง ลม แดด และสั ต วเสือ ก คลานทั้ งหลาย, เป น ผู มี ชาติ แ ห งบุ ค คลผู อ ดกลั้ น ต อ คลองแห งถ อ ยคํ าอั น หยาบคาย, อันวาราย, และเปนผูอดกลั้นตอ ทุกขเวทนาในกาย ที่เกิดขึ้นแลว


๖๓๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

อยา งกลา แข็ง แสบเผ็ด ขมขื ่น ไมเ ปน ที ่ส บายใจ หรือ จวนจะถึง แกช ีว ิต ได. ภิ ก ษุ ท.! ข อ นี้ เป น เพราะ เมื่ อ ภิ ก ษุ ไม อ ดกลั้ น อดทนด ว ยอาการอย า งนี้ . อาสวะ ทั ้ง หลายอัน เปน เครื ่อ งคับ แคน และเรา รอ น จะพึง บัง เกิด ขึ ้น , และเมื ่อ ภิก ษุ อดกลั้ น อดทนอยู อาสวะทั้ ง หลายอั น เป น เครื่ อ งคั บ แค น และเร า ร อ น จะไม พึ ง บัง เกิด ขึ ้น แกภ ิก ษุนั ้น ภิก ษุ ท.! นี ้เ รากลา ววา อาสวะทั ้ง หลายสว นที ่จ ะละ เสียดวยการอดกลั้น. - มู. ม. ๑๒/๑๘/๑๕.

จ. อาสวะสวนที่ละไดดวยการเวน ภิ ก ษุ ท.! อาสวะทั้ ง หลาย ส ว นที่ จ ะพึ ง ละเสี ย ด ว ยการงดเว น เป น อยางไรเลา ? ภิกษุ ท.! ภิกษุในกรณี นี้ พิจารณาโดยแยบคายแลว ยอม งดเวน จากช า งดุ , ม า ดุ , โคดุ , สุ นั ข ดุ , งู หลั ก ตอ, ขวากหนาม ห ว ยเหว บ อ ของ โสโครก หลุมอุจจาระ และงดเวน ที่ที่ไมควรนั่ง ที่ไมควรไป และ การคบพวก เพื่ อนที่ ลามก อั ญ วิญ ู ชนเพื่ อนพรหมจรรยด วยกันทั้ งหลาย จัดไวในฐานะที่ ต่ํ า ทราม. ภิก ษุนั ้น พิจ ารณาโดยแยบคายแลว ยอ มงดเวน ที ่ที ่ไ มค วรนั ่ง ที ่ไ ม ควรไปนั ้น ๆ เสีย และยอ มงดเวน พวกเพื ่อ ที ่ล ามกเหลา นั ้น เสีย . ภิก ษุ ท.! ข อ นี้ เป น เพราะ เมื่ อ ภิ ก ษุ ไม ง ดเว น ด ว ยอาการอย า งนี้ , อาสวะทั้ ง หลายอั น เป น เครื ่อ งคับ แคน และเรา รอ น จะพึง บัง เกิด ขึ ้น และเมื ่อ ภิก ษุง ดเวน อยู  อาสวะ ทั ้ง หลายอัน เปน เครื ่อ งคับ แคน และเรา รอ น จะไมพ ึง บัง เกิด ขึ ้น แกภ ิก ษุนั ้น . ภิกษุ ท.! นี้เรากลาววา อาสวะทั้งหลายสวนที่จะละเสียดวยการงดเวน.

www.buddhadasa.info - มู. ม. ๑๒/๑๘/๑๖.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๓๓

จ. อาสวะสวนที่ละไดดวยการบรรเทา ภิ ก ษุ ท.! อาสวะทั้ ง หลายส ว นที่ จ ะพึ ง ละเสี ย ด ว ยการบรรเทา เป น อยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท.! ภิก ษุใ นกรณีนี ้ พิจ ารณ าโดยแยบคายแลว ยอ ม ไม รั บ เอาไว ใ นใจ ย อ มละเสี ย ย อ มบรรเทา ทํ า ให สิ้ น สุ ด ทํ า ให ถึ ง ความมี ไ ม ไ ด ซึ ่ง กามวิต ก, พยาบาทวิต ก, วิห ิง สาวิต ก อัน บัง เกิด ขึ ้น แลว ; และยอ มไมร ับ เอาไว ใ นใจ ย อ มละเสี ย ย อ มบรรเทา ทํ า ให สิ้ น สุ ด ทํ า ให ถึ ง ความมี ไ ม ไ ด ซึ ่ง สิ ่ง อัน เปน อกุศ ลลามกทั ้ง หลาย ที ่บ ัง เกิด ขึ ้น แลว . ภิก ษุ ท.! ขอ นี ้เ ปน เพราะ เมื่ อ ภิ ก ษุ ไม บ รรเทาด ว ยอาการอย า งนี้ , อาสวะทั้ ง หลายอั น เป น เครื่ อ งคั บ แค น และ เร า ร อ น จะพึ ง บั ง เกิ ด ขึ้ น , และเมื่ อ ภิ ก ษุ บรรเทาอยู อาสวะทั้ ง หลายอั น เป น เครื ่อ งคับ แคน และเรา รอ น จะไมพ ึง บัง เกิด ขึ ้น แกภ ิก ษุนั ้น . ภิก ษุ ท.! นี ้เ รา กลาววา อาสวะทั้งหลายสวนที่จะละเสียดวยการบรรเทา. - มู. ม. ๑๒/๑๙/๑๗.

ช. อาสวะสวนที่ละไดดวยการเจริญทําใหมาก

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! อาสวะทั้ ง หลายส ว นที่ จ ะพึ ง ละเสี ย ด ว ยการเจริ ญ เป น อย า งไรเล า ? ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ในกรณี นี้ พิ จ ารณาโดยแยบคายแล ว ย อ มเจริ ญ สติ สั มโพชฌงค , ย อมเจริญ ธัมมวิจยสั มโพชฌงค , ย อมเจริญ วิริยสั มโพชฌงค , ยอ มเจริญ ปต ิส ัม โพชฌ งค, ยอ มเจริญ ปส สัท ธิส ัม โพชฌ งค, ยอ มเจริญ สมาธิ สั ม โพชฌงค , ย อ มเจริ ญ อุ เปกขาสั ม โพชฌงค , อั น (แต ล ะอย า ง ๆ) ย อ ม อาศั ย วิ เ วก อาศั ย วิ ร าคะ อาศั ย นิ โ รธ และน อ มไปเพื่ อ ความปล อ ย. ภิ ก ษุ ท.! ข อ นี้ เ ป น เพราะเมื่ อ ภิ ก ษุ ไ ม เ จริ ญ ด ว ยอาการอย า งนี้ ; อาสวะทั้ ง หลายอั น เป น เครื่องคับแคนและเรารอน จะพึงบังเกิดขึ้น, และเมื่อภิกษุเจริญอยู อาสวะ


๖๓๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

ทั ้ง หลายอัน เปน เครื ่อ งคับ แคน และเรา รอ น จะไมพ ึง บัง เกิด ขึ ้น แกภ ิก ษุนั ้น . ภิกษุ ท.! นี้เรากลาววา อาสวะทั้งหลายสวนที่จะละเสียดวยการเจริญ. - มู. ม. ๑๒/๑๙/๑๘.

ซ. ผลแหงการปดกั้นอาสวะทั้งปวงโดยเจ็ดวิธี ภิก ษุ ท.! เมื ่อ ใด ภิก ษุล ะเสีย ไดซึ ่ง อาสวะทั ้ง หลาย อัน จะพ ึง ละได ด วยการเห็ น , ละเสี ย ได ซึ่งอาสวะทั้ งหลาย อั น จะพึ งละได ด ว ยการสั งวร, ละเสียไดซึ่งอาสวะทั้ งหลาย อันจะพึ งละได ด วยการเสพเฉพาะสิ่ งที่ ควรเสพ, ละ เสี ย ได ซึ่ ง อาสวะทั้ ง หลาย อั น จะพึ ง ละได ด ว ยการอดกลั้ น , ละเสี ย ได ซึ่ ง อาสวะ ทั ้ง หลาย อัน จะพึง ละได ดว ยการงดเวน , ละเสีย ไดซึ ่ง อาสวะทั ้ง หลาย อัน จะ ถึ ง ละได ด ว ยการบรรเทา, ละเสี ย ได ซึ่ ง อาสวะทั้ ง หลาย อั น จะพึ ง ได ด ว ยการ เจริญ , แลว ; ภิก ษุ ท.! ภิก ษุนี ้เ รากลา ววา เปน ผู  ปด กั ้น แลว ดว ยการปด กั ้น ซึ ่ง อาสวะทั ้ง ปวง อยู ; ตัด ตัณ หาไดข าดแลว รื ้อ ถอนสัง โยชนไ ดแ ลว กระทําที่สุดแหงทุกขไดแลวเพราะรูเฉพาะซึ่งมานะโดยชอบ, ดังนี้แล. - มู. ม. ๑๒/๒๐/๑๙.

www.buddhadasa.info ผูพนพิเศษเพราะความสิ้นตัณหา

"ขาแต พระองค ผู นิ รทุ กข ! สมณพราหมณ ทั้ งปวง เป นผู มี ความสํ าเร็จถึ งที่ สุ ด มีความเกษมจากโยคะถึงที่สุด เปนพรหมจารีถึงที่สุด มีที่สุดแหงกิจถึงที่สุด หรือพระเจาขา ?" ท า นผู จ อมเทพ ! ใช ว า สมณพราหมณ ทั้ ง ปวง จั ก เป น ผู มี ค วามสํ า เร็ จ ถึงที่สุด มีความเกษมจากโยคะถึงที่สุด มีที่สุดแหงกิจถึงที่สุด ก็หาไม.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๓๕

"ข าแต พระองค ผู นิ รทุ กข ! เพราะเหตุ ไรเล า สมณพราหมณ ทั้ งปวงจึ งไม เป นผูมี ความสําเร็จถึงที่สุด มีความเกษมจากโยคะถึงที่ สุด เปนพรหมจารีถึงที่ สุด มี ที่สุ ด แหงกิจถึงที่สุด พระเจาขา ?" ท า นผู จ อมเทพ! ก็ ต อ เมื่ อ สมณพราหมณ เ หล า ใด เป น ผู เ ห็ น ภั ย ใน วัฏฏะ (ภิกขุ) เปนผู หลุดพ นวิเศษเพราะความสิ้นไปแห งตัณ หา เทานั้น, สมณพราหมณ เหลานั้น จึงจะได ชื่ อ วาเป น ผู มี ค วามสํ าเร็จ ถึ งที่ สุ ด มี ค วามเกษมจาก โยคะถึ งที่ สุ ด เป น พราหมจารี ถึ งที่ สุ ด มี ที่ สุ ด แห งกิ จ ถึ งที่ สุ ด . เพราะเหตุ นั้ น สมณพราหมณ ทั้ งปวง จึ งไม เป นผู มี ความสํ าเร็ จถึ งที่ สุ ด มี ความเกษมจากโยคะถึ ง ที่สุด เปนพรหมจารีถึงที่สุด มีที่สุดแหงกิจถึงที่สุด, ดังนี้แล. - มหา. ที. ๑๐/๓๑๘/๒๖๑.

ผูอาบแลวดวยเครื่องอาบ (หลุดพนไดเพราะการรูออกจากสัญญาคตะทั้งสาม) (ความรู นี้ ต อ งนํ า ด ว ยการละอุ ป กิ เลสสิ บ หก มี ศ รั ท ธามั่ น คงในพระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ มีศีลบริสุทธิ์ มีปญญาบริสุทธิ์ แผอัปปมัญญาพรหมวิหารไปทั่วโลกทั้งสิ้น, ดังนั้น :-)

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ นั้ น ย อ ม รู ชั ด ว า "สั ญ ญาคตะว าอย างนี้ ๆ ก็ มี อ ยู , สั ญ ญาคตะวา เลว ก็ม ีอ ยู , สัญ ญาคตะวา ประณีต ก็ม ีอ ยู , และอุบ ายอัน ยิ ่ง เปน เครื ่อ งออกจากสัญ ญ าคตะนี ้ ก็ม ีอ ยู " ดัง นี ้. เมื ่อ เธอนั ้น รู อ ยู อ ยา งนี้ เห็ นอยู อย างนี้ จิ ตย อมหลุ ดพ น แม จากกามาสวะ แม จากภวาสวะ แม จากอวิชชาสวะ. เมื่อหลุดพนแลว ยอมมีญาณหยั่งรูวา "จิตหลุดพนแลว". เธอยอม


๖๓๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

รู ช ัด วา "ชาติสิ ้น แลว " พรหมจรรยอ ยู จ บแลว กิจ ที ่ค วรทํ า ไดทํ า สํ า เร็จ แลว กิจอื่นที่จะตองทําเพื่อความเปนอยางนี้ มิไดมีอีก" ดังนี้. ภิก ษุ ท.! ภิก ษุนี ้ เราเรีย กวา เปน ผู  อาบแลว ดว ยเครื ่อ งอาบ อันเปนภายใน, ดังนี้แล. - มู. ม. ๑๒/๖๙/๙๗.

ผูไมเปนทั้งฝายรับและฝายคาน (ดับกิเลสและทุกขเพราะออกเสียไดจากทิฏฐิบวก - ทิฏฐิลบ) ภิก ษุ ท .! ทิฏ ฐิส องอ ยา งเห ลา นี ้ มีอ ยู ; คือ ภ วทิฏ ฐิ (วา มี). วิภวทิฏฐิ (วาไมมี). ภิ กษุ ท.! สม ณ ะหรื อ พ ราหม ณ เหล า ใด แอบ อิ ง ภ วทิ ฏ ฐิ (ซึ่ ง มี ลัก ษณ ะเปน บวก) เขา ถึง ภวทิฏ ฐิ หยั ่ง ลงสู ภ วทิฏ ฐิ; สมณ ะหรือ พราหมณ เหล า นั้ น ย อ มคั ด ค า นต อ วิ ภ วทิ ฏ ฐิ . ภิ ก ษุ ท.! สมณ ะหรื อ พราหมณ เหล า ใด แอบอิ ง วิ ภ วทิ ฏ ฐิ (ซึ่ ง มี ลั ก ษณ ะเป น ลบ) เข า ถึ ง วิ ภ วทิ ฏ ฐิ หยั่ ง ลงสุ วิ ภ วทิ ฏ ฐิ ; สมณะหรือพราหมณเหลานั้น ยอมคัดคานตอภวทิฏฐิ. ...

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! สมณะหรื อ พรามหณ เหล า ใด รู ชั ด ตามเป น จริ ง ซึ่ ง ความ เกิดขึ้น ความตั้งอยูไมได รสอรอ ย โทษอันต่ําทราม และอุบ ายเครื่อ งออก แหง ทิฏ ฐิส อ งอ ยา งนี ้, สมณ พ ราหมณ เ หลา นั ้น เปน ผู  ป ราศ จาก ราค ะ ปราศจากโทสะ ปราศจากโมหะ ปราศจากตัณหา ไมมีอุปาทาน เปนผูเห็นแจง


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๓๗

ไม เ ป น ฝ า ยยอมรั บ ไม เ ป น ฝ า ยคั ด ค า น ; เขาเหล า นั้ น เป น ผู มี ธ รรมอั น ไม ทํ า ความเนิ น ช า เป น ที่ ม ายิ น ดี มี ค วามยิ น ดี ใ นธรรมอั น ไม ทํ า ความเนิ่ น ช า ย อ มพ น จากชาติ ชรา มรณ ะ โสกะ ปริ เ ทวะ ทุ ก ขะ โทมนั ส อุ ป ายาสทั้ ง หลาย, เรา กลาววา เขายอม พนจากทุกขได ดังนี้. - มู ม. ๑๒/๑๓๑/๑๕๕.

ผูถอนรากแหงความรักและความเกลียดไดแลว (เมื่อวิมุตติถอนรากความรัก-เกลียด ตามธรรมชาติแลว) (มีผลหานัย) ภิ ก ษุ ท.! ธรรมารมณ ทั้ ง หลายเหล า นี้ ย อ มเกิ ด อยู เป น ๔ ประการ. สี่ ป ระการอย า งไรเล า ? สี่ ป ระการคื อ ความรั ก เกิ ด จากความรั ก ความเกลี ย ด เกิดจากความรัก ความรักเกิดจากความเกลียด ความเกลียดเกิดจากความเกลียด. ภิก ษุ ท.! อ ยา งไรเลา เรีย กวา ค วาม รัก เกิด จากค วาม รัก ? ภิก ษุ ท .! ใน ก รณ ีนี ้ มีบ ุค ค ล ซึ ่ง เปน ที ่ป รารถ น ารัก ใค รพ อ ใจ ข อ งบุค ค ล คนหนึ ่ง , มีบ ุค คลพวกอื ่น มาประพฤติก ระทํ า ตอ บุค คลนั ้น ดว ยอาการที่ น า ปรารถนาน า รั ก ใคร น า พอใจ; บุ ค คลโน น ก็ จ ะเกิ ด ความพอใจขึ้ น มาอย า งนี้ ว า " บุ ค คลเหล า นั้ น ประพฤติ ก ระทํ า ต อ บุ ค คลที่ เราปรารถนารั ก ใคร พ อใจ ด ว ยอาการ ที ่น า ปรารถนานา รัก ใครน า พอใจ" ดัง นี ้ ; บุค คลนั ้น ชื ่อ วา ยอ มทํ า ความรัก ให เกิด ขึ ้น ใน บ ุค ค ล เห ลา นั ้น . ภ ิก ษ ุ ท .! อยา งนี ้แ ล เรีย กวา ค วาม รัก เกิด จาก ความรัก.

www.buddhadasa.info


๖๓๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ ก ษุ ท.! อย า งไรเล า เรี ย กว า ความเกลี ย ดเกิ ด จากความรั ก ? ภิก ษุ ท .! ใน ก รณ ีนี ้ มีบ ุค ค ล ซึ ่ง เปน ที ่ป รารถ น ารัก ใค รพ อ ใจ ข อ งบุค ค ล คนหนึ่ ง . มี บุ ค คลพวกอื่ น มาประพฤติ ก ระทํ า ต อ บุ ค คลนั้ น ด ว ยอาการที่ ไ ม น า ปรารถนาไม น า รั ก ใคร พ อใจ ; บุ ค คลโน น ก็ จ ะเกิ ด ความไม พ อใจขึ้ น มาอย า งนี้ ว า "บุ ค คลเหล า นั้ น ประพฤติ ก ระทํ า ต อ บุ ค คลที่ เราปรารถนารั ก ใคร พ อใจ ด ว ยอาการ ที ่ไ มน า ปรารถนาไมน า รัก ใครพ อใจ" ดัง นี ้; บุค คลนั ้น ชื ่อ วา ยอ มทํ า ความ เก ล ีย ด ให เกิ ด ขึ้ น ใน บุ ค ค ล เห ล า นั้ น . ภิ กษุ ท .! อย า งนี้ แล เรี ย กว า ค วาม เกลียดเกิดจากความรัก. ภิ ก ษุ ท.! อย า งไรเล า เรี ย กว า ความรั ก เกิ ด จากความเกลี ย ด ? ภิก ษุ ท.! ในกรณ ีนี ้ มีบ ุค คลซึ ่ง เปน ที ่ไ มป รารถนารัก ใครพ อใจ ของบุค คล คนหนึ่ ง . มี บุ ค คลพวกอื่ น มาประพฤติ ก ระทํ า ต อ บุ ค คลนั้ น ด ว ยอาการที่ ไ ม น า ปรารถนาไมน า รัก ใครพ อใจ ; บุค คลโนน ก็จ ะเกิด ความพอใจขึ ้น มาอยา งนี ้ว า "บุ ค คลเหล า นั้ น ประพฤติ ก ระทํ า ต อ บุ ค คลที่ เ ราไม ป รารถนารั ก ใคร พ อใจ ด ว ย อาการที ่ไ มน า ปรารถนาไมน า รัก ใครพ อใจ" ดัง นี ้ ; บุค คลนั ้น ชื ่อ วา ยอ มทํ า ความรัก ให เ กิ ด ขึ้ น ในบุ ค คลเหล า นั้ น . ภิ ก ษุ ท.! อย า งนี้ แ ล เรี ย กว า ความรั ก เกิดจากความเกลียด.

www.buddhadasa.info ภิ กษุ ท.! อย างไรเล า เรียกวา ความเกลี ยดเกิ ดจากความเกลี ยด ? ภิก ษุ ท.! ในกรณ ีนี ้ มีบ ุค คลซึ ่ง ไมเ ปน ที ่ป รารถนารัก ใครพ อใจ ของบุค คล คนหนึ่ ง , มี บุ ค คลพ วกอื่ น มาประพ ฤติ ก ระทํ า ต อ บุ ค คลนั้ น ด ว ยอาการที่ น า ปรารถนาน า รั ก ใคร น า พอใจ ; บุ ค คลโน น ก็ จ ะเกิ ด ความไม พ อใจขึ้ น มาอย า งนี้ ว า "บุคคลเหลานั้นประพฤติกระทําตอบุคคลที่เราไมปรารถนารักใครพอใจ ดวย


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๓๙

อาการที่ น า ปรารถนาน า รั ก ใคร น า พอใจ" ดั ง นี้ ; บุ ค คลนั้ น ชื่ อ ว า ย อ มทํ า ความ เกลี ย ดให เกิ ด ขึ้ น ในบุ ค คลเหล า นั้ น . ภิ ก ษุ ท.! อย า งนี้ แ ล เรี ย กว า ความเกลี ย ด เกิดจากความเกลียด. ภิกษุ ท.! เหลานี้แล คือธรรมารมณ ยอมเกิดอยูเปน ๔ ประการ. ภิ ก ษุ ท.! สมั ย ใด ภิ ก ษุ กระทํ าให แ จ งซึ่ งเจโตวิ มุ ต ติ ป ญ ญาวิ มุ ต ติ อั น หาอาสวะมิ ได เพราะความสิ้ น ไปแห ง อาสวะทั้ ง หลาย ด ว ยป ญ ญาอั น ยิ่ งเอง ในทิฏ ฐธรรมนี ้ เขา ถึง แลว แลอยู  ; สมัย นั ้น ความรัก ที ่เกิด จากความรัก ก็ถ ูก ละขาด มี ร ากอั น ขาดแล ว ทํ า ให เป น เหมื อ นต น ตาลมี ขั้ ว ยอดอั น ขาดแล ว ให ถึ ง ความไม มี มี อั นไม เกิ ดขึ้ นอี กต อไปเป นธรรมดา, ความเกลี ยดที่ เกิ ด จากความรั ก ก็ถ ูก ละขาด..; ความรัก ที ่เ กิด จากความเกลีย ด ก็ถ ูก ละขาด...; ความเกลี ย ดที่ เกิ ด จากความเกลี ย ด ก็ ถู ล ะขาด มี รากอั น ขาดแล ว ทํ าให เป น เหมื อ น ต นตาลมี ขั้ วยอดอั นขาดแล ว ให ถึ งความไม มี มี อั นไม เกิ ดขึ้ นอี กต อไปเป นธรรมดา. ภิกษุ ท.! ภิกษุ นี้ เรากลาววา ยอมไมถือตัว ยอ มไมตอบโต ยอมไมอัคควัน ยอมไมลุกโพลง ยอมไมไหมเกรียม.

www.buddhadasa.info - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๒๘๐/๒๐๐

ก. ผูไมถือตัว (น อุสฺเสเนติ)

ภิกษุ ท.! อยางไรเลา ชื่อวาภิกษุ ยอมไมถือตัว ? ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ใ นกรณี นี้ ไม ต ามเห็ น รู ป โดยความเป น ตน ไม ต าม เห็ น ตนว า มี รู ป ไม ต ามเห็ น รู ป ในตน ไม ต ามเห็ น ตนในรู ป , ไม ต ามเห็ น เวทนา โดยความเปนตน ไมตามเห็นตนวามีเวทนา ไมตามเห็นเวทนาในตน ไมตาม


๖๔๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

เห็ น ตนในเวทนา, ไม ต ามเห็ น สั ญ ญาโดยความเป น ตน ไม ต ามเห็ น ตนว ามี สั ญ ญา ไม ต ามเห็ น สั ญ ญาในตน ไม ต ามเห็ น ตนในสั ญ ญา, ไม ต ามเห็ น สั ง ขารโดยความ เป น ตน ไม ต ามเห็ น ตนว า มี สั ง ขาร ไม ต ามเห็ น สั ง ขารในตน ไม ต ามเห็ น ตนใน สัง ขาร,. ไมต ามเห็น วิญ ญาณโดยความเปน ตน ไมต ามเห็น ตนวา มีว ิญ ญาณ ไมตามเห็นวิญญาณใน ไมตามเห็นตนในวิญญาณ. ภิกษุ ท.! อยางนี้แล ชื่อวา ภิกษุยอมไมถือตัว. ข. ผูไมตอบโต (น ปฏิสฺเสเนติ) ภิกษุ ท.! อยางไรเลา ชื่อวาภิกษุ ยอมไมตอบโต ? ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ใ นกรณี นี้ ย อ มไม ด า ตอบผู ด า ตน ย อ มไม โ กรธขึ้ ง ตอบผูโกรธขึ้นตน ยอมไมหักราญตอบผูหักราญตน. ภิกษุ ท.! อยางนี้แล ชื่อวาภิกษุยอมไมตอบโต.

www.buddhadasa.info ค. ผูไมอัดควัน (น ธูปายติ)

ภิกษุ ท.! อยางไรเลา ชื่อวาภิกษุ ยอมไมอัดควัน ?

ภิ ก ษุ ท.! (๑) เมื่ อ ความนึ ก (ด ว ยมานานุ สั ย ) ว า "เรามี อ ยู เ ป น อ ยู " ดัง นี ้ ไม ม ีอ ยู , (๒) ค วาม น ึก วา "เราม ี-เราเป น อ ยา งนี ้" ก็ไ ม ม ี; (๓) ความนึก วา "เรามี-เราเปน อยา งนั ้น " ก็ไ มม ี; (๔) วา "เรามี-เราเปน อยา ง อื ่น " ก็ไ มม ี ; (๕) วา "เรา มี-เรา เปน อ ยา งไมเ ที ่ย งแ ท" ก็ไ มม ี; (๖) วา "เรามี-เราเปน อยา งเที ่ย งแท" ก็ไ มม ี; (๗) ความนึก วา "เราพึง มี-พึง เปน " ก็ไมมี; (๘) ความนึกวา "เราพึงมี-พึงเปนอยางนี้" ก็ไมมี ; (๙) วา "เรา


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๔๑

พึง มี-พึง เปน อยา งนั ้น " ก็ไ มม ี ; (๑๐) วา "เราพึง มี-พึง เปน อ ยา งอื ่น " ก็ไ ม มี ; (๑๑) ค วาม นึก วา "เราพึง มี-พึง เปน บา งห รือ " ก็ไ มม ี; (๑๒) ค วาม นึก วา "เราพ ึง ม ี-พ ึง เป น อ ยา งนี ้บ า งห รือ " ก็ไ ม ม ี; (๑๓) วา "เราพ ึง ม ี-พ ึง เป น อยา งนั ้น บา งหรือ " ก็ไ มม ี ; (๑๔) วา "เราพึง มี-พึง เปน อยา งอื ่น บา งหรือ " ก็ไ ม ม ี ; (๑๕)ค ว า ม น ึก วา "เร า จัก ม ี-จ ะ เป น แ ลว " ก็ไ ม ม ี ; (๑๖) ค ว า ม น ึก วา "เร า จ ัก ม ี-จ ัก เป น แ ล ว อ ย า ง นี ้" ก ็ไ ม ม ี; (๑๗) วา "เร า จ ัก ม ี-จ ัก เปนแลวอยางนั้น" ก็ไมมี ; (๑๘) วา "เราจักมี-จักเปนแลวอยางอื่น" ก็ไมมี. ภิกษุ ท.! อยางนี้แล ชื่อวาภิกษุยอมไมอัดควัน. ข.ผูไมลุกโพลง (น ปชฺชลติ) ภิกษุ ท.! อยางไรเลา ชื่อวา ภิกษุยอมไมลุกโพลง ? ภ ิก ษ ุ ท .! (๑) เมื ่อ ค ว า ม น ึก (ด ว ย ม า น า น ุส ัย ) วา "เร า ม ีอ ยู เป น อ ยู  ด ว ย ขัน ธนี ้" ไม ม ีอ ยู , (๒) ค ว า ม น ึก วา "เร า ม ี-เร า เป น อ ย า ง นี้ ดว ยขัน ธนี ้" ก็ไ มม ี ; (๓) ค วาม นึก วา "เรามี - เราเปน อ ยา งนั ้น ดว ย ขัน ธ นี ้ " ก ็ ไ ม  ม ี ; (๔) ว า "เ ร า ม ี - เ ร า เ ป  น อ ย  า ง อื ่ น ด  ว ย ข ั น ธ นี ้ " ก ็ ไ ม  ม ี ; (๕) วา "เรา มี-เรา เปน อ ยา งไมเ ที ่ย ง แ ท ดว ย ขัน ธนี ้" ก็ไ มม ี; (๖) วา " เรา มี-เรา เปน อ ยา ง เที ่ย งแ ท ดว ย ขัน ธนี ้" ก็ไ มม ี ; (๗) ค ว า ม นึก วา "เรา พึ งมี -พึ งเป น ด วยขั น ธ นี้ " ก็ ไม มี ; (๘) ความนึ กว า "เรา พึ งมี -พึ งเป น อยา งนี ้ ดว ย ข ั น ธ  นี ้ " ก ็ ไ ม  ม ี ; (๙) ว า "เ ร า พ ึ ง ม ี - พ ึ ง เ ป  น อ ย  า ง นั ้ น ด  ว ย ข ั น ธ  นี ้ " ก ็ ไ ม  ม ี ; ( ๑ ๐ ) ว  า " เ ร า พ ึ ง ม ี - พ ึ ง เ ป  น อ ย  า ง อื ่ น ด  ว ย ข ั น ธ  นี ้ " ก็ไ มม ี ; (๑๑) ความ นึก วา "เราพ ึง มี-พึง เปน ดว ยขัน ธนี ้ บา งห รือ " ก็ไ มม ี ; (๑๒) ความนึกวา "เราพึงมี-พึงเปนอยาง ดวยขันธนี้ บางหรือ" ก็ไมมี ;

www.buddhadasa.info


๖๔๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

(๑๓) วา "เราพึง มี-พึง เปน อยา งนั ้น ดว ยขัน ธนี ้ บา งห รือ " ก็ไ มม ี ; (๑๔) วา "เราพึง มี-พึง เปน อยา งอื ่น ดว ยขัน ธนี ้ บา งหรือ " ก็ไ มม ี ; (๑๕) ความ นึ ก ว า "เราจั ก มี - จั ก เป น แ ล ว ด ว ย ขั น ธ นี ้ " ก็ ไ ม ม ี ; (๑๖) ค ว าม นึ ก ว า " เรา จัก มี-จัก เปน แ ลว อ ยา ง นี ้ ดว ย ขัน ธนี ้" ก็ไ มม ี ; (๑๗) วา "เรา จัก มีจัก เปน แ ลว อ ยา ง นั ้น ดว ย ขัน ธนี ้" ก็ไ มม ี ; (๑๘) วา "เรา จัก มี-จัก เปน แลวอยางอื่น ดวยขันธนี้" ก็ไมมี. ภิกษุ ท.! อยางนี้แล ชื่อวาภิกษุยอมไมลุกโพลง. ง. ผูไมไหมเกรียม (น ปชฺฌายติ) ภิกษุ ท.! อยางไรเลา ชื่อวาภิกษุยอมไมไหมเกรียม ? ภิก ษ ุ ท .! อัส มิม าน ะอัน ภิก ษ ุใ น กรณ ีนี ้ล ะขาด แลว มีร ากถอน ขึ้ น แล ว กระทํ า ให เป น เหมื อ นต น ตาลมี ขั้ ว ยอดอั น ขาดแล ว ทํ า ให ถึ ง ความไม มี ไมเปน มีอันไมเกิดขึ้นอีกตอไปเปนธรรมดา ภิกษุ ท.! อยางนี้แล ชื่อวาภิกษุยอมไมไหมเกรียม, ดังนี้แล.

www.buddhadasa.info - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๒๙๓-๒๙๖/๒๐๐.

ผูลอกคราบทิ้งแลว

ผู ใ ด ไมแ ลน อา วไปขา งหนา ไมว กอา วมาขา งหลัง๑ ลวงพนธรรมเปนเหตุใหเนิ่นชา๒ นี้เสียไดทั้งสิ้น ; ผูนั้น เปน

๑. แล น ไปทางหน า ด ว ยอํ า นาจภวตั ณ หาเพื่ อ มี ภ พใหม . แล น วกไปทางหลั ง ด ว ยอํ า นาจกามตัณหาที่ อาลัยในกามคุณ. ๒. ธรรมเปน เหตุใ หเ นิ ่น ชา ไดแ กก ิเ ลสตัณ หา มานะ ทิฏ ฐิ ที ่ทํ า ใหค ลานตว มเตี ้ย มอยู ใ นภพ ไมออก ไปสูนิพพานอันปราศจากภพ.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๔๓

ภิ ก ษุ สลั ด ทิ้ งเสี ย ได แ ล วทั้ งฝ งในและฝ งนอก ๓ เหมื อ นงูทิ้ งคราบ เกาอันคร่ําคราไปแลวฉะนั้น ผู ใ ด ไมแ ลน อา วไปทางหนา ไมว กอา วมาทางหลัง รู ว าในโลกนี้ สิ่ ง ทั้ งปวงนี้ ป ราศจากสั จ จะแห งตถา๔ ; ผู นั้ น เป น ภิก ษุ สลัด ทิ ้งเสีย ไดแ ลว ทั ้ง ฝงในและฝง นอก เหมือ นงูทิ ้ง คราบ เกาอันคร่ําคราไปแลว ฉะนั้น. ผูใด ไมแลนอาวไปทางหนา ไมวกอาวมาทางหลัง เปน ผูปราศจากโลภะ เพราะรูวาสิ่งทั้งปวงนี้ปราศจากสัจจะแหงตถา ; ผูนั้น เปน ภิกษุ สลัดทิ้งเสียไดแลวทั้งฝงในและฝงนอก เหมือ น งูทิ้งคราบเกาอันคร่ําคราไปแลว ฉะนั้น. ผูใด ไมแลนอาวไปทางหนา ไมวกอาวมาทางหลัง เปน ผูปราศจากราคะ เพราะรูวาสิ่งทั้งปวงนี้ปราศจากสัจจะแหงตถา ; ผูนั้น เปน ภิกษุ สลัดทิ้งเสียไดแลวทั้งฝงในและฝงนอก เหมือ น งูทิ้งคาบเกาอันคร่ําคราไปแลว ฉะนั้น. ผู ใ ด ไมแ ลน อา วไปทางหนา ไมว กอา วทางหลัง เปน ผูปราศจากโทสะ เพราะรูวาสิ่งทั้งปวงนี้ปราศจากสัจจะแหงตถา ; ผูนั้น เปน ภิกษุ สลัดทิ้งเสียไดแลวทั้งฝงในและฝงนอก เหมือ น งูทิ้งคราบเกาอันคร่ําคราไปแลว ฉะนั้น.

www.buddhadasa.info

๓. ฝ ง ในฝ ง นอก หมายถึ ง ความคิ ด ที่ ถื อ มั่ น ว า มี ใ นมี น อก ไม เป น ไปตามกฎแห ง อิ ทั ป ป จ จยตา หรือมัชฌิมาปฏิปทา. ๔. ปราศจากสัจจะแหงตถาคือ ไมสามารถมีความเปนสังขตะ หรือความคงที่ไมเปลี่ยนแปลง.


๖๔๔

อริยสัจจากพระโอษฐ ผู ใด ไม แ ล น อ าวไปข างหน า ไม วกอ าวมาทางหลั ง เป น ผูป ราศจากโมหะ เพราะรูวาสิ่ งทั้ งปวงนี้ ป ราศจากสั จ จะแห งตถา ; ผูนั ้น เปน ภิก ษุ สลัด ทิ ้งเสีย ไดแ ลว ทั ้ง ฝง ในและฝง นอก เหมือ น งูทิ้งคราบเกาอันคร่ําคราไปแลว ฉะนั้น. อนุ สั ย ไร ๆ ของผู ใด ไม มี เพราะถอนเสี ย ได ซึ่ งมู ล ราก อัน เปน อกุศ ลทั ้ง หลาย ; ผู นั ้น เปน ภิก ษุ สลัด ทิ ้ง เสีย ไดแ ลว ทั้ ง ฝ ง ในและฝ ง นอก เหมื อ นงู ทิ้ ง คราบเก า อั น คร่ํ า คร า ไปแล ว ฉะนั้น. กิเลสอันเป นเหตุใหเกิดความกระวนกระวายไร ๆ ของผู ใดไมมีเพื่อเปนปจจัยแหงการมาสูฝงใน; ผูนั้น เปนภิกษุ สลัด ทิ้งเสียไดแลวทั้งฝงในและฝงนอก เหมือนงูทิ้งคราบเกา อันคร่ําครา ไปแลว ฉะนั้น. กิ เลสเป นเหตุ ให เกิ ดความรกทึ บเพี ยงดั งป ารกไร ๆ ของ ผูใดไมมีเพื่อสําเร็จแกความเปน เหตุแหงภพอัน เปน เครื่อ งผูก พัน ; ผูนั ้น เปน ภิก ษุ สลัด ทิ ้งเสีย ไดแ ลว ทั ้ง ฝง ในและฝง นอก เหมือ น งูทิ้งคราบเกาอันคร่ําคราไปแลว ฉะนั้น.

www.buddhadasa.info ผู ใด ละนิ วรณ ทั้ งห าแล ว ไม มี ค วามคั บ แค น ข ามความ สงสัย เสีย ได ปราศจากสิ ่ง เสีย บแทงแหง จิต ; ผู นั ้น เปน ภิก ษุ สลั ด ทิ้ ง เสี ย ได แ ล ว ทั้ ง ฝ ง ในและฝ ง นอก เหมื อ นงู ทิ้ ง คราบเก า อั น คร่ําคราไปแลว ฉะนั้น.

- สุตฺต. ขุ. ๒๕/๓๒๕/๒๙๔.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๔๕

ผูไมสําคัญมั่นหมายแลวไมเกิดนันทิ (อุปาทาน) ภิ ก ษุ ท .! ภิ ก ษุ ใด เป น พ ระ อ รหั น ต มี อ าส วะ สิ้ น แ ล ว อ ยู จ บ พรหมจรรย ทํ า กิจ ที ่ต อ งทํ า สํ า เร็จ แลว มีภ าระอัน ปลงแลว มีป ระโยชนข อง ตนอั น ตามถึ ง แล ว มี สั ง โยชน ใ นภพสิ้ น ไปรอบแล ว เป น ผู ห ลุ ด พ น แล ว เพราะรู โดยชอบ ; ภิก ษุนั ้น ยอ มรู ยิ ่ง ซึ ่ง ดิน โดยความเปน ดิน ; ครั ้น ผู ยิ ่ง (อภิฺา) ซึ่งดินโดยความเปนดินแลว, ยอม ไมสําคัญมั่นหมาย ซึ่งดิน (ปวึ น มฺติ) ; ยอม ไมสําคัญมั่นหมาย ในดิน (ปวิยา น มฺติ) ; ยอม ไมสําคัญมั่นหมาย โดยความเปนดิน (ปวิโต น มฺติ) ; ยอม ไมสําคัญมั่นหมาย วาดินของเรา (ปวิมฺเมติ น มฺติ) ; ยอม ไมเพลินอยางยิ่งซึ่ง ดิน (ปวึ นาภินนฺทติ). ขอ นั ้น เพราะเหตุไ รเลา ? ขอ นั ้น เรากลา ววา เพราะดิน เปน สิ ่ง ที่ เธอนั้นกําหนดรูรอบ (ปริฺาต) แลว.

www.buddhadasa.info (ในกรณี แหงธรรมอื่นอีก ๒๒ อยาง คือ น้ํา ไฟ ลม ภูตสั ตว เทพ ปชาบดี พรหม อาภัสสรพรหม สุภกิณทพรหม เวหัปผลพรหม อภิภู อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ รูปที่เห็นแลว เสียงที่ไดยินแลว สิ่งที่รูสึกแลวทาง จมูก ,ลิ้น ,ผิวกาย สิ่งที่รูแจงแลว เอกภาวะ นานาภาวะ และสิ่งทั้งปวง, แตละอย าง ๆ พระผู มี พระภาคได ต รั ส ไว โดยระเบี ย บแห ง ถ อ ยคํ า อย า งเดี ย วกั น กั บ ในกรณี แ ห ง ดิ น จนกระทั่ ง ถึ ง กรณี แ ห ง นิพพาน ซึ่งจะไดบรรยายดวยขอความเต็มอีกครั้งหนึ่งดังตอไปนี้ :-)

ภิ ก ษุ ท .! ภิ ก ษุ ใด เป น พ ระ อ รหั น ต มี อ าส วะ สิ้ น แ ล ว อ ยู จ บ พรหมจรรย ทํากิจที่ตองทําสําเร็จแลว มีภาระอันปลงลงแลว มีประโยชนของ


๖๔๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

ตนอั น ตามถึ ง แล ว มี สั ง โยชน ใ นภพสิ้ น ไปรอบแล ว เป น ผู ห ลุ ด พ น แล ว เพราะรู โด ยชอ บ ; ภิ กษุ นั้ น ย อ ม รู ยิ่ ง ซึ่ ง นิ พ พ าน โด ยค วาม เป น นิ พ พ าน ; ค รั้ น รู ยิ่ ง (อภิญญา) ซึ่งนิพพานโดยความเปนนิพพานแลว. ยอม ไมสําคัญมั่นหมาย ซึ่งนิพพาน (นิพฺพานํ น มฺติ) ; ยอม ไมสําคัญมั่นหมาย ในนิพพาน (นิพฺพานสฺมึ น มฺติ) ; ยอม ไมสําคัญมั่นหมาย โดยความเปนนิพพาน (นิพฺพานโต น มฺติ) ; ยอม ไมสําคัญมั่นหมาย วานิพพานของเรา (นิพฺพานมฺเมติ น มฺติ) ; ยอม ไมเพลินอยางยิ่งซึ่ง นิพพาน (นิพฺพานํ นาภินนฺทติ). ข อ นั้ น เพราะเหตุ ไ รเล า ? ข อ นั้ น เรากล า วว า เพราะนิ พ พานเป น สิ่ ง ที่เธอนั้นกําหนดรูรอบ (ปริฺาต)แลว - มู. ม. ๑๒/๖/๔.

ผูปฏิบัติเปรียบดวยนักรบผูเชี่ยวชาญการยิงศร ส าฬ ห ะ ; เป รีย บ เห ม ือ น ถา นัก รบ รู จ ัก ก ารใชล ูก ศ รชั ้น เลิศ เป น อัน มาก เขาเปน ผู ค วรแกพ ระราชา เปน ผู ร ับ ใชพ ระราชา ถึง การนับ วา เปน อั ง คาพยพแห ง พระราชา โดยฐานะสาม. ฐานะสามอย า งไรกั น เล า ? ฐานะสาม คือ เปนผูยิงไดไกล เปนผูยิงไดแมนยํา เปนผูสามารถทําลายหมูพลอันใหญได.

www.buddhadasa.info สาฬหะ ; นั กรบผู ยิงได ไกลเป นฉันใด อริยสาวกเป นผูมี สั มมาสมาธิ ก็เปนฉันนั้น : อริยสาวกผูมี สัมมาสมาธิ ยอมเห็นดวยปญญาอันชอบตามที่เปนจริง อย า งนี้ ว า "รู ป อย า งใดอย า งหนึ่ ง อั น เป น อดี ต อนาคตหรื อ ป จ จุ บั น ที่ เป น ภายใน หรือภายนอกก็ดี หยาบหรือละเอียดก็ดี เลวหรือประณีตก็ดี ไกลหรือใกลก็ดี


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๔๗

รู ป ทั ้ ง ห ม ด นั ้ น ไม ใ ช ข อ ง เรา ไม ใ ช เ ป น เรา ไม ใ ช อ ั ต ต า ข อ ง เรา " ดั ง นี ้ ; (ในกรณีแหงเวทนาสัญญา สังขาร และวิญญาณ ก็ตรัสอยางเดียวกัน).

สาฬหะ ! นั ก รบผูยิ งได แม น ยํ าเป น ฉั น ใด อริย สาวกเป น ผู มี สั ม มาทิ ฏฐิ ก็ เป นฉั นนั้ น : อริยสาวกผูมี สั มมาทิ ฏฐิ ยอมรูชั ดตามเป นจริงวา "นี้ทุกข นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา" ดังนี้. สาฬหะ ! นัก รบผู ส ามารถทํ า ลายหมู พ ลอัน ใหญไ ด เปน ฉัน ใด อริยสาวกเปน ผูมีสัม มาวิมุตติ ก็เปน ฉัน นั้ น : อริยสาวกผู มีสัม มาวิมุต ติ ยอ ม ทําลายกองแหงอวิชชาอันใหญได. - จกตุกฺก. อํ. ๒๑/๒๗๔/๑๙๖.

ผูหลุดพนแลวมีอุปมา ๕ อยาง ภิก ษุ ท.! เมื ่อ ใด ภิก ษุ หลุด พน แลว เปน เจโตวิม ุต ตแ ละปญ ญ าวิมุตต ; ภิกษุนี้ เรา :เรียกวาเปน "ผูถอนลิ่มสลักไดแลว" (อุกฺขิตฺตปลิโฆ) ดังนี้บาง ; เรียกวาเปน "ผูรื้อรั้วลอมออกเสียได" (สงฺกิณฺณปริกฺโข) ดังนี้บาง ; เรียกวาเปน "ผูถอนเสาระเนียดขึ้นเสียได" (อพฺพุเฬฺหสิโก) ดังนี้บาง ; เรียกวาเปน "ผูถอดกลอนประตุออกเสียได” (นิรคฺคโฬ) ดังนี้บาง ; เรียกวาเปน "อริยะผูลดธง ปลงภาระ ปราศจากเครื่องผูกพัน" (อริโย ปนฺนทฺธโช ปนฺนภาโร วิสํยุตฺโต) ดังนี้บาง.

www.buddhadasa.info


๖๔๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิกษุ ท.! ภิกษุชื่อวา ผูถอนลิ่มสลักไดแลว นั้นเปนอยางไรเลา ? ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ในกรณี นี้ มี อวิ ช ชาอั น ละขาดแล ว เป น อวิ ช ชามี รากอั น ถอนขึ้ น แล ว กระทํ า ให เป น เหมื อ นต น ตาลมี ขั้ น ยอดอั น ด ว น ถึ ง ความไม มี ไ ม เป น มี อั น ไมเ กิด ขึ ้น ไดอ ีก ตอ ไปเปน ธรรมดา. ภิก ษุ ท.! อยา งนี ้แ ล ชื ่อ วา ผู ถ อนลิ ่ม สลักไดแลว. ภิกษุ ท.! ภิกษุชื่อวา ผูรื้อรั้วลอมออกเสียได นั้นเปนอยางไรเลา ? ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ในกรณี นี้ มี ชาติ สั งสาระเครื่ อ งนํ าไปสู ภ พใหม อั น ละขาดแล ว เป น ชาติ สั ง สาระมี ร ากอั น ถอนขึ้ น แล ว กระทํ า ให เป น เหมื อ นต น ตาลมี ขั้ ว ยอดอั น ด ว น ถึ ง ความไม มี ไ ม เ ป น มี อั น ไม เ กิ ด ขึ้ น ได อี ก ต อ ไปเป น ธรรมดา. ภิ ก ษุ ท.! อยางนี้แล ชื่อวา ผูรื้อรั้วลอมออกเสียได. ภิก ษุ ท.! ภิก ษุชื ่อ วา ผู ถ อนเสาระเนีย ดขึ ้น ได นั ้น เปน อยา งไร เลา ? ภิก ษุ ท.! ภิก ษุใ นกรณีนี ้ มี ตัณ หาอัน ละขาดแลว เปน ตัณ หามีร าก อั น ถอนขึ้ น แล ว กระทํ า ให เป น เหมื อ นต น ตาลมี ขั้ ว ยอดอั น ด ว น ถึ ง ความไม มี ไ ม เปน มีอ ัน ไมเ กิด ขึ ้น ไดอ ีก ตอ ไปเปน ธรรมดา. ภิก ษุ ท.! อยา งนี ้แ ล ชื ่อ วา ผูถอนเสาระเนียดขึ้นเสียได.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! ภิกษุชื่อวา ผูถอดกลอนประตูออกเสียได นั้นเปนอยางไร เลา ? ภิก ษุ ท.! ภิก ษุใ นกรณีนี ้ มี โอรัม ภาคิย สัง โยชนทั ้ง หา อัน ละขาดแลว เป น สั งโยชน มี รากอั น ถอนขึ้ น แล ว , กระทํ า ให เป น เหมื อ นต น ตาลมี ขั้ ว ยอดอั น ด ว น ถึ ง ความไม มี ไ ม เป น มี อั น ไม เกิ ด ขึ้ น อี ก ต อ ไปเป น ธรรมดา. ภิ ก ษุ ท.! อย า งนี้ แ ล ชื่อวา ผูถอดกลอนประตูออกเสียได.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๔๙

ภิกษุ ท.! ภิกษุชื่อวา เปนอริยะผูลดธง ปลงภาระ ปราศจากเครื่อง ผูก พัน นั ้น เปน อยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท.! ภิก ษุใ นกรณีนี ้ มี อัส มิม านะอัน ละ ขาดแล ว เป น อั ส มิ ม านะมี รากอั น ถอนขึ้ น แล ว กระทํ า ให เป น เหมื อ นต น ตาลมี ขั้ ว ย อ ด อัน ดว น ถึง ค วาม ไมม ีไ มเ ปน มีอ ัน ไมเ กิด ขึ ้น อีก ตอ ไป เปน ธรรม ด า. ภิกษุ ท.! อยางนี้แล ชื่อวาเปน อริยะผูลดธงปลงภาระปราศจากเครื่องผูกพันแล. - ปฺจก. อํ. ๒๒/๙๖/๗๑, ๗๒.

ผูรอดไปไดไมตายกลางทาง สุน ัก ขัต ตะ ! ขอ นี ้เ ปน ฐานะที ่ม ีไ ด คือ จะมีภ ิก ษุบ างรูป ในกรณ ีนี้ มีความเขาใจของตนวา "ตัณ หานั้น สมณะกลาวกันวาเปนลูกศร, โทษอันมีพิ ษ ของอวิชชา ยอมงอกงามเพราะฉันทราคะและพยาบาท ; ลูกศรคือตัณหานั้นเรา ละไดแลว, โทษอันมีพิษของอวิชชา เราก็นําออกไปหมดแลว, เราเปนผูนอมไป แล ว ในนิ พ พานโดยชอบ." ดั ง นี้ . เมื่ อ เธอน อ มไปแล ว ในนิ พ พานโดยชอบ อยู , เธอก็ ไม ตามประกอบซึ่ งธรรมทั้ งหลายอั นไม เป นที่ สบายแก ผู น อมไปแล วในนิ พ พาน โดยชอบ ; คื อ ไม ต ามประกอบซึ่ ง ธรรมอั น ไม เป น ที่ ส บาย ในการเห็ น รู ป ด ว ยตา ฟ ง เสี ย งด ว ยหู ดมกลิ่ น ด ว ยจมู ก ลิ้ ม รสด ว ยลิ้ น ถู ก ต อ งโผฏฐั พ พะด ว ยกาย รู สึ ก ธรรมารมณด ว ยใจ อัน ลว นไมเ ปน ที ่ส บาย. เมื ่อ เธอไมต ามประกอบซึ ่ง ธรรม อั น ไม เ ป น ที่ ส บายเหล า นี้ อ ยู , ราคะย อ มไม เ สี ย บแทงจิ ต ของเธอ. เธอมี จิ ต อั น ราคะไมเสียบแทงแลว ยอมไมถึงความตายหรือความทุกขเจียนตาย.

www.buddhadasa.info สุ น กขั ต ตะ ! เปรี ย บเหมื อ นบุ รุ ษ ถู ก ยิ งด ว ยลู ก ศรอั น อาบไว ด ว ยยาพิ ษ อยางแรงกลา. มิตรอํามาตยญาติสาโลหิตของเขาจัดหาหมอผาตัดมารักษา. หมอ


๖๕๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

ได ใ ช ศ าสตราชํ า แหละปากแผลของเขา แล ว ใช เครื่ อ งตรวจค น หาลู ก ศร พบแล ว ถอนลูก ศรออก นํ า ออกซึ ่ง โทษอัน เปน พิษ จนรู ว า ไมม ีเ ชื ้อ เหลือ ติด อยู . หมอ นั้ น กล าวแก เขาอย างนี้ ว า "บุ รุ ษ ผู เจริ ญ ! ลู ก ศรถู ก ถอนออกแล ว, โทษอั น เป น พิ ษ เรานํ าออกจนไม มี เชื้ อเหลื อติ ดอยู แล ว, ท านหมดอั นตรายแล ว และท านจะบริโภคอาหารได ตามสบาย ; แต ท านอย าไปกิ นอาหารชนิ ดที่ ไม สบายแก แผลอั นจะทํ าให แผลอั กเสบ และจงล าง แผลตามเวลา ทายาที่ ปากแผลตามเวลา. เมื่ อท านล างแผลตามเวลา ทายาที่ ปากแผลตาม เวลา อย าให หนองและเลื อดเกรอะกรังปากแผล, และท านอย าเที่ ยวตากลมและแดด, เมื่ อ เที่ ยวตากลมและแดด ก็ อย าให ฝุ นละอองของโสโครกเข าไปในปากแผล. บุ รุ ษผู เจริ ญ ! ท า นจงเป น ผู ระวั งรั ก ษาแผล มี เรื่ อ งแผลเป น เรื่ อ งสํ าคั ญ เถอะนะ" ดั งนี้ บุ รุ ษ นั้ น มี ความคิ ด ว า "หมอถอนลู ก ศรให เราเสร็ จ แล ว โทษอั น เป น พิ ษ หมอก็ นํ า ออกจน ไมม ีเ ชื ้อ เหลือ อยู แ ลว เราหมดอัน ตราย" เขาบริโ ภคโภชนะอัน เปน ที ่ส บาย (และประพฤติ ต ามหมอสั่ งทุ ก ประการ) เขานํ า โทษพิ ษ อั น ไม ส ะอาดออกไป ด ว ย การกระทํ า อั น ถู ก ต อ งเหล า นี้ แผลจึ ง ไม มี เชื้ อ เหลื อ อยู , และงอกขึ้ น เต็ ม เพราะ เหตุทั ้ง สองนั ้น . เขามีแ ผลงอกเต็ม มีผ ิว หนัง ราบเรีย บแลว ก็ไ มถ ึง ซึ ่ง ความ ตาย หรือความทุกขเจียนตาย, นี้ฉันใด ;

www.buddhadasa.info สุ นั ก ขั ต ตะ ! ข อ นี้ ก็ ฉั น นั้ น เหมื อ นกั น คื อ ข อ ที่ ภิ ก ษุ บ างรู ป สํ า คั ญ ตนวานอมไปแลวในนิพพานโดยชอบ....แลวไมตามประกอบในธรรมที่ไมเปนที่ สบายแกก ารนอมไปในนิพ พานโดยชอบ....ราคะก็ไมเสียบแทงจิตเธอ. เธอ มีจิตอันราคะไมเสียบแทงแลว ยอมไมถึงความตาย หรือความทุกขเจียนตาย

สุ นั ก ขั ต ตะ ! อุ ป มานี้ เ รากระทํ า ขึ้ น เพื่ อ ให เ ข า ใจเนื้ อ ความ นี้ คื อ เนื้อความในอุปมานั้น ; คําวา 'แผล' เปนชื่อแหงอายตนะภายในหก. คําวา


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๕๑

'โทษอัน เปน พิษ ' เปน ชื ่อ แหง อวิช ชา. คํ า วา 'ลูก ศร' เปน ชื ่อ แหง ตัณ หา. คํ าว า 'เครื่ อ งตรวจ' เป นชื่ อแห ง สติ . คํ าว า 'ศาสตรา' เป นชื่ อของ อริยป ญ ญา. คําวา 'หมอผาตัด' เปนชื่อของ ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธะ. - อุปริ.ม. ๑๔/๖๙/๗๗.

ผูตายคาประตูนิพพาน สุน ัก ขัต ตะ ! ขอ นี ้เ ปน ฐานะที ่ม ีไ ด คือ จะมีภ ิก ษุบ างรูป ในกรณ ีนี้ มี ความเข าใจของตนมี ความหมายอั นสรุปได อย างนี้ เป นต น ว า "ตั ณ หานั้ น สมณะ กลาวกันวาเปนลูกศร, โทษอันมีพิษของอวิชชา ยอมงอกงามเพราะฉันราคะและ พยาบาท, ลูกศรคือตัณหานั้นเราละไดแลว, โทษอันมีพิษของอวิชชา เราก็นํา ออกไปหมดแลว, เราเปนผูนอมไปแลวในนิพพานโดยชอบ" ดังนี้. เธอนั้นยอม ตามประกอบซึ่ ง ธรรมทั้ ง หลายอั น ไม เป น ที่ ส บายแก ผู น อ มไปแล ว ในนิ พ พานโดย ชอบ; คือ ตามประกอบซึ ่ง ธรรมอัน ไมเ ปน ที ่ส บาย ในการเห็น รูป ดว ยตาฟง เสีย งดว ยหู ดมกลิ ่น ดว ยจมูก ลิ ้ม รสดว ยลิ ้น ถูก ตอ งโผฏฐัพ พะดว ยกายรู สึ ก ธรรมมารมณ ด ว ยใจ อั น ล ว นไม เป น ที่ ส บาย. เมื่ อ เธอตามประกอบซึ่ ง ธรรมอั น ไม เปน ที ่ส บ าย เห ลา นี ้ อ ยู , ราค ะอ ยอ ม เสีย บ แ ท งจิต ข อ งเธอ . เธอ มีจ ิต อัน ราคะเสียบแทงแลว ยอมถึงความตายหรือความทุกขเจียนตาย.

www.buddhadasa.info สุ นั ก ขั ต ตะ ! เปรี ย บเหมื อ นบุ รุ ษ ถู ก ยิ งด ว ยลู ก ศรอั น อาบไว ด ว ยยาพิ ษ อย า งแรงกล า . มิ ต รอํ า มาตย ญ าติ ส าโลหิ ต ของเขา จั ด หาหมอผ า ตั ด มารั ก ษา หมอได ใช ศ าสตราชํ า แหละปากแผลของเขา แล ว ใช เครื่ อ งตรวจค น หาลู ก ศร พบ แล ว ถอนลู ก ศรออก กํ า จั ด โทษอั น เป น พิ ษ ที่ ยั ง มี เชื้ อ เหลื อ ติ ด อยู จนรู ว า ไม มี เชื้ อ เหลือติดอยู แลวกลาวแกเขาอยางนี้วา "บุรุษผูเจริญ ! ลูกศรถูกถอนออกแลว.


๖๕๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

โทษอั นเป นพิ ษเรานํ าออกจนไม มี เชื้ อเหลื ออยู แล ว, ท านไม มี อั นตรายอี กแล ว, และท านจะ บริ โภคอาหารได ตามสบาย แต อย าไปกิ นอาหารชนิ ดที่ ไม สบายแก แผลอั นจะทํ าให แผลอั กเสบ และจงล างแผลตามเวลา ทายาที่ ปากแผลตามเวลา, เมื่ อท านล างแผลตามเวลา ทายาที่ ปาก แผลตามเวลา อย าให หนองและเลื อดเกรอะกรั งปากแผล, และท านอย าเที่ ยวตากลมตากแดด, เมื่ อเที่ ยวตากลมตากแดด, ก็ อย าให ฝุ นละอองและของโสโครกเข าไปในปากแผล. บุ รุษผู เจริ ญ ! ท า นจงเป น ผู ร ะวั ง รั ก ษาแผล มี เรื่ อ งแผลเป น เรื่ อ งสํ า คั ญ เถอะนะ" ดั ง นี้ . บุร ุษ นั ้น มีค วามคิด วา "หมอถอนลูก ศรใหเ ราเสร็จ แลว โทษอัน เปน พิษ หมอก็ นํ า ออกจนไมม ีเ ชื ้อ เหลือ อยู แ ลว เราหมดอัน ตราย" เขาจึง บริโ ภ คโภ ชนะที่ แสลง, เมื ่อ บริโ ภคโภชนะที ่แ สดง แผลก็กํ า เริบ , และเขาไมช ะแผลตามเวลา ไม ท ายาที่ ป ากแผลตามเวลา, เมื่ อ เขาไม ช ะแผลตามเวลา ไม ท ายาที่ ป ากแผลตาม เวลา หนองและเลือ ดก็เ กรอะกรัง ปากแผล, และเขาเที ่ย วตากลมตากแดด ปลอ ยใหฝุ น ละอองของโสโครกเขา ไปในปากแผล, และเขาไมร ะวัง รัก ษาแผล ไม มี เรื่ อ งแผลเป น เรื่ อ งสํ า คั ญ . เขานํ า โทษพิ ษ อั น ไม ส ะอาดออกไปด ว ยการกระทํ า อัน ไมถ ูก ตอ งเหลา นี ้ แผลจึง มีเ ชื ้อ เหลือ อยู , แผลก็บ วมขึ ้น เพราะเหตุทั ้ง สอง นั ้น . บุร ุษ นั ้น มีแ ผลบวมแลว ก็ถ ึง ซึ ่ง ความตายบา ง ซึ ่ง ความทุก ขเ จีย นตาย บาง, นี้ฉันใด;

www.buddhadasa.info สุ นั ก ขั ต ตะ ! ข อ นี้ ก็ ฉั น นั้ น เหมื อ นกั น คื อ ข อ ที่ ภิ ก ษุ บ างรู ป สํ า คั ญ ตนวานอมไปแลวในนิพพานโดยชอบ.... แตตามประกอบในธรรมไมเปนที่สบาย แกการนอมไปในนิพพานโดยชอบ.... ราคะก็เสียบแทงจิตของเธอ. เธอมีจิตอัน ราคะเสียบแทงแลว ยอมถึงความตาย หรือความทุกขเจียนตาย. สุนักขัตตะ ! ในอริยวินัยนี้ ความตายหมายถึงการบอกคืนสิกขา เวียนไปสูเพศต่ํา; ความ


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๕๓

ทุกขเจียนตายหมายถึงการตองอาบัติ อันเศราหมองอยางใดอยางหนึ่ง แล. - อุปริ. ม. ๑๔/๖๖/๗๖. (ภิ ก ษุ ใ นกรณี นี้ มี ก ารศึ ก ษาดี ตึ .ความปรารถนาดี แต มี ค วามเข า ใจผิ ด เกี่ ย วกั บ ตนเองและธรรมะ ; คือ เขา ใจไปวา ลูก ศรคือ ตัณ หาเปน สิ ่ง ที ่ล ะไดโ ดยไมต อ งถอน อวิช ชาเปน สิ่ ง ที่ เหวี่ ย งทิ้ ง ไปได โ ดยไม ต อ งกํ า จั ด ตั ด ราก ; และเข า ใจตั ว เองว า น อ มไปแล ว สู นิ พ พานโดยชอบ ดัง นี ้ แตแ ลว ก็ม ากระทํ า ผิด ในสิ ่ง ที ่ไ มเ ปน สบายแกก ารนอ มไปในนิพ พานั ้น ทั ้ง ทางตา หู จมูก ลิ้ น กาย ใจ จนราคะเกิ ด ขึ้ น เสี ย บแทง ถึ ง แก ค วามตายในอริ ย วิ นั ย , จึ ง เรี ย กว า เขาล ม ลงตาย ตรงหนาประตูแหงพระนิพพานนั่นเอง).

ผูหลุดพนไดเพระาไมยึดมั่นถือมั่น ในกาลไหน ๆ ทานเหลาใด เห็นภัยในความยึดถืออันเปนตัว เหตุใหเกิดและใหตายแลว เลิกยึดมั่นถือมั่นหลุดพ นไปได เพราะ อาศัยนิพพานอันเปนธรรมที่สิ้นไปแหงความเกิดความตาย; เหลาทาน ผูเชนนั้น ยอมประสพความสุดข ลุพระนิพพานอันเปนธรรมเกษม เปน ผูดับ เย็น ได ในป จจุบั น นี้ เอง ล วงเวรล วงภั ยทุ ก อยางเสี ยได และ กาวลวงเสียได ซึ่งความเปนทุกขทั้งปวง.

www.buddhadasa.info - อุปริ. ม. ๑๔/๓๔๖/๕๒๕.

ผูกําลังโนมเอียงไปสูนิพพาน

ภิก ษุ ท.! คงคานที ลุ ม ไปทางทิศ ตะวัน ออก ลาดไปทางทิศ ตะวัน ออก เทไป ทางทิศ ตะวัน ออก ขอ นี ้ฉ ัน ใด ; ภิก ษุ ท.! ภิก ษุเ จริญ ฌ านสี ่อ ยู กระทํ า ฌานสี่ ใ ห ม ากอยู ก็ ย อ มเป น ผู ลุ ม ไปทางนิ พ พาน ลาดไปทางนิ พ พานเทไป ทางนิพพาน ฉันนั้นก็เหมือนกัน.


๖๕๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ เจริ ญ ฌานสี่ อ ยู กระทํ า ฌานสี่ ใ ห ม ากอยู ย อ มเป น ผูลุมไปทางนิพพาน ลาดไปทางนิพพาน เทไปทางนิพพาน เปนอยางไรเลา ? ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ใ นกรณี นี้ สงั ด แล ว จากกามทั้ ง หลาย สงั ด แล ว จาก อกุ ศ ลธรรมทั้ ง หลายเข า ถึ ง ปฐมฌาน อั น มี วิ ต กวิ จ าร มี ป ติ แ ละสุ ข อั น เกิ ด จาก วิเ วก แลว แลอยู ; เพราะความที ่ว ิต กวิจ ารทั ้ง สองระงับ ลง เขา ถึง ทุต ิย ฌาน เปน เครื ่อ งผอ งใสใจในภายใน ใหส มาธิเ ปน ธรรมอัน เอกผุด มีขึ ้น ไมม ีว ิต ก ไมม ีว ิจ าร มีแ ตป ต ิแ ละสุข อัน เกิด จากสมาธิ แลว แลอยู ; อนึ ่ง เพราะความ จางคลายไปแห งป ติ ย อ มเป น ผู อ ยู อุ เบกขา มี สิ ต และสั ม ปชั ญ ญะ และย อ มเสวย ความสุข ดว ยนามกาย ชนิด ที ่พ ระอริย เจา ทั ้ง หลาย ยอ มกลา วสรรเสริญ ผู นั ้น วา "เป น ผู อ ยู อุ เบกขา มี ส ติ อยู เป น ปรกติ สุ ข " ดั ง นี้ เข า ถึ ง ตติ ย ฌาน แล ว แลอยู ; เพราะละสุ ข เสี ย ได และเพราะละทุ ก ข เสี ย ได เพราะความดั บ ไปแห ง โสมนั ส และ โทมนั ส ทั้ ง สองในกาลก อ น เข า ถึ ง จตุ ต ถฌาน อั น ไม มี ทุ ก ข ไม มี สุ ข มี แ ต ค วามที่ สติเปนธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา แลวแลอยู.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! อย า งนี้ แ ล ภิ ก ษุ เ จริ ญ ฌ านสี่ อ ยู กระทํ า ฌ านสี่ ใ ห ม าก อยูยอมเปนผูลุมไปทางนิพพาน ลาดไปทางนิพพาน เทไปทางนิพพาน.

- มหาวาร. สํ. ๑๙/๓๙๒/๑๓๐๑-๑๓๐๒.

ผูปฏิบัติเพื่อความดับเย็นเปนนิพพาน ภิ ก ษุ ท.! รู ป เวทนา สั ญ ญา สั ง ขาร วิ ญ ญาณ ที่ ล ว งไปแล ว ก็ ดี ที่ จ ะมาข างหน าก ดี ล วนเป น ของ ไม เที่ ย ง, จั ก กล าวไปใย ถึ งรูป เวทนา สั ญ ญา สังขาร วิญญาณ ที่เปนปจจุบันนี้เลา.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๕๕

ภิ ก ษุ ท.! รู ป เวทนา สั ญ ญา สั ง ขาร วิ ญ ญาณ ที่ ล ว งไปแล ว ก็ ดี ที่จ ะมาขา งหนา ก็ดี ลว นเปน ของที ่ คงอยูอ ยา งนั ้น ไมไ ด เปน ทุก ข, จัก กลา ว ไปใย ถึงรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่เปนปจจุบันนี้เลา. ภิก ษุ ท.! รูป เวทนา สัญ ญา สัง ขาร วิญ ญาณ ที ่ล ว งไปแลว ก็ดี ที ่จ ะมาขา งหนา ก็ด ี ลว นเปน ของที ่ ไมใ ชต ัว ไมใ ชต น, จัก กลา วไปใย ถึง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่เปนปจจุบันนี้เลา. ภ ิก ษ ุ ท .! อ ริย ส าวก ใน ธรรม วิน ัย นี ้ ผู ม ีก ารส ดับ แลว เห็น อ ยู อย า งนี้ ย อ ม หมดอาลั ย ยิ น ดี ใน รูป เวทนา สั ญ ญา สั ง ขาร วิ ญ าณ ที่ ได ล ว ง ไปแลว , ยอ ม ไมน ึก เพลิน เกี ่ย วกับ รูป เวทนาสัญ ญา สัง ขาร วิญ ญาณ ที ่จ ะ มีม า, แตจ ัก เปน ผู ป ฏิบ ัต ิ เพื ่อ หนา ย เพื ่อ คลายออก เพื ่อ ไดด ับ สนิท เสีย ซึ ่ง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่เปนปจจุบันนี้แล. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๕-๖/๓๖-๘.

www.buddhadasa.info ผูรูความลับของปยรูป-สาตรูป

ภิ ก ษุ ท.! ก็ ส มณ ะหรื อ พราหมณ เหล า ใดเหล า หนึ่ ง บรรดามี ใ น ครั้ ง อดี ต กาล นานไกลมา ได เห็ น อารมณ อั น เป น ที่ รั ก ที่ ชื่ น ใจในโลก โดยความ เปน ของไมเ ที ่ย ง เปน ทุก ข เปน สภาพมิใ ชต ัว ตน, เห็น โดยความเปน ของ เสีย บแทง เปน ภัย นา กลัว แลว ; สมณ ะหรือ พราหมณเ หลา นั ้น ก็ล ะตัณ หา ไดแลว.


๖๕๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภ ิก ษ ุ ท .! ก็ส ม ณ ะห รือ พ ราห ม ณ เ ห ลา ใด เห ลา ห นึ ่ง บ รรด าที ่จ ะมี ใน อ น าค ต หากไดเ ห็น อารมณ อ ัน เปน ที ่ร ัก ที ่ชื ่น ใจในโลก โดยความเปน ของ ไมเ ที ่ย ง เปน ทุก ข เปน สภาพมิใ ชต ัว ตน, เห็น โดยความเปน ของเสีย บแทงเป น ภัยนากลัว แลว; สมณะหรือพราหมณเหลานั้น ก็จักละตัณหาได. ภิ ก ษุ ท.! แม ส มณ ะหรื อ พ ราหมณ เหล า ใดเหล า หนึ่ ง บรรดาที่ มี ใ น ป จ จุ บั น นี้ เห็ น อยู ซึ่ ง อารมณ อั น เป น ที่ รั ก ที่ ชื่ น ใจในโลก โดยความเป น ของไม เ ที ่ย ง เปน ทุก ข เปน ส ภ าพ มิใ ชต ัว ตน , เห็น โดยความ เป น ของเสีย บ แทง เปน ภั ย น า กลัว แลว ; สมณะหรือพราหมณเหลานั้น ยอมละตัณหาได. ภิก ษุ ท.! สม ณ ะห รือ พ ราห ม ณ เ หลา ใด ละตัณ ห าได, สมณ ะ หรือ พราหมณเ หลา นั ้น ยอ มละอุป ธิไ ด; เมื ่อ ละอุป ธิไ ด ก็ย อ มละทุก ขไ ด ; เมื่ อ ละทุ ก ข ได ก็ ย อ มพ น จากชาติ ชรา มรณะโสกะ ปริ เทวะ ทุ ก ขะ โทมนั ส และอุ ป ายาส ; เราตถาคตกล าววาสมณหรือ พราหมณ เหล านั้ น พ น จากทุ ก ข ได ดังนี้แล. - นิทาน. สํ. ๑๖/๑๓๔/๒๖๑.

www.buddhadasa.info ผูมีจิตอันหาขอบเขตมิได

ภิ ก ษุ ท.! ตลอดกาลเพี ย งใด ที่ สั ต ว ทั้ ง หลาย ยั ง ไม ไ ด รู ยิ่ ง ตามเป น จริง ซึ ่ง รสอรอ ย ของอุป าทานขัน ธห า เหลา นี ้ โดยความเปน รสอรอ ย. ยัง ไมไ ด รู ยิ ่ง ตามเปน จริง ซึ ่ง โท ษ ของอุป าทานขัน ธห า โดยความ เปน โทษ , ยัง ไมไ ด รู ยิ ่ง ตามเปน จริง ซึ ่ง อุบ ายออกพ น ไป ไดจ ากอุป าทานขัน ธห า โดยความเปน อุบายใหออกพนไป;


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๕๗

ภิก ษุ ท.! ตลอดกาลเพีย งนั ้น สัต วทั ้ง หลาย ก็ ยัง ไมชื ่อ วา เปน ผู ไดแ ลน หลุด ออกไป. ยัง ไมชื ่อ วา ปน ผู ป ราศจากเครื ่อ งเกี ่ย วเกาะหลุด พน แลว , ยัง เปน ผู ม ีใ จอัน อยูใ นขอบเขตโลกนี ้ ขอบเขตเทวโลก มารโลก พรหมโลก. ยั ง อยู ใ นขอบเขตของหมู สั ต ว หมู ส มณะ หมู พ ราหมณ และในขอบเขตของเหล า เทวดาและมนุษย อยูนั่นเอง. ภิก ษุ ท.! เมื ่อ ใดแล สัต วทั ้ง หลาย มารู ยิ ่ง ตามเปน จริง แลว ซึ ่ง รส อ รอ ย ขอ งอุป าท าน ขัน ธห า โด ย ค วาม เปน รส อ รอ ย , ไดร ูยิ ่ง ต าม เปน จริง ซึ ่ง โทษ ของอุป าทานขัน ธห า โดยความเปน โทษ, ไดรู ยิ ่ง ตามเปน จริง ซึ่ง อุบายออกพนไปได จากอุปาทานขันธหา โดยความเปนอุบายใหออกพนไป; ภิก ษุ ท.! เมื ่อ นั ้น แหละ สัต วเ หลา นั ้น ชื ่อ วา เปน ผู  ไดแ ลน ห ลุด ออกไป เป น ผู ป ราศจากเครื่ อ งเกี่ ย วเกาะ หลุ ด พ น แล ว เป น ผู มี ใจอั น หาขอบเขตมิ ได เปน อ ยู ใ น ด ล ก นี ้ ใน เท วโล ก ม ารโล ก พ รห ม โล ก , เปน อ ยู ใ น ห มู ส ัต ว หมูสมณะ หมูพราหมณ ในเหลาเทวดาและมนุษยทั้งหลาย ดังนี้.

www.buddhadasa.info - ขนฺธ. สํ. /๑๗/๓๘/๖๓.

ความรูสึกในใจของผูชนะตัณหาได

เมื่อเรายังไมพบญาณ ก็ไดแลนทองเที่ยวไปในสงสารเปน อเนกชาติ, แสวงหาอยูซึ่งนายชางปลูกเรือน คือตัณหาผูสรางภพ, การเกิดทุกคราวเปนทุกขร่ําไป.


๖๕๘

อริยสัจจากพระโอษฐ นายช างผู ปลู กเรื อนจํ าเอ ย! ฉั นรู จั กแกเสี ยแล ว; เจ าจะทํ า เรือนใหเราไมไดอีกตอไป. โครงเรือนทั้งหมดของเจา เราหักเสียแลว; ยอดเรือนเราก็รื้อเสียแลว. จิตของเราถึงแลว ซึ่งสภาพที่อะไรปรุง แตงไมไดอีกตอไป เพราะถึงความสิ้นไปแหงตัณหาเสียแลว

- ธ. ขุ. ๒๕/๓๕/๒๑.

พระอริยบุคคล มีอันดับเจ็ด ภิ กษุ ท .! บุ ค ค ล เจ็ ด จํ า พ วก เห ล านี้ มี อ ยู ห าได อ ยู ใน โล ก . เจ็ ด จํ า พวกอย า งไรเล า ? เจ็ ด จํ า พวก คื อ อุ ภ โตภาควิ มุ ต ต ป ญ ญาวิ มุ ต ต กายสั ก ขี ทิฏฐิปปตต สัทธาวิมุตต ธัมมานุสารี สัทธานุสารี. ๑. ผูอุภโตภาควิมุตต ภิก ษุ ท.! บุค คลผู เ ปน อุภ โตภาควิม ุต ต (ผู ห ลุด พน โดยสว นทั ้ง สอง) เปนอยางไรเลา ?

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท.! ในกรณ ีนี ้ บุค คลบางคน ถูก ตอ งวิโ ม กขทั ้ง ห ลาย อัน ไม เ กี่ ย วกั บ รู ป เพราะก า วล ว งรู ป เสี ย ได อั น เป น วิ โ มกข ที่ ส งบรํ า งั บ , ด ว ยนามกาย แลว แลอยู  (นี ้อ ยา งหนึ ่ง ); และ อาสวะทั ้ง หลายของเขานั ้น สิ ้น ไปรอบ แ ล ว เพ ราะ เห ็น แ จง ด ว ย ป ญ ญ า (นี ้อ ีก อ ยา งห นึ ่ง ). ภ ิก ษ ุ ท .! นี ้เ ราก ล า ววา บุค ค ล ผู เ ปน อุภ โต ภ าค วิม ุต ต. ภิก ษุ ท .! สํ า ห รับ ภิก ษุนี ้ เราไมก ลา ววา ยัง มีอ ะไร ๆ เหลือ อยู  ที ่เธอตอ งทํ า ดว ยความไมป ระมาท. ขอ นั ้น เพราะเหตุไร เล า ? เพราะเหตุว า กิจ ที ่ต อง ทํ า ดว ยความไมป ระมาท เธอทํ า เสร็จ แลว , และ เธอเปนผูไมอาจที่จะเปนผูประมาทไดอีกตอไป


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๕๙

ผูอุภโตภาควิมุตโดยสมบูรณ ๑ (ผู อุ ภ โตภาควิ มุ ต ต หมายความว า ผู มี ค วามคล อ งแคล ว ในวิ โมกข แ ปด และหลุ ด พ น แลวดวยเจโตวิมุตติปญญาวิมุตติอันหาอาสวะมิได. สําหรับวิโมกขแปดมีรายละเอียดดับนี้คือ :-)

อ า น น ท ! วิโ ม ก ขแ ป ด เห ลา นี ้แ ล มีอ ยู . แ ป ด เห ลา ไห น เลา ? แปดคือ :(๑) ผู มี รู ป (ซึ่ ง เป น อารมณ ข องสมาธิ ) ย อ มเห็ น รู ป ทั้ ง หลาย (อั น เปนสมาธินิมิตเหลานั้น) นี้คือ วิโมกขที่หนึ่ง. (ยอมมีวิโมกข คือพนจากอิทธิพลของนิวรณทั้งหลาย)

(๒) ผู ไ ม มี สั ญ าในรู ป ซึ่ ง เป น ภายใน (เพื่ อ เป น อารมณ ข องสมาธิ ) ยอมเห็นรูปทั้งหลายอันเปนภายนอก (เพื่อเปนอารมณของสมาธิ) : นี้คือ วิโมกขที่ สอง. (ยอมมีวิโมกข คือพนจากอิทธิพลของนิวรณทั้งหลาย).

(๓) เปน ผู น อ มใจ (ไปในรูป นิม ิต แหง สมาธิ) ดว ยความรู ส ึก วา " งาม" เทานั้น : นี้คือ วิโมกขที่สาม.

www.buddhadasa.info (ย อ มมี วิ โมกข คื อ พ น จากอิ ท ธิ พ ลของนิ ว รณ ทั้ ง หลาย โดยเฉพาะอย า งยิ่ ง จากการรบ กวนของความรูสึกวาเปนปฏิกูลในสิ่งที่เปนปฏิกูล)

(๔) เพราะก าวล วงเสี ยได ซึ่ งรู ป สั ญ ญาทั้ งหลายโดยประการทั้ งปวง เพราะความดับไปแหงปฏิฆสัญญาทั้งหลาย เพราะไมใสใจนานัตตสัญญาทั้งหลาย เปนผูเขาถึงอากาสานัญจายตนะ อันมีการทําในใจวา "อากาศไมมีที่สุด" ดังนี้ แลวแลอยู : นี้คือ วิโมกขที่สี่.

๑. มหา.ที. ๑๐/๘๓/๖๖.


๖๖๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

(ย อ มมี วิ โมกข คื อ พ น จากอิ ท ธิ พ ลของรู ป สั ญ ญา ซึ่ งทํ าความผู ก พั น อยู ในรู ป ทั้ งหลาย อันใหเกิดการกระทบกระทั่งกับสิ่งที่เปนรูปนั่นเอง).

(๕) เพราะก าวล วงเสี ยได ซึ่ งอากาสานั ญ จาตนะโดยประการทั้ งปวง เปนผูเขาถึงวิญญาณัญจายตนะ อันมีการทําในใจวา "วิญญาณไมมีที่สุด" ดังนี้ แลวแลอยู : นี้คือ วิโมกขที่หา. (ย อ มมี วิ โ มกข คื อ พ น จากอิ ท ธิ พ ลของอากาสานั ญ จายตนสั ญ า ซึ่ ง ทํ า ความผู ก พั น อยูในอรูปประเภทแรกคืออากาสานัญจายตนะนั่นเอง).

(๖) เพราะก าวล วงเสี ยได ซึ่ งวิญ ญาณั ญ จายตนะโดยประการทั้ งปวง เปนผูเขาถึงอากิญจัญญายตนะ อันมีการทําในใจวา "อะไร ๆ ไมมี" ดังนี้ แลว แลอยู : นี้คือ วิโมกขที่หก. (ย อ มมี วิ โมกข คื อ พ น จากอิ ท ธิ พ ลของวิ ญ ญาณั ญ จายตนสั ญ ญา ซึ่ ง ทํ า ความผู ก พั น อยูในอรูปประเภทที่สองคือวิญญาณัญจายตนะนั่นเอง).

(๗) เพราะกา วลว งเสีย ไดซึ ่ง อากิญ จัญ ญายตนะโดยการทั ้ง ปวง เปนผูเขาถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ แลวแลอยู : นี้คือ วิโมกขที่เจ็ด. (ย อมมี วิ โมกข คื อพ นจากอิ ทธิ พลของอากิ ญ จั ญ ญายตนะสั ญ ญา ซึ่ งทํ าความผู กพั นอยู ในอรูปประเภทที่สามคืออากิญจัญญายตนะนั่นเอง).

(๘) เพราะก าวล วงเสี ยได ซึ่ งเนวสั ญ ญานาสั ญ ญายตนะโดยประการ ทั้งปวง เปนผูเขาถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ แลวแลอยู : นี้คือ วิโมกขที่แปด.

www.buddhadasa.info (ย อมมี วิ โมกข คื อพ น จากอิ ท ธิ พลของเนวสั ญ ญานาสั ญ ญายตนสั ญ ญา ซึ่ งทํ าความผู ก พันอยูในอรูปประเภทที่สี่คือเนวสัญญานาสัญญายตนะนั่นเอง).

อานนท ! เหลานี้แล วิโมกขแปด. อานนท ! ในกาลใดแล ภิ ก ษุ เข า สู วิ โ มกข แ ปดเหล า นี้ โดยอนุ โ ลม บ า ง โดยปฏิ โ ลมบ า งทั้ ง โดยอนุ โลมและปฏิ โลมบ า ง เข า บ า ง ออกบ า ง ได ต ามที่ ที่ตองการ ตามสิ่งที่ตองการ ตามเวลาที่ตองการ ; กระทําใหแจงซึ่งเจโตวิมุติ-


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๖๑

ป ญ ญาวิ มุ ติ อั น หาอาสวะมิ ไ ด เพราะความสิ้ น ไปแห ง อาสวะทั้ ง หลาย ด ว ย ปญ ญ าอัน ยิ ่ง เอง ในทิฏ ฐธรรมนี ้ เขา ถึง แลว แลอยู . อานนท ! ภิก ษุนั ้น แล ชื่อวา อุภโตภาควิมุตต (ผูหลุดพนแลวโดยสวนสอง). อานนท ! อุภโตภาควิมุตติอื่นที่ยิ่งกวาประณี ตกวาอุภโตภาควิมุตตินี้ ยอมไมมี. ผูอุภโตภาควิมุตต (ตามคําของพระอานนท)๑ "อาวุ โส ! มี คํ ากล าวกั นอยู ว า 'อุ ภโตภาควิ มุ ตต อุ ภโตภาควิ มุ ตต ' ดั งนี้ . อาวุ โส ! อุ ภโตภาควิ มุ ตต นี้ พระผู มี พระภาคตรัสไว ด วยเหตุ มี ประมาณเท าไรหนอแล?" (พระอุทายีถามพระอานนท, พระอานนทเปนผูตอบ).

อาวุโส! ภิ กษุ ในกรณี้ นี้ สงัดแลวจากกาม สงัดแล วจากอกุ ศลธรรม เขาถึง ปฐมฌาน อันมีวิตกวิจาร มีปติและสุข อันเกิดจากวิเวก แลวแลอยู. อนึ่ง อายตนะคือฌานนั้น (เปนธรรมารมรณมีรสและกิจเปนตน) ฉันใดๆ, เธอถูกตอง ธรรมารมณนั้น (โดยรสและกิจเปนตน) ฉันนั้นๆ ดวยนามกาย แลวแลอยู. และ เธอรูทั่วถึงธรรม (คือปฐมฌานนั้น) ดวยปญญา. อาวุโส ! อุภโตภาควิมุตตอัน พระผูมีพระภาคตรัสไว ดวยเหตุมีประมาณเทานี้แล เมื่อกลาว โดยปริยาย.

www.buddhadasa.info (ในกรณี แห ง ทุ ติ ยฌาน ตติ ยฌาน จตุ ตถฌาน อากาสานั ญ จายตนะ วิ ญ ญาณั ญ จายตนะอากิ ญ จั ญ ญายตนะ และเนวสั ญ ญานาสั ญ ญายตนะ มี ข อ ความที่ ก ล า วไว โดยทํ า นอง เดียวกันกับขอความในกรณีแหงปฐมฌาน ทุกประการ และในฐานะเปนอุภโตภาควิมุตต โดย

๑. นวก. อํ. ๒๓/๔๗๔/๒๔๙.


๖๖๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

ปริ ย าย. ส ว นสั ญ ญ าเวทยิ ต นิ โ รธซึ่ ง มี ก ารสิ้ น อาสวะนั้ น กล า วไว ใ นฐานะเป น อุ ภ โตภาควิ มุ ต ต โดยนิปปริยาย ดวยขอความดังตอไปนี้ :-)

อาวุ โส ! นั ย อื่ น อี ก มี อ ยู : ภิ ก ษุ ก าวล ว งเสี ย ซึ่ งเนวสั ญ ญานาสั ญ ญายตนะโดยประการทั ้ง ปวง เขา ถึง สัญ ญาเวทยิต นิโ รธ แลว แลอยู. อนึ ่ง เพราะเห็ นดวยป ญญา อาสวะทั้งหลายของเธอนั้นก็สิ้นไปรอบ . อนึ่ ง อายตนะ คือสัญ ญาเวทยิตนิโรธนั้น (เปนธรรมารมณมีรสและกิจเปนตน ) ฉันใดๆ, เธอ ถูกตองธรรมารมณนั้น (โดยรสและกิจเปนตน) ฉันนั้นๆ ดวยนามกายแลวแลอยู. และเธอรู ทั ่ว ถึง ธรรม (คือ สัญ ญาเวทยิต นิโ รธนั ้น ) ดว ยปญ ญา. อาวุโ ส ! อุภ โตภาควิมุ ต ต อั น พระผู มี พ ระภาคตรัส ไว ด วยเหตุ มี ป ระมาณเท านี้ แล เมื่ อ กลาว โดยนิปปริยาย. ๒. ผูปญญาวิมุตต ภิ กษุ ท.! บุ ค คลผู เป น ป ญ ญาวิ มุ ต ต (ผู หลุ ดพ นด วยป ญ ญา) เป น อย างไร เลา ?

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท.! ในกรณ ีนี ้ บุค คลบางคน, วิโ มกขเ หลา ใดอัน ไมเ กี ่ย วกับ รูป เพ รา ะ กา ว ลว งรูป เสีย ได อัน เปน วิโ ม ก ขที ่ส งบ รํ า งับ มีอ ยู , เข า ห า ได ถู ก ต อ งวิ โมกข เหล า นั้ น ด ว ยนามกายแล ว แลอยู ไม แต ว า อาสวะทั้ ง หลายของ เขานั้ น สิ้ น ไปรอบแล ว เพราะเห็ น แจ ง ด ว ยป ญ ญ า. ภิ ก ษุ ท.! นี้ เ รากล า วว า บุค คลผู เ ปน ปญ ญ าวิม ุต ต. ภิก ษุ ท.! สํ า หรับ ภิก ษุแ มนี ้ เราก็ไ มก ลา ววา ยั ง มีอะไร ๆ เหลือ อยู ที่เธอตองทํ าดวยความไม ป ระมาท. ขอนั้นเพราะเหตุไรเลา? เพราะเหตุ ว า กิ จ ที่ ต อ งทํ า ด ว ยความไม ป ระมาท เธอทํ า เสร็ จ แล ว , และเธอเป น ผู ไมอาจที่จะเปนผูประมาทไดอีกตอไป.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๖๓

(ผูปญญาวิมุตต อีกนัยหนึ่ง๑) อานนท ! วิ ญ ญ าณ ฐิ ติ เจ็ ด เหล า นี้ และ อ ายต น ะส อ ง มี อ ยู . วิญญาณฐิติเหลาไหนเลา ? วิญญาณฐิติเจ็ดคือ :๑. อานนท ! สั ต ว ทั้ ง หลาย มี ก ายต า งกั น มี สั ญ ญาต า งกั น มี อ ยู ; ได แ ก ม นุ ษ ย ทั้ ง หลาย, เทวดาบางพวก และวิ นิ บ าตบางพวก : นี้ คื อ วิ ญ ญาณฐิติ ประเภทที่หนึ่ง. ๒. อานนท ! สัต วทั ้ง หลาย มีก ายตา งกัน มีส ัญ ญาอยา งเดีย วกัน มีอ ยู ; ไดแ กพ วกเทพผู น ับ เนื ่อ งอยู ใ นหมู พ รหมที ่บ ัง เกิด โดยปฐมภูม ิ และสัต ว ทั้งหลายในอบายทั้งสี่ : นี้คือ วิญญาณฐิติ ประเภทที่สอง. ๓. อานนท ! สัต วทั ้ง หลาย มีก ายอยา งเดีย วกัน มีส ัญ ญาตา งกัน มีอยู; ไดแกพวกเทพอาภัสสระ : นี้คือ วิญญาณฐิติ ประเภทที่สาม. ๔. อานนท ! สั ต ว ทั้ ง หลาย มี ก ายอย า งเดี ย วกั น มี สั ญ ญาอย า ง เดียวกัน มีอยู; ไดแก พวกเทพสุภกิณหะ : นี้คือ วิญญาณฐิติ ประเภทที่สี่. ๕. อานนท ! สัต วทั ้ง หลาย, เพ ราะกา วลว งเสีย ไดซึ ่ง รูป สัญ ญ า โดยประการทั้ ง ปวง เพราะความดั บ ไปแห ง ปฏิ ฆ สั ญ ญา เพราะไม ใ ส ใ จนานั ต ตสั ญ ญา จึ ง เข า ถึ ง อากาสานั ญ จายตนะ มี ก ารทํ า ในใจว า "อากาศไม มี ที่ สุ ด " ดั ง นี้ มีอยู : นี้คือ วิญญาณฐิติ ประเภทที่หา. ๖. อานนท ! สั ต ว ทั้ ง หลาย, เพราะก า วล ว งเสี ย ได ซึ่ ง อากาสานั ญ จายตนะโดยประการทั ้ง ปวง จึง เขา ถึง วิญ ญาณัญ จายตนะ มีก ารทํ า ในใจวา "วิญญาณไมมีที่สุด" ดังนี้ มีอยู : นี้คือ วิญญาณฐิติ ประเภทที่หก.

www.buddhadasa.info

๑. มหา.ที.๑๐/๘๑-๘๓/๖๕.


๖๖๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

๗. อานนท ! สั ต ว ทั้ ง หลาย, เพราะก า วล ว งเสี ย ได ซึ่ ง วิ ญ ญ าณั ญ จายตนะโดยประการทั ้ง ปวง จึง เขา ถึง อากิญ จัญ ญายตนะ มีก ารทํ า ในใจวา "อะไรๆไมมี" ดังนี้ มีอยู : นี้คือ วิญญาณฐิติ ประเภทที่เจ็ด. สวน อายตนะอีกสอง นั้น คือ อสัญญีสัตตายตนะ ที่หนึ่ง เนวสัญญานาสัญญายตนะ ที่สอง. อานนท ! ในบรรดาวิ ญ ญาณฐิ ติ เจ็ ด และอายตนะสอง (รวมเป น เก า ) นั ้น : วิญ ญ าณ ฐิต ิป ระเภทที ่ห นึ ่ง อัน ใด มีอ ยู , คือ สัต วทั ้ง หลาย มีก าย ต า งกั น มี สั ญ ญาต า งกั น ได แ ก ม นุ ษ ย ทั้ ง หลาย, เทวดาบางพวก และวิ นิ บ าต บางพวก. อานนท ! ผู ใ ดรู ช ัด วิญ ญ าณ ฐิต ิที ่ห นึ ่ง นั ้น รู ช ัด การเกิด (สมุท ัย ) แหง สิ ่ง นั ้น รู ช ัด ความดับ (อัต ถัง คมะ) แหง สิ ่ง นั ้น รู ช ัด รสอรอ ย (อัส สาทะ) แหง สิ ่ง นั ้น รู ช ัด โทษต่ํ า ทราม (อาทีน วะ) แหง สิ ่ง นั ้น และรู ช ัด อุบ ายเปน เครื ่อ งออก (นิ ส สรณ ะ) แห ง สิ่ ง นั้ น ดั ง นี้ แ ล ว ควรหรื อ หนอที่ ผู นั้ น จะเพ ลิ ด เพ ลิ น ยิ่ ง ซึ่ ง วิญญาณฐิติที่หนึ่ง นั้น? "ขอนั้น เปนไปไมได พระเจาขา !"

www.buddhadasa.info (ในกรณี แหง วิญญาณฐิติที่สอง วิญญาณฐิติที่สาม วิญญานฐิติ ที่สี่ วิญญาณฐิติที่ห า วิญญาณฐิติที่หก วิญญาณฐิติที่เจ็ด และ อสัญญี สัตตายตนะที่หนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเฉพาะอยางดังที่ กล า วแล ว ข า งต น ก็ ไ ด มี ก ารอธิ บ าย ตรั ส ถาม และทู ล ตอบ โดยข อ ความทํ า นองเดี ย วกั น กั บ ใน กรณีแ หง วิญ ญาณฐิต ิที ่ห นึ ่ง นั ้น ทุก ประการ ตา งกัน แตชื ่อ แหง สภาพธรรมนั ้น ๆเทา นั ้น . สว นเนว สัญญานาสัญญายตนะที่สองนั้น จะไดบรรยายดวยขอความเต็มอีกครั้งหนึ่ง ดังตอไปนี้ :-)

อานนท ! ในบรรดาวิ ญ ญาณฐิ ติ เจ็ ด และอายตนะสอง (รวมเป น เก า ) นั้ น : เนวสั ญ ญานาสั ญ ญายตนะ อั น ใด มี อ ยู , อานนท ! ผู ใ ดรู ชั ด


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๖๕

เนวสัญ ญานาสัญ ญายตนะนั ้น รู ช ัด การเกิด แหง สิ ่ง นั ้น รู ช ัด การดับ แหง สิ ่ง นั ้น รู ช ัด รสอรอ ยแหง สิ ่ง นั ้น รู ช ัด โทษ อัน ต่ํ า ทรามแหง สิ ่ง นั ้น และรู ช ัด อุบ ายเปน เค รื ่อ งอ อ ก แหง สิ ่ง นั ้น ดัง นี ้แ ลว ค วรห รือ ห น อ ที ่ผู นั ้น จะเพ ลิด เพ ลิน ยิ ่ง ซึ ่ง เนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ? "ขอนั้น เปนไปไมได พระเจาขา !" อานนท ! เมื ่อ ใดแล ภิก ษุรูแ จง ชัด ตามเปน จริง ซึ ่ง การเกิด การ ดับ รสอรอย โทษอันต่ําทราม และอุบายเปนเครื่องออก แหงวิญญาณฐิติเจ็ด เหลานี้ และแหงอายตนะสองเหลานี้ดวย แลวเปนผูหลุดพนเพราะความไมยึดมั่น ; อานนท ! ภิกษุนี้เรากลาววา เปนปญญาวิมุตต. ผูปญญาวิมุตต (ตามคําของพระอานนท)๑ "อาวุ โส ! มี คํ ากล าวกั นอยู ว า 'ป ญญาวิ มุ ตต ป ญญาวิ มุ ตต ดั งนี้ . อาวุ โส ! ป ญ ญาวิ มุ ตต นี้ พระผู มี พระภาคตรั สไว ด วยเหตุ มี ประมาณเท าไรหนอแล?" (พระอุ ทายี

www.buddhadasa.info ถามพระอานนท, พระอานนทเปนผูตอบ).

อาวุโส ! ภิกษุในกรณี นี้ สงัดแลวจากกาม สงัดแลวจากอกุศลธรรม เขา ถึง ปฐมฌาน อัน มีวิต กวิจ าร มีป ต ิแ ละสุข อัน เกิด จากวิเวก แลว แลอยู. และเธอรูทั่ วถึ งธรรม (คื อ ปฐมฌานนั้ น ) ด วยป ญ ญา. อาวุโส ! ป ญ ญาวิมุ ต ต อันพระผูมีพระภาคตรัสไว ดวยเหตุมีประมาณเทานี้แล เมื่อกลาว โดยปริยาย.

๑. นวก. อํ. ๒๓/๔๗๓/๒๔๘.


๖๖๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

(ในกรณี แห ง ทุ ติ ยฌาน ตติ ยฌาน จตุ ตถฌาน อากาสานั ญจายตนะ วิญญาณั ญจายตนะ อากิ ญ จั ญ ญายตนะ และ เนวสั ญ ญานาสั ญ ายตนะ มี ขอ ความที่ ก ลา วไวโดยทํ านอง เดี ย วกั น กั บ ข อ ความในกรณี แห ง ปฐมฌาน ทุ ก ประการ และในฐานะเป น ป ญ ญ าวิ มุ ต ต โดย ปริยาย. สวน สั ญ ญาเวทยิต นิโรธ ซึ่งมีการสิ้นอาสวะนั้น กลาวไวในฐานะเป น ปญ ญาวิมุตต โดย นิปปริยาย ดวยขอความดังตอไปนี้:-)

อาวุโส ! นัยอื่นอีกมีอยู : ภิกษุกาวลวงเสียซึ่งเนวสัญญานาสัญญายตนะโดยประการทั้งปวง เขาถึง สัญญาเวทยิตนิโรธ แลวแลอยู, อนึ่งเพราะ เห็นดวยปญญา อาสวะทั้งหลายของเธอนั้นก็สิ้นไปรอบ. และเธอรูทั่วถึงธรรม (คือสัญ ญาเวทยิตนิโรธนั้น) ดวยปญ ญา. อาวุโส ! ปญ ญาวิมุตต อัน พระผูมี พระภาคตรัสไว ดวยเหตุมีประมาณเทานี้แล เมื่อกลาว โดยนิปปริยาย. (ผู ศึ ก ษาพึ งสั งเกตให เห็ น ว า เราสอนกั น อยู แ ละถื อ กั น อยู เป น หลั ก ว า พวกป ญ ญา-วิ มุ ต ต ไ ม อ าจจะเข า ฌานได แต จ ากบาลี ข า งบนนี้ แ สดงให เห็ น ว า พวกป ญ ญาวิ มุ ต ต ส ามารถเข า ฌานได แม ก ระทั่ ง สั ญ ญาเวทยิ ต นิ โ รธ หากแต ไ ม มี ก ารเสวยรสจากธรรมารมณ แ ห ง ฌานนั้ น ๆ ดว ยนามกาย ซึ ่ง เปน การเขา อนุป ุพ พวิห ารสมาบัต ิ เทา นั ้น . ขอ นี ้จ ะยุก ติเ ปน อยา งไร เปน สิ่ ง ที่นักศึกษาควรพิจารณากันดูเองเถิด).

www.buddhadasa.info ๓. ผูกายสักขี

ภิ ก ษุ ท.! บุ ค คลผู เป น กายสั ก ขี (ผู มี ก ารเสวยสุ ข ด ว ยนามกายเป น พยาน) เปนอยางไรเลา ? ภิก ษุ ท.! ในกรณีนี ้ บุค คลบางคน ถูก ตอ งวิโ มกขทั ้ง หลาย อัน ไมเกี่ยวกับรูปเพราะกาวลวงรูปเสียได อันเปนวิโมกขที่สงบรํางับ, ดวยนาม-


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๖๗

กาย แล ว แลอยู . อนึ่ ง อาสวะทั้ งหลายบางเหล า ของเขานั้ น ก็ สิ้ น ไปรอบแล ว เพ ราะเห็น แลว ดว ยปญ ญ า. ภิก ษุ ท .! ภิก ษุนี ้เ รากลา ววา บุค ค ล ผู เ ปน กายสัก ขี. ภิก ษุ ท.! สํ า หรับ ภิก ษุนี ้ เรากลา ววา ยัง มีอ ะรไ ๆ ที ่เ ธอตอ งทํ า ดว ยความไมป ระมาท. ขอ นั ้น เพราะเหตุไ ร ? เพราะเหตุว า ถา ไฉนทา นผู มี อายุนี ้ จะเสพอยู ซึ ่ง เสนาสนะอัน สมควร จะคบอยู ซึ ่ง กัล ยาณมิต ร จะบม อยู ซึ ่ง อิน ทรีย ทั ้ง หลาย ก็จ ะทํ า ใหแ จง ซึ ่ง ที ่ส ุด แหง พรหมจรรย อัน ไมม ีอ ะไรยิ ่ง กวา ซึ่ ง เป น ประโยชน ที่ ต อ งการของกุ ล บุ ต รผู อ อกบวชจากเรื อ น ไม เกี่ ย วข อ งด ว ยเรื อ น โดยชอบ ได ด ว ยป ญ ญาอั น ยิ่ ง เอง ในทิ ฏ ฐธรรม เข า ถึ ง แล ว แลอยู . ภิ ก ษุ ท.! เรามองเห็ นผลแห งความไม ประมาทข อนี้ สํ าหรับ ภิ กษุ นี้ อยู จึ งกล าวว ายั งมี อ ะไร ๆ ที่เธอนั้นตองทําดวยความไมประมาท ดังนี้. ผูกายสักขี (ตามคําของพระอานนท)๑ "อาวุโส ! มี คํ าล าวกั นอยู วา 'กายสั กขี กายสั กขี' ดั งนี้ . อาวุโส ! กายสั กขี นี้ พระผู มี พระภาคตรัสไว ด วยเหตุ มี ประมาณเท าไรหนอแล ?" (พระอุ ทายี ถามพระ-

www.buddhadasa.info อานนท พระอานนทเปนผูตอบ).

อาวุโส ! ภิกษุในกรณีนี้ สงัดแลวจากกาม สงัดแลวจากอกุศลธรรม เขา ถึง ปฐมฌาน อัน มีวิต กวิจ าร มีปติแ ละสุข อัน เกิด จากวิเ วก แลว แลอยู. อนึ่ง อายตนะคือฌานนั้น (เปนธรรมารมณมีรสและกิจเปนตน) ฉันใด ๆ, เธอ ถูกตองธรรมารมณนั้น (โดยรสและกิจเปนตน) ฉันนั้น ๆ ดวยนามกาย แลวแล อยู.

๑. นวก. อํ. ๒๓/๔๗๒/๒๔๗.


๖๖๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

อาวุโส ! กายสักขี อันพระผูมีพระภาคตรัสไวดวยเหตุมีประมาณเทานี้แล เมื่อ กลาว โดยปริยาย. (ในกรณี แห ง ทุ ติ ยฌาน ตติ ยฌาน จตุ ตถฌาน อากาสานั ญ จายตนะ วิ ญ ญาณั ญ จายตนะ อากิ ญ จั ญ ญายตนะ และ เนวสั ญ ญานาสั ญ ญายตนะ มี ข อ ความที่ กล าวไว โดยทํ านอง เดี ย วกั น กั บ ข อ ความในกรณี แ ห ง ปฐมฌานทุ ก ประการ และในฐานะเป น กายสั ก ขี โดย ปริ ย าย. ส วน สั ญ ญาเวทยิ ต นิ โรธ ชนิ ด ที่ มี ก ารสิ้ น อาสวะนั้ น กล าวไว ในฐานะเป น กายสั ก ขี โดย นิ ป ปริ ย าย ดวยขอความดังตอไปนี้ :-)

อาวุโส ! นั ยอื่ นอี กมี อยู : ภิ กษุ ก าวล วงเสี ยซึ่ งเนวสั ญญานาสั ญญายตนะโดยประการทั้งปวง เขาถึง สัญญาเวทยิตนิโรธ แลวแลอยู. หนึ่ง เพราะ เห็ น ด ว ยป ญ ญา อาสวะทั้ งหลายของเธอนั้ น ก็ สิ้ น ไปรอบ. อนึ่ ง อายตนะคื อ สัญญาวเวทยิตนิโรธนั้น (เปนธรรมารมณมีรสและกิจเปนตน) ฉันใด ๆ, เธอถูก ตองธรรมารมณนั้น (โดยรสและกิจเปนตน) ฉันนั้น ๆ ดวยนามกาย แลวแลอยู. อาวุโ ส ! กายสัก ขี อัน พระผู ม ีพ ระภาคตรัส ไว ดว ยเหตุม ีป ระมาณเทา นี ้แ ล เมื่อกลาว โดยนิปปริยาย.

www.buddhadasa.info (ผู ศ ึก ษ าพ ึง สัง เก ต ให เ ห ็น วา คํ า วา "ก าย สัก ขี-มีก าย เป น พ ย าน " นั ้น ห ม าย ความว า ได เ สวยรสแห ง ฌ านเป น ต น ด ว ยนามกาย คื อ ด ว ยใจของตน ; และคํ า ว า "โดยนิ ป ปริย าย" นั ้น หมายถึง มีก ารสิ ้น อาสวะในกรณ ีนั ้น , ถา ยัง ไมสิ ้น อาสวะ เรีย กไดแ ตเ พีย งวา โดยปริยาย).

๔. ผูทิฏฐิปปตต ภิ ก ษุ ท.! บุ ค คลผู เ ป น ทิ ฏ ฐิ ป ป ต ต (ผู บ รรลุ แ ล ว ด ว ยความเห็ น ลงสู ธ รรม) เปนอยางไรเลา ?


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๖๙

ภิก ษุ ท.! ในกรณ ีนี ้ บุค คลบางคน, วิโ มกขเ หลา ใด อัน ไมเ กี ่ย ว กับ รูป เพราะกา วลว งรูป เสีย ได อัน เปน วิโ มกขที ่ส งบรํ า งับ มีอ ยู , เขา หาได ถู ก ต อ งวิ โกข เหล า นั้ น ด ว ยนามกายแล ว แลอยู ไม แต ว า อาสวะทั้ ง หลายบาง เหล า ของเขานั้ น สิ้ น ไปรอบแล ว เพราะเห็ น แจ ง ด ว ยป ญ ญา. อนึ่ ง ธรรมทั้ ง หลายที่ตถาคตประกาศแลว ก็เปนธรรม อัน เขานั้ น เห็ น ลงแล ว ประพฤติ ล งแล ว ดว ยปญ ญ า. ภิก ษุ ท.! นี ้เ รากลา ววา บุค คผู เ ปน ทิฏ ฐิป ปต ต. ภิก ษุ ท.! สําหรับภิกษุแมนี้ เราก็กลาววายังมีอะไร ๆ ที่เธอตองทําดวยความไมประมาท. ขอ นั ้น เพราะเหตุไ ร ? เพราะเหตุว า ถา ไฉนทา นผู ม ีอ ายุนี ้ จะเสพอยู ซึ ่ง เสนาสนะอัน สมควร จะคบอยู ซึ ่ง กัล ยาณมิต ร จะบม อยู ซึ ่ง อิน ทรีย ทั ้ง หลาย ก็จ ะทํ า ให แ จ ง ซึ่ ง ที่ สุ ด แห ง พรหมจรรย อั น ไม มี อ ะไรยิ่ ง กว า ซึ่ ง เป น ประโยชน ที่ ต อ งการ ของกุ ล บุ ต รผู อ อกบวชจากเรื อ น ไม เ กี่ ย วข อ งด ว ยเรื อ นโดยชอบ ได ด ว ยป ญ ญา อัน ยิ ่ง เอง ใน ทิฏ ฐธรรม เขา ถึง แลว แล อยู . ภิก ษุ ท .! เราม อ งเห็น ผ ล แหง ความไม ป ระมาทข อ นี้ สํ า หรั บ ภิ ก ษุ นี้ อ ยู จึ ง กล า วว า ยั ง มี อ ะไร ๆ ที่ เธอนั้ น ต อ งทํ า ดวยความไมประมาท ดังนี้.

www.buddhadasa.info ๕. ผูสัทธาวิมุตต

ภิ ก ษุ ท.! บุ ค คลผู เป น สั ท ธาวิ มุ ต ต (ผู ห ลุ ด พ น ด วยสั ท ธา) เป น อย างไร

เลา ?

ภิ ก ษุ ท.! ในกรณี นี้ บุ ค คลบางคน, วิ โ มกข เ หล า ใด อั น ไม เ กี่ ย วกับ รูป เพ ราะกา วลว งรูป เสีย ได อัน เปน วิโ ม ก ขที ่ส งบ รํ า งับ มีอ ยู , เขา ห าได ถู ก ต อ งวิ โมกข เหล านั้ น ด วยนามกายแล วแลอยู ไม แต วา อาสวะทั้ งหลายบาง เหลาของเขานั้น สิ้นไปรอบแลว เพราะเห็นแจงดวยปญญษ. อนึ่ง สัทธา ของ


๖๗๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

เขานั้น เปนสัทธาที่ ปลงลงแลวหมดสิ้น มีมูลรากเกิดแลว ตั้งอยูแลวอยางมั่น คงในตถาคต. ภิ ก ษุ ท.! นี้ เ ราเรี ย กว า บุ ค คลผู เป น สั ท ธาวิ มุ ต ต . ภิ ก ษุ ท.! สําหรับภิกษุแมนี้ เราก็กลาววายังมีอะไร ๆ ที่เธอตองทําดวยความไมประมาท. ข อ นั้ น เพราะเหตุ ไ ร ? เพราะเหตุ ว า ถ า ไฉนท า นผู มี อ ายุ นี้ จะเสพอยู ซึ่ ง เสนาสนะอัน สมควร จะคบอยู ซึ ่ง กัล ยาณมิต ร จะบม อยู ซึ ่ง อิน ทรีย ทั ้ง หลาย ก็จ ะทํ า ให แ จ ง ซึ่ ง ที่ สุ ด แห ง พรหมจรรย อั น ไม มี อ ะไรยิ่ ง กว า ซึ่ ง เป น ประโยชน ที่ ต อ งการ ของกุ ล บุ ต รผู อ อกบวชจากเรื อ น ไม เกี่ ย วข อ งด ว ยเรื อ นโดยชอบ ได ด ว ยป ญ ญา อัน ยิ ่ง เอง ในทิฏ ฐธรรม เขา ถึง แลว แลอยู . ภิก ษุ ท.! เรามองเห็น ผลแหง ความไมป ระมาทขอ นี ้ สํ า หรับ ภิก ษุนี ้อ ยู  จึง กลา ววา ยัง มีอ ะไร ๆ ที ่เ ธอนั ้น ตอ ง ทําดวยความไมประมาท ดังนี้. ๖. ผูธัมมานุสารี ภิ ก ษุ ท.! บุ ค คลผู เป น ธั ม มานุ ส ารี (ผู แล น ไปตามธรรม) เป น อย า งไร เลา ?

www.buddhadasa.info ภิก ษ ุ ท .! ใน ก รณ ีนี ้ บุค ค ล บ า ง ค น , วิโ ม ก ขเ ห ลา ใด อัน ไม เกี ่ย วกับ รูป เพราะกา วลว งรูป เสีย ได อัน เปน วิโ มกขที ่ส งบรํ า งับ มีอ ยู , เขา หา ได ถูก ต อ งวิโมกขเหล านั้ น ดวยนามกายแลวแลอยู ไม แต วา อาสวะทั้ งหลาย บางเหลา ของเขานั้น สิ ้น ไปรอบแลว เพราะเห็น แจง ดว ยปญ ญา. อนึ่ง ธรรม ทั้งหลาย ที่ตถาคตประกาศแลว ยอม ทนตอการเพงโดยประมาณแหงปญญาของ เขา และ ธรรมทั้ งหลายเหล านี้ ก็ มี แ ก เขา คื อ สั ท ธิน ทรีย วิริยิ น ทรีย สติ น ทรีย สมาธิน ทรีย  ปญ ญิน ทรีย . ภิก ษุ ท.! นี ้เ รากลา ววา บุค คลผู เ ปน ธัม ม านุสารี. ภิกษุ ท.! สําหรับภิกษุแมนี้ เราก็กลาววายังมีอะไร ๆ ที่เธอตองทํา


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๗๑

ดว ยความไมป ระมาท. ขอ นั ้น เพราะเหตุไ ร ? เพราะเหตุว า ถา ไฉนทา นผู มี อายุ นี้ จะเสพอยู ซึ่ ง เสนาสนะอั น สมควร จะคบอยู ซึ่ ง กั ล ยาณมิ ต ร จะบ ม อยู ซึ่ ง อิ น ทรี ย ทั้ ง หลาย ก็ จ ะทํ า ให เกิ ด ซึ่ ง ที่ สุ ด แห ง พรหมจรรย อั น ไม มี อ ะไรยิ่ ง กว า ซึ่ ง เป น ประโยชน ที่ ต อ งการของกุ ล บุ ต รผู อ อกบวชจากเรื อ น ไม เกี่ ย วข อ งด ว ยเรื อ น โดยชอบ ไดด ว ยปญ ญาอัน ยิ ่ง เอง ในทิฏ ฐธรรม เขา ถึง แลว แลอยู . ภิก ษุ ท. เรามองเห็ นผลแห งความไม ประมาทข อนี้ สํ าหรับ ภิ กษุ นี้ อยู จึ งกล าวว ายั งมี อ ะไร ๆ ที่เธอนั้นตองทําดวยความไมประมาท ดังนี้. ๗. ผูสัทธานุสารี ภิ ก ษุ ท.! บุ ค คลผู เป น สั ท ธานุ ส ารี (ผูแลน ไปตามสัท ธา) เป น อย างไร เลา ? ภิก ษ ุ ท .! ใน ก รณ ีนี ้ บุค ค ล บ า ง ค น , วิโ ม ก ขเ ห ลา ใด อัน ไม เกี ่ย วกับ รูป เพราะกา วลว งรูป เสีย ได อัน เปน วิโ มกขที ่ส งบรํ า งับ มีอ ยู } เขา หา ไดถ ูก ตอ งวิโมกขเหลา นั ้น ดว ยนามกายแลว แลอยู ไม แตวา อาสวะทั ้ง หลาย บางเหล า ของเขานั้ น สิ้ น ไปรอบแล ว เพราะเห็ น แจ ง ด ว ยป ญ ญา. อนึ่ ง สั ท ธา ตามประมาณ (ที่ควรจะมี) ความรักตามประมาณ (ที่ควรจะมี) ในตถาคต ของ เขาก็ม ี และธรรมเหลา นี ้ก ็ม ีแ กเ ขา คือ สัท ธิน ทรีย  วิร ิย ิน ทรีย  สติน ทรีย สมาธิน ทรีย  ปญ ญิน ทรีย . ภิก ษุ ท.! นี ้เ รากลา ววา บุค คลผู เ ปน สัท ธานุส ารี. ภิก ษุ ท.! สํ า หรับ ภิก ษุแ มนี ้ เราก็ก ลา วา ยัง มีอ ะไร ๆ ที ่เ ธอตอ งทํ า ดว ยความไมป ระมาท. ขอ นั ้น เพราะเหตุไ ร ? เพราะเหตุว า ถา ไฉนทา นผู มี อายุ นี้ จะเสพอยู ซึ่ ง เสนาสนะอั น สมควร จะคบอยู ซึ่ ง กั ล ยาณมิ ต ร จะบ ม อยู ซึ่ ง อินทรียทั้งหลาย ก็จะทําใหแจงที่สุดแหงพรหมจรรยอันไมมีอะไรยิ่งกวา ซึ่ง

www.buddhadasa.info


๖๗๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

เป น ประโยชน ที่ ต อ งการของกุ ล บุ ต รผู อ อกบวชจากเรื อ น ไม เกี่ ย วข อ งด ว ยเรื อ น โดยชอบ ไดด ว ยปญ ญาอัน ยิ ่ง เอง ในทิฏ ฐธรรม เขา ถึง แลว แลอยู . ภิก ษุ ท.! เรามองเห็ นผลแห งความไม ประมาทข อนี้ สํ าหรับ ภิ กษุ นี้ อยู จึ งกล าวว ายั งมี อ ะไร ๆ ที่เธอนั้นตองทําดวยความไมประมาท ดังนี้. - ม. ม. ๑๓/๒๒๙-๒๓๒/๒๓๐-๒๓๗.

ผูอนิมิตตวิหารี โมคคั ล ลานะ ! ก็ ติ ส สพรหม มิ ได แ สดงบุ ค คลที่ เจ็ ด อั น เป น อนิ มิ ต ตวิหารี (ผูอยูดวยวิหารธรรมอันไมมีนิมิต) แกเธอดอกหรือ ? "ข าแต พระผู มี พระภาค ! บั นนี้ เป นกาลสมควรที่ พระผู มี พระภาค จะทรง แสดงซึ่งบุคคลที่เจ็ดผูเปนอนิมิตตวิหารี ; ภิกษุทั้งหลายไดฟงจากพระผูมีพระภาคแลว จัก ทรงจําไว". โมคคั ล ลานะ ! ภิ ก ษุ ใ นกรณี นี้ เข า ถึ ง ซึ่ ง เจโตสมาธิ อั น ไม มี นิ มิ ต เพราะไม ก ระทํ าไวในใจซึ่ งนิ มิ ต ทั้ งปวง แล ว แลอยู . เทวดาเหล านั้ น ย อ มรูจั ก ภิก ษุนั ้น ยา งนี ้ว า "ทา นผู ม ีอ ายุนี ้ เขา ถึง เจโตสมาธิอ ัน ไมม ีน ิม ิต เพราะไมทํ า ไว ในใจซึ่ ง นิ มิ ต ทั้ ง หลาย แล ว แลอยู ; เป น ที่ เ ชื่ อ ได ว า ท า นผู มี อ ายุ นี้ เมื่ อ เสพเสนาสนะที่ ส มควร คบกั ล ยาณมิ ต ร บ ม อิ น ทรี ย ทั้ ง หลายอยู ก็ จ ะกระทํ า ให แ จ ง ซึ่ ง ปริ โ ยสานแห ง พรหมจรรย นั้ น อั น ไม มี ธ รรมอื่ น ยิ่ ง กว า อั น เป น ประโยชน ที่ ประสงค ข องกุ ล บุ ต รผู อ อกบวชจากเรื อ นเป น ผู ไ ม มี เ รื อ นโดยชอบอยู . ได ด ว ย ปญญาอันยิ่งเอง ในทิฏฐธรรมนี้ เขาถึงแลวอยู" ดังนี้.

www.buddhadasa.info - สตฺตก. อํ. ๒๓/๗๙/๕๓.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๗๓

ผูมีสันทิฏฐิกธรรม ตามคําของพระอานนท "อาวุ โส ! มี คํ า กล า วกั น อยู ว า 'สั น ทิ ฏ ฐิ ก ธรรม สั น ทิ ฏ ฐิ ก ธรรม' ดั ง นี้ อาวุโส! สั นทิ ฏฐิ กธรรมนี้ พระผู มี พระภาคตรัสไว ด วยเหตุ มี ประมาณเท าไรหนอแล ?" (พระอุทายีถามพรอานนท. พระอานนทเปนผูตอบ).

อาวุโส ! ภิกษุในกรณีนี้ สงัดแลวจากกาม สงัดแลจากอกุศลธรรม เข าถึ งปฐมฌาน อั น มี วิต กวิจ าร มี ป ติ แ ละสุ ข อั น เกิ ด จากวิเวก แล วแลอยู . อาวุโส ! สันทิฏฐกธรรม อันพระผูมีพระภาคตรัสไว ดวยเหตุมีประมาณเทานี้ แล เมื่อกลาวโดยปริยาย. (ในกรณี แหง ทุติ ยฌาน ตติ ยฌาน จตุตถฌาน อากาสานั ญจายตนะ วิญญาณั ญจายตนะ อากิญ -จัญ ญายตนะ และ เนวสัญ ญานาสัญ ญายตนะ มี ขอความที่กลวไวโดยทํานอง เดี ยวกั น กั บ ข อความในกรณี แห งปฐมฌานทุ กประการ และในฐานะเป น สั น ทิ ฏ ฐิ กธรรม โดยปริ ย าย. ส ว นสั ญ ญาเวทยิ ต นิ โ รธชนิ ด ที่ มี ก ารสิ้ น อาสวะนั้ น กล า วไว ใ นฐานะเป น สั น ทิ ฏ ฐิ ก ธรรม โดยนิ ป ปริยาย ดวยขอความดังตอไปนี้ :-)

www.buddhadasa.info อาวุโส ! นัยอื่นอีกมีอยู : ภิกษุ กาวลวงเสียซึ่งเนวสัญ ญานาสัญ ญายตนะโดยประการทั้งปวง เขาถึง สัญญาเวทยิตนิโรธ แลวแลอยู. อนึ่ง เพราะ เห็นดวยปญญา อาสวะทั้งหลายของเธอนั้นก็สิ้นไปรอบ. อาวุโส ! สันทิฏฐิกธรรม อันพระผูมีพระภาคตรัสไว ดวยเหตุมีประมาณเทานี้แล เมื่อกลาว โดย นิปปริยาย. - นวก.อํ. ๒๓/๔๗๔/๒๕๐.


๖๗๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

ผูนิพพาน ตามคําของพระอานนท และผูปรินิพพาน ตามคําของพระอานนท (นิ พ พ าน และ ปริ นิ พ พ าน ตามคํ า ของพระอานนท มี ใ จความอย า งเดี ย วกั น กั บ สัน ทิฏ ฐิก นิพ พ านขา งตน ผิด กัน แตชื ่อ เทา นั ้น . นอกจากนี ้ ยัง มีก ารแสดงไว ดว ยคํ า วา เข มํ อมตํ อภยํ ปสฺ ส ทฺ ธิ นิ โ รโธ แทนคํ า ว า นิ พ พานข า งบน. - นวก. อํ . ๒๓/๔๗๕-๔๗๗/๒๕๒, ๒๕๓, ๒๕๖,๒๕๘,๒๖๐,๒๖๒,๒๖๔).

ผูมีทิฏฐกรรมนิพพาน ตามคําของพระอานนท "อาวุ โส ! มี คํ ากล าวกั นอยู ว า 'ทิ ฏฐธรรมนิ พพาน ทิ ฏฐธรรมนิ พพาน' ดั งนี้ . อาวุ โส ! ทิ ฏฐธรรมนิ พพานนี้ พระผู มี พระภาคตรั สไว ด วยเหตุ มี ประมาณเท าไรหนอแล ?" (พระอุทายีถามพระอานนท, พระอานนทเปนผูตอบ).

อาวุ โส ! ภิ ก ษุ ในกรณี นี้ สงั ด แล ว จากกาม สงั ด แล ว จากอกุ ศ ลธรรม เขา ถึง ปฐมฌาน อัน มีว ิต กวิจ าร มีป ต ิแ ละสุข อัน เกิด จากวิเ วก แลว แลอยู อาวุโส ! ทิฏ ฐธรรมนิพพาน อัน พระผูมีพ ระภาคตรัส ไว ดวยเหตุมีป ระมาณเทา นี้แล เมื่อกลาว โดยปริยาย.

www.buddhadasa.info (ในกรณี แ ห ง ทุ ติ ย ฌาน ตติ ย ฌาน จตุ ต ถฌาน อากาสานั ญ จายตนะ วิ ญ ญาณั ญ จายตนะ อากิ ญ จั ญ ญายตนะ และเนวสั ญ ญานาสั ญ ญายตนะ มี ข อ ความที่ ก ล า วไว โ ดยทํ า นอง เดีย วกัน กับ ขอ ค วาม ใน กรณ ีแ หง ป ฐม ฌ าน ทุก ป ระการ แล ะใน ฐาน ะเป น ทิฏ ฐธรรม นิพ พ าน โด ย ป ริย าย . สว น สัญ ญ าวเท ยิต นิโ รธซึ ่ง มีก ารสิ ้น อาสวะนั ้น กลา วไวใ น ฐานะเปน ทิฏ ฐธรรม นิพพาน โดยนิปปริยาย ดวยขอความดังตอไปนี้ :-)


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๗๕

อาวุโส ! นัยอื่นอีกมีอยู : ภิกษุ กาวลวงเสียซึ่งเนวสัญ ญานาสัญ ญายตนะโดยประการทั ้ง ปวง เขา ถึง สัญ ญาเวทยิต นิโรธ แลว แลอยู, อนึ ่ง เพราะเห็น ดว ยปญ ญา อาสวะทั ้ง หลายของเธอนั ้น ก็สิ้น ไปรอบ, อาวุโ ส ! ทิฏฐธรรมนิพพาน อันพระผูมีพระภาคตรัสไว ดวยเหตุมีประมาณเทานี้แล เมื่อ กลาว โดยนิปปริยาย. - นวก. อํ. ๒๓/๔๗๕/๒๕๕.

ผูเขมัปปตต ตามคําของพระอานนท "อาวุ โส ! มี คํ ากล าวกั นอยู ว า 'เขมั ปป ตต เขมั ปป ตต ' ดั งนี้ . อาวุ โส ! เขมั ปป ตต นี้ พระผูมี พระภาคตรัสไว ด วยเหตุ มี ประมาณเท าไรหนอแล ?" (พระอุทายีถาม พระอานนท, พระอานนทเปนผูตอบ).

อาวุโส ! ภิกษุในกรณีนี้ สงัดแลวจากกาม สงัดแลวจากอกุศลธรรม เข าถึ ง ปฐมฌาน อั น มี วิต กวิจ าร มี ป ติ แ ละสุ ข อั น เกิ ด จากวิเวก แล วแลอยู , อาวุโส! เขมัปปตต อันพระผูมีพระภาคตรัสไว ดวยเหตุมีประมาณเทานี้แล เมื่อกลาว โดยปริยาย.

www.buddhadasa.info (ในกรณี แหง ทุติ ยฌาน ตติ ยฌาน จตุตถฌาน อากาสานั ญจายตนะ วิญญาณั ญจายตนะ อากิ ญ จัญ ญายตนะ และ เนวสัญ ญานาสั ญ ญายตนะ มีข อความที่ กลาวไวโดยทํ านอง เดี ย วกั น กั บ ข อ ความในกรนี แ ห ง ปฐมฌานทุ ก ประการ และในฐานะเป น เขมั ป ป ต ต โดยปริ ย าย. ส ว นสั ญ ญาเวทยิ ต นิ โรธชนิ ด มี ก ารสิ้ น อาสวะนั้ น กล า วไว ใ นฐานะเป น เขมั ป ป ต ต โดยนิ ป ปริ ย าย ดวยขอความดังตอไปนี้ :-)


๖๗๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

อาวุ โ ส ! นั ย อื่ น อี ก มี อ ยู : ภิ ก ษุ ก า วล ว งเสี ย ซึ่ ง เนวสั ญ ญานาสัญญายตนะโดยประการทั้งปวง เขาถึง สัญญาเวทนยิตนิโรธ แลวแลอยู. อนึ่ง เพราะเห็น ดว ยปญ ญา อาสวะทั้ง หลายของเธอนั้น ก็สิ้น ไปรอบ. อาวุโ ส ! เขมัปปตต อันพระผูมีพระภาคตรัสไว ดวยเหตุมีประมาณแทานี้แล เมื่อกลาว โดยนิปปริยาย. - นวก. อํ. ๒๓/๔๗๗/๒๕๗. (นอกจากแสดงไว โ ดยชื่ อ ว า เขมั ป ป ต ต นี้ แ ล ว ยั ง แสดงไว โ ดยชื่ อ ว า อมตั ป ป ต ต อ ภ ยัป ปต ต โด ย มีข อ ค วาม ทํ า น อ งเดีย ว กัน ดว ย .- น วก . อํ. ๒๓/๒๗๗/๒๕๙,๒๖๑, คํ า วา เขม ก็ด ี อมต ก็ด ี อภย ก็ด ี ในกรณีเ ชน นี ้ ลว นแตเ ล็ง ถึง นิพ พานดว ยกัน ทั ้ง นั ้น . คํ า วา ปต ต แปลวา ผูถึงแลว).

ตทังคนิพพุโต - ผูดับเย็นดวยองคนั้น ๆ ภิ ก ษุ ท.! เมื่ อ บุ ค คลเห็ น ซึ่ ง ความไม เ ที่ ย ง ความแปรปรวน ความ จางคลาย ความดับ ของรูป นั ้น เทีย ว แลว เห็น ดว ยปญ ญ าอัน ชอบตามที ่เ ปน จริ ง ว า รู ป ทั้ ง ปวงทั้ ง ในกาลก อ น และในกาลนี้ ไม เ ที่ ย ง เป น ทุ ก ข มี ค วาม แปรปรวนเปน ธรรม ดัง นี ้อ ยู , โสกะปริเ ทวะทุก ขะโทมนัส อุป ายาสทั ้ง หลาย ย อ มละไป. เพราะละเสี ย ได ซึ่ ง โสกะปริ เทวะทุ ก ขะโทมนั ส อุ ป ายาสทั้ ง หลายเหล า นั ้น เขายอ มไมส ะดุ ง หวาดเสีย ว; เมื ่อ ไมส ะดุ ง หวาดเสีย ว ยอ มอยู เ ปน สุข ; ผู อยู เป นสุ ข (ด วยอาการอย างนี้ ) เรากล าวว า เป นภิ กษุ ผู ตทั งคนิ พ พุ โต (ดั บ เย็ น ดวยองคนั้น ๆ) ดังนี้.

www.buddhadasa.info (ในกรณี แ ห ง เวทนา สั ญ ญา สั ง ขาร และ วิ ญ ญาณ ก็ มี ถ อ ยคํ า ที่ ต รั ส ไว ทํ า นอง เดียวกัน). - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๔/๘๘.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๗๗

ผูมีตทังคนิพพาน ตามคําของพระอานนท "อาวุ โ ส ! มี คํ า กล า วกั น อยู ว า 'ตทั ง คนิ พ พาน ตทั ง คนิ พ พาน' ดั ง นี้ . อาวุ โส! ตทั งคนิ พ พานนี้ พระผู มี พ ระภาคตรั สไว ด วยเหตุ มี ประมาณเท าไรหนอแล ?" (พระอุทายีถามพระอานนท, พระอานนทเปนผูตอบ).

อาวุโส ! ภิกษุในกรณี นี้ สงัดแลวจากกาม สงัดแลวจากอกุศลธรรม เข า ถึ ง ปฐมฌาน อั น มี วิ ต กวิ จ าร มี ป ติ แ ละสุ ข อั น เกิ ด จากวิ เวก แล ว แลอยู . อาวุโส ! ตทังคนิพพาน อันพระผูมีพระภาคตรัสไว ดวยเหตุมีประมาณเทานี้แล เมื่อกลาว โดยปริยาย. (ในกรณี แห ง ทุ ติ ยฌาน ตติ ยฌาน จตุ ตถาฌาน อากาสานั ญ จายตนะ วิ ญญาณั ญ ญายตนะ อากิ ญ จั ญ ญายตนะ และ เนวสั ญ ญานาสั ญ ญายตนะ มี ข อความที่ กล าวไว โดยทํ านอง เดี ย วกั น กั บ ข อ ความในกรณี แห ง ปฐมฌ าน ทุ ก ประการ และในฐานะเป น ตทั ง คนิ พ พาน โดย ปริย าย. สว นสัญ ญ าเวทยิต นิโ รธซึ ่ง มีก ารสิ ้น อาสวะนั ้น กลา วไวใ นฐานะเปน ตทัง คนิพ พาน โดยนิปปริยาย ดวยขอความดังตอไปนี้ :-)

www.buddhadasa.info อาวุโส ! นัยอื่นอีกมีอยู : ภิกษุ กาวลวงเสียซึ่งเนวสัญญานาสัญญายตนะโดยประการทั้งปวง เขาถึง สัญญาเวทยิตนิโรธ แลวแลอยู. อนึ่ง เพราะ เห็นดวยปญญา อาสวะทั้งหลายของเธอนั้นก็สิ้นไปรอบ. อาวุโส! ตทังคนิพพาน อันพระผูมีพระภาคตรัสไว ดวยเหตุมีประมาณเทานี้แล เมื่อกลาว โดยนิปปริยาย. - นวก. อํ. ๒๓/๔๗๕/๒๕๔.


๖๗๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

หมดตัวตน ก็หมดเรื่องผูกพัน ภิ ก ษุ ท.! สาวกของพระอริ ย เจ า ผู ไ ด ส ดั บ แล ว ได เ ห็ น บรรดาพระ อริย เจา เปน ผู ฉ ลาดในธรรมของพระอริย เจา ไดถ ูก แนะนํ า ในธรรมของพระ อริย เจา . ไดเ ห็น หมู ส ัต บุร ุษ เปน ผู แ ลาดในธรรมของสัต บุร ุษ โดยถูก แนะนํ า ในธรรมของสัตบุรุษ : (๑) ท า นย อ ม ไม ต ามเห็ น รู ป โดยความเป น ตั ว ตน ทั้ ง ไม ต ามเห็ น ว า คนมี รู ป ด ว ย ไม ต ามเห็ น ว า รู ป มี อ ยู ใ นตนด ว ย ไม ต ามเห็ น ว า ตน มี อ ยู ใ นรู ป ดวย; (๒) ท านย อ ม ไม ต ามเห็ น เวทนา โดยความเป น ตั ว ตน ทั้ งไม ต ามเห็ น วา ตน มีเ วทนาดว ยไมต ามเห็น วา เวทนา มีอ ยู ใ นตนดว ย ไมต ามเห็น วา ตน มีอยูในเวทนาดวย; (๓) ท านย อ ม ไม ต ามเห็ น สั ญ ญา โดยความเป น ตั วตน ทั้ งไม ต ามเห็ น ว า ตน มี สั ญ ญาด ว ยไม ต ามเห็ น ว สั ญ ญา มี อ ยู ใ นตนด ว ย ไม ต ามเห็ น ว า ตน มี อยูในสัญญาดวย; (๔) ท านย อ ม ไม ต ามเห็ น สั งขาร โดยความเป น ตั วตน ทั้ งไม ต ามเห็ น วา ตน มีส ัง ขารดว ยไมต ามเห็น วา สัง ขาร มีอ ยู ใ นตนดว ย ไมต ามเห็น วา ตน มีอยูในสังขารดวย; (๕) ท า นย อ ม ไม ต ามเห็ น วิ ญ ญาณ โดยความเป น ตั ว ตน ทั้ ง ไม ต าม เห็ น ว า ตน มี วิ ญ ญาณด ว ยไม ต ามเห็ น ว า วิ ญ ญาณ มี อ ยู ใ นตนด ว ย ไม ต ามเห็ น วาตน มีอยูในวิญญาณดวย;

www.buddhadasa.info


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๗๙

ภิ ก ษุ ท .! ส าวก ข อ งพ ระ อ ริ ย เจ า ผู ได ส ดั บ แ ล วเช น นี้ นี่ แ ล เรา ตถาคตย อมเรี ยกผู นั กนั้ นว า ไม ถู กผู กพั นด วยเครื่ องผู กคื อรู ป ไม ถู กผู กพั นด วยเครื่ อง ผูก คือ เวทนา ไมถ ูก ผูก พัน ดว ยเครื ่อ งผูก คือ สัญ ญ า ไมถ ูก ผูก พัน ดว ยเครื ่อ ง ผู ก คื อ สั ง ขาร ไม ถู ก ผู ก พั น ด ว ยเครื่ อ งผู ก คื อ วิ ญ ญาณ ไม ถู ก ผู ก พั น ด ว ยเครื่ อ งผู ก ใด ๆ ทั ้ง ภายในภายนอก, เปน ผู ม ีป รกติม องเห็น ฝ ง นี ้ (คือ วัฏ ฏสงสาร) เปน ผู มีป รกติม องเห็น ฝ ง โนน (คือ นิพ พ าน ) ; เราต ถาค ต จึง กลา ววา ส าวกขอ ง พระอริยเจาผูนั้น เปนผูหลุดพนแลวจากทุกข ดังนี้แล. - ขนฺธ. สํ.๑๗/๒๐๑/๓๐๕.

หมดตัวตน ก็หมดอหังการ "ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! บุ คคลมารู อยู อย างไร เห็ นอยู อย างไร จึ งไม ยึ ดถื อ ว าเรา ไม ยึ ดถื อว าของเรา อั นเป นอนุ สั ยคื อมานะ ในกายอั นมี วิ ญญาณนี้ และในนิ มิ ต ทั้งปวงภายนอก ? พระเจาขา !" กั ป ปะ ! รู ป เวทนา สั ญ ญ า สั ง ขาร วิ ญ ญ าณ เหล า ใด ทั้ ง ที่ เ ป น อดี ต อนาคต และป จ จุ บั น อั น มี อ ยู ภ ายในหรื อ ข างนอกก็ ดี หยาบหรื อ ละเอี ย ดก็ ดี เลวหรื อ ประณี ตก็ ดี อยู ห า งไกลหรื อ อยู ใ กล ก็ ดี อริ ย สาวกได เ ห็ น สิ่ ง ทั้ ง หมดนั้ น ดว ยปญ ญ าอัน ชอบตามเปน จริง วา นั ้น ไมใ ชข องเรา นั ่น ไมใ ชเ ปน เรา นั ่น ไม ใชต ัว ต น ขอ งเรา ดัง นี ้นั ่น แห ล ะ ; กัป ป ะ! บุค ค ล ตอ งรู อ ยา งนี ้แ ห ล ะ เห็น อยู อ ยา งนี ้แ หละ จึง ไมย ึด ถือ วา เรา ไมย ึด ถือ วา ของเรา อัน เปน อนุส ัย คือ มานะ ในกายอันมีวิญญาณนี้ และในนิมิตภายนอกอื่นทั้งหมดนั้นแล.

www.buddhadasa.info - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๐๖/๓๑๘.


๖๘๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

"ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! บุ คคลมารู อยู อย างไร เห็ นอยุ อย างไร จิ ตใจจึ งจะ เห็ นธรรมชาติ ปราศจากความยึ ดถื อว าเรา ปราศจากความยึ ดถื อว าของเรา อั นเป นมานะ เครื่องถื อตั ว ในกายอั นมี วิญญาณนี้ และในนิ มิ ตทั้ งปวงภายนอก; รูอยู อย างไร เห็ นอยู อยางไร จิตใจจึงจะกาวลวงมานะเสียดวยดี สงบระงับได พนวิเศษไป? พระเจาขา !" กั ป ปะ ! รู ป เวทนา สั ญ ญา สั งขาร วิ ญ ญาณ เหล าใด ทั้ งที่ เป น อดี ต อนาคต และป จ จุ บั น อั น มี อ ยู ภ ายในหรื อ ข า งนอก็ ดี หยาบหรื อ ละเอี ย ดก็ ดี เลว หรื อ ประณี ต ก็ ดี อยู ห า งไกลหรื อ อยู ใ กล ก็ ดี อริ ย สาวกได เ ห็ น สิ่ ง ทั้ ง หมดนั้ น ด ว ย ป ญ ญ าอั น ชอบตามเป น จริ ง ขึ้ น ว า นั่ น ไม ใ ช ข องเรา นั่ น ไม เ ป น เรา นั่ น ไม ใ ช ตั ว ตนขงอเรา ดั ง นี้ แ ล ว หลุ ด พ น ไปเพราะไม ยึ ด มั่ น นั่ น แหละ; กั ป ปะ ! บุ ค คลต อ งรู อย างนี้ แ หละ เห็ น อยู อ ย างนี้ แ หละ จิ ต ใจจึ ง จะเป น ธรรมชาติ ป ราศจากความยึ ด ถื อ ว า เรา ปราศจากความยึ ด ถื อ ว า ของเรา อั น เป น มานะเครื่ อ งถื อ ตั ว ในกายอั น มี วิ ญ ญาณนี้ และในนิ มิ ต ภายนอกอื่ น ทั้ ง หมดทั้ ง สิ้ น ได , และจิ ต ใจจะก า วล ว งมานะ เสียไดดวยดี สงบระงับได พนวิเศษไปดวยดี, ดังนี้แล. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๐๗/๓๑๙.

www.buddhadasa.info สัญญาที่เปนสวนประกอบแหงวิชชา

ภิก ษุ ท.! ธรรม ๖ อยา งเหลา นี ้ เปน ธรรมมีส ว นแหง วิช ชา (วิ ช ชาภาคิ ย ). หกอย า ง อย า งไรเล า ? หกอย า งคื อ อนิ จ จสั ญ ญา (สั ญ ญาว า ไม เที่ ย ง) อนิ จ เจทุ ก ขสั ญ ญา (สั ญ ญาว า ทุ ก ข ใ นสิ่ ง ที่ ไ ม เที่ ย ง) ทุ ก เขอนั ต ตสั ญ ญา (สัญ ญ า วามิใชตนในสิ่งที่เปนทุกข) ปหานสัญญา (สัญญาในการละ) วิราคสัญญา


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๘๑

(ส ัญ ญ า ใ น ค ว า ม ค ล า ย กํ า ห น ัด ) น ิโ ร ธ ส ัญ ญ า (ส ัญ ญ า ใ น ค ว า ม ด ับ ). ภ ิก ษ ุ ท .!

เหลานี้แล ธรรม ๖ อยาง เปนธรรมมีสวนแหงวิชชา. ฉกฺก.อิ. ๒๒/๓๗๒/๓๐๖.

บุคคลผูถึงซึ่งวิชชา "ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! ที่ เรี ยกกั นว า 'วิ ชชา-วิ ชชา' ดั งนี้ นั้ น เป นอย างไร ? และดวยเหตุเพียงเทาไร บุคคลจึงชื่อวา เปนผูถึงซึ่งวิชชา? พระเจาขา !" ภิ ก ษุ ! อริ ย สาวกผู ไ ด ส ดั บ แล ว ในธรรมวิ นั ย นี้ ม ารู ชั ด แจ ง ถึ ง รู ป เวทนา สั ญ ญา สั ง ขาร วิ ญ ญาณ, รู ชั ด แจ ง ถึ ง เหตุ ใ ห เกิ ด รู ป เวทนา สั ญ ญา สั งขาร วิ ญ ญาณ, รู ชั ด แจ งถึ ง ความดั บ ไม เหลื อ ของรู ป เวทนา สั ญ ญา สั งขาร วิญ ญาณ, รู ชั ดแจ งถึ ง ทางดํ าเนิ นให ถึ งความดั บไม เหลื อของรูป เวทนา สั ญ ญา สังขาร วิญญาณ ; ภ ิก ษ ุ ! อ ยา งนี ้แ ล เราเรีย ก วา วิช ช า แ ล ะ บ ุค ค ล ชื ่อ วา ถ ึง วิช ช า ยอมมีได ดวยเหตุมีประมาณเทานี้แล.

www.buddhadasa.info - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๙๘/๓๐๑.

วิชชาของผูถึงซึ่งวิชชา

"ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! ที่ เรี ยกกั นว า 'วิ ชชา-วิ ชชา' ดั งนี้ นั้ น เป นอย างไร, และดวยเหตุเพียงเทาไร บุคคลจึงชื่อวา เปนผูถึงซึ่งวิชชา ? พระเจาขา !"


๖๘๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิก ษุ ! อริย สาวกผู ไ ดส ดับ แลว ในธรรมวิน ัย นี ้ มารู ช ัด แจง ตาม เป น จริงซึ่ งรูป เวทนา สั ญ ญา สั งขาร วิญ ญาณ อั น มี ค วามก อ ขึ้ น เ ป น ธรรมดา วา 'เปน สิ ่ง ที ่ม ีค วามกอ ขึ ้น เปน ธรรมดา' ดัง นี ้; รู ช ัด แจง ตามเปน จริง ซึ ่ง รูป เวทนา สัญ ญา สัง ขาร วิญ ญาณ อัน มีค วามเสื ่อ มไป เปน ธรรมดา วา 'เปน สิ่ ง ที่ มี ค วามเสื่ อ มไปเป น ธรรมดา' ดั ง นี้ ; รู ชั ด แจ ง ตามเป น จริ ง ซึ่ ง รู ป เวทนา สัญ ญา สังขาร วิญ ญาณอัน มี ทั้ งก อ ขึ้น และเสื่ อ มไป เป น ธรรมดา วา 'เป นสิ่ ง ที่มีความกอขึ้นและเสื่อมไปเปนธรรมดา' ดังนี้ ; ภิ ก ษุ ! อย า งนี้ แ ลเราเรี ย กว า วิ ช ชา และบุ ค คลชื่ อ ว า เป น ผู ถึ ง วิชชา ยอมมีไดดวยเหตุมีประมาณเทานี้แล. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๑๐/๓๒๑.

ผูรับผลของการปฏิบัติเกี่ยวกับธาตุสี่ ราหุ ล ! ปฐวี ธาตุ ทั้ งที่ เป นภายในและที่ เป นภายนอก ทั้ งสองอย างนั้ น ล ว นแต เ ป น เพี ย งปฐวี ธ าตุ เธอพึ ง เห็ น ปฐวี ธ าตุ นั้ น ด ว ยป ญ ญ าโดยชอบตาม ความ เปน จริง วา "นั ่น ไมใ ชข อ งเรา นั ่น ไมใ ชเ รา นั ่น ไมใ ชอ ัต ต าขอ งเรา" ดังนี้. บุคคลเห็น ปฐวีธาตุนั้น ดวยปญ ญาโดยชอบตามที่เปน จริงอยางนี้แลว เขายอมเบื่อหนายในปฐวีธาตุ ยังจิตใหคลายกําหนัดจากปฐวีธาตุได.

www.buddhadasa.info (ในกรณี แ ห ง อาโปธาตุ เตโชธาตุ และ วาโยธาตุ ก็ มี ข อ ความที่ ต รัส ไว อ ย า งเดี ย ว กันกับในกรณีแหงปฐวีธาตุ).

ราหุล ! เมื ่อ ใด ภิก ษุ ไมต ามเห็น วา เปน อัต ตา (ตัว ตน) ไมต าม เห็นวาเปนอัตตนิยา (ของตน) ในธาตุทั้งสี่เหลานี้. ราหุล ! ภิกษุนี้ เรากลาว


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๘๓

วาได ตั ด ตั ณ หาขาดแล ว รื้อ ถอนสั งโยชน ได แ ล ว ได ทํ าที่ สุ ด แห งทุ ก ข เพราะรู เฉพาะซึ่งมานะโดยชอบแลว ดังนี้แล. - จตุกฺก.อํ. ๒๑/๒๒๒/๑๗๗.

ผูไมกลืนเบ็ดของมาร ภิก ษ ุ ท .! รูป ที ่เ ห็น ดว ย ต า ก็ด ี, เสีย ง ที ่ฟ ง ดว ย หูก ็ด ี, ก ลิ ่น ที ่ด ม ดว ย จมูก ก็ด ี, รส ที ่ลิ ้ม ดว ย ลิ ้น ก็ด ี, โผ ฏ ฐัพ พ ะ ที ่ส ัม ผัส ดว ย กายก็ด ี, และธรรมารมณ  ที ่รู แ จง ดว ยใจก็ด ี, อัน เปน สิ ่ง ที ่น า ปรารถนา นา รัก ใคร นา พอใจ เปน ที ่ย วนตายวนใจใหร ัก เปน ที ่เ ขา ไปตั ้ง อาศัย อยู แ หง ความใคร และ เปน ที ่ตั ้ง แหง ความกํ า หนัด ยอ มใจ มีอ ยู . ถา ภิก ษุใ ดไมเ พลิด เพลิน ไมพ ร่ํ า เพอ ถึง ไมเมาหมกติดอกติดใจอยู ซึ่งอารมณมีรูปเปนตนนั้นไซร ; ภิก ษุ ท .! ภิก ษุอ ยา งนี ้ เราเรีย ก วา เปน ผู ไ มก ลืน เบ็ด ขอ งม าร ได ทํ าลายเบ็ ด หั กเบ็ ด แหลกละเอี ยดแล ว ไม ถึ งความวิ บั ติ ไม ถึ งความพิ น าศฉิ บ หาย ไมเปนผูที่มารใจบาป จะทําอะไรใหไดตามใจเลย ; ดังนี้แล.

www.buddhadasa.info - สฬา. สํ. ๑๘/๑๙๘/๒๙๐.

ผูไมเขาไปหายอมหลุดพน

ภิก ษุ ท.! ผู เ ขา ไปหา เปน ผู ไ มห ลุด พน ; ผู ไ มเ ขา ไป หา เปน ผู หลุดพน.


๖๘๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ ก ษุ ท.! วิ ญ ญ าณ ซึ่ ง เข า ถื อ เอารู ป ตั้ ง อยู ก็ ตั้ ง อยู ไ ด , เป น วิ ญ ญาณที่ มี รู ป เป น อารมณ มี รู ป เป น ที่ ตั้ งอาศั ย มี นั น ทิ เป น ที่ เข าไปส อ งเสพ ก็ ถื อ ความเจริ ญ งอกงาม ไพบู ล ย ได ; ภิ ก ษุ ท.! วิ ญ ญาณ ซึ่ ง เข า ถื อ เอาเวทนา ตั ้ง อยู  ก็ตั ้ง อยู ไ ด. เปน วิญ ญาณที ่ม ีเวทนาเปน อารมณ มีเ วทนาเปน ที ่ตั ้ง อาศัย มี นั น ทิ เป น ที่ เ ข า ไปส อ งเสพ ก็ ถึ ง ความเจริ ญ งอกงาม ไพบู ล ย ได ; ภิ ก ษุ ท.! วิญ ญาณ ซึ่ ง เข าถื อ เอาสั ญ ญา ตั้ ง อยู ก็ ตั้ ง อยู ได , เป น วิญ ญาณที่ มี สั ญ ญาเป น อารมณ มี สั ญ ญาเป น ที่ ตั้ ง อาศั ย มี นั น ทิ เป น ที่ เข า ไปส อ งเสพ ก็ ถึ ง ความเจริ ญ งอกงาม ไพบูล ย ได ; ภิก ษุ ท.! วิญ ญาณ ซึ ่ง เขา ถือ เอาสัง ขาร ตั ้ง อยู  ก็ตั ้ง อยู ไ ด, เปน วิญ ญ าณ ที ่ม ีส ัง ขารเปน อารมณ มีส ัง ขารเปน ที ่ตั ้ง อาศัย มีน ัน ทิ เปนที่เขาไปสองเสพ ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย ได. ภิก ษุ ท.! ผู ใ ดจะพึง กลา วอยา งนี ้ว า "เราจัก บัญ ญ ัต ิ ซึ ่ง การมา การไป การจุ ติ การอุ บั ติ ความเจริ ญ ความงอกงาม และความไพบู ล ย ของ วิญ ญาณ โดยเวน จากรูป เวน จากเวทนา เวน จากสัญ ญา และเวน สัง ขาร" ดังนี้นั้น, นี่ ไมใชฐานะที่จักมีไดเลย.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! ถ า ราคะในรู ป ธาตุ ในเวทนาธาตุ ในสั ญ ญ าธาตุ ใน สัง ขารธาตุ ในวิญ ญ าณ ธาตุ เปน สิ ่ง ที ่ภ ิก ษุล ะไดแ ลว ; เพ ราะละราคะได อารมณสําหรับวิญญาณก็ขาดลง ที่ตั้งของวิญญาณก็ไมมี. วิญญาณอันไมมี ที่ตั้งนั้นก็ไมงอกงาม หลุดพนไปเพราะไมถูกปรุงแตง ; เพราะหลุดพนไปก็ตั้งมั่น เพราะตั ้ง มั ่น ก็ย ิน ดีใ นตนเอง; เพราะยิน ดีใ นตนเองก็ไ มห วั ่น ไหว; เมื ่อ ไม หวั ่น ไหวก็ป ริน ิพ พานเฉพาะตน; ยอ มรู ช ัด วา "ชาติสิ ้น แลว พรหมจรรยอ ยู จบแลว กิจที่ควรทําไดทําเสร็จแลว กิจอื่นเพื่อความเปนอยางนี้มิไดมีอีก" ดังนี้.

- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๖๖/๑๐๕.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๘๕

ผูลวงมัจจุราชใหหลง ภ ิก ษ ุ ท .! ป ุถ ุช น ผู ไ ม ไ ดย ิน ได ฟ ง ยอ ม พ ูด วา 'ส ม ุท ร-ส มุท ร' ดัง นี ้. ภิก ษุ ท.! สมุท รเชน ที ่ก ลา วนั ้น ไมใ ชส มุท รในวิน ัย ของพ ระอริย เจา . ภิกษุ ท.! สมุทรเชนที่กลาวนั้น เปนเพียงแองน้ําใหญ เปนเพียงหวงน้ําใหญ. ภิก ษุ ท.! รูป ที ่เ ห็น ดว ยตา อัน เปน สิ ่ง ที ่น า ปรารถนา นา รัก ใคร น า พอใจ ที่ ย วนตายวนใจให รั ก เป น ที่ เข า ไปตั้ ง อาศั ย อยู แ ห ง ความใคร และเป น ที ่ตั ้ง แหง ความกํ า หนัด ยอ มใจ มีอ ยู . ภิก ษุ ท.! นี ้เ ราเรีย กวา 'สมุท รในวิน ัย ขอ งพ ระอริย เจา '. โล กนี ้ พ รอ ม ทั ้ง เท วโลก ม ารโล ก พ รห ม โล ก , ห มู ส ัต ว พร อ มทั้ ง สมณะพราหมณ พร อ มทั้ ง เทวดาและมนุ ษ ย โดยมากตกอยู จ มอยู ใ น สมุท รนั ้น . เปน สัต วที ่ม ีค วามใคร มีจ ิต ยุ ง เหมือ นกลุ ม ดว ย เกิด ประสานกัน สับ สนดุจ รัง นก เหมือ นพงหญา มุญ ชะและปพ พชะ, สัต วทั ้ง หลายในสมุท รนั ้น จึงไมลวงพนอบาย ทุคติ วินิบาต และสังสารวัฏฏไมได.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! เสียง ที่ฟงดวยหู .... ฯลฯ .... ภิกษุ ท.! กลิ่น ที่ดมดวยจมูก .... ฯลฯ .... ภิกษุ ท.! รส ที่ลิ้มดวยลิ้น .... ฯลฯ .... ภิกษุ ท.! โผฏฐัพพะ ที่สัมผัสดวยกาย .... ฯลฯ .... ภิก ษุ ท.! ธ รรม ารม ณ  ที ่รู ด ว ยใจ อัน เปสิ ่ง ที ่น า ป รารถนา นา รั ก ใคร น า พอใจ ที่ ย วนตายวนใจให รั ก เป น ที่ เ ข า ไปตั้ ง อาศั ย อยู แ ห ง ความใคร และเปน ที ่ตั ้ง แตง ความกํ า หนัด ยอ มใจ มีอ ยู . ภิก ษุ ท.! เหลา นี ้เ ราเรีย กวา 'สมุท รในวิน ัย ของพระอริย เจา '. โลกนี ้ พรอ มทั ้ง เทวโลก มารโลก พรหมโลก, หมูสัตว พรอมทั้งสมณะพราหมณ พรอมทั้งเทวดาและมนุษยโดยมากตกอยู


๖๘๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

จม อ ยู ใน ส มุ ท รนั้ น . เป น สั ต ว ที่ มี ค วาม ใค ร มี จิ ต ยุ ง เห มื อ น ก ลุ ม ด าย เกิ ด ประสานกัน สับ สนดุจ รัง นก เหมือ นพงหญา มุญ ชะและปพ พชะ, สัต วทั ้ง หลาย ในสมุทรนั้น จึงไมลวงพนอบาย ทุคติ วินิบาต และสังสารวัฏฏไปได. (คาถาผนวกทายพระสูตร) ราคะ โทสะ และอวิชชา ของท านผู ใด จางคลายไปแล ว ทา นผู นั ้น ชื ่อ วา ขา มสมุท รนี ้ไ ดแ ลว ซึ ่ง เปน แหลง ที ่ม ีส ัต วรา ย มีทั ้ง รากษส มีทั ้ง คลื ่น วัง วน ภัย นา กลัว แสนจะขา มไดย ากนัก . เราตถาคตกลา ววา ทา นนั ้น เปน ผู ล ว งเสีย ไดจ ากเครื ่อ งขอ ง ละขาดจากการต อ งตาย ไม มี อุ ป ธิ กิ เลส ; ท านนั้ น หย าขาดจาก ความทุก ขที ่ต อ งมาเกิด อีก ตอ ไป; ทา นนั ้น วอดดับ ไป ไมก ลับ มาอีกลวงเอาพญามัจจุราชใหหลงได ดังนี้แล. - สฬา. สํ. ๑๘/๑๙๖/๒๘๗-๒๘๘.

วิมุตติตางกันแตเปนผลของการปฏิบัติอยางเดียวกัน

www.buddhadasa.info "ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! ถ ามรรคก็ สายนี้ ปฏิ ปทาก็ ทางนี้ ที่ เป นไปเพื่ อละ เสี ยซึ่งโอรัมภาคิ ยสั งโยชน ทั้ งห า ดั งนี้ แล ว, ทํ าไม ภิ กษุ ผู ปฏิ บั ติ บางพวก จึงบรรลุเจโตวิมุติ บางพวกบรรลุปญญาวิมุตติ เลา พระเจาขา !" อานนท ! นั ่น เปน เพราะ ค วาม ตา งกัน แหง อิน ท รีย  ของภิก ษุ ทั้งหลายเหลานั้น, (อินทรียหา คือ สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปญญา). - ม. ม. ๑๓/๑๖๒/๑๕๙.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๘๗

พระอริยบุคคลมีหลายระดับ เพราะอินทรียยิ่งหยอนกวากัน ภิ ก ษุ ท.! อิ น ทรี ย ทั้ ง หลาย ๕ ประการเหล า นี้ มี อ ยู . ห า ประการ อยา งไรเลา ? หา ประการคือ สัท ธิน ทรีย  วิร ิย ิน ทรีย  สติน ทรีย  สมาธิน ทรีย ปญญินทรีย. ภิกษุ ท.! เหลานี้แลอินทรียหาประการ. ภิ ก ษุ ท.! เพราะความเพี ย บพร อ มบริ บู ร ณ แ ห ง อิ น ทรี ย ห า ประการ เหลานี้แล ผูปฏิบัติยอมเปนพระอรหันต. เพราะอินทรียทั้งหลายหยอนกวานั้น ผูปฏิบัติยอมเปน อันตราปรินิพพายี. เพราะอินทรียทั้งหลายหยอนกวานั้นอีก ผูปฏิบัติยอมเปน อุปหัจจปรินิพพายี. เพราะอินทรียทั้งหลายหยอนกวานั้นอีก ผูปฏิบัติยอมเปน อสังขารปรินิพพายี. เพราะอินทรียทั้งหลายหยอนกวานั้นอีก ผูปฏิบัติยอมเปน สสังขารปรินิพพายี. เพราะอินทรียทั้งหลายหยอนกวานั้นอีก ผูปฏิบัติยอมเปน อุทธํโสโตอกนิฏฐคามี. เพราะอินทรียทั้งหลายหยอนกวานั้นอีก ผูปฏิบัติยอมเปน สกทาคามี. เพราะอินทรียทั้งหลายหยอนกวานั้นอีก ผูปฏิบัติยอมเปน เอกพีชี. เพราะอินทรียทั้งหลายหยอนกวานั้นอีก ผูปฏิบัติยอมเปน โกลังโกละ. เพราะอินทรียทั้งหลายหยอนกวานั้นอีก ผูปฏิบัติยอมเปน สัตตักขัตตุปรมะ. เพราะอินทรียทั้งหลายหยอนกวานั้นอีก ผูปฏิบัติยอมเปน ธัมมานุสารี. เพราะอินทรียทั้งหลายหยอนกวานั้นอีก ผูปฏิบัติยอมเปน สัทธานุสารี.

www.buddhadasa.info


๖๘๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

.... (๑๙/๒๖๗/๘๘๕) : ภิ ก ษุ ท.! เพ ราะเหตุ นี้ แ ล ค วาม ต างแห ง ผลยอมมี เพราะความตางแหงอินทรีย ; เพราะความตางแหงผล จึงมีความตาง แหงบุคคล แล. .... (/๑๙/๒๖๗/๘๘๗) : ภิก ษ ุ ท .! ดว ยเห ตุอ ยา งนี ้แ ล เปน อัน วา ผูก ระทํา ใหบ ริบูร ณ ยอ มทํา ใหสํา เร็จ ไดบ ริบูร ณ; ผูก ระทํา ไดเ พีย งบางสว น ก็ทํ า ใหสํ า เร็จ ไดบ างสว น. ภิก ษุ ท.! เรากลา ววา อิน ทรีย ทั ้ง หลายหา ยอ ม ไมเปนหมันเลย ดังนี้แล. - มหาวาร. สํ. ๑๙/๒๗๑/๘๙๙-๙๐๐.

การเปนพระอริยเจาไมใชสิ่งสุดวิสัย ภิก ษุ ท .! เพ รา ะ อ า ศัย ต า ดว ย จึง เกิด ค ว า ม รู แ จง ท างต า ขึ ้น , การประจวบพร อ ม (แห ง ตา+รู ป +วิ ญ ญาณ) ทั้ ง สามอย า งนั้ น ย อ มเกิ ด มี ผั ส สะ, เพราะผัส สะเปน ปจ จัย จึง เกิด มีเ วทนา อัน เปน สุข บา ง ทุก ขบ า ง ไมใ ชท ุก ข ไมใชสุขบาง.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! บุ ค คลนั้ น เมื่ อ ถู ก สุ ข เวทนากระทบแล ว ย อ มไม เ พลิ ด เพลิน ไมพ ร่ํา เพอ ถึง ไมเมาหมกติด อกติด ใจ, อนุส ัย คือ ราคะ ยอ มไมต ามนอน ในสันดานของบุคคลนั้น.

ภิก ษ ุ ท .! บุค ค ล นั ้น เมื ่อ ถูก ทุก ข เว ท น า ก ระ ท บ แ ลว ยอ ม ไม โศกเศร า ไม ร ะทมใจ ไม ค ร่ํ า ครวญ ตี อ กร่ํ า ไห ไม ถึ ง ความลื ม หลง, อนุ สั ย คื อ ปฏิฆะ ยอมไมตามนอน ในสันดานของบุคคลนั้น.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๘๙

ภิก ษุ ท.! บุค คลนั ้น เมื ่อ ถูก เวทนาอัน ไมท ุก ขไ มส ุข กระทบแลว ยอ มรู ช ัด แจง ตรงตามที ่เ ปน จริง ซึ ่ง ความกอ ขึ ้น ของเวทนานั ้น ซึ ่ง ความตั ้ง อยู ไมไ ดข องเวทนานั ้น ซึ ่ง รสอรอ ยของเวทนานั ้น ซึ ่ง โทษ ของเวทนานั ้น ซึ ่ง อุบ ายเครื่อ งออกพน ไปไดจ ากเวทนานั ้น , อนุส ัย คือ อวิช ชา ยอ มไมต ามนอน ในสันดานของบุคคลนั้น. (ในกรณี ที่ เ กี่ ย วกั บ อายตนะภายใน และภายนอกคู อื่ น อั น ได ป ระจวบกั น เกิ ด วิญ ญาณ ผัส สะ และเวทนา เปน อีก หา หมวด นั ้น ก็ม ีข อ ความอยา งเดีย วกัน กับ หมวดแรก นี้ผิดกันแตชื่อเรียกเทานั้น).

ภิ ก ษุ ท.! บุ ค คลนั้ น หนอ ละอนุ สั ย คื อ ราคะ ในสุ ข เวทนาได แ ล ว , บรรเทาอนุส ัย คือ ปฏิฆ ะ ในทุก ขเวทนาเสีย แลว , ถอนขึ ้น ไดก ระทั ่ง ราก ซึ ่ง อนุส ัย คือ อวิช า ในเวทนาอัน ไมท ุก ขไ มส ุข เสีย ไดแ ลว , ทา นละอวิช ชาไดแ ลว ทําวิชชาใหเกิดขึ้น แลว, จักเปน ผูทําที่สุดแหงทุกขได ในปจจุบันนี้โดยแท ; ขอนี้เปนฐานะที่จะมีไดแล. - อุปริ. ม. ๑๔/๕๑๘/๘๒๓.

www.buddhadasa.info กายนครที่ปลอดภัย

ภิก ษ ุ ท .! อริย ส าวก ป ระกอ บ ดว ยสัท ธรรม ๗ ป ระการ แล ะ เป น ผู มี ป กติ ไ ด ต ามปรารถนา โดยไม ย าก ได โ ดยไม ลํ า บาก ซึ่ ง ฌ านทั้ ง สี่ อั น ประกอบในจิต อัน ยิ ่ง เปน เครื่อ งอยู เ ปน สุข ในทิฏ ฐธรรม, ในกาลใด; ภิก ษุ ท.! ในกาลนั้น อริยสาวกนี้เรียกไดวา เปนผูที่มารอันมีบาปกระทําอะไรไมได.


๖๙๐

อริยสัจจากพระโอษฐ ภิก ษุ ท.! อริย สาวก ประกอบดว ยสัท ธรรม ๗ ประการอยา งไร

เลา ? ภิ ก ษุ ท.! เปรี ย บเหมื อ นในป จ จั น ตนครของพระราชา มี เ สาระเนี ย ดอั น มี ร ากลึ ก ฝ ง ไว ดี ไม ห วั่ น ไหว ไม ค ลอนแคลน สํ า หรั บ คุ ม ภั ย ในภายใน แล ะปอ งกัน ใน ภ ายน อ ก , นี ้ฉ ัน ใด ; ภิก ษุ ท .! อ ริย ส าวก ก็ม ีส ัท ธา เชื ่อ การตรัส รู ข องพระตถาคตวา "แมเ พราะเหตุอ ยา งนี ้ ๆ พระผู ม ีพ ระภาคเจา นั ้น .... ฯลฯ .... เปน ผู รู ผู ตื ่น ผู เ บิก บาน เปน ผู จํ า แนกธรรม " ดัง นี ้, ภิก ษุ ท.! อริยสาวกผู มี สั ท ธาเป น เสาระเนี ยด ย อมละอกุ ศล เจริญ กุ ศล ละกรรมอั นมี โทษ เจริญ กรรมอัน ไมม ีโ ทษ บริห ารตนใหห มดจดอยู . ฉัน นั ้น เหมือ นกัน : นี ้ชื ่อ วาผูประกอบดวย สัทธรรมประการที่หนึ่ง. ภิก ษุ ท.! เปรีย บเหมือ นในปจ จัน ตนครของพระราชา มีค ูร อบ ทั ้ง ลึก และกวา ง สํ า หรับ คุ ม ภัย ในภายในและปอ งกัน ในภายนอก, นี ้ฉ ัน ใด ; ภิ ก ษุ ท.! อริ ย สาวกก็ มี หิ ริ ละอายต อ กายทุ จ ริ ต วจี ทุ จ ริ ต มโนทุ จ ริ ต ละอาย ต อ การถึ ง พร อ มด ว ยอกุ ศ ลธรรมอั น ลามกทั ้ ง หลาย, ภิ ก ษุ ท.! อริ ย สาวก ผู มี หิ ริ เป น คู ล อ มรอบ ย อ มละอกุ ศ ล เจริญ กุ ศ ล ละกรรมอั น มี โทษ เจริญ กรรม อัน ไมม ีโ ทษบริห ารตนใหห มดจดอยู , ฉัน นั ้น เหมือ นกัน : นี ้ชื ่อ วา ผู ป ระกอบ ดวย สัทธรรมประการที่สอง.

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท.! เปรีย บเหมือ นในปจ จัน ตนครของพระราชา มีเ ชิง เทิน เดิน รอบ ทั ้ง สูง และกวา ง สํ า หรับ คุ ม ภัย ในภายในและปอ งกัน ในภายนอก, นี้ ฉันใด; ภิกษุ ท.! อริยสาวกก็มีโอตตัปปะ สะดุงกลัวตอกายทุจริต วจีทุจริต


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๙๑

มโนทุจ ริต สะดุ ง กลัว ตอ ความถึง พ รอ มดว ยอกุศ ลธรรมอัน ลามกทั ้ง หลาย. ภิ ก ษุ ท.! อริ ย สาวกผู มี โ อตตั ป ปะเป น เชิ ง เทิ น เดิ น รอบ ย อ มละอกุ ศ ล เจริ ญ กุศ ล ละกรรมอัน มีโ ทษ เจริญ กรรมอัน ไมม ีโ ทษ บ ริห ารตนใหห มดจดอยู , ฉันนั้นเหมือนกัน : นื้ชื่อวาผูประกอบดวย สัทธรรมประการที่สาม. ภิ ก ษุ ท.! เปรี ย บเหมื อ นในป จ จั น ตนครของพระราชา มี อ าวุ ธ อั น สั่ งสมไวเ ปน อัน มาก ทั ้ง ชนิด ที ่ใ ชป ระหารใกลต ัว และประหารไกลตัว สํ า หรับ คุ ม ภัย ในภายในและปอ งกัน ในภายนอก, นี ้ฉ ัน ใด; ภิก ษุ ท.! อริย สาวกก็ม ีส ุต ะ อัน ตนสดับ แลว มาก ทรงสุต ะ สั ่ง สมสุต ะ, ธรรมเหลา ใดงามในเบื ้อ งตน งาม ในทา มกลาง งานในสุด ที ่เ ปน การประกาศพรหมจรรยอ ัน บริส ุท ธิ ์ บริบ ูร ณ สิ ้น เชิง พ รอ มทั ้ง อรรถะพรอ มทั ้ง พยัญ ชนะ, ธรรมมีร ูป เห็น ปานนั ้น อัน เขา สดั บ แล ว มาก ทรงไว คล อ งปากขึ้ น ใจ แทงตลอดด ว ยดี ด ว ยทิ ฏ ฐิ . ภิ ก ษุ ท.! อริ ย สาวกผู มี สุ ต ะเป น อาวุ ธ ย อ มละอกุ ศ ล เจริ ญ กุ ศ ล ละกรรมอั น มี โทษ เจริ ญ กรรม อั น ไม ม ี โ ท ษ บ ริ ห ารต น ให ห ม ด จด อ ยู  , ฉั น นั ้ น เห มื อ น กั น : นี ้ ชื ่ อ ว า ผูประกอบดวย สัทธรรมประการที่สี่.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! เปรี ย บเหมื อ นในป จ จั น ตนครของพระราชา มี ก องพ ล ประจํ า อยู เ ปน อัน มาก คือ กองชา ง กองมา กองรถ กองธนู กองจัด ธงประจํ า กอง กองเสนาธิ ก าร กองพลาธิ ก าร กองอุ ค คโยธี กองราชบุ ต ร กองจู โ จม กองมหานาค กองคนกล า กองโล ไ ม กองเกราะโล ห นั ง กองทาสกบุ ต ร สํ า หรั บ คุ ม ภัย ใน ภ ายใน แล ะปอ งกัน ใน ภ ายน อ ก , นี ้ฉ ัน ใด ; ภิก ษุ ท .! อริย ส าวก มีค วาม เพีย รอัน ป ราภ แลว เพื ่อ ละอกุศ ล ธรรม ทั ้ง ห ลาย เพื ่อ ยัง กุศ ล ธรรม ทั้ ง หลายให ถึ ง พร อ ม มี กํ า ลั ง มี ค วามบากบั่ น มั่ น คง ไม ท อดทิ้ ง ธุ ร ะในกุ ศ ลธรรม ทั้ ง หลาย, ภิ ก ษุ ท.! อริ ย สาวกผู มี วิ ริ ย ะเป น พลกาย ย อ มละอกุ ศ ล


๖๙๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

เจริญ กุศ ล ละกรรมอัน มีโ ทษ เจริญ กรรมอัน ไมม ีโ ทษ บริห ารตนใหห มดจด อยู. ฉันนั้นเหมือนกัน : นี้ชื่อวาผูประกอบดวย สัทธรรมประการที่หา. ภิก ษุ ท.! เปรีย บเหมือ นในปจ จัน ตนครของพระราชา มีน ายทวาร ที ่เ ปน บัณ ฑิต เฉลีย วฉลาด มีป ญ ญา หา มเขา แกค นที ่ไ มรูจ ัก ใหเขา แกค นที ่รู จั ก เพื่ อ คุ ม ภั ย ในภายในและป อ งกั น ในภายนอก, นี้ ฉั น ใด; ภิ ก ษุ ท.! อริ ย สาวกเป น ผู มี ส ติ ประกอบด ว ยสติ เป น เครื่ อ งรั ก ษาอย า งยิ่ ง ระลึ ก ถึ ง ตามระลึ ก ถึง ซึ ่ง กิจ ที ่ก ระทํ า และคํ า ที ่พ ูด แลว แมน านได, ภิก ษุ ท.! อริย สาวกผู  มีส ติ เปน นายทวาร ยอ มละอกุศ ล เจริญ กุศ ล ละกรรมอัน มีโ ทษ เจริญ กรรมอัน ไมม ีโ ทษ บริห ารตนใหห มดจดอยู  ฉัน นั ้น เหมือ นกัน : นี ้ชื ่อ วา ผู ป ระกอบ ดวย สัทธรรมประการที่หก. ภิก ษุ ท.! เปรีย บเหมือ นในปจ จัน ตนครของพระราชา มีกํ า แพง ทั ้ง สูง และกวา ง สมบูร ณด ว ยการกอ และการฉาบ เพื ่อ คุ ม ภัย ในและปอ ง กัน ในภ ายนอก, นี ้ฉ ัน ใด; ภิก ษุ ท.! อริย สาวกเปน ผู ม ีป ญ ญ า ประกอบ ด ว ยป ญ ญาเป น เครื่ อ งถึ ง ธรรมสั จ จะแห ง การตั้ ง ขึ้ น และการตั้ ง อยู ไ ม ไ ด อั น เป น อ ริย ะ เปน เค รื ่อ งชํ า แรก กิเ ล ส ใหถ ึง ค วาม สิ ้น ทุก ขโ ด ย ช อ บ , ภิก ษุ ท .! อริยสาวกผูมี ป ญ ญาเป น ความสมบู รณ ด วยการกอและการฉาบ ยอมละอกุศล เจริ ญ กุ ศ ล ละกรรมอั น มี โ ทษ เจริ ญ กรรมอั น ไม มี โทษ บริ ห ารตนให ห มดจดอยู , ฉันนั้นเหมือนกัน : นี้ชื่อวาผูประกอบดวย สัทธรรมประการที่เจ็ด.

www.buddhadasa.info อริยสาวก เปนผูประกอบพรอมดวยสัทธรรม ๗ ประการเหลานี้แล


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๙๓

ภิก ษุ ท.! อริย สาวก เปน ผู ม ีป กติไ ดต ามปรารถนา ไดไ มย าก ไดไมลําบาก ซึ่งฌานทั้งสี่ อันประกอบในจิตอันยิ่ง เปนเครื่องอยูเปนสุขใน ทิฏฐธรรม เปนอยางไรเลา ? ภิ ก ษุ ท.! เปรี ย บเหมื อ นในป จ จั น ตนครของพระราชา มี ห ญ า ไม และน้ํ า สั่ ง สมไว เป น อั น มาก เพื่ อ ความยิ น ดี ไม ส ะดุ ง กลั ว อยู เป น ผาสุ ก ใน ภายใน เพื ่อ ปอ งกัน ในภายนอก, นี ้ฉ ัน ใด; ภิก ษุ ท.! อริย สาวก สงัด จาก กามสงั ด จากอกุ ศ ลธรรม เข า ถึ ง ปฐมฌาน อั น มี วิ ต กวิ จ าร มี ป ติ แ ละสุ ข อั น เกิ ด จากวิเ วก แลว แลอยู  เพื ่อ ความยิน ดี ไมส ะดุ ง กลัว อยู เ ปน ผาสุก แหง ตน เพื่อกาวลงสูนิพพาน, ฉันนั้นเหมือนกัน. ภิ ก ษุ ท.! เปรี ย บเหมื อ นในป จ จั น ตนครของพระราชา มี ข า วสาลี และขา วยวะสะสมไวเปน อัน มาก เพื ่อ ความยิน ดี ไมส ะดุ ง กลัว อยู เปน ผาสุก ในภายใน เพื ่อ ปอ งกัน ในภายนอก, นี ้ฉ ัน ใด; ภิก ษุ ท.! อริย สาวก เพราะ ความเข า ไปสงบระงั บ แห ง วิ ต กและวิ จ าร เข า ถึ ง ทุ ติ ย ฌาน อั น เป น เครื่ อ งผ อ งใส แหง ใจในภายใน นํ า ใหส มาธิเ ปน ธรรมอัน เอกผุด มีขึ ้น ไมว ิต ก ไมม ีว ิจ าร มี แ ต ป ติ แ ละสุ ข อั น เกิ ด จากสมาธิ แล ว แลอยู เพื่ อ ความยิ น ดี ไม ส ะดุ ง กลั ว อยู เปนผาสุก แหงตน เพื่อกาวลงสูนิพพาน, ฉันนั้นเหมือนกัน.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! เปรี ย บเหมื อ นในป จ จั น ตนครของพระราชา มี อ ปรั ณ ณชาติ คื อ งา ถั่ ว เขี ย ว ถั่ ว ราชมาส เป น ต น สั่ ง สมไว เป น อั น มาก เพื่ อ ความยิ น ดี ไมสะดุงกลัว อยูเปนผาสุก ในภายใน เพื่อปองกันในภายนอก, นี้ฉันใด;


๖๙๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ ก ษุ ท.! อริ ย สาวก เพราะความจางคลายไปแห ง ป ติ เป น ผู อ ยู อุ เบกขา มี ส ติ และสั ม ปปชั ญ ญะ และย อ มเสวยความสุ ข ด ว ยนามกาย อั น ชนิ ด ที่ พ ระอริ ย เจ า กลา วสรรเสริญ ผู นั ้น วา เปน ผู อ ยู อ ุเ บกขา มีส ติ อยู เ ปน ปรกติส ุข ดัง นี ้ เขา ถึง ตติย ฌาน แลว แลอยู  เพื ่อ ความยิน ดี ไมส ะดุ ง กลัว อยู เ ปน ผาสุก แหง ตน เพื่อกาวลงสูนิพพาน, ฉันนั้นเหมือนกัน. ภิก ษุ ท.! เปรีย บเหมือ นในปจ จัน ตนครของพระราชา มีเ ภ สัช สั ่ง สมไวเ ปน อัน มาก คือ เนยใส เนยขน น้ํ า มัน น้ํ า ผึ ้ง น้ํ า ออ ย และเกลือ เพื่ อ ความยิ น ดี ไม ส ะดุ ง กลั ว อยู เป น ผาสุ ก ในภายใน เพื่ อ ป อ งกั น ในภายนอก, นี ้ฉ ัน ใด; ภิก ษุ ท.! อริย สาวก เพราะละสุข และละทุก ขเ สีย ได เพราะความ ดับ ไปแหง โสมนัส และโทมนัส ทั ้ง สองในกาลกอ น เขา ถึง จตุต ถฌาน ไมม ีท ุก ขไม มี สุ ข มี แ ต ค วามที่ ส ติ เป น ธรรมชาติ บ ริ สุ ท ธิ์ เพราะอุ เบกขา แล ว แลอยู เพื่ อ ความ ยิน ดี ไมส ะดุ ง กลัว อยู เ ปน ผาสุก แหง ตน เพื ่อ กา วลงสู น ิพ พ าน , ฉัน นั ้น เหมือนกัน.

www.buddhadasa.info อริย สาวก เปน ผู ม ีป กติไ ดต ามปรารถนา ไดไ มย าก ไดไ มลํ า บาก ซึ่ ง ฌานทั้ ง สี่ อั น ประกอบในจิ ต อั น ยิ่ ง เป น เครื่ อ งอยู เป น สุ ข ในทิ ฏ ฐธรรม เหล า นี้ แล.

ภิ ก ษุ ท.! อริ ย สาวกประกอบพร อ มด ว ยสั ท ธรรม ๗ ประการเหล า นี้ และเป น ผู มี ป กติ ไ ด ต ามปรารถนา ได ไ ม ย าก ได ไ ม ลํ า บาก ซึ่ ง ฌ านทั้ ง สี่ อั น ประกอบในจิตอันยิ่ง เปนเครื่องอยูเปนสุขในทิฏฐธรรม เหลานี้ดวย, ในกาล


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๙๕

ใด ; ภ ิก ษ ุ ท .! ใน ก าล นั ้น อ ริย ส าวกนี ้ เรีย ก ไดว า เป น ผู ที ่ม ารอัน มีบ าป กระทําอะไรไมได. - สตฺตก. อํ. ๒๓/๑๐๙/๑๑๓/๖๔. (กายนี้ ได ชื่ อ ว า กายนคร เพราะมี อ ะไร ๆ ที่ ต อ งจั ด การรั ก ษาป อ งกั น เหมื อ นกั บ นคร. กายนครนี ้ม ีม ารคอยรัง ควาญอยู ต ลอดเวลา ; เมื ่อ อริย สาวกประกอบอยู ด ว ยสัท ธรรม ทั ้ง เจ็ด และมีฌ านทั ้ง สี ่เ ปน เครื ่อ งอยู อ ยา งผาสุก แลว มารก็ทํ า อะไรไมไ ด จัด เปน ภายนครที่ ปลอดภัยดวยขอความเปนอุปมาอุปไมยอยางไพเราะมาก แหงพระบาลีนี้).

ผูไมมีหนามยอกตํา ภิ ก ษุ ท.! พวกเธอทั้ ง หลาย จงเป น อยู อย า งผู ไ ม มี หนาม (ยอกตําใจ) เถิด. ภิ ก ษุ ท.! พวกเธอทั้ ง หลาย จงเป น อยู อย า งผู ไ ม มี หนาม หมดเสี้ยนหนามยอกตํา เถิด. ภิกษุ ท.! พระอรหันตทั้งหลาย เปนผูไมมีหนามยอกใจ. ภิก ษุ ท.! พระอรหัน ตทั ้ง หลาย เปน ผู ไ มม ีห นาม หมดเสี้ยนหนามยอกตําเสียแลว.

www.buddhadasa.info - ทสก. อํ. ๒๔/๑๔๕/๗๒.

ผูอยูคนเดียว คือผูไมของติดอยูในธรรมทั้งปวง

(พระผู ม ีพ ระภาคเจา ไดต รัส แกภ ิก ษุชื ่อ เถระ ผู ม ีป กติช อบอยู ค นเดีย วจนเปน ที่ เลาลือกันในหมูภิกษุ, วา :-)


๖๙๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

ดู ก อ นเถระ ! การอยู ค นเดี ย วอย า งของเธอ ก็ มี อ ยู เรามิ ไ ด ก ล า วว า ไมม ี ; แตว า ยัง มีก ารอยู ค นเดีย วที ่บ ริบ ูร ณ พ ิส ดาร กวา ชนิด ของเธอ, เธอจง ตั้งใจฟงใหดี, เราจักกลาว. ดู ก อ นเถระ ! การอยู ค นเดี ย วชนิ ด ที่ บ ริ บู ร ณ พิ ส ดารกว า ชนิ ด ของเธอ นั ้น เปน อ ยา งไรเลา ? ดูก อ น เถ ระ ! ก ารอ ยู ค น เดีย วใน ก รณ ีนี ้ค ือ สิ ่ง เป น อดีตก็ละไดแลว สิ่งเปนอนาคตก็ไมมีทางจะเกิดขึ้น สวนฉันทราคะในอัตตภาพ อัน ไดแ ลว ทั ้ง หลาย อัน เปน ปจ จุบ ัน ก็นํ า ออกแลว หมดสิ ้น . ดูก อ นเถระ ! อยางนี้แล เปนการอยูคนเดียวที่บริบูรณพิสดารกวาการอยูคนเดียวชนิดของเธอ. (คาถาผนวกทายพระสูตร) นรชนผู มี ป ญญาดี ครอบงําอารมณ ทั้ งปวงได รู ธรรมทั้ งปวง ไมของติดอยูในธรรมทั้งหลายทั้งสิ้น ละอุปธิทั้งปวง หลุดพนพิเศษแลว ในธรรมเปนที่สิ้นตัณหา นั้นเราเรียกเขาวา ผูมีปกติอยูคนเดียว. - นิทาน. สํ. ๑๖/๓๒๙-๓๓๐/๗๑๙-๗๒๑.

www.buddhadasa.info (ข อ ความที่ มี ป ญ หายากแก ก ารแปลในสู ต รนี้ มี อ ยู คื อ ข อ ความที่ ว า "ป จฺ จ ุ ป ฺ ป นฺ เ น สุ จ อตฺต ภ าวป ฏิล าเภ สุ ฉนฺท ราโค " ; ห ลัง จากใครค รวญ ท บ ท วน ดูแ ล ว เห็ น วา ตอ งแป ลว า "สว นฉัน ทราคะในอัต ตภ าพอัน ไดแ ลว ทั ้ง หลาย อัน เปน ปจ จุบ ัน " หมายความวา ฉัน ทราคะ มีในอัตตภาพซึ่งไดแลวมากครั้งในปจจุบัน ไมใชฉันทราคะมีในการได.

อั ต ตภ าพ ในกรณี เช น นี้ หมายถึ ง ภ พ หรื อ ความมี ค วามเป นในรู ป แบ บ ห นึ่ ง ๆ ซึ่ ง เกิดขึ้นเพราะอุปาทานเปนปจจัย ในวิถีแหงการปรุงแตงทางจิต ในกระแสแหงปฏิจจสมุปบาท


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๙๗

อัน เกิด ขึ ้น ทุก ขณะที ่ม ีอ ตัณ หาอัน เกิด จากเวทนา ซึ ่ง วัน หนึ ่ง ก็ม ีไ ดห ลายครั ้ง ทา นจึง ใชร ูป ศัพ ท เปน พหุพ จน คือ ....ปฏิล าเภสุ และจัด เรื ่อ งนี ้ใ หเ ปน เรื ่อ งของปจ จุบ ัน ; ดัง นั ้น การไมข อ ง ติด จึง มีค รบชุด คือ อดีต -อนาคต-ปจ จุบ ัน ; ผู ห ลุด พน เสีย ไดค รบถว น เรีย กวา ผู อ ยู ค นเดีย ว ในระดับที่สมบูรณ ลึกซึ้งที่สุด).

กายของผูที่สิ้นตัณหาแลวก็ยังตั้งอยูชั่วขณะ (นิโรธมิใชความตาย) ภิ ก ษุ ท.! กายของตถาคตนี้ มี ตั ณ หาอั น เป น เครื่ อ งนํ า ไปสู ภ พถู ก ตถาคตถอนขึ้ น เสี ย ได แ ล ว , ดํ า รงอยู . กายนี้ ยั ง ดํ า รงอยู เ พี ย งใด เทวดาและ มนุ ษ ย ทั้ ง หลาย ยั ง คงได เ ห็ น ตถาคตนั้ น อยู เ พี ย งนั้ น . เพราะการทํ า ลายแห ง กาย, หลัง จากการควบคุม กัน อยู ไ ดข องชีว ิต เทวดาและมนุษ ยทั ้ง หลายจัก ไม เห็นตถาคตนั้นเลย. ภิ ก ษุ ท.! เปรี ย บเหมื อ นเมื่ อ ขั้ ว พวงมะม ว งขาดแล ว มะม ว งทั้ ง หลาย เหล า ใด ที่ เนื่ อ งขั้ ว เดี ย วกั น มะม ว งเหล า นั้ น ทั้ ง หมด ย อ มเป น ของตกตามไปด ว ย กั น . นี ้ ฉ ั น ใด ; ภิ ก ษุ ท .! ก าย ขอ งต ถ าค ต ก็ ฉ ั น นั ้ น : ก าย ข อ งต ถ าค ต มีต ัณ หาเครื่อ งนํ า ไปสู ภ พอัน ตถาคตถอนขึ้น เสีย ไดแ ลว , ดํ า รงอยู. กายนี้ ดํ ารงอยู เพี ย งใด เทวดาและมนุ ษ ย ทั้ งหลาย ยั งคงเห็ น ตถาคตอยู ชั่ วเวลาเพี ยงนั้ น . เพราะการทํ า ลายแห ง กาย, หลั ง จากการควบุ ค มกั น อยู ไ ด ข องชี วิ ต เทวดาและ มนุษยทั้งหลาย จักไมเห็นตถาคตเลย.

www.buddhadasa.info - สี. ที. ๙/๕๙/๙๐.


๖๙๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

พระอรหันตตายแลวสูญหรือ? "ข าแต พ ระโคดมผู เจริญ ! ภิ กษุ ผู มี จิ ตพ นวิ เศษแล ว จะไปเกิ ดในที่ ใด ? พระเจาขา !" วัจฉะ ! ที่ใชคําพูดวา จะไปเกิด นั้น ไมควรเลย. "ขาแตพระโคดมผูเจริญ! ถาเชนนั้น จะไมไปเกิดหรือ ?" วัจฉะ ! ที่ใชคําพูดวา จะไมไปเกิด นั้นก็ไมควร. "ขาแตพระโคดมผูเจริญ ! ถาเชนนั้น บางทีเกิด บางทีไมเกิด กระนั้นหรือ ?" วัจฉะ ! ที่ใชคําพูดวา บางทีเกิด บางทีไมเกิด นั้น ก็ไมควร. "ขาแต พระโคดมผู เจริญ ! ถ าเช นนั้ น ภิ กษุ ผู มี จิ ตพ นวิ เศษแล ว จะวาไปเกิ ด ก็ไมใช ไมไปเกิดก็ไมใช กระนั้นหรือ ?" วั จ ฉ ะ ! ที่ ใช คํ าพู ด ว า จ ะ ไป เกิ ด ก็ ไม ใช ไม ไป เกิ ด ก็ ไม ใช แ ม กระนั้นก็ไมควร. "ขาแต พระโคดมผู เจริญ ! ข อที่ พระองค ตรัสตอบนี้ ขาพเจาไม รูเรื่องเสี ยแล ว ทําใหขาพเจาวนเวียนเสียแลว แมความเลื่อมใสที่ขาพเจามีแลว ตอพระองคในการตรัสไวตอน ตน ๆ บัดนี้ก็ไดลางเลือนไปเสียแลว". วัจ ฉะ ! ที ่ท า นไมรู เ รื ่อ งนั ้น ก็ส มควรแลว ที ่ท า นเกิด รู ส ึก วนเวีย น นั้ น ก็ ส มควรแล ว เพราะธรรมนี้ เ ป น ของลุ ม ลึ ก ยากที่ จ ะเห็ น ยากที่ จ ะรู ต าม, ธรรมนี ้เ ปน ของสงบระงับ ประณ ีต ไมเ ปน วิส ัย ที ่จ ะหยั ่ง ถึง ไดด ว ยการตรึก , ธรรมนี ้เ ปน ของละเอีย ด บัณ ฑิต จึง จะรู ไ ด. เรื ่อ งปริย ายนี ้ ตัว ทา นมีค วามเห็น มากอนหนานี้ เปนอยางอื่น มีความพอใจที่จะฟงใหเปนอยางอื่น มีความชอบใจ

www.buddhadasa.info


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๖๙๙

จะให พ ยากรณ เป น อย า งอื่ น เคยปฏิ บั ติ ทํ า ความเพี ย รเพื่ อ ได ผ ลเป น อย า งอื่ น ท า น เอ งไดม ีค รูบ าอ าจารยเ ปน อ ยา งอื ่น , ฉ ะ นั ้น ทา น จึง รู ไ ดย าก , วัจ ฉ ะ ! ถา เชนนั้น เราจักยอนถามทานดู ทานเห็นควรอยางใด จงกลาวแกอยางนั้น. วั จ ฉะ ! ท า นจะสํ า คั ญ ความข อ นี้ เ ป น ไฉน ถ า ไฟลุ ก โพลงอยู ต อ หน า ทาน ทานจะพึงรูไดหรือ วาไฟนี้ลุกโพลง ๆ อยูตอหนาเรา ?" "ขาแตพระโคดมผูเจริญ ! ขาพเจาพึงรูได พระเจาขา !" วั จ ฉะ ! หากมี ค นถามท า นว า ไฟที่ ลุ ก โพลงอยู ต อ หน า ท า นนี้ มั น อาศัยอะไรจึงลุกได เมื่อถูกถามอยางนี้ ทานจะกลาวแกเขาวาอยางไร ? "ข าแต พระโคดมผู เจริญ ! ไฟที่ ลุ กโพลง ๆ อยู ต อหน านี้ มั นอาศั ยหญ าหรือไม เปนเชื้อมันจึงลุกอยูได พระเจาขา !" วัจ ฉ ะ ! ห า ก ไฟ นั ้น ดับ ไป ตห นา ทา น ทา น จ ะ พ ึง รู ห รือ วา ไฟ ไดดับไปตอหนาเรา ? "ขาแตพระโคดมผูเจริญ ! ขาพเจาพึงรูได พระเจาขา !"

www.buddhadasa.info วั จ ฉะ ! หากมี ค นถาท า นท า นว า ไฟที่ ดั บ ไปต อ หน า ท า นนั้ น มั น ไป ทางทิ ศ ไหนเสี ย ทิ ศ ตะวั น ออกหรื อ ตะวั น ตก ทิ ศ เหนื อ หรื อ ใต เมื่ อ ถู ถ ามอย า งนี้ ทานจะกลาวแกเขาวาอยางไร ?

"ข าแต พระโคดมผู เจริ ญ ! ข อนั้ นไม ควรกล าวอย างนั้ น เพราไฟนั้ นอาศั ยเชื้ อ คือหญ าหรือไม จึงลุกขึ้นได แต ถาเชื้อนั้ นมั นสิ้นไปแล ว ทั้ งไม มี อะไรอื่นเป นเชื้ออี ก ไฟนั้ นก็ ควรนับวาไมมีเชื้อ ดับไปแลว".


๗๐๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

ฉั น ใดก็ ฉั น นั้ น นั่ น แล วั จ ฉะเอย ! เมื่ อ ไป บั ญ ญั ติ อ ะไรขึ้ น ม าให เ ป น สั ต ว (ตถาคต) โดยถื อ เอา รู ป เวทนา สั ญ ญา สั งขาร วิ ญ ญาณ กลุ ม ใดขึ้ น มา มั น ก็ ได , แต ค วามยึ ด ถื อ รู ป เวทนา สั ญ ญา สั ง ขาร วิ ญ ญาณ สํ า หรั บ กลุ ม นี้ ตถาคต เองละได ข าดแล ว ถอนขึ้ น ได จ นถึ ง รากเง า ของมั น แล ว ทํ า ให เ ป น เหมื อ นตาลยอด ด ว นเสี ย แล ว ถึ ง ความยกเลิ ก ไม มี อี ก ไม ให เ กิ ด ขึ้ น อี ก ต อ ไป แล ว . วั จ ฉะเอย ! ตถาคตอยู น อกเหนื อ การนั บ ว า เป น รู ป เวทนา สั ญ ญา สั ง ขาร วิ ญ ญาณ นั้ น เสี ย แลว มัน เปน เรื ่อ งลึก ซึ ้ง ที ่ใ ค ร ๆ ไมพ ึง ป ระม าณ ได ห ยั ่ง ถึง ไดย าก เห มือ น ดั ่ง หว งมหาสมุท รฉะนั ้น . วัจ ฉะเอย ! ขอ นี ้จ ึง ไมค วรจะกลา ววา เกิด ไมค วรจะ กลา ววา ไมเ กิด ไมค วรจะกลา ววา บ างทีก ็เ กิด บ างทีก ็ไ มเ กิด แล ะไมค วรจะ กลาววาเกิดก็ไมใช ไมเกิดก็ไมใช ดังนี้แล. - ม. ม. ๑๓/๒๔๕-๒๔๗/๒๔๘-๒๕๑.

ประมาณเครื่ องกํ าหนด (คื อเกณฑ ที่ ใช วั ดสอบทุ กชนิ ด) ไม มี ทางที่จะเอามาใช แกบุคคลผูถึงซึ่งความดับแหงการยึดถือตัวตน, ทาน ผูเชนนั้น เปนคนที่ไมมีเหตุหรือคุณลักษณะอะไร ๆ ที่ใคร ๆ จะกลาว วาทานเป นอะไร ไดอีกตอไป เมื่อสิ่งทั้งปวงถูกเพิ กถอนความยึดถือ เสียแลว วาทบถ คือ คลองแหงถอยคําสําหรับเรียกสิ่งนั้นทั้งหมด ก็ พลอยถูกเพิกถอน คือไรความหมายไปดวยทั้งสิ้น.

www.buddhadasa.info - สุตฺต. ขุ. ๒๕/๕๓๙/๔๓๐.

หลักการทดสอบตัวเองวาเปนอรหันตหรือไม ภิ ก ษุ ท.! หลั ก เกณ ฑ นั้ น มี อ ยู ซึ่ ง เมื่ อ บุ ค คลอาศั ย แล ว ไม ต อ ง อาศัยความเชื่อ ความชอบใจ การฟงตาม ๆ กันมา การตริตรึกไปตามอาการ


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๐๑

การเห็นวามันเขากันไดกับทิฏฐิของตนเลย ก็อาจพยากรณการบรรลุอรหัตตผล ข อ งต น ได โดยรู ช ัด วา "ชาติสิ ้น แลว พ รหมจรรยอ ยู จ บแลว กิจ ที ่ค วรทํ า ไดทํ า สํ า เร็จ แลว กิจ อื ่น ที ่จ ะตอ งทํ า เพื ่อ ความเปน อยา งนี ้ มิไ ดม ีอ ีก " ดัง นี ้. ภิกษุ ท.! หลักเกณฑนั้น เปนอยางไรเลา? ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ในกรณี นี้ เห็ น รู ป ด ว ยตาแล ว รู ชั ด ราคะโทสะโมหะ ซึ่งเกิดมีอยูในภายในวาเกิดมีอยูในภายใน, รูชัดราคะโทสะโมหะอันไมเกิดมีอยูใน ภายใน ว า ไม เกิ ด มี อ ยู ใ นภายใน. ภิ ก ษุ ท.! เมื่ อ เธอรู ชั ด อยู อ ย า งนี้ แ ล ว ยั ง จํ า เป น อยู อี ก หรื อ ที่ จ ะต อ งรู ธ รรมทั้ ง หลายด ว ยอาศั ย ความเชื่ อ ความชอบใจ การ ฟ ง ตาม ๆ กั น มา การตริ ต รึ ก ไปตามอาการ การเห็ น ว า มั น เข า กั น ได กั บ ทิ ฏ ฐิ ข อง ต น ? "ข อ นั ้ น ห า มิ ไ ด พ ร ะ เจ า ข า !" ภิ ก ษ ุ ท .! ธ ร ร ม ทั ้ ง ห ล า ย เป น สิ ่ ง ที่ ตองเห็นดวยปญญาแลวจึงรู มิใชหรือ ? "ขอนั้น เปนอยางนั้น พระเจาขา !" ภิ กษุ ท ! นี่ แห ล ะ ห ลั ก เกณ ฑ ซึ่ ง เมื่ อ บุ ค ค ล อ าศั ยแล ว ไม ต อ ง อาศั ย ความเชื่ อ ความชอบใจ การฟ ง ตาม ๆ กั น มา การตริ ต รึ ก ไปตามอาการ การเห็ น ว า มั น เข า กั น ได กั บ ทิ ฏ ฐิ ข องตนเลยก็ อ าจพยากรณ ก ารบรรลุ อ รหั ต ตผล ของตนได โดยรู ชั ด ว า "ชาติ สิ้ น แล ว พรหมจรรย อ ยู จ บแล ว กิ จ ที่ ค วรทํ า ได ทํ า สําเร็จแลว กิจอื่นที่จะตองทําเพื่อความเปนอยางนี้มิไดมีอีก" ดังนี้.

www.buddhadasa.info (ในกรณี แหงการ ฟ งเสียงดวยหู ดมกลิ่นดวยจมูก ลิ้มรสด วยลิ้น ถูกตองโผฏฐัพพะ ด ว ยผิ ว กาย และ รูแ จ ง ธรรมารมณ ด ว ยใจ ก็ ได ต รัส ต อ ไปอี ก โดยนั ย อย า งเดี ย วกั น กั บ ในกรณี แ ห ง การเห็นรูปดวยตา ทุกประการ ตางกันแตชื่อเทานั้น). - สฬา. สํ. ๑๘/๑๗๓-๑๗๕/๒๓๙-๒๔๒.


๗๐๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

คําถามที่อาจใชทดสอบความเปนอรหันต (มีหกหมวด) ภิก ษุ ท.! ในกรณ ีนี ้ มีภ ิก ษุพ ยากรณ อ รหัต ตผลวา "ขา พเจา รู ช ัด วา 'ชาติสิ ้น แลว พรหมจรรยอ ยู จ บแลว กิจ ที ่ค วรทํ า ไดทํ า สํ า เร็จ แลว กิจ ที่ จะตอ งทํ า เพื ่อ ความเปน อยา งนี ้ มิไ ดม ีอ ีก ' ดัง นี ้." ภิก ษุ ท.! พวกเธอไมพ ึง รับรองไมพึงคัดคานคํากลาวของภิกษุนั้น. (หมวด ๑ : โวหารสี่) ครั้ น พวกเธอไม ย อมรั บ ไม ได คั ด ค า นแล ว พึ ง ถามป ญ หาว า "อาวุ โส ! โวหารสี่ประการเหลานี้มีอยู อันพระผูมีพระภาคผูรูเห็นผูอรหันตสัมมาสัมพุทธะ ตรัสไวแลวโดยชอบ คือ ความมีปกติกลาววาขาพเจาเห็นแลวในสิ่งที่ไดเห็น ๑ ความมี ป กติ ก ล า วว า ข า พเจ า ฟ ง แล ว ในสิ่ ง ที่ ไ ด ฟ ง ๑ ความมี ป กติ ก ล า วว า ขาพเจารูสึก แลว ในสิ่งที่ไดรูสึก ๑ ความมีป กติก ลา ววา ขาพเจา รูแ จง แลว ใน สิ ่ง ที ่ไ ด รู แ จง ๑. อาวุโ ส ! ก็ท า นรู อ ยู อ ยา งไร เห็น อยู อ ยา งไร จิต ของทา น จึงหลุดพนจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไมยึดถืดในโวหารทั้งสี่ประการนั้น?" ดังนี้.

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท.! ถา ภิก ษุนั ้น เปน ขีณ าสพ มีพ รหมจรรยอ ยู จ บแลว มีก ิจ ที ่ค วรทํ า ไดทํ า เสร็จ แลว มีภ าระปลงลงไดแ ลว มีป ระโยชนต นอัน ตามลุถ ึง แลว มีส ัง โยชนใ นภพสิ ้น รอบแลว หลุด พน แลว เพราะรู โ ดยชอบ จริง , ธรรมที ่ภ ิก ษุ นั ้น สมควรพยากรณ ยอ มมีอ ยา งนี ้ว า "อาวุโ ส! ในสิ ่ง ที ่เ ห็น แลว นั ้น ขา พเจา ไม เขาหา ไม ถ อยหนี ไม อาศั ย ไม ผูก พั น แต ข าพเจาพ น จากอํ านาจแห งมั น ปราศจากกิเลสเครื่องรอยรัด อยูดวยจิตที่ขาพเจากระทําแลวใหเปนจิตปราศจาก


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๐๓

เขตแดนอยู. อาวุโส ! ในสิ่งที่ฟงแลว ก็ดี ในสิ่งที่รูสึกแลว ก็ดี ในสิ่งที่รูแจง แลว ก็ดี นั้น ขาพเจาก็ไมเขาหา ไมถอยหนี ไมอาศัย ไมผูกพัน แตขาพเจา พนจากอํานาจแหงมัน ปราศจากกิเลสเครื่องรอยรัด อยูดวยจิตที่ขาพเจากระทําแลว ใหเ ปน จิต ปราศจากเขตแดนอยู . อาวุโ ส ! เมื ่อ ขา พเจา รูอ ยู อ ยา งนี ้ เห็น อยู อ ย า งนี้ จิ ต ของข า พเจ า จึ ง หลุ ด พ น จากอาสวะทั้ ง หลาย เพราะไม ยึ ด มั่ น ใน โวหารทั ้ง สี ่เ หลา นี ้" ดัง นี ้. ภิก ษุ ท.! พวกเธอพึง ยิน ดีอ นุโ มทนาในคํ า กลา ว ของภิกษุนั้นวา สาธุ ดังนี้. (หมวด ๒ : ปญจุปาทานขันธ) ครั้ น พวกเธอยิ น ดี อ นุ โมทนาดั ง นั้ น แล ว พึ ง ถามป ญ หาให ยิ่ งขึ้ น ไปว า " อาวุโส ! อุป าทานขัน ธห าเหลานี้ มีอ ยู อัน พระผูมี พ ระภาคผูรูผูเห็ นผูอรหั นตสัมมาสัมพุทธะ ตรัสไวแลวโดยชอบคือ รูปูปาทานขันธ ๑ เวทนูปาทานขันธ ๑ สัญูปาทานขันธ ๑ สังขารูปาทานขันธ ๑ วิญญาณูปาทานขันธ ๑. ก็ทานผู มีอายุรูอยูอยางไร เห็นอยูอยางไร จิตของทานจึงหลุดพนจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไมยึดถือในปญจะปาทานขันธเหลานั้น ?" ดังนี้.

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท.! ถา ภิก ษุนั ้น เปน ขีณ าสพ มีพ รหมจรรยอ ยู จ บแลว มีก ิจ ที ่ค วรทํ า ไดทํ า เสร็จ แลว มีภ าระปลงลงไดแ ลว มีป ระโยชนต นอัน ตามลุถ ึง แลว มีส ัง โยชนใ นภพสิ ้น รอบแลว หลุด พน แลว เพราะรู โ ดยชอบ จริง , ธรรมที ่ภ ิก ษุ นั ้น สมควรพยากรณ ยอ มมีอ ยา งนี ้ว า "อาวุโ ส! ขา พเจา รู แ จง วา 'รูป เปน สิ ่ง ที่ ไรกําลัง ไมนากําหนัด ไมเปนที่ตั้งแหงความเบาใจ' ดังนี้แลว ขาพเจารูชัดวา 'จิตของขาพเจาหลุดพ นแลวเพราะความสิ้นไป เพราะความจางคลาย เพราะ ความดับ เพราะความสละทิ้ง เพราะความสลัดคืน ซึ่งความเคยชิน (อนุสัย)


๗๐๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

แหงการตั้งทับและการฝงตัวเขาไปแหงจิต เพราะความยึดมั่นดวยอุปาทานในรูป เหลา นั ้น ' (ในกรณีแ หง เวทนา สัญ ญา สัง ขาร วิญ ญาณ ก็ม ีขอ ความโตต อบอยา งเดีย วกัน กับ ใน กรณ ีแ หง รูป นี ้ จนกระทั ่ง ถึง คํ า วา .... จิต ของขา พ เจา หลุด พน แลว เพ ราะ .... ความ สลั ด คื น ซึ่ ง ความเคยชิ น (อนุ สั ย ) แห ง การตั้ ง ทั บ และการฝ ง ตั ว เข า ไปแห ง จิ ต เพราะความยึ ด มั่ น ดว ยอุป าทานในรูป เหลา นั ้น '.). อาวุโ ส ! เมื ่อ ขา พเจา รู อ ยู อ ยา งนี ้ เห็น อยู อ ยา งนี้

จิ ต ของข า พเจ า จึ งหลุ ด พ น จากอาสวะทั้ ง หลายเพราะไม ยึ ด มั่ น ในป ญ จุ ป าทานขั น ธ เหลานี้". ภิกษุ ท.! พวกเธอพึงยินดีอนุโมทนาในคํากลาวของภิกษุนั้นวาสาธุ. (หมวด ๓ : ธาตุหก) ครั้ น พวกเธอยิ น ดี อ นุ โ มทนาดั ง นั้ น แล ว พึ ง ถามป ญ หาให ยิ่ ง ขึ้ น ไปว า "อาวุโส ! ธาตุหกอยางเหลานี้มีอยู อันพระผูมีพระภาคผูรูผูเห็นผูอรหันตสัมมาสัมพุทธะตรัสไวแลวโดยชอบ คือ ปฐวีธาตุ ๑ อาโปธาต ๑ เตโชธาตุ ๑ วาโยธาตุ ๑ อากาสธาตุ ๑ วิญ ญาณธาตุ ๑. ก็ ท านผู มี อ ายุรูอ ยู อ ย างไร เห็ น อยู อยางไร จิตของทานจึงหลุดพนจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไมยึดมั่นในธาตุทั้งหก อยางเหลานี้ ?" ดังนี้.

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท.! ถา ภิก ษุนั ้น เปน ขีณ าสพ มีพ รหมจรรยอ ยู จ บแลว มีก ิจ ที ่ค วรทํ า ไดทํ า เสร็จ แลว มีภ าระปลงลงไดแ ลว มีป ระโยชนต นอัน ตามลุถ ึง แลว มีส ัง โย ชนใ น ภ พ สิ ้น รอ บ แลว ห ลุด พน แลว เพ ราะรู โ ด ย ชอ บ จริง , ธรรม ที่ ภิก ษุนั ้น สมควรพยากรณ  ยอ มมีอ ยา งานี ้ว า "อาวุโ ส! ขา พเจา เขา ถึง ปฐวี ธาตุโดยความเปนอนัตตา และไมเขาถึงธรรมอันอาศัยปฐวีธาตุวาเปนอัตตา แลว และขาพเจารูชัดวา' จิตของขาพเจาหลุดพนแลวเพราะความสิ้น เพราะความ จางคลาย เพราะความดับ เพราะความสละทิ้ง เพราะความสลัดคืน ซึ่งความ เคยชิน (อนุสัย) แหงการตั้งทับและการฝงตัวเขาไปแหงจิตเพราะความยึดมั่นดวย


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๐๕

อุป าทานอัน อาศัย ปฐวีธ าตุ เหลา นั ้น ' (ในกรณีแ หง อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ อากาสธาตุ และวิ ญ ญ าณ ธาตุ ก็ มี ข อ ความโต ต อบอย า งเดี ย วกั น กั บ ในกรณี แห ง ปฐวี ธ าตุ นี้ จน ก ระ ทั ่ง ถ ึง คํ า วา ....จ ิต ข อ งข า พ เจ า ห ล ุด พ น แ ล ว เพ รา ะ .... ค ว า ม ส ล ัด ค ืน ซึ ่ง ค ว า ม เค ย ช ิน (อนุ สั ย ) แห ง การตั้ ง ทั บ และการฝ ง ตั ว เข า ไปแห ง จิ ต เพราะความยึ ด มั่ น ด ว ยอุ ป าทานอั น อาศั ย ปฐวี ธาตุเ หลา นั ้น .') อาวุโ ส ! เมื ่อ ขา พเจา รู อ ยู อ ยา งนี ้ เห็น อยู อ ยา งนี ้ จิต ของขา พเจา

จึ ง หลุ ด พ น จากอาสวะทั้ ง หลายเพราะไม ยึ ด มั่ น ในธาตุ ทั้ ง หกอย า งเหล า นี้ ". ภิ ก ษุ ท.! พวกเธอพึงยินดีอนุโมทนาในคํากลาวของภิกษุนั้วา สาธุ. (หมวด ๔-๕ : อายตนะใน - นอก) ครั้ น พวกเธอยิ น ดี อ นุ โ มทนาดั ง นั้ น แล ว พึ ง ถามป ญ หาให ยิ่ ง ขึ้ น ไปว า "อาวุ โส ! อายตนะภายในและภายนอก อย า งละหกเหล า นี้ มี อ ยู อั น พระผู มี พระภาคผูรูผูเห็นผูอรหันตสัมมาสัมพุทธะตรัสไวแลวโดยชอบ คือ จักษุและรูป ๑ โสตะและเสี ย ง ๑ ฆานะและกลิ่ น ๑ ชิ ว หาและรส ๑ กายและโผฏฐั พ พ ๑ มโนและธรรมารมณ ๑. ก็ทานผูมีอายุรูอยูอยางไร เห็นอยูอยางไร จิตของทาน จึงหลุดพนจากอาสวะทั้งหลายเพราะไมยึดมั่นในอายตนะทั้งหลาย ทั้งภายในและ ภายนอก อยางละหกเหลานี้ ?" ดังนี้.

www.buddhadasa.info ภิก ษ ุ ท .! ถา ภ ิก ษ ุนั ้น เป น ขีณ าส พ มีพ รห ม จรรยอ ยู จ บ แลว มีก ิจ ที ่ค วรทํ า ไดทํ า เสร็จ แลว มีภ าระปลงลงไดแ ลว มีป ระโยชนต นอัน ตามลุถ ึง แลว มีส ัง โย ช น ใ น ภ พ สิ ้น รอ บ แ ลว ห ลุด พ น แ ลว เพ รา ะ รู โ ด ย ช อ บ จ ริง , ธ รรม ที่ ภิ ก ษุ นั้ น สมควรพยากรณ ย อ มมี อ ย า งนี้ ว า "อาวุ โ ส ! ข า พเจ า รู ชั ด ว า 'ฉั น ทะ ราคะ นั น ทิ ตั ณ หา ความเคยชิ น (อนุ สั ย ) แห งการตั้ งทั บ และการฝ งตั วเข าไป แหงจิตเพราะความยึดมั่นดวยอุปาทาน ใด ๆ ใน จักษุ ใน รูป ใน จักขุวิญญาณ ใน ธรรม ท. อันรูไดวยจักขุวิญญาณ. มีอยู เพราะความสิ้นไป เพราะความ


๗๐๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

จางคลาย ความดั บ ความละทิ้ ง ความสลั ดคืน ซึ่งฉั นทะ ราคะ นั นทิ ตัณ หา ความเคยชิน (อนุสัย) แหงการตั้งทับและการฝงตัวเขาไปแหงจิตเพราะความยึดมั่น ดว ยอุป าทาน นั ้น ๆ แลว จิต ของขา พเจา ก็ห ลุด พน แลว ' ดัง นี ้. (ในกรณีแ หง โสตะและเสีย ง ฆานะและกลิ่น ชิว หาและรส กายะและโผฏฐัพ พะ มโนและธรรมารมณ ก็มี ข อ ความโต ต อบอย า งเดี ย วกั น กั บ ในกรณี แห ง จั ก ษุ แ ละโสตะนี้ จนกระทั่ ง ถึ ง คํ า ว า .... จิ ต ของ ขา พ เจา ก็ห ลุด พน แ ลว ' ดัง นี ้.). อ าวุโ ส ' เมื ่อ ขา พ เจา รู อ ยู อ ยา งนี ้เ ห็น อ ยู อ ยา งนี้

จิ ต ของข า พเจ า จึ ง หลุ ด พ น จากอาสวะทั้ ง หลาย เพราะไม ยึ ด มั่ น ในอายตนะทั้ ง หลายทั้ ง ภายในและภายนอก อย า งละหกเหล า นี้ ." ภิ ก ษุ ท.! พวกเธอพึ ง ยิ น ดี อนุโมทนาในคํากลาวของภิกษุนั้นวา สาธุ. (หมวด ๖ : การถอนอนุสัย) ครั ้น พวกเธอยิน ดีอ นุโ มทนาดัง นั ้น แลว พึง ถามปญ หาใหยิ ่ง ขึ ้น ไปวา "อาวุโส! เมื่อ ทานรูอ ยูอ ยางไร เห็น อยูอ ยางไร ความเคยชิน แหงการถือ ตัว วา เปน เรา ว าเป น ของเรา (อหงฺ ก ารมมงฺ การมานานุ สย) ในกายอั น ประกอบด วย วิญญาณนี้และในนิมิตทั้งหลายทั้งปวงในภายนอก จึงจะถูกถอนขึ้นดวยดี?" ดังนี้.

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท.! ถา ภิก ษุนั ้น เปน ขีณ าสพ มีพ รหมจรรยอ ยู จ บแลว มีก ิจ ที ่ค วรทํ า ไดทํ า เสร็จ แลว มีภ าระปลงลงไดแ ลว มีป ระโยชนต นอัน ตามลุถ ึง แลว มีส ัง โย ช นใ น ภ พ สิ ้น รอ บ แ ลว ห ลุด พน แ ลว เพ รา ะ รู โ ด ย ช อ บ จ ริง , ธ รรม ที่ ภิกษุนั้นสมควรพยากรณ ยอมมีอยางนี้วา :-

"อ าวุโ ส ! ใน ก าล กอ น เมื ่อ ขา พ เจา ค รอ งเรือ น อ ยู  ยัง เป น ผู ไ มรู ไม เห็ น อะไร ครั้ น พระตถาคตหรื อ สาวกของตถาคตแสดงธรรมแก ข า พเจ า ข า พเจ า ฟงธรรมนั้นแลว กลับไดสัทธาในพระตถาคตแลว พิจารณาเห็นอยูวา 'ชีวิต


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๐๗

ฆราวาสเปน ของคับ แคบ เปน ทางมาแหง ธุล ี การบรรพชาเปน โอกาสโลง ไม เป น การง า ยเลยที่ ผู อ ยู ค รองเรื อ นจะประพฤติ พ รหมจรรย ให บ ริ สุ ท ธิ์ บ ริ บู ร ณ โ ดย ส ว นเดี ย วเหมื อ นสั ง ข ที่ เขาขั ด ดี แ ล ว ได ถ า กระไรเราปลงผมและหนวด ครองผ า กาสายะแลว บวชจากเรือ นถึง ความเปน ผู ไ มม ีเ รือ นเถิด ' ดัง นี ้. ครั ้น สมัย อื ่น อี ก ข า พจ า ละกองโภคะใหญ น อ ย ละวงศ ญ าติ ใ หญ น อ ย ปลงผมและหนวด นุงหมผากาสายะ บวชจากเรือน ถึงความเปนผูไมมีเรือนแลว. "ขา พเจา นั ้น ครั ้น บวชแลว อยา งนี ้ ถึง พรอ มดว ยสิก ขาและสาชีพ ของภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย ละปาณาติ บ าต เว น ขาดจากปาณาติ บ าต วางท อ นไม แ ละ ศาสตราเสี ย แล ว มี ค วามละอายต อ บาป มี ค วามเอ็ น ดู ก รุ ณ า หวั ง ประโยชน เกื ้อ กูล แกส ัต วทั ้ง หลายแลว ; ขา พเจา ละการถือ เอาสิ ่ง ของที ่เ จา ของมิไ ดใ ห เว น ขาดจากอทิ น นาทาน ถื อ เอาแต ข องที่ เจ า ของให หวั ง อยู แ ต ใ นของที่ เจ า ของ เขาให เป น คนสะอาดไม เป น คนขโมยแล ว; ข า พเจ า ละกรรมอั น มิ ใช พ รหมจรรย เป น ผู ป ระพฤติ พ รหมจรรย โ ดยปกติ ป ระพฤติ ห า งไกลเว น ขาดจากการเสพเมถุ น อัน เปน ของสํ า หรับ ชาวบา นแลว ; ขา พ เจา ละการกลา วเท ็จ เวน ขาดจาก มุ ส าวาท พู ด แต คํ า จริ ง รั ก ษาคํ า สั ต ย มั่ น คงในคํ า พู ด ควรเชื่ อ ได ไม แ กล ง กล า ว ใหผ ิด ตอ โลกแลว ; ขา พเจา ละการกลา วคํ า สอ เสีย ด เวน ขาดการปส ุณ าวาท ได ฟ ง จากฝ า ยนี้ แ ล ว ไม เ ก็ บ ไปบอกฝ า ยโน น เพื่ อ ทํ า ลายฝ า ยนี้ หรื อ ได ฟ ง จาก ฝ า ยโน น แล ว ไม เ ก็ บ มาบอกฝ า ยนี้ เพื่ อ ทํ า ลายฝ า ยโน น แต จ ะสมานชนที่ แ ตก กั น แล ว ให ก ลั บ พร อ มเพรี ย งกั น อุ ด หนุ น ชนที่ พ ร อ มเพรี ย งกั น อยู ให พ ร อ มเพรี ย ง กัน แลว ; ขา พเจา ละการกลา วคํ า หยาบ เวน ขาดจากผรุส วาท กลา วแตว าจา ที ่ป ราศจากโทษ เสนาะโสต ใหเ กิด ความรัก เปน คํ า ฟูใ จ เปน คํ า สุภ าพ ที่ ชาวเมืองเขาพูดกัน เปนที่ใครที่พอใจของมหาชนแลว; ขาพเจา ละคําพูดที่

www.buddhadasa.info


๗๐๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

โปรยประโยชน ทิ้ ง เสี ย เว น ขาดจากการพู ด เพ อ เจ อ กล า วแต ใ นเวลาสมควร ก ลา ว แ ตคํ า จ ริง เปน ป ระ โย ช น เปน ธ รรม เปน วิน ัย เปน ว า จ า มีที ่ตั ้ง มี หลั ก ฐาน มี ที่ อ า งอิ ง มี เ วลาจบ เต็ ม ไปด ว ยประโยชน สมควรแก เ วลาแล ว ; ขาพเจาเวนขาดจาก การล างผลาญ พื ชคาม และภู ตคามแลว; เป น ผู ฉั น อาหาร วัน หนึ ่ง เพีย งหนเดีย ว เวน จากการ ฉัน ในราตรีแ ละวิก าล; เปน ผู เ วน ขาดจาก การรํ า การขั บ การร อ ง การประโคม และดู ก ารเล น ชนิ ด ที่ เป น ข า ศึ ก แก กุ ศ ล ; เป น ผู เว น ขาดจาก การประดั บ ประดา คื อ ทั ด ทรงตบแต งด ว ยมาลาและของหอม เครื ่อ งลูบ ทา; เปน ผู เ วน ขาดจากการ การนอน บนที ่น อนสูง ใหญ; เปน ผู เ วน ขาดจาก การรับ เงิน และทอง; เวน ขาดจาก การรับ ขา วเปลือ ก;' เวน ขาดจาก การรั บ เนื้ อ ดิ บ การ รั บ หญิ ง และเด็ ก หญิ ง การ รั บ ทาสี แ ละทาส การรั บ แพะ แกะ ไก สุก ร ชา ง มา โค ลา; เวน ขาดจาก การรับ ที ่น า ที ่ส วน; เวน ขาด จาก การรั บ ใช เป น ทู ต ไปในที่ ต าง ๆ (ให ค ฤหั ส ถ ); เว น ขาดจาก การซื้ อ การขาย การฉ อ โกงด ว ยตาชั่ ง การลวงด วยของปลอม การฉ อ ด วยเครื่อ งนั บ (เครื่อ งตวง และเครื่อ งวัด ); เวน ขาดจาก การโกงดว ยการรับ สิน บน และลอ ลวง การตัด การฆา การจําจอง การซุมทําราย การปลน การกรรโชก แลว.

www.buddhadasa.info "ขาพเจ า ได เป น ผู สั น โดษด ว ยจี วร เป น เครื่องบริหารกาย และ ด ว ย บิ ณ ฑบาต เป น เครื่ อ งบริ ห ารท อ ง จะไปในที่ ใ ด ๆ ย อ มถื อ เอาบริ ข ารไปได ห มด เหมือ นนกมีป ก จะบิน ไปในที ่ใ ด ๆ ยอ มมีภ าระคือ ปก ของตนเทา นั ้น บิน ไป, ฉันใดก็ฉันนั้น แลว.

"ข า พเจ า นั้ น ประกอบด ว ยกองศี ล อั น เป น อริ ย ะเช น นี้ แ ล ว จึ ง รู สึ ก พรอมเฉพาะซึ่งอนวัชชสุขในภายในแลว. ขาพเจา เห็นรูปดวยตา แลว ไมถือ


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๐๙

เอาโดยนิ มิ ต (คื อรวบถื อทั้ งหมดวางามหรือไม งามแล วแต กรณี ) ไม ถื อเอาโดยอนุ พ ยั ญ ชนะ (คื อ แยกถื อ เอาแต บ างส ว นว า ส ว นใดงามหรื อ ไม ง ามแล ว แต ก รณี ), บาปอกุ ศ ลกล า วคื อ อภิ ช ฌ าและโทมนั ส พึ ง ไหลไปตามผู ไ ม สํ า รวมอิ น ทรี ย ใ ดเป น เหตุ , ข า พเจ า ปฏิ บั ติ ป ด กั้ น อิ น ทรี ย นั้ น ไว รั ก ษาถึ ง การสํ า รวมอิ น ทรี ย คื อ ตานั้ น แล ว . (ในกรณี แหงการ ฟงเสียงดวยหู ดมกลิ่นดวยจมูก ลิ้มรสดวยลิ้น ถูกตองโผฏฐัพพะดวยผิวกาย และ รูสึก ธรรมารมณดวยใจ ก็มีขอความอยางเดียวกันกับในกรณีแหงการเห็นรูปดวยตาขางบนนี้).

"ขา พเจา นั ้น ประกอบดว ยอิน ทรีย สัง วรอัน เปน อริย ะเชน นี ้แ ลว จึง รูสึ ก พรอ มเฉพาะซึ่ งอั พ ยาเสกสุ ข . ข า พเจ า รู ตั ว รอบคอบ ในการก าวไปข า งหน า การถอยกลับ ไปขา งหลัง , การแลดู การเหลีย วดู, การคู  การเหยีย ด, การ ท รงส ัง ฆ าฏ ิ บ าต ร จีว ร, ก ารฉ ัน ก ารดื ่ม ก ารเคี ้ย ว ก ารลิ ้ม , ก ารถ า ย อุจ จาระ การถา ยปส สาวะ, การไป การหยุด การนั ่ง การนอน การหลับ การตื่น การพูดการนิ่งแลว. "ข า พเจ า นั้ น ประกอบด ว ยกองศี ล อั น เป น อริ ย ะเช น นี้ ด ว ย ประกอบ ด ว ยอิ น ทรี ย สั ง วรอั น เป น อริ ย ะเช น นี้ ด ว ย ประกอบด ว ยสติ สั ม ปชั ญ ญะอั น เป น อริย ะเชน นี ้ด ว ยแลว , ได เสพเสนาสนะอัน สงัด คือ ปา ละเมาะ โคนไม ภูเ ขา ซอกห ว ย ท อ งถ้ํ า ป า ช า ป า ชั ฏ ที่ แ จ ง ลอมฟาง (อย า งใดอย า งหนึ่ ง ); ในกาล เป น ป จ ฉาภั ต ต กลั บ จากบิ ณ ฑบาตแล ว นั่ ง คู บั ล ลั ง ก ตั้ ง กายตรงดํ า รงสติ เฉพาะ หนา , ละอภิช ฌา ในโลก มีจ ิต ปราศจากอภิช ฌา คอยชํ า ระจิต จากอภิช ฌา ; ละพยาบาท อั น เป น เครื่ อ งประทุ ษ ร า ยมี จิ ต ปราศจากพยาบาท; ละถี น ะมิ ท ธะ มุ ง อยู แ ต ค วามสว า งในใจ มี จิ ต ปราศจากถี น ะมิ ท ธะ มี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะรู สึ ก ตั ว คอยชําระจิตจากถีนะมิทธะ; ละอุทธัจจะกุกกุจจะ ไมฟุงซาน มีจิตสงบอยู

www.buddhadasa.info


๗๑๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

ในภายใน คอยชํ า ระจิ ต จากอุ ท ธั จ จะกุ ก กุ จ จะ; ละวิ จิ กิ จ ฉา ข า มล ว งวิ กิ จ ฉา เสี ย ได ไม ต อ งกล า วว า 'นี่ อ ะไร นี่ อ ย า งไร' ในกุ ศ ลธรรมทั้ ง หลาย (เพราะความ สงสัย) คอยชําระจิตจากวิจิกิจฉา แลว. "ข า พเจ า นั้ น ครั้ น ละนิ ว รณ ห า ประการ อั น เป น เครื่ อ งเศร า หมองจิ ต ทํ า ปญ ญาใหถ อยกํ า ลัง เหลา นี ้ไ ดแ ลว ก็ส งัด จากกามและอกุศ ลธรรมทั ้ง หลาย เข าถึ งปฐมฌาน อั นมี วิ ตกวิ จาร มี ป ติ และสุ ขอั นเกิ ดจากวิ เวก แล วแลอยู ; เพราะ สงบวิ ต กวิ จ ารเสี ย ได จึ ง บรรลุ ฌานที่ ๒ เป น เครื่ อ งผ อ งใสในภายใน เป น ที่ เกิ ด สมาธิ แ ห ง ใจ ไม มี วิ ต กวิ จ าร มี แ ต ป ติ แ ละสุ ข อั น เกิ ด แต ส มาธิ แล ว แลอยู ; เพราะ ความจางคลายไปแห งป ติ ย อมอยู อุ เบกขา มี สิ ตสั มปชั ญ ญะ เสวยสุ ขด วยนามกาย บรรลุ ฌ าน ที่ ๓ อั น เป น ฌ านที่ พ ระอริ ย เจ า กล า ว า 'ผู ไ ด ฌ านนี้ เป น ผู อ ยู อุเ บ กขา มีส ติอ ยู เ ปน สุข ' ดัง นี ้ แลว แล อยู ; แล ะเพ ราะล ะสุข แล ะทุก ข เสี ย ได เพราะความดั บ หายไปแห ง โสมนั ส และโทมนั ส ในกาลก อ น จึ ง ได บ รรลุ ฌานที่ ๔ อั น ไม ทุ ก ข ไม สุ ข มี แ ต ค วามที่ ส ติ เป น ธรรมชาติ บ ริ สุ ท ธิ์ เพราะอุ เบกขา แลวแลอยู แลว.

www.buddhadasa.info "ข า พ เจ า นั้ น ครั้ น จิ ต ตั้ ง มั่ นบ ริ สุ ท ธิ์ ผ อ งใส ไม มี กิ เ ลสป ราศจาก อุ ป กิ เลส เป น ธรรมชาติ อ อ นโดยควรแก ก ารงาน ถึ ง ความไม ห วั่ น ไหวตั้ ง อยุ เช น นี้ แล ว ได น อ มจิ ต ไปเฉพาะต อ อาสวั ก ขยญาณ แล ว : ขาพเจ าได รูขั ด แล วตามที่ เปน จริง วา 'นี ้ ทุก ข, นี ้ เหตุใ หเ กิด ทุก ข, นี ้ ความดับ ไมเ หลือ แหง ทุก ข, นี้ หนทางให ถึ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง ทุ ก ข ; ได รู ชั ด แล ว ตามเป น จริ ง ว า 'เหล า นี้ อาสวะ, นี ้ เหตุใ หเ กิด อาสวะ, นี ้ ความดับ ไมเ หลือ แหง อาสวะ, นี ้ห นทาง ใหถึงความดับไมเหลือแหงอาสวะ' ดังนี้. เมื่อขาพเจารูอยูอยางนี้เห็นอยูอยางนี้'


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๑๑

จิต ก็ห ลุด พน แลว แมจ ากกามสวะ แมจ ากภวาสวะ แมจ ากอวิช ชาสวะ. เมื ่อ จิ ต หลุ ด พ น แล ว ก็ เ กิ ด ญาณหยั่ ง รู ว า จิ ต หลุ ด พ น แล ว . ข า พเจ า ได รู ชั ด แล ว ว า ชาติสิ ้น แลว พ รหมจรรยไ ดอ ยู จ บแลว กิจ ที ่ค วรทํ า ไดทํ า สํ า เร็จ แลว กิจ ที่ จะตอ งทํ า เพื ่อ ความหลุด พน อยา งนี ้ม ิไ ดม ีอ ีก ; ดัง นี ้. อาวุโ ส! เมื ่อ ขา พเจา รู อ ยู อ ย า งนี้ เห็ น อยู อ ย า งนี้ ความเคยชิ น แห ง การถื อ ตั ว ว า เป น เราว า เป น ของเรา (อหงฺก ารมมงฺก ารมานานุส ย) ในกายอัน ประกอบดว ยวิญ ญาณนี ้ และในนิม ิต ทั ้ง หลายทั ้ง ปวงในภายนอก จึง ถูก ถอนขึ ้น ดว ยดี" ดัง นี ้. ภิก ษุ ท.! พวกเธอ พึงยินดีอนุโมทนาในคํากลาวของภิกษุนั้นวา สาธุ. ครั้ น พวกเธอยิ น ดี อ นุ โมทนาว า สาธุ ดั ง นี้ แ ล ว พึ ง กล า วแก ภิ ก ษุ นั้ น อยา งนี ้ว า "อ าวุโ ส ! เปน ลาภ ขอ งพ วกเราห น อ ! อาวุโ ส ! พ วกเราไดดี แลวหนอ! ที่พวกเราไดพบเห็นพหรมจารีเชนกับทาน" ดังนี้. - อุปริ. ม. ๑๔/๑๒๓–๑๓๒/๑๖๗-๑๗๗.

สมณะสี่ประเภท

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! ในธรรมวิ นั ย นี้ แ หละ มี ส มณ ะ (ที่ ห นึ่ ง ) มี ส มณ ะที่ ส อง มี ส มณะที่ ส าม มี ส มณะที่ สี่ . ลั ท ธิ อื่ น ว า งจากสมณะแห ง ลั ท ธิ อื่ น . ภิ ก ษุ ท.! เธอ จงบันลือสีหนาทโดยชอบอยางนี้เถิด.

ภิก ษุ ท.! สมณ ะ (ที ่ห นึ ่ง ) เปน อยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท.! ภิก ษุ ในธรรมวิน ัย นี ้ เพราะสิ ้น ไปรอบแหง สัญ โญชนส าม เปน โสดาบัน มีค วาม ไม ต กต่ํ า เป น ธรรมดา เป น ผู เ ที่ ย งแท ต อ พระนิ พ พานมี ก ารตรั ส รู พ ร อ มในเบื้ อ ง หนา. ภิกษุ ท.! นี้แล เปนสมณะ (ที่หนึ่ง).


๗๑๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิก ษุ ท .! ส ม ณ ะ ที ่ส อ ง เปน อ ยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท .! ภิก ษุ ในธรรมวิ นั ย นี้ เพราะสิ้ น รอบแห ง สั ญ โญชน ส าม และเพราะความมี ร าคะโทสะโมหะเบาบาง เป น สภทาคามี มาสู โลกนี้ ค ราวเดี ย วเท า นั้ น ก็ ทํ า ที่ สุ ด แห ง ทุ ก ข ได. ภิกษุ ท.! นี้แล เปนสมณะที่สอง. ภิก ษุ ท .! ส ม ณ ะที ่ส าม เปน อ ยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท .! ภิก ษุ ในธรรมวิ นั ย นี้ เพราะสิ้ น รอบแห ง สั ญ โญชน เบื้ อ งต่ํ า ห า อย า ง เป น โอปปาติ ก ะ (อนาคามี) ยอ มปริน ิพ พานในภพนั ้น ไมเ วีย นกลับ จากโลกนั ้น เปน ธรรมดา. ภิกษุ ท.! นี้แล เปนสมณะที่สาม. ภ ิก ษ ุ ท .! ส ม ณ ะ ที ่สี ่ เป น อ ยา งไรเลา ? ภ ิก ษ ุ ท .! ภ ิก ษ ุใ น ธรรมวินั ย นี้ ได กระทํ าให แ จ งซึ่ งเจโตวิม ตติ ป ญ ญาวิมุ ต ติ อั น หาอาสวะมิ ได เพราะความสิ ้น ไปแหง อาสวะทั ้ง หลาย ดว ยปญ ญาอัน ยิ ่ง เอง ในทิฏ ฐธรรมนี้ เขาถึงแลวแลอยู. ภิกษุ ท.! นี้แล เปนสมณะที่สี่. - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๓๒๓/๒๔๑.

www.buddhadasa.info สมณะสี่ประเภท (อีกนัยหนึ่ง)

ภิ ก ษุ ท.! บุ ค คลสี่ ป ระเภทนี้ มี อ ยู หาได อ ยู ในโลก. สี่ ป ระเภท เหลา ไหนเลา ? สี ่ป ระเภทคือ สมณอจละ สมณปุณ ฑรีก ะ สมณปทุม ะ สมณะ สุขุมาลในหมูสมณะ.

ภิ กษุ ท.! อย างไรเล า เรียกวาบุ คคลผู สมณอจละ (ผู ไม ห วั่น ไหว) ? ภิกษุ ท.! ภิกษุในกรณีนี้ เพราะสิ้นไปรอบแหงสัญโญชนสาม เปน โสดาบัน


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๑๓

มี ค วามไม ต กต่ํ า เป น ธรรมดา เป น ผู เที่ ย งแท ต อ พระนิ พ พาน มี ก ารตรั ส รู พ ร อ ม ในเบื้องหนา. ภิกษุ ท.! อยางนี้แล เรียกวา บุคคลผูสมณอจละ. ภิ ก ษุ ท.! อย างไรเล า เรีย กว า บุ ค คลผู สมณปุ ณ ฑรี ก ะ (ผู เสมื อ น บัว บุณ ฑ ริก )? ภิก ษุ ท.! ภิก ษุใ นกรณ ีนี ้ เพราะสิ ้น ไปรอบแหง สัญ โญ ชน สาม และเพราะความมี ร าคะโทสะโมหะเบางบาง เป น สกทาคามี มาสู โ ลกนี้ ค ราวเดีย วเทา นั ้น ก็ทํ า ที ่ส ุด แ หง ทุก ขไ ด. ภ ิก ษ ุ ท .! อ ยา งนี ้แ ล เรีย ก วา บุคคลผูสมณปุณฑรีกะ. ภิ ก ษุ ท.! อย า งไรเล า เรี ย กว า บุ ค คลผู สมณปทุ ม ะ (ผู เ สมื อ นบั ว ปทุม ) ? ภิก ษุ ท.! ภิก ษุใ นกรณีนี ้ เพราะสิ ้น ไปรอบแหง สัญ โญชนเ บื ้อ งต่ํ า ห า อย า ง เป น โอปปาติ ก ะ มี ก ารปริ นิ พ พานในภพนั้ น ไม เวี ย นกลั บ จากโลกนั้ น เปนธรรมดา. ภิกษุ ท.! อยางนี้แล เรียกวา บุคคลผูสมณปทุมะ. ภิ ก ษุ ท.! อย า งไรเล า เรี ย กว า บุ ค คผู สมณสุ ขุ ม าล (ผู ล ะเอี ย ด อ อ น) ในหมู ส มณะ? ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ในกรณี นี้ กระทํ า ให แ จ ง ซึ่ ง เจโตวิ มุ ต ติ ป ญ ญาวิ มุ ต ติ อั น หาอาสวะมิ ไ ด เพราะความสิ้ น ไปแห ง อาสวะทั้ ง หลาย ด ว ย ปญ ญ าอัน ยิ ่ง เอง ในทิฏ ฐธรรมนี ้ เจา ถึง แลว แลอยู . ภิก ษุ ท.! อยา งนี ้แ ล เรียกวา สมณผูสุขุมาลในหมูสมณะ.

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท.! บุค คลสี ่ป ระเภทเหลา นี ้แ ล มีอ ยู  หาไดอ ยู  ในโลก, ดังนี้แล. - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๑๖/๘๘.


๗๑๔

อริยสัจจากพระโอษฐ สมณะสี่ประเภท(อีกนัยหนึ่ง)

ภิ ก ษุ ท.! บุ ค คลสี่ ป ระเภทนี้ มี อ ยู หาได อ ยู ในโลก. สี่ ป ระเภท เหล า ไหนเล า ? สี่ ป ระเภทคื อ สมณอจละ สมณปุ ณ ฑรี ก ะ สมณปทุ ม ะ สมณสุขุมาลในหมูสมณะ. ภิก ษุ ท.! อยา งไรเลา เรีย กวา บุค คลสมณ อจละ ? ภิก ษุ ท.! ภิก ษุใ นกรณีนี ้ เปน ผู ม ีส ัม มาทิฏ ฐิ มีส ัม มาสัง กัป ปะ มีส ัม มาวาจา มีส ัม มากั ม มั น ตะ มี สั ม มาอาชี ว ะ มี สั ม มาวายามะ มี สั ม มาสติ มี สั ม มาสมาธิ ภิ ก ษุ ท.! อยางนี้แล เรียกวา บุคคสมณอจละ. ภิ ก ษุ ท.! อย า งไรเล า เรี ย กว า บุ ค คลสมณปุ ณ ฑรี ก ะ? ภิ ก ษุ ท.! ภิก ษุใ นกรณีนี ้ เปน ผู ม ีส ัม มาทิฏ ฐิ มีส ัม มาสัง กัป ปะ มีส ัม มาวาจา มีส ัม มากั มมั นตะ มี สั มมาอาชี วะ มี สั มมาวายามะ มี สั มมาสติ มี สั มมาสมาธิ มี สั มมาญาณะ มี สั ม มาวิ มุ ต ติ ; แต เธอนั้ น ไม ถู ก ต อ งซึ่ ง วิ โมกข แ ปด ด ว ยนามกายอยู . ภิ ก ษุ ท.! อยางนี้แล เรียกวา บุคคสมณปุณฑรีกะ.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! อย า งไรเล า เรี ย กว า บุ ค คลสมณ ปทุ ม ะ? ภิ ก ษุ ท.! ภิก ษุใ นกรณีนี ้ เปน ผู ม ีส ัม มาทิฏ ฐิ มีส ัม มาสัง กัป ปะ มีส ัม มาวาจา มีส ัม มากั มมั นตะ มี สั มมาอาชี วะ มี สั มมาวายามะ มั สั มมาสติ มี สั มมาสมาธิ มี สั มมาญาณะ มี สั ม มาวิ มุ ต ติ ; และเธอนั้ น ถู ก ต อ งซึ่ ง วิ โ กข แ ปด ด ว ยนามกาย อยู . ภิ ก ษุ ท.! อยางนี้แล เรียกวา บุคคสมณปทุมะ. ภิ ก ษุ ท.! อย า งไรเล า เรี ย กว า บุ ค คลสมณสุ ขุ ม าลในหมู ส มณะ? ภิกษุ ท.! ภิกษุในกรณีนี้ บริโภคจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลาน-


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๑๕

ป จ จั ย เภสั ช ชบริ ก ขาร ส ว นมาก เพราะเขาอ อ นวอน ที่ ไ ม มี ใ ครอ อ นวอนนั้ น มี เปน สว นนอ ย. เพื ่อ สพรหมจารีผู อ ยู ร ว มกัน ทั ้ง หลาย พากัน ประพฤติก ายกรรม วจีก รรม มโนกรรม ตอ ภิก ษุนั ้น เปน ที ่น า พอใจเปน สว นมาก ที ่ไ ม เปน ที ่น า พอใจนั ้น มีเ ปน สว นนอ ย; นํ า อะไร ๆ มาเปน สว นมากลว นแตน า พอใจ ที ่ไ มน า พอใจมีเ ปน สว นนอ ย. ทุก ขเวทนาที ่เ กิด แตโ รคทางน้ํ า ดี ทางเสมหะ ทางลม ทางสั น นิ บ าต ทางฤดู แ ปรปรวน การบริ ห ารไม ส ม่ํ า เสมอ ออกกํ า ลั ง มากเกิน ไป หรือ เกิด จากวิบ ากแหง กรรมก็ต าม มีไ มม ากแกภ ิก ษุนั ้น , เธอเปน ผู มี อ าพาธน อ ย, อนึ่ ง ภิ ก ษุ นั้ น เป น ผู ไ ด ฌ านทั้ ง สี่ อั น เป น สุ ข วิ ห ารในทิ ฏ ฐธรรม อาศั ย จิ ต อั น ยิ่ ง โดยง า ย โดยไม ย าก โดยไม ลํ า บากเาลย, และเธอทํ า ให แ จ ง ได ซึ ่ง เจโตวิม ุต ติป ญ ญ าวิม ุต ติ อัน หาสวะมิไ ด เพราะความสิ ้น ไปแหง อาสวะ ทั้ ง หลาย ด ว ยป ญ ญ าอั น ยิ่ ง เอง ในทิ ฏ ฐธรรมนี้ เข า ถึ ง แล ว แลอยู . ภิ ก ษุ ท.! อยางนี้แล เรียกวา บุคคลสมณสุขุมาลในหมูสมณะ. ภิ ก ษุ ท.! ถ า จะกล า วกั น โดยชอบ ว า ผู ใ ดเป น สมณ สุ ขุ ม าลในหมู สมณะทั้ ง หลายแล ว ก็ พึ ง กล า วเรานี้ แ หละ ว า ป น สมณสุ ขุ ม าล ในหมู ส มณะทั้ ง หลาย ดังนี้.

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท.! เหลา นี ้แ ล บุค คลสี ่ป ระเภท มีอ ยู  หาไดอ ยู  ในโลก,

ดังนี้แล.

- จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๑๗/๘๙.

สมณะสี่ประเภท (อีกนัยหนึ่ง) ภิ ก ษุ ท.! บุ ค คลสี่ ป ระเภทนี้ มี อ ยุ หาได อ ยู ในโลก. สี่ ป ระเภท เหล า ไหนเล า ? สี่ ป ระเภทคื อ สมณอจละ สมณปุ ณ ฑรี ก ะ สมณปทุ ม ะ สมณสุขุมาลในหมูสมณะ.


๗๑๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ ก ษุ ท.! อย า งไรเล า เรี ย กว า บุ ค คลสมณ อจละ ? ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ใ นกรณี นี้ คื อ เป น เสขะ กํ า ลั ง ปฏิ บั ติ อ ยู ปรารถนาอยู ซึ่ ง ธรรมอั น เกษมจาก โยคะ อั น ไม มี ธ รรมอื่ น ยิ่ ง กว า อยู . เปรี ย บเหมื อ นโอรสองค ใ หญ ข องราชาผู เป น กษั ต ริ ย มุ ร ธาภิ เษก เป น ผู ค วรแก ก ารอภิ เษก แต ยั ง มิ ไ ด รั บ การอภิ เษก ดํ า รงอยู ใน ตํ า แ ห น ง ย ุพ รา ช ฉ ัน ใด ; ภ ิก ษ ุ ท .! ภ ิก ษ ุเ ป น เส ข ะ กํ าล ัง ป ฏ ิบ ัต ิอ ยู ปรารถนาอยู ซึ่ ง ธรรมอั น เกษมจากโยคะ อั น ไม มี ธ รรมอื่ น ยิ่ ง กว า อยู ก็ ฉั น นั้ น เหมือนกัน. ภิกษุ ท.! อยางนี้แล บุคคลสมณอจละ. ภิ ก ษุ ท.! อย า งไรเล า เรี ย กว า บุ ค คลสมณปู ณ ฑรี ก ะ ? ภิ ก ษุ ท.! ภิ กษุ ในกรณี นี้ กระทํ าให แจ งซึ่ งเจโตวิ มุ ตติ ป ญ ญาวิ มุ ตติ อั นหาอาสวะมิ ได เพราะ ความสิ้ น ไปแห งอาสวะทั้ งหลาย ด วยป ญ ญาอั น ยิ่ งเอง ในทิ ฏ ฐธรรมนี้ เข าถึ งแล ว แลอยู ; แตเ ธอหาไดถ ูก ตอ งซึ ่ง วิโ มกขแ ปด ดว ยนามกาย อยู ไ ม. ภิก ษุ ท.! อยางนี้แล เรียกวา บุคคลสมณปุณฑรีกะ. ภิ ก ษุ ท.! อย า งไรเล า เรี ย กว า บุ ค คลสมณ ปทุ ม ะ ? ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ใ นกรณี นี้ กระทํ า ให แ จ ง ซึ่ ง เจโตวิ มุ ต ติ ป ญ ญ าวิ มุ ต ติ อั น หาอาสวะมิ ไ ด เพราะความสิ้ น ไปแห งอาสวะทั้ งหลาย ด วยป ญ ญาอั น ยิ่ งเอง ในทิ ฏ ฐธรรมนี้ เข า ถึง แลว แล อ ยู ; และเธอ ถูก ตอ งวิโ ม กขแ ป ด ดว ย น าม กาย อ ยู .ภิก ษุ ท .! อยางนี้แล เรียกวา บุคคลสมณปทุมะ.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! อย างไรเล า เรีย กว า บุ ค คลสมณสุ ขุ ม าลในหมู ส มณะ ? ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ใ นกรณี นี้ บริ โ ภคจี ว ร บิ ณ ฑบาต เสนาสนะ และคิ ล านป จ จยเภสัชชบริกขาร สวนมากเพราะเขาออนวอน….(ขอความตอไป อยางเดียวกันกับ


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๑๗

ขอ ความ ใน กรณ ีแ หง บุค ค สม ณ สุข ุม าลใน ห มู ค ณ ะ แหง หัว ขอ ที ่แ ลว ม า) .... ภิก ษุ ท .!

อยา งนี ้แ ล เรีย กวา บุค คสมณ สุข ุม าลในหมู ส มณ ะ.... ก็พ ึง กลา วเรานี ้แ หละ วา เปนสมณสุขุมาลในหมูสมณะทั้งหลายดังนี้. ภิก ษ ุ ท .! เห ลา นี ้แ ล บุค ค ล สี ่ป ระเภ ท มีอ ยู  ห าไดอ ยู  ใน โล ก , ดังนี้แล. - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๑๓/๘๗.

สมณะสี่ประเภท(อีกนัยหนึ่ง) ภิ ก ษุ ท.! บุ ค คลสี่ ป ระเภทนี้ มี อ ยู หาได อ ยู ในโลก. สี่ ป ระเภท เห ลา ไห น เลา ? สี ่ป ระ เภ ท คือ ส ม ณ อ จ ล ะ ส ม ณ ปุณ ฑ รีก ะ ส ม ณ ป ทุม ะ สมณสุขุมาลในหมูสมณะ. ภิ ก ษุ ท.! อย า งไรเล า เรี ย กว า บุ ค ค ล ส ม ณ อ จ ล ะ ? ภิ ก ษุ ท.! ภิก ษุใ นกรณีนี ้ เปน เสขะ มีค วามประสงคแ หง ใจอัน ยัง ไมบ รรลุแ ลว ปรารถนา อยู ซึ ่ง ธรรมอัน เกษมจากโยคะ ไมม ีธ รรมอื ่น ยิ ่ง กวา อยู . ภิก ษุ ท.! อยา งนี ้แ ล เรียกวา บุคคลสมณอจละ.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! อย า งไรเล า เรี ย กว า บุ ค คลสมณปุ ณ ฑรี ก ะ ? ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ในกรณี นี้ เป น ผู มี ป กติ ต ามเห็ น ความเกิ ด ขึ้ น และความเสื่ อ มไป ในอุ ป าทานขัน ธทั ้ง หา วา "รูป เปน อยา งนี ้, ความเกิด ขึ ้น แหง รูป เปน อยา งนี ้, ความ ดับ แ หง รูป เปน อ ยา ง นี ้; เว ท น า เปน อ ยา ง นี ้, ค ว า ม เกิด ขึ ้น แ หง เว ท น า เปนอยางนี้, ความดับแหงเวทนา เปนอยางนี้, สัญญา เปนอยางนี้, ความ


๗๑๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

เกิด ขึ ้น แหง สัญ ญ า เปน อยา งนี ้, ความดับ แหง สัญ ญา เปน อยา งนี ้ ; สัง ขาร เปน อยา งนี ้, ความเกิด ขึ ้น แหง สัง ขารเปน อยา งนี ้, ความดับ แหง สัง ขาร เปน อยา งนี ้ ; วิญ ญ าณ เปน อยา งนี ้, ความเกิด ขึ ้น แหง วิญ ญ าณ เปน อยา งนี ้, ความดับ แหง วิญ ญ าณ เปน อยา งนี ้" ดัง นี ้; แตเ ธอไมถ ูก ตอ งซึ ่ง วิโ มกขแ ปด ดวยนามกาย อยู. ภิกษุ ท.! อยางนี้แล เรียกวา บุคคลสมณปุณฑรีกะ. ภิก ษุ ท.! อยา งไรเลา เรีย กวา บุค คสมณ ปทุม ะ ? ภิก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ในกรณี นี้ เป น ผู มี ป กติ ต ามเห็ น ความเกิ ด ขึ้ น และความเสื่ อ มไป ในอุ ป าทานขัน ธทั ้ง หา วา "รูป เปน อยา งนี ้, ความเกิด ขึ ้น แหง รูป เปน อยา งนี ้, ความ ดับ แ หง รูป เปน อ ยา งนี ้; เวท น า เปน อ ยา งนี ้, ค วาม เกิด ขึ ้น แหง เวท น า เป น อย า งนี้ , ความดั บ แห ง เวทนาเป น อย า งนี้ ; สั ญ ญา เป น อย า งนี้ , ความเกิ ด ขึ้ น แห ง สั ญ ญ าเป น อย า งนี้ , ความดั บ แห ง สั ญ ญ า เป น อย า งนี้ ; สั ง ขาร เป น อยา งนี ้, ความเกิด ขึ ้น แหง สัง ขาร เปน อยา งนี ้, ความดับ แหง สัง ขาร เปน อยา งนี ้ ; วิญ ญ าณ เปน อยา งนี ้, ความเกิด ขึ ้น แหง วิญ ญ าณ เปน อยา งนี ้, ความดับ แหง วิญ ญ าณ เปน อยา งนี ้" ดัง นี ้ ; และเธอถูก ตอ งซึ ่ง วิโ มกขแ ปด ดวยนามกาย อยู. ภิกษุ ท.! อยางนี้แล เรียกวา บุคคลสมณปทุมะ.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษ ท.! อย างไรเล า เรีย กว า บุ ค คลสมณสุ ขุ ม าลในหมู ส มณะ ? ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ในกรณี นี้ บริ โภคจี ว ร บิ ณ ฑบาต เสนาสนะ และคิ ล านป จ จยเภสัช ชบริก ขาร สว นมากเพราะเขาออ นวอน.... (ขอ ความตอ ไป อยา งเดีย วกัน กับ ขอ ความในกรณีแ หง บุค คลสมณ สุข ุม าลในหมู ส มณ ะ แหง หัว ขอ ที ่แ ลว มา). ....ภิก ษุ ท.! อย า งนี้ แ ล เรี ย กว า บุ ค คลสมณสุ ขุ ม าลในหมู ส มณะ …. ก็ พึ ง กล า วเรานี้ แ หละ วา เปนสมณสุขุมาลในหมูสมณะทั้งหลาย ดังนี้.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๑๙

ภิ ก ษุ ท .! เห ล านี้ แล บุ ค ค ล สี่ ป ระเภ ท มี อ ยู ห าได อ ยู ใน โล ก , ดังนี้แล - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๑๘/๙๐.

สมณะแหงลัทธิหนึ่ง ๆ ตางจากสมรณะแหงลัทธิอื่น (ระบบลัทธิพรหมจรรยจึงไมเหมือนกัน) ภ ิก ษ ุ ท .! ส ม ณ ะ (ที ่ห นึ ่ง ) ม ีใ น ธ รรม วิน ัย นี ้แ ห ล ะ ; ส ม ณ ะ ที่ ส อ ง มีใ น ธ รรม วิน ัย นี ้ ; ส ม ณ ะ ที ่ส าม มีใ น ธ รรม วิน ัย นี ้; ส ม ณ ะ ที ่สี ่ มีใ น ธรรมวิน ัย นี ้. ลัท ธิอื ่น วา งจากสมณ ะแหง ลัท ธิอื ่น : ภิก ษุ ท! พวกเธอ จงบันลือสีหนาทโดยชอบ อยางนี้เถิด. - มู. ม. ๑๒/๑๒๘/๑๕๔. (บาลี นี้ แ สดงว า ไม อ าจจะถื อ เอาคํ า พู ด เป น หลั ก เพราะคํ า ๆ เดี ย วกั น มี ค วามหมาย ตางกันได และเปนเหตุใหเถียงกันหรือดูหมิ่นกัน; เปนสิ่งที่ตองระวัง).

www.buddhadasa.info ไมอาจจะกลาววาใครดีกวาใคร เพราะอาศัยเหตุสักวาชื่อ (หมวดของพระอริยบุคคล)

(พระเถระชื่ อ สวิ ฏ ฐะนิ ย มชมชอบการปฏิ บั ติ แ บบสั ท ธาวิ มุ ต ต พระมหาโกฏฐิ ต ะนิ ย ม ชมชอบการปฏิบ ัต ิแ บบกายสัก ชี พระสารีบ ุต รนิย มชมชอบการปฏิบ ัต ิแ บบทิฏ ฐิป ต ต ซึ ่ง ลว นแต ตนไดอ าศัย ปฏิบ ัต ิจ นบรรลุข องตน ๆ มาแลว จึง ชวนกัน ไปเฝา พระผู ม ีพ ระภาค เพื ่อ ขอทราบวา ในสามอยา งนั ้น อยา งไหนจะสมควรกวา งดงามกวา ประณ ีต กวา . พระผู ม ีพ ระภาคไดต รัส ตอบวา :-)


๗๒๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

สารี บุ ต ร ! มั น ไม เป น การง า ยที่ จ ะพยากรณ โดยส ว นเดี ย วว า ใน บุคคล ๓ พวกนั้น พวกไหนจะงดงามกวา ประณีตกวา. สารี บุ ต ร ! ฐานะที่ เป น ไปได ก็ มี อ ยู คื อ พวก สั ท ธาวิ มุ ต ต ปฏิ บั ติ แล วเพื่ อ อรหั ต ตผล แต พ วกกายสั ก ขี ยั งเป น เพี ย งสกทาคามี ห รื อ อนาคามี แม พ วก ทิ ฏฐิ ป ตต ก็ ยั งเป นเพี ยงสกทาคามี หรืออนาคามี จึ งไม เป นการง ายที่ จะพยากรณ โดย สวนเดียววา ในบุคคล ๓ จําพวกนั้น พวกไหนงดงามกวา ประณีตกวา. สารี บุ ต ร ! ฐานะที่ เป น ไปได นี้ ก็ มี อ ยู อี ก ว า พวก กายสั ก ขี ปฏิ บั ติ แล ว เพื่ อ อรหั ต ตผล ส ว นพวกสั ท ธาวิ มุ ต ต และพวกทิ ฏ ฐิ ป ต ต ยั งเป น เพี ย งสกทาคามี หรืออนาคามี จึ งไม เป นการงายที่ จะพยากรณ โดยส วนเดี ยวว า ในบุ คคล ๓ จํ าพวก นั้น พวกไหนงดงามกวา ประณีตกวา. สารี บุ ต ร ! ฐานะที่ เป น ไปได นี้ ก็ ยั ง มี อ ยู อี ก ว า พวก ทิ ฏ ฐิ ป ต ต ปฏิ บั ติ แล ว เพื่ อ รหั ต ตผลส ว นพวกสั ท ธาวิ มุ ต ต แ ละพวกกายสั ก ขี เป น เพี ย งสกทาคามี หรื อ อนาคามี ก็ ยั ง มี อ ยู ; สารี บุ ต ร ! จึ ง ไม เ ป น การง า ยที่ จ ะพยากรณ โ ดยส ว น เดียววา ในบุคคล ๓ จําพวกนั้น พวกไหนงดงามกวา ประณีตกวา.

www.buddhadasa.info - ติก. อํ. ๒๐/๑๕๑/๔๖๐.

(ข อความนี้ แสดงว า จะอาศั ยความหมายหรื อคํ าแปลของคํ าว า สั ทธาวิ มุ ตต กายสั กขี ทิ ฏ ฐิ ป ต ต มาเป น เครื่ อ งตั ด สิ น ว า พวกไหนเหนื อ กว า หรื อ ดี ก ว า นั้ น ไม อ าจจะทํ า ได เพราะแต ล ะ พวกยั ง อยู ใ นระยะแห ง การปฏิ บั ติ ที่ สู ง ต่ํ า อย า งไรก็ ไ ด เว น ไว แ ต จ ะถื อ เอาความหมายแห ง ชื่ อ ที่ บั ญ ญั ติ ไ ว เ พื่ อ แสดงผลอั น ชั ด เจนแล ว เช น ชื่ อ ว า โสดาบั น สกทาคามี อนาคามี อรหั น ต เปนตน).


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๒๑

ผูบอกทางและผูเดินทางมีการหลุดพนอยางเดียวกัน ภิ ก ษุ ท.! ตถาคตผู อ รหั น ตสั ม มาสั ม พุ ท ธะ หลุ ด พ น แล ว จาก รู ป เพราะความเบื่ อ หน า ยความคลายกํ า หนั ด ความดั บ และความไม ยึ ด มั่ น จึ ง ได นามวา "สัม มาสัม พุท ธะ". ภิก ษุ ท.! แมภ ิก ษุผู ป ญ ญาวิม ุต ต ก็ห ลุด พน แลว จากรู ป เพราะความเบื่ อ หน า ย ความคลายกํ า หนั ด ความดั บ และความไม ยึ ด มั่น จึงไดนามวา "ปญญาวิมุตต". (ในกรณี แห ง เวท น า สั ญ ญ า สั งขาร และวิ ญ ญ าณ ก็ ได ตรั สไว มี ข อ ค ว า ม

แสดงหลักเกณฑอยางเดียวกันกับในกรณีแหงรูปที่กลาวแลว).

ภิ ก ษุ ท.! เมื่ อ เป น ผู ห ลุ ด พ น จากรู ป เป น ต น ด ว ยกั น ทั้ ง สองพวกแล ว อะไรเป น ความผิ ด แผกแตกต า งกั น อะไรเป น ความมุ ง หมายที่ แ ตกต า งกั น อะไร เป น เครื่ อ งกระทํ า ให แ ตกต า งกั น ระหว า งตถาคตผู อ รหั น ตสั ม มาสั ม พุ ท ธะ กั บ ภิกษุผูปญญาวิมุตต ?

www.buddhadasa.info ภิ กษุ ท.! ตถาคตผู อ รหั น ตสั ม มาสั ม พุ ท ธะ ได ทํ ามรรคที่ ยั งไม เกิ ด ให เ กิ ด ขึ้ น ได ทํ า มรรคที่ ยั ง ไม มี ใ ครรู ใ ห มี ค นรู ได ทํ า มรรคที่ ยั ง ไม มี ใ ครกล า วให เป น มรรคที่ ก ล า วกั น แล ว ตถาคตเป น มั ค คั ญ ู (รู ม รรค) เป น มั ค ควิ ทู (รู แ จ ง มรรค) เปน มัค คโกวิโ ท (ฉล าด ใน ม ม รค ). ภิก ษุ ท.! สว น ส าวก ทั ้ง ห ลายใน กาล นี้ เปนมัคคานุคา (ผูเดินตามมรรค) เปนผูตามมาในภายหลัง. ภิก ษุ ท.! นี ้แ ล เปน ความผิด แผกแตกตา งกัน เปน ความมุ ง หมาย ที่ แ ตกต า งกั น เป น เครื่ อ งกระทํ า ให แ ตกต า งกั น ระหว า งตถาคตผู อ รหั น ตสั ม มาสัมพุทธะ กับภิกษุผูปญญาวิมุตต. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๘๑/๑๒๕.


๗๒๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

ฝเทาไววัดดวยการรูอริยสัจ ภิ ก ษุ ท.! ม า อาชาไนยตั ว เจริ ญ ของพระราชา ประกอบด ว ยองค สี่ ย อ มเป น ม า ที่ คู ค วรแก พ ระราชา เป น ราชู ป โภค ถึ ง ซึ่ ง การนั บ ว า เป น อั ง คาพยพ ของพระราชา. องค ๔ อะไรกัน เลา ? องคสี ่ค ือ สมบูร ณ ด ว ยวรรณ ะ ดว ย พละ ดว ยชวะ ดว ยอาโรหปริณ าหะ (ทรวดทรง). ภิก ษุ ท.! ฉัน เดีย วกัน กั บ ที่ ภิ ก ษุ ป ระกอบด ว ยธรรม ๔ ประการ ย อ มเป น บุ ค คลอาหุ เนยย ปาหุ เนยย ทัก ขิเ ณ ยย อัญ ชลีก รณ ีย และเปน นาบุญ แหง โลกอัน ไมม ีน าบุญ อื ่น ยิ ่ง กวา . ธรรม ๔ ประการ อย า งไรเล า ? สี่ ป ระการคื อ สมบู ร ณ ด ว ยวรรณะ ด ว ยพละ ดวยชวะ ดวยอาโรหปริณาหะ. ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ส มบู ร ณ ด ว ยวรรณ ะ เป น อย า งไรเล า ? ภิ ก ษุ ใ น กรณีนี ้ เปน ผู ม ีศ ีล สํ า รวมดว ยปาติโ มกขสัง วร สมบูร ณด ว ยมรรยาทและโคจร มี ป กติ เห็ น เป น ภั ย ในโทษทั้ ง หลายแม ที่ ถื อ กั น ว า เป น โทษเล็ ก น อ ย สมาทานศึ ก ษา อยูในสิกขาบทั้งหลาย

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท.! ภิก ษุส ม บูร ณ ด ว ยพ ล ะ เปน อยา งไรเลา ? ภิก ษุใ น กรณี นี้ เป น ผู ป รารภความเพี ย ร เพื่ อ ละธรรมอั น เป น อกุ ศ ล เพื่ อ ความถึ ง พร อ ม แห ง ธรรมอั น เป น กุ ศ ล มี กํ า ลั ง (จิ ต ) ทํ า ความเพี ย รก า วไปหน า อย า งมั่ น คง ไม ทอดธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย. ภิก ษุ ท.! ภิก ษุส มบูร ณด ว ยชวะ เปน อยา งไรเลา ? ภิก ษุใ นกรณี นี้ ยอมรูชัดตามเปนจริงวา "ทุกข เปนอยางนี้, เหตุใหเกิดทุกข เปน


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๒๓

อยางนี้, ความดับ ไมเหลือ แหง ทุก ข เปน อยางนี้, ทางดํา เนิน ใหถึงความดับ ไมเหลือแหงทุกข เปนอยางนี้", ดังนี้. ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ส มบู ร ณ ด ว ยอาโรหปริ ณ าหะ เป น อย า งไรเล า ? ภิ ก ษุ ในกรณี นี้ เป น ผู มี ก ารได จี ว ร บิ ณ ฑบาต เสนาสนะ และคิ ล านป จ จยเภสั ช ชบริขารเปนปกติ. ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ป ระกอบด ว ยธรรม ๔ ประการเหล า นี้ แ ล ย อ มเป น บุ ค คลอาหุ เ นยย ปาหุ เนยย ทั ก ขิ เณยย อั ญ ชลี ก รณี ย และเป น นาบุ ญ แห ง โลก อันไมมีนาบุญอื่นยิ่งกวา, ดังนี้แล. - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๓๓๗/๒๕๙. [ในสู ต รถั ด ไป (จตุ กฺ ก .อํ . ๒๑/๓๓๘/๒๖๐) ทรงแสดงลั ก ษณ ะแห ง ภิ ก ษุ ผู ส มบู ร ณ ดว ยชวะ วา ไดแ กภ ิก ษุผู ก ระทํ า ใหแ จง ซึ ่ง เจโตวิม ุต ติป ญ ญาวิม ุต ติอ ัน ไมม ีอ าสวะเพราะความ สิ ้น ไปแหง อาสวะ ดว ยปญ ญ าอัน ยิ ่ง เอง ในทิฏ ฐธรรมนี ้ เขา ถึง แลว แลอยู . คํ า วา "ชวะ" ในที่ นี้ หมายถึ ง ความเร็ ว ของการบรรลุ ธ รรม ก า วล ว งความทุ ก ข เหมื อ นความเร็ ว แห ง ม า มี ฝ เ ท า ดี ฉะนั้น. และในสู ต รอื่ น (๒๐/๓๑๖/๕๓๗) แทรงแสดงลั ก ษณะภิ ก ษุ ผู ส มบู ร ณ ด ว ยเชาว (ชวะ) ว า ได แ ก ภิ ก ษุ ผู เป น โอปปาติ ก อนาคามี มี ก ารปริ นิ พ พานในภพนั้ น ไม มี ก ารเวี ย นกลั บ จากโลกนั้ น เปนธรรมดา เพราะความสิ้นไปแหงโอรัมภาคิยสังโยชนทั้งหา].

www.buddhadasa.info ผูรูจักเลือกเอาฝายดับไมเหลือแหงภพ

คหบ ดี ท. มี ส มณ พ ราหมณ พ วกหนึ่ ง มี ถ อ ยคํ า อย า งนี้ มี ค วาม เห็ น อย า งนี้ ว า "ความดั บ แห ง ภพโดยประการทั้ ง ปวงไม มี " ; แต มี ส มณะพราหมณ อีกพวกหนึ่ง มีถอยคําเปนขาศึกอยางตรงกันขามจากสมณพราหมณเหลานั้น


๗๒๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

โดยกลา ววา "ความดับ แหง ภพโดยประการทั ้ง ปวงมีอ ยู " ดัง นี ้. คหบดี ท.! ท านจะสํ าคั ญ ความข อนั้ นว าอย างไร : สมณพราหมณ เหล านี้ มี ถ อยคํ าเป น ข าศึ ก อยางตรงกันขามตอกันและกันมิใชหรือ ? "อยางนั้น พระเจาขา !" คหบดี ท.! บุ รุ ษ วิ ญ ู ช น (คนกลาง) มาใคร ค รวญอยู ใ นข อ นี้ ว า " สมณพราหมณ พวกที่ มี ถอยคํ ามี ความเห็ นอย างนี้ วา 'ความดั บแห งภพโดยประการ ทั้ ง ปวงไม มี ' ดั ง นี้ นี้ เราก็ ไ ม ไ ด เห็ น ; แม ส มณพราหมณ พ วกที่ มี ถ อ ยคํ า มี ค วาม เห็นอยางนี้วา 'ความดับแหงภพโดยประการทั้งปวง มีอยู' ดังนี้ นี้เราก็ไมรูจัก. ก็เ มื ่อ เราไมรู อ ยู  ไมเ ห็น อยู  จะกลา วโดยโวหารขา งเดีย ว วา ฝา ยนี ้เ ทา นั ้น จริง ฝา ยอื ่น เปลา ดัง นี ้ : นั ้น ก็ไ มเ ปน การสมควรแกเ รา. สํ า หรับ สมณ พราหมณ พวกที่มีถอยคํามีความเห็นอยางนี้วา 'ความดับแหงภพโดยประการทั้งปวงไมมี' ดังนี้ ถา คํ า ของเขาเปน ความจริง . เรื ่อ งก็จ ะเปน ไปไดว า เราจัก มีก ารอุบ ัต ิใ นหมู เ ทพ ที่ ไ ม มี รู ป มี อั ต ตภาพสํ า เร็ จ ด ว ยสั ญ ญา เป น แน น อน ; แต ถ า ถ อ ยคํ า ของสมณพราหมณพ วกที ่ม ีถ อ ยคํ า มีค วามเห็น อยา งนี ้วา 'ความดับ แหง ภพโดยประการ ทั ้ง ปวง มีอ ยู ' ดัง นี ้เ ปน ความจริง , เรื ่อ งก็จ ะเปน ไปไดว า เราจัก ปริน ิพ พาน ในทิ ฏ ฐธรรมนี้ เอง. สํ า หรับ สมณพราหมณ พ วกที่ มี ถ อ ยคํ า มี ค วามเห็ น อย า งนี้ ว า ' ความดั บ แห งภพโดยประการทั้ งปวง ไม มี ' ดังนี้, ทิ ฏ ฐิของเขาก็กระเดี ยดไปใน ทางกํ า หนั ด ย อ มใจ กระเดี ย ดไปในทางประกอบอยู ใ นภพ กระเดี ย ดไปในทาง เพลิ ด เพลิ น ในทางสยบมั ว เมา ในทางยึ ด มั่ น ด ว ยอุ ป าทาน; ฝ า ยสมณพราหมณ พวกที่มีถอยคํามีความเห็นอยางนี้วา 'ความดับแห งภพโดยประการทั้งปวง มีอยู' ดัง นี ้ นั ้น เลา , ทิฏ ฐิข องเขาก็ก ระเดีย ดไปในทางไมกํ า หนัด ยอ มใจ กระเดีย ด ไปในทางไม ป ระกอบอยู ในภพ กระเดี ย ดไปในทางไม เพลิ ด เพลิ น ในทางไม ส ยบ มัวเมา ในทางไมยึดมั่นดวยอุปาทาน" ดังนี้.

www.buddhadasa.info


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๒๕

บุ รุ ษ วิ ญ ู ช นนั้ น ครั้ น ใคร ค รวญเห็ น อย า งนี้ แ ล ว ก็ เลื อ กเอาการ ปฏิบัติฝายที่เปนไปเพื่อเบื่อหนาย คลายกําหนัด ดับไมเหลือ แหงภพทั้งหลาย นั่นเทียว. - ม. ม. ๑๓/๑๑๘/๑๒๑.

ผูอยูอยางคนมีความสุขก็ทําวิราคะใหปรากฎได ภิกษุ ท.! ความบากบั่น ความพากเพียร จะมีผลขึ้นมาไดอยางไร ? ภิก ษุ ท.! ภิก ษุใ นธรรมวิน ัย นี ้ ยอ ม ไมนํ า ความทุก ขม าทับ ถมตน ซึ่งไมมีทุกขทับถม ไมตองสละความสุขอันประกอบดวยธรรมที่มีอยู ดวย และก็ ไมม ัว เมาอยู ใ นความสุข นั ้น ดว ย. ภิก ษุนั ้น รูช ัด อยู อ ยา งนี ้ว า "เมื ่อ เรากํ า ลัง ตั ้ง ไวซึ ่ง การปรุง แตง เหตุแ หง ทุก ขอ ยู เ ปน อารมณ วิร าคะก็เ กิด มีไ ดจ ากการตั ้ง ไว ซึ ่ง ความปรุง แตง นั ้น เปน เหตุ; และเมื ่อ เราเขา ไปเพง อยู ซึ ่ง ตัว เหตุแ หง ทุก ขนั ้น ทํ า ความเพ ง ให เจริ ญ ยิ่ ง อยู วิ ร าคะก็ เกิ ด มี ไ ด " ดั ง นี้ . ภิ ก ษุ นั้ น เมื่ อ ตั้ ง ไว ซึ่ ง การ ปรุ ง แต งเหตุ แ ห งทุ ก ข ใดเป น อารมณ อ ยู วิ ราคะย อ มมี ขึ้ น ได เพราะการตั้ งไว ซึ่ ง การ ปรุ ง แต ง นั้ น เป น เหตุ ดั ง นี้ แ ล ว เธอก็ ตั้ ง ไว ซึ่ ง การปรุ ง แต ง ในเหตุ แ ห ง ทุ ก ข นั้ น เป น อารมณ (ยิ ่ง ขึ ้น ไป); และเมื ่อ เธอเขา ไปเพง ซึ ่ง ตัว เหตุแ หง ทุก ขใ ด ทํ า ความเพง ให เจริ ญ ยิ่ งอยู วิ ราคะย อ มมี ขึ้ น ได ดั งนี้ แ ล ว เธอก็ เจริ ญ ความเพ งในเหตุ แ ห งทุ ก ข นั้ น (ยิ่ ง ขึ้ น ไป). เมื่ อ เธอตั้ ง ไว ซึ่ ง การปรุ ง แต ง เหตุ แ ห ง ทุ ก ข นั้ น ๆ เป น อารมณ อ ยู วิร าคะก็ม ีขึ ้น เพราะการตั ้ง ไวซึ ่ง การปรุง แตนั ้น เปน เหตุ; เมื ่อ เปน ดัง นี ้ ความ ทุก ขนั ้น ของเธอ ก็ส ูญ สิ ้น ไป; เมื ่อ เธอเขา ไปเพง อยู ซึ ่ง ตัว เหตุแ หง ทุก ขนั ้น ๆ ทํ า ความเพง ใหเจริญ ยิ ่ง อยู  วิร าคะก็ม ีขึ ้น เมื ่อ เปน ดัง นี ้ ความทุก ขนั ้น ของเธอ ก็สูญสิ้นไป. (นี้คืออาการที่ความบากบั่น ความพากเพียร เกิดมีผล).

www.buddhadasa.info


๗๒๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ ก ษุ ท.! เปรี ย บเหมื อ นบุ รุ ษ มี จิ ต กํ า หนั ด ปฏิ พั ท ธ พอใจมุ ง หมาย อยา งแรงกลา ในหญิง คนหนึ ่ง , เขาเห็น หญิง นั ้น ยืน อยู  พูด อยู  ระริก ซิก ซี้ อยู ก ับ บุร ุษ อื ่น . โสกะปริเ ทวะทุก ขะโทมนัส อุป ายาส จะพึง เกิด ขึ ้น แกเ ขาใช ไ ห ม ? " อ ย า ง นั ้ น พ ร ะ เ จ า ข า !" ข อ นั ้ น เ พ ร า ะ เ ห ตุ ไ ร เ ล า ? "ข า แ ต พ ร ะ อ ง ค ผู  เ จ ริ ญ ! เพราะวา บุร ุษ นั ้น มีจ ิต กํ า หนัด ปฏิพ ัท ธ พอใจ มุ ง หมายอยา งแรงกลา ในหญ ิง คนนั ้น พระเจา ขา !"

ภิ ก ษุ ท.! ต อ มาบุ รุ ษ คนนั้ น คิ ด ว า "โสกะปริ เทวะทุ ก ขะโทมนั ส อุ ป ายาส เกิ ด ขึ้ น แก เราเพราะเรามี จิ ต กํ า หนั ด ปฏิ พั ท ธ พอใจ มุ ง หมายอย า งแรงกล า ในหญิ ง นั้ น ; ถ า ก ระไร เราจ ะล ะ ฉั น ท ราค ะ ใน ห ญ ิ ง นั ้ น เสี ย " ดั ง นี ้ ; แล ว เขาก็ ล ะเสี ย , ต อ มาเขาก็ เ ห็ น หญิ งคนนั้ น ยื น อยู พู ด อยู ระริ ก ซิ ก ซี้ อ ยู กั บ บุ รุ ษ อื่ น . โสกะปริเ ทวะทุก ขะโทมนัส อุป ายาส จะเกิด ขึ ้น แกเ ขาอีก หรือ ไมห นอ? "หามิไ ด พระเจา ขา !" ขอ นั ้น เพราะเหตุไ รเลา ? "ขา แตพ ระองคผู เจริญ ! เพราะเหตุว า บุรุษนั้นไมมีราคะในหญิงนั้นเสียแลว". .... ภิ ก ษุ ท.! ความบากบั่ น ความพากเพี ย ร จะมี ผ ลขึ้ น มาได แม ด ว ย อาการอยางนี้แล. - อุปริ. ม. ๑๔/๑๓/๑๒-๑๓.

www.buddhadasa.info (ข อ นี้ แ สดงให เห็ น ว า เมื่ อ บุ รุ ษ นั้ น กํ า ลั ง ปรุ ง แต ง เหตุ แ ห ง ความทุ ก ข อ ยู วิ ราคะก็ เกิ ด ขึ้ น ได เมื่ อ เขาเพ ง ดู เหตุ แ ห ง ความทุ ก ข ยิ่ ง ๆ ขึ้ น ไป วิ ราคะก็ ยิ่ ง เกิ ด ขึ้ น จนกระทั่ ง ว า เขาสามารถละ ราคะในหญิง คือ ทุก ขนั ้น เสีย ได. ผู ที ่ย ัง ไมม ีค วามทุก ข ก็อ ยา ไปปรุง แตง เหตุแ หง ความทุก ขขึ ้น มาเลย มี ค วามสุ ข โดยชอบธรรมอยู แ ล ว เพี ย งใด ก็ ไ ม มั ว เมาในความสุ ข นั้ น ก็ จ ะชื่ อ ว า ไม เอา ความทุ ก ข ม าทั บ ถมตนซึ่ ง ไม มี ค วามทุ ก ข อ ยู แ ล ว และมี วิ ร าคะในความทุ ก ข ไ ด นี้ ย อ มเป น สิ่ ง ที่ กระทําได).


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๒๗

ระดับตาง ๆ แหงบุคคลผูถอนตัวขึ้นจากทุกข ภิกษุ ท.! บุ คคลเปรียบดวยบุ คคลตกน้ํ าเจ็ดจําพวก เหลานี้ มีอยู หาไดอยู ในโลก. เจ็ดจําพวกเหลาไหนเลา ? ภิกษุ ท.! ในกรณีนี้ : (๑) บุคคลบางคน จมน้ําคราวเดียวแลวก็จมเลย ; (๒) บุคคลบางคน ผุดขึ้นครั้งหนึ่งแลวจึงจมเลย ; (๓) บุคคลบางคน ผุดขึ้นแลว ยืนอยู ; (๔) บุคคลบางคน ผุดขึ้นแลว เหลียวดูรอบ ๆ อยู ; (๕) บุคคลบางคน ผุดขึ้นแลว วายเขาหาฝง ; (๖) บุคคลบางคน ผุดขึ้นแลว เดินเขามาถึงที่ตื้นแลว ; (๗) บุคคลบางคน ผุดขึ้นแลว ถึงฝงขามขึ้นบกแลว เปนพราหมณ ยืนอยู . ภิกษุ ท.! (๑) บุคคล จมน้ําคราวเดียวแลวก็จมเลย เปนอยางไรเลา ? ภิกษุ ท.! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ประกอบดวยอกุศลธรรมฝายเดียว โดยสวน เดียว. อยางนี้แล เรียกวา จมคราวเดียว แลวจมเลย.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! (๒) บุคคล ผุดขึ้นครั้งหนึ่งแลวจึงจมเลย เปนอยางไรเลา ? ภิก ษุ ท.! บุค คลบางคนในกรณีนี ้ ผุด ขึ ้น คือ มีส ัท ธาดีใ นกุศ ลบธรรมทั ้ง หลาย มีห ิร ิด ี-มีโ อ ต ตัป ป ะดี-มีว ิร ิย ะ ดี-มีป ญ ญ ดีใ น กุศ ล ธ รรม ทั ้ง ห ล าย . แตว า สัท ธาเปน ตน ของเา ไมตั้ง อยูน าน ไมเ จริญ เสื่อ มสิ้น ไป. อยา งนี้แ ลเรีย ก วา ผุดขึ้นครั้งหนึ่งแลวจึงจมเลย. ภิก ษุ ท.! (๓) บุค คล ผุด ขึ ้น แลว ยืน อยู  เปน อยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท.! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ผุดขึ้น คือ มีสัทธาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย มีหิริดี


๗๒๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

-มีโ อ ต ตัป ป ะ ดี-มีว ิร ิย ะ ดี-มีป ญ ญ าดีใ น กุศ ล ธ รรม ทั ้ง ห ล าย . แ ล ะ สัท ธ า เปน ตน ของเขา ไมเ สื ่อ ม ไมเ จริญ แตท รงตัว อยู . อยา งนี ้แ ล เรีย กวา ผุด ขึ้นแลวยืนอยู. ภิ ก ษุ ท.! (๔) บุ ค คล ผุ ด ขึ้ น แล ว เหลี ย วดู ร อบ ๆ อยู เป น อย า งไร เลา ? ภิก ษุ ท.! บุค คลบางคนในกรณีนี ้ ผุด ขึ ้น คือ มีส ัท ธาดีใ นกุศ ลธรรม ทั ้ง หลาย มีห ิร ิด ี-มีโ อตตัป ปะดี – มีว ิร ิย ะดี - มีป ญ ญ าดีใ นกุศ ลธรรมทั ้ง ลาย. บุค คลนั ้น เพราะสิ ้น ไปแหง สัง โยชนส าม เปน โสดาบัน มีค วามไมต ก ต่ํ า เปน ธรรม เปน ผู เ ที ่ย งแทต อ พ ระนิพ พ าน มีก ารต รัส รู พ รอ ม ใน เบื ้อ งหนา . อยางนี้แล เรียกวา ผุดขึ้นแลว เหลียวดูรอบ ๆ อยู. ภิ ก ษุ ท.! (๕) บุ ค คล ผุ ด ขึ้ น แล ว เดิ น เข า หาฝ ง เป น อย า งไรเล า ? ภิก ษุ ท.! บุค คลบางคนในกรณีนี ้ ผุด ขึ ้น คือ มีส ัท ธาดีใ นกุศ ลธรรมทั ้ง หลาย มีห ิร ิด ี-มีโ อตตัป ปะดี-มีว ิร ิย ะดี-มีป ญ ญ าดีใ นกุศ ลธรรมทั ้ง หลาย. บุค คลนั ้น เพราะสิ้ น ไปแห งสั ง โยชน ส าม และเพราะความเบาบางแห ง ราคะโทสะโมหะ เป น สกทาคามี มาสู โ ลกนี ้เ พีย งครั ้ง เดีย ว แลว ทํ า ที ่ส ุด แหง ทุก ขไ ด. อยา งนี ้แ ล เรียกวา ผุดขึ้นแลว เดินเขาหาฝง.

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท.! (๖) บุค คล ผุด ขึ ้น แลว เดิน เขา มาถึง ที ่ตื ้น แลว เปน อยา งไรเลา ? ภิก ษุท .! บุค ค ล บ างคน ใน กรณ ีนี ้ ผุด ขึ ้น คือ มีส ัท ธาดีใ น กุศ ลธรรมทั ้ง หลาย มีห ีริด ี – มีโ อตตัป ปะดี – มีว ิร ิย ะดี - มีป ญ ญาดีใ นกุศ ลธรรม ทั้ ง หลาย. บุ ค คลนั้ น เพราะสิ้ น ไปแห ง โอรั ม ภาคิ ย สั ง โยชน ทั้ ง ห า เป น โอปปาติก ะ มีก ารปริน ิพ พานในภพนั ้น ไมเวีย นกลับ จากโลกนั้น เปน ธรรมดา. อยา ง นี้แล เรียกวา ผุดขึ้นแลว เดินเขามาถึงที่ตื้นแลว.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๒๙

ภิ ก ษุ ท.! (๗) บุ ค คล ผุ ด ขึ้ น แล ว ถึ ง ฝ ง ข า มขึ้ น บกแล ว เป น พราหมณย ืน อยู  เปน อยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท.! บุค คลบางคนในกรณีนี ้ ผุด ขึ ้น คือ มีส ัท ธาดีใ นกุศ ลธรรมทั ้ง หลาย มีห ิร ิด ี-มีโ อตตัป ปะดี-มีว ิร ิย ะดี-มีป ญ ญา ดีใ นกุศ ลธรรมทั ้ง หลาย. บุค คลนั ้น ได กระทํ า หแ จง ซึ ่ง เจโตวิม ุต ติป ญ ญาวิมุ ตติ อั น หาอาสวะมิ ได เพราะความสิ้ นไปแห งอาสวะทั้ งหลาย ด วยป ญ ญาอั น ยิ ่ ง เอ ง ใน ทิ ฏ ฐ ธ รรม นี ้ เ ข า ถึ ง แล ว อ ยู  . อ ย า งนี ้ แ ล เรี ย ก ว า ผุ ด ขึ ้ น แ ล ว ถึงฝงขามขึ้นบกแลว เปนพรามหณยืนอยู. ภิ ก ษุ ท.! เหล า นี้ แ ล บุ ค คลเปรี ย บด ว ยบุ ค คลตกน้ํ า เจ็ ด จํ า พวก ซึ่ ง มีอยู หาไดอยู ในโลก. - สตฺตก. อํ. ๒๓/๑๐/๑๓๕.

นิทเทศ ๑๑ วาดวย ผูดับตัณหา

จบ

www.buddhadasa.info


๗๓๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

นิทเทศ ๑๒ วาดวยอาการดับแหงตัณหา (มี ๖๑ เรื่อง)

อาการดับแหงโลก ภิกษุ ท.! ความดับแหงโลก เปนอยางไรเลา ? ภิ ก ษุ ท.! เพราะอาศั ย ตาด ว ย รู ป ด ว ย จึ ง เกิ ด จั ก ขุ วิ ญ ญ าณ ขึ้ น ; การประจวบ พ ร อ ม (แห ง ตา+รู ป +จั ก ขุ วิ ญ ญ าณ ) ทั้ ง ๓ อย า งนั้ น จึ ง เกิ ด มี ผัส ส ะ ; เพ ราะผัส ส ะเปน ปจ จัย จึง เกิด มีเ วท น า; เพ ราะเวท น าเปน ปจ จัย จึงเกิดมีตัณ หา ; เพราะความดับ ดวยความจางคลายไปโดยไม เหลือแหงตัณ หา นั ้น แหละ จึง มีค วามดับ แหง อุป าทาน ; เพ ราะความดับ แหง อุป าทาน จึง มี ความดับ แหง ภพ ; เพราะความดับ แหง ภพ จึง มีค วามดับ แหง ชาติ; เพราะ ความดับ แหง ชาติ, ชรา มรณะ โสกะ ปริเ ทวะ ทุก ขะ โทมนัส และอุป ายาส จึ ง ดั บ ไม เ หลื อ . ความดั บ ไม เ หลื อ แห ง กองทุ ก ข ทั้ ง สิ้ น นั้ น ย อ มมี ไ ด ด ว ยอาการ อยางนี้.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! นี้คือความดับแหงโลก.

(ในกรณี ที่ เกี่ ย วกั บ อายตนะภายในที่ เหลื อ อี ก ๕ อย า ง ก็ มี ข อ ความอย า งเดี ย วกั น กั บ ในกรณีของตัวอยางขางบนนี้). - สฬา. สํ. ๑๘/๑๐๘/๑๕๗.

อาการดับแหงความทุกข ภิกษุ ท.! ความดับแหงทุกข เปนอยางไรเลา ? ภิ ก ษุ ท.! เพราะอาศั ย ตาด ว ย รู ป ด ว ย จึ ง เกิ ด จั ก ขุ วิ ญ ญ าณ ขึ้ น ; การประจวบพรอม (แหงตา+รูป+จักขุวิญญาณ) ทั้ง ๓ อยางนั้น จึงเกิดมี


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๓๑

ผัส สะ; เพราะผัส สะเปน ปจ จัย จึง เกิด มีเ วทนา ; เพราะเวทนาเปน ปจ จัย จึงเกิดมีตัณ หา; เพราะความดับดวยความจางคลายไปโดยไมเหลือแหงตัณ หา นั ้น แหละ จึง ีค วามดับ แหง อุป าทาน; เพราะความดับ แหง อุป าทาน จึง มีค วาม ดับ แหง ภพ; เพราะความดับ แหง ภพ จึง มีค วามดับ แหง ชาติ; เพราะความดับ แห ง ชาติ , ชรา มรณะ โศก ปริ เทวะ ทุ ก ขะ โทมนั ส และอุ ป ายาส จึ ง ดั บ ไม เหลือ. ความดับไมเหลือแหงทุกขทั้งสิ้นนั้น ยอมมีได ดวยอาการอยางนี้. ภิกษุ ท.! นี้คือความดับแหงทุกข. (ในกรณี ที่ เกี่ ย วกั บ อายตนะภายในที่ เหลื อ อี ก ๕ อย า ง ก็ มี ข อ ความอย า งเดี ย วกั น กับกรณีของตาอยางขางบนนี้). - สฬา. สํ. ๑๘/๑๐๗/๑๕๕.

อาการดับแหงทุกขโดยสังเขปที่สุด ภิก ษุ ท.! ในกาลใด อวิช ชาเปน สิ ่ง ที ่ภ ิก ษุล ะไดแ ลว วิช ชาเปน สิ ่ง ที ่เ กิด ขึ ้น แลว ; ในกาลนั ้น ภิก ษุนั ้น ยอ มไมย ึด มั ่น ซึ ่ง กามุป าทาน, ยอ ม ไมย ึด มั ่น ซึ ่ง ทิฏ ุป าทาน, ยอ มไมย ึด มั ่น ซึ ่ง สีล ัพ -พัต ตุป าทาน, ยอ มไมย ึด มั ่น ซึ ่ง อัต ตวาทุป าทาน; (ทั ้ง นี ้) เพราะการสํ า รอกเสีย ไดห มดซึ ่ง อวิช ชา เพราะ การเกิด ขึ ้น แหง วิช ชา. เมื ่อ ไมย ึด มั ่น อยู , ยอ มไมส ะดุ ง ; เมื ่อ ไมส ะดุ ง , ยอ ม ป ริน ิพ พ าน เฉ พ าะต น นั ่น เท ีย ว. เธอนั ้น ยอ ม รู ช ัด วา "ชาติสิ ้น แลว พรหมจรรย อ ยู จบแล ว กิ จที่ ต อ งทํ าได ทํ าสํ าเร็จแล ว กิ จอื่ น เพื่ อ ความเป น ผู ห ลุ ด พ น อยางนี้มิไดมีอีก" ดังนี้.

www.buddhadasa.info - ม.ม.๑๒/๑๓๕/๑๕๘.


๗๓๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

อาการดับแหงทุกข โดยสังเขป มิ ค ชาละ ! รู ป ทั้ ง หลายที่ จ ะพึ งรู แ จ ง ด ว ยจั ก ษุ อั น เป น รู ป ที่ น า ปรารถนา น า รั ก ใคร น า พอใจ มี ลั ก ษณะน า รั ก เป น ที่ เ ข า ไปตั้ ง อาศั ย อยู แ ห ง ค วาม ใค ร เปน ที ่ตั ้ง แหง ค วาม กํ า ห นัด มีอ ยู . ถา ภิก ษุไ มเ พ ลิด เพ ลิน ไม พ ร่ํ า ส รรเส ริ ญ ไม ส บ มั ว เม า ซึ ่ ง รู ป นั ้ น ไซ ร . เมื ่ อ เธ อ นั ้ น ไม เ พ ลิ ด เพ ลิ น ไมพ ร่ํ า สรรเสริญ ไมส ยบมัว เมา ซึ ่ง รูป นั ้น อยู . นัน ทิย อ มดับ . มิค ชาละ ! เรากลาววา "ความดับแหงทุกขยอมมี เพราะความดับแหงนันทิ" ดังนี้. (ในกรณี แหง เสียงที่จะพึ งรูแจงดวยหู ก็ดี ในกรณี แหง กลิ่น ที่จะพึ งรูแจงดวยจมูก ก็ดี ในกรณีแ หง รสที ่จ ะพึง รูแ จง ดว ยลิ้น ก็ดี ในกรณีแ หง โผฏฐัพ พะที่จ ะพึง รูแ จง ดว ยผิว กาย ก็ด ี และในกรณีแ หง ธรรมารมณที ่จ ะพึง รูแ จง ดว ยใจ ก็ด ี ก็ไ ดต รัส ไวโ ดยนัย อยา งเดีย วกัน กับ ในกรณีแหงรูปที่จะพึงรูแจงดวยจักษุ ทุกประการ ตางกันแตชื่อเทานั้น). - สฬา.สํ. ๑๘/๔๕/๖๙.

อาการดับแหงทุกขโดยสมบูรณ

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท.! เพราะ ความจางคลายดับ ไปไมเ หลือ แหง อวิช ชา นั ้น นั ่น เทีย ว จึง มีค วามดับ แหง สัง ขาร; เพราะมีค วามดับ แหง สัง ขาร จึง มีค วาม ดั บ แห ง วิ ญ ญาณ ; เพราะมี ค วามดั บ แห ง วิ ญ ญาณ จึ ง มี ค วามดั บ แห ง นามรู ป ; เพราะมี ค วามดั บ แห ง นามรู ป จึ ง มี ค วามดั บ แห ง สฬายตนะ ; เพราะมี ค วามดั บ แห งสฬายตนะ จึ งมี ค วามดั บ แห งผั ส สะ; เพราะมี ค วามดั บ แห งผั ส สะ จึ งมี ค วาม ดับ แหง เวทนา ; เพราะมีค วามดับ แหง เวทนา จึง มีค วามดับ แหง ตัณ หา; เพราะ มีความดับแหงตัณหา จึงมีความดับแหงอุปาทาน ; เพราะมีความดับแหงอุปาทาน


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๓๓

จึ ง มี ค วามดั บ แห ง ภพ ; เพราะมี ค วามดั บ แห ง ภพ จึ ง มี ค วามดั บ แห ง ชาติ ; เพราะ มีค วามดับ แหง ชาตินั ่น แล. ชรามรณะ โสกะปริเ ทวะทุก ขะโทมนัส สะอุป ายาส ทั้งหลาย จึงดับสิ้น : ความดับลงแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมีดวยอาการอยางนี้แล. - นิทาน. สํ. ๑๖/๕/๑๘.

อาการดับแหงความทุกข (อีกปริยายหนึ่ง) ภ ิก ษ ุ ท .! ภ ิก ษ ุนั ้น ยอ ม ไม เ พ ล ิด เพ ล ิน ยอ ม ไม พ ร่ํ า ส รรเส ริญ ยอ มไมเมาหมกอยูซึ่ง รูป . เมื ่อ ภิก ษุนั ้น ไมเพลิด เพลิน ไมพ ร่ําสรรเสริญ ไม เมาหมกอยู ซึ ่ง รูป , นัน ทิ (ความเพลิน ) ใด ในรูป ,นัน ทินั ้น ยอ มดับ ไป. เพราะความดับ แหง นัน ทิข องภิก ษุนั ้น จึง มีค วามดับ แหง อุป าทาน; เพราะมี ความดั บ แห ง อุ ป าทาน จึ ง มี ค วามดั บ แห ง ภพ; เพราะมี ค วามดั บ แห ง ภพ จึ ง มี ความดั บ แห ง ชาติ ; เพราะมี ค วามดั บ แห ง ชาติ นั่ น แล ชรามรณะ โสกะปริ เทวะทุก ขะโทมนัส อุป ายาสทั ้ง หลาย จึง ดับ สิ ้น ความดับ ลงแหง กองทุก ขทั ้ง สิ ้น นี้ ยอมมีดวยอาการอยางนี้.

www.buddhadasa.info (ในกรณี แ ห ง เวทนา สั ญ ญา สั ง ขาร และ วิ ญ ญาณ ก็ มี ข อ ความที่ ต รั ส อย า งเดี ย ว กันกับในกรณีแหงรูป). - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๙/๒๙.

อาการดับแหงความทุกข (อีกปริยายหนึ่ง) ภิ กษุ ท.! เมื่ อภิ กษุ เป นผู มี ปรกติ เห็ นโดยความเป นอาที นวะ (โทษอัน ต่ําทราม) ในธรรมทั้งหลาย อันเปนที่ตั้งแหงสังโยชน อยู, การหยั่งลงแหง


๗๓๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

วิญ ญาณย อ มไม มี . เพราะความดั บ แห งวิญ ญาณ จึงมี ค วามดั บ แห งนามรูป ; เพราะมี ค วามดั บ แห งนามรูป จึ งมี ค วามดั บ แห งสฬายตนะ; เพราะมี ค วามดั บ แห ง สฬายตนะ จึ ง มี ค วามดั บ แห ง ผั ส สะ ; เพราะมี ค วามดั บ แห ง ผั ส สะ จึ ง มี ความดั บ แห ง เวทนา ; เพราะมี ค วามดั บ แห ง เวทนา จึ ง มี ค วามดั บ แห ง ตั ณ หา ; เพราะมี ค วามดั บ แห ง ตั ณ หา จึ ง มี ค วามดั บ แห ง อุ ป าทาน ; เพราะมี ค วามดั บ แห ง อุ ป าทาน จึ ง มี ค วามดั บ แห ง ภพ ; เพราะมี ค วามดั บ แห ง ภพ จึ ง มี ค วามดั บ แห ง ชาติ! เพราะมีค วามดับ แหง ชาตินั ่น แล ชรามรณะ โสกะปริเ ทวะทุก ขะโทมนัส อุ ป ายาสทั้ ง หลาย จึ ง ดั บ สิ้ น : ความดั บ ลงแห ง กองทุ ก ข ทั้ ง สิ้ น นี้ ย อ มมี ด ว ย อาการอยางนี้. - นิทาน. สํ. ๑๖/๑๑๐/๒๒๒. [ในสู ต รอื่ น (๑๖/๑๐๙/๒๑๘) มี ข อ ความเหมื อ นสู ต รข า งบนนี้ ต า งแต แ ทนที่ จ ะ ตรัส วา "การหยั ่ง ลงแหง วิญ ญาณ ยอ มไมม ี. เพราะความดับ แหง วิญ ญาณ จึง มีค วามแหง นามรูป ; เพราะมีค วามดับ แหง นามรูป จึง มีค วามดับ แหง สฬายตนะ ;" ดัง ในสูต รขา งบนนี้ แตไ ดต รัส สั ้น ลงมาวา "การหยั ่ง ลงแหง นามรูป ยอ มไมม ี. เพราะความดับ แหง นามรูป จึง มี ความดับแหงสฬายตนะ;" สวนจขอความนอกนั้นเหมือนกันทุกตัวอักษร].

www.buddhadasa.info อาการดับแหงความทุกข (อีกปริยายหนึ่ง)

ภิ ก ษุ ท.! เมื่ อ ภิ ก ษุ เป น ผู มี ป กติ เห็ น โดยความเป น อาที น วะ (โทษอัน ต่ํ า ทราม) ในธรรมทั ้ง หลาย อัน เปน ที ่ตั ้ง แหง อุป าทาน อยู , ตัณ หายอ มดับ . เพราะมีค วามดับ แหง ตัณ หา จึง มีค วามดับ แหง อุป าทาน ; เพราะมีค วามดั บ แหงอุปาทาน จึงมีความดับแหงภพ ; เพราะมีความดับแหงภพ จึงมีความดับ


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๓๕

แหง ชาติ ; เพ ราะมีค วาม แหง ชาตินั ่น แล ชราม รณ ะ โส กะป ริเ ท วะทุก ขะโทมนั ส อุ ป ายาสทั้ ง หลายจึ ง ดั บ สิ้ น : ความดั บ ลงแห ง กองทุ ก ข ทั้ ง สิ้ น นี้ ย อ มมี ดวยอาการอยางนี้. - นิทาน. สํ. ๑๖/๑๐๒/๑๙๘. (ในสู ต รอื่ น (๑๖/๑๐๔/๒๐๒) มี ข อ ความเหมื อ นสู ต รข า งบนนี้ ทุ ก ตั ว อั ก ษร ต า งกั น แตเ พีย งวา ในสูต รขา งบนนี ้ใ ชคํ า วา "ในธรรมทั ้ง หลายอัน เปน ที ่ตั ้ง แหง อุป าทาน " สว นใน สูตรหลังนี้ใชคําวา "ในธรรมทั้งหลาย อันเปนที่ตั้งแหงสังโยชน", เทานั้น).

อาการดับแหงความทุกข (อีกปริยายหนึ่ง) ภิก ษุ ท.! ความรู แ จง นี ้ไ ดเ กิด ขึ ้น แกเ ราวา "หนทางเพื ่อ การตรัส รู นี้ อัน เราไดถึง ทับ แลว แล ; ไดแ กสิ่ง เหลา นี้คือ เพราะความดับ แหง นามรูป จึงมีความดับแหงวิญญาณ ; เพราะมีความดับแหงวิญญาณ จึงมีความดับแหง นามรูป ; เพราะมีค วามดับ แหง นามรูป จึง มีค วามดับ แหง สฬายตนะ ; เพราะ มี ค วามดั บ แห ง สฬายตนะ จึ ง มี ค วามดั บ แห ง ผั ส สะ ; เพราะมี ค ามดั บ แห ง ผั ส สะ จึ ง ความดั บ แห ง เวทนา ; เพราะมี ค วามดั บ แห ง เวทนา จึ ง มี ค วามดั บ แห ง ตั ณ หา ; เพราะมี ค วามดั บ แห ง ตั ณ หา จึ ง ความดั บ แห ง อุ ป าทาน ; เพราะมี ค วามดั บ แห ง อุป าทาน จึง มีค วามดับ แหง ภพ; เพราะมีค วามดับ แหง ภพ จึง มีค วามดับ แหง ชาติ; เพราะมีค วามดับ แหง ชาตินั ่น แล ชรามรณะ โสกะปริเ ทวะทุก ขะโทมนัส อุ ป ายาสทั้ ง หลายจึ ง ดั บ สิ้ น : ความดั บ ลงแห ง กองทุ ก ข ทั้ ง สิ้ น นี้ ย อ มมี ด ว ย อาการอยางนี้" ดังนี้.

www.buddhadasa.info - นิทาน. สํ. ๑๖/๑๒๘/๒๕๒.


๗๓๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

อาการดับแหงความทุกข (อีกปริยายหนึ่ง) (พระผู มี พ ระภาคเมื่ อ ประทั บ อยู ใ นที่ ห ลี ก เร น แห ง หนึ่ ง ได ท รงกล า วธรรมปริ ย ายนี้ ตามลําพังพระองค วา :-)

เพราะอาศั ย ซึ่ ง จั ก ษุ ด ว ย ซึ่ ง รู ป ด ว ย จึ ง เกิ ด จั ก ขุ วิ ญ ญาณ; การ ประจวบพร อ มแห ง ธรรมสามประการ (ตา+รู ป +จั ก ขุ วิ ญ ญาณ) นั่ น คื อ ผั ส สะ; เพราะมี ผั ส สะเป น ป จั ย จึ ง มี เวทนา; เพระมี เ วทนาเป น ป จ จั ย จึ ง มี ตั ณ หา. เพราะความ จางคลายดั บ ไปไม เ หลื อ แห ง ตั ณ หา นั้ น นั่ น แล จึ ง มี ค วามดั บ แห ง อุป าทาน; เพราะมีค วามดับ แหง อุป าทาน จึง มีค วามดับ แหง ภ พ ; เพ ราะมี ความดับ แหง ภพ จึง มีค วามดับ แหง ชาติ; เพราะมีค วามดับ แหง ชาตินั ่น แล, ช ร า ม ร ณ ะ โส ก ะ ป ริ เ ท ว ะ ทุ ก ข ะ โท ม นั ส ส ะ อุ ป า ย า ส ทั ้ ห ล า ย จึ ง ดั บ สิ ้ น . ความดับลงแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. (ในกรณีแ หง โสตะ มานะ ชิว หา กายะ และ มนะ ก็ไ ดต รัส ตอ ไปอีก ซึ ่ง มี ขอความอยางเดียวกันกับในกรณีแหงจักษุ ทุกตัวอักษร ตางกันแตชื่อเทานั้น).

www.buddhadasa.info โด ย ส มัย นั ้น แ ล ภ ิก ษ ุอ งคห นึ ่ง ไดย ืน แ อ บ ฟ ง พ ระ ผู ม ีพ ระ ภ า ค อ ยู . พ ระ ผู มี พระภาคทอดพระเนตรเห็นภิกษุนั้นแลว ไดทรงกลาวกะภิกษุนั้นวา :-

ภ ิ ก ษ ุ ! เธ อ ไ ด  ย ิ น ธ ร ร ม ป ริ ย า ย นี ้ แ ล  ว ม ิ ใ ช ห รื อ ? .... ภ ิ ก ษ ุ ! เธ อ จ งรับ เอ าธ รรม ป ริย าย นี ้ไ ป ; เธ อ จ งเลา เรีย น ธ รรม ป ริย าย นี ้ ; เธ อ จ ง ทรงไวซึ ่ง ธรรมปริย ายนี ้. ภิก ษุ ! ธรรมปริย ายนี ้ ประกอบดว ยประโยชน เปนเบื้องตนแหงพรหมจรรย แล. - สฬา. สํ. ๑๘/๑๑๓/๑๖๔.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๓๗

เหตุดับแหงทุกขที่ตรัสไวโดยอเนกปริยาย ....เพราะความจางคลายดั บ ไปไม เหลื อ แห ง อุ ป ธิ ท. นั่ น เอง ความ มีพรอมแหงทุกขจึงไมมี .... ....เพราะความจางคลายดับ ไปไมเ หลือ แหง อวิช ชา นั ่น เอง ความ มีพรอมแหงทุกขจึงไมมี .... ....เพราะความจางคลายดั บ ไปไม เหลื อ แห ง สั งขาร ท. นั่ น เอง ความ มีพรอมแหงทุกขจึงไมมี.... ....เพราะความจางคลายดั บ ไปไม เหลื อ แห ง วิ ญ ญาณ นั่ น เอง ความ มีพรอมแหงทุกขจึงไมมี.... ....เพราะความจางคลายดั บ ไปไม เหลื อ แห ง ผั ส สะ นั่ น เอง ความมี พรอมแหงทุกขจึงไมมี.... ....เพราะความจางคลายดั บ ไปไม เหลื อ แห ง เวทนา ท. นั่ น เอง ความ มีพรอมแหงทุกขจึงไมมี.... ....เพราะความจางคลายดับ ไปไมเ หลือ แหง ตัณ หา นั ่น เอง ความ มีพรอมแหงทุกขจึงไมมี .... ....เพราะความจางคลายดั บ ไปไม เหลื อ แห ง อุ ป าทาน นั่ น เอง ความ มีพรอมแหงทุกขจึงไมมี .... ....เพราะความจางคลายดั บไปไม เหลื อแห ง อารั ม ภะ (ความเกาะเกี่ ยว) ท. นั่นเองความมีพรอมแหงทุกขจึงไมมี .... ....เพราะความจางคลายดั บ ไปไม เหลื อแห ง อาหาร ท. นั่ น เอง ความ มีพรอมแหงทุกขจึงไมมี....

www.buddhadasa.info


๗๓๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

....เพราะความจางคลายดั บ ไปไม เหลื อแห ง อิ ญ ชิ ต ะ (ความหวั่นไหว) ท. นั่นเอง ความมีพรอมแหงทุกขจึงไมมี.... นี้เปนอนุปสสนาหนึ่ง ๆ. - สุตฺต. ขุ. ๒๕/๔๗๔-๔๗๙/๓๙๒-๔๐๒. (อนุ ป ส สนา ๑๑ ประการนี้ เป น คู กั บ อนุ ป ส สนาอี ก ๑๑ ประการ อั น เป น ฝ า ย สมุ ทั ย ซึ่ ง ได แ ยกไปใส ไ ว ใ นหมวดทุ ก ขสมุ ท ยอริ ย สั จ โดยหั ว ข อ ว า "ป จ จั ย แห ง ทุ ก ข โ ดยอเนกปริย าย" ที ่ห นา ๓๖๘; ผู ศ ึก ษ าพึง สัง เกตเห็น ไดเ องวา การแยกใหเ ปน ปริย ายมากออกไป กระทําไดโดยลักษณะเชนนี้).

ลักษณะการแหงการรูอริยสัจ และการสิ้นอาสวะจบพรหมจรรย มหาราช ! ....ภิ ก ษุ นั้ น ครั้ น จิ ต ตั้ ง มั่ น บริ สุ ท ธิ์ ผ อ งใส ไม มี กิ เ ลส ปราศจากอุป กิเ ลส เปน ธรรมชาติอ อ นโยนควรแกก ารงาน ตั ้ง อยู ไ ดอ ยา งไม หวั ่น ไหว เชน นี ้แ ลว , เธอก็น อ มจติไ ปเฉพาะตอ อาสาวัก ขยญาณ. เธอยอ ม รู ชั ด ตามเป น จิ ร งว า "นี้ ทุ ก ข , นี้ เ หตุ ใ ห เ กิ ด ขึ้ น แห ง ทุ ก ข , นี้ ความดั บ ไมเหลือแหงทุกข, นี้ ทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือ แหงทุกข" และรูชัด ตามเปน จริง วา "เหลา นี้ อาสวะ, นี้เหตุใหเกิด ขึ้น แหง อาสวะ, นี้ ความดับ ไมเหลือแหงอาสวะ, นี้ ทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงอาสวะ” ดังนี้ เมื่อเธอรูอยูอยางนี้ เห็นอยูอยางนี้ จิตก็พ น จากามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ. ครั ้น จิต หลุด พน แลว ก็เ กิด ญ าณ หยั ่ง รู ว า "จิต หลุด พน แลว ". เธอรู ช ัด วา " ชาติ สิ้ น แล ว พรหมจรรย อ ยู จ บแล ว กิ จ ที่ ค วรทํา ได ทํา สํา เร็ จ แล ว กิ จ อื่ น ที่ จ ะต อ งทํา เพื่ อ ความหลุ ด พ น อย า งนี้ มิ ไ ด มี อี ก " ดั ง นี้ .

www.buddhadasa.info


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๓๙

ภ ิก ษ ุ ท .! เป รีย บ เห ม ือ น หว งน้ํ า ใส ที ่ไ ห ลเ ขา ไมขุ น ม ัว , ค น มี จัก ษุด ีย ืน อยู บ นฝ ง ในที ่นั ้น , เขาจะเห็น หอยตา ง ๆ บา ง กรวดและหิน บา ง ฝู ง ปลาบ า ง อั น หยุ ด อยู แ ละว า ยไปในห ว งน้ํ า นั้ น , เขาจะสํ า เหนี ย กใจอย า งนี้ ว า " ห ว งน้ํ า นี้ ใ ส ไม ขุ น เลนย หอย ก อ นกรวด ปลาทั้ ง หลาย เหล า นี้ หยุ ด อยู บ า ง วา ย ไป บา ง ใน หว ง น้ํ า นั ้น ". ขอ นี ้เ ปน ฉัน ใด ; ภิก ษุ ท .! ภิก ษุย อ ม รู ช ัด ตามที ่เ ปน จริง วา นี ้ท ุก ข, นี ้เ หตุใ หเ กิด ขึ ้น แหง ทุก ข, นี ้ ความดับ ไมเ หลือ แหง ทุก ข, นี ้ ทางดํ า เนิน ใหถ ึง ความดับ ไมเ หลือ แหง ทุก ข” และรู ช ัด ตามเปน จริง วา “เหลา นี ้ อาสวะ, นี ้ เหตุใ หเ กิด ขึ ้น แหง อาสวะ, นี ้ ความดับ ไมเ หลือ แหง อาสวะ, นี ้ ทางดํ า เนิน ใหถ ึง ความดับ ไมเ หลือ แหง อาสวะ, ดัง นี ้. เมื ่อ เธอรู อ ยู อ ย า งนี้ เห็ น อยู อ ย า งนี้ จิ ต ก็ พ น จากกามาสวะ ภวาสวะ อวิ ช ชาสวะ. ครั ้น จิต หลุด พน แลว ก็เ กิด ญ าณ หยั ่ง รู ว า "จิต หลุด พน แลว ". เธอรู ช ัด วา " ชาติสิ ้น แลว พรหมจรรยอ ยู จ บแลว กิจ ที ่ค วรทํ า ไดทํ า สํ า เร็จ แลว กิจ อื ่น ที ่จ ะ ตองทําเพื่อความหลุดพนอยางนี้ มิไดมีอีก" ดังนี้. ฉันนั้นเหมือนกัน. - สี. ที. ๙/๑๑๐/๑๓๘.

www.buddhadasa.info ลักษณะของความดับแหงทุกข

ผัคคุนะ ! เพราะความจางคลายดั บ ไปไมเหลือแห งผั สสายตนะทั้ ง หลายหกประการนั้นนั่นแหละ จึงมีความดับแหงผัสสะ ; เพราะมีความดับแหง ผั ส สะ จึ ง มี ค วามดั บ แห ง เวทนา ; เพราะมี ค วามดั บ แห ง เวทนา จึ ง มี ค วามดั บ แหง ตัณ หา; เพราะมีค วามดับ แหง ตัณ หา จึง มีค วามดับ แหง อุป าทาน; เพราะ มี ค วามดั บ แห ง อุ ป าทาน จึ ง มี ค วามดั บ แห ง ภพ; เพราะมี ค วามดั บ แห ง ภพ จึ ง มี ความดับแหงชาติ; เพราะมีความดับแหงชาตินั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะ-


๗๔๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

ทุ ก ขะโทมนั ส สะอุ ป ายาสทั้ ง หลาย จึ ง ดั บ สิ้ น : ความดั บ ลงแห ง กองทุ ก ขทั้ ง สิ้ น นี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้แล. - นิทาน. สํ. ๑๖/๑๗/๓๗.

ลักษณะของความดับแหงทุกข (อีกปริยายหนึ่ง) ภิก ษุ ท.! ก็ถ า วา บุค คลยอ ม ไมค ิด ถึง สิ ่ง ใดดว ย, ยอ ม ไมดํ า ริ ถึ ง สิ่ ง ใดด ว ย, และทั้ ง ย อ ม ไม มี ใ จฝ ง ลงไป (คื อ ไม มี อ นุ สั ย ) ในสิ่ ง ใดด ว ย, ใน กาลใด; ในกาลนั ้น สิ ่ง นั ้น ยอ มไมเ ปน อารมณ เพื ่อ การตั ้ง อยู แ หง วิญ ญ าณ ไดเ ล ย เมื ่อ อ ารม ณ  ไมม ี. ค วาม ตั ้ง ขึ ้น เฉ พ าะ แ หง วิญ ญ าณ ยอ ม ไมม ี ; เมื ่อ วิญ ญาณนั ้น ไมตั ้ง ขึ ้น เฉพาะ ไมเ จริญ งอกงามแลว . การกา วลงแหง นามรูป ยอ ม ไมม ี.เพ ราะความดับ แหง นามรูป จึง มีค วามดับ แหง สฬ ายตนะ ; เพราะมีค วามดับ แหง สฬายตนะ จึง มีค วามดับ แหง ผัส สะ ; เพราะมีค วามดับ แหง ผัส สะ จึง มีค วามดับ แหง เวทนา ; เพราะมีค วามดับ แหง เวทนาจึง ความ ดับ แหง ตัณ ห า; เพ ราะมีค วาม ดับ แหง ตัณ ห า จึง ค วาม ดับ แหง อุป าท าน ; เพราะมี ค วามดั บ แห ง อุ ป าทาน จึ ง มี ค วามดั บ แห ง ภพ ; เพราะมี ค วามดั บ แห ง ภพ จึ ง มี ค วามดั บ แห ง ชาติ ; เพราะมี ค วามดั บ แห ง ชาติ นั่ น แล ชรามรณ ะ โสกะปริเ ทวะทุก ขะโทมนัส อุป ายาสทั ้ง หลาย จึง ดับ สิ ้น : ความดับ ลงแหง กองทุก ข ทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้, ดังนี้แล.

www.buddhadasa.info - นิทาน. สํ. ๑๖/๗๙/๑๔๘.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๔๑

ลักษณะของความดับแหงทุกข (อีกปริยายหนึ่ง) ภิก ษุ ท.! ก็ถ า วา บุค คลยอ ม ไมค ิด ถึง สิ ่ง ใดดว ย, ยอ ม ไมดํ า ริ ถึงสิ่ งใดดวย,. และทั้ งยอม ไม มี ใจฝ งลึ ก ลงไป (คื อ ไม มี อ นุ สัย) ในสิ่งใดด วย, ใน กาลใด; ในกาลนั ้น สิ ่ง นั ้น ยอ มไมเ ปน อารมณ เพื ่อ การตั ้ง อยู แ หง วิญ ญาณ ไดเ ลย . เมื ่อ อารม ณ ไมม ี, ความ ตั ้ง ขึ ้น เฉ พ าะแหง วิญ ญ าณ ยอ ม ไมม ี; เมื ่อ วิญ ญาณนั ้น ไมตั ้งขึ้น เฉพาะ ไมเจริญ งอกงามแลว . เครื่อ งนํ า ไปสู ภ พใหม (นติ=ตัณ หา) ยอ มไมม ี; เมื ่อ เครื ่อ งนํ า ไปสู ภ พใหม ไมม ี, การมาการไป (อาคติค ติ) ยอ มไมม ี ; เมื ่อ การมาการไป ไมม ี, การเคลื ่อ นและการบัง เกิด (จุต +อุป ปาตะ) ยอ มไมม ี; เมื ่อ การเคลื ่อ นและการบัง เกิด ไมม ี, ชาติช รามรณะ โสกะปริ เทวะทุ ก ขะโทมนั ส อุ ป ายาสทั้ ง หลายต อ ไป จึ ง ดั บ สิ้ น : ความดั บ ลงแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้, ดังนี้ แล. - นิทาน. สํ. ๑๖/๘๐/๑๕๐.

ลักษณะของความดับแหงทุกข

www.buddhadasa.info (อีกปริยายหนึ่ง)

ภิก ษุ ท.! ก็ถ า วา บุค คลยอ ม ไมค ิด ถึง สิ ่ง ใดดว ย, ยอ ม ไมดํ า ริ ถึง สิ ่ง ใดดว ย, และทั ้ง ยอ ม ไมม ีใ จฝง ลงไป (โน อนุเ สติ) ในสิ ่ง ใดดว ย, ใน กาลใด; ในกาลนั ้น สิ ่ง นั ้น ยอ มไมเ ปน อารมณ เพื ่อ การตั ้ง อยู แ หง วิญ ญาณ ได เ ลย. เมื่ อ อารมณ ไม มี , ความตั้ ง ขึ้ น เฉพาะแห ง วิ ญ ญ าณ ย อ มไม มี ; เมื่ อ วิญญาณนั้น ไมตั้งขึ้นเฉพาะ ไมเจริญงอกงามแลว, ความเกิดขึ้นแหงภพใหม


๗๔๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

ตอ ไป ยอ มไมม ี ; เมื ่อ ความเกิด ขึ ้น แหง ภพใหมต อ ไป ไมม ี. ชาติช รามรณะ โสกะปริ เทวะทุ ก ขะโทมนั ส อุ ป ายาสทั้ ง หลายต อ ไป จึ ง ดั บ สิ้ น : ความดั บ ลงแห ง กองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้, ดังนี้แล. - นิทาน.สํ. ๑๖/๗๘/๑๔๖.

อาการแหงบุคคลผูหลุดพน อานนท ; รู ป เวทนา สั ญ ญ า สั ง ขารทั้ ง หลาย วิ ญ ญ าณ ชนิ ด ใด ชนิ ด หนึ่ ง มี อ ยู จะเป น อดี ต อนาคตหรื อ ป จ จุ บั น ก็ ต าม เป น ภายในหรื อ ภายนอก ก็ ต าม หยาบหรื อ ละเอี ย ดก็ ต าม เลวหรื อ ประณี ต ก็ ต าม มี อ ยู ใ นที่ ไ กลหรื อ ที่ ใ กล ก็ต าม , ขัน ธทั ้ง ห ม ด นั ้น บุค ค ล พึง เห็น ดว ยปญ ญ าอัน ชอ บ ต าม ที ่เ ปน จริง อยางนี้วา "นั่นไมใชของเรา นั่นไมใชเรา นั่นไมใชตัวตนของเรา" ดังนี้. อานนท ! อริ ย สาวกผู มี ก ารสดั บ แล ว เมื่ อ เห็ น อยู ด ว ยอาการอย า งนี้ ย อ มเกิ ด เบื่ อ หน า ยในรู ป เบื่ อ หน า ยแม ใ นเวทนา เบื่ อ หน า ยแม ใ นสั ญ ญ า เบื่ อ หน า ยแม ใ นสั ง ขาร เบื่ อ หน า ยแม ใ นวิ ญ ญ าณ . เมื่ อ เบื่ อ หน า ย ย อ มจางคลาย ความกํ า หนั ด รั ด รึ ง , เพราะจางคลายไปแห ง ความกํ า หนั ด ย อ มหลุ ด พ น ไปได , เมื ่อ หลุด พน แลว ก็ม ีญ าณ รู ขึ ้น วา ห ลุด พน แลว ดัง นี ้. อ ริย สาวกนั ้น ยอ ม รู ช ัด แจง วา ชาติสิ ้น แลว พ รห ม จรรยไ ดอ ยู จ บ แลว กิจ ที ่ค วรทํ า ไดทํ า สํ า เร็จ แลว กิจอื่นที่จะตองทําเพื่อความหลุดพนอยางนี้ มิไดมีอีก, ดังนี้แล.

www.buddhadasa.info - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๒๘-๒๒๙/๓๖๔-๓๖๕.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๔๓

อาการดับแหงตัณหาในนามแหงนันทิ ภิก ษุ ท.! ....ภิก ษุนั ้น เห็น รูป ดว ยตาแลว ยอ มไมกํ า หนัด ยิน ดี ในรูป อัน มีล ัก ษณะเปน ที ่ตั ้ง แหง ความรัก ; ยอ มไมข ัด เคือ งในรูป อัน มีล ัก ษณะ เป น ที่ ตั้ ง แห ง ความเกลี ย ดชั ง ; เป น ผู อ ยู ด ว ยสติ เป น ไปในกายอั น ตนเข า ไปตั้ ง ไว แล ว มี จิ ต หาประมาณมิ ไ ด ด ว ย ; ย อ มรู ชั ด ตามเป น จริ ง ซึ่ ง เจโตวิ มุ ติ ป ญ ญาวิมุตติ อันเปนธรรมที่ดับโดยไมเหลือแหงธรรมอันเปนบาปอกุศลทั้งหลาย ดวย. ภิ กษุ นั้ น เป นผู ละเสี ยได แล วซึ่ งความยิ นดี และความยิ นรายอย างนี้ แล ว เสวยเวทนาใด ๆ อั น เป น สุ ข ก็ ต าม เป น ทุ ก ข ก็ ต าม ไม เป น ทุ ก ข ไม เป น สุ ข ก็ ต าม ยอมไมเพลิดเพลิน ไมพร่ําสรรเสริญ ไมเมาหมกอยู ในเวทนานั้น ๆ. เมื่อภิกษุนั้น ไมเพลิดเพลิน ไมพร่ําสรรเสริญ ไมเมาหมกอยู ใน เวทนานั้น ๆ ; นันทิ (ความกําหนัดยินดีเพราะไดตามใจอยาก) ในเวทนาทั้งหลาย เหล า นั้ น ย อ มดั บ ไป. เพราะความดั บ แห ง นั น ทิ ข องภิ ก ษุ นั้ น จึ ง มี ค วามดั บ แห ง อุป าทาน; เพราะมีค วามดับ แหง อุป าทาน จึง มีค วามดับ แหง ภพ; เพราะมี ความดั บ แห ง ภพ จึ ง มี ค วามดั บ กห ง ชาติ ; เพราะมี ค วามดั บ แห ง ชาติ , ชรามรณะ โสกะปริเ ทวะทุก ขะโทมนัส อุป ายาสทั ้ง หลาย จึง ดับ สิ ้น . ความดับ ลงแหงกองทุกขทั้งหมดนี้ ยอมมีดวยอาการอยางนี้.

www.buddhadasa.info (ในกรณีแหง การไดยินเสียงดวยหู รูสึกลิ่นดวยจมูก ลิ้มรสดวยลิ้น ถูกตองสัมผัส ทางผิวหนังดวยผิวกาย และ รูแจงธรรมารมณดวยใจ ก็ไดตรัสไวทํานองเดียวกัน).


๗๔๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิกษุ ท.! เธอจงทรงธรรมะนี้ไว ในฐานะที่เปนธรรมทําความหลุด พนเพราะความสิ้นไปแหงตัณหา ซึ่งเรากลาวไวโดยสังเขป. - มู. ม. ๑๒/๔๙๔/๔๕๘. (เกี่ ย วกั บ เรื่ อ งการทํ า ความหลุ ด พ น เพราะความสิ้ น ไปแห งตั ณ หาซึ่ งตรั ส ไว โดยสั งเขป ดัง ต รัส ใน สูต รขา ง บ น นี ้ ใน สูต ร อื ่น (ม ู. ม .๑๒/๔๗๐/๔๓๙ ; ส ต ฺต ก . อํ.๒๓/๙๐/๕๘) ได ตรัส ไววา ภิก ษุที ่ไดส ดับ แลว วา สิ่ง ทั้ง ปวงไมค วรยึด มั ่น ถือ มั่น ชื่อ วา รูยิ่งธรรมทั ้ง ปวงรอบรูธ รรม ทั้ ง ปวง เสวยเวทนาใด ๆ เป น ผู ต ามเห็ น ความไม เที่ ย ง ความจางคลาย ความดั บ ความสลั ด คื น ในเวทนานั้ น ๆ ประจํ า ย อ มไม ยึ ด มั่ น สิ่ ง ใด ๆ ในโลก ไม ส ะดุ ง หวาดเสี ย ว ปริ นิ พ พานเฉพาะตน, ดังนี้ก็มี).

สักกายนิโรธ ภิกษุ ท.! สักกายนิโรธ เปนอยางไรเลา ? ภิ ก ษุ ท.! ความจางคลายดั บ ไปไม เหลื อ ความสละทิ้ ง ความสลั ด คืน ความปลอย ความทําไมใหมีที่อาศัย ซึ่งตัณหานั้นนั่นเอง. ภิกษุ ท.! นี้เราเรียกวา สักกายนิโรธ. - ขนฺธ.สํ. ๑๗/๑๙๔/๒๘๙. (ตามธรรมดาการดั บ แห ง ตั ณ หานี้ ตรั ส เรี ย กว า ทุ ก ขนิ โรธ แต ใ นสู ต รนี้ ต รั ส เรี ย กว า สักกายนิโรธ. ในสูตรอื่น (๑๗/๑๙๒/๒๗๗) ตรัสเรียกวา สักกายนิโรธันตะ ก็มี).

www.buddhadasa.info อาการแหงการละอวิชชา โดยยอ

"ขาแต พระองค ผู เจริญ ! ธรรมอย างหนึ่ งมี อยู หรือไม หนอ ซึ่งเมื่ อภิ กษุ ละได แลว อวิชชายอมละไป วิชชายอมเกิดขึ้น พระเจาขา ?"


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๔๕

ภิกษุ ! ธรรมอยางหนึ่งนั้น มีอยูแล ....ฯลฯ.... "ขาแตพระองคผูเจริญ ! ธรรมอยางหนึ่งนั้คืออะไรเลาหนอ ....ฯลฯ....?" ภิ ก ษุ ! อวิ ช ชา นั่ น แล เป น ธรรมอย า งหนึ่ ง ซึ่ ง เมื่ อ ภิ ก ษุ ล ะได แ ล ว อวิชชายอมละไป วิชชายอมเกิดขึ้น. "ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! เมื่ อภิ กษุ รู อยู อย างไร เห็ นอยู อย างไร อวิ ชชาจึ งจะ ละไปวิชชาจึงจะเกิดขึ้น พระเจาขา ?" ภิก ษุ ! หลัก ธรรมอัน ภิก ษุใ นกรณ ีนี ้ไ ดส ดับ แลว ยอ มมีอ ยู ว า "สิ ่ง ทั้งหลายทั้งปวง อันใคร ๆ ไมควรยึดมั่นถือมั่น (วาเปนตัวเรา-ของเรา)" ดังนี้. ภิก ษุ! ถา ภิก ษุไ ดส ดับ หลัก ธรรมขอ นั ้น อยา งนี ้ว า "สิ ่ง ทั ้ห ลายทั ้ง ปวง อัน ใคร ๆ ไมค วรยึด มั ่น ถือ มั ่น " ดัง นี ้แ ลว ไซร, ภิก ษุนั ้น ยอ ม รู ยิ ่ง ซึ ่ง ธรรมทั ้ง ปวง; ครั ้น รู ยิ ่ง ซึ ่ง ธรรม ทั ้ง ป วงแลว ยอ ม รอ บ รู ซึ ่ง ธรรม ทั ้ง ป วง; ครั ้น รอบรู ซึ ่ง ธรรม ทั้ง ปวงแลว เธอยอ ม เห็น ซึ ่ง นิม ิต ทั ้ง หลายของสิ ่ง ทั ้ง ปวง โดยประการอื ่น ๑; คือ ยอ มเห็น ซึ ่ง จัก ษุโ ดยประการอื ่น ; เห็น ซึ ่ง รูป ทั ้ง หลายโดยประการอื ่น ; เห็น ซึ ่ง จัก ขุว ิญ ญาณ โดยประการอื ่น ; เห็น ซึ ่ง จัก ขุส ัม ผัส โดยประการอื ่น ; เห็ น ซึ่ ง เวทนา อั น เป น สุ ข ก็ ต าม ทุ ก ข ก็ ต าม อทุ ก ขมสุ ข ก็ ต าม ที่ เ กิ ด ขึ้ น เพราะ จักขุสัมผัสเปนปจจัย โดยประการอื่น.

www.buddhadasa.info (ในกรณี แหง โสตะ มานะ ชิวหา กายะ มนะ และ ธรรมทั้งหลายที่สัมปยุตตดวย โสตะฆานะ ชิว หา กายะ และมนะ นั ้น ๆ ก็ด ี ก็ไ ดต รัส ไวม ีน ัย อยา งเดีย วกัน กับ ในกรณีแ หง จักษุและธรรมทั้งหลายที่สัมปยุตตดวยจักษุ ตางกันแตชื่อ).

๑. เมื ่อ บุค คลรู แ จง สิ ่ง ทั ้ง ปวงโดยถูก ตอ งแลว ยอ มเห็น สิ ่ง ทั ้ง ปวงโดยประการอื ่น จากที ่เ ขาเคย เห็น เมื ่อ ยัง ไมรู แ จง ; เชน เมื ่อ กอ นเห็น วา สัง ขารเปน ของเที ่ย ง บัด นี ้ย อ มเห็น โดยเปน ของ ไมเ ที ่ย ง เปน ตน : นี ้เ รีย กวา เห็น โดยป ระการอื ่น . คํ า วา นิม ิต ห ม ายถึง ลัก ษ ณ ะห นึ ่ง ๆ ของสิ่งตางๆ ที่ เปนเครื่องสังเกต หรือรูสึก หรือยึดถือ หรือสําคัญมั่นหมาย.


๗๔๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ ก ษุ ! เมื่ อ ภิ ก ษุ รู อ ยู อ ย า งนี้ เ ห็ น อยู อ ย า งนี้ แ ล อวิ ช ชาจึ ง จะละไป วิชชาจึงจะเกิดขึ้น. - สฬา.สํ. ๑๘/๖๒/๙๖.

กระแสการปรุงแตงแหงการเกิดวิมุตติญาณทัสสนะ ภิ ก ษุ ท.! เมื่ อ ส ติ สั ม ป ชั ญ ญ ะ มี อ ยู , หิ ริ แ ละโอตั ป ป ะของผู มี สติสัมปชัญญะอันถึงพรอมแลว ก็เปนหิริโอตตัปปะถึงพรอมดวยอุปนิสัย๑; เมื่ อ หิ ริ แ ละโอตตั ป ปะ มี อ ยู , อิ น ทรี ย สั ง วรของผู ถึ ง พร อ มแล ว ด ว ย หิริและโอตตัปปะ ก็เปนอินทรียสังวรถึงพรอมดวยอุปนิสัย ; เมื ่อ อิน ทรีย สัง วร มีอ ยู , สีล ของผู ถ ึง พรอ มแลว ดว ยอิน ทรีย สัง วร ก็เปนสีลถึงพรอมดวยอุปนิสัย ; เมื่ อ สี ล มี อ ยู , สั ม มาสมาธิ ข องผู ถึ ง พร อ มแล ว ด ว ยสี ล ก็ เป น สั ม มาสมาธิถึงพรอมดวยอุปนิสัย ; เมื่ อ สั ม มาสมาธิ มี อ ยู , ยถาภู ต ญาณทั ส สนะของผู ถึ งพร อ มแล วด วย สัมมาสมาธิ ก็เปนยถาภูตญาณทัสสนะถึงพรอมดวยอุปนิสัย ; เมื่ อ ยถาภู ติ ญ าณทั ส สนะ มี อ ยู , นิ พ พิ ท า วิ ร าคะ ของผู ถึ ง พร อ ม แลวดวยยถาภูตญาณทัสสนะ ก็เปนนิพพิทาวิราคะถึงพรอมดวยอุปนิสัย ;

www.buddhadasa.info

๑. อุป นิส ัย หมายถึง ที ่ตั ้ง ที ่อ าศัย สํ า หรับ เขา ไปตั ้ง เขา ไปอาศัย แลว สามารถทํ า หนา ที ่ข องตน ไดเต็มที่.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๔๗

เมื่ อ นิ พ พิ ท าวิ ราคะ มี อยู , วิ มุ ต ติ ญ าณทั ส สนะ ของผู ถึ งพรอมแล ว ดวยนิพพิทาวิราคะ ก็เปนวิมุตติญาณทัสสนะถึงพรอมดวยอุปนิสัย. - อฎฐก. อํ ๒๓/๓๔๘/๑๘๗.

(อีกนัยหนึ่ง) ภิ ก ษุ ท.! เมื่ อ มี ศี ล ถึ ง พร อ มด ว ยศี ล แล ว , อวิ ป ปฏิ ส าร ๑ ก็ ถึ ง พรอมดวยอุปนิสัย ; เมื ่อ อวิป ปฏิส าร มีอ ยู , ความปราโมทยข องผู ถ ึง พรอ มแลว ดว ย อวิปปฏิสาร ก็เปนปราโมทยถึงพรอมดวยอุปนิสัย ; เมื่ อ ความปราโมทย มี อยู , ป ติ ของผู ถึ งพรอมแล วด วยความปราโมทย ก็เปนปติถึงพรอมดวยอุปนิสัย ; เมื ่อ ปต ิ มีอ ยู , ปส สัท ธิข องผู ถ ึง พรอ มแลว ดว ยปต ิ ก็เ ปน ปส สัท ธิ ถึงพรอมดวยอุปนิสัย ; เมื ่อ ปส สัท ธิ มีอ ยู , สุข ของผู ถ ึง พรอ มแลว ดว ยปส สัท ธิ ก็เ ปน สุข ถึงพรอมดวยอุปนิสัย ; เมื่ อ สุ ข มี อ ยู , สั ม มาสมาธิ ข องผู ถึ ง พร อ มแล ว ด ว ยสุ ข ก็ เป น สั ม มสมาธิถึงพรอมดวยอุปนิสัย ; เมื่ อ สั ม มาสมาธิ มี อยู , ยถาภู ตญาณทั สสนะของผู ถึ งพร อมแล วด วย สัมมาสมาธิ ก็เปนยถาภูตญาณทัสสนะถึงพรอมดวยอุปนิสัย ;

www.buddhadasa.info

๑. อวิ ป ปฏิ ส าร หมายถึ ง ความที่ ไม มี อ ะไรเป น เครื่อ งรอ นใจ รัง เกี ย จ เกลี ย ดชั ง อยู ในใจของ ตน จนเสียสมาธิ.


๗๔๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

เมื่ อ ยถาภู ต ญาณทั ส สนะ มี อ ยู , นิ พ พิ ท าของผู ถึ ง พร อ มแล ว ด ว ย ยถาภูตญาณทัสสนะ ก็เปนนิพพิทาถึงพรอมดวยอุปนิสัย; เมื่ อ นิ พ พิ ท า มี อ ยู , วิ ร าคะของผู ถึ ง พร อ มแล ว ด ว ยนิ พ พิ ท า ก็ เป น วิราคะถึงพรอมดวยอุปนิสัย ; เมื่ อ วิราคะ มี อยู, วิมุ ตติ ญาณทั สสนะ ของผู ถึ งพรอมแลวด วยวิราคะ ก็เปนวิมุตติญาณทัสสนะถึงพรอมดวยอุปนิสัย. - เอกาทสก. อํ. ๒๔/๓๓๘/๒๑๐.

(อีกนัยหนึ่ง) ภิก ษุ ท.! เมื ่อ ภิก ษุม ีศ ีล ถึง พรอ มดว ยศีล , สัม มาสมาธิ ของ เธอยอมเปนธรรม ถึงพรอมดวยอุปนิสัย; เมื่ อสั มมาสมาธิ มี อยู , ยถาภู ตญาณทั ส สนะ ย อมเป นธรรม ถึ งพร อม ดวยอุปนิสัย แกผูถึงพรอมดวยสัมมาสมาธินั้น ; เมื่ อ ยถาภู ต ญาณทั ส สนะมี อ ยู , นิ พ พิ ท าวิ ร าคะ ย อ มเป น ธรรมถึ ง พรอมดวยอุปนิสัย แกผูถึงพรอมดวยยถาภูตญาณทัสสนะ ; เมื่ อ นิ พ พิ ท าวิ ร าคะมี อ ยู , วิ มุ ต ติ ญ าณ ทั ส สนะ ย อ มเป น ธรรมถึ ง พรอมดวยอุปนิสัย แกผูถึงพรอมดวยนิพพิทาวิราคะ. ภิ ก ษุ ท.! เปรี ย บเหมื อ นต น ไม สมบู ร ณ ด ว ยกิ่ ง และใบแล ว แม สะเก็ด เปลือ กของตน ไมนั ้น ก็ถ ึง ความบริบ ูร ณ ; แมเ ปลือ กก็ถ ึง ความบริบ ูร ณ ; แมกระพี้ก็ถึงความบริบูรณ ; แมแกนก็ถึงความบริบูรณ ; ฉันใดก็ฉันนั้น

www.buddhadasa.info


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๔๙

(ข อความฝ าย ปฏิ ป ก ขนั ยต อข อความนี้ ก็ ได ตรัสไวในลั กษณะที่ ผู ศึ กษาพึ งกํ าหนดได เอง จึงไมนํามาใสไว). - ปฺจก. อํ. ๒๒/๒๑/๒๔.

การปรินิพพานในทิฏฐธรรม "ข าแต พระองค ผู เจริญ ! อะไรหนอเป นเหตุ อะไรเป นป จจั ย ที่ ทํ าให สั ตว บาง พวกในโลกนี้ปรินิพพานในทิฏฐธรรมนี้ พระเจาขา !" ทา นผู จ อมเทพ! รูป ทั ้ง หลาย ที ่รู แ จง ดว ยตาก็ด ี, เสีย ง ทั ้ง หลาย ที ่รู แ จง ดว ยหูก ็ด ี, กลิ ่น ทั ้ง หลาย รู แ จง ดว ยจมูก ก็ด ี, รส ทั ้ง หลาย ที ่รู แ จง ดว ยลิ ้น ก็ด ี, โผฏฐัพ พะ ทั ้ง หลาย ที ่รู แ จง ดว ยผิว กายก็ด ี, และ ธรรมารมณ ทั ้ง หลาย ที ่รู แ จง ดว ยใจก็ด ี; อัน เปน สิ ่ง ที ่น า ปรารถนา นา รัก ใคร นา พอใจ ที่ ยั่ ว ยวนใจให รั ก เป น ที่ เ ข า ไปตั้ ง อาศั ย อยู แ ห ง ความใคร เป น ที่ ตั้ ง แห ง ความ กํ า หนัด ยอ มใจ มีอ ยู ;และภิก ษุก ็ไ มเ ปน ผู เ พ ลิด เพ ลิน ไมพ ร่ํ า สรรเสริญ ไม เมาหมกอยู  ซึ ่ง อารมณม ีรูป เปน ตน นั ้น , เมื ่อ ไมเ พลิด เพลิน ไมพ ร่ํ า สรรเสริญ ไมเมาหมกอยู ซึ่งอารมณมีรูปเปนตนนั้น, วิญญาณนั้น อันตัณหาในอารมณ มีรูปเปนตนอาศัยแลว ยอมไมมีแกเธอนั้น วิญญาณที่จะเปนอุปาทานยอมไมมี. ทานผูจอมเทพ! ภิกษุ ผูไมมีอุปาทาน ยอมปรินิพพาน.

www.buddhadasa.info ท านผู จอมเทพ! นี้ แ ล เป น เหตุ นี้ เป น ป จ จั ย ที่ ทํ าให สั ต วบ างพวก ในโลกนี้ปรินิพพานในทิฏฐธรรมนี้, ดังนี้แล. - สฬา. สํ. ๑๘/๑๒๘/๑๗๙.


๗๕๐

อริยสัจจากพระโอษฐ การปรินิพพานในทิฏฐธรรม (อีกปริยายหนึ่ง)

ภิ ก ษุ ท.! ถ า ภิ ก ษุ แสดงธรรม เพื่ อ ความเบื่ อ หน า ย เพื่ อ ความคลาย กํ า หนัด เพื ่อ ความดับ ไมเ หลือ แหง จัก ษุ อยู ไ ซร; ก็เ ปน การสมควรเพื ่อ จะ เรียกภิกษุนั้นวา "ผูกลาวซึ่งธรรม" (ธมฺมกถิโก) ดังนี้. ถ าภิ กษุ เป นผู ปฏิ บั ติ แล ว เพื่ อความเบื่ อหน าย เพื่ อความคลายกํ าหนั ด เพื ่อ ความดับ ไมเ หลือ แหง จัก ษุ อยู ไ ซร ; ก็เ ปน การสมควรเพื ่อ จะเรีย กภิก ษุ นั ้น วา "ผู ป ฏิบ ัต ิแ ลว ซึ ่ง ธรรมตามสมควรแกธ รรม" (ธมฺม านุธ มฺม ปฏิป นฺโ น) ดังนี้. ถาภิกษุเปนผู หลุดพนแลว เพราะความเหนื่อยหนาย เพราะความ คลายกําหนัด เพราะความดับไมเหลือ แหงจักษุ ดวยความเปนผูไมยึดมั่น ถือ มั ่น อยู แ ลว ไซร; ก็เ ปน การสมควรเพื ่อ จะเรีย กภิก ษุนั ้น วา "ผู บ รรลุแ ลว ซึ่งนิพพานในทิฏฐธรรม" (ทิฏฐธมฺมนิพฺพานปตฺโต) ดังนี้.

www.buddhadasa.info [ในกรณี แ ห ง หู จมู ก ลิ้ น กาย และใจ ก็ มี ข อ ความที่ ก ล าวไวอ ย างเดี ย วกัน กับ ใน กรณีแ หง ตา ที ่ก ลา วไวข า งบนนี ้ ; ในสูต รอื ่น (ขนฺธ . สํ. ๑๗/๑๙๙/๓๐๒) ทรงแสดงไวด ว ย รูป เวทนา สัญญาสังขาร และวิญญาณ แทนอายตะภายในหก อยางในสูตรนี้ ก็มี]. - สฬา. สํ. ๑๘/๑๗๗/๒๔๔.

การปรินิพพานในทิฏฐธรรม (อีกปริยายหนึ่ง) ภิ ก ษุ ท.! ถ า ภิ ก ษุ แสดงธรรม เพื่ อ ความเบื่ อ หน า ย เพื่ อ ความคลาย กํ า หนั ด เพื่ อ ความดั บ ไม เหลื อ แห ง ชราและมรณะ อยู ไ ซร ; ก็ เป น การสมควร เพื่อจะเรียกภิกษุนั้นวา "ผูกลาวซึ่งธรรม" ดังนี้.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๕๑

ถ าภิ กษุ เป นผู ปฏิ บั ติ แล ว เพื่ อความเบื่ อหน าย เพื่ อความคลายกํ าหนั ด เพื ่อ ความดับ ไมเ หลือ แหง ชราและมรณะ อยู ไ ซร ; ก็เ ปน การสมควรเพื ่อ จะ เรียกภิกษุนั้นวา "ผูปฏิบัติแลวซึ่งธรรมตามสมควรแกธรรม" ดังนี้. ถ า ภิ ก ษุ เป น ผู หลุ ด พ น แล ว เพราะความเบื่ อ หน า ย เพราะความ คลายกําหนัด เพราะความดับไมเหลือ แหงชราและมรณะ ดวยความเปนผูไม ยึด มั ่น ถือ มั ่น อยู แ ลว ไซร; ก็เ ปน การสมควรเพื ่อ จะเรีย กภิก ษุนั ้น วา "ผู บ รรลุ แลวซึ่งนิพพานในทิฏฐธรรม" ดังนี้. (ในกรณี แ ห ง ชาติ ภพ อุ ป าทาน ตั ณ หา เวทนา ผั ส สะ สฬายตนะ นามรู ป วิญ ญาณ สังขาร และ อวิช ชา ก็มีขอความที่กลาวไวอ ย างเดียวกัน กับ ในกรณี แ ห ง ชราและมรณะ ที่กลาวไวขางบนนี้). - นิทาน. สํ. ๑๖/๒๒/๔๖.

ลักษณะแหงจิตที่หลุดพนดวยดี

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท.! ภิก ษุเ ห็น จัก ษุ ซึ ่ง ไมเ ที ่ย งนั ่น แหละ วา ไมเ ที ่ย ง, ทิฏ ฐิ ของเธอนั ้น เปน สัม มาทิฏ ฐิ. เมื ่อ เห็น อยู ด ว ยสัม มาทิฏ ฐิ ยอ มเบื ่อ หนา ย ; เพราะความสิ้ น นั น ทิ ย อ มมี ค วามสิ้ น ราคะ; เพราะความสิ้ น ราคะ ย อ มมี ค วาม สิ้นนันทิ; เพราะความสิ้นนันทิและราคะ ก็กลาวไดวา จิตหลุดพนแลวดวยดี ดังนี้.

(ในกรณี แ ห ง โสตะ ฆานะ ชิ ว หา กายะ และ มนะ ก็ มี ข อ ความที่ ก ล า วไว อ ย า ง เดียวกันกับในกรณีแหงจักษุที่กลาวไวขางบนนี้). - สฬา. สํ. ๑๘/๑๗๙/๒๔๕.


๗๕๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

ลักษณะแหงจิตที่หลุดพนดวยดี (อีกนัยหนึ่ง) ภิก ษุ ท.! ภิก ษุเ ห็น รูป ทั ้ง หลาย ซึ ่ง ไมเ ที ่ย งนั ่น แหละ วา ไมเ ที ่ย ง, ทิ ฏ ฐิ ข องเธอนั้ น เป น สั ม มาทิ ฏ ฐิ . เมื่ อ เห็ น อยู ด ว ยสั ม มาทิ ฏ ฐิ ย อ มเบื่ อ หน า ย ; เพราะความสิ้ น นั น ทิ ย อ มมี ค วามสิ้ น ราคะ ; เพราะความสิ้ น ราคะ ย อ มมี ค วาม สิ้นนันทิ; เพราะความสิ้นนันทิและราคะ ก็กลาวไววา จิตหลุดพนแลวดวยดี ดังนี้. (ในกรณีแ หง เสีย ง กลิ่น รส โผฏฐัพ พะ และ ธรรมารมณ ก็มีขอ ความที่ก ลา ว ไวอยางเดียวกันกับในกรณีแหงรูป ที่กลาวไวขางบนนี้). - สฬา.สํ. ๑๘/๑๗๙/๒๔๖.

ลักษณะแหงจิตที่หลุดพนดวยดี (อีกนัยหนึ่ง) ภิ ก ษุ ท.! พวกเธอจงกระทํ า ในใจซึ่ ง จั ก ษุ โดยแยบคาย และจงตาม ดูค วามไมเ ที ่ย งแหง จัก ษุ ใหเ ห็น ตามที ่เ ปน จริง . ภิก ษุ ท.! ภิก ษุ เมื ่อ กระทํ า ในใจซึ่ งจั กษุ โดยแยบคายอยู ตามดู ความไม เที่ ยงแห งจั กษุ ให เห็ นตามที่ เป น จริ งอยู ย อ มเบื่ อ หน า ยแม ใ นจั ก ษุ . เพราะความสิ้ น ไปแห ง นั น ทิ ย อ มมี ค วามสิ้ น ราคะ; เพราะความสิ้ น ราคะ ย อ มมี ค วามสิ้ น นั น ทิ ; เพราะความสิ้ น นั น ทิ แ ละราคะ ก็ กลาวไดวา จิตหลุดพนแลวดวยดี ดังนี้.

www.buddhadasa.info (ในกรณี แ ห ง โสตะ มานะ ชิ ว หา กายะ และ มนะ ก็ มี ข อ ความที่ ก ล า วไว อ ย า ง เดียวกันกับในกรณีแหงจักษุ ที่กลาวไวขางบนนี้). - สฬา.สํ. ๑๘/๑๗๙/๒๔๗.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๕๓

ลักษณะแหงจิตที่หลุดพนดวยดี (อีกนัยหนึ่ง) ภิ ก ษุ ท.! พวกเธอจงกระทํ า ในใจซึ่ ง รู ป ทั้ ง หลาย โดยแยบคาย และ จงตามดู ค วามไม เ ที่ ย งแห ง รู ป ทั้ ง หลาย ให เ ห็ น ตามที่ เ ป น จริ ง . ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ เมื่ อ กระทํ าในใจซึ่ งรู ป ทั้ งหลายโดยแยบคายอยู ตามดู ค วามไม เที่ ยงแห งรู ป ทั้ งหลาย ให เ ห็ น ตามที่ เ ป น จริ ง อยู ย อ มเบื่ อ หน า ยแม ใ นรู ป ทั้ ง หลาย. เพราะความสิ้ น ไป แห ง นั น ทิ ย อ มมี ค วามสิ้ น ราคะ ; เพราะความสิ้ น ราคะ ย อ มมี ค วามสิ้ น นั น ทิ ; เพราะความสิ้นนันทิและราคะ ก็กลาวไดวา จิตหลุดพนแลวดวยดี ดังนี้. (ในกรณี แ ห ง เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ และธรรมารมณ ก็ มี ข อ ความที่ ก ล า วไว อยางเดียวกันกับในกรณีแหงรูป ที่กลาวไวขางบนนี้). - สฬา.สํ.๑๘/๑๘๐/๒๔๘.

ลักษณะแหงจิตที่หลุดพนดวยดี (อีกนัยหนึ่ง) ภิก ษุ ท.! ภิก ษุเ ห็น รูป ซึ ่ง ไมเ ที ่ย งนั ่น แหละ วา ไมเ ที ่ย ง, ทิฏ ฐิของเธอนั ้น เปน สัม ม าทิฏ ฐิ. เมื ่อ เห็น อยู ด ว ยสัม ม าทิฏ ฐิ ยอ ม เบื ่อ หนา ย ; เพราะความสิ้ น นั น ทิ ย อ มมี ค วามสิ้ น ราคะ; เพราะความสิ้ น ราคะ ยอมมี ค วาม สิ้น นัน ทิ; เพราะความสิ้น นัน ทิและราคะ ก็ก ลาวไดวา จิต หลุด พน แลว ดว ยดี ดังนี้.

www.buddhadasa.info (ในกรณี แ ห ง เวทนา สั ญ ญา สั ง ขาร และ วิ ญ ญาณ ก็ มี ข อ ความที่ ก ล า วไว อ ย า ง เดียวกันกับในกรณีแหง รูป ที่กลาวไวขางบนนี้). - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๖๓/๑๐๓.


๗๕๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

ลักษณะแหงจิตที่หลุดพนดวยดี (อีกนัยหนึ่ง) ภิ ก ษุ ท.! พวกเธอจงกระทํ า ในใจซึ่ ง รู ป โดยแยบคาย และจงตาม ความ ไมเ ที ่ย งแหง รูป ใหเ ห็น ตามที ่เ ปน จริง . ภิก ษุ ท.! ภิก ษุเ มื ่อ กระทํ า ในใจซึ่ ง รู ป โดยแยบคายอยู ตามดู ค วามไม เที่ ย งแห ง รู ป ให เห็ น ตามที่ เป น จริ ง อยู ย อ มเบื่ อ หน า ยแม ใ นรู ป . เพราะความสิ้ น ไปแห ง นั น ทิ ย อ มมี ค วามสิ้ น ราคะ; เพราะความสิ้ น ราคะ ย อ มมี ค วามสิ้ น นั น ทิ ; เพราะความสิ้ น นั น ทิ แ ละราคะ ก็ กลาวไดวา จิตหลุดพนแลวดวยดี ดังนี้. (ในกรณี แ ห ง เวทนา สั ญ ญา สั ง ขาร และ วิ ญ ญาณ ก็ มี ข อ ความมี ก ล า วไว อ ย า ง เดียวกันกับในกรณีแหง รูป ที่กลาวไวขางบนนี้). - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๖๔/๑๐๔.

ลําดับการหลุดพนโดยละเอียด เมื่อเห็นอนัตตา ภิก ษุ ท.; รูป เปน สิ ่ง ที ่ ไมเ ที ่ย ง, สิ ่ง ใดไมเ ที ่ย ง สิ ่ง นั ้น เปน ทุก ข, สิ ่ง ใดเปน ทุก ข สิ ่ง นั ้น เปน อนัต ตา, สิ ่ง ใดเปน อนัต ตา สิ ่ง นั ้น นั ่น ไมใ ชข อง เรา ไม ใช เป น เรา ไม ใช เป น ตั ว ตนของเรา : เธอทั้ งหลาย พึ งเห็ น ข อ นั้ น ด วย ปญ ญาโดยชอบตรงตามที ่เ ปน จริง อยา งนี ้ ดว ยประการดัง นี ้. (ในกรณีแ หง

www.buddhadasa.info เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ก็ตรัสอยางเดียวกันกับในกรณีแหงรูป ทุกประการ).

ภิก ษุ ท.! เมื ่อ บุค คลเห็น ขอ นั ้น ดว ยปญ ญ าโดยชอบตรงตามที่ เปนจริงอยูอยางนี้, ปุพพันตานุทิฏฐิ ทั้งหลาย ยอมไมมี;


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๕๕

เมื่อปุพพันตานุทิฏฐิไมมี, อปรันตานุทิฏฐิ๑ ทั้งหลายยอมไมมี ; เมื่ออปรันตานุทิฏฐิไมมี, ความยึดมั่นลูบคลําอยางแรงกลา ยอมไมมี ; เมื่ อ ความยึ ด มั่ น ลู บ คลํ าอย างแรงกล าไม มี , จิ ต ย อ มจางคลายกํ าหนั ด ใน รู ป ใน เวทน า ใน สั ญ ญ า ใน สั ง ขาร ในวิ ญ ญ าณ ; ย อ ม ห ลุ ด พ น จ าก อาสวะทั้งหลาย เพราะไมมีความยึดมั่นถือมั่น. เพราะจิตหลุดพนแลว จิตจึง ดํารงอยู (ตามสภาพของจิต) ; เพราะเปนจิตที่ดํารงอยู จิตจึง ยินดีราเริงดวยดี ; เพราะเปนจิตที่ยินดีราเริงดวยดี จิตจึง ไมหวาดสะดุง ; เมื่อไมหวาดสะดุง ยอม ปรินิพพาน (ดับรอบ) เฉพาะตน นั่นเทียว. เธอนั้ น ย อ มรู ชั ด ว า "ชาติ สิ้ น แล ว พรหมจรรย ไ ด อ ยู จ บแล ว กิ จ ที่ ควรทําไดทําเสร็จแลวกิจอื่นที่จะตองปฏิบัติเพื่อความเปนอยางนี้มิไดมีอีก" ดังนี้. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๗/๙๓.

ทางใหถึงความหลุดพนหาทาง

www.buddhadasa.info ภิ กษุ ท.! ธรรมเป นเครื่องให ถึ งวิมุ ตติ (วิมุ ตตายตนะ) ห าประการ เห ลา นี ้ มีอ ยู , ซึ ่ง ใน ธ รรม นั ้น เมื ่อ ภิก ษุเ ปน ผู ไ มป ระ ม า ท มีค ว า ม เพีย ร เผากิเลส มีตนสงไปแลว อยู, จิตที่ยังไมหลุดพนยอมหลุดพน อาสวะที่ยังไม

๑. รายละเอี ย ดเรื่ อ งปุ พ พั น ตานุ ทิ ฏ ฐิ และอปรั น ตานุ ทิ ฏ ฐิ หาดู ไ ด จ ากหนั ง สื อ ปฏิ จ จ. โอ. หน า ๗๓๒-๗๖๘.


๗๕๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

สิ้ น รอบย อ มถึ ง ซึ่ ง ความสิ้ น รอบ หรื อ ว า เธอย อ มบรรลุ ต ามลํ า ดั บ ซึ่ ง ความเกษม จากโยคะอั น ไม มี อื่ น ยิ่ ง กว า ที่ ต นยั ง ไม บ รรลุ ต ามลํ า ดั บ . ธรรมเป น เครื่ อ งให ถึ ง วิมุตติหาประการนั้น เปนอยางไรเลา ? หาประการ คือ:๑. ภิก ษุ ท.! ในกรณีนี ้ พ ระศาสดา หรือ เพื ่อ น สพ รหมจารี ผู ตั ้ง อยู ใ นฐานะเปน ครูร ูป ใดรูป หนึ ่ง ยอ ม แสดงธรรมแกภ ิก ษุ, เธอยอ มเปน ผู รู พ ร อ มเฉพาะซึ่ ง อรรถ รู พ ร อ มเฉพาะซึ่ ง ธรรม ในธรรมนั้ น ตามที่ พ ระศาสดา หรือ เพื ่อ สหพ รหมจารีแ สดงแลว อยา งไร. เมื ่อ เปน ผู รู พ รอ มเฉพ าะซึ ่ง อรรถ รู พ รอ ม เฉ พ าะซึ ่ง ธรรม , ป ราโม ท ย ยอ ม เกิด ขึ ้น แกเ ธอ นั ้น ; เมื ่อ ป ราโม ท ย แ ลว ปต ิย อ ม เกิด ; เมื ่อ ใจ ม ีป ต ิ ก ารยอ ม รํ า งับ ; ผู ม ีก าย รํ า งับ แ ลว ยอ ม เส ว ย ส ุข (ด ว ย น า ม ก า ย ); เมื ่อ ม ีส ุข จิต ย อ ม ตั ้ง มั ่น ; ภ ิก ษ ุ ท .! นี ้ค ือ ธรรม เป น เครื ่ อ งให ถ ึ ง วิ ม ุ ต ติ ข อ ที ่ ห นึ ่ ง , ซึ ่ ง ในธรรมนั ้ น เมื ่ อ ภิ ก ษุ เ ป น ผู ไม ป ระมาท มี ค วามเพี ย รเผากิ เลส มี ต นส ง ไปแล ว อยู จิ ต ที่ ยั ง ไม ห ลุ ด พ น ย อ ม หลุ ด พ น อาสวะที่ ยั ง ไม สิ้ น รอบย อ มถึ ง ซึ่ ง ความสิ้ น รอบ หรื อ ว า เธอย อ มบรรลุ ตามลํ า ดั บ ซึ่ ง ความเกษมจากโยคะอั น ไม มี อื่ น ยิ่ ง กว า ที่ ต นยั ง ไม บ รรลุ ต ามลํ า ดั บ (โดยแนแท).

www.buddhadasa.info ๒. ภิก ษุ ท.! ขอ อื ่น ยัง มีอ ีก : พระศาสดา หรือ เพื ่อ นสพรหมจารี ผู ตั ้ง อ ยู ใ น ฐาน ะเปน ค รูร ูป ใด รูป ห นึ ่ง ก็ม ิไ ดแ ส ด งธรรม แกภ ิก ษุ ; แต เธ อ แสดงธรรมตามที่ไดฟงมา ไดเลาเรียนมา แกชนทั้งหลายเหลาอื่น โดยพิสดาร อ ยู , เธอ นั ้น ยอ ม เปน ผู รู พ รอ ม เฉ พ าะซึ ่ง อ รรถ รู พ รอ ม เฉ พ าะซึ ่ง ธรรม ใน ธรรมตามที่ เธอแสดงแก ช นเหล าอื่ น โดยพิ ส ดารตามที่ เธอฟ งมาแล ว เล าเรี ย นมาแล ว อยางไร. เมื่อเปนผูรูพรอมเฉพาะซึ่งธรรม รูพรอมเฉพาะซึ่งธรรม, ปราโมทย


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๕๗

ยอ มเกิด ขึ ้น แกเ ธอนั ้น ; เมื ่อ ปราโมทยแ ลว ปต ิย อ มเกิด ; เมื ่อ ใจมีป ต ิ กาย ยอ ม รํ า งับ ; ผู ม ีก าย รํ า งับ แลว ยอ ม เส วยสุข (ดว ยน าม ก าย ) ; เมื ่อ มีส ุข จิต ยอ มตั ้ง มั ่น . ภิก ษุ ท.! นี ้ค ือ ธรรมเปน เครื ่อ งใหถ ึง วิม ุต ติ ขอ ที ่ส อง, ซึ ่ง ในธรรมนั ้น เมื ่อ ภิก ษุเ ปน ผู ไ มป ระเภท มีค วามเพีย รเผากิเ ลส มีต นสง ไป แล ว อยู , จิ ต ที่ ยั งไม ห ลุ ด พ น ย อ มหลุ ด พ น อาสวะที่ ยั งไม สิ้ น รอบย อ มถึ งซึ่ ง ความ สิ ้น รอบ หรือ วา เธอยอ มบรรลุต ามลํ า ดับ ซึ ่ง ความเกษมจากโยคะอัน ไมม ีอื ่น ยิ่งกวาที่ตนยังไมบรรลุตามลําดับ (โดยแนแท). ๓. ภิก ษุ ท.! ขอ อื ่น ยัง มีอ ีก : พระศาสดา หรือ เพื ่อ สพรหมจารี ผู ตั ้ง อยู ใ นฐานะเปน ครูร ูป ใดรูป หนึ ่ง ก็ม ิไ ดแ สดงธรรมแกภ ิก ษุ ; และเธอนั ้น ก็ มิ ได แ สดงธรรมแก ช นเหล า อื่ น โดยพิ ส ดารตามที่ เธอได ฟ ง มาได เล า เรี ย นมา; แต เธอกระทําการทองบนซึ่งธรรมโดยพิสดารตามที่ตนฟงมาเลาเรียนมา อยู. เธอ ยอ มเปน ผู รู พ รอ มเฉพาะซึ ่ง อรรถ รู พ รอ มเฉพาะซึ ่ง ธรรม ในธรรมนั ้น ตามที ่เ ธอ ทํ า การทอ งบน ซึ ่ง ธรรมโดยพิส ดารตามที ่ไ ดฟ ง มาเลา เรีย นมาอยา งไร. เมื ่อ เปน ผู รู พ รอ มเฉพาะซึ ่ง อรรถ รู พ รอ มเฉพาะซึ ่ง ธรรม, ปราโมทย ยอ มเกิด ขึ ้น แก เธ อ นั ้ น ; เมื ่ อ ป ร า โม ท ย แ ล ว ป ต ิ ย  อ ม เกิ ด ; เมื ่ อ ใ จ ป ต ิ ก า ร ย อ ม รํ า งั บ ; ผู ม ีก ายรํ า งับ แลว ยอ มเสวยสุข (ดว ยนามกาย); เมื ่อ มีส ุข จิต นอ มตั ้ง มั ่น . ภิก ษุ ท.! นี ้ค ือ ธรรมเปน เครื ่อ งใหถ ึง วิม ุต ติ ขอ ที ่ส าม, ซึ ่ง ในธรรมนั ้น เมื ่อ ภิก ษุเ ปน ผู ไ มป ระมาท มีค วามเพีย รเผากิเ ลส มีต นสง ไปแลว อยู , จิต ที ่ย ัง ไม ห ลุ ด พ น ย อ มหลุ ด พ น อาสวะที่ ยั ง ไม สิ้ น รอบย อ มถึ ง ซึ่ ง ความสิ้ น รอบ หรื อ ว า เธอย อมบรรลุ ตามลํ าดั บ ซึ่ งความเกษมจากโยคะอั นไม มี อื่ นยิ่ งกว าที่ ตนยั งไม บรรลุ ตามลําดับ (โดยแนแท).

www.buddhadasa.info


๗๕๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

๔. ภิก ษุ ท .! ขอ อื ่น ยัง มีอ ีก : พ ระศ าส ด า ห รือ เพื ่อ สพ ห รม จารี ผู ตั ้ง อ ยู ใ น ฐ าน ะ เปน ค รูร ูป ใด รูป ห นึ ่ง ก็ม ิไ ดแ ส ด งธ รรม แ กภ ิก ษุ ; แ ล ะ เธ อ นั้ น ก็ มิ ไ ด แ สดงธรรมแก ช นเหล า อื่ น โดยพิ ส ดารตามที่ เ ธอได ฟ ง มาได เ ล า เรี ย นมา ; และเธอก็ มิ ไ ด ทํ า การท อ งบ น ซึ่ ง ธรรมโดยพิ ส ดารตามที่ ต นฟ ง มาเล า เรี ย นมา ; แต เธอตรึกตามตรองตามดวยใจ ตามเพงดวยใจ ซึ่งธรรมตามที่เธอฟงมาเลาเรียน ม า อ ยู , เธอ ยอ ม เปน ผู รู พ รอ ม เฉ พ าะซึ ่ง อ รรถ รู พ รอ ม เฉ พ าะซึ ่ง ธรรม ใน ธรรมนั้ น ตามที่ เ ธอตรึ ก ตามตรองตามด ว ยใจ ตามเพ ง ด ว ยใจ ซึ่ ง ธรรมตามที่ ไ ด ฟ ง มาเล า เรี ย นมา อย า งไร. เมื่ อ เป น ผู รู พ ร อ มเฉพาะซึ่ ง อรรถ รู พ ร อ มเฉพาะซึ่ ง ธรรม, ปราโมทย ยอ มเกิด ขึ ้น แกเ ธอนั ้น ; เมื ่อ ปราโมทยแ ลว ปต ิย อ มเกิด ; เมื่ อ ใจมี ป ติ กายย อ มรํ า งั บ ; ผู มี ก ายรํ า งั บ แล ว ย อ มเสวยสุ ข (ด ว ยนามกาย) ; เมื ่ อ มี ส ุ ข จิ ต ย อ ม ตั ้ ง มั ่ น . ภิ ก ษุ ท .! นี ้ ค ื อ ธ ร ร ม เป น เค รื ่ อ งให ถ ึ ง วิ ม ุ ต ติ ขอ ที ่สี ่, ซึ ่ง ใน ธรรม นั ้น เมื ่อ ภิก ษุเ ปน ผู ไ มป ระม าท มีค วาม เพีย รเผ ากิเ ล ส มี ต นส ง ไปแล ว อยู , จิ ต ที่ ยั ง ไม ห ลุ ด พ น ย อ มหลุ ด พ น อาสวะที่ ยั ง ไม สิ้ น รอบย อ ม ถึง ซึ ่ง ความสิ ้น รอบ หรือ วา เธอยอ มบรรลุต ามลํ า ดับ ซึ ่ง ความเกษมจากโยคะ อันไมมีอื่นยิ่งกวาที่ตนยังไมบรรลุตามลําดับ (โดยแนแท).

www.buddhadasa.info ๕. ภิก ษุ ท.! ขอ อื ่น ยัง มีอ ีก : พระศาสดา หรือ เพื ่อ นสหรพมจารี ผู ตั ้ง อ ยู ใ น ฐ า น ะ เปน ค รูร ูป ใด รูป ห นึ ่ง ก็ม ิไ ดแ ส ด ง ธ รรม แ กภ ิก ษุ; แ ล ะ เธ อ นั้ น ก็ มิ ไ ด แ สดงธรรมแก ช นเหล า อื่ น โดยพิ ส ดารตามที่ เ ธอไดั ฟ ง มาได เ ล า เรี ย นมา ; และเธอก็ มิ ไ ด ทํ า การท อ งบ น ซึ่ ง ธรรมโดยพิ ส ดารตามที่ ต นฟ ง มาเล า เรี ย นมา ; ทั้ ง เธอก็ มิ ไ ด ต รึ ก ตรองตามด ว ยใจ ตามเพ ง ด ว ยใจ ซึ่ ง ธรรมตามที่ ไ ด ฟ ง มาเล า เรี ย น มา ; แตวา สมาธินิมิต อยางใดอยางหนึ่ง เปน สิ่งที่เธอนั้น ถือ เอาดีแลว กระทํา ไวในใจดีแลว แขาไปทรงไวดีแลว แทงตลอดดีแลวดวยปญญา อยู, เธอยอม


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๕๙

เป น ผู รู พ ร อ มเฉพาะซึ่ ง อรรถ รู พ ร อ มเฉพาะซึ่ ง ธรรม ในธรรมนั้ น ตามที่ ส มาธิ นิม ิต อยา งใดอยา งหนึ ่ง เปน สิ ่ง ที ่เ ธอถือ เอาดว ยดี กระทํ า ไวใ นใจดี เขา ไปทรง ไว ดี แทงตลอดดี ด ว ยป ญ ญา อย า งไร, เมื่ อ เป น ผู รู พ ร อ มเฉพาะซึ่ ง อรรถ รู พ ร อ ม เฉ พ า ะ ซึ ่ ง ธ รรม , ป รา โม ท ย ย อ ม เกิ ด ขึ ้ น แ ก เ ธ อ นั ้ น ; เมื ่ อ ป รา โม ท ย แ ล ว ปต ิย อ มเกิด ; เมือ ใ จมีป ต ิ กายยอ มรํ า งับ ; ผู ม ีก ายรํ า งับ แลว ยอ มเสวยสุข (ดว ย น า ม ก า ย ); เมื ่อ มีส ุข จิต ยอ ม ตั ้ง มั ่น . ภ ิก ษ ุ ท .; นี ้ค ือ ธ ร ร ม เป น เครื ่ อ งให ถ ึ ง วิ ม ุ ต ติ ข อ ที ่ ห  า , ซึ ่ ง ในธรรมนั ้ น เมื ่ อ ภิ ก ษุ เ ป น ผู  ไ ม ป ระมาท มีค วามเพีย รเผากิเ ลส มีต นสง ไปแลว อยู . จิต ที ่ย ัง ไมห ลุด พน ยอ มหลุด พน อาสวะที่ ยั ง ไม สิ้ น รอบย อ มถึ ง ซึ่ ง ความสิ้ น รอบ หรื อ ว า เธอย อ มบรรลุ ต ามลํ า ดั บ ซึ่งความเกษมจากโยคะอันไมมีอื่นยิ่งกวาที่ยังไมบรรลุตามลําดับ (โดยแนแท) ภิ กษุ ท.! ธรรม เป นเครื่ อ งเข า ถึ ง วิ มุ ตติ ห า ป ระการเหล า นี้ ซึ่ ง ใน ธรรมนั้ น เมื่ อ ภิ ก ษุ เป น ผู ไ ม ป ระมาท มี ค วามเพี ย รเผากิ เลส มี ต นส ง ไปแล ว อยู , จิ ต ที่ ยั ง ไม ห ลุ ด พ น ย อ มหลุ ด พ น อาสวะที่ ยั ง ไม สิ้ น รอบย อ มถึ ง ที่ ซึ่ ง ความสิ้ น รอบ หรื อ ว า เธอย อ มบรรลุ ต ามลํ า ดั บ ซึ่ ง ความเกษมจากโยคะอั น ไม มี อื่ น ยิ่ ง กว า ที่ ต น ยังไมบรรลุตามลําดับ, ดังนี้แล.

www.buddhadasa.info - ปฺจก. อํ. ๒๒/๒๒-๒๕/๒๖.

รูจักอุปาทาน ตอเมื่อหมดอุปาทาน

ภิกษุ ท.! ธรรมเพื่อการรอบรูอุปาทานทั้งปวง เปนอยางไรเลา ? (ความจริ ง มี อ ยู ว า :-) เพราะอาศั ย จั ก ษุ และรู ป จึ ง เกิ ด จั ก ขุ วิ ญ ญาณ ;

การประจวบพรอมแหงธรรม ๓ ประการ (ตา+รูป+จักขุวิญญาณ) นั้นคือผัสสะ ;


๗๖๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

เพราะมีผ ัส สะเปน ปจ จัย จึง มีเ วทนา. ภิก ษุ ท.! อริย สาวกผู ม ีก ารสดับ เห็น อยู  (ซึ ่ง กระแสการปรุง แตง ) อยา งนี ้ ยอ มเบื ่อ หนา ยทั ้ง ในจัก ษุ เบื ่อ หนา ยทั ้ง ในรู ป เบื่ อ หน า ยทั้ ง ในจั ก ขุ วิ ญ ญาณ เบื่ อ หน า ยทั้ ง ในจั ก ขุ สั ม ผั ส เบื่ อ หน า ยทั้ ง ใน เวทนา. เมื ่อ เบื ่อ หนา ย ยอ มคลายกํ า หนัด ; เพ ราะคลายกํ า หนัด ยอ มหลุด พน . เธอยอ มรูช ัด วา "อุป าทานของเรา เรารวบรู แ ลว เพราะความหลุด พน นั้น (วิโมกฺขปริฺญาต)" ดังนี้. (ในกรณี แ ห ง โสตะ ฆานะ ชิ ว หา กายะ และ มนะ ก็ มี ข อ ความที่ ต รั ส ไว อ ย า ง เดียวกัน). - สฬา. สํ. ๑๘/๓๙/๖๓. (ข อ ความนี้ เป น หลั ก สํ า คั ญ อย า งยิ่ ง ที่ ค นธรรมดาจะไม นึ ก ฝ น ว า เราจะรู จั ก สิ่ ง ใดถึ ง ที ่ส ุด นั ้น ก็ต อ เมื ่อ เราจัด การกับ สิ ่ง นั ้น ตาม ที ่ค วรจะทํ า ถึง ที ่ส ุด แลว , มิใ ชว า พ อสัก วา เขา ไป เกี ่ย วขอ งกับ สิ ่ง นั ้น ก็รู จ ัก สิ ่ง นั ้น โดยสมบูร ณ แ ลว . ในกรณ ีนี ้ มีใ จความสํ า คัญ วา จะรู จ ัก กิเ ลส ขอไหนได ก็ตอเมื่อเราทําลายกิเลสนั้นเสร็จสิ้นแลว).

อาสวะสิ้นไปเพราะการกําจัดสมารัมภะและอวิชชา

www.buddhadasa.info วั ป ปะ ! ท า นจะสํ า คั ญ ความาข อ นี้ ว า อย า งไร ? คื อ อาสวะทั้ ง หลาย เหล า ใด เกิ ด ขึ้ น เพราะกายสมารั ม ภะ (ตั ณ หาปรารภการกรทํ า กรรมทางกาย) เป น ป จ จั ย เป น เครื่ อ งทํ า ความคั บ แค น เร า ร อ น; เมื่ อ บุ ค คลเว น ขาดแล ว จากกายสมารั ม ภะ, อาสวะทั ้ง หลาย อัน เปน เครื ่อ งทํ า ความคับ แคน เรา รอ นเหลา นั ้น ยอ มไมม ี. บุคคลนั้น ยอมไมกระทําซึ่งกรรมใหมดวย และยอมถูกตอง ๆ ซึ่งกรรมเกาแลว กระทํ า ใหสิ ้น ไปดว ย. หลัก ธรรมปฏิป ทาอัน ไมรู จ ัก เกา (นิช ฺช รา) นี ้ เปน ธรรม อันผูปฏิบัตพึงเห็นตนเอง ไมขึ้นอยูกับเวลา ควรเรียกกันมาดู พึงนอมเขามาในตน


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๖๑

เป น ธรรมที่ ผู รู ทั้ ง หลายพึ ง รู ไ ด เ ฉพาะตน. วั ป ปะ ! อาสวะทั้ ห ลายอั น เป น ไปเพื่ อ ทุ ก ขเวทนา จะพึ ง ไหลไปตามบุ รุ ษ ในกาลต อ ไปเบื้ อ งหน า เนื่ อ งมาแต ฐ านะใด เปนเหตุ ทานเห็นซึ่งฐานะนั้นหรือไม ? "ขอนั้น หามิได พระเจาขา !" วั ป ปะ ! ท า นจะสํ า คั ญ ความข อ นี้ ว า อย า งไร ? คื อ อาสวะทั้ ง หลาย เหล า ใด เกิ ด ขึ้ น เพราะวจี ส มารั ม ภะ (ตั ณ หาปรารภการกระทํ ากรรมทางวาจา) เป น ป จ จั ย เป น เครื่อ งทํ าความคั บ แค น เรารอ น ; เมื่ อ บุ ค คลเว น ขาดแล ว จาก วจี ส มารัม ภะ, อาสวะทั ้ง หลาย อัน เปน เครื่อ งทํ า ความคับ แคน เรา รอ นเหลา นั ้น ยอ มไมม ี. บุค คลนั้น ยอ มไมกระทําซึ่งกรรมใหมดวย และยอ มถูก ตอ ง ๆ ซึ่งกรรมเกา แลว กระทํ า ใหสิ ้น ไปดว ย. หลัก ธรรมปฏิป ทาอัน ไมรู จ ัก เกา นี ้ เปน ธรรมอัน ผู ปฏิ บั ติ พึ ง เห็ น เอง ไม ขึ้ น อยู กั บ เวลา ควรเรี ย กกั น มาดู พึ ง น อ มเข า มาในตน เป น ธรรม ที ่ผู รู ทั ้ง ห ล าย พึง รู ไ ดเ ฉ พ าะต น . วัป ป ะ ! อ าส วะ ทั ้ง ห ล าย อัน เปน ไป เพื่ อ ทุ ก ขเวทนา จะพึ ง ไหลไปตามบุ รุ ษ ในกาลต อ ไปเบื้ อ งหน า เนื่ อ งมาแต ฐ านะ ใดเปนเหตุ ทานเห็นซึ่งฐานะนั้นหรือไม ? "ขอนั้น หามิได พระเจาขา !"

www.buddhadasa.info วั ป ปะ ! ท า นจะสํ า คั ญ ความข อ นี้ ว า อย า งไร ? คื อ อาสวะทั้ ง หลาย เหล า ใด เกิ ด ขึ้ น เพราะมโนสมารั ม ภะ (ตั ณ หาปรารภการทํ า กรรมทางใจ) เป น ป จ จั ย เป น เครื่องทํ าความคั บ แค น เรารอ น ; เมื่ อ บุ ค คลเว น ขาดแล ว จากมโนสมารัม ภะ, อาสวะทั้ ง หลาย อั น เป น เครื่ อ งทํ า ความคั บ แค น เร า ร อ นเหล า นั้ น ย อ มไม มี . บุคคลนั้น ยอมไมกระทําซึ่งกรรมใหมดวย และยอมถูกตอง ๆ ซึ่งกรรมเกาแลว กระทํ า ใหสิ ้น ไปดว ย. หลัก ธรรมปฏิป ทาอัน ไมรู จ ัก เกา านี ้ เปน ธรรมอัน ผู ป ฏิบ ัติ พึง เห็น เอง ไมขึ ้น อยู ก ับ เวลา ควรเรีย กกัน มาดู พึง นอ มเขา มาในตน เปน ธรรม ที่ผูรูทั้งหลายพึงรูไดเฉพาะตน. วัปปะ ! อาสวะทั้งหลายอันเปนไปเพื่อทุกขเวทนา


๗๖๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

จะพึ ง ไหลไปตามบุ รุ ษ ในกาลต อ ไปเบื้ อ งหน า เนื่ อ งมาแต ฐ านะใดเป น เหตุ ท า น เห็นซึ่งฐานะนั้นหรือไม ? "ขอนั้น หามิได พระเจาขา !" วั ป ปะ ! ท า นจะเข า ใจความข อ นี้ ว า อย า งไร ? คื อ อาสวะทั้ ง หลาย เหล า ใด เกิ ด ขึ้ น เพราะอวิ ช ชาเป น ป จ จั ย เป น เครื่ อ งทํ า ความคั บ แค น เร า ร อ น ; เพราะการเกิด ขึ้น แหง วิช ชา เพราะความสํา รอกออกเสีย ไดห มดซึ่ง อวิช ชา, อาสวะทั ้ง หลาย อัน เปน เครื ่อ งทํ า ความคับ แคน เรา รอ นเหลา นั ้น ยอ มไมม ี. บุคคลนั้น ยอมไมกระทําซึ่งกรรมใหมดวย และยอมถูกตอง ๆ ซึ่งกรรมเกาแลว กระทํ า ใหสิ ้น ไปดว ย. หลัก ธรรมปฏิป ทาอัน ไมรู จ ัก เกา นี ้ เปน ธรรมอัน ผู ป ฏิบ ัติ พึ ง เห็ น เอง ไม ขึ้ น อยู กั บ เวลา ควรเรี ย กกั น มาดู พึ ง น อ มเข า มาในตน เป น ธรรมที่ ผู รู ทั้ ง หลายพึ ง รู ไ ด เ ฉพาตน. วั ป ปะ ! อาสวะทั้ ง หลายอั น เป น ไปเพื่ อ ทุ ก ขเวทนา จะพึ ง ไหลไปตามบุ รุ ษ ในกาลต อ ไปเบื้ อ งหน า เนื่ อ งมาแต ฐ านะใดเป น เหตุ ท า น เห็นซึ่งฐานะนั้นหรือไม ? "ขอนั้น หามิได พระเจาขา !" - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๒๖๘/๑๙๕.

พอรูเรื่องการรอยรัด ก็สามารถทําที่สุดทุกข

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท .! ผัส ส ะ เปน สว น สุด ขา งห นึ ่ง ผัส ส ส มุท ัย เปน สว น สุด ขา งที ่ส อง ผัส ส น ิโ รธ มีใ น ทา ม กล าง ตัณ ห า เปน เค รื ่อ งรอ ยรัด ใหต ิด กัน ; ตัณหานั่นแหละ ยอมถักรอยเพื่อใหเกิดขึ้นแหงภพนั้น ๆ นั่นเทียว.

ภิก ษุ ท.! ดว ยความ รู เ พีย งเทา นี ้แ ล ภิก ษุชื ่อ วา ยอ ม รู ยิ ่ง ซึ ่ง ธรรม ที ่ค วรรู ยิ ่ง ยอ มรอบรู ซึ ่ง ธรรมที ่ค วรรอบรู  ; เมื ่อ รู ยิ ่ง ซึ ่ง ธรรมที ่ค วรรู ยิ ่ง รอบรู ซึ่งธรรมที่ควรรอบรู อยู, ยอมเปนผูกระทําที่สุดแหงทุกขไดในทิฏฐธรรมเทียว. - ฉกฺก.อํ. ๒๒/๔๔๘/๓๓๒.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๖๓

ลักษณะแหงการถึงที่สุดทุกข ภิก ษุ ท.! อวิช ชาภิก ษุล ะไดแ ลว วิช ชาเกิด ขึ ้น แลว ในกาลใด, ในกาลนั้น ภิกษุนั้น, เพราะความสํารอกออกโดยไมเหลือแหงอวิชชา เพราะ การเกิด ขึ้น แหง วิช ชา, เธอยอ ม ไมป รุง แตง ซึ่ง อภิสัง ขารอัน เปน บุญ ; ยอ ม ไมป รุง แตง ซึ่ง อภิส ัง ขารอัน มิใ ชบ ุญ ; ยอ มไมป รุง แตง ซึ่ง อภิส ัง ขารอัน เปน อเนญ ชา; เมื ่ อ ไม ป รุ ง แต ง อยู  , เมื ่ อ ไม มุ  ง ม าด อยู  , เธอย อ ม ไม ถ ื อ มั่ น สิ่งไร ๆ ในโลก; เมื่อ ไมถือ มั่น อยู, เธอยอ ม ไมส ะดุงหวาดเสีย ว; เมื่อ ไม สะดุ ง หวาดเสี ย วอยู , เธอย อ ม ปริ นิ พ พานเฉพาะตนนั่ น เที ย ว. เธอย อ มรู ป ระจั ก ษ ว  า "ชาติ สิ ้ น แล ว , พ รห ม จรรย อ ั น เราอยู  จ บ แล ว , กิ จ ที ่ ค วรทํ า ไดทําเสร็จแลว. กิจอื่นเพื่อความเปนอยางนี้ มิไดมีอีก" ดังนี้. ภิก ษุนั ้น ถา เสวย สุข เวทนา ก็รู ป ระจัก ษว า "เวทนานั ้น ไมเ ที ่ย ง อั น เราไม ส ยบมั ว เมาแล ว อั น เราไม เ พลิ ด เพลิ น เฉพาะแล ว " ดั ง นี้ . ถ า เสวย ทุก ขเวทนา ก็รู ป ระจัก ษว า "เวทนานั ้น ไมเ ที ่ย ง อัน เราไมส ยบมัว เมาแลว อัน เราไมเ พลิด เพลิน เฉพาะแลว " ดัง นี ้. ถา เสวย อทุก ขมสุข เวทนา ก็รู ประจั ก ษ ว า "เวทนานั้ น ไม เที่ ย ง อั น เราไม ส ยบมั ว เมาแล ว อั น เราไม เพลิ ด เพลิ น เฉพาะแลว" ดังนี้ . ภิกษุ นั้ น ถาเสวย สุ ขเวทนา ก็เป นผูป ระกาศจากกิเลสเครื่อ ง รอ ยรัด แลว เสวยเวทนานั ้น ; ถา เสวย ทุก ขเวทนา ก็เ ปน ผู ป ราศจากกิเ ลส เครื ่อ งรอ ยรัด แลว เสวยเวทนานั ้น ; ถา เสวย อทุก ขมสุข เวทนา ก็เ ปน ผู ปราศจากกิเลสเครื่องรอยรัดแลว เสวยเวทนานั้น.

www.buddhadasa.info ภิกษุนั้น เมื่อเสวย เวทนาอันมีกายเปนที่สุดรอบ ยอมรูประจักษวา "เราเสวยเวทนาอันมีกายเปนที่สุดรอบ" ดังนี้. เมื่อเธอนั้น เสวย เวทนาอัน


๗๖๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

มี ชี วิ ต เป น ที่ สุ ด รอบ ย อ มรู ป ระจั ก ษ ว า "เราเสวยเวทนาอั น มี ชี วิ ต เป น ที่ สุ ด รอบ" ดัง นี ้. ภิก ษุนั ้น ยอ มรูป ระจัก ษว า "เวทนาทั ้ง หลายทั ้ง หวง อัน เราไมเ พลิด เพลินเฉพาะแลว จักเปนของเย็น ในอัตตภาพนี้เอง; สรีระทั้งหลายจักเหลือ อยู ; จนกระทั่งถึงที่สุดรอบแหงชีวิต เพราะการแตกทําลายแหงกาย" ดังนี้. ภิ ก ษุ ท.! เปรี ย บเหมื อ น บุ รุษ ยกหม อ ที่ ยั งรอ นออกจากเตาเผาหม อ วางไวพื ้น ดิน อัน เรีย บ ไออุ น ที ่ห มอ นั ้น พึง ระงับ หายไป ในที ่นั ้น เอง กระเบื ้อ ง ทั ้ง หลายก็เ หลือ อยู  นี ้ฉ ัน ใด; ภิก ษุ ท.! ภิก ษุใ นกรณ ีนี ้ก ็ฉ ัน นั ้น เหมือ นกัน กล า วคื อ เมื่ อ เสวยเวทนาอั น มี ก ายเป น ที่ สุ ด รอบ ย อ มรู ป ระจั ก ษว า "เราเสวย เวทนาอัน มีก ายเปน ที ่ส ุด รอบ" ดัง นี ้. เมื ่อ เธอนั ้น เสวยเวทนาอัน มีช ีว ิต เปน ที ่ส ุด รอบ ยอ มรู ป ระจัก ษว า "เราเสวยเวทนาอัน มีช ีว ิต เปน ที ่ส ุด รอบ" ดัง นี ้. ภิ ก ษุ นั้ น ย อ มรู ป ระจั ก ษ ว า "เวทนาทั้ ง หลายทั้ ง ปวง อั น เราไม เพลิ ด เพลิ น เฉพาะ แลว จัก เปน ของเย็น ในอัต ตภาพนี ้เอง; สรีร ะทั ้ง หลายจัก เหลือ อยู  ; จนกระทั ่ง ถึงที่สุดรอบแหงชีวิต เพราะการแตกทําลายแหงกาย" ดังนี้.

www.buddhadasa.info ภ ิก ษ ุ ท .! เธอ ทั ้ง ห ล าย จ ะ สํ า ค ัญ ค วาม ขอ นี ้ว า อ ยา งไร ; ค ือ ภิก ษุผูขีณ าสพ พึง ปรุง แตง ปุญ ญาภิส ัง ขาร, หรือ วา พึง ปรุง แตง อปุญ ญาภิสัง ขาร, หรือ วา พึง ปรุง แตง อเนญชาภิส ัง ขาร, บา งหรือ หนอ ? "ขอ นั้น หามิได พระเจาขา !"

เมื่ อ สั งขารทั้ งหลาย ไม มี , เพราะความดั บ แห งสั งขาร โดยประการ ทั้งปวง, วิญญาณ พึงปรากฎ บางหรือหนอ ? "ขอนั้น หามิได พระเจาขา !" เมื่อวิญญาณ ไมมี, เพราะความดับแหงวิญญาณ โดยประการ


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๖๕

www.buddhadasa.info


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๖๕

ทั้งปวง, นามรูป พึงปรากฏ บางหรือหนอ ? "ขอนั้น หามิได พระเจาขา !" เมื ่อ น าม รูป ไมม ี, เพราะความดับ แหง นามรูป โดยประการ ทั้งปวง, สฬายตนะ พึงปรากฏ บางหรือหนอ ? "ขอนั้น หามิได พระเจาขา !" เมื่ อ สฬายตนะ ไม มี , เพราะความดั บ แห ง สฬายตนะ โดยประการ ทั้งปวง, ผัสสะ พึงปรากฏ บางหรือหนอ ? "ขอนั้น หามิได พระเจาขา !" เมื่ อ ผั ส สะ ไม มี , เพราะความดั บ แห ง ผั ส ส โดยประการทั้ ง ปวง, เวทนา พึงปรากฏ บางหรือหนอ ? "ขอนั้น หามิได พระเจาขา !" เมื่ อ เวทนา ไม มี , เพราะความดั บ แห ง เวทนา โดยประการทั้ ง ปวง, ตัณหา พึงปรากฏ บางหรือหนอ ? "ขอนั้น หามิได พระเจาขา !" เมื่ อ ตั ณ หา ไม มี , เพราะความดั บ แห ง ตั ณ หา โดยประการทั้ ง ปวง, อุปาทาน พึงปรากฏ บางหรือหนอ ? "ขอนั้น หามิได พระเจาขา !" เมื ่อ อุป าทาน ไมม ี, เพราะความดับ แหง อุป าทาน โดยประการ ทั้งปวง, ภพ พึงปรากฏ บางหรือหนอ ? "ขอนั้น หามิได พระเจาขา !" เมื ่อ ภ พ ไมม ี, เพ ราะความดับ แหง ภ พ โดยป ระการทั ้ง ป วง, ชาติ พึงปรากฏ บางหรือหนอ ? "ขอนั้น หามิได พระเจาขา !" เมื ่อ ชาติ ไมม ี, เพราะความดับ แหง ชาติ โดยประการทั ้ง ปวง. ชรามรณะ พึงปรากฏ บางหรือหนอ? "ขอนั้น หามิได พระเจาขา!" ภ ิก ษ ุ ท .! ถ ูก แ ล ว ถ ูก แ ล ว . ภ ิก ษ ุ ท .! เธ อ ทั ้ง ห ล า ย จ ง ทํ า ค วาม สํ า คัญ จงเชื ่อ ซึ ่ง ขอ นั ้น ไวอ ยา งนั ้น เถิด . ภิก ษุ ท .! เธอ ทั ้ง ห ล าย จงปลงซึ่ ง ความเชื่ อ ในข อ นั้ น อย า งนั้ น เถิ ด ; จงเป น ผู ห มดความเคลื อ บแคลง สงสัยในขอนั้นเถิด ; นั่นแหละที่สุดแหงทุกขละ, ดังนี้แล

www.buddhadasa.info - นิทาน.สํ. ๑๖/๙๙-๑๐๑/๑๙๒-๑๙๕.


๗๖๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

ลําดับแหงการดับของสังขาร (อนุปุพพสังขารนิโรธ) ภิกษุ ! ความดับแหงสังขารโดยลําดับ ๆ เราไดกลาวแลว ดังนี้คือ :เมื่อเขาสู ปฐมฌาน แลว วาจา ยอมดับ ; เมื่อเขาสู ทุติยฌาน แลว วิตก และ วิจาร ยอมดับ ; เมื่อเขาสู ตติยฌาน แลว ปติ ยอมดับ ; เมื่อเขาสู จตุตถฌาน แลว อัสสาสะ และ ปสสาสะ ยอมดับ ; เมื่อเขาสู อากาสานัญจายตนะ แลว รูปสัญญา ยอมดับ ; เมื่อเขาสู วิญญาณัญจายตนะ แลว อากาสานัญจายตนสัญญา ยอมดับ ; เมื่อเขาสู อากิญจัญญายตนะ แลว วิญญาณัญจายตนสัญญา ยอมดับ เมื่อเขาสู เนวสัญญานาสัญญายตนะ แลว อากิญจัญญายตนะสัญญา ยอมดับ เมื่อเขาสู สัญญาเวทนยิตนิโรธ แลว สัญญา และ เวทนา ยอมดับ ; เมื่อภิกษุ สิ้นอาสวะ แลว ราคะ ก็ดับ โทสะ ก็ดับ โมหะ ก็ดับ. - สฬา.สํ. ๑๘/๒๖๘/๓๙๒. [ข อ ความในสู ต รอื่ น (๑๘/๒๗๒-๒๗๓/๔๐๑-๔๐๒.) แทนที่ จ ะทรงเรี ย กอาการเชน นี ้แ หง สัง ขารวา "ความดับ " (นิโ รโธ) แตไ ปทรงเรีย กเสีย วา "ความเขา ไปสงบ" (วูป สโม) ก็ มี และทรงเรียกวา "ความสงบรํางับเฉพาะ" (ปฏิปฺปสฺสทฺธิ) ก็มี].

www.buddhadasa.info จิตหยั่งลงสูอมตะเมื่อประกอบดวยสัญญาอันเหมาะสม

ภิ ก ษุ ท. ! สั ญ ญ าเจ็ ด ประการเหล า นี้ อั น บุ ค คลเจริ ญ กระทํ า ให มากแล ว ย อ มมี ผ ลใหญ มี อ านิ ส งส ใหญ หยั่ งลงสู อ มตะ มี อ มตะเป น ปริ โยสาน. เจ็ ด ประการ อย า งไรเล า ? คื อ อสุ ภ สั ญ ญา มรณสั ญ ญา อาหาเรปฏิ กู ล สั ญ ญา สัพพโลเกอนภิรตสัญญา อนิจจสัญญา อนิจเจทุกขสัญญา ทุกเขอนัตสัญญา.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๖๗

ภิ กษุ ท.! เมื่ อภิ กษุ มี จิ ต อบรมด วย อสุ ภ สั ญ ญา อยู เป นอย างมาก จิ ต ยอ มหวนกลับ งอกลับ ถอยกลับ ไมยื ่น เขา ไปในการดื ่ม ด่ํ า อยู ใ นเมถุน ธรรม แต ค วามวางเฉยหรื อ ว า ความรู สึ ก ว า ปฏิ กู ล ดํ า รงอยู ในจิ ต ; เปรี ย บเหมื อ นชนไก หรื อ เส น เอ็ น ที่ เ ขาใส ล งในไฟ ย อ มหด ย อ มงอ ไม เ หยี ย ดออก ฉั น ใดก็ ฉั น นั้ น . ภิ ก ษุ ท.! ถ า เมื่ อ ภิ ก ษุ มี จิ ต อบรมด ว ยอสุ ภ สั ญ ญาอยู เป น อย า งมาก แต จิ ต ยั งไหล เข าไปในความดื่ ม ด่ํ าอยู ในเมถุ น ธรรม หรื อ ความรู สึ ก ว าไม ป ฏิ กู ล ยั งดํ ารงอยู ในจิ ต แลว ไซร; ภิก ษุนั ้น พึ ่ง ทราบเถิด วา "อสุภ สัญ ญาเปน อัน เรามิไ ดอ บรมเสีย แลว คุณ วิเ ศษที ่ยิ ่ง กวา แตก อ นของเราไมม ี เรายัง มิไ ดบ รรลุผ ลแหง ภาวนา" ดัง นี ้. เธอเปน ผู ม ีส ัม ปชัญ ญ ะในเรื ่อ งนี ้อ ยู ด ัง นี ้. ....ภิก ษุ ท.! เรามีเ หตุผ ลในขอ นี้ อยูดังนี้ จึงกลาวา "อสุภสัญ ญาอันบุคคลเจริญ กระทําใหมากแลว ยอมมีผล ใหญ มีอานิสงสใหญ หยั่งลงสูอมตะ มีอมตะเปนปริโยสาน" ดังนี้. [ในกรณี แ ห ง มรณสั ญ ญา อั น เป น เครื่ อ งทํ า จิ ต ให ถ อยกลั บ จากความยิ น ดี ใ นชี วิ ต (ชีวิตนิกนฺติ) ก็ดี ; ในกรณี แห ง อาหาเรปฏิ กู ล สั ญ ญา อั น เป นเครื่องทํ าจิ ตให ถอยกลั บจากตั ณ หาในรส (รสตณฺหา) ก็ดี ; ในกรณี แหง สัพพโลเกอนภิรตสัญญา อันเปนเครื่องทําจิตใหถอยกลับจากความเปนจิต ติดอยูในโลก (โลกจิตฺต) ก็ดี ; ในกรณี แห ง อนิ จจสั ญ ญา อั นเป นเครื่องทํ าจิ ตให ถอยกลั บจากลาภสั กการะและเสี ยง สรรเสริญ (สาภสกฺการสิโลก) ก็ดี ; ทั้ ง สี่ สั ญ ญานี้ ได ต รั ส ไว ด ว ยข อ ความทํ า นองเดี ย วกั น กั บ อสุ ภ สั ญ ญา ซึ่ ง ผู ศึ ก ษา สามารถทํ า การเปรีย บเที ย บดู เองได ต อ ไปนี้ ได ต รัส ถึ ง อนิ จ เจทุ ก ขสั ญ ญา อั น มี ระเบี ย บแห ง ถ อ ย คําแปลกออกไปดังตอไปนี้ :-]

www.buddhadasa.info ภิ กษุ ท.! เมื่ อภิ กษุ มี จิ ตอบรมด วย อนิ จเจทุ กขสั ญญา อยู เป นอย างมาก สัญญาวาความนากลัวอันแรงกลา (ติพฺพาภยสฺญา) ยอมปรากฏขึ้นในความไม


๗๖๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

ขยั น ในความเกี ย จคร า น ในความทอดทิ้ ง การงาน ความประมาท ความไม ประกอบความเพี ยร และในความสะเพร า อย างน ากลั วเปรี ยบเสมื อ นมี เพชฌฆาต เงื้ อ ดาบอยู ต รงหน า ฉะนั้ น . ภิ ก ษุ ท.! ถ า เมื่ อ ภิ ก ษุ มี จิ ต อบรมด ว ยอนิ จ เจทุ ก ขสั ญ ญาอยู เป น อย า งมาก แต สั ญ ญาว า ความน า กลั ว อั น แรงกล า ในความไม ข ยั น ในความเกี ย จคร า น ในความทอดทิ้ ง การงาน ความประมาท ความไม ป ระกอบ ความเพี ย ร และในความสะเพร า ก็ ไม ป รากฏขึ้ น อย างน ากลั วเสมื อ นหนึ่ งมี เพชฌฆาตเงื้ อ ดาบอยู ต รงหน า แล ว ไซร ; ภิ ก ษุ นั้ น พึ งทราบเถิ ด ว า "อนิ จ เจทุ ก ขสั ญ ญา เป น อั น เรามิ ไ ด อ บรมเสี ย แล ว คุ ณ วิ เศษที่ ยิ่ ง กว า แต ก อ นของเราไม มี เรายั ง มิ ไ ด บรรลุผ ลแหง ภาวนา" ดัง นี ้. เธอเปน ผู ม ีส ัม ปชัญ ญ ะในเรื ่อ งนี ้อ ยู ด ัง นี ้. .... ภิ ก ษุ ท.! เรามี เ หตุ ผ ลในข อ นี้ อ ยู ดั ง นี้ จึ ง กล า วว า "อนิ จ เจทุ ก ขสั ญ ญา อั น บุคคลเจริญกระทําใหมากแลว ยอมมีผลใหญ มีอานิสงสใหญ หยั่งลงสูอมตะ มีอมตนะเปนปริโยสาน" ดังนี้. ภิ กษุ ท.! เมื่ อภิ กษุ มี จิ ต อบรมด วย ทุ ก เขอนั ต ตสั ญ ญา อยู เป น อย าง มาก ใจย อ มปราศจากมานะว า เราว า ของเรา (อหงฺ ก ารมมงฺ ก ารมาน) ทั้ ง ในกาย อั นประกอบด วยวิ ญ ญาณนี้ และในนิ มิ ต ทั้ งหลายในภายนอกด วย เป น ใจที่ ก าวล วง เสีย ไดซึ ่ง วิธ า (มานะ ๓ ชั ้น ) เปน ใจสงบระงับ พน พิเ ศษแลว ดว ยดี. ภิก ษุ ท.! ถ าเมื่ อภิ กษุ มี จิ ตอบรมด วยทุ กเขอนั ตตสั ญญาอยู เป นอย างมาก แต ใจยั งไม ปราศจาก มานะว าเราว าของเรา ทั้ งในกายอั น ประกอบด วยวิ ญ ญาณนี้ แ ละในนิ มิ ต ทั้ งหลาย ในภายนอก ไมเ ปน ใจกา วลว งเสีย ไดซึ ่ง วิธ า ไมส งบระงับ พน พิเ ศษแลว ดว ยดี แลว ไซร ; ภิก ษุนั ้น พึง ทราบเถิด วา "ทุก เขอนัต ตสัญ ญาเปน อัน เรามิไ ดอ บรม เสี ย แล ว คุ ณ วิ เศษที่ ยิ่ ง กว า แต ก อ นของเราไม มี เรายั ง มิ ไ ด บ รรลุ ผ ลแห ง ภาวนา" ดังนี้. เธอเปนผูมีสัมปชัญญะในเรื่องนี้อ ยูดังนี้. ....ภิกษุ ท.! เรามีเหตุ

www.buddhadasa.info


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๖๙

ผลในขอ นี ้อ อยู ด ัง นี ้ จึง กลา วา "ทุเ ขอนัต ตสัญ ญาอัน บุค คลเจริญ กระทํ า ให มากแลว ยอมมีผลใหญ มีอานิสงสใหญ หยั่งลงสูอมตะ มีอมตะเปนปริโยสาน" ดังนี้. ภิ ก ษุ ท.! สั ญ ญ าเจ็ ด ประการเหล า นี้ แ ล อั น บุ ค คลเจริ ญ กระทํ า ให มากแล ว ย อ มมี ผ ลใหญ มี อ านิ ส งส ใ หญ หยั่ ง ลงสู อ มตะ มี อ มตะเป น ปริ โยสาน, แล. - สตฺตก. อํ. ๒๓/๔๘/๔๖. (ผู ศึ ก ษ าพึ ง สั ง เกตให เ ห็ น ว า สั ญ ญ า เหล า นี้ แม จ ะนํ า ไปสู อ มตะด ว ยกั น ทั้ ง นั้ น แตก็มีลักษณะตาง ๆ กัน พึงเลือกเฟนเจริญใหถูกตองเหมาะสมแกกรณีของตน ๆ เถิด).

บรรลุอรหันตโดยละมัญญนะหกชนิด ภิ ก ษุ ท.! บุ ค คล ไม ล ะธรรมทั้ ง หลาย ๖ อย า งแล ว เป น ผู ไ ม ค วร เพื ่อ ทํ าให แ จง ซึ ่ง อ รห ัต ต ผ ล . ธ รรม ๖ อ ยา ง เห ล า ไห น เล า ? ห ก อ ย า งค ือ มานะ (ถือ ตัว ), โอมานะ (แกลง ลดตัว ), อติม านะ (ยกตัว ), อธิม านะ (ถือ ตัว จัด ), ถัม ภะ (หัว ตื ้อ ), อาติน ิป าตะ (สํ า คัญ ตัว เองวา เลว). ภิก ษุ ท.! บุค คลไมล ะธรรม ทั้งหลาย ๖ อยาง เหลานี้แลว เปนผูไมควรเพื่อทําใหแจงซึ่งอรหัตตผล.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! บุ ค คล ละธรรมทั้ งหลาย ๖ อย างแล ว เป น ผู ค วรเพื่ อ ทํ า ใหแ จง ซึ ่ง อรหัต ตผล. ธรรม ๖ อยา ง เหลา ไหนเลา ? หกอยา งคือ มานะ โอมานะ อติม านะ อธิม านะ ถัม ภะ อติน ิป าตะ ภิก ษุ ท.! บุค คลละธรรม ทั้งหลาย ๖ อยาง เหลานี้แลว เปนผูควรเพื่อทําใหแจงซึ่งอรหัตตผล แล.

- ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๗๙/๓๔๗.


๗๗๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

ขั้นตอนอันจํากัดแหงปจจัยของการละ กาม-รูป-อรูปราคะ ภิก ษุ ท.! ภิก ษุนั ้น หนอ เปน ผู  มีม ิต รชั ่ว มีส หายชั ่ว มีเ พื ่อ นชั ่ว , เมื่ อ เสพ คบ คลุ ก คลี อ ยู กั บ พวกชั่ ว และถื อ เอาทิ ฏ ฐานุ ค ติ ข องบุ ค คลเหล า นั้ น อยู แลว จัก กระทํ า อภิส มาจาริก ธรรมใหบ ริบ ูร ณไ ด นั ้น ไมเปน ฐานะที ่จ ะมีไ ด;๑ เมื ่อ ไม ก ระทํ า อภิ ส มาจาริ ก ธรรมให บ ริ บู ร ณ แ ล ว จั ก กระทํ า เสขธรรม (ธรรมที่ ค วรศึ ก ษา สู ง ขึ้ น ไป) ให บ ริ บู ร ณ ได นั้ น ไม เ ป น ฐานะที่ จ ะมี ไ ด ; เมื่ อ ไม ก ระทํ า เสขธรรมให บริบ ูร ณ แลว จัก ระทํ า ศีล ทั ้ง หลายใหบ ริบ ูร ณไ ด นั ้น ไมเ ปน ฐานะที ่จ ะมีไ ด ; เมื่ อ ไม ก ระทํ าศี ลทั้ งหลายให บ ริบู รณ แล ว จั กละกามราคะ หรื อ รู ป ราคะ หรื อ อรู ป ราคะได นั้นไมเปนฐานะที่จะมีได. ภิก ษุ ท.! ภิก ษุนั ้น หนอ เปน ผู  มีม ิต รดี มีส หายดี มีเ พื ่อ นดี, เมื่ อ เสพ คบ คลุ ก คลี อ ยู กั บ พวกมิ ต รดี และถื อ เอาทิ ฏ ฐานุ ค ติ ข องบุ ค คลเหล า นั้ น อยูแลว จักกระทําอภิสมาจาริกธรรมใหบริบูรณได นั้นไมเปนฐานะที่จะมีได; เมื่อ กระทําอภิสมาจาริกธรรมใหบริบูรณแลว จักกระทําเสขธรรมใหบริบูรณได นั้น เปนฐานะที่มีได ; เมื่อกระทําเสขธรรมใหบริบูรณแลว จักรกระทําศีลทั้งหลาย ใหบ ริบ ูร ณไ ด นั้น เปน ฐานะที่มีไ ด ; เมื ่อ กระทํ า ศีล ทั ้ง หลายใหบ ริบ ูร ณแ ลว จักละกามราคะ หรือรูปราคะ หรืออรูปราคะได นั้นเปนฐานะที่มีได แล.

www.buddhadasa.info - ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๗๒/๓๓๘.

๑. ผู ศ ึก ษาพึง สัง เกตใหเห็น วา อภิส มาจาริก ธรรม กลา วคือ การปฏิบ ัต ิว ัต รหรือ มรรยาทที ่ส าธุช น ทั่ ว ไป จะพึ ง ปฏิ บั ติ ใ นบ า นเรื อ น เพื่ อ นพ อ ง และสั ง คมทั่ ว ไป นี้ ไ ม ใ ช เ รื่ อ งเล็ ก น อ ยในการ ปฏิบ ัต ิธ รรมเพื ่อ บรรลุธ รรมในขั ้น สูง ; กลา วสรุป สั ้น ๆ ก็ว า ไมก ระทํ า ใหเ กิด ความเหมาะสม ในการที ่จ ะเปน นัก ศึก ษา. ขอใหท ุก คนทํ า การชํ า ระสะสางอภิส มาจาริก ธรรมของตน ๆ ให ดี ที่ สุดเทาที่จะทําได เปนเรื่องแรกเสียกอน.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๗๑

ละราคะโทสะโมหะได เพราะไมหลงในสัญโญชนิยธรรม ภิก ษุ ท .! ธ รรม ส อ งป ระก ารเห ลา นี ้ มีอ ยู . ส อ งป ระ ก าร อ ยา ง ไรเล า ? สองประการ คื อ การตามเห็ น ความเป น ของน า ยิ น ดี ในสั ญ โญชนิ ย ธรรมทั้งหลาย และการตามเห็นความเปนของนาเบื่อหนาย ในสัญโญชนิยธรรม ทั้งหลาย. ภิก ษุ ท .! ผู ต าม เห็น ค วาม เปน ข อ งนา ยิน ดีใ น สัญ โญ ช นิย ธ รรม ทั ้ง หลายอยู  ยอ มไมล ะไดซึ ่ง ราคะ ซึ ่ง โทสะ ซึ ่ง โมหะ ; เพราะละไมไ ดซึ ่ง ราคะ ซึ่ ง โทสะ ซึ่ ง โมหะ จึ ง ไม ห ลุ ด พ นจากชาติ ชรา มรณ ะ โสกะ ปริ เ ทวะ ทุ ก ขะ โทมนัส อุปายาส ทั้งหลาย, เรากลาววา ยอมไมหลุดพนจากทุกข. ภิก ษุ ท.! ผู ต าม เห็น ค วาม เปน ขอ งนา เบื ่อ ห นา ย ในสัญ โญ ช นิ ย ธรรมทั้ งหลายอยู ย อ มละได ซึ่ งราคะ ซึ่ งโทสะ ซึ่ งโมหะ ; เพราะละได ซึ่ งราคะ ซึ่ ง โทสะ ซึ่ ง โมหะ จึ ง หลุ ด พ น จากชาติ ชรามรณะ โสกะ ปริ เทวะ ทุ ก ขะ โทมนั ส อุปายาส ทั้งหลาย, เรากลาววา ยอมหลุดพนจากทุกข.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.! เหลานี้แล ธรรมสองประการนั้น.

- ทุก. อํ. ๒๐/๖๕/๒๕๒.

ภาวะแหงความสิ้นตัวตนและสิ้นโลก "ข าแต พ ระองค เจริ ญ ! ข าพระองค เป น คนชรา เป น คนแก ค นเฒ ามานาน ผ านวั ยมาตามลํ าดั บ . ขอพระผู มี พ ระภาคาทรงแสดงธรรมโดยย อ ขอพระสุ ค ตจงทรง แสดงธรรมโดยยอ ในลักษณะที่ขาพระองคจะพึงรูทั่วถึงเนื้อความแหงภาษิตของพระผูมีพระ-


๗๗๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภาคเจ า ในลั กษณะที่ ข าพระองค จะพึ งเป นทายาทแห งภาษิ ตของพระผู มี พระภาคเจ า เถิ ด พระเจาขา !" มาลุ ง กบุ ต ร ! ท า นจะสํ า คั ญ ความข อ นี้ ว า อย า งไร คื อ รู ป ทั้ ง หลาย อัน รู ส ึก กัน ไดท างตา เปน รูป ที ่ท า นไมไ ดเ ห็น ไมเ คยเห็น ที ่ท า นกํ า ลัง เห็น อยู ก็ ไ ม มี ที่ ท า นคิ ด ว า ท า นควรจะได เ ห็ น ก็ ไ ม มี ดั ง นี้ แ ล ว ความพอใจก็ ดี ความ กํ า หนัด ก็ด ี ความรัก ก็ด ี ในรูป เหลา นั ้น ยอ มมีแ กท า นหรือ ? "ขอ นั ้น หามิไ ด พระเจาขา !" (ตอ ไปนี ้ ไดม ีก ารตรัส ถาม และการทูล ตอบ ในทํ า นองเดีย วกัน นี ้ท ุก ตัว อัก ษ ร ผิด กัน แตชื ่อ ของสิ ่ง ที ่นํ า มากลา ว คือ ในกรณีแ หง เสีย งอัน รู ส ึก กัน ไดท างหู ในกรณีแ หง กลิ ่น อัน รูสึก กัน ไดท างจมูก ในกรณีแ หง รสอัน รูสึก กัน ไดท างลิ้น ในกรณีแ หง โผฏฐัพ พะอัน รูสึก กัน ได ทางผิวกาย และในกรณีแหง ธรรมารมณอันรูสึกกันไดทางมโน).

มาลุ ง กบุ ต ร ! ในบรรดาสิ่ ง ที่ ท า น พึ ง เห็ น พึ ง ฟ ง พึ ง รู สึ ก พึ ง รู แ จ ง เหลานั้น ; ใน สิ่งที่ทานเห็นแลว จักเปนแตเพียงสักวาเห็น ; ใน สิ่งที่ทานฟงแลว จักเปนแตเพียงสักวาไดยิน ; ใน สิ่งทีทานรูสึกแลว (ทางจมูก, ลิ้น, กาย) จักเปนแตเพียงสักวารูสึก ; ใน สิ่งที่ทานรูแจงแลว (ทางวิญญาณ) ก็จักเปนแตเพียงสักวารูแจง. ม าลุก ยบ ตุร ! เมื ่อ ใด แ ล ใน บ รรด าธรรม เห ลา นั ้น : เมื ่อ สิ ่ง ที่ เห็ น แล ว สั ก ว า เห็ น , สิ ่ ง ที ่ ฟ  ง แล ว สั ก ว า ได ย ิ น , สิ ่ ง ที ่ รู  ส ึ ก แล ว สั ก ว า รู  ส ึ ก , สิ ่ง ที ่รู แ จง แลว สัก วา รู แ จง , ดัง นี ้แ ลว ; มาลุง กยบุต ร ! เมื ่อ นั ้น ตัว ทา น ยอมไมมีเพราะเหตุนั้น;

www.buddhadasa.info มาลุง กยบุต ร! เมื่อ ใดตัว ทานไมมีเพราะเหตุนั้น , เมื่อ นั้น ตัว ทา น ก็ไมมีในที่นั้น ๆ ;


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๗๓

มาลุง กยบุต ร ! เมื ่อ ใดตัว ทา นไมม ีใ นที ่นั ้น ๆ, เมื ่อ นั ้น ตัว ทา นก็ ไมมีในโลกนี้ ไมมีในโลกอื่น ไมมีในระหวางโลกทั้งสอง : นั่นแหละ คือที่สุด แหงความทุกข ดังนี้. "ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! ข าพระองค รูทั่ วถึ งเนื้ อความแห งภาษิ ตอั นพระผู มี พระภาคตรัสแลวโดยยอนี้ ไดโดยพิสดาร ดังตอไปนี้ :เห็ น รู ป แล ว สติ ห ลงลื ม ทํ าในใจซึ่ งรู ป นิ มิ ต ว า น า รั ก มี จิ ต กํ า หนั ด แก ก ล า แล ว เสวยอารมณ นั้ น อยู ความสยบมั ว เมาย อ ม ครอบงําบุ ค คลนั้ น . เวทนาอั น เกิ ด จากรูป เป น อเนกประการ ย อ ม เจริญแกเขานั้น. อภิชฌาและวิหิงสายอมเขาไปกลุมรุมจิตของเขา. เมื่อสะสมทุกขอยูอยางนี้ ทานกลาววายังไกลจากนิพพาน. (ในกรณ ีแ หง การฟง เสีย ง ดมกลิ ่น ลิ ้ม รส ถูก ตอ งโผฏฐัพ พะดว ยกาย รูสึกธรรมารมณดวยใจก็มีขอความที่กลาวไวอยางเดียวกัน).

www.buddhadasa.info บุ คคลนั้ นไม กํ าหนั ดในรู ป ท. เห็ นรูปแล ว มี สิ ตเฉพาะ มี จิ ต ไม กํ า หนั ด เสวยอารมณ อ ยู ความสยบมั ว เมาย อ มไม ค รอบงํ า บุค คลนั ้น . เมื ่อ เขาเห็น อยู ซึ ่ง รูป ตามที ่เปน จริง เสวยเวทนาอยู ทุกขก็สิ้นไป ๆ ไมเพิ่มพูนขึ้น เขามีสติประพฤติอยูดวยอาการอยางนี้, เมื่อไมสะสมทุกขอยูอยางนี้ ทานกลาววาอยูใกลตอนิพพาน.

(ในกรณี แห ง การฟ ง เสี ย ง ดมกลิ่ น ลิ้ ม รส ถู ก ต อ งโผฏฐั พ พะด ว ยกายรู สึกธรรมารมณดวยใจก็มีขอความที่กลาวไวอยางเดียวกัน).

ขาแตพระองคผูเจริญ ! ขาพระองครูทั่วถึงเนื้อความแหงภาษิตอันพระผูมีพระภาคตรัสแลวโดยยอนี้ ไดโดยพิสดารอยางนี้ พระเจาขา !"


๗๗๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

พระผู มี พ ระภาค ทรงรั บ รองความข อ นั้ น ว า เป น การถู ก ต อ ง. ท า นมาลุ ง กยบุ ต ร หลีกออกสูที่สงัดกระทําความเพียร ไดเปนอรหันตองคหนึ่งในศาสนานี้. - สฬา.สํ. ๑๘/๙๑-๙๕/๑๓๒-๑๓๙.

สิ้นกิเลสก็แลวกัน ไมตองรูวาสิ้นไปเทาไร ภิ ก ษุ ท.! เปรี ย บเหมื อ น รอยนิ้ ว มื อ หรื อ รอยนิ้ ว หั ว แม มื อ ย อ ม ปรากฎอยู ที ่ด า มเครื ่อ งมือ ของพวกชา งไม หรือ ลูก มือ ของพวกชา งไม แตเ ขาก็ ไมม ีค วามรู ว า ดา มเครื ่อ งมือ ของเรา วัน นี ้ส ึก ไปเทา นี ้ วานนี ้ส ึก ไปเทา นี ้ วัน อื ่น ๆ สึก ไป เทา นี ้ ๆ ค งรู แ ตว า มัน สึก ไป ๆ เทา นั ้น , นี ้ฉ ัน ใด ; ภิก ษุ ท .! เมื่อภิกษุตามประกอบภาวนาอยู ก็ไมรูอยางนี้วา วันนี้ อาสวะของเราสิ้นไป เทานี้ วานนี้สิ้นไปเทานี้ วันอื่น ๆ สิ้นไปเทานี้ ๆ รูแตเพียงวา สิ้นไปในเมื่อ มันสิ้นไป ๆ เทานั้น, ฉันใดก็ฉันนั้น. - สตฺตก. อํ. ๒๓/๑๒๘/๖๘.

เมื่อสังโยชนเหมือนเครื่องหวายสิ้นอายุ

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท.! เปรีย บเหมือ นเรือ เดิน สมุท รที ่ม ีเ ครื ่อ งผูก ทํ า ดว ยหวาย อยู ใ นน้ํ า ตลอดหกเดื อ นแล ว เขายกขึ้ น บกในฤดู ห นาว เครื่ อ งผู ก เหล า นั้ น ผึ่ ง อยู กั บ ลมและแดด ชุ ม แฉะอยู ด ว ยหมอกอั น ชื้ น ย อ มยุ บ ตั ว เป อ ยพั ง ไปโดยไม ย าก เลย, นี ้ฉ ัน ใด ; ภิก ษุ ท.! เมื ่อ ภิก ษุต ามป ระกอบการเจริญ ภ าวน าอยู สังโยชนทั้งหลาย (ซึ่งเสมือนเครื่องหวายที่อบอยูกับแดดลมและความชื้น) ยอม ระงับลง ๆ กระทั่งสูญเสียไป ฉันนั้นเหมือนกัน.

- สตฺตก. อํ. ๒๓/๑๒๘/๖๘.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๗๕

(เป น ที่ น า สั ง เกตว า พระพุ ท ธองค ท รงมี ถิ่ น ฐานอยู ท างภาคเหนื อ ของอิ น เดี ย ซึ่ ง ดู ตามแผนที ่แ ลว จะไมม ีโ อกาสเกี ่ย วขอ งกับ ทะเล แตก ็ย ัง ทรงทราบเรื ่อ งเรือ เดิน ทะเล, เปน บุ ค คลในระดั บ กษั ต ริ ย ก็ ยั ง ทรงรู เรื่ อ งเล็ ก ๆ น อ ย ๆ ของชาวบ า น เช น หวายที่ ผู ก เรื อ แพเดิ น ทะเล สิ ้น อายุผ ุพ ัง ไปตามฤดูก าลได; แสดงวา ทรงมีพื ้น เพแหง สติป ญ ญาสมกับ ที ่จ ะเปน พระพุท ธเจา เสียจริง ๆ ).

ฟองไขออกเปนตัว มิใชโดยเจตนาของแมไก (เหมือนอาสวะสิ้นเอง เมื่อปฏิบัติชอบ) ภิก ษุ ท.! เมื ่อ ภิก ษุต ามประกอบการเจริญ ภาวนาอยู , โดยแน นอน เธอไมต อง ปรารถนา วา "โอหนอ ! จิต ของเราถึง หลุด พน จากอาสวะ เพราะไมมีอุป าทานเถิด " ดังนี้. จิต ของเธอนั ้น ก็ยอ มหลุด พน จากอาสวะเพราะ ไมม ีอ ุป าทานไดเ ปน แน. ขอ นั ้น เพราะเหตุไ รเลา ? ขอ นั ้น เพราะเหตุว า เธอ มี ก ารเจริ ญ สติ ป ฏ ฐานสี่ สั ม มั ป ปธานสี่ อิ ท ธิ บ าทสี่ อิ น ทรี ย ห า พละห า โพชฌงค เจ็ ด อริ ย มรรคมี อ งค แ ปด. ภิ ก ษุ ท.! เปรี ย บเหมื อ น ฟองไข ๘ ฟอง ๑๐ ฟอง หรือ ๑๒ ฟอง อัน แมไ กก กดีแ ลว พลิก ใหทั ่ว ดีแ ลว คือ ฟก ดีแ ลว , โดย แนน อน แ ม ไ กไ ม ต อ งป รารถ น า วา "โอห น อ ! ลูก ไกข องเรา จงทํ า ลาย กระเปาะฟองด ว ยปลายเล็ บ เท า หรื อ จะงอยปาก ออกมาโดยสวั ส ดี เถิ ด " ดั ง นี้ , ลูกไกเหลานั้นก็สามารถทําลายกระเปาะดวยปลายเล็บเทา หรือจะงอยปาก ออก มาโดยสวัสดีไดโดยแท, ฉันใดก็ฉันนั้น.

www.buddhadasa.info - สตตก.อํ. ๒๓/๑๒๗/๖๘.


๗๗๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

ผลสูงต่ําแหงการปฏิบัติ ตามที่อาจทําใหเกิดขึ้น ภิ ก ษุ ท.! ป ติ ที่ ป ระกอบด ว ยอามิ ส (สามิ ส ) ก็ มี ป ติ ที่ ไ ม ป ระกอบ ด ว ยอามิ ส (นิ รามิ ส ) ก็ มี ป ติ ไม ป ระกอบลด ว ยอามิ ที่ ยิ่ งกว า ไม ป ระกอบด ว ยอามิ ส (นิรามิสตร) ก็มี. ความสุ ข ที่ ป ระกอบด ว ยอามิ ส ก็ มี ความสุ ข ที่ ไ ม ป ระกอบด ว ยอามิ ส ก็มี ความสุขไมประกอบดวยอามิสที่ยิ่งกวาไมประกอบดวยอามิส ก็มี. อุ เบกขา ที่ ประกอบด วยอามิ ส ก็ มี อุ เบกขาที่ ไม ประกอบด วยอามิ ส ก็ มี อุเบกขากไมประกอบดวยอามิสที่ยิ่งกวาไมประกอบดวยอามิส ก็มี. วิ โมกข ที่ ป ระกอบด ว ยอามิ ส ก็ มี วิ โมกข ที่ ไม ป ระกอบด ว ยอามิ ส ก็ มี วิโมกขไมประกอบดวยอามิสที่ยิ่งกวาไมประกอบดวยอามิส ก็มี. ภิ ก ษุ ท.! ป ติ ที่ ป ระกอบด ว ยอามิ ส เป น อย า งไรเล า ? ภิ ก ษุ ท.! กาม คุณ ๕ อยา งเห ลา นี ้ มีอ ยู , หา อ ยา งคือ รูป ที ่จ ะพ ึง รู แ จง ดว ยจัก ษ ุ.... เสีย งที ่จ ะพึง รู แ จง ดว ยโสตะ.... กลิ ่น ที ่จ ะพึง รู แ จง ดว ยฆ านะ.... รสที ่จ ะพึง รู แ จง ดว ยชิว หา.... โผฏฐัพ พะที ่จ ะพึง รู แ จง ดว ยผิว กาย อัน เปน สิ ่ง นา ปรารถนา นา รัก ใคร นา พอใจ มีล ัก ษณะนา รัก เปน ที ่เ ขา ไปอาศัย อยู แ หง ความใคร เปน ที่ ตั้ ง แห ง ความกํ า หนั ด : เหล า นี้ แ ล คื อ กามคุ ณ ๕ อย า ง. ภิ ก ษุ ท.! ป ติ ใ ด อาศัยกามคุณ ๕ อยางเหลานี้เกิดขึ้น, ปตินี้เรียกวา ปติประกอบดวยอามิส.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! ป ติ ไม ได ป ระกอบด ว ยอามิ ส เป น อย า งไรเล า ? ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ใ นกรณี นี้ ส งั ด จากกามทั้ ง หลาย สงั ด จากธรรมที่ เป น อกุ ศ ลทั้ ง หลาย เข า ถึ ง ปฐมฌาน ประกอบดวยวิตกวิจาร มีปติและสุข อันเกิดจากวิเวก แลวแลอยู;


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๗๗

เพราะความที่ วิ ตกวิ จารทั้ งสองระงั บ ลง เข าถึ ง ทุ ติ ยฌาน เป นเครื่อ งผ อ งใสแห งใจ ในภายใน ให ส มาธิ เป น ธรรมอั น เอกผุ ด มี ขึ้ น ไม มี วิ ต ก ไม มี วิ จ าร มี แ ต ป ติ แ ละ สุข อัน เกิด จากสมาธิ แลว แลอยู. ภิก ษุ ท.! ปต ินี ้เ รีย กวา ปต ิไ มป ระกอบ ดวยอามิส. ภิกษุ ท.! ปติไมประกอบดวยอามิส ที่ยิ่งกวาไมประกอบดวยอามิส เปน อยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท.! เมื ่อ ภิก ษุข ีณ าสพ พิจ ารณาจิต ที ่ห ลุด พน จาก ราคะ จิต ที ่ห ลุด พน จากโทสะ จิต ที ่ห ลุด พน จากโมหะอยู ; ปต ิใ ดเกิด ขึ ้น , ปตินั้นเรียกวา ปติไมประกอบดวยอามิส ที่ยิ่งกวาไมประกอบดวยอามิส. ภิ ก ษุ ท.! สุ ข ที่ ป ระกอบด ว ยอามิ ส เป น อย า งไรเล า ? ภิ ก ษุ ท.! กามคุณ ๕ อยา งเหลา นี ้ มีอ ยู . หา อยา ง คือ รูป ที ่จ ะพึง รู แ จง ดว ยจัก ษุ.... เสีย งที ่จ ะพึง รู แ จง ดว ยโสตะ .... กลิ ่น ที ่จ ะพึง รู แ จง ดว ยฆานะ …. รสที ่จ ะพึง รูแ จง ดว ยชิว หา … โผฏฐัพ พะที ่จ ะพึง รูแ จง ดว ยผิว กาย อัน เปน สิ ่ง นา ปรารถนา นา รัก ใคร นา พอใจ มีล ัก ษณะนา รัก เปน ที ่เ ขา ไปอาศัย อยู แ หง ความใคร เปน ที่ ตั้ ง แห ง ความกํ า หนั ด : เหล า นี้ แ ล คื อ กามคุ ณ ๕ อย า ง. ภิ ก ษุ ท.! สุ ข โสมนัสใด อาศัยกามคุณ ๕ อยางเหลานี้เกิดขึ้น, สุขนี้เรียกวา สุขประกอบ ดวยอามิส.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! สุ ข ที่ ไม ป ระกอบด ว ยอามิ ส เป น อย างไรเล า ? ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ในกรณี นี้ สงั ดแล วจากกามทั้ งหลาย สงั ด แล วจากธรรมที่ เป น อกุ ศ ลทั้ งหลาย เขา ถึง ปฐมฌาน ประกอบดว ยวิต กวิจ าร มีป ต ิแ ละสุข อัน เกิด จากวิเวก แลว แลอยู; เพราะความที่วิตกวิจารทั้งสองระงับลง เขาถึง ทุติยฌาน เปนเครื่อง


๗๗๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

ผอ งใสแหง ใจในภายใน ใหส มาธิเ ปน ธรรมอัน เอกผุด มีขึ ้น ไมม ีว ิต ก ไมม ีว ิจ าร มีแ ตป ต ิแ ละสุข อัน เกิด จากสมาธิ แลว แลอยู ; อนึ ่ง เพราะความจางคลาย ไปแหงปติ ยอมเปนผู อยูอุเบกขา มีสติและสัมปชัญญะ และยอมเสวยความสุข ดว ยนามกาย ชนิด ที ่พ ระอริย เจา ทั ้ง หลาย ยอ มกลา วสรรเสริญ ผู นั ้น วา "เปน ผู อ ยู อ ุเ บ ก ขา มีส ิต อ ยู เ ปน ป ก ติส ุข " ดัง นี ้, เขา ถึง ต ติย ฌ าน แลว แล อ ยู . ภิกษุ ท.! สุขนี้เรียกวา สุขไมประกอบดวยอามิส. ภิกษุ ท.! สุ ขไม ประกอบด วยอามิ ส ที่ ยิ่ งกวาไม ประกอบด วยอามิ ส เปน อยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท.! เมื ่อ ภิก ษุข ีณ าสพ พิจ ารณ าจิต ที ่พ น แลว จาก ราคะ จิต ที ่พ น แลว จากโทสะ จิต ที ่พ น แลว จากโมหะอยู ; สุข โสมนัส ใดเกิด ขึ ้น , สุข โสมนัส นั ้น เรีย กวา สุข ไมก อบดว ยอามิส ทิ ่ยิ ่ง กวา ไมป ระกอบดว ย อามิส. ภิ กษุ ท.! อุ เบกขาที่ ป ระกอบด ว ยอามิ ส เป นอย างไรเล า ? ภิ กษุ ท.! กามคุณ ๕ อยา งเหลา นี ้ มีอ ยู . หา อยา ง คือ รูป ที ่จ ะพึง รู แ จง ดว ยจัก ษุ.... เสีย งที ่จ ะพึง รู แ จง ดว ยโส ต ะ....ก ลิ ่น ที ่จ ะพึง รู แ จง ดว ย ฆ าน ะ.... รส ที ่จ ะพึง รู แ จง ดว ยชิว หา.... โผฏฐัพ พะที ่จ ะพึง รู แ จง ดว ยผิว กาย อัน เปน สิ ่ง นา ปรารถนา น า รั ก ใคร น า พอใจ มี ลั ก ษณะน า รั ก เป น ที่ เข า ไปอาศั ย อยู แ ห ง ความใคร เป น ที่ ตั ้ง แหง ความกํ า หนัด : เหลา นี ้แ ล คือ กามคุณ ๕ อยา ง. ภิก ษุ ท.! อุเ บกขา ใด อาศัยกามคุณ ๕ อยางเหลานี้เกิดขึ้น, อุเบกขานี้เรียกวา อุเบกขาประกอบ ดวยอามิส.

www.buddhadasa.info


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๗๙

ภิก ษุ ท.! อุเ บกขาที ่ไ มป ระกอบดว ยอามิส เปน อยา งไรเลา ? ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ใ นกรณี นี้ เพราะละสุ ข เสี ย ได และเพราะละทุ ก ข เ สี ย ได เพราะ ความดับ ไปแหง โสมนัส และโทมนัส ทั ้ง สอง ในกาลกอ น, เขา ถึง จตุต ฌ าน ไมมีทุกขไมมีสุข มีแตความที่สติเปนธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา แลวแลอยู. ภิกษุ ท.! อุเบกขานี้เรียกวา อุเบกขาไมประกอบดวยอามิส. ภิกษุ ท.! อุ เบกขาไม ป ระกอบด วยอามิ ส ที่ ยิ่งกวาไม ป ระกอบด วย อามิส เปน อยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท.! เมื ่อ ภิก ษุข ีณ าสพ พิจ ารณ าจิต ที ่พ น แล ว จากราคะ จิ ต ที่ พ น แล ว จากโทสะ จิ ต ที่ พ น แล ว จากโมหะ อยู ; อุ เ บกขาใด เกิด ขึ ้น , อุเ บกขานั ้น เรีย กวา อุเ บกขาไมป ระกอบดว ยอามิส ที ่ยิ ่ง กวา ไม ประกอบดวยอามิส. ภิก ษุ ท.! วิโ มกขที ่ป ระกอบดว ยอามิส เปน อยา งไรเลา ? วิโ มกข ที่ประกอบเนื่องอยูในรูป เรียกวา วิโมกขประกอบดวยอามิส.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! วิ โมกข ที่ ไม ป ระกอบด ว ยอามิ ส เป น อย า งไรเล า ? วิ โมกข ที่ประกอบเนื่องอยูในอรูป เรียกวา วิโมกขไมประกอบดวยอามิส.

ภิ ก ษุ ท.! วิ โมกข ไม ป ระกอบด ว ยอามิ ส ทิ่ ยิ่ ง กว า ไม ป ระกอบด ว ย อ ามิส เปน อ ยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท .! เมื ่อ ภิก ษุข ีณ าส พ พิจ ารณ าจิต ที ่พ น แลว จากราคะ จิต ที ่พ น แลว จากโทสะ จิต ที ่พ น แลว จากโมหะ อยู ; วิโ มกขใ ด เก ิด ขึ ้น , วิโ ม ก ข นั ้น เรีย ก ว า วิโ ม ก ข ไ ม ป ระ ก อ บ ด ว ย อ า ม ิส ที ่ยิ ่ง ก วา ไม ประกอบดวยอามิส แล.

- สฬา.สํ. ๑๘/๒๙๒–๒๙๕/๔๔๖-๔๕๗.


๗๘๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

อานิสงสตามลําดับการเกิดแหงธรรมโดยไมตองเจตนา (จากสีลถึงวิมุตติ) อานนท ! ดว ยอาการอยา งนี ้แ ล : ศีล อัน เปน กุศ ล มีอ วิป ปฏิส าร เป น อานิ ส งส ที่ มุ งหมาย; อวิ ป ปฏิ ส าร มี ค วามปราโมทย เป น อานิ ส งส ที่ มุ งหมาย ; ความประโมทย มีป ต ิเ ปน อานิส งสที ่มุ ง หมาย ; ปต ิ มีป ส สัท ธิเปน อานิส งสที่ มุ ง หมาย ; ปส สัท ธิ มีส ุข เปน อานิส งสที ่มุ ง หมาย ; สุข มีส มาธิเ ปน อานิส งส ที่ มุ ง หมาย ; สมาธิ มี ย ถาภู ติ ญ าณทั ส สนะเป น อานิ ส งส ที่ มุ ง หมาย ; ยถาภู ต ญ าณ ทั ส สนะ มี นิ พ พิ ท าเป น อานิ ส งส ที่ มุ ง หมาย; นิ พ พาทา มี วิ ร าคะเป น อานิสงสที่มุงหมาย ; วิราคะ มีวิมุตติญาณทัสสนะ เปนอานิสงสที่มุงหมาย. อานนท ! ศีลอันเปนกุศล ยอมยังอรหัตตผลใหบริบูรณ โดยลําดับ ดวยอาการอยางนี้แล. - เอกาทสก. อํ. ๒๔/๓๓๖/๒๐๘.

ภิ ก ษุ ท.! เมื่ อ มี ศี ล สมบู ร ณ แ ล ว ก็ ไม ต อ งทํ า เจตนาว า "อวิ ป ปฏิ ส าร จงบัง เกิด แกเ รา".ภิก ษุ ท.! ขอ นี ้เ ปน ธรรมดา วา เมื ่อ มีศ ีล สม บูร ณแ ลว อวิปปฏิสารยอมเกิด (เอง).

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท.! เมื ่อ ไมม ีว ิป ปฏิส าร ก็ไ มต อ งทํ า เจตนาวา "ปราโมทย จงบัง เกิด แกเ รา". ภ ิก ษ ุ ท .! ขอ นี ้เ ปน ธรรม ด า วา เมื ่อ ไม ม ีว ิป ป ฏ ิส าร ปราโมทยยอมเกิด (เอง). ภิ ก ษุ ท.! เมื่ อ ปรามโมทย แ ล ว ก็ ไ ม ต อ งทํ า เจตนาว า "ป ติ จ งบั ง เกิ ด แกเรา". ภิกษุท.! ขอนี้เปนธรรมดาวา เมื่อปราโมทยแลว ปติยอมเกิด (เอง).


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๘๑

ภิก ษุ ท.! เมื ่อ มีใ จปต ิแ ลว ก็ไ มต อ งทํ า เจตนาวา "กายของเรา จงรํ า งับ ". ภิก ษุ ท.! ขอ นี ้เ ปน ธรรมดา วา เมื ่อ มีใ จปต ิแ ลว กายยอ มรํ า งับ (เอง). ภิก ษุ ท.! เมื ่อ กายรํ า งับ แลว ก็ไ มต อ งทํ า เจตนาวา "เราจงเสวย สุข เถิด ". ภิก ษุ ท.! ขอ นี ้เ ปน ธรรมดา วา เมื ่อ กายรํ า งับ แลว ยอ มไดเ สวย สุข (เอง). ภิ ก ษุ ท.! เมื่ อ มี สุ ข ก็ ไ ม ต อ งทํ า เจตนาว า "จิ ต ของเราจงตั้ ง มั่ น เป น สมาธิ". ภิก ษุ ท.! ขอ นี ้เ ปน ธรรมดา วา เมื ่อ มีส ุข จิต ยอ ม ตั ้ง มั ่น เปน สมาธิ (เอง). ภิก ษุ ท.! เมื ่อ จิต ตั ้ง มั ่น เปน สมาธิแ ลว ก็ไ มต อ งทํ า เจตนาวา "เรา จงรู จ งเห็น ตามที ่เ ปน จริง ". ภิก ษุ ท.! ขอ นี ้เ ปน ธรรมดา วา เมื ่อ จิต ตั ้ง มั ่น เปนสมาธิแลว ยอมรูยอมเห็นตามที่เปนจริง (เอง). ภิก ษุ ท.! เมื ่อ รู อ ยู เ ห็น อยู ต ามที ่เ ปน จริง ก็ไ มต อ งทํ า เจตนาวา " เราจงเบื ่อ หนา ย". ภิก ษุ ท.! ขอ นี ้เ ปน ธรรมดา วา เมื ่อ รู อ ยู เ ห็น อยู ต ามที่ เปนจริง ยอมเบื่อหนาย (เอง).

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! เมื่ อ เบื่ อ หน า ยแล ว ก็ ไ ม ต อ งทํ า เจตนาว า "เราจงคลาย กํ า หนัด ". ภิก ษุ ท.! ขอ นี ้เ ปน ธรรมดา วา เมื ่อ เบื ่อ หนา ยแลว ยอ มคลาย กําหนัด (เอง).

ภิ ก ษุ ท.! เมื่ อ จิ ต คลายกํ า หนั ด แล ว ก็ ไ ม ต อ งทํ า เจตนาว า "เราจง ทํ า ใหแ จง ซึ ่ง วิม ุต ติญ าณ ทัส ส น ะ". ภิก ษุ ท .! ขอ นี ้เ ปน ธรรม ด า วา เมื ่อ คลายกําหนัดแลว ยอมทําใหแจงซึ่งวิมุตติญาณทัสสนะ (เอง). - เอกาทสก. อํ. ๒๔/๓๓๖/๒๐๙.


๗๘๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

สัญญาในอุปาทานระงับไป เมื่ออารมณแหงสัญญานั้นเปนวิภูตะ (ขอใหผู ศ ึก ษาอดทนอา นขอ ความอัน เปน อุป มาในตอนตน ซึ ่ง คอ นขา งจะยืด ยาว ให เห็ น ชั ด เสี ย ก อ น ว า ม า กระจอกกั บ ม า อาชาไนยต า งกั น อย า งไร จึ ง จะเข า ใจความต างระหว า ง ผู ที่ เพ งด วยความยึ ดถื อและเพ งด วยความไม ยึ ดถื อ จึ งจะเข าใจความหมายของคํ าว า วิภู ตะ-ความ เปนแจงของผูที่เพงดวยความไมยึดถือ).

สั น ธะ ! เธอจงเพ ง อย า งการเพ ง ของสั ต ว อ าชาไนย; อย า เพ ง อย า ง การเพงของสัตวกระจอก. สันธะ ! อยางไรเลา เปนการเพงอยางของสัตวกระจอก ? สันธะ ! ม ากระจอก ถู กผู กไว ที่ รางเลี้ ยงอาหาร ใจของมั นก็ จะเพ งอยู แต วา "ข าวเปลื อก ๆ " เพราะเหตุไ รเลา ? สัน ธะ! เพราะเหตุว า มัน ไมม ีแ กใ จที ่จ ะคิด วา "วัน นี ้ สารถี ของเราตอ งการใหเราทํ า อะไรหนอ เราจะตอบสนองเขาอยา งไรหนอ" ; มัน มัว เพงอยูในใจวา "ขาวเปลือก ๆ" ดังนี้.

www.buddhadasa.info สัน ธะ ! ฉัน ใดก็ฉ ัน นั ้น ที ่ภ ิก ษุก ระจอกบางรูป ในกรณีนี ้ ไปแลว สู ป า ก็ต าม สู โ คนไมก ็ต าม สู เ รือ นวา ก็ต าม มีจ ิต ถูก ามราคานิว รณก ลุ ม รุม ห อ หุ ม อยู . เขาไม รู ต ามเป น จิ ร งซึ่ ง อุ บ ายเป น เครื่ อ งออกจากกามราคะที่ เกิ ด ขึ้ น แลว ; เขากระทํ า กามราคะนั ้น ๆ ใหเ นื ่อ งกัน ไมข าดสายเพง อยู  เพง ทั ่ว อยู เพง โดยไมเ หลือ อยู  เพง ลงอยู . (ในกรณีแ หง พยาบาท-ถิ ่น มิท ธะ-อุท ธัจ จกุก กุจ จะ และวิจ ิก ิจ ฉานิว รณ ก็ไ ดเปน ไปในลัก ษณะอยา งเดีย วกัน กับ กรณีแ หง กามราคะนิว รณ). ภิก ษุ นั้นยอมเพงอาศัยความสําคัญวาดินบาง ยอมเพงอาศัยความสําคัญวาน้ําบาง อาศัย


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๘๓

ความสํ า คั ญ ว า ไฟบ า ง อาศั ย ความสํ า คั ญ ว า ลมบ า ง ว า อากาสานั ญ จายตนะบ า ง ว าวิ ญ ญาณั ญ จายตนะบ างว า อากิ ญ จั ญ ญายตนะบ าง ว าเนวสั ญ ญานาสั ญ ญายตนะ บา ง วา โลกนี ้บ า ง วา โลกอื ่น บา ง อาศัย ความสํ า คัญ วา "สิ ่ง ที ่เ ราเห็น แลว ". " สิ ่ง ที ่เ ราฟ ง แ ลว ", "สิ ่ง ที ่เ รารู ส ึก แ ลว ", "สิ ่ง ที ่เ รารู แ จง แ ลว ", "สิ ่ง ที ่เ ราบ รรลุ แลว ", "สิ ่ง ที ่เ ราแส วงห าแลว ", "สิ ่ง ที ่ใ จของเราติด ต าม แลว " แตล ะอยา ง ๆ เป น ต น ดั งนี้ บ าง, เพ งอ ยู . สั น ธะ !อ ย างนี้ แล เป น ก ารเพ งอ ย างขอ งสั ต ว กระจอก. สันธะ ! อยางไรเลา เปนการเพ งอยางของสัตวอาชาไนย ? สันธะ ! มา อาชาไนยตัว เจริญ ถูก ผูก ไวที ่ร างเลี ้ย งอาหาร ใจของมัน จะไมเ พง อยู แ ตว า " ขา วเป ลือ ก ๆ " เพ ราะ เห ตุไ รเลา ? สัน ธ ะ ! เพ ราะ เห ตุว า แมถ ูก ผูก อ ยู ที่ รางเลี้ ย งอาหาร แต ใ จของมั น มั ว ไปคิ ด อยู ว า "วั น นี้ สารถี ข องเราต อ งการให เรา ทํ า อะไรหนอ เราจะตอบสนองเขาอยา งไรหนอ" ดัง นี ้; มัน ไมม ัว แตเ พง อยู  ใน ใจวา "ขา วเปลือ ก ๆ" ดัง นี ้. สัน ธะ ! ก็ม า อาชาไนยนั ้น รู ส ึก อยู ว า การถูก ลงปะฏั ก นั้ น เป น เหมื อ นการใช ห นี้ การถู ก จองจํ า ความเสื่ อ มเสี ย เป น เหมื อ น เสนียดจัญไร.

www.buddhadasa.info (ขอให สั ง เกตว า แม อ ยู ใ นที่ เดี ย วกั น ต อ หน า สถานการณ อ ย า งเดี ย วกั น ม า สองตั ว นี้ ก็ มี ค วามรู สึ ก อยู ใ จใจคนละอย า งตามความต า งของมั น คื อ ตั ว หนึ่ ง เพ ง แต จ ะกิ น ตั ว หนึ่ ง เพ ง แต ในหนาที่ ที่จะไมทําใหบกพรองจนถูกลงโทษ; ดังนี้เรียกวา มีความเพงตางกันเปนคนละอยาง).

สัน ธะ ! ภิก ษุอ าชาไน ย ผู เ จริญ ก็ฉ ัน นั ้น เห มือ น กัน : ไป แลว สู ป า ก็ ต าม ไปแล ว สู โ คนไม ก็ ต าม ไปแล ว สู เรื อ นว า งก็ ต าม, มี จิ ต ไม ถู ก กามราคนิวรณกลุมรุม หอหุม อยู, เขาเห็นตามเปนจริงซึ่งอุบายเปนเครื่องออกกาม-


๗๘๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

ราคะที ่เ กิด ขึ ้น แลว . (ใน กรณ ีแ หง พ ยาบ าล -ถิ ่น มิท ธะ-อุท ธัจ จกุก กุจ ะ-และวิจ ิก ิจ ฉานิว รณ ก็ไ ดเ ปน ไปในลัก ษณ ะอยา งเดีย วกัน กับ กรณีแ หง กามราคะนิว รณ). ภิก ษุนั ้น ยอ ม เพ งไม อาศั ยความสํ าคั ญ ว าดิ น ย อมเพ งไม อ าศั ยความสํ าคั ญ ว าน้ํ า ไม อ าศั ยความ สํ าคั ญว าไฟ ไม อาศั ยความสํ าคั ญว าลม ไม อาศั ยความสํ าคั ญว าอากาสานั ญจายตนะ ไม อาศั ยความสํ าคั ญ ว าวิ ญ ญาณั ญ จายตนะ ไม อาศั ยความสํ าคั ญ ว าอากิ ญ จั ญ ญายตนะ ไม อ าศั ย ความสํ า คั ญ ว า เนวสี ญ ญานาสั ญ ญายตนะ ไม อ าศั ย ความสํ า คัญ วา โลกนี ้ ไมอ าศัย ความสํ า คัญ วา โลกอื ่น ยอ มเพง ไมอ าศัย ความสํ า คัญ วา "สิ ่ ง ที ่ เ ร า เห็ น แ ล ว ". "สิ ่ ง ที ่ เ ร า ฟ  ง แ ล ว ", "สิ ่ ง ที ่ เ ร า รู  ส ึ ก แ ล ว ", "สิ ่ ง ที ่ เ ร า รู แจง แลว ", "สิ ่ง ที ่เ ราบ รรลุแ ลว ", "สิ ่ง ที ่เ ราแ ส วงห าแ ลว ", "สิ ่ง ที ่ใ จ ขอ งเรา ติด ตามแลว " แตล ะอยา ง ๆ เปน ตน ดัง นี ้บ า ง, เพง อยู  ๆ. สัน ธะ! เทวดา ทั ้ง หลาย พรอ มทั ้ง อิน ทร พรหม และปชาบดี ยอ มนมัส การบุร ุษ อาชาไนย ผูเจริญผูเพงอยูอยางนี้ มาแตที่ไกลทีเดียว กลาววา :"ขาแตบุรุษอาชาไนยผูสูงสุด ! ขาพเจาขอนมัสการทาน ผูซึ่งขาพเจาไดรูยิ่งสิ่งทั้งปวง ดวยสิ่งที่ทานอาศัยแลวเพง" ดังนี้.

www.buddhadasa.info (เมื่อตรัสดังนี้แลว สันธภิกษุไดทูลถามวา :-)

"ข าแต พระองค ผู เจริญ ! บุ รุ ษอาชาไนยผู เจริญ เพ งอย างไรกั น ชนิ ดที่ ไม อาศัยดินหรือน้ําเปนตนแลวเพง จนกระทั่งพวกเทวดาพากันสรรเสริญวาดังนั้น พระเจาขา ?"

(ต อ ไปนี้ เป น คํ า ตรั ส ที่ แ สดงให เห็ น ว า สั ญ ญาต า ง ๆ จะถู ก เพิ ก ถอนไป เมื่ อ อารมณ แห งสั ญ ญานั้ น เป น ที่ แ จ ม แจ งแก ผู เพ ง ว า สิ่ งนั้ น ๆ มิ ได เป น ตามที่ ค นธรรมดาสามั ญ ที่ สํ า คญว าเป น อยางไร; ขอใหผูศึกษาตั้งใจทําความเขาใจใหดีที่สุด ดังตอไปนี้ :-)

สั ท ธะ ! ในกรณี นี้ ปฐวี สั ญ ญา (ความสํ า คั ญ ในดิ น ว า ดิ น ) ย อ ม เปนแจง (วิภูติ-เขาใจอยางแจมแจง) แกบุรุษอาชาไนยผูเจริญ (วาดินที่สําคัญกันวาเปน


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๘๕

ดิน นั ้น หาใชด ิน ไม หากแตเ ปน เพีย งสัง ขตธรรม ตามธรรม ชาติ เปน ไป ตามกฏ อิท ัป ปจ จยตา คือ เป น สิ ่ง ที ่ไ มเ ที ่ย ง เป น ทุก ข เปน อ นัต ต า - ต า ม น ัย แ หง อ รรถ ก ถ า : ม โน รถ ป ูร ณ ี ภ . ๓ น. ๔๓๒). ความสํ าคั ญในน้ํ าว าน้ํ า, ความสํ าคั ญในไฟว าไฟ, ความสํ าคั ญในลมว าลม,

ความสํ าคั ญในอากาสานั ญจายตนะว าอากาสานั ญจายตนะ, ความสํ าคั ญในวิ ญญาณั ญจายตนะวาวิญญาณั ญจายตนะ, ความสําคัญในอากิญจัญญายตนะวาอากิญจัญญายตนะ, ความสํ าคั ญในเนวสั ญญานาสั ญญายตนะวาเนวสั ญญานาสั ญญายตนะ, ความสํ าคั ญใน โลกนี้วาโลกนี้, ความสําคัญในโลกอื่นวาโลกอื่น, ความสําคัญในสิ่งที่เห็นแลว ฟงแลว ฯลฯ ว า "สิ่ ง ที่ เราเห็ น แล ว " "สิ่ งที่ เราฟ ง แล ว " ฯลฯ ก็ ล ว นแต เป น แจ ง แก บุ รุ ษ อาชาไนยผู เ จริญ (วา สิ ่ง เหลา นั ้น หาไดเ ปน ดัง ที ่สํ า คัญ มั ่น หมาย วา เปน อะไร ๆ กัน นั ้น ไม หากแตเ ปน สัง ขตธรรมตามธรรมชาติ เปน ไปตามกฎอิท ัป ปจ จยตา คือ เปน สิ ่ง ที ่ไ มเ ที ่ย ง เปน ทุกข เปนอนัตตา -ตามนัยแหงอรรกถา : มโนรถปูรณี ภ. ๓ น.๔๓๒).

สั น ธะ ! บุ รุ ษ อาชาไนยผู เ จริ ญ เพ ง อยู อ ย า งนี้ จึ ง ได ชื่ อ ว า ไม อ าศั ย ความสํ าคั ญ ว าดิ น แล วเพ ง ไม อ าศั ย ความสํ าคั ญ ว าน้ํ าแล วเพ ง ไม อ าศั ย ความสํ าคั ญ วาไฟแลวเพง เปนตน จนกระทั่งพวกเทวดาพากันสรรเสริญวาดังนั้น. - เอกทสก. อํ. ๒๔/๓๔๘/๒๑๖.

www.buddhadasa.info อนุสัยทั้งสามไมเกิดแกอริยสาวก แมเมื่อเสวยทุกขเวทนา

ภิ ก ษุ ท.! ส ว นอริ ย สาวกผู มี ก ารสดั บ แล ว อั น ทุ ก ขเวทนาถู ก ต อ งอยู ยอ ม ไมเ ศ รา โศ ก ยอ ม ไมก ระวน ก ระวาย ยอ ม ไมร่ํ า ไรรํ า พัน ไมเ ปน ผู ท ุบ อ ก ร่ํ า ไห ไม ถึ ง ความมี ส ติ ฟ น เฟ อ น ; ย อ มเสวยเวทนาเพี ย งอย า งเดี ย ว คื อ เวทนา ทางกาย, หามีเวทนาทางจิตไม.


๗๘๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ ก ษุ ท.! เปรี ย บเหมื อ นบุ รุ ษ พึ ง ยิ ง บุ รุ ษ ด ว ยลู ก ศรแล ว ไม พึ ง ยิ ง ซ้ํ า บุร ุษ นั ้น ดว ยลูก ศรที ่ส อง เมื ่อ เปน อยา งนี ้ บุร ุษ นั ้น ยอ มเสวยเวทนาจากลูก ศร เพีย งลูก เดีย ว. แมฉ ัน ใด ; ภิก ษุ ท.! อริย สาวกผู ม ีก ารสดับ แลว ก็ฉ ัน นั ้น คือ เมื่อทุก ขเวทนาถูกตอ งอยู, ก็ไมเศราโศก ไมก ระวนกระวายไมร่ําไรรําพัน ไมเปนผูทุบอกร่ําไห ไมถึงซึ่งความีสติฟนเฟอน ; อริ ย สาวกนั้ น ชื่ อ ว า ย อ มเสวยเวทนาเพี ย งอย า งเดี ย ว คื อ เวทนาทาง กาย หามีเ วทนาทางจิต ไม. อริย สาวกนั ้น หาเปน ผู ม ีป ฏิฆ ะเพราะทุก ขเวทนา นั ้น ไม. ปฏิฆ านุส ัย อัน ใด อัน เกิด จากทุก ขเวทนา, ปฏิฆ านุส ัย อัน นั ้น ยอ ม ไมนอนตาม ซึ่งอริยสาวกคนนั้นผูไมมีปฏิฆะเพราะทุกขเวทนา. อริ ย สาวกนั้ น อั น ทุ ก ขเวทนาถู ก ต อ งอยู ก็ ไ ม (น อ มนึ ก ) พอใจซึ่ ง กามสุข . ขอ นั ้น เพราะเหตุไ รเลา ? ภิก ษุ ท.! ขอ นั ้น เพราะเหตุว า อริย สาวก ผูมีการสดับแลว ยอม รูชัดอุบายเครื่องปลดเปลื้องซึ่งทุ กขเวทนา ซึ่งเปนอุบาย อื ่น นอกจากกามสุข . เมื ่อ อริย สาวกนั ้น มิไ ดพ อใจซึ ่ง กามสุข อยู , ราคานุส ัย อันใด อันเกิดจากสุขเวทนา, ราคานุสัยอันนั้น ก็ ไมนอนตาม ซึ่งอริยสาวกนั้น.

www.buddhadasa.info อริ ย สาวกนั้ น ย อ มรู ชั ด ซึ่ ง เหตุ ใ ห เ กิ ด ขึ้ น แห ง เวทนา ซึ่ ง ความตั้ ง อยู ไมไ ด ซึ ่ง รสอรอ ย ซึ ่ง โทษอัน ต่ํ า ทราม และซึ ่ง อุบ ายเครื ่อ งออกไปพน แหง เวทนาทั ้ง หลายเหลา นั ้น ตามที ่เ ปน จริง . เมื ่อ อริย สาวกนั ้น รู ช ัด อยู ซึ ่ง เหตุใ ห เกิด ขึ ้น ซึ ่ง ความตั ้ง อยู ไ มไ ด ซึ ่ง รสอรอ ย ซึ ่ง โทษอัน ต่ํ า ทราม และซึ ่ง อุบ าย เครื่ อ งออกไปพ น แห ง เวทนาทั้ ง หลายเหล า นั้ น ตามที่ เป น จริ ง อยู , อวิ ช ชานุ สั ย อัน ใด อัน เกิด จากอทุก ขมสุข เวทนา, อวิช ชานุส ัย อัน นั ้น ก็ย อ ม ไมน อนตาม ซึ่งอริยสาวกนั้น.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๘๗

อริ ย สาวกนั้ น ถ า เสวยสุ ข เวทนา ย อ มไม เ ป น ผู ติ ด พั น (ในเวทนา) เสวยเวทนานั้ น ; ถ า เสวยทุ ก ขเวทนา ก็ ไ ม เ ป น ผู ติ ด พั น เสวยเวทนานั้ น ; ถ า เสวยอทุกขมสุขเวทนา ก็ไมเปนผูติดพันเสวยเวทนานั้น. ภิ ก ษุ ท.! อริ ย สาวกผู มี ก ารสดั บ นี้ เรากล า วว า เป น ผู ไ ม ติ ด พั น แล ว ดว ยชาติช รามรณะ โสกะปริเ ทวะทุก ขะโทมนัส อุป ายาสทั ้ง หลาย ; เรากลา ววา เปนผูไมติดพันแลวดวยทุกข ดังนี้. - สฬา.สํ. ๑๘/๒๕๘/๓๗๑.

การไมเกิดอนุสัยสามเมื่อเสวยเวทนาสาม แลวดับเย็น (พระผู มี พ ระภาคเจ าเสด็ จเข าไปในโรงเรี ยนเป น ที่ รั กษาภิ กษุ เจ็ บ ไข ได ป ระทานโอวาท แกภิกษุทั้งหลายในที่นั้นวา :-)

ภิก ษุ ท.! ภิก ษุ พึง เปน ผู ม ีส ติ มีส ัม ปชัญ ญะ เมื ่อ รอคอยการ ทํากาละ : นี้เปนอนุสาสนีของเรา สําหรับพวกเธอทั้งหลาย.

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท .! ภิก ษุ เปน ผู ม ีส ติ เปน อ ยา งไรเลา ? ภิก ษุ ท .! ภิ ก ษุใ นกรณีนี ้ เปน ผู ต ามเห็น กายในกายอยู เ ปน ประจํ า มีค วามเพีย รเผากิเ ลส มี สั ม ปชั ญ ญะ มี ส ติ กํ า จั ด อภิ ช าฌาและโทมนั ส ในโลกออกเสี ย ได ; เป น ผู ต าม เห็ น เวทนาในเวทนาทั้ ง หลายอยู เ ป น ประจํ า ....; เป น ผู ต ามเห็ น จิ ต ในจิ ต อยู เป น ป ระจํ า ....; เปน ผู ต าม เห็น ธรรม ใน ธรรม ทั ้ง ห ล ายอ ยู เ ปน ป ระจํ า มีค วาม เพี ย รเผากิ เลส มี สั ม ปชั ญ ญะ มี ส ติ กํ า จั ด อภิ ช ฌาและโทมนั ส ในโลกออกเสี ย ได . อยางนี้แล ภิกษุ ท.! เรียกวา ภิกษุเปนผูมีสติ.


๗๘๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ เป น ผู มี สั ม ปชั ญ ญะ เป น อย างไรเล า ? ภิ ก ษุ ท.! ภิ กษุ ในกรณี นี้ เป นผู รู ตั วรอบคอบในการก าวไปข างหน า การถอยกลั บ ไปข างหลั ง, การแลดู การเหลีย วดู, การคู  การเหยีย ด, การทรงสัง ฆ าฏิ บาตร จีว ร, การฉัน การดื ่ม การเคี ้ย ว ก ารลิ ้ม . การถา ย อุจ จาระปส ส าวะ, การไป การหยุด , การนั ่ง การนอน, การหลับ การตื ่น , การพูด การนิ ่ง , อยา งนี้ แล ภิกษุ ท.! เรียกวา ภิกษุเปนผูมีสัมปชัญญะ. ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ พึ ง เป น ผู มี ส ติ มี สั ม ปชั ญ ญ ะ เมื่ อ รอคอยการทํ า กาละ : นี้แล เปนอนุสาสนีของเราสําหรับพวกเธอทั้งหลาย ภิ ก ษุ ท. ถ า เมื่ อ ภิ ก ษุ มี ส ติ มี สั ม ปชั ญ ญ ะ ไม ป ระมาท มี ค วาม เพีย รเผากิเ ลส มีต นสง ไปแลว ในธรรม อยู  อยา งนี ้, สุข เวทนา เกิด ขึ ้น ไซร ; เธอยอ มรู ช ัด อยา งนี ้ว า "สุข เวทนานี ้เ กิด ขึ ้น แลว แกเ รา, แตส ุข เวทนานี ้ อาศัย เหตุ ป จ จั ย จึ ง เกิ ด ขึ้ น ได ไม อ าศั ย เหตุ ป จ จั ย แล ว หาเกิ ด ขึ้ น ได ไ ม . อาศั ย เหตุ ป จ จั ย อะไรเล า ? อาศั ย เหตุ ป จ จั ย คื อ กายนี้ นั่ น เอง ก็ ก ายนี้ ไม เที่ ย ง มี ป จ จั ย ปรุง แต ง อาศั ย เหตุ ป จ จั ย เกิ ด ขึ้ น สุ ข เวทนาที่ เกิ ด ขึ้ น เพราะอาศั ย กายซึ่ ง ไม เที่ ย ง มี ป จ จั ย ปรุ ง แต ง อาศั ย เหตุ ป จ จั ย เกิ ด ขึ้ น ดั ง นี้ แ ล ว จั ก เป น สุ ข เวทนาที่ เที่ ย งมาแต ไ หน" ดัง นี ้. ภิก ษุนั ้น เปน ผู ต ามเห็น ความไมเ ที ่ย งอยู  ตามเห็น ความเสื ่อ ม ความ จางคลายอยู ตามเห็ น ความดั บ ไป ความสลั ด คื น อยู ในกายและในสุ ข เวทนา. เมื่ อ เธอเป น ผู ต ามเห็ น ความไม เที่ ย ง (เป น ต น ) อยู ในกายและในสุ ขเวทนาอยู ดั งนี้ , เธอยอมละเสียได ซึ่ง ราคานุสัย ในกายและในสุขเวทนานั้น.

www.buddhadasa.info (ในกรณี ถั ด ไปซึ่ ง เป น การเสวย ทุ ก ขเวทนา อั น จะเป น เหตุ ให เกิ ด ปฏิ ฆ านุ สั ย นั้ น ก็ ตรั ส ไว ด ว ยข อ ความทํ า นองเดี ย วกั น ที่ ภิ ก ษุ พิ จ ารณาเห็ น กายและทุ ก ขเวทนานั้ น ไม เที่ ย ง เป น ของ ปรุงแตง อาศัยปจจัยเกิดขึ้น ก็ละปฏิฆานุสัยในกายและในทุกขเวทนานั้นเสียได.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๘๙

ในกรณี ถั ดไปอี ก แห งการเสวย อทุ กกขมสุ ขเวทนา อั นจะเป นทางให เกิ ด อวิ ชชานุ สั ย ก็ ไ ด ต รั ส วิ ธี ป ฏิ บั ติ ใ นการพิ จ ารณาเห็ น กายและอทุ ก ขมสุ ข เวทนานั้ น โดยทํ า นองเดี ย วกั น จนละ อวิชชานุสัยเสียได).

ภิ ก ษุ นั้ น ถ า เสวย สุ ข เวทนา ก็ รู ชั ด ว า "สุ ข เวทนานั้ น เป น ของไม เที ่ย ง, และเปน เวทนาที ่เ รามิไ ดม ัว เมาเพ ลิด เลิน อยู " ดัง นี ้. ถา เสวย ท ุก ข เวท น า ก็รู ช ัด วา "ทุก ขเวทนานั ้น เปน ของไมเ ที ่ย ง, และเปน เวทนาที ่เ รา มิ ได มั ว เมาเพลิ ด เพลิ น อยู " ดั งนี้ . ถ า เสวย อทุ ก ขมสุ ข เวทนา ก็ รูชั ด ว า "อทุ ก ขมสุข เวทนานั ้น เปน ของไมเ ที ่ย ง, และเปน เวทนาที ่เ รามิไ ดม ัว เมาเพลิด เพลิน อยู " ดังนี้. ภิ ก ษุ นั้ น ถ าเสวย สุ ข เวทนา ก็ เป น ผู ป ราศจากกิ เลสอั น เกิ ด จากเวทนา นั้ น เป น เค รื่ อ งร อ ยรั ด แล ว เส วย เวท น านั้ น ; ถ าเส วย ทุ ก ข เวท น า ก็ เ ป น ผู ปราศจากกิ เลสอั น เกิ ด จากเวทนานั้ น เป น เครื่ อ งร อ ยรั ด แล ว เสวยเวทนานั้ น ; ถ า เสวย อุ ท กขมสุ ข เวทนา ก็ เป น ผู ป ราศจากกิ เลสอั น เกิ ด จากเวทนานั้ น เป น เครื่ อ ง รอยรัดแลว เสวยเวทนานั้น.

www.buddhadasa.info ภิ กษุ นั้ น เมื่ อเสวย เวทนาอั น มี กายเป น ที่ สุ ดรอบ ย อมรูชั ดวาเราเสวย เวทนาอัน มีก ายเปน ที ่ส ุด รอบ; เมื ่อ เสวย เวทนาอัน มีช ีว ิต เปน ที ่ส ุด รอบ ยอ ม รู ข ัด วา เราเสวยเวทนาอัน มีช ีว ิต เปน ที ่ส ุด รอบ. เธอยอ ม รู ช ัด วา เวทนาทั ้ง ปวง อันเราไมเพลิดเพลินแลว จักเปนของเย็นในอัตตภาพนี้นั่นเทียว จนกระทั่งถึง ที่สุดรอบแหงชีวิต เพราะการแตกทําลายแหงกาย ดังนี้. ภิก ษุ ท.! เปรีย บเหมือ นประทีป น้ํ า มัน ไดอ าศัย น้ํ า มัน และไสแ ลว ก็ล ุก โพลงอยู ไ ด, เมื ่อ ขาดปจ จัย เครื ่อ งหลอ เลี ้ย ง เพราะขาดน้ํ า มัน และไสนั ้น แล ว ย อ มดั บ ลง, นี้ ฉั น ใด; ภิ ก ษุ ท.! ข อ นี้ ก็ ฉั น นั้ น คื อ ภิ ก ษุ เมื่ อ


๗๙๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

เสวยเวทนาอั น มี ก ายเป น ที่ สุ ด รอบ, ก็ รู ชั ด ว า เราเสวยเวทนาอั น มี ก ายเป น ที่ สุ ด รอบ ดัง นี ้. เมื ่อ เสวยเวทนาอัน มีช ีว ิต เปน ที ่ส ุด รอบ ก็รู ช ัด วา เราเสวยเวทนา อัน มีช ีว ิต ที ่ส ุด รอบ ดัง นี ้. (เปน อัน วา ) ภิก ษุนั ้น ยอ มรู ช ัด วา เวทนาทั ้ง ปวง อัน เราไมเ พลิด เพลิน แลว จัก เปน ของเย็น ในอัต ตภาพนี ้นั ่น เทีย ว จนกระทั ่ง ถึง ที่สุดรอบแหงชีวิต เพราะการแตกทําลายแหงกาย ดังนี้. - สฬา. สํ. ๑๘/๒๖๐/๓๗๔-๓๘๑. (ในสูต รถัด ไป (๑๘/๒๖๔/๓๘๕๕ ทรงแสดง ที ่เ กิด ของเวทนาทั ้ง สาม วา ไดแ ก "ผัส สะ" แทนที ่จ ะทรงแสดงวา ไดแ ก "กาย" เหมือ นที ่ท รงแสดงไว ใ นสูต รขา งบนนี ้, สว น เนื้อความนอกนั้นก็เหมือนกับขอความแหงสูตรขางบนนี้ ทุกประการ).

อาการที่ตัณหาไมนําไปสูภพใหม ใหเกิดผลพิเศษอีกนานาประการ ภิก ษุ ท.! ....สว นบุค คล เมื ่อ รู เ มื ่อ เห็น ซึ ่ง จัก ษุ ตามที ่เ ปน จริง . เมื่ อ รู เมื่ อ เห็ น ซึ่ ง รู ป ทั้ ง หลาย ตามที่ เป น จิ ร ง, เมื่ อ รู เมื่ อ เห็ น ซึ่ ง จั ก ขุ วิ ญ ญาณ ตามที่ เป น จริ ง , เมื่ อ รู เมื่ อ เห็ น ซึ่ ง จั ก ขุ สั ม ผั ส ตามที่ เป น จิ ร ง, เมื่ อ รู เมื่ อ เห็ น ซึ่ ง เวทนาอัน เกิด ขึ ้น เพราะจัก ขุส ัม ผัส เปน ปจ จัย อัน เปน สุข ก็ต าม เปน ทุก ขก ็ต าม ไม ใ ช ทุ ก ข ไ ม ใ ช สุ ข ก็ ต าม ตามที่ เ ป น จริ ง แล ว ; เขาย อ มไม กํ า หนั ด ในจั ก ษุ , ไม กํ าหนั ดในรู ปทั้ งหลาย, ไม กํ าหนั ดในจั กขุ วิ ญ ญาณ, ไม กํ าหนั ดในจั กขุ สั มผั ส, และ ไม กํ า หนั ด ในเวทนาอั น เกิ ด ขึ้ น เพราะจั ก ขุ สั ม ผั ส เป น ป จ จั ย อั น เป น สุ ข ก็ ต าม เป น ทุก ขก ็ต าม ไมใ ชท ุก ขไมใชส ุข ก็ต าม. เมื ่อ บุค คลนั ้น ไมกํ า หนัด แลว ไมต ิด พัน แลว ไมลุมหลงแลว ตามเห็นอาทีนวะ (โทษของสิ่งเหลานั้น) อยูเนือง ๆ, ปญจุปาทานขันธทั้งหลาย ยอมถึงซึ่งความไมกอเกิดตอไป; และตัณหา อันเปนเครื่อง

www.buddhadasa.info


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๙๑

นํ า ไปสู ภ พใหม อั น ประกอบอยู ด ว ยความกํ า หนั ด ด ว ยอํ า นาจความเพลิ น เป น เครื่ อ งทํ า ให เ พลิ น อย า งยิ่ ง ในอารมณ นั้ น ๆ นั้ น อั น เขาย อ มละเสี ย ได ; ความ กระวนกระวาย (ทรถ) แม ทางกาย อั น เขาย อ มละเสี ย ได , ความกระวนกระวาย แม ทางจิต อัน เขายอ มละเสีย ได; ความแผดเผา (สนฺต าป) แมท างกาย อัน เขายอ มละเสีย ได, ความแผดเผา แมท างจิต อัน เขายอ มละเสีย ได; ความ เรา รอ น (ปริฬ าห) แมท างกาย อัน เขายอ มละเสีย ได, ความเรา รอ น แมท าง จิ ต อั น เขาย อ มละเสี ย ได . บุ ค คลนั้ น ย อ ม เสวยซึ่ ง ความสุ ข อั น เป น ไป ทางกาย ดวย. ซึ่งความสุขอันเปนไป ทางจิต ดวย. เมื่ อบุ คคลเป น เช น นั้ น แล ว ทิ ฏ ฐิ ของเขา ย อ ม เป น สั ม ม าทิ ฏ ฐิ ; ความดํ า ริ ข องเขา ยอ ม เป น สั ม มาสั ง กั ป ปะ; ความพยายาม ของเขา ย อ มเป น สั ม มาวายามะ ; สติ ของเขา ย อ มเป น สั ม มาสติ ; สม าธิ ของเขา ย อ มเป น สัม มาสมาธิ; สว น กายกรรม วจีก รรม และ อ าชีว ะ ของเขา เปน ธรรม บ ริ ส ุ ท ธิ ์ อ ยู  ก  อ น แ ล ว นั ่ น เที ย ว . ด ว ย อ า ก า รอ ย า ง นี ้ เป น อั น ว า อ ริ ย อั ฏ ฐังคิกมรรค นี้ ของเขานั้น ยอม ถึงซึ่งความเต็มรอบแหงความเจริญ.

www.buddhadasa.info เมื่ อ เขาทํ า อริ ย อั ฏ ฐั งคิ ก มรรค ให เจริ ญ อยู ด วยอาการอย างนี้ , สติ ป ฏ ฐาน แม ทั้ ง ๔ ย อ มถึ ง ซึ่ ง ความเต็ ม รอบแห ง ความเจริ ญ ; สั ม มั ป ปธาน แม ทั้ ง ๔ ยอ มถึง ซึ ่ง ความเต็ม รอบแหง ความเจริญ ; อิท ธิบ าท แมทั ้ง ๔ ยอ มถึง ซึ ่ง ความ เต็ ม รอบแห ง ความเจริ ญ ; อิ น ทรี ย แม ทั้ ง ๕ ย อ มถึ ง ซึ่ ง ความเต็ ม รอบแห ง ความ เจริญ ; พละ แมทั ้ง ๕ ยอ มถึง ซึ ่ง ความเต็ม รอบแหง ความเจริญ ; โพชฌ งค แม ทั้ ง ๗ ย อ มถึ ง ซึ่ ง ความเต็ ม รอบแห ง ความเจริ ญ . ธรรมทั้ ง สองคื อ สมถะ และ วิปสสนา ของเขานั้น ยอมเปนธรรมเคียงคูกันไป. บุคคลนั้น ยอม กําหนดรู


๗๙๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

ด วยป ญ ญาอั น ยิ่ ง ซึ่ งธรรมทั้ งหลายอั น บุ ค คลพึ งกํ าหนดรู ด วยป ญ ญาอั น ยิ่ ง ; ย อ ม ละ ด ว ยป ญ ญาอั น ยิ่ ง ซึ่ ง ธรรมทั้ ง หลายอั น บุ ค คลพึ ง ละด ว ยป ญ ญาอั น ยิ่ ง ; ย อ ม ทํ าให เจริ ญ ด วยป ญ ญาอั นยิ่ ง ซึ่ งธรรมทั้ งหลายอั นบุ คคลพึ งทํ าให เจริ ญ ด วยป ญ ญา อั น ยิ่ ง ; ย อ ม ทํ า ให แ จ ง ด ว ยป ญ ญาอั น ยิ่ ง ซึ่ ง ธรรมทั้ ง หลายอั น บุ ค คลพึ ง ทํ า ให แจงดวยปญญาอันยิ่ง. ภิกษุ ท.! ก็ ธรรมเหลาไหนเลา เปนธรรมอันบุคคลพึงกําหนดรูดวย ปญ ญ าอัน ยิ ่ง ? คํ า ตอบ พึง มีว า ป ญ จุป าท าน ขัน ธ ทั ้ง หลาย กลา วคือ อุ ป าทานขั น ธ คื อ รู ป อุ ป าทานขั น ธ คื อ เวทนา อุ ป าทานขั น ธ คื อ สั ญ ญา อุ ป าทานขัน ธค ือ สัง ขาร อุป าทานขัน ธค ือ วิญ ญ าณ : ธรรมทั ้ง หลายเหลา นี ้แ ล ชื ่อ วา เปนธรรมอันบุคคลพึงกําหนดรูดวยปญญอันยิ่ง. ภิกษุ ท.: ก็ ธรรมเหลาไหนเลา เปนธรรมอันบุคคลพึงละดวยปญญา อัน ยิ ่ง ? คํ า ตอบ พึง มีว า อวิช ชา ดว ย ภวตัณ หา ดว ย : ธรรมทั ้ง หลาย เหลานี้แล ชื่อวาเปนธรรมอันบุคคลพึงทําใหเจริญดวยปญญาอันยิ่ง.

www.buddhadasa.info ภิกษุ ท.: ก็ ธรรมเหล าไหนเล า เป น ธรรมอั น บุ ค คลพึ งทํ าให เจริญ ดว ยปญ ญาอัน ยิ ่ง ? คํ า ตอบ พึง มีว า สมถะ ดว ย วิป ส สนา ดว ย : ธรรม ทั้งหลายเหลานี้แล ชื่อวาเปนธรรมอันบุคคลพึงทําใหเจริญดวยปญญาอันยิ่ง.

ภิ ก ษุ ท.! ก็ ธรรมเหล า ไหนเล า เป น ธรรมอั น บุ ค คลพึ ง ทํ า ให แ จ ง ด ว ยป ญ ญาอั น ยิ่ ง ? คํ า ตอบ พึ ง มี ว า วิ ช ชา ด ว ย วิ มุ ต ติ ด ว ย : ธรรมทั้ ง หลาย เหลานี้แล ชื่อวาเปนธรรมอันบุคคลพึงทําใหแจงดวยปญญาอันยิ่ง.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๙๓

(ในกรณี ที่ เกี่ ย วกั บ โสต ฆาน ชิ ว หา กาย มโน และ สหคตธรรมแห ง อายตนะที่ โสต เป น ต น ก็ม ีเ นื ้อ ค วาม เห มือ น กับ ที ่ก ลา วแลว ใน กรณ ีแ หง จัก ษ ุแ ละสห คต ธรรม ของจัก ษ ุ ดัง ที่ กลาวขางบนนี้ทุกประการ พึงขยายความเอาเองใหเต็มตามนั้น). - อุปริ. ม. ๑๔/๕๒๓-๕๒๖/๘๒๘-๘๓๑.

การออกไปเสียไดจากางเดินแหงจิตของสัตวบุถุชน (ท างเดิ น แห งจิ ต ข องสั ต ว มี อ ยู ๓๖ อย าง มี อ ยู ที่ หั วข อ ว า "เวท น าคื อ ท างไป แ ห ง จิต ข อ งสัต ว" ใน ภ าค ๑ ที ่ว า ดว ย ท ุก ข อ ริย สัจ ห น า ๑๘๖ แ ห ง ห น ัง สือ เลม นี ้. ขอ ค วาม ตอ ไป นี ้ แสดงการออกมาเสีย ไดจ ากทางเดิน แหง จิต ของสัต วเ หลา นั ้น โดยอาศัย ธรรมที ่เ ปน คู ป รับ แก กัน เปน คู  ๆ ละฝา ยที ่ค วรละเสีย จนกระทั ่ง ออกมาเสีย ไดจ ากทางแหง ทุก ขถ ึง ที ่ส ุด โดยประการ ทั้งปวง ดังตอไปนี้ :-)

ภิก ษ ุ ท .! คํ า ที ่เ ราก ลา ววา "จ งอ าศัย ท างนี ้ แ ลว ล ะ ท างนี ้เ สีย " ด ัง นี ้นั ้น , เราก ล า ว อ าศ ัย ห ล ัก เก ณ ฑ อ ะ ไรเล า ? ภ ิก ษ ุ ท .! ขอ นั ้น เราก ล า ว อาศัยหลักเกณฑ คอื :-

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท .! ใน บ รรด า ท า งไป (แ ห งจิ ต ) ข อ งสั ต ว ทั้ งส า ม สิ บ ห ก นั้ น โสมนั ส อาศั ย การหลี ก ออกจากเรื อ น (เนกขั ม มสิ ต โสมนั ส ) หกอย า งมี อ ยู เธอจง อาศั ย แล ว ๆ ซึ่ งโสมนั ส อาศั ย การหลี ก ออกจากเรือ นนั้ น ละเสี ย ก าวล วงเสี ย ซึ่ งโสมนั ส อาศัย เรือ นหกอยา ง. การละเสีย ได การกา วลว งเสีย ได ซึ ่ง โสมนัส อาศัย เรือ น หกอยางเหลานั้น ยอมมีดวยอาการเหลานี้.

ภิ ก ษุ ท .! ใน บ รรด า ท า งไป (แ ห งจิ ต ) ข อ งสั ต ว ทั้ งส า ม สิ บ ห ก นั้ น โท ม นั ส อ าศั ยการห ลี ก ออกจากเรื อ น (เน กขั ม ม สิ ต โท ม นั ส) ห กอ ย า งมี อยู เธอ จง อาศัยแลว ๆ ซึ่งโทมนัสอาศัยการหลีกออกจาเรือนนั้น ละเสียกาวลวงเสีย


๗๙๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

ซึ่ ง โทมนั ส อาศั ย เรื อ นหกอย า ง. การละเสี ย ได การก า วล ว งเสี ย ได ซึ่ ง โทมนั ส อาศัยเรือนหกอยางเหลานั้น ยอมมีดวยอาการอยางนี้. ภิ ก ษุ ท.! ในบรรดาทางไป (แห ง จิ ต ) ของสั ต ว ทั้ ง สามสิ บ หกนั้ น อุ เบกขาอาศั ยการหลี กออกจากเรื อน (เนกขั มมสิ ตอุ เบกขา) หกอย างมี อยู เธอจง อาศั ย แล ว ๆ ซึ่ งอุ เบกขาอาศั ย การหลี ก ออกจากเรื อ นนั้ น ละเสี ย ก า วล ว งเสี ย ซึ่ ง อุเ บกขาอาศัย เรือ นหกอยา ง. การละเสีย ได การกา วลว งเสีย ได ซึ ่ง อุเ บกขา อาศัยเรือนหกอยางเหลานั้น ยอมมีดวยอาการอยางนี้. ภิ ก ษุ ท.! ในบรรดาทางไป (แห ง จิ ต ) ของสั ต ว ทั้ ง สามสิ บ หกนั้ น โสมนั ส อาศั ย การหลี ก ออกจากเรื อ น (เนกขั ม มสิ ต โสมนั ส ) หกอย า งมี อ ยู เธอจง อาศัย แลว ๆ ซึ่งโสมนัสอาศัย การหลีก ออกจากเรือ นนั้น ละเสีย กาวลวงเสีย ซึ ่ง โสมนัส อาศัย การหลีก ออกจากเรือ นหกอยา ง. การละเสีย ได การกา วลว ง เสี ย ได ซึ่ งโทมนั ส อาศั ย การหลี ก ออกจากเรื อ นหกอย า งเหล า นั้ น ย อ มมี ด ว ยอาการ อยางนี้.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! ในบรรดาทางไป (แห ง จิ ต ) ของสั ต ว ทั้ ง สามสิ บ หกนั้ น อุ เ บกขาอาศั ย การหลี ก ออกจากเรื อ น (เนกขั ม มสิ ต อุ เบกขา) หกอย า งมี อ ยู เธอจง อาศัยแลว ๆ ซึ่งอุเบกขาอาศัยการหลีกออกจากเรือนนั้น ละเสียกาวลวงเสีย ซึ ่ง โสมนัส อาศัย การหลีก ออกจากเรือ นหกอยา ง. การละเสีย ได การกา วลว ง เสี ย ได ซึ่ งโสมนั ส อาศั ย การหลี ก ออกจากเรื อ นหกอย างเหล า นั้ น ย อ มมี ด ว ยอาการ อยางนี้.

ภิ ก ษุ ท.! อุ เบกขามี ภ าวะต า ง ๆ (นานั ต ตอุ เบกขา) อาศั ย ภาวะต า ง ๆ ก็มีอยู. อุเบกขามีภาวะอยางเดียว (เอกัตตอุเบกขา) อาศัยภาวะอยางเดียว ก็มีอยู.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๙๕

ภิก ษุ ท.! อุเ บกขามีภ าวะตา งๆ อาศัย ภาวะตา ง ๆ เปน อยา งไร เล า ? ภ ิก ษ ุ ท .! อ ุเ บ ก ข า ใน รูป ท . ม ีอ ยู , อ ุเ บ ก ข า ใน เส ีย ง ท . ม ีอ ยู , อุเ บกขาในกลิ ่น ท. มีอ ยู , อุเ บกขาในรส ท. มีอ ยู , อุเ บกขาในโผฏฐัพ พะ ท. มีอยู. ภิกษุ ท.! นี้คือ อุเบกขามีภาวะตางๆ อาศัยภาวะตาง ๆ. ภิ ก ษุ ท.! อุ เบกขามี ภ าวะอย า งเดี ย ว อาศั ย ภาวะอย า งเดี ย ว เป น อย า งไรเล า ? ภิ ก ษุ ท.! อุ เ บกขาอาศั ย อาการสานั ญ จายตนะมี อ ยู , อุ เ บกขา อาศั ย วิ ญ ญาณั ญ จายตนะมี อ ยู , อุ เบกขาอาศั ย อากิ ญ จั ญ ญายตนะมี อ ยู , อุ เบกขา อาศั ย เนวสั ญ ญ านาสั ญ ญ ายตนะมี อ ยู . ภิ ก ษุ ท.! นี้ คื อ อุ เ บกขามี ภ าวะอย า ง เดียว อาศัยภาวะอยางเดียว. ภิ ก ษุ ท .! ใน บ รรด าอุ เบ ก ขาเห ล านั้ น เธอ จง อ าศั ย แ ล ว ๆ ซึ่ ง อุเบกขามีภาวะอยางเดียว อาศัยภาวะอยางเดียว ละเสียกาวลวงเสียซึ่งอุเบกขา มี ภ าวะต า ง ๆ อาศั ย ภาวะต า ง ๆ นั้ น . การละเสี ย ได การก า วล ว งเสี ย ได ซึ่ ง อุเบกขามีภาวะตาง ๆ อาศัยภาวะตาง ๆ นั้น ยอมมีดวยอาการอยางนี้.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! เธอจง อาศั ย แล ว ๆ ซึ่ ง อตั ม มยตา๑ ละเสี ย ก า วล ว งเสี ย ซึ ่ง อุเ บกขามีภ าวะอยา งเดีย ว อาศัย ภาวะอยา งเดีย วนั ้น . การละเสีย ได การ ก า วล ว งเสี ย ได ซึ่ ง อุ เ บกขามี ภ าวะอย า งเดี ย ว อาศั ย ภาวะอย า งเดี ย วกั น ย อ มมี ดวยอาการอยางนี้.

๑. อตั ม มยตา คํ า นี้ ยากที่ จ ะแหลออกมาตรง ๆ และไม ค วรจะแปลออกมา, ให ใ ช ทั บ ศั พ ท จ น กลายเปน คํ า ใน ภ าษ าไท ย เห มือ น คํ า สํ า คัญ อื ่น ๆ เชน คํ า วา นิพ พ าน เปน ตน ก็แ ลว กัน . สํ า หรั บ ความหมายของคํ า ว า อตั ม มยตา นั้ น หมายถึ ง ภาวะที่ ไ ม ต อ งเนื่ อ งหรื อ อาศั ย ป จ จั ย อะไร ๆ, ไดแ กอ สัข ตธรรมอัน เปน ธรรมที ่ป ราศจากตัณ หาเปน ตน อัน ปจ จัย ปรุง แตง ไมไ ด นั่นเอง.


๗๙๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภิก ษุ ท.! คํ า ใดที ่เ รากลา ววา "จงอาศัย ทางนี ้ แลว ละทางนี ้เ สีย " ดังนี้นั้น, คํานั้นเรากลาวอาศัยหลักเกณฑอยางนี้แล. - อุปริ. ม. ๑๔/๔๐๖/๖๓๑-๖๓๒. (นี้ แ สดงว า การอาศั ย ทางอย า งหนึ่ ง ละทางอย า งหนึ่ ง เสี ย นั้ น เป น นิ โ รธอย า งหนึ่ ง ๆ ซึ่งควรจะมองใหเห็นวาเปนนิโรธ ๗ ขั้นตอน ดังนี้คือ :อาศัย เนกขัมมสิตโสมนัส ละเคหสิตโสมนัส คูหนึ่ง ; อาศัย เนกขัมมสิตโสมนัส ละเนกขัมมสิตโทมนัส คูหนึ่ง ; อาศัย เนกขัมมสิตโทมนัส ละเคหสิตโทมนัส คูหนึ่ง ; อาศัย เนกขัมมสิตอุเบกขา ละเคหสิตอุเบกขา คูหนึ่ง ; อาศัย เนกขัมมสิตอุเบกขา ละเนกขัมมสิตโสมนัส คูหนึ่ง ; อาศัย เอกัตตอุเบกขา ละนานัตตอุเบกขา คูหนึ่ง ; อาศัย อตัมมยตา ละเอกัตตอุเบกขา (คูหนึ่ง).

การละความผูกพันในความสุขทุกชั้น ก. สุขที่ควรกลัว อุท ายิ ! กาม คุณ หา อ ยา งเห ลา นี ้ มีอ ยู . หา อ ยา ง อ ยา งไรเลา ? ห า อย า งคื อ รู ป ทั้ ง หลายที่ จ ะพึ ง รู สึ ก ได ด ว ยตา อั น เป น รู ป ที่ น า ปรารถนา น า ใคร น า พ อใจ มี ลั ก ษ ณ ะน า รั ก เป น ที่ เ ข า ไปอาศั ย อยู แ ห ง ความใคร เป น ที่ ตั้ ง แห ง ค วาม กํ า ห นัด ; เสีย งทั ้ง ห ล าย ที ่จ ะพึง รู ส ึก ไดด ว ย หู....; ก ลิ ่น ทั ้ง ห ล าย ที ่จ ะ พึง รู ส ึก ไดด ว ย จ มูก ....; รส ทั ้ง ห ล า ย ที ่จ ะ พึง รู ส ึก ไดด ว ย ลิ ้น ....; โผ ฏ ฐัพ พ ะ ทั ้ง หลายที ่จ ะพึง รู ส ึก ไดด ว ยผิว กาย อัน เปน โผฏฐัพ พะที ่น า ปรารถนา นา ใคร น า พอใจ มี ลั ก ษณะน า รั ก เป น ที่ เข า ไปอาศั ย อยู แ ห ง ความใคร เป น ที่ ตั้ ง แห ง ความ กําหนัด. อุทายิ ! เหลานี้แล กามคุณหาอยาง.

www.buddhadasa.info


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๙๗

อุทายิ ! สุขโสมนั สใด อาศั ยกามคุ ณ ห าเหล านี้ เกิ ดขึ้ น นี้ เรากลาววา กามสุข มิฬ หสุข ๑ ปุถ ุช นสุข อนริย สุข , เรากลา ววา สุข นั ้น บุค คล ไมค วร เสพ ไมควรมี ไมควรทําใหมาก และควรกลัว. ข. สุขที่ไมควรกลัว อุ ท ายิ ! ภิ ก ษุ ใ นกรณี นี้ สงั ด แล ว จากกาม สงั ด แล ว จากอกุ ศ ลธรรม เข า ถึ ง ปฐมฌ าน อั น มี วิ ต กวิ จ าร มี ป ติ แ ละสุ ข อั น เกิ ด จากวิ เ วก แล ว แลอยู ; เพราะความที่ วิ ต กวิ จารทั้ งสองระงั บ ลง เข าถึ ง ทุ ติ ย ฌาน เป น เครื่ อ งผ อ งใสแห งใจ ในภายใน ให ส มาธิ เ ป น ธรรมอั น เอกผุ ด มี ขึ้ น ไม มี วิ ต ก ไม มี วิ จ าร มี แ ต ป ติ แ ละ สุข อัน เกิด จากส มาธิ แลว แลอยู ; อนึ ่ง เพ ราะความ จางคลายไป แหง ปติ ย อ มเป น ผู อ ยู อุ เบกขา มี ส ติ แ ละสั ม ปชั ญ ญะ และย อ มเสวยความสุ ข ด ว ยนามกาย ชนิ ด ที่ พ ระอริ ย เจ า ทั้ ง หลาย ย อ มกล า วสรรเสริ ญ ผู นั้ น ว า "เป น ผู อ ยู อุ เบกขา มี ส ติ อยู เ ปน ปรกติส ุข " ดัง นี ้ เขา ถึง ต ติย ฌ าน แลว แลอยู ; เพราะละสุข เสีย ได และเพราะละทุ ก ข เสี ย ได เพราะความดั บ ไปแห งโสมนั ส และโทมนั ส ทั้ ง สองในกาล ก อ น เข า ถึ ง จตุ ต ถฌาน ไม มี ทุ ก ข ไ ม มี สุ ข มี แ ต ค วามที่ ส ติ เป น ธรรมชาติ บ ริ สุ ท ธิ์ เพราะอุ เ บกขา แล ว แลอยู . นี้ เ รากล า วว า เนกขั ม มสุ ข วิ เ วกสุ ข อุ ป สมสุ ข สัม โพธิส ุข . เรากลา ววา สุข นั ้น บุค คล ควรเสพ ควรเจริญ ควรทํ า ใหม าก และไมควรกลัว.

www.buddhadasa.info ค. สุขที่ยังหวั่นไหวและไมหวั่นไหว อุ ท ายิ ! ภิ ก ษุ ใ นกรณี นี้ สงั ด แล ว จากกาม สงั ด แล ว จากอกุ ศ ลธรรม เขาถึง ปฐมฌาน อันมีวิตกวิจาร มีปติและสุขอันเกิดจากวิเวก แลวแลอยู.

๑. สุขไมสะอาด มีสุขเกิดทางทอปสสาวะเปนตน.


๗๙๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

อุท ายิ ! เรากลา วปฐมฌ านนี ้แ ล วา อยู ใ นวิส ัย แหง ความหวั ่น ไหว. อะไรเลา อยู ใ นวิส ัย แหง ความหวั ่น ไหวในปฐมฌ านนั ้น ? วิต กวิจ ารในป ฐมฌ านนั ้น นั่ น เองที ่ย ัง ไมด ับ มีอ ยู . วิต กวิจ าร นั ้น นั ่น แหละ เปน สิ ่ง ที ่อ ยู ใ นวิส ัย แหง ความ หวั่นไหวในปฐมฌานนั้น. อุ ท ายิ ! ภิ ก ษุ ใ นกรณี นี้ เพราะความที่ วิ ต กวิ จ ารทั้ ง สองระงั บ ลง เข า ถึ ง ทุ ติ ย ฌาน เป น เครื่ อ งผ อ งใสแห ง ใจในภายใน ให ส มาธิ เป น ธรรมอั น เอกผุ ด มี ขึ้ น ไม มี วิ ต ก ไม มี วิ จ าร มี แ ต ป ติ แ ละสุ ข อั น เกิ ด จากสมาธิ แล ว แลอยู . อุ ท ายิ ! เรากลา วแมท ุต ิย ฌ านนี ้แ ล วา อยู ใ นวิส ัย แหง ความหวั ่น ไหว. อะไรเลา อยู ใ น วิ ส ั ย แห ง ค วาม ห วั ่ น ไห ว ใน ทุ ต ิ ย ฌ าน นั ้ น ? ป ต ิ ส ขใน ทุ ต ิ ย ฌ าน นั ้ น นั ่ น เอ ง ที ่ย ัง ไมด ับ มีอ ยู . ปต ิส ุข นั ้น นั ่น แหละ เปน สิ ่ง ที ่อ ยู ใ นวิส ัย แหง ความหวั ่น ไหว ในทุติยฌานนั้น. อุท ายิ ! ภิก ษุใ นกรณีนี ้ เพราะความจางคลายไปแหง ปต ิ ยอ มเปน ผู อ ยู อุ เบกขา มี ส ติ แ ละสั ม ปชั ญ ญะ และย อ มเสวยความสุ ข ด ว ยนามกาย ชนิ ด ที่ พระอริ ย เจ า ทั้ ง หลาย ย อ มกล า วสรรเสริ ญ ผู นั้ น ว า "เป น ผู อ ยู อุ เ บกขา มี ส ติ อยู เปน ปรกติส ุข " ดัง นี ้ เขา ถึง ต ติย ฌ าน แลว แลอยู . อุท ายิ ! เรากลา วแม ตติ ย ฌานนี้ แ ล ว า อยู ใ นวิ สั ย แห ง ความหวั่ น ไหว. อะไรเล า อยู ใ นวิ สั ย แห ง ความ หวั่ น ไหวในตติ ย ฌานนั้ น ? อุ เ บกขาสุ ข ในตติ ย ฌานนั้ น นั่ ง เองที่ ยั ง ไม ดั บ มี อ ยู , อุเบกขาสุข นั้นนั่นแหละ เปนสิ่งที่อยูในวิสัยแหงความหวั่นไหวในตติยฌานนั้น.

www.buddhadasa.info อุท ายิ ! ภิก ษุใ น กรณ ีนี ้ เพ ราะล ะสุข เสีย ได แล ะเพ ราะล ะทุก ข เสียได เพราะความดับไปแหงโสมนัสและโทมนัสทั้งสองในกาลกอน เขาถึง


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๗๙๙

จตุ ต ถฌ าน ไม มี ทุ ก ข ไ ม มี สุ ด ข มี แ ต ค วามที่ ส ติ เ ป น ธรรมชาติ บ ริ สุ ท ธิ์ เ พราะ อุเบกขาแลวแลอยู. อุทายิ! เรากลาวจตุตถฌานนี้แล วาไมอยูในวิสัยแหงความ หวั่นไหว. ง. การละความผูกพันในรูปฌานและอรูปฌาน อุท ายิ ! ภิก ษุใ นกรณ ีนี ้ สงัด แลว จากกาม สงัด แลว จากอกุศ ลธรรม เข า ถึ ง ปฐมฌาน อั น มี วิต กวิจ าร มี ป ติ แ ละสุ ข อั น เกิ ด จากวิ เวก แล ว แลอยู . อุ ท ายิ ! เรากล า วปฐมฌานนี้ แ ล ว า สิ่ ง ไม ค วร (จะพอใจ) เรากล า วว า จงละเสี ย เรากลาววาจงกาวลวงเสีย. ก็อะไรเลา เปนการกาวลวงเสียซึ่งปฐมฌานนั้น ? อุ ท ายิ ! ภิ ก ษุ ใ นกรณี นี้ เพราะความที่ วิ ต กวิ จ ารทั้ ง สองระงั บ ลง เข า ถึ ง ทุ ติ ยฌาน เป นเครื่องผ องใสแห งใจในภายใน ให สมาธิ เป นธรรมอั นเอกผุ ดมี ขึ้ น ไมม ีว ิต ก ไมม ีว ิจ าร มีแ ตป ต ิแ ละสุข อัน เกิด จากสมาธิ แลว แลอยู . นี ้แ หละ เปน การกา วลว งซึ ่ง ปฐมฌานนั ้น . อุท ายิ! เรากลา วแมท ุต ิย ฌานนั ้น แล วา สิ ่ง ไม ค วร (จะพอใจ) เรากล า วว า จงละเสี ย เรากล า วว า จงก า วล ว งเสี ย . ก็ อ ะไรเล า เปนการกาวลวงเสียซึ่งทุติยฌานนั้น ?

www.buddhadasa.info อุท ายิ ! ภิก ษุใ นกรณีนี ้ เพราะความจางคลายไปแหง ปต ิ ยอ มเปน ผู อ ยู อุ เบกขา มี สิ ต และสั ม ปชั ญ ญะ และย อ มเสวยความสุ ข ด ว ยนามกาย ชนิ ด ที่ พระอริ ย เจ า ทั้ ง หลาย ย อ มกล า วสรรเสริ ญ ผู นั้ น ว า "เป น ผู อ ยู อุ เบกขา มี ส ติ อยู เปน ปรกติส ุข " ดัง นี ้ เขา ถึง ตติย ฌาน แลว แลอยู . นี ้แ หละเปน การกา วลว ง ซึ่งทุติยฌานนั้น. อุทายิ! เรากลาวแมตติยฌานนั้นแล วาสิ่งไมควร (จะพอ


๘๐๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

ใจ) เรากลา ววา จะละเสีย เรากลา ววา จงกา วลว งเสีย . ก็ อะไรเลา เปน การ กาวลวงซึ่งตติยฌานนั้น ? อุท ายิ ! ภิก ษุใ นกรณ ีนี ้ เพราะละสุข เสีย ได และเพราะละทุก ข เสี ย ได เรพาะความดั บ แห ง โสมนั ส และโทมนั ส สองในกาลก อ น เข า ถึ ง จตุ ต ถฌาน ไม มี ทุ ก ข ไม มี สุ ข มี แ ต ค วามที่ ส ติ เป น ธรรมชาติ บ ริ สุ ท ธิ์ เพราะอุ เบกขา แล ว แลอยู . นี ้แ หละเปน การกา วลว งเสีย ซึ ่ง ตติย ฌานนั ้น . อุท ายิ! เรากลา ว แม จ ตุ ต ถฌานนั้ น แล ว า สิ่ ง ไม ค วร(จะพอใจ) เรากล า วว า จงละเสี ย เรากล า วว า จงกาวลวงเสีย. ก็ อะไรเลา เปนการกาวลวงซึ่งจตุตถฌานนั้น ? อุ ท ายิ ! ภิ ก ษุ ใ นกรณี นี้ เรพาะก า วล ว งเสี ย ได ซึ่ ง รู ป สั ญ ญาทั้ ง หลาย โดยประการทั้ ง ปวง เพราะความดั บ ไปแห ง ปฏิ ฆ สั ญ ญาทั้ ง หลาย เพราะไม ใส ใ จ นานั ต ตสั ญ ญาทั้ ง หลาย เป น ผู เข า ถึ ง อากาสานั ญ จายตนะ อั น มี ก ารทํ าในใจว า "อากาศไมมีที่สุด " ดังนี้ แลว แลอยู. นี ้แ หละเปน การกา วลว งซึ่งจตุถ ฌานนั้น . อุ ท ายิ ! เรากล า วแม อ ากาสานั ญ จายตนะนั้ น แล ว า สิ่ ง ไม ค วร (จะพอใจ) เรา กลา ววา จงละเสีย เรากลา วา จงกา วลว งเสีย ก็ อะไรเลา เปน การกา วลว งเสีย ซึ่งอากาสานัญจายตนะนั้นฯ

www.buddhadasa.info อุ ท ายิ ! ภิ ก ษุ ในกรณี นี้ เพราะก าวล วงเสี ย ได ซึ่ ง อากาสานั ญ จายตนะ ดว ยประการทั ้ง ปวง เปน ผู เ ขา ถึง วิญ ญาณัญ จายตนะ อัน มีก ารทํ า ในใจวา "วิญ ญาณไมม ีที ่ส ุด " ดัง นี ้ แลว แลอยู . นี ้แ หละเปน การกา วลว งเสีย ซึ ่ง อากาสานัญ จายตนะนั ้น . อุท ายิ! เรากลา วแมว ิญ ญาณัญ จายตนะนั ้น แล วา สิ ่ง ไม ค วร(จะพอใจ เรากล า วว า จงละเสี ย เรากล า วว า จงก า วล ว งเสี ย ก็ อะไรเล า เปนการกาวลวงเสียซึ่งวิญญาณัญจายตนะนั้น ?


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๘๐๑

อุ ท ายิ ! ภิ ก ษุ ใ นกรณี นี้ เพราะก า วล ว งเสี ย ได ซึ่ ง วิ ญ ญาณั ย จายตนะ โดยประการทั้ งปวงเป น ผู เข าถึ ง อากิ ญ จั ญ ญายตนะ อั น มี ก ารทํ าในใจว า "อะไร ๆ ไม มี " ดั งนี้ แล วแลอยู. นี้ แ หละเป น การก าวล วงเสี ย ซึ่ งวิญ ญาณั ญ จายตนะนั้ น . อุ ท ายิ ! เรากล า วแม อ ากิ ญ จั ญ ญายตนะนั้ น แล ว า สิ่ งไม ค วร (จะพอใจ) เรากล า ว วา จงละเสีย เรากลา ววา จงกา วลว งเสีย . ก็ อะไรเลา เปน การกา วลว งเสีย ซึ ่ง อากิญจัญญายตนะนั้น ? อุ ท ายิ ! ภิ ก ษุ ใ นกรณี นี้ เพราะก า วล ว งเสี ย ได ซึ่ ง อากิ ญ จั ญ ญายตนะ โดยประการทั ้ง ปวง เปน ผู เ ขา ถึง เนวสัญ ญ านาสัญ ญ ายตนะ แลว แลอยู . นี้ แหละเป นการก าวล วงเสี ยซึ่ งอากิ ญ จั ญ ญายตนะนั้ น. อุทายิ ! เรากลาวแม เนวสั ญ ญานาสั ญ ญายตนะนั้ น แล ว า สิ่ งไม ค วร (จะพอใจ) เรากล า วว า จงละเสี ย เรา กล า วว า จงก า วล ว งเสี ย . ก็ อะไรเล า เป น การก า วล ว งเสี ย ซึ่ ง เนวสั ญ ญานาสัญญายตนะนั้น ? อุ ท ายิ ! ภิ กษุ ใน กรณี นี้ เพ ราะก า วล ว งเสี ย ได ซึ่ ง เนวสั ญ ญ านาสัญ ญายตนะโดยประการทั ้ง ปวง เปน ผู เขา ถึง สัญ ญาเวทยิต นิโ รธ แลว แลอยู . นี้แหละเปนการกาวลวงเสียซึ่งเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น.

www.buddhadasa.info อุ ท ายิ ! ด ว ยอาการอย า งนี้ แ ล เรากล า วการละแม ซึ่ ง เนวสั ญ ญานาสัญ ญ ายตนะ. อุท ายิ ! เธอเห็น บา งไหม ซึ ่ง สัง โยชนน อ ยใหญนั ้น ที ่เ ราไม กลาววาตองละ ? "ขอนั้น ไมมีเลย พระเจาขา!" - ม. ม. ๑๓/๑๘๙-๑๙๒/๑๘๒-๑๘๕.


๘๐๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

การละทิฏฐิดวยอนุปสสนาญาณ ในอารมณของทิฏฐินั้น ๆ จุ น ท ะ ! ทิ ฏ ฐิ ทั้ งห ล าย มี อ ย างเป น อ เน ก เกิ ด ขึ้ น ใน โล ก เนื่ อ ง เฉพาะดว ยวาทะวา ตนบา ง เนื ่อ งเฉพาะดว ยวาทะวา โลก บา ง. ทิฏ ฐิเ หลา นั ้น เกิด ขึ ้น ในอารมณ ใ ด และตาม นอน อยู ใ น อารมณ ใ ด และไมห ม กมุ น อยู ใ น อารมณ ใด, เมื่อบุคคล เห็นอยูดวยปญ ญาอันชอบตามที่เปนจริง ซึ่งอารมณ นั้น อย า งนี ้ ว า "นั ่ น ไม ใ ช ข องเรา, นั ่ น ไม ใ ช เ รา, นั ่ น ไม ใ ช อ ั ต ตาของเรา" ดัง นี ้ : ดว ยอาการอยา งนี ้ เปน การ ละซึ ่ง ทิฏ ฐิเ หลา นั ้น เปน การ สลัด คืน ซึ ่ง ทิฏฐิเหลานั้น. - มู. ม.๑๒/๗๒/๑๐๑.

อนุสัยเจ็ด สลาย เมื่อขาดความยึดมั่นในอารมณแหงปปญจสัญญา ภิ ก ษุ ! สั ญ ญา (ความสํ า คั ญ มั่ น หมายที่ ซ้ํ า ซากจนเป น อนุ สั ย )๑ ชนิ ด ต า ง ๆ อั น เป น เครื่ อ งทํ า ความเนิ่ น ช า (ปปฺ จ สฺ ญ า) ย อ มกลุ ม รุ ม บุ รุ ษ เพราะมี อารมณ ใดเปนตนเหตุ; ถาสิ่งใด ๆ เพื่อความเปนอารมณ นั้น มีไมได (ดวยเหตุ ใดก็ตาม) เพื่อบุรุษนั้นจะพึงเพลิดเพลิน พร่ําสรรเสริญ เมาหมก แลวไซร :

www.buddhadasa.info

๑. สั ญ ญ าในที่ นี้ มิ ใ ช เ ป น เพี ย งความจํ า ; แต เ ป น ความสํ า คั ญ มั่ น หมาย เช น สุ ข สั ญ ญ า = สัญ ญ าวา สุข , อัต ตสัญ ญ า = สัญ ญ าวา ตัว ตน เปน ตน , เกิด ขึ ้น ดว ยอุป าทาน; เกิด เมื ่อ ใดยอ มกอ อนุส ัย และเพิ ่ม ความเปน อนุส ัย (ความเคยชิน ) ยิ ่ง ขึ ้น ทุก ที, ก็ทํ า ความเนิ ่น ชา หรือความยากแกการดับทุกขยิ่งขึ้น ทุกที.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๘๐๓

นั่นแหละคือที่สุดแหงราคานุสัย แหงปฏิฆานุสัย แหงทิฏฐานุสัย แหงวิจิกิจฉานุสัย แหงมานานุสัย แหงภวราคานุสัย แหงอวิชชานุสัย. .... - มู. ม. ๑๒/๒๒๒/๒๔๕. (ข อ ความที่ เป น รายละเอี ย ดเกี่ ย วกั บ เรื่ อ งนี้ ดู ห นั ง สื อ ปฏิ จ จ. โอ. ที่ ห น า ๖๐๕-๖๑๑ โดยหัวขอวา "ปฏิจจสมุปบาทแหงปปจสัญญา ฯ).

ลําดับปจจัยแหงการกระทําใหแจงซึ่งนิพพาน ภิ กษุ ท.! ภิ กษุ ไม มี การระคนด วยหมู เป นที่ มายิ นดี ไม ยิ นดี ในการ ระคนดวยหมู ไมตามประกอบซึ่งความยินดีในการระคนดวยหมู ไมมีคณะเปน ที ่ม ายิน ดี ไมย ิน ดีใ นคณะ ไมต ามประกอบซึ ่ง ความยิน ดีใ นคณะแลว จัก เปน ผูผูเดียวยินดียิ่งในปวิเวก (ความสงัดถึงที่สุด) ดังนี้นั้น : นั่นเปนฐานะที่มีได ; เมื่ อ เป น ผู ผู เดี ย วยิ น ดี ยิ่ งในปวิ เวกอยู จั ก ถื อ เอาซึ่ งนิ มิ ต สํ าหรั บ จิ ต ได ดังนี้นั้น : นั่นเปนฐานะที่มีได ; เมื่ อ ถื อ เอาซึ่ งนิ มิ ต สํ า หรับ จิ ต ได อ ยู จั ก ทํ าสั ม มาทิ ฏ ฐิ ให บ ริ บู รณ ได ดั ง นี้นั้น : นั่นเปนฐานะที่มีได ; ครั้น ทํ าสั ม มาทิ ฏ ฐิ ได บ ริบู รณ แล ว จั ก ทํ าสั ม มาสมาธิ ให บ ริ บู ร ณ ได ดั ง นี้นั้น : นั่นเปนฐานะที่มีได ; ครั้ น ทํ า สั ม มาสมาธิ ไ ด บ ริ บู ร ณ แ ล ว จั ก ละสั ง โยชน ทั้ ง หลายได ดั ง นี้ นั้น : นั่นเปนฐานะที่มีได ; ครั้น ละสั ง โยชน ทั้ ง หลายได แ ล ว จั ก ทํ า ให แ จ ง ซึ่ ง นิ พ พานได ดั ง นี้ นั้ น : นั่นเปนฐานะที่มีได, ดังนี้แล.

www.buddhadasa.info - ฉกฺก. อํ. ๒๒/๒๗๒/๓๓๙.


๘๐๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

วิธีการบมวิมุตติใหถึงที่สุด เม ฆ ิย ะ ! ธรรม ทั ้ง ห ล าย ๕ ป ระก าร เปน ไป เพื ่อ ค วาม สุก รอ บ (ปริ ป าก) ของเจโตวิ มุ ต ติ ที่ ยั ง ไม สุ ก รอบ. ห า ประการอย า งไรเล า ? ห า ประการ คือ :๑. เมฆิย ะ! ในกรณ ีนี ้ ภิก ษุเ ปน ผู  มีม ิต รดี มีส หายดี มีเ พื ่อ นดี : เมฆิย ะ ! นี ้เ ปน ธรรมขอ หนึ ่ง เปน ไปเพื ่อ ความสุก รอบของเจโตวิม ุต ติที ่ย ัง ไมสุกรอบ. ๒. เม ฆ ิย ะ ! ขอ อื ่น ยัง มีอ ีก , คือ ภ ิก ษ ุเ ปน ผู  ม ีศ ีล สํ า รวม แลว ด ว ยการสํ า รวมในปาติ โ มกข ถึ ง พร อ มด ว ยมรรยาทและโคจร มี ป กติ เห็ น เป น ภั ย ในโทษทั้ ง หลายแม มี ป ระมาณน อ ย สมาทานอยู ในสิ ก ขาบททั้ ง หลาย : เมฆิ ย ะ ! นี้เปนธรรมขอที่สอง เปนไปเพื่อความสุกรอบของเจโตวิมุตติที่ยังไมสุกรอบ.

www.buddhadasa.info ๓. เม ฆ ิย ะ ! ขอ อื ่น ยัง มีอ ีก , คือ ภิก ษุเ ปน ผู ไ ดต า ม ป รา รถ น า ไดไมอยาก ไดไมลําบาก ซึ่งธรรมกถาอันเปนเครื่องขัดเกลากิเลสอยางยิ่ง เปน ที ่ส บายแกก ารเปด โลง แหง จิต คือ อัป ปจ ฉกถา (ใหป รารถนานอ ย) สัน ตุฏ ฐิก ถา (ให สั น โดษ) ปวิ เวกกถา (ให ส งั ด ) อสั ง สั ค คกถา (ให ไ ม ค ลุ ก คลี ด ว ยหมู ) วิ ริ ย ารั ม ภกถา (ให ป รารภเพี ย ร) สี ล กถา (ให มี ศี ล ) สมาธิ ก ถา (ให มี ส มาธิ ) ป ญ ญากถา (ให มี ป ญ ญา) วิ มุ ต ติ ก ถา (ให เกิ ดวิ มุ ตติ ) วิ มุ ต ติ ญ าณทั ส สนกถา (ให เกิ ดวิ มุ ตติ ญ าณทั สสนะ) : เมฆิ ย ะ ! นี้เปนธรรมขอที่สาม เปนไปเพื่อความสุกรอบของเจโตวิมุตติที่ยังไมสุกรอบ. ๔. เมฆิ ย ะ ! ข อ อื่ น ยั ง มี อี ก คื อ ภิ ก ษุ เป น ผู มี ค วามเพี ย ร อั น ปรารภ แลว เพื่อละอกุศลธรรมทั้งหลาย เพื่อยังกุศลธรรมทั้งหลายใหถึงพรอม เปนผูมี


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๘๐๕

กํ า ลัง มีค วามบากบั ่น มั ่น คง ไมท อดทิ ้ง ธุร ะในกุศ ลธรรมทั ้ง หลาย : เมฆิย ะ ! นี้เปนธรรมขอที่สี่ เปนไปเพื่อความสุกรอบของเจโตวิมุตติที่ยังไมสุกรอบ. ๕. เมฆ ิย ะ ! ขอ อื ่น ยัง มีอ ีก คือ ภิก ษุ เปน ผู  มีป ญ ญ า ประกอบ ด ว ยป ญ ญาเป น เครื่ อ งถึ ง ธรรมสั จ จะแห ง การตั้ ง ขึ้ น และการตั้ ง อยู ไ ม ไ ด อั น เป น อริ ย ะ เป น เครื่ อ งชํ า แรกกิ เ ลส ให ถึ ง ความสิ้ น ทุ ก ข โ ดยชอบ : เมฆิ ย ะ! นี้ เ ป น ธรรมขอที่หา เปนไปเพื่อความสุกรอบแหงเจโตวิมุตติที่ยังไมสุกรอบ. เมฆ ิย ะ ! เมื ่อ ภิก ษุเ ปน ผู ม ีม ิต รดี สห ายดี เพื ่อ นดี, ตอ ไป นี ้เ ปน สิ ่ง ที ่เ ธอพึง หวัง ได คือ จัก เปน ผู ม ีศ ีล ฯลฯ จัก ไดโ ดยงา ยซึ ่ง ธรรมกถา ฯลฯ, จักเปนผูปรารภความเพียร ฯลฯ จักเปนผูมีปญญา ฯลฯ. เมฆิ ย ะ ! ภิ ก ษุ นั้ น ตั้ ง อยู ใ นธรรม ๕ ประการเหล า นี้ แ ล ว พึ ง เจริ ญ ธรรมสี่ประการใหยิ่งขึ้นไป คือ :เจริญ อสุภะ เพื่อ ละราคะ. เจริญ เมตตา เพื่อ ละพยาบาท. เจริญ อานาปานสติ เพื่อ ตัดเสียซึ่งวิตก. เจริญ อนิจจสัญญา เพื่ อ ถอนอั สมิ มานะ; กล าวคื อ เมื่ อเจริ ญ อนิ จจสัญญา อนัตตาสัญญายอมมั่นคง. ผูมีอนัตตสัญญา ยอมถึงซึ่งการถอนอัสมิมานะ คือ นิพพาน ในทิฏฐธรรม นั่นเทียว.

www.buddhadasa.info - นวก. อํ ๒๓/๓๖๙/๒๐๗. (ข อ ป ฏิ บั ติ ระบ บ นี้ ใช ไ ด แม แก ผู ตั้ งต น บํ าเพ็ ญ วิ มุ ตติ ; และใช ไ ด แ ก ผู บํ าเพ็ ญ วิ มุ ต ติ แ ล ว แต ยั ง ไม กุ ก รอบ คื อ เพิ่ ม ข อ ปฏิ บั ติ ชื่ อ เดี ย วกั น เหล า นี้ ใ ห ยิ่ ง ขึ้ น ไป. นั บ ว า เป น หลั ก ปฏิบัติที่สําคัญมาก ควรแกการสนใจอยางยิ่ง.


๘๐๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

ธรรม ะ ๕ ป ระการแหง สูต รนี ้ เรีย กใน สูต รนี ้ว า "เครื ่อ งบม วิม ุต ติ" ในสูต รอื ่น (นวก. อํ. ๒๓/๓๖๔/๒๐๕) เรียกวา "ที่ตั้งอาศัยแหงการเจริญโพธิปกขิกธรรม" ก็มี).

สติปฏฐานบริบูรณเพราะอานาปานสติบริบูรณ ภิ ก ษุ ท.! อานาปานสติ อั น บุ ค คลเจริ ญ แล ว อย า งไร ทํ า ให ม ากแล ว อยางไร จึงทําสติปฎฐานทั้งสี่ใหบริบูรณได ? [หมวดกายานุปสสนา] ภิก ษุ ท.! สมัย ใด ภิก ษุ [๑] เมื ่อ หายใจเขา ยาว ก็รู ส ึก ตัว ทั ่ว ถึง ว า เราหายใจเข า ยาวดั ง นี้ , หรื อ ว า เมื่ อ หายใจออกยาว ก็ รู สึ ก ตั ว ทั่ ว ถึ ง ว า เรา หายใจออกยาว ดั ง นี้ ก็ ดี ; [๒] เมื่ อ หายใจเข า สั้ น ก็ รู สึ ก ตั ว ทั่ ว ถึ ง ว า เราหายใจ เขา สั ้น ดัง นี ้. หรือ วา เมื ่อ หายใจออกสั ้น ก็รู ส ึก ตัว ทั ่ว ถึง วา เราหายใจออก สั ้น ดัง นี ้ก ็ด ี; [๓] ยอ ม ทํ า ในบ ทศึก ษ าวา เราเปน ผู  รู พ รอ ม เฉ พ าะซึ ่ง กาย ทั ้ง ปวง จัก หายใจเขา ดัง นี ้. ยอ มทํ า ในบทศึก ษาวา เราเปน ผู รู พ รอ มเฉพาะ ซึ ่ง กายทั ้ง ปวง จัก หายใจออก ดัง นี ้; [๔] ยอ มทํ า ในบทศึก ษาวา เราเปน ผู ทํ า กายสัง ขารใหรํ า งับ อยู  จัก หายใจเขา ดัง นี ้, ยอ มทํ า ในบทศึก ษาวา เราเปน ผู ทํ า กายสัง ขารใหรํ า งับ อยู  จัก หายใจออก ดัง นี ้; ภิก ษุ ท.! สมัย นั ้น ภิก ษุ ชื่ อวาเป นผู ตามเห็ นกายในกาย อยู เป นประจํ า มี ความเพี ยรเผากิ เลส มี สั มปชั ญ ญะ มีสติ นําอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ ท.! เราย อ มกล า วลมหายใจเข า และลมหายใจออก ว า เป น กาย อัน หนึ ่ง ๆ ในกายทั ้ง หลาย. ภิก ษุ ท.! เพราะเหตุนั ้น ในเรื ่อ งนี ้ ภิก ษุนั ้น ยอ ม ชื่ อว าเป น ผู ต ามเห็ นกายในกายอยู เป น ประจํ า มี ค วามเพี ยรเผากิ เลส มี สั ม ปชั ญ ญะ มีสติ นําอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได ในสมัยนั้น.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๘๐๗

[หมวดเทวทนานุปสสนา] ภิก ษุ ท.! สมัย ใด ภิก ษุ [๑] ยอ มทํ า ในบทศึก ษาวา เราเปน ผู รู พ รอ มเฉพาะซึ ่ง ปต ิ จัก หายใจเขา ดัง นี ้. ยอ มทํ า ในบทศึก ษาวา เราเปน ผู รู พรอ มเฉพาะซึ ่ง ปต ิ จัก หายใจออก ดัง นี ้; [๒] ยอ มทํ า ในบทศึก ษาวา เราเปน ผู  รูพ รอ มเฉพาะซึ ่ง สุข จัก หายใจเขา ดัง นี ้. ยอ มทํ า ในบทศึก ษาวา เราเปน ผู รู พ รอ มเฉพาะซึ ่ง สุข จัก หายใจออก ดัง นี ้; [๓] ยอ มทํ า ในบทศึก ษาวา เรา เป น ผู รูพ ร อ มเฉพาะซึ่ งจิ ต ตสั งขาร จั ก หายใจเข า ดั งนี้ , ย อ มทํ า ในบทศึ ก ษาว า เราเปน ผู รู พ รอ มเฉพาะซึ ่ง จิต ตสัง ขาร จัก หายใจออก ดัง นี ้ ; [๔] ยอ มทํ า ใน บทศึ กษาวา เราเป น ผู ทํ าจิต ตสั งขารให รํางับ อยู จัก หายใจเขาดังนี้ , ยอ มทํ าใน บทศึ ก ษาว า เราเป น ผู ทํ า จิ ต ตสั ง ขารให รํา งั บ อยู จั ก หายใจออก ดั ง นี้ ; ภิ ก ษุ ท.! สมัยนั้น ภิกษุ ชื่อวาเปนผูตามเห็ นเวทนาในเวทนาทั้ งหลายอยูเปนประจํา มีความ เพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นําอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได. ภิ ก ษุ ท.! เราย อ มกล าวการทํ าในใจเป น อย างดี ต อ ลมหายใจเข า และ ลมหายใจออกทั้ ง หลาย ว า เป น เวทนาอั น หนึ่ ง ๆ ในเวทนาทั้ ง หลาย. ภิ ก ษุ ท.! เพราะเหุต นั ้น ในเรื ่อ งนี ้ ภิก ษุนั ้น ยอ มชื ่อ วา เปน ผู ต ามเห็น เวทนาในเวทนา ทั้ ง หลายอยู เป น ประจํ า มี ค วามเพี ย รเผากิ เลส มี สั ม -ปชั ญ ญะ มี ส ติ นํ า อภิ ช ฌา และโทมนัสในโลกออกเสียได ในสมัยนั้น.

www.buddhadasa.info [หมวดจิตตานุปสสนา] ภิก ษุ ท.! สมัย ใด ภิก ษุ [๑] ยอ มทํ า ในบทศึก ษาวา เราเปน ผู รู พ ร อ มเฉพาะซึ่ ง จิ ต จั ก หายใจเข า ดั ง นี้ , ย อ มทํ า ในบทศึ ก ษาว า เราเป น ผู รู พรอมเฉพาะซึ่งจิต จักหายใจออก ดังนี้ ; [๒] ยอมทําในบทศึกษาวา เราเปน


๘๐๘

อริยสัจจากพระโอษฐ

ผูทําจิต ใหป ราโมทยซึ่งอยู จัก หายใจเขา ดังนี้. ยอ มทําในบทศึกษาวา เราเปน ผู ทํ า จิต ใหป ราโมยยิ ่ง อยู  จัก หายใจออก ดัง นี ้ ; [๓] ยอ มทํ า ในบทศึก ษาวา เราเปน ผู ทํ า จิต ใหตั ้ง มั ่น อยู  จัก หายใจเขา ดัง นี ้. ยอ มทํ า ในบทศึก ษาวา เรา เปน ผู ทํ า จิต ตั ้ง มั ่น อยู  จัก หายใจออก ดัง นี ้ ; [๔] ยอ ม ทํ า ในบทศึก ษ าวา เราเปน ผู ทํ า จิต ใหป ลอ ยอยู  จัก หายใจเขา ดัง นี ้. ยอ มทํ า ในบทศึก ษาวา เรา เปน ผู ทํ า จิต ใหป ลอ ยอยู  จัก หายใจออก ดัง นี ้, ภิก ษุ ท.! สมัย นั ้น ภิก ษุ ชื่อ วาเป น ผู ต ามเห็ น จิ ต ในจิ ต อยู เป น ประจํ า มี ความเพี ยรเผากิ ล ส มี สั ม ปชั ญ ญะ มีสติ นําอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได. ภิก ษุ ท.! เราไมก ลา วอานาปานสติ วา เปน สิ ่ง ที ่ม ีไ ดแ กบ ุค คลผู มี ส ติอ ัน ลืม ห ล งแลว ไมม ีส ัม ป ชัญ ญ ะ. ภิก ษุ ท .! เพ ราะเห ตุนั ้น ใน เรื ่อ งนี้ ภิก ษุนั ้น ยอ มชื ่อ วา เปน ผู ต ามเห็น จิต อยู เ ปน ประจํ า มีค วามเพีย รเผากิเ ลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นําอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได ในสมัยนั้น. [หมวดธัมมานุปสนา]

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท.! สมัย ใด ภิก ษุ [๑] ยอ มทํ า ในบทศึก ษ าวา เราเปน ผู ตามเห็ น ซึ่ ง ความไม เ ที่ ย ง อยู เป น ประจํ า จั ก หายใจเข า ดั ง นี้ . ย อ มทํ า ในบท ศึ ก ษาว า เราเป น ผู ต ามเห็ น ซึ่ ง ความไม เที่ ย งอยู เป น ประจํ า จั ก หายใจออก ดั งนี้ ; [๒] ย อมทํ าในบทศึ กษาว า เราเป นผู ตามเห็ น ซึ่ งความจางคลาย อยู เป นประจํ า จั ก หายใจเข า ดั งนี้ , ย อ มทํ า ในบทศึ ก ษาว า เราเป น ผู ต ามเห็ น ซึ่ ง ความจางคลาย อยู เ ปน ประจํ า จัก หายใจออก ดัง นี ้ ; [๓] ยอม ทํ า ในบทศึก ษาวา เราเปน ผู ตามเห็น ซึ ่ง ความดับ ไมเ หลือ อยู เปน ประจํ า จัก หายใจเขา ดัง นี ้, ยอ มทํ า ใน บทศึกษาวา เราเปนผูตามเห็นซึ่งความดับไมเหลืออยูเปนประจํา จักหายใจออก


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๘๐๙

ดั ง นี้ ; [๔] ย อ มทํ า ในบทศึ ก ษาว า เราเป น ผู ตามเห็ น ซึ่ ง ความสลั ด คื น อยู เป น ประจํ า จั ก หายใจเข า ดั ง นี้ , ย อ มทํ า ในบทศึ ก ษาว า เราเป น ผู ต ามเห็ น ซึ่ ง ความ สลัด คืน อยู เ ปน ประจํ า จัก หายใจออก ดัง นี ้; ภิก ษุ ท.! สมัย นั ้น ภิก ษุชื ่อ วา เปน ผู ตามเห็น ธรรมในธรรมทั ้ง หลาย อยูเ ปน ประจํา มีค วามเพีย รเผากิเ ลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นําอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได. ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ นั้ น เป น ผู เ ข า ไปเพ ง เฉพาะเป น อย า งดี แ ล ว เพราะ เธอเห็ น การละอภิ ช ฌาและโทมนั ส ทั้ ง หลายของเธอนั้ น ด ว ยป ญ ญา. ภิ ก ษุ ท.! เพราะเหตุ นั้ น ในเรื่ อ งนี้ ภิ ก ษุ นั้ น ย อ มชื่ อ ว า เป น ผู ต ามเห็ น ธรรมในธรรมทั้ ง หลาย อยู เป น ประจํ า มี ความเพี ยรเผากิ เลส มี สั มปชั ญ ญะ มี สติ นํ าอภิ ชฌาและโทมนั ส ในโลกออกเสียได ในสมัยนั้น. ภิ ก ษุ ท.! อานาปานสติ อั น บุ ค คลเจริ ญ แล ว อย า งนี้ ทํ า ให ม ากแล ว อยางนี้แล ชื่อวาทําสติปฏฐานทั้งสี่ใหบริบูรณได. - อุปริ. ม. ๑๔/๑๙๕/๒๘๙.

www.buddhadasa.info โพชฌงคบริบูรณเพราะสติปฏฐานบริบูรณ

ภิ ก ษุ ท.! สิ ต ป ฏ ฐานทั้ ง สี่ อั น บุ ค คลเจริ ญ แล ว อย า งไร ทํ า ให ม าก แลวอยางไร จึงทําโพชฌงคทั้งเจ็ดใหบริบูรณได ? [โพชฌงคเจ็ด หมวดกายาฯ]

ภิ กษุ ท.! สมั ยใด ภิ กษุ เป นผู ตามเห็ น กายในกาย อยู เป นประจํ า มี ความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นําอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสีย


๘๑๐

อริยสัจจากพระโอษฐ

ได, ส มัย นั ้น ส ติข อ งภิก ษุผู เ ขา ไป ตั ้ง ไวแ ลว ก็เ ปน ธ รรม ช าติไ มล ืม ห ล ง ภิก ษุ ท.! สมัย ใด สติข องภิก ษุผู เ ขา ไปตั ้ง ไวแ ลว เปน ธรรมชาติไ มล ืม หลง สมั ย นั้ น สติ สั ม โพชฌงค ก็ เป น อั น ว า ภิ ก ษุ นั้ น ปรารภแล ว , สมั ย นั้ น ภิ ก ษุ ชื่ อ ว า ย อ มเจริ ญ สติ สั ม โพชฌงค , สมั ย นั้ น สติ สั ม โพชฌงค ข องภิ ก ษุ ชื่ อ ว า ถึ ง ความเต็ ม ระบบแหงการเจริญ. ภิ ก ษุ นั้ น เมื่ อ เป น ผู มี ส ติ เ ช น นั้ น อยู ย อ มทํ า การเลื อ ก ย อ มทํ า การ เฟน ยอ ม ทํ า การใครค รวญ ซึ ่ง ธรรม นั ้น ดว ยปญ ญ า. ภิก ษุ ท.! สมัย ใด ภิ ก ษุ เป น ผู มี ส ติ เช น นั้ น อยู ทํ า การเลื อ กเฟ น ใคร ค รวญธรรมนั้ น อยู ด ว ยป ญ ญา, สมัย นั ้น ธัม มวิจ ยสัม โพชฌงค ก็เปน อัน วา ภิก ษุนั ้น ปรารภแลว , สมัย นั ้น ภิก ษุ ชื ่อ วา ยอ มเจริญ ธัม มวิจ ยสัม โพชฌงค, สมัย นั ้น ธัม มวิจ ยสัม โพชฌงคข องภิก ษุ ชื่อวาถึงความเต็มรอบแหงการเจริญ. ภิก ษุนั ้น เมื ่อ เลือ กเฟ น ใครค รวญ อยู ซึ ่ง ธรรม นั ้น ดว ยปญ ญ า ความเพีย รอัน ไมย อ หยอ นชื ่อ วา เปน ธรรมอัน ภิก ษุนั ้น ปรารภแลว . ภิก ษุ ท.! สมั ย ใด ความเพี ย รไม ย อ หย อ นอั น ภิ ก ษุ ผู เ ลื อ กเฟ น ใคร ค รวญในธรรมนั้ น ด ว ย ป ญ ญาปรารภแล ว . สมั ย นั้ น วิ ริ ย สั ม โพชฌงค ก็ เป น อั น ว า ภิ ก ษุ นั้ น ปรารภแล ว . สมั ย นั้ น ภิ ก ษุ ชื่ อ ว าย อ มเจริ ญ วิ ริ ย สั ม โพชฌงค . สมั ย นั้ น วิ ริ ย สั ม โพชฌงค ข องภิ ก ษุ ชื่อวาถึงความเต็มรอบแหงการเจริญ.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ นั้ น เมื่ อ มี ค วามเพี ย รอั น ปรารภแล ว ป ติ อั น เป น นิ ร ามิ ส ก็ เ กิ ด ขึ ้น . ภิก ษุ ท.! สมัย ใด ปต ิอ ัน เปน นิร ามิส เกิด ขึ ้น แกภ ิก ษุผู ม ีค วามเพีย ร อันปรารภแลว, สมัยนั้น ปติสัมโพชฌงค ก็เปนอันวาภิกษุนั้นปรารภแลว.


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๘๑๑

สมั ย นั้ น ภิ ก ษุ ชื่ อ ว า ย อ มเจริ ญ ป ติ สั ม โพชฌงค , สมั ย นั้ น ป ติ สั ม โพชฌงค ข องภิ ก ษุ ชื่อวาถึงความเต็มรอบแหงการเจริญ. ภิ ก ษุ นั้ น เมื่ อ มี ใ จประกอบด ว ยป ติ แม ก ายก็ รํ า งั บ แม จิ ต ก็ รํ า งั บ ภิ ก ษุ ท.! สมั ย ใด ทั้ ง กายและทั้ ง จิ ต ของภิ ก ษุ ผู มี ใ จประกอบด ว ยป ติ ย อ มรํ า งั บ . สมัย นั ้น ปส สัท ธิส ัม โพชฌงค ก็เ ปน อัน วา ภิก ษุนั ้น ปรารภแลว , สมัย นั ้น ภิก ษุ ชื ่อ วา ยอ มเจริญ ปส สัท ธิส ัม โพชฌ งค. สมัย นั ้น ปส สัท ธิส ัม โพชฌ งคข องภิก ษุ ชื่อวาถึงความเต็มรอบแหงการเจริญ. ภิก ษ ุนั ้น เมื ่อ มีก ายอัน รํ า งับ แลว มีค วาม สุข อยู  จิต ยอ ม ตั ้ง มั ่น . ภิ ก ษุ ท.! สมั ย ใด จิ ต ของภิ ก ษุ ผู มี ก ายอั น รํ า งั บ แล ว มี ค วามสุ ข อยู ย อ มตั้ ง มั่ น . สมัย นั ้น สมาธิส ัม โพชฌ งค ก็เ ปน อัน วา ภิก ษุนั ้น ปรารภแลว . สมัย นั ้น ภิก ษุ ชื ่อ วา ยอ มเจริญ สมาธิส ัม โพชฌงค, สมัย นั ้น สมาธิส ัม โพชฌงคข องภิก ษุ ชื ่อ วา ถึงความเต็มรอบแหงการเจริญ.

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ นั้ น ย อ มเป น ผู เ ข า ไปเพ ง เฉพาะซึ่ ง จิ ต อั น ตั้ ง มั่ น แล ว อย า งนั้ น เปน อยา งดี. ภิก ษุ ท.! สมัย ใด ภิก ษุเ ปน ผู เ ขา ไปเพง เฉพาะซึ ่ง จิต อัน ตั ้ง มั ่น แล ว อย า งนั้ น เป น อย า งดี , สมั ย นั้ น อุ เ บกขาสั ม โพชฌงค ก็ เป น อั น ว า ภิ ก ษุ นั้ น ป ร า ร ภ แ ล ว . ส ม ัย นั ้น ชื ่อ วา ย อ ม เจ ริญ อ ุเ บ ก ข า ส ัม โพ ช ฌ ง ค . ส ม ัย นั ้น อุเบกขาสัมโพชฌงคของภิกษุ ชื่อวาถึงความเต็มรอบแหงการเจริญ. [โพชฌงคเจ็ด หมวดเวทนา ฯ] ภิ ก ษุ ท.! สมั ย ใด ภิ ก ษุ เป น ผู ตามเห็ น เวทนาในเวทนาทั้ งหลาย อยู เปนประจํา มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสิต นําอภิชฌาและโทมนัส


๘๑๒

อริยสัจจากพระโอษฐ

ในโลกออกเสีย ได, สมัย นั ้น สติข องภิก ษุผู เ ขา ไปตั ้ง ไวแ ลว ก็เ ปน ธรรมชาติ ไมล ืม หลง. ภิก ษุ ท.! สมัย ใด สติข องภิก ษุผู เ ขา ไปตั ้ง ไวแ ลว เปน ธรรมชาติไ มล ืม หลง, สมัย นั ้น สติส ัม โพชฌ งค ก็เ ปน อัน วา ภิก ษุนั ้น ปรารภแลว . สมั ย นั้ น ภิ ก ษุ ชื่ อ ว า ย อ มเจริ ญ สติ สั ม โพชฌงค , สมั ย นั้ น สติ สั ม โพชฌงค ข องภิ ก ษุ ชื่อวาถึงความเต็มรอบแหงการเจริญ. ภิ ก ษุ นั้ น เมื่ อ เป น ผู มี สิ ต เช น นั้ น อยู ย อ มทํ าการเลื อ ก ย อ มทํ าการเฟ น ยอ มทํ า การใครค รวญ ซึ ่ง ธรรมนั ้น ดว ยปญ ญา. (ตอ ไปนี ้ มีข อ ความอยา งเดีย วกัน กับในโพชฌงคเจ็ด หมวดกายาฯ จนจบหมวด).

[โพชฌงคเจ็ด หมวดจิตตา ฯ] ภิ ก ษุ ท.! สมั ย ใด ภิ ก ษุ เป น ผู ตามเห็ น จิ ต ในจิ ต อยู เป น ประจํ า มี ความเพี ย รเผากิ เลสมี สั ม ปชั ญ ญะ มี ส ติ นํ า อภิ ช ฌาและโทมนั ส ในโลกออกเสี ย ได, ส มัย นั ้น ส ติข องภิก ษุผู เ ขา ไป ตั ้ง ไวแ ลว ก็เ ปน ธรรม ชาติไ มล ืม ห ล ง. ภิก ษุ ท.! สมัย ใด สติข องภิก ษุผู เ ขา ไปตั ้ง ไวแ ลว เปน ธรรมชาติไ มล ืม หลง สมัย นั ้น สติส ัม โพชฌงค ก็เ ปน อัน วา ภิก ษุนั ้น ปรารภมาแลว , สมัย นั ้น ภิก ษุ ชื่ อ ว า ย อ มเจริ ญ สติ สั ม -โพชฌงค , สมั ย นั้ น สติ สั ม โพชฌงค ข องภิ ก ษุ ชื่ อ ว า ถึ ง ความเต็มรอบแหงการเจริญ

www.buddhadasa.info ภิ ก ษุ นั้ น เมื่ อ เป น ผู มี ส ติ เช น นั้ น อยู ย อ มทํ า การเลื อ ก ย อ มทํ า การเฟ น ยอ มทํ า การใครค รวญ ซึ ่ง ธรรมนั ้น ดว ยปญ ญา, (ตอ ไปนี ้ มีข อ ความอยา งเดีย วกัน กับในโพชฌงคเจ็ด หมวดกายาฯ จนจบหมวด).


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๘๑๓

[โพชฌงคเจ็ด หมวดธัมมา ฯ] ภิ ก ษุ ท.! สมั ย ใด ภิ ก ษุ เป น ผู ตามเห็ น ธรรมในธรรมทั้ ง หลาย อยู เป น ประจํ า มี ค วามเพี ย รเผากิ เ ลส มี สั ม ปชั ญ ญะ มี ส ติ นํ า อภิ ช ฌาและโทมนั ส ในโลกออกเสีย ได. สมัย นั ้น สติข องภิก ษุผู เ ขา ไปตั ้ง ไวแ ลว ก็เ ปน ธรรมชาติ ไมล ืม หลง ภิก ษุ ท.! สมัย ใด สติข องภิก ษุผู เ ขา ไปตั ้ง ไวแ ลว เปน ธรรมชาติ ไม ลื ม หลง, สมั ย นั้ น สติ สั ม โพชฌงค ก็ เป น อั น ว า ภิ ก ษุ นั้ น ปรารภแล ว , สมั ย นั้ น ภิก ษุชื ่อ วา ยอ มเจริญ สติส ัม โพชฌ งค, สมัย นั ้น สติส ัม โพชฌ งคข องภิก ษุ ชื ่อ วา ถึงความเต็มรอบแหงการเจริญ. ภิ ก ษุ นั้ น เมื่ อ เป น ผู มี ส ติ เ ช น นั้ น อยู ย อ มทํ า การเลื อ ก ย อ มทํ า การ เฟน ยอ ม ทํ า การใครค รวญ ซึ ่ง ธรรมนั ้น ดว ยปญ ญ า. (ตอ ไป นี ้ มีข อ ค วาม อยา ง เดียวกันกับในโพชฌงคเจ็ด หมวดกายา ฯ จนจบหมวด).

ภ ิก ษ ุ ท .! ส ต ิป ฏ ฐ า น ทั ้ง สี ่ อ ัน บ ุค ค ล เจ ริญ แ ล ว อ ย า งนี ้ ทํ า ให มากแลว อยางนี้แล ชื่อวาทําโพชฌงคทั้งเจ็ดใหบริบูรณได.

www.buddhadasa.info - อุปริ. ม. ๑๔/๑๙๗/๒๙๐.

วิชชา-วิมุตติบริบูรณเพราะโพชฌงคบริบูรณ

ภิก ษุ ท.! โพชฌงคทั ้ง เจ็ด อัน บุค คลเจริญ แลว อยา งไร ทํ า ให มากแลวอยางไร จึงทําวิชชาและวิมุตติใหบริบูรณได? ภิ ก ษุ ท.! ภิ ก ษุ ใ นกรณี นี้ ย อ มเจริ ญ สติ สั ม โพชฌงค อั น อาศั ย วิ เวก อันอาศัยวิราคะ อันอาศัยนิโรธ อันนอมไปเพื่อโวสสัคคะ (ความสละลง);


๘๑๔

อริยสัจจากพระโอษฐ

ยอ มเจริญ ธัม มวิจ ยสัม โพชฌงค อัน อาศัย วิเวก อัน อาศัย วิร าคะ อันอาศัยนิโรธ อันนอมไปเพื่อโวสสัคคะ ; ย อ มเจริ ญ วิ ริ ย สั ม โพชฌงค อั น อาศั ย วิ เ วก อั น อาศั ย วิ ร าคะ อั น อาศัยนิโรธ อันนอมไปเพื่อโวสสัคคะ ; ย อมเจริญ ป ติ สั มโพชฌงค อั นอาศั ยวิ เวก อั นอาศั ยวิ ราคะ อั นอาศั ย นิโรธ อันนอมไปเพื่อโวสัคคะ ; ย อมเจริ ญ ป ส สั ท ธิ สั ม โพชฌงค อั นอาศั ยวิ เวก อั นอาศั ยวิ ราคะ อั น อาศัยนิโรธ อันนอมไปเพื่อโวสัคคะ ; ย อ มเจริ ญ สมาธิ สั ม โพชฌงค อั น อาศั ย วิ เวก อั น อาศั ย วิ ร าคะ อั น อาศัยนิโรธ อันนอมไปเพื่อโวสสัคคะ ; ย อมเจริญ อุ เบกขาสั ม โพชฌงค อั นอาศั ยวิ เวก อั นอาศั ยวิ ราคะ อั น อาศัยนิโรธ อันนอมไปเพื่อโวสสัคคะ ; ภิ ก ษุ ท.! โพชฌงค ทั้ ง เจ็ ด อั น บุ ค คลเจริ ญ แล ว อย า งนี้ ทํ า ให ม าก แลว อยางนี้แล ชื่อวาทําวิชชาและวิมุตติใหบริบูรณได, ดังนี้.

www.buddhadasa.info - อุปริ. ม. ๑๔/๒๐๑/๒๙๑.

นิโรธอริยสัจ (อีกนัยหนึ่ง)

ภิกษุ ท.! ความจริงอันประเสริฐ คือความดับไมเหลือของทุกข เปน อยางไรเลา ? ภิกษุ ท.! เพราะ ความจางคลายดับไปไมเหลือแหงอวิชชา นั้น นั ่น เทีย ว จึง มีค วมดับ แหง สัง ขาร ; เพราะมีค วามดับ แหง สัง ขาร จึง มีค วาม ดับแหงวิญญาณ; เพราะมีความดับแหงวิญญาณ จึงมีความดับแหงนามรูป;


ภาค ๓ - นิโรธอริยสัจ

๘๑๕

เพราะมี ค วามดั บ แห ง นามรู ป จึ ง มี ค วามดั บ แห ง สฬายตนะ ; เพราะมี ค วามดั บ แหง สฬายตนะ จึง มีค วามดับ แหง ผัส สะ; เพราะมีค วามดับ แหง ผัส สะ จึง มี ความดั บ แห ง เวทนา ; เพราะมี ค วามดั บ แห ง เวทนาจึ ง มี ค วามดั บ แห ง ตั ณ หา ; เพราะมี ค วามดั บ แห ง ตั ณ หา จึ ง มี ค วามดั บ แห ง อุ ป าทาน ; เราพมี ค วามดั บ แห ง อุ ป าทาน จึ ง มี ค วามดั บ แห ง ภพ ; เพราะมี ค วามดั บ แห ง ภพ จึ ง มี ค วามดั บ แห ง ชาติ ; เพราะมีค วามดับ แหง ชาติ นั ่น แล ชรามรณ ะ โสกะปริเ ทวะทุก ขะโทมนัส สะอุป ายาสทั ้ง หลาย จึง ดับ สิ ้น : ความดับ ลงแหง กองทุก ขทั ้ง สิ ้น นี้ ยอ มมี ดว ยอาการอยา งนี ้. ภิก ษุ ท.! นี ้ เราเรีย กวา ความจริง อัน ประเสริฐ คือความดับไมเหลือของทุกข. - ติก. อํ. ๒๐/๒๒๗/๕๐๑.

นิโรธอริยสัจเปนสิ่งที่ควรทําใหแจง ภ ิก ษ ุ ท .! อ ริย สัจ ม ีสี ่อ ยา งเห ล า นี ้. สี ่อ ยา งเห ลา ไห น เลา ? สี่ อยา งคือ :- ทุก ขอริย สัจ ทุก ขสมุท ยอริย สัจ ทุก ขนิโ รธอริย สัจ ทุก ขนิโ รธคามินีปฏิปทาอริยสัจ. ภิกษุ ท.! เหลานี้แล คือ อริยสัจสี่อยาง.

www.buddhadasa.info ภิก ษุ ท.! ในบรรดาอริย สัจ สี ่อ ยา งเหลา นี ้. อริย สัจ ที ่ใ คร ๆ ควร รอบรู มี อ ยู . อริ ย สั จ ที่ ใ คร ๆ ควรละ มี อ ยู , อริ ย สั จ ที่ ใ คร ๆ ควรทํ า ให แ จ ง มี อยู .... ภิก ษุ ท.! อริย สัจ ที ่ใ คร ๆ ควรรอบ รู นั ้น ไดแ ก อ ริย สัจ คือ ทุก ข ; อริย สั จที่ ใคร ๆ ควรละนั้ น ได แ ก อริย สั จ คื อ เหตุ ให เกิ ด ทุ ก ข ; อริย สั จ ที่ ใคร ๆ ควรทําใหแจงนั้น ไดแก อริยสัจ คือความดับไมเหลือของทุกข;....


๘๑๖

อริยสัจจากพระโอษฐ

ภ ิก ษ ุ ท .! เพ ราะ ฉ ะ นั ้น ใน ก รณ ีนี ้, พ วก เธ อ ทั ้ง ห ล าย พ ึง ทํ า ความเพีย รเพื ่อ ใหรู ต ามที ่เ ปน จริง วา 'ทุก ขเ ปน เชน นี ้ ๆ.' ดัง นี ้ ; 'เหตุใ ห เกิดทุกข เปนเชนนี้ ๆ.' ดังนี้; วา 'ความดับไมเหลือของทุกข เปนเชนนี้ ๆ;' .... ดังนี้เถิด. - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๔๖/๑๗๐๙.

นิทเทศ ๑๒ วาดวยอาการดับแหงตัณหา

จบ

ภาค ๓ วาดวยนิโรธอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐ คือความดับไมเหลือของทุกข

www.buddhadasa.info จบ


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.